เทพสังหาร ยุทธการระห่ำ 353 เซี่ยอวี่เหอ ตงฟางเมิ่ง เทียนซวงเอ๋อร์

ตอนที่ 353 เซี่ยอวี่เหอ ตงฟางเมิ่ง เทียนซวงเอ๋อร์

การแข่งขันสี่สุดยอดสาวงามแห่งพรรควรยุทธโบราณเรียกได้ว่าได้รับความสนใจจากพรรควรยุทธโบราณทั้งหมดในประเทศจีนและคนระดับสูงของทางการ แน่นอนว่าคนระดับล่างสุดของสังคมทำได้เพียงถูกบดบังดวงตาเท่านั้น เรียกได้ว่าคนที่วิ่งวุ่นเพื่อดำรงชีวิตไปทั้งชาติไม่อาจรู้ไปตลอดกาล บนโลกใบนี้มีเรื่องลึกลับอยู่มากมาย คุณไม่รู้หลายเรื่อง ไม่ได้หมายความว่าไม่มีอยู่

ตอนแรกเย่เทียนเฉินไม่ได้สนใจการแข่งขันของสี่สุดยอดสาวงามแห่งพรรควรยุทธโบราณอะไรเลย เขามาเรียนที่มหาวิทยาลัยหลงเถิงเพราะไม่อยากให้พ่อแม่กังวลเท่านั้น คิดว่าเขาไม่มีอะไรทำ แต่ความจริงเขายุ่งมาก พูดถึงตอนนี้ คุณชายใหญ่แห่งมหาวิทยาลัยหลงเถิงสามารถมาลอบสังหารเขาได้ทุกเมื่อ นี่เป็นคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งจนเขาไม่รู้ว่าจะเอาชนะได้หรือไม่ ส่วนสำนักโฮคุชินอิตโตริวที่ไม่อ่อนแอไปกว่าพรรคเส้าหลินซึ่งเป็นพรรควรยุทธโบราณของประเทศจีน ความสามารถลึกล้ำเป็นอย่างมาก จักรพรรดิดาบที่เป็นหัวเรือใหญ่เป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุดใน 10 อันดับแรกของโลก ซึ่งอยู่ในลำดับที่สาม นี่จะร้ายกาจระดับใดกัน?

การหายตัวไปของฉินเหยาเยว่ทำให้เย่เทียนเฉินรับรู้ถึงความผิดปกติ ฉินเหยาเยว่ไม่ใช่ผู้หญิงธรรมดา เธอซ่อนตัวได้ลึกล้ำมาก ความสามารถแข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่ง หากไม่ใช่เพราะว่าพลังพิเศษแห่งการรับรู้ของเย่เทียนเฉินร้ายกาจก็คงไม่พบฉินเหยาเยว่ ยิ่งไปกว่านั้นในตอนที่ทั้งสองพบกันก็ถูกเคล็ดวิชาสะกดใจของฉินเหยาเยว่เล่นงานด้วย เกรงว่าความลับมากมายเกี่ยวกับดาวสิ้นโลกของตนจะซ่อนเอาไว้ไม่อยู่แล้วแล้ว

พริบตาเดียวเย่เทียนเฉินก็หายไปจากตึกการเรียนการสอนของคณะโบราณคดี ไปยังภูเขาด้านหลังของมหาวิทยาลัยหลงเถิง ตอนนี้เป็นเวลาตีสี่แล้ว เขาไม่มีอะไรต้องซ่อนและไม่กลัวว่าจะถูกใคร เห็นยามค่ำคืนเป็นช่วงเวลาที่ผู้แข็งแกร่งจำนวนมากออกมาเคลื่อนไหว จะอย่างไรก็เรียกได้ว่าพวกเขาอยู่คนละโลกกับคนธรรมดาทั่วไป และไม่อยากถูกคนรู้มากนัก ไม่อยากรบกวนชีวิตของคนธรรมดา ดังนั้นในยามค่ำคืนจะมีคนที่แข็งแกร่งที่สุดอยู่มากที่สุด ในยามปกติพวกเขาจะเป็นเหมือนกับคนธรรมดา ดูเหมือนจะไม่มีใครมองออก

ในตอนที่เย่เทียนเฉินไปถึงภูเขาด้านหลังของมหาวิทยาลัยหลงเถิง เขาสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายที่แข็งแกร่งทั้งสามสาย หนึ่งในนั้นเป็นกลิ่นอายที่คุ้นเคยมาก เหมือนกับเคยพบมาก่อน กลิ่นอายอีกสองสายก็แข็งแกร่งจนถึงขั้นไม่อาจคาดเดา นี่อดไม่ได้ที่จะทำให้เย่เทียนเฉินตกตะลึง ผู้แข็งแกร่งสามคนอยู่ที่ภูเขาด้านหลังมหาวิทยาลัยหลงเถิง นี่ต้องการทำอะไรกัน? จำเป็นจะต้องตรวจสอบให้กระจ่าง

เย่เทียนเฉินรู้สึกแปลกใจกับพรรควรยุทธโบราณเป็นอย่างมาก เนื่องจากพรรควรยุทธโบราณในประเทศจีนสืบทอดกันมาหลายพันปี พรรควรยุทธโบราณที่สืบต่อมาได้ทั้งหมด หากไม่ใช่เพราะมีผลกระทบมากเกินไปจนไม่สามารถหายไปได้อย่างสิ้นเชิงเหมือนกับพรรคเส้าหลินและพรรคบู๊ตึ๊ง นอกเหนือจากนั้นมีพรรควรยุทธโบราณที่แข็งแกร่งจำนวนหนึ่งเดิม ทีก่อนหน้านั้นก็ซ่อนตัวแล้ว แต่ก็ไม่อาจดูถูกพรรควรยุทธโบราณที่แข็งแกร่งได้ ส่วนผรรคที่เหมือนกับผรรคเส้าหลินที่เปิดเผยในเบื้องหน้า แต่ความจริงความแข็งแกร่งที่แท้จริงของพวกเขาก็ปิดซ่อนเอาไว้ไม่ให้คนธรรมดาได้รู้และไม่มีความจำเป็นต้องทำเช่นนั้น นี่เป็นสาเหตุที่ว่าทำไมราชวงศ์ในประวัติศาสตร์ ไม่ว่าจะเป็นผู้มีอำนาจระดับสูงของราชวงศ์ไหนก็ทำทุกวิถีทางเพื่อกดดันและจับตามองพรรควรยุทธโบราณ เนื่องจากความแข็งแกร่งของพวกเขาเกินกว่าที่ทางการจะควบคุมได้ ยิ่งไปกว่านั้นถ้าหากพวกเขามีการเคลื่อนไหวอะไร จะส่งผลกระทบกับประเทศเป็นอย่างมาก เพราะคนพวกนี้แข็งแกร่งเกินไป กระทั่งแข็งแกร่งจนถึงขั้นไม่อาจจินตนาการ

เดินเข้าไปด้านหน้าอย่างไร้ซุ่มไร้เสียง เย่เทียนเฉินกดกลิ่นอายพลังพิเศษของตนเอาไว้ กดเอาไว้จนเหมือนจะสัมผัสไม่ได้ หัวใจของเขาเต้นช้ามาก นี่คือการใช้พลังของตนอย่างหนึ่ง เป็นวิธีสยบร่างกายของตัวเอง ยอดฝีมือหลายคนล้วนใช้วิธีการเช่นนี้ทำให้ตัวเองดูไม่แตกต่างอะไรจากคนธรรมดา มิฉะนั้นกลิ่นอายของผู้แข็งแกร่งจะปะทุออกมาได้ทุกเมื่อ คนธรรมดาสัมผัสเข้าไป ไม่ถูกกดดันจนตายก็นับว่าโชคดีแล้ว

เย่เทียนเฉินเดินอย่างระมัดระวังและกลั้นหายใจตลอดเวลา ทุกก้าวต้องใช้พลังพิเศษแห่งการรับรู้ไปสำรวจนานมาก ไม่ใช่ว่าเขากลัวอะไร แต่ไม่อยากแหวกหญ้าให้งูตื่น เขาอยากดูสักหน่อยว่าตกลงแล้วเป็นคนแข็งแกร่งสามคนอย่างไรกันแน่ที่จะรวมตัวกันบริเวณภูเขาด้านหลังของมหาวิทยาลัยหลงเถิงในเวลาแบบนี้ จะต้องมีความลับอะไรแน่นอน

ความจริงแล้วเย่เทียนเฉินเป็นคนที่มีความอยากรู้อยากเห็นเยอะมาก เป็นเพราะจุดนี้ของเขาทำให้ความสามารถของเขาพัฒนาไปได้รวดเร็ว ยิ่งไปกว่านั้นยังสร้างเคล็ดวิชาพลังพิเศษที่มีพลังสังหารรุนแรงของตนออกมาได้อีกด้วย ความรู้ไม่มีขีดจำกัด ไม่ว่าจะเวลาใดประโยคนี้ก็เหมาะสม

“เทียนซวงเอ๋อร์ ตงฟางเมิ่ง ไม่พบกันนานเลย ได้ยินว่าพวกเธอทั้งสองเข้าสู่โลกปกติแล้ว ชีวิตเป็นยังไงบ้าง?” ตอนนี้เอง เย่เทียนเฉินได้ยินเสียงอันคุ้นเคยเสียงหนึ่ง อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว คิดในใจว่าทำไมผู้หญิงคนนี้ถึงปรากฏตัวที่นี่ได้?

มองไปรอบๆ เสียงที่เย่เทียนเฉินได้ยินมาจากต้นไม้ด้านหน้า ทันใดนั้นจิตวิญญาณสั่นไหว เขารีบกระโดดขึ้นไปซ่อนตัวอยู่บนต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง หลบอยู่บนกิ่งไม้แล้วมองลงไป พยายามมองทุกอย่างที่อยู่บนพื้นว่างบริเวณต้นไม้ให้ชัดเจน ในตอนที่เขามองเห็นชัดเจนแล้ว ในใจก็ต้องตื่นตะลึง บริเวณพื้นที่ว่างใต้ต้นไม้มีผู้หญิงอยู่สามคน กลิ่นอายบนร่างของผู้หญิงสามคนนี้แข็งแกร่งมาก พลังภายในที่แข็งแกร่งแผ่ออกมาจากบนร่างของผู้หญิงทั้งสาม ทำให้เย่เทียนเฉินรู้สึกเสียวสันหลัง ผู้หญิงที่แข็งแกร่งขนาดนี้หาได้ยากจริงๆ หรือพวกเธอคือ…

“เซี่ยอวี่เหอ ได้ยินว่าอาจารย์ของเธอคัดค้านไม่ให้เธอมาตลอดไม่ใช่เหรอ? กลัวตายรึไง?” ผู้หญิงคนหนึ่งพูดขึ้นอย่างเย็นชา

เซี่ยอวี่เหอมองไปยังผู้หญิงคนนั้นอย่างดุดัน ตั้งท่าทางราวกับจะลงมือ ผู้หญิงที่พูดด้วยเสียงเย็นชาคนนั้นไม่ใช่คนใจดีอะไร ตั้งท่าทันทีเช่นกัน หากเซี่ยอวี่เหอลงมือผู้หญิงคนนั้นจะต้องไม่ไว้ไมตรีแน่นอน ทั้งสองจะต้องต่อสู้กันครั้งใหญ่แน่ อย่างไรก็ตาม ในตอนที่ทั้งสองคนกำลังคิดจะลงมือนั้น พวกเธอก็อดไม่ได้ที่จะมองไปยังผู้หญิงด้านข้างที่สวมใส่ผ้าแพรปิดบังใบหน้ามาตลอด ยืนอยู่ที่เดิมอย่างเย็นชา ไม่พูดอะไรแม้แต่ประโยคเดียว ก่อนจะพากันผ่อนคลายท่าทางพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย พวกเธอสองคนรู้ดีว่า หากพวกตนทั้งสองสู้กันถึงขั้นเป็นตาย สุดท้ายก็จะเป็นการทำให้ผู้หญิงเย็นชาที่ยืนอยู่ด้านข้างนี้ได้เปรียบ เป็นไปได้มากว่าท้ายที่สุดพวกเธอสองคนจะถูกผู้หญิงคนนี้ฆ่าตาย ไม่นับเป็นแผนที่ดี

“อาจารย์ของฉันกลัวว่าฉันจะฆ่าพวกเธอสามคนตายไปทั้งหมดน่ะสิ เมื่อถึงตอนนั้นสำนักที่พวกเธอทั้งสามคนอยู่จะมาแก้แค้นโดยไม่สนใจหน้าตาหรือเปล่า? อีกอย่าง เทียนซวงเอ๋อร์ เธอเป็นอาจารย์อยู่ในมหาวิทยาลัยหลงเถิง สบายใจมากหรือเปล่า? ต้องการซ่อนตัวรึไง?” เซี่ยอวี่เหอก็ไม่ยอมใคร มองไปยังผู้หญิงฝั่งตรงข้ามด้วยรอยยิ้มเย็นชาแล้วพูดขึ้น

เย่เทียนเฉินได้ยินบทสนทนาของเซี่ยอวี่เหอและผู้หญิงตรงข้าม ในใจก็อดไม่ได้ที่จะตื่นตะลึง สี่สุดยอดสาวงามแห่งพรรควรยุทธโบราณ เรียกได้ว่าเย่เทียนเฉินรู้จักแค่เซี่ยอวี่เหอเท่านั้น ทั้งสองเคยสู้กันมาก่อน เซี่ยอวี่เหอแข็งแกร่งมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งพลังพิเศษของเธอ รวมกับพลังภายในที่ฝึกฝนมาจากพรรควรยุทธโบราณ เมื่อพลังทั้งสองรวมเข้าด้วยกัน เคล็ดวิชาสังหารจึงแข็งแกร่งขึ้นมาก จำเป็นต้องระมัดระวัง

“เทียนซวงเอ๋อร์? อาจารย์ของมหาวิทยาลัยหลงเถิง? นี่มันเกิดอะไรขึ้น?” เย่เทียนเฉินเอ่ยถามในใจด้วยความสงสัย

ตอนนี้ตำแหน่งที่เย่เทียนเฉินอยู่มองเห็นเซี่ยอวี่เหอและผู้หญิงสวมผ้าปิดหน้าที่ดูเย็นชาเป็นน้ำแข็งอีกคนหนึ่งเท่านั้น ส่วนผู้หญิงที่ยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามเซี่ยอวี่เหอ เนื่องจากตำแหน่งที่เย่เทียนเฉินอยู่และแสงจันทร์ ทำให้เขามองได้ไม่ชัด หากใช้พลังพิเศษแห่งการรับรู้ก็จะสามารถมองได้ชัดเจน แต่จะต้องถูกพบแน่นอน หากมีการต่อสู้ เกรงว่าข้อมูลสำคัญที่อยากได้ยินก็จะไม่ได้รู้แล้ว

“ไม่ได้มีแค่ฉันที่อยู่ในมหาวิทยาลัยหลงเถิง ยังมีตงฟางเมิ่งด้วย เธอเป็นดาวมหาลัยมาสามปี ถ้าหากว่าฉันไม่มาเป็นอาจารย์ที่มหาวิทยาลัยหลงเถิงก็ไม่รู้จริงๆ ว่าพี่สาวตงฟางของพวกเรามีฉายาที่เป็นเกียรติแบบนี้…” เทียนซวงเอ๋อร์ที่ยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามกับเซี่ยอวี่เหอมองไปยังตงฟางเมิ่งที่อยู่ด้านข้างอย่างเย็นชาแล้วพูดขึ้น

สิ่งที่ทำให้เย่เทียนเฉินคิดไม่ถึงก็คือ ผู้หญิงที่ยืนอยู่ด้านข้างไม่พูดไม่จามาโดยตลอด คนเย็นชาประดุจน้ำแข็งคนนั้นจะเป็นตงฟางเมิ่ง ในที่สุดก็รู้ตัวตนแล้วในฐานะที่ได้รับเลือกให้เป็นดาวมหาลัยมาสามปีซ้อน นี่ไม่ใช่การคุยโวโอ้อวด หากพูดว่าเธอมีใบหน้าที่สวยงามที่สุดในโลกก็ไม่มากเกินไป เพียงแต่เธอจะสวยขนาดไหน เย่เทียนเฉินก็ยังไม่เคยเห็น

ในตอนนี้เอง ในที่สุดตงฟางเมิ่งที่ยืนอยู่ด้านข้างโดยไม่พูดไม่จามาตลอด เห็นว่าเซี่ยอวี่เหอและเทียนซวงเอ๋อร์ล้วนมองมาที่ตน ก็ใช้น้ำเสียงเย็นชาแต่ยังคงไพเราะเพราะพริ้งพูดขึ้นว่า “การประลองสี่สุดยอดสาวงามแห่งพรรควรยุทธโบราณของพวกเราในครั้งนี้ ผู้ที่ชนะก็จะออกคำสั่งอีกสามพรรคที่เหลือได้ ไม่รู้ว่าพวกเธอมีข้อเสนอแนะอะไรไหม?”

“เรื่องนี้ฉันบอกอาจารย์ของฉันแล้ว พวกผู้อาวุโสก็เห็นด้วย!” เซี่ยอวี่เหอยักไหล่แล้วพูดอย่างไม่ใส่ใจ

“อาจารย์ของเธอจะเห็นด้วยเหรอ? เขากลัวว่าเธอจะถูกพวกเราฆ่าขนาดนั้น เกรงว่าคงไม่เห็นด้วยล่ะมั้ง?” เทียนซวงเอ๋อร์พูดโจมตีเซี่ยอวี่เหอ

“เรื่องของฉันไม่ต้องให้เธอมายุ่ง ถ้าหากเธอคิดว่าไม่อยากทำตามพวกเราสองคน ก็ลงมือสู้กันก่อนครั้งหนึ่งเป็นไง เพียงแต่ไม่รู้ว่าอาจารย์ของเธอจะกล้าตอบรับหรือเปล่า?” เซี่ยอวี่เหอมองเทียนซวงเอ๋อร์อย่างดุดันแล้วพูดขึ้น

“เธอคิดว่าฉันจะกลัวพวกเธอเหรอ? หลังจากคืนนี้ไป พวกเธอสามคนจะต้องตายทั้งหมด!” เทียนซวงเอ๋อร์เปลี่ยนไปมีพลังอำนาจอย่างยิ่งใหญ่หาใดเปรียบ มีไอสังหารอันเข้มข้นออกมา กระทั่งเย่เทียนเฉินที่หลบอยู่บนต้นไม้ก็ต้องใจสั่น ผู้หญิงสามคนนี้แข็งแกร่งจนถึงขั้นวิปลาสจริงๆ ล้วนเป็นยอดฝีมือชั้นหนึ่ง หากพวกเธอต้องการสู้กันขึ้นมาคงน่ากลัวมาก

“เธอไม่มีความสามารถแบบนั้นหรอก ฉันอยากจะรู้จริงๆ ว่าเธอหลบไปเป็นอาจารย์ที่ปรึกษาในคณะโบราณคดีของมหาวิทยาลัยหลงเถิง มีจุดประสงค์อะไรกันแน่?” ตงฟางเมิ่งมองเทียนซวงเอ๋อร์แล้วพูดขึ้น

“หึ วันนั้นเธอไปหาฉันที่ตึกการเรียนการสอนของคณะโบราณคดี คิดว่าคงต้องการมาถามเรื่องนี้กับฉันใช่ไหม เพียงแต่น่าเสียดายที่เธอกับฉันสู้กันยังไม่รู้แพ้รู้ชนะ วันนี้จะต้องเอาชนะเธอให้ได้!” เทียนซวงเอ๋อร์แค่นเสียงเย็นครั้งหนึ่งแล้วพูดขึ้น

ตอนนี้เอง เย่เทียนเฉินอดไม่ได้ที่จะตกตะลึง เทียนซวงเอ๋อร์แฝงตัวไปเป็นอาจารย์ที่ปรึกษาของมหาวิทยาลัยหลงเถิง? และยังอยู่ในคณะโบราณคดีด้วย หรือว่าเทียนซวงเอ๋อร์จะเป็น…

“เรื่องนี้ฉันก็เคยได้ยิน เทียนซวงเอ๋อร์ เดิมทีเธอก็เป็นคนที่ “เทียนซู่ฉีเหมิน” ส่งมา มาทำอะไรที่คณะโบราณคดีกันแน่? แถมยังเปลี่ยนชื่อเป็นฉินเหยาเยว่อีก ต้องการตามหาของอะไรใช่ไหม? ทำไมไม่พูดออกมาให้ทุกคนได้ยินหน่อยล่ะ?” เซี่ยอวี่เหอเดินไปข้างหน้าก้าวหนึ่ง มุมปากมีรอยยิ้มได้ใจ

…………………

ฉินเหยาเยว่ก็คือหนึ่งในยอดฝีมือสี่สาวงามแห่งพรรควรยุทธโบราณเทียนซวงเอ๋อร์? นี่ทำให้เย่เทียนเฉินคิดไม่ถึง คิดไม่ถึงว่าฉินเหยาเยว่จะเป็นชื่อที่เทียนซวงเอ๋อร์เปลี่ยนมาใช้เพื่อที่จะเข้ามาเป็นอาจารย์ที่ปรึกษาของคณะโบราณคดีแห่งมหาวิทยาลัยหลงเถิงได้อย่างสะดวกราบรื่น ผู้หญิงคนนี้เสียความคิดเวลามากมาย บางทีที่สำนักเทียนซู่ฉีของพวกเธอยอมเสียความพยายามมากขนาดนี้เพื่อให้เทียนซวงเอ๋อร์เข้าไปเป็นอาจารย์ที่ปรึกษาของคณะโบราณคดีแห่งมหาวิทยาลัยหลงเถิง จะต้องมีความลับที่บอกคนอื่นไม่ได้แน่นอน

“นี่เป็นเรื่องที่มีเพียงคนตายที่จะได้รู้ เธออยากจะรู้ไหมล่ะ?” เทียนซวงเอ๋อร์ระเบิดกลิ่นอายความเย็นยะเยือกออกมากทั้งร่าง เป็นกลิ่นอายที่ทำให้ผู้คนรู้สึกหนาวไปถึงกระดูก สามารถแช่แข็งทุกอย่างได้ในพริบตา

“ในเมื่อพรรคของพวกเธอสองคนไม่มีความเห็นอะไร ถ้างั้นก็รอชิงเฉิงเยว่แล้ว ถ้าหากพรรคสระหยกของพวกเธอไม่มีปัญหาอะไร หลังจากการต่อสู้ครั้งนี้ก็จะเป็นการร่วมมือกันของพรรคใหญ่ทั้งสี่พรรคของพวกเรา ปรับปรุงกฏระเบียบที่วุ่นวายนับ 100 ปีของพรรควรยุทธโบราณ จะได้ลดการฆ่าฟันลงบ้าง!” ตงฟางเมิ่งมองเซี่ยอวี่เหอและเทียนซวงเอ๋อร์แล้วพูดขึ้น

“เรื่องปรับปรุงกฎระเบียบของพรรควรยุทธโบราณที่วุ่นวายฉันไม่มีความเห็นอะไร เพียงแต่ในพรรคของพวกเราทั้งสี่ อำนาจของพรรคมีดบินอ่อนแอที่สุด ถ้าร่วมมือกันจะไม่เป็นการฉุดกันถอยหลังเหรอ?

ฟิ้ว!

คำพูดของเทียนซวงเอ๋อร์ยังไม่ทันออกจากปาก มีดบินก็ที่แฝงไปด้วยกลิ่นอายเย็นยะเยือกก็พุ่งไปยังศีรษะของเทียนซวงเอ๋อร์ แต่ในตอนที่ใกล้จะถึงเบื้องหน้าของเทียนซวงเอ๋อร์ เทียนซวงเอ๋อร์ก็ขมวดคิ้ว ยื่นมือขาวดุจหยกออกไป มือขวาตบออกไปเป็นฝ่ามือ ในฝ่ามือขวามีปราณน้ำแข็งอยู่ พริบตาเดียวมีดบินก็ถูกแช่แข็ง ในขณะเดียวกันก็กำมือลง มีดบินที่ถูกแช่แข็งพลันแตกสลายในพริบตา ทุกสิ่งทุกอย่างนี้เกิดขึ้นในเวลาเพียงชั่วพริบตา ไม่เกิน 3 วินาทีเท่านั้น เย่เทียนเฉินที่ได้เห็นต้องตื่นตะลึง ผู้หญิงสามคนนี้คนนี้เป็นน้ำกับไฟที่เข้ากันไม่ได้ และมักจะพูดจาทำร้ายกัน เมื่อลงมือก็จะกลายเป็นการต่อสู้เป็นตาย ดูถูกไม่ได้เลยจริงๆ

นี่ทำให้เย่เทียนเฉินสัมผัสได้มากขึ้นว่า โลกของพรรควรยุทธโบราณในจีนนี้ลึกล้ำและกว้างขวาง แฝงไปด้วยความลับมากมาย มากมายเหลือเกิน ตนเองจะต้องไปวัดเส้าหลินสักครั้ง ดูซะหน่อยว่ามีคัมภีร์เปลี่ยนเส้นเอ็นหรือไม่ เพื่อไปให้ถึงเป้าหมายที่เพิ่มระดับความแข็งแกร่งของกายเนื้อของตนอย่างแท้จริง และผสานพลังภายในของพรรควรยุทธโบราณและพลังพิเศษเข้าด้วยกัน ทำให้ความสามารถของตนเพิ่มขึ้นอีกระดับ

“เธอฆ่าฉันได้เหรอ? การประลองของพวกเราสี่คนในพรรควรยุทธโบราณยังไม่เริ่มขึ้น เธอก็ออกกระบวนท่าสังหารแล้ว อยากตายรึไง?” เทียนซวงเอ๋อร์เอ่ยถาม เดินออกมาจากมุมมืด บนใบหน้างดงามเจือไปด้วยความโกรธ

ตอนนี้เย่เทียนเฉินมองเห็นใบหน้าของเทียนซวงเอ๋อร์ได้อย่างชัดเจนแล้ว เป็นฉินเหยาเยว่จริงๆ ดูท่าทางสำนักเทียนซู่ฉีที่เทียนซวงเอ๋อร์อยู่จะส่งเทียนซวงเอ๋อร์มาแล้วเปลี่ยนชื่อเป็นฉินเหยาเยว่จริงๆ ให้มาเป็นอาจารย์ที่ปรึกษาของคณะโบราณคดีในมหาวิทยาลัยหลงเถิง ที่นี่จะต้องซ่อนความลับสำคัญอะไรบางอย่างเอาไว้แน่นอน มิฉะนั้นคงไม่ส่งยอดฝีมืออย่างเทียนซวงเอ๋อร์มาทำภารกิจ และยังเปลี่ยนชื่อแบบนี้เพื่อปิดบังฐานะของตน

“ฉันไม่รังเกียจที่จะฆ่าเธอก่อนแล้วค่อยฆ่าตงฟางเมิ่งและชิงเฉิงเยว่!” เซี่ยอวี่เหอกำมือขาวนวลแน่น มองไปที่เทียนซวงเอ๋อร์แล้วพูดขึ้น

“ถ้าหากเธออยากสู้ฉันก็จะสู้เป็นเพื่อน ฉันเพียงแค่อยากจะบอกเธอว่า ชิงเฉิงเยว่แข็งแกร่งมาก คัมภีร์ดรุณีหยกของตงฟางเมิ่งก็ฝึกฝนจนถึงขั้นสุดท้ายแล้ว พรรคสุสานโบราณลึกล้ำไม่อาจคาดเดา โดยเฉพาะอย่างยิ่งคัมภีร์ดรุณีหยกที่แข็งแกร่ง เกรงว่ากระทั่งชิงเฉิงเยว่ก็ต้องปวดหัว ด้วยความสามารถของเธอ ฆ่าพวกเราไม่ได้หรอก มีเพียงฉันถึงจะทำได้!” เทียนซวงเอ๋อร์พูดอย่างมั่นใจ

จนถึงตอนนี้เย่เทียนเฉินย่อมเข้าใจเรื่องทั้งหมดแล้ว ตนเองพบเข้ากับการรวมตัวของสาวงามแห่งพรรควรยุทธโบราณทั้งสามคนโดยไม่ได้ตั้งใจ ซึ่งก็คือเซี่ยอวี่เหอ ตงฟางเมิ่ง และเทียนซวงเอ๋อร์ พวกเธอเป็นคนที่มาประลองการแข่งขันสี่สุดยอดสาวงามแห่งพรรควรยุทธโบราณ จากคำพูดของพวกเธอ เย่เทียนเฉินได้รู้ข้อมูลไม่น้อย อย่างน้อยก็รู้ชื่อของสี่สุดยอดสาวงามแห่งพรรควรยุทธโบราณ และพรรคที่พวกเธอสังกัดอยู่

เซี่ยอวี่เหอพรรคมีดบิน ตงฟางเมิ่งพรรคสุสานโบราณ เทียนซวงเอ๋อร์พรรคเทียนซู่ฉี ชิงเฉิงเยว่พรรคพรรคสระหยก

ทั้งสี่เป็นผู้แข็งแกร่งรุ่นเยาว์ของพรรคที่สังกัดอยู่ ไม่เพียงแต่คนทั้งสี่จะสวยเหมือนนางฟ้า แต่ยังเป็นเป็นยอดฝีมือชั้นหนึ่งอีกด้วย การต่อสู้ของพวกเธอในครั้งนี้เกี่ยวพันไปถึงเกียรติยศของพรรคของตน ยิ่งไปกว่านั้นนี่ยังเป็นการต่อสู้ถึงขั้นเป็นตายแล้วแต่โชคชะตา ทุกคนมีผู้ความสามารถ มีเคล็ดวิชาสังหาร เมื่อสู้กันขึ้นมาจะต้องรุนแรงมากแน่นอน

“ชิงเฉิงเยว่ยังมาไม่ถึงพวกเธอก็จะลงมือกันแล้วหรือ? เธอแข็งแกร่งมาก เมื่อถึงตอนนั้นก็ทำได้เพียงรอความตายแล้ว!” ตงฟางเมิ่งมองท้องฟ้า พูดออกมาอย่างเรียบเฉย

เซี่ยอวี่เหอและเทียนซวงเอ๋อร์ชะงักไป พวกเธอรู้ว่าตงฟางเมิ่งพูดได้ถูกต้อง ในหมู่พวกเธอทั้งสี่คนชิงเฉิงเยว่แข็งแกร่งที่สุด และก็กล่าวได้ว่าไม่ได้แข็งแกร่งที่สุด เนื่องจากในหมู่พวกเธอทั้งสี่คนไม่เคยต่อสู้กันอย่างแท้จริงมาก่อน เพียงแต่ได้ยินว่าชิงเฉิงเยว่เป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุดในหมู่พวกเธอสี่คน อายุแค่ 20 กว่าปีเท่านั้นก็สามารถเทียบได้กับเจ้าสำนักสระหยกแล้ว เป็นอาจารย์ของชิงเฉิงเยว่ สู้กันหลาย 10 กระบวนท่าก็ยังไม่พ่ายแพ้ นี่เป็นตำนานเล่าขาน ทำให้ผู้คนไม่กล้าเชื่อ

พรรคสระหยกเป็นพรรคที่แข็งแกร่งมากในหมู่พรรควรยุทธโบราณทั้งหลาย โดยเฉพาะพลังภายในของสระหยก เรียกได้ว่าเป็นการดำรงอยู่ที่ไม่แพ้คัมภีร์เปลี่ยนเส้นเอ็นของสำนักเส้าหลินในพรรควรยุทธโบราณเลย เมื่อฝึกฝนพลังภายในประเภทนี้จะซึมซับพลังและจิตวิญญาณดั้งเดิมที่สุดของดินฟ้าเข้าไป ทำการบ่มเพาะร่างกาย ยิ่งไปกว่านั้นสระหยกสองคำนี้มีความหมายเหมือนกับความฝัน ยอดฝีมือชรามากมายประเมินสระหยกเอาไว้เพียงประโยคเดียว นั่นก็คือ ฝ่ามือเดียวสะเทือนฟ้า!

“ฮ่าๆ งั้นเหรอ? แม้แต่เธอก็บอกว่าชิงเฉิงเยว่แข็งแกร่งมาก ฉันอยากจะเห็นจริงๆ ว่าเธอจะแข็งแกร่งขนาดไหน ฝ่ามือสะเทือนฟ้าของสระหยกจะเทียบกับคัมภีร์ดรุณีหยกของพรรคสุสานโบราณของเธอได้หรือเปล่า?” เทียนซวงเอ๋อร์เป็นพวกอยากรู้อยากเห็น ถามออกมาด้วยรอยยิ้มเย็นชา

ตงฟางเมิ่งไม่ได้พูดอะไร แต่เดินไปด้านข้าง นั่งลงบนก้อนหินก้อนใหญ่ที่อยู่ด้านข้าง รอย่างเย็นชาและเงียบงัน รอการปรากฏตัวของชิงเฉิงเยว่ การประลองครั้งนี้ ชิงเฉิงเยว่ถึงจะเป็นศัตรูตัวฉกาจของเธอ ถึงแม้เซี่ยอวี่เหอและเทียนซวงเอ๋อร์จะแข็งแกร่งมาก แต่อย่างน้อยตงฟางเมิ่งก็ยังไม่ระมัดระวังเท่าชิงเฉิงเยว่

เดิมทีการประลองสี่สุดยอดสาวงามแห่งพรรควรยุทธโบราณในครั้งนี้ คุณลุงของตงฟางเมิ่งไม่ต้องการให้ตงฟางเมิ่งมา เนื่องจากคัมภีร์ดรุณีหยกของตงฟางเมิ่งยังฝึกฝนไม่ผ่านขั้นสุดท้าย นี่เป็นจุดอ่อนที่ใหญ่ที่สุดของเธอ คัมภีร์ดรุณีหยกเป็นวิชาพลังภายในที่มีพลังเทียบเท่าคัมภีร์เปลี่ยนเส้นเอ็น แข็งแกร่งอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ในระยะเวลาสั้นๆ เพียงห้าปี ตงฟางเมิ่งก็ฝึกวิชาคัมภีร์ดรุณีหยกไปถึงส่วนสุดท้ายแล้ว เรียกได้ว่าเป็นผู้มีพรสวรรค์ เพียงแต่น่าเสียดายที่ส่วนสุดท้ายของคัมภีร์ดรุณีหยกจะต้องฝึกเป็นคู่ต้อง ให้ผู้หญิงฝึกร่วมกับผู้ชาย ยิ่งไปกว่านั้นยังต้องอยู่ในสภาพแลกเปลี่ยนกันด้วย นี่เป็นกำแพงที่เธอข้ามไปไม่ได้ เนื่องจากนี่จะเท่ากับว่าตงฟางเมิ่งต้องถวายร่างกายอันบริสุทธิ์ของตนออกไป

มีอยู่หลายครั้งที่ตงฟางเมิ่งไม่เข้าใจเหตุผลมาโดยตลอด อาจารย์บรรพบุรุษของพรรคสุสานโบราณสร้างคัมภีร์ดรุณีหยกในส่วนนี้ออกมาทำไม ตอนก่อนที่จะบ่มเพาะต้องให้ผู้หญิงที่ต้องการฝึกฝนเย็นชาเป็นน้ำแข็ง โดดเดี่ยวเปลี่ยวเหงาดุจน้ำแข็งไปทั้งร่าง แต่เมื่อถึงการฝึกฝนส่วนสุดท้าย ถึงกับต้องฝึกเป็นคู่ร่วมกับผู้ชาย แล้วยังต้องแลกเปลี่ยนกันแบบนั้น นี่มันเพื่ออะไรกัน?

ตงฟางเมิ่งที่ฝึกฝนมาจนถึงส่วนสุดท้ายของคัมภีร์ดรุณีหยกมาโดยตลอด ใคร่ครวญปัญหานี้อยู่เนิ่นนาน จนถึงตอนนี้เธอเพิ่งจะเข้าใจ ที่แท้อาจารย์ที่สร้างวิชาคัมภีร์ดรุณีหยกส่วนนี้ออกมา ไม่ต้องการให้ลูกศิษย์ของพรรคสุสานโบราณเป็นเหมือนเธอที่ต้องอยู่โดดเดี่ยวไปจนตาย พรรคสุสานโบราณรับแต่ศิษย์หญิง นี่เป็นกฎสำนักที่สืบต่อกันมาหลายพันปี แต่ไหนแต่ไรก็ไม่เคยเปลี่ยนแปลง คัมภีร์ดรุณีหยกเป็นวิชาพลังภายในที่เหมาะจะให้ผู้หญิงฝึกฝน เพียงแต่ส่วนสุดท้ายต้องการความช่วยเหลือจากผู้ชาย ต้องการพลังหยางมาข่มพลังหยินในร่างของผู้หญิงถึงจะฝึกฝนส่วนสุดท้ายได้สำเร็จ

หลายปีมานี้ตงฟางเมิ่งไม่พบผู้ชายที่ทำให้เธอเลื่อมใสเลย ถ้าจะให้เธอหาผู้ชายคนหนึ่งมาตามใจเพื่อฝึกฝนส่วนสุดท้ายของวิชาคัมภีร์ดรุณีหยก เธอก็ทำไม่ได้ ดังนั้นทำได้เพียงติดอยู่ที่ส่วนสุดท้ายของคัมภีร์ดรุณีหยกมาตลอด ไม่สามารถฝึกฝนได้อย่างสมบูรณ์ คุณลุงของตงฟางเมิ่งบอกว่า ถ้าหากตงฟางเมิ่งไม่ได้ฝึกฝนวิชาคัมภีร์ดรุณีหยกไปถึงส่วนสุดท้ายจนสำเร็จ หากต้องการเอาชนะชิงเฉิงเยว่เป็นเรื่องที่ยากลำบากมาก เนื่องจากพลังภายในของพรรคสระหยกร้ายกาจหาใดเปรียบ โดยเฉพาะฝ่ามือสะท้านฟ้า ฝ่ามือเดียวก็มีอำนาจสั่งสะเทือนฟ้าแล้ว

“ถึงตอนนั้นเธอก็รู้เองไม่ใช่รึไง? รอชิงเฉิงเยว่ปรากฎตัวออกมาก่อนค่อยว่ากันเถอะ!” ตงฟางเมิ่งไม่สนใจเทียนซวงเอ๋อร์ หลับตาลงช้าๆ เธอกำลังสงบอารมณ์ของตนอยู่ ในขณะเดียวกันก็ทำให้ปรับสภาพของเธอให้อยู่ในสภาพสุดยอดที่สุดของขอบเขตพลัง หากสู้กับชิงเฉิงเยว่จำเป็นต้องระวังให้มาก นี่ผู้หญิงที่มีพรสวรรค์ที่สุดในรอบ 100 ปีของพรรควรยุทธโบราณ ความสามารถแข็งแกร่งมาก ทำให้คนจำนวนมากของพรรควรยุทธโบราณต้องกดดันจนหายใจไม่ออก

“ฉันได้ยินว่าเธอยังฝึกวิชาคัมภีร์ดรุณีหยกส่วนสุดท้ายไม่สำเร็จ คัมภีร์ดรุณีหยกที่ไม่สมบูรณ์จะมีพลังมากขนาดไหนกัน?” เทียนซวงเอ๋อร์ไม่ใช่คนดีอะไร ถึงแม้ตงฟางเมิ่งจะไม่สนใจเธอ แต่เธอก็ยังพูดต่อไป ต้องการสืบหาความลับของพรรคสุสานโบราณ

พรรคเทียนซู่ฉีที่เทียนซวงเอ๋อร์สังกัดอยู่เป็นรรคที่มีความสามารถด้านการสืบค้นข้อมูลที่แข็งแกร่งที่สุด รวบรวมเรื่องราวที่เป็นความลับไว้มากมายที่สุด รวมไปถึงข้อมูลของพรรควรยุทธโบราณแต่ละแห่งและข้อมูลของผู้มีพลังพิเศษด้วย ถ้าหากคุณคิดว่าพรรคที่รวบรวมข้อมูลได้อย่างเดียวไม่แข็งแกร่งมากพอ ถ้างั้นคุณก็คิดผิดครั้งใหญ่ นั่นเป็นเพราะพวกเขารวบรวมเรื่องที่เป็นความลับบนโลกนี้เอาไว้ ย่อมพบกับการป้องกันที่แข็งแกร่งมากมาย ถ้าไม่มีความสามารถ ถ้างั้นก็ต้องมีจุดสิ้นสุดที่ความตายอย่างไม่ต้องสงสัย ดังนั้นพรรคนี้จึงไม่อ่อนแอ

“ฉันได้ยินว่า ส่วนสุดท้ายของคัมภีร์ดรุณีหยกต้องให้ผู้ชายมาร่วมฝึกด้วยกัน ต้องอยู่ในสถานการณ์แบบนั้นถึงจะไปยังขอบเขตที่สมบูรณ์แบบได้ ทำให้ผู้คนลำบากใจจริงๆ ผู้หญิงของพรรคสุสานโบราณแต่ละคนล้วนเป็นสาวงาม สุดท้ายยังต้องหาผู้ชายมาร่วมฝึกฝน นี่ไม่ใช่เรื่องน่าเศร้ารึไง? กล่าวเช่นนี้ ตงฟางเมิ่งก็ขาดผู้ชายไปคนหนึ่งน่ะสิ…” เทียนซวงเอ๋อร์พูดต่อไปไม่หยุดปาก

เย่เทียนเฉินอยู่บนต้นไม้มาตลอด ได้ยินสนทนาของผู้หญิงสามคนนี้ ได้รู้ข้อมูลไม่น้อย ในใจรู้สึกทอดถอนใจ พรรควรยุทธโบราณลึกล้ำไม่อาจคาดเดาจริงๆ ตนเองจำเป็นต้องไปตรวจสอบให้ชัดเจน บางทีอาจจะมีประโยชน์ในเรื่องการยกระดับความสามารถของตนเองก็เป็นได้

……………………..

การสยบกระบี่อวี๋ฉางได้อย่างสะดวกราบรื่นเป็นเรื่องที่เย่เทียนเฉินคิดไม่ถึง เดิมทีคิดว่าจะต้องต่อสู้อย่างยากลำบาก จะอย่างไรคนในตำนานที่เคยใช้กระบี่บรรพกาลทั้ง 10 เล่มก็แข็งแกร่งมาก ต่อให้เป็นเพียงรอยประทับจิตวิญญาณเล็กๆ ก็มากพอที่จะทำให้เย่เทียนเฉินต้องต่อสู้ถึงขั้นเป็นตาย

อย่างไรก็ตาม ในช่วงเวลาสำคัญกระบี่อวี๋ฉางก็ใช้ปราณกระบี่ดั้งเดิมของตนกักขังวิญญาณที่บุคคลในตำนานประทับเอาไว้ในตัวกระบี่ ทำให้ตกอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่สามารถตอบโต้ได้ ถูกเย่เทียนเฉินใช้ฝ่ามือตบจนศีรษะกระจุยไปครึ่งหนึ่ง สุดท้ายจึงหายไป

กระบี่ทุกเล่มในหมู่ 10 กระบี่บรรพกาลมีพลังดั้งเดิมที่สุดของมันอยู่ หากต้องการไปถึงขั้นที่สามารถใช้ได้อย่างแท้จริงก็ต้องนำความคิดและพลังของตนหลอมรวมเข้าไป และได้รับการยอมรับจากพลังดั้งเดิมที่อยู่ภายในตัวกระบี่

แต่ในกระบี่ไท่อาและกระบี่อวี๋ฉางที่เย่เทียนเฉินสยบได้ บุคคลในตำนานผู้นั้นก็ใช้รอยประทับจิตวิญญาณของตนสยบพลังดั้งเดิมในตัวกระบี่เอาไว้ ไม่ได้หลอมรวมกับมันอย่างแท้จริง มิฉะนั้นเขาคงไม่ได้กระบี่เทพทั้งสองเล่มมาง่ายๆ ขนาดนี้ ที่ทำให้เย่เทียนเฉินรู้สึกแปลกใจก็คือ บุคคลในตำนานที่เคยใช้กระบี่บรรพกาลทั้ง 10 เล่มนี้ ทำไมถึงไม่นำพลังของตนหลอมรวมเข้ากับพลังดั้งเดิมของกระบี่?

มันมีปัญหาอะไรอยู่กันแน่? หรือจะกล่าวว่าหากต้องการหลอมรวมพลังของตนและพลังดั้งเดิมของกระบี่เข้าด้วยกันเป็นเรื่องยาก?

หากคิดจะหลอมรวมพลังของตนและพลังของกระบี่เข้าด้วยกันเป็นเรื่องที่ยากลำบากมาก ในส่วนนี้เย่เทียนเฉินเองก็เคยประสบมาแล้ว เขาทำได้เพียงใช้เวลารอให้ความสามารถของตนเติบโต ค่อยๆ ทำให้เป็นจริง ตอนนี้ทำได้เพียงบังคับกระบี่ทั้งสองเล่มนี้เท่านั้น กระทั่งทำไมคนในตำนานคนนั้นถึงไม่หลอมรวมพลังเข้าไปก็ยังไม่อาจรู้ได้!

เย่เทียนเฉินเก็บกระบี่ไท่อาและกระบี่อวี๋ฉาง นำพวกมันไปใส่ไว้ในช่องว่างเก็บของภายในร่างกายของตน เดินเข้าไปในคฤหาสน์ ตอนนี้เสี้ยวหยากำลังยกบะหมี่ที่ต้มเสร็จแล้วออก มาถ้วยหนึ่งเป็นบะหมี่ใส เป็นบะหมี่ของเสี้ยวหยาเอง อีกถ้วยหนึ่งเป็นบะหมี่ผัดซอส ด้านบนมีเนื้อบดอยู่จำนวนมาก ดูแล้วไม่เลวเลย

“ทำไมสองถ้วยไม่เหมือนกัน?” เย่เทียนเฉินนั่งลง อดไม่ได้ที่จะถามด้วยรอยยิ้ม

“นายลองชิมดูก่อนสิ อร่อยหรือเปล่า…” เสี้ยวหยามองเย่เทียนเฉินแล้วพูดอย่างอ่อนโยน

เมื่อเห็นท่าทีระมัดระวังของเสี้ยวหยา เย่เทียนเฉินก็รู้ว่านี่เป็นครั้งแรกที่เสี้ยวหยาทำบะหมี่ผัดซอส จึงยิ้มออกมา ทำท่าทางอยากกิน ใช้ตะเกียบคีบขึ้นมาแล้วกินเข้าไปคำใหญ่ หลังจากกินลงไปพบว่าเย่เทียนเฉินมองตนอย่างเคร่งเครียด พูดด้วยรอยยิ้มว่า

“รสชาติไม่เลวเลย คิดไม่ถึงว่าบะหมี่ผัดซอสที่เธอทำจะอร่อยเหมือนกัน!”

“จริงเหรอ? ฉันยังคิดว่าฉันทำไม่อร่อยซะอีก ได้ยินพี่สาวอวี่สวิ๋นบอกว่านายชอบกินบะหมี่ผัดซอสตั้งแต่เด็ก ดังนั้นเมื่อครู่นี้เลยคิดจะลองทำดูซักหน่อย นายชอบก็ดีแล้ว!” เสี้ยวหยาพูดด้วยรอยยิ้มน่ารักอย่างไร้เดียงสา

ในใจของเย่เทียนเฉินรู้สึกซาบซึ้งใจ เสี้ยวหยาเป็นผู้หญิงที่จริงใจและใจดีคนหนึ่ง มักจะคิดถึงคนอื่นทุกเมื่อ ควรจะทำให้ผู้หญิงคนนี้ไม่ต้องเจ็บปวดและโศกเศร้าถึงจะถูก เพียงแต่การตายของแม่เธอกลายเป็นความเจ็บปวดไปตลอดกาลแล้ว ไม่สามารถเรียกกลับมาได้ สิ่งที่ตนสามารถทำได้ก็คือ ทำให้วันเวลาต่อจากนี้ไปของเธอเต็มไปด้วยรอยยิ้มและเสียงหัวเราะ

เสี้ยวหยาเห็นท่าทางเย่เทียนเฉินกินอย่างดีใจอารมณ์ก็ดีขึ้นมาก กินไปพลางพูดกับเย่เทียนเฉินไปพลาง หลังจากกินอาหารมื้อนี้ลงไปก็เป็นเวลาเกือบเที่ยงคืนแล้ว เดิมทีเย่เทียนเฉินคิดจะล้างจาน แต่เสี้ยวหยาไม่สนใจคำโน้มน้าวของเย่เทียนเฉิน แย่งจานและตะเกียบทั้งสองไปแล้วพูดขึ้นว่า

ทำอาหาร ล้างจาน เก็บกวาดบ้าน ล้วนเป็นเรื่องของผู้หญิง เย่เทียนเฉินไม่ต้องทำ!

ความดีของเสี้ยวหยา ความอ่อนโยนและความใจดีของเสี้ยวหยา ทำให้เย่เทียนเฉินรู้สึกซาบซึ้งมาก หากพูดถึงผู้หญิงในยุคปัจจุบันนี้ มีผู้หญิงคนไหนบ้างที่รู้จักทำกับข้าวล้างจานเก็บกวาดบ้าน เดิมทีนี่ก็เป็นเรื่องที่ผู้หญิงสมควรกระทำ บางทีอาจจะมีบางคนกล่าวว่าทุกคนก็เป็นคนเหมือนกัน แต่ละคนเท่าเทียมกัน นี่ก็ไม่ผิดอะไร แต่ตอนนี้ผู้หญิงหลายคนมีความคิดผู้หญิงเป็นใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ถ้างั้นทำไมถึงไม่รู้จักเปลี่ยนแปลงล่ะ?

หลังจากเสี้ยวหยาล้างจานเก็บกวาดห้องครัวเสร็จ เย่เทียนเฉินก็นอนดูทีวีอยู่บนโซฟา ภายในคฤหาสน์อันกว้างใหญ่มีเพียงพวกเขาสองคนเท่านั้น หญิงโสดชายโสด ถึงแม้บรรยากาศจะไม่กระอักกระอ่วนแต่ก็ไม่ดีถึงขั้นนั้น เมื่อเห็นเสี้ยวหยาเดินออกมา เย่เทียนเฉินก็พูดด้วยรอยยิ้มว่า

“หยาเอ๋อร์ พรุ่งนี้เธอต้องไปเรียน พักผ่อนเถอะ อีกสักพักฉันก็จะนอนแล้ว!”

“อืม ใช่แล้วเทียนเฉิน ช่วงนี้นายไม่ไปเรียนเหรอ?” เสี้ยวหยาถามด้วยความแปลกใจ

“อาจจะไม่มีเวลาไป เรื่องทางนี้วุ่นวายมาก มีอะไรเหรอ?”

“ไม่มีเรื่องอะไรหรอก แต่ได้ยินว่าอาจารย์ที่ปรึกษาของคณะพวกนายดูเหมือนจะลาออกไปแล้ว ไม่รู้ว่าทำไมถึงลาออกกะทันหัน…” เสี้ยวหยาคิดถึงข่าวลือในมหาวิทยาลัยวันนี้ อดไม่ได้ที่จะเอ่ยปากออกมา

“ลาออกแล้ว? ฉินเหยาเยว่น่ะเหรอ?” เย่เทียนเฉินขมวดคิ้ว ถามด้วยความสงสัยเช่นกัน

“ใช่แล้ว ได้ยินว่าวันนี้มีคนไปหาฉินเหยาเยว่ที่ตึกการเรียนการสอนของคณะโบราณคดี และยังทะเลาะกันด้วย จากนั้นอาจารย์ฉินก็ไปยื่นใบลาออก!” เสี้ยวหยาพูดด้วยน้ำเสียงแปลกใจ

เย่เทียนเฉินชะงักไป จากนั้นมองไปที่เสี้ยวหยาแล้วพูดว่า

“ไม่ต้องสนใจเธอหรอก เธอลาออกแล้ว ทางมหาวิทยาลัยก็จะส่งอาจารย์คนอื่นมา เธอไปนอนเถอะ อีกสักพักฉันก็จะนอนแล้ว ดูทีวีก่อนซักหน่อย!”

“อืม!”

เมื่อเห็นเสี้ยวหยาเดินขึ้นไปชั้นสองของคฤหาสน์ เย่เทียนเฉินก็ลุกขึ้นนั่งบนโซฟา เขารู้สึกว่าเรื่องนี้แปลกอยู่บ้าง ฉินเหยาเยว่ไม่ใช่คนธรรมดา วิชาสะกดใจแข็งแกร่งมาก และเป็นยอดฝีมือแห่งพรรควรยุทธโบราณคนหนึ่งด้วย

ครั้งแรกที่เย่เทียนเฉินได้พบกับฉินเหยาเยว่ก็สัมผัสได้ว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง จากนั้นจึงพบว่าความสามารถของฉินเหยาเยว่แข็งแกร่งมาก แล้วยังมาเป็นอาจารย์ที่ปรึกษาให้คณะโบราณคดีของมหาวิทยาลัยหลงเถิงอีกด้วย แต่ผ่านไปครึ่งเดือนกว่าเท่านั้น นี่เป็นเรื่องที่ไม่ผิดปกติแน่นอน บางทีคนอื่นอาจไม่รู้ แต่เย่เทียนเฉินไม่คิดว่าฉินเหยาเยว่จะมามหาวิทยาลัยหลงเถิงเพื่อมาสอนหนังสือ

บนร่างของผู้หญิงคนนี้จะต้องมีเรื่องราวอยู่แน่นอน จะต้องมีจุดประสงค์ของเธออยู่ ตอนนี้ลาออกอย่างกะทันหัน จะต้องไม่ธรรมดาแน่

เวลาตีสอง ประตูห้องของเสี้ยวหยาถูกเปิดออก ถึงแม้เธอจะล็อกประตูไว้แต่ก็ไม่ใช่เรื่องยากสำหรับเย่เทียนเฉิน เย่เทียนเฉินเดินเข้าไปในห้องนอนของเสี้ยวหยา มองเสี้ยวหยาที่นอนหลับสนิทอยู่บนเตียง ยื่นมือขวาของตนออกไปค่อยๆ ห่มผ้าห่มให้เสี้ยวหยา ในตอนที่มือขวาสัมผัสศีรษะของเสี้ยวหยา มือขวาของเย่เทียนเฉินก็ส่องแสงขึ้นเหมือนกับกลิ่นอายพลัง ครอบคลุมเสี้ยวหยาตั้งแต่หัวลงไปจนทั่วทั้งร่าง นี่คือการปกป้องที่เย่เทียนเฉินมีให้เสี้ยวหยา ถ้าหากมีอันตรายถึงชีวิต พลังพิเศษนี้ก็จะคุ้มครองเสี้ยวหยา ยิ่งไปกว่านั้นเย่เทียนเฉินก็จะรู้ทันทีด้วย

หลังจากทิ้งพลังพิเศษเอาไว้ในร่างกายของเสี้ยวหยาเพื่อปกป้องเธอ เย่เทียนเฉินก็เดินออกไปจากคฤหาสน์ ในชั่วขณะที่เดินจากไป เย่เทียนเฉินใช้พลังคุ้มครองไว้อีกครั้ง ปกป้องไว้ทั่วทั้งคฤหาสน์ ขอเพียงไม่ใช่ยอดฝีมือที่แข็งแกร่งเกินพิกัดมาโจมตี เย่เทียนเฉินเชื่อว่าคนที่จะสามารถทำลายพลังคุ้มครองนี้ของตนมีไม่มาก ยิ่งไปกว่านั้นขอเพียงมีคนมาโจมตีคฤหาสน์ตนก็จะรู้ทันทีและสามารถกลับมาได้ทันเวลา

เวลาตีสี่ เย่เทียนเฉินปรากฏตัวภายในมหาวิทยาลัยหลงเถิงเพียงคนเดียว ทั่วทั้งมหาวิทยาลัยเงียบสงบ ภายในมหาวิทยาลัยไม่มีคนแม้แต่คนเดียว กระทั่งยามที่ต้องเดินตรวจตราก็หลับไปแล้ว ถึงแม้ประตูใหญ่จะปิดสนิท แต่เย่เทียนเฉินก็ลอบเข้าไปโดยไม่ถูกใครพบ เขาเดินเข้าไปในมหาวิทยาลัยหลงเถิงช้าๆ แบบนี้ การลาออกอย่างกระทันหันของฉินเหยาเยว่ทำให้เขาจำเป็นต้องมาดูสักหน่อย ผู้หญิงคนนี้ลาออกกระทันหัน ผิดปกติมาก ควรจะมีเหตุผลอะไรถึงจะถูก ดังนั้นเขาจึงต้องไปดูที่ตึกการเรียนการสอนของคณะโบราณคดีเสียหน่อยว่าจะมีเบาะแสอะไรหรือไม่

ยามค่ำคืนที่ไร้ผู้คนเช่นนี้ เย่เทียนเฉินเดินไปยังบริเวณประตูของตึกการเรียนการสอนคณะโบราณคดี ประตูถูกล็อกอยู่ เย่เทียนเฉินกระโดดครั้งหนึ่งขึ้นไปถึงชั้นที่มีห้องพักอาจารย์ที่ปรึกษาของตึกการเรียนการสอนอยู่ มองไปรอบด้าน เขาไม่รู้สึกถึงกลิ่นอายที่ฉินเหยาเยว่หลงเหลือเอาไว้เลย จึงต้องขมวดคิ้ว ไม่ว่าคนหรือสัตว์หรืออาจกล่าวได้ว่าสิ่งของใดๆ ก็ตาม เมื่ออาศัยอยู่ในสถานที่แห่งหนึ่งก็จะต้องหลงเหลือกลิ่นอายเอาไว้ กลิ่นอายนี้คนปกติจะมองไม่เห็น

แต่ผู้มีพลังพิเศษและยอดฝีมือแบบเย่เทียนเฉิน ขอเพียงใช้พลังพิเศษแห่งการรับรู้ก็จะค้นพบได้ แต่ตอนนี้เย่เทียนเฉินใช้พลังพิเศษแห่งการรับรู้ออกไปแล้ว สำรวจตึกโบราณคดีทั้งตึกไปรอบหนึ่งแล้ว แต่ก็ยังสัมผัสกลิ่นอายของฉินเหยาเยว่ไม่ได้ นี่มันผิดปกติมาก

“ดูท่าจะไปอย่างสะอาดสะอ้านจริงๆ ไม่เหลืออะไรไว้เลย ถ้ารู้แบบนี้ฉันควรจะตรวจสอบเรื่องของเธอก่อน!” เย่เทียนเฉินพูดพึมพำกับตัวเอง

เดิมทีการที่เขามาเรียนที่มหาวิทยาลัยหลงเถิง ประการแรกเป็นเพราะเป็นการจัดการภายในครอบครัวของเย่เทียนเฉิน เขาเองก็เพิ่งจะอายุ 20 ปี ตามการพัฒนาของสังคม ถ้าไม่เล่าเรียนแล้วจะทำอะไรได้ นอกจากนั้นหยางอี้และยังมีท่านผู้นำสูงสุด ต่างให้เย่เทียนเฉินมาจับตาดูการแข่งขันยอดฝีมือของสี่สุดยอดสาวงามแห่งพรรควรยุทธโบราณที่นี่อีกด้วย

พรรควรยุทธโบราณลึกล้ำไม่อาจคาดเดา กระทั่งคนระดับสูงของทางการก็ยังต้องให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก จะอย่างไรคนของพรรควรยุทธโบราณก็เหมือนกับผู้มีพลังพิเศษ เป็นกลุ่มคนที่ต่างออกไป กระทั่งทางการก็ไม่สามารถควบคุมได้ง่ายๆ ทำได้เพียงควบคุมข้อมูลเอาไว้ในมือ ดังนั้นการแข่งขันของสี่สุดยอดสาวงามแห่งพรรควรยุทธโบราณในครั้งนี้จึงได้รับความสนใจจากคนระดับสูงของทางการมาก

ได้ยินชางหลางและเฮยเมี่ยนกล่าวว่า พรรควรยุทธโบราณทั้งหมดที่มีอยู่ในประเทศจีนต่างให้สำคัญเป็นอย่างมาก เนื่องจากครั้งนี้ พรรคใหญ่ทั้งสี่พรรคต่างส่งคนในพรรคของตนมาทั้งสิ้น เป็นผู้แข็งแกร่งที่อายุน้อยที่สุด ไม่ว่าพรรคไหนจะชนะหรือบางทีอาจจะแพ้ ล้วนดึงดูดการต่อสู้ระหว่างพรรควรยุทธโบราณ เนื่องจากนี่เป็นการต่อสู้ตัดสินความเป็นความตายของแต่ละคน จะต้องมีคนได้รับบาดเจ็บล้มตายแน่ และพรรคอื่นๆ และยอดฝีมือคนอื่นๆ ก็ไม่สามารถสอดมือได้ ทำได้เพียงต่อสู้แย่งชิงกันในหมู่สี่สุดยอดสาวงามแห่งพรรควรยุทธโบราณเท่านั้น

ระยะนี้เย่เทียนเฉินไม่ได้มามหาวิทยาลัย เขาคาดเดาว่าการต่อสู้ของสี่สุดยอดสาวงามแห่งพรรควรยุทธโบราณอาจจะยืดเวลาออกไป หรือบางทีอาจจะมีการเปลี่ยนแปลง แต่ในตอนที่เขาไม่รับรู้ถึงกลิ่นอายของฉินเหยาเยว่กลับรับรู้ได้ถึงกลิ่นอายที่แข็งแกร่งอีกหลายสาย ในตอนที่อยู่ที่ภูเขาด้านหลังของมหาวิทยาลัยหลงเถิง เขาก็ต้องขมวดคิ้ว หลงเหลือไว้เพียงภาพติดตา หายไปแล้ว!

กระบี่อวี๋ฉาง กระบี่ฆ่าบิดาสังหารจักรพรรดิ ดูเหมือนทุกสิ่งทุกอย่างจะไม่อาจขวางกั้นพลังอำนาจของมันได้ ขอเพียงกระบี่ออกจากฝัก ก็จะต้องมีลมปราณพุ่งสู่ท้องฟ้า ไม่ว่าคุณจะเป็นจักรพรรดิหรือเป็นบิดาล้วนต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัย ดูแล้วไม่มีมนุษยธรรมแม้แต่น้อย โหดเหี้ยมมาก ถึงกับไม่สมควรจะเป็นกระบี่ที่มีอยู่ในโลกนี้ กระทั่งสายสัมพันธ์และมนุษยธรรมเบื้องต้นที่สุดก็ยังไม่ต้องการ กระบี่แบบนี้ถ้าไม่ทำลาย แล้วจะทำอะไรได้อีก?

แต่ในตอนที่เย่เทียนเฉินเตรียมจะใช้ฝ่ามือทำลายกระบี่อวี๋ฉาง เบื้องหน้าของเขาก็ปรากฏภาพเหตุการณ์สองอย่าง หนึ่งคือการสังหารจักรพรรดิ หนึ่งคือการสังหารบิดา เรื่องทั้งหมดของกระบี่ที่สังหารจักรพรรดิฆ่าบิดาล้วนทำเพื่อช่วยเหลือผู้อื่น ช่วยเหลือชีวิตในโลกนี้ นี่ไม่ใช่มนุษยธรรมแต่เป็นคุณธรรม เป็นคุณธรรมอันยิ่งใหญ่ที่เห็นชีวิตในโลกสำคัญ

พลังของพี่พลังพิเศษของเย่เทียนเฉินไหลเข้าไปในกระบี่อวี๋ฉาง ไม่เหมือนกับตอนที่สยบกระบี่ไท่อาที่ได้รับแรงสะท้อนขนาดนั้น มันไหลเข้าไปในตัวกระบี่อวี๋ฉางอย่างสบายๆ ภายในกระบี่อวี๋ฉางยังคงมีปราณกระบี่ที่แตกต่างกัน บางทีอาจจะเป็นปราณกระบี่ต้นกำเนิดของกระบี่อวี๋ฉาง และยังมีเงาคนที่เหมือนกับในกระบี่ไท่อาทุกกระเบียดนิ้วอยู่ด้วย นี่คงจะเป็นวิญญาณของบุคคลในตำนานที่ใช้กระบี่เทพบรรพกาลทั้ง 10 เล่มคนนั้น หากเย่เทียนเฉินเดาไม่ผิด ในกระบี่บรรพกาลทั้ง 10 เล่ม ในกระบี่ทุกเล่มจะต้องมีวิญญาณของคนคนนั้นอยู่ นั่นคือรอยประทับดั้งเดิมของเขา กระบี่บรรพกาลทั้ง 10 เกิดจากการหลอมของเขา ดังนั้นการควบคุมแรกสุด ย่อมเป็นรอยประทับดั้งเดิมที่เขาหลงเหลือไว้

เย่เทียนเฉินรู้สึกแปลกใจกับบุคคลในตำนานที่ใช้กระบี่บรรพกาลทั้ง 10 เล่มนี้มาก และรู้สึกนับถือด้วย แต่หากต้องการควบคุมกระบี่บรรพกาลทั้ง 10 เล่มนี้ จำเป็นต้องกำจัดรอยประทับดั้งเดิมของคนในตำนานคนนี้ที่อยู่ในกระบี่ไปก่อน กล่าวคือต้องฆ่าไม่ให้เติบโต หรือบางทีอาจจะไม่ต้องใช้วิธีเช่นนี้ก็สามารถควบคุมกระบี่บรรพกาลทั้ง 10 เล่มได้ อย่างไร ก็ตามเย่เทียนเฉินไม่ใช่คนที่ชอบหลงเหลือของของผู้อื่นไว้ ในตอนที่อยู่ดาวสิ้นโลก เขาเคยสร้างเคล็ดวิชาสังหารมามากมาย ตัวอย่างเช่น “หมัดพี่ชายสุดหล่อ” ที่มีพลังแข็งแกร่ง ยังมี “เนตรประกายทอง” ที่กระทั่งตัวเขาเองในตอนนี้ก็ยังไม่อาจควบคุมได้ดีนัก

ในตอนที่สยบกระบี่ไท่อาเย่เทียนเฉินแสดงท่าทีของตนออกไปอย่างชัดเจนแล้ว เขาไม่รับสืบทอด 10 กระบี่บรรพกาลที่คนในตำนานเคยใช้ แต่ทำการหลอมรวมด้วยตัวเอง 10 กระบี่บรรพกาลอาจจะไม่ได้สร้างมาจากมือของบุคคลในตำนานคนนั้น เพียงแต่เขาได้กลายเป็นคนที่ใช้งานคนแรกสุดเท่านั้น เย่เทียนเฉินกำจัดรอยประทับของเขาไปแล้ว และนำกระบี่บรรพกาลทั้ง 10 มาใช้ด้วยตนเองอย่างแท้จริง ไม่เกี่ยวข้องกับผู้ใช้ก่อนหน้านี้แม้แต่ครึ่งส่วน นี่ร้ายกาจเป็นอย่างมาก เรียกได้ว่าทำให้กระบี่บรรพกาลทั้ง 10 เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง ไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องก่อนหน้านั้นแม้แต่ครึ่งส่วน เย่เทียนเฉินเพียงต้องการตัวกระบี่ ไม่ต้องการปราณกระบี่ด้านใน เขาใช้ด้วยตัวเองได้

กล่าวให้ชัดเจนเสียหน่อย 10 กระบี่บรรพกาลไม่ทราบว่าถูกสร้างขึ้นจากผู้ใด และเป็นไปได้มากว่าจะปรากฏขึ้นในยุคสมัยที่แตกต่างกัน ในตอนที่เกิดเป็นกระบี่ ในตัวกระบี่ก็แฝงไปด้วยปราณกระบี่ของฟ้าดิน เพียงแต่ถูกบุคคลในตำนานคนแรกสยบและประทับตราของตนลงไปในตัวกระบี่ เพื่อควบคุมกระบี่บรรพกาลทั้ง 10 เล่มเท่านั้น เย่เทียนเฉินกำจัดรอยประทับของคนคนนี้ไปแล้ว จึงสามารถใช้กระบี่เทพที่ได้รับมาได้อย่างสมบูรณ์

เห็นได้ชัดว่าหากต้องการกำจัดรอยประทับในกระบี่เทพบรรพกาลทั้ง 10 เป็นเรื่องที่ยากลำบากมาก มิฉะนั้นผ่านมาหลายปีขนาดนี้ 10 กระบี่บรรพกาลอย่างน้อยก็ต้องผ่านเวลามาหลายพันปี ในนี้ถูกผู้แข็งแกร่งของโลกจำนวนหนึ่งใช้งาน แต่พวกเขาก็ไม่ได้กำจัดรอยประทับของบุคคลในตำนานด้านในไป เพียงพอที่จะเห็นได้ว่าบุคคลในตำนานนั้นร้ายกาจขนาดไหน ทำให้ผู้คนไม่กล้าที่จะจินตนาการจริงๆ

ผู้แข็งแกร่งผู้หนึ่งที่เคยมี 10 กระบี่เทพบรรพกาล เท่ากับสยบอาวุธเทพทั้ง 10 ไปได้เพียงผู้เดียว และยังนำกระบี่เทพทั้ง 10 มาสร้างเป็นค่ายกลกระบี่ มีพลังอำนาจในการสังหารเทพมาร คนคนนี้จะอ่อนแอหรือ? ถูกเรียกว่าบุคคลในตำนาน คำนี้เกรงว่าจะไม่เกินไปเลย

ในตอนนี้เอง พลังความคิดของเย่เทียนเฉินก็เข้าไปในกระบี่อวี๋ฉาง ในตอนที่เขาเห็นเงาคนที่หันหลังให้เขานั้น ยังคงหวาดระแวงอยู่มาก ต่อให้มีเพียงเงาประทับเล็กน้อยอยู่ในกระบี่ก็ยังไม่กล้าลำพองใจ นี่เป็นรอยประทับของบุคคลในตำนานที่เคยใช้ 10 กระบี่บรรพกาล เกรงว่าบนโลกใบนี้ คนที่กล้าดูเบาเขาคงจะไม่มี

ตู้ม!

บรรยากาศอันบ้าคลั่งม้วนตลบขึ้นมา เย่เทียนเฉินขมวดคิ้ว พลังพิเศษที่ถูกเขาส่งเข้าไปในกระบี่อวี๋ฉางกลายเป็นฝ่ามืออันใหญ่ ตบเข้าไปที่เงาคนที่ยืนหันหลังให้เขา ต้องการใช้กระบี่อวี๋ฉางอย่างสมบูรณ์ก็ต้องทำเหมือนกับกระบี่ไท่อา คือกำจัดรอยประทับดั้งเดิมที่อยู่ด้านในไปอย่างสิ้นเชิงและสะอาดสะอ้านหมดจดเพื่อให้ตนเองใช้ ดังนั้นเย่เทียนเฉินจึงไม่เกรงใจ เมื่อลงมือก็ลงมือเต็มที่ ต้องการสยบอย่างสมบูรณ์

ถ้าหากตอนนี้มีคนมาเห็นเย่เทียนเฉินจะต้องแปลกใจมากแน่นอน เนื่องจากเย่เทียนเฉินในตอนนี้นั่งขัดสมาธิอยู่บนพื้น มือขวากำด้ามกระบี่อวี๋ฉาง ไม่ขยับเขยื้อน หลับตาอยู่อย่างนั้น ดูเหมือนกำลังครุ่นคิด แต่ความจริงกำลังผ่านการต่อสู้ที่อันตรายที่สุดอยู่

ไหนเลยจะรู้ว่า ในตอนที่ฝ่ามือของเย่เทียนเฉินตบลงไปยังวิญญาณที่ยืนหันหลังให้ตน วิญญาณนั้นจะลงมือต่อต้าน แต่ในตอนที่พลังของทั้งสองปะทะกัน พลังทำลายล้างทั้งหมดในตัวกระบี่อวี๋ฉางก็พุ่งออกมาครอบคลุมวิญญาณเอาไว้ หยุดวิญญาณที่จะลงมือกับเย่เทียนเฉิน เย่เทียนเฉินคาดไม่ถึงว่าจะเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้น เดิมทีคิดว่าจะเป็นการต่อสู้ที่ยากลำบาก คิดไม่ถึงว่าในช่วงเวลาสำคัญจะเกิดเรื่องแบบนี้ พลังทำลายล้างในตัวกระบี่อวี๋ฉางถึงกับช่วยตนรับมือกับรอยประทับของคนในตำนานคนนั้น

คิดไปมา โอกาสแบบนี้หาได้ยากยิ่ง หากพลาดไปก็จะต้องกลายเป็นการต่อสู้ที่ยากลำบาก และอาจจะตายได้ ดังนั้นการเคลื่อนไหวของเย่เทียนเฉินก็ไม่ได้ชักช้า ใช้ฝ่ามือตบลงไปยังศีรษะของวิญญาณนั้น ทำให้มันสลายไปครึ่งหนึ่ง นี่ทำให้เย่เทียนเฉินต้องสูดหายใจเย็นยะเยือก ตนเองลงมือเต็มกำลังแล้ว เพียงพอที่จะทำให้ภูเขาใหญ่ๆ ลูกหนึ่งแหลกเหลวได้ แต่เมื่อตบลงไปบนวิญญาณนั้น ถึงกับไม่สามารถทำให้สลายไปได้ ช่างอยู่เหนือความคาดหมายจริงๆ

“บุคคลในตำนานนี้แข็งแกร่งจริงๆ นี่แค่เพียงรอยประทับวิญญาณเล็กๆ เท่านั้น และไม่รู้ว่าผ่านไปกี่พันปีแล้ว ถึงกับมีพลังต่อสู้ที่แข็งแกร่งขนาดนี้เชียว ถ้าอย่างนั้นตัวตนจริงๆ ของเขาจะแข็งแกร่งขนาดไหน?” ในใจของเย่เทียนเฉินอดไม่ได้ที่จะลอบทอดถอนใจขึ้นมา

วิญญาณนั้นเองก็คิดไม่ถึงอย่างเห็นได้ชัด ในตอนที่เขาจะฆ่าเย่เทียนเฉิน ไม่ปล่อยให้กระบี่เทพที่ตนใช้ต้องหายไป พลังทำลายล้างภายในตัวกระบี่อวี๋ฉางจะถึงกับช่วยเย่เทียนเฉินรับมือกับตน ฝ่ามือนี้ทำให้เขาเสียหายอย่างหนัก ไม่สามารถรักษารอยประทับจิตวิญญาณเอาไว้ได้อีกต่อไป เนื่องจาก 10 กระบี่บรรพกาล ในกระบี่ทุกเล่มล้วนมีปราณกระบี่ดั้งเดิมของตนอยู่ กระบี่เทพบรรพกาลทั้ง 10 สามารถดำรงอยู่และกลายเป็นอาวุธเทพได้ หากต้องการใช้กระบี่เทพบรรพกาลทั้ง 10 ก็ต้องทำเหมือนกับเย่เทียนเฉิน คือสยบและหลอมรวมพลังของตนเองเข้ากับกระบี่ รวมเข้ากับพลังดั้งเดิม แต่จะทำให้ถึงขั้นนี้ได้ย่อมยากมาก หากต้องการสยบพลังงานต้นกำเนิดในตัวกระบี่ เดิมทีก็เป็นเรื่องยากอยู่แล้ว เนื่องจากในหมู่กระบี่ 10 เทพบรรพกาลทุกเล่มล้วนร่องรอยพลัของผู้แข็งแกร่งที่อยู่ ต่อให้มียอดฝีมือที่หาได้ยากมาสยบปราณกระบี่ดั้งเดิมภายในตัวกระบี่ได้ แต่หากต้องการหลอมรวมและได้รับการยอมรับจากกระบี่อวี๋ฉางนั้นเป็นเรื่องที่ยากมาก การยอมรับนี้ไม่ใช่ว่ายิ่งแข็งแกร่งก็ยิ่งทำได้ ในความคิดเห็นของเย่เทียนเฉิน คนในตำนานที่เคยใช้กระบี่เทพบรรพกาลทั้ง 10 ก็คงไม่เคยเห็นการยอมรับของกระบี่เหล่านี้ เขาต้องนำพลังของตนหลอมรวมเข้าไป มิฉะนั้นปราณกระบี่ดั้งเดิมของกระบี่อวี๋ฉางคงไม่โจมตีรอยประทับของบุคคลในตำนานหรอก

ถูกปราณกระบี่ดั้งเดิมภายในตัวกระบี่อวี๋ฉางกับขังเอาไว้จนไม่สามารถลงมือได้ และถูกฝ่ามือของเย่เทียนเฉินตบลงที่หัว วิญญาณพลันอ่อนแอลงไม่น้อย แต่ก็ไม่ได้สลายไปทันที เย่เทียนเฉินจ้องวิญญาณนั้น ต้องการมองเห็นใบหน้าคนคนนั้นให้ชัดเจน ทำแบบนี้ถึงจะรู้ว่าบุคคลในตำนานมีหน้าตาอย่างไร แต่ในที่สุดก็มองไม่เห็น พร่าเลือนมาก

“ผ่านไปหลายปีขนาดนี้แล้ว เจ้ายังไม่ยอมรับข้าจริงๆ หรือเจ้าจะยอมรับคนหนุ่มคนนี้?” วิญญาณพูดออกมาอย่างเรียบเฉยประโยคหนึ่ง ในตอนที่พูดออกมา วิญญาณก็สลายไป หลงเหลือไว้เพียงปราณกระบี่ดั้งเดิมของกระบี่อวี๋ฉางที่ห้อมล้อมเย่เทียนเฉินเอาไว้

เย่เทียนเฉินรับรู้ได้ถึงสัญญาณที่ดีที่กระบี่อวี๋ฉางมีต่อตนเอง หรือจะเป็นเหมือนกับที่วิญญาณของคนในตำนานนั้นพูดจริงๆ กระบี่อวี๋ฉางยอมรับตนแล้ว นี่เป็นการประจบประแจงหรือเปล่า?

ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร เมื่อได้รับกระบี่เทพมาอีกเล่มหนึ่งเย่เทียนเฉินก็รู้สึกยินดีมาก ถึงแม้จะคิดไม่ถึงแต่ก็ยังคงรีบหลอมรวมพลังของตนเข้าไป กระบี่ทุกเล่มใน 10 กระบี่บรรพกาลมีพลังและอำนาจที่น่าเหลือเชื่อ ได้รับมาสองเล่มในเวลารวดเร็วเช่นนี้ เย่เทียนเฉินจะไม่ดีใจได้อย่างไร?

เพียงไม่นานเย่เทียนเฉินก็นำพลังพิเศษของตนหลอมรวมเข้าไปในตัวกระบี่อวี๋ฉาง ยิ่งไปกว่านั้นยังทำการหลอมรวมความรู้สึกของตนเข้าไปด้วย ต้องการใช้กระบี่ไท่อาและกระบี่อวี๋ฉางได้อย่างสมบูรณ์ และยังคงหลอมรวมไม่หยุด ขอเพียงมีความคิดกระบี่ก็จะออกจาฝัก นี่เป็นก้าวแรก ความจริงนี่ไม่ใช่เรื่องน่าอัศจรรย์อะไร แต่เป็นควบคุมกระบี่ ใช้พลังความคิดของตนนั่นก็คือพลังจิตมาทำให้วัตถุหรือสิ่งของที่เคลื่อนไหวไปตามการชี้นำของตน ในสังคมปัจจุบันนี้คนส่วนใหญ่ที่ใช้พลังพิเศษในขั้นแรกได้ก็สามารถทำได้แล้ว เพียงแต่เป้าหมายไม่เหมือนกัน รูปลักษณ์ไม่เหมือนกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากต้องการจะควบคุมกระบี่ 10 บรรพกาลซึ่งเป็นกระบี่เทพที่มีพลังแข็งแกร่งที่สุดก็ยากลำบากมาก

ประมาณครึ่งชั่วโมงผ่านไป เย่เทียนเฉินก็ลืมตาขึ้น เขาไม่ได้หลอมรวมพลังดั้งเดิมของตนเข้ากับปราณกระบี่ดั้งเดิมของกระบี่อวี๋ฉางอย่างสมบูรณ์ แต่กำลังใคร่ครวญว่าเสี้ยวหยาต้มบะหมี่เสร็จแล้วหรือยัง ไม่อยากให้เด็กคนนี้รอนาน เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เธอต้องรู้สึกโดดเดี่ยว ดังนั้นเย่เทียนเฉินจึงเก็บกระบี่อวี๋ฉางมา เก็บมันเข้าไปในช่องว่างเก็บของของตน ให้มันอยู่ด้วยกันกับกระบี่ไท่อา หากต้องการใช้กระบี่เทพอย่างสมบูรณ์นั้นไม่ใช่เรื่องที่จะทำได้ในวันสองวัน ยังต้องการเวลาหลอมรวมและฝึกฝนให้นานถึงจะถูก

ความแข็งแกร่งและรวดเร็วในการยอมรับของเสี้ยวหยาเป็นสิ่งที่เย่เทียนเฉินคาดไม่ถึง ความแน่วแน่ของผู้หญิงคนนี้ทำให้เขานับถือ แน่นอนว่าเสี้ยวหยายังคงรู้สึกอัศจรรย์ใจกับเคล็ดวิชาพลังพิเศษมาก กระทั่งต้องการขอร้องให้เย่เทียนเฉินแสดงเคล็ดวิชาพลังพิเศษอื่นๆ ให้ดูอีกสักหน่อย ทำให้เย่เทียนเฉินรู้สึกหัวเราะไม่ออกร้องไห้ไม่ได้

นี่คือเคล็ดวิชาพลังพิเศษ เคล็ดวิชาแห่งการฆ่าล้างและปกป้อง น้อยที่สุดก็คือสามารถปกป้องตัวเองได้ มากที่สุดก็คือสามารถถล่มฟ้าทลายดินได้ ตอนนี้ถึงกับถูกเสี้ยวหยาทำให้เป็นวิชาเด็กเล่นไปแล้ว และยังต้องแสดงฟรีๆ อีกด้วย เย่เทียนเฉินรู้สึกหดหู่ แต่เมื่อเห็นเสี้ยวหยาดีใจขนาดนี้ เป็นรอยยิ้มที่หาได้ยากหลังจากแม่ของเธอจากไป เย่เทียนเฉินก็รู้สึกดีใจมาก แสดงเคล็ดวิชาพลังพิเศษอีกหลายอย่างให้เสี้ยวหยาดู แน่นอนว่าเป็นวิชาเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น วิชาใหญ่ๆ ที่มีพลังสังหารรุนแรงสิ้นเปลืองพลังพิเศษมากเกินไป ดังนั้นจึงไม่อาจนำมาแสดงได้

ในตอนที่เย่เทียนเฉินแสดงเคล็ดวิชาพลังพิเศษเหล่านี้ เสี้ยวหยาก็มองโดยไม่ละสายตาอยู่ตลอด ในดวงตาเต็มไปด้วยความมหัศจรรย์ใจและเต็มไปด้วยการเรียนรู้เคล็ดวิชาพลังพิเศษนี้ ทำให้เย่เทียนเฉินรู้สึกแปลกใจ หรือความเข้าใจของเสี้ยวหยาที่มีต่อเรื่องของเคล็ดวิชาพลังพิเศษจะอยู่เหนือคนธรรมดา?

“เอาล่ะหยาเอ๋อร์ ควรจะกินอาหารเย็นแล้วหรือยัง?”

เย่เทียนเฉินสยบกระบี่ไท่อา จากนั้นก็สู้กับหมอกโลหิต ไม่ว่าจะเป็นการสูญสิ้นพลังพิเศษหรือการสูญสิ้นพลังกายก็เสียแรงไปมาก ตอนนี้ยังต้องมาแสดงเคล็ดวิชาพลังพิเศษให้เสี้ยวหยาดูอีก รู้สึกหิวจนท้องร้องจ๊อกๆ ไปนานแล้ว ดังนั้นจึงอดไม่ได้ที่จะพูดออกมาด้วยรอยยิ้มขมขื่น

“นายหิวแล้วเหรอ ถ้างั้นฉันจะไปต้มบะหมี่ให้หน่อยแล้วกัน ถึงจะทำได้ไม่อร่อยมาก แต่ก็ทำให้ท้องอิ่มได้!” เสี้ยวหยายืนขึ้นแล้วพูดด้วยความอ่อนโยน

“อืม ใส่พริกเยอะๆ หน่อย ฉันจะออกไปจัดการข้างนอกสักครู่!” เย่เทียนเฉินพยักหน้า ได้อยู่ด้วยกันกับเสี้ยวหยาทำให้เขามีความรู้สึกถึงครอบครัว ความรู้สึกเช่นนี้เย่เทียนเฉินหวงแหนมาก ไม่ว่าใครที่มาทำร้าย เขาก็จะฆ่าคนนั้น นี่เป็นสิ่งที่แน่นอนอยู่แล้ว

สิ่งที่โชคดีที่สุดในชีวิตของคนเราก็คือ การได้อยู่ด้วยกันกับคนที่ตนรัก ตั้งแต่พระอาทิตย์ขึ้นยันพระอาทิตย์ตก เดินดูพระอาทิตย์ตกด้วยกัน ข้ามผ่านประสบการณ์ชีวิตไปด้วยกัน ค่อยๆ แก่ตัว แก่จนไปไหนไม่ได้ กระทั่งอยู่ด้วยกันในช่วงสุดท้ายของชีวิต ความโชคดีแบบนี้เป็นสิ่งที่คนมากมายไม่อาจสัมผัสได้ชั่วชีวิต

เสี้ยวหยาเดินเข้าไปในครัวเพื่อไปทำอาหารเย็น ส่วนเย่เทียนเฉินก็ไม่ได้เสียเวลาไปอีก เดินออกไปนอกคฤหาสน์ เดินมาข้างสระว่ายน้ำด้านหลังคฤหาสน์อีกครั้ง ท่าทางเคร่งเครียดและหนักแน่น กระบี่ไท่อา กระบี่อวี๋ฉาง ทั้งสองเล่มนี้เป็นหนึ่งในอาวุธบรรพกาลทั้งสิบ กำลังสั่นสะท้านไม่หยุด หมอกโลหิตยังยืนอยู่บนพื้น ศีรษะของเขาถูกกระบี่ไท่อาแทงทะลุ แต่ยังคงยืนหยัดไม่ยอมล้ม ร่างกายของคนคนนี้ยังถูกหมอกโลหิตปกคลุมไว้อีกชั้นหนึ่ง ไม่รู้หน้าตาที่แท้จริงของเขา ไม่อาจใช้ดวงตามองตรงตรงได้ แต่เย่เทียนเฉินสำรวจผ่านพลังพิเศษแห่งการรับรู้นานแล้ว และได้เห็นใบหน้าที่แท้จริงของหมอกโลหิตแล้ว ที่ทำให้เขารู้สึกแปลกใจก็คือ ดูแล้วเหมือนว่าหมอกโลหิตจะอายุไม่เกิน 30 ปี แต่พลังการต่อสู้แข็งแกร่งมาก ต่อให้ตายหมอกโลหิตที่ล้อมอยู่รอบตัวก็ยังไม่สลายไป ท่าทางเขาคงหลอมหมอกโลหิตเหล่านี้ไปกับร่างกายของตนจึงทำให้มีผลแบบนี้

ซู่ม!

นิ้วชี้ขวาและนิ้วกลางขวาของเย่เทียนเฉินกระดิกเข้ามา กระบี่ไท่อาพลันพุ่งออกมาจากศีรษะของหมอกโลหิต พลังอำนาจยิ่งใหญ่มาก โดยเฉพาะเลือดสดๆ ที่อาบย้อมไปทั่วทั้งตัวกระบี่ ดูเหมือนจะไม่ได้ดื่มเลือดมานานแล้ว บรรยากาศบ้าคลั่งแบบนั้นเย่เทียนเฉินก็รับรู้ได้ เขาใช้พลังพิเศษเช็ดหมอกโลหิตที่ติดอยู่บนกระบี่ไท่อาแล้วเรียกมันกลับมา

ไหนเลยจะรู้ว่า หลังจากที่เย่เทียนเฉินเก็บกระบี่ไท่อามาแล้ว หมอกโลหิตจะระเบิดออกโดยพลัน กลายเป็นหมอกโลหิตที่แท้จริง จากนั้นจึงสลายไป เย่เทียนเฉินที่ได้เห็นก็อดไม่ได้ที่จะตกตะลึง จากนั้นจึงเผยรอยยิ้มออกมา “บางทีแกคงจะคาดเดาไว้นานแล้วว่าจะมีผลลัพธ์แบบนี้ แกเป็นยอดฝีมือที่ควรค่าให้ผู้คนนับถือจริงๆ !”

หมอกโลหิตตายแล้ว กระทั่งศพก็ไม่หลงเหลือไว้ นี่เป็นทางเลือกของเขาเอง เดิมทีเย่เทียนเฉินยังคิดจะฝังศพให้หมอกโลหิตดีๆ แต่ในเมื่อหมอกโลหิตเตรียมใจกับการตายของตัวเองไว้แล้ว ถ้างั้นก็ต้องแล้วแต่เขา

ยืนมองท้องฟ้าอยู่เนิ่นนาน เย่เทียนเฉินรู้สึกนับถือยอดฝีมือคนนี้จริงๆ ในขณะเดียวกันก็สัมผัสได้ถึงบางอย่าง ในการทะลวงขอบเขตความสามารถ ความเข้าใจเกี่ยวกับสภาพจิตใจเป็นสิ่งสำคัญมาก มียอดฝีมือจำนวนมากที่คิดจะไปถึงขั้นไร้ตัวตนไปชั่วชีวิต นั่นไม่เพียงแต่จะเป็นการยกระดับฝีมือของตนเท่านั้น มันยังมีข้อดีในด้านเส้นทางการบ่มเพาะด้วย เพียงแต่คนที่สามารถเข้าสู่สภาวะนี้ได้ ไม่เพียงแต่จะต้องการความสามารถส่วนตัวและความรับรู้ส่วนตัวเท่านั้น ยังต้องการโอกาสอีกด้วย ก่อนที่เย่เทียนเฉินจะกลายเป็นผู้มีพลังพิเศษในขอบเขตพระเจ้าตอนที่อยู่ดาวสิ้นโลกก็เคยเข้าถึงขอบเขตไร้ตัวตนเป็นบางครั้ง มหัศจรรย์เป็นอย่างมาก ในโลกนั้น บางทีอาจเรียกได้ว่าอยู่ในความฝัน มีหลายอย่างที่รอให้ผู้คนไปสัมผัส แต่ใช้ชีวิตอยู่ในดาวสิ้นโลกไปชีวิตหนึ่ง เย่เทียนเฉินก็มีโอกาสครั้งเดียวเท่านั้น และไม่อาจเข้าไปได้อีก ความสามารถของเขาอยู่ในระดับผู้มีความสามารถพิเศษขอบเขตพระเจ้าขั้นต้นและไม่สามารถเพิ่มขึ้นได้ ไม่สามารถไปถึงขอบเขตเทพราชันที่นับว่าเป็นผู้แข็งแกร่งที่แท้จริง

หลังจากที่เย่เทียนเฉินได้เห็นศพของหมอกโลหิตกลายเป็นหมอกโลหิตแล้วสลายไป ก็เก็บกระบี่ไท่อากลับมา และทำให้กระบี่ไท่อาหายไปในอากาศ นี่เป็นการใช้เคล็ดวิชาเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น ภายในร่างกายของผู้มีพลังพิเศษทุกคนจะมีช่องว่างสำหรับเก็บสิ่งของอยู่ ตำแหน่งนั้นอาจจะตั้งอยู่ในที่ใดของผู้มีพลังพิเศษก็ได้ นี่ต้องดูการเลือกและความชอบส่วนตัวของผู้มีพลังพิเศษ ในช่องว่างนั้นจะมีความสามารถในการเก็บสิ่งของทุกสิ่งทุก อย่างแน่นอนว่ามีแข็งแกร่งอ่อนแอแและมีเล็กมีใหญ่ นี่เกี่ยวข้องกับความสามารถของผู้มีพลังพิเศษมาก ว่ากันว่าผู้แข็งแกร่งในระดับเทพราชันสามารถถล่มฟ้าทลายดินได้ ต่อให้นำอาวุธไปวางไว้ในส่วนลึกที่สุดของดวงดาวที่ห่างไกลนับหมื่นล้านลี้ ขอเพียงตวัดมือตามใจครั้งหนึ่ง อาวุธก็จะมาถึงในพริบตา นี่คือความสามารถของยอดฝีมือที่แท้จริง ไม่มีอะไรที่ทำไม่ได้นอกจากมีชีวิตยืนยาวเป็นอมตะ แน่นอนว่าจะมีผู้แข็งแกร่งไปถึงขั้นมีชีวิตยืนยาวเป็นอมตะได้หรือไม่ก็ยังไม่มีใครรู้ ยังต้องไปพิสูจน์

“กระบี่อวี๋ฉาง กระบี่ที่ใช้สังหารจักรพรรดิ ผ่านเรื่องราวทำลายล้างทุกสิ่งทุกอย่าง กระบี่แบบนี้ทำไมยังอยู่บนโลกอีก ทำไมไม่ทำลายมันไปซะ?” เย่เทียนเฉินมองกระบี่อวี๋ฉางที่ปักอยู่บนเสาหินต้นใหญ่ด้านข้าง มีความรู้สึกต้องการที่จะทำลายกระบี่เล่มนี้ กระบี่สังหารบิดาสังหารจักรพรรดิ เป็นกระบี่ด้านมืด ไม่ใช่กระบี่ของมนุษย์ คนที่บริสุทธิ์ที่สุด เมื่อได้รับกระบี่นี้ไปก็ยังโหดเหี้ยมหาใดเปรียบ กระทั่งสามารถฆ่าคนบริสุทธิ์ได้

ไหนเลยจะรู้ว่า ในตอนที่เย่เทียนเฉินเดินเข้าไปใกล้กระบี่อวี๋ฉาง รวบรวมพลังพิเศษที่แข็งแกร่งที่สุดเอาไว้ในมือขวา คิดจะทำลายกระบี่อวี๋ฉางนั้น กระบี่อวี๋ฉางที่เดิมทียังปักอยู่บนเสาหินต้นใหญ่จะสั่นสะท้านไม่หยุด ราวกับต้องการหนีไปให้ไกล ดูเหมือนจะสัมผัสได้ถึงความคิดของเย่เทียนเฉินที่ต้องการทำลายมัน มันไม่อยากถูกทำลายย่อมต้องคิดจะหนี

แต่ในตอนนี้เย่เทียนเฉินแข็งแกร่งหาใดเปรียบ ยิ่งไปกว่านั้นเขาสัมผัสได้ถึงความโหดเหี้ยมของกระบี่ นี่เป็นกระบี่ที่ไม่ควรหลงเหลือเอาไว้ในโลก ต่อให้จะมีข้อดี คนในตำนานที่เคยใช้กระบี่เทพบรรพกาลทั้ง 10 เล่มคนนั้นก็คงจะไม่ใช่คนเลวร้ายอะไร มิฉะนั้นในฐานะที่เขาเป็นคนเพียงไม่กี่คนที่แข็งแกร่งที่สุดในจักรวาล หากต้องการทำเรื่องเลวร้ายอะไรขึ้นมา จะทำไม่ได้หรือ? แต่ทำไมเขาถึงอนุญาตให้กระบี่อวี๋ฉางมีอยู่ต่อไป และยังคงหลงเหลือเอาไว้ตลอด ยิ่งไปกว่านั้นยังให้กระบี่อวี๋ฉางกลายเป็นส่วนหนึ่งของค่ายกลกระบี่อีกด้วย?

“ฉันไม่สนใจว่าแกจะมีความเป็นมายังไง แต่ฉันก็จะทำลายแก กระบี่ที่สังหารบิดาฆ่าจักรพรรดิ ฉันจะไม่ปล่อยให้มีอยู่ต่อไป!”

ในขณะที่พูด พลังพิเศษในมือขวาของเย่เทียนเฉินก็กลายเป็นลูกบอลใหญ่ ตบลงไปในกระบี่อวี๋ฉาง เพียงแต่ในตอนที่กำลังจะถึงตัวกระบี่อวี๋ฉางและทำลายมันนั้น เย่เทียนเฉินก็รู้สึกถึงการรบกวนบางอย่าง เบื้องหน้าของเขาปรากฏภาพอันมหัศจรรย์ขึ้นมา คล้ายกับเรื่องราวที่ย้อนกลับไปในอดีตยุคโบราณ

ภาพเหตุการณ์แรกก็คือ หัวหน้าหมู่บ้านคนหนึ่ง มีอำนาจในการสังหารคนทั้งหมู่บ้าน แต่หัวหน้าหมู่บ้านคนนั้น เพื่อที่จะทำให้ตนเองร่ำรวยมากขึ้นและได้รับพลังชีวิตมากขึ้น ตามหาเส้นทางแห่งชีวิตยืนยาว จึงไม่เสียดายที่จะแลกเปลี่ยนกับนักพรตเต๋าคนหนึ่ง ยอมฆ่าทารกทั้งหมู่บ้าน แผนร้ายนี้ถูกลูกชายค้นพบเข้า เพื่อที่จะช่วยทารกทั้งหมู่บ้าน เพื่อที่จะช่วยชีวิตน้อยๆ เหล่านั้น ในค่ำคืนที่มีฝนตกลมพัดแรง เขาหยิบมีดเล่มหนึ่งออกมาจากในกล่องที่สืบทอดกันมา นั่นก็คือกระบี่อวี๋ฉาง ฆ่าบิดาของตนด้วยมือตัวเอง ลูกชายคนนั้นใช้กระบี่อวี๋ฉางฆ่าตัวตายในคืนเดียวกัน กระบี่อวี๋ฉางก็หายไปอย่างลึกลับ

ภาพเหตุการณ์ที่สองก็คือ ทรราชคนหนึ่ง ลุ่มหลงสตรี ไม่ทำราชกิจ เป็นทรราชที่โหดเหี้ยมอย่างมาก ไม่เห็นชีวิตของราษฎรเป็นชีวิต เห็นเป็นเพียงเครื่องสังเวยเท่านั้น ขอเพียงเขาไม่พอใจก็จะฆ่าคน ขอเพียงเขาถูกใจสตรีใดก็จะไปแย่งชิงมา ประชาชนไม่พอใจ เกิดเสียงก่นด่าไปทุกทิศ ในตอนนั้นเอง ขุนนางที่เดิมทีมีจิตใจซื่อสัตย์ภักดีถือกระบี่อวี๋ฉางเข้าไปในตำหนักของจักรพรรดิด้วยตัวเองและฆ่าทรราชผู้นั้น ขุนนางชราเป็นขุนนางซื่อสัตย์มาหลายยุคหลายสมัย ถึงกับฆ่าจักรพรรดิของตนด้วยมือตัวเอง และยังดำเนินการในตำหนักจักรพรรดิด้วย กระบี่อวี๋ฉางส่งเสียงกรีดร้องออกมา ดูเหมือนไม่อยากจะทำเช่นนี้ และไม่อยากเห็นผลลัพธ์เช่นนี้ จึงหายไปอย่างลึกลับ

ภาพเหตุการณ์ทั้งสองนี้ปรากฏเบื้องหน้าเย่เทียนเฉิน เย่เทียนเฉินได้เห็นก็ตกตะลึง คิดไม่ถึงว่ากระบี่อวี๋ฉางจะมีประวัติความเป็นมาแบบนี้ เรื่องราวทั้งสองนี้เย่เทียนเฉินไม่สงสัยเลยว่ามันคือความจริงหรือไม่ เนื่องจากเขาสัมผัสได้ว่ามันไม่มีผลกระทบกับสมองของเขา และไม่ใช่การจินตนาการไปเอง เพียงแต่กระบี่อวี๋ฉางรับรู้ได้ว่าตนจะต้องถูกทำลายจึงทำเช่นนี้เพื่อบอกความจริงแก่เย่เทียนเฉิน

“ดูท่าทางกระบี่ที่สังหารบิดาฆ่าจักรพรรดิก็ไม่ใช่กระบี่ที่เลวร้ายอะไร แต่เป็นกระบี่ที่เสียสละเพื่อทุกคนในใต้หล้า เสียสละเพื่อชีวิตอื่น!” เย่เทียนเฉินพูดพึมพำกับตัวเอง

ตอนนี้เอง กระบี่อวี๋ฉางดิ้นหลุดออกมาจากบนเสาหิน แต่ไม่ได้หายไป ลอยอยู่เบื้องหน้าเย่เทียนเฉินอยู่เช่นนั้น ดูเหมือนจะส่งสัญญาณที่ดีให้เย่เทียนเฉิน เย่เทียนเฉินแย้มยิ้ม มือขวาจับด้ามกระบี่อวี๋ฉางเบาๆ พลังพิเศษของตนเคลื่อนย้ายเข้าไป ครั้งนี้ไม่ได้รับการต่อต้านอะไร พลังพิเศษเข้าไปอย่างง่ายดายราบรื่น ในส่วนลึกของกระบี่ยังคงมีเงาคนอยู่เงาหนึ่ง เหมือนกับในกระบี่ไท่อาทุกกระเบียดนิ้ว…

ความแข็งแกร่งและรวดเร็วในการยอมรับของเสี้ยวหยาเป็นสิ่งที่เย่เทียนเฉินคาดไม่ถึง ความแน่วแน่ของผู้หญิงคนนี้ทำให้เขานับถือ แน่นอนว่าเสี้ยวหยายังคงรู้สึกอัศจรรย์ใจกับเคล็ดวิชาพลังพิเศษมาก กระทั่งต้องการขอร้องให้เย่เทียนเฉินแสดงเคล็ดวิชาพลังพิเศษอื่นๆ ให้ดูอีกสักหน่อย ทำให้เย่เทียนเฉินรู้สึกหัวเราะไม่ออกร้องไห้ไม่ได้

นี่คือเคล็ดวิชาพลังพิเศษ เคล็ดวิชาแห่งการฆ่าล้างและปกป้อง น้อยที่สุดก็คือสามารถปกป้องตัวเองได้ มากที่สุดก็คือสามารถถล่มฟ้าทลายดินได้ ตอนนี้ถึงกับถูกเสี้ยวหยาทำให้เป็นวิชาเด็กเล่นไปแล้ว และยังต้องแสดงฟรีๆ อีกด้วย เย่เทียนเฉินรู้สึกหดหู่ แต่เมื่อเห็นเสี้ยวหยาดีใจขนาดนี้ เป็นรอยยิ้มที่หาได้ยากหลังจากแม่ของเธอจากไป เย่เทียนเฉินก็รู้สึกดีใจมาก แสดงเคล็ดวิชาพลังพิเศษอีกหลายอย่างให้เสี้ยวหยาดู แน่นอนว่าเป็นวิชาเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น วิชาใหญ่ๆ ที่มีพลังสังหารรุนแรงสิ้นเปลืองพลังพิเศษมากเกินไป ดังนั้นจึงไม่อาจนำมาแสดงได้

ในตอนที่เย่เทียนเฉินแสดงเคล็ดวิชาพลังพิเศษเหล่านี้ เสี้ยวหยาก็มองโดยไม่ละสายตาอยู่ตลอด ในดวงตาเต็มไปด้วยความมหัศจรรย์ใจและเต็มไปด้วยการเรียนรู้เคล็ดวิชาพลังพิเศษนี้ ทำให้เย่เทียนเฉินรู้สึกแปลกใจ หรือความเข้าใจของเสี้ยวหยาที่มีต่อเรื่องของเคล็ดวิชาพลังพิเศษจะอยู่เหนือคนธรรมดา?

“เอาล่ะหยาเอ๋อร์ ควรจะกินอาหารเย็นแล้วหรือยัง?”

เย่เทียนเฉินสยบกระบี่ไท่อา จากนั้นก็สู้กับหมอกโลหิต ไม่ว่าจะเป็นการสูญสิ้นพลังพิเศษหรือการสูญสิ้นพลังกายก็เสียแรงไปมาก ตอนนี้ยังต้องมาแสดงเคล็ดวิชาพลังพิเศษให้เสี้ยวหยาดูอีก รู้สึกหิวจนท้องร้องจ๊อกๆ ไปนานแล้ว ดังนั้นจึงอดไม่ได้ที่จะพูดออกมาด้วยรอยยิ้มขมขื่น

“นายหิวแล้วเหรอ ถ้างั้นฉันจะไปต้มบะหมี่ให้หน่อยแล้วกัน ถึงจะทำได้ไม่อร่อยมาก แต่ก็ทำให้ท้องอิ่มได้!” เสี้ยวหยายืนขึ้นแล้วพูดด้วยความอ่อนโยน

“อืม ใส่พริกเยอะๆ หน่อย ฉันจะออกไปจัดการข้างนอกสักครู่!” เย่เทียนเฉินพยักหน้า ได้อยู่ด้วยกันกับเสี้ยวหยาทำให้เขามีความรู้สึกถึงครอบครัว ความรู้สึกเช่นนี้เย่เทียนเฉินหวงแหนมาก ไม่ว่าใครที่มาทำร้าย เขาก็จะฆ่าคนนั้น นี่เป็นสิ่งที่แน่นอนอยู่แล้ว

สิ่งที่โชคดีที่สุดในชีวิตของคนเราก็คือ การได้อยู่ด้วยกันกับคนที่ตนรัก ตั้งแต่พระอาทิตย์ขึ้นยันพระอาทิตย์ตก เดินดูพระอาทิตย์ตกด้วยกัน ข้ามผ่านประสบการณ์ชีวิตไปด้วยกัน ค่อยๆ แก่ตัว แก่จนไปไหนไม่ได้ กระทั่งอยู่ด้วยกันในช่วงสุดท้ายของชีวิต ความโชคดีแบบนี้เป็นสิ่งที่คนมากมายไม่อาจสัมผัสได้ชั่วชีวิต

เสี้ยวหยาเดินเข้าไปในครัวเพื่อไปทำอาหารเย็น ส่วนเย่เทียนเฉินก็ไม่ได้เสียเวลาไปอีก เดินออกไปนอกคฤหาสน์ เดินมาข้างสระว่ายน้ำด้านหลังคฤหาสน์อีกครั้ง ท่าทางเคร่งเครียดและหนักแน่น กระบี่ไท่อา กระบี่อวี๋ฉาง ทั้งสองเล่มนี้เป็นหนึ่งในอาวุธบรรพกาลทั้งสิบ กำลังสั่นสะท้านไม่หยุด หมอกโลหิตยังยืนอยู่บนพื้น ศีรษะของเขาถูกกระบี่ไท่อาแทงทะลุ แต่ยังคงยืนหยัดไม่ยอมล้ม ร่างกายของคนคนนี้ยังถูกหมอกโลหิตปกคลุมไว้อีกชั้นหนึ่ง ไม่รู้หน้าตาที่แท้จริงของเขา ไม่อาจใช้ดวงตามองตรงตรงได้ แต่เย่เทียนเฉินสำรวจผ่านพลังพิเศษแห่งการรับรู้นานแล้ว และได้เห็นใบหน้าที่แท้จริงของหมอกโลหิตแล้ว ที่ทำให้เขารู้สึกแปลกใจก็คือ ดูแล้วเหมือนว่าหมอกโลหิตจะอายุไม่เกิน 30 ปี แต่พลังการต่อสู้แข็งแกร่งมาก ต่อให้ตายหมอกโลหิตที่ล้อมอยู่รอบตัวก็ยังไม่สลายไป ท่าทางเขาคงหลอมหมอกโลหิตเหล่านี้ไปกับร่างกายของตนจึงทำให้มีผลแบบนี้

ซู่ม!

นิ้วชี้ขวาและนิ้วกลางขวาของเย่เทียนเฉินกระดิกเข้ามา กระบี่ไท่อาพลันพุ่งออกมาจากศีรษะของหมอกโลหิต พลังอำนาจยิ่งใหญ่มาก โดยเฉพาะเลือดสดๆ ที่อาบย้อมไปทั่วทั้งตัวกระบี่ ดูเหมือนจะไม่ได้ดื่มเลือดมานานแล้ว บรรยากาศบ้าคลั่งแบบนั้นเย่เทียนเฉินก็รับรู้ได้ เขาใช้พลังพิเศษเช็ดหมอกโลหิตที่ติดอยู่บนกระบี่ไท่อาแล้วเรียกมันกลับมา

ไหนเลยจะรู้ว่า หลังจากที่เย่เทียนเฉินเก็บกระบี่ไท่อามาแล้ว หมอกโลหิตจะระเบิดออกโดยพลัน กลายเป็นหมอกโลหิตที่แท้จริง จากนั้นจึงสลายไป เย่เทียนเฉินที่ได้เห็นก็อดไม่ได้ที่จะตกตะลึง จากนั้นจึงเผยรอยยิ้มออกมา “บางทีแกคงจะคาดเดาไว้นานแล้วว่าจะมีผลลัพธ์แบบนี้ แกเป็นยอดฝีมือที่ควรค่าให้ผู้คนนับถือจริงๆ !”

หมอกโลหิตตายแล้ว กระทั่งศพก็ไม่หลงเหลือไว้ นี่เป็นทางเลือกของเขาเอง เดิมทีเย่เทียนเฉินยังคิดจะฝังศพให้หมอกโลหิตดีๆ แต่ในเมื่อหมอกโลหิตเตรียมใจกับการตายของตัวเองไว้แล้ว ถ้างั้นก็ต้องแล้วแต่เขา

ยืนมองท้องฟ้าอยู่เนิ่นนาน เย่เทียนเฉินรู้สึกนับถือยอดฝีมือคนนี้จริงๆ ในขณะเดียวกันก็สัมผัสได้ถึงบางอย่าง ในการทะลวงขอบเขตความสามารถ ความเข้าใจเกี่ยวกับสภาพจิตใจเป็นสิ่งสำคัญมาก มียอดฝีมือจำนวนมากที่คิดจะไปถึงขั้นไร้ตัวตนไปชั่วชีวิต นั่นไม่เพียงแต่จะเป็นการยกระดับฝีมือของตนเท่านั้น มันยังมีข้อดีในด้านเส้นทางการบ่มเพาะด้วย เพียงแต่คนที่สามารถเข้าสู่สภาวะนี้ได้ ไม่เพียงแต่จะต้องการความสามารถส่วนตัวและความรับรู้ส่วนตัวเท่านั้น ยังต้องการโอกาสอีกด้วย ก่อนที่เย่เทียนเฉินจะกลายเป็นผู้มีพลังพิเศษในขอบเขตพระเจ้าตอนที่อยู่ดาวสิ้นโลกก็เคยเข้าถึงขอบเขตไร้ตัวตนเป็นบางครั้ง มหัศจรรย์เป็นอย่างมาก ในโลกนั้น บางทีอาจเรียกได้ว่าอยู่ในความฝัน มีหลายอย่างที่รอให้ผู้คนไปสัมผัส แต่ใช้ชีวิตอยู่ในดาวสิ้นโลกไปชีวิตหนึ่ง เย่เทียนเฉินก็มีโอกาสครั้งเดียวเท่านั้น และไม่อาจเข้าไปได้อีก ความสามารถของเขาอยู่ในระดับผู้มีความสามารถพิเศษขอบเขตพระเจ้าขั้นต้นและไม่สามารถเพิ่มขึ้นได้ ไม่สามารถไปถึงขอบเขตเทพราชันที่นับว่าเป็นผู้แข็งแกร่งที่แท้จริง

หลังจากที่เย่เทียนเฉินได้เห็นศพของหมอกโลหิตกลายเป็นหมอกโลหิตแล้วสลายไป ก็เก็บกระบี่ไท่อากลับมา และทำให้กระบี่ไท่อาหายไปในอากาศ นี่เป็นการใช้เคล็ดวิชาเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น ภายในร่างกายของผู้มีพลังพิเศษทุกคนจะมีช่องว่างสำหรับเก็บสิ่งของอยู่ ตำแหน่งนั้นอาจจะตั้งอยู่ในที่ใดของผู้มีพลังพิเศษก็ได้ นี่ต้องดูการเลือกและความชอบส่วนตัวของผู้มีพลังพิเศษ ในช่องว่างนั้นจะมีความสามารถในการเก็บสิ่งของทุกสิ่งทุก อย่างแน่นอนว่ามีแข็งแกร่งอ่อนแอแและมีเล็กมีใหญ่ นี่เกี่ยวข้องกับความสามารถของผู้มีพลังพิเศษมาก ว่ากันว่าผู้แข็งแกร่งในระดับเทพราชันสามารถถล่มฟ้าทลายดินได้ ต่อให้นำอาวุธไปวางไว้ในส่วนลึกที่สุดของดวงดาวที่ห่างไกลนับหมื่นล้านลี้ ขอเพียงตวัดมือตามใจครั้งหนึ่ง อาวุธก็จะมาถึงในพริบตา นี่คือความสามารถของยอดฝีมือที่แท้จริง ไม่มีอะไรที่ทำไม่ได้นอกจากมีชีวิตยืนยาวเป็นอมตะ แน่นอนว่าจะมีผู้แข็งแกร่งไปถึงขั้นมีชีวิตยืนยาวเป็นอมตะได้หรือไม่ก็ยังไม่มีใครรู้ ยังต้องไปพิสูจน์

“กระบี่อวี๋ฉาง กระบี่ที่ใช้สังหารจักรพรรดิ ผ่านเรื่องราวทำลายล้างทุกสิ่งทุกอย่าง กระบี่แบบนี้ทำไมยังอยู่บนโลกอีก ทำไมไม่ทำลายมันไปซะ?” เย่เทียนเฉินมองกระบี่อวี๋ฉางที่ปักอยู่บนเสาหินต้นใหญ่ด้านข้าง มีความรู้สึกต้องการที่จะทำลายกระบี่เล่มนี้ กระบี่สังหารบิดาสังหารจักรพรรดิ เป็นกระบี่ด้านมืด ไม่ใช่กระบี่ของมนุษย์ คนที่บริสุทธิ์ที่สุด เมื่อได้รับกระบี่นี้ไปก็ยังโหดเหี้ยมหาใดเปรียบ กระทั่งสามารถฆ่าคนบริสุทธิ์ได้

ไหนเลยจะรู้ว่า ในตอนที่เย่เทียนเฉินเดินเข้าไปใกล้กระบี่อวี๋ฉาง รวบรวมพลังพิเศษที่แข็งแกร่งที่สุดเอาไว้ในมือขวา คิดจะทำลายกระบี่อวี๋ฉางนั้น กระบี่อวี๋ฉางที่เดิมทียังปักอยู่บนเสาหินต้นใหญ่จะสั่นสะท้านไม่หยุด ราวกับต้องการหนีไปให้ไกล ดูเหมือนจะสัมผัสได้ถึงความคิดของเย่เทียนเฉินที่ต้องการทำลายมัน มันไม่อยากถูกทำลายย่อมต้องคิดจะหนี

แต่ในตอนนี้เย่เทียนเฉินแข็งแกร่งหาใดเปรียบ ยิ่งไปกว่านั้นเขาสัมผัสได้ถึงความโหดเหี้ยมของกระบี่ นี่เป็นกระบี่ที่ไม่ควรหลงเหลือเอาไว้ในโลก ต่อให้จะมีข้อดี คนในตำนานที่เคยใช้กระบี่เทพบรรพกาลทั้ง 10 เล่มคนนั้นก็คงจะไม่ใช่คนเลวร้ายอะไร มิฉะนั้นในฐานะที่เขาเป็นคนเพียงไม่กี่คนที่แข็งแกร่งที่สุดในจักรวาล หากต้องการทำเรื่องเลวร้ายอะไรขึ้นมา จะทำไม่ได้หรือ? แต่ทำไมเขาถึงอนุญาตให้กระบี่อวี๋ฉางมีอยู่ต่อไป และยังคงหลงเหลือเอาไว้ตลอด ยิ่งไปกว่านั้นยังให้กระบี่อวี๋ฉางกลายเป็นส่วนหนึ่งของค่ายกลกระบี่อีกด้วย?

“ฉันไม่สนใจว่าแกจะมีความเป็นมายังไง แต่ฉันก็จะทำลายแก กระบี่ที่สังหารบิดาฆ่าจักรพรรดิ ฉันจะไม่ปล่อยให้มีอยู่ต่อไป!”

ในขณะที่พูด พลังพิเศษในมือขวาของเย่เทียนเฉินก็กลายเป็นลูกบอลใหญ่ ตบลงไปในกระบี่อวี๋ฉาง เพียงแต่ในตอนที่กำลังจะถึงตัวกระบี่อวี๋ฉางและทำลายมันนั้น เย่เทียนเฉินก็รู้สึกถึงการรบกวนบางอย่าง เบื้องหน้าของเขาปรากฏภาพอันมหัศจรรย์ขึ้นมา คล้ายกับเรื่องราวที่ย้อนกลับไปในอดีตยุคโบราณ

ภาพเหตุการณ์แรกก็คือ หัวหน้าหมู่บ้านคนหนึ่ง มีอำนาจในการสังหารคนทั้งหมู่บ้าน แต่หัวหน้าหมู่บ้านคนนั้น เพื่อที่จะทำให้ตนเองร่ำรวยมากขึ้นและได้รับพลังชีวิตมากขึ้น ตามหาเส้นทางแห่งชีวิตยืนยาว จึงไม่เสียดายที่จะแลกเปลี่ยนกับนักพรตเต๋าคนหนึ่ง ยอมฆ่าทารกทั้งหมู่บ้าน แผนร้ายนี้ถูกลูกชายค้นพบเข้า เพื่อที่จะช่วยทารกทั้งหมู่บ้าน เพื่อที่จะช่วยชีวิตน้อยๆ เหล่านั้น ในค่ำคืนที่มีฝนตกลมพัดแรง เขาหยิบมีดเล่มหนึ่งออกมาจากในกล่องที่สืบทอดกันมา นั่นก็คือกระบี่อวี๋ฉาง ฆ่าบิดาของตนด้วยมือตัวเอง ลูกชายคนนั้นใช้กระบี่อวี๋ฉางฆ่าตัวตายในคืนเดียวกัน กระบี่อวี๋ฉางก็หายไปอย่างลึกลับ

ภาพเหตุการณ์ที่สองก็คือ ทรราชคนหนึ่ง ลุ่มหลงสตรี ไม่ทำราชกิจ เป็นทรราชที่โหดเหี้ยมอย่างมาก ไม่เห็นชีวิตของราษฎรเป็นชีวิต เห็นเป็นเพียงเครื่องสังเวยเท่านั้น ขอเพียงเขาไม่พอใจก็จะฆ่าคน ขอเพียงเขาถูกใจสตรีใดก็จะไปแย่งชิงมา ประชาชนไม่พอใจ เกิดเสียงก่นด่าไปทุกทิศ ในตอนนั้นเอง ขุนนางที่เดิมทีมีจิตใจซื่อสัตย์ภักดีถือกระบี่อวี๋ฉางเข้าไปในตำหนักของจักรพรรดิด้วยตัวเองและฆ่าทรราชผู้นั้น ขุนนางชราเป็นขุนนางซื่อสัตย์มาหลายยุคหลายสมัย ถึงกับฆ่าจักรพรรดิของตนด้วยมือตัวเอง และยังดำเนินการในตำหนักจักรพรรดิด้วย กระบี่อวี๋ฉางส่งเสียงกรีดร้องออกมา ดูเหมือนไม่อยากจะทำเช่นนี้ และไม่อยากเห็นผลลัพธ์เช่นนี้ จึงหายไปอย่างลึกลับ

ภาพเหตุการณ์ทั้งสองนี้ปรากฏเบื้องหน้าเย่เทียนเฉิน เย่เทียนเฉินได้เห็นก็ตกตะลึง คิดไม่ถึงว่ากระบี่อวี๋ฉางจะมีประวัติความเป็นมาแบบนี้ เรื่องราวทั้งสองนี้เย่เทียนเฉินไม่สงสัยเลยว่ามันคือความจริงหรือไม่ เนื่องจากเขาสัมผัสได้ว่ามันไม่มีผลกระทบกับสมองของเขา และไม่ใช่การจินตนาการไปเอง เพียงแต่กระบี่อวี๋ฉางรับรู้ได้ว่าตนจะต้องถูกทำลายจึงทำเช่นนี้เพื่อบอกความจริงแก่เย่เทียนเฉิน

“ดูท่าทางกระบี่ที่สังหารบิดาฆ่าจักรพรรดิก็ไม่ใช่กระบี่ที่เลวร้ายอะไร แต่เป็นกระบี่ที่เสียสละเพื่อทุกคนในใต้หล้า เสียสละเพื่อชีวิตอื่น!” เย่เทียนเฉินพูดพึมพำกับตัวเอง

ตอนนี้เอง กระบี่อวี๋ฉางดิ้นหลุดออกมาจากบนเสาหิน แต่ไม่ได้หายไป ลอยอยู่เบื้องหน้าเย่เทียนเฉินอยู่เช่นนั้น ดูเหมือนจะส่งสัญญาณที่ดีให้เย่เทียนเฉิน เย่เทียนเฉินแย้มยิ้ม มือขวาจับด้ามกระบี่อวี๋ฉางเบาๆ พลังพิเศษของตนเคลื่อนย้ายเข้าไป ครั้งนี้ไม่ได้รับการต่อต้านอะไร พลังพิเศษเข้าไปอย่างง่ายดายราบรื่น ในส่วนลึกของกระบี่ยังคงมีเงาคนอยู่เงาหนึ่ง เหมือนกับในกระบี่ไท่อาทุกกระเบียดนิ้ว…

เย่เทียนเฉินฆ่าหมอกโลหิตไปแล้ว นี่เป็นความสามารถ และเรียกได้ว่าไม่ใช่ความสามารถที่สมบูรณ์แบบ หากไม่ใช่เพราะสร้อยประคำเส้นนั้นหยุดเคล็ดวิชาโครงกระดูกสังหารเอาไว้ เกรงว่าระหว่างการต่อสู้ขั้นเป็นตายของหมอกโลหิตกับเย่เทียนเฉิน สุดท้ายใครจะแพ้ใครจะชนะก็ยังไม่รู้ แต่การตายของหมอกโลหิต สาเหตุสำคัญที่สุดก็คือตอนที่เขาถือกระบี่อวี๋ฉางอยู่ในมือ จะอย่างไรก็คิดไม่ถึงว่าเย่เทียนเฉินเผชิญหน้ากับกระบี่ที่มีอำนาจสังหารจักรพรรดิแบบนี้จะยังกล้าปะทะเข้ามาตรงๆ ไม่หลบไม่เลี่ยง ทำให้ตอนที่เขาแทงกระบี่เข้าไปในหน้าอกด้านซ้ายของเย่เทียนเฉิน เย่เทียนเฉินก็ใช้หมัดต่อยเข้าที่หัวใจของเขาจนแหลกสลาย ได้รับบาดเจ็บสาหัส ตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ และตกอยู่ในสถานการณ์ที่จะต้องตายแน่นอน

แต่กระทั่งเย่เทียนเฉินก็ไม่อาจไม่นับถือความแข็งแกร่งของหมอกโลหิต เกิดความรู้สึกเสียดายผู้แข็งแกร่ง ต่อให้จะได้รับการโจมตีรุนแรงเช่นนี้ หมอกโลหิตก็เกือบจะลากเขาไปตายด้วยกันได้แล้ว ในช่วงเวลาสำคัญถูกกระบี่ไท่อาปักทะลุศีรษะ ทำให้หมอกโลหิตตาย มิฉะนั้นคนที่จะถูกฟันเป็นสองท่อนก็คือเขา

นั่งขัดสมาธิอยู่บนพื้น เย่เทียนเฉินผ่านประสบการณ์การต่อสู้ครั้งใหญ่อีกครั้งหนึ่งแล้ว การบาดเจ็บที่รุนแรงที่สุดของเขาอยู่บริเวณฝั่งซ้ายของหน้าอก ปราณทำลายล้างของกระบี่อวี๋ฉางเกือบจะฟันหัวใจเขาจนขาดได้แล้ว และเกือบจะฟันเย่เทียนเฉินจนขาดเป็นสองท่อน ในตอนที่ดึงกระบี่อวี๋ฉางออก เลือดสดๆ ก็พุ่งออกมา เย่เทียนเฉินรีบโคจรพลังพิเศษในร่างกายเพื่อทำการควบคุม โชคดีที่มีพลังรักษาอันอ่อนโยนของจางรั่วถงอยู่ในร่างกาย เย่เทียนเฉินจึงควบคุมการทรุดลงของอาการบาดเจ็บไว้ได้อย่างรวดเร็ว ยิ่งไปกว่านั้นยังฟื้นฟูบาดแผลได้อย่างรวดเร็วอีกด้วย มิฉะนั้นเกรงว่าต่อให้เย่เทียนเฉินจะฆ่าหมอกโลหิตได้ ด้วยอาการบาดเจ็บเช่นนี้เขาเองก็ไม่อาจมีชีวิตอยู่ต่อไป

ได้ผ่านประสบการณ์การต่อสู้ครั้งใหญ่อีกครั้งหนึ่ง เย่เทียนเฉินก็ได้เรียนรู้หลายสิ่งหลายอย่าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการต่อสู้กับผู้แข่งแกร่งอย่างหมอกโลหิตที่ไม่ด้อยไปกว่าเขาเลยแม้แต่น้อย สิ่งที่หาได้ยากที่สุดก็คือประสบการณ์การต่อสู้จริง มันเพิ่มขึ้นไม่น้อย เขาสยบกระบี่ไท่อาแล้ว ตอนนี้กระบี่อวี๋ฉางเองก็ถูกทิ้งไว้อีก สิบกระบี่บรรพกาลนับว่าเย่เทียนเฉินมีอยู่สองเล่มแล้ว ภายใต้สถานการณ์ในตอนนี้นับว่าหาได้ยากยิ่ง สิบกระบี่บรรพกาลทุกเล่มสามารถเรียกได้ว่าเป็นอาวุธเทพ แฝงไปด้วยอำนาจที่แตกต่างกันไป ขอเพียงนำมันมาใช้ได้ พลังการต่อสู้ก็ไม่รู้ว่าจะเพิ่มขึ้นกี่เท่า นี่เป็นสาเหตุที่ต่อให้ตายเย่เทียนเฉินก็จะสยบกระบี่ไท่อาให้ได้

เย่เทียนเฉินนั่งขัดสมาธิอยู่ตลอดเช่นนี้จนกระทั่งเสี้ยวหยากลับมา ตอนนี้แม่ของเสี้ยวหยาจากไปแล้ว พ่อของเสี้ยวหยาก็ไปทำงานที่ห่างไกลจากเมืองหลวง ในบ้านมีเพียงเสี้ยวหยาคนเดียว เย่เทียนเฉินไม่อยากให้เสี้ยวหยาสัมผัสกับความเสียใจจึงโน้มน้าวให้เสี้ยวหยาย้ายมาอยู่ในคฤหาสน์ นับว่าทั้งสองเป็นคู่หูกันแล้ว

ในตอนแรกเสี้ยวหยาไม่ได้ตอบรับ ยังคงรู้สึกเขินอายอยู่บ้าง จะอย่างไรเธอก็เป็นผู้หญิง ถึงแม้ตอนนี้เธอจะรู้สึกวางใจและชอบเย่เทียนเฉินอยู่บ้าง แต่สำหรับผู้หญิงที่เพิ่งจะมีความรักครั้งแรกก็ต้องมาอยู่ร่วมกับคนอื่นเร็วแบบนี้ ในใจยังคงรู้สึกระมัดระวังและเขินอายอยู่

อย่างไรก็ตามนี่เป็นจุดที่แข็งของเย่เทียนเฉิน นั่นก็คือนอกจากมีด้านที่เป็นเทพสังหารแล้วยังมีด้านที่เป็นอันธพาลอีกด้วย มีฝีปากพริ้วไหว ร้ายกาจเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะเมื่อพูดจาหยอกล้อขึ้นมา ทำให้ผู้คนไม่กล้าที่จะเชื่อว่าคนคนนี้จะแข็งแกร่งขนาดนั้น แต่บางครั้งก็ดูเหมือนอันธพาลเกียจคร้านไม่เอาไหน

ปัญหาเรื่องเกี่ยวกับนิสัย เย่เทียนเฉินก็มีคำนิยามให้ตัวเองแล้ว ในความคิดของเขา ความหมายในการมีชีวิตอยู่ของคนต้องมีหลากหลายมิติ ถ้าหากมีแค่ด้านที่โหดเหี้ยมเย็นชาด้านเดียว คนคนนั้นก็จะไม่มีสีสัน เหลาะแหละบ้างหยอกล้อบ้าง นั่นถึงจะเป็นชีวิตที่ไม่เลวเลย

ในตอนที่เสี้ยวหยากลับมาก็เห็นเย่เทียนเฉินอยู่บริเวณริมสระน้ำ ถึงแม้ตอนนั้นบาดแผลบริเวณหน้าอกด้านซ้ายของเย่เทียนเฉินจะดีขึ้นเยอะแล้ว อย่างน้อยมองด้านนอกก็ยังดูไม่ออก แต่บนร่างของเขายังมีรอยเลือดอยู่ เสื้อผ้าก็ขาดวิ่น บนพื้นยังมีศพยืนอยู่ศพหนึ่งซึ่งถูกกระบี่ปักเข้าที่ศีรษะ ทำให้เสี้ยวหยาตกใจจนเกือบสลบ

หากไม่ใช่ว่าเห็นว่าเย่เทียนเฉินดูเหมือนจะได้รับบาดเจ็บหนัก ในใจของเสี้ยวหยามีความกังวลและร้อนใจ อาจจะตกใจจนเป็นลมไปนานแล้ว บางครั้งพลังแห่งความรักก็มหัศจรรย์ ทำให้คนเราคิดไม่ตก ในตอนที่รู้ว่าอีกครึ่งหนึ่งของชีวิตมีอันตราย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องน่าหวาดกลัวขนาดไหนหรือเป็นเรื่องที่ไม่กล้าทำขนาดไหน ตอนนั้นก็กลายเป็นเรื่องไม่สำคัญแล้ว ขอเพียงอีกครึ่งของตนอยู่ถึงจะสำคัญที่สุด

“เทียนเฉิน นายไม่เป็นไรใช่ไหม?” เสี้ยวหยาประคองเย่เทียนเฉินแล้วถามด้วยความเคร่งเครียด

“ไม่เป็นไร พวกเราเข้าไปในห้องก่อนเถอะ ฉันมีเรื่องจะพูดกับเธอ!” เย่เทียนเฉินมองเสี้ยวหยา เขารู้ว่าเสี้ยวหยาหวาดกลัวมาก กำลังสั่นไปทั้งร่าง สีหน้าก็ขาวซีด หากไม่ใช่ว่าเป็นห่วงตน เกรงว่าคงจะตกใจจนเป็นลมไปแล้ว ดังนั้นเขาคิดว่าจำเป็นต้องบอกบางเรื่องกับเสี้ยวหยา

เสี้ยวหยาไม่กล้าแม้แต่จะมองหมอกโลหิตที่ตายไปแล้ว ประคองเย่เทียนเฉินเดินเข้าไปด้านใน เธอร่างกายสั่นเทาไปทั้งร่าง ประคองเย่เทียนเฉินไปนั่งบนโซฟา จากนั้นจึงไปรินน้ำ มีหลายครั้งที่ไม่สามารถรินน้ำได้อย่างแม่นยำ ดูท่าทางคงตกใจไม่น้อย

“เทียนเฉิน…” เสี้ยวหยามองเย่เทียนเฉิน ส่งแก้วน้ำไปให้

เย่เทียนเฉินมองเสี้ยวหยา จากนั้นจึงพูดด้วยรอยยิ้มว่า “นั่งลงเถอะหยาเอ๋อร์ พวกเรารู้จักกันนานขนาดนี้ ฉันคิดว่าเธอยังไม่รู้ว่าฉันทำอะไร วันนี้จึงคิดจะบอกเธอ!”

“อืม!” เสี้ยวหยาเห็นว่าเย่เทียนเฉินจริงจังและเคร่งเครียดขนาดนี้จึงพยักหน้าแล้วนั่งลง

“หยาเอ๋อร์ ฉันไม่รู้ว่าเธอเคยได้ยินเรื่องผู้มีพลังพิเศษมาก่อนหรือเปล่า?” เย่เทียนเฉินเอ่ยปากถาม หากต้องการให้เสี้ยวหยารู้และรับข้อมูลเหล่านี้ได้ จำเป็นต้องเปิดเผยไปทีละขั้น

“เคยได้ยินมาเหมือนกัน แต่ไม่เคยเห็น เทียนเฉิน นายเป็นผู้มีพลังพิเศษเหรอ?” เสี้ยวหยาฉลาดมาก ดูเหมือนจะคาดเดาอะไรบางอย่างได้แล้ว ดังนั้นจึงเอ่ยปากถาม

“ใช่แล้ว เธอดูสิ นี่คืออะไร…”

ในตอนที่คำพูดของเย่เทียนเฉินยังไม่ทันกล่าวจบ ในมือขวาของเขาก็ปรากฏแก้วน้ำที่เสี้ยวหยาวางไว้บนโต๊ะน้ำชาขึ้น ระยะห่างออกไปประมาณครึ่งเมตร ยิ่งไปกว่านั้นยังลอยอยู่ในอากาศด้วย ปรากฏอยู่บนมือของเย่เทียนเฉินอย่างกระทันหันเช่นนี้ นี่ทำให้เสี้ยวหยาเบิกตาทั้งสองกว้าง รู้สึกไม่กล้าเชื่อ

ความจริงแล้วหลายคนในสังคมปัจจุบันเคยได้ยินเรื่องเกี่ยวกับผู้มีพลังพิเศษมาบ้าง เรียกกันโดยทั่วไปว่าคนที่มีความสามารถเฉพาะตัว คนประเภทนี้ความจริงแล้วก็คือผู้มีพลังพิเศษ เพียงแต่ไม่ได้เห็นอย่างเปิดเผยเท่านั้น ยกตัวอย่างเช่นการหยิบสิ่งของจากอากาศ หรือทำให้น้ำกลายเป็นน้ำแข็ง ใช้ฝ่ามือย่างปลาเป็นต้น พวกนี้เป็นพวกระดับล่างที่สุดเท่านั้น และมีพลังพิเศษอยู่บ้าง บางทีอาจจะเรียกได้ว่าเป็นคนที่มีพลังพิเศษที่ต่ำที่สุดก็ได้ แต่นั่นก็ร้ายกาจกว่าคนธรรมดาแล้ว สามารถทำให้คนธรรมดาตกใจจนปากอ้าตาค้างได้

“นี่เป็นเคล็ดวิชาพลังพิเศษหยิบสิ่งของผ่านอากาศที่ธรรมดามาก เพียงแค่หยิบวัตถุมาใส่มือโดยใช้พลังพิเศษที่คนมองไม่เห็น แต่อย่าได้ดูถูกเคล็ดวิชาพลังพิเศษนี้เป็นเด็ดขาด คนที่แข็งแกร่งอย่างแท้จริง เมื่อยกมือขึ้นมาก็สามารถเคลื่อนภูเขาได้ กระทั่งสามารถเก็บดวงดาวได้เลย ตอนนี้เธอเห็นชัดหรือยัง อีกเดี๋ยวฉันจะอธิบายให้เธอฟังอีก!” เย่เทียนเฉินมองเสี้ยวหยาแล้วพูดขึ้น

ในตอนนี้ ดวงตาของเสี้ยวหยาไหนเลยจะละไปจากมือขวาของเย่เทียนเฉินได้อีก ความจริงมันทำให้เธอรู้สึกมหัศจรรย์มาก นี่เป็นครั้งแรกที่ได้เห็นผู้มีพลังพิเศษใช้เคล็ดวิชาพลังพิเศษ มหัศจรรย์ขนาดนั้น น่าเหลือเชื่อขนาดนั้น ที่แท้ผู้ชายที่อยู่ข้างกายเธอนี้ถึงกับร้ายกาจขนาดนี้เชียว เป็นผู้มีพลังพิเศษที่แข็งแกร่งคนหนึ่ง

ต่อมา แก้วน้ำในมือขวาของเย่เทียนเฉินพลันกลายเป็นน้ำแข็งในชั่วพริบตา ขณะเดียวกันก็มีพลังสายฟ้าไหลเวียนอยู่อ่อนๆ ก้อนน้ำแข็งระเบิดอยู่ในแก้วน้ำ แน่นอนว่าเย่เทียนเฉินควบคุมแรงได้ดีมาก ไม่ทำให้เสี้ยวหยามีอันตรายอะไร น้ำแข็งที่ระเบิดแตกเป็นชิ้นๆ เปล่งประกายเหมือนกับเพชร นี่เป็นสิ่งที่ผ่านการจัดการพิเศษของเย่เทียนเฉินมาแล้ว

“เมื่อกี้นี้ฉันเพิ่งจะแสดงเคล็ดวิชาพลังพิเศษเล็กๆ หลายอย่างให้เธอดู เธอเองก็เห็นแล้ว ที่ฉันจะบอกเธอก็คือ ฉันเป็นผู้มีพลังพิเศษ และบนโลกใบนี้ยังมีผู้มีพลังพิเศษที่แข็งแกร่งกว่าฉันอยู่มาก และยังมียอดฝีมือจากพรรควรยุทธโบราณด้วย บนโลกแบบนี้ คนธรรมดาไม่รู้และไม่อาจเข้ามาได้ แต่หลังจากนี้เธอจะอยู่ด้วยกันกับฉัน คงไม่เห็นไม่ได้ ดังนั้นฉันจึงบอกเธอตอนนี้ ให้เธอเตรียมใจ!” เย่เทียนเฉินมองไปยังเสี้ยวหยาแล้วพูดด้วยรอยยิ้ม

ความจริงแล้วในตอนที่เสี้ยวหยาตอบรับว่าจะมาอยู่ในคฤหาสน์ เย่เทียนเฉินก็คิดจะบอกเสี้ยวหยาเรื่องเกี่ยวกับผู้มีพลังพิเศษแล้ว แต่ตอนนั้นอารมณ์ของเสี้ยวหยายังโศกเศร้าอยู่มาก กลัวว่าเมื่อได้ยินจะรับไม่ไหว ตอนนี้เสี้ยวหยาเห็นหมอกโลหิตที่ถูกฆ่าตายแล้ว ถึงแม้อาจจะส่งผลกระทบรุนแรงต่อจิตใจของสาวน้อยก็ตาม นั่นเป็นภาพที่ทำให้ผู้คนต้องฝันร้ายจนนอนไม่หลับ แต่เย่เทียนเฉินก็รู้ว่าหากเสี้ยวหยาอยู่ข้างกายตน จะช้าจะเร็วก็ต้องมีประสบการณ์แบบนี้ สู้บอกเธอให้เร็วหน่อย ให้เธอเตรียมใจ จะได้ไม่หวาดกลัวเกินไป

“นะ นี่ก็คือเคล็ดวิชาพลังพิเศษเหรอ? มหัศจรรย์จริงๆ เทียนเฉิน…คนที่อยู่ด้านนอกคือคนที่มาฆ่านายเหรอ?” เสี้ยวหยาถามเสียงเบาด้วยความกังวล

“ใช่แล้ว เขาก็คือคนของคุณชายใหญ่แห่งมหาวิทยาลัยหลงเถิง ร้ายกาจเป็นอย่างมาก ฉันสู้กับเขาจนเกือบตายไปแล้ว แต่เธอไม่ต้องกังวล มีฉันอยู่ จะไม่ให้เธอมีอันตรายอะไรแน่!” เย่เทียนเฉินมองเสี้ยวหยาแล้วพูดด้วยรอยยิ้ม

เสี้ยวหยาพยักหน้า มาถึงตอนนี้แล้ว เธอเชื่อคำพูดของผู้ชายตรงหน้าอย่างสิ้นเชิง นี่เป็นคนที่มีบุญคุณกับเธอ ผู้ชายที่ข้ามผ่านความยากลำบากไปด้วยกันกับเธอ ผู้ชายที่ควรค่าให้เธอเชื่อและยอมมอบความไว้วางใจให้

“เทียนเฉิน ถึงฉันจะไม่รู้ว่านายกำลังทำอะไร แต่ฉันเชื่อว่านายเป็นคนดี ฉันจะไม่กลัว ฉันจะยืนหยัดไปด้วยกันกับนาย ฉันเองก็จะให้แม่ที่อยู่บนสวรรค์ได้เห็นความแน่วแน่ของฉัน!” เสี้ยวหยาพูดกับเย่เทียนเฉินด้วยรอยยิ้มหวาน

เย่เทียนเฉินอดไม่ได้ที่จะตกตะลึง ส่วนที่แน่วแน่ของเสี้ยวหยาเป็นสิ่งที่เขาคิดไม่ถึงมาก่อนจริงๆ จะไม่หวาดกลัวเร็วขนาดนี้ได้อย่างไร บางทีเสี้ยวหยาคงไม่อ่อนแออย่างที่เห็น หากเธอทำการฝึกฝนบ่มเพราะ บางทีอาจจะกลายเป็นคนที่แข็งแกร่งอย่างมากก็เป็นได้ เนื่องจากเสี้ยวหยาไม่ใช่ผู้หญิงที่เป็นแค่ดอกไม้ประดับ ความแน่วแน่ในใจ บางครั้งก็ไม่ใช่อะไรที่จะสามารถฝึกฝนกันได้ นี่ต้องให้สวรรค์เป็นผู้ฝึกฝนให้

“ที่ฉันบอกเรื่องพวกนี้กับเธอ เพียงแค่อยากให้เธอไม่ต้องกลัว นี่เป็นโลกที่เต็มไปด้วยการฆ่าฟัน บางทีในโลกของคนธรรมดาอาจจะสงบมาก แต่ฉันไม่ใช่คนธรรมดา ดังนั้นโลกของฉันจึงไม่สงบ ฉันจะต้องทำลายทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อปกป้องเธอ ปกป้องทุกสิ่งทุกอย่างที่ฉันมี!” เย่เทียนเฉินพูดด้วยสายตาแน่วแน่

เย่เทียนเฉินฆ่าหมอกโลหิตไปแล้ว นี่เป็นความสามารถ และเรียกได้ว่าไม่ใช่ความสามารถที่สมบูรณ์แบบ หากไม่ใช่เพราะสร้อยประคำเส้นนั้นหยุดเคล็ดวิชาโครงกระดูกสังหารเอาไว้ เกรงว่าระหว่างการต่อสู้ขั้นเป็นตายของหมอกโลหิตกับเย่เทียนเฉิน สุดท้ายใครจะแพ้ใครจะชนะก็ยังไม่รู้ แต่การตายของหมอกโลหิต สาเหตุสำคัญที่สุดก็คือตอนที่เขาถือกระบี่อวี๋ฉางอยู่ในมือ จะอย่างไรก็คิดไม่ถึงว่าเย่เทียนเฉินเผชิญหน้ากับกระบี่ที่มีอำนาจสังหารจักรพรรดิแบบนี้จะยังกล้าปะทะเข้ามาตรงๆ ไม่หลบไม่เลี่ยง ทำให้ตอนที่เขาแทงกระบี่เข้าไปในหน้าอกด้านซ้ายของเย่เทียนเฉิน เย่เทียนเฉินก็ใช้หมัดต่อยเข้าที่หัวใจของเขาจนแหลกสลาย ได้รับบาดเจ็บสาหัส ตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ และตกอยู่ในสถานการณ์ที่จะต้องตายแน่นอน

แต่กระทั่งเย่เทียนเฉินก็ไม่อาจไม่นับถือความแข็งแกร่งของหมอกโลหิต เกิดความรู้สึกเสียดายผู้แข็งแกร่ง ต่อให้จะได้รับการโจมตีรุนแรงเช่นนี้ หมอกโลหิตก็เกือบจะลากเขาไปตายด้วยกันได้แล้ว ในช่วงเวลาสำคัญถูกกระบี่ไท่อาปักทะลุศีรษะ ทำให้หมอกโลหิตตาย มิฉะนั้นคนที่จะถูกฟันเป็นสองท่อนก็คือเขา

นั่งขัดสมาธิอยู่บนพื้น เย่เทียนเฉินผ่านประสบการณ์การต่อสู้ครั้งใหญ่อีกครั้งหนึ่งแล้ว การบาดเจ็บที่รุนแรงที่สุดของเขาอยู่บริเวณฝั่งซ้ายของหน้าอก ปราณทำลายล้างของกระบี่อวี๋ฉางเกือบจะฟันหัวใจเขาจนขาดได้แล้ว และเกือบจะฟันเย่เทียนเฉินจนขาดเป็นสองท่อน ในตอนที่ดึงกระบี่อวี๋ฉางออก เลือดสดๆ ก็พุ่งออกมา เย่เทียนเฉินรีบโคจรพลังพิเศษในร่างกายเพื่อทำการควบคุม โชคดีที่มีพลังรักษาอันอ่อนโยนของจางรั่วถงอยู่ในร่างกาย เย่เทียนเฉินจึงควบคุมการทรุดลงของอาการบาดเจ็บไว้ได้อย่างรวดเร็ว ยิ่งไปกว่านั้นยังฟื้นฟูบาดแผลได้อย่างรวดเร็วอีกด้วย มิฉะนั้นเกรงว่าต่อให้เย่เทียนเฉินจะฆ่าหมอกโลหิตได้ ด้วยอาการบาดเจ็บเช่นนี้เขาเองก็ไม่อาจมีชีวิตอยู่ต่อไป

ได้ผ่านประสบการณ์การต่อสู้ครั้งใหญ่อีกครั้งหนึ่ง เย่เทียนเฉินก็ได้เรียนรู้หลายสิ่งหลายอย่าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการต่อสู้กับผู้แข่งแกร่งอย่างหมอกโลหิตที่ไม่ด้อยไปกว่าเขาเลยแม้แต่น้อย สิ่งที่หาได้ยากที่สุดก็คือประสบการณ์การต่อสู้จริง มันเพิ่มขึ้นไม่น้อย เขาสยบกระบี่ไท่อาแล้ว ตอนนี้กระบี่อวี๋ฉางเองก็ถูกทิ้งไว้อีก สิบกระบี่บรรพกาลนับว่าเย่เทียนเฉินมีอยู่สองเล่มแล้ว ภายใต้สถานการณ์ในตอนนี้นับว่าหาได้ยากยิ่ง สิบกระบี่บรรพกาลทุกเล่มสามารถเรียกได้ว่าเป็นอาวุธเทพ แฝงไปด้วยอำนาจที่แตกต่างกันไป ขอเพียงนำมันมาใช้ได้ พลังการต่อสู้ก็ไม่รู้ว่าจะเพิ่มขึ้นกี่เท่า นี่เป็นสาเหตุที่ต่อให้ตายเย่เทียนเฉินก็จะสยบกระบี่ไท่อาให้ได้

เย่เทียนเฉินนั่งขัดสมาธิอยู่ตลอดเช่นนี้จนกระทั่งเสี้ยวหยากลับมา ตอนนี้แม่ของเสี้ยวหยาจากไปแล้ว พ่อของเสี้ยวหยาก็ไปทำงานที่ห่างไกลจากเมืองหลวง ในบ้านมีเพียงเสี้ยวหยาคนเดียว เย่เทียนเฉินไม่อยากให้เสี้ยวหยาสัมผัสกับความเสียใจจึงโน้มน้าวให้เสี้ยวหยาย้ายมาอยู่ในคฤหาสน์ นับว่าทั้งสองเป็นคู่หูกันแล้ว

ในตอนแรกเสี้ยวหยาไม่ได้ตอบรับ ยังคงรู้สึกเขินอายอยู่บ้าง จะอย่างไรเธอก็เป็นผู้หญิง ถึงแม้ตอนนี้เธอจะรู้สึกวางใจและชอบเย่เทียนเฉินอยู่บ้าง แต่สำหรับผู้หญิงที่เพิ่งจะมีความรักครั้งแรกก็ต้องมาอยู่ร่วมกับคนอื่นเร็วแบบนี้ ในใจยังคงรู้สึกระมัดระวังและเขินอายอยู่

อย่างไรก็ตามนี่เป็นจุดที่แข็งของเย่เทียนเฉิน นั่นก็คือนอกจากมีด้านที่เป็นเทพสังหารแล้วยังมีด้านที่เป็นอันธพาลอีกด้วย มีฝีปากพริ้วไหว ร้ายกาจเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะเมื่อพูดจาหยอกล้อขึ้นมา ทำให้ผู้คนไม่กล้าที่จะเชื่อว่าคนคนนี้จะแข็งแกร่งขนาดนั้น แต่บางครั้งก็ดูเหมือนอันธพาลเกียจคร้านไม่เอาไหน

ปัญหาเรื่องเกี่ยวกับนิสัย เย่เทียนเฉินก็มีคำนิยามให้ตัวเองแล้ว ในความคิดของเขา ความหมายในการมีชีวิตอยู่ของคนต้องมีหลากหลายมิติ ถ้าหากมีแค่ด้านที่โหดเหี้ยมเย็นชาด้านเดียว คนคนนั้นก็จะไม่มีสีสัน เหลาะแหละบ้างหยอกล้อบ้าง นั่นถึงจะเป็นชีวิตที่ไม่เลวเลย

ในตอนที่เสี้ยวหยากลับมาก็เห็นเย่เทียนเฉินอยู่บริเวณริมสระน้ำ ถึงแม้ตอนนั้นบาดแผลบริเวณหน้าอกด้านซ้ายของเย่เทียนเฉินจะดีขึ้นเยอะแล้ว อย่างน้อยมองด้านนอกก็ยังดูไม่ออก แต่บนร่างของเขายังมีรอยเลือดอยู่ เสื้อผ้าก็ขาดวิ่น บนพื้นยังมีศพยืนอยู่ศพหนึ่งซึ่งถูกกระบี่ปักเข้าที่ศีรษะ ทำให้เสี้ยวหยาตกใจจนเกือบสลบ

หากไม่ใช่ว่าเห็นว่าเย่เทียนเฉินดูเหมือนจะได้รับบาดเจ็บหนัก ในใจของเสี้ยวหยามีความกังวลและร้อนใจ อาจจะตกใจจนเป็นลมไปนานแล้ว บางครั้งพลังแห่งความรักก็มหัศจรรย์ ทำให้คนเราคิดไม่ตก ในตอนที่รู้ว่าอีกครึ่งหนึ่งของชีวิตมีอันตราย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องน่าหวาดกลัวขนาดไหนหรือเป็นเรื่องที่ไม่กล้าทำขนาดไหน ตอนนั้นก็กลายเป็นเรื่องไม่สำคัญแล้ว ขอเพียงอีกครึ่งของตนอยู่ถึงจะสำคัญที่สุด

“เทียนเฉิน นายไม่เป็นไรใช่ไหม?” เสี้ยวหยาประคองเย่เทียนเฉินแล้วถามด้วยความเคร่งเครียด

“ไม่เป็นไร พวกเราเข้าไปในห้องก่อนเถอะ ฉันมีเรื่องจะพูดกับเธอ!” เย่เทียนเฉินมองเสี้ยวหยา เขารู้ว่าเสี้ยวหยาหวาดกลัวมาก กำลังสั่นไปทั้งร่าง สีหน้าก็ขาวซีด หากไม่ใช่ว่าเป็นห่วงตน เกรงว่าคงจะตกใจจนเป็นลมไปแล้ว ดังนั้นเขาคิดว่าจำเป็นต้องบอกบางเรื่องกับเสี้ยวหยา

เสี้ยวหยาไม่กล้าแม้แต่จะมองหมอกโลหิตที่ตายไปแล้ว ประคองเย่เทียนเฉินเดินเข้าไปด้านใน เธอร่างกายสั่นเทาไปทั้งร่าง ประคองเย่เทียนเฉินไปนั่งบนโซฟา จากนั้นจึงไปรินน้ำ มีหลายครั้งที่ไม่สามารถรินน้ำได้อย่างแม่นยำ ดูท่าทางคงตกใจไม่น้อย

“เทียนเฉิน…” เสี้ยวหยามองเย่เทียนเฉิน ส่งแก้วน้ำไปให้

เย่เทียนเฉินมองเสี้ยวหยา จากนั้นจึงพูดด้วยรอยยิ้มว่า “นั่งลงเถอะหยาเอ๋อร์ พวกเรารู้จักกันนานขนาดนี้ ฉันคิดว่าเธอยังไม่รู้ว่าฉันทำอะไร วันนี้จึงคิดจะบอกเธอ!”

“อืม!” เสี้ยวหยาเห็นว่าเย่เทียนเฉินจริงจังและเคร่งเครียดขนาดนี้จึงพยักหน้าแล้วนั่งลง

“หยาเอ๋อร์ ฉันไม่รู้ว่าเธอเคยได้ยินเรื่องผู้มีพลังพิเศษมาก่อนหรือเปล่า?” เย่เทียนเฉินเอ่ยปากถาม หากต้องการให้เสี้ยวหยารู้และรับข้อมูลเหล่านี้ได้ จำเป็นต้องเปิดเผยไปทีละขั้น

“เคยได้ยินมาเหมือนกัน แต่ไม่เคยเห็น เทียนเฉิน นายเป็นผู้มีพลังพิเศษเหรอ?” เสี้ยวหยาฉลาดมาก ดูเหมือนจะคาดเดาอะไรบางอย่างได้แล้ว ดังนั้นจึงเอ่ยปากถาม

“ใช่แล้ว เธอดูสิ นี่คืออะไร…”

ในตอนที่คำพูดของเย่เทียนเฉินยังไม่ทันกล่าวจบ ในมือขวาของเขาก็ปรากฏแก้วน้ำที่เสี้ยวหยาวางไว้บนโต๊ะน้ำชาขึ้น ระยะห่างออกไปประมาณครึ่งเมตร ยิ่งไปกว่านั้นยังลอยอยู่ในอากาศด้วย ปรากฏอยู่บนมือของเย่เทียนเฉินอย่างกระทันหันเช่นนี้ นี่ทำให้เสี้ยวหยาเบิกตาทั้งสองกว้าง รู้สึกไม่กล้าเชื่อ

ความจริงแล้วหลายคนในสังคมปัจจุบันเคยได้ยินเรื่องเกี่ยวกับผู้มีพลังพิเศษมาบ้าง เรียกกันโดยทั่วไปว่าคนที่มีความสามารถเฉพาะตัว คนประเภทนี้ความจริงแล้วก็คือผู้มีพลังพิเศษ เพียงแต่ไม่ได้เห็นอย่างเปิดเผยเท่านั้น ยกตัวอย่างเช่นการหยิบสิ่งของจากอากาศ หรือทำให้น้ำกลายเป็นน้ำแข็ง ใช้ฝ่ามือย่างปลาเป็นต้น พวกนี้เป็นพวกระดับล่างที่สุดเท่านั้น และมีพลังพิเศษอยู่บ้าง บางทีอาจจะเรียกได้ว่าเป็นคนที่มีพลังพิเศษที่ต่ำที่สุดก็ได้ แต่นั่นก็ร้ายกาจกว่าคนธรรมดาแล้ว สามารถทำให้คนธรรมดาตกใจจนปากอ้าตาค้างได้

“นี่เป็นเคล็ดวิชาพลังพิเศษหยิบสิ่งของผ่านอากาศที่ธรรมดามาก เพียงแค่หยิบวัตถุมาใส่มือโดยใช้พลังพิเศษที่คนมองไม่เห็น แต่อย่าได้ดูถูกเคล็ดวิชาพลังพิเศษนี้เป็นเด็ดขาด คนที่แข็งแกร่งอย่างแท้จริง เมื่อยกมือขึ้นมาก็สามารถเคลื่อนภูเขาได้ กระทั่งสามารถเก็บดวงดาวได้เลย ตอนนี้เธอเห็นชัดหรือยัง อีกเดี๋ยวฉันจะอธิบายให้เธอฟังอีก!” เย่เทียนเฉินมองเสี้ยวหยาแล้วพูดขึ้น

ในตอนนี้ ดวงตาของเสี้ยวหยาไหนเลยจะละไปจากมือขวาของเย่เทียนเฉินได้อีก ความจริงมันทำให้เธอรู้สึกมหัศจรรย์มาก นี่เป็นครั้งแรกที่ได้เห็นผู้มีพลังพิเศษใช้เคล็ดวิชาพลังพิเศษ มหัศจรรย์ขนาดนั้น น่าเหลือเชื่อขนาดนั้น ที่แท้ผู้ชายที่อยู่ข้างกายเธอนี้ถึงกับร้ายกาจขนาดนี้เชียว เป็นผู้มีพลังพิเศษที่แข็งแกร่งคนหนึ่ง

ต่อมา แก้วน้ำในมือขวาของเย่เทียนเฉินพลันกลายเป็นน้ำแข็งในชั่วพริบตา ขณะเดียวกันก็มีพลังสายฟ้าไหลเวียนอยู่อ่อนๆ ก้อนน้ำแข็งระเบิดอยู่ในแก้วน้ำ แน่นอนว่าเย่เทียนเฉินควบคุมแรงได้ดีมาก ไม่ทำให้เสี้ยวหยามีอันตรายอะไร น้ำแข็งที่ระเบิดแตกเป็นชิ้นๆ เปล่งประกายเหมือนกับเพชร นี่เป็นสิ่งที่ผ่านการจัดการพิเศษของเย่เทียนเฉินมาแล้ว

“เมื่อกี้นี้ฉันเพิ่งจะแสดงเคล็ดวิชาพลังพิเศษเล็กๆ หลายอย่างให้เธอดู เธอเองก็เห็นแล้ว ที่ฉันจะบอกเธอก็คือ ฉันเป็นผู้มีพลังพิเศษ และบนโลกใบนี้ยังมีผู้มีพลังพิเศษที่แข็งแกร่งกว่าฉันอยู่มาก และยังมียอดฝีมือจากพรรควรยุทธโบราณด้วย บนโลกแบบนี้ คนธรรมดาไม่รู้และไม่อาจเข้ามาได้ แต่หลังจากนี้เธอจะอยู่ด้วยกันกับฉัน คงไม่เห็นไม่ได้ ดังนั้นฉันจึงบอกเธอตอนนี้ ให้เธอเตรียมใจ!” เย่เทียนเฉินมองไปยังเสี้ยวหยาแล้วพูดด้วยรอยยิ้ม

ความจริงแล้วในตอนที่เสี้ยวหยาตอบรับว่าจะมาอยู่ในคฤหาสน์ เย่เทียนเฉินก็คิดจะบอกเสี้ยวหยาเรื่องเกี่ยวกับผู้มีพลังพิเศษแล้ว แต่ตอนนั้นอารมณ์ของเสี้ยวหยายังโศกเศร้าอยู่มาก กลัวว่าเมื่อได้ยินจะรับไม่ไหว ตอนนี้เสี้ยวหยาเห็นหมอกโลหิตที่ถูกฆ่าตายแล้ว ถึงแม้อาจจะส่งผลกระทบรุนแรงต่อจิตใจของสาวน้อยก็ตาม นั่นเป็นภาพที่ทำให้ผู้คนต้องฝันร้ายจนนอนไม่หลับ แต่เย่เทียนเฉินก็รู้ว่าหากเสี้ยวหยาอยู่ข้างกายตน จะช้าจะเร็วก็ต้องมีประสบการณ์แบบนี้ สู้บอกเธอให้เร็วหน่อย ให้เธอเตรียมใจ จะได้ไม่หวาดกลัวเกินไป

“นะ นี่ก็คือเคล็ดวิชาพลังพิเศษเหรอ? มหัศจรรย์จริงๆ เทียนเฉิน…คนที่อยู่ด้านนอกคือคนที่มาฆ่านายเหรอ?” เสี้ยวหยาถามเสียงเบาด้วยความกังวล

“ใช่แล้ว เขาก็คือคนของคุณชายใหญ่แห่งมหาวิทยาลัยหลงเถิง ร้ายกาจเป็นอย่างมาก ฉันสู้กับเขาจนเกือบตายไปแล้ว แต่เธอไม่ต้องกังวล มีฉันอยู่ จะไม่ให้เธอมีอันตรายอะไรแน่!” เย่เทียนเฉินมองเสี้ยวหยาแล้วพูดด้วยรอยยิ้ม

เสี้ยวหยาพยักหน้า มาถึงตอนนี้แล้ว เธอเชื่อคำพูดของผู้ชายตรงหน้าอย่างสิ้นเชิง นี่เป็นคนที่มีบุญคุณกับเธอ ผู้ชายที่ข้ามผ่านความยากลำบากไปด้วยกันกับเธอ ผู้ชายที่ควรค่าให้เธอเชื่อและยอมมอบความไว้วางใจให้

“เทียนเฉิน ถึงฉันจะไม่รู้ว่านายกำลังทำอะไร แต่ฉันเชื่อว่านายเป็นคนดี ฉันจะไม่กลัว ฉันจะยืนหยัดไปด้วยกันกับนาย ฉันเองก็จะให้แม่ที่อยู่บนสวรรค์ได้เห็นความแน่วแน่ของฉัน!” เสี้ยวหยาพูดกับเย่เทียนเฉินด้วยรอยยิ้มหวาน

เย่เทียนเฉินอดไม่ได้ที่จะตกตะลึง ส่วนที่แน่วแน่ของเสี้ยวหยาเป็นสิ่งที่เขาคิดไม่ถึงมาก่อนจริงๆ จะไม่หวาดกลัวเร็วขนาดนี้ได้อย่างไร บางทีเสี้ยวหยาคงไม่อ่อนแออย่างที่เห็น หากเธอทำการฝึกฝนบ่มเพราะ บางทีอาจจะกลายเป็นคนที่แข็งแกร่งอย่างมากก็เป็นได้ เนื่องจากเสี้ยวหยาไม่ใช่ผู้หญิงที่เป็นแค่ดอกไม้ประดับ ความแน่วแน่ในใจ บางครั้งก็ไม่ใช่อะไรที่จะสามารถฝึกฝนกันได้ นี่ต้องให้สวรรค์เป็นผู้ฝึกฝนให้

“ที่ฉันบอกเรื่องพวกนี้กับเธอ เพียงแค่อยากให้เธอไม่ต้องกลัว นี่เป็นโลกที่เต็มไปด้วยการฆ่าฟัน บางทีในโลกของคนธรรมดาอาจจะสงบมาก แต่ฉันไม่ใช่คนธรรมดา ดังนั้นโลกของฉันจึงไม่สงบ ฉันจะต้องทำลายทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อปกป้องเธอ ปกป้องทุกสิ่งทุกอย่างที่ฉันมี!” เย่เทียนเฉินพูดด้วยสายตาแน่วแน่

เคล็ดวิชาโครงกระดูกสังหารของหมอกโลหิตถูกทำลายแล้ว เขารู้สึกโกรธและคิดไม่ถึงจริงๆ ถือกระบี่อวี๋ฉางในมือพุ่งเข้าใส่เย่เทียนเฉิน ส่วนเย่เทียนเฉินก็กำหมัดทั้งสอง ระเบิดลำแสงที่แข็งแกร่งออกมา ในตอนนี้พลังหมัดของเย่เทียนเฉินมีความสามารถขั้นสูงสุดของขอบเขตจอมราชันแล้ว

สิ่งที่ทำให้หมอกโลหิตคิดไม่ถึงก็คือ เมื่อเย่เทียนเฉินเผชิญหน้ากับกระบี่อวี๋ฉางซึ่งเป็นหนึ่งในสิบกระบี่เทพบรรพกาล มีอำนาจในการทำลายทุกสิ่ง เขาถึงกับไม่ยอมหลบเลี่ยง พุ่งเข้ามาโดยตรงเช่นเดียวกัน ความกล้าและบ้าบินเช่นนี้ หมอกโลหิตได้พบเป็นครั้งแรก เพราะความลำพองใจของเขาจึงถูกหมัดของเย่เทียนเฉินต่อยเข้าที่หน้าอก ไม่เพียงแต่ที่มุมปากจะมีเลือดไหลออกมา กระทั่งแผ่นหลังก็มีเลือดสดๆ พุ่งกระฉูด บริเวณหน้าอกถูกหมัดของเย่เทียนเฉินต่อยทะลุ กระบี่อวี๋ฉางในมือก็แทงถูกหน้าอกด้านซ้ายของเย่เทียนเฉินเช่นกัน

เนื่องจากความลำพองใจของหมอกโลหิต การโจมตีนี้จึงทำให้เขาได้รับบาดเจ็บสาหัสรุนแรงยิ่งกว่าเย่เทียนเฉิน กระทั่งได้รับบาดเจ็บจนถึงขั้นต้องตายโดยไม่ต้องสงสัย ดังนั้นหมอกโลหิตจึงพุ่งไปด้านหน้าต่อไปโดยไม่สนใจชีวิต เย่เทียนเฉินถอยหลังไป ไม่ใช่ว่าเขาไม่ขวาง แต่ตอนนี้หมอกโลหิตใช้วิธีการต่อสู้ที่ไม่สนใจชีวิตแล้ว รวมกับที่กระบี่อวี๋ฉางแข็งแกร่งมากจริงๆ กระบี่นี้เป็นกระบี่ที่สามารถทำลายทุกสิ่งทุกอย่างได้ เป็นกระบี่ที่จะทำลายทุกสิ่งที่เผชิญหน้ากับมัน เย่เทียนเฉินสัมผัสได้ถึงบรรยากาศอันแข็งกร้าวนั้น เป็นความแข็งแกร่งที่ทำให้ผู้คนไม่กล้าคิด มิน่าล่ะการโจมตีของกระบี่ไท่อาในมือตนจึงถูกมันขัดขวางเอาไว้ได้

ฉึก!

บริเวณหน้าอกด้านซ้ายของเย่เทียนเฉินก็ถูกกระบี่อวี๋ฉางแทงทะลุเช่นกัน ยิ่งไปกว่านั้นยังถูกการเคลื่อนไหวของหมอกโลหิตกดดันจนชนเข้ากับกำแพงด้านหลัง เย่เทียนเฉินและหมอกโลหิตมองอีกฝ่ายอย่างดุดัน ความแข็งแรงของสองคนนี้เป็นสิ่งที่ไม่ต้องสงสัยเลย

“ต่อให้ฉันต้องตายก็จะลากแกไปตายเป็นเพื่อน!” หมอกโลหิตตะโกนเสียงดัง

“คุณชายใหญ่โหดเหี้ยมจริงๆ ไม่ใช่เจ้านายที่ดี ควรค่ากับการสละชีวิตแบบนี้ของแกรึไง?” เย่เทียนเฉินมองหมอกโลหิตแล้วถามด้วยความสงสัย

“ไม่ใช่ปัญหาเรื่องคู่ควรหรือไม่คู่ควรอะไร เพราะความแข็งแกร่งของแก ฉันจะต้องฆ่าแกให้ได้!” หมอกโลหิตพูดอย่างเย็นชา

หมอกโลหิตแข็งแกร่งมาก ถึงแม้ว่าจะเผชิญหน้ากับความตายก็ยังต้องการตัดสินแพ้ชนะ ระหว่างคนทั้งสอง หากเย่เทียนเฉินไม่ตายหมอกโลหิตก็ต้องตาย ไม่มีทางเลือกอื่นใด แต่เย่เทียนเฉินยังคงรู้สึกสงสัยอยู่บ้าง ความรู้สึกราวกับวีรบุรุษเสียดายวีรบุรุษ หมอกโลหิตแข็งแกร่งมาก หากคนเช่นนี้ตายไปจะทำให้ยอดฝีมือของโลกลดลงไปอีกคนหนึ่งเท่านั้น เย่เทียนเฉินเป็นคนที่เสียดายคนมีความสามารถ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากเป็นยอดฝีมือ ต่อให้เป็นศัตรูที่จะฆ่ากันจนตาย เขาก็เคารพนับถือ เนื่องจากผู้แข็งแกร่งแบบนี้ร้ายกาจยิ่งกว่าคนไร้ความสามารถที่เอาแต่ตะโกนด่าสวรรค์ไปวันๆ มาก

เพี๊ยะ ตู้ม!

เย่เทียนเฉินรู้สึกเสียดายผู้เก่งกาจ แต่กลับไม่ยั้งมือ หากยั้งมือ คนที่จะตายก็คือตน ดังนั้นฝ่ามือจึงตบลงบนหน้าอกของหมอกโลหิตอย่างรุนแรง มีดอกไม้เลือดพุ่งออกมาอีกครั้ง พุ่งจากบริเวณหน้าอกของหมอกโลหิต ไปด้านหลัง หน้าอกของหมอกโลหิตปรากฏรูใหญ่ขึ้นรูหนึ่ง เขาจะต้องตายแน่แล้ว ตอนนี้คิดเพียงจะลากเย่เทียนเฉินไปตายด้วยกัน ไม่ใช่ว่าความสามารถของหมอกโลหิตสู้เย่เทียนเฉินไม่ได้ แต่เป็นเพราะความลำพองใจของเขา เขาคิดไม่ถึงว่าเมื่อเย่เทียนเฉินเผชิญหน้ากับกระบี่อวี๋ฉางจะยังมีความกล้าและบ้าบิ่นแบบนี้ ทำให้เขาได้รับบาดเจ็บสาหัสเอง สูญเสียโอกาสที่ดีที่สุดในการตัดสินไป

การต่อสู้ระหว่างยอดฝีมือก็เป็นเช่นนี้ มีบางครั้งที่ต่อสู้กันสามวันสามคืนแต่ก็ยังไม่สามารถตัดสินแพ้ชนะได้ และในช่วงเวลาเปลี่ยนแปลง ใครลำพองใจผู้นั้นก็จะสูญเสียโอกาสไปก่อน คนที่ตายก็อาจจะเป็นเขา นี่ไม่ใช่สิ่งที่ควรจะพูดอะไรมาก คนที่ไม่ระมัดระวังก็จะแพ้ ประโยคนี้เหมาะสมที่จะใช้บรรยายการต่อสู้ระหว่างยอดฝีมือเป็นอย่างมาก นอกจากความสามารถของตนเองแล้ว ยังมีปัจจัยเรื่องฟ้าดินเวลาและผู้คน ตลอดจนการตัดสินใจจากประสบการณ์การต่อสู้จริงอยู่ด้วย

แต่ในตอนนี้ หมอกโลหิตรู้ตัวว่าตนเองต้องแพ้แล้ว จะต้องตายแน่ เขาต้องการลากเย่เทียนเฉินไปตายเป็นเพื่อน ไม่ว่าเย่เทียนเฉินจะโจมตีเขาอย่างไร เขายังคงถือกระบี่อวี๋ฉางพุ่งไปเบื้องหน้าอย่างสุดกำลัง ต้องการลากเย่เทียนเฉินลงพื้นไปด้วยกัน ไม่ว่าจะเกิดจากความซื่อสัตย์ต่อคุณชายใหญ่แห่งมหาวิทยาลัยหลงเถิง หรือจะเป็นเพราะเผชิญหน้ากับยอดฝีมืออย่างเย่เทียนเฉิน หมอกโลหิตก็ไม่พอใจ อย่างน้อยเขาต้องการพินาศไปด้วยกันกับเย่เทียนเฉิน

ตู้ม!

แผ่นหลังของเย่เทียนเฉินชนเข้ากับกำแพงด้าน หลังสิ่งแรกที่แทงทะลุกำแพงก็คือกระบี่อวี๋ฉาง ตามมาด้วยแผ่นหลังของเย่เทียนเฉินที่ชนเข้าด้านบน กำแพงถล่มลงในพริบตา มุมปากของเย่เทียนเฉินมีเลือดไหลออกมา หมอกโลหิตแข็งแกร่งมาก ความสามารถไม่ด้อยไปกว่าเขา ถ้าไม่ใช่เพราะเขาลำพองใจ คิดไม่ถึงว่าเมื่อเย่เทียนเฉินเผชิญหน้ากับกระบี่อวี๋ฉางยังกล้าสู้มือเปล่า เขาคงไม่แพ้ หรืออย่างน้อยก็ไม่แพ้เร็วและอนาถขนาดนี้

ตอนนี้หมอกโลหิตมีเพียงความคิดเดียวเท่านั้น นั่นก็คือลากเย่เทียนเฉินไปตายด้วยกัน ในชีวิตของเขาหมอกโลหิตไม่ทราบว่าผ่านประสบการณ์ต่อสู้เป็นตายมามากน้อยแค่ไหน เขาล้วนฆ่าศัตรูได้สำเร็จ แต่ครั้งนี้ดูเหมือนจะถึงตาเขาแล้ว เย่เทียนเฉินอายุแค่ 20 ปีเท่านั้น แต่มีความสามารถขนาดนี้ หากเติบโตต่อไป เมื่อถึงตอนนั้นเกรงว่าหากคุณชายใหญ่ต้องการลงมือกับเขาจะต้องลำบากแน่นอน

การต่อสู้กับหมอกโลหิตทำให้เย่เทียนเฉินรับรู้ได้ว่า ความสามารถของตนในตอนนี้ยังห่างชั้นจากคุณชายใหญ่อยู่ขั้นใหญ่ ถ้าหากตอนนี้คุณชายใหญ่มาโจมตี เขาจะต้องไม่ใช่คู่มือของคุณชายใหญ่แน่ ต่อให้เขามีความสามารถที่แข็งแกร่งกว่านี้และมีศักยภาพในการต่อสู้ แต่ก็ไม่แน่ว่าจะเป็นคู่มือของคุณชายใหญ่ นี่ทำให้เย่เทียนเฉินรู้สึกว่าตนเองจะต้องรีบเพิ่มพูนความสามารถให้เร็ว มิฉะนั้นในการต่อสู้กับคุณชายใหญ่ที่ต้องมาถึงซักวัน คนที่จะตายก็ต้องเป็นเขาแน่นอน

เหตุผลนั้นง่ายมาก หมอกโลหิตเป็นแค่ขุนพลใหญ่ซึ่งเป็นลูกน้องของคุณชายใหญ่แห่งมหาวิทยาลัยหลงเถิงเท่านั้น แต่ก็สามารถสู้กับเขาได้แล้ว หากไม่ใช่ว่าลำพองใจคงไม่ตกอยู่ในความพ่ายแพ้ หากเป็นคุณชายใหญ่จะแข็งแกร่งถึงระดับไหนกัน? ไม่ต้องคิดก็รู้

“ไปตายซะ!”

หมอกโลหิตตะโกนลั่น มือทั้งสองจับด้ามกระบี่อวี๋ฉางแน่น ฟันในแนวขวางไปด้านขวาอย่างสุดแรง ต้องการฟันเย่เทียนเฉินให้ขาดเป็นสองท่อน เย่เทียนเฉินรับรู้ได้ถึงอันตรายอย่างรุนแรง หมอกโลหิตแข็งแกร่งจนถึงขั้นวิปลาส ตนเองโจมตีหนึ่งหมัดหนึ่งฝ่ามือทะลุหัวใจเขา ถึงกับยังมีแรงขนาดนี้ ราวกับไม่รู้จักตาย นี่เป็นการโจมตีสุดท้ายที่ต่อให้ตายก็จะลากเขาไปตายเป็นเพื่อน

เพี๊ยะ!

มือซ้ายของเย่เทียนเฉินจับด้ามกระบี่อวี๋ฉาง หยุดพลังที่ฟันมาในแนวขวางทางด้านขวาของกระบี่อวี๋ฉางที่หมอกโลหิตกำเอาไว้ในมือ แต่กลิ่นอายโหดเหี้ยมที่ราวกับสามารถสังหารจักรพรรดิได้ของกระบี่อวี๋ฉางนั้นยังคงโจมตีมาด้านขวาไม่หยุด อีกเพียงนิดเดียวก็จะฟันร่างกายของเย่เทียนเฉินขาดเป็นสองท่อนแล้ว นี่คือปราณกระบี่ ต่อให้ตัวกระบี่ไม่ได้เคลื่อนไหว ร่างกายของเย่เทียนเฉินก็ยังอาจจะถูกปราณกระบี่ฟันขาด

“ไม่ต้องดิ้นรนแล้ว แต่ไหนแต่ไรไม่เคยมีใครหนีจากการสังหารของกระบี่อวี๋ฉางได้ ทุกคนถูกกระบี่อวี๋ฉางทำร้ายจะไม่อาจมีชีวิตอยู่ต่อไปได้ ทำเพียงได้แต่รอความตายเท่านั้น!” หมอกโลหิตพูดอย่างเย็นชา เขารู้ว่าตนต้องตายแน่แล้ว แต่เย่เทียนเฉินก็ต้องตายไปด้วย ลากยอดฝีมือรุ่นเยาว์อย่างเย่เทียนเฉินไปตาย เขาหมอกโลหิตก็นับว่าไม่ไร้ค่าจนเกินไป

เลือดในปากของเย่เทียนเฉินกระอักออกมาด้านนอกไม่หยุด บาดเจ็บรุนแรงมาก ปราณกระบี่ของกระบี่อวี๋ฉางพุ่งมายังร่างกายของเขาไม่หยุด จากซ้ายไปขวา เกือบจะถูกหัวใจอยู่แล้ว เย่เทียนเฉินจะต้องตายโดยไม่ต้องสงสัย

ชิ้ง!

ในตอนนี้เอง กระบี่ไท่อาที่ถูกปักอยู่บนพื้นก็ร้ายกาจยิ่งขึ้น มันสัมผัสได้ถึงอันตรายของเย่เทียนเฉิน เย่เทียนเฉินก็ไม่มีวิธีแล้ว ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้หมอกโลหิตยังสามารถทำร้ายเขาได้ ช่างแข็งแกร่งจริงๆ

นิ้วชี้และนิ้วกลางของมือขวารวบเข้าด้วยกัน ในตอนที่หมอกโลหิตตะโกนออกมา ต้องการฟันเย่เทียนเฉินให้ขาดเป็นสองท่อน พาเย่เทียนเฉินไปสู่เส้นทางแห่งความตาย ลำแสงของกระบี่สายหนึ่งก็ร่วงหล่นมาจากฟ้า กระบี่ไท่อาพุ่งปักทะลุศีรษะของหมอกโลหิตอย่างรวดเร็วดุจสายฟ้า

“แกแข็งแกร่งมาก แข็งแกร่งจนถึงขั้นที่น่าเหลือเชื่อ บางทีตอนที่คุณชายใหญ่สู้กับแก คงจะเป็นการต่อสู้ที่ยากลำบาก ดูเบาไม่ได้เลยจริงๆ!” หมอกโลหิตมองเย่เทียนเฉินที่อยู่เบื้องหน้าอย่างไม่ยินยอม มาถึงขั้นนี้แล้ว เขาไม่มีแรงที่จะลากเย่เทียนเฉินไปตายด้วยกันแล้ว ทำได้เพียงทอดถอนใจเท่านั้น เขาหมอกโลหิตต่อสู้มาชั่วชีวิต แต่ไหนแต่ไรก็ไม่เคยแพ้ วันนี้กลับพ่ายแพ้อยู่ในมือเย่เทียนเฉิน ตายอยู่ในมือเย่เทียนเฉิน ชายวัยรุ่นที่อายุไม่เกิน 20 ปีคนนี้มีความแข็งแกร่งที่ไม่อาจบรรยายจริงๆ ความสามารถลึกล้ำไม่อาจคาดเดา

หมอกโลหิตตายแล้ว เย่เทียนเฉินดึงกระบี่อวี๋ฉางออกจากอกของตน เลือดสดๆ พุ่งออกมาไม่หยุด บาดแผลนั้นน่าหวาดกลัวมากจนดูเหมือนจะเห็นกระทั่งหัวใจของเย่เทียนเฉิน อีกนิดเดียวเขาเย่เทียนเฉินก็จะตายไปด้วยกันกับหมอกโลหิตแล้ว อย่างไรก็ตามเพียงไม่นาน พลังอันอ่อนโยนที่จางรั่วถงเหลือไว้ในร่างกายของเย่เทียนเฉินก็มาควบคุมบาดแผลเอาไว้ ค่อยๆ ทำการรักษาถึง แม้จะช้าแต่อาการบาดเจ็บก็ไม่ทรุดลงต่อไป นี่จะไม่ทำให้เย่เทียนเฉินตาย

เย่เทียนเฉินนั่งลงกับพื้น การต่อสู้นี้กินแรงมากจริงๆ ความแข็งแกร่งของหมอกโลหิตเกินกว่าจินตนาการของเขาไปแล้ว มองไปยังหมอกโลหิตที่ยืนอยู่บนพื้นไม่ยอมล้มลง ถูกกระบี่ไท่อาปักทะลุศีรษะจนตาย เย่เทียนเฉินก็รู้สึกนับถือจริงๆ หมอกโลหิตเป็นผู้แข็งแกร่ง เรียกได้ว่าเป็นวีรบุรุษ เพียงแต่ทั้งสองยืนอยู่คนละฝั่ง จะอย่างไรก็ต้องต่อสู้เป็นตาย มิฉะนั้นอาจจะกลายเป็นเพื่อนกันก็ได้ บนโลกใบนี้มีหลายอย่างที่ถูกกำหนดมาแล้ว

ในตอนที่หมอกโลหิตตาย โครงกระดูกโลหิตที่ถูกสร้อยประคำควบคุมอยู่บนอากาศก็ค่อยๆ เปลี่ยนไปเล็กลงและหายไปในที่สุด ที่นั่นมีประกายแสงเล็กน้อย เป็นแสงที่อ่อนโยนและอบอุ่น ไม่มีบรรยากาศแห่งการฆ่าฟันอีกต่อไป และไม่มีอากาศที่แย่งชิงชีวิตผู้คนอีก เย่เทียนเฉินราวกับได้เห็นคนทั้ง 99 คนที่ถูกหมอกโลหิตสังหารอย่างโหดเหี้ยม ในที่สุดพวกเขาก็ได้รับการปลดปล่อยแล้ว ได้รับการปลดปล่อยหลังจากตายมา 20 ปี นี่ช่างเป็นเรื่องโหดร้ายจริงๆ แต่ในที่สุดก็หลุดพ้นแล้ว ไม่ต้องรับการหลอมรวมแบบนั้นอีก และไม่ต้องรับความเจ็บปวดหลังความตายอีก

หลังจากการต่อสู้จบลง เย่เทียนเฉินก็นั่งขัดสมาธิบนพื้น เขาไม่กล้าเคลื่อนไหวมั่วซั่ว ถึงแม้จะมีพลังที่จางรั่วถงเหลือไว้ในร่างกายคอยรักษาแผล แต่ครั้งนี้อาการบาดเจ็บเขาสาหัสมาก อีกนิดเดียวก็จะบาดเจ็บถึงหัวใจ เขาเกือบจะถูกฟันขาดอยู่แล้ว นี่เป็นความน่าหวาดกลัวระดับไหนกัน การที่สามารถอยู่ต่อไปได้ นอกจากพลังที่จางรั่วถงเหลือไว้คอยช่วยสมานแผลแผล ยังเป็นเพราะความแข็งแกร่งในร่างกายและความสามารถส่วนตัวด้วย เขาต้องการเวลารักษา ในขณะเดียวกันตอนที่ซ่อมแซมอาการบาดเจ็บก็ยังสามารถทำให้ร่างกายแข็งแกร่งอีกด้วย ไม่รู้ว่าเมื่อใดที่คุณชายใหญ่จะมาโจมตี เมื่อถึงตอนนั้นจะต้องเป็นการต่อสู้ร้ายแรงเป็นอย่างมาก เขาไม่รู้ว่าตนจะมีชีวิตอยู่ต่อไปหรือไม่…

เคล็ดวิชาโครงกระดูกสังหารของหมอกโลหิตถูกทำลายแล้ว เขารู้สึกโกรธและคิดไม่ถึงจริงๆ ถือกระบี่อวี๋ฉางในมือพุ่งเข้าใส่เย่เทียนเฉิน ส่วนเย่เทียนเฉินก็กำหมัดทั้งสอง ระเบิดลำแสงที่แข็งแกร่งออกมา ในตอนนี้พลังหมัดของเย่เทียนเฉินมีความสามารถขั้นสูงสุดของขอบเขตจอมราชันแล้ว

สิ่งที่ทำให้หมอกโลหิตคิดไม่ถึงก็คือ เมื่อเย่เทียนเฉินเผชิญหน้ากับกระบี่อวี๋ฉางซึ่งเป็นหนึ่งในสิบกระบี่เทพบรรพกาล มีอำนาจในการทำลายทุกสิ่ง เขาถึงกับไม่ยอมหลบเลี่ยง พุ่งเข้ามาโดยตรงเช่นเดียวกัน ความกล้าและบ้าบินเช่นนี้ หมอกโลหิตได้พบเป็นครั้งแรก เพราะความลำพองใจของเขาจึงถูกหมัดของเย่เทียนเฉินต่อยเข้าที่หน้าอก ไม่เพียงแต่ที่มุมปากจะมีเลือดไหลออกมา กระทั่งแผ่นหลังก็มีเลือดสดๆ พุ่งกระฉูด บริเวณหน้าอกถูกหมัดของเย่เทียนเฉินต่อยทะลุ กระบี่อวี๋ฉางในมือก็แทงถูกหน้าอกด้านซ้ายของเย่เทียนเฉินเช่นกัน

เนื่องจากความลำพองใจของหมอกโลหิต การโจมตีนี้จึงทำให้เขาได้รับบาดเจ็บสาหัสรุนแรงยิ่งกว่าเย่เทียนเฉิน กระทั่งได้รับบาดเจ็บจนถึงขั้นต้องตายโดยไม่ต้องสงสัย ดังนั้นหมอกโลหิตจึงพุ่งไปด้านหน้าต่อไปโดยไม่สนใจชีวิต เย่เทียนเฉินถอยหลังไป ไม่ใช่ว่าเขาไม่ขวาง แต่ตอนนี้หมอกโลหิตใช้วิธีการต่อสู้ที่ไม่สนใจชีวิตแล้ว รวมกับที่กระบี่อวี๋ฉางแข็งแกร่งมากจริงๆ กระบี่นี้เป็นกระบี่ที่สามารถทำลายทุกสิ่งทุกอย่างได้ เป็นกระบี่ที่จะทำลายทุกสิ่งที่เผชิญหน้ากับมัน เย่เทียนเฉินสัมผัสได้ถึงบรรยากาศอันแข็งกร้าวนั้น เป็นความแข็งแกร่งที่ทำให้ผู้คนไม่กล้าคิด มิน่าล่ะการโจมตีของกระบี่ไท่อาในมือตนจึงถูกมันขัดขวางเอาไว้ได้

ฉึก!

บริเวณหน้าอกด้านซ้ายของเย่เทียนเฉินก็ถูกกระบี่อวี๋ฉางแทงทะลุเช่นกัน ยิ่งไปกว่านั้นยังถูกการเคลื่อนไหวของหมอกโลหิตกดดันจนชนเข้ากับกำแพงด้านหลัง เย่เทียนเฉินและหมอกโลหิตมองอีกฝ่ายอย่างดุดัน ความแข็งแรงของสองคนนี้เป็นสิ่งที่ไม่ต้องสงสัยเลย

“ต่อให้ฉันต้องตายก็จะลากแกไปตายเป็นเพื่อน!” หมอกโลหิตตะโกนเสียงดัง

“คุณชายใหญ่โหดเหี้ยมจริงๆ ไม่ใช่เจ้านายที่ดี ควรค่ากับการสละชีวิตแบบนี้ของแกรึไง?” เย่เทียนเฉินมองหมอกโลหิตแล้วถามด้วยความสงสัย

“ไม่ใช่ปัญหาเรื่องคู่ควรหรือไม่คู่ควรอะไร เพราะความแข็งแกร่งของแก ฉันจะต้องฆ่าแกให้ได้!” หมอกโลหิตพูดอย่างเย็นชา

หมอกโลหิตแข็งแกร่งมาก ถึงแม้ว่าจะเผชิญหน้ากับความตายก็ยังต้องการตัดสินแพ้ชนะ ระหว่างคนทั้งสอง หากเย่เทียนเฉินไม่ตายหมอกโลหิตก็ต้องตาย ไม่มีทางเลือกอื่นใด แต่เย่เทียนเฉินยังคงรู้สึกสงสัยอยู่บ้าง ความรู้สึกราวกับวีรบุรุษเสียดายวีรบุรุษ หมอกโลหิตแข็งแกร่งมาก หากคนเช่นนี้ตายไปจะทำให้ยอดฝีมือของโลกลดลงไปอีกคนหนึ่งเท่านั้น เย่เทียนเฉินเป็นคนที่เสียดายคนมีความสามารถ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากเป็นยอดฝีมือ ต่อให้เป็นศัตรูที่จะฆ่ากันจนตาย เขาก็เคารพนับถือ เนื่องจากผู้แข็งแกร่งแบบนี้ร้ายกาจยิ่งกว่าคนไร้ความสามารถที่เอาแต่ตะโกนด่าสวรรค์ไปวันๆ มาก

เพี๊ยะ ตู้ม!

เย่เทียนเฉินรู้สึกเสียดายผู้เก่งกาจ แต่กลับไม่ยั้งมือ หากยั้งมือ คนที่จะตายก็คือตน ดังนั้นฝ่ามือจึงตบลงบนหน้าอกของหมอกโลหิตอย่างรุนแรง มีดอกไม้เลือดพุ่งออกมาอีกครั้ง พุ่งจากบริเวณหน้าอกของหมอกโลหิต ไปด้านหลัง หน้าอกของหมอกโลหิตปรากฏรูใหญ่ขึ้นรูหนึ่ง เขาจะต้องตายแน่แล้ว ตอนนี้คิดเพียงจะลากเย่เทียนเฉินไปตายด้วยกัน ไม่ใช่ว่าความสามารถของหมอกโลหิตสู้เย่เทียนเฉินไม่ได้ แต่เป็นเพราะความลำพองใจของเขา เขาคิดไม่ถึงว่าเมื่อเย่เทียนเฉินเผชิญหน้ากับกระบี่อวี๋ฉางจะยังมีความกล้าและบ้าบิ่นแบบนี้ ทำให้เขาได้รับบาดเจ็บสาหัสเอง สูญเสียโอกาสที่ดีที่สุดในการตัดสินไป

การต่อสู้ระหว่างยอดฝีมือก็เป็นเช่นนี้ มีบางครั้งที่ต่อสู้กันสามวันสามคืนแต่ก็ยังไม่สามารถตัดสินแพ้ชนะได้ และในช่วงเวลาเปลี่ยนแปลง ใครลำพองใจผู้นั้นก็จะสูญเสียโอกาสไปก่อน คนที่ตายก็อาจจะเป็นเขา นี่ไม่ใช่สิ่งที่ควรจะพูดอะไรมาก คนที่ไม่ระมัดระวังก็จะแพ้ ประโยคนี้เหมาะสมที่จะใช้บรรยายการต่อสู้ระหว่างยอดฝีมือเป็นอย่างมาก นอกจากความสามารถของตนเองแล้ว ยังมีปัจจัยเรื่องฟ้าดินเวลาและผู้คน ตลอดจนการตัดสินใจจากประสบการณ์การต่อสู้จริงอยู่ด้วย

แต่ในตอนนี้ หมอกโลหิตรู้ตัวว่าตนเองต้องแพ้แล้ว จะต้องตายแน่ เขาต้องการลากเย่เทียนเฉินไปตายเป็นเพื่อน ไม่ว่าเย่เทียนเฉินจะโจมตีเขาอย่างไร เขายังคงถือกระบี่อวี๋ฉางพุ่งไปเบื้องหน้าอย่างสุดกำลัง ต้องการลากเย่เทียนเฉินลงพื้นไปด้วยกัน ไม่ว่าจะเกิดจากความซื่อสัตย์ต่อคุณชายใหญ่แห่งมหาวิทยาลัยหลงเถิง หรือจะเป็นเพราะเผชิญหน้ากับยอดฝีมืออย่างเย่เทียนเฉิน หมอกโลหิตก็ไม่พอใจ อย่างน้อยเขาต้องการพินาศไปด้วยกันกับเย่เทียนเฉิน

ตู้ม!

แผ่นหลังของเย่เทียนเฉินชนเข้ากับกำแพงด้าน หลังสิ่งแรกที่แทงทะลุกำแพงก็คือกระบี่อวี๋ฉาง ตามมาด้วยแผ่นหลังของเย่เทียนเฉินที่ชนเข้าด้านบน กำแพงถล่มลงในพริบตา มุมปากของเย่เทียนเฉินมีเลือดไหลออกมา หมอกโลหิตแข็งแกร่งมาก ความสามารถไม่ด้อยไปกว่าเขา ถ้าไม่ใช่เพราะเขาลำพองใจ คิดไม่ถึงว่าเมื่อเย่เทียนเฉินเผชิญหน้ากับกระบี่อวี๋ฉางยังกล้าสู้มือเปล่า เขาคงไม่แพ้ หรืออย่างน้อยก็ไม่แพ้เร็วและอนาถขนาดนี้

ตอนนี้หมอกโลหิตมีเพียงความคิดเดียวเท่านั้น นั่นก็คือลากเย่เทียนเฉินไปตายด้วยกัน ในชีวิตของเขาหมอกโลหิตไม่ทราบว่าผ่านประสบการณ์ต่อสู้เป็นตายมามากน้อยแค่ไหน เขาล้วนฆ่าศัตรูได้สำเร็จ แต่ครั้งนี้ดูเหมือนจะถึงตาเขาแล้ว เย่เทียนเฉินอายุแค่ 20 ปีเท่านั้น แต่มีความสามารถขนาดนี้ หากเติบโตต่อไป เมื่อถึงตอนนั้นเกรงว่าหากคุณชายใหญ่ต้องการลงมือกับเขาจะต้องลำบากแน่นอน

การต่อสู้กับหมอกโลหิตทำให้เย่เทียนเฉินรับรู้ได้ว่า ความสามารถของตนในตอนนี้ยังห่างชั้นจากคุณชายใหญ่อยู่ขั้นใหญ่ ถ้าหากตอนนี้คุณชายใหญ่มาโจมตี เขาจะต้องไม่ใช่คู่มือของคุณชายใหญ่แน่ ต่อให้เขามีความสามารถที่แข็งแกร่งกว่านี้และมีศักยภาพในการต่อสู้ แต่ก็ไม่แน่ว่าจะเป็นคู่มือของคุณชายใหญ่ นี่ทำให้เย่เทียนเฉินรู้สึกว่าตนเองจะต้องรีบเพิ่มพูนความสามารถให้เร็ว มิฉะนั้นในการต่อสู้กับคุณชายใหญ่ที่ต้องมาถึงซักวัน คนที่จะตายก็ต้องเป็นเขาแน่นอน

เหตุผลนั้นง่ายมาก หมอกโลหิตเป็นแค่ขุนพลใหญ่ซึ่งเป็นลูกน้องของคุณชายใหญ่แห่งมหาวิทยาลัยหลงเถิงเท่านั้น แต่ก็สามารถสู้กับเขาได้แล้ว หากไม่ใช่ว่าลำพองใจคงไม่ตกอยู่ในความพ่ายแพ้ หากเป็นคุณชายใหญ่จะแข็งแกร่งถึงระดับไหนกัน? ไม่ต้องคิดก็รู้

“ไปตายซะ!”

หมอกโลหิตตะโกนลั่น มือทั้งสองจับด้ามกระบี่อวี๋ฉางแน่น ฟันในแนวขวางไปด้านขวาอย่างสุดแรง ต้องการฟันเย่เทียนเฉินให้ขาดเป็นสองท่อน เย่เทียนเฉินรับรู้ได้ถึงอันตรายอย่างรุนแรง หมอกโลหิตแข็งแกร่งจนถึงขั้นวิปลาส ตนเองโจมตีหนึ่งหมัดหนึ่งฝ่ามือทะลุหัวใจเขา ถึงกับยังมีแรงขนาดนี้ ราวกับไม่รู้จักตาย นี่เป็นการโจมตีสุดท้ายที่ต่อให้ตายก็จะลากเขาไปตายเป็นเพื่อน

เพี๊ยะ!

มือซ้ายของเย่เทียนเฉินจับด้ามกระบี่อวี๋ฉาง หยุดพลังที่ฟันมาในแนวขวางทางด้านขวาของกระบี่อวี๋ฉางที่หมอกโลหิตกำเอาไว้ในมือ แต่กลิ่นอายโหดเหี้ยมที่ราวกับสามารถสังหารจักรพรรดิได้ของกระบี่อวี๋ฉางนั้นยังคงโจมตีมาด้านขวาไม่หยุด อีกเพียงนิดเดียวก็จะฟันร่างกายของเย่เทียนเฉินขาดเป็นสองท่อนแล้ว นี่คือปราณกระบี่ ต่อให้ตัวกระบี่ไม่ได้เคลื่อนไหว ร่างกายของเย่เทียนเฉินก็ยังอาจจะถูกปราณกระบี่ฟันขาด

“ไม่ต้องดิ้นรนแล้ว แต่ไหนแต่ไรไม่เคยมีใครหนีจากการสังหารของกระบี่อวี๋ฉางได้ ทุกคนถูกกระบี่อวี๋ฉางทำร้ายจะไม่อาจมีชีวิตอยู่ต่อไปได้ ทำเพียงได้แต่รอความตายเท่านั้น!” หมอกโลหิตพูดอย่างเย็นชา เขารู้ว่าตนต้องตายแน่แล้ว แต่เย่เทียนเฉินก็ต้องตายไปด้วย ลากยอดฝีมือรุ่นเยาว์อย่างเย่เทียนเฉินไปตาย เขาหมอกโลหิตก็นับว่าไม่ไร้ค่าจนเกินไป

เลือดในปากของเย่เทียนเฉินกระอักออกมาด้านนอกไม่หยุด บาดเจ็บรุนแรงมาก ปราณกระบี่ของกระบี่อวี๋ฉางพุ่งมายังร่างกายของเขาไม่หยุด จากซ้ายไปขวา เกือบจะถูกหัวใจอยู่แล้ว เย่เทียนเฉินจะต้องตายโดยไม่ต้องสงสัย

ชิ้ง!

ในตอนนี้เอง กระบี่ไท่อาที่ถูกปักอยู่บนพื้นก็ร้ายกาจยิ่งขึ้น มันสัมผัสได้ถึงอันตรายของเย่เทียนเฉิน เย่เทียนเฉินก็ไม่มีวิธีแล้ว ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้หมอกโลหิตยังสามารถทำร้ายเขาได้ ช่างแข็งแกร่งจริงๆ

นิ้วชี้และนิ้วกลางของมือขวารวบเข้าด้วยกัน ในตอนที่หมอกโลหิตตะโกนออกมา ต้องการฟันเย่เทียนเฉินให้ขาดเป็นสองท่อน พาเย่เทียนเฉินไปสู่เส้นทางแห่งความตาย ลำแสงของกระบี่สายหนึ่งก็ร่วงหล่นมาจากฟ้า กระบี่ไท่อาพุ่งปักทะลุศีรษะของหมอกโลหิตอย่างรวดเร็วดุจสายฟ้า

“แกแข็งแกร่งมาก แข็งแกร่งจนถึงขั้นที่น่าเหลือเชื่อ บางทีตอนที่คุณชายใหญ่สู้กับแก คงจะเป็นการต่อสู้ที่ยากลำบาก ดูเบาไม่ได้เลยจริงๆ!” หมอกโลหิตมองเย่เทียนเฉินที่อยู่เบื้องหน้าอย่างไม่ยินยอม มาถึงขั้นนี้แล้ว เขาไม่มีแรงที่จะลากเย่เทียนเฉินไปตายด้วยกันแล้ว ทำได้เพียงทอดถอนใจเท่านั้น เขาหมอกโลหิตต่อสู้มาชั่วชีวิต แต่ไหนแต่ไรก็ไม่เคยแพ้ วันนี้กลับพ่ายแพ้อยู่ในมือเย่เทียนเฉิน ตายอยู่ในมือเย่เทียนเฉิน ชายวัยรุ่นที่อายุไม่เกิน 20 ปีคนนี้มีความแข็งแกร่งที่ไม่อาจบรรยายจริงๆ ความสามารถลึกล้ำไม่อาจคาดเดา

หมอกโลหิตตายแล้ว เย่เทียนเฉินดึงกระบี่อวี๋ฉางออกจากอกของตน เลือดสดๆ พุ่งออกมาไม่หยุด บาดแผลนั้นน่าหวาดกลัวมากจนดูเหมือนจะเห็นกระทั่งหัวใจของเย่เทียนเฉิน อีกนิดเดียวเขาเย่เทียนเฉินก็จะตายไปด้วยกันกับหมอกโลหิตแล้ว อย่างไรก็ตามเพียงไม่นาน พลังอันอ่อนโยนที่จางรั่วถงเหลือไว้ในร่างกายของเย่เทียนเฉินก็มาควบคุมบาดแผลเอาไว้ ค่อยๆ ทำการรักษาถึง แม้จะช้าแต่อาการบาดเจ็บก็ไม่ทรุดลงต่อไป นี่จะไม่ทำให้เย่เทียนเฉินตาย

เย่เทียนเฉินนั่งลงกับพื้น การต่อสู้นี้กินแรงมากจริงๆ ความแข็งแกร่งของหมอกโลหิตเกินกว่าจินตนาการของเขาไปแล้ว มองไปยังหมอกโลหิตที่ยืนอยู่บนพื้นไม่ยอมล้มลง ถูกกระบี่ไท่อาปักทะลุศีรษะจนตาย เย่เทียนเฉินก็รู้สึกนับถือจริงๆ หมอกโลหิตเป็นผู้แข็งแกร่ง เรียกได้ว่าเป็นวีรบุรุษ เพียงแต่ทั้งสองยืนอยู่คนละฝั่ง จะอย่างไรก็ต้องต่อสู้เป็นตาย มิฉะนั้นอาจจะกลายเป็นเพื่อนกันก็ได้ บนโลกใบนี้มีหลายอย่างที่ถูกกำหนดมาแล้ว

ในตอนที่หมอกโลหิตตาย โครงกระดูกโลหิตที่ถูกสร้อยประคำควบคุมอยู่บนอากาศก็ค่อยๆ เปลี่ยนไปเล็กลงและหายไปในที่สุด ที่นั่นมีประกายแสงเล็กน้อย เป็นแสงที่อ่อนโยนและอบอุ่น ไม่มีบรรยากาศแห่งการฆ่าฟันอีกต่อไป และไม่มีอากาศที่แย่งชิงชีวิตผู้คนอีก เย่เทียนเฉินราวกับได้เห็นคนทั้ง 99 คนที่ถูกหมอกโลหิตสังหารอย่างโหดเหี้ยม ในที่สุดพวกเขาก็ได้รับการปลดปล่อยแล้ว ได้รับการปลดปล่อยหลังจากตายมา 20 ปี นี่ช่างเป็นเรื่องโหดร้ายจริงๆ แต่ในที่สุดก็หลุดพ้นแล้ว ไม่ต้องรับการหลอมรวมแบบนั้นอีก และไม่ต้องรับความเจ็บปวดหลังความตายอีก

หลังจากการต่อสู้จบลง เย่เทียนเฉินก็นั่งขัดสมาธิบนพื้น เขาไม่กล้าเคลื่อนไหวมั่วซั่ว ถึงแม้จะมีพลังที่จางรั่วถงเหลือไว้ในร่างกายคอยรักษาแผล แต่ครั้งนี้อาการบาดเจ็บเขาสาหัสมาก อีกนิดเดียวก็จะบาดเจ็บถึงหัวใจ เขาเกือบจะถูกฟันขาดอยู่แล้ว นี่เป็นความน่าหวาดกลัวระดับไหนกัน การที่สามารถอยู่ต่อไปได้ นอกจากพลังที่จางรั่วถงเหลือไว้คอยช่วยสมานแผลแผล ยังเป็นเพราะความแข็งแกร่งในร่างกายและความสามารถส่วนตัวด้วย เขาต้องการเวลารักษา ในขณะเดียวกันตอนที่ซ่อมแซมอาการบาดเจ็บก็ยังสามารถทำให้ร่างกายแข็งแกร่งอีกด้วย ไม่รู้ว่าเมื่อใดที่คุณชายใหญ่จะมาโจมตี เมื่อถึงตอนนั้นจะต้องเป็นการต่อสู้ร้ายแรงเป็นอย่างมาก เขาไม่รู้ว่าตนจะมีชีวิตอยู่ต่อไปหรือไม่…

“เคล็ดวิชาโครงกระดูกสังหาร” ผ่านการหล่อหลอมบ่มเพาะของหมอกโลหิตมาเกือบ 20 ปี ฆ่าคนบริสุทธิ์ไป 99 คน ใน 99 คนนี้มีวันเกิดและเวลาเกิดในยามหยินทั้งหมด ในชั่วขณะที่ฆ่าคนเหล่านี้ หมอกโลหิตก็จะนำแก่นหัวใจออกมา ใช้วิชาลับทำการหลอม โหดร้ายเป็นอย่างมาก แก่นหัวใจของทุกคนเป็นส่วนที่มีจิตวิญญาณดำรงอยู่มากที่สุด นี่เท่ากับว่านำจิตวิญญาณของคนคนหนึ่งมากักขังเอาไว้ ไม่สามารถหลุดพ้นได้ ไม่อาจสลัดทิ้งไปได้ตลอดกาล ตายก็ยังไม่สงบ

คนเรานั้นมีจิตวิญญาณ เพียงแต่ไม่ได้เว่อร์เหมือนในตำนานเล่าลือ จิตวิญญาณของทุกคนอยู่ในเลือดเนื้อ และจะค่อยๆ เลือนหายไปตอนตาย คนที่สามารถรวบรวมจิตวิญญาณหลังตายได้มีน้อยเพียงหยิบมือ แต่คนที่สามารถทำถึงขั้นนี้ได้ก็จะทำให้วันเวลาที่ตนจะดำรงอยู่บนโลกใบนี้ยาวนานขึ้นเล็กน้อย

ในตอนที่เย่เทียนเฉินหลบโครงกระดูกโลหิตไม่หยุดก็กำลังใคร่ครวญว่าจะเอาชนะโครงกระดูกนี้อย่างไร ถ้าหากไม่สามารถเอาชนะโครงกระดูกนี้ได้ เขาก็ไม่อาจเข้าไปโจมตีสังหารหมอกโลหิตได้ การต่อสู้นี้เขาจะต้องแพ้แน่นอน

โครงกระดูกโลหิตกรีดร้องและคำรามไม่หยุด กระทั่งเย่เทียนเฉินก็สามารถสัมผัสได้ถึงความโกรธแค้นของคนทั้ง 99 คนที่ถูกหมอกโลหิตสังหารอย่างโหดเหี้ยม พวกเขาไม่สงบ พวกเขาโศกเศร้าเสียใจที่แม้ตายก็ยังไม่ได้ตายดี แต่พวกเขาไม่มีทางเลือก ถูกหมอกโลหิตหลอมเลือดที่บริสุทธิ์ที่สุดในตำแหน่งหัวใจและถูกหมอกโลหิตควบคุม จนกว่าหมอกโลหิตจะตาย อย่างไรก็ตามพวกเขาเป็นเพียงแค่กลิ่นไอวิญญาณเล็กน้อยเท่านั้น หากต้องการฆ่าหมอกโลหิตยังไม่สามารถทำได้

กลิ่นอายแย่งชิงชีวิตแผ่ขยายไม่หยุด เย่เทียนเฉินมาถึงจุดที่ไม่สามารถหลบได้แล้ว เขาพบลูกประคำบนร่างกายได้อย่างฉับพลัน บนโลกนี้จะมีเทพเซียนปีศาจหรือไม่ นี่เป็นเรื่องที่ไม่มีใครบอกได้อย่างชัดเจน บางทีการใช้ของสิ่งหนึ่งสยบของอีกสิ่งหนึ่งก็อาจจะทำได้ เย่เทียนเฉินโยนสร้อยประคำที่คุณย่ามอบให้ตนออกไปโดยไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย

สิ่งที่ทำให้ผู้คนคิดไม่ถึงก็คือ สร้อยประคำเส้นนั้นถึงกับร้ายกาจขนาดนี้ เพียงพริบตาเดียวก็หยุดโครงกระดูกโลหิตเอาไว้ได้ ในขณะเดียวกันกลิ่นอายแย่งชิงชีวิตรอบๆ ก็สลายไปไม่น้อย ทำให้หมอกโลหิตตกใจและเคร่งเครียดขึ้นมาแล้ว ตนเองเสียความพยายามไป 20 ปี ขาดคนที่มีวันเกิดและเวลาเกิดในยามหยินไปอีกคนหนึ่งก็จะสมบูรณ์แบบแล้ว เมื่อถึงตอนนั้นความแข็งแกร่งของเคล็ดวิชาโครงกระดูกสังหารก็จะไม่เหมือนตอนนี้อีก เกรงว่าเมื่อถึงตอนนั้น ตัวเขาหมอกโลหิตเองจะสามารถควบคุมได้หรือไม่ เขาเองก็ยังไม่รู้

ความมหัศจรรย์ของสร้อยประคำนั้นเป็นสิ่งที่เย่เทียนเฉินเองก็คิดไม่ถึง เขาเพียงต้องการลองดูสักหน่อยเท่านั้น แต่กลับคิดไม่ถึงว่าสร้อยประคำไม่เพียงแต่จะหยุดโครงกระดูกโลหิตที่บ้าคลั่งเอาไว้ได้ แต่ยังสลายกลิ่นไอแย่งชิงชีวิตที่น่าหวาดกลัวนั้นไปได้ในพริบตาด้วย ในตอนนี้เอง หมอกโลหิตย่อมไม่คิดจะทำให้ความพยายามขอตนล้มเหลว ไม่ยอมมองโครงกระดูกโลหิตที่เกือบจะสมบูรณ์ของตนซึ่งผ่านความการหลอมมาอย่างยากลำบากเป็นเวลา 20 ปีต้องพ่ายแพ้ไปต่อหน้าต่อตา เขากัดนิ้วโป้งซ้ายของตน ใช้เลือดสาดไปบนโครงกระดูกโลหิตที่ถูกหยุดเอาไว้

โฮก!

เสียงกรีดร้องราวกับออกมาจากความโกรธแค้นของวิญญาณก็มิปาน โครงกระดูกสีแดงเลือดนั้นขยายใหญ่ขึ้นไม่น้อยกว่า 10 เท่าในพริบตา ก้มตัวมองเย่เทียนเฉินจากด้านบน เหมือนกับโครงกระดูกที่เต็มไปด้วยเลือดตกลงมาจากฟ้าอย่างไรอย่างนั้น ดวงตาเพียงข้างเดียวก็เกือบจะใหญ่กว่าตัวเย่เทียนเฉินแล้ว ความกดดันเช่นนั้น ความน่ากลัวเช่นนั้น ไม่ต้องพูดก็เข้าใจดี ถ้าหากคนธรรมดาเผชิญหน้ากับสถานการณ์เช่นนี้ เกรงว่าคงถูกทำให้ตกใจจนสลบไปแล้ว และทำได้เพียงถูกโครงกระดูกโลหิตกลืนกิน

“อ๊าก!”

เสียงคำรามดังลั่นสั่นสะเทือนท้องฟ้า โครงกระดูกสีแดงเลือดถูกหมอกโลหิตใช้เลือดสาด พริบตาเดียวก็ใหญ่โตหาใดเปรียบ ยิ่งไปกว่านั้นกลิ่นอายแย่งชิงชีวิตก็เข้มข้นขึ้นมาก กดข่มสร้อยสร้อยประคำที่ส่องแสงเอาไว้ นี่ทำให้เย่เทียนเฉินอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว กระบวนท่าโหดเหี้ยมของหมอกโลหิตไม่สามารถดูถูกได้เลยแม้แต่น้อย

ความจริงแล้วคนธรรมดาจำนวนมากต่างคิดว่าอธรรมไม่สามารถเอาชนะธรรมะได้ นี่เป็นหลักการที่ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้ไปตลอดกาล แต่ผู้แข็งแกร่งที่แท้จริง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตอนที่อยู่ดาวสิ้นโลก เย่เทียนเฉินที่ได้กลายเป็นผู้แข็งแกร่งที่มีพลังพิเศษในขอบเขตพระเจ้าค่อยๆ เข้าใจถึงหลักการอย่างหนึ่งอย่างลึกซึ้ง นั่นก็คือประโยคนี้ผิดพลาดโดยสิ้นเชิง นี่เป็นเพียงคำปลอบใจที่คนในฝ่ายธรรมะเหล่านั้นมอบให้ตนเท่านั้น คนส่วนใหญ่ก็เป็นเช่นนี้ เพราะในตอนที่พวกเขาเผชิญหน้ากับอำนาจมืดอันโหดเหี้ยมและแข็งแกร่งก็ทำอะไรไม่ได้ ทำได้เพียงหาคำปลอบใจให้จิตวิญญาณของตนเท่านั้น

เพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล โครงกระดูกโลหิตที่มีกลิ่นอายแห่งการฆ่าฟันอันน่าหวาดกลัวกดข่มสร้อยประคำที่ส่องแสงเส้นนั้นลง เย่เทียนเฉินตกตะลึง หมัดทั้งสองกำแน่นเตรียมจะลงมือ ในสถานการณ์เช่นนี้ถ้าถูกโจมตีอยู่ฝ่ายเดียวก็จะมีอันตรายที่จะถูกฆ่าได้ จำเป็นต้องลงมือโจมตีถึงจะถูก เขาไม่ได้เรียกกระบี่ไท่อา ถึงแม้กระบี่ไท่อาจจะสันไม่หยุด ต้องการที่จะช่วยเป็นกำลังให้เขา แต่เขารู้ว่ากระบี่ไท่อาต้องเก็บไว้ใช้ในตอนที่หมอกโลหิตลงมือ มิฉะนั้นหากใช้กระบี่ไท่อาตอนนี้ พลังภายในของตนจะสูญเสียมากเกินไป เมื่อถึงตอนนั้นคงจะถือกระบี่ไท่อาไม่ไหว ไม่ต้องพูดถึงเรื่องฆ่าหมอกโลหิตเลย?

