การทำงานวันแรกของทั้งสองคนเริ่มต้นด้วยดีพี่ๆ ที่ทำงานก็เป็นมิตรทุกคน พิรุณรักและหทัยรัตน์เป็นเด็กหัวไว สอนอะไรก็เขาใจง่ายจนพี่ๆ ชมกันยกใหญ่ ถึงที่เรียนมาจะไม่ตรงกับงานที่ทำบ้างแต่ก็สามารถปรับตัวและจูนเข้าหากันได้
บางคนเรียนจบด้านหนึ่งมาแต่ทำงานอีกด้านหนึ่งก็ไม่แปลกเพราะถ้างานที่ทำทำให้เราสบายใจและชอบตรงนั้นเราก็สามารถอยู่ตรงนั้นได้
“พักเที่ยงแล้วไปกินข้าวกัน”
“อ่อค่ะ”
ทั้งสองคนออกมากินข้าวกับพวกพี่ๆ ที่แผนก ทั้งหมดดูเป็นกันเองทำให้ไม่อึดอัดและสามารถปรับตัวเข้าหาได้ง่าย
“น้องปลายกับน้องหวานนี่สวยมากเลยนะ ทำไมไม่ไปเป็นนางแบบหรือดาราล่ะ” ทั้งสองส่งยิ้มขอบคุณให้กับคำชมของพี่ๆ
“ปลายไม่ชอบค่ะ”
“หวานก็ไม่ชอบค่ะ อยากทำงานในออฟฟิศมากกว่า”
“ดีแล้วพี่ แผนกเราจะได้กระชุ่มกระชวยหน่อย” มาร์คผู้ชายที่หนุ่มที่สุดในแผนกพูดขึ้น
“เก็บงูบนหัวมึงด้วยไอ้มาร์ค ห้ามกินกันเองในแผนก” ต้นหลิวเอ่ยขึ้นขัดปกป้องน้องของตัวเอง
“โถ่พี่ต้นหลิวมาร์คยังไม่ได้คิดอะไรเลย” ชายหนุ่มที่โดนห้ามทำหน้ามุ้ย
“เออ พวกพี่ๆ รู้กันป่ะ ว่าอาทิตย์หน้า เจ้าของบริษัทตัวจริงจะมางานเลี้ยงบริษัทเราด้วยนะ” งานเลี้ยงประจำปีของบริษัทที่จะเกิดขึ้นในอาทิตย์หน้า
“จริงดิ ฉันไม่เคยเห็นท่านเลย เข้ามาทีแรกนึกว่าคุณอาเธอร์เป็นเจ้าของ”
“ฉันก็คิดแบบพี่ แต่ไม่ใช่ คนนี้แค่มาบริหารงานที่นี่”
“ตั้งแต่บริษัทเก่าโดนเทคโอเวอร์ไป พวกเราก็ยังไม่เคยเจอท่านเลย แต่ปีนี้ งานเลี้ยงบริษัทข่าววงในบอกว่าท่านจะมา แถมจะมาอยู่ดูงานตั้งสามเดือน”
พิรุณรักฟังพี่ๆ คุยกันอย่างตั้งใจ เธอยังไม่รู้อะไรมาก ยังไม่รู้ว่าใครเป็นใครในบริษัท
“ดีจริง ฉันได้ยินว่าท่านยังโสดนะ”
“แกรู้ได้ขนาดนั้นเลยเหรอ”
“ก็เขาเล่าๆ กันมา”
แผนกของเธอมีด้วยกันเจ็ดคน รวมทั้งเธอและเพื่อนที่เข้าใหม่ด้วย คนที่พูดถึงเจ้าของบริษัทอยู่ตอนนี้ชื่อมุตา หญิงสาวที่อายุมากกว่าพิรุณรักและหทัยรัตน์อยู่สามปี
“เออ ว่าแต่งานเลี้ยงปีใหม่นี้ น้องปลายกับน้องหวานไปได้ไหมคะพี่ทัศ” ต้นหลิวหันไปถามหัวหน้า
“อืม น่าจะได้นะ เดี๋ยวพี่จะถาม HR ดูอีกทีว่าเขาฟิกเรื่องนี้ด้วยรึเปล่า ถึงจะพึ่งเข้าแต่ก็เป็นพนักงานของเราเหมือนกันน่าจะไปได้”
“อยากให้ไปด้วยกัน ปีนี้น่าจะสนุก”
