AtW ตอนที่ 103 มานา
ติดตามแฟนเพจอัพเดทข่าวสารก่อนใคร ND Translate นิยายแปลไทย
อาเบลรีบกลับไปที่ห้องของตัวเองอย่างเร่งรีบ ตอนนี้เขาได้หายใจเข้าลึกๆ ด้วย การหายใจเข้าลึกๆ ของเขาตอนนี้เขาจึงกลับมามีสมาธิอีกครั้ง อาเบลได้หยิบหนังสือ สําหรับการฝึกฝน “การทําสมาธิเบื้องต้น” ขึ้นมา
เมื่อดวงตาของอาเบลได้จ้องมองไปที่หนังสือเล่มนี้ตัวของเขานั้นก็รู้สึกตื่นเต้นเป็นอย่างมาก หนทางการเป็นจอมเวทย์นั้นได้เริ่มต้นขึ้นแล้วนั่นเอง ตอนนี้เป้าหมายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตั้งแต่ที่อาเบลได้มาอยู่ที่โลกใบนี้ก็คือการเป็นจอมเวทย์ ทุกๆครั้งที่อาเบลได้ยินข่าวสารหรือข้อมูลอะไรก็แล้วแต่เกี่ยวกับจอมเวทย์ตัวเขานั้นจะรู้สึกตื่นเต้น จนเกินกว่าที่จะพรรณนาออกมาได้ จากนี้ไปอาเบลจะได้สัมผัสความลับในการเป็นจอมเวทย์แล้ว ด้วยหนังสือเล่มนี้จะทําให้ตัวเขากลายเป็นจอมเวทย์คนใหม่ อาเบลรู้สึกมั่นใจเป็นอย่างมาก
ในตอนนี้อาเบลไม่สามารถที่จะหักห้ามใจเพื่อที่จะใช้ฮอร์ราดริกคิวบ์ได้อีกต่อไป อาเบลได้ใช้แขนขวาของเขาหยิบฮอร์ราดริกคิวบ์ขึ้นมาก่อนที่จะใช้มือซ้ายเปิดใช้งานมันในทันที ตั้งแต่ที่จอมเวทย์อีวานได้ไปจากหอคอยแห่งนี้อาเบลก็มั่นใจว่าจะไม่มีใครสามารถสัมผัสได้ถึงฮอร์ราดริกคิวบ์ได้อย่างแน่นอน หลังจากที่เปิดสอร์ราดริกคิวบขึ้นมาตัวเขานั้นก็จ้องมองไปที่ “คัมภีร์แห่งการวาร์ป” ดวงตาของอาเบลในตอนนี้เต็มไปด้วยความปรารถนาและความมุ่งมั่นอันแรงกล้า
“ฉันจะต้องเปิดใช้งานคัมภีร์นี้ให้ได้ เมื่อฉันเปิดได้แล้วละก็ฉันก็จะกลับบ้านได้!” อาเบลได้พึมพําอยู่ภายในใจของตัวเอง
ทุกๆ ตัวตนของอาเบลที่ได้มาจากโลกใบนี้ทั้งตราสัญลักษณ์ผ้าคลุมของขุนนางลอร์ด ฐานะปรมาจารย์ช่างตีเหล็ก..ทุกสิ่งทุกอย่างนี้ไม่ได้สําคัญสําหรับอาเบลเลย สิ่งเดียวที่สําคัญกับอาเบลนั่นก็คือเพื่อนและครอบครัวของเขานั่นเอง ไม่ว่าจะเป็นแม่ของเขาอย่างนอร่า ผู้เป็นพ่ออย่างเป็นเน็ตต์ พ่อบุญธรรมอย่างมาแชล พี่ชายที่แสนดีอย่างซักอาจารย์ที่คอยสั่งสอนอาเบลอย่างเบธแฮม หมาป่าอย่างลมทมิฬ ลอเรนรวมไปถึงเมฆาสีขาว คนเหล่านี้ล้วนแต่มีความสําคัญต่อหัวใจของอาเบลมาก
ท่านเทพเจ้า ถ้าหากผมกลับบ้านได้จริงๆ แล้วละก็คงจะดีกว่าถ้าผมจะไม่กลับมาที่นี่อีก หวังว่า “คัมภีร์แห่งการวาร์ป” นั้นจะมีความสามารถมากพอที่จะทําให้ตัวผมนั้นกลับไปที่โลกใบเดิมได้ แต่ตัวอาเบลก็รู้ดีว่าตัวของเขานั้นไม่อยากที่จะแยกจากทั้งครอบครัวรวมไปถึงเพื่อนฝูงในโลกใบนี้
