AtW ตอนที่ 49 รางวัลใหญ่
ติดตามแฟนเพจอัพเดทข่าวสารก่อนใคร ND Translate นิยายแปลไทย
ในตอนนี้อาเบลกำลังขี่ม้าของเขาในระหว่างออกเดินทางอยู่ ม้าที่อาเบลใช้นั้นถือเป็นม้าคุณภาพดีทั้งสองตัว ม้าทั้งสองตัวนั้นว่องไวเป็นอย่างมาก ในระหว่างที่อาเบลออกเดินทางนั้นเขาไม่ได้ใช้เวลาไปกับการชื่มชมทิวทัศน์รอบข้างเลย ตอนนี้อาเบลใช้เวลาไปกับการสังเกตสิ่งรอบข้างอย่างระมัดระวังอยู่ตลอดเวลา อาเบลหยิบแผนที่ขึ้นมาดูจากกระเป๋าของตัวเองเพื่อเปรียบเทียบว่าตอนนี้ตัวเขานั้นอยู่ที่ไหนแล้ว
แผนที่อาเบลได้หยิบมานั้นไม่ค่อยมีรายละเอียดของภูมิประเทศเท่าไหร่ อาจจะเป็นเพราะคนที่สร้างแผนที่เองนั้นไม่มีความรู้ถึงเรื่องภูมิศาสตร์มากเท่าไรนัก
แต่แผนที่ในมือของอาเบลที่มีอยู่ในตอนนี้เองก็เป็นแผนที่พิเศษสำหรับพวกขุนนางเท่านั้น แผนที่ที่อาเบลมีนั้นเป็นแผนที่ที่มีคุณภาพที่ดีที่สุดเท่าที่จะหาได้ในโลกใบนี้แล้ว ที่แผนที่เองยังมีสัญลักษณ์และคำอธิบายต่างๆ ที่แสดงให้เห็นถึงสถานที่ต่างๆ ในโลกใบนี้ และดูเหมือนว่าสัญลักษณ์และคำอธิบายเองจะสอดคล้องกับสภาพความเป็นจริงเช่นเดียวกัน
ในตอนที่อาเบลเดินทางอยู่เขาก็ได้เจอกับแม่น้ำที่มีสัญลักษณ์อยู่บนแผนที่
“ระวัง แม่น้ำลึกมาก”
เมื่ออาเบลมองไปที่แม่น้ำตรงหน้าเขาก็เห็นว่ามันเป็นเหมือนแค่ลำธารตื้นๆ เท่านั้น ในตอนนี้อาเบลคิดว่าสัญลักษณ์ที่ใช้เตือนในแผนที่ควรจะเปลี่ยนไปเป็น “ระวังรองเท้าเปียก” แทนจะดีกว่า
จากนั้นอาเบลก็ได้มองไปที่แผนที่อีกครั้ง ทางข้างหน้าของอาเบลมีเนินเขาเล็กๆ อยู่ข้างหน้า เมื่ออาเบลเงยหน้าขึ้น เขาก็เห็นเนินเขาเหล็กๆ ข้างหน้าแล้ว ดูเหมือนว่าแผนที่ที่อาเบลใช้จะแม่นยำเป็นอย่างมากในตอนนี้
นี่เป็นครั้งแรกที่อาเบลได้เดินทางไกลด้วยตัวคนเดียว ดังนั้นแล้วอาเบลจึงตรวจสอบสภาพแวดล้อมโดยรอบอย่างระมัดระวัง อุบัติเหตุเล็กๆ ที่เกิดขึ้นในโลกใบนี้นั้นสามารถที่จะทำให้เสียชีวิตเลย
ในตอนที่อาเบลกำลังดูแผนที่ต่อไปเขาก็ได้ยินเสียงอะไรบางอย่างดังขึ้นบนท้องฟ้า อาเบลมองขึ้นไปมองที่ท้องฟ้าทันที ตอนนี้กำลังเกิดอะไรขึ้นกันแน่ อาเบลสังเกตเห็นนกยักษ์ตัวหนึ่งกำลังตกลงมาจากท้องฟ้าลงมาสู่เนินเขาเล็กๆ ด้านหน้าอาเบล
