Abe the Wizard 53 ออกบิน!

ตอนที่ 53 ออกบิน!

AtW ตอนที่ 53 ออกบิน!

 

ติดตามแฟนเพจอัพเดทข่าวสารก่อนใคร ND Translate นิยายแปลไทย

 

ในท้ายที่สุดแล้วเส้นทางการเป็นอัศวินของอาเบลนั้นก็ได้เริ่มต้นจริงๆ แล้ว อาเบลจ้องมองไปที่ร่างกายของเขา ตอนนี้มีเมอร์ริเดียนอีกเส้นปรากฎขึ้นมาบนร่างกายของเขาแล้ว เมอร์ริเดียนเส้นนั้นได้แทนที่เมอร์ริเดียนเดิมที่อาเบลมี แต่สิ่งที่แตกต่างออกไปนั้นคือเมอร์ริเดียนเส้นใหม่ของอาเบลนั้นเรืองแสงสีทองออ่นๆ ออกมานั่นเอง ราวกับว่าแสงที่ส่องประกายออกมานั้นเป็นแสงจากเพรชยังไงยังงั้น แน่นอนว่าคอร์อันนี้ดูเหมือนจะแตกต่างจากคอร์ที่อัศวินเบ็นเน็ตต์และอัศวินมาแชลเคยพูดถึงเอาไว้

 

จากการที่อัศวินทั้ง 2 เคยพูดเอาไว้ คอร์ของอัศวินมือใหม่นั้นจะเป็นเหมือนกับลูกบอลใส่น้ำที่มีขนาดเท่ากับลูกพีชนั่นเอง แต่อย่างไรก็ตามคอร์ที่อาเบลมีนั้นแตกต่างออกไป คอร์ของอาเบลขยายใหญ่มากกว่าขนาดของลูกพีช และแน่นอนว่าคอร์ที่อาเบลมีนั้นยังส่องแสงเหมือนกับอัญมณีอีกด้วย

 

เมื่ออัศวินมือใหม่นั้นสามารถสร้างคอร์ขึ้นมาได้ พวกเขาก็จะสามารถสร้างจุดกระตุ้นพลังลมปราณได้นั่นเอง โดยที่อัศวินมือใหม่นั้นสามารถสร้างจุดกระตุ้นพลังลมปราณได้สูงที่สุดอยู่ที่ 5 จุดเท่านั้น และทุกครั้งที่อัศวินมือใหม่สามารถสร้างจุดกระตุ้นลมปราณได้ระดับของพวกเขาก็จะถูกเพิ่มขึ้นตามนั่นเอง และเมื่ออัศวินมือใหม่สามารถเพิ่มระดับตัวเองไปจนถึงระดับ 10 ได้แล้วแสดงว่าตอนนั้นอัศวินมือใหม่คนนั้นสามารถที่จะสร้างจุดกระตุ้นพลังลมปราณได้แล้ว 5 จุดนั่นเอง เมื่อถึงตอนนั้นอัศวินมือใหม่ก็จะกลายเป็นอัศวินระดับกลางไปในทันที

 

และเมื่อเป็นอัศวินระดับกลางแล้ว พวกเขาเหล่านั้นจะสร้างจุดกระตุ้นพลังลมปราณที่แขนแขนรวมไปถึงกระโหลกศรีษะของพวกเขานั่นเอง เมื่อจุดกระตุ้นพลังลมปราณถูกสร้างขึ้นที่แขนซ้ายของพวกอัศวินระดับกลางได้แน่นอนว่าพวกเขาจะสามารถส่งพลังลมปราณที่ตัวเองมีนั้นไปที่อาวุธของพวกเขาได้นั่นเอง นี้เป็นเหตุผลที่ทำให้อัศวินระดับกลางนั้นสามารถใช้พลังลมปราณในการต่อสู้ได้นั่นเอง

 