“ฉันจะตัดสินใจเมื่อฉันใช้ “คัมภีร์แห่งการวาร์ป” ได้ก็แล้วกัน ตอนนี้สิ่งสําคัญที่สุด สําหรับตัวฉันก็คือการฝึกฝน “เทคนิคการทําสมาธิเบื้องต้นของเหล่าจอมเวทย์” ซะก่อน”
นอกจาก “คัมภีร์แห่งการวาร์ป” แล้วตอนนี้ยังมีถุงพอร์ทัลอยู่ในฮอร์ราดรกคิวบ์อีกด้วย ก่อนที่จะเข้ามาที่หอคอยเวทย์มนตร์แห่งนี้อาเบลตัดสินใจที่จะเก็บของพิเศษ ทั้งหมดเอาไว้เพื่อไม่ให้คนในหอคอยจับได้นั่นเอง และถุงพอร์ทัลนี้ยังกินช่องใส่ของในฮอร์ราดริกคิวท์เพียง 1 ช่องเท่านั้น อาเบลจึงคิดว่าการที่จะพกถุงใบนี้เข้ามาจึงไม่ใช่เรื่องแย่อะไร
ในตอนที่อาเบลได้เดินทางมาที่โลกใบนี้ตัวเขาก็ได้มาพร้อมกับฮอร์ราดริกคิวบ์ซึ่งเป็นของพิเศษที่อยู่ติดตัวกับเขาเสมอมา ตัวเขานั้นไม่คิดที่จะให้ใครก็แล้วแต่ได้เห็นฮอร์ราดริกคิวท์อันนี้ มันเป็นเหมือนกับของพิเศษชั้นสูงที่สามารถถ่ายโอนพลังวิญญาณ รวมไปถึงของต่างๆ มากมายนับไม่ถ้วน อาเบลค้นพบแล้วว่าตัวเขานั้นสามารถเอาของต่างๆ ที่เก็บอยู่ในถุงพอร์ทัลออกมาจากฮอร์ราดริกคิวบ์ได้โดยตรง ดูเหมือนว่าฮอร์ราดริกคิวบ์จะมีมิติพิเศษที่จะคอยกักเก็บของในถุงพอร์ทัลอีกที ดังนั้นแล้วตัวอาเบลนั้นสามารถที่จะเก็บของต่างๆ ไว้ในถุงพอร์ทัลผ่านฮอร์ราดริกคิวบ์ได้
อาเบลได้เปิดหนังสือ “เทคนิคการทําสมาธิเบื้องต้นของเหล่าจอมเวทย์” ขึ้นมาอย่างเบาๆ ก่อนที่จะอ่านเนื้อหาคร่าวๆ ภายใน หนังสือเล่มนี้มีทั้งหมด 6 หน้าด้วยกัน โดยหน้าแรกนั้นจะมีความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับการเป็นจอมเวทย์อยู่ ส่วนหน้าที่สองนั้นจะพูดเกี่ยวกับแนวคิดของเหล่าจอมเวทย์ นอกจากนี้หน้าที่สองก็ยังพูดถึงการเป็นจอมเวทย์ฝึกหัดระดับ 1 อยู่ด้วย ส่วนหน้าที่ 3 นั้นจะเป็นส่วนต่อของหน้าที่สอง โดยท้ายของหน้าที่สามนั้นจะพูดถึงการเป็นจอมเวทย์ฝึกหัดระดับ 2
อาเบลได้ใช้สมาธิของตัวเขานั้นจดจ่ออยู่กับหน้าแรกของหนังสือ ดูเหมือนว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่จอมเวทย์จะทําได้นั้นขึ้นอยู่กับพลังแห่งความมุ่งมั่นนั่นเอง พลังแห่งความมุ่งมั่นนี้เป็นพลังงานที่ถูกนํามาใช้จากดวงวิญญาณได้โดยตรง แน่นอนว่าพลังแห่งความมุ่งมั่นนั้นเป็นพลังที่ไม่สามารถมองเห็นหรือสามารถสัมผัสได้ พลังนี้เองจะเป็นตัวกําหนดว่าคนๆ นั้นจะมีคุณสมบัติที่จะเป็นจอมเวทย์ได้ไหม