ในทันใดที่อาเบลเห็นนักยักษ์นั้นความอยากรู้อยากเห็นที่มีในตัวอาเบลก็ถูกกระตุ้นขึ้นมาอย่างรวดเร็ว นกยักษ์ที่ตกลงมาต่อหน้าอาเบลนั้นตัวใหญ่กว่าที่อาเบลจะจินตนาการไว้ได้ อาเบลไม่เคยเห็นนกที่มีขนาดใหญ่เท่านี้มาก่อนเลยในตลอดชีวิตของอาเบล นกตัวนี้มีขนาดใหญ่พอๆ กับเครื่องบินโดยสารก็ว่าได้
อัศวินซาโรหยานได้ออกเดินทางมาที่ทิศทางที่มีเนินเขาขนาดเล็กอยู่เช่นกัน จนถึงตอนนี้ก็ผ่านมากว่า 10 นาทีแล้วที่อาเบลได้มาพบกับนกยักษ์อยู่ที่เนินเขาเล็กๆ ตอนนี้อาเบลก็ได้เดินมาถึงที่ที่นกยักษ์ตกอยู่แล้ว อาเบลไม่รอช้าเขารีบหยิบธนูแฮรี่ขึ้นมาพร้อมกับดาบเวทย์น้ำแข็งของเขาก่อนที่จะเดินไปหานกยักษ์ตัวนั้น
ม้าศึกที่อาเบลนั้นไม่เหมือนกับม้าธรรมดาทั่วไป ถ้าหากมากับม้าทั่วๆ ไปแล้วอาเบลจะต้องคอยผูกม้าตัวนั้นไม่ให้มันหนีไปไหนนั่นเอง แต่สำหรับม้าศึกแล้วมันกลับไม่มีนิสัยแบบนั้น ม้าศึกนั้นถูกฝึกมาอย่างดีเยี่ยม ถ้าหากทิ้งม้าศึกเอาไว้เฉยๆ แน่นอนว่าม้าศึกตัวนั้นจะไม่หนีไปไหนนั่นเอง
นอกจากนี้พวกสัตว์นักล่ากินเนื้อนั้นก็ยังไม่สามารถที่จะล่าม้าศึกเป็นอาหารได้ ดังนั้นการปลอดภัยจะมีเพิ่มมากขึ้นอย่างแน่นอนถ้าหากเดินทางไกลด้วยม้าศึก
อาเบลต้องใช้เวลาและความพยายามอย่างหนักเป็นอย่างมากกว่าที่เขานั้นจะเดินเท้าเปล่าขึ้นไปที่เนินเขาเล็กๆ เนินนั้นได้ แม้ว่าเนินเขานั้นจะไม่ได้สูงใหญ่อะไรเมื่อดูจากระยะไกล แต่เมื่ออาเบลต้องเดินเท้าเปล่าขึ้นมานั้นเขาก็รู้ได้ทันทีว่าเนินเขานี้มันสูงกว่าที่ตัวอาเบลนั้นคิดไว้มาก
หลังจากที่อาเบลขึ้นมาที่ส่วนบนของเนินเขาได้ อาเบลก็ได้ยินเสียงร้องของอะไรบางอย่าง เสียงที่อาเบลได้ยินนั้นเองเป็นเหมือนกับภาษาของพวกสัตว์ หัวใจของอาเบลกำลังเต้นดังขึ้นเรื่อยๆ ตอนนี้อาเบลไม่ได้คิดเลยว่าจะมีพวกออร์คนั้นอยู่ใกล้ๆ เขาได้
หลังจากที่ได้ยินเสียงอะไรบางอย่างอาเบลก็ได้ใช้ความระมัดระวังในการเดินทางมากขึ้น อาเบลจำได้ดีว่าในอดีตนั้นมนุษย์หมาป่าที่อาเบลได้สู้ด้วยได้กลิ่นของตัวอาเบลที่ลอยมาตามอากาศ ตอนนี้อาเบลมีประสบการณ์แล้วนั่นเอง อาเบลได้เดินไปตามทิศทางที่อยู่ใต้ลมเพื่อไม่ให้พวกออร์คได้กลิ่นของอาเบลเอง