การใช้พลังลมปราณในการต่อสู้ได้อย่างชำนาญนั้นจะทำให้อัศวินระดับกลางทรงพลังเป็นอย่างมาก ไม่เพียงแต่ทำให้อาวุธที่พวกเขาใช้แหลมคมขึ้นเท่านั้น แต่พวกเขายังสามารถใช้พลังลมปราณในการโจมตีไปที่คู่ต่อสู้โดยตรงได้นั่นเอง

 

และแน่นอนว่าคุณสมบัติพลังลมปราณในการต่อสู้ที่เป็นเอกลักษณ์ที่แตกต่างออกไปอีกด้วย ถ้าหากพลังลมปราณอันนั้นอยู่ในร่างเจ้าของที่แท้จริงแล้วเจ้าของที่แท้จริงจะสามารถใช้พลังอันแข็งแกร่งได้นั่นเอง แต่ถ้าหากพลังลมปราณได้ถูกถ่ายทอดเข้าไปสู่ร่างกายของผู้อื่นนั้นอาจจะทำให้ร่างกายของพวกเขาทำลายอวัยวะตัวเองทั้งหมดก็เป็นได้ วิธีเดียวที่จะหยุดเหตุการณ์หายนะเช่นนั้นได้จะต้องแยกพลังลมปราณอันนั้นออกมาจากตัวนั่นเอง และการใช้ยาราคาแพงรวมไปถึงความโชคดีนั้นก็อาจจะทำให้ร่างกายของคนเราสามารถต่อต้านพลังลมปราณของผู้อื่นได้เช่นกัน

 

เมื่ออัศวินระดับกลางได้สร้างจุดกระตุ้นพลังลมปราณที่กระโหลกศีรษะและแขนขาทั้ง 4 ชุดแล้ว จุดกระตุ้นพลังลมปราณของพวกเขานั้นจะมีทั้งหมด 10 จุดด้วยกันนั่นเอง และการเชื่อมต่อพลังในแต่ละจุดนั้นจึงเป็นเหมือนกับแหล่งที่มาของพลังลมปราณในการต่อสู้ ดังนั้นการที่คอร์ของอัศวินยิ่งแข็งแกร่งมากเท่าไรนักการควบคุมพลังรวมไปถึงการใช้พลังลมปราณในการต่อสู้อย่างปลอดภัยนั้นจึงมีมากขึ้นไปด้วย

 

การเชื่อมต่อจุดกระตุ้นพลังลมปราณทั้งหมดได้ก็เป็นเหมือนกับการทำทางหลวงนั่นเอง ด้วยทางหลวงนั้นจึงทำให้การเรียกใช้พลังลมปราณในการต่อสู้จากร่างกายจึงเป็นเรื่องง่ายนั่นเอง ด้วยเหตุนี้เหล่าอัศวินชั้นสูงจึงสามารถที่จะใช้พลังลมปราณในการยิงออกมาใส่ไปที่คู่ต่อสู้เป็นลำแสงได้ ถ้าหากการเชื่อมต่อจุดกระตุ้นพลังลมปราณนั้นแข็งแกร่งเท่าไรความรุนแรงในการยิงเองก็จะมีมากขึ้นด้วยเช่นกัน

 

อาเบลยังคงจ้องมองไปที่คอร์ที่ส่องแสงสีทองออกมาจากร่างกายของตัวเองต่อไป ทันใดนั้นเองอาเบลก็รู้สึกถึงพลัมลมปราณที่ใช้สำหรับต่อสู้จากร่างกายของตัวเองได้ อาเบลรู้สึกตกใจที่รู้สึกถึงพลังลมปราณในการต่อสู้นี้ พลังลมปราณในการต่อสู้ของอาเบลนั้นเป็นแสงสีทองอ่อน เมื่ออาเบลกลับมาที่ปราสาทแฮรี่แล้วอาเบลจะต้องถามเรื่องนี้กับอัศวินมาแชลให้ได้ สีของพลังลมปราณในการต่อสู้นั้นเป็นอะไรที่ไม่สามารถหลอกคนอื่นได้ ถ้าหากอาเบลใช้พลังลมปราณในการต่อสู้ที่มีแสงสีทองอ่อนๆ จริงแน่นอนว่าพลังของอาเบลจะต้องดึงดูดผู้คนมากมายมาอย่างแน่นอน ดังนั้นแล้วอาเบลจึงต้องรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่