ทุกๆคนล้วนแต่มีพลังแห่งความมุ่งมั่นเป็นของตัวเอง แต่คนส่วนใหญ่นั้นจะมีพลังแห่งความมุ่งมั่นที่อ่อนแรงมากและเพื่อที่จะเป็นจอมเวทย์ได้พวกเขาเหล่านั้นจะต้องสามารถใช้พลังแห่งความมุ่งมั่นที่ตัวเองมีได้อย่างอิสระ บางที่แล้วพลังแห่งความมุ่งมั่นในตัวของอาเบลนั้นคงจะมีมากกว่าคนธรรมดาทั่วไปถึง 2 เท่า เนื่องจากดวงวิญญาณในโลกเดิมของอาเบลนั้นได้ข้ามมาที่โลกใบนี้เพื่อที่จะหลอมรวมเข้ากับดวงวิญญาณเดิมที่อาเบลมี ด้วยเหตุนี้อาเบลจึงมีพลังแห่งความมุ่งมั่นที่มากกว่าคนทั่วไปนั่นเอง ไม่เพียงแต่พลังนี้จะสามารถทําให้เขากลายเป็นจอมเวทย์ได้อาเบลยังใช้พลังแห่งความมุ่งมั่นในการฝึกฝนการเป็นอัศวินรวมไปถึงฝึกเขียนรูนได้อีกด้วย ด้วยพลังแห่งความมุ่งมั่นที่มีมากกว่าคนธรรมดาทั่วไปท่าให้ตัวเขานั้นสามารถทําสิ่งต่างๆ โดย ที่ไม่มีใครนั้นสามารถจินตนาการถึงได้เลย ด้วยเหตุนี้เองการเป็นอัศวินอย่างเป็นทาง การของอาเบลนั้นทําให้ตัวเขามีพลังมากกว่าอัศวินที่อยู่ในระดับเดียวกันอีกหลายเท่า
จากที่หนังสือเล่มนี้ได้เขียนไว้ การที่จะเป็นลูกศิษย์ของเหล่าจอมเวทย์ได้คนเหล่า นั้นจะต้องสามารถสัมผัสได้ถึงพลังแห่งความมุ่งมั่นของตัวเองจากจิตใจและดวงตาของตัวเองได้ ถ้าหากทําได้เช่นนั้นแล้วพวกเขาก็จะกลายเป็นจอมเวทย์ไปในที่สุด ยิ่งพลังแห่งความมุ่งมั่นนั้นแข็งแกร่งมากขนาดไหน การใช้พลังของจอมเวทย์คนนั้นก็จะมีมากขึ้นตามไปนั่นเอง
เมื่อเหล่าลูกศิษย์จอมเวทย์สามารถสะสมพลังแห่งความมุ่งมั่นได้มากเพียงพอแล้ว พวกเขาเหล่านั้นจะสามารถวาดวงแหวนเวทย์มนตร์ได้นั่นเอง ซึ่งถ้าหากใช้พลังแห่งความมุ่งมั่นในการวาดวงแหวนเวทย์มนตร์ได้แล้วคนคนนั้นก็จะกลายเป็นจอมเวทย์ฝึกหัดระดับ 1 และถ้าหากพวกเขาเหล่านั้นสามารถปลดปล่อยพลังเวทย์จากวงแหวนเวทย์มนตร์ได้แล้วพวกเขาก็จะสามารถดึงพลังเวทย์ออกมาใช้ในรูปแบบของตัวเองต่อไปได้
พลังเวทย์มนตร์ที่ถูกกล่าวถึงใน “เทคนิคการทําสมาธิเบื้องต้นของเหล่าจอมเวทย์” เป็นพลังงานที่แปลกประหลาดเป็นอย่างมาก แม้ว่ามันจะเป็นพลังที่อยู่ในโลกใบนี้แต่พลังเวทย์นี้ก็เป็นพลังที่มีจํากัดเช่นกัน วิธีเดียวที่จะรวบรวมพลังเวทย์แบบนี้ได้มีเพียงการใช้วงแหวนเวทย์ที่อยู่ภายในหอคอยเวทย์มนตร์แห่งนี้เป็นเหมือนกับที่ดูดซับมานานั่นเอง โดยทั่วไปแล้วทั่วทุกพื้นที่ทั้งในอากาศและช่องว่างต่างๆนั้นต่างก็มีสิ่งที่เรียกว่ามานาอยู่ และเมื่อพลังงานเหล่านี้ถูกดูดซับมาการจะทําสมาธิในแบบของจอมเวทย์ได้นั้นก็ไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป
พลังเวทย์มนตร์ที่เกิดขึ้นเองจะเป็นพลังที่มีฤทธิ์ในการกัดกร่อนร่างกายของมนุษย์ เมื่อพลังนั้นไหลผ่านร่างกาย ในเวลาเดียวกันนั้นเองพลังเวทย์ก็จะทําให้ร่างกายนั้น ได้รับความเสียหายเช่นกัน แต่ถึงจะเป็นแบบนั้นแต่มันก็มีผลดีในระยะยาวเช่นเดียวกัน การที่ปล่อยให้พลังเวทย์กัดกร่อนร่างกายไปนานๆ จะทําให้คนคนนั้นจะมีอายุที่ยืนยาวนั่นเอง
เหตุผลที่เหล่าผู้ฝึกฝนเป็นจอมเวทย์นั้นยังอาศัยอยู่ด้านนอกหอคอยในทั้งเวลากลางวันและกลางคืนยาวนานหลายปีนั้นเป็นเพราะว่าคนพวกนั้นอยากที่จะมีอายุยืนยาวขึ้นนั่นเอง
ตราบใดที่พวกเขาสามารถฝึกฝนตนเพื่อกลายเป็นจอมเวทย์ฝึกหัดได้เหล่าผู้ฝึกฝนนั้นจะมีอายุยาวนานถึง 150 ปีด้วยกัน และการเพิ่มระดับการเป็นจอมเวทย์ทุกๆครั้ง จะทําให้อายุยืนยาวมากขึ้นถึง 10 ปีอีกด้วย โดยผู้ที่สามารถฝึกฝนจนเป็นจอมเวทย์ฝึกหัดระดับ 6 ได้จะมีอายุยืนยาวถึง 300 ปีด้วยกัน เพราะแบบนั้นเองจึงทําให้สถานที่ที่ถูกเรียกว่าหอคอยเวทย์มนตร์ดึงดูดเหล่าผู้คนที่ต้องการที่จะมีอายุยืนยาวมามากมาย
ตามที่หนังสือเล่มนี้ได้บอกเอาไว้ ถ้าหากถูดซับสิ่งที่เรียกว่ามานามากเท่าไหร่ ร่างกายของคนๆ นั้นก็จะสูญเสียพละกําลังในการต่อสู้ไปนั่นเอง ส่วนวิธีการแก้ไขนั้น! นก็คือการใช้ยาเพิ่มที่จะเพิ่มพละกําลังอีกครั้ง ถ้าหากไม่ใช้ยาแล้วละก็คงจะไม่มีจอมเวทย์คนไหนที่สามารถฝึกเกินกว่าระดับ 6 ไปได้เลย เมื่อพวกเขาฝึกถึงระดับ 6 แล้วร่างกายของพวกเขาจะอ่อนแอจนไม่สามารถที่จะฝึกฝนได้อีกต่อไป
หลังจากที่อ่านหนังสือมาจนจุดนี้อาเบลก็อดสงสัยไม่ได้เลยว่าผู้ฝึกฝนเป็นจอมเวทย์อย่างฟิงเคอร์นั้นทําอะไรกันแน่ถึงจะรักษารูปร่างให้อ้วนท้วมสมบูรณ์แบบแบบนั้นได้ ท่ามกลางจอมเวทย์มากมายหลายคนอาเบลไม่เคยเห็นใครคนไหนมีรูปร่างอ้วนแบบนั้นมาก่อนเลย
ในหน้าสองของ”เทคนิคการทําสมาธิเบื้องต้นของเหล่าจอมเวทย์” มีวิธีการต่างๆ ในการใช้พลังแห่งความมุ่งมั่นในการสร้างวงแหวนเวทย์มนตร์ โดยวิธีการนั้นมีตั้งแต่ ขั้นเริ่มต้นจนขั้นสุดท้าย โดยลวดลายการวาดนั้นจะถูกวาดในรูปแบบวงกลมซะส่วน ใหญ่ โดยภายในวงแหวนนั้นจะถูกตกแต่งไปด้วยลวดลายที่แปลกประหลาดต่างๆ รูป แบบวงแหวนเวทย์นี้เองเป็นรูปแบบสําหรับจอมเวทย์ฝึกหัดระดับ 1