“พวกเราจะต้องรอนานแค่ไหนกัน นกตัวนี้ถึงจะบินได้อีก” เสียงที่อาเบลได้ยินนั้นเป็นเสียงภาษาออร์คนั่นเอง
“น่าจะสัก 2 วันนะครับนายท่าน” มีเสียงออร์คตัวหนึ่งตอบกลับอย่างอ่อนน้อม
“2 วัน? นี่พวกฉันจะต้องอยู่ที่โลกมนุษย์นี้อีก 2 วันอย่างงั้นหรอ? ถ้าฉันต้องอยู่ที่นี่อีกแม้แต่วันเดียวฉันก็รู้สึกไม่ดีแล้ว ฉันว่านายควรจะรีบหาทางแก้ไขให้เร็วที่สุดจะดีกว่านะ” เสียงของใครบางคนดังขึ้นอีกครั้ง
“ครับ นายท่าน”
อาเบลกำลังจับหัวของตัวเขาเองอย่างระมัดระวังในสถานการณ์ปัจจุบันแบบนี้ แม้ว่าอาเบลจะอยู่ทิศทางใต้ลมก็ตาม แต่การที่อาเบลหายใจแรงไปนั้นจะทำให้พวกออร์ครู้ตัวได้นั่นเอง ตอนนี้อาเบลจึงต้องระวังตัวมากขึ้นเป็นพิเศษ อาเบลไม่รู้เลยว่าพวกออร์คนั้นจะมีประสาทการฟังที่ดีกว่ามนุษย์ธรรมดาไหม
สิ่งแรกที่อาเบลได้เห็นในขณะที่เดินเข้ามาใกล้มากขึ้นคือนกขนาดใหญ่ยักษ์ที่มีบาดแผลอยู่ที่กลางลำตัวของมันนั่นเอง ถ้าแผลของนกนั้นถูกเทียบขนาดจากมนุษย์ บาดแผลนั้นจะต้องยาวพอๆ กับมนุษย์ 2 คนต่อตัวกัน แต่ถึงบาดแผลขนาดนี้สำหรับมนุษย์นั้นจะดูรุนแรงแต่สำหรับนกยักษ์นั้นบาดแผลขนาดนี้ถือเป็นบาดแผลเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ตอนนี้กำลังมีออร์คตัวหนึ่งทายารักษาแผลบนลำตัวนกอย่างเบามือ
ในขณะที่มีออร์คตัวหนึ่งกำลังทายาบนบาดแผลที่ลำตัวนกอาเบลก็เหลือบไปเห็นโวร์แกนตัวหนึ่งที่ยืนอยู่ข้างๆ ออร์คตัวนั้นทันที ดูเหมือนว่านั่นจะต้องไม่ใช่วูฟไรเดอร์ธรรมดาๆ อย่างแน่นอน นี่ถือเป็นครั้งแรกที่อาเบลเห็นพวกออร์คนั้นสวมใส่ชุดเกราะ ชุดเกราะที่วูฟไรเดอร์ตัวนั้นใส่นั้นเป็นชุดเกราะสีดำที่มีอะไรบางอย่างพิเศษกว่าชุดเกราะทั่วๆ ไป ชุดเกราะตัวนั้นมีผิวเรียบที่มันวาว การจะทำชุดเกราะแบบนี้ขึ้นมาได้แน่นอนว่ามันจะต้องไม่ได้ใช้เหล็กธรรมดาๆ ในการทำอย่างแน่นอน ถ้าหากใช้วัสดุอย่างเหล็กทำแล้วละก็เนื้อของชุดเกราะนั้นคงไม่มีลักษณะเป็นแบบนี้อย่างแน่นอน ดูเหมือนว่าวัสดุที่ใช้ทำชุดเกราะสีดำตัวนี้จะเป็นวัสดุเฉพาะ อาเบลไม่เคยเห็นวัสดุแบบนี้มาก่อนเลยในตลอดช่วงชีวิตของตัวอาเบลเอง