“อิ่มกันหมดทุกคนแล้วก็ไปกันเถอะ” เมื่อหมดเวลาพักเที่ยงก็เป็นเวลาทำงานต่อ
วันแรกของการทำงานผ่านไปด้วยดี ถือว่าประสบความสำเร็จในเรื่องของเพื่อนร่วมงาน ส่วนเรื่องงานก็น่าจะไม่มีปัญญาเพราะเราสามารถเรียนรู้กันได้
“ปลาย หวาน พี่ถามให้แล้วนะเราไปงานได้ หาชุดด้วยล่ะ ปีนี้ธีมงานเป็นแฟนตาซี” พิรุณรักและหทัยรัตน์พยักหน้าเข้าใจ
“แล้วพวกพี่แต่งเป็นอะไรกันค่ะ” พิรุณรักหันไปถามพวกพี่ๆ เธอยังคิดไม่ออกเลยว่าจะแต่งเป็นใคร
“อย่างพี่ก็ต้องเป็นซุปเปอร์ฮีโร่” มาร์คยื่นอกออกมาข้างหน้าแล้วทุบอกแรงๆ
“กูว่าคิงคองเหมาะกว่า”
“โถ่พี่หลิว ว่าแต่พี่เถอะจะแต่งเป็นอะไร”
“ไม่บอก”
“นิดหนึ่งน่า ผมว่าพี่ต้องเป็นแม่มดใช่ไหม”
“ไอ้มาร์ค แกกล้าว่าฉันเป็นแม่มดเหรอ”
มาร์คและต้นหลิวทะเลาะกันไปมา
“อย่าไปสนใจสองคนนี้เลยเป็นแบบนี้ประจำ ส่วนเรื่องชุด จะแต่งเป็นอะไรก็ได้ให้มันอยู่ในธีมงาน”
“ค่ะ”
“แยกย้ายไปทำงานได้แล้ว”
และวันที่ทุกคนรอคอยก็มาถึง งานเลี้ยงบริษัทที่จัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่กว่าทุกปีเพราะเจ้าของบริษัทตัวจริงจะมาร่วมงานด้วย ทุกอย่างต้องเพอร์เฟค พิรุณรักและหทัยรัตน์ก็มีส่วนร่วมในการช่วยพี่ๆ เรื่องการเตรียมงาน นิดหน่อย
“กลับไปแต่งตัวได้แล้ว เสร็จหมดเรียบร้อยแล้ว มาให้ตรงเวลาด้วยล่ะ”
“ค่ะ”
พิรุณรักและหทัยรัตน์กลับมาที่คอนโด โดยใช้คอนโดของพิรุณรักในการแต่งตัว
“ปลาย แกจะอาบน้ำก่อนหรือให้ฉันอาบก่อน”
“ฉันอาบก่อนดีกว่า” ทั้งสองคนเปลี่ยนกันอาบน้ำแล้วก็ออกมาแต่งตัว
“ชุดแกเซ็กซี่มากเลยอ่ะ”
“ของแกก็สวยใช่ย่อย เจ้าหญิง”
พิรุณรักเลือกชุดแมวเซ็กซี่ส่วนหทัยรัตน์เลือกชุดซินเดอเรลล่า หทัยรัตน์เลือกชุดนี้เป็นเพราะเธอเองก็เคยมีความฝันตั้งแต่เด็ก อยากเป็นซินเดอเรลล่าสักครั้ง เพราะในชีวิตจริงเป็นไม่ได้ ส่วนพิรุณรักแค่ไม่รู้จะเลือกชุดอะไร เธอเสิร์ชกูเกิลหา เลือกอยู่นานก็ได้ชุดนี้มา
“ก็ฉันอยากเป็นเจ้าหญิงหนิ”
“จ้าเจ้าหญิงหทัยรัตน์”
“แกมันนางแมวยั่วสวาท ฮ่าๆ” สองสาวคุยหยอกล้อกันแล้วก็รีบแต่งตัว
“เสร็จยังแก”
“เสร็จแล้วๆ”
“ไปกัน”
พิรุณรักไม่ได้แต่งอะไรมากเพราะเธอมีหน้ากากแมวสวมไว้ แค่เน้นปากให้แดงแค่นี้ความเซ็กซี่ก็บังเกิด ส่วนหทัยรัตน์ทำผมคือดัดเป็นรอนๆ ให้ฟูฟองแล้วถักเปียหลวมๆ แต่งหน้าจัดเต็ม ตามแบบฉบับเจ้าหญิง