ก่อนที่จะฝึกทําสมาธิอาเบลได้ทําอะไรหลายสิ่งหลายอย่างกับพลังแห่งความมุ่ง มั่นของตัวเขาเองไปแล้ว ตอนนี้อาเบลรู้สึกภูมิใจเป็นอย่างมาก การที่ฝึกฝนใช้พลัง แห่งความมุ่งมั่นมาตอนนี้มันไม่เสียเปล่าอีกต่อไป ถ้าหากอาเบลไม่ฝึกฝนใช้พลังแห่งความมุ่งมั่นตัวเขานั้นคงไม่สามารถที่จะสร้างอาวุธให้เป็น 100 ทักษะได้ นอกจากนี้อาเบลก็คงที่จะไม่สามารถสร้างรูนได้อีกด้วย
จากการฝึกฝนที่ผ่านมาตอนนี้อาเบลจึงสามารถที่จะสร้างอาวุธเวทย์มากมายหลาย ชิ้นขึ้นมาได้ อาเบลไม่คิดว่าการที่จะฝึกฝนจนกลายเป็นจอมเวทย์ฝึกหัดระดับ 1 ได้ จะเป็นอะไรที่ซับซ้อนเลย แต่ถึงจะเป็นแบบนั้นมันก็ท้าทายสําหรับตัวเขาอยู่ดี
เมื่อดูที่แผนภูมิที่หน้าสองของหนังสือ “เทคนิคการทําสมาธิเบื้องต้นของเหล่าจอมเวทย์” อาเบลก็ใช้พลังแห่งความมุ่งมั่นของตัวเองในทันที ตอนนี้เขารู้แล้วว่าทําไมการจะเป็นจอมเวทย์ได้จะต้องใช้พลังแห่งความมุ่งมั่นนี้ ถ้าหากไม่ได้พลังแห่งความมุ่งมั่นช่วยแล้วอาเบลจะต้องใช้เวลาอย่างนับไม่ถ้วนในการที่จะฝึกฝนตามในหน้าสองนี้
ได้
เมื่อพลังแห่งความมุ่งมั่นไหลผ่านตัวอาเบลไปอย่างช้าๆ อาเบลก็ตระหนักได้แล้วว่าตอนนี้มีพลังอะไรบางอย่างที่กําลังถูกพลังแห่งความมุ่งมั่นสะท้อนออกไป
ในระหว่างวันนั่นเอง นอกเหนือจากการทําความสะอาดชั้นแรกแล้วแซมก็รู้ว่าอาเบลนั้นกาลังศึกษา “เทคนิคการทําสมาธิเบื้องต้นของเหล่าจอมเวทย์” อยู่ ดังนั้นแล้ว แซมจึงไม่ต้องการที่จะกวนอาเบลอีก
อาเบลได้ใช้เวลาเกือบทั้งวันที่มีอยู่อยู่ภายในห้องของตัวเอง ตอนนี้อาเบล พยายามที่จะจดจํารูปแบบการใช้พลังแห่งความมุ่งมั่นของตัวเอง ถ้าหากรูปแบบต่างๆนั้นเรียบง่ายแบบนี้อาเบลจะต้องจ่ารูปแบบได้ในอีกไม่นานอย่างแน่นอน แต่รูปแบบที่อาเบลจะต้องจดจ่านั้นเป็นอะไรที่ซับซ้อนและไม่สม่าเสมอ อาเบลจะต้องใช้ปากกา ในการทําลวดลายที่แตกต่างกันทั้งหมด 200 ลวดลาย และในแต่ละขั้นตอนการทํานั้นอาเบลยังต้องใช้สมาธิเป็นอย่างมากอีกด้วย
ในที่สุดอาเบลก็จดจารูปแบบของการ “ทําสมาธิแบบจอมเวทย์” ในหนังสือหน้าที่สองได้ หลังจากนั้นเองอาเบลก็ได้ยืนขึ้นก่อนที่จะเหยียดแขนตรงในทันที ความรู้สึกโล่งสบายได้ไหลผ่านกระดูกภายในร่างกายของอาเบลไป
เมื่ออาเบลเปิดประตูออกอีกครั้งตัวเขาก็เดินไปที่หน้าต่างใกล้ๆกับบันได ภายใน หอคอยเวทย์มนตร์นั้นมีหน้าต่างน้อยมาก ในแต่ละชั้นนั้นจะมีหน้าต่างเพียงบานเดียวเท่านั้น และเมื่ออาเบลมองออกไปที่หน้าต่างเวลาตอนนี้ก็เป็นเวลาที่มืดสนิทแล้วนั้นเอง เวลาในตอนนี้ได้เคลื่อนไปอย่างรวดเร็ว สุดท้ายแล้วอาเบลก็จะต้องไปหาลมทมิฬอีกครั้ง