ตอนนี้โวร์แกนที่ดูพิเศษกว่าตัวอื่นๆ นั้นกลับหงุดหงิดเป็นอย่างมาก โวร์แกนตัวนี้เองได้ให้ออร์คอีกตัวหนึ่งที่อยู่กับเขานั้นรักษาบาดแผลของนกตัวนี้ให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้
“อยู่ที่นี่และรักษาบาดแผลของนกให้ดีล่ะ ฉันจะไปออกหาอาหารเอง” โวร์แกนที่สวมชุดเกราะสีดำนั้นพูดขึ้นก่อนที่จะมุ่งหน้าไปที่ภูเขาที่อยู่ลูกอื่น
ตอนนีอาเบลกำลังเฝ้าดูโวร์แกนตัวหนึ่งที่กำลังรักษาบาดแผลของนักยักษ์อย่างใกล้ชิด ดูเหมือนว่าโวร์แกนตัวนี้จะต้องใช้เวลาอีกพักหนึ่งกว่าที่นกตัวนี้จะกลับมาบินได้อีกครั้งหนึ่ง ดังนั้นแล้วอาเบลจึงตัดสินใจที่จะทิ้งโวร์แกนที่ดูแลนกไว้ก่อน อาเบลตัดสินใจที่จะตามโวร์แกนที่สวมใส่ชุดเกราะสีดำไปแทน
ชื่อของโวร์แกนที่สวมใส่ชุดเกราะนั้นคือฟาวเลอร์นั่นเอง ฟาวเลอร์เพิ่งจะหลบหนีออกมาจากหุบเขาเหน่ยลี้ได้สำเร็จ เนื่องจากนกที่เป็นเหมือนกับยานพาหนะของพวกโวร์แกนนั้นได้รับบาดเจ็บระหว่างเดินทาง จึงทำให้มันจะต้องใช้เวลารักษาตัวก่อนที่จะกลับมาบินได้อีกครั้งในไม่ช้านั่นเอง ทางเลือกเดียวของโวร์แกนทั้ง 2 ตัวนั้นคือการหาที่ซ่อนบนพื้นดินเพื่อรักษาบาดแผลของนกตัวนี้ก่อน
ตอนนี้ฟาวเลอร์ได้สุญเสียอำนาจและทุกสิ่งทุกอย่างไปแล้ว ผู้ติดตามที่คอยทำหน้าที่คุ้มกันทั้งหลายรวมไปถึงสัตว์ขี่อย่างหมาป่าเองก็ถูกฆ่าตายจากการต่อสู้ไปแล้ว แต่การสูญเสียในครั้งนี้ก็ไม่ได้ยิ่งใหญ่อะไรเลยถ้าหากฟาวเลอร์นั้นสามารถที่จะเดินทางกลับบ้านไปได้ ฐานะทางบ้านของตระกูลฟาวเลอร์นั้นดีกว่าพวกออร์คตัวอื่นๆ นั่นเอง
ฟาวเลอร์ในหยุดสำรวจบริเวณโดยรอบทันทีที่เขาเดินทางมาถึงที่ด้านล่างของภูเขา ฟาวเลอร์ได้ทำการตรวจสอบสภาพแวดล้อมโดยรอบอย่างละเอียดในทันที ในตอนนี้อาเบลได้ตามฟาวเลอร์มาแล้ว ขณะที่ตามเองอาเบลก็กลัวว่าโวร์แกนตัวนี้จะจับได้ว่ามีมนุษย์ตามมาอาเบลจึงเลือกำที่จะหลบหลังก้อนหินก้อนใหญ่ก้อนหนึ่งที่อยู่ไม่ไกลฟาวเลอร์เท่าไรนัก