ไหนเลยจะรู้ว่า ในตอนที่เย่เทียนเฉินเตรียมจะใช้ “หมัดพี่ชายสุดหล่อ” ของตน สร้อยประคำเส้นนั้นพลันส่องแสงออกมา นั่นเป็นแสงที่ไม่รุนแรงและไม่ใช่แสงที่ทำลายโครงกระดูกโลหิตได้ในเวลาเพียงชั่วพริบตา แต่มันอ่อนโยนเป็นอย่างมาก แสงนั้นยิงออกมารัดโครงกระดูกโลหิตที่ขยายใหญ่ขึ้นอย่างช้าๆ ความสงบและความอ่อนโยนสกัดการเคลื่อนไหวของโครงกระดูกโลหิตเท่านั้น ไม่ได้มีกระบวนท่าโจมตีอะไร และไม่ได้ทำลายมัน เพียงแค่รัดไว้เท่านั้น

โครงกระดูกโลหิตที่ถูกแสงสีทองรัดอยู่ดิ้นและคำรามด้วยความโกรธไม่หยุด มีหลายครั้งที่เกือบจะสลัดหลุดจากแสงสีทองนั้นได้ แต่ในที่สุดก็แค่เกือบจะสลัดได้เท่านั้น ทำให้เย่เทียนเฉินและหมอกโลหิตสองคนที่มองอยู่ด้านล่างพากันขมวดคิ้ว จนถึงตอนนี้การต่อสู้ระหว่างโครงกระดูกโลหิตและสร้อยประคำก็ไม่ใช่อะไรที่พวกเขาทั้งสองจะควบคุมได้ นี่เป็นการเคลื่อนไหวด้วยตัวเอง หนึ่งธรรมะหนึ่งอธรรม แข็งแกร่งเป็นอย่างมาก ไม่มีใครแพ้ใครชนะ เพียงแค่ต่อต้านกันไม่หยุด โครงกระดูกโลหิตไม่สามารถสลัดออกจากกันรัดของแสงสีทองของสร้อยประคำได้ สร้อยประคำก็ไม่สามารถทำให้โครงกระดูกโลหิตหายไปได้โดยสิ้นเชิง นี่คือการสะท้อนกันที่แท้จริง ถ้าหากธรรมะยังดำรงอยู่แล้วอธรรมไม่สามารถเอาชนะได้ ถ้าเช่นนั้นบนโลกใบนี้คงไม่มีความโหดเหี้ยมไปนานแล้ว นั่นเป็นเพียงคำปลอบใจตัวเองของคนที่ยืนอยู่ฝ่ายธรรมะยามเผชิญหน้ากับพลังอำนาจอันโหดเหี้ยมแข็งแกร่งจนไม่สามารถรับมือได้เท่านั้น

ฉัวะ!

โครงกระดูกโลหิตย่อมไม่ยินยอมที่จะถูกสร้อยประคำกดข่มเอาไว้ ถึงแม้มันจะไม่มีร่างกายเป็นของตนเอง แต่กลิ่นอายสังหารอันบ้าคลั่งเช่นนั้นผ่านการหล่อหลอมมา 20 ปี ทำให้ผู้คนต้องตื่นตะลึงเป็นอย่างมาก ดาบใหญ่เล่มหนึ่งปรากฏขึ้น โครงกระดูกสีแดงเลือดถือดาบใหญ่โลหิตเล่มนั้นอยู่ใน มือพริบตาเดียวก็ฟันลงไปบนแสงสีทองที่รัดตนเองเอาไว้ แต่กลับไม่มีประไม่มีประโยชน์แม้แต่น้อย ดาบโลหิตสลายไปในพริบตา กระทั่งกลิ่นอายแย่งชิงชีวิตที่อยู่บนตัวดาบก็สลายไปในพริบตา ไม่สามารถทำลายแสงสีทองนั้นได้แม้แต่น้อย ส่วนแสงสีทองก็ไม่ได้โจมตีโครงกระดูกโลหิต นี่ทำให้โครงกระดูกโลหิตยิ่งโกรธขึ้นมา ดูเหมือนสร้อยประคำจะต้องการกักขังมันไว้เช่นนี้ ไม่ยินยอมที่จะลงมือทำลายมัน

“เคล็ดวิชาโครงกระดูกสังหารของแกถูกหยุดไว้แล้ว ต่อไปคงจะเป็นเวลาตัดสินแพ้ชนะของพวกเรา!” เย่เทียนเฉินมองหมอกโลหิตแล้วพูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม

“คิดไม่ถึงว่าในตัวของแกจะมีของแบบนี้อยู่ด้วย ไม่งั้นวันนี้แกจะต้องตายแน่นอน!” หมอกโลหิตพูดอย่างไม่สบอารมณ์

“บนโลกใบนี้ไม่มีอะไรบังเอิญ เรื่องที่ดูเหมือนบังเอิญ ความจริงส่วนใหญ่เป็นสิ่งที่ถูกกำหนดไว้แล้ว!” เย่เทียนเฉินพูดอย่างเรียบเฉย

ฟิ้วๆ !

ชั่วขณะนั้น เย่เทียนเฉินและหมอกโลหิตต่างเคลื่อนไหวแล้ว ดูเหมือนจะเคลื่อนไหวพร้อมกัน ทั้งสองพุ่งใส่กัน การต่อสู้ระหว่างคนทั้งสองยืดเวลาออกไปนานมากแล้ว ไม่อยากจะปล่อยให้เวลายืดออกไปมากกว่านี้อีก ต้องการกำจัดอีกฝ่ายในเวลารวดเร็วที่สุด เย่เทียนเฉินลงมือเต็มกำลัง หมอกโลหิตก็ใช้กระบวนท่าที่แข็งแกร่งที่สุดของตนออกมา แต่ก็ไม่สามารถฆ่าอีกฝ่ายได้ในเวลาเพียงสั้นๆ ต่อไปจะเป็นการต่อสู้ที่ยากลำบาก

วูบ!

มีดในมือขวาของหมอกโลหิตยืดยาวขึ้นในชั่วพริบตา กลายเป็นกระบี่เล่มหนึ่ง เย่เทียนเฉินสัมผัสได้ถึงบรรยากาศที่ราวกับจะกีดขวางทุกสิ่งทุกอย่างยิ่ง ไปกว่านั้นเย่เทียนเฉินยังได้รู้มาจากปากของหลินตวนอีกด้วยว่า กระบี่อวี๋ฉางเป็นกระบี่ที่ไม่ด้อยไปกว่าพลังอำนาจของกระบี่ไท่อาเลย บางทีอาจกล่าวได้ว่า กระบี่เทพบรรพกาลทั้ง 10 เล่มไม่มีใครอ่อนแอกว่าใคร เพียงแค่ขอบเขตการควบคุมแตกต่างกันเท่านั้น เดิมทีกระบี่อวี๋ฉางก็เป็นกระบี่ที่ต่อต้านสวรรค์ เป็นกระบี่ของคนที่มีนิสัยทรยศ มันใช้เพื่อลอบสังหารจักรพรรดิ กระบี่เช่นนี้เรียกได้ว่า ทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ต่อหน้ามันจะมีเพียงคำเดียว นั่นก็คือฆ่า

เย่เทียนเฉินเองก็คิดไม่ถึงว่าอาวุธที่หมอกโลหิตถืออยู่ในมือครั้งนี้จะเป็นกระบี่อวี๋ฉาง มิน่าล่ะกระบี่เล่มนี้ถึงปะทะกับกระบี่ไท่อาได้โดยไม่เสียหายโดยสิ้นเชิง ที่แท้ก็เป็นหนึ่งในสิบกระบี่บรรพกาลเหมือนกัน ไม่ว่าใครก็ไม่อ่อนแอกว่าใคร เกรงว่าคงมีกระบี่เทพในระดับเดียวกันเท่านั้นถึงจะสามารถปะทะกันเช่นนี้ได้ หากเป็นอาวุธอื่นๆ เกรงว่าจะถูกทำลายไปนานแล้ว

ตู้ม!

หมอกโลหิตถือกระบี่อวี๋ฉางอยู่ในมือ ในตอนที่เผชิญหน้ากับเย่เทียนเฉิน พริบตาเดียวมันก็ยืดยาวขึ้น มีบรรยากาศกีดขวางทุกสิ่งทุกอย่างเอ่อล้นออกมา เย่เทียนเฉินขมวดคิ้ว เผชิญหน้ากับกระบี่เช่นนี้เขายังไม่หลบ แต่โจมตีออกไปหมัดหนึ่ง

ตู้ม!

ตู้ม!

เลือดสองสายอาบย้อมบนร่างของหมอกโลหิตและเย่เทียนเฉิน พุ่งกระฉูดออกมาจากแต่ละฝ่าย มุมปากของหมอกโลหิตก็มีเลือดสดๆ ไหลออกมา เขาคิดไม่ถึงว่าเมื่อเย่เทียนเฉินต้องเผชิญหน้ากับกระบี่อวี๋ฉางจะยังปะทะเข้ามาโดยไม่หลบเลี่ยง ในตอนที่เขาใช้กระบี่แทงเข้าไปบริเวณหน้าอกซ้ายของเย่เทียนเฉิน เย่เทียนเฉินก็ซัดหมัดปะทะเข้ามาบนหน้าอกของเขากระทั่งหมัดทะลุ เลือดสดๆ พุ่งออกมา

“แกเลือดไหลแล้ว!” เย่เทียนเฉินมองหมอกโลหิตแล้วพูดด้วยรอยยิ้ม ไม่สนใจอาการบาดเจ็บบริเวณหน้าอกซ้ายของตนแม้แต่น้อย

“งั้นเหรอ? ขอแค่เพียงพอที่จะฆ่าแก นี่ไม่นับเป็นอะไรได้…”

หมอกโลหิตตะโกน ทั้งร่างเคลื่อนไปด้านหน้าต่อไป โจมตีโดยไม่สนใจชีวิตของตน ในตอนที่เขาแทงกระบี่ไปยังเย่เทียนเฉิน คิดว่าเย่เทียนเฉินจะต้องหลบ ไหนเลยจะรู้ว่าเย่เทียนเฉินจะไม่ได้หลบแต่กับซัดหมัดเข้ามาปะทะเขา ดังนั้นการโจมตีนี้เขาจึงได้รับบาดเจ็บสาหัสยิ่งกว่าเย่เทียนเฉิน

“เคล็ดวิชาโครงกระดูกสังหาร” ผ่านการหล่อหลอมบ่มเพาะของหมอกโลหิตมาเกือบ 20 ปี ฆ่าคนบริสุทธิ์ไป 99 คน ใน 99 คนนี้มีวันเกิดและเวลาเกิดในยามหยินทั้งหมด ในชั่วขณะที่ฆ่าคนเหล่านี้ หมอกโลหิตก็จะนำแก่นหัวใจออกมา ใช้วิชาลับทำการหลอม โหดร้ายเป็นอย่างมาก แก่นหัวใจของทุกคนเป็นส่วนที่มีจิตวิญญาณดำรงอยู่มากที่สุด นี่เท่ากับว่านำจิตวิญญาณของคนคนหนึ่งมากักขังเอาไว้ ไม่สามารถหลุดพ้นได้ ไม่อาจสลัดทิ้งไปได้ตลอดกาล ตายก็ยังไม่สงบ

คนเรานั้นมีจิตวิญญาณ เพียงแต่ไม่ได้เว่อร์เหมือนในตำนานเล่าลือ จิตวิญญาณของทุกคนอยู่ในเลือดเนื้อ และจะค่อยๆ เลือนหายไปตอนตาย คนที่สามารถรวบรวมจิตวิญญาณหลังตายได้มีน้อยเพียงหยิบมือ แต่คนที่สามารถทำถึงขั้นนี้ได้ก็จะทำให้วันเวลาที่ตนจะดำรงอยู่บนโลกใบนี้ยาวนานขึ้นเล็กน้อย

ในตอนที่เย่เทียนเฉินหลบโครงกระดูกโลหิตไม่หยุดก็กำลังใคร่ครวญว่าจะเอาชนะโครงกระดูกนี้อย่างไร ถ้าหากไม่สามารถเอาชนะโครงกระดูกนี้ได้ เขาก็ไม่อาจเข้าไปโจมตีสังหารหมอกโลหิตได้ การต่อสู้นี้เขาจะต้องแพ้แน่นอน

โครงกระดูกโลหิตกรีดร้องและคำรามไม่หยุด กระทั่งเย่เทียนเฉินก็สามารถสัมผัสได้ถึงความโกรธแค้นของคนทั้ง 99 คนที่ถูกหมอกโลหิตสังหารอย่างโหดเหี้ยม พวกเขาไม่สงบ พวกเขาโศกเศร้าเสียใจที่แม้ตายก็ยังไม่ได้ตายดี แต่พวกเขาไม่มีทางเลือก ถูกหมอกโลหิตหลอมเลือดที่บริสุทธิ์ที่สุดในตำแหน่งหัวใจและถูกหมอกโลหิตควบคุม จนกว่าหมอกโลหิตจะตาย อย่างไรก็ตามพวกเขาเป็นเพียงแค่กลิ่นไอวิญญาณเล็กน้อยเท่านั้น หากต้องการฆ่าหมอกโลหิตยังไม่สามารถทำได้

กลิ่นอายแย่งชิงชีวิตแผ่ขยายไม่หยุด เย่เทียนเฉินมาถึงจุดที่ไม่สามารถหลบได้แล้ว เขาพบลูกประคำบนร่างกายได้อย่างฉับพลัน บนโลกนี้จะมีเทพเซียนปีศาจหรือไม่ นี่เป็นเรื่องที่ไม่มีใครบอกได้อย่างชัดเจน บางทีการใช้ของสิ่งหนึ่งสยบของอีกสิ่งหนึ่งก็อาจจะทำได้ เย่เทียนเฉินโยนสร้อยประคำที่คุณย่ามอบให้ตนออกไปโดยไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย

สิ่งที่ทำให้ผู้คนคิดไม่ถึงก็คือ สร้อยประคำเส้นนั้นถึงกับร้ายกาจขนาดนี้ เพียงพริบตาเดียวก็หยุดโครงกระดูกโลหิตเอาไว้ได้ ในขณะเดียวกันกลิ่นอายแย่งชิงชีวิตรอบๆ ก็สลายไปไม่น้อย ทำให้หมอกโลหิตตกใจและเคร่งเครียดขึ้นมาแล้ว ตนเองเสียความพยายามไป 20 ปี ขาดคนที่มีวันเกิดและเวลาเกิดในยามหยินไปอีกคนหนึ่งก็จะสมบูรณ์แบบแล้ว เมื่อถึงตอนนั้นความแข็งแกร่งของเคล็ดวิชาโครงกระดูกสังหารก็จะไม่เหมือนตอนนี้อีก เกรงว่าเมื่อถึงตอนนั้น ตัวเขาหมอกโลหิตเองจะสามารถควบคุมได้หรือไม่ เขาเองก็ยังไม่รู้

ความมหัศจรรย์ของสร้อยประคำนั้นเป็นสิ่งที่เย่เทียนเฉินเองก็คิดไม่ถึง เขาเพียงต้องการลองดูสักหน่อยเท่านั้น แต่กลับคิดไม่ถึงว่าสร้อยประคำไม่เพียงแต่จะหยุดโครงกระดูกโลหิตที่บ้าคลั่งเอาไว้ได้ แต่ยังสลายกลิ่นไอแย่งชิงชีวิตที่น่าหวาดกลัวนั้นไปได้ในพริบตาด้วย ในตอนนี้เอง หมอกโลหิตย่อมไม่คิดจะทำให้ความพยายามขอตนล้มเหลว ไม่ยอมมองโครงกระดูกโลหิตที่เกือบจะสมบูรณ์ของตนซึ่งผ่านความการหลอมมาอย่างยากลำบากเป็นเวลา 20 ปีต้องพ่ายแพ้ไปต่อหน้าต่อตา เขากัดนิ้วโป้งซ้ายของตน ใช้เลือดสาดไปบนโครงกระดูกโลหิตที่ถูกหยุดเอาไว้

โฮก!

เสียงกรีดร้องราวกับออกมาจากความโกรธแค้นของวิญญาณก็มิปาน โครงกระดูกสีแดงเลือดนั้นขยายใหญ่ขึ้นไม่น้อยกว่า 10 เท่าในพริบตา ก้มตัวมองเย่เทียนเฉินจากด้านบน เหมือนกับโครงกระดูกที่เต็มไปด้วยเลือดตกลงมาจากฟ้าอย่างไรอย่างนั้น ดวงตาเพียงข้างเดียวก็เกือบจะใหญ่กว่าตัวเย่เทียนเฉินแล้ว ความกดดันเช่นนั้น ความน่ากลัวเช่นนั้น ไม่ต้องพูดก็เข้าใจดี ถ้าหากคนธรรมดาเผชิญหน้ากับสถานการณ์เช่นนี้ เกรงว่าคงถูกทำให้ตกใจจนสลบไปแล้ว และทำได้เพียงถูกโครงกระดูกโลหิตกลืนกิน

“อ๊าก!”

เสียงคำรามดังลั่นสั่นสะเทือนท้องฟ้า โครงกระดูกสีแดงเลือดถูกหมอกโลหิตใช้เลือดสาด พริบตาเดียวก็ใหญ่โตหาใดเปรียบ ยิ่งไปกว่านั้นกลิ่นอายแย่งชิงชีวิตก็เข้มข้นขึ้นมาก กดข่มสร้อยสร้อยประคำที่ส่องแสงเอาไว้ นี่ทำให้เย่เทียนเฉินอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว กระบวนท่าโหดเหี้ยมของหมอกโลหิตไม่สามารถดูถูกได้เลยแม้แต่น้อย

ความจริงแล้วคนธรรมดาจำนวนมากต่างคิดว่าอธรรมไม่สามารถเอาชนะธรรมะได้ นี่เป็นหลักการที่ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้ไปตลอดกาล แต่ผู้แข็งแกร่งที่แท้จริง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตอนที่อยู่ดาวสิ้นโลก เย่เทียนเฉินที่ได้กลายเป็นผู้แข็งแกร่งที่มีพลังพิเศษในขอบเขตพระเจ้าค่อยๆ เข้าใจถึงหลักการอย่างหนึ่งอย่างลึกซึ้ง นั่นก็คือประโยคนี้ผิดพลาดโดยสิ้นเชิง นี่เป็นเพียงคำปลอบใจที่คนในฝ่ายธรรมะเหล่านั้นมอบให้ตนเท่านั้น คนส่วนใหญ่ก็เป็นเช่นนี้ เพราะในตอนที่พวกเขาเผชิญหน้ากับอำนาจมืดอันโหดเหี้ยมและแข็งแกร่งก็ทำอะไรไม่ได้ ทำได้เพียงหาคำปลอบใจให้จิตวิญญาณของตนเท่านั้น

เพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล โครงกระดูกโลหิตที่มีกลิ่นอายแห่งการฆ่าฟันอันน่าหวาดกลัวกดข่มสร้อยประคำที่ส่องแสงเส้นนั้นลง เย่เทียนเฉินตกตะลึง หมัดทั้งสองกำแน่นเตรียมจะลงมือ ในสถานการณ์เช่นนี้ถ้าถูกโจมตีอยู่ฝ่ายเดียวก็จะมีอันตรายที่จะถูกฆ่าได้ จำเป็นต้องลงมือโจมตีถึงจะถูก เขาไม่ได้เรียกกระบี่ไท่อา ถึงแม้กระบี่ไท่อาจจะสันไม่หยุด ต้องการที่จะช่วยเป็นกำลังให้เขา แต่เขารู้ว่ากระบี่ไท่อาต้องเก็บไว้ใช้ในตอนที่หมอกโลหิตลงมือ มิฉะนั้นหากใช้กระบี่ไท่อาตอนนี้ พลังภายในของตนจะสูญเสียมากเกินไป เมื่อถึงตอนนั้นคงจะถือกระบี่ไท่อาไม่ไหว ไม่ต้องพูดถึงเรื่องฆ่าหมอกโลหิตเลย?

ไหนเลยจะรู้ว่า ในตอนที่เย่เทียนเฉินเตรียมจะใช้ “หมัดพี่ชายสุดหล่อ” ของตน สร้อยประคำเส้นนั้นพลันส่องแสงออกมา นั่นเป็นแสงที่ไม่รุนแรงและไม่ใช่แสงที่ทำลายโครงกระดูกโลหิตได้ในเวลาเพียงชั่วพริบตา แต่มันอ่อนโยนเป็นอย่างมาก แสงนั้นยิงออกมารัดโครงกระดูกโลหิตที่ขยายใหญ่ขึ้นอย่างช้าๆ ความสงบและความอ่อนโยนสกัดการเคลื่อนไหวของโครงกระดูกโลหิตเท่านั้น ไม่ได้มีกระบวนท่าโจมตีอะไร และไม่ได้ทำลายมัน เพียงแค่รัดไว้เท่านั้น

โครงกระดูกโลหิตที่ถูกแสงสีทองรัดอยู่ดิ้นและคำรามด้วยความโกรธไม่หยุด มีหลายครั้งที่เกือบจะสลัดหลุดจากแสงสีทองนั้นได้ แต่ในที่สุดก็แค่เกือบจะสลัดได้เท่านั้น ทำให้เย่เทียนเฉินและหมอกโลหิตสองคนที่มองอยู่ด้านล่างพากันขมวดคิ้ว จนถึงตอนนี้การต่อสู้ระหว่างโครงกระดูกโลหิตและสร้อยประคำก็ไม่ใช่อะไรที่พวกเขาทั้งสองจะควบคุมได้ นี่เป็นการเคลื่อนไหวด้วยตัวเอง หนึ่งธรรมะหนึ่งอธรรม แข็งแกร่งเป็นอย่างมาก ไม่มีใครแพ้ใครชนะ เพียงแค่ต่อต้านกันไม่หยุด โครงกระดูกโลหิตไม่สามารถสลัดออกจากกันรัดของแสงสีทองของสร้อยประคำได้ สร้อยประคำก็ไม่สามารถทำให้โครงกระดูกโลหิตหายไปได้โดยสิ้นเชิง นี่คือการสะท้อนกันที่แท้จริง ถ้าหากธรรมะยังดำรงอยู่แล้วอธรรมไม่สามารถเอาชนะได้ ถ้าเช่นนั้นบนโลกใบนี้คงไม่มีความโหดเหี้ยมไปนานแล้ว นั่นเป็นเพียงคำปลอบใจตัวเองของคนที่ยืนอยู่ฝ่ายธรรมะยามเผชิญหน้ากับพลังอำนาจอันโหดเหี้ยมแข็งแกร่งจนไม่สามารถรับมือได้เท่านั้น

ฉัวะ!

โครงกระดูกโลหิตย่อมไม่ยินยอมที่จะถูกสร้อยประคำกดข่มเอาไว้ ถึงแม้มันจะไม่มีร่างกายเป็นของตนเอง แต่กลิ่นอายสังหารอันบ้าคลั่งเช่นนั้นผ่านการหล่อหลอมมา 20 ปี ทำให้ผู้คนต้องตื่นตะลึงเป็นอย่างมาก ดาบใหญ่เล่มหนึ่งปรากฏขึ้น โครงกระดูกสีแดงเลือดถือดาบใหญ่โลหิตเล่มนั้นอยู่ใน มือพริบตาเดียวก็ฟันลงไปบนแสงสีทองที่รัดตนเองเอาไว้ แต่กลับไม่มีประไม่มีประโยชน์แม้แต่น้อย ดาบโลหิตสลายไปในพริบตา กระทั่งกลิ่นอายแย่งชิงชีวิตที่อยู่บนตัวดาบก็สลายไปในพริบตา ไม่สามารถทำลายแสงสีทองนั้นได้แม้แต่น้อย ส่วนแสงสีทองก็ไม่ได้โจมตีโครงกระดูกโลหิต นี่ทำให้โครงกระดูกโลหิตยิ่งโกรธขึ้นมา ดูเหมือนสร้อยประคำจะต้องการกักขังมันไว้เช่นนี้ ไม่ยินยอมที่จะลงมือทำลายมัน

“เคล็ดวิชาโครงกระดูกสังหารของแกถูกหยุดไว้แล้ว ต่อไปคงจะเป็นเวลาตัดสินแพ้ชนะของพวกเรา!” เย่เทียนเฉินมองหมอกโลหิตแล้วพูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม

“คิดไม่ถึงว่าในตัวของแกจะมีของแบบนี้อยู่ด้วย ไม่งั้นวันนี้แกจะต้องตายแน่นอน!” หมอกโลหิตพูดอย่างไม่สบอารมณ์

“บนโลกใบนี้ไม่มีอะไรบังเอิญ เรื่องที่ดูเหมือนบังเอิญ ความจริงส่วนใหญ่เป็นสิ่งที่ถูกกำหนดไว้แล้ว!” เย่เทียนเฉินพูดอย่างเรียบเฉย

ฟิ้วๆ !

ชั่วขณะนั้น เย่เทียนเฉินและหมอกโลหิตต่างเคลื่อนไหวแล้ว ดูเหมือนจะเคลื่อนไหวพร้อมกัน ทั้งสองพุ่งใส่กัน การต่อสู้ระหว่างคนทั้งสองยืดเวลาออกไปนานมากแล้ว ไม่อยากจะปล่อยให้เวลายืดออกไปมากกว่านี้อีก ต้องการกำจัดอีกฝ่ายในเวลารวดเร็วที่สุด เย่เทียนเฉินลงมือเต็มกำลัง หมอกโลหิตก็ใช้กระบวนท่าที่แข็งแกร่งที่สุดของตนออกมา แต่ก็ไม่สามารถฆ่าอีกฝ่ายได้ในเวลาเพียงสั้นๆ ต่อไปจะเป็นการต่อสู้ที่ยากลำบาก

วูบ!

มีดในมือขวาของหมอกโลหิตยืดยาวขึ้นในชั่วพริบตา กลายเป็นกระบี่เล่มหนึ่ง เย่เทียนเฉินสัมผัสได้ถึงบรรยากาศที่ราวกับจะกีดขวางทุกสิ่งทุกอย่างยิ่ง ไปกว่านั้นเย่เทียนเฉินยังได้รู้มาจากปากของหลินตวนอีกด้วยว่า กระบี่อวี๋ฉางเป็นกระบี่ที่ไม่ด้อยไปกว่าพลังอำนาจของกระบี่ไท่อาเลย บางทีอาจกล่าวได้ว่า กระบี่เทพบรรพกาลทั้ง 10 เล่มไม่มีใครอ่อนแอกว่าใคร เพียงแค่ขอบเขตการควบคุมแตกต่างกันเท่านั้น เดิมทีกระบี่อวี๋ฉางก็เป็นกระบี่ที่ต่อต้านสวรรค์ เป็นกระบี่ของคนที่มีนิสัยทรยศ มันใช้เพื่อลอบสังหารจักรพรรดิ กระบี่เช่นนี้เรียกได้ว่า ทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ต่อหน้ามันจะมีเพียงคำเดียว นั่นก็คือฆ่า

เย่เทียนเฉินเองก็คิดไม่ถึงว่าอาวุธที่หมอกโลหิตถืออยู่ในมือครั้งนี้จะเป็นกระบี่อวี๋ฉาง มิน่าล่ะกระบี่เล่มนี้ถึงปะทะกับกระบี่ไท่อาได้โดยไม่เสียหายโดยสิ้นเชิง ที่แท้ก็เป็นหนึ่งในสิบกระบี่บรรพกาลเหมือนกัน ไม่ว่าใครก็ไม่อ่อนแอกว่าใคร เกรงว่าคงมีกระบี่เทพในระดับเดียวกันเท่านั้นถึงจะสามารถปะทะกันเช่นนี้ได้ หากเป็นอาวุธอื่นๆ เกรงว่าจะถูกทำลายไปนานแล้ว

ตู้ม!

หมอกโลหิตถือกระบี่อวี๋ฉางอยู่ในมือ ในตอนที่เผชิญหน้ากับเย่เทียนเฉิน พริบตาเดียวมันก็ยืดยาวขึ้น มีบรรยากาศกีดขวางทุกสิ่งทุกอย่างเอ่อล้นออกมา เย่เทียนเฉินขมวดคิ้ว เผชิญหน้ากับกระบี่เช่นนี้เขายังไม่หลบ แต่โจมตีออกไปหมัดหนึ่ง

ตู้ม!

ตู้ม!

เลือดสองสายอาบย้อมบนร่างของหมอกโลหิตและเย่เทียนเฉิน พุ่งกระฉูดออกมาจากแต่ละฝ่าย มุมปากของหมอกโลหิตก็มีเลือดสดๆ ไหลออกมา เขาคิดไม่ถึงว่าเมื่อเย่เทียนเฉินต้องเผชิญหน้ากับกระบี่อวี๋ฉางจะยังปะทะเข้ามาโดยไม่หลบเลี่ยง ในตอนที่เขาใช้กระบี่แทงเข้าไปบริเวณหน้าอกซ้ายของเย่เทียนเฉิน เย่เทียนเฉินก็ซัดหมัดปะทะเข้ามาบนหน้าอกของเขากระทั่งหมัดทะลุ เลือดสดๆ พุ่งออกมา

“แกเลือดไหลแล้ว!” เย่เทียนเฉินมองหมอกโลหิตแล้วพูดด้วยรอยยิ้ม ไม่สนใจอาการบาดเจ็บบริเวณหน้าอกซ้ายของตนแม้แต่น้อย

“งั้นเหรอ? ขอแค่เพียงพอที่จะฆ่าแก นี่ไม่นับเป็นอะไรได้…”

หมอกโลหิตตะโกน ทั้งร่างเคลื่อนไปด้านหน้าต่อไป โจมตีโดยไม่สนใจชีวิตของตน ในตอนที่เขาแทงกระบี่ไปยังเย่เทียนเฉิน คิดว่าเย่เทียนเฉินจะต้องหลบ ไหนเลยจะรู้ว่าเย่เทียนเฉินจะไม่ได้หลบแต่กับซัดหมัดเข้ามาปะทะเขา ดังนั้นการโจมตีนี้เขาจึงได้รับบาดเจ็บสาหัสยิ่งกว่าเย่เทียนเฉิน

เย่เทียนเฉินสูญเสียพลังไปมากถึงจะสยบกระบี่ไท่อาได้ กำจัดหยดเลือดที่มีความคิดของจิตวิญญาณที่ดำรงอยู่ออกไปจากตัวกระบี่ไท่อา และนำพลังของตนแฝงเข้าไปอย่างรวดเร็ว กดดันพลังแห่งเดชานุภาพบนตัวกระบี่ไว้ ในขณะเดียวกันก็ใช้พลังพิเศษของตนผสานเข้าไปช้าๆ เพื่อช่วยให้บังคับกระบี่ไท่อาได้อย่างแท้จริง

เพิ่งจะผสานพลังเข้าไปในกระบี่ไท่อาได้ เย่เทียนเฉินก็รู้มันยังไม่สมบูรณ์แบบ ยังต้องผสานกันให้แน่นสนิท มีเพียงทำเช่นนี้เท่านั้นถึงจะสามารถใช้กระบี่ไท่อาได้อย่างแท้จริง ในตอนที่เขาใช้จิตใจและพลังพิเศษในร่างกายของตนหลอมเข้าไปในกระบี่ไท่อาไม่หยุด มีคนเงาร่างสีแดงเลือดมาลอบสังหาร ร้ายกาจเป็นอย่างมาก หากไม่ใช่ว่าเย่เทียนเฉินสยบกระบี่ไท่อาได้แล้ว เกรงว่ามีดที่โจมตีมาของเงาร่างสีแดงเลือดเมื่อครู่นี้ เขาเองก็คงยากที่จะป้องกัน

ฝีมือของเงาร่างสีแดงเลือดไม่ได้แข็งแกร่งธรรมดาๆ ในตอนที่มีดในมือของเขาขวางกระบี่ไท่อาเอาไว้ได้ เขาก็ซัดฝ่ามือมาที่หลังศีรษะของเย่เทียนเฉินอย่างรวดเร็ว เย่เทียนเฉินไม่ได้ขยับ ยังคงเคลื่อนย้ายพลังเดชานุภาพดั้งเดิมของกระบี่ไท่อาเพื่อทำการป้องกันและโจมตี แต่กลับถูกเงาร่างสีแดงหลบเลี่ยงได้ ไม่ง่ายเลยจริงๆ

กระบี่ไท่อาได้ชื่อว่าเป็นกระบี่แห่งเดชานุภาพ ความร้ายกาจไม่จำเป็นต้องพูดถึง เพียงคำว่าเดชานุภาพคำเดียวก็เป็นตัวแทนของทุกสิ่งทุกอย่างแล้ว การโจมตีรวดเร็วขนาดนั้นเงาร่างสีแดงเลือดยังสามารถหนีได้ ทำให้ผู้คนคิดไม่ถึงจริงๆ เย่เทียนเฉินยังอดไม่ได้ที่จะตกตะลึงอยู่ในใจ เขารู้ว่าผู้มาลอบสังหารคือใคร แต่นี่เป็นครั้งแรกที่ได้แลกเปลี่ยนฝีมือกับอีกฝ่ายอย่างแท้จริง ความสามารถของอีกฝ่ายทำให้เขาไม่กล้าดูเบา

“ดูท่าคุณชายใหญ่แห่งมหาวิทยาลัยหลงเถิงจะรอไม่ไหว ต้องการฆ่าฉันแล้วล่ะมั้ง?” มุมปากของเย่เทียนเฉินเผยรอยยิ้มออกมา ยังคงนั่งขัดสมาธิหันหลังให้เงาร่างสีแดงเลือด กระบี่ไท่อาเล่มนั้นเขาใช้พลังจิตใจที่แข็งแกร่งควบคุมอยู่ เตรียมจะโจมตีสังหารได้ทุกเมื่อ

“จะฆ่าแกไม่จำเป็นต้องให้คุณชายใหญ่ลงมือด้วยตัวเองหรอก แกไม่เพียงแต่จะสยบกระบี่ไท่อาได้ แต่ยังไปถึงขั้นบังคับกระบี่ได้แล้ว ถ้าคุณชายใหญ่รู้ บางทีคงยินดีที่จะลงมือ!”

เงาร่างสีแดงเลือดพูดอย่างเย็นชา ความแข็งแกร่งของเย่เทียนเฉิน การเติบโตและพลังที่ระเบิดออกมาของเย่เทียนเฉิน เขาล้วนรู้ทั้งหมด จะอย่างไรก็คิดไม่ถึงว่า เย่เทียนเฉินที่อายุน้อยกว่าคุณชายใหญ่แห่งมหาวิทยาลัยหลงเถิงสิบปีคนนี้จะมีความสามารถที่ไม่อาจดูถูกได้ เมื่อเปรียบเทียบกับความสามารถของคุณชายใหญ่ตอนที่อายุยี่สิบปี เย่เทียนเฉินยังแข็งแกร่งกว่าเล็กน้อย หากเป็นเช่นนี้ต่อไปจะต้องกลายเป็นศัตรูตัวฉกาจของคุณชายใหญ่จริงๆ แน่ หากต้องการฆ่าก็จะยากยิ่งขึ้น มิน่าล่ะครั้งนี้คุณชายใหญ่จึงออกคำสั่งตนมาอย่างจริงจังว่าจะต้องเอาหัวเย่เทียนเฉินกลับไปให้ได้ มิฉะนั้นเขาก็ไม่ต้องกลับไปแล้ว

คนที่มาก็คือหมอกโลหิต ในตอนที่เขามาถึงอย่างเงียบเชียบเย่เทียนเฉินก็รู้ตัวแล้ว ตอนนั้นเย่เทียนเฉินยังไม่ได้ลงมือ เขากำลังหลอมรวมกับกระบี่อยู่ ยิ่งไปกว่านั้นเขาก็อยากจะลองการควบคุมกระบี่ของตนในตอนนี้ดูเสียหน่อย หากไม่สามารถใช้พลังจิตใจและพลังพิเศษที่แข็งแกร่งไปบังคับกระบี่ไท่อาให้ป้องกันหรือสังหารศัตรูได้ ถ้าเช่นนั้นผลก็มีอย่างเดียวคือไม่สามารถยกระดับพลังการต่อสู้ของเย่เทียนเฉินได้

ในตอนที่หลอมรวมและบังคับกระบี่ไท่อาอยู่นั้น เย่เทียนเฉินพลันคิดถึงคนในตำนานที่เคยใช้กระบี่เทพบรรพกาลทั้งสิบเล่มขึ้นมา คนคนนี้ไม่หากบอกว่าเป็นแข็งแกร่งจนถึงขั้นไร้ศตรูทั้งฟ้าดินก็คงไม่เกินไป กระบี่เทพบรรพกาลทั้งสิบเล่ม ทุกเล่มร้ายกาจเป็นอย่างมาก มีพลังที่ไม่อาจจินตนาการได้ คนเพียงคนเดียวสามารถใช้กระบี่เทพบรรพกาลพร้อมกันทั้งสิบเล่มได้ และยังสร้างเป็นค่ายกลกระบี่สังหารด้วยตนเอง นี่จึงจะเป็นขอบเขตสูงที่สุดของการบังคับสิ่งของ ไม่ว่าจะโลกนี้หรือในดาวสิ้นโลก เย่เทียนเฉินก็ยังไปไม่ถึง เขาสามารถจินตนาการถึงความร้ายกาจของคนในตำนานคนนี้ได้เลย คนคนนี้จะต้องเป็นผู้แข็งแกร่งในขอบเขตจักรพรรดิแน่นอน กระทั่งยังสูงกว่าด้วยซ้ำ เพียงแต่ไม่รู้ว่าเหตุใดกระบี่เทพทั้งสิบเล่มของคนคนนี้ถึงได้ตกลงมาบนโลก และคนในตำนานนี้ไปไหนแล้ว? คงไม่ตายหรอกนะ?

เย่เทียนเฉินไม่คิดว่าคนในตำนานคนนี้จะตายไปแล้ว เขารู้สึกว่าจะต้องเกิดเรื่องอะไรขึ้นแน่นอน เมื่อดูจากความสามารถของบุคคลในตำนานที่ครอบครองกระบี่เทพบรรพกาลทั้งสิบเล่มแล้ว เขาเป็นผู้แข็งแกร่งที่หาได้ยาก และยิ่งเป็นผู้แข็งแกร่งก็ยิ่งมีชีวิตยืนยาวขึ้นมาก นี่เป็นสิ่งที่ไม่ต้องสงสัยเลย ถ้าไม่มีพลังที่แข็งแกร่งแล้วจะมีชีวิตรอดจากอันตรายแต่ละอย่างในการเสาะหาเส้นทางแห่งชีวิตยืนยาวได้อย่างไร?

“การบังคับกระบี่เป็นแค่เรื่องพื้นฐานเท่านั้น วันนี้แกฆ่าฉันไม่ได้ ภารกิจที่คุณชายใหญ่มอบให้แก แกก็ทำไม่สำเร็จ!” เย่เทียนเฉินลุกขึ้นยืนแล้วหมุนตัวไป มองหมอกโลหิตอย่างเย็นชา

“ถ้าฆ่าแกไม่ได้ ฉันก็จะตาย ดังนั้นเพื่อจะมีชีวิตอยู่ต่อไป จะต้องฆ่าแกให้ได้!” หมอกโลหิตขมวดคิ้วพูด

“ดูท่าคุณชายใหญ่จะบีบแกให้สู้จนตาย โหดเหี้ยมจริงๆ!” เย่เทียนเฉินพูดขึ้น มุมปากเผยรอยยิ้มออกมา

ฉัวะ!

ความสามารถของหมอกโลหิตแข็งแกร่งมาก และเป็นคนที่สังหารโดยไม่ลังเล เขารู้ว่าคุณชายใหญ่แห่งมหาวิทยาลัยหลงเถิงพูดคำไหนคำนั้นมาโดยตลอด ถ้าหากเขาไม่สามารถนำหัวของเย่เทียนเฉินกลับไปได้ เขาก็จะต้องตายแน่นอน ติดตามข้างกายคุณชายใหญ่มาหลายปีขนาดนี้ เขาไม่เคยพบใครที่รับภารกิจจากคุณชายใหญ่ไปแล้วทำไม่สำเร็จจะมีชีวิตอยู่ต่อไปได้เลย ต่อให้เป็นคนเก่าแก่ที่ติดตามคุณชายใหญ่มายี่สิบปี ถ้าทำภารกิจไม่สำเร็จก็จะต้องตายโดยไม่ต้องสงสัย เขาในฐานะที่เป็นขุนพลของคุณชายใหญ่ ดูเหมือนไม่ต้องให้เขาลงมือ เพราะว่าในหมู่ลูกน้องของคุณชายใหญ่ ไม่มีใครซักคนเดียวที่ไมาใช่ยอดฝีมือชั้นหนึ่ง ล้วนเพียงพอที่จะทำภารกิจพื้นฐานให้สำเร็จอย่างสมบูรณ์ ถ้าหากต้องการให้เขาหมอกโลหิตลงมือก็แสดงว่าคนคนนั้นแข็งแกร่งมาก และได้รับความสำคัญจากคุณชายใหญ่ เย่เทียนเฉินก็เป็คนแรกในรอบสิบปีมานี้

ไม่พูดพร่ำทำเพลง หมอกโลหิตตวัดมีดในมือฟันไปยังเย่เทียนเฉิน นิ้วชี้และนิ้วกลางที่มือขวาของเย่เทียนเฉินรวมเข้าด้วยกัน ตวัดเล็กน้อย กระบี่ไท่อาพลันขวางปราณดาบเอาไว้ในตอนที่ปราณดาบเกือบจะฟันถูกเย่เทียนเฉิน เพียงแต่ในตอนนี้เอง หมอกโลหิตก็ทะยานตัวเข้ามาใช้มีดแทงเข้าไปที่หัวใจเย่เทียนเฉิน เย่เทียนเฉินไม่กล้าลำพองใจ หมอกโลหิตแข็งแกร่งมาก นั่นไม่ใช่เรื่องล้อเล่น ความสามารถแข็งแกร่ง ฝีมือเสมือนปีศาจ กระทั่งเย่เทียนเฉินก็ต้องรับมืออย่างระมัดระวัง

เคร้ง!

มือขวาของเย่เทียนเฉินจับกระบี่ไท่อาขวางเอาไว้เบื้องหน้าโดยเร็ว มีดในมือของหมอกโลหิตฟันในแนวขวางเข้ามา ถูกมันขวางเอาไว้พอดี ในขณะเดียวกันฝ่ามือซ้ายของเย่เทียนเฉินก็ตบออกไปโดยพลัน การโจมตีของหมอกโลหิตทำให้เย่เทียนเฉินไม่มีเวลาหายใจเลยแม้แต่น้อย ทำได้เพียงลงมือขัดขวางและโจมตีไปไม่หยุด ทั้งสองล้วนเป็นยอดฝีมือที่หาได้ยาก ยิ่งไปกว่านั้น อาวุธในมือของทั้งสองก็มีอำนาจร้ายแรงมาก

ตู้ม!

อาวุธในมือขวาของทั้งเย่เทียนเฉินและหมอกโลหิตปะทะเข้าด้วยกัน มือซ้ายกลายเป็นฝ่ามือปะทะกันอย่างฉับพลัน ทั้งสองล้วนไม่ขยับเขยื้อน ยืนอยู่ตรงนั้นอย่างมั่นคง ฝ่ามือนี้อย่างน้อยเย่เทียนเฉินก็ใช้พลังไปเจ็ดส่วน ไม่เพียงแต่จะไม่สามารถทำให้หมอกโลหิตบาดเจ็บได้ กระทั่งไม่อาจทำให้หมอกโลหิตถูกกระแทกถอยไปได้แม้เพียงหนึ่งก้าว ในใจอดไม่ได้ที่จะตกตะลึง เขาไม่รู้ว่าหมอกโลหิตใช้พลังไปมากขนาดไหน รู้เพียงว่าหมอกโลหิตแข็งแกร่งมาก ไม่เสียทีที่ได้ชื่อว่าเป็นขุนพลใหญ่ข้างกายคุณชายใหญ่แห่งมหาวิทยาลัยหลงเถิง ในตอนนี้เย่เทียนเฉินกระตุ้นรังสีฆ่าฟันขึ้นมาแล้ว เขาไม่ใช่คนที่อ่อนโยนอะไร โดยเฉพาะกับศัตรู ศัตรูที่เต็มไปด้วยการฆ่าฟันและบรรยากาศโหดเหี้ยม เขาจำเป็นต้องฆ่าอีกฝ่าย ความเมตตาต่อศัตรูคือความโหดร้ายต่อตัวเอง เหตุผลนี้ไม่จำเป็นต้องให้ใครมาสอน เพียงแต่บางครั้งเขาก็มีหลักการของตนเองเท่านั้น นี่คือนิสัยของเย่เทียนเฉิน เป็นส่วนที่ไม่เหมือนใครของเขา

หมอกโลหิตเองก็ขมวดคิ้วมองเย่เทียนเฉิน เขาคิดไม่ถึงว่าการโจมตีที่รวดเร็วและใช้พลังมากเช่นนี้ของตนจะไม่สามารถกำจัดเย่เทียนเฉินได้ และไม่สามารถทำร้ายเย่เทียนเฉินได้ด้วย คนหนุ่มคนนี้แข็งแกร่งอย่างไม่อยากจะเชื่อจริงๆ กำมีดในมือขวาแน่น พลังในมือซ้ายเพิ่มขึ้นไม่หยุด พลังภายในอันแข็งแกร่งพุ่งออกมาจากในร่างกาย กระแทกเย่เทียนเฉินออกไป แต่เย่เทียนเฉินเป็นคนที่ยิ่งพบกับคนแข็งแกร่งก็ยิ่งแข็งแกร่ง เขาไม่ถอยแม้เพียงครึ่งก้าว ในขณะเดียวกันก็ขับเคลื่อนพลังพิเศษภายในร่างกายของตนอย่างช้าๆ ต่อต้านหมอกโลหิต

ตู้มๆ ๆ …การปะทะกันอย่างรุนแรงดุเดือด เย่เทียนเฉินและหมอกโลหิตต่างสู้กันอย่างเคร่งเครียดหาใดเปรียบ ไม่ว่าใครก็ไม่กล้าดูถูกศัตรู คิดว่าอีกฝ่ายแข็งแกร่งมาก หากลำพองใจแม้แต่น้อย คนที่ตายก็อาจจะเป็นตน ดังนั้นในตอนนี้ คนทั้งสองจึงไม่ได้เก็บซ่อนใดๆ ใช้กระบวนท่าที่แข็งแกร่งที่สุดออกมา พลังก็ปล่อยออกมามากที่สุด

สระน้ำอยู่ห่างจากเย่เทียนเฉินและหมอกโลหิตนับร้อยเมตรสั่นสะเทือนไม่หยุด น้ำด้านในถูกกระตุ้นจนพุ่งขึ้นฟ้าเป็นเสาน้ำ คล้ายกับเบื้องล่างมีดินปืนปะทุไม่หยุดอย่างไรอย่างนั้น นี่ก็คือพลัง นี่คือการปะทะกัน ดูผิวเผินเหมือนการต่อสู้ระหว่างเย่เทียนเฉินและหมอกโลหิตจะไม่มีพลังทำลายล้างที่ยิ่งใหญ่อะไร แต่ความจริงเป็นเพราะทั้งสองคนล้วนแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก ในตอนที่พลังปะทะกัน พลังของทั้งสองฝ่ายก็สลายพลังของอีกฝ่ายแล้ว บางทีอาจกล่าวได้ว่ากระบวนท่าที่รุนแรงล้วนถูกหยุดเอาไว้แล้ว มิฉะนั้นการต่อสู้ไม่ถึง 10 นาทีนี้ อย่างน้อยก็คงทำให้บริเวณรอบๆ นับพันเมตรกลายเป็นพื้นราบไปแล้ว ไหนเลยจะยังมีสระน้ำและคฤหาสน์อะไรอยู่อีก ทุกสิ่งทุกอย่างคงราบเป็นหน้ากลอง

ฉัวะ! ทันใดนั้นหมอกโลหิตถอยหลังไปหลายก้าว กระโดดขึ้นสู่อากาศ มือขวากำมีดแน่น มือซ้ายชูนิ้วชี้ออกมา มีลำแสงกำลังเปล่งประกายอยู่เล็กน้อย ประกายสีแดงเลือดสายหนึ่งปรากฏขึ้นบนนิ้วชี้ซ้ายของหมอกโลหิต เย่เทียนเฉินลอบตกตะลึงในใจ หมอกโลหิตคนนี้แข็งแกร่งมากจริงๆ รวบรวมพลังภายในตามใจก็ยังดุดันขนาดนี้ ทำให้ผู้คนรู้สึกถึงพลังอำนาจในการทะลุทะลวงที่รุนแรง

“ก๊าซ!”

มีเสียงที่คล้ายกลับสัตว์ประหลาดกำลังกู่ร้องดังขึ้น เย่เทียนเฉินมองไปยังหมอกโลหิตที่อยู่กลางอากาศเบื้องหน้าด้วยความสงสัย พบว่าบนนิ้วชี้ซ้ายของหมอกโลหิตปรากฏลำแสงสีแดงเลือดออกมา ลำแสงนั้นเปลี่ยนไปอย่างเชื่องช้า ถึงกับกลายเป็นโครงกระดูกร่างหนึ่ง โครงกระดูกนั้นกำลังกรีดร้อง กำลังคำรามด้วยความโกรธ ดูเหมือนต้องการสลัดออกจากการควบคุมของหมอกโลหิต เพียงแต่ไม่ว่ามันจะดิ้นรนอย่างไรก็ทำได้เพียงถูกควบคุมอยู่บนปลายนิ้วชี้ซ้ายของหมอกโลหิตเท่านั้น

“เคล็ดวิชาโครงกระดูกสังหาร!” หมอกโลหิตไม่ให้โอกาสเย่เทียนเฉินได้ใคร่ครวญใดๆ หลังจากบนปลายนิ้วชี้ซ้ายของเขากลายเป็นรูปร่างโครงกระดูกก็พุ่งออกไปในทันที ต้องการใช้เคล็ดวิชาสังหารที่รุนแรงที่สุดของหมอกโลหิตต่อเย่เทียนเฉิน

เย่เทียนเฉินขมวดคิ้ว ถอยหลังไปสองก้าว ปักกระบี่ไท่อาลงกับพื้นโดยพลัน มือขวากำหมัดแน่น มีประกายแสงสีทองปะทุในดวงตา เขาต้องการใช้หมัดของตนทำลายเคล็ดวิชาโครงกระดูกสังหารของหมอกโลหิตให้แหลก

เย่เทียนเฉินสูญเสียพลังไปมากถึงจะสยบกระบี่ไท่อาได้ กำจัดหยดเลือดที่มีความคิดของจิตวิญญาณที่ดำรงอยู่ออกไปจากตัวกระบี่ไท่อา และนำพลังของตนแฝงเข้าไปอย่างรวดเร็ว กดดันพลังแห่งเดชานุภาพบนตัวกระบี่ไว้ ในขณะเดียวกันก็ใช้พลังพิเศษของตนผสานเข้าไปช้าๆ เพื่อช่วยให้บังคับกระบี่ไท่อาได้อย่างแท้จริง

เพิ่งจะผสานพลังเข้าไปในกระบี่ไท่อาได้ เย่เทียนเฉินก็รู้มันยังไม่สมบูรณ์แบบ ยังต้องผสานกันให้แน่นสนิท มีเพียงทำเช่นนี้เท่านั้นถึงจะสามารถใช้กระบี่ไท่อาได้อย่างแท้จริง ในตอนที่เขาใช้จิตใจและพลังพิเศษในร่างกายของตนหลอมเข้าไปในกระบี่ไท่อาไม่หยุด มีคนเงาร่างสีแดงเลือดมาลอบสังหาร ร้ายกาจเป็นอย่างมาก หากไม่ใช่ว่าเย่เทียนเฉินสยบกระบี่ไท่อาได้แล้ว เกรงว่ามีดที่โจมตีมาของเงาร่างสีแดงเลือดเมื่อครู่นี้ เขาเองก็คงยากที่จะป้องกัน

ฝีมือของเงาร่างสีแดงเลือดไม่ได้แข็งแกร่งธรรมดาๆ ในตอนที่มีดในมือของเขาขวางกระบี่ไท่อาเอาไว้ได้ เขาก็ซัดฝ่ามือมาที่หลังศีรษะของเย่เทียนเฉินอย่างรวดเร็ว เย่เทียนเฉินไม่ได้ขยับ ยังคงเคลื่อนย้ายพลังเดชานุภาพดั้งเดิมของกระบี่ไท่อาเพื่อทำการป้องกันและโจมตี แต่กลับถูกเงาร่างสีแดงหลบเลี่ยงได้ ไม่ง่ายเลยจริงๆ

กระบี่ไท่อาได้ชื่อว่าเป็นกระบี่แห่งเดชานุภาพ ความร้ายกาจไม่จำเป็นต้องพูดถึง เพียงคำว่าเดชานุภาพคำเดียวก็เป็นตัวแทนของทุกสิ่งทุกอย่างแล้ว การโจมตีรวดเร็วขนาดนั้นเงาร่างสีแดงเลือดยังสามารถหนีได้ ทำให้ผู้คนคิดไม่ถึงจริงๆ เย่เทียนเฉินยังอดไม่ได้ที่จะตกตะลึงอยู่ในใจ เขารู้ว่าผู้มาลอบสังหารคือใคร แต่นี่เป็นครั้งแรกที่ได้แลกเปลี่ยนฝีมือกับอีกฝ่ายอย่างแท้จริง ความสามารถของอีกฝ่ายทำให้เขาไม่กล้าดูเบา

“ดูท่าคุณชายใหญ่แห่งมหาวิทยาลัยหลงเถิงจะรอไม่ไหว ต้องการฆ่าฉันแล้วล่ะมั้ง?” มุมปากของเย่เทียนเฉินเผยรอยยิ้มออกมา ยังคงนั่งขัดสมาธิหันหลังให้เงาร่างสีแดงเลือด กระบี่ไท่อาเล่มนั้นเขาใช้พลังจิตใจที่แข็งแกร่งควบคุมอยู่ เตรียมจะโจมตีสังหารได้ทุกเมื่อ

“จะฆ่าแกไม่จำเป็นต้องให้คุณชายใหญ่ลงมือด้วยตัวเองหรอก แกไม่เพียงแต่จะสยบกระบี่ไท่อาได้ แต่ยังไปถึงขั้นบังคับกระบี่ได้แล้ว ถ้าคุณชายใหญ่รู้ บางทีคงยินดีที่จะลงมือ!”

เงาร่างสีแดงเลือดพูดอย่างเย็นชา ความแข็งแกร่งของเย่เทียนเฉิน การเติบโตและพลังที่ระเบิดออกมาของเย่เทียนเฉิน เขาล้วนรู้ทั้งหมด จะอย่างไรก็คิดไม่ถึงว่า เย่เทียนเฉินที่อายุน้อยกว่าคุณชายใหญ่แห่งมหาวิทยาลัยหลงเถิงสิบปีคนนี้จะมีความสามารถที่ไม่อาจดูถูกได้ เมื่อเปรียบเทียบกับความสามารถของคุณชายใหญ่ตอนที่อายุยี่สิบปี เย่เทียนเฉินยังแข็งแกร่งกว่าเล็กน้อย หากเป็นเช่นนี้ต่อไปจะต้องกลายเป็นศัตรูตัวฉกาจของคุณชายใหญ่จริงๆ แน่ หากต้องการฆ่าก็จะยากยิ่งขึ้น มิน่าล่ะครั้งนี้คุณชายใหญ่จึงออกคำสั่งตนมาอย่างจริงจังว่าจะต้องเอาหัวเย่เทียนเฉินกลับไปให้ได้ มิฉะนั้นเขาก็ไม่ต้องกลับไปแล้ว

คนที่มาก็คือหมอกโลหิต ในตอนที่เขามาถึงอย่างเงียบเชียบเย่เทียนเฉินก็รู้ตัวแล้ว ตอนนั้นเย่เทียนเฉินยังไม่ได้ลงมือ เขากำลังหลอมรวมกับกระบี่อยู่ ยิ่งไปกว่านั้นเขาก็อยากจะลองการควบคุมกระบี่ของตนในตอนนี้ดูเสียหน่อย หากไม่สามารถใช้พลังจิตใจและพลังพิเศษที่แข็งแกร่งไปบังคับกระบี่ไท่อาให้ป้องกันหรือสังหารศัตรูได้ ถ้าเช่นนั้นผลก็มีอย่างเดียวคือไม่สามารถยกระดับพลังการต่อสู้ของเย่เทียนเฉินได้

ในตอนที่หลอมรวมและบังคับกระบี่ไท่อาอยู่นั้น เย่เทียนเฉินพลันคิดถึงคนในตำนานที่เคยใช้กระบี่เทพบรรพกาลทั้งสิบเล่มขึ้นมา คนคนนี้ไม่หากบอกว่าเป็นแข็งแกร่งจนถึงขั้นไร้ศตรูทั้งฟ้าดินก็คงไม่เกินไป กระบี่เทพบรรพกาลทั้งสิบเล่ม ทุกเล่มร้ายกาจเป็นอย่างมาก มีพลังที่ไม่อาจจินตนาการได้ คนเพียงคนเดียวสามารถใช้กระบี่เทพบรรพกาลพร้อมกันทั้งสิบเล่มได้ และยังสร้างเป็นค่ายกลกระบี่สังหารด้วยตนเอง นี่จึงจะเป็นขอบเขตสูงที่สุดของการบังคับสิ่งของ ไม่ว่าจะโลกนี้หรือในดาวสิ้นโลก เย่เทียนเฉินก็ยังไปไม่ถึง เขาสามารถจินตนาการถึงความร้ายกาจของคนในตำนานคนนี้ได้เลย คนคนนี้จะต้องเป็นผู้แข็งแกร่งในขอบเขตจักรพรรดิแน่นอน กระทั่งยังสูงกว่าด้วยซ้ำ เพียงแต่ไม่รู้ว่าเหตุใดกระบี่เทพทั้งสิบเล่มของคนคนนี้ถึงได้ตกลงมาบนโลก และคนในตำนานนี้ไปไหนแล้ว? คงไม่ตายหรอกนะ?

เย่เทียนเฉินไม่คิดว่าคนในตำนานคนนี้จะตายไปแล้ว เขารู้สึกว่าจะต้องเกิดเรื่องอะไรขึ้นแน่นอน เมื่อดูจากความสามารถของบุคคลในตำนานที่ครอบครองกระบี่เทพบรรพกาลทั้งสิบเล่มแล้ว เขาเป็นผู้แข็งแกร่งที่หาได้ยาก และยิ่งเป็นผู้แข็งแกร่งก็ยิ่งมีชีวิตยืนยาวขึ้นมาก นี่เป็นสิ่งที่ไม่ต้องสงสัยเลย ถ้าไม่มีพลังที่แข็งแกร่งแล้วจะมีชีวิตรอดจากอันตรายแต่ละอย่างในการเสาะหาเส้นทางแห่งชีวิตยืนยาวได้อย่างไร?

“การบังคับกระบี่เป็นแค่เรื่องพื้นฐานเท่านั้น วันนี้แกฆ่าฉันไม่ได้ ภารกิจที่คุณชายใหญ่มอบให้แก แกก็ทำไม่สำเร็จ!” เย่เทียนเฉินลุกขึ้นยืนแล้วหมุนตัวไป มองหมอกโลหิตอย่างเย็นชา

“ถ้าฆ่าแกไม่ได้ ฉันก็จะตาย ดังนั้นเพื่อจะมีชีวิตอยู่ต่อไป จะต้องฆ่าแกให้ได้!” หมอกโลหิตขมวดคิ้วพูด

“ดูท่าคุณชายใหญ่จะบีบแกให้สู้จนตาย โหดเหี้ยมจริงๆ!” เย่เทียนเฉินพูดขึ้น มุมปากเผยรอยยิ้มออกมา

ฉัวะ!

ความสามารถของหมอกโลหิตแข็งแกร่งมาก และเป็นคนที่สังหารโดยไม่ลังเล เขารู้ว่าคุณชายใหญ่แห่งมหาวิทยาลัยหลงเถิงพูดคำไหนคำนั้นมาโดยตลอด ถ้าหากเขาไม่สามารถนำหัวของเย่เทียนเฉินกลับไปได้ เขาก็จะต้องตายแน่นอน ติดตามข้างกายคุณชายใหญ่มาหลายปีขนาดนี้ เขาไม่เคยพบใครที่รับภารกิจจากคุณชายใหญ่ไปแล้วทำไม่สำเร็จจะมีชีวิตอยู่ต่อไปได้เลย ต่อให้เป็นคนเก่าแก่ที่ติดตามคุณชายใหญ่มายี่สิบปี ถ้าทำภารกิจไม่สำเร็จก็จะต้องตายโดยไม่ต้องสงสัย เขาในฐานะที่เป็นขุนพลของคุณชายใหญ่ ดูเหมือนไม่ต้องให้เขาลงมือ เพราะว่าในหมู่ลูกน้องของคุณชายใหญ่ ไม่มีใครซักคนเดียวที่ไมาใช่ยอดฝีมือชั้นหนึ่ง ล้วนเพียงพอที่จะทำภารกิจพื้นฐานให้สำเร็จอย่างสมบูรณ์ ถ้าหากต้องการให้เขาหมอกโลหิตลงมือก็แสดงว่าคนคนนั้นแข็งแกร่งมาก และได้รับความสำคัญจากคุณชายใหญ่ เย่เทียนเฉินก็เป็คนแรกในรอบสิบปีมานี้

ไม่พูดพร่ำทำเพลง หมอกโลหิตตวัดมีดในมือฟันไปยังเย่เทียนเฉิน นิ้วชี้และนิ้วกลางที่มือขวาของเย่เทียนเฉินรวมเข้าด้วยกัน ตวัดเล็กน้อย กระบี่ไท่อาพลันขวางปราณดาบเอาไว้ในตอนที่ปราณดาบเกือบจะฟันถูกเย่เทียนเฉิน เพียงแต่ในตอนนี้เอง หมอกโลหิตก็ทะยานตัวเข้ามาใช้มีดแทงเข้าไปที่หัวใจเย่เทียนเฉิน เย่เทียนเฉินไม่กล้าลำพองใจ หมอกโลหิตแข็งแกร่งมาก นั่นไม่ใช่เรื่องล้อเล่น ความสามารถแข็งแกร่ง ฝีมือเสมือนปีศาจ กระทั่งเย่เทียนเฉินก็ต้องรับมืออย่างระมัดระวัง

เคร้ง!

มือขวาของเย่เทียนเฉินจับกระบี่ไท่อาขวางเอาไว้เบื้องหน้าโดยเร็ว มีดในมือของหมอกโลหิตฟันในแนวขวางเข้ามา ถูกมันขวางเอาไว้พอดี ในขณะเดียวกันฝ่ามือซ้ายของเย่เทียนเฉินก็ตบออกไปโดยพลัน การโจมตีของหมอกโลหิตทำให้เย่เทียนเฉินไม่มีเวลาหายใจเลยแม้แต่น้อย ทำได้เพียงลงมือขัดขวางและโจมตีไปไม่หยุด ทั้งสองล้วนเป็นยอดฝีมือที่หาได้ยาก ยิ่งไปกว่านั้น อาวุธในมือของทั้งสองก็มีอำนาจร้ายแรงมาก

ตู้ม!

อาวุธในมือขวาของทั้งเย่เทียนเฉินและหมอกโลหิตปะทะเข้าด้วยกัน มือซ้ายกลายเป็นฝ่ามือปะทะกันอย่างฉับพลัน ทั้งสองล้วนไม่ขยับเขยื้อน ยืนอยู่ตรงนั้นอย่างมั่นคง ฝ่ามือนี้อย่างน้อยเย่เทียนเฉินก็ใช้พลังไปเจ็ดส่วน ไม่เพียงแต่จะไม่สามารถทำให้หมอกโลหิตบาดเจ็บได้ กระทั่งไม่อาจทำให้หมอกโลหิตถูกกระแทกถอยไปได้แม้เพียงหนึ่งก้าว ในใจอดไม่ได้ที่จะตกตะลึง เขาไม่รู้ว่าหมอกโลหิตใช้พลังไปมากขนาดไหน รู้เพียงว่าหมอกโลหิตแข็งแกร่งมาก ไม่เสียทีที่ได้ชื่อว่าเป็นขุนพลใหญ่ข้างกายคุณชายใหญ่แห่งมหาวิทยาลัยหลงเถิง ในตอนนี้เย่เทียนเฉินกระตุ้นรังสีฆ่าฟันขึ้นมาแล้ว เขาไม่ใช่คนที่อ่อนโยนอะไร โดยเฉพาะกับศัตรู ศัตรูที่เต็มไปด้วยการฆ่าฟันและบรรยากาศโหดเหี้ยม เขาจำเป็นต้องฆ่าอีกฝ่าย ความเมตตาต่อศัตรูคือความโหดร้ายต่อตัวเอง เหตุผลนี้ไม่จำเป็นต้องให้ใครมาสอน เพียงแต่บางครั้งเขาก็มีหลักการของตนเองเท่านั้น นี่คือนิสัยของเย่เทียนเฉิน เป็นส่วนที่ไม่เหมือนใครของเขา

หมอกโลหิตเองก็ขมวดคิ้วมองเย่เทียนเฉิน เขาคิดไม่ถึงว่าการโจมตีที่รวดเร็วและใช้พลังมากเช่นนี้ของตนจะไม่สามารถกำจัดเย่เทียนเฉินได้ และไม่สามารถทำร้ายเย่เทียนเฉินได้ด้วย คนหนุ่มคนนี้แข็งแกร่งอย่างไม่อยากจะเชื่อจริงๆ กำมีดในมือขวาแน่น พลังในมือซ้ายเพิ่มขึ้นไม่หยุด พลังภายในอันแข็งแกร่งพุ่งออกมาจากในร่างกาย กระแทกเย่เทียนเฉินออกไป แต่เย่เทียนเฉินเป็นคนที่ยิ่งพบกับคนแข็งแกร่งก็ยิ่งแข็งแกร่ง เขาไม่ถอยแม้เพียงครึ่งก้าว ในขณะเดียวกันก็ขับเคลื่อนพลังพิเศษภายในร่างกายของตนอย่างช้าๆ ต่อต้านหมอกโลหิต

ตู้มๆ ๆ …การปะทะกันอย่างรุนแรงดุเดือด เย่เทียนเฉินและหมอกโลหิตต่างสู้กันอย่างเคร่งเครียดหาใดเปรียบ ไม่ว่าใครก็ไม่กล้าดูถูกศัตรู คิดว่าอีกฝ่ายแข็งแกร่งมาก หากลำพองใจแม้แต่น้อย คนที่ตายก็อาจจะเป็นตน ดังนั้นในตอนนี้ คนทั้งสองจึงไม่ได้เก็บซ่อนใดๆ ใช้กระบวนท่าที่แข็งแกร่งที่สุดออกมา พลังก็ปล่อยออกมามากที่สุด

สระน้ำอยู่ห่างจากเย่เทียนเฉินและหมอกโลหิตนับร้อยเมตรสั่นสะเทือนไม่หยุด น้ำด้านในถูกกระตุ้นจนพุ่งขึ้นฟ้าเป็นเสาน้ำ คล้ายกับเบื้องล่างมีดินปืนปะทุไม่หยุดอย่างไรอย่างนั้น นี่ก็คือพลัง นี่คือการปะทะกัน ดูผิวเผินเหมือนการต่อสู้ระหว่างเย่เทียนเฉินและหมอกโลหิตจะไม่มีพลังทำลายล้างที่ยิ่งใหญ่อะไร แต่ความจริงเป็นเพราะทั้งสองคนล้วนแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก ในตอนที่พลังปะทะกัน พลังของทั้งสองฝ่ายก็สลายพลังของอีกฝ่ายแล้ว บางทีอาจกล่าวได้ว่ากระบวนท่าที่รุนแรงล้วนถูกหยุดเอาไว้แล้ว มิฉะนั้นการต่อสู้ไม่ถึง 10 นาทีนี้ อย่างน้อยก็คงทำให้บริเวณรอบๆ นับพันเมตรกลายเป็นพื้นราบไปแล้ว ไหนเลยจะยังมีสระน้ำและคฤหาสน์อะไรอยู่อีก ทุกสิ่งทุกอย่างคงราบเป็นหน้ากลอง

ฉัวะ! ทันใดนั้นหมอกโลหิตถอยหลังไปหลายก้าว กระโดดขึ้นสู่อากาศ มือขวากำมีดแน่น มือซ้ายชูนิ้วชี้ออกมา มีลำแสงกำลังเปล่งประกายอยู่เล็กน้อย ประกายสีแดงเลือดสายหนึ่งปรากฏขึ้นบนนิ้วชี้ซ้ายของหมอกโลหิต เย่เทียนเฉินลอบตกตะลึงในใจ หมอกโลหิตคนนี้แข็งแกร่งมากจริงๆ รวบรวมพลังภายในตามใจก็ยังดุดันขนาดนี้ ทำให้ผู้คนรู้สึกถึงพลังอำนาจในการทะลุทะลวงที่รุนแรง

“ก๊าซ!”

มีเสียงที่คล้ายกลับสัตว์ประหลาดกำลังกู่ร้องดังขึ้น เย่เทียนเฉินมองไปยังหมอกโลหิตที่อยู่กลางอากาศเบื้องหน้าด้วยความสงสัย พบว่าบนนิ้วชี้ซ้ายของหมอกโลหิตปรากฏลำแสงสีแดงเลือดออกมา ลำแสงนั้นเปลี่ยนไปอย่างเชื่องช้า ถึงกับกลายเป็นโครงกระดูกร่างหนึ่ง โครงกระดูกนั้นกำลังกรีดร้อง กำลังคำรามด้วยความโกรธ ดูเหมือนต้องการสลัดออกจากการควบคุมของหมอกโลหิต เพียงแต่ไม่ว่ามันจะดิ้นรนอย่างไรก็ทำได้เพียงถูกควบคุมอยู่บนปลายนิ้วชี้ซ้ายของหมอกโลหิตเท่านั้น

“เคล็ดวิชาโครงกระดูกสังหาร!” หมอกโลหิตไม่ให้โอกาสเย่เทียนเฉินได้ใคร่ครวญใดๆ หลังจากบนปลายนิ้วชี้ซ้ายของเขากลายเป็นรูปร่างโครงกระดูกก็พุ่งออกไปในทันที ต้องการใช้เคล็ดวิชาสังหารที่รุนแรงที่สุดของหมอกโลหิตต่อเย่เทียนเฉิน

เย่เทียนเฉินขมวดคิ้ว ถอยหลังไปสองก้าว ปักกระบี่ไท่อาลงกับพื้นโดยพลัน มือขวากำหมัดแน่น มีประกายแสงสีทองปะทุในดวงตา เขาต้องการใช้หมัดของตนทำลายเคล็ดวิชาโครงกระดูกสังหารของหมอกโลหิตให้แหลก

เมื่อเผชิญหน้ากับ “เคล็ดวิชาโครงกระดูกสังหาร” ของหมอกโลหิต เย่เทียนเฉินก็ไม่ได้ดูเบาเลยแม้แต่น้อย ไม่ต้องพูดเลยถึงการดูเบาเลย กลับมีสีหน้าจริงจังหนักแน่นมากด้วยซ้ำ เขาสัมผัสได้ถึงไอสังหารนั้น โดยเฉพาะโครงกระดูกสีแดงเลือดนั้น น่าหวาดกลัวและดุร้ายเป็นอย่างมาก กำลังร้องคำรามด้วยความเจ็บปวด เหมือนกับปีศาจที่ผุดออกมาจากนรกขุมที่เก้าอย่างไรอย่างนั้น มันต้องการดื่มเลือด มันต้องการฆ่าล้าง ต้องการสลัดออกจากการควบคุม สลัดออกจากขบวนภูติผี

ชื่อ “เคล็ดวิชาโครงกระดูกสังหาร” เห็นได้อย่างชัดเจนว่าเมื่อใช้กระบวนท่านี้ออกมา หากโครงกระดูกสีแดงเลือดไม่อาจดื่มเลือด ถ้างั้นเป็นไปได้มากว่ามันจะไม่อาจดำรงอยู่ได้อีกต่อไป

“โฮก!”

เสียงเสียดแทงใบหูสั่นสะเทือนหูของเย่เทียนเฉินจนเจ็บปวด มีความรู้สึกราวกับแทบจะหูระเบิด แต่ตอนนี้เขาไม่สนใจสิ่งเหล่านี้เลย โครงกระดูกสีแดงเลือดหมุนดวงตามายังด้านหน้า ในมือของโครงกระดูกสีแดงเลือดปรากฏดาบใหญ่สีแดงขึ้นเล่มหนึ่ง เหมือนกับใช้เลือดรวบรวมขึ้นมา ฟันลงไปยังเย่เทียนเฉินดาบหนึ่ง แฝงไปด้วยกลิ่นไอความเน่าเปื่อยผุพัง ในตอนที่ดาบเล่มใหญ่สีแดงเพิ่งจะปรากฏในมือของโครงกระดูกสีแดงเลือดนั้น เย่เทียนเฉินก็รับรู้ได้ว่าพลังชีวิตของต้นหญ้ารอบๆ อ่อนแอลง ต้นหญ้าบางต้นแห้งเหี่ยวลงโดยพลัน พวกมันถูกแย่งชิงชีวิตไป

กระบวนท่านี้อันตรายมากจริงๆ และทำให้ผู้คนมองไม่ออก ในดาวสิ้นโลกเย่เทียนเฉินเห็นเคล็ดวิชาแปลกๆ มามาก เคล็ดวิชาพลังพิเศษอันแข็งแกร่งที่ตัวเขาใช้ก็มีไม่น้อย เพียงแต่กระบวนท่านี้ที่หมอกโลหิตใช้ออกมาทำให้เขาสัมผัสได้ถึงความรับมือยากและความตื่นตะลึง กระตุ้นพลังภายในออกมาจนปรากฏโครงกระดูกสีแดงเลือดร่างหนึ่งขึ้นบนปลายนิ้วชี้ด้านซ้าย โครงกระดูกนี้เหมือนกับมีชีวิตอย่างไรอย่างนั้น เมื่อออกห่างมือซ้ายของหมอกโลหิตก็บินมายังตนมุ่งสังหาร ในขณะเดียวกัน โครงกระดูกมีเพียงหนึ่งศรีษะและสองแขนเท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้นทั้งหมดล้วนเกิดจากการรวมตัวกันของเลือดสดๆ กรีดร้องไม่หยุดจนสัมผัสได้ถึงความเจ็บปวด

ดาบถูกฟันลงมา เย่เทียนเฉินไม่ได้หลบแต่ใช้กระบี่ไท่อาโจมตีออกไป กระบี่ไท่อาร้ายกาจขนาดไหน พริบตาเดียวก็ฟันดาบใหญ่สีแดงเลือดในมือโครงกระดูกนั้นจนแยกออก เพียงแต่กลิ่นอายสีแดงอาบย้อมชายเสื้อของเย่เทียนเฉินแล้ว พริบตาเดียวเสื้อของเย่เทียนเฉินก็ถูกย่อยสลายจนเผยแขนออกมาให้เห็น กลิ่นไอเน่าเปื่อยเช่นนี้เรียกได้ว่ามีอยู่ทุกที่ ไม่มีบรรยากาศของชีวิตเลยสักนิด มีเพื่อแย่งชิงและหล่อหลอมชีวิตโดยเฉพาะ น่าหวาดกลัวเป็นอย่างมาก ไม่ใช่ความจริงแต่เป็นกลิ่นอายที่ไร้รูปลักษณ์ กำลังปกคลุมไปในอากาศทีละเล็กทีละน้อย หากเป็นเช่นนี้ต่อไป เย่เทียนเฉินคงไม่มีทางให้หนี จะต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัยเลย

หลังจากที่เย่เทียนเฉินเพิ่งจะใช้กระบี่ไท่อาฟันดาบใหญ่สีแดงเลือดจนสลายไป ในมือขวาของโครงกระดูกก็มีดาบใหญ่สีแดงเลือดรวบรวมสร้างขึ้นมาอีกหนึ่งเล่ม ยังคงฟันเข้ามายังเย่เทียนเฉิน ตอนนี้เย่เทียนเฉินไม่รับตรงๆ แต่กลับถอยหลบออกไป โครงกระดูกสีแดงเลือดนี้แปลกประหลาดจริงๆ เหมือนกับฆ่าไม่ตายอย่างไรอย่างนั้น หากเป็นเช่นนี้ต่อไปตนเองคงทำได้เพียงถูกกระทำ ในตอนที่สู้กับโครงกระดูกสีแดงเลือดเขาใช้พลังพิเศษมากเกินไป ตอนนั้นต่อให้โครงกระดูกสีแดงเลือดถูกกำจัดไปได้ ตนก็คงหมดแรงและถูกหมอกโลหิตสังหารง่ายๆ ในตอนนี้นับว่าเย่เทียนเฉินตกลงสู่ความอันตรายแล้ว ความแข็งแกร่งของหมอกโลหิตเกินกว่าที่เขาจินตนาการ โดยเฉพาะโครงกระดูกสีแดงเลือดนี้ยิ่งทำให้เขารู้สึกว่าร้ายกาจอย่างที่คาดไม่ถึง

หมอกโลหิตร่อนตัวลงสู่พื้น ไพล่มือซ้ายไว้ด้านหลัง ดาบในมือขวาถืออยู่ในแนวขวางเบื้องหน้าหน้าอก มองทุกสิ่งทุกอย่างนี้ด้วยรอยยิ้มเย็นชา เห็นว่าเย่เทียนเฉินไม่มีวิธีรับมือกับโครงกระดูกโลหิตแม้แต่น้อย เขาก็ยิ่งได้ใจ แต่ในใจก็รู้สึกตื่นตะลึงอยู่บ้าง เคล็ดวิชาโครงกระดูกสังหารนี้เป็นเคล็ดวิชาสังหารที่เขาสร้างขึ้นมานานหลายปีแล้ว กระทั่งคุณชายใหญ่ก็เคยพูดว่า หากเคล็ดวิชาโครงกระดูกสังหารนี้สมบูรณ์แบบก็จะร้ายกาจจนทำให้ผู้คนคิดไม่ถึง ความสามารถของหมอกโลหิตก็จะเพิ่มขึ้นมาก หลายสิบปีมานี้หมอกโลหิตพยามทำ “เคล็ดวิชาโครงกระดูกสังหาร” ให้สมบูรณ์แบบมาตลอด แต่กระบวนท่าเช่นนี้โหดเหี้ยมอย่างมาก หากต้องการทำให้สมบูรณ์เป็นเรื่องที่ลำบากมาก หมอกโลหิตพยายามมาตลอดแต่ยังไม่อาจทำให้สมบูรณ์ได้อย่างแท้จริง มิฉะนั้นสิ่งที่เย่เทียนเฉินเผชิญหน้าด้วยคงไม่ได้เป็นเพียงโครงกระดูกที่มีแค่ศีรษะและแขนเท่านั้น

“ไม่ต้องดิ้นรนแล้ว แกจะต้องตายแน่นอน ให้โครงกระดูกของฉันกินแกซะเถอะ ทุกครั้งที่มันออกมา หากไม่ได้ดื่มเลือดก็จะต้องตาย ฉันเชื่อว่ามันคงชอบเลือดสดๆ ของแกมาก!” หมอกโลหิตพูดด้วยรอยยิ้มเย็นชา

เย่เทียนเฉินไม่ได้พูดอะไร แต่ยังคงหลบไม่หยุด กำลังคิดวิธีทำลายอยู่ เขาเชื่อว่าบนโลกใบนี้ ต่อให้เป็นกระบวนท่าที่แข็งแกร่งขนาดไหนก็ต้องมีวิธีการทำลาย เพียงแต่เคล็ดวิชาโครงกระดูกสังหารนี้แปลกเกินไป เขาเองก็เพิ่งจะเห็นเป็นครั้งแรก ดังนั้นหากจะทำลายมันในเวลาเพียงชั่วพริบตาเป็นเรื่องที่ลำบากมาก ยังต้องการเวลาครุ่นคิด

หมอกโลหิตเห็นเย่เทียนเฉินหลบไม่หยุดก็วางใจและลำพองใจเป็นอย่างมาก เนื่องจากก็ง่ายๆ ทุกครั้งที่โครงกระดูกสีแดงเลือดตวัดดาบออกไป ในอากาศก็จะเต็มไปด้วยกลิ่นอายที่แย่งชิงพลังชีวิตนั้น รอจนกระทั่งกลิ่นอายแบบนี้ฟุ้งกระจายไปทั่วทั้งอากาศ ทุกสิ่งทุกอย่างก็จะตายไป นี่ไม่ใช่กระบวนท่าแต่เป็นกลิ่นอาย ก็เหมือนกับอากาศ ไม่สามารถหลบได้ เย่เทียนเฉินจะต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัยเลย

ต่อให้เย่เทียนเฉินหาวิธีทำลาย “เคล็ดวิชาโครงกระดูกสังหาร” ได้ ถึงตอนนั้นเกรงว่าเขาคงใช้พลังพิเศษมากเกินไป ด้วยสามารถของหมอกโลหิต ตอนนั้นหากจะฆ่าเย่เทียนเฉินยังจะทำไม่ได้อีกหรือ? ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นอย่างไร ในตอนที่เขาใช้ “เคล็ดวิชาโครงกระดูกสังหาร” ออกมาแล้ว เย่เทียนเฉินก็มีแต่คำว่าตายเพียงคำเดียว นี่เป็นสิ่งที่กำหนดแน่แล้ว แต่ไหนแต่ไรไม่เคยมีใครรอดชีวิตจาก “เคล็ดวิชาโครงกระดูกสังหาร” ของตนไปได้ หมอกโลหิตพึงพอใจกับเคล็ดวิชาสังหารนี้ของตนเป็นอย่างมาก เพียงแต่น่าเสียดายที่ยังไม่สมบูรณ์แบบ หากสมบูรณ์แบบ โครงกระดูกนี้ก็จะร้ายกาจยิ่งกว่าหมอกโลหิตเองเสียอีก

ตู้ม!

เสื้อผ้าบนแขนขวาของเย่เทียนเฉินถูกทำให้สลายไปแล้ว ไม่ใช่ว่าโครงกระดูกสีแดงเลือดโจมตีถูก แต่ถูกกลิ่นอายแย่งชิงชีวิตนั้นเข้าจนหลอมละลายไม่หยุด รอบด้านเต็มไปด้วยบรรยากาศเช่นนี้ ถ้าไม่ระวังก็จะถูกอาบย้อม โชคดีที่การเคลื่อนไหวของเย่เทียนเฉินรวดเร็ว มิฉะนั้นแขนทั้งสองของเขาคงถูกทำลายไปแล้ว สีหน้าเคร่งขรึมจริงจังขึ้นเรื่อยๆ หากยังคิดวิธีกำจัดโครงกระดูกโลหิตนี้ไม่ออกอีก เย่เทียนเฉินคงมีอันตรายถึงชีวิตจริงๆ แล้ว

จะอย่างไรในการต่อสู้นี้เย่เทียนเฉินก็ใช้มือเปล่าต่อสู้กับโครงกระดูกโลหิตมาตลอด ไม่ได้ใช้กระบี่ไท่อา เขามีแผนการของตน กระบี่ไท่อาที่ถูกปักอยู่บนพื้นก็สั่นสะเทือนไม่หยุด มันถูกเย่เทียนเฉินสยบแล้วจึงคิดว่าเย่เทียนเฉินเป็นเจ้านายของมัน การสั่นสะเทือนนี้ของมันทำให้พลังเดชานุภาพที่อยู่ในตัวกระบี่พุ่งออกมา เพราะมันเองก็สัมผัสได้ถึงอันตรายถึงชีวิตที่เย่เทียนเฉินประสบจึงต้องการช่วยเหลือ แต่เย่เทียนเฉินไม่ได้ตะโกนเรียก ทำให้กระบี่ไท่อาไม่อาจบินไปได้

“สัมผัสได้หรือเปล่า แกหลบเคล็ดวิชาโครงกระดูกสังหารไม่พ้นหรอก ฉันใช้เวลายี่สิบปีเพื่อสร้างกระบวนท่านี้ ไม่ง่ายเลยกว่าจะมาถึงขั้นนี้ได้ หากถูกแกทำลายง่ายๆ ความพยายามยี่สิบปีของฉันไม่เสียเปล่าหรือ?” หมอกโลหิตพูดแล้วหัวเราะเสียงดัง

เมื่อเห็นเย่เทียนเฉินไม่พูดอะไร ทำเพียงป้องกันโครงกระดูกโลหิตไว้อย่างทรงพลัง หลบกลิ่นอายแย่งชิงชีวิตนั้นไม่หยุด หมอกโลหิตก็พูดด้วยรอยยิ้มต่อไป “เคล็ดวิชาโครงกระดูกสังหารนี้ฉันใช้เวลาไป 20 ปีเต็มๆ ถึงจะหาคน 99 คนที่มีวันเกิดและเวลาเกิดในยามหยินได้ หลังจากที่ฆ่าพวกมัน ก็ใช้หัวใจและเลือดเนื้อของพวกมันมาหลอมไม่หยุด ถึงจะกลายเป็นโครงกระดูกโลหิตนี้ได้ ถ้าหากมันใช้การไม่ได้ ความพยายาม 20 ปีของฉันจะไม่เสียเปล่าหรือ?”

ตู้ม!

ในหมัดขวาของเย่เทียนเฉินมีประกายแสงระเบิดออกมา ซัดหมัดออกไปทำให้โครงกระดูกโลหิตสั่นสะเทือน มองไปยังหมอกโลหิตอย่างเย็นชาแล้วพูดขึ้นว่า “ถ้างั้นไม่ใช่ว่าแกอยู่เป็นเพื่อนคนบริสุทธิ์ทั้ง 99 คนที่ถูกแกฆ่าตายทุกคืนรึไง? หรือแกไม่กลัวว่าวิญญาณของพวกเขาจะไม่สงบ จะมีสักวันหนึ่งที่จะหลืนกินวิญญาณทั้งหมดของแกไปเพื่อแก้แค้นเพื่อตัวพวกเขาเอง?”

“ฮ่าๆ ๆ ๆ น่าขำ พวกเขาตายไปแล้ว ยังจะทำอะไรฉันได้อีก?” หมอกโลหิตหัวเราะ

“บนโลกใบนี้จะมีปีศาจหรือไม่ มีเทพเซียนหรือไม่ ใครจะบอกได้ชัดเจนบ้างล่ะ?”

ในตอนนี้เอง เย่เทียนเฉินพลันแข็งแกร่งขึ้นมาเป็นอย่างยิ่ง คล้ายกับว่าเขาสามารถสัมผัสได้ถึงเสียงร้องไห้ในจิตวิญญาณทั้ง 99 ดวงที่อยู่ในโครงกระดูกโลหิต พวกมันถูกหมอกโลหิตควักเลือดเนื้อหัวใจออกมาสร้างเป็นโครงกระดูกนี้ หลอมรวมเข้าด้วยกัน เท่ากับว่าวิญญาณของพวกมันถูกกักขังอยู่ กระทั่งโอกาสที่วิญญาณจะเป็นอิสระก็ไม่มี ความเจ็บปวดทุกข์ระทมนี้จินตนาการได้เลยทีเดียวในตอนนี้เอง เย่เทียนเฉินคิดไปถึงวิธีการที่จะเอาชนะโครงกระดูกได้แล้ว

ซู่ม!

ในตอนที่โครงกระดูกสีแดงเลือดอ้าปากที่เต็มไปด้วยเลือด พุ่งเข้ามากลืนกินเย่เทียนเฉินนั้น ลูกประคำเส้นหนึ่งบินออกไปขวางโครงกระดูกสีแดงเลือดเอาไว้โดยตรง ประกายแสงอันอบอุ่นสายหนึ่งครอบคลุมโครงกระดูกสีแดงเลือดเอาไว้ ถึงกับทำให้โครงกระดูกสีแดงเลือดไม่กรีดร้องและโอดครวญอีกต่อไป มีความอ่อนโยนเล็กน้อย นี่ทำให้หมอกโลหิตตื่นตะลึงครั้งใหญ่ เขาคิดไม่ถึงว่าบนตัวของเย่เทียนเฉินจะมีของเช่นนี้อยู่ด้วย นี่ไม่ใช่ว่าเป็นการใช้ของสยบของในคำเล่าลือหรือ?

บนโลกใบนี้จะมีปีศาจและเทพเซียนหรือไม่ ไม่ว่าใครก็บอกได้ไม่ชัดเจน จะอย่างไรสายตาของคนธรรมดาก็แคบมาก สายตาของมนุษย์ล้วนแคบทั้งหมด มีการสำรวจความลับของจักรวาลน้อยมาก ไม่แน่ว่าอาจยังมีการดำรงอยู่อีกมากมายที่ทำให้ผู้คนยากจะเชื่ออยู่ก็ได้

สร้อยประคำเส้นนี้ก็คือของที่คุณย่ามอบให้เย่เทียนเฉินในตอนที่เย่เทียนเฉินและหลัวเยี่ยนกลับไปยังตระกูลหลัว กล่าวว่าเป็นของที่พระอรหันต์ท่านหนึ่งของวัดเส้าหลินพกติดกายเมื่อปีนั้น คิดไม่ถึงว่าจะมีพลังเซียนที่แข็งแกร่งขนาดนี้อยู่ ทำให้โครงกระดูกที่กรีดร้องอย่างอนาถและร้ายกาจเป็นอย่างมากสั่นสะท้านจนนิ่งไป ดูท่าประคำนี้คงไม่ใช่ของธรรมดา สามารถทำให้โครงกระดูกโลหิตหยุดได้ กระทั่งกลิ่นไอที่แย่งชิงพลังชีวิตก็ลดลงอย่างช้าๆ และสลายไป หมอกโลหิตขมวดคิ้วแน่น เดิมทีคิดว่าเย่เทียนเฉินจะต้องตายแน่นอน ไหนเลยจะรู้ว่าจะยังมีลูกประคำเซียนแบบนี้โผล่ออกมาหยุดโครงกระดูกโลหิตเอาไว้ ถึงแม้จะไม่ทำให้มันถูกทำลายไป แต่ก็ทำให้โครงกระดูกโลหิตสงบลงจนหยุดการโจมตีไปแล้ว

“ไปตายซะ!”

เพียงพริบตาเดียวหมอกโลหิตก็ตะโกนออกมา วกัดนิวโป้งมือซ้ายของตนจนเลือดสดๆ สาดไปบนโครงกระดูกสีแดงเลือดโดยตรง พลันนั้นโครงกระดูกสีแดงเลือดขยายใหญ่ขึ้นหลายเท่า ปกคลุมไปทั่วทั้งท้องฟ้า มันก้มตัวลงมองเย่เทียนเฉินจนดูน่ากลัวหาใดเปรียบ คล้ายจะสามารถกลืนกินเย่เทียนเฉินลงไปได้ทุกเมื่อ…

เมื่อเผชิญหน้ากับ “เคล็ดวิชาโครงกระดูกสังหาร” ของหมอกโลหิต เย่เทียนเฉินก็ไม่ได้ดูเบาเลยแม้แต่น้อย ไม่ต้องพูดเลยถึงการดูเบาเลย กลับมีสีหน้าจริงจังหนักแน่นมากด้วยซ้ำ เขาสัมผัสได้ถึงไอสังหารนั้น โดยเฉพาะโครงกระดูกสีแดงเลือดนั้น น่าหวาดกลัวและดุร้ายเป็นอย่างมาก กำลังร้องคำรามด้วยความเจ็บปวด เหมือนกับปีศาจที่ผุดออกมาจากนรกขุมที่เก้าอย่างไรอย่างนั้น มันต้องการดื่มเลือด มันต้องการฆ่าล้าง ต้องการสลัดออกจากการควบคุม สลัดออกจากขบวนภูติผี

ชื่อ “เคล็ดวิชาโครงกระดูกสังหาร” เห็นได้อย่างชัดเจนว่าเมื่อใช้กระบวนท่านี้ออกมา หากโครงกระดูกสีแดงเลือดไม่อาจดื่มเลือด ถ้างั้นเป็นไปได้มากว่ามันจะไม่อาจดำรงอยู่ได้อีกต่อไป

“โฮก!”

เสียงเสียดแทงใบหูสั่นสะเทือนหูของเย่เทียนเฉินจนเจ็บปวด มีความรู้สึกราวกับแทบจะหูระเบิด แต่ตอนนี้เขาไม่สนใจสิ่งเหล่านี้เลย โครงกระดูกสีแดงเลือดหมุนดวงตามายังด้านหน้า ในมือของโครงกระดูกสีแดงเลือดปรากฏดาบใหญ่สีแดงขึ้นเล่มหนึ่ง เหมือนกับใช้เลือดรวบรวมขึ้นมา ฟันลงไปยังเย่เทียนเฉินดาบหนึ่ง แฝงไปด้วยกลิ่นไอความเน่าเปื่อยผุพัง ในตอนที่ดาบเล่มใหญ่สีแดงเพิ่งจะปรากฏในมือของโครงกระดูกสีแดงเลือดนั้น เย่เทียนเฉินก็รับรู้ได้ว่าพลังชีวิตของต้นหญ้ารอบๆ อ่อนแอลง ต้นหญ้าบางต้นแห้งเหี่ยวลงโดยพลัน พวกมันถูกแย่งชิงชีวิตไป

กระบวนท่านี้อันตรายมากจริงๆ และทำให้ผู้คนมองไม่ออก ในดาวสิ้นโลกเย่เทียนเฉินเห็นเคล็ดวิชาแปลกๆ มามาก เคล็ดวิชาพลังพิเศษอันแข็งแกร่งที่ตัวเขาใช้ก็มีไม่น้อย เพียงแต่กระบวนท่านี้ที่หมอกโลหิตใช้ออกมาทำให้เขาสัมผัสได้ถึงความรับมือยากและความตื่นตะลึง กระตุ้นพลังภายในออกมาจนปรากฏโครงกระดูกสีแดงเลือดร่างหนึ่งขึ้นบนปลายนิ้วชี้ด้านซ้าย โครงกระดูกนี้เหมือนกับมีชีวิตอย่างไรอย่างนั้น เมื่อออกห่างมือซ้ายของหมอกโลหิตก็บินมายังตนมุ่งสังหาร ในขณะเดียวกัน โครงกระดูกมีเพียงหนึ่งศรีษะและสองแขนเท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้นทั้งหมดล้วนเกิดจากการรวมตัวกันของเลือดสดๆ กรีดร้องไม่หยุดจนสัมผัสได้ถึงความเจ็บปวด

ดาบถูกฟันลงมา เย่เทียนเฉินไม่ได้หลบแต่ใช้กระบี่ไท่อาโจมตีออกไป กระบี่ไท่อาร้ายกาจขนาดไหน พริบตาเดียวก็ฟันดาบใหญ่สีแดงเลือดในมือโครงกระดูกนั้นจนแยกออก เพียงแต่กลิ่นอายสีแดงอาบย้อมชายเสื้อของเย่เทียนเฉินแล้ว พริบตาเดียวเสื้อของเย่เทียนเฉินก็ถูกย่อยสลายจนเผยแขนออกมาให้เห็น กลิ่นไอเน่าเปื่อยเช่นนี้เรียกได้ว่ามีอยู่ทุกที่ ไม่มีบรรยากาศของชีวิตเลยสักนิด มีเพื่อแย่งชิงและหล่อหลอมชีวิตโดยเฉพาะ น่าหวาดกลัวเป็นอย่างมาก ไม่ใช่ความจริงแต่เป็นกลิ่นอายที่ไร้รูปลักษณ์ กำลังปกคลุมไปในอากาศทีละเล็กทีละน้อย หากเป็นเช่นนี้ต่อไป เย่เทียนเฉินคงไม่มีทางให้หนี จะต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัยเลย

หลังจากที่เย่เทียนเฉินเพิ่งจะใช้กระบี่ไท่อาฟันดาบใหญ่สีแดงเลือดจนสลายไป ในมือขวาของโครงกระดูกก็มีดาบใหญ่สีแดงเลือดรวบรวมสร้างขึ้นมาอีกหนึ่งเล่ม ยังคงฟันเข้ามายังเย่เทียนเฉิน ตอนนี้เย่เทียนเฉินไม่รับตรงๆ แต่กลับถอยหลบออกไป โครงกระดูกสีแดงเลือดนี้แปลกประหลาดจริงๆ เหมือนกับฆ่าไม่ตายอย่างไรอย่างนั้น หากเป็นเช่นนี้ต่อไปตนเองคงทำได้เพียงถูกกระทำ ในตอนที่สู้กับโครงกระดูกสีแดงเลือดเขาใช้พลังพิเศษมากเกินไป ตอนนั้นต่อให้โครงกระดูกสีแดงเลือดถูกกำจัดไปได้ ตนก็คงหมดแรงและถูกหมอกโลหิตสังหารง่ายๆ ในตอนนี้นับว่าเย่เทียนเฉินตกลงสู่ความอันตรายแล้ว ความแข็งแกร่งของหมอกโลหิตเกินกว่าที่เขาจินตนาการ โดยเฉพาะโครงกระดูกสีแดงเลือดนี้ยิ่งทำให้เขารู้สึกว่าร้ายกาจอย่างที่คาดไม่ถึง

หมอกโลหิตร่อนตัวลงสู่พื้น ไพล่มือซ้ายไว้ด้านหลัง ดาบในมือขวาถืออยู่ในแนวขวางเบื้องหน้าหน้าอก มองทุกสิ่งทุกอย่างนี้ด้วยรอยยิ้มเย็นชา เห็นว่าเย่เทียนเฉินไม่มีวิธีรับมือกับโครงกระดูกโลหิตแม้แต่น้อย เขาก็ยิ่งได้ใจ แต่ในใจก็รู้สึกตื่นตะลึงอยู่บ้าง เคล็ดวิชาโครงกระดูกสังหารนี้เป็นเคล็ดวิชาสังหารที่เขาสร้างขึ้นมานานหลายปีแล้ว กระทั่งคุณชายใหญ่ก็เคยพูดว่า หากเคล็ดวิชาโครงกระดูกสังหารนี้สมบูรณ์แบบก็จะร้ายกาจจนทำให้ผู้คนคิดไม่ถึง ความสามารถของหมอกโลหิตก็จะเพิ่มขึ้นมาก หลายสิบปีมานี้หมอกโลหิตพยามทำ “เคล็ดวิชาโครงกระดูกสังหาร” ให้สมบูรณ์แบบมาตลอด แต่กระบวนท่าเช่นนี้โหดเหี้ยมอย่างมาก หากต้องการทำให้สมบูรณ์เป็นเรื่องที่ลำบากมาก หมอกโลหิตพยายามมาตลอดแต่ยังไม่อาจทำให้สมบูรณ์ได้อย่างแท้จริง มิฉะนั้นสิ่งที่เย่เทียนเฉินเผชิญหน้าด้วยคงไม่ได้เป็นเพียงโครงกระดูกที่มีแค่ศีรษะและแขนเท่านั้น

“ไม่ต้องดิ้นรนแล้ว แกจะต้องตายแน่นอน ให้โครงกระดูกของฉันกินแกซะเถอะ ทุกครั้งที่มันออกมา หากไม่ได้ดื่มเลือดก็จะต้องตาย ฉันเชื่อว่ามันคงชอบเลือดสดๆ ของแกมาก!” หมอกโลหิตพูดด้วยรอยยิ้มเย็นชา

เย่เทียนเฉินไม่ได้พูดอะไร แต่ยังคงหลบไม่หยุด กำลังคิดวิธีทำลายอยู่ เขาเชื่อว่าบนโลกใบนี้ ต่อให้เป็นกระบวนท่าที่แข็งแกร่งขนาดไหนก็ต้องมีวิธีการทำลาย เพียงแต่เคล็ดวิชาโครงกระดูกสังหารนี้แปลกเกินไป เขาเองก็เพิ่งจะเห็นเป็นครั้งแรก ดังนั้นหากจะทำลายมันในเวลาเพียงชั่วพริบตาเป็นเรื่องที่ลำบากมาก ยังต้องการเวลาครุ่นคิด

หมอกโลหิตเห็นเย่เทียนเฉินหลบไม่หยุดก็วางใจและลำพองใจเป็นอย่างมาก เนื่องจากก็ง่ายๆ ทุกครั้งที่โครงกระดูกสีแดงเลือดตวัดดาบออกไป ในอากาศก็จะเต็มไปด้วยกลิ่นอายที่แย่งชิงพลังชีวิตนั้น รอจนกระทั่งกลิ่นอายแบบนี้ฟุ้งกระจายไปทั่วทั้งอากาศ ทุกสิ่งทุกอย่างก็จะตายไป นี่ไม่ใช่กระบวนท่าแต่เป็นกลิ่นอาย ก็เหมือนกับอากาศ ไม่สามารถหลบได้ เย่เทียนเฉินจะต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัยเลย

ต่อให้เย่เทียนเฉินหาวิธีทำลาย “เคล็ดวิชาโครงกระดูกสังหาร” ได้ ถึงตอนนั้นเกรงว่าเขาคงใช้พลังพิเศษมากเกินไป ด้วยสามารถของหมอกโลหิต ตอนนั้นหากจะฆ่าเย่เทียนเฉินยังจะทำไม่ได้อีกหรือ? ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นอย่างไร ในตอนที่เขาใช้ “เคล็ดวิชาโครงกระดูกสังหาร” ออกมาแล้ว เย่เทียนเฉินก็มีแต่คำว่าตายเพียงคำเดียว นี่เป็นสิ่งที่กำหนดแน่แล้ว แต่ไหนแต่ไรไม่เคยมีใครรอดชีวิตจาก “เคล็ดวิชาโครงกระดูกสังหาร” ของตนไปได้ หมอกโลหิตพึงพอใจกับเคล็ดวิชาสังหารนี้ของตนเป็นอย่างมาก เพียงแต่น่าเสียดายที่ยังไม่สมบูรณ์แบบ หากสมบูรณ์แบบ โครงกระดูกนี้ก็จะร้ายกาจยิ่งกว่าหมอกโลหิตเองเสียอีก

ตู้ม!

เสื้อผ้าบนแขนขวาของเย่เทียนเฉินถูกทำให้สลายไปแล้ว ไม่ใช่ว่าโครงกระดูกสีแดงเลือดโจมตีถูก แต่ถูกกลิ่นอายแย่งชิงชีวิตนั้นเข้าจนหลอมละลายไม่หยุด รอบด้านเต็มไปด้วยบรรยากาศเช่นนี้ ถ้าไม่ระวังก็จะถูกอาบย้อม โชคดีที่การเคลื่อนไหวของเย่เทียนเฉินรวดเร็ว มิฉะนั้นแขนทั้งสองของเขาคงถูกทำลายไปแล้ว สีหน้าเคร่งขรึมจริงจังขึ้นเรื่อยๆ หากยังคิดวิธีกำจัดโครงกระดูกโลหิตนี้ไม่ออกอีก เย่เทียนเฉินคงมีอันตรายถึงชีวิตจริงๆ แล้ว

จะอย่างไรในการต่อสู้นี้เย่เทียนเฉินก็ใช้มือเปล่าต่อสู้กับโครงกระดูกโลหิตมาตลอด ไม่ได้ใช้กระบี่ไท่อา เขามีแผนการของตน กระบี่ไท่อาที่ถูกปักอยู่บนพื้นก็สั่นสะเทือนไม่หยุด มันถูกเย่เทียนเฉินสยบแล้วจึงคิดว่าเย่เทียนเฉินเป็นเจ้านายของมัน การสั่นสะเทือนนี้ของมันทำให้พลังเดชานุภาพที่อยู่ในตัวกระบี่พุ่งออกมา เพราะมันเองก็สัมผัสได้ถึงอันตรายถึงชีวิตที่เย่เทียนเฉินประสบจึงต้องการช่วยเหลือ แต่เย่เทียนเฉินไม่ได้ตะโกนเรียก ทำให้กระบี่ไท่อาไม่อาจบินไปได้

“สัมผัสได้หรือเปล่า แกหลบเคล็ดวิชาโครงกระดูกสังหารไม่พ้นหรอก ฉันใช้เวลายี่สิบปีเพื่อสร้างกระบวนท่านี้ ไม่ง่ายเลยกว่าจะมาถึงขั้นนี้ได้ หากถูกแกทำลายง่ายๆ ความพยายามยี่สิบปีของฉันไม่เสียเปล่าหรือ?” หมอกโลหิตพูดแล้วหัวเราะเสียงดัง

เมื่อเห็นเย่เทียนเฉินไม่พูดอะไร ทำเพียงป้องกันโครงกระดูกโลหิตไว้อย่างทรงพลัง หลบกลิ่นอายแย่งชิงชีวิตนั้นไม่หยุด หมอกโลหิตก็พูดด้วยรอยยิ้มต่อไป “เคล็ดวิชาโครงกระดูกสังหารนี้ฉันใช้เวลาไป 20 ปีเต็มๆ ถึงจะหาคน 99 คนที่มีวันเกิดและเวลาเกิดในยามหยินได้ หลังจากที่ฆ่าพวกมัน ก็ใช้หัวใจและเลือดเนื้อของพวกมันมาหลอมไม่หยุด ถึงจะกลายเป็นโครงกระดูกโลหิตนี้ได้ ถ้าหากมันใช้การไม่ได้ ความพยายาม 20 ปีของฉันจะไม่เสียเปล่าหรือ?”

ตู้ม!

ในหมัดขวาของเย่เทียนเฉินมีประกายแสงระเบิดออกมา ซัดหมัดออกไปทำให้โครงกระดูกโลหิตสั่นสะเทือน มองไปยังหมอกโลหิตอย่างเย็นชาแล้วพูดขึ้นว่า “ถ้างั้นไม่ใช่ว่าแกอยู่เป็นเพื่อนคนบริสุทธิ์ทั้ง 99 คนที่ถูกแกฆ่าตายทุกคืนรึไง? หรือแกไม่กลัวว่าวิญญาณของพวกเขาจะไม่สงบ จะมีสักวันหนึ่งที่จะหลืนกินวิญญาณทั้งหมดของแกไปเพื่อแก้แค้นเพื่อตัวพวกเขาเอง?”

“ฮ่าๆ ๆ ๆ น่าขำ พวกเขาตายไปแล้ว ยังจะทำอะไรฉันได้อีก?” หมอกโลหิตหัวเราะ

“บนโลกใบนี้จะมีปีศาจหรือไม่ มีเทพเซียนหรือไม่ ใครจะบอกได้ชัดเจนบ้างล่ะ?”

ในตอนนี้เอง เย่เทียนเฉินพลันแข็งแกร่งขึ้นมาเป็นอย่างยิ่ง คล้ายกับว่าเขาสามารถสัมผัสได้ถึงเสียงร้องไห้ในจิตวิญญาณทั้ง 99 ดวงที่อยู่ในโครงกระดูกโลหิต พวกมันถูกหมอกโลหิตควักเลือดเนื้อหัวใจออกมาสร้างเป็นโครงกระดูกนี้ หลอมรวมเข้าด้วยกัน เท่ากับว่าวิญญาณของพวกมันถูกกักขังอยู่ กระทั่งโอกาสที่วิญญาณจะเป็นอิสระก็ไม่มี ความเจ็บปวดทุกข์ระทมนี้จินตนาการได้เลยทีเดียวในตอนนี้เอง เย่เทียนเฉินคิดไปถึงวิธีการที่จะเอาชนะโครงกระดูกได้แล้ว

ซู่ม!

ในตอนที่โครงกระดูกสีแดงเลือดอ้าปากที่เต็มไปด้วยเลือด พุ่งเข้ามากลืนกินเย่เทียนเฉินนั้น ลูกประคำเส้นหนึ่งบินออกไปขวางโครงกระดูกสีแดงเลือดเอาไว้โดยตรง ประกายแสงอันอบอุ่นสายหนึ่งครอบคลุมโครงกระดูกสีแดงเลือดเอาไว้ ถึงกับทำให้โครงกระดูกสีแดงเลือดไม่กรีดร้องและโอดครวญอีกต่อไป มีความอ่อนโยนเล็กน้อย นี่ทำให้หมอกโลหิตตื่นตะลึงครั้งใหญ่ เขาคิดไม่ถึงว่าบนตัวของเย่เทียนเฉินจะมีของเช่นนี้อยู่ด้วย นี่ไม่ใช่ว่าเป็นการใช้ของสยบของในคำเล่าลือหรือ?

บนโลกใบนี้จะมีปีศาจและเทพเซียนหรือไม่ ไม่ว่าใครก็บอกได้ไม่ชัดเจน จะอย่างไรสายตาของคนธรรมดาก็แคบมาก สายตาของมนุษย์ล้วนแคบทั้งหมด มีการสำรวจความลับของจักรวาลน้อยมาก ไม่แน่ว่าอาจยังมีการดำรงอยู่อีกมากมายที่ทำให้ผู้คนยากจะเชื่ออยู่ก็ได้

สร้อยประคำเส้นนี้ก็คือของที่คุณย่ามอบให้เย่เทียนเฉินในตอนที่เย่เทียนเฉินและหลัวเยี่ยนกลับไปยังตระกูลหลัว กล่าวว่าเป็นของที่พระอรหันต์ท่านหนึ่งของวัดเส้าหลินพกติดกายเมื่อปีนั้น คิดไม่ถึงว่าจะมีพลังเซียนที่แข็งแกร่งขนาดนี้อยู่ ทำให้โครงกระดูกที่กรีดร้องอย่างอนาถและร้ายกาจเป็นอย่างมากสั่นสะท้านจนนิ่งไป ดูท่าประคำนี้คงไม่ใช่ของธรรมดา สามารถทำให้โครงกระดูกโลหิตหยุดได้ กระทั่งกลิ่นไอที่แย่งชิงพลังชีวิตก็ลดลงอย่างช้าๆ และสลายไป หมอกโลหิตขมวดคิ้วแน่น เดิมทีคิดว่าเย่เทียนเฉินจะต้องตายแน่นอน ไหนเลยจะรู้ว่าจะยังมีลูกประคำเซียนแบบนี้โผล่ออกมาหยุดโครงกระดูกโลหิตเอาไว้ ถึงแม้จะไม่ทำให้มันถูกทำลายไป แต่ก็ทำให้โครงกระดูกโลหิตสงบลงจนหยุดการโจมตีไปแล้ว

“ไปตายซะ!”

เพียงพริบตาเดียวหมอกโลหิตก็ตะโกนออกมา วกัดนิวโป้งมือซ้ายของตนจนเลือดสดๆ สาดไปบนโครงกระดูกสีแดงเลือดโดยตรง พลันนั้นโครงกระดูกสีแดงเลือดขยายใหญ่ขึ้นหลายเท่า ปกคลุมไปทั่วทั้งท้องฟ้า มันก้มตัวลงมองเย่เทียนเฉินจนดูน่ากลัวหาใดเปรียบ คล้ายจะสามารถกลืนกินเย่เทียนเฉินลงไปได้ทุกเมื่อ…

ติ้งๆ ติ้งๆ …

เลือดสดๆ ไหลหยดลงมาจากกลางอากาศ คล้ายกับเสาเลือดอย่างไรอย่างนั้น หลินตวนได้เห็นพลันต้องสูดหายใจเย็นยะเยือก กระบี่ไท่อาและวิญญาณนั้นไม่สามารถเลือดไหลได้ ถ้าเช่นนั้นเลือดนี้จะต้องเป็นของพี่ใหญ่เย่เทียนเฉินแน่นอน หรือว่าเย่เทียนเฉินจะถูกกระบี่ไท่อาและวิญญาณที่ระเบิดออกมาจากตัวกระบี่ฆ่าไปแล้ว?

“พี่ใหญ่…”

หลินตวนร้อนใจไปทั้งใจ กลัวว่าเย่เทียนเฉินจะเกิดเรื่องขึ้น ถ้าหากเป็นก่อนหน้านี้ บางทีในใจของหลินตวนอาจจะมีความสงสัยในความสามารถของเย่เทียนเฉินอยู่ เนื่องจากจะอย่างไรเย่เทียนเฉินก็มีอายุแค่ยี่สิบปี ยังเด็กขนาดนั้น ต่อให้ความสามารถลึกล้ำไม่อาจคาดเดาก็ไม่แน่ว่าจะพัฒนากลุ่มสิบสามจ้าวสวรรค์ให้รุ่งโรจน์ขั้นสุดยอดได้ ไม่แน่ว่าจะเป็นคนที่เหมาะสมจะเป็นคนนำกลุ่มสิบสามจ้าวสวรรค์ให้ยิ่งใหญ่ แต่หลังจากผ่านการฆ่าล้างตระกูลเซวียนเยวี๋ยนและการต่อสู้กับมือสังหารที่คุณชายใหญ่แห่งมหาวิทยาลัยหลงเถิงส่งมา เมื่อดูจากสองเรื่องนี้ หลายคนจึงเกิดความชื่นชมเลื่อมใส ในใจพวกเขาเพิ่งจะรู้ว่าไม่อาจตัดสินวีรบุรุษจากอายุ เย่เทียนเฉินเป็นจักรพรรดิโดยสมบูรณ์แบบ ถึงแม้จะอายุเพียงยี่สิบปี แต่จะมีสักกี่คนที่แข็งแกร่งเหมือนกับเขา?

ฉัวะ!

เงาคนร่างหนึ่งพุ่งออกมาจากฝุ่นที่ตลบอบอวลไปทั้งฟ้า ในมือถือกระบี่ไท่อาอยู่ หลินตวนมองไม่ชัดเจนว่าเป็นใคร ไม่รู้ว่าเป็นเย่เทียนเฉินหรือวิญญาณที่ระเบิดออกมาจากกระบี่ เขาคิดไม่ทันแล้ว เนื่องจากกระบี่ไท่อาฟันลงมาแล้ว

“อา!”

หลินตวนตะโกนเสียงดัง นั่นเป็นการคำรามโจมตีอย่างสุดกำลัง และคิดไปว่าพี่ใหญ่เย่เทียนเฉินเกิดเรื่องเศร้าไปแล้ว มือทั้งสองจับดาบเจ็ดดาวฟันลงไปโดยไม่หลบเลี่ยง

เคร้ง ตู้ม!

กระบี่ไท่อาและดาบเจ็ดดาวปะทะกัน หลินตวนปลิวกระเด็นออกไปชนเข้ากับกำแพง ในชั่วขณะที่เขาคิดจะยืนขึ้น ลำแสงเย็นยะเยือกสายหนึ่งก็ปรากฏบริเวณลำคอเขาแล้ว ขอเพียงเขาขยับเล็กน้อย ขอเพียงประกายเย็นยะเยือกนั้นขยับเข้ามาเล็กน้อย หลินตวนก็คงหัวกับตัวแยกออกจากกัน

อย่างไรก็ตาม หลินตวนไม่ใช่ชายที่จะยอมแพ้ง่ายๆ ต่อให้ถูกกระบี่ไท่อากดอยู่บนลำคอ เขาก็ไม่มีความหวาดกลัวและความขี้ขลาดแม้แต่น้อย ถึงแม้ในใจจะตื่นตกใจ แต่เจตนาการต่อสู้ไม่ได้ถูกกำจัดไปง่ายๆ ขนาดนั้น เขาพยายามฝืนลุกขึ้นยืน ไม่ว่าชั่วขณะนั้นกระบี่ไท่อาจะฟันหัวเขาขาดหรือไม่ หลินตวนก็เตรียมใช้ดาบเจ็ดดาวลงมืออีกครั้งแล้ว

“เมื่อกี้แกลงมือเต็มกำลังหรือเปล่า? รู้สึกเป็นยังไงบ้าง?” ในตอนนี้เอง หลินตวนได้ยินเสียงเย่เทียนเฉิน ทั่วทั้งร่างชะงักไป จากนั้นบนใบหน้าจึงเผยรอยยิ้มออกมา ดูท่าพี่ใหญ่เย่เทียนเฉินจะสยบกระบี่ไท่อาได้แล้ว คนที่โจมตีเขาเมื่อครู่นี้ก็คือพี่ใหญ่เย่เทียนเฉิน

“พี่ใหญ่ ยินดีด้วยที่คุณสยบกระบี่ไท่อาได้!” หลินตวนเก็บดาบเจ็ดดาวกลับมาแล้วพูดด้วยรอยยิ้ม

“ไม่ง่ายเลยจริงๆ ไม่ยากจะเชื่อเลยว่า คนที่เคยใช้สิบกระบี่บรรพกาลจะแข็งแกร่งขนาดไหน!” เย่เทียนเฉินอดไม่ได้ที่จะกล่าวอย่างทอดถอนใจ

ฝุ่นค่อยๆ สลายไป เย่เทียนเฉินและหลินตวนยืนเผชิญหน้ากัน ในตอนนี้หลินตวนมองได้อย่างชัดเจน ทั่วทั้งร่างของเย่เทียนเฉินล้วนเต็มไปด้วยเลือด เพื่อที่จะสยบกระบี่ไท่อาต้องจ่ายค่าตอบแทนออกไปมากมายนัก อย่างไรก็ตาม ในที่สุดวิญญาณที่เกิดจากพลังเดชานุภาพก็ถูกสยบแล้ว

“วิญญาณเมื่อกี้นี้คืออะไร? ถึงกับแข็งแกร่งขนาดนั้นเชียว กระทั่งพี่ใหญ่ก็เกือบตายแล้ว…” หลินตวนอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามด้วยความแปลกใจ

“เป็นจิตวิญญาณที่อยู่ในกระบี่ไท่อา เกิดจากจินตภาพของพลังเดชานุภาพที่แฝงอยู่ด้านใน แข็งแกร่งมาก ฉันเดาว่าคงเป็นสิ่งที่คนที่เคยใช้กระบี่เทพบรรพกาลทั้งสิบทิ้งเอาไว้ มีจิตวิญญาณของเขาติดแนบอยู่ด้านใน คนคนนี้เป็นใครกันแน่? แข็งแกร่งขนาดไหนกันแน่? ตายไปแล้วหรือเปล่า?”

เมื่อพูดถึงตรงนี้เย่เทียนเฉินก็อดไม่ได้ที่จะกล่าวถึงความสงสัยทั้งสามออกมา คนคนนี้แข็งแกร่งขนาดไหน? สามารถใช้อาวุธเทพบรรพกาลทั้ง สิบในเวลาเดียวกันได้ ต้องทราบว่ากระบี่เทพทั้งสิบนี้ ทุกเล่มต่างก็มีพลังอำนาจถึงขั้นทลายฟ้าถล่มดิน หากใช้ดาบสิบเล่มในเวลาเดียวกันจะมีอำนาจระดับใดกัน? ยิ่งไปกว่านั้น คนคนนี้ยังสร้างเป็นค่ายกลกระบี่แห่งหนึ่งด้วย ค่ายกลกระบี่ที่เกิดจากกระบี่เทพทั้งสิบแบบนี้ หากพูดว่ามีพลังอำนาจล้นฟ้า สามารถสังหารเทพได้ก็คงไม่เกินไป?

ยิ่งไปกว่านั้นสิ่งที่สู้กับเย่เทียนเฉินเป็นเพียงแค่วิญญาณร่างหนึ่งเท่านั้น และอาจเป็นเพราะคนที่เคยใช้กระบี่สิบเล่มนี้ประทับหยดเลือดของตนลงในตัวกระบี่ มีจิตวิญญาณเล็กน้อยหลงเหลืออยู่ภายในเลือด ตอนที่มีคนคิดจะสยบกระบี่ไท่อา เลือดหยดนี้จึงระเบิดพลังออกมาเป็นจิตวิญญาณของตน เมื่อรวมกับการสนับสนุนของพลังเดชานุภาพจึงปรากฏเป็นวิญญาณคนเช่นนี้ขึ้นมา สิ่งที่ใช้กระบี่ไท่อาสู้กับเย่เทียนเฉินเป็นเพียงหยดเลือดหยดหนึ่งเท่านั้น และเกือบจะทำให้เย่เทียนเฉินตายแล้ว คนที่เคยใช้กระบี่เทพบรรพกาลทั้งสิบแข็งแกร่งจนถึงขั้นทำให้ผู้คนไม่กล้าจินตนาการจริงๆ

“ร้ายกาจขนาดนี้เชียว? งั้นตอนนี้พี่ใหญ่ก็ทำให้มันสงบได้แล้วใช่ไหม?” หลินตวนอดไม่ได้ที่จะถามอย่างระมัดระวัง

“ฉันฆ่าวิญญาณนั้นไปแล้ว ยิ่งไปกว่านั้น พลังเดชานุภาพในกระบี่ไท่อาและพลังของฉันยังหลอมรวมเข้าด้วยกันแล้วด้วย ตอนนี้ฉันใช้กระบี่ไท่อาได้อย่างสมบูรณ์แล้ว ที่ฟันเมื่อกี้ฉันแค่คิดอยากจะลองพลังของกระบี่ไท่อาดู สหาย ไม่เป็นไรใช่ไหม?” เย่เทียนเฉินเอ่ยปากถาม

“ไม่เป็นไรพี่ใหญ่ อำนาจของกระบี่ไท่อายิ่งใหญ่มากจริงๆ ไม่เสียทีที่เป็นหนึ่งในสิบกระบี่บรรพกาล!” หลินตวนพูดอย่างดีใจ จะอย่างไรพี่ใหญ่ก็สยบกระบี่ไท่อาได้แล้ว สำหรับกลุ่มสิบสามจ้าวสวรรค์ของพวกเขานับเป็นเรื่องที่ควรค่าแก่การยินดี เส้นทางที่สิบสามจ้าวสวรรค์จะยิ่งใหญ่ยังอีกยาวไกล ต้องเดินไปทีละก้าวจนถึงจุดสูงสุด ทุกคนต้องเพิ่มพลังการต่อสู้ไม่หยุดหย่อน โดยเฉพาะเย่เทียนเฉินที่มีฐานะเป็นพี่ใหญ่ ถ้าเขาไม่แข็งแกร่งมากพอจะเป็นแบบอย่างและทำให้สิบสามจ้าวสวรรค์เชื่อใจได้อย่างไร?

“กระบี่เมื่อกี้ฉันใช้พลังไปห้าส่วน แกใช้พลังทั้งหมดหรือเปล่า?” เย่เทียนเฉินเอ่ยถาม

“เมื่อกี้ผมใช้แรงทั้งหมดขวางเอาไว้ แต่ก็ยังถูกโจมตีกระเด็นไปอยู่ดี พี่ใหญ่ คุณร้ายกาจจริงๆ!” หลินตวนส่ายศีรษะยิ้มๆ

เย่เทียนเฉินพยักหน้า ไม่ใช่ว่าเขาต้องการพิสูจน์ว่าตนเองแข็งแกร่งกว่าหลินตวน เดิมทีเขาก็แข็งแกร่งกว่าหลินตวนอยู่แล้ว แต่ระหว่างพี่น้องในครอบครัวไม่จำเป็นต้องแบ่งแยกแพ้ชนะอะไร เขาเพียงต้องการทดสอบอำนาจของกระบี่ไท่อาเท่านั้น หากตนไม่สามารถสยบกระบี่ไท่อาได้จนพลังการต่อสู้เพิ่มพูน ถ้างั้นทุกสิ่งทุกอย่างก่อนหน้านี้ก็เสียเปล่า ไม่มีความหมายใดๆ

หากพูดตามสถานการณ์จริง กายเนื้อของเย่เทียนเฉินแข็งแกร่งขึ้นไม่หยุด สภาพพลังก็ไปถึงขีดจำกัดที่จะต้องทะลวงไปนานแล้ว เพียงแต่เนื่องจากพลังหลิงชี่ของโลกแห่้งเหือดไปแล้ว กฎเกณฑ์ธรรมชาติก็เปลี่ยนไป ทำให้ไม่อาจทะลวงขอบเขตได้ มิฉะนั้นเย่เทียนเฉินคงทะลวงจากขอบเขตจอมราชันไปสู่ขอบเขตจักรพรรดินานแล้ว ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ เขาก็ยังพยายาม ถ้าหากอาศัยความสามารถในร่างกายตนทะลวงพลังได้ ถ้างั้นเขาก็จะแข็งแกร่งยิ่งกว่าคนอื่นที่อยู่ในขอบเขตเดียวกันมากโดยไม่ต้องสงสัย เพียงแต่น่าเสียดายที่ตลอดมาเย่เทียนเฉินจดจ่ออยู่กับพลังในร่างกาย ต้องการทะลวงมันไปทีละก้าว จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีความมั่นใจเช่นนั้น

ระหว่างที่เกิดเรื่องทั้งสองนี้ เย่เทียนเฉินก็อยากจะอาศัยพลังจากนอกโลกช่วยเหลือ จึงต้องการสยบกระบี่ไท่อา นี่เป็นหนึ่งในสิบกระบี่บรรพกาล และเป็นกระบี่แห่งเดชานุภาพ มีคำว่า “เดชานุภาพ” อยู่ ในเรื่องพลังอำนาจย่อมชัดเจนมาก

หลังจากสยบกระบี่ไท่อาแล้วเย่เทียนเฉินก็ให้หลินตวนจากไป ถึงแม้จะสยบกระบี่ไท่อาได้แล้ว แต่เย่เทียนเฉินก็ยังใช้พลังในร่างกายของตนย้อมเข้าไปในกระบี่ไท่อาไม่หยุด เพื่อต้องการได้ผลลัพธ์การหลอมรวมที่ดีที่สุด จะอย่างไรก็เพิ่งจะสยบกระบี่ไท่อาได้ หากต้องการฟาดฟันกระบี่ กระตุ้นพลังเดชานุภาพในตัวกระบี่ไท่อาออกไป ยังไม่ง่ายขนาดนั้น

ม่านราตรีปกคลุม เย่เทียนเฉินนั่งขัดสมาธิอยู่ข้างสระน้ำของคฤหาสน์อยู่เช่นนั้น เบื้องหน้าของเขามีกระบี่ที่ส่องประกายสีฟ้ารลอยอยู่ ไม่ได้มีความพิเศษอะไร เพียงแค่สั่นในบางครั้งท่านั้น แสงสีฟ้าระเบิดออกมา เย่เทียนเฉินใช้พลังพิเศษของตนไม่หยุด ใช้ใจเข้าไปรับรู้ ต้องการไปถึงขั้นรวมใจเป็นหนึ่งกับกระบี่ไท่อา

ในตอนนี้ ถ้าหากมีคนนอกอยู่ด้วย โดยเฉพาะถ้ามีคนธรรมดาอยู่ด้วย จะต้องตกใจจนเบิกตากว้างแน่นอน คนคนหนึ่งนั่งขัดสมาธิอยู่ บางทีอาจจะคิดว่าเขากำลังฝึกโยคะ แต่เบื้องหน้าของเขามีกระบี่สีฟ้าลอยอยู่เล่มหนึ่ง นี่ทำให้คนต้องตกใจอย่างหาใดเปรียบ หากอยู่ในชีวิตประจำวันของคนเมืองธรรมดา จะต้องทำให้ผู้คนสั่นสะท้านแน่นอน

เย่เทียนเฉินนั่งอยู่บนพื้นอย่างเงียบงันไม่ขยับเขยื้อน มีกระบี่ไท่อาลอยอยู่เบื้องหน้าตน ไม่ว่ารอบด้านจะมีลมพัดหญ้าเคลื่อนไหวก็สัมผัสได้ กระทั่งมีคนเข้ามาเงียบๆ เตรียมจะฆ่าตน เย่เทียนเฉินก็รู้ เพียงแต่ไม่ได้ลงมือทันทีก็เท่านั้น เพื่อเปิดช่องให้ศัตรูเข้ามาลึกๆ

ผู้มาเยือนแข็งแกร่งมาก ถึงแม้เย่เทียนเฉินจะไม่ได้ลงมือทันทีที่ศัตรูมาลอบสังหาร แต่ก็ใช้พลังพิเศษแห่งการรับรู้ออกไปด้วยความระมัดระวัง สัมผัสถึงทุกการเคลื่อนไหวของศัตรูเพื่อเตรียมลงมือสังหารทุกเวลา

ฟุ่บ!

ทันใดนั้น มีเงาคนสีแดงเลือดปรากฏตัวขึ้นด้านหลังเย่เทียนเฉิน ในมือของคนสีแดงเลือดมีมีดเล่มหนึ่ง แทงเข้ามาที่ลำคอของเย่เทียนเฉินโดยตรง

เคร้ง!

เย่เทียนเฉินไม่ได้ขยับ ยังคงนั่งสมาธิอยู่บนพื้นหญ้า กระบี่ไท่อาเบื้องหน้าเขาเคลื่อนไหวในตอนที่คนสีแดงเลือดลงมือ ขวางมีดในมือของคนสีแดงเลือดอย่างแม่นยำ ปะทะกันจนเกิดประกายไฟสีทอง ทำให้คนสีแดงเลือดตกใจจนอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว คิดไม่ถึงว่าเย่เทียนเฉินจะสยบกระบี่ไท่อาได้เร็วขนาดนี้ ต้องทราบว่าเสวี่ยโม่เจียวได้กระบี่ไท่อาไปนานแล้ว ความสามารถของเสวี่ยโม่เจียวก็ไม่อ่อนแอ แต่ในเวลาสิบปีเต็มๆ ก็ยังไม่สามารถสยบกระบี่ไท่อาได้ แต่เย่เทียนเฉินทำได้แล้ว และยังทำได้ถึงเร็วเช่นนี้ด้วย ช่างทำให้เขายากจะเชื่อจริงๆ

อย่างไรก็ตาม คนสีแดงเลือดก็ไม่เสียทีที่เป็นยอดฝีมือแข็งแกร่งที่หาได้ยาก การโจมตีเดียวฆ่าไม่ตาย พริบตาเดียวก็ซัดฝ่ามือลงมายังศีรษะของเย่เทียนเฉิน

วิ้ง!

กระบี่ไท่อาสั่นสะท้าน ประกายแสงสีฟ้าพุ่งออกมา มุ่งสังหารไปทางคนสีแดงเลือด ทำให้คนสีแดงเลือดตกใจจนชะงัก รีบพลิกตัวถอยออกไป ทำได้เพียงละทิ้งโอกาสสังหารเย่เทียนเฉินไปเท่านั้น

ผู้มาเยือนคือใครเย่เทียนเฉินย่อมรู้ดี เขารู้ว่าคนคนนี้แข็งแกร่งมาก เขาไม่จะฆ่าผู้มาลอบสังหารได้หรือไม่ก็ยังเป็นเรื่องที่ไม่รู้ ดังนั้นจึงไม่ได้ลงมือโดยตรง เพราะเขาต้องการ “บังคับกระบี่” ใช้ความคิดของตนควบคุมกระบี่ไท่อาผสานกับการใช้พลังพิเศษที่แข็งแกร่งในร่างของตน ดูเสียหน่อยว่าจะฟาดฟันพลังอำนาจที่ยิ่งใหญ่ออกไปได้หรือไม่ การบังคับกระบี่เป็นอาวุธที่แข็งแกร่งอย่างหนึ่ง ถ้าหากต้องใช้มือควบคุมถึงจะฟาดฟันพลังอำนาจที่แข็งแกร่งที่สุดของอาวุธออกไปได้ นี่จะเป็นข้อจำกัดอันใหญ่อย่างไม่ต้องสงสัยเลย

“คิดไม่ถึงว่าจะควบคุมกระบี่ไท่อาได้เร็วขนาดนี้ ดูถูกไม่ได้เลยจริงๆ!” คนสีแดงเลือดยืนอยู่ด้านหลังเย่เทียนเฉิน พูดขึ้นอย่างเย็นชา

เพื่อเตรียมรับการต่อสู้ที่จะมาถึง สำนักโฮคุชินอิตโตริวก็ยิ่งโจมตีบ้าคลั่งมากขึ้น เย่เทียนเฉินจึงตัดสินใจนำกระบี่ไท่อามาใช้ นี่เป็นกระบี่เล่มหนึ่งซึ่งอยู่ในสิบกระบี่บรรพกาลลำดับที่สี่ เรียกว่ากระบี่แห่งเดชานุภาพ เดชานุภาพหมายถึงอะไร นั่นไม่ต้องบอกก็ทราบ พลังกดดันหาที่เปรียบไม่ได้ มีพลังถล่มฟ้าทลายดิน ไม่ใช่อะไรที่คนธรรมดาจะรับได้

เย่เทียนเฉินต้องการใช้กระบี่ไท่อาให้ได้อย่างสมบูรณ์ จึงจำเป็นต้องสยบพลังเดชานุภาพที่แฝงอยู่ภายในตัวกระบี่ไท่อา และใช้พลังของตนหลอมรวมเข้ากับพลังของมัน มิฉะนั้นคงไม่สามารถควบคุมกระบี่ไท่อาได้อย่างสมบูรณ์แบบ อย่างมากที่สุดก็ทำได้เหมือนกับเสวี่ยโม่เจียวก็คือสวมถุงมือเป็นเครื่องป้องกัน แต่ทำแบบนี้ก็ไม่สามารถส่งพลังเดชานุภาพที่แท้จริงของกระบี่ไท่อาออกไปได้ ไม่มีความหมายอะไร และไม่สามารถเพิ่มพลังการต่อสู้ของเย่เทียนเฉินได้

ไหนเลยจะรู้ว่า ในตอนที่เย่เทียนเฉินเพิ่งจะลองใช้พลังที่ยอดเยี่ยมที่สุดของตนสยบกระบี่ไท่อา ยังไม่ปะทะกันเต็มกำลัง ก็ถึงกับได้รับพลังตีกลับที่รุนแรงขนาดนี้. พลังอำนาจที่ยิ่งใหญ่หาใดเปรียบสายหนึ่งพุ่งออกมาจากตัวกระบี่ไท่อา ต้องการแทงทะลุเย่เทียนเฉิน โชคดีที่เย่เทียนเฉินเตรียมตัวไว้แล้ว ในตอนที่ปราณกระบี่พุ่งออกมาเขาก็รีบกระตุ้นโล่ทองคำมาขวางปราณกระบี่ที่น่าหวาดกลัวนั้นไว้

แต่เย่เทียนเฉินเพิ่งจะใช้โล่ทองคำป้องกันปราณกระบี่ที่น่ากลัวนั้นไว้ ก็มีพลังกดดันอันยิ่งใหญ่อีกสายหนึ่งกดดันเย่เทียนเฉินโดยตรง แฝงไปด้วยพลังเดชานุภาพในตัวกระบี่ไท่อา ช่างแข็งแกร่งมากจริงๆ โจมตีเย่เทียนเฉินจนกระเด็นออกไปโดยตรง

“พี่ใหญ่…” เมื่อหลินตวนเห็นภาพนี้ก็ตกใจไปทั้งร่าง รีบกุมดาบเจ็ดดาว เตรียมจะเข้าไปสยบกระบี่ไทยอา

“อย่าเข้ามา ฉันต้องการให้พลังทั้งหมดของกระบี่ไท่อาปะทุออกมา มีเพียงสยบและหลอมรวมแบบนี้เท่านั้นถึงจะทำให้ฉันใช้มันได้อย่างสมบูรณ์!”

ในตอนที่หลินตวนเตรียมดาบเจ็ดดาวใน มือคิดจะเข้าไปช่วยเย่เทียนเฉิน เย่เทียนเฉินก็ตะโกนออกมาโดยพลัน เขาลุกขึ้นยืนจากบนพื้น ถึงมุมปากจะมีเลือดไหล มือขวาส่วนที่จับกระบี่ไท่อาจะมีรอยเลือด แต่สายตาของเขาก็แน่วแน่หาใดเปรียบ จ้องไปยังกระบี่ไท่อาเขม็ง มือซ้ายจับตัวกระบี่เอาไว้ พริบตานั้นบนมือซ้ายมีเลือดสดๆ ไหลลงมาตามตัวกระบี่ไท่อา ไหลไปไปทั่วทุกพื้นที่

ตู้ม!

รอบคฤหาสน์ที่เย่เทียนเฉินอาศัยอยู่มีลมบ้าคลั่งเกิดขึ้น เศษหินเศษทรายปลิวกระหน่ำ กระบี่ไท่อาสั่นไม่หยุด เย่เทียนเฉินระเบิดพลังที่แข็งแกร่งที่สุดออกมา มือทั้งสองกำกระบี่ไท่อาแน่น เขาตัดสินใจแล้วว่าจะใช้กระบี่ไท่อา ดังนั้นจึงต้องการกระตุ้นพลังที่แข็งแกร่งที่สุดของกระบี่ไท่อาออกมา ถึงแม้ทำแบบนี้จะเป็นการเพิ่มอันตรายถึงชีวิตของเขาอยู่หลายส่วนก็ตาม เนื่องจากกระบี่ไท่อาเป็นกระบี่แห่งเดชานุภาพ คำว่าเดชานุภาพก็เพียงพอที่จะอธิบายทุกสิ่ง ถ้าหากเย่เทียนเฉินกระตุ้นพลังที่แข็งแกร่งที่สุดของกระบี่ไท่อาออกมาและไม่อาจสยบและหลอมรวมได้ เช่นนั้นเย่เทียนเฉินก็จะต้องตายโดยไม่ต้องสงสัย นี่เป็นการเดิมพัน และเป็นการเดิมพันด้วยชีวิต

ฉัวะ!

ลำแสงกระบี่สีฟ้าพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า พริบตาเดียวทำให้ท้องฟ้าแยก ฟาดฟันลงไปยังเย่เทียนเฉิน มีพลังอำนาจที่สามารถฟาดฟันทุกสิ่งทุกอย่างได้ ไม่ว่าอะไรก็ไม่อาจขวาง

ชั่วขณะนั้น เย่เทียนเฉินคลายมือซ้ายที่จับอยู่บนตัวกระบี่ไท่อาของตนออก บนมือซ้ายที่เต็มไปด้วยเลือดปรากฏดาบเล่มใหญ่ที่เกิดจากการรวบรวมพลังพิเศษขึ้นเล่มหนึ่ง ขวางลำแสงกระบี่ที่ร่วงหล่นลงมาจากฟ้านั้นไว้

เย่เทียนเฉินเองก็คิดไม่ถึงว่าพลังอำนาจของกระบี่ไท่อาจะยิ่งใหญ่ขนาดนี้ ตนเองประเมินพลังเดชานุภาพที่แฝงอยู่ในตัวกระบี่ต่ำไปมาก ตอนนี้มือขวาของเย่เทียนเฉินกุมปลอกดาบกระบี่ไท่อาอย่างสุดกำลัง ทำได้เพียงปล่อยมือซ้ายออกมาขวางลำแสงสีฟ้าที่ฟาดฟันทุกสิ่งทุกอย่างได้นั้นไว้เท่านั้น

ในตอนนี้ทั่วทั้งตัวกระบี่ไท่อาเหมือนกับถูกคนควบคุมเอาไว้ก็มิปาน ทุกส่วนระเบิดออกมาจนสั่นไม่หยุด ความรู้สึกที่ทำให้ผู้คนต้องสั่นสะท้านเช่นนั้น ไม่ต้องพูดถึงเย่เทียนเฉินเลย ต่อให้เป็นหลินตวนที่ยืนอยู่ด้านข้าง ถือดาบเจ็ดดาวอยู่ในมือ ก็ยังอดไม่ได้ที่จะตื่นตะลึง ไม่กล้าจินตนาการเลยจริงๆ ถ้าหากใครต้องการใช้สิบกระบี่บรรพกาลซึ่งเป็นอาวุธเทพจะต้องพบกับอะไรบ้าง ถ้าหากมีคนทำได้จริงๆ ถ้างั้นจะสูงส่งถึงระดับไหนกัน?

แต่จากการคาดเดาของจางอีเต๋อ กระบี่เทพบรรพกาลทั้งสิบนี้เดิมทีก็เป็นค่ายกลกระบี่เดียวกัน และไม่ได้เป็นของโลกใบนี้ แต่เป็นสิ่งของจากข้างนอก นี่แสดงว่าก่อนหน้านี้มีคนนำสิบกระบี่บรรพกาลทั้งหมดมาใช้ ยิ่งไปกว่านั้นยังฝึกด้วยกันจนสร้างค่ายกลกระบี่ค่ายกลหนึ่ง คิดแล้วก็ทำให้ผู้คนต้องเสียวสันหลังจนไม่กล้าคิดต่อไป

จินตนาการได้เลยว่า เพียงแค่กระบี่ไท่อาเล่มเดียว เย่เทียนเฉินออกแรงเต็มกำลังก็ยังไม่สามารถใช้ได้โดยทันที คนที่ใช้ดาบเทพบรรพกาลทั้ง สิบเล่มในเวลาเดียวกันคนนั้นจะร้ายกาจขนาดไหนกัน? เกรงว่าหากไม่แข็งแกร่งที่สุดในจักรวาลก็คงต่างไม่มากนัก!

ตู้ม!

ลำแสงกระบี่สีฟ้าร่วงหล่นลงมา ดาบพลังพิเศษที่รวบรวมอยู่ในมือซ้ายของเย่เทียนเฉินดูเหมือนจะไม่สามารถป้องกันลำแสงกระบี่ได้ ถูกฟันจนสลายไป ลำแสงกระบี่ก็ฟันลงมาบนแขนซ้ายของเย่เทียนเฉิน เกือบจะฟันแขนซ้ายทั้งแขนของเย่เทียนเฉินจนขาดไปแล้ว

ฉูด!

เลือดสดๆ พุ่งกระฉูด แขนซ้ายของเย่เทียนเฉินปรากฏรอยเลือดทั้งยาวและลึกรอยหนึ่ง หลินตวนที่ได้เห็นทั้งหวาดกลัวและตื่นตะลึง ไม่กล้าเชื่อจริงๆ กระบี่ไท่อาถึงกับร้ายกาจขนาดนี้เชียว ความสามารถของเย่เทียนเฉินลึกล้ำไม่อาจคาดเดา ถึงกับถูกกระบี่ไท่อาทำร้ายจนมีสภาพเช่นนี้ได้ ยิ่งไปกว่านั้นนี่เพิ่งจะเป็นเพียงการเริ่มต้นเท่านั้น หากเป็นแบบนี้ต่อไป ไม่เพียงแต่จะใช้กระบี่ไท่อาไม่ได้ แต่เป็นไปได้มากว่าเย่เทียนเฉินยังจะต้องตายด้วยเหตุนี้ด้วย

“พี่ใหญ่ ใช้ดาบเจ็ดดาวสยบเถอะ?” หลินตวนอดไม่ได้ที่จะพูดเตือน

“ไม่ต้อง หากต้องการใช้กระบี่ไท่อาก็ต้องพึ่งพาพลังของตัวเอง จะต้องใช้พลังของตนหลอมรวมเข้าไปในตัวกระบี่ ยิ่งไปกว่านั้นยังต้องแข็งแกร่งกว่าพลังเดชานุภาพในตัวกระบี่ถึงจะยอมให้ฉันใช้!” เย่เทียนเฉินไม่สนใจอาการบาดเจ็บ ฝืนใช้มือขวาจับด้ามกระบี่แน่น พริบตาเดียวก็ปักกระบี่ไท่อาลงพื้น ในขณะเดียวกันก็ประสานมือทั้งสองเข้าด้วยกัน เลือดสดๆ ไหลลงไปตามด้ามกระบี่ไท่อา

หลินตวนมองจนตกใจหน้าซีด นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นคนสยบอาวุธ ถึงกับต้องใช้เลือดเชียว และคนที่แข็งแกร่งแบบเย่เทียนเฉินถึงกับต้องทำขนาดนี้ วิธีที่เย่เทียนเฉินใช้สยบกระบี่ไท่อาช่างพิเศษจริงๆ

เย่เทียนเฉินมาเกิดใหม่จากดาวสิ้นโลก เรียกได้ว่าดาวสิ้นโลกเป็นโลกที่ผสมผสานระหว่างยุคปัจจุบันและยุคโบราณเข้าด้วยกัน นั่นเป็นโลกที่มีทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่ว่าเรื่องอะไรก็เกิดขึ้นได้ทั้งสิ้น เรียกได้ว่ามันเป็นโลกแฟนตาซีและโลกเทพเซียนก็ไม่มากเกินไป จักรวาลกว้างใหญ่ ความลับไร้ขีดจำกัด ใครจะพูดได้ว่าไม่มีโลกของเทพเซียนและโลกแฟนตาซีดำรงอยู่? บางทีพวกเราอาจเป็นเพียงคนที่ใช้ชีวิตอยู่ในชั้นต่ำสุดของจักรวาล เป็นกลุ่มคนที่ไม่อาจหลุดพ้นจากโชคชะตาก็เท่านั้น

ดังนั้นในตอนที่คิดว่าต้องการนำกระบี่ไท่อามาใช้ เย่เทียนเฉินก็คิดถึงวิธีการนี้แล้ว วิธีการเช่นนี้ในดาวสิ้นโลกเรียกว่า “สละเลือด” ใช้เลือดสดๆ ของตนอาบย้อมสิ่งของ ทำให้มันได้รับกลิ่นอายของตน เลือดนั้นเป็นสิ่งที่แฝงไปด้วยพลังวิญญาณ พูดไปแล้วเย่เทียนเฉินก็ต้องการหลอมรวมจิตวิญญาณของตนกับกระบี่ไท่อาเข้าด้วยกัน นี่ถึงจะสามารถใช้ได้อย่างสมบูรณ์แบบ

บรรยากาศบ้าคลั่งตลบม้วนอยู่ทั่วทั้งเขตคฤหาสน์นับหมื่นเมตร หากไม่ใช่ว่าตำแหน่งที่คฤหาสน์แห่งนี้ของเย่เทียนเฉินตั้งอยู่อยู่ห่างไกล เกรงว่าคงทำให้คนตื่นตกใจไปไม่น้อย กระทั่งอาจจะทำร้ายคนบริสุทธิ์ด้วย ด้ามกระบี่ที่ถูกมือทั้งสองของเย่เทียนเฉินจับไว้แน่น กระบี่ไท่อาที่ปักดิ่งลงสู่พื้น เหมือนกับม้าป่าที่ไม่เชื่อฟังคำสั่ง สั่นไหวไม่หยุด พลังเดชานุภาพที่ระเบิดออกมาจากตัวกระบี่เกือบจะซัดเย่เทียนเฉินจนปลิวไปหลายครั้ง เพียงแต่เย่เทียนเฉินจับกระบี่แน่นไม่ขยับเขยื้อน

ตู้ม!

กระบี่ไท่อาราวกับมีจิตวิญญาณอย่างไรอย่างนั้น ดูเหมือนจะรับรู้ว่ามีคนต้องการสยบมัน จึงดิ้นสั่นไม่หยุด ในตัวกระบี่ถึงกับมีเสียงคำรามด้วยความโกรธแค้นออกมา สุดท้ายลำแสงสีฟ้าก็พุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า เย่เทียนเฉินมองเห็นเงาคนลางๆ ในลำแสง คนผู้นั้นหันหลังให้เขา แต่ยังคงให้ความรู้สึกถึงพลังที่มีอำนาจอันไร้ที่สิ้นสุด คนคนนี้แข็งแกร่งมาก ต่อให้หันหลังให้เย่เทียนเฉิน ต่อให้เป็นเพียงเงา บรรยากาศแข็งแกร่งก็ยังคงทำให้เขารู้สึกกดดันอย่างหาที่เปรียบไม่ได้

ซู่ม!

เงาคนที่อยู่ในพลังเดชานุภาพหันมาอย่างฉับพลัน จ้องมองเย่เทียนเฉิน เย่เทียนเฉินและหลินตวนมองใบหน้าของคนคนนั้นได้ไม่ชัดเจน รู้สึกเพียงว่าคนคนนี้ระดับสูงมาก เป็นระดับที่พวกเขาไม่อาจสัมผัส ฝ่ามือตบลงมายังศีรษะของเย่เทียนเฉิน เย่เทียนเฉินอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว

“พี่ใหญ่…ถอย…” หลินตวนตะโกนด้วยความตกใจ

เพียงแต่เย่เทียนเฉินไม่เพียงไม่ถอย แต่กลับคลายมือทั้งสองออกจากกระบี่ไท่อา เขาเงยหน้าขึ้นมองเงาร่างที่ซัดฝ่ามือมาที่ตน มุมปากเผยรอยยิ้มออกมา พูดเสียงดังว่า “ในที่สุดก็ถูกฉันบีบให้ออกมาจนได้ มาได้ดี!”

ชั่วพริบตาต่อมา เย่เทียนเฉินกระโดดพุ่งขึ้นไป ใช้หมัดซัดไปยังเงาคนที่ซัดฝ่ามือมาที่เขา หลินตวนที่ได้เห็นตกตะลึงจนต้องเบิกตากว้าง ในใจคิดว่าพี่ใหญ่บ้าบิ่นดีจริงๆ เผชิญหน้ากับพลังอำนาจที่ไม่อาจจินตนาการได้ซึ่งระเบิดออกมาจากกระบี่ไท่อานี้ อีกทั้งยังอยู่ในสภาพที่ตนได้รับบาดเจ็บ ยังกล้าท้าทายสวรรค์ ต่อสู้กับเงาคนที่ไม่รู้ว่ามีความสามารถตื้นลึกเพียงใด ช่างบ้าบิ่นอย่างคิดไม่ถึงจริงๆ

ตู้มๆๆ…

การต่อสู้ครั้งใหญ่เกิดขึ้นในทันที หลินตวนที่ยืนอยู่ด้านล่างถือดาบเจ็ดดาวอยู่ในมือ เตรียมสนับสนุนเย่เทียนเฉินทุกเวลา เพียงแต่เขาถูกฉากเบื้องหน้าทำเอาสั่นสะท้านจนนิ่งไปแล้ว เป็นการต่อสู้ครั้งใหญ่ที่ยากจะเชื่อจริงๆ จะอย่างไรก็คิดไม่ถึงว่าวิญญาณนั้นจะแข็งแกร่งขนาดนี้ นี่เป็นเพียงวิญญาณที่รวบรวมขึ้นมาจากพลังเดชานุภาพเท่านั้น ถึงกับแข็งแกร่งขนาดนั้นเชียว เย่เทียนเฉินสู้จนบ้าคลั่งก็ยังไม่สามารถฆ่าวิญญาณนั้นได้ และที่ทำให้หลินตวนสั่นสะท้านมากขึ้นก็คือ บาดแผลของพี่ใหญ่เย่เทียนเฉินยังคงไม่หายดี และอยู่ในสภาพที่ได้รับบาดเจ็บเพิ่มขึ้น ยังมีพลังการต่อสู้ถึงขนาดนี้ ถึงแม้จะไม่สามารถเอาชนะวิญญาณได้ในทันที แต่ก็กดดันได้

โฮก!

วิญญาณนั้นคำรามเสียงดัง เย่เทียนเฉินอดไม่ได้ที่จะสั่นสะท้าน กระบี่ไท่อาที่อยู่บนพื้นสั่นไหว พริบตาเดียวก็พุ่งขึ้นมา ปรากฏอยู่ในมือของวิญญาณ ลำแสงถูกยิงขึ้นฟ้า พุ่งไปยังศีรษะของเย่เทียนเฉินโดยตรง เย่เทียนเฉินขมวดคิ้ว มือทั้งสองกำแน่น ระเบิดพลังลำแสงสีทองโจมตีไปยังวิญญาณ

หลังจากเกิดเสียงดังสนั่น ทุกที่เต็มไปด้วยฝุ่น หลินตวนใช้มือซ้ายบังหน้าผาก มือขวาจับดาบเจ็ดดาว ไม่กล้ามองลำแสงที่ทิ่มแทงอยู่เบื้องหน้าตรงๆ และไม่รู้ว่าพี่ใหญ่เย่เทียนเฉินเป็นอย่างไรบ้าง…

“อืม เทียนเฉิน ขอบคุณมาก ฉันจะพยายามร่าเริงขึ้นให้เร็วที่สุด ฉันเชื่อว่าแม่ของฉันคงจะดีใจอยู่บนสวรรค์ ไม่ต้องเป็นห่วงฉันอีก!” เสี้ยวหยาเผยรอยยิ้มออกมา กล่าวด้วยความแน่วแน่

“ในเมื่อเป็นแบบนี้ งั้นก็เริ่มจากไข่ใบนี้ก่อนเลย หลายวันมานี้เธอไม่ได้กินดีหลับสบาย ถ้าหากไม่บำรุงคงไม่ไหว!” เย่เทียนเฉินพยักหน้าแล้วพูดอย่างชื่นชม

ภายในคฤหาสน์ คนธรรมดาสองคน บะหมี่ธรรมดาสองถ้วย แต่เย่เทียนเฉินกับเสี้ยวหยากินกันอย่างมีความสุข ซึมซับความรู้สึกที่ไม่มีใครรบกวน มีเพียงพวกเขาสองคน บางครั้งก็สนทนากันหลายประโยค บ้างครั้งก็เผยรอยยิ้มออกมา บางครั้งก็มองความเปลี่ยนแปลงในดวงตาของกันและกัน มีคลื่นแห่งความรักอยู่เล็กน้อย

ตอนเย็น เสี้ยวหยาไปเรียนที่มหาวิทยาลัยหลงเถิงแล้ว ส่วนเย่เทียนเฉินที่เป็นคนไม่ยอมร่ำเรียนย่อมอยู่ในคฤหาสน์ แต่เขาเองก็ไม่ได้ว่าง กำลังนั่งสมาธิ ใช้พลังพิเศษภายในร่างกายของตนรวมกับพลังพิเศษอันอ่อนโยนสายนั้นสมานแผลต่อไป ไม่ทราบว่าคนของสำนักโฮคุชินอิตโตริวจะมาลอบโจมตีเมื่อไหร่ และไม่ทราบว่าในหมู่คนเหล่านี้จะมียอดฝีมือที่ร้ายกาจอย่างไรอยู่ อาจเป็นไปได้ว่าครั้งนี้สำนักโฮคุชินอิตโตริวจะส่งคนที่ร้ายกาจยิ่งกว่าซาโต้มา ถ้าเป็นแบบนั้นคงหลีกเลี่ยงการต่อสู้นองเลือดครั้งใหญ่ไม่ได้อีก คุณชายใหญ่แห่งมหาวิทยาลัยหลงเถิงก็มีความกดดันอันไร้รูปแบบ นี่เป็นคนที่เย่เทียนเฉินเฝ้ารอมากที่สุด การต่อสู้เป็นตายระหว่างเขาและคุณชายใหญ่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ หวังเพียงว่าเมื่อถึงตอนนั้นทุกคนจะมีชีวิตต่อไป

เย่เทียนเฉินนั่งขัดสมาธิอยู่บริเวณสระน้ำของคฤหาสน์ ครั้งที่แล้วที่คุณชายใหญ่แห่งมหาวิทยาลัยหลงเถิงส่งคนของตนมาลอบโจมตีกลุ่มสิบสามจ้าวสวรรค์ ทำให้ที่นี่ถูกทำลายยับเยิน แต่ก็ซ่อมแซมเรียบร้อยดีหมดแล้ว สวยงามและใหญ่กว่าก่อนหน้านี้มาก เย่เทียนเฉินสวมกางเกงว่ายน้ำตัวหนึ่ง นั่งอยู่ริมสระน้ำเช่นนั้น

หลินตวนนำดาบเจ็ดดาวและกระบี่ไท่อาเดินเข้ามา เห็นเย่เทียนเฉินกำลังนั่งสมาธิอยู่จึงไม่ได้รบกวน เพียงแต่กล่องสีดำใบใหญ่ในมือของเขากำลังสั่นไม่หยุด เขาพยายามควบคุมเต็มที่แต่กลับไม่สามารถควบคุมได้

“นั่งลงสิ ช่วงนี้นายต้องควบคุมกระบี่ไท่อา ดูท่าทางจะลำบากมาก!” เย่เทียนเฉินลืมตาขึ้นแล้วพูดกับหลินตวนด้วยรอยยิ้ม

“ลูกพี่ กระบี่ไท่อานี้ร้ายกาจมากจริงๆ มีหลายครั้งที่ผมควบคุมไม่ได้ กลัวจริงๆ ว่าปราณกระบี่จะพุ่งออกมาโจมตีตัวผมเอง คิดแล้วก็ไม่กล้านอนเลย!” หลินตวนถอนใจ นำกล่องสีดำใบใหญ่วางไว้เบื้องหน้าเย่เทียนเฉิน

กระบี่ไท่อา กระบี่แห่งเดชานุภาพ เป็นหนึ่งในสิบกระบี่บรรพกาล อยู่ในลำดับที่สี่ เย่เทียนเฉินเกือบจะถูกกระบี่นี้กำจัดไปแล้ว หลังจากที่ได้รับกระบี่ไท่อามา เย่เทียนเฉินก็นำกระบี่ไท่อาไปมอบให้หลินตวน ให้หลินตวนคอยดูแล เนื่องจากกระบี่ไท่อาเป็นกระบี่แห่งเดชานุภาพ ไอสังหารที่แฝงอยู่ด้านในแข็งแกร่งมาก ไม่ใช่อะไรที่คนธรรมดาจะสามารถสยบได้ หากสยบไม่อยู่ก็จะถูกมันเอาชีวิตแทน ดังนั้นมีเพียงหลินตวนที่มีดาบเจ็ดดาวซึ่งเป็นหนึ่งในอาวุธเทพของพรรควรยุทธโบราณเช่นเดียวกันเท่านั้นถึงจะสามารถสยบกระบี่ไท่อาได้ ย่อมต้องมอบให้หลินตวนไปดูแล

วันนั้นที่เย่เทียนเฉินสู้กับเสวี่ยโม่เจียวซึ่งเป็นลูกน้องของคุณชายใหญ่ เขาได้รับกระบี่ไท่อามา ตอนนั้นเสวี่ยโม่เจียวยังไม่สามารถใช้กระบี่ไท่อาได้อย่างเต็มกำลัง ทำได้เพียงกระตุ้นพลังบริสุทธิ์ออกมาเท่านั้น แต่ก็แสดงพลังที่แกร่งกล้าออกมาจนเย่เทียนเฉินเกือบตายไปแล้ว สุดท้ายเมื่อฆ่าเสวี่ยโม่เจียวได้จึงได้กระบี่ไท่อามา

จากการคาดเดาของจางอีเต๋อ สิบกระบี่บรรพกาลไม่ได้เป็นของโลกใบนี้ แต่เป็นสิ่งที่มาจากนอกโลก เนื่องจากในกระบี่เทพทุกเล่มล้วนแฝงไปด้วยพลังงานที่แตกต่างกันไป ถ้าหากเป็นเหมือนการคาดเดาของจางอีเต๋อจริงๆ เช่นนั้นในหมู่กระบี่เทพทั้งสิบนี้จะต้องซ่อนความลับอันยิ่งใหญ่อยู่แน่นอน ควรค่าที่จะสำรวจ เมื่อหลายพันปีก่อน ผู้ฝึกตนที่มีชื่อว่าทงเทียนได้รับกระบี่สี่เล่มจากสิบกระบี่บรรพกาลมา และนำพวกมันมาหลอมเป็นค่ายกลกระบี่ทั้งสี่ที่มีความสามารถถล่มฟ้าทลายดิน. สุดท้ายคนผู้นี้ก็ก่อตั้งสำนักสั่งสอนขึ้น และถูกคนรุ่นหลังเรียกอย่างเคารพมาตลอดว่า ทงเทียนเจี้ยวจู่

ความลับนี้สำหรับคนส่วนใหญ่ในโลกอาจจะเป็นสิ่งที่ขัดแย้งจากสิ่งที่รู้ดั้งเดิม กระทั่งยากที่จะรับได้ ดังนั้นคนในยุคปัจจุบันจึงถูก “ล้างสมอง” มีโหมดความคิดที่ตายตัว ไม่มีใครตรวจสอบว่าความรู้ในหนังสือและความรู้ที่สืบต่อกันมาถูกต้องหรือไม่ ทำเพียงยอมรับไปก็พอแล้ว แต่เย่เทียนเฉินไม่เหมือนกัน ตัวเขาไม่ใช่คนบนโลกนี้ เขามาจากดาวสิ้นโลก เดิมทีดาวสิ้นโลกก็เป็นโลกที่มีทุกสิ่งทุกอย่าง เย่เทียนเฉินรู้ว่าเรื่องความยิ่งใหญ่ของจักรวาล ผู้แข็งแกร่งนับไม่ถ้วน และคนที่มีอายุยืนยาวเป็นอมตะ สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่ว่าไม่มี แล้วยังจะมีเรื่องอะไรที่เกิดขึ้นไม่ได้อีกเล่า?

ในตอนที่เย่เทียนเฉินเปิดกล่องสีดำใบใหญ่ มีพลังกดดันอันไร้รูปแบบพุ่งออกมา ดูคล้ายว่าต้องการจะพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า มีความรู้สึกที่จะทลายสวรรค์ หากไม่ใช่ว่าหลินตวนใช้กระบี่เจ็ดดาวสยบไว้ด้านบนอยู่ตลอด เกรงว่ากระบี่ไท่อาคงระเบิดไปนานแล้ว

เย่เทียนเฉินมองกระบี่ไท่อาแล้วขมวดคิ้ว กระบี่เล่มนี้มีพลังมากจริงๆ ไม่เสียทีที่เป็นกระบี่แห่งเดชานุภาพ พลังที่มี ไร้ขีดจำกัด อย่างไรก็ตาม เดิมทีกระบี่เทพเช่นนี้ก็ไม่ใช่อะไรที่คนธรรมดาจะสามารถควบคุมได้ และมันก็ไม่ยอมถูกคนธรรมดาควบคุมด้วย เหมือนกับยอดอาชาที่ยังไม่ถูกปราบพยศ หากคนที่ไม่มีความสามารถอย่างแท้จริงต้องการฝืนรับมัน มีแต่ต้องมอบชีวิตออกไปเท่านั้น ทำได้เพียงส่งตัวเองไปเป็นอาหาร

“พี่ใหญ่ อย่า อันตรายเกินไป…” หลินตวนเห็นเย่เทียนเฉินค่อยๆ ยื่นมือขวาออกไป คิดจะหยิบกระบี่ไท่อา จึงอดไม่ได้ที่จะรีบเอ่ยออกมา

ต้องพูดว่าหลังจากที่ฆ่าเสวี่ยโม่เจียวเย่เทียนเฉินก็เคยถือกระบี่ไท่อาอยู่ในมือมาก่อน แต่ตอนนั้นกระบี่ไท่อาเพิ่งจะถูกเสวี่ยโม่เจียวใช้ พลังส่วนใหญ่ถูกใช้ออกไปแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นที่สำคัญก็คือพลังของดาบเจ็ดดาวปะทะเข้ากับมัน ดังนั้นจึงไม่มีพลังตีกลับที่รุนแรงเกินไป แต่ตอนนี้กระบี่ไท่อาอยู่ในสภาพที่ยอดเยี่ยมที่สุดอย่างสิ้นเชิง ดาบเจ็ดดาวแทบจะสยบไม่ได้ ถ้าหากเย่เทียนเฉินถือกระบี่ไท่อาอยู่ในมือและนำดาบเจ็ดดาวที่สยบเอาไว้ออกอาจจะตายได้ นี่ไม่ใช่เรื่องล้อเล่น กระบี่ไท่อาเป็นกระบี่แห่งเดชานุภาพ พลังแห่งเดชานุภาพที่แฝงอยู่ด้านในนั้น ไม่ว่าใครที่ได้สัมผัสล้วนต้องสั่นสะท้าน เย่เทียนเฉินก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น

เมื่อพูดถึงการใช้ดาบเจ็ดดาวสยบกระบี่ไท่อา นั่นไม่ได้กล่าวว่าพลังของกระบี่ไท่อาด้อยกว่าดาบเจ็ดดาว แต่เดิมทีกระบี่ไท่อาก็ไม่มีคนใช้ มีเพียงปราณดาบที่อยู่ในตัวกระบี่อันบริสุทธิ์ที่กำลังบ้าคลั่งเท่านั้น ส่วนดาวเจ็ดดาวถูกหลินตวนใช้ เมื่อรวมกับพลังภายในของหลินตวนที่แฝงเข้าไปจึงฝืนสยบกระบี่ไท่อาได้

อาวุธเทพหลายชิ้นของพรรควรยุทธโบราณและกระบี่บรรพกาลสิบเล่ม อาวุธทุกชิ้นล้วนแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก หากจะพูดว่าอาวุธเล่มนั้นแข็งแกร่งที่สุด นี่ไม่อาจกล่าวได้ ที่สำคัญก็คือต้องดูจากผู้ถือว่ามีความสามารถแข็งแกร่งพอหรือไม่ ยิ่งไปกว่านั้นอาวุธชิ้นนี้หลอมรวมกับเขาได้เป็นอย่างไร

“ไม่เป็นไร แกไปยืนห่างซักหน่อย ฉันอยากจะลองดูหน่อยว่าพลังของกระบี่ไท่อานี้แข็งแกร่งขนาดไหนกันแน่!” เย่เทียนเฉินพูดด้วยรอยยิ้ม

หลินตวนไม่ได้พูดอะไรอีก เขารู้ว่าเรื่องที่เย่เทียนเฉินตัดสินใจแล้วไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้ ทำได้เพียงถือดาบเจ็ดดาวไว้ในมือเป็นเครื่องป้องกัน ป้องกันเผื่อว่ากระบี่ไท่อาปะทุพลังออกมาและเย่เทียนเฉินถือไม่ไหว เขาจะใช้ดาบเจ็ดดาวไปสยบ

ตู้ม!

ในตอนที่มือขวาของเย่เทียนเฉินจับกระบี่ไท่อา ชั่วพริบตานั้น พลังเดชานุภาพอันยิ่งใหญ่กลายเป็นประกายแสงยิงตรงเข้าไปยังหน้าอกของเย่เทียนเฉิน ทำให้หลินตวนตกใจจนชะงักค้าง จะใช้ดาบเจ็ดดาวลงมือโดยไม่รู้ตัว อย่างไรก็ตามเย่เทียนเฉินเตรียมตัวไว้นานแล้ว เร็วกว่าหลินตวนก้าวหนึ่ง เบื้องหน้าปรากฏ “โล่ทองคำ” ขึ้น ขวางลำแสงฆ่าล้างเอาไว้ ในขณะเดียวกันเขาก็ขมวดคิ้ว ใช้พลังที่แข็งแกร่งและยอดเยี่ยมที่สุดในร่างกายแทรกซึมเข้าไปในกระบี่ไท่อา

ตอนนี้หลินตวนเพิ่งจะพบว่า ที่แท้พี่ใหญ่เย่เทียนเฉินไม่เพียงแต่คิดจะลองพลังของกระบี่ไท่อา แต่ยังคิดจะเกลี้ยกล่อมกระบี่เล่มนี้กลับมาให้ตนเองใช้ด้วย ดังนั้นตอนนี้จึงส่งพลังที่แข็งแกร่งของตนเข้าไป ต้องการเปลี่ยนกระบี่ไทอ่าให้ใช้ได้

เป็นเช่นนั้นจริงๆ ในตอนที่เย่เทียนเฉินอยู่ในดาวสิ้นโลกยังมีอาวุธที่หลอมจากวัสดุหายาก แต่ในการต่อสู้ก่อนจะมาเกิดใหม่ มันถูกสัตว์ร้ายหายากทำลายจนแตกหัก หลังจากมาเกิดใหม่บนโลก เย่เทียนเฉินก็ไม่มีอาวุธคู่มือมาโดยตลอด ทุกครั้งที่ต่อสู้กับผู้แข่งแกร่งล้วนใช้พลังพิเศษอันแข็งแกร่งเท่านั้น สร้างเท็จเป็นจริง หลอมเป็นอาวุธออกมา ถึงแม้เย่เทียนเฉินจะใช้เคล็ดวิชาพลังพิเศษนี้ได้ยอดเยี่ยมแต่ก็สิ้นเปลืองพลังพิเศษมากเกินไป ยิ่งไปกว่านั้น จะอย่างไรก็ไม่ใช่ของจริง เมื่อปะทะเข้ากับอาวุธของคู่ต่อสู้นับว่าไม่เป็นผลดีต่อการต่อสู้ของเย่เทียนเฉินเป็นอย่างยิ่ง

หลังจากที่กลับมาเมืองหลวง เย่เทียนเฉินก็ใคร่ครวญแล้วว่าจำเป็นต้องมีอาวุธเป็นของตัวเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ครั้งนี้เป็นไปได้มากว่ายอดฝีมือของสำนักโฮคุชินอิตโตริวจะมาลอบสังหารตนที่เมืองหลวง ในหมู่พวกเขาจะต้องมีคนที่แข็งแกร่งยิ่งกว่าซาโต้มาด้วยแน่นอน การต่อสู้ในตอนนั้นจะต้องรุนแรงนองเลือดและน่าตื่นเต้นแน่ ระดับความรุนแรงของการต่อสู้เพิ่มขึ้นไม่หยุด ความสามารถของตัวเขาเองไม่สามารถยกระดับขึ้นได้ และจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีอาวุธคู่มือของตน เช่นนั้นก็จะทำได้เพียงรอความตายเท่านั้น นี่ไม่ได้เป็นการพูดเกินจริง ในการต่อสู้ของยอดฝีมือ ทุกรายละเอียดล้วนตัดสินแพ้ชนะเป็นตาย

คิดไปคิดมา มีเพียงกระบี่ไท่อาที่เหมาะสมกับตนที่สุด นี่เป็นหนึ่งในสิบกระบี่บรรพกาล เป็นกระบี่แห่งเดชานุภาพ ทรงอำนาจอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ หากสามารถควบคุมกระบี่เทพนี้ได้ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าจะแข็งแกร่งมากขึ้นราวกับเสือติดปีก แน่นอน หากคิดจะใช้กระบี่ไท่อาก็ไม่ใช่เรื่องง่าย หากไม่ระวังก็อาจเป็นการทำลายตนเอง

เย่เทียนเฉินขวางการโจมตีถึงชีวิตที่ปะทุออกมาจากกระบี่ไท่อา ในขณะเดียวกันก็รีบใช้ความสามารถที่ยอดเยี่ยมที่สุดในร่างกายของตนแฝงเข้าไปด้านใน เขารู้ว่าในตัวกระบี่ไท่อาแฝงไปด้วยพลังที่แข็งแกร่งสายหนึ่ง นี่เป็นพลังแห่งเดชานุภาพดั้งเดิมของตัวกระบี่ไท่อา เขาต้องใช้ความสามารถของตนหลอมรวมกับพลังเดชานุภาพของกระบี่ไท่อา มีเพียงทำแบบนี้ถึงจะประสบความสำเร็จในการใช้กระบี่ไท่ อามิฉะนั้นก็ไม่สามารถควบคุมได้โดยสิ้นเชิง ไม่สามารถนำกระบี่ไท่อามาใช้ได้

ตู้ม!

เสียงดังสนั่นเกิดขึ้น เย่เทียนเฉินกระเด็นออกไปทั้งร่าง ตกลงบนพื้นอย่างรุนแรง ทำให้แผ่นหินบนพื้นแตกกระจุย มุมปากของเย่เทียนเฉินมีเลือดสดๆ ไหลออกมา เมื่อครู่นี้เขาฝืนใช้พลังในร่างกายของตนแทรกเข้าไปในกระบี่ไท่อา คิดจะสยบและหลอมรวมพลังเดชานุภาพดั้งเดิมของกระบี่ไท่อาจนพลังสองสายประทะกัน เย่เทียนเฉินได้รับการโจมตีและพลังสะท้อนอันรุนแรง เพียงแต่นี่เป็นเพียงการโจมตีธรรมดาๆ เท่านั้น เย่เทียนเฉินก็ได้รับบาดเจ็บขนาดนี้แล้ว ไม่กล้าจินตนาการจริงๆ ว่าถ้าคนธรรมดาถือกระบี่ไท่อาจะแข็งแกร่งขนาดไหน ท่าทางเย่เทียนเฉินจะได้รับกระบี่ไท่อามาหรือไม่ก็ยังเป็นเรื่องที่ไม่รู้…

“ความสามารถส่วนตัวของซาโต้แข็งแกร่งมาก นี่เป็นสิ่งที่ฉันคิดไม่ถึงเหมือนกัน ดูท่าสำนักโฮคุชินอิตโตริวแห่งประเทศชิบะที่เป็นตำนานเล่าลือมาตลอดจะสามารถเทียบได้กับสำนักเส้าหลินของประเทศจีนของพวกเรา พรรควรยุทธโบราณที่ยิ่งใหญ่ทั้งสองเทียบได้กับเขาไท่ซานเป่ยโต่ว นี่ไม่นับว่าโอ้อวดเลยจริงๆ ระหว่างเดินทางกลับ ฉันประเมิณได้ว่าความสามารถของผมกับซาโต้พอๆ กัน แต่ยาปรับเปลี่ยนพันธุกรรมฉับพลันของประเทศชิบะ หากพัฒนาสำเร็จอาจจะสามารถช่วยให้ประเทศชิบะสั่นสะเทือนโลกได้เลย!” เย่เทียนเฉินพูดอดไม่ได้ที่จะกังวลขึ้นมา

นี่ไม่ได้เป็นการแสร้งพูดเพื่อข่มขวัญผู้อื่น จินตนาการได้เลยว่า ยาปรับเปลี่ยนพันธุกรรมฉับพลันนี้สามารถทำให้กำลังของมนุษย์ปะทุออกมาได้ในพริบตา ความสามารถในการต่อสู้เพิ่มขึ้นหลายเท่าตัว ก็เหมือนกันกับซาโต้ กลายเป็นคนก็ไม่ใช่ปีศาจก็ไม่เชิง เป็นสัตว์ประหลาดโดยสิ้นเชิง ถึงแม้ยาปรับเปลี่ยนพันธุกรรมนี้จะยังมีจุดอ่อนอยู่ นั่นก็คือต้องใช้การเผาผลาญพลังชีวิตของมนุษย์มาเป็นข้อแลกเปลี่ยน หลังจากที่ใช้เข้าไป ผู้ใช้จะไม่มีความหวังที่จะมีชีวิตต่อไปได้ เพียงแต่คนประเทศชิบะโหดเหี้ยมมาก เพื่อความคิดที่จะรวมโลกให้เป็นหนึ่งของพวกเขา ไม่แน่ว่าอาจจะยอมเสียสละทหารทั้งหมดเป็นข้อแลกเปลี่ยนก็ได้ เพื่อให้บรรลุจุดประสงค์ของพวกเขา สำหรับรัฐบาลแห่งประเทศชิบะ การเสียสละคนของตนเป็นเรื่องที่ธรรมดามาก เดิมทีพวกเขาก็โหดเหี้ยมและโหดร้ายต่อกันอยู่แล้ว

เมื่อได้ยินคำพูดของเย่เทียนเฉิน อู๋เสวี่ยและหูหลงจะต้องสั่นสะท้านอย่างแน่นอน พวกเขาคิดไม่ถึงว่าซาโต้แห่งสำนักโฮคุชินอิตโตริวจะแข็งแกร่งขนาดนั้น และยิ่งคิดไม่ถึงว่ายาปรับเปลี่ยนพันธุกรรมที่ประเทศชิบะพัฒนาขึ้นจะร้ายกาจถึงขนาดนั้น หลังจากที่ซาโต้ใช้ยาปรับเปลี่ยนพันธุกรรมฉับพลันก็ดูเหมือนจะอัดเย่เทียนเฉินจนไม่มีแรงจะตอบโต้ เกือบจะตายอยู่แล้ว พลังการต่อสู้แบบนั้นจะต้องน่าหวาดกลัวเป็นอย่างยิ่งแน่นอน เนื่องจากเดิมทีเย่เทียนเฉินก็เป็นคนที่มีความสามารถลึกล้ำไม่อาจคาดเดาอยู่แล้ว สามารถบีบบังคับเขาจนเหนือกว่าได้ ไม่ว่าใครก็จินตนาการถึงระดับความน่าหวาดกลัวของการต่อสู้นั้นได้

“ความสามารถของซาโต้ในหมู่สำนักโฮคุชินอิตโตริวสามารถนับเป็นสิบอันดับแรกได้ ซึ่งอธิบายให้เห็นว่าเขายังไม่ใช่คนที่แข็งแกร่งที่สุดในสำนักโฮคุชินอิตโตริว ท่าทางสำนักโฮคุชินอิตโตริวจะดูถูกไม่ได้เลยจริงๆ!” อู๋เสวี่ยพูดอย่างตกตะลึง

“ถูกต้อง การตายของซาโต้ในครั้งนี้ สำนักโฮคุชินอิตโตริวจะต้องมาแก้แค้นแน่นอน เป็นไปได้มากว่าพวกเขาจะส่งยอดฝีมือมาลอบสังหารพวกเราในประเทศจีน!” เย่เทียนเฉินพูด มุมปากของปรากฏรอยยิ้มขึ้น

“พี่ใหญ่ พูดแบบนี้ไม่ใช่ว่าคุณอันตรายมากเหรอ? ถ้างั้นพวกเราจำเป็นต้องเตรียมพร้อมให้ดีถึงจะถูก!” หูหลงพูดด้วยความเคร่งเครียดเล็กน้อย

นี่ไม่ใช่การดูถูกตนเองเพราะได้ยินกิตติศัพท์ของผู้อื่น แต่เป็นการรับมือกับปัญหานี้ตามสภาพจริง ความสามารถของประเทศชิบะทั้งประเทศไม่สามารถสู้ประเทศจีนได้จริงๆ แต่ความสามารถของสำนักโฮคุชินอิตโตริวกลับแข็งแกร่งมาก หากดูหมิ่นศัตรู จะทำให้คนของตนลำบากครั้งใหญ่

“ที่ฉันบอกเรื่องนี้กับพวกแก เพราะต้องการมอบคำสั่งให้พวกแก!” เย่เทียนเฉินมองอู๋เสวี่ยและหูหลงแล้วพูดขึ้น

ทันใดนั้นอู๋เสวี่ยและหูหลงต่างลุกขึ้นยืน ยืนอยู่เบื้องหน้าเย่เทียนเฉิน ยืนตรงอยู่ตรงนั้น รอพี่ใหญ่เย่เทียนเฉินออกคำสั่ง ถึงแม้แต่ไหนแต่ไรเย่เทียนเฉินจะไม่เคยเห็นพวกเขาเป็นลูกน้อง ปฏิบัติเหมือนกับเพื่อนที่ดีหรือพี่น้องที่ดีมาตลอด ทั้งไม่เคยวางมาดพี่ใหญ่ต่อหน้ากลุ่มสิบสามจ้าวสวรรค์ แต่ในใจของพวกเขาค่อยๆ รับรู้ได้ถึงความสามารถและกลิ่นไออำนาจของเย่เทียนเฉิน ถึงแม้พี่ใหญ่คนนี้จะอายุน้อย แต่ความสามารถที่แสดงออกมาก็มากพอที่จะทำให้กลุ่มยอดฝีมืออย่างกลุ่มสิบสามจ้าวสวรรค์ชื่นชมนับถือ หากไม่มีกฎเกณฑ์ย่อมไม่อาจรวมเป็นหนึ่ง ในยามปกติทุกคนสามารถหยอกล้อกันได้ แต่ในตอนที่จริงจังก็จำเป็นต้องมีความจริงจังและเข้มงวด

“เชิญพี่ใหญ่สั่ง!” อู๋เสวี่ยและหูหลงพูดพร้อมกัน

“ตั้งแต่นี้เป็นต้นไป ให้กลุ่มสิบสามจ้าวสวรรค์ทั้งหมดเข้าสู่ขั้นตอนการฝึกฝน โดยวิธีการฝึกฝนอย่างละเอียดให้อู๋เสวี่ย เจ้ารองและเปาเทียนหลงสามคนเป็นผู้ไตร่ตรอง จุดประสงค์ก็คือ ยกระดับความสามารถในการต่อสู้ของกลุ่มสิบสามจ้าวสวรรค์ภายในระยะเวลาสั้นๆ โดยเฉพาะระดับการต่อสู้โดยรวม!” เย่เทียนเฉินพูดอย่างจริงจัง

“ครับพี่ใหญ่!”

เย่เทียนเฉินพิจารณาทั้งหมดมานานแล้ว ความสามารถของสำนักโฮคุชินอิตโตริวแข็งแกร่งมาก นี่เป็นสำนักแห่งหนึ่งที่ไม่สามารถดูถูกได้ ครั้งนี้ การที่เขาฆ่าซาโต้ในป่าหมอกดำ ทำให้สี่ราชานักฆ่าซึ่งเป็นสมาชิกรุ่นเยาว์ของสำนักโฮคุชินอิตโตริวตายไปทั้งหมด และทำลายทุกคนที่สำนักโฮคุชินอิตโตริวส่งมาสร้างปัญหาที่ชายแดนป่าหมอกดำ จะต้องสร้างคลื่นลมครั้งใหญ่ในสำนักโฮคุชินอิตโตริวหรือกระทั่งในประเทศชิบะแน่นอน

ความอาฆาตแค้นของคนประเทศชิบะแข็งแกร่งมาก ดังนั้นไม่ว่าจะพิจารณาจากด้านใด สำนักโฮคุชินอิตโตริวก็ต้องคิดแก้แค้นแน่นอน และประเทศชิบะก็จะร่วมมือกับสำนักโฮคุชินอิตโตริวเพื่อแก้แค้นด้วยแน่ เนื่องจากหากเรื่องนี้แพร่ไปถึงหูของประเทศอื่น ต่อให้ไม่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้นเบื้องหน้า แต่ก็ยังทำให้ประเทศชิบะทั้งประเทศกลายเป็นตัวตลกอยู่ดี ประเทศจีนเองก็จะมีชื่อเสียงยิ่งใหญ่ขึ้นด้วย ทุกคนต่างรู้ดีว่าสำนักโฮคุชินอิตโตริวแห่งประเทศชิบะแข็งแกร่งมาก พวกเขาส่งยอดฝีมือจำนวนนับไม่ถ้วนมายังชายแดนป่าหมอกดำของประเทศจีน คิดจะก่อเรื่องและชิงข้อมูลสถานการณ์ทางการทหารของชายแดนประเทศจีนไปไว้ในมือ ไหนเลยจะรู้ว่าจะถูกฆ่าตายทั้งหมด ประเทศจีนแข็งแกร่งมาก ประเทศชิบะของพวกเขาไม่ถูกคนอื่นหัวเราะจนฟันร่วงตายก็แปลกแล้ว

คนของสำนักโฮคุชินอิตโตริวจะมาลอบโจมตีตน นี่เป็นเรื่องที่อยู่ในการคาดเดาของเย่เทียนเฉินนานแล้ว เพียงแต่ในความคิดของเขา นี่เป็นโอกาสฝึกฝนที่ดีเป็นอย่างยิ่งครั้งหนึ่ง เป็นโอกาสการฝึกฝนที่ดีต่อตัวเขาเองและยังเป็นโอกาสฝึกฝนที่ดีต่อกลุ่มสิบสามจ้าวสวรรค์ด้วย การได้ต่อสู้กับยอดฝีมือของสำนักโฮคุชินอิตโตริวจะทำให้ประสบการณ์ในการต่อสู้จริงเพิ่มขึ้นมาก โดยเฉพาะหากวันข้างหน้าได้พบกับยอดฝีมือชั้นสูงของสำนักโฮคุชินอิตโตริวก็จะไม่ถูกกระทำมากเกินไป

กลุ่มสิบสามจ้าวสวรรค์เพิ่งจะรวมตัวกันไม่นาน ถึงแม้ว่าความสามารถของกลุ่มจ้าวสวรรค์ทุกคนจะแข็งแกร่ง แต่ก็ยังมีจุดอ่อนอยู่ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ด้านการทำงานร่วมกันและความสามัคคีที่ขาดอยู่มาก ทุกคนต่างมีความคิดอยากเป็นวีรบุรุษเพียงผู้เดียวอย่างเข้มข้น หากจะทำให้กลุ่มสิบสามจ้าวสวรรค์กลายเป็นกองทัพที่ไม่มีใครต่อต้านได้ยังต้องฝึกฝนเสียหน่อย ยอดฝีมือในสำนักโฮคุชินอิตโตริวมีมากมาย นี่เป็นโอกาสที่หาได้ยากยิ่ง

“อู๋เสวี่ย แกบอกคนอื่นได้เลยว่าคู่ต่อสู้ของพวกเราในครั้งนี้แข็งแกร่งมาก ความสามารถของอีกฝ่ายทุกคนอาจทำให้พวกเราตายได้ นี่ไม่ใช่เรื่องล้อเล่น หวังว่าทุกคนจะพยายามฝึกฝนให้แข็งแกร่งมากขึ้น!” เย่เทียนเฉินอดไม่ได้ที่จะพูดเตือน ครั้งนี้เขารู้สึกกดดันมากจริงๆ

“พี่ใหญ่ หัวเรือใหญ่ของสำนักโฮคุชินอิตโตริวคือจักรพรรดิดาบ นี่เป็นคู่ต่อสู้ที่ร้ายกาจจนไม่อาจจินตนาการได้!” อู๋เสวี่ยพูดอย่างกังวล

“เรื่องนี้ไม่ต้องกังวลไป เรื่องของซาโต้ยังไม่ทำให้สำนักโฮคุชินอิตโตริวเห็นพวกเราอยู่ในสายตามากนัก โดยเฉพาะบุคคลอย่างจักรพรรดิดาบ เขาเป็นหนึ่งในสิบคนที่แข็งแกร่งที่สุดของโลก ถ้าหากเรื่องเล็กๆ แค่นี้ยังต้องลงมือเอง ถ้างั้นจักรพรรดิดาบคนนี้ก็จะดูไม่มีตำแหน่งอำนาจเกินไปแล้ว อย่างไรก็ตาม หากว่าจักรพรรดิดาบลงมือด้วยตัวเองจริงๆ ถ้างั้นฉันก็ไม่เสียดายที่จะจ่ายค่าตอบแทนทุกอย่างเพื่อฆ่าเขาให้ได้!” ในดวงตาของเย่เทียนเฉินมีประกายความกระหายการต่อสู้ปรากฏอยู่ ต่อให้อีกฝ่ายคือจักรพรรดิดาบ คู่ต่อสู้เช่นนี้อาจจะทำให้เขาในตอนนี้ไม่สามารถเอาชนะได้ แต่ก็ไม่หวาดกลัวเลยแม้แต่น้อย นี่เป็นด้านหนึ่งของนิสัยเทพสังหารที่มีอยู่ ยิ่งคู่ต่อสู้แข็งแกร่ง เขาก็ยิ่งแข็งแกร่งแข็งแกร่ง

“ถ้างั้นพี่ใหญ่ พวกเราขอไปเตรียมตัวก่อน!” หูหลงเอ่ยปาก

“อืม ใช่แล้ว ให้หลินตวนนำกระบี่ไท่อามาด้วย!” เย่เทียนเฉินคิดครู่หนึ่งแล้วพูดขึ้น

เจ้าเลือดและหูหลงออกไปจากคฤหาสน์แล้ว เย่เทียนเฉินหมุนตัวเดินขึ้นไปชั้นสอง เขารู้ว่าในใจของเสี้ยวหยายังเจ็บปวดอยู่มาก จะอย่างไรแม่ของเธอก็เพิ่งจากไป ไม่ว่าใครก็ไม่สามารถเดินออกจากความโศกเศร้าเช่นนี้ได้เร็วนัก สิ่งเดียวที่เขาสามารถทำได้ในตอนนี้ก็คืออยู่ข้างกายเป็นเพื่อนเสี้ยวหยา ข้ามผ่านช่วงชีวิตที่ยากลำบากที่สุดของผู้หญิงที่ดีคนนี้เป็นเพื่อนเธอ ตอนนี้ไม่จำเป็นต้องพูดอะไรมาก และไม่จำเป็นต้องทำอะไร เพียงแค่อยู่เป็นเพื่อนเงียบๆ ก็เพียงพอแล้ว

หลังจากเย่เทียนเฉินเดินขึ้นไปชั้นสองก็พบว่าเสี้ยวหยาอยู่ในห้องหนังสือของตน หยิบหนังสือเล่มหนึ่งขึ้นมาอ่านด้วยความสนใจ ดูท่าทางจริงจังมาก ขนาดเขาเดินเข้าไปใกล้เสี้ยวหยาก็ยังไม่รู้ตัว ยังคงอ่านอย่างละเอียด

“หยาเอ๋อร์ ถ้าเธอชอบหนังสือเล่มนี้ ฉันก็ให้เธอเลยแล้วกัน!” เย่เทียนเฉินพูดด้วยรอยยิ้ม

“ธุระของนายเสร็จแล้วเหรอ?” เสี้ยวหยาเอ่ยปากถาม

“อืม หิวหรือยัง พวกเราไปกินข้าวกันเถอะ หลายวันนี้ไม่ได้กินดีๆ นอนดีๆ เลย!” เย่เทียนเฉินพูดอย่างใส่ใจ

“ไม่เป็นไร ฉันไปต้มบะหมี่ให้นายดีไหม?”

เสี้ยวหยาเสนอว่าจะต้มบะหมี่ให้เย่เทียนเฉิน เย่เทียนเฉินคิดครู่หนึ่งจึงตกลง เขาไม่สามารถ “ดูแล” เสี้ยวหยาได้ ถ้าทำแบบนั้นจะทำให้เสี้ยวหยาจมอยู่ในความโศกเศร้าที่สูญเสียแม่อยู่ตลอด มีเพียงต้องให้เธอกลับไปใช้ชีวิตอย่างปกติถึงจะค่อยๆ เดินออกมาจากความเจ็บปวดได้ ยิ่งไปกว่านั้น เย่เทียนเฉินต้องการให้เสี้ยวหยาใช้ชีวิตอยู่ในคฤหาสน์แห่งนี้ จึงอยากทำให้เธอคุ้นเคยกับสภาพแวดล้อมเสียหน่อย

เพียงไม่นานเสี้ยวหยาก็ยกบะหมี่ร้อนๆ ออกมาสองถ้วย เพียงแต่ถ้วยหนึ่งมีไข่ต้ม อีกถ้วยหนึ่งไม่มีและยังมีเส้นบะหมี่น้อยกว่า นี่คงเป็นบะหมี่ที่เสี้ยวหยาเตรียมให้ตัวเอง เย่เทียนเฉินไม่ได้พูดอะไร รับถ้วยมาด้วยรอยยิ้ม

ความจริงแล้ว แม่ของเสี้ยวหยาจากไปกระทันหันเกินไป นี่เป็นเรื่องที่เย่เทียนเฉินเองก็คิดไม่ถึง เดิมทีเขาคิดว่ามียาหลงสุ่ยของจางอีเต๋ออยู่ อย่างน้อยก็สามารถทำให้แม่ของเสี้ยวหยามีชีวิตต่อไปได้อีกสองปี แต่กลับคิดไม่ถึงว่าอาการป่วยจะทรุดลงเร็วขนาดนี้ มีเรื่องมากมายที่พลังของมนุษย์ไม่อาจต่อต้านสวรรค์ได้ นี่ทำให้เย่เทียนเฉินตัดสินใจแน่วแน่มากว่าจะต้องตามหาความลับของชีวิตยืนยาวให้ได้

“ว้าว รสชาติไม่เลวเลย หยาเอ๋อร์ ฉันไม่รู้เลยว่าเธอจะทำอาหารได้อร่อยขนาดนี้!” เย่เทียนเฉินกินบะหมี่เข้าไปคำใหญ่แล้วพูดชม

“อืม ถ้านายอยากกิน ฉันจะทำให้กินบ่อยๆ!” เสี้ยวหยาพยักหน้าแล้วพูดขึ้น

ในตอนนี้เอง เย่เทียนเฉินคีบไข่ต้มในถ้วยตนไปใส่ในถ้วยของเสี้ยวหยา ขณะที่เสี้ยวหยายังไม่ทันปฏิเสธ เย่เทียนเฉินก็กดมือของเธอลงเบาๆ มองไปยังเสี้ยวหยาด้วยความลึกล้ำและอ่อนโยน กล่าวว่า “หยาเอ๋อร์ ฉันรู้ว่าในใจของเธอเจ็บปวดมาก แต่ฉันหวังว่าเธอจะร่าเริงขึ้นได้ ฉันรู้มาจากปากแม่ของเธอว่าเธอเป็นเด็กดีตั้งแต่เด็ก เชื่อฟังรู้ความ คะแนนการเรียนก็ยอดเยี่ยม คุณน้ามักจะชมเธอต่อหน้าคนอื่นบ่อยๆ ฉันคิดว่าหากแม่ของเธอมาเห็นสภาพเธอในตอนนี้ ไม่เพียงแต่จะไม่ชมเธอ แต่ยังจะปวดใจอีกด้วย ดังนั้นเธอต้องทำตัวเป็นลูกที่ยอดเยี่ยมที่คุณน้าบอกถึงจะดี!”

เสี้ยวหยาได้ยินคำพูดของเย่เทียนเฉินในใจก็ตื่นตะลึง มองไปยังผู้ชายที่อยู่ตรงหน้า พลันนั้นเธอคิดว่าผู้ชายคนนี้ยอดเยี่ยมถึงขนาดนั้น ดีกับเธอขนาดนั้น นี่ไม่ใช่ผู้ชายที่รู้จักแต่เรื่อยเฉื่อยไปวันๆ เย่เทียนเฉินมีด้านที่พิเศษและยอดเยี่ยมของเขาด้วย!

“แม่ วางใจเถอะค่ะ ลูกดูแลตัวเองได้ แม่ไม่ต้องกังวล แม่จะไม่เป็นอะไร จะต้องไม่เป็นอะไร…” เสี้ยวหยาร้องไห้เหมือนกับถังน้ำตา พูดอย่างสะอึกสะอื้น

“เด็กโง่ เป็นผู้หญิงก็ต้องแต่งงาน ต้องหาที่พึ่งพิง การเจอกับคนที่ดีต่อลูกหลายวัน ดีต่อลูกหลายเดือน หรือดีต่อลูกหลายปีนั้นง่ายมาก แต่ถ้าต้องการหาคนที่ดีกับลูกไปตลอดชีวิตเป็นเรื่องยากจริงๆ ถ้าหากลูกรักคนคนหนึ่งเข้าจริงๆ ก็ต้องหวงแหนและรักษาไว้ให้ดี!” แม่ของเสี้ยวหยาในตอนนี้เป็นดั่งดวงอาทิตย์ก่อนจะลับจากฟ้า ราวกับเธอไม่เป็นอะไรเลย กระทั่งคำพูดก็ไม่มีการสั่นไหว เพียงแต่นี่เป็นลักษณะของคนที่ใกล้จะตาย

เย่เทียนเฉินไม่ใช่คนที่ถูกทำให้หวั่นไหวง่ายๆ แต่ตอนนี้เขาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกถึงอารมณ์เศร้าโศก เมื่อเห็นท่าทางเสียใจแบบนั้นของเสี้ยวหยา ในใจของเขาก็ยิ่งเสียใจ ผู้หญิงคนนี้เหมือนกับผู้หญิงที่เขารักอย่างลึกซึ้งในดาวสิ้นโลกมาก ตอนนี้เธอเสียใจแบบนี้เขาจะไม่เสียใจได้อย่างไร? มองไปยังแม่ของเสี้ยวหยาอีกครั้ง เพื่อลูกสาวของตน ถึงช่วงเวลาที่ใกล้จะจากโลกนี้ไปแล้วก็ยังคิดเพื่อลูกสาว เขาจะไม่ซึ้งใจได้อย่างไร?

“เทียนเฉิน…น้า…น้ารู้ว่าทำให้เธอลำบากใจ แต่น้าอยากได้ยินคำตอบของเธอ…” แม่ของเสี้ยวหยาใช้สายตาที่เต็มไปด้วยความคาดหวังมองไปยังเย่เทียนเฉิน หากเป็นยามปกติเธอคงไม่มีท่าทางแบบนี้ แม่ของเสี้ยวหยาเดิมทีก็เป็นคนดีมาก คิดถึงคนอื่นอยู่ตลอด แต่ตอนนี้ เพื่อความสุขของลูกสาว เพื่อให้เธอมีที่พึ่งพิง เธอจำเป็นต้องทำแบบนี้ ความรักของแม่ยิ่งใหญ่จริงๆ

“คุณน้าครับ คุณวางใจเถอะ ขอเพียงมีผมอยู่ จะไม่ยอมให้เสี้ยวหยาได้รับความเจ็บปวดและความอยุติธรรมแม้แต่ครึ่งส่วน!” เย่เทียนเฉินพูดอย่างจริงจัง

เมื่อได้ยินคำพูดนี้ของเย่เทียนเฉิน แม่ของเสี้ยวหยาก็วางใจลงไม่น้อย ค่อยๆ นอนลงไปบนเตียงไอซียู บนใบหน้าเผยรอยยิ้มยินดีออกมา ลูบศีรษะของลูกสาวตน มุมปากก็พึมพำว่า “แบบนี้น้าก็วางใจแล้ว วางใจแล้ว…วางใจ…แล้ว…”

คำพูดเพิ่งจะถูกกล่าวออกมา มือของแม่ของเสี้ยวหยาก็ตกลง ทั่วทั้งห้องไอซียูอันหนาวเหน็บได้ยินเพียงเสียงร้องไห้ของเสี้ยวหยา เย่เทียนเฉินอยู่ข้างกายเป็นเพื่อนเธอเงียบๆ ไม่พูดอะไรแม้แต่ประโยคเดียว อยู่เป็นเพื่อนเธอแบบนั้นตลอดจนฟ้าสว่าง

ในตอนที่พ่อของเสี้ยวหยามาถึงก็เป็นบ่ายวันต่อมาแล้ว ภรรยาที่อยู่กินกับเขามาหลายสิบปี ตอนนี้จากไปแล้ว พ่อของเสี้ยวหยาย่อมต้องรู้สึกเสียใจ เพียงแต่เขาเข้มแข็งกว่าเสี้ยวหยา จะอย่างไรก็เป็นผู้ชาย เขารู้ว่ายังมีลูกสาวให้ดูแล

สามวันเต็มๆ ที่เย่เทียนเฉินอยู่ข้างกายเสี้ยวหยาตลอด ไม่เพียงแต่เพราะเขารับปากแม่ของเสี้ยวหยาไว้ว่าจะดูแลเสี้ยวหยาไปชั่วชีวิต แต่ยังเป็นเพราะเขาไม่อยากให้ผู้หญิงคนนี้เสียใจ ต้องการให้เธอยืนหยัดขึ้นมาได้โดยเร็วที่สุด ในช่วงนี้เย่เทียนเฉินทำได้เพียงโทรศัพท์กลับไปหาหลัวเยี่ยน บอกเรื่องสถานการณ์ในตอนนี้ของตนให้เธอฟังเพื่อไม่ให้เธอเป็นห่วง จากนั้นก็ปิดเครื่อง อยู่ข้างกายเสี้ยวหยาเงียบๆ จนกระทั่งแม่ของเสี้ยวหยาทำพิธีศพเรียบร้อย เสี้ยวหยายืนร้องไห้อยู่หน้าหลุมฝังศพ เย่เทียนเฉินก็ยังอยู่ด้านหลังเธอ

“แม่คะ แม่วางใจเถอะ หยาเอ๋อร์จะอยู่ให้ดี จะไม่ทำให้แม่ต้องเป็นห่วงและผิดหวัง แม่อยู่บนสวรรค์ก็ต้องมีความสุขนะคะ!” เสี้ยวหยาสะอึกสะอื้น ดวงตาทั้งสองบวมแดง น้ำตาไหลลงมาไม่หยุด

เย่เทียนเฉินเดินมาหน้าหลุมฝังศพของแม่ของเสี้ยวหยา นำดอกไม้สดช่อหนึ่งวางไว้ด้านบน หลังจากโค้งคำนับอย่างจริงจังแล้วก็มองไปยังเสี้ยวหยาแล้วพูดขึ้นว่า “หยาเอ๋อร์ พวกเราไปกันเถอะ ให้คุณน้าอยู่อย่างสงบสักหน่อย ฉันคิดว่าถ้าคุณน้าเห็นเธอยืนหยัดขึ้นมาได้จะต้องมีความสุขแน่นอน!”

เสี้ยวหยาเงยหน้าขึ้นมองเย่เทียนเฉิน ในสายตาเต็มไปด้วยความโศกเศร้าและความปราบปลื้มใจ ในตอนที่เธอพูดคุยกับแม่ มีหลายครั้งที่พูดถึงเย่เทียนเฉินอยู่บ่อยๆ ในคำพูดของเธอทำให้แม่ฟังออกว่าเธอหลงรักเย่เทียนเฉินโดยไม่รู้ตัวแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเจอกับการต่อสู้นองเลือดในซอยลึก เย่เทียนเฉินปกป้องเธอ สังหารคนที่ล้อมโจใตีจนออกไปได้ ประสบการณ์ร่วมเป็นร่วมตายด้วยกันนี้ทำให้เสี้ยวหยาไม่อาจลืมเลือนไปได้ชั่วชีวิต และทำให้เสี้ยวหยารู้สึกว่าเย่เทียนเฉินเป็นผู้ชายที่ควรค่าที่จะมอบชีวิตให้ เขาจะใช้ทั้งชีวิตมาคุ้มครองเธอ

“อืม!” เสี้ยวหยาพยักหน้าอย่างแน่วแน่

ในวันนั้นตอนกลางคืน พ่อของเสี้ยวหยาก็ไปจากเมืองหลวง กลับไปยังที่ทำงาน แต่ละคนก็มีความโศกเศร้าของตัวเอง พ่อของเสี้ยวหยาก็มีความโศกเศร้าเช่นเดียวกัน แต่ชีวิตต้องดำเนินต่อไป คนตายก็ตายไปแล้ว คนอยู่ก็ควรจะเด็ดเดี่ยวแน่วแน่ยิ่งขึ้น มิฉะนั้นกระทั่งคนตายก็คงไม่อาจสงบใจ

เย่เทียนเฉินไม่ให้เสี้ยวหยากลับไปที่บ้านของตัวเอง แต่ให้ตามเขากลับมาที่คฤหาสน์ด้วยกัน ในตอนที่เย่เทียนเฉินพาเสี้ยวหยากลับมา อู๋เสวี่ยและหูหลงก็กลับมาที่คฤหาสน์แล้ว และรออยู่นานแล้ว

“พี่ใหญ่!” เมื่อเห็นเย่เทียนเฉินพาเสี้ยวหยาเข้ามา อู๋เสวี่ยกับหูหลงก็รีบตะโกนเรียก

“อืม หยาเอ๋อร์ เธอขึ้นไปดูข้างบนก่อนเถอะ ฉันจะหารือกับพวกเขาสักหน่อย!” เย่เทียนเฉินพูดด้วยรอยยิ้ม

เสี้ยวหยาพยักหน้า ถึงแม้เธอจะบอกกับตัวเองว่าให้เด็ดเดี่ยวแน่วแน่ ไม่ทำให้พ่อต้องเป็นห่วง ไม่ทำให้แม่ที่อยู่บนสวรรค์ต้องเป็นห่วง แต่ใครจะลืมการจากไปของครอบครัวจริงๆ ได้บ้าง? นี่เป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลาเยียวยาถึงจะเดินออกมาจากความเศร้าโศกได้

เมื่อเห็นเสี้ยวหยาเดินขึ้นไปชั้นสอง อู๋เสวี่ยและหูหลงก็ยิ้มขึ้นมา ให้ความรู้สึกราวกับว่าเย่เทียนเฉินไปล่อลวงน้องสาวตัวน้อยอย่างไรอย่างนั้น เย่เทียนเฉินที่ได้เห็นก็รู้สึกอับจนคำพูดจนซัดสองคนนี้ไปคนละหมัด

“ว้าว ลูกพี่รวดเร็วจริงๆ เปลี่ยนคนอีกแล้ว!” อู๋เสวี่ยหัวเราะฮี่ๆ แล้วพูดขึ้น

“ผมล่ะอิจฉาพี่ใหญ่จริงๆ ข้างกายมักจะมีสาวงามไม่ขาดมือ น่าอิจฉาเกินไปแล้ว!” หูหลงก็พูดอย่างไม่สบอารมณ์

“พวกแกสองคนอย่ามาพูดจามั่วซั่วกับฉัน แม่ของหยาเอ๋อร์เพิ่งจะเสีย อารมณ์ของเธอไม่ดี พวกแกใครก็อย่าไปแกล้งเธอล่ะ ไม่งั้นอย่ามาหาว่าฉันไม่เกรงใจ!” เย่เทียนเฉินชกหมัดเข้าด้วยกันแล้วพูดขึ้น

อู๋เสวี่ยและหูหลงพากันแลบลิ้นออกมา ไม่กล้าพูดจามั่วซั่วอีก เห็นได้ชัดว่าพี่ใหญ่เย่เทียนเฉินจริงจังมาก ใครก็ไม่อยากกินมัดของเย่เทียนเฉิน

สิ่งที่ทำให้เย่เทียนเฉินรู้สึกหดหู่ใจมากก็คือ ในตอนที่ยังไม่ได้ก่อตั้งกลุ่มสิบสามจ้าวสวรรค์ขึ้นมา เขาคิดว่าอู๋เสวี่ยและหวังเจี๋ยเป็นคนที่เคร่งขรึมจริงจังเหมือนกับทหารเลือดเหล็ก ทำตามคำสั่งอย่างเข้มงวด ไหนเลยจะรู้ว่าคนพวกนี้ติดตามตนได้ไม่นาน ยิ่งเป็นช่วงเวลาที่เอาแน่เอานอนไม่ได้ขึ้นมาก็ยิ่งดูพึ่งพาไม่ได้ ดูท่าทางคนที่เป็นพี่ใหญ่มีนิสัยอย่างไร พี่น้องที่เป็นผู้ติดตามก็ไม่ต่างกัน

“พวกเรารู้แล้วครับพี่ใหญ่!” อู๋เสวี่ยเอ่ยปากพูด

“ตอนที่ฉันไม่อยู่พวกแกไปไหนกัน?” เย่เทียนเฉินอดไม่ได้ที่จะเอ่ยปากถาม

“พี่ใหญ่ ถึงแม้คฤหาสน์ใหญ่มาก แต่พวกเราพี่น้องก็อยู่กันด้านในก็ยังไม่ชินนัก อีกอย่างคุณมักจะพาสาวงามกลับมา คงไม่ค่อยสะดวกใช่ไหมครับ ดังนั้นพวกเราจึงคิดครู่หนึ่งแล้วย้ายออกมาทั้งหมด” หูหลงหัวเราะแล้วพูดขึ้น

“พวกแกล้อฉันเล่นใช่ไหมเนี่ย? คฤหาสน์นี้จ่ายไปกี่ร้อยล้านเพื่อซื้อมา ยิ่งไปกว่านั้นยังมีสระว่ายน้ำมีห้องฟิตเนสอะไรต่างๆ เนื้อที่ก็มีหลาย พัน ถึงแม้ตัวคฤหาสน์จะไม่ใหญ่ แต่ก็เป็นคฤหาสน์สองชั้น มีห้องแปดห้อง จะให้ฉันหาผู้หญิงเจ็ดคนเข้ามาอยู่หรือไง?” เย่เทียนเฉินมองอู๋เสวี่ยและหูหลงอย่างไม่พอใจแล้วพูดขึ้น

“ฮี่ๆ นี่ก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้นะ…” อู๋เสวี่ยหัวเราะแล้วพูดขึ้น

เย่เทียนเฉินส่ายหน้า ขี้เกียจจะมาพูดกับสองคนนี้แล้ว ตอนนี้สถานการณ์ยังคงเคร่งเครียด อุปสรรคที่ใหญ่ที่สุดที่ขวางหน้าเย่เทียนเฉินก็คือคุณชายใหญ่แห่งมหาวิทยาลัยหลงเถิง แต่ก่อนหน้านั้นเขาจำเป็นต้องจัดการกับการแก้แค้นของสำนักโฮคุชินอิตโตริวก่อน ดังนั้นจึงให้หูหลงและอู๋เสวี่ยนั่งลง พูดคุยถึงการปฎิบัติการในครั้งนี้อย่างจริงจัง

“ก่อนหน้านี้หลายวัน ที่ฉันไปจากเมืองหลวง เพราะว่าไปที่ป่าหมอกดำบริเวณชายแดนมา ที่นั่นฉันได้สู้กับซาโต้ซึ่งเป็นผู้อาวุโสของสำนักโฮคุชินอิตโตริว…” เย่เทียนเฉินเอ่ยปากพูด

“อะไรนะ? สำนักโฮคุชินอิตโตริว?”

“ซาโต้?”

อู๋เสวี่ยและหูหลงตื่นตกใจจนส่งเสียงออกมา พวกเขาสองคนเป็นยอดฝีมือชั้นหนึ่งย่อมต้องเคยได้ยินเรื่องเกี่ยวกับสำนักโฮคุชินอิตโตริวมาแน่นอน นี่เป็นสำนักที่ไม่ต่างอะไรกับสำนักเส้าหลินของจีน แข็งแกร่งเป็นอย่างมาก ส่วนซาโต้ที่มีฐานะเป็นสิบผู้อาวุโสแห่งสำนักโฮคุชินอิตโตริว บางทีคนธรรมดาอาจจะไม่เคยได้ยินชื่อซาโต้มาก่อน แต่ในหมู่ยอดฝีมือดูเหมือนจะไม่มีใครไม่รู้จักคนนี้

“พี่ใหญ่ ถ้างั้นผลแพ้ชนะเป็นยังไง?” อู๋เสวี่ยทนไม่ไหวรีบเอ่ยถามออกมา

เมื่อเห็นอู๋เสวี่ยและหูหลงรู้สึกแปลกใจและอยากรู้อยากเห็น เย่เทียนเฉินก็ไม่ได้พูดอะไร ถอดเสื้อยืดบนร่างของตนออก ในตอนที่อู๋เสวี่ยและหูหลงเห็นบาดแผลที่ไหล่ทั้งสองและท้องของเย่เทียนเฉินก็ต้องสูดหายใจเย็นยะเยือก ความสามารถของเย่เทียนเฉินนั้นพวกเขารู้ดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่เย่เทียนเฉินกลับมาจากความตายก็ยิ่งลึกล้ำไม่อาจคาดเดา ถึงกับมีสภาพแบบนี้ได้ ช่างทำให้ผู้คนยากจะจินตนาการจริงๆ

“บางทีซาโต้อาจจะแข็งแกร่งมาก แต่เห็นพี่ใหญ่กลับมาแล้ว งั้นคุณควรจะฆ่าซาโต้ไปแล้ว!” หูหลงพูดด้วยรอยยิ้ม

“ผิดแล้ว ไม่ใช่ว่าฉันฆ่าซาโต้ แต่ฉันเกือบจะถูกซาโต้ฆ่า ความสามารถของเขา ต่อให้ฉันระเบิดพลังทั้งหมดก็ไม่แน่ว่าจะฆ่าเขาได้ หลังจากที่เขาใช้ยาปรับเปลี่ยนพันธุกรรมฉับพลันที่ประเทศชิบะพัฒนาขึ้น ขอบเขตความสามารถก็เพิ่มมากขึ้นหลายระดับในเวลาเพียงพริบตา ร้ายกาจเป็นอย่างมาก ฉันทำได้เพียงตกอยู่ในฐานะที่ถูกอัดเท่านั้น เกือบจะไม่ได้เห็นพวกแกแล้ว!” เย่เทียนเฉินส่ายหน้าแล้วพูดขึ้น

เมื่อได้ยินคำพูดของเย่เทียนเฉิน อู๋เสวี่ยและหูหลงก็ตื่นตะลึง ในใจอดไม่ได้ที่จะสั่นสะท้าน ซาโต้คนนี้แข็งแกร่งขนาดไหนกันแน่ กระทั่งพี่ใหญ่เย่เทียนเฉินลงมือเต็มที่ก็ยังไม่สามารถเอาชนะเขาได้ และยังเกือบจะตายอยู่ในป่าหมอกดำอีกด้วย จะไม่ให้พวกเขาสองคนตกใจได้อย่างไร?

