Abe the Wizard 91 เรียนรู้

ตอนที่ 91 เรียนรู้

AtW ตอนที่ 91 เรียนรู้

แสงอาทิตย์ยามเช้ได้สาดส่องเข้ามาที่ปราสาทแฮรี่ เช้าตรู่ในวันนั้นเองอาเบลได้ฝึกฝนการเป็นอัศวินพื้นฐานได้สําเร็จเรียบร้อยแล้วหลังจากที่ทานอาหารเช้าไป ตัวเขานั้นได้แต่นั่งเฉยๆ อยู่ที่ต้นไม้หน้าประตูพร้อมกับกําลังถือน้ําผลไม้อยู่ในมือ ในขณะเดียวกันนั้นเองลมทมิฬลูกหมาป่าเองก็ยังอยู่บนตักของเขาในตอนนี้

ลูกหมาป่าลมทมิฬตัวน้อยเองก็เริ่มที่จะเติบโตขึ้นเรื่อยๆ อย่างไม่หยุดยั้ง ตราบใดที่ตัวอาเบลนั้นอยู่ภายในปราสาทลมทมิฬก็วิ่งวนหาเขาอยู่ตลอดเวลา ดูเหมือนว่าพฤติกรรมของมันในตอนนี้นั้น เป็นการอ้อนอาเบลนั้นเอง ถ้าหากลมทมิฬไม่ได้เติบโตเร็วขนาดนี้แล้วละก็มันก็คงจะเหมือนกับหมาตัวใหญ่ธรรมดาๆ แต่ตอนนี้ตัวของลมทมิฬนั้นโตกว่าหมาที่มีขนาดใหญ่มาก

ตรงหน้าของอาเบลนั้นมีผู้ที่อาศัยอยู่ในปราสาท เธอคือเอลฟ์สาวนั่นเอง หลังจากการพยายามสื่อสารกันสุดท้าย แล้วอาเบลก็ได้รู้จักชื่อของเธอ แต่ชื่อของเธอดูเหมือนจะยาวเกินไป จนทําให้การออกเสียงนั้นแทบจะทําให้ลิ้นพันกัน อาเบลจึงตัดสินใจที่จะเรียกชื่อของเธอจากสองพยางค์แรกเท่านั้น เขาเรียกเธอว่าลอเรนนั่นเอง

อาเบลไม่ได้ให้ลอเรนอยู่ในปราสาท ในฐานะสาวใช้แต่อย่างใด เขาให้เอลฟ์สาวคนนี้อยู่ในปราสาทในฐานะแขกผู้มีเกียรติแทน อาเบลได้ให้ห้องพักแขกห้องหนึ่งในปราสาทให้กับเธอไปพร้อมกับให้สาวใช้อีกคนคอยดูแลเธอ

ในตอนนี้เองอาเบลยังไม่ได้บังคับให้ลอเรนเรียนภาษาของมนุษย์แต่อย่างใด แต่กลับกันอาเบลมีความสุขมากกว่าที่ได้เรียนรู้ภาษาของเอลฟ์จากลอเรน ตอนนี้กลับเป็นลอเรนแทนที่อยากจะเรียนรู้ของภาษามนุษย์แทน เธอช่างเป็นเอลฟ์ที่กระตือรือร้นเป็นอย่างมาก!

“น้ําผลไม้!” อาเบลพูดขึ้นมาพร้อมกับหยิบน้ําผลไม้ขวดหนึ่งมอบให้กับลอเรนไป

ดวงตาของลอเรนในตอนนี้เป็นเหมือนกับอัญมณีที่ระยิบระยับ ตอนนี้เธอไม่ ด้รู้สึกกลัวหรือตกใจอาเบลอีกต่อไป เธอรู้สึกขอบคุณและซาบซึ้งอาเบลมากกว่า เอลฟ์สาวลอเรนในตอนนี้พอใจกับชีวิตและความเป็นอยู่ของเธอในตอนนี้แล้ว เธอตอบกลับอาเบลไปโดยพูดคําว่า “น้ําผลไม้!”