ทั้งสองคนมาถึงงานก็รีบเดินไปที่โต๊ะที่ทางบริษัทได้จัดไว้ให้เป็นแผนก
“ว้าว นั่นน้องปลายใช่ไหม เซ็กซี่มาก นางแมวยั่วสวาท” พอเดินมาถึงผู้ชายในโต๊ะก็เอ่ยแซ่ว จะเป็นใครไปไม่ได้นอกจาก มาร์คหนุ่มอารมณ์ดีประจำแผนก
“พวกพี่ๆ ก็สวยๆ หล่อๆ ทั้งนั้นเลยค่ะ”
“เราสิสุดยอด”
“เชิญนั่งครับเจ้าหญิง”
ทั้งโต๊ะเอ่ยแซ่วสองสาวกันยกใหญ่ และตอนนี้ก็ถึงเวลาเปิดงาน
พิธีก่อนขึ้นไปบนเวที
“มาแล้ว นั่นไงพวกเธอท่านมาแล้ว” พนักงานทั้งหมดจ้องไปที่หน้าเวที
“ท่านชื่ออะไรเหรอคะ” พิรุณรักถามขึ้นเมื่อมองเห็นคนที่เป็นเจ้าของบริษัทไกลๆ ทำไมเธอรู้สึกคุ้นเคยแปลกๆ
“อ้าว เรายังไม่รู้จักเหรอ” ต้นหลิวถามขึ้น พิรุณรักส่ายหน้า
“ท่านชื่อ แกริค ซีคีเลียโน ท่านนี่แหละที่เป็นคนมาเทคโอเวอร์บริษัทนี้เมื่อสองปีก่อน” ชื่อที่ได้ยินทำให้พิรุณรักตัวแข็งทื่อ มือเย็นเฉียบ มองร่างสูงอยู่บนเวทีด้วยหัวใจที่เต้นแรง
ตัวเป็นๆ ที่ไม่ได้เห็นมาเป็นปีๆ ทำให้สมองเธอตีรวนไปหมด มีทั้งความตื่นเต้นและความประหม่าอยู่เต็มไปหมด หทัยรัตน์ที่สังเกตเห็นอาการของเพื่อนก็สะกิด
“เป็นอะไรไหมแก” ทำให้พิรุณรักได้สติ
“อะไรนะหวาน”
“แกเป็นอะไรรึเปล่า”
“เปล่า แต่หวานแกรู้รึเปล่าว่าเขาเป็นเจ้าของบริษัทนี้” พิรุณรักหันไปถามเพื่อนเมื่อคิดอะไรออก
“คือ”
“แกรู้ แกรู้ใช่ไหม” เธอถามเพื่อนเสียงเข้ม หทัยรัตน์พยักหน้าเบาๆ กลัวก็กลัวว่าเพื่อนจะโกรธ
“แล้วทำไมแกไม่บอกฉัน”
“ถ้าบอกแกจะมาสมัครเหรอ” มันก็ใช่ ถ้าเธอรู้เธอไม่มีทางมาสมัครเด็ดขาด ตอนนี้มันคงไม่ทันแล้วล่ะ เธอเป็นพนักงานของผู้ชายคนนั้น คนที่เธอมอบครั้งแรกให้ คนที่เธอเคยเป็นแค่นางบำเรอให้เขาเมื่อปีก่อน
“ปลายอย่าบอกนะว่าแกยังไม่เลิกชอบเขา” หทัยรัตน์ถามอย่างจับผิดเพื่อน ทั้งที่รู้อยู่เต็มอกว่าเพื่อนไม่มีทางลืมผู้ชายคนนี้ได้
“ฉันเลิกชอบเขาแล้ว เขากับฉันไม่ได้มีอะไรเกี่ยวข้องกัน”
“จริงเหรอ”
“แกจะพูดให้มันได้อะไรขึ้นมา แกก็รู้เหตุผล ฉันต่ำต้อยขนาดนี้อย่าเอาไปพูดให้เขาเสียหายเลย” เรื่องของเธอกับแกริคมันเป็นเพียงความคิดของเด็กสาวคนหนึ่ง
“จ้า ดูโน้นเขายังหล่อเหมือนเดิม” หทัยรัตน์เลิกเซ้าซี้เพื่อน เพราะสิ่งที่เพื่อนพูดคือความจริง เราต่ำต้อยกว่าพวกเขามาก แต่อนาคตเธอไม่รู้หรอกนะ
เพราะเธอก็ทำได้เพียงเท่านี้