แน่นอนว่าคำพูดของเย่เทียนเฉินมีส่วนที่เจียมเนื้อเจียมตัวอยู่ด้วย ระหว่างเขากับซาโต้เรียกได้ว่าไม่สามารถแบ่งแยกแพ้ชนะได้ ระหว่างการต่อสู้ เขาบีบบังคับให้ซาโต้กลืนยาปรับเปลี่ยนพันธุกรรมฉับพลันเข้าไปกำใหญ่ หลังจากนั้นขอบเขตความสามารถของซาโต้ก็พัฒนาขึ้นขั้นใหญ่ๆ ในพริบตา เขาอัดเย่เทียนเฉินอย่างรุนแรงด้วยสภาพที่ได้เปรียบ แต่เย่เทียนเฉินยังคงใช้วิชา “เนตรประกายทอง” ซึ่งเป็นเคล็ดวิชาสังหารอันรุนแรงทำให้ซาโต้บาดเจ็บ ถ้าไม่ใช่เพราะซาโต้ใช้ยาปรับเปลี่ยนพันธุกรรมฉับพลัน เผาผลาญพลังชีวิตของตนจนมีร่างกายที่คล้ายจะไม่ตาย ซาโต้ก็คงถูกเนตรประกายทองฆ่าไปแล้ว

เมื่อต้องพบกับการทรุดหนักของอาการป่วยของแม่ของเสี้ยวหยา เย่เทียนเฉินก็รู้สึกอับจนหนทาง เขาสามารถหาจางอีเต๋อซึ่งเป็นเซียนแพทย์เทวะได้แล้ว ผู้มีพลังพิเศษคนนี้เป็นผู้มีพลังพิเศษในสายรักษาที่หาได้ยาก เรียกได้ว่าเป็นคนที่มีวิชาแพทย์สูงส่งที่สุดในโลกใบนี้แล้ว ถ้าหากกระทั่งเขาก็ไม่มีวิธีช่วยชีวิตแม่ของเสี้ยวหยา เกรงว่าใครก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้

ชิ้นส่วนของยาหลงสุ่ยนั้นเสี้ยวหยาได้มอบให้แม่กินไปหมดแล้ว ประการแรกเป็นเพราะประสิทธิภาพหลังจากกินยาไม่มากนัก ประการที่สองเป็นเพราะเดิมทีเศษของยาหลงสุ่ยนั้นไม่สมบูรณ์ ประสิทธิภาพของยาที่แฝงอยู่มีไม่มาก รวมกับที่เก็บเอาไว้สิบปีแล้วทำให้ประสิทธิภาพของยาแทบจะไม่มี หากมียาที่สมบูรณ์และนำไปมอบให้แม่ของเสี้ยวหยากินอาจจะสามารถยืดชีวิตออกไปได้อีกหลายสิบปี เพียงแต่น่าเสียดายที่ทำได้แค่พูดเท่านั้น อย่างน้อยบนโลกใบนี้ก็ไม่สามารถหายาหลงสุ่ยเม็ดที่สองออกมาได้อีก เนื่องจากกระทั่งหญ้าหลงสุ่ยก็ไม่มี จะไปหายาหลงสุ่ยมาได้จากที่ไหนกัน?

“นี่…ผู้อำนวยการหลิน ขอร้อง ขอร้องล่ะค่ะ คุณจะต้องช่วยแม่ของหนู ขอร้อง…” เสี้ยวหยาทำอะไรไม่ถูก น้ำตาไหลออกมาไม่หยุด จะอย่างไรเธอก็คิดไม่ถึงว่าอาการป่วยของแม่จะเลวร้ายลงเร็วขนาดนี้ มาถึงขั้นที่ไม่สามารถช่วยรักษาได้แล้ว

ผู้อำนวยการหลินชะงัก มองไปยังเย่เทียนเฉิน ท่าทางลำบากใจอยู่บ้าง เนื่องจากสิ่งที่เขาพูดเป็นความจริง อาการป่วยของแม่ของเสี้ยวหยาช่วยเหลือไม่ได้แล้ว เซลล์มะเร็งแพร่ไปทั้งร่าง ต่อให้รวบรวมผู้เชี่ยวชาญที่ดีที่สุดบนโลกใบนี้มาก็ไม่สามารถช่วยแม่ของเธอได้ เสี้ยวหยาขอร้องให้ช่วยแบบนี้ นี่เพียงทำให้คนอื่นรู้สึกปวดใจและรู้สึกเศร้าใจเท่านั้น แต่ยังคงไม่มีพลังที่จะช่วยเหลือ มีบางเรื่องที่พลังของมนุษย์ไม่สามารถทำได้ จะอย่างไรก็ไม่สามารถสู้กับลิขิตฟ้า

นี่เป็นสาเหตุที่ว่าทำไมเย่เทียนเฉินจึงมีความตั้งใจแรงกล้าที่จะไล่ตามความลับของชีวิตยืนยาว ดูเหมือนว่าผู้บ่มเพาะทุกคนล้วนต่อสู้กับสวรรค์ เพราะเหตุใดทุกครั้งที่ยกระดับขอบเขตความสามารถได้จึงต้องมีทัณฑ์สวรรค์ ต้องพบกับสายฟ้าจากสวรรค์ นั่นเป็นเพราะมนุษย์ต้องต่อสู้กับสวรรค์ หากไม่เชื่อฟังอำนาจของสวรรค์ย่อมได้รับการโจมตีเป็นการตอบแทน อย่างไรก็ตาม เมื่อผ่านประสบการณ์มาได้แล้วและเหยียบย่างสู่ขอบเขตสวรรค์แล้ว ก็จะยืนอยู่เหนือเส้นทางสวรรค์ กลายเป็นผู้ควบคุม หลุดพ้นจากวัฏจักรแห่งความเป็นความตาย เพียงแต่ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันนี้ มีกี่คนที่สามารถทำได้กัน?

“พวกเราจะพยายามเต็มที่ แต่พวกคุณก็ยังต้องเตรียมใจให้แก่ผู้ป่วยนะครับ!” ผู้อำนวยการหลินก็สิ้นไร้หนทางเช่นกัน มีเย่เทียนเฉินอยู่ ไม่ต้องพูดว่าเขาจะพยายามเต็มที่แล้วเลย แต่เขาไม่มีความสามารถจริงๆ และไม่มีหนทางอะไรด้วย ทำได้เพียงทอดถอนใจแล้วเดินเข้าไปในห้องผ่าตัด

เย่เทียนเฉินก็ไม่พูดอะไรมาก ทำเพียงดึงเสี้ยวหยาเข้าสู่อ้อมกอด ตอนนี้เขาไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไร สิ่งเดียวที่สามารถทำได้คือกอดเสี้ยวหยาเอาไว้แน่น ให้เธอรู้สึกถึงที่พึ่งพิง ไม่ให้รู้สึกโดดเดี่ยว ตอนนี้ไม่ว่าจะพูดอะไรหรือทำอะไรล้วนเสียแรงเปล่า บางครั้งลิขิตฟ้าก็ยากจะต้านทาน ในยามที่ไม่มีเรี่ยวแรงที่จะต่อต้านสวรรค์ก็ทำได้เพียงยอมรับ นี่ทำให้เย่เทียนเฉินยิ่งตั้งใจแน่วแน่ว่าในความคิดต่อต้านสวรรค์ ชีวิตของคนคนหนึ่งอยู่ได้เพียงหลายสิบปี ถ้าหากไม่ฉกฉวยเอาไว้ให้ดี มิใช่ว่าจะมีชีวิตเสียเปล่าหรือ?

เกิดแกเจ็บตายดูเหมือนจะเป็นสิ่งที่ทุกคนไม่สามารถหลุดพ้นได้ ไม่เพียงแต่ต้องเผชิญหน้ากับความหวาดกลัวในความตายของตน แต่ยังต้องเผชิญกับการเห็นญาติมิตรตายไปทีละคนอีกด้วย ส่วนตนเองก็ทำได้เพียงมองโดยไร้ซึ่งพลัง นั่นยังน่าเศร้ายิ่งกว่าตัวเองตายไปนับร้อยเท่า เย่เทียนเฉินไม่อยากรู้สึกแบบนี้ ญาติมิตรในดาวสิ้นโลกตายไปหมดแล้ว ตอนนั้นเขาไม่แข็งแกร่งมากพอ ไม่สามารถปกป้องพวกเขาได้จึงทำให้เกิดเรื่องของการโจมตีจากสัตว์อสูร ในโลกนี้เย่เทียนเฉินคิดว่าไม่อยากให้เกิดความเสียใจแบบนี้อีก เขาต้องแข็งแกร่ง ต้องแข็งแกร่งยิ่งขึ้น ต่อให้ต้องต่อต้านสวรรค์ก็ต้องปกป้องญาติมิตรของตนให้ได้

หนึ่งคืนเต็มๆ ที่เสี้ยวหยาร้องไห้สะอึกสะอื้น ต่อให้ร้องจนไม่มีแรง ฟุ้บไปในอ้อมกอดของเย่เทียนเฉินก็ยังมีน้ำตาไหลออกมา สำหรับเสี้ยวหยาแล้วแม่คือฟ้าของเธอ วันนี้ฟ้าถล่มลงมาแล้ว แม่ที่เลี้ยงดูเธอมายี่สิบกว่าปียังไม่ทันได้เสพสุขกับความกตัญญูของลูก ยังไม่ทันได้เห็นตนแต่งงานมีลูกก็จากไปแล้ว ชีวิตคนเรามีแค่ครั้งเดียว ตายไปก็ไม่สามารถมีชีวิตได้อีก จินตนาการได้เลยว่า ในยามที่ครอบครัวคนหนึ่งจากไป ภายหลังคุณคิดอยากจะพบก็ไม่อาจพบได้อีก คุณจะมีอารมณ์เช่นไร? เกรงว่าต่อให้เป็นคนเลือดเย็นก็ยังต้องหลั่งน้ำตา

เย่เทียนเฉินกอดเสี้ยวหยาอยู่ตลอด นั่งอยู่หน้าห้องไอซียูอยู่ตลอดจนฟ้าสว่าง ในระหว่างนี้เย่เทียนเฉินไม่ขยับเขยื้อน เสี้ยวหยาร้องไห้หนักมากจนสะลึมสะลือขึ้นมา เนื่องจากร่างกายรับไม่ไหวจึงหมดสติไปแล้ว เขาไม่อยากรบกวนผู้หญิงคนนี้ เมื่อเห็นท่าทางร้องไห้สะอึกสะอื้นด้วยความโศกเศร้าของเสี้ยวหยา ร้องไห้จนเหมือนกับมนุษย์น้ำตา ในใจของเย่เทียนเฉินก็ไม่อาจรับได้ ตั้งแต่เล็กเขาเป็นเด็กกำพร้าที่ไม่มีพ่อแม่ ตลอดเวลาที่อยู่บนดาวสิ้นโลกจนเติบใหญ่กลายมาเป็นผู้มีพลังพิเศษในขอบเขตระดับพระเจ้า เรียกได้ว่าคอยปกป้องความสงบสุขมาโดยตลอด มีเพื่อนสนิทที่เหมือนกับครอบครัว มีคนที่ร่วมเป็นร่วมตายไปกับเขา มีผู้หญิงที่ตามจีบเขา คนเหล่านี้ก็คือครอบครัวของเขา เพียงแต่ในคืนที่ถูกสัตว์อสูรระดับสูงโจมตี ทุกสิ่งทุกอย่างก็หายไปหมด ทุกคนตายไปหมดแล้ว กลายเป็นความเจ็บปวดตลอดกาลของเย่เทียนเฉิน เป็นความเจ็บปวดที่ไม่อาจสลัดทิ้ง

ในตอนนี้อดไม่ได้ที่จะทำให้เย่เทียนเฉินคิดว่า สิ่งที่เห็นในตอนนี้ก็คือความตายของแม่ของเสี้ยวหยา ไร้ความสามารถที่จะช่วยเหลือ ทำได้เพียงโศกเศร้าจนน้ำตาร่วง เช่นนั้นหากมีวันหนึ่งที่พ่อแม่และน้องสาวของตัวเองแก่ตัวไปหรือ ตนก็จะต้องส่งพวกเขาไปจากโลกมนุษย์ทีละคนด้วย? ไม่ง่ายเลยกว่าจะมีครอบครัวที่อบอุ่น มีความสัมพันธ์พี่น้อง มีความรักใส่ใจจากพ่อแม่ เย่เทียนเฉินย่อมไม่ยินยอมที่จะให้ภาพแบบนี้เกิดขึ้น เช่นนั้นวิธีเดียวที่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ก็คือ ตามหาความลับของการมีชีวิตยืนยาว!

เอี๊ยด!

เวลาตีห้าแล้ว ประตูห้องไอซียูเปิดออกอีกครั้ง ศาสตราจารย์ชรากลุ่มหนึ่งพากันเดินออกมา ล้วนส่ายหน้า พวกเขาพยายามอย่างเต็มที่ที่สุดแล้ว ผู้ป่วยมะเร็งในปัจจุบันนี้เป็นปัญหาที่รับมือได้ยากที่สุด เกือบร้อยปีมาแล้วที่ไม่สามารถรับมือได้ จนถึงตอนนี้ยังคงรับมือไม่ได้ ผู้ป่วยมะเร็งทั้งหมดทำได้เพียงรอความตาย ประโยคนี้เป็นความจริงไม่มีเท็จ เพียงแต่ชีวิตที่เหลืออยู่จะมากน้อยแตกต่างกันไปเท่านั้น ผู้ป่วยโรคมะเร็งหลายคนอยู่ได้หลายปี แต่นั้นไม่ใช่เรื่องดีอะไร กลับกลายเป็นว่าต้องรับความทรมาณไปอีกหลายปีเท่านั้น

“คุณชายเย่ ผู้ป่วยไม่ไหวแล้ว เธอต้องการเจอลูกสาว…” ผู้อำนวยการหลินเดินมาเบื้องหน้าเย่เทียนเฉินแล้วพูดเสียงเบา

เย่เทียนเฉินไม่ได้เอ่ยปาก เสี้ยวหยาลืมตาขึ้นแล้ว ทั่วทั้งตัวดูคล้ายกับวิญญาณ น้ำตาไหลลงมาไม่หยุด ดูแล้วอาการหนักมากจริงๆ ทั้งยังทำให้ผู้คนต้องปวดใจ

“หยาเอ๋อร์…” เย่เทียนเฉินกลัวว่าเสี้ยวหยาจะรับความจริงนี้ไม่ไหว อดไม่ได้ที่จะเอ่ยเรียกเสียงเบา

“เทียนเฉิน ฉันไม่เป็นไร นายพูดถูกแล้ว สิ่งที่ควรเผชิญก็ต้องเผชิญ แม่ของฉันไม่อยากเห็นฉันมีสภาพแบบนี้!” เสี้ยวหยาฝืนเช็ดน้ำตาที่ห่างตาแล้วพูดขึ้น

เย่เทียนเฉินพยักหน้า ความเด็ดเดี่ยวแน่วแน่ของเสี้ยวหยาเป็นสิ่งที่เขาคิดไม่ถึง ผู้หญิงจิตใจดีบริสุทธิ์คนนี้ ในตอนนี้เข้มแข็งขึ้นแล้ว เนื่องจากเธอรับรู้ถึงความรับผิดชอบของตน รู้ว่าแม่ใกล้จะจากโลกนี้ไปแล้ว เธอไม่อาจปล่อยให้แม่จากไปโดยไม่วางใจและโศกเศร้า ในตอนนี้ ตอนที่พ่อไม่อยู่ เธอจำเป็นต้องรับภาระนี้

“ฉันจะเข้าไปเป็นเพื่อนเธอ ให้คุณน้าจากไปอย่างวางใจและเบิกบานใจ!” เย่เทียนเฉินรู้ถึงสาเหตุที่เสี้ยวหยาเด็ดเดี่ยวแน่วแน่ขึ้นมาจึงเอ่ยปากขึ้น

เสี้ยวหยาเดินนำหน้าสุด เย่เทียนเฉินเดินตามไปด้านข้าง ผู้อำนวยการหลินก็เดินตามหลังเข้าไป หมอของโรงพยาบาลแห่งเมืองหลวงพยายามเต็มที่แล้ว ทันทีที่เกิดเรื่องผู้อำนวยการหลินเรียกรวมผู้เชี่ยวชาญที่เฉพาะทางที่สุดที่มีทั้งหมดมาทันทีและไปช่วยเหลือฉุกเฉิน เมื่อต้องพบกับผู้ป่วยที่เซลล์มะเร็งแพร่ไปทั่วทั้งร่างแบบนี้ หากไม่ใช่ว่าพวกเขาช่วยเหลือได้เร็วคงสิ้นใจไปนานแล้ว คงทำให้เสี้ยวหยาไม่ได้เห็นแม้แต่ใบหน้าครั้งสุดท้ายของแม่

“แม่คะ แม่ แม่ไม่เป็นไรคะ?” เสี้ยวหยาเดินไปข้างเตียงไอซียู มองแม่แล้วถามด้วยรอยยิ้ม

ในตอนนี้แม่ของเสี้ยวหยาอ่อนแอถึงขีดสุดแล้ว สวมใส่เครื่องช่วยหายใจ ใบหน้าขาวซีดจนทำให้ผู้คนต้องตกใจ ลมหายใจติดขัดมาก อาจจะขาดห้วงไปได้ทุกเวลา

เมื่อเห็นลูกสาวเดินเข้ามา ด้านหลังยังมีเย่เทียนเฉินตามมาด้วย แม่ของเสี้ยวหยาก็อดไม่ได้ที่จะเผยรอยยิ้มที่มุมปาก มือขวาอันสั่นเทาค่อยๆ ดึงเครื่องช่วยหายใจออก ต้องการที่จะพูดกับลูกสาวซักหลายประโยค

“แม่ แม่ใส่ไว้เถอะ แม่ต้องไม่เป็นไร…” เสี้ยวหยาห้ามแม่เอาไว้ ตอนนี้สิ่งที่สามารถยืดชีวิตแม่ได้ก็มีเพียงเครื่องช่วยหายใจนี้แล้ว

“หยาเอ๋อร์ สภาพร่างกายของแม่…ตัวแม่…ย่อมรู้ตัวเองดี ให้แม่พูดซักหน่อยเถอะ แม่จะได้วางใจ!” แม่ของเสี้ยวหยาพยายามฝืนร่างกายของตนแล้วพูดขึ้น

“แม่…” เสี้ยวหยาอดกลั้นจนถึงขีดสุดและอดทนอยู่นานมากแล้ว แต่ยังไม่สามารถระงับอารมณ์โศกเศร้าในใจของตนได้ น้ำตาไหลออกมาอีกครั้งอย่างไม่อาจต้านทาน เมื่อคิดว่าหากแม่จากไปครั้งนี้แล้วจะไม่ได้เจออีกชั่วชีวิตก็ไม่อาจควบคุมความเจ็บปวดและโศกเศร้าได้จริงๆ

แม่ของเสี้ยวหยามองเสี้ยวหยาที่โถมตัวมาข้างเธอ ลูบผมของลูกสาวตนด้วยความรักใคร่ ตั้งแต่เล็กจนโตเป็นเธอที่คอยหวีผมให้ลูก แต่หลังจากนี้ไปเธอไม่สามารถหวีผมให้ลูกสาวได้อีก สุดท้ายแม่ของเสี้ยวหยามองไปที่เย่เทียนเฉินแล้วพูดขึ้นว่า “เทียนเฉิน เธอเป็นเด็กดีคนหนึ่ง น้ารู้ว่าเธอดีต่อหยาเอ๋อร์มาก น้ามีเรื่องหนึ่งอยากจะขอร้องเธอ ได้หรือเปล่า?”

“น้าพูดมาเถอะครับ ขอเพียงผมทำได้ ผมจะต้องทำแน่นอน!” เย่เทียนเฉินพูดอย่างจริงจัง

“แม่…” เสี้ยวหยากัดริมฝีปากล่างของตน ไม่ให้ตัวเองส่งเสียงร้องออกมา เธอไม่อยากให้แม่จากไปโดยไม่มีความสุข

“หยาเอ๋อร์ชอบเธอมาก น้าไม่รู้ว่าเธอชอบหยาเอ๋อร์หรือเปล่า แต่ยังไง ไม่ว่าพวกเธอจะเดินไปด้วยกันได้หรือไม่ น้าหวังเพียงว่าเธอจะดีต่อหยาเอ๋อร์ หยาเอ๋อร์เป็นเด็กที่รู้เรื่องรู้ความ มีหลายครั้งที่พูดถึงเธอต่อหน้าน้า ความคิดของลูกสาวน้า น้ารู้ดี หยาเอ๋อร์ชอบเธอ ดังนั้นน้าอยากจะมอบหยาเอ๋อร์ให้เธอ บางทีนี่อาจจะเป็นคำขอร้องที่มากเกินไป แต่คนเป็นแม่ต้องย่อมต้องการให้ลูกสาวของตัวเองมีความสุข จะได้หรือเปล่า?” แม่ของเสี้ยวหยาถึงกับลุกขึ้นนั่งแล้วพูดออกมาราวกับตะเกียงก่อนสิ้นแสง

เมื่อได้ยินคำพูดของแม่ของเสี้ยวหยา เสี้ยวหยาก็ร้องไห้ออกมา เย่เทียนเฉินก็รู้สึกซาบซึ้งมาก บนโลกนี้ความรักของแม่ยิ่งใหญ่ที่สุด ต่อให้มาถึงช่วงเวลาแห่งความตาย แม่ก็ยังคิดเพื่อลูกของตน อยู่หรือตายล้วนทำเพื่อลูกสาว

คุณชายใหญ่แห่งมหาวิทยาลัยหลงเถิงเป็นคนที่ยากจะเข้าใจและทำให้ผู้อื่นมองไม่ออก แต่มีส่วนหนึ่งที่สามารถมั่นใจได้ นั่นก็คือ เป็นคนที่โหดเหี้ยมอำมหิตเป็นอย่างมาก เพื่อที่จะบรรลุจุดประสงค์ของตัวเขาเอง เขาสามารถเสียสละสิ่งใดก็ได้ สามารถฆ่าลูกน้องที่ติดตามตนมาสิบกว่าปีได้ตามใจโดยที่ไม่ขมวดคิ้วเลย

ไม่ว่าใครก็ไม่เข้าใจชัดเจนว่าคุณชายใหญ่คิดอย่างไร มีแผนอะไร กระทั่งโม๋สู่ที่เป็นคนฉลาดขนาดนี้ก็คาดเดาไม่ได้ เหตุใดคุณชายใหญ่จึงต้องการส่งคนของตนออกไปลอบโจมตีเย่เทียนเฉิน ทั้งๆ ที่รู้ว่าอาจจะพ่ายแพ้ ทำเช่นนี้มีแต่จะทำให้คนของตนสูญเสียเท่านั้น เหตุใดคุณชายใหญ่แห่งมหาวิทยาลัยหลงเถิงถึงได้ทำเช่นนี้? หรือว่าเขาไม่สนใจความเป็นความตายของลูกน้องของตนเลย เพียงต้องการอาศัยพวกเขาในการฝึกฝนเย่เทียนเฉิน ทำให้อีกฝ่ายเติบโตอย่างรวดเร็ว ถ้าเช่นนั้นเขาถึงจะน่าสนใจพอที่จะลงมือ?

หากเป็นเช่นนี้ ถ้าอย่างนั้นคุณชายใหญ่แห่งมหาวิทยาลัยหลงเถิงคนนี้ก็ไม่สามารถใช้คำว่าเข้าใจยากมาบรรยายแล้ว แต่เป็นวิปลาส จิตใจของคนคนนี้วิปลาสเป็นอย่างมาก

จนถึงตอนนี้คุณชายใหญ่รู้สึกถึงความแข็งแกร่งของเย่เทียนเฉินแล้วจริงๆ ในใจก็รู้สึกแปลกใจมาก คิดไม่ถึงว่าความสามารถของเย่เทียนเฉินจะเติบโตก้าวหน้ามาถึงขั้นนี้ภายในระยะเวลาสั้นๆ เพียงแค่นี้ได้ อยู่นอกเหนือจินตนาการและการคาดเดาของเขาไปแล้ว แต่อย่างไรก็ ตามนี่ไม่ได้หมายความว่าเขาจะกลัวอะไร เขายังสามารถส่งหมอกโลหิตที่มีกระบี่อวี๋ฉางในมือออกไปลงมือได้ นี่อธิบายได้ว่าคุณชายใหญ่ยังมีความคิดที่จะเล่นเป็นครั้งสุดท้าย

ถ้าหากหมอกโลหิตฆ่าเย่เทียนเฉินได้ เช่นนั้นก็แสดงว่าเย่เทียนเฉินยังไม่ควรค่าที่จะให้เขาลงมือ ถ้าหากหมอกโลหิตถูกเย่เทียนเฉินฆ่า เช่นนั้นเขาก็ยิ่งมีความสนใจที่จะฆ่าเย่เทียนเฉิน ส่วนเรื่องความเป็นความตายของหมอกโลหิต เขาย่อมไม่คิดแน่นอน นี่คือส่วนที่วิปลาสของคุณชายใหญ่แห่งมหาวิทยาลัยหลงเถิง

เมื่อเย่เทียนเฉินกลับมาถึงคฤหาสน์ที่ตัวเองอาศัยอยู่ พบว่าในคฤหาสน์ไม่มีแม้แต่คนเดียว หลังจากที่เขาชาร์ตแบตโทรศัพท์แล้วก็นอนลงบนโซฟาในห้องโถงใหญ่อาการบาดเจ็บในร่างกายเกือบหายดีแล้ว ถ้าต้องการรักษาให้หายดีคงจะใช้เวลาประมาณครึ่งเดือน

ติ้งงๆๆๆ!

หลังจากที่โทรศัพท์ได้รับแบตก็เปิดเครื่องโดยอัตโนมัติ เมื่อเปิดเครื่องมาก็มีข้อความส่งมาต่อเนื่อง เย่เทียนเฉินหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู ในนั้นมีข้อความที่หลัวเยี่ยนส่งมาให้เขา และมีข้อความที่ฉีหรูเสวี่ย ซูเฟยเฟย อีกทั้งยังมีเสี้ยวหยาที่ส่งมาให้ เย่เทียนเฉินเปิดอ่านทั้งหมดตามลำดับ โดยเฉพาะข้อความของเสี้ยวหยา เย่เทียนเฉินอ่านอย่างละเอียดเป็นพิเศษ

ข้อความที่หนึ่ง : เทียนเฉิน หลายวันนี้นายไม่ได้มาเรียนยุ่งเหรอรักษาตัวด้วยนะ!

ข้อความที่สอง : ถ้าว่างก็โทรหาฉันหน่อย มีเรื่องจะคุยกับนาย…

เมื่อพบกับความใส่ใจของเสี้ยวหยา เย่เทียนเฉินก็รู้สึกดีใจมาก ไม่ว่าจะกล่าวอย่างไร เสี้ยวหยาก็เหมือนผู้หญิงที่เขารักอย่างลึกซึ้งในดาวสิ้นโลกมาก ยิ่งไปกว่านั้นนิสัยก็อ่อนโยน ในส่วนนี้ทำให้เย่เทียนเฉินรู้สึกว่านี่เป็นโอกาสที่สวรรค์มอบให้เขาอีกครั้งใช่หรือไม่ และต้องการให้เขาดูแลหวงแหน?

เย่เทียนเฉินหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาต่อสายไปหาเสี้ยวหยา ไม่ทราบว่าเพราะเหตุใด กระทั่งโทรศัพท์ดังจนถึงเสียงสุดท้ายแล้วก็ยังไม่มีการตอบรับ เย่เทียนเฉินอดไม่ได้ที่จะกังวลใจขึ้นมา ตั้งแต่ที่ตนออกไปจากเมืองหลวงเพื่อมุ่งหน้าไปทำลายตระกูลเซวียนเยวี๋ยนที่มณฑลชวน จนถึงการเดินทางไปที่ป่าหมอกดำเพื่อช่วยเหลือหานเจี๋ยในครั้งนี้ เป็นเวลาเกือบครึ่งเดือนแล้ว เวลาครึ่งเดือนนี้โทรศัพท์เขาอยู่ในสภาพปิดเครื่องมาโดยตลอด ไม่ได้ติดต่อกับใคร

อาการป่วยของแม่ของเสี้ยวหยาเป็นอย่างไรบ้างแล้ว? ถึงแม้จะมียาหลงสุ่ยที่ไม่สมบูรณ์ของจางอีเต๋อ แต่กระทั่งจางอีเต๋อก็พูดว่า หากหายาหลงสุ่ยที่สมบูรณ์ไม่ได้ แม่ของเสี้ยวหยาก็เรียกได้ว่ากินยาที่ไม่สมบูรณ์ลงไป อาจจะอยู่ได้ไม่นาน สามารถตายไปได้ทุกเมื่อ เนื่องจากยาที่ไม่สมบูรณ์นี้ ถูกเก็บเอาไว้เกือบสิบปีแล้ว ประสิทธิภาพของยาจางหายไปมาก ไม่มีประสิทธิภาพอะไรมากมาย ไม่สามารถทำให้คนใกล้ตายคนหนึ่งมีชีวิตอยู่ต่อไปได้ และยิ่งไม่สามารถยืดอายุออกไปอีกยี่สิบปีเหมือนที่จางอีเต๋อทำให้ท่านผู้นำยุคเปิดประเทศแบบนั้นได้ หากต้องการตามหาหญ้าหลงสุ่ยเพื่อมาหลอมยาหลงสุ่ยใหม่ ถ้าอย่างนั้นก็ดูเหมือนจะเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เลย หลิงชี่ในโลกปัจจุบันนี้แห้งเหือดไปแล้ว เส้นทางบ่มเพาะก็เปลี่ยนไปมาก หญ้าหลงสุ่ยไม่มีนานแล้ว

หญ้าหลงสุ่ยนี้ ไม่ว่าจะเป็นโลกนี้หรือในดาวสิ้นโลกก็เป็นของล้ำค่า สมุนไพรมหัศจรรย์นี้เล่าลือกันว่า ค่อยๆ ก่อกำเนิดจากกระบวนการกที่มังกรวิวัฒนาการครั้งแล้วครั้งเล่า พลังที่แฝงอยู่ยิ่งใหญ่มาก จึงกลายมาเป็นสมุนไพร เมื่อหลอมออกมาเป็นยาหลงสุ่ยก็จะมีประสิทธิภาพทำให้คนตายฟื้นคืนกลับมาได้

มังกรนั้นเดิมทีก็เป็นสัตว์เทพที่เล่าขานกันอยู่ในตำนาน ยุคโบราณของประเทศจีนก็มีส่วนเกี่ยวข้องกับตำนานเล่าขานของมังกรมากมาย นี่เป็นสิ่งที่ทำให้ผู้คนหวาดกลัว การหลิกน้ำพลิกมหาสมุทรหรือถล่มภูเขาทลายพสุธานั้นเป็นเรื่องที่ปกติมาก เสียงคำรามของมังกรครั้งเดียวสามารถทลายไปเก้าชั้นฟ้า ไม่ได้กล่าวเกินจริงเลยแม้แต่น้อย เช่นนั้นบนโลกใบนี้มีมังกรอยู่หรือไม่?

ในตอนที่อยู่ดาวสิ้นโลก เย่เทียนเฉินก็เคยค้นหาเรื่องนี้มาก่อน เนื่องจากตำนานเล่าขานของมังกรของดาวสิ้นโลกเหมือนกับตำนานของโลกใบนี้ เป็นความลึกลับเช่นนั้นเหมือนกัน เรียกได้ว่าทั่วทั้งจักรวาลอันกว้างใหญ่มีตำนานเล่าขานของมังกรเช่นเดียวกันทั้งหมด นั่นก็คือเป็นตัวตนที่ศักดิ์สิทธิ์ ส่วนจะมีลักษณะแบบไหน มีพลังทำลายฟ้าดินอย่างไร ก็ยังไม่มีใครรู้ ความลับในจักรวาลมีมากมายนัก และเป็นสิ่งที่ผู้คนไม่สามารถรับรู้ได้ คุณจะรู้ได้อย่างไรว่าในจักรวาลนี้ไม่มีการดำรงอยู่ของเซียน ไม่มีการดำรงอยู่ของคนเป็นอมตะมีชีวิตยืนยาวไม่แก่ไม่เฒ่า? การถูกปิดกั้นทางความคิดทำให้คนธรรมดามากมายทำได้เพียงใช้ชีวิตเกิดแก่เจ็บตายไปชั่วชีวิต

ในตอนที่เย่เทียนเฉินค้นหาความลึกลับของมังกรตอนที่อยู่ดาวสิ้นโลก มีการค้นพบหนึ่งที่ทำให้ผู้คนต้องตื่นตะลึง นั่นก็คือ ในตำราเล่มหนึ่งมีบันทึกไว้ว่า เดิมทีมังกรก็คือตัวตนที่มีชีวิตเป็นอมตะ มีความสามารถในการดูดซับแก่นแท้ของฟ้าดิน และเรียกได้ว่าสามารถใช้พลังของจักรวาลทั้งหมดได้ จะน่าหวาดกลัวขนาดไหนกัน ยิ่งไปกว่านั้น ถ้าหากมังกรสู้กับผู้แข็งแกร่งในระดับจักรพรรดิ จะแพ้หรือชนะก็ไม่อาจรู้ได้ แน่นอนว่านี่ไม่ใช่ส่วนสำคัญที่สุด ที่สำคัญที่สุดก็คือ ผู้แข็งแกร่งระดับจักรพรรดิทุกคนล้วนเป็นตัวตนที่แข็งแกร่งที่สุดในจักรวาล ยิ่งไปกว่านั้นภายใต้ท้องฟ้านี้มีจะมีจักรพรรดิเพียงหนึ่งเดียว ดังนั้นผู้แข็งแกร่งระดับจักรพรรดิอาจจะมีแค่คนเดียวเท่านั้น ไม่สามารถดำรงอยู่ได้หลายคนในช่วงเวลาเดียวกัน มังกรอาจจะต่อสู้กับผู้แข่งแกร่งระดับจักรพรรดิ ทำให้ผู้คนรู้สึกเหลือเชื่อจริงๆ กระทั่งไม่อาจจินตนาการถึงความแข็งแกร่งได้

เขาโทรหาเสี้ยวหยาสามครั้งติดต่อกันแต่ก็ไม่มีคนรับสาย เย่เทียนเฉินยิ่งรู้สึกกังวลใจขึ้นมาเรื่อยๆ เดินออกไปนอกคฤหาสน์ ขับมอเตอร์ไซค์ของตนมุ่งหน้าไปยังโรงพยาบาลแห่งเมืองหลวง ไม่ได้ไปเยี่ยมมาครึ่งเดือนแล้ว ในใจรู้สึกกังวลอยู่บ้างจริงๆ

ในตอนที่เย่เทียนเฉินมาถึงโรงพยาบาลแห่งเมืองหลวงจนกระทั่งไปถึงห้องผู้ป่วยพิเศษก็พบว่า ห้องผู้ป่วยไม่มีเสี้ยวหยาและแม่ของเธออยู่เลย ในใจของเย่เทียนเฉินอดไม่ได้ที่จะหนักอึ้ง หรือว่าอาการของแม่ของเสี้ยวหยาจะเปลี่ยนแปลงกระทันหัน?

“พี่สาวพยาบาลครับ ผมขอถามหน่อย คนในห้องผู้ป่วยพิเศษล่ะครับ?” เย่เทียนเฉินรีบเดินไปถามพยาบาลที่เคาน์เตอร์

“อ้อ เมื่อคืนอาการของผู้ป่วยในห้องผู้ป่วยพิเศษทรุดตัวลงอย่างกระทันหัน ตอนนี้คงจะทำการช่วยเหลืออยู่ในห้องผ่าตัดค่ะ!” พี่สาวที่เคาน์เตอร์พยาบาลตรวจสอบในคอมพิวเตอร์ครู่หนึ่งแล้วพูดขึ้น

เย่เทียนเฉินไม่พูดพร่ำทำเพลง ขึ้นลิฟท์ไปที่ชั้น 15 ทันที ที่นั่นคือสถานที่สำคัญซึ่งเป็นห้องผ่าตัดของโรงพยาบาลแห่งเมืองหลวง โดยปกติในการผ่าตัดไม่สามารถให้คนทั่วไปเข้าไปที่นี่ได้ ทว่าด้วยการแสดงออกของเย่เทียนเฉินครั้งที่แล้วในโรงพยาบาลแห่งเมืองหลวง ตลอดจนท่าทางของผู้อำนวยการหลินแห่งโรงพยาบาลแห่งเมืองหลวงที่ค่อนข้างเชื่อฟังเป็นพิเศษ ทุกสิ่งทุกอย่างของเสี้ยวหยาและแม่ในโรงพยาบาลนี้ ไม่ต้องคิดเงิน ยิ่งไปกว่านั้นยังให้การดูแลที่ดีที่สุดอีกด้วย ครั้งนี้อาการป่วยทรุดลงอย่างกระทันหัน ผู้อำนวยการหลินเรียกรวมผู้เชี่ยวชาญทั้งหมดในทันที รีบทำการช่วยเหลือแม่ของเสี้ยวหยา ไม่ว่าจะประสบความสำเร็จหรือไม่ อย่างน้อยก็พยายามเต็มที่แล้ว เพื่อหลีกเลี่ยงการตำหนิของเย่เทียนเฉิน พวกเขาไม่สามารถล่วงเกินคนที่โดดเด่นของเมืองหลวงคนนี้ได้

“หยาเอ๋อร์!” เย่เทียนเฉินเห็นเสี้ยวหยานั่งอยู่หน้าห้องผ่าตัดคนเดียวบนเก้าอี้อันเย็นยะเยือก ในใจก็อดไม่ได้ที่จะตกตะลึง เดิมทีนี่เป็นผู้หญิงที่มีใจบริสุทธิ์ เหตุใดสวรรค์จึงทำให้เธอต้องยากลำบากแบบนี้ อิจฉาเช่นนั้นหรือ?

“เทียนเฉิน!”

ในวินาทีที่เสี้ยวหยาเห็นเย่เทียนเฉินก็ควบคุมความโศกเศร้าที่ตนไร้ประโยชน์ไม่ได้อีกต่อไป โถมตัวเข้าไปในอ้อมกอดของเย่เทียนเฉินในพริบตา ร้องไห้ออกมาครั้งใหญ่ ในตอนที่แม่ป่วยหนักเธอไม่รู้ว่าจะพึ่งพาใคร พ่อก็ทำงานห่างจากเมืองหลวงไปไกล นี่เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ ถึงแม้เย่เทียนเฉินจะมอบเงินให้เสี้ยวหยามากมาย แต่มีใครบ้างที่คิดจะรับน้ำใจจากคนอื่นไปชั่วชีวิต? อีกอย่าง พวกเขาจะตอบแทนให้เย่เทียนเฉินอย่างไรได้? ต้องการให้เสี้ยวหยามอบกายให้เหรอ? เกรงว่าเย่เทียนเฉินอาจจะไม่ต้องการ

พ่อแม่ของเสี้ยวหยาเป็นคนที่มีจิตใจดี คิดเพื่อผู้อื่นชั่วชีวิต สามารถสั่งสอนผู้หญิงเหมือนเสี้ยวหยาออกมาได้ พวกเขาซาบซึ้งใจที่เย่เทียนเฉินช่วยเหลือพวกเขา แต่ยังคงต้องการพึ่งพาตัวเอง ดังนั้นพ่อของเสี้ยวหยาจึงไปทำงานที่อื่นในตอนที่อาการป่วยของแม่ของเสี้ยวหยาคงตัวแล้วเพื่อหาเงินให้มากขึ้นเสียหน่อย ไหนเลยจะรู้ว่าอาการป่วยของแม่ของเสี้ยวหยาจะทรุดหนักกระทันหัน เสี้ยวหยารู้ความเป็นอย่างดี เธอจึงรับความขมขื่นนี้เพียงลำพัง ไม่ได้บอกพ่อในทันที เธอรู้ว่าพ่อทำงานอยู่ด้านนอกลำบากเป็นอย่างมาก ไม่สามารถกลับมาในทันทีได้ ถ้าโทรไปก็จะทำให้พ่อเป็นกังวลมากขึ้นเท่านั้น

เพียงแต่จะอย่างไรเธอก็เป็นผู้หญิงคนหนึ่ง ในตอนที่เจอกับเรื่องที่แม่ของเธอใกล้จะสิ้นใจ ความเจ็บปวดในตอนนั้น ความกดดันนั้น อีกทั้งจิตใจที่ไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรนั้น เป็นสิ่งที่คนปกติยากจะรับไหวจริงๆ เย่เทียนเฉินกลายเป็นเสาค้ำยันจิตใจของเสี้ยวหยาเพียงหนึ่งเดียว

“ไม่เป็นไร แม่ของเธอจะต้องไม่เป็นไร อย่าร้องเลย มีฉันอยู่!” เย่เทียนเฉินตบไหล่ของเสี้ยวหยาเบาๆ แล้วพูดปลอบใจ

ไม่พูดไม่ได้ว่าเสี้ยวหยาเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งคนหนึ่งหลัง จากสงบใจของตัวเองได้แล้วก็ฝืนยิ้มพูดกับเย่เทียนเฉินว่า “เทียนเฉิน ขอบคุณนายมากจริงๆ !”

“เด็กโง่ อย่ามาพูดคำพวกนี้กับฉันอีก ต่อไปฉันไม่อยากได้ยินคำว่าขอบคุณนี้อีกแล้วนะ!” เย่เทียนเฉินพูดด้วยรอยยิ้ม

ในตอนนี้เอง ประตูห้องผ่าตัดถูกเปิดออก หมอที่สวมชุดขาวเดินออกมาจากด้านใน ในตอนที่ถอดผ้าปิดปากลงก็พบว่านั่นคือผู้อำนวยการหลิน ผู้อำนวยการหลินเห็นเย่เทียนเฉินก็อดไม่ได้ รีบพูดว่า “คุณชายเย่ คุณมาแล้วเหรอ?”

“อาการของคนป่วยเป็นยังไงบ้างครับ?” เย่เทียนเฉินเอ่ยปากถาม

ผู้อำนวยการหลินมองเย่เทียนเฉินแล้วจึงมองไปที่เสี้ยวหยา ไม่รู้ว่าควรจะเอ่ยปากพูดอะไรไปชั่วขณะ เห็นได้ชัดว่าสถานการณ์ไม่ดี แม้มียาหลงสุ่ยที่ไม่สมบูรณ์ของจางอีเต๋อก็ยังทำให้อาการป่วยของแม่ของเสี้ยวหยาทรุดลงได้ นี่เป็นเพราะอาการป่วยของแม่ของเสี้ยวหยาไปถึงขั้นที่ไม่สามารถย้อนกลับได้แล้วจริงๆ มิฉะนั้นด้วยประสิทธิภาพของยา ไม่ว่าประสิทธิภาพจะสูญเสียไปมากขนาดไหนก็ยังช่วยให้เธอมีชีวิตอยู่ได้อีกปีสองปี

“พูดตามตรงเถอะครับ สิ่งที่ควรเผชิญก็ต้องเผชิญ!” เย่เทียนเฉินโมงไปยังเสี้ยวหยา พยักหน้าแล้วพูดขึ้น

เสี้ยวหยาชะงักไป จากนั้นจึงกัดฟันของตัวเองแน่น มองไปยังเย่เทียนเฉินอย่างชื่นชมแล้วพยักหน้า ในตอนนี้เธอเชื่อผู้ชายคนนี้มาก

“เอาเถอะ อาการของผู้ป่วยไม่ดีนัก อาจจะอยู่ไม่พ้นคืนนี้ เซลล์มะเร็งแพร่ไปทั้งตัวแล้ว…แม้แต่เทพเซียนก็ช่วยไม่ได้!” ผู้อำนวยการหลินพูดอย่างทอดถอนใจแล้วส่ายหน้า

เมืองหลวง ทะเลสาบเล็กๆ ที่คุณชายใหญ่แห่งมหาวิทยาลัยหลงเถิงอาศัยอยู่ ไม่ทราบว่าคุณชายใหญ่หวนนึกถึงเรื่องในอดีตหรือคนคนนี้มีนิสัยรักสันโดษ จิตใจมีปัญหาอยู่บ้าง ยังคงนั่งตกปลาอยู่ริมทะเลสาบ ทั่วทั้งทะเลสาบไม่มีการคุ้มกันอะไร สำหรับคนที่แข็งแกร่งจนถึงขั้นของคุณชายใหญ่แห่งมหาวิทยาลัยหลงเถิง เรื่องของบอดี้การ์ดคุ้มครองอะไรนั่น หรือบอดี้การ์ดชั้นหนึ่งพวกนั้น เขาไม่ต้องการนานแล้ว หากมีคนพวกนี้ ก็เป็นได้แค่ของฟุ่มเฟือยเท่านั้น

ความแข็งแกร่งของคุณชายใหญ่แห่งมหาวิทยาลัยหลงเถิงเป็นเรื่องที่ไม่จำเป็นต้องสงสัย เคยมีเรื่องเล่าขานกันว่า ในช่วงเขาที่อายุเพิ่งจะสามสิบปีก็สามารถเข้าสู่ทำเนียบเซียนได้แล้ว และเป็นหนึ่งในสิบคนที่แข็งแกร่งที่สุดในโลก นี่เป็นเรื่องเหลือเชื่อมากขนาดไหนกัน แข็งแกร่งจนถึงขั้นนี้ คุณชายใหญ่ปกป้องตัวเองได้ดีที่สุดแน่นอน

ยิ่งเย่เทียนเฉินเข้าใจมากขึ้นก็ยิ่งรู้สึกว่าคุณชายใหญ่แห่งมหาวิทยาลัยหลงเถิงลึกล้ำไม่อาจคาดเดา นี่เป็นคู่ต่อสู้ที่สามารถมอบอุปสรรคให้แก่เขาได้จริงๆ และเป็นไปได้มากว่าจะกลายเป็นศัตรูตัวฉกาจที่แท้จริงของเขา ดังนั้นเรื่องการต่อสู้กับคุณชายใหญ่ เย่เทียนเฉินจะต้องระมัดระวังให้มาก นี่เป็นคู่ต่อสู้ที่ไม่สามารถดูถูกได้เลย

“คุณชายครับ ทางชายแดนป่าหมอกดำมีข่าวมา เย่เทียนเฉินฆ่าซาโต้ไปแล้ว!” โม๋สู่เดินมาเบื้องหลังคุณชายใหญ่แล้วเอ่ยปากกล่าว

“ในสำนักโฮคุชินอิตโตริว ซาโต้อยู่ในสิบอันดับแรก ความสามารถแข็งแกร่งมาก ต่อให้เป็นฉันหากไม่ได้สู้กับเขาอย่างเอาจริงเอาจังก็ยังฆ่าเขาไม่ได้ ความสามารถของเย่เทียนเฉินเพิ่มขึ้นเร็วจริงๆ!” คุณชายใหญ่ขมวดคิ้วพูด

โม๋สู่ชะงักไปครู่หนึ่ง เขาติดตามข้างกายคุณชายใหญ่มาเกือบสิบปีแล้ว ถึงแม้เขาจะไม่เคยเห็นคุณชายใหญ่ลงมือ แต่ก็รู้ว่าผู้ชายที่อายุเพียงสามสิบปีคนนี้แข็งแกร่งเพียงพอที่จะทำให้ผู้คนต้องตัวสั่น ผู้มีพลังพิเศษห้าธาตุ บ่มเพาะเคล็ดวิชาพลังพิเศษห้าประเภทหลักในเวลาเดียวกัน และแต่ละสายก็สามารถใช้เคล็ดวิชาสังหารที่แข็งแกร่งออกมาได้ น่าหวัดกลัวขนาดไหนกัน?

หากเย่เทียนเฉินรู้ว่าคุณชายใหญ่ฝึกฝนเคล็ดวิชาพลังพิเศษห้าธาตุแล้ว และพลังพิเศษทั้งห้าธาตุในร่างกายก็ถูกกดข่มเอาไว้ จะต้องตื่นตะลึงครั้งใหญ่เป็นแน่ ไม่ต้องพูดถึงโลกนี้เลย ต่อให้เป็นดาวสิ้นโลก ผู้มีพลังพิเศษแบบนี้ก็มีน้อยยิ่งกว่าน้อย ผู้มีพลังพิเศษห้าธาตุแข็งแกร่งโดยกำเนิด เล่ากันว่าผู้มีพลังพิเศษแบบนี้ขอเพียงไม่มีปัญหาใหญ่อะไร คอยกดพลังพิเศษทั้งห้าธาตุที่ไม่เหมือนกันนี้เอาไว้ในร่างกาย เมื่อเป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆ ก็จะกลายเป็นผู้แข็งแกร่งในระดับจักรพรรดิ

ผู้แข็งแกร่งระดับจักรพรรดิ ทำลายความว่างเปล่า เหยียบย่ำดวงดาวเป็นผุยผง ไล่ตามเส้นทางแห่งชีวิตอมตะ กลายเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในโลก นี่คือระดับที่ทำให้ผู้บ่มเพาะใดก็ตามต้องเงยหน้ามอง ผู้แข็งแกร่งระดับจักรพรรดิที่เย่เทียนเฉินเคยรู้จักในตำนานมีเพียงหลี่ไป๋เท่านั้น

หลี่ไป๋เป็นผู้แข็งแกร่งระดับจักรพรรดิเพียงคนเดียวในดาวสิ้นโลก ได้ยินว่าเขาสามารถเด็ดดวงดาวคว้าดวงจันทร์ได้ อาศัยเพียงกายเนื้อก็สามารถท่องเที่ยวไปในจักรวาลได้ ออกห่างจากเส้นทางแห่งชีวิตอมตะที่ดาวสิ้นโลกตามหานานแล้ว ต่อให้เป็นผู้แข็งแกร่งแบบเขาก็มีอายุไม่เกินหมื่นปี ชีวิตยืนยาวกลายเป็นเป้าหมายอันนิรันดร์ของผู้บ่มเพาะไปแล้ว จักรวาลกว้างใหญ่ ความลับมากมาย มีอีกหลายสถานที่ที่ไม่เคยถูกเหยียบย่างเข้าไป รอให้ผู้คนไปค้นหา

“ความสามารถของเย่เทียนเฉินจะเติบโตได้รวดเร็วขนาดไหนก็ไม่ใช่คู่มือของคุณชายใหญ่หรอกครับ!” โม๋สู่เอ่ยปากพูด

คุณชายใหญ่แห่งมหาวิทยาลัยหลงเถิงชะงักไป ส่ายหน้าแล้ววางคันเบ็ดในมือลง พูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยว่า “โม๋สู่ ฉันจำได้ว่าแกไม่ใช่คนที่ชอบประจบสอบพอ ยิ่งไปกว่านั้น ที่แกเป็นที่ปรึกษาข้างกายฉันได้ไม่ใช่แค่เพราะแกฉลาดอย่างเดียว ที่สำคัญก็คือแกพูดความจริงกับฉัน ไม่เคยประจบประแจง ฉันคิดว่าแกคงลืมจุดนี้ไปแล้ว…”

เมื่อได้ยินคำพูดของคุณชายใหญ่ โม๋สู่ก็ชะงักไปทั้งร่าง ต่อมาจึงรีบคุกเข่าลงกับพื้น ติดตามคุณชายใหญ่ที่แข็งแกร่งที่สุดคนนี้มานานหลายปี โม๋สู่ย่อมเข้าใจคุณชายใหญ่ดี คุณชายใหญ่ที่ดูเหมือนจะไม่เคยโกรธคนนี้ ขอเพียงเขาไม่พอใจขึ้นมา ไม่ว่าคนเบื้องล่างจะเป็นใครเขาก็จะฆ่าไม่เว้น ต่อให้เขาจะติดตามข้างกายคุณชายใหญ่มาสิบปีแล้ว ทำผลงานไปไม่น้อย แต่ก็ไม่สามารถรับประกันได้ว่าคุณชายใหญ่จะไว้ชีวิตเขา

“คุณชายใหญ่ ผม…” โม๋สู่พูดด้วยน้ำเสียงอันสั่นเทา

“ครั้งนี้ถือว่าฉันเตือนแก ถ้าครั้งต่อไปยังเป็นแบบนี้ แกก็ทำได้แค่ไปเป็นอาหารปลาในทะเลสาบ ยอมให้แกติดตามฉันต่อก็นับว่าเป็นการตอบแทนที่แกอยู่ข้างกายฉันมาสิบปีนี้แล้ว!” คุณชายใหญ่พูดอย่างเย็นชา

“ครับคุณชาย ขอบคุณที่ไม่ฆ่า!” โม๋สู่พูดเสียงสั่น

ตอนนี้เอง คุณชายใหญ่แห่งมหาวิทยาลัยหลงเถิงหยิบคันเบ็ดขึ้นมาอีกครั้ง โยนเบ็ดตกปลาที่ยังไม่ได้เกี่ยวเหยื่อลงไปในทะเลสาบ มองไปยังทะเลสาบที่ไม่ใหญ่นัก พลังพิเศษแห่งการรับรู้ของคุณชายใหญ่พลันเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ครอบคลุมทุกสิ่งทุกอย่างเอาไว้ทั้งหมด ตั้งแต่ที่เขาเริ่มต้นบ่มเพาะพลังพิเศษทั้งห้าธาตุที่แตกต่างกันก็ไม่ได้ลงมืออีก บางทีในช่วงเวลาวัยหนุ่มที่บ้าคลั่งเขายังต้องการสู้กับคนทั้งสิบที่แข็งแกร่งที่สุดในโลกอยู่ อยากเห็นว่าในตอนที่ตูนอายุไม่ถึงสามสิบปีจะเข้าสู่ทำเนียบคนที่แข็งแกร่งที่สุดในโลกทั้งสิบได้หรือไม่

แต่ภายหลังคุณชายใหญ่ก็ยอมแพ้ เขาไม่ได้ทำแบบนี้เนื่องจากไม่จำเป็น บางทีเขาอาจจะไม่ใช่คนที่แข็งแกร่งที่สุดในโลก แต่เป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุดในประเทศจีน ควบคุมหลายสิ่งหลายอย่างเอาไว้ในมือ ถ้าหากเขาต้องการ บางทีประเทศจีนก็คงถูกเขาควบคุมอยู่ในมือด้วย นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่การคุยโว ผู้แข็งแกร่งที่บ่มเพาะเคล็ดวิชาพลังพิเศษทั้งห้าธาตุสามารถพูดได้ว่าเมื่อกลายเป็นระดับจักรพรรดิก็จะกลายเป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุดในจักรวาล มีแค่ตัวเองที่น่าเคารพยกย่อง ดวงดาวเล็กๆ ดวงหนึ่ง เพียงแค่ยกมือก็ทำลายได้ ไม่ต้องพูดถึงการควบคุมประเทศหนึ่งเลย

เมื่อกล่าวถึงขอบเขตความสามารถในปัจจุบันของคุณชายใหญ่ ได้เหยียบย่างเข้าสู่ระดับจักรพรรดิแล้ว ย่อมแข็งแกร่งอย่างแน่นอน รวมกับที่เขาบ่มเพาะเคล็ดวิชาพลังพิเศษทั้งห้าธาตุพร้อมกัน ภายในร่างกายมีพลังที่ไม่เหมือนกันทั้งห้าสายซ่อนอยู่ ทุกธาตุจะประสานเป็นเคล็ดวิชาสังหาร นี่จะแข็งแกร่งขนาดไหนกัน? จินตนาการได้เลย ตอนนี้เย่เทียนเฉินสามารถใช้เคล็ดวิชาพลังพิเศษได้สามธาตุ แต่ละธาตุสามารถประสานเป็นเคล็ดวิชาสังหารได้ นี่ก็สามารถสังหารศัตรูที่มีขอบเขตพลังสูงกว่าเขาได้แล้ว เช่นนั้นคุณชายใหญ่จะแข็งแกร่งขนาดไหนกัน? เกรงว่าทำได้เพียงใช้คำว่าวิปลาสมาบรรยายแล้ว!

“เอาเถอะ เรียกหมอกโลหิตมา ครั้งนี้ฉันจะให้เขาลงมือ ถ้าหากแม้แต่เขาก็ฆ่าเย่เทียนเฉินไม่ได้ ฉันก็จะลงมือด้วยตัวเอง แบบนั้นถึงจะควรค่าให้ฉันลงมือ!” คุณชายใหญ่พูดด้วยรอยยิ้ม

“ครับ!” โม๋สู่พยักหน้าแล้วถอยออกไป

เพียงไม่นานคนที่ถูกปกคลุมด้วยหมอกโลหิตก็เข้ามายืนอยู่ด้านหลังคุณชายใหญ่ พูดขึ้นด้วยเสียงเย็นชาเสียดแทงหู “คุณชายใหญ่ คุณเรียกผมเหรอครับ?”

“หมอกโลหิต กระบี่อวี๋ฉางอยู่ในมือแกหรือเปล่า?” คุณชายใหญ่เอ่ยปากถาม

“อยู่ในมือผม ความหมายของคุณชายใหญ่คือ…” หมอกโลหิตชะงักไป

“ใช้มันไปนำหัวของเย่เทียนเฉินกลับมาซะ ถ้าหากเอากลับมาไม่ได้แกก็ไม่ต้องกลับมาอีก ฉันจะไปลงมือด้วยตัวเอง!” คุณชายใหญ่พูดอย่างเรียบเฉย

“ทราบแล้วครับคุณชายใหญ่ จริงสิ คนของสำนักโฮคุชินอิตโตริวต้องการพบคุณ!” หมอกโลหิตพูด

คนของสำนักโฮคุชินอิตโตริวมีการติดต่อกับคุณชายใหญ่แห่งมหาวิทยาลัยหลงเถิง ตอนนั้นที่มู่หรงอวี๋ตูเกือบถูกฆ่าที่บ้านตระกูลจางก็เป็นเพราะคุณชายใหญ่ส่งคนไป เป็นเขาที่จ้างวานพวกคาเมดะอิจิโร่ เนื่องจากบรรพบุรุษของคุณชายใหญ่มีแค้นกับตระกูลมู่หรง ดังนั้นคุณชายใหญ่จึงต้องการฆ่าคนของตระกูลมู่หรงให้หมด มีเพียงเรื่องพวกนี้ที่ต่อให้เขาจะแข็งแกร่งก็ต้องวางแผนระยะยาว ไม่สามารถแก้ไขตามอำเภอใจได้

ครั้งนี้สำนักโฮคุชินอิตโตริวมาที่ชายแดนป่าหมอกดำ คิดที่จะฆ่าทหารหน่วยรบพิเศษบริเวณชายแดนของประเทศจีนให้หมด ในขณะเดียวกันก็ต้องการรับรู้สถานการณ์ของทหารหน่วยรบพิเศษบริเวณชายแดนป่าหมอกดำด้วย นอกจากนี้ยังส่งผู้แข็งแกร่งเช่นซาโต้ มาไหนเลยจะรู้ว่าการไปของเย่เทียนเฉินและชางหลางจะทำลายแผนการของประเทศชิบะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสิ่งที่ทุกทำให้ทุกคนคิดไม่ถึงก็คือ เย่เทียนเฉินจะถึงกับฆ่าซาโต้ได้ นี่ทำให้เกิดคลื่นลมรุนแรงในประเทศชิบะ และเป็นความอัปยศสูงสุดในรอบร้อยปีของสำนักโฮคุชินอิตโตริว ดังนั้นพวกเขาจะต้องแก้แค้นแน่นอน และเย่เทียนเฉินก็จะต้องเป็นเป้าหมายอันดับหนึ่งที่พวกเขาจะแก้แค้น การฆ่าซาโต้แล้วนับเป็นการตบหน้าสำนักโฮคุชินอิตโตริวอย่างสิ้นเชิง พวกเขาไม่อาจกล้ำกลืนได้

ตอนนี้เย่เทียนเฉินกลับมาที่ประเทศจีนแล้ว คนของสำนักโฮคุชินอิตโตริวแห่งประเทศชิบะคิดจะแก้แค้นให้ซาโต้ คิดจะล้างความอัปยศ จึงจำเป็นต้องเข้ามายังประเทศจีนเพื่อฆ่าเย่เทียนเฉิน อย่างที่รู้กันดีว่า หลายปีมานี้ด้วยการพัฒนาที่ราวกับติดตีของประเทศจีน ไม่เพียงแต่พลังความสามารถในด้านต่างๆ จะพัฒนาขึ้นมากจนไม่ใช่ประเทศที่อ่อนแอขี้โรคเหมือนเมื่อก่อนแล้ว ตอนนี้ไม่ว่าประเทศใดซึ่งรวมไปถึงประเทศ M ต่างคิดจะใช้มาตรการต่างๆ นานากับประเทศจีน นั่นนับเป็นการชั่งน้ำหนัก ดังนั้นหากคนของสำนักโฮคุชินอิตโตริวแห่งประเทศชิบะคิดจะเข้ามาที่ประเทศจีนเป็นเรื่องที่ไม่ง่ายเลย ถ้าถูกพบไม่เพียงแต่ฆ่าเย่เทียนเฉินไม่ได้ แต่ยังเป็นไปได้มากว่าจะถูกยอดฝีมือของประเทศจีนล้อมฆ่า

นี่เป็นสาเหตุที่ว่าทำไมคนของสำนักโฮคุชินอิตโตริวจึงมาหาคุณชายใหญ่ ก่อนหน้านี้คุณชายใหญ่เคยใช้พวกคาเมดะอิจิโร่ไปสังหารมู่หรงอวี๋ตู ถึงแม้จะล้มเหลวเพราะเย่เทียนเฉิน แต่ไม่ว่าจะพูดอย่างไรก็มีการติดต่อสัมพันธ์กันืยิ่งไปกว่านั้นคุณชายใหญ่คนนี้เป็นคนที่ไม่สามารถใช้ความคิดปกติมารับมือได้ ถ้าหากมีความช่วยเหลือจากเขา ต้องการฆ่าเย่เทียนเฉินก็สำเร็จไปกว่าครึ่งแล้ว

“คนของสำนักโฮคุชินอิตโตริวต้องการฆ่าเย่เทียนเฉินเพื่อแก้แค้นให้ซาโต้ ความจริงพวกเขาไม่ได้คิดแก้แค้นให้ซาโต้หรอก แค่คิดจะปกป้องหน้าตาของสำนักโฮคุชินอิตโตริวเท่านั้น” คุณชายใหญ่พูดอย่างเย็นชา

“ถ้างั้นความหมายของคุณชายใหญ่คือ…”

“ช่วยคนของสำนักโฮคุชินอิตโตริวให้พวกเขาเข้าประเทศจีนได้อย่างสะดวกราบรื่น พวกเขาคิดจะมาเท่าไหร่ก็ให้มาเท่านั้น ทางที่ดีให้จักรพรรดิดาบมาด้วยเลย แบบนั้นฉันก็ไม่ต้องไปทดสอบฝีมือจักรพรรดิดาบถึงประเทศชิบะแล้ว อยากดูซะหน่อยว่าผู้แข็งแกร่งสามอันดับแรกของโลกนี้จะแข็งแกร่งขนาดไหน!” คุณชายใหญ่พูดอย่างยินดี

“ทราบแล้วครับคุณชายใหญ่!”

หมอกโลหิตถอยกลับไป การต่อสู้ครั้งใหญ่ระหว่างเย่เทียนเฉินและคุณชายใหญ่แห่งมหาวิทยาลัยหลงเถิงใกล้เข้ามาเรื่อยๆ แล้ว ไม่เพียงแต่คุณชายใหญ่ที่รู้สึกว่าเย่เทียนเฉินแข็งแกร่ง เย่เทียนเฉินก็รู้สึกว่าคุณชายใหญ่ลึกล้ำไม่อาจคาดเดาเช่นกัน ยิ่งไปกว่านั้นการต่อสู้ระหว่างคนทั้งสองไม่อาจหลีกเลี่ยงได้โดยสิ้นเชิง การดวลกับคุณชายใหญ่จะทำให้เย่เทียนเฉินมีความรู้สึกถึงความเป็นความตายดังเช่นที่ตอนยังไม่ต่อสู้ไม่มี

“ฆ่าเถอะ เย่เทียนเฉิน ฉันหวังให้แก่ฆ่าคนของสำนักโฮคุชินอิตโตริว ทางที่ดีก็ฆ่าหมอกโลหิตไปด้วยเลย ถ้าเป็นแบบนั้นฉันก็จะยิ่งอยากฆ่าแกโดยไม่ปล่อยเอาไว้!” คุณชายใหญ่พูดออกมาด้วยรอยยิ้มโหดเหี้ยม

เห็นได้ชัดว่า หากต้องการไปกำจัดสำนักโฮคุชินอิตโตริวแห่งประเทศชิบะเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ ครั้งนี้พวกชางหลางฆ่าราชานักฆ่าอายุน้อยทั้งสี่คนของสำนักโฮคุชินอิตโตริวไป อีกทั้งเย่เทียนเฉินยังฆ่าซาโต้ จะต้องสั่นสะท้านไปทั้งสำนักโฮคุชินอิตโตริวแน่นอน กระทั่งสั่นสะท้านไปทั่วทั้งประเทศชิบะ

ซาโต้มีฐานะเป็นหนึ่งในสิบผู้อาวุโสของสำนักโฮคุชินอิตโตริว เรียกได้ว่าตำแหน่งสูงอำนาจมาก ความสามารถก็แข็งแกร่งห้าวหาญเป็นอย่างมาก แต่ครั้งนี้ถึงกับถูกเย่เทียนเฉินฆ่าตาย จะต้องถูกสำนักโฮคุชินอิตโตริวแก้แค้นแน่นอน และทางด้านประเทศจีนก็ต้องคว้าโอกาสนี้ไว้ ถือโอกาสไปแก้แค้นฆ่าพวกปีศาจน้อยให้หมด

“เทียนเฉิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งนาย นายฆ่าซาโต้ไปแล้ว เกรงว่าครั้งนี้สำนักโฮคุชินอิตโตริวจะต้องทำการแก้แค้นแน่นอน และพุ่งเป้าไปที่นาย!”

ผู้นำสูงสุดมองไปที่เย่เทียนเฉิน กล่าวเตือนด้วยความใส่ใจ จะอย่างไรเย่เทียนเฉินก็เป็นคนมีความสามารถที่นับว่าหาได้ยากสำหรับประเทศจีน มีค่าที่จะให้ใช้งาน

“วางใจเถอะครับ สิบสามจ้าวสวรรค์ของผมก็ไม่ได้สร้างมาเปล่าๆ ยิ่งสำนักโฮคุชินอิตโตริวแข็งแกร่งก็ยิ่งสามารถใช้เป็นคู่มือฝึกฝนพวกเขาได้!” เย่เทียนเฉินพยักหน้าแล้วพูดขึ้น

ผู้นำสูงสุดพยักหน้า เขารู้สึกชื่นชมเย่เทียนเฉินจริงๆ รู้สึกว่าบนร่างของคนคนนี้มีบรรยากาศของอันธพาลอยู่ อีกทั้งมีความเอาแต่ใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตอนที่เผชิญหน้ากับความยากลำบากและศัตรูที่แข็งแกร่ง แต่ไหนแต่ไรเขาก็ไม่เคยหวาดกลัวและขี้ขลาด บนใบหน้ามีรอยยิ้มไร้พิษภัยอยู่ตลอด

“ท่านผู้นำครับ สิ่งที่ควรค่าให้สนใจก็คือ ดูเหมือนว่าประเทศชิบะจะวิจัยและพัฒนายาปรับเปลี่ยนพันธุกรรมฉับพลันออกมา สามารถทำให้กำลังของมนุษย์ปะทุออกมาได้ในพริบตา หากประเทศชิบะใช้ยานี้ในการทำสงคราม จะไม่เป็นผลดีต่อพวกเรา!” ชางหลางคิดถึงยาปรับเปลี่ยนพันธุกรรมที่ซาโต้ใช้ รู้สึกว่าร้ายกาจมาก ระหว่างทางที่เดินทางกลับเย่เทียนเฉินได้อธิบายเรื่องที่ซาโต้ใช้ยาปรับเปลี่ยนพันธุกรรมฉับพลันให้ชางหลางฟังแล้ว ทำให้พวกชางหลางตกใจจนพูดอะไรไม่ออก แข็งแกร่งมากจริงๆ ความสามารถไม่ได้เพิ่มขึ้นแค่ขอบเขตเดียวเท่านั้น

“เรื่องยาปรับเปลี่ยนพันธุกรรมฉับพลันนี้ฉันเองก็เคยได้ยินมาก่อน ถึงแม้จะสามารถเพิ่มพลังการสู้รบให้คนที่ใช้ได้ในพริบตา แต่ผลข้างเคียงก็มีมาก อย่างเบาก็ร่างกายพิการ อย่างหนักก็ตัวระเบิดตาย คิดไม่ถึงว่าประเทศชิบะจะโหดเหี้ยมขนาดนี้ ให้คนของตัวเองใช้ยาโดยไม่เสียดายทุกสิ่งทุกอย่างที่ต้องจ่ายออกไป!” ท่านผู้นำขมวดคิ้วแล้วพูดขึ้น

ไม่กล่าวได้ไม่ได้ว่า ยาปรับเปลี่ยนพันธุกรรมฉับพลันที่ประเทศชิบะวิจัยและพัฒนาออกมานี้ นับว่าเป็นการทะลวงครั้งใหญ่ แต่ยาปรับเปลี่ยนพันธุกรรมฉับพลันนี้อำมหิตเป็นอย่างมาก และเรียกได้ว่ากระหายเลือดด้วย นั่นเป็นเพราะต้องอาศัยการเผาผลาญพลังชีวิตในร่างกายของผู้ใช้ เพียงพริบตาเดียวก็สามารถกระตุ้นพลังได้ไปถึงระดับสูง ทำให้พลังการต่อสู้ของผู้ใช้พัฒนาขึ้นระดับใหญ่ กระโดดข้ามขอบเขตความสามารถไปหลายระดับ แต่อย่างไรการใช้พลังชีวิตจนเกินตัวนี้ อย่างเบาก็ทำให้อายุสั้นเล็กน้อย อย่างหนักก็เป็นเหมือนกับซาโต้ กลืนกินตัวเอง กระทั่งศพก็ไม่เหลือ อำมหิตจนพูดไม่ออก

นิสัยใจคอของคนประเทศชิบะโหดเหี้ยมอำมหิตมาก เพื่อบรรลุจุดประสงค์บางอย่าง พวกเขาไม่เสียดายที่จะแลกเปลี่ยนด้วยทุกสิ่งทุกอย่าง ต่อให้ต้องเสียสละคนที่สนิทสนมมากที่สุดก็ยังคงไม่เสียดาย หากมีวันหนึ่ง เมื่อสงครามมาถึงอีกครั้ง ทหารบกของประเทศชิบะใช้ยาปรับเปลี่ยนพันธุกรรมฉับพลันพร้อมเพรียงกัน ถ้าเช่นนั้นก็จะกลายเป็นขุมพลังที่ไม่มีใครต้านได้ แล้วจะรับมือได้อย่างไร? จะต้องเป็นความยากลำบากของประเทศจีนหรือเป็นความยากลำบากไปทั่วทั้งโลกแน่นอน

“ที่สำคัญก็คือปีศาจพวกนี้โหดเหี้ยมมาก การเสียสละคนของตนเป็นเรื่องที่พบเจอได้ทั่วไป!” หานเจี๋ยก็ขมวดคิ้วพูด

“เรื่องนี้ผมคิดว่าสามารถเปิดเผยให้แก่ประเทศ M ได้ จะอย่างไรประเทศ M ในตอนนี้ก็เป็นประเทศที่แข็งแกร่งที่สุดในโลก ทำไมพวกเราไม่ยืมพลังของประเทศ M มากดดันประเทศชิบะล่ะครับ ทำให้การผลิตยาปรับเปลี่ยนพันธุกรรมฉับพลันของพวกมันหยุดชะงัก ก็เหมือนกับที่ไม่อนุญาตให้ประเทศชิบะมีอาวุธนิวเคลียร์ในครอบครอง!” เย่เทียนเฉินคิดครู่หนึ่งแล้วพูดขึ้น

เมื่อได้ยินคำพูดนี้ของเย่เทียนเฉิน ชางหลางและหานเจี๋ยก็ดวงตาสว่างวาบ พวกเขารู้สึกแปลกใจจริงๆ เย่เทียนเฉินยังอายุน้อย อีกทั้งตลอดมาก็ดูเหมือนคนที่ไม่มีการศึกษา ถึงกับสามารถคิดแผนการแบบนี้ออกมาในระยะเวลาสั้นๆ แค่นี้ได้ ลองยืมพลังมาระงับการวจัยยาปรับเปลี่ยนพันธุกรรมฉับพลันของประเทศชิบะ แล้วยังไม่ส่งผลกระทบตอบประเทศจีนด้วย เป็นแผนการที่ไม่เลวเลยจริงๆ

โลกในปัจจุบันนี้ ประเทศ M เป็นเป็นประเทศมหาอำนาจ ไม่อนุญาตให้ประเทศอื่นแข็งแกร่งกว่า ส่วนประเทศชิบะ หลังจากพ่ายแพ้ในสงครามก็ถูกกดดันมาโดยตลอด การที่พัฒนายาปรับเปลี่ยนพันธุกรรมฉับพลันนี้ออกมาก็เพื่อต้องการต่อต้าน เรื่องอาวุธนิวเคลียร์เป็นไปไม่ได้แล้ว เมื่อมีการพัฒนาขึ้นมาแต่ละประเทศก็จะต่อต้าน จะอย่างไรอาวุธประเภทนี้ก็มีพลังในการฆ่าล้างมากเกินไป ถึงกับสามารถทำลายทั้งโลกได้ ไม่ว่าใครก็ไม่กล้าปล่อยให้ประเทศอื่นมีมากจนเกินไปนัก

ดังนั้นเมื่อประเทศ M รู้ว่าประเทศชิบะวิจัยและพัฒนายาปรับเปลี่ยนพันธุกรรมฉับพลันนี้ออกมา กระทั่งทำให้ผู้คนรู้สึกว่าน่าหวาดกลัวยิ่งกว่าอาวุธนิวเคลียร์ เช่นนั้นจะต้องหยุดยั้งแน่นอน เมื่อถึงตอนนั้น หากประเทศ M และประเทศชิบะตีกันจะเป็นเรื่องดีที่สุด ประเทศจีนก็สามารถนั่งดูความเปลี่ยนแปลง เมื่อเห็นโอกาสก็ลงมือ!

“ข้อเสนอไม่เลวเลย แต่ฉันคิดว่าอีกไม่นานสำนักโฮคุชินอิตโตริวก็จะมีการเคลื่อนไหวแล้ว เทียนเฉิน ไม่งั้นให้พวกยอดฝีมือระดับทัพฟ้าอย่างพวกเฮยเมี่ยนหลายคนร่วมมือปฏิบัติการณ์ด้วยกันกับนาย กำจัดกลุ่มคนที่มาลอบโจมตีพวกนี้ให้หมดเป็นไง!” ท่านผู้นำเอ่ยปากพูด

“ช่างเถอะ พวกทารกเฮยเมี่ยนพวกนี้ยุ่งมาก ผมจัดการเองได้!” เย่เทียนเฉินยักไหล่แล้วพูดขึ้น

“ทารกดำ?” ท่านผู้นำอดไม่ได้ที่จะกล่าวถามด้วยท่าทางชะงักไป

“ท่านผู้นำ เป็นเฮยเมี่ยนครับ ไอ้หนูเย่เทียนเฉินนี่ตั้งฉายาให้ว่าทารกดำ…เฮยเมี่ยนโกรธจนจะระเบิดอยู่แล้ว!” ชางหลางพูดขึ้นพลางมองไปยังเย่เทียนเฉินอย่างจนใจ

“ฮ่าๆ เฮยเมี่ยนก็ดำมากจริงๆ ถ้าไม่ดูให้ดีก็มองไม่ออกเลยว่าเขาเป็นคนผิวเหลือง คิดว่าเป็นคนที่มาจากแอฟริกา ทารกดำ ฉายานี้เหมาะมาก!” ท่านผู้นำอดไม่ได้ที่จะพูดด้วยรอยยิ้ม

ในตอนนี้ชางหลางแทบทรุด เขารู้สึกเศร้าใจแทนเฮยเมี่ยน ต้องพูดว่าฉายานี้ที่เย่เทียนเฉินตั้งให้เขาเมื่อก่อนค่อยๆ ถูกใครหลายคนเรียกขานแล้ว ในใจของเขาจะต้องไม่พอใจมากแน่ ตอนนี้กระทั่งท่านผู้นำก็ยังพูดแบบนี้ เหมาะสมมาก เกรงว่าเขาเฮยเมี่ยนจะไม่อาจหลุดพ้นจากฉายา “ทารกดำ” นี้ไปได้ชั่วชีวิต นั่นเป็นเรื่องที่ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้แล้ว

“เห็นหรือเปล่า ผมตาแหลมมาก ท่านผู้นำก็ตาแหลมเหมือนกันกับผมเลย พวกเราคิดเหมือนกัน!” เย่เทียนเฉินหัวเราะแล้วพูดขึ้น

“เอาล่ะ พวกเธอออกไปก่อนเถอะ ฉันมีเรื่องต้องจัดการ” ท่านผู้นำพูดด้วยรอยยิ้ม

เย่เทียนเฉิน ชางหลางและหานเจี๋ยเดินออกไปจากตึกทำงานของท่านผู้นำ ด้านนอกมีรถทหารรออยู่สองคันแล้ว เพิ่งจะเดินออกมา เฮยเมี่ยนก็เดินเข้ามาหา ในตอนที่เห็นเย่เทียนเฉิน เฮยเมี่ยนก็มีสายตาไม่พอใจ แต่ทันใดนั้นเขาพบว่าชางหลางถึงกับใช้สายตาโศกเศร้ามองมาที่เขา กระทั่งหานเจี๋ยก็ยังแอบยิ้ม

“นี่มันสายตาอะไรกัน?” เฮยเมี่ยนมองชางหลางแล้วเอ่ยถาม

“ทารกดำ สวัสดี!” ชางหลางก็อดไม่ได้ที่จะพูดขึ้นแล้วส่ายหน้า

“อ้อ? ฉัน…” เฮยเมี่ยนแทบจะกระอักเลือดออกมา กระทั่งชางหลางที่เป็นคนเคร่งครึ้มแบบนี้ก็ยังเรียกเขาด้วยฉายานี้แล้ว ไม่รู้จริงๆ ว่าเย่เทียนเฉินมีผลกระทบกับเขาถึงขั้นไหน

“ไม่ต้องหดหู่ไป ทารกดำ ฉายานี้เหมาะมาก…” เย่เทียนเฉินก็แสร้งทำท่าทางเห็นใจออกมา ตบไหล่เฮยเมี่ยนแล้วพูดขึ้น

ฟุ่บ!

เดิมทีเฮยเมี่ยนก็ไม่พอใจเย่เทียนเฉินคนนี้อยู่แล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงนี้เย่เทียนเฉินโดดเด่นมาก กระทั่งเขาที่เป็นขุนพลระดับทัพฟ้าก็ถูกบดบังรัศมี ยิ่งไปกว่านั้นฉายา “ทารกดำ” ก็แพร่ออกไปไกล เขาเฮยเมี่ยนทำได้เพียงกล้ำกลืนไร้ซึ่งคำพูด

ตู้ม!

เย่เทียนเฉินและเฮยเมี่ยนประหมัดกัน ทั้งสองยืนอยู่กับที่ไม่ขยับเขยื้อน เฮยเมี่ยนโกรธจนทนไม่ไหว แต่เย่เทียนเฉินกลับหัวเราะฮี่ๆ ชางหลางรีบเข้ามายืนระหว่างคนทั้งสอง ขวางพวกเขาเอาไว้ ถ้าสองคนนี้ตีกันขึ้นมาคงแย่แน่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่นี่ ไม่ถูกทำโทษหนักก็แปลกแล้ว

“เฮยเมี่ยน นายออย่าได้ทำอะไรบุ่มบ่าม ที่นี่เป็นที่ทำงานของท่านผู้นำ!” ชางหลางพูดอย่างเคร่งขรึม

เฮยเมี่ยนจ้องเย่เทียนเฉินอย่างดุดัน ครั้งที่แล้วเขางัดข้อแพ้ ในใจมีความโกรธอยู่ตลอดเวลา ไม่เต็มใจยอมรับ แต่หมัดเมื่อครู่เขารู้สึกถึงพลังที่แข็งแกร่ง ก่อนหน้านี้ที่เขาและเย่เทียนเฉินประหมัดกันตรงๆ ยังไม่เคยมีความรู้สึกแบบนี้มาก่อน หรือว่าไม่เจอกันแค่ไม่กี่วันความสามารถของเย่เทียนเฉินก็เพิ่มขึ้นแล้ว?

ความจริงแล้วที่เฮยเมี่ยนมีความรู้สึกแบบนี้ก็เป็นเพราะความสามารถของเย่เทียนเฉินเพิ่มขึ้นมาจริงๆ ในระหว่างการต่อสู้กับซาโต้ เย่เทียนเฉินได้เรียนรู้เทคนิคการต่อสู้ไปไม่น้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อซาโต้กินยาปรับเปลี่ยนพันธุกรรมฉับพลันเข้าไปคำใหญ่จนกลายเป็นสัตว์ประหลาดที่แข็งแกร่งและบ้าคลั่ง ทำให้เย่เทียนเฉินรับรู้ได้ถึงความเป็นความตาย ในขณะเดียวกันก็ได้เรียนรู้ประสบการณ์การต่อสู้จริงด้วย

เดิมทีเย่เทียนเฉินเป็นคนที่เมื่อเจอกับคนแข็งแกร่งก็จะยิ่งแข็งแกร่ง ยิ่งศัตรูแข็งแกร่งเขาก็จะแข็งแกร่งมากขึ้น รวมกับที่ผ่านอันตรายจนเกือบเอาชีวิตไม่รอดมาแล้ว ภายใต้สถานการณ์ที่ร่างกายอันพิเศษของจางรั่วถงหลอมรวมเข้ากับร่างกายของเขา กายเนื้อของเขาก็ยกระดับขึ้นหนึ่งขอบเขต พลังพิเศษในร่างกายก็เพิ่มมากขึ้น ถ้าหากไม่ถูกจำกัดไว้ด้วยกฎเกณฑ์ที่เปลี่ยนไปของธรรมชาติในโลกคงทะลวงไปถึงขอบเขตจักรพรรดิแล้ว การเพิ่มขึ้นของความสามารถเพียงหนึ่งระดับก็ต่างกันราวฟ้ากับเหว

เฮยเมี่ยนมองเย่เทียนเฉิน ทำอะไรเจ้าหนูนี่ไม่ได้จริงๆ เขาจ้องมองอย่างดุดันแล้วหมุนตัวเดินเข้าไปในตึกสำนักงาน ส่วนเย่เทียนเฉินและหานเจี๋ยก็อดไม่ได้จนหัวเราะออกมาเสียงดังอเนื่องจากในตอนที่เฮยเมี่ยนหน้าดำ ดูแล้วก็ยิ่งดำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตอนที่ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน มีแค่ฟันสีขาวที่ปรากฏเรียงตัวให้เห็น ไม่แตกต่างอะไรกับทารกดำของแอฟริกาเลย

หลังจากเย่เทียนเฉินไปจากจงหนานไห่แล้วก็ตรงกับบ้าน ในบ้านมีผู้หญิงคนสองคนที่ทำให้เขาต้องปวดหัวอยู่ ไม่รู้ว่าสองคนนี้เป็นยังไงบ้าง?

คนหนึ่งคืออลิซ อีกคนคือฉีหรูเสวี่ย ผู้หญิงสองคนนี้ไม่ใช่ตะเกียงไร้น้ำมัน ไม่แน่ว่าอาจจะก่อเรื่องจนกลายเป็นอะไรไปแล้วก็ได้

เมื่อคิดถึงตรงนี้ เย่เทียนเฉินก็รู้สึกไม่อยากกลับบ้านแล้ว หลังจากใคร่ครวญครู่หนึ่ง เขาก็เตรียมจะตรงกลับไปที่คฤหาสน์ เมื่อหยิบโทรศัพท์ออกมาดูก็พบว่าไม่มีแบตแล้ว ไม่รู้ว่าพวกอู๋เสวี่ยยังอยู่ที่คฤหาสน์หรือไม่ สิบสามจ้าวสวรรค์เพิ่งจะก่อตั้งขึ้นได้ไม่นาน มีอีกหลายเรื่องที่ต้องทำให้สมบูรณ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งความสามารถของพวกเขาแต่ละคน ถ้าไม่พัฒนาให้แข็งแกร่งย่อมไม่ได้ ในเมื่อการต่อสู้แก้แค้นของสำนักโฮคุชินอิตโตริวใกล้จะมาถึงแล้ว เย่เทียนเฉินจึงคิดจะใช้โอกาสนี้ฝึกฝนสิบสามจ้าวสวรรค์ให้พัฒนาความสามารถให้แข็งแกร่ง

ตอนนี้ฉายาของเฮยเมี่ยนแพร่ไปทั่วทั้งกองทัพแล้ว ซึ่งเย่เทียนเฉินเป็นคนเรียกคนแรก นั่นก็คือ “ทารกดำ”

ไม่พูดไม่ได้ว่าเฮยเมี่ยนดำมากจริงๆ เพียงแต่เมื่อก่อนในกองทัพ โดยเฉพาะระดับขุนพลทัพฟ้า ต่างก็เป็นพวกเข้มงวดจริงจัง ไม่รู้จักการพูดคุยหยอกล้อ ใครบ้างที่มีอารมณ์มาพูดล้อเล่น แต่ละคนงานยุ่งวุ่นวาย มีเพียงเย่เทียนเฉินที่มีเวลาว่างมาทำเรื่องไร้สาระแบบนี้

หลังจากที่เย่เทียนเฉินเรียกเฮยเมี่ยนด้วยฉายา “ทารกดำ” หลายคนก็รู้สึกว่าไม่เลวเลย อีกทั้งยังเรียกได้คล่องปาก ดังนั้นฉายาทารกดำจึงเข้ามาแทนที่ชื่อของเฮยเมี่ยนโดยสิ้นเชิง เพราะเฮยเมี่ยนดำมากจริงๆ

นี่คือสาเหตุใหญ่ที่ในตอนนี้พอเฮยเมี่ยนเจอเย่เทียนเฉินก็มีสีหน้าไม่ดี โกรธจนแทบอยากจะอัดเจ้าหมอนี่ให้ตาย

“ทารกดำคนนี้ไม่รู้เลยว่าผมดีกับเขา คุณดูสิว่าตอนนี้เขาโด่งดังขนาดไหน!” เย่เทียนเฉินหัวเราะแล้วพูดขึ้น

ชางหลางและหานเจี๋ยต่างมองไปที่เย่เทียนเฉินอย่างอับจนคำพูด เจ้าหมอนี่ทำให้เฮยเมี่ยนโกรธจนแทบตาย แล้วยังทำท่าทีเหมือนกับมีบุญคุณใหญ่หลวงต่อเฮยเมี่ยนอีก ถ้าหากเฮยเมี่ยนได้ยินคำพูดพวกนี้คงทนไม่ไหว ต้องลงมือแน่นอน

เมื่อมาถึงห้องทำงานของท่านผู้นำสูงสุด ชางหลางยืนเคาะประตูอยู่ด้านนอกด้วยความเคารพ หลังจากที่ได้รับการตอบรับแล้ว ชางหลางก็เดินไปเบื้องหน้าสุด หานเจี๋ยเป็นคนที่สอง ส่วนเย่เทียนเฉินเป็นคนสุดท้าย ทั้งสามเดินเข้าไปด้วยกัน

พรึ่บๆ ชางหลางและหานเจี๋ยทำวันทยาหัตถ์ให้ผู้นำสูงสุดด้วยความเคารพ จากนั้นจึงยืนอยู่ด้านข้าง ผู้นำสูงสุดยุ่งมาก ไม่สามารถจัดการเรื่องของพวกเย่เทียนเฉินในครั้งนี้ได้ในทันทีที่เข้ามา จำเป็นต้องรอก่อน

“มาๆๆ ไม่ต้องเกรงใจ ล้วนเป็นคนกันเองทั้งนั้น ทำเหมือนกลับมาบ้านของตัวเองแล้วกัน ตามสบายๆ” เย่เทียนเฉินหัวเราะ ในตอนที่พูดคำนี้ก็เดินไปรินน้ำด้านข้างด้วยตัวเอง หานเจี๋ยและชางหลางที่เห็นก็มีเหงื่อเย็นๆ ไหลออกมาจากหน้าผาก ไม่รู้จริงๆ ว่าเจ้าหนูนี่ไม่มีสมองหรือไม่มีความคิดกันแน่

เพียงแต่เย่เทียนเฉินไม่สนใจอะไรมาก รินน้ำให้ตนเองเรียบร้อยแล้วแก้วหนึ่ง นั่งลงบนโซฟาด้านข้าง เสพสุขอย่างสบายอารมณ์ ชางหลางและหานเจี๋ยต่างเป็นทหาร มีกฎระเบียบเข้มงวด ต่อให้ได้รับสัญญาจากท่านผู้นำแล้วว่าให้ตามสบายได้ก็ไม่กล้าทำตัวเหมือนเย่เทียนเฉิน

หนึ่งชั่วโมงกว่าแล้ว เย่เทียนเฉินที่อยู่บนโซฟาหลับไปแล้ว อีกทั้งยังกรนออกมาด้วย ชางหลางและหานเจี๋ยรู้สึกเอือมระอามาก ในใจคิดว่าเจ้าหมอนี่ทำให้คนอื่นจนใจจริงๆ ในช่วงเวลาหนึ่งชั่วโมงกว่าที่รอนี้เย่เทียนเฉินหลับสบายมาก ส่วนชางหลางและหานเจี๋ยกลับยืนตรงตามแบบทหารอย่างจริงจังมาหนึ่งชั่วโมงกว่าแล้ว

ก๊อกๆ ๆ !

ด้านนอกห้องทำงานมีเสียงเคาะประตูดังขึ้น หลังจากบุคลากรเฉพาะทางตอบรับไปคำหนึ่งก็มีบุคลากรด้านงานออฟฟิศมืออาชีพในสูทสีดำคนหนึ่งถือแฟ้มเอกสารเดินมาเบื้องหน้าโต๊ะทำงานของท่านผู้นำด้วยความเคารพ นำข้อมูลวางไว้ จากนั้นจึงเดินจากไป การเคลื่อนไหวเบามาก ด้วยเกรงว่าจะทำลายสมาธิของท่านผู้นำ

ในตอนนี้เอง ท่านผู้นำวางปากกาในมือลง หยิบแฟ้มเอกสารบนโต๊ะขึ้นมาเปิดออกดู พูดด้วยรอยยิ้มเล็กน้อย “พวกคุณสองคนเองก็ผ่อนคลายซะหน่อย เรียนรู้จักเจ้าหนูนี่บ้าง อย่าได้เคร่งเครียดขนาดนั้น เพิ่งจะทำภารกิจสำเร็จกลับมา หานเจี๋ยไม่เป็นไรใช่ไหม?”

“มะ ไม่เป็นไรค่ะ ขอบคุณท่านผู้นำที่ใส่ใจ!” หานเจี๋ยหวาดกลัวเล็กน้อย ตอบอย่างตะกุกตะกัก

จินตนาการได้เลยว่า ท่านผู้นำซึ่งเป็นบุคคลระดับสูงสุดของทางการ บรรยากาศเช่นนั้น ความเคร่งขรึมและบารมีที่ติดตัวมานั้น มากเพียงพอที่จะทำให้คนอื่นเคร่งครัดและไม่สบายใจ นี่คือกลิ่นอายของราชา เมื่อพบกับความใส่ใจและความสนิทสนมของท่านผู้นำ หานเจี๋ยก็รู้สึกตื่นตะลึงอยู่บ้างจริงๆ ไม่ใช่ว่าเธอไม่เคยพบท่านผู้นำ ก่อนหน้านี้ล้วนเกี่ยวข้องกับภารกิจ ครั้งนี้ก็เหมือนกัน ในใจของเธอทั้งรู้สึกซาบซึ้งและรู้สึกแปลกใจ

ท่านผู้นำพยักหน้า มองไปยังแฟ้มเอกสารที่อยู่ในมือ จากนั้นจึงเอ่ยปากพูดว่า “ เรื่องในครั้งนี้ ทหารหน่วยรบพิเศษบริเวณชายแดนป่าหมอกดำของพวกเราเสียหายหนักมาก การที่ประเทศชิบะไม่ส่งกองกำลังทหารของพวกเขามา แต่กลับส่งยอดฝีมือพรรควรยุทธโบราณออกมานั้น มีจุดประสงค์อยู่สองอย่าง หนึ่งคือยอดฝีมือของพรรควรยุทธโบราณมีความสามารถเหนือกว่าทหารหน่วยรบพิเศษไปมาก สองก็คือ ต่อให้ถูกพบและจับได้ พวกเขาก็ไม่ยอมรับ เพราะนี่ไม่เกี่ยวกับรัฐบาลของพวกเขา!”

ชางหลาง หานเจี๋ย และเย่เทียนเฉิน พากันพยักหน้า เป็นเช่นนี้จริงๆ การเคลื่อนไหวในครั้งนี้ของประเทศชิบะเข้มงวดและรัดกุมมาก ทั้งยังใคร่ครวญรอบด้าน พวกเขาไม่เพียงแต่ต้องการฆ่าทหารหน่วยรบพิเศษบริเวณชายแดนป่าหมอกดำ อีกทั้งยังต้องการทำความเข้าใจสถานการณ์ชายแดนฝ่าหมอกดำอีกด้วย อาจจะมีการเคลื่อนไหวครั้งใหญ่หรือระทั่งรุกรานเข้ามาก็เป็นได้

ใครหลายคนคิดว่า ไม่มีสงครามใหญ่ ไม่มีสงครามที่แท้จริง นั่นคือไม่มีการรุกราน แต่ความจริงการรุกรานนั้นมีอยู่ทุกที่ เพียงแต่แบ่งเป็นเล็กใหญ่เท่านั้น และสงครามใหญ่ที่รุกรานเข้ามาก็เกิดจากเรื่องเล็กๆ สะสมไป ครั้งนี้ยอดฝีมือของสำนักโฮคุชินอิตโตริวแห่งประเทศชิบะฆ่าทหารหน่วยรบพิเศษทั้งหมดของชายแดนป่าหมอกดำไปแล้ว เรื่องนี้นับได้ว่าเป็นเรื่องสำคัญมาก ทหารหน่วยรบพิเศษของชายแดนถูกฆ่าจนหมด ถ้าไม่ใช่เพราะเย่เทียนเฉินและชางหลางเดินทางไป อีกทั้งยังทำการตอบโต้อย่างรุนแรงแข็งกร้าว ก็ยังไม่รู้ว่าเกิดเรื่องใหญ่อะไรขึ้น

ก่อนหน้านี้ระหว่างประเทศสองประเทศมีการต่อสู้ในทางลับและทางแจ้งไม่หยุดหย่อน และไม่สามารถหยุดได้ โดยเฉพาะการต่อสู้ในทางลับ ถ้าหากแพ้ก็จะถูกหัวเราะเยาะ จะถูกประเทศอื่นเหยียดหยาม ยิ่งไปกว่านั้นในทางลับคนอื่นกุมข้อมูลของคุณอยู่มากมาย หากถูกควบคุมให้เดินไปทีละก้าวแบบนี้ต่อไป เกรงว่าคงจะวุ่นวายครั้งใหญ่แล้ว

การเคลื่อนไหวของประเทศชิบะในครั้งนี้รัดกุมเป็นอย่างมาก และผ่านการวางแผนมาแล้วแน่นอน มิฉะนั้นคงไม่ส่งยอดฝีมือของสำนักโฮคุชินอิตโตริวมาแบบนี้ คราวแรกก็ลอบโจมตีและจับตัวพวกหานเจี๋ยไป จากนั้นก็เข้ามายั่วยุ กระทั่งพวกหลีหวังก็ถูกทำร้ายจนตาย เห็นได้ชัดว่ามีจุดประสงค์และเป้าหมายอยู่ นั่นก็เพื่อให้ประเทศจีนเจอกับความลำบาก ทำได้เพียงถูกอัดจนฟันร่วง กระทั่งเลือดก็ต้องกลืนลงท้องไป

เรื่องแบบนี้จะกล่าวได้อย่างไร? หรือประเทศจีนจะประกาศไปทั่วโลก? บอกว่าประเทศชิบะส่งคนมาสังหารทหารหน่วยรบพิเศษทั้งหมดของชายแดน แต่ประเทศของตัวเองยังหาข้อพิสูจน์ไม่ได้? นี่เกรงว่าไม่เพียงแต่จะถูกประเทศอื่นหัวเราะเยาะ แต่ยังทำให้ประเทศอื่นเพ็งเล็งในทางลับอีกด้วย นั่นทำไม่ได้จริงๆ

ดังนั้นวิธีการตอบโต้เพียงอย่างเดียวของประเทศจีนนั้นก็คือ ในทางเปิดเผยก็ทำการแก้ไขอย่างเปิดเผย ในทางเบื้องหลังก็เก็บกวาดอย่างลับๆ มีเพียงแบบนี้ถึงจะสามารถบีบให้ผู้อื่นสั่นสะท้านได้

“ท่านผู้นำครับ ถ้างั้นต่อไปพวกเราจะทำยังไงครับ? ต้องการให้โจมตีกลับอย่างรุนแรงหรือเปล่าครับ?” ชางหลางกำหมัดแน่นแล้วเอ่ยถามขึ้น

“ตอบโต้เป็นเรื่องที่ต้องทำอยู่แล้ว แต่จำเป็นต้องคิดในระยะยาว เรื่องในครั้งนี้ประเทศอื่นกำลังให้ความสนใจ พวกเราต้องทำให้สำเร็จเท่านั้น ไม่อาจล้มเหลวได้!” ท่านผู้นำขมวดคิ้วพูด

เห็นได้ชัดว่าเรื่องในครั้งนี้ พวกทำผู้นำเองก็โกรธมาก ประเทศชิบะลอบรุกรานมาในทางลับแบบนี้ ฆ่าทหารหน่วยรบพิเศษบริเวณชายแดนป่าหมอกดำทั้งหมด เป็นเรื่องที่เกินกว่าจะรับไหว ถ้าหากปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไป อีกไม่นานประชาชนทั่วไปของประเทศจีนก็จะลำบาก นี่ไม่ยอมให้เกิดขึ้นโดยเด็ดขาด ประชาชนชาวจีนทนลำบากมามาก ไม่ง่ายเลยกว่าจะยิ่งใหญ่ขึ้นมาได้ ไม่อาจปล่อยให้ถนนแห่งการฟื้นฟูของประชาชนมาพังลงที่นี่

“คนของสำนักโฮคุชินอิตโตริวแข็งแกร่งมาก ในสำนักมียอดฝีมืออยู่ไม่น้อย ไม่ใช่อะไรที่รับมือได้ง่าย ถ้าหากต้องการอยู่สงบไปอีกหลายปีก็จำเป็นต้องกำจัดสำนักโฮคุชินอิตโตริว!” เย่เทียนเฉินที่ยืนอยู่ด้านข้างพูดอย่างเรียบเฉย

เมื่อได้ยินคำพูดนี้ของเย่เทียนเฉินท่านผู้นำก็พยักหน้า เขารับรู้ถึงปัญหานี้จริงๆ สำนักที่แข็งแกร่งที่สุดของประเทศชิบะก็คือสำนักโฮคุชินอิตโตริว นี่เป็นสำนักโบราณที่เทียบเท่าได้กับพรรคเส้าหลิน ในฐานะที่เป็นผู้นำของประเทศ ผู้อาวุโสของเขาย่อมต้องมีความรู้กว้างขวางกว่าคนธรรมดามาก รู้เรื่องผู้มีพลังพิเศษ รู้เรื่องยอดฝีมือพรรควรยุทธโบราณ สิ่งเหล่านี้ล้วนเหนือระดับ เรียกได้ว่าอยู่เหนือหลายสิ่ง เมื่อเคลื่อนไหวก็รับมือไม่ง่ายเลย

“เทียนเฉินพูดถูกแล้ว ถ้าต้องการหยุดยั้งการรุกรานในทางลับของประเทศชิบะ งั้นพวกเราก็ต้องคิดหาวิธีกำจัดสำนักโฮคุชินอิตโตริว!” ชางหลางเอ่ยปาก

“ในสำนักโฮคุชินอิตโตริวมียอดฝีมือมากมาย จากข้อมูลในด้านนี้ของพวกเรา ความสามารถของจักรพรรดิดาบมีแค่ไม่กี่คนที่สามารถรับมือได้ อย่างน้อยตอนนี้ พวกเราก็ยังคิดถึงตัวเลือกที่เหมาะสมไม่ออก!” ท่านผู้นำพูดพลางส่ายหน้า

ความจริงแล้ว ไม่ว่าใครก็ตาม จะทำเรื่องใดล้วนต้องมีความตระหนักรู้ในตัวเอง การมีความมั่นใจเป็นเรื่องดี แต่การโอหังจนตาบอดนั้นเป็นได้เพียงสิ่งที่ทำให้พ่ายแพ้ไปในที่สุด

จักรพรรดิดาบซึ่งเป็นเจ้าสำนักของสำนักโฮคุชินอิตโตริวเป็นตัวตนที่ยากจะจินตนาการ ความสามารถจะแข็งแกร่งขนาดไหน จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีใครรู้ บนโลกนี้มีการจัดอันดับสิบเซียนอยู่ อันดับของจักรพรรดิดาบอยู่ในลำดับที่สาม นี่ไม่ได้เป็นการกล่าวว่าเหนือกว่าจักรพรรดิดาบยังมีอีกสองคนที่มีความสามารถแข็งแกร่งกว่าเขาอยู่ แต่ยอดฝีมือที่อยู่ในสามอันดับแรกนั้น ทั้งสามคนใครแข็งแกร่งกว่าใครอ่อนแอกว่าก็ยังไม่มีใครรู้ เนื่องจากการต่อสู้ของคนระดับนี้ดูเหมือนว่าจะไม่มีใครรู้ เรียกได้ว่าคนทั้งสิบในการจัดอันดับสิบเซียน คือคนสิบคนที่ร้ายกาจที่สุดบนโลก เป็นยอดฝีมือสิบคนที่ร้ายกาจจนเกือบถึงขั้นวิปลาส

“ด้วยความสามารถของผมในตอนนี้ คิดว่าการกำจัดสำนักโฮคุชินอิตโตริวดูเหมือนจะเป็นไปไม่ได้ ซาโต้เป็นแค่ผู้อาวุโสสิบอันดับแรกของสำนักโฮคุชินอิตโตริวเท่านั้น ความสามารถไม่ได้อ่อนแอไปกว่าคุณกับผมเลย ความจริงแล้วผมไม่กล้าเชื่อเลยว่าจักรพรรดิดาบจะแข็งแกร่งขนาดไหน ถ้าหากเขาลงมือ พวกเราจะมีโอกาสขัดขวางได้หรือเปล่า!” เย่เทียนเฉินพูดด้วยความเคร่งเครียด

ท่านผู้นำใคร่ครวญครู่หนึ่ง จากนั้นจึงมองไปยังข้อมูลบนเอกสารแล้วพูดว่า

“เมื่อครู่นี้ฉันรอเอกสารนี้มาโดยตลอด นี่คือข้อมูลที่เพิ่งมาจากชายแดนป่าหมอกดำ หลังจากที่พวกคุณประสบความสำเร็จในการขัดขวางคนจากสำนักโฮคุชินอิตโตริวกลุ่มนี้แล้ว ก็มีคนชุดดำสามคนปรากฏตัวขึ้นทันที อีกทั้งดูท่าทางสำนักโฮคุชินอิตโตริวก็รู้สึกสั่นสะท้านต่อการสูญเสียกองกำลังทั้งหมดของพวกเขาในครั้งนี้มาก จะต้องแก้แค้นแน่ สิ่งที่พวกเรารอก็คือโอกาสนี้ ขอเพียงสำนักโฮคุชินอิตโตริวกล้าส่งยอดฝีมือมา ถ้างั้นพวกเราก็ต้องทำให้พวกมันมาได้แต่กลับไม่ได้!”

เย่เทียนเฉินเห็นหานเจี๋ยและจางหลานเดินออกไปจากห้องของตนหมดแล้วก็ทอดถอนใจออกมา นั่งขัดสมาธิอีกครั้ง เข้าสู่สภาวะสมาธิ อยู่ในสภาพสำรวจภายในร่างกายของตน พบว่าอาการบาดเจ็บที่ไหล่และท้องเริ่มดีขึ้นแล้ว พลังอันอบอุ่นสายนั้นเหมือนกับเกิดมาเพื่อรักษาบาดแผลโดยเฉพาะ เมื่ออยู่ภายใต้การผลักดันด้วยพลังพิเศษอันแข็งแกร่งส่วนตัวของเย่เทียนเฉินก็ยิ่งผสานบาดแผลได้เร็วขึ้น

หากต้องการหายเป็นปกติอย่างน้อยก็ต้องใช้เวลาครึ่งเดือน แน่นอนว่าตอนนี้ยังไม่มีอะไรร้ายแรง ดังนั้นเย่เทียนเฉินจึงล้มตัวลงนอน การนอนนับเป็นส่วนสำคัญสำหรับการรักษาอาการบาดเจ็บเช่นกัน นี่เป็นเพราะสุขภาพของเย่เทียนเฉินค่อยๆ แข็งแรงขึ้น อีกทั้งยังมีพลังอันอ่อนโยนที่จางรั่วถงทิ้งไว้ในร่างกายของเย่เทียนเฉิน ทำให้บาดแผลของเย่เทียนเฉินหายดีเร็วขึ้น มิฉะนั้นถ้าเป็นคนธรรมดา ต่อให้เป็นยอดฝีมือในระดับเดียวกัน ได้รับบาดเจ็บสาหัสถึงขนาดนี้ไม่ตายก็ต้องรักษาไปปีครึ่ง

เรียกได้ว่าพลังอันอ่อนโยนนี้ช่วยชีวิตเย่เทียนเฉินเอาไว้ ในช่วงเวลาที่เย่เทียนเฉินได้รับบาดเจ็บ พลังอันอ่อนโยนก็ควบคุมอาการบาดเจ็บภายในของเย่เทียนเฉินไม่ให้ทรุดตัวลง ยิ่งไปกว่านั้นยังรักษาอย่างเชื่องช้า คอยทำการสมานบาดแผลอีกด้วย ไม่เช่นนั้นหากปล่อยไว้ต่อไป เย่เทียนเฉินคงสิ้นชีพไปนานแล้ว

“รั่วถงมีร่างกายแบบไหนกันแน่? ถึงกับแข็งแกร่งขนาดนี้ หลังจากที่เธอมอบพลังอ่อนโยนให้เรา ตอนนี้เธอจะเป็นยังไง? จะอยู่ที่ไหน?”

ก่อนนอนหลับ เย่เทียนเฉินอดไม่ได้ที่จะใคร่ครวญถึงเรื่องนี้ จางรั่วถงเป็นผู้หญิงที่บริสุทธิ์ไร้เดียงสาคนหนึ่ง ได้รู้จักกับเธอไม่นาน เรียกได้ว่าพบกันครั้งเดียวในตอนที่ช่วยชีวิตมู่หรงอวี๋ตู ในตอนที่พบกันครั้งที่สองเย่เทียนเฉินก็หลับไหลไม่ได้สติ ได้รับบาดเจ็บสาหัสจนเกือยตาย จางรั่วถงใช้ร่างกายของตนมาช่วยเหลือเขา ชั่วชีวิตนี้เขาเย่เทียนเฉินจะไม่ทำตัวแย่กับจางรั่วถงเด็ดขาด ไม่ว่าเขาจะชอบหรือไม่ หากทำไม่ดีต่อจางรั่วถง เขาก็เป็นผู้ชายที่ไม่อาจเผชิญฟ้าดินแล้ว

เช้าตรู่วันต่อมา เย่เทียนเฉินถูกปลุกให้ตื่น คนที่มาปลุกเขาก็คือชางหลาง เนื่องจากเฮลิคอปเตอร์ที่ทางการส่งมาได้มาถึงเมืองชายแดนแล้ว และจอดอยู่บริเวณที่ว่างของเมืองชายแดน นี่คือคำสั่งที่ท่านผู้นำสูงสุดสั่งลงมาเองกับตัว ให้ส่งเฮลิคอปเตอร์ทางการทหารมารับพวกเย่เทียนเฉินกลับไป เห็นได้เลยว่าเรื่องในครั้งนี้พวกผู้นำระดับสูงอย่างเช่นท่านผู้นำสูงสุดได้รับข่าวสารเรียบร้อยแล้วและให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก

จนกระทั่งเมื่อเย่เทียนเฉินและชางหลางไปถึงบริเวณที่เฮลิคอปเตอร์ลงจอด หานเจี๋ยกับจางหลานก็ขึ้นเครื่องไปแล้ว ส่วนหลัวเหว่ยเคอนั้น เขาเป็นสายสืบที่ชายแดน ทำงานมาหลายสิบปีจึงไม่คิดจะไปจากที่นี่ และชินกับทุกสิ่งทุกอย่างที่นี่แล้วด้วย

เย่เทียนเฉินและชางหลางไม่ได้ชวนเขา จะอย่างไรทุกคนก็มีชีวิตที่ไม่เหมือนกัน มีเส้นทางที่ไม่เหมือนกัน ไม่อาจฝืนได้

ในตอนที่เฮลิคอปเตอร์ขึ้นบิน เย่เทียนเฉินพลันมองไปยังพงหญ้ารกร้างบริเวณไม่ไกล สายตาดุดันเล็กน้อย มุมปากเผยรอยยิ้มออกมา เขาพบอะไรบางอย่างแล้ว เพียงแต่ไม่ได้ลงมือ อีกทั้งตอนนี้ก็ไม่ใช่เวลาที่จะลงมือด้วย ปล่อยให้ชายชราคนนี้มีชีวิตอยู่ต่อไปอีกหลายวันแล้วกัน เขาจะต้องไปแก้แค้นตนที่เมืองหลวงแน่นอน ถึงตอนนั้นค่อยฆ่าชายชราคนนี้ซะ

เป็นดังคาดจริงๆ บริเวณพงหญ้าที่อยู่ไม่ไกล มีมือสังหารชุดดำยืนอยู่สามคน หนึ่งในนั้นที่เป็นหัวหน้าก็คือคาเมดะอิจิโร่ เขาพาคนมาสองคน คอยจับตามองพวกเย่เทียนเฉินอยู่ตลอด เขาให้คนไปรายงานสถานการณ์แล้ว ผลักความตายซาโต้และคนของสำนักโฮคุชินอิตโตริวทั้งหมดไปให้เย่เทียนเฉิน เชื่อว่าบุคคลระดับสูงในสำนักโฮคุชินอิตโตริวจะต้องสั่นสะท้านแน่นอน กระทั่งจักรพรรดิดาบที่ไม่ได้ลงมือมาหลายปีก็คงหวั่นไหวบ้าง ถึงตอนนั้นก็จำเป็นต้องส่งยอดฝีมือที่ร้ายกาจยิ่งกว่าซาโต้มา ตอนนั้นเย่เทียนเฉินก็จะต้องตายโดยไม่ต้องสงสัย!

“พวกแกรีบไปเมืองหลวงซะ จับตามองเย่เทียนเฉินให้ฉันด้วย ถ้ามีข่าวอะไรฉันจะบอกพวกแกทันที เวลาที่ไอ้หนูนี่จะตายมาถึงแล้ว มันฆ่าผู้อาวุโสของสำนักโฮคุชินอิตโตริวของพวกเรา ใครก็ช่วยมันไม่ได้ ฉันเชื่อว่าความแค้นนี้ บุคคลระดับสูงจะต้องแก้แค้นให้ซาโต้แน่!” คาเมดะอิจิโร่พูด มุมปากเผยรอยยิ้มโหดเหี้ยมออกมา

บนเฮลิคอปเตอร์ เย่เทียนเฉินและจางหลานเหมือนก็เป็นศัตรูกันอย่างไรอย่างนั้น และลงมือกันเหมือนเป็นคู่รักด้วย ด้านฝีปากไม่มีใครยอมใคร ฝ่ายโน้นประโยคหนึ่งฝ่ายนี้ประโยคหนึ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งจางหลานหาจุดที่นำมาแขวะเย่เทียนเฉินเจอแล้ว ทำให้เย่เทียนเฉินอับจนคำพูดและไม่ยอมทน รวมกับที่บนเครื่องค่อนข้างซบเซาเงียบเหงา หยอกล้อสักหน่อยก็ดี

ชางหลางและหานเจี๋ยที่มองอยู่ด้านข้างก็รู้สึกจนใจเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งหานเจี๋ยถึงกับเกิดความอิจฉาขึ้นมา ในใจของเธอมองเย่เทียนเฉินในแง่ดีขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเห็นว่าญาติผู้น้องสามารถทะเลาะกับเย่เทียนเฉินได้และโต้เถียงกันอย่างสนิทสนมแบบนั้น ในใจก็รู้สึกอิจฉาจริงๆ หากคนคนนี้เปลี่ยนเป็นตนจะดีขนาดไหนกัน!

“เครื่องของพวกเราบินไปที่จงหนานไห่ ท่านผู้นำอยู่ที่นั่น ท่านต้องการพบพวกเรา!” ชางหลางเอ่ยปากพูด

“งั้นฉันโดดร่มลงไปแล้วกัน ฉันไม่อยากเจอท่านผู้นำแล้ว ตอนนี้ฉันมีชีวิตในเมืองของตัวเอง ไม่อยากยุ่งเรื่องทางการทหารแล้ว!” จางหลานพูดพลางส่ายหน้า

“นิสัยเสีย แต่ยังไงท่านผู้นำก็ไม่ได้บอกว่าจะพบเธอสักหน่อย เข้าข้างตัวเอง!” เย่เทียนเฉินจงใจมองน้องหบฃลานแล้วพูดขึ้น

จางหลานจ้องเย่เทียนเฉินอย่างดุดันแล้วมองไปที่ชางหลาง พูดขึ้นว่า “เป็นยังไงคะ?”

ชางหลางถูกสองคนนี้ทำเอาไปไม่เป็น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเย่เทียนเฉินคนนี้ เขาชางหลางเป็นหัวหน้าหน่วยมังกรฟ้า ก่อนหน้านี้ก็เป็นผู้บังคับบัญชาของเย่เทียนเฉิน เป็นคนที่เข้มงวดจริงจังมากคนหนึ่ง ดูเหมือนว่าจะไม่เคยยิ้มหรือพูดจาล้อเล่นเลย ตอนนี้กลับถูกเย่เทียนเฉินทำให้เป็นคนมีอารมณ์ขันขึ้นมาบ้าง สภาพแวดล้อมส่งผลกับคนจริงๆ ยิ่งพบกับความอันธพาลแบบนี้ของเย่เทียนเฉิน ถ้าไม่ติดนิสัยมากคงเป็นไปไม่ได้

“ท่านผู้นำไม่ได้บอกว่าจำเป็นต้องพบเธอให้ได้ ถ้ายังไง หลังจากลงเครื่องที่จงหนานไห่แล้วฉันจะเตรียมรถไปส่งเธอแล้วกัน พวกเรายังต้องไปรายงานสถานการณ์กับท่านผู้นำ!” ชางหลางเอ่ยปากพูด

“ได้ค่ะ!” จางหลานพูดด้วยรอยยิ้ม

ตอนนี้เองเย่เทียนเฉินมองชางหลางครู่หนึ่ง พูดขึ้นด้วยเจตนาที่แฝงไปด้วยความจริงจังและความหยอกเย้าเล็กน้อย “ผมเพิ่งจะไปพบท่านผู้นำมาเอง ไม่ไปพบแล้วได้หรือเปล่าครับ คุณกับหานเจี๋ยไปรายงานสถานการณ์กันสองคนก็พอแล้ว ถ้าหากต้องพูดถึงผมให้ได้ก็บอกไปว่าผมหล่อกว่าสองวันก่อนมากก็พอ!”

เมื่อได้ยินคำพูดนี้ของเย่เทียนเฉิน ชางหลางก็อยากจะอัดเจ้าหมอนี่แรงๆ สักครั้ง เจ้าหนูนี่โอ้อวดจริงๆ ท่านผู้นำต้องการพบ เขาถึงกับกล้าบอกว่าไม่พบ ยิ่งไปกว่านั้น ปฎิบัติการในครั้งนี้มีเย่เทียนเฉินเป็นหนึ่งในผู้ร่วมปฏิบัติภารกิจ อีกทั้งครั้งนี้ยังสามารถช่วยหานเจี๋ยออกมาได้และฆ่าผู้แข็งแกร่งแบบซาโต้ไปได้ด้วย นับว่าเย่เทียนเฉินมีผลงาน ถ้าเขาไม่ไปเรื่องนี้คงรายงานได้ไม่ชัดเจน

“ไอ้หนู แกจำเป็นต้องไปกับฉัน ไม่ให้ต่อรอง ไม่งั้นตอนนี้ก็กระโดดลงไปสิ ไม่มีร่มให้นะ!” ชางหลางพูดอย่างไม่สบอารมณ์

เย่เทียนเฉินยู่ปาก นั่งลงบนตำแหน่งตัวเอง จางหลานหันไปทำหน้าทะเล้นใส่เย่เทียนเฉินแล้วหัวเราะเสียงดังอยู่ด้านข้าง ทำให้เย่เทียนเฉินโกรธจนทนไม่ไหว คิดว่าท่านผู้นำไม่เลวเลย ไปรายงานเสียหน่อยก็ได้ อย่างน้อยชายชราคนนี้ก็ยังต้องไว้หน้าบ้าง

เวลาบ่ายโมง เฮลิคอปเตอร์ทางการทหารลำหนึ่งจอดลงที่สนามจอดเฮลิคอปเตอร์ที่พวกผู้นำจงหนานไห่ใช้กัน เย่เทียนเฉิน ชางหลาง หานเจี๋ย และจางหลาน ทั้งสี่ลงมาจากบนเฮลิคอปเตอร์ รถจี๊ปทหารสองคันจอดรออยู่บริเวณที่ว่างแล้ว เมื่อเห็นเฮลิคอปเตอร์ของพวกชางหลางมาถึงก็มีคนขับรถจี๊ปทหารเข้ามา

ชางหลาง เย่เทียนเฉิน หานเจี๋ย ทั้งสามขึ้นไปบนรถจี๊ปทหารคันหนึ่ง ส่วนจางหลานขึ้นไปบนรถอีกคันหนึ่งคนเดียว จางหลานไม่คิดจะไปพบท่านผู้นำจริงๆ เธอลาออกแล้ว ไม่ใช่คนที่อยู่ในวงการทหารของทางการอีก ครั้งนี้หากไม่ใช่เพราะต้องการช่วยหานเจี๋ยญาติผู้พี่ของเธอ จางหลานก็คงไม่ลงมือ เธอล้างมือจากชีวิตที่ต้องตบตีฆ่าฟันแล้ว คิดเพียงจะใช้ชีวิตให้เหมือนผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่งอย่างสงบสุข ไม่ใช่ผู้หญิงแข็งแกร่งอะไรอีก

“เย่เทียนเฉิน เรื่องนั้นฉันไม่จบกับนายแน่ ฉันจะไปหานาย รอดูเถอะ!” จางหลานนั่งลงบนตำแหน่งที่นั่งข้างคนขับของรถจี๊ปทหาร ชูกำปั้นขาวนวลแล้วพูดกับเย่เทียนเฉินอย่างดุดัน

“สุดหล่อยินดีต้อนรับสาวแปลกแบบเธอทุกเวลา บ๊ายบาย ฮ่าๆ!” เย่เทียนเฉินหัวเราะแล้วพูดขึ้น

ในตอนที่เย่เทียนเฉินและจางหลานกำลังส่งสายตาเหยียดหยามให้กันอยู่นั้น รถจี๊ปทหารทั้งสองคันก็ขับออกไปจากลานจอดเฮลิคอปเตอร์ เพียงแต่ทิศทางแตกต่างกันไปเท่านั้น

จงหนานไห่ใหญ่มาก สถานที่ที่พวกผู้นำทำงานนั้นมั่นคงเป็นอย่างมาก ถ้าหากเป็นคนธรรมดามาถึง ไม่ต้องพูดถึงการเข้าไปถึงศูนย์กลางที่ทำงานของพวกผู้นำเลย กระทั่งถนนก็ยังหาไม่เจอ ที่นี่มียอดฝีมือมากมาย ยอดฝีมือเหล่านี้บางคนก็เปิดเผยตัว คนที่ปิดซ่อนตัวตนก็มีไม่น้อย พลังพิเศษแห่งการรับรู้ของเย่เทียนเฉินแข็งแกร่งมาก ในตอนที่รับรู้ถึงความผันผวนของพลังอันแข็งแกร่งจำนวนหนึ่งก็อดไม่ได้ที่จะสั่นสะท้าน ประเทศจีนเป็นรังเสือรังมังกรจริงๆ มิน่าเล่าในเวลาสั้นๆ เพียงแค่ไม่กี่สิบปีจึงพัฒนาไปรวดเร็วขนาดนี้ กระทั่งประเทศ M ที่เป็นผู้นำของโลกก็ยังต้องหวาดกลัว นี่นับว่ามีเหตุผล

รถจี๊ปทหารจอดลงหน้าตึกใหญ่แห่งหนึ่ง รถเพิ่งจะจอดก็มีเส้นอินฟราเรดสำหรับตรวจจับสแกนพุ่งเข้ามา ในขณะเดียวกันก็มีทหารหน่วยรบพิเศษถือปืนกลเดินเข้ามาสองคน มาตรวจค้นร่างกายของพวกเย่เทียนเฉิน แน่นอนว่าความคุ้นเคยของเย่เทียนเฉินยังคงไม่เปลี่ยนแปลง นั่นก็คือไม่อนุญาตให้คนอื่นมาตรวจค้นร่างกาย ไม่ใช่เพราะอะไร แต่เป็นเพราะนี่คือนิสัยของเขา ไม่ว่าใครก็ไม่ได้ ในเรื่องนี้ทำให้ชางหลางต้องต่อสายไปหาท่านผู้นำอีกครั้ง หลังจากที่ท่านผู้นำอนุญาต เย่เทียนเฉินก็หลีกเลี่ยงขั้นตอนนี้ไปได้ และเดินเข้าไปในตึกใหญ่ด้วยกันกับชางหลางและหานเจี๋ย

“ฉันจะกำชับนายอีกครั้งนะไอ้หนู ท่านผู้นำไม่ใช่ผู้อาวุโสของบ้านแก และไม่ใช่คุณปู่ของแก พูดจาตามใจชอบไม่ได้ เฮยเมี่ยนจะอัดแกหลายครั้งแล้ว!” ชางหลางอดไม่ได้ที่จะพูดกำชับข้างกายของเย่เทียนเฉิน

“งั้นเหรอ? งั้นก็ไปเรียกทารกดำนั่นมา ผมจะอัดเขาให้ดำขึ้นไปอีก มีแต่ฟันที่ขาว!” เย่เทียนเฉินหัวเราะแล้วพูดขึ้น

“ไอ้หนู เฮยเมี่ยนคงต้องถูกแกทำให้โกรธจริงๆ แล้ว ไม่เพียงแต่ไม่เคารพกฎเกณฑ์ แต่ยังตั้งฉายาแบบนี้ให้เขาอีกด้วย…”

ชางหลางทอดถอนใจทำอะไรกับเจ้าหนูนี่ไม่ได้เลยจริงๆ มิน่าล่ะทุกครั้งเฮยเมี่ยนถึงถูกเย่เทียนเฉินทำให้โกรธจนแทบตาย ทำได้เพียงส่ายหน้าแล้วพูดขึ้น

จางหลาน ผู้หญิงคนนี้นำพาความแปลกใจที่แตกต่างออกไปมาให้เย่เทียนเฉิน ในตอนที่หานเจี๋ยยังไม่ได้เล่าเรื่องของจางหลาน เย่เทียนเฉินก็คิดว่าจางหลานเป็นผู้หญิงแปลกคนหนึ่งที่หน้าตาสวยงาม ฝีมือแข็งแกร่ง และมีบางครั้งที่พึ่งพาไม่ได้อยู่บ้าง พูดให้ชัดเจนก็คือยังมีส่วนที่น่ารักด้วย แต่กลับคิดไม่ถึงว่าจางหลานจะมีด้านฉลาดเฉลียวแบบนี้ด้วย ทั้งยังเป็นผู้หญิงที่มีจิตใจดี นี่อดไม่ได้ที่จะทำให้เย่เทียนเฉินมีความแปลกใจต่อจางหลานเพิ่มมากขึ้น ในสังคมปัจจุบันนี้ ผู้หญิงแบบนี้หาได้ยากมาก เป็นคนเข้มแข็ง อายุน้อย หน้าตาสวยงาม ในขณะเดียวกันก็ใจดี

“เทียนเฉิน นายคิดได้แบบนี้ก็ดีแล้ว หลานเอ๋อร์แค่แข็งกระด้างไปบ้างก็เท่านั้น!” หานเจี๋ยพูดด้วยรอยยิ้มเล็กน้อย

“ไม่มีปัญหา พี่ชายสุดหล่อปกติก็ไม่จดจำความแค้นกับผู้หญิงอัปลักษณ์พวกนั้นหรอก ที่สำคัญเป็นเพราะฉันมันหล่อไง!” เย่เทียนเฉินหัวเราะแล้วพูดจาหยอกล้อขึ้นมา

หานเจี๋ยอดไม่ได้ที่จะหัวเราะขึ้นมา บางครั้งเธอก็รู้สึกจริงๆ ว่าเมื่ออยู่ด้วยกันกับเย่เทียนเฉินเธอมีความสุขมาก ขอเพียงเป็นช่วงเวลาที่ผ่อนคลาย ผู้ชายคนนี้ก็จะมีนิสัยเหมือนกับอันธพาลเกียจคร้าน ชอบพูดขำขันหยอกล้อคนอื่นให้เบิกบานใจ บางครั้งด้านที่แสดงออกมาก็แปลกประหลาดและดูพึ่งพาไม่ได้อยู่บ้าง แต่ถ้าหากคุณคิดว่าผู้ชายคนนี้มีฝีปากแพรวพราวทำได้เพียงพูดจาหยอกล้อ ถ้าอย่างนั้นคุณก็ผิดแล้ว เมื่ออยู่ข้างกายเขา เขาจะมอบความรู้สึกปลอดภัยให้แก่คุณ จะไม่ทำให้คุณเป็นอันตรายแม้แต่ครึ่งส่วน เพราะเขาก็เป็นเทพสังหารที่ทำให้ศัตรูดับดิ้นเช่นเดียวกัน

“นายนี่ล่ะก็…” หานเจี๋ยไม่รู้จะพูดอะไรดีจริงๆ ความรู้สึกที่เย่เทียนเฉินมอบให้เธอนับวันยิ่งไม่เหมือนเดิม

ยังจำได้ว่า ในตอนที่เย่เทียนเฉินเพิ่งจะเข้ากองทัพ เนื่องจากความสัมพันธ์ระหว่างตระกูลหานและตระกูลเย่ อีกทั้งตอนเด็กหานเจี๋ยก็เคยรู้จักกับเย่เทียนเฉิน เพียงแต่ไม่ได้สนิทสนมเป็นเพื่อนในวัยเด็กเหมือนกับหลิงอวี่สวิ๋น อย่างไรก็ตาม ในตอนที่อยู่ในกองทัพหานเจี๋ยดูแลเย่เทียนเฉินดีมาก มิฉะนั้นด้วยชื่อเสียงของเย่เทียนเฉินที่ขึ้นชื่อว่าเป็นตัวตลกและเศษสวะไปทั่วทั้งเมืองหลวง เมื่อเข้ากองทัพมา ไม่ถูกรังแกก็แปลกแล้ว

ตอนแรกที่เย่เทียนเฉินเข้ากองทัพ เป็นเพราะแอบดูหลิ่วหรูเหมยอาบน้ำ นำพาความอัปยศอันใหญ่หลวงมาให้ตระกูลเย่จนสั่นสะท้านไปทั่วทั้งเมืองหลวง ในตอนที่เห็นพ่อแม่ของตนพาตนไปทำการขอโทษถึงประตูบ้านตระกูลหลิ่วจนได้รับความอัปยศอับอาย ในชั่วขณะนั้น เย่เทียนเฉินถึงได้เข้าใจว่า เมื่อก่อนตัวเองอกตัญญูขนาดไหน ทำให้พ่อแม่ลำบากขนาดไหน พ่อแม่ก็เริ่มแก่แล้ว อายุมากแล้ว หากตนยังเป็นอย่างนี้ต่อไป จะทำให้พวกเขาตายไปโดยที่ยังเป็นห่วงตัวเองอย่างนั้นเหรอ?

ในตอนที่คุกเข่าอยู่นอกประตูใหญ่ของตระกูลหลิ่ว ในใจของเย่เทียนเฉินก็ลอบสาบานว่า เขาจะต้องเปลี่ยนแปลง จะไม่ยอมให้เป็นแบบนี้ต่อไป ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไป เขาไม่เพียงแต่จะทำให้พ่อแม่ปวดใจ อีกทั้งยังไม่สามารถปกป้องพ่อแม่อีกด้วย เมื่อเผชิญหน้ากับสถานการณ์ที่ตระกูลเย่ตกต่ำลงเรื่อยๆ ตระกูลอื่นก็เริ่มที่จะมารังแก นี่ไม่มีสาเหตุและเหตุผลอันใด หากคุณตกต่ำ หากคุณอ่อนแอ ก็จะถูกรังแก นี่เป็นเหตุผลที่ธรรมดามาก

ดังนั้น หลังจากที่ออกมาจากตระกูลหลิ่ว วันต่อมาคือวันที่เย่เทียนเฉินต้องไปมหาวิทยาลัยหลงเถิงเพื่อลงทะเบียนเรียน แต่เขากลับไม่ได้ไป เส้นทางที่เขาเลือกก็คือไปเข้ากองทัพ ถึงแม้อำนาจของตระกูลเย่จะตกต่ำลงแล้ว แต่หากต้องการส่งเย่เทียนเฉินเข้ากองทัพก็ไม่ใช่ปัญหาอะไร เพียงแค่ไม่ได้รับการดูแลเป็นพิเศษเท่านั้น

เย่เทียนเฉินที่เข้าร่วมกองทัพไปแล้ว เดิมทีก่อนหน้านี้ก็เป็นคนที่ไม่เล่าเรียนหนังสือ รวมกับที่เกิดเรื่องของตระกูลหลิ่วจนเกิดความโกลาหลไปทั่วทั้งเมืองหลวง ต่อให้เป็นเขตทหารที่เป็นเขตปิดกั้นก็มีข่าวเข้ามาบ้าง ดังนั้นคิดได้เลยว่าเย่เทียนเฉินจะได้รับการปฏิบัติแบบไหนในกองทัพ รวมกับที่หลิ่วหรูเหมยมีคนแอบรักไม่น้อยเพราะมีใบหน้างดงามล่มบ้านล่มเมือง ในตอนที่ผู้ชายหลายคนรู้ว่าเย่เทียนเฉินซึ่งเป็นเศษสวะของตระกูลคนนี้ถึงกับแอบดูเธออาบน้ำสำเร็จ หลายคนอยากฆ่าเขาให้ตาย ดังนั้นย่อมไม่ทำตัวดีๆ กับเย่เทียนเฉินแน่ และเป็นเช่นนี้จริงๆ ไม่ใช่เพียงการพูดเท่านั้น มีคนจ้างวานมือสังหารจริงๆ และต้องการฆ่าเย่เทียนเฉิน แต่โชคดีที่เย่เทียนเฉินเข้ากองทัพมาแล้วจึงเก็บชีวิตกลับมาได้

ในกองทัพ มีหลายคนที่แบนเย่เทียนเฉิน มีทั้งคนที่รู้ว่าเขาเป็นเศษสวะและลูกหลานไม่เอาไหนของตระกูลจากเมืองหลวงจึงไม่เต็มใจจะอยู่ด้วยกันกับเขา มีทั้งคนที่โกรธจนต้องกัดฟัน เมื่อคิดว่าเย่เทียนเฉินแอบดูหลิ่วหรูเหมยอาบน้ำ ทำเรื่องที่ผู้ชายหลายคนคิดฝันแต่ไม่กล้าทำจริงๆ จนสำเร็จก็ อยากจะบีบคอเขาให้ตายทั้งเป็น หากไม่ใช่ว่าหลายคนกลัวเรื่องกฎระเบียบในกองทัพจึงไม่กล้าแตะต้องเขา เกรงว่าเย่เทียนเฉินคงตายไปนานแล้ว

ในสถานการณ์แบบนี้มีเพียงหานเจี๋ยที่มาพูดคุยกับเย่เทียนเฉินและดูแลเย่เทียนเฉิน เดินเป็นเพื่อนเย่เทียนเฉินมาโดยตลอดจนถึงช่วงเวลาที่เขาได้กลายเป็นทหารหน่วยรบพิเศษ เพียงแต่เรื่องเหล่านี้คนทั้งสองไม่เคยพูดถึง เย่เทียนเฉินก็ไม่ได้คิดอะไรมาก จะอย่างไรหานเจี๋ยก็ดีกับตน เขาจดจำอยู่ในใจมาโดยตลอด ดังนั้นในตอนที่รู้ว่าหานเจี๋ยอยู่ในอันตราย เย่เทียนเฉินจึงละทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างและตรงมาที่ป่าหมอกดำ ผู้หญิงคนนี้มีบุญคุณกับเขา ถึงแม้เขาจะไม่ได้มีความรู้สึกอะไรกับหานเจี๋ย แต่บุณคุณจำเป็นต้องตอบแทน มิฉะนั้นคงไม่ใช่ลูกผู้ชาย

การที่เย่เทียนเฉินได้เป็นทหารหน่วยรบพิเศษทำให้ใครหลายคนต้องเปลี่ยนมุมมองจริงๆ กระทั่งผู้นำในเขตทหารจำนวนหนึ่งก็คิดไม่ถึงว่า เย่เทียนเฉินที่เป็นลูกหลานไม่เอาไหนของตระกูลและไม่ยอมร่ำเรียนคนนี้จะถึงกับกลายเป็นทหารหน่วยรบพิเศษที่ยอดเยี่ยมคนหนึ่งได้ หรือช่วงเวลาที่ตระกูลเย่จะได้พลิกผันมาถึงแล้ว?

เรื่องราวหลังจากนั้นใครหลายคนต่างก็ทราบดี ไม่จำเป็นต้องใช้คำพูดที่น่าตื่นตะลึงมาบรรยายแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งเย่เทียนเฉินที่กลับเมืองหลวงไปแล้ว ทุกเรื่องนั้นต่างทำให้คนที่รู้จักกับเขาและคนที่ดูถูกเขาต้องตื่นตกใจจนคางแทบร่วง ตระกูลฉินและตระกูลลั่วถูกเขากำจัด อีกทั้งคนที่มีตำแหน่งสูงจำนวนหนึ่งยังได้ยินเรื่องที่เย่เทียนเฉินทำในเมืองวอชิงตันแห่งประเทศ M ด้วย ก่อเรื่องไปทั่วทั้งวอชิงตันจนวุ่นวาย ต้องการให้โฮบาม่าเลี้ยงข้าว นี่จะต้องมีความสามารถและความแข็งกร้าวขนาดไหนถึงจะทำได้?

“นายสิอัปลักษณ์ หลงตัวเองขนาดนี้ น่าไม่อายจริงๆ!” ในตอนนี้เอง ไม่รู้ว่าจางหลานหมุนตัวเดินกลับเข้ามาในห้องนอนตั้งแต่เมื่อไหร่ เย่เทียนเฉินรีบพลิกตัวขึ้น นี่เป็นผู้หญิงที่ไปหาเรื่องด้วยไม่ได้ จำเป็นต้องระมัดระวังเอาไว้ เผื่อเธอจะลงมือกับตนอย่างกะทันหัน

หานเจี๋ยลุกขึ้นยืนจากเตียงของเย่เทียนเฉิน รีบเดินไปเบื้องหน้าจางหลานผู้เป็นญาติผู้น้องแล้วพูดขึ้นด้วยรอยยิ้มว่า “หลานเอ๋อร์ เทียนเเฉินคนนี้ไม่เลวเลย เธออาจจะยังไม่คุ้นเคยกับเขา ต่อจากนี้อยู่ด้วยกันบ่อยๆ ก็รู้จักกันแล้ว!”

“ใครอยากจะสนิทกับเขา(เธอ)กัน!” เย่เทียนเฉินและจางหลานโพล่งขึ้นมาพร้อมกัน

จากนั้น วินาทีต่อไปเย่เทียนเฉินและจางหลานก็จ้องมองอีกฝ่ายเขม็ง จางหลานกรอกตาซึ่งเป็นท่วงท่าอันเป็นเอกลักษณ์ของ เธอราวกับทุกอย่างบนโลกไม่เกี่ยวกับเธอ ส่วนเย่เทียนเฉินก็แลบลิ้นใส่จางหลาน ท่าทางไม่พอใจเป็นอย่างมาก

“คิกๆ หลานเอ๋อร์ เธอเป็นอะไรไป ยังไม่นอนหรอ?” หานเจี๋ยเอ่ยถามด้วยรอยยิ้มเพื่อทำลายบรรยากาศกระอักกระอ่วน

จางหลานไม่ได้พูดอะไร เดินไปข้างเตียงเย่เทียนเฉิน เย่เทียนเฉินรีบตั้งท่าราวกับเตรียมต่อสู้ ผู้หญิงแปลกคนนี้ฝีมือแข็งแกร่งมาก ตอนนี้ตนเองก็ได้รับบาดเจ็บ ไม่ป้องกันไม่ได้ ถูกต่อยจนตาเขียวขึ้นมาคงน่าเศร้าแย่

ไหนเลยจะรู้ว่า จางหลานจะทำท่าทางคล้ายกับว่าฉันขี้เกียจสนใจนายขี้เกียจสู้กับนายแล้วออกมา ที่ทำให้พูดไม่ออกก็คือจางหลานถึงกับดึงผ้าห่มของเย่เทียนเฉินขึ้น เย่เทียนเฉินรีบปิดบังด้านล่างเอาไว้โดยไม่รู้ตัว ในใจก็คิดว่า ผู้หญิงแปลกคนนี้จะห้าวหาญเกินไปหรือเปล่า? หรือโกรธจนทนไม่ไหว คิดจะตอนเขาแล้ว? เรื่องนี้จะมากเกินไปแล้ว!

“ปิดอะไรของนาย นายคิดว่าใครอยากดูนายกัน?” จางหลานมองเย่เทียนเฉินอย่างเหยียดหยามแล้วพูดขึ้น

“ฉันกลัวว่ามันใหญ่เกินไปจนทำให้พวกเธอตกใจน่ะสิ!” เย่เทียนเฉินพูดอย่างไม่พอใจ

ตอนนี้เองจางหลานก็ไปอยู่บนเตียงเย่เทียนเฉินและหยิบของสิ่งหนึ่งออกมา ถึงแม้นิสัยของจางหลานจะไม่ค่อยสนใจอะไรแต่ก็ยังหน้าแดง จ้องเย่เทียนเฉินอย่างดุดัน นำของในมือซ่อนเอาไว้ด้านหลังและรีบเดินจากไป

ถึงแม้การเคลื่อนไหวของจางหลานจะเร็วมากแต่เย่เทียนเฉินกับหานเจี๋ยก็เห็นของของจางหลานในสมองของเย่เทียนเฉินปรากฎคำว่า “เสื้อใน” ขึ้นมาในสมองของหานเจี๋ยปรากฎคำว่า “คอร์เซต” ขึ้นมา

จะอย่างไรเย่เทียนเฉินและหานเจี๋ยก็คิดไม่ถึงว่าที่จางหลานกลับมาไม่ใช่เพราะโกรธจนทนไม่ไหว ต้องการมาลงมือสู้กับเย่เทียนเฉินอีกครั้ง แต่เป็นเพราะในระหว่างที่ต่อสู้เมื่อสักครู่นี้ เสื้อชั้นในของจางหลานคลายออกจนตกอยู่บนเตียงเย่เทียนเฉิน หลังจากที่กลับมาถึงห้องแล้วจางหลานจึงเพิ่งจะรู้ตัว ไม่พบเสื้อชั้นในที่ติดตัวของตนแล้ว เมื่อคิดดูก็มั่นใจว่าจะต้องตกอยู่ในห้องของเย่เทียนเฉินแน่นอน คิดไปว่าไม่อาจให้เจ้าหมอนี่เห็นได้ จะอย่างไรเจ้าหมอนี่ก็มีความคิดเจ้าเล่ห์ ดังนั้นจางหลานจึงรีบกลับมานำเสื้อชั้นในของตัวเองกลับไป

จางหลานเดินออกไปด้วยใบหน้าแดงระเรื่อ หานเจี๋ยก็ใบหน้าแดงก่ำ จะอย่างไรหากมีเสื้อผ้าชั้นในที่ติดตัวของผู้หญิงปรากฏต่อหน้าผู้ชาย ถึงแม้จะไม่ใช่ของตน แต่ผู้หญิงธรรมดาก็จะต้องหน้าแดง ส่วนเย่เทียนเฉินก็รู้สึกหดหู่มาก โชคดีที่ที่นี่มีแค่ชางหลาง หลัวเหว่ยเคอและหานเจี๋ยสามคน ล้วนเป็นคนกันเองและรู้เรื่องเขาและจางหลานดี มิฉะนั้นหากฉากนี้ปรากฏขึ้น ไม่แน่ว่าจะถูกพูดไปแบบไหน ไม่แน่อาจจะมีคนพูดไปว่า ตนกับจางหลานทำศึกเนื้อแนบเนื้อกันยามค่ำคืน สุดท้ายจางหลานจึงทำเสื้อชั้นในของตนหายไว้บนเตียงเขาและกลับมาเอาไป

“พี่คะ พี่ยังไม่ไปอีก เจ้าหมาป่าตัวนี้บ้ากาม เดี๋ยวจะเสียตัว!” จางหลานยืนอยู่ตรงประตู หันมามองหานเจี๋ยแล้วพูดขึ้น

“ฉัน…” เย่เทียนเฉินเพิ่งจะเอ่ยปากว่า ตนยังไม่ได้ทำอะไรจางหลานก็พูดว่าตนเป็นหมาป่าบ้ากามแล้ว ไม่ยุติธรรมเลยจริงๆ

“งะ งั้นฉันไปนอนก่อนนะ นายก็รีบพักผ่อนล่ะ!” หานเจี๋ยลุกขึ้นยืนแล้วพูดด้วยใบหน้าแดงระเรื่อ

“อื้อ!” เย่เทียนเฉินมองจางหลานอย่างอับจนคำพูด ทำได้เพียงพยักหน้าเท่านั้น ผู้หญิงแปลกคนนี้ไม่เกรงใจเลยจริงๆ หาเรื่องไม่ได้เลย!

ตุ้บๆๆ!

เย่เทียนเฉินและจางหลานทะเลาะกันรุนแรงมากยิ่งขึ้น ทำให้ชางหลาง หลัวเหว่ยเคอ และหานเจี๋ย ที่อยู่ห้องข้างๆ ทั้งสามตกใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหานเจี๋ยที่ตกใจอย่างหนัก หลับไปแล้วแต่ยังถูกปลุกให้สะดุ้งตื่น

ในตอนที่ชางหลาง หลัวเหว่ยเคอ และหานเจี๋ย เดินมาถึงประตูห้องที่เย่เทียนเฉินพักอยู่แล้ว ทั้งสามอดไม่ได้ที่จะตกตะลึง ได้ยินเสียงต่อสู้ดังแว่วออกมาจากด้านใน ต่างรู้สึกแปลกใจ

เสียงเอี๊ยดดังขึ้น ประตูถูกชางหลางผลักออก พวกหานเจี๋ยที่ยืนอยู่ด้านนอกทั้งสามคนเห็นภาพที่ทำให้พวกเขาต้องอับจนคำพูด ในขณะเดียวกันก็เป็นภาพที่น่ากระอักกระอ่วน พบว่าบนเตียงของเย่เทียนเฉิน จางหลานสวมชุดนอนเซ็กซี่ เผยช่วงไหล่และขาอันสวยงามอันเซ็กซี่ ลงมือต่อสู้กับเย่เทียนเฉินโดยไม่สนใจสภาพเปิดเผยเลยแม้แต่น้อย

เย่เทียนเฉินเองก็ลงมือตอบโต้จางหลานเป็นระยะ แต่ก็ยังนับว่าเป็นสุภาพบุรุษมาก ไม่ได้ลงมือรุนแรง ทำเพียงขัดขวางเท่านั้น

“นี่ ฉันทนเธอมานานแล้ว อย่ามาบังคับให้ฉันลงมือ!” เย่เทียนเฉินป้องกันหมัดของจางหลาน แสร้งทำเป็นพูดขึ้นด้วยความโกรธ

“เจ้าบ้า นายคิดว่าฉันจะปล่อยนายไปเหรอไง? ลงมือก็พอแล้ว!” จางหลานไม่ใช่คนที่หาเรื่องได้ง่าย ไม่ยอมให้เย่เทียนเฉินทำแบบนี้โดยสิ้นเชิง ใช้หมัดขาวนวลต่อยเข้าไปอีกครั้ง

เย่เทียนเฉินรู้สึกรับไม่ไหวแล้ว ตอนนี้เขารู้สึกเสียใจแล้วจริงๆ ถ้ารู้แบบนี้คงไม่ไปหยอกล้อจางหลาน และไม่แย่งชิงจูบแรกของเธอ ผู้หญิงแปลกคนนี้ไม่เหมือนกับฉีหรูเสวี่ยและซูเฟยเฟย แม้จะแปลกมาก แต่จางหลานกลับเป็นผู้หญิงที่แข็งแกร่งคนหนึ่ง ฝีมือไม่เพียงแต่ไม่ธรรมดา นิสัยยังแข็งกร้าวอีกด้วย หาเรื่องไม่ได้จริงๆ

หลังจากที่เย่เทียนเฉินจูบจางหลานเมื่อสักครู่นี้แล้ว ใบหน้าเล็กๆ ของจางหลานก็แดงระเรื่อ สำหรับผู้หญิงคนหนึ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับผู้หญิงที่กระทั่งความรักสักครั้งก็ไม่เคยมี จูบแรกมีความหมายและความสำคัญกับเธอมาก ไม่สามารถลืมได้ชั่วชีวิต แต่เมื่อคิดถึงเย่เทียนเฉินเจ้าบ้าคนนี้แล้ว จางหลานก็โกรธจนลงมือสั่งสอนเย่เทียนเฉินตลอด

เมื่อพบกับการโจมตีไม่หยุดหย่อนของจางหลาน ถึงแม้ความสามารถของเย่เทียนเฉินจะเหนือกว่าเธอ แต่กลับไม่มีเวลาให้พักผ่อน ทำได้เพียงป้องกันเท่านั้น กระทั่งเย่เทียนเฉินถูกจางหลานกัดปากจนแตก ทั้งยังมีเลือดไหลออกมาเล็กน้อย ยิ่งไปกว่านั้นยังมีรอยฟันอีกด้วย เพียงแค่ดูก็รู้ว่าถูกคนกัด รอยสดใหม่แบบนั้นนอกจากจางหลานแล้วจะมีใครได้?

ตุ้บ!

ในตอนที่ชางหลาง หลัวเหว่ยเคอและหานเจี๋ยผลักประตูห้องนอนของเย่เทียนเฉินเข้ามา ยังไม่ทันได้พูดอะไร จางหลานก็ยกขาขึ้นสูง ใช้ขาซัดลงไปยังเย่เทียนเฉิน เย่เทียนเฉินก็หลบ ทำให้จางหลานเตะถูกเตียงอย่างรุนแรงจนเตียงพังลง

ภาพเหตุการณ์นี้ทำให้พวกชางหลางทั้งสามรู้สึกจนใจเป็นอย่างมาก ถ้าหากเรื่องนี้แพร่ออกไป ไม่แน่ว่าจะถูกผู้อื่นพูดไปแบบไหน อย่างน้อยก็ต้องมีการพูดว่า เย่เทียนเฉินและจางหลาน ชายโสดหญิงโสด สู้รบกันบนเตียงจนเตียงถล่ม!

เมื่อลองฟังประโยคนี้ดู ต่อให้เป็นคนที่ไร้เดียงสาขนาดไหนก็เกรงว่าจะคิดผิดไปมาก ยิ่งจางหลานและเย่เทียนเฉินล้วนเป็นคนโสด ยังไม่ได้แต่งงานกัน ไม่อาจไม่ทำให้คนอื่นคิดมาก!

ในตอนที่เตียงถูกจางหลานซัดจนพัง เย่เทียนเฉินและจางหลานรีบพลิกตัวขึ้นยืนในระดับความเร็วที่เร็วที่สุด จ้องมองอีกฝ่ายอย่างดุดัน

“หยุดแค่นี้เถอะ ถ้ากล้าเข้ามาอีกฉันจะลงมือจริงๆ แล้ว!” เย่เทียนเฉินหัวเราะฮี่ๆ พูดออกไปด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความยั่วยุ

“นายแปลก คิดว่าฉันจะกลัวนายเหรอ?” จางหลานเม้มริมฝีปากอันเซ็กซี่ของตัวเอง อดไม่ได้ที่จะคิดไปถึงความรู้สึกของตนเมื่อสักครู่นี้ที่ถูกเย่เทียนเฉินจูบ

“ยัยแปลก ฉันไม่กลัวเธอเหมือนกันแหละ!”

เย่เทียนเฉินและจางหลานไม่ยอมลงให้กันโดยสิ้นเชิง ไม่ว่าใครก็ไม่เต็มใจจะถอยให้แม้แต่ครึ่งก้าว พวกชางหลางที่ได้เห็นต่างก็ส่ายนหน้าเนื่องจากสองคนนี้ทำตัวเหมือนเด็กๆ ทำให้คนอื่นไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดีจริงๆ

ในขณะที่พูดจางหลานก็จะพุ่งเข้าใส่เย่เทียนเฉินอีกครั้ง แต่กลับถูกหานเจี๋ยดึงเอาไว้ กรอกตาใส่เย่เทียนเฉินด้วยความโกรธเคืองแล้วหมุนตัวเดินออกไปด้านนอกประตูห้อง ครั้งนี้ไม่ได้สั่งสอนเย่เทียนเฉิน แถมยังถูกเขาแย่งชิงจูบแรกของตนไปด้วย ในใจของจางหลานทั้งโกรธทั้งอาย อดไม่ได้อยากจะกัดเนื้อเจ้าหมอนี่ให้แรงๆ สักหน่อย

“ไอ้หนู…”

“นอนเถอะ พักผ่อนสักหน่อย เตรียมตัวกลับได้แล้ว!”

ชางหลางและหลัวเหว่ยเคอไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดีจึงหมุนตัวเดินออกไปนอกห้อง เหลือเพียงหานเจี๋ยกับเย่เทียนเฉินสองคนในห้อง เย่เทียนเฉินมองหานเจี๋ย เดินไปข้างเตียงโดยไม่ได้พูดอะไร เตียงถูกจางหลานซัดจนหักไปแล้ว เขาจึงประคองมันขึ้นมาเตรียมจะทำการซ่อมแซม มิฉะนั้นยังเหลือเวลาอีกหลายชั่วโมงจะนอนอย่างไร?

ทำอยู่ครึ่งค่อนวัน เย่เทียนเฉินทำได้เพียงนำเตียงไปพิงไว้ด้านข้าง ใช้ตู้ข้างเตียงประคองเอาไว้ถึงจะทำให้ขาเตียงด้านที่หักไปมั่นคงได้ เมื่อลองดูแล้วพบว่าไม่มีปัญหา เย่เทียนเฉินจึงนอนลงไป หานเจี๋ยมองเย่เทียนเฉิน เดินไปด้านข้างแล้วกล่าวขึ้นว่า “อาการบาดเจ็บของนายไม่เป็นไรใช่ไหม?”

“ไม่เป็นไรแล้ว เธอรีบกลับไปพักผ่อนเถอะ พรุ่งนี้จะกลับเมืองหลวงแต่เช้า!” เย่เทียนเฉินส่ายหัวยิ้มๆ แล้วพูดขึ้น

หานเจี๋ยได้ยินคำพูดของเย่เทียนเฉินก็ยังไม่ได้จากไป แต่เดินไปข้างเตียงเย่เทียนเฉินแล้วนั่งลง มองเย่เทียนเฉินอย่างลึกล้ำ ในดวงตาเต็มไปด้วยน้ำตาที่เอ่อคลอ ในตอนนี้เธอพบว่าผู้ชายคนนี้ไม่เลวเลยจริงๆ ถึงแม้บางครั้งจะไร้สาระไปบ้าง บางครั้งจะดูอันธพาลไปบ้าง แต่ก็เป็นผู้ชายที่ควรค่าที่จะฝากชีวิตไว้คนหนึ่ง ทำให้ผู้หญิงหลงรักเขาโดยไม่รู้ตัว

“เทียนเฉิน…” หานเจี๋ยเรียกเสียงเบา

“หัวหน้ามีอะไรจะสั่งครับ?” เย่เทียนเฉินแสร้งเอ่ยถามด้วยท่าทีจริงจัง

เมื่อเห็นท่าทีเช่นนี้ของเย่เทียนเฉิน หานเจี๋ยก็อดไม่ได้ที่จะถลึงตาใส่ ทั้งๆ ที่รู้ว่าตอนนั้นตนจะไปขโมยข้อมูลที่ประเทศ M เพื่อที่จะเข้าไปในเขตทหารอันสำคัญของประเทศ M ด้วยฐานะเช่นนั้น จึงถูกทางประเทศจีนมอบหมายตำแหน่งทางการทหารซึ่งก็คือผู้บัญชาการให้ ความจริงหานเจี๋ยเป็นแค่สมาชิกฝ่ายวิจัยของกองทัพเท่านั้น ตอนนี้เย่เทียนเฉินกลับพูดขึ้นมา ใครได้ยินก็รู้ว่าเป็นการหยอกล้อหานเจี๋ย

“หึๆ ดึกดื่นขนาดนี้ไม่ไปนอน หรืออยากจะถวายตัวให้?” เย่เทียนเฉินหัวเราะแล้วพูดหยอกล้อต่อไป

เมื่อต้องเจอกับเย่เทียนเฉินที่มีท่าทางอันธพาลไร้อย่างอายขนาดนี้ หานเจี๋ยกลับรู้สึกอับจนคำพูดเป็นอย่างมาก คนคนนี้พอไม่มีเรื่องราวอะไร ก็แสดงว่าช่วงเวลาไม่จริงจังของเขามาถึงแล้ว หานเจี๋ยคิดจะพูดกับเขาอย่างจริงจังซักหลายประโยค แต่ยากที่จะพูดต่อไปได้

“เทียนเฉิน ฉันพูดจริงๆ นะ เรื่องที่สำนักโฮคุชินอิตโตริวแห่งประเทศชิบะมาลอบโจมตีประเทศของเราที่ชายแดนป่าหมอกดำในครั้งนี้ไม่ใช่เรื่องเล็ก หลังจากกลับไปนายจะต้องไปพูดกับเบื้องบนด้วยกันกับฉัน ไปจัดการให้เข้มงวด!” หานเจี๋ยมองเย่เทียนเฉินแล้วพูดอย่างจริงจัง

“วางใจเถอะ ท่านผู้นำสูงสุดและท่านหยางฉลาดกว่าพวกเรามาก ตอนนี้พวกเขาคงกำลังดำเนินการจัดการแล้วแหละ!” เย่เทียนเฉินพูดด้วยรอยยิ้ม

หานเจี๋ยพยักหน้า เธอพูดไปก็ไม่มีประโยชน์ ที่สำคัญก็คือไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี เย่เทียนเฉินคนนี้ ทุกครั้งที่ถึงช่วงเวลาสำคัญมักจะไม่จริงจัง ทำให้ผู้อื่นทนไม่ไหว ไม่รู้ว่าจะพูดคุยกับเขายังไง

“ใช่แล้วเทียนเฉิน เรื่องของหลานหลานนายอย่าได้เก็บไปใส่ใจเลย เธอก็มีนิสัยแบบนี้แหละ แต่ความจริงเป็นคนดีมาก เป็นคนมีน้ำใจ!” หานเจี๋ยคิดถึงจางหลานซึ่งเป็นญาติผู้น้องของเธอจึงอดไม่ได้ที่จะพูดขึ้น

“อ้อ? เป็นคนดีมาก? เป็นคนใจดี? ทำไมฉันดูไม่ออกล่ะ?” เย่เทียนเฉินอดไม่ได้ที่จะพูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม

ในตอนนี้หานเจี๋ยนั่งอยู่ข้างเตียงของเย่เทียนเฉิน มองไปยังเย่เทียนเฉินครู่หนึ่ง แล้วเริ่มเล่าถึงเรื่องของญาติผู้น้อง ความจริงแล้วเมื่อพูดถึงครอบครัว จางหลานเกิดในครอบครัวทหารธรรมดาๆ ครอบครัวหนึ่ง พ่อเป็นทหารหน่วยรบพิเศษ แม่เป็นทหารเหล่าดุริยางค์ ตั้งแต่เด็กจางหลานก็ได้ยินได้เห็นวิถีชีวิตแบบทหารจึงค่อยๆ ชอบชีวิตแบบนี้ ตั้งแต่เด็กเธอก็ไม่เคยคิดว่าผู้หญิงคนหนึ่งจำเป็นต้องอยู่หลังผู้ชาย ผู้หญิงก็สามารถทำเรื่องที่ผู้ชายทำได้มากมาย

เมื่ออายุ 18 ปี จางหลานที่บริสุทธิ์ไร้เดียงสาละทิ้งโอกาสที่จะได้เข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยหลงเถิงแห่งเมืองหลวง ไปเข้าร่วมหน่วยสวาทหญิง หลังจากที่ผ่านการฝึกฝนจากในหน่วยมาสามปี จางหลานก็แสดงความโดดเด่นและฉลาดเฉลียวออกมาท่ามกลางทหารหญิงที่มีความยอดเยี่ยมทุกคนและกลายเป็นหัวหน้าหน่วยสวาทหญิง กลายเป็นตำรวจหญิงที่โด่งดังไปทั่วทั้งเมืองหลวงว่าสวยที่สุดและห้าวหาญที่สุด ในสถานการณ์แบบนี้จางหลานมีคนที่มาตามจีบมากมาย แต่กลับไม่มีแม้แต่คนเดียวที่ชอบหัวใจของเธอจริงๆ ไม่มีแม้แต่คนเดียวที่สัมผัสถึงแก่นแท้ในส่วนลึกของจิตใจของจางหลาน

จางหลานรับผิดชอบทำหน้าที่หัวหน้าหน่วยสวาทหญิงไปสองปี มีอยู่วันหนึ่งอยู่ดีๆ เธอก็กลับมาบ้าน บอกว่าตนเองลาออกจากงานหัวหน้าหน่วยสวาทแล้ว และเตรียมจะกลับไปที่เมือง เป็นคนธรรมดาคนหนึ่ง ไม่มีการต่อสู้ดุเดือดและชีวิตที่ตื่นเต้นอีกต่อไป เพียงแค่คิดจะใช้ชีวิตอย่างสงบสุข

เรื่องนี้ทำให้เกิดความโกลาหลทั่วทั้งตระกูลจาง ทั้งยังทำให้เกิดความสั่นสะท้านไปถึงตระกูลที่เกี่ยวข้องกันอย่างเช่นตระกูลหานของหานเจี๋ยด้วย ต้องทราบว่า การมีหัวหน้าหน่วยสวาทหญิงคนหนึ่งที่อายุน้อยหน้าตาสวยงามและมีฝีมือแข็งแกร่งแบบนี้นับเป็นความภาคภูมิใจของตระกูล อยู่ดีๆ ก็บอกว่าไม่เป็นแล้ว นี่จะทำให้เกิดผลกระทบมากขนาดไหน ไม่ต้องคิดก็รู้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งพ่อของจางหลานที่เกือบจะแตกหักกับจางหลานจนถึงขั้นตัดพ่อตัดลูก แค่คิดก็รู้ว่าร้ายแรงขนาดไหน

อย่างไรก็ตาม ในที่สุดจางหลานก็เป็นผู้ชนะ เธอใช้ความแน่วแน่เด็ดเดี่ยวของตัวเองและใช้การกระทำของตัวเองมาบอกทุกคนว่าเธอก็สามารถทำอาชีพอื่นได้ดีเช่นเดียวกัน และสามารถทำได้อย่างสมบูรณ์แบบด้วย ในระยะเวลาเพียงสั้นๆ เธออาศัยความพยายามของตนเข้าไปเป็นทำงานในบริษัทรัฐวิสาหกิจแห่งหนึ่ง มีหน้าที่การงานมั่นคง เป็นผู้หญิงที่ดูถูกไม่ได้เลยจริงๆ

แน่นอนว่าจางหลานไม่เพียงแต่มีด้านที่ห้าวหาญแข็งกร้าว จะอย่างไรเธอก็เป็นผู้หญิงคนหนึ่ง เหมือนกับที่หานเจี๋ยพูด จางหลานเป็นเด็กผู้หญิงที่ใจดี เธอมักจะสงเคราห์สุนัขจรจัดหรือแมวจรจัดอะไรเหล่านั้น พาพวกมันไปส่งที่ศูนย์รับเลี้ยงสัตว์ ยิ่งไปกว่านั้นยังออกเงินช่วยเหลือเด็กกำพร้าหลายสิบคนด้วย เป็นผู้หญิงที่อ่อนไหวคนหนึ่ง ไม่ใช่แข็งแกร่งจนถึงขั้นที่ไม่ว่าผู้ชายคนไหนก็ไม่กล้าเข้าใกล้

“ญาติผู้น้องของฉันคนนี้ต้องการแข็งแกร่ง ดังนั้นจึงไม่คิดอยากยอมแพ้!” หานเจี๋ยพูดด้วยรอยยิ้ม

“ต้องการแข็งแกร่งมากจริงๆ แต่ฉันไม่ตำหนิเธอหรอก ผู้ชายที่หล่อเหลามีสไตล์อย่างฉันใจกว้างมาก!” เย่เทียนเฉินพูดด้วยรอยยิ้มเหมือนอันธพาล

เย่เทียนเฉินนั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียงในห้องของตน กำลังเข้าสู่สภาวะสมาธิ ไม่เพียงแต่จะให้ความร่วมมือกับพลังอันอ่อนโยนสายนั้นเพื่อรักษาอาการบาดเจ็บในร่างกายของตน แต่ยังเรียนรู้ไม่หยุดด้วย การต่อสู้กับซาโต้ในครั้งนี้เขาได้รับบาดเจ็บแต่กลับไม่วิกฤตเหมือนกับครั้งที่แล้ว และไม่มีอันตรายถึงชีวิต

ประการแรกเป็นเพราะครั้งที่แล้วเย่เทียนเฉินเกือบจะตาย ในช่วงเวลาสำคัญจางรั่วถงใช้ร่างกายอันบริสุทธิ์ของตนช่วยชีวิตเย่เทียนเฉินกลับมาได้ และในตอนที่เย่เทียนเฉินตื่นมา เขาสัมผัสได้ว่าพลังพิเศษในร่างกายของตนแข็งแกร่งมากขึ้น ระดับความแข็งแกร่งของกายเนื้อก็ไม่เหมือนกับเมื่อก่อน ความสามารถส่วนตัวเพิ่มมากขึ้น

ประการที่สองเป็นเพราะจางรั่วถงทิ้งพลังอันอ่อนโยนสายหนึ่งเอาไว้ในร่างกายของเย่เทียนเฉิน ในตอนที่เย่เทียนเฉินได้รับบาดเจ็บก็จะใช้พลังอ่อนโยนนี้โดยอัตโนมัติเพื่อฟื้นฟูและรักษาบาดแผล ดังนั้นในตอนที่เย่เทียนเฉินถูกซาโต้โจมตีจนบาดเจ็บ พลังอ่อนโยนสายนั้นก็เริ่มรักษาร่างกายที่บาดเจ็บแล้ว เพียงไม่นานก็ควบคุมความสาหัสของบาดแผลได้

จางหลานในสภาพเท้าเปล่าน่ารักมาก และยังให้ความรู้สึกเหมือนกับกำลังปิดหูปิดตา แอบย่องมาข้างเตียงของเย่เทียนเฉิน ความจริงในตอนที่จางหลานเข้ามาเย่เทียนเฉินก็รู้แล้วแต่จงใจแสร้งทำเป็นนั่งสมาธิหลับอยู่ เขาอยากจะเห็นว่าสาวแปลกคนนี้จะทำอะไร

เสียงกรนดังขึ้นทำให้จางหลานตกใจจนนอนหมอบไปใต้เตียง ท่าทางเช่นนั้นไม่ต้องพูดเลยว่าจะน่ารักและน่าตลกขนาดไหน เย่เทียนเฉินเกือบจะทนไม่ได้จนหัวเราะออกมาแล้ว คิดไม่ถึงว่าจางหลานที่มีความแข็งแกร่งเด็ดเดี่ยวและมีนิสัยตรงไปตรงมาจะถึงกับมีด้านที่น่ารักแบบนี้ด้วย

จางหลานนอนหมอบอยู่ข้างเตียงนานมากจนกระทั่งเสียงกรนหยุดลง เนื่องจากกลัวว่าเย่เทียนเฉินจะรู้ตัว เธอรู้ว่าถ้าหากเย่เทียนเฉินเจอเธอ แผนการของเธอคงล้มเหลว การเดิมพันจูบแรกของตนกับเย่เทียนเฉินก็อาจจะต้องทำให้เป็นจริง

ในฐานะที่เป็นผู้หญิงคนหนึ่ง ผู้หญิงที่ไม่เคยมีความรักมาก่อน สำหรับเธอแล้วจูบแรกไม่ได้เป็นเพียงปัญหาของความเขินอาย แต่ยังเกี่ยวพันไปถึงความรักชั่วชีวิตอีกด้วย ผู้หญิงทุกคนล้วนเป็นสัตว์ที่อ่อนไหวไม่เหมือนผู้ชายที่ตรงไปตรงมาแบบนั้น พวกเธอจะไม่ลืมครั้งแรกในทุกเรื่องของตนไปชั่วชีวิต ดังนั้นผู้หญิงทุกคนจึงเป็นนางฟ้าที่ควรค่าให้ผู้ชายเอาอกเอาใจและทำดีกับเธอ

จางหลานไม่มีความประทับใจที่ดีอะไรต่อเย่เทียนเฉิน อย่างน้อยในตอนนี้ก็ไม่มี ผู้หญิงแปลกคนหนึ่งกับผู้ชายแปลกคนหนึ่ง หากต้องการสานสัมพันธ์ให้แนบแน่นเป็นเรื่องที่ยากมาก ต่อให้ในสายตาของคนอื่นพวกเขาสองคนจะทะเลาะกันเหมือนคู่รักที่ดูหวานแหววมาก จนกระทั่งหานเจี๋ยก็อิจฉา แต่ในใจของพวกเขาสองคน ไม่รู้ว่าความคิดที่แท้จริงในส่วนลึกของจิตใจเป็นอย่างไร

“เจ้าบ้า หลับแล้วยังมาทำให้ฉันตกใจอีก รอให้ฉันจับนายมัดก่อนเถอะ นายจะได้รู้ถึงความร้ายกาจ หึ!” จางหลานมุ่ยปากเล็กๆ อย่างน่ารัก มองเย่เทียนเฉินแล้วพูดอย่างดุดัน

เมื่อพูดจบจางหลานก็หยิบเชือกเส้นหนึ่งออกมาจากด้านหลัง เดินไปด้านหน้าของเย่เทียนเฉิน มองใบหน้าของเย่เทียนเฉินที่ดูเหมือนกำลังหลับลึก แล้วทำหน้าทะเล้นใส่อย่างแปลกประหลาด ทำให้เย่เทียนเฉินเกือบจะหลุดหัวเราะออกมา ผู้หญิงแต่คนนี้ทำตัวแปลกมากจริงๆ มีเอกลักษณ์ของเธอเท่านั้น

“หึ ยังต้องการให้คุณหนูอย่างฉันจูบนายอีก นายก็หลับฝันหวานไปเถอะ จับนายมัดซะก่อน อีกเดี๋ยวค่อยจัดการกับนาย หากกล้าไม่ยอมรับปากฉันว่าจะยกเลิกการเดิมพัน ฉันจะทำให้นายได้เห็นดี!”

จางหลานใช้เชือกมัดเย่เทียนเฉินไปพลางกรอกตาใส่แล้วพูดไปพลาง เย่เทียนเฉินเกือบจะถูกจางหลานทำให้เธอหัวเราะไปหลายครั้งแต่ก็อดกลั้นเอาไว้ตลอด เขายอมถูกผู้หญิงแปลกคนนี้มัดเพราะในตอนที่จางหลานมัดเย่เทียนเฉินก็กระตุ้นพลังพิเศษช้าๆ ทำให้เชือกขาด ถูกจางหลานจับมัดนั้นเป็นแค่สิ่งที่แสดงให้เห็นเบื้องหน้าเท่านั้น

เพี๊ยะๆ!

หลังจากที่มัดเย่เทียนเฉิน “แน่น” แล้ว จางหลานก็ผ่อนลมหายใจทันที มุมปากยกขึ้นเป็นรอยยิ้มได้ใจ ตัวเธอเองก็คิดไม่ถึงว่าการมัดเย่เทียนเฉินในครั้งนี้จะราบรื่นขนาดนี้ เดิมทีคิดว่าความสามารถของคนคนนี้แข็งแกร่งเหนือระดับ ลึกล้ำไม่อาจคาดเดา เป็นไปได้มากว่าตนเองจะทำไม่สำเร็จ หากต้องการมัดคนคนนี้อย่างน้อยก็ต้องสู้กันสักยก หรือกระทั่งเป็นไปได้มากว่าคนที่ถูกมัดจะกลายเป็นตัวเอง แต่กลับคิดไม่ถึงว่าจะมัดเย่เทียนเฉินได้สบายๆ ขนาดนี้

“ดูท่าทางเจ้าหมอนี่จะบาดเจ็บไม่เบาเลย ฉันมัดแน่นขนาดนั้น จะตายหรือเปล่านะ?” จางหลานมุ่ยปากแล้วพูดขึ้น พึมพำด้วยความดีที่ยังเหลืออยู่ในใจ

คิดไปครู่หนึ่ง ทันใดนั้นจางหลานจึงกรอกตาใส่เย่เทียนเฉินอย่างเป็นเอกลักษณ์ เธอคิดถึงเรื่องที่เจ้าหมอนี่ทะเลาะกับตนระหว่างการเดินทาง ไม่ยอมลงให้แม้แต่น้อย ไม่มีความเป็นสุภาพบุรุษแม้แต่ครึ่งส่วน ความโกรธในใจปะทุขึ้นมา นี่เป็นครั้งแรกที่เธอพบกับคนแบบนี้ คิดไปแล้วก็ยิ่งโกรธในใจ

“นี่ เจ้าบ้า ตื่น…”

“เอ๋? เจ้าบ้า…”

“เย่เทียนเฉิน…”

“นายอย่ามาทำให้ฉันตกใจ…เย่เทียนเฉิน…เย่เทียนเฉิน…”

ตอนแรกจางหลานแค่ผลักเย่เทียนเฉินเล็กน้อยเท่านั้น สุดท้ายจึงตะโกนเสียงดัง แต่ไม่สามารถทำให้เย่เทียนเฉินลืมตาขึ้นมาตอบเธอได้ เธออดไม่ได้ที่จะแปลกใจ ในใจคิดว่าจะเกิดเรื่องร้ายอะไรขึ้นหรือไม่ เย่เทียนเฉินคนนี้ได้รับบาดเจ็บสาหัสขนาดนั้น จะตายไปโดยไม่รู้ตัวหรือเปล่า?

“นี่!” จางหลานออกแรงสะกิดเย่เทียนเฉินอีกครู่หนึ่ง ตอนนี้ในใจไม่มีความรู้สึกสนุกแม้แต่ครึ่งส่วน และไม่ได้รู้สึกยินดีที่มัดเย่เทียนเฉินสำเร็จแล้ว เนื่องจากเย่เทียนเฉินในตอนนี้ไม่ขยับเขยื้อนเหมือนกับคนตาย ทำให้จางหลานตกใจจริงๆ

ถึงแม้ในใจของจางหลานจะมีความรู้สึกดีต่อเย่เทียนเฉินไม่มาก แต่ไม่อยากยอมมอบจูบแรกให้กับเย่เทียนเฉินเพื่อเป็นการทำตามเดิมพัน มิฉะนั้นคงไม่แอบเข้ามาในตอนกลาง คืนคิดจะมัดเย่เทียนเฉินและบีบบังคับให้เขาพูดยกเลิกการเดิมพันหรอก แต่จางหลานที่ในใจยังมีส่วนดีอยู่ ไม่คิดจะให้คนคนนี้เกิดเรื่องเลยแม้แต่ครึ่งส่วน ไม่ต้องพูดถึงเรื่องตายเลย

ตุ้บ! เสียงเบาๆ ดังขึ้น เย่เทียนเฉินถึงกับล้มลงไปบนเตียงเหมือนกับศพที่ตายไปแล้ว ทำให้จางหลานตกใจจนหน้าซีด เกือบจะร้องไห้ออกมา ถ้าหากเย่เทียนเฉินตายไปจริงๆ จางหลานคงรู้สึกผิดอยู่ในใจไปชั่วชีวิต ในฐานะที่เป็นผู้หญิงแกร่งคนหนึ่ง ในขณะเดียวกันก็มีความรับผิดชอบมาก ตอนนี้ดูเหมือนเธอจะกำลังคิดว่าที่เย่เทียนเฉินตายไปอาจเป็นเพราะถูกตนรบกวนกะทันหันในตอนที่กำลังใช้พลังภายในรักษาตัวเองอยู่

เมื่อคิดถึงตรงนี้จางหลานก็ยิ่งร้อนใจมากขึ้น ทันใดนั้นจึงนอนหมอบลงบนเตียงโดยไม่สนใจสิ่งใด สวมชุดนอนเซ็กซี่ เผยข้อเท้าเปลือยเปล่าขาวนวล ขาทั้งสองที่งดงามอย่างไม่ต้องสงสัยแม้แต่น้อย คุกเข่าครึ่งตัวอยู่บนเตียงในสภาพนี้ มองเย่เทียนเฉินที่ล้มลงไปบนเตียงโดยไม่ขยับเขยื้อน ร้อนใจจนดวงตาอันงดงามเกือบจะมีน้ำตาไหลออกมา ตะโกนว่า

“เย่เทียนเฉิน เย่เทียนเฉิน…นายไม่เป็นไรใช่ไหม ตื่นสิ ตื่น…”

ในระหว่างที่ตะโกนจางหลานก็อดไม่ได้ที่จะตบหน้าเย่เทียนเฉิน คนคนนี้ยังคงไม่มีปฏิกิริยาใดแม้แต่น้อย ยิ่งทำให้ตกใจจนไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี อดไม่ไหวเกือบร้องไห้ พูดออกมาว่า

“ถ้ารู้ว่านายจะตาย ฉันคงทำตามสัญญาของตัวเองไปแล้ว ไม่อยากเห็นผลลัพธ์แบบนี้….”

“เธอพูดจริงเหรอ?”

“อืม…เอ๋? เจ้าบ้า…นาย…อื้อ!”

ทันใดนั้นโลกพลันพลิกคว่ำ ในตอนที่จางหลานยังไม่มีปฏิกิริยา เย่เทียนเฉินก็คลายเชือกที่มัดตนไว้ ลุกขึ้นจากเตียงแล้วกอดจางหลานเอาไว้โดยพลัน

ในตอนนี้เอง จางหลานที่มีอารมณ์ต่างๆ มากมายปะปนอยู่ในสมองไม่มีปฏิกิริยาโดยสิ้นเชิง ปากของเย่เทียนเฉินจูบลงไปบนริมฝีปากของเธอเบาๆ หยุดอยู่แบบนั้นประมาณห้าวินาที ในสมองของจางหลานก็ขาวโพลนไปห้าวินาที ในห้าวินาทีนี้ ความรู้สึกของเธอแปลกมาก ดูไม่มีความรังเกียจมากนัก แน่นอนว่าไม่ชอบด้วยเช่นกัน แต่กลับรู้สึกถึงแรงจูบของเย่เทียนเฉิน

“อื้อๆ …ปล่อยฉัน…”

จางหลานใช้แรงทั้งหมดในร่างกาย คิดจะดิ้นออกไป แต่แรงของเย่เทียนเฉินเยอะมาก ยิ่งไปกว่านั้นความสามารถของเย่เทียนเฉินยังเหนือกว่าเธอ ไม่ว่าเธอจะใช้แรงขนาดไหนก็สลัดออกจากอ้อมกอดของไม่หลุด และไม่สามารถทำให้ปากของตัวเองหลุดจากปากของเย่เทียนเฉินได้ ดวงหน้างดงามไม่นานก็ปรากฏสีแดงด้วยความเขินอาย มือขาวนวลทุบลงบนหน้าอกของเย่เทียนเฉิน

เย่เทียนเฉินในตอนนี้หัวเราะอย่างชั่วร้ายอยู่ในใจ ที่เขาทำแบบนี้ ประการแรกเป็นเพราะทำตามคำเดิมพันในตอนแรก ลูกผู้ชายต้องพูดคำไหนคำนั้น นอกจากนี้ทั้งยังต้องการลงโทษผู้หญิงแปลกคนนี้ด้วย ถ้าหากเธอทำแบบนี้กับตนบ่อยๆ รู้สึกรับไม่ได้จริงๆ

จางหลานรับมือไม่ง่ายเลย นี่เป็นเรื่องที่เย่เทียนเฉินเข้าใจกระจ่างอยู่ในใจ ดังนั้นในครั้งนี้เขาจึงต้องการจัดการเธอให้ดีเสียหน่อย ทำให้เธอมีความทรงจำที่ลืมไม่ลง

“อา!”

วินาทีต่อมาเป็นเสียงร้องของเย่เทียนเฉิน เขาอดไม่ได้ที่จะผลักจางหลานออกอย่างฉับพลัน เนื่องจากเขารู้สึกว่าริมฝีปากของตนถูกกัด อดไม่ได้ที่จะลูบเบาๆ พบว่ามีรอยเลือดอยู่ เขารู้สึกหดหู่ไปทั้งร่าง มองไปยังจางหลานอย่างจนใจแล้วพูดว่า

“เธอเกิดปีหมารึไง?”

จางหลานในตอนนี้อายจนหน้าแดงไปหมดแล้ว ใช้ดวงตาอันงดงามจ้องเย่เทียนเฉินอย่างดุดัน เม้มปากเล็กๆ อันเซ็กซี่ ขบริมฝีปากเล็กน้อย ส่วนริมฝีปากล่างยื่นออก พูดออกมาว่า

“ฉัน…ฉันไม่จบกับนายแน่!”

“เธอไม่จบกับฉัน ฉันก็ไม่จบกับเธอ เธอคิดจะมาลอบโจมตีฉันก่อนนะ ถ้าไม่ใช่เพราะความตื่นตัวของฉัน ตอนนี้ไม่รู้ว่าจะถูกเธอทรมานจนมีสภาพแบบไหนแล้ว ฉันแค่ทำตามคำเดิมพันของเรา เธอคิดจะโกงเหรอ?”

เพี๊ยะๆ! มือของจางหลานหนักมาก อายุน้อยขนาดนี้ก็กลายเป็นหัวหน้าหน่วยสวาทหญิงแล้ว ฝีมือไม่ใช่แค่การโอ้อวด หมัดขาวนวลซัดไปที่เย่เทียนเฉินโดยตรง เย่เทียนเฉินเองก็ไม่กล้าลำพองใจ ในตอนที่ผู้หญิงแปลกคนนี้บ้าขึ้นมา ร้ายกาจมากจริงๆ

ตู้มๆๆ!

เย่เทียนเฉินและจางหลานแสดงภาพประหลาดๆ ออกมาอีกแล้ว ทั้งสองต่อสู้กันอยู่บนเตียงของเย่เทียนเฉิน ฝ่ายนี้หมัดหนึ่งฝ่ายโน้นหมัดหนึ่ง ฝ่ายนี้เตะครั้งหนึ่งฝ่ายโน้นเตะครั้งหนึ่ง ไม่ยอมลงให้กัน

แน่นอนว่าจางหลานย่อมรู้จักแยกแยะ เธอรู้ว่าเย่เทียนเฉินได้รับบาดเจ็บสาหัสจึงไม่ได้ลงมือเต็มที่ เพียงแค่คิดจะสั่งสอนเจ้าหมอนี่สักหน่อยก็เท่านั้น ส่วนเย่เทียนเฉินก็ไม่ได้ออกแรงเต็มกำลัง พูดตามจริงแล้ว ถ้าเขาลงมือเต็มที่จางหลานคงไม่ใช่คู่มือของเขา เขาแค่คิดอยากจะหยอกล้อจางหลานเท่านั้น

ระหว่างทาง การทะเลาะกันของเย่เทียนเฉินและจางหลานไม่ได้หยุดเลย ทำให้ชางหลางและหลัวเหว่ยเคอรู้สึกสิ้นไร้คำพูดเป็นอย่างมาก พวกเขารู้สึกนับถือยัยแปลกและนายแปลกทั้งสองคนนี้จริงๆ

จางหลานไม่ต้องพูดถึงเลย เคยมีฐานะเป็นหัวหน้าหน่วยสวาทหญิง สวมเสื้อผ้าเหมือนคนเมืองและยังสวมรองเท้าบู๊ทคู่หนึ่ง กล้ามาที่ป่าหมอกดำคนเดียวเพื่อมาช่วยเหลือญาติผู้พี่ของเธอ เพียงแค่ความกล้าหาญนี้ก็ไม่ใช่อะไรที่ผู้หญิงธรรมดาจะเทียบได้ ยิ่งไปกว่านั้น นอกจากรูปร่างภายนอกที่ดูสวยงามหมดจดแล้วยังมีหัวใจที่เด็ดเดี่ยวแน่วแน่อีกด้วย

ส่วนเย่เทียนเฉินเป็นผู้ชายคนหนึ่งที่เมื่อจริงจังขึ้นมาก็เหมือนกับเทพสังหาร ความสามารถลึกล้ำไม่อาจคาดเดา กระทั่งซาโต้ซึ่งเป็นผู้อาวุโสในสิบอันดับแรกของสำนักโฮคุชินอิตโตริว หลังจากที่ฉีดยาปรับเปลี่ยนพันธุกรรมฉับพลันไปจำนวนมากก็กลายเป็นสัตว์ประหลาดที่ไม่ว่าใครได้เห็นก็ต้องหวาดกลัว ก็ยังไม่สามารถฆ่าเย่เทียนเฉินได้ ซึ่งในเรื่องนี้มีโชคชะตาและมีความสามารถของเย่เทียนเฉินอยู่ เป็นสิ่งที่ไม่จำเป็นต้องสงสัยเลย หากไม่ใช่เพราะซาโต้ใช้ยาปรับเปลี่ยนพันธุกรรมฉับพลันไปจำนวนมากจนทำให้ตัวเองอยู่ในสภาพไม่ตายชั่วคราว “เนตรประกายทอง” ของเย่เทียนเฉินคงฆ่าเขาได้แล้ว

คนทั้งสองที่เดิมทีมีฝีมือแข็งแกร่งจนไม่ว่าใครก็ไม่กล้าดูถูก ในตอนนี้กลับมีท่าทางเหมือนเด็กน้อย ทะเลาะกันเหมือนกับคนรัก ไม่ว่าใครก็ไม่ยอมลงให้ใคร เดี๋ยวก็เรียกว่ายัยแปลกเดี๋ยวก็เรียกว่านายแปลก

หานเจี๋ยที่อยู่ด้านข้างรู้สึกอิจฉาและริษยาอยู่บ้างจริงๆ เธอเองก็ไม่รู้ว่าเพราะอะไร ถ้าหากเป็นเมื่อก่อน เธอมีความรู้สึกดีๆ กับเย่เทียนเฉินแน่นอน แต่ยังไม่ถึงขั้นเป็นความรัก แต่ตอนนี้แน่ใจกลับมีความรู้สึกอย่างเลือนลาง หรือนี่จะเป็นผลหลังจากที่วีรบุรุษช่วยสาวงามแล้ว?

ในตอนที่รถจี๊ปทหารมาถึงเมืองชายแดนก็เป็นเวลาตีสามกว่าแล้ว โชคดีที่ในยามค่ำคืนที่เงียบสงบแบบนี้คนส่วนใหญ่ล้วนนอนหลับไปแล้ว มิฉะนั้นหุบเขาในป่าหมอกดำมีการเคลื่อนไหวยิ่งใหญ่ขนาดนั้น ไม่ทำให้คนตกใจก็แปลกแล้ว

ในตอนที่พวกเย่เทียนเฉินมาถึงเมืองชายแดนและยังไม่ได้ลงรถนั้น บริเวณที่ซาโต้ตายในหุบเขาหมอกทมิฬ มีคนชุดดำปรากฏตัวขึ้นอีกสามคน ในตอนที่คนชุดดำทั้งสามคนนี้เห็นซาโต้ที่เหลือแค่เงาอันใหญ่โตจากการเผาไหม้ ทั้งหมดก็ตกตะลึง พวกเขาคิดไม่ถึงว่าจะตาย คิดไม่ถึงว่าซาโต้ที่ฉีดยาปรับเปลี่ยนพันธุกรรมฉับพลันไปแล้วจะตายได้ นี่ทำให้พวกเขาไม่กล้าเชื่อจริงๆ

“นี่…ซาโต้ ผู้อาวุโสซาโต้ตายแล้ว?”

“เป็นไปได้ยังไง? ใครเป็นคนฆ่าเขา?”

มือสังหารชุดดำสองคนที่อยู่ด้านข้างอดไม่ได้ที่จะทอดถอนใจด้วยความตื่นตะลึง ซาโต้เป็นผู้อาวุโสของสำนักโฮคุชินอิตโตริว ความสามารถและตำแหน่งเหนือกว่าพวกเขามาก การเคลื่อนไหวในครั้งนี้มีขึ้นเพื่อฆ่าทหารหน่วยรบพิเศษบริเวณชายแดนของประเทศจีน และในขณะที่ก่อเรื่องก็ทำความเข้าใจกับสถานการณ์ของป่าหมอกดำและทหารหน่วยรบพิเศษของจีนที่ประจำการอยู่ที่นี่ให้ชัดเจนไปด้วย

ประเทศชิบะไม่กล้าดูถูกประเทศจีน รู้ว่าประเทศจีนมียอดฝีมืออยู่จำนวนมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งพรรควรยุทธโบราณของประเทศจีนที่มีอยู่มาก คนแปลกความสามารถแปลกมีอยู่ไม่น้อย ดังนั้นเพื่อที่จะทำให้การเคลื่อนไหวในครั้งนี้เป็นไปอย่างราบรื่นและสมบูรณ์แบบ พวกจักรพรรดิดาบซึ่งเป็นคนระดับสูงสุดของสำนักโฮคุชินอิตโตริวจึงส่งซาโต้ออกมาทำภารกิจในครั้งนี้

ก่อนออกเดินทาง คาเมดะอิจิโร่ได้มอบยาปรับเปลี่ยนพันธุกรรมให้ซาโต้ ซึ่งเป็นยาที่ยังพัฒนาไม่สำเร็จและยังมีผลข้างเคียงที่อันตรายอย่างใหญ่หลวง ยิ่งไปกว่านั้นยังบอกซาโต้ว่านี่เป็นยาที่พัฒนาขึ้นมาใหม่ สามารถยกระดับพลังในการต่อสู้ขึ้นได้ในเวลาเพียงชั่วพริบตา ไม่มีผลข้างเคียงแม้แต่ครึ่งส่วน ทำให้ซาโต้นำติดตัวไปใช้ในยามจำเป็น

ถึงแม้ว่าซาโต้จะฉลาดแต่ก็ไม่ได้เชื่อคาเมดะอิจิโร่ขนาดนั้น เนื่องจากในการคบค้าสมาคมของคนประเทศชิบะ พวกเขาไม่สามารถเชื่อใจอีกฝ่ายได้อย่างสมบูรณ์จริงๆ อย่างน้อยก็ต้องมีการป้องกันอยู่บ้าง นี่มีความเกี่ยวพันกับเรื่องที่ว่าทำไมคนชิบะถึงมีความอำมหิตโหดเหี้ยมมาก

แต่จะอย่างไรซาโต้ก็เป็นคนที่มีอายุหกสิบกว่าปีแล้ว ถ้าพูดกันถึงเรื่องของจิตใจ ยังคงคาดหวังถึงพลังของวัยหนุ่มอยู่ ยิ่งไปกว่านั้น ก่อนหน้านี้ซาโต้ก็เคยรู้จักยาประเภทนี้มาก่อน ถึงแม้เขาจะไม่ได้ใช้แต่ก็เคยเห็นคนที่ใช้และเหตุการณ์ที่ระเบิดความสามารถออกมา ดังนั้นจึงนำติดตัวไปด้วย

ไม่ว่าใครก็คิดไม่ถึงว่าซาโต้จะถึงกับตาย จะถูกคนฆ่าตายได้ หากเรื่องนี้แพร่ไปถึงสำนักโฮคุชินอิตโตริวของประเทศชิบะจะต้องทำให้เกิดความสั่นสะท้านครั้งใหญ่แน่นอน ซาโต้ซึ่งเป็นผู้อาวุโสของสำนักโฮคุชินอิตโตริวที่สง่างามถูกคนฆ่าตายไปแล้ว นี่เรียกได้ว่าเป็นคนสำคัญมากคนหนึ่งของสำนักโฮคุชินอิตโตริว หรือระทั่งเป็นคนสำคัญของประเทศชิบะเลยก็ว่าได้

มือสังหารชุดดำที่ยืนอยู่ตรงกลางสุดมองทุกสิ่งทุกอย่างด้วยความเย็นชา ในใจของเขารู้สึกแปลกใจมาก อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วแล้วพูดขึ้นว่า “ฉันรู้ว่าใครฆ่าผู้อาวุโสซาโต้ พวกเราจำเป็นต้องรายงานเบื้องบน แก้แค้นให้ผู้อาวุโสซาโต้และราชานักฆ่าทั้งสี่คนที่ตายไป!”

“ใคร?” คนชุดดำอีกสองคนที่เหลือถามขึ้นอย่างแปลกใจ

“เย่เทียนเฉิน!” คนชุดดำที่อยู่ตรงกลางพูดขึ้นอย่างเย็นชา

หลังจากที่พูดจบ คนชุดดำที่ยืนอยู่ตรงกลางคนนั้นก็ปลดผ้าคลุมหน้าสีดำของต้นออก หากเย่เทียนเฉินอยู่ที่นี่ในตอนนี้จะต้องลงมือสังหารโดยไม่สนใจสิ่งใดแน่นอน เนื่องจากคนคนนี้ก็คือคาเมดะอิจิโร่ ครั้งที่แล้วเย่เทียนเฉินปล่อยเขาหนีไปได้จึงต้องการฆ่าคาเมดะอิจิโร่มาโดยตลอด

เดิมทีคาเมดะอิจิโร่รักษาอาการบาดเจ็บอยู่ที่ประเทศชิบะ หลังจากที่ต่อสู้กับเย่เทียนเฉินในครั้งที่แล้ว คาเมดะอิจิโร่ก็ได้รับบาดเจ็บภายในไปไม่น้อย หลังจากที่กลับไปยังสำนักโฮคุชินอิตโตริวจึงรายงานสถานการณ์ไป และเขาก็ได้รับการลงโทษแล้ว ครั้งนี้ไม่รู้ว่าใช้วิธีการใดถึงวิ่งออกมาได้ และติดตามซาโต้มา คิดไม่ถึงว่าในครั้งนี้พวกซาโต้จะพบกับยอดฝีมือที่แข็งแกร่งที่สุดซึ่งก็คือเย่เทียนเฉิน ซาโต้ตายอย่างอนาถ และที่นี่ก็ไม่เห็นศพของเย่เทียนเฉิน นั่นแสดงให้เห็นว่าเย่เทียนเฉินเป็นผู้ชนะ

สำหรับคาเมดะอิจิโร่แล้ว คนที่เขาเกลียดเข้ากระดูกดำที่สุดก็คือเย่เทียนเฉิน เย่เทียนเฉินไม่เพียงแต่จะทำให้เขาพ่ายแพ้ แต่ยังทำให้เขาถูกลงโทษอย่างรุนแรงอีกด้วย ดังนั้นเขาจึงคุ้นเคยกับพลังความสามารถของเย่เทียนเฉินเป็นอย่างดี และต้องการทำให้เย่เทียนเฉินตายโดยที่ศพแหลกสลายเป็นหมื่นชิ้น

“ท่านคาเมดะ ถ้างั้นตอนนี้พวกเราจะทำยังไงดี?” มือสังหารคนหนึ่งเอ่ยถาม

“เดินเล่นอยู่รอบๆ นี้สักหน่อยเถอะ รีบนำข้อมูลนี้ไปรายงานเบื้องบน ฉันคิดว่าอีกไม่นานพวกเขาก็จะส่งยอดฝีมือมาแล้ว เมื่อถึงตอนนั้นพวกเราก็สามารถเข้าประเทศจีนไปด้วยกันได้ ไปกำจัดเย่เทียนเฉินตัวร้ายนี่ซะ!” คาเมดะอิจิโร่พูดขึ้นแล้วยิ้มอย่างโหดเหี้ยม

หลังจากที่พวกพนะเอกมาถึงเมืองแล้วก็เปิดห้องสามห้อง หานเจี๋ยกับจางหลานอยู่ห้องเดียวกัน ชางหลางกับหลัวเหว่ยเคออยู่ห้องเดียวกัน ส่วนเย่เทียนเฉินแน่นอนว่าต้องอยู่คนเดียว ถ้าใช้คำพูดของเขาพูดก็คือ ตอนนี้เขาได้รับบาดเจ็บสาหัส ไม่ว่าเรื่องอะไรก็สามารถทำออกมาได้ โดยเฉพาะผู้หญิงไม่สามารถมาแตะต้องเขาได้เลย

สิ่งที่ทำให้พวกชางหลางอีกสี่คนที่เหลือรู้สึกเซ็งก็คือ ตอนนี้พวกเขามองไม่ออกแม้แต่น้อยว่าเย่เทียนเฉินได้รับบาดเจ็บสาหัสขนาดไหน แต่เขากลับทะเลาะกับจางหลานมาโดยตลอด ช่างทำให้ผู้อื่นอับจนคำพูดจริงๆ

เย่เทียนเฉินเข้าไปในห้อง นั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียง ถึงแม้บาดแผลจะรักษาตัวเองอยู่ แต่เย่เทียนเฉินก็ยังต้องตรวจสอบให้ละเอียดเสียหน่อย ดูว่ายังมีส่วนที่เสียหายอื่นๆ อีกหรือไม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการต่อสู้ครั้งใหญ่กับซาโต้ในตอนสุดท้ายนั้น ทั่วทั้งร่างของชายชราคนนี้เต็มไปด้วยหมอกพิษน้ำพิษ หากไม่ตรวจสอบให้ละเอียดนั้นไม่ได้

เข้าสู่สภาวะสมาธิอย่างเชื่องช้า เย่เทียนเฉินไม่ขยับเขยื้อน มองตรวจสอบสภาพภายในร่างกายของตน เขาค้นพบอย่างแปลกประหลาดว่า อาการบาดเจ็บบริเวณไหล่ทั้งสองและบริเวณท้องนั้น เมื่อดูจากสถานการณ์ภายในแล้วระดับความเร็วในการรักษานับว่าเร็วเป็นอย่างมาก มีพลังชนิดหนึ่งที่อ่อนโยนและแปลกประหลาดกำลังรักษาบาดแผลของเย่เทียนเฉินอย่างช้าๆ นี่คงจะเป็นพลังที่จางรั่วถงมอบให้ตน นี่อดไม่ได้ที่จะทำให้เย่เทียนเฉินคิดถึงผู้หญิงที่เสียสละเพื่อตนเองอย่างเงียบๆ คนนี้

“หลังจากกลับไปจะต้องไปบ้านตระกูลจางสักรอบ ดูหน่อยว่ารั่วถงกลับมาหรือยัง…” เย่เทียนเฉินคิดอยู่ในใจ

การต่อสู้กับซาโต้ในครั้งนี้เย่เทียนเฉินได้รับบาดเจ็บสาหัสมาก เกือบจะตายอยู่แล้ว ในขณะเดียวกันก็เรียนรู้สิ่งต่างๆ มากมาย ไม่เพียงแต่จะเกิดความเข้าใจในทักษะการต่อสู้ อีกทั้งยังเข้าใจเคล็ดวิชาพลังพิเศษจำนวนหนึ่งของตนอีกด้วย

เคล็ดวิชาพลังพิเศษที่เย่เทียนเฉินมีอยู่ในมือในตอนที่อยู่ดาวสิ้นโลกส่วนใหญ่ไม่สามารถใช้ในโลกแห่งนี้ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเคล็ดวิชาที่มีพลังฆ่าล้างรุนแรงเหล่านั้น เขาไม่สามารถใช้ได้เลย เนื่องจากขอบเขตความสามารถส่วนตัวไม่แข็งแกร่งมากพอ รวมกับที่พลังหลิงชี่ของโลกนี้แห้งเหือดไปแล้ว หากฝืนใช้ออกมาจะต้องย้อนกลับมาทำร้ายตัวเองแน่

ตอนนี้ในร่างกายของเย่เทียนเฉินมีพลังพิเศษที่แตกต่างกันหลายสายกำลังผันผวนไม่หยุด เขาค่อยๆ กดพลังเหล่านี้ลง ชักนำให้พลังที่อ่อนโยนนั้นดำเนินการรักษาอาการบาดเจ็บของตน

เสียงกอกแกกดังขึ้น ประตูห้องของเย่เทียนเฉินถูกเปิดออก เขาที่ยังนั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียงอดไม่ได้ที่จะกดพลังพิเศษในร่างกายลงไปด้วยความเร็วและตกใจ ถึงแม้เขาจะไม่มั่นใจว่าเป็นใครแต่ก็เดาได้ถึงเจ็ดแปดส่วน คนที่สามารถเปิดประตูห้องนอนที่ล็อกเอาไว้ได้ ยิ่งไปกว่านั้นยังเดินเข้ามาด้วยการเคลื่อนไหวเบาบางเช่นนี้ ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าคนคนนี้จะต้องเป็นจางหลานผู้หญิงแปลกแน่นอน

เย่เทียนเฉินอดไม่ได้ที่จะหัวเราะอยู่ในใจ แสร้งทำเป็นหลับตารักษาอาการบาดเจ็บ เขารู้ว่าจางหลานผู้หญิงแปลกคนนี้มาทำอะไร ไม่ใช่ว่าอยากจะผิดสัญญาและไม่อยากทำตามสัญญาด้วย จึงเตรียมจะเข้ามาคุกคามตน

ยามค่ำคืน คนที่แอบลอบเข้ามาในห้องนอนของเย่เทียนเฉินก็คือจางหลาน เธอสวมใส่ชุดนอนบางที่สามารถมองทะลุได้ รูปร่างที่มีส่วนเว้าส่วนโค้งดูเปิดเผยและปิดซ่อน มีเสน่ห์เป็นอย่างมาก ค่อยๆ เดินเข้ามาใกล้เย่เทียนเฉินที่กำลังนั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียงอย่างเชื่องช้า มีท่าทางระมัดระวังและเขินอาย ริมฝีปากล่างยื่นออกมาเล็กน้อย ริมฝีปากบนปิดแน่น ในขณะเดียวกันสายตาก็มองไปที่เย่เทียนเฉินอย่างน่ารัก เหมือนกับสหายตัวน้อยที่แอบกินลูกอมและกลัวว่าจะถูกคนอื่นรู้

จางหลานคิดว่ายังไม่ถูกพบ ถอดรองเท้าแตะออก เข้าไปใกล้เย่เทียนเฉินด้วยความระมัดระวัง

“คร่อก…คร่อก…”

ในตอนนี้เอง เย่เทียนเฉินส่งเสียงกรนออกมาทำให้จางหลานตกใจจนนอนหมอบไปข้างเตียงไม่ขยับเขยื้อน คิดว่าเย่เทียนเฉินตื่นขึ้นมาแล้ว

ไหนเลยจะรู้ว่าสิ่งที่ได้ยินคือเสียงกรนต่อไป ทำให้จางหลานโกรธจนกรอกตาใส่เย่เทียนเฉิน ในขณะเดียวกันปากก็พึมพำด่าว่า “เจ้าบ้า นายแปลก ฉันไม่ปล่อยไปดีๆ แน่!”

ส่วนเย่เทียนเฉินนั้นตั้งแต่แรกก็หยอกล้อจางหลานแล้ว เมื่อเห็นท่าทางเช่นนี้ของจางหลาน เขาก็อดไม่ได้จนเกือบจะหัวเราะออกมา ทันใดนั้นเขาพบว่า ผู้หญิงที่แข็งแกร่งเด็ดเดี่ยวและมีความแปลกเล็กน้อยคนนี้จะมีด้านที่น่ารักแบบนี้ด้วย คิดเข้ามาที่ห้องของตนในตอนดึก มาคุกคามเขาเย่เทียนเฉินเพื่อทำตามการเดิมพันระหว่างสองคนให้เสร็จ ช่างแปลกจริงๆ

การต่อสู้กับซาโต้ทำให้เย่เทียนเฉินยิ่งรู้สึกได้ถึงความสำคัญของพลังที่เพิ่มมากขึ้น บางทีบนโลกนี้อาจไม่มีการดำรงอยู่ของผู้แข็งแกร่งระดับจักรพรรดิ แต่ยังมีบุคคลที่เป็นดั่งเสือหมอบมังกรซ่อนอยู่มากมายแน่นอน

ซาโต้ซึ่งเป็นผู้อาวุโสที่มีฝีมืออยู่ในสิบอันดับแรกของสำนักโฮคุชินอิตโตริว ความสามารถแท้จริงที่เขามีไม่อ่อนด้อยไปกว่าเย่เทียนเฉินโดยสิ้นเชิง ในตอนที่ทำการต่อสู้ เย่เทียนเฉินสู้เต็มที่แล้ว และดูเหมือนว่าจะใช้พลังที่เหยียบย่างเข้าสู่ขอบเขตจักรพรรดิออกไป แต่ยังคงไม่สามารถฆ่าซาโต้ได้ แสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของซาโต้ แต่การตายของซาโต้เป็นสิ่งที่ตัวของเขาสร้างขึ้นเอง ในตอนที่ฉีดยาปรับเปลี่ยนพันธุกรรมฉับพลันเข็มแรกเข้าไป พลังของเขาเพิ่มมากขึ้น โจมตีเย่เทียนเฉินจนดูเหมือนว่าเย่เทียนเฉินจะไม่มีพลังตอบโตแล้ว เย่เทียนเฉินจึงต้องใช้วิชาต้องห้ามของตนที่ชื่อว่าวิชาเนตรประกายทองออกไปจนหัวใจของซาโต้ทะลุเป็นรู บีบบังคับให้ซาโต้บ้าคลั่งจนกระทั่งกลืนยาปรับเปลี่ยนพันธุกรรมฉับพลันลงไปขนานใหญ่

หลังจากที่ซาโต้กลืนยาปรับเปลี่ยนพันธุกรรมลงไปคำใหญ่ เย่เทียนเฉินก็ทำได้เพียงตกอยู่ในฐานะที่ถูกโจมตีจนเกือบจะถูกฆ่าตายอยู่แล้ว ไม่ทราบว่าขอบเขตพลังของซาโต้เพิ่มขึ้นกี่เท่า ซึ่งนี่ต้องใช้พลังชีวิตของตนในการแลกเปลี่ยน ต้องการฆ่าเย่เทียนเฉินให้ตาย กล่าวได้ว่าเป็นการเผาไหม้พลังชีวิตของตนเพื่อการโจมตีครั้งสุดท้าย ผลลัพธ์ของข้อแลกเปลี่ยนนี้ก็คือ หลังจากต่อสู้เขาก็ไม่สามารถมีชีวิตอยู่ต่อไปได้อีก สุดท้ายจึงตกลงสู่จุดจบที่ทำลายตัวเองจนตาย กระทั่งศพก็ไม่หลงเหลือ

เย่เทียนเฉินรู้สึกร้อนใจ เขามีทัศนคติที่ผิดพลาดไปแล้ว ตอนนี้เขาพบว่าบนโลกใบนี้มียอดฝีมือที่เป็นดั่งเสือหมอบมังกรซ่อนอยู่จำนวนหนึ่ง หากพูดถึงสำนักโฮคุชินอิตโตริวที่ซาโต้สังกัดอยู่ ซาโต้นับว่าเป็นยอดฝีมือระดับผู้อาวุโสซึ่งอยู่ในสิบอันดับแรก เหนือเขายังมีบุคคลที่ร้ายกาจยิ่งกว่าอยู่ เฉกเช่นจักรพรรดิดาบที่ชางหลางเคยพูดถึงกับเย่เทียนเฉิน

จักรพรรดิดาบเป็นเจ้าสำนักของสำนักโฮคุชินอิตโตริว หากพูดถึงข้อมูลของจักรพรรดิดาบที่กองทัพจีนมีอยู่ในมือนั้น รู้เพียงว่ามีคนเช่นนี้อยู่เท่านั้น หน้าตาเป็นอย่างไร เตี้ยสูงอ้วนผอม อายุเท่าไหร่ ความสามารถแข็งแกร่งแค่ไหน สิ่งเหล่านี้ล้วนไม่ทราบ กระทั่งจักรพรรดิดาบชื่ออะไรก็ยังไม่เคยรู้

นี่ทำให้เย่เทียนเฉินรู้สึกลึกลับมาก จักรพรรดิดาบเป็นผู้แข็งแกร่งที่อยู่ในระดับสูงอย่างแน่นอน ความสามารถย่อมแข็งแกร่งจนถึงขั้นทำให้ผู้คนต้องสั่นสะท้าน จากการคาดเดาของพวกชางหลางในเบื้องต้น ควรจะอยู่ในระดับนักรบศักดิ์สิทธิ์หรืออาจจะสูงกว่าเล็กน้อย หรือว่าจักรพรรดิดาบซึ่งเป็นเจ้าสำนักของสำนักโฮคุชินอิตโตริวคนนี้จะทะลวงไปถึงขอบเขตของนักรบจักรพรรดิแล้ว? ถ้าเช่นนั้นควรจะน่าหวาดกลัวขนาดไหนกัน?

ยิ่งคิดมาถึงตรงนี้เย่เทียนเฉินก็ยิ่งร้อนใจอยากที่จะทะลวงขอบเขตพลังของตน การประมือกับสำนักโฮคุชินอิตโตริวเป็นเรื่องที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ ยิ่งไปกว่านั้นประเทศชิบะไม่เคยล้มเลิกความคิดที่จะทำร้ายประเทศจีนของพวกเรา จะต้องมีสักวันหนึ่งที่จะเกิดการต่อสู้ครั้งใหญ่ระหว่างสองประเทศ หากจักรพรรดิดาบลงมือนั่นย่อมเป็นวิกฤติการทำลายล้างที่ยากจะจินตนาการได้ ดังนั้นเย่เทียนเฉินจำเป็นต้องทะลวงขอบเขต เพื่อรอที่จะต่อสู้กับจักรพรรดิดาบในอนาคต

เย่เทียนเฉินที่ใช้วิชา “เนตรประกายทอง” ซึ่งเป็นเคล็ดวิชาสังหารที่แข็งแกร่งไปแล้ว ในดวงตาทั้งสองมีน้ำตาเลือดอยู่เต็มดวงตา นี่เป็นผลข้างเคียงของเคล็ดวิชาสังหารที่แข็งแกร่ง ตั้งแต่ที่เย่เทียนเฉินได้เรียนรู้ในยามค่ำคืนที่มีพายุฝนจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่สมบูรณ์ ในตอนที่ความสามารถของซาโต้เพิ่มขึ้นจนไม่สามารถต่อต้านได้ เย่เทียนเฉินจำเป็นต้องใช้เคล็ดวิชาที่แข็งแกร่งนี้ทำให้หัวใจของซาโต้ทะลุเป็นรู บางทีอาจเป็นเพราะพลังทำลายล้างของเคล็ดวิชานี้ยิ่งใหญ่เกินไป สามารถทะลุทุกสรรพสิ่งได้และมีพลังทำลายทุกสิ่งทุกอย่าง จึงได้รับความอิจฉาจากสวรรค์ ไม่ยอมให้เย่เทียนเฉินเรียนรู้ได้อย่างสมบูรณ์

ในสภาพที่ยังไม่สมบูรณ์เช่นนี้ ทุกครั้งที่เย่เทียนเฉินใช้ยังมีความรู้สึกที่ราวกับจะทะลวงฟ้าดินได้ หากเรียนรู้ได้สำเร็จ ไม่ใช่ว่าจะสามารถทะลวงจักรวาลให้เป็นรู ฆ่าคนนับร้อยล้านคนได้ในเวลาเพียงชั่วพริบตาหรือ?

“เอาล่ะ ไม่เป็นไรแล้ว พวกเรากลับไปที่เมืองกันเถอะ ฉันว่าสภาพของพวกเราทุกคนจำเป็นต้องได้รับการรักษาสักหน่อย!” เย่เทียนเฉินพูดด้วยรอยยิ้มพลางตบไหล่ของหานเจี๋ย

“อืม!” หานเจี๋ยน้ำตาคลอเบ้า มองรอยแผลทั่วทั้งร่างของเย่เทียนเฉิน รู้สึกปวดใจยิ่งนัก

“ไอ้หนู แกไม่เป็นไรใช่ไหม ต้องให้ฉันแบกแกหรือเปล่า?” ชางหลางอดไม่ได้ที่จะถามด้วยรอยยิ้ม

“ปกติผมไม่ชอบให้ผู้ชายแบก แต่ถ้าเป็นผู้หญิงแบก ผมก็จะลองคิดดู!” เย่เทียนเฉินมองไปทางจางหลาน พูดขึ้นด้วยรอยยิ้มชั่วร้าย

บนร่างของจางหลานก็มีรอยเลือดเช่นกัน และได้รับบาดเจ็บเช่นกัน ราชานักฆ่าของสำนักโฮคุชินอิตโตริวทั้งสี่คนไม่สามารถดูถูกได้ แต่ละคนมีความสามารถแข็งแกร่ง โชคดีที่คนทั้งสี่ไม่ได้ร่วมมือกันต่อสู้ มิฉะนั้นอาศัยคนทั้งสามที่ไม่คุ้นเคยกันเช่นจางหลาน ชางหลาง และหลัวเหว่ยเคอ จะต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัยเลย

“หน้าไม่อาย ผู้ชายตัวโตต้องการให้ผู้หญิงแบก ไม่อายรึไง?” จางหลานมุ่ยปากเล็กๆ ของตน เป็นการกระทำที่น่ารักมาก ริมฝีปากล่างยื่นออกมาเล็กน้อย

“ฮี่ๆ เธออย่าลืมการเดิมพันระหว่างพวกเราล่ะ เมื่อไหร่จะทำตามสัญญา? ตอนนี้เลยหรือเปล่า?” เย่เทียนเฉินเห็นท่าทางน่ารักของจางหลานก็อดไม่ได้ที่จะพูดหยอกล้อไปหลายประโยค หัวเราะฮี่ๆ แล้วพูดขึ้นด้วยท่าทางอันธพาลเป็นอย่างมาก

จางหลานรู้สึกจนใจจริงๆ กระทั่งเธอที่เป็นผู้หญิงแปลกก็รู้สึกสิ้นไร้คำพูดจนถึงขีดสุด รู้สึกหดหู่โดยสิ้นเชิง เย่เทียนเฉินคนนี้เพิ่งจะผ่านการต่อสู้เป็นตายมา ในตอนที่ต่อสู้เขาเป็นเทพสังหารที่ฆ่าทุกคนที่ขวางหน้า ไม่ว่าใครก็รู้สึกถึงความโหดเหี้ยมและความแข็งแกร่งของเขา แต่ตอนนี้ถึงกับมีท่าทางอันธพาลเกียจคร้านขึ้นมา การเปลี่ยนแปลงนี้ทำให้ผู้คนร้องไห้ไม่ออกหัวเราะไม่ได้จริงๆ แต่ไม่อาจไม่ยอมรับว่าผู้ชายเช่นนี้มีแรงดึงดูดต่อผู้หญิงมาก มีเสน่ห์ที่เป็นเอกลักษณ์

“บาดเจ็บไปทั้งตัวแล้ว รักษาชีวิตนายให้ได้ก่อนค่อยว่ากันเถอะ!” จางหลานกรอกตาใส่เย่เทียนเฉินอย่างเป็นเอกลักษณ์แล้วพูดขึ้น

“นี่ คนสวย คำพูดนี้ของเธอไม่นับนะ เกิดเป็นคนจะใจร้ายแบบนี้ไม่ได้!” เย่เทียนเฉินรีบพูดขึ้นมา

“หึ ฉันขี้เกียจจะสนใจนายแล้ว!”