 

อาเบลตัดสินใจที่จะใช้พลังลมปราณในการต่อสู้ในการทดสอบการควบคุมพลังกับต้นไม้ใกล้ๆ อีกครั้ง ในตอนแรกอาเบลได้ใช้พลังเยอะเกินไปจึงทำให้ต้นไม้โค่นล้มลงมานั่นเอง แต่ถ้าหากอาเบลสามารถฝึกฝนการควบคุมพลังได้มากกว่านี้แล้วอาเบลจะต้องใช้พลังได้อย่างมีประสิทธิภาพได้อย่างแน่นอน

 

อาเบลนำอาหารที่เตรียมสำหรับการเดินทางนั้นออกมาจากม้าศึกของเขา จากนั้นอาเบลจึงได้เริ่มก่อกองไฟและเริ่มเตรียมอาหารง่ายๆ ขึ้นมา ในตอนนี้มันแปลกสำหรับอาเบลมาก การที่อาเบลไม่ได้กินอะไรเลยเป็นเวลา 2 วันด้วยกันไม่ได้ทำให้อาเบลหิวเลย ในตอนนี้อาเบลเพิ่งนึกออกว่าต้องกินอะไรไม่อย่างงั้นท้องของอาเบลจะต้องว่างต่อไปอย่างแน่นอน

 

เมฆาสีขาวเองก็ไม่ได้กลัวกองไฟที่อาเบลก่อเลย ตอนนี้เมฆาสีขาวได้เข้ามาใกล้อาเบลเพื่อที่จะได้ดูว่าอาเบลกำลังกินอะไรกันแน่

 

อาเบลที่เห็นเมฆาสีขาวทำท่าทีสนใจได้โยนอาหารที่ตัวเองกินนั้นไปที่ปากของมัน อาหารที่อาเบลได้โยนไปให้นั้นเมฆาสีขาวที่กินไปไม่ได้รสชาติอะไรของมันเลย

 

หลังจากที่กินอาหารเสร็จอาเบลได้มองไปที่อาการบาดเจ็บของเมฆาสีขาว โชคดีที่มันไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรรุนแรงมากนัก ปัญหาเดียวที่อาเบลมีในตอนนี้ก็คืออาการบาดเจ็บของเมฆาสีขาวนั้นเอง เนื่องจากตัวของเมฆาสีขาวมีขนาดที่ใหญ่มากแน่นอนว่าตัวมันเองจะต้องใช้ยาพิเศษในการรักษาอีกด้วย บาดแผลส่วนใหญ่ของเมฆาสีขาวนั้นเกิดจากพลังลมปราณในการต่อสู้นั่นเอง แต่ในตอนนี้แผลของเมฆาสีขาวได้เริ่มหายดีแล้ว

 

อาเบลคิดว่าเมฆาสีขาวจะต้องบินได้ภายในเร็วๆ นี้อย่างแน่นอน แค่คิดหัวใจของอาเบลก็ถูกเติมเต็มไปด้วยความตื่นเต้นอีกครั้งแล้ว เมฆาสีขาวเองก็ส่งเสียงแห่งความสุขออกมาด้วยเช่นกัน ในตอนที่นกกระจอกแห่งท้องนภาบาดเจ็บหรือป่วยเท่านั้นพวกมันจะถึงใช้เวลานอนอยู่บนพื้นแบบนี้ ถ้าหากเป็นเวลาปกติแล้วนกกระจอกแห่งท้องนภานั้นจะบินอยู่บนท้องฟานั่นเอง

 

อาเบลค้นพบที่นั่งที่ถูกออกแบบมาจากพวกออร์คให้สามารถนั่งบนเมฆาสีขาวได้ ดูเหมือนว่าที่นั่งสำหรับคนขี่นกนั้นจะมีเข็มขัดนิรภัยติดตั้งไว้อยู่ด้วย ที่ด้านหลังของที่นั่งเองก็มีที่นั่งด้านหลังขนาดใหญ่ถูกติดตั้งอยู่ด้วย ดูเหมือนว่าจะมีที่นั่งทั้งหมด 5 ที่ด้วยกัน ซึ่งทุกๆ ที่นั่งนั้นถูกติดตั้งเข็มขัดนิรภัยหมดเลย

