เพราะข้าคือหมอ(ปีศาจ) 7 หวั่นไหว…(3)

ตอนที่ 7 หวั่นไหว...(3)

“ท่านต้องการรู้จริงๆ หรือว่าอยากรู้ว่าคิดสิ่งใดอยู่”

แววตาจริงจังที่สบมาอย่างแน่วแน่ราวกับเขาจะไม่หนีหายไปไหนและจะตัดสินใจด้วยตนเอง ทำให้นางถอนหายใจอย่างแผ่วเบา

“ประการแรกข้าหวาดกลัวเรื่องความรัก แต่ครึ่งปีมานี้ท่านทำให้ข้ารู้ถึงความจริงใจของท่าน แต่ด้วยสถานะของท่านคือองค์ชายที่ต้องสืบทอดบัลลังก์ต่อจากบิดาท่าน ท่านจะต้องมีพระสนมหลายพันคนในตำหนักซึ่งเป็นเรื่องที่ข้าไม่อาจยอมรับ ถึงท่านจะไม่ได้เป็นฮ่องเต้ แค่ชายารองข้าก็รับไม่ได้เช่นกัน ท่านจะว่าข้าใจแคบก็ตาม ในเมื่อทุกอย่างไม่สามารถเป็นอย่างที่ข้าต้องการ ข้าจึงอยากแยกทางจากท่านเสียตอนนี้ดีกว่าต้องมาเจ็บปวดภายหลัง”

“เหตุใดเจ้าไม่เอ่ยถามข้ามาโดยตรง เหตุใดต้องคิดเอง”

เซียวหยวนซานถอนหายใจแผ่วเบา เมื่อครู่นี้ตนรู้สึกใจหายจริงๆ แม้จ้าวเหม่ยเซียนจะไม่พูดถึงเขาก็ไม่มีความคิดรับชายารองอีก

เขาไม่อยากเป็นเหมือนมารดาที่เฝ้ารอรักจนตรอมใจตาย ทิ้งให้เขาถูกเสี่ยนเฟยนำไปเลี้ยงดูเพื่อผลประโยชน์ หากเขาไม่แสร้งทำตัวอ่อนแอ ไร่ค่ามานาน ป่านนี้คงเป็นวิญญาณอยู่ในแม่น้ำเหลืองแล้วกระมัง แต่ถึงกระนั้นก็ไม่อาจหนีพ้นความริษยาของพี่น้องได้ แม้ไม่อยากได้อำนาจแต่พวกงูพิษเหล่านั้นก็ไม่มีทางปล่อยเขาไปเช่นกัน

“ท่านคิดว่าตนเองทำตามความต้องการข้าได้หรือไร” จ้าวเหม่ยเซียนขยับตัวอย่างอึดอัดเมื่อถูกกอดรัดแน่นขึ้น

“ย่อมเป็นเช่นนั้น ข้าหาได้อยากเป็นฮ่องเต้ไม่ และข้าอยากมีเจ้าเป็นชายาเพียงคนเดียวเท่านั้น เซียนเอ๋อร์ได้โปรดเชื่อข้า”

จ้าวเหม่ยเซียนหยุดดิ้นเงยหน้ามองสบกับดวงตาคมกริบ ความจริงจังหนักแน่นที่ส่งมาทำให้หัวใจเต้นเร็วรัวกลัวว่าจะหลุดออกมา แต่เมื่อเบือนหน้าหนีด้วยความเขินก็ต้องนิ่งอึ้ง

บรรยากาศรอบกายมีแต่ป่าทึบ… นางถอนหายใจอย่างปลดปลงหากต้องการความโรแมนติกจากเซียวหยวนซานคงได้แต่รอให้พระอาทิตย์ขึ้นทางตะวันตกเสียก่อน

“ข้าจะเชื่อใจท่านสักครั้ง หากเมื่อไหร่ที่ผิดคำพูดข้าจะสังหารท่านด้วยมือของข้าเอง”

“ย่อมไม่มีวันนั้น”

เซียวหยวนซานตอบกลับอย่างมั่นใจ รอยยิ้มกลับคืนมาอีกครั้ง ก่อนจะก้มลงหอมแก้มเนียนด้วยความรักใคร่

แม้จะเห็นเขากินเต้าหู้นางอยู่บ่อยครั้งแต่ก็ไม่เคยล่วงเกินไปมากกว่านี้ เขาเฝ้ารอเวลาให้ผลไม้ที่เฝ้าดูแลสุกหงอม เมื่อถึงเวลานั้นเขาจะกินไม่เหลือ…

 

หลังจากปรับความเข้าใจกันได้แล้ว จ้าวเหม่ยเซียนจึงได้เดินทางไปยังสำนักแสงจันทร์ ที่นี่ค่อนข้างลึกลับลูกศิษย์แต่ละคนระดับหัวกระทิ และที่แห่งนี้คือที่เซียวหยวนซานขอนางแต่งงานซึ่งครั้งนี้นางตกลงอย่างยินดี

ก่อนจะจัดพิธีกราบไหว้ฟ้าดินอย่างเงียบๆ ไปก่อน หลังจากช่วยพี่ชายชิงบัลลังก์สำเร็จค่อยจัดขบวนแต่งงานตามธรรมเนียนของแคว้นจ้าวอีกครั้ง ถึงอย่างไรร่างนี้ก็ยังมีบิดามารดา

งานแต่งงานในครั้งนี้ไม่ได้หรูหราแต่นางกลับรู้สึกพอใจมาก เพราะจากนี้ไปเซียวหยวนซานจะส่งคนสำนักแสงจันทร์ไปช่วยพี่ชายนาง นางแค่รอให้สงครามในครั้งนี้จบลงแล้วค่อยไปนั่งสวยๆ รอเกี้ยวเจ้าบ่าวมารับเท่านั้น

และไม่เกินความคาดหมายของนางเพียงหนึ่งเดือนเฟิ่งหยางก็จับคนก่อกบฏและลงโทษคนเหล่านั้นอย่างเด็ดขาดเพื่อไม่ให้ใครเอาเยี่ยงอย่างและนางก็ได้แก้แค้นให้เจ้าของร่างไปในตัวด้วย เหมือนยิงปืนนัดเดียวได้นกหลายตัว

ตอนนี้เสด็จพ่อยังมีชีวิตอยู่ดีมีสุขเพียงแค่รอนางแต่งงานพวกเขาก็จะพากันไปใช้ชีวิตเยี่ยงสามัญชน เสด็จแม่อาจใจเด็ดยอมเคียงข้างเสด็จพ่อทั้งๆ ทีเสด็จพ่อมีสนมมากมาย

ทว่าตัวนางเองไม่อาจเป็นแบบฮองเฮาแคว้นจ้าวได้ ใครจะว่านางเห็นแก่ตัวก็ตาม

อีกหนึ่งเดือนให้หลังแคว้นจ้าวก็มีขบวนเจ้าบ่าวใหญ่โต และยาวที่สุดในประวัติศาสตร์ ซึ่งคนที่เป็นเจ้าสาวกลับเป็นองค์หญิงจ้าวเหม่ยเซียนที่ผู้คนแทบลืมเลือนตัวตนนางไปแล้ว

และน้อยคนนักที่จะรู้ว่านางคือคนเดียวกับหมอปีศาจในตำนานที่ผู้คนกล่าวถึงในเวลานี้…

หลังจากผ่านงานแต่งงานนางไปไม่นาน ฮ่องเต้ก็ประกาศราชโองการสละบัลลังก์และแต่งตั้งเฟิ่งหยางเป็นฮ่องเต้คนต่อไป สามเหตุการณ์ใหญ่ๆ ที่เกิดขึ้นนี้ทำให้ผู้คนต่างกล่าวถึงไปอีกนานแสนนาน…

“เซียวหยวนซาน”

จ้าวเหม่ยเซียนเรียกชื่อคนตรงหน้า เจ้าของชื่อมองมาที่นางอย่างอ่อนโยน ทว่าความอ่อนโยนที่นางสัมผัสนั้นกลับน่าประหลาดใจยิ่งนักเพราะนางพึ่งมารู้ว่าอีกฝ่ายมิได้ยิ้มเช่นนี้ให้ผู้อื่น แม้กระทั่งมารดาที่เลี้ยงดูพระองค์มาก็ตาม

“ท่านว่าข้างดงามหรือไม่”

จ้าวเหม่ยเซียนเอ่ยถามเสียงหวานขณะที่มือขวาจับคางตัวเองเบาๆ พร้อมเอียงคอถามคนตรงหน้าอย่างไร้เดียงสา หากไม่นับรวมนัยน์ตาแสนเจ้าเล่ห์ที่เผยความในใจออกมาจนหมด

เซียวหยวนซานมองใบหน้าที่งดงามราวกับเทพเซียนตรงหน้าแล้วยิ้มละมุนมากกว่าเดิม หลายเดือนมานี้ทำให้เขาควบคุมอารมณ์ตัวเองได้แล้ว ไม่ได้เก้อเขินทุกครั้งที่จ้าวเหม่ยเซียนหยอกล้อด้วยใบหน้างามๆ นี้ ตอนนี้เขาได้แต่มองนางด้วยความเอ็นดู

ยิ่งอยู่กับนางอย่างใกล้ชิดยิ่งรู้ว่านางไม่ได้ใจร้ายเหมือนที่แสดงออกมา ยิ่งเห็นเด็กเล็กๆ มานั่งขอทานนางยิ่งช่วยเหลือผู้คนเหล่านั้นอย่างไม่เห็นแก่ตัวเลยสักนิด ยอมเอาเงินของตนแจกจ่ายซื้อยารักษาให้ผู้ยากไร้อย่างไม่เสียดาย ผิดกับความขี้งกของนางที่ข่มขู่กับพวกขุนนางที่ให้นางไปช่วยรักษา นางเรียกค่ารักษาแพงจนทำให้ขุนนางเหล่านั้นแทบกระอักโลหิต

“หากเจ้าไม่มีที่อยากไปเที่ยวสำนักแสงจันทร์หรือไม่”

จ้าวเหม่ยเซียนยู่ห้ามองคนเปลี่ยนเรื่อง แต่นางก็ไม่ได้ร้องเอาคำตอบเพราะรู้คำตอบนั้นอยู่แล้ว อีกอย่างเซียวหยวนซานเริ่มชินชากับใบหน้าของนางแล้ว แต่มันก็เป็นเรื่องดีเพราะแค่มองหน้ายังต้องหลบสายตาก็ไม่ต้องเกี้ยวกันแล้ว

“ที่นั่นคนนอกยากจะเข้าไปได้มิใช่หรือ”

จ้าวเหม่ยเซียนเอ่ยถามอย่างฉงน เมื่อนึกไปถึงสำนักแสงจันทร์ที่เคยได้ยินมา ที่นั่นอยู่กึ่งกลางระหว่างแคว้นจ้าวกับเว่ยซึ่งเป็นผ่านทางพอดี อีกอย่างนางคิดอยากกลับไปดูพี่ชายอีกสักครั้ง ป่านนี้ศึกชิงบัลลังก์คงใกล้เข้ามา

ทว่าตนเองกลับไม่สามารถช่วยเหลืออะไรได้เลย อำนาจก็ไม่ได้มีมากมาย มีแค่ชื่อเสียงหมอปีศาจเท่านั้นที่ดังกระส่อนอยู่ยามนี้

“ใช่สำหรับคนนอก แต่สำหรับนายหญิงเจ้าสำนักย่อมเข้าออกได้ตลอดเวลา”

คำพูดกำกวมของเซียวหยวนซานทำให้จ้าวเหม่ยเซียนขมวดคิ้วเล็กน้อยเมื่อเห็นสายตาวาววับของคนตรงหน้า ยิ่งทำให้มั่นใจในความคิดตนเองมากขึ้น

“อย่าบอกนะว่าท่านเป็นเจ้าสำนัก”

คำตอบที่ได้รับคือรอยยิ้มละมุนกับดวงตาพราวระยับของอีกฝ่าย นางชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะหรี่ตามองคนเจ้าเล่ห์ที่พยายามยัดเยียดตำแหน่งนายหญิงเจ้าสำนักให้นาง

แม้จะเป็นเช่นนั้นนางก็อดหน้าแดงและใจเต้นแรงไม่ได้ ยอมรับว่าตอนนี้นางไม่เพียงแค่หวั่นไหวแต่กลับชอบเซียวหยวนซานมากขึ้นทุกวัน

แต่ที่นางไม่ยอมตกลงปลงใจเพราะอีกฝ่ายไม่ใช่สามัญชนธรรมดา สักวันหนึ่งคงได้ขึ้นเป็นฮ่องเต้เมื่อเวลานั้นสาวงามและสนมสามพันคนคงเต็มตำหนักหลัง เพียงแค่คิดว่านางต้องใช้สามีร่วมกับคนอื่นนางก็ทำใจยอมรับไม่ได้แล้ว

“คิดอะไรอยู่”

เซียวหยวนซานเอ่ยถามคนที่ขมวดคิ้วมุ่นพร้อมสีหน้าเจ็บปวดจนเขารู้สึกปวดใจ แม้จะตามเกี้ยวมานานหลายเดือนคนตรงหน้าก็ไม่ยอมใจอ่อนให้ตนเสียที ไม่รู้ว่ามีสิ่งใดที่ขวางกันนางเอาไว้ ทั้งๆที่บางครั้งนางเหมือนจะชอบเขาเช่นกัน

“เปล่า…ข้าจะกลับแคว้นจ้าวไปช่วยพี่ชาย ท่านกลับวังท่านเถอะ”

จ้าวเหม่ยเซียนตัดสินใจที่จบปัญหา หากอยู่ด้วยกันนานกว่านี้นางกลัวว่าจะถอนตัวออกจากหลุมที่ตนขุดไว้ไม่ขึ้นเสียเอง นางลุกขึ้นยืนปัดฝุ่นที่ไม่มีอยู่จริงก่อนจะสะดุ้งตกใจเมื่อร่างนางถูกดึงไปกอด

“เจ้ากังวลสิ่งใด ทำไมไม่บอกข้าเราจะได้แก้ปัญหาด้วยกัน เหม่ยเซียนข้ารักเจ้าหาใช่เจ้าเป็นหมอเทวดาหรือหมอปีศาจไม่ เพียงแค่เจ้าเปิดใจให้ข้าสักนิด ได้โปรด”

แววตาเว้าวอนและอ้อมแขนที่อบอุ่นนี้ทำให้จ้าวเหม่ยเซียนซะงัก นางไม่ใช่คนหนีปัญหา หากอีกฝ่ายรักนางจริงก็ต้องยอมรับและปฏิบัติตามคำเรียกร้องของนางได้ หากไม่แล้วก็แค่ต่างแยกทางกัน

“ตรงนี้ไม่เคยโกหก”

มือหนาจับมือบางไปทับบนตำแหน่งหัวใจซึ่งมันเต้นรัวเร็วจนได้ยินเสียงอย่างชัดเจน จ้าวเหม่ยเซียนนิ่งอึ้งพยายามจับผิดคนตรงหน้าทว่าหัวใจไม่ได้โกหกจริงๆ แต่พวกเขารู้จักกันน้อยเกินไป และไม่อยากผิดพลาดอีกครั้ง นางดึงมือกลับแล้วมองอีกฝ่ายอย่างเงียบๆ

“เมื่อใดมองหน้าข้าแล้วไม่อายจนน่าแดงข้าจะเก็บไปพิจารณา”

“เจ้าสวมหน้ากากปลอมก่อนไม่ได้หรือ”

เซียวหยวนซานต่อรองแม้จะเป็นคนที่ชอบทว่าใบหน้าธรรมดากลับทำให้เขาหายประหม่ามากขึ้น แต่สตรีตรงหน้าเขากลับโหดร้ายสมกับที่เขาหลงรักตั้งแต่แรก

“ไม่! แล้วท่านก็จ่ายค่ารักษามาด้วย”

“ถ้าเจ้าตกลงเป็นชายาข้าจะยกทุกอย่างที่ข้ามีให้เจ้าหมดเลย”

เซียวหยวนซานพุดอย่างตรงไปตรงหน้า คนเห็นแก่เงินตรงหน้ามีท่าทางลังเล แต่กลับสะบัดหน้าหนีอย่างหมั่นไส้คนที่รู้นิสัยนาง

“ไว้เกี้ยวข้าให้ติดก่อนเถอะเพคะ!”

เซียวหยวนซานยกยิ้มบางๆ มองแผ่นหลังที่จากไปอย่างเด็ดขาดด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะหุบยิ้มฉับทันเมื่อนึกได้ใบหน้าปลอมของอีกฝ่ายยังอยู่กับตน หากใครต่อใครเห็นใบหน้างามๆนั้นคู่แข่งความรักเขาไม่เต็มเลยหรือ

ร่างสูงหายไปจากจุดเดิมอย่างรวดเร็วด้วยวรยุทธที่สูงส่ง เพียงไม่นานก็เห็นแผ่นหลังสง่างามของอีกคน ร่างนั้นถูกฉุกมาไว้ในอ้อมแขนแกร่ง

“ใส่นี่ไว้ข้าไม่ยอมให้ใครเห็นหน้าจริงๆ ของเจ้าจนกว่าจะแต่งเป็นชายาข้า”

น้ำเสียงเด็ดขาดและแววตาจริงจังทำให้จ้าวเหม่ยเซียนพยักหน้ารับอย่างงงๆ ทว่าอีกคนกลับฉีกยิ้มกว้างอย่างพออกพอใจ

สุดท้ายจ้าวเหม่ยเซียนก็ไม่ได้ออกไปไหน ได้พักในตำหนักองค์ชายสามอย่างเป็นทางการ แต่คนขี้เบื่ออย่างนางให้มานั่งอยู่เฉยๆ คงเป็นไปไม่ได้ สุดท้ายจึงได้ชวนองค์ชายหนีเที่ยวไปยังแคว้นต่างๆ

โดยอ้างเหตุผลให้ฮ่องเต้ฟังว่า บุตรชายสุดที่รักกำลังเกี้ยวพระชายา หากเกี้ยวติดแล้วจะกลับมาทั้งคู่เพียงทิ้งจดหมายไว้แล้วจากไปอย่างไร้ร่องรอย

ยิ่งทำให้ฮ่องเต้เว่ยหยางหมิงส่ายหัวอย่างระอาบุตรชายที่เขาคิดจะให้ครองบัลลังก์ ทว่าอีกฝ่ายกลับไม่สนใจ แต่คนที่อยากเป็นฮ่องเต้กลับไร้ความสามารถและไร้คุณธรรมจนน่าผิดหวัง สงสัยได้แต่ฝากความหวังไว้ที่พระชายาตัวน้อยเสียแล้ว

ทว่าพระองค์กลับไม่รู้เลยว่าทั้งคู่รักอิสระไม่แพ้กัน ใครอยากจะมีชีวิตผูกติดกับภาระอันหนักอึ้งเช่นนั้น หากเป็นฮ่องเต้ยิ่งมีพระสนมมากมาย นั่นยิ่งทำให้หมอปีศาจเช่นนางไม่มีวันยอมแน่นอน ครั้งนี้ต่อให้เสียทองท่วมหัว แต่ไม่ยอมเสียสวามีให้ใครอีกแล้ว…

จ้าวเหม่ยเซียนออกมาท่องเที่ยวทั่วยุทธภพ เก็บเกี่ยวประสบการณ์และชมความงดงามของสถานที่ต่างๆ เหมือนครึ่งปีก่อน ทว่าหนึ่งปีให้หลังมานี้กลับมีร่างสูงสมส่วนท่องเที่ยวเป็นเพื่อนนาง

และยังไม่ปริปากบ่นเมื่อนางแกล้งเรื่องมาก สร้างเรื่องปั่นป่วนมากมาย แต่เซียวหยวนซานกลับไม่ยอมหนีหายไปไหน สมกับที่เขาตั้งใจมาเกี้ยวนางจริงๆ

ระหว่างนี้นางได้แวะไปเที่ยวหาอาจารย์มาบ้างแต่น่าเสียดายที่อาจารย์หายเข้ากลีบเมฆไปเสียแล้วหากนางไม่มาปรากฏตัวเองคงยากที่จะตามตัว

“เซียนเอ๋อร์เจ้าจะไปที่ใดต่อ”

จ้าวเหม่ยเซียนหันไปหาคนที่เอ่ยปากถามนางส่ายหน้าตอบ ขณะที่ปากยังเต็มไปด้วยผลผิงนางเคี้ยวจนหมดลูกอย่างเงียบๆ ก่อนจะรับน้ำจากบุรุษตรงหน้าอย่างคุ้นเคย เวลานี้แค่ยามอู่พวกนางจึงยังนั่งพักกันอยู่กลางป่า แต่มันไม่ใช่ปัญหาสำหรับคนที่ออกท่องยุทธภพมานานหลายเดือนแล้ว

“แล้วท่านอยากไปที่ไหนบ้าง”

“ข้าตามใจเจ้า เจ้าอยากไปไหนข้าย่อมไปกับเจ้า”

จ้าวเหม่ยเซียนหัวเราะเบาๆ หากเป็นเมื่อครึ่งปีก่อนนางย่อมไม่เชื่อ ทว่าเวลานี้หัวใจของนางเริ่มหวั่นไหวกับชายหนุ่มเสียแล้ว และตลอดเวลาที่ผ่านเซียวหยวนซานพิสูจน์ให้นางได้รู้ว่าเขานั้นจริงจังกับนางแค่ไหน