จางหลานทำหน้าเซ็งใส่เย่เทียนเฉิน บิดก้อนของตนคล้ายกับกำลังยั่วยุเย่เทียนเฉินอย่างไรอย่างนั้น ทำให้เย่เทียนเฉินอับจนคำพูดเป็นอย่างมาก

“พี่ พี่ไม่เป็นไรใช่ไหม?” จางหลานเดินไปข้างกายหานเจี๋ยแล้วถามขึ้นด้วยความใส่ใจ

“พี่ไม่เป็นไร หลานหลาน เธอมาได้ยังไง?” หานเจี๋ยถามด้วยความแปลกใจ

สิ่งที่ทำให้หานเจี๋ยรู้สึกแปลกที่สุดก็คือ จางหลานซึ่งเป็นญาติผู้น้องของตนถึงกับสวมใส่เสื้อผ้าเหมือนคนเมืองที่งดงามและเซ็กซี่เป็นอย่างมากมาที่เขตดึกดำบรรพ์อย่างป่าหมอกดำ ในสถานที่ที่เป็นภูเขารกร้างว่างเปล่าแห่งนี้นับเป็นภาพที่ดูมีเอกลักษณ์มากจริงๆ

“ฉันได้ข่าวมาจากทางบ้าน ก็เลยรีบมาที่นี่ทันที พี่ไม่เป็นไรก็ดีแล้ว!” จางหลานพูดแล้วยิ้มหวาน

ครอบครัวของหานเจี๋ยเรียกได้ว่าเป็นครอบครัวทหาร ถึงแม้อำนาจจะไม่สูง แต่ก็มีตำแหน่งสำคัญ ดังนั้นเมื่อหานเจี๋ยเกิดเรื่องจางหลานจึงได้รู้ทันที เธอกับญาติผู้พี่เติบโตมาด้วยกันตั้งแต่เล็กๆ สนิทสนมกันยิ่งกว่าพี่น้องแท้ๆ เสียอีก ดังนั้นจึงมีเหตุการณ์ที่สาวสวยผมลอนคนหนึ่งสวมเสื้อผ้าเหมือนคนเมืองมาที่ป่าหมอกดำ บางครั้งจางหลานก็เหลวไหลไร้สาระ ไม่เสียทีที่เย่เทียนเฉินตั้งฉายาให้เธอว่า “สาวแปลก”

“พวกเราไปกันเถอะ ที่นี่อยู่นานไม่ได้!” หลัวเหว่ยเคอมองไปรอบๆ แล้วพูดขึ้น

พวกเย่เทียนเฉินพยักหน้า เดินมุ่งไปยังนอกป่าหมอกดำ ในตอนที่ขึ้นนั่งรถจี๊ปทหาร เย่เทียนเฉินนั่งเอนอยู่ที่ตำแหน่งที่นั่งด้านหลัง หานเจี๋ยและจางหลานนั่งอยู่ข้างเขาทั้งซ้ายขวา ส่วนชางหลางมีหน้าที่ขับรถ หลัวเหว่ยเคอนั่งอยู่ตรงตำแหน่งข้างคนขับ

เย่เทียนเฉินเป็นคนที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสที่สุดในหมู่ทุกคน ไหล่ซ้ายขวาทั้งสองด้าน กระดูกไหล่และกระดูกไหปลาร้าถูกฟันหักไปแล้ว เลือดเนื้อเละเทะ อีกทั้งบริเวณเอวท้องก็มีบาดแผลลึกอยู่แห่งหนึ่ง หานเจี๋ยที่ได้เห็นรู้สึกร้อนใจมาก

เดิมทีเมื่ออยู่ในสภาพเช่นนี้เย่เทียนเฉินควรจะน่าอนาจมาก กระทั่งควรจะหมดสติไปแล้ว แต่ดูเหมือนจะไม่มีความรู้สึกอะไรมากนัก นี่ทำให้เย่เทียนเฉินเองรู้สึกแปลกใจ เขาอดไม่ได้ที่จะหลับตาลง มองเข้าไปในร่างกายผ่านพลังพิเศษของตัวเองอย่างเชื่องช้า พบว่าที่บาดแผลบริเวณไหล่ซ้ายขวาและบริเวณท้องกำลังสมานตัวด้วยความเร็วในระดับที่ดวงตามองไม่เห็น นี่จะเหนือคาดเกินไปแล้ว ก่อนหน้านี้เขาไม่มีความสามารถแบบนี้ คนเพียงคนเดียวที่เคยพบและมีความสามารถแบบนี้ก็คือจางอีเต๋อซึ่งเป็นผู้มีพลังพิเศษในสายรักษา ไม่เพียงแต่มีความสามารถแข็งแกร่ง พลังการรักษาตนเองก็เหนือระดับอีกด้วย เป็นอะไรที่แปลกมากจริงๆ

ทันใดนั้นเย่เทียนเฉินพลันเข้าใจขึ้นมา เขาเข้าใจแล้วว่าทำไมตนได้รับบาดเจ็บสาหัสขนาดนี้แต่ยังไม่มีความรู้สึกมากนัก ท่าทางจะมีสาเหตุมาจากร่างกายพิเศษของจางรั่วถง เธอเป็นหลานสาวของจางอีเต๋อ จะต้องได้รับการสืบทอดพลังอันแปลกประหลาดที่สามารถรักษาตัวเองได้แบบนี้มาจากจางอีเต๋ออย่างแน่นอน กระทั่งอาจจะร้ายกาจกว่าจางอีเต๋อด้วยซ้ำ มิฉะนั้นคงไม่สามารถทำให้ในร่างกายของเย่เทียนเฉินมีพลังการรักษาตัวเองเช่นนี้อยู่ได้

นี่อดไม่ได้ที่จะทำให้เย่เทียนเฉินคิดถึงจางรั่วถงขึ้นมา บางทีสิ่งที่จางรั่วถงมอบให้เขาคงไม่ง่ายแค่ทำให้เขารักษาตัวเองได้เท่านั้น แต่ยังมีสิ่งที่เขาคิดไม่ถึงอีกจำนวนหนึ่งด้วย หากอาศัยแค่ความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นระหว่างชายหญิงทำให้เย่เทียนเฉินมีความสามารถในการรักษาบาดแผลของตัวเองได้แบบนี้ นั่นเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้

“รั่วถง ฉันจะไม่ทำผิดต่อเธอเด็ดขาด!” เย่เทียนเฉินลอบคิดอยู่ในใจ ไม่ว่าเขาในตอนนี้จะชอบจางรั่วถงหรือไม่ จะมีความรู้สึกของชายหญิงกับจางรั่วถงหรือไม่ แต่ผู้หญิงคนนี้เสียสละเพื่อตนเองมากมายขนาดนั้น เพียงแค่ส่วนนี้เขาก็ต้องดูแลเธอไปชั่วชีวิตแล้ว นี่คือเรื่องที่ลูกผู้ชายคนหนึ่งสมควรกระทำ และเป็นความรับผิดชอบที่ลูกผู้ชายคนหนึ่งสมควรมี

“เทียนเฉิน นายไม่เป็นไรจริงๆ ใช่ไหม? รู้สึกเป็นยังไงบ้าง?” หานเจี๋ยถามขึ้นด้วยความรู้สึกร้อนใจ เมื่อเห็นเย่เทียนเฉินที่มีเลือดท่วมตัว เธอก็รู้สึกเป็นกังวล

“ฉัน…”

“พี่ พี่ไม่ต้องไปสนใจเจ้าหมอนี่หรอก พี่ดูดวงตามีชีวิตชีวาทั้งสองของเขาสิ เหมือนเป็นอะไรหรือเปล่า? ไม่ตายหรอก!” จางหลานขัดคำพูดของเย่เทียนเฉิน พูดขึ้นด้วยความเสียดสีเป็นอย่างมาก

เย่เทียนเฉินรู้สึกอับจนคำพูดโดยสิ้นเชิง เดิมทีเขายังคิดจะทำสำออยสักหน่อย แต่ถูกสาวแปลกอย่างจางหลานขัดเอาแบบนี้แล้ว เหมือนกับว่าจางหลานตั้งตัวเป็นศัตรูของเขาโดยเฉพาะ โจมตีเขาไปทุกเรื่อง คอยแขวะเขาตลอด

“ยัยแปลก ตอนนี้ฉันจะบอกเธอด้วยความจริงจังจริงใจและโกรธเคือง เรื่องที่เธอเดิมพันกับฉันจะต้องทำตามสัญญาให้ได้ อย่าได้หลีกเลี่ยงเด็ดขาด ถ้ากล้ามาแขวะฉันอีก ระวังฉันจะเพิ่มกำไรล่ะ!” เย่เทียนเฉินมีท่าทางเหมือนเด็กน้อย จ้องมองไปยังจางหลานแล้วพูดขึ้นอย่างดุดัน

“แล้วยังไงล่ะ? นายรักษาอาการบาดเจ็บให้หายดีก่อนแล้วค่อยพูดเถอะ คุณหนูอย่างฉัน แต่ไหนแต่ไรก็พูดคำไหนคำนั้น ใช่แล้ว ฉันเองก็อยากจะบอกนายเรื่องหนึ่งเหมือนกัน นั่นก็คือ…นายก็เป็นนายแปลกเหมือนกันนั่นแหละ ฮ่าๆ!” ในตอนที่จางหลานพูด ตัวเองก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาอย่างเบิกบานใจ หัวเราะอย่างดีใจและหวานหยาดเยิ้ม

เย่เทียนเฉินร่างกายเต็มไปด้วยเลือดสดๆ จนกระทั่งตอนนี้ เขาได้ใช้เคล็ดวิชาพลังพิเศษที่แข็งแกร่งไปแล้ว นั่นก็คือวิชาเนตรประกายทอง ไม่ใช่ว่าเขาไม่แข็งแกร่งพอ แต่เดิมทีซาโต้ก็มีความสามารถไม่ด้อยไปกว่าเขาอยู่แล้ว ยิ่งไปกว่านั้นซาโต้ก็ได้เปลี่ยนแปลงไปจนไม่นับว่าเป็นมนุษย์ กลายเป็นสัตว์ประหลาดไปแล้ว อีกทั้งยังกินยาปรับเปลี่ยนพันธุกรรมเข้าไปกำใหญ่ ทำให้ยิ่งแข็งแกร่งและวิปลาสมากขึ้น กระทั่งหัวใจถูกแทงทะลุไปแล้วก็ยังไม่เป็นไร

ซาโต้กระทืบลงไปที่ศีรษะของเย่เทียนเฉิน ต้องการกระทืบศีรษะของเย่เทียนเฉินให้แหลกเหลว มองศีรษะของเขาแหลกเป็นเศษเลือดและตายไปทั้งเป็น

กล่าวตามจริง ในใจของซาโต้ตื่นตะลึงเป็นอย่างมาก และรู้สึกยากที่จะเชื่อ อีกทั้งยังต้องการฆ่าเย่เทียนเฉินมากยิ่งขึ้น เนื่องจากพลังการต่อสู้ที่เย่เทียนเฉินแสดงออกมาแข็งแกร่งมากเกินไปจริงๆ ไม่ได้ด้อยไปกว่าพลังการต่อสู้ของเขาก่อนที่จะใช้ยาปรับเปลี่ยนพันธุกรรมเลยแม้แต่น้อย บีบบังคับเขาจนไม่เพียงแต่จะต้องฉีดยาปรับเปลี่ยนพันธุกรรมเข้าไป แต่ยังต้องกินยาลงไปอีกคำใหญ่ในสถานการณ์ที่ร่างกายไม่สามารถรับไหว นับเป็นวิธีการรนหาที่ตายโดยสิ้นเชิง

ดังนั้นในความคิดของซาโต้ เย่เทียนเฉินจำเป็นต้องตาย ต่อให้จะต้องตายไปด้วยกันกับเย่เทียนเฉินก็ไม่อาจปล่อยคนที่สามารถสร้างหายนะให้คนอื่นๆ ในสำนักโฮคุชินอิตโตริวแบบนี้อยู่รอดต่อไปได้ จินตนาการได้เลยว่า หากมีข่าวลือแพร่ออกไปว่า มีคนที่ทำให้ซาโต้ซึ่งเป็นยอดฝีมือสิบอันดับแรกของสำนักโฮคุชินอิตโตริวต้องฆ่าให้ได้โดยไม่เสียดายที่จะตายไปพร้อมกัน เย่เทียนเฉินคงจะทำให้ใครหลายคนตื่นตกใจเป็นการใหญ่

เมื่อต้องเผชิญกับซาโต้ที่ใช้เท้ากระทืบมายังศีรษะของตน เย่เทียนเฉินทำได้เพียงมองเท่านั้น ไม่มีพลังจะโต้ตอบ ทั่วทั้งร่างเต็มไปด้วยบาดแผล บาดเจ็บสาหัสไปมากกว่าสองในสามส่วน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเขาได้ฝืนใช้ “เนตรประกายทอง” ยิงไปยังซาโต้หวังฆ่าให้ตายแต่ทำไม่สำเร็จ ส่วนซาโต้ก็กินยาปรับเปลี่ยนพันธุกรรมลงไปเป็นจำนวนมาก ทำให้ประสาทการรับรู้ของเขาเกิดความผิดพลาดไปชั่วคราว ไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวด ในขณะเดียวกันก็ไม่รู้ว่าซาโต้เป็นอะไร หัวใจถูกแทงทะลุแล้วแต่ยังคงมีชีวิตอยู่

ตู้ม!

เงาของเท้าอันใหญ่โตมโหฬารกระทืบลงไปยังศรีษะของเย่เทียนเฉิน อีกพริบตาเดียวก็จะถึงแล้ว แต่เย่เทียนเฉินทำได้เพียงเบิกตามองเงาเท้าอันใหญ่โตนั้นเคลื่อนลงมา กำลังจะบดขยี้ศีรษะของเขาให้แหลกเหลว

“อ๊าก!”

เสียงกรีดร้องอย่างอนาถดังขึ้น ในตอนนี้เอง จู่ๆ ซาโต้ก็ตะโกนขึ้นมา เย่เทียนเฉินขมวดคิ้ว พบว่าซาโต้ล้มลงไปที่พื้น ร่างกายอันใหญ่โตล้มลงอย่างฉับพลัน ทั่วทั้งร่างมีหมอกสีดำแผ่ออกมา ราวกับเกิดการลุกไหม้จากภายในมาสู่ภายนอก กลิ้งไปกลิ้งมาไม่หยุด ทั่วทั้งร่างมีเลือดสีดำพุ่งออกมา ดูน่าเกลียดและโหดร้ายเป็นอย่างมาก

“อ๊าก…คาเอดะ คาเอดะ ไอ้สารเลว มันหลอกฉัน…” ซาโต้กรีดร้องคำรามออกมา

เย่เทียนเฉินลุกขึ้นยืน มองไปยังซาโต้ที่กลิ้งไปกลิ้งมาบนพื้น ทั่วทั้งร่างมีไอเลือดสีดำพุ่งออกมา รอบด้านเดือดพล่านจากภายในสู่ภายนอก ทรมานเป็นอย่างยิ่ง นี่คือผลข้างเคียงหลังจากที่ใช้ยาปรับเปลี่ยนพันธุกรรม

“แกรู้ไหมว่าที่ประเทศจีนมีคำโบราณอยู่ประโยคหนึ่ง? ทำความชั่วมาก ย่อมพิฆาตตัวเอง!” เย่เทียนเฉินมองซาโต้แล้วพูดอย่างเรียบเฉย

“อ๊าก ฉันเกลียดมัน ฉันไม่พอใจ คาเอดะอิจิโร่ คาเอดะ ไอ้ลูกเต่า มันหลอกฉัน…ฉัน…”

ตู้ม!

ซาโต้ผู้น่าเศร้า ในตอนที่ยังไม่ทันพูดจบ ทั่วทั้งร่างก็ลุกโชนขึ้นมา ถูกเปลวเพลิงสีดำกลืนกิน นับว่าเขารนหาที่โดยสิ้นเชิง เดิมทียาปรับเปลี่ยนพันธุกรรมก็มีผลข้างเคียงอยู่แล้ว เพื่อที่จะฆ่าเย่เทียนเฉินให้ได้เขายังเลือกกลืนลงไปกำมือหนึ่งโดยไม่สนใจอะไร ไม่รู้ว่ามีมากน้อยแค่ไหน นับเป็นการรนหาที่ตายอย่างแท้จริง ส่วนที่คาเอดะอิจิโร่หลอกเขาซาโต้ก็คือ การที่เขานำยาชนิดนี้มามอบให้ซาโต้ เป็นการทำร้ายซาโต้ให้ตายทั้งเป็น ไม่อาจไม่กล่าวว่า คนประเทศชิบะโหดเหี้ยมอำมหิตต่อคนกันเอง

ยาปรับเปลี่ยนพันธุกรรมอย่างฉับพลันที่ประเทศชิบะพัฒนาขึ้นมานี้ มีผลเสียต่อร่างกายของมนุษย์เป็นอย่างมาก ล้วนอยู่ในขั้นตอนการพัฒนามาโดยตลอด แต่คนประเทศชิบะล้วนโหดเหี้ยมอำมหิต กระทั่งสามารถฆ่าฟันทำร้ายกันเองได้ นั่นเป็นเรื่องที่ปกติอย่างหาใดเปรียบ เพื่อที่จะพัฒนาพลังการต่อสู้ของร่างกายของตน พวกเขาไม่เสียดายที่จะสละทุกสิ่งทุกอย่าง ต่อให้เป็นตัวเองก็ตาม ยิ่งไม่ต้องพูดถึงคนอื่นเลย ขอเพียงสามารถบรรลุจุดประสงค์ได้ พวกเขาล้วนไม่เลือกวิธีการ

พันธุกรรมของซาโต้ปรับเปลี่ยนไปเพราะยา นี่เป็นสิ่งที่คาเอดะอิจิโร่มอบให้แก่เขา ซึ่งในนี้คาเอดะอิจิโร่บอกเขาเพียงว่ายาปรับเปลี่ยนพันธุกรรมสามารถทำให้ความสามารถของเขายกระดับขึ้นได้ในเวลาเพียงพริบตา ยิ่งไปกว่านั้นยังทำให้รู้สึกถึงพละกำลังในช่วงอายุยี่สิบปีอีกด้วย แต่ไม่ได้พูดว่ามีผลข้างเคียงอะไร ทั้งไม่ได้บอกว่าหากใช้ยามากเกินไปจะทำให้ตาย เห็นได้ชัดว่าคาเอดะอิจิโร่คาดเดาไว้แล้วว่าซาโต้จะใช้ยานี้ ดังนั้นจึงจงใจไม่พูดถึงความอันตรายให้ชัดเจน

บางทีคาเอดะอิจิโร่คงคิดจะหยิบยืมความสามารถของซาโต้ฆ่าเย่เทียนเฉินให้ตาย หรือบางทีคาเอดะอิจิโร่อาจจะคิดทำร้ายซาโต้ ถือโอกาสนี้ทำให้ตนได้เข้าไปสู่ตำแหน่งผู้อาวุโสของสำนักโฮคุชินอิตโตริว และกลายเป็นคนที่กุมอำนาจอยู่ในมือ ไม่ว่าจะเป็นเพราะสาเหตุใด ความอำมหิตของคาเอดะอิจิโร่ก็เป็นสิ่งที่เห็นได้อย่างชัดเจน

เย่เทียนเฉินมองซาโต้ที่นอนอยู่บนพื้น กลิ้งไปมาทั้งยังกรีดร้องไม่หยุด เขาส่ายหน้าด้วยความเห็นใจ นี่ทำให้เขาเข้าใจในสิ่งหนึ่ง นั่นก็คือ ความสามารถทั้งหมดที่ได้มาด้วยวิธีลัดมักไม่ยืนยาว อย่างเบาก็ทนทุกข์ทรมานอย่างหนักก็กลืนกินตัวเอง ซาโต้ก็เป็นเช่นนี้ หลังจากที่ฉีดยาปรับเปลี่ยนพันธุกรรมฉับพลันลงไปแล้วความสามารถก็ยกระดับขึ้นในพริบตา ดูแข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่ง ซัดเย่เทียนเฉินจนไม่มีเรี่ยวแรงจะตอบโต้แม้แต่น้อย เกือบจะฆ่าเย่เทียนเฉินได้อยู่แล้ว เพียงแต่ตัวเขาเองสูญเสียสติสัมปชัญญะ กลายเป็นสัตว์ประหลาดที่ไม่ใช่คนไม่ใช่สัตว์ ไม่รู้โดยสิ้นเชิงว่าตัวเองเป็นใคร ภายใต้สภาพแบบนี้ เขากำลังเผาผลาญพลังชีวิตของตน เพียงแต่เป็นไปอย่างเชื่องช้า นอกจากนี้ซาโต้ยังถูกเคล็ดวิชาพลังพิเศษอันเหนือระดับของเย่เทียนเฉินซึ่งก็คือวิชาเนตรประกายทองเข้าไป บีบบังคับให้เขาบ้าคลั่ง เขาไม่เชื่อจริงๆ ว่าหลังจากที่ตนฉีดยาปรับเปลี่ยนพันธุกรรมฉับพลันไปแล้วจะไม่สามารถฆ่าเย่เทียนเฉินได้ เขาที่อยู่ในสภาพบ้าคลั่งจึงใช้ยาปรับเปลี่ยนพันธุกรรมฉับพลันไปอีกกำมือใหญ่ พลิบตาเดียวก็ได้รับพลังที่แข็งแกร่งหาใดเปรียบ เพียงแต่ผลสุดท้ายกลับเป็นการเผาไหม้ตัวเองจนตาย น่าอนาจจนไม่อาจมอง

“อ๊าก…ฉันไม่ยอม…” ซาโต้ตะโกนเสียงดัง เพียงแต่เขาได้เผาผลาญพลังชีวิตจนหมดสิ้นไปแล้ว เปลวเพลิงสีดำนี้ลุกไหม้จากภายในสู่ภายนอก เผาไหม้อวัยวะภายใน เลือดเนื้อ รวมไปถึงกระดูกของซาโต้ ต่อให้เป็นเทพเซียนก็ช่วยเขาไม่ได้

ในเวลาเพียงไม่ถึงสองนาทีซาโต้ก็กลายเป็นเถ้าถ่านกองหนึ่งโดยสิ้นเชิง ทั่วทั้งร่างถูกแผดเผาไม่เหลือกระทั่งเศษเนื้อ เหลือไว้เพียงรอยประทับรูปคนบนพื้น

“แกไม่ได้ตายด้วยมือของฉัน แต่ตายด้วยมือของตัวแกเอง นี่เป็นจุดที่น่าเศร้าที่สุดของแกแล้ว!” เย่เทียนเฉินกล่าวออกมาอย่างทอดถอนใจ

ในตอนเย่เทียนเฉินเดินออกมาจากหุบเขาหมอกทมิฬ พบกับจางหลาน ชางหลาง และหลัวเหว่ยเคอ พวกเขาทั้งสามมีร่างกายที่เต็มไปด้วยการบาดเจ็บ แต่นับว่าสามารถฆ่าราชานักฆ่าทั้งสามคนที่เหลือไปได้ ทำลายคนที่แข็งแกร่งที่สุดในหมู่คนที่มาลอบโจมตีทหารหน่วยรบพิเศษของชายแดนไปได้

ในตอนที่จางหลาน ชางหลาง และหลัวเหว่ยเคอเห็นเย่เทียนเฉินซึ่งมีบาดแผลอยู่เต็มร่าง กระทั่งเรียกได้ว่าน่าอนาจจนไม่อาจมองนั้น ก็อดไม่ได้ที่จะสูดหายใจเย็นยะเยือก เย่เทียนเฉินแข็งแกร่งขนาดไหนพวกเขาทั้งหมดต่างก็รู้ดี ทำให้พาลคิดไปว่าคู่ต่อสู้ของเย่เทียนเฉินจะร้ายกาจขนาดไหนกัน ซาโต้ ชายชราคนนี้แข็งแกร่งมากจริงๆ

หานเจี๋ยยืนอยู่บริเวณไม่ไกลมาโดยตลอด ฝีมือของเธอไม่แข็งแกร่งพอจึงไม่สามารถช่วยอะไรได้ ในตอนที่พวกจางหลานฆ่าราชานักฆ่าทั้งสามคนแล้ว หานเจี๋ยก็ยิ่งเป็นห่วงเย่เทียนเฉิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อได้ยินเสียงต่อสู้ที่ดังออกมาจากหุบเขา อีกทั้งยังมีเสียงกรีดร้อง หรือกระทั่งเสียงพื้นดินสั่นสะเทือน หานเจี๋ยก็ยิ่งเป็นห่วง เธอรู้ว่าซาโต้แข็งแกร่งมาก แข็งแกร่งจนกระทั่งไม่อาจจินตนาการได้ เย่เทียนเฉินจะเอาชนะได้หรือไม่เป็นเรื่องที่ไม่อาจคาดเดาจริงๆ

“เทียนเฉิน…ฮือๆ!” ในตอนที่หานเจี๋ยเห็นว่าเย่เทียนเฉินมีบาดแผลอยู่เต็มร่าง มีเลือดชุ่มเสื้อผ้า เธอก็ไม่สามารถระงับอารมณ์ของตนได้อีกต่อไป พริบตาเดียวก็โถมตัวเข้าไปในอ้อมกอดของเย่เทียนเฉิน ร้องไห้ออกมาเสียงดัง ผู้ชายคนนี้ เพื่อที่จะช่วยเธอ ทำให้เขาได้รับบาดเจ็บสาหัสถึงขนาดนี้ ยิ่งไปกว่านั้นผู้ชายคนนี้ยังหล่อและมีจิตใจเด็ดเดี่ยว ต่อให้เป็นผู้หญิงที่ใจแข็งมากกว่านี้ ในชั่วขณะนี้ก็ถูกทำให้ละลายไปแล้ว

“ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร มันผ่านไปแล้ว!” เย่เทียนเฉินตบไหล่ของหานเจี๋ย พูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม

ในตอนนี้จางหลานก็มองเย่เทียนเฉินด้วยความแปลกใจเช่นกัน ในสายตามีความเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย ตอนแรกเธอคิดว่าเย่เทียนเฉินเป็นผู้ชายที่ปากเสียและแปลกประหลาดคนหนึ่ง สรุปคือไม่อาจพึ่งพาได้ แต่ตอนนี้พบว่าผู้ชายคนนี้แข็งแกร่งมากจริงๆ ไม่อาจดูถูกได้เลย เมื่อเทียบกับผู้ชายที่ยโสโอหังไม่เห็นใครอยู่ในสายตา จะทำอะไรก็สามารถรับผิดชอบได้ แต่ในเวลาสำคัญกลับทำอะไรไม่ได้แล้ว เย่เทียนเฉินยังมีความเป็นเอกลักษณ์ของเขา มีหลักการและวิธีการในการกระทำเรื่องราวต่างๆ ของเขา เมื่อผู้ชายคนนี้จริงจังขึ้นมา กระะทั่งเทพแห่งความตายก็ยังทำได้แค่มองแล้วเดินจากไป

นี่คือมุมมองของจางหลานที่มีต่อเย่เทียนเฉินซึ่งเปลี่ยนแปลงไปโดยไม่รู้ตัว เธออดไม่ได้ที่จะนับถือผู้ชายคนนี้ขึ้นมา ในตอนที่ผ่อนคลายก็มีลักษณะเหมือนอันธพาล หยอกล้อก่นด่าอะไรก็ทำได้ทั้งนั้น แต่เมื่อจริงจังขึ้นมาก็มีเสน่ห์ที่ต่างกันออกไป มักจะทำให้ผู้คนรู้สึกถึงเสน่ห์และความประทับใจที่เหนือคาด

“ขอโทษด้วย ต้องโทษฉัน ฉันไม่ดีเอง…” หานเจี๋ยร้องไห้ออกมา ในใจของเธอรู้สึกผิด ทั้งยังรู้สึกซาบซึ้งใจต่อเย่เทียนเฉิน ผู้ชายที่มาช่วยเธอโดยไม่สนใจทุกสิ่งทุกอย่าง

“วางใจเถอะ ฉันไม่เป็นไร คืนนี้เข้าหอได้ไม่มีปัญหา!” เย่เทียนเฉินพูดออกมาแล้วหัวเราะ

เมื่อได้ยินคำพูดนี้ของเย่เทียนเฉิน หานเจี๋ยก็อดไม่ได้ที่จะหน้าแดง จ้องมองผู้ชายคนนี้อย่างดุดัน บาดเจ็บจนมีสภาพแบบนี้แล้วยังมีใจมาล้อเล่นอีก

“น้องชาย นายร้ายกาจมากจริงๆ กระทั่งซาโต้ก็ถูกนายฆ่าไปแล้ว ความสามารถเหนือกว่าพวกเราไปมาก!” หลัวเหว่ยเคอมองเย่เทียนเฉินแล้วกล่าวชื่นชม

“ความสามารถของผมพอๆ กับซาโต้ หรือกระทั่งด้อยกว่าเขาเล็กน้อยด้วยซ้ำ ที่เขาแพ้เป็นเพราะเขาไม่มั่นใจในตัวเอง และยังถูกคนของตัวเองทำร้ายจนตาย ไม่งั้นผมคงเอาชนะเขาไม่ได้!” เย่เทียนเฉินส่ายหน้าแล้วกล่าวขึ้น

เย่เทียนเฉินไม่ใช่คนที่ยโสโอหัง เขาเพียงแค่ทำท่าทางยโสต่อหน้าศัตรูที่ยโสเท่านั้น นี่ก็เพื่อกดดันพลังของศัตรู บางครั้งจึงจำเป็นต้องทำ แต่ในใจของเขาเข้าใจดี ความสามารถของซาโต้ไม่ได้ด้อยไปกว่าเขา ต่อให้เขาไปถึงจุดสูงสุดของขอบเขตพลังแล้ว และยังสามารถใช้พลังในขอบเขตจักรพรรดิได้เล็กน้อย ก็ไม่สามารถฆ่าซาโต้ได้ ดังนั้นนี่จึงทำให้เย่เทียนเฉินยิ่งตัดสินใจอย่างแน่วแน่มากขึ้นว่าจะต้องทะลวงขอบเขตพลังให้ได้ ทำให้ความสามารถของตนแข็งแกร่งขึ้น เนื่องจากบนโลกใบนี้ยังมีคนที่แข็งแกร่งกว่าซาโต้อยู่ เมื่อถึงตอนนั้นการต่อสู้คงดุเดือดรุนแรงมากขึ้น และโหดเหี้ยมอำมหิตมากขึ้น จนถึงขั้นทลายภูผาป่นพสุธา

ฟู่!

เลือดสดๆ พุ่งกระฉูด เย่เทียนเฉินถูกมือของซาโต้ฟาดฟันลงมาที่ไหล่ซ้ายท่ามกลางอากาศ พลันนั้นนเลือดสดๆ พุ่งกระฉูดออกมา การโจมตีนี้ซาโต้โจมตีลงไปบนร่างของเย่เทียนเฉินอย่างแม่นยำ อีกทั้งยังเป็นซาโต้ที่เปลี่ยนแปลงพันธุกรรมไปแล้วด้วย มือทั้งสองและเท้าทั้งสองเหมือนกับกรงเล็บสัตว์ ดังนั้นฝ่ามือที่ฟาดฟันลงมานี้จึงทำให้กระดูกไหปลาร้าของเย่เทียนเฉินหัก ฝ่ามือลู่ตกลงไปดูแล้วน่าตกใจและน่าหวาดกลัวเป็นอย่างยิ่ง

“ฉันจะฟันแกให้ขาดเป็นสองท่อนซะ!” ซาโต้คำราม ฝ่ามือซ้ายฟันลงไปที่ไหล่ขวาของเย่เทียนเฉิน

เย่เทียนเฉินขมวดคิ้ว พันธุกรรมของซาโต้ปรับเปลี่ยนไปถึงขั้นบ้าคลั่งเรียบร้อยแล้ว ความสามารถไม่รู้ว่าเพิ่มขึ้นกี่เท่า นี่เป็นครั้งแรกที่เขาสัมผัสได้ถึงการสิ้นเปลืองพลัง ชายชราคนนี้แข็งแกร่งจนถึงขั้นวิปลาส ไม่ใช่คนอีกต่อไป แต่กลายเป็นสัตว์ประหลาดครึ่งคนครึ่งสัตว์

ฟู่!

เลือดสดๆ อีกระรอกหนึ่งพุ่งออกมา ไหล่ขวาของเย่เทียนเฉินถูกซาโต้ฟาดฟัน ฝ่ามือจมลงไปครึ่งหนึ่ง กระดูกบริเวณไหล่ทั้งสองข้างของเย่เทียนเฉินล้วนถูกฟันหัก เลือดเนื้อเละเทะ กระดูกขาวปรากฏชัดเจน

ตู้ม!

ทั่วทั้งหุบเขาหมอกทมิฬสั่นสะเทือน มือทั้งสองของซาโต้จมเข้าไปในไหล่ซ้ายขวาของเย่เทียนเฉิน เย่เทียนเฉินไม่มีพลังที่จะตอบโต้ ทำได้เพียงถูกพลังโจมตีอันมหาศาลปะทะเข้ามาเท่านั้น ในสภาพเช่นนี้เขาถูกโจมตีจนปลิวลงมาด้านล่าง ในชั่วขณะที่กำลังร่วงหล่นนั้นเอง หัวเข่าของซาโต้ที่ราวกับขาของหมาป่าปะทะลงบนหน้าอกของเย่เทียนเฉินอย่างรุนแรง พริบตาเดียวก็ทำให้เขาคุกเข่าลงกับพื้น

การดวลในครั้งนี้ การประทะกันในครั้งนี้ เรียกได้ว่าเย่เทียนเฉินเป็นผู้ถูกกระทำโดยสิ้นเชิง เป็นผู้รับการโจมตีโดยสิ้นเชิง ถูกโจมตีจนโชกเลือด มุมปากมีเลือดสดๆ พุ่งออกมา เขาไม่สามารถรับการโจมตีของซาโต้ได้เนื่องจากซาโต้แข็งแกร่งขึ้นมาก ขอบเขตของพลังที่พัฒนาไปไม่ใช่เพียงหนึ่งขั้น นี่เป็นเพราะฉีดยาปรับเปลี่ยนพันธุกรรมที่ประเทศชิบะพัฒนาเข้าไป

โฮก!

ซาโต้เงยหน้าคำรามลั่นฟ้า เขาในตอนนี้ไม่ใช่ตัวเขาเองอีกต่อไปแล้ว สูญเสียสติสัมปชัญญะไปโดยสิ้นเชิง กลายเป็นคนที่ไม่ใช่คน เป็นสัตว์ที่ไม่ใช่สัตว์ เป็นสัตว์ประหลาดตัวหนึ่งโดยสมบูรณ์ สูญเสียตัวตนของตัวเอง ไม่อาจควบคุมความกระหายเลือดที่ปะทุขึ้นมาอย่างบ้าคลั่งของตนได้

เย่เทียนเฉินล้มลงกับพื้น กระดูกบริเวณไหล่และกระดูกไหปลาร้าที่ไหล่ทั้งสองถูกฟันจนเกือบจะขาดออกจากกัน รวมกับที่บริเวณเอวได้รับการโจมตีจากเข่าของซาโต้อย่างรุนแรง ต่อให้เป็นคนที่แข็งแกร่งห้าวหาญยิ่งกว่านี้ก็เกรงว่าจะไม่สามารถรับการโจมตีแบบนี้ได้ ยิ่งไปกว่านั้นเดิมทีความสามารถของซาโต้ก็ไม่ด้อยไปกว่าเย่เทียนเฉิน ตอนนี้ยังได้รับยาปรับเปลี่ยนพันธุกรรมเข้าไปอีกจนแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น เพียงพริบตาเดียว เย่เทียนเฉินก็ทำได้เพียงตกอยู่ในฐานะที่ถูกโจมตีกระหน่ำ

“ไปตายซะ ไปตายซะ…”

ตู้มๆๆ!…ซาโต้คำรามเสียงดัง ยกขาขวาที่เปลี่ยนไปมีลักษณะใหญ่โตและมีขนสีดำขึ้นเต็มขากระทืบลงไปที่หน้าอกของเย่เทียนเฉิน

หากในตอนนี้มีคนอื่นเห็นภาพนี้เข้าจะต้องตกใจจนไม่กล้าหายใจแรงแน่นอน และรู้สึกเหมือนกับถูกโจมตีไปด้วยในเวลาเดียวกัน การกระทืบอันรุนแรงที่บ้าคลั่งแบบนั้น ไม่ถึงสองครั้งเย่เทียนเฉินก็จมลงไปแล้ว แผ่นหินอันแข็งแกร่งเบื้องหลังกลายเป็นฝุ่นผงไปนานแล้ว เห็นได้เลยว่าพลังขาของซาโต้แข็งแกร่งเพียงใด

อั่ก!

ในที่สุดเย่เทียนเฉินก็ทนไม่ไหวจนต้องกระอักเลือดออกมา เขาในตอนนี้ถูกโจมตีมากเกินไป ไม่ใช่ว่าไม่อยากโต้ตอบ แต่ไม่มีโอกาสและพลังที่จะโต้ตอบ การระเบิดพลังอย่างกระทันหันของซาโต้เป็นสิ่งที่เย่เทียนเฉินคาดไม่ถึง และเป็นสิ่งที่เขาไม่สามารถรับมือได้ในระยะเวลาสั้นๆ ทำได้เพียงรับการโจมตี ชีวิตแขวนอยู่บนเส้นด้าย

เมื่อเห็นว่าเย่เทียนเฉินถูกกระทืบจนร่างกายจมเข้าไปในโคลน ซาโต้ก็หัวเราะเสียงดัง มุมปากมีน้ำสีดำไหลออกมาละลายต้นไม้ใบหญ้าและก้อนหินที่อยู่บนพื้นทำให้ผู้คนไม่อยากจะเชื่อจริงๆ พลังภายในของคนคนหนึ่งมีฤทธิ์กัดกร่อนอันรุนแรงต่อทุกสิ่งทุกอย่างเช่นนี้ คนผู้นั้นจะยังมีชีวิตอยู่ต่อไปได้อีกหรือ? ไม่ใช่ว่าอวัยวะภายในและเลือดเนื้อจะต้องถูกละลายไปหมดแล้วหรือ?

“เจ้าหนุ่ม แกแข็งแกร่งมาก น่าเสียดายที่ฉันแข็งแกร่งกว่าแก!” ซาโต้คำรามออกมาด้วยใบหน้าดุร้าย

ซู่ม!

ในตอนนี้เอง เย่เทียนเฉินพลันลืมตาขึ้น ในดวงตาทั้งสองมีแสงสีทองพุ่งออกมา ทะลุหัวใจของซาโต้ในขณะที่ซาโต้ไม่อาจหลบได้ทัน ทะลุจากหน้าอกไปถึงหลัง เลือดก็พุ่งออกไปราวกับลูกธนู

“อั่ก…แก…” ซาโต้คิดไม่ถึงว่ามาถึงขั้นนี้แล้วเย่เทียนเฉินจะยังมีแรงต่อสู้อยู่อีก ยิ่งไปกว่านั้นยังใช้กระบวนท่าที่แข็งแกร่งแบบนี้ออกมาอีกด้วย ทำให้หัวใจของเขาทะลุเป็นรู

ไม่กล่าวไม่ได้ว่าซาโต้แข็งแกร่งจนถึงขั้นวิปลาส โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่ฉีดยาปรับเปลี่ยนพันธุกรรมไปแล้ว ไม่เพียงแต่ความสามารถในการต่อสู้เพิ่มมากขึ้น กระทั่งพลังชีวิตก็เพิ่มขึ้นด้วย หัวใจถูกโจมตีจนทะลุเป็นรู แต่กลับยังไม่ล้มลงไปตาย

ตู้ม!

ในตอนนี้เอง เย่เทียนเฉินย่อมรู้ว่าตนไม่สามารถชักช้าได้แม้แต่น้อย กระโดดขึ้นโดยไม่สนใจอาการบาดเจ็บทั้งร่าง ใช้หมัดต่อยไปยังใบหน้าที่ปกคลุมไปด้วยเส้นขนสีดำของซาโต้จนอีกฝ่ายกระเด็นออกไป

แม้ซาโต้จะแข็งแกร่งมาก แต่ในยามนี้เขาได้รับบาดเจ็บสาหัส หัวใจก็ถูกลำแสงที่พุ่งออกมาจากดวงตาทั้งสองของเย่เทียนเฉินโจมตีจนทะลุเป็นรู ต่อให้ไม่ตายในทันทีก็ไม่สามารถมีพลังการต่อสู้ที่แข็งแกร่งถึงขนาดนั้นอีกต่อไป ดังนั้นเขาจึงถูกเย่เทียนเฉินต่อยจนกระเด็นออกไปสิบกว่าเมตรและร่วงลงพื้นอย่างรุนแรง ทำได้เพียงใช้มือทั้งสองค้ำยันร่างกายของตนเอาไว้ไม่ให้มันล้มลงไป

บริเวณไหล่ทั้งสองของเย่เทียนเฉินมีแผลลึก เลือดไหลออกมาเป็นทาง อาบย้อมเสื้อผ้าของเขาจนเปียกโชก บริเวณเอวมีรอยดาบลึกอยู่รอยหนึ่ง ลำไส้สีขาวปรากฏออกมาให้เห็น ครั้งนี้เย่เทียนเฉินได้รับบาดเจ็บสาหัสมาก เพียงแต่สายตาของเขายังคงแน่วแน่หาใดเปรียบ มีบรรยากาศราวกับว่าต่อให้ศัตรูจะแข็งแกร่งมากกว่านี้เขาก็จะฆ่าให้ได้ บรรยากาศเช่นนี้ทำให้ผู้คนรับรู้ได้ถึงความน่าหวาดกลัว

ทั่วทั้งร่างเต็มไปด้วยเลือด มุมปากก็มีเลือดไหลออกมาเป็นทาง แต่เย่เทียนเฉินยังคงเดินเข้าไปหาซาโต้ด้วยใบหน้าประดับรอยยิ้ม เขาจะต้องฆ่าชายชราคนนี้ให้ได้ ในตอนนี้เย่เทียนเฉินไม่ได้อยู่ในสภาะที่แข็งแกร่งที่สุดแล้ว จะอย่างไรก็ได้รับบาดเจ็บสาหัส เพียงแต่จิตใจตั้งมั่นและความคิดของเขายังไม่อาจถูกทำลายลงได้

ความจริงแล้ว การที่เย่เทียนเฉินทำให้ซาโต้บาดเจ็บสาหัสได้ เขาต้องจ่ายค่าตอบแทนที่หนักหนาออกไป ตอนนี้ในดวงตาทั้งสองของเขามีน้ำตาลเลือดไหลออกมา นี่เป็นข้อแลกเปลี่ยนที่เขาใช้กระบวนท่านี้ หากรวบรวมพลังพิเศษที่แข็งแกร่งกว่านี้อีกนิดเดียว อย่างเบาก็สูญเสียการมองเห็น อย่างหนักก็สิ้นชีพ

เคล็ดวิชาพลังพิเศษนี้ชื่อว่า “เนตรประกายทอง” เป็นเคล็ดวิชาสังหารที่แข็งแกร่งมาก ตอนที่อยู่ดาวสิ้นโลก เย่เทียนเฉินมีโอกาสได้เรียนรู้โดยบังเอิญ เพียงแต่เขาไม่เคยใช้มาก่อน เนื่องจากความเข้าใจที่เขามีต่อเคล็ดวิชานี้ยังไม่สมบูรณ์ หลังจากใช้จะทำให้เกิดความสูญเสียต่อร่างกายของตนอย่างรุนแรง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเควล็ดวิชาที่ใช้ผ่านดวงตาทั้งสองเช่นนี้ เมื่อให้ความรู้สึกราวกับสามารถพุ่งทะลุสรรพสิ่งได้ก็สามารถทำลายดวงตาทั้งสองได้เช่นกัน และมีอันตรายที่จะทำร้ายตนเองด้วย

เนตรประกายทองไม่ใช่วิชาที่อยู่ในสายใดสายหนึ่ง แต่นี่เป็นเคล็ดวิชาที่เย่เทียนเฉินสร้างออกมาอย่างกระทันหันในค่ำคืนที่มีลมฝนรุนแรงและได้เห็นสายฟ้าฟาดผ่าลงมาท่ามกลางท้องฟ้า อยู่นอกเหนือเคล็ดวิชาพลังพิเศษทั้งห้าธาตุ หากนี่ถูกผู้อื่นรู้เข้าจะต้องตื่นตกใจอย่างแน่นอน ตื่นตกใจที่เย่เทียนเฉินถึงกับมีความสามารถเช่นนี้ ในยุคสิ้นโลก เขาเป็นผู้มีพลังพิเศษในขอบเขตพระเจ้าเท่านั้น หากจะทำถึงขั้นที่สร้างวิชาขึ้นมาด้วยตัวเอง ดูเหมือนว่าจะมีเพียงผู้แข็งแกร่งที่มีพลังพิเศษในขอบเขตเทพราชันเท่านั้นถึงจะทำได้ แต่เย่เทียนเฉินกลับทำได้ด้วย

“เป็นเคล็ดวิชาพลังพิเศษที่แข็งแกร่งมาก อาศัยเคล็ดวิชาสังหารเนตรประกายทองของแกก็มากเพียงพอที่จะยืนอยู่บนโลกใบนี้แล้ว เพียงแต่น่าเสียดายที่ยังฆ่าฉันไม่ได้!” ซาโต้ลุกขึ้นยืนแล้วคำรามใส่เย่เทียนเฉิน

เย่เทียนเฉินขมวดคิ้ว ชายชราคนนี้แข็งแกร่งจนถึงขั้นวิปลาสจริงๆ หัวใจถูกแทงทะลุไปแล้วแต่ถึงกับยังไม่ตาย ยิ่งไปกว่านั้นยังฝืนยืนขึ้นมาอีกด้วย เป็นผู้แข็งแกร่งที่ฆ่าไม่ตายจริงๆ

แกร๊ก!

ซาโต้ควักยาขวดหนึ่งออกมาจากกระเป๋ากางเกง ด้านในเต็มไปด้วยของเหลวที่ดูราวกับโลหิตสีดำ ดูแล้วหน้าคลื่นไส้มากนัก สิ่งที่ทำให้เย่เทียนเฉินคิดไม่ถึงก็คือ ซาโต้ถึงกับมองเขาแล้วหัวเราะออกมาอย่างวิปลาส กินยาขวดนั้นลงไปทั้งหมดในครั้งเดียว

“อ๊าก!” ซาโต้คำรามด้วยความเจ็บปวด ทั่วทั้งร่างราวกับปริแตก เลือดซึมออกมาด้านนอกไม่หยุด เสื้อผ้าฉีกขาด ร่างกายใหญ่โตขึ้นเรื่อยๆ จนหัวเข่าสูงกว่าเย่เทียนเฉินไปแล้ว

เมื่อได้เห็นภาพนี้ เย่เทียนเฉินที่ผ่านการต่อสู้มานับไม่ถ้วนจนไม่มีความแปลกประหลาดอะไรที่ไม่เคยพบยังอดไม่ได้ที่จะสูดหายใจเย็นยะเยือก ชายชราซาโต้คนนี้บ้าไปแล้วจริงๆ และเสียสติไปแล้วด้วย เพียงพริบตาเดียวก็กลืนยาปรับเปลี่ยนพันธุกรรมมากขนาดนั้นลงไป หรือไม่กลัวว่าตัวเองจะตาย?

โฮก!

เสียงคำรามดังขึ้นไปทั่วทั้งหุบเขาบอกทมิฬ เศษฝุ่นทรายและเศษหินปลิวกระจาย ทั่วทั้งท้องฟ้าเต็มไปด้วยต้นไม้ใบหญ้าและก้อนหินที่แตกเป็นผุยผง เย่เทียนเฉินเกือบจะถูกพัดจนปลิว จำเป็นต้องคว้าจับต้นไม้ใหญ่ที่อยู่ด้านข้างเอาไว้เพื่อทำให้ร่างกายมั่นคงไปชั่วคราว

ตู้ม!

ร่างกายของซาโต้ใหญ่โตหาใดเปรียบ กระทืบขอลงมาที่พื้นครั้งหนึ่ง พลันเกิดเป็นหลุมใหญ่ขึ้นมา ยิ่งไปกว่านั้นยังทำให้พื้นสั่นสะเทือนราวกับมีแผ่นดินไหว ช่างแข็งแกร่งจริงๆ

“ตายซะเถอะ แกสมควรโดนแบบนี้!”

ฝ่ามืออันใหญ่โตตกลงมาจากฟากฟ้าปกคลุมเย่เทียนเฉินเอาไว้ทั้งร่าง นี่คือฝ่ามือของซาโต้ เขากลายเป็นสัตว์ประหลาดที่มีร่างกายใหญ่โตเป็นอย่างยิ่งไปแล้ว เย่เทียนเฉินที่มีร่างกายสูง 175 เซนติเมตรยังสูงเพียงเข่าของเขาเท่านั้น เห็นได้ว่ายาปรับเปลี่ยนพันธุกรรมนี้ของซาโต้ เมื่อกินลงไปแล้วทำให้แข็งแกร่งและบ้าคลั่งมากขึ้นขนาดไหน

ตู้ม!

เย่เทียนเฉินไม่ได้หลบ ทำเพียงยื่นมือทั้งสองออกไปขวางโดยไม่สนใจสิ่งใด ฝ่ามือนี้ของซาโต้ทำลายพื้นที่ใกล้ๆเย่เทียนเฉินทั้งหมด ไม่เพียงแต่ส่งเสียงระเบิดดังสนั่นแต่ยังมีฝุ่นดินกระจายเต็มท้องฟ้าอีกด้วย เย่เทียนเฉินยกฝ่ามือทั้งสองขึ้นมาสกัดกั้น ผลก็คือยังคงถูกฝ่ามือนี้กดไว้ด้านล่าง

ซาโต้ในตอนนี้ไม่เห็นเย่เทียนเฉินอยู่ในสายตาโดยสิ้นเชิง เมื่อกินยาปรับเปลี่ยนพันธุกรรมกำใหญ่ลงไป เขาก็ไม่รู้สึกถึงอาการบาดเจ็บของร่างกายของตนอีก รูใหญ่บริเวณหน้าอกยังมีเลือดไหลออกมาไม่หยุด แต่ดูเหมือนจะไม่เกี่ยวข้องกับเขาแม้แต่น้อย เขาสูญเสียความรู้สึกไปแล้ว

ซาโต้คลายมือขวาของตนออก มองเย่เทียนเฉินที่ถูกตบลงพื้นแล้วหัวเราะเสียงดัง น้ำลายสีดำไหลลงมาไม่หยุด เขี้ยวที่ยื่นยาวออกมาให้ความรู้สึกราวกับจะกินเนื้ของเย่เทียนเฉินและดื่มเลือดเย่เทียนเฉินอย่างไรอย่างนั้น

“จบเถอะ จบได้แล้ว แกทำให้ฉันต้องจ่ายค่าตอบแทนออกไปมากขนาดนี้ ต่อให้แกตายก็ภาคภูมิใจได้ อีกไม่นานฉันจะส่งสหายร่วมรบเหล่านั้นของแกไปอยู่เป็นเพื่อน!” ซาโต้พูดอย่างเย็นชา เดินไปเบื้องหน้าเย่เทียนเฉิน ใช้เท้ากระทืบลงไปที่ศีรษะของเย่เทียนเฉิน

นี่เป็นครั้งแรก นี่เป็นครั้งแรกที่มีคนทำลายโล่ทองคำของเย่เทียนเฉินจนแหลกเป็นผุยผงได้โดยตรง และยังทำให้เขาถูกกระแทกจนบาดเจ็บ ซาโต้แข็งแกร่งมาก เป็นชายชราที่บ้าคลั่งคนหนึ่ง อายุหกสิบกว่าปีแล้วแต่ไม่มีร่องรอยของความชราเลยแม้แต่น้อย กล้ามเนื้อของเขากลับแข็งแกร่งทรงพลังเป็นอย่างมากด้วยซ้ำ เหมือนกับชายฉกรรจ์อายุยี่สิบกว่าปีอย่างไรอย่างนั้น เป็นเพราะฉีดยาปรับเปลี่ยนพันธุกรรมที่ประเทศชิบะวิจัยมานานหลายปีเข้าไป

เย่เทียนเฉินเกือบจะถูกฟันท้องตายไปแล้ว บริเวณท้องมีรอยดาบลึกอยู่รอยหนึ่ง เลือดไหลออกมาไม่หยุด ลำไส้เห็นลำไส้เผยออกมาบางส่วน ส่วนซาโต้ก็ไม่ได้ดีไปกว่ากัน แม้ว่าดูแล้วจะแข็งแกร่งมาก ไม่อ่อนแอเลยแม้แต่น้อย แต่ไหล่ซ้ายของเขาก็มีเลือดไหลออกมาไม่หยุด เพียงแต่ในตอนนี้ไม่มีใครคิดว่าซาโต้คนนี้จะได้รับบาดเจ็บสาหัสเช่นเดียวกัน

“พูดแบบนี้แปลว่าแกก็ไม่ได้ลงมือเต็มที่งั้นเหรอ?” ซาโต้มองเย่เทียนเฉินแล้วถามด้วยรอยยิ้มอย่างไม่สบอารมณ์นัก

“ตาย!”

มาถึงตอนนี้แล้วยังมีอะไรให้พูดกันอีก การฆ่าการเป็นสิ่งที่ไม่อาจฝืน ซาโต้แข็งแกร่งมาก เย่เทียนเฉินไม่กล้าดูแคลน ยังไม่ได้เริ่มดวลกันด้วยความแข็งแกร่งที่สุดเขาก็ได้รับบาดเจ็บไม่เบาแล้ว นี่เป็นการต่อสู้ที่อันตรายที่สุดที่เย่เทียนเฉินเคยได้พบทั้งในตอนที่อยู่ดาวสิ้นโลกและในตอนที่ได้มาเกิดใหม่ในโลกแห่งนี้แล้ว ซาโต้นับเป็นคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งที่สุดที่เขาเคยพบอย่างไม่ต้องสงสัย เป็นคู่ต่อสู้ที่สามารถเอาชีวิตเขาได้จริงๆ

ฟุ่บ!

ซาโต้ขมวดคิ้ว เนื่องจากเย่เทียนเฉินพุ่งเข้าใส่เขาราวกับดาวตก เดิมทีไม่มีประโยชน์ที่จะใช้เคล็ดวิชาพลังพิเศษเพื่อสังหารแล้ว ดังนั้นเขาจึงกำหมัดทั้งสองน่น ส่องแสงออกไปนับหมื่นจั้ง เงาหมัดอันใหญ่โตตกลงมา ซัดไปยังซาโตไม่หยุด

ตู้มๆๆๆ!

เย่เทียนเฉินไม่ได้ใช้เคล็ดวิชาพลังพิเศษ เนื่องจากเขารู้ดีว่า สำหรับยอดฝีมืออย่างซาโต้ เคล็ดวิชาพลังพิเศษที่มีขอบเขตกว้างเกินไปไม่สามารถฆ่าเขาได้ และจะทำให้เขาสูญเสียพลังพิเศษมากเกินไปจนทำให้เสียเปรียบและตกอยู่ในสถานการณ์อันตรายมากยิ่งขึ้น

ดังนั้นหากจะใช้เคล็ดวิชาพลังพิเศษที่ใหญ่โตอลังการสู้ใช้หมัดทั้งสองที่รวบรวมพลังพิเศษเอาไว้โจมตีออกไปง่ายๆ โดยตรงยังดีเสียกว่า ขอเพียงต่อยถูกซาโต้หมัดหนึ่ง เขาก็จะถูกโจมตีอย่างรุนแรงและส่งผลได้มากกว่า

“หมัดพี่ชายสุดหล่อ!”

เสียงตะโกนดังขึ้น ไหนเลยเย่เทียนเฉินจะปล่อยออกไปหมัดเดียว หมัดทั้งสองแฝงไปด้วยพลังพิเศษอันมหาศาล ต่อยซัดออกไปไม่หยุด เพียงลมหายใจเดียวก็ปล่อยออกไป 183 หมัดแล้วทั่วทั้งท้องฟ้าเต็มไปด้วยเงามันอันใหญ่โต ทุกหมัดล้วนทลายอากาศ สะเทือนหุบเขาหมอกทมิฬทั้งหมด ในใจของซาโต้ตื่นตะลึงหาใดเปรียบ ชายหนุ่มชาวจีนคนนี้ร้ายกาจจริงๆ หมัดก็แข็งแกร่งถึงขนาดนี้ มีกายเนื้อแข็งแกร่งเช่นนี้หาได้ยากจริงๆ

บางทีเย่เทียนเฉินอาจไม่รู้ว่า ซาโต้ฉีดยาปรับเปลี่ยนพันธุกรรมที่ประเทศชิบะวิจัยขึ้นมาเข้าไป จึงทำให้ร่างกายของคนอายุหกสิบกว่าปีเปลี่ยนเป็นแข็งแกร่งเช่นเดียวกับคนที่มีอายุยี่สิบกว่าปีได้ ยิ่งไปกว่านั้น ยาชนิดนี้ยังสามารถทำให้กล้ามเนื้อแข็งแกร่งกว่าเหล็กกล้าอยู่หลายส่วน หากปะทะเข้ากับก้อนหินแข็งๆ สิ่งที่จะป่นเป็นผุยผงก็คือหินแข็งๆนั้นอย่างแน่นอน มากเพียงพอที่จะเห็นได้ว่า นี่เป็นยาเสริมความแข็งแกร่งที่ไม่อาจดูถูกได้

แต่ตอนนี้เย่เทียนเฉินและซาโต้ต่อสู้กันโดยใช้พลังเข้าปะทะอย่างแท้จริง ทั้งสองกำหมัดของตนแน่น ใช้แข็งปะทะแข็ง เย่เทียนเฉินปล่อยออกไป 183 หมัดแล้ว แต่ละมัดล้วนรุนแรงเป็นอย่างยิ่งจนทำให้อากาศแตกสลาย แต่ซาโต้ก็เป็นชายชราวิปลาสผู้หนึ่ง หมัดที่ปล่อยออกมาแต่ละมัด ทั้งขัดขวางและโจมตีสวนกลับ ทำให้รอบด้านในขอบเขตหนึ่งพันเมตรล้วนเต็มไปด้วยเงาหมัดของเย่เทียนเฉินและซาโต้ ในตอนนี้หากใครกล้าเข้ามาใกล้โดยไม่ดูตาม้าตาเรือคงถูกลูกหลงจนบาดเจ็บสาหัส กระทั่งอาจจะถูกหมัดต่อยจนสิ้นชีพก็เป็นได้

ตู้ม!

ซาโต้ถูกเย่เทียนเฉิซัดจนกระเด็นออกไปตกกระแทกลงบนก้อนหินใหญ่อย่างรุนแรง ทันใดนั้นหินก้อนใหญ่พลันถูกกระแทกจนแตกเป็นเสี่ยงๆ ในปากกระอักเลือดออกมา เขามองไปยังเย่เทียนเฉินอย่างไม่กล้าเชื่อและหวาดกลัวในเวลาเดียวกัน จะอย่างไรเขาก็คิดไม่ถึงว่าตนจะถึงกับพ่ายแพ้ ตนไม่ได้ลงมือมายี่สิบปีแล้ว ในยี่สิบปีก่อนหน้านี้ยังไม่เคยมีใครสามารถสู้กับเขาอย่างไม่หลีกหนีเช่นนี้มาก่อน ตอนนี้เขาฉีดยาเพิ่มความแข็งแกร่งเข้าไปทำให้ร้ายกาจยิ่งกว่ายี่สิบปีก่อนหน้านี้เสียอีก แต่เย่เทียนเฉินกลับต่อสู้ปะทะกับเขาได้อย่างแข็งแกร่ง และยังอัดเขาจนกระเด็นออกมา ซาโต้จะรับได้อย่างไร

“ฉันไม่ยอม!” ซาโต้ตะโกนขึ้นฟ้า ดวงตาทั้งสองแดงก่ำ มีไอสังหารปะทุออกมาจากทั่วทั้งร่าง จับจ้องไปยังเย่เทียนเฉินอย่างโหดเหี้ยมอำมหิต ท่าทางเช่นนั้นราวกับอยากจะกินเย่เทียนเฉินลงไปอย่างไรอย่างนั้น

เย่เทียนเฉินไม่ได้พูดอะไร เขาในตอนนี้อยู่ในสภาวะที่แข็งแกร่งที่สุด สามารถใช้ความสามารถของพลังพิเศษในขอบเขตจักรพรรดิออกมาได้เล็กน้อย ในสภาพที่ยังไม่ได้ทะลวงไปยังขอบเขตจักรพรรดิก็สามารถใช้ความสามารถในขอบเขตนี้ออกมาได้เช่นนี้ ทำให้เขาต้องทอดถอนใจด้วยความแปลกใจจริงๆ แข็งแกร่งเป็นอย่างมาก

ตู้ม!

เงาหมัดอันใหญ่โตบังเกิดขึ้น เย่เทียนเฉินอยู่ในสภาพกลับหัว มือขวาต่อยลงไปยังศรีษะของซาโต้ เงามัดอันใหญ่นั้นดูเหมือนจะปกคลุมซาโต้เอาไว้ทั้งร่าง ดูแล้วน่าหวาดกลัวเป็นอย่างยิ่ง มีพลังอำนาจมากพอที่จะทำลายทุกสิ่งทุกอย่าง

อ๊าก!

ตู้ม!

เสียงดังสนั่นฟ้า ท่ามกลางหุบเขาหมอกทมิฬทั้งหมดดังก้องไปด้วยเสียงระเบิด จางหลาน ชางหลางและหลัวเหว่ยเคอ ทั้งสามยังคงต่อสู้อยู่กับราชานักฆ่าทั้งสามของสำนักโฮคุชินอิตโตริว ในตอนที่กำลังสู้กันจนถึงจุดที่ดุเดือดรุนแรงที่สุด แต่ละฝ่ายต่างได้รับบาดเจ็บสาหัส ท่ามกลางขอบเหวแห่งความเป็นความตาย คนที่ทำให้ผู้อื่นต้องแปลกใจมากที่สุดก็คือจางหลาน ผู้หญิงหน้าตาสวยงามเช่นนี้ถึงกับสู้กับราชานักฆ่าคนหนึ่งได้หลายร้อยกระบวนท่าโดยไม่เพรี้ยงพร้ำ ถึงแม้บริเวณไหล่จะได้รับบาดเจ็บแต่ก็ไม่ถึงชีวิต ผู้หญิงที่หากดูภายนอกคงถูกคนอื่นดูแคลนเช่นนี้สามารถมีพลังในการต่อสู้แบบนี้ได้ จะไม่ให้ผู้คนต้องตื่นตกใจได้อย่างไร

เสียงระเบิดครั้งใหญ่นี้ทำให้พวกจางหลานทั้งสามคนที่ยังต่อสู้กันอยู่ตื่นตกใจ พวกเขารับรู้ได้ถึงพลังอันแข็งแกร่งระลอกหนึ่ง ไม่ว่าใครต่างรู้สึกตื่นตะลึงอยู่ในใจ แข็งแกร่งเกินไปแล้ว ความรู้สึกที่ราวกับว่าพลังนี้มากเพียงพอที่จะทำลายทุกสิ่งทุกอย่าง นี่คือสัญชาตญาณของยอดฝีมืออย่างพวกเขา ไม่ใช่การคิดไปเองโดยเด็ดขาด

“ผู้อาวุโสซาโต้ใกล้จะฆ่าไอ้หนูนั่นได้แล้ว พวกเราก็รีบสู้รีบจบเถอะ!” ราชานักฆ่าคนหนึ่งพูดเสียงดัง

บริเวณใจกลางของหุบเขาหมอกทมิฬ เย่เทียนเฉินกระเด็นออกไป บริเวณปากกระอักเลือดออก มาปะทะเข้ากับขอบผา เขาอดไม่ได้ที่จะกุมหน้าอกของตน มองไปยังเบื้องหน้าพลางขมวดคิ้วแน่น ที่นั่นมีฝุ่นผงฟุ้งกระจาย เงาร่างสูงใหญ่ยืนโอนเอน ทั่วทั้งร่างมีหมอกเลือดสีดำแพร่กระจายออกมา

เมื่อสักครู่นี้ในตอนที่เย่เทียนเฉินใช้หมัดซัดปะทะไปยังซาโต้ จู่ๆ ก็รู้สึกได้ถึงลมปราณอันบ้าคลั่ง เป็นพลังที่แข็งแกร่งและไม่อาจคาดคิด กระทั่งเขาก็ถูกซัดจนปลิวออกมาโดยตรง ไม่สามารถสกัดกั้นลมปราณอันบางครั้งที่ปะทุออกมาอย่างกระทันหันนี้ได้โดยสิ้นเชิง

โฮก!

เสียงคำรามที่คล้ายกับเสียงสัตว์ป่าฟังแล้วทำให้ผู้คนเกิดความรู้สึกหวาดกลัว เย่เทียนเฉินขมวดคิ้ว ฝืนหยัดยืนร่างกายขึ้นมา จับจองไปเบื้องหน้าเขม็ง พบว่าเงาร่างสูงใหญ่เดินออกมาทีละก้าว ในตอนที่ปรากฏตัวเบื้องหน้าเย่เทียนเฉินอย่างสมบูรณ์ เย่เทียนเฉินถึงกับอดไม่ได้ที่จะชะงักไป

คนที่อยู่เบื้องหน้าเย่เทียนเฉินยังคงเป็นซาโต้ เพียงแต่กลายเป็นซาโต้ที่ไม่มีส่วนใดเหมือนมนุษย์อยู่เลย ทั่วทั้งร่างเต็มไปด้วยเส้นขนสีดำ ร่างกายสูงสามเมตรกว่า มือและเท้าใหญ่โตหาใดเปรียบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเขี้ยวที่ขึ้นอยู่เต็มปากนั้นดูแล้วน่ากลัวเป็นอย่างมาก ไม่มีอะไรแตกต่างจากมนุษย์หมาป่าเลย ความเปลี่ยนแปลงอย่างกระทันหันทั้งหมดนี้ทำให้เย่เทียนเฉินรู้สึกแปลกใจมาก

“บีบบังคับฉัน เป็นแกที่บีบบังคับฉันให้กลายเป็นแบบนี้ ฉันจะกินเนื้อแก จะดื่มเลือดแกซะ!” ซาโต้พูดด้วยอาการขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน หมอกสีดำและน้ำลายหยดลงมา ทำให้เศษหินที่อยู่บนพื้นกลายเป็นฝุ่น มีพลังในการกัดเซาะรุนแรงยิ่งนัก

“สัตว์ประหลาด ดูท่ายาปรับเปลี่ยนพันธุกรรมที่ประเทศชิบะของพวกแกวิจัยออกมาจะแข็งแกร่งเพียงภายนอกเท่านั้น แต่มีผลเสียต่อร่างกายมนุษย์!” เย่เทียนเฉินพูดอย่างเย็นชา

โฮก!

ซาโต้แผดร้องคำรามออกมาเสียงดังราวกับสัตว์ประหลาด พุ่งเข้าใส่เย่เทียนเฉินด้วยความรวดเร็ว ทุกที่ที่ผ่านล้วนกลายเป็นเศษฝุ่น น่าหวาดกลัวเป็นอย่างมาก ถ้าหากถูกคนเข้าจะต้องกลายเป็นก้อนเลือดแน่นอ

เมื่อต้องเผชิญกับเหตุการณ์ที่เปลี่ยนไปอย่างกระทันหันเช่นนี้ เย่เทียนเฉินก็ไม่รู้ว่าจะรับมืออย่างไรดี แต่เขารู้อยู่อย่างหนึ่งนั่นก็คือ ไม่สามารถสู้ในระยะใกล้กลับซาโต้ได้อีก ซาโต้กลายเป็นสัตว์ประหลาดที่มีพิษอยู่ทั้งร่างไปแล้ว หากใครไปถูกตัวเขาคนนั้นจะต้องซวยแน่

เย่เทียนเฉินหลบอย่างต่อเนื่อง หลบกระบวนท่าโจมตีถึงชีวิตที่ซาโต้ซัดมา เย่เทียนเฉินกำลังคิดวิธีการที่จะรับมือ ถ้าหากสู้กับสัตว์ประหลาดที่ร่างกายเต็มไปด้วยพิษแบบนี้ ไม่มีทางลงมือได้โดยสิ้นเชิง ไม่สามารถสู้ในระยะใกล้ได้ ทำได้เพียงใช้กระบวนท่าสังหารในระยะไกลเท่านั้น เพียงแต่น่าเสียดายที่ซาโต้โจมตีมาไม่หยุด เย่เทียนเฉินไม่มีเวลาเตรียมตัว

ในตอนนี้กระบวนท่าโจมตีในระยะไกลที่แข็งแกร่งที่สุดที่เย่เทียนเฉินจะสามารถใช้ออกมาได้ก็คือธนูสายฟ้า นี่เป็นเคล็ดวิชาพลังพิเศษสายสายฟ้าที่แข็งแกร่งเป็นอย่างมากวิชาหนึ่ง พลังพิเศษในสายสายฟ้าจำเป็นต้องใช้พลังที่รุนแรงมาก คนธรรมดาไม่สามารถใช้ได้มากเกินไป อย่างมากที่สุดก็ยิงออกไปได้สามลูกก็ถึงขีดจำกัดแล้ว แต่เย่เทียนเฉินควบคุมเคล็ดวิชาพลังพิเศษนี้ได้ดียิ่ง ในตอนที่อยู่ดาวสิ้นโลก เย่เทียนเฉินเคยใช้การโจมตีนี้ฆ่าคนไปมากมาย บนโลกนี้เขาก็เคยฝึกมาก่อน แต่กลับไม่สามารถควบคุมได้อย่างชำนาญเช่นเดียวกับตอนที่อยู่ในดาวสิ้นโลก สิ่งสำคัญก็คือ หลิงชี่ในโลกนี้จางหายไปมากมายเหลือเกิน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เส้นทางบ่มเพาะได้เปลี่ยนไปแล้ว หากต้องการทะลวงขอบเขตดูเหมือนจะไม่สามารถเป็นไปได้ มิฉะนั้นด้วยขอบเขตพลังของเย่เทียนเฉินในตอนนี้คงทะลวงไปถึงระดับจักรพรรดินานแล้ว

“กำแพงพสุธา!”

เย่เทียนเฉินตะโกนเสียงดัง กำแพงดินแข็งแกร่งสิบกว่าชั้นปรากฏขึ้นมาเบื้องหน้าซาโต้ ขวางซาโต้เอาไว้ เย่เทียนเฉินใช้โอกาสนี้ถอยหลังไปด้วยความรวดเร็ว ในขณะเดียวกันมือซ้ายก็เริ่มรวบรวมพลังธนูสายฟ้า มือขวาเริ่มรวบรวมพลังลูกธนู เขาไม่กล้าชักช้าเลยแม้แต่น้อย เนื่องจากซาโต้ที่มีพันธุกรรมเปลี่ยนไปอย่างกระทันหันจนกลายเป็นสัตว์ประหลาดนี้มีความสามารถเหนือกว่าเขา หากไม่ระวังแม้เพียงนิดเดียว เขาคงจะต้องสิ้นชีพอยู่ที่นี่ในวันนี้แน่นอน ไม่ได้ล้อเล่น

โครมๆๆๆ…

ดูเหมือนว่าในเวลาเพียงไม่ถึงหนึ่งวินาที กำแพงพสุธาซึ่งเป็นเคล็ดวิชาพลังพิเศษในสายดินหลายสิบชั้นของเย่เทียนเฉินก็ถูกซาโต้ทลายทิ้งทั้งหมด ส่วนเย่เทียนเฉินที่กระโดดขึ้นไปอยู่กลางอากาศเพิ่งจะรวบรวมธนูสายฟ้าและลูกธนูได้ ยังไม่ทันรั้งสายธนู ซาโต้ก็ใช้ฝ่ามือที่ราวกับกรงเล็บตะปบลงไป อันตรายเป็นอย่างมาก

“ไปตายซะ ฉันจะให้แกชดใช้ด้วยเลือด!” ซาโต้ตะโกนพลางใช้ฝ่ามือตบลงไป

กลางอากาศ เย่เทียนเฉินไม่สามารถโจมตีได้ทัน ธนูสายฟ้าและลูกธนูเกือบจะรวบรวมได้สำเร็จแล้ว แต่เขาไม่อาจหลบได้ ทำได้เพียงใช้พลังทั้งหมดปรับเปลี่ยนตำแหน่งของตนไปเล็กน้อย มองซาโต้ใช้มือหาดฟันลงมาที่แขนซ้ายของตน…

ภูเขาศพทะเลเลือด การตายอย่างน่าอนาจของเหล่าสหายพวกพ้องและผู้หญิงที่รักที่สุด พวกเขาต่างเสียใจแลหวาดกลัวถึงขนาดนั้น ทุกสิ่งทุกอย่างเห็นอยู่ในดวงตา กลับได้พบเจออีกครั้ง ความเจ็บปวดในส่วนลึกของจิตใจที่ไม่อาจทำลายได้ไปตลอดกาลทำให้ดวงตาทั้งสองของเย่เทียนเฉินเกือบจะหลั่งน้ำตาเป็นสายเลือด

เย่เทียนเฉินจะต้องกลับไปยังดาวสิ้นโลกแน่นอน ที่นั่นมีความทรงจำของเขา มีเรื่องที่เขาต้องทำ หากไม่สามารถแก้แค้นให้เหล่าพวกพ้องของตนได้ เย่เทียนเฉินคงไม่อาจสงบใจไปชั่วชีวิต นั่นเป็นสิ่งที่ไม่อาจปล่อยว่างต่อให้ชีวิตบนโลกนี้จะงดงามเพียงใดเขาก็ไม่สามารถเบิกบานใจจริงๆ ได้

ไม่เสียทีที่ซาโเป็นบุคคลระดับสูงของสำนักโฮคุชินอิตโตริว เป็นยอดฝีมือที่อยู่ในสิบอันดับแรก เมื่อลงมือก็ใช้วิชาลวงตาที่แข็งแกร่งที่สุดของสำนักโฮคุชินอิตโตริวที่เรียกว่า “ย้อนภาพจำ” ซึ่งสามารถทำให้ความเจ็บปวดในส่วนลึกของจิตใจเกิดขึ้นอีกครั้งทำให้ไม่อาจดึงตนเองออกมาได้

ส่วนลึกในใจของทุกคนจะต้องมีความเจ็บปวดที่ไม่ยินยอมจะย้อนนึก ทุกคนมักจะเลือกเก็บเอาไว้อยู่เนิ่นนาน เมื่อย้อนคิดไปถึงความเจ็บปวดเหล่านี้ก็จะทำให้นิสัยเปลี่ยนไปอย่างมาก กระทั่งแทบจะจิตใจแหลกสลาย คนที่อยู่ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ไม่อาจป้องกันการโจมตีได้

พอเริ่มลงมือซาโต้ก็ใช้เคล็ดวิชาลวงตาที่แข็งแกร่งที่สุดของสำนักโฮคุชินอิตโตริว เห็นได้ชัดว่าเขามองเย่เทียนเฉินเป็นศัตรูที่มีระดับเดียวกัน ในตอนที่เห็นเย่เทียนเฉินล้มลงกับพื้นโดยร่างกายที่บาดเจ็บมีเลือดไหลออกมา บนใบหน้าของซาโต้จึงเผยรอยยิ้มได้ใจขึ้น ในขณะเดียวกันก็คิดว่าตนประเมินฝีมือของเย่เทียนเฉินสูงเกินไป

เพียงแต่ตอนที่ซาโต้เตรียมจะใช้ดาบจบชีวิตของเย่เทียนเฉินนั้น ลูกธนูสามลูกที่แฝงไปด้วยพลังสายฟ้าอันแข็งแกร่งก็พุ่งโจมตีไปยังซาโต้จากสามทิศทาง พลังอำนาจแข็งแกร่งหาใดเปรียบ ในช่วงเวลาสำคัญซาโต้ทำเพียงใช้อาวุธของตนขวางลูกธนูสายฟ้าเอาไว้ได้สองดอกสวนดอกที่สามแทงทะลุไหล่ของเขาไป

“ดูท่าแกรู้นานแล้วว่านี่คือวิชาลวงตาแต่ทำไมถึงทำได้สมจริงถึงขนาดนั้น?” ซาโต้มองไปยังเย่เทียนเฉินแล้วถามอย่างสงสัย

เย่เทียนเฉินสามารถหลุดพ้นจากเคล็ดวิชาลวงตาของตนได้ ซาโต้ยังไม่ได้แปลกใจนักเนื่องจากเขารู้ว่าชายวัยรุ่นชาวจีนที่อยู่เบื้องหน้าแข็งแกร่งมาก ไม่อาจดูเบาเขาได้โดยเด็ดขาด เพียงแต่สิ่งที่ทำให้ซาโต้คิดไม่ถึงก็คือเย่เทียนเฉินจะแสดงออกมาได้สมจริงขนาดนั้น กระทั่งตนยังถูกหลอก

“แกผิดแล้ว ตอนแรกฉันถูกวิชาลวงตาของแกเข้าจริงๆ แต่สิ่งที่ฉันอยากจะบอกแกก็คือ ความเจ็บปวดแบบนั้นฉันจะไม่หลีกเลี่ยง ฉันจะเผชิญหน้าและทำลายมันอย่างกล้าหาญ!” เย่เทียนเฉินมองไปยังซาโต้แล้วพูดขึ้นอย่างหนักแน่น

ความจริงในตอนแรกเย่เทียนเฉินถูกเคล็ดวิชาลวงตาของซาโต้เข้าจริงๆ เขาตกอยู่ในระดับที่ไม่สามารถดึงตัวเองออกมาได้จนเกือบจะพังทลายไปอยู่แล้ว เนื่องจากความเจ็บปวดที่สูญเสียมิตรสหายไปนั้น ความรู้สึกที่เด็กกำพร้าคนหนึ่งไม่ง่ายเลยกว่าจะมีคนใกล้ชิดแต่กลับต้องมาอยู่ลำพังอีกครั้งเช่นนั้น ทำให้เขารับไม่ได้จริงๆ

แต่ในช่วงเวลาสำคัญ ในส่วนลึกของจิตใจเย่เทียนเฉินได้สติกลับมา เป็นความรู้สึกที่สงบและบริสุทธิ์ทำให้เขาไม่เคลื่อนไหวบุ่มบ่ามแบบนั้นอีกต่อไป อ่อนโยนราวสายน้ำ ดูเหมือนเขาจะเห็นเงาของจางรั่วถง ร่างกายขาวนวลไร้ที่ติเช่นนั้นทำให้เขาไม่อาจคิดอกุศลและหยาบคายได้เลย

และเป็นตอนนี้เองที่เย่เทียนเฉินได้สติกลับมา ดูเหมือนจะไม่เจ็บปวดขนาดนั้นแล้วและเข้าใจว่า หากคนคนหนึ่งไม่สามารถเผชิญหน้ากับความเจ็บปวดของตนอย่างกล้าหาญได้ก็จะทำได้เพียงจมอยู่ในความเจ็บปวดไปชั่วชีวิต ไม่สามารถเติบโตได้ ไม่อาจมีความสุขได้

ในช่วงเวลาสำคัญเย่เทียนเฉินพุ่งขึ้นไปยังท้องฟ้าเผชิญหน้ากับสัตว์ประหลาดที่ควรจะอยู่ในวิชาลวงตา ในตอนที่ปะทะกันจนเกิดประกายไฟนั้นเขาก็ใช้เวิชาสลับร่างซึ่งเป็นวิชาสายดินสลับกับตน ปิดบังซาโต้

เมื่อต้องประเชิญหน้ากับดาบทหารสไตล์ชิบะที่ปรากฏออกมารอบด้าน ปลายดาบอันแหลมคมชี้มาที่ตน เย่เทียนเฉินยังคงพูดด้วยรอยยิ้มบางเบา ในตอนนี้เขาสามารถรับรู้ได้ถึงความแข็งแกร่งบริเวณอากาศเบื้องหน้าตน พลังการต่อสู้พุ่งทะยานถึงขีดสุด กระทั่งเข้าสู่ขอบเขตจักรพรรดิแล้ว อย่างน้อยก็สามารถใช้พลังในขอบเขตจักรพรรดิได้ในช่วงเวลาสั้นๆ

ฟิ้ว!

ซาโต้จ้องมองอยู่เช่นนั้น ดาบทหารสไตล์ชิบะจำนวนนับร้อยต่างพุ่งเข้าไป หวังตามฆ่าเทียนเฉิน เสียงปลายแหลมทิ่มแทงอากาศดังขึ้น กระทั่งอากาศก็ยังถูกฉีกขาดในพริบตา นี่ไม่ใช่วิชาลวงตาโดยเด็ดขาด แต่เป็นวิชาควบคุมสสารที่แข็งแกร่งเป็นอย่างมาก

ตอนนี้เองเย่เทียนเฉินและซาโต้ แข็งแกร่งต่างอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ดูเหมือนจะใช้ความสามารถในขอบเขตสูงสุดของตน ไม่ว่าใครก็ไม่กล้าลำพองใจ โดยเฉพาะซาโต้ที่ถูกเย่เทียนเฉินโจมตีจนบาดเจ็บเพราะความลำพองใจของตน นี่ไม่ใช่ปัญหาเรื่องความเลวทรามต่ำช้าอะไร เป็นเพียงประสบการณ์การต่อสู้ซึ่งเรียกได้ว่าเขาซาโต้ต่อสู้มาชั่วชีวิต วันนี้ถูกอินทรีย์หนุ่มอย่างเย่เทียนเฉินจิกตาเข้าแล้ว

“โล่ทองคำ”

เสียงหนึ่งดังสนั่นบนร่างซ้ายขวาของเย่เทียนเฉินปรากฏโล่ทองคำขึ้นคุ้มครองเอาไว้แน่นหนา ดาบทหารสไตล์ชิบะเหล่านั้นฟาดฟันลงมาจากด้านบนด้วยความเร็วอย่างหาใดเปรียบ และไม่ทำให้เกิดการสั่นสะท้านเลยแม้แต่น้อย เพียงแต่เกิดเสียงปะทะกันของโลหะเกิดขึ้นจนกระทั่งดาบสไตล์ชิบะแต่ละเล่มแหลกสลายไปด้วยการปะทะกัน โล่ทองคำของเย่เทียนเฉินคุ้มครองทั่วทั้งร่างไม่ปรากฏร่องรอยใดใด

ซาโต้ขมวดคิ้ว เขารู้ว่าตนประเมินเย่เทียนเฉินต่ำไป ชายวัยรุ่นชาวจีนคนนี้แข็งแกร่งจนถึงขั้นเหนือจินตนาการเขาไปแล้ว ลึกล้ำไม่อาจหยั่ง ดังนั้นเขาในตอนนี้จึงไม่กล้าลำพองใจแม้แต่ครึ่งส่วน เมื่อลงมือก็ออกแรงเต็มที่ มือซ้ายกุมบาดแผลบริเวณไหล่เอาไว้ มือขวาจับดาบทหารที่เป็นอาวุธของตนแน่น กระโดดขึ้นผมเข้าไปยังเย่เทียนเฉินที่ถูกห้อมล้อมไปด้วยโล่ทองคำซึ่งยืนอยู่บนก้อนหินใหญ่

ตู้ม!

ดาบถูกฟันลงมา ดาบนี้ของซาโตฟันลงบนโล่ทองคำอย่างรุนแรง ทำให้โล่ทองคำยุบลงไป ส่วนก้อนหินใหญ่ที่เย่เทียนเฉินยืนอยู่ก็แหลกสลายไปในพริบตา เห็นได้ชัดว่าพลังของดาบนี้มากมายเพียงใด

อย่างไรก็ตามยังไม่จบ ซาโต้โกรธเขาแล้ว เขามีเจตนาสังหารแล้ว เย่เทียนเฉินแข็งแกร่งเกินไป ต่อให้เขาดิ้นรนสุดชีวิตอยู่ที่นี่ก็จะไม่ปล่อยให้อุปสรรคขวากหนามในภายภาคหน้าของสำนักโฮคุชินอิตโตริวหลงเหลืออยู่ ดังนั้นเขาจึงฟันต่อไปอีกสามครั้งด้วยอำนาจอันแข็งแกร่งหาได้เปรียบ

ตู้มๆๆ!

โล่ทองคำแตกสลายไปแล้ว นี่เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่โล่ทองคำของเย่เทียนเฉินถูกโจมตีจนแตกเป็นผุยผง ส่วนเขาที่อยู่ด้านในก็ได้รับแรงสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงเกือบจะทำให้เกิดการกระอักเลือดออกมา

ฟิ้ว!

เย่เทียนเฉินพุ่งออกไป มองไปยังซาโต้ด้วยสายตาราวกับเทพแห่งความตาย นี่เป็นการต่อสู้ที่ทั้งสองฝ่ายต่างไม่กล้าลำพองใจ หากใครลำพองใจคนผู้นั้นก็จะแพ้และสิ้นชีพ

ง้าวเทียนฟางในมือขวาแปรสภาพเป็นสสารที่แท้จริงไปแล้ว ความสามารถในการใช้พลังพิเศษในส่วนนี้ของเย่เทียนเฉินแข็งแกร่งมากจนสามารถเปลี่ยนจินตภาพให้กลายเป็นสสารได้ ยิ่งไปกว่านั้นการจะใช้ได้อย่างแข็งแกร่งที่สุดก็ไม่ง่ายเหมือนการพูดแบบนั้นเลย

ตู้ม!

ง้าวเทียนฟางในมือขวาของเย่เทียนเฉินทิมแทงตรงไปยังซาโต้ เล็งไปที่ศีรษะของซาโต้ ซาโต้ไม่กล้ามองข้าม ความสามารถในการต่อสู้ที่เย่เทียนเฉินแสดงออกมาจนถึงตอนนี้ทำให้เขาแปลกใจมากแล้ว ดังนั้นจึงฟันดาบออกไปยังเด็ดเดี่ยว

ตู้ม!

ทั่วทั้งหุบเขาหมอกทมิฬสามสะเทือน เย่เทียนเฉินและซาโต้นับว่าสู้กันอย่างรุนแรงเป็นครั้งแรก ทำให้ระยะภายในขอบเขต หนึ่งพันเมตรไม่มีสรรพสิ่งปรากฏอยู่อีกต่อไป ไม่ว่าจะเป็นก้อนหินหรือต้นไม้ใบหญ้าต่างกลายเป็นผุยผงไปหมดแล้ว การสั่นสะเทือนของพลังช่างแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก

เย่เทียนเฉินตกลงมายืนกับพื้น จ้องไปที่ซาโต้ เขารู้สึกได้ถึงความแข็งแกร่งของชายชราคนนี้ ตอนนี้นับว่าตนเป็นอยู่ในขอบเขตสูงสุดของพลังพิเศษระดับจอมราชันแล้วและยังสามารถใช้พลังในขอบเขตจักรพรรดิออกมาไดจางๆ นี่แตกต่างไปจากเดิมมาก การโจมตีไปเช่นนี้ยังไม่สามารถทำให้ซาโต้บาดเจ็บสาหัสได้ ทำให้เขาต้องทอดถอนใจให้กับความสามารถของชายชราคนนี้จริงๆ

“แข็งแกร่ง ฉันชอบคนแข็งแกร่ง ยี่สิบปีแล้ว สู้ให้ฉันมีความสุขซักหน่อยสิ!”

ซาโต้ราวกับบ้าคลั่งแล้วก็มิปาน ดาบทหารสไตล์ชิบะในมือขวาทิ่มแทงเข้าไปที่พื้น เสื้อผ้าท่อนบนสั่นสะเทือนจนฉีกเป็นชิ้นๆ ปรากฏกล้ามเนื้อแข็งแกร่ง บริเวณหน้าอกข้างซ้ายที่ถูกโจมตียังคงมีเลือดไหลไม่หยุด เพียงแต่ชายชราคนนี้ไม่เผยร่องรอยของความชราในกล้ามเนื้อออกมาแม้แต่น้อย กลับดูแข็งแกร่งเป็นอย่างมากทำให้ผู้คนรู้สึกเหลือเชื่อ

“ความรู้สึกของวัยหนุ่มนี่มันดีจริงๆ ผลของยาตัวใหม่ไม่เลวเลย!” ซาโต้มองไปยังกล้ามเนื้อที่แขนทั้งสองของตนอย่างพึงพอใจแล้วพูดขึ้น

คนชิบะบ้าคลั่งครั้งจนถึงขั้นวิปลาสเช่นกัน มีการศึกษาและวิจัยเกี่ยวกับยาต่างๆ มาโดยตลอดและต้องการใช้ยาเหล่านี้พัฒนาศักยภาพในการต่อสู้ของผู้คน ในขณะเดียวกันก็ทำให้คนที่ร่างกายเหี่ยวเฉาใกล้ตายกลับมามีพลังการต่อสู้และร่างกายเหมือนวัยรุ่นอีกครั้ง สิ่งเหล่านี้ดูแล้วดีต่อมนุษย์มากแต่ความจริงคนส่วนใหญ่หากใช้ไปมากๆ เยอะจะทำให้ตายอย่างชับพลัน ตายอย่างอนาถตาไม่หลับ

“แกคิดว่าทำแบบนี้แล้วเป็นคู่ต่อสู้ของฉันได้รึไง? ฝันไปเถอะ…”

ซาโบ้าคลั่งไปแล้วโดยสิ้นเชิง มือขวากุมอยู่บริเวณบาดแผลที่หน้าอกซ้ายของตนจนมือขวาถูกอาบยอมไปด้วยเลือด จากนั้นจึงนำมาวางที่ปาก ลิ้มรสเลือดของ

“ไปตายซะ!”

ตู้ม!

ซาโต้ตวัดดาบออกไปทั้งสองมือ บรรยากาศอันแข็งแกร่งเช่นนั้นหมุนวนอยู่ทั่วทั้งหุบเขาหมอกทมิฬ การสั่นสะเทือนของพลังแข็งแกร่งมาก พุ่งตรงไปยังเย่เทียนเฉิน

เย่เทียนเฉินตกตะลึง อดไม่ได้ที่จะถอยหลังไปสองก้าว สีหน้าเคร่งขรึมอย่างหาใดเปรียบ ชายชราซาโต้คนนี้บ้าไปแล้วหรือ คิดจะฆ่าตนให้ได้โดยไม่สนใจที่จะทำลายทุกสิ่งทุกอย่างที่นี่

ไม่อาจถอยได้ เย่เทียนเฉินทำได้เพียงกำง้าวเทียนฟางแน่น กระตุ้นพลังพิเศษขอบเขตจักรพรรดิออกมาแล้วรับมือเต็มกำลัง

จนกระทั่งแสงสีเงินสองสว่าง กำแพงหินทั้งสองด้านที่เย่เทียนเฉินและซาโต้สู้กันตังทลายลงมาทั้งหมด ยิ่งไปกว่านั้นซาโต้ยังฟันดาบออกมาอย่างบ้าคลั่งจนทิ้งร่องรอยยาวราวสิบจั้งเอาไว้ที่กำแพงด้านหลังเย่เทียนเฉิน หน้าหวาดกลัวเป็นอย่างมาก

“แกจะต้องตายแน่ ฉันจะให้แกได้รู้ว่าสำนักโฮคุชินอิตโตริวของฉันเอาชนะพรรควรยุทธโบราณของประเทศจีนได้!” มุมปากของซาโต้ปรากฏรอยยิ้มออกมา

เย่เทียนเฉินยืนห่างซาโต้ไปสิบเมตร ง้าวเทียนฟางบนมือขวาของเขาหายไปแล้วในตอนที่ขวางดาบอันบ้าคลั่งของซาโต้เอาไว้ มันก็ได้กลายเป็นประกายฝนไปแล้ว บริเวณหน้าอกและท้องของเขาก็ปรากฏรอยเลือด ลำไส้สีขาวปรากฏลางๆ เขาเกือบจะถูกซาโต้ฟันท้องตายไปแล้วดาบนี้ของซาโตมีพลังอำนาจในการทำลายล้างสูงมาก

“ไอ้แก่ แกลงมือเต็มที่แล้วเหรอ? ตอนนี้ควรจะถึงตาฉันแล้วละมั้ง?” ในสายตาของเย่เทียนเฉินปรากฏไอสังหารที่หาได้ยากยิ่งครั้งนี้เขาแข็งแกร่งอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ต้องการที่จะใช้เคล็ดวิชาสังหารที่รุนแรงที่สุดของตนออกมา

“งั้นเหรอ?”

หมัดของเย่เทียนเฉินที่รวดเร็วและมีพลังทำลายล้างรุนแรงอย่างหาใดเปรียบไม่สามารถโจมตีซาโต้ได้ แต่กลับถูกซาโต้จับหมัดเอาไว้อย่างง่ายดายโดยที่ซาโต้ไม่ได้ถอยหลังแม้แต่ครึ่งก้าว ร่างกายยังคงไม่ขยับเขยื้อน เช่นนี้ก็ทำลายหมักที่ทรงอำนาจของเย่เทียนเฉินได้แล้ว ชายชราคนนี้แข็งแกร่งจนถึงขั้นวิปลาสจริงๆ

อย่างไรก็ตามในตอนที่ซาโต้ยิ้มออกมาอย่างไม่สบอารมณ์นักและคิดว่าเขาประเมินความสามารถในการต่อสู้ของเย่เทียนเฉินสูงไปนั้น เย่เทียนเฉินกลับเผยรอยยิ้มออกมา ในตอนนี้ซาโต้ตกใจ ชั่วพริบตานั้นเขารู้สึกได้ถึงไอสังหารจากด้านหลังศีรษะ ยังไม่ทันได้หันกลับไปมองก็เตะเข้าไปที่เอวของเย่เทียนเฉินแล้ว

มีกลิ่นเหมือนเส้นผมถูกเผาไหม้เกิดขึ้น เย่เทียนเฉินและซาโต้เปลี่ยนตำแหน่งกัน เมื่อครู่นี้ทั้งสองต่างลงมือแล้ว ลูกเตะของซาโต้ไม่โดนเย่เทียนเฉินแต่ก็หลบการโจมตีถึงชีวิตของเย่เทียนเฉินไปได้

“ทำไมถึงมีกลิ่นไหม้ได้ล่ะ?” เย่เทียนเฉินมองไปยังมือซ้ายของตนพบว่ามีผมคนถูกเผาอยู่ อดไม่ได้ที่จะพูดออกมาอย่างไม่ชอบใจ

“เคล็ดวิชาพลังพิเศษสายสายฟ้า ที่แท้แกก็เป็นผู้มีพลังพิเศษ มิน่าล่ะถึงได้แข็งแกร่งขนาดนี้!” ซาโต้มองไปยังเย่เทียนเฉินอย่างดุดันแล้วพูดขึ้น

“ตาแก่ อย่าคิดว่าตัวเองแข็งแกร่งแล้วจะยโสโอหังได้ ประเทศจีนไม่ได้รังแกง่ายๆ ขนาดนั้น!” เย่เทียนเฉินพูดอย่างไม่พอใจนัก

ซาโต้ย่อมมีความสามารถที่ทำให้ผู้คนตกตะลึงแน่นอน มิฉะนั้นคงไม่สามารถเข้าสู่การจัดอันดับสิบยอดมือฝีมือของสำนักโฮคุชินอิตโตริวได้ เย่เทียนเฉินไม่กล้าดูถูกชายชราคนนี้ เพียงแต่ท่าทางที่ชายชราคนนี้มองด้วยสายตาทรงอำนาจที่สามารถตัดสินใจความเป็นความตายของผู้อื่นได้ ทำให้เย่เทียนเฉินรู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมาก จะอย่างไรชายชราคนนี้ก็ไม่ยอมปล่อยเขาไปแน่ ส่วนเขาก็เตรียมตัวที่จะฆ่าซาโต้แล้ว การต่อสู้ครั้งใหญ่ไม่อาจหลีกเลี่ยง แล้วทำไมจะไม่ฆ่าเขาล่ะ

“แกอย่ามายั่วโมโหฉันเลย ตอนนี้ฉันเปลี่ยนใจแล้ว ต่อให้ทำให้แก่พวกเขาร้องขอชีวิตซะ ฉันก็จะไม่ยอมปล่อยแกไป หัวของแกจะต้องแยกจากร่างของแก!” ในดวงตาของซาโต้มีกลิ่นไอสีแดงเลือดปรากฏออกมาทำให้เย่เทียนเฉินเกิดลางสังหรณ์ไม่ดีขึ้น

ในตอนนี้เองไม่ว่าจะพลังพิเศษแห่งการรับรู้ของเย่เทียนเฉินก็หรือจะเป็นสัญชาตญาณดั้งเดิมของเขาต่างสัมผัสได้ว่าตนเองมีอันตรายสูง เป็นอันตรายถึงชีวิต ซาโต้ไม่สามารถดูเบาได้เลยจริงๆ เห็นได้ชัดว่าตอนนี้ชายชราคนนี้โกรธเขาจริงๆ แล้ว ในดวงตาทั้งสองเต็มไปด้วยเลือดดูแล้วน่าหวาดกลัวมาก ราวกับมีเลือดไหลออกมาจากดวงตาอย่างไรอย่างนั้น

ซู่ม!

ในเวลาเพียงชั่วพริบตา เย่เทียนเฉินสัมผัสได้ถึงสภาพแวดล้อมทั้งหมดที่อยู่รอบตัวตนเปลี่ยนไป ทุกที่มีแต่คนตาย มีแต่เลือดสดๆ เรียกได้ว่าเป็นโลกที่เต็มไปด้วยภูเขาศพและทะเลเลือด ความสมจริงเช่นนั้น คนตายที่ร่างกายเต็มไปด้วยเลือดแต่ละคนคลานขึ้นมาจากบนพื้น อ้าบปากที่มีเลือดไหลออกมา ยื่นมือไปจับแขนของเย่เทียนเฉินเอาไว้ เย่เทียนเฉินขมวดคิ้ว ชั่วขณะนั้นเขาไม่มีปฏิกิริยาใด ครั้งนี้เกิดขึ้นกระทันหันเกินไปและสมจริงมาก

“สหายช่วยฉัน…”

“เทียนเฉิน รีบไป สัตว์ประหลาดตัวนี้แข็งแกร่งเกินไป!”

“เทียนเฉิน ฉันเป็นผู้หญิงของเธอไปชั่วชีวิต ฉันจะไม่ให้นายเสียหน้าแน่ แล้วจะไม่ให้คนอื่นมาทำให้ฉันแปดเปื้อนด้วย ฉันยอมตาย!”

ความเจ็บปวด ความวิตกกังวล ความหัวใจสลายและหยาดน้ำตา อารมณ์แต่ละอย่างเอ่อล้นขึ้นมาในสมองของเย่เทียนเฉินเนื่องจากสิ่งที่เขาเห็นคือสหายของตนในดาวสิ้นโลก ในช่วงเวลาที่พวกเขากำลังถูกสัตว์ประหลาดระดับสูงโจมตี ทุกคนต่างตายไปหมดแล้ว ในหมู่คนเหล่านั้นมีสหายที่ขอให้เขาช่วยและมีคนที่บอกให้เขาหนีไป คิดไม่ถึงว่าไม่ต้องการให้เขามีอันตรายถึงชีวิต และมีผู้หญิงดีๆ ที่รักเขาและสาบานว่าจะตายตามเขาไป ยอมฆ่าตัวตายแต่ไม่ยอมตกอยู่ในมือของสัตว์ประหลาดให้แปดเปื้อนและไม่ยอมนำพาความยุ่งยากมาให้เย่เทียนเฉิน

ตู้ม!

เงาร่างของสัตว์ประหลาดอันใหญ่โตปรากฏกลางอากาศบนร่างของเย่เทียนเฉิน เย่เทียนเฉินระเบิดความโกรธ ระงับไอสังหารทั่วทั้งร่างเอาไว้ไม่อยู่ต่าง ปล่อยออกมาทั้งหมด ใช้หมัดต่อยเข้าปะทะไปยังอากาศ

ตู้มๆๆ!

เย่เทียนเฉินและสัตว์ประหลาดตัวใหญ่สู้กัน ทุกครั้งที่ลงมือต่างลงมือเต็มที่ เขากลายเป็นมัจจุราชไปโดยสิ้นเชิงแล้ว ต้องมองสหายที่ดีของตนและผู้หญิงของตนตายไปต่อหน้าต่อตา เย่เทียนเฉินที่ไม่มีญาติครอบครัวอยู่ในดาวสิ้นโลกแม้แต่คนเดียวแล้ว ไม่มีสหายแม้แต่คนเดียว เป็นเด็กกำพร้าโดยสิ้นเชิง ย่อมต้องหวงแหนทุกสิ่งทุกอย่างนี้มมาก เพียงแต่เขาไม่สามารถมีได้อีกต่อไปแล้ว

ตู้ม!

เสียงดังสนั่นฟ้า เย่เทียนเฉินและสัตว์ประหลาดตัวใหญ่โจมตีใส่กันอย่างเต็มกำลัง การโจมตีครั้งนี้ทำให้เย่เทียนเฉินร่วงลงจากฟ้า ทั่วทั้งร่างเต็มไปด้วยเลือด ไม่เพียงแต่กระดูกนิ้วในมือขวาหักทั้งหมด แต่สิ่งที่น่ากลัวที่สุดก็คือบนไหล่ขวามีรอยมีดและเลือดสดๆ ไหลออกมาจนสามารถเห็นกระดูกได้ดูแล้วน่าหวาดผวามาก

พลั่ก! ในช่วงขณะที่ตกมานั้นเย่เทียนเฉินปะทะเข้ากับก้อนหินก้อนใหญ่ ทำให้ก้อนหินก้อนใหญ่แต่เป็นผุยผง ด้วยเหตุนี้มุมปากของเขาจึงมีเลือดไหลออกมา อาการบาดเจ็บที่ร่างกายได้รับไม่ได้รุนแรงที่สุด แต่อาการบาดเจ็บในใจรุนแรงและเจ็บปวดที่สุด

เย่เทียนเฉินที่ได้มาเกิดใหม่ในโลกแห่งนี้ต่างเก็บความแค้นและทุกสิ่งทุกอย่างในดาวสิ้นโลกเอาไว้ในใจตลอด ซ่อนเอาไว้ในส่วนลึกของจิตใจ ไม่อยากไปคิดถึงและไม่กล้าย้อนคิด เขากลัวว่าจะระงับอารมณ์ของตนไม่อยู่ คนคนหนึ่งต่อให้แข็งแกร่งขนาดไหนก็ไม่อาจหลุดพ้นกิเลสตันหา ถ้าหากไม่ได้ทำเพื่อกิเลสตันหาก็ไม่นับว่าเป็นคน ถ้าอย่างนั้นคือคนตาย

อย่างไรก็ตามในตอนนี้เย่เทียนเฉินได้เห็นสหายอีกครั้งรวมไปถึงคนที่รักตนอย่างลึกซึ้งและเขาก็รักอย่างลึกซึ้งอีกด้วย เป็นช่วงเวลาที่สัตว์ประหลาดระดับสูงมาโจมตีหมู่บ้าน เขาไล่กลับไปไม่ได้ คนที่เขารักที่สุดเหล่านี้ได้พบกับความเจ็บปวดอย่างไร สะสมความเจ็บปวดไว้มากน้อยเพียงนั้น ทุกอย่างระเบิดออกมาในเวลานี้ เผชิญหน้ากับสัตว์ประหลาดระดับสูงที่โผล่ออกมาอีกครั้ง เย่เทียนเฉินลงมาเต็มที่ต้องการฆ่ามันให้ได้

ในช่วงเวลาที่ตกสู่พื้นเย่เทียนเฉินไม่สนใจอาการบาดเจ็บของตน ลุกขึ้นยืนในทันที มุมปากมีเลือดสดๆ ไหลออกมา กำหมัดทั้งสองแน่น มองไปยังสัตว์ประหลาดที่อยู่บนอากาศ ชั่วขณะนั้นมือขวาของเขาปรากฏง้าวเทียนฟางขึ้นมา ชี้ขึ้นไปบนฟ้า ส่งแสงสว่างไปทั่วท้องฟ้า ในตอนนั้นเองเย่เทียนเฉินก็ล้มลง ทั่วทั้งร่างเต็มไปด้วยเลือด

ไม่มีพลังแล้วโดยสิ้นเชิง ไม่มีพลังในการต่อสู้แม้แต่น้อย เย่เทียนเฉินล้มอยู่บนพื้นด้วยร่างกายที่เต็มไปด้วยเลือดแต่ใบหน้ากลับประดับรอยยิ้มเล็กน้อย เนื่องจากในที่สุดเขาก็เอาชนะสัตว์ประหลาดตัวใหญ่นั้นได้แล้ว โจมตีมันจนกลายเป็นผงเลือดท่ามกลางท้องฟ้า

“ได้แก้แค้นให้พวกแกฉันก็ตายตาหลับแล้ว!” เย่เทียนเฉินพูดด้วยรอยยิ้ม

“ดูท่าแกจะยังแข็งแกร่งไม่พอถึงตกอยู่ในภาพหลวงตาของฉันง่ายๆ แบบนี้…”

ในตอนนี้เอง บริเวณหูของเย่เทียนเฉินมีเสียงของซาโต้ดังขึ้น ทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะชะงักไปทั้งร่าง ภาพเหตุการณ์ทั้งหมดเบื้องหน้าเขาเลือนหายไป ไม่มีภูเขาศพทะเลเลือดอีก กระทั่งฝนเลือกที่แตกซ่านอยู่กลางอากาศก็ไม่เจอ สิ่งที่ปรากฏขึ้นมาแทนก็คือท้องฟ้าที่ใกล้จะสว่าง แน่นอนว่ายังมีชายชราซาโต้อยู่ด้วย กำลังมองเขาด้วยรอยยิ้มโหดเหี้ยมเต็มหน้า

“แก…”

“แกประเมินวิชาลวงตาของสำนักโฮคุชินอิตโตริวของพวกเราต่ำเกินไปแล้ว แกคิดว่ามีแค่ระดับที่คาเอดะอิจิโร่ใช้แบบนั้นรึไง? ทุกสิ่งทุกอย่างเมื่อกี้สะท้อนความเจ็บปวดส่วนลึกในใจของแกออกมา ฉันแปลกใจนัก ถึงกับปรากฏเงาสตว์ประหลาดออกมาเลยเชียว ไม่ง่ายเลยทีเดียว แกเป็นใครกันแน่?”ซาโต้ถามด้วยความสงสัย

เมื่อครู่นี้หลังจากที่เย่เทียนเฉินถูกเคล็ดวิชาลวงตาแล้วก็ปะทุความบ้าคลังออกมาทันที ทำให้ซาโต้ตกใจจนรีบถอยหลังไป เนื่องจากพลังการต่อสู้ทั้งหมดที่เย่เทียนเฉินแสดงออกมาและความบ้าคลั่งเช่นนั้นทำให้เขาอยากที่จะเชื่อ แข็งแกร่งเป็นอย่างมาก ดูเหมือนจะสั่นสะท้านไปทั่วทั้งหุบเขาหมอกทมิฬ หากไม่ใช่เพราะซาโต้หลบได้เร็วดุจสายฟ้าอาจจะถูกลูกหลงก็เป็นได้ ยิ่งไปกว่านั้นในเคล็ดวิชาลวงตายังปรากฏสัตว์ประหลาดออกมาอีกด้วย แข็งแกร่งเป็นอย่างมาก กระทั่งซาโต้ก็ตกใจและแปลกใจมากไม่รู้ว่าเย่เทียนเฉินผ่านอะไรมา

เคล็ดวิชาลวงตาที่ซาโต้ใช้นี้เรียกว่า “ย้อนภาพจำ” เป็นวิชาลวงตาที่โหดเหี้ยมและแข็งแกร่งมาก สามารถทำให้ผู้คนเห็นสถานการณ์ที่เจ็บปวดที่สุดในส่วนลึกของจิตใจท่ามกลางความว่างเปล่า กระทั่งเกิดการเปลี่ยนแปลงไปจนสมจริงอย่างหาใดเปรียบ เหมือนกับประสบด้วยตนเองอีกครั้ง และเนื่องจากเคล็ดวิชาสังหารนี้จึงทำให้เย่เทียนเฉินได้พบกับภาพที่เขาไม่อาจปล่อยวางไปชั่วชีวิตในดาวสิ้นโลก เป็นความเจ็บปวดตลอดกาลของเขา เป็นความเจ็บปวดที่เขาไม่อาจทำลายได้ไปชั่วชีวิต

“เคล็ดวิชาลวงตานี้แข็งแกร่งจริงๆ สำนักโฮคุชินอิตโตริวดูเบาไม่ได้เลย!” เย่เทียนเฉินเองก็อดไม่ได้ที่จะอุทานออกมา

“ท่าทางแกคงจะไม่พูดข้อมูลอะไรออกมาแน่ ถ้างั้นก็ตายซะเถอะ!” ดาบในมือขวาของซาโตสะบัดไปที่คอของเย่เทียนเฉิน

ฟุ่บ!

ศีรษะของเย่เทียนเฉินร่วงหล่นแต่กลับไม่มีเลือดไหลออกมา ซาโต้ตกใจจนหน้าถอดสี มองไปยังศีรษะของเย่เทียนเฉินที่ร่วงอยู่บนพื้นอีกครั้ง มันกลายเป็นก้อนหินไปแล้ว

“แย่แล้ว!”

ในใจของซาโต้ร้องตะโกน เพียงแต่สายไปแล้ว ฉึกๆๆ! ธนูที่แฝงไปด้วยพลังสายฟ้าอันแข็งแกร่งสามดอกโจมตีไปยังซาโต้ เขาไม่มีโอกาสหลบแล้ว เเนื่องจากเขาได้สูญเสียโอกาสไปตั้งแต่ตอนที่ตวัดดาบไปยังศีรษะของเย่เทียนเฉินแล้วและเผยจุดอ่อนถึงชีวิตออกมา

แต่ชายแก่ซาโต้คนนี้ ในฐานะที่เป็นยอดฝีมือซึ่งอยู่ในสิบอันดับแรกของสำนักโฮคุชินอิตโตริว นี่ไม่ใช่เรื่องเกินจริงเลย ความสามารถแข็งแกร่งห้าวหาญประสบการณ์การต่อสู้มากล้น ในช่วงเวลาสำคัญที่สุด มือขวามีดาบทหารสไตล์ชิบะปรากฏขึ้นเล่มหนึ่ง

เปรี๊ยงๆๆ!

พลังของสายฟ้าสองเส้นที่เปลี่ยนสภาพเป็นธนูถูกขวางเอาไว้ ส่วนธนูสายฟ้าดอกที่สามกลับยิงทะลุไหล่ซ้ายของซาโต สุดท้ายจึงปักอยู่บนกำแพงหินเกิดเสียงระเบิดดังออกมา

“แก…แกถึงกับใช้วิชาสลับร่างได้เชียวหรือ?” ซาโต้กุมบาดแผลบริเวณไหล่ซ้าย ดาบสไตล์ชิบะในมือขวาปักอยู่บนพื้นพยุงตัวเองเอาไว้แล้วพูดขึ้น

“มีอะไรน่าแปลกกันล่ะ? เคล็ดวิชาลวงตาของแกแข็งแกร่งมาก แต่ฉันอยากจะบอกแกว่า ในใจของฉันเย่เทียนเฉินมีความเจ็บปวดมากมายที่ไม่อาจทำลายไปได้ช่วยชีวิต แต่ฉันสามารถปล่อยวางแต่ละเรื่องได้ เป็นเพราะฉันเชื่อมั่นในตัวเอง!” เย่เทียนเฉินยืนอยู่บนก้อนหินสูงใหญ่บริเวณไม่ไกลในมือซ้ายมีธธนูสายฟ้าอยู่คันหนึ่ง มือขวามีลูกธนูสายฟ้าต้องการให้ชีวิตของชายชราซาโต้คนนี้สิ้นสุดลงที่นี่

“แกแข็งแกร่งมาก กระทั่งเช็ดวิชาลวงตาของฉันก็ยังหลบได้ ท่าทางจะประเมินแกต่ำไปจริงๆ ตอนที่ฉันใช้วิชาลวงตาแกคงจะรู้ตัวแล้วและใช้วิชาสลับร่างจนหลุดออกมาได้ ในตอนที่ฉันผ่อนคลายความระวังมากที่สุดก็ลงมือทำให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีเยี่ยมจริงๆ แต่ถ้าแกคิดว่าทำแบบนั้นจะสามารถกำจัดฉันได้งั้นแกก็คิดผิดไปถนัด!”

คำพูดของซาโต้เพิ่งจะออกจากปากเย่เทียนเฉินก็รับรู้ได้ว่ารอบด้านมีดาบทหารสไตล์ชิบะปรากฏออกมาแหลมคมและเสียดแทงยังหาได้เปรียบทั้งหมดต่างเล็งมาที่ตน…

จางหลาน ชางหลาง และหลัวเหว่ยเคอ ทั้งสามต่างขัดขวางราชานักฆ่าอีกสามคนที่เหลือซึ่งเป็นหนึ่งในศิษย์สำนักโฮคุชินอิตโตริวเอาไว้ กำลังทำการต่อสู้ถึงขั้นเป็นตายครั้งใหญ่ ไม่กล่าวไม่ได้ว่าสามคนนี้แข็งแกร่งมาก จางหลาน ชางหลาง และหลัวเหว่ยเคอไม่สามารถชนะได้ในเวลาสั้นๆ ทั้งยังมีอันตรายที่อาจจะถึงขั้นเสียชีวิตได้ ทำได้เพียงต่อสู้อย่างเต็มกำลังหาโอกาสฆ่าคู่ต่อสู้ของตน

ในสำนักโฮคุชินอิตโตริวมีคนสี่คนที่ฝีมือแข็งแกร่งที่สุด สามารถเรียกได้ว่าเป็นบุคคลที่เป็นตัวแทนความสามารถของสำนักโฮคุชินอิตโตริวในอนาคต ดังนั้นพวกเขาจึงถูกเรียกว่า “สี่ราชานักฆ่า” การที่สามารถได้รับฉายาเช่นนี้ไม่ต้องพูดจาให้มากความก็มากเพียงพอที่จะพิสูจน์ความสามารถของคนทั้งสี่แล้ว ความแข็งแกร่งของเซนโทอินเย่ เทียนเฉิน ชางหลาง และหลัวเหว่ยเคอเห็นมาเองกับตา หลีหวังที่เป็นขุนพลระดับทัพฟ้าชั้นกลางมีความสามารถระดับนักรบอาวุโส ก็ทำได้แค่เพียงตายทั้งสองฝ่ายเท่านั้นทำให้เขาไม่อาจไม่นับถือ

ที่ทำให้เย่เทียนเฉิน ชางหลางและหลัวเหว่ยเคอทั้งสามรู้สึกสั่นสะท้านก็คือ หากจะกล่าวว่าพวกเขาสามารถสู้กับราชานักฆ่าทั้งสี่ได้หรือกระทั่งเอาชนะพวกเขาได้ก็ไม่อะไรนัก เพียงแต่จางหลานถึงกับสามารถรับมือกับราชานักฆ่าคนหนึ่งได้ ถึงแม้จะไม่อาจฆ่าศัตรูของตนได้ในเวลาสั้นๆ แต่ก็ไม่ตกเป็นรอง

เนื่องจากต่อให้จางหลานจะแข็งแกร่งมากขนาดไหนสุดท้ายก็ยังเป็นแค่ผู้หญิงคนหนึ่ง ไม่ต้องพูดถึงเรื่องหน้าตาสวยงาม แต่ยังสวมชุดประแปลกมาถึงป่าหมอกดำอีกด้วย ไม่ใช่ว่าจะถูกผู้หญิง แต่ความเป็นจริงความสามารถของผู้หญิงในทุกด้านล้วนด้อยกว่าผู้ชายเล็กน้อย พลังความสามารถในการต่อสู้ที่จางหลานแสดงออกมาไม่ด้อยไปกว่าชางหลางและหลัวเหว่ยเคอเลย ทำให้ผู้คนรู้สึกไม่กล้าเชื่อจริงๆ ในขณะเดียวกันก็คิดว่าผู้หญิงสวยคนนี้ใครกล้าแต่งงานด้วยจะต้องทะเลาะกันทุกสองสามวัน ถ้าไม่ถูกเธออัดจนตาเขียวก็แปลกแล้ว นอกจากจะเป็นผู้ชายที่แข็งแกร่งกว่าเธอในตอนนี้ ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ชางหลางแล้วหลัวเหว่ยเคอคิดถึงเย่เทียนเฉินพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย

เย่เทียนเฉินไปถึงใจกลางหุบเขาหมอกถ้ามีรแล้วเต็มทั้งหมดถูกเคล็ดวิชาสายสายฟ้าเผาจนสิ้นในกระบวนท่าเดียว ในขณะเดียวกันก็ก็บีบบังคับให้ซาโต้ออกมาเพียง แต่เย่เทียนเฉินยังไม่ได้ลงมือทันทีเพราะในมือของซาโต้มีหานเจี๋ยเป็นตัวประกัน

“เจ้าหนุ่ม ฉันอยากรู้ชื่อแกจริงๆ!” ซาโต้มองเย่เทียนเฉินแล้วพูดขึ้นอย่างเรียบเฉย ถึงแม้ในใจของเขาจะตกตะลึงเป็นอย่างมากและรู้ว่าชายวัยรุ่นชาวจีนที่อยู่เบื้องหน้าเขาคนนี้มีความสามารถไม่อ่อนแอเลย กระทั่งมากพอที่จะสู้กับเขาได้ด้วยซ้ำ แต่กลับยังมั่นใจในตัวเองยิ่งนัก ความมั่นใจของเขาไม่ใช่ว่าไม่มีเหตุผล ในฐานะที่เป็นผู้อาวุโสของสำนักโฮคุชินอิตโตริวและเป็นยอดฝีมือที่แท้จริงซึ่งอยู่ในสิบอันดับแรกของสำนักโฮคุชินอิตโตริวได้ ไม่ได้ลงมือมา 20 ปีแล้ว ครั้งนี้เขามาด้วยตัวเองก็เพื่อขัดขวางกองกำลงช่วยเหลือของประเทศจีน และได้รับข้อมูลที่ประเทศชิบะต้องการ

“ปล่อยสาวงามก่อนเถอะ แบบนี้พวกเราจะได้คุยกันอย่างสุภาพบุรุษ!” เย่เทียนเฉินพูดด้วยรอยยิ้ม

ซาโต้ชะงักไปเล็กน้อย มุมปากเผยรอยยิ้มเย็นชาออกมา จากนั้นถึงกับปล่อยหานเจี๋ยไปจริงๆ มองหานเจี๋ยวิ่งไปข้างกายเย่เทียนเฉิน ดูเหมือนจะไม่กลัวว่าเย่เทียนเฉินและหานเจี๋ยจะหนีไปด้วยกันอย่างไรอย่างนั้น เย่เทียนเฉินก็มองซาโต้ด้วยสีหน้าหนักแน่น เขาสัมผัสได้ว่าผู้เฒ่าคนนี้แข็งแกร่งมาก เมื่อลงมือไม่รู้ว่าจะมีพลังอย่างไร มิฉะนั้นเขาคงไม่ปล่อยหานเจี๋ยออกมาง่ายๆ แบบนี้

พูดไปแล้วนั่นเป็นเพราะในสายตาของซาโต้ ต่อให้เขาจะปล่อยหานเจี๋ยไป ไม่ใช้คิดว่าหานเจี๋ยเป็นตัวประกัน หากต้องการฆ่าพวกเย่เทียนเฉินก็เป็นเรื่องง่ายดุจพลิกฝ่ามือ เขาไม่ได้เชื่อมั่นในตัวเองอย่างตาบอด แต่เขามีความสามารถแบบนี้จริงๆ

“เทียนเฉิน รีบไปรีบไป!” หานเจี๋ยวิ่งเหยาะมาข้างกายเย่เทียนเฉิน ดึงแขนเย่เทียนเฉินแล้วพูดขึ้นด้วยความหวาดกลัว

“พวกเราไปไม่ได้หรอก ถ้าไม่ฆ่าตาแก่นี่ใครก็ไปไม่ได้” เย่เทียนเฉินจ้องดวงตาของซาโต้แล้วพูดขึ้น

หานเจี๋ยชะงักไป ดวงหน้าอันงดงามซีดขาวเล็กน้อย ชะงักไปทั้งร่าง ความจริงเธอไม่กล้าจินตนาการความแข็งแกร่งของซาโต้เลยและไม่เต็มใจจะย้อนนึกกลับไปด้วย เพียงแต่สิ่งเหล่านี้ยังคงปรากฏอยู่ในสมองของเธอ เธอจำได้อย่างชัดเจน ในตอนที่เธอและทหารหน่วยรบพิเศษชั้นยอดทั้ง 20 คนมาถึงป่าหมอกดำ ความแปลกประหลาดที่ปรากฏในชั่วขณะนั้นทำให้ทุกคนตกลงสู่จินตภาพอันแข็งแกร่ง ไม่มีทางควบคุมตัวเองได้จนทำให้ทุกคนถูกจับโดยไม่มีโอกาสตอบโต้เลยแม้แต่น้อย

ช่วงหลายวันมานี้ในหุบเขาหมอกทมิฬมีปีศาจเหล่านี้พยายามทำให้หานเจี๋นและทหารหน่วยรบพิเศษชั้นยอดอีก 20 คนพูดความลับทางการทหารของประเทศจีนออกมาให้ได้ และต้องการรู้ถึงการวางกองกำลังของชายแดนป่าหมอกดำด้วย เพียงแต่สิ่งที่ทำให้ซาโต้คิดไม่ถึงก็คือชาวจีนทุกคนที่ถูกเขาจับมาจะปิดปากแน่นไม่พูดออกมาแม้แต่ครึ่งคำ ต่อให้ถูกตัดมือตัดขาทั้งสองจนทรมานหาใดเปรียบ หรือมองสหายร่วมรบของตนถูกดาบฟันจนหัวขาดก็ตาม เมื่อเผชิญหน้ากับความหวาดกลัวต่อความตายอันโหดเหี้ยมถึงขั้นสุดต่างร่างกายสั่นเทาด้วยความตกใจ แต่พวกเขาก็ไม่พูดออกมาแม้แต่ครึ่งคำ นี้เป็นพวกกระดูกเล็กของกองทัพจีน

“แต่ว่าชายชราคนนี้…” หานเจี๋นตกใจจนได้สติกลับมาจึงอดไม่ได้ที่จะพูดขึ้น

“ฉันรู้ว่าเขาแข็งแกร่งมากและรู้ด้วยว่าเขาคนเดียวก็ตัดหัวสหายร่วมรบที่เหลืออีกสิบคนของพวกเราไปแล้ว ดังนั้นไม่ต้องสนใจอะไรมาก ฉันเองก็จะตัดหัวเขาเหมือนกัน ถึงจะเป็นการแก้แค้นให้พี่น้องสหายร่วมรบของพวกเราได้ มิฉะนั้นฉันเย่เทียนเฉินคงมาเสียเที่ยวแล้ว!” เย่เทียนเฉินพูดขัดคำพูดของหานเจี๋ยจับจ้องอยู่ที่ซาโต้โดยตลอดแล้วพูดขึ้น

“เทียนเฉิน…” หานเจี๋ยยังคิดจะพูดโมน้าวเธอ ไม่อยากให้เย่เทียนเฉินมีอันตรายอะไร

“เธอถอยไปเถอะ ไปหาพวกชางหลาง ฉันฆ่าตาแกนี่แล้วจะไป!” เย่เทียนเฉินพูดอย่างเย็นชา

“แต่…”

“ไป…”

เย่เทียนเฉินพูดเสียงต่ำ หานเจี๋ยชะงักไปครู่หนึ่ง น้ำตาไหลออกมาจากหางตา ไม่ใช่เพราะเย่เทียนเฉินตะโกนใส่เธอแต่เป็นเพราะเธอรู้สึกได้ถึงความรู้สึกที่เย่เทียนเฉินมีต่อตน ผู้ชายคนนี้เปลี่ยนไปแล้ว ไม่อ่อนแอเหมือนเมื่อก่อน เป็นผู้ชายที่ทรงอำนาจอย่างมาก ในตอนที่เขาแข็งแกร่งยังคงเป็นห่วงหานเจี๋ยมากขึ้น จะไม่ให้ซาบซึ้งได้อย่างไร?

ความจริงเธอเองก็เข้าใจดี การที่เย่เทียนเฉินตั้งมั่นว่าจะฆ่าซาโต้นั้น ประการแรกเพราะต้องการแก้แค้นให้สหายร่วมรบแห่งกลุ่มทหารหน่วยรบพิเศษที่ตายไป ประการที่สองเป็นเพราะต้องกำกำจัดอุปสรรคที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในการในการหนีของพวกเขา ซาโต้แข็งแกร่งมากแข็งแกร่งจนถึงขั้นวิปลาส ถ้าหากไม่ฆ่าเขาพวกเขาทุกคนก็หนีไม่ได้

หานเจี๋ยน้ำตาใหลไปตามแก้ม มองไปยังเย่เทียนเฉินแล้วหันหน้าวิ่งหนีไปเบื้องหน้าโดยไม่หันกลับมามองอีก เธอรู้ว่าในใจของเย่เทียนเฉินได้ทำการตัดสินใจไปแล้ว ไม่สามารโน้มน้าวใจได้อีก ถ้าเธอยังอยู่ที่นี่คงจะทำให้เย่เทียนเฉินต้องแบ่งความสนใจมาและยังอาจจะถูกซาโต้จับตนไปข่มขู่เย่เทียนเฉินอีกด้วย ตอนนี้สิ่งเดียวที่เธอสามารถทำได้ก็คืออธิฐานให้กับผู้ชายที่ดีกับเธอคนนี้ให้สามารถฆ่าซาโต้ได้อย่างปลอดภัย

“เย่เทียนเฉิน ฉันเคยได้ยินชื่อแกมาก่อน ดูท่าแกจะแข็งแกร่งจริงๆ ยังหนุ่มขนาดนี้ถึงกับมีความสามารถแบบนี้แล้ว ถ้าหากแกมาทำงานให้สำนักโฮคุชินอิตโตริวของพวกเราไม่เพียงแต่ฉันจะไว้ชีวิตแก แต่ยังรับประกันด้วยว่าแกจะไม่ขาเงินไม่ขาดผู้หญิงไปชั่วชีวิต เป็นยังไง?” ในใจของซาโต้รู้สึกแปลกใจแต่กลับยังคงพูดด้วยรอยยิ้มเรียบเฉย

“พูดแบบนี้จะต้องเป็นไอ้ลูกเต่าคาเอดะอิจิโร่แน่ ที่รายงานสถานการณ์ให้พวกแก แกคิดว่าฉันจะตอบรับเงื่อนไขแกรึไง?” เย่เทียนเฉินยักไหล่แล้วพูดขึ้น

เป็นเช่นนั้นจริงๆ เย่เทียนเฉินเดาได้ถูกต้อง ที่ซาโต้รู้จักเขาเป็นเพราะคาเอดะอิจิโร่รายงานไปยังเบื้องบน คาเอดะอิจิโร่ก็เป็นยอดฝีมือของสำนักโฮคุชินอิตโตริวเช่นกัน ตำแหน่งไม่ต่ำเลยแต่กลับเทียบไม่ได้กับซาโต้ หลังจากที่สู้กับเย่เทียนเฉินแล้วคาเอดะอิจิโร่ก็รายงานเรื่องเราไปที่เบื้องบน ในเอกสารรายงานของเขามีชื่อเช่นนี้ปรากฏอยู่ นับว่าเป็นการประเมินค่าต่อเย่เทียนเฉินแล้ว

พบชายวัยรุ่นชาวจีนคนหนึ่งที่มีความสามารถแข็งแกร่งมากชื่อว่าเย่เทียนเฉิน ความสามารถลึกล้ำไม่อาจหยั่ งผมไม่สามารถเอาชนะเขาได้ นอกจากผมแล้วคนอื่นล้วนถูกเขาฆ่าตายทั้งหมด!

เป็นเพราะประโยคนี้ ซาโต้จึงจำชื่อของเย่เทียนเฉินได้ เขาเองก็อยากจะเห็นชายวัยรุ่นชาวจีนที่ชื่อเย่เทียนเฉินคนนี้เสียหน่อย ตกลงจะแข็งแกร่งขนาดไหนกันแน่ ถึงแม้ว่าคาเอดะอิจิโร่จะมีฝีมือไม่สูงถึงขั้นซาโต้แต่ก็ไม่ใช่คนที่มีความสามารถอ่อนแอ การเคลื่อนไหวครั้งนั้นของเขาเป็นเพราะสำนักโฮคุชินอิตโตริวได้รับการเชิญจากรัฐบาลชิบะให้ทำการเคลื่อนไหวเพื่อตรวจสอบสถานการณ์ของประเทศจีนอีกครั้ง เนื่องด้วยว่าหลังจากผ่านมาหลายปีสำนักโฮคุชินอิตโตริวได้โจมตีประเทศจีนอีกครั้งแล้ว เพียงแต่กลับต้องจ่ายค่าตอบแทนเป็นความพ่ายแพ้อย่างน่าอนาจแบบนั้น นอกจากคาเอดะอิจิโร่แล้วยอดฝีมือแห่งสำนักโฮคุชินอิตโตริวคนอื่นๆ ล้วนตายทั้งหมด ด้วยเหตุนี้คาเอดะอิจิโร่ก็ได้รับโทษอันรุนแรงแรงว่าชั่วชีวิตนี้ยากที่จะออกนอกประเทศชิบะแล้ว

ซาโต้คิดไม่ถึงว่าบนเอกสารรายงานสถานการณ์ของคาเอดะอิจิโร่จะพูดไม่ผิดเลยแม้แต่น้อย ประเทศจีนมีชายวัยรุ่นที่มีฝีมือแข็งแกร่งอย่างมากคนหนึ่ง ลึกล้ำไม่อาจหยั่ง ยิ่งไปกว่านั้นยังอายุน้อยมาก ด้วยอายุเท่านี้ก็มีความสามารถแบบนี้แล้ว หากพัฒนาต่อไปเกรงว่าจะเป็นการคุกคามที่ยิ่งใหญ่ของสำนักโฮคุชินอิตโตริว ตอนนี้เองซาโต้เกิดความคิดที่จะฆ่าแล้ว เขาไม่เสียดายที่จะต้องจ่ายค่าตอบแทนทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อฆ่าชายวัยรุ่นชาวจีนเบื้องหน้าที่มีความสามารถไร้ขีดจำกัดผู้นี้ ไม่สามารถปล่อยให้กลายเป็นอุปสรรคภายหน้าของคนประเทศชิบะของตนต่อไปได้

“ไม่ว่าเรื่องอะไรก็หารือกันได้ทั้งนั้น ยิ่งไปกว่านั้นฉันเชื่อว่าถ้าแกเข้าร่วมกับพวกเราจะไม่เสียใจแน่นอน!” ซาโต้พูดชักจูงต่อไป จะอย่างไรด้วยความสามารถเช่นนี้ของเย่เทียนเฉินเขาก็อยากจะได้มาจริงๆ สามารถใช้ประโยชน์จะดีที่สุด

“น่าเสียดายฉันไม่ใช่พวกขายชาติ แล้วฉันเองก็ขายชาติไม่ลงด้วย…”

ฟิ้ว!

คำพูดของเย่เทียนเฉินยังไม่ทันพูดจบในตำแหน่งเดิมของเขาก็เหลือเพียงภาพติดตา อยู่ในสภาวะที่ระดับความเร็วพุ่งทะยานถึงขีดสุด เพียงพริบตาก็ไปถึงเบื้องหน้าของซาโต้ ไม่มีกระบวนท่ามากมายอะไร ใช้หมัดต่อยเข้าไปที่ศีรษะของเขา ชราคนนี้แข็งแกร่งมาก แข็งแกร่งจนถึงขั้นที่เย่เทียนเฉินไม่รู้ว่าเขาร้ายกาจขนาดไหนกันแน่ ดังนั้นเมื่อลงมือจึงต้องลงมือเต็มกำลัง

ตู้ม!

เสียงหนึ่งดังสนั่น หมัดขวาของเย่เทียนเฉินถูกซาโต้หยุดเอาไว้ ซาโต้ไม่ได้ตอบโต้ ทำเพียงจับมัดของเย่เทียนเฉินไว้แบบนี้ก็สามารถหยุดหมัดที่มีอำนาจทำลายล้างรุนแรงของเย่เทียนเฉินได้แล้ว ส่วนซาโต้ก็ไม่ได้ถอยหลังไปแม้แต่ก้าวเดียว มุมปากประดับไปด้วยรอยยิ้มพูดอย่างเสียใจว่า “พลังแข็งแกร่ง ความเร็วยอดเยี่ยม แต่ถ้าต้องการจะทำให้ฉันบาดเจ็บก็ยากมาก!”

เรียกได้ว่าเย่เทียนเฉินและจางหลานฆ่าไปตลอดทาง มุ่งหน้าเข้าไปในป่าหมอกดำ ทั้งสองฆ่ามือสังหารชุดดำไปเจ็ดคนในเวลาแค่ชั่วพริบตาจนมีผลเสมอกัน ให้ความสนใจในการเดิมพันครั้งนี้มาก

จางหลานเป็นผู้หญิงที่แข็งแกร่งคนหนึ่ง แน่นอนว่าพูดคำไหนคำนั้น ส่วนเย่เทียนเฉินถึงแม้จะมีนิสัยที่มีส่วนของอันธพาลและส่วนที่เป็นดั่งเทพแห่งความตายอยู่แต่ก็เป็นผู้ที่มีคำพูดดังทองนับพัน พูดแล้วไม่คืนคำ

คนทั้งสี่ซึ่งเป็นคนรุ่นใหม่ในสำนักโฮคุชินอิตโตริวที่ถูกเรียกขานว่าสี่ราชานักฆ่าตอนนี้เหลือสามคน สามคนนี้ไม่ใช่คนที่อ่อนแอที่สุด อย่างน้อยในหมู่พวกเขาก็มีตัวตนที่ร้ายกาจกว่าเซนโทอินอยู่ สามคนนี้มั่นใจในตัวเองเป็นอย่างมาก ถึงแม้ซาโต้จะเตือนนานแล้วว่าในครั้งนี้ในหมู่คนที่มาช่วยเหลือทหารหน่วยรบพิเศษ ความสามารถของทุกคนแข็งแกร่งมาก และยังมีผู้แข็งแกร่งที่เขาซาโต้ซึ่งไม่ได้ลงมือมาแล้วยี่สิบปีอาจจะได้ลงมือในครั้งนี้ เพียงแต่สามคนนี้ยังคงยโสโอหังไม่เห็นพวกเย่เทียนเฉินเองอยู่ในสายตา

เมื่อสักครู่นี้ เมื่อมือสังหารทั้งสามคนพุ่งออกมาก็ฟันดาบออกมาคนละครั้ง แข็งแกร่งเป็นอย่างมากคิดว่าต่อให้ไม่สามารถเอาชีวิตเย่เทียนเฉินและจางหลานได้ก็มากเพียงพอที่จะทำให้คนทั้งสองบาดเจ็บสาหัส แบบนั้นไม่ใช่ว่าจะถูกพวกเขาฆ่าตายแล้วเหรอ?

ไหนเลยจะรู้ว่า ราชานักฆ่าทั้งสามคนโจมตีผสานกัน แต่ละคนฟันดาบอันทรงพลังออกมา ถึงแม้จางหลานจะป้องกันตัวไม่ทันเพราะคิดไม่ถึงว่าสามคนที่โผล่ออกมาอย่างกระทันหันจะแข็งแกร่งขนาดนี้ แต่เย่เทียนเฉินกลับพุ่งไปเบื้องหน้าของจางหลานด้วยความรวดเร็ว กางโล่ทองคำซึ่งเป็นหนึ่งในเคล็ดวิชาพลังพิเศษสายทองขวางดาบทั้งสามที่อันตรายถึงชีวิตเอาไว้

เย่เทียนเฉินเองก็อดไม่ได้ที่จะตกใจ โล่ทองคำซึ่งเป็นเคล็ดวิชาพลังพิเศษสายทองของตนนี้แต่ไหนแต่ไรก็ไม่มีคนทำลายได้ ไม่ต้องพูดถึงทำลายเลย แค่สร้างรอยขีดข่วนก็ยังไม่เคยพบ ครั้งนี้ถึงกับถูกมือสังหารชุดดำทั้งสามคนฟันจนแตก ปรากฏร่องรอยออกมาจนเกือบสลายไม่กล่าวไม่ได้ว่ามือสังหารชุดดำทั้งสามคนนี้แข็งแกร่งมากจริงๆ ไม่เหมือนกับมือสังหารคนอื่นๆ

ตอนนี้เองจางหลานได้สติกลับมา เธอไม่ได้ถอยหลังไปแต่เดินหน้าไปหลายก้าว อยู่ในตำแหน่งเคียงบ่าเคียงไหล่กับเย่เทียนเฉิน ดวงตาอันงดงามเจือไปด้วยความโกรธ จับจ้องไปยังมือสังหารทั้งสามที่อยู่เบื้องหน้า เมื่อครู่สามคนนี้เกือบจะเอาชีวิตเธอได้แล้วเธอโกรธเข้าแล้ว

เมื่อเห็นจางหลานมีความกล้าเช่นนี้เย่เทียนเฉินก็อดไม่ได้ที่จะเผยรอยยิ้มสนใจขึ้นที่มุมปาก ผู้หญิงคนนี้ดูถูกไม่ได้เลยจริงๆ ฝีมือแข็งแกร่งมาก เผชิญหน้ากับคนทั้งสามที่แข็งแกร่งเช่นนี้ เธอไม่เพียงแต่จะไม่ถอยแม้แต่ก้าวเดียวแต่ยังเดินหน้าอย่างใจกล้า จะไม่ให้เขานับถือได้อย่างไร

“ชาวจีนอายุน้อยที่แข็งแกร่ง ท่าทางผู้อาวุโสซาโต้จะพูดถูก!” มือสังหารชุดดำที่อยู่ตรงกลางพูดขึ้นอย่างเย็นชา

“คิดไม่ถึงว่าจะมีคู่หูเป็นสาวสวยคนหนึ่งด้วย!” มือสังหารชุดดำอีกคนหนึ่งจ้องไปยังจางหลานด้วยความหลงใหลแล้วพูดขึ้น

“เพียงแต่น่าเสียดายจริงๆ เธอต้องตาย แฟนของแกก็ต้องตาย แต่เธอจะตายช้าสักหน่อยเพราะพวกเราอยากจะเล่นกับสาวงามแบบนี้ตามใจชอบจนกว่าจะตาย น่าเสียดายจริงๆ !” มือสังหารชุดดำคนสุดท้ายจ้องมองไปยังจางหลานด้วยสายตาลุกโชนแล้วพูดขึ้น

ด้วยการแต่งกายของจางหลานมากพอที่จะทำให้ผู้ชายกระอักเลือดและเลือดลมพลุ่งพล่านจริงๆ ด้านบนสวมเสื้อยืดธรรมดาตัวหนึ่งด้านล่างสวมกางเกงยีนส์ตัวจิ๋วขับเน้นบันท้ายอันกลมกลึงทรงเสน่ห์ ที่สำคัญก็คือร่างกายที่ค่อนข้างสูงของเธอรวมกับความสมบูรณ์ ผมเป็นลอนสีทองยิ่งเพิ่มความสดใสอันโดดเด่นจนกระตุกตกใจผู้คน

เพียงแต่เย่เทียนเฉินไม่มีความคิดที่จะชื่นชมก็เท่านั้น เขาไม่ใช่คนที่พอเห็นผู้หญิงสวยก็เดินไม่ถูก เพียงแต่ของสวยงามย่อมเป็นสิ่งที่ทุกคนชอบที่จะชื่นชม ผู้หญิงสวยมีไว้ดู แน่นอนว่าถ้าคุณมีความสามารถคุณก็แย่งชิงมาได้ คุณจะต้องมีเสน่ห์แบบนั้นเพื่อพิชิตใจสาวงามถึงจะถูก

“อะไรนะ? แฟน?”

“เธอไม่ใช่แฟนของฉัน!”

เย่เทียนเฉินและจางหลานทั้งสองได้ยินคำพูดสุดท้ายของมือสังหารชุดดำก็ตะโกนออกมาจนแทบจะพร้อมกัน รู้สึกหดหู่นิดหน่อย มือสังหารชุดดำทั้งสามคนนี้จะแปลกเกินไปหรือเปล่า? ถึงกับคิดว่าเย่เทียนเฉินและจางหลานเป็นแฟนกันและมาช่วยคนที่หุบเขาหมอกทมิฬด้วยกัน

“พวกแกไม่มีตาหรือไง แยกไม่ออกเหรอ? คนอ่อนแอแบบเจ้านี่ ฉันจะเห็นอยู่ในสายตาหรือไง? ชั่วชีวิตนี้เป็นไปไม่ได้เด็ดขาด!”จางหลานมองไปยังเย่เทียนเฉินแล้วพูดอย่างไม่พอใจ

“เธอคิดว่าฉันจะชอบเธอรึไงใจ ยัยคนแปลก!” เย่เทียนเฉินพูดออกมาอย่างไม่ยอมแพ้

“นายสิแปลก? ถ้านายกล้าพูดอีกครั้งฉันจะไม่เกรงใจแล้ว!”จางหลานพูดกับเย่เทียนเฉินแล้วพองแก้มอย่างโกรธแค้น

“ช่างเถอะ ผู้ชายไม่ทะเลาะกับผู้หญิง พูดยังไงก็ไม่ชนะหรอก นี่ไม่ใช่เรื่องถูก!” เย่เทียนเฉินยักไหล่พูดอย่างไม่ใส่ใจ

ราชานักฆ่าทั้งสามตกตะลึงอยู่กับที่โดยสิ้นเชิง ในตอนที่ได้สติกลับมาตั้งขมวดคิ้วโดยไม่ได้นัดหมาย แต่ไหนแต่ไรไม่มีใครกล้ามีอารมณ์ไปทะเลาะเลาะกันแบบนี้ภายใต้การโจมตีของพวกเขามาก่อน ยิ่งไปกว่านั้นดูแล้วนี่ไม่ใช่การทะเลาะกันแต่เป็นการทะเลาะกันของคู่รักต่างหาก นี่เป็นการไม่เห็นพวกเขาสามคนอยู่ในสายตาโดยสิ้นเชิง

“ให้ฉันฆ่าชายหญิงประหลาดคู่นี้เอง!” มือสังหารชุดดำที่อยู่ตรงกลางพูดอย่างโกรธแค้น

ฉัวะๆๆ!

เงาร่างทั้งสามพุ่งเข้าไปหาเย่เทียนเฉินและจางหลานด้วยกัน จางหลานไม่ใช่ผู้หญิงสวยที่เป็นแค่ไม้ประดับ เมื่อครู่เธอเกือบจะถูกโจมตีจนบาดเจ็บอยู่แล้ว แล้วยังต้องให้เย่เทียนเฉินมาช่วยอีก ทำให้จิตใจอันเคารพตนเองของเธอไม่สบายอย่างมาก ครั้งนี้เธอลงมือพุ่งออกไปเช่นกัน ต่อให้ต้องประเชิญหน้ากับราชานักฆ่าที่แข็งแกร่งทั้งสามคนเธอก็ไม่ถอยแม้เพียงครึ่งก้าว มีดในมือขวากำแน่น พุ่งออกไปเช่นเดียวกัน

เย่เทียนเฉินย่อมรู้ดีว่าจางหลานเพียงคนเดียวไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเจ้าสามคนนั่นจึงเตรียมตัวลงมือ ไหนเลยจะรู้ว่าในตอนที่เขาเตรียมจะลงมือนั้นจะมีคนอีกสองคนพุ่งออกมา แยกกันไปรับมือราชามือสังหารสองคนในนั้น

“นายไปช่วยคนเถอะ เกรงว่าพวกเราจะทำภารกิจไม่สำเร็จ!”

“พวกเราเชื่อใจนาย!”

ตอนนี้เองคนทั้งสองที่พุ่งออกมาก็คือชางหลางและหลัวเหว่ยเคอ พวกเขาไปหาแล้วแต่ไม่พบเบาะแสของทหารหน่วยรบพิเศษที่เหลือและหานเจี๋ยเลย ดังนั้นมีเพียงอาศัยเย่เทียนเฉินเท่านั้น เย่เทียนเฉินเป็นผู้มีพลังพิเศษ พลังพิเศษแห่งการรับรู้ของเขายอดเยี่ยมกว่าความตื่นตัวของยอดฝีมืออื่นๆ ท่าทางศัตรูมีการคาดเดามาแล้วจึงซ่อนทหารหน่วยรบพิเศษที่เหลือและหานเจี๋ยเอาไว้

“หึ เจอกับพวกเราสามราชานักฆ่าไม่เคยมีใครรอดชีวิตไปได้!”

“พวกแกต้องตายทั้งหมด!”

“หากเอาพวกเราไปเทียบกับเซนโทอินนั่น พวกแกก็ผิดมหันต์แล้ว ต้องตายอย่างอนาถแน่นอน!”

เย่เทียนเฉินพบว่าความสามารถของสามคนนี้ไม่ได้แข็งแกร่งธรรมดาเลยจริงๆ ต้องกล่าวมือสังหารชุดดำที่สู้กับเขาและจางหลานในตอนแรกไม่อ่อนแอเลย แต่ความสามารถของสามคนนี้เหนือกว่ามือสังหารชุดดำเหล่านั้นมากไม่ใช่ความแตกต่างเล็กๆ น้อยๆ

“ดี หยุดพวกเขาไว้ผมจะรีบสู้รีบจบ!” เย่เทียนเฉินพยักหน้าแล้วพูดขึ้น

“นี่ เจ้าบ้า เจ้าคนไม่รู้จักกฎเกณฑ์ จะเกินไปแล้ว…” จางหลานก่นด่าครั้งใหญ่ เธอถูกราชานักฆ่าคนหนึ่งขวางเอาไว้ เท่ากับไม่มีทางแยกตัวไปช่วยเหลือหานเจี๋ย นี่ไม่ใช่ว่าถูกเย่เทียนเฉินแย่งชิงโอกาสล่วงหน้าไปก่อนหรอ?

“ยายคนแปลกค่อยๆ เล่นไปนะ ฉันชนะแน่อยู่แล้ว จำไว้ด้วยว่าตอนจูบฉันต้องแปรงฟันด้วยล่ะ!” เย่เทียนเฉินพูดหยอกล้อด้วยรอยยิ้มชั่วร้าย

“นายสิแปลก บ้านนายสิแปลกทั้งบ้าน…” จางหลานยู่ปากอย่างดุดันเกิดความรู้สึกต้องการกัดเย่เทียนเฉินสักครั้ง

ฟิ้ว!

เย่เทียนเฉินไม่ได้หยุดเลย หัวเราะก้องไปทั่ว ตอนเขามีเรื่องจะกลายเป็นเทพสังหารที่มีชีวิตคนหนึ่ง โหดเหี้ยมอย่างหาใดเปรียบ ทำให้มีความรู้สึกไม่กล้าเข้าใกล้ บางทีคงเป็นเสน่ห์ที่ดึงดูดผู้หญิงจำนวนมากของเขา

จางหลาน ชางหลาง และหลัวเหว่ยเคอสู้กับราชานักฆ่าของสำนักโฮคุชินอิตโตริว การต่อสู้ครั้งใหญ่ใกล้จะเริ่มขึ้นแล้ว ความสามารถขออีกฝ่ายแข็งแกร่งมาก รวมกับที่เพลงดาบอันแปลกประหลาดของสามราชานักฆ่านี้ จางหลานทั้งสามยังสู้คนอื่นไม่ได้ชั่วขณะ หากหากคิดจะเอาชนะในเวลาสั้นๆ เป็นเรื่องไม่ได้แน่นอน โดยเฉพาะอย่างยิ่งจางหลานที่เห็นเย่เทียนเฉินล่วงหน้าไปเอาชัยชนะก่อนทำได้เพียงมองโกรธจนกัดฟันแน่นยู่ปากออกมา ริมฝีปากล่างเผยอเล็กน้อย ดูน่ารักซุกซรมาก ก่นด่าเย่เทียนเฉินในใจอย่างดุดัน

เย่เทียนเฉินพุ่งเข้าไปในหุบเขาหมอกทมิฬ ระหว่างทางเขาใช้พลังพิเศษแห่งการรับรู้ออกไปตลอดเพื่อตามหา แต่กลับสัมผัสถึงเบาะแสใดๆ ของทหารหน่วยรบพิเศษและหานเจี๋ยที่หายไปไม่ได้เลย ในใจรู้สึกสงสัยและสั่นสะท้านเป็นอย่างมาก สามารถหลบผลจากการตรวจสอบของพลังพิเศษพลังแห่งการรับรู้ไปได้ ผู้อาวุโสสำนักโฮคุชินอิตโตริวคนนี้แข็งแกร่งจนถึงขั้นไม่อาจคาดเดาได้จริงๆ

“ตาแก่อยากจะเล่นฉันก็จะเล่นเป็นเพื่อนแล้วกัน!”

คำพูดของเย่เทียนเฉินเพิ่งจะกล่าวออกมามือขวาของเขาก็ปรากฏสายฟ้ากลุ่มหนึ่งขึ้น เพียงพริบตาเดียวก็หมุนวนล้อมรอบเต็นท์ทั้งหมด เพียงพริบตาเดียวเต็นท์ทั้งหมดถูกสายฟ้าโจมตีจนเกิดลุกไหม้ขึ้นมา เกิดไฟไหม้อย่างรุนแรง เย่เทียนเฉินกลับยืนอยู่ตรงกลางสัมผัสการเคลื่อนไหวรอบรอบทั้งหมดอย่างละเอียด

ตู้ม!

เสียงหนึ่งดังสนั่นเหมือนกับของอะไรบางอย่างโผล่ขึ้นมาจากดิน เย่เทียนเฉินขมวดคิ้ว เขายังไม่ได้ลงมือ ถ้าหากอิงตามความคุ้นชินของเขา ในตอนที่ซาโต้เช่นนี้อยู่กลางอากาศจะต้องใช้การโจมตีที่รุนแรงที่สุดออกมาแน่ เนื่องจากนี่เป็นโอกาสหนึ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเผชิญหน้ากับศัตรูที่แข็งแกร่ง การอ่อนข้อจะเป็นกันนำพาความยุ่งยากมาให้เขาและเป็นการเพิ่มอัตราความอันตรายถึงขั้นเป็นตายมาให้

อย่างไรก็ตามครั้งนี้เย่เทียนเฉินไม่ได้ขยับ เนื่องจากในมือของชายชราคนนั้นยังมีตัวประกันอยู่ นั่นก็คือหานเจี๋ย หานเจี๋ยถูกมือซ้ายของซาโต้บีบคอเอาไว้ คอของเธอมีมีดจ่ออยู่เล่มหนึ่ง ขอเพียงขยับเบาๆ ก็จะสิ้นลมหายใจ

เย่เทียนเฉินมองไปที่ซาโต้ ซาโต้ก็มองเย่เทียนเฉิน ทั้งสองไม่ได้พูดอะไร ทำเพียงจ้องมองอีกฝ่ายอย่างเย็นชาเท่านั้น การดวลกันระหว่างยอดฝีมือ ใครลงมือก่อนก็จะเป็นการตัดสินแพ้ชนะที่สำคัญแล้ว ที่สุดครั้งนี้ทั้งสองต่างเป็นคนที่แข็งแกร่งอย่างมาก ไม่ว่าใครหากกล้าเข้าใกล้ง่ายๆ จะต้องพบกับการโจมตีถึงชีวิตแน่นอน

“เทียนเฉิน อย่าเข้ามา รีบไป รีบไป…” หานเจี๋ยเห็นเย่เทียนเฉิน เธอคิดไม่ถึงว่าเย่เทียนเฉินจะมาช่วยตนด้วยจึงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกซาบซึ้ง ในขณะเดียวกันก็ตะโกนออกมาอย่างเป็นกังวล เนื่องจากเธอรู้ว่าซาโต้แข็งแกร่งขนาดไหนแข็งแกร่งจนถึงขั้นไม่อาจหยั่ง เธอไม่อยากให้เย่เทียนเฉินสิ้นชีพ…

จางหลานเป็นญาติผู้น้องของหานเจี๋ยและเคยเป็นหัวหน้าหน่วยสวาทหญิงมาก่อน มีหน้าตาสวยงาม เย่เทียนเฉินเคยพบมาก่อนแล้ว ต้องการรูปร่างก็มี ต้องการหน้าตาสวยงามก็มี ฝีมือก็ไม่จำเป็นต้องพูดแล้วร้ายกาจเป็นอย่างมาก สามารถประมือกับเย่เทียนเฉินที่ตอนนี้อยู่ในขอบเขตพลังระดับจอมราชันขั้นสูงได้ ผู้หญิงแปลที่หน้าตาดีคนนี้ทำให้เย่เทียนเฉินต้องเปลี่ยนมุมมอง

การเดิมพันของทั้งสอง ในตอนแรกที่เย่เทียนเฉินพุ่งเข้าไปในหุบเขาหมอกทมิฬเริ่มมีผลแล้ว ถ้าหากจางหลานช่วยหานเจี๋ยออกมาได้ก่อน ถ้าอย่างนั้นเย่เทียนเฉินก็ต้องยกน้ำชาเสิร์ฟน้ำให้เธอไปสามเดือน แต่ถ้าหากเย่เทียนเฉินหาตัวหานเจี๋ยได้ก่อน ถ้าอย่างนั้นก็ต้องมอบจูบแรกของตนให้กับเขานี่ไม่ใช่เรื่องล้อเล่น แต่ทั้งสองคนจริงจังเป็นอย่างมาก

ซาโต้เป็นคนระดับผู้อาวุโสของสำนักโฮคุชินอิตโตริว ในสำนักของพวกเขานับว่าเป็นยอดฝีมืออันดับสิบ ความสามารถแข็งแกร่งมาก เมื่อลงมือจะต้องมีพลังอำนาจที่ยากจะขัดขวางได้แน่นอน ครั้งนี้เขามาคุมด้วยตัวเองและยังพานักฆ่าทั้งสี่คนซึ่งรวมไปถึงเซนโทอินมาด้วย ต่างเป็นคนที่แข็งแกร่งเป็นอย่างมากในสำนักโฮคุชินอิตโตริวซึ่งอยู่ในยี่สิบอันดับแรก

สี่ราชานักฆ่า นี่เป็นชื่อที่ตั้งกันภายในสำนักโฮคุชินอิตโตริว สี่คนนี้เป็นยอดฝีมือสี่คนที่อยู่ในกลุ่มวัยรุ่นของสำนักโฮคุชินอิตโตริว ถ้าหากต้องการเทียบความสามารถกับคนอื่นจริงๆ ก็สามารถเทียบได้กับเซนโทอิน กระทั่งแข็งแกร่งกว่าคาเอดะอิจิโร่ไม่น้อย

ในตอนนี้สี่ราชานักฆ่าที่เหลืออีกสามคนได้ยินคำพูดของซาโต้ก็รู้สึกตื่นตกใจ ด้วยความสามารถของพวกเขา ดูเหมือนว่าจะไม่มีคู่ต่อสู้ที่สู้ไม่ได้ ด้วยความสามารถของผู้อาวุโสซาโต้ บนโลกใบนี้จะหาคนที่สู้กับเขาได้นั้นก็ดูเหมือนว่าจะไม่มีเลย คนที่สามารถทำให้ผู้อาวุโสซาโต้ชื่นชมและให้ความสำคัญได้มีน้อยยิ่งกว่าน้อย

แต่นี้ก็สามารถพิสูจน์ความแข็งแกร่งของซาโต้ได้ ในตอนที่เย่เทียนเฉินเข้ามาในหุบเขาหมอกทมิฬและได้กางพลังพิเศษแห่งการรับรู้และพลังเขตแดนปิดกั้นนั้น ซาโต้ก็สามารถสัมผัสได้ถึงการมาเยือนของเย่เทียนเฉินแล้ว และอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว พลังลมปราณอันแข็งแกร่งที่ทำให้ผู้คนสั่นสะท้านที่เย่เทียนเฉินสัมผัสได้นั้นก็คือความผันผวนของพลังในร่างกายของซาโต้กระทั่งยังมีส่วนที่เก็บซ่อนเอาไว้ด้วย

“ผู้อาวุโส ผู้มาเยือนแข็งแกร่งขนาดนั้นจริงๆ เหรอครับ?” มือสังหารที่ยืนอยู่ตรงกลางถามขึ้นด้วยความไม่เชื่อแหละไม่ยอมรับ

ซาโต้มองไปยังราชานักฆ่าทั้งสามคนที่เหลือ จากนั้นจึงลืมตาขึ้นแล้วพูดอย่างจริงจังว่า “เซนโทอินตายไปแล้ว ครั้งนี้สมาชิกช่วยเหลือที่ประเทศจีนส่งมาไม่ใช่ทหารหน่วยรบพิเศษธรรมดา แข็งแกร่งเป็นอย่างมาก บางทีพวกเราจะต้องลงมือ!”

“ผู้อาวุโสซาโต้คุณวางใจเถอะครับ พวกเราจะไม่ให้คุณมีโอกาสลงมือแน่!” มือสังหารชุดดำอีกคนนึงพูดอย่างมั่นใจในตัวเอง

“ครั้งนี้ ในเมื่อให้พวกเราสี่ราชานักฆ่าลงมือแล้ว ถ้ายังงั้นก็ต้องฆ่าทหารหน่วยรบพิเศษที่ชายแดนป่าหมอกดำให้หมด โจมตีประเทศจีนอย่างสาหัสที่สุด ให้พวกมันรู้ว่าถึงความร้ายกาจของสำนักโฮคุชินอิตโตริวของพวกเรา” มือสังหารอีกคนที่เหลือพูดอย่างโอหัง

“ผู้อาวุโสครับ เซนโทอินตายแล้ว?” มือสังหารชุดดำที่ยืนอยู่ตรงกลางผู้นั้น ถึงแม้จะยโสโอหังเช่นเดียวกัน แต่ก็น้อยกว่าและก็ใจเย็นกว่ามือสังหารอีกสองคนที่เหลือ เมื่อได้ยินว่าเซนโทอินตายไปแล้วเขาก็รู้สึกแปลกใจมาก

เซนโทอิน แม้จะไม่นับว่าเป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุดในหมู่ราชานักฆ่าทั้งสี่คนอย่างพวกเขา แต่ก็ไม่ใช่คนที่อ่อนแอที่สุด นับว่าเป็นยอดฝีมืออายุน้อยอันดับต้นๆ ในสำนักโฮคุชินอิตโตริว เขาถูกส่งออกไปดึงดูดความสนใจ

เมื่อทหารหน่วยรบพิเศษที่ชายแดนลงมือ ถือโอกาสนี้สังหารทหารหน่วยรบพิเศษมากยิ่งขึ้น มอบการโจมตีอันสาหัสที่สุดให้กับประเทศจีน

ไหนเลยจะรู้ว่า ครั้งนี้เซนโทอินจะพบเข้ากับหลีหวังซึ่งเป็นคนที่มีความสามารถในขอบเขตนักรบอาวุโส เคยเป็นขุนพลทัพฟ้าชั้นกลางมาก่อน เมื่อต่อสู้กันทั้งสองจึงมีจุดจบที่ไม่อาจย้อนคืน ที่ทำให้เซนโทอินตกใจมากที่สุดก็คือ ในหลายปีมานี้ความสามารถของกองทัพจีนและพรรควรยุทธโบราณไม่ได้อ่อนแอลงแม้แต่น้อย กลับแข็งแกร่งด้วยซ้ำ ท่าทางประเทศชิบะคิดจะรุกรานประเทศจีนไ ม่เพียงแต่จะมีโอกาสริบหรี่ แต่ยังอาจจะถูกทำลายเองก็เป็นได้

“ตายแล้ว ฉันสัมผัสได้ว่าลมหายใจชีวิตของเขาตายไปแล้ว ในครั้งนี้คนที่ถูกส่งมาช่วยเหลือแข็งแกร่งมาก พวกแกอย่าได้ลำพองใจไป ฆ่าทหารหน่วยรบพิเศษคนอื่นซะ พวกเขามีความภูมิใจ คงไม่พูดออกมาแม้แต่ครึ่งคำ เหลือผู้หญิงคนนั้นเอาไว้เป็นแต้มต่อก็พอ!” ซาโตพยักหน้าแล้วพูดขึ้น

“ไฮ่!”

ราชานักฆ่าทั้งสามคนที่เหลือแห่งสำนักโฮคุชินอิตโตริวต่างเดินออกมาจากเต็นท์ของซาโต้ ถึงแม้ซาโต้จะกำชับครั้งแล้วครั้งเล่าแต่พวกเขาก็ไม่เชื่อโดยเด็ดขาด บนโลกใบนี้จะมีคนที่แข็งแกร่งยิ่งกว่าซาโต้อยู่ด้วยหรือ ต้องทราบว่าซาโต้ไม่ได้ลงมือมาเกือบยี่สิบปีแล้ว ไม่ใช่ว่าไม่มีโอกาสลงมือแต่ไม่จำเป็นต้องลงมือ กล่าวให้ชัดเจนก็คือไม่ได้พบกับศัตรูที่ควรค่าแก่การต่อสู้เลยจึงมอบหมายให้พวกเขาจัดการก็พอแล้ว

ฟิ้ว!

ตู้ม!

พลั่ก!

ความเร็วของจางหลานก็ไม่ช้า ดูเหมือนจะไล่ตามเย่เทียนเฉินได้ทันในเวลาไม่นาน ในมือขวามีมีดเล่มหนึ่งโผล่ออกมา เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วอย่างมากและลงมืออย่างดุดัน ใช้หนึ่งกระบวนท่าฆ่าหนึ่งคนเช่นเดียวกัน

“ฉันฆ่าไปเจ็ดคนแล้วเธอล่ะ?” เย่เทียนเฉินจงใจถามอย่างท้าทาย

“หกคน!” ในตอนที่จางหลานพูดคำนี้ก็ทำหน้าทะเล้นใส่เย่เทียนเฉิน จากนั้นจึงพุ่งเข้าไปยังมือสังหารชุดดำอีกคนหนึ่ง

เย่เทียนเฉินแย้มยิ้มเล็กน้อย ภายใต้สถานการณ์การต่อสู้อันดุเดือดนี้ยังสามารถคุยเล่นกับสาวงามได้อีก ช่างเป็นความสุขที่ไม่เลวเลยจริงๆ ส่วนจางหลานก็เป็นผู้หญิงที่แปลกมากจริงๆ ในเวลาแบบนี้กลับยังมีอารมณ์มาทำหน้าทะเล้นใส่เย่เทียนเฉินด้วยดูซุกซนและน่ารักมาก

ตลอดทางเย่เทียนเฉินและจางหลานดูเหมือนจะฆ่าเปิดทางเข้าไปในหุบเขาหมอกทมิฬ เดินไปตามทางที่มีมือสังหารชุดดำพวกนั้นโผล่ออกมาขวางเอาไว้ ไม่ใช่เพราะฝีมือของพวกเขาไม่แข็งแกร่ง แต่เป็นเพราะไม่ว่าใครก็คิดไม่ถึงว่าจะเจอกับคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งขนาดนั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้หญิงแปลกๆ ที่สวมเสื้อผ้าแบบคนเมืองแต่สวมรองเท้าบู๊ทแบบสูงคนนั้น เป็นผู้หญิงที่เป็นเหมือนมัจจุราชคนหนึ่ง แข็งแกร่งมาก

ในช่วงเวลาขณะนั้นเอง เบื้องหน้าของเย่เทียนเฉินและจางหลานเหลือมือสังหารชุดดำอยู่คนหนึ่ง มือสังหารชุดดำคนนั้นตกใจจนขาอ่อนแล้ว

จะอย่างไรเขาก็คิดไม่ถึงว่ายอดฝีมืออย่างพวกเขาจะถึงกับถูกคนฆ่าเหมือนหมูเหมือนหมา เมื่ออยู่ต่อหน้าเย่เทียนเฉินและจางหลานจึงไม่มีแรงแม้แต่จะตอบโต้เลยแม้แต่น้อย คนหนึ่งเป็นผู้หญิงแปลกๆ ที่สวมรองเท้าบู๊ท อีกคนเป็นผู้ชายแปลกๆ ที่ยิ้มอยู่ตลอดเวลาแม้ในยามฆ่าคน นี่เป็นเรื่องผิดปกติในเส้นทางทั้งเบื้องหน้าเบื้องหลัง ไม่มีใครขวางได้

“พวกแกพวกแกทำให้ผู้อาวุโสซาโต้โกรธแล้วพวกแกต้องตายทุกคน…” มือสังหารชุดดำคนที่เหลือเอ่ยปากพูดอย่างดุดัน

“ถ้าหากฉันฆ่าเขาฉันก็จะฆ่าไปแปดคน เธอเพิ่งจะฆ่าไปหกคน ถ้าเธอฆ่าเขาถ้าอย่างนั้นพวกเราก็เสมอกันเจ็ดต่อเจ็ด…” เย่เทียนเฉินมองไปยังจางหลานแล้วพูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม

ฉึก! มีดในมือขวาของจางหลานพุ่งออกไป และสิ่งที่ทำให้ผู้คนคิดไม่ถึงก็คือถึงกับพุ่งไปทางเย่เทียนเฉิน จนกระทั่งเย่เทียนเฉินหลบมีดเล่มนั้นจางหลานก็พุ่งไปยังมือสังหารที่เหลืออยู่แล้วต่อยออกไป

“หวา พอผู้หญิงบ้าขึ้นมาโหดเหี้ยมมากจริงๆ กล้ากระทั่งขายพี่ชายสุดหล่อตามใจชอบ!” เย่เทียนเฉินจับมีดที่พุ่งเข้ามาของจางหลานแล้วพูดออกมายังจนใจเล็กน้อย

“นายหล่องั้นเหรอ? ไม่เห็นรู้เลย…แหวะ!”

เย่เทียนเฉินได้เห็นฝีมือของจางหลานตลอดทางมาแล้ว ร้ายกาจและแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก เพียงเวลาแค่ชั่วพริบตาเธอก็กำจัดมือสังหารชุดดำคนสุดท้ายที่เหลืออยู่ เตะขาอันสวยงามของเธอจนมันกระเด็นออกไปตกกระแทกลงบนก้อนหินใหญ่อย่างรุนแรง หัวแตกเลือดไหลจนตาย

ถ้าหากจางหลานไม่ลงมือ หากไม่ใช่ว่าหานเจี๋ยเคยพูดถึงจางหลานให้เย่เทียนเฉินฟังมาก่อนแล้ว เกรงว่าหากต้องเผชิญหน้ากับสาวสวยแปลกๆ ที่ร้ายกาจขนาดนี้ เย่เทียนเฉินของจะต้องตกใจขนาดใหญ่เป็นแน่ แต่เมื่อเป็นเช่นนี้เขาก็รู้สึกนับถือผู้หญิงคนนี้จริงๆ

“เจ็ดต่อเจ็ด พวกเราเสมอกัน นายเอาชนะฉันไม่ได้!” จางหลานทำหน้าทะเล้นใส่เย่เทียนเฉินอย่างซุกซน ห่อปากอันเซ็กซี่ตามมาตรฐานของเธอ แลบลิ้นออกมาจากปากเล็กๆ ดูท่าทางน่ารัก

“ยังไม่ถึงสุดท้ายเธอก็เริ่มโอหังซะแล้ว ระวังจูบแรกของเธอจะหายไปล่ะ!” เย่เทียนเฉินพูดจาหยอกล้อแล้วหัวเราะออกมา

“ไม่ต้องมายุ่ง เจ้าบ้ารอดูเถอะ!” ร้องหลานใช้ดวงตาอันงดงามกรอกตาใส่เย่เทียนเฉินเราพูดขึ้น

ฉัวะๆๆ!

เย่เทียนเฉินและจางหลานค่อนข้างเข้ากันได้ คนหนึ่งเป็นสาวงามแปลกๆ อีกคนเป็นผู้ชายเหลาะแหละที่มีทั้งด้านที่เป็นมัจจุราชและด้านที่เป็นอันธพาล เมื่อสองคนนี้รวมกลุ่มเข้าด้วยกันก็กลายเป็นกลุ่มคนแปลก สามารถกล่าวได้ว่าเป็นคู่ที่โรแมนติกและอบอุ่นมาก

เพียงแต่ว่าหลังจากที่จางหลานฆ่ามือสังหารชุดดำคนสุดท้ายนั้นแล้วก็มีมือสังหารชุดดำอีกสามคนพุ่งโผล่ออกมาจากพุ่มไม้ด้านหน้า มือสังหารทั้งสามคนนี้ปรากฎตัวออกมาก็ไม่พูดทำทำเพลง สะบัดดาบออกไปยังจางหลานและเย่เทียนเฉิน

ปรานดาบสามสายที่ใหญ่โตและแฝงไปด้วยพลังอำนาจที่ทำลายอากาศได้ตัดผ่านทุกอย่างพุ่งไปยังจางหลานและเย่เทียนเฉิน เมื่อต้องเจอกับเหตุการณ์ที่กะทันหันแบบนี้อีกทั้งยังมีเงาดาบสามสายที่ใหญ่โตและทรงอำนาจขนาดนี้ จางหลานรู้สึกทำอะไรไม่ถูกอยู่บ้าง จนกระทั่งเธอได้สติกลับมา ปราณดาบก็ฟันตรงลงมาที่ศีรษะของเธอแล้ว

“กรี๊ด…” ต่อให้จางหลานจะแข็งแกร่งขนาดไหนก็เป็นแค่ผู้หญิงคนหนึ่ง เมื่ออยู่ภายใต้สถานการณ์อันตรายเช่นนี้ยังคงอดไม่ได้ที่จะกรีดร้องออกมา

ฉัวะๆๆ!

ปรานดาบทั้งสามสลายไปทั้งหมด โจมตีถูกโล่ทองคำ ในช่วงเวลาสำคัญเย่เทียนเฉินพุ่งไปด้านหน้าจางหลานแล้วใช้ “โล่ทองคำ” ซึ่งเป็นเคล็ดวิชาพลังพิเศษสายทองคำออกมาขวางดาบทั้งสามที่ทรงอำนาจเอาไว้

เย่เทียนเฉินหยุดดาบทั้งสามที่มีพลังแข็งแกร่งนี้เอาไว้และอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว เนื่องจากโล่ทองคำที่เขากลางออกมาปรากฏรอยอยู่ สามรอย มือสองหาชุดดำทั้งสามคนที่อยู่เบื้องหน้าไม่ได้แข็งแกร่งธรรมดาเลยจริงๆ เป็นครั้งแรกที่มีคนสามารถทำลายโล่ทองคำของเย่เทียนเฉินได้

อย่างไรก็ตามมือสังหารชุดดำทั้งสามคนนี้กลับถูกทำให้ตื่นตะลึงจนนิ่งอึ้งไปมากกว่า พวกเขาสามคนเป็นสามราชานักฆ่าแห่งสำนักโฮคุชินอิตโตริว ได้รับฉายาว่าเป็นราชานักฆ่าได้ เห็นได้ชัดว่ามีความสามารถอย่างไร ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการที่สามคนนี้ลงมือพร้อมกันเลยขนาด แค่ใครคนใดคนหนึ่งลงมือก็ไม่ใช่อะไรที่คนธรรมดาจะขวางไว้ได้แล้ว ต่อให้ศัตรูเป็นยอดฝีมือก็ไม่สามารถขวางกั้นโจมตีผสานของคนทั้งสามได้ เพียงแต่ชายชาวจีนอายุน้อยเบื้องหน้าคนนี้ทำให้พวกเขาสั่นสะท้านอย่างอยากจะเชื่อ มิน่าล่ะผู้อาวุโสซาโต้ถึงบอกว่าในหมู่ยอดฝีมือที่มาช่วยคนครั้งนี้มีผู้แข็งแกร่งที่กระทั่งเขาก็อาจจะต้องลงมืออยู่

เมื่อได้ยินคำพูดของเย่เทียนเฉิน สาวงามผู้แปลกประหลาดที่เดิมทีเดินไปข้างหน้าด้วยความรวดเร็วโดยไม่สนใจอันธพาลเบื้องหน้าคนนี้เลยแม้แต่น้อย ถึงแม้จะเป็นคนที่มีฝีมือไม่เลวและหน้าตาดีแต่ก็ไม่สามารถทำให้ความกระตือรือร้นในใจของสาวงามผู้แปลกประหลาดนี้สงบลงได้ เธอต้องการไปช่วยญาติผู้พี่ของตนออกมาให้เร็ว

เพียงแต่เมื่อได้ยินเย่เทียนเฉินตะโกนเรียกชื่อตนเองออกมา สาวงามผู้แปลกประหลาดก็อดไม่ได้ที่จะหยุดฝีเท้าลง หมุนตัวไปมองเย่เทียนเฉินด้วยความแปลกใจเล็กน้อย ยิ่งไปกว่านั้นมุมปากอันเซ็กซี่ยังยกขึ้นเล็กน้อย ประดับไปด้วยรอยยิ้มทรงเสน่ห์และความน่ารัก

“เธอกำลังคิดว่าฉันรู้ชื่อของเธอได้ยังไงใช่ไหม?” เย่เทียนเฉินถามด้วยรอยยิ้ม

“ฉันไม่อยากรู้หรอก สถานที่แห่งนี้นายยังกล้ามาล้อเล่นอีก เดี๋ยวจะตายเอาได้!” สาวงามผู้แปลกประหลาดทำหน้าทะเล้นใส่เย่เทียนเฉินแล้วพูดขึ้น

“งั้นเหรอ? เธออยากจะช่วยหานเจี๋ยที่เป็นญาติผู้พี่ของเธอ ถ้าหากไม่ร่วมมือกับฉันเกรงว่าจะทำไม่ได้!” เย่เทียนเฉินยักไหล่พูด

“ดูท่าทางความสัมพันธ์ระหว่างนายกับญาติผู้พี่ของฉันจะไม่เลวเลย นายควรจะเป็นเย่เทียนเฉินที่เธอชอบพวกถึงต่อหน้าฉันบ่อยๆ ละมั้ง?” สาวงามผู้แปลกประหลาดมองเย่เทียนเฉินแล้วพูดขึ้น

“จนปัญญาจริงๆ นี่เป็นสาเหตุของเสน่ห์ส่วนบุคคล จางหลาน ฉันเองก็ต้องการช่วยหานเจี๋ยมาก ดังนั้นฉันหวังว่าจะสามารถร่วมมือกันได้!” เย่เทียนเฉินพูดด้วยรอยยิ้ม

สาวงามผู้แปลกประหลาดคนนี้ชื่อว่าจางหลาน เป็นญาติผู้น้องของหานเจี๋ย เมื่อพูดถึงตรงนี้ก็ไม่อาจไม่พูดว่า ความทรงจำของเย่เทียนเฉินดีมาก บางทีอาจจะเรียกได้ว่าความทรงจำสำหรับสาวงามและคำพูดของสาวงามจะดีมากเป็นพิเศษ เขาเคยได้ยินหานเจี๋ยพูดขึ้นโดยบังเอิญครั้งหนึ่ง บอกว่าเธอมีญาติผู้น้องอยู่คนหนึ่งชื่อว่าจางหลาน เคยเป็นหัวหน้าหน่วยสวาทหญิง ดูถูกไม่ได้เลยจริงๆ ไม่เพียงแต่จะหน้าตาน่ารักงดงามแต่ยังมีความเป็นวีรสตรีอยู่ด้วย หลายครั้งที่ต้องพบกับความไม่ยุติธรรมและจัดการคนเลวไปไม่น้อย

จินตนาการได้เลยว่า สาวงามอายุยี่สิบปีคนหนึ่งสามารถเป็นหน่วยสวาทได้ อีกทั้งยังกลายเป็นหัวหน้าหน่วยสวาทหญิงอีกด้วย สำหรับทั่วทั้งประเทศจีนแล้วเกรงว่านี่จะเป็นครั้งแรก แต่จางหลานไม่เพียงแต่หน้าตางดงาม แต่ยังมีฝีมือและความสามารถแบบนี้อีกด้วย ไม่ใช่แค่ผู้หญิงประเภทไม้ประดับพวกนั้น ทำให้ผู้คนรู้สึกนับถือยิ่งขึ้น

เย่เทียนเฉินตั้งชื่อให้จางหลานในใจว่า “สาวแปลก” ความจริงชื่อนี้ไม่ได้ตั้งผิด ด้วยนิสัยของจางหลานที่ชอบพูดจาสุ่มสี่สุ่มห้าและเป็นผู้หญิงที่ไม่เลวคนหนึ่ง มีหน้าตาสวยงามแต่กลับไม่ใช่พวกดอกไม้ประดับงดงามที่ทำอะไรไม่เป็น มีความเด็ดเดี่ยวมาก ถ้าใช้คำพูดของเธอมาพูดนั่นก็คือผู้หญิงควรจะมีงานเป็นของตัวเอง อาศัยอะไรถึงไปพึ่งพาผู้ชายทั้งหมด? ตนเองทำให้ตนเอง ตนเองยืนหยัดเพื่อตนเอง แข็งแกร่งให้ได้ถึงจะเป็นการดีที่สุด

เมื่อปีนั้นสิ่งที่ทำให้หานเจี๋ยคิดไม่ถึงมากที่สุดก็คือ จางหลานญาติผู้น้องซึ่งมีฐานะเป็นหัวหน้าหน่วยสวาทหญิง มีอนาคตส่องสว่าง เป็นไปได้มากว่าจะสามารถเข้าร่วมการจัดการกองทัพได้นั้น จะเลือกลาออกไม่ทำแล้วและไม่สนใจเสียงคัดค้านของคนในครอบครัว ไม่สนใจการฉุดรั้งของหัวหน้าระดับสูง ลาออกจากหน่วยสวาทและกลับไปที่เมืองหลวงแล้วไปทำงานในบริษัทที่ทำเกี่ยวกับผ้าเช็ดหน้าฆ่าเชื้อ

หลายปีมานี้ถึงแม้จางหลานจะเป็นผู้หญิงทำงานที่ไปทำงานธรรมดาๆ คนหนึ่ง ไม่มีอะไรแตกต่าง แต่ข้อดีที่เธอชอบพูดจาสุ่มสี่สุ่มห้า มีนิสัยแปลกประหลาด และทนรับความไม่ยุติธรรมไม่ได้ ในที่สุดก็ไม่ได้เปลี่ยนไป ขอเพียงเห็นเรื่องที่ไม่ยุติธรรมเธอก็จะลงมือ โสดมาหลายปี ไม่ใช่ว่าเธอไม่สวย ไม่ใช่ว่าเธอไม่ยอดเยี่ยม แต่เป็นเพราะเธอยอดเยี่ยม ต้องการความสามารถก็มี ต้องความความสวยก็มี ต้องการฝีมือก็มี ผู้หญิงที่สมบูรณ์แบบแบบนี้มีผู้ชายน้อยมากที่จะกล้าลงมือจีบ และไม่ใช่ผู้หญิงที่ผู้ชายธรรมดาทั่วไปจะเหมาะสม

“ร่วมมือ? ร่วมมือยังไง? หรือว่านายจะให้ฉันช่วย?”

จางหลานไม่ใช่คนที่หาเรื่องได้ง่ายๆ มีความเป็นเอกลักษณ์มาก ผู้ชายธรรมดาทนไม่ไหวจริงๆ แน่นอนว่าเย่เทียนเฉินไม่ใช่ตะเกียงไร้น้ำมัน มีนิสัยที่เป็นอันธพาลและเทพแห่งความตายทั้งสองด้าน ในตอนที่หยอกล้อก็ดูเหมือนอันธพาลอย่างมาก

“ใครช่วยใครก็ยังไม่แน่ถ้า ยังงั้นมาดูกันว่าเธอจะหาญาติของเธอเจอก่อนหรือว่าฉันจะหาเจอก่อน!” เย่เทียนเฉินแสร้งทำเป็นพูดขึ้นมาอย่างไม่พอใจ

“ถ้ายังงั้นจะบอกว่านายต้องการเดิมพันกับฉันเหรอ?” จางหลานมองไปยังเย่เทียนเฉินอย่างซุกซนแล้วถามขึ้น

เย่เทียนเฉินอดไม่ได้ที่จะชะงักไป ผู้หญิงสวยคนนี้แปลกมากจริงๆ แต่ในแต่ไรมีแต่เขาเย่เทียนเฉินที่เชื้อเชิญให้คนอื่นมาเดิมพันด้วย วันนี้ถึงกับมีสาวงามคนหนึ่งต้องการเดิมพันกับเขาด้วยตัวเอง เขาเย่เทียนเฉินจะยอมรับสิ่งนี้รึไง?

ความประทับใจที่เย่เทียนเฉินมีต่อจางหลานไม่เลวเลยจริงๆ ในสังคมปัจจุบันนี้ยากที่จะหาผู้หญิงที่ทั้งสวยและมีความสามารถแบบนี้ได้ ที่สำคัญที่สุดก็คือความสวยงามความสามารถและฝีมืออันไม่ธรรมดาของจางหลานแม้ดูแปลกไปบ้าง ดูขาดๆ เกินๆ มีการพูดจาสุ่มสี่สุ่มห้าและมีบรรยากาศของวีรสตรีหญิงอยู่ด้วย

“เธอพูดมาเถอะ จะเดิมพันยังไง?” เย่เทียนเฉินมองจางหลานอย่าสบประมาทแล้วพูดขึ้น

“ถ้าฉันช่วยญาติผู้พี่ของฉันออกมาได้ก่อนนายจะต้องมายกน้ำชาเสิร์ฟน้ำให้ฉันหนึ่งเดือน!” จางรั่วถงพูดอย่างน่ารักซุกซน

“ถ้าหากว่าฉันหาเจอก่อนล่ะ?” เย่เทียนเฉินพูดด้วยท่าทางผ่อนคลาย

“นายเอาชนะฉันไม่ได้หรอก ต่อให้ชนะฉันก็จะยกน้ำชาเสิร์ฟน้ำให้นายเดือนหนึ่งเป็นยังไง?” จางหลานยิ้มอย่างน่ารักแล้วพูดขึ้น

“ช่างมันเถอะ นี่มันไม่มีความหมายอะไร…ถ้าเธอแพ้ก็จูบฉันก็พอแล้วเป็นยังไงล่ะ?” เย่เทียนเฉินถามออกมาด้วยรอยยิ้มชั่วร้าย

เมื่อจางหลานได้ยินคำพูดนี้ของเย่เทียนเฉินก็อดไม่ได้ที่จะกรอกตาใส่เย่เทียนเฉิน ทำท่าทางทั้งเซ็กซี่และน่ารัก มุมปากยกยิ้มขึ้นแล้วพูดว่า “เจ้าบ้า…ฉันรับปากนาย ถ้าหากนายแพ้ก็มายกน้ำชาเสิร์ฟน้ำให้ฉันสามเดือนถ้าฉันแพ้ฉัน…ฉันก็จะจูบกับนาย!”

ในตอนที่คำพูดนี้ออกมาจากปาก จางหลานอดไม่ได้ที่จะหน้าแดง ไม่ว่าเมื่อใดก็ตามเธอเป็นผู้หญิงที่แข็งแกร่งคนหนึ่ง เป็นผู้หญิงที่ไม่ได้ถูกความลำบากโจมตีให้ตกใจ แต่ตอนนี้เธอหน้าแดงจริงๆ แล้ว เหมือนกับที่หานเจี๋นพูดกับเย่เทียนเฉิน จางหลาพึ่งพาตัวเองมาตั้งแต่เด็ก ถึงแม้จะมีคนมาจีบไม่ขาดสายนับไปก็นับได้เป็นแถว แต่ไม่เคยมีแฟนแม้แต่ครั้งเดียว ไม่รู้ว่าทำไมส่วนลึกในใจของจางหลานถึงมีน้อยคนที่จะทะลวงเข้าไปได้ หรือดูเหมือนจะไม่มีเลย ดังนั้นจนถึงตอนนี้จูบแรกของจางหลานยังคงอยู่ เมื่อถูกเย่เทียนเฉินพูดถึงจะไม่เขินอายได้อย่างไร?

เมื่อรวบรวมความกล้าแล้ว จางหลานจึงได้ตอบตกลงเย่เทียนเฉินไป ถึงแม้เย่เทียนเฉินจะช่วยหานเจี๋ยออกมาได้ก่อน เธอก็จะมอบจูบแรกของตนให้กับเย่เทียนเฉิน จางหลานเป็นผู้หญิงที่ไม่ยอมแพ้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อได้เจอกับคนที่ไม่ยอมแพ้แบบเย่เทียนเฉิน ทั้งสองจึงเสมอกันโดยสิ้นเชิงมีความรู้สึกน่าขันและโรแมนติกอยู่บ้าง

ฟิ้ว! เย่เทียนเฉินไม่ได้พูดอะไรแต่พุ่งเข้าไปบริเวณหุบเขาหมอกทมิฬเป็นคนแรก เขาไม่ได้กังวลว่าจางหลานจะได้รับบาดเจ็บอะไร ในฐานะที่เป็นหัวหน้าหน่วยสวาทหญิงย่อมผ่านประสบการณ์มาอย่างโชกโชน จากความเร็วดุจสายฟ้าของเธอเมื่อสักครู่นี้ที่สามารถฆ่ามือสังหารชุดดำได้ในพริบตา ขอเพียงไม่พบกับผู้อาวุโสที่จากสำนักโฮคุชินอิตโตริวคนนั้นก็คงจะพอรับมือได้

จางหลานคิดไม่ถึงว่าเย่เทียนเฉินจะพุ่งไปที่หุบเขาหมอกทมิฬอย่างกระทันหัน ทันใดนั้นจึงกระทืบเท้า มุมปากก่นด่าออกมาประโยคหนึ่ง “เจ้าบ้า รอให้ฉันช่วยญาติผู้พี่ออกมาก่อนเถอะ นายต้องได้เห็นดีแน่ หึ!”

จางหลานซึ่งเป็นหัวหน้าหน่วยสวาทหญิงที่ฆ่าคนมาแล้วครึ่งทาง ไม่แปลกใจเลยว่านี่เป็นการเพิ่มพลังการต่อสู้ให้แก่เย่เทียนเฉิน ชางหลางและหลัวเหว่ยเคออย่างใหญ่หลวง ภารกิจในครั้งนี้คนธรรมดาไม่อาจทำสำเร็จได้จริงๆ และไม่สามารถเอาชนะได้ ต้องทราบว่าศัตรูทั้งหมดตั้งต่างเป็นลูกศิษย์ของสำนักดาบอันโอคุชินอิตโตริว ไม่สามารถหลีกเลี่ยงการต่อสู้ถึงขั้นเป็นตายได้ กระทั่งเย่เทียนเฉินที่สามารถใช้พลังพิเศษในขอบเขตจักรพรรดิขั้นต้นออกมาได้จางๆ ก็ยังไม่กล้ารับประกันว่าตนจะเอาชนะผู้อาวุโสแห่งสำนักโฮคุชินอิตโตริวคนนั้นได้

ตอนนี้เองภายในเต็นท์ตรงกลางหุบเขาหมอกทมิฬ ชายชราคนหนึ่งที่สวมชุดต่อสู้สไตล์ชิบะแบบโบราณนั่งขัดสมาธิอยู่บนพรม เบื้องหน้าของเขามีมือสังหารชุดดำยืนอยู่สามคน นี่เป็นสามในสี่ยอดฝีมือที่สำนักโฮคุชินอิตโตริวพาออกมาในครั้งนี้ ส่วนมือสังหารอีกคนหนึ่งที่ถูกหลีหวังฆ่าตายไปแล้วนั่นก็คือเซนโทอิน ทุกคนในยอดฝีมือทั้งสี่มีความสามารถเหนือกว่าเซนโทอิน กระทั่งมีพลังการต่อสู้ที่แข็งแกร่งยิ่งกว่า เพียงแค่คนเดียวก็ทำให้ผู้คนรู้สึกหวัดกลัวแล้ว

“ผู้อาวุโสซาโต้ตามหาผมมีเรื่องอะไรเหรอครับ?” มือสังหารชุดดำที่ยืนอยู่ตรงกลางถามขึ้นอย่างเคารพ

“ถามอะไรออกมาจากปากของทหารหน่วยรบพิเศษเหล่านั้นได้หรือไม่?” ผู้อาวุโสซาโต้ลืมตาขึ้นแล้วเอ่ยถามด้วยความเรียบเฉย

“ยังไม่รู้ชั่วคราว พวกเขาปากแข็งมาก ตัดมือตัดเท้าไปแล้วก็ยังไม่ยอมพูดแม้แต่ครึ่งคำ!” มือสังหารที่อยู่ตรงกลางพูดอย่างรู้สึกผิด

เดิมทีกลุ่มของสำนักโฮคุชินอิตโตริวนี้คิดว่า หลังจากจับตัวทหารหน่วยรบพิเศษชั้นยอดทั้งยี่สิบคนมาแล้วจะทำการทรมานให้พวกเขาพูด กระทั่งใช้ความตายมาข่มขู่ ใช้การทรมานที่เจ็บปวดที่สุดมาทรมานพวกเขา จะต้องได้รับข้อมูลบางอย่างแน่นอน เพียงแต่น่าเสียดายที่พวกเขาคาดเดาความภาคภูมิใจของทหารหน่วยรบพิเศษแห่งประเทศจีนต่ำเกินไป ไหนเลยจะรู้ว่าต่อให้เป็นความตายก็ไม่ยอมพูดออกมาแม้แต่ครึ่งคำ เพราะเขาคือวีรบุรุษชาวจีนทำเรื่องปกป้องประเทศถึงแม้ว่า การเสียสละเช่นนี้ของพวกเขาคนธรรมดาทั่วไปจะไม่รู้ไปตลอดกาล แต่พวกเขาก็ไม่มีข้อกังขาอยู่ในใจ พวกเขาเป็นชายที่เงยหน้าสู้ฟ้าได้

“ไม่ต้องถามแล้ว ลงมือกับผู้หญิงคนนั้นโดยตรงเถอะ ผู้หญิงไม่กลัวตายแต่เธอต้องกลัวพรหมจรรย์ของตนถูกแย่งชิงไปแน่นอน เรียกได้ว่านี่เป็นของที่ล้ำค่าที่สุดของร่างกายของเธอ!” ซาโต้พูดอย่างไร้อย่างอาย

“ไฮ่!” มือสังหารชุดดำที่อยู่ตรงกลางพยักหน้าตอบ

“ใช่แล้ว ฆ่าทหารหน่วยรบพิเศษของจีนคนอื่นให้หมดเหลือไว้แต่ผู้หญิงคนนั้นก็พอ…” ซาโต้คิดครู่หนึ่งแล้วพูดออกมา

“ทำไมเหรอครับผู้อาวุโส? บางทีจะมากจะน้อยพวกเราก็อาจจะถามออกมาได้บ้าง!” มือสังหารชุดดำที่อยู่ตรงกลางถามอย่างไม่เข้าใจ

“ไม่ต้องแล้ว เพราะว่าอีกฝ่ายมียอดฝีมือมาหลายคนมาช่วย เป็นยอดฝีมือที่แข็งแกร่งมาก ความสามารถไม่ได้ไปกว่าพวกแกเลย และยังมีคนหนึ่งที่ปิดล้อมหุบเขานี้เอาไว้ทั้งหมดพลังแล้ว ของเขาแข็งแกร่งมาก ไอสังหารแบบนั้นมากพอที่จะเทียบได้กับฉันเลย พวกแกเตรียมรับมือกับการต่อสู้ให้ดี!” ในดวงตาของซาโต้ปรากฏความโหดเหี้ยมออกมา

มือสังหารชุดดำทั้งสามคนชะงักไปครู่หนึ่ง สามารถได้ยินคำพูดแบบนี้จากปากของซาโต้ได้ไม่ง่ายเลยจริงๆ ต้องทราบว่าผู้อาวุโสซาโต้เป็นอันดับสิบในสำนักโฮคุชินอิตโตริว ยากที่จะหายอดฝีมือที่สามารถต่อกรกับเขาได้

เย่เทียนเฉินในตอนนี้โกรธเขhาแล้ว เจตนาเข่นฆ่าถูกกระตุ้น เขาไม่ใช่คนที่จะโกรธง่ายๆ แต่ในครั้งนี้เขาตัดสินใจแล้วว่าจะทำให้ชีวิตของไอ้พวกชิบะเหล่านี้ถูกกลบฝังเอาไว้ที่นี่ทุกคน คนกลุ่มนี้จะน่ารังเกียจเกินไปแล้ว ความจริงพวกเขาบ้าคลั่งมาก ฆ่าทหารหน่วยรบพิเศษไปมากขนาดนั้น กระทั่งหลีหวังก็ตายไปแล้ว เขาเป็นหัวหน้าทหารหน่วยรบพิเศษแห่งชายแดนกลุ่มนี้ เป็นยอดฝีมือที่มีความสามารถในระดับนักรบอาวุโส

ภายในหุบเหวลึกของป่าหมอกดำมีเต็นท์จำนวนหนึ่งกระจัดกระจาย ทุกจุดที่ห่างกันหลายเมตรล้วนมีมือสังหารในชุดดำอยู่คนหนึ่ง ความสามารถของคนเหล่านี้ไม่มีแม้แต่คนเดียวที่อ่อนแอ ท่าทางครั้งนี้ เพื่อที่จะก่อกวนชายแดนป่าหมอกดำและเพื่อที่จะทำให้จุดประสงค์ของพวกเขาสำเร็จ ไอ้พวกชิบะจึงลงทุนไปมาก ไม่เพียงแต่จะมียอดฝีมือเหมือนเซนโทอิน แต่ยังมีผู้อาวุโสแห่งสำนักโฮคุชินอิตโตริวที่ร้ายกาจยิ่งกว่าเซนโทอินด้วย นี่ทำให้เย่เทียนเฉิน ชางหลางและหลัวเหว่ยเคอไม่กล้าลำพองใจ

สำนักโฮคุชินอิตโตริวก็เหมือนกับพรรควรยุทธโบราณของประเทศจีน ตำแหน่งในประเทศชิบะของพวกเขามีความยาวนานและสำคัญมาก ก็เหมือนกับไท่ซานเป่ยโต่วและวัดเส้าหลินที่มีมาตั้งแต่ประวัติศาสตร์ของจีน นี่เป็นสำนักที่มีความสามารถแข็งแกร่งเป็นอย่างมากสำนักหนึ่ง เย่เทียนเฉินเคยประมือกับยอดฝีมือของสำนักโฮคุชินอิตโตริวมาหลายครั้ง กระทั่งเขาก็ไม่อาจไม่นับถือในส่วนที่ร้ายกาจของสำนักนี้

“ให้ฉันระวังหลังเองเถอะ หลังจากที่พวกเราไปช่วยคน แกกับหลัวเหว่ยเคอก็คุ้มครองคนจากไป!” ชางหลางเอ่ยปาก

“ถ้าคุณตามหลังคุณจะฆ่าทุกคนได้เหรอ? ด้วยฐานะของคุณถ้าหากทำแบบนั้น พอข่าวนี้ถูกเผยแพร่ออกไปจะต้องสร้างผลกระทบที่ไม่ดีต่อนานาชาติอย่างแน่นอน กระทั่งอาจจะทำให้เกิดสงครามครั้งใหญ่ระหว่างสองประเทศก็ได้ เรื่องแบบนี้ให้ผมทำเถอะ!” เย่เทียนเฉินส่ายหน้าแล้วพูดขึ้น

“แต่ว่า…”

ชางหลางยังคิดจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ต่อมาก็ถูกเย่เทียนเฉินพูดขัด เย่เทียนเฉินมองไปยังชางหลาง จากนั้นจึงมองไปยังหลัวเหว่ยเคอแล้วพูดขึ้นว่า

“การที่ท่านหยางและท่านผู้นำสูงสุดส่งผมมาไม่ได้เป็นเพราะเหตุนี้หรือ? ผมเชื่อในความคิดของพวกเขา ต้องการให้ผมฆ่าพวกชิบะทั้งหมดเพียง แต่ด้วยฐานะของพวกเขาจึงไม่สามารถออกคำสั่งนี้มาได้อย่างเปิดเผยเท่านั้นเอง!”

เมื่อได้ยินคำพูดของเย่เทียนเฉิน ชางหลางและหลัวเหว่ยเคอก็ชะงักไป ในใจอดไม่ได้ที่จะรู้สึกนับถือเย่เทียนเฉินขึ้นมา ถึงแม้ไอ้หนูนี่จะมีบางครั้งที่ดูพึ่งพาไม่ได้หรือกระทั่งทำให้คนอื่นรู้สึกอับจนคำพูดอย่างถึงขีดสุด แต่กลับไม่ใช่คนที่ไม่ละเอียดรอบคอบ เขาเป็นคนที่ฉลาดและมีไหวพริบเป็นอย่างมาก

เป็นเช่นนี้จริงๆ การที่ท่านผู้นำสูงสุดและท่านหยางส่งเย่เทียนเฉินมาปฏิบัติการด้วยกันกับชางหลาง ประการแรกเป็นเพราะความสัมพันธ์ระหว่างเย่เทียนเฉินและหานเจี๋ย ประการที่สองเป็นเพราะพวกเขาที่เป็นระดับหัวหน้าทั้งสองคนต่างก็รู้ว่า เย่เทียนเฉินเป็นคนที่บ้าบิ่น ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นคนที่ถูกกองทัพไล่ออกไปแล้ว เขาไม่ได้เป็นตัวแทนของประเทศ เป็นตัวแทนของเขาคนเดียวเท่านั้น ด้วยความสามารถและนิสัยของเขา ต่อให้ฆ่าคนพวกนี้ทั้งหมดก็ไม่ทำให้เกิดผลกระทบอันใหญ่หลวงใดๆ ต่อให้ประเทศชิบะ แม้จะโกรธอย่างมากแต่ก็ไม่กล้าทำอะไร

นี่ไม่ใช่จะกล่าวว่าประเทศจีนกลัวประเทศอื่น แต่ทุกสิ่งทุกอย่างต้องมีเหตุผล เบื้องหน้านั้นใช้ “เหตุผล” นี่เป็นสิ่งที่จำเป็นต้องกระทำ ถ้าหากไม่ทำใครๆ ก็ไม่สามารถยืนอยู่ได้ ประเทศก็เป็นเช่นนี้เอง นี่เป็นสาเหตุที่ว่าทำไมสงครามระหว่างสองประเทศถึงมักจะต้องหาข้ออ้างสร้างสถานการณ์บางอย่างถึงจะสามารถส่งทหารออกไปได้ จะออกศึกก็ต้องมีเรื่องถึงจะถูก

“ไปเถอะ ตัดสินใจตามนี้ก็แล้วกัน พวกเราเชื่อในความสามารถและการตัดสินของน้องเย่”

หลัวเหว่ยเคอพยักหน้า ถึงแม้เขาจะได้พบกับเย่เทียนเฉินเป็นครั้งแรก แต่ระหว่างทางเย่เทียนเฉินก็แสดงความสามารถและความฉลาดออกมา ทำให้หลัวเหว่ยเคอรู้สึกชื่นชมเป็นอย่างมาก

“อย่าได้มุทะลุ รักษาชีวิตของตัวเองเป็นสิ่งสำคัญที่สุด!” ชางหลางพูด

“วางใจเถอะ การต่อสู้ระหว่างผมกับคุณยังไม่ได้สู้กัน ผมไม่ตายหรอก!” เย่เทียนเฉินพูดด้วยรอยยิ้มบางเบา

เริ่มปฏิบัติการแล้ว ตอนนี้เย่เทียนเฉินไม่รักษาพลังใดๆ เอาไว้อีก ไม่เพียงแต่จะใช้พลังพิเศษแห่งการรับรู้ออกไป แต่ยังใช้พลังเขตแดนปิดกั้นอีกด้วย ครอบคลุมหุบเหวของป่าหมอกดำเอาไว้ อย่างไรก็ตาม ในตอนที่เย่เทียนเฉินใช้พลังเขตแดนปิดกั้น พริบตามนั้นเขารู้สึกได้ถึงพลังที่แข็งแกร่งอย่างหาที่เปรียบไม่ได้กลุ่มหนึ่ง ราวกับสัมผัสได้ถึงพลังเขตแดนปิดกั้นของตนเล็กน้อยและกำลังตรวจสอบอะไรบางอย่างอยู่ อย่างไรก็ตามในตอนนี้เย่เทียนเฉินไม่กลัวจะแหวกหญ้าให้งูตื่นแล้ว สิ่งที่เหลือต่อไป นอกจากการฆ่าล้างครั้งใหญ่แล้วยังจะมีวิธีอื่นอยู่อีกหรือ?

ฉึก!

เย่เทียนเฉินหยิบมีดที่หลัวเหว่ยเคอเตรียมไว้ให้เขาออกมา เดินไปข้างหน้าสุด เดินไปที่หุบเหวลึกโดยตรง สถานที่ที่เรียกว่าหุบเขาหมอกทมิฬนี้มีเต็นท์อยู่ประมาณแปดเก้าหลัง เพียงพอที่จะเห็นได้ว่าครั้งนี้ประเทศชิบะส่งคนออกมาเคลื่อนไหวมากแค่ไหนเพื่อมาก่อกวนชายแดนและฆ่าพวกทหารหน่วยรบพิเศษเรานั้น

ตวัดมีดออกไป ดูเหมือนเย่เทียนเฉินจะปะทะกับมือสังหารด้านหน้าแล้ว อีกฝ่ายยังไม่ทันได้ลงมือและยังไม่ทันได้กรีดร้องก็ถูกเขาใช้มีดเอาชีวิต แทงทะลุไปที่หลอดลมของเขา จนถึงตอนนี้ก็ไม่จำเป็นต้องพูดเรื่องกลยุทธ์อะไรกันอีก บุกเข้าไปฆ่าโดยตรงเลย นี่เป็นวิธีการที่ดีที่สุดและเป็นวิธีการที่เด็ดขาดที่สุดในตอนนี้ เย่เทียนเฉินอยู่ด้านหน้าสุด ดึงดูดความสนใจของศัตรู ส่วนชางหลางและหลัวเหว่ยเคอลอบเข้าไปจากที่อื่น นี่เป็นแผนการที่ไม่เลวเลย

“แก…แกเป็นใคร?” คนชุดดำหลายคนเห็นเย่เทียนเฉินก็ตกใจจนชะงักไป ส่วนใหญ่คือคิดไม่ถึงมีพวกเขาที่เป็นยอดฝีมือมากมายขนาดนี้อยู่ด้วย อีกทั้งยังมีตัวตนระดับผู้อาวุโสแห่งสำนักโฮคุชินอิตโตริวนั่งอยู่ด้วย ถึงกับยังมีคนกล้าบุกเข้ามาอีกเบื่อที่มีชีวิตนานเกินไปรึไง?

“คนที่จะฆ่าพวกแกไง…”

ฉึก!

คำพูดเพิ่งจะออกมา มีดในมือขวาของเย่เทียนเฉินก็โจมตีไปที่คนผู้หนึ่ง ในตอนนี้มีดในมือขวาของเขาอาบยอมไปด้วยพลังพิเศษในขอบเขตจอมราชันขั้นสูงแล้ว ไม่ใช่อะไรที่คนธรรมดาจะขวางได้ รวมกับที่เขามีใจจะสังหารแล้วจึงลงมือไม่ไว้ไมตรีแม้แต่น้อย เมื่อลงมือก็จะต้องฆ่าศัตรูโดยไม่เหลือแม้แต่คนเดียว

“ฆ่าไอ้คนไม่รู้จักที่ตายนี่ซะ!” หนึ่งคนในนั้นตะโกนเสียงดัง

มือสังหารสวมชุดดำหลายคนล้วนควักดาบทหารสไตล์ชิบะออกมาแล้วพุ่งเข้าไปใส่เย่เทียนเฉิน เย่เทียนเฉินแย้มยิ้มเล็กน้อย บนใบหน้าไม่เห็นไอสังหารแม้แต่น้อย แต่ทุกครั้งที่ลงมือก็จะต้องมีชีวิตของคนผู้หนึ่งสิ้นสุดลง

ฉึกๆๆ…

มีมือสังหารสวมชุดดำสี่คนล้มลงไปที่พื้น ทุกคนต่างถูกมีดในมือขวาของเย่เทียนเฉินที่อาบยอมไปด้วยพลังพิเศษเอาชีวิตในการลงมือครั้งเดียว เรียกได้ว่ามีดเล่มนี้ในตอนนี้ไม่ใช่มีดอีกต่อไปแล้ว แต่เป็นกระบี่แสงพลังพิเศษเล่มหนึ่งร้ายกาจและดุดันเป็นอย่างมาก ไม่เพียงแต่จะสามารถตัดศีรษะของมือสังหารชุดดำหลายคนนี้ได้ กระทั่งดาบทหารสไตล์ชิบะที่พวกเขาถืออยู่ในมือก็ยังถูกตัดจนหัก นี่เป็นอำนาจระดับไหนกัน ทำให้ผู้คนต้องตกตะลึงจนตาค้าง

เหลือมือสังหารชุดดำที่ตะโกนออกมาคนแรกสุดเท่านั้น เขาตกใจจนถอยออกไปเล็กน้อย มือทั้งสองกำดาบทหารสไตล์ชิบะในมือเอาไว้แน่น ดวงตาทั้งสองมองไปยังเย่เทียนเฉินด้วยความโกรธและความกลัว ต้องทราบว่าพวกเขาเหล่านี้ต่างก็เป็นลูกศิษย์ของสำนักโฮคุชินอิตโตริว แต่ละคนมีฝีมือไม่ธรรมดา ไม่ด้อยกว่าทหารหน่วยรบพิเศษบริเวณชายแดนที่ปกปักตั้งมั่นอยู่ในป่าหมอกดำของประเทศจีนเลย แต่ไหนแต่ไรก็ไม่เคยมีใครที่สามารถฆ่าพวกเขาเหมือนผักปลาแบบนี้ เย่เทียนเฉินเป็นคนแรก ชายหนุ่มคนนี้อายุไม่เกินยี่สิบปีเท่านั้นแต่กลับมีความสามารถเหมือนกับเทพสังหาร จะให้เขาไม่หวาดกลัวและกระวนกระวายได้อย่างไร?

“พูดมาเถอะ พวกแกมีทั้งหมดกี่ คนไอ้แก่ที่เป็นคนนำอยู่ที่ไหน?” เย่เทียนเฉินถามด้วยรอยยิ้ม แต่กลับเดินเข้าไปยังมือสังหารชุดดำที่เหลืออยู่คนนั้นทีละก้าว

“แก แก มันปีศาจจะต้องตายแน่…” มือสังหารชุดดำที่เหลือมองเย่เทียนเฉินอย่างดุดันและกล่าวขึ้น

“ฉันไม่ใช่ปีศาจแต่เป็นมัจจุราช…”

ระหว่างที่พูดเย่เทียนเฉินก็ลงมือ ทันใดนั้นมีเงาร่างที่งดงามร่างหนึ่งพุ่งออกมาจากด้านข้าง พบว่ามีประกายแสงอันเย็นยะเยือกส่องสว่าง มือสังหารชุดดำที่เหลือล้มลงนอนจมกองเลือด เย่เทียนเฉินอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว เงาร่างอันงดงามที่พุ่งออกมาอย่างกระทันหันนี้มีความรวดเร็วเป็นอย่างมาก ดูเหมือนในเวลาเพียงชั่วพริบตาเดียวก็สามารถฆ่ามือสังหารชุดดำคนที่เหลือนั้นได้ นี่อดไม่ได้ที่จะทำให้เย่เทียนเฉินต้องสำรวจอีกฝ่ายขึ้นมา

พบว่าเบื้องหน้าของเขามีผู้หญิงร่างสูงคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้นสูงประมาณ 172 เซนติเมตร ดวงหน้างดงามทรงเสน่ห์ ปากอวบอิ่ม มีตาชั้นเดียวอันเซ็กซี่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผมเป็นลอนสีทองนั้น ดูแล้วยิ่งเพิ่มความน่ารักสดใสขึ้นมาก ไม่ใช่ผู้หญิงประเภทผอมแห้งแบบนั้นแต่กลับทำให้ผู้ชายจำนวนมากต้องใจเต้นกับความเต็มไม้เต็มมือ สิ่งที่ควรนูนก็นูนสิ่งที่ควรเว้าก็เว้า เป็นสาวงานระดับสูงที่มีชีวิตชีวาคนหนึ่ง บนร่างของเธอสวมใส่ชุดโปร่งบาง ร่างกายท่อนล่างสวมกางเกงสีดำแนบเนื้อ. ที่ร้ายกาจมากที่สุดก็คือที่ขาสวมรองเท้าบู๊ทสองข้าง ไม่รู้จริงๆ ว่าผู้หญิงที่สวยงามแบบนี้ออกมาจากไหน

“พูดมา เอาญาติผู้พี่ของฉันไปซ่อนไว้ที่ไหน?” สาวงามผู้แปลกประหลาดจับมือสังหารชุดดำคนนั้นมาถาม

“เขาตายไปแล้ว อีกอย่างเสียงของเธอเพราะขนาดนี้ ถ้าเป็นฉันต่อให้ตายก็ไม่บอกความจริงกับเธอหรอก!” เย่เทียนเฉินมองไปยังสาวสวยผู้แปลกประหลาดด้วยความรู้สึกจนใจ คิดไม่ถึงว่าผู้หญิงสวยขนาดนี้จะมีเสียงแบบนั้นได้

ที่เย่เทียนเฉินมองว่าผู้หญิงคนนี้เป็นคนแปลก ไม่ต้องพูดเรื่องเรื่องหน้าตางดงาม ร่างกายที่มีน้ำมีนวลนั้นและใบหน้าที่อวบอิ่มนั้นเลย ที่สำคัญที่สุดก็คือใส่ชุดฤดูร้อนแต่กลับสวมรองเท้าบู๊ทและยังวิ่งมาถึงที่นี่ ฝีมือก็ยังแข็งแกร่งขนาดนั้นด้วย ถ้านี่ไม่ใช่ผู้หญิงงดงามผู้แปลกประหลาดแล้วจะเป็นอะไรได้?

ฟิ้ว!

คำพูดนี้ของเย่เทียนเฉินเพิ่งจะพูดออกมา ขาอันงดงามก็เตะกวาดมาที่เขา โดยเฉพาะอย่างยิ่งรองเท้าบู๊ทสูงที่ดูดีคู่นั้น ผิวขาวเนียนนุ่มที่โผล่ออกมาดูเจริญตาเป็นอย่างมาก

แต่เรื่องเจริญตาก็ส่วนเจริญตา ถ้าหากต้องถูกผู้หญิงคนนี้โจมตีจนตาเขียวก็คงดูไม่ดีแน่ ดังนั้นในตอนที่ผู้หญิงสวยผู้แปลกประหลาดคนนี้เตะกวาดมา เย่เทียนเฉินจึงใช้มือซ้ายจับข้อเท้าของเธอเอาไว้และพูดด้วยรอยยิ้มว่า

“ดูเหมือนเธอก็มาช่วยคนเหมือนกัน เธอต้องการช่วยใคร?”

“ไม่ต้องมายุ่ง ปล่อยมือ!”