 

อาเบลได้ใช้ความพยายามอย่างหนักกว่าที่จะพาม้าศึกทั้งสองตัวไปบนเมฆาสีขาว ม้าศึกที่มาจากโลกมนุษย์นั้นเป็นสัตว์ขี่ที่มีความยืดหยุ่นน้อยกว่าสัตว์ขี่ที่มีอยู่ในโลกของออร์ค อาเบลได้ใช้เวลาอยู่พักหนึ่งกว่าที่จะพาม้าศึกทั้งสองไปไปยังที่นั่งได้ ตอนนี้อาเบลได้คาดเข็มขัดให้กับม้าศึกทั้งสองตัวแล้ว จากนั้นอาเบลก็นั่งลงไปที่ที่นั่งของคนขี่่นก

 

“ออกบินได้ เมฆาขาว” อาเบลออกคำสั่งจากใจของเขา

 

ก่อนที่จะบินนั้นเมฆาสีขาวได้ส่งเสียงดังออกมาก่อนที่จะยืดปีกทั้งสองข้างออกมา ปีกขนาดใหญ่มหุมาของมันกำลังปิดกั้นแสงอาทิตย์จากฟากฟ้า หลังจากที่เมฆาสีขาวได้ขยับปีกของมันตอนนี้อาเบลที่กำลังขี่อยู่นั้นก็ได้ลอยขึ้นไปบนท้องฟ้าแล้ว ในตอนที่เมฆาสีขาวบิ้นขึ้นเศษดินและหินก้อนเล็กๆ ก็ได้ถูกพัดออกไปในทันที ตอนนี้อาเบลมีขนาดเล็กลงมากถ้าจะเทียบกับขนาดของเมฆาสีขาว

 

ตอนนี้อาเบลได้รู้แล้วว่าเขาควรจะออกเดินทางไปทางไหน อาเบลตัดสินใจที่จะเดินทางไปที่หุบเขาแอนซะต่อไปเพื่อจะจัดการกับดาบระเบิดของเขานั่นเอง ตราบใดที่คิวบ์ของอาเบลยังมีดาบระเบิดอยู่อาเบลก็ยังไม่สามารถที่จะใช้คิวบ์ของเขาผสมรูนได้อย่างแน่นอน

 

“จุดหมายปลายทางคือหุบเขาแอนซะ” อาเบลพูดขึ้นพร้อมชี้ไปทางหุบเขาแอนซะ แม้ว่าเมฆาสีขาวจะไม่เห็นว่ามือของอาเบลนั้นชี้ไปทางไหนกันแน่ แต่เมฆาสีขาวก็เข้าใจดีว่าอาเบลจะไปทางไหนเพราะว่าอาเบลได้สื่อสารกับมันผ่านพลังแห่งความมุ่งมั่นนั่นเอง เมฆาสีขาวได้เลี้ยวไปทางหุบเขาแอนซะก่อนที่จะบินต่อไป

 

ในตอนที่กำลังออกเดินทางนั้นเมฆาสีขาวก็ได้บินสูงมากขึ้นเรื่อยๆ อาเบลที่กำลังมองดูโลกเบื้องล่างเองกำลังเห็นป่าและภูเขาในขนาดเล็กลงที่เรื่อยๆ แล้ว อาเบลสามารถที่จะข้ามถนนรวมดไปถึงแม่น้ำและหุบเขาที่เป็นอุปสรรคในการเดินทางได้อย่างง่ายดาย เมื่ออาเบลได้ขี่เมฆาสีขาวเดินทางไปกลางเมฆนั้นเป็นความรู้สึกที่อาเบลไม่เคยพบเจอมาก่อน

 