ยินดีที่จะร่วมทุกข์ร่วมสุขอย่างไม่เกี่ยงงอน และมีหลายครั้งที่คนตรงหน้าแก้ไขปัญหาให้นางและช่วยเหลือนางต่างๆ แม้กระทั้งเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้ จนนางติดนิสัยให้คนอื่นตามใจเสียแล้ว

“เรียกข้าจ้าวเหม่ยเซียน”

จ้าวเหม่ยเซียนเอ่ยตอบพร้อมเชิดหน้าขึ้นเล็กน้อย ความหยิ่งเล็กน้อยทำให้นางหายเขินอายได้นิดหน่อย ทว่าต่อมาอาการเหล่านั้นกลับเลือนหายไปด้วยแทนที่ด้วยความโมโห

“จ้าวเหม่ยเซียน? นั่นคือองค์หญิงใหญ่แคว้นจ้าวมิใช่หรือ เหตุใดหน้าตาเจ้าจึงได้อัปลักษณ์ไม่สมกับคำร่ำรือเล่า”

“จะอัปลักษณ์หรืองดงามก็เรื่องของข้า”

จ้าวเหม่ยเซียนตอบกลับอย่างหงุดหงิดก่อนจะเดินหนีจากไป ทว่าแขนขวากลับโดนดึงเอาไว้ สองเท้าที่ยังไม่มั่นคงจึงได้ล้มลงบนตักของอีกคนอย่างไม่ทันตั้งตัว นางเบิกตากว้างอย่างตกใจ ท่านี้มันโรแมนติกเกินไปแล้ว

“อย่าพึ่งโมโหข้าแค่หยอกล้อเจ้าเล่น เพราะไม่ว่าเจ้าจะเป็นเช่นไรใจข้าก็โดนเจ้าขโมยหัวใจไปแล้ว”

เซียวหยวนซานถือโอกาสกอดเอวบางแล้วบอกความในใจอย่างรวดเร็ว ก่อนที่ปีศาจตัวน้อยๆ จะอาระวาด และคำพูดของเขาเหมือนจะได้ผลเมื่อนางชะงักตัวแข็งทื่อมองเขาราวกับไม่เชื่อ

“ไยทำหน้าเช่นนั้น ข้าตกหลุมรักเจ้าตั้งแต่แรกเห็นจริงๆ นะ”

จ้าวเหม่ยเซียนมองสีหน้าที่จริงจังของอีกคนอย่างสับสน จับใบหน้าที่แสนธรรมดาตนเองอย่างไม่เข้าใจ ว่ามีอะไรให้สนใจ นางจึงลอกคราบหน้าปลอมๆ ออกอย่างฉงนสงสัย

เมื่อใบหน้าที่แท้จริงปรากฏตรงหน้าอย่างไม่ทันตั้งตัวกลับทำให้อีกคนตัวแข็งทื่อ เอามือปิดตาตัวเองไว้เสียอย่างนั้น ทว่ามือขวากลับกอดเอวนางไม่แน่น

“ใส่กลับไปเหมือนเดิม” เสียงร้องสั่งสั่นเล็กน้อย ทว่าใบหน้าและใบหูกลับแดงจัดตัดกับสีผิวอย่างชัดเจน

“ก็ท่านบอกชอบหน้าข้า ก็เลยจะถอดออกให้ แล้วจะปิดตาทำไมข้าไม่ได้อัปลักษณ์เสียหน่อย ว่าแต่เมื่อไหร่จะปล่อยมือจากเอวข้า”

จ้าวเหม่ยเซียนดึงมืออีกฝ่ายออกพร้อมยัดใบหน้าปลอมใส่ไปแทน ทว่าอีกคนกลับเอามือซ้ายที่ปิดตามากอดเอวนางไว้แทน ใบหน้างดงามเริ่มบูดบึ้งเพราะอีกฝ่ายกำลังลวนลามนางอย่างเห็นๆ

“ข้าชอบที่ตัวเจ้า นิสัยเจ้าหาใช่ใบหน้าเหล่านี้ไม่ เพียงแต่ข้าไม่ชินกับการมีสตรีที่งดงามเช่นเจ้ามาอยู่ใกล้ๆ เช่นนี้”

“แต่นี่ท่านกำลังกินเต้าหู้ข้า” จ้าวเหม่ยเซียนเตือนสติอีกคนที่กอดนางจนเขินอายไปหมด ใครบ้างใจจะไม่เต้นเมื่อหนุ่มหล่อตรงสเปคมาบอกรักเช่นนี้

“ข้ากลัวเจ้าจะหนี”

จ้าวเหม่ยเซียนหรี่ตามองคนหน้าแดงก่ำ พยายามมองสบตานางแต่แววตาหลุกหลิกจนน่าหวาดระแวง ครั้งแรกที่พบเจออีกคนเหมือนจะดุดันกว่านี้หรือว่าจะแพ้คนงามจริงๆ

ทว่าจ้าวเหม่ยเซียนไม่รู้เลยว่าองค์ชายสามหาได้แพ้คนงาม แต่แพ้คนที่ตัวเองชอบ จนวางตัวไม่ถูก จะปล่อยก็กลัวหนีหาย พอกอดรัดก็รู้สึกดีจนไม่อยากปล่อยมือ

“ข้าไม่หนี ปล่อยมือได้แล้ว ก่อนข้าจะทำให้ท่านป่วยติดเตียงจริงๆ”

จ้าวเหม่ยเซียนรีบโดดออกห่างทันทีเมื่อได้รับอิสระ และเวลานี้องครักษ์ทั้งหลายกลับหนีหายเข้ากลีบเมฆกันหมด แม้จะไม่มีใครมองนางก็ยังรู้สึกอายอยู่ดี

“เซียนเอ๋อร์ ข้ารู้ว่ามันเร็วเกินไปแต่หลายเดือนมานี้ข้าคิดถึงเจ้าทุกวัน จากครั้งแรกที่เพียงแค่สนใจแต่ตอนนี้ข้ากลับลืมเจ้าไม่ได้ สุดท้ายข้ากลับอยากให้เจ้ามาอยู่เคียงข้าง หลับตื่นมากเจอเจ้า”

“หยุดก่อน!”

จ้าวเหม่ยเซียนรู้สึกขนลุกชัน นางเขียนนิยายมาเยอะตอนเขียนยังไม่รู้สึกอะไร ทว่าเวลานี้มาโดนกลับตัวเองกลับรู้สึกขนลุกชัน คำหวานมันเลี่ยนนั่นไม่รู้ว่าอีกฝ่ายไปหามาจากไหน เพราะจากที่ดูครั้งแรกเซียวหยวนซานไม่น่าจะใช่คนที่พ่นคำหวานแบบนี้ออกมาได้

“ทำไมหรือ ข้ายังไม่พูดไม่จบเลย” ใบหน้าคมคายขมวดคิ้วเล็กน้อยราวกับไม่ค่อยเข้าใจ

“ถามจริงๆ ใครเขียนบทพูดนี้ให้ท่าน” เซียวหยวนซานชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะกลับมายิ้มอ่อนอีกครั้ง

“อะไรก็ปิดบังเซียนเอ๋อร์ไม่ได้จริงๆ เสด็จพ่อบอกข้าเอง” จ้าวเหม่ยเซียนนิ่งอึ้งไปชั่วครู่ก่อนจะรู้สึกผิดหวังที่อีกฝ่ายเห็นนางเป็นแค่ของเล่น

“เซียนเอ๋อร์อย่าโกรธ แม้ข้าจะพูดตามเสด็จพ่อบอก แต่ข้าชอบเจ้าจริงๆ นะ” เซียวหยวนซานลุกยืนเดินไปจับมือหญิงสาวตรงหน้า พยายามมองใบหน้าที่งดงามจนแทบลืมหายใจด้วยหัวใจสั่นระรัว

หลังจากกินอิ่มและสืบข่าวจนพอใจแล้วจึงจ่ายเงินพร้อมมุ่งหน้าไปยังจุดหมายที่ต้องการทันที ทางเข้าหน้าวังที่มีทหารอารักขาอย่างเคร่งครัด แม้จะมีข่าวความโหดร้ายที่ไม่สามารถรักษาองค์ชายได้และจบด้วยความตาย แต่ก็ยังมีคนมากมายที่เสี่ยงโชคกันอย่างเนืองแน่น

จ้าวเหม่ยเซียนขมวดคิ้วมุ่นเมื่อเห็นแถวยาวเหยียดที่รอการรักษาองค์ชายสาม ใบหน้าธรรมดาแต่กลับมีแววตาเจ้าเล่ห์นิดๆ นางสะบัดผงคันคะเยอไปตามสายลมเพียงเล็กน้อย ไม่นานผู้คนด้านหน้าก็รีบจากไปอย่างเร่งรีบจนในที่สุดนางก็เป็นคนแรก มุมปากแต้มด้วยรอยยิ้มพอใจก่อนจะแจ้งความจำนงค์ของตนเอง

“แม่นาง ข้าขอเตือนเจ้าด้วยความหวังดี อย่าได้เอาชีวิตมาทิ้งไว้ที่นี่เลย” ทหารที่เฝ้าหน้าประตูเอ่ยเตือนนางด้วยความหวังดี

“ขอบคุณพี่ชาย ข้ามั่นใจตนเองมากเจ้าค่ะ” จ้าวเหม่ยเซียนบอกพร้อมรอยยิ้มสดใส

ทหารมองนางแล้วถอนหายใจอย่างเสียดาย แต่สุดท้ายก็ให้นางเดินเข้าไป โดยมีขันทีพานางเดินลัดเลาะไปตามอุทยาน ระหว่างทางขันทีน้อยคนนี้กลับเอ่ยเตือนเรื่องมารยาทกับนางจนผ่านไปหนึ่งก้านธูปจนได้แต่กรอกตาไปมา

เรื่องมารยาทในวังไม่มีใครรู้ดีไปกว่านางอีกแล้ว ทว่ายามนี้อยู่ต่างบ้านต่างเมืองจึงได้ทนฟังไปเผื่อจะมีอะไรแปลกใหม่จากแคว้นจ้าวบ้าง

เลี้ยวผ่านอุทยานจนมาถึงคลองน้ำข้ามสะพานแสนงดงามและเลี้ยวขวา ความไกลนี้หากคนธรรมดาคงได้หอบแฮ่กด้วยความเหนื่อย นี่ขนาดนางมีวรยุทธยังรู้สึกเหนื่อยแต่ก่อนที่นางจะได้เอ่ยถามขันทีน้อยข้างหน้าก็หยุดเดิน ลมหายใจปกติเสียจนอดระแวงไม่ได้

เป็นขันทีแต่กลับมีวรยุทธหากไม่ใช่สายลับจากที่ใดก็คงเป็นเจ้านายขันทีผู้นี้สั่งสอนมาเอง ทว่าหากเป็นคนธรรมดากลับไม่สามารถสัมผัสได้ว่าเป็นคนมีวรยุทธ และนางเองก็เกือบโดนหลอกเช่นกัน ประสบการณ์ในโลกนี้ของนางน้อยเกินไปจริงๆ

“ถึงแล้วแม่นาง ข้าน้อยส่งแม่นางได้แค่นี้ องค์ชายนอนรออยู่แท่นบรรทม ขอให้แม่นางโชคดีขอรับ” ขันทีน้อยบอกกล่าวนางแล้ว

“ขอบคุณกงกงเจ้าค่ะ”

จ้าวเหม่ยเซียนบอกกล่าวก่อนจะหยิบถุงเงินให้ขันทีน้อยตามธรรมเนียม ซึ่งอีกฝ่ายก็รับมาอย่างเรียบง่ายและเก็บใส่ชายเสื้ออย่างว่องไวราวกับว่าการทำเช่นนี้เป็นเรื่องปกติ

จ้าวเหม่ยเซียนเดินเข้าไปภายในตำหนักอย่างระวัง แม้จะมั่นใจตัวเองแต่หากประมาทชีวิตอาจดับสูญอย่างไม่รู้ตัว แม้นางจะรักษาไม่ได้จริงๆ แต่อย่างน้อยก็หนีเอาตัวรอดได้

เบื้องหน้าตอนนี้มีชายหนุ่มในอาภรณ์สีขาวนอนสงบนิ่งอยู่บนแท่นบรรทมอย่างเงียบๆ ลมหายใจแผ่วเบาจนกลัวว่าจะหยุดหายใจ แม้จะเหมือนปล่อยนางไว้ลำพังกับองค์ชายสาม ทว่าที่มุมต่างๆกลับมีองครักษ์เงามากมายที่พร้อมปลิดชีพนางทันที่ทำเรื่องผิดพลาด

จ้าวเหม่ยเซียนเดินมาหยุดที่ข้างเตียงจึงได้เห็นใบหน้าที่ขาวซีดนั้นชัดเจน ดวงตาคู่สวยเบิกกว้างอย่างตกตะลึง นี่ไม่เจอเพียงแค่ไม่กี่เดือนเจ้าคนโชคร้ายนี่หาเรื่องไปเยือนประตูนรกอีกแล้วเหรอ ทว่าเมื่อสังเกตอาการอย่างละเอียดจึงแต่กรอกตาไปมา นี่เล่นสนุกอะไรอีก

“นี่ท่านว่างมากเหรอที่มาแกล้งป่วยเช่นนี้”

ทันทีที่ได้ยินเสียงหวานละมุนที่คุ้นเคยและรอคอย คนที่นอนซีดลมหายใจแผ่วเบาราวกับพร้อมจะเดินข้ามประตูผี กลับลืมตาขึ้นอย่างรวดเร็ว ดวงตาคู่คมมองหญิงสาวที่กอดอกมองตนด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน

“เจ้ามาแล้ว วันนี้มีวาสนาได้พบเจอ เจ้าจะบอกนามของเจ้าได้หรือยัง”

เซียวหยวนซานเอ่ยถามราวกับรู้ว่าคนที่ต้องการพบจะมา ใบหน้าคมคายมีรอยยิ้มอ่อนโยนไม่เหมาะกับแผนเจ้าเล่ห์สักนิด

“ท่านทำเรื่องใหญ่โต สังหารผู้คนมากมายเพื่อต้องการพบข้าหรือ” จ้าวเหม่ยเซียนเอ่ยถามอย่างตกใจ

“หากข้าไม่ทำเช่นนี้เจ้าจะมาหาข้าหรือ แล้วข้าก็ไม่ได้สังหารผู้คนจริงๆ เสียหน่อย”

เซียวหยวนซานลุกขึ้นนั่ง รอยยิ้มอ่อนโยนแต่งแต้มบนใบหน้า ดวงตามีความลึกซึ้งจนทำให้คนที่ขลาดกลัวความรักอดที่จะเก้อเขินไม่ได้

จ้าวเหม่ยเซียนใช้ชีวิตภายในวังหลวงอย่างเงียบสงบในตำหนักเฟิ่งหยางของพี่ชายในฐานะนางกำนัลและรักษาใบหน้าพี่ชายอย่างเงียบๆ

และนางได้รู้ความในใจว่าเขาไม่สนใจหรอกว่าใบหน้าจะหายดีหรือไม่ เพียงแค่นางกลับมาก็ดีใจมากแล้วมันทำให้นางรู้สึกตื้นตันใจเพราะอดีตเป็นลูกสาวคนเดียวจึงไม่เข้าใจความรู้สึกพี่น้อง ทว่าเวลานี้นางคิดว่ามันวิเศษจริงๆ

จ้าวเหม่ยเซียนใช้เวลารักษาใบหน้าของพี่ชายเป็นเวลาหนึ่งเดือนก่อนจะออกเดินทางอีกครั้ง ทว่าครั้งนี้นางมีเงินใช้ระหว่างทางโดยไม่ต้องไปนั่งขอทานเหมือนที่ถูกกล่าวหา

นางตั้งใจว่าจะหากำลังเสริมและสายข่าวให้พี่ชายเพื่อตอบแทนความรักและเอ็นดูที่มอบให้ด้วยใจจริง นางมองท้องฟ้ากว้างด้วยรอยยิ้มสดใส อิสระอยู่ใกล้แค่เอื้อมมือ ยื่นมือไปข้างหน้าสัมผัสสายลมบนกำแพงเมือง

“ยุทธภพจ๋ารอข้าเหม่ยเซียนก่อนนะเจ้าค่ะ”

โดยที่นางไม่รู้เลยการออกเดินทางครั้งนี้จะทำให้ชีวิตนางเปลี่ยนไป จากความรักที่เคยผิดหวังจนหวาดกลัว สุดท้ายกลับหนีโชคชะตาไม่พ้น…

จ้าวเหม่ยเซียนขึ้นเหนือล่องใต้เที่ยวเล่นตามใจปรารถนามานานหลายเดือน บ้างก็ช่วยเหลือผู้คนที่ตกทุกข์ได้ยาก บ้างก็สังหารพวกโจรป่าไร้คุณธรรม ชีวิตที่เต็มไปด้วยสีสันเช่นนี้ทำให้นางรู้สึกมีความสุข

ทว่าบางครั้งนางกลับเหงาใจเมื่อเห็นครอบครัวสุขสันต์ แม้พวกชาวบ้านธรรมดาจะไม่ได้ร่ำรวยหาเช้ากินค่ำไปวันๆ แต่พวกเขายังรักใคร่กลมเกลียวซึ่งกันและกัน แต่ก็มีบางครอบครัวที่มีความเห็นแก่ตัวขายลูกกินเพื่อความอยู่รอดก็มี โลกแห่งนี้ก็โหดร้ายเช่นนี้

จ้าวเหม่ยเซียนเที่ยวเล่นในแคว้นจ้าวและแคว้นเพื่อนบ้านจนพาตัวเองมาหยุดที่แคว้นเว่ย ดวงตาคู่สวยเหม่อมองไปยังกำแพงสูงใหญ่ที่กั้นเมืองหลวงเอาไว้ ที่นั่นมีใครคนหนึ่งที่ทำให้นางลืมไม่ลง

ใบหน้าคมคายและมีรอยยิ้มอ่อนโยนในแบบที่นางชอบ แต่อดีตที่เคยเจ็บซ้ำก็ทำให้นางหวาดกลัวที่จะก้าวต่อไป แต่ในเมื่อมาถึงที่นี่แล้วจะขลาดเขลาไม่เที่ยวเล่นก็คงเสียชื่อหมด

“สิบอีแป๊ะ”

จ้าวเหม่ยเซียนหยิบถุงเงินให้ค่าผ่านทางเข้าเมือง หลังจากเข้าแถวมานานหนึ่งเค่อ ซึ่งมีทั้งชาวบ้านนอกเมืองเอาของมาขาย และคนต่างเมืองมาท่องเที่ยวเช่นนางและมีพ่อค้าจากต่างเมืองมาแลกเปลี่ยนซื้อขาย

จ้าวเหม่ยเซียนเดินชมร้านค้าในเมือหลวงแคว้นเว่ยอย่างสนอกสนใจ บ้างก็ข้าวของแปลกใหม่ ทว่าตั้งแต่เช้านางยังไม่ได้มีอะไรลงท้อง จึงได้แวะเข้าหาโรงเตี๊ยมข้างทาง

“เชิญนายหญิงด้านในเลยขอรับ”

เสี่ยวเอ้อออกมาต้อนรับอย่างนอบน้อม แม้ยามนี้จ้าวเหม่ยเซียนจะแต่งตัวเหมือนชาวบ้านธรรมดาและหน้าตาที่แสนธรรมดากลับได้การต้อนรับอย่างดีจนอดที่จะชื่นชมไม่ได้ นางไม่ได้เลือกห้องส่วนตัวแต่เลือกนั่งที่ชั้นแรกแทน

ชั้นนี้เต็มไปด้วยผู้คนที่แต่งกายแบบชาวบ้านธรรมดาและชาวยุทธภพที่ไม่ได้สังกัดสำนักใดๆ ที่นี่ดูครึกครื้นอีกทั้งมีเรื่องราวต่างๆ ที่พวกเขาพูดคุยกันอย่างน่าสนใจ

“เอาอาหารขึ้นชื่อของที่นี่มาสองสามอย่างแล้วก็ชาหูเชียมากาหนึ่ง”

จ้าวเหม่ยเซียนได้ที่นั่งของตนเองแล้วจึงหันไปสั่งอาหารกับเสี่ยวพร้อมชาเสือภูเขา

“ได้ขอรับ นายหญิงโปรดรอสักครู่”

เสี่ยวเอ้อรับคำก่อนจะจากไปอย่าว่องไว เพียงไม่นานน้ำชาก็มาเสิร์ฟก่อนเป็นอันดับแรก จากนั้นผ่านไปหนึ่งเค่ออาหารสองสามอย่างที่สั่งก็ตามมา แม้จะเสียเวลารอแต่กลับไม่รู้สึกเบื่อเรื่องเล่าของผู้คนในโรงเตี๊ยมน่าสนใจจริงๆ

หนึ่งในนั้นมีเรื่องของบุตรชายของฮ่องเต้เว่ยหยางหมิงล้มป่วยอย่างไร้สาเหตุ หมอหลวงมากมายต่างได้รับโทษทัณฑ์ที่ไม่สามารถรักษาองค์ชายสามได้

และยังมีข่าวรับหมอจากด้านนอกมารักษาพร้อมตบรางวัลให้คนที่สามารถรักษาพระโอรสของตนได้มากมาย จนทำให้ผู้คนตาเป็นประกายด้วยความโลภ ผู้คนต่างคิดมาแสวงโชคแต่สุดท้ายก็ไม่มีใครรักษาชีวิตตนเองไว้ได้

รอยยิ้มสดใสระบายเต็มหน้าที่แสนธรรมดา ไม่ว่าด้วยโรคอะไรจ้าวเหม่ยเซียนคิดว่านางสามารถรักษาได้อย่างแน่นอน ยิ่งรางวัลที่ทำให้น้ำลายหกเช่นนี้นางย่อมไม่พลาด

ขึ้นชื่อเชื้อสายกษัตริย์ไม่มีความรักจีรังมีแต่เอ็นดูกับผลประโยชน์เท่านั้น แต่จ้าวเฟิ่งหยางอย่างไรก็เป็นพี่ชายเพียงคนเดียวที่ร่วมสายโลหิต

“เหม่ยเซียนเปิ่นหวางกับเสด็จแม่ยังตามหาเจ้าไม่ได้เพิกเฉยแม้แต่น้อย”

จ้าวเหม่ยเซียนมองคนตรงหน้าอย่างเข้าใจว่าเพราะอะไรถึงแน่ใจว่านางคือน้องสาวของเขาจริงๆ

“ท่านแน่ใจได้อย่างไรว่าข้าเป็นน้องสาวของท่าน” จ้าวเหม่ยเซียนเอ่ยถามดวงตาจ้องมองความเย็นชาซึ่งอ่อนลงหลายส่วนจากร่างสูงตรงหน้าอย่างจริงจัง

“ตอนแรกเปิ่นหวางไม่แน่ใจ แต่จากสายข่าวและการสนทนาเมื่อครู่ล้วนไม่ได้ผิด แม้เจ้าจะเปลี่ยนแปลงไปมากแต่อย่างไรเจ้าก็คือน้องสาวเปิ่นหวาง”

จ้าวเหม่ยเซียนมองอีกฝ่ายนิ่งๆ ก่อนจะแบมือสิ่งยืนยันว่าเจ้าตัวเป็นพี่ชายจริงๆ หยกสีเขียวหมอกสลักอักษรจ้าวเฟิ่งหยางวางบนมืออย่างแผ่วเบา นางมองครู่หนึ่งก่อนจะหยิบป้ายหยกตัวเองมาวางคู่ลงล็อกพอดี

เหตุที่ทำเช่นนี้เพราะความรู้สึกห่วงใยจากร่างเดิมยังคงอยู่ นางลุกขึ้นยืนและทำความเคารพเหมือนองค์หญิงควรกระทำตั้งแต่แรก

“หม่อมฉันจ้าวเหม่ยเซียนถวายพระพรเสด็จพี่เพคะ”

หมับ!