การที่จะติดตามฟาวเลอร์ไปได้นั้นไม่ใช่เรื่องที่ง่ายสำหรับอาเบลเลย หลายครั้งที่อาเบลรู้สึกว่าตัวเขานั้นไม่ปลอดภัยจนต้องหยิบธนูแฮรี่ออกมา แต่อาเบลก็ไม่รู้เลยว่าธนูแฮรี่ของเขาจะสามารถยิงทะลุชุดเกราะป้องกันของโวร์แกนตัวนั้นได้ไหม แต่ถ้าหากอาเบลใช้พลังแห่งความมุ่งมั่นด้วยแล้ว อาเบลมั่นใจว่าเขาจะต้องยิงธนูได้อย่างรุนแรงมากขึ้นแน่นอน
โวร์แกนที่อาเบลกำลังเฝ้าติดตามอยู่นั้นหลังจากที่ตรวจสอบบริเวณโดยรอบเสร็จแล้วมันก็ถอดชุดเกราะของตัวมันเองออกอย่างช้าๆ ชุดเกราะของโวร์แกนตัวนี้สามารถพับเก็บให้อยู่ในรูปแบบของสี่เหลี่ยมผืนผ้าได้อย่างง่ายดาย หลังจากที่ชุดเกราะสีดำถูกจัดเก็บให้อยู่ในรูปของสี่เหลี่ยมผืนผ้าแล้วดูเหมือนว่าชุดเกราะอันนี้จะสามารถที่จะซ่อมแซมตัวเองได้หลังจากที่วูฟไรเดอร์ตัวนี้กดอะไรบางอย่างที่ส่วนบนของชุดเกราอยู่หลายครั้ง หลังจากที่เสร็จสิ้นกระบวนการนั้นวูฟไรเดอร์ตัวนี้ก็หยิบชุดเกราะตัวนั้นสะภายขึ้นที่หลังของมัน
ตอนนี้อาเบลกำลังที่จะถือธนูอยู่ได้โอกาสดีที่จะสังหารโวร์แกนตัวนี้แล้ว “นายผิดเองนะที่ถอดชุดเกราะตัวนั้นน่ะ การถอดชุดเกราะก็เหมือนกับการฆ่าตัวตายดีๆ นี่เอง”
ทันใดนั้นเองอาเบลก็ได้ตกตะลึงในทันที วูฟไรเดอร์ตัวนั้นได้หยิบสร้อยคอของมันออกมาจากคอก่อนที่จะเริ่มร่ายอะไรบางอย่าง
ตัวอาเบลเองพอจะมีประสบการณ์การร่ายคาถามาอยู่บ้าง เนื่องจากตอนนี้อาเบลอยู่ใกล้กับโวร์แกนตัวนี้มาก ด้วยพลังแห่งความมุ่งมั่นของอาเบลจึงทำให้เขาสามารถที่จะจดจำทุกคำของการร่ายคาถาในครั้งนี้ได้
ดูเหมือนว่าการร่ายคาคาในครั้งนี้จะเป็นเหมือนกับการร่ายคาถาทั่วๆ ไปของออร์ค บทคาถาที่พวกออร์คร่ายกันส่วนใหญ่นั้นจะเป็นการสรรเสริญยกย่องเทพเจ้าของพวกออร์ครวมกับการออกเสียงแปลกๆ นั่นเอง ทันทีที่โวร์แกนตัวนั้นร่ายคาถาเสร็จ พลังแห่งจิควิญญาณอะไรบางอย่างก็ได้ตกมาจากท้องฟ้าตามด้วยแสงสีเขียวในทันที แสงสว่างเริ่มส่องสว่างมากขึ้นเรื่อยๆ ในไม่ช้าร่างของโวร์แกนตัวนั้นก็เต็มไปด้วยแสงสว่างที่ว่าแล้ว