หลังจากที่มีเสียงลึกลับแต่ในขณะเดียวกันเสียงเสียงนั้นก็ฟังดูสูงส่งได้ดังออกมาจากปากของลอเรน หลังจากที่ได้ยินอาเบลก็ได้พูดซ้ําหลังจากที่เธอพูดทันที ทั้งอาเบลและลอเรนนั้นแต่เดิมแล้วก็เป็นคนที่ฉลาดมากอยู่แล้ว ดังนั้น พวกเขาทั้งสองคนจึงสามารถจําคําศัพท์ของแต่ละภาษาได้อย่างรวดเร็ว ถ้าหากยังเป็นยังงี้ต่อไปพวกเขาทั้งสองคนคงจะสามารถใช้ภาษาที่ตัวเองไม่รู้จักได้ภายในเร็วๆ นี้อย่างแน่นอน

นับตั้งแต่จากนี้เป็นต้นไปอาเบลจะกําหนดไว้ว่านับวันต่อจากนี้เป็นต้นไป ตัวเขานั้นจะหัดเรียนรู้และฝึกฝนการภาษา เอลฟ์หลังจากที่ฝึกฝนการเป็นอัศวินสําเร็จก่อนที่จะทานอาหารเที่ยงนั่นเอง ในตอนที่อาเบลหัดเรียนภาษาอังกฤษสิ่งแรกที่ตัวเขาทํานั้นคือการจดจําคําศัพท์รวมถึงไวยากรณ์

อาเบลได้หยิบหนังแกะออกมา ในหนังแกะแผ่นนั้นถูกวาดไปด้วยสิ่งของต่างๆ ทั้งพืชพรรณต่างๆ รวมไปถึงสัตว์นานาชนิด แน่นอนว่าภาพทุกภาพนั้นมีขนาดที่เล็กมาก แต่ถึงจะเป็นแบบนั้น รายละเอียดต่างๆ ของภาพก็ยังดูครบถ้วนอยู่ดี อาเบลได้จ้างศิลปินที่เก่งที่สุด ในเมืองฮาเวสเพื่อที่จะได้วาดภาพสําหรับการท่องจําคําศัพท์

อาเบลชี้ไปที่วัตถุชิ้นหนึ่งบนกระดาบ และเริ่มที่จะท่องคําศัพท์แต่ละคําไปพร้อมกับลอเรน ตอนนี้นอกจากลมทมิฬ แล้วไม่มีใครที่จะสามารถรบกวนพวกเขาได้อีก

ถึงแม้ว่าการเรียนรู้ภาษาใหม่ๆ จะเป็นอะไรที่ไม่ง่ายและแสนที่จะน่าเบื่อ แต่อาเบลก็ยินดีอย่างมากที่จะมีเด็กสาวเผ่าเอลฟ์มาเรียนด้วยกันกับเขาจนถึงตอนนี้ อาเบลไม่เคยมีเพื่อนที่มีอายุเท่าๆ กันมาก่อน ตอนนี้ตัวเขานั้นอยู่ในร่างกายของเด็กที่มีอายุเพียง 13 ปีเท่านั้น แต่ถึงแม้เขาจะอยู่ในร่างของเด็กหนุ่มแต่ความคิดของอาเบลนั้นก็ไม่ได้เหมือนกับเด็กในวัยเดียวกันไปแล้ว อาเบลคิดเสมอมาว่าต้องการที่จะมีเพื่อนที่มีอายุใกล้เคียงกับเขา การปรากฏตัวของลอเรนนั้นจึงเป็นเหมือนกับการเติมเต็มช่องว่างในหัวใจของอาเบล

ไม่กี่วันที่ผ่านมานี้เอง ลอร์ดมาแชลได้สังเกตว่าอาเบลนั้นกําลังใช้ความคิดอะไรบางอย่างอยู่คนเดียว ทุกๆ ครั้งหลังจากการทานอาหารกลางวัน ลอร์ดมาแชลได้แต่พึมพํากับอาเบลว่า “อาเบล ลูกโตขึ้นจริงๆ !”