จ้าวเหม่ยเซียนเบิกตากว้างมองร่างสูงหนาของพี่ชายวัยยี่สิบสองปีดึงร่างตัวเองไปกอดอย่างตกใจ นางยืนแข็งทื่อในอ้อมกอดที่ดูอบอุ่น แต่นางรู้สึกหายใจไม่ออกจะกอดแน่นไปถึงไหน แต่ร่างที่สั่นน้อยๆ ทำให้ไม่กล้าปริปาก ไม่คิดว่าจะดีใจที่เจอนางอย่างนี้

“เหม่ยเซียนเปิ่นหวางขอโทษที่ปกป้องเจ้าไม่ได้”

น้ำเสียงแหบต่ำเหมือนข่มความรู้สึกตัวเอง นางยกมือกอดปลอบอย่างประหม่าเพราะยังไม่คุ้นชิน แม้องค์หญิงจะสนิทสนมกับพี่ชายมากแต่ตอนนี้คนที่อยู่ในร่างนี้คือนาง

“หม่อมฉันสบายดีเพคะ”

จ้าวเหม่ยเซียนเอ่ยบอกเสียงเบาหลังจากที่รับรู้ความจริงใจของพี่ชายในภพนี้ นางจึงยอมเปิดเผยใบหน้าที่แท้จริงให้จ้าวเฟิ่งหยางได้เห็น

ตอนนี้พวกเราได้พากันมาอยู่ภายในห้องส่วนตัวแล้ว นางได้บอกความตั้งใจเดิมของตัวเองให้ฟังซึ่งอีกฝ่ายก็ไม่เห็นด้วย นางจึงยอมให้มีผู้ติดตามสี่คนซึ่งให้ตามคุ้มครองอยู่ห่างๆ อีกทั้งฝีมือนางไม่ได้ต่ำช้าคนที่ติดตามได้ต้องระดับฝีมือเดียวกันหรือมากกว่า

ทว่าหลังจากที่พี่เฟิ่งหยางเปิดเผยโฉมหน้าภายใต้หน้ากากกับทำให้จ้าวเหม่ยเซียนตกตะลึง ใบหน้าที่เคยคมคายกลับเสียโฉมไปกว่าครึ่งมีเพียงดวงตาที่ไม่ได้รับความเสียหาย นางจึงรั้งอยู่เมืองนี้ต่อเพื่อรักษาใบหน้าให้พี่ชาย

“น้องหญิงรักษาได้?”

จ้าวเหม่ยเซียนมองใบหน้าที่มีรอยแผลน่ากลัวแล้วพยักหน้ารับก่อนจะบอกเล่าบางส่วนที่ทำให้ดวงตาคมเข้มประกายยินดีเพียงครู่

“หม่อมฉันได้หมอปีศาจช่วยชีวิต จึงได้ฝากตัวเป็นลูกศิษย์พอมีวิชาอยู่บ้างเพคะ”

“เปิ่นหวางภูมิใจในตัวเจ้าน้องหญิง หากเสด็จพ่อกับเสด็จแม่ทรงทราบคงยินดีไม่น้อย” นางมองมือใหญ่ที่ลูบศีรษะยังเอ็นดูแล้วส่ายหน้าปฏิเสธ

“หม่อมฉันอยากให้รู้เพียงแค่เราสองพี่น้องเพคะ”

เฟิ่งหยางมองนางอยู่พักใหญ่ก่อนจะพยักหน้ารับเหมือนเข้าใจ สามปีมานี้เขาเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมากจากความทรงจำที่รู้จัก

“แต่เจ้าควรไปพบเสด็จแม่”

จ้าวเหม่ยเซียนมองอย่างอึกอักเล็กน้อย ก่อนจะพยักหน้ารับพร้อมมีข้อแม้ว่าเรื่องการปรากฏตัวขององค์หญิงจะยังเป็นความลับจนกว่าจะถึงเวลาสมควร

หลังจากที่ตกลงกับเฟิ่งหยางเรียบร้อยแล้วจ้าวเหม่ยเซียนจึงได้เดินทางกลับวังหลวงทันที ช่วงนี้คลื่นใต้น้ำยังสงบต่างเก็บตัวเงียบองค์ชายอื่นยังไม่เคลื่อนไหว

แต่เหตุการณ์เมื่อสามปีก่อนทำให้สูญเสียองค์ชายสามไปเพราะเป็นผู้ที่อยู่เบื้องหลังการสังหารพี่น้องครั้งเมื่อประพาสป่า แต่ยังเหลือองค์ชายอีกหลายคนที่หมายตำแหน่งฮ่องเต้โดยคิดกำจัดรัชทายาทอย่างเฟิ่งหยาง

หลังจากที่จ้าวเหม่ยเซียนปรากฏตัวอย่างลับๆ ที่รู้กันเพียงแค่คนที่ไว้ใจได้ ฮองเฮาซึ่งเป็นเสด็จแม่ในปัจจุบันกอดนางทั้งน้ำตาด้วยความดีใจ ตอนแรกก็เก้อเขินเพราะนางก็เหมือนคนแปลกหน้าทว่าความรู้สึกที่หลงเหลือขององค์หญิงที่เสียสละร่างให้ทำให้ไม่ได้ประหม่าอย่างที่ควรจะเป็น

“ข้าเพิ่งรู้ว่าเมืองหลวงแคว้นจ้าวต้องการพบผู้คนต้องใช้วิธีข่มขู่” ชายผู้นั้นมีท่าทีอึกอักอีกครั้ง

“ไปบอกนายของเจ้า หากต้องการพูดคุยกับข้าก็มาด้วยตนเอง”

ชายหนุ่มติดตามเจ้านายมานานหลายปีและมีสตรีมากหน้าต้องการพบหน้าผู้เป็นนาย เพียงแค่ได้สนทนาก็เหมือนบุญวาสนา ทว่าสตรีที่งดงามและสูงส่งผู้นี้กลับเมินเฉยหากว่านางมีผู้ติดตามสักคนคงคิดว่าเป็นคุณหนูบ้านไหนสักที่เป็นแน่ แต่กิริยาของนางทำให้เขาไม่กล้าวู่วามจึงหันหลังกลับไปรายงานเจ้านายอีกครั้ง

ผ่านไปครึ่งก้านธูปก็มีบุรุษในอาภรณ์สีดำปักลายโบตั๋นสีแดงงดงามสง่าและดูลึกลับ ใบหน้าปกปิดด้วยหน้ากากสีเดียวกันกับชุดจนไม่อาจเห็นโฉมหน้าที่แท้จริง ร่างสูงใหญ่เดินมาอย่างสงบ จ้าวเหม่ยเซียนมองตามอย่างระวังแม้กิริยาไม่ได้เปลี่ยนไปแต่สัญชาตญาณร้องเตือนว่าคนผู้นี้อันตราย

“เชิญนั่งเจ้าค่ะ”

แม้จะหวาดหวั่นแต่ก็ยังต้อนรับด้วยน้ำเสียงปกติ ผ่ายมือเชิญชวนและรินน้ำชาให้คนตรงหน้าซึ่งนั่งลงตรงข้ามอย่างว่าง่าย

“แม่นางขออภัยที่เสียมารยาท ข้าเดินทางมาทั่วหล้ามิเคยเห็นใครงดงามแปลกตาเช่นเจ้า”

จ้าวเหม่ยเซียนเลิกคิ้วมองคนเอ่ยคารมตัวเองแล้วนิ่วหน้าน้อยๆ งดงามแปลกตาจะบอกว่านางเป็นของแปลกหรืออย่างไร

“อย่ามัวพิไรคนเช่นท่านไม่ใช่คนเอ่ยวาจาชักแม่น้ำทั้งห้า ต้องการสิ่งใดกล่าวมาเลยดีกว่า”

จ้าวเหม่ยเซียนเอ่ยบอกและวางถ้วยชาในมือและจ้องมองคนตรงหน้าอย่างสงบ ชายหนุ่มตรงหน้ายกยิ้มมุมปากเพียงเล็กน้อยแต่กลับดูมีเสน่ห์ ทั้งๆ ที่มีหน้ากากปิดบังใบหน้าไปกว่าครึ่ง

“แม่นางฉลาดอีกทั้งกิริยามิใช่สามัญไยถึงได้มาอยู่คนเดียว” จ้าวเหม่ยเซียนมองตอบกลับโดยไม่กล่าวอะไรแต่จ้องแบบนิ่งเงียบคล้ายกดดันให้พูดว่าต้องการสิ่งใดพูดออกมาเลยดีกว่า

“ข้าเพียงอยากรู้จักเจ้า”

นานกว่าครึ่งก้านธูปที่ชายคนนี้เอ่ยขึ้นมา จ้าวเหม่ยเซียนส่ายหน้าอย่างผิดหวังกับคำตอบ คนที่มีกิริยาสูงส่งเช่นนี้คงไม่ทำอะไรเพียงแค่เล็กน้อย การเดินมาหาเพราะอยากรู้จักทำให้นางไม่อยากเชื่อถือนักเมื่อเห็นสายตาจริงจังของคนผู้นี้แล้วได้แต่เก็บมาพิจารณาอีกครั้ง

ขณะนั้นสายตานางมองเห็นหนึ่งในผู้ติดตามของคนตรงหน้าซึ่งคุ้นเคยดี นางจ้องมองอย่างนิ่งเงียบก่อนจะหันกลับมามองบุรุษชุดดำอีกครั้ง ไม่น่าเชื่อว่าเพียงสามปีจะทำให้คนผู้นี้เปลี่ยนแปลงไปมากขนาดนี้ นางว่าไม่ได้ดีใจแต่ทำไมน้ำตาถึงไหลออกมาอย่างนิ่งงันหรือว่าความรู้สึกของร่างเดิมทำให้ใจนางหวั่นไหว

“น้ำตาไม่เหมาะกับเจ้า”

ผ้าเช็ดหน้าผืนสีดำถูกยื่นเข้ามาและซับน้ำตาให้อย่างแผ่วเบา จ้าวเหม่ยเซียนเบือนหน้าหนีและเพิ่งสังเกตว่าภายในชั้นสองร้างไร้ผู้คนไปแล้ว นางสูดลมหายใจเข้าปอดแล้วรั้งสายตากลับมามองบุรุษตรงหน้าอีกครั้ง คนที่เป็นพี่น้องร่วมสายโลหิตเดียวกับร่างนี้

“ท่านต้องการอะไร”

จ้าวเหม่ยเซียนเอ่ยถามเสียงเรียบ แม้ภายในใจจะเกิดความสงสัยว่าคนอย่างรัชทายาทจ้าวเฟิ่งหยางจะจำน้องสาวได้จริงๆ หรือ

“น้องสาวข้า” นางนิ่งอึ้งอย่างไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงจำได้

“เหตุใดถึงคิดว่าข้าเป็นน้องสาวท่าน”

จ้าวเหม่ยเซียนยังไม่เลิกสงสัยแม้ในใจจะใจอ่อนไปกว่าครึ่งแล้ว มุมปากแต่งแต้มรอยยิ้มอ่อนโยน

“ความรู้สึก”

นางมองคนตรงหน้าอย่างเงียบงัน ก่อนจะหันไปมองคนติดตามที่อยู่ด้านหลังมีเพียงคนเดียวที่ยังจำได้

“หม่าเทียนตายไปแล้วเมื่อสามปีก่อน”

จ้าวเหม่ยเซียนรั้งสายตากลับมามองคนตรงหน้าอีกครั้ง เขาเหมือนจะรู้ว่านางต้องการรู้อะไร แต่คำตอบทำให้สะเทือนใจเล็กน้อยแต่ไม่ได้รู้สึกมากไปกว่านั้น

อาจเพราะความรู้สึกขององค์หญิงไม่ได้ใส่ใจคนที่ต่ำกว่า แต่สำหรับพี่น้องนางยังทำตัวน่ารักและออดอ้อนเสมอ แต่การตายขององครักษ์เป็นไปได้ว่าน่าจะเป็นการลอบปลงพระชนม์พวกเขาเมื่อสามปีก่อน

จ้าวเหม่ยเซียนใคร่ควรว่าจะเปิดตัวดีหรือไม่ แต่หากคิดจะกลับไปในวังหลวงอย่างน้อยต้องมีคนที่เชื่อใจเพียงแต่คนตรงหน้าจะรักน้องสาวจริงๆ หรือ

“นี่เจ้า คุณหนูข้าหวังดีต่อเจ้าแต่กลับโง่งมยิ่งนัก คุณหนูเรากลับจวนกันเถอะเจ้าค่ะพวกเราออกมานานมากแล้ว”

สาวใช้ตวาดนางเสียงแข็งก่อนจะหันไปบอกคุณหนูผู้นั้นอย่างอ่อนน้อม นี่มันสองมาตรฐานชัดๆ

“เสี่ยวเหยา” นางเอ็ดคนใช้นางหนึ่งทีก่อนจะมองหน้าจ้าวเหม่ยเซียนด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน

“ข้าถูกชะตากับเจ้ายิ่งนัก เจ้าไม่คิดไปอยู่ที่จวนกับข้าหรือ”

“หากไปในฐานะสหายข้าจะไป แต่หากคนใช้ไม่จำเป็น” จ้าวเหม่ยเซียนบอกอย่างเฉื่อยชา

“มันจะมากไปแล้วนะ ขอทานอย่างเจ้ามีสิทธิ์อะไรมาต่อรอง”

จ้าวเหม่ยเซียนมองสาวใช้ตรงหน้าแล้วเหยียดยิ้มก่อนจะเชิดหน้าขึ้นดึงกริยาขององค์หญิงจอมเย่อหยิ่งออกมาใช้แม้สภาพจะไม่ค่อยได้แต่ความเย่อหยิ่งนั้นคือของจริงที่มันซึมซับรวมไปกับวิญญาณนาง เพียงแค่ไม่อยากดึงกิริยาของนางมาใช้เท่านั้น

“ข้าไม่ใช่ขอทาน แล้วสาวใช้ชั้นต่ำอย่างเจ้ามีสิทธิ์อะไรมาว่าข้า” จ้าวเหม่ยเซียนเอ่ยตอบเสียงเย็นนิ่ง กิริยาเปลี่ยนไปจนสตรีทั้งสองผงะออกห่างอย่างตกใจ

“สภาพแบบนี้ไม่ให้ข้าเรียกเจ้าขอทานแล้วจะให้เรียกว่าอะไร” สาวใช้เถียงนางเสียงเบาลงจากเดิมมาก

“ข้าไม่จำเป็นต้องบอกเจ้า” จ้าวเหม่ยเซียนมองพวกเขานิ่งๆ แม่นางคนงามถอนหายใจก่อนจะบอกเสียงเบา

“ข้าขอโทษด้วยที่เข้าใจเจ้าผิดไป ข้าขอตัว”

สตรีตรงหน้าบอกจ้าวเหม่ยเซียนด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนและสำนึกผิดก่อนจะเดินจากไปโดยมีสาวใช้เหลือบมองมาที่นางตาขวาง นางกอดอกมองทั้งคู่แล้วส่ายหน้า

แค่เลี้ยงตัวเองก็ให้รอดก่อนเถอะ จากนั้นจึงก้มมองขอทานที่คิดว่านางมาแย่งพื้นที่ข้างกายแล้วโยนเงินก้อนใหญ่หนักห้าตำลึงให้ขอทานที่มองนางตาไม่กระพริบ

“จำไว้ข้าไม่ได้แย่งที่นั่งเจ้า” จ้าวเหม่ยเซียนเอ่ยบอกอย่างหงุดหงิด

“ขออภัยนายท่านข้ามีตาแต่ไร้แววไม่” ขอทานรับเงินมากัดและกล่าวตอบด้วยรอยยิ้มกว้าง ปฏิกิริยาที่รวดเร็วในการคว้าเงินทั้งสองครั้งทำให้นางแปลกใจ

“เจ้าคงไม่ใช่คนพรรคกระยาจกหรอกนะ”

ร่างนั้นสะดุ้งเล็กน้อยแต่ไม่พ้นสายตาจ้าวเหม่ยเซียนไปได้ ดวงตาภายใต้ใบหน้าดำสกปรกมองนางอย่างระแวง นางยักไหล่อย่างไม่ใส่ก่อนจะเดินจากไป

พร้อมหาโรงเตี๊ยมเพื่ออาบน้ำเปลี่ยนชุดใหม่แม้ครั้งแรกที่เข้ามาจะได้รับสายตารังเกียจแต่เมื่อเห็นเงินที่นางโยนให้ก็เปลี่ยนกิริยาได้อย่างรวดเร็ว คนที่นี่หรือว่าที่จากมาก็ล้วนดูคนที่ภายนอกทั้งนั้น นางถอนใจอย่างปลงตก

จ้าวเหม่ยเซียนใช้เวลานานกว่าสองก้านธูปที่อาบน้ำแต่งกายจนเรียบร้อย สวมใส่อาภรณ์สีขาวปักลิ้มทองด้วยลายหงส์รูปโบตั๋นสีเดียวกัน นางถอดคราบขอทานมาเป็นสตรีที่สูงส่ง

ใบหน้ายังใช้แบบเดิมเคยคิดว่าตัวเองสวยแบบกระเทยแต่เมื่อใบหน้าเดิมมาอยู่กับร่างบอบบางซึ่งสูงเพียงร้อยหกสิบห้าเซ็นกลับดูลงตัวอย่างไม่น่าเชื่อ

นางนำผ้าผืนบางมาปิดใบหน้ากว่าครึ่ง ก่อนจะลงไปทานอาหารที่ชั้นสอง จากเงาะถอดรูปทำให้ผู้คนมองนางอย่างตื่นตะลึงจึงต้องเอากิริยาขององค์หญิงมาใช้เพื่อกันผู้คนเข้าหา

จ้าวเหม่เซียนสั่งอาหารไปทานแค่สองสามอย่างก่อนจะลงมือทานข้าวอย่างเชื่องช้าไม่ได้เร่งรีบอีกทั้งวิวชั้นสองนั้นงดงามไม่น้อย นั่งทานเรื่อยเฉื่อยอีกทั้งมองลงไปเบื้องล่างเพื่อซึมซับภาพที่เห็น ความสงบของเมืองมันดีจริงๆ แม้จะมีเสียงเจี้ยวแจ้วแต่ก็บ่งบอกความสุขของผู้คน นางหันศีรษะกลับมาเมื่อมีบุรุษผู้หนึ่งเดินเข้ามา

“แม่นางนายท่านของข้าต้องการพบแม่นาง”

จ้าวเหม่ยเซียนเงยหน้ามองคนตรงหน้าอย่างพินิจ ใบหน้าคมเข้มและดวงตาจริงจังก่อนจะเบือนหน้ากลับไปมองทิวทัศน์เบื้องล่างอีกครั้ง บุรุษผู้นั้นมีท่าทีอึกอักแล้วถอนใจยาว

“แม่นางอย่าทำให้ข้าลำบากใจ”