เมื่อแสงที่ว่าสว่างมากขึ้นจนกลบร่างของโวร์แกนไปจนหมด สุดท้ายแล้วโวร์แกนตัวนั้นก็ได้กลายร่างเป็นมนุษย์ไปในสายตาของอาเบล ส่วนที่เป็นเอกลักษณ์ของมนุษย์หมาป่าโวร์แกนนั้นได้หายไปอย่างสมบูรณ์แบบแล้ว แน่นอนว่าความสูงของมันเองก็ลดลงด้วยเช่นเดียวกัน ปากและใบหน้าของมันทุกอย่างดูคล้ายกับมนุษย์อย่างไม่มีผิดเพี้ยน
“ว้าว นี่มันสมบัติชัดๆ” อาเบลรู้สึกประทับใจเป็นอย่างมากเมื่อเขานั้นเห็นเหตุการณ์ทุกอย่าง ดูเหมือนว่าสร้อยเส้นนี้ที่โวร์แกนตัวนั้นมีจะต้องเป็นสมบัติล้ำค่าอย่างไม่ต้องสงสัย ยิ่งไปกว่านั้นเองสมบัติชิ้นนี้กลับตกอยู่ในความครอบครองของออร์ค ดังนั้นแล้วการที่อาเบลจะขโมยมาก็ไม่ได้ทำให้ตัวเขาเองนั้นรู้สึกผิดแต่อย่างใด
ในขณะที่อาเบลนั้นกำลังเล็งยิงธนูไปที่หัวของโวร์แกนอย่างสุดแรง อาเบลก็ได้เห็นว่าหัวของโวร์แกนนั้นไม่ใช่ออร์คอีกต่อไป ตอนนี้หัวของโวร์แกนที่เป็นเป้าหมายของอาเบลนั้นกลับกลายเป็นหัวของมนุษย์ไปแล้ว ด้วยเหตุนี้เองจึงทำให้อาเบลไม่ได้เล็งยิงไปในทันที ตอนนี้อาเบลกำลังตัดสินใจอยู่ว่าการสังเกตการณ์ต่อไปหรือการยิงนั้นอะไรจะเป็นตัวเลือกที่ดีกว่ากันในเวลาแบบนี้
อาเบลที่ได้ใช้เวลาตัดสินใจอยู่ครู่หนึ่งตัดสินใจที่จะยิงต่อไป ตอนนี้ลูกธนูได้ถูกยิงออกไปแล้ว ลูกธนูนั้นลอยไปในอากาศอย่างรวดเร็ว โวร์แกนที่กำลังจะถูกโจมตีนั้นไม่ได้ตอบสนองใดๆ ในตอนที่กำลังถุกยิง สร้อยคอของโวร์แกนตัวนั้นกลับส่องแสงขึ้นมาอีกครั้งก่อนที่จะเปลี่ยนโวร์แกนในร่างมนุษย์ให้กลับกลายเป็นโวร์แกนในรูปแบบเดิมแทน
อาเบลที่ยิงธนูออกไปอย่างสุดแรงนั้นกำลังเดินเข้าไปหาเป้าหมายที่ถูกยิงอย่างระมัดระวัง หลังจากที่อาเบลยืนยันได้แล้วว่าเป้าหมายที่ถูกยิงนั้นตายไป อาเบลก็เริ่มค้นตัวโวร์แกนตัวนี้ทันที
สิ่งแรกที่อาเบลหยิบมาจากศพนั่นก็คือสร้อยคอนั่นเอง อาเบลได้หยิบสร้อยคอออกมาจากคอโวร์แกนอย่างระมัดระวัง สร้อยคออันนี้เป็นสร้อยคอที่มีทรงกลม อาเบลไม่รู้เลยว่าสร้อยคออันนี้นั้นทำมาจากอะไรกันแน่ อีกด้านของสร้อยคอนั้นถูกสลักเทพแห่งสัตว์ร้ายของพวกออร์คเอาไว้ และอีกด้านหนึ่งของสร้อยคอเองก็สลักเทพเจ้าแห่งสงครามของมนุษย์ไว้เช่นเดียวกัน