ไม่กล่าวไม่ได้ว่า สาวงามผู้แปลกประหลาดคนนี้แข็งแกร่งมาก ขาขวาถูกเย่เทียนเฉินจับเอาไว้ในตำแหน่งสูงกลางอากาศ แต่ขาซ้ายก็ยังเตะไปที่หน้าอกของเย่เทียนเฉินได้ กระบวนท่านี้ไม่ธรรมดาเลย

สาวงามผู้แปลกประหลาดเตะออกไปอีกครั้ง เย่เทียนเฉินยังคงหลบได้ อย่างไรก็ตาม เธอไม่ได้ถูกเย่เทียนเฉินจับขาขวาเอาไว้อีกแล้ว ใช้ดวงตาอันงดงามกรอกตาใส่เย่เทียนเฉินด้วยความโกรธเคืองท่าทางน่ารักอย่างมาก

“อ้อ กรอกตาใส่ บนโลกนี้ไม่เกี่ยวอะไรกับคุณ!” เย่เทียนเฉินพูดหยอกล้อ

“เจ้าอันธพาล ขี้เกียจสนใจนายแล้ว!”

สาวงามผู้แปลกประหลาดหมุนตัวเดินไปเบื้องหน้า เธอรู้ว่าเย่เทียนเฉินไม่ได้มีความโหดเหี้ยม มิฉะนั้นเมื่อสักครู่นี้คงไม่ใช้กระบวนท่าๆ ง่ายแบบนั้นแน่

เย่เทียนเฉินเห็นสาวงามผู้แปลกประหลาดไม่สนใจตนจึงอดไม่ได้ที่จะพูดออกมายิ้มๆ ว่า

“ฉันรู้ว่าเธอชื่อจางหลาน เป็นญาติผู้น้องของหานเจี๋ย!”

หากพูดกันตามหลักการแล้ว ด้วยความสามารถของหลัวเหว่ยเคอ ต่อให้เซนโทอินจะใช้กระบวนท่าที่แข็งแกร่งที่สุดออกมาก็คงไม่สามารถทำร้ายเขาได้ง่ายๆ แบบนี้ แต่เนื่องจากเหตุผลสองประการ ประการแรกก็คือหลัวเหว่ยเคอต้องการช่วยหลีหวัง พวกเขาเป็นสหายร่วมรบกัน หลัวเหว่ยเคอและหลีหวังอยู่ที่ชายแดนมานานหลายปีขนาดนี้ ความสัมพันธ์ของพวกเขาทั้งสองลึกล้ำมาก ประการที่สองเป็นเพราะหลัวเหว่ยเคอคิดไม่ถึงว่าเซนโทอินที่หน้าอกทะลุเป็นรูซึ่งต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัย จะถึงกับใช้การโจมตีที่แข็งแกร่งขนาดนี้ออกมาได้อีก

ความลำพองใจของหลัวเหว่ยเคอทำให้เขาตกอยู่ในสถานการณ์ที่อันตรายเป็นอย่างมาก เขาถูกฝ่ามือโจมตีจนกระเด็นถอยออกไป ในขณะเดียวกันฝ่ามือนี้ของเซนโทอินก็ทิ้งร่องรอยจินตภาพเอาไว้กลางอากาศและลอยไปหาหลัวเหว่ยเคอที่กระเด็นออกไป มีพลังลมปราณในระดับพลิกมหาสมุทรทลายภูเขา ทำลายกิ่งไม้ของต้นไม้ใหญ่ที่อยู่บนพื้นจนแหลกเป็นชิ้นๆ ถ้าหากฝ่ามือนี้ประทับลงบนร่างมนุษย์จะต้องกลายเป็นเศษเนื้อแน่นอน

ตู้ม!

ในช่วงเวลาสำคัญ เย่เทียนเฉินเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว มือขวากำแน่นรวบรวมความสามารถในขอบเขตจอมราชันเอาไว้ข้างใน เซนโทอินไม่ใช่คู่ต่อสู้ที่จะดูถูกได้ ยิ่งไปกว่านั้นฝ่ามือนี้เรียกได้ว่าเป็นฝ่ามือเฮือกสุดท้ายของเซนโทอิน แข็งแกร่งเป็นอย่างมาก แฝงไปด้วยความไม่พอใจและความหวาดกลัวต่อความตายทั้งหมดของเขา นับว่าเป็นการโจมตีสุดท้ายของชีวิต

ปัง!

หมัดและฝ่ามือปะทะเข้าด้วยกัน เย่เทียนเฉินยืนอยู่กับที่โดยไม่ขยับเขยื้อน มือขวาโจมตีออกไปในสภาพกำหมัดไม่เปลี่ยนแปลง ส่วนเซนโทอินนั้นมุมปากมีเลือดพุ่งออกมาเนื่องจากได้รับการสั่นสะเทือนบนฝ่ามือ มือซ้ายเขาปรากฏรอยเลือดออกมา การดวลกันของการโจมตีนี้ของเขาและเย่เทียนเฉิน ผลแพ้ชนะปรากฏออกมาแล้ว

ปัง!

ปัง!

เงาร่างของหลีหวังและเซนโทอินแยกออกจากกัน ต่างยืนในตำแหน่งที่ห่างจากอีกฝ่ายไปสิบเมตร ยังคงไม่ขยับเขยื้อน จ้องมองอีกฝ่ายเขม็ง ไม่ว่ามุมปากของหลีหวังจะมีเลือดไหลออกมาหรือบนหน้าอกของเซนโทอินจะมีเลือดไหลออกมาเต็มพื้นจนอาบย้อมพื้นเป็นสีแดง ทั้งสองก็ยังยืนอยู่แบบนั้น นี่เป็นสไตล์การดวลกันระหว่างยอดฝีมือ ต่อให้ตายแล้วก็จะไม่ทำให้ศัตรูมีชีวิตอยู่ต่อไป

“ชายหนุ่มที่แข็งแกร่งขนาดนี้ ถ้าหากประเทศชิบะของพวกเรามีให้มากขึ้นซักหลายคนคงจะดีมาก!” เซนโทอินใช้สายตาแปลกๆ มองไปที่เย่เทียนเฉินแล้วพูดขึ้น

เมื่อพูดประโยคนี้จบ เซนโทอินก็ล้มลงท่ามกลางกองเลือด ไม่สามารถยืนหยัดได้อีกต่อไป หัวใจของเขาหยุดเต้น เมื่อเขาล้มไปที่พื้น หลีหวังก็ล้มลงไปตามลงไปติดๆ เขาได้รับบาดเจ็บถึงชีวิตไม่น้อยไปกว่าเซนโทอินเลย ดังนั้นการที่ยังมีแรงต่อสู้อยู่นับเป็นการฝืนอย่างหนัก ฝืนจนพวกชางหลางมาถึงได้ ในฐานะที่เป็นหัวหน้ากองทหารหน่วยรบพิเศษบริเวณชายแดน เขาทำหน้าที่หัวหน้าของตนเองให้ดีที่สุดและใช้การกระทำที่ดีที่สุดมาตอบแทนประเทศแม่

ในตอนที่หลีหวังล้มลงไปบนพื้น หลัวเหว่ยเคอเป็นคนแรกที่เข้าไปประคองหลีหวังเอาไว้ อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วถามออกมาว่า “ไอ้หนู แกไม่เป็นไรใช่ไหม?”

ไหนเลยจะรู้ว่า การที่หลัวเหว่ยเคอถามประโยคนี้จะเป็นการพูดจามากเกินความจำเป็น หลีหวังไม่สามารถมีชีวิตอยู่ต่อไปได้แล้ว หัวใจถูกแทงจนทะลุเป็นรู สามารถฝืนลมหายใจสุดท้ายเอาไว้ได้โดยไม่ตายทันทีก็เป็นเพราะการค้ำจุนจากปัจจัยทางร่างกายและพลังภายในที่แข็งแกร่งของพรรควรยุทธโบราณ มิฉะนั้นคงล้มลงสิ้นใจตายไปนานแล้ว กระทั่งหลัวเหว่ยเคอที่ถามคำถามนี้เองก็ยังรู้สึกปวดใจ เนื่องจากรอยด่างบริเวณหน้าอกของหลัวเหว่ยเคอเป็นการแทงทะลุเข้าไปยังหัวใจจนฉีดกขาดเป็นสองท่อน ตอให้เป็นจางอีเต๋อก็ไม่สามารถรักษาได้ ไม่สามารถรักษาชีวิตเอาไว้ได้

“ไม่เป็นไร พวกคุณจำเป็นต้องรีบสักหน่อย ไปข้างหน้าอีกประมาณหมื่นเมตร ที่นั่นมีช่องเขาที่ลึกมากอยู่แห่งหนึ่ง พวกเราได้รับข้อมูลที่แม่นยำมาแล้ว คนที่ประเทศชิบะส่งออกมาในครั้งนี้ร่วมมือกับยอดฝีมือแห่งสำนักโฮคุชินอิตโตริว พวกเขาสร้างฐานกันอยู่ที่นั่น จุดประสงค์ของพวกเขาก็คือทำลายทางเข้าชายแดนป่าหมอกดำ สร้างผลกระทบที่ไม่ดีต่อประเทศจีนในระดับนานาชาติ ในขณะเดียวกันก็จะได้รับข้อมูลที่ถูกปกป้องไว้ที่ชายแดนด้วย การบุกรุกประเทศจีนในครั้งนี้มีประโยชน์มาก!” หลีหวังเป็นชายฉกรรจ์ที่แข็งแกร่ง ต่อให้ได้รับบาดเจ็บร้ายแรงขนาดนี้ ที่ปากก็มีเลือดไหลออกมา บริเวณหน้าอกก็เต็มไปด้วยรอยเลือด แต่ก็ยังพูดออกมาโดยไม่ติดขัด

“วางใจเถอะ พวกเรามาแล้ว จะต้องช่วยคนที่เหลือออกมาได้แน่!” ชางหลางเอ่ยปากพูด

“ศัตรูทั้งหมดที่ร่วมก่อเหตุการณ์ในครั้งนี้ พวกเราจะต้องฆ่ามันให้หมด!” เย่เทียนเฉินพูดอย่างเย็นชา

หลีหวังมองเย่เทียนเฉินครู่หนึ่ง เมื่อครู่นี้เย่เทียนเฉินปล่อยหมัดสู้กับเซนโทอินตามใจ เขาเองก็เห็นอยู่และรู้สึกแปลกใจกับความสามารถในการต่อสู้ของชายหนุ่มคนนี้มาก เขาดูออกว่าเย่เทียนเฉินอายุไม่เกินยี่สิบปีเท่านั้น ถึงกับมีความสามารถที่แข็งแกร่งเพียงนี้ ทำให้เขาไม่อยากจะเชื่อจริงๆ อย่างน้อยเขาหลีหวังก็เห็นเป็นครั้งแรก

“เจ้าหนุ่ม นายแข็งแกร่งมาก แต่อย่าได้ลำพองใจไป เซนโทอินไม่ใช่คนที่แข็งแกร่งที่สุดในหมู่สำนักโฮคุชินอิตโตริว ได้ยินว่าครั้งนี้คนที่คอยออกคำสั่งในการปฎิบัติการเป็นผู้อาวุโสท่านหนึ่งในสำนักโฮคุชินอิตโตริว อย่างน้อยก็เป็นยอดฝีมือที่อยู่ในสิบอันดับแรกของสำนักโฮคุชินอิตโตริว หากต้องการจะเอาชนะเขานั้นมันไม่ง่ายเลย!” หลีหวังกล่าวเตือน

“ในการต่อสู้ ผมจะลงมือเต็มที่ ถ้าหากไม่สามารถเอาชีวิตคนพวกนี้ได้ ผมเย่เทียนเฉินมาที่นี่จะมีความหมายอะไร!” เย่เทียนเฉินพูดอย่างจริงจัง

“นายก็คือเย่เทียนเฉินหรือ?” หลีหวังอดไม่ได้ที่จะถามอย่างแปลกใจ

“ใช่ครับหัวหน้าหลีหวัง ถือว่าคุณเป็นรุ่นพี่ ขอบคุณทุกสิ่งทุกอย่างที่คุณทำก่อนหน้านี้!” เย่เทียนเฉินพูดด้วยรอยยิ้มเล็กน้อย

“ดี ดี ถึงแม้ฉันจะอยู่ที่ชายแดนแต่ก็ได้ยินข่าวลือจากในกองทัพ บอกว่าประเทศจีนของพวกเรามีชายหนุ่มที่มีความสามารถแข็งแกร่งเหนือระดับออกมาคนหนึ่ง กระทั่งท่านหยางและท่านผู้นำสูงสุดก็ยังให้ความสำคัญมาก วันนี้ได้พบนับว่าไม่ต่างจากข่าวลือจริงๆ …อึก…” หลีหวังหัวเราะแล้วพูดขึ้น

สำหรับคนที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสและใกล้จะตายแล้ว การเคลื่อนไหวเพียงเล็กน้อยและการพูดนั้นเป็นอันตรายต่อชีวิตเขามาก แต่หลีหวังกลับไม่ใส่ใจ เดิมทีเขาก็เป็นคนที่มีนิสัยเปิดเผยหนักแน่นมากอยู่แล้ว ความเป็นความตาย สำหรับเขาที่เป็นยอดฝีมือไม่ใช่เรื่องน่าหวาดกลัวอะไรนานแล้ว เขามองอย่างทะลุปรุโปร่ง

ฟู่!

เลือดสดๆ พุ่งออกมา หลีหวังรับรู้ได้ว่าตนจะยืนหยัดต่อไปไม่ไหวแล้ว แต่กลับกัดฟันแน่น ต้องการที่จะลุกขึ้นด้วยร่างกายสั่นสะท้าน เย่เทียนเฉิน ชางหลางและหลัวเหว่ยเคอที่ได้เห็นภาพนี้ต่างรู้สึกสะท้อนใจ หลีหวังเป็นชายที่แข็งแกร่งจริงๆ ทำให้พวกเขานับถือมาก

เย่เทียนเฉินรีบเข้าไปประคองหลีหวัง ประคองเขาให้ลุกขึ้นยืน หลีหวังมองไปบนท้องฟ้ามุมปากเผยรอยยิ้มออกมาแล้วพูดขึ้นว่า “ฉันหลีหวัง นับว่าต่อให้ตายก็ยืนตายแล้ว!”

คำพูดเพิ่งจะถูกกล่าวออกมา ศีรษะของหลีหวังหักพับลง แต่เขากลับไม่ล้มลงไป ยืนหยัดอยู่อย่างนั้น เขาใช้พลังภายในที่แข็งแกร่งสุดท้ายในร่างกายค้ำยันไม่ให้ตนเองล้มลง ทำให้พวกเย่เทียนเฉินทั้งสามคนสะท้อนใจมาก

ผู้ชายที่ดี ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ แม้ตายไปก็เป็นผีวีรบุรุษ ต่อให้ตายก็ไม่ตายอย่างน่าสมเพชเช่นนั้น ต้องการยืนเผชิญฟ้า นี่ถึงจะนับว่าเป็นลูกผู้ชายกระดูกเหล็กที่แท้จริง

ชางหลาง เย่เทียนเฉิน และหลัวเหว่ยเคอยืนเรียงแถวอยู่เบื้องหน้าหลีหวัง ถึงแม้หลีหวังจะไม่มีลมหายใจแล้ว แต่ลูกผู้ชายแบบนี้ทำให้พวกเขารู้สึกสั่นสะท้านเป็นอย่างมาก ไม่มีใครแม้แต่คนเดียวที่ไม่รู้สึกนับถืออยู่ในใจอย่างแท้จริง

“ทำความเคารพ!” ชางหลางตะโกนเสียงขรึม

พรึ่บ!

พรึ่บ!

พรึ่บ!

เย่เทียนเฉิน ชางหลางและหลัวเหว่ยเคอต่างใช้ท่าทางวันทยาหัตถ์ที่มาตรฐานที่สุดและและแสดงถึงความเคารพได้มากที่สุดมาแสดงความนับถือต่อหลีหวัง แสดงความเคารพต่อผู้ชายที่ยืนค้ำฟ้าจนถึงวาระสุดท้าย

จากนั้นพวกเย่เทียนเฉินทั้งสามคนก็ไม่ได้หยุดแม้แต่น้อย ต่างพุงเข้าไปในช่องเขาลึกบริเวณป่าหมอกดำอย่างรวดเร็วหาใดเปรียบ ระหว่างทางในครั้งนี้พวกเขาพบกับเรื่องมากมายจริงๆ การตายของอ่าไท่ การตายของหลีหวัง สิ่งเหล่านี้กระตุ้นพวกเขามาก ในครั้งนี้ประเทศชิบะได้ส่งผู้อาวุโสแห่งสำนักโฮคุชินอิตโตริวออกมา เป็นยอดฝีมือเหนือระดับคนหนึ่ง จุดประสงค์นั้นเรียบง่ายเป็นอย่างมาก ต้องการฆ่าทุกคนในทหารหน่วยรบพิเศษที่ชายแดนและในขณะเดียวกันก็จะได้ข้อมูลที่พวกเขาต้องการ

นี่ทำให้เย่เทียนเฉิน หลัวเหว่ยเคอ และชางหลางอดไม่ได้ที่จะกังวลใจ ทหารหน่วยรบพิเศษชั้นยอดอีกสิบคนที่เหลือและหานเจี๋ยจะยังมีชีวิตอยู่หรือไม่? หวังว่าพวกเขาจะยังมีชีวิตอยู่และรอคอยการช่วยเหลือ

ความจริงแล้วในใจของเย่เทียนเฉินย่อมเป็นห่วงหานเจี๋ยมากที่สุด ถึงแม้เขาจะไม่ได้ติดต่อกับหานเจี๋ยมาก แต่ในความทรงจำของเย่เทียนเฉิน ตั้งแต่ที่เขาเดินเข้าสู่กองทัพ หานเจี๋ยก็ให้ความดูแลเขา และในตอนที่หานเจี๋ยปลอมตัวเป็นหัวหน้าเพื่อเดินทางไปรับข้อมูลบางอย่างจากประเทศ M ตนก็ได้รับคำสั่งให้ไปคุ้มครอง ความสัมพันธ์สุดท้ายของทั้งสองก็คือการมีปากเสียงกันเล็กน้อย

แต่นั่นไม่ได้มีผลกระทบกับความประทับใจที่เย่เทียนเฉินมีต่อผู้หญิงคนนี้เลย นี่เป็นผู้หญิงที่ไม่เลวคนหนึ่ง เป็นผู้หญิงที่มีบุญคุณกับตน เขาจำเป็นต้องไปช่วย ถ้าหากหานเจี๋ยตาย เขาก็จะทำให้ศัตรูตายไปทั้งหมด

จนกระทั่งพวกเขาสามคนไปถึงขอบเหวลึกของป่าหมอกดำฟ้าก็สว่างแล้ว ในตอนที่ไปสืบเสาะค้นหา เย่เทียนเฉินใช้พลังพิเศษแห่งการรับรู้ทำการตรวจสอบโดยตลอดเพื่อไม่เป็นการแหวกหญ้าให้งูตื่น ไม่ใช่เพราะพวกเขาว่ากลัวคนกลุ่มนี้ แต่กลัวว่าหลังจากที่ทำให้คนกลุ่มนี้ตื่นตกใจพวกเขาจะทำให้คนที่เหลือที่ยังไม่ถูกฆ่าตายไปทั้งหมด

จากการคาดเดาของพวกเขาทั้งสามคน ทหารหน่วยรบพิเศษชั้นยอดอีกสิบคนที่เหลือรวมไปถึงหานเจี๋ย เป็นไปได้มากว่าจะยังไม่ตาย เนื่องจากจุดประสงค์ของประเทศชิบะในครั้งนี้ ไม่เพียงแต่ต้องการทำให้ชายแดนป่าหมอกดำวุ่นวาย แต่ยังมีอีกจุดประสงค์หนึ่งนั่นก็คือต้องการได้รับข้อมูลที่พวกเขาอยากได้ มิฉะนั้นคงไม่จับตัวทหารหน่วยรบพิเศษชั้นยอดทั้งยี่สิบคนและหานเจี๋ยมา มีความสามารถแบบนี้ก็ฆ่าไปทั้งหมดก็สิ้นเรื่อง

เย่เทียนเฉิน ชางหลาง และหลัวเหว่ยเคอ คลานอยู่ในพุ่มหญ้าที่อยู่ไม่ไกล มองดูคนชุดดำที่ยืนอยู่บริเวณรอบๆ แต่ละคนล้วนเป็นยอดฝีมือ ในใจรู้สึกแปลกใจมาก ดูท่าครั้งนี้เพื่อที่จะก่อความวุ่นวายที่ชายแดนป่าหมอกดำ ประเทศชิบะจึงลงทุนครั้งใหญ่ กระทั่งคนยืนยามก็ยังเป็นยอดฝีมือ นี่ทำให้พวกเย่เทียนเฉินทั้งสามระมัดระวังขึ้นไม่น้อย หลีหวังเคยบอกพวกเขามาก่อนว่าคนที่เป็นหัวหน้าในครั้งนี้เป็นผู้อาวุโสคนหนึ่งของสำนักโฮคุชินอิตโตริว ภายในสำนักของเขาอย่างน้อยก็นับเป็นยอดฝีมือที่อยู่สิบอันดับแรก ส่วนเซนโทอินที่ถูกหลีหวังฆ่าตายอยู่ในอันดับที่ยี่สิบเท่านั้น คนละระดับโดยสิ้นเชิง ไม่รู้จริงๆ ว่าผู้อาวุโสคนนี้จะแข็งแกร่งขนาดไหน

“ฟ้าใกล้จะสว่างแล้ว พวกเราแยกย้ายกันปฎิบัติภารกิจเถอะ ช่วยเหลือคนเป็นสำคัญ!” ชางหลางเอ่ยปากพูดเสียงเบา

“อืม ถ้าพบคนที่แข็งแกร่งก็ไม่ต้องปะทะด้วย รักษาความปลอดภัยของคนอื่นเป็นสำคัญ!” หลัวเหว่ยเคอพยักหน้าแล้วพูดขึ้น

“พวกคุณรับผิดชอบการช่วยเหลือคน ผมจะตามอยู่ข้างหลัง!”

เย่เทียนเฉินขมวดคิ้วพูด เขาสัมผัสได้ถึงความผันผวนของพลังที่แข็งแกร่งในอากาศเบื้องหน้า

อาไท่ รองหัวหน้ากองทหารหน่วยรบพิเศษบริเวณชายแดนหน่วยนี้ เป็นคนสนิทของหัวหน้าของพวกเขาที่ชื่อหลีหวัง จากการอธิบายของหลัวเหว่ยเคอ อาไท่เคยเป็นขุนพลระดับทัพฟ้ามาก่อน ถึงแม้จะมีความสามารถในขอบเขตชั้นต้นของระดับทัพฟ้าก็ตาม แต่ใครก็รู้ว่าสำหรับประเทศจีนแล้ว ขุนพลระดับทัพฟ้านี้เป็นตัวแทนของพลังที่แข็งแกร่งที่สุดของกองทหารส่วนบุคคล คนเหล่านี้ล้วนเป็นยอดฝีมือในยอดฝีมือ ไม่ใช่ประเภททหารชั้นยอดอะไรอีกแล้ว พูดให้กระจ่างก็คือ เป็นคนที่มีความสามารถมากที่สุดในหมู่พลังที่ปรากฏเบื้องหน้าของประเทศจีน เมื่อมีคำว่าทัพฟ้าสองคำนี้ ความสามารถทางด้านการต่อสู้ไม่ใช่อะไรที่จะใช้ประโยคสองประโยคมาอธิบายให้เข้าใจกระจ่างได้

ดาบใหญ่ปักอาไท่ตายทั้งเปนอยู่บนต้นไม้ใหญ่ ยิ่งไปกว่านั้นยังทำลายต้นไม้ใหญ่จนแหลกเป็นชิ้น เห็นได้ว่าคนที่ลงมือกับเขาแข็งแกร่งมากขนาดไหน รอบศพของอาไท่มีศพของชายชุดดำคนอื่นๆ อีกสิบกว่าคนอยู่ นี่ควรจะเป็นศิษย์ของสำนักโฮคุชินอิตโตริว ความสามารถในการต่อสู้ของคนเหล่านี้ไม่อ่อนแอเลย แต่กลับถูกอาไท่กำจัดทิ้ง คนที่อยู่เบื้องหลังควรจะเป็นยอดฝีมือชั้นสูงของสำนักโฮคุชินอิตโตริวแน่ มิฉะนั้นหากต้องการฆ่าอาไท่ดูเหมือนจะทำไม่ได้เลย

เย่เทียนเฉิน ชางหลาง และหลัวเหว่ยเคอรู้สึกว่าเรื่องราวร้ายแรงขึ้นเรื่อยๆ เดิมทีคิดว่ามีเพียงทหารหน่วยรบพิเศษชั้นยอดทั้งยี่สิบกว่าคนและหานเจี๋ยที่หายตัวไป ถูกคนของสำนักโฮคุชินอิตโตริวแห่งประเทศชิบะลอบวางแผนร้าย คิดไม่ถึงว่าคนกลุ่มนี้จะมีผู้อยู่เบื้องหลัง ตามติดมาด้วยการยั่วยุหลีหวังซึ่งเป็นหัวหน้ากองทหารหน่วยรบพิเศษบริเวณชายแดนด้วยการนำศีรษะของทหารหน่วยรบพิเศษทั้งสิบหัวส่งเข้ามา กระตุ้นให้หลีหวังโกรธจนทำให้เขาพาทหารหน่วยรบพิเศษไล่ตามไป และถูกศัตรูลอบโจมตีอีกครั้ง กระทั่งอาไท่รองหัวหน้าหน่วยที่มีความสามารถในการต่อสู้แข็งแกร่งมากก็ยังตาย ท่าทางศัตรูในครั้งนี้จะไม่ได้ต้องการเพียงแค่ก่อกวนชายแดนบริเวณป่าหมอกดำง่ายๆ อย่างนั้นแน่ เขาต้องการที่จะกำจัดทหารหน่วยรบพิเศษบริเวณชายแดนป่าหมอกดำทั้งหมด เพื่อทำความประสงค์ให้สำเร็จ

“พวกเราไปกันเถอะ หวังว่าจะมีคนรอดชีวิตนะ!” หลัวเหว่ยเคอขมวดคิ้วแล้วพูดขึ้น

ไม่ว่าใครก็รู้ว่า ทหารหน่วยรบพิเศษชั้นยอดทั้งยี่สิบคนและหานเจี๋ยหายตัวไปก่อนหน้านี้ และตอนนี้มีศีรษะของทหารหน่วยรบพิเศษส่งกลับมาสิบศรีษะแล้ว กล่าวได้ว่าคงจะเหลือทหารหน่วยรบพิเศษแค่สิบคนและหานเจี๋ยที่ยังมีชีวิตอยู่ หรือกระทั่งอาจจะไม่เหลือเลยแม้แต่คนเดียวก็เป็นได้ และในตอนที่พวกเขาสามคนตามไปถึงอาจจะมีศพไร้ศีรษะอยู่ทุกที่ พวกเขาย่อมไม่อยากเห็นภาพแบบนี้ เพียงแต่ใครก็ไม่กล้ารับประกันว่าคนอื่นจะยังมีชีวิตอยู่

“แม้ว่าพวกเขาจะยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ คนของสำนักโฮคุชินอิตโตริวจะต้องทิ้งชีวิตเอาไว้ในป่าหมอกดำแห่งนี้ทั้งหมด ไม่ให้เหลือแม้แต่คนเดียว!”

ในตอนนี้เย่เทียนเฉินโกรธเข้าจริงๆ แล้ว กระตุ้นไอสังหารขึ้นมาครั้งใหญ่ ตั้งแต่ที่เขาได้มาเกิดใหม่จากดาวสิ้นโลก เดิมทีก็ไม่ได้มีความเกลียดชังอะไรกับคนประเทศชิบะพวกนี้ เพียงแค่หลังจากที่ต่อสู้กับคาเอดะอิจิโร่และได้ยินข่าวที่คนรอบตัวพูดคุยวิพากษ์วิจารณ์กัน การประเมินค่าที่เขามีต่อคนประเทศชิบะจึงกลายเป็นความเกลียดชัง จำเป็นต้องฆ่าให้หมด

ชางหลางและหลัวเหว่ยเคอมองไปที่เย่เทียนเฉินและพยักหน้าเช่นเดียวกัน พวกเขารู้ว่าเย่เทียนเฉินพูดไม่ผิด ภารกิจของพวกเขาสามคนในครั้งนี้ก็คือช่วยเหลือหานเจี๋ยและทหารหน่วยรบพิเศษชั้นยอดทั้งยี่สิบคนที่หายตัวไป หากสหายร่วมรบเหล่านี้ล้วนตายไปหมดแล้ว เช่นนั้นพวกเย่เทียนเฉินทั้งสามก็มีเพียงเรื่องเดียวที่จะกระทำได้ นั่นก็คือฆ่าศัตรูทิ้งให้หมดไม่ให้เหลือแม้แต่คนเดียว

เย่เทียนเฉินในตอนนี้ไม่รักษาพลังอะไรเอาไว้อีกแล้ว พลังพิเศษแห่งการรับรู้ขยายขอบเขตออกไปจนถึงระดับสูงสุด ครอบคลุมไปถึงระยะหนึ่งหมื่นเมตรรอบด้าน ไม่ว่าลมจะพัดหรือหญ้าขยับหรืออะไรก็ตาม เขาสามารถรับรู้ได้ทั้งหมด

เมื่อพูดถึงตรงนี้ก็ไม่อาจไม่พูดถึงเรื่องเรื่องหนึ่ง ตั้งแต่ที่เย่เทียนเฉินได้รับบาดเจ็บและผ่านการรักษาจากจางอีเต๋อมาแล้ว อาการบาดเจ็บที่กายเนื้อและอวัยวะภายในต่างๆ สมานกันจนสมบูรณ์ เพียงแต่การปะทะกันของพลังพิเศษที่แตกต่างกันทำให้เขามีอันตรายที่อาจจะระเบิดตัวเองตายได้ สุดท้ายจางรั่วถงจึงใช้ร่างกายอันพิเศษของตน เสียสละร่างกายที่บริสุทธิ์ของตน ถึงช่วยเย่เทียนเฉินให้มีชีวิตอยู่ต่อไปได้ ตั้งแต่นั้นเย่เทียนเฉินรู้สึกถึงระดับความแข็งแกร่งของกายเนื้อของตนเอง ตลอดจนขอบเขตพลังความสามารถที่ยกระดับขึ้น กระทั่งขอบเขตของพลังพิเศษแห่งการรับรู้ก็ขยายใหญ่ขึ้นมาก นี่อดไม่ได้ที่จะทำให้เขารู้สึกแปลกใจต่อร่างกายที่พิเศษของจางรั่วถง ทั้งยังรู้สึกผิดกับผู้หญิงผู้งดงามคนนี้เป็นอย่างมาก ตกลงแล้วเธอไปที่ไหนกันแน่?

“พวกเราเดินตรงไปข้างหน้าเถอะ ผมรู้สึกว่าที่นั่นมีคนที่ผ่านการต่อสู้ครั้งใหญ่อยู่!” เย่เทียนเฉินเอ่ยปาก

ชางหลางและหลัวเหว่ยเคอต่างพยักหน้า ทั้งสามเดินพุ่งตรงไปด้านหน้าด้วยความรวดเร็ว ความเร็วระดับนั้นไม่ใช่การเดินแล้ว แต่เหมือนกับเป็นการบินอย่างไรอย่างนั้น สำหรับคนที่มีความสามารถระดับพวกเขา ต่อให้เคลื่อนไหวในตอนกลางคืนที่มืดมิดก็ทำได้ดีเหมือนกับเดินอยู่บนพื้นราบ รวมกับแสงของดวงจันทร์ที่ส่องสว่างขนาดนั้นสาดส่องลงมา จึงมีส่วนช่วยในการเคลื่อนไหวของพวกเขา

ฟิ้ว!

ชางหลางพุ่งตัวไปด้านหน้าสุด เย่เทียนเฉินอยู่คนที่สอง ส่วนหลัวเหว่ยเคออยู่คนที่สาม ตำแหน่งในตอนแรกเริ่มของหลัวเหว่ยเคอก็ถูกกำหนดให้อยู่ด้านหลังแล้ว ไม่ต้องให้เขาเป็นตัวหลักในการ ต่อสู้จะอย่างไรหลัวเหว่ยเคอก็อายุสี่สิบกว่าแล้ว คนเราถ้าไม่เคารพผู้อาวุโสนั้นไม่ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในความคิดของเย่เทียนเฉินและชางหลาง หลัวเหว่ยเคอเป็นสายลับของประเทศมายี่สิบปีแล้ว ในช่วงเวลายี่สิบกว่าปีนี้ก็ทำภารกิจอยู่ที่ชายแดนมาโดยตลอด ผ่านการต่อสู้เป็นตายมาหลายครั้งและได้รับบาดเจ็บมามาก ทำผลงานเพื่อประเทศชาติและประชาชนอย่างยิ่งใหญ่ อีกไม่นานก็จะเกษียณแล้ว ไม่จำเป็นต้องให้เขามาเสี่ยงอันตรายนี้

เสียงหนึ่งดังสนั่น ต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งพุ่งเข้ามาทางชางหลางจากเบื้องหน้า ชางหลางหลบไปอย่างรวดเร็ว ต้นไม้ใหญ่ไม่ได้ทำร้ายเย่เทียนเฉินและหลัวเหว่ยเคอเช่นเดียวกัน ในตอนนี้เองคนทั้งสามต่างมองไปด้านหน้าด้วยความแปลกใจ ทุกที่ต่างมีต้นไม้ใหญ่สูงเสียดฟ้าล้มอยู่ เดิมทีนี่เป็นป่าที่มีต้นไม้ใหญ่ขึ้นอย่างหนาแน่นเป็นอย่างมาก ตอนนี้ล้มลงไปเป็นวงกว้างจนสามารถมองรอบด้านบริเวณพันเมตรได้อย่างชัดเจน ต้นไม้แต่ละต้นถูกตัดไปแล้ว การต่อสู้นี้เรียกได้ว่าน่าหวาดกลัวมาก

ซู่ม!

เงาคนร่างหนึ่งกระโดดขึ้น ปรากฏเป็นเส้นโค้งอันงดงามภายใต้แสงจันทร์กลางท้องฟ้า มือขวาออกกระบวนท่าเป็นกรงเล็บ นี่เป็นชายฉกรรจ์ที่สวมชุดลายพรางคนหนึ่ง มองด้วยตาก็สามารถเห็นกล้ามเนื้อบนร่างกายของเขาได้ มากเพียงพอที่จะเห็นว่าพลังการต่อสู้ของเขาแข็งแกร่งขนาดไหน เต็มไปด้วยความรู้สึกของพลังอันแข็งแกร่งจริงๆ

ซู่ม!

อีกด้านหนึ่ง มีเงาคนอีกคนนึงพุ่งมาเช่นเดียวกัน ดาบใหญ่ในมือขวาระเบิดลำแสงออก ปราณดาบอันแข็งแกร่งทำให้อากาศสั่นสะเทือน ยิ่งไปกว่านั้นยังปรากฏรอยแยกของอากาศอีกด้วย น่าหวาดกลัวเป็นอย่างมาก ทั่วทั้งท้องฟ้าเต็มไปด้วยใบไม้ที่ปลิวว่อน ดูเละเทะอย่างหาที่เปรียบมิได้

ตู้ม!

คนทั้งสองใช้กระบวนท่าที่แข็งแกร่งที่สุดของตนจนระเบิดลำแสงสดใสออกมากลางอากาศ นี่ไม่ใช่เพียงการดวลกันของกระบวนท่าเท่านั้น ที่สำคัญก็คือการปะทะกันของพลัง เสียดแทงเสียจนทำให้ผู้คนลืมตาไม่ขึ้น

หลังจากการต่อสู้กัน ดูเหมือนทั้งสองจะไม่ได้รั้งรอที่จะใช้พลังกระบวนท่าที่แข็งแกร่งที่สุดใส่กันและกัน ต้องการดวลกันถึงขั้นเป็นตาย

“กรงเล็บมังกรฟ้า!” ชายฉกรรจ์ที่สวมชุดลายพรางตะโกนออกมาเสียงดัง ใช้กรงเล็บขวาโจมตีเซนโทอินจากบนลงร่าง

“เพลงดาบสายฟ้าแห่งสำนักโฮคุชินอิตโตริว!” ชายชุดดำที่ดวลกับเขาก็ใช้ภาษาจีนงูๆ ปลาๆ ตะโกนออกมาเช่นเดียวกัน

ครืน!

นี่คือการดวลกันที่แข็งแกร่งที่สุด เย่เทียนเฉิน ชางหลาง และหลัวเหว่ยเคอต่างยืนอยู่ห่างไปร้อยเมตร แต่ก็ยังสัมผัสได้ถึงพลังที่แข็งแกร่งจนถึงขั้นทำลายล้างทุกสิ่งทุกอย่างได้ เมื่อดูจากสภาพแวดล้อมรอบด้านที่ต้นไม้ใหญ่ถูกโจมตีจนหักทั้งหมดก็สามารถมองออกแล้วว่า หากคนธรรมดาเข้าไปใกล้คงทำได้เพียงถูกฟันจนเนื้อแหลกเหลวเท่านั้น สองคนนี้แข็งแกร่งเป็นอย่างมาก

“คนชุดดำคนนั้นแข็งแกร่งมาก ถึงกับสามารถต่อสู้กับหลีหวังที่แข็งแกร่งที่สุดได้โดยไม่ตกเป็นรองเลยแม้แต่น้อย!” หลัวเหว่ยเคอสูดหายใจเย็นยะเยือกแล้วพูดขึ้น

“ดูท่าทางคนคนนี้จะเป็นคนที่ใช้ดาบปักอาไท่จนตาย ความสามารถไม่ได้ด้อยไปกว่านายกับฉันเลย” ชางหลางพยักหน้าแล้วพูดขึ้น

เย่เทียนเฉินมองไปด้านหน้าด้วยสีหน้าเคร่งขรึม เขาเห็นการต่อสู้ระหว่างชายที่สวมชุดลายพรางและคนชุดดำเมื่อครู่นี้ทั้งหมดแล้ว แม้แต่เขาเองก็อดไม่ได้ที่จะถอนใจด้วยความตื่นตะลึง คนทั้งสองแข็งแกร่งมากจริงๆ ต่อให้ตอนนี้พลังของเขาจะยกระดับขึ้นจนถึงระดับสูงสุดของขอบเขตจอมราชันแล้วก็ตาม สองคนนี้ก็สามารถต่อสู้กับเขาได้

จากข้อมูลของหลีหวังที่ชางหลางอธิบายให้เย่เทียนเฉินฟังคร่าวๆรวมกับจากการสังเกตของตน เขาดูออกว่าความสามารถของหลีหวังคงจะอยู่ในระดับขุนพลทัพฟ้าชั้นกลาง พวกเขาต่างเป็นคนที่ฝึกฝนเคล็ดวิชาของพรรควรยุทธโบราณ ความสามารถของหลีหวังไปถึงขอบเขตนักรบอาวุโสแล้ว ถึงแม้จะไม่ได้ก้าวเข้าไปโดยสิ้นเชิง แต่ขอบเขตพลังใดๆ ก็ตาม ขอเพียงสามารถสัมผัสได้เล็กน้อยก็แตกต่างกันราวฟ้ากับเหวแล้ว

ในตอนที่เย่เทียนเฉิน ชางหลาง และหลัวเหว่ยเคอพุ่งเข้าไปใกล้ พวกเขาก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว พบว่ากรงเล็บที่มือขวาของหลีหวังแทงทะลุหน้าอกของคนชุดดำคนนั้น และดาบใหญ่ที่มือขวาของคนชุดดำก็แทงเข้าไปที่หน้าอกของหลีหวังเช่นกัน ทั้งสองยืนเผชิญหน้า จับจ้องอีกฝ่ายอย่างไม่มีใครขยับ และไม่มีใครลงมืออีก ในตอนนี้เอง พวกเขารู้ว่าตนเองไม่สามารถมีชีวิตรอดต่อไปได้แล้ว และพวกเขาต่างก็ไม่อยากให้ตนเองตายโดยที่อีกฝ่ายยังมีชีวิตรอดและกลายเป็นขวากหนามให้กับคนที่อยู่ข้างหลังตน

“แกแข็งแกร่งมากสามารถทำร้ายฉันเซนโทอินที่เป็นยอดฝีมืออันดับยี่สิบของสำนักโฮคุชินอิตโตริวได้ แกควรจะภาคภูมิใจแล้ว!” คนชุดดำพูดกับหลีหวังด้วยรอยยิ้มเย็นชา

“งั้นเหรอ? ในประเทศจีนของฉัน ฉันก็เป็นแค่คนไม่สำคัญคนหนึ่งที่ไร้ชื่อเสียงเท่านั้น ท่าทางความสามารถในการต่อสู้ของประเทศจีนของฉันจะชนะพวกประเทศชิบะของแกไปไกลมาก มีความคิดที่จะบุกรุกเข้ามาแบบนั้นก็มีแต่จะทำให้คนจำนวนมากถูกส่งมาตายเท่านั้น!” มุมปากของหลีหวังมีเลือดไหลออกมาแต่กลับยังคงพูดด้วยรอยยิ้มเรียบเฉย

ตู้ม! หมัดของหลัวเหว่ยเคอต่อยไปยังเซนโทอิน เขาย่อมอยู่ข้างหลีหวัง คิดจะช่วงหลีหวังย่อมต้องโจมตีเซนโทอิน

ไหนเลยจะรู้ว่า ในตอนที่หลัวเหว่ยเคอต่อนออกไป หลีหวังจะตะโกนออกมาเสียงดัง “อย่าขยับมั่วซั่ว…”

แต่ว่าสายไปแล้ว หลัวเหว่ยเคอเองก็เป็นยอดฝีมือที่มีความสามารถแข็งแกร่งเหนือระดับเช่นเดียวกัน เมื่อลงมือก็ไม่ใช่เรื่องล้อเล่น รวดเร็วและรุนแรงอย่างมาก จนกระทั่งปะทะเข้ากับศีรษะของเซนโทอิน ต้องการที่จะทำให้ศีรษะของเขาเละเป็นแตงโม

ตู้ม!

เสียงดังลั่นฟ้า หลัวเหว่ยเคอถูกแรงกระแทกจนกระเด็นออกไปทั้งร่าง อีกฝ่ายระเบิดความบ้าคลั่งออกมา ด้านข้างถึงแม้จะถูกหลีหวังควบคุมเอาไว้แต่คนที่กำลังจะตายมัคจะดิ้นรนสุดชีวิต ระเบิดพลังความสามารถในการต่อสู้ที่แข็งแกร่งที่สุดออกมาเป็นครั้งสุดท้าย ฝ่ามือด้านซ้ายซึ่งมีพลังมากพอที่จะทลายภูเขาได้ตบไปที่หลัวเหว่ยเคอ ในตอนที่ยังไม่ถูกตัวหลัวเหว่ยเคอก็ถูกแรงกระแทกจนปลิวออกไปแล้ว เป็นพลังที่น่าหวาดกลัวถึงขีดสุด

หลังจากที่หลัวเหว่ยเคอตีงูหลามตัวใหญ่จนหนีไปได้ แต่กลับนำพาความยุ่งยากครั้งใหญ่มาให้ นี่เป็นงูโลหิตที่มีจิตอาฆาตรุนแรงและเป็นงูที่มีนิสัยโหดเหี้ยมมากที่สุด งูตัวนั้นถูกหลัวเหว่ยเคอตีหัวจนเกือบตายและยังถูกมีดแทงเข้าไปที่จุดเจ็ดชุ่นของงูอีกด้วย ซึ่งจะต้องตายอย่างแน่นอน พวกเขาอาจจะต้องเผชิญกับการแก้แค้นของแม่งูโลหิต จำเป็นจะต้องระวังให้มาก งูที่มีขนาดใหญ่พอๆ กับถังน้ำนี้ แค่คิดก็ทำให้ผู้คนรู้สึกหวาดกลัวแล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการต่อสู้เลย อีกทั้งงูที่หลัวเหว่ยเคอตีจนมันหนีไปตัวนั้นไม่นับว่าใหญ่

“สหาย คุณไม่เป็นไรใช่มั้ย? เป็นยังไงบ้าง?” ชางหลางประคองคนที่เกือบจะถูกงูกลืนเข้าไปคนนั้นขึ้นมา เมื่อเห็นว่าเสื้อผ้าที่เขาสวมใส่คือชุดมาตรฐานของทหารหน่วยรบพิเศษแห่งประเทศจีนจึงถามออกมาอย่างร้อนใจ สหายผู้นี้ช่วยไม่ได้แล้วแน่นอน ลำไส้ทะลักออกมา ลำคอก็ถูกกัดจนเป็นรูใหญ่ มีเลือดไหลออกมาไม่หยุด

“เร็ว รีบไปช่วยพวกหัวหน้าหลีหวัง…”

หลังจากที่สหายหน่วยรบพิเศษคนนี้พูดจบ ศีรษะตกลงตายไป เขาสามารถยืนหยัดจนมาถึงตอนนี้ได้ก็เป็นเพราะต้องการบอกข่าวนี้ต่อพวกชางหลาง

ชางหลางขมวดคิ้ว ศพของสหายผู้นี้วางอยู่ด้านข้าง เดิมทีเขาคิดจะช่วยฝังแต่กลับถูกคำพูดหนึ่งของเย่เทียนเฉินหยุดเอาไว้

“ไม่ต้องฝัง ถ้าฝังก็จะถูกสัตว์ร้ายขุดออกมากินอยู่ดี!”

ในตอนที่เย่เทียนเฉินอยู่ที่ดาวสิ้นโลก ในฐานะที่เป็นผู้แข็งแกร่งที่มีพลังพิเศษในขอบเขตพระเจ้าขั้นสูงสุด ในโลกนั้นมีสัตว์อสูรและมนุษย์กลายพันธุ์อยู่จำนวนมาก มีกระทั่งปีศาจที่หาได้ยากยิ่ง ล้วนเป็นตัวตนที่เกิดจากการวิวัฒนาการมาจากสัตว์ร้ายทั้งสิ้น สัตว์ร้ายที่มีลักษณะดังเดิมเหมือนกับงูโลหิตนี้เขาก็เคยพบมาก่อน แน่นอนว่างูโลหิตที่พบในตอนนี้ย่อมไม่แข็งแกร่งไปกว่าตัวตนเหล่านั้นบนดาวสิ้นโลก เป็นแค่สัตว์ร้ายที่มีสัญชาตญาณดั้งเดิมของสัตว์ป่าเท่านั้น ไม่ได้มีความร้ายกาจขนาดนั้น มิฉะนั้นแค่งูหลามเมื่อสักครู่นี้ตัวเดียวก็เพียงพอที่จะต่อสู้กับชางหลาง เย่เทียนเฉิน และหลัวเหว่ยเคอแล้ว

การต่อสู้ภายในป่าดึกดำบรรพ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งภายใต้สถานการณ์ที่อันตรายแบบนี้ ไม่ใช่จะบอกว่ามนุษย์ไร้ไมตรี แต่คุณไม่สามารถปกป้องคนตายคนหนึ่งได้ ไม่สามารถปกป้องศพของสหายตนได้ เนื่องจากขอเพียงคุณแบ่งสมาธิไป วินาทีต่อมาคนที่จะต้องตายอาจจะเป็นคุณ ทุกสิ่งทุกอย่างนั้นจะจบสิ้นด้วย

“พวกเราไปกันเถอะ ต้องหาพวกเขาให้พบเร็วๆ!” ชางหลางวางศพของทหารหน่วยรบพิเศษคนนั้นลงแล้วเดินตรงไปข้างหน้า

ระหว่างการเดินทาง ชางหลางอธิบายสถานการณ์โดยรวมให้เย่เทียนเฉินฟัง หลีหวังก็คือหัวหน้าของทหารหน่วยรบพิเศษหน่วยนี้ที่บริเวณชายแดน เคยเป็นคนที่อยู่ในกลุ่มขุนพลระดับทัพฟ้ามาก่อน แต่ก็เป็นเพียงทัพฟ้าชั้นต้นเท่านั้น ขุนพลระดับทัพฟ้าแบ่งออกเป็นชั้นต้น ชั้นกลาง และชั้นอ๋อง แต่ถึงแม้ว่าหลีหวังจะเป็นขุนพลทัพฟ้าชั้นต้นก็มากพอที่จะเป็นผู้นำของทหารหน่วยรบพิเศษนี้แล้ว เพียงแค่คำว่าทัพฟ้าสองคำนี้ก็รู้แล้วว่าหนักหนาขนาดไหน

ถ้าหากจะพูดถึงเฮยเมี่ยน เขาควรจะนับว่าเป็นขุนพลทัพฟ้าในชั้นกลาง ยังไม่ถึงขอบเขตชั้นอ๋อง นี่เป็นจุดที่เย่เทียนเฉินสนใจในขุนพลระดับทัพฟ้า ถ้ามีโอกาสเขาจะต้องไปฝ่าด่านทัพฟ้าดูสักหน่อยแน่นอน

“เพียงแต่สิ่งที่ฉันแปลกใจก็คือ ทำไมหลีหวังถึงพาคนเข้ามาในป่าลึกขนาดนี้ได้? ไม่ใช่ว่าเบื้องบนสั่งเข้ามาแล้วว่าอย่าให้เขาบุ่มบ่ามรึไง?” ชางหลางอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วแล้วพูดออกมา

ในความคิดของชางหลาง หลีหวังมีฐานะเป็นหัวหน้าของทหารหน่วยรบพิเศษชายแดนกลุ่มนี้ การเชื่อฟังคำสั่งเป็นเรื่องที่เขารับรู้แน่นอนอยู่แล้ว และดูเหมือนจะไม่ใช่คนที่จะขัดคำสั่งได้ แต่ครั้งนี้กลับผิดปกติ ถึงกับพาทหารหน่วยรบพิเศษกลุ่มนี้เข้ามาในป่าหมอกดำเป็นการส่วนตัว เรื่องนี้ไม่ปกติอยู่บ้าง

“ท่าทางจะมีเรื่องอะไรเกิดขึ้น บางทีศัตรูอาจจะจงใจล่อลวงให้หลีหวังพาคนเข้ามาโดยไม่ทันได้รายงานสถานการณ์ไปยังเบื้องบน” หลัวเหว่ยเคอขมวดคิ้วแล้วพูดขึ้น

สถานการณ์รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ แล้ว และยิ่งซับซ้อนมากขึ้นเรื่อยๆ ด้วย ความจริงนี้ทำให้เขาคิดไม่ถึง ศัตรูในครั้งนี้ท่าทางจะแข็งแกร่งมากและมีการวางแผนมาล่วงหน้านานแล้ว หลังจากที่ทำให้ทหารหน่วยรบพิเศษชั้นยอดและหานเจี๋ยหายตัวไป พวกเขาก็รู้ว่าทางประเทศจีนจะต้องส่งคนมาช่วยที่ค่ายแน่นอน ระหว่างนี้พวกเขายังทำร้ายคนที่มาช่วยเหลือที่ค่ายไม่หยุด นี่ไม่ใช่แค่การหาเรื่องแล้ว แต่เป็นความต้องการที่จะทำให้กองกำลังบริเวณชายแดนของประเทศจีนอ่อนแอลงอย่างแท้จริง จุดประสงค์ชัดเจนอย่างมาก

เรื่องที่ชายแดนมีความซับซ้อนมาโดยตลอด อีกทั้งบริเวณที่การต่อสู้ไม่เคยหยุดก็คือเขตชายแดนนี้เอง เพราะว่านี่เป็นเขตพรมแดนระหว่างประเทศหนึ่งกับอีกประเทศหนึ่ง เรื่องต่างๆ มากมายที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายและการรุกล้ำเขตแดนต่างเกิดขึ้นที่นี่ แต่ครั้งนี้เห็นได้ชัดว่ามีคนจงใจเพ่งเล็งมาที่ประเทศจีน ต้องการโจมตีพลังอำนาจในเขตชายแดนของประเทศจีน ไม่ว่าจะอย่างไร เมื่อข่าวนี้แพร่ออกไปจะส่งผลกระทบและคุกคามประเทศจีนในระดับนานาชาติ จะทำให้เกิดความอ่อนแอครั้งใหญ่ และทำให้เกิดผลกระทบที่ไม่ดีเป็นอย่างมาก

“คงจะไม่ไกลนัก ทางซ้ายมือมีลมหายใจอ่อนๆ ของคนอยู่ด้วย!” เย่เทียนเฉินใช้พลังพิเศษแห่งการรับรู้ไปนานแล้ว ตอนนี้เขาไม่สนใจจะรักษาพลังเอาไว้แล้ว เป็นไปได้มากว่าใกล้จะเกิดการต่อสู้ขึ้นแล้ว

“พวกเราไปกันเถอะ!” ชางหลางพูดขึ้น

เย่เทียนเฉิน ชางหลางและหลัวเหว่ยเคอ ทั้งสามคนเรียกได้ว่าเป็นยอดฝีมือในระดับสูง ดังนั้นถึงแม้จะกล่าวว่าเป็นตอนกลางคืน แต่ก็มีไฟฉายพกพา มีแสงสว่างของดวงจันทร์ รวมกับการรับรู้อันเฉียบแหลมของแต่ละคนแล้ว ดูเหมือนจะไม่มีการเคลื่อนไหวใดรอดผ่านไปได้ ไม่นานก็มาถึงจุดที่เย่เทียนเฉินรับรู้

ในตอนที่พวกเย่เทียนเฉินทั้งสามคนมาถึงพื้นที่ว่างแห่งหนึ่ง ทั้งสามก็อดไม่ได้ที่จะสูดหายใจเย็นยะเยือก ขมวดคิ้วแน่น พบว่าที่นั่นมีศพของทหารหน่วยรบพิเศษอยู่ประมาณเจ็ดแปดคน ทั้งหมดต่างถูกฟันศีรษะจนศีรษะกับตัวแยกออกจากกัน โหดเหี้ยมอย่างผิดปกติ และบนต้นไม้ใหญ่ด้านข้างต้นหนึ่ง มีทหารหน่วยรบพิเศษผู้หนึ่งถูกดาบเล่มใหญ่แทงปักเอาไว้ บริเวณหน้าอกถูกแทงทะลุ กระทั่งต้นไม้ก็ถูกแทงทะลุไปด้วย เลือดสดๆ ไหลลงมาตามกิ่งไม้ ต้องการให้เลือดไหลออกมาจนตาย

“เขายังมีลมหายใจอยู่…” ในขณะที่เย่เทียนเฉินพูด มือขวาก็วางลงบนหน้าอกของทหารหน่วยรบพิเศษคนนั้นเบาเบาแล้วส่งพลังพิเศษเข้าไปอย่างเชื่องช้า นี่ไม่ใช่เคล็ดวิชาพลังพิเศษแห่งการรักษา แต่เป็นเพียงแค่การทำให้อาการบาดเจ็บไม่รุนแรงไปกว่านี้ ทำให้เลือดไม่เกิดการแข็งตัวไปชั่วคราว

“เป็นอาไท่ เขาเป็นลูกน้องของหลีหวัง เป็นรองหัวหน้าหน่วย เคยฝ่าด่านขุนพลระดับทัพฟ้าเล็กน้อย แล้วพ่ายแพ้ที่ด่านสุดท้าย แต่หลีหวังให้ความสำคัญกับเขามาก คิดว่าภายในสองปีอาไท่จะต้องกลายเป็นยอดฝีมือระดับทัพฟ้าได้แน่ ดังนั้นจึงรับเขาเป็นลูกน้อง!” หลัวเหว่ยเคอจำทหารหน่วยรบพิเศษคนนี้ได้จึงอดไม่ได้ที่จะพูดมาด้วยความสะเทือนใจเล็กน้อย

เย่เทียนเฉินย่อมรู้ดีว่าความรู้สึกแบบนี้คืออะไร คนคนหนึ่งที่เกือบจะได้เป็นยอดฝีมือระดับทัพฟ้า เพียงแค่มีอายุน้อยยังไม่มีประสบการณ์มากเท่านั้น อีกไม่กี่ปีก็จะได้เป็นขุนพลระดับทัพฟ้าอย่างแน่นอน เรียกได้ว่าความสามารถแข็งแกร่งเหนือระดับไ ม่ใช่คนอ่อนแอแน่ แต่กลับถูกศัตรูแทงทะลุจนปักติดกับต้นไม้ ต้องการให้เลือดไหลจนแห้งตาย ศัตรูแข็งแกร่งมาก แข็งแกร่งจนเกือบถึงขั้นวิปลาส

“แค่กๆ …อึก…”

อาไท่ลืมตาขึ้น คิดจะพูดแต่มุมปากกลับกระอักเลือดสดๆ ออกมาในทันที เย่เทียนเฉินรีบปิดบาดแผลบริเวณหน้าอกของเขาเอาไว้แล้วเอ่ยปากพูดว่า “พวกเราต้องการรู้ข้อมูล ต้องการไปช่วยคน คุณอย่าได้รีบร้อน ค่อยๆ พูด!”

อาไท่มองเย่เทียนเฉินครู่หนึ่งแล้วจึงสูดหายใจลึก เขารับรู้ได้ว่าตนเองไม่มีทางรอดแล้ว จะต้องตายแน่แล้ว แต่ในฐานะที่เป็นทหารคนหนึ่ง สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือการรายงานข้อมูลให้กับคนที่สามารถทำสำเร็จ นี่ถึงจะเป็นการปฎิบัติภารกิจได้สำเร็จและทำตามเป้าหมายได้ ในยุคนี้ไม่ใช่ยุคสมัยของวีรบุรุษเพียงคนเดียวแล้ว

“หัวหน้า เขา เขาไล่ตามไปโจมตี มีแค่เขาคนเดียว…พวกคุณรีบไป…สนับสนุนเขา…พวกเราถูกลอบโจมตีที่นี่…เป็นยอดฝีมือของสำนักดาบโฮคุชินอิตโตริว…แข็งแกร่ง…แข็งแกร่งมาก…” อาไท่กลั้นใจ ฝืนพูดออกมาด้วยร่างกายอันสั่นเทา

จินตนาการได้เลยว่า คนผู้หนึ่งที่บริเวณหน้าอกถูกดาบเล่มใหญ่ปักทะลุจนเลือดไหลออกมา ได้รับความเจ็บปวดมากขนาดไหนกัน ยิ่งไปกว่านั้นยังพยายามฝืนความหวาดกลัวในความตายแล้วพูดออกมา น่านับถือจริงๆ อาไท่ได้แสดงส่วนที่แข็งแกร่งทรหดที่สุดของผู้เป็นทหารแห่งประเทศจีนออกมาแล้ว

“ทำไมถึงไม่ฟังคำสั่ง ทำไมถึงเข้ามาโดยพลการ?” ชางหลางขมวดคิ้วถาม เขาไม่ได้ตำหนิ แต่ต้องการรับรู้ให้แน่ชัดว่าเกิดอะไรขึ้น

“ศัตรู…ศัตรูส่งศีรษะของสหายร่วมรบของพวกเราทั้งสิบคนมา…ไม่มีพี่น้องแม้แต่คนเดียวที่จะทนได้ ดังนั้นพวกเราจึงไล่ตาม…ไหนเลยจะรู้ว่า…” อาไท่พูดอย่างปวดใจ

ชางหลางชะงักไปครู่หนึ่ง ทอดถอนใจออกมา ความสัมพันธ์ของสหายร่วมรบนั้นสำคัญมาก หากตนเองพบว่าศีรษะของสหายร่วมรบทั้งสิบคนถูกศัตรูส่งมา เกรงว่าก็คงควบคุมความบ้าคลั่งเอาไว้ไม่ได้ ต้องการที่จะฆ่าล้างพวกเขาทั้งหมดเพื่อแก้แค้น ใครก็ระงับความโกรธเช่นนี้ไม่ได้

“ผม…อึก!” อาไท่ยืนหยัดจนถึงขีดสุดแล้ว อดทนไม่ไหวอีกต่อไปจนกระอักเลือดสดๆ ออกมาและสิ้นใจตาย

ฝ่ามือข้างซ้ายของเย่เทียนเฉินประคองศพของอาไท่ มือขวาใช้ออกแรงดึงดาบที่ปักอยู่ออกมาในช่วงอึดใจ ด้านบนดาบเต็มไปด้วยรอยเลือดและมีสัญลักษณ์ที่เป็นเอกลักษณ์อยู่ด้วย สัญลักษณ์นี้เย่เทียนเฉินเคยเห็นมาก่อนในตอนที่สู้กับคาเอดะอิจิโร่ เป็นสัญลักษณ์บนดาบใหญ่อันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของสำนักดาบโฮคุชินอิตโตริว

เขาส่งพลังพิเศษแห่งการรับรู้ออกไป เย่เทียนเฉินพบว่าบนดาบใหญ่เล่มนี้มีพลังอันเป็นเอกลักษณ์อยู่ แข็งแกร่งเป็นอย่างมากถึงแม้จะสลายไปเยอะแล้วแต่ยังคงสัมผัสได้บ้าง คนที่ฆ่าอาไท่แข็งแกร่งมาก เนื่องจากรอบๆ ตัวของอาไท่มีศพของคนชุดดำอยู่จำนวนหนึ่ง คนพวกนี้คงเป็นคนของสำนักดาบโฮคุชินอิตโตริว เป็นคนที่สู้กับอาไท่ และต้องเป็นยอดฝีมือชั้นสูงของสำนักดาบโฮคุชินอิตโตริวแน่นอนที่สามารถใช้ดาบแทงเขาจนปักติดอยู่กับต้นไม้ ทำให้ผู้คนต้องทอดถอนใจด้วยความตื่นตกใจ

“สหาย คุณพักผ่อนอย่างสงบเถอะ ผมนับถือความพยายามของคุณมาก ดังนั้นผมจะแก้แค้นให้คุณเอง!” เย่เทียนเฉินพูดด้วยรอยยิ้ม แต่ในดวงตากลับเต็มไปด้วยความโกรธ เขาเป็นคนที่โกรธยาก กระทั่งตอนที่ฆ่าคนก็ยังมีใบหน้าประดับรอยยิ้มไร้พิษภัย แต่ครั้งนี้เขาโกรธเขาจริงๆ แล้ว

ครืน!

หลังจากที่เย่เทียนเฉินดึงดาบใหญ่เล่มนั้นออกมา ต้นไม้ใหญ่ด้านหลังอาไท่ก็พังทลาย เห็นได้ชัดว่าพลังของดาบนี้แข็งแกร่งมากเพียงใด สามารถทำให้ต้นไม้ใหญ่ทั้งต้นระเบิดเป็นชิ้นๆ ได้ทั้งหมด เพียงแค่แตะเบาๆ ก็ล้มทลายลงแล้ว

“พวกเราต้องปฏิบัติการณ์ให้เร็ว ฉันกังวลว่าหลีหวังจะมีอันตราย คนของอีกฝ่ายแข็งแกร่งมาก ยิ่งไปกว่านั้นยังมีการวางแผนมาแล้วล่วงหน้า จะต้องระวังสักหน่อย!” ชางหลางขมวดคิ้วแน่นแล้วพูดออกมาอย่างดุดัน

เย่เทียนเฉินได้ยินคำพูดของหลัวเหว่ยเคอก็หยุดฝีเท้าลง หันไปมองหลัวเหว่ยเคอยิ้มๆ แล้วพูดขึ้นว่า “อย่ารังแกเด็กเลยครับ…”

“พูดได้ดีนี่ อย่ารังแกเด็กเลย…คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าประเทศจีนของพวกเราจะมีบุคคลผู้มีความสามารถแบบนายคนโผล่ออกมา ครั้งนี้พวกเราจะต้องสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กันแล้ว!” หลัวเหว่ยเคออดไม่ได้ที่จะถูกความฮึกเหิมของเย่เทียนเฉินอาบย้อม พูดออกมายิ้มๆ

“คุณคอยสนับสนุนผมกับชางหลางอยู่ด้านหลังเถอะครับคุณลุง!” เย่เทียนเฉินมองหลัวเหว่ยเคออย่างเรียบเฉยแล้วพูดขึ้น

“ไอ้หนูนี่…” หลัวเหว่ยเคอพูดออกมาอย่างไม่สบอารมณ์นัก

“คุณทำประโยชน์เพื่อประเทศชาติมาชั่วชีวิต นี่ไม่ง่ายเลยทีเดียว ใช้ชีวิตไปด้วยดีเถอะครับ ไม่งั้นคงไม่มีโอกาสได้เสพสุขกับชีวิตของมนุษย์ต่อไปแล้ว…”

เมื่อพูดประโยคนี้จบ เย่เทียนเฉินก็ไม่รอให้หลัวเหว่ยเคอพูดอะไร เดินเข้าไปในโรงแรมฝั่งตรงข้าม เขาต้องการไปเรียกชางหลางมา สมาชิกหลักในการต่อสู้ครั้งนี้เขากำหนดเอาไว้แล้ว นั่นก็คือเขากับชางหลางสองคน ส่วนหลัวเหว่ยเคอสามารถทำการช่วยเหลือต่างๆ อยู่เบื้องหลังของพวกเขาได้ เย่เทียนเฉินไม่ใช่คนที่มีจิตใจหยาบกระด้างและลำพองใจ เขามองออกว่าหลัวเหว่ยเคอซ่อนตัวอยู่ในเขตชายแดนมาหลายปีแล้ว จะต้องผ่านการต่อสู้ครั้งแล้วครั้งเล่า ร่างกายอ่อนล้าบ้างแล้ว นี่เป็นคนที่ทำประโยชน์อันยิ่งใหญ่ให้กับประเทศชาติ ไม่จำเป็นต้องให้เขาไปเสี่ยงอันตรายด้วยกัน

หากเรื่องในครั้งนี้ไม่ผิดไปจากรายงานที่หลัวเหว่ยเคอบอก ถ้าเช่นนั้นก็เป็นไปได้ว่าจะมีองค์กรบางองค์กรวางแผนเรื่องในครั้งนี้เอาไว้แล้ว ถึงกับกล้ามาต่อกรกับทหารหน่วยรบพิเศษแห่งชายแดนประเทศจีน จะต้องเป็นการตัดสินใจของทางฝั่งประเทศชิบะแน่นอน และยังมียอดฝีมือแห่งสำนักดาบโฮคุชินอิตโตริวออกมาเคลื่อนไหวด้วย ไม่อาจดูเบาได้ การต่อสู้นองเลือดครั้งใหญ่เป็นสิ่งที่ไม่อาจหลีกเลี่ยง เย่เทียนเฉินลอบสาบานอยู่ในใจ ไม่ว่าทหารหน่วยรบพิเศษชั้นยอดทั้งยี่สิบคนและหานเจี๋ยจะตายแล้วหรือไม่ก็จะทำให้ชีวิตของคนกลุ่มนี้ถูกทิ้งอยู่ในป่าหมอกดำให้ได้ เขาเป็นคนที่เมื่อทำเรื่องใดจะไม่ยอมหลงเหลืออุปสรรคในภายภาคหน้าเอาไว้ให้ตนเอง

ปังๆๆ!

เย่เทียนเฉินเคาะประตูห้องของชางหลาง ในตอนที่ชางหลางเปิดประตูออกมาพบว่ามีเย่เทียนเฉินกับคนอีกคนหนึ่งเดินเข้ามานั้นก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะ “พวกแกสองคนติดต่อกันได้ยังไง?”

“พวกเราติดต่อกันแบบนี้แหละ เตรียมออกเดินทางเถอะ ไปป่าหมอกดำ!” เย่เทียนเฉินเดินเข้าไปในห้อง เดินเข้าไปในห้องน้ำแล้วพูดขึ้น

หลัวเหว่ยเคอทำความเคารพชางหลาง ถึงแม้เขาจะเป็นสายลับระดับสูงของประเทศ แต่ชางหลางเป็นสมาชิกระดับสูงและเป็นคนที่ใกล้ชิดกับท่านหยางและผู้นำสูงสุดมากที่สุด เรียกได้ว่าชางหลางเป็นคนที่สำคัญมากคนหนึ่ง และมีเพียงเย่เทียนเฉินเท่านั้นที่ไม่เห็นเขาอยู่ในสายตา ไม่รู้จักเคารพเลยแม้แต่น้อย

“เย่เทียนเฉิน ต้องการให้ฉันแนะนำแกกับหลัวเหว่ยเคอให้รู้จักกันสักหน่อยไหม?” ชางหลางถามยิ้มๆ

“ไม่ต้องหรอกครับ ตัวหลักในครั้งนี้มีผมกับคุณสองคน ส่วนที่เหลือพี่หลัวจะสนับสนุนอยู่เบื้องหลังพวกเรา” เย่เทียนเฉินดึงกระดาษทิชชูมาเช็ดมือแล้วพูดขึ้น

“ได้!”

ชางหลางพยักหน้า นับวันเขายิ่งรู้สึกว่าเย่เทียนเฉินลึกล้ำไม่อาจหยั่งถึงขึ้นเรื่อยๆ ในยามปกติจะรู้สึกเรื่อยเฉื่อยไปบ้าง กระทั่งรู้สึกไม่เอาไหน แต่เมื่อทำเรื่องบางอย่างขึ้นมากลับมีตรรกะ มีความกล้าที่จะก้าวไปเบื้องหน้าตรงๆ ไม่ว่าเบื้องหน้าจะมีใครอยู่ หรือจะมีอันตรายอะไรอยู่ แต่ก็ยังก้าวไปด้านหน้า

“งั้นก็ดี พวกเราไปหยิบอาวุธกัน เผื่อเอาไว้ในกรณีที่มีการต่อสู้ครั้งใหญ่!” หลัวเหว่ยเคอเอ่ยปากพูด

“ผมต้องการแค่มีดเล่มหนึ่งเท่านั้น!” เย่เทียนเฉินพูด

“นี่…ได้ครับ!” หลัวเหว่ยเคอแปลกใจ จากนั้นจึงพยักหน้า ชายหนุ่มคนนี้มีความสามารถลึกล้ำจนเขาเองก็มองไม่ออก แต่กลับมีความเชื่อใจมาก เชื่อใจว่าเย่เทียนเฉินจะสามารถจัดการเรื่องในครั้งนี้ได้

เวลาประมาณห้าทุ่ม เย่เทียนเฉิน ชางหลางและหลัวเหว่ยเคอขับรถที่ใช้าำหรับบนเขาคันหนึ่งออกไปจากเมืองชายแดน มุ่งหน้าตรงไปที่ป่าหมอกดำ ถ้าหากมีคนรู้เข้าว่าสามคนนี้ไปป่าดึกดำบรรพ์กลางดึกจะต้องตกใจอย่างแน่นอน ต้องทราบว่าภายในป่าหมอกดำ ไม่เพียงแต่จะมีสัตว์ดุร้ายและอันตรายที่ยังไม่รู้อีกจำนวนมาก อีกทั้งเนื่องจากสภาพภูมิประเทศที่มีลักษณะเฉพาะ เส้นทางขรุขระง่ายที่จะทำให้หลงทาง ถ้าหากหลงทางอยู่ในป่าดึกดำบรรพ์ ไม่มีทั้งน้ำและอาหาร ไม่ต้องเจอเรื่องอันตรายก็หิวตายได้แล้ว

ระหว่างทางเย่เทียนเฉิน ชางหลาง และหลัวเหว่ยเคอ ทั้งสามต่างปรึกษากันหลายเรื่อง เรื่องในครั้งนี้ร้ายแรงเป็นอย่างมาก แม้ทั้งสามคนล้วนเป็นยอดฝีมือระดับสูงแต่ก็ไม่กล้าลำพองใจเลยแม้แต่น้อย จะอย่างไรนี่เป็นเรื่องที่มีการวางแผนล่วงหน้ามาแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นยังมียอดฝีมือแห่งสำนักดาบโฮคุชินอิตโตริวของประเทศชิบะอยู่ด้วย อีกฝ่ายจะต้องคาดเดาได้ว่าจะมีคนตามไปช่วยเหลือที่ค่าย เป็นไปได้มากว่าจะมีการลอบโจมตีพวกเขา

เวลาเที่ยงคืน รถสำหรับขึ้นเขาก็ไปถึงชายป่าหมอกดำ ตอนนี้เป็นเวลาดึกแล้ว อุณหภูมิรอบๆ เริ่มลดลงทำให้รู้สึกหนาวไปถึงกระดูก แต่สำหรับเย่เทียนเฉิน ชางหลางและหลัวเหว่ยเคอที่เป็นชาแข็งแรงแล้วนั้น สิ่งเหล่านี้ไม่นับเป็นอะไรได้

ป่าวหมอกดำเป็นป่าดึกดำบรรพ์ที่อยู่ในแถบชายแดน มีลักษณะภูมิประเทศอันเป็นเอกลักษณ์ มีพื้นที่ลักษณะต่างๆ มากมาย ไม่ว่าจะเป็นป่าดงดิบหรือภูเขาขรุขระ หรือจะเป็นภูเขาสูงลำน้ำใสล้วนมีทั้งหมด ดังนั้นทางประเทศจึงยากที่จะควบคุมดูแล สถานที่แห่งหนึ่งที่กระทั่งเรดาร์ก็ยากที่จะตรวจจับทำให้รู้สึกหงุดหงิดจริงๆ

เย่เทียนเฉินลงรถแล้วมองไปรอบๆ เขาใช้พลังพิเศษแห่งการรับรู้ออกมา พบว่ารอบๆ นั้น นอกจากสัตว์ร้ายและนกที่กำลังทำงานจับเหยื่อของตนไปเงียบๆ แล้ว ก็ไม่มีการสั่นสะเทือนของพลังพิเศษของใครเลย ท่าทางคนกลุ่มนี้จะซ่อนตัวได้ดีมาก ทำให้คนอื่นยากที่จะค้นพบ ถ้าหากต้องการหาพวกเขาให้พบจะต้องเข้าไปในป่าลึกถึงจะทำได้

“พวกเราเข้าไปกันเถอะ คนกลุ่มนี้ไม่ธรรมดา ทุกคนจะต้องระวังให้มาก!” เย่เทียนเฉินมองไปเบื้องหน้าครู่หนึ่งแล้วพูดขึ้น

ไฟฉายพกพาทั้งสามกระบอก ตัวเย่เทียนเฉินเองไม่ต้องใช้ก็ได้เนื่องจากเขาทำเพียงส่งพลังพิเศษของตนไปที่ดวงตาก็สามารถมองสิ่งต่างๆ ในยามค่ำคืนได้เหมือนกับตอนกลางวัน อย่างไรก็ตาม เขาไม่อยากให้ใช้พลังพิเศษของตนให้มากเกินไป เพราะเขาเองก็ไม่กล้าดูเบายอดฝีมือแห่งสำนักดาบโฮคุชินอิตโตริว เป็นไปได้มากว่าจะมีการต่อสู้เป็นตาย หากไม่รักษาพลังเอาไว้ย่อมไม่ได้ รวมกับที่มีชางหลางและหลัวเหว่ยเคอตามมาด้วย พวกเขาสองคนมีความสามารถไม่น้อยไปกว่าเย่เทียนเฉินเลย ถ้าหากรอบๆ มีการเคลื่อนไหวอะไรพวกเขาก็สามารถพบได้ในทันที

เพิ่งจะเดินไปด้านหน้าไม่ถึงสองพันเมตร ชางหลางที่เดินอยู่ด้านหน้าสุดพลันหยุดฝีเท้าลง เย่เทียนเฉินและหลัวเหว่ยเคอเห็นชางหลางหยุดลงก็หยุดนิ่งไม่ยอมขยับ ภายในป่าหมอกดำแห่งนี้ไม่เพียงแต่มีอันตรายจากศัตรูเท่านั้น แต่ยังมีกับดักและสัตว์ร้ายอยู่ด้วย เช่นพวกเสือหรืองูหลามเป็นต้น จำเป็นจะต้องระวัง

แซ่ก!

ด้านหน้ามีการเคลื่อนไหว เหมือนกับมีอะไรบางอย่างกำลังต่อสู้และไม่ได้ส่งเสียงออกมาดังนัก นั่นเป็นเสียงที่พื้นถูกเสียดสี

ฟุ่บ!

ชางหลางเดินเข้าไปคนแรก รวดเร็วเป็นอย่างมาก รวดเร็วดุจสายฟ้า การเคลื่อนไหวของเย่เทียนเฉินและหลัวเหว่ยเคอก็ไม่ช้า ตามกันไปติดๆ ในตอนที่พวกเขาสามคนเดินเข้าไปดูก็อดไม่ได้ที่จะสูดหายใจเย็นยะเยือก พบว่ามีงูหลามตัวใหญ่ที่ใหญ่พอๆ กับถังน้ำกำลังอ้าปากกลืนคนที่ใส่ชุดลายพรางคนหนึ่งลงไป คนที่สวมชุดลายพรางคนนั้นลำไส้ทะลักออกมาแล้ว แต่ยังมีลมหายใจอยู่ มือทั้งสองใช้มีดแทงเข้าไปที่บริเวณปากของงูหลามตัวนั้น แต่เมื่อดูจากสภาพการณ์แล้วไม่ถึงหนึ่งนาทีคนสวมชุดลายพรางคนนี้คงถูกกลืนไปแน่ รอบด้านมีศพอยู่ศพหนึ่ง อนาถจนทนมองไม่ได้ แขนขาถูกกินไปแล้ว สมองก็ถูกงูหลามกินไปด้วย

ตุบ!

ชางหลางและเย่เทียนเฉินยังไม่ทันได้ลงมือ หลัวเหว่ยเคอก็เป็นคนแรกที่พุ่งเข้าไป ต่อยออกไปด้วยความรวดเร็วอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ ปะทะลงไปที่หัวของงูหลามตัวนั้น หัวของงูหลามตัวนั้นถูกกดลงที่พื้นในทันที ดวงตาทั้งสองปรากฎเปลวไฟสีแดงก่ำออกมา สะบัดหางกวาดไปทางหลัวเหว่ยเคอ

หลัวเหว่ยเคอเป็นคนที่ผ่านสงครามมานับร้อยและทำภารกิจอยู่รอบๆ ป่าหมอกดำแห่งนี้มาโดยตลอด รู้จักกันการรับมือกับสัตว์ร้ายเหล่านี้ดี ตีงูต้องตีตรงจุดเจ็ดชุ่น แบบนั้นถึงจะเอาชีวิตมันได้ในเวลาเพียงชั่วพริบตา ดังนั้นหลัวเหว่ยเคอจึงพลิกตัวขึ้นหลบหางของงูหลาม ในเมื่อขวามีมีดเล่มหนึ่งปรากฏขึ้น แทงเข้าไปในตำแหน่งเจ็ดชุ่นของูหลามตัวใหญ่อย่างแม่นยำ

ฟ่อ!

โครม!

หางของงูหลามตัวใหญ่สะบัดถูกต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งทำให้ต้นไม้ใหญ่หักลง ในขณะเดียวกันหลัวเหว่ยเคอก็ใช้มีดในมือขวาแทงเข้าไปที่จุดเจ็ดชุ่นของงูตัวนี้

ฟ่อ!

เสียงร้องดังขึ้น งูหลามถูกมีดแทงเข้าไปที่จุดเจ็ดชุ่น พลันนั้นจึงเกิดบ้าคลั่งขึ้นมา ร่างกายอันใหญ่โตโจมตีไปรอบๆ ไม่หยุด โจมตีถูกต้นไม้ใหญ่หลายต้นและยังทำให้เกิดฝุ่นควันฟุ้งไปทั่วทั้งท้องฟ้า ชางหลาง เย่เทียนเฉิน และหลัวเหว่ยเคอสามคนที่ได้เห็นต่างก็ตกตะลึง สัตว์ร้ายที่ดุร้ายขนาดนี้ หากคนธรรมดาเข้ามาในป่าหมอกดำและพบกับมันจะต้องตายจริงๆ แล้ว ไม่มีทางช่วย

ไม่กล่าวไม่ได้ว่าหลัวเหว่ยเคอแข็งแกร่งมากจริงๆ ในตอนที่งูหลามตัวใหญ่ส่งเสียงร้องเขาก็กระโดดขึ้นและโจมตีไป ใช้หมัดโจมตีปะทะเข้าไปที่หัวของมันอย่างรุนแรงอีกหลายครั้งติดต่อกัน โจมตีจนฟันของมันร่วง มีเลือดไหลออกมาจากปาก ชางหลางและเย่เทียนเฉินต่างก็ตกตะลึง คิดไม่ถึงว่าหลัวเหว่ยเคอคนนี้จะแข็งแกร่งจริงๆ งูหลามตัวใหญ่ถูกเขากำจัดไปเช่นนี้เอง ประสบการณ์ในการรับมือกับงูหลามมีมากมายจริงๆ

ตู้ม!

มีเสียงหนึ่งดังขึ้นอีกครั้ง หลัวเหว่ยเคอถูกงูหลามตัวใหญ่กัด เขาถอยออกไปหลายก้าว งูหลามตัวใหญ่ถือโอกาสนี้หนีไป เคลื่อนไหวเร็วมากจนจนหยุดไม่ทัน

“แย่แล้ว!” หลัวเหว่ยเคอตะโกนเสียงดัง คิดจะไล่ตามไปแต่ทุกที่ล้วนมีแต่ความมืดไม่เห็นร่องรอยของงูหลามตัวใหญ่แล้ว และไม่ได้ยินเสียงเลื้อยหนีของมันด้วย

“เป็นอะไรไป?” ชางหลางอดไม่ได้ที่จะเอ่ยปากถาม

“งูประเภทนี้เรียกว่างูหลามโลหิต โดยปกติจะใช้ชีวิตอยู่กับแม่ เรียกได้ว่างูตัวนี้เป็นงูเล็ก ยังมีงูตัวใหญ่อยู่ข้างหลังมัน ด้วยนิสัยของงูโลหิต เมื่อแม่ตั้งท้องสำเร็จและคลอดลูกออกมาก็จะฆ่างูตัวอื่น แม่งูโลหิตจะบ้าคลั่งมากที่สุด ตัวใหญ่หาใดเปรียบ ร้ายกาจอย่างเหลือเชื่อ ดังนั้นถ้าปล่อยงูตัวนี้ไปพวกเราจะต้องยุ่งยากครั้งใหญ่แน่ ความอาฆาตแค้นของงูโลหิตรุนแรงมาก” หลัวเหว่ยเคอขมวดคิ้วพูด

เมื่อได้ยินคำพูดของหลัวเหว่ยเคอ ชางหลางและเย่เทียนเฉินต่างก็ตกใจจนชะงักไป พวกเขารู้ว่าหลัวเหว่ยเคออยู่ที่ชายแดนมาหลายปีและจะไม่พูดโกหกโดยเด็ดขาด เขามีวิธีการรับมือกับสัตว์ร้ายพวกนี้ งูหลามตัวนั้นต้องตายแน่แล้ว แม่งูจะต้องมาแก้แค้นแน่นอน เมื่อถึงตอนนั้นพวกเขาก็จะยุ่งยากครั้งใหญ่แล้ว

“เย่เทียนเฉิน!” เย่เทียนเฉินพูดด้วยรอยยิ้ม

“ที่แท้ก็เป็นคุณนี่เอง ผมมีชื่อว่าหลัวเหว่ยเคอ เป็นสายลับที่ชายแดนนี้ ผมรอพวกคุณอยู่ที่นี่โดยเฉพาะ!” ขอทานอายุประมาณสี่สิบปีคนนั้นพูดด้วยรอยยิ้มเช่นเดียวกัน

หลัวเหว่ยเคอ สายลับระดับสูงของประเทศจีน ทำภารกิจที่ชายแดนมาโดยตลอด ครั้งนี้ได้รับข่าวมาว่ามีทหารหน่วยรบพิเศษบริเวณชายแดนหายไปในพริบตายี่สิบกว่าคน อีกทั้งยังมีสมาชิกของหน่วยวิจัยของประเทศคนหนึ่งด้วย สมาชิกหน่วยวิจัยคนนี้เป็นบุคคลผู้มีความสามารถที่มีไม่มากในประเทศ ดังนั้นทางรัฐบาลจึงให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก หลังจากที่ท่านหยางได้รู้ข่าวก็รีบให้คนมาบอกกับสายลับชายแดนทันที ให้พวกเขาเริ่มทำภารกิจตามหาเบาะแสของหานเจี๋ยและสมาชิกที่หายตัวไป และรอการมาถึงของเย่เทียนเฉินและชางหลาง

ในตอนที่เย่เทียนเฉินและชางหลางเดินเข้ามา หลัวเหว่ยเคอก็สังเกตุเห็นพวกเขาแล้ว เพียงแต่ตอนนั้นหลัวเหว่ยเคอยังไม่กล้ามั่นใจว่าเย่เทียนเฉินกับชางหลางจะเป็นผู้แข็งแกร่งที่ทางรัฐบาลส่งมาหรือไม่ หลัวเหว่ยเคอปลอมตัวเป็นขอทานมาโดยตลอด และแสร้งนั่งขอทานอยู่ที่ข้างบาร์ค่ำคืนไม่หวนกลับแห่งนี้ เพราะเมืองแห่งนี้ไม่ใหญ่มาก สถานที่ที่เต็มไปด้วยแสงสีแบบนี้เป็นแหล่งรวมข่าวสารที่ดีที่สุด

ไม่ต่างไปจากที่คาด ในตอนที่เห็นเย่เทียนเฉินเดินเข้ามาในบาร์จนกระทั่งถูกอันธพาลคนหนึ่งคุกคาม จนถึงตอนสุดท้ายที่เย่เทียนเฉินลงมือเขาก็ไม่ได้ใช้เคล็ดวิชาพลังพิเศษเลย อาศัยแค่ร่างกายก็สามารถจัดการอันธพาลกลุ่มนั้นได้แล้ว หลัวเหว่ยเคอรู้สึกตื่นตะลึงอยู่ในใจ คิดว่าครั้งนี้คนที่ทางรัฐบาลส่งมาแข็งแกร่งมากพอจริงๆ

“เป็นผม? คุณรู้จักผมเหรอครับ? ดูเหมือนผมจะไม่รู้จักคุณนะ!” เย่เทียนเฉินพูดด้วยรอยยิ้มเล็กน้อย

“ฮ่าๆ เย่เทียนเฉิน คุณชายของตระกูลเย่เที่เป็นตระกูลชั้นสามของเมืองหลวง เคยเป็นตัวตลกไปทั่วทั้งเมืองหลวง ตั้งแต่ที่มาเป็นทหารและกลับไปที่เมือง มีเรื่องไหนบ้างที่ทำแล้วไม่สั่นสะเทือนไปทั่วทั้งโลกเบื้องหน้าและโลกเบื้องหลัง? ในฐานะที่เป็นสายลับระดับสูงของประเทศ นี่เป็นข่าวที่โด่งดังมาก ถ้าหากพวกเราไม่รู้ ถ้างั้นก็คงจะเสียงานเปล่าแล้ว!” หลัวเหว่ยเคอพูดด้วยรอยยิ้ม

“ในเมื่อเป็นแบบนี้ก็พูดให้รวบรัดเถอะ ผมต้องการรู้ข้อมูลทุกอย่างที่คุณทราบในตอนนี้ หวังว่าคุณจะบอกผมโดยไม่ตกหล่นไปซักคำ คุณต้องรู้ว่าครั้งนี้หานเจี๋ยและทหารหน่วยรบพิเศษชั้นยอดอีกยี่สิบกว่าคนมีอันตรายเป็นอย่างมาก ไม่แน่ว่าอาจจะถูกทำร้ายก็ได้!” เย่เทียนเฉินพยักหน้าแล้วพูดขึ้น

ครั้งนี้ ทหารหน่วยรบพิเศษชั้นยอดซึ่งมีอาวุธครบมือทั้งยี่สิบกว่าคนหายตัวไป ในนั้นยังมีหานเจี๋ยที่หาตัวไม่พบอีกด้วย เรียกได้ว่าสั่นสะท้านไปทั่วทั้งประเทศจีน ผู้นำระดับสูงให้ความสนใจมาก จะอย่างไรนี่นับว่าเป็นเรื่องที่ใหญ่ที่สุดที่เกิดขึ้นบริเวณชายแดนในช่วงหลายปีมานี้ ต้องทราบว่าประชาชนชาวจีนอย่างพวกเรายิ่งใหญ่ขึ้นทุกวัน กล่าวไปแล้วพวกต่างชาติเหล่านั้นต่างจ้องที่จะตะครุบ ต้องการเข้ามาบุกรุกแต่ก็ไม่กล้าบุกรุกตามใจ ดังนั้นพวกเขาจึงคิดทุกวิถีทางเพื่อทำลายประเทศจีนของพวกเรา ข้อมูลของทหารหน่วยรบพิเศษชั้นยอดทั้งยี่สิบกว่าคนนี้ หากมีประเทศที่แข็งแกร่งประเทศใดสอดมือเข้ามา เรื่องนั้นก็อาจจะยกระดับกลายเป็นเรื่องใหญ่ระดับนานาชาติเลยก็ได้ เป็นไปได้มากว่าจะก่อให้เกิดสงครามระหว่างสองประเทศ

“จากการตรวจสอบของผม ผมรู้สึกว่าเรื่องในครั้งนี้ดูเหมือนจะมีการไตร่ตรองไว้ล่วงหน้า เหมือนกับมีคนวางแผนการในเรื่องนี้ขึ้นมาโดยเฉพาะ จุดประสงค์ก็เพื่อต้องการกำจัดทหารหน่วยรบพิเศษบริเวณชายแดนของพวกเรา นี่ไม่ใช่องค์กรเอกชนธรรมดา เป็นไปได้มากว่าจะมีประเทศใดประเทศหนึ่งลอบปฏิบัติการณ์อย่างลับๆ!” หลัวเหว่ยเคอก็ไม่ได้เกรงใจอีก พูดออกมาตามตรง

ถึงแม้ว่าเย่เทียนเฉินจะไม่ใช่คนในโลกนี้ และมาเกิดใหม่ที่นี่ได้ไม่นาน แต่ความสามารถในการปรับตัวของเขาดีมาก และเข้าใจถึงเรื่องบางอย่างด้วย การต่อสู้ระหว่างประเทศต่างๆ นั้นแต่ไหนแต่ไรก็ไม่เคยหยุดหย่อน เบื้องหน้าปรองดองเพราะไม่ต้องการให้เกิดสงครามใหญ่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งระหว่างประเทศใหญ่ต่างๆ เมื่อเกิดสงครามก็จะต้องมีจุดจบที่พ่ายแพ้สูญเสียทั้งสองฝ่าย ดังนั้นพวกเขาจึงทำได้เพียงทำการต่อสู้กันเบื้องหลัง และการต่อสู้นี้ไม่สามารถดูเบาได้เลย จะทำให้ประเทศหนึ่งค่อยๆ ตกต่ำลงอย่างช้าๆ ในตอนที่คุณตกต่ำจนถึงขั้นที่เขาสามารถกลืนกินคุณได้ ถ้าเช่นนั้นคุณก็จบสิ้นแล้ว

ถ้าหากเรื่องในครั้งนี้มีประเทศใหญ่บางประเทศเข้ามาเกี่ยวข้องจริงๆ และจะถือโอกาสนี้จัดการกับประเทศจีน ถ้าเช่นนั้นก็จะเป็นเรื่องที่สำคัญมาก ยิ่งไปกว่านั้น ถ้าหากทหารหน่วยรบพิเศษชั้นยอดของชายแดนทั้งยี่สิบคนนี้หรือกระทั่งหานเจี๋ยถูกฆ่าตายไปด้วยกัน จะมีผลต่อประเทศจีนในระดับนานาชาติแน่นอน เป็นเรื่องที่ไม่ดีอย่างมาก

“เป็นเรื่องที่มีการไตร่ตรองมาก่อน? ผมคิดว่าองค์กรธรรมดาทั่วไปทำไม่ได้แน่ จะต้องมีบางประเทศสนับสนุนอยู่เบื้องหลังถึงจะถูก!” เย่เทียนเฉินคิดครู่หนึ่งแล้วพูดออกมา

จินตนาการได้เลย การล่อให้ทหารหน่วยรบพิเศษชั้นยอดทั้งยี่สิบคนลงมือเคลื่อนไหว และยังทำให้พวกเขาทั้งหมดหายไปในเวลาเพียงสั้นๆ แค่นี้ นี่จะทำให้ผู้คนตื่นตะลึงมากเกินไปแล้ว หากกล่าวว่าฆ๋าทหารหน่วยรบพิเศษชั้นยอดทั้งยี่สิบคนนี้ไปหมดแล้วก็อาจจะทำให้คนอื่นคิดว่าอีกฝ่ายร้ายกาจมากเท่านั้น ไม่อาจดูเบาได้ แต่การที่สามารถทำให้ทหารหน่วยรบพิเศษชั้นยอดทั้งยี่สิบคนหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยไร้ซุ่มไร้เสียงนั้น ทำให้ผู้คนรู้สึกตื่นตะลึงโดยสิ้นเชิง และไม่กล้าที่จะจินตนาการได้เลย

ดังนั้นหลังจากผ่านการวิเคราะห์มาแล้ว เบื้องหลังของเรื่องนี้ ไม่ว่าจะเป็นองค์กรใดองค์กรหนึ่งหรือจะเป็นประเทศใดประเทศหนึ่งก็ช่างเถอะ แต่อย่างน้อยจะต้องมีประเทศใหญ่ให้การสนับสนุนอยู่เบื้องหลังแน่ มิฉะนั้นคงไม่สามารถทำถึงระดับที่ร้ายกาจขนาดนี้ได้แน่

“หลังจากที่ผมตรวจสอบ ผมสงสัยว่าเป็นประเทศชิบะ!” หลัวเหว่ยเคอมองไปยังเย่เทียนเฉินแล้วพูดขึ้นอย่างเรียบเฉย

“ประเทศชิบะ? ไอ้พวกนี้มันไม่ร้ายกาจและเหิมเกริมขนาดนี้หรอก หลายปีมานี้ถูกประเทศจีนของพวกเรากดดันเอาไว้ จะคิดก่อสงครามอีกหรือไง?” เย่เทียนเฉินอดไม่ได้ที่จะถามออกมาอย่างสงสัย จะอย่างไรเขาก็ไม่ใช่คนบนโลกใบนี้ เข้าใจเรื่องนี้เพียงผิวเผิน แต่ไม่ได้เข้าใจอะไรมากมาย

“จะพูดให้คุณฟังแบบนี้ก็แล้วกัน หลายปีมานี้ความต้องการที่จะทำลายประเทศจีนของประเทศชิบะยังไม่ได้หายไป คิดจะบุกรุกประเทศจีนของพวกเรามาโดยตลอด แต่น่าเสียดายที่ประเทศจีนในตอนนี้แข็งแกร่งขึ้นทุกวัน ประเทศชิบะไม่กล้าลงมือง่ายๆ ดังนั้นจึงทำได้เพียงก็เรื่องเล็กๆ น้อยๆ ในครั้งนี้พวกเราเข้าไปที่ป่าหมอกดำ ถึงแม้จะหาร่องรอยของคนเหล่านั้นที่หายไปไม่เจอ แต่กลับพบจุด น่าสงสัยบางจุด!” หลัวเหว่ยเคอพูดเสียงขรึม

“พบกับจุดน่าสงสัยบางจุด?” เย่เทียนเฉินขมวดคิ้วถาม

หลัวเหว่ยเคอพยักหน้า เดินไปไม่ไกล พลิกกก้อนหินที่ไม่ค่อยเรียบขึ้นมา จากนั้นจึงส่งสัญญาณให้เย่เทียนเฉินเดินมาดู ในตอนที่เย่เทียนเฉินเดินไปนั้น เขาก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว พบว่าบนก้อนหินก้อนนั้นมีรอยจากอาวุธมีคมที่ลึกมากอยู่ หนึ่งรอย ร่องรอยจากอาวุธมีคมนั้นมีลักษณะพิเศษ ไม่ใช่ร่องรอยที่เกิดจากการถูกคมดาบฟัน แต่เหมือนกับถูกคมดาบลมปราณกระทำขึ้น ซึ่งเป็นคมดาบลมปราณที่แข็งแกร่งเป็นอย่างมากสายหนึ่ง ยิ่งไปกว่านั้นในตอนที่เย่เทียนเฉินแผ่ขยายพลังพิเศษแห่งการรับรู้ออก ไปถึงกับพบว่ามีความรู้สึกต้องการฆ่าเย่เทียนเฉินให้ตายพุ่งออกมาจากคมดาบลมปราณนั้นด้วย

“นี่…” เย่เทียนเฉินรู้สึกว่าคมดาบลมปราณนี้ดูคุ้นเคย น่าจะคุ้นเคยมาจากที่ไหนแต่ก็คิดไม่ออก สรุปแล้วเขาประเมินค่าคมดาบลมปราณนี้เอาไว้สูงมาก คนที่ใช้คมดาบลมปราณนี้ออกมาจะต้องแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก แข็งแกร่งจนถึงขั้นไม่ธรรมดา

“เคล็ดวิชาดาบที่สืบทอดกันมาจากโบราณของประเทศชิบะ มาจากสำนักดาบโฮคุชินอิตโตริว!” หลัวเหว่ยเคอพูดอย่างจริงจัง

เมื่อได้ยินคำว่าสำนักดาบโฮคุชินอิตโตริวนี้ เย่เทียนเฉินก็คิดถึงขึ้นมาได้ วันนั้นตอนที่เขาอยู่ในบ้านตระกูลจางของจางอีเต๋อ เพื่อที่จะช่วยมู่หรงซิน เขาจึงใช้วิธีการที่เรียกได้ว่าทุ่มสุดชีวิตจนเกือบจะทำให้ตัวเองต้องติดพิษสยบแล้ว ในตอนนั้น คาเมดะอิจิโร่แห่งสำนักดาบโฮคุชินอิตโตริวมาลอบโจมตี ต้องการที่จะฆ่ามู่หรงอวี๋ตู เย่เทียนเฉินสู้กับเขาครั้งใหญ่ ไม่กล่าวไม่ได้ว่าเพลงดาบของสำนักดาบโฮคุชินอิตโตริวแปลกประหลาดเป็นอย่างมาก ทำให้เขามองไม่ออก ตอนนั้นเย่เทียนเฉินลงมือสุด กำลังใช้พลังพิเศษในขอบเขตจอมราชันขั้นสูงสุดออกมาแล้วก็ยังทำได้เพียงพอฟัดพอเหวี่ยงกันเท่านั้น ยังไม่ได้ตัดสินแพ้รู้ชนะอีกฝ่ายก็จากไปแล้ว สามารถมั่นใจได้เลยว่าเขาไม่ใช่คนที่มีความสามารถแข็งแกร่งที่สุดในสำนักดาบโฮคุชินอิตโตริว อำนาจสำนักนี้ของชิบะที่เทียบเท่าได้กับพรรควรยุทธโบราณของประเทศจีน ไม่สามารถดูเบาได้เลยจริงๆ

“เพลงดาบของสำนักดาบโฮคุชินอิตโตริวไม่เพียงแต่แปลกประหลาด แต่ยังมีพลังแห่งการฆ่าฟันที่รุนแรงอีกด้วย แข็งแกร่งมากจริงๆ!” เย่เทียนเฉินพูดออกมาอย่างจริงจัง

“ในสถานที่เกิดเหตุ ไม่เพียงแต่จะมีก้อนหินที่ถูกปราณดาบทำลายแบบนี้ แต่ยังมีต้นไม้จำนวนหนึ่งอีกด้วย เป็นต้นไม้ที่ใหญ่ขนาดหนึ่งคนก็โอบไม่หมด มันถูกตัดขาดกลางต้น ที่ปากแผลมีรอยเลือดสีแดงอยู่แห่งหนึ่ง ที่สำคัญก็คือ ในสถานที่เกิดเหตุรู้สึกถึงบรรยากาศที่ทำให้ผู้คนต้องขนลุก เหมือนก็มีเหตุการณ์อะไรบางอย่างกำลังเกิดซ้ำอีกรอบ!” หลัวเหว่ยเคอพูดถึงตรงนี้ก็อดไม่ได้ที่จะสั่นเล็กน้อย

เย่เทียนเฉินพยักหน้า เขารู้ว่าสิ่งที่หลัวเหว่ยเคอพูดคืออะไร เคล็ดวิชาดาบที่แข็งแกร่งที่สุดของสำนักดาบโฮคุชินอิตโตริวก็คือวิชาดาบลวงตา เป็นวิชาดาบที่มีความแปลกและคาดการณ์ไม่ได้ ยิ่งไปกว่านั้นยังทำให้ผู้คนรู้สึกเกิดจินตนาการเหมือนกับตกไปอยู่ในนรกขุมที่เก้าอย่างไรอย่างนั้น น่าหวาดกลัวเป็นอย่างมาก ทำให้ผู้คนแยกความฝันกับความเป็นจริงไม่ออกและง่ายที่จะถูกฆ่า

“ในเมื่อเป็นแบบนี้ ถ้างั้นตอนนี้พวกเราก็ไปป่าหมอกดำกันเถอะ ท่าทางเรื่องในครั้งนี้พวกประเทศชิบะเป็นคนทำ และยังมียอดฝีมือชั้นสูงของสำนักดาบโฮคุชินอิตโตริวอยู่ด้วย มิน่าล่ะถึงสามารถทำให้ทหารหน่วยรบพิเศษชั้นยอดที่ติดอาวุธครบมือหายไปในพริบตาได้!” เย่เทียนเฉินเอ่ยปากพูด

“ตอนนี้?” หลัวเหว่ยเคออดไม่ได้ที่จะชะงักไปเล็กน้อย ตอนนี้เป็นเวลาประมาณสามทุ่มกว่าแล้ว ถ้าหากไปป่าหมอกดำเกรงว่าคงหาใครไม่พบหรอก

“ถูกต้อง!” เย่เทียนเฉินยิ้มแล้วหมุนตัวเดินจากไป ไปยังโรงแรมที่อยู่ไม่ไกล การปฏิบัติการเช่นนี้จะต้องเรียกชางหลางด้วยแน่นอน มีเย่เทียนเฉิน ชางหลางและหลัวเหว่ยเคอ ซึ่งเป็นยอดฝีมือทั้งสามคนนี้ คงจะไม่มีปัญหาอะไรที่จะทำร้ายคนกลุ่มนี้ได้ หวังเพียงว่าทหารหน่วยรบพิเศษชั้นยอดทั้งยี่สิบคนและหานเจี๋ยจะยังไม่ตาย

“ตอนนี้สามทุ่มกว่าแล้ว พวกเราจะไปป่าหมอกดำหรอ? จะไปหาใครเจอ?” หลัวเหว่ยเคออดไม่ได้ที่จะถามออกมาด้วยความสงสัย

“คุณคิดดูสิ ตอนนี้ในป่าหมอกดำ ไอ้พวกที่จับคนของพวกเราไปกลุ่มนั้นมันจะคิดยังไง? จะต้องคิดไม่ถึงว่าพวกเราจะเข้าไปทำการค้นหาตอนกลางคืนแน่นอน เพราะหาในตอนกลางวันแล้วยังหาพวกเขาไม่เจอ แล้วกลางคืนจะเจอหรือเปล่า? ยิ่งไปกว่านั้นเวลาตอนกลางคืนก็เป็นช่วงเวลาที่คนผ่อนคลายความระมัดระวังมากที่สุด!” เย่เทียนเฉินพูดด้วยรอยยิ้ม

หลัวเหว่ยเคอได้ยินคำพูดของเย่เทียนเฉินก็อดไม่ได้ที่จะชะงักไป เขาคิดไม่ถึงเลยว่าชายวัยรุ่นคนนี้จะถึงกับมีความฉลาดและรอบคอบแบบนี้ได้ ช่างทำให้เขาคิดไม่ถึงจริงๆ

“ผมรู้สึกว่าอายุของคุณไม่เหมาะสมกับประสบการณ์ของคุณเลยจริงๆ!” หลัวเหว่ยเคออดไม่ได้ที่จะพูดกับเย่เทียนเฉิน

ตระกูลหลิง ภายในบ้านของหลิงอวี่สวิ๋น ระยะนี้หลิงอวี่สวิ๋นถูกกักบริเวณอยู่ตลอด หลิงเยว่พ่อของเธอไม่อนุญาตให้หลิงอวี่สวิ๋นเหยียบย่างออกไปจากตระกูลหลิงแม้แต่ครึ่งก้าว มิฉะนั้นจะไม่คิดว่าตนมีลูกสาวคนนี้อีก ในขณะเดียวกันก็ส่งบอดี้การ์ดไปดูแลหลิงอวี่สวิ๋น เนื่องจากหลิงเยว่รู้ว่าเย่เทียนเฉินจะประมือกับคุณชายใหญ่แห่งมหาวิทยาลัยหลงเถิง ยิ่งไปกว่านั้นยังล่วงเกินตระกูลเซวียนเยวี๋ยนและตระกูลโอวหยางอีกด้วย กล่าวได้ว่าสิ่งที่เย่เทียนเฉินกำลังเผชิญหน้าก็คืออันตราย จะต้องตายโดยไม่ต้องสงสัยเลย

หลิงเยว่ออกเดินทางมาจากบ้านตระกูลหลิงของตน ออกเดินทางมาจากความปลอดภัยของลูกสาวของตน ดังนั้นจึงกักบริเวณหลิงอวี่สวิ๋นให้อยู่ในบ้าน ในขณะเดียวกันก็ส่งคนไปสังเกตการณ์เย่เทียนเฉิน เขาไม่ได้มองชายหนุ่มคนนี้ดีๆ แต่กลับอยากจะเห็นเสียหน่อยว่าเย่เทียนเฉินจะรับมืออย่างไร ต่อให้พ่ายแพ้ เย่เทียนเฉินก็สามารถภาคภูมิใจได้ ทั่วทั้งประเทศจีน เกรงว่าคงไม่มีใครกล้าล่วงเกินอำนาจใหญ่เหล่านี้พร้อมกัน แต่เขากลับสามารถทำได้ มีความกล้าและความเฉลียวฉลาดมาก

ตอนนี้หลิงอวี่สวิ๋นกำลังนำกาแฟแก้วนึงไปเสริ์ฟให้พ่อ ต่อให้พ่อจะกักบริเวณเธอไว้ในบ้าน แต่อย่างไรก็ยังเป็นพ่อของเธอ ยิ่งไปกว่านั้น ตั้งแต่เล็กจนโตพ่อก็เลี้ยงดูตนมาอย่างยากลำบาก หลิงอวี่สวิ๋นเป็นลูกสาวที่กตัญญูมาโดยตลอด

ไหนเลยจะรู้ว่า เพิ่งจะเดินเข้าไปถึงบริเวณประตูห้องหนังสือของพ่อ กลับได้ยินเสียงเหมือนพ่อกับย่าขู่กำลังสนทนากันอยู่ เนื้อหาเกี่ยวกับเย่เทียนเฉิน ดังนั้นหลิงอวี่สวิ๋นจึงอดไม่ได้ที่จะหยุดฝีเท้าลง ในช่วงเวลาที่เธอถูกกักบริเวณนี้ กระทั่งโทรศัพท์ก็ไม่ได้แตะ ดังนั้นจึงต้องการรู้ข่าวของเย่เทียนเฉินมา

“นายท่าน เพิ่งจะได้รับข่าวของเย่เทียนเฉินมาค่ะ!” ย่าขู่เอ่ยปากพูดกับหลิงเยว่

“ย่าขู่ มีข่าวอะไรก็พูดมาเถอะ ที่นี่ไม่มีคนอื่น!” หลิงเยว่พยักหน้าพลางกล่าว

“เย่เทียนเฉินพากลุ่มอำนาจที่เขาสร้างขึ้นไปทำลายตระกูลเซวียนเยวี๋ยนและตระกูลโอวหยางแล้ว!” ย่าขู่ชะงักไปครู่หนึ่งแล้วพูดขึ้น ในน้ำเสียงเต็มไปด้วยความแปลกใจ

“หือ? ทำลายตระกูลเซวียนเยวี๋ยนและตระกลูโอวหยาง? กลุ่มอำนาจของตัวเขาเอง?”

หลิงเยว่ได้ยินคำพูดนี้ก็เกิดความสงสัยอย่างเห็นได้ชัด ดูเหมือนจะไม่เชื่อแม้แต่น้อย ไม่ต้องกล่าวถึงว่าหลิงเยว่หรือกระทั่งคนอื่นอีกจำนวนมากที่เพิ่งจะได้ยินข่าวนี้ต่างรู้สึกไม่กล้าเชื่อ ไม่ต้องพูดถึงว่าเย่เทียนเฉินสามารถทำก่อตั้งอำนาจของตนขึ้นมาได้ในระยะเวลาสั้นๆ ยิ่งไปกว่านั้นยังพากองทัพนี้ไปทำลายตระกูลเซวียนเยวี๋ยนและตระกูลโอวหยางได้อีกด้วย ทำให้ผู้คนตื่นตกใจจนคางแทบร่วง

ต้องทราบว่าตระกูลเซวียนเยวี๋ยนและตระกูลโอวหยางเป็นตระกูลแห่งโลกเบื้องหลัง ทั้งสองตระกูลมีพื้นเพลึกล้ำหาใดเปรียบ กระทั่งรัฐบาลก็ไม่กล้าแตะต้องง่ายๆ แต่เย่เทียนเฉินถึงกับสามารถทำลายล้างตระกูลแห่งโลกเบื้องหลังตระกูลใหญ่ทั้งสองนี้ได้ภายในระยะเวลาสั้นๆ พูดไปแล้วก็เป็นเรื่องน่าเหลือเชื่อ

“เย่เทียนเฉินก่อตั้งอำนาจของตนแล้วใช้ชื่อว่า “สิบสามจ้าวสวรรค์” เป็นกลุ่มคนที่แข็งแกร่งเป็นอย่างมาก หลังจากที่ไปทำลายตระกูลเซวียนเยวี๋ยนแล้วก็ทำลายตระกูลโอวหยางเมื่อวาน อย่างไรก็ตาม การล่มสลายของตระกูลโอวหยางมีคนระดับสูงของประเทศเคลื่อนไหวพลังของกองทัพด้วย!” ย่าขู่เอ่ยปากพูดต่อไป

หลิงเยว่ได้ยินคำพูดของย่าขู่ก็ขมวดคิ้ว ท่าทางเรื่องนี้จะไม่ใช่ข่าวโคมลอย ตระกูลหลิงของเขา ในฐานะที่เป็นตระกูลชาวจีนโพ้นทะเลที่ร่ำรวยที่สุด อำนาจในแต่ละทางด้านล้วนไม่อ่อนแอ ข่าวที่ได้รับย่อมเป็นข่าวที่แม่นยำที่สุดเป็นอันดับหนึ่งแล้ว

“รัฐบาลเคลื่อนไหวด้วยหรือ?” หลิงเยว่ยิ่งรู้สึกสงสัยขึ้นมา

หากพูดกันตามเหตุผลแล้ว ตระกูลเย่เป็นตระกูลชั้นสามที่ตกต่ำไป เมื่อมาถึงรุ่นของเย่เทียนเฉินก็ตกต่ำจนตกต่ำไปกว่านี้ไม่ได้แล้ว ดูเหมือนว่าจะไม่อยู่ในสายตาใครในเมืองหลวงเลย ถึงกับได้รับความช่วยเหลือและความสนใจจากบุคคลระดับสูงในประเทศได้เชียว ในจุดนี้ทำให้หลิงเยว่คิดไม่ถึงจริงๆ ครั้งนี้หลิงเยว่ต้องการย้ายกลับมาจากต่างประเทศ แน่นอนว่าต้องการความช่วยเหลือและนโยบายของรัฐบาลมากยิ่งขึ้น กระทั่งท่านผู้นำสูงสุดหลิงเยว่ก็เคยพบมาแล้ว ใส่ใจตระกูลหลิงมาก

“หลังจากที่กลุ่มสิบสามจ้าวสวรรค์ของเย่เทียนเฉินจัดการกับกลุ่มสิบสามราชาเสือดาวของตระกูลโอวหยางแล้ว ทางรัฐบาลก็ส่งขุนพลระดับทัพฟ้าออกมานำทหารชั้นยอดมาปิดล้อมคฤหาสน์ของตระกูลโอวหยางเอาไว้ และลงมือทำจัดตระกูลโอวหยาง เป็นวิธีการที่รวดเร็วและงดงามมาก!” ย่าขู่พูดด้วยรอยยิ้มเล็กน้อย

ตระกูลโอวหยางเป็นตระกูลในโลกเบื้องหลัง มีอำนาจมืดแข็งแกร่งมาก กระทั่งทางรัฐบาลเอง แม้หลายปีมานี้จะไม่ได้แตะต้องตระกูลโอวหยางแต่ก็สนใจอยู่ตลอด หากตระกูลโอวหยางต้องการจะเผยตัวออกมา บางทีคงจะมีอันตรายไปถึงชีวิตและทรัพย์สินของคนธรรมดาทั่วไป ดังนั้นทางรัฐบาลจึงใช้นโยบายกับตระกูลที่มีอำนาจมืดยิ่งใหญ่เหล่านี้ ไม่ใช่ว่าทางรัฐบาลไม่ต้องการกำจัด แต่ต้องรอเวลาที่เหมาะสมก็เท่านั้น

“ดูท่าทางฉันจะประเมินเย่เทียนเฉินต่ำเกินไปจริงๆ คิดไม่ถึงว่าเขาจะแข็งแกร่งขนาดนี้ ยิ่งไปกว่านั้นยังมีคนอยู่ในระดับสูงของประเทศอีกด้วย!” หลิงเยว่พูดขึ้นไม่อาจไม่นับถือ

ในตอนนี้เอง หลิงอวี่สวิ๋นที่ได้ยินข่าวเหล่านี้จึงดีใจและเบิกบานใจอยู่นอกประตูอย่างยิ่งยวด เนื่องจากข่าวที่เธอได้ยินต่างเป็นข่าวดีเกี่ยวกับเย่เทียนเฉินทั้งนั้น เธอจะไม่ดีใจได้อย่างไรล่ะ! กำลังคิดจะเดินเข้าไปแต่กลับได้ยินคำพูดของย่าขู่อีกครั้ง

“แล้วยังมีอีกเรื่องหนึ่ง นั่นก็คือคุณชายใหญ่แห่งมหาวิทยาลัยหลงเถิงลงมือแล้ว เขาส่งคนไปสี่คน เกือบจะกำจัดกลุ่มสิบสามจ้าวสวรรค์ได้แล้ว หากไม่ใช่เพราะเย่เทียนเฉินตามมาทันเกรงว่ากลุ่มอำนาจที่เขาเพิ่งจะก่อตั้งคงถูกทำลายไปแล้ว!” ย่าขู่พูดด้วยน้ำเสียงตื่นตะลึง

“คุณชายใหญ่ลงมือแล้วหรือ?” หลิงเยว่ถามอย่างแปลกใจ

“ใช่ค่ะ ส่งคนออกไปสี่คนเพื่อสู้กับกลุ่มสิบสามจ้าวสวรรค์ครั้งใหญ่ เกือบจะได้รับชัยชนะแล้ว!” ย่าขู่พยักหน้าแล้วพูดขึ้น

“คุณชายใหญ่ลึกล้ำไม่อาจคาดเดาจริงๆ ด้วย ส่งคนออกไปแค่สี่คน ถึงกับเกือบจะทำลายกลุ่มอำนาจของเย่เทียนเฉินได้เชียว ดูท่าเย่เทียนเฉินจะไม่ใช่คู่มือของคุณชายใหญ่จริงๆ รับมือได้ไม่นานก็คงจะถูกทำลายแล้ว!” หลิงเยว่ขมวดคิ้วพูด

“หลายปีมานี้ไม่เคยมีคนเป็นคู่มือของคุณชายใหญ่ได้เลย สิ่งที่เย่เทียนเฉินแสดงออกมาน่าแปลกใจมาก เพียงแต่น่าเสียดายที่สู้คุณชายใหญ่ไม่ได้ เสียดายคนมีความสามารถแบบนี้จริงๆ!” หลิงเยว่พูดออกมาอย่างรู้สึกเสียดายเล็กน้อย

“รายละเอียดการต่อสู้ฉันไม่รู้แน่ชัด แต่ส่งคนไปตรวจสอบแล้ว!” ย่าขู่เอ่ยปากพูด

“อืม ใส่ใจให้ตลอดล่ะ นอกจากนั้นอย่าให้หลิงอวี่สวิ๋นออกไป ถ้าคุณชายใหญ่คิดจะกำจัดเย่เทียนเฉินแล้ว เกรงว่าคงจะมีการต่อสู้นองเลือดครั้งใหญ่แน่ ฉันไม่อยากให้เธอมีอันตราย!” หลิงเยว่เอ่ยปากพูด

ย่าขู่เดินไปยังประตู หลิงอวี่สวิ๋นได้ยินบทสนทนาทั้งหมดแล้ว เดิมทีหลิงอวี่สวิ๋นที่มีความสุขเป็นอย่างมาก ในใจตอนนี้กลับเป็นกังวลอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ คุณชายใหญ่แห่งมหาวิทยาลัยหลงเถิงแข็งแกร่งขนาดนั้น ส่งคนออกไปแค่สี่คนก็เกือบจะทำลายกลุ่มสิบสามจ้าวสวรรค์ได้แล้ว นี่จำเป็นต้องมีพลังการต่อสู้ที่แข็งแกร่งขนาดไหนกันถึงจะสามารถทำได้?

แน่นอนว่าสิ่งเหล่านี้เป็นเพราะพวกเธอไม่รู้ว่า คนทั้งสี่ที่คุณชายใหญ่ส่งออกไป ไม่เพียงแต่จะมีฝีมือแข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่ง อีกทั้งสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ ในมือของพวกเขาล้วนมีอาวุธเทพอยู่ ของเหล่านั้นล้วนเป็นอาวุธในตำนานเล่าขานที่ทำให้ผู้คนต้องสั่นสะท้าน เพียงแค่ชิ้นเดียวก็เพียงพอที่จะทำให้โลกต้องตกตะลึงแล้ว มิฉะนั้นจะสามารถกดดันกลุ่มสิบสามจ้าวสวรรค์แบบนี้ได้อย่างไร

หลิงอวี่สวิ๋นรีบเดินลงไปชั้นล่าง ในใจเป็นห่วงเย่เทียนเฉินมากนัก ทั้งยังไม่กล้าให้ย่าขู่และพ่อรู้ มิฉะนั้นเกรงว่าหลิงเยว่พ่อของเธอจะยิ่งควบคุมอิสรภาพของเธอยิ่งขึ้น

นำกาแฟมาวางไว้บนโต๊ะกาแฟในห้องโถงใหญ่บริเวณชั้นหนึ่ง พบว่าย่าขู่เดินลงมาแล้ว หลิงอวี่สวิ๋นรีบแสร้งทำเป็นบังเอิญพบ ยิ้มหวานแล้วเดินเข้าไปข้างกายย่าขู่ กอดแขนย่าขู่แล้วพูดว่า “ย่าขู่คะ มีข่าวเกี่ยวกับเย่เทียนเฉินหรือเปล่าคะ?หลายวันนี้หนูอารมณ์ไม่ค่อยดี รู้สึกเป็นห่วงน่ะค่ะ!”

“ฮ่าๆ เด็กน้อย เมื่อกี้คุณแอพฟังฉันคุยกับพ่อของคุณแล้ว ถ้าหากพ่อของคุณรู้เข้า เขาจะต้องโกรธมากแน่!” ย่าขู่พูดตำหนิหลิงอวี่สวิ๋นแต่กลับยิ้มอย่างเมตตา หลิงอวี่สวิ๋นก็เหมือนกับหลานสาวของเธอ เธอจะทำใจตำหนิลงได้อย่างไร

“หนูรู้ว่าย่าขู่ดีกับหนูที่สุดแล้ว จะไม่บอกพ่อแน่ ถ้างั้นคุณบอกข่าวเกี่ยวกับเย่เทียนเฉินให้หนูฟังซักหน่อยเถอะ เขามีอันตรายถึงชีวิตหรือเปล่าคะ?” หลิงอวี่สวิ๋นเกาะแขนของย่าขู่อย่างออดอ้อนแล้วพูดขึ้น

“จนปัญญากับคุณจริงๆ คำพูดเมื่อครู่นี้คุณก็ได้ยินหมดแล้ว เด็กน้อยอย่างคุณยังต้องการรู้อะไรอีกหรือคะ?” ย่าขู่ถามด้วยรอยยิ้ม

“เมื่อสักครู่นี้หนูได้ยินคุณพูดถึงคุณชายใหญ่แห่งมหาวิทยาลัยหลงเถิง บอกว่าเขาลงมือกับเย่เทียนเฉินแล้ว แล้วตอนนี้เย่เทียนเฉินเป็นอย่างไรบ้าง?” หลิงอวี่สวิ๋นถามอย่างร้อนใจ

“ตอนนี้ไม่เป็นอะไรแล้ว แต่กลุ่มสิบสามจ้าวสวรรค์ที่เป็นลูกน้องของเขาต่างได้รับบาดเจ็บสาหัส ในตอนที่ทำลายตระกูลเซวียนเยวี๋ยนเย่เทียนเฉินก็ได้รับบาดเจ็บสาหัสเหมือนกัน แต่เมื่อเขากลับมาก็สามารถหยุดยั้งไม่ให้คนของคุณชายใหญ่ทำลายกลุ่มสิบสามจ้าวสวรรค์ได้ ท่าทางเด็กคนนี้คงจะไม่เป็นไรแล้ว!” ย่าขู่เอ่ยปากพูด

“ถ้างั้นตอนนี้เป็นยังไงบ้างคะ!” หลิงอวี่สวิ๋นถามอย่างร้อนใจ

“ยังไม่แน่ชัด ทำได้เพียงแต่ดูว่าก้าวต่อไปคุณชายใหญ่จะมีการเคลื่อนไหวอย่างไร!” ย่าขู่พูดอย่างจนใจ

หลิงอวี่สวิ๋นชะงักไปเล็กน้อย เธอรู้ว่าย่าขู่คงไม่ล้อเล่นแน่ กลุ่มสิบสามจ้าวสวรรค์ที่เย่เทียนเฉินก่อตั้งขึ้นทำลายล้างตระกูลเซวียนเยวี๋ยนและตระกูลโอวหยางได้ ย่อมแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก แต่คนที่ลึกล้ำไม่อาจคาดเดาเช่นคุณชายใหญ่ ว่ากันว่าสิบกว่าปีมานี้ไม่มีใครเป็นคู่มือเขาได้ นั้นไม่ใช่ข่าวโคมลอยแน่ เพียงแค่ส่งคนออกไปสี่คนก็เกือบจะทำลายกลุ่มสิบสามจ้าวสวรรค์ได้แล้ว ความสามารถเช่นนี้ไม่ว่าใครก็ไม่กล้าดูถูก

“ย่าขู่ หนูอยากออกไป!” หลิงอวี่สวิ๋นดึงแขนของย่าขู่ มองไปยังย่าขู่ด้วยความร้อนใจแล้วพูดขึ้นอย่างจริงจัง

“ไม่ได้ค่ะ อันตรายเกินไป ตอนนี้เรียกได้ว่าเป็นการดวลกันครั้งใหญ่ของเย่เทียนเฉินและคุณชายใหญ่ เป็นช่วงเวลาที่อันตรายที่สุด อาจจะตายก็ได้!” ย่าขู่พูดแล้วส่ายหน้า

“ย่าขู่ คุณเห็นหนูเติบโตมาตั้งแต่เล็กๆ หนูไม่เคยมีความรักมาเลย ตอนที่ได้เจอกับเย่เทียนเฉินหนูก็ไม่คิดว่าจะรักเขา ความรู้สึกในวัยเด็กนั้นหนูไม่สามารถลบทิ้งไปได้จริงๆ ไม่ว่าพ่อจะขัดขวางอย่างไรหนูก็ต้องการพบเย่เทียนเฉินจริงๆ ไม่งั้นหนูจะไม่วางใจ!” หลิงอวี่สวิ๋นพูดตามจริง

“หลิงอวี่สวิ๋น คุณไปเจอเย่เทียนเฉินแล้วอย่างไร? คุณช่วยอะไรเขาไม่ได้หรอก กลับจะทำให้เย่เทียนเฉินพะว้าพะวงเสียมากกว่า เด็กคนนี้ร้ายกาจมาก หากเขามีความสามารถเอาชนะคุณชายใหญ่ได้จริงๆ ฉันเชื่อว่าถึงตอนนั้นพ่อของคุณก็จะไม่ขัดขวางคุณกับเขาอีก หากเขาแพ้และถูกฆ่า นั่นก็เป็นเรื่องที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้!”ย่าขู่มองไปยังหลิงอวี่สวิ๋นแล้วพูดอย่างจริงจัง

“งั้น…งั้นหรือว่าหนูจะต้องรออยู่แบบนี้? หรือหนูทำอะไรไม่ได้เลย ทำได้เพียงลืมตาดูเขาไปต่อสู้นองเลือดกับคุณชายใหญ่…”หลิงอวี่สวิ๋นพูดอย่าตำหนิตัวเองน้ำตาไหลวนอยู่ในดวงตา!

เย่เทียนเฉินไม่รู้เลยว่าบนโลกใบนี้จะยังมีผู้หญิงเช่นนี้อยู่คนหนึ่ง คนที่กำลังเป็นห่วงเขาอยู่เงียบๆ กำลังหลั่งน้ำตาเพื่อเขาอยู่เงียบๆ

“หนูทำอะไรไม่ได้เลยเหรอคะ? คุณชายใหญ่แข็งแกร่งขนาดนั้น บะ บางทีหากพวกเราตระกูลหลิงร่วมมือกับเย่เทียนเฉิน อาจจะสามารถเอาชนะได้!” หลิงอวี่สวิ๋นพูดอย่างกระวนกระวาย คิดทุกวิถีทางเพื่อต้องการช่วยเย่เทียนเฉิน

ย่าขู่เห็นหลิงอวี่สวิ๋นเติบโตมาตั้งแต่เล็กๆ แม้เบื้องหน้าทั้งสองจะมีความสัมพันธ์เหมือนนายกับบ่าว แต่ความจริงไม่แตกต่างอะไรกับย่าหลาน ดังนั้นย่าขู่จึงไม่ได้หลอกหลิงอวี่สวิ๋น ครั้งนี้คุณชายใหญ่ลงมือแล้ว และเกือบจะทำลายกลุ่มสิบสามจ้าวสวรรค์ได้ นี่เป็นการใช้มีดฆ่าโคไปฆ่าไก่เท่านั้นถึงกับร้ายกาจขนาดนี้ หากคุณชายใหญ่ลงมือด้วยตัวเอง ถ้างั้นเย่เทียนเฉินก็ทำได้เพียงรอความตายแล้วละมั้ง? หลิงอวี่สวิ๋นจะไม่เป็นห่วงได้อย่างไร

“อวี่สวิ๋น คุณคิดง่ายเกินไปแล้วจริงๆ ยิ่งไปกว่านั้น คุณทำแบบนี้อาจจะเป็นการทำร้ายตระกูลหลิงก็เป็นได้ ตอนนี้ตระกูลหลิงของพวกเรากำลังย้ายศูนย์กลางมาในประเทศ แต่ทางฝั่งของรัฐบาลประเทศ M กำลังคิดจะขัดขวาง จะสามารถย้ายกลับมาได้โดยสมบูรณ์หรือไม่ก็ยังไม่รู้ ดังนั้นในช่วงเวลาแบบนี้ หากเกิดเรื่องอะไรขึ้นก็จะกลายเป็นอุปสรรคในการย้ายฐานกิจการของตระกูลหลิงของพวกเรา ยิ่งไปกว่านั้นนายท่านก็ไม่เห็นด้วยแน่ ตอนนี้นายท่านมีอคติต่อเย่เทียนเฉิน ไม่งั้นคงไม่ขัดขวางการไปมาหาสู่ระหว่างคุณกับเจ้าหนูนั่นหรอก!” ย่าขู่พูดแล้วส่ายหน้า

“หนู…” หลิงอวี่สวิ๋นไร้ซึ่งคำพูด เธอรักเย่เทียนเฉิน เป็นความรักอันบริสุทธิ์ที่เหมือนกับวัยเด็ก ตอนนี้จะยืนมองเย่เทียนเฉินมีอันตรายได้อย่างไร แต่ในฐานะที่เธอเป็นคนของตระกูลหลิง เธอจะทำให้ครอบครัวของตนมาเกี่ยวพันได้ยังไง?

ดังนั้นหลิงอวี่สวิ๋นจึงสับสนมาก สับสนแทบตาย เธอไม่รู้ว่าตนควรจะทำอย่างไรดี ทำได้เพียงหลั่งน้ำตาไปเงียบๆ เท่านั้น

“อย่าได้คิดมากไปเลย รอดูไปเถอะ ตอนนี้สิ่งที่พวกเราจะสามารถอธิฐานได้ก็คือ ขอให้เย่เทียนเฉินเอาชนะคุณชายใหญ่ได้ ถึงแม้โอกาสจะน้อยมากก็ตาม!” ย่าขู่มองไปยังหลิงอวี่สวิ๋นแล้วพูดขึ้น

ตอนนี้เอง ในคฤหาสน์ที่เย่เทียนเฉินพักอยู่ พวกเย่เทียนเฉิน อู๋เสวี่ย หวังเจี๋ย หลินตวนและเปาเทียนหลงกำลังสนทนากันอย่างสนุกสนาน พี่น้องกลุ่มนี้ได้มาไม่ง่ายเลย เย่เทียนเฉินเห็นคุณค่าเป็นอย่างมาก

“ลำบากทุกคนแล้ว พวกเรากลุ่มสิบสามจ้าวสวรรค์เติบโตขึ้นเรื่อยๆ และแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ จะต้องยืนอยู่ในจุดสูงสุดของโลกเบื้องหลังและเบื้องหน้าให้ได ดังนั้นฉันอยากจะบอกทุกคนว่า รักษาชีวิตของตัวเองให้ดี นี่สำคัญยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด!” เย่เทียนเฉินพูดด้วยรอยยิ้มเล็กน้อย

“พี่ใหญ่ ถ้างั้นตอนนี้พวกเราจะเริ่มขยายกลุ่มได้แล้วหรือเปล่าครับ?” อู๋เสวี่ยกล่าวขึ้น

“ไม่ แค่สิบสามจ้าวสวรรค์ก็พอแล้ว ถ้ามีคนมากไปก็ไม่มีประโยชน์อะไร พวกเราต้องการกองกำลังที่สามารถผ่านสมรภูมินับร้อยได้ ยิ่งไปกว่านั้น ตอนนี้ชื่อเสียงของกลุ่มสิบสามจ้าวสวรรค์ของพวกเราก็โด่งดังออกไปแล้ว และฉันจะทำให้มันโด่งดังยิ่งขึ้น!” เย่เทียนเฉินส่ายหน้า พูดด้วยรอยยิ้ม

“พวกเราทำลายตระกูลเซวียนเยวี๋ยน ส่วนรัฐบาลทำลายตระกูลโอวหยาง ตอนนี้อุปสรรคที่ใหญ่ที่สุดที่เหลืออยู่ก็คือคุณชายใหญ่แห่งมหาวิทยาลัยหลงเถิง แต่อำนาจของเขาแข็งแกร่งมาก ยิ่งไปกว่านั้นยังลึกลับมากอีกด้วย ผมคิดว่าถ้าจะกำจัดคนคนนี้ พวกเราจำเป็นต้องค่อยเป็นค่อยไป!” เปาเทียนหลงเอ่ยปากพูด

“อืม เรื่องรับมือกับคุณชายใหญ่ ฉันหวังว่าทุกคนจะรอบคอบและระมัดระวังตัวด้วย คนคนนี้ลึกล้ำไม่อาจคาดเดา ฉันไม่รู้ว่าความสามารถของเขาแข็งแกร่งขนาดไหน แค่อาศัยคนในหมอกโลหิตที่เป็นลูกน้องของเขาคนนั้นก็เพียงพอที่จะสู้กับพวกเราแล้ว!” เย่เทียนเฉินพยักหน้าแล้วพูดขึ้น

“ครับพี่ใหญ่!” พวกอู๋เสวี่ยตอบรับพร้อมกัน

“สายลมพัดพาต่อไป ทนไปได้ไม่ไกล ในใจกระหายความหวัง หวังว่าจะรั้งคุณอยู่ต่อไป…”

ตอนนี้เองโทรศัพท์มือถือของเย่เทียนเฉินก็ดังขึ้น ระยะนี้เขาฟังเพลงสายลมพัดผ่าน รู้สึกเพราะมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตอนที่ขับรถมอเตอร์ไซค์ ดูโรแมนติกและเท่ห์มาก

เย่เทียนเฉินหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู เป็นชางหลางที่โทรมา คนคนนี้โทรมาหาตนมีเรื่องอะไรกัน? คงจะเป็นเพราะกำจัดตระกูลเซวียนเยวี๋ยนและตระกูลโอวหยางได้ ท่านผู้นำสูงสุดจึงต้องการชื่นชมตนละมั้ง เมื่อคิดถึงตรงนี้เย่เทียนเฉินก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาแล้วกดรับโทรศัพท์อย่างเบิกบานใจ

“ฮัลโหล สวัสดีครับ คุณโทรหาใครครับ?” เย่เทียนเฉินเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงแปลกใจอย่างเสเเสร้ง

“ฉันชางหลางเอง ไอ้หนูอย่ามาเสแสร้งกับฉัน รีบออกมาเดี๋ยวนี้ ฉันอยู่หน้าคฤหาสน์ของแก!” ชางหลางพูดเสียงต่ำ

“เรื่องการตบรางวัลคุณควรจะเข้ามา ยังต้องให้ผมออกไปต้อนรับอีกเหรอ?” เย่เทียนเฉินถามด้วยความสงสัย

“แกกำลังคิดอะไรอยู่ รีบออกมา ท่านหยางและท่านผู้นำสูงสุดต้องการพบ!” ชางหลางพูดอย่างไม่สบอารมณ์

“ต้องการพบผม? ต้องเป็นทางการขนาดนี้เลยเหรอครับ? ไม่ต้องหรอกมั้ง ให้เงินผมใช้ซักหลายหมื่นล้านก็พอแล้ว!”เย่เทียนเฉินถามแล้วหัวเราะฮี่ๆ

“เกิดเรื่องแล้ว เกิดเรื่องใหญ่แล้ว!” ชางหลางเอ่ยปาก

“หือ? ผมจะไปเดี๋ยวนี้…”

เย่เทียนเฉินรู้สึกสงสัย ชางหลางบอกว่าเกิดเรื่องแล้ว แล้วยังเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นอีกด้วย สามารถทำให้ชางหลางพูดคำนี้ออกมาได้ เกรงว่าระดับของเรื่องนี้จะต้องไม่ใช่ต่ำๆ แน่นอน ดังนั้นเย่เทียนเฉินจึงไม่ได้ละเลย รีบเดินออกไปนอกคฤหาสน์ทันที

ในตอนที่เย่เทียนเฉินเดินออกมานอกคฤหาสน์ ชางหลางยังคงขับรถจี๊ปทหาร จอดรออยู่ตรงนั้นนานแล้ว

“มีเรื่องอะไรหรอครับ?” เย่เทียนเฉินรีบเดินไปที่ประตูรถแล้วถามขึ้น

“ขึ้นรถ!” ชางหลางพูดแค่สองคำนี้

“ไม่จริงน่า มีเรื่องก็มาหาผมอีกแล้วเหรอ ไม่รู้หรือว่าผมยุ่งมาก? ไม่ว่าง!”เย่เทียนเฉินจิ๊ปากแล้วพูดขึ้น

“ครั้งนี้เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับแก แกจะไม่ขึ้นมาก็ได้!” ชางหลางพูดอย่างไม่สบอารมณ์

“เรื่องที่เกี่ยวข้องกับผม?” เย่เทียนเฉินอดไม่ได้ที่จะถามขึ้นอย่างสงสัย

ไม่รอให้เย่เทียนเฉินมีปฏิกิริยากลับมา ชางหลางก็ขับจี๊ปทหารออกไปแล้ว เย่เทียนเฉินเห็นก็ชะงักไป วิ่งไปหลายก้าว ใช้มือซ้ายจับที่ประตูรถจี๊ปทหารแล้วกระโดดเข้าไปนั่ง

“ไอ้หนู ถ้าแกมีความสามารถก็อย่าตามมาสิ!” ชางหลางคิดว่าเย่เทียนเฉินมักจะหยอกล้อเขา ในครั้งนี้จึงฉีกหน้าเย่เทียนเฉินขึ้นมา

“ผมทำเพื่อประชาชนนะครับ ใช่แล้ว คุณบอกว่าเป็นเรื่องเกี่ยวกับผม ตกลงมันเรื่องอะไรกันแน่?” เย่เทียนเฉินพูดด้วยรอยยิ้ม

“ไปพบท่านหยางและท่านผู้นำสูงสุดค่อยว่ากันอีกทีเถอะ!” ชางหลางพูดแล้วเหยียบคันเร่งให้เร็วขึ้น มุ่งหน้าตรงไปยังทะเลจงไห่

ระหว่างทางเย่เทียนเฉินคิดทุกวิถีทางเพื่อให้ชางหลางพูดเรื่องที่เกี่ยวข้องกับตนเรื่องนี้ออกมา ไหนเลยจะรู้ว่าชางหลางจะไม่ยอมอ่อนข้อสักนิด ดูแล้วการที่พวกท่านผู้นำส่งชางหลางมาหาตนก็นับว่ามีเหตุผล ถ้าหากเป็นเฮยเมี่ยนมา เกรงว่าคงถูกตนทำให้พูดออกมาแล้ว ไหนเลยจะต้องไปพบพวกท่านผู้นำอีก

สองชั่วโมงต่อมา รถจิ๊บทหารหยุดอยู่เบื้องหน้าตึกสำนักงานใหญ่บริเวณทะเลจงไห่ รอบเขตสำนักงานทะเลจงไห่มีทหารหน่วยรบพิเศษถือปืนจำนวนนับไม่ถ้วนกำลังเดินตรวจตรา ยิ่งไปกว่านั้น เพียงพริบตาเดียวเย่เทียนเฉินก็สามารถสัมผัสได้ถึงพลังที่แข็งแกร่งเป็นจำนวนมากรอบด้าน ที่นี่จะต้องมียอดฝีมืออยู่ราวกับปุยเมฆแน่นอน

เย่เทียนเฉินเดินตามหลังชางหลางผ่านด่านตรวจแต่ละชั้นถึงสามารถเข้ามาที่ห้องทำงานของท่านผู้นำสูงสุดได้ ที่นี่ไม่ว่าใครจะเข้าออกก็ต้องผ่านการตรวจสอบอย่างเข้มงวด ไม่มีใครสามารถผ่านเข้าไปได้โดยไม่ถูกขัดขวาง

“คุณท่าน ไม่พบกันนานเลย คิดถึงผมจะตายอยู่แล้วล่ะสิ!” เย่เทียนเฉินพบท่านผู้นำก็รีบพูดออกมาด้วยรอยยิ้มกระตือรือร้นเต็มหน้า

เมื่อได้ยินคำพูดนี้ของเย่เทียนเฉิน ชางหลางพลันรู้สึกเอือมระอา ท่านผู้นำสูงสุดเป็นผู้นำของประเทศ มีใครบ้างที่กล้าพูดกับเขาตามใจแบบนี้? เกรงว่าจะมีแค่เย่เทียนเฉินคนเดียวที่กล้าทำแบบนี้แล้ว

“ไม่ได้พบกันนานเลย นั่งลงเถอะ!” ท่านผู้นำพูดด้วยรอยยิ้มสบายๆ และใจดี

เย่เทียนเฉินพยักหน้าแล้วนั่งลง เมื่อเห็นท่านหยางที่อยู่ด้านข้างก็หัวเราะออกมาแล้วพูดขึ้นว่า “ท่านยังแข็งแรงดีหรือเปล่า!”

“ไอ้หนู ภายนอกฉันก็ไม่ได้ดูแก่ขนาดนั้นมั้ง?” หยางอี้พูดแล้วยิ้มอย่างจนใจ

เมื่อเห็นเย่เทียนเฉินนั่งลง ชางหลางก็ไปยืนอยู่ด้านข้าง คนที่นั่งอยู่ที่นี่มีทั้งท่านผู้นำสูงสุดและท่านหยาง เป็นคนที่มีอำนาจสูงสุดของประเทศ เกรงว่าจะมีน้อยคนที่สามารถนั่งได้อย่างสบายใจแบบนี้ ทั้งยังสามารถคุยเล่นได้โดยไม่เคร่งเครียดเลยแม้แต่น้อย แต่อย่างน้อยเย่เทียนเฉินก็นับว่าเป็นคนหนึ่ง

“คุณท่านทั้งคน ไม่รู้ว่าพวกคุณตามหาผมมีเรื่องอะไรเหรอครับ?”

ถึงแม้เย่เทียนเฉินจะพูดคุยกับผู้นำทั้งสองคนนี้อย่างสบายๆ แต่ก็ยังคงมีความเคารพให้ พวกเขาเป็นคนที่ทำเพื่อประเทศและประชาชนอย่างแท้จริง เป็นคนที่มีใจยุติธรรมและรักใคร่ผู้อื่น คนแบบนี้ควรค่าที่จะให้ความเคารพ

“ให้ท่านหยางบอกเธอเถอะ!” ท่านผู้นำพูดด้วยรอยยิ้ม

หยางอี้มองเย่เทียนเฉินแล้วขมวดคิ้วพูดว่า

“ครั้งนี้ที่ตามหานายเพราะสองเรื่องด้วยกัน เรื่องแรกก็คือ นายกำจัดตระกูลเซวียนเยวี๋ยนและตระกูลโอวหยางไป พวกฉันยินดีมาก อำนาจของสองตระกูลนี้ไม่น้อยเลย นับว่าเป็นเนื้อร้ายสองก้อนที่สามารถทำอันตรายกับความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของคนธรรมดาทั่วไปได้ทุกเมื่อ เรื่องที่สองก็คือ หานเจี๋ยที่อยู่ชายแดนเกิดเรื่องขึ้นแล้ว ดูเหมือนจะถูกคนจับตัวไป พวกเราไม่รู้ว่าเป็นคนประเทศไหน คิดว่านายจะต้องไปช่วยเธอแล้ว!”

“หือ? หานเจี๋ยถูกคนจับตัวไปแล้ว? ที่ชายแดน? เป็นไปได้ยังไง?” เย่เทียนเฉินอดไม่ได้ที่จะถามออกมาอย่างตกตะลึง

“เป็นเพราะนายเคยร่วมมือกับหานเจี๋ยมาก่อน ดังนั้นเรื่องในครั้งนี้พวกเราจึงคิดที่จะส่งนายไป นายเองก็รู้ฐานะของหานเจี๋ยดี ความจริงแล้วเธอเป็นสมาชิกหน่วยวิจัยของกองทัพ คุ้นเคยกับอุปกรณ์ต่างๆ เป็นอย่างมาก ครั้งนี้ทหารหน่วยรบพิเศษที่ชายแดนตรวจสอบพบสารที่เป็นอันตรายจำนวนมากจึงเชิญสมาชิกหน่วยวิจัยไปทำการระบุให้แน่ชัด มีหลายอย่างที่หากสามารถกำจัดได้ก็ควรจะกำจัดไป พวกเราส่งหานเจี๋ยไป ไหนเลยจะรู้ว่า เมื่อคืนจะได้รับข่าวมาว่าทหารหน่วยรบพิเศษหลายสิบคนถูกฆ่าหมดแล้ว ส่วนหานเจี๋ยก็หายตัวไป…” หยางอี้ขมวดคิ้วพูด

“ถ้างั้นพวกคุณยังรออะไรอยู่ ส่งหน่วยมังกรฟ้าหรือไม่ก็เฮยเมี่ยนไปสิครับ!” เย่เทียนเฉินพูดอย่างไม่ค่อยเข้าใจนัก

“พวกเราขาดแคลนคนแขาดแคลนคนที่สามารถรับภารกิจใหญ่ในครั้งนี้ได้อย่างแท้จริง นายก็รู้ว่าช่วงนี้ประเทศชิบะก่อเรื่องร้ายแรงมาก มันไม่ง่ายเหมือนการตกกุ้งแบบนั้น ด้านในยังมีเอกสารมากมายอีกด้วย” หยางอี้เอ่ยปากพูด

“เทียนเฉิน ครั้งนี้นายคิดดูให้ดีสักหน่อยว่าจะไปที่ชายแดนด้วยตัวเองหรือเปล่า!” ชางหลางก็เอ่ยปากพูดเช่นกัน

“ไม่ต้องคิดแล้ว ผมจะไปตอนนี้เลย!” เย่เทียนเฉินลุกขึ้นยืนแล้วพูดอย่างจริงจัง

ในครั้งนี้เย่เทียนเฉินตอบรับอย่างรวดเร็ว ไม่ได้พูดอะไรให้มากความและไม่ได้พูดถึงเงื่อนไขใดๆ เนื่องจากเขาคิดว่าหานเจี๋ยอาจจะไม่ใช่แค่หายตัวไปและตกอยู่ในอันตราย แต่ยังอาจจะมีอันตรายถึงขั้นเสียชีวิตอีกด้วย จึงรู้สึกกังวลใจขึ้นมาจริงๆ แล้ว

หานเจี๋ย เย่เทียนเฉินยังไม่ลืมผู้หญิงคนนี้ ในตอนที่เขาได้มาเกิดใหม่ในโลกใบนี้ ผู้หญิงคนแรกที่เขาได้พบเมื่อลืมตาตื่นขึ้นมาก็คือหานเจี๋ย

ความจริงแล้วความประทับใจที่เย่เทียนเฉินมีต่อหานเจี๋ยไม่เลวนัก ถึงแม้ตอนแรกทั้งสองคนจะมีปากเสียงกัน แต่ก็ไม่ได้ทำให้เย่เทียนเฉินลืมเลือนความดีที่หานเจี๋ยมีต่อตน นี่เป็นผู้หญิงที่มีความแน่วแน่ มีความเชื่อมั่นในตัวเอง และมีกลิ่นอายของวีรสตรี ในตอนที่เย่เทียนเฉินเพิ่งจะเข้าร่วมกองทัพก็ให้ความดูแลเย่เทียนเฉินอยู่มาก พูดไปแล้วหานเจี๋ยก็เป็นผู้มีพระคุณต่อเย่เทียนเฉิน ดังนั้นเขาจึงรีบตัดสินใจไปที่ชายแดนทันที ผู้หญิงคนนี้ไม่อาจไม่ช่วย

“ไปเถอะ ผมจะออกเดินทางตอนนี้เลย!” เย่เทียนเฉินหมุนตัวเตรียมจะเดินจากไป

“หึ ทำไมไอ้หนูอย่างนายถึงได้ร้อนรนขนาดนี้ล่ะ?” หยางอี้จงใจถามด้วยรอยยิ้ม

“ท่านหยาง คุณทำแบบนี้จะเป็นการดูถูกผมเย่เทียนเฉินเกินไปแล้ว ผมคือสุดหล่อแห่งศตวรรษใหม่ ให้ความสำคัญกับความสัมพันธ์และความยุติธรรมมากนะครับ!” เย่เทียนเฉินพูดอย่างจริงจัง

“เอาล่ะ ในเมื่อนายตอบรับแล้ว เรื่องนี้ก็มอบหมายให้นายไปทำแล้วกัน หวังว่านายจะทำภารกิจให้สำเร็จได้อย่างโดดเด่น!” ท่านผู้นำสูงสุดพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม

“วางใจเถอะครับ ผมกับหานเจี๋ยเป็นเพื่อนกัน เธอเกิดเรื่อง ผมคงไม่สามารถทำเป็นไม่สนใจได้!” เย่เทียนเฉินตบหน้าอกตัวเองแล้วพูดขึ้น

“หาได้ยากจริงๆ ที่ไอ้หนูอย่างนายจะไม่พูดถึงเงื่อนไขกับพวกเรา เดิมทีคิดจะบอกว่า ถ้านายทำภารกิจนี้ได้สำเร็จก็จะเลื่อนขั้นให้พ่อของนายอีกขั้น…”

คำพูดของหยางอี้ยังไม่ทันจบ เย่เทียนเฉินก็ก้าวไปหน้าเขาก้าวหนึ่ง หัวเราะฮี่ๆ แล้วพูดขึ้นว่าขึ้น

“ถ้างั้นก็เอาตามนี้นะครับ ดีล!”

ใครๆ ก็คิดไม่ถึงว่าเย่เทียนเฉินจะเปลี่ยนสีหน้าได้เร็วขนาดนี้ เป็นเรื่องที่แปลกจริงๆ ทำให้ท่านผู้นำ หยางอี้ และชางหลางหน้าเขียวคล้ำ ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อตอนที่เห็นรอยยิ้มอัปลักษณ์ของไอ้หนูนี่

“ไม่ได้ นายจะไปไม่ไป!” หยางอี้ได้สติกลับมาก็พูดขึ้นอย่างกลับกลอก

“ท่านหยาง คุณทำแบบนี้ไม่ถูกต้องเลยนะครับ ในฐานะที่เป็นผู้นำระดับประเทศ จะพูดจาไม่เป็นคำพูดแบบนี้ไม่ได้นะครับ” เย่เทียนเฉินรีบทำท่าทางโกรธเคืองออกมา

“ครั้งนี้ฉันจะไปเป็นเพื่อนนาย จะใช้เฮลิคอปเตอร์ของกองทัพโดยตรง…”

ในตอนนี้เอง ชางหลางก็พูดขึ้นพลางเดินไปนอกประตู ทำให้เย่เทียนเฉินรู้สึกอับจนคำพูด ตอนนี้เขาเพิ่งจะค้นพบว่าท่านผู้นำและท่านหยางซึ่งเป็นพวกผู้นำระดับประเทศเหล่านี้เป็นขิงแก่จริงๆ เล่นด้วยไม่ง่ายเลย ยิ่งไปกว่านั้นพอจะพลิกลิ้นขึ้นมาก็เก่งกาจกว่าตนนับสิบเท่า ไม่อาจไม่นับถือ

ในตอนที่เย่เทียนเฉินเดินไปถึงด้านนอกตึกสำนักงานแห่งทะเลจงหนานไห่ เฮลิคอปเตอร์ทางการทหารลำหนึ่งก็จอดอยู่ด้านนอกแล้ว ชางหลางนั่งอยู่ในตำแหน่งข้างคนขับ รอแค่เขา。

“ไอ้หนู เดินให้มันเร็วๆ หน่อย หรือแกอยากจะวิ่งตามเฮลิคอปเตอร์ไป?” ชางหลางพูดหยอกล้อเย่เทียนเฉินอย่างหาได้ยากยิ่ง ถ้าพูดถึงความสัมพันธ์ของคนทั้งสอง นับว่าตั้งแต่เริ่มต้นก็เป็นความสัมพันธ์แบบไม่ต่อยตีไม่รู้จักกันและกลายมาเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน

“ชิ พี่ชายทำแต่เรื่องขัดจรวดมาตลอด เรื่องไล่ตามเฮลิคอปเตอร์คุณก็ทำไปเองเถอะ” เย่เทียนเฉินกรอกตาใส่ชางหลางแล้วพูดขึ้น

ชางหลางอับจนคำพูดกับเย่เทียนเฉินโดยสิ้นเชิง หลายครั้งที่เขาสามารถพูดคำพูดที่ไม่เพียงแต่ทำให้คุณเกิดความรู้สึกแปลกๆ ออกมา แต่ยังทำให้คุณหัวเราะไม่ออกร้องไห้ไม่ได้อีกด้วย เขาทำเพียงมองเย่เทียนเฉินอย่างจนใจแล้วพูดกับคนขับเฮลิคอปเตอร์ว่า “ไปป่าหมอกดำที่ชายแดน!”

“ครับ!” ทหารขับเฮลิคอปเตอร์พยักหน้าแล้วตอบรับ

“หือ? ป่าหมอกดำ เกิดเรื่องที่นั่นอีกแล้วเหรอ?” เย่เทียนเฉินอดไม่ได้ที่จะชะงักไปครู่หนึ่งแล้วถามขึ้น

“ที่นั่นเป็นเขตชายแดนของยูนนาน เรียกได้ว่าพ่อค้ายารายใหญ่และพวกค้าของเถื่อนจำนวนมากต่างก็เลือกสถานที่แบบนั้น เนื่องจากที่นั่นมีป่าโบราณอยู่แห่งหนึ่ง มีลักษณะภูมิประเทศขรุขระมาก ยากที่จะควบคุม ดังนั้นทางรัฐบาลจึงส่งทหารหน่วยรบพิเศษที่มีฝีมือยอดเยี่ยมไปคุ้มครองอยู่ที่นั่นหลายปี และทำการโจมตีโจรที่ต้องการข้ามชายแดนเข้ามาในประเทศของพวกเราหรือต้องการข้ามเส้นเขตแดนเข้ามาค้าอาวุธเถื่อน!” ชางหลางพูดแนะนำให้เย่เทียนเฉิน

เส้นเขตแดนของป่าหมอกดำอยู่ที่ยูนนานและก็ไม่ได้อยู่ที่ยูนนาน เนื่องจากมันอยู่ห่างจากยูนนานไกลมาก และเนื่องด้วยสภาพพื้นที่ของเส้นแบ่งเขตแดนนี้จึงไม่สามารถควบคุมได้ และกลายเป็นเส้นทางที่โจรค้าของเถื่อนจำนวนมากเลือกใช้ อีกทั้งยังกลายช่องทางสำคัญที่ใช้ออกนอกประเทศเพื่อทำภารกิจที่เป็นความลับของประเทศจีนอีกด้วย ดังนั้นที่นั่นจึงมีทหารเฝ้าอยู่หลายปี ทุกคนต่างก็เป็นทหารหน่วยรบพิเศษชั้นยอด

“มิน่าล่ะ ตอนนั้นที่พวกเรากลับมาถึงต้องใช้เส้นทางป่าหมอกดำ ดูท่าทางคงจะมีหลายเรื่องที่โลกภายนอกไม่รู้!” เย่เทียนเฉินคิดครู่หนึ่งแล้วพูดขึ้นมา

“การต่อสู้ระหว่างประเทศต่างๆ ไม่เคยหยุดยั้งและหยุดไม่ได้ด้วย ทำเรื่องมากมายเพื่อประเทศชาติและประชาชน แต่กลับไม่สามารถให้คนธรรมดาส่วนใหญ่รับรู้ได้ไปตลอดกาล!” ชางหลางพูดด้วยรอยยิ้มขมขื่น

เป็นเช่นนี้จริงๆ ในสังคมปัจจุบันนี้มีหลายคนที่ถูกข่าวสารและความคิดอื่นๆ ชักจูงได้ง่ายจนกลายเป็นเป้าหมายที่อาจชญากรรมจำนวนหนึ่งหลอกใช้ ประเทศใดก็ตามล้วนมีด้านมืดและด้านที่คิดไม่ถึงอยู่ทั้งนั้น นี่เป็นเรื่องที่ไม่อาจสมบูรณ์แบบได้

“ไม่ต้องพูดเรื่องไม่มีประโยชน์พวกนั้นหรอก บอกสถานการณ์ของเรื่องราวในครั้งนี้กับผมมาคร่าวๆ เถอะครับ แล้วก็ข้อมูลทั้งหมดที่พวกคุณมีอยู่ในมือด้วย ขอข้อมูลทั้งหมด!” เย่เทียนเฉินพูดอย่างจริงจัง

ชางหลางเห็นว่าเย่เทียนเฉินใส่ใจอย่างหาได้ยากจึงไม่คิดเล็กคิดน้อยอะไรอีก จะอย่างไรเขาก็รู้ว่าสถานการณ์เคร่งเครียดและร้ายแรงเป็นอย่างมาก ทหารหน่วยรบพิเศษชั้นยอดยี่สิบกว่าคนไม่เพียงแต่แต่ละคนจะมีฝีมือไม่ธรรมดา อีกทั้งยังใช้อาวุธที่ทันสมัยที่สุดอีกด้วย แต่กลับหายไปทั้งหมด ความจริงนี้ทำให้ผู้คนคิดไม่ถึงจริงๆ

“ครั้งนี้ทหารหน่วยรบพิเศษบริเวณชายแดนตรวจสอบพบว่า โจรต่างชาติกลุ่มหนึ่งต้องการขนส่งของบางอย่างผ่านทางป่าหมอกดำ คาดว่าเป็นสารที่อันตรายร้ายแรงเป็นอย่างมาก ดังนั้นจึงต้องการให้เบื้องบนส่งสมาชิกหน่วยวิจัยมาคนหนึ่งเพื่อตามไปวินิจฉัยดูด้วยกัน สุดท้ายจึงตัดสินใจส่งหานเจี๋ยไป ไหนเลยจะรู้ว่าก่อนหน้านี้สองชั่วโมงจะได้รับข่าวมาว่า ทหารหน่วยรบพิเศษชั้นยอดทั้งยี่สิบกว่าคนและหานเจี๋ยต่างหายตัวไปจากป่าหมอกดำด้วยกันทั้งหมด แม้แต่เฮลิคอปเตอร์และเรดาร์ก็หาข่าวของพวกเขาไม่พบ คงจะเป็นเพราะเครื่องมือสื่อสารถูกทำลายไปหมดแล้ว!”

ชางหลางพูดพลางขมวดคิ้ว เขารับรู้ได้ว่าเรื่องในครั้งนี้รับมือได้ยากมาก จินตนาการได้เลยว่า กลุ่มคนที่สามารถทำให้กองกำลังที่ติดตั้งอุปกรณ์ติดตามอยู่บนร่างกายอีกทั้งยังมีฝีมือไม่ธรรมดาและใช้อาวุธที่ทันสมัยหายไปทั้งหมดในเวลาเพียงชั่วพริบตาได้ คิดดูแล้วทำให้ผู้คนรู้สึกเหลือเชื่อจริงๆ และทำให้ผู้คนรู้สึกหวาดกลัวมาก อีกฝ่ายเป็นใครกันแน่? ทำไมมีความสามารถที่แข็งแกร่งขนาดนี้ได้?

“การเคลื่อนไหวในครั้งนี้มีผมกับคุณสองคนหรอครับ?” เย่เทียนเฉินถามอย่างจริงจัง

“มันไม่ได้อ่อนแอแบบที่แกคิดหรอก ที่ชายแดนมีกองทหารหน่วยรบพิเศษชั้นยอดตั้งมันอยู่ตลอดเวลา มีประมาณร้อยคนได้ หายตัวไปยี่สิบกว่าคนก็ยังมีอีกแปดสิบคนที่รอพวกเราอยู่ และคอยฟังคำสั่งจากฉันกับนาย!” ชางหลางเอ่ยปากพูด

“ไม่ต้องแล้ว ให้มือหนึ่งของทหารหน่วยนี้นำทางก็พอ มีคนมากไปก็ไม่มีประโยชน์อะไร กลับจะเป็นการเผยจุดประสงค์ด้วยซ้ำ และยังทำให้ผมกับคุณพะว้าพะวงด้วย!” เย่เทียนเฉินส่ายหน้าแล้วพูดขึ้น

“ได้!”

ชางหลางต้องเปลี่ยนมุมมองความคิดที่มีต่อเย่เทียนเฉินจริงๆ เมื่อมาถึงคนระดับเขาแล้วย่อมเข้าใจหลักการในการปฏิบัติงานและการต่อสู้ภาคสนามหลายอย่าง ในป่าทึบแบบนี้ และยิ่งหากต่อสู้กันในป่าทึบที่มีลักษณะไม่ดีเป็นอย่างมาก ไม่เหมาะสมที่จะให้คนจำนวนมากเข้าร่วม บางทีเพียงแค่ส่งยอดฝีมือระดับสูงไปแค่ไม่กี่คนก็อาจจะแก้ปัญหาได้แล้ว

ถ้ามีคนมากกลับจะทำให้เกิดเรื่องผิดพลาดขึ้นด้วยซ้ำ ไม่มีประโยชน์เลยแม้แต่น้อย และทำให้คนอื่นต้องคอยดูแล ไม่ใช่มาตรการที่ดี

ในฐานะที่เย่เทียนเฉินเป็นผู้แข็งแกร่งที่มีขอบเขตพลังพิเศษระดับพระเจ้า ในตอนที่อยู่ดาวสิ้นโลก เย่เทียนเฉินเป็นเด็กกำพร้า พัฒนามาทีละก้าวจนมาถึงขอบเขตนี้ได้ ความสามารถและประสบการณ์ในการต่อสู้จริงย่อมมีมาก เรื่องการต่อสู้ในป่าดึกดำบรรพ์แบบนี้เขายอมคุ้นเคยเป็นอย่างดี ดังนั้นเมื่อได้ยินชางหลางอธิบายถึงสถานการณ์จึงทำการตัดสินใจแบบนี้ออกมาทันที

เวลาสองทุ่มกว่า เฮลิคอปเตอร์ทางการทหารลำหนึ่งแล่นลงมาในเมืองเล็กๆ แห่งหนึ่งบริเวณชายแดนของยูนนาน ตอนนี้อยู่ภายใต้สถานการณ์อันมืดมิดจึงไม่สามารถเดินทางไปยังป่าหมอกดำได้

“คืนนี้พวกเราอยู่ที่เมืองนี้คืนหนึ่ง พรุ่งนี้จะมีคนมารับพวกเรา ถึงตอนนั้นพวกเราก็ค่อยไปป่าหมอกดำ!” ชางหลางมองเฮลิคอปเตอร์ที่บินออกไปแล้วค่อยมองมาที่เย่เทียนเฉินก่อนจะพูดขึ้น

เย่เทียนเฉินมองไปยังเส้นทางเล็กๆ ของเมือง สิ่งที่ทำให้เขาคิดไม่ถึงก็คือ เมืองเล็กๆ บริเวณชายแดนของยูนนานนี้มีด้านที่เต็มไปด้วยแสงสีแบบนี้ด้วย รู้สึกไม่เลวเลยจริงๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งร้านคาราโอเกะและบาร์ทั้งหลาย รวมกับผู้หญิงที่ยืนอยู่ข้างถนนพวกนั้นเป็นทิวทัศน์ที่ไม่เลวเลยจริงๆ ”

“ในเมื่อเป็นแบบนี้พวกเราก็ไปเที่ยวเล่นกันสักหน่อยเถอะ!” เย่เทียนเฉินพูดขึ้นมาด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์

ชางหลางชะงักไป อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วพูดว่า “ไอ้หนู แกยังมีอารมณ์ไปเที่ยวอีกรึไง พักผ่อนให้ดีๆ ไปซะ พรุ่งนี้จะเข้าป่าหมอกดำแล้ว อาจจะมีการต่อสู้ถึงขั้นเป็นตายที่คิดไม่ถึงก็ได้!”

“ก่อนการต่อสู้ใหญ่ก็ต้องผ่อนคลายให้ดีถึงจะมีอารมณ์ไปสู้ ถ้าหากว่าคุณไม่ไปก็ไปหาโรงแรมนอนหลับพักผ่อนซะหน่อยเถอะ ส่งชื่อโรงแรมมาให้ผมทางข้อความก็พอแล้ว ผมจะไปดูสาวงามในเมืองเล็กๆ พวกนี้สักหน่อย!” เย่เทียนเฉินพูดด้วยรอยยิ้มชั่วร้าย

ในตอนที่ชางหลางยังไม่มีปฏิกิริยากลับมา เย่เทียนเฉินก็เดินไปยังบาร์แห่งหนึ่งที่อยู่ไม่ไกลแล้ว ทำให้ชางหลางอับจนคำพูดจริงๆ ทำได้แต่สาปแช่งอยู่ในใจอย่างดุดันประโยคหนึ่งว่า “ไอ้หนูนี่ต้องติดโรคซิฟิลิสแน่!”

ไม่ว่าใครก็คิดไม่ถึงว่า ชางหลางที่ดูมีมาดและเคร่งขรึมจะมีด้านที่ชั่วร้ายแบบนี้อยู่ด้วย ถ้าหากเย่เทียนเฉินรู้คำสาปแชงในใจของชางหลางจะต้องโกรธมากแน่นอน

เย่เทียนเฉินเข้าไปในบาร์แห่งหนึ่งที่ชื่อว่า “ค่ำคืนไม่หวนกลับ” พื้นที่ว่างด้านในมีไม่มาก ประมาณสามสี่ร้อยตารางเมตรเท่านั้น ทุกที่เต็มไปด้วยโต๊ะกระจกเล็กๆ นอกจากเคาน์เตอร์บาร์ที่ยาวเหยียด ตรงกลางบาร์ยังมีฟลอร์เต้นรำขนาดใหญ่อยู่แห่งหนึ่งด้วย มีหญิงชายผู้บ้าบิ่นจำนวนมากกำลังเต้นอยู่บนนั้น แน่นอนว่าย่อมมีเรื่องลูบคลำเกิดขึ้นด้วย นี่เป็นเรื่องที่ปกติเป็นอย่างมาก

“สวัสดีค่ะ คุณผู้ชายมาที่นี่เป็นครั้งแรกเหรอคะ? อยากให้ฉันดื่มเป็นเพื่อนคนสักแก้วหรือเปล่า!” ผู้หญิงคนหนึ่ง สวมเสื้อผ้าเปิดเผย และนับว่าเป็นผู้หญิงที่หน้าตาดีและเซ็กซี่คนหนึ่งเดินเข้ามาเบื้องหน้าเย่เทียนเฉิน ริมฝีปากแดงดูเย้ายวนเอ่ยปากขึ้น

“ต้องการแน่นอนอยู่แล้วครับ ผมมาก็เพื่อคุณเลย หวังว่าคุณจะมอบค่ำคืนที่ไม่เลวให้แก่ผม!” เย่เทียนเฉินยิ้ม ใช้มือขวาพาดวางลงไปบนไหล่ของผู้หญิงเซ็กซี่คนนี้

หลังจากมาถึงเมืองเล็กๆ บริเวณชายแดนยูนนานก็เป็นเวลาสองทุ่มกว่าแล้ว เย่เทียนเฉินไม่ได้ไปโรงแรมด้วยกันกับชางหลาง แต่เดินไปยังบาร์เตะตาแห่งหนึ่งที่มีชื่อว่า “ค่ำคืนไม่หวนกลับ” เพิ่งจะเข้าไปก็มีผู้หญิงเซ็กซี่อวบอิ่มคนหนึ่งเดินเข้ามาทักทายเย่เทียนเฉินอย่างเซ็กซี่ มีความรู้สึกเหมือนกระแสไฟช็อต ราวกับต้องการวันไนท์สแตนด์กับเย่เทียนเฉินอย่างไรอย่างนั้น

โดยปกติแรไอเท็มมักจะหมายถึงผู้หญิง ผู้หญิงที่เป็นแรไอเท็มจะเซ็กซี่และมีเสน่ห์แพรวพราว สามารถทำให้คุณพึงพอใจไปถึงกระดูก เมืองชายแดนแบบนี้มีของเหล่านี้ด้วย แต่ก็ไม่ได้แปลกอะไรแม้แต่น้อย อย่างไรก็ตาม ที่เย่เทียนเฉินเดินเข้าไปก็ไม่ใช่ว่าต้องการหาผู้หญิงมาเล่นสนุก เขารู้ว่าบาร์ค่ำคืนไม่หวนกลับนี้เป็นบาร์ที่สะดุดตามากที่สุดภายในเมือง ถ้าเช่นนั้นข่าวสารทุกอย่างก็จะมารวมกันที่นี่ หลังจากที่เข้าไปด้านในบางทีอาจจะรู้เบาะแสของหานเจี๋ยก็เป็นได้ ต่อให้มีคนของพวกชางหลางมามอบข่าวและข้อมูลมาให้ก็ยังไม่สู้ตนเองไปสืบหามาเอง ยังจะเร็วกว่าด้วยซ้ำ

เย่เทียนเฉินเดินไปยังบาร์ค่ำคืนไม่หวนกลับ ตอนที่เขาเดินมาถึงประตูก็พบกับขอทานคนหนึ่งมาขอเงินจึงโยนเงินให้ไปหนึ่งร้อยหยวนด้วยความสงสาร ทำให้ขอทานคนนั้นดีใจมากจนเกือบจะตามเย่เทียนเฉินเข้าไปในบาร์ด้วยกันแล้ว

“พี่ชายมากี่ท่านคะ? ต้องการเหล้าอะไร? ต้องการบริการแบบไหนคะ?” เย่เทียนเฉินเพิ่งจะเดินเข้าไปก็มีผู้หญิงสวมเสื้อผ้าเปิดเผยหน้าตาธรรมดาแต่ก้นใหญ่เดินเข้ามาต้อนรับ ทำเหมือนกับเป็นพนักงานของที่นี่

“เอาเบียร์มาแล้วกัน คิดไม่ถึงว่าเร็วขนาดนี้บาร์นี้จะมีคนมากแล้ว ครึกครื้นดีจริงๆ” เย่เทียนเฉินมองคนที่นั่งอยู่รอบๆ แล้วพูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม

“ไม่ใช่ว่าพวกเขามาเร็ว แต่เมื่อวานพวกเขาไม่ได้ออกไปต่างหากค่ะ เที่ยวเล่นกันอย่างสนุกสนานเบิกบาน พอใจจนเดินไม่ไหวแล้ว!” ผู้หญิงก้นใหญ่มองไปยังเย่เทียนเฉินแล้วพูดขึ้นด้วยรอยยิ้มทรงเสน่ห์

“ถ้างั้นรบกวนคุณเอาเบียร์มาให้เถอะ ขอบคุณมากครับ!” เย่เทียนเฉินหาโต๊ะว่างๆ นั่งลงตามใจ

“ไม่มีปัญหา กรุณารอสักครู่”

เมื่อเห็นสาวก้นใหญ่เดินเยื้องย่างจากไป เย่เทียนเฉินก็มองไปยังคนที่อยู่รอบๆ คนเหล่านี้เหมือนกับคนที่อยู่ในเมือง ไม่ต่างอะไรจากอันธพาลเจ้าถิ่น ตอนที่เขาเดินเข้ามาก็มีหลายคนที่ย้อมผมหลากสีสันมองมายังเย่เทียนเฉินอย่างแปลกใจ สายตาเต็มไปด้วยความผิดปกติ

เย่เทียนเฉินเข้าใจเป็นอย่างมาก เมืองเล็กๆ แห่งนี้ห่างไกลจากสายตารัฐบาล กิจการด้านมืด ปล้นฆ่าข่มขืนล้วนมีทั้งหมด นั้นเป็นเรื่องที่ปกติมาก

“น้องชายเป็นคนต่างถิ่นใช่ไหมคะ มาที่นี่ครั้งแรกเหรอ?” สาวก้นใหญ่ถือเบียร์หลายขวดเดินเข้ามานั่งลงที่โต๊ะข้างเย่เทียนเฉินด้วยท่าทางสนิทสนม

“คุณรู้ได้ยังไงครับ ผมเพิ่งจะมาที่นี่จริงๆ” เย่เทียนเฉินถามด้วยรอยยิ้ม

“ฮ่าๆ เมื่อเล็กๆ ของพวกเราไม่ใหญ่ มีคนแปลกหน้าอะไร มีเรื่องแปลกใหม่อะไร ไม่นานก็ลามออกไปแล้ว เช่นเมื่อวานมีผู้หญิงคนไหนถูกเปิดซิง มีผู้หญิงคนไหนถูกเด็ดดอกไม้ จะแพร่ออกไปเร็วมาก” ผู้หญิงก้นใหญ่พูดออกมาด้วยรอยยิ้มทรงเสน่ห์โดยไม่เขินอายเลยแม้แต่น้อย

“อ้อ? ถ้างั้นเวอร์จิ้นของคุณและดอกไม้ของคุณถูกเด็ดไปแล้วหรือยังครับ?” เย่เทียนเฉินมองผู้หญิงก้นใหญ่คนนี้ออกนานแล้ว เธอเป็นผู้หญิงขายตัว มิฉะนั้นไหนเลยจะมาตีสนิทกับตน คงคิดต้องการจะทำธุรกิจ

“ล้อเล่นหรือเปล่า น้องชายนี่เป็นคนตลกจริงๆ เวอร์จิ้นแน่นอนว่าต้องถูกทำลายไปแล้ว ส่วนดอกไม้น่ะเหรอ ยังไม่ถูกเด็ดหรอก เก็บไว้ให้ผู้ชายที่มีความสามารถ” ผู้หญิงก้นใหญ่พูดพลางหัวเราะ

“ผู้ชายที่มีความสามารถเหรอครับ ถ้างั้นในความคิดของคุณ ผู้ชายแบบไหนถึงจะเรียกว่ามีความสามารถ?”

“แน่นอนว่าผู้ชายมีเงินย่อมมีความสามารถมากที่สุด ไม่รู้ว่าน้องชายมีความสามารถนี้หรือเปล่า?” ผู้หญิงก้นใหญ่ขยับเข้ามาใกล้เย่เทียนเฉินแล้วพูดขึ้นอย่างมีเสน่ห์

ในตอนนี้เอง เย่เทียนเฉินคิดอยู่ครู่หนึ่ง ช่วงเวลาที่ผู้หญิงก้นใหญ่คนนี้อาศัยอยู่ในเมืองเล็กๆ แห่งนี้คงจะไม่ใช่เวลาสั้นๆ และยังออกมาขายตัวด้วย จะต้องรู้เรื่องมากมายแน่นอน บางทีอาจจะสามารถขุดเบาะแสของพวกหานเจี๋ยออกมาจากปากของเธอได้ แต่มีเพียงธนบัตรปึกใหญ่เท่านั้นถึงจะทำให้ผู้หญิงแบบนี้เปิดปากได้

เขามองไปรอบๆ เย่เทียนเฉินทำท่าทางส่งสายตาให้ผู้หญิงก้นใหญ่อย่างลึกลับ ค่อยๆ ควักแบงค์ร้อยหยวนหลายใบออกมาจากกระเป๋าเสื้อ วางไว้บนโต๊ะแล้วพูดเสียงเบาว่า “ไม่ขอปิดบังคุณ ผมมาหาคุณที่นี่เพราะมีบางเรื่องที่ต้องการจะถามคุณ ถ้าหากคุณตอบได้ เงินนี้ก็จะเป็นของคุณ”

“ต้องตอบได้แน่นอนอยู่แล้ว ฉันอยู่ที่เมืองนี้และขึ้นชื่อเรื่องก้นใหญ่ปากใหญ่ ไม่มีเรื่องอะไรที่ฉันไม่รู้หรอก คุณถามมาเถอะ” หญิงก้นใหญ่เห็นเงินร้อยหยวนหลายใบบนโต๊ะก็รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมา ยืดอกจนส่ายไปมาเล็กน้อย ดูเซ็กซี่เป็นอย่างมาก

“งั้นก็ดี ผมขอถามคุณสักหน่อยว่าเมื่อคืนมีกลุ่มคนหลายคนซึ่งมีผู้หญิงคนหนึ่งเป็นผู้นำมาที่เมืองแห่งนี้ คนพวกนั้นไปไหนแล้ว?” เย่เทียนเฉินเอ่ยปากถามด้วยรอยยิ้ม

ไหนเลยจะรู้ว่าเย่เทียนเฉินเพิ่งจะเอ่ยปากถาม ผู้หญิงก้นใหญ่จะเผยอปากออกแล้วพูดออกมาอย่างไม่พอใจ “น้องชาย อย่าลืมกฏสิ จ่ายเงินมัดจำก่อน”

“ฮ่าๆ ขอโทษด้วย ขอโทษด้วย…” เย่เทียนเฉินได้สติกลับมาจึงนำแบงค์ร้อยหยวนสองหยวนใบยัดใส่ร่องอกลึกของสาวก้นใหญ่และยังบีบไปเล็กน้อย

“นี่โอเคแล้ว ฉันเห็นคนกลุ่มหนึ่ง เมื่อวานพวกเขามาถึงที่นี่ประมาณสามทุ่ม เพียงแต่ผ่านทางมาเท่านั้น และเหมือนกับจะไปที่ป่าหมอกดำ ไม่รู้ว่าไปทำอะไร…” สาวก้นใหญ่รับเงินมัดจำมาแล้วรีบพูดด้วยรอยยิ้มทรงเสน่ห์

“อ้อ ถ้างั้นก็ขอบคุณมาก แล้วเจอกัน!”

เมื่อเย่เทียนเฉินได้รู้เบาะแสของพวกหานเจี๋ยแล้วก็รู้ว่าเมื่อคืนพวกเขามาที่นี่และไปที่ป่าหมอกดำในคืนนั้นเลย ถ้าเช่นนั้นมีความเป็นไปได้มากว่าจะหายไปในป่าหมอกดำคืนนี้ ความเป็นไปได้ที่จะหลงทางมีไม่มาก ความเป็นไปได้เพียงอย่างเดียวก็คือถูกศัตรูลอบโจมตี ศัตรูคาดเดาได้นานแล้วว่าทหารหน่วยรบพิเศษจะมาขัดขวางพวกเขา ดังนั้นจึงทำการลอบโจมตี

เพียงแต่สิ่งที่ทำให้เย่เทียนเฉินรู้สึกแปลกใจมากก็คือ พวกเขาเป็นคนกลุ่มคนแบบไหนกันแน่ถึงกับร้ายกาจขนาดนี้ สามารถลอบโจมตีทหารหน่วยรบพิเศษได้ ยิ่งไปกว่านั้นยังมีความสามารถที่ทำให้ทหารหน่วยรบพิเศษชั้นยอดทั้งยี่สิบกว่าคนหายไปพร้อมกันอีกด้วย ช่างทำให้ผู้คนตกตะลึงจริงๆ

เรื่องในครั้งนี้เรียกได้ว่าร้ายแรงเป็นอย่างมาก เย่เทียนเฉินเองก็มองออก ถึงแม้ว่าท่านผู้นำสูงสุดและประธานหยางอี้จะพูดอย่างผ่อนคลายแต่ก็ร้อนใจมาก เรื่องนี้เกี่ยวพันไปถึงความลับของประเทศ หากส่งทหารออกไปเกรงว่าจะส่งผลกระทบกับนานาประเทศไม่น้อย ดังนั้นจึงคิดให้ตนและชางหลางมาจัดการ

หากทหารหน่วยรบพิเศษชั้นยอดทั้งยี่สิบกว่าคนนี้รวมไปถึงหานเจี๋ยถูกฆ๋าหมดแล้ว เกรงว่าจะสั่นสะเทือนไปถึงเหล่าผู้นำระดับสูงของประเทศจีนด้วย ต้องทราบว่าถ้าทหารหน่วยรบพิเศษที่ปกปักษ์ชายแดนถูกฆ่า และยังถูกฆ่าครั้งเดียวไปยี่สิบกว่าคน นี่จะหมายถึงอะไรกัน? เกรงว่าคงถูกคาดเดาไปว่า มีคนต้องการเข้ามาที่ชายแดน หรือบางทีประเทศอื่นอาจจะถือโอกาสนี้มาลองเชิงกำลังทหารบริเวณชายแดนของประเทศจีน กระทั่งต้องการเข้ามาโจมตี นี่ยิ่งทำให้ทั้งประเทศต้องเตรียมป้องกัน

“หยุด พวกเราให้แกไปแล้วหรือไง?”

อันธพาลคนหนึ่งที่ย้อมผมเป็นสีแดงยืนขวางอยู่เบื้องหน้าเย่เทียนเฉิน จากนั้นจึงมีคนปิดประตูบาร์ อันธพาลสิบกว่าคนที่นั่งอยู่รอบๆ ต่างลุกขึ้นยืน เดินเข้าไปหาเย่เทียนเฉินด้วยท่าทางดุดัน มีบางคนหยิบขวดเบียร์หยิบเก้าอี้ขึ้นมาเหมือนกับต้องการลงมือกับเย่เทียนเฉิน

“มีอะไร? ฉันยุ่งมาก” เย่เทียนเฉินขมวดคิ้ว ตอนนี้เขารีบไปตามหาพวกหานเจี๋ย ไหนเลยจะมีอารมณ์มาจัดการพวกตัวประกอบเหล่านี้

“มีเรื่องแน่นอน ดูท่าทางแกจะมีเงินมากนี่ ช่วงนี้พวกพี่ชายจนมาก จนขนาดที่ไม่มีเงินไปซื้อผู้หญิงแล้ว เอามายืมใช้ซักหน่อยสิ?” อันธพาลที่พูดเห็นเย่เทียนเฉินเป็นพวกอ่อนแอไปแล้วโดยสิ้นเชิง พูดออกมาอย่างโอหังหาใดเปรียบ

เสียงพลั่กดังขึ้น อันธพาลผมแดงคนนั้นเพิ่งจะพูดจบก็ถูกเย่เทียนเฉินเตะจนกระเด็นออกไป กระแทกกับกำแพงอย่างรุนแรง หลังจากดิ้นอยู่ไม่กี่ครั้งก็ลุกขึ้นไม่ไหว ตอนนี้เย่เทียนเฉินรีบไปช่วยพวกหานเจี๋ย ไหนเลยจะมีใจมาพูดจาไร้สาระกับอันธพาลพวกนี้อีก คนเหล่านี้ต้องการปล้นเขา ถ้างั้นก็เป็นความซวยแปดชาติแล้ว

อันธพาลที่เหลืออีกสิบกว่าคนคิดไม่ถึงว่าเย่เทียนเฉินคนเดียวจะกล้าลงมือทำร้ายคน แล้วยังลงมือก่อนอีกด้วย ไม่คิดจะมีชีวิตอยู่แล้วหรือไง? ทันใดนั้นทั้งหมดต่างเอะอะกันขึ้นมา ชูอาวุธในมือพุ่งเข้ามา

ตอนนี้เองสาวก้นใหญ่คนนั้นเห็นว่าพวกเขาทะเลาะกันก็รีบไปหลบอยู่ด้านข้าง นำธนาบัตรร้อยหยวนที่เย่เทียนเฉินยัดเข้ามาในร่องอกออกมาแล้วรีบใส่เข้าไปในกระเป๋าที่อยู่หลังก้นใหญ่ๆ ของตน กลัวว่าจะถูกปล้นไป

ไม่ถึงห้านาทีอันธพาลสิบกว่าคนที่เหลือก็ล้มไปนอนร้องโอดครวญอยู่บนพื้นทั้งหมด สาวก้นใหญ่อ้าปากกว้าง มองไปยังเย่เทียนเฉิน ไม่กล้าเชื่อโดยสิ้นเชิงว่าชายวัยรุ่นที่ดูท่าทางผอมแห้งอ่อนแอจะมีฝีมือแข็งแกร่งขนาดนี้ อันธพาลเหล่านี้เป็นงูเจ้าถิ่นในเมือง มีน้อยคนที่กล้าไปหาเรื่อง แต่ถึงกับถูกอัดหมอบทั้งหมด

“ขอบคุณเบียร์ของคุณมาก ถ้าผมกลับมา บางทีอาจจะต้องการการปรนนิบัติก็ได้!” มือของเย่เทียนเฉินทั้งซ้ายขวาถือขวดเบียร์ พูดกับสาวก้นใหญ่ด้วยรอยยิ้มก่อนจะหมุนตัวเดินออกไปจากบาร์

เย่เทียนเฉินถือขวดเบียร์สองขวดเดินออกไปจากบาร์ จากนั้นจึงมองไปยังขอทานที่นอนหลับอยู่บนพื้นด้านข้าง วางขวดเบียร์ขวดหนึ่งไว้ด้านหน้าขอทานคนนั้น พูดด้วยรอยยิ้มว่า “สหาย พวกหานเจี๋ยไปป่าหมอกดำแล้วเหรอ? คุณรอที่นี่นานแล้ว จากการคาดเดาของคุณ พวกเขาจะเจอกับอะไร?”

ขอทานคนนั้นเงยหน้าขึ้นมองเย่เทียนเฉิน ในดวงตาประดับไปด้วยความแปลกใจ ค่อยๆ ลุกขึ้นนั่ง จัดผมรกรุงรังของตนให้เรียบร้อยจนเผยใบหน้าของตนออกมา เขาเป็นขอทานอายุประมาณสี่สิบกว่าปี บนใบหน้าเต็มไปด้วยรอยหนวดเครารุงรัง

“ตาแหลมดีนี่ ไม่รู้ว่าคุณชื่ออะไร?” ขอทานวัยกลางคนคนนั้นเผยรอยยิ้มสนุกสนานออกมาที่มุมปากแล้วเอ่ยถามเย่เทียนเฉิน

วันต่อมา ผู้หญิงทั้งสองทะเลาะกันขึ้นมาอีกครั้ง ตั้งแต่ตื่นเช้ามาก็ทะเลาะกันมาตลอด เย่เทียนเฉินรู้สึกอดไม่ได้ที่จะปวดหัว ในใจรู้สึกเสียใจมาก ทำไมเมื่อวานถึงได้นัวเนียกับอลิซนะ? หรือว่าตนจะไม่ได้แตะต้องผู้หญิงนานแล้วถึงรู้สึกอัดอั้น?

ไม่พูดไม่ได้ว่า อลิซเป็นสาวสวยผมทองที่เซ็กซี่เป็นอย่างมาก ร่างกายเช่นนั้น สัมผัสเช่นนั้น การลูบคำเช่นนั้น ทำให้ผู้คนอยากที่จะถอนตัว รวมกับที่เย่เทียนเฉินไม่ได้แตะต้องผู้หญิงมานานแล้ว ถึงแม้ก่อนหน้านี้จะทะลวงด่านกับจางรั่วถงมาแล้ว แต่จะอย่างไรก็อยู่ในสภาพกึ่งหลับกึ่งตื่น ไม่สามารถสัมผัสถึงความยั่วยวนระหว่างชายหญิงได้อย่างเต็มที่

ถึงแม้จะไม่เกิดเรื่องเกินเลยอะไร เย่เทียนเฉินก็สัมผัสยอดหยกและประตูหยกของอลิซไปแล้ว นี่เป็นผู้หญิงที่หาได้ยากมากคนหนึ่ง ในตอนที่เพิ่งจะพบกับตนก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นทั้งนั้น เพียงแต่นับได้ว่าเป็นเพื่อนธรรมดาๆ แต่ยังกล้าแอบอ้างว่าเป็นแฟนของเขาและมาที่ตระกูลเย่ ผู้หญิงคนนี้ไม่ธรรมดาเลย

อาหารเช้าอุดมสมบูรณ์เป็นอย่างมาก อุดมสมบูรณ์จนทำให้เย่เทียนเฉินเกือบจะร้องไห้ออกมา ฉีหรูเสวี่ยทำบะหมี่ผัดซอสจานใหญ่ ส่วนอลิซก็ไม่ยอมอ่อนข้อ ทำสปาเก็ตตี้จานใหญ่หนึ่งจาน ทั้งหมดล้วนวางไว้เบื้องหน้าเย่เทียนเฉิน สายตาที่มองราวกับจะฆ่ากันนั้นจ้องมาที่เย่เทียนเฉินจนทำให้เขาขนลุก

“บะหมี่ที่ดูน่าเกลียดขนาดนี้ยังกล้ายกออกมาอีก ดูดีเท่าสปาเก็ตตี้ของฉันที่ไหนกัน?” อลิซมองไปที่บะหมี่ผัดซอสที่ฉีหรูเสวี่ยทำแล้วพูดออกมาอย่างไม่พอใจ

“ดูดีอย่างเดียวแต่ไม่ได้เรื่องหรอก เทียนเฉินจะต้องกินบะหมี่ผัดซอสที่ฉันทำจนหมดแน่!” ฉีหรูเสวี่ยมองไปยังเย่เทียนเฉินอย่างเง้างอนแล้วพูดขึ้น

“สปาเก็ตตี้ของฉัน นายเองก็จะกินหมดใช่ไหม…” อลิซยิ้มให้เย่เทียนเฉินอย่างหวานหยาดเยิ้มแล้วพูดขึ้น

บนหน้าผากของเย่เทียนเฉินมีเหงื่อเย็นๆ ไหลออกมา ไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรดี การต่อสู้แย่งชิงของผู้หญิงสองคนนี้ยิ่งรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ แล้ว เดิมที่ตนควรเป็นผู้ชายที่โชคดีที่สุดในโลก แต่ตอนนี้กลับลำบากที่สุด การต่อสู้แย่งชิงของผู้หญิงทั้งสองแทบจะทำให้เขาแหลกสลายอยู่แล้ว

ดังนั้นผลสุดท้ายก็คือเย่เทียนเฉินกินสปาเก็ตตี้ที่อลิซทำจนหมด และกินบะหมี่ผัดซอสที่ฉีหรูเสวี่ยทำจนหมดเช่นเดียวกัน หลังจากกินเสร็จเขาก็รีบพุ่งไปอ้วกที่ห้องน้ำ ส่วนอลิซอลิซและฉีหรูเสวี่ย ผู้หญิงสวยทั้งสองคนนี้ยังคงใช้สายตาราวกับจะฆ่าแกงมองอีกฝ่าย

ส่วนแม่ลูกหลัวเยี่ยนและเย่เชี่ยนเหวินนั้นฉลาดเป็นอย่างมาก ในสภาพแบบนี้ไม่สามารถมาเข้าร่วมได้ตามใจ หากผู้หญิงต้องการจะแข่งขันขึ้นมา จะน่ากลัวและโหดร้ายยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด พวกเธอจึงรีบหาข้ออ้างต่างๆ นานาจากไปแล้ว เย่เชี่ยนเหวินแน่นอนว่าต้องไปเรียน ส่วนหลัวเยี่ยนบอกว่าจะออกไปช็อปปิ้ง

“เทียนเฉิน ออกมาเถอะ มาดื่มน้ำสักหน่อย จะต้องเป็นเพราะกินสปาเก็ตตี้แล้วย่อยไม่ได้เลยอ้วกออกมาแน่!” เย่เทียนเฉินเดินออกมาจากห้องน้ำ เห็นฉีหรูเสวี่ยประคองน้ำเปล่าแก้วหนึ่งเดินเข้ามา

“ปกติกินสปาเก็ตตี้ของฉันก็อิ่มพอแล้ว มีบางคนร้องเรียกให้เขากินบะหมี่ผัดซอส เป็นยังไงล่ะ? กินจนอ้วกเลยมั้ง?”อลิซพูดตอกกลับโดยไม่ยอมอ่อนข้อให้แม้แต่น้อย

“เป็นความผิดของสปาเก็ตตี้ของเธอนั่นแหละ!”

“เป็นความผิดของบะหมี่ผัดซอสเธอนั่นแหละ!”

เมื่อต้องเจอกับการทะเลาะกันของอลิซและฉีหรูเสวี่ย เย่เทียนเฉินก็ทำได้เพียงแขวนรอยยิ้มแห้งๆ ไว้บนใบหน้า ค่อยๆ เดินจากไปจากที่เดิม เขาควบคุมไม่อยู่แล้วจริงๆ ถ้าถูกผู้หญิงสองคนนี้ก่อกวนต่อไป เขาไม่บ้าก็ต้องเป็นโรคประสาทแล้ว

ในตอนนี้เอง เสียงโทรศัพท์มือถือของเย่เทียนเฉินก็ดังขึ้น เมื่อดูก็เห็นว่าเป็นอู๋เสวี่ยโทรมา สิบสามจ้าวสวรรค์สู้กับคนของคุณชายใหญ่แห่งมหาวิทยาลัยหลงเถิง ต่างได้รับบาดเจ็บในระดับที่แตกต่างกันไป หลังจากผ่านการรักษามาหนึ่งวัน ส่วนใหญ่ก็กลับไปที่คฤหาสน์แล้ว ดังนั้นสำหรับเย่เทียนเฉินแล้ว การโทรครั้งนี้คือการช่วยชีวิต เป็นวิธีที่ทำให้เย่เทียนเฉินสามารถสลัดพวกผู้หญิงทั้งสองคนนี้ไปได้อย่างดีที่สุด

“พวกเธอค่อยๆ ทะเลาะกันไปนะ ฉันออกไปประชุมก่อน!” เย่เทียนเฉินหยิบเสื้อคลุมขึ้นมาแล้วพูดขึ้นพลางเดินออกไปข้างนอก

“ฉันไปกับนายด้วย!” ดูเหมือนว่าอลิซและฉีหรูเสวี่ยจะพูดขึ้นพร้อมกัน

แต่ในตอนที่พวกเธอพูดจบก็พบว่าเย่เทียนเฉินเปิดประตูบ้านเดินออกไปแล้ว

“หึ!”

ฉีหรูเสวี่ยและอลิซแค่นเสียงใส่อีกฝ่ายพร้อมกัน ทำท่าทางกรอกตา ทนมองอีกฝ่ายไม่ไหวจนกลับไปในคฤหาสถ์ คนหนึ่งอยู่ชั้นหนึ่ง อีกคนอยู่ชั้นสอง ต่างคนต่างเล่น

เรื่องที่น่าเบิกบานใจมากที่สุดบนโลกใบนี้ก็คือ ควงผู้หญิงกินลมชมวิว กินหม้อไฟ ร้องเพลง ในตอนที่เย่เทียนเฉินบิดคันเร่งมอเตอร์ไซค์ ถึงแม้ว่าด้านหลังจะไม่มีสาวงามแต่ก็รู้สึกผ่อนคลายอย่างหาใดเปรียบ ถ้ามีผู้หญิงสองคนมาก่อความวุ่นวายต่อไป เขาไม่บ้าก็แปลกแล้ว

ประมาณหนึ่งชั่วโมงต่อมา เย่เทียนเฉินก็มาถึงบริเวณที่ว่างๆ ของคฤหาสน์ของตน หลังจากที่ต่อสู้กับมือสังหารชุดดำทั้งสี่คนของคุณชายใหญ่ ที่นี้ก็ราบเป็นหน้ากลอง แต่ถูกผู้ดูแลในเขตคฤหาสน์ซ่อมเรียบร้อยแล้ว ส่วนเรื่องความสงสัยของพวกเขาแน่นอนว่าไม่มีคำอธิบายให้ ไม่มีใครรู้ว่าอะไรทำให้เกิดความเสียหายแบบนี้

“พี่ใหญ่!” เมื่อเห็นเย่เทียนเฉินเดินมา ทุกคนของกลุ่มสิบสามจ้าวสวรรค์ก็ยืนอย่างเรียบร้อย ตะโกนออกมาพร้อมกัน

“ดี เห็นพวกแกกระตือรือร้นกันมากฉันก็วางใจ!” เย่เทียนเฉินพยักหน้าแล้วพูดขึ้น

เมื่อได้ยินเย่เทียนเฉินพูด ทุกคนที่อยู่ด้านล่างก็ไม่มีใครส่งเสียงออกมา ทั้งหมดต่างมองไปที่เย่เทียนเฉิน กฎเกณฑ์สำคัญมาก ถ้าไม่มีกฎเกณฑ์ก็ไม่มีความเป็นหนึ่ง ในตอนที่พี่ใหญ่กำลังพูดไม่ว่าใครๆก็ไม่กล้าสอดปากตามใจ

“กลุ่มสิบสามจ้าวสวรรค์ของพวกเราเพิ่งจะก่อตั้งได้ไม่ถึงเดือนแต่กลับทำเรื่องใหญ่สองเรื่องที่สั่นสะท้านไปทั้งเส้นทางเบื้องหน้าและเบื้องหลัง กำจัดตระกูลเซวียนเยวี๋ยนและตระกูลโอวหยางในเวลาเดียวกัน การล่มสลายของตระกูลแห่งโลกเบื้องหลังที่ปิดซ่อนตัวตนทั้งสองนี้ นับว่าช่วยคลี่คลายวิกฤตของกลุ่มสิบสามจ้าวสวรรค์ของพวกเราไปได้ แต่ทุกคนอย่าได้ลำพองใจแม้แต่ครึ่งส่วน เพราะพวกแกต่างก็รู้ว่าอำนาจของคุณชายใหญ่แห่งมหาวิทยาลัยหลงเถิงเหนือกว่าตระกูลโอวหยางและตระกูลเซวียนเยวี๋ยนมาก เขาแค่ส่งขุนพลที่เป็นลูกน้องของตนออกมาไม่กี่คนก็เกือบทำลายพวกเราได้แล้ว พวกเราจะดูถูกได้ยังไง?” เย่เทียนเฉินพูดเสียงดังมองไปยังสมาชิกของกลุ่มจ้าวสวรรค์ทุกคน

“รอให้พวกเราหายดีก่อน จะต้องกำจัดคุณชายใหญ่ได้แน่!” หวังเจี๋ยพูดอย่างดุดัน

“ใช่ จะต้องกำจัดคุณชายใหญ่ได้แน่!” อู๋เสวี่ยเองก็กำหมัดแน่นแล้วพูดขึ้น

ตามมาด้วยการตะโกนของทุกคน พวกเขารู้ว่าคุณชายใหญ่แห่งมหาวิทยาลัยหลงเถิงแข็งแกร่งมาก รับมือไม่ง่ายเลย แต่กลับยังมีความหวัง ในจุดนี้สำคัญมาก

“ดีมากถึงแม้ว่าคุณชายใหญ่จะแข็งแรงแต่ก็ไม่แข็งแกร่งไปกว่าสิบสามจ้าวสวรรค์อย่างพวกเรา รอให้พวกแกหายดีก่อน ฉันจะพาพวกแกไปทำลายล้างคุณชายใหญ่แห่งมหาวิทยาลัยหลงเถิง!” เย่เทียนเฉินชูกำปั้นข้างขวาของตนขึ้นแล้วตะโกนออกมา

ในตอนนี้ เย่เทียนเฉินรู้ว่าการปลุกระดมทุกคนเป็นเรื่องที่สำคัญมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่ผ่านการต่อสู้ครั้งใหญ่มา มือสังหารชุดดำทั้งสี่คนที่เป็นลูกน้องของคุณชายใหญ่แข็งแกร่งมากจริงๆ ในมือของแต่ละคนมีอาวุธเทพอยู่หนึ่งชิ้น มีพลังอำนาจที่ทำให้ผู้คนไม่อยากจะเชื่อ ในตอนที่คนในหมอกโลหิตปรากฎตัวออกมานั้น เดิมที่เย่เทียนเฉินต้องการเก็บอาวุธเทพทั้งสี่ชิ้นเอาไว้ให้สมาชิกในกลุ่มสิบสามจ้าวสวรรค์ เพราะในตอนนี้ นอกจากอาวุธของหลินตวนแล้วคนอื่นก็ไม่มีอาวุธอะไร นี่ไปจำกัดการแสดงความสามารถของพวกเขาอย่างใหญ่หลวงจริงๆ

เพียงแต่น่าเสียดาย เมื่อคนที่อยู่ในหมอกโลหิตปรากฎตัวออกมาก็เก็บอาวุธเทพทั้งสี่ชิ้นไปแล้ว มิฉะนั้นเย่เทียนเฉินคงไม่ยอมแพ้อย่างเด็ดขาด ในตอนที่เขาโจมตีคนในหมอกโลหิตอย่างรุนแรง ถึงแม้ว่าคนคนนี้จะแข็งแกร่งมาก ไม่อ่อนแอไปกว่าเขาเลยแม้แต่น้อย แต่เมื่อคิดว่าสมาชิกคนอื่นๆ อีกสองคนได้รับบาดเจ็บสาหัส หากมียอดฝีมือคนอื่นโผล่ออกมาอีกหลายคนก็คงจะยุ่งยาก จะอย่างไรชีวิตของเหล่าพี่น้องก็สำคัญที่สุด ในฐานะที่เป็นพี่ใหญ่ก็จำเป็นต้องรับผิดชอบต่อพี่น้องให้ดี

“พี่ใหญ่ พวกเราสองพี่น้องต้องขอโทษคุณด้วย ขอให้คุณลงโทษด้วยครับ!” จางเหลยเดินออกมา มองไปยังเย่เทียนเฉินแล้วพูดอย่างรู้สึกผิด

“พวกเราทำผิดไปแล้ว ไม่ว่าพี่ใหญ่จะลงโทษยังไงพวกเราล้วนยินดี หวังเพียงว่าพี่ใหญ่จะไม่ไล่พวกเราออก!” จางต๋าก้าวออกมา มองไปยังเย่เทียนเฉินแล้วพูดอย่างจริงจังเช่นกัน

เย่เทียนเฉินมองสองพี่น้องจางเหลยและจางต๋า เรื่องนี้เขาได้ฟังมาจากอู๋เสวี่ยแล้ว ในตอนที่เขายังไม่ได้กลับมา คนที่ก่อเรื่องร้ายแรงที่สุดก็คือสองพี่น้องคู่นี้  ทำให้สมาชิกกลุ่มสิบสามจ้าวสวรรค์เกือบจะแยกย้ายกันไป เรื่องราวรุนแรงมาก

ตู้ม!

ตู้ม!

เย่เทียนเฉินเตะสองพี่น้องจางเหลยจางต๋าไปคนละครั้ง ทำให้พวกเขากระเด็นออกไปไกลสิบกว่าเมตรและตกลงบนพื้นอย่างรุนแรง เจ็บปวดจนลุกไม่ไหวไปครึ่งค่อนวัน เห็นได้ชัดว่าลูกเตะนี้ของเย่เทียนเฉินไม่เบาเลย

คนอื่นๆ ได้เห็นภาพนี้ก็ชะงักไปนี่พี่ใหญ่จะทำอะไร? หรือต้องการฆ่าสองพี่น้องจางเหลยและจางต๋าจริงๆ?

“กลุ่มสิบสามจ้าวสวรรค์เพิ่งจะก่อตั้ง ความร่วมแรงร่วมใจของทุกคนและความภาคภูมิใจในทีมยังไม่แข็งแกร่ง ฉันไม่ตำหนิพวกแก จางเหลยจางต๋า ความผิดพลาดของพวกแกฉันจะไม่ไต่สวนอีก ยังไงซะทุกคนก็ยังไม่เชื่อใจฉัน แต่เรื่องในครั้งนี้ ฉันเชื่อว่าทุกคนคงได้เห็นความสามารถของฉันแล้ว และได้เห็นอนาคตของกลุ่มสิบสามจ้าวสวรรค์แล้ว ถ้ายังมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นอีก ฉันจะไม่ไล่พวกแกออกแต่จะฆ่าพวกแกซะ!” เย่เทียนเฉินพูดเสียงดัง

“ครับพี่ใหญ่!” ทุกคนตอบรับอย่างเข้มงวดจริงจังหาใดเปรียบ

“ระยะนี้ทุกคนรักษาอาการบาดเจ็บให้ดีๆ ฉันต้องการบอกพวกแกทุกคนว่า ยังมีสงครามที่ตื่นเต้นเร้าใจยิ่งกว่านี้ นองเลือดยิ่งกว่านี้และโหดเหี้ยมยิ่งกว่านี้กำลังรอพวกเราอยู่ สงครามแห่งความเป็นความตายที่แท้จริงยังมาไม่ถึง หากพวกแกไม่สามารถทำให้ตัวเองแข็งแกร่งในกระบวนการนี้ได้ เช่นนั้นสิ่งที่รอพวกแกอยู่ก็มีแต่ความตาย!” เย่เทียนเฉินพูดอย่างจริงจัง

เย่เทียนเฉินยืนอยู่ในห้องหนังสือของคฤหาสน์ อู๋เสวี่ย หวังเจี๋ย หลินตวนและเปาเทียนหลงต่างก็อยู่ข้างในด้วย นี่เป็นการประชุมของสมาชิกที่สำคัญของกลุ่มสิบสามจ้าวสวรรค์ แน่นอนว่ามีความแตกต่างกันไป

“พี่ใหญ่ ตอนที่คุณไม่อยู่ผมทำได้ไม่ดี ทำให้สองพี่น้องจางเหลยจางต๋าก่อเรื่องขึ้นมา ผมเต็มใจรับโทษ!” อู๋เสวี่ยก้าวออกมาพูดอย่างรู้สึกผิด

“ผมเองก็ต้องรับผิดชอบ!” หวังเจี๋ยเองก็ก้าวออกมาแล้วพูดขึ้น

“เอาละพวกแกทั้งสี่คนนั่งลงเถอะ พวกเราเป็นพี่น้อง ครอบครัวเดียวกันไม่จำเป็นต้องเกรงใจ สถานการณ์เป็นยังไงฉันเองก็พอจะคิดออก ตอนนั้นฉันจะกลับมาได้หรือไม่ก็เป็นเรื่องไม่แน่นอน ทุกคนอารมณ์ร้อนก็เป็นเรื่องเข้าใจได้ แต่ฉันไม่อยากให้มีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นอีก พวกเราสิบสามจ้าวสวรรค์มีรากฐานเดียวกัน ต้องสามัคคีกัน ไม่สามารถล่าถอยเพราะวิกฤติและความลำบากใดๆ ได้!” เย่เทียนเฉินพูดด้วยรอยยิ้ม

………..

เย่เทียนเฉินนอนบนโซฟา ต่อให้อลิซและฉีหรูเสวี่ยทั้งสองจะทะเลาะกันและสงบลงบ้างแล้ว แต่จนกระทั่งตอนนี้ ผู้หญิงทั้งสองได้เข้าไปอาบน้ำและออกมาแล้ว แต่ยังทะเลาะกันอยู่ เกือบจะลงไม้ลงมือกันทีเดียว ซึ่งหากทะเลาะก็ไม่แน่ว่าอลิซสามารถเอาชนะฉีหรูเสวี่ยได้ ทำไมน่ะเหรอ? เพราะเธอมีฐานะเป็นหัวหน้าหน่วยข่าวกรองพิเศษแห่งประเทศ M ภารกิจที่ต้องมายังประเทศจีนในครั้งนี้ก็คือการฆ่าเย่เทียนเฉิน ถ้าหากเผยฝีมืออันสูงส่งออกมาตอนนี้ เช่นนั้นจะต้องถูกเย่เทียนเฉินจับได้แน่นอน ดังนั้นอลิซในตอนนี้จึงเป็นแค่ผู้หญิงธรรมดาๆ คนหนึ่ง ที่ดูเหมือนกับหลงรักเย่เทียนเฉินจริงๆ ในตอนที่ทะเลาะกับฉีหรูเสวี่ยก็ไม่ยอมถอยแม้แต่ก้าวเดียว

กลางดึก เย่เทียนเฉินนอนอยู่บนโซฟาด้านนอกโดยไม่ได้หลับอย่างสบายใจเลย ภายในห้องเงียบลงเล็กน้อย ดูเหมือนพวกผู้หญิงจะหลับฝันหวานไปนานแล้วละมั้ง

ในบ้านมีผู้หญิงเพิ่มขึ้นมาคนหนึ่ง ดูเหมือนจะมีความชีวิตชีวาเพิ่มขึ้นมาก กระทั่งสามารถสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นชื่นใจสายหนึ่ง เย่เทียนเฉินพบว่าความจริงการมีผู้หญิงอยู่เป็นเพื่อนก็เป็นช่วงเวลาที่ไม่เลวเลย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีอลิซเข้ามาอยู่ด้วย จะมากจะน้อยก็ทำให้สนุกขึ้น ตอนนี้มาคิดดูแล้ว ช่วงนี้ดูเหมือนตนจะเหงาและเปล่าเปลี่ยวจริงๆ ถ้าหากเป็นตนเองตอนที่อยู่ในดาวสิ้นโลก จะเลือกอยู่อย่างโดดเดี่ยวหงอยเหงาหรือ? คงจะเป็นไปไม่ได้แน่!

มีเสียงประตูห้องถูกเปิดออกดังขึ้น แม้เสียงเบามากแต่เย่เทียนเฉินยังได้ยินอย่างชัดเจน เขาลืมตาขึ้น พบเงาร่างงดงามกำลังเดินเข้ามาใกล้โซฟาเสียงเบา จมูกของเย่เทียนเฉินได้กลิ่นหอมจากบนล่างของเธอ เขารู้สึกได้ว่านั่นคืออลิซ เขาไม่รู้ว่าอลิซต้องการจะทำอะไร? ต้องการไปห้องน้ำหรือ? เย่เทียนเฉินยังไม่ทันคิดได้กระจ่างชัด ร่างกายของอลิซก็มานอนกอดอยู่ข้างเขาแล้ว โซฟาแคบมาก ร่างกายของเย่เทียนเฉินอยู่ด้านใน มีที่ว่างเล็กน้อย เขาจึงยื่นมือออกไปกอดเอวนิ่มของเธอ

“นาย…นายยังไม่หลับเหรอ?”

ริมฝีปากนิ่มของอลิซพ่นลมหายใจออกมา ใบหน้าของเธอเห่อร้อนเล็กน้อย ปรกติจะพูดจาใจกล้า แต่จะอย่างไรเธอก็ยังไม่มีประสบการณ์ระหว่างชายหญิงมาก่อน ต่อให้คืนนี้คิดจะยั่วยวนเย่เทียนเฉินก็ยังคงเขินอายมาก เธอคิดว่าหากจะฆ่าเย่เทียนเฉินโดยไม่ให้เขาตั้งตัว จะต้องได้รับความเชื่อใจจากเขาอย่างสมบูรณ์ วิธีที่ดีที่สุดก็คือทำให้ทั้งสองคนพัฒนาความสัมพันธ์ไปเป็นแฟน แบบเป็นไปตามสัญชาตญาณอะไรประมาณนั้น ดังนั้นอลิซจึงไม่เสียดายที่จะยั่วยวนเย่เทียนเฉินเพื่อแย่งชิงโอกาสเข้าไกล

เย่เทียนเฉินไม่ใช่คนที่ชอบอดกลั้นหรือบีบบังคับ ในเมื่อมีสาวงามมาส่งถึงประตู อีกทั้งยังดึกดื่นขนาดนี้แล้ว จะไม่เสพสุขสักหน่อยได้อย่างไรกันล่ะ เขาสัมผัสได้ถึงความร้อนบนใบหน้าของอลิซจึงพูดขึ้นเสียงเบาด้วยรอยยิ้มว่า “เมื่อกี้งีบไปแล้ว แต่ตอนนี้นอนไม่หลับ…”

“ฉันเองก็นอนไม่หลับ ฉัน…ฉันอยากนอนกอดนาย…” อลิซพูดเสียงเบาเหมือนมด!