“เหตุใดข้าต้องไปพบนายของเจ้า” จ้าวเหม่ยเซียนเอ่ยถามพร้อมเหลือบมองชายตรงหน้าเล็กน้อยก่อนจะยกน้ำชาจิบอย่างเฉื่อยชา

“หากแม่นางไม่อยากเดือดร้อน ข้าแนะนำให้แม่นางตามข้าไปดีกว่า” น้ำเสียงนั้นแข็งกระด้างมากขึ้น นางเงยหน้ามองคนข่มขู่แล้วส่ายหน้าไปมา

กรี๊ดดดดด

เสียงกรีดร้องของสตรีดังอยู่ไม่ไกลตามเส้นทางม้าที่วิ่งผ่าน ตามเสต็ปด้วยสาวงามกำลังล้มลงและพระเอกอย่างหลี่จื้อเฉิงก็กระตุกเชือกม้ายกเท้าม้ากระโดดข้ามสตรีผู้นั้นด้วยชั้นเชิงที่ยอดเยี่ยมจนน่าปรบมือ จ้าวเหม่ยเซียนอดหัวเราะไม่ได้ทำไมเหมือนในซีรีย์ไม่ผิด และนางก็ไม่พลาดที่จะไปยืนชมละครกับชาวบ้านโดยไม่ต้องเสียเงินสักอีแป๊ะเดียว

“แม่นางเป็นอะไรหรือไม่” น้ำเสียงเข้มแข็งและดวงตาดุดันเอ่ยถามสตรีที่นั่งตัวสั่นอยู่บนพื้น หลี่จื้อเฉินไม่ได้ลงจากม้า

“ข้าไม่เป็นไรเจ้าค่ะคุณชาย”

น้ำเสียงหวานสั่นระริกคล้ายกับหวาดกลัวแต่ทำไมจ้าวเหม่ยเซียนกลับเห็นดวงตาเจ้าเล่ห์แทน นางยิ้มเอียงอายก่อนจะร้องโอ้ยออกมาขณะที่ลุกขึ้น

“คุณหนู”

สาวใช้ทั้งสองเข้ามาประคองแต่นางยังนั่งนิ่งช้อนตามองหลี่จื้อเฉินด้วยท่าทางน่าสงสารเหมือนจะบอกว่านางลุกไม่ขึ้น มือเรียวบางราวกลับหยกจับข้อเท้าตัวเองด้วยสีหน้าเศร้าหมอง

จ้าวเหม่ยเซียนมองดูด้วยแววตาเป็นประกาย นางอยากสร้างถ้วยรางวัลแล้วจะมอบให้แม่นางผู้นี้ โอ้ นักแสดงหญิงยอดเยี่ยม นางแอบปรบมือให้รัวๆ ก่อนจะมองใบหน้าคมเข้มของคนที่มีสีหน้าเบื่อหน่ายก่อนจะหันไปสั่งการคนที่ติดตามมาอีกสองคนแล้วควบม้าจากไปอย่างเร่งรีบซึ่งทำให้แม่นางคนงามหน้าเสียไป

จ้าวเหม่ยเซียนผละออกมาเมื่อการแสดงจบลง ก็ในเมื่อพ่อพระเอกหนีไปจนเห็นแต่ฝุ่นแล้ว ผู้คนกลับมาเดินจับจ่ายซื้อของอีกครั้ง การร้องตะโกนขายของกลับมาเช่นเดิมเหมือนกับว่ามันเป็นเรื่องปกติที่เกิดเหตุเช่นนี้

“นี่เป็นครั้งที่สิบแล้วที่หญิงงามออกมาล้มลงตรงหน้าแม่ทัพหลี่จื้อเฉิน น่าไม่อายกันจริงๆ”

ชาวบ้านเริ่มนินทากันเจี้ยวแจ้ว จ้าวเหม่ยเซียนกระดิกหูฟังอย่างเต็มที่ข่าวใหม่ทำให้นางได้รู้เพิ่มว่าเขาได้ถูกแต่งตั้งเป็นแม่ทัพบูรพาไปแล้ว ไม่เจอกันสามปีไต่เต้าอำนาจมาเป็นแม่ทัพได้ย่อมไม่ธรรมดา

จ้าวเหม่ยเซียนเลิกสนใจมานั่งอยู่หน้าศาลเจ้าอย่างเหนื่อยๆ ข้างๆ นางมีขอทานเหล่ตามองอย่างไม่พอใจเหมือนนางมาแย่งพื้นที่ทำมาหากิน นางมองตัวเองที่ไม่ได้อาบน้ำตลอดเจ็ดวันเพราะอยู่แต่ป่าแล้วยกมือเกาหัว เพราะสภาพนางตอนนี้ก็เหมือนขอทานจริงๆ หน้าตามอมแมมเสื้อผ้าเก่าๆ โทรมๆ ปกตินางเขียนนิยายอย่างเร่งรีบไม่ได้อาบน้ำเลยก็มี ไม่ต้องมองแบบนั้นนางไม่ได้ซกมก เพียงแต่เร่งงานอย่างหนักเพราะเดทไลน์และตอนมาที่นี่มันไม่มีน้ำให้อาบเท่านั้นเอง

เกร้ง!

จ้าวเหม่ยเซียนเงยหน้ามองคนโยนเงินอีแป๊ะก้อนเล็กๆ สีเงินให้นางอย่างอึ้งๆ ร่างนั้นเดินหายไปแต่เงินที่ถูกโยนลงมาขอทานข้างๆ นางก็รีบมาคว้าไปทันทีและมองนางตาขวาง

“อย่ามาแย่งที่ทำกินข้า เจ้าจะไปไหนก็ไป” จ้าวเหม่ยเซียนเกาศีรษะอย่างมึนงง หากใครรู้องค์หญิงของแคว้นมานั่งขอทานชื่อเสียงจักรพรรดิได้เสื่อมเสียกันหมด

“ข้าให้เจ้า”

จ้าวเหม่ยเซียนยังไม่ทันไปไหนก็มีมือบอบบางขาวซีดยื่นหมั่นโถวมาให้นางและนั่งตรงหน้าอย่างไม่นึกรังเกียจ นางรู้สึกปวดหัวขึ้นมาทันทีแค่มานั่งพักเหนื่อยทำไมเรื่องมันบานปลายอย่างนี้

“เจ้าหน้าตาไม่เลว มาเป็นสาวใช้ข้าดีหรือไม่ ถึงข้าจะเป็นคุณหนูห้าที่ยากไร้แต่ก็พอมีข้าวให้เจ้ากินสามมื้อ ใบหน้าเจ้าสวยอย่างนี้ข้ากลัวว่าเจ้าจะโดนทำร้าย” ใบหน้าสวยหมดจดแต่เสื้อผ้าอาภรณ์นั้นดูแสนธรรมดามาก

“ขอบคุณคุณหนูสิ เจ้าจะนั่งบื้อทำไม”

สาวใช้ของนางเอ่ยออกมาอย่างไม่ชอบใจนัก จ้าวเหม่ยเซียนได้แต่มองตามสองคนตรงหน้าอย่างมึนงง นางทำอะไรผิดพลาดแค่มานั่งพักผ่อนเอง!

“ข้าขอปฏิเสธ”

จ้าวเหม่ยเซียนเอ่ยบอกอย่างไม่เสียเวลาคิด ทำไมนางต้องไปรับใช้ผู้อื่นด้วย เงินนางก็มีบ้านก็อยู่ใกล้แค่เอื้อมหากคิดจะกลับไป นางลุกขึ้นยืนมองคุณหนูผู้มีจิตเมตตาอย่างพิจารณามองอย่างไรก็เหมือนเจ้าตัวจะเป็นลูกอนุไม่เช่นนั้นคงไม่ยากไร้เช่นนี้ แม่นางผู้นี้ก็ลุกตามและมองมาอย่างพิจารณาเช่นกัน

“นี่เจ้า คุณหนูข้าหวังดีต่อเจ้าแต่กลับโง่งมยิ่งนัก คุณหนูเรากลับจวนกันเถอะเจ้าค่ะพวกเราออกมานานมากแล้ว”

จ้าวเหม่ยเซียนบอกตัดบทปกปิดหัวใจที่เต้นแรงเร็วกับสายตาเมื่อครู่เอาไว้ ใบหน้าขมวดคิ้วมุ่นอย่างสงสัยตัวเอง บอกว่าจะไม่ชอบคนหน้าตาดีอีก ทว่าสภาพเหมือนขอทานของคนตรงหน้ากลับทำให้นางใจเต้นจริงๆ นางล้มตัวนอนอีกครั้ง

โดยพยายามไม่สนใจสายตาสำรวจของเซียวหยวนซาน แม้จะหลับตาแต่ยังไม่ได้หลับสนิทเพราะอยู่กับคนแปลกหน้าต้องระวังภัยให้ตัวเองมากที่สุด

ร่างสีขาวที่ยังอาบย้อมไปด้วยโลหิตตามเสื้อผ้าขยับกายนั่งเดินโคจรลมปราณเงียบๆ เมื่อรู้ว่าสตรีที่เห็นแก่เงินไม่ได้เป็นอันตราย นางเป็นคนดีคนหนึ่งเพียงแต่ขี้งกไปนิด สาลี่ลูกเดียวกลับคิดเงินกับเขาตั้งหนึ่งตำลึง

ใบหน้าที่บดบังด้วยเส้นผมที่หลุดลุ่ยยกยิ้มเบาบาง นางน่าสนใจจริงๆ คนที่แก้ไขพิษอันตรายอันดับต้นๆ ได้เพียงแค่กระพริบตาและยังหายขาดอีกทั้งยังเรียกตนเองว่าหมอปีศาจย่อมไม่ธรรมดา ที่สำคัญนางมีวรยุทธเป็นเลิศหากได้เป็นมิตรคงดีไม่น้อยที่สำคัญนางทำให้หัวใจที่ด้านชาของเขากลับมาเต้นแรงอีกครั้ง น่าสนใจจริงๆ

เช้าวันรุ่งขึ้นพวกนางได้ออกเดินทาง ทว่าทันทีที่ก้าวออกจากถ้ำก็เจอคนของเซียวหยวนซานซึ่งตามหาเจ้านายจนพบ จ้าวเหม่ยเซียนรู้สึกทึ่งกับความสามารถนี้ แกะรอยได้ยอดเยี่ยมเกินไปแล้ว และนั่นทำให้นางได้เงินหนึ่งพันตำลึงเป็นค่าตอบแทน ลูกน้องที่พกเงินมากกว่าเจ้านายทำให้นางมองเขาตาเป็นประกาย

แต่เงินทั้งหมดก็เป็นของเซียวหยวนซานอยู่ดี คิดว่าเจ้าตัวคงเป็นคนมีฐานะไม่น้อย ตอนนี้ใบหน้าที่มอมแมมของเขาได้ทำความสะอาดและเสื้อผ้าชุดใหม่จึงกลับมาดูดีอีกครั้ง ใบหน้าคมคายไม่ได้ทำให้นางสะดุ้งสะเทือนเลยสักนิด สงสัยนางมีภูมิต้านทานคนหน้าดีไปแล้ว ทว่าดวงตาที่ทอประกายแฝงไว้ด้วยความอ่อนโยนของเขากลับทำให้ใจนางเต้นอยู่ดี

“นี่เป็นป้ายประจำตัวข้า หากเจ้าไปที่หนานจิงแวะไปเยี่ยมข้าด้วย”

จ้าวเหม่ยเซียนมองป้ายหยกสีขาวเล็กๆ ขนาดสองนิ้วแล้วรับมาอย่างไม่ต้องเสียเวลาคิด เพราะหากนางไปที่นั่นเงินไม่มีจะได้ไปหาที่พักและอาหารฟรี เซียวหยวนซานยิ้มอ่อนโยนให้นางก่อนเอ่ยคำถามที่ทำนางนิ่งไป

“แม่นางเจ้าจะไม่บอกนามของเจ้าให้ข้ารู้บ้างหรือ”

“ไม่จำเป็น หากมีวาสนาพบกันอีกครั้ง เมื่อนั้นข้าจะบอกนามท่าน” จ้าวเหม่ยเซียนปฏิเสธก่อนจะดีดปลายเท้าจากมาอีกครั้ง เพราะตอนนี้ได้เงินแล้วนางไม่จำต้องรั้งรออะไรอีก

เงาร่างสีฟ้าอ่อนหายไปอย่างรวดเร็ว เซียวหยวนซานมองตามด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน ก่อนจะพยักหน้าให้คนสนิทพร้อมเร้นกายจากไปเหมือนไม่เคยมีใครหยุดยืนอยู่ตรงนี้มาก่อน นางกล่าวได้ถูกหากมีวาสนาคงได้เจออีกครั้ง แต่วาสนานั้นเขาจะสร้างมันขึ้นด้วยตนเอง…

หลังจากแยกทางจากเซียวหยวนซานมาก็ผ่านมาเจ็ดวัน ซึ่งจ้าวเหม่ยเซียวยังใช้ชีวิตเที่ยวเล่นเดินทางไปทั่วตามที่อยากไป แต่ขอให้อยู่ในแคว้นจ้าว จนกระทั่งมาถึงเมืองหลวงที่พลุกพล่านไปด้วยผู้คน แม้นางจะมีเงินเยอะขึ้นแต่ยังใช้จ่ายอย่างประหยัด ร้านค้ามากมายอยู่ริมทางและผู้คนเจี้ยวแจ้วพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน ระหว่างนั้นกลับมีม้าเร็ววิ่งผ่านมาทำให้ฝูงคนหลบไปอย่างรวดเร็วแม้กระทั่งตัวนางต้องหลบตามชาวบ้านด้วย

จ้าวเหม่ยเซียนมองร่างสง่างามนั่งอยู่หลังม้าสีดำเงางาม ดวงตาหรี่เล็กลงเมื่อพบคนที่คุ้นหน้าและทำให้หัวใจดวงนี้กระตุกความทรงจำย้อนกลับคืนมา

คนบนหลังม้าคือหลี่จื้อเฉิงบุตรชายคนโตของแม่ทัพทิศประจิม(ตะวันตก)และเป็นคนที่เจ้าหญิงตกหลุมรักเสียด้วย นับว่าตาดีเพราะรูปร่างหน้าตาคมคายกำยำแต่นิสัยจะเย็นชาไม่ชายตามององค์หญิงผู้น่าสงสารแม้แต่น้อย อายุแค่สิบสามแต่คิดจะมีรักน่าขำจริง หรือว่านางจะหัวทันสมัยเกินเพราะที่นี่สิบสี่สิบห้าก็แต่งงานกันแล้ว

จ้าวเหม่ยเซียนสะดุ้งน้อยๆ เมื่อดวงตาคมกริบมองมาที่นางขณะม้าวิ่งผ่านไปด้วยความเร็ว นางนิ่วหน้าคิดว่าตัวเองไม่ได้ผิดแปลกแตกต่างจากคนอื่น

ทำไมนางไม่หาถ้ำพักอาศัยนะเหรอ เพราะนางไม่ใช่นางเอกในนิยายที่จะบังเอิญเจอถ้ำขนาดนั้น

จ้าวเหม่ยเซียนมองไปด้านหน้าที่มีป่าไม้และเครือเถาวัลย์ปกคลุมแล้วสูดลมหายใจเข้าปอดอีกครั้ง นางเพิ่งบอกว่าไม่มีเรื่องบังเอิญและไม่ใช่นางเอก แต่สิ่งที่เห็นคือปากทางเข้าถ้ำ!

นางรู้สึกสับสนเล็กน้อยอย่างไม่แน่ใจกับภาพที่เห็น มันบังเอิญเกินไปไหม ก่อนจะเดินเข้าไปสำรวจ ข้างในที่นี่มันไม่ลึกมากนักแต่ก็พออาศัยอยู่ได้ชั่วคราว ความอับชื้นภายในถ้ำนางมองอย่างระวังกลัวว่าจะมีสัตว์เลื้อยคลานซุกซ่อนตัวอยู่

เมื่อทุกอย่างดูใช้ได้จึงกลับมาพาร่างของคนบาดเจ็บมานอนภายในถ้ำ จ้าวเหม่ยเซียนเอนกายพักผ่อนรอเวลาให้คนไข้จำเป็นฟื้นขึ้นมาและแอบคิดค่ารักษาไว้ภายในใจ ยาพิษร้ายแรงที่ใช้สมุนไพรหลากหลายชนิดและมีแต่ของหายากแต่ก็ยังดีที่นางทำเป็นเม็ดสำเร็จรูปไว้แล้ว ไม่คิดว่าจะได้ใช้เร็วเช่นนี้

จ้าวเหม่ยเซียนหลับตากอดอกพิงผนังถ้ำจนเผลอหลับไปจริงๆ และรู้สึกตัวอักครั้งเมื่อได้ยินเสียงไอจากคนที่ช่วยเหลือเอาไว้ เวลานี้มืดค่ำทำให้ภายในถ้ำมืดสนิท นางเอาคบเพลิงที่ทำไว้ภายในแหวนมาจุดให้ส่องสว่างจนทั่วถ้ำ ดวงตาคมกริบมองมาที่นางอย่างระวังก่อนจะผ่อนลมหายใจเมื่อเห็นเป็นนาง

“พิษหายหมดแล้วเพียงร่างกายยังมีอาการบาดเจ็บแต่ไม่มีอะไรน่าห่วง” เจ้าเหมยเซียนบอกอาการเบื้องต้นให้คนไข้ฟัง

“ขอบคุณแม่นางที่ช่วยเหลือ ข้าเซียวหยวนซานจะไม่ลืมบุญคุณ” จ้าวเหม่ยเซียนมองคนที่กล่าวอย่างซาบซึ้งแล้วส่ายหน้าเบาๆ พร้อมยกมือโบกปฏิเสธเพราะนางไม่ได้ช่วยเหลือฟรีๆ

“ไม่ต้องขอบคุณข้าคุณชาย เพียงแค่ท่านจ่ายค่ารักษาที่ช่วยชีวิตท่านมาก็เพียงพอแล้ว” เขามองอย่างอึ้งๆ ก่อนจะหัวเราะออกมาอย่างขบขัน นางเอียงหน้ามองอย่างไม่เข้าใจ นางจะเอาเงินจะหัวเราะอะไร

“ตกลงแม่นาง เพียงแต่ตอนนี้ข้าไม่มีเงินติดตัวสักอีแป๊ะเดียว แต่หากแม่นางไปส่งข้าที่เมืองหนานจิงแม่นางจะได้รับเงินเป็นสองเท่า”

จ้าวเหม่ยเซียนมองคนต่อรองอย่างเข้าใจเพราะสภาพตัวเปล่าแบบนี้จะเอาอะไรมาให้ นางไม่ได้หวังให้มีเงินติดตัวอยู่แล้ว นางครุ่นคิดถึงเมืองหนานจิงในความทรงจำก่อนจะนิ่วหน้าน้อยๆ เมื่อจำได้มันเป็นชื่อเมืองหลวงของแคว้นเว่ยซึ่งอยู่ติดกับแคว้นจ้าว นางมองตามอย่างลังเลตั้งใจว่าจะไปที่แคว้นจ้าวก่อนแต่เพื่อเงินก็น่าสนใจ

“คุณชายหากท่านหลอกลวงข้า แม้แต่ชีวิตท่านก็จะไม่เหลือ พิษเจ็ดชีพปลิดวิญญาณข้ายังแก้ได้เพียงแค่กระพริบตา คงรู้ใช่หรือไม่ว่าผลจะออกมาอย่างไรหากหลอกลวงข้า”

จ้าวเหม่ยเซียนเอ่ยข่มขู่อีกรอบเพราะไม่ไว้ใจอาจเพราะนางโดนทรยศความรู้สึกมาครั้งหนึ่งทำให้เกิดความหวาดระแวงขึ้น

“ด้วยเกียรติของเซียวหยวนซานจะไม่หลอกหลวงแม่นาง หรือให้ข้าเขียนสัญญาขึ้นมาก็ได้หากแม่นางไม่ไว้ใจ”

“แล้วผู้ใดจะเป็นพยาน ช่างเถอะข้าไม่ทำอะไรยุ่งยากหรอก หากหลอกลวงก็แค่สังหารทิ้งไม่เห็นยากอะไร”

จ้าวเหม่ยเซียนตอบกลับอย่างจริงจังซึ่งทำให้คนไข้จำเป็นได้แต่มองนางแล้วพยักหน้ารับ

โครกกก

จ้าวเหม่ยเซียนมองคนยกมือเกาหัวที่ยุ่งเหยิงไม่เห็นใบหน้าชัดเจนอย่างขำขัน เสียงนั่นไม่ได้ดังมาจากท้องนางหรอก นางหยิบผลสาลี่มาโยนให้คนที่นั่งอยู่ไม่ห่าง

“หนึ่งตำลึง” จ้าวเหม่ยเซียนบอกแล้วยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจสายตาเบิกกว้างที่มองมาเหมือนจะเหลือเชื่อ

“เจ้าเป็นหมอต้องมีเมตตา เหตุใดจึงงกเช่นนี้”

เซียวหยวนซานมองผลสาลี่ในมือก่อนจะกัดกินอย่างช่วยไม่ได้ จ้าวเหม่ยเซียนยกยิ้มร้ายกาจพร้อมตอบกลับอย่างมั่นใจ ก่อนจะเอาส่วนของตัวเองมานั่งกินบ้าง

“เพราะข้าเป็นหมอปีศาจ”

เซียวหยวนซานมองคนที่เรียกตัวเองว่าหมอปีศาจแล้วอมยิ้มน้อยๆ ดวงตาทอประกายบางอย่าง ซึ่งทำให้คนถูกมองแอบเก้อเขินไม่ได้

“คืนนี้นอนพักก่อนพรุ่งนี้ค่อยเดินทาง”

หลังจากที่จ้าวเหม่ยเซียนหนีพวกนั้นมาไกลมากแล้ว จึงลงมาเดินเล่นบนพื้นดินอีกครั้ง และครั้งนี้นางเปลี่ยนการแต่งตัวเป็นสตรี ส่วนใบหน้าใช้หนังที่มีรูปโฉมเหมือนนางเมื่อในอดีต ที่ทำเช่นนี้เพื่อไม่ให้ลืมตัวตนว่าตัวเองเป็นใครมาก่อน นางกวาดตามองโลกใหม่อย่างสนใจไม่สิ้นสุด

โลกที่ไม่มีเทคโนโลยีแต่กลับมีพลังที่เหนือมนุษย์ธรรมดา ที่นี่เป็นโลกแปลกใหม่ จ้าวเหม่ยเซียนยังอยากเห็นโลกกว้าง แม้จะยังไม่รู้จักเส้นทางแต่ความทรงจำนางดี หากมีแผนที่สักนิดคงจะรู้ว่าตัวเองอยู่ส่วนไหนของแคว้นจ้าว หรือว่าเตลิดออกนอกแคว้นไปแล้ว

ไม่หรอกกระมังอาจารย์หญิงบอกว่าหากนางเดินทางมาทางทิศอุดร(เหนือ)จะเจอแคว้นจ้าว แต่ช่างเถอะไปที่ไหนไม่สำคัญขอเพียงได้ท่องเที่ยวก่อน แล้วค่อยไปชำระแค้นให้เจ้าของร่างที่ตายไปแล้วเป็นการตอบแทนที่ให้อยู่ในร่าง

เคร้ง เคร้ง เคร้ง

เสียงการต่อสู้ดังขึ้นจากเบื้องหน้า จ้าวเหม่ยเซียนหยุดฟังครู่หนึ่งก่อนจะสะกิดปลายเท้าเร่งความเร็วไปยังที่เกิดเหตุ กลิ่นคาวเลือดคละฟุ้งไปรอบบริเวณ ด้านหน้านางเห็นรถม้าจอดอยู่พร้อมการสังหารอย่างโหดเหี้ยม

แต่ดูจากสภาพมันเป็นการลอบฆ่า นางไม่ใช่คนดีและยังรักชีวิตใหม่มากๆ แต่เหมือนพวกเขาจะพ่ายแพ้ นางมองตามอย่างลังเล เสื้อผ้าอาภรณ์ของผู้ที่พลาดท่านั้นดูมีราคาค่างวด หากช่วยเหลือครั้งนี้ต้องได้สิ่งตอบแทนไม่มากก็น้อย พลันใดนั้นนางพุ่งร่างเข้าช่วยเหลือด้วยกระบี่เทียนฟ้าอย่างทันท่วงที

เคร้ง เคร้ง

ฉัวะ!!