อาเบลไม่ได้สนใจการทําธุรกิจของลอร์ดมาแชลเท่าไรนัก ตอนนี้ทั้งอาเบลและลอเรนยังเด็กมาก โดยเฉพาะลอเรน แล้ววัยเด็กของพวกเผ่าเอลฟ์นั้นจะยาวนานกว่าวัยเด็กของเผ่าอื่นๆ อาเบลจะต้องปฏิบัติตัวกับลอร์เรนในฐานะที่เป็นน้องสาวอยู่ตลอดเวลา เมื่อถึงโอกาสที่ เหมาะสมแล้วอาเบลตั้งใจที่จะปล่อยให้ลอเรนนั้นกลับบ้านเกิดไป

ตัวอาเบลรู้ดีว่าความรู้สึกที่อยู่โดยที่ไม่ได้อยู่กับครอบครัวนั้นเจ็บปวดยังไง เขาจึงตัดสินใจที่จะช่วยลอเรนทันทีที่เห็นเธออยู่ในโรงประมูล

ในช่วงมื้อเที่ยงเองอาเบลได้พาลอเรนไปทานอาหารเที่ยงกับลอร์ดมาแชล หลังจากที่มีเอลฟ์มานั่งอยู่ในโต๊ะทานอาหารด้วยแล้วบรรยากาศในการทานอาหารนั้นก็ได้เปลี่ยนไป อาเบลชอบบรรยากาศในการทานอาหารกลางวันในตอนนี้

ลอเรนไม่ได้กินอะไรเลยนอกจากผล ไม้เพียงไม่กี่ชิ้นพร้อมกับน้ําผลไม้เท่านั้น ลอเรนไม่คิดที่จะสนใจกินเนื้อรวมถึงไวนแต่อย่างใด อาเบลเริ่มกังวลถึงสารอาหารที่เธอคนนี้จะได้รับ ดังนั้น แล้วอาเบลจึงวางเนื้อชิ้นหนึ่งเอาไว้ในจานของเธอก่อนที่จะพูดว่า “ลอเรน กินเนื้อนี่สิ!”

ลอเรนตกตะลึงกับเนื้อที่อาเบลได้ให้มา เธอไม่รู้เลยว่าจะต้องทํายังไงกับเนื้อชิ้นนี้ เนื้อชิ้นนี้ใหญ่พอๆ กับจานของเธอเอง ลอเรนได้ใช้มีดของเธอนั่นเนื้อก่อนที่จะอ้าปากกินอย่างช้าๆ หลังจากที่เคี้ยวเสร็จแล้วเธอต้องการที่จะพูดอะไรบางอย่าง แต่เนื่องจากเธอเพิ่งจะเรียนภาษามนุษย์เมื่อไม่นานมานี้ทําให้เธอไม่สามารถที่จะพูดคําที่ถูกต้องเพื่อแสดงความรู้สึกในตอนนี้ออกมาได้

“อาเบล ลูกอย่าวางอาหารให้เธอมั่วๆ สิ พวกเอลฟ์ไม่กินเนื้อกันหรอก” ลอร์ดมาแชลพูดออกมา แต่เขาก็รู้สึกเพลิดเพลินในขณะที่ตัวเขานั้นดูการทานอาหารระหว่างอาเบลและลอเรนอยู่

“แล้วเธอจะโตขึ้นมาได้ยังไงถ้าหากไม่กินเนื้อ…”อาเบลพึมพําออกมาในขณะที่เขาเอาเนื้อในจานของลอเรนออกมาไว้ที่เดิม หลังจากนั้นเขาก็ได้หยิบจานจานใหม่มาวางไว้ต่อหน้าลอเรน

“ลอเรนเธอเรียนรู้เร็วมาก แล้วลูกละ อาเบลเรียนรู้ภาษาเอลฟ์ไปถึงไหนละ” ลอร์ดมาแชลพูดถามอาเบลก่อนที่จะหยิบไว้และจ้องมองไปทางเขา

“ก็เป็นไปด้วยดีครับ มีแค่ไม่กี่คําเท่านั้นที่ออกเสียงยาก แต่ผมก็พอจะเข้าใจวิธีการแล้ว ดูเหมือนว่าจะไม่ได้ยากอะไร” อาเบลตอบกลับไป

“ไม่ใช่เรื่องยากหรอ? นี้เป็นอะไรที่ฟังดูหยิ่งผยองไปหน่อยนะลูกพ่อ พวกนักวิชาการทั้งหลหายของเมืองฮาเวสอาจจะต้องใช้เวลาท่องศัพท์จนไอเป็นเลือดถึงจะจําคําศัพท์ได้ ภาษาของพวกเอลฟ์นั้นเป็นภาษาที่มีระดับความยากมากที่สุดแล้วในทวีปศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้” ลอร์ดมาแชลพูดพร้อมกับหัวเราะไป