สิ่งที่สองที่อาเบลได้หยิบมาจากศพโวร์แกนตัวนั้นนั่นก็คือชุดเกราะสีดำนั่นเอง อาเบลหยิบชุดเกราะอันนั้นขึ้นมา แต่ทันใดนั้นเองอาเบลก็ได้ตกใจในทันที ชุดเกราะสีดำชุดนั้นเบามาก น้ำหนักของชุดเกราะทั้งเซตนั้นอยู่ที่ราวๆ 5 ปอนด์เพียงเท่านั้น น้ำหนัก 5 ปอนด์สำหรับอัศวินนั้นไม่ได้มีความหมายอะไรเลยสำหรับอัศวิน เพื่อที่จะพิสูจน์ความแข็งแกร่งของชุดเกราะชุดนี้อาเบลจึงใช้มีดของเขาแทงไปที่ชุดเกราะ แต่ดูเหมือนว่าที่ชุดเกราะนั้นจะไม่มีร่องรอยอะไรเกิดขึ้นเลย หลังจากที่อาเบลพยายามทดสอบความแข็งแกร่งของชุดเกราะอีกหลายครั้งสุดท้ายแล้วอาเบลก็ได้ยอมแพ้ไปในที่สุด เวลานี้การที่จะออกจากที่นี่คงเป็นอะไรที่เหมาะสมกว่าการทดสอบความแข็งแกร่งของชุดเกราะต่อไป แน่นอนว่าอาเบลนั้นอยากที่จะลองใช้พลังลมปราณในการต่อสู้ทดสอบความแข็งแกร่งของชุดนี้ แต่ถ้าหากอาเบลใช้พลังลมปราณโจมตีชุดเกราะไปอัศวินฝึกหัดแบบอาเบลจะต้องหมดแรงอย่างแน่นอน
อาเบลดีใจมากที่เขาเชื่อในพลังแห่งความมุ่งมั่นของตัวเอง อาเบลจึงไม่ได้โจมตีไปที่ชุดเกราะชุดนี้ และโชคดีอีกครั้งที่วูฟไรเดอร์ตัวนี้ถอดชุดเกราะออกด้วยตัวของมันเอง
แท้จริงแล้วฟาวเลอร์นั้นไม่ควรที่จะถูกสังหารตายเลย การที่ฟาวเลอร์แปลงร่างเป็นมนุษย์นั้นเขาต้องการที่จะไปหาอาหารจากหมู่บ้านของมนุษย์ก็เท่านั้นเอง ฟาวเลอร์ไม่ได้มีเจตนาที่จะทำร้ายใครเลย ตั้งแต่ที่ฟาวเลอร์นั้นหลบหนีการตามล่าของเหล่าอัศวินมา ฟาวเลอร์ก็ตั้งใจที่จะใข้สมบัติประจำตระกูลในการเปลี่ยนตัวเองให้กลายร่างเป็นมนุษย์เพื่อขโมยของและอาหารเพียงเท่านั้น
ชุดเกราะที่ฟาวเลอร์สวมใส่นั้นเป็นชุดเกราะที่ถูกออกแบบมาสำหรับโวร์แกนเพียงเท่านั้น ชุดเกราะชุดนั้นไม่ได้ออกแบบมาเพื่อรูปร่างของมนุษย์นั่นเอง ด้วยเหตุนี้เองฟาวเลอร์จึงต้องถอดชุดเกราะของตัวเองออกมาจนสุดท้ายแล้วเขาก็ต้องจบชีวิตลงไปด้วยฝีมือของอาเบล
ในท้ายที่สุดแล้วอาเบลก็เจอเข้ากับของอะไรบางอย่างรวมไปถึงสัญลักษณ์รูนทั้งสองอันที่อยู่ในกระเป๋าของโวร์แกนผู้โชคร้ายตัวนี้ อาเบลตกใจเป็นอย่างมากทันทีที่เห็นของเหล่านี้ ในของทั้งหลายนี้เองอาเบลก็พบกับอัญมณีอะไรบางอย่างรวมไปถึงสัญลักษณ์ที่จะต้องเป็นเคล็ดวิชาของพวกออร์คอย่างแน่นอน