นักฆ่าชุดดำชะงักมือลงเมื่อเห็นมีมือที่สามเข้ามาเกี่ยวข้อง ก่อนจะประสานกระบี่พุ่งหาจ้าวเหม่ยเซียนอย่างไม่มีคำลังเล นางวาดกระบี่ตอบรับและโจมตีอย่างรวดเร็ว

ประสบการณ์การต่อสู้กับคนนางถือว่ามีน้อยมาก แต่การฝึกฝนไม่ธรรมดาโดยเฉพาะมีอาจารย์ที่ไม่ธรรมดาย่อมทำให้นางเก่งกาจกว่าผู้คนธรรมดาที่อยู่ในระดับเดียวกัน

ฟิ้ววววว~~

กระบี่พลิ้วไหวเหมือนสายลมพัดผ่าน ทว่าแรงกดดันที่ไม่ธรรมดาทำให้เหล่านักฆ่ารู้สึกตัวเองเชื่องช้ามากขึ้น จ้าวเหม่ยเซียนกวัดกระบี่สวนกลับอย่างเด็ดขาด แม้นางไม่ฆ่าคนวันนี้ต้องมีสักวันที่ได้ลงมือ เพราะที่นี่คนที่อ่อนแอจะตกเป็นเหยื่อคนที่แข็งแกร่ง

ฉัวะ!!

เงาร่างสีดำที่เหลือล้มลง ความเร็วที่มองไม่ทันได้เห็น ทว่าลำคอกลับมีโลหิตพุ่งออกมาอย่างน่ากลัวพร้อมลมหายใจสุดท้าย

จ้าวเหม่ยเซียนมองภาพตรงหน้าแล้วถอนหายใจอย่างหนักหน่วง มือสั่นเล็กน้อยมนุษย์ในยุคที่จากมามีค่าเท่ากัน แต่ที่นี่มันไม่ใช่ คนที่อ่อนแอต้องตกเป็นเหยื่อของผู้แข็งแกร่ง

“แม่นาง”

เสียงแหบพร่าดังอยู่ไม่ไกล จ้าวเหม่ยเซียนจึงหันกลับไปมอง เสื้อผ้าสีขาวอาบย้อมไปด้วยโลหิต ร่างนั้นพยายามยืนขึ้นอย่างซวนเซ มือปักกระบี่พยุงตัวไม่ให้ตัวเองล้ม สภาพน่าอนาถทำให้นางไม่เห็นใบหน้าได้ชัดเจน แต่ก็เข้าไปช่วยพยุงก่อนจะนิ่วหน้าเมื่อสัมผัสว่าอีกฝ่ายโดนพิษเจ็ดชีพปลิดวิญญาณ

“ท่านโดนพิษ”

“แม่นางรู้?” เสียงที่เอ่ยถามนั้นดูอ่อนล้าเต็มทนสภาพที่ฝืนร่างกายไว้ทำให้มองตามแล้วยกยิ้มเจ้าเล่ห์

“ข้ารักษาได้ด้วย เพียงแต่ค่ารักษาข้าแพงมากท่านจะยินยอมจ่ายเงินให้ข้าหรือไม่”

อึก!

ร่างสูงกระอักโลหิตออกมาก่อนจะหัวเราะในลำคอแล้วกล่าวเสียงเบาพร้อมสลบคาอกนางจนแทบจะล้มลงทั้งคู่

“ฝากชีวิตข้าด้วยแม่นาง” คำพูดแค่นี้แต่จ้าวเหม่ยเซียนก็ตีความว่าเขายอมตกลงที่จ่ายให้ นางยกยิ้มอย่างร่าเริง

…เงินจ๋ารอเหม่ยเซียนก่อนนะ!

จ้าวเหม่ยเซียนใช้กำลังภายในตวัดร่างของคนที่สลบไปนอนบนรถม้าซึ่งอยู่ไม่ไกลนัก แต่น่าเสียดายม้าตายไปก่อน นางสะดุดกับความคิดนิดหนึ่งก่อนตวัดแบกร่างของคนบาดเจ็บไปให้ไกลจากที่เกิดเหตุเร็วเท่าที่จะทำได้ เมื่อคิดว่าคงไม่มีใครค้นพบแล้วจึงได้วางร่างของคนไข้จำเป็นลงใต้ต้นไม้และจัดการทำบาดแผลพร้อมยาแก้พิษให้กิน ไม่เกินหนึ่งวันต้องฟื้นขึ้นมาแน่นอน

“ใครเป็นคนเปลี่ยนใบหน้าให้เจ้า” น้ำเสียงที่เอ่ยถามอย่างไม่คลายความหวาดระแวง จ้าวเหม่ยเซียนมองอย่างสงสัยว่าพวกนี้เป็นใครกันแน่ ใช่โจรภูเขาจริงๆ หรือ

“นางให้ข้าเรียกว่าโหยวลี่”

พอจ้าวเหม่ยเซียนพูดจบบรรยากาศรอบกายพลันเย็นเยือกคล้ายความหวาดหวั่นกัดลึกเข้าไปในจิตใจของพวกมัน นางนิ่วหน้าไหนอาจารย์หญิงบอกว่าไม่ค่อยมีคนรู้จักนางไง

“เจ้าไปเถอะ ถือว่าไม่เคยเจอพวกข้า” คนที่มีวรยุทธสูงสุดบอกด้วยน้ำเสียงไม่มั่นคง พวกเขากำลังกลัวอะไรกันแน่ นางมองพวกมันอย่างลังเลก่อนจะเอ่ยถามทาง ไหนๆ ก็มีคนให้ถามแล้ว

“ก่อนไปข้าขอถามพวกท่านว่า ทางที่ข้าจะไปนี้จะไปถึงเมืองอะไร” ดวงตาคมกริบมองนางเหมือนไม่อยากเชื่อสายตาว่านางกำลังกล่าวเรื่องตลกอะไร

“เจ้าไปมุดหัวอยู่ไหนมา เดินมาขนาดนี้แต่ไม่รู้ว่าตัวเองกำลังไปไหน”

เสียงที่ฟังดูยังอ่อนเยาว์จากชายหนุ่มข้างกายคนที่มีวรยุทธมากกว่า เขามองนางอย่างสำรวจแล้วส่ายหน้าอย่างอ่อนใจ จ้าวเหม่ยเซียนนิ่วหน้าอย่างไม่พอใจนางไม่ใช่คนโลกนี้มาตั้งแต่แรก จะรู้จักได้อย่างไร แล้วความทรงจำขององค์หญิงก็อยู่แต่เพียงในวังหลวงแคว้นจ้าวเท่านั้น

“ข้ามุดหัวอยู่เขาไห่เอ้อทีนี้ตอบข้ามาได้หรือยัง”

จ้าวเหม่ยเซียนตอบกลับอย่างใจเย็น ทว่าพวกนี้กลับเบิกตากว้างมองนางตั้งศีรษะจรดปลายเท้าอีกครั้ง นับว่าเป็นการเสียมารยาทมาก แต่นางหน้าหนาอยากมองก็มองไป

“เจ้าอย่าหลอกพวกข้าให้ยากเลย ไม่มีคนธรรมดาอยู่ที่นั่นได้หรอก สัตว์อสูรเยอะแยะพวกมันล้วนไม่ธรรมดา”

จ้าวเหม่ยเซียนกรอกตาไปมา แล้วทำไมนางต้องมาใจเย็นอธิบายให้เจ้าหนูจำไมฟังด้วยนะ หรือว่านางแก่จนเริ่มเลอะเลือนแล้ว

“ถือว่าข้าไม่ได้พูดแล้วกัน” จ้าวเหม่ยเซียนโบกมือลาพร้อมเดินไปต่อ ก่อนจะหยุดชะงักเมื่อเสียงร้องเรียกตามหลังสรุปพวกมันจะให้นางไปไหม

“เดี๋ยวก่อน” นางหันกลับมามองด้วยสายตาเย็นชา เริ่มจะหงุดหงิดแม้ร่างจริงจะสิบเจ็ดแต่วิญญาณนางมันเริ่มสู่วัยทอง? แล้ว

“แม่นางขออภัยที่เสียมารยาทมาตั้งแต่ต้น พวกข้าคิดว่าเป็นคนของทางการ ขอให้ข้าได้ไถ่โทษด้วยการพาท่านไปเยือนถ้ำพยัคฆ์เมฆาได้หรือไม่”

จ้าวเหม่ยเซียนหรี่ตาเชิญชวนนางเข้าถ้ำเสืออย่างพิจารณา และเหมือนอีกฝ่ายจะรู้ตัวว่านางกำลังประเมินอีกฝ่ายจึงได้ถอดผ้าคลุมหน้าออก ใบหน้าหล่อคมคายปรากฏให้เห็น แต่นางรู้สึกปวดจี๊ดในใจ และบอกตัวเองว่าจะไม่ไว้ใจคนหน้าตาดีอีกแล้ว

“จะให้ข้าไปในฐานะอะไร เชลย เหยื่อ หรือว่าแขก”

จ้าวเหม่ยเซียนเอ่ยดักคอ แม้นางจะไม่ไว้ใจแต่การได้รู้ถิ่นกองกำลังโจรก็นับว่าไม่เลว แต่นางไม่ได้มั่นใจความสามารถตัวเองขนาดนั้นแล้วเรื่องอะไรนางต้องไปถ้ำเสือด้วย

“แน่นอนแม่นางย่อมเป็นแขกของพวกข้า”

น้ำเสียงรื่นเริงของคนที่เอ่ยชวนพร้อมรอยยิ้มกว้างเปิดเผยจริงใจทำให้นางยืนมองอย่างอึ้งๆ แล้วที่ทำเคร่งครึมตั้งแต่แรกนี่คือการแสดงใช่ไหม

“พี่ใหญ่จะไว้ใจได้หรือ”

คนข้างกายเอ่ยถามอย่างกังวล ซึ่งคนตัวสูงก็ยกมือลูบหัวอีกฝ่ายอย่างอ่อนโยนแล้วกล่าวเสียงนุ่มที่ทำให้นางมองแล้วได้แต่คิดไปไกล

“หากได้นางเป็นมิตรจะดีกว่าการเป็นศัตรูกับนาง เชื่อพี่ใหญ่สิ” จ้าวเหม่ยเซียนกรอกตามองสองคนที่พูดคุยกันเหมือนนางเป็นธาตุอากาศอย่างเซ็งๆ

“เชิญพวกท่านคุยตามสบาย ข้าขอตัวก่อน”

จ้าวเหม่ยเซียนบอกพร้อมดีดตัวจากไปด้วยความเร็วมากกว่าปกติ ยังไงนางก็เป็นผู้หญิงและโลกนี้มันอันตรายและนางยังรู้จักประมาณตนเอง

เงาร่างสีเขียวอ่อนหายไปหุบเขาอย่างรวดเร็วดุจภูตพราย ทำให้เขามองไม่ทันแม้แต่น้อย ได้แต่ถอดถอนใจอย่างยอมแพ้ ก่อนจะสลายตัวเพราะอย่างไรก็ไร้ประโยชน์

หากมีวาสนาคงได้พบเจอกันอีกครั้ง แต่นางน่าสนใจจริงๆ โดยเฉพาะเสียงหวานๆ นั่น ใบหน้าจริงจะงดงามสักเพียงใดถึงสามารถให้หมอปีศาจแปลงโฉมให้ หมอซึ่งไม่มีใครกล้าต่อกรที่หายไปจากยุทธภพนานกว่าห้าสิบปี!

จ้าวเหม่ยเซียนเดินเล่นมาเรื่อยๆ ผ่านไปราวหนึ่งชั่วยามจึงพักกินหมันโถ และออกเดินทางต่อนางไม่รู้เส้นทางว่าจะไปเมืองไหน ได้แต่เดินไปเรื่อยๆ เหนื่อยก็หยุดพัก

จนกระทั่งมาถึงหุบเขาแห่งหนึ่งที่ต้องระวังตัวมากขึ้น ประสาทสัมผัสปลุกให้ตื่นตัวก่อนจะนิ่วหน้าเมื่อสัมผัสได้ว่าอีกราวห้าสิบเมตรมีคนซุกซ่อนตัวราวสิบคนและมีสองคนที่วรยุทธไม่ได้ต่ำช้า

จ้าวเหม่ยเซียนแสร้งเดินไปตามเส้นทางเล็กแคบเหมือนไม่รับรู้อะไร ในมือมีกิ่งไม้ที่เด็ดจากข้างทางแกว่งเล่นไปเรื่อยๆ นางเดินผ่านไปเรื่อยๆ พวกมันไม่ได้สนใจนางอาจเพราะห่อผ้านางมันเล็กจ้อยและเบาหวิว แต่ก่อนที่จะเดินไปไกลมากกว่านี้กลับมีคนพุ่งเข้าหาจากทางด้านหลังพร้อมจิตสังหารเข้มข้น

ฟิ้ววววว~~

จ้าวเหม่ยเซียนร่างท่าเท้าหลบจากการโจมตีอย่างทันท่วงที พร้อมตวัดกิ่งไม้ในมือฟาดหลังคนที่คิดสังหารนางโดยไม่พูดไม่จาเต็มรัก

แม้จะเป็นเพียงกิ่งไม้แต่ลมปราณหยินหยางบริสุทธิ์ที่อัดแน่นภายในร่างก็ทำให้มันพลาดท่ากระอักโลหิตออกมาคำโต พลันใดนั้นเงาร่างอีกเก้าสายก็พุ่งเข้าหานางอย่างอย่างรวดเร็ว นางดีดตัวหลบแต่ก็ยังถูกล้อมเอาไว้

“ใครส่งเจ้ามา”

น้ำเสียงดุดันมาจากชายหนุ่มในอาภรณ์สีดำจ้าวเหม่ยเซียนไม่เห็นใบหน้าเพราะแต่ละคนปกปิดไว้อย่างมิดชิดบอกได้ว่าพวกนี้ต้องไม่ใช่คนธรรมดา

นางนิ่วหน้ากับคำถามมองคนที่ล้อมตัวเองอย่างระวัง นางยังไม่เคยฆ่าคนแต่ก็ยังรักชีวิตของตัวเองเป็นที่สุด นางตายมารอบหนึ่งแล้วจะไม่ยอมตายง่ายๆ อีกครั้งเป็นแน่

“พวกเจ้ากล่าวถึงสิ่งใด”

จ้าวเหม่ยเซียนเอ่ยถามเสียงเรียบ แต่น้ำเสียงที่หวานละมุนของนางทำให้พวกมันมองหน้ากัน และเริ่มสำรวจร่างนาง ตอนนี้นางสูงประมาณหนึ่งร้อยหกสิบห้าเซ็นถือว่าเตี้ยกว่าพวกผู้ชายปกติ แต่ที่พวกมันสนใจคือหน้าตาธรรมดาที่ขัดกับน้ำเสียงของนางและใบหน้าที่ทำเป็นแบบผู้ชายทำให้พวกมันดูออกทันทีว่ามันคือวิชาแปลงโฉม

“วิชาแปลงโฉมอย่างนั้นหรือ”

ชายหนุ่มที่มีวรยุทธสูงที่สุดในกลุ่มเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงแปลกใจ จ้าวเหม่ยเซียนรู้สึกขัดใจนิดๆ ที่คิดง่ายๆ ว่าไม่มีคนจับได้ ต่อไปนี้คงแต่งหญิงธรรมดาแล้วละ เพราะแต่งผู้ชายไปก็ไม่รอดตั้งแต่ออกจากหุบเขาไห่เอ้อแล้ว

“เอาตัวนางไป”

คำสั่งจากคนที่มีวรยุทธสูงสุดทำให้พวกมันพุ่งเข้าหาจ้าวเหม่ยเซียนอีกครั้ง นางพลิกตัวหลบพร้อมฟาดกิ่งไม้ในมือตอบโต้ด้วยความโมโห โลกนี้มันพูดคุยกันธรรมดาไม่เป็นหรืออย่างไร เอะอะก็จับตัว เอะอะก็ปล้น

ผัวะ!