ในใจของเย่เทียนเฉินอบอุ่น กอดเอวของเธอแน่น ริมฝีปากคลอเคลียอยู่บนใบหน้าของเธอ ความเงียบคือการพูดที่ดีที่สุด อลิซส่งเสียงครางออกมา ร่างกายของเธอแนบไปกับร่างกายของเขาตามแรงดึง แนบชิดยิ่งนัก ทำให้เธออดไม่ได้ที่จะซุกร่างกายของตนเข้าไปในอ้อมกอดของเขา ใบหน้าสัมผัสแก้มของเขา ตอนนี้ร่างกายของเธออ่อนระทวยนม นุ่มนิ่มราวกับไม่มีกระดูก

ในใจของเย่เทียนเฉินตอนนี้ซับซ้อนเป็นอย่างมาก เขาสัมผัสได้ถึงความเปลี่ยนแปลงในจุดสำคัญบนร่างกายของตัวเอง คนในอ้อมกอดของเขาทำให้เกิดความยั่วยวนอันรุนแรงต่อเขา กลิ่นหอมที่โชยเข้ามา เอวอ่อนบาง โดยเฉพาะอย่างยิ่งหน้าอกอันตั้งตระหง่านที่แนบติดเข้ามา ขาของเธอแนบอยู่บนขาของตนแน่น ส่วนเอวของเย่เทียนเฉินกดเข้าไปในโซฟา น่าเสียดายที่ในโซฟาไม่มีที่ให้เขาหลบแล้ว มันแคบเกินไป เขาต้องการจะระงับความตื่นตัวด้านล่าง เนื่องจากเขารู้ดีว่าอลิซมานอนกอดเขาเพราะต้องการความรู้สึกปลอดภัย เขาไม่อาจทำหยาบคายกับเธอได้ เย่เทียนเฉินควบคุมตัวเองอย่างยากลำบาก แต่อลิซยังแนบตัวเข้ามาอย่างไม่คิดป้องกัน เธอไม่ชอบให้ช่วงเอวมีช่องว่าง เธอต้องการกอดกับชายคนนี้อย่างแนบแน่น

เมื่อเป็นแบบนี้ทำให้เย่เทียนเฉินสัมผัสได้ถึงเอวเล็กๆ อันอ่อนนิ่มของเธออย่างชัดเจน ความรู้สึกอันรุนแรงทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะร่างกายแข็งเกร็ง มือที่กอดอยู่บนเอวนุ่มของเธอออกแรงดึงเข้ามา เขาควบคุมตนเองไม่ได้แล้ว

ร่างกายของอลิซสั่นเล็กน้อย การเคลื่อนไหวโดยไม่รู้ตัวของเธอไปกระทบถูกของที่ตื่นตัวเข้า เธอสัมผัสได้ว่าของสิ่งนั้นแข็งขืนขึ้นมา

มือใหญ่ของเย่เทียนเฉินที่อยู่บนเอวของเธอออกแรงมากขึ้น จุดต้องห้ามถูกรุกล้ำเข้ามาโดยไม่ไว้ไมตรีเลยแม้แต่น้อย อลิซที่แต่ไหนแต่ไรไม่เคยถูกผู้ชายคนไหนสัมผัสมาก่อนพลันรู้สึกอย่างรุนแรง แต่ความรู้สึกเป็นสุขและความรู้สึกหวาดกลัวในใจที่ถูกของเย่เทียนเฉินแตะต้องทำให้อลิซรู้สึกสับสน เธอรู้สึกได้ว่ามีเพียงกระโปรงบางๆขอเธอที่กั้นเย่เทียนเฉินเอาไว้ เขากำลังขยับเบาๆ สัมผัสจุดต้องห้ามของตนที่ละน้อย เธออยากจะหลบจากการเสียดสีที่น่าอับอายนี้ แต่เหมือนกับร่างกายไร้เรี่ยวแรง เธอรู้สึกว่าร่างกายของตนอ่อนระทวยทั้งยังร้อนระอุ การกอดรัดบริเวณใต้ร่างของเย่เทียนเฉินทำให้เธอมีปฏิกิริยา

ความรู้สึกเป็นสุขที่บรรยายไม่ถูก มันสบายมาก เป็นความรู้สึกที่แปลกประหลาดนัก เมื่อได้รับความรู้สึกแปลกประหลาดที่ยั่วยวนเช่นนี้ เอวของอลิซก็อ่อนระทวย สงบเสงี่ยมและค่อยๆ เคลื่อนไหวให้ความร่วมมือ

ร่างกายของเธออ่อนระทวยขึ้นเรื่อยๆ ร้อนระอุขึ้นเรื่อยๆ บรรยากาศเริ่มร้อนแรง เอวอ่อนของอลิซไม่ได้หลบสัมผัสอันลุกล้ำของเย่เทียนเฉิน แต่ให้ความร่วมมืออย่างเขินอาย ไฟราคะของเย่เทียนเฉินกำลังลุกโชนและกำลังพุ่งทะยาน มือใหญ่ของเขาลูบความนุ่มลื่นบนร่างกายของอลิซ ลูบไล้ไปตามเอวของเธอ ต้องการใช้มือรับรู้ถึงความเต่งตึงบริเวณหน้าอกของเธอ ริมฝีปากของเขากำลังควานหา เขาต้องการลิ้มลองความหอมกรุ่นของเธอ

ริมฝีปากสัมผัสลงบนจุดอ่อนนุ่ม รู้สึกหวานละมุนและเปียกชื้น ชักจูงให้เขาเข้าไปสัมผัส ริมฝีปากนุ่มลิ้นอ่อนของเขาสอดเข้าไปในฟันสวยราวกับหยกของเธอ ลำคอของอลิซส่งเสียงครวญครางออกมา ปากหอมนุ่มของเธอเผยอขึ้น ลิ้นนุ่มของเย่เทียนเฉินตวัดเข้าไป  เข้าไปสัมผัสกับดอกไม้อันอ่อนนุ่มนั้น

ปลายลิ้นสัมผัสถูกความนุ่มลื่น ดอกไม้หนุ่มลื่นที่หลบไม่พ้นถูกเกี่ยวกระหวัด ลิ้นทั้งสอง พัวพันกันอย่างยากจะแยก อลิซเงยหน้ารับจูบร้อนของเขาอย่างเขินอาย ลิ้นเล็กร่วมมือกับการพัวพันของเขา ปล่อยให้เขาดูดกลืนความหอมของตนอย่างกำเริบเสิบสาน เธออนุญาตให้เขาละโมบ เธอยอมให้เขาเก็บเกี่ยวอย่างไม่เกรงใจ ลิ้นและริมฝีปากถูกเขากลืนกินไปทั้งหมด มือของเย่เทียนเฉินลูบคลำอยู่บนบุปผาศักดิ์สิทธิ์ของเธอ เธอก็ไม่ได้ต่อต้าน เพียงแค่สั่นระริกด้วยความเขินอาย แอ่นตัวเล็กน้อยรับการลุกล้ำจากเขา

ภายในห้องโถงรับแขกอันมืดมิด บนโซฟาเล็กแคบ ทั้งสองร่างจมลงสู่การสัมผัาอันเก้งก้าง พัวพันนัวเนียกัน เต็มไปด้วยความมอมเมา เย่เทียนเฉินลิ้มรสหยกเหลวหอมกรุ่นในริมฝีปากนุ่มของอลิซอย่างโลภโมโทสัน ใช้มือลูปคลำความเต็มตึงของเธอ การกอดรัดด้านร่างยิ่งรุนแรงมากขึ้น เสียงครางยิ่งหนักและกระชั้นถี่มากขึ้น บริเวณคอของอลิซส่งเสียงครวญครางที่น่าหลงใหลออกมา เรียกร้องให้เย่เทียนเฉินเดือดพล่าน มืออีกข้างหนึ่งลื่นไหลลงไปยังขาเรียบเนียนเรียวยาวของอลิซที่กำลังสั่นเล็กน้อย เธอบิดร่างกายไปมาใกล้จะสูญเสียสติ เธอรู้สึกได้ถึงมือของเย่เทียนเฉินที่สัมผัสถูกกางเกงในตัวเล็กของตน เธอยกสะโพกของตนขึ้นอย่างเชื่อฟังและเขินอาย

มีน้อยคนที่จะสามารถหยุดยั้งความคิดที่ต้องการทำให้ถึงที่สุดภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ เย่เทียนเฉินเป็นผู้ชายปกติคนหนึ่ง ไม่ได้อยู่เหนือกิเลสและความปรารถนา ดังนั้นเขาเองก็ใกล้จะควบคุมสติไม่ได้ แต่ในตอนที่แรงขับเคลื่อนกำลังจะไปถึงจุดสำคัญที่สุด ในสมองของเย่เทียนเฉินก็ปรากฏภาพขึ้นมา เพื่อนพ้องที่ตายไปอย่างอนาถในดาวสิ้นโลก พวกเขากำลังรอให้ตนไปแก้แค้น พวกเขาตายตาไม่หลับ ทำให้เย่เทียนเฉินค่อยๆ สงบลง เขาไม่ได้เคลื่อนไหวต่อไปและไม่ได้ถอดกางเกงในตัวเล็กของอลิซออก ทำแค่กอดเธออย่างบริสุทธิ์

ที่หูของเธอมีเสียงเบาๆ เอ่ยขึ้นมาว่า “ พวกเรานอนกันเถอะ!”

การต้องหยุดการเคลื่อนไหวลงกระทันหันทำให้อลิซรู้สึกไม่คุ้นชินขึ้นมา ถึงแม้จะคาดหวังต่อแรงกระตุ้นที่ร่ำลือแต่กลับไม่ถึงขั้นที่จะลงมือก่อน จึงค่อยๆพูดออกมาเสียงเบา “ฝันดี!”

หลังจากที่หยุดตัวเองได้แล้วความง่วงก็โจมตีเข้ามา ทั้งสองนอนกอดกันจนเข้าสู่ฝัน

ตื่นขึ้นมาในวันต่อไป เย่เทียนเฉินลืมตาขึ้น อลิซจากไปนานแล้ว เธอกลับไปยังห้องนอนของตนเงียบๆ ทุกสิ่งทุกอย่างนี้มีเพียงพวกเขาสองคนที่รู้ ถ้าหากพวกเขาไม่พูดขึ้นมาก็จะไม่มีคนที่สามรู้อีก

“เทียนเฉิน ตื่นแล้วหรอ ตอนเช้าอยากกินอะไร ฉันจะทำให้เธอกินเอง ดีไหม?” ไม่รู้ว่าฉีหรูเสวี่ยเข้าไปในห้องครัวตั้งแต่เมื่อไร จนกระทั่งเธอเดินออกมาในมือก็ถือมีดเล่มหนึ่งมาด้วย ยิ้มพูดกับเย่เทียนเฉิน

เย่เทียนเฉินตกตะลึง ในตอนนี้ฉีหรูเสวี่ยถือมีดเดินออกมา ถึงแม้จะยิ้มหวานมองมาที่ตน แต่เมื่อคิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นกับอลิซเมื่อคืน ปฏิกริยาอันรุนแรงที่เป็นเรื่องปกติในยามเช้าของผู้ชายของเย่เทียนเฉินก็พลันอ่อนลง ถ้าถูกฉีหรูเสวี่ยรู้เข้า เกรงว่าของสิ่งนี้จะรักษาไว้ไม่ได้จริงๆ แล้ว คงมีอันตรายที่จะถูกตัดไปแน่นอน

“เอ่อ…อะ อะไรก็ได้ กินอะไรก็ได้ทั้งนั้น เธอทำอาหารได้ไม่เลวเลย!” อาจเป็นเพราะเย่เทียนเฉินหวาดกลัวอยู่ในใจจึงอดไม่ได้ที่จะยิ้มชมฉีหรูเสวี่ยออกไป

“จริงเหรอ งั้นฉันทำบะหมี่ผัดซอสก็แล้วกัน นายชอบกินที่สุดแล้ว ฉันเรียนกับคุณน้านานมากเลย!” ฉีหรูเสวี่ยมีความสุขมาก นานขนาดไหนแล้ว นี่เป็นครั้งแรกที่เย่เทียนเฉินชมเธอ

“ดี มะ ไม่มีปัญหา ไม่มีปัญหา!” เย่เทียนเฉินหัวเราะแล้วพูดขึ้น

“ชิ บะหมี่ผัดซอสมีอะไรน่ากินกัน เทียนเฉิน เช้านี้ฉันตั้งใจทำสปาเก็ตตี้ให้เธอ รับประกันได้เลยว่าอร่อยกว่าบะหมี่ผัดซอสเป็นสิบเท่า!”

ตอนนี้เองอลิซก็ไม่ยอมอ่อนข้อให้ สวมชุดนอนเซ็กซี่ทั้งร่างเดินลงมาจากชั้นบนและยังจงใจยืดอกอันอุดมสมบูรณ์ของตนอีกด้วย ดูเหมือนจะต้องการส่งสัญญาณให้เย่เทียนเฉินอีกครั้ง ทำให้เย่เทียนเฉินรู้สึกมีเหงื่อเย็นๆ ไหลซึมออกมา ในใจก็คิดว่า ทำไมเมื่อคืนตัวเองถึงไม่รู้จักอดทนไปนัวเนียกับอลิซได้ ถึงแม้เมื่อคืนจะไม่ได้ทำอะไร แต่ก็อธิบายไม่ได้ ท่าทางความรู้สึกท่อนล่างของผู้ชายจะควบคุมได้ยาก ดูเหมือนจะไม่สามารถทำได้เลย

“พวกเราเป็นคนจีน อาหารเช้าไม่กินของนอก สปาเก็ตตี้อะไรกัน ไม่อร่อยแล้วก็ไม่อยากกิน!” ฉีหรูเสวี่ยจ้องไปยังอลิซอยากดุดันแล้วพูดขึ้น

“จะกินไม่กินก็เป็นเรื่องของเทียนเฉิน ฉันอยากจะทำสปาเก็ตตี้ ฉันเชื่อว่าเทียนเฉินก็จะกินเหมือนกัน!” อลิซพูดจบก็เดินไปในห้องครัวด้วยตัวเอง

“เธอหยุดเดี๋ยวนี้นะ บะหมี่ผัดซอสของฉันกำลังทำอยู่ ยังไม่ถึงตาเธอ!” ฉีหรูเสวี่ยรีบตามเข้าไป

“ฉันมีวิธีการของฉัน ไม่ต้องให้เธอมาสนใจหรอก พวกเราต่างคนต่างทำ!” อลิซพูดออกมาอย่างไม่พอใจ

ผู้หญิงทั้งสองทะเลาะกันตั้งแต่เช้า เย่เทียนเฉินทำได้เพียงทอดถอนใจออกมา ล้มตัวลงบนโซฟาแล้วนอนต่ออีกหน่อย…

…………..

ความแข็งแกร่งของกลุ่มสิบสามจ้าวสวรรค์ทำให้มือสังหารชุดดำทั้งสี่คนนี้อดไม่ได้ที่จะตื่นตกใจ จะอย่างไรก็สามารถรับการโจมตีผสานของอาวุธเทพทั้งสี่ชิ้นได้ ต้องรู้ว่าพวกเขาสี่คนไม่ได้ใช้กระบวนท่าโจมตีผสานนี้มาเกือบสิบปีแล้ว กระบวนท่านี้แข็งแกร่งเป็นอย่างมาก แต่ไหนแต่ไรก็ไม่เคยมีใครต่อต้านได้ ต่อให้จะสังหารคนนับพันก็ง่ายมาก เป็นเรื่องที่ไม่เปลืองแรงแม้แต่น้อย แต่กลับคิดไม่ถึงว่าสิบสองคนในหมู่กลุ่มสิบสามจ้าวสวรรค์จะร่วมมือกันขวางการโจมตีที่แข็งแกร่งขนาดนี้ไว้ได้

ในตอนที่พวกอู๋เสวี่ยทั้งสิบสองไม่มีพลังต่อสู้เหลืออยู่แล้ว และไม่มีทางสู้กับมือสังหารชุดดำทั้งสี่คนนี้ได้ต่อไป กำลังเผชิญหน้ากับพลังสายฟ้าอันมหาศาลที่แฝงอยู่ในค้อนสีดำอันใหญ่ที่โจมตีลงมา ตอนนั้นเองมีเงาคนร่างหนึ่งพุ่งออกมา ใช้หมัดซัดมือสังหารร่างอ้วนที่ถือค้อนสีดำอันใหญ่อยู่ในมือจนปลิวออกไป ตกลงที่พื้นอย่างรุนแรง ถึงกับไม่สามารถลุกขึ้นมาได้ครึ่งค่อนวัน เห็นได้ชัดว่าหมัดหนักขนาดไหน

ในตอนที่พวกอู๋เสวี่ยได้ยินประโยคที่พูดว่า “ พี่น้องทั้งหลาย ฉันกลับมาแล้ว!” นั้นเองจึงรู้ว่าใครมา ทุกคนต่างรู้สึกยินดีเป็นอย่างมาก บนใบหน้าเผยรอยยิ้มออกมา พี่ใหญ่เย่เทียนเฉินกลับมาแล้ว ไม่เพียงแค่เขาจะกลับมาเท่านั้น แต่ยังมีพลังการต่อสู้เพิ่มเข้ามาอีกด้วย เขาสามารถปกป้องทุกคนได้ เย่เทียนเฉินเป็นหัวหน้าของกลุ่มสิบสามจ้าวสวรรค์เป็นศูนย์กลางของกลุ่มสิบสามจ้าวสวรรค์ ขอเพียงมีเขาอยู่ กลุ่มสิบสามจ้าวสวรรค์ก็จะรวมกันเป็นเชือกเส้นใหญ่ จิตใจหลอมรวมเข้าด้วยกัน เผชิญหน้ากับศัตรูที่แข็งแกร่งเพียงใดก็สามารถเอาชนะได้

“แกก็คือเย่เทียนเฉินงั้นหรือ?” มือสังหารร่างสูงที่ถือดาบปลาอยู่ในมือชี้ไปยังเย่เทียนเฉินแล้วเอ่ยถามอย่างเย็นชา

“พวกแกทั้งสี่คนถือโอกาสที่ฉันไม่อยู่มารังแกพี่หวังเจี๋ยของฉัน พวกแกต้องตายทั้งหมด!” เย่เทียนเฉินพูดด้วยรอยยิ้ม

“ฮ่าๆๆๆ พูดจาโอหังใหญ่โตนัก ไม่ต้องพูดถึงว่าแกไม่ใช่คู่มือของพวกเราเลย ถ้าแกรู้ว่าพวกเราเป็นใคร แกจะต้องตกใจจนคุกเข่าลงกับพื้นแน่!” มือสังหารร่างสูงไม่เชื่อว่า พลังของเย่เทียนเฉินเพียงคนเดียวจะสามารถฆ่าพวกเขาทั้งสี่คนได้ นี่เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ พวกเขาไม่เชื่อว่าบนโลกใบนี้จะมีคนเช่นนี้อยู่โดยสิ้นเชิง

“ต่อให้คุณชายใหญ่แห่งมหาวิทยาลัยหลงเถิงมาเอง ฉันก็จะฆ่าไม่เลี้ยง!”

คำพูดของเย่เทียนเฉินเพิ่งจะถูกกล่าวออกมา ตำแหน่งเดิมของเขาก็เหลือเพียงภาพติดตา ส่วนร่างของเขาเคลื่อนออกไปด้วยความรวดเร็วจนถึงขีดสุด ทั่วทั้งร่างมีพลังพิเศษในขอบเขตจอมราชันปะทุออกมา เพียงพริบตาเดียวก็มาปรากฏตัวอยู่เบื้องหน้ามือสังหารร่างสูงคนนั้น ปล่อยหมัดออกไปปะทะบริเวณหน้าอกของเขาตรงๆ

ทุกคนตกใจจนหน้าถอดสี ใครก็คิดไม่ถึงว่าจะมีเหตุการณ์กระทันหันเกิดขึ้นแบบนี้ ในเวลาเพียงชั่วพริบตาเย่เทียนเฉินก็มาเบื้องหน้าของมือสังหารร่างสูงแล้ว วินาทีต่อมา หมัดที่รวดเร็วหาใดเปรียบของเขาก็ต่อยถูกมือสังหารร่างสูงคนนั้น

ไม่เพียงแต่พวกอู๋เสวี่ยทั้งสิบสองคนที่ตกใจ กระทั่งมือสังหารชุดดำที่เหลืออีกสามคนก็มองจนตกตะลึง ใครก็คิดไม่ถึงว่า ชายวัยรุ่นที่โผล่ออกมากระทันหันจะร้ายกาจถึงขั้นนี้

“รนหาที่ตาย!”

มือสังหารร่างสูงตะโกนออกมา ไม่กล่าวไม่ได้ว่าเจ้าหนูนี่แข็งแกร่งมากจริงๆ ลงมือได้รวดเร็วมาก ในตอนที่เย่เทียนเฉินมาถึงเบื้องหน้าเขา เขาก็ตกใจไปเช่นกัน ชั่วพริบตาต่อมาก็ได้ฟาดฟันกระบี่อวี๋ฉางออกไป ทำให้อากาศถูกตัดขาด น่าหวาดกลัวเป็นอย่างมาก รวดเร็วจนถึงขีดสุด

“พี่ใหญ่ระวังตัวด้วย นั่นคือกระบี่อวี๋ฉาง!” หลินตวนเห็นภาพนี้ก็รีบตะโกนเสียงดัง เขากลัวว่าพี่ใหญ่จะไม่รู้และจะ ทำอะไรบุ่มบ่าม

เคร้ง!

เพียงแต่คำพูดของหลินตวนตะโกนออกมาสายเกินไปบ้าง ในตอนที่เขาเพิ่งจะตะโกนจบ มือสังหารร่างสูงก็ฟันกระบี่ไปที่ลำคอของเย่เทียนเฉินแล้ว ในตอนที่มือสังหารร่างสูงกำลังยินดีนั้นเอง ยังไม่ทันจะยินดีเสร็จก็ต้องชะงักค้างอยู่กับที่ เนื่องจากเดิมทีเขาว่าคิดว่ากระบี่นี้ของตนฟันออกไปได้ไม่เลวยิ่งนัก จะต้องตัดหัวเย่เทียนเฉินได้แน่นอน ไหนเลยจะรู้ว่ากลับได้ยินเสียงเหมือนโลหะปะทะกัน เย่เทียนเฉินถึงกับใช้มือซ้ายขวางกระบี่อวี๋ฉางเอาไว้ตรงๆ บนมือซ้ายของเขาปรากฏโล่ขนาดเล็กขึ้นอันหนึ่ง นั่นก็คือ “โล่ทองคำ” ซึ่งเป็นเคล็ดวิชาพลังพิเศษสายทอง

ตู้ม!

มือสังหารร่างสูงถูกเย่เทียนเฉินต่อยจนกระเด็นออกไป เขาคิดไม่ถึงว่าจะมีคนหยุดกระบี่อวี๋ฉางเอาไว้ได้ ทั้งยังโจมตีกลับมาตรงๆ อีกด้วย นี่ต้องแข็งแกร่งมากขนาดไหนถึงจะทำได้ ต้องรู้ว่ากระบี่อวี๋ฉางเป็นกระบี่แห่งความกล้าหาญเด็ดเดี่ยวซึ่งเป็นหนึ่งในสิบกระบี่โบราณ ที่ได้ชื่อว่า “กล้าหาญ” เป็นเพราะมีพลังอำนาจที่ไม่อาจต่อต้านได้ แต่เย่เทียนเฉินกลับรับไปตรงๆ

เมื่อเห็นเย่เทียนเฉินรับการโจมตีของกระบี่อวี๋ฉางเอาไว้ได้และใช้หมัดซัดชายร่างสูงจนปลิวออกไป หมัดปะทะลงบริเวณหน้าอกอย่างรุนแรงเช่นนั้น หากไม่ตายก็ต้องกระอักเลือดออกมาเป็นแน่ ในใจของทุกคนอดไม่ได้ที่จะรู้สึกตื่นตะลึง ความสามารถของมือสังหารทั้งสี่คนนี้ไม่อ่อนแอไปกว่าพวกอู๋เสวี่ยและหวังเจี๋ยเลย แต่เย่เทียนเฉินกลับสามารถเอาชนะเขาได้ภายในเวลาไม่กี่กระบวนท่า นี่เป็นเพราะมือสังหารทั้งสี่ดูถูกศัตรูเกินไป อีกทั้งเย่เทียนเฉินก็มีฝีมือลึกล้ำไม่อาจคาดเดาจริงๆ

“ความสามารถของพี่ใหญ่เพิ่มขึ้นไม่น้อยอีกแล้ว ท่าทางกลับมาจากความตายครั้งนี้จะไปเปลี่ยนเนื้อถอดกระดูกมา เป็นนกฟีนิกซ์ที่เกิดใหม่จากการถูกแผดเผา!” หวังเจี๋ยพูดออกมาอย่างตื่นตะลึง เหมือนจะเห็นอะไรบางอย่างแล้ว

“ถูกต้อง ถึงแม้ขอบเขตพลังจะไม่ได้ถูกทะลวงไป แต่ฝีมือกลับไม่เหมือนวันวาน ไม่เสียทีที่จางอีเต๋อเป็นเซียนแพทย์เทวะเลยจริงๆ ไม่เพียงแต่จะรักษาอาการบาดเจ็บของพี่ใหญ่ให้หายดีได้ แต่ยังทำให้ความสามารถของพี่ใหญ่เพิ่มขึ้นอีกด้วย ช่างร้ายกาจจริงๆ ” อู๋เสวี่ยพยักหน้าแล้วพูดออกมา

ความจริงแล้วตัวเย่เทียนเฉินเองก็ไม่เข้าใจอะไรนัก ในตอนที่เขาตื่นขึ้นมา ไม่เพียงแต่จะรู้สึกว่าอาการบาดเจ็บหายดีแล้ว ไม่มีความรุนแรงอะไรแม้แต่น้อย ทั้งยังดูเหมือนพลังภายในร่างกายจะเพิ่มขึ้นมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งพลังพิเศษที่แตกต่างกันหลายสายซึ่งแฝงอยู่ในร่างกายของเขาก็ดูเหมือนจะมั่นคงขึ้นแล้ว ไม่สับสนวุ่นวายอีก นี่ทำให้เขาสามารถใช้เคล็ดวิชาพลังพิเศษได้ดีและเร็วยิ่งขึ้น ยิ่งไปกว่านั้น เขายังมีความรู้สึกอีกอย่างหนึ่ง นั่นก็คือเขาคิดว่ากายเนื้อของตนแข็งแกร่งขึ้นไม่น้อย มิฉะนั้นเมื่อครู่คงไม่สามารถหยุดกระบี่อวี๋ฉางได้ มีแค่ “โล่ทองคำ” อย่างเดียวยังไม่อาจทำได้

คิดไปคิดมาเย่เทียนเฉินรู้สึกว่าอาจจะเกี่ยวข้องกับสภาพร่างกายของจางรั่วถง เธอมอบร่างกายบริสุทธิ์ให้ตน ใช้ร่างกายที่มีความพิเศษปลุกเขาให้ตื่น ในขณะเดียวกันก็ทำให้กายเนื้อของเขาแข็งแกร่งขึ้น ไม่รู้จริงๆ ว่าเป็นร่างกายแบบไหนถึงกับร้ายกาจขนาดนี้ จางอีเต๋อไม่ยอมบอกอะไรเขาจนกระทั่งเขาจากมา นี่เป็นจุดที่เย่เทียนเฉินสงสัยมากที่สุด

“ในเมื่อฉันกลับมาแล้ว พี่หวังเจี๋ยของฉันเย่เทียนเฉิน ไม่ว่าใครก็แตะต้องไม่ได้!” เย่เทียนเฉินพูดอย่างเรียบเฉย

“โอหัง!”

มือสังหารร่างผอมก็ตะโกนออกมาเสียงต่ำ ถึงแม้ในใจจะสั่นสะท้านเป็นอย่างมากแต่ยังคงลงมือเต็มที่ เขารู้ว่าหากไม่อาจกำจัดกลุ่มสิบสามจ้าวสวรรค์ก่อนที่ลูกพี่ของพวกเขาจะตามมาได้ พวกเขาก็ต้องตาย ลูกพี่ของพวกเขาเป็นปีศาจกระหายเลือด โหดเหี้ยมยิ่งกว่าพวกเขานับร้อยเท่า

ครืน!

โล่สีเงินอันใหญ่ขยายใหญ่ขึ้นหลายเท่าในเวลาเพียงชั่วพริบตา ครอบคลุมบริเวณร้อยเมตรรอบๆ เอาไว้ กดทับลงมายังเย่เทียนเฉินโดยตรง ต้องการทับเย่เทียนเฉินให้กลายเป็นเนื้อบด โล่สีเงินอันนี้แข็งแกร่งมาก ไม่ว่าจะเป็นพลังป้องกันหรือพลังโจมตีก็ร้ายกาจเป็นอย่างยิ่ง ในการโจมตีเมื่อสักครู่นี้ก็ทำให้อู๋เสวี่ยและหนองหวังเกือบจะใช้การไม่ได้ไปแล้ว พวกเขาสามารถโจมตีให้กระเด็นออกไปได้ก็นับว่าแข็งแกร่งมาก

“พี่ใหญ่ให้ ผมช่วยเอง!” อู๋เสวี่ยพูดพลางพุ่งเข้าไปช่วยเย่เทียนเฉินโดยไม่สนใจอาการบาดเจ็บ เขารู้ว่าครั้งนี้อันตรายมาก โล่สีเงินนี้มีพลังโจมตีแข็งแกร่งและยากจะต่อต้าน

“ไม่ต้อง พวกแกเป็นพี่หวังเจี๋ยที่ดีของฉัน ฉันขอบคุณพวกแกที่ทำทุกอย่างเพื่อกลุ่มสิบสามจ้าวสวรรค์ ตอนนี้ ในเมื่อฉันกลับมาแล้ว ทุกอย่างก็ให้ฉันจัดการเอง ฉันเป็นพี่ใหญ่ ไม่อาจปล่อยให้พี่หวังเจี๋ยมาเผชิญหน้ากับอันตรายแทนฉันได้!” เย่เทียนเฉินยิ้มพลางส่ายหน้าพูดกับอู๋เสวี่ย

ในชั่วขณะนี้เอง สมาชิกทั้งหมดของกลุ่มสิบสามจ้าวสวรรค์ต่างรู้สึกได้ว่าพี่ใหญ่คนนี้ของเขาดีมาก เขาติดตามได้ไม่ผิดคนจริงๆ มีพี่ใหญ่แบบนี้อยู่ด้วย เหตุใดสิบสามจ้าวสวรรค์จะไม่ยิ่งใหญ่? เหตุใดฃสิบสามจ้าวสวรรค์จะไม่สามารถปั่นป่วนยุทธภพได้? จะอย่างไรทุกคนต่างคิดว่า ติดตามพี่ใหญ่แบบนี้ช่างดีเหลือเกิน!

“งั้นก็ให้ฉันทับแกเป็นเนื้อบดไปซะ!” มือสังหารร่างผอมตะโกนออกมาครั้งหนึ่ง โล่สีเงินทั้งอันกดทับลงมาด้วยความรวดเร็วยิ่งขึ้น มีพลังอำนาจยิ่งใหญ่จนถึงกับมีเสียงครืนๆ ดังออกมา พลังอำนาจเพิ่มขึ้นไม่รู้กี่เท่า

“กำแพงพสุธา!”

เย่เทียนเฉินตะโกนออกมาเสียงต่ำ กำแพงสี่แถวผุดขึ้นมาตั้งอยู่ซ้ายขวาหน้าหลังของเขาแล้วพุ่งขึ้นไปยังโล่สีเงินด้วยความรวดเร็ว ในตอนนี้เอง หมัดทั้งสองของเย่เทียนเฉินก็มีประกายแสงสดใสปะทุออกมา เขาเตรียมจะเข้าปะทะกับโล่สีเงินนี้แล้ว

ในความคิดของเย่เทียนเฉิน ยิ่งเผชิญหน้ากับการโจมตีที่แข็งแกร่งยิ่งต้องโจมตีไปตรงๆ ถ้าหากรู้จักแต่หลบซ่อน เช่นนั้นครั้งต่อไปคุณก็จะหวาดกลัวยิ่งขึ้น ไม่มีทางชนะโดยสิ้นเชิง ยิ่งไปกว่านั้น มีเพียงตอนที่สิ้นหวังถึงจะสามารถรับรู้ได้ถึงสิ่งต่างๆ ได้ ถึงจะพัฒนาความสามารถของตนเองได้

“ไม่มีประโยชน์ เจ้าเตี้ยแกยังรออะไรอยู่…” มือสังหารร่างผอมเห็นเย่เทียนเฉินลงมือโจมตีกลับจึงตะโกนไปยังมือสังหารร่างเตี้ย

มือสังหารร่างเตี้ยขมวดคิ้ว กระโดดขึ้นไปโบกพัดฟุ่บฟั่บไปสองครั้ง พัดขยายออก คมมีดสายลมที่สามารถฉีกขาดอากาศและสามารถฟันทุกสิ่งทุกอย่างให้ขาดได้พุ่งตรงไปยังเย่เทียนเฉิน พวกเขารู้สึกได้ว่าถ้าหากต่อสู้เพียงลำพัง ต่อให้พวกเขาทั้งสี่คนจะมีอาวุธเทพอยู่ในมือก็ไม่ใช่คู่มือของเย่เทียนเฉิน หากไม่ร่วมมือกันอีก เกรงว่าคงจะแพ้แล้ว

ตู้ม!

เสียงหนึ่งดังสนั่น เย่เทียนเฉินใช้เคล็ดวิชาพลังพิเศษสายดินออกไป กำแพงพสุธาทั้งสี่พุ่งออกมาจากบนพื้นอย่างรวดเร็ว เพียงพริบตาเดียวก็ถูกกดทับเอาไว้ สกัดกั้นโล่สีเงินได้ไม่กี่วินาที แต่เมื่อรวมเข้ากับคมมีดสายลมอันรุนแรงก็กลายเป็นเศษฝุ่นอยู่เบื้องหน้าด้วยความรวดเร็ว อย่างไรก็ตามเวลาเพียงไม่กี่วินาทีก็เพียงพอแล้ว เย่เทียนเฉินกระโดดพุ่งขึ้นไปบนฟ้า ทั้งร่างเผชิญหน้ากับอำนาจคุกคามที่มหาศาลมากที่สุด เขามักจะสู้ด้วยท่าทางที่แข็งแกร่งที่สุด นี่คือลักษณะการต่อสู้และนิสัยอันดื้อรั้นของเขา

“หมัดพี่ชายสุดหล่อ!”

ชื่อนี้ดูจะแปลกไปบ้าง ความจริงตอนที่เย่เทียนเฉินอยู่ในดาวสิ้นโลกก็มีการใช้หมัดแบบนี้ออกมาแล้ว พลังอำนาจแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก สามารถเพิ่มพลังการต่อสู้ของคนคนหนึ่งได้ในเวลาเพียงชั่วพริบตา พลังที่ออกมาจากหมัดเป็นพลังที่แข็งแกร่งที่สุดของคนคนนั้น

หลังจากเสียงดังสนั่นผ่านไป ทุกคนต่างมองเห็นว่าโล่อันใหญ่สีเงินถูกต่อยจนปลิวออกไป ในขณะเดียวกัน เงาคนร่างหนึ่งก็พุ่งไปยังมือสังหารร่างผอมและมือสังหารร่างเตี้ยประดุจดาวตก หนึ่งหมัดหนึ่งเท้าซัดมือสังหารชุดดำอีกสองคนที่เหลือจนปลิวออกไป ตกลงไปพร้อมกันกับมือสังหารร่างอ้วนและมือสังหารร่างสูง ทุกคนต่างตกตะลึงจนอ้าปากกว้าง มีท่าทางไม่อยากจะเชื่อโดยสิ้นเชิง ในมือของพวกเขายังมีอาวุธที่แปลกประหลาดยากคาดเดาอยู่ด้วย แต่กลับถูกเย่เทียนเฉินอัดจนแพ้ยับ ไม่อาจคาดเดาได้เลยจริงๆ นี่เป็นโอกาสที่จางรั่วถงยอมเสียสละร่างกายอันบริสุทธิ์ของตนเพื่อมอบให้กับเย่เทียนเฉิน

………….

การที่เย่เทียนเฉินสามารถเอาชนะมือสังหารชุดดำทั้งสี่คนนี้ได้ในพริบตา สาเหตุที่สำคัญที่สุดเป็นเพราะในครั้งนี้เขาได้เกิดใหม่จากเถ้าถ่าน หลังจากที่กลับมาจากความตาย และได้ผ่านการรักษาจากจางอีเต๋อ อีกทั้งยังมีจางรั่วถงที่ใช้ร่างกายอันบริสุทธิ์ซึ่งมีลักษณะพิเศษของตนมารักษาเย่เทียนเฉิน ทำให้ความสามารถของเย่เทียนเฉินเพิ่มขึ้นมาก ในขณะนี้นับว่าเขาอยู่ในสภาพสมบูรณ์มากที่สุด ไม่ว่าจะเป็นในด้านใดก็พัฒนาเพิ่มขึ้นอีกขั้น เพียงแต่ยังไม่สามารถทะลวงขอบเขตไปได้ก็เท่านั้น แต่กลับมีพลังต่อสู้ในขอบเขตจักรพรรดิให้เห็นลางๆ แล้ว ดังนั้นจึงสามารถกดข่มมือสังหารทั้งสี่คนนี้ได้

“ฉันอยากจะรู้จริงๆ ว่าคุณชายใหญ่แห่งมหาวิทยาลัยหลงเถิงจะมาด้วยตัวเองหรือเปล่า ถ้าหากว่ามา ฉันจะฆ่าเขาตอนนี้เลย!”

เย่เทียนเฉินไม่ได้ดูถูกคุณชายใหญ่คนนี้ นี่เป็นคนที่ลึกลับมากคนหนึ่ง เป็นคนที่ไม่อาจดูถูกได้ เรียกได้ว่าหลังจากที่เย่เทียนเฉินได้มาเกิดใหม่ในโลกใบนี้ เขาเป็นคนที่รับมือได้ยากมากที่สุด คนคนนี้ไม่เพียงแต่จะมีอำนาจอันแข็งแกร่ง มีลูกหวังเจี๋ยที่แข็งแกร่ง กระทั่งความสามารถส่วนตัวของเขาก็ลึกล้ำไม่อาจคาดเดาอีกด้วย เย่เทียนเฉินไม่เคยลำพองใจ ที่เขาพูดเช่นนี้เป็นเพราะอยากจะเห็นสักหน่อยว่า ถ้าหากคุณชายใหญ่อยู่รอบๆ ก็จะกระตุ้นเขาให้โผล่ออกมา อย่างน้อยแค่ทดสอบความสามารถของคนคนนี้ก็ยังดี

“แกไม่ใช่คู่มือของคุณชายใหญ่ของพวกเรา คนแบบแกไม่คู่ควรที่จะให้เขาลงมือด้วยตัวเอง!” มือสังหารร่างสูงฝืนยืนขึ้นมา ในปากมีเลือดสดๆ ไหลออกมาเป็นสาย หมัดนั้นของเย่เทียนเฉินเกือบจะทำให้หัวใจของเขาแหลกสลายไปแล้ว มือสังหารชุดดำคนนี้รับหมัดนี้ได้ เห็นได้ว่าเขาแข็งแกร่งมากจริงๆ

“ไม่เป็นไรไม่ใช่ว่าเขาต้องการให้พวกแกนำหัวของพี่หวังเจี๋ยทั้งสิบสองคนของฉันไปรึไง? ฉันคิดว่าตอนที่ฉันเอาหัวของพวกแกส่งกลับไปถึงเบื้องหน้าเขา เขาจะต้องดีใจมากแน่!”

เมื่อเผชิญหน้ากับศัตรู แต่ไหนแต่ไรเขาไม่เคยอ่อนข้อ โดยเฉพาะอย่างยิ่งศัตรูที่แข็งแกร่งขนาดนี้ ถ้าหากอ่อนข้อก็จะเป็นการทิ้งอุปสรรคในภายภาคหน้าเอาไว้ให้ตัวเอง เย่เทียนเฉินไม่ใช่คนที่กระหายเลือดแต่ก็ไม่ใช่คนมีเมตตาอะไร เขามีหลักการของตน คนที่สมควรฆ่าก็จำเป็นต้องฆ่า

ไหนเลยจะรู้ว่า ในตอนที่เย่เทียนเฉินเตรียมลงมือกำจัดมือสังหารทั้งสี่คนนี้และนำหัวของพวกมันส่งกลับไปให้คุณชายใหญ่แห่งมหาวิทยาลัยหลงเถิง จู่ๆ เขาจะขมวดคิ้วขึ้นมาโดยพลัน เดินไปข้างหน้าก้าวหนึ่งแล้วยืนอยู่ที่เดิม จ้องมองไป เบื้องหน้าเขามีหมอกโลหิตกลุ่มหนึ่งปรากฏออกมา เสียดแทงจมูกยิ่งนัก และมีกลิ่นอายของมัจจุราชเจือปนอยู่ด้วย ทุกที่ที่ผ่านไป แม้กระทั่งหินก็ยังกลายเป็นผุยผง น่าหวาดกลัวอย่างมาก

ฟู่ๆ มีเสียงลมพัดอันแปลกประหลาดดังขึ้นมา มือสังหารทั้งสี่คนนั้นเดิมทีก็เป็นคนที่มีความสามารถแข็งแกร่งอยู่แล้ว รวมกับที่มีอาวุธเทพอยู่ในมือ ต่อให้คู่ต่อสู้จะแข็งแกร่งเพียงไรก็ดูเหมือนจะไม่จำเป็นต้องหวาดกลัว เพราะว่านี่มากเพียงพอจะป้องกันตัวเองแล้ว แต่ตอนนี้พวกเขาทั้งสี่กลับเผยสีหน้าหวาดกลัวอย่างหาใดเปรียบออกมา เหมือนกับรู้ว่ามีสิ่งประหลาดอันใดที่กำลังเข้ามา

“แย่แล้วลูกพี่…ลูกพี่มาแล้ว…” มือสังหารร่างสูงตกใจจนพูดติดขัด

“ทะ ทำยังไงดี…” มือสังหารร่างเตี้ยก็พูดออกมาด้วยใบหน้าราวกับจะร้องไห้

เย่เทียนเฉินขมวดคิ้ว เขารู้สึกถึงไอสังหารอันเข้มข้น ต่อให้เป็นมือสังหารทั้งสี่คนที่อยู่เบื้องหน้าที่บนร่างของทั้งสี่สะสมไอสังหารอันนับไม่ถ้วนเอาไว้ แต่เมื่อรวมเข้าด้วยกันยังไม่อาจเทียบได้กับไอสังหารอันแข็งแกร่งที่แผ่พุ่งออกมาจากร่างของผู้มาเยือนคนนี้

ยิ่งไปกว่านั้น สามารถทำให้มือสังหารชุดดำระดับสูงทั้งสี่คนนี้ตกใจจนมีสภาพแบบนี้ได้ ดูท่าทางผู้มาเยือนจะน่ากลัวมาก มีความสามารถที่ทำให้ผู้คนต้องหาดกลัวจนถึงกระดูก

“พี่ใหญ่…” อู๋เสวี่ยอดไม่ได้ที่จะตะโกนออกมา

“พวกแกถอยไปให้หมด ฉันจัดการเอง!” เย่เทียนเฉินในตอนนี้พูดออกมาอย่างเคร่งเครียด

พวกอู๋เสวี่ยมองดูหมอกโลหิตกลุ่มนั้น ต่างรู้ว่าอันตรายอย่างยิ่ง เพียงแต่กลับไม่ได้ถอยไป พวกเขารู้ว่าหากพวกเขาพุ่งไปตอนนี้ ไม่เพียงแต่จะช่วยพี่ใหญ่ไม่ได้ แต่ยังจะถ่วงแข้งถ่วงขาพี่ใหญ่อีกด้วย ตอนนี้วิธีการที่ดีที่สุดก็คือยืนอยู่ด้านข้าง ไม่ให้เย่เทียนเฉินต้องแบ่งสมาธิมาปกป้องพวกเขา

“หึๆ กระทั่งเย่เทียนเฉินตัวเล็กๆ คนเดียวก็ยังกำจัดไม่ได้ พวกแกสี่คนน่าขายหน้าจริงๆ อยู่ต่อไปแล้วมีประโยชน์อะไร?” เสียงหนึ่งที่ฟังดูเหมือนเสียงปีศาจดังขึ้นราวกับผุดออกมาจากนรกขุมที่เก้า เมื่อได้ยินก็ทำให้ผู้คนต้องขนลุกไปทั่วทั้งร่าง มีเหงื่อเย็นๆ ไหลออกมา ส่วนลึกของจิตวิญญาณถูกทำให้ตกใจจนสั่นสะท้าน

“ลูกพี่…อั่ก…”

ครืน!

ชายร่างอ้วนอยู่ใกล้หมอกโลหิตที่สุดคำ พูดที่แฝงไปด้วยความหวาดกลัวของเขายังไม่ทันพูดจบ กรงเล็บสีดำก็พุ่งออกมาจากหมอกโลหิต บีบคอของชายร่างอ้วนเอาไว้จนศีรษะของเขาขาดลงมา เสาเลือดพุ่งทะยานขึ้นฟ้า โหดเหี้ยมและรุนแรงเป็นอย่างมาก คนอื่นๆ อีกสามคนที่เหลือได้เห็นก็อดไม่ได้ที่จะถอยหลังออกไปโดยไม่รู้ตัว ราวกับต้องการหนีเอาชีวิต

สิ่งที่น่าเสียดายก็คือ มือสังหารชุดดำคนอื่นๆ อีกสามคนหนีไม่พ้นโชคชะตาที่จะถูกหักคอ มือสังหารชุดดำทั้งสี่ต่างตัวกับหัวแยกจากกัน ตายอย่างน่าอนาถ ส่วนคนที่ฆ่าพวกเขาก็คือหัวหน้าของพวกเขาเอง คนคนนี้เป็นคนที่ไม่มีความเป็นมนุษย์อยู่เลย ไม่ว่าจะฆ่าใครก็ฆ่าเหมือนกับหักต้นไม้ ฝีมือแข็งแกร่งมาก แต่จิตใจเย็นชาหาใดเปรียบ เหมือนกับคนตายอย่างไรอย่างนั้น

ในระหว่างนี้ถึงแม้คนในหมอกโลหิตจะลงมืออย่างรวดเร็วจนดูเหมือนจะมองไม่ทัน แต่เย่เทียนเฉินกลับสังเกตเห็นได้ถึงจุดหนึ่ง นั่นก็คือมือของคนที่อยู่ภายในหมอกโลหิตมือคล้ายจะถูกโลหะห่อหุ้มเอาไว้ รวมไปถึงนิ้วทั้งสิบก็มีโลหะสีดำห่อหุ้มเอาไว้เช่นกัน เหมือนกับกรงเล็บเหยี่ยวอย่างไรอย่างนั้น นี่คงจะเป็นอาวุธของเขา ดูเหมือนว่าคนคนนี้จะถูกของแบบนี้ห่อหุ้มไปทั้งร่าง ไม่มีใครเห็นหน้าที่แท้จริงของเขา ไม่รู้ว่าเขาเป็นใคร

“กระทั่งลูกหวังเจี๋ยที่ติดตามกันมาหลายปีก็ยังฆ่าได้ แกไม่คิดว่าตัวเองจะโหดเหี้ยมเกินไปรึไง?” เย่เทียนเฉินขมวดคิ้วพูด

“หึ ลูกหวังเจี๋ย? พวกมันก็เป็นแค่สุนัขสี่ตัวเท่านั้นและเป็นสุนัขไร้ค่าไปแล้ว เหลือเอาไว้ก็ไม่มีประโยชน์อะไร ไม่สู้ฆ่าพวกมันให้ตายเร็วหน่อยจะอย่างดีซะกว่า!” คนภายในหมอกโลหิตยังไม่ปรากฏตัวออกมาและไม่มีใครเห็นสภาพของเขา ได้ยินเพียงเสียงที่เหมือนปีศาจล่องลอยดังมา

“ถ้าหาแกฆ่าฉันไม่ได้ คุณชายใหญ่แห่งมหาวิทยาลัยหลงเถิงก็จะไม่ปล่อยแกไป ถ้างั้นแกเตรียมหักคอตัวเองแล้วหรือยัง?” เย่เทียนเฉินถามอย่างเรียบเฉย

“ไม่ ภารกิจที่ฉันมาในวันนี้ ไม่ได้มาเพื่อฆ่าแก แต่มาเพื่อดูความสามารถของแก ฉันเชื่อฟังคำสั่งของคุณชายใหญ่ ถึงแม้ฉันจะทนไม่ไหวอยากต่อสู้กับแกสักครั้งก็ตาม!” คนในหมอกโลหิตพูดออกมาอย่างเย็นชา

“ถ้างั้นก็มาสู้กันซักตั้งเป็นไง ฉันก็ต้องการอยู่พอดี!” เย่เทียนเฉินพูดออกมาอย่างหนักแน่น เขารู้ว่าคนที่อยู่ในหมอกโลหิตคนนี้แข็งแกร่งมาก หากไม่ฆ่าเขาตอนนี้ เกรงว่าในวันข้างหน้าก็ยากจะมีโอกาสเช่นนี้อีก และจะกลายเป็นอุปสรรคในใจของตน

“แต่คุณชายใหญ่มีคำสั่งลงมาแล้ว ความจริงแกแข็งแรงมาก ฉันอยากจะฆ่าแกจริงๆ ฉันไม่ได้ลงมือฆ่าคนมาเกือบสิบปีแล้ว แกควรจะรู้สึกเป็นเกียรติ…” คนในหมอกโลหิตอดไม่ได้ที่จะเอ่ยปากออกมา

“งั้นก็ทำให้ฉันรู้สึกเป็นเกียรติสักหน่อยสิ…”

มีน้อยครั้งมากที่เย่เทียนเฉินจะเริ่มลงมือเอง แต่ในครั้งนี้กลับกำหมัดขวาแน่น แม้เขาจะอยู่ในสภาพขั้นสูงสุดของขอบเขตจอมราชันแล้ว แต่เขาก็ไม่ได้ดูถูกคนในหมอกโลหิตคนนี้ ความสามารถของคนคนนี้ไม่อาจนำมือสังหารทั้งสี่ที่ถูกหักคอไปแล้วมาเทียบได้ อยู่กันคนละระดับโดยสิ้นเชิง แน่นอนว่าเมื่อลงมือ หากไม่ใช้พลังต่อสู้ที่แข็งแกร่งที่สุดก็เป็นไปได้มากว่าเขาจะตาย นี่เป็นการต่อสู้กับยอดฝีมือ ถ้าหากไม่ระวังก็จะตายอย่างน่าอนาจ

พวกอู๋เสวี่ยทั้งสิบสองคนต่างมองภาพนี้อย่างเคร่งเครียด พวกเขารับรู้ได้ว่าคนในหมอกโลหิตคนนี้แข็งแกร่งมาก ถ้าหากใครในหมู่พวกเขาลงมือ ต่อให้จะลงมือเต็มกำลังก็ไม่สามารถเอาชนะได้ ความจริงแล้วไม่อยากจินตนาการเลยว่า ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไป คุณชายใหญ่แห่งมหาวิทยาลัยหลงเถิงจะแข็งแกร่งถึงขั้นวิปลาสเพียงใด ต้องการที่จะรับมือกับคนคนนี้เป็นเรื่องยากมาก ไม่ใช่เรื่องที่จะทำได้ในเวลาสั้นๆ

ตู้ม!

ฝ่ามือสีดำอันใหญ่เหมือนกับสวมใส่เกราะสีดำบนแขนทั้งท่อนตบลงมายังเย่เทียนเฉินโดยตรง ทั้งทรงพลังและเอาแต่ใจเป็นอย่างมาก สะบัดลงมายังศรีษะของเย่เทียนเฉิน ดูเหมือนต้องการจะตบศีรษะ ของเย่เทียนเฉินให้แหลกเป็นชิ้น

พลั่ก!

เย่เทียนเฉินต่อยกลับไปตรงๆ มัดหนึ่งใช้ความสามารถขั้นสูงสุดของพลังพิเศษในขอบเขตจอมราชันออกไป โจมตีออกไปโดยไม่ถอยเลยแม้แต่น้อย ฝ่ามือและหมัดปะทะเข้าด้วยกัน

ตู้ม!

ได้ยินเสียงหนึ่งดังขึ้น เย่เทียนเฉินยืนอยู่กับที่ไม่ขยับเขยื้อน พื้นดินใต้เท้าของเขาแหลกเป็นผุยผงไปแล้ว ส่วนคนที่เหมือนกับปีศาจคนนั้นซึ่งยังซ่อนตัวอยู่ในหมอกโลหิตที่เกือบถูกทำให้ฟุ้งกระจายออกไปยังคงยืนอย่างมั่นคง เกือบจะเผยร่องรอยออกมา

นี่เป็นเหมือนการขี่ช้างจับตั๊กแตน ทั้งสองต่างโจมตีออกมาครั้งหนึ่ง แต่กลับมีพลังอำนาจถึงเพียงนี้ สรรพสิ่งรอบด้านในขอบเขตร้อยเมตรต่างราบเป็นหน้ากลอง พวกอู๋เสวี่ยที่ได้เห็นต่างตื่นตะลึงจนสั่นสะท้าน จินตนาการได้เลยว่าหนึ่งหมัดหนึ่งฝ่ามือที่ดูเหมือนจะเบานั้นแฝงไปด้วยพลังที่มากมายมหาศาลขนาดไหน

หลังจากโจมตีกันครั้งหนึ่งเย่เทียนเฉินก็ไม่ได้ลงมืออีก ส่วนคนที่ซ่อนตัวอยู่ในหมอกโลหิตก็ไม่ได้ลงมือเช่นกัน พวกเขาต่างแปลกใจในความสามารถของอีกฝ่าย หากต่อสู้กันจริงๆ เกรงว่าที่นี่คงพังทลายไปโดยสิ้นเชิง ยิ่งไปกว่านั้นคนที่ซ่อนตัวอยู่ในหมอกยังไม่ได้รับคำสั่งจากคุณชายใหญ่ให้มาฆ่าเย่เทียนเฉิน เขาเพียงแค่มาดูว่าเย่เทียนเฉินแข็งแกร่งขนาดไหนเท่านั้น ตอนนี้เขาก็ได้รู้แล้ว

“แกแข็งแกร่งมาก ฉันจะกลับไปรายงานคุณชายใหญ่ หวังว่าแกจะมีชีวิตอยู่ให้นานซักหน่อย!” คนในหมอกโลหิตยังคงกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงล่องลอยเหมือนปีศาจ

“เอาหัวของสี่คนนั้นกลับไปด้วยเถอะ เอาไปให้คุณชายใหญ่ได้เห็นสักหน่อย นอกจากนั้นบอกเขาด้วยว่า ฉันเย่เทียนเฉินรอให้เขามาอยู่” เย่เทียนเฉินพูดด้วยรอยยิ้ม

“ได้!”

คนในหมอกโลหิตไม่ได้พูดอะไรให้มากความ ทำเพียงนำศีรษะของมือสังหารชุดดำทั้งสี่คนไปและจากไปเช่นนี้เอง เย่เทียนเฉินไม่ได้ตามไปต่อสู้ เนื่องจากเขารับรู้ได้ว่าตอนนี้ไม่มีความจำเป็นต้องทำแบบนั้น เชื่อว่าในระยะเวลาสั้นๆ หากเขาต้องการฆ่าคนในหมอกโลหิตคนนี้คงเป็นเรื่องยากมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนนี้คนอื่นๆ อีกสิบสองคนในกลุ่มจ้าวสวรรค์ได้รับบาดเจ็บสาหัส เขาไม่อยากจะให้มีอะไรนอกเหนือความคาดหมายอีก จะอย่างไรพี่หวังเจี๋ยกลุ่มนี้ก็หาได้ยากนัก

ทุกสิ่งทุกอย่างนี้ นอกจากสมาชิกทั้งสิบสองคนอย่างพวกอู๋เสวี่ยที่รู้สึกเหนือคาดแล้ว ยังมีอีกคนหนึ่งที่รู้สึกประหลาดใจอย่างหาใดเปรียบ ใช้สายตาลึกล้ำไม่อาจคาดเดามองไปยังเย่เทียนเฉิน เธอรับรู้ได้ถึงความแข็งแรงของเย่เทียนเฉินแล้ว ในใจยิ่งไม่กล้ามั่นใจว่าถ้าตนเองลงมือต่อให้เป็นการลอบโจมตี จะสามารถสังหารเย่เทียนเฉินได้หรือไม่? คนคนนี้ก็คืออลิซที่ขับมอเตอร์ไซค์มาส่งเย่เทียนเฉินนั่นเอง

…………….

เย่เทียนเฉินเพียงคนเดียวก็สามารถเอาชนะมือสังหารชุดดำทั้งสี่คนไปได้ ต่อให้ในมือของพวกเขาจะมีอาวุธเทพอยู่สี่ชิ้นก็ตาม แต่ยังไม่สามารถต่อต้านได้เช่นเดิม เย่เทียนเฉินที่กลับมาจากความตายในครั้งนี้เรียกได้ว่าเป็นการเกิดใหม่ท่ามกลางเปลวเพลิง เหมือนกับมังกรที่เกิดขึ้นจากไฟและเปลี่ยนสภาพไปอีกครั้ง ความสามารถแตกต่างจากเมื่อก่อนราวฟ้ากับเหว มิฉะนั้นในตอนที่เผชิญหน้ากับมือสังหารชุดดำทั้งสี่คนที่แข็งแกร่งถึงขนาดนั้น อีกทั้งยังมีอาวุธที่แปลกประหลาดยากคาดเดาในมือของพวกเขา เย่เทียนเฉินจะต้องไม่ใช่คู่มือแน่นอน

ตั้งแต่ที่ได้สติตื่นขึ้นมา เย่เทียนเฉินก็รับรู้ได้ว่าอาการบาดเจ็บทั้งภายนอกและภายในของเขาไม่เพียงแต่จะหายดีแล้ว แต่พลังที่อยู่ภายในร่างกายยังมั่นคงขึ้นไม่น้อย กระทั่งระดับความแข็งแกร่งของกายเนื้อก็เพิ่มขึ้นอีกหนึ่งระดับ ไม่อาจเทียบได้กับก่อนหน้านี้เลยทีเดียว นี่เป็นความสูงส่งของเคล็ดวิชาพลังพิเศษแห่งการรักษาของจางอีเต๋อ รวมกับเป็นสิ่งที่จางรั่วถงยอมสละร่างกายอันมีความพิเศษของตนแลกมา

“พี่ใหญ่ คุณกลับมาแล้ว!” พวกอู๋เสวี่ยเดินมาเบื้องหน้าเย่เทียนเฉิน พูดออกมาด้วยความยินดี

“อืม พวกแกไปรักษาอาการบาดเจ็บก่อนเถอะ คืนนี้พวกเราจะจัดปาร์ตี้เลี้ยงฉลองกัน!” เย่เทียนเฉินเห็นทุกคนบาดเจ็บไม่เบา ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะมาพูดคุยกันจึงพยักหน้าแล้วพูดขึ้น

ภายในคฤหาสน์อันกว้างใหญ่มีเพียงเย่เทียนเฉินและอลิซสองคน ส่วนสระว่ายน้ำของคฤหาสน์และดินฟ้ารอบๆ ถูกทำลายไปหมดแล้ว เย่เทียนเฉินโทรไปให้ฝ่ายรักษาความปลอดภัยของเขตคฤหาสน์หาคนมาซ่อมแซมให้แล้ว

“หวา คิดไม่ถึงเลยว่าที่ที่นายอาศัยอยู่จะใหญ่ขนาดนี้? อยู่คนเดียวจะต้องเหงาไม่น้อยแน่นอน ฉันย้ายมาอยู่ด้วยดีไหม!” อลิซอุทานออกมาอย่างตื่นตกใจโดยไม่เกรงใจเลยแม้แต่น้อย

“เธอเข้ามาอยู่หรือ? ดูเหมือนว่าเธอจะไม่มีอะไรต้องย้ายแล้วละมั้ง” เย่เทียนเฉินเอ่ยถามอย่างหัวเราะไม่ออกร้องไห้ไม่ได้

อลิซจ้องเย่เทียนเฉินอย่างดุดัน สาวผมทองคนนี้สวยมาก ไม่ด้อยไปกว่าหลิ่วหรูเหมยและซูเฟยเฟยเลย แต่กลับมีเสน่ห์ที่แตกต่างกันออกไป ในสายตาของเย่เทียนเฉิน ผู้หญิงคนนี้ร่าเริงมาก เป็นสาวลูกครึ่งที่มีความกระปรี้กระเปร่า

“นายจะอีคิวต่ำเกินไปหรือเปล่า? ฉันมั่นใจได้เลยว่าตอนนี้นายจะต้องไม่มีแฟนแน่!”

“เอ๋? เรื่องนี้เธอก็มองออกเหรอ? รู้ได้ยังไง?” เย่เทียนเฉินแกล้งทำเป็นถามออกมาด้วยความแปลกใจ

“ผู้ชายที่ไม่มีอีคิวแบบนาย ถ้าคิดจะมีแฟนนั่นก็เป็นเรื่องเพ้อฝันแล้ว…ไม่ใช่ว่าทุกคืนต้องจัดการด้วยตัวเองรึไง?” จู่ๆ อลิซก็เดินมาเบื้องหน้าเย่เทียนเฉิน จงใจเม้มปากอันเซ็กซี่แล้วถามออกมาด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์

เย่เทียนเฉินหน้าตาหมดอาลัยตายอยากโดยพลัน จะอย่างไรเขาก็คิดไม่ถึงว่า ในตอนนี้อลิซจะถามความลับแบบนี้ออกมา จัดการด้วยตัวเอง? มือซ้ายหรือบางทีก็มือขวานี่เป็นเพื่อนที่ดีที่สุดคนหนึ่งของผู้ชายโสดขี้เหงาทั้งนั้นแหละ แต่อย่างไรเย่เทียนเฉินก็ไม่มีความนิสัยเช่นนี้ ในดาวสิ้นโลกเขามีผู้หญิงอยู่มาก จะใช้มือจัดการด้วยตัวเองได้ยังไง หลังจากได้มาเกิดใหม่ในโลกแห่งนี้ ถึงแม้ว่ามีบางครั้งที่คิดถึงผู้หญิง แต่เขาก็ไม่ใช่คนหื่นกามอะไร รวมกับที่เพิ่งจะปัปๆๆกับจางรั่วถงมาก็ไม่รู้สึกอัดอั้นแล้ว

“แม้แต่เรื่องนี้เธอก็ทายถูกแล้ว หรือว่าวันนี้จะช่วยฉันจัดการสักหน่อยล่ะ? ใช้ปากเล็กๆ ของเธอหรือจะใช้…ของเธอ” ในขณะที่พูด เย่เทียนเฉินก็ยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์และจับจ้องไปยังหน้าอกอันอุดมสมบูรณ์ของอลิซ

“ฝันหวานไปเถอะ สรุปว่าเอาแบบนี้แล้วกัน คฤหาสน์ใหญ่ขนาดนี้นายอยู่คนเดียวไม่ไหวหรอก ฉันจะช่วยนายอยู่เอง ใช่แล้ วฉันจะไว้หน้านายสักหน่อย จะไม่คิดค่าอยู่ของฉันกับนายแน่ ค่าใช้จ่ายในประจำวันพวกนั้นฉันจะจัดการเอง!” อลิซพูดอย่างเคร่งขรึม

“หือ?”

นี่ทำให้เขารู้สึกอับจนคำพูดมากนัก พวกผู้หญิงสวยๆ เหล่านี้แปลกขึ้นทุกคน อลิซที่เป็นสาวสวยลูกครึ่งทำตัวสนิทชิดเชื้อมาก เหมือนกับคฤหาสน์หลังนี้เป็นของเธอส่วนเย่เทียนเฉินเป็นคนที่คิดอยากจะเข้ามาเช่าอยู่ ยังไม่รอให้เย่เทียนเฉินพูดอะไร อลิซก็เดินขึ้นไปชั้นบนเพื่อไปสำรวจแล้ว

เย่เทียนเฉินที่นั่งอยู่ในห้องโถงใหญ่ ไม่ได้สนใจอลิซอีก ผู้หญิงที่เปิดเผยถึงขนาดนี้ เธออยากอยู่ก็ให้เธออยู่ไปเถอะ ตนเป็นผู้ชายคนหนึ่ง อยู่ข้างในก็รู้สึกน่าเบื่อมาก ตอนนี้สิ่งที่ทำให้เขารับมือได้ยากมากที่สุดก็คืออำนาจของคุณชายใหญ่แห่งมหาวิทยาลัยหลงเถิงที่อยู่เหนือจินตนาการของเขาไปมาก คนลึกลับคนนี้ เพียงแค่ลูกน้องของเขา โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่ซ่อนตัวอยู่ในหมอกโลหิตคนนั้น ต่างมีฝีมือแข็งแกร่งยากที่จะต่อกร ยิ่งไม่ต้องพูดถึงตัวคุณชายใหญ่เองเลยว่าจะแข็งแกร่งมากขนาดไหน

ในตอนนี้เย่เทียนเฉินสัมผัสได้ถึงแรงกดดันอันมหาศาล เขาคิดไม่ถึงว่าอำนาจของคุณชายใหญ่จะแข็งแกร่งถึงขนาดนี้ ลูกน้องเหล่านั้นของเขา ไม่เพียงแต่แต่ละคนจะมีฝีมือที่แข็งแกร่งมาก แต่ยังมีอาวุธเทพที่ทำให้ผู้คนคิดไม่ถึงอีกด้วย อย่างน้อยสิบกระบี่โบราณก็ปรากฏออกมาสองเล่มแล้ว ไม่รู้ว่าจะยังมีเล่มที่สามหรือกระทั่งเล่มที่สี่อีกหรือไม่…

ในตอนที่อู๋เสวี่ยจากไปได้บอกกับเย่เทียนเฉินไว้แล้วว่า รัฐบาลลงมือกำจัดตระกูลโอวหยางไปแล้ว หลังจากที่สิบสามจ้าวสวรรค์กำจัดสิบสามราชาเสือดาว เฮยเมี่ยนก็พาคนมาทำลายตระกูลโอวหยาง กระทั่งจุดจบของโอวหยางเจิ้นฮว๋าเป็นอย่างไรก็ไม่อาจรู้ได้ และเย่เทียนเฉินก็ไม่อยากรู้ด้วย คนระดับสูงของประเทศต่างไม่ใช่พวกอ่อนแอ ย่อมต้องจัดการได้แน่ ในเมื่อรัฐบาลสอดมือมาแล้วก็ทำให้เขาสบายไปได้เรื่องหนึ่ง

“ต้องการชะล้างความโศกเศร้าและความเจ็บปวดออกไป ความอ่อนโยนดูดซับฉันเอาไว้…”

ในตอนนี้เอ งมือถือของเย่เทียนเฉินดังขึ้นเป็นเพลงที่เพราะมากเพลงหนึ่ง เขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูที่จอ แสดงชื่อว่าแม่โทรมาจึงรีบกดรับโทรศัพท์ เขาไม่ได้กลับบ้านสิบกว่าวันแล้ว และก็ไม่ได้โทรไปหาแม่ด้วย แม่จะต้องเป็นห่วงตนแน่นอน

“สวัสดีครับแม่คิดถึงลูกชายสุดหล่อของแม่ใช่หรือเปล่า? วางใจเถอะผมไม่เป็นไร!” เย่เทียนเฉินนอนลงบนโซฟาอย่างผ่อนคลาย เขาไม่ต้องการให้แม่เป็นกังวล ดังนั้นเมื่อรับโทรศัพท์จึงพูดหยอกล้อออกมา

“เทียนเฉิน ลูกไม่ได้กลับบ้านมาสิบกว่าวันแล้วคืนนี้กลับมากินข้าวกันเถอะ!” หลัวเยี่ยนเอ่ยปากพูด

“ไม่มีปัญหาผมอยากกินบะหมี่ผัดซอสนะครับ!” เย่เทียนเฉินหัวเราะแล้วจึงพูดออกมา

“คิกๆ มีหรูเสวี่ยอยู่ ลูกอยากกินอะไรก็ไม่มีปัญหาทั้งนั้น ฝีมือการทำอาหารของเธอ ลูกก็รู้ดี!” หลัวเยี่ยนพูดยิ้มยิ้ม

“เอ๋? ฉีหรูเสวี่ยยังอยู่ที่บ้านพวกเราอีกหรือ? ยังไม่ไปอีก?” เย่เทียนเฉินรู้สึกอับจนคำพูดโดยสิ้นเชิง ฉีหรูเสวี่ยหมายความว่าอย่างไรกันแน่ จะอยู่ที่บ้านของตนถาวรหรือไง? ถึงแม้เย่เทียนเฉินจะไม่มีความคิดอะไรต่อฉีหรูเสวี่ย และนับว่าเป็นเพื่อนกัน แต่จะอย่างไรก็ไม่ใช่คนครอบครัวเดียวกันอยู่ดี มักจะรู้สึกกระอักกระอ่วน

“ลูกพูดอะไรแบบนี้ แม่รั้งหนูหรูเสวี่ยให้อยู่ต่อเองไม่ได้รึไง? ถึงเวลาที่ลูกจะตัดสินใจเมื่อไหร่กัน?” หลัวเยี่ยนพูดอย่างไม่พอใจชัดเจน

เย่เทียนเฉินรู้สึกหดหู่มาก ตอนนี้หลัวเยี่ยนผู้เป็นแม่เข้าข้างฉีหรูเสวี่ยมากขึ้นทุกวัน ขอเพียงตนพูดจาแย่ๆ เกี่ยวกับฉีหรูเสวี่ยก็จะถูกตำหนิอย่างหนัก ไม่รู้จริงๆ ว่าฉีหรูเสวี่ยฉลาดเกินไปหรือหลัวเยี่ยนหลอกง่ายเกินไป

“เอาล่ะๆ แม่เป็นใหญ่ แม่พูดคำไหนคำนั้น ฮี่ๆ!” เย่เทียนเฉินไม่อยากให้แม่โกรธจึงรีบพูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม

“ถ้างั้นก็เอาตามนี้แล้วกันลูกกลับมาให้เร็วหน่อยพวกเรารอกินข้าวอยู่!”

เมื่อวางโทรศัพท์ไปเย่เทียนเฉินก็หาวออกมาครั้งหนึ่งแล้วมองไปยังชั้นบน ดูเหมือนอลิซจะยังสำรวจอยู่ จากนั้นจึงลุกขึ้นยืนเดินเข้าไปในห้องนอนที่อยู่ด้านข้างด้านล่างห้องโถงของชั้นหนึ่งมีห้องนอนอยู่สองห้อง ตอนนี้เย่เทียนเฉินต้องการห้องว่างให้ตนเองเท่านั้น

เมื่อเดินเข้าไปในห้องแล้ว เย่เทียนเฉินก็ปิดประตูลง หลังจากที่แผ่ขยายพลังพิเศษแห่งการรับรู้ออกไปเขาก็นั่งสมาธิลงบนเตียง ตั้งแต่ได้สติฟื้นขึ้นมา ถึงแม้จะรับรู้ได้ว่าพลังของตนและกายเนื้อของตนพัฒนาขึ้นระดับหนึ่ง แต่ก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะสามารถทะลวงขอบเขตได้เลย นี่ทำให้เย่เทียนเฉินรู้สึกแปลกใจมาก

หลังจากเข้าสู่สภาวะสมาธิ เย่เทียนเฉินก็เห็นสภาพภายในร่างกายของตน พลังพิเศษที่แตกต่างกันหลายสายอยู่ในอวัยวะภายในแต่ละชิ้นอย่างสงบ ไม่ได้มีการโจมตีต่อต้านกันเลยแม้แต่น้อย ส่วนพลังในชีพจรและเลือดก็พัฒนาขึ้นไม่น้อย กายเนื้อพัฒนาขึ้นระดับหนึ่ง แต่ขอบเขตพลังยังคงอยู่ในขอบเขตจอมราชัน ยังไม่มีทีท่าว่าจะทะลวงออกไป

หลังจากผ่านการตรวจสอบอยู่นาน เย่เทียนเฉินจึงรับรู้ถึงสาเหตุที่ชัดเจนได้ นั่นก็คือ ขอบเขตพลังพิเศษของเขาในตอนนี้ยังคงอยู่ในขั้นสูงสุดของระดับจอมราชัน ถึงแม้กายเนื้อและพลังพิเศษจะสามารถทะลวงพลังไปได้ก็ยังไม่สามารถขึ้นไปถึงระดับจักรพรรดิได้ แต่ใช้ความสามารถในขอบเขตจักรพรรดิขั้นต้นออกมาได้ลางๆ แล้ว เพียงแต่ยังไม่สุกงอมก็เท่านั้น สาเหตุที่ก่อให้เกิดสภาพเช่นนี้ก็คือ พลังธรรมชาติของโลกเหือดแห้งไปนานแล้ว ไม่เหมาะสมกับการบ่มเพาะ ไม่สามารถเติมเต็มพลังให้ท่วมท้นจนทำให้เย่เทียนเฉิทะลวงขอบเขตไปได้ หากคิดจะใช้พลังพิเศษของตนเพื่อจะทะลวงไปยังขอบเขตจักรพรรดิจริงๆ นั่นเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เลย แน่นอนว่าไม่ใช่ว่าจะไม่เคยมีใครลองทำมาก่อน เพียงแต่คนแบบนี้ ต้องแข็งแกร่งถึงขั้นวิปลาส ไม่ต้องพึ่งพาพลังจากภายนอกก็สามารถทะลวงขอบเขตได้ เพียงแค่คิดก็น่ากลัวแล้ว

ในตอนนี้เอง บริเวณทะเลสาบเล็กๆ ที่คุณชายใหญ่แห่งมหาวิทยาลัยหลงเถิงมักจะนั่งตกปลา พบว่ามีหมอกโลหิตกลุ่มหนึ่งยืนอยู่ด้านหลังเขาเช่นนั้น นั่นเป็นหมอกโลหิตรูปร่างคน อีกทั้งเบื้องหลังคุณชายใหญ่ยังมีหัววางอยู่สี่หัว นั่นก็คือหัวของมือสังหารชุดดำทั้งสี่คนนั้น คุณชายใหญ่ไม่ได้พูดอะไร บรรยากาศในตอนนี้หนักอึ้งอยู่บ้าง

“เย่เทียนเฉินแข็งแกร่งขนาดไหน?” คุณชายใหญ่เอ่ยถามอย่างเรียบเฉย

“แข็งแกร่งมาก ผมสู้กับเขาครั้งหนึ่ง ใช้พลังไปเจ็ดส่วนโจมตีเข้าไปที่มือของเขา ไม่รู้ว่าเขาใช้พลังกี่ส่วน แต่ทำให้ผมรับรู้ได้ว่าเขายังไม่ได้ออกแรงเต็มที่!” หมอกโลหิตรูปมนุษย์พูดด้วยความสงสัย

“ดูท่าฉันจะประเมินเขาต่ำไป ครั้งนี้นับว่าเย่เทียนเฉินได้เกิดใหม่แล้ว จะทำให้พลังแข็งแกร่งมากขึ้นอีกก้าวหนึ่ง” คุณชายใหญ่พูดออกมาอย่างชื่นชม

หากเป็นเมื่อก่อน คุณชายใหญ่จะต้องคิดว่าเย่เทียนเฉินไม่พอให้มอง เพียงต้องการให้เขาแข็งแกร่งขึ้นเล็กน้อยเพื่อสร้างความสนุกสนาน ในสายตาของเขา เย่เทียนเฉินไม่นับว่าอ่อนแอจริงๆ แต่ต้องการฆ่าเย่เทียนเฉินก็เป็นเรื่องที่ทำได้ง่ายมาก เพียงแค่ประโยคเดียวของเขาก็สามารถตัดหัวเย่เทียนเฉินมาได้แล้ว

แต่ตอนนี้คุณชายใหญ่รู้สึกว่ารับมือได้ยากจริงๆ ความแข็งแกร่งของเย่เทียนเฉินอยู่นอกเหนือจินตนาการของเขาไปมาก โดยเฉพาะการต่อสู้ครั้งใหญ่ในครั้งนี้ มือสังหารระดับสูงทั้งสี่ที่เป็นลูกน้องของเขาและยังเป็นยอดฝีมือที่ใช้อาวุธเทพทั้งสี่ชิ้น ไม่เพียงแต่จะไม่สามารถกำจัดกลุ่มสิบสามจ้าวสวรรค์ได้ แต่ยังถูกเย่เทียนเฉินโจมตีจนพ่ายแพ้อีกด้วย แม้แต่คนที่ซ่อนตัวอยู่ในหมอกโลหิตที่อยู่ด้านหลังเขาคนนี้ซึ่งเป็นขุนพลที่แข็งแกร่งที่สุดในหมู่ลูกน้องของเขาใช้พลังออกไปเจ็ดส่วนก็ยังไม่สามารถเอาชนะเย่เทียนเฉินได้ ตอนนี้เขารู้สึกว่าตนไม่สามารถลังเลได้อีกต่อไป จะต้องสังหารเย่เทียนเฉินให้รวดเร็วที่สุด

……..

“ฆ่าคนไร้ประโยชน์ไปหมดแล้ว แกทำได้ถูกต้อง” คุณชายใหญ่แห่งมหาวิทยาลัยหลงเถิงพูดอย่างไร้ไมตรี

“คุณชายใหญ่ ความจริงแล้วความสามารถของสี่คนนี้ไม่อ่อนแอเลย ไม่ด้อยไปกว่ากลุ่มสิบสามจ้าวสวรรค์ที่เป็นลูกน้องของเย่เทียนเฉิน เพียงแต่สิ่งที่ทำให้คิดไม่ถึงก็คือ เย่เทียนเฉินที่อายุน้อยขนาดนั้นจะมีความสามารถลึกล้ำไม่อาจคาดเดา!” คนที่อยู่ในหมอกโลหิตพูดอย่างชื่นชม

คุณชายใหญ่ทั้งโหดเหี้ยมและไร้ไมตรี ในโลกของเขาไม่มีใครที่ฆ่าไม่ได้ ต่อให้เป็นคนสนิทที่ติดตามเขามาหลายปีก็ฆ่าได้โดยไม่ลังเล ยิ่งไปกว่านั้น เขายังมีกฏเกณฑ์ที่ทำให้คนต้องสิ้นหวง นั่นก็คือไม่ว่าใครก็ตาม หากทำภารกิจล้มเหลวก็จะต้องตาย ดังนั้นคนที่อยู่ในหมอกโลหิตจึงฆ่ามือสังหารชุดดำทั้งสี่ไป

“ฉันรู้ แต่ในโลกของฉัน แต่ไหนแต่ไรไม่เคยมีคำว่าล้มเหลว และไม่ยอมให้มีคนล้มเหลวเด็ดขาด พวกมันจำเป็นต้องตาย!” คุณชายใหญ่พูดอย่างเย็นชา

“ครับ!” คนที่อยู่ในหมอกโลหิตรีบตอบรับอย่างจริงจัง เขาเองก็ไม่กล้าทำให้คุณชายใหญ่โกรธ นี่เป็นตัวตนที่สามารถฆ่าเขาได้ด้วยตัวคนเดียว ไม่ว่าใครต่างก็หวาดกลัว

“อาวุธเทพทั้งสี่ชิ้นได้เก็บกลับมาหรือเปล่า?” คุณชายใหญ่เอ่ยปากถาม

“เก็บกลับมาแล้วครับ กระบี่อวี๋ฉางมีสภาพสมบูรณ์ไม่เสียหาย!” คนในหมอกโลหิตตอบ

“ออกไปเถอะ ถ้ามีเรื่องอะไรฉันจะติดต่อแกไป!”

“เอ๋? ครับ!”

ชายในหมอกโลหิตถอยออกไป สิ่งที่ทำให้เขารู้สึกแปลกใจก็คือ ด้วยนิสัยของคุณชายใหญ่ ควรจะรีบส่งคนไปฆ่าเย่เทียนเฉินทันทีถึงจะถูก เหตุใดจึงเลือกที่จะไม่ลงมือ? หรือจะบอกว่ากำลังอดกลั้นอยู่? ทุกสิ่งเหล่านี้ดูไม่ปกติ ทำให้เขารู้สึกมองไม่ออก

คุณชายใหญ่แห่งมหาวิทยาลัยหลงเถิงยืนขึ้น โยนเบ็ดตกปลาในมือลงไปในน้ำ เขาตกปลาอยู่ที่ทะเลสาบเล็กๆ แห่งนี้นานหลายปีแล้ว ยังไม่เคยไปจากที่นี่มาก่อน เพราะฝีมือของเขาทำให้เขาโดดเดี่ยวจริงๆ ปรายตามองไปทั่วทั้งประเทศจีนก็ไม่มีแม้แต่คนเดียวที่ต่อต้านเขาได้ ดังนั้นเขาจึงเลือกที่จะใช้ชีวิตว่างๆ แบบนี้ สำหรับเขาแล้ วสิ่งที่ควรมีล้วนมีครบ พูดว่าเรียกลมได้ลมเรียกฝนได้ฝนก็ไม่เวอร์เกินไป

การปรากฏตัวของเย่เทียนเฉินทำให้คุณชายใหญ่เกิดความรู้สึกสนใจขึ้นมา จะอย่างไรก็หลายปีแล้วที่ไม่ได้มีคนแบบนี้โผล่ออกมา ยิ่งไปกว่านั้นเขาก็สามารถเล่นกับตระกูลหลิ่วและตระกูลเย่ในกำมือได้ตลอดเวลา สำหรับเย่เทียนเฉิน คุณชายใหญ่แห่งมหาวิทยาลัยหลงเถิงรู้สึกสนุกด้วยมาตลอด ในสายตาของเขา ขอเพียงเขาลงมือก็สามารถฆ่าเย่เทียนเฉินได้ทุกเมื่อ เพียงแค่หาคนเล่นด้วยก็เท่านั้น

ไหนเลยจะรู้ว่าความแข็งแกร่งของเย่เทียนเฉินจะอยู่เหนือจินตนาการของคุณชายใหญ่ไปมากจริงๆ เมื่อต้องเผชิญหน้ากับการโจมตีของตระกูลเซวียนเยวี๋ยนและตระกูลโอวหยางทั้งสองฝั่ง เย่เทียนเฉินก็ขัดขวางเต็มกำลัง ยิ่งไปกว่านั้นยังทำลายล้างสองตระกูลนี้ไปด้วย เสวี่ยโม่เจียวที่ตนส่งออกไปก็ถูกฆ่า จากนั้นเขาจึงส่งยอดฝีมือระดับสูงออกไปอีกสี่คนเพื่อไปทำลายล้างกลุ่มสิบสามจ้าวสวรรค์แต่ก็ล้มเหลว เรียกได้ว่าลงมือกับเย่เทียนเฉินสองครั้งเขาต่างแพ้ราบ สำหรับเขาที่เป็นคนที่เชื่อมั่นและภาคภูมิใจในตนเองเช่นนี้ จะไม่ให้โกรธได้อย่างไร? เพียงแต่เขาควบคุมความโกรธเอาไว้ในใจของตน ไม่ต้องการให้ผู้อื่นเห็นและรับรู้

จ้องมองเงาในน้ำ สายตาของคุณชายใหญ่เต็มไปด้วยความโกรธเคือง เขาทำเพียงมองไปในทะเลสาบเล็กๆ พลังพิเศษสายอัสนีอันรุนแรงก็โจมตีทะลุลงไปในน้ำ ชั่วขณะนั้น ทั้งทะเลสาบมีแต่ปลานอนหงายท้องเต็มไปหมด ปลาทุกตัวตายไปหมดแล้ว ในตอนนี้คุณชายใหญ่โกรธเข้าแล้ว

“ฉันไม่ได้ลงมือเกือบสิบปีแล้ว เย่เทียนเฉิน ถ้าหากแกเป็นผู้ใช้พลังพิเศษห้าธาตุจริงๆ ฉันก็จะให้แกตายโดยไร้ที่ฝัง!” คุณชายใหญ่พูดแล้วยิ้มออกมาอย่างเย็นชา

ตู้มๆๆ!

เย่เทียนเฉินยังคงนั่งขัดสมาธิอยู่ในห้องนอน ตอนนี้เขาสามารถใช้พลังพิเศษระดับจักรพรรดิขั้นต้นออกมาได้นิดหน่อยแล้ว แต่ขอบเขตพลังกลับไม่สามารถทะลวงไปได้ เนื่องจากพลังธรรมชาติภายในโลกอ่อนแอมาก ถ้าต้องการอาศัยแค่พลังของตัวเองเพื่อทะลวงขอบเขตไปก็เป็นเรื่องยากมาก แต่เย่เทียนเฉินกลับอยากจะลองดู เพียงแต่ยังไม่ใช่ตอนนี้

“นี่นายทำอะไรอยู่ข้างใน? หลับแล้วเหรอ? หรือว่าทำอย่างอื่นอยู่?” อลิซเคาะประตูอยู่ด้านนอก ตะโกนเรียกเย่เทียนเฉินเสียงดัง

เย่เทียนเฉินลืมตาขึ้น ในใจคิดว่าถ้าต้องการจะทะลวงไปยังขอบเขตจักรพรรดิจะต้องอาศัยพลังอันแข็งแกร่งในร่างกายของตนเท่านั้น สภาพแวดล้อมในโลกใบนี้ถูกทำลายอย่างสาหัส พลังหลิงชี่ในธรรมชาติมีน้อยเกินไป หากต้องการจะทะลวงขอบเขตก็ทำได้เพียงพึ่งพาตัวเองเท่านั้น เรื่องนี้พูดง่ายแต่ทำยาก ยังต้องคิดหาวิธีก่อน

“จะนอนกลางวันเงียบๆ สักหน่อย เธอมีเรื่องอะไรหรือเปล่า?” เย่เทียนเฉินแกล้งทำเป็นมองไปยังอลิซแล้วถามอย่างไม่พอใจ

“นาย…นายดูสักหน่อยเถอะว่าตอนนี้มันกี่โมงแล้ว? ยังมานอนกลางวันอีก กระทั่งฟ้าสว่างกับฟ้ามืดก็แยกไม่ออกหรือไง?” อลิซแกว่งนาฬิกาบนข้อมือขวาของตนแล้วพูดขึ้น

“เอ๋? หกโมงเย็นแล้ว ทำไมไม่พูดให้เร็วๆ ล่ะ!” เย่เทียนเฉินตะโกนออกมาแล้วรีบพุ่งออกไปจากคฤหาสน์ เขารับปากแม่ไว้แล้วว่าคืนนี้จะไปกินข้าวให้เร็วสักหน่อย ตอนนี้หกโมงแล้วยังไม่ถึงบ้าน ถ้ายังไม่กลับไปอีกแม่จะต้องโทรมาแน่นอน

อลิซเห็นเย่เทียนเฉินรีบร้อนพุ่งออกไปด้านนอกโดยไม่สนใจตนเองจึงรีบตามออกไปแล้วตะโกนเสียงดังว่า “นี่ นายไปไหน? แล้วฉันจะทำยังไง? อาหารเย็นจะไปกินที่ไหน?”

“เธอจัดการเอาเองเถอะ ฉันไปก่อนล่ะ คืนนี้ไม่กลับมาแล้ว เธอไปซื้อกินเอาข้างนอกก็พอ บาย!”

เมื่อเย่เทียนเฉินพูดจบก็ขี่มอเตอร์ไซค์ของตนจากไป นี่คือมอเตอร์ไซค์ที่ให้อู๋เสวี่ยจัดเตรียมเอาไว้ล่วงหน้า ยานพาหนะที่เขาชอบมากที่สุดก็คือมอเตอร์ไซค์ ในตอนที่อลิซยังไม่ทันพูดอะไร เย่เทียนเฉินก็สตาร์ทเครื่องบิดหายไปแล้ว

“เจ้าคนน่ารังเกียจ ไอ้บ้า…” อลิซตะโกนใส่เย่เทียนเฉิน คิดว่าเจ้าหมอนี่จะทำเกินไปแล้ว ถึงกับทิ้งตนที่เป็นผู้หญิงสวยคนหนึ่งเอาไว้ ไม่รู้ว่าเจ้าหมอนี่มีอีคิวหรือเปล่า

วินาทีต่อมา อลิซหยิบของสิ่งหนึ่งที่ดูคล้ายกับแบตเตอรี่ออกมาจากกระเป๋ากางเกง มันมีขนาดใหญ่ประมาณเล็บนิวโป้งเท่านั้น มุมปากยกยิ้มเจ้าเล่ห์แล้วพูดขึ้นว่า “หึ นายคิดว่าจะหนีฉันไปได้เหรอ?”

ตลอดทางเย่เทียนเฉินบิดคันเร่งแรงที่สุด ขี่มอเตอร์ไซค์รวดเร็วปานสายฟ้าแลบมุ่งหน้าไปยังคฤหาสน์ของบ้านตนเอง ระหว่างนี้โทรศัพท์ก็ดังขึ้นห้าครั้ง ล้วนเป็นหลัวเยี่ยนผู้เป็นแม่ที่โทรมา เย่เทียนเฉินไม่กล้ารับ ถ้าไม่ถูกด่าก็แปลกแล้ว ดังนั้นจึงทำได้เพียงบิดคันเร่งเต็มที่ ไม่ได้รู้ตัวเลยว่าด้านหลังของเขามีสาวงามผมทองคนหนึ่งตามมา ดึงดูดความสนใจรถที่วิ่งผ่านไปมาจำนวนมาก

เย่เทียนเฉินไม่กล้าพาอลิซกลับไปที่บ้านด้วย เดิมทีแม่และน้องสาวก็ชอบซุบซิบมากอยู่แล้ว ยิ่งไปกว่านั้นยังชอบจับคู่ให้ตนกับฉีหรูเสวี่ยด้วย ส่วนฉีหรูเสวี่ยก็มีความรู้สึกแบบนั้นกับตน ถ้าอลิซที่เป็นสาวสวยผมทองและมีใบหน้าเหมือนกับสวรรค์สร้างทั้งยังมีรูปร่างเหมือนนางปีศาจคนนี้กลับไปที่บ้านตระกูลเย่ของตนด้วย เกรงว่าจะทำให้เกิดการต่อสู้ระหว่างสองสาวแน่นอน

สิ่งที่ทำให้เย่เทียนเฉินคิดไม่ถึงก็คือ เขาเพิ่งจะออกเดินทาอลิซก็ตามมาแล้ว เนื่องจากอลิซมีฐานะเป็นหัวหน้าหน่วยข่าวกรองพิเศษแห่งประเทศ M วีธีการการตรวจสอบและการลอบติดตามย่อมร้ายกาจเป็นอย่างมาก และยังมีวิทยาการก้าวหน้า ในตอนที่เย่เทียนเฉินไม่รู้ตัวก็ได้ติดเครื่องติดตามไว้บนตัวเขาแล้ว

ในตอนที่รถมอเตอร์ไซต์ของเย่เทียนเฉินจอดบริเวณหน้าคฤหาสน์ตระกูลเย่ของตน พบว่าหลัวเยี่ยนผู้เป็นแม่ เย่เชี่ยนเหวินน้องสาว และยังมีฉีหรูเสวี่ย ผู้หญิงทั้งสามคนใช้สายตาที่เต็มไปด้วยความโกรธจ้องมองมาที่ตน ไอสังหารทั้งสามสายพุ่งเข้ามา เย่เทียนเฉินเดินเข้าไปอย่างหมดอาลัยตายอยาก

ผู้หญิงทั้งสามคนนี้ หลัวเยี่ยนผู้เป็นแม่และเย่เชี่ยนเหวินน้องสาว สองคนนี้เย่เทียนเฉินไม่สามารถหาเรื่องได้ หากคิดจะหาเรื่องฉีหรูเสวี่ยก็ไม่มีความกล้าพอเพราะตอนนี้หลัวเยี่ยนกับเย่เชี่ยนเหวินเป็นยันต์คุ้มครองของฉีหรูเสวี่ยไปแล้ว จะหาเรื่องไม่ได้เช่นกัน

“ฮี่ๆ คุณผู้หญิงสุดสวยทั้งสามคน พวกคุณรอนานแล้ว พี่ชายสุดหล่อขอโทษอย่างจริงใจ ณ ที่นี้ด้วย!” เย่เทียนเฉินหัวเราะแล้วพูดขึ้น

“พี่ พูดมาตามตรงว่าเดี๋ยวนี้ไปวิ่งเล่นที่ไหนมา? ไม่กลับบ้านมาหลายวัน กลับมากินข้าวก็ยังมาสายขนาดนี้ ไปติดหญิงที่ไหนหรือเปล่า?” เย่เชี่ยนเหวินทำท่าทางใหญ่โต จับจ้องไปยังเย่เทียนเฉินแล้วถามขึ้น

“จะต้องไม่มีเรื่องอะไรอยู่แล้ว ก็แค่ไอ้บ้าคนหนึ่ง!” ฉีหรูเสวี่ยก็จับจ้องไปยังเย่เทียนเฉินแล้วพูดขึ้น

“พวกเธอสองคนจะวุ่นวายเกินไปหรือเปล่า? อย่างแรก ฉันบอกไว้แล้วว่าตอนนี้ฉันย้ายออกไปอยู่ที่อื่นแล้ว อย่างที่สอง ฉันเป็นผู้ชาย ต่อให้ไปติดหญิงก็เป็นเรื่องปกติใช่ไหม?” เย่เทียนเฉินกรอกตาใส่เย่เชี่ยนเหวินและฉีหรูเสวี่ยครั้งหนึ่งแล้วพูดขึ้น

“เข้าไปเถอะ เริ่มกินข้าวได้แล้ว!” หลัวเยี่ยนพูดด้วยรอยยิ้ม

ในใจของหลัวเยี่ยนไม่ได้ตำหนิอะไรเย่เทียนเฉิน แต่เธอเป็นห่วงเย่เทียนเฉินจึงมารออยู่ที่ประตู เธอเพียงต้องการเห็นลูกชายกลับมาอย่างปลอดภัยก็เท่านั้น เมื่อเห็นลูกชายกลับมาอย่างปลอดภัยแล้วเธอจึงวางใจได้

เย่เทียนเฉินทำหน้าทะเล้นไปทางเย่เชี่ยนเหวินผู้เป็นน้องและฉีหรูเสวี่ย เขารู้ว่าเจ้าเด็กทั้งสองคนนี้คิดจะบ่นเขาก่อน จากนั้นก็ให้หลัวเยี่ยนผู้เป็นแม่มาตำหนิเขา เย่เทียนเฉินไม่สามารถขัดแม่ได้เพราะเขาเป็นลูกที่กตัญญูคนหนึ่ง แต่กลับคิดไม่ถึงว่าหลัวเยี่ยนจะไม่ได้พูดอะไร ทำให้เย่เชี่ยนเหวินและฉีหรูเสวี่ยโกรธจนมองเย่เทียนเฉินอย่างดุดันไปหลายครั้ง

บนโต๊ะอาหาร เย่เทียนเฉินยังคงกินดื่มอย่างตะกละตะกลามเหมือนที่ทำมาโดยตลอด ไม่กล่าวไม่ได้ว่าฝีมือการทำอาหารของหลัวเยี่ยนและฉีหรูเสวี่ยดีมากจริงๆ อาหารแต่ละอย่างทำได้ไม่เลวเลย

เมื่อกินอาหารเสร็จแล้วเย่เทียนเฉินก็รู้สึกพึงพอใจมาก เรอออกมาแล้วนอนลงบนโซฟา ฟังเพลงด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม วันเวลาแบบนี้ทำให้รู้สึกชุมชื่นหัวใจจริงๆ

“พี่ หลายวันมานี้พี่ไปเล่นที่ไหนมา? ทำไมไม่พาหนูไปด้วย!” เย่เชี่ยนเหวินนั่งลงด้านข้าง ดึงแขนของเย่เทียนเฉินแล้วถามด้วยรอยยิ้ม

“ทำแบบนี้ให้มันในน้อยๆ หน่อยเถอะ เด็กอย่างเธอคิดจะมาเลียนแบบพี่ชายมันยังเร็วเกินไป ไปทำการบ้านเถอะ อีกซักพักพี่จะขึ้นไปตรวจ” เย่เทียนเฉิน ทำท่าทางเรากับว่าเจ้าหนูอย่างเธอเหรอจะมาเลียนแบบฉัน

“จะไปที่ดีๆ อะไรได้ล่ะ จะต้องไปติดหญิงแน่ ไอ้คนไร้คุณธรรม อันธพาล!” ฉีหรูเสวี่ยจ้องไปยังเย่เทียนเฉินโกรธๆ แล้วพูดขึ้น

ในใจของฉีหรูเสวี่ยรู้สึกไม่พอใจอยู่บ้าง ไม่ได้พบกับเย่เทียนเฉินมาหลายวันแล้ว ความจริงในใจของเธอคิดถึงมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อคิดว่าเย่เทียนเฉินคนนี้อาจจะไปทำเรื่องไม่ดีอะไร ความหึงหวงในใจก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้น จึงพูดออกไปค่อนข้างแรง

………..

“พวกเธอสองคนยังไม่จบอีกรึไง? ฉันบอกพวกเธอไปแล้ว ต่อให้ฉันจะไปติดหญิงก็เป็นเรื่องปกติ ฉันเป็นผู้ชายคนหนึ่ง ต้องการผู้หญิงมันไม่ปกติรึไง? แต่บอกไว้ก่อนว่าฉันไม่ได้ไปเที่ยวผู้หญิง เห็นฉันเป็นคนเสเพลแบบนั้นรึไง?” เย่เทียนเฉินมองไปยังเย่เชี่ยนเหวินและฉีหรูเสวี่ยด้วยท่าทีเคร่งขรึมจริงจังแล้วพูดขึ้น

“ใช่!” เย่เชี่ยนเหวินและฉีหรูเสวี่ยใช้ท่าทางเหมือนกับว่าของมันแน่อยู่แล้ว มันต้องใช่แน่ๆ ตลอดจนท่าทางมั่นใจตอบเย่เทียนเฉิน

เย่เทียนเฉินรู้สึกอับจนคำพูดไปในพริบตา ไม่รู้จริงๆ ว่าผู้หญิงทั้งสองคนนี้เป็นอะไร ตนเองเป็นคนที่เคร่งครัดขนาดไหน แต่ไหนแต่ไรก็ไม่เคยทำตัวเกเร ไม่เคยเลยเถิด ไม่รู้จริงๆ ว่าทำไมพวกเธอถึงมักจะคิดว่าตนเป็นพวกอันธพาลแบบนั้น หรือจะเกิดมาเป็นแบบนี้อยู่แล้ว?

“พวกเธอสองคนมีอคติกับฉันแล้ว…แม่ครับ แม่ว่าลูกชายของแม่เป็นคนไม่เอาไหนเหรอครับ? แต่ไหนแต่ไรก็ไม่เคยเป็น…” เย่เทียนเฉินตะโกนถามไปยังหลัวเยี่ยนที่อยู่ในห้องครัว

“เทียนเฉิน ตอนนี้ลูกไปอยู่ข้างนอกแล้วต้องดูแลความปลอดภัยให้ดี อย่าได้เกเร!”

เสียงของหลัวเยี่ยนดังออกมาจากในครัว เดิมทีเย่เทียนเฉินมีท่าทางมั่นอกมั่นใจมาก เพียงพริบตาเดียวก็แทบจะทรุดลงนั่งกับพื้น อยากจะร้องไห้โดยไร้น้ำตาจริงๆ ไม่รู้ว่าหลัวเยี่ยนผู้เป็นแม่ถูกน้องสาวและฉีหรูเสวี่ยล้างสมองไปตั้งแต่เมื่อไหร่ ค่อยๆ ไม่เชื่อมั่นในลูกชายของตัวเองแล้ว ผู้หญิงแบบฉีหรูเสวี่ยน่ากลัวจริงๆ ด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้หญิงสวยๆ ยิ่งสวยก็ยิ่งน่ากลัว!

ยิ่งได้เห็นผู้หญิงทั้งสองคนอย่างฉีหรูเสวี่ยและเย่เชี่ยนเหวินพากันหัวเราะคิกคักก็แทบจะทรุดลงไปกับพื้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตอนที่เห็นใบหน้าชอกช้ำของเย่เทียนเฉินก็ยิ่งหัวเราะร่า

“แม่ครับ แม่จะใส่ร้ายลูกชายของแม่เกินไปแล้ว ชั่วชีวิตนี้ของผม ความ ปรารถนาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดก็คือกตัญูและเคารพต่อแม่และพ่อ ส่วนเรื่องเมียผมยังไม่เคยคิด ยิ่งไปกว่านั้นผมก็ไม่เกเรด้วย ผมออกไปข้างนอกหลายวันล้วนแต่ไปทำงานทั้งนั้น ไม่ได้แตะผู้หญิงเลย จะเกเรเสียคนได้ยังไง ผมถูกใส่ร้าย!” เย่เทียนเฉินแสร้งทำเป็นพูดด้วยท่าทางน้อยเนื้อต่ำใจและน่าสงสารเป็นอย่างมาก

“นายกล้าสาบานหรือเปล่า?” ฉีหรูเสวี่ยเดินมาเบื้องหน้าเย่เทียนเฉิน จ้องมองเจ้าบานี่แล้วถามขึ้นอย่างดุดัน

“ทำไมจะไม่กล้า ฉันเย่เทียนเฉินขอสาบานเลยว่า หลายวันมานี้พยายามทำงานเต็มที่ ไม่ได้แตะต้องแม้แต่ผู้หญิง ไม่ได้เกเรเสียคนอย่างเด็ดขาด!” เย่เทียนเฉินพูดอย่างจริงจังแล้วจ้องมองไปยังฉีหรูเสวี่ย

ฉีหรูเสวี่ยเห็นท่าทีสาบานเช่นนี้ของเย่เทียนเฉินก็รู้สึกยินดีในใจ เธอหลงรักเย่เทียนเฉิน ย่อมไม่หวังให้ผู้ชายคนนี้ออกไปเที่ยวเสเพล ต่อให้อยากจะเสเพลก็ทำได้กับตนคนเดียว ในเมื่อเขาสาบานอย่างแน่วแน่จริงจังแล้วก็แสดงให้เห็นว่าไม่ใช่คนแบบนั้นจริงๆ ฉีหรูเสวี่ยย่อมดีใจ

เย่เทียนเฉินเห็นเย่เชี่ยนเหวินผู้เป็นน้อง ฉีหรูเสวี่ย และยังมีหลัวเยี่ยนผู้เป็นแม่ที่เดินออกมาจากในครัวต่างพูดไม่ออกจึงอดไม่ได้ที่จะกรอกตามองทุกคนอย่างลำพองใจแล้วพูดขึ้นว่า “พวกเธอกำลังอิจฉาในเสน่ห์ของพี่ชายสุดหล่อที่ไม่มีใครเทียบได้คนนี้สินะ พวกเธอจะเห็นแก่ตัวไปแล้ว พี่ชายสุดหล่ออย่างฉันเป็นของทุกคน ไม่ใช่ของใครคนใดคนหนึ่ง ฉันถูกกำหนดมาให้เป็นคนที่หล่อที่สุดในโลก!”

เมื่อคำนี้ถูกกล่าวออกมา เย่เทียนเฉินก็ได้ยินเสียงคลื่นไส้ระงม กระทั่งหลัวเยี่ยนก็อดไม่ได้ที่จะทำท่าคลื่นไส้ออกมา ในใจคิดไปว่าลูกชายไปมั่นใจตัวเองขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน? ดูเหมือนก่อนหน้านี้เขาจะถ่อมตัวมากนี่นา!

“พวกเธออ้วกกันไปเถอะ ฉันเป็นคนที่จริงจังคนหนึ่ง พวกเธอมาใส่ร้ายฉัน ฉัน…”

คำพูดหยอกล้อของเย่เทียนเฉินยังพูดไม่ทันจบก็ได้ยินเสียงเคาะประตู ตอนนี้เป็นเวลาสี่ทุ่มแล้ว ถึงกับมีคนมาเคาะประตูเชียว จะเป็นใครกัน?

“ใครน่ะ แม่จะไปเปิดประตูสักหน่อย…” หลัวเยี่ยนเดินไปที่ประตูคฤหาสน์

“เอ๋? แม่ครับ แม่ฟังผิดไปแล้ว จะมีคนมาเคาะประตูที่ไหนกัน ไม่มี!” เย่เทียนเฉินรีบหยุดเอาไว้ เนื่องจากเขาสำรวจผ่านพลังพิเศษแห่งการรับรู้แล้วจึงได้รู้ทันทีว่าคนที่เคาะประตูอยู่ด้านนอกคือใคร เขาตกใจจนเหงื่อเย็นๆ ไหลออกมา  จะอย่างไรก็คิดไม่ถึงว่าเธอจะมาหาเขาที่นี่

ปังๆๆ!

มีเสียงเคาะประตูดังขึ้นอีกครั้ง บนหน้าผากของเย่เทียนเฉินมีเหงื่อเย็นๆ ซึมออกมา แม่เดินไปที่ประตูเตรียมเปิดประตูแล้ว จินตนาการได้เลยว่า ในตอนที่แม่เปิดประตูและผู้หญิงคนนี้เดินเข้ามา คำสาบานและคำพูดอันแน่วแน่จริงจังของเขาก่อนหน้านี้คงถูกเข้าใจผิดและดูไร้ค่าไปเลย จะต้องถูกตำหนิอีกครั้งแน่นอน

“ใครคะ?” หลัวเยี่ยนเปิดประตูคฤหาสน์ออกไป ในตอนที่เธอเห็นว่าด้านนอกมีผู้หญิงผมทองคนหนึ่งยืนอยู่ก็ชะงักไปทั้งร่าง ปฏิกิริยาแรกก็คือ คนคนนี้คือใคร? ปฏิกิริยาที่สองก็คือ ผู้หญิงคนนี้มาผิดบ้านหรือเปล่า?

“สวัสดีค่ะที่นี่ ใช่บ้านของเย่เทียนเฉินหรือเปล่าคะ?” สาวผมทองเอ่ยปากถาม

“อา ใช่ค่ะ เขาเป็นลูกชายของฉันเอง คุณคือ…” หลัวเยี่ยนเอ่ยถามด้วยความสงสัย

“สวัสดีค่ะคุณป้า ฉันชื่ออลิซ เป็นแฟนของเทียนเฉิน!”

ผู้มาเยือนก็คืออลิซ เธอตามหลังเย่เทียนเฉินมาโดยตลอด จุดประสงค์ที่มาเคาะประตูในตอนนี้ก็ชัดเจนมาก นั่นก็คือต้องการเข้าไปที่บ้านตระกูลเย่ เธอรู้ว่าความสามารถของเย่เทียนเฉินลึกล้ำไม่อาจคาดเดา ตอนนี้ตนเองเพิ่งจะเข้าใกล้เย่เทียนเฉินได้ หากต้องการฆ่าเขาโดยที่เขาคาดไม่ถึงยังเป็นเรื่องยากมาก สิ่งเดียวที่ต้องทำก็คือ ต้องค่อยๆ ทำให้ได้รับความเชื่อใจจากเย่เทียนเฉินทีละน้อย และการได้รับความเชื่อใจจากครอบครัวของเย่เทียนเฉินจะเป็นก้าวที่สำคัญที่สุดที่จะได้ความเชื่อใจจากเย่เทียนเฉิน

“อา… เธอ…เชิญเข้ามาเถอะ…”

หลัวเยี่ยนเป็นผู้หญิงที่ฉลาดมากคนหนึ่งแต่ก็ยังชะงักไปในพริบตา จะอย่างไรเธอก็คิดไม่ถึงว่าสาวผมทองที่ยืนอยู่นอกคฤหาสน์ของตนคนนี้จะถึงกับเป็นแฟนของเย่เทียนเฉิน? นี่เพิ่งจะผ่านไปกี่วันเอง ไปมีแฟนเป็นสาวผมทองแล้วหรือ? ยิ่งไปกว่านั้นก่อนหน้านี้ก็ไม่เคยได้ยินลูกชายพูดถึงมาก่อน นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่?

ถึงแม้จะไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นแต่ผู้มาเยือนก็ยังเป็นแขก หลัวเยี่ยนจึงเชิญให้อลิซเข้ามาในบ้าน อีกทั้งยังเดินนำทางด้วยใบหน้าประดับรอยยิ้ม พูดเสียงดังว่า “เทียนเฉิน มีคนมาหา รีบออกมาเร็ว!”

หลัวเยี่ยนพาอลิซเดินไป ในห้องโถงของคฤหาสน์มีแค่เย่เชี่ยนเหวินและฉีหรูเสวี่ย ส่วนเย่เทียนเฉินไม่เห็นนานแล้ว ไม่รู้ว่าหนีไปที่ไหนแล้ว

“พี่ชายของลูกล่ะ? มีคนมาหา…” หลัวเยี่ยนส่งสายตาให้เย่เชี่ยนเหวินผู้เป็นลูกสาวของตนแล้วเอ่ยถาม

“อา พี่เขาขึ้นไปข้างบนแล้วมั้งคะ?” เย่เชี่ยนเหวินก็ไม่รู้ว่าพี่ชายของตนหายไปโดยไม่รู้ตัวตั้งแต่เมื่อไหร่ นี่มันเกิดอะไรขึ้น?

“เธอคือ…” ฉีหรูเสวี่ยขมวดคิ้วมองไปยังอลิซแล้วถามขึ้น สัญชาตญาณของผู้หญิงกำลังบอกเธอว่า ผู้หญิงคนนี้เป็นภัยคุกคามต่อเธอ

“สวัสดีทุกคน ฉันคือแฟนของเย่เทียนเฉินชื่อว่าอลิซ!” อลิซยิ้มให้เย่เชี่ยนเหวินและฉีหรูเสวี่ยแล้วจึงแนะนำตัวเอง

“เธอ…เธอคือแฟนของเทียนเฉิน?” ฉีหรูเสวี่ยเป็นคนแรกที่เอ่ยถามขึ้นอย่างไม่เชื่อนัก

“เธอเป็นแฟนของพี่ชายฉันเหรอ? ทำไมฉันไม่เคยเจอเธอมาก่อนล่ะ?” เย่เชี่ยนเหวินก็ถามอย่างไม่ค่อยเชื่อนัก

การแนะนำตัวของอลิซทำให้หลัวเยี่ยน เย่เชี่ยนเหวิน และฉีหรูเสวี่ยตกตะลึงไปจริงๆ ต้องพูดว่าหลังจากที่เย่เทียนเฉินกลับมาที่เมือง ผู้หญิงข้างกายก็มีไม่น้อย แต่ว่าไม่เคยเกิดสถานการณ์แบบนี้มาก่อน ไม่เจอกันแค่ไม่กี่วันคน อยู่ดีๆ ก็มีสาวผมทองปรากฎตัวออกมาอย่างกระทันหัน และยังแนะนำตัวว่าเป็นแฟนของเย่เทียนเฉินโดยที่คนในบ้านไม่รู้ จะไม่ทำให้ทุกคนตกใจได้อย่างไร?

“เธออย่าคิดจะหลอกพวกเราเลย เทียนเฉินไม่ชอบผู้หญิงแบบเธอหรอก!”

ฉีหรูเสวี่ยพูดขึ้นมาเป็นคนแรก เธอไม่เชื่อแน่นอนอยู่แล้วว่าอลิซจะพูดความจริง ในใจเธอรับไม่ได้แน่นอน ตนกับเย่เทียนเฉินนับว่าฝ่าฟันอุปสรรคมาด้วยกัน ถึงแม้เจ้าหมอนี่จะไม่มีอีคิวและไม่เข้าใจเรื่องรักหยกถนอมบุปผา แต่กลับเป็นคนที่สามารถพึ่งพาได้ไม่เลวคนหนึ่ง ตอนนี้ฉีหรูเสวี่ยมั่นใจได้แล้วว่าตนเองหลงรักเย่เทียนเฉิน ในเมื่อรักชายคนนี้แล้วถ้าเช่นนั้นก็จะไล่ตามความสุขของตน ดังนั้นผู้หญิงผมทองหน้าตาสวยงามคนนี้เป็นศัตรูหัวใจของเธอ จะต้องทำหน้าดีๆ ให้ศัตรูหัวใจหรือไง?

“เอ๋? เธอเป็นใคร?” อลิซเป็นผู้หญิงที่ฉลาดระดับไหนกัน เมื่อเห็นว่าฉีหรูเสวี่ยพูดแบบนี้จึงถามออกไปด้วยรอยยิ้มเย็นชาอย่างเจตนาเป็นศัตรู

“ฉัน…ฉัน…ฉันสิเป็นแฟนของเทียนเฉิน!” ฉีหรูเสวี่ยจ้องมองไปยังอลิซอย่างดุดันแล้วพูดขึ้น

ตอนนี้สองงามทั้งสองคนอย่างอลิซและฉีหรูเสวี่ยต่างไม่มีใครยอมใคร หลัวเยี่ยนและเย่เชี่ยนเหวินยืนอึ้งอยู่กับที่ ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี พวกเธอรู้สึกว่าเรื่องนี้เกิดขึ้นกระทันหันเกินไปและรุนแรงเกินไป เวลาเพียงชั่วครู่ยังไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรดี ส่วนเย่เทียนเฉินก็ดูเหมือนจะคาดเดาเหตุการณ์นี้ได้นานแล้วจึงแอบไปซ่อนก่อนแล้ว เพียงแต่สิ่งที่ทำให้เย่เทียนเฉินคิดไม่ถึงก็คือ อลิซจะเรียกตัวเองว่าเป็นแฟนของเขา ทำให้เรื่องใหญ่โตยิ่งขึ้น

“เธอเป็นแฟนของเขาเหรอ? อย่าพูดให้ตลกเลยน่า ถ้าหากเธอเป็นแฟนของเขาแล้วฉันจะเป็นใครล่ะ?” เพียงไม่นานอลิซก็รู้ว่าผู้หญิงคนนี้ชอบเย่เทียนเฉินอย่างชัดเจน แต่เมื่อดูท่าทางหูแดงหน้าแดงของผู้หญิงคนนี้แล้ว เห็นได้ชัดว่าความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับเย่เทียนเฉินยังไม่ก้าวหน้าไปถึงขั้นนั้น

สิ่งที่ทำให้อลิซแปลกใจก็คือ เย่เทียนเฉินมีผู้หญิงที่สวยเหนือระดับแบบนี้มาชอบจริงๆ ด้วย ฉีหรูเสวี่ยสวยขนาดนี้ยังมาทะเลาะกับเธอเพื่อเย่เทียนเฉินด้วยท่าทางหูแดงหน้าแดงโดยไม่เสียดาย ดูท่าเสน่ห์ของเจ้าหมอนี่จะไม่น้อยเลยจริงๆ

“ฉันไม่สนใจว่าเธอจะเป็นใคร ที่นี่ไม่ต้อนรับเธอ เธอออกไปได้แล้ว!” ฉีหรูเสวี่ยพูดอย่างไม่สบอารมณ์

“งั้นเหรอ? เกรงว่าจะยังไม่ถึงตาเธอมาพูดแบบนี้ละมั้ง เทียนเฉิน ฉันมาแล้ว นายยังไม่ออกมารับอีกเหรอ?” อลิซอดไม่ได้ที่จะตะโกนเสียงดัง ในน้ำเสียงเต็มไปด้วยความออดอ้อน เมื่อได้ฟังก็ทำให้ผู้ชายรู้สึกทนไม่ไหว

“เธอ เธออย่าตะโกนเลย เขาไม่อยู่ ยิ่งไปกว่านั้นเธอก็ไม่ใช่แฟนของเขาด้วย!” ฉีหรูเสวี่ยพองแก้มเล็กๆ อันน่ารักของตนพูดด้วยใบหน้าแดงก่ำดูเซ็กซี่

“ไม่อยู่? เป็นไปไม่ได้น่ะ ฉันกลับมาด้วยกันกับเขา เพียงแต่ฉันมีธุระเลยมาสายไปเล็กน้อย ไม่งั้นเธอคิดว่าฉันจะหาที่นี่เจอได้ยังไง?” อลิซพูดด้วยรอยยิ้ม

“เธอ…” ฉีหรูเสวี่ยถูกทำให้โกรธจนทนไม่ไหว ถึงแม้ว่าเธอจะฉลาดมากแต่เมื่อเทียบกับอลิซที่เป็นหัวหน้าหน่วยข่าวกรองพิเศษแห่งประเทศ M แล้วยังแตกต่างกันอยู่เล็กน้อย

“ถ้าหากเธอไม่เชื่อฉันก็สามารถขึ้นไปถามเจ้าหมอนั่นได้เลย คิดจะกินแล้วกลบเกลื่อนหลักฐานมันไม่ได้หรอกนะ!” อลิซยิ่งพูดยิ่งอิน ทำให้ฉีหรูเสวี่ยโกรธจนหน้าเดี๋ยวแดงเดี๋ยวขาว นั่งทิ้งตัวลงบนโซฟาด้านข้าง

………….

ฉีหรูเสวี่ยไม่ยอมอ่อนข้อเลยแม้แต่น้อย อลิซก็ไม่ใช่ตะเกียงไร้น้ำมัน ถึงแม้อลิซจะยังไม่เคยมีแฟนมาก่อน กระทั่งเยื่อพรมจรรย์ก็ยังอยู่ แต่เธอเป็นหัวหน้าหน่วยข่าวกรองพิเศษแห่งประเทศ M ย่อมไม่ใช่พวกอ่อนแอ เธอฉลาดเป็นอย่างมาก คำพูดไม่กี่ประโยคของฉีหรูเสวี่ยทำให้เธอรู้ว่าผู้หญิงชาวจีนที่หน้าตาสวยงามข้างหน้านี้จะต้องชอบเย่เทียนเฉินแน่นอน ส่วนพวกเขาจะมีความสัมพันธ์แบบชายหญิงหรือไม่นั้นอลิซเองก็ไม่รู้

“คุณป้าคะ ฉันและเทียนเฉินเพิ่งจะอยู่ด้วยกันไม่นาน อาจเป็นเพราะเขายังไม่ทันได้มาบอกคุณ ครั้งนี้เขาพาฉันกลับมาด้วยก็เพื่อให้มาพบกับคุณค่ะ!” อลิซพูดกับหลัวเยี่ยนด้วยรอยยิ้มหวาน

“อา… ฮ่าๆ ป้า…ป้าไม่เคยได้ยินเขาพูดถึงมาก่อนจริงๆ ตอนนี้หนูนั่งอยู่ที่นี่สักครู่นะ ป้าจะขึ้นไปเรียกเทียนเฉิน!” หลัวเยี่ยนรู้สึกกระอักกระอ่วน ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี ในใจคิดว่าเย่เทียนเฉินเจ้าเด็กหน้าเหม็นคนนี้คงจะไม่ได้ไปมีแฟนสาวผมทองภายในเวลาแค่ไม่กี่วันจริงๆ หรอกนะ?

“ค่ะ ไม่ขอปิดบังพวกคุณ ฉันกับเขามีความสัมพันธ์ที่มั่นคงแล้ว…อีกไม่นานพวกเราอาจจะแต่งงานกัน ต่อให้ไม่แต่งงานก็คงจะหมั้นกัน”

เมื่อได้ยินคำพูดนี้ของอลิซ หลัวเยี่ยน เย่เชี่ยนเหวิน และฉีหรูเสวี่ยต่างก็ตกตะลึงไป รู้สึกตกใจจนพูดไม่ออก ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรดี อลิซยิ่งพูดก็ยิ่งร้ายกาจ ขาดแต่ไม่ได้พูดตรงๆ ว่าเธอขึ้นเตียงกับเย่เทียนเฉินและมีความสัมพันธ์แบบผู้ชายผู้หญิงเกิดขึ้นแล้ว

“เธอ…เธอพูดจาเหลวไหลที่นี่ให้มันน้อยๆ หน่อย เรื่องนี้เป็นไปไม่ได้ เธอจะต้องโกหกแน่!”

ไม่กล่าวไม่ได้ว่าอลิซแข็งแกร่งอย่างไม่ธรรมดาเลยจริงๆ ทั้งมีความมั่นคงทางอารมณ์และฉลาดเป็นอย่างมาก ระหว่างเธอกับเย่เทียนเฉินไม่มีอะไรเกิดขึ้นโดยสิ้นเชิง แต่ถึงกับกล้าอาศัยข้ออ้างนี้พูดเหลวไหลออกมาได้ และยังพูดได้อย่างออกรสออกชาติอีกด้วย ทำให้หลัวเยี่ยน เย่เชี่ยนเหวิน และฉีหรูเสวี่ยอึ้งไปเลย เห็นได้ชัดว่าผู้หญิงคนนี้ดูถูกไม่ได้จริงๆ

อลิซปิดซ่อนตัวตนได้ลึกล้ำยิ่งนัก ตั้งแต่ที่ได้พบกับเย่เทียนเฉิโดยบังเอิญจนถึงตอนนี้ที่ได้มาเยี่ยมบ้านเย่เทียนเฉินแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเกิดขึ้นอย่างมีลำดับเหตุผล เย่เทียนเฉินไม่สงสัยเลยแม้แต่น้อยว่าผู้หญิงน่ารักที่เข้าใจวัฒนธรรมจีนอย่างลึกซึ้งคนนี้จะเป็นหัวหน้าหน่วยข่าวกรองพิเศษของประเทศ M เป็นคนที่โฮบาม่าส่งมาฆ่าเขา

หากไม่ใช่เพราะเย่เทียนเฉินแข็งแกร่งเกินไป ความสามารถที่แสดงออกมาลึกล้ำไม่อาจคาดเดา เกรงว่าอลิซคงลงมือไปนานแล้ว ไหนเลยจะรอจนถึงตอนนี้

“ฉันไม่ใช่พวกหลอกลวง ฉันกับเทียนเฉินรักกันดี เธอเป็นใคร?” อลิซถามฉีหรูเสวี่ยด้วยความโกรธอย่างจงใจ

“ฉัน ฉันสิถึงจะเป็นแฟนของเทียนเฉิน ไม่ใช่เธอ!”

ฉีหรูเสวี่ยไม่ใช่ผู้หญิงโง่ แต่กลับเป็นผู้หญิงที่ฉลาดมาก เพียงแต่ตอนนี้ถูกอลิซหลอกไปแล้วโดยสิ้นเชิง ราวกับทำสมองหายไปก็มิปาน จะว่าไปแล้วก็เป็นเพราะนับวันเธอยิ่งรักเย่เทียนเฉินอย่างลึกซึ้งมากขึ้น ในตอนที่ผู้หญิงคนหนึ่งรักผู้ชายคนหนึ่งอย่างลึกซึ้ง ต่อให้เป็นผู้หญิงที่ฉลาดมากแค่ไหนก็จะกลายเป็นคนโง่ได้

เย่เชี่ยนเหวินยืนกระอักกระอ่วนอยู่ในห้องโถง ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี อลิซและฉีหรูเสวี่ยต่างก็เป็นผู้หญิงที่สวยเหนือระดับทั้งคู่ กำลังทะเลาะกัน ไม่ว่าใครก็ไม่ยอมถอยแม้แต่ครึ่งก้าว ส่วนหลัวเยี่ยนเดินขึ้นไปเรียกเย่เทียนเฉินที่ชั้นสองนานแล้ว เรื่องนี้ถ้าลูกชายไม่ออกหน้าก็เกรงว่าจะจัดการไม่ได้ สงครามแย่งชิงระหว่างผู้หญิงเป็นเรื่องที่น่ากลัวที่สุดแล้ว

ปังๆๆ!

หลัวเยี่ยนเคาะประตูห้องของเย่เทียนเฉิน ความจริงแล้วตอนนี้เย่เทียนเฉินหลับอยู่เขาไม่รู้เลยว่าข้างล่างอลิซกับฉีหรูเสวี่ยกำลังทะเลาะกัน เขาเพียงแค่ไม่อยากเจออลิซก็เท่านั้น ถ้าไม่เห็นก็ไม่ทะเลาะ ไหนเลยจะรู้ว่าอลิซจะเป็นผู้หญิงที่แปลกประหลาดคนหนึ่ง อธิบายเรื่องราวจนกลายมาเป็นแบบนี้ได้ ต่อให้กระโดดลงแม่น้ำหวงโหก็ทำให้บริสุทธ์ไม่ได้แล้ว

“เทียนเฉิน ข้างล่างมีคนมาหาลูกรีบออกมาเร็ว!” หลัวเยี่ยนเอ่ยปากพูด

“แม่ครับ ผมนอนหลับแล้ว ง่วงจริงๆ แม่ส่งเธอกลับไปก็พอแล้วครับ!” เย่เทียนเฉินตอบกลับไปอย่างเกียจคร้าน

“เธอบอกว่าเธอเป็นแฟนของลูก หรูเสวี่ยกับเธอทะเลาะกันขึ้นมาแล้ว ถ้าลูกไม่ออกไปเรื่องนี้คงไม่จบแน่!” ฉันแม่พูดด้วยน้ำเสียงโกรธเคืองเล็กน้อย

“หา?”

เย่เทียนเฉินที่อยู่ในห้องนอนอุทานออกมา จะอย่างไรก็คิดไม่ถึงว่าอลิซจะถึงกับบอกว่าเป็นแฟนของเขา ดูเหมือนตนกับอลิซจะเพิ่งรู้จักกันได้แค่วันเดียว นี่จะบ้าเกินไปหรือเปล่า

ผู้หญิงในสังคมปัจจุบันนี้ทำให้ผู้คนมองไม่ออกขึ้นเรื่อยๆ แล้ว ดูเหมือนว่ายิ่งมีคนเป็นคู่แข่งกับเธอ เธอก็จะยิ่งบ้า ยิ่งไปกว่านั้นคำพูดคำจาหรือการกระทำยังไม่มีขีดจำกัด ทำให้ผู้คนอยากร้องไห้ก็ไร้น้ำตา แน่นอนว่ามีผู้หญิงสวยมาแย่งตนแบบนี้ ผู้ชายคนใดก็ต้องรู้สึกดีจนแทบคลั่ง

แต่เย่เทียนเฉินเป็นข้อยกเว้น ในช่วงเวลาแบบนี้มีคุณชายแห่งมหาวิทยาลัยหลงเถิงที่ลึกล้ำไม่อาจคาดเดาอยู่ เป็นไปได้มากว่าจะเป็นศัตรูที่แข็งแกร่งที่สุดของเขาเย่เทียนเฉิน ดังนั้นเขาคิดมาตลอดว่าจะทำให้คุณชายใหญ่ออกมาได้อย่างไร ยิ่งไปกว่านั้นจะจัดการเขาอย่างไร คนคนนี้ร้ายกาจกว่ากลุ่มอำนาจและตระกูลใหญ่ทั้งหลายมาก

“อะไรนะ? เธอบอกว่าเป็นแฟนของผมหรอครับ? แม่ครับ นี่เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ ลูกชายของแม่ไม่ใช่คนที่ดูถูกเรื่องความรัก ในจุดนี้แม่วางใจได้!” เย่เทียนเฉินเปิดประตูห้องออกมาเห็นหลัวเยี่ยนมีท่าทางไม่มีความสุขจึงรีบเอ่ยปากพูด

“เทียนเฉิน แม่จะไม่ยุ่งเรื่องส่วนตัวของลูก ยังไงลูกก็โตแล้ว แต่แม่หวังว่าลูกชายของแม่จะไม่ใช่คนเสเพล ถ้าหากชอบผู้หญิงคนหนึ่งด้วยใจจริงก็ต้องรับผิดชอบเขาให้ดี” หลัวเยี่ยนพูดอย่างจริงจัง

“แม่ครับ ผมไม่ได้มีความสัมพันธ์แบบนั้นกับอลิซจริงๆ วันนี้ผมเพิ่งจะรู้จักกับเธอเอง เธอเป็นลูกครึ่งและเป็นคนที่มีงานอดิเรกท่องเที่ยว ผมติดรถเธอไปโดยไม่ตั้งใจถึงได้รู้จักกันแบบนี้!” เย่เทียนเฉินรีบพูดอธิบาย

หลัวเยี่ยนมองเย่เทียนเฉินผู้เป็นลูก ความจริงตั้งแต่ที่เย่เทียนเฉินกลับมายังเมืองหลวงนิสัยก็เปลี่ยนไปมาก มีความเปลี่ยนแปลงไปครั้งใหญ่ และยังทำเรื่องที่ทำให้บารมีของตระกูลเย่เพิ่มมากขึ้น เธอไม่เชื่อว่าลูกชายจะเป็นคนเกเรเสเพล มีความสัมพันธ์แบบชายหญิงไปมั่วซั่ว

อย่างไรก็ตามการที่อลิซมาเยือนในครั้งนี้และยังบอกว่าเป็นแฟนของลูกชายของตนทำให้หลัวเยี่ยนรู้สึกว่าลูกชายที่กลับมาที่เมืองมีผู้หญิงอยู่ข้างกายไม่หยุด หรูเสวี่ย ซูเฟยเฟย หลิ่วหรูเหมย หลิงอวี่สวิ๋น เสี้ยวหยา บางทีนี่อาจจะทำให้เย่เทียนเฉินสับสน กระทั่งไม่รู้แน่ชัดว่าควรจะทำอย่างไร เธอที่เป็นแม่รู้สึกดีใจและในขณะเดียวกันก็ไม่อยากให้ลูกของตนเป็นคนที่ถูกคนอื่นเห็นเป็นผู้ชายสารเลว ที่มีสัมพันธ์ไปทั่ว

“เทียนเฉิน แม่ไม่สนใจว่าลูกจะชอบฉีหรูเสวี่ยหรือไม่ แต่เด็กคนนี้ไม่เลวเลยจริงๆ มีรักเดียวใจเดียวต่อลูก นอกจากนั้นแม่ยังอยากจะเตือนลูกด้วยว่า ลูกโตแล้ว เรื่องราวของตัวเองต้องตัดสินใจเอง ต่อให้เป็นเรื่องส่วนตัวของลูกแม่ก็จะไม่วุ่นวาย แต่อย่าได้ทำร้ายคนอื่นเด็ดขาด โดยเฉพาะคนที่รักลูก!” หลัวเยี่ยนพูดอย่างจริงจัง

“วางใจเถอะครับแม่ ผมจะจัดการเอง ผมจะจัดการเอง…” เย่เทียนเฉินรีบพูดขึ้นมาแล้วเดินไปยังห้องโถงชั้นหนึ่ง

หลัวเยี่ยนเดินตามหลังเย่เทียนเฉิน สองแม่ลูกมาที่ห้องโถงของคฤหาสน์ เห็นอลิซกับฉีหรูเสวี่ยทะเลาะกันจนหน้าแดงหูแดง ส่วนเย่เชี่ยนเหวินยืนอยู่ระหว่างผู้หญิงทั้งสอง ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี ทำได้เพียงหัวเราะแห้งๆ เป็นบางครั้ง

“เทียนเฉิน ตัวออกมาแล้วเหรอ ทำไมไม่รอเค้าล่ะ ตัวนี้บ้าจริง บ้านของตัวไม่เลวเลย ในอนาคตเค้าอยากจะใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ จะต้องมีความสุขมากแน่!” อลิซเห็นเย่เทียนเฉินออกมาแล้วจึงรีบเดินไปข้างหน้า กอดแขนเย่เทียนเฉินเอาไว้แล้วพูดอย่างออดอ้อน

เย่เทียนเฉินรู้สึกขนลุกไปทั้งตัว รีบสะบัดอลิซออก สะบัดมือของเธอออกแล้วพูดอย่างจริงจังว่า “นี่เธออย่าพูดมั่วๆ ฉันกับเธอไม่มีความสัมพันธ์อะไรกัน อย่างมากก็นับเป็นเพื่อนกันเท่านั้น!”

“หึ เทียนเฉิน ฉันรู้อยู่แล้วว่าผู้หญิงคนนี้พูดเหลวไหล เธอเป็นใครมาพูดจาเหลวไหลที่นี่ เป็นยังไง ถูกเปิดโปงแล้วล่ะสิ ยังไม่ไปอีก?” ฉีหรูเสวี่ยได้ยินคำพูดของเย่เทียนเฉินก็หัวเราะออกมาอย่างเบิกบานใจทันที แล้วหันไปพูดกับอลิซก่อนจะทำหน้ายู่ใส่

“เธอ…เธออย่ามาจับฉันแน่นขนาดนี้สิ พวกเธอสองคนเป็นอะไรไป? นี่มันห้าทุ่มกว่าแล้วยังมีอารมณ์มาทะเลาะกันอีก ไม่รู้ว่าหรือไงว่ามันรบกวนเพื่อนบ้าน? ไม่มีมารยาทกันเลยหรือไง?” เย่เทียนเฉินสะบัดมือของฉีหรูเสวี่ยออกด้วยเช่นกัน ตอนนี้เขาไม่ยืนอยู่ข้างใครอย่างชัดเจนด้วยกลัวว่าจะนำพาความวุ่นวายมา

“คืนนี้ฉันจะพักที่นี่!” อลิซนั่งลงบนโซฟา ทำท่าทางว่าต่อให้คุณไล่ยังไงฉันก็จะไม่ไปซะอย่าง

“ฉันไม่เคยเห็นคนหน้าหนาแบบเธอมาก่อนเลยจริงๆ เธออาศัยอะไรถึงกล้ามาอยู่ที่นี่?” ฉีหรูเสวี่ยมองไปยังอลิซแล้วเอ่ยถาม

“นายว่ายังไงล่ะ? ฉันเคยช่วยเหลือนายมาก่อน ไม่งั้นนายคงต้องเดินกลับมาแล้ว คงไม่ทำแบบนี้กับผู้มีพระคุณหรอกนะ?” อลิซมองเย่เทียนเฉินเจตนาชัดเจนมาก ฉันช่วยนาย นายก็ไม่สามารถไร้ไมตรีแบบนี้ได้

“เอาล่ะๆ แล้วแต่พวกเธอเลย คืนนี้ฉันนอนที่โซฟาก็พอแล้ว!” เย่เทียนเฉินรู้สึกรำคาญจริงๆ บางครั้งผู้หญิงก็วุ่นวายเกินไป โดยเฉพาะผู้หญิงสวยๆ และยิ่งเป็นตอนที่ผู้หญิงสองคนอยู่ด้วยกัน ถ้ามีผู้ชายที่รับไหวก็เป็นสัตว์ประหลาดแล้ว

เรื่องทั้งหมดก็คือ อลิซและฉีหรูเสวี่ยที่เป็นคนสวยเหนือระดับทะเลาะแย่งชิงกันอุตลุดอยู่นาน ในที่สุดผลก็คือ เพราะคำพูดคำเดียวของเย่เทียนเฉินตัดสินลงมา อลิซและฉีหรูเสวี่ยจึงอยู่ที่คฤหาสน์ตระกูลเย่ ส่วนเย่เทียนเฉินก็ทำได้เพียงนอนบนโซฟาที่ชั้นหนึ่งของคฤหาสน์ในตอนกลางคืนอย่างไม่ได้รับความยุติธรรม แน่นอนว่าอาจจะหลายคืน ไม่ใช่แค่คืนเดียว

การต่อสู้แย่งชิงของผู้หญิงสองคนก็จบลงเช่นนี้เอง ผลสิ้นสุดแบบนี้ อลิซก็เข้ามาอยู่ที่คฤหาสน์ตระกูลเย่ด้วย ส่วนเย่เทียนเฉินก็ต้องนอนบนโซฟาแล้ว

หลัวเยี่ยนไม่ได้พูดอะไรเกี่ยวกับการตัดสินใจเช่นนี้ของลูกชาย จะอย่างไรเธอก็หวังว่าลูกชายโตแล้ว มีเรื่องมากมายที่ตัดสินใจและจัดการเองจะดีที่สุด

ม่านราตรีกว้างใหญ่ดุจสายน้ำ เย่เทียนเฉินนอนล้มตัวลงบนโซฟาแต่ยังไม่ได้หลับ ตอนนี้เป็นเวลาตีหนึ่งกว่าแล้ว แต่เขากลับนอนไม่หลับ หากจะบอกว่าคุณชายใหญ่แห่งมหาวิทยาลัยหลงเถิงไม่ได้ทำให้เขากดดันนั่นก็เป็นไปไม่ได้แล้ว ต่อให้เป็นลูกน้องของเขา ซึ่งก็คือคนที่อยู่ในหมอกโลหิตคนนั้น ยังมีความสามารถที่พอสู้กับเขาได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงคุณชายใหญ่เลย จะมีความสามารถสูงแค่ไหนจะเรื่องการทะลวงขอบเขตเป็นเรื่องที่ต้องจัดการเร่งด่วนแล้ว

……………

ไม่ใช่ว่ากลุ่มสิบสามจ้าวสวรรค์ไม่แข็งแกร่ง แต่มือสังหารชุดดำทั้งสี่คนนี้ คนหนึ่งสูงคนหนึ่งเตี้ย คนหนึ่งอ้วนคนหนึ่งผอม ไม่เพียงแต่ความสามารถส่วนตัวจะแข็งแกร่งมาก แต่อาวุธในมือก็แปลกประหลาดคาดการณ์ไม่ได้ เคล็ดวิชาสังหารที่ใช้สามารถใช้คำว่าวิปลาสมาบรรยายได้เลยทีเดียว ทั่วทั้งอากาศและพื้นดินของคฤหาสน์มีพายุทอร์นาโดลูกใหญ่ปรากฏขึ้น ฝุ่นทรายและเศษหินปลิวว่อน ทำให้ทุกสรรพสิ่งที่อยู่รอบๆ พังทลาย กระทั่งคฤหาสน์ก็แทบจะถูกพัดปลิวไป ในนี้ยังปะปนไปด้วยเงากระบี่จำนวนนับไม่ถ้วน และยังมีพลังสายฟ้าที่โจมตีด้วยพลังมหาศาลอีกด้วย ด้านบนยังมีโล่สีเงินอกดทับลงมาด้วยน้ำหนักที่หนักเหมือนภูเขาไท่ซาน กระบวนท่าสังหารที่แข็งแกร่งเช่นนี้ นับว่าหาได้ยากยิ่ง

มือสังหารชุดดำทั้งสี่คนนี้คิดไม่ถึงว่าคนทั้งสิบสองในกลุ่มสิบสามจ้าวสวรรค์จะบีบบังคับพวกเขาจนถึงขั้นนี้ได้ หลายปีแล้วที่ไม่ได้ใช้กระบวนท่านี้

ในหมู่สิบสามจ้าวสวรรค์ หากพูดถึงเรื่องพลังการต่อสู้ส่วนตัวแล้ว อู๋เสวี่ย หวังเจี๋ย เปาเทียนหลง หลินตวน เป็นคนทั้งสี่ที่แข็งแกร่งที่สุด ทุกคนเผยสีหน้าเคร่งเครียดจริงจังออกมา พวกเขาแข็งแกร่งมาก ไม่อ่อนแอกว่ามือสังหารทั้งสี่คนนี้แน่นอน แต่ก็สัมผัสได้ว่าพลังการโจมตีในครั้งนี้แข็งแกร่งมากเหลือเกิน แข็งแกร่งถึงขั้นวิปลาส ยิ่งไปกว่านั้นทั้งสี่คนนี้ยังร่วมมือกันได้อย่างไร้ช่องโหว่ ไม่อาจหลบซ่อนได้เลย ทำได้เพียงปะทะเข้าไปเท่านั้น หากปะทะเข้าไป พวกเขาจะต้องเผชิญหน้ากับพลังอำนาจถึงตาย ไม่ว่าใครก็คิดไม่ถึงว่า เมื่อความสามารถส่วนตัวของทั้งสี่คนนี้รวมเข้ากับอาวุธในมือ เดิมทีก็แข็งแกร่งมากอยู่แล้ว แต่ยังสามารถใช้กระบวนท่าแข็งแกร่งขั้นวิปลาสเช่นนี้ออกมาได้อีก

“ไม่ต้องต่อต้านแล้ว รอให้มัจจุราชมาลงทัณฑ์เถอะ แต่ไหนแต่ไรไม่เคยมีใครรอดชีวิตไปจากการโจมตีนี้ได้!” มือสังหารร่างเตี้ยพูดด้วยรอยยิ้มโหดเหี้ยม

“จบได้แล้ว เสียเวลาไปมากแล้ว น่าขายหน้าจริง!” มือสังหารร่างสูงก็พูดออกมาอย่างไม่พอใจ

“ฆ่า!”

อู๋เสวี่ยตะโกนออกมา ขาทั้งสองรวดเร็วเหมือนฝีเท้าม้า ในขณะเดียวกันก็กำหมัดทั้งสองแน่น ทั่วทั้งร่างเปล่งประกายออกมา แข็งแกร่งเป็นอย่างมาก ในตอนนี้เขากำลังร่ายรำกระบวนท่าที่แข็งแกร่งที่สุดของมวยสิงอี้ ชื่อว่า กระบวนท่าเหยี่ยวทะยานฟ้า

เหยี่ยวตัวใหญ่สยายปีก โจมตีขึ้นไปยังฟากฟ้า ไม่อาจต่อต้านได้ตลอดกาล ต่อให้อยู่ในช่วงเวลาที่เผชิญหน้ากับความเป็นความตาย พวกมันก็จะต้องทะยานขึ้นฟ้า ไม่อาจถูกกฎเกณฑ์ของโลกมนุษย์พันธนาการเอาไว้ได้ กระบวนท่านี้จึงถูกตั้งชื่อเช่นนี้ เรียกได้ว่าแข็งแกร่งมาก

ตู้ม!

เหยี่ยวขนาดมหึมาตัวหนึ่งพุ่งทะยานขึ้นฟ้า ปะทะเข้ากับโล่สีเงิน ในขณะเดียวกันเงาคนร่างหนึ่งก็ตามเงาเหยี่ยวตัวใหญ่ที่แปรสภาพออกมาจากพลังภายในและโจมตีขึ้นไป ทั่วทั้งร่างส่องแสงออกมา คนคนนี้ก็คือหวังเจี๋ย เขาพัฒนามาถึงขั้นที่สามารถใช้พลังภายในออกมาได้ตามใจแล้ว ครั้งนี้พลังภายในทั้งร่างปะทุออกมา เขาต้องการใช้หมัดปะทะโล่สีเงินนั้น

ในขณะเดียวกันทางด้านของพวกหลินตวนก็เริ่มเคลื่อนไหวแล้ว ดาบเจ็ดดาวขยายใหญ่มโหฬารฟาดฟันไปยังพายุทอร์นาโด คนอื่นๆ ก็ใช้พลังที่แข็งแกร่งที่สุดของตนผสมรวมเข้าไปกับดาบเจ็ดดาว เมื่อต้องเผชิญหน้ากับการโจมตีที่มีอานุภาพร้ายแรงถึงขนาดนี้ หากไม่ลงมือก่อนก็ทำได้แค่รอความตายแล้ว

ตู้ม!

ตู้ม!

เสียงระเบิดอันดังสนั่นดังขึ้น ทั่วทั้งเขตคฤหาสน์สั่นไหว น้ำในทะเลสาบเล็กๆ ที่อยู่ห่างจากเขตคฤหาสน์เกิดคลื่นเป็นวงกลม รุนแรงเป็นอย่างมาก หากไม่ใช่ว่าพวกอู๋เสวี่ยลงมือโจมตีปะทะเข้าไปซึ่งหน้า ขวางกั้นพลังส่วนใหญ่เอาไว้ เกรงว่าคฤหาสน์หรูหราหลังใหญ่แห่งนี้คงพังทลายไปนานแล้ว ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้แต่ภายในขอบเขตพันเมตร ทุกสิ่งทุกอย่างก็ราบเป็นหน้ากลอง สระว่ายน้ำถูกทำลาย ทิวทัศน์รอบๆ ไม่ว่าจะเป็นรูปสลักหรือต้นไม้ใบหญ้าต่างถูกทำลายทั้งหมด หากไม่ใช่เพราะคฤหาสน์หลังนี้อยู่ห่างจากคฤหาสน์หลังอื่นมาก เกรงว่าคงจะทำให้ทุกคนตกใจไปแล้ว และจะทำร้ายผู้บริสุทธิ์อีกด้วย ตอนนั้นที่เย่เทียนเฉินให้อู๋เสวี่ยเลือกตำแหน่งเช่นนี้ก็นับว่ามีเหตุผล

“ไอ้พวกโง่ ไม่รู้จักที่ตายเลยจริงๆ เจอกับการโจมตีแบบนี้ยังไม่หนีเอาชีวิตรอด ยังกล้าปะทะเข้ามาอีก รนหาที่ตาย!” มือสังหารร่างเตี้ยพูดอย่างเย็นชา

“ทับพวกมันให้เป็นเนื้อบดไปเลย!” มือสังหารร่างผอมก็พูดขึ้นมาอย่างไม่พอใจ

“ไปเถอะ ไม่ต้องตัดหัวพวกมันไปแล้ว คงตายไม่เหลือซากไปแล้ว!” มือสังหารร่างสูงเปลี่ยนกระบี่อวี๋ฉางให้เล็กเท่ามีด จากนั้นจึงพูดออกมาอย่างเรียบเฉย

“พวกเราไป!” มือสังหารร่างอ้วนนำค้อนอันใหญ่สีดำมาแบกไว้ที่ไหล่แล้วพูดขึ้น

ครืน!

ในตอนที่มือสังหารร่างผอมเตรียมจะเปลี่ยนโล่สีเงินอันใหญ่หาใดเปรียบของตัวเองและเก็บกลับมานั้น มีเสียงหนึ่งดังสนั่น เงาร่างของคนสองคนโจมตีโล่สีเงินอันใหญ่จนปลิวออกไป เรียกได้ว่าพุ่งออกมาจากซากปรักหักพังเลยก็ว่าได้ ทั่วทั้งร่างเต็มไปด้วยเลือด ต่างได้รับบาดเจ็บสาหัส มุมปากของอู๋เสวี่ยมีเลือดไหลออกมา คล้ายได้รับบาดเจ็บภายในอย่างรุนแรง ส่วนหวังเจี๋ยจะดีไปได้อย่างไร แขนขวาทั้งแขนบิดงอเปลี่ยนรูป ดูเหมือนจะกลายเป็นเนื้อเหลวๆ ไปแล้ว สีหน้าย่ำแย่ยิ่งนัก

ส่วนคนอื่นๆ ในกลุ่มสิบสามจ้าวสวรรค์ต่างนอนอยู่บนพื้น พวกเขาถูกพายุทอร์นาโดที่มีพลังสายฟ้าและเงากระบี่อันใหญ่แฝงอยู่โจมตีจนเละ และได้รับความเสียหายอย่างรุนแรงเช่นเดียวกัน ได้รับบาดเจ็บในระดับที่แตกต่างกันไป หลินตวนสาหัสมากที่สุด บริเวณหน้าอกถูกเงากระบี่แทงทะลุ เลือดไหลออกมาดุจสายน้ำ แต่กลับยังคงฝืนยืนขึ้น ดาบเจ็ดดาวในมือขวาเปล่งประกายดึงดูดผู้คนยิ่งนัก ตอนนี้เขาโกรธเข้าเสียแล้ว

มือสังหารทั้งสี่คนเห็นว่าคนของสิบสามจ้าวสวรรค์ไม่ตายเลยแม้แต่คนเดียว สามารถขวางการโจมตีที่แข็งแกร่งที่สุดของพวกเขาเอาไว้ได้ ต่างรู้สึกตกใจจนคางแทบร่วง ยากที่จะเชื่อจริงๆ แต่ไหนแต่ไรไม่เคยมีใครสามารถหนีจากการโจมตีนี้ของพวกเขาไป ได้สิบสองคนนี้แข็งแกร่งมาก แข็งแกร่งมากจริงๆ ไม่เพียงแต่สามารถขวางการโจมตีของพวกเขาได้ แต่ยังไม่มีใครตายเลยสักคน นี่เป็นเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

“พวกแกแข็งแกร่งมากจริงๆ นับถือ!” มือสังหารร่างสูงพูดอย่างจริงจัง

“เย่เทียนเฉินมีพวกแกทั้งสิบสองคนอยู่ด้วยอาจจะประสบความสำเร็จจริงๆ ก็ได้” มือสังหารร่างผอมขมวดคิ้วพูด

“เพียงแต่น่าเสียดายที่พวกแกทั้งสิบสองคนจะต้องตายทั้งหมด เพราะพวกแกกลายเป็นความคุกคามของคุณชายใหญ่แล้ว!” มือสังหารร่างอ้วนเดินมาด้านหน้าก้าวหนึ่งแล้วพูดขึ้น

ฉัวะ!

ชายร่างเตี้ยเป็นคนแรกที่พุ่งเข้าไป เขาเก็บพัดในมือมาแล้ว ตอนนี้เขาเผชิญหน้ากับพวกอู๋เสวี่ยทั้งสิบสองคนที่ได้รับบาดเจ็บสาหัส เขาจึงรู้สึกว่าไม่จำเป็นต้องใช้พัดของเขา ปล่อยหมัดที่มีพลังภายในอันแข็งแกร่งปะทุออกมาไปตรงๆ พุ่งไปยังหลินตวน

หลินตวนได้รับบาดเจ็บสาหัสมาก ถึงแม้จะฝืนยืนขึ้นมาได้และกำดาบเจ็ดดาวในมือแน่นไม่ยอมถอยแม้แต่ครึ่งก้าว แต่ก็ไม่มีพลังต่อสู้เหลือแล้ว ไม่เพียงแต่บริเวณหน้าอกจะถูกประกายกระบี่ปักทะลุ แต่ทั้งร่างยังมีอาการบาดเจ็บแตกต่างกันไปอีกด้วย เพียงแต่อาการบาดเจ็บบริเวณหน้าอกรุนแรงมากที่สุด

ตู้ม!

พวกอู๋เสวี่ยทั้งสิบสองคนต่างได้รับความเสียหายทั้งสิ้น สามารถหยุดการโจมตีที่รุนแรงขนาดนี้ได้ก็นับว่าไม่เลวแล้ว ต้องรู้ว่าพวกเขาไม่ได้ใช้คนสิบสองคนต่อสู้กับมือสังหารสี่คน แต่พวกเขาสู้กับอาวุธเทพทั้งสี่ที่แตกต่างกันไป อาวุธเทพทุกชิ้นต่างมีพลังอันน่าหวาดกลัวถึงขั้นสะเทือนฟ้า แต่ไหนแต่ไรก็ไม่เคยมีใครต่อต้านอำนาจระดับพระเจ้าที่ถูกใช้ออกมาพร้อมกันจากอาวุธทั้งสี่นี้ได้ แต่พวกอู๋เสวี่ยกลับทำได้

ในตอนที่ชายร่างเตี้ยโจมตีออกไปรวดเร็วดุจสายฟ้า เตรียมจะฆ่าหลินตวนเป็นคนแรก เงาคนร่างหนึ่งพลันพุ่งทะยานออกมาพลางต่อหมัดออกไป คนคนนี้ก็คือเปาเทียนหลง อาการบาดเจ็บของเขาก็รุนแรงมากเช่นกัน ในตอนที่จะเข้าไปสลายพายุทอร์นาโด เขาเป็นคนแรกที่พุ่งไปเบื้องหน้า ดังนั้นทั่วทั้งร่างจึงถูกปราณกระบี่และพลังสายฟ้าจนบาดเจ็บสาหัสแต่กลับยังคงฝืนต่อต้านชายร่างเตี้ยเอาไว้

“คนที่แกจะต้องรับมือก็คือฉัน อย่าได้คิดจะแตะต้องพี่น้องของฉัน!” เปาเทียนหลงเองก็ชุ่มไปด้วยเลือด แต่มุมปากกลับเผยรอยยิ้มออกมาพลางพูดขึ้น

“แกรนหาที่ตาย!” มือสังหารร่างเตี้ยพูดอย่างโหดเหี้ยม

ตู้ม!

เมื่อเผชิญหน้ากับการขัดขวางของเปาเทียนหลง มือสังหารร่างเตี้ยก็หยิบพัดออกมาโบกสะบัดจนเกิดเป็นคมมีดสายลมอันรุนแรงฟาดฟันไปยังเปาเทียนหลง เปาเทียนหลงถอยหลังไปสองก้าว ได้รับบาดเจ็บสาหัสถึงขนาดนี้ หากต้องการฆ่าคนทั้งสี่ที่ไม่ได้รับบาดเจ็บแม้แต่ครึ่งส่วนนั้นเป็นไปได้ยากมาก ดูเหมือนพวกเขาสิบสองคนจะตกอยู่ในวิกฤตถึงชีวิต สามารถต่อต้านการโจมตีที่ออกมาจากอาวุธเทพทั้งสี่พร้อมกันได้ก็นับว่าเป็นตำนานเล่าขานแล้ว

ฟู่!

คมมีดสายลมตกลงจากฟากฟ้า ทำให้ต้นไม้ใหญ่บริเวณไหลออกไปถูกตัดขาดเป็นสองท่อนแล้วล้มลงเสียงดัง ในช่วงเวลาสำคัญ หูหลงกระโจนเข้าใส่เปาเทียนหลงจึงสามารถหลบการโจมตีถึงชีวิตนี้ไปได้

“หากต้องการทำร้ายพี่น้องของฉันก็ต้องถามฉันก่อนว่ายอมหรือเปล่า!” หูหลงบาดเจ็บไม่น้อยเลยทีเดียว แต่กลับช่วยเปาเทียนหลงโดยไม่สนใจทุกสิ่งทุกอย่าง

ในช่วงเวลานี้ ทุกคนรู้สึกได้ว่า ในตอนที่ตกอยู่ในอันตรายที่สุด ทำการต่อสู้ที่โหดร้ายที่สุด พี่น้องทุกคนในกลุ่มสิบสามจ้าวสวรรค์ได้หลอมรวมกันเป็นเชือกเส้นเดียว และมีเพียงเวลาเช่นนี้เท่านั้นถึงจะเห็นจิตใจของทุกคน กระทั่งจางเหลยและจางต๋าสองพี่น้องที่ก่อเรื่องในตอนแรกก็ยังรู้สึกว่า ถึงแม้กลุ่มสิบสามจ้าวสวรรค์เพิ่งก่อตั้งได้ไม่นาน และทุกคนก็เพิ่งจะสนิทสนมกันเท่านั้น ไม่ได้มีความรู้สึกใดต่อกันให้มากนัก แต่ในตอนนี้ ในใจของทุกคนมีความต้องการปกป้องเกียรติยศของสิบสามจ้าวสวรรค์สิบสามจ้าวสวรรค์ไม่อาจยอมรับความอัปยศได้ ต่อให้ต้องสู้จนตัวตายก็จะปกป้องเกียรติยศเอาไว้

“สิบสามจ้าวสวรรค์ยอมตายแต่ไม่ยอมถูกหยามเกียรติ พวกเราคือพี่น้องกัน!” อู๋เสวี่ยพูดเสียงดัง ถึงแม้มุมปากจะมีเลือดไหลออกมาไม่หยุด แต่กลับเดินไปเบื้องหน้าสุด

พวกหวังเจี๋ยก็เดินตามหลังมา แต่ละย่างก้าวมุ่งตรงไปยังมือสังหารทั้งสี่ ในตอนนี้มือสังหารทั้งสี่ต่างตกตะลึงไปแล้ว พวกเขาสัมผัสได้ถึงพลังอำนาจอันแข็งแกร่งอย่างหนึ่งสิบสามจ้าวสวรรค์แข็งแกร่งมากจริงๆ ไม่เพียงแต่ความสามารถส่วนตัวของพวกเขาที่แข็งแกร่ง แต่ยังมีจิตใจของพวกเขาอีกด้วย มีเกียรติยศที่รวบรวมพวกเขาทั้งสิบสองเอาไว้ ไม่หวาดกลัวความตาย ก้าวไปเบื้องหน้าอย่างกล้าหาญ

“หึ งั้นพวกแกก็ไปตายให้หมดซะ!”

เจ้าอ้วนที่ถือคค้อนอันใหญ่อยู่ในมือ ค้อนอันใหญ่ในมือขวาของเขา ในช่วงเวลาเพียงพริบตาไม่ทราบว่าขยายใหญ่ไปกี่เท่า บนท้องฟ้ามีพลังสายฟ้าฟ้าผ่าลงมาจากด้านบน กระทั่งมือสังหารร่างอ้วนก็เกือบถูกโจมตีจนกระเด็นออกไปเช่นกัน พลังโจมตีนี้แข็งแกร่งมาก มือสังหารร่างอ้วนเหมือนจะต้องใช้พลังทั้งหมดในการชักดึงสายฟ้าลงมาจากฟ้า นั่นไม่ใช่เรื่องล้อเล่นเลย พลังที่แฝงอยู่ในสายฟ้ายิ่งใหญ่มาก ซัดสาดไปยังพวกอู๋เสวี่ยทั้งสิบสองคนทั้งหมด

ตู้ม!

เสียงดังสนั่นฟ้า พลังสายฟ้ากระจายไปทั่วทั้งสี่ทิศ ความจริงการที่พวกอู๋เสวี่ยทั้งสิบสองคนสามารถหยุดการโจมตีร่วมกันของอาวุธเทพทั้งสี่ได้ก็นับว่าเก่งมากแล้ว ตอนนี้ไม่มีพลังการต่อสู้ใดๆ เหลืออยู่อีก ไม่ว่าใครก็ถูกฆ่าได้ทุกเมื่อ แต่ทั้งหมดต่างไม่หวาดกลัวความตาย และต้องการปกป้องเกียรติยศของกลุ่มสิบสามจ้าวสวรรค์ให้ได้ เดิมทีคิดว่าการโจมตีนี้ทุกคนจะต้องตายไปแล้ว แต่ในตอนที่พวกเขาลืมตาจ้องมองอยู่นั้น มือสังหารร่างอ้วนที่ถือค้อนสีดำอันใหญ่อยู่ในมือก็กระเด็นออกไป ตกลงบนพื้นอย่างรุนแรง บนค้อนสีดำอันใหญ่ของเขาถึงกับมีรอยร้าวปรากฏขึ้น

ในตอนนี้เองเบื้องหน้าของพวกอู๋เสวี่ยมีเงาร่างของคนผู้หนึ่งปรากฏขึ้น เขามองไปยังมือสังหารทั้งสี่คนอย่างเย็นชา จากนั้นจึงหันมายิ้มให้กับพวกอู๋เสวี่ยแล้วพูดว่า “พี่น้องทั้งหลาย ฉันกลับมาแล้ว!”

………….

ทั้งสี่ต่างเป็นมือสังหารที่สวมเสื้อโค้ทสีดำทั้งหมด คนหนึ่งสูงคนหนึ่งเตี้ย คนหนึ่งอ้วนคนหนึ่งผอม กลุ่มสิบสามจ้าวสวรรค์ นอกจากเย่เทียนเฉินที่ยังไม่กลับมาแล้ว คนที่เหลืออีกสิบสองคนต่างลงมือต่อสู้เต็มกำลัง แต่ไม่สามารถสังหารสี่คนนี้ได้ในเวลาสั้นๆ นี่เป็นความท้าทายครั้งที่สองที่ได้พบตั้งแต่ก่อตั้งกลุ่มสิบสามจ้าวสวรรค์ขึ้นมา

ความจริงฝีมือของมือสังหารทั้งสี่คนนี้แข็งแกร่งมากจริงๆ แต่ก็ไม่ถึงขั้นที่จะเอาชนะไม่ได้ อย่างน้อยอู๋เสวี่ย หวังเจี๋ยและเปาเทียนหลง หากทั้งสามคนนี้ลงมือเต็มกำลังก็มากพอที่จะจัดการพวกเขาได้ แต่อาวุธในมือของพวกเขาร้ายกาจเกินไป คนหนึ่งเป็นมีดแปลกๆ ชายร่างอ้วนถือค้อนอันใหญ่สีดำอยู่ในมือ ส่วนชายร่างผอมถือโล่สีเงินอยู่ในมือ อาวุธก็ทั้งสามนี้แข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ พลังสังหารที่ปะทุออกมาก็ทำให้ผู้คนยากที่จะต่อต้านจริงๆ

มีดแปลกๆ ที่อยู่ในมือของชายร่างสูงคนนั้นมีลมปราณอันแข็งแกร่งปะทุออกมา ทันใดนั้นจึงแปรเปลี่ยนเป็นกระบี่ หลินตวนที่เป็นผู้สืบทอดวิชาของพรรควรยุทธโบราณและเป็นหนึ่งในผู้ที่มีดาวเจ็ดดาวซึ่งเป็นอาวุธเทพอยู่ในมือ แน่นอนว่าย่อมมีความเข้าใจในเรื่องอาวุธอันร้ายกาจในตำนานเล่าขานอยู่บ้าง ในตอนที่มีดแปลกๆ เปลี่ยนเป็นกระบี่ เขาก็ถึงกับอุทานออกมาด้วยความตื่นตะลึง!

“แม่งเอ้ย คนพวกนี้เป็นใครกันแน่ กระบี่ไท่อาเพิ่งจะถูกพวกเราเอาไปก็มีกระบี่อวี๋ฉางโผล่ออกมาอีกแล้ว!” หูหลงพูดออกมาด้วยความตื่นตกใจเล็กน้อย

“ทุกคนระวังให้ดี กระบี่อวี๋ฉางเป็นหนึ่งในกระบี่โบราณทั้งสิบเล่ม พลังอานุภาพไม่ด้อยไปกว่ากระบี่ไท่อาเลย ส่วนค้อนสีดำและโล่เสียเงินในมือของเจ้าอ้วนและผอมจะต้องไม่ใช่ของธรรมดาแน่!” หลินตวนกำดาบเจ็ดดาวแน่น พูดออกมาอย่างเคร่งเครียด

กระบี่อวี๋ฉาง หนึ่งในสิบกระบี่โบราณ อยู่ในลำดับที่แปด ถูกเรียกขานว่าเป็นกระบี่แห่งความกล้าหาญเด็ดเดี่ยว เป็นที่รู้จักในเรื่องของความกล้าหาญ จินตนาการได้เลยว่ากระบี่เล่มนี้จะร้ายกาจเพียงใด

ตามที่บันทึกไว้ในเอกสารทางประวัติศาสตร์ กระบี่อวี๋ฉาง(ไส้ปลา) หรืออีกชื่อหนึ่งว่ากระบี่อวี๋ฉาง(ซ่อนปลา) เล่าขานกันว่า ปรมาจารย์กระบี่ท่านหนึ่งนามว่าโอวเหยียจื่อ สร้างถวายแก่เจ้าครองแคว้นเยว่ เขาใช้แร่ดีบุกจากเขาภูเขาชื่อจิ่น ทองแดงจากแม่น้ำรั่วเหยี่ย ผ่านสายฝนและสายฟ้าฟาด ได้รับแก่นพลังแห่งฟ้าดิน สร้างเป็นกระบี่ออกมาห้าเล่ม ได้แก่ กระบี่จ้านหลู กระบี่ฉุนจวิน กระบี่เซิ่งเสีย กระบี่อวี๋ฉาง และกระบี่จวี้เชว

เมื่อกระบี่อวี๋ฉางสร้างเสร็จ ซวีจู๋ผู้เชี่ยวชาญด้านการดูลักษณะของกระบี่ถูกเชิญมาสำรวจ วิชาการทำนายลักษณ์กระบี่ของซวีจู๋แม่นยำราวหยั่งรู้ เขาสัมผัสได้ถึงลักษณะที่ซ่อนแฝงอยู่ในกระบี่อวี๋ฉาง ด้วยเหตุนี้จึงกล่าวออกมาว่ากระบี่อวี๋ฉางนั้น “ขบถดื้อรั้น ไม่อาจกำราบ บ่าวใช้ฆ่านาย บุตรใช้ฆ่าบิดา” เดิมทีกระบี่เล่มนี้เมื่อเกิดมาก็ฝ่าฝืนต่อหลักคุณธรรม ใช้สำหรับปลงพระชนม์ทำปิตุฆาต น่าหวาดกลัวยิ่งนัก ภายหลังเจ้าครองแคว้นเยว่ได้มอบของล้ำค่าให้แก่แคว้นอู๋ กระบี่เล่มนี้จึงย้ายจากแคว้นเยว่ไปแคว้นอู๋ด้วยเหตุนี้เอง

ส่วนที่มาของชื่อกระบี่ไส้ปลามีการอธิบายไว้สองแบบ แบบแรกอธิบายว่า ลวดลายบนตัวกระบี่ดูเหมือนไส้ปลา ซึ่งไส้ปลานี้ไม่ได้หมายถึงไส้ในตัวปลา แต่เป็นปลาที่ย่างจนสุกและถูกดึงกระดูกทั้งสองข้างออก เมื่อมองไปจะเห็นว่ามีไส้ปลาลวดลายเหมือนกับบนกระบี่ มีความหยักไปมาเป็นคลื่นนูนต่ำไม่เสมอกัน ด้วยเหตุนี้จึงได้รับชื่อนี้ ว่ากันว่าอู่ต้าซี แห่งราชวงศ์ชิงมีภาพวาดจำลองของกระบี่อวี๋ฉางอยู่ในครอบครอง ใบกระบี่เผยลวดลายออกมาเหมือนกลับไส้ปลา ความจริงไม่ใช่เพียงแค่ไส้ปลา ลวดลายยังเหมือนกับ กระดองเต่า เหมือนภูเขาสูง เหมือนคลื่นน้ำ เหมือนดอกฝูหรง…

การอธิบายอีกอย่างหนึ่งคือ คิดว่าชื่อของกระบี่อวี๋ฉางนั้นเป็นเพราะมันเล็กจนสามารถซ่อนเอาไว้ในท้องปลาได้ ตัวกระบี่ของกระบี่อวี๋ฉางเรียวยาวนิ่มเหนียว สามารถยัดลงไปในปากปลา โค้งงอลงไปตามไส้ปลา แต่ตอนที่ดึงออกมากลับคืนสภาพเดิม เป็นเหล็กที่มีความเหนียวอย่างหาใดเปรียบ เปล่งประกายลุกโชน และความเป็นไปได้อีกอย่างหนึ่งก็คือกระบี่อวี๋ฉางเป็นของมีคมที่เล็กมากในหมู่กระบี่ทั้งหลาย เหมือนกับดาบสั้นหรือกริช

ในประวัติศาสตร์มีเรื่องเล่าอันโด่งดังคือจวนจูซ่อนมีดในปลา ในตอนนั้นเหยี่ยวตัวใหญ่สีดำเหมือนเหล็กตัวหนึ่งบินไปยังตำหนักใหญ่ จวนจูกำลังยกปลาเฟิ่งจี้ย่างดอกเหมยที่ทำด้วยตัวเองไปที่ห้องโถง

แสงอาทิตย์บนท้องฟ้ามืดครึ้ม เหยี่ยวตัวใหญ่บินเข้ามา ยังตำหนักที่มีกองทหารยืนเรียง จวนจูก้าวเดินไปเบื้องหน้าอย่างมั่นคง

ก้อนเมฆถูกอำนาจของเหยี่ยวที่บินมาทำให้ตกใจจนหลบออกไป อ๋องเหลียวถูกกลิ่นหอมของอาหารในมือจวนจูดึงดูด สูดจมูกฟุดฟิดโน้มตัวไปด้านหน้า เขาเห็นแต่อาหารไม่เห็นจวนจู

อาหารจานนั้นเรียกว่าปลาเฟิ่งจี้ย่างดอกเหมย ปลาเฟิ่งจี้ เป็นปลาที่มีหางเหมือนหงส์ จะปรากฏออกมาในตอนที่น้ำในทะเลสาบร้อนเท่านั้น ส่วนการย่างจะใช้กิ่งไม้จากต้นเหมยในฤดูหนาวมาย่างปลาเฟิ่งจี้ที่มีหางเหมือนหงส์ท่ามกลาง ฤดูร้อนบริเวณทะเลสาบ

เหยี่ยวที่บินมาเห็นตำหนักลางๆ แล้ว ทันใดนั้นท้องฟ้าพลันมืดครึ้มลง จวนจูเดินมาถึงเบื้องหน้าอ๋องเหลียว นำอาหารไปวางไว้บนโต๊ะทรงพระอักษร โคมไฟภายในตำหนักยังคงติดอยู่ ทว่าเมฆครึ้มบนฟ้าสลายไป เหยี่ยวตัวใหญ่สยายปีก อ๋องเหลียวกลืนน้ำลาย มองไปยังอาหารเลิศรสด้านหน้า

จวนจู กำลังใช้มือแบ่งปลาอย่างมั่นคง ตามมาด้วยเสียงดันสนั่นฟ้า เหยี่ยวตัวใหญ่บินโฉบลงมาในตำหนัก

อ๋องเหลียวพลันสัมผัสได้ถึงไอสังหารที่หนาวเข้ากระดูกทิ่มแทงออกมาจากท้องปลา เขาถูกทำให้ตกใจจนนิ่งไปแล้ว

กระบี่อวี๋ฉางถูกนำออกจากฝัก(ท้องปลา) มันอิงแอบอยู่ในมือของจวนจูอย่างมั่นคง พุ่งไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว เหล็กสองคมของทหารที่ถูกฝึกฝนมาอย่างดีสองเล่มถูกชักออกมาขวางไว้เบื้องหน้า กระบี่อวี๋ฉางทะลุผ่านไปยังช่องว่าง ยังคงแทงเข้าไปต่อ

เบื้องหน้ามีเกราะกันอยู่สามชั้น ชั้นแรกถูกแทงทะลุ ชั้นที่สองก็ยังทะลุ เมื่อมาถึงชั้นที่สามกระบี่อวี๋ฉางพบว่าตนเองหักแล้ว

กระบี่หักแต่ไอสังหารไม่ได้หักตาม กระบี่อวี๋ฉางยังคงมุ่งไปเบื้องหน้า

ในตอนที่เหยี่ยวตัวใหญ่โจมตีตำหนักจนวุ่นวาย กระบี่อวี๋ฉางก็แทงเข้าไปในหัวใจของอ๋องเหลียวแล้ว

ในตอนที่เหยี่ยวตัวใหญ่ได้รับบาดเจ็บจนตกลงมา มันร้องออกมาด้วยความยินดี

กระบี่อวี๋ฉางที่หักครึ่งปักอยู่ในหัวใจที่ค่อยๆ อ่อนแรงลงของอ๋องเหลียว ส่งเสียงเต้นออกมาเป็นบทเพลงที่ไร้เสียง

จวนจูถูกห่ากระบี่ฟาดฟัน ใช้แรงเฮือกสุดท้ายหัวเราะอย่างโดดเดี่ยวให้แก่พื้นดินใต้ใบหน้า

…จวนจูแทงอ๋องเหลียว เปรียบเหมือนดาวหางพุ่งชนพระจันทร์…

นี่คือที่มาที่ไปและตำนานเล่าขานของกระบี่อวี๋ฉาง กระบี่แห่งความกล้าหาญเด็ดเดี่ยว ต่อให้กระบี่หักแต่พลังของกระบี่ไม่ได้ลดทอนไป ต้องการจะฆ่าศัตรูให้ได้ ความน่ากลัวของพลังสังหารแบบนี้ ประดุจดั่งแม่น้ำซัดทลายพื้นดิน ประดุจดั่งดาวหางพุ่งชนดวงจันทร์จนจักรวาลแตกซ่าน

ความจริงในตอนนี้ มือสังหารทั้งสี่ก็รู้สึกแปลกใจมาก ก่อนหน้านี้ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่เขาสี่คนลงมือพร้อมกันเลย ต่อให้พวกเขาคนหนึ่งคนใดลงมือคนเดียว การจะฆ่าคนนับร้อยก็เป็นแค่เรื่องเล็กๆ ต่อให้พบกับคนที่มีฝีมืออยู่บ้างก็ยังใช้อาวุธเทพนี้เก็บกวาดได้ แต่วันนี้ในหมู่สิบสามจ้าวสวรรค์ นอกจากหลินตวนที่มีดาบเจ็ดดาวอยู่ในมือแล้ว คนอื่นๆ ต่างสู้ด้วยมือเปล่า จนถึงตอนนี้พวกเขาก็ยังไม่สามารถฆ่าได้สักคน ช่างน่าขายหน้าจริงๆ พวกเขารู้สึกว่าสิบสามจ้าวสวรรค์เหล่านี้สมคำร่ำรือ ไม่น่าล่ะถึงสามารถทำลายล้างตระกูลเซวียนเยวี๋ยนและตระกูลโอวหยางที่เป็นตระกูลใหญ่แห่งโลกเบื้องหลังทั้งสองได้ภายในคืนเดียว

“เจ้าเตี้ย แกยังมัวรออะไรอยู่สิบสองคนนี้ไม่ธรรมดาเลย แกคิดว่าไม่ต้องใช้อาวุธของแกแล้วจะเอาชนะได้รึไง?” ชายร่างสูงในชุดสีดำพูดอย่างไม่พอใจ

“หึ ไม่ใช่ว่าพวกแกสามคนคิดว่าตัวเองร้ายกาจมากรึไง? ทำไม ตอนนี้ต้องให้ฉันใช้อาวุธแล้วเหรอ?”

ในใจของชายร่างเตี้ยรู้สึกไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด ในตอนเริ่มต้นเขาพูดจาใหญ่โตไว้มาก บอกว่าเขาคนเดียวจะฆ่าพวกอู๋เสวี่ยทั้งหมด เพียงแต่กลับคิดไม่ถึงว่าสิบสามจ้าวสวรรค์จะไม่ใช่พวกเล่นง่าย แค่พลังการต่อสู้ของเปาเทียนหลงคนเดียวก็ทำให้ชายร่างเตี้ยตกใจแล้ว รวมกับการที่หลินตวนลงมือ เขาก็เกือบจะถูกฆ่า ถูกคนอื่นๆ อีกสามคนหัวเราะเยาะ ตอนนี้จึงต้องการแก้แค้นอย่างแน่นอน

“ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะมาทะเลาะกันภายใน แกก็รู้นิสัยของลูกพี่ดี ถ้าหากก่อนเขามา เรายังตัดหัวคนสิบสองคนนี้ไม่ได้ เกรงว่าพวกเราคงตายแน่!” เจ้าอ้วนที่ถือค้อนอันใหญ่สีดำอยู่ในมือเอ่ยปากพูดอย่างเย็นชา

“เจ้าเตี้ยถ้าแกอยากตายก็ไม่ต้องเอาอาวุธออกมา!” ชายร่างผอมมองไปยังอู๋เสวี่ยอย่างเย็นชาแล้วพูดขึ้น

การต่อสู้สั้นๆ เมื่อสักครู่นี้ ชายร่างสูงสู้กับหลินตวนมาโดยตลอด เขาต้องการที่จะฆ่าอีกฝ่ายแล้วเอาดาบเจ็ดดาวมาอยู่ในมือตน ส่วนเจ้าอ้วนที่ถือค้อนสีดำอันใหญ่อยู่ในมือก็สู้กับอู๋เสวี่ย ถึงแม้ค้อนอันใหญ่ในมือของเขาจะแฝงไปด้วยพลังปราณสายฟ้าที่น่าหวาดกลัวเป็นอย่างมาก แต่มวยสิงอี้ของอู๋เสวี่ยก็รุนแรงมากนัก รวมกับที่ได้รับคำชี้แนะจากเย่เทียนเฉินมาแล้วจึงแตกต่างจากวันวานไปมาก ปะทะกันไปหลายครั้งก็ยังไม่ถอย นี่ทำให้มือสังหารร่างอ้วนไม่พอใจมาก

ส่วนมือสังหารร่างเตี้ยและมือสังหารร่างผอมอีกคนหนึ่งสู้กับทุกคน โดยเฉพาะโล่สีเงินที่อยู่ในมือของมือสังหารร่างผอม ไม่เพียงแต่จะโจมตีได้ แต่ยังมีพลังในการป้องกันอีกด้วย แข็งแกร่งเป็นอย่างมาก ย่อขยายได้ ยากที่จะป้องกันต่อต้าน แทงไม่เข้า โจมตีไม่แตก รับมือได้ยากมาก

“แม่งเอ้ย หลายปีแล้วที่พวกเราสี่คนไม่ได้ร่วมมือกันใช้อาวุธ เห็นทีวันนี้ไม่ใช้ไม่ได้แล้ว!” ชายร่างเตี้ยพูดอย่างไม่พอใจ

วินาทีต่อมา ในมือของชายร่างเตี้ยปรากฏพัดเล่มหนึ่งขึ้น พัดเล่มนั้นพิเศษมาก เหมือนกับใช้ขนทั้งตัวมาทำ เป็นสีขาวทั้งเล่ม ไม่รู้ว่าใช้ขนอะไรมาทำ ดูแล้วไม่เหมือนกับสัตว์ ดูแปลกมาก

“เอาล่ะ เกมมาถึงจุดสิ้นสุดแล้ว!” ชายร่างเตี้ยพูดอย่างมั่นใจ

ฉัวะ!

ชายร่างเตี้ยเป็นคนลงมือก่อน พัดในเมืองของเขาสะบัดออกไป โบกสะบัดไปยังพวกอู๋เสวี่ย ทันใดนั้นลมอันบ้าคลั่งพัดหมุนในอากาศ พัดพาเศษดินและหินไปทำให้ผู้คนลืมตาไม่ขึ้น มีความรู้สึกเหมือนกับพายุทอร์นาโดเกิดขึ้นอย่างไรอย่างนั้น พวกอู๋เสวี่ยทั้งสิบสองคนเกือบจะถูกพัดลอยไปแล้ว

“พวกแกยังรออะไรอยู่อีก?” ชายร่างเตี้ยพูดอย่างไม่พอใจ

“ได้ รีบสู้รีบจบ!”

ฉัวะ!

สะบัดพัดอีกครั้งหนึ่ง บริเวณพื้นราบมีลมอันบ้าคลั่งปรากฏขึ้น โจมตีไปยังพวกอู๋เสวี่ย มือสังหารร่างสูงลงมือเป็นคนที่สอง กระบี่อวี๋ฉางส่องแสงสว่างจ้าออกมา เขาแทงกระบี่ออกไป ในสายลมอันบ้าคลั่งถึงกับมีเงากระบี่จำนวนนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้น พลังรุนแรงอย่างหาใดเปรียบ ทำให้อากาศฉีกขาดไปนานแล้ว นี่ยังไม่จบ ตามมาด้วยมือสังหารร่างอ้วนที่ถือค้อนอันใหญ่อยู่ในมือ เขาทุบค้อนลงพื้น ประกายสายฟ้าพุ่งเข้าไปในสายลมอันบ้าคลั่ง พริบตรานั้นในอากาศเต็มไปด้วยพลังสายฟ้าคละเคล้าไปกับประกายเงากระบี่ มีพลังกดดันอันรุนแรง ทำให้พวกอู๋เสวี่ยอดไม่ได้ที่จะถอยไปหลายก้าว พลังอำนาจเช่นนี้ถึงขั้นวิปลาสจริงๆ เป็นพลังอำนาจที่ไม่สามารถต่อต้านได้

ตู้ม!

มือสังหารร่างผอมที่ถือโล่สีเงินอยู่ในมือก็กระโดดขึ้นในตอนนี้เอง โล่สีเงินที่อยู่ในมือขยายใหญ่ขึ้นในพริบตา ปกคลุมพวกอู๋เสวี่ยให้อยู่เบื้องล่าง กระทั่งลมหมุนวนอันรุนแรงก็ยังถูกกดเอาไว้

“แม่งเอ้ย นี่ยังเป็นคนอยู่หรือเปล่า จะทำยังไงดี” หูหลงอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามออกมาอย่างตื่นตกใจ

“แข็งแกร่งมาก ทุกคนต้องตั้งสติให้ดี!” อู๋เสวี่ยขมวดคิ้วพูด

“ฉันกับอู๋เสวี่ยจะหยุดโล่เงินนั่นเอง หลินตวนใช้ดาบเจ็ดดาวนำหน้า ทุกคนเข้าปะทะพายุทอร์นาโดนั่นด้วยกัน” หวังเจี๋ยพูดอย่างเคร่งเครียดหาใดเปรียบ

……….

ในตอนที่กลุ่มสิบสามจ้าวสวรรค์เริ่มมีคนก่อความไม่สงบภายใน อู๋เสวี่ยและหวังเจี๋ยก็ทำการตัดสินใจไล่สองพี่น้องจางเหลยและจางต๋าออกไปจากกลุ่มสิบสามจ้าวสวรรค์อย่างเด็ดขาด หากมีคนไม่เคารพกฎเกณฑ์หรือกระทั่งฝ่าฝืนกฎข้อบังคับของกลุ่มสิบสามจ้าวสวรรค์ ไม่มีใจเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับทุกคน ถ้าไม่มีท่าทีแข็งกร้าว ภายภาคหน้ากลุ่มสิบสามจ้าวสวรรค์จะควบคุมเอาไว้ได้อย่างไร?

ในตอนที่อู๋เสวี่ยและหวังเจี๋ยตัดสินใจไล่สองพี่น้องจางเหลยจางต๋าออกไปนั้น ก็มีคนสวมเสื้อสีดำร่างเตี้ยเหลือคนหนึ่งมาลอบโจมตี ความสามารถแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก สามารถปะทะหมัดกับเปาเทียนหลงที่เคยเป็นขุนพลระดับทัพฟ้าได้เลยทีเดียว ถึงขั้นที่สามารถยืนได้โดยไม่แพ้ อดไม่ได้ที่จะทำให้คนรู้สึกแปลกใจ

เมื่อเผชิญหน้ากับผู้มาลอบโจมตี อู๋เสวี่ยจึงรีบออกคำสั่งให้หลินตวนลงมือด้วย คนเช่นนี้จำเป็นต้องรีบฆ่าในทันที ไม่ใช่จะกล่าวว่าเปาเทียนหลงคนเดียวเอาชนะคนชุดดำร่างเตี้ยคนนี้ไม่ได้ แต่สำหรับคนแบบนี้ไม่จำเป็นต้องไว้มือ

เมื่อมีการร่วมมือกันของเปาเทียนหลงและหลินตวน คนชุดดำร่างเตี้ยที่ยโสโอหังคนนี้ รับมือไม่ถึงห้ากระบวนท่าก็กระอักเลือดออกมา เขาคิดไม่ถึงเลยว่า ภายในกลุ่มสิบสามจ้าวสวรรค์ที่เย่เทียนเฉินเพิ่งจะก่อตั้งขึ้น แต่ละคนจะมีฝีมือที่แข็งแกร่งเหนือระดับขนาดนี้ นี่เป็นอำนาจที่น่าหวาดกลัวอย่างหนึ่ง มิน่าเล่าคุณชายใหญ่ถึงให้พวกเขาลงมือฆ่าสิบสามจ้าวสวรรค์

ฉัวะ!

หลินตวนตวัดดาบเจ็ดดาวออกไป ฟาดฟันลงไปยังคนชุดดำร่างเตี้ยที่อยู่บนพื้น ประกายดาบส่องแสง กระทบไปถึงสระว่ายน้ำที่อยู่ด้านข้าง เสาน้ำพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า ถึงแม้ในปากของคนชุดดำร่างเตี้ยจะกระอักเลือดออกมา แต่ก็รีบพลิกตัวกลิ้งออกไป หลบดาบที่มุ่งเอาชีวิตไปได้ เพียงแต่เขาเพิ่งจะพลิกตัวหลบดาบเจ็ดดาวไปครั้งหนึ่ง หมัดของเปาเทียนหลงก็ปะทะลงมาบนใบหน้าของเขาอย่างแรง

ตู้ม!

คนชุดดำร่างเตี้ยถูกอัดจนกระเด็นออกไป กระแทกเข้ากับกำแพงที่ห่างออกไปสิบกว่าเมตร ทำให้กำแพงเกิดรูใหญ่ขึ้นมารูนึง ในตอนที่ยังไม่ได้ลุกขึ้นมา ดาบของหลินตวนก็แทงตรงเข้ามาที่ลำคอของเขา

หลินตวนและเปาเทียนหลงต่างเป็นยอดฝีมือระดับสูงทั้งคู่ และไม่เคยร่วมมือกันต่อสู้มาก่อน แต่ตอนนี้กลับร่วมมือกันได้อย่างไร้ช่องโหว่ ทำให้สองพี่น้องจางเหลยและจางต๋าที่ได้เห็นถึงกับตกตะลึง ความแข็งแกร่งของพวกเขาสองพี่น้องเป็นเพราะเคล็ดวิชาผสานที่ฝึกฝน แต่ก็ไม่แน่ว่าจะแข่งแกร่งไปกว่าการร่วมมือกันระหว่างหลินตวนและเปาเทียนหลง ดูท่าทางพวกตนจะเป็นพวกไร้เหตุผลซะแล้ว

ตู้ม!

ในตอนที่ดาบของหลินตวนแทงตรงไปยังลำคอของคนชุดดำร่างเตี้ย พลันเกิดเสียงดังสนั่น กำแพงด้านหลังของคนชุดดำร่างเตี้ยเกิดถล่มลงมา

ฟิ้ว!

มีดเล่มหนึ่งพุ่งออกมาจากฝุ่นควัน ขวางดาวเจ็ดดาวในมือของหลินตวนเอาไว้ในชั่วพริบตา ขณะเดียวกันบนมีดเล่มนั้นก็มีประกายแสงระเบิดออกมา เสียดแทงนัยน์ตาจนทำให้ลืมตาไม่ขึ้น

ฟิ้วๆๆ!

หลินตวนมองไม่เห็นคนในฝุ่นควัน การโจมตีของมีดเล่มนั้นดูผิดปกติมาก โจมตีมายังจุดสำคัญบนร่างของเขาไม่หยุด หลินตวนทำได้เพียงตวัดดาบออกไปขวางอย่างไม่หยุดหย่อนเท่านั้น

เปาเทียนหลงที่อยู่ใกล้หลินตวนที่สุดขมวดคิ้ว คู่หูที่พุ่งออกมาช่วยเหลือชายชุดดำร่างเตี้ยคนนี้แข็งแกร่งมาก อาศัยแค่มีดในมือของเขาก็สามารถปะทะกับดาวเจ็ดดาวที่ทรงอานุภาพได้อย่างสูสี ไม่มีท่าทีว่าจะหักเลยแม้แต่น้อย นี่ทำให้เขารู้สึกตกตะลึงนัก

เปาเทียนหลงกำหมัดแน่น คิดว่าถ้าเป็นแบบนี้ต่อไปจะต้องไม่ดีแน่ จำเป็นต้องรีบจัดการยอดฝีมือสองคนนี้ซะ ไม่งั้นจะเกิดวิกฤตแน่

ไหนเลยจะรู้ว่า ในตอนที่เปาเทียนหลงเตรียมจะพุ่งเข้าไปช่วยหลินตวน จะเกิดเสียงดันลั่นฟ้าขึ้น หลินตวนที่ถือดาบเจ็ดดาวอยู่ในมือถูกโจมตีจนกระเด็นออกไปไกล พลิกตัวกลางอากาศแล้วลงมายืนบนพื้นอย่างมั่นคง

ทุกคนตกตะลึง เนื่องจากถึงแม้ว่าหลินตวนจะไม่ได้มีอันตรายถึงชีวิตอะไร แต่บนร่างกลับปรากฏรอยมีดฟันที่แตกต่างกัน ดูน่าหวาดกลัวจริงๆ ต้องทราบว่าหลินตวนไม่เพียงแต่มีฝีมือแข็งแกร่งมาก แต่ยังมีดาบเจ็ดดาวที่เป็นอาวุธเทพของพรรควรยุทธโบราณแบบนี้อยู่ในมือด้วย แทบจะมีแค่ไม่กี่คนที่สามารถฆ่าเขาได้ แต่กลับถูกทำร้ายจนกลายเป็นแบบนี้ ผู้มาเยือนแข็งแกร่งมากจริงๆ

“ศัตรูที่แข็งแกร่งมาลอบโจมตีแล้ว ความน่ากลัวของกลุ่มสิบสามจ้าวสวรรค์ไม่อาจถูกหยามได้ ใครต้องการไปก็ไปได้เลย คนที่เต็มใจจะอยู่ต่อก็รับมือศัตรูด้วยกันกับฉัน!” อู๋เสวี่ยพูดจบก็เป็นคนแรกที่เดินไปเบื้องหน้า

หวังเจี๋ยเดินตามขึ้นไป ตามด้วยหูหลงและเสี่ยวชิง เติ้งซวงและจางอู่เฉวียนก็เดินตามขึ้นไปด้วย คนอื่นๆ อีกหลายคนก็ชะงักไปครู่หนึ่งแล้วเดินตามขึ้นไป จะอย่างไรทุกคนก็เป็นกลุ่มเดียวกัน ชื่อกลุ่มสิบสามจ้าวสวรรค์โด่งดังไปทั่วแล้ว ไม่ว่าใครก็ไม่อยากถูกทำให้อัปยศแบบนี้

จางเหลยและจางต๋ายืนนิ่งอยู่กับที่ ในตอนนี้พวกเขารู้สึกว่าตนเองสองพี่น้องถูกคัดออกแล้ว ในช่วงเวลาที่สำคัญที่สุด คนอื่นๆ อีกสิบคนต่างเลือกปกป้องเกียรติยศของกลุ่มสิบสามจ้าวสวรรค์

“ทำไมพวกแกสองพี่น้องยังไม่ไปอีก?” อู๋เสวี่ยหันมามองจางเหลยและจางต๋า พวกเขาอยู่ด้านหลัง

“เกียรติยศของสิบสามจ้าวสวรรค์นี้ พวกเราจะขอปกป้องไปด้วยกัน!”

“ต่อให้พวกเราต้องการจะไป แต่ก็ไม่สามารถปล่อยให้สิบสามจ้าวสวรรค์ของพวกเราอับอายได้!”

เมื่อได้ยินคำพูดของจางเหลยและจางต๋า อู๋เสวี่ยก็หัวเราะเบาๆ แต่ไม่ได้พูดอะไร เขารู้ดีว่าสองพี่น้องคู่นี้เข้าใจกระจ่างแล้ว กลุ่มสิบสามจ้าวสวรรค์ไม่ได้เป็นเพียงองค์กรหนึ่งเท่านั้น ทุกคนไม่ได้มาเพียงเพื่อเงิน แต่ทุกคนมีจุดมุ่งหมายเดียวกัน มีความใฝ่ฝันที่ไล่ตามเหมือนกัน มีความเชื่อมั่นอย่างเดียวกัน

ในตอนนี้ เบื้องหน้าของกลุ่มสิบสามจ้าวสวรรค์มีคนชุดดำยืนอยู่สองคน มุมปากของคนชุดดำร่างเตี้ยกระอักเลือดออกมา แต่ไม่ได้ร้ายแรงถึงชีวิต ไม่กล่าวไม่ได้ว่าแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก ส่วนข้างกายของเขามีชายร่างสูงใหญ่และกำยำเป็นอย่างมากคนหนึ่งยืนอยู่ มีดในมือดูแปลกมาก เปล่งประกายสีน้ำเงินออกมา เป็นมีดเล่มนี้ที่เพิ่งจะขัดขวางดาบเจ็ดดาวที่ทรงอนุภาพของหลินตวนเอาไว้ได้และปะทะอย่างรุนแรง

“เจ้าเตี้ย แกบอกว่าแกคนเดียวก็ตัดหัวสิบสองคนนี้ได้แล้วไม่ใช่รึไง? ดูท่าจะทำไม่ได้ โชคดีที่พวกเราห้าคนมากันหมด!” ชายชุดดำร่างกำยำพูดออกมาอย่างไม่สบอารมณ์

“หึ เมื่อกี้ไม่ใช่ว่าแกก็ลงมือแล้วเหรอ? ความสามารถของพวกแกเป็นยังไงแกย่อมรู้ดี ไม่เห็นว่าแกจะฆ่าไอ้หนูนั้นได้เลย!” คนชุดดำร่างเตี้ยแค่นเสียงเย็นออกมาแล้วพูดขึ้นโดยไม่อ่อนข้อแม้แต่น้อย

ชายร่างกำยำมองหลินตวนอย่างดุดัน จับจองดับเจ็ดดาวในมือขวาของเขาเขม็งแล้วพูดเสียงเย็นว่า “ ไอ้หนูนี่ให้ฉันฆ่าเอง ดาบในมือของเขาไม่เลวเลย มันจะเป็นของฉันด้วย ใครกล้ามาแย่งฉันจะฆ่ามันซะ!”

“ตกลงพวกแกเป็นใครกันแน่?” อู๋เสวี่ยขมวดคิ้วถาม เขารู้สึกว่าชายชุดดำคนหนึ่งสูงคนหนึ่งเตี้ยนี้แข็งแกร่งมาก จำเป็นต้องรู้ที่มาที่ไปให้แน่ชัด

“สิบสามจ้าวสวรรค์ น่าเสียดายที่ขาดไปหนึ่งคน ไม่สามารถตัดหัวเย่เทียนเฉินไปได้ ช่างน่าละอายจริงๆ แต่ยังไงฉันเชื่อว่าไอ้หนูนั่นคงไม่รอด!” ชายชุดดำร่างกำยำพูดขึ้นแล้วหัวเราะอย่างโหดเหี้ยม

“พวกแกสองคนยังมัวรออะไรอยู่ ยังไม่ออกมาอีก?” ชายชุดดำร่างเตี้ยเอ่ยถามไปด้านหลังอย่างไม่พอใจ

“แม่งเอ้ย แกเองที่คุยฟุ้ง บอกว่าแกคนเดียวจะตัดหัวสิบสองคนได้!”

“ตอนนี้ตัวเองทำไม่ได้ ยังต้องให้พวกเราลงมืออีกไม่ใช่รึไง แม่งน่ารำคาญจริงๆ!”

มีคนชุดดำโผล่ออกมาอีกสองคนแล้ว ทั่วทั้งร่างถูกห่อหุ้มไว้ด้วยชุดสีดำมีแค่ดวงตาทั้งสองที่เผยออกมาสู่ภายนอก คนหนึ่งถือค้อนอยู่ในมือ อีกคนหนึ่งถือโล่ คนหนึ่งอ้วนคนหนึ่งผอม เมื่อเทียบกับเจ้าสูงเจ้าเตี้ยเมื่อสักครู่นี้แล้วสองคนนี้ดูโหดเหี้ยมกว่าเล็กน้อย มีแค่เจ้าเตี้ยชุดดำคนเดียวที่ในมือไม่มีอาวุธ

ชายชุดดำร่างกำยำสูงใหญ่ถือมีดที่เป็นเอกลักษณ์เล่มหนึ่งเอาไว้ในมือ ด้านหลังมีชายร่างอ้วน ที่ถือค้อนอันใหญ่สีดำอยู่ในมือเดินออกมา ส่วนในมือของชายร่างผอมเป็นโล่สีเงินอันหนึ่ง

“งั้นตอนนี้พวกเราก็มาดูกันหน่อยว่าใครจะตัดหัวได้มากกว่ากัน!” ชายชุดดำร่างสูงพูดอย่างเย็นชา

“ฉันจะฆ่าเจ้าหมอนี่เอง!” ชายชุดดำร่างเตียจ้องมองไปยังเปาเทียนหลงอย่างโหดเหี้ยมดุดันแล้วพูดขึ้น

“งั้นฉันเอาไอ้หนูนี่เอง” ชายร่างสูงในชุดดำชี้ไปยังหลินตวนแล้วพูดขึ้นอย่างไม่สบอารมณ์

“รีบลงมือเถอะ อย่าให้ลูกพี่มาแล้วงานยังไม่เสร็จ เดี๋ยวพวกเราจะซวยกันหมด!” ชายที่ถือค้อนอันใหญ่อยู่ในมือพูดออกมาอย่างทนไม่ไหว

อู๋เสวี่ยและหวังเจี๋ยสบตากัน ต่างพากันขมวดคิ้ว ในตอนที่รับมือกับศัตรูจะต้องมีความมั่นใจ แต่สี่คนที่มาลอบโจมตีนี้ แต่ละคนแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ ล้วนมีความสามารถลึกล้ำไม่อาจคาดเดา เป็นคนสี่คนที่น่าหวาดกลัวอย่างมาก ถ้าไม่ระวังอาจจะทำให้สิบสามจ้าวสวรรค์ตกลงสู่อันตรายถึงขั้นเป็นตายก็เป็นได้ เนื่องจากกลิ่นอายที่ระเบิดออกมาจากบนร่างของสี่คนนี้ ทำให้รู้สึกไม่สบายใจ

“ฆ่า!” อู๋เสวี่ยลงมือ เป็นคนแรกที่พุ่งเข้าไป

สิบสามจ้าวสวรรค์สู้กับมือสังหารชุดดำทั้งสี่คน ใครหลายคนมองแล้วอาจจะคิดว่าสิบสามจ้าวสวรรค์จะต้องชนะแน่นอน เพราะทุกคนต่างเป็นยอดฝีมือ และสามารถใช้สองคนรับมือคนเดียวได้ จะต้องสามารถฆ่ามือสังหารชุดดำทั้งสี่คนนี้ได้แน่

ทว่าเพิ่งจะเริ่มต่อสู้ก็ทำให้ทุกคนอดไม่ได้ที่จะตกใจ พลังการต่อสู้ที่มือสังหารชุดดำทั้งสี่คนนี้ระเบิดออกมา โดยเฉพาะกลิ่นอายชั่วร้ายเช่นนั้นน่ากลัวเกินไป เดิมทีความสามารถของทั้งสี่ก็แข็งแกร่งมาก รวมกับอาวุธในมือก็ยิ่งแข็งแกร่งจนยากจะต่อต้าน

สามารถพูดได้ว่า ที่มือสังหารทั้งสี่คนนี้สามารถสู้กับสิบสามจ้าวสวรรค์ได้ ส่วนใหญ่เป็นเพราะความแปลกประหลาดของอาวุธที่พวกเขาถืออยู่ในมือ

ฉัวะ!

ชายร่างสูงใหญ่ที่ถือมีดอันเปล่งประกายสีฟ้าตวัดมีดออกไป ถึงกับสามารถฟันอากาศให้ขาดได้ ทุกสิ่งทุกอย่างที่ถูกฟันขาดจะกลายเป็นเถ้าธุลี น่าหวาดกลัวอย่างมาก

ตู้ม!

ค้อนถูกทุบลงมา ชายร่างอ้วนที่ถือค้อนสีดำอยู่ในมือทุบค้อนลงไปยังอู๋เสวี่ย ถึงกับมีพลังสายฟ้าแผดเผา ทำให้พื้นหินที่ถูกสัมผัสกลายเป็นเศษหิน ทำให้ต้นหญ้าที่ถูกสัมผัสกลายเป็นหญ้าแห้งๆ

เปรี้ยง!

เสียงดังสนั่นฟ้า โล่สีเงินอันใหญ่มโหฬารตกลงมา ต้องการจะทับสิบสามจ้าวสวรรค์ทั้งหมดให้ตาย หากไม่ใช่เพราะในช่วงเวลาสำคัญ ดาบเจ็ดดาวในมือของหลินตวนถูกสะบัดออกไปจนสุดแรง รวมกับหมัดสิงอี้ของอู๋เสวี่ยที่โจมตีออกไปสุดแรงจนโลสี่เงินปลิวออกไปเป็นวงโค้ง เกรงว่าทุกคนจะต้องถูกโลสีเงินนี้ทับตายไปหมดแล้ว

“แม่งเอ้ย ฝีมือของสี่คนนี้พอๆ กับพวกเราเลย อาวุธในมือก็ร้ายกาจมากจริงๆ ดูแปลกๆ ด้วย!” หวังเจี๋ยขมวดคิ้วแล้วตะโกนด่าออกมาอย่างดุดัน

อู๋เสวี่ยเองก็กำหมัดแน่น มือสังหารสี่คนนี้ไม่ใช่ว่ามีฝีมือแข็งแกร่งจนต่อต้านไม่ได้ เพียงแต่อาวุธในมือของพวกเขาร้ายกาจมากและแปลกประหลาดมาก ทั้งยังแฝงไปด้วยพลังสังหารอันมหาศาล

ตู้ม!

หลินตวนที่ถือดาบเจ็ดดาวในมือถูกมีดของชายชุดดำร่างสูงบีบบังคับให้ถอยร่นออกไปถอยไปจนอยู่ข้างอู๋เสวี่ยและหวังเจี๋ย พูดออกมาอย่างเย็นชาและเคร่งเครียดอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ว่า “ไม่ผิดไปจากที่ฉันคาดจริงๆ มีดในมือของเจ้าหมอนี่คือกระบี่อวี๋ฉาง!”

“กระบี่อวี๋ฉาง?” อู๋เสวี่ยและหวังเจี๋ยรู้สึกตื่นตะลึงยิ่งนัก ดูเหมือนจะอุทานออกมาในเวลาเดียวกัน

“ใช่ กระบี่โบราณทั้งสิบเล่ม กระบี่ไท่อาอยู่ในมือของเสวี่ยโม่เจียว เสวี่ยโม่เจียวถูกพี่ใหญ่ฆ่าแล้ว ทำให้กระบี่ไท่อาตกมาอยู่ในมือของพวกเรา และที่อยู่ในมือของเจ้าหมอนั่นคือกระบี่อวี๋ฉางที่เป็นหนึ่งในสิบกระบี่โบราณแน่นอน!” หลินตวนพูดด้วยความหวาดผวาเล็กน้อย

……….

กลุ่มสิบสามจ้าวสวรรค์เพิ่งจะก่อตั้งได้ไม่นาน จิตใจจึงยังไม่รวมกันเป็นหนึ่งโดยสมบูรณ์ หลังจากที่ผ่านการต่อสู้ครั้งใหญ่มาสองครั้ง เย่เทียนเฉินก็ได้รับบาดเจ็บสาหัส เป็นตายไม่แน่นอน เขายังไม่ได้กลับมาก็มีคนเริ่มก่อความไม่สงบแล้ว เพราะคิดว่าเย่เทียนเฉินจะต้องตายไปแล้วแน่นอน และจะกลับมาไม่ได้อีก ส่วนกลุ่มสิบสามจ้าวสวรรค์ก็ต้องแยกย้ายกันไป จึงต้องการเงินค่าโยกย้าย

สองพี่น้องฝาแฝดจางเหลยและจางต๋าย่อมยืนอยู่ข้างเดียวกัน ยิ่งไปกว่านั้นพวกเขาก็เป็นคนนำก่อเรื่อง ความสามารถแข็งแกร่งมาก ถ้าหากพวกเขาสองพี่น้องร่วมมือกัน กระทั่งอู๋เสวี่ยและหวังเจี๋ย หากคิดจะจัดการพวกเขาโดยลำพังก็เป็นเรื่องยาก ทั้งยังไม่สามารถทำแบบนี้ได้ คนกันเองก่อเรื่อง ถ้าต่อยตีกันขึ้นมา จะทำให้ในใจของคนอื่นๆ รู้สึกหมดหวังกับกลุ่มสิบสามจ้าวสวรรค์มากยิ่งขึ้น

หวังเจี๋ยเป็นคนที่มีนิสัยใจร้อน หลังจากที่แพ้เย่เทียนเฉินก็ติดตามด้วยใจภักดีซื่อสัตย์ ตอนนี้เห็นสองพี่น้องจางเหลยและจางต๋านำคนก่อเรื่อง ทำให้ในใจของสมาชิกคนอื่นๆ ในกลุ่มสิบสามจ้าวสวรรค์เริ่มร้อนรนขึ้นมา เขาจึงรู้สึกโกรธโดยพลัน กำหมัดแน่นต้องการที่จะเข้าไปสั่งสอนสองพี่น้องคู่นี้

“อะฮ่า ไม่มีเหตุผลแล้วยังคิดจะลงมืออีก คิดว่าพวกเราสองพี่น้องกลัวแกรึไง?” จางเหลยเองก็กำหมัดมองไปยังหวังเจี๋ยแล้วพูดขึ้น

“หึ ถ้าพวกเราสองพี่น้องร่วมมือกัน ก็ไม่แน่ว่าแกจะชนะ!” จางต๋ารีบวางมาดก้าวออกมาทันที แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า ถ้าหวังเจี๋ยลงมือ พวกเขาสองพี่น้องก็จะไม่เกรงใจ

“ดี วันนี้ฉันจะสั่งสอนพวกแกแทนพี่ใหญ่เอง ทำความสะอาดสำนักสักหน่อย!” หวังเจี๋ยขมวดคิ้วอย่างดุดัน พูดออกมาอย่างระงับความโกรธไว้ไม่อยู่

ไหนเลยจะรู้ว่า ในตอนที่หวังเจี๋ยเตรียมจะลงมือนั้น อู๋เสวี่ยจะดึงเขาเอาไว้พลางส่ายหน้า หวังเจี๋ยชะงักไปครู่หนึ่ง มองไปยังสองพี่น้องจางเหลยและจางต๋าอย่างดุดันแต่ไม่ได้ลงมือ

หวังเจี๋ยยอมเข้าใจความหมายของอู๋เสวี่ยดี เพียงแต่หวังเจี๋ยคนนี้ค่อนข้างบุ่มบ่าม ไม่เหมือนอู๋เสวี่ยที่สามารถควบคุมความโกรธได้ แน่นอนว่านี้ไม่ได้หมายความว่าหวังเจี๋ยโง่ เขาเองก็เข้าใจดีว่า หากตนลงมือลงไม้กับสองพี่น้องจางเหลยและจางต๋า ไม่ว่าจะแพ้หรือชนะ ต่างสร้างผลกระทบที่ไม่ดีต่อกลุ่มสิบสามจ้าวสวรรค์ทั้งสิ้น ตนเองลงมือกับคนกันเอง การตัดสินแพ้ชนะเป็นเรื่องรอง แต่เป็นไปได้มากว่าจะทำให้จิตใจของกลุ่มสิบสามจ้าวสวรรค์ออกห่างยิ่งขึ้น ใจคนเป็นสิ่งที่ยากจะรวบรวมมากที่สุดแล้ว

เพียงแต่สองพี่น้องคู่นี้จะทำเกินไปแล้วจริงๆ ตั้งแต่แรกเริ่มก็เป็นพวกเขาที่นำคนก่อเรื่อง ตอนนี้ยังพูดเรื่องแยกกลุ่มออกมาอย่างใจกล้าอีกด้วย จะไม่ให้เขาโกรธได้อย่างไร

อู๋เสวี่ยก้าวออกมา มองไปยังสองพี่น้องจางเหลยและจางต๋า แล้วมองไปยังคนอื่นๆ ที่ยืนอยู่ด้านล่าง เขารู้ว่าการที่คนเหล่านี้ก่อความวุ่นวาย เป็นเพราะพวกเขามีความกังวลใจ นั่นคือกังวลว่าเย่เทียนเฉินจะตายไปแล้วและกลุ่มสิบสามจ้าวสวรรค์จะต้องแยกย้าย ไม่ง่ายเลยกว่าจะหาโอกาสพัฒนาตัวเองได้ แต่กลับเลือนหายไปอีกแล้ว ดังนั้นจึงไม่มีความเชื่อมั่นอีก

“ฉันรู้ว่าทุกคนกำลังคิดอะไรอยู่ แต่ฉันสามารถบอกพวกแกได้เลยว่า พี่ใหญ่จะกลับมาแน่นอน ตอนนี้เขาได้สติแล้ว ฉันขอบอกพวกแกอย่างไม่ปิดบังเลยว่า ครั้งนี้อาการบาดเจ็บของพี่ใหญ่สาหัสมาก ดังนั้นจึงกลับมาไม่ได้ชั่วครู่ ฉันแค่หวังว่าทุกคนจะลองถามใจตัวเองดูบ้าง ตอนแรกพวกเราติดตามพี่ใหญ่มาที่นี่เพื่ออะไร? พี่ใหญ่ปฏิบัติต่อพวกเรายังไง?” อู๋เสวี่ยใช้คำพูดซาบซึ้งกระทบใจผู้ฟัง ใช้เหตุผลจูงใจคน

“ใช่แล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะว่าต้องการช่วยพวกเรา พี่ใหญ่จะฝืนลากร่างกายบาดเจ็บสาหัสขนาดนั้น ไปปะทะกับกระบี่ไท่อาหรือ? เป็นเพราะต้องการช่วยพวกเรา พี่ใหญ่จึงพุ่งเข้าไปโดยไม่สนใจชีวิต แล้วตอนนี้พวกเราจะทำแบบนี้กับเขาเหรอ?” หลินตวนก้าวออกมาแล้วพูดขึ้นเสียงดัง

“ไม่ว่าจะยังไง ฉันก็จะติดตามพี่ใหญ่ต่อไป ฉันเชื่อว่าอีกไม่นานพี่ใหญ่ก็จะกลับมา!” หูหลงเองก็ก้าวออกมา ยืนอยู่ข้างอู๋เสวี่ยหวังเจี๋ยและหลินตวนแล้วพูดขึ้น

“ฉันก็เหมือนกัน!” เปาเทียนหลงก็ก้าวออกมาเช่นกัน

“ชายคนนี้ไม่ตายแน่นอน ฉันเชื่อว่าเขาจะกลับมา!” เสี่ยวชิงยิ้มอย่างงดงามแล้วก้าวออกมาพลางกล่าวขึ้น

อู๋เสวี่ย หวังเจี๋ย หลินตวน หูหลง เปาเทียนหลงและเสี่ยวชิง รวมทั้งหมดหกคน พวกเขามีใจซื่อสัตย์ภักดีต่อเย่เทียนเฉิน ส่วนคนอื่นๆ ที่เหลืออีกหกคนนั้นไม่ใช่ว่าไม่จริงใจ เพียงแต่พวกเขาลังเล โดยเฉพาะสองพี่น้องจางเหลยและจางต๋าที่เป็นผู้นำคนสร้างความวุ่นวาย กระทั่งเติ้งซวงและจางอู่เฉวียนที่เคยติดตามหวังเจี๋ยเมื่อก่อน ก็ยังจิตใจสั่นคลอนไม่มั่นใจ ในจุดนี้หวังเจี๋ยไม่ได้บีบบังคับ จะอย่างไรแต่ละคนก็มีความคิดของตัวเอง เขาไม่สามารถบีบบังคับให้พวกเขาเลือก การทำแบบนั้นไม่ใช่เรื่องดี

“หึ ไม่ว่าเขาจะตายหรือไม่ พวกเราสองพี่น้องก็จะไม่ขอร่วมด้วยแล้ว!” จางเหลยเห็น พวกอู๋เสวี่ยยืนอยู่ข้างกันอย่างแน่วแน่ แม้จะยังมีอีกหกคนที่อยู่ข้างเดียวกับพวกเขา แต่ก็ไม่ได้แสดงท่าทีชัดเจนนัก

“ใช่ ช่วงเวลาแบบนี้ บิดารอไม่ไหวแล้ว!” จางต๋าย่อมพูดสนับสนุนตามไป

“ในเมื่อพวกแกสองคนไม่ร่วมด้วยแล้วก็ไปซะเถอะ พวกเราจะไม่ขวาง!” อู๋เสวี่ยพูดอย่างเรียบเฉย

“แก… จะให้พวกเราสองพี่น้องไปมันไม่ง่ายแบบนั้น เอาเงินมา!” จางเหลยชะงักไปครู่หนึ่งแล้วเอ่ยปากอย่างดุดัน

“ใช่ พวกเรากำจัดตระกูลเซวียนเยวี๋ยนและกำจัดตระกูลโอวหยาง จะพูดยังไงพวกเราก็สร้างผลงาน คิดจะไล่พวกเราสองพี่น้องไปเฉยๆ แบบนี้ ไม่มีทางซะหรอก!” จางต๋าพูดขึ้นมาด้วยท่าทางราวกับหากไม่ได้เงินก็จะไม่ไป ดูท่าทางไม่มีเหตุผลอยู่บ้าง

“งั้นเหรอ? ในการต่อสู้กับตระกูลเซวียนเยวี๋ยน พวกแกสองคนก็สร้างผลงานจริงๆ ในจุดนี้ฉันไม่ปฏิเสธ แต่ในการต่อสู้กับตระกูลโอวหยาง มีแค่สิบสามราชาเสือดาวที่ถูกพวกเราฆ่า ส่วนพวกแกสองพี่น้องฆ่าไปแค่ไม่กี่คน นอกจากนี้การล่มสลายของตระกูลโอวหยางก็ไม่ใช่เรื่องที่กลุ่มสิบสามจ้าวสวรรค์ของพวกเรากระทำทั้งหมด แต่เป็นการลงมือของรัฐบาล ไม่เกี่ยวอะไรกับพวกแกแม้แต่นิดเดียวละมั้ง?” อู๋เสวี่ยพูดด้วยรอยยิ้มสนุกสนาน

“สวัสดิการของทุกคนในกลุ่มสิบสามจ้าวสวรรค์เท่าเทียมกัน พวกแกสร้างผลงานในการต่อสู้กับตระกูลเซวียนเยวี๋ยน พวกเราจะได้รับเงินเดือนเพิ่มอีกหนึ่งเดือน ส่วนเรื่องอื่นไม่ต้องคิดแล้ว ไสหัวไปเถอะ!” หวังเจี๋ยพูดอย่างไม่สบอารมณ์

มาถึงตอนนี้ทุกคนล้วนฉีกหน้ากันหมดแล้ว ในเมื่อสองพี่น้องจางเหลยและจางต๋าพูดถึงเรื่องเงินทอง อู๋เสวี่ยและหวังเจี๋ยก็จะพูดกับพวกเขาเสียให้พอ พูดด้วยความจริง คนแบบนี้ พวกเขาไม่เห็นเป็นพี่น้องนานแล้ว

“พวกแก…”

จางเหลยและจางต๋าโกรธจนหน้าเขียวคล้ำโดยพลัน คิดไม่ถึงว่าอู๋เสวี่ยและหวังเจี๋ยสองคนนี้จะเล่นด้วยไม่ง่ายเลย หลังจากแตกหักกันโดยสิ้นเชิงแล้วก็ไม่อาจหาเรื่องได้ง่ายๆ

“พวกแกสองคนเป็นผู้นำในการสร้างความวุ่นวาย ฝ่าฝืนจุดมุ่งหมายที่ต้องการให้กลุ่มสิบสามจ้าวสวรรค์มีความสามัคคีกัน ดังนั้นตอนนี้ไม่ใช่ว่าพวกแกต้องการไปด้วยตัวเอง แต่เป็นพวกเราที่ไล่พวกแกสองพี่น้องออก ตอนนี้พี่ใหญ่ไม่อยู่ จากการปรึกษากันของฉันและหวังเจี๋ยที่เป็นรองหัวหน้ากลุ่มจ้าวสวรรค์ พวกแกไปซะเถอะ!” อู๋เสวี่ยพูดอย่างหนักแน่น

ไม่ว่าใครก็คิดไม่ถึงว่า หวังเจี๋ยและอู๋เสวี่ยที่ตอนแรกยังเกรงอกเกรงใจอยู่มาก ให้ความรู้สึกว่าไม่อยากจะทำให้เรื่องราวใหญ่โต มาตอนนี้กลับเปลี่ยนไปกระทันหัน ไล่จางเหลยและจางต๋าออกไปจากกลุ่มสิบสามจ้าวสวรรค์อย่างแข็งกร้าว

ตู้ม!