อาเบลตระหนักได้ว่าตอนนี้เขาไม่ได้รู้สึกดีเพราะถูกลมพัดแบบต่อเนื่องเท่านั้น ตอนนี้เมฆาสีขาวกำลังบินไปในอากาศอย่างรวดเร็ว สายลมที่พัดผ่านมากระทบกับตัวอาเบลนั้นได้รุนแรงมากยิ่งขึ้น ตอนนี้ม้าศึกจะอยู่ในที่นั่งที่ถูกปิดกั้นไว้เป็นอย่างดีจึงทำให้พวกมันไม่ได้ตื่นกลัวแต่อย่างใด อาเบลไม่มีทางเลือกนอกซะจากกว่าจะต้องปะทะกับสายลมอันรุนแรงแบบนี้ต่อไป

 

สายลมเข้าปะทะกับร่างกายของอาเบลแรงขึ้นเรื่อยๆ ที่ที่นั่งของคนขี่นกนั้นไม่ได้มีอะไรที่สามารถป้องกันตัวเองจากอากาศได้เลย บนที่นั่งนั้นมีเพียงที่จับเพียงอย่างเดียวเท่านั้น

 

อาเบลคิดว่าเขาต้องทำแว่นตาสำหรับกันอากาศแล้วเมื่อตัวเขานั้นกลับไป นอกจากนี้อาเบลก็ควรจะสร้างกล้องส่องทางไกลอีกด้วย ถ้ามีกล้องส่องทางไกลแล้วอาเบลจะเห็นรายละเอียดต่างๆ ที่มีอยู่บนพื้นดินเวลาบินมากยิ่งขึ้น

 

ในระหว่างที่อาเบลกำลังฝันกลางวันอยู่เขาก็ได้เดินทางมาถึงหุบเขาแอนซะแล้ว เมฆาสีขาวได้ส่งเสียงร้องเบาๆ ออกมาเพื่อเตือนอาเบลว่าถึงที่หมายปลายทางแล้ว

 

อาเบลมองดูไปที่สภาพด้านล่างเพื่อจะตรวจสอบอะไรก่อน จากมุมมองที่อยู่บนนกตัวนี้อาเบลก็ได้เห็นเครื่องหมายทุกอย่างที่ถูกทำเอาไว้บนแผนที่ที่อาเบลมี อาเบลรู้สึกขอบคุณเมฆาสีขาวมากที่ทำให้อาเบลมาถึงได้ในเวลาอันรวดเร็วแบบนี้

 

เมื่ออาเบลตบคอของเมฆาสีขาวมันก็เข้าใจความหมายของอาเบลที่ต้องการที่จะบอกทันที เมฆาสีขาวได้เริ่มบินลงไปสู่พื้น

 

ในตอนที่อาเบลได้กระโดดลงจากตัวของเมฆาสีขาวอาเบลได้รู้สึกอับอายในทันที ผมของอาเบลได้ยุ่งเหยิงไปกับสายลมไปหมดแล้ว อาเบลใช้เวลาไปกับการจัดทรงผมอยู่พักหนึ่งก่อนที่จะส่งสัญญาณให้กับเมฆาสีขาวเพื่อจะให้มันบินไปให้ไกลที่สุดนั่นเอง

 

เมฆาสีขาวได้ขยับปีกที่มีขนาดใหญ่มหึมาอีกครั้งหนึ่ง ตอนนี้อาเบลรู้สึกได้ว่าเมฆาสีขาวกำลังบินจากไปแล้ว ก่อนที่จะจากไปพื้นที่ที่เมฆาสีขาวก็เต็มไปด้วยฝุ่นอีกครั้ง

 

อาเบลเพิ่งจัดทรงผมของตัวเองได้ไม่นานตอนนี้ผมของอาเบลก็เต็มไปด้วยฝุ่นอีกครั้ง อาเบลรู้สึกหงุดหงิดกับผมเป็นอย่างมากแต่แน่นอนว่าอาเบลไม่สามารถที่จะโทษใครได้เลย

 