จ้าวเหม่ยเซียนฟาดไม้เข้าหาคนที่พุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็วพร้อมใช้ท่าเท้าระบำนวลนางหลบการจับกุมได้อย่างหมดจด ผ่านไปหนึ่งก้านธูปพวกมันก็สะบักสะบอม นางยังไม่กล้าฆ่าคนจริงๆ จึงได้ใช้แค่กิ่งไม้สั่งสอนเท่านั้น

ชายหนุ่มแปดคนยืนหอบมองนางอย่างแค้นเคือง นางหยุดท่าเท้าเอียงคอมองพวกเขาอย่างสงสัย ทำไมเหนื่อยกันเร็วจัง นี่ยังไม่ถึงครึ่งของการฝึกของเฒ่าทารกเลย เหงื่อนางยังไม่ไหลสักหยดพากันหอบมองนางตาขวางกันซะแล้ว

“พวกเจ้าต้องการอะไรกับข้า”

จ้าวเหม่ยเซียนเอ่ยถามพวกมันอย่างสงสัย ดวงตาคมกริบของคนที่วรยุทธสูงที่สุดซึ่งยืนนิ่งมองนางนิ่งๆ มาตั้งแต่แรก พร้อมข้างกายอีกหนึ่งจ้องนางอย่างประเมิน

“ข้าสนใจวิชาแปลงโฉมของเจ้า ช่วยมาสอนพวกข้าได้หรือไม่” จ้าวเหม่ยเซียนเลิกคิ้วมองอย่างแปลกใจ ก่อนจะส่ายหน้าเพราะนางเป็นเพียงลูกศิษย์ไม่อาจไปสอนใครได้

“ข้าไม่ได้มีวิชาที่เจ้ากล่าวถึง เพียงแต่ระหว่างทางข้าเจอหญิงชราผู้หนึ่งนางบอกว่าใบหน้าข้าจะนำอันตรายมาให้สำหรับการเดินทางของสตรีเพียงคนเดียว นางจึงแปลงโฉมให้ข้า”

จ้าวเหม่ยเซียนปั้นเรื่องด้วยสีหน้าไร้เดียงสา นักเขียนอย่างนางต้องมีกลยุทธบ้าง ใครจะโง่บอกความลับของตัวเองไม่ใช่คนที่ไว้ใจได้เสียหน่อย นางไม่เห็นสีหน้าของพวกมันแต่ก็ยังไม่คลายความหวาดระแวง แม้ท่าทางจะดูสบายแต่ก็ไม่ได้เปิดช่องโหว่ให้โจมตี

จ้าวเหม่ยเซียนออกคำสั่งเสียงนิ่งโดยไม่สนใจสายตาอ้อนวอนที่มองมา ร่างเล็กพานางเดินลัดตามตรอกซอยเล็กจนกระทั่งมาสุดขอบเขตท้ายเมืองที่นางเดินเข้ามาเมื่อครั้งแรก กระท่อมที่เห็นมันเอียงจนแทบจะล้มอยู่รอมร่อ

“ท่านแม่ข้ากลับมาแล้ว”

เด็กชายตรงหน้าร้องเรียกพร้อมเปิดประตูที่ผุพังเข้าไป จ้าวเหม่ยเซียนเดินตามและกวาดสายตามองหญิงสาวอายุราวสามสิบปีนอนโทรมอยู่บนเตียง ดวงตาอ่อนล้าลืมตาขึ้นมามองข้างกายนางมีเด็กชายตัวน้อยราวสามขวบนอนอยู่ข้างๆ

สภาพที่เห็นทำให้นางเดินเข้าไปจับชีพจรของคนทั้งคู่ ขมวดคิ้วมุ่นมองดูสภาพที่ป่วยเรื้อรังมาหลายปีอย่างกังวล เด็กน้อยสามขวบขาดอาหารและยังเป็นไข้ป่าอีกด้วย

“เจ้าไปต้มน้ำให้ข้า ข้าจะรักษาแม่กับน้องชายเจ้า”

“พี่สาวท่านเป็นหมอ”

ดวงตาวาดหวังของเด็กน้อยตัวผอมบางทำให้จ้าวเหม่ยเซียนพยักหน้ารับ ก่อนจะหยิบผลไม้ให้เด็กน้อยนี่รองท้องก่อน แม้ตนเองจะหิวแต่ก็ยังพอทนได้แต่ท่าทางเจ้าเด็กนี่ไม่ได้กินอิ่มมาหลายวันแล้ว

“เอานี่ไปกินก่อน”

ร่างเล็กคว้าหมับสาลี่ผลโตก่อนจะเอาไปให้แม่กับน้องชายทันที จ้าวเหม่ยเซียนมองภาพนั้นอย่างสะเทือนใจคนที่อดอยากล้วนมีมากมาย แต่นางไม่สามารถช่วยเหลือได้หมดและนางไม่ได้เป็นคนดีและเป็นนางเอกในนิยาย นางอาจเป็นตัวร้ายไปก็ได้ความผิดหวังทำให้จิตใจเปลี่ยนไปมาก

“เจ้ากินก่อนแล้วไปต้มน้ำให้ข้า ข้ารักษาแม่กับน้องเจ้าหลังจากนั้นค่อยทำข้าวต้มอ่อนๆ ให้นางกิน”

จ้าวเหม่ยเซียนบอกพร้อมสละเงินหนึ่งตำลึงให้เด็กน้อยไปซื้อข้าวสารและอาหารแห้ง แม้มันไม่ได้มายมายแต่มันก็ทำให้สามแม่ลูกอยู่รอดได้หลายวัน

เด็กน้อยรีบทำตามอย่างกระฉับกระเฉง จ้าวเหม่ยเซียนจึงนำสมุนไพรที่เก็บไว้มาต้มให้สองแม่ลูกกิน ประมาณหนึ่งสัปดาห์ก็หายขาด ส่วนเด็กน้อยที่นอนสลบน่าจะประมาณสามวันก็หายแล้ว ก็นางเป็นลูกศิษย์ของหมอปีศาจเชียวนะ

จ้าวเหม่ยเซียนใช้เวลาหมกตัวอยู่กับกระท่อมซอมซ่อนานถึงสองวัน อาการของพวกเขาก็ดีขึ้นและนางไม่จำเป็นต้องอยู่ต่อ พวกเขาขอบคุณนางทั้งน้ำตา ความรู้สึกของคนให้นี่ดีจริงๆ นางไม่ได้หวังสิ่งตอบแทนแค่สั่งสอนไม่ให้ลักขโมยผู้ใดอีก

ซึ่งเด็กน้อยก็รับปากพร้อมสัญญาลูกผู้ชาย นางมองครอบครัวที่กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้งก่อนจะเดินเข้าเมือง นางแวะซื้อหมันโถไว้เป็นอาหารก่อนจะออกเดินทางอีกครั้ง เงินเหลือไม่มากนักแต่หากใช้ประหยัดและหาผลไม้ป่ามากินบ้างก็น่าจะอยู่รอด

จ้าวเหม่ยเซียนออกจากเมือง ตั้งแต่รุ่งสางการเดินทางของนางไม่ได้รีบร้อน เวลานี้เป็นฤดูใบไม้ผลิทำให้ใบไม้ร่วงหล่นตามริมทางมากมาย ใบไม้สีส้มแดงและเขียวปลิวว่อนดูงดงามไปอีกแบบ พลันใดนั้นนางได้ยินการเคลื่อนไหวบางอย่าง สองเท้ายังก้าวเดินตามปกติ

“หยุดอยู่ตรงนั้นถ้ายังไม่อยากตาย เอาสมบัติออกมาให้พวกข้าให้หมด”

ชายร่างอ้วนท้วมกระโดดมาขวางหน้าพร้อมกระบี่ชี้มายังจ้าวเหม่ยเซียน ดวงตาดุดันบ่งบอกว่ามันเอาจริง นางก้มมองห่อผ้าเล็กๆ ที่ไม่ได้หนักอะไรเพราะมีแค่ชุดเดียวแล้วเงยหน้าเลิกคิ้วมองโจรปัญญานิ่มจะปล้นของโดยไม่ดูเหยื่อ

นางกรอกตามองอย่างระอา สมองหมูขนาดนี้ยังคิดอยากเป็นโจรมองดูอีกสองคนที่เหลือแล้วได้แต่ส่ายหน้าไปมา คนหนึ่งก็ผอมแห้ง อีกคนก็มือสั่นไม่หยุดเหมือนเพิ่งเคยออกปล้นเป็นครั้งแรก

“ข้าว่าพวกเจ้าเอาของมีค่าของพวกเจ้ามาให้ข้าให้หมดก่อนที่ข้าจะสังหารเจ้า”

“สตรี!”

พวกมันมองจ้าวเหม่ยเซียนตาวาวโดย ไม่ได้ฟังที่นางพูดแม้แต่น้อย นางเกลียดเสียงหวานๆ นี่ชะมัด นางไม่ปล่อยให้พวกมันได้ใจ จึงเคลื่อนไหวด้วยความเร็วทุบต้นคอพวกมันทั้งสามคนเพียงแค่อึดใจเดียวสามร่างของนอนกองกับพื้น

จ้าวเหม่ยเซียนส่ายหน้ามองอย่างเบื่อหน่าย โจรกระจอก! นางก้มลงค้นข้าวของมีค่าของพวกมันอย่างสุขอุรา ก่อนจะส่ายหน้าน้อยๆ เพราะโจรกระจอกมีเงินรวมกันไม่ถึงห้าตำลึงเลย นางเตะคนที่อยู่ใกล้อย่างหงุดหงิด ก่อนจะเดินจากไปนางไม่ได้เป็นคนดีมากมายคิดจะปล้นนางต้องเอาคืนให้หมดไม่เช่นนั้นเสียชื่ออาจารย์เฒ่าทารกแน่ๆ

นางจดจำกระบวนท่าได้อย่างแม่นยำและสัญชาตญาณเอาตัวรอดไม่ได้ต่ำช้า สัมผัสรับรู้ได้รวดเร็วอย่างน่ากลัว จนอาจารย์ทั้งสองยังอดตะลึงไม่ได้ จากหนึ่งปีให้หลังอาจารย์โหยวลี่ก็พาไปฝากให้เฒ่าทารกฝึกฝน นางจึงได้รู้ชื่ออาจารย์ว่ามีนามว่าอู๋หย่งจวิน ส่วนเฒ่าทารกคือฉายาที่ชาวยุทธมอบให้เหมือนอาจารย์หญิงซึ่งมีฉายาว่าหมอปีศาจ เพราะวิชากวนอิมพันหน้าจึงไม่มีใครรู้ว่าโหยวลี่เป็นสตรีมาก่อน

จ้าวเหม่ยเซียนเงยหน้ามองเขาไห่เอ้ออย่างอาลัยอาวรณ์เล็กน้อย เพราะที่นี่เป็นที่นางลืมตาตื่นขึ้นมาในโลกแห่งใหม่ ข้าวของเครื่องใช้มีไม่มากและนางไม่ต้องแบกไปไหนมาไหนด้วยเพราะอาจารย์ให้แหวนเก็บของซึ่งเป็นแหวนไม้เลื้อยไร้ค่าเป็นของขวัญก่อนจากมา

อาจารย์หญิงบอกว่ามันเป็นของผู้ฝึกตนและบรรลุความเป็นเซียน ซึ่งอาจารย์ได้มาโดยบังเอิญ อาจารย์บอกว่าให้ใช้อย่างระวังเพราะในอาณาจักรนี้มีเพียงไม่กี่ชิ้นเท่านั้น

ซึ่งทำให้นางสามารถพกสมุนไพรได้อย่างไม่ต้องกลัวเหี่ยวเฉาของผู้วิเศษนี่ดีจริงๆ หรือว่านางจะตัดทางโลกมุ่งหน้าเป็นเซียนดี?

เฮ้อไม่ได้! นางแค่อกหักยังไม่ตาย ไม่สิตายแล้วแต่มีโอกาสได้ใช้ชีวิตใหม่ต้องใช้ให้คุ้มค่าก่อน

จ้าวเหม่ยเซียนก้มมองห่อผ้าเล็กๆ ของตัวเองเพื่อไม่ให้แปลกตาของชาวยุทธ พร้อมสำรวจความเรียบร้อยอีกครั้ง วันนี้นางใส่ชุดสีเขียวอ่อนสดใสเนื้อผ้าดี มือสำรวจลูบคลำใบหน้าปลอมที่แสนธรรมดาของตัวเองอีกครั้ง ความงดงามของนางมันน่ากลัวเกินไป นางยังไม่อยากฆ่าคนเป็นผักปลาปิดบังได้จึงต้องทำไปก่อน

จ้าวเหม่ยเซียนพุ่งทะยานลงจากเขาด้วยความเร็วที่ล้ำเลิศของตัวเอง นางยังไม่พร้อมจะกลับวังหลวงแคว้นจ้าวในเวลานี้ แม้จะได้ข่าวว่าถูกตามหามาโดยตลอดก็เถอะ นางยังอยากทำตามอำเภอใจเสียก่อนใกล้จะเกิดการเปลี่ยนกษัตริย์เวลานั้นค่อยไปช่วยพี่ชายคนเดียวในชาตินี้ก็ยังไม่สายเกินไป

เวลานี้นางอายุได้สิบเจ็ดปีและมีอาจารย์เป็นคนผูกปิ่นผมให้ตอนอายุสิบหกเมื่อปีที่ผ่านมา ยามนี้นางปลอมเป็นบุรุษเพื่อตัดปัญหา หากไม่พูดพวกเขาจะไม่รู้ว่านางเป็นสตรีเพราะน้ำเสียงหวานละมุม ลองปลอมเสียงเป็นบุรุษก็เหมือนไม่ได้ผล

เมื่อใกล้ถึงหัวเมืองหนึ่งของแคว้นจ้าว นางจึงลงไปเดินด้วยสองเท้า การเดินทางครั้งนี้มีเงินน้อยมากแค่สิบตำลึงเท่านั้นแค่คิดก็ปวดใจ อาจารย์บอกว่านางต้องหัดช่วยเหลือตัวเองหากไม่มีเงินก็กลับบ้านไป เฮ้อ อาจารย์ช่างเฉื่อยมาก

โครก ~

ทันที่เดินเข้าเมืองท้องก็ร้องด้วยความหิว เมื่อเช้าตื่นเต้นมากเกินไปจึงทานข้าวไปนิดเดียว มองเงินสิบตำลึงในมืออย่างครุ่นคิดนางจะทำยังไงมันถึงจะได้เงินเพิ่ม

หมับ!

นางคว้าร่างผอมแห้งของเด็กชายอายุราวสิบขวบเอาไว้อย่างรวดเร็ว อยู่กลางเมืองยังวิ่งราวอย่างสนุกเชียวหรือ นางยิ้มเย็นและคว้าเงินคืนมา

“เด็กน้อยให้ข้าส่งเจ้าให้ทางการเจ้าว่าดีหรือไม่” จ้าวเหม่ยเซียนเอ่ยถามเสียงเย็นแต่มันยังแฝงไว้ด้วยความหวานเป็นเอกลักษณ์ เด็กน้อยเบิกตาโตแล้วยกมือไหว้นางอย่างตื่นกลัว

“พี่สาวอย่าส่งข้าให้ทางการเลยขอรับ แม่กับน้องข้าไม่สบายหากวันนี้ไม่มีเงินไปจ่ายค่าหมอพวกเขาต้องจากข้าไปแน่ๆ พี่สาวได้โปรดละเว้นข้าด้วย”

จ้าวเหม่ยเซียนยังคว้าคอเสื้ออีกฝ่ายไว้แน่น ก่อนจะจิ๊ปากอย่างไม่พอใจแค่เอ่ยปากเด็กน้อยนี่ก็รู้ว่านางเป็นสตรี

“พาข้าไปหาแม่เจ้า”

จ้าวเหม่ยเซียนบอกความตั้งใจของตัวเอง ไม่ใช่ว่านางเป็นคนดีหรอกนะ เพียงแค่อยากรู้ว่าเด็กน้อยนี่โกหกหรือเปล่าเท่านั้นเอง

ขอทานและขโมยทักษะการโกหกอยู่ขั้นเซียนทั้งนั้นเชื่อนางสิ นางเขียนนิยายมาหลายเรื่องและส่วนมากมันก็เขียวแนวจีนโบราณทั้งนั้น พู่กันเทพทำให้นางโด่งดังและมันก็ทำให้หัวใจสลายเพราะมันอีกนั่นแหละ

“แต่บ้านข้าไม่เหมาะที่พี่สาวจะไปขอรับ” น้ำเสียงร้อนรนของเด็กน้อยเรียกสติที่หลุดลอยไปในอดีตของนางให้กลับมาอีกครั้ง

“นำทาง”

“ถึงว่าเจ้ารับศิษย์โดนไม่รู้ว่าเป็นใครมาจากไหน แหกตาดูซะ”

เฒ่าทารกเอ่ยอย่างขัดใจล้วงแขนเสื้อนำกระดาษแผ่นหนึ่งออกมาให้อาจารย์ดู นางซึ่งยืนอยู่ด้านข้างอาจารย์จึงเห็นอย่างชัดเจน

“วาดได้สวย เหมือนเซียนเอ๋อร์เลย”

อาจารย์รับมาดูพร้อมเอ่ยชมด้วยสีหน้าปกติ เฒ่าทารกกรอกตามองอาจารย์นางอย่างเบื่อหน่ายก่อนจะหันสายตามาจับมองนาง

“รูปร่างหน้าตาเหมือน แต่จะว่าไปศิษย์เจ้ากับองค์หญิงจ้าวเหม่ยเซียนกิริยาไม่เหมือนกัน หรือว่าข้าได้ยินข่าวลือมาผิด เป็นสตรีงดงามเย่อหยิ่งทระนงตน ไม่เห็นศีรษะผู้ต่ำกว่า จิตใจร้อนวู่วามเอาดีได้แค่การศึกษาเล่าเรียนของชนชั้นสูง”

จ้าวเหม่ยเซียนยังยืนนิ่งให้เฒ่าทารกสำรวจอย่างไม่สะทกสะท้าน นางมันหน้าหนาอยู่แล้วที่สำคัญนิสัยที่พูดมามันเป็นจ้าวเหม่ยเซียนคนก่อนที่ตายไปแล้ว

ถึงนิสัยจะเอาแต่ใจเย่อหยิ่งไม่เห็นผู้ต่ำกว่า แต่เรื่องแม่ศรีเรือนนางไม่เป็นรองผู้ใดซึ่งนางก็ได้รับผลประโยชน์ในส่วนนี้ด้วย

“ยัยหนูนี่นะเหรอองค์หญิง เจ้าละเมอหรือเปล่า ถึงผิวพรรณจะดีกว่าสามัญชนทั่วไปแต่กิริยาที่เจ้าว่าไม่มีส่วนคล้ายเลยสักนิด เซียนเอ๋อร์เป็นเด็กดี ขี้อ้อน มีบ้างที่นิ่งจนน่าหงุดหงิด บางครั้งก็ใจเย็นเกินไปด้วยซ้ำไป”

อาจารย์โอ้อวดนิสัยของนางอย่างปลาบปลื้ม เพราะนางเชื่อฟังและเลี้ยงง่ายกินอะไรได้หมดไม่เรื่องมาก

“เฮ้อ ช่างเถอะต่อให้เป็นใครเจ้าก็ไม่สนใจอยู่แล้ว แต่ระวังหน่อยแล้วกันค่าตัวนางหนูมันแพงเอาเรื่อง แบ่งเป็นสองฝ่ายหนึ่งคือตามหา สองคือสังหาร” น้ำเสียงจริงจังปนเป็นห่วงทำให้จ้าวเหม่ยเซียนรู้สึกซาบซึ้งใจ

“ขอบคุณผู้อาวุโสที่ช่วยเหลือข้าและยังเอ่ยตักเตือน ข้าจะไม่ลืมบุญคุณท่านเจ้าค่ะ”

“คุกเข่าคำนับข้าเป็นอาจารย์สิ”

“อาจารย์มารดาเจ้าสิ วิชาข้ายังสอนไม่หมดจะเอาของเจ้ามาให้รกหัวทำไม”

อาจารย์นางตบโต๊ะอย่างน่าตกใจตวาดเฒ่าทารกซึ่งยักไหล่ไม่แยแส แต่มองมาที่นางอย่างคาดหวัง จ้าวเหม่ยเซียนอดที่จะขนลุกไม่ได้แค่อาจารย์คนเดียวก็ไม่เหลือเวลาพักผ่อนแล้ว

“เช่นนั้นจบวิชากับเจ้าแล้วค่อยไปเรียนกับข้าที่เขาคุนหลุนแล้วกัน”

เฒ่าทารกกล่าวตัดบทพร้อมเหาะตัวไปอย่างรวดเร็ว โดยไม่เอ่ยถามความเห็น จ้าวเหม่ยเซียนหันไปมองอาจารย์อย่างคาดหวัง

“จริงของตาแก่ พรสวรรค์เจ้าเป็นเลิศอายุยังน้อยหากเจ้าได้เป็นจ้าวยุทธภพข้ากับตาแก่คงได้ชื่อเสียงไปด้วย”

จ้าวเหม่ยเซียนยืนนิ่งมองอาจารย์อย่างปวดใจ แล้วจ้าวยุทธภพมันผู้ชายไม่ใช่หรือ?

“อาจารย์ข้าเป็นสตรี”

จ้าวเหม่ยเซียนเอ่ยย่ำ เผื่อนางจะลืมไปว่าตำแหน่งสูงส่งเช่นนั้นมันหนักบ่าอันเล็กกระจ้อยของนาง และไม่เหมาะสมเป็นอย่างยิ่ง

“เจ้าก็ให้คนที่ได้ตำแหน่งจ้าวยุทธภพแต่งเข้าบ้านสิ เจ้าเป็นถึงองค์หญิงจะแต่งกี่คนก็ได้”

จ้าวเหม่ยเซียนมองอาจารย์อย่างอึ้งๆ ไม่รู้อาจารย์ไม่คิดมากหรือว่าคิดน้อยเกินไป แต่ตอนนี้นางไม่อยากคิดเรื่องการหาสามี บอกได้เลยถึงนางจะเป็นสาววายแต่ยังเข็ดหลาบไม่หาย

หากมีจริงนางจะเอาคนขี้เหร่ อ้วนลงพุงหัวล้าน หรือกระยาจกนางก็ยินยอมแต่งให้ขอเพียงอย่านอกใจก็พอ

“ยืนนิ่งอะไร วันนี้ต้องไปฝึกกระบี่เทียนฟ้าได้แล้ว”

เสียงอาจารย์เรียกสติที่หลุดลอยจ้าวเหม่ยเซียนกลับมา นางพยักหน้ารับอย่างแข็งขันหลังจากปรับร่างกายมากว่าหนึ่งปี นางไม่ได้ต้องการเก่งเหนือใคร

เพียงแต่ป้องกันตัวเองได้อย่างหมดจดก็เพียงพอแล้ว นางรีบใช้วิชาตัวเบาท่องเก้าเมฆาล่องลอยตามหลังอาจารย์ไปอย่างรวดเร็ว ในวันข้างหน้าไม่รู้ว่ามีสิ่งใดกำลังรออยู่บ้าง แต่นางจะต้องผ่านไปให้ได้ อกหักก็เคยมาแล้ว ตายก็เคยมาแล้ว นางจำต้องกลัวอะไรอีก!

วันเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว วรยุทธที่หลายคนใช้ฝึกฝนนานเป็นสิบปีแต่จ้าวเหม่ยเซียนใช้เวลาเพียงแค่สามปีเท่านั้น! นางไม่แน่ใจว่าพรสวรรค์ของตนเองดีเลิศหรือเจ้าของร่างเดิมมีอยู่แล้วก็ไม่อาจรู้ได้

จ้าวเหม่ยเซียนพุ่งไปกอดขาหญิงชราตรงหน้าด้วยตาเป็นประกาย ความหน้าหนาหน้าหนาของนางเอามาใช้อย่างไม่อาย

“หื้ม เจ้าอยากเป็นลูกศิษย์ข้าหรือ” จ้าวเหม่ยเซียนพยักหน้ารับอย่างแข็งขันรอยยิ้มกว้างจนเห็นลักยิ้มมุมปากสองข้างของตัวเอง

“ดีๆ หน่วยก้านเจ้าดี เฉลียวฉลาดข้าจะรับเจ้าเป็นลูกศิษย์”

“ขอบคุณท่านยาย ลูกศิษย์ขอคารวะอาจารย์”

จ้าวเหม่ยเซียนคุกเข่าพร้อมหาน้ำชาที่จืดชืดคำนับอาจารย์โหยวลี่ด้วยความดีใจ โดยไม่ทันได้สังเกตรอยยิ้มอันร้ายกาจของอาจารย์แม้แต่น้อย

เพราะกว่าจะรู้ความหมายของมันนางก็แทบตายวันละหลายรอบ ตำราแพทย์มากมายที่ต้องนั่งอ่านและนั่งคัดจนหลังแข็ง สมุนไพรหนึ่งเล่มต้องคัดลอกออกมาให้ได้สิบเล่มจนนางจำได้ขึ้นใจ และที่สำคัญพอคัดลอกเสร็จอาจารย์เผาทิ้งอย่างไม่ไยดี นางแทบร้องไห้ที่ผ่านมาให้คัดลอกเพื่อ?

แต่นางก็ไม่มีสิทธิ์ขัดคำสั่งนอกจากคัดลอกเล่มต่อไปอย่างตั้งใจเท่านั้น ยังดีที่ความสามารถในการเขียนอักษรของเจ้าของร่างมันอยู่ในขั้นเทพอีกทั้งเคยเขียนอ่านภาษาจีนได้จึงไม่มีปัญหาข้อนี้

จ้าวเหม่ยเซียนนั่งคัดลอกตำราสมุนไพรอยู่สามเดือนในจำนวนสามร้อยเล่ม สมุนไพรที่อาจารย์เชี่ยวชาญมีทั้งยาพิษและยารักษาทั้งๆ ที่ส่วนประกอบตัวยามากมายกลับท่องจำได้อย่างแม่นยำ

ต้องยกความดีความชอบให้กับอาจารย์ที่ให้นางนั่งหลังขดหลังแข็ง อย่างน้อยก็มีความรู้ในสมองโดยไม่ต้องพกหนังสือสามร้อยเล่มไปไหนมาไหนด้วย

ที่นี่คือหุบเขาไห่เอ้อ ซึ่งไม่ใช่ยอดฝีมือไม่มีทางมาถึงได้ เส้นทางรกทึบที่สำคัญมันมีสัตว์ป่าดุร้ายเยอะมาก เชื่อสิ นางวิ่งหนีป่าราบมาแล้ว!

“เก่งมากเด็กดี”

จ้าวเหม่ยเซียนยกยิ้มยินดีรู้สึกหลุดออกมาจากขุมนรก ทว่าหลังจากนั้นก็รู้สึกเหมือนตายทั้งเป็นเพราะตำราที่อ่านต้องนำมาปรุงเองทั้งหมด บางวันต้องออกไปหาสมุนไพรเอง วิ่งหนีหมาป่าจนป่าราบก็เคยมี

ยังดีที่อาจารย์สอนวิชาตัวเบาให้นางเลยรอดตายมาหลายครั้งหลายครา จนเชี่ยวชาญด้านการหนี

เวลานี้สิ่งที่ชื่นชอบที่สุดคือตำรากวนอิมพันหน้าที่แปลงโฉมตัวเองให้ได้ดั่งใจเพียงแค่รู้จักส่วนของสมุนไพร และมีบ้างที่ต้องใช้น้ำยางจากต้นไม้มาทำหนังให้คล้ายมนุษย์ มันสามารถป้องกันน้ำได้และไม่ต้องกลัวสีตก วิธีนี้นางเอาความรู้ในอดีตมาใช้ให้เกิดประโยชน์ ลองผิดลองถูกก็หลายครั้ง

อีกหนึ่งปีต่อมาจ้าวเหม่ยเซียนก็สำเร็จวิชาการแพทย์ของหมอปีศาจที่ยุทธภพร่ำลือ ระหว่างที่นางได้ปรุงยาเวลาว่างอาจารย์ชอบให้นั่งสมาธิจับสัมผัสลมปราณของโลกนี้เพื่อเพิ่มพลังวัตรให้กับตัวเอง

“เซียนเอ๋อร์เจ้าออกมาหน่อยสิ”

จ้าวเหม่ยเซียนลุกขึ้นหลังออกจากกระท่อมโกโรโกโสไปหาอาจารย์ข้างนอก นางเห็นชายชราสวมใส่อาภรณ์สีดำยืนลูบหนวดพูดคุยกับอาจารย์อยู่และไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน

“เซียนเอ๋อร์คารวะท่านอาวุโสเจ้าคะ”

จ้าวเหม่ยเซียนย่อตัวลงทำความเคารพอย่างอ่อนน้อม แววตาที่มากด้วยประสบการณ์หรี่ตามองนางเหมือนจะมองให้ทะลุเข้าไปในจิตใจ

“ตาแก่อย่ามองสำรวจร่างลูกศิษย์ข้านะ” อาจารย์เอ่ยเสียงดุชายชราตรงหน้าซึ่งทำให้ผู้อาวุโสรั้งสายตากลับมามองอาจารย์อีกครั้ง

“นังหนูนี่ใช่คนที่เราเจอที่ใต้น้ำตกหรือเปล่า”

คำถามของชายชราทำให้จ้าวเหม่ยเซียนหันไปมองอย่างสนใจ มือเหี่ยวย่นลูบหนาดขาวของตัวเองอย่างครุ่นคิด นางยังจำได้ว่าอาจารย์เคยเล่าว่าพบเจอนางพร้อมเฒ่าทารก

“ใช่ มีอะไรหรือแก่จนเลอะเลือนไปแล้ว”

“เฮอะ ข้าอายุแค่สองร้อยปี จะไปเลอะเลือนเหมือนยายเฒ่าอย่างเจ้าได้อย่างไร”

“หน้อยย ตาแก่ข้ากับเจ้าห่างกันแค่ปีเดียว หากข้าเลอะเลือนเจ้าก็ไม่ต่างจากข้าหรอก”

จ้าวเหม่ยเซียนมองทั้งสองคนตาปริบๆ อายุสองร้อยปี! นางได้ยินไม่ผิดใช่ไหม

“ข้าไม่มีเวลามาทะเลาะกับเจ้า ว่าแต่เจ้าเถอะหนึ่งปีมานี้ออกจากหุบเขาบ้างยัง”

“ยัง ทำไมข้าต้องไปปรากฏตัวไปทั่วด้วย” อาจารย์นางตอบกลับอย่างไม่สนใจขณะรินน้ำชาขึ้นจิบอย่างอารมณ์ดีเหมือนกับว่าการเถียงกันของทั้งคู่เป็นเรื่องปกติ

ผ่านไปนานเท่าไหร่ไม่อาจรู้ได้ตอนนี้ร่างกายเธอโทรมไปด้วยเหงื่อ กินรีหอบหายใจอย่างเหนื่อยอ่อน นิ่วหน้าอย่างสงสัยความทรงจำของสตรีผู้งดงามและสูงส่งนั่นมีนานว่าจ้าวเหม่ยเซียนแต่ตอนนี้เธอจับต้นชนปลายไม่ถูกว่าเกี่ยวอะไรกับเธอ

“เจ้าฟื้นแล้วหรือนังหนู”

เสียงหญิงชราในอาภรณ์สีฟ้าอ่อนเอ่ยถาม นางเดินเข้ามาพร้อมถ้วยยาในมือ กินรีมองตามอย่างมึนงงหญิงชราตรงหน้าเหมือนผู้คนปกติ แต่ที่ผิดปกตินางสวมใส่อาภรณ์ที่คล้ายคนจีนในยุทธภพซึ่งเขียนในนิยายอยู่บ่อยครั้ง

“ดื่มยาเสียหน่อยจะได้ดีขึ้น นับว่าเจ้ายังโชคดีที่เจอข้าโหยวลี่ไม่เช่นนั้นคงได้เป็นอาหารพวกเสือไปแล้ว”

น้ำเสียงที่เอ่ยบอกนั้นดูราบเรียบแต่แฝงไว้ด้วยห่วงใย กินรีอยากเอ่ยถามมากมายแต่รู้สึกคอแห้งไปหมด เธอรับน้ำสีเขียวขุ่นมามองอย่างไม่แน่ใจ

เมื่อเห็นสายตาเข้มงวดของหญิงชราตรงหน้าจึงยกขึ้นดื่มอย่างระวัง ก่อนจะชะงักเมื่อเห็นมือขาวผ่องอ่อนนุ่มเหมือนได้รับการดูแลมาอย่างดี นิ้วมือเรียวเล็กสวยงามแต่สิ่งที่สะดุดคือมือเธอเล็กลง

กินรีข่มอาการตื่นตระหนกของตัวเองไว้ในอก เงยหน้ายื่นถ้วยคืนหญิงชราตรงหน้าแล้วกล่าวอย่างนอบน้อม

“ขอบคุณผู้อาวุโสที่ช่วยเหลือข้า”

“นับว่าเป็นวาสนาของเจ้าที่ข้าสองเฒ่านึกเอ็นดูจึงได้หยิบยื่นมือไปช่วย”

กินรีไม่ได้เอ่ยถามว่าที่นี่ที่ไหนทั้งๆ ที่ใจกำลังเต้นโครมคราม ความหวาดกลัวลึกๆ ภายในใจตอนนี้คือกลัวว่าตัวเองตายแล้วและกำลังอยู่ในร่างของหญิงสาวที่ชื่อจ้าวเหม่ยเซียน ซึ่งเธอเป็นถึงพระธิดาคนโปรดของของฮ่องเต้จ้าวเหวินซานของแคว้นจ้าว

“พักผ่อนเถอะ ร่างกายของเจ้าแช่น้ำนานเกินไปจึงทำให้อาการเจ็บป่วยหนักกว่าผู้อื่น แต่เมื่อมาเจอข้าโหยวลี่หมอปีศาจย่อมไม่ตายง่ายๆ หรอกฮ่าๆๆ”

หญิงชราบอกเสียงโทนสูงพร้อมเสียงหัวเราะอย่างรื่นเริงพร้อมเดินจากไปอย่างคล่องแคล่ว กินรีล้มตัวนอนอีกครั้งเผื่อหลับไปจะได้ตื่นขึ้นมาที่ห้องของตัวเองอีกครั้ง

ผ่านไปอีกหนึ่งราตรีที่กินรีตื่นขึ้นมายังอยู่ในกระท่อมที่เดิม ครั้งนี้ร่างกายแข็งแรงขึ้นมากและได้มีโอกาสสำรวจร่างกายตัวเองอีกครั้ง ภาพที่สะท้อนเงาน้ำในโอ่งของท่านผู้เฒ่าทำให้เธอเห็นหน้าตาตัวเองชัดขึ้น

ใบหน้าซีดเผือดเมื่อคนที่เห็นคือจ้าวเหม่ยเซียนจริงๆ ร่างนี้มีอายุราวสิบสามปีเป็นสตรีที่งดงามและเพียบพร้อมสมกับเป็นธิดาของมหากษัตริย์ ความทรงจำสุดท้ายของจ้าวเหม่ยเซียนคือนางออกมาประพาสป่ากับพระบิดาแต่ถูกแผนการชั่วของใครบางคนภายในตำหนักหลัง นางหนีและผลัดตกหน้าผาซึ่งมีน้ำตกสูงชัน

กินรีหยิบหยกสีเขียวหมอกป้ายหยกประจำตำแหน่งของตัวเองมาดู เธอถอนหายใจแล้วเก็บมันไว้อย่างไม่มีทางเลือก คงหักโหมกับงานไม่หลับไม่นอนและยังกินแต่อาหารขยและ กาแฟ จนในที่สุดร่างกายก็รับไม่ไหว ตายลงอย่างน่าอนาถ ป่านนี้คงออกข่าวหน้าหนึ่งไปแล้ว นักเขียนสายวายในวงการถูกสามีทิ้งทำใจไม่ได้จนคิดฆ่าตัวตาย

เฮ้อ… แค่คิดก็รู้สึกอนาถกับตัวเอง กินรีไม่ได้เศร้าจนคิดทำลายชีวิตที่พ่อกับแม่มอบให้ซะหน่อย แต่ในเมื่อตายแล้วและสวรรค์ให้โอกาสใหม่ เธอจะต้องมีชีวิตที่ดีและใช้มันอย่างคุ้มค่า และต่อไปนี้เธอจะเป็นจ้าวเหม่ยเซียนเอง!

“วันนี้เป็นไงบ้างนังหนู”

หญิงชราลอยตัวลงมาพร้อมเอ่ยถามจ้าวเหม่ยเซียนเสียงเรียบ นางมองตามอย่างตื่นเต้นกับโลกแห่งนี้ซึ่งมีวรยุทธที่ล้ำเลิศ ชีวิตในวังหลวงที่ดูสุขสบายแต่ในความทรงจำมันกลับเหน็บหนาวเย็นเยือกแก่งแย่งชิงดีกันอย่างไม่มีสิ้นสุด

จ้าวเหม่ยเซียนอดีตเป็นเด็กสาวที่เย่อหยิ่งทระนงตัวเอง เพราะคิดว่านางเกิดจากฮองเฮา นางมีพี่ชายร่วมมารดาหนึ่งคนซึ่งกุมอำนาจทหารได้บางส่วนจากตำแหน่งองค์รัชทายาท แต่เรื่องในวังช่างเถอะ ตอนนี้นางคือจ้าวเหม่ยเซียนและนางอยากเรียนวรยุทธ!

“ท่านยาย ท่านเก่งกาจมากรักษาผู้เยาว์ได้อย่างหายขาดวิชาเหาะเหินของท่านก็ว่องไว ท่านยายเจ้าขารับเหม่ยเซียนเป็นลูกศิษย์ด้วยนะเจ้าคะ”

แม้แต่เธอที่เป็นภรรยาก็ยังไม่ละเว้น เธอมองตามอย่างเบลอๆ คนอื่นอาจจะกรีดร้องแต่เธอกลับใจเย็นกว่าที่เห็น แม้แต่ตัวเธอยังไม่อยากเชื่อว่าตัวเองจะนิ่งได้ขนาดนี้ เธอเอียงคอมองกันต์ธรแล้วเอ่ยถามเสียงเรียบ

“หึง?”

“ใช่ ถึงเธอจะเป็นเมียเรา แต่ขอร้องเธอถอยออกไปจากชีวิตเราได้ไหม แต่ไม่ต้องออกจากบ้านนี้เพียงแค่เธอไม่ออกจากพื้นที่ส่วนตัวมากเท่านั้นพอ”

คำตอบที่แสนเย็นชาและเห็นแก่ตัวไม่ได้ทำให้กินรีรู้สึกเสียใจ อาจเพราะตอนนี้หัวใจมันชาจนไร้ความรู้สึก แค่คำพูดนั้นเธอก็เข้าใจอะไรได้ ว่ากันต์ธรไม่อยากให้ทางบ้านรับรู้ว่าเรากำลังเลิกกัน

ตอนนี้เธอเป็นภรรยาแค่ในทะเบียนสมรส บ้านหลังนี้เป็นเรือนหอซึ่งทางบ้านของกันต์ธรเป็นคนซื้อให้ เธอก็ไม่จำเป็นต้องอยู่ให้อีกฝ่ายปวดใจ กินรีพยักหน้าตอบรับอย่างง่ายดาย ดวงตาสวยมองทั้งคู่สองเท้าขยับไปใกล้พวกเขามากขึ้นและจับมือทั้งคู่จับกันไว้

“รักกันนานๆ นะ อย่างไรฉันก็ยังเป็นเพื่อนนาย”

นั่นคือสิ่งที่เธอคิดได้ การจากกันด้วยดีมันยังมีความรู้สึกมิตรภาพที่ดีหลงเหลือ แต่หากจากกันด้วยความแค้นแม้แต่ตัวเธอเองก็จะไม่มีความสุขไปด้วย

“เราคิดแล้วว่าเธอต้องเข้าใจ และขอโทษสำหรับที่ผ่านมา แต่คนนี้เราหวงจริงๆ”

กินรีมองดูทั้งคู่นิ่งๆ ก่อนจะพยักหน้ารับและผละออกมาอยู่ภายในห้องนอนส่วนตัวของตัวเอง เวลานั้นหัวใจรู้สึกว่างเปล่าไม่มีน้ำตา เธอเหม่อมองออกไปนอกระเบียงห้องและเฝ้าครุ่นคิดเสมอว่าที่ผ่านเป็นความผิดของใคร ของเธอหรือของกันต์ธร…

หลังจากที่สามีพาผู้ชายคนใหม่มาอยู่ในบ้าน กินรีก็หมกตัวอยู่ภายในห้อง ออกไปแค่หาอะไรกินและกลับมาทำงานต่อ จนในที่สุดงานก็เสร็จเรียบร้อยเหมือนในเวลานี้ ทว่าภายในห้องตอนนี้มีแต่อาหารสำเร็จรูป ไวไว และขนมเต็มห้อง

ถามว่าตอนนี้รู้สึกอย่างไร บอกได้เลยว่าเธอเสียใจและรู้สึกเจ็บใจมากกว่า ว่าทำไมกันต์ธรต้องไปเป็นเมียเขาเสียเอง เป็นสามีหมอนั่นไม่ได้หรือไง ทำไมต้องเป็นฝ่ายรับด้วย แต่ดูจากสภาพแล้วก็ได้แต่พูดไม่ออก หลับตาดูยังรู้เลยว่าใครจะรับใครจะรุก

กินรีนวดขมับที่ปวดอยู่เบาๆ ก่อนจะคลิกส่งงานให้บก. เธอยังใช้ชีวิตเหมือนเดิม ไม่มีใครรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เธอผ่อนลมหายใจเมื่องานที่รับมาส่งจนเรียบร้อยแล้ว หลังจากนี้จะขอหยุดพักหัวใจและพักงานเพื่อทบทวนกับตัวเองว่า เธอผิดใช่ไหม? เรื่องราวถึงลงเอ่ยอย่างนี้

อึก!

กินรีกุมหน้าอกตัวเองด้วยความเจ็บ มันเจ็บและแน่นหน้าอกอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เกิดอะไรขึ้น? เธอกลิ้งตกจากเก้าอี้ด้วยความเจ็บ หัวใจมันบีบรัดจนหายใจไม่ออก เธอไม่ได้เป็นโรคหัวใจทำไมถึงเจ็บ เธอไม่ได้กินยาอะไรลงไปทำไม…

กินรีรู้สึกดวงตาพร่าเลือนหอบหายใจแรงขึ้น เสียงโทรศัพท์รุ่นใหม่ล่าสุดดังขึ้น และคงจะเป็นบก. โทรมา เพราะขอหยุดพักงานยาวอย่างไม่มีกำหนดและไม่มีเหตุผลให้ฟัง

ทว่ามือเธอสั่นมากจนไม่สามารถขยับตัวไปรับได้ ร่างกายรู้สึกชาไปหมด หายใจไม่ออก ความมืดเริ่มคืบคลานเข้ามา เธอยังไม่อยากตายถึงจะอกหักแต่ยังเห็นความสำคัญของชีวิต แต่ตอนนี้เธอหายใจไม่ออกจริงๆ ทรมานเหลือเกิน…

กินรีลืมตัวตื่นขึ้นมาด้วยความเหนื่อยล้า ความเหน็บหนาวทิ่มแทงเข้าไปในร่างจนต้องฝืนลืมตาตื่น เธอนิ่วหน้าด้วยความเจ็บปวดเมื่อร่างกายปวดร้าวระบมไปหมด เธอปรับสายตาให้เข้ากับแดดที่แยงตาก่อนจะสำรวจรอบกายตัวเอง

คิ้วขมวดมุ่นจำได้ว่าตัวเองอยู่ในห้องที่เป็นเรือนหอ เธอตั้งใจว่าจบงานนี้แล้วจะย้ายออกไปแต่สิ่งที่เห็นตอนนี้คือกระท่อม! เธอลุกขึ้นนั่งมองรอบกายอย่างไม่แน่ใจหลับตาและลืมตาขึ้นมาอีกครั้งก็ยังเหมือนเดิม ตอนนี้เธอนั่งอยู่บนแคร่ไม้ภายในกระท่อมหลังนี้

พลันใดนั้นกินรีก็รู้สึกปวดศีรษะจนแทบจะแตกพร้อมความทรงจำมากมายของใครบางคนหลั่งไหลเข้ามาในหัวราวกับเขื่อนน้ำแตก เธอกัดฟันนอนกับแคร่ทนรับความเจ็บ

เซียวหยวนซานจับมังกรของตนเข้าไปในร่องสวาทของภรรยาสาวอย่างอ่อนโยน ทว่าแม้จะเบามือเพียงใดความคับแน่นที่ได้รับกลับมาก็แทบทำให้เขาคลั่ง

“อ๊ะ อื้อ เจ็บ”

จ้าวเหม่ยเซียนร้องบอกเสียงเบา ความใหญ่โตที่สอดประสานกับนางมันใหญ่มากเกินไปจริงๆ แต่เมื่อเห็นสีหน้าของคนรักทำให้นางได้แต่อดทนพยายามผ่อนคลายร่างกายตอบรับความใหญ่โตนั้นอย่างเต็มอกเต็มใจ

“อดทนอีกนิดนะ”

เซียวหยวนซานเอ่ยบอกเสียงแหบพร่า ยิ่งเห็นภรรยาสาวให้ความร่วมมือยิ่งทำให้เขารักใคร่นางมากยิ่งกว่าเดิม เขาจุมพิตเหงื่อบนหน้าผากนางอย่างแผ่วก่อนจะขยับกายเข้าไปลึกมากยิ่งขึ้น จนในที่สุดก็เข้าไปได้จนหมด ทว่าเขาไม่ได้ใจร้อนที่จะเอาแต่ใจ แม้เขาอยากจะระเริงรักกับนางอย่างเร่าร้อนก็ตาม

“อ๊ะ อา…”

จ้าวเหม่ยเซียนเริ่มครางเบาๆ เมื่ออีกฝ่ายขยับกายหนาแม้จะเป็นจังหวะช้าเพราะยังพึ่งเริ่มขึ้น ทว่านางกลับเสียวซาบซ่านและเริ่มเข้าใจดีว่าสามีว่าต้องอดทนมากแค่ไหน

“อ๊ะ อา… เร็วอีกหน่อย”

เสียงหวานเรียกร้อง ใบหน้าคมคายจึงเผยรอยยิ้มมากขึ้น จากนั้นจึงเคลื่อนไหวสะโพกรัวเร็วมากขึ้นกว่าเดิม ความวาบหวานเสียวซ่านที่ได้รับทำให้ชายหนุ่มเผลอลืมตัว มือหนาบีบนวดเนินอกอวบอิ่มเต็มรักขณะที่เอวสอบยืนหยัดเคลื่อนไหวอย่างรุนแรง

“อ๊ะ อะ อ่า….”