ในตอนนี้เอง มีเสียงหนึ่งดังสนั่น ในสระว่ายน้ำใหญ่ด้านหลังกลุ่มสิบสามจ้าวสวรรค์เกิดระเบิดขึ้น ทั่วทั้งท้องฟ้าเต็มไปด้วยหยดน้ำร่วงลงมา คนผู้หนึ่งสวมใส่เสื้อโค้ทสีดำห่อหุ้มไว้ทั้งร่าง มีเพียงดวงตาที่โผล่ออกมา กำลังจับจ้องพวกกลุ่มสิบสามจ้าวสวรรค์อย่างโหดเหี้ยม ทุกคนต่างสัมผัสได้ถึงไอสังหารที่ฟุ้งกระจายออกมาอย่างชัดเจน

คนที่สวมใส่เสื้อโค้ทสีดำปกปิดทั้งร่างคนนี้มีร่างกายไม่สูงใหญ่นัก สูงประมาณ 160 เซนติเมตรเท่านั้น กำลังยืนอยู่ข้างสระว่ายน้ำ เสียงดังสนั่นเมื่อสักครู่นี้ก็เป็นการลงมือของเขา เขาไม่ได้ใช้การโจมตีนี้ลงมือกับสมาชิกสิบสามจ้าวสวรรค์ คล้ายกับเพียงต้องการบอกพวกเขาว่าตนเองมาแล้ว โอหังและหยิ่งทะนงเป็นอย่างมาก กระทั่งเรียกได้ว่าไม่เห็นใครอยู่ในสายตา

“สิบสามจ้าวสวรรค์? ทำไมถึงหายไปคนหนึ่ง แบบนี้ไม่ใช่ว่าฉันจะเอาหัวกลับไปได้แค่สิบสองหัวหรือไง?” คนที่สวมเสื้อโค้ทสีดำพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา แย้มยิ้มออกมาจนทำให้ผู้คนต้องสั่นสะท้าน

“แกเป็นใคร?” อู๋เสวี่ยขมวดคิ้วถาม

“พวกแกไม่จำเป็นต้องรู้ให้มาก รู้แค่ว่าหัวของพวกแกทั้งสิบสองคนจะถูกฉันฟันขาดให้หมดก็พอ!” ชายสวมเสื้อโค้ทสีดำพูดอย่างโหดเหี้ยมเย็นชา

ฉัวะ!

เปาเทียนหลงเป็นคนแรกที่พุ่งเข้าไป เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายมาเพื่อฆ่าพวกเขา อีกทั้งยังมั่นใจและโอหังเป็นอย่างมาก นี่ยังจะต้องพูดอะไรอีกล่ะ? ย่อมต้องลงมือกำจัดเขาแน่นอนอยู่แล้ว

ตู้ม!

หันหมัดเข้าใส่ เพียงพริบตาเดียว เปาเทียนหลงก็พุ่งไปถึงเบื้องหน้าของคนสวมเสื้อโค้ทสีดำแล้ว หมัดสังหารโจมตีออกไป ในดวงตาของคนสวมเสื้อโค้ทสีดำคนนั้นมีความแปลกใจเล็กน้อย แต่กลับปล่อยหมัดปะทะเข้าโดยไม่หลบไม่ซ่อน

หมัดทั้งสองปะทะเข้าด้วยกัน คนสวมเสื้อโค้ทสีดำคนนั้นและเปาเทียนหลงต่างถอยไปคนละสองก้าว จ้องมองอีกฝ่ายอย่างเย็นชา

คนในกลุ่มสิบสามจ้าวสวรรค์เห็นว่าเปาเทียนหลงลงมือแล้ว แต่ถึงกับไม่สามารถฆ่าคนสวมเสื้อโค้ทสีดำคนนั้นได้ในทันที ทั้งยังปะทะหมัดกันอีกด้วย ทั้งสองต่างถอยไปคนละสองก้าว นับว่าเสมอกัน ทำให้รู้สึกประหลาดใจอย่างหาใดเปรียบ ทุกคนรู้ว่าเปาเทียนหลงเคยเป็นขุนพลระดับทัพฟ้ามาก่อน หากระเบิดฝีมือเต็มกำลัง จะต้องเทียบเท่าหวังเจี๋ยกับอู๋เสวี่ยได้แน่นอน จินตนาการได้เลยว่าหมัดของเขาหนักขนาดไหน เจ้าเตี้ยสวมเสื้อโค้ทสีดำคนนี้ ถึงกับปะทะเข้ามาโดยไม่หลบไม่ซ่อน และยังไม่กระเด็นออกไป น่าเหลือเชื่อจริงๆ

“ไม่เลวๆ พอไปวัดไปวาได้ ไม่ทำให้น่าเบื่อตอนที่พวกเราลงมือฆ่าแล้ว!” เจ้าเตี้ยชุดดำพูดด้วยรอยยิ้มโหดเหี้ยม

“ถ้าหากแกยังไม่พูดความจริงอีก ก็จะไม่มีโอกาสแล้ว!” อู๋เสวี่ยขมวดคิ้วมองไปยังเจ้าตัวชุดดำแล้วพูดขึ้น

“งั้นเหรอ? แต่ฉันอยากจะลองดูสักหน่อย!” เจ้าเตี้ยชุดดำไม่เห็นกลุ่มสิบสามจ้าวสวรรค์อยู่ในสายตาโดยสิ้นเชิง ยังคงพูดออกมาอย่างโอหัง

อู๋เสวี่ยไม่ได้พูดอะไร ทำเพียงส่งสายตาเป็นสัญญาณไปให้หลินตวน หลินตวนย่อมเข้าใจดีว่า คนคนนี้มาก่อความวุ่นวายในตอนนี้จะต้องกลายเป็นเป้าหมายของทุกคนแน่นอน ถ้าไม่ฆ่าก็ไม่สามารถสงบความโกรธไปได้

หลินตวนพุ่งเข้าไป มีเขาและเปาเทียนหลงร่วมมือกัน เจ้าเตี้ยชุดดำคนนั้นก็รับมือไม่ไหว เพียงไม่นานก็ถูกอัดจนกระอักเลือด มีหลายครั้งที่เกือบจะถูกกำจัดทิ้งไปแล้ว

ตู้มๆ!

หนึ่งหมัดหนึ่งเท้า เจ้าเตี้ยชุดดำถูกอัดจนกระเด็นออกไป ตกลงมาบนพื้นและพ่นเลือดออกมา ไม่มีสีหน้ายโสโอหังไม่เห็นใครอยู่ในสายตาอีกต่อไป ในดวงตาเต็มไปด้วยความโกรธและความแปลกใจ จะอย่างไรก็คิดไม่ถึงว่ากลุ่มสิบสามจ้าวสวรรค์ที่เย่เทียนเฉินก่อตั้งขึ้นจะไม่ใช่คนประเภทบอดี้การ์ดธรรมดาทั่วไป ภายในยังมียอดฝีมือระดับสูงอยู่จำนวนหนึ่ง หากต้องการตัดหัวคนทั้งสิบสองคนนี้ไปก็ไม่ใช่เรื่องง่ายขนาดนั้น

……….

เย่เทียนเฉินไปจากบ้านตระกูลจางแล้ว เดินทอดน่องอยู่บนถนนของเมืองเล็กๆ เขาคิดอะไรมากมาย และยังมีเรื่องที่จำเป็นต้องกระทำอีกมากนัก

ความจริงหากยกจางรั่วถงเป็นตัวอย่าง ในชั่วขณะที่เขาลืมตาขึ้นตั้งแต่ที่ได้มาเกิดใหม่ในโลกแห่งนี้ ผู้หญิงที่เขาได้พบส่วนใหญ่ล้วนดีต่อเขา ไม่ว่าจะเป็นหานเจี๋ย ฉีหรูเสวี่ย หรือจะเป็นซูเฟยเฟย หรือแม้แต่หลิ่วหรูเหมยที่ความจริงก็ไม่มีความขัดแย้งอะไรกันนัก เรื่องเมื่อปีนั้นของทั้งสองเพียงแค่ถูกคนอื่นวางแผนร้ายใส่เท่านั้น จะสามารถปล่อยวางได้หรือไม่นั่นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง

คนใช่ผักหญ้าจะได้ไร้ความรู้สึก ผู้หญิงเหล่านี้ดีต่อตน มีความรักต่อตน ไม่ใช่ว่าเย่เทียนเฉินจะไม่ซาบซึ้ง แต่เขามีเรื่องมากมายที่ต้องทำ และจำเป็นจะต้องทำให้ได้ นั่นคือภารกิจของเขาและเรียกได้ว่าเป็นชะตากรรม เขาต้องกลับไปยังดาวสิ้นโลกเพื่อแก้แค้นให้พวกพ้องที่ตายไปแล้วของตน นี่เป็นเรื่องที่จำเป็นต้องทำในฐานะที่เป็นลูกผู้ชายคนหนึ่ง มิเช่นนั้นจะตายไม่สงบ เขาต้องตามหาเส้นทางการมีชีวิตยืนยาวและไปเยี่ยมชมดาวจักรพรรดิ นี่เป็นสิ่งที่เย่เทียนเฉินซึ่งมีฐานะเป็นผู้แข็งแกร่งคนหนึ่งต้องกระทำ ยิ่งไปกว่านั้นเขายังต้องการตามหาวิชาที่ทำให้มีชีวิตยืนยาวเพื่อต่อชีวิตให้แก่พ่อแม่และน้องสาวของตนอีกด้วย ไม่ง่ายเลยกว่าจะได้ความสัมพันธ์ดังครอบครัวมา เย่เทียนเฉินจึงหวงแหนมากขึ้น ด้วยเหตุนี้เขาจึงไม่เสียดายที่จะใช้ความพยายามทุกอย่าง

“พี่ชาย ต้องการรถไหม?” รถมอเตอร์ไซต์สุดเท่คันหนึ่งจอดอยู่ข้างกายของเย่เทียนเฉิน คนขับเป็นผู้หญิงผมทองคนหนึ่ง เพียงแค่เห็นก็รู้ว่าเป็นสาวสวยแบบฉบับของชาวต่างชาติ

“อ้อ? หรือเสน่ห์ของผมจะไม่สามารถสปิดกั้นได้โดยไม่รู้ตัวแล้ว? กระทั่งสาวสวยชาวต่างชาติแบบคุณก็ยังอดไม่ได้ที่จะถูกดึงดูด?” เย่เทียนเฉินมองไปยังสาวสวยผมทอง ยิ้มเล็กน้อยแล้วพูดออกมาด้วยความสนใจ

การที่สาวสวยผมทองคนนี้มาปรากฏตัวอยู่ในเมืองเล็กๆ อันทรุดโทรมแห่งนี้ ทำให้เขารู้สึกแปลกใจอยู่บ้าง ยิ่งไปกว่านั้นผู้หญิงคนนี้สวยงามไม่ธรรมดาเลยทีเดียว สวยยิ่งกว่าดาราหญิงระดับสูงของต่างประเทศเหล่านั้นไม่น้อย มาชวนคุยก่อนแบบนี้ เย่เทียนเฉินย่อมไม่รู้สึกว่าอีก่ายถูกเสน่ห์ของเขาดึงดูดมาจริงๆ แน่นอน

“ฮ่าๆ พี่ชายที่หล่อขนาดนี้ มาปรากฏตัวอยู่ที่นี่ก็หาไม่ง่ายเลยจริงๆ!” สาวผมทองเป็นคนฉลาดมาก เพียงได้เห็นก็รู้ว่าเย่เทียนเฉินเกิดความสงสัย จึงพูดออกมาด้วยรอยยิ้มหวานเยิ้ม

“ภาษาจีนของคุณดีมากเลย คงไม่ได้เป็นลูกครึ่งหรอกนะ?” เย่เทียนเฉินถามด้วยรอยยิ้ม

“ถูกคุณมองออกซะแล้ว ตาแหลมจริงๆ เป็นไง กล้าขึ้นรถหรือเปล่า?” สาวผมทองถามด้วยรอยยิ้ม

“ผู้หญิงสวยสวยอย่างคุณยังไม่กลัวลำบาก แล้วผมจะกลัวด้วยเหรอ?” เย่เทียนเฉินยิ้มแล้วขึ้นนั่งบนรถมอเตอร์ไซต์

สาวผมทองหันไปมองเย่เทียนเฉินครั้งหนึ่งแล้วยิ้มหวาน ทว่าไม่ได้พูดอะไรออกไป สตาร์ทรถมอเตอร์ไซต์แล้วขับออกไปทันที

สาวผมทองคนนี้ก็คืออลิซ อลิซเป็นหัวหน้าหน่วยข่าวกรองพิเศษแห่งประเทศ M ได้รับคำสั่งจากโฮบาม่าให้มาที่ประเทศจีนเพื่อตรวจสอบและฆ่าเย่เทียนเฉิน เพื่อกู้หน้าให้เขาโฮบาม่า กระทั่งเรียกได้ว่าเพื่อล้างความอัปยศให้แก่ประเทศ M ทั้งประเทศ

เย่เทียนเฉินไม่รู้เลยว่าสาวผมทองคนนี้ชื่ออลิซ เป็นหัวหน้าหน่วยข่าวกรองพิเศษแห่งประเทศ M มาเพื่อฆ่าเขา และให้เขาติดรถมาโดยไม่ได้บังเอิญเลยแม้แต่น้อย

อลิซลอบติดตามเย่เทียนเฉินมาตลอดทาง ลอบติดตามมาตั้งแต่มณฑลชวนจนกระทั่งเย่เทียนเฉินได้รับบาดเจ็บและรักษาจนหายดี เธอลอบติดตามมาเงียบๆ โดยไม่ถูกใครพบ ต่อให้เป็นเย่เทียนเฉินก็ไม่รู้ ไม่กล่าวไม่ได้ว่าหัวหน้าหน่วยข่าวกรองแห่งประเทศ M คนนี้มีความสามารถมากและร้ายกาจมาก

เรื่องของเย่เทียนเฉิน อลิซสามารถมั่นใจแล้วว่า ผู้ชายที่นั่งซ้อนมอเตอร์ไซด์เธออยู่คนนี้เป็นคนที่ก่อเรื่องที่วอชิงตัน เป็นคนที่เที่ยวก่อเรื่องใช้อำนาจบาตรใหญ่จนทำให้โฮบาม่าโกรธจนเขวี้ยงแก้วทิ้งไปหลายใบแน่นอน ดูเหมือนว่าคนระดับสูงของประเทศ M จะรู้กันหมดจนกลายเป็นเรื่องขบขัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่ไม่ได้อยู่พวกเดียวกับโฮบาม่าต่างหัวเราะจนเจ็บท้องไปหมด โฮบาม่าจะไม่โกรธได้อย่างไร จะไม่อยากฆ่าเขาได้อย่างไร

แน่นอนว่าอลิซที่มีฐานะเป็นหัวหน้าหน่วยข่าวกรองแห่งประเทศ M ตั้งแต่อายุ 20 ปีย่อมไม่ธรรมดาแน่นอน และไม่ใช่คนที่สะเพร่าบุ่มบ่าม เธอจดจำคำพูดของโทมัสอยู่ตลอด ความสามารถของเย่เทียนเฉินลึกล้ำไม่อาจคาดเดา อย่าได้ดูถูกและตัดสินจากอายุโดยเด็ดขาด ต่อให้อลิซมีฐานะเป็นหัวหน้าหน่วยข่าวกรองแห่งประเทศ M  มีใบหน้างดงามและฉลาดเฉลียว ทั้งยังมีฝีมือแข็งแกร่งห้าวหาญ ก็ดูเหมือนว่าจะไม่สามารถใช้พลังของเธอเพียงคนเดียวฆ่าเย่เทียนเฉินได้

ดังนั้นอลิซจึงเลือกที่จะเข้าใกล้เย่เทียนเฉิน มีเพียงตอนที่เข้าใกล้เย่เทียนเฉินและทำให้เขาไม่ระวังตัวค่อยลงมือฆ่าเขาเท่านั้นถึงจะมีเงื่อนไขครบจนทำภารกิจให้สำเร็จได้

“คุณคนสวย เป็นลูกครึ่งที่ไหนกับที่ไหนเหรอ?” เย่เทียนเฉินยิ้มถาม

“แม่ของฉันเป็นคนจีน พ่อของฉันเป็นคนประเทศ M  แต่ฉันเติบโตมาในประเทศจีน ดังนั้นนอกจากรูปลักษณ์ภายนอก พวกภาษาและวิถีชีวิตก็เหมือนคนประเทศจีน!” อลิซตอบด้วยรอยยิ้ม

ที่นี่ ไม่พูดถึงไม่ได้ว่า มีผู้รุกรานจากต่างประเทศจำนวนมากยังมีความคิดที่ต้องการกำจัดชาวจีนของพวกเราอยู่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศ M และประเทศชิบะ เจ้าหน้าที่พิเศษและนักลอบสังหารของพวกเขาจำนวนมากต่างเรียนรู้วัฒนธรรมจีนรวมไปถึงภาษาและวิถีชีวิตต่างๆ นานาตั้งแต่เด็กจนกระทั่งเข้าใจวัฒนธรรมของประเทศนี้ยิ่งกว่าคนจีนเองเสียอีก หากให้พวกเขามาใช้ชีวิตอยู่ในประเทศจีน ถ้าไม่มีปัญหาเรื่องของรูปลักษณ์ภายนอกก็ไม่มีใครสงสัยเลยว่าพวกเขาไม่ใช่คนจีน

“อ้อ ที่แท้ก็เป็นแบบนี้นี่เอง คุณจะไปไหนเหรอ?” เย่เทียนเฉินพยักหน้ายิ้มๆ แล้วเอ่ยถาม

“ฉันชอบท่องเที่ยวไปทั่ว มีอาชีพอิสระ เขียนนิยายอะไรประมาณนั้น ไม่มีที่ไหนต้องไป สนใจเชิญฉันไปเที่ยวที่บ้านคุณเหรอ?” อลิซพูดด้วยรอยยิ้ม

“ถ้าคุณคนสวยไม่รังเกียจก็ขอเชิญด้วยความยินดี!” เย่เทียนเฉินพูดด้วยรอยยิ้มเช่นเดียวกัน

การพบกันของอลิซและเย่เทียนเฉินไม่ได้ทำให้เย่เทียนเฉินเกิดความสงสัยเลย แค่รู้สึกว่าคนคนนี้สวยและมีใจเปิดกว้าง เป็นสาวผมทองที่มีนิสัยเปิดเผยเท่านั้น

ตอนนี้เอง ภายในคฤหาสน์หลังใหญ่ที่อู๋เสวี่ยซื้อไว้ คนของกลุ่มสิบสามจ้าวสวรรค์กำลังฝึกฝนด้วยตัวเอง ไม่มีภารกิจอะไร ต่างรอให้พี่ใหญ่เย่เทียนเฉินกลับมา เวลาผ่านไปแปดเก้าวันแล้ว ในใจของทุกคนรู้สึกกังวลและร้อนใจมาก ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี การก่อกวนที่เคยมีในสิบสามจ้าวสวรรค์ แม้จะถูกอู๋เสวี่ยและหวังเจี๋ยกดข่มเอาไว้ได้ แต่พวกเขาก็เข้าใจกระจ่างว่า ในช่วงเวลาแบบนี้ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเปล่าประโยชน์ จะอย่างไรทุกคนก็มีเรื่องที่ตนต้องทำและอยากทำ

ในตอนนี้ อู๋เสวี่ยและหวังเจี๋ยสองคนพาสมาชิกของกลุ่มสิบสามจ้าวสวรรค์มารวมตัวกัน ทั้งหมดยืนอยู่ในตำแหน่งว่างเปล่าบริเวณสระน้ำของคฤหาสน์ ทุกคนยืนกันเรียบร้อย มีอู๋เสวี่ยและหวังเจี๋ยยืนอยู่เบื้องหน้าของพวกเขาทั้งหมดด้วยท่าทางเคร่งขรึมทั้งยังดูมีอำนาจ เย่เทียนเฉินเลือกให้หวังเจี๋ยและอู๋เสวี่ยควบคุมดูแลสิบสามจ้าวสวรรค์ด้วยกันนั้นย่อมมีเหตุผล สองคนนี้มีฝีมือที่แข็งแกร่งและมีความซื่อสัตย์ภักดี ไม่ว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นจะยืนหยัดจนกว่าเขาจะกลับมาได้

“ฉันรู้ว่าหลายวันมานี้ทุกคนร้อนใจมาก ต่างเป็นห่วงพี่ใหญ่กันทั้งนั้น สิ่งที่ฉันจะบอกทุกคนได้ก็คือ พี่ใหญ่ไม่เป็นอะไรแล้ว รักษาตัวจนหายดีแล้ว เพียงแต่มีเรื่องบางอย่างต้องไปทำก่อน อีกไม่นานก็จะกลับมานำพวกเรา!”อู๋เสวี่ยพูดอย่างจริงจัง

“ใช่ วันนี้เช้าพี่ใหญ่โทรมาหาฉันแล้ว แสดงให้เห็นแล้วว่าครั้งนี้พวกเรากำจัดตระกูลเซวียนเยวี๋ยนและตระกูลโอวหยางไปได้อย่างราบรื่น ในเรื่องของสวัสดิการของแต่ละคนก็ให้เพิ่มขึ้นอีกขั้น เส้นทางของสิบสามจ้าวสวรรค์ของพวกเรายังอีกยาวไกล แสงสว่างโชติช่วงเพิ่งจะเริ่มขึ้นเท่านั้น!”

“แม่งเอ้ย พวกแกจะหลอกพวกเราทำซากอะไร พี่ใหญ่ได้รับบาดเจ็บสาหัส เป็นตายไม่รู้ พวกแกสองคนยังมาโอ้เอ้กับพวกเราที่นี่ เห็นพวกเราเป็นคนโง่หรือไง?”

“ใช่ เดิมทีพวกเราคิดว่าได้ติดตามคนที่แข็งแกร่งและมีอนาคตอย่างพี่ใหญ่ ไหนเลยจะรู้ว่าไอ้หมอนี่จะอายุสั้น สู้แค่สองครั้งก็ตายซะแล้ว ทำให้ผิดหวังจริงๆ”

ชายทั้งสองเอะอะโวยวายขึ้นมา ตลอดเวลาที่ผ่านมาล้วนเป็นพวกเขาสองคนที่ก่อเรื่องทะเลาะวิวาท สองคนนี้เป็นพี่น้องกัน เป็นพี่น้องฝาแฝดที่มีความสามารถไม่อ่อนแอเลย หากสู้เพียงลำพังอาจจะไม่สามารถสู้อู๋เสวี่ยและหวังเจี๋ยได้ แต่หากสองพี่น้องร่วมมือกันโจมตีจะน่ากลัวไม่น้อย เนื่องจากระหว่างฝาแฝดมีกระแสจิตเชื่อมถึงกันอยู่ รวมกับที่เดิมทีพวกเขาก็ฝึกฝนเคล็ดวิชาผสานของพรรควรยุทธโบราณ ทำให้ยากจะรับมือ

“จางเหลย จางต๋า พวกแกสองพี่น้องคิดจะก่อกบฏหรือไม่กันแน่? ถ้าหากไม่คิดจะทำก็ไสหัวไปซะ” หวังเจี๋ยพูดอย่างจริงจังดุดัน

สองพี่น้องที่ชื่อว่าจางเหลยและจางต๋าเป็นฝาแฝดกัน พวกเขาก่อเรื่องตั้งแต่วันที่สองแล้ว ตอนนั้นยังไม่รุนแรงนัก คงจะเป็นเพราะพวกเขายังไม่มั่นใจว่าเย่เทียนเฉินจะกลับมาหรือไม่ รวมกับที่หวังเจี๋ยและอู๋เสวี่ยแข็งแกร่งมากจนสามารถกดข่มพวกเขาไว้ได้

แต่เมื่อถึงวันหลังๆ อู๋เสวี่ยและหวังเจี๋ยก็เริ่มกดข่มเอาไว้ไม่ไหว เนื่องจากเมื่อมีคนก่อเรื่องขึ้นมาในกองกำลังหนึ่งๆ มักจะส่งผลกระทบไปถึงอารมณ์ของคนอื่น เดิมทีกลุ่มสิบสามจ้าวสวรรค์ก็เพิ่งจะก่อตั้งขึ้น หากจะบอกว่าทุกคนมีความสามัคคีและมีจิตใจซื่อสัตย์ภักดีต่อเย่เทียนเฉินนั้นย่อมเป็นไปไม่ได้ ดังนั้นเมื่อเกิดเรื่องขึ้น  ปัจจัยที่ไม่มั่นคงเหล่านี้ก็ถูกเปิดเผยและสะท้อนออกมา

คำที่ฝาแฝดจางเหลยและจางต๋าพูดได้ส่งผลกระทบกับคนอื่นอื่นโดยทางอ้อม ทุกคนรู้สึกสงสัยอยู่บ้างว่าเย่เทียนเฉินอาจจะตายไปแล้ว ไม่อาจกลับมาได้อีกส่วนกลุ่มสิบสามจ้าวสวรรค์ก็จะต้องแยกย้ายกันไป จิตใจของทุกคนออกห่างแล้ว นี่น่ากลัวยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด

“หึ หวังเจี๋ย แกวางมาดกับพวกฉันให้มันน้อยๆ หน่อยเถอะ แกคิดว่าแกเป็นหัวหน้ากลุ่มสิบสามจ้าวสวรรค์จริงๆ รึไง? ไม่ใช่ว่าตอนแรกก็ดูถูกเย่เทียนเฉินเหรอ? ทำไม? ถูกมันอัดจนแพ้ก็ยอมเป็นสุนัขให้มันแล้วเหรอ? แกมันจะไร้อนาคตเกินไปหรือเปล่า?” จางเหลยมองไปยังหวังเจี๋ยอย่างไม่พอใจแล้วพูดขึ้น

“แก…แกลองพูดอีกรอบสิ?” หวังเจี๋ยมองจางเหลยอย่างดุดันแล้วพูดขึ้น

“พูดแล้วยังไงล่ะ? หรือแกยังคิดจะอัดพวกเราทุกคนให้หมอบอีก? อย่ามาวางมาดเป็นจ้าวสวรรค์ของแกกับพวกเราอีกเลย บิดารับไม่ไหว และจะไม่ฟังคำพูดโยกโย้ของพวกแกด้วย เย่เทียนเฉินตายไปแล้ว กลับมาไม่ได้แล้ว พวกเราไม่คิดจะทำแล้ว แน่นอนว่าจะไม่ทำงานเปล่า ให้พวกเราสองพี่น้องมาคนละห้าล้านหยวนก็นับว่าหมดเรื่องกันไป ต่างคนต่างไป!” จางต๋ามองไปยังหวังเจี๋ยอย่างเย็นชาแล้วพูดขึ้น

“แม่งเอ๊ย พวกแกสองพี่น้องหาเรื่องซะแล้ว บิดาจะหักกระดูพวกแกเอง!” หวังเจี๋ยเป็นคนอารมณ์ร้อน พอถูกสองพี่น้องกระตุ้นก็อดไม่ได้ที่จะโกรธขึ้นมา กำหมัดแน่นเตรียมจะพุ่งเข้าไปสั่งสอนคนทั้งสองที่ไม่รู้จักซื่อสัตย์ภักดี

……..

เมื่อพูดถึงทงเทียนเจี้ยวจู่ จริงๆ แล้วเย่เทียนเฉินไม่ค่อยคุ้นเคยกับคนคนนี้นัก เขามาจากดาวสิ้นโลก แม้จะเคยได้ยินประวัติศาสตร์โบราณของโลกใบนี้มาบ้าง แต่ไม่เข้าใจทั้งหมด ดังนั้นในตอนที่จางอีเต๋อพูดถึงทงเทียนเจี้ยวจู่ เย่เทียนเฉินก็ไม่รู้จักว่าเป็นใคร รู้แค่ว่าคนคนนี้มีกระบี่ทั้งสี่เล่มจากกระบี่โบราณสิบเล่มที่เป็นกระบี่สังหารอยู่ในมือได้ ทั้งยังสามารถนำมาสร้างเป็นค่ายกลสังหารได้อีกด้วย ไม่อาจดูเบาได้เลยจริงๆ

ทุกคนต่างก็รู้ว่า ทงเทียนเจี้ยวจู่คือทงเทียนเจี้ยวจู่ในตำนานเทพนิยายของจีน เป็นผู้ที่มีความเด็ดขาด แม้จะถูกแต่งตั้งให้เป็นนักปราชญ์ก็เคยถือกระบี่ฆ่าคนมากับมือ สามารถนับได้ว่าเป็นคนโหดเหี้ยมคนหนึ่ง มีกระบี่เทพสังหารสี่เล่มและค่ายกลสังหารเทพ คอยจัดการเรื่องการสังหารในสวรรค์และโลก สำนักเทพฝ่ายนามเจี๋ยเจี้ยวที่เขาก่อตั้งก็เป็นสำนักที่มีเทพเซียนอยู่มากที่สุด มีอำนาจแข็งแกร่งมากที่สุด

แน่นอนว่านี่เป็นเพียงตำนานเทพนิยายเท่านั้น ตกลงว่าจะมีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นหรือไม่ก็ไม่มีใครทราบ แต่สิ่งที่ยืนยันได้ก็คือ เรื่องราวมักจะมีเหตุผล และสามารถพูดได้ว่าในประวัติศาสตร์มีคนเช่นทงเทียนเจี้ยวจู่จริงๆ เพียงแต่ชื่อเดิมของเขาย่อมไม่ได้ชื่อว่าทงเทียนเจี้ยวจู่ นั่นเป็นเพราะภายหลังได้ก่อตั้งสำนักการเรียนการสอนขึ้นมา วิธีแห่งการบ่มเพาะสูงส่งลึกล้ำยากคาดเดา มีความสามารถในการหยั่งรู้ฟ้าดิน จึงถูกทุกคนในพรรคเรียกขานด้วยความเคารพว่าทงเทียนเจี้ยวจู่

“เป็นคนที่แข็งแกร่งมากคนหนึ่งจริงๆ ความจริงแล้วเมื่อก่อนฉันก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น มีครั้งหนึ่งฉันบังเอิญมีโอกาสได้รับตำราลับเล่มหนึ่งมาจากพรรควรยุทธโบราณ ในนั้นมีการบันทึกเรื่องนี้เอาไว้ด้วย กล่าวว่า สมัยบรรพกาลมีนักพรตคนหนึ่งชื่อว่าอีทงเทียน ท่องเที่ยวพเนจรไปทั่ว มีวิชาการบ่มเพาะสูงส่งลึกล้ำเป็นอย่างมาก เขาได้รับกระบี่เทพทั้งสี่เล่มที่สืบทอดกันมาในสมัยบรรพกาล และได้นำกระบี่เทพทั้งสี่มาหลอมกลายเป็นค่ายกลสังหารที่น่าหวาดกลัวด้วยวิชาอันแข็งแกร่งของทงเทียน ทั้งยังวาดแผนภูมิสังหารขึ้นมาเพื่อใช้ร่วมกับค่ายกลกระบี่ มีพลังอำนาจฆ่าปีศาจสังหารเทพ ด้วยเหตุนี้จึงถูกเรียกว่าค่ายกลเทพสังหาร หลังจากนั้นนักพรตที่ถูกเรียกว่าอีทงเทียนคนนี้ได้สร้างสำนักศึกษาขึ้นมาและกลายเป็นผู้ก่อตั้ง จึงถูกลูกศิษย์ในสำนักเรียกขานอย่างเคารพว่าทงเทียนเจี้ยวจู่”

“ที่แท้ก็มีสาเหตุแบบนี้นี่เอง ดูท่าคนที่ชื่อว่าอีทงเทียนจะแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก อย่างน้อยก็สามารถไปได้ไกลในเส้นทางการบ่มเพาะ ไม่งั้นคนเพียงคนเดียวคงไม่อาจมีกระบี่สังหารทั้งสี่เล่มได้แน่นอน และยังหลอมรวมพวกมันกลายเป็นค่ายกลอีกด้วย!” เย่เทียนเฉินอดไม่ได้ที่จะกล่าวออกมาด้วยความตื่นเต้น คนที่ถูกเรียกขานว่าทงเทียนเจี้ยวจู่คนนี้ จะต้องเป็นหนึ่งในผู้แข็งแกร่งจากโบราณกาลแน่นอน

ต้องรู้ว่า ถ้าหากเป็นดั่งที่จางอีเต๋อพูด กระบี่โบราณทั้งสิบเล่มไม่ได้มาจากโลกใบนี้ แต่ไม่ทราบว่าเพราะสาเหตุใดถึงได้ตกลงมาจากที่อื่น และยังเคยเป็นค่ายกลกระบี่เดียวกัน กระบี่เทพที่มีพลังอำนาจยิ่งใหญ่ขนาดนี้ เมื่อจัดตั้งขึ้นเป็นค่ายกลกระบี่ไม่รู้ว่าต้องการจะฆ่าปีศาจสังหารเทพ หรือต้องการถล่มฟ้าทลายดินกันแน่ กระทั่งจะทำลายจักรวาลนี้ทั้งหมดก็ยังได้

ถ้ากระบี่เทพทั้งสิบเล่มเคยเป็นค่ายกลกระบี่เดียวกันจริงๆ เช่นนั้นหากต้องการนำกระบี่เล่มใดเล่มหนึ่งออกมาเล่มเดียว ดูเหมือนจะไม่มีทางทำได้เลย เพราะกระบี่นั้นได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของค่ายกลกระบี่ไปแล้ว หากฝืนนำออกมามีแต่จะทำให้กระบี่เทพกระจัดกระจายออกไปและทำร้ายร่างกายของตัวเอง แต่ทงเทียนเจี้ยวจู่กลับฝืนนำกระบี่เทพทั้งสี่เล่มออกมา และยังสร้างเป็นค่ายกลใหม่ที่มีพลังอำนาจแข็งแกร่งอีกค่ายกลหนึ่ง จะไม่ทำให้ผู้คนประหลาดใจและนับถือได้อย่างไร? ชื่อทางเต๋านามว่าทงเทียน(หยั่งรู้ฟ้าดิน) ไม่ใช่ว่าจะไม่มีเหตุผล

“เรื่องนี้ไม่มีทางรู้ได้หรอก ว่ากันว่าทงเทียนเจี้ยวจู่หายไปในค่ำคืนหนึ่ง อยู่ดีๆ ก็หายไปจากโลก ลูกศิษย์ในสำนักของเขา ใช้พลังอำนาจมากแค่ไหนในการตามหาก็ยังหาไม่พบ ไม่รู้ว่าไปไหน!” จางอีเต๋อขมวดคิ้วพูด

เย่เทียนเฉินชะงักไปครู่หนึ่ง จากที่จางอีเต๋อเล่าให้ตนฟัง ตำนานเทพนิยายของประเทศจีนหรือเรื่องเล่าขานของบุคคลมีชื่อเสียงจำนวนมาก ท้ายที่สุดล้วนหายตัวไปอย่างกระทันหัน เรียกได้ว่าอยู่ไม่พบคนตายไม่พบศพ นี่เป็นเรื่องแปลกมากนัก หากเป็นแค่คนคนเดียว ยังสามารถบอกได้ว่าคนคนนี้ฝังศพตัวเองไปแล้ว จะอย่างไรยอดฝีมือจำนวนมาก เมื่อถึงขอบเขตพลังที่แน่นอน ล้วนมีใจเปิดกว้างในเรื่องของความเป็นความตาย แต่ไม่ใช่ว่าทุกคนจะเป็นเช่นนี้หรอกใช่หรือไม่?

ยิ่งไปกว่านั้น ในตอนที่ยอดฝีมือที่แท้จริงไปถึงขอบเขตขั้นสูงสุดแล้ว ดูเหมือนว่าพวกเขาล้วนไล่ตามสิ่งหนึ่งทั้งสิ้น นั่นคือการมีชีวิตยืนยาว ถึงแม้เส้นทางการบ่มเพาะจะเต็มไปด้วยการฆ่าฟัน เต็มไปด้วยคนกินคน แต่ดูเหมือนผู้บ่มเพราะทุกคนจะมีจุดมุ่งหมายร่วมกัน นั่นคือการมีชีวิตยืนยาวเป็นอมตะ

จางอีเต๋อเองก็ไล่ตามสิ่งนี้ เย่เทียนเฉินเองก็ย่อมไล่ตามสิ่งนี้เช่นกัน ดังนั้นพวกเขาจึงสามารถสนทนากันเรื่องความลับต่างๆ ได้ สามารถสนทนาเรื่องความลับในสมัยโบราณของประเทศจีนได้ ซึ่งความลับเหล่านี้คนธรรมดาไม่มีทางรู้ได้เลย และไม่มีทางเข้าใจด้วย เพราะความคิดของคนในสมัยปัจจุบันถูกจำกัดเอาไว้ ทำได้เพียงใช้ชีวิตเงียบๆ ไปทั้งชาติ ต่อให้เป็นบุคคลชั้นสูงหรือบุคคลร่ำรวยสูงศักดิ์ก็ไม่สามารถหนีพ้นความตายไปได้ แล้วจะมีประโยชน์อะไรเล่า?

“หรือว่าเขาเองก็ไปดาวจักรพรรดิแล้ว?” เย่เทียนเฉินเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าแล้วเอ่ยถาม

“บางทีคงเป็นแบบนั้น หากสามารถหาเส้นทางไปได้ ฉันก็อยากจะไปที่ดาวจักรพรรดิดูสักหน่อย บางทีที่นั่นอาจจะเป็นโลกที่สามารถอยู่ได้โดยมีชีวิตยืนยาวเป็นอมตะจริงๆ ก็ได้!” จางอีเต๋อเองก็มองไปยังท้องฟ้า พูดอย่างวาดหวัง

“เอาล่ะตาแก่ มีเรื่องอะไรก็มาหาผมได้ ผมจะรับผิดชอบจางรั่วถงเอง แต่ตอนนี้ผมยังมีเรื่องมากมายต้องทำ ไม่อยู่เป็นเพื่อนแล้ว!” เย่เทียนเฉินลุกขึ้นยืน หมุนตัวเตรียมจะเดินจากไป ตอนนี้เขายังมีเรื่องมากมายที่ต้องกระทำ หลังจากที่ทำทุกอย่างเสร็จสิ้นแล้ว หลังจากที่ไม่มีพันธะใดๆ แล้ว ถึงจะกลับไปยังดาวสิ้นโลก ถึงจะสามารถไปค้นหาความลับของดาวจักรพรรดิได้

เมื่อเห็นเย่เทียนเฉินหมุนตัวเตรียมจะเดินจากไป จางอีเต๋อเองก็ลุกขึ้นยืน ทันใดนั้นเขารู้สึกว่าบางทีเย่เทียนเฉินอาจจะสามารถประสบความสำเร็จก็เป็นได้ เป็นคนของโลกคนต่อไปที่จะสามารถเดินทางไปยังดาวจักรพรรดิได้ เนื่องจากเขาเป็นคนที่มีความสามารถลึกล้ำไม่อาจคาดเดา มีศักยภาพอันยิ่งใหญ่ และกระทำเรื่องต่างๆ อย่างเด็ดขาด เมื่อพลังรวมเข้ากับสมอง นั่นคือความสามารถ

“ถ้าหากสักวันหนึ่ง นายสามารถหาเส้นทางที่จะไปยังดาวดวงอื่นได้ ฉันก็หวังว่านายจะพารั่วถงไปด้วย เธอช่วยเหลือนายได้!” จางอีเต๋อมองไปยังแผ่นหลังของเย่เทียนเฉินแล้วพูดขึ้น

เมื่อได้ยินคำพูดของจางอีเต๋อเย่เทียนเฉินก็หยุดฝีเท้าของตนลงโดยไม่ได้หันกลับมา ทำเพียงพูดอย่างแน่วแน่ว่า “รั่วถงเสียสละเพื่อผมมามาก ผมจำไว้ในใจแล้ว จะไม่ปฏิบัติต่อเธออย่างเลวร้ายแน่นอน วางใจเถอะ!”

เย่เทียนเฉินไปแล้ว ถึงแม้จะไม่ได้พูดอะไรมากมาย แต่คำมั่นสัญญาของลูกผู้ชายคนหนึ่งเขาก็ให้ไปแล้ว ต่อให้เขาจะไม่ได้มีความรู้สึกระหว่างชายหญิงต่อจางรั่วถง ก็จะไม่ปฏิบัติตัวแย่ๆ กับจางรั่วถง ผู้หญิงคนหนึ่งยอมเสียสละร่างกายของตนเพื่อช่วยเหลือเขา นี่ต้องใช้ความกล้ามากขนาดไหนกัน ต้องใช้ความรักมากขนาดไหนกัน? ดังนั้นไม่ว่าจะอย่างไร ชั่วชีวิตนี้ของเย่เทียนเฉินก็จะไม่ทำตัวแย่ๆ กับจางรั่วถง จะปกป้องเธอไปชั่วชีวิตและจะคุ้มครองเธอ

ผ่านไปแปดวันแปดคืนแล้วหลังจากที่เย่เทียนเฉินสะบัดดาบเจ็ดดาวไปต้านทานกระบี่ไท่อา ไม่กล่าวไม่ได้ว่า อู๋เสวี่ยและหวังเจี๋ยมีความสามารถมาก ภายในแปดวันนี้ ถึงแม้ว่าจะมีสมาชิกของสิบสามจ้าวสวรรค์บางคนไม่พอใจ บอกว่าเย่เทียนเฉินตายไปแล้ว ควรจะแยกย้ายกันไปได้แล้ว แต่กลับถูกอู๋เสวี่ยและหวังเจี๋ยกดข่มเอาไว้ ยิ่งกว่านั้นพวกเขายังกำจัดร่องรอยการต่อสู้ของกลุ่มสิบสามราชาเสือดาวของตระกูลโอวหยางและเสวี่ยโม่เจียวที่เป็นลูกน้องของคุณชายใหญ่แห่งมหาวิทยาลัยหลงเถิงไปทั้งหมดแล้วด้วย ทำให้สายสืบของกลุ่มอำนาจใหญ่และตระกูลใหญ่จำนวนมากไม่ได้ข้อมูลไปแม้แต่น้อย กระทั่งคุณชายใหญ่ที่มีความสามารถแข็งแกร่งและกว้างขวางขนาดนั้นยังเพิ่งได้รับการรายงาน

ข้างทะเลสาบเล็กๆ ที่เดิม คุณชายใหญ่แห่งมหาวิทยาลัยหลงเถิงยังคงนั่งตกปลาหันหลังให้คนอื่น ดูลึกลับเป็นอย่างมาก คล้ายกับไม่สนใจว่าด้านนอกจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นเลยแม้แต่น้อย ความจริงเป็นเพราะเขามีฝีมือแข็งแรงจนโดดเดี่ยวมาหลายปี รู้สึกว่าไม่มีเรื่องอะไรน่าสนุก และไม่ได้ลงมือมาหลายปีแล้ว การปรากฏตัวของเย่เทียนเฉินจึงทำให้เขารู้สึกสนใจอยู่บ้าง แต่ยังคงเชื่อว่าทุกสิ่งทุกอย่างยังอยู่ในการควบคุมของตน

“คุณชาย…” โม๋สู่ยืนอยู่ด้านหลังคุณชายใหญ่ กล่าวออกมาด้วยท่าทางกระอักกระอ่วน

“เสวี่ยโม่เจียวมีข่าวมาหรือยัง?” คุณชายใหญ่ดึงเบ็ดตกปลาขึ้นมาช้าๆ พลางถามเสียงเรียบ

“มีข่าวมาแล้วครับ!” โม๋สู่ชะงักไปครู่หนึ่งแล้วพูดขึ้น

“พูดมา!” คุณชายใหญ่แห่งมหาวิทยาลัยหลงเถิงเอ่ยถามต่อไป

“ครั้งนี้สิบสามจ้าวสวรรค์ของเย่เทียนเฉินไม่เพียงแต่จะกำจัดตระกูลเซวียนเยวี๋ยนไปได้ แต่ยังสามารถรับมือกับสิบสามราชาเสือดาวของตระกูลโอวหยางและกำจัดพวกเขาไปทั้งหมดแล้ว ส่วนเสวี่ยโม่เจียว…เขาถูกฆ่าไปแล้ว…ไม่มีแม้แต่ศพ!”

“หืม? กระบี่ไท่อาในมือเสวี่ยโม่เจียว เป็นกระบี่เทพในยุคบรรพกาลเล่มหนึ่ง พลังอำนาจที่ไม่มีอะไรเทียบได้ ต่อให้เสวี่ยโม่เจียวไม่สามารถควบคุมได้ทั้งหมด แต่ก็ไม่ใช่อะไรที่คนธรรมดาจะต่อต้านได้” ถึงแม้คุณชายใหญ่จะแปลกใจอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ถึงขั้นตกตะลึง คนประเภทนี้ไม่กล่าวไม่ได้ว่าสามารถควบคุมอารมณ์ได้เป็นอย่างดี ขุนพลคนหนึ่งถูกฆ่ายังไม่มีสีหน้าโกรธเคืองเลยแม้แต่น้อย เป็นศัตรูตัวฉกาจของเย่เทียนเฉินจริงๆ

 คนของเย่เทียนเฉินปิดบังร่องรอยทั้งหมดเอาไว้ ทำให้พวกเราไม่ได้รับข่าวคราวในทันที แต่ได้ยินว่าเย่เทียนเฉินเองก็ได้รับบาดเจ็บสาหัสจนหมดสติไป และถูกลูกน้องพาตัวไปแล้ว ดูเหมือนว่าจะไปให้หมอรักษา!” โม๋สู่พูดต่อไป

“อาการบาดเจ็บที่เกิดจากกระบี่ไท่อา พลังอำนาจที่ทรงอานุภาพขนาดนั้นไม่ใช่อะไรที่คนธรรมดาจะสามารถรับได้ เย่เทียนเฉินจะต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัยเลย ในเมื่อลูกน้องของเขาพาเขาไปรักษาอาการบาดเจ็บ ดูท่าทางคงจะไม่ธรรมดาซะเเล้ว รีบไปตรวจสอบซะว่าเย่เทียนเฉินไปรักษาที่ไหน…” คุณชายใหญ่คิดถึงปัญหาสำคัญได้ในทันที ถ้าหากเย่เทียนเฉินถูกรักษาจนหายได้จริงๆ จะเป็นการอธิบายให้เห็นว่าบนโลกนี้ยังมีหมอเทวดาอยู่คนหนึ่ง คนเช่นนี้หากคุณชายใหญ่แห่งมหาวิทยาลัยหลงเถิงไม่สามารถใช้งานได้ก็จำเป็นต้องตาย ไม่เช่นนั้นจะกลายเป็นอุปสรรคภายหลัง

“ครับ!” โม๋สู่รีบตอบรับ

“ใช่แล้วส่งคนไปซักหลายคน ไปฆ่าสิบสามจ้าวสวรรค์ของเย่เทียนเฉินให้หมดซะ ไม่ว่าเย่เทียนเฉินจะอยู่หรือตาย ฉันก็ต้องการให้เขารู้ว่า หากฉันต้องการฆ่าเขานั้นง่ายมาก!” คุณชายใหญ่พูดสบายๆ ไม่โอหังไม่ร้อนรนสักนิด นี่เป็นการแสดงให้เห็นถึงความมั่นใจและความสามารถอย่างแท้จริง

สมาชิกของกลุ่มสิบสามจ้าวสวรรค์แต่ละคนล้วนเป็นยอดฝีมือแข็งแกร่งที่เป็นอย่างมาก แต่ลูกน้องของคุณชายใหญ่ก็เป็นกลุ่มปีศาจกระหายเลือดเช่นกัน ไม่เพียงแต่จะมีฝีมือแข็งแกร่งเหนือระดับ แต่ยังมีความโหดเหี้ยมผิดมนุษย์อีกด้วย แค่เสวี่ยโม่เจียวคนเดียวก็สามารถสู้กับอู๋เสวี่ยและหวังเจี๋ยได้แล้ว แน่นอนว่านี่อยู่ภายใต้สถานการณ์ที่กำลังถือกระบี่ไท่อา ปีศาจที่แข็งแกร่งที่สุดในหมู่ลูกน้องของคุณชายใหญ่ยังไม่ได้ออกโรง ครั้งนี้จะถือโอกาสที่เย่เทียนเฉินไม่อยู่ทำร้ายทุกคนในกลุ่มสิบสามจ้าวสวรรค์เสีย คุณชายใหญ่แห่งมหาวิทยาลัยหลงเถิงต้องการเคลื่อนไหวอำนาจอันยอดเยี่ยมของตนอย่างชัดเจนแล้ว

……….

จางรั่วถงใช้ร่างกายอันบริสุทธิ์ของเธอเพื่อรักษาอาการบาดเจ็บให้แก่เย่เทียนเฉิน เธอมีร่างกายที่พิเศษมาก ด้วยเหตุนี้จึงสามารถทำให้เย่เทียนเฉินที่อยู่ในสภาวะซึ่งเป็นครึ่งตายที่คล้ายจะไร้ทางช่วยเหลือตื่นขึ้นมาได้ ยิ่งไปกว่านั้นบาดแผลยังหายดีอีกด้วย

ในตอนที่เย่เทียนเฉินตื่นขึ้นมานั้น เบื้องหน้าของเขามีเพียงจางอีเต๋อที่ไม่พอใจเป็นอย่างมาก กระทั่งมีความโกรธอยู่บ้างด้วยซ้ำ ส่วนจางรั่วถงที่จากไปแล้ว ผู้หญิงคนนี้ใช้ร่างกายอันบริสุทธิ์ของตนเป็นการแลกเปลี่ยนเพื่อทำให้เย่เทียนเฉินหายดี แต่ตัวเธอเองกลับจากไปเงียบๆ

“ไปแล้ว? รั่วถงเธอ…” คำพูดของเย่เทียนเฉินจุกอยู่ในลำคอไปชั่วครู่ ไม่รู้จะพูดอะไรดี

“ในใจของนายคิดยังไงย่อมรู้ตัวเองดี รั่วถงเองก็เข้าใจ ดังนั้นเธอจึงจากไป!”

จางอีเต๋อกล่าวจบก็ออกไปจากห้อง เหลือเพียงเย่เทียนเฉินที่ตกตะลึงอยู่ที่เดิมเพียงลำพัง ไม่พูดอะไรไปครึ่งค่อนวัน เขาเข้าใจความหมายในคำพูดนี้ของจางอีเต๋อดี จางรั่วถงต้องรวบรวมความกล้า ยอมเสียสละร่างกายบริสุทธิ์ของตนเพื่อรักษาอาการบาดเจ็บให้เขา จนกระทั่งเขาหายดีแล้วจึงจากไป เขาสามารถจินตนาการได้เลยว่า แผ่นหลังของนางในยามที่จากไปเงียบๆ จะโดดเดี่ยวเพียงใด

เหตุใดจางรั่วถงจึงได้จากไป? ในจุดนี้ใจของเย่เทียนเฉินเข้าใจกระจ่าง นั่นเป็นเพราะเขากับจางรั่วถงไม่ได้มีความรู้สึกระหว่างชายหญิงต่อกัน ไม่ได้มีความสัมพันธ์เหมือนแฟน อย่างน้อยเขาก็ไม่ได้มีความรักต่อจางรั่วถง กล่าวคือทั้งสองจะมีความกระอักกระอ่วน จะเข้าหน้ากันไม่ติด กระทั่งไม่อาจมองหน้ากันได้ ดังนั้นจางรั่วถงจึงจากไป ผู้หญิงคนนี้เสียสละมากมาย มอบร่างกายอันบริสุทธิ์ของตนออกมาเงียบๆ

เย่เทียนเฉินเดินมาในลานบ้านตระกูลจาง เห็นจางอีเต๋อกำลังนั่งสูบบุหรี่อยู่ข้างโต๊ะหิน สิ่งที่จางอีเต๋อกำลังสูบก็คือยาสูบ ในยุคสมัยเช่นนี้เกรงว่าจะมีน้อยคนที่สูบ และมีน้อยคนที่มีใบยาสูบเช่นนี้

“ตาแก่ ครั้งนี้ผมไม่รู้ว่าจะตอบแทนคุณและรั่วถงยังไงดี วันข้างหน้าหากมีเรื่องอะไรก็เรียกได้ ผมเย่เทียนเฉิน ต่อให้ตายก็จะไม่ปฏิเสธ!” เย่เทียนเฉินมองไปยังจางอีเต๋อแล้วพูดขึ้นอย่างจริงจัง

เมื่อได้ยินคำพูดของเย่เทียนเฉิน จางอีเต๋อก็เงยหน้าขึ้นมองเขาครั้งหนึ่ง จากนั้นจึงทอดถอนใจออกมาแล้วเอ่ยขึ้นว่า “นั่งลงเถอะ พวกเรามาคุยกันสักหน่อย!”

ความจริงแล้วจางอีเต๋อมีความประทับใจต่อเย่เทียนเฉินไม่เลวเลยทีเดียว ในสายตาของเขา ไอ้หนูคนนี้แม้จะมีบางครั้งที่ดูอันธพาลและดูพึ่งพาไม่ได้ไปบ้าง กระทั่งมีความรู้สึกที่ทำให้ผู้คนรู้สึกอยากอัดอย่างบรรยายไม่ถูกอยู่บ้าง แต่กลับไม่ใช่คนเลวร้ายอะไร โดยเฉพาะในยามที่จริงจังขึ้นมา บรรยากาศที่เป็นดั่งเทพสังหารและความสามารถอันลึกล้ำยากจะคาดเดานั้นมากพอที่จะทำให้ผู้คนต้องทอดถอนใจด้วยความตื่นตะลึง รวมกับที่มีฐานะเป็นผู้มีพลังพิเศษเช่นเดียวกัน จึงมีความคิดเหมือนกันในด้านของพลังพิเศษและเส้นทางแห่งการมีชีวิตยืนยาว

เพียงแต่สิ่งเดียวที่ไม่อาจทำให้จางอีเต๋อวางใจได้ชั่วขณะก็คือ จางรั่วถงหลานสาวของตนมีร่างกายที่ไม่เหมือนกับคนปกติ ความลับนี้มีเพียงตัวจางรั่วถงและจางอีเต๋อเท่านั้นที่รู้ ไม่มีบุคคลที่สามรับรู้ และจางอีเต๋อเองก็ไม่กล้าให้คนที่สามรับรู้เช่นกัน เนื่องจากกลัว่าเมื่อร่างกายของจางรั่วถงถูกเผยออกมาจะดึงดูดคนชั่วเข้ามาเป็นจำนวนมาก แต่กลับคิดไม่ถึงว่าในครั้งนี้หลานสาวของตนจะถึงกับมอบร่างกายอันบริสุทธิ์ของตนให้แก่เย่เทียนเฉิน นี่เป็นการสูญเสียอย่างใหญ่หลวงสำหรับจางรั่วถง ไม่ว่าจะเป็นด้านความไม่สมบูรณ์ของร่างกายหรือจะเป็นความเสียหายของพลังสายเลือดในร่างกายก็ตาม

เย่เทียนเฉินนั่งลงตรงข้ามจางอีเต๋อ ทั้งสองสนทนากันซึ่งหน้า

“เจ้าหนู จะบ้าระห่ำเกินไปแล้วจริงๆ ทั้งๆ ที่รู้ว่าในร่างกายของตัวเองมีพลังพิเศษอยู่หลายชนิด เดิมทีก็ยากจะควบคุมอยู่แล้ว แต่ยังไปกระตุ้นพลังขอบเขตขั้นสูงสุดในสภาพที่ปัจจัยทางด้านร่างกายไม่สมบูรณ์อีก นี่เป็นการรนหาที่ตายชัดๆ!” จางอีเต๋อมองไปยังเย่เทียนเฉิน พูดขึ้นอย่างจนใจพลางส่ายหน้า

“มีเพียงการต่อสู้ในสถานการณ์เป็นตายแบบนี้เท่านั้นจึงจะสามารถยกระดับและทะลวงไปได้!” เย่เทียนเฉินพูดด้วยรอยยิ้มเล็กน้อย

“เจ้าหนู ไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วจริงๆ หรือไง นายรนหาที่ตายมันไม่สำคัญ แต่อย่าได้ลากรั่วถงไปด้วย!” จางอีเต๋อกรอกตาใส่เย่เทียนเฉินแล้วพูดขึ้น

“รั่วถงเป็นผู้หญิงที่ดีคนหนึ่ง ถ้าหากเธอเต็มใจ ผมก็จะไม่ทำตัวแย่ๆ กับเธอ!” เย่เทียนเฉินพูดขึ้นอย่างจริงจังและจริงใจ

“หึ นายอย่าได้คิดฟุ้งซ่านไปเลย เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ คนแบบนาย หากทุกครั้งที่ได้รับบาดเจ็บจะต้องให้รั่วถงคอยช่วย เพียงไม่นานเธอก็จะตายแน่นอน!” จางอีเต๋อแค่นเสียงเย็นครั้งหนึ่งแล้วพูดขึ้น

“ตาแก่ ผมรู้ว่าร่างกายของรั่วถงพิเศษ ไม่งั้นคงกำจัดพลังอานุภาพของกระบี่ไท่อาไม่ได้แน่นอน ร่างกายรั่วถงมีความพิเศษยังไงกันแน่?” เย่เทียนเฉินอดไม่ได้ที่จะถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น

ไม่ว่าจะเป็นโลกในปัจจุบันนี้หรือในดาวสิ้นโลกก่อนหน้านี้ เย่เทียนเฉินรู้ว่าบนโลกใบนี้มีคนที่มีร่างกายพิเศษอยู่เป็นจำนวนมาก บางคนแข็งแกร่งโดยกำเนิดเพราะร่างกายที่มีลักษณะพิเศษ บางคนสามารถบ่มเพาะพลังได้อย่างรวดเร็วเพราะร่างกายอันพิเศษนี้ แน่นอนว่ามีบางคน เพราะมีร่างกายเช่นนี้ ต่อให้มีความฉลาดเฉลียวมากเพียงใดก็เป็นได้แค่มนุษย์ธรรมดาไปชั่วชีวิต ทำได้แค่รอการเกิดแก่เจ็บตายเท่านั้น ไม่สามารถเดินบนเส้นทางบ่มเพาะได้ ต้องร่ำให้ไปชั่วชีวิต

“นี่ไม่เกี่ยวกับนาย ฉันอยากรู้ว่ากระบี่ไท่อาอยู่ที่ไหน?” จางอีเต๋อไม่ตอบคำถามของเย่เทียนเฉิน แต่กลับถามถึงกระบี่ไท่อา

“มีปัญหาอะไรเหรอ? ผมฆ่าเสวี่ยโม่เจียวที่เป็นลูกน้องของคุณชายใหญ่แห่งมหาวิทยาลัยหลงเถิงไปแล้ว กระบี่ไท่อาก็ต้องอยู่ในมือของผมอยู่แล้ว!” เย่เทียนเฉินพูดจีบปากจีบคอ

จางอีเต๋อมองเย่เทียนเฉินครู่หนึ่ง จากนั้นจึงเอ่ยปากอย่างจริงจัง “มีคำเล่าลือกันว่าเดิมทีกระบี่โบราณทั้งสิบเล่มไม่ใช่สิ่งของในโลกนี้ เรื่องนี้จะต้องมีความลับที่ยิ่งใหญ่อยู่แน่นอน!”

“อะไรนะ? เดิมทีกระบี่โบราณทั้งสิบเล่มไม่ใช่ของโลกนี้?” เย่เทียนเฉินเองก็รู้สึกแปลกใจมาก คิดไม่ถึงว่ากระบี่โบราณทั้งสิบเล่มบนโลกจะไม่ใช่ของโลกใบนี้ ความลับเช่นนี้เมื่อถูกพูดออกมาจากปากของจางอีเต๋อที่เป็นผู้มีพลังพิเศษอาวุโส ยังคงเชื่อถือได้มาก

“ไม่ใช่ เล่าลือกันว่ากระบี่โบราณทั้งสิบเล่มตกจากฟ้าลงมาบนโลก ส่วนเรื่องที่ว่ามาจากที่ไหน มีความลับอะไรอยู่ ยังไม่มีใครรู้ ฉันเคยเห็นกระบี่อวี๋ฉางมาก่อน รู้สึกได้ว่ากระบี่เล่มนั้นไม่ปกตินัก มีการผันผวนของพลังจากโลกที่แตกต่างกันออกไป พลังแห่งการบ่มเพาะแข็งแกร่งมาก” จางอีเต๋อส่ายหน้าแล้วพูดขึ้น

“การผันผวนของพลังจากโลกที่แตกต่างกันออกไป พลังการบ่มเพาะที่แข็งแกร่งยิ่งกว่า? หรือจะมาจากดาวจักรพรรดิ?” เย่เทียนเฉินเอ่ยถามด้วยความแปลกใจ

ดาวจักรพรรดิ เป็นการดำรงอยู่ที่ไม่อาจจินตนาการได้ ล้วนมีบันทึกเอาไว้ในประวัติศาสตร์สมัยโบราณและประวัติศาสตร์อย่างไม่เป็นทางการของโลก

ถึงแม้เย่เทียนเฉินจะไม่เข้าใจมากนัก แต่บางครั้งก็สามารถมองเห็นดาวอันว่างเปล่าได้ในยามค่ำคืนที่ไร้ผู้คน สามารถมองเห็นดาวจักรพรรดิที่เปล่งประกายออกมา ให้ความรู้สึกแปลกประหลาดมาก ตามที่จางอีเต๋อพูด ในตอนที่เขาได้พบพระของลัทธิเต๋าบริเวณภูเขาหลังวัดเส้าหลินที่นั่งละสังขารอยู่นั้น เขามองไปยังทิศทางของดาวจักรพรรดิและถอนใจออกมา ท่าทางดาวจักรพรรดิจะมีความลับมากมาย กระทั่งอาจเกี่ยวข้องกับความลับในสมัยโบราณอันห่างไกลของโลกใบนี้

“ไม่รู้เหมือนกัน สรุปคือฉันจะได้อ่านข้อมูลมาบ้าง ดูเหมือนจะมั่นใจได้ว่ากระบี่โบราณทั้งสิบเล่ม ไม่มีแม้แต่เล่มเดียวที่เกิดมาจากโลก ทั้งหมดมาจากที่อื่น นอกจากนั้นภายในอาวุธสิบเล่มนี้ ดูเหมือนจะมีความเกี่ยวข้องอะไรกัน ฉันสงสัยว่าอาจจะเป็นของที่เหมือนกับกระบี่เทพสังหารทั้งสี่เล่ม!” จางอีเต๋อพูดความคิดเห็นของตนออกมาอย่างใจกล้า เขารู้ว่าเย่เทียนเฉินแม้จะอายุน้อย แต่มีความคิดเป็นเอกลักษณ์

กระบี่เทพสังหารทั้งสี่เล่มไม่ใช่ของที่อยู่ในตำนานเล่าขาน แต่มีตัวตนอยู่จริงๆ กระบี่ทั้งสี่เล่มนี้เกิดบนโลกใบนี้แน่นอน จนถึงตอนนี้ก็ยังถูกบุคคลผู้มีความสามารถเก็บซ่อนเอาไว้ ความจริงแล้วกระบี่เทพสังหารทั้งสี่เล่มเป็นสิ่งที่นักบวชในลัทธิเต๋าสร้างขึ้นมา ด้านในแฝงไปด้วยไอสังหารอันเข้มข้น เมื่อมียอดฝีมือสี่คนถือเอาไว้และร่วมมือกันใช้กระบวนท่า จะให้ผลลัพธ์ที่สามารถสังหารเทพและปีศาจได้ ดังนั้นชื่อของกระบี่เทพสังหารทั้งสี่จึงสั่นสะเทือนโลกหล้ามาถึงทุกวันนี้

สิ่งที่ทำให้ผู้คนคิดไม่ถึงก็คือ กระบี่โบราณทั้งสิบเล่มถึงกับไม่ใช่อาวุธของโลก กระบี่ทั้งสิบเล่มนี้อาจจะร้ายกาจยิ่งกว่ากระบี่เทพสังหารทั้งสี่เสียอีก แต่กลับไม่ใช่อาวุธของโลก ถ้าเช่นนั้นมาจากที่ไหนกันล่ะ?

นักโบราณคดีในปัจจุบันและคนที่ศึกษาในเรื่องของประวัติศาสตร์โบราณจำนวนหนึ่งก็ยังไม่พบและไม่รู้โดยสิ้นเชิงว่ากระบี่โบราณทั้งสิบเล่มนี้ถึงกับไม่ใช่อาวุธของโลก มีความเป็นไปได้มากกว่าจะมาจากที่อื่น หากข้อมูลนี้แพร่ออกไปเกรงว่าจะทำให้ทั่วทั้งโลกต้องเดือดพล่าน

“ตาแก่ คำพูดนี้จะเพ้อฝันเกินไปหรือเปล่า? ตามความคิดของคุณก็คือ กระบี่โบราณทั้งสิบไม่ใช่อาวุธของโลก แต่ตกลงมาจากสถานที่อื่นงั้นหรือ? ยิ่งไปกว่านั้นกระบี่โบราณทั้งสิบเล่มอาจจะสามารถรวมเป็นหนึ่งเดียวกันได้ หรืออย่างน้อยก็เป็นค่ายกลกระบี่เดียวกัน?”

เย่เทียนเฉินถามออกมาด้วยความสงสัยที่อัดแน่นเต็มสมอง ไม่ใช่ว่าเขาจะบอกว่าการที่กระบี่โบราณทั้งสิบเล่มมาจากที่อื่นและเป็นค่ายกลกระบี่ค่ายกลเดียวกันจะเป็นเรื่องแปลกอะไร สำหรับเขาที่เคยเป็นผู้แข็งแกร่งที่มีพลังพิเศษระดับพระเจ้า ไม่มีความคิดเหมือนคนบนโลกในยุคปัจจุบันนานแล้ว ในโลกของการบ่มเพาะมีเรื่องแปลกประหลาดมากมาย สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นเรื่องปกติ

แต่สิ่งที่ทำให้เย่เทียนเฉินไม่เข้าใจก็คือ หากกระบี่โบราณทั้งสิบเล่มไม่ได้เกิดจากโลกใบนี้แต่มาจากที่อื่นเหมือนที่จางอีเต๋อพูด ถ้าอย่างนั้นจะมาจากที่ไหนกัน? ยิ่งไปกว่านั้นเย่เทียนเฉินยังได้เห็นอานุภาพของกระบี่ไท่อาซึ่งเป็นหนึ่งในกระบี่โบราณทั้งสิบเล่มมาแล้ว นี่เป็นกระบี่ที่ถูกผู้คนบนโลกเรียกขานว่ากระบี่แห่งเดชานุภาพ นั่นก็มีเหตุผล ภายในตัวกระบี่แฝงไปด้วยพลังฤทธิ์เดชนับพันปียังไม่สูญสลาย เมื่อปรากฏออกมาจึงมีพลังอานุภาพที่กำลังมนุษย์ไม่สามารถควบคุมได้

เห็นได้เลยว่ากระบี่อีกเก้าที่เหลือจะต้องไม่อ่อนแอแน่นอน ยิ่งไปกว่านั้นในตอนที่กระบี่ไท่อายังไม่ถูกดึงพลังที่แท้จริงออกมาทั้งหมด ก็เกือบจะเอาชีวิตเย่เทียนเฉินได้แล้ว หากเป็นเหมือนที่จางอีเต๋อพูดจริงๆ หากนำกระบี่ทั้งสิบเล่มมารวมเข้าด้วยกันเป็นค่ายกลหนึ่งเดียว จะน่าหวาดกลัวขนาดไหน? เกรงว่าจะมีอานุภาพมากกว่ากระบี่เทพสังหารทั้งสี่ด้วยซ้ำ

“แต่ยังมีอีกความคิดหนึ่งนั่นก็คือ เดิมทีกระบี่เทพสังหารทั้งสี่ก็เป็นกระบี่สีเล่มที่อยู่ในกระบี่โบราณทั้งสอบ เพียงแต่ตกไปอยู่ในมือของนักพรตเต๋าคนนั้น แล้วฝืนนำพวกมันหลอมเป็นอาวุธเทพทั้งสี่เล่มและใช้สร้างค่ายกลกระบี่ขึ้นมา!” จางอีเต๋อพูดพลางขมวดคิ้ว

“ถ้าเป็นแบบนี้จริงๆ งั้นนักพรตเต๋าก็แข็งแกร่งมาก คนคนนี้เป็นใคร?” เย่เทียนเฉินไม่มีความรู้เรื่องของกระบี่เทพสังหาร ดังนั้นจึงถามด้วยความสงสัย

“ประมาณหลายพันปีก่อน มีนักพรตเต๋าคนหนึ่งชื่อทงเทียน ก่อตั้งสำนักสั่งสอนขึ้นมาแห่งหนึ่ง จึงถูกผู้คนยกย่องเป็นทงเทียนเจี้ยวจู่!” จางอีเต๋อเอ่ยปากพูด

“คนคนนี้เดินบนเส้นทางแห่งการบ่มเพาะได้ไกลมาก ไม่งั้นคงไม่ได้รับกระบี่เทพทั้งสี่เล่มนั้นแน่นอน ยิ่งไปกว่านั้นยังฝืนหลอมเป็นกระบี่เทพสังหารอีกด้วย!” ดูเหมือนเย่เทียนเฉินจะคิดถึงอะไรบางอย่างขึ้นมาได้

“เป็นคนที่แข็งแกร่งมากจริงๆ สามารถนำกระบี่เทพทั้งสี่เล่มมาสร้างเป็นค่ายกลกระบี่ได้ และยังควบคุมได้อีกด้วย ถ้าสำแดงพลังที่สามารถทลายฟ้าดินออกมาได้ จะต้องมากพอที่จะทำให้ผู้คนสั่นสะท้านแน่นอน!” ในใจของจางอีเต๋อก็รู้สึกทอดถอนใจด้วยความตื่นตะลึง เขาเป็นคนของโลกนี้ ย่อมคิดถึงตำนานของทงเทียนเจี้ยวจู่

………

เย่เทียนเฉินถูกพลังที่แตกต่างกันสามประเภทโจมตี ชีวิตตกอยู่ในอันตราย เจ็ดวันเจ็ดคืนผ่านไปจางอีเต๋อพยายามรักษาชีวิตของเย่เทียนเฉินเอาไว้อย่างสุดความสามารถ แต่กลับไม่สามารถทำให้เย่เทียนเฉินได้สติคืนมา

เนื่องจากตอนนี้พลังทั้งสามสายที่ทำให้เย่เทียนเฉินบาดเจ็บสาหัสกำลังปั่นป่วนและอาละวาดอยู่ในร่างกายของเขา

ได้รับบาดเจ็บอย่างน่ากลัวขนาดนี้ เย่เทียนเฉินไม่ตายไปในทันที และยังสามารถรักษาชีวิตอยู่ต่อไปได้ นี่ก็ทำให้จางอีเต๋อตื่นตะลึงมากแล้ว

จางอีเต๋อเองก็พยายามเต็มกำลัง ใช้เคล็ดวิชาพลังพิเศษแห่งการรักษาละลายยาหลงสุ่ยเข้าไปในร่างกายของเย่เทียนเฉิน แต่ก็ยังไม่สามารถกำจัดการทำลายอันแข็งแกร่งของพลังทั้งสามประเภทได้

กล่าวให้ชัดเจนก็คือ เนื่องจากพลังสังหารที่ปะทุออกมาจากกระบี่ไท่อาซึ่งเป็นกระบี่แห่งเดชานุภาพภายที่อยู่ในร่างกายของเย่เทียนเฉินเอาแต่ใจมากเกินไป เหมือนกับอยากจองจำอยู่ในร่างกายของเย่เทียนเฉินอย่างไรอย่างนั้น ไม่ว่าจางอีเต๋อจะใช้พลังพิเศษหรือใช้ยาหลงสุ่ยเขาช่วยก็ไม่สามารถบังคับให้มันออกมาได้

ดังนั้นเย่เทียนเฉินในตอนนี้จึงยังไม่ได้สติ อยู่ในสภาพครึ่งเป็นครึ่งตาย

“ไม่ว่าพี่เทียนเฉินจะชอบหนูหรือเปล่า หนูก็จะลองดู!”

จางรั่วถงรู้สึกเคร่งเครียด แต่แม่นางตัวน้อยก็ยังพูดออกมาอย่างแน่วแน่

“รั่วถง ปู่เข้าใจความคิดของหลานดี แต่ทำแบบนี้หลานรู้ไหมว่าหมายความว่ายังไง? ยิ่งไปกว่านั้นการให้แบบนี้อาจจะไม่ได้รับสิ่งตอบแทน นิสัยของไอ้หนูนี่ยากจะเข้าใจ ยิ่งไปกว่านั้นข้างกายของเขาก็มีสาวงามมากราวกับก้อนเมฆ หลานเสียสละแบบนี้ไม่คุ้มค่าเลย!” จางอีเต๋อยังคงพูดค้านออกมา

จางรั่วถงรู้ว่าเพื่อปกป้องเธอ ปู่จึงไม่อนุญาตให้เธอทำผิดพลาด ถ้าทำแบบนี้จริงๆ สำหรับเธอที่เป็นผู้หญิงคนหนึ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้หญิงที่ยังไม่เคยแม้แต่จูบกับผู้ชาย นับเป็นการเสียสละและสูญเสียอย่างใหญ่หลวง

เนื่องจากทำแบบนั้น จะทำให้เธอเสียร่างกายอันบริสุทธิ์ไป แต่มีเพียงทำแบบนี้เท่านั้นถึงจะทำให้เย่เทียนเฉินตื่นขึ้นมาได้

“คุณปู่คะ ช่วยชีวิตคนได้บุญยิ่งกว่าสร้างเจดีย์เจ็ดชั้น ยิ่งไปกว่านั้นพี่เทียนเฉินก็เป็นคนดี หนูเชื่อว่าเขาจะไม่ทำให้หนูผิดหวังแน่นอน ยิ่งไปกว่านั้น…ต่อให้เขาไม่ชอบหนูก็ไม่เป็นไร หนูต้องการช่วยชีวิตคนคนหนึ่งเท่านั้น ไม่มีอะไรสำคัญไปกว่านี้แล้ว” จางรั่วถงชะงักไปครู่หนึ่งแล้วพูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม

จางอีเต๋อพยักหน้า ทอดถอนใจครั้งหนึ่ง เขารู้ว่าจางรั่วถงหลานสาวของตนตัดสินใจแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นหลานยังพูดอย่างผ่อนคลาย ไม่ใส่ใจเลยแม้แต่น้อย

แต่ในฐานะที่เป็นปู่ของจางรั่วถง จางอีเต๋อจะไม่เข้าใจความคิดของหลานสาวได้อย่างไร?

ตั้งแต่ครั้งนั้นที่บ้านตระกูลจาง เย่เทียนเฉินก็ช่วยมู่หรงซินโดยไม่สนใจชีวิตของตัวเอง แล้วยังเป็นการช่วยเหลือพวกเขาทางอ้อมอีกด้วย จางรั่วถงจำช่วงเวลานั้นเอาไว้ในใจ บางครั้งยังถามตนเกี่ยวกับเรื่องของเย่เทียนเฉินอีกด้วย

บางทีในใจของจางรั่วถงคงจะมีเงาของเย่เทียนเฉินอยู่แล้ว และมีความรู้สึกรักใคร่เย่เทียนเฉินที่มีนิสัยเหมือนอันธพาลและเทพแห่งความตายคนนี้เข้าโดยที่ไม่รู้ตัว

ในตอนที่อู๋เสวี่ยและหวังเจี๋ยพาเย่เทียนเฉินที่ร่างกายเต็มไปด้วยเลือดและลมหายใจรวยระรินมาส่งที่บ้านตระกูลจาง จางรั่วถงก็กังวลใจเป็นอย่างยิ่ง คอยเฝ้าอยู่หน้าถังไม้ที่เย่เทียนเฉินเข้าไปนั่งอยู่เจ็ดวันเจ็ดคืนเต็มๆ คอยสังเกตความเปลี่ยนแปลงของเย่เทียนเฉินอยู่ตลอดเวลา และรีบเปลี่ยนน้ำให้ทันเวลา

เรียกได้ว่าภายในเจ็ดวันเจ็ดคืนนี้ดูเหมือนเธอจะไม่ได้นอนเลย ในใจของเธอเป็นห่วงเย่เทียนเฉินจริงๆ

ในช่วงเวลาเจ็ดวันเจ็ดคืน จางอีเต๋อก็พยายามเต็มที่ ใช้วิธีการทุกอย่างออกมาหมด ถึงสามารถรักษาชีวิตของเย่เทียนเฉินเอาไว้ได้

แต่เย่เทียนเฉินก็ยังไม่ฟื้น เขาไม่สามารถกำจัดพลังที่ทำลายภายในของเย่เทียนเฉินได้อย่างสมบูรณ์ จางอีเต๋อไม่มีวิธีอื่นแล้ว

“รั่วถง หวังว่าหลานจะพิจารณาให้ดี หลานจะทำแบบนี้เพื่อไอ้หนูนี่จริงๆ เหรอ?” จางอีเต๋อถามอย่างไม่วางใจ

“คุณปู่คะ ตอนนี้นอกจากหนูแล้ว ยังมีคนช่วยพี่เทียนเฉินได้อีกเหรอ? นี่เป็นเรื่องที่หนูจำเป็นต้องทำ ยิ่งไปกว่านั้นหนูไม่อยากเสียใจทีหลัง!” จางรั่วถงพูดอย่างแน่วแน่

หลายคนต่างพูดว่า เมื่อที่ผู้หญิงคนหนึ่งหลงรักผู้ชายคนหนึ่งเข้าอย่างแท้จริง เรื่องทุกอย่างที่เธอกระทำต่างก็บ้าคลั่ง เพื่อผู้ชายคนนี้ ไม่ว่าอะไรก็เต็มใจที่จะทำ ไม่ว่าอะไรก็กล้าทำ ผู้ชายคนนี้จะกลายเป็นโชคดีและมีบุญมาก ควรจะรู้สึกซาบซึ้งและสำนึกบุญคุณ ที่มีผู้หญิงแบบนี้สนใจเขา

จางอีเต๋อชะงักไปครู่หนึ่ง เขาย่อมไม่อยากให้เย่เทียนเฉินตาย ถึงแม้ว่าชายหนุ่มคนนี้จะมีบางครั้งที่มีท่าทางอันธพาล มีบางครั้งที่เป็นเหมือนเทพแห่งความตาย แต่ก็เป็นคนที่ควรค่าแก่การนับถือคนหนึ่ง เป็นบุคคลผู้มีความสามารถที่หาได้ยาก

เพียงแต่หลานของเขาจะต้องเสียสละออกไปมากขนาดนั้น ใช้ร่างกายบริสุทธิ์ของตัวเองไปช่วยเหลือเย่เทียนเฉิน ช่วยผู้ชายที่อาจจะไม่รักเธอโดยไม่สนใจอะไร ตกลงแล้วมันคุ้มหรือไม่?

ความรัก ไม่ใช่เรื่องของการตบมือข้างเดียว ต่อให้จางรั่วถงจะรักเย่เทียนเฉินโดยไม่รู้ตัว หรือกระทั่งโหยหาเขา ยอมที่จะสละร่างกายอันบริสุทธิ์ของตัวเองเพื่อไปช่วยเหลือเย่เทียนเฉิน นั่นจะเป็นเรื่องดีไปได้อย่างไร?

เย่เทียนเฉินไม่ได้แสดงออกว่าชอบจางรั่วถงออกมาเลยแม้แต่ครึ่งส่วน อย่างน้อยตอนนี้ก็ไม่มี ถ้ามอบให้ไปแบบนี้จะต้องทำให้เขากังวลแน่นอน

แต่ก็เหมือนกับที่จางรั่วถงพูด จางอีเต๋อในตอนนี้รับมือไม่ได้แล้ว สิ่งที่ควรจะทำก็ทำไปหมดแล้ว เขาสามารถรักษาชีวิตของเย่เทียนเฉินเอาไว้ได้ แต่กลับไม่สามารถทำให้ตื่นขึ้นมาได้ และไม่มีทางทำให้พลังภายในที่ทำลายร่างกายของเขาหายไปได้ หากเป็นแบบนี้ต่อไปเย่เทียนเฉินจะต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัยเลย เป็นได้แค่คนครึ่งเป็นครึ่งตายอยู่หลายวันก็เท่านั้น

“รั่วถง หลานคิดดีแล้วหรือ?” พี่เหมอมองหลานสาว กล่าวออกมาอย่างทอดถอนใจ

“คิดดีแล้วค่ะคุณปู่ ปู่ต้องช่วยหนูปิดกั้นเส้นประสาทของเขาด้วยค่ะ เรื่องต่อจากนี้หนูจะทำให้เสร็จเอง!” จางรั่วถงพูดด้วยรอยยิ้ม

ในที่สุดจางอีเต๋อก็รับปาก เขาไม่มีหนทางแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นนี่ก็เป็นการเลือกของหลานสาวของตน เขาทำได้แค่ตักเตือนเท่านั้น แต่ไม่สามารถก้าวก่ายได้ จะอย่างไรเขาก็เข้าใจนิสัยของจางรั่วถงผู้เป็นหลานสาวของตนอย่างดี เรื่องที่ตัดสินใจไปแล้ว ใครก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้

ภายในห้องยาของบ้านตระกูลจาง เย่เทียนเฉินยังคงนั่งอยู่ในถังน้ำใบใหญ่ที่เต็มไปด้วยน้ำร้อน

จางอีเต๋อยืนอยู่เบื้องหน้าเขา เย่เทียนเฉินในตอนนี้ยังคงหลับตาทั้งสองแน่น อยู่ในสภาพสลบไสล เข็มทองหลายเล่มปักเข้าไปบริเวณศีรษะของเขา ทำให้เขารู้สึกล่องลอยไปชั่วคราว ไม่รู้สึกตัว

“หวังว่าไอ้หนูอย่างนายจะเห็นค่ารั่วถง ไม่ปฏิบัติแย่ๆ กับเธอ!”

จางอีเต๋อพูดจบก็หมุนตัวเดินออกไปจากห้องยา ปล่อยให้ภายในห้องเหลือแค่เย่เทียนเฉินและจางรั่วถงสองคน

ไม่นานจางรั่วถงก็เดินออกมาจากห้องเล็กๆ ด้านข้าง ร่างกายเปลือยเปล่าดูสมบูรณ์แบบ ดูแล้วงดงามถึงเพียงนั้น มีเสน่ห์ถึงเพียงนั้น ผิวผ่องสวยใส ทำให้ผู้คนอดไม่ได้ อยากที่จะเข้าไปสัมผัส ร่างกายมีส่วนเว้าโค้ง สามารถสร้างความปรารถนาให้กับผู้ชายได้

ถึงแม้ภายในห้องยาแห่งนี้จะมีแค่เย่เทียนเฉินกับจางรั่วถงสองคนเท่านั้น แต่เย่เทียนเฉินก็อยู่ในสภาพหมดสติ ไม่สามารถลืมตาขึ้นมาดูจางรั่วถงได้

แต่เธอก็ยังคงอายจนหน้าแดง ปิดสวนซ่อนเร้นของตนตามสัญชาตญาณ ค่อยๆ เดินไปยังถังไม้อันใหญ่

สำหรับผู้หญิงคนหนึ่งที่ไม่เคยมีแฟนและไม่เคยถูกผู้ชายจูบมาก่อน ต้องมาสัมผัสเรื่องระหว่างชายหญิง และยังต้องเป็นตัวเองที่เป็นฝ่ายกระทำ จะน่าอายมากขนาดไหนกัน จะลำบากใจขนาดไหนกัน จินตนาการได้เลยทีเดียว

จางรั่วถงเดินไปข้างถังไม้ใหญ่ด้วยความเขินอาย ยกขาขวาของตนขึ้นอย่างเชื่องช้า ความงดงามของร่างกาย ความสวยงามขนาดนั้น น่ามองอย่างไม่ต้องสงสัยเลย

เมื่อเคลื่อนไหวเช่นนี้ออกมาทำให้จางรั่วถงเขินอายจนทนไม่ไหว ร่างกายของเธองดงามสมบูรณ์แบบ งดงามจนไม่มีข้อบกพร่องแม้แต่จุดเดียว เหมือนกับผลงานชิ้นเอกจากสวรรค์อย่างไรอย่างนั้น หากตอนนี้เย่เทียนเฉินมีสติครบถ้วนก็ไม่แน่ว่าจะปฏิเสธความเย้ายวนนี้ได้

จางรั่วถงเข้าไปอยู่ในถังไม้ใหญ่อย่างเชื่องช้า โอบกอดร่างกายอันเปลือยเปล่าของตนแน่น ทั่วทั้งร่างมีกลิ่นอายความเขินอายออกมา รู้สึกตื่นเต้นมาก

เธอกัดฟันแน่น เพิ่มความกล้าของตัวเองแล้วค่อยๆ โอบกอดเย่เทียนเฉิน ปากเล็กๆ ประทับไปที่ริมฝีปากของเย่เทียนเฉิน จูบอย่างดูดดื่ม ถึงแม้เย่เทียนเฉินจะอยู่ในสภาพหมดสติ ความรู้สึกตัวก็ถูกจางอีเต๋อใช้เข็มทองระงับเอาไว้แล้ว

แต่สัญชาตญาณทำให้เขามีปฏิกิริยา ไม่นานก็พัวพันอยู่กับจางรั่วถง

จางรั่วถงกัดฟันแน่น ยอมรับการจู่โจมของเย่เทียนเฉิน รับการจู่โจมอันดุเดือด อดทนอย่างตั้งมั่น เธอต้องการช่วยเย่เทียนเฉิน ใช้ร่างกายอันบริสุทธิ์ของตนโดยผ่านวิธีการแบบนี้เพื่อช่วยให้เย่เทียนเฉินฟื้นคืนสติ ยิ่งไปกว่านั้นยังสามารถกำจัดพลังที่ทำร้ายร่างกายของเขาได้อีกด้วย

เช้าวันต่อมา

ในตอนที่เย่เทียนเฉินฟื้นขึ้นมา เขาก็พบว่าตนนอนอยู่บนเตียง ถึงแม้ร่างกายจะยังมีความรู้สึกไร้เรี่ยวแรงอยู่ แต่กลับไม่ได้รุนแรงอะไร อาการบาดเจ็บที่มือทั้งสองก็รักษาจนหายแล้ว อวัยวะภายในก็ไม่มีความรู้สึกเจ็บปวดราวกับจะแหลกสลายอีก นี่ทำให้เขารู้สึกสงสัยอยู่บ้าง

“ในที่สุดก็ตื่นแล้ว ไม่เป็นไรใช่ไหม?” จางอีเต๋อปรากฏตัวเบื้องหน้าเย่เทียนเฉิน เอ่ยถามอย่างเรียบเฉย

“อ้อ ที่แท้ก็เป็นแบบนี้นี่เอง ผมบอกแล้วว่าผมไม่เป็นอะไรหรอก!” เย่เทียนเฉินพูดพลางหัวเราะฮี่ๆ

เมื่อเห็นจางอีเต๋อเย่เทียนเฉินก็เข้าใจโดยพลัน เป็นจางอีเต๋อที่ช่วยตนเอาไว้ ชายชราที่มีเคล็ดวิชาพลังพิเศษแห่งการรักษาที่แข็งแกร่งและลึกลับคนนี้ เกรงว่าในโลกใบนี้คนที่สามารถช่วยเขาได้คงมีแค่จางอีเต๋อคนเดียวแล้ว

พลังพิเศษและพลังภายในแบบนี้ อีกทั้งยังมีการบาดเจ็บจากกระบี่ไท่อาซึ่งเป็นหนึ่งในสิบกระบี่โบราณ ถ้าเป็นโรงพยาบาลธรรมดา ด้วยการแพทย์ในยุคปัจจุบันไม่สามารถรักษาหายได้โดยเด็ดขาด

“ไอ้หนูรู้หรือเปล่า เพื่อที่จะช่วยแก รั่วถงเสียสละไปมากขนาดไหน?” จางอีเต๋อมองเย่เทียนเฉินอย่างไม่สบอารมณ์แล้วพูดขึ้น

เมื่อพูดถึงจางรั่วถง เย่เทียนเฉินก็ชะงักไป ถึงแม้ว่าเขาจะอยู่ในสภาพสลบไสล แต่เขาไม่ได้ตาย จิตใต้สำนึกยังคงรู้สึกอยู่ เขาย่อมรู้ว่าค่ำคืนอันปลื้มปิติที่เกิดขึ้นเมื่อคืนเป็นใครที่มอบให้แก่เขา และรู้ว่าเด็กสาวคนนี้ต้องเสียสละออกไปมากน้อยแค่ไหนเพื่อที่จะช่วยตน ในใจจึงรู้สึกผิด

เย่เทียนเฉินไม่ใช่คนที่ไร้ความรับผิดชอบโดยเด็ดขาด เขาจะไม่ทำตัวแย่ๆ ต่อจางรั่วถง

ใช่แล้ว ถ้าหากพูดถึงเรื่องความรู้สึก ดูเหมือนเย่เทียนเฉินจะไม่ได้รักจางรั่วถง บางทีเขาคงไม่เคยคิดถึงเรื่องระหว่างชายหญิงมาก่อน อย่างน้อยในตอนนี้ก็ยังไม่เคยพิจารณา เนื่องจากเขารู้ว่ามีเรื่องราวมากมายที่ยังต้องทำ นี่เป็นเรื่องที่ต่อให้เขาต้องใช้ชีวิตเข้าแลกก็จำเป็นต้องทำให้สำเร็จ

“ผมรู้แล้ว ตอนนี้รั่วถงอยู่ที่ไหนครับ?” เย่เทียนเฉินลงจากเตียง เอ่ยถามอย่างจริงจัง

“ไปแล้ว!”

จางอีเต๋อทอดถอนใจ หลังจากที่หลานสาวใช้ร่างกายอันบริสุทธิ์ของตนช่วยรักษาเย่เทียนเฉินแล้วก็จากไปทันที

………..

กระบี่ไท่อา กระบี่แห่งเดชานุภาพ เป็นอาวุธศักดิ์สิทธิ์ที่เล่าขานกันมาในตำนาน เดิมทีไม่ควรจะถูกคนโหดเหี้ยมอย่างเสวี่ยโม๋เจียวควบคุม และไม่ควรจะแสดงอานุภาพของกระบี่ไท่อาออกมาได้โดยเด็ดขาด เพียงแต่เนื่องจากกระบี่ไท่อาอาบย้อมไปด้วยเลือดของเถี่ยเป้า รวมกับเสวี่ยโม๋เจียวใช้ถุงมือเป็นตัวกั้นเอาไว้ ทำให้ไอสังหารอันโหดเหี้ยมบนร่างของตนถูกปิดกั้น ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้กระบี่ไท่อาก็ยังคงดิ้นรน ทำให้เสวี่ยโม๋เจียวไม่สามารถควบคุมได้อย่างสมบูรณ์

ตอนนี้เองเย่เทียนเฉินไม่สนใจอาการบาดเจ็บบนร่างของตนอีกต่อไป ต่อให้เขาจะรู้สึกว่าอวัยวะภายในของตนทั้งหมดได้รับความเสียหาย มุมปากเริ่มที่จะมีเลือดไหลออกมาไม่หยุด แต่กลับไม่หยุดมือ โจมตีกระบี่ไท่อาสุดแรงจนถูกกระแทกกลับมาสองครั้ง ในครั้งที่สามก็ตะโกนออกมาว่า “ส่งดาบมา” จากนั้นจึงรับดาบเจ็ดดาวที่หลินตวนโยนมาให้ แล้วฟาดฟันลงไปสุดแรง

เนื่องจากในตอนนี้เย่เทียนเฉินสัมผัสได้ว่า กระบี่ไท่อาทรงอานุภาพมากเกินไป ไม่เสียทีที่เป็นหนึ่งในสิบดาบในตำนานบนโลกใบนี้ เดิมทีก็เป็นกระบี่ศักดิ์สิทธิ์ที่มีอานุภาพสูงอยู่แล้ว ต่อให้คนโหดเหี้ยมอย่างเสวี่ยโม๋เจียวไม่สามารถใช้อำนาจทั้งหมดของกระบี่ไท่อาออกมาได้ ก็ยังน่าหวาดกลัวจนถึงขีดสุด หากไม่หยุดเอาไว้ เกรงว่ากระบี่นี้ของเสวี่ยโม๋เจียวจะกวาดบริเวณรอบๆ ในระยะหมื่นเมตรราบเป็นหน้ากลอง ทุกคนจะมีอันตรายถึงชีวิต

เสวี่ยโม๋เจียวตวัดดาบออกไป ประกายแสงสีแดงเลือดทรงอานุภาพพุ่งไปยังเย่เทียนเฉิน แต่เย่เทียนเฉินไม่ถอยเลยแม้แต่น้อย ชั่วขณะนั้นเขาได้เผยนิสัยที่เป็นดุจเทพสังหารของตนออกมา แน่วแน่เด็ดเดี่ยวเป็นอย่างมาก ตะโกนออกมาครั้งหนึ่ง มือทั้งสองกำดาบเจ็ดดาวส่องประกายแสงละลานตาออกมาเช่นเดียวกัน จากนั้นจึงฟาดฟันลงไป

“ไอ้คนไม่รู้จักที่ตาย ในประวัติศาสตร์ไม่เคยมีใครสามารถทำให้กระบี่ไท่อาสั่นสะเทือนได้!” เสวี่ยโม๋เจียวตะโกนขึ้นฟ้า

“งั้นฉันก็จะเป็นคนแรก!” เย่เทียนเฉินก็ตะโกนเสียงดังเช่นเดียวกัน เสียงสั่นสะท้านออกไปไกล

ตู้ม!

เสียงดังสนั่นลั่นฟ้าระเบิดขึ้นภายในโรงงานรกร้าง ในขณะเดียวกันกระบี่ไท่อาและดาบเจ็ดดาวก็ปะทะกัน ทั้งยังมีประกายแสงละลานตาปะทุออกมา เสียดแทงสายตาผู้คนจนไม่สามารถลืมตาขึ้นมาได้ การโจมตีปะทะกันในครั้งนี้ทำให้อู๋เสวี่ย หวังเจี๋ย หลินตวน ยอดฝีมือทั้งสามคนต่างถูกกระแทกจนปลิวออกไป ทั่วทั้งโรงงานรกร้างอันกว้างใหญ่อันตรธานหายไปจนสิ้น กลายเป็นซากปรักหักพัง กระทั่งสิบสามจ้าวสวรรค์ที่ยังสู้อยู่ด้านนอกก็ได้รับแรงสั่นสะเทือน ต่างถูกกระแทกจนปลิวออกไปหมด เห็นได้ว่าการโจมตีนี้แข็งแกร่งมากเพียงใด

“เป็นยังไงบ้าง? ไม่เป็นไรใช่ไหม?” อู๋เสวี่ยเป็นคนแรกที่ลุกขึ้นมาจากพื้น เขาดพียงได้รับผลกระทบเล็กน้อย ไม่มีปัญหารุนแรงอะไร

“ไม่เป็นไร!” หวังเจี๋ยเองก็ลุกขึ้น ปัดฝุ่นบนร่างของตัวเองแล้วพูดออกมา

“พี่ใหญ่ล่ะ? การโจมตีครั้งนี้ทำให้ตกใจจริงๆ!” หลินตวนอดไม่ได้ที่จะพูดออกมาอย่างตกตะลึง

ในการโจมตีเพียงครั้งเดียว สรรพสิ่งในระยะหมื่นเมตรอันตรธานหายไปจนสิ้น และทำให้ยอดฝีมือในขอบเขตนักรบราชันทั้งหมดถูกกระแทกจนปลิวออกไป นี่เป็นอนุภาพที่ยิ่งใหญ่ขนาดไหนกัน? ยิ่งไปกว่านั้นกระบี่ไท่อายังไม่อยู่ในการควบคุมของเสวี่ยโม๋เจียวอีกด้วย เย่เทียนเฉินเองก็ได้รับบาดเจ็บสาหัส ไม่สามารถใช้อำนาจทั้งหมดของดาบเจ็ดดาวออกมาได้ ไม่เช่นนั้นไม่รู้ว่าจะมีพลังทำลายล้างมากมายขนาดไหน เพียงแค่คิดก็ทำให้ผู้คนต้องหนาวสั่นแล้ว

ในตอนที่อู๋เสวี่ย หวังเจี๋ย หลินตวน และสมาชิกสิบสามจ้าวสวรรค์คนอื่นๆ หาเย่เทียนเฉินเจอนั้น ต่างก็ต้องขมวดคิ้วด้วยความรู้สึกกังวลและเจ็บใจ

พบว่าเย่เทียนเฉินนอนจมกองเลือด มือขวายังกำดาบเจ็ดดาวเอาไว้ แต่มือทั้งสองบิดเบี้ยวจนผิดรูป เรียกได้ว่ากลายเป็นโคลนเหลวก็ยังได้ น่าอนาถจนไม่อยากมอง ทั่วทั้งร่างเต็มไปด้วยเลือด สลบไปเรียบร้อยแล้ว

“เพื่อช่วยพวกเรา พี่ใหญ่ถึงกับฟันดาบเจ็ดดาวออกไปสุดแรงโดยไม่สนใจอาการบาดเจ็บของตัวเอง!” หลินตวนเดิมทีก็มีนิสัยเหมือนบัณฑิตอยู่แล้ว เมื่อเห็นพี่ใหญ่เย่เทียนเฉินมีสภาพแบบนี้ก็อดไม่ได้ที่จะพูดออกมาอย่างสะท้อนใจ

“พวกเราจะต้องช่วยพี่ใหญ่ให้ได้ ยังมัวอึ้งอะไรกันอยู่อีก รีบพาพี่ใหญ่ไปส่งโรงพยาบาล!” อู๋เสวี่ยได้สติกลับมาก็หันไปตะโกนใส่สมาชิกสิบสามจ้าวสวรรค์ที่อยู่ด้านหลัง

“ไม่ได้ ส่งโรงพยาบาลก็ช่วยเขาไม่ได้…” หวังเจี๋ยส่ายหน้าพลางกล่าวขึ้น

“งั้นจะทำยังไงดี?” อู๋เสวี่ยชะงักไปครู่หนึ่ง เขารู้ว่าหวังเจี๋ยพูดได้ถูกต้อง อาการบาดเจ็บที่ได้รับจากการต่อสู้แบบนี้ โรงพยาบาลในยุคปัจจุบันเกรงว่าจะไม่มีความสามารถเพียงพอ เพราะในร่างกายของเย่เทียนเฉินยังมีพลังภายในอันแข็งแกร่งกำลังปะทุอยู่ กระทั่งปราณกระบี่ของกระบี่ไท่อากำลังกำเริบอยู่ด้วย

หวังเจี๋ยชะงักไปครู่หนึ่ง แบกเย่เทียนเฉินขึ้นหลังแล้วหันไปพูดกับอู๋เสวี่ยว่า “ไปเถอะ พวกเราไปกันสองคน หวังว่าจะมีทางช่วย!”

การต่อสู้ในครั้งนี้ สิบสามจ้าวสวรรค์สู้กับสิบสามราชาเสือดาวแห่งตระกูลโอวหยาง นี่เป็นการต่อสู้ที่ดุเดือดรุนแรงขนาดนี้เป็นครั้งแรกหลังจากที่กลุ่มสิบสามจ้าวสวรรค์ก่อตั้งขึ้นมา สิบสามราชาเสือดาวถูกฆ่าตายทั้งหมด ส่วนสิบสามจ้าวสวรรค์มีคนที่ได้รับบาดเจ็บสาหัส สุดท้ายเย่เทียนเฉินถือดาบเจ็ดดาวไว้ในมือ เข้าปะทะกับกระบี่ไท่อาในมือของเสวี่ยโม๋เจียว หลังจากโจมตีไปเย่เทียนเฉินก็ลงไปนอนจมกองเลือด ลมหายใจรวยระรินใกล้ขาดห้วง ส่วนเสวี่ยโม๋เจียวกลับถูกสังหารไปแล้ว กระบี่ไท่อาก็เป็นหลินตวนที่เก็บขึ้นมา เพราะดูเหมือนว่ากระบี่ไท่อาจะยังผันผวนและตื่นตัวอยู่ ต้องใช้ดาบเจ็ดดาวทำให้สงบ มิฉะนั้นไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น

อู๋เสวี่ยและหวังเจี๋ยแบกเย่เทียนเฉินที่หายใจรวยรินขึ้นหลัง ไปยังสถานที่แห่งหนึ่ง การต่อสู้ครั้งนี้ เย่เทียนเฉินต่อสู้กับผู้มีพลังพิเศษในขอบเขตจอมราชันซึ่งก็คืออาชูร่าและผู้แข็งแกร่งที่มีขอบเขตพลังระดับนักรบราชันซึ่งก็คือเถี่ยเป้า อย่างไรก็ตามในตอนที่บาดเจ็บสาหัสรุนแรงที่สุดเนื่องจากการต่อสู้กับอาชูร่า แต่เพื่อความปลอดภัยของสิบสามจ้าวสวรรค์คนอื่นๆ จึงเข้าปะทะกับกระบี่ไท่อาซึ่งเป็นหนึ่งในสิบกระบี่ศักดิ์สิทธิ์ในตำนาน บาดเจ็บรุนแรงเป็นอย่างมากจริงๆ ไม่ว่าจะเป็นแขนทั้งสองหรืออวัยวะภายในต่างก็ถูกทำลาย ลมหายใจแผ่วเบา ที่สำคัญที่สุดก็คือภายใต้สถานการณ์ที่กายเนื้อของตนไม่สามารถรับไหว เย่เทียนเฉินก็ยังฝืนใช้พลังพิเศษในขอบเขตจอมราชันขั้นสูงสุดออกมา ทำให้ร่างกายเกิดความเสียหายหนักที่สุด

สามวันต่อมา อู๋เสวี่ยและหวังเจี๋ยกลับไปที่สิบสามจ้าวสวรรค์อาศัยอยู่ซึ่งก็คือคฤหาสน์ที่ซื้อเอาไว้บริเวณชานเมืองของเมืองหลวง สิบสามจ้าวสวรรค์อยู่อาศัยบริเวณรอบๆ นี่ก็เพื่อให้เย่เทียนเฉินติดต่อกับสิบสามจ้าวสวรรค์ได้สะดวก

“พี่ใหญ่ เป็นยังไงบ้าง?” หูหลงถามอย่างร้อนใจ

“ใช่แล้ว? พี่ใหญ่ไม่เป็นไรใช่ไหม?” หลินตวนก็รีบถามเช่นเดียวกัน

อู๋เสวี่ยมองไปยังหวังเจี๋ย ทั้งสองพยักหน้าให้กันเล็กน้อย อู๋เสวี่ยเดินออกมายืนอยู่เบื้องหน้าสิบสามจ้าวสวรรค์ พูดเสียงดังด้วยความจริงจังว่า “ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ในหมู่สิบสามจ้าวสวรรค์ไม่อนุญาตให้ใครเคลื่อนไหวโดยพละการ ตอนนี้ภารกิจของพวกเราก็คือปกป้องครอบครัวของพี่ใหญ่ จนกว่าพี่ใหญ่จะกลับมาอย่างปลอดภัยไร้อันตราย!”

“ได้!” สิบสามจ้าวสวรรค์ตอบรับอย่างพร้อมเพียง

หลังจากที่แต่ละคนแยกย้ายกันไปแล้ว เหลือเพียงอู๋เสวี่ย หวังเจี๋ย หลินตวน เปาเทียนหลง และหูหลงห้าคน พวกเขานับว่าเป็นสมาชิกคนสำคัญของสิบสามจ้าวสวรรค์ และเป็นคนที่ซื่อสัตย์ภักดีต่อเย่เทียนเฉินมากที่สุด การพูดคุยย่อมแตกต่างกัน

“พี่เจี๋ย ตกลงพี่ใหญ่เป็นยังไงกันแน่?”

“ใช่แล้ว เมื่อไหร่พี่ใหญ่จะกลับมาได้?”

หวังเจี๋ยทอดถอนใจ พูดออกมาด้วยท่าทางเป็นกังวลว่า “หวังว่าพี่ใหญ่จะมีชีวิตอยู่ต่อไปได้ แล้วหวังว่าเขาจะพยายามกลับมาอย่างเต็มที่!”

เมื่อได้ยินคำพูดนี้ของหวังเจี๋ย ทุกคนก็ชะงักไป ดูเหมือนจะเข้าใจอะไรบางอย่างขึ้นมา ทุกคนรู้ดีว่าพวกเขาไม่สามารถช่วยอะไรได้ หากต้องการช่วยอะไรบ้างจริงๆ ถ้าเช่นนั้นก็ทำได้แต่ภาวนาแล้ว นอกจากนั้นก็ทำให้สมาชิกของสิบสามจ้าวสวรรค์ไม่แยกตัวออกไป

หนึ่งสัปดาห์ต่อมา เย่เทียนเฉินยังคงไม่กลับมา สมาชิกของสิบสามจ้าวสวรรค์ต่างเป็นกังวล ในหมู่คนเหล่านั้นก็มีบางคนที่สร้างปัญหาแต่ก็ถูกอู๋เสวี่ยและหวังเจี๋ยร่วมมือกันระงับเอาไว้ ไม่กล่าวไม่ได้ว่าหวังเจี๋ยเป็นคนที่มีความภักดีมากจริงๆ ตั้งแต่ตัดสินใจว่าจะติดตามเย่เทียนเฉิน เขาก็กระทำเรื่องราวอย่างทุ่มเทจิตใจ ไม่มีความเห็นแก่ตัวเลยแม้แต่น้อย

“ไม่รู้ว่าพี่ใหญ่เป็นยังไงบ้างแล้ว?” อู๋เสวี่ยสูบบุหรี่แล้วพูดออกมา

“อาทิตย์หนึ่งแล้วยังไม่กลับมาอีก เกรงว่าจะร้ายมากกว่าดี!” หวังเจี๋ยส่ายศีรษะพลางกล่าว

“ไม่ว่าจะเป็นยังไง พวกเราก็ต้องทำให้สิบสามจ้าวสวรรค์คนอื่นๆ สงบลงให้ได้ ทำให้สงบได้นานแค่ไหนก็เท่านั้น!” อู๋เสวี่ยพูดอย่างแน่วแน่

“อืม!” หวังเจี๋ยเองก็พยักหน้า

ตอนนี้เอง ภายหมู่บ้านเล็กๆ แห่งหนึ่งบริเวณชานเมืองของเมืองหลวง เป็นหมู่บ้านที่เสื่อมโทรมมากแห่งหนึ่ง ภายในเรือนเล็กๆ ที่ทำจากไม้ไผ่ในบริเวณห่างไกลที่สุด มีชายร่างกายเปลือยเปล่านั่งอยู่ในถังไม้อันใหญ่ ภายในถังไม้เต็มไปด้วยน้ำสีแดงเลือด นี่ไม่ใช่น้ำเปล่า และไม่ใช่ยา แต่เป็นเลือดที่ไหลออกมาจากบาดแผลผสมเข้ากับน้ำ ไม่รู้ว่าถูกเปลี่ยนไปแล้วกี่ครั้ง ท่าทางน่าหวาดกลัวเป็นอย่างยิ่ง

“คุณปู่คะ พี่เทียนเฉินสลบไปเจ็ดคืนแล้ว จะไม่เป็นอะไรใช่ไหมคะ?”

“ชีวิตนั้นช่วยเอาไว้ได้แล้ว แต่ไม่รู้ว่าจะตื่นขึ้นมาเมื่อไหร่ ยิ่งไปกว่านั้นมีความเป็นไปได้มากว่าจะกลายเป็นคนพิการ เจ้าหนูนี่จะบ้าคลั่งเกินไปแล้ว ทั้งๆ ที่รู้ว่าร่างกายนี้ไม่แข็งแกร่งมากพอ ยังยกระดับพลังไปถึงขั้นสูงสุดโดยไม่สนใจชีวิตอีก ยิ่งไปกว่านั้นในร่างกายของเขายังมีพลังอันแข็งแกร่งที่แตกต่างกันอยู่หลาย ตอนนี้ทั้งหมดกำลังสับสน และสิ่งที่ทำร้ายเขาก็คือกระบี่ไท่อาซึ่งเป็นหนึ่งในกระบี่ศักดิ์สิทธิ์ยุคโบราณ กระบี่แห่งเดชานุภาพ มีพลังทำลายล้างที่รุนแรงเป็นอย่างมากด้วย!”

ถูกต้อง ในช่วงเวลาที่อู๋เสวี่ยและหวังเจี๋ยไม่มีทางเลือก ก็ทำได้เพียงพาเย่เทียนเฉินไปส่งให้จางอีเต๋อและจางรั่วถงสองปู่หลาน นี่เป็นทางเลือกเดียวของพวกเขาแล้ว ช่วงนี้อาการบาดเจ็บที่เย่เทียนเฉินได้รับไม่เพียงแต่จะมีพลังพิเศษและเคล็ดวิชากลยุทธโบราณ แต่ยังมีอานุภาพของกระบี่ไท่อาซึ่งเป็นกระบี่ศักดิ์สิทธิ์ในยุคโบราณอีกด้วย ดังนั้นเย่เทียนเฉินจึงถูกพลังที่แตกต่างกันทั้งสามอย่างทำให้บาดเจ็บ น่าหวาดกลัวและน่าหวาดหวั่นเป็นอย่างยิ่ง อยากที่จะรักษาหาย

ในตอนที่อู๋เสวี่ยและหวังเจี๋ยพาเย่เทียนเฉินมาส่ง จางอีเต๋อก็ประหลาดใจเป็นอย่างมาก ความสามารถของเย่เทียนเฉินลึกล้ำไม่อาจคาดเดา ถึงกับถูกทำร้ายมีสภาพแบบนี้ได้ จะไม่ให้จางอีเต๋อตื่นตกใจได้อย่างไร

เพียงแต่จากการสอบถามและการอธิบายของอู๋เสวี่ยและหวังเจี๋ย ทำให้จางอีเต๋อยิ่งรู้สึกว่าเย่เทียนเฉินลึกล้ำไม่อาจคาดเดามากขึ้น นี่เป็นชายหนุ่มที่ดูแคลนไม่ได้ ในสถานการณ์ที่ได้รับบาดเจ็บยังเข้าปะทะกับกระบี่ไท่อา เกรงว่าตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน จะมีเย่เทียนเฉินเพียงคนเดียวที่กล้าทำแบบนี้

“ถ้าอย่างนั้นพี่เทียนเฉินก็อันตรายมาก ตอนนี้พลังพิเศษภายในร่างกายของเขากำลังปั่นป่วน ยิ่งไปกว่านั้นยังมีพลังทำลายล้างที่กำเริบอยู่ด้านใน ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไปอาจจะตายก็ได้!” จางรั่วถงพูดขึ้นอย่างร้อนใจ

“ปู่ก็พยายามเต็มที่แล้ว แม้แต่ยาหลงสุ่ยก็ใช้ไปแล้ว แต่ยังไม่สามารถหยุดยั้งการทำร้ายร่างกายที่เกิดจากกระบี่ไท่อาได้ ทำอะไรไม่ได้ ทำได้แค่ดูวาสนาของเขาแล้ว!” จางอีเต๋อสายหน้าแล้วกล่าวขึ้น

“พี่เทียนเฉินเป็นคนดี พวกเราไม่อาจมองเขาตายไปเฉยๆ ได้ บางทีอาจจะยังมีวิธี หนู…หนูสามารถช่วยเขาได้!” จางรั่วถงมองไปยังเย่เทียนเฉินที่เปลือยท่อนบน นั่งอยู่ในถังไม้ถังใหญ่ไม่ขยับเขยื้อน พูดออกมาด้วยความปวดใจอย่างแท้จริง

“ไร้สาระ หลานอาจจะช่วยรักษาเขาได้ แต่หลังจากนั้นหลานจะทำยังไง? หลานเป็นหลานเพียงคนเดียวของปู่ หลานทำแบบนี้ต้องการจะแต่งงานให้เขาหรือไง? เราต้องรู้ว่าคนคนนี้มีนิสัยเหมือนอันธพาลและเทพสังหาร ยิ่งไปกว่านั้นผู้หญิงที่อยู่ข้างกายก็มีไม่น้อย รั่วถง ปู่ไม่เห็นด้วยที่หลานจะเสียสละขนาดนี้เพื่อช่วยไอ้หนูนี่!” จางอีเต๋อพูดค้านออกมาในทันที

………….

เสวี่ยโม๋เจียวเองก็ถูกโจมตีจนกระอักเลือดออกมา ถึงแม้ความสามารถของเขาจะแข็งแกร่งมาก ฝีมือก็แปลกประหลาด เมื่อรวมกับดาบอันลึกลับเล่มนั้นในมือของเขา ความจริงแล้วเหนือกว่าเถี่ยเป้าจริงๆ แต่กลับไม่สามารถทนรับการล้อมโจมตีของยอดฝีมือทั้งสามคนอย่างอู๋เสวี่ย หวังเจี๋ย และหลินตวนได้ เมื่อมีหลินตวนเพิ่มเข้าไป ดาบเจ็ดดาวแสดงอำนาจออกมาไม่ถึงสิบกระบวนท่า เสวี่ยโม๋เจียวก็ถูกอัดจนกระเด็นออกไปแล้ว ตกลงบนพื้นอย่างรุนแรง อดไม่ได้ที่จะกระอักเลือดออกมา

สิ่งที่ทำให้เสวี่ยโม๋เจียวคาดไม่ถึงก็คือ ฝีมือของเย่เทียนเฉินจะแข็งแกร่งถึงขนาดนั้น หลังจากที่สู้กับอาชูร่าและเถี่ยเป้าซึ่งเป็นยอดฝีมือระดับสูงทั้งสองคนแล้ว ยังสามารถหลบกระบวนท่าสังหารของตนได้อีก มิน่าล่ะคุณชายใหญ่แห่งมหาวิทยาลัยหลงเถิงถึงได้เห็นเย่เทียนเฉินเป็นศัตรูอันดับหนึ่งในช่วงหลายปีมานี้ และเตรียมที่จะเล่นกับเย่เทียนเฉินให้ดีๆ สักหน่อย

สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่านั้นก็คือกลุ่มอำนาจที่เย่เทียนเฉินเพิ่งจะก่อตั้งขึ้นมา ในหมู่สิบสามจ้าวสวรรค์ถึงกับมีผู้แข็งแกร่งเช่นอู๋เสวี่ย หวังเจี๋ยและหลินตวนอยู่ด้วย หากเป็นเช่นนี้ต่อไปเกรงว่าไม่นานเย่เทียนเฉินก็จะสามารถต่อต้านคุณชายใหญ่ได้แล้ว

และสิ่งที่ทำให้เสวี่ยโม๋เจียวหดหู่จนแทบจะกระอักเลือดออกมาก็คือ เดิมทีแขนทั้งสองของเย่เทียนเฉินก็ได้รับบาดเจ็บสาหัสจากการต่อสู้กับอาชูร่ามาแล้ว เถี่ยเป้าเองก็เป็นผู้มีพลังในขอบเขตนักรบราชันซึ่งไม่ด้อยไปกว่าผู้มีพลังพิเศษในขอบเขตจอมราชันเลย และเพื่อที่จะป้องกันการโจมตีสังหารของเถี่ยเป้า เย่เทียนเฉินจึงฝืนใช้พลังพิเศษขึ้นมาอีกครั้ง นี่ไม่เพียงแต่จะทำให้แขนทั้งสองบาดเจ็บ แต่ยังทำให้อวัยวะภายในได้รับความเสียหายในระดับที่แตกต่างกันไปอีกด้วย เรียกได้ว่าเสียพลังในการต่อสู้ไปแล้ว ในสถานการณ์เช่นนี้ไม่ต้องพูดถึงเรื่องตัดแขนขวาของเย่เทียนเฉินเลย ต่อให้ตัดแขนขาทั้งสี่ของเย่เทียนเฉินก็ไม่ใช่ปัญหาอะไร ไหนเลยจะรู้ว่าระหว่างนั้นจะมีอู๋เสวี่ย หวังเจี๋ย และหลินตวน ยอดฝีมือทั้งสามคนนี้โผล่ออกมา เสวี่ยโม๋เจียวตกอยู่ในสถานการณ์ที่ถูกไล่ต้อนในเวลาชั่วพริบตา

“พวกแกทำให้ฉันโกรธแล้วตอนนี้ฉันเปลี่ยนความคิดแล้วต่อให้เป็นคำสั่งของคุณชายใหญ่ที่ยิ่งใหญ่ ฉันก็จะฆ่าพวกแกทั้งหมด!” เสวี่ยโม๋เจียวใบหน้าอัปลักษณ์ตะโกนออกมาราวกับบ้าไปแล้ว

ตู้ม!

เสียงคำรามดังขึ้น อู๋เสวี่ย หวังเจี๋ย และหลินตวน ยอดฝีมือทั้งสามคนถึงกับถูกกระแทกออกไปเกือบจะร่วงลงสู่พื้น ส่วนเสวี่ยโม๋เจียวยืนอยู่กลางโรงงานรกร้าง กลิ่นอายเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง ทั่วทั้งร่างมีพลังภายในจำนวนมหาศาลเอ่อล้นออกมา น่าหวาดกลัวเป็นอย่างมาก ภายในโรงงานรกร้างแห่งนี้เต็มไปด้วยพลังภายในอันบ้าคลั่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งดาบในมือขวาของเสวี่ยโม๋เจียวถึงกับกลายเป็นกระบี่ยาวเล่มหนึ่ง ส่องประกายสีแดงเลือดออกมา ดูสะดุดตายิ่งนัก เรียกได้ว่าความสามารถของเสวี่ยโม๋เจียวเพิ่มมากขึ้นในทันที นั่นเพราะอาศัยกระบี่ยาวเล่มนั้น

“นี่…กระบี่เล่มนี้ดูแปลกๆ หรือเปล่า?” อู๋เสวี่ยขมวดคิ้วเอ่ยปากออกมาด้วยความสงสัย

“ดูเหมือนจะเคยได้ยินจากที่ไหนมาก่อน กระบี่ที่ส่งแสงสีแดงเลือด…” หวังเจี๋ยเองก็รู้สึกคุ้นๆ ตกลงแล้วกระบี่เล่มนี้มีที่มาอย่างไรกันแน่ ในเวลาเพียงชั่วครู่กลับคิดไม่ออก รู้เพียงว่าน่ากลัวเป็นอย่างมาก

“หรือว่า…หรือว่าจะเป็นกระบี่ไท่อา?” หลินตวนถามอย่างแปลกใจ

หลินตวนพูดได้ตรงจุด เขามีฐานะเป็นผู้แข็งแกร่งแห่งพรรควรยุทธโบราณ และได้รับสืบทอดดาบเจ็ดดาวมาจากอาจารย์ นี่เป็นหนึ่งในอาวุธวิเศษที่ยังคงมีอยู่ของพรรควรยุทธโบราณ เขาย่อมมีความรู้เกี่ยวกับอาวุธที่แข็งแกร่งอยู่บ้าง

“อะไรนะ? กระบี่ไท่อา?”

“กระบี่แห่งเดชานุภาพ ทำไมถึงมาอยู่ในมือของปีศาจสังหารอย่างมันได้?”

อู๋เสวี่ยและหวังเจี๋ยสองคนไม่อยากจะเชื่อ แต่ในมือขวาของเสวี่ยโม๋เจียวตอนนี้ กระบี่เล่มนั้นส่องแสงสีแดงเลือดออกมา นี่เป็นข้อพิสูจน์ถึงตำนานเล่าขานของกระบี่ไท่อาได้อย่างดี นี่คือกระบี่แห่งเดชานุภาพ

กระบี่โบราณทั้งสิบเล่มได้แก่ กระบี่ศักดิ์สิทธิ์ กระบี่เมตตาธรรม กระบี่คุณธรรมแห่งจักรพรรดิ กระบี่แห่งเดชานุภาพ กระบี่แห่งความซื่อสัตย์ กระบี่แห่งรักนิรันดร์ทั้งสองเล่ม(กานเจียและม่อเหยีย) กระบี่แห่งความกล้าหาญเด็ดเดี่ยว กระบี่ทรงศักดิ์สูงสุด และกระบี่แห่งความสง่างาม ซึ่งกระบี่ไท่อาคือกระบี่แห่งเดชานุภาพซึ่งจัดเป็นอันดับสี่ เรียกได้ว่าแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก

ตำนานเล่าขานว่า กระบี่ไท่อานั้นเป็นกระบี่ที่ปรมาจารย์โอวเหยี่ยและกานเจียงทั้งสองท่านร่วมมือกันตีขึ้นมา เป็นสมบัติของแคว้นฉู่ เป็นกระบี่แห่งเดชานุภาพ

เมื่อปีนั้นเมืองหลวงของแคว้นฉู่ถูกทหารแคว้นจินล้อมไว้สามปีแล้ว แคว้นจินส่งทหารออกมาสู้กับฉู่ และต้องการที่จะได้รับสมบัติแห่งแคว้นฉู่ ซึ่งก็คือกระบี่ไท่อา

บนโลกนี้กล่าวกันว่า กระบี่ไท่อาเกิดจากปรมาจารย์โอวเหยียและกานเจียงร่วมมือกันสร้างขึ้นมา แต่ปรมาจารย์ทั้งสองท่านไม่ได้มีความคิดเช่นนี้ พวกเขาบอกว่ากระบี่ไท่อาเป็นกระบี่เดชานุภาพของเจ้าครองแคว้นที่ดำรงอยู่ตั้งแต่แรกแล้ว เพียงแต่ไร้ลักษณ์ ไร้ร่องรอย แต่ปราณกระบี่สถิตอยู่กับฟ้าดินมาตั้งแต่แรกแล้ว รอจังหวะที่จะผนึกรวมเข้าด้วยกันเท่านั้น เวลา สถานที่ ผู้คน สามวิถีรวมเป็นหนึ่ง กระบี่เล่มนี้จึงบังเกิดขึ้นมา

แคว้นจินในตอนนั้นแข็งแกร่งมากที่สุด อ๋องจินคิดว่าตนมีคุณสมบัติเพียงพอที่จะได้รับกระบี่ศักดิ์สิทธิ์เล่มนี้ แต่สถานการณ์กลับไม่เป็นอย่างที่คิด กระบี่เล่มนี้กลับถูกสร้างขึ้นในแคว้นฉู่ที่อ่อนแอ ในตอนที่กระบี่ปรากฏขึ้น บนกระบี่มีอักษรคำว่า “ไท่อา” สลักเอาไว้ตามธรรมชาติ เห็นได้ว่าคำพูดของท่านปรมาจารย์โอวเหยียและปรมาจารย์กานเจียงเป็นความจริง แคว้นจินไม่สามารถกล้ำกลืนความโกรธนี้ได้ จึงขอกระบี่จากอ๋องฉู่ แต่อ๋องฉู่ปฏิเสธ ทำให้อ๋องจินยกทัพมาโจมตีแคว้นฉู่ ใช้การขอกระบี่เป็นข้ออ้างในการทำลายแคว้นฉู่ กำลังทหารแตกต่างกันมาก เมืองของแคว้นแคว้นฉู่ส่วนใหญ่ตกอยู่ในสถานการณ์ที่ถูกล้อมนานถึงสามปี เสบียงอาหารภายในเมืองหมด ทหารไร้ระเบียบ ตกอยู่ในสถานการณ์อันตราย

วันนี้เองแคว้นจิ้นได้ส่งทูตออกไปยื่นคำขาดครั้งสุดท้าย ถ้าหากไม่มอบกระบี่มาให้ วันพรุ่งนี้จะบุกยึดเมือง ถึงเวลานั้นทุกอย่างก็จะพังพินาศเหลือแต่ซาก! อ๋องฉู่ไม่ยินยอม สั่งคนว่าพรุ่งนี้ตนจะไปประหัตประหารข้าศึกบนกำแพงเมืองด้วยตัวเอง ถ้าเมืองแตก ตนเองก็จะใช้กระบี่นี้ฆ่าตัวตาย จากนั้นให้ผู้ติดตามเก็บกระบี่เอาไว้ ขี่ม้าไปที่ทะเลสาบใหญ่และนำกระบี่นี้โยนลงไปในทะเลสาบ ให้กระบี่ไท่อาอยู่ที่แคว้นฉู่ไปตลอดกาล วันต่อมา อ๋องฉู่ขึ้นไปบนกำแพงเมือง เห็นว่าด้านนอกกำแพงมีทหารแคว้นจินมามืดฟ้ามัวดิน เมืองของตนเปรียบดั่งเรือน้อยหนึ่งลำในมหาสมุทร สามารถถูกทำลายไปได้ทุกเมื่อ ทหารแคว้นจินเริ่มโจมตีเมือง เสียงคำรามกึกก้องดั่งขุนเขาคำรามมหาสมุทรแพทย์ร้อง เมืองใกล้จะแตกอยู่รอมร่อ

อ๋องฉู่ใช้สองมือประคองกระบี่ ทอดถอนใจยาวๆ ครั้งหนึ่งแล้วพูดว่า “กระบี่ไท่อาเอ๋ย วันนี้ข้าจักใช้เลือดของตนสังเวยให้แก่เจ้า!” จากนั้นจึงดึงกระบี่ออกจากฝัก ยกกระบี่ชี้ไปทางกองทหารของศัตรู ปาฏิหาริย์อันแปลกประหลาดได้อุบัติขึ้นแล้ว ปราณกระบี่อันมหาศาลพุ่งยิงออกไปอย่างรุนแรง ที่นอกเมืองฝนทรายปลิวตลบโดยพลัน ราวกับอยู่ท่ามกลางเสียงสัตว์อสูรแผดร้อง กองทหารของแคว้นจินสับสนอย่างหนัก ชั่วขณะต่อมา กองธงล้มลงสู่พื้น เลือดไหลนับพันลี้ ทหารทั้งหมดสิ้นชีพ…หลังจากเรื่องนี้ อ๋องฉู่เรียกตัวเฟิงหูจื่อซึ่งเป็นปราชญ์ของแคว้นมาสอบถามว่า เหตุใดกระบี่ไท่อาจึงทรงอำนาจถึงเพียงนี้?

เฟิ่งหูจื่อตอบว่า กระบี่ไท่อาเป็นกระบี่แห่งเดชานุภาพ และเดชานุภาพภายในจิตใจจึงจะเป็นเดชานุภาพที่แท้จริง ท่านอ๋องอยู่ในสถานการณ์ยากลำบากแต่ไม่ยอมสยบต่อศัตรู แสดงให้เห็นถึงเดชานุภาพอันแข็งแกร่งในจิตใจ นั่นคือเดชานุภาพในจิตใจของท่านอ๋องไปกระตุ้นพลังของกระบี่ไท่อา!

เมื่อมีกระบี่ไท่อาในตำนานอันศักดิ์สิทธิ์เช่นนี้ เดิมทีก็ทำให้นับถือเลื่อมใสอยู่แล้ว คนที่มีความเกรียงไกรไม่ยอมจำนนถึงจะสามารถใช้ได้ ถึงจะสามารถแสดงอำนาจของกระบี่ไท่อาออกมาได้ เสวี่ยโม๋เจียวที่เป็นปีศาจฆ่าคนประเภทนี้ไม่มีมนุษยธรรมแม้แต่ครึ่งส่วน จะสามารถใช้กระบี่ไท่อาได้อย่างไร นี่ทำให้อู๋เสวี่ยและหวังเจี๋ยไม่อยากที่จะเชื่อมากที่สุด พวกเขาอยากจะบอกว่ากระบี่ในมือของเสวี่ยโม๋เจียวไม่ใช่กระบี่ไท่อาที่เป็นอาวุธศักดิ์สิทธิ์ แต่แสงสีแดงเลือดที่ส่องทะยานขึ้นฟ้า สาดส่องไปทั่วทั้งโรงงานร้าง อากาศถูกฉีกขาด ราวกับได้ยินเสียงกรีดร้องอันโศกเศร้าของสรรพชีวิตที่สูญเสีย เกิดอำนาจโจมตีอันทรงพลังอันไร้รูปแบบ นี่เป็นข้อพิสูจน์ที่ดีที่สุดของกระบี่ไท่อาซึ่งเป็นกระบี่แห่งเดชานุภาพ

ตายให้หมด พวกแกต้องตายให้หมด…” เสวี่ยโม๋เจียวสั่นสะท้านไปทั้งร่างราวกับไม่สามารถควบคุมกระบี่ไท่อาที่มีประกายแสงสีเลือดพุ่งสู่ฟ้าได้ นี่ดูเหมือนว่ากระบี่แห่งเดชานุภาพกำลังจะทลายฟ้าอย่างไรอย่างนั้น ราวกับไม่อยู่ในการควบคุมของเสวี่ยโม๋เจียว เพียงแต่เสวี่ยโม๋เจียวยังคงใช้มือทั้งสองจับเอาไว้สุดแรง ต้องการที่จะใช้การโจมตีที่แข็งแกร่งที่สุดฟาดฟันใส่พวกเย่เทียนเฉินทั้งสี่คน

“ไม่ถูก ไม่ใช่ว่าเสวี่ยโม๋เจียวกระตุ้นกระบี่ไท่อา อาจจะเป็นกระบี่ไท่อาอาบย้อมไปด้วยเลือดของมนุษย์ จึงมีชีวิตขึ้นมาด้วยตัวเองแล้ว มือทั้งสองของเสวี่ยโม๋เจียวก็คงจะต้องสวมถุงมือถึงจะสัมผัสได้ เพื่อแยกเขาออกจากไอสังหาร ไม่งั้นกระบี่ไท่อาอาจจะย้อนกลับไปทำร้ายเขาได้!” อู๋เสวี่ยพบว่ามือทั้งสองของเสวี่ยโม๋เจียวสวมถุงมือสีดำอยู่ จึงรีบเอ่ยปากพูดขึ้น

“ถูกต้อง กระบี่ไท่อาเป็นกระบี่ห่างเดชานุภาพ ต้องเป็นคนที่มีจิตใจยุติธรรม เป็นคนที่มีพลานุภาพของจักรพรรดิก็สามารถควบคุมได้ เสวี่ยโม๋เจียวกำลังฝืนใช้งานอยู่!” หวังเจี๋ยเองก็พยักหน้าแล้วพูดขึ้น

“งั้น…งั้นตอนนี้พวกเราจะทำยังไงดี?” หลินตวนรู้สึกทำอะไรไม่ถูก กระบี่ไท่อามีอานุภาพยิ่งใหญ่ ต่อให้ไม่ยอมรับการควบคุมของเสวี่ยโม๋เจียว แต่ก็ยังคงอยู่ในมือของเสวี่ยโม๋เจียว ใครก็ไม่กล้าเข้าไปใกล้ง่ายๆ กระบี่แห่งเดชานุภาพเช่นนี้เกรงว่ามีคนน้อยมากที่จะป้องกันได้

ซู่ม!

เย่เทียนเฉินพุ่งเข้าไปเป็นคนแรก ในตอนนี้เสวี่ยโม๋เจียวยังไม่ตวัดกระบี่ออกมา เย่เทียนเฉินก็ไม่สนใจอาการบาดเจ็บอีกต่อไป ใช้มือขวารวบรวมพลังพิเศษในขอบเขตจอมราชันขั้นสูงแล้วซัดออกไป เขารู้สึกได้ว่าหากปล่อยให้เสวี่ยโม๋เจียวตวัดกระบี่ออกมา เกรงว่าไม่เพียงแค่พวกเขาสี่คนที่จะต้องตาย สิบสามจ้าวสวรรค์ที่ยังสู้กับสิบสามราชาเสือดาวด้านนอกก็เป็นไปได้มากกว่าจะตายไปด้วย นี่ไม่ใช่ว่าความสามารถของเสวี่ยโม๋เจียวแข็งแกร่งมากเกินไป แต่เป็นกระบี่ไท่อาเล่มนี้ที่มีพลานุภาพสมชื่อ

ตู้ม!

เสียงดังสนั่น เย่เทียนเฉินปล่อยมันออกไปแล้วแต่กลับถูกประกายแสงสีเลือดที่ปล่อยออกมาจากกระบี่ไท่อากระแทกออกมา ตกลงสู่พื้นอย่างรุนแรง เขารีบยืนขึ้นจากพื้นอย่างรวดเร็ว สีหน้าดุดัน ไม่มีท่าทางเหยาะแหยะเลยแม้แต่น้อย และไม่มีท่าทางอันธพาลแม้แต่ครึ่งส่วน เย่เทียนเฉินในตอนนี้กลายเป็นเทพสังหารไปแล้ว หมัดแรกไม่ประสบความสำเร็จ ก็กระโดดเข้าไปอีกครั้ง ไม่สนใจว่าแขนขวาจะบิดงอจนผิดรูปไป ต่อยออกไปอีกครั้งหนึ่ง

เขายังคงไม่พะวงอะไร เดิมทีเย่เทียนเฉินก็ได้รับบาดเจ็บสาหัสอยู่แล้ว ไม่สามารถใช้พลังพิเศษในขอบเขตจอมราชันขั้นสูงสุดออกมาได้ เรียกได้ว่ามีพลังการต่อสู้ไม่เท่าไหร่แล้ว ตอนนี้เป็นการฝืนลงมือ เพียงเพื่อไม่อยากให้เสวี่ยโม๋เจียวตวัดกระบี่ออกมา อานุภาพของกระบี่ไท่อายิ่งใหญ่เกินไป หากตวัดออกมาเกรงว่าจะต้องให้ความรู้สึกฟ้าถล่มดินทลายแน่นอน

“ฮ่าๆๆๆ กระบี่ไท่อาถูกฉันควบคุมเอาไว้แล้ว พวกแกทั้งหมดต้องตาย ต่อให้แกจะดิ้นรนยังไงก็ไม่มีประโยชน์!” เสวี่ยโม๋เจียวหัวเราะอย่างบ้าคลั่งแล้วตะโกนใส่เย่เทียนเฉิน

ฉัวะ!

เย่เทียนเฉินรวดเร็วดุจสายฟ้า ครั้งนี้เขาฝืนกระตุ้นพลังพิเศษทั้งหมดในร่างกายออกมา ยกระดับความสามารถในการต่อสู้จนถึงขีดสุด ยืนอยู่ในขอบเขตสูงสุดของระดับจอมราชันแล้ว มีแนวโน้มมากที่จะทะลวงไปสู่ระดับจักรพรรดิ ในตอนที่บุกเข้าไปหาเสวี่ยโม๋เจียวนั้นเอง ก็หันไปตะโกนใส่หลินตวนว่า “ส่งดาบมา!”

ฟุ่บ! หลินตวนได้สติขึ้นมาก็รีบโยนดาบเจ็ดดาวในมือไปบนอากาศ อยู่ในตำแหน่งเหนือศีรษะของเสวี่ยโม๋เจียวพอดี ในตอนนี้เองเย่เทียนเฉินหมุนตัวกระโดดขึ้นไปเหนือศีรษะของเสวี่ยโม๋เจียว มือทั้งสองจับด้ามดาบของดาบเจ็ดดาวเอาไว้ได้พอดี

“ไม่มีประโยชน์ ฉันจะส่งแกไปสวรรค์ก่อนแล้วกัน!” เสวี่ยโม๋เจียวตวัดกระบี่ไท่อา แสงสีแดงเลือดอันมหาศาลพุ่งไปสู่เย่เทียนเฉิน

“สังหารปีศาจ!” เย่เทียนเฉินเองก็ตะโกนออกมา มือทั้งสองกำดาบเจ็ดดาว ฟันลงมาจากฟากฟ้า ฟาดฟันลงไปยังเสวี่ยโม๋เจียว

…………..

เสวี่ยโม๋เจียวเป็นขุนพลผู้เป็นลูกน้องของคุณชายใหญ่แห่งมหาวิทยาลัยหลงเถิง  มีความสามารถที่น่าหวาดกลัวเป็นอย่างมาก เมื่อปรากฏตัวก็สามารถฟันเถี่ยเป้าไปได้ ทำให้เขาซึ่งเป็นผู้แข็งแกร่งแห่งพรรควรยุทธโบราณที่มีขอบเขตพลังในระดับนักรบราชัน ถูกฟันขาดเป็นสองท่อนในดาบเดียว เรียกได้ว่าแข็งแกร่งจริงๆ โดยเฉพาะท่าทางวิปลาสที่กลืนกินโลหิตเหมือนกับปีศาจตนหนึ่งที่เขาแสดงออกมา ทำให้ผู้คนอดไม่ได้ที่จะสั่นสะท้าน

ตอนนี้เย่เทียนเฉินไม่เพียงแต่แขนทั้งสองใกล้จะไร้ค่าไปแล้ว กระทั่งอวัยวะภายในก็รู้สึกราวกับจะฉีกขาด การต่อสู้กับอาชูร่าทำให้แขนทั้งสองได้รับความเสียหายอย่างรุนแรง ภายใต้สถานการณ์ที่ยังไม่ได้รับการรักษาก็ต้องมาต่อสู้กับเถี่ยเป้าที่เป็นผู้แข็งแกร่งซึ่งมีขอบเขตพลังในระดับนักรบราชันเช่นนี้อีกครั้ง นับเป็นการฝืนมากแล้ว ตอนนี้เสวี่ยโม๋เจียวก็ปรากฏตัวขึ้นมาอีก นี่ก็เป็นคนที่มีความสามารถเหนือกว่าเถี่ยเป้า เย่เทียนเฉินจะรับมือได้อย่างไร ดูเหมือนจะตกอยู่ในสถานการณ์ที่ต้องตายแล้ว

ความจริงหากพูดกันถึงความแข็งแกร่งของพลังพิเศษแล้ว เย่เทียนเฉินยังคงมีพลังสำรองอยู่บ้าง เพียงแต่ร่างกายนี้รับความแข็งแกร่งนั้นไม่ไหว ไม่สามารถรับการบรรจุพลังในขอบเขตจอมราชันได้อีกต่อไป หากฝืนทำการต่อสู้อย่างรุนแรง  เป็นไปได้มากว่าเย่เทียนเฉินจะตัวระเบิดตาย

“ต่อไปก็ถึงตาแกแล้ว ฉันคิดว่าเลือดของแกจะต้องอร่อยมากแน่นอน…” เสวี่ยโม๋เจียวเลียรอยเลือดที่อยู่บนดาบอีกครั้ง มีท่าทางวิปลาสอย่างอธิบายไม่ถูก จับจ้องไปยังเย่เทียนเฉินแล้วพูดขึ้น

“คุณชายใหญ่รอแกกลับไปรายงานที่ไหน?” เย่เทียนเฉินแย้มยิ้มเล็กน้อย มองไปยังแขนที่บิดเบี้ยวจนดูไม่ได้ของตน เอ่ยถามออกมา

“หึ มาถึงขั้นนี้แล้วแกยังคิดที่จะวางแผนใส่คุณชายใหญ่อีกหรือไง ช่างรู้จักอดกลั้นอารมณ์ดีจริง วางใจเถอะ ฉันจะไม่ฆ่าแกหรอก คุณชายใหญ่บอกว่าให้ตัดมือขวาแกกลับไปเท่านั้น งั้นฉันก็จะตัดมือขวาของแกกลับไป!” เสวี่ยโม๋เจียวแค่นเสียงเย็นครั้งหนึ่งแล้วพูดขึ้น

เมื่อได้ยินคำพูดของเสวี่ยโม๋เจียว เย่เทียนเฉินก็ขมวดคิ้ว เห็นได้ชัดว่าคุณชายใหญ่แห่งมหาวิทยาลัยหลงเถิงคนนี้หยิ่งยโสขนาดไหน มั่นใจในตัวเองขนาดไหน  คิดว่าบนโลกนี้ไม่มีใครที่เป็นคู่ต่อสู้ของเขาได้ เขาสามารถตัดสินความเป็นความตายของคนอื่นได้ตามใจชอบ รวมไปถึงเย่เทียนเฉินด้วย

ฟุ่บ!

เสวี่ยโม๋เจียวเคลื่อนไหวแล้ว เร็วยิ่งกว่าสายฟ้าเสียอีก เพียงพริบตาเดียวก็เคลื่อนตัวจากบริเวณที่ห่างออกไปห้าเมตรมาถึงเบื้องหน้าของเย่เทียนเฉิน ยกดาบขึ้นฟันลงไปยังมือขวาของเย่เทียนเฉิน จุดประสงค์ของเขานั้นชัดเจนและเรียบง่ายมาก  อีกทั้งยังทรงอำนาจและเอาแต่ใจมากด้วย

พลั่ก!

เย่เทียนเฉินไม่มีทางหลบได้ ทำได้เพียงฝืนสู้ต่อไป เสวี่ยโม๋เจียวไม่เพียงแต่จะมีความสามารถเหนือกว่าเถี่ยเป้า ยิ่งไปกว่านั้นยังโหดเหี้ยมมากอีกด้วย ไม่มีจิตใจที่ตรงไปตรงมาเลยแม้แต่ครึ่งส่วน นี่คือปีศาจสังหารตัวหนึ่ง ลูกน้องของคุณชายใหญ่แห่งมหาวิทยาลัยหลงเถิงทั้งหมดล้วนเป็นคนเช่นนี้ นี่เป็นเพราะอำนาจของเขายิ่งใหญ่มาก เป็นสาเหตุหนึ่งที่คนธรรมดาทั่วไปไม่กล้าไปหาเรื่อง มีปีศาจสังหารและเครื่องจักรสังหารกลุ่มนี้อยู่ ใครก็ไม่กล้าไปแตะต้องเขาง่ายๆ

เสวี่ยโม๋เจียวยกดาบขึ้น ฟันลงไปที่แขนขวาของเย่เทียนเฉินโดยตรง รวดเร็วเป็นอย่างมาก เย่เทียนเฉินถอยลงไปสองก้าว มือซ้ายจับแขนของเสวี่ยโม๋เจียวเพื่อหวังจะหยุดดาบที่โจมตีลงมาของเขา ไหนเลยจะรู้ว่าเพิ่งจะจับแขนขวาของเสวี่ยโม๋เจียวได้ ในมือซ้ายของเสวี่ยโม๋เจียวก็ปรากฏดาบขึ้นเล่มหนึ่งราวกับมีเวทมนตร์  แทงตรงไปยังลำคอของเย่เทียนเฉิน

ผลั่ก!

เย่เทียนเฉินเตะสูงไปครั้งหนึ่ง ทำให้ดาบในมือซ้ายของเสวี่ยโม๋เจียวปลิวออกไป  จากนั้นเสวี่ยโม๋เจียวเองก็เตะไปที่หน้าอกของเย่เทียนเฉิน ทำให้เขากระเด็นออกไปเช่นเดียวกัน

ร่วงหล่นลงสู่พื้น แขนทั้งสองของเย่เทียนเฉินอดไม่ได้ที่จะสั่นระริก เขาได้รับบาดเจ็บสาหัสจนเกินไป กระทั่งอวัยวะภายในทั้งหมดก็เกิดความเจ็บปวดจนยากที่จะทนไหว หลังจากสู้กับอาชูร่าที่เป็นยอดฝีมือในโลกของผู้มีพลังพิเศษซึ่งมีพลังในขอบเขตจอมราชันแล้ว ก็ต้องมาสู้กับเถี่ยเป้าที่มีพลังขอบเขตนักรบราชันอีก ตอนนี้ยังต้องเผชิญหน้ากับเสวี่ยโม๋เจียวที่แข็งแกร่งยิ่งกว่าเถี่ยเป้า จึงจำเป็นจะต้องออกแรง ยิ่งไปกว่านั้นร่างกายมีก็มีข้อจำกัด ซึ่งได้แสดงออกมาอย่างชัดเจนทั้งหมดแล้ว เดิมทีก็ไม่สามารถรองรับการต่อสู้ที่ต้องใช้พลังพิเศษในระยะยาวได้  เป็นไปได้มากกว่านี่จะกลายเป็นบาดแผลถึงชีวิตของเย่เทียนเฉินในครั้งนี้

เย่เทียนเฉินลุกขึ้นมาจากบนพื้นอย่างเด็ดเดี่ยว มองไปยังเสวี่ยโม๋เจียวอย่างเย็นชา ในใจของเขารู้สึกตื่นตะลึงอยู่บ้าง นี่เป็นแค่ลูกน้องคนหนึ่งของคุณชายใหญ่แห่งมหาวิทยาลัยหลงเถิงเท่านั้น ถึงกับมีพลังการต่อสู้ที่แข็งแกร่งถึงขนาดนี้เชียว ถ้าเช่นนั้นคุณชายใหญ่จะแข็งแกร่งขนาดไหนกันแน่?

ถึงแม้ต้องการที่จะฝืนสู้ต่อไปแต่เขาได้รับบาดเจ็บสาหัสมากเกินไป นอกจากนี้มุมปากยังมีรอยเลือดไหลออกมาอีก เรียกได้ว่าเย่เทียนเฉินไม่ได้ถูกศัตรูโจมตีจนบาดเจ็บรุนแรง แต่ร่างกายนี้ของเขาไม่แข็งแกร่งมากพอ ไม่สามารถรองรับการต่อสู้ที่ต้องใช้พลังขั้นสูงในระยะยาวได้ เขาถูกพลังพิเศษในขอบเขตจอมราชันของตัวเองทำให้ร่างกายบาดเจ็บหนัก เมื่อเทียบกับตอนที่อยู่ดาวสิ้นโลกแล้ว เย่เทียนเฉินให้ความสำคัญกับความแข็งแกร่งของกายเนื้อเป็นสำคัญ ใช้กายเนื้ออย่างเดียวก็สามารถป่นภูเขาได้ ความแตกต่างมีมากเกินไป

“แกแกร่งมากจริงๆ มิน่าล่ะคุณชายใหญ่ถึงไม่คิดจะฆ่าแกทันที อยากจะเล่นกับแกให้มากสักหน่อย!” เสวี่ยโม๋เจียวหัวเราะอย่างวิปลาสแล้วพูดขึ้น

จะอย่างไรเสวี่ยโม๋เจียวก็คิดไม่ถึงว่าเย่เทียนเฉินจะแข็งแกร่งห้าวหาญถึงขนาดนี้ ในตอนที่เขาบาดเจ็บสาหัส แขนทั้งสองแทบจะไร้ค่า มุมปากก็กระอักเลือดออกมา ในสภาพนี้ยังสามารถป้องกันการโจมตีอันรวดเร็วของตนได้ ไม่ธรรมดาเลยทีเดียว บางทีถ้าคนๆ นี้เกิดโตขึ้น คงจะมีความสามารถพอฟัดพอเหวี่ยงกับคุณชายใหญ่ก็เป็นได้

“ฉันก็ชอบเล่นเกมกับคนอื่นเหมือนกัน…”

“เพียงแต่น่าเสียดายที่แกไม่มีโอกาสนั้นแล้ว…”

ตู้ม!

เสวี่ยโม๋เจียวลงมทออีกครั้ง เขาพุ่งสังหารไปยังเย่เทียนเฉินราวกับปีศาจ ในตอนนี้เอง เย่เทียนเฉินสัมผัสได้ว่าร่างกายทั้งหมดของตนถูกกักขัง ไม่สามารถขยับได้โดยสิ้นเชิง ไม่รู้ว่าเสวี่ยโม๋เจียวใช้เคล็ดวิชาปีศาจอะไร กล่าวคือเขาพยายามใช้พลังทั้งหมดออกมาก็ยังไม่สามารถเคลื่อนไหวร่างกายได้ ทำได้เพียงเบิกตามองเสวี่ยโม๋เจียวฟาดดาบลงมายังมือขวาของตนเท่านั้น

จนถึงตอนนี้เย่เทียนเฉินก็ไม่สามารถขยับได้เลย เขาถูกจองจำเอาไว้ ในขณะเดียวกันก็ได้รับบาดเจ็บสาหัส ไม่มีเรี่ยวแรงที่จะป้องกัน เมื่อเห็นเสวี่ยโม๋เจียวฟันดาบลงมาก็ทำได้เพียงรอรับผลเท่านั้น

เคร้ง!

ในช่วงเวลาแห่งความเป็นความตาย เงาร่างสายหนึ่งพุ่งเข้ามา ใช้ดาบป้องกันดาบของเสวี่ยโม๋เจียวเอาไว้ ขณะเดียวกันก็มีคนสองคนพุ่งเข้าไปหวังฆ่าฟันเสวี่ยโม๋เจียว

“พี่ใหญ่ คุณไม่เป็นไรใช่ไหม?” หลินตวนมองแขนทั้งสองอันไร้เรี่ยวแรงคล้ายกับโคลนเหลวของเย่เทียนเฉิน มุมปากยังมีรอยเลือดอยู่ด้วย จึงอดไม่ได้ที่จะเอ่ยปากถามออกมา

“ไม่เป็นไคนคนนี้มีกระบวนท่าแข็งแกร่งและแปลกประหลาดมาก ระวังตัวด้วย!” เย่เทียนเฉินมองไปเบื้องหน้าอู๋เสวี่ยและหวังเจี๋ยสองคนกำลังสู้กับเสวี่ยโม๋เจียวอยู

ที่แท้คนที่พุ่งเข้ามาขวางดาบของเสวี่ยโม๋เจียวเอาไว้ก็คือหลินตวน เย่เทียนเฉินเองก็พอเข้าใจอยู่บ้าง เสวี่ยโม๋เจียวแข็งแกร่งมาก ความสามารถเหนือกว่าเถี่ยเป้าเสียอีก ยิ่งไปกว่านั้นตอนนี้ยังสู้กับยอดฝีมือทั้งสองอย่างอู๋เสวี่ยและหวังเจี๋ยก็ยังไม่เสียเปรียบอีกด้วย แข็งแกร่งมากจริงๆ มิน่าล่ะคุณชายใหญ่ถึงได้ส่งเขามาสู้ เช่นนั้นก็จะมั่นใจได้มาก

เกรงว่ามีเพียงดาบเจ็ดดาวในมือของหลินตวนอย่างเดียวเท่านั้นที่จะสามารถขวางดาบในมือของเสวี่ยโม๋เจียวเอาไว้ได้

ในตอนที่เสวี่ยโม๋เจียวใช้ดาบฟันเถี่ยเป้าจนขาดเป็นสองท่อนนั้น เย่เทียนเฉินก็เริ่มสงสัย ถึงแม้ว่าความสามารถของเสวี่ยโม๋เจียวจะแข็งแกร่งมาก แต่หากต้องการฆ่าเถี่ยเป้าด้วยดาบเดียวก็เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเถี่ยเป้าไม่เพียงแต่จะมีความสามารถในขอบเขตนักรบราชัน อีกทั้งดาบในมือของเขาก็ไม่ได้ทำจากวัสดุธรรมดา ถึงกับสามารถฟันทั้งคนและดาบจนขาดออกเป็นสองท่อนได้ นี่ทำให้เย่เทียนเฉินสงสัยจริงๆ เมื่อครู่นี้ตอนที่ประมือกัน เย่เทียนเฉินก็แน่ใจแล้วว่าดาบในมือของเสวี่ยโม๋เจียวไม่ใช่อาวุธทางการทหาร แต่เป็นอาวุธที่สร้างมาจากวัสดุพิเศษ เมื่อผสมผสานกับพลังภายในทำให้มีอำนาจทำลายล้างเพิ่มขึ้นหลายเท่าตัว

“พี่ใหญ่ ใครส่งคนคนนี้มา? แข็งแกร่งมาก!” หลินตวนมองไปยังดาบเจ็ดดาวของตน นี่คืออาวุธวิเศษที่หาได้ยากในพรรควรยุทธโบราณ แทบจะเรียกได้ว่าทรงอานุภาพไร้คู่ต่อกร คิดไม่ถึงว่าหลังจากที่ปะทะกัน ดาบในมือของเสวี่ยโม๋เจียวจะไม่หัก กระทั่งไม่เสียหายเลยแม้แต่น้อย ช่างทำให้หลินตวนรู้สึกเหลือเชื่อจริงๆ

“เป็นคนของคุณชายใหญ่แห่งมหาวิทยาลัยหลงเถิง!” เย่เทียนเฉินมองกระบวนท่าของเสวี่ยโม๋เจียวอย่างจริงจัง หากต้องการที่จะเอาชนะคู่ต่อสู้ย่อมต้องรู้เขารู้เรา รบร้อยครั้งถึงจะชนะร้อยครั้ง

“คุณชายใหญ่เป็นคนที่ลึกลับมาโดยตลอด ได้ยินว่าไม่เพียงแต่ในมือของเขาจะมียอดฝีมือที่แข็งแกร่ง แต่ความสามารถของตัวเขาเองก็ยังลึกล้ำไม่อาจคาดเดาอีกด้วย!” หลินตวนขมวดคิ้วพูด

เย่เทียนเฉินพยักหน้า ตอนนี้เขาไม่สามารถทำการต่อสู้ได้แล้ว เขาได้รับบาดเจ็บสาหัสจนเกินไป รับรู้ได้ว่าอวัยวะภายในของตนเองได้รับความเสียหายรุนแรง ไม่แน่ว่าอาจจะมีเลือดออกภายในก็เป็นได้ ส่วนอู๋เสวี่ยและหวังเจี๋ยสองคนที่กำลังต่อสู้กับเสวี่ยโม๋เจียวอยู่ ถึงกับไม่สามารถเอาชนะเขาได้ในทันที ต้องกล่าวว่าฝีมือของเสวี่ยโม๋เจียวแข็งแกร่งมาก

“ไอ้หมอนี่ร้ายกาจจริงๆ อู๋เสวี่ยและหวังเจี๋ยสองคนร่วมมือกันก็ยังไม่สามารถเอาชนะเขาได้ในทันที!” หลินตวนอดไม่ได้ที่จะพูดออกมาอย่างทอดถอนใจ

“ความจริงแล้วความสามารถของเขาไม่ได้แตกต่างไปจากอู๋เสวี่ยและหวังเจี๋ยเลย สิ่งสำคัญก็คือความผิดปกติของกระบวนท่าของเขา มันมีความพิเศษอยู่บ้าง ในเวลาสั้นๆ ฉันไม่รู้ว่ามีอุบายอะไรอยู่!” เย่เทียนเฉินเอ่ยปากพูด

จนถึงตอนนี้เย่เทียนเฉินก็ดูออกแล้ว ความสามารถของเสวี่ยโม๋เจียวไม่ได้แข็งแกร่งเหมือนที่ทุกคนเห็น เรียกได้ว่าเป็นการแสดงให้เห็นเท่านั้น การที่เขาสามารถฟันเถี่ยเป้าจนขาดได้ในดาบเดียวและสามารถสู้กับยอดฝีมืออย่างอู๋เสวี่ยและหวังเจี๋ยได้ สิ่งสำคัญอยู่ที่กระบวนท่าที่แปลกประหลาดและโหดเหี้ยม เมื่อรวมเข้ากับดาบในมือของเขาซึ่งทรงพลังไร้เทียมทาน จึงสามารถสู้กับอู๋เสวี่ยและหวังเจี๋ยด้วยตัวคนเดียวได้ชั่วครู่

“สิบสามราชาเสือดาวถูกพวกเราเข้าไปหมดแล้ว!” หลินตวนเอ่ย

“แกไปเถอะ ไปฆ่าเสวี่ยโม๋เจียวซะ ฉันจะส่งของขวัญกลับไปให้คุณชายใหญ่สักหน่อย” เย่เทียนเฉินยิ้ม

“ครับพี่ใหญ่!”

หลินตวนกำดาบเจ็ดดาวในมือขวาของตนแล้วพุ่งเข้าไป ความแข็งแกร่งของเสวี่ยโม๋เจียวนั้นหลินตวนเห็นอยู่ในสายตา ทว่าไม่เพียงแต่จะไม่สามารถทำให้เขาหวาดกลัวจนถอยไปได้ กลับทำให้เขารู้สึกฮึกเหิมและตื่นเต้นขึ้นด้วยซ้ำ

อู๋เสวี่ย หวังเจี๋ย หลินตวน และพวกเปาเทียนหลงทั้งหลาย ต่างก็เป็นพวกบ้าการต่อสู้ หวังว่าจะได้สู้กับศัตรูที่แข็งแกร่ง มีเพียงทำแบบนี้ถึงจะสามารถหาความตื่นเต้นเลือดร้อนได้ และจะสามารถยกระดับความสามารถของตนได้

เมื่อรวมน้หลินตวนเข้าไป ทั้งสามคนร่วมล้อมโจมตีสังหารเสวี่ยโม๋เจียว เพียงพริบตาเดียวเสวี่ยโม๋เจียวก็ยืนหยัดต่อไปไม่ไหว จะอย่างไรก็คิดไม่ถึงว่าเบื้องหลังของเย่เทียนเฉินจะมีขุนพลแบบนี้อยู่ด้วย เขานับว่ามีความสามารถที่แข็งแกร่ง มีกระบวนท่าแปลกประหลาด และยังมีดาบลึกลับอยู่ในมือ แต่ไม่นานก็ถูกโจมตีรุนแรงจนกระเด็นออกไปไกลหลายครั้ง

เย่เทียนเฉินยืนอยู่ที่เดิมเขาได้รับบาดเจ็บสาหัสแต่กลับจ้องมองเสวี่ยโม๋เจียวอยู่ตลอด เขาขมวดคิ้ว ความแข็งแกร่งของเสวี่ยโม๋เจียวเป็นเรื่องที่ไม่ต้องสงสัยเลย จนถึงตอนนี้แม้ว่าจะตกเป็นรองจนเกือบจะถูกหวังเจี๋ยและอู๋เสวี่ยฆ่าตายไปหลายครั้ง แต่ก็ยังสามารถใช้เคล็ดวิชาสังหารอันแข็งแกร่งออกมาได้ นี่ทำให้เย่เทียนเฉินสงสัยมาก หากจะกล่าวว่าคนเช่นเสวี่ยโม๋เจียวไม่มีท่าไม้ตายที่แข็งแกร่งก็คงไม่มีใครเชื่อ ท่าไม้ตายสุดยอดของเขาจะแข็งแกร่งขนาดไหน นี่เป็นสิ่งที่เย่เทียนเฉินกังวลใจมากที่สุด

“ฉันต้องขอบอกว่าคุณชายใหญ่ลำพองใจเกินไปแล้ว คิดไม่ถึงว่าเบื้องล่างของแกยังมียอดฝีมืออยู่หลายคนแบบนี้ แต่การตัดสินใจที่ถูกต้องมากที่สุดก็คือการส่งฉันเสวี่ยโม๋เจียวมา ตอนนี้ฉันเปลี่ยนใจแล้ว ฉันไม่ต้องการตัดแขนขวาของเย่เทียนเฉินอีกต่อไป แต่ฉันต้องการฆ่าพวกแกทุกคนที่นี่ซะ!” เสวี่ยโม๋เจียวลุกขึ้นยืนจากพื้น ลิ้มรสชาติของเลือดที่มุมปากเล็กน้อย สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง พูดออกมาด้วยเสียงเยือกเย็นอันแปลกประหลาด

…………….

เถี่ยเป้าเป็นผู้แข็งแกร่งเหนือระดับแห่งพรรควรยุทธโบราณคนหนึ่ง เคยทำการต่อสู้ครั้งใหญ่กับอาชูร่าเมื่อสิบปีก่อนแต่ไม่อาจตัดสินแพ้ชนะ เป็นคนคนหนึ่งที่แข็งแกร่งมากและทำให้เย่เทียนเฉินรับรู้ได้ถึงอันตราย เนื่องจากการต่อสู้กับอาชูร่าทำให้แขนทั้งสองของเย่เทียนเฉินได้รับความเสียหาย ภายใต้สถานการณ์ที่ยังไม่หายดีก็ต้องมาต่อสู้กับเถี่ยเป้าอีกครั้ง ไม่กล่าวไม่ได้ว่าอันตรายเป็นอย่างมาก

เพียงแค่ประลองกันก็แสดงความโดดเด่นออกมาแล้ว เย่เทียนเฉินสัมผัสได้ถึงความแข็งแกร่งของเถี่ยเป้า เดิมทีเขาคาดเดาว่า ความสามารถของเถี่ยเป้าควรจะอยู่ในระดับสูงสุดของขอบเขตราชันนักรบ ยอดฝีมือในหมู่พรรควรยุทธโบราณที่มาถึงขอบเขตราชันนักรบได้ ความสามารถของเขาก็จะไม่ด้อยไปกว่าผู้มีพลังพิเศษในขอบเขตจอมราชันเลย มิน่าล่ะเถี่ยเป้าถึงต่อสู้กับอาชูร่าโดยที่ไม่อาจตัดสินแพ้ชนะได้

ตู้ม!

หมัด ดูเหมือนว่าเถี่ยเป้าจะไม่มีอาวุธอื่นอีก มีแต่หมัดเท่านั้น แต่หมัดของเขาคืออาวุธที่มีพลังทำลายล้างรุนแรงที่สุด ทุกหมัดที่ต่อยออกไปต่างก็แฝงไปด้วยการปะทุของพลังภายในอันมหาศาล ราวกับหมาป่าที่หิวโหย ราวกับเสือร้ายลงภูเขา ราวกับนกกระเรียนสยายปีก นี่ไม่ใช่มวยสิงอี้ของอู๋เสวี่ย แต่เป็นจินตภาพที่ปรากฏออกมาผ่านพลังภายในที่แข็งแกร่งของเถี่ยเป้า ทั้งหมดมุ่งสังหารเย่เทียนเฉิน

ตู้ม!

ตู้ม!

ตู้ม!

เสียงดังขึ้นสามครั้ง เย่เทียนเฉินหลบหมัดทั้งสามของเถี่ยเป้าด้วยสภาพน่าอนาถอยู่บ้าง ไม่กล่าวไม่ได้ว่าความสามารถของเถี่ยเป้าแข็งแกร่งมากจริงๆ ตอนแรกเขาบอกว่าเคยสู้กับอาชูร่าเมื่อสิบปีก่อนโดยที่ไม่รู้แพ้รู้ชนะ จะมากจะน้อยก็ทำให้เย่เทียนเฉินไม่ค่อยเชื่อ ตอนนี้กลับสลัดความสงสัยทิ้งไปโดยสมบูรณ์ ความแข็งแกร่งที่เถี่ยเป้าแสดงออกมาทั้งหมด จากการที่เย่เทียนเฉินประเมินความสามารถของอาชูร่า ต่อให้ทั้งสองคนต่อสู้กันอีกครั้งก็เกรงว่าคงยากที่จะรู้แพ้รู้ชนะ คงเป็นการปะทะกันของพลังอันแข็งแกร่งอย่างดุเดือดรุนแรงแน่นอน

แขนทั้งสองได้รับบาดเจ็บจากตอนที่สู้กับอาชูร่าไปแล้ว เย่เทียนเฉินไม่สามารถใช้ความสามารถขั้นสูงของพลังพิเศษขอบเขตจอมราชันออกมาได้ และไม่อาจใช้พลังที่แข็งแกร่งที่สุดออกมาได้ ร่างกายนี้มีข้อจำกัดมากเกินไป ทั้งยังแข็งแกร่งไม่เพียงพอ ในตอนที่สู้กับอาชูร่าก็ได้รับความเสียหายอีกด้วย ตอนนี้หากฝืนกระตุ้นพลังพิเศษที่มือ เย่เทียนเฉินก็รู้สึกได้ถึงความเจ็บปวดแสนสาหัสในทันที แขนทั้งสองมีความรู้สึกเหมือนจะระเบิดออกมา ถึงแม้จะรู้ว่าร่างกายนี้ไม่แข็งแกร่งมากพอ ยังต้องการการฝึกฝนบ่มเพาะ แต่กลับคิดไม่ถึงว่าจะสาหัสถึงขั้นนี้ได้ ตอนนี้เป็นไปได้มากกว่าจะกลายเป็นอาการบาดเจ็บที่สาหัสถึงชีวิตของตนก็เป็นได้

หมัดทั้งสามของเถี่ยเป้าต่อยพลาด หมัดหนึ่งซัดลงสู่พื้นราวกับหมาป่าหิวโหย  ทำให้เกิดหลุมขนาดใหญ่บนพื้นขึ้น อีกหมัดหนึ่งซัดถูกเครื่องจักรตัวหนึ่งที่อยู่ไม่ไกล ถึงกับทำให้เครื่องจักรที่หนักหลายตันยุบลง ที่ร้ายกาจที่สุดก็คือหมัดที่สามซึ่งหมัดนี้ซัดถูกเสาเหล็กต้นใหญ่ที่อยู่หลังเย่เทียนเฉิน ถึงกับทำให้มันทะลุเลยทีเดียว ต้องทราบว่านี่เป็นเสาเหล็กกล้าที่ใช้คนหนึ่งคนถึงจะสามารถโอบรอบได้ แต่ด้านในเป็นแบบตัน ท่ามกลางโรงงานรกร้างแห่งนี้ อย่างน้อยก็มีเสาเหล็กแบบนี้อยู่หลายสิบต้น คอยค้ำยันโครงสร้างที่สำคัญของห้องโรงงานรกร้างนี้เอาไว้

“ถ้าหากแกมีดีแค่หลบ งั้นวันนี้แกจะต้องตายแน่นอน!” เถี่ยเป้ามองเย่เทียนเฉินอย่างเย็นชาแล้วพูดขึ้น

“ความสามารถในขอบเขตนักรบราชัน ยังฆ่าฉันไม่ได้หรอก!” เย่เทียนเฉินพูดด้วยรอยยิ้ม

จนถึงตอนนี้ความรู้สึกที่เถี่ยเป้ามีต่อเย่เทียนเฉินก็คือ เผชิญหน้ากับความตายแล้วยังปากแข็งอยู่อีก ยังจะมัวพูดจาใหญ่โตอยู่อีก ความสามารถในขอบเขตนักรบราชันฆ่าเขาไม่ได้งั้นหรือ? ชัดเจนแล้วว่านี่ทำให้เถี่ยเป้าไม่เชื่อ กระทั่งต้องการจะหัวเราะออกมาด้วยซ้ำ ต้องทราบว่าในโลกปัจจุบันแห่งนี้ อยู่ในสถานการณ์ที่ไม่เหมาะสมกับการบ่มเพาะนานแล้ว ผู้มีพลังพิเศษที่สามารถไปถึงขอบเขตจอมราชันได้ ยอดฝีมือแห่งพรรควรยุทธโบราณที่สามารถไปถึงขอบเขตนักรบราชันได้ คนเหล่านี้มีจำนวนน้อยมาก ด้วยความสามารถในขอบเขตนักรบราชันในตอนนี้ของเถี่ยเป้า แม้จะไม่นับว่าแข็งแกร่งที่สุดในหมู่พรรควรยุทธโบราณ แต่ก็เกรงว่าคงยากที่จะหาคู่ต่อสู้ออกมาได้ เย่เทียนเฉินถึงกับบอกว่าตนเองที่มีขอบเขตพลังในระดับนักรบราชันฆ่าเขาไม่ได้ เถี่ยเป้ารู้สึกทั้งโกรธทั้งขำ

“ฉันจะให้แกเห็นตัวเองตาย ดูซิว่าตอนนั้นแกยังจะปากแข็งอีกหรือเปล่า!” เถี่ยเป้ากำหมัดแน่นแล้วพูดออกมา

เย่เทียนเฉินยิ้มเล็กน้อย ถึงแม้มุมปากจะกล่าวออกมาอย่างผ่อนคลาย แต่ในใจกลับไม่ได้ผ่อนคลายไปด้วย เพราะมือทั้งสองที่ได้รับบาดเจ็บ หากต้องการที่จะใช้ความสามารถพลังพิเศษในขอบเขตจอมราชันระดับสูงสุดออกมาก็เป็นเรื่องยากมาก ถ้าหากฝืนใช้ออกไป เกรงว่าแขนทั้งสองของเขาคงจะพิการแน่นอน ไม่อาจใช้งานได้ตลอดไป ถ้าเช่นนั้นก็เป็นเรื่องที่โคตรเศร้า

แต่เมื่อต้องเผชิญหน้ากับความสามารถที่แข็งแกร่งถึงขนาดนี้ของเถี่ยเป้าซึ่งฝีมือในขอบเขตนักรบราชัน เย่เทียนเฉินรู้ว่าหากต้องการที่จะเอาชนะเถี่ยเป้า ถ้าไม่ดวลกันซึ่งๆ หน้าคงเป็นไปไม่ได้ ช่างลำบากใจจริงๆ และเป็นครั้งแรกที่ทำให้เขารู้สึกถึงอันตรายขั้นเป็นตาย แต่กลับเป็นอันตรายถึงขั้นเป็นตายที่ไม่สามารถถอยได้

“ย่ะ!”

เสียงตะโกนดังขึ้น แขนทั้งสองข้างของเถี่ยเป้ามีประกายเรืองรองปะทุออกมา นั่นเป็นภาพที่ต้องกระตุ้นลมปราณออกมาจนถึงขั้นสุดยอดถึงจะปะทุพลังเช่นนี้ออกมาได้ ในโรงงานรกร้างทั้งหลัง มีลมบ้าคลั่งเกิดขึ้น ชิ้นส่วนของเครื่องจักรจำนวนหนึ่งรวมถึงเครื่องจักรอันใหญ่โตต่างสั่นสะท้าน เห็นได้ชัดว่าเถี่ยเป้าโกรธเข้าแล้ว ลงมือเต็มที่แล้ว ต้องการที่จะฆ่าเย่เทียนเฉินให้ได้ในระยะเวลาที่สั้นที่สุด

“เป็นพลังที่น่ากลัวจริงๆ !” เย่เทียนเฉินอดไม่ได้ที่จะอุทานออกมา

ความสามารถของเถี่ยเป้าไม่ใช่เพียงลมปาก แข็งแกร่งเป็นอย่างมาก ในตอนที่ระเบิดความโกรธและเริ่มลงมือ เย่เทียนเฉินก็อดไม่ได้ที่จะทอดถอนใจอย่างตกตะลึง แข็งแกร่งเหลือเกิน ตอนนี้พบว่าแขนทั้งสองข้างของเถี่ยเป้าเคลื่อนไหววาดเป็นรูปแผนภาพไทเก๊กอันใหญ่โตออกมา เดิมทีไทเก๊กนั้นใช้หลักอ่อนชนะแข็ง เป็นพลังสายอ่อน ทว่าเมื่อถูกวาดออกมาจากมือของเถี่ยเป้ากลับเต็มไปด้วยไอสังหารและความดุดัน ทำให้ผู้คนต้องสั่นสะท้าน

ซู่ม!

ไม่มีการหยุดเลยแม้แต่น้อย หลังจากที่เถี่ยเป้าวาดแผนภาพไทเก็กแปดทิศอันใหญ่โตออกมาแล้ว ก็ใช้มือทั้งสองผลักออกไปด้านหน้าอย่างแรง มุ่งสังหารไปยังเย่เทียนเฉิน ระหว่างทางที่พุ่งออกไป ไม่ต้องพูดถึงชิ้นส่วนเครื่องจักรเล็กๆ เลย ต่อให้เป็นเครื่องจักรชิ้นใหญ่ที่หนักหลายตันก็ยังถูกซัดจนปลิวและพุ่งเข้าหาเย่เทียนเฉินไปพร้อมกัน

ภายในโรงงานอันรกร้างเต็มไปด้วยไอสังหารที่ปะทุออกมาจากเถี่ยเป้า ทั้งบ้าคลั่งและมหาศาล อากาศถูกฉีกขาด เครื่องจักรที่เสียหายทั้งหมดต่างสั่นสะท้าน ถูกกวาดไปด้วยกันจนกลายเป็นอาวุธอย่างหนึ่ง พุ่งไปพร้อมกับแผนภาพไทเก๊กแปดทิศเพื่อมุ่งสังหารเย่เทียนเฉิน

เดิมทีก็ไม่มีทางให้ถอยอยู่แล้ว และไม่มีทางให้หนี เย่เทียนเฉินอดกลั้นความเจ็บปวดอันมหาศาลเอาไว้ สยายมือขวาเป็นฝ่ามือพลางขมวดคิ้ว ในมือขวามีประกายแสงสายฟ้าส่องออกมา เมื่อเผชิญหน้ากับกระบวนท่าโจมตีอันแข็งแกร่งเช่นนี้ และยังมีชิ้นส่วนเครื่องจักรชิ้นใหญ่ที่แปรเปลี่ยนไปเป็นอาวุธสังหารอันรุนแรง หากเย่เทียนเฉินยังไม่ลงมืออีกก็ทำได้แค่รอความตายแล้ว

เขาไม่สนใจความรู้สึกเจ็บปวดเหมือนมือขวาเกือบจะระเบิดออกมา เย่เทียนเฉินใช้เคล็ดวิชาพลังพิเศษธาตุสายฟ้า ในมือขวาและมือซ้ายมีดาบสายฟ้าเล่มใหญ่ปรากฏออกมาเล่มหนึ่ง ฟาดฟันออกไปในแนวขวาง ในอากาศบริเวณโรงงานรกร้างเต็มไปด้วยพลังสายฟ้า เข้าปะทะกับพลังภายในอันแข็งแกร่งที่เถี่ยเป้าปล่อยออกมาด้วยความรวดเร็ว

“ดาบสายฟ้า!”

เย่เทียนเฉินตะโกนออกมา มือขวาฟาดฟันดาบออกไปสุดแรง ถึงกับสามารถฟันแผนภาพไทเก็กแปดทิศที่เถี่ยเป้าปล่อยออกมาจนแยกเป็นสองส่วนได้ ในขณะเดียวกันเขาก็พุ่งเข้าไปหาเถี่ยเป้า

เถี่ยเป้าตกใจจนหน้าซีดคิดไม่ถึงว่าเคล็ดวิชาสังหารที่รุนแรงของตนจะถูกเย่เทียนเฉินทำลาย เขากำหมัดทั้งสองแน่น พุ่งเข้าไปสู้เช่นเดียวกัน

ทั้งสองปะทะกัน ฆ่าฟันกันอย่างรุนแรง หลังจากเสียงหนึ่งดังสนั่น ภายในโรงงานรกร้างก็เต็มไปด้วยฝุ่นควัน เย่เทียนเฉินถูกโจมตีจนปลิวออกไปไกลห้าเมตรแล้วตกลงสู่พื้นอย่างแรง บนมือขวาเต็มไปด้วยเลือด น่าอนาถแทบดูไม่ได้ สวนเถี่ยเป้าเองก็ถูกโจมตีจนกระเด็นออกไป บริเวณหน้าอกด้านซ้ายถึงกับมีดาบสายฟ้าปักอยู่เล่มหนึ่ง มีเลือดสดๆ ไหลออกมา ดูแล้วน่าหวาดกลัวเป็นอย่างมาก

อั่ก!

เย่เทียนเฉินดิ้นรนพยายามลุกขึ้นยืน มุมปากอดไม่ได้ที่จะกระอักเลือดออกมาครั้งหนึ่ง หลังจากที่เขาสู้กับอาชูร่าเสร็จก็ต้องมาสู้กับเถี่ยเป้าที่มีพลังขอบเขตนักรบราชันทันที ต่อให้แข็งแกร่งขนาดไหนก็ต่อต้านไม่ได้ รวมกับที่ฝืนสู้โดยไม่สนใจความสามารถของร่างกาย ใช้พลังพิเศษในขอบเขตจอมราชันออกมาอีกครั้ง ตอนนี้ไม่เพียงแต่มือขวาของเขาที่อาจจะเสียหายหนัก กระทั่งอวัยวะภายในก็ถูกโจมตีอย่างรุนแรง ไม่รู้ว่าบาดเจ็บขนาดไหน

ตอนนี้เองเถี่ยเป้าพยายามลุกขึ้นยืนจากพื้น มือขวากุมหน้าอกด้านซ้ายของตนเอาไว้ เขาเองก็ได้รับบาดเจ็บหนักเหมือนกัน ในดวงตามองไปยังเย่เทียนเฉินด้วยความตื่นตะลึงและความโกรธ เขาคิดไม่ถึงว่าเย่เทียนเฉินที่สู้กับอาชูร่าและได้รับบาดเจ็บมาแล้ว จะยังสามารถสู้กับตนเองได้อีก และทำให้เขาเถี่ยเป้าได้รับบาดเจ็บสาหัสอีกด้วย

“อายุเท่าแกก็สามารถแข็งแกร่งถึงขั้นนี้ได้ หาได้ยากจริงๆ เพียงแต่น่าเสียดายที่แกจะต้องตาย!” เถี่ยเป้าเดินมาเบื้องหน้าเย่เทียนเฉินแล้วกัดฟันพูด ดาบสายฟ้าที่ปักอยู่บริเวณหน้าอกด้านซ้ายของเขาเลือนหายไปแล้ว เหลือเพียงรอยเลือดจำนวนมากที่ยังไหลออกมาไม่หยุด เถี่ยเป้ากลับไม่สนใจ เขาต้องการจะฆ่าเย่เทียนเฉินเพื่อระบายความโกรธเกลียดในใจของเขา

ไหนเลยจะรู้ว่าในตอนที่เถี่ยเป้ายกมือขึ้นเตรียมจะออกกระบวนท่าสังหารอีกครั้ง และดูเหมือนว่าเย่เทียนเฉินจะไม่มีแรงที่จะตอบโต้แล้วนั้น จะมีเงาร่างเงาหนึ่งพุ่งลงมาจากบนหลังคาของโรงงานรกร้าง เกิดประกายแสงขึ้น เถี่ยเป้าถูกฟันจนขาดเป็นสองท่อน ทั้งโหดร้ายและรุนแรงเป็นอย่างมาก ทำให้คนที่ได้เห็นอดไม่ได้จะสั่นสะท้าน เย็นยะเยือกไปถึงจิตวิญญาณ

ฮ่าๆ แกก็คือเย่เทียนเฉินงั้นเหรอ? ฉันไม่ยอมให้คนอื่นฆ่าแกหรอก เพราะคุณชายใหญ่มีคำสั่งลงมา ให้ตัดแขนขวาของแกกลับไปก่อน!”

“คุณชายใหญ่? คุณชายใหญ่แห่งมหาวิทยาลัยหลงเถิงเหรอ?” เย่เทียนเฉินขมวดคิ้วถาม

ตอนนี้คนที่ยืนอยู่เบื้องหน้าเย่เทียนเฉิน ซึ่งกระโดดลงมาจากด้านบนโรงงานรกร้างอย่างกะทันหัน ในมือขวามีดาบอยู่เล่มหนึ่ง เขาเป็นคนที่ฟันเถี่ยเป้าจนขาดเป็นสองท่อน เขาก็คือเสวี่ยโม่เจียว ลูกน้องที่คุณชายใหญ่แห่งมหาวิทยาลัยหลงเถิงส่งมา เขาเป็นคนหลังค่อมเหมือนกับคนชรา หน้าตาอัปลักษณ์ แต่เมื่อได้ยินเสียงของเขาก็รู้ว่าอายุไม่มาก อย่างมากก็ไม่เกินสี่สิบปี ดาบในมือขวาของเขาอาบยอมไปด้วยเลือดของเถี่ยเป้า และยังคงหยดลงมาไม่หยุด

“ถูกต้อง ถ้าคุณชายใหญ่ไม่ยอมให้แกตายก็ไม่มีใครกล้ามาทำให้แกตาย!” เสียงของเสวี่ยโม่เจียวแปลกมาก ให้ความรู้สึกไม่ชัดเจน

“งั้นเหรอ? เขาทนไม่ไหวถึงได้ลงมือแล้ว ฉันอยากจะเห็นจริงๆ ว่าเขาเป็นคนยังไงกันแน่?” เย่เทียนเฉินต้องการพบคุณชายใหญ่แห่งมหาวิทยาลัยหลงเถิงผู้ลึกลับคนนี้มาโดยตลอด และเรียกได้ว่าต้องการที่จะฆ่า คนคนนี้แข็งแกร่งเกินไปและอันตรายมากเกินไป ไม่กำจัดไม่ได้

“ซูด…รสชาติของเลือดนี้ไม่เลวเลย ฉันไม่ได้ดื่มเลือดคนมานานแล้ว…”

เสวี่ยโม่เจียวใช้ลิ้นเลียลงไปที่เลือดบนคมดาบ แล้วกลืนลงไป มีท่าทางโหดเหี้ยมวิปริต และสามารถเห็นความอำมหิตได้ส่วนหนึ่ง ความโหดเหี้ยมและความสามารถของคนคนนี้เหนือกว่าเถี่ยเป้าเสียอีก เย่เทียนเฉินที่บาดเจ็บจนมีสภาพแบบนี้แล้ว เมื่ออยู่ต่อหน้าเสวี่ยโม่เจียวก็ดูเหมือนว่าจะต้องตายโดยไม่ต้องสงสัยเลย

…………….

คนคนนี้รวดเร็วมาก ยิ่งไปกว่านั้นปราณหมัดยังไปถึงขั้นที่สามารถทะลวงอากาศฆ่าคนได้แล้ว เย่เทียนเฉินรู้สึกตื่นตะลึงอยู่ในใจแต่กลับไม่ได้ถอยเลยแม้แต่ก้าวเดียว ยังคงเดินไปเบื้องหน้าเอี้ยวตัวหลบหมัดปราณของคนผู้นั้น

ตู้ม!

หมัดลมปราณตกลงสู่พื้น โจมตีพื้นจนเกิดเป็นหลุมหมัดหลุมใหญ่เท่ากระสอบทราย ในขณะเดียวกันหมัดของคนผู้นั้นก็ปรากฏเบื้องหน้าเย่เทียนเฉินแล้ว ห่างจากศีรษะของเย่เทียนเฉินไปไม่ถึงครึ่งเมตร ตอนนี้เองเย่เทียนเฉินเริ่มลงมือแล้วเช่นกัน มือขวากำเบาๆ ปล่อยออกไปอย่างรวดเร็วหาใดเปรียบ

พลั่ก! กรอบ!

เสียงกระดูกหักดังขึ้น ตามมาด้วยเสียงร้องโอดครวญของคนที่โจมตีเย่เทียนเฉิน เขากระเด็นออกไป ตกในตำแหน่งที่ห่างออกไปสิบเมตร มองเย่เทียนเฉินด้วยความตื่นตะลึงระคนโกรธแค้น แขนขวาทั้งแขนของเขามีเลือดไหลออกมา บิดเบี้ยวจนเปลี่ยนรูปไปแล้ว เพียงแค่หมัดเดียวเขาก็ได้รับการบาดเจ็บรุนแรงถึงขนาดนี้แล้ว นี่เป็นเรื่องที่เขาไม่เคยพบมาก่อนในการต่อสู้

เดิมทีคนคนนี้ก็คือหนึ่งในสิบสามราชาเสือดาวซึ่งแอบซ่อนอยู่ในพงหญ้า เมื่อเห็นเย่เทียนเฉินพาคนมาสิบสามคน และสุดท้ายก็แยกย้ายกันออกไป เขาจึงคิดว่าเย่เทียนเฉินเป็นคนที่อ่อนแอที่สุด จึงปรากฏตัวพุ่งโจมตีอย่างรวดเร็ว ไหนเลยจะรู้ว่าหลังจากต่อยไปหนึ่งหมัด เขาจะพบว่าตนเองไปท้าทายคนที่ร้ายกาจที่สุดเข้าแล้ว

ไม่กล่าวไม่ได้ว่า ชายคนนี้สามารถสงบสติอารมณ์ลงได้ นี่ทำให้เย่เทียนเฉินรู้สึกว่าสิบสามราชาเสือดาวของตระกูลโอวหยางไม่ได้เลี้ยงเสียข้าวสุก ไม่เพียงแต่ความสามารถของทุกคนจะแข็งแกร่งมาก ทั้งยังรู้จักอดทนอดกลั้นอีกด้วย หากเป็นคนปกติดวลกันหนึ่งหมัดและมือขวาเสียหายรุนแรง ถ้าไม่กรีดร้องก็ต้องรีบวิ่งหนีไป แต่คนคนนี้กลับไม่ได้ทำ

“แกเป็นใคร?” ชายคนนั้นมองไปยังเย่เทียนเฉินแล้วถามขึ้นอย่างดุดัน

“หลังจากวันนี้ บนโลกใบนี้จะไม่มีสิบสามราชาเสือดาวอย่างพวกแกอีก จะต้องตายทั้งหมด!” เย่เทียนเฉินพูดอย่างเรียบเฉย

“หึ กลัวก็แต่ว่าแกจะไม่มีความสามารถ…”

ชายคนนั้นยังไม่ทันพูดจบ เย่เทียนเฉินก็มาถึงเบื้องหน้าของเขาแล้ว มือขวาจับคอเขาเอาไว้ เขาไม่อาจพูดอะไรได้อีกและยังไม่ทันพูดจบด้วยซ้ำ เนื่องจากในตอนที่มือขวาของเขาควักมีดออกมาเล่มหนึ่งด้วยปฏิกิริยาอันว่องไว คอของเขาก็ถูกเย่เทียนเฉินหักทิ้งไปแล้ว

เสียงกรอบดังขึ้น เย่เทียนเฉินโยนศพของชายคนนั้นลงพื้น มองไปยังสถานที่ที่สูงที่สุดของโรงงานรกร้างที่อยู่ไม่ไกล ที่นั่นมีคนยืนอยู่คนหนึ่ง เป็นชายร่างผอมเล็กน้อย ในตอนที่เย่เทียนเฉินดวลกับชายที่เป็นคนของสิบสามราชาเสือดาวคนนี้ ชายร่างผอมล้วนมองตั้งแต่ต้นจนจบ เขาก็คือเถี่ยเป้า คนที่เคยสู้กับอาชูร่าเมื่อสอบปีก่อนโดยที่ยังไม่รู้แพ้รู้ชนะ

“ทำไม? แกยังไม่ลงมืออีกเหรอ รอฉันฆ่าลูกน้องทั้งหมดของแกก่อนหรือไง?” เย่เทียนเฉินพูดกับเถี่ยเป้าด้วยรอยยิ้มบางเบา

“แกไม่มีเวลาว่างขนาดนั้นหรอก ฉันอยากจะรู้นักว่าแกแข็งแกร่งขนาดไหน อาชูร่าถึงได้ตายอยู่ในน้ำมือของแก!” ในน้ำเสียงของเถี่ยเป้าเต็มไปด้วยความสงสัยเขาไม่เชื่อว่าเย่เทียนเฉินจะแข็งแกร่งจนถึงกับฆ่าอาชูร่าได้

“ไม่ พูดให้ถูกต้องก็คืออาชูร่านั่งละสังขารไปด้วยตัวเอง เป็นการฆ่าตัวตาย ฉันไม่ได้เป็นคนฆ่าเขา ระหว่างฉันกับเขายังไม่รู้แพ้รู้ชนะ เขาแข็งแกร่งมาก เป็นอาวุโสที่ควรค่าแก่การนับถือคนหนึ่ง!” เย่เทียนเฉินยิ้มแล้วพูดขึ้นมาอย่างจริงจัง

“แกเป็นศัตรูกับตระกูลโอวหยาง และยังทำให้ฉันไม่มีโอกาสได้สู้กับอาชูร่าอีกครั้ง ดังนั้นแกต้องตาย!” เถี่ยเป้าพูดอย่างเย็นชา

“ลองดูสักหน่อยก็แล้วกัน ฉันคิดว่าผลลัพธ์คงจะปรากฏขึ้นเร็วมาก สุดท้ายจะเป็นสิบสามราชาเสือดาวของแกแข็งแกร่ง หรือว่าจะเป็นสิบสามจ้าวสวรรค์ของฉันแข็งแกร่งกันแน่!” เย่เทียนเฉินพูดเสียงเย็น

“งั้นก็มาลองดูสักหน่อย!”

พูดจบเถี่ยเป้าก็หายไปจากบนหลังคาของโรงงานรกร้าง เดินลงมาเบื้องล่าง เย่เทียนเฉินเองก็เดินไปข้างหน้าพลางเด็ดใบหญ้าด้านข้างมาคาบเอาไว้ในปาก ท่าทางอันธพาลเป็นอย่างมาก ไม่ใช่ว่าเขาไม่รู้สึกถึงความแข็งแกร่งของเถี่ยเป้า แต่เขากำลังผ่อนคลายตัวเองไม่ให้เคร่งเครียด การต่อสู้กับอาชูร่าทำให้สองมือของเย่เทียนเฉินได้รับบาดเจ็บสาหัส ถึงแม้จะไม่ได้ร้ายแรงอะไร แต่จะมากจะน้อยก็ส่งผลกระทบอยู่บ้าง ดังนั้นการต่อสู้กับเถี่ยเป้านี้ เย่เทียนเฉินจะต้องมีอันตรายถึงชีวิตอย่างแน่นอน แต่มาถึงขั้นนี้แล้วเขาเองก็ไม่มีตัวเลือก ศัตรูไม่มีที่ว่างมาปรึกษากับเขาแน่นอน

ในตอนที่เย่เทียนเฉินเดินเข้าไปในโรงงานรกร้าง พบว่าทางโรงงานรกร้างเป็นห้องเปล่าห้องใหญ่ ใหญ่ประมาณหลายพันตารางเมตร รอบมีเครื่องจักรที่ไม่ได้ใช้งานอยู่จำนวนหนึ่ง เถี่ยเป้านั่งหันหน้าให้เขาอยู่บนเครื่องจักรใหญ่ตัวหนึ่ง มองเย่เทียนเฉินอย่างเย็นชา

“ตระกูลเย่มีลูกหลานอย่างแกออกมาได้ เชื่อว่าคนของตระกูลเย่คงจะดีใจมากเพียงแต่น่าเสียดายที่วันนี้แกถูกกำหนดให้ตาย!” เถี่ยเป้าเอ่ยปากพูดอย่างเย็นชา

“ลองดูสักหน่อยเถอะ ฉันยุ่งมากไม่มีเวลาเล่นกับแกหรอก!” เย่เทียนเฉินพูดพลางยักไหล่

เถี่ยเป้าขมวดคิ้ว ลุกขึ้นยืนจากบนเครื่องจักร แต่กลับไม่ได้รีบร้อน ในฐานะที่เป็นยอดฝีมือ แน่นอนว่าย่อมมีขีดจำกัดที่ไม่อาจแตะต้องได้ แต่เขาก็ไม่ได้ถูกกระตุ้นให้โกรธได้ง่ายถึงขนาดนั้น

“สิบปีก่อนหน้านี้ฉันต่อสู้กับอาชูร่า ยังไม่รู้แพ้รู้ชนะ สิบปีต่อมาก็มีการพัฒนาฝีมือขึ้น เดิมทีฉันคิดจะไปที่มณฑลชวนเพื่อต่อสู้กับอาชูร่าอีกครั้ง คิดไม่ถึงว่าแกจะพาคนไปฆ่าล้างตระกูลเซวียนเยวี๋ยน ทำลายการต่อสู้ระหว่างฉันกับอาชูร่า ดังนั้นต่อให้เป็นเพราะเหตุผลนี้ฉันก็ต้องฆ่าแก!”

“พวกแกสองคนเป็นคู่เกย์กันหรือไง?” เย่เทียนเฉินพูดหยอกล้อ

“แก…”

เมื่อคำพูดนี้ของเย่เทียนเฉินถูกกล่าวออกมาก็เกือบจะทำให้เถี่ยเป้ากระอักเลือด ในตอนที่คนคนหนึ่งที่โหดเหี้ยม มาดเท่และเต็มไปด้วยไอสังหาร กำลังพูดจาโหดร้ายใส่ผู้อื่นอยู่ อีกคนกลับพูดประโยคไร้สาระแบบนี้ออกมาได้ เกรงว่าจะทำให้ผู้คนร้องไห้ไม่ออกหัวเราะไม่ได้ กระทั่งโกรธเกรี้ยวดุจสายฟ้าขึ้นมา

“เป็นเกย์ก็ไม่มีอะไรน่าอาย ทุกคนเข้าใจ แต่อย่าเสียใจไปเลย หากต้องการไปเจออาชูร่าแกก็สามารถจัดการตัวเองได้!” เย่เทียนเฉินพูดขัดคำพูดของเถี่ยเป้าอีกครั้ง

“เย่เทียนเฉิน ตอนนี้ฉันรู้สึกว่าแกเป็นคนที่ชอบรนหาที่ตายจริงๆ!” เถี่ยเป้ากำมือของตนแน่น มองไปยังเย่เทียนเฉินด้วยความโหดเหี้ยมแล้วพูดขึ้น

“งั้นเหรอ? แกมีความสามารถแบบนั้นหรือไง? แกมั่นใจหรือไงว่าจะสามารถฆ่าฉันได้? จะประเมินตัวเองสูงไปหรือเปล่า?”

ชั่วพริบตานั้น เองนิสัยของเย่เทียนเฉินก็พลิกกลับไปร้อยแปดสิบองศา เริ่มต้นด้วยใบหน้าที่ประดับรอยยิ้ม ตามมาด้วยการพูดจาไร้สาระ สุดท้ายก็ดูถูก ช่างทำให้เถี่ยเป้ารู้สึกอยากจะทรุดจริงๆ ตกลงแล้วหมอนี่เป็นคนอย่างไรกันแน่ มีนิสัยอย่างไรกันแน่? ทำให้เขามองไม่ออกเกินไปแล้ว

ตู้มๆๆ…

เถี่ยเป้าถูกกระตุ้นให้โกรธเข้าแล้ว ปล่อยหมัดซัดลงไปที่พื้น ทำให้ผู้คนต้องตื่นตะลึงยิ่งกว่าฉากระเบิดในหนังภาพยนตร์หรือโทรทัศน์ซะอีก มีระเบิดเกิดขึ้นระลอกหนึ่ง ระเบิดติดต่อกันโดยมุ่งมาทางเย่เทียนเฉิน ทำให้ผู้คนไม่กล้าเชื่อเลยจริงๆ เพียงแค่หมัดเดียวเท่านั้นก็มีอำนาจแข็งแกร่งถึงขนาดนี้ได้ ตอนนี้เย่เทียนเฉินเข้าใจกระจ่างชัดแล้วว่า ความสามารถของเถี่ยเป้าเทียบเท่าได้กับอาชูร่าเลยทีเดียว

เพี๊ยะ!

เย่เทียนเฉินตบฝ่ามือลงไปบนพื้น มีกำแพงดินโผล่ขึ้นมาจากพื้น ขวางหมัดนี้ของเถี่ยเป้าเอาไว้ หลังจากเสียงดังสนั่นผ่านไป หมัดของเถี่ยเป้าก็แปรเปลี่ยน  กำแพงดินที่เย่เทียนเฉินใช้เคล็ดวิชาพลังพิเศษธาตุดินกระตุ้นขึ้นมาก็ถูกทำลายเป็นผุยผง

“ที่แท้แกเองก็เป็นผู้มีพลังพิเศษนี่เอง เคล็ดวิชาพลังพิเศษของอาชูร่าแข็งแกร่งมากแต่ก็ถูกฉันทำลายลงได้ วันนี้แกต้องตายแน่นอน!” เถี่ยเป้าพูดขึ้นด้วยรอยยิ้มเย็นชา

ตอนนี้เองเย่เทียนเฉินเข้าใจกระจ่างชัดแล้วว่า ความสามารถของเถี่ยเป้าแข็งแกร่งมาก โดยเฉพาะพลังภายในของเขาที่ไปถึงขั้นปล่อยออกมาและเก็บกลับไปได้อย่างอิสระแล้ว ถึงขั้นที่สามารถสร้างพลังการโจมตีและฆ่าฟันอันรุนแรงในการโจมตีเพียงครั้งเดียวได้แล้ว คนแบบนี้น่าหวาดกลัวมาก พูดง่ายๆ ก็คือเพียงแค่ตบคุณเบาๆ ก็สามารถทำลายชีพจรทั้งร่างของคุณจนตายได้แล้ว

การดวลกันระหว่างอาชูร่าและเถี่ยเป้า คนหนึ่งคือผู้แข็งแกร่งที่มีพลังพิเศษ อีกคนหนึ่งคือยอดฝีมือแห่งพรรควรยุทธโบราณ การต่อสู้อันรุนแรงเมื่อสิบปีก่อนยังไม่รู้แพ้รู้ชนะ สิบปีต่อมาความสามารถของคนทั้งสองไม่อาจนำไปเทียบได้กับเมื่อก่อนแล้ว ถ้าหากไม่ใช่เพราะเย่เทียนเฉินพาสิบสามจ้าวสวรรค์ไปฆ่าล้างตระกูลเซวียนเยวี๋ยน เกรงว่าการต่อสู้ของเถี่ยเป้าและอาชูร่าคงหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพียงแต่ไม่รู้ว่าครั้งนี้จะสามารถตัดสินแพ้ชนะได้หรือไม่

ตู้ม!

แม้หมัดแรกจะไม่สามารถโจมตีถูกเย่เทียนเฉินได้ เถี่ยเป้าก็ไม่ได้หยุดโจมตี นี่อยู่ในการคาดเดาของเขา คนที่สามารถต่อสู้กับอาชูร่าได้และทำให้อาชูร่าพ่ายแพ้ได้ หากถูกเขาโจมตีหรือฆ่าตายไปได้ง่ายๆ ขนาดนี้ก็ผิดปกติเกินไปแล้ว

มือขวาของเถี่ยเป้าจับลงบนเครื่องจักรตัวใหญ่ตัวหนึ่ง เพียงพริบตาเดียวกโยนเครื่องจักรหนักหลายตันเข้าใส่เย่เทียนเฉิน ดูแล้วน่าหวาดกลัวเป็นอย่างมาก ไม่ว่าใครก็ไม่กล้าเข้าปะทะตรงๆ แต่เย่เทียนเฉินยังคงไม่หลบ ในการต่อสู้กับยอดฝีมือ การถอยใดๆ อาจจะทำให้เกิดอันตรายถึงชีวิตได้ ดังนั้นเย่เทียนเฉินจึงกำหมัดขวาของตนแน่น รวบรวมพลังพิเศษในขอบเขตจอมราชันเข้าไป ไหนเลยจะรู้ว่า ในตอนที่พลังพิเศษเพิ่งจะไหลเข้าไปในหมัด เย่เทียนเฉินจะรู้สึกว่ามือขวาของตนมีความรู้สึกเจ็บปวดไปถึงกระดูก เขาขมวดคิ้ว ดูเหมือนว่าการต่อสู้กับอาชูร่าจะทำให้แขนทั้งสองได้รับบาดเจ็บไม่เบาเลยทีเดียว รวมกับที่ร่างกายนี้ยังไม่แข็งแกร่งมากพอ ตอนนี้ก็มาทำการต่อสู้ครั้งใหญ่อีกครั้ง จึงปรากฏแนวโน้มว่าจะยืนหยัดไม่ไหว เถี่ยเป้าไม่ได้อ่อนแอไปกว่าอาชูร่าเลย การต่อสู้ครั้งนี้อันตรายเป็นอย่างมาก

เพียงแต่ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้เย่เทียนเฉินไหนเลยจะคิดมากขนาดนั้น เขาฝืนกำหมัดขวาแน่น กระตุ้นพลังพิเศษแล้วกระโดดขึ้นไปสูงหนึ่งเมตรกว่า ใช้หมัดซัดเข้าปะทะกับในเครื่องจักรอันใหญ่โตมโหฬาร

ปัง!

หมัดขวาของเย่เทียนเฉินซัดลงบนเครื่องจักร คล้ายกับโลหะปะทะกัน ทำให้เครื่องจักรที่หนักเป็นตันปลิวออกไป กระเด็นกลับไปที่เถี่ยเป้า เหตุการณ์นี้ทำให้ผู้คนต้องตื่นตะลึง ถ้าหากมีใครอยู่ที่นี่จะต้องตกใจจนปากอ้าตาค้างแน่นอนเครื่องจักรที่หนักหลายตันถึงกับถูกเย่เทียนเฉินและเถี่ยเป้าต่อยไปต่อยมาเหมือนกับเป็นของเล่นชิ้นหนึ่ง สองคนนี้ยังเป็นคนอยู่หรือเปล่า?

ตู้ม!

เถี่ยเป้ากระโดดขึ้นมาใช้เท้าถีบลงไปบนเครื่องจักรทำให้มันกระแทกลงบนพื้น  โรงงานรกร้างทั้งหมดอดไม่ได้ที่จะสั่นไหว ในขณะเดียวกันเขาก็พุ่งเข้าไปหาเย่เทียนเฉินด้วยความเร็วดุจสายฟ้า จนถึงตอนนี้ความสามารถที่เย่เทียนเฉินแสดงออกมาเหนือจินตนาการของเขาไปแล้ว เขาไม่กล้าลำพองใจอีก

เมื่อเห็นเถี่ยเป้าโจมตีเข้ามาโดยที่อัดแน่นไปด้วยไอสังหาร เย่เทียนเฉินก็ขมวดคิ้ว มองมือขวาของตนที่มีเลือดไหลออกมาจากแขน เขารู้ว่าครั้งนี้ตนเองเกิดวิกฤตจริงๆ แล้ว การต่อสู้กับอาชูร่าทำให้แขนทั้งสองได้รับบาดเจ็บสาหัส ในขณะเดียวกัน อาชูร่าที่มีฐานะเป็นผู้มีพลังพิเศษในขอบเขตจอมราชันก็ไม่ได้อ่อนแอไปกว่าตนเองเลย การต่อสู้ในครั้งนั้นดูผิวเผินเหมือนไม่ได้ดวลกันมากมายเท่าไหร่ แต่ความจริงเป็นการปะทะกันระหว่างพลังกับพลังเพียวๆ น่าหวาดผวาอย่างมาก เพียงแต่ไม่มีคนอยู่ที่นันด้วยจึงไม่อาจสัมผัสได้

………….

เย่เทียนเฉินเพิ่งจะพาสิบสามจ้าวสวรรค์เดินออกมาจากสนามบินแห่งเมืองหลวงก็ได้รับโทรศัพท์จากชางหลาง ได้รู้ว่าตระกูลโอวหยางลงมือกับตระกูลเย่ของตนแล้ว แต่เขากลับไม่ได้กังวลอะไร รู้สึกยินดีด้วยซ้ำ การต่อสู้ที่ตระกูลเซวียนเยวี๋ยนทำให้ชื่อของสิบสามจ้าวสวรรค์โด่งดังขึ้นมาแล้ว ส่วนการต่อสู้กับตระกูลโอวหยางในครั้งนี้ ถูกกำหนดแล้วว่าจะต้องทำให้ตระกูลใหญ่และอำนาจใหญ่ทั้งหมดต้องสั่นสะท้านอย่างหาที่เปรียบมิได้ ต้องการให้พวกเขารู้ว่าวันข้างหน้าหากคิดจะแตะต้องตระกูลเย่มันไม่ง่ายเหมือนบีบโคลน ต้องพิจารณาให้ดี

สิบสามจ้าวสวรรค์เพิ่งจะเดินทางไปมณฑลชวน การต่อสู้ครั้งแรกก็สามารถฆ่าล้างตระกูลเซวียนเยวี๋ยนที่ปิดซ่อนตัวตนได้อย่างประสบความสำเร็จ ทุกคนต่างก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกฮึกเหิมขึ้นมา บางทีเมื่อก่อนอาจจะยังมีคนมากมายที่ไม่เชื่อใจความสามารถของเย่เทียนเฉิน คิดว่าชายหนุ่มอายุยี่สิบปีคนนี้ต่อให้มีฝีมือแข็งแกร่งสูงส่ง แต่ก็ไม่อาจทำเรื่องใหญ่ได้ จะอย่างไรก็ยังอายุน้อย นิสัยจิตใจยังไม่มั่นคง จนกระทั่งตอนนี้พวกเขาถึงจะพบว่าเย่เทียนเฉินไม่เพียงแต่จะมีความสามารถลึกล้ำไม่อาจคาดเดา แต่ยังมีสมองอันชาญฉลาดอีกด้วย ทุกสิ่งทุกอย่างเตรียมพร้อมเป็นอย่างดี มีคนเช่นนี้เป็นผู้นำ ยังจะต้องกังวลว่าจะไม่มีชีวิตที่ดุเดือดเลือดพล่านอีกหรือ? ยังต้องกังวลว่าจะไม่สามารถสร้างชื่อให้สิบสามจ้าวสวรรค์ได้อีกหรือ?

ตอนนี้เย่เทียนเฉินต้องการที่จะสร้างชื่อให้กับกลุ่มสิบสามจ้าวสวรรค์ให้เร็วสักหน่อย เขาไม่ใช่คนที่ลังเลและอึดอัดยืดยาด ในเมื่อตัดสินใจแล้วว่าจะก่อสร้างอำนาจของตนเพื่อปกป้องคนในครอบครัวของตน ทำให้ตระกูลเย่โผทะยานขึ้นมาอยู่ในระดับของตระกูลชั้นหนึ่งอีกครั้ง เขาก็จะทำทันที

ตระกูลเย่ เมื่อมาถึงรุ่นของเย่เทียนเฉินก็เรียกได้ว่าตกต่ำไปแล้วสามสิบสี่สิบปี จากตระกูลชั้นหนึ่งกลายเป็นตระกูลชั้นสาม กลายเป็นตัวตลกของทั่วทั้งเมืองหลวง ดูเหมือนใครก็สามารถที่จะมาหาเรื่องและรังแกได้ ได้รับความลำบากมาไม่น้อยเลยจริงๆ หากไม่ใช่ว่ายังมีเย่หย่วนซานปู่ของเย่เทียนเฉินอยู่ ไม่รู้ว่าจะกลายเป็นอะไรไปแล้ว ดังนั้นอก่อนอื่นในตอนนี้เย่เทียนเฉินจะต้องทำให้ตระกูลใหญ่และกลุ่มอำนาจใหญ่อื่นๆ ได้รู้ว่า ตอนนี้ตระกูลเย่เปลี่ยนไปแล้ว ไม่ใช่ตระกูลทีพวกเขาอยากรังแกก็มารังแก อยากกดดันก็มากดดันได้เหมือนเมื่อก่อนอีกต่อไป ใครกล้ามาแตะต้องจะต้องเลือดสาด

“ดี ตอนนี้พวกเราก็ออกเดินทางกันเถอะ เป้าหมายคือเดินทางไปตระกูลโอวหยาง!” เย่เทียนเฉินพูดอย่างจริงจัง

“ครับ/ค่ะพี่ใหญ่!” สิบสามจ้าวสวรรค์ตอบรับขึ้นพร้อมกัน

ในตอนที่เย่เทียนเฉินเพิ่งจะพาสิบสามจ้าวสวรรค์ออกมาจากสนามบินแห่งเมืองหลวงเพื่อมุ่งหน้าไปยังตระกูลโอวหยาง สาวผมทองคนหนึ่ง รูปร่างสูงเพรียว หน้าตาสะสวย สวมแว่นกันแดดและชุดหนังกางเกงหนัง ก็เดินออกมาจากสนามบินแห่งเมืองหลวงเช่นเดียวกัน คนคนนี้ไม่ต้องพูดก็รู้ว่าคืออลิซนั่นเอง เธอติดตามเย่เทียนเฉินมาโดยตลอด ต้องการที่จะหาโอกาสลงมือกำจัดเย่เทียนเฉิน ถ้าหากเป็นไปได้เธอก็จะนำหัวของเย่เทียนเฉินกลับไปที่ประเทศ M เพราะโฮบาม่าอยากเห็นเป็นอย่างมาก

ด้วยความสามารถของประเทศหนึ่ง ต่อให้ตระกูลที่ปิดกั้นตัวตนเหล่านั้นจะแข็งแกร่งมากขนาดไหน หากต้องการที่จะรู้สถานที่ซ่อนตัวของพวกเขาก็ไม่ยาก เพียงแต่ตระกูลที่ปิดกั้นตัวตนเหล่านี้มีความเกี่ยวพันกับหลายสิ่งหลายอย่าง หากต้องการที่จะแตะต้องพวกเขา ก็เป็นไปได้มากว่าจะส่งผลกระทบชีวิตของกับประชาชนคนธรรมดา ยิ่งไปกว่านั้นขอเพียงตระกูลที่ปิดซ่อนตัวตนเหล่านี้ไม่มีอันตรายไปถึงชีวิตและทรัพย์สินของคนอื่น รัฐบาลก็ไม่ใส่ใจมากนัก ถึงแม้ต้องการที่จะกำจัดและควบคุมพวกเขาก็ตาม แต่จะอย่างไรบนโลกใบนี้มีดำก็ต้องมีขาว มีคนดีก็ต้องมีคนเลว ไม่อาจกำจัดสิ่งใดสิ่งหนึ่งออกไปได้โดยสิ้นเชิง

อลิซมองไปยังทิศทางที่พวกเย่เทียนเฉินนั่งรถจากไป โบกรถแท็กซี่คันหนึ่ง พูดขึ้นด้วยภาษาจีนชัดเจนว่า “รบกวนคุณไปส่งฉันที่เครือไห่หวางด้วยค่ะ!”

“ได้ครับ!” คนขับรถต่อด้วยรอยยิ้ม

ครั้งนี้อลิซไม่ได้ตามเย่เทียนเฉินไป แต่มุ่งหน้าไปยังเครือไห่หวาง สำหรับหัวหน้าหน่วยข่าวกรองแห่งประเทศ M แล้ว ข้อมูลที่เป็นความลับสูงสุดมากมายบนโลกใบนี้ต่างก็ถูกควบคุมอยู่ในมือพวกเธอ สำหรับข้อมูลส่วนใหญ่ของเย่เทียนเฉินอลิซรู้ไปหมดแล้ว สิ่งเดียวที่ไม่รู้ก็คือเย่เทียนเฉินมีความแข็งแกร่งขนาดไหนกันแน่ เธอจะสามารถหาวิธีเข้าใกล้เย่เทียนเฉินและฆ่าเขาได้สำเร็จหรือไม่

เมื่อคืนเย่เทียนเฉินพาสิบสามจ้าวสวรรค์เดินทางไปยังเกาะทะเลทรายที่อยู่ท่ามกลางทะเลจำลองซือไห่ ฆ่าล้างตระกูลเซวียนเยวี๋ยน อลิซยืนมองทุกสิ่งทุกอย่างนี้อยู่บนชายหาดมาโดยตลอด ถึงแม้เธอจะไม่รู้ว่าตกลงแล้วเกิดอะไรขึ้นกันแน่ พวกเย่เทียนเฉินทำการต่อสู้อย่างไรในเกาะทะเลทราย แต่ในตอนที่เย่เทียนเฉินประมือกับอาชูร่าจนถึงที่สุดนั้น ต่อให้มีพลังเขตแดนปิดกั้นครอบคลุมเกาะทะเลทรายอยู่ ก็ยังมีพลังพิเศษอันมหาศาลปะทุออกมา กระตุ้นให้เกิดคลื่นพันชั้นรอบเกาะทะเลทราย อลิซที่เห็นดังนั้นต้องขมวดคิ้วแน่น จินตนาการได้เลยว่าพลังการต่อสู้ต้องมากมายขนาดไหนถึงจะทำให้เกิดการสั่นสะเทือนครั้งใหญ่เช่นนี้ได้ เย่เทียนเฉินก็เป็นเหมือนกับพี่โทมัสพูด ลึกล้ำไม่อาจคาดเดา

ดังนั้นในฐานะที่เป็นหัวหน้าหน่วยข่าวกรองแห่งประเทศ M ในฐานะที่เป็นผู้หญิงสวยและฉลาดคนหนึ่ง อลิซรู้ดีว่าขอให้ตนมีฝีมืออยู่บ้างก็ไม่มีทางสู้เย่เทียนเฉินซึ่งๆ หน้าได้โดยเด็ดขาด หากต้องการที่จะใช้การต่อสู้อันยุติธรรมเพื่อฆ่าเย่เทียนเฉินนั่นเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ ถ้าเช่นนั้นต้องค่อยๆ เข้าใกล้เย่เทียนเฉิน และฆ่าเขาในตอนที่ไม่รู้ตัวหรือกระทั่งในตอนที่กำลังยั่วยวน

ในฐานะที่เป็นสายลับ ย่อมไม่มีการพูดถึงความยุติธรรมหรือความดูถูกเหยียดหยามอะไรแน่นอน วัตถุประสงค์สุดท้ายของพวกเขาก็คือทำภารกิจให้สำเร็จโดยไม่สนใจว่าจะใช้วิธีใด การทำภารกิจให้สำเร็จถึงจะเป็นสิ่งที่ต้องการ หากทำภารกิจไม่สำเร็จทุกสิ่งทุกอย่างก็จะเสียเปล่า อลิซเป็นหัวหน้าหน่วยข่าวกรองพิเศษแห่งประเทศ M ย่อมเข้าใจในหลักการนี้แน่นอน ครั้งนี้ประธานาธิบดีโฮบาม่าโกรธมาก ถูกทำให้คิดว่าเขาเป็นความอัปยศอดสูของประเทศ M ทั้งประเทศ และจะต้องฆ่าเย่เทียนเฉินให้ได้ แน่นอนว่านี่เป็นเพียงการดำเนินการในทางลับ ไม่สามารถเปิดเผยได้ เขาโฮบาม่าไม่ยอมเสียหน้า ดังนั้นอลิซจึงรู้สึกได้ว่าภารกิจของตนเองในครั้งนี้สำคัญมาก เธอต้องการที่จะไปยังเครือไห่หวางก่อนเพื่อหาโอกาสเข้าใกล้เย่เทียนเฉิน

ตอนนี้เองเย่เทียนเฉินพาสิบสามจ้าวสวรรค์เดินทางไปยังโรงงานรกร้างแห่งหนึ่งของเมืองหลวงอย่างรวดเร็ว จากข้อมูลที่ชางหลางให้เขา เถี่ยเป้าซึ่งเป็นมือสังหารอันดับหนึ่งของตระกูลโอวหยาง พาสิบสามราชาเสือดาวไปรวมตัวกันที่โรงงานรกร้างแห่งนั้น เพื่อที่จะไปทำลายตระกูลเย่ มือสังหารก่อนหน้านี้ของตระกูลโอวหยางที่จับตามองบ้านเย่เทียนเฉินและบ้านเดิมตระกูลเย่ ได้มีการเคลื่อนไหวแล้ว แต่ถูกชางหลางพาคนไปหยุดเอาไว้ มิฉะนั้นตอนนี้ตระกูลเย่อาจจะถูกฆ่าล้างไปแล้วก็เป็นได้ ตอนนี้สิ่งที่เย่เทียนเฉินต้องทำก็คือพาสิบสามจ้าวสวรรค์ไปสู้กับสิบสามราชาเสือดาว ตัดสินแพ้ชนะ ดูซิว่าใครจะเป็นราชาที่แท้จริง!