“ที่พวกเขาเป็นแบบนั้นอาจะเป็นเพราะ พวกเขาไม่ได้มีครูที่ดีก็ได้นะครับ” อาเบลได้ตอบกลับไป แม้ว่าลอเรนจะไม่เข้าใจสิ่งที่เขาพูดแต่เธอก็รู้สึกได้ว่าตอนนี้อาเบลกําลังชื่นชมเธออยู่ ตอนนี้เริ่มมีรอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของลอเรนแล้ว

การทานอาหารกลางวันที่แสนจะอบอุ่นหัวใจก็ได้จบลง ตอนนี้ทั้งสามคนได้ออกจากห้องทานอาหารไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว หลังจากทุกอย่างจบลงพ่อบ้านลินด์เซ่ก็ได้เข้ามา

“นายท่าน นายน้อย คุณลอเรนครับ ไวเคานต์ดิ้กเคนได้มาหา…” ไม่ทันที่พ่อบ้านลินด์เซ่จะพูดจบ เขาก็ได้หยุดพูดไปอย่างกระทันหัน “มีอีกสองคนที่มากับท่านเจ้าเมืองด้วย ดูเหมือนว่าฐานะของพวกเขานั้นจะพอๆ กับพวกนายท่านอีกด้วย”

ลอร์ดมาแชลและอาเบลได้สบสายตากัน การมาเยี่ยมเยียนของดิ้กเคนในเวลานี้ช่างเป็นอะไรที่แปลกประหลาดเป็นอย่างมาก เมื่อไม่กี่สัปดาห์ก่อนนี้เอง ปราสาทแฮรี่ได้ถูกโจมตีโดยพวกโวร์แกนจากตระกูลวูลฟ แต่ไวเคานต์ดิ้กเคนนั้นไม่ได้ส่งคนมาเพื่อช่วยเห ลือพวกเขาเลย แต่ทําไมตอนนี้ดิ้กเคนจึงตัดสินใจที่จะมาเยี่ยมพวกเขากัน?

แต่ไม่ว่าจะมีอะไรก็แล้วแต่ไวเคานต์ ดิ้กเคนก็ได้มาเยี่ยมเยนพวกเขาเป็นการส่วนตัวแล้ว อาเบลหันกลับไปหาลอเรนก่อนที่จะพูดภาษาเอลฟ์อย่างง่ายๆ กับเธอ “ตอนนี้ เธอกลับไป พักผ่อนคนเดียวก่อนนะ”

แม้ว่าอาเบลจะไม่สามารถพูดประโยคที่สมบูรณ์แบบในภาษาเอลฟ์ได้แต่ดูเหมือนว่าลอเรนนั้นจะฉลาดพอที่จะเข้าใจว่าอาเบลกําลังจะพูดอะไร เธอตอบกลับอาเบลเป็นภาษามนุษย์ว่า “โอเค” ก่อนที่เธอจะเดินออกไปจากห้องเพื่อที่จะกลับห้องของเธอเอง

“ยินดีต้อนรับท่านแขกผู้มีเกียรติไวเคานต์ดิ้กเคน! ผมรู้สึกเสียใจที่ต้องทําให้ท่านต้องรอนานแบบนี้!” เมื่อลอร์ดมาแชลมาถึงห้องนั่งเล่นของปราสาทแฮรี่ เขาก็ได้พูดทักทายดิ้กเคนในทันที ตอนนี้ดิ้กเคนกําลังนั่งอยู่ในห้องนั่งเล่นพร้อมกับแขกอีก 2 คนที่กําลังถือถ้วยกาแฟเอาไว้ในมือ

อาเบลได้เดินตามหลังลอร์ดมาแชลมาอย่างติดๆ เขาโค้งคํานับแขกทั้งสามคนในทันที่ที่มาถึง

“ลอร์ดมาแชล ปรมาจารย์อาเบล ฉันหวังว่าตอนนี้ฉันจะไม่ได้กําลังรบกวน พวกคุณอยู่นะ” ไวเคานต์ดิ้กเคนยืนพูดก่อนที่จะโค้งคํานับพวกเขาสองคน กลับจากนั้นเขาก็เริ่มแนะนําแขกทั้งสองคนที่เหลือให้กับลอร์ดมาแชลและอาเบลได้รู้จักในทันที “ชายสองคนนี้คือหัวหน้าผู้บัญชาการโลเวลล์และหัวหน้าผู้บัญชาการฮอปกิน!”