เมื่ออาเบลเห็นเมฆาสีขาวบินออกไปไกลมากขึ้นอาเบลก็ได้มุ่งหน้าไปที่หน้าผาของหุบเขาทันที อาเบลจ้องมองไปที่ส่วนลึกที่อยู่ภายใต้หุบเขา อาเบลไม่สามารถที่จะมองเห็นด้านล่างของหน้าผาได้เลย

 

อาเบลยืดแขนขาของเขาก่อน ตอนนี้เป็นเหมือนกับนาทีเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายของอาเบลแล้ว อาเบลจะต้องแน่ใจว่าตัวเขานั้นสามารถที่จะวิ่งหนีได้เร็วพอจากแรงระเบิด

 

“3…, 2…, 1…” อาเบลได้นับเลขในใจ ทันทีที่อาเบลนับ 1 อาเบลก็ได้ปล่อยดาบเวทย์ระเบิดที่สร้างมาจากอัญมณีอันสมบูรณ์แบบลงไปในหน้าผาก่อนที่จะหมุนตัววิ่งหนีในทันที

 

อาเบลได้แต่คิดกับตัวเอง ตัวอาเบลนั้นไม่เคยตอบสนองอะไรรวดเร็วขนาดนี้มาก่อนในชีวิตของเขา ตอนนี้สิ่งเดียวที่อาเบลจะทำได้นั่นคือการวิ่งหนีให้เร็วที่สุด อาเบลไม่ได้นับเลยว่าจะต้องใช้เวลาเท่าไรในการวิ่งหนีระเบิดในครั้งนี้ แต่อาเบลก็ได้กะเอาไว้คร่าวๆ จากประสบการณ์ที่เคยมีมา

 

ในเวลา 3 วิผ่านมาเสียงที่คล้ายกับฟ้าผ่าก็ได้ดังขึ้น เสียงที่ดังขึ้นเป็นเสียงระเบิดนั้นเอง แรงระเบิดนั้นได้พุ่งขึ้นมาสู่เนินผาที่อาเบลได้วิ่งหนีออกมา อาเบลได้ล้มลงกับพื้นดินจากแรงสั่นสะเทือนแผ่นดินไหวที่ตามมา การระเบิดอันรุนแรงนั้นทำให้เศษไม้รวมไปถึงเศษหินกระเด็นลอยขึ้นมาบนท้องฟ้าก่อนที่จะตกสู่พื้นดินด้วยแรงดึงดูดของโลกอีกครั้งราวกับเป็นฝนยังไงยังงั้น

 

ในขณะที่อาเบลได้กำลังนอนอยู่บนพื้นอาเบลก็รู้สึกได้ว่ามีเศษหินนั้นได้ตกกระทบเข้ากับหัวของเขาไป แต่เนื่องจากตอนนี้อาเบลได้กลายเป็นอัศวินอย่างเป็นทางการแล้วร่างกายของเขาจึงได้พัฒนาไปมาก อาเบลไม่ได้รู้สึกถึงเศษหินก้อนนั้นเลย

 

เมื่อการระเบิดได้หยุดลง อาเบลก็ได้ยืนขึ้นอีกครั้ง ร่างกายของเขาถูกปกคลุมไปด้วยฝุ่นทั้งตัว ดูเหมือนว่าวันนี้ฝุ่นทั้งหลายจะชอบอาเบลเป็นพิเศษ ร่างกายของอาเบลต้องคลุกฝุ่นไปแล้วหลายครั้งในวันนี้

Abe the Wizard

Abe the Wizard

Score 10
Status: Completed

บทนำ

ฉันได้กลับชาติมาเกิดในโลกใบใหม่นี้ ดูเหมือนว่ามีเพียงสิ่งเดียวที่ติดตัวฉันมาที่โลกใบนี้ด้วย สิ่งนั้นคือ ฮอร์ราดริกคิวบ์ จากเกม Diablo II นั่นเอง

หนทางการเป็นอัศวินสุดเท่ห์กำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว แต่ทำไมการเป็นจอมเวทย์ก็อยู่ในทางเลือกด้วยล่ะ?

แล้วฉันควรจะเลือกทางไหนกันแน่นะ?

Options

not work with dark mode
Reset