เสียงครวญครางเป็นจังหวะแผ่วเบาและสูงต่ำตามแรงขับเคลื่อนของกายหนา ค่ำคืนเข้าหอพวกเขามีค่าเท่าทองคำจึงได้เก็บเกี่ยวค่ำคืนแห่งความหวานล้ำนี้ตลอดจนรุ่งสาง…

ถึงกระนั้นความรักความวาบหวานที่พวกเขาปรนเปรอซึ่งกันและกันนั้น หาใช่มีแค่ค่ำคืนนี้ไม่ เพราะพวกเขาจะร่วมบรรเลงเพลงจนร่างกายจะยืนหยัดต่อไปไม่ไหว และต่อให้ผมทั้งคู่หงอกขาวก็จะเคียงคู่กันตลอดไป…

หลังจากแคว้นจ้าวสงบ ร่มเย็นเป็นสุขดีแล้ว จ้าวเหม่ยเซียนก็ได้เดินทางกลับแคว้นเว่ยพร้อมสวามีอีกครั้ง ทว่าการกลับมาอย่างนี้ทำให้นางพบปัญหาใหญ่อีกครั้ง

 

เมื่อฮ่องเต้เว่ยหยางหมิงเตรียมพระชายารองไว้ให้บุตรชาย นางไม่ได้อาระวาดทำตัวราวกับสตรีไร้สติ แต่นางกลับให้สามีจัดการเรื่องนี้ด้วยตนเอง

ซึ่งเซียวหยวนไม่ได้ทำให้นางผิดหวัง เขาได้สละตำแหน่งรัชทายาทและออกจากการเป็นเชื้อพระวงศ์ ไม่ยอมรับชายาที่บิดาหามาให้และออกเดินทางพานางไปดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์ในแคว้นต่างๆ ที่มีคนบอกว่าที่ใดงดงามนางก็จะไปที่นั่น

ระหว่างนั้นก็ได้รักษาผู้คนไปเรื่อย แม้บางคนไม่มีเงินตราจ่ายนาง นางก็ไม่ได้เรียกร้องเอาเพราะใจนางกลับรู้สึกสงบสุขทุกครั้งที่ได้ช่วยเหลือผู้คน แต่หากเป็นขุนนางชั่วช้านางก็รีดไถ่พวกนั้นมาอย่างสาสม

ทั้งคู่จับมือจูงกันเดินไปทั่วยุทธภพ จนเกิดตำนานมากมายระหว่างเรื่องเล่าของทั้งคู่ มีทั้งดีและร้ายปะปนกัน ทว่าพวกนางกลับไม่ได้สนใจ จนกระทั่งนางตั้งครรภ์เซียวหยวนซานจึงได้พานางกลับสำหนักแสงจันทร์อีกครั้ง

ที่นี่คือที่พวกเขาตั้งใจสร้างหลักปักฐานละทิ้งเชื้อพระวงศ์เป็นชาวยุทธภพอย่างเต็ม ที่นี่ทำให้พวกนางมีอิสระไม่ต้องมีกฎเกณฑ์ในรั่วในวัง ไม่ต้องมีสนมมากว่าสามพันนางให้ปวดหัว

 

“ข้ารักเจ้าเซียนเอ๋อร์”

เซียวหยวนบอกเสียงแผ่วขณะที่ทั้งคู่นั่งอยู่บนหลังคาเพื่อชมจันทร์ภายในสำนักแสงจันทร์ สองแขนโอบประคองร่างนางไว้บนตัก มือหนาลูบท้องที่เริ่มนูนขึ้นของนางอย่างรักใคร่

“ข้าก็รักท่านเซียวหยวนซาน”

จ้าวเหม่ยเซียนยกยิ้มแผ่วเบา ชาตินี้นางมีความสุขมากจริงๆ ตอนนี้นางมีครอบครัวที่สมบูรณ์แบบอย่างที่ใจปรารถนามาโดยตลอด

ขอบคุณโชคชะตาที่ทำให้นางมาพบสามีคนนี้ คนที่พร้อมจะเป็นทุกอย่างให้นาง คนที่รักนางด้วยหัวใจ สองมือเล็กๆ จับมือหนาไว้แน่น นางจะจับมือจูงกันเดินจนผมหงอกขาว

แม้กระทั่งสองเท้าก้าวเท้าลงสู่แม่น้ำเหลืองนางก็จะไม่ปล่อยมือคู่นี้ตราบชั่วนิรันดร์…

จบบริบูรณ์

เจ้าสาวในอาภรณ์สีแดงสด เวลานี้กลับงดงามตราตรึงเซียวหยวนซานจนแทบทำให้เขาหยุดลมหายใจ ใบหน้างามล้ำที่อยู่ใต้ผ้าคลุมบางๆ แม้จะเห็นอยู่บ่อยครั้งทว่ากลับทำให้เขาหลงใหลมากขึ้นทุกวัน

ยิ่งนานวันความรู้สึกพี่มีให้จ้าวเหม่ยเซียนกลับล้ำลึกจนไม่สามารถกล่าวออกมาได้หมด รู้เพียงแค่แม้จิตวิญญาณเขาก็มอบให้นางได้

วันนี้ในที่สุดก็ถึงคืนเข้าหอที่เขาเฝ้ารอมานาน เซียวหยวนซานใช้ไม้คันชั่งเปิดผ้าคลุมหน้าเจ้าสาวออกอย่างแผ่วเบา ดวงตาคู่สวยมองสบตาเขาอย่างเก้อเขิน นางมีท่าทางประหม่าจนเห็นได้ชัด เขายกยิ้มอ่อนโยนให้เจ้าสาวหมาดๆ

“เซียนเอ๋อร์เจ้ากลัวหรือไม่”

จ้าวเหม่ยเซียนเงยหน้ามองสบตากับเจ้าบ่าวในอาภรณ์สีแดงอย่างเขินอาย แม้นางจะเคยแต่งงานมาแล้วแต่พิธีโบราณเช่นนี้มันให้ความรู้สึกที่แตกต่างกัน อีกทั้งการแต่งงานในครั้งนี้ของพวกเธอเกิดจากความรัก นั่นทำให้เธอรู้สึกตื่นเต้นไม่น้อย

“ข้ากลัวนิดหน่อย”

จ้าวเหม่ยเซียนตอบกลับอย่างแผ่วเบา นางไม่ค่อยมีประสบการณ์มากนักเพราะที่ผ่านมามันก็เหมือนความฝัน นางไม่ได้รู้สึกสุขสมดังเพื่อนฝูงกล่าวไว้

นางรู้แค่ความเจ็บปวดเท่านั้นตอนนั้นกันต์ธรไม่ได้อ่อนโยนกับนางและทำเหมือนนางเหมือนหุ่นที่ไร้ชีวิตจิตใจเท่านั้น เวลานั้นนางคิดว่าต่างคนต่างไม่มีประสบการณ์ แต่มาวันนี้ทำให้นางกระจ่างชัดว่าผู้ชายคนนั้นไม่ได้ชอบผู้หญิงเท่านั้น

“ข้าสัญญาจะอ่อนโยนกับเจ้า”

เซียวหยวนซานเอ่ยบอกอย่างอ่อนโยน ก่อนจะก้มลงจุมพิตริมฝีปากบางอย่างถวิลหา ความหวานล้ำที่แทรกซึมทำให้ลิ้มร้อนของทั้งคู่ตวัดเกี่ยวกันอย่างรักใคร่

ความอ่อนหวานแปรเปลี่ยนเป็นเร่าร้อน ฝ่ามือใหญ่ลูบไล้ไปทั่วเรือนร่างบอบบางของจ้าวเหม่ยเซียนอย่างรักใคร ทะนุถนอม เพียงไม่นานอาภรณ์สีแดงงดงามก็ถูกปลดออกจนหมดสิ้น สองร่างแนบชิดกันอย่างไม่หลงเหลือช่องว่างๆ ใด

จ้าวเหม่ยเซียนหน้าแดงก่ำเมื่อถูกสายตาคู่คมที่เต็มไปด้วยไฟราคะจ้องมองอย่างเร่าร้อน นางสั่นเล็กน้อยแต่ความวาบหวามที่ถูกมอบให้กลับทำนางรู้สึกชื่นชอบอย่างไม่รู้ตัว นางให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี

เซียวหยวนจุมพิตเนินอกอวบอิ่มขาวเนียนตรงหน้าอย่างสนอกสนใจ ก่อนจะใช้ลิ้นร้อนโลมเลียเม็ดปทุมงามอย่างปลุกเร้าคนงามที่หน้าแดงก่ำ แอ่นอกตอบรับเขาอย่างน่ารักจนแทบอดกลั้นความอดทนไม่ได้ ทว่านี่เป็นครั้งแรกของพวกเขาจึงอยากให้นางประทับใจและมีความสุขที่สุด

 

สองมือฟ้อนเฟ้นบำเรอ ขณะที่ลิ้นร้อนเคลื่อนลงมายังหน้าท้องขาวเนียน ก่อนจะลงต่ำมาเรื่อยๆ จนถึงเนินสวรรค์ที่งดงามจนไม่อาจถอนสายตาไปได้ สองมือยกขาเรียวสวยชันขึ้นพร้อมก้มลงละเลียดเม็ดสวรรค์อย่างสนใจใคร่รู้

“อ๊ะ… อา… หยวนซาน”

เสียงหวานเรียกชื่อสามีนางอย่างหวานล้ำ ดวงตาคลอไปด้วยไฟปรารถนา ความเสี่ยวซ่านที่ได้รับทำให้นางอยากเรียกร้องมากกว่านี้ ลิ้นร้อนกวาดชิมน้ำหวานในโพรงอย่างตะกละตะกลาม จนนางตัวสั่นด้วยความสุขสม

“อะ อะ อา…”

 

ยิ่งเสียงหวานร้องครางดังมากเท่าไหร่ เซียวหยวนซานยิ่งบำเรอนางมากยิ่งขึ้น ลิ้นร้อนเร่งความเร็วพร้อมดูดกลืนเม็ดสวรรค์อย่างหลงใหล ความหอมหวานของกายสาวยิ่งทำให้เขาหมกมุ่นมากยิ่งขึ้น

“อ๊า ที่รักข้าเสียว…”

จ้าวเหม่ยเซียนเอ่ยบอกเสียงแหบพร่า นัยน์ตางามหยาดเยิ้มไปด้วยไฟราคะที่ถูกปลุกขึ้น นางแอ่นสะโพกตอบรับลิ้นร้อนด้วยความซาบซ่าน

“อ๊ะ อะ อา…”

เสียงหวานร้องครางพร้อมร่างสั่นกระตุกเมื่อนางแตะไปถึงขอบสวรรค์ เซียวหยวนซานเลียริมฝีปากตัวเองอย่างกระหาย ร่างบอบบางของภรรยาคนงามยามนี้พร้อมรับมังกรของเขาแล้ว…

“ให้ข้าได้รักเจ้ามากกว่านี้นะเซียนเอ๋อร์”

เสียงแหบพร่าของบุรุษที่ขึ้นชื่อว่าสามีทำให้จ้าวเซียนเอ๋อร์พยักหน้ารับ มองความใหญ่โตของสามีอย่างหวาดหวั่น ขณะเดียวกันก็ปรารถนาให้อีกฝ่ายมาเติมเต็มความรู้สึกให้นาง

เสียงเคาะแป้นคีบอร์ดดังระรัว ด้วยนิ้วเรียวสวยซึ่งใครเห็นต่างอิจฉา ทว่าเวลานี้กินรีต้องใช้งานนิ้วอย่างหนักเพราะเดทไลน์ที่เหลือเพียงแค่หนึ่งวันเท่านั้น

ใบหน้าเรียวคมสวมแว่นตาหนาเตอะแต่ดูซีดเซียวขอบตาเป็นหมีแพนด้าเนื่องจากอดหลับอดนอนมาหลายวัน เธอเคาะแป้นพิมพ์เป็นครั้งสุดท้ายเมื่อได้พิมพ์คำว่า “จบบริบูรณ์” ซึ่งมันทำให้เธอดีใจมากเพราะสิ่งที่รักใกล้จะออกมาเป็นหนังสือ หลังจากทุ่มเทแรงกายแรงใจมานานนับเดือน เธอยกมือปาดเหงื่ออย่างเหนื่อยๆ

กินรีเป็นนักเขียนแนววาย ซึ่งก็คือชายรักชายที่กำลังโด่งดังในเวลานี้ภายใต้นามปากกาว่า “พู่กันเทพ” นิยายของเธอเป็นที่ชื่นชอบของเหล่าสาววายและหนุ่มวายอีกทั้งหญิงแท้ชายเทียม มากหน้าหลายตา

และเพราะเธอสร้างสรรค์นิยายแนวนี้ถึงได้มีคนเข้าใจผิดว่าเธอเป็นกระเทย! กอปรกับรูปร่างสูงหนึ่งร้อยเจ็ดสิบห้าเซนต์และยังมีใบหน้าสวยคมมองผิวเผินเหมือนผู้ชายแปลงเพศมา แต่เธอไม่สนใจเพราะยังไงก็มีสามีแล้ว เธออายุสามสิบปีมีสามีเป็นตัวเป็นตนและแต่งงานกันมาได้หนึ่งปี

‘กันต์ธร’คือชื่อสามีของกินรีเขาหน้าตาหล่อเหลาผิวขาวและสูงร้อยแปดสิบเซนต์ซึ่งเป็นความฝันของสาวๆ กันต์ธรชอบยิ้มอ่อนโยนอยู่เป็นนิจอีกทั้งกิริยาเรียบง่ายของเขาทำให้เราเข้ากันได้ดี ที่สำคัญพ่อกับแม่เห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง คนนี้คือคนที่พ่อกับแม่หามาให้เธอนั่นเอง

จะคิดว่าเธอไม่มีปัญญาหาสามีเองเหรอ? จะว่าอย่างนั้นก็ได้ นักเขียนที่ชอบเก็บตัวอยู่แต่ภายในห้องส่วนตัวของตัวเอง ทำตัวไม่ต่างจากพวกฮิกกี้จะเอาเวลาที่ไหนไปหาสามี

ที่สำคัญกินรีเป็นสาววาย ได้แต่จับคนนั้นมาจิ้นกับคนนี้จึงไม่มีแฟนเป็นตัวเป็นตนกับเขาสักที จวบจนจะสามสิบนึกว่าจะได้ขึ้นคานเสียแล้ว นับว่าเฒ่าจันทราไม่ได้แล้งน้ำใจกับเธอมากเกินไป อย่างน้อยก็ส่งผู้ชายแสนเฟอร์เฟกมาให้

ทุกอย่างกันต์ธรดีหมดไร้ที่ติ แต่เสียอย่างเดียว! งานเขาเยอะมากไม่ค่อยได้กลับบ้านเห็นหน้าเธอก็เดือนละครั้งและแต่ละครั้งก็หลับเป็นตาย กิจกรรมอย่างว่าอย่าคิดว่าเธอจะบรรลุ เพราะตั้งแต่แต่งงานมาเธอเสียบริสุทธิ์แค่ครั้งเดียวเท่านั้น! ให้ตายสิ เธอช่างไร้เสน่ห์สิ้นดี

แต่!!! ที่พล่ามมามันไม่เกี่ยวกับที่เธอไร้เสน่ห์ยั่วยวนสามีหรอก จุดสำคัญคือย้อนไปเมื่อสามวันก่อน กินรีนั่งทำงานตามปกติแต่ในวันนั้น สามีเธอพาผู้ชายคนหนึ่งเข้าบ้าน ใบหน้าหล่อขั้นเทพอีกทั้งร่างสูงเท่สมาร์ทใบหน้าเงียบขรึมมองเธออย่างเฉยเมยไม่มีคำทักทาย ไม่มีแม้แต่รอยยิ้ม

“กินรีนี่แฟนฉัน” คำแนะนำแรกของสามีเหมือนฟ้าผ่ากลางหัว กินรีมองดูทั้งคู่อย่างโง่งมและเอ่ยถามอย่างไม่แน่ใจ

“แฟน? หมายความว่าไง”

กันต์ธรมองหน้ากินรีนิดหนึ่งเขาไม่ได้มีรอยยิ้มอ่อนโยนเหมือนที่ผ่านมา เขามองเธอเหมือนคนแปลกหน้าที่ไม่ได้อยู่ร่วมกันมาหนึ่งปี เขาเดินไปยังชั้นหนังสือภายในห้องนั่งเล่นแล้วหยิบนวนิยายที่เธอเป็นคนเขียนเองยื่นมาให้ดู

“ฉันเป็นแบบที่เธอเขียน เขาเป็นสามีฉัน”

ณ เวลานั้นกินรีอึ้งจนพูดไม่ออก หัวใจเหมือนจะหยุดเต้น เธอมองใบหน้าหล่อเหลาของสามี ก่อนจะหันกลับไปมองคนที่ได้ขึ้นชื่อว่าสามีของสามีเธอ งงกันไหม เธอไม่งงนะแต่กำลังอึ้ง เธอไม่รู้ว่าเวลานี้เป็นความผิดของใคร เป็นเธอที่เขียนนิยายวายมากเกินไป

หรือว่าเป็นที่เขาซึ่งเป็นเกย์อยู่นานแล้วแต่เพิ่งค้นพบตัวเอง แต่ไม่ว่าใครผิดเธอก็พูดไม่ออก สมองมึนเบลอไปหมด ไม่มีคำว่าขอโทษหรือขออภัย

เธอเป็นสาววายที่ชอบอ่านนิยายวายซึ่งเป็นเรื่องชายรักชาย แต่เวลานี้หัวใจเธอแทบหยุดเต้น เพราะบอกได้เลยว่าเธอก็รักกันต์ธรไปแล้วเหมือนกัน ไม่ถึงกับคลั่งไคล้แต่ก็มีความผูกพัน แม้เขาจะไม่ได้เป็นผู้นำที่ดีแต่เขาก็ยังเป็นสามีที่ดีเสมอมา

“ไม่เป็นไร เราอยู่ด้วยกันสามคนแล้วกัน”

นั่นเป็นคำตอบแรกที่กินรีคิดได้ตอนนี้ ทว่ากันต์ธรมองเธอตาขวางอย่างไม่พอใจ เอาตัวมาบังคนที่ยืนนิ่งเป็นธาตุอากาศมานานอย่างไม่ต้องการให้เธอได้สำรวจคนตรงหน้า บ่งบอกว่าคนนี้สำคัญและหวงมาก

เพราะข้าคือหมอ(ปีศาจ)

เพราะข้าคือหมอ(ปีศาจ)

Score 10
Status: Completed

เพราะถูกสามีหักหลัง จึงทำให้กินรีทุ่มเทให้กับงานเขียนเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนที่จะไปรักษาหัวใจระยะยาว ทว่าสวรรค์กลับเล่นตลกกับเธอ… เธอหัวใจวายตาย! โชคดีนักที่สวรรค์มิได้ใจร้ายกับนางมากนักจึงส่งให้มาอยู่ในร่างจ้าวเหม่ยเซียนที่เป็นถึงองค์หญิงคนสำคัญของแคว้นจ้าวและเป็นลูกศิษย์คนโปรดของหมอปีศาจ นางจึงใช้ชีวิตกับโอกาสครั้งที่สองอย่างคุ้มค่า อีกทั้งเฒ่าจันทรายังเมตตานางอยู่ถึงกับส่งหนุ่มหล่อมาทำให้หัวใจนางเต้นแรงอีกครั้ง …แต่จะเป็นใครและลงเอยอย่างไร

Options

not work with dark mode
Reset