หลังจากที่สบสายตากับผู้บัญชาการทั้งสองอาเบลก็รู้สึกเกร็งขึ้นมาทันที ชายสองคนนี้เป็นหัวหน้าผู้บัญชาการ พวกเขามาที่นี่เพื่อที่เพราะมีเรื่องสําคัญเกิดขึ้นที่เมืองใหญ่ๆ อย่างเมืองฮาเวสอย่างแน่นนอน ไวเคานต์ดิ้กเคนเป็นเพียงหัวหน้าผู้บัญชาการที่มีส่วนรับผิดชอบ แต่ตอนนี้กลับมีหัวหน้าของผู้บัญชาการถึง 3 คนด้วยกันปรากฏตัวขึ้นที่ปราสาท แฮรี่อย่างพร้อมเพรียง ด้วยเหตุนี้เองจึงทําให้อาเบลและลอร์ดมาแชลรู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก

“หัวหน้าผู้บัญชาการโลเวลล์ หัวหน้าผู้บัญชาการฮอปกิน ยินดีต้อนรับสู่ปราสาทแฮรี่!” ลอร์ดมาแชลทักทาย แขกทั้งสองคนอย่างรวดเร็วและหลังจากนั้นเขาก็โค้งคํานับตามทันที

“ฮาฮ่า ไม่ต้องสุภาพกับพวกเรามากนักหรอก พวกเราไม่เหมือนกับดิ้กเคน ฉันไม่คุ้นเคยกับอะไรแบบนี้เลย” หัวหน้าผู้บัญชาการโลเวลล์พูดออกมาอย่างตรงไปตรงมา

“แล้วพวกคุณทั้งสองคนมีเหตุอะไรถึงจะต้องมาเยี่ยมเยียนปราสาทแฮรี่ของเราด้วย?” ลอร์ดมาแชลได้ถามอย่างระมัดระวัง

“ฮอปกินและฉันต้องการให้ดิ้กเคนพามาที่นี่เมื่อที่จะมาเยี่ยมปรมาจารย์อาเบล นอกจากนี้เองพวกเรายังได้ยินมาว่าปราสาทแฮรี่นั้นยังสามารถขับไล่พวกวูฟไรเดอร์ออกไปได้ ดังนั้นแล้วพวกเราจึงอยากมาดูปราสาทแห่งนี้ด้วยตัวเอง” เมื่อถึงตอนนี้ลอร์ดมาแชลก็เหมือนกับยก ภูเขาออกจากอกผู้บัญชาการทั้งสองคน ไม่ได้มาเยี่ยมเยียนที่นี่ด้วยเจตนาไม่ดี

“ฉันไม่อยากจะเชื่อเลยว่าปราสาทแฮรี่จะสามารถขับไล่พวกวูฟไรเดอร์ชั้นสูงหลายตัวไปได้!” หัวหน้าผู้บัญชาการฮอปกินพูดขึ้น น้ําเสียงของเขาหนักแน่น และจริงใจเป็นอย่างมาก

Abe the Wizard

Abe the Wizard

Score 10
Status: Completed

บทนำ

ฉันได้กลับชาติมาเกิดในโลกใบใหม่นี้ ดูเหมือนว่ามีเพียงสิ่งเดียวที่ติดตัวฉันมาที่โลกใบนี้ด้วย สิ่งนั้นคือ ฮอร์ราดริกคิวบ์ จากเกม Diablo II นั่นเอง

หนทางการเป็นอัศวินสุดเท่ห์กำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว แต่ทำไมการเป็นจอมเวทย์ก็อยู่ในทางเลือกด้วยล่ะ?

แล้วฉันควรจะเลือกทางไหนกันแน่นะ?

Options

not work with dark mode
Reset