ในตอนนี้สิ่งที่เย่เทียนเฉินไม่รู้ก็คือ ศัตรูในอนาคตที่แข็งแกร่งที่สุดของเขาซึ่งก็คือคุณชายใหญ่แห่งมหาวิทยาลัยหลงเถิงที่เป็นผู้ใช้พลังพิเศษห้าธาตุ ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นผู้แข็งแกร่งที่บ่มเพาะเคล็ดวิชาพลังพิเศษทั้งห้าสายในเวลาเดียวกัน ได้ลงมือกับเย่เทียนเฉินเป็นครั้งแรกแล้ว ก่อนหน้านี้จะพูดอย่างไรก็รู้สึกว่าไม่จำเป็น คิดว่าไม่ต้องทำแบบนี้ แต่ครั้งนี้เขาได้ส่งลูกน้องคนหนึ่งของตนออกไป ส่งคนที่ชื่อว่าเสวี่ยโม่เจียวออกไปโจมตีแล้ว เดิมทีสิ่งที่เขาสั่งกับโม๋สู่ก็คือ อย่าให้เสวี่ยโม่เจียวฆ่าเย่เทียนเฉิน แค่ตัดแขนข้างหนึ่งของเขากลับมาเล่นสักหน่อยก็พอแล้ว

จนถึงตอนนี้คุณชายใหญ่รู้สึกแปลกใจกับเย่เทียนเฉินอยู่บ้างเท่านั้น เรียกได้ว่าเขาไม่เห็นเย่เทียนเฉินอยู่ในสายตา ก่อนหน้านี้เขามีความรู้สึกโดดเดี่ยวของยอดฝีมือ ตอนนี้รู้สึกว่าไม่ง่ายเลยกว่าที่จะมีคนอย่างเย่เทียนเฉินโผล่ขึ้นมา ดูแล้วท่าทางจะสนุกอยู่บ้าง ดังนั้นจึงคิดจะเล่นด้วยให้มากสักหน่อย

หนึ่งชั่วโมงผ่านไป เย่เทียนเฉินพาสิบสามจ้าวสวรรค์มาถึงตำแหน่งของโรงงานรกร้าง พบว่ารอบๆ เงียบสงบ ไม่เหมือนกับมีคนมารวมตัวกันเลย จึงแผ่พลังพิเศษแห่งการรับรู้ออกไปอย่างรวดเร็ว มุมปากของเย่เทียนเฉินเผยรอยยิ้มเย็นชาขึ้นมา เขารู้แล้ว เถี่ยเป้าแห่งตระกูลโอวหยางพาสิบสามราชาเสือดาวของเขาไปซ่อนตัวอยู่รอบๆ โรงงานรกร้าง ท่าทางพวกเขาจะรู้ข่าวแล้วว่าตนเองพาสิบสามจ้าวสวรรค์มา ท่าทางอำนาจของตระกูลโอวหยางไม่อ่อนแอเลยจริงๆ ยังเหนือกว่าตระกูลเซวียนเยวี๋ยนอยู่เล็กน้อย มิฉะนั้นคงไม่รู้ข่าวอย่างรวดเร็วขนาดนี้ เห็นได้ชัดว่าในหมู่บุคคลระดับสูงของประเทศมีคนของตระกูลโอวหยางอยู่ แล้วเป็นสายลับภายในด้วย

แน่นอนว่าเรื่องนี้ต้องไปจัดการหลังจากเก็บกวาดตระกูลโอวหยางแล้ว ตอนนี้สิ่งที่เร่งด่วนที่สุดก็คือกำจัดสิบสามราชาเสือดาวของตระกูลโอวหยาง ดูปฏิกิริยาของตระกูลโอวหยางเสียหน่อย ถ้าเป็นไปได้หลังจากที่เย่เทียนเฉินฆ่าล้างตระกูลเซวียนเยวี๋ยนแล้วก็จะฆ่าล้างตระกูลโอวหยางอีกครั้ง เขาไม่สนใจวันนี้จะมีผลกระทบมากมายขนาดไหน กล่าวคือในเมื่อลงมือแล้วก็ยากที่จะหยุดยั้ง

เย่เทียนเฉินมองโรงงานรกร้างที่อยู่เบื้องหน้า จากนั้นจึงมองพงหญ้าสูงเท่าตัวคนที่ล้อมรอบอยู่ เขารับรู้ผ่านพลังพิเศษแห่งการรับรู้ว่ามีการผันผวนของพลังอันแข็งแกร่งอยู่สิบกว่าที่ ถึงแม้คนเหล่านั้นจะซ่อนตัวได้ดีมาก คนธรรมดาคงไม่พบโดยเด็ดขาด แต่กลับไม่อาจหลุดลอดการรับรู้อันแข็งแกร่งของเย่เทียนเฉินไปได้ เพียงแต่สิ่งที่ทำให้เย่เทียนเฉินรู้สึกตื่นตะลึงอยู่บ้างก็คือ สิบสามราชาเสือดาวของตระกูลโอวหยางมีความสามารถแข็งแกร่งมาก ไม่ด้อยไปกว่าสิบสามจ้าวสวรรค์ของเขาเลย นี่จะเป็นการต่อสู้ที่ยากลำบากครั้งหนึ่ง เป็นการต่อสู้ที่ดุเดือดรุนแรงอย่างแท้จริง เมื่อเทียบกับมือสังหารชั้นยอดของตระกูลเซวียนเยวี๋ยนเหล่านั้นแล้ว สิบสามจ้าวสวรรค์เสือดาวเหล่านี้เป็นผู้แข็งแกร่งที่แท้จริง พวกเขาผ่านการคัดเลือกจากตระกูลโอวหยางมานานหลายปี เป็นคนที่ได้รับการฝึกฝนอย่างโหดเหี้ยมมาหลายปี และเคยผ่านการฝึกฝนของเถี่ยเป้าที่แข็งแกร่งยิ่งกว่าอาชูร่า จนกลายเป็นเครื่องจักรสังหาร

“ทุกคนระวังหน่อย ตอนนี้พวกเราจะแยกย้ายกันลงมือ ฉันบอกว่าแกได้แค่ว่า คนเหล่านี้แข็งแกร่งมาก ไม่ด้อยไปกว่าพวกแกเลย!” เย่เทียนเฉินพูดอย่างจริงจัง

“ครับ!” สิบสามจ้าวสวรรค์พยักหน้า

ฟิ้วๆๆ!

สิบสามจ้าวสวรรค์ สิบสามจ้าวสวรรค์ที่เย่เทียนเฉินก่อตั้งขึ้นมาไม่ใช่ของประดับโดยเด็ดขาด แต่ละคนต่างก็เป็นยอดฝีมือชั้นหนึ่ง มีหลายคนที่ไม่ได้หวาดกลัวเพราะคำพูดของเย่เทียนเฉินแต่กลับรู้สึกเลือดร้อนยิ่งขึ้นด้วยซ้ำ เช่นอู๋เสวี่ย หวังเจี๋ยและเปาเทียนหลง ต่างดวงตาเปล่งประกายไปหมดแล้ว ในการต่อสู้ฆ่าล้างตระกูลเซวียนเยวี๋ยน พี่ใหญ่เย่เทียนเฉินได้โจมตีต่อสู้กับอาชูร่าที่แข็งแกร่งที่สุดจนเอาชนะได้ ทำให้พวกเขาทั้งสามคนไม่มีโอกาสลงมือ จึงรู้สึกเสียดายมาก ตอนนี้สิบสามจ้าวสวรรค์เสือดาวของตระกูลโอวหยางมีความสามารถในการต่อสู้แข็งแกร่ง พอที่จะทำให้พวกเขารู้สึกฮึกเหิมขึ้นมาได้

เย่เทียนเฉินมองไปเบื้องหน้าด้วยรอยยิ้มบางเบา เดินไปยังโรงงานที่ถูกทิ้งร้าง เขารู้ว่าสิบสามราชาเสือดาวแห่งตระกูลโอวหยางแข็งแกร่งมาก และเคยผ่านสงครามมานับร้อย จะเป็นศัตรูตัวฉกาจของสิบสามจ้าวสวรรค์แน่นอน กระทั่งพวกเขาอาจจะตายได้ แต่ก็ไม่ได้กังวลจนเกินไป สิบสามจ้าวสวรรค์เพิ่งจะก่อตั้ง ถึงแม้ฝีมือจะแข็งแกร่งมากแต่ก็ยังต้องผ่านการฝึกฝนอันโหดเหี้ยมและยังต้องการความสามัคคี ถ้าไม่ผ่านการต่อสู้เป็นตายหลายครั้งก็จะไม่สามารถเติบโตขึ้นได้โดยเด็ดขาด

ตู้ม!

ในตอนที่เย่เทียนเฉินเดินไปเบื้องหน้าไม่กี่ก้าว เงาร่างร่างหนึ่งก็พุ่งเข้าหาเย่เทียนเฉินรวดเร็วปานสายฟ้า คนยังไม่ทันมาถึงก็มีหมัดอากาศปะทะเข้ามาแล้ว แฝงไปด้วยพลังภายในอันมหาศาลจนทำให้หญ้าที่สูงเท่าตัวคนแหวกเป็นทาง พุ่งโจมตีเข้าไปยังเย่เทียนเฉิน

……………

“พวกนายได้ยินหรือเปล่า? ตระกูลเซวียนเยวี๋ยนถูกทำลายแล้ว!”

“อะไรนะ? เป็นไปไม่ได้น่ะ ตระกูลเซวียนเยวี๋ยนเป็นตระกูลใหญ่ที่ปิดซ่อนตัวตน มีอำนาจลึกลับไม่อาจคาดเดา ยิ่งไปกว่านั้นใครจะหาเจอบ้างว่าเขาซ่อนตัวอยู่ที่ไหน?”

“ได้ยินว่าตระกูลเซวียนเยวี๋ยนซ่อนตัวอยู่บนเกาะทะเลทรายของทะเลจำลองซือไห่ เมื่อคืนถูกคนทำลายไปแล้ว กระทั่งเกาะทะเลทรายก็จมไปด้วย!”

“นี่…คะ ใครมันร้ายกาจขนาดนี้? หรือจะเป็นรัฐบาลลงมือ?”

“ไม่ใช่ ได้ยินว่าเป็นตระกูลชั้นสามของเมืองหลวง เย่เทียนเฉินแห่งตระกูลเย่เป็นคนทำ…”

“เป็นไปได้ไง…เย่เทียนเฉินร้ายกาจขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่?”

“ได้ยินว่าเย่เทียนเฉินพากองกำลังที่เขาสร้างขึ้นเองชื่อว่าสิบสามจ้าวสวรรค์ไปกำจัดตระกูลเซวียนเยวี๋ยน”

“สิบสามจ้าวสวรรค์? เป็นชื่อที่โอหังดีจริง!”

พียงพริบตาเดียวทั่วทั้งโลกเบื้องหน้าและเบื้องหลังต่างก็วิพากษ์วิจารณ์กันถึงเรื่องนี้ ดูเหมือนว่าในตอนนี้ชื่อของสิบสามจ้าวสวรรค์จะโด่งดังกว่าเย่เทียนเฉินเสียอีก จะอย่างไรมีชื่อแบบนี้ปรากฏขึ้นมา ในการต่อสู้ครั้งแรกก็สามารถกำจัดตระกูลเซวียนเยวี๋ยนที่เป็นตระกูลใหญ่ซึ่งปิดซ่อนตัวตนไปได้ ทำให้ทุกคนอดไม่ได้ที่จะสั่นสะท้านจริงๆ หลายคนต่างกำลังคาดเดาว่า คนในกลุ่มสิบสามจ้าวสวรรค์นี้มีหน้าตาอย่างไรกันแน่ มีความสามารถที่ลึกลับไม่อาจคาดเดาอย่างไรกัน?

ปัง! โอวหยางเจิ้นฮว๋าตบลงบนโต๊ะกาแฟครั้งหนึ่ง โกรธเป็นอย่างมาก เขาคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าเย่เทียนเฉินจะร้ายกาจขนาดนี้ และยังมีอำนาจที่ร้ายกาจขนาดนี้อีกด้วย ในขณะเดียวกันก็แอบด่ามู่หรงอวี๋ตูอยู่ในใจที่ทำให้เขาลงมือกับตระกูลเย่ไม่ทัน ถ้าหากเมื่อคืนเขาลงมือกับตระกูลเย่ ไม่แน่ว่าตอนที่เย่เทียนเฉินกลับมาถึงเมืองหลวง ตระกูลเย่ก็อาจจะล่มสลายไปแล้วก็เป็นได้ แต่ตอนนี้สายไปแล้ว

“หึ สิบสามจ้าวสวรรค์? ฉันกลับอยากจะเห็นสักหน่อยว่ากลุ่มสิบสามจ้าวสวรรค์มันจะร้ายกาจขนาดไหน เถี่ยเป้า กองกำลังเสือดาวของแกไม่ใช่ว่ามี ราชาเสือดาวอยู่สิบสามคนเหรอ? ไปทดสอบสิบสามจ้าวสวรรค์นั่นสักหน่อย ฆ่ามันให้หมด!” โอวหยางเจิ้นฮว๋าแค่นเสียงเย็นครั้งหนึ่งแล้วเอ่ยปากพูด

“ครับนายท่าน!” เถี่ยเป้าตอบ

“ไม่ใช่ว่าฉันบอกให้แกส่งคนไปจับตาดูตระกูลเย่หรือไง? ตอนนี้บอกให้คนพวกนั้นให้ลงมือได้แล้ว ฆ่ามันให้หมด ไม่ให้เหลือแม้แต่คนเดียว!” โอวหยางเจิ้นฮว๋าพูดด้วยรอยยิ้มเย็นชา

“ผมจะพาคนออกเดินทางเดี๋ยวนี้เลยครับ!”

เถี่ยเป้าพูดจบก็เดินจากไปโดยไม่หันกลับมามอง โอวหยางเจิ้นฮว๋าที่เป็นวีรบุรุษแห่งโลกเบื้องหลัง ออกคำสั่งไปแล้วว่าให้กำจัดตระกูลเย่ ถ้าอย่างนั้นยังมีอะไรให้พูดมากอีก? เขาควรจะรีบพาราชาเสือดาวทั้งสิบสามของตนออกเดินทางไปฆ่าสิบสามจ้าวสวรรค์ของเย่เทียนเฉินทั้งหมด แล้วกลับมารายงาน

เพียงแค่คำสั่งเดียวเท่านั้น คฤหาสน์ของเย่เทียนเฉินและบ้านเดิมตระกูลเย่ก็จะพบกับการโจมตีของมือสังหาร ตอนนี้เย่เทียนเฉินยังอยู่บนเครื่องบิน กำลังบินกลับมาที่เมืองหลวง เขาไม่รู้ถึงการจัดการของตน และไม่สามารถขัดขวางการลงมือของตระกูลโอวหยางได้ ที่สำคัญก็คือคิดไม่ถึงว่าข่าวที่ตระกูลเซวียนเยวี๋ยนถูกฆ่าล้างจะแพร่ไปเร็วขนาดนี้ ทำให้โอวหยางเจิ้นฮว๋านรอไม่ไหวอีกต่อไป ต้องการที่จะฆ่าล้างตระกูลเย่ก่อนค่อยเก็บกวาดเย่เทียนเฉิน

ตอนนี้ ริมทะเลสาบแห่งเมืองหลวงที่โอวหยางเฟยอวิ๋นเคยไปพบคุณชายใหญ่แห่งมหาวิทยาลัยหลงเถิง ยังคงเป็นทะเลสาบเล็กๆ เช่นเดิม ยังคงมีเงาร่างผอมบางนั่งตกปลาอยู่เช่นเดิม หันหลังให้ผู้คน รอบตัวเขาในระยะพันเมตร มีบอดี้การ์ดชั้นยอดยืนอยู่ แต่ละคนล้วนเป็นยอดฝีมือชั้นหนึ่ง

โม๋สู่ กุนซือของคุณชายใหญ่แห่งมหาวิทยาลัยหลงเถิง ซึ่งเป็นคนที่เย่เทียนเฉินเคยเจอบริเวณประตูใหญ่ของมหาวิทยาลัยหลงเถิง กำลังยืนอยู่บริเวณที่ห่างจากคุณชายใหญ่สองเมตรอย่างเคารพนอบน้อม ไม่กล้าเดินไปเบื้องหน้าแม้เพียงครึ่งก้าว พูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “คุณชายใหญ่ เพิ่งจะได้รับข่าวมาครับ เย่เทียนเฉินฆ่าล้างตระกูลเซวียนเยวี๋ยนไปแล้ว โอวหยางเจิ้นฮว๋าโกรธมาก และรู้สึกกังวลจึงสั่งให้เถี่ยเป้าพาราชาเสือดาวทั้งสิบสามคนไปลงมือกำจัดตระกูลเย่!”

“อ้อ? ดูท่าฉันจะประเมินเย่เทียนเฉินต่ำไป เขาถึงกับสามารถฆ่าล้างตระกูลเซวียนเยวี๋ยนได้ในค่ำคืนเดียว พอมีความสามารถอยู่บ้าง งั้นตอนนี้สถานการณ์ทางฝังตระกูลเย่เป็นยังไงบ้างแล้ว?” คุณชายใหญ่หันหลังให้โม๋สู่ น้ำเสียงเต็มไปด้วยความสนุก ดูเหมือนจะไม่มีความแปลกใจเลยแม้แต่น้อย เหมือนกับเป็นคนนอกที่คอยดูละครอย่างไรอย่างนั้น

“ตอนนี้ยังไม่แน่ชัด รู้แค่ว่าหลังจากเย่เทียนเฉินฆ่าล้างตระกูลเซวียนเยวี๋ยนแล้ว ก็กลับเมืองหลวงมาในคืนนั้นเลย ตอนนี้อยู่บนเครื่องบิน ใช่แล้ว กลุ่มอำนาจของเย่เทียนเฉินเรียกว่า “สิบสามจ้าวสวรรค์” ครับ!” โม๋สู่เอ่ยปากพูด

“สิบสามจ้าวสวรรค์? ฮ่าๆ น่าสนใจ ฉันอยากจะเห็นจริงๆ ว่าตอนที่เย่เทียนเฉินกลับมาถึงบ้านแล้วได้เห็นทุกคนตายกันหมด ราชันอย่างเขาจะโกรธขนาดไหน!” คุณชายใหญ่พูดอย่างเย็นชา

“คุณชายใหญ่ งั้นตอนนี้พวกเราจะทำยังไงกันดี?” โม๋สู่ถามลองเชิง

“ไม่รีบ ให้โอวหยางเจิ้นฮว๋าเล่นกับเย่เทียนเฉินไปก่อนเถอะ ฉันยังมีเรื่องที่ต้องทำให้แน่ใจสักหน่อย!” คุณชายใหญ่พูดอย่างเรียบเฉย

“ครับ!” โม๋สู่พยักหน้าตอบ

“ใช่แล้ว ฉันสั่งให้แกส่งคนไปรวบรวมบันทึกการต่อสู้ของเย่เทียนเฉินมา รวบรวมมาได้หรือยัง?” คุณชายใหญ่เอ่ยปากถาม

“รวบรวมได้แล้วครับ นี่คือบันทึก คุณชายใหญ่เชิญดู!”

โม๋สู่เดินไปเบื้องหน้า นำเอกสารแผ่นหนึ่งส่งไปให้คุณชายใหญ่ เขารู้สึกไม่เข้าใจอยู่บ้าง เหตุใดคุณชายใหญ่จึงให้ตนเองรวบรวมสถานการณ์การต่อสู้ทุกครั้งของเย่เทียนเฉิน หรือคุณชายใหญ่ต้องการลงมือด้วยตัวเอง? ในฐานะที่เป็นกุนซือของคุณชายใหญ่แห่งมหาวิทยาลัยหลงเถิง โม๋สู่ย่อมรู้ดีว่าภายใต้คุณชายใหญ่มีคนเช่นไรอยู่ คนกลุ่มนี้ไม่อาจใช้คำว่ายอดฝีมือมาบรรยายได้แล้ว พวกเขาเป็นดั่งราชาปีศาจกลุ่มหนึ่ง การสู้สังหารกันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นบ่อยครั้ง คุณชายใหญ่แห่งมหาวิทยาลัยหลงเถิงก็ไม่ใส่ใจ นั่นก็เพราะจะได้สามารถเลือกคนที่แข็งแกร่งที่สุดออกมาได้ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ นั่นคือปีศาจกลุ่มนึงที่เมื่อลงมือก็จะกลายเป็นคนกระหายเลือด วคนกลุ่มนี้ไม่ได้เคลื่อนไหมาหลายปีแล้ว หรือคราวนี้คุณชายใหญ่ก็ไม่คิดจะใช้งาน แต่จะลงมือด้วยตัวเอง?

คุณชายใหญ่แห่งมหาวิทยาลัยหลงเถิงเป็นตัวตนที่ลึกลับมาก กระทั่งพ่อของหลิงอวี่สวิ๋นก็เคยพูดมาก่อน คุณชายใหญ่เป็นคนที่ลึกล้ำยากจะคาดเดา ไม่เพียงมีอำนาจที่แข็งแกร่ง ตัวเขาเองก็เป็นผู้แข็งแกร่งคนหนึ่งอีกด้วย แข็งแกร่งไร้เทียมทาน ดูเหมือนเย่เทียนเฉินจะไม่สามารถเป็นคู่มือของผู้ชายใหญ่ได้ นี่เป็นสาเหตุที่พ่อของหลิงอวี่สวิ๋นไม่อนุญาตให้หลิงอวี่สวิ๋นคบหากับเย่เทียนเฉิน และกักบริเวณเธออยู่ในบ้าน

“ดิน สายฟ้า ทอง น้ำ สายฟ้าอยู่ในสังกัดธาตุทอง ถ้างั้นก็มีธาตุทอง ธาตุดิน ธาตุน้ำ เคล็ดวิชาพลังพิเศษของธาตุทั้งสามก็เคยใช้ออกมาแล้ว ดูท่าฉันจะเดาไม่ผิด เย่เทียนเฉินคงเป็นผู้ใช้พลังพิเศษห้าธาตุ มิน่าล่ะคนคนนี้ถึงได้แข็งแกร่งขนาดนี้” คุณชายใหญ่มองข้อมูลที่โม๋สู่ส่งมาให้ หัวเราะอย่างเย็นชาแล้วพูดขึ้น

“ผู้ใช้พลังพิเศษห้าธาตุ? นี่…คุณชายใหญ่ครับ ถ้าหากเป็นเรื่องจริงเย่เทียนเฉินก็จะเป็นเหมือนกันกับคุณ หากเป็นเช่นนี้ต่อไปคงจะรับมือไม่ง่ายเลย!” โม๋สู่ได้ยินคำพูดของคุณชายใหญ่ก็กล่าวอย่างตื่นตะลึง

บนโลกใบนี้ดูเหมือนจะมีเพียงไม่กี่คนที่ทราบว่าคุณชายใหญ่แห่งมหาวิทยาลัยหลงเถิงคือใคร และยิ่งไม่มีใครรู้ว่า การที่คุณชายใหญ่แห่งมหาวิทยาลัยหลงเถิงแข็งแกร่งจนเล่าลือกันว่าแต่ไหนแต่ไรก็ไม่เคยพ่ายแพ้ในการต่อสู้มาก่อน นั่นเป็นเพราะคุณชายใหญ่เป็นผู้ใช้พลังพิเศษห้าธาตุอย่างแท้จริง ทองไม้น้ำไฟดิน เคล็ดวิชาพลังพิเศษของธาตุหลักทั้งห้าล้วนใช้ได้อย่างเชี่ยวชาญ แข็งแกร่งเป็นอย่างมาก ไม่อาจต่อต้านได้ ยิ่งไปกว่านั้นคนเช่นนี้หากอยู่ในในช่วงยุคสิ้นโลก การจะได้เป็นจักรพรรดิที่กล่าวขานกันก็เป็นแค่เรื่องของเวลาเท่านั้น

ใครก็คิดไม่ถึงว่าคุณชายใหญ่แห่งมหาวิทยาลัยหลงเถิงจะถึงกับเป็นผู้ใช้พลังพิเศษห้าธาตุในตำนาน เป็นไปได้มากกว่าจะเป็นเช่นเดียวกับเย่เทียนเฉินที่ฝึกฝนเคล็ดวิชาพลังพิเศษของธาตุหลักทั้งห้าธาตุในเวลาเดียวกัน แข็งแกร่งเป็นอย่างมาก แน่นอนว่านี่มีความเสี่ยงอันยิ่งใหญ่ ตอนที่ยังบ่มเพาะไม่สำเร็จไม่ว่าใครก็ไม่กล้ารับประกันความสำเร็จ พลังพิเศษอันแข็งแกร่งที่แตกต่างกันทั้งห้าประเภทอยู่ในร่างกายเดียวกัน มีความอันตรายที่จะตัวระเบิดจากการปะทะกันเองของพลังได้ทุกเวลา ทันทีที่ควบคุมไม่ดีจะต้องตายโดยไม่ต้องสงสัยเลย แต่หากสามารถหลอมมันเข้าด้วยกันได้ ก็จะประสบความสำเร็จอย่างไร้ขีดจำกัด

“เรื่องนี้ฉันกลับไม่กังวล เย่เทียนเฉินจะเป็นผู้มีพลังพิเศษห้าธาตุหรือเปล่าก็ยังไม่มีทางพิสูจน์ แค่บอกว่ามีแววว่าจะเป็นแบบนี้เท่านั้น ฉันฝึกฝนเคล็ดวิชาพลังพิเศษทั้งห้าธาตุแล้ว ความสามารถเหนือเขาแน่นอน ตอนนี้สิ่งที่ฉันสนใจมากที่สุดก็คือ เย่เทียนเฉินที่เคยเป็นลูกหลานไร้ค่าของตระกูลผู้โง่งม ทำไมอยู่ดีๆ ถึงได้กลายเป็นผู้มีพลังพิเศษที่แข็งแกร่งขึ้นมาได้? ในส่วนนี้น่าสงสัยมาก!” คุณชายใหญ่พูดขึ้นด้วยความสงสัย

“คุณชายใหญ่ครับ ผู้มีพลังพิเศษแบ่งออกเป็นผู้มีพลังแต่กำเนิดและผู้ปลุกพลังขึ้นมาภายหลัง ที่เหมือนคุณก็คือผู้มีพลังพิเศษโดยกำเนิด เย่เทียนเฉินอาจจะปลุกพลังพิเศษตื่นขึ้นมาภายหลังก็ได้ ผมเดาว่าตอนที่เขาไปเป็นทหารคงจะได้รับการฝึกฝนอย่างโหดร้าย จนไปกระตุ้นแก่นพลัง ดังนั้นเมื่อกลับเมืองหลวงมาแล้วจึงมีการเปลี่ยนแปลงไปครั้งใหญ่แบบนี้ แข็งแกร่งขึ้นทุกวันจริงๆ!” โม๋สู่พูดออกมาอย่างคาดเดา

“หวังว่าจะเป็นอย่างนั้น!” คุณชายใหญ่ชะงักไปครู่หนึ่งแล้วพูดขึ้น ดูเหมือนว่าจะไม่ค่อยเชื่อเท่าไหร่นัก แต่ในขณะเดียวกันก็ไม่อาจหาคำอธิบายที่ดีกว่านี้ได้

“คุณชายใหญ่ ผมคิดว่าไม่ว่าเย่เทียนเฉินจะเป็นผู้มีพลังพิเศษห้าธาตุหรือเปล่า พวกเราก็ควรจะลงมือฆ่าเขาซะ อำนาจของเขาในตอนนี้แข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ ดูเหมือนจะมีบุคคลระดับสูงของประเทศสนับสนุนเขาอยู่ด้วย ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไปผมเกรงว่าเขาจะคุกคามคุณได้!” โม๋สู่เปิดปากพูด

คุณชายใหญ่ใคร่ครวญคู่หนึ่ง เขารู้สึกถึงอันตรายอยู่บ้างจริงๆ หลายปีมาแล้วที่ไม่มีใครสามารถทำให้เขารู้สึกอันตรายได้ เย่เทียนเฉินเป็นคนแรก ดังนั้นเขาจึงให้ความสำคัญกับเย่เทียนเฉินซึ่งเป็นคู่ต่อสู้คนนี้มาก ต้องการที่จะเล่นกับเขาสักหน่อย แต่กลับไม่อยากให้เขาคุกคามมาถึงอำนาจของตน

“เอาแบบนี้แล้วกัน ส่งเสวี่ยโม่เจียวไปเล่นด้วยสักหน่อย บอกเขาว่าไม่ต้องฆ่าเย่เทียนเฉิน ตัดแขนกลับมาข้างนึงก็พอแล้ว!” คุณชายใหญ่พูดแล้วหัวเราะ

“ครับคุณชาย!”

โม๋สู่ถอยออกไป ข้างทะเลสาบเล็กๆ ยังคงมีคุณชายใหญ่ตกปลาอยู่ แต่ตัวเขาปรากฏสถานะคล้ายมีคล้ายไม่มี หากเป็นตอนนี้มีคนมาเห็นเหตุการณ์ในทะเลสาบเล็กๆ จะต้องตกใจจนสลบไปแน่นอน เนื่องจากในทะเลสาบเล็กๆ แห่งนี้ดูเหมือนจะมีคุณชายใหญ่แห่งมหาวิทยาลัยหลงเถิงนั่งไขว่ห้างอยู่ห้าคน ทุกคนต่างก็หันหลังบางตกปลา เต็มไปด้วยความรู้สึกลึกลับ และเต็มไปด้วยความรู้สึกคุกคาม นี่คือความสามารถแห่งเคล็ดวิชาพลังพิเศษทั้งห้าธาตุของเขา สร้างจินตภาพออกมาเป็นตนเองห้าคน ทำให้ผู้คนไม่กล้ามองตรงๆ

ในตอนที่เย่เทียนเฉินและสิบสามจ้าวสวรรค์เดินออกมาจากสนามบินแห่งเมืองหลวง มือถือของเย่เทียนเฉินก็ส่งเสียงดังขึ้น เมื่อมองดูก็พบว่าเป็นชางหลางโทรเข้ามา จึงรีบกดรับ

“ผมเอง มีเรื่องอะไรเหรอครับ?” เย่เทียนเฉินเลยถาม

เพียงแค่ถามไปประโยคเดียวเท่านั้น เย่เทียนเฉินก็ไม่ได้พูดอะไรอีก จากนั้นจึงพูดกับสิบสามจ้าวสวรรค์ด้วยรอยยิ้มว่า “ตระกูลโอวหยางลงมือแล้ว เวลาที่ชื่อเสียงของพวกเราจะโด่งดังมาถึงอีกแล้ว ฉันหวังว่าทุกคนจะกระตุ้นจิตวิญญาณขึ้นมาและไปกำจัดตระกูลโอวหยางด้วยกัน สร้างรากฐานของพวกเรากลุ่มสิบสามจ้าวสวรรค์ในเส้นทางแห่งโลกเบื้องหน้าและเบื้องหลังให้มั่นคงยิ่งใหญ่!”

“ครับ/ค่ะพี่ใหญ่!” สิบสามจ้าวสวรรค์ทุกคนอดไม่ได้ที่จะรู้สึกฮึกเหิม ตอบรับเสียงดัง

……………….

เย่เทียนเฉินไปจากเกาะทะเลทรายแล้ว คำพูดก่อนตายของอาชูร่าเป็นการชี้ทางสว่างให้เขาอย่างมาก และทำให้เขารู้สึกถึงความรับผิดชอบ เพื่อนพ้องที่ตายไปแล้วในดาวสิ้นโลกรอให้เขากลับไปแก้แค้นให้อยู่ มิฉะนั้นวิญญาณของพวกเขาคงไม่อาจสงบได้ ในฐานะที่เป็นผู้มีพลังพิเศษคนหนึ่ง การตามหาเส้นทางแห่งชีวิตยืนยาวเป็นเรื่องที่จำเป็นต้องทำ แต่สิ่งสำคัญที่สุดในตอนนี้ก็คือคุ้มครองครอบครัวของตน ฟื้นฟูตระกูลเย่ให้ยิ่งใหญ่ มีเพียงแบบนั้นวันหน้าเขาถึงจะจากไปอย่างวางใจได้

อาชูร่าเป็นคนที่ควรค่าแก่การนับถือ เดิมทีเย่เทียนเฉินก็ไม่ได้มีความแค้นลึกล้ำอะไรกับเขา เพียงแต่ทั้งสองยืนอยู่ในตำแหน่งที่แตกต่างกัน จำเป็นจะต้องต่อสู้เป็นตายกันเท่านั้น

คืนนี้ถึงคราวที่ตระกูลเซวียนเยวี๋ยนจะถูกลบชื่อออกไปจากโลกเบื้องหน้าและโลกเบื้องหลังแล้ว เกรงว่าเมื่อข่าวนี้แพร่ออกไป คงจะสั่นสะท้านไปทั่วทั้งแผ่นดินจีน กระทั่งยังจะสั่นสะท้านยิ่งกว่าการตกต่ำของตระกูลฉินและตระกูลลั่วเสียอีก จะอย่างไรเรื่องของตระกูลฉินและตระกูลลั่วก็ถูกบุคคลระดับสูงของประเทศกดเอาไว้ ไม่มีใครรู้ แต่ตระกูลเซวียนเยวี๋ยนเป็นตระกูลที่ปิดซ่อนตัวตน มีชื่อเสียงโด่งดังในโลกเบื้องหน้าและเบื้องหลัง เกรงว่าเรื่องนี้ไม่มีคนกดไว้ ไม่นานคงแพร่ออกไปทั่วทั้งแผ่นดินจีน

เย่เทียนเฉินพาสิบสามจ้าวสวรรค์ออกเดินทางในคืนนั้น ไม่ได้หยุดแม้แต่ครู่เดียว ในตอนที่มาถึงชายฝั่งทะเลจำลองซือไห่ ก็ได้ส่งพวกหูหลงรหลายคนไปขับรถมา เรื่องไม่อาจยืดเยื้อต่อไปได้ แม้จะเป็นเวลาเพียงคืนเดียวแต่ทางฝั่งของเมืองหลวงอาจจะมีคลื่นลมเกิดขึ้นก็เป็นได้ เย่เทียนเฉินจำเป็นต้องรีบกลับไปโดยเร็วที่สุด

ครืน ตู้ม!

เสียงดังลั่นดังขึ้นมาจากบนเกาะทะเลทราย เนื่องจากไม่มีเขตแดนปิดกั้นของเย่เทียนเฉินครอบคลุมเอาไว้นานแล้ว อีกทั้งเสียงในครั้งนี้ก็ดังมาก ทำให้ทุกคนที่พักผ่อนอยู่ในบ้านบริเวณริมทะเลซือไห่ตกใจจนสะดุ้งตื่น ทุกคนพากันวิ่งออกมา แสงจันทร์ส่องสว่าง มีเปลวเพลิงแพร่กระจายไปบนเกาะทะเลทราย ตามมาด้วยความรู้สึกเหมือนแผ่นดินไหว เกาะทะเลทรายที่อยู่ในใจกลางของทะเลจำลองซือไห่จมลงไป ไม่นานก็ถูกปกคลุมไปด้วยน้ำ บนชายหาดมีคนจำนวนมากมารวมตัวกัน ต่างมองภาพนี้ด้วยความแปลกใจระคนตื่นตะลึง มีเพียงเย่เทียนเฉินที่ถอนใจเพียงคนเดียว

“เป็นอย่างนี้ไปได้ยังไง?” อู๋เสวี่ยถามด้วยความสงสัย

“พวกเราก็ไม่ได้วางระเบิดข้างบนนี่?” หวังเจี๋ยก็รู้สึกว่าแปลก

“ไม่ใช่ว่าตอนที่ลูกพี่สู้กับอาชูร่า ทำให้เกาะทะเลทรายแตกไปแล้วหรอกนะ?” เปาเทียนหลงก็เอ่ยปากด้วยความแปลกใจ

เย่เทียนเฉินส่ายหน้า เขาสัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่างแล้ว ในชั่วพริบตาที่เกาะทะเลทรายจมลงไป เขาสัมผัสได้ถึงพลังพิเศษอันแข็งแกร่งของอาชูร่า การต่อสู้ครั้งใหญ่ของเขาและอาชูร่าสร้างความสูญเสียอย่างรุนแรงให้แก่เกาะทะเลทราย จนดูเหมือนจะแตกไปบ้าง แต่ก็ไม่ถึงขั้นจมลงไป อย่างน้อยก็จะไม่จมลงไปทันที

“ไปเถอะ เป็นแบบนี้ก็ดี อย่างน้อยผู้อวุโสจะได้ดีใจ ไม่มีพันธะใดๆ อย่างแท้จริง!” เย่เทียนเฉินพูดจบก็หมุนตัวขึ้นรถไป

ครั้งนี้เป็นสงครามครั้งแรกของสิบสามจ้าวสวรรค์ สามารถเรียกได้ว่าประสบความสำเร็จอย่างมาก เพียงลงมือก็สามารถฆ่าล้างตระกูลเซวียนเยวี๋ยนไปได้ ในสิบสามจ้าวสวรรค์มีเพียงสองคนที่ได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย ถึงแม้ทุกอย่างจะพูดเหมือนง่าย แต่ความจริงอำนาจของตระกูลเซวียนเยวี๋ยนแข็งแกร่งมาก บนเกาะทะเลทรายมีมือสังหารชั้นหนึ่งอยู่นับร้อยคน หากไม่ใช่ว่าสิบสามจ้าวสวรรค์แต่ละคนมีฝีมือโดดเด่น และเปลี่ยนเป็นกองกำลังทหารกองหนึ่ง เกรงว่าคงไม่สามารถกำจัดตระกูลเซวียนเยวี๋ยนภายในช่วงเวลาสั้นๆ เพียงเท่านี้ อีกทั้งความสามารถของอาชูร่ายังทำให้ผู้คนต้องตื่นตะลึง เย่เทียนเฉินต้องแลกด้วยค่าตอบแทนที่แขนทั้งสองข้างเกือบจะพิการ จึงจะสามารถทำให้เขาพ่ายแพ้ได้ เห็นได้ว่าการต่อสู้ในครั้งนี้ยากลำบากขนาดไหน

วันต่อมา ในตอนที่เย่เทียนเฉินและสิบสามจ้าวสวรรค์ยังมาไม่ถึงเมืองหลวง โลกทั้งเบื้องหน้าและเบื้องหลังต่างก็เดือดพล่านขึ้นมา แน่นอนว่าข่าวที่ทำให้ผู้คนต้องตื่นตะลึงเหล่านี้ คนธรรมดาที่อยู่ระดับล่างที่สุดไม่สามารถรู้ได้ แต่อย่างน้อยคนที่พอมีตำแหน่งอยู่บ้างก็วิพากษ์วิจารณ์กันและตื่นตะลึงเป็นอย่างมาก ภายในเวลาแค่คืนเดียว ตระกูลเซวียนเยวี๋ยนที่ปิดซ่อนตัวตนถูกทำลายทั้งหมด ในโลกใบนี้ไม่มีกำแพงใดที่ลมพัดผ่านไปไม่ได้ เป็นเย่เทียนเฉินซึ่งเป็นลูกหลานของตระกูลเย่ซึ่งเป็นตระกูลชั้นสามแห่งเมืองหลวงพากองกำลังสิบสามจ้าวสวรรค์ที่ตนสร้างขึ้นไปจัดการ นี่ทำให้ตื่นตะลึงจนคางแทบร่วงลงพื้น

หลังจากที่ที่ใครหลายคนรู้ว่าเป็นเย่เทียนเฉินพาสิบสามจ้าวสวรรค์ไปกำจัดตระกูลเซวียนเยวี๋ยน ต่างก็ตื่นตะลึงอย่างหาใดเปรียบ ในขณะเดียวกันก็สั่นสะท้านอย่างถึงที่สุดด้วย ตระกูลเย่ เดิมทีก็เป็นตระกูลที่ตกต่ำจนกลายเป็นตระกูลชั้นสามไปแล้ว เรียกได้ว่าลูกหลานชนรุ่นหลังต่างไม่มีความมานะบากบั่น ทำให้ตระกูลเย่ตกต่ำลงเรื่อยๆ ด้วยแนวโน้มเช่นนี้ เพียงไม่กี่ปีแต่กูเย่ก็จะตกต่ำจนถึงขีดสุดจนไม่สามารถพลิกฐานะขึ้นมาได้อีก

ไหนเลยจะรู้ว่าการปรากฏตัวของเย่เทียนเฉินหลังจากที่กลับมาถึงเมืองหลวงแล้ว ทุกการกระทำต่างทำให้ผู้คนต้องสั่นสะท้าน ทำให้ผู้คนต่างรู้สึกว่าตระกูลเย่อาจจะสามารถผงาดขึ้นมาเพราะเย่เทียนเฉินก็เป็นได้ นี่เป็นสาเหตุที่กลุ่มอำนาจใหญ่และตระกูลใหญ่จำนวนมากต้องการที่จะหยุดยั้งตระกูลเย่ ไม่มีเหตุผลอะไรอีก เพียงแต่ถ้าตระกูลเย่ผงาดขึ้นมาแล้ว เป็นไปได้มากว่าจะคุกคามไปถึงอำนาจของตระกูลใหญ่อื่นๆ ดังนั้นจึงต้องกดเอาไว้ก่อน ก็ง่ายๆ เพียงเท่านี้

ตอนนี้เอง ระหว่างทางที่เย่เทียนเฉินพาสิบสามจ้าวสวรรค์มุ่งหน้ากลับไปเมืองหลวง ภายในตระกูลโอวหยาง โอวหยางเจิ้นฮว๋านั่งอยู่กลางห้องโถงใหญ่ เบื้องหน้าของเขามีชายวัยกลางคนคนหนึ่งยืนอยู่ อายุประมาณสามสิบปี ซูบผอมราวกับจะปลิวลมได้เลยทีเดียว โดยเฉพาะดวงตาทั้งสองของเขาที่เต็มไปด้วยอารมณ์แห่งการฆ่าฟัน ไม่ได้เสแสร้งแกล้งทำเลยแม้แต่น้อย เพียงมองก็รู้ว่าเกิดจากการผ่านการฆ่าฟันมาระยะหนึ่ง คนคนนี้ร้ายกาจมาก

โอวหยางเจิ้นฮว๋ามีชีวิตมาถึงยุคของโอวหยางเฟยอวิ๋นผู้เป็นหลาน นอกจากลูกชายที่ออกไปจากตระกูลนานแล้ว ไม่มีการติดต่อกันมาเกือบยี่สิบปีไม่รู้ว่าเป็นตาอย่างไร ก็มีเพียงโอวหยางเฟยอวิ๋นที่เป็นหลานชายคนเดียว จะอย่างไรก็คิดไม่ถึงว่าตระกูลโอวหยางของเขาเกือบจะไร้ลูกหลาน ไม่แน่ว่าจะไร้ลูกหลานไปแล้วก็เป็นได้ จะให้โอวหยางเจิ้นฮว๋าไม่โกรธได้อย่างไร หากไม่ใช่เพราะมู่หรงอวี๋ตูโทรมาบีบบังคับเขา โอวหยางเจิ้นฮว๋าคงกระทืบเท้าฆ่าล้างตระกูลเย่ไปนานแล้ว แล้วเขามีความสามารถจะทำเช่นนี้ด้วย

ก่อนหน้านี้โอวหยางเจิ้นฮว๋าคิดว่าต้องการจะฆ่าฟันให้น้อยลงเสียหน่อย จะอย่างไรจากอายุที่เพิ่มขึ้น แม้ในใจจะยังมีความดุดัน มีความโกรธจนต้องการฆ่าคนที่ยังไม่สงบลง มีอำนาจที่เป็นดั่งจักรพรรดิของโลกเบื้องหลังได้เช่นเดียวกัน แต่เขาก็ค่อยๆ เข้าใจกระจ่างชัดถึงวัฏจักรของการกระทำ บาปกรรมเป็นสิ่งไม่จรรโลง การฆ่าฟันให้น้อยเสียน้อยเป็นเรื่องที่ถูกต้องแล้ว เมื่อปีนั้นก็เป็นเพราะการฆ่าฟันของเขาบีบบังคับให้ลูกชายคนเล็กออกไปจากบ้าน จนถึงตอนนี้ก็ยังหาไม่เจอ

แต่ครั้งนี้เย่เทียนเฉินฆ่าโอวหยางเฟยอวิ๋นผู้เป็นหลานของตน จนอาจจะทำให้เขาโอวหยางเจิ้นฮว๋าสูญสิ้นลูกหลาน ไม่ว่าใครจะถูกใครจะผิด โอวหยางเจิ้นฮว๋าก็ไม่อาจกล้ำกลืนความโกรธนี้ จะต้องฆ่าเย่เทียนเฉินให้ได้ ฆ่าล้างตระกูลเย่เพื่อล้างแค้นให้เขา

“นายท่าน เพิ่งจะได้รับข่าวจากทางมณฑลชวนมาว่าตระกูลเซวียนเยวี๋ยนถูกฆ่าล้างไปแล้ว ไม่เพียงแต่เซวียนเยวี๋ยนเสวียนอวี่และเซวียนเยวี๋ยนชิวที่ตายทั้งหมด กระทั่งเกาะทะเลทรายซึ่งเป็นที่ซ่อนตัวของตระกูลเซวียนเยวี๋ยนก็จมไปด้วย ถูกทำลายล้างจนสะอาดเกลี้ยงเกลา!” บุคคลที่ยืนอยู่เบื้องหน้าโอวหยางเจิ้นฮว๋ากล่าวรายงานด้วยความเคารพ

เมื่อได้ยินคำรายงานของบอดี้การ์ดวัยกลางคนผู้นี้ โอวหยางเจิ้นฮว๋าก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว ตระกูลเซวียนเยวี๋ยนและตระกูลโอวหยางก็เหมือนกัน เป็นตระกูลที่ปิดซ่อนตัวตนเช่นเดียวกัน ถึงแม้ระหว่างสองตระกูลจะไม่มีความเกี่ยวข้องอะไร และไม่มีการติดต่อกัน แต่เขาเองก็เข้าใจกระจ่าง เมื่อมาถึงตำแหน่งเช่นตอนนี้แล้ว มีสถานภาพที่แข็งแกร่งขนาดนี้แล้วจะต้องเข้าใจบางอย่างแน่นอน ตระกูลเซวียนเยวี๋ยนถูกทำลายล้างภายในค่ำคืนเดียว ยิ่งไปกว่านั้นเกาะทะเลทรายที่เป็นที่ปิดซ่อนตัวตนก็จมลงไป เรียกได้ว่าเป็นข่าวที่ทำให้ผู้คนต้องสั่นสะท้าน กระทั่งคนใหญ่คนโตเช่นโอวหยางเจิ้นฮว๋าก็ไม่อาจสงบใจได้โดยสิ้นเชิง ยิ่งไปกว่านั้นเขายังเข้าใจถึงอำนาจของตระกูลเซวียนเยวี๋ยนอีกด้วย

“ข่าวคงไม่ผิดพลาดหรอกนะ? อำนาจของตระกูลเซวียนเยวี๋ยนไม่อ่อนแอเลย แค่มือสังหารชั้นหนึ่งบนเกาะทะเลทรายก็มีนับร้อยคนแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นยังมีอาชูร่าอีกด้วย ความสามารถของเขาไม่ด้อยไปกว่าแกเลย!” โอวหยางเจิ้นฮว๋ามองไปยังบอดี้การ์ดวัยกลางคนเบื้องหน้าแล้วพูดขึ้น

“ไม่หรอกครับ ตอนนี้แพร่ไปทั้งโลกเบื้องหน้าและเบื้องหลังหมดแล้ว ผมสั่งให้สายของเราที่อยู่มณฑลชวนไปตรวจสอบแล้ว ตระกูลเซวียนเยวี๋ยนถูกทำลายล้างไปในค่ำคืนเดียวจริงๆ คนของพวกเรายังแอบเข้าไปในทะเลจำลองซือไห่อีกด้วย พบว่าเกาะทะเลทรายจมลงไปแล้ว ศพทั้งหมดต่างก็อยู่ด้านบน และเป็นเพราะการทรุดตัวลงไปดังนั้นศพจึงไม่ปรากฏขึ้นมา!” บอดี้การ์ดวัยกลางคนเอ่ยปากพูด

“อาชูร่าเองก็ตายเหรอ!” โอวหยางเจิ้นฮว๋าเอ่ยถาม

“ครับ!” บอดี้การ์ดวัยกลางคนพยักหน้า ไม่ได้พูดอะไรอีก ทว่าในดวงตากลับเต็มไปด้วยความตื่นตะลึง

“เถี่ยเป้า ฝีมือของอาชูร่าไม่ด้อยไปกว่าแก ถึงกับไม่สามารถคุ้มครองตระกูลเซวียนเยวี๋ยนเอาไว้ได้ ฉันสงสัยจริงๆ ว่าเป็นกลุ่มอำนาจไหนที่ทำลายพวกมัน เป็นตระกูลไหนที่ยอมทิ้งประโยชน์ก้อนใหญ่ขนาดนี้ไปได้ จะต้องมีความแค้นลึกล้ำกับตระกูลเซวียนเยวี๋ยนแน่นอน!” โอวหยางเจิ้นฮว๋าพูดอย่างเรียบเฉย

เถี่ยเป้ามองโอวหยางเจิ้นฮว๋า ในใจเองก็รู้สึกสงสัยและมีความโมโหอยู่บ้าง เมื่อปีนั้นเขาต่อสู้กับอาชูร่า ทั้งสองยังไม่รู้แพ้รู้ชนะ สิบปีต่อมา เขากำลังคิดจะไปที่มณฑลทวนอีกครั้งเพื่อต่อสู้ตัดสินแพ้ชนะกับอาชูร่า แต่อาชูร่าถึงกับตายไปแล้ว นี่ทำให้เถี่ยเป้าเสียใจมาก และตัดสินใจว่าจะต้องฆ่าคนที่ทำให้เขาไม่สามารถสู้กับอาชูร่าคนนี้ให้ได้

“เป็นเย่เทียนเฉินที่พากลุ่มอำนาจของเขาไปทำลายตระกูลเซวียนเยวี๋ยน!” เถี่ยเป้าพูดอย่างเย็นชา

“อะไรนะ?”

โอวหยางเจิ้นฮว๋าตกใจไปทั้งร่าง คนใหญ่คนโตที่มาถึงตำแหน่งเช่นนี้อย่างเขา คิดไม่ถึงโดยเด็ดขาดว่าในเวลาสั้นๆ เพียงหนึ่งคืนจะเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เช่นนี้ได้ และที่ทำให้เขาคิดไม่ถึงมากยิ่งขึ้นก็คือเย่เทียนเฉินพาคนไปทำลายตระกูลเซวียนเยวี๋ยนภายในค่ำคืนเดียว เขาถึงกับมีความสามารถเช่นนี้เชียวหรือ นี่เป็นจุดที่ทำให้โอวหยางเจิ้นฮว๋าไม่อยากที่จะเชื่อมากที่สุด

“เย่เทียนเฉินคนเดียวทำร้ายตระกูลเซวียนเยวี๋ยนไม่ได้แน่ จะต้องเป็นมู่หรงอวี๋ตูที่แอบช่วยมัน!” โอวหยางเจิ้นฮว๋านั่งลงบนโซฟาอีกครั้ง เอ่ยปากพูดด้วยความโกรธ

ตอนนี้โอวหยางเจิ้นฮว๋าเข้าใจกระจ่างแล้วว่าเหตุใดมู่หรงอวี๋ตูถึงได้โทรมาหยุดเขาเอาไว้ ที่แท้ก็กลัวว่าโอวหยางเจิ้นฮว๋าจะร่วมมือกับตระกูลเซวียนเยวี๋ยน ถึงตอนนั้นต่อให้เย่เทียนเฉินจะร้ายกาจขนาดไหน หรือต่อให้มีมู่หรงอวี๋ตูคอยช่วยเหลือ ก็คงไม่สามารถหยุดความร่วมมือที่จะฆ่าคนของตระกูลใหญ่ทั้งสองในโลกเบื้องหลังได้ และถือโอกาสใช้เวลาค่ำคืนเดียวพาคนไปกำจัดตระกูลเซวียนเยวี๋ยนถึงมณฑลชวน นี่ทำให้ผู้คนต้องสั่นสะท้านจริงๆ ประเมินความสามารถของเย่เทียนเฉินต่ำเกินไปแล้ว

“ไม่ใช่ครับ ได้ยินมาว่าเป็นกองกำลังที่เย่เทียนเฉินสร้างขึ้นมาเองเรียกว่า “สิบสามจ้าวสวรรค์” กระทั่งตัวเขาเองก็รวมอยู่ในกลุ่มสิบสามคนนั้นด้วย แต่ละคนเป็นยอดฝีมือชั้นหนึ่ง มือสังหารทั่วไปไม่สามารถเทียบได้!” ในตอนที่เถี่ยเป้าพูดคำนี้ ก็มีน้ำเสียงแปลกใจเช่นเดียวกัน สิบสามจ้าวสวรรค์ ในวันนี้ชื่อนี้ได้สนสะท้านไปทั่วทั้งโลกเบื้องหน้าและเบื้องหลังแล้ว

……………

ประกายแสงสีทองลุกโชน เย่เทียนเฉินตะโกนเสียงดัง ก้อนอิฐสีทองอันมโหฬารกดทับลงไปยังอาชูร่า นี่คือหนึ่งในเคล็ดวิชาพลังพิเศษสายทองของเย่เทียนเฉิน ชื่อว่า “โล่ทองคำ” ในตอนที่สู้กับหวังเจี๋ยก็เคยใช้มาก่อนแล้ว แต่ตอนนั้นเย่เทียนเฉินเน้นป้องกันเป็นหลัก ส่วนตอนนี้เน้นโจมตีสังหารเป็นหลัก มีแนวคิดแตกต่างกัน พลังอำนาจไม่รู้ว่าเพิ่มขึ้นมากี่เท่า

อาชูร่าเห็นก้อนอิฐสีทองอันใหญ่กดทับลงมา เย่เทียนเฉินเหยียบอยู่ด้านบนด้วยขาข้างเดียว คล้ายกับต้องการเหยียบเขาเอาไว้ใต้เท้าอย่างไรอย่างนั้น พริบตานั้นในส่วนลึกของจิตใจล้นไปด้วยไฟแห่งความโกรธ เขาอาชูร่าอยู่ในโลกใบนี้ มีฐานะเป็นผู้แข็งแกร่งที่มีพลังพิเศษในขอบเขตจอมราชันเช่นเดียวกัน ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่แข็งแกร่งคับฟ้าเลย เกรงว่ายากที่จะหาคู่ต่อสู้ได้ด้วยซ้ำ แต่ไหนแต่ไรก็ไม่มีใครกล้าใช้เท้าเหยียบเขาแบบนี้มาก่อน

ตู้ม!

ง้าวชิงหลงที่แทงทะลุเย่เทียนเฉินจนฝังลงในต้นไม้ใหญ่จนเย่เทียนเฉินในตอนนี้มีเลือดไหลออกมาที่หน้าอกข้างซ้ายถึงกับเลือนหายไปในพริบตา กลายเป็นสายลม อาชูร่าไม่ได้ตกใจ ยังคงจ้องมองไปยังโล่ทองคำที่กดทับลงมา เพราะว่าในตอนที่เย่เทียนเฉินตะโกนขึ้นมานั้น โล่ทองคำก็กางออก ในตอนที่ใช้เท้าเหยียบลงมา อาชูร่าก็รู้ว่าหน้าอกซ้ายที่ถูกง้าวชิงหลงแทงทะลุจนง้าวไปปักติดบนต้นไม้ นั่นเป็นแค่ตัวตายตัวแทนของเย่เทียนเฉินเท่านั้น นี่คือเคล็ดวิชาตัวตายตัวแทน

เพียงแต่สิ่งที่ทำให้อาชูร่าคิดไม่ถึงก็คือ เย่เทียนเฉินสามารถโจมตีง้าวชิงหลงของตนให้สลายไปในเวลาเพียงสั้นๆ แค่นี้ได้ และภายใต้สถานการณ์ที่กำแพงดินของเขาดูเหมือนจะป้องกันเอาไว้ไม่ได้แม้แต่ครึ่งวินาที ก็ยังสามารถใช้เคล็ดวิชาตัวตายตัวแทนหลบการโจมตีถึงชีวิตไปได้

เคล็ดวิชาตัวตายตัวแทนที่ว่ามานี้ก็คือ ในตอนที่เดิมพันด้วยชีวิต จะใช้สิ่งต่างๆ มาอัดพลังพิเศษเข้าไปอย่างรวดเร็ว จนก่อให้เกิดเป็นตัวปลอมของตัวเองขึ้นมา รับกระยวนท่าสังหารแทนตน ส่วนร่างกายที่แท้จริงก็มุ่งฆ่าฟันศัตรู คนที่ใช้เคล็ดวิชาพลังพิเศษนี้มีไม่มาก ก็เหมือนกับวิชาแยกร่างอย่างไรอย่างนั้น นั่นเป็นการแบ่งพลังพิเศษออกเป็นส่วนๆ ทำให้สิ้นเปลืองพลังพิเศษจำนวนมาก นี่อาจทำให้บาดเจ็บถึงชีวิตได้ ในตอนที่ต้องสู้เป็นตายกับยอดฝีมือผู้เก่งกาจ ถ้าพลังพิเศษของคุณไม่แข็งแกร่งเท่าคู่ต่อสู้แล้ว ดูเหมือนจะจบลงที่การถูกฆ่าในพริบตา ดังนั้นในตอนที่ต่อสู้ครั้งใหญ่กับยอดฝีมือที่แท้จริง การใช้วิชาพลังพิเศษและวิชาแยกร่างนับเป็นการฆ่าตัวตาย

แต่ตอนนี้อาชูร่าไม่รู้สึกถึงส่วนที่อ่อนแอลงของพลังพิเศษของเย่เทียนเฉินเลยแม้แต่น้อย กลับแข็งแกร่งมากด้วยซ้ำ ในฐานะที่เป็นผู้มีพลังพิเศษธาตุทองเช่นเดียวกัน และยังเป็นผู้มีพลังพิเศษธาตุทองที่มีขอบเขตพลังถึงระดับจอมราชันแล้วอย่างอาชูร่า เขารู้สึกได้ว่าวิชา “โล่ทองคำ” ของเย่เทียนเฉินที่กดทับลงมาอย่างแม่นยำนั้นไม่อ่อนแอไปกว่า “ทลายสวรรค์” ของตนเลย เมื่อครู่นี้เสร็จวิชาตัวตายตัวแทนที่เย่เทียนเฉินใช้ออกมาเป็นธาตุดิน นี่ทำให้อาชูร่ารู้สึกตื่นตกใจอยู่บ้าง

ฟิ้ว!

มือขวาของอาชูร่าโบกสะบัดครั้งหนึ่ง ง้าวชิงหลงกลับมาสู่มือ เขาได้ระเบิดการโจมตีที่แข็งแกร่งที่สุดออกไปแล้ว พลังพิเศษที่เหลือไม่แข็งแกร่งขนาดนั้นอีกต่อไป อย่างไรก็ตามอาชูร่าไม่มีทางเลือก เย่เทียนเฉินเหยียบ “โล่ทองคำ” กดทับลงมา ไม่มีที่ให้หนีโดยสิ้นเชิง ตอนนี้เขาเข้าใจถึงความแข็งแกร่งของเย่เทียนเฉินแล้ว เหมือนกับข่าวลือที่ได้ฟังมาจริงๆ

ตู้ม!

เย่เทียนเฉินเหยียบโล่ทองคำลงไป อาชูร่าก็สะบัดง้าวออกไปอย่างสุดแรง เสียงดังลั่นฟ้า ทั่วทั้งเกาะทะเลทรายสั่นสะท้าน ถึงแม้จะมีเขตแดนปิดกั้นของเย่เทียนเฉินครอบคลุมเอาไว้ทั้งเกาะ แต่ก็ยังกระตุ้นให้น้ำทะเลที่อยู่รอบเกาะเกิดคลื่นสูงเป็นพันชั้น เสียงดังสะท้านจนแพร่ออกไปนอกเขตแดนปิดกั้น เห็นได้ว่าการโจมตีนี้แข็งแกร่งขนาดไหน

ตู้ม!

อาชูร่าพุ่งออกมาจากฝุ่นควันอันหนาแน่นในทันที ทั่วทั้งตัวเต็มไปด้วยเลือด แต่กลับฟาดฟันง้าวไปด้านหน้าโดยไม่สนใจอะไร เย่เทียนเฉินในตอนนี้มีเลือดไหลออกมาจากแขนขวา ในตอนที่ “โล่ทองคำ” กดทับลงไปยังอาชูร่า อาชูร่าได้ฟันง้าวสวนขึ้นมา เพื่อที่จะให้การโจมตีในครั้งนี้ฆ่าอาชูร่าได้ ในช่วงเวลาเป็นตายเย่เทียนเฉินจึงใช้มือขวาบังเอาไว้ เกิดการปะทะกันสนั่นโลก แขนขวาทั้งแขนเกือบจะเสียหายไปแล้ว

การฟันในครั้งนี้รวดเร็วมาก และเป็นการโจมตีดิ้นรนสุดชีวิตครั้งสุดท้ายของอาชูร่า เพื่อที่จะขัดขวาง “โล่ทองคำ” ของเย่เทียนเฉินเอาไว้ เขาจึงใช้ง้าวชิงหลงฟาดฟันลงไปอย่างแรง ในตอนที่โล่ทองคำแตกสลาย เขาเองก็ถูกโจมตีอย่างรุนแรงเช่นเดียวกัน ทั่วทั้งตัวเต็มไปด้วยเลือด ไม่รู้ว่าบาดเจ็บสาหัสขนาดไหน แต่กลับมุ่งโจมตีสังหารไปยังเย่เทียนเฉินโดยไม่สนใจสิ่งใด เขาต้องการคุ้มครองตระกูลเซวียนเยวี๋ยน และรู้ว่าหากเย่เทียนเฉินไม่ตายตระกูลเซวียนเยวี๋ยนจะต้องถูกลบชื่อทิ้งไปในวันนี้แน่นอน

ฉัวะ!

ไหล่ซ้ายของเย่เทียนเฉินถูกง้าวชิงหลงฟัน ครั้งนี้ถูกฟันเข้าจริงๆ เขาไม่มีแรงที่จะใช้เคล็ดวิชาตัวตายตัวแทนอีกครั้งแล้ว มือขวาจับใบดาบของง้าวชิงหลงเอาไว้ เลือดไหลหยดลงมาตามแขนซ้าย จ้องมองไปยังอาชูร่า

“ดูท่าฉันจะพลาดไปแล้ว แกไม่ต้องใช้เวลาสามปีหรอก ตอนนี้ก็เหนือกว่าฉันไปแล้ว!” อาชูร่ามองเย่เทียนเฉินอย่างเรียบเฉย ราวกับรับรู้อะไรบางอย่างขึ้นมาได้ ระหว่างยอดฝีมือไม่จำเป็นต้องพูดจาให้มากความ ผลแพ้ชนะปรากฏออกมาแล้ว

“เพื่อที่จะปกป้องตระกูลเซวียนเยวี๋ยนแกก็พยายามเต็มที่แล้ว นี่เป็นลิขิตฟ้า ทำไมไม่มาเข้าร่วมสิบสามจ้าวสวรรค์ของพวกเราเพื่อพัฒนาฝีมือของตนล่ะ?” ถึงแม้ว่าเย่เทียนเฉินจะมีอาการบาดเจ็บทั่วทั้งร่าง มือขวาและมือซ้ายแทบจะถูกทำลาย แต่กลับยังคงเชื้อเชิญอาชูร่าด้วยรอยยิ้ม

อาชูร่าชะงักไปครู่หนึ่ง จากนั้นจึงยิ้มเล็กน้อย ง้าวชิงหลงในมือขวาของเขาหายไปแล้ว อาชูร่าที่เหลือเพียงร่างกายที่ท่วมไปด้วยเลือด มองเย่เทียนเฉินแล้วพูดขึ้น “แกไม่เพียงแต่จะเป็นยอดฝีมือคนหนึ่ง เป็นคนหนุ่มที่มีฝีมือลึกล้ำไม่อาจหยั่ง แล้วยังมีความใจกว้าง ตระกูลเซวียนเยวี๋ยนมาถึงทุกวันนี้ได้ ก็คงจะมาถึงจุดสิ้นสุดแล้ว ส่วนฉันก็ไม่มีญาติมิตรในโลกนี้ตั้งนานแล้ว ไม่มีพันธะ สามารถจากไปได้!”

เย่เทียนเฉินได้สติกลับมา รอจนกระทั่งเขาคิดจะลงมือ อาชูร่าก็นั่งไขว่ห้างลงบนก้อนหินที่อยู่ไม่ไกล ลมหายใจขาดห้วงไปแล้ว นี่ทำให้เย่เทียนเฉินรับมือไม่ทัน จะอย่างไรก็คิดไม่ถึงว่า หลังจากที่อาชูร่าพ่ายแพ้จะเลือกเช่นนี้ ผู้แข็งแกร่งคนหนึ่งที่เรียกได้ว่าเป็นศัตรูที่รับมือได้ยากยิ่งในโลกใบนี้ เลือกที่จะตายไปพร้อมกับตระกูลเซวียนเยวี๋ยน นี่ไม่ใช่ความร้ายกาจของตระกูลเซวียนเยวี๋ยน แต่เป็นความใจกว้างของอาชูร่า อาชูร่าให้ความสำคัญกับความสัมพันธ์มาก เป็นคนที่ควรค่าแก่การนับถือ

“ผู้อาวุโส…” เย่เทียนเฉินรู้สึกเสียดายอยู่บ้าง ตะโกนออกมาอย่างสะท้อนใจ

นี่คือผลของการต่อสู้ระหว่างยอดฝีมือทั้งสองคน เป็นครั้งแรกที่เย่เทียนเฉินได้รับความเสียหายอย่างรุนแรงถึงขนาดนี้ มือทั้งสองแทบจะไร้ค่า เห็นได้ว่าอาชูร่าแข็งแกร่งมากขนาดไหน แต่อาชูร่าเองก็เห็นแล้วว่าถ้าหากสู้กันต่อไป มีแต่จะบาดเจ็บพ่ายแพ้กันทั้งคู่ บางทีเรียกได้ว่าตนเองพ่ายแพ้แล้ว ชายหนุ่มอายุยี่สิบปีคนนี้ไม่เพียงแต่เหนือกว่าเขาตอนอายุยี่สิบ แต่ยังเหนือกว่าเขาได้ตอนนี้ไปแล้วด้วย หากดื้อรั้นจะสังหารต่อไปก็ไม่มีความหมายอะไร ไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้ คนทั้งสองคนที่แตกต่างกัน เดิมทีก็ไม่มีความแค้นเคืองลึกล้ำต่อกัน เพียงแต่แต่ละคนก็มีหลักการของตัวเอง แต่ละคนมีชะตากรรมของตัวเอง บนโลกใบนี้มีความจนใจมากเกินไป ใครก็รับไม่ได้

ตอนนี้เย่เทียนเฉินไม่รู้ว่าจะบรรยายอารมณ์ของตนอย่างไร ฝีมือของอาชูร่าแข็งแกร่งมาก เป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุดที่เขาได้พบตั้งแต่ได้มาเกิดใหม่ในโลกใบนี้ และเป็นครั้งแรกที่เขาได้รับบาดเจ็บสาหัส มือทั้งสอลงเกือบจะเสียหาย เขากับอาชูร่าไม่มีความแค้นลึกล้ำอะไรต่อกัน เพียงแต่พวกเขาไม่มีทางเลือก สุดท้ายอาชูร่าจึงละทิ้งการโจมตีถึงตายไป นั่งละสังขารไปบนก้อนหินใหญ่ด้วยตัวเอง มีความใจกว้างเช่นผู้อาวุโสคนหนึ่ง มีเอกลักษณ์ดังยอดฝีมือคนหนึ่ง คนเช่นนี้เดิมทีก็ไม่ควรจะตาย

โดยเฉพาะคำพูดนั้นของอาชูร่าที่ทำให้เย่เทียนเฉินรู้สึกสะท้อนใจนัก ไม่มีญาติมิตรแม้แต่คนเดียวแล้ว ไม่มีสหายแม้แต่คนเดียว และไม่มีพันธะใดๆ จะเป็นหรือจะตายจะมีอะไรแตกต่างกันล่ะ?

หลังจากมาเกิดใหม่ในโลกใบนี้ ในดาวสิ้นโลกเย่เทียนเฉินเองก็เป็นเด็กกำพร้าที่ไม่มีญาติมิตรคนหนึ่ง เดินบนเส้นทางแห่งการฆ่าฟัน เดินบนเส้นทางแห่งการต่อสู้จนถึงที่สุด ไม่รู้ว่าเดินมาถึงชายขอบแห่งความเป็นความตายไปแล้วกี่ครั้ง สุดท้ายจึงมีพี่น้องร่วมตายอยู่กลุ่มหนึ่ง เพียงแต่น่าเสียดายหลังจากการต่อสู้กับสัตว์อสูรระดับสูงในครั้งนั้น ทุกคนก็ตายไปหมดแล้ว ตายไปทั้งหมด ดูเหมือนว่าทุกวันคืนเย่เทียนเฉินจะฝันเห็นฉากเช่นนี้ ถ้าไม่ได้แก้แค้นให้เหล่าสหายของตนเขาก็ไม่อาจทำใจได้ เรียกได้ว่าตายไปแล้วก็ไม่อาจสงบใจได้ ลูกผู้ชายคนหนึ่ง ดำรงชีวิตอย่างตรงไปตรงมา สร้างชื่อเสียงให้เลื่องลือ ปกป้องสหายเป็นรากฐานที่สำคัญที่สุด ดังนั้นเย่เทียนเฉินดึงหวงแหนญาติมิตรในครั้งนี้เป็นพิเศษ พ่อแม่และน้องสาว ไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าพวกเขาอีกแล้ว

ความเปล่าเปลี่ยวของอาชูร่า ความเจ็บปวดของเขา ในฐานะที่เป็นยอดฝีมือผู้เก่งกาจ แต่กลับไม่มีญาติมิตรแม้แต่คนเดียวอยู่ข้างกาย ไม่รับรู้ถึงความรู้สึกของครอบครัว ไม่อาจรับรู้ถึงความสุขที่ญาติมิตรนำมา ทำให้เย่เทียนเฉินรู้สึกใจสั่นและหวงแหน ต้องการกำจัดอุปสรรคทุกอย่างให้ราบคาบ ปกป้องความสุขของครอบครัวตน ในใจของเย่เทียนเฉินมีความแน่วแน่ในความคิดนี้ของตนเองมากยิ่งขึ้น ใครก็ไม่อาจสั่นคลอนความคิดของเขาได้ ต่อให้เป็นเทพเซียนก็ทำไม่ได้

ฟิ้วๆๆ!

อู๋เสวี่ย หวังเจี๋ย เปาเทียนหลง ทั้งสามต่างปรากฏตัวเบื้องหลังเย่เทียนเฉิน บนร่างของเขาเต็มไปด้วยเลือด แต่ล้วนเป็นเลือดของมือสังหารแห่งตระกูลเซวียนเยวี๋ยนเหล่านั้น หลังจากผ่านการต่อสู้ครั้งใหญ่มา พวกเขาก็ทำลายบ้านของตระกูลเซวียนเยวี๋ยนไปแล้ว และดับชีวิตของสองพ่อลูกเซวียนเยวี๋ยนเสวียนอวี่และเซวียนเยวี๋ยนชิวไปเรียบร้อยแล้วด้วย ในตอนที่ได้ยินเสียงดังสนั่นฟ้า ทุกคนต่างถูกทำให้สั่นสะท้าน และรีบตามเข้ามา ในตอนที่เห็นเย่เทียนเฉินผู้เป็นพี่ใหญ่ แขนทั้งสองมีเลือดไหลออกมาจนแทบจะใช้การไม่ได้ ทั้งสามก็สูดหายใจเย็นยะเยือก จินตนาการได้เลยว่าเย่เทียนเฉินผ่านการต่อสู้สะเทือนฟ้าอย่างไรมา

“พี่ใหญ่…คุณไม่เป็นไรใช่ไหม?” อู๋เสวี่ยได้สติกลับมา จึงเอ่ยถามออกมาอย่างตื่นตกใจ

“ไม่เป็นไร!” เย่เทียนเฉินพูดอย่างเรียบเฉย มองไปยังร่างกายที่กำลังนั่งอยู่ของอาชูร่า รู้สึกสะท้อนใจยิ่ง เรียกได้ว่าเขาพ่ายแพ้อาชูร่าแล้ว และเรียกได้ว่าไม่ได้แพ้ เนื่องจากการโจมตีถึงขั้นเป็นตายครั้งสุดท้ายไม่ได้สัมฤทธิ์ผล เป็นอาชูร่าที่รับรู้ถึงชีวิตมนุษย์ ไม่มีห่วงอะไรเลยแม้แต่น้อย จึงนั่งละสังขารอยู่บนก้อนหินใหญ่ด้วยตนเอง สร้างความสะท้อนใจอย่างรุนแรงให้แก่เย่เทียนเฉิน

“นี่…นี่มัน…ระ ร้ายกาจจริงๆ …” หวังเจี๋ยเห็นอาชูร่าที่นั่งละสังขารอยู่เบื้องหน้าก็ตื่นตกใจจนแลบลิ้นออกมา หวังเจี๋ยเป็นคนที่เชื่อมั่นในตนเองและบ้าคลั่งอย่างมาก แสดงท่าทีเช่นนี้ออกมาน้อยมาก แต่เขารู้สึกได้ว่าคนตรงหน้านี้ ต่อให้ตายไปแล้ว บนร่างก็ยังมีพลังพิเศษอันแข็งแกร่งแผ่ออกมา น่าหวาดกลัวจริงๆ มิน่าล่ะเย่เทียนเฉินที่มีความสามารถลึกล้ำไม่อาจคาดเดาถึงได้รับบาดเจ็บสาหัสขนาดนี้

“อาชูร่าคือผู้อาวุโสท่านหนึ่งที่ควรค่าแก่การนับถือ พวกเราไปกันเถอะ!” เย่เทียนเฉินสูดหายใจลึกแล้วพูดขึ้น

“เซวียนเยวี๋ยนเสวียนอวี่และเซวียนเยวี๋ยนชิวเป็นยังไงบ้าง?” เปาเทียนหลงเอ่ยปากถาม

“ฆ่าไปแล้ว อย่าลืมฝังศพผู้อาวุโสอาชูร่าไว้บนเกาะทะเลทรายให้ดีๆ ด้วย!” เย่เทียนเฉินพูดอย่างเรียบเฉย หมุนตัวแล้วเดินจากไป

……………

ตู้ม!

ครั้งนี้เย่เทียนเฉินระเบิดความสามารถขั้นสูงสุดของขอบเขตจอมราชันออกมา ทำให้ง้าวฟางเทียนซึ่งเกิดจากพลังพิเศษที่อยู่ในมือขวาของตนขยายใหญ่ขึ้นหลายเท่าในพริบตาเดียว ยิ่งไปกว่านั้นพลังทำลายล้างก็ไม่รู้ว่าเพิ่มขึ้นมากแค่ไหน เขาเตรียมที่จะโจมตีฆ่าฟันอาชูร่า เขาเองก็ไม่มีตัวเลือกอื่น ในเมื่ออาชูร่าอุทิศชีวิตปกป้องตระกูลเซวียนเยวี๋ยน เขาก็ทำได้เพียงลงมือฆ่าเท่านั้น

อาชูร่าเป็นคู่ต่อสู้คนแรกที่ทำให้เย่เทียนเฉินให้ความสำคัญขนาดนี้ และพูดได้ว่าตั้งแต่ที่เย่เทียนเฉินได้มาเกิดใหม่ในโลกแห่งนี้ เขาเป็นคู่มือที่แข็งแกร่งมากที่สุดที่เคยเจอ เมื่อครู่นี้ในช่วงเวลาสั้นๆ เพียงสองนาทีก็ประมือกันอย่างรุนแรงไปหลายร้อยกระบวนท่าแล้ว และเป็นเพราะพวกเขาเป็นยอดฝีมือขั้นสูง ไม่งั้นไม่รู้ว่ามือสังหารชั้นยอดเหล่านั้นจะตายไปแล้วกี่คน การต่อสู้ครั้งใหญ่เช่นนี้ยังไม่รู้แพ้รู้ชนะ ใครจะแพ้จะชนะก็ไม่มีเค้าลางเลยแม้แต่น้อย นี่เป็นครั้งแรกที่เย่เทียนเฉินลงมือกับคู่ต่อสู้ด้วยการกระตุ้นพลังทั้งหมดออกมา

ง้าวฟางเทียนร่วงหล่นจากฟากฟ้า ฟาดฟันลงไปยังอาชูร่าโดยตรง ภายในป่าเล็กๆ ทั่วทั้งป่า ใบไม้ปลิวพลิก ต้นไม้หลายต้นส่งเสียงครางลั่นอย่างรุนแรง ราวกับถูกพลังสังหารอันแข็งแกร่งจนแทบจะแตกสลาย เห็นได้ว่าพลังโจมตีในครั้งนี้ของเย่เทียนเฉินรุนแรงขนาดไหน

“มังกรเขียวฟ้าคำรน!”

ชั่วขณะนั้นเอง ดวงตาของอาชูร่าเปลี่ยนไปคมกริบอย่างหาที่เปรียบมิได้ มีประกายแสงจำนวนมากส่องสว่าง มองไปยังเงาของง้าวฟางเทียนอันใหญ่ยักษ์ที่ฟันลงมาบนศีรษะของตน เขาขมวดคิ้วแน่น รู้สึกได้ถึงพลังการฆ่าฟันที่รุนแรง ในใจตกตะลึงยิ่งนัก เย่เทียนเฉินเป็นคนหนุ่มที่มีพลังแห่งการต่อสู้ลึกล้ำอยากจะหยั่งถึงจริงๆ

ฉัวะ!

ดาบหนึ่งพุ่งขึ้นไปสู่ฟ้า ง้าวชิงหลงระเบิดประกายแสงสีทอง ทำให้ผู้คนลืมตาไม่ขึ้น อาชูร่าตะโกนออกมาเสียงดัง ไม่ยอมปล่อยเลยแม้แต่น้อย สะบัดง้าวออกไปครั้งหนึ่ง พบว่ามีเงาร่างของมังกรเขียวตัวเขื่องพุ่งทะยานขึ้นสู่ฟ้า อ้าปากอันใหญ่โตมโหฬารงับลงไปที่เงาของง้าวฟางเทียน ในปากถึงกับมีเสียงร้องคำรามของมังกรออกมา แน่นอนว่านี่เป็นของปลอม เย่เทียนเฉินรู้ดีว่านี่เป็นเพราะความสามารถของอาชูร่าแข็งแกร่งมากเกินไปจนพลังสังหารที่ตวัดออกไปรวมตัวกันจนกลายเป็นเงาของมังกร และยังทำให้รู้สึกเหมือนได้ยินเสียงมังกรคำรามอีกด้วย

ตู้ม!

ง้าวฟางเทียนฟาดฟันลงมา ง้าวชิงหลงทะยานออกไปในแนวขวาง เกิดเงาร่างของมังกรตัวเขื่องกลืนง้าวฟางเทียนลงไป เย่เทียนเฉินตื่นตะลึง ความสามารถของอาชูร่าแข็งแกร่งมาก ท่าทางการโจมตีในครั้งนี้ของตนจะฆ่าเขาไม่ได้ซะแล้ว

หลังจากเสียงดังสนั่น จินตภาพของมังกรเขียวก็ไม่สามารถกลืนง้าวฟางเทียนลงไปได้ และหัวของมังกรก็ถูกฟันกลางอากาศ ในตอนที่ง้าวฟางเทียนฟันศีรษะของมังกร ก็ไม่อาจขวางพลังทำลายล้างที่พุ่งออกมาจากมังกรเขียวได้ สุดท้ายก็สั่นสะท้านและสลายหายไป

ซู่ม!

การต่อสู้ตกอยู่ในสถานการณ์ตึงเครียด ต้องลงมือเท่านั้น ถ้าเย่เทียนเฉินไม่ลงมือสังหาร ก็จะไม่สามารถหยุดยั้งเอาไว้ได้โดยเด็ดขาด นี่เป็นความคุ้นชินที่สั่งสมมาจากการต่อสู้ในช่วงยุคสิ้นโลก เขาจำเป็นต้องทำเช่นนี้ เมื่ออยู่ต่อหน้าศัตรูที่แข็งแกร่ง อีกฝ่ายไม่ตายเราก็ม้วย

เย่เทียนเฉินกระโดดขึ้นไปเหนือศีรษะอาชูร่า มือซ้ายไขว้เอาไว้ด้านหลัง มือขวากำเงาฟางเทียนแน่น ชี้ขึ้นไปบนฟ้า ภายใต้แสงจันทร์ เงาร่างของเขาดูน่าหวาดกลัวยิ่งนัก นี่เป็นการแสดงความแข็งแกร่งทั้งหมดของเขาออกมา

ครั้งนี้เย่เทียนเฉิน ฟันทั้งคนทั้งง้าวลงไปยังอาชูร่าพร้อมกัน ไม่รู้ว่าอำนาจทำลายล้างจะเพิ่มขึ้นกี่เท่า อาชูร่าไม่สามารถหลบได้ เพราะเย่เทียนเฉินฟาดฟันง้าวลงมาอย่างรวดเร็วและรุนแรงจนเกินไป

เคร้ง!

ง้าวชิงหลงในมือของอาชูร่าและง้าวฟางเทียนในมือขวาของเย่เทียนเฉินปะทะกัน เกิดเสียงก้องกังวานของโลหะ ประกายไฟลุกโชนไปทั่วทั้งสี่ทิศ เย่เทียนเฉินรู้สึกว่ามือขวาของตนเกิดอาการชา ส่วนอาชูร่าก็รู้สึกว่าตัวเขาแทบจะลงไปคุกเข่าอยู่กับพื้นรอมร่อ การโจมตีนี้ทั้งคู่ออกแรงเต็มที่แล้ว

“แกถึงกับสามารถสร้างง้าวฟางเทียนจากเท็จเป็นจริงได้ ทำได้ถึงขั้นนี้ ฉันต้องขอกล่าวเลยว่าแกแข็งแกร่งมากจริงๆ!” มือทั้งสองของอาชูร่าประคองง้าว สายตามองไปยังเย่เทียนเฉินอย่างเย็นชาแล้วพูดขึ้น

เย่เทียนเฉินใช้เคล็ดวิชาพลังพิเศษอันแข็งแกร่งสร้างง้าวฟางเทียนขึ้นมา ความจริงแล้วนี่ไม่ได้ทำให้อาชูร่ารู้สึกตื่นตกใจมากเท่าไหร่นัก เนื่องจากหลังจากที่พลังพิเศษพัฒนามาจนถึงขอบเขตที่แน่นอนแล้วก็สามารถทำได้ แต่ของที่สร้างออกมานั้น ต่อให้มีพลังพิเศษที่แข็งแกร่งมากขนาดไหนก็ทำได้เพียงสร้างจากเท็จเป็นจริงเท่านั้น จะอย่างไรก็เป็นการคงอยู่ที่เป็นภาพลวงตาไม่ใช่ความจริง แต่ง้าวฟางเทียนในมือขวาของเย่เทียนเฉินถึงกับสามารถปะทะกับง้าวชิงหลงของอาชูร่าได้ และยังปะทะกันจนเกิดประกายไฟขึ้นมา เหมือนกับง้าวฟางเทียนคือของจริงอย่างไรอย่างนั้น นี่ทำให้อาชูร่าตกตะลึงมากจริงๆ

“ฉันยังไม่ได้ลงมือเต็มที่เลย ฉันเชื่อว่าแกเองก็ไม่ได้ลงมือเต็มที่เหมือนกัน ในเมื่อสาบานว่าจะใช้ชีวิตปกป้องตระกูลเซวียนเยวี๋ยนแล้ว งั้นพวกเราก็มาโจมตีครั้งสุดท้ายกันเถอะ!” เย่เทียนเฉินพูดด้วยรอยยิ้ม

ช่วงเวลาต่อไปเย่เทียนเฉินและอาชูร่าจะเปิดสงครามกันแล้ว สู้กันมาจนถึงตอนนี้ ก็นับว่าดวลกันไปหลายร้อยกระบวนท่าแล้ว ทั้งสองเป็นคู่ต่อสู้ที่มีฝีมือพอฟัดพอเหวี่ยงกัน ไม่อาจแบ่งแยกแพ้ชนะ แต่การต่อสู้ในคืนนี้จะต้องมีคนตาย ในใจของทั้งสองเข้าใจกระจ่างแจ้ง โดยเฉพาะเย่เทียนเฉิน พบกับผู้แข็งแกร่งเช่นอาชูร่า เขาย่อมต้องการรับสมัครมาเป็นพวกเพื่อขยายกองกำลังสิบสามจ้าวสวรรค์ให้ยิ่งใหญ่ แต่อาชูร่าไม่ได้มีความคิดเช่นนั้น เขาสาบานว่าจะใช้ชีวิตปกป้องตะกูลเซวียนเยวี๋ยน คำพูดของเขาชัดเจนมาก ต่อให้เขารู้ว่าตระกูลกลางจะทำเรื่องเลวร้ายมากมาย และรู้ว่าเซวียนเยวี๋ยนเสวียนอวี่และเซวียนเยวี๋ยนชิวสองพ่อลูกวางแผนใช้ประโยชน์จากตนเอง เขาก็ยังปกป้องตระกูลเซวียนเยวี๋ยน นี่เป็นการตอบแทนบุญคุณที่ตระกูลเซวียนเยวี๋ยนเลี้ยงดูเขา อาชูร่าเป็นคนที่ให้ความสำคัญกับความสัมพันธ์มากคนหนึ่ง

“การโจมตีครั้งสุดท้าย จะเป็นเคล็ดวิชาสังหารพลังพิเศษที่แข็งแกร่งที่สุดในช่วงเวลาสี่สิบปีของฉัน ชื่อว่าทลายสวรรค์!”

อาชูร่ามองเย่เทียนเฉินอย่างเย็นชา พริบตาเดียวมือขวาก็แทงง้าวชิงหลงลงไปที่พื้น แทงลงไปเบื้องหน้าของตน ขณะเดียวกันในมือทั้งสองก็ปรากฏประกายแสงสีทองขึ้น เสียดแทงดวงตาเป็นอย่างมาก กระทั่งเย่เทียนเฉินก็ไม่กล้ามองตรงๆ ลมอันบ้าคลั่งพุ่งขึ้นมาจากดิน พัดต้นไม้ใหญ่แต่ละต้นจนแทบจะหัก เศษฝุ่นหินดินทรายออกไป กระทั่งเกาะทะเลทรายก็สั่นสะท้านขึ้นมา มีน้ำทะเลม้วนตัวอย่างบ้าคลั่ง นี่คือพลังพิเศษอันแข็งแกร่งของอาชูร่าที่กระจัดกระจายไปทั่ว พลังอำนาจหาใดเปรียบ

“ที่แท้ก็เป็นผู้มีพลังพิเศษธาตุทอง ยิ่งไปกว่านั้นยังไปถึงขอบเขตจอมราชันแล้วด้วย ในโลกนี้ที่เป็นสถานที่ไม่เหมาะสมกับการบ่มเพาะ สามารถประสบความสำเร็จถึงขั้นนี้ได้ ช่างไม่ธรรมดาเลยจริงๆ!” เย่เทียนเฉินอดไม่ได้ที่จะพูดออกมาอย่างตื่นตะลึง

“แกเองก็เหมือนกันไม่ใช่หรือไง ตอนนี้ความสามารถของแกเหนือกว่าฉันตอนหนุ่มๆ ไปแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นก็ไม่แน่ว่าฉันจะเอาชนะแกได้ แต่ฉันจะลงมือเต็มที่!” อาชูร่ามองเย่เทียนเฉินแล้วพูดอย่างชื่นชม

จนถึงตอนนี้ อาชูร่าก็ต้องลงมือเต็มที่ ต้องการที่จะใช้การโจมตีที่แข็งแกร่งที่สุดในหมู่เคล็ดวิชาพลังพิเศษของตนออกมา เย่เทียนเฉินรับรู้ถึงความแข็งแกร่งของอาชูร่า ในที่สุดถึงยืนยันได้ว่าอาชูร่าไม่เพียงแต่จะเป็นผู้มีพลังพิเศษธาตุทอง แต่ยังมีขอบเขตพลังถึงขั้นจอมราชันแล้วด้วย มิฉะนั้นจะสู้กับเย่เทียนเฉินนานขนาดนี้โดยไม่แพ้ได้อย่างไร

อาชูร่าก็เหมือนกับเย่เทียนเฉิน มีความสามารถในขอบเขตจอมราชันเช่นเดียวกัน บนโลกใบนี้ที่หลิงชี่แห้งเหือดไปนานแล้ว และกฎเกณฑ์ธรรมชาติแปรเปลี่ยนไป ดูเหมือนจะไม่มีทางบ่มเพาะได้ อาชูร่าถึงกับสามารถทะลวงไปยังขอบเขตจอมราชันได้ ไม่กล่าวไม่ได้ว่าไม่อาจดูเบา การที่เย่เทียนเฉินสามารถทะลวงขอบเขตไปได้นั้นเป็นเพราะเดิมทีเขาก็เป็นผู้แข็งแกร่งที่มีพลังพิเศษระดับพระเจ้า ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความเชี่ยวชาญในเคล็ดวิชาพลังพิเศษ หรือจะเป็นประสบการณ์ในด้านการทะลวงขอบเขต เขาก็รู้มากกว่าอาชูร่า ต่อให้เป็นเช่นนี้ เย่เทียนเฉินกับยากที่จะทะลวงไปยังระดับจักรพรรดิ กฎเกณฑ์ธรรมชาติในโลกแห่งนี้ถูกทำลายไปอย่างสาหัส ต่อให้เขาจะพยายามยืนหยัดอย่างไม่ขาดสายมาโดยตลอดก็ตาม

เย่เทียนเฉินเห็นอาชูร่าใช้กระบวนท่าโจมตีที่แข็งแกร่งที่สุดของเขา ในใจก็สั่นสะท้าน เขาสัมผัสได้ถึงไอพลังอันบ้าคลั่ง เดิมทีเคล็ดวิชาพลังพิเศษธาตุทองก็เป็นเคล็ดวิชาอันดับต้นๆ ของธาตุทั้งห้า แต่ไม่ได้กล่าวว่าเคล็ดวิชาพลังพิเศษธาตุทองจะแข็งแกร่งที่สุดในเหล่าเคล็ดวิชาพลังพิเศษของธาตุทั้งห้า ยิ่งไปกว่านั้นในเมื่อธาตุทั้งห้าอันได้แก่ทองไม้น้ำไฟดิน ธาตุทองอยู่ในอันดับที่หนึ่งย่อมมีสาเหตุ อย่างน้อยเคล็ดวิชาธาตุทองก็เป็นเคล็ดวิชาที่บ่มเพาะฝึกฝนได้ยากที่สุดในหมู่เคล็ดวิชาพลังพิเศษทั้งห้าธาตุ แต่เมื่อฝึกฝนไปถึงขอบเขตหนึ่ง ความสามารถจะลึกล้ำไม่อาจคาดเดา มีอำนาจถึงขั้นทะลวงฟ้าทะลายดิน

การโจมตีครั้งสุดท้าย เห็นได้ชัดว่าอาชูร่าจะลงมือเต็มที่โดยไม่ยั้งมือเลยแม้แต่น้อย ตั้งชื่อท่าว่า “ทลายสวรรค์” เห็นได้ชัดว่าเป็นการโจมตีที่แข็งแกร่งขนาดไหน จะต้องโจมตีรวดเร็วรุนแรงดั่งพายุฝนอันบ้าคลั่งแน่นอน เนื่องจากตอนนี้เขายังไม่ได้ลงมือก็ทำให้เกาะทะเลทรายทั้งเกาะสั่นสะท้านขึ้นมาแล้ว สีหน้าของเย่เทียนเฉินเคร่งขรึมขึ้นมาก

“ทลายสวรรค์!”

เสียงตะโกนดังลั่น มือทั้งสองของอาชูร่าเปล่งประกายสีทอง จับง้าวชิงหลงขึ้นมาในพริบตา ดึงออกมาจากพื้นจนส่งเสียงดังลั่น ง้าวชิงหลงทั้งเล่มมีประกายแสงสอดส่องไปทั่ว ฟันไปยังเย่เทียนเฉิน นี่ไม่ใช่เงาจินตภาพ แต่เป็นง้าวชิงหลงแท้จริงที่ฟันลงมา เสียงมังกรคำรามดังสะท้านฟ้า นี่คือการโจมตีเต็มกำลังของอาชูร่า

“กำแพงดิน!”

เย่เทียนเฉินตะโกนออกมาเช่นเดียวกัน ใช้ฝ่ามือตบลงไปบนดิน ชั่วขณะนั้นเบื้องหน้าของเขามีกำแพงดินหนาห้าชั้นปรากฏขึ้น ต้องการที่จะหยุดยั้งง้าวชิงหลงเอาไว้

ตู้ม!

ตู้ม!

ตู้ม…

เดิมทีง้าวชิงหลงมีอำนาจมหาศาล รวมกับที่ด้านในแฝงไปด้วยพลังพิเศษทั้งหมดของยอดฝีมือในขอบเขตจอมราชันเช่นอาชูร่าและโจมตีออกไปเต็มกำลัง แข็งแกร่งจนถึงขั้นที่ทำให้ผู้คนต้องสั่นสะท้าน เย่เทียนเฉินใช้เคล็ดวิชาธาตุดินออกมา สร้างเป็นกำแพงหนาห้าชั้นอย่างรวดเร็ว แต่ถึงกับไม่สามารถหยุดง้าวชิงหลงเอาไว้ได้ ไม่มีโอกาสแม้แต่พริบตาเดียว ง้าวชิงหลงพุ่งมาถึงเบื้องหน้าแล้ว เจาะทะลุไหล่ซ้ายของเย่เทียนเฉินโดยตรง

ตู้ม!

ไหล่ซ้ายของเย่เทียนเฉินถูกง้าวชิงหลงแทงทะลุ เรียกได้ว่าหน้าอกซ้ายทั้งแถบถูกแทงทะลุไปแล้ว เลือดสดๆ ไหลออกมา ยิ่งไปกว่านั้นพลังทำลายล้างของง้าวชิงหลงก็ไม่น้อย ปักอยู่บนต้นไม้ต้นหนึ่ง เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นกะทันหันจนเกินไปและแข็งแกร่งจนเกินไป หากมียอดฝีมืออยู่ที่นี่ จะต้องไม่กล้าเชื่อสายตาของตนแน่นอน อาชูร่าแข็งแกร่งอย่างไม่ต้องสงสัย

“แกแพ้แล้ว แกแข็งแกร่งมาก เดิมทีหากอายุไม่ถึงสามสิบปีก็คงแข็งแกร่งกว่าฉันแล้ว เพียงแต่น่าเสียดาย…” อาชูร่าทอดถอนใจ เย่เทียนเฉินทำให้เขารู้สึกสั่นสะท้านมากจริงๆ อายุน้อยขนาดนี้แต่ความสามารถในการต่อสู้แข็งแกร่งถึงเพียงนี้ มีศักยภาพลึกล้ำไม่อาจคาดเดา เพียงแต่น่าเสียดายที่ต้องมาตายในน้ำมือของเขา หากไม่ใช่เพราะตระกูลเซวียนเยวี๋ยนมีบุญคุณที่เลี้ยงดูเขามา เขาคงไม่ยินยอมที่จะฆ่าบุคคลผู้เป็นความภาคภูมิใจแห่งสวรรค์คนนี้แน่

“ยังไม่จบ…โล่ทองคำ!”

ชั่วพริบตานั้น เย่เทียนเฉินตะโกนขึ้น ทั่วทั้งเกาะทะเลทรายถูกประกายแสงสีทองสาดส่องไปทั่ว อาชูร่าตื่นตะลึงอย่างหาที่เปรียบมิได้ เงยหน้าขึ้นมองพบของสิ่งหนึ่งที่ดูคล้ายกับก้อนอิฐสีทองอันใหญ่กำลังโถมลงมาที่เขา ส่วนเย่เทียนเฉินใช้ขาข้างหนึ่งเหยียบอยู่ด้านบน ต้องการจะใช้สิ่งนี้ทับเขาให้ตาย

…………

กรอบ!

ดูเหมือนว่าในเวลาเพียงชั่วพริบตาจะเกิดเสียงดังก้องกังวานขึ้นแทบจะพร้อมกัน เย่เทียนเฉินหักคอมือสังหารชั้นยอดทั้งสองไปแล้ว บนใบหน้ายังคงประดับด้วยรอยยิ้มไร้พิษภัย แต่ไม่มีท่าทางอย่าล้อเล่นแม้แต่น้อย กลับเคร่งขรึมจริงจังอย่างมาก ชั่วขณะนี้เขาได้ทิ้งนิสัยอันธพาลไปโดยสมบูรณ์ เปลี่ยนเป็นเทพสั่งหาร นี่ไม่เพียงแต่จะเป็นการต่อสู้ครั้งแรกของสิบสามจ้าวสวรรค์ จึงจำเป็นจะต้องชนะ จำเป็นจะต้องกำจัดตระกูลเซวียนเยวี๋ยนให้ได้ ยิ่งไปกว่านั้นที่สำคัญก็คือ เขาสัมผัสได้ว่าคนที่รอเขาอยู่เบื้องหน้าคนนั้นแข็งแกร่งมาก นี่เป็นครั้งแรกที่ทำให้เย่เทียนเฉินมีความรู้สึกที่ไม่รู้ว่าจะแพ้หรือจะชนะ

ศพของมือสังหารชั้นยอดทั้งสองถูกเย่เทียนเฉินโยนไปที่พื้น ดวงตาทั้งสองเบิกกว้างเต็มไปด้วยความหวาดกลัว ให้ความรู้สึกเหมือนตายตาไม่หลับ ดูเหมือนจะคิดไม่ถึงว่า มือสังหารชั้นยอดอย่างพวกเขาทั้งสอง เมื่ออยู่ต่อหน้าเย่เทียนเฉินจะไม่อาจทำอะไรได้ แม้แต่กระบวนท่าเดียวก็ขวางไม่ได้!

ความจริงหากพูดถึงความสามารถของเย่เทียนเฉินในตอนนี้ไม่นับว่าแข็งแกร่งมากนัก ความสามารถของพลังพิเศษในขอบเขตจอมราชันเทียบเท่าได้กับขอบเขตราชันนักรบของพรรควรยุทธโบราณเท่านั้น เย่เทียนเฉินเคยเห็นผู้แข็งแกร่งแห่งพรรควรยุทธโบราณที่มีความสามารถในขอบเขตราชานักรบบนโลกนี้มาบ้าง อย่างเช่นเฮยเมี่ยน และเปาเทียนหลง พวกเขาต่างก็เป็นยอดฝีมือในขอบเขตราชันนักรบ ดังนั้นเย่เทียนเฉินจึงไม่ได้แข็งแกร่งที่สุด แต่เป็นคนที่มีศักยภาพที่จะทะลวงขอบเขตขึ้นไปได้มากที่สุด

เพียงแต่ในตอนที่เย่เทียนเฉินเหยียบย่างขึ้นมาบนเกาะทะเลทรายนั้น ก็ได้กระตุ้นความสามารถในขอบเขตจอมราชันของตนจนถึงขีดสุดแล้ว ในเมื่อพาสิบสามจ้าวสวรรค์มา เช่นนั้นก็ไม่มีที่ให้ไว้ไมตรีแม้แต่ครึ่งส่วน ถ้าคืนนี้ไม่กำจัดตระกูลเซวียนเยวี๋ยน พรุ่งนี้ตระกูลเย่ก็จะพบกับภัยพิบัติครั้งใหญ่ ดังนั้นเย่เทียนเฉินจึงเตรียมพร้อมไว้อย่างดี จะทำการฆ่าล้างครั้งใหญ่

บนเกาะทะเลทรายที่ตระกูลเซวียนเยวี๋ยนทั้งตระกูลซ่อนตัวอยู่ จนถึงตอนนี้ต่างก็เต็มไปด้วยเสียงปืน เสียงกรีดร้องฆ่าฟัน เสียงระเบิด กระทั่งมีแสงจากเปลวเพลิงที่เกิดจากการต่อสู้อันดุเดือดรุนแรงด้วย หากไม่ใช่ว่าเย่เทียนเฉินได้กางเขตแดนปิดกั้นครอบคลุมเกาะทะเลทรายทั้งหมดเอาไว้เรียบร้อยแล้ว เกรงว่าทุกคนที่อยู่รอบทะเลซือไห่คงจะตื่นตกใจไปนานแล้ว

สิบสามจ้าวสวรรค์ แต่ละคนแยกย้ายกันลงมือ เย่เทียนเฉินไม่จำเป็นต้องกังวลโดยสิ้นเชิง เขาสามารถเชื่อถือความสามารถของพวกอู๋เสวี่ยได้ ยิ่งไปกว่านั้นจากพลังพิเศษแห่งการรับรู้ของเขา ถึงแม้ว่ามือสังหารชั้นยอดแต่ละคนบนเกาะทะเลทรายแห่งนี้จะแข็งแกร่งมาก แต่ก็ไม่แข็งแกร่งกว่าสิบสามจ้าวสวรรค์ ถ้าหากสมาชิกของสิบสามจ้าวสวรรค์ไม่สามารถเอาชนะในภารกิจแบบนี้ได้ ซึ่งเป็นการต่อสู้ครั้งแรกเท่านั้น ถ้าอย่างนั้นวันข้างหน้าต้องการจะขยับขยายอำนาจออกไป ก่อเรื่องสร้างชื่อให้ยิ่งใหญ่ พวกเขาจะทำได้อย่างไร? นี่เป็นการฝึกฝน เป็นการฝึกฝนด้วยความเป็นความตาย

เย่เทียนเฉินเดินเข้าไปในป่าเล็กๆ อย่างเชื่องช้า ที่นั่นเขาสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของพลังพิเศษที่แข็งแกร่งที่สุด ดูเหมือนเขาจะมั่นใจได้แล้วว่า คนที่อยู่ในป่าเล็กๆ แห่งนี้ คงจะเป็นยอดนักสู้ของตระกูลเซวียนเยวี๋ยน แข็งแกร่งจนขนาดที่เขาไม่มั่นใจว่าจะเอาชนะคนคนนี้ได้

ไม่ผิดจากที่คาด ในตอนที่เย่เทียนเฉินเดินถึงบริเวณชายป่าเล็กๆ ก็เห็นชายอายุประมาณสี่สิบกว่าปีคนหนึ่งยืนอยู่กลางป่า หันหน้าให้เย่เทียนเฉิน คนคนนี้ก็คืออาชูร่า เขาเองก็สัมผัสได้ถึงความแข็งแกร่งของเย่เทียนเฉินแล้ว การต่อสู้ครั้งใหญ่สะเทือนฟ้าระหว่างยอดฝีมือกำลังจะปะทุขึ้นแล้ว เย่เทียนเฉินมีลางสังหรณ์ว่า นี่เป็นการต่อสู้ที่น่าหวาดกลัวที่สุดที่เขาเคยได้พบตั้งแต่มาเกิดใหม่ในโลกแห่งนี้ เป็นตายไม่อาจคาดเดา

“แกคือเย่เทียนเฉินใช่ไหม?” ทั่วทั้งตัวของอาชูร่าถูกปกคลุมด้วยชุดสีดำตัวใหญ่ มีเพียงดวงตาทั้งสองข้างที่ปรากฏให้เห็น

“อืม ไม่รู้ว่าแกชื่ออะไร?” เย่เทียนเฉินถาม

“อาชูร่า!” อาชูร่าพูดเสียงเย็น

เย่เทียนเฉินพยักหน้าไม่ได้พูดอะไร อาชูร่าเองก็ไม่พูดอะไรอีกเช่นเดียวกัน ต่างสัมผัสได้ถึงความแข็งแกร่งของอีกฝ่าย การดวลกันระหว่างยอดฝีมือ หากพูดจามากความก็เป็นการรนหาที่ตายเท่านั้น ยอดฝีมือที่แท้จริงไม่จำเป็นต้องพูดอะไรให้มาก วัดกันที่ฝีมือ

ตู้ม!

ตู้ม!

อาชูร่าและเย่เทียนเฉินเคลื่อนไหวพร้อมกัน ทั้งสองพุ่งเข้าหาอีกฝ่ายด้วยความรวดเร็วดุจสายฟ้า ในป่าเล็กๆ เกิดการต่อสู้ครั้งใหญ่ขึ้น เมื่อเริ่มต้นทั้งสองก็ไม่มีลูกไม้อะไร และไม่ได้ใช้พลังพิเศษ นี่เป็นการรักษาพลังของตน และเป็นการวัดความสามารถของอีกฝ่าย

ปัง!

หมัดทั้งสองปะทะกัน หมัดของอาชูร่าและเย่เทียนเฉินปะทะกับหมัดของอีกฝ่ายอย่างแรง ทั้งสองถูกกระแทกจนกระเด็นออกไป แผ่นหลังของเย่เทียนเฉินชนเข้ากับต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง ส่วนอาชูร่าชนเข้ากับก้อนหินก้อนใหญ่ที่อยู่ด้านข้าง ทั้งสองมองอีกฝ่ายอย่างจริงจัง คิดไม่ถึงว่าความสามารถของอีกฝ่ายจะแข็งแกร่งถึงขนาดนี้

“แกแข็งแกร่งมาก!” อาชูร่าพูดอย่างเรียบเฉย

“แกเองก็แข็งแกร่งมาก!” เย่เทียนเฉินพูดด้วยรอยยิ้ม

ตั้งแต่ต้น สายตาของทั้งสองก็ไม่ละออกไปจากอีกฝ่ายเลย การต่อสู้ของยอดฝีมือที่แท้จริง เป็นไปได้มากกว่าแพ้ชนะจะเกิดขึ้นในเวลาชั่วพริบตา ต่อให้เป็นเวลาเพียงแค่หนึ่งวินาทีก็สามารถตัดสินแพ้ชนะได้ การต่อสู้เมื่อสักครู่นี้ใช้เวลาไปไม่ถึงสองนาทีเท่านั้น แต่ทั้งสองก็ถูกอีกฝ่ายโจมตีแล้ว เพียงแต่ไม่รุนแรงถึงชีวิตก็เท่านั้น นั่นเป็นเพราะทั้งสองต่างก็ไม่ได้ใช้เคล็ดวิชาพลังพิเศษหรือเคล็ดวิชาสังหารออกมา

ตอนนี้เอง เย่เทียนเฉินเดินไปข้างหน้าสองก้าว ออกห่างไปจากต้นไม้ใหญ่ที่อยู่ด้านหลัง เมื่อครู่นี้ตอนที่หมัดทั้งสองปะทะกัน เขาถูกกระแทกจนไปชนกับต้นไม้ใหญ่ ในตอนที่เขาผละออกมาจากต้นไม้ ต้นไม้ต้นนั้นก็ปรากฏเสียงลั่นราวเจ็บปวด และหักโค่นลงอย่างรุนแรง มันถูกชนจนหักไปแล้ว

ส่วนอาชูร่าก็ยืดตัวขึ้น แผ่นหลังของเขาเองก็ชนเข้ากับก้อนหินก้อนใหญ่เช่นเดียวกัน ก้อนหินก้อนนั้นถึงกับถูกเขาชนจนแตกเป็นแปดส่วน ทั้งหมดกลายเป็นเศษหินร่วงลงสู่พื้น การดวลกันของทั้งสองคนดูเหมือนจะปกติ ไม่มีการบาดเจ็บอะไร นั่นเป็นเพราะทั้งสองต่างก็เป็นยอดฝีมือ ไม่ต้องพูดถึงคนธรรมดาเลย ต่อให้เป็นมือสังหารชั้นยอด ถ้าเจอกับการโจมตีเช่นนี้ก็คงสิ้นชีพไปนานแล้ว

“หลังจากวันนี้ตระกูลเซวียนเยวี๋ยนจะต้องถูกลบชื่อออกไป ฉันแค่ไม่เข้าใจว่ายอดฝีมืออย่างแก ทำไมต้องถวายชีวิตให้ตระกูลเซวียนเยวี๋ยนด้วย?” เย่เทียนเฉินถามขึ้นด้วยความสงสัย มีความรู้สึกเสียดายวีรบุรุษอยู่บ้าง มิฉะนั้นเขาคงไม่พูดอะไรมาก พุ่งเข้าไปฆ่าอย่างรุนแรงนานแล้ว

“ตระกูลเซวียนเยวี๋ยนมีบุญคุณที่เลี้ยงดูฉันมา ต่อให้มันทำเรื่องเลวร้ายไปมาก แต่ฉันก็จำเป็นต้องปกป้อง!” เขาพูดขึ้น ทันใดนั้นดวงตาของอาชูร่าเปลี่ยนไป

“งั้นแกกับฉันก็ต้องสู้กันจนถึงที่สุด ฉันชนะแกก็ตาย ตระกูลเซวียนเยวี๋ยนจะถูกทำลาย ถ้าแพ้ฉันก็ตาย สิบสามจ้าวสวรรค์ก็จบสิ้น!”

นี่เป็นครั้งแรกที่เย่เทียนเฉินเข้มงวดจริงจังขนาดนี้ และเป็นครั้งแรกที่เย่เทียนเฉินเห็นความสำคัญของคู่ต่อสู้ จนถึงตอนนี้เขาก็ไม่รู้สึกถึงจุดอ่อนอะไรของอาชูร่าเลย ความสามารถแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก ถ้าตนไม่ออกแรงเต็มที่ คงไม่สามารถเอาชนะเขาได้โดยเด็ดขาด

ในตอนที่พูดมือขวาของเย่เทียนเฉินก็ปรากฏง้าวฟางเทียนขึ้นมาด้านหนึ่ง นี่เป็นอาวุธที่เขาชอบมาก ในตอนที่อยู่ดาวสิ้นโลก มีง้าวฟางเทียนที่ทำจากโลหะเทพด้ามนี้เป็นอาวุธของเย่เทียนเฉิน เพียงแต่น่าเสียดายที่แตกสลายไปในการต่อสู้กับสัตว์อสูรอันแข็งแกร่งแล้ว ง้าวฟางเทียนในมือของเย่เทียนเฉินตอนนี้เป็นง้าวที่เขาใช้พลังพิเศษอันแข็งแกร่งรวบรวมขึ้นมาเป็นรูปลักษณ์ เป็นเคล็ดวิชาพลังพิเศษที่เปลี่ยนเท็จให้เป็นจริงอย่างหนึ่ง

อาชูร่าขมวดคิ้ว ถึงแม้เขาจะรู้ว่าเย่เทียนเฉินแข็งแกร่งมากแต่ก็คิดไม่ถึงว่าชายหนุ่มอายุยี่สิบปีคนนี้จะแข็งแกร่งจนถึงขั้นนี้ได้ ท่าทางเขาจะต้องลงมือเต็มที่ซะแล้ว

ซู่ม!

ในมือขวาของอาชูร่าปรากฏดง้าวเล่มใหญ่ขึ้นมา ด้านบนมีมังกรสีเขียวตัวเขื่องอยู่ตัวหนึ่ง ถ้าหากมีด้ามก็จะกลายเป็นง้าวชิงหลง(อาวุธของกวนอู)อย่างแท้จริง

ง้าวชิงหลงเล่มนี้เป็นสสารที่แท้จริง ไม่เหมือนกับง้าวเทียนฟางในมือขวาของเย่เทียนเฉินที่ใช้พลังพิเศษสร้างขึ้นจากเท็จเป็นจริง มีความแตกต่างกันในแก่นแท้ พลังทำลายล้างก็ไม่รู้ว่าแข็งแกร่งมากขนาดไหน ก่อนหน้านี้เย่เทียนเฉินเคยคิดว่าจะหา “วัตถุดิบเทพ” จำนวนหนึ่งในโลกแห่งนี้เพื่อสร้างอาวุธให้ตนเอง และทำให้อาวุธนั้นทะลวงขอบเขตไปพร้อมกับตนและยกระดับไปพร้อมกัน เพียงแต่น่าเสียดายที่เป็นเหมือนกับจางอีเต๋อพูด หลิงชี่(พลังวิญญาณ)ในโลกแห่งนี้บางมาก รวมกับที่เส้นทางบ่มเพาะของธรรมชาติก็เปลี่ยนแปลงไปนานแล้ว กระทั่งไม่เหมาะสมที่จะทำการบ่มเพาะด้วยซ้ำ ยังคิดจะหาวัตถุดิบเทพอะไรนั่นมาหลอมอาวุธได้อีกหรือ นั่นเป็นแค่จินตนาการเท่านั้น ดังนั้นเย่เทียนเฉินทำได้เพียงฝืนใช้พลังพิเศษสร้างอาวุธออกมา เพื่อต่อสู้กับศัตรูที่แข็งแกร่ง

ฉัวะ!

ไม่มีคำพูดจาที่มากเกินความจำเป็น หากพูดมากภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ก็เป็นการสิ้นเปลืองเวลาและชีวิตเท่านั้น อาชูร่าสะบัดง้าวออกไปครั้งหนึ่ง ไอดาบอันมโหฬารทะลวงออกไปไกลหลายร้อยเมตร จนอากาศฉีกขาด มุ่งสังหารไปยังเย่เทียนเฉิน

เย่เทียนเฉินขมวดคิ้ว นี่เป็นครั้งแรกที่สัมผัสได้ถึงไอดาบที่แข็งแกร่งขนาดนี้ กระทั่งพลังทำลายล้างที่ปรากฏออกมายังแข็งแกร่งยิ่งกว่าดาบเจ็ดดาวของหลินตวนมาก และนี่เป็นแค่การสะบัดออกไปมั่วๆ ของอาชูร่าเท่านั้น ไม่ได้โจมตีสังหารอย่างเต็มกำลัง

ตู้ม!

ขี้ขลาดตาขาวย่อมไม่ใช่นิสัยของเย่เทียนเฉิน โดยเฉพาะเมื่อเจอกับการต่อสู้ครั้งใหญ่แบบนี้ ถ้าหากถอยก็จะถูกอีกฝ่ายหาจุดอ่อนพบและพริบตาเดียวหัวของคุณก็จะตกลงพื้น ง้าวฟางเทียนเปล่งประกาย เย่เทียนเฉินเองก็ใช้มือทั้งสองจับด้ามง้าว ฟันออกไปโดยตรง

ตู้ม!

เสียงระเบิดดังคับฟ้า ไอดาบอันยิ่งใหญ่และพลังโจมตีที่ออกจากง้าวเทียนฟางปะทะเข้าด้วยกัน พลังพิเศษอันแข็งแกร่งพุ่งกระจายออกไป พลังการโจมตีของง้าวฟางเทียนที่ทะยานออกไประเบิดเบื้องหน้าอาชูร่าจนเกิดหลุมบ่อขนาดใหญ่ ส่วนไอดาบที่โจมตีออกมาจากง้าวชิงหลง ก็ฟันต้นไม้ขาดไปหลายต้นและล้มลงอย่างรุนแรง คมกริบและราบเรียบอย่างหาใดเปรียบ

“ดูท่าแกคงจะปกป้องตระกูลเซวียนเยวี๋ยนเอาไว้ไม่ได้แล้ว มาเข้าร่วมกับสิบสามจ้าวสวรรค์ของฉันเป็นยังไง?” เย่เทียนเฉินต้องการให้อาชูร่าอุทิศตนให้เขาจริงๆ ยอดฝีมือแบบนี้ ไม่ว่าใครต่างก็ต้องการความสามารถในการต่อสู้ของเขา

“ฉันไม่มีทางเลือก นอกจากจะฆ่าฉันซะ ฉันถึงจะสามารถยืนดูตะกูลกล่าวถูกทำลายไปเฉยๆ ได้!” อาชูร่าพูดอย่างเย็นชา

“แบบนี้ดูท่าจะคุยกันไม่ได้แล้ว กลุ่มสิบสามจ้าวสวรรค์ที่ฉันพามาตอนนี้คงจะฆ่าเข้าไปถึงบ้านของตระกูลเซวียนเยวี๋ยนแล้ว ส่วนฉันก็หยุดแกไว้ได้ แกช่วยเซวียนเยวี๋ยนเสวียนอวี่ไม่ได้หรอก!” เย่เทียนเฉินพูดอย่างคาดหวัง

“ฉันพูดแล้ว นอกจากจะฆ่าฉันซะ ถ้าหากตระกูลเซวียนเยวี๋ยนถูกทำลาย นั่นก็เป็นเพราะฉันตาย!” อาชูร่าพูดอย่างแน่วแน่

ฉัวะ!

มือขวาของเย่เทียนเฉินกำง้าวเทียนนฟางแน่น เพียงพริบตาง้าวเทียนฟางก็ขยายใหญ่ขึ้นมาก ทั้งหมดต่างสร้างขึ้นจากพลังพิเศษให้กลายเป็นจริง ใบไม้รอบๆ เย่เทียนเฉินเคลื่อนไหวโดยไร้แรงลม ทำให้อาชูร่าตกใจจนถอยลงไปหนึ่งก้าว ความสั่นสะท้านที่ชายหนุ่มคนนี้นำพามาให้เขามากเหลือเกิน ความสามารถลึกล้ำไม่อาจคาดเดา ถึงกับสามารถทำให้ง้าวเทียนฟางมีพลังทำลายล้างที่แข็งแกร่งขนาดนี้ได้ คืนนี้ดูท่าเขาอาชูร่าจะต้องเจอกับการต่อสู้เป็นตายแล้ว

…………..

อาชูร่าเป็นขุนพลเอกของตระกูลเซวียนเยวี๋ยน มีอายุประมาณสี่สิบปี รูปร่างไม่ได้สูงใหญ่น่ากลัว แต่กลับทำให้มือสังหารชั้นหนึ่งของตระกูลเซวียนเยวี๋ยนทั้งหมดหวาดกลัว เหมือนกับที่มือสังหารชุดดำคนนั้นพูด ความสามารถของอาชูร่าลึกล้ำไม่อาจคาดเดา มีคนไม่มากที่เคยเห็นเขาลงมือ คนคนนี้ก็คือคนที่นำพลังพิเศษอันแข็งแกร่งบีบอัดลงไปในจดหมายเล็กๆ ฉบับหนึ่ง หากไม่ใช่เพราะเย่เทียนเฉินตื่นตัวขึ้นมา เกรงว่าไม่เพียงแต่ตระกูลเย่ของเขา กระทั่งเขตคฤหาสน์ที่พักก็คงถูกระเบิดจนปลิวขึ้นฟ้าและถูกทำลายจนราบเป็นหน้ากลองไปแล้ว นี่เป็นผู้แข็งแกร่งที่แม้แต่เย่เทียนเฉินก็ต้องให้ความสนใจ

เซวียนเยวี๋ยนเสวียนอวี่ใช้อำนาจบาตรใหญ่มาชั่วชีวิต ต่อให้ตอนนี้จะแก่จนใกล้จะลงโลงก็ยังไม่ยอมแพ้ เขาที่เคยฆ่าคนเป็นผักปลา ไม่อนุญาตให้ใครก็ตามมาดูหมิ่นอำนาจของตระกูลเซวียนเยวี๋ยนโดยเด็ดขาด ต่อให้ความผิดทุกอย่างจะเป็นของตระกูลเซวียนเยวี๋ยนก็ตาม ก็ไม่อนุญาตให้มีใครกล้ามาท้าทาย จะต้องฆ่าทิ้งให้หมด นี่คืออำนาจของตระกูลเซวียนเยวี๋ยน นี่คือความเย่อหยิ่งจนไม่เห็นหัวผู้ใดของเซวียนเยวี๋ยนเสวียนอวี่

“ฉันไม่กล้ารับรองว่าจะฆ่าเย่เทียนเฉินได้ แต่ฉันจะใช้ชีวิตของฉันคุ้มครองตระกูลเซวียนเยวี๋ยน นี่เป็นสิ่งที่ฉันจำเป็นต้องทำ!” อาชูร่าพูดอย่างเยือกเย็น

เมื่อได้ยินคำพูดของอาชูร่า เซวียนเยวี๋ยนเสวียนอวี่ก็อดไม่ได้ที่จะตื่นตะลึงอยู่ในใจ แต่ไหนแต่ไรเขาไม่เคยเห็นท่าทางเยือกเย็นแบบนี้ของอาชูร่ามาก่อน เยือกเย็นจนผิดปกติ ก่อนหน้านี้ไม่ว่าตระกูลเซวียนเยวี๋ยนจะเจอกับศัตรูแบบใด ขอเพียงอาชูร่าลงมือ ก็จะต้องโจมตีฆ่าฟันศัตรูได้อย่างแน่นอน ความแข็งแกร่งของอาชูร่าไม่ใช่เพียงลมปาก เซวียนเยวี๋ยนเสวียนอวี่คิดมาตลอดว่า ถ้ามีอาชูร่าอยู่ ตระกูลเซวียนเยวี๋ยนจะไร้เรื่องไร้กังวล

หลายปีก่อนหน้าที่จะปิดซ่อนตัวตน เซวียนเยวี๋ยนเสวียนอวี่เริ่มรับสมัครมือสังหารกลุ่มใหญ่ เซวียนเยวี๋ยนเสวียนอวี่เป็นคนที่โหดเหี้ยมคนหนึ่ง เขาคิดว่าถ้าจ้างบอดี้การ์ด ต่อให้เป็นบอดี้การ์ดชั้นหนึ่งก็สู้มือสังหารชั้นหนึ่งที่ปั่นป่วนแผ่นดินเหล่านั้นไม่ได้ มือสังหารมีใจคอโหดเหี้ยม ฆ่าฟันอย่างเด็ดขาด นี่เป็นสิ่งที่เซวียนเยวี๋ยนเสวียนอวี่ต้องการ เห็นได้ว่าเขามีความโหดเหี้ยมมากขนาดไหน

ดังนั้นจึงพูดได้ว่า การคุ้มครองทั้งหมดบนเกาะทะเลทรายของตระกูลเซวียนเยวี๋ยน ไม่ใช่บอดี้การ์ดธรรมดาธรรมดาอะไรนั่น และไม่ใช่บอดี้การ์ดชั้นหนึ่งที่มีฝีมือไม่เลว แต่ทั้งหมดต่างก็เป็นนักฆ่าชั้นหนึ่ง มิน่าล่ะตอนกลางวันที่อู๋เสวี่ยและหวังเจี๋ยมาซ่อนตัวอยู่รอบๆ เกาะทะเลทรายและได้เห็นบอดี้การ์ดที่ยืนอยู่ไม่ไกลเหล่านั้นจึงมีความรู้สึกแปลกๆ ออกมา บนร่างของคนเหล่านั้นเต็มไปด้วยไอสังหาร ฝีมือของทุกคนต่างก็แข็งแกร่งมาก

“อาชูร่า ตั้งแต่เล็กแกก็เติบโตมาที่ตระกูลเซวียนเยวี๋ยนของฉัน ฉันปฏิบัติกับแกยังไง?” เซวียนเยวี๋ยนเสวียนอวี่มองอาชูร่าแล้วเอ่ยถาม

“ใกล้ชิดเหมือนพ่อลูก!” อาชูร่าตอบ

“ในเมื่อแกรู้ งั้นตอนนี้ฉันก็อยากจะบอกแกว่า ฉันเซวียนเยวี๋ยนเสวียนอวี่โหดเหี้ยมมาชั่วชีวิตถึงมีตระกูลเซวียนเยวี๋ยนในวันนี้ได้ แต่ไหนแต่ไรก็มีแต่ฉันที่ฆ่าคนอื่น ไม่มีคนอื่นมาฆ่าฉัน หลายปีมานี้ ไม่มีใครกล้ามาหาเรื่องตระกูลเซวียนเยวี๋ยนของฉันถึงประตูอย่างเด็ดขาด เย่เทียนเฉินเป็นคนแรก ฉันต้องการให้เขาตาย ต้องการให้ทุกคนที่มาโจมตีตระกูลเซวียนเยวี๋ยนของฉันในครั้งนี้ไม่มีชีวิตกลับไป!” เซวียนเยวี๋ยนเสวียนอวี่ตะโกนเสียงต่ำอย่างเอาแต่ใจและทรงอำนาจ

“ฉันจะพยายามเต็มที่ แต่ฉันรู้สึกได้ว่าเย่เทียนเฉินแข็งแกร่งมาก!” อาชูร่ายังคงพูดน้อยและเยือกเย็นเช่นเดิม

“ฉันคิดว่าต่อให้มันจะแข็งแกร่งขนาดไหนก็สู้แกไม่ได้ ก่อนหน้านี้ไม่นานแกเพิ่งจะทะลวงขอบเขตพลังพิเศษไป ความสามารถเหนือกว่าเมื่อก่อน ทั่วทั้งประเทศจีนนับว่าเป็นยอดฝีมืออันดับต้นๆ เย่เทียนเฉินอายุแค่ยี่สิบปี จะเป็นคู่มือแกได้ที่ไหนกัน?” เซวียนเยวี๋ยนเสวียนอวี่ไม่เชื่อคำพูดของอาชูร่า คิดว่าอาชูร่าแค่ถ่อมตัวหรือประเมินเย่เทียนเฉินสูงเกินไปเท่านั้น

“ไม่ว่าจะเป็นในหมู่พรรควรยุทธโบราณหรือโลกของผู้มีพลังพิเศษ ก็ไม่สามารถพิจารณาความสามารถจากอายุได้อย่างเด็ดขาด พูดได้แค่ว่าถ้าอายุมากสักหน่อย ก็อาจจะมีประสบการณ์การต่อสู้จริงมาขึ้นเท่านั้น แต่นี่ไม่ได้เกี่ยวพันกับการตัดสินแพ้ชนะในเรื่องความสามารถ โดยเฉพาะในโลกของผู้มีพลังพิเศษ มีบางคนที่เกิดมาก็มีพลังที่แข็งแกร่งเหนือระดับแล้ว ทำให้คนอื่นรู้สึกว่าฝีมือห่างชั้น!” อาชูร่าพูดอย่างเรียบเฉย

“หึ ฉันไม่สนว่าจะเป็นพวกมีพลังแต่กำเนิดหรือปลุกพลังภายหลังอะไรนั่น ฉันต้องการให้แกฆ่าเย่เทียนเฉิน ฆ่าคนทั้งหมดที่มาโจมตีตระกูลเซวียนเยวี๋ยนของฉันในครั้งนี้!” เซวียนเยวี๋ยนเสวียนอวี่แค่นเสียงเย็นครั้งหนึ่งแล้วพูดขึ้นเสียงต่ำ

“ฉันจะพยายามเต็มที่!” อาชูร่ายังคงพูดเช่นเดิม

“เอาล่ะ แกออกไปเถอะ ฉันหวังว่าจะได้ยินข่าวดีจากแก!” เซวียนเยวี๋ยนเสวียนอวี่มองอาชูร่าแล้วพูดขึ้น

อาชูร่าไม่ได้พูดอะไรอีก หมุนตัวเดินออกไปจากห้องโถงแล้วเดินหายไปในความมืดบริเวณประตู เขาแข็งแกร่งมาก เป็นยอดฝีมือที่มีขอบเขตความสามารถอันแข็งแกร่งคนหนึ่ง ลมหายใจและบรรยากาศเช่นนั้น มีเพียงคนที่มาถึงขอบเขตนี้ได้ถึงจะแสดงออกมาได้ หากจะเสแสร้งแกล้งทำก็ไม่สามารถทำได้

หลังจากที่อาชูร่าจากไปแล้ว เซวียนเยวี๋ยนชิวก็รีบมาที่ห้องโถง เมื่อเห็นพ่อก็พูดว่า “พ่อครับ พ่อบอกให้อาชูร่าลงมือเต็มที่แล้วหรือเปล่า?”

“อืม อาชูร่าไม่ใช่คนโหดเหี้ยมอะไร ภารกิจหลายครั้งก็ถูกบีบบังคับให้ลงมือ ครั้งนี้ถ้าหากไม่บังคับให้เขาฆ่าทุกคนที่มาโจมตี ตระกูลเซวียนเยวี๋ยนของพวกเราคงมีปัญหาใหญ่แล้ว!” เซวียนเยวี๋ยนเสวียนอวี่พูดด้วยรอยยิ้มเย็นชา

“มีพวกเราพ่อลูกแสดงละครด้วยกัน อาชูร่าจะต้องไม่สงสัยแน่ จะต้องปกป้องตะกูลเซวียนเยวี๋ยนชิวของพวกเราด้วยชีวิตแน่นอน!” เซวียนเยวี๋ยนชิวพูดด้วยรอยยิ้มดุดันเช่นเดียวกัน

“อาชูร่าสาบานว่าต่อให้ตายก็จะปกป้องตระกูลเซวียนเยวี๋ยนของพวกเรา ในจุดนี้ฉันไม่สงสัย เพียงแต่ฉันกลัวว่าเขาจะไม่ลงมือเต็มที่ ไม่ยอมฆ่าคน ถึงต้องให้แกกับฉันแสดงละครแบบนี้!” เซวียนเยวี๋ยนเสวียนอวี่เองก็พูดด้วยรอยยิ้ม

“หึ เย่เทียนเฉินไอ้คนไม่รู้จักที่ตาย ขอเพียงอาชูร่าลงมือ เขาจะต้องตายโดยไม่ต้องสงสัย ทุกคนจะต้องตายทั้งหมด!” เซวียนเยวี๋ยนชิวเอ่ยปากพูดอย่างโหดเหี้ยม

ไม่รู้เลยว่า ในตอนที่เซวียนเยวี๋ยนเสวียนอวี่และเซวียนเยวี๋ยนชิวกำลังวางแผนกันอยู่นั้น อาชูร่ากำลังยืนอยู่บนหลังคาของห้องโถง ฟังทุกสิ่งทุกอย่างนี้อย่างเย็นชา ไม่มีอารมณ์บุ่มบ่ามแม้แต่ครึ่งส่วน พริบตาเดียวก็จากไป เขาต้องไปขัดขวางพวกเย่เทียนเฉินและฆ่าพวกเขา ต่อให้รู้ว่าเซวียนเยวี๋ยนเสวียนอวี่สองพ่อลูกกำลังวางแผนใส่เขา หลอกใช้เขา อาชูร่าก็ไม่มีทางเลือก

“แต่ไหนแต่ไรอาชูร่าก็ถูกตระกูลเซวียนเยวี๋ยนของเราเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ ทุกครั้งที่มีภารกิจ ต่อให้เขาไม่ยินยอมพร้อมใจก็จะต้องไปทำ เขาเป็นคนที่ให้ความสำคัญกับความรู้สึก สิ่งที่ฉันใช้ประโยชน์ก็คือส่วนนี้ของเขา!” เซวียนเยวี๋ยนเสวียนอวี่พูดอย่างเย็นชา

สามสิบปีก่อนหน้านี้ มีชายวัยกลางคนผู้หนึ่ง นำอาชูร่ามาบนเกาะทะเลทราย ตอนนั้นอาชูร่าเป็นเด็กที่อายุไม่ถึงสิบขวบ แต่ตอนนั้นเขาก็มีพลังพิเศษที่โดดเด่นแล้ว อย่างเช่นการจับสิ่งของในอากาศ ในจุดนี้ถูกเซวียนเยวี๋ยนเสวียนอวี่เห็นเข้า ในฐานะที่เป็นผู้นำตระกูลของตระกูลใหญ่ เซวียนเยวี๋ยนเสวียนอวี่ย่อมรู้ว่าสิ่งที่อาชูร่าแสดงออกมาก็คือพลังพิเศษ ตอนนั้นเขาคิดว่า หากพลังพิเศษของอาชูร่าพัฒนาไม่หยุด สุดท้ายกลายเป็นแข็งแกร่งอย่างมาก จนตระกูลเซวียนเยวี๋ยนของตนใช้ประโยชน์ได้ จะดีขนาดไหนกัน?

ตั้งแต่นั้นเซวียนเยวี๋ยนเสวียนอวี่ก็ให้ชายวัยกลางคนผู้นั้นและอาชูร่าอยู่บนเกาะทะเลทราย ไม่นานเขาก็ส่งคนไปสังหารคนที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับชายวัยกลางคนทั้งหมด เหลือเพียงอาชูร่าคนเดียว ทำให้อาชูร่าไม่มีที่ไป และต้องอยู่บนเกาะทะเลทรายเท่านั้น ตั้งแต่เล็กก็ให้คนมาฝึกฝนอาชูร่าอย่างโหดเหี้ยม ให้เขารู้ว่าการฆ่าคนง่ายเหมือนการหั่นแตงโม ต้องการเลี้ยงดูให้อาชูร่ากลายเป็นเครื่องมือฆ่าคนอย่างสมบูรณ์

แต่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด จิตใจของอาชูร่าจึงดีงาม แต่อย่างไรถูกฝึกฝนและบีบบังคับเช่นนี้ทั้งวี่ทั้งวัน สุดท้ายจึงแสดงความเย็นชาออกมา และมีท่าทีเฉยชาเป็นอย่างมากมาโดยตลอด โชคดีที่ทุกครั้งมีศัตรูตัวฉกาจ เซวียนเยวี๋ยนเสวียนอวี่ก็จะสั่งให้อาชูร่าลงมือ อาชูร่าเติบโตมาที่ตระกูลเซวียนเยวี๋ยนตั้งแต่เล็ก เซวียนเยวี๋ยนเสวียนอวี่จึงมีบุญคุณที่เลี้ยงดูเขา ดังนั้นทุกครั้งเขาจำเป็นจะต้องลงมือฆ่าคน เขาเป็นคนที่ให้ความสำคัญกับความสัมพันธ์มาก และรู้จักตอบแทนบุญคุณ

ตอนนี้เย่เทียนเฉินพาสิบสามจ้าวสวรรค์มาถึงชายขอบเกาะทะเลทรายแล้ว ในตอนที่ลงน้ำ เย่เทียนเฉินก็กางพลังเขตแดนปิดกั้น ดังนั้นไม่จำเป็นต้องกลัวและปกปิด เรือสปีดโบ๊ททั้งสองลำพุ่งเข้าไปยังเกาะทะเลทรายโดยตรง

ปัง!

พริบตาเดียว มือสังหารที่ยืนอยู่รอบเกาะทะเลสาบทั้งหลายก็ต้องตื่นตะลึงอย่างหาใดเปรียบ ในขณะเดียวกันก็มีปฏิกิริยาอย่างว่องไว มีสไนเปอร์ยิงปืนมาที่พวกเย่เทียนเฉิน แต่ก็ถูกโลกพลังพิเศษของเย่เทียนเฉินป้องกันเอาไว้ ไม่มีผลอะไรแม้แต่น้อย

ซู่มๆ!

เรือสปีดโบ๊ททั้งสองลำหยุดอยู่ที่ชายฝั่งของเกาะทะเลทราย พวกเย่เทียนเฉินทั้งหมดบุกเข้าไปในเกาะอย่างรวดเร็ว หวังเจี๋ยพุ่งไปหน้าสุด ลมปราณนิ้วหนึ่งทะลวงออกไป ทะลุระหว่างคิ้วขอมือสังหารคนหนึ่งอย่างรุนแรง ทำให้เขาสิ้นชีพโดยไร้เสียง การลงมือของอู๋เสวี่ยก็ไม่เชื่องช้า หักคอมือสังหารไปคนหนึ่งแล้ว

“นอกจากคนแก่ ผู้หญิงและเด็ก คนอื่นฆ่าให้หมด วันนี้ฉันต้องการลบชื่อตระกูลเซวียนเยวี๋ยนออกจากโลกเบื้องหน้าเบื้องหลังทั้งหมด!” เย่เทียนเฉินพูดอย่างเย็นชา

“ครับ/ค่ะพี่ใหญ่!” สิบสามจ้าวสวรรค์ตอบรับ

“แยกย้าย!”

เย่เทียนเฉินโบกมือครั้งหนึ่ง สิบสามจ้าวสวรรค์ก็กระจายตัวกันออกไป เริ่มเคลื่อนไหวในตำแหน่งที่แตกต่างกัน มุ่งสังหารเข้าไปยังจุดศูนย์กลางของเกาะทะเลทราย ซึ่งเป็นตำแหน่งที่มีบ้านตระกูลเซวียนเยวี๋ยนตั้งอยู่

ทุกที่เต็มไปด้วยเสียงแห่งการฆ่าฟัน เสียงกรีดร้อง เสียงปืน และเสียงระเบิด สิบสามจ้าวสวรรค์แต่ละคนต่างก็เป็นยอดฝีมือชั้นสูง ยิ่งไปกว่านั้นต่างก็เป็นพวกบ้าการต่อสู้ และรู้ว่านี่เป็นสงครามครั้งแรกของสิบสามจ้าวสวรรค์ ไม่อนุญาตให้พ่ายแพ้ง่ายๆ ทุกคนต่างก็แสดงความสามารถที่แท้จริงออกมา ถึงแม้มือสังหารที่อยู่บนเกาะทะเลทรายจะมีฝีมืออยู่บ้าง แต่ก็ไม่ใช่คู่มือของสิบสามจ้าวสวรรค์

ตอนนี้เอง เย่เทียนเฉินรู้สึกได้ถึงลมหายใจอันแข็งแกร่ง มุมปากเผยรอยยิ้มขึ้นมา มือทั้งสองล้วงอยู่ในกระเป๋ากางเกง เดินทอดน่องไปยังป่าที่อยู่ไม่ไกล ที่นั่นมีคนที่แข็งแกร่งมากคนหนึ่งกำลังรอเขาอยู่ นั่นก็คืออาชูร่า

ความดึงดูดระหว่างยอดฝีมือกับยอดฝีมือนั้นแข็งแกร่งและแม่นยำเป็นอย่างมาก หลังจากที่อาชูร่าออกมาจากบ้านของตระกูลเซวียนเยวี๋ยน ก็เลือกป่าเล็กๆ แห่งนี้เพื่อรอเย่เทียนเฉินอยู่ที่นั่น ต้องการต่อสู้เป็นตายกับเย่เทียนเฉิน ตอบแทนบุญคุณของตระกูลเซวียนเยวี๋ยนที่เลี้ยงดูเขามาหลายปีเท่าที่จะทำได้

ฟิ้ว!

ฟิ้ว!

ในตอนที่เย่เทียนเฉินเพิ่งจะเดินไปเกือบถึงป่า พลันมีเงาร่างของคนสองคนพุ่งเข้ามาจากสองฝั่ง ทั้งคู่ต่างถือดาบเล่มใหญ่อยู่ในมือ ฟันลงมายังศีรษะของเย่เทียนเฉินโดยตรง!

ฉัวะ!

ใบดาบทั้งสองกระเด็นสู่อากาศ เย่เทียนเฉินหายไปในอากาศ มือสังหารของตระกูลเซวียนเยวี๋ยนทั้งสองตกตะลึง แต่ไม่นานก็ปรากฏเหงื่อเย็นๆ ไหลซึมออกมาจากหน้าผากของพวกเขา เนื่องจากเย่เทียนเฉินกำลังยืนอยู่ด้านหลังของพวกเขา แขนทั้งสองบีบคอของเขาอยู่

……..

เที่ยงคืน เย่เทียนเฉินพาสิบสามจ้าวสวรรค์ไปทำสงครามครั้งแรก มุ่งหน้าไปยังเกาะทะเลทรายซึ่งเป็นที่ซ่อนตัวของตระกูลเซวียนเยวี๋ยน ต้องการที่จะกำจัดตระกูลเซวียนเยวี๋ยนที่ยโสโอหังไม่เห็นหัวใคร

ในชั่วขณะที่นั่งเรือสปีดโบ๊ทสองลำมาถึงเกาะทะเลสาบ เย่เทียนเฉินก็กางพลังเขตแดนปิดกั้นออกมาครอบคลุมทั่วทั้งเกาะทะเลทรายเอาไว้ ในตระกูลเซวียนเยวี๋ยนมียอดฝีมืออยู่มากมาย นี่จะต้องเป็นการต่อสู้ครั้งใหญ่แน่นอน เย่เทียนเฉินไม่ต้องการให้เกี่ยวพันไปถึงชีวิตคนบริสุทธิ์ ดังนั้นเขาจึงต้องการกำจัดตระกูลเซวียนเยวี๋ยนอย่างเงียบเชียบ ไม่ทำให้คนธรรมดาที่กำลังหลับไหลอยู่บริเวณชายฝั่งต้องสะดุ้งตื่น

ตอนนี้เอง บนเกาะทะเลทราย ท่ามกลางคฤหาสน์ที่สร้างขึ้นของตระกูลเซวียนเยวี๋ยน ในห้องโถงตรงกลาง มีชายชราคนหนึ่งอายุประมาณเจ็ดสิบกว่าปี ในมือถือไม้เท้าอันหนึ่ง มองไปเบื้องหน้าด้วยท่าทางดุดัน เบื้องหลังของเขามีลูกชายเพียงหนึ่งเดียวของเขาอยู่ ชายชราคนนี้ก็คือผู้นำตระกูลเซวียนเยวี๋ยนนามว่าเซวียนเยวี๋ยนเสวียนอวี่ ลูกชายของเขาก็คือเซวียนเยวี๋ยนชิว ซึ่งก็คือพ่อของเซวียนเยวี๋ยนเถิงและเซวียนเยวี๋ยนอวี่

ตระกูลเซวียนเยวี๋ยนมีอำนาจแข็งแกร่งมาโดยตลอด เมื่อปีนั้นเซวียนเยวี๋ยนเสวียนอวี่สามารถเรียกได้ว่าฆ่าคนเป็นผักปลา ถูกผู้คนในเส้นทางเบื้องหน้าและเบื้องหลังเรียกขานว่าเป็นหัวหน้าปีศาจ ไม่ทราบว่าฆ่าคนไปแล้วมากน้อยแค่ไหน จึงสามารถสร้างอำนาจตระกูลให้แก่ตระกูลเซวียนเยวี๋ยนเช่นนี้ได้ และชื่อเสียงของตระกูลเซวียนเยวี๋ยนทั้งเส้นทางแห่งโลกเบื้องหน้าและเบื้องหลังก็ไม่ค่อยดีมาโดยตลอด เนื่องจากอยู่จนถึงอายุเท่านี้แล้วเซวียนเยวี๋ยนเสวียนอวี่ก็ไม่รู้จักการสั่งสมบารมีเลยแม้แต่น้อย เป็นปีศาจเท่าที่ฆ่าคนโดยไม่กระพริบตา เพียงแค่ชาวบ้านธรรมดาทั่วไปจะเป็นคู่มือของเซวียนเยวี๋ยนเสวียนอวี่ได้ที่ไหนกัน ทำได้แค่ถูกเขาฆ่าแกงก็เท่านั้น

ในช่วงยุคก่อตั้งประเทศ ต่อให้เซวียนเยวี๋ยนเสวียนอวี่คนนี้จะหยิ่งยโสขนาดไหนก็ไม่กล้าต่อต้านประเทศ ด้วยรู้ว่าท่านผู้นำบุกเบิกประเทศเป็นคนที่เกลียดพวกเลวทรามต่ำช้า ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่คุณเป็นแค่เสือกระดาษตัวหนึ่งเลย ต่อให้เป็นเสือจริงๆ ก็จะถูกเขากำจัด ดังนั้นเซวียนเยวี๋ยนเสวียนอวี่จึงเลือกที่จะอดกลั้นเอาไว้ รวบรวมอำนาจเอาไว้ที่มณฑลชวน หลายปีมานี้ได้กลายเป็นนายเหนือหัวของโลกเบื้องหน้าเบื้องหลังมณฑลชวน ดูเหมือนจะไม่มีใครกล้ามาหาเรื่อง ผู้ว่าการมณฑลทุกคนที่ได้ขึ้นรับตำแหน่งก็จะต้องมาเยี่ยมเยียนเซวียนเยวี๋ยนเสวียนอวี่ มิฉะนั้นตำแหน่งผู้ว่าการมณฑลของคุณก็ไม่มั่นคงแล้ว เห็นได้ชัดว่ายโสโอหังขนาดไหน ใช้อำนาจบาตรใหญ่ขนาดไหน

ทางประเทศเองก็เคยคิดจะกำจัดตระกูลเซวียนเยวี๋ยนมาก่อน แต่ตอนนี้ตระกูลเซวียนเยวี๋ยนพัวพันถึงโลกเบื้องหน้าและเบื้องหลังของมณฑลชวนทั้งหมด หลายปีมานี้ทางประเทศได้ลงทุนเป็นเงินและทรัพย์สินจำนวนมากเพื่อพัฒนามณฑลชวน จึงไม่ต้องการให้เกิดเรื่องราวใหญ่โต ถ้าต่อสู้กันขึ้นมาจริงๆ ก็ไม่ใช่ว่าประเทศจะไม่มีความสามารถที่จะกำจัดตระกูลเซวียนเยวี๋ยน แต่ถ้าหากจะขุดรากถอนโคนตระกูลเซวียนเยวี๋ยน สุดท้ายคนที่ได้รับความลำบากก็เป็นชาวบ้านธรรมดาทั่วไป เชื่อว่าจะต้องส่งผลกระทบต่อการดำรงชีวิตอันปลอดภัยของประชาชนแน่นอน นี่เป็นสิ่งที่ประเทศไม่ต้องการเห็น

ประเทศจีนผ่านความยากลำบากมามาเท่าไหร่แล้ว ได้รับความอับอายมากเท่าไหร่กว่าจะเดินมาถึงวันนี้ได้ ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนไม่ง่าย จะต้องหวงแหนเอาไว้ให้ดี ดังนั้นทางประเทศจึงไม่ทำให้เรื่องราวใหญ่โต เลือกที่จะใช้วิธีการถ่วงดุล หากไม่ถึงที่สุดก็จะไม่ใช้กำลัง

หลายปีมานี้ ถึงแม้ว่าตระกูลเซวียนเยวี๋ยนจะใช้อำนาจบาตรใหญ่ แต่จะอย่างไรเซวียนเยวี๋ยนเสวียนอวี่ก็แก่ชราแล้ว มีลูกชายเพียงคนเดียวก็คือเซวียนเยวี๋ยนชิว และมีหลานชายสองคนก็คือเซวียนเยวี๋ยนเถิงและเซวียนเยวี๋ยนอวี่ ลูกหลานทั้งสามคนนี้ล้วนไม่ได้ความ ไม่มีความกล้าหาญและความทะเยอทะยานอะไร และเป็นการจำกัดการพัฒนาของตระกูลเซวียนเยวี๋ยนไปโดยปริยาย ไม่เช่นนั้นเซวียนเยวี๋ยนเสวียนอวี่คงก่อเรื่องพลิกฟ้าไปนานแล้ว และคงให้ตระกูลเซวียนเยวี๋ยนเผยตัวสู่โลกภายนอกไปนานแล้ว

ตอนนี้เอง ดวงตาทั้งสองของเซวียนเยวี๋ยนเสวียนอวี่เต็มไปด้วยไฟแห่งความโกรธ เกิดความคิดอยากจะฆ่าคนขึ้นมา ในตอนที่รู้ว่าหลานชายทั้งสองซึ่งก็คือเซวียนเยวี๋ยนเถิงและเซวียนเยวี๋ยนอวี่ตายไปหมดแล้วนั้น เซวียนเยวี๋ยนเสวียนอวี่ก็ให้คนไปตรวจสอบที่เมืองหลวงในทันที ข้อมูลทั้งหมดต่างชี้ไปที่เย่เทียนเฉิน ต่อให้ไม่มีหลักฐานที่แน่ชัด เขาก็ให้คนไปลงมือโหดเหี้ยม ส่งครอบครัวของเย่เทียนเฉินทั้งหมดไปสวรรค์ ทำลายล้างตระกูลเย่ทั้งตระกูล นี่คืออำนาจและความโอหังของตระกูลเซวียนเยวี๋ยน ไม่ว่าเย่เทียนเฉินจะทำหรือไม่ ขอเพียงมีเค้าลางเล็กน้อยก็จะต้องฆ่า หากตระกูลเซวียนเยวี๋ยนของเขาต้องการจะฆ่าก็จะไม่สนใจว่าจะมีหลักฐานหรือไม่ ไม่สนใจกฎหมายอะไรนั่น ต้องการอำนาจที่แข็งแกร่งขนาดไหนก็มีมากเท่านั้น

“ตระกูลเย่ ฉันจะต้องทำให้ตระกูลเย่ไม่เหลือแม้แต่หมาสักตัวให้ได้!” เซวียนเยวี๋ยนเสวียนอวี่กำหมัดแน่น ตะโกนออกมาอย่างดุดัน

“พ่อ พ่อจะต้องแก้แค้นให้เถิงเอ๋อร์และอวี่เอ๋อร์นะครับ มือสังหารชุดดำที่พวกเราส่งไปก็ตายไปแล้ว!” เซวียนเยวี๋ยนชิวร้องไห้โอดครวญแล้วพูดออกมา

เซวียนเยวี๋ยนเสวียนอวี่จ้องมองเซวียนเยวี๋ยนชิวผู้เป็นลูก รู้สึกโมโหเป็นอย่างมากเช่นเดียวกัน ตนเองมีเซวียนเยวี๋ยนชิวเป็นลูกชายเพียงคนเดียว นับว่าเป็นเส้นเลือดใหญ่สำหรับตระกูลเซวียนเยวี๋ยนมาโดยตลอด นี่เป็นสาเหตุที่ว่าทำไมหลังจากที่เซวียนเยวี๋ยนชิวมีเซวียนเยวี๋ยนเถิงและเซวียนเยวี๋ยนอวี่แล้ว เซวียนเยวี๋ยนเสวียนอวี่ถึงได้ประคบประหงมขนาดนั้น เนื่องจากนี่เป็นโอกาสที่จะขยับขยายเลือดเนื้อเชื้อไขของตระกูลเซวียนเยวี๋ยนให้กว้างขวาง ตอนนี้เซวียนเยวี๋ยนเถิงและเซวียนเยวี๋ยนอวี่ก็ตายไปแล้ว เป็นการโจมตีเซวียนเยวี๋ยนเสวียนอวี่ที่รุนแรงมาก เขาอดคิดไม่ได้ว่า หรือนี่จะเป็นกรรมของเซวียนเยวี๋ยนเสวียนอวี่อย่างตน?

สิ่งที่ทำให้เซวียนเยวี๋ยนเสวียนอวี่โกรธเคืองมากที่สุดก็คือ เซวียนเยวี๋ยนชิวลูกชายของตนไม่ร่ำเรียนหนังสือมาโดยตลอด จนถึงตอนนี้หลานชายทั้งสองก็ถูกฆ่าตายไปแล้ว ยังคงไม่มีวิธีการอะไรเลยสักนิด รู้จักแต่ร้องไห้โอดครวญต่อหน้าเขา เป็นเศษสวะจริงๆ

“แต่ไหนแต่ไรตระกูลเซวียนเยวี๋ยนของพวกเราก็ไม่มีใครกล้ามารังแก ตระกูลเย่ถึงกับกล้ามาสังหารหลานชายทั้งสองของฉันเซวียนเยวี๋ยนเสวียนอวี่ กำจัดสายเลือดของตระกูลเซวียนเยวี๋ยนของพวกเรา ฉันจะต้องฆ่าล้างตระกูลเย่แน่นอน!” เซวียนเยวี๋ยนเสวียนอวี่พูดอย่างโหดเหี้ยม

“พ่อครับ งะ งั้นตอนนี้พวกเราจะทำยังไงดี? ส่งคนไปเมืองหลวง ฆ่าคนตระกูลเย่ทั้งหมดเหรอ?” เซวียนเยวี๋ยนชิวถามด้วยท่าทีไม่เป็นโล้เป็นพาย

“ชิวเอ๋อร์ ใช้สมองของแกซะบ้าง มือสังหารชุดดำที่พวกเราส่งออกไปคนนั้นแข็งแกร่งขนาดไหน แต่ก็ตายไปแล้ว นี่แสดงให้เห็นถึงอะไร? แสดงให้เห็นว่าข่าวลือของเมืองหลวงไม่เป็นเท็จ หลานชายของตระกูลเย่ เย่เทียนเฉิน แข็งแกร่งมาก หากต้องการที่จะฆ่าเขาคงไม่ง่ายขนาดนั้น หากส่งคนไปมั่วซั่ว จะไม่เป็นการรนหาที่ตายหรือไง?” เซวียนเยวี๋ยนเสวียนอวี่ตะโกนอย่างไม่สบอารมณ์

“ตะ แต่ไม่ทำแบบนี้ ยะ ยังจะทำยังไงได้อีก?” เซวียนเยวี๋ยนชิวถามออกมาอย่างโง่งม

“ตระกูลเซวียนเยวี๋ยนของฉันเคยได้รับความอับอายแบบนี้เมื่อไหร่กัน? มีคนกล้ามาทำแบบนี้กับตระกูลเซวียนเยวี๋ยนของฉันเมื่อไหร่กัน? พวกเราส่งมือสังหารชุดดำออกไป แต่ก็พ่ายแพ้ ตอนนี้ถ้าส่งคนออกไปแล้วแพ้อีก ฉันคงเงยหน้าขึ้นไม่ได้แล้ว ดังนั้นครั้งนี้ฉันจะต้องล้างบางตระกูลเย่ให้ได้ ให้กลุ่มอำนาจทั้งหมดได้รู้ว่า ฉันเซวียนเยวี๋ยนเสวียนอวี่ยังไม่แก่!” เซวียนเยวี๋ยนเสวียนอวี่พูดถึงเรื่องฮึกเหิมก็ยืนขึ้นในทันที ดวงตาทั้งสองเต็มไปด้วยความโกรธอันยโสโอหัง

“พ่อครับ คะ ความหมายของพ่อก็คือ…” เซวียนเยวี๋ยนชิวชะงักไปครู่หนึ่ง ถามด้วยดวงตาอันเปล่งประกาย

เซวียนเยวี๋ยนเสวียนอวี่ทอดถอนใจ จากนั้นจึงนั่งลงบนเก้าอี้อีกครั้ง เขาคิดไม่ถึงว่าตระกูลเย่ซึ่งตกต่ำไปจนกลายเป็นตระกูลชั้นสามนานแล้ว และดูเหมือนว่าทุกคนจะคิดว่าจะเย่จะต้องตกต่ำลงเรื่อยๆ จนไม่อาจพลิกฐานะขึ้นมาได้ไปตลอดกาล ไหนเลยจะรู้ว่า เมื่อตระกูลเย่มาถึงยุคของเย่เทียนเฉิน จะเกิดสถานการณ์ที่ทำให้ทุกคนคาดไม่ถึง ความอับอายและเศษสวะของตระกูล ในตอนนี้กลับกลายเป็นเสาหลักเพียงหนึ่งเดียวที่สามารถฟื้นฟูครอบครัวได้ การตอบโต้ของเย่เทียนเฉินทำให้หลายคนพูดไม่ออก และทำให้กลุ่มอำนาจและตระกูลใหญ่จำนวนหนึ่งรู้สึกกดดัน จนต้องการกำจัดให้เร็ว

“ไปเรียกอาชูร่ามา!” เซวียนเยวี๋ยนเสวียนอวี่พูดอย่างเรียบเฉย

“ครับ…ทราบแล้วครับ!” เซวียนเยวี๋ยนชิวเห็นพ่อให้เขาไปเรียกอาชูร่ามา ทั้งร่างก็เต็มไปด้วยรอยยิ้มเชื่อมั่น เพราะเขารู้ว่าหากอาชูร่าลงมือ ต่อให้เย่เทียนเฉินจะร้ายกาจขนาดไหน ก็ทำได้เพียงตายไปเป็นเพื่อนลูกชายทั้งสองของตน

เสียงปังดังขึ้น ประตูใหญ่ถูกผลักออก เซวียนเยวี๋ยนชิวเพิ่งจะเดินไปถึงประตู ชายวัยกลางคนอายุประมาณสี่สิบปีคนหนึ่ง อายุพอๆ กับเซวียนเยวี๋ยนชิว ซึ่งก็คือคนที่นั่งขัดสมาธิอยู่ที่ภูเขาด้านหลังของตระกูลเซวียนเยวี๋ยนคนนั้น เขารู้สึกได้ถึงการมาเยือนของพวกเย่เทียนเฉิน และรับรู้ได้ว่าตระกูลเซวียนเยวี๋ยนจะมีภัยพิบัติเกิดขึ้นแล้ว ดังนั้นจึงมาที่นี่ด้วยตัวเอง ชายวัยกลางคนคนนี้ก็คืออาชูร่าที่เซวียนเยวี๋ยนเสวียนอวี่พูดถึง

“ไม่ต้องแล้ว ฉันสัมผัสได้ว่ามียอดฝีมือกำลังเดินทางมาที่เกาะ ท่าทางคงจะเป็นคนที่เย่เทียนเฉินพามา!” อาชูร่ายืนพูดอยู่ตรงประตู

“อะไรนะ? แม่งเอ๊ย ไอ้ระยำนั่นฆ่าลูกของฉันไป พวกเรายังไม่ทันได้ฆ่าตระกูลเย่ มันก็มารนหาที่ตายด้วยตัวเองแล้วเหรอ? ดี ดี!” เซวียนเยวี๋ยนชิวตะโกนด้วยใบหน้าดุดัน

“บอดี้การ์ดเหล่านี้ของตระกูลเซวียนเยวี๋ยน ถึงแม้จะมีฝีมืออยู่บ้างแต่ก็ไม่ใช่คู่มือของกลุ่มคนที่บุกเข้ามากลุ่มนี้โดยเด็ดขาด!” อาชูร่าพูดอย่างเรียบเฉย

“อาชูร่า แกหมายความว่ายังไง? ความหมายก็คือคืนนี้ตะกูลเซวียนเยวี๋ยนชิวของฉันจะถูกเย่เทียนเฉินกำจัดงั้นเหรอ? เป็นไปไม่ได้ ด้วยการป้องกันบนเกาะของตระกูลเซวียนเยวี๋ยนของพวกเรา ต่อให้มีเย่เทียนเฉินอีกสิบคนก็ทำไม่ได้ จะต้องตายโดยไม่ต้องสงสัย!” เซวียนเยวี๋ยนชิวมองไปยังอาชูร่าแล้วพูดอย่างดุดัน

“เย่เทียนเฉินสิบคน? ถ้ามีเย่เทียนเฉินสิบคนจริงๆ เกรงว่าตระกูลเซวียนเยวี๋ยนคงหายไปนานแล้ว จะต้องถูกฆ่าล้างแน่นอน!” อาชูร่ายังคงพูดด้วยใบหน้าไร้อารมณ์

“แก…แกมันดูถูกตัวเอง ไอ้คนเลี้ยงเสียข้าวสุก ตระกูลเซวียนเยวี๋ยนของฉันเลี้ยงดูแกแล้วได้อะไร?” เซวียนเยวี๋ยนชิวอดไม่ได้ที่จะตะโกนใส่อาชูร่า

“ไสหัวออกไป!” เซวียนเยวี๋ยนเสวียนอวี่ตะโกนขึ้น

“ใช่ ตอนนี้แกไปหัวออกไปให้พวกเราซะ!” เซวียนเยวี๋ยนชิวจ้องมองอาชูร่าแล้วพูดขึ้นเช่นเดียวกัน

“ฉันให้แกไปหัวออกไป ฉันมีเรื่องจะคุยกับอาชูร่า!” เซวียนเยวี๋ยนเสวียนอวี่มองไปยังเซวียนเยวี๋ยนชิวผู้เป็นลูกของตัวเองแล้วด่าออกมา

“พ่อ…” เซวียนเยวี๋ยนชิวโง่งมโดยพลัน คิดไม่ถึงว่าพ่อของตนจะให้เขาไสหัวออกไป

“ไป!” เซวียนเยวี๋ยนเสวียนอวี่ตะโกนขึ้นแล้วกระทุ้งไม้เท้าที่อยู่ในมือขวาอย่างโกรธเคือง

เซวียนเยวี๋ยนชิวตกใจจนลนลานวิ่งออกไป ในห้องโถงเหลือเพียงเซวียนเยวี๋ยนเสวียนอวี่และอาชูร่า บรรยากาศกดดันเล็กน้อย เนื่องจากเซวียนเยวี๋ยนเสวียนอวี่คิดไม่ถึงว่าเย่เทียนเฉินจะกล้ามาโจมตีตระกูลเซวียนเยวี๋ยนของเขาด้วยตัวเอง และนี่เป็นครั้งแรกที่อาชูร่าพูดว่าตระกูลเซวียนเยวี๋ยนจะมีภัยพิบัติครั้งใหญ่ ก่อนหน้านี้ในตอนที่มีเรื่องใหญ่ทั้งหลาย ดูเหมือนว่าอาชูร่าจะโจมตีครั้งเดียวก็ฆ่าศัตรูที่แข็งแกร่งไปได้ คอยกำจัดขวากหนามเพื่อตระกูลเซวียนเยวี๋ยน มีเพียงครั้งนี้เท่านั้นที่แสดงท่าทางกังวลออกมา

“อาชูร่า แกมีความมั่นใจกี่ส่วนว่าจะฆ่าเย่เทียนเฉินได้?” เซวียนเยวี๋ยนเสวียนอวี่ไม่พูดจามากความ ถามไปตรงๆ ว่าอาชูร่าจะฆ่าเย่เทียนเฉินได้หรือไม่

“ห้าส่วน!” อาชูร่าตอบด้วยท่าทีไรอารมณ์

“เย่เทียนเฉินแข็งแกร่งขนาดนั้นเชียวเหรอ? ฉันไม่เชื่อว่าเขาจะเป็นคู่ต่อสู้ของแกได้ คืนนี้จะต้องฆ่าเย่เทียนเฉินซะ ตระกูลเซวียนเยวี๋ยนของพวกเราไม่เคยมีใครกล้าดูถูกเหยียดหยามแบบนี้มาก่อน ฉันต้องการให้เย่เทียนเฉินและตระกูลเย่ถูกทำลายล้างเป็นค่าตอบแทน!” เซวียนเยวี๋ยนเสวียนอวี่พูดด้วยความโกรธแค้น

………….

อลิซ หัวหน้าหน่วยข่าวกรองแห่งประเทศ M ไม่เพียงแต่จะมีฝีมือแข็งแกร่ง แต่ยังมีหน้าตาสวยประดุจนางฟ้าอีกด้วย และเป็นเพราะเธอมีสายตาเฉียบแหลมมาก จึงดูเหมือนว่าที่มาของข่าวกรองทั้งหมดของรัฐบาลประเทศ M จะออกมาจากหน่วยข่าวกรองของพวกเธอ

ไม่กล่าวไม่ได้ว่านี่คือความแข็งแกร่งของหน่วยข่าวกรองแห่งประเทศ M พวกเธอรู้กระทั่งว่า ทุกเช้าผู้นำของแต่ละประเทศจะตื่นนอนกี่โมง กินข้าวตอนไหน เข้าห้องน้ำกี่นาที และเพื่อที่จะทำภารกิจให้สำเร็จก็ไม่เสียดายที่จะสูญเสียจิตวิญญาณทั้งหมดเป็นการตอบแทน ต่อให้ต้องใช้เนื้อหนังในการแลกเปลี่ยนก็ไม่ใส่ใจ เพียงแต่จนถึงตอนนี้ อลิซยังไม่เจอใครที่ต้องการใช้ร่างกายที่เต็มไปด้วยความยั่วยวนของตนเข้าแลกเพื่อทำภารกิจให้สำเร็จเลย

ครั้งนี้โฮบาม่าแห่งประเทศ M โกรธมาก แต่ไหนแต่ไรก็ไม่เคยมีใครทำตัวยโสโอหังในประเทศ M แบบนี้มาก่อน และไม่อาจเป็นพลังของคนเพียงคนเดียวได้ ก่อเรื่องไปทั่วทั้งวอชิงตัน เกือบจะบุกเข้าไปในทำเนียบขาว ยืนต่อหน้าโฮบาม่าต้องการให้เขาเลี้ยงข้าว สำหรับโฮบาม่าแล้วนี่เป็นความอัปยศชั่วชีวิต แต่ไหนแต่ไรก็ไม่เคยได้รับความอับอายถึงขนาดนี้มาก่อน ดังนั้นเขาจึงออกคำสั่งอย่างเคร่งครัดว่า ไม่ว่าจะทำอย่างไรก็ต้องตรวจสอบเย่เทียนเฉินให้ชัดเจนให้ได้ และต้องกำจัดชายหนุ่มของประเทศจีนคนนี้ให้ได้

และเป็นเพราะความโกรธของโฮบาม่า ทำให้อลิซซึ่งเป็นหัวหน้าหน่วยข่าวกรองแห่งประเทศ M ต้องมาเคลื่อนไหวด้วยตัวเอง เธอติดตามมาจนถึงประเทศจีนด้วยข้อมูลที่พวกเขามีอยู่ในมือ สุดท้ายอลิซจึงได้ข้อมูลมาว่าเย่เทียนเฉินอาจจะมาที่มณฑลชวนจึงลอบติดตามมา

เรื่องที่ทำให้โฮบาม่าโกรธจนต้องเขวี้ยงแก้วไปห้าใบและโกรธจนแทบจะระเบิด นั่นก็คือ หลังจากที่หน่วยข่าวกรองพิเศษแห่งประเทศ M ได้ทำการตรวจสอบเบื้องต้นแล้ว ถึงกับพบว่าคนที่ก่อเรื่องที่วอชิงตัน ทำตัวยโสโอหังไปทั่วทั้งเมืองจนวอชิงตันเกิดความวุ่นวาย หากไม่ใช่เพราะโทมัสซึ่งเป็นหัวหน้าหน่วยสืบราชการลับพลังพิเศษปรากฏตัวในตอนสุดท้ายและขวางเย่เทียนเฉินเอาไว้ได้ เกรงว่าโฮบาม่าคงจะต้องเลี้ยงข้าวเย่เทียนเฉินแล้ว เย่เทียนเฉินคนนี้ถึงกับเคยเป็นตัวตลกของเมืองหลวงแห่งประเทศจีนมาก่อน ขึ้นชื่อว่าเป็นเศษสวะและลูกหลานไม่เอาไหนของตระกูล ไม่ใช่บุคคลที่ไม่อาจดูแคลน และไม่ใช่คนที่มีชื่อเสียงอะไรในช่วงก่อนหน้านี้ นี่จะทำให้โฮบาม่ากล้ำกลืนฝืนทนได้อย่างไร?

ตัวตลกของเมืองหลวงแห่งประเทศจีนคนหนึ่ง เศษสวะและลูกหลานไม่เอาไหนของประเทศจีนคนหนึ่ง สามารถก่อเรื่องที่วอชิงตันได้ ทำให้โฮบาม่าถูกบีบบังคับจนพ่ายแพ้ หากเรื่องนี้แพร่ออกไป จะไม่ถูกผู้คนหัวเราะเยาะจนฟันร่วงหรือ? ไม่รู้ว่าหากบุคคลระดับสูงในประเทศอื่นได้รู้จะหัวเราะจนมีสภาพแบบไหน ความสง่าผ่าเผยของโฮบาม่าจะเอาไปไว้ที่ใด? ชื่อเสียงของประเทศ M จะเอาไปไว้ที่ใด? ดังนั้นเขาจึงสั่งให้คนกำจัดเย่เทียนเฉินให้ได้ เพื่อเป็นการล้างความอับอาย

เย่เทียนเฉินในตอนนี้ยังไม่รู้ถึงตัวอลิซเลย จะอย่างไรที่นี่ก็เป็นทะเลจำลองซือไห่ที่มีชื่อเสียงโด่งดังของประเทศจีน มีหญิงชายชาวต่างชาติมากมายที่มาเที่ยวเล่น ยิ่งไปกว่านั้นอลิซก็ซ่อนตัวได้ดีมาก ในตอนที่เดินทางจากประเทศ M มาที่ประเทศจีน โทมัสเคยพูดกับอลิซว่า เย่เทียนเฉินเป็นผู้มีพลังพิเศษที่แข็งแกร่งคนหนึ่ง พลังวิเศษแห่งการรับรู้ยอดเยี่ยมมาก ขอเพียงเผยไอสังหารเล็กน้อย ก็เป็นไปได้มากว่าจะถูกค้นพบ จะต้องระวังให้มาก

จนถึงตอนนี้อลิซยังคงจำได้ ตอนที่เธอจากประเทศ M มา โทมัสเคยบอกว่า “นี่เป็นชายหนุ่มที่แข็งแกร่งมากคนหนึ่ง ถ้าหากไม่สามารถทำภารกิจให้สำเร็จได้ ก็ไม่ต้องฝืน มีชีวิตรอดสำคัญกว่า!”

คนที่สามารถทำให้หัวหน้าแห่งหน่วยสืบราชการลับพลังพิเศษแห่งประเทศ M พูดแบบนี้ออกมาได้ เกรงว่าเย่เทียนเฉินเป็นคนแรก ต้องรู้ว่าโทมัสเกือบจะนับได้ว่าเป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุดในประเทศ M เขาลงมือน้อยครั้งมาก เย่เทียนเฉินเองก็นับถือในฝีมือของโทมัสเช่นเดียวกัน บนโลกนี้เป็นสถานที่ที่ไม่เหมาะสมกับเส้นทางการบ่มเพาะ สามารถมีระดับความแข็งแกร่งเช่นวันนี้ได้ นับว่าไม่เลวแล้ว โทมัสเองก็เป็นผู้มีพลังพิเศษที่แข็งแกร่งที่สุดที่เย่เทียนเฉินเคยเจอจนถึงปัจจุบันนี้

เมื่อเห็นเย่เทียนเฉินนอนเอนอยู่บนเก้าอี้ชายหาด ข้างกายยังมีสาวงามชั้นยอดคนหนึ่งอยู่เป็นเพื่อน อลิซก็หัวเราะอย่างเย็นชา จากนั้นจึงหมุนตัวเดินจากไป เธอหาเย่เทียนเฉินพบแล้ว และมั่นใจว่าเย่เทียนเฉินคือคนที่ก่อเรื่องที่วอชิงตันและทำให้โฮบาม่าถูกบีบบังคับจนพ่ายแพ้ ต่อไปก็จะต้องกำจัดเย่เทียนเฉิน อลิซต้องทำเพียงคิดหาวิธีเข้าใกล้เย่เทียนเฉินเพื่อกำจัดทิ้งให้ได้

อย่างไรก็ตามเหมือนกับที่โทมัสบอก เย่เทียนเฉินแข็งแกร่งมาก เป็นผู้มีพลังพิเศษอายุน้อยคนหนึ่งที่มีความสามารถลึกลับไม่อาจคาดเดา หากต้องการกำจัดเขาไม่ใช่เรื่องง่าย ฝีมือของอลิซเองก็แข็งแกร่งมาก แต่กลับไม่สามารถรับประกันได้ว่าจะไม่มีข้อผิดพลาด ดังนั้นเธอจำเป็นต้องคิดหาวิธีเข้าใกล้เย่เทียนเฉิน ทำให้เย่เทียนเฉินตกอยู่ในสถานการณ์ที่ไร้ซึ่งการป้องกันแล้วฆ่าเขาเสีย

เชื่อว่าหากผู้ชายคนหนึ่งถูกจะฆ่าโดยไม่มีการป้องกันใดๆ วิธีที่เข้าใกล้ได้มากที่สุด ง่ายที่สุด และมีผลมากที่สุดก็คือขึ้นเตียงกับผู้ชายคนนั้น ต่อให้เป็นชายที่แข็งแกร่งมากขนาดไหน ตอนที่พบกับเนื้ออ่อนหอมนุ่มและกำลังบรรเลงเพลงรักอยู่นั้น ก็ต้องลืมเลือนทุกสิ่งทุกอย่าง และผ่อนคลายลงในที่สุด ตอนนั้นผู้หญิงก็จะสามารถฆ่าเขาได้ง่าย ดังนั้นเพื่อที่จะสามารถฆ่าเย่เทียนเฉินให้ได้ อลิซจึงไม่เสียดายที่จะใช้ร่างกายของตนเป็นเหยื่อล่อให้เย่เทียนเฉินติดกับ เย่เทียนเฉินจะไม่มองร่างเปลือยเปล่าของสาวงามผมทองได้หรือ?

วันนั้นไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นอีก เย่เทียนเฉินพูดคุยกับหลีเสี่ยวชิงตลอด มีทิวทัศน์งดงามถึงขนาดนี้ รวมกับมีสาวงามมาอยู่เป็นเพื่อน จะไม่มีความสุขได้อย่างไรล่ะ? ต่อให้ตอนกลางคืนจะต้องมีเหตุการณ์สะเทือนฟ้าสะท้านดิน ต้องต่อสู้จนเลือดสาด เย่เทียนเฉินก็ไม่ใส่ใจ

มีหลายครั้งในตอนที่เย่เทียนเฉินอยู่ในดาวสิ้นโลก และต้องปกป้องภัยอันตรายให้เผ่าพันธุ์มนุษย์ ในโลกที่คนกินคนแห่งนั้น มีเพียงต้องแข็งแกร่งให้มากพอถึงจะสามารถมีชีวิตรอดต่อไปได้ ทุกวันต่างมีการต่อสู้สะท้านฟ้า จนกระทั่งถึงตอนที่ฟ้าถล่มดินทลาย เย่เทียนเฉินต่างก็สามารถหาสถานที่อันเงียบสงบแห่งหนึ่งเผื่อนอนหลับ ผ่อนคลายจิตใจและร่างกาย รับรู้ถึงเส้นทางแห่งธรรมชาติอันยิ่งใหญ่ ภายใต้สถานการณ์ที่ทำให้จิตใจสงบที่สุดเช่นนี้ ทำให้ขอบเขตพลังของเย่เทียนเฉินพัฒนาไปถึงระดับสูงที่สุด และเผชิญหน้ากับการต่อสู้เป็นตายที่จะเกิดขึ้นต่อไปได้

การกำจัดตระกูลเซวียนเยวี๋ยนในครั้งนี้เย่เทียนเฉินก็ไม่ได้ลำพองใจ เขามีความเชื่อมั่นในตัวเอง แต่ไม่ถือดีโดยเด็ดขาด ตระกูลเซวียนเยวี๋ยนสามารถกลายเป็นตระกูลแห่งโลกเบื้องหลังที่หาได้ยากในประเทศจีน จะต้องมีส่วนที่เหนือกว่าคนอื่นแน่นอน ยิ่งไปกว่านั้นยังมีแนวโน้มว่าจะปรากฏตัวสู่โลกเบื้องหน้าอีกครั้ง จึงอธิบายได้ว่าตระกูลเซวียนเยวี๋ยนมีความมั่นใจในตัวเองว่าประเทศจะไม่กล้าแตะต้องพวกเขาง่ายๆ อีก ความสามารถจะต้องพัฒนาขึ้นมากอย่างแน่นอน โดยเฉพาะอย่างยิ่งนักรบชั้นยอดของตระกูลเซวียนเยวี๋ยนคนนั้น ซึ่งเย่เทียนเฉินเห็นเป็นศัตรูตัวฉกาจในการกำจัดตระกูลเซวียนเยวี๋ยนครั้งนี้แล้ว เขากับคนคนนี้จะต้องสู้กันถึงขั้นเป็นตายแน่นอน

จนกระทั่งถึงตอนกลางคืนเวลาประมาณเที่ยงคืน เหล่านักท่องเที่ยวต่างก็พากันจากไปหมดแล้ว หรือบางทีอาจจะพักผ่อนอยู่ในโรงแรมใกล้ๆ คิดจะเที่ยวเล่นสักหลายวัน กระทั่งพนักงานก็แยกย้ายกันไปหมด ในเวลานี้เอง เย่เทียนเฉินจ่ายเงินเช่าเก้าอี้ชายหาดตัวนี้มา ไม่ให้พนักงานเก็บกลับไป และยังต้องการแชมเปญขวดหนึ่งและซิก้ามวนหนึ่งด้วย

“ฉันควรจะไปเตรียมตัวซักหน่อยหรือเปล่า?” หลีเสี่ยวชิงมองเย่เทียนเฉินด้วยรอยยิ้มแล้วถามขึ้น

“อืม อย่างน้อยพวกเรายังต้องการสปีดโบ๊ทสองลำ!” เย่เทียนเฉินพูดอย่างเรียบเฉย

หลีเสี่ยวชิงพยักหน้าไม่ได้พูดอะไร เดินไปยังที่เช่าเรือสปีดโบ๊ท เวลาเที่ยงคืนแล้ว ไม่มีคนออกมาเช่าเรือแน่นอน ดังนั้นหลีเสี่ยวชิงจึงใช้วิชาภาพลวงตาของตนควบคุมคนปล่อยเช่าเรือสปีดโบ๊ทให้ไปหยิบกุญแจเรือออกมา เช่นนี้ก็สามารถไปที่เกาะทะเลทรายที่อยู่ในทะเลซือไห่ได้แล้ว

ไม่นานหลีเสี่ยวชิงก็สวมชุดคล่องแคล่วตัวหนึ่งออกมา ถือกุญแจสปีดโบ๊ทสองอันเดินกลับมาข้างกายเย่เทียนเฉิน พูดด้วยรอยยิ้มว่า “พวกเราออกเดินทางได้หรือยัง?”

เย่เทียนเฉินหันไปมองสิบสามจ้าวสวรรค์ที่ยืนรวมตัวกันอยู่ด้านหลังของเขา ส่วนอู๋เสวี่ยและหวังเจี๋ยสองคนยังไม่กลับมา ดังนั้นจึงพูดว่า “รออีกแป๊บ!”

ครึ่งชั่วโมงผ่านไป อู๋เสวี่ยและหวังเจี๋ยก็โผล่ขึ้นมาจากน้ำ ทั้งสองสวมชุดดำน้ำ ถอดชุดดำน้ำโยนลงกับพื้น ดูท่าทางทั้งสองคนจะเหน็ดเหนื่อยอยู่บ้าง บอดี้การ์ดบนเกาะทะเลทรายไม่ธรรมดาเลย

“พี่ใหญ่ ตระกูลเซวียนเยวี๋ยนซ่อนตัวอยู่บนเกาะทะเลทรายจริงๆ การป้องกันแน่นหนามาก!” อู๋เสวี่ยเอยปากพูด

“ทั่วทั้งเกาะทะเลทรายมีแต่คนของตระกูลเซวียนเยวี๋ยน บนนั้นทุกประมาณร้อยเมตรจะมีบอดี้การ์ดชั้นยอดอยู่คนหนึ่ง ยิ่งไปกว่านั้นใจกลางของเกาะยังมีประภาคารคุ้มกันอยู่ด้วย ผมกับอู๋เสวี่ยสงสัยว่าจะมีสไนเปอร์อยู่ด้วย หากมีคนกล้าเข้าไปมั่วซั่วจะต้องถูกลอบโจมตีแน่นอน!” หวังเจี๋ยพูดพลางขมวดคิ้ว

“อืม การป้องกันของตระกูลเซวียนเยวี๋ยนไม่เลวเลย ทุกคนระวังตัวด้วย!” เย่เทียนเฉินพยักหน้าแล้วพูดขึ้น

“ใช่แล้วพี่ใหญ่ ผมกับหวังเจี๋ยยังเจออะไรอีกอย่างหนึ่งด้วย…” อู๋เสวี่ยคิดถึงความแปลกประหลาดบางอย่างขึ้นมาได้จึงพูดขึ้น

“เจออะไร?” เย่เทียนเฉินเอ่ยถาม

“ตอนที่ผมกับอู๋เสวี่ยซ่อนตัวอยู่รอบเกาะทะเลทราย จู่ๆ ก็พบว่ามีการผันผวนของพลังพิเศษที่แข็งแกร่งระลอกหนึ่ง คล้ายกับพลังพิเศษแห่งการรับรู้ ขอบเขตกว้างมาก พวกเราเกือบจะถูกค้นพบแล้ว!” หวังเจี๋ยพูดออกมาด้วยความแปลกใจ

ด้วยฝีมือของหวังเจี๋ยและอู๋เสวี่ย สามารถเรียกได้ว่าเป็นยอดฝีมือระดับสูงแล้ว มีพวกเขาสองคนเคลื่อนไหวด้วยตัวเองคงจะไม่สามารถถูกพบได้ ส่วนเรื่องการผันผวนของพลังพิเศษที่แข็งแกร่งจนเกือบจะพบอู๋เสวี่ยและหวังเจี๋ยนั้น ทำให้เย่เทียนเฉินรู้สึกแปลกใจอยู่บ้างจริงๆ เห็นได้ว่าคนของตระกูลเซวียนเยวี๋ยนที่นั่งบัญชาการอยู่บนเกาะทะเลทรายแข็งแกร่งมากเพียงใด ถ้าหากเดาไม่ผิดคงจะเป็นขุนพลเอกของตระกูลเซวียนเยวี๋ยนคนนั้น

“สิ่งที่ฉันอยากจะบอกกับพวกแกทุกคนก็คือ หลังจากไปถึงเกาะทะเลทรายแล้ว ฉันจะกางพลังเขตแดนปิดกั้น จะไม่ให้ภาพและเสียงใดๆ ถูกคนนอกค้นพบได้ สำหรับพวกแกมีความต้องการอย่างเดียวเท่านั้น ฆ่า ทำลายล้างตระกูลเซวียนเยวี๋ยน!” เย่เทียนเฉินมองไปยังสิบสามจ้าวสวรรค์แล้วพูดขึ้นอย่างจริงจัง

“ครับ(ค่ะ)พี่ใหญ่!” ทุกคนยืนอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย ตอบรับออกมาพร้อมกัน

เรือสปีดโบ๊ทสองลำบรรจุเย่เทียนเฉินและกลุ่มสิบสามจ้าวสวรรค์ทุกคน พุ่งทะยานไปสู่เกาะทะเลทรายที่อยู่ห่างออกไปจากทะเลซือไห่ ที่นั่นมีตระกูลเซวียนเยวี๋ยนอยู่ คืนนี้ถูกกำหนดแล้วว่าจะมีการต่อสู้ละเลงเลือด หากฟ้ายังไม่สว่าง หากยังไม่ถึงที่สิ้นสุด ก็ไม่มีผู้ใดรู้ว่าใครจะแพ้ใครจะชนะ นี่เป็นการต่อสู้ครั้งแรกของกลุ่มอำนาจที่เย่เทียนเฉินเป็นผู้นำ

ในตอนที่เขาพาสิบสามจ้าวสวรรค์นั่งเรือสปีดโบ๊ทมุ่งหน้าไปยังเกาะทะเลทรายของตระกูลเซวียนเยวี๋ยนนั้น ตอนนี้เอง บนภูเขาเล็กๆ หลังตระกูลเซวียนเยวี๋ยน มีชายวัยกลางคนอายุประมาณสี่สิบปีคนหนึ่งนั่งขัดสมาธิอยู่ ทันใดนั้นลืมตาขึ้น ดวงตาทั้งสองลึกล้ำ คล้ายกับจะมองทุกสิ่งทุกอย่างได้อย่างทะลุปรุโปร่ง กล่าวขึ้นอย่างเรียบเฉยว่า “ความยากลำบากของตระกูลเซวียนเยวี๋ยนในที่สุดก็ยังมาถึงจนได้!”

……………

ตระกูลเซวียนเยวี๋ยนเตรียมจะออกสู่โลกเบื้องหน้าอีกครั้ง โดยมีสาเหตุอยู่สองประการ ประการแรกเพราะมีคนของพวกเขาอยู่ในระดับสูงของประเทศแล้ว สามารถคุ้มครองได้ ประการที่สอง เพราะตระกูลเซวียนเยวี๋ยนรู้สึกว่าความสามารถของตนเพิ่มขึ้นมาก จนถึงขั้นที่สามารถปรากฏตัวสู่โลกเบื้องหน้าได้แล้ว ถึงขั้นที่รัฐบาลไม่กล้าแตะต้องพวกเขาง่ายๆ อีก

สำหรับสาเหตุทั้งสองประการนี้เย่เทียนเฉินเชื่อว่าจะต้องมีเบื้องหลังแน่นอน เนื่องจากเขาเคยพบท่านผู้นำสูงสุดมาก่อน ถึงแม้วันนั้นทั้งสองจะพูดคุยกันอย่างสบายอารมณ์จนคล้ายกับลืมเลือนอายุไป แต่เย่เทียนเฉินมองออกว่าท่านผู้นำสูงสุดเป็นบุคคลที่จริงจังคนหนึ่ง และเป็นคนที่ทำเพื่อประเทศชาติและประชาชน ต่อให้ไม่สามารถทำให้ข้าราชการทั้งหมดของประเทศใสสะอาดได้ แต่อย่างน้อยในหมู่บุคคลระดับสูงของประเทศก็ไม่มีคนเช่นนี้อยู่ เพราะนี่เกี่ยวพันถึงการพัฒนาของประเทศ กระทั่งเกี่ยวข้องกับความเป็นความตาย

“ตามที่ฉันรู้ ในตระกูลเซวียนเยวี๋ยนมีคนที่มีความแข็งแกร่งเหนือระดับอยู่คนหนึ่ง บางทีความสามารถคงจะไม่เหนือไปกว่าฉัน ทุกคนต้องทำภารกิจอย่างระมัดระวังสักหน่อย!” เย่เทียนเฉินพูดอย่างจริงจัง

จนถึงตอนนี้เย่เทียนเฉินยังจำคำพูดที่มือสังหารชุดดำของตระกูลเซวียนเยวี๋ยนคนนั้นพูดกับตนเองได้ คนที่แข็งแกร่งอย่างมือสังหารชุดดำ เมื่ออยู่ในมือของขุนพลที่แข็งแกร่งที่สุดของตระกูลเซวียนเยวี๋ยนก็ยืนหยัดได้ไม่ถึงสามกระบวนท่า นี่ทำให้คนต้องตื่นตะลึงระดับไหนกัน จากการสำรวจของเย่เทียนเฉิน ขุนพลชั้นยอดของตระกูลเซวียนเยวี๋ยนคนนี้อาจจะเก่งพอๆ กับตน หรือกระทั่งเหนือกว่าด้วยซ้ำ ดังนั้นการกำจัดตระกูลเซวียนเยวี๋ยนในครั้งนี้ เย่เทียนเฉินก็ไม่มีความมั่นใจนัก กล่าวได้ว่าอันตรายเป็นอย่างมาก นี่เป็นสงครามครั้งแรกของสิบสามจ้าวสวรรค์ หากคิดจะชนะคงยากแน่นอน

แต่ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ตาม ถ้าหากไม่ยอมทำเพราะมันยาก คุณก็ไม่มีทางประสบความสำเร็จไปตลอดกาล มัวแต่ระวาดระแวงไม่ใช่นิสัยของเย่เทียนเฉินโดยเด็ดขาด ต่อให้ครั้งนี้จะมีความยากมากเท่าไหร่ เขาก็จะกำจัดตระกูลเซวียนเยวี๋ยน สร้างชื่อเสียงในการต่อสู้ครั้งแรกของสิบสามจ้าวสวรรค์ให้ได้ ในขณะเดียวกันก็เป็นการกำจัดอุปสรรคในภายภาคหน้าของตระกูลเย่ของตนไปตลอดกาล

เมื่อได้ยินคำพูดของเย่เทียนเฉิน อู๋เสวี่ยและหวังเจี๋ยก็ตกตะลึง ความสามารถในการต่อสู้ของเย่เทียนเฉินแข็งแกร่งมากเพียงใดพวกเขาต่างเคยสัมผัสมาก่อน ยิ่งไปกว่านั้นจากการคาดเดาของพวกเขา ในตอนที่ประมือกับพวกเขา เย่เทียนเฉินผู้เป็นพี่ใหญ่ยังไม่ได้ลงมือเต็มที่ ความสามารถลึกล้ำไม่อาจคาดเดา คนที่สามารถทำให้เย่เทียนเฉินประเมินค่าเช่นนี้ได้หาได้ยากมากจริงๆ ท่าทางยอดนักสู้ของตระกูลเซวียนเยวี๋ยนคนนี้ อาจจะกลายเป็นศัตรูตัวฉกาจของพวกเขาก็เป็นได้

“หึ การต่อสู้ครั้งแรกของสิบสามจ้าวสวรรค์ของพวกเราจะต้องชนะแน่นอน ตระกูลเซวียนเยวี๋ยนอะไรกัน ตระกูลหมาบ้าบอ ต้องกำจัดให้หมด!” ทันใดนั้นมุมปากของหวังเจี๋ยปรากฏรอยยิ้มโหดเหี้ยมขึ้นมา คนคนนี้เดิมทีก็ชอบต่อสู้อยู่แล้ว

“ถูกต้อง การต่อสู้ครั้งแรกของสิบสามจ้าวสวรรค์ ไม่อนุญาตให้แพ้!” อู๋เสวี่ยพูดอย่างแน่วแน่

เย่เทียนเฉินยิ้มเล็กน้อย การที่มีกลุ่มขุนพลสิบสามจ้าวสวรรค์นี้ทำให้เย่เทียนเฉินรู้สึกดีใจมาก และอู๋เสวี่ยกับหวังเจี๋ยเป็นคนที่มีฝีมือสูงสุดในกลุ่มสิบสามจ้าวสวรรค์โดยไม่ต้องสงสัยเลย ทั้งยังมีหัวคิดมากที่สุดอีกด้วย จะต้องกลายเป็นขุนพลระดับสูงในกลุ่มลูกน้องของตนได้แน่นอน

“มีความมั่นใจก็ดีแล้ว วางใจเถอะ สงครามครั้งแรกของสิบสามจ้าวสวรรค์จะต้องชนะแน่นอน!” เย่เทียนเฉินเองก็จริงจังเป็นอย่างมาก ในดวงตาเต็มไปด้วยประกายแห่งความเชื่อมั่น

วันต่อมา ในตอนที่ฟ้าสว่าง เย่เทียนเฉินพาสิบสามจ้าวสวรรค์มาถึงทะเลสาบซือไห่ที่มีชื่อเสียงของมณฑลชวน เดิมทีเพราะนี่เป็นฤดูร้อน นักท่องเที่ยวที่มาเที่ยวทะเลซือไห่แห่งนี้ก็เยอะมากอยู่แล้ว พวกเย่เทียนเฉินมาถึงก็พบทิวทัศน์ที่เต็มไปด้วยผู้คน ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลากลางวัน รอให้ถึงเวลากลางวันก่อนคงจะเยอะกว่านี้แน่นอน

“หวา นายดูรูปร่างของผู้หญิงคนนั้นสิ…”

“นายดูสิก้นของผู้หญิงคนนั้นงอนดีจริงๆ …”

“แย่แล้ว เลือดกำเดาจะไหลแล้ว ผู้หญิงคนนั้นสวมเสื้อซีทรู…”

“ชายหญิงในยุคนี้ใส่เสื้อผ้าได้กล้าหาญจริง ไม่ไหวแล้ว!”

พวกอู๋เสวี่ยเลือดลมพุ่งพล่าน ในตอนยังเป็นวัยรุ่นช่วงรุ่งโรจน์ ได้เห็นสาวงามมีส่วนเว้าส่วนโค้งสมบูรณ์แบบสวมชุดบิกินี่ไปทั่วทุกที่ จะไม่ให้ดวงตาเปล่งประกายได้อย่างไร ถ้าหากไม่มีความรู้สึกอะไรเลยแม้แต่น้อยก็คงไม่ใช่ผู้ชายที่แท้จริงแล้ว

“พวกอันธพาล!” หลีเสี่ยวชิงมองพวกอู๋เสวี่ยอย่างเหยียดหยามแล้วกล่าวขึ้น

“อะไรล่ะ พวกเราเป็นผู้ชาย ชื่นชมผู้หญิงก็เป็นเรื่องปกติ!” อู๋เสวี่ยพูดกับหลีเสี่ยวชิงอย่างไร้ยางอาย

“ใช่แล้ว ผู้หญิงพวกนี้แต่งตัวเซ็กซี่ยั่วยวนขนาดนี้ ไม่ใช่เพื่อจะให้ผู้ชายอย่างพวกเรามองหรือไง? พวกเราใช้สายตาของผู้ชายคนหนึ่งชื่นชมผู้หญิง!” หวังเจี๋ยพูดขึ้นอย่างไร้ยางอาย

“ใช่แล้ว เธอไม่มีร่างกายดีๆ ก็อย่าห้ามให้ผู้หญิงคนอื่นเปิดเผยเรือนร่างของตัวเองจะดีกว่ามั้ง?” อู๋เสวี่ยพูดโจมตีหลีเสี่ยวชิง

“ช่างเถอะ พวกเราไปดูผู้หญิงสวยๆ กันเถอะ ยังไงซะตอนกลางวันก็ไม่มีเรื่องอะไรให้ทำ แล้วที่นี่ก็ไม่มีสาวสวยๆ ที่มีหุ่นสะบึมด้วย!” ในตอนที่หวังเจี๋ยพูดยังจงใจมองไปยังหลีเสี่ยวชิงอีกด้วย

“พวกแก…ไอ้พวกหื่นกาม!”

หลีเสี่ยวชิงโกรธจนทนไม่ไหว เย่เทียนเฉินเองก็รู้สึกจนใจ ในยามปกติเห็นว่าอู๋เสวี่ยและหวังเจี๋ยต่างเป็นนักสู้ที่เคร่งขรึมจริงจัง ทำไมพอมาถึงสถานที่ที่มีผู้หญิงสวยๆ ถึงได้เปลี่ยนไปได้? หรือสัญชาตญาณดั้งเดิมจะกลับมาแล้ว? ทำให้เขารู้สึกหัวเราะไม่ออกร้องไห้ไม่ได้จริงๆ แต่จะอย่างไรเย่เทียนเฉินก็คาดหวังในกองกำลังของตนมาก ไม่อยากให้ไร้ชีวิตชีวาแบบนั้น ถ้าเป็นแบบนั้นคงไม่สนุกเลยสักนิด พี่น้องกลุ่มหนึ่งก่อเรื่องสนุกสนานไปด้วยกัน มีความสุขบ้างเป็นบางครั้ง นั่นเป็นสิ่งที่จำเป็นต้องมี จะอย่างไรเกิดเป็นคนก็ไม่จำเป็นต้องจริงจังขนาดนั้น

“เอาล่ะ ทุกคนไปเล่นตามสบายเถอะ เที่ยงคืนของวันนี้เตรียมมารวมตัวกันที่นี่ด้วย!” เย่เทียนเฉินหันไปพูดกับทุกคน

คนอื่นๆ ต่างพากันแยกย้ายไปเล่น หลายคนไปซื้อชุดว่ายน้ำ ในที่แบบนี้ถ้าไม่สวมชุดว่ายน้ำก็จะถูกคนอื่นมองว่าไม่เข้าพวก เดิมทีที่นี่ก็เป็นทะเลจำลองซือไห่ หาดทรายก็กว้างใหญ่ ในเมื่อพี่ใหญ่เย่เทียนเฉินออกคำสั่งมาแล้วว่าให้ทุกคนไปเล่นได้ ถ้างั้นก็เล่นได้ตามใจแล้ว

“พวกแกสองคนยังไม่ไปตีก้นหญิงงาม เสพสุขสักหน่อยล่ะ?” เย่เทียนเฉินเดินไปข้างหวังเจี๋ยและอู๋เสวี่ยพลางเอ่ยถามขึ้นมา

ตอนนี้เองอู๋เสวี่ยและหวังเจี๋ยมีท่าทีจริงจังขึ้นมา ไม่มีท่าทางเหมือนอันธพาลเฉกเช่นเมื่อครู่นี้อยู่เลย พากันมองไปยังทางโค้งของทะเลซือไห่ที่อยู่ไม่ไกล จากที่เขียนไว้บนป้ายบอกทางบริเวณชายหาด หลังทางเลี้ยวมีเกาะทะเลทรายอยู่แห่งหนึ่ง หากข้อมูลที่พวกเย่เทียนเฉินได้รับรายงานมาไม่มีผิดพลาด ตระกูลเซวียนเยวี๋ยนก็ควรจะซ่อนตัวอยู่ที่นั่น

“พี่ใหญ่ ตระกูลเซวียนเยวี๋ยนอยู่ที่เกาะทะเลทรายหลังทางเลี้ยวนั้นเหรอครับ?” อู๋เสวี่ยถามเสียงเบา

“เป็นไปได้มาก พวกเราควรจะต้องไปเบิกทางก่อนถึงจะถูก ไม่งั้นคืนนี้คงเคลื่อนไหวลำบาก!” หวังเจี๋ยเองก็พูดขึ้นเสียงเบาด้วยท่าทางจริงจัง

เย่เทียนเฉินพยักหน้า เขาก็มีความคิดเช่นนี้อยู่พอดี ต้องการให้คนไปตรวจสอบสถานการณ์บนเกาะทะเลทรายนั้นก่อน เพื่อให้มั่นใจว่าตระกูลเซวียนเยวี๋ยนอยู่บนนั้นหรือไม่ ที่สำคัญก็คือตำแหน่งที่แน่ชัดบนเกาะทะเลทรายของตระกูลเซวียนเยวี๋ยน

จินตนาการได้เลยว่า ในเมื่อตระกูลเซวียนเยวี๋ยนเก็บซ่อนตัวตนอยู่บนเกาะทะเลทรายภายในทะเลซือไห่ ถ้าเช่นนั้นก็เป็นไปได้มากว่าจะมีมาตรการป้องกันที่แข็งแกร่ง สำหรับตระกูลที่ปิดซ่อนตัวตนเช่นนี้ หากจะบอกว่าด้านในมียอดฝีมืออยู่แค่ไม่กี่คนคงจะเป็นไปไม่ได้ ทั่วทั้งเกาะทะเลทรายคงจะมีบอดี้การ์ดชั้นยอดคุ้มครองอยู่ หากไม่ทำการสำรวจเส้นทางให้ชัดเจนแล้วบุ่มบ่ามเข้าไป ตอนที่ถูกพบขึ้นมาเกรงว่าคงจะทำให้ตระกูลเซวียนเยวี๋ยนทั้งตระกูลแตกตื่นในทันทีแน่นอน เมื่อถึงตอนนั้นก็จะมียอดฝีมือปรากฏตัวออกมา เกรงว่าพวกเย่เทียนเฉินคงถูกบีบจนพ่ายแพ้แน่นอน

มีความกล้ามีแผนการจึงจะสามารถชนะศึก อู๋เสวี่ยและหวังเจี๋ยล้วนเป็นคนมีความกล้าและมีแผนการ ในจุดนี้เป็นส่วนที่เย่เทียนเฉินชื่นชมมากที่สุด กองกำลังสิบสามจ้าวสวรรค์มีพวกเขาทั้งสองเป็นผู้นำ ตนก็วางใจลงมาก

“ถ้างั้นพวกแกสองคนก็ไปด้วยตัวเอง แต่ก็ต้องระวังให้มาก อยากได้แหวกหญ้าให้งูตื่นเด็ดขาด!” เย่เทียนเฉินเอ่ยปากกล่าว

“ครับพี่ใหญ่!” อู๋เสวี่ยและหวังเจี๋ยตอบรับอย่างจริงจังพร้อมกัน

หลังจากกำชับเวลาดีแล้ว อู๋เสวี่ยและหวังเจี๋ยจะไปสำรวจสถานการณ์ ส่วนเย่เทียนเฉินก็ไปซื้อชุดว่ายน้ำอย่างสบายอารมณ์ จากนั้นจึงหาสถานที่ที่ไม่มีคน นอนเอนตัวบนเก้าอี้ชายหาด อาบแดดอย่างสุขอุรา ดื่มเหล้าเย็นชื่นใจ มองชายหญิงที่เล่นสนุกกันอยู่บนชายหาด

ตอนนี้เอง หญิงน่ารักคนหนึ่งเดินมาข้างกายเย่เทียนเฉินแล้วนั่งลงเบาๆ ริมฝีปากเรียวบางเอ่ยขึ้นว่า “พี่ชาย พวกเราดื่มด้วยกันสักแก้วเป็นยังไง?”

เย่เทียนเฉินมองไปยังหญิงน่ารักตรงหน้า อดไม่ได้ที่จะตกตะลึง จากนั้นจึงพูดขึ้นอย่างแปลกใจ “หวา เสี่ยวชิง หุ่นแบบนี้เกรงว่าจะดีที่สุดในหมู่ผู้หญิงบนชายหาดแล้ว!”

หลีเสี่ยวชิงสวมชุดว่ายน้ำวันพีซตัวหนึ่ง เผยผิวงดงามสมบูรณ์แบบและรูปร่างที่มีส่วนเว้าส่วนโค้งออกมาทั้งหมด เดิมทีใบหน้าของหลีเสี่ยวชิงก็สวยมากอยู่แล้ว หุ่นก็ค่อนข้างดี เพียงแต่ว่าไม่เคยมีใครเห็นตอนที่เธอใส่ชุดเปิดเผยเรือนร่างแบบนี้มาก่อนว่ามีรูปร่างแบบไหน โดยเฉพาะอู๋เสวี่ยและหวังเจี๋ยที่เยาะเย้ยรูปร่างของหลีเสี่ยวชิง เห็นได้ชัดว่าทำให้ผู้หญิงคนนี้โกรธเข้าเสียแล้ว จึงทำแบบนี้ออกมา

“หึ อู๋เสวี่ยและหวังเจี๋ยล่ะ ฉันต้องการให้พวกเขาได้เห็นว่าหุ่นของฉันเป็นยังไง!” หลีเสี่ยวชิงแค่นเสียงเย็นอย่างน่ารักแบบผู้หญิงแล้วพูดขึ้นมา

“ฮ่าๆ ใจเย็นๆ นั่งเถอะ อย่าไปโกรธสองคนนั่นเลย!” เย่เทียนเฉินหัวเราะฮี่ๆ แล้วพูดขึ้น

ในตอนนี้บริเวณไม่ไกลมีสาวผมทองคนหนึ่งจับจ้องเย่เทียนเฉินที่นอนอยู่บนเก้าอี้ชายหาดอยู่ตลอด ดูเหมือนว่ากำลังจับตามองเย่เทียนเฉิน ไม่สนใจชายข้างกายที่เข้ามาทักทายเลยสักนิด

สาวผมทองมีความเย้ายวนมาก ไม่เพียงแต่จะสวย รูปร่างก็สมบูรณ์แบบมากด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งรูปหน้าที่เหมือนกับดาราสาวชาวต่างชาติ และใบหน้าที่ราวกับนางฟ้า กลายเป็นจุดศูนย์รวมสายตาของผู้ชายจำนวนมากบนชายหาดไปโดยปริยาย

สาวผมทองคนนี้ก็คืออลิซที่ลอบติดตามเย่เทียนเฉินมาจากประเทศ M จนมาถึงประเทศจีน อลิซเป็นหัวหน้าหน่วยข่าวกรองแห่งประเทศ M ตอนนั้นเย่เทียนเฉินไปก่อเรื่องที่วอชิงตัน ต้องการให้โฮบาม่าเลี้ยงข้าว เกือบจะบุกเข้าไปในทำเนียบขาวอยู่แล้ว ทำให้โฮบาม่าโกรธจนไม่ว่าจะทำยังไงก็ไม่อาจกล้ำกลืนความโกรธนี้ลงไปได้ เขาเป็นประธานาธิบดีแห่งประเทศ M ที่สง่าผ่าเผย แต่ไหนแต่ไรมีแต่ประเทศ M ที่ไปรังแกประเทศอื่น มีประเทศอื่นมารังแกประเทศ M ของเขาได้เมื่อไหร่กัน? นี่คือความอัปยศอดสูของโฮบาม่าและประเทศ M ดังนั้นโฮบาม่าจึงสั่งให้อลิซลอบติดตามเย่เทียนเฉิน จะต้องตรวจสอบทุกสิ่งทุกอย่างเกี่ยวกับเย่เทียนเฉินให้กระจ่างชัด และหาโอกาสกำจัดเขาให้ได้

……………

เสี่ยวชิง ชื่อเต็มๆ ก็คือหลีเสี่ยวชิง เคยเป็นภรรยาน้อยของหลี่เถี่ยซึ่งเป็นหัวหน้าของกลุ่มอำนาจใต้ดินแห่งเมืองหลวง แต่ความจริงเป็นสายลับที่ตระกูลฉินส่งมาอยู่ข้างกายหลีเถี่ย เพื่อที่จะจับตาดูเขา ตอนนั้นเย่เทียนเฉินไม่ได้ฆ่าเสี่ยวชิง เพราะเขารู้สึกว่าบนร่างของเสี่ยวชิงไม่มีไอสังหาร และหลีเสี่ยวชิงยังเป็นผู้มีพลังพิเศษประเภทภาพลวงตาอีกด้วย ผู้มีพลังพิเศษสายนี้ในช่วงยุคสิ้นโลกก็ปรากฏออกมาน้อยมาก ในโลกนี้ก็ยิ่งน้อยเข้าไปอีก ดังนั้นเย่เทียนเฉินจึงปล่อยเสี่ยวชิงไป

คิดไม่ถึงเลยว่าครั้งนี้ยอดฝีมือแห่งพรรควรยุทธโบราณและยอดฝีมือแห่งโลกผู้มีพลังพิเศษที่อู๋เสวี่ยรับสมัครมา จนสามารถก่อตั้งเป็นกลุ่มสิบสามจ้าวสวรรค์ได้ จะมีหลีเสี่ยวชิงสมัครเข้ามาด้วย และกลายเป็นผู้หญิงเพียงคนเดียวในกลุ่มสิบสามจ้าวสวรรค์ นี่ทำให้เย่เทียนเฉินคิดไม่ถึงจริงๆ จะอย่างไรเขากับเสี่ยวชิงก็นับว่าเป็นคนรู้จักกันมาก่อน เพียงแต่คิดไม่ถึงว่าตอนนี้เสี่ยวชิงจะกลายมาเป็นลูกน้องของตน และเข้าร่วมกับกลุ่มสิบสามจ้าวสวรรค์

“วางใจเถอะ ฉันจะไม่ถ่วงแข้งถ่วงขาพวกคุณแน่!” หลีเสี่ยวชิงพูดอย่างมีเสน่ห์

“ไม่แน่นอน ผู้มีพลังพิเศษประเภทภาพลวงตาอย่างเธอเข้าร่วมมาด้วย ฉันเชื่อว่าจะต้องมีประโยชน์อย่างมากแน่นอน!” เย่เทียนเฉินยิ้มเล็กน้อยแล้วพยักหน้า

หลี่เสี่ยวชิง เป็นผู้หญิงที่สวยมากคนหนึ่ง เธอมีส่วนที่ไม่เหมือนกับผู้หญิงสวยคนอื่นๆ นั่นก็คือเธอมีเสน่ห์และเซ็กซี่เป็นอย่างมาก รู้ว่าผู้ชายต้องการอะไร ชอบอะไร และสามารถเกลี้ยกล่อมได้ ยิ่งไปกว่านั้นเคล็ดวิชาภาพลวงตาของเธอก็แข็งแกร่งมาก เพียงแต่กลับต้องมาพบกับเย่เทียนเฉินที่เป็นผู้มีพลังพิเศษในขอบเขตจอมราชันขั้นสูง มิฉะนั้นเมื่อวันนั้นเย่เทียนเฉินคงไม่สามารถกำจัดเคล็ดวิชาภาพลวงตาของเสี่ยวชิงได้ ยิ่งไปกว่านั้นเย่เทียนเฉินเชื่อว่า เคล็ดวิชาภาพลวงตาของเสี่ยวชิงจะต้องแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ ตามวันเวลาที่ผ่านไป และยังพัฒนาขอบเขตไปอีกด้วย

เมื่อเห็นเสี่ยวชิง ก็อดไม่ได้ที่จะทำให้เย่เทียนเฉินจินตนาการไปว่า หากเคล็ดวิชาสะกดใจแห่งพรรควรยุทธโบราณของฉินเหยาเยว่มาดวลกับเคล็ดวิชาภาพลวงตาที่เป็นพลังพิเศษของเสี่ยวชิง ใครจะแข็งแกร่งกว่ากัน?

การก่อตั้งกลุ่มสิบสามจ้าวสวรรค์ เป็นจุดเริ่มต้นของการสร้างอำนาจของเย่เทียนเฉินอย่างไม่ต้องสงสัย จนถึงตอนนี้เขาก็ไม่จำเป็นต้องไปทำทุกเรื่องด้วยตัวเองแล้ว ในขณะเดียวกันก็เป็นการทำให้เขาตัดสินใจอย่างแน่วแน่มากขึ้นที่จะต่อต้านตระกูลใหญ่และอำนาจใหญ่ต่างๆ และฟื้นฟูตระกูลเย่ขึ้นมา

ในใจของเย่เทียนเฉินยังมีเรื่องมากมายที่อยากจะทำ กลับไปแก้แค้นให้เพื่อนพ้องที่ตายไปที่ดาวสิ้นโลก ตามหาค่ายกลเคลื่อนย้ายที่เคยมีอยู่บนโลกเพื่อจะไปยังดาวจักรพรรดิ ตามหาเส้นทางแห่งความเป็นอมตะ สิ่งเหล่านี้เขาที่เป็นผู้แข็งแกร่งคนหนึ่งอยากจะทำ และเป็นเรื่องที่จำเป็นต้องทำ เพียงแต่ก่อนหน้านั้นเขาจะต้องฟื้นฟูตระกูลเย่ขึ้นและก่อตั้งกลุ่มอำนาจของตนก่อน ผลักดันให้ตระกูลเย่ไปถึงระดับที่คนอื่นไม่กล้าหาเรื่องง่ายๆ เขาจึงจะจากไปได้อย่างวางใจ ไม่จำเป็นต้องกังวลเกี่ยวกับพ่อแม่และน้องสาวของตนอีก

“ดี คืนนี้พวกเราจะออกเดินทางไปมณฑลชวน!” เย่เทียนเฉินพูดอย่างแน่วแน่

ตระกูลเซวียนเยวี๋ยน เป็นตระกูลที่ปิดซ่อนตัวตนและทรงพลังมาก ในตระกูลของพวกเขามียอดฝีมือชั้นสูงที่เหนือชั้นอยู่คนหนึ่ง เย่เทียนเฉินไม่ใช่คนที่ชอบเป็นฝ่ายถูกกระทำ หากถูกกระทำก็ต้องตอบโต้ หากต้องการหยุดยั้งการแก้แค้นของตระกูลเซวียนเยวี๋ยน ก็จำเป็นต้องลงมือโจมตี ทำให้ตระกูลเซวียนเยวี๋ยนถูกกำจัดไปอย่างสิ้นซาก

“ไปมณฑลชวน?” อู๋เสวี่ยอดไม่ได้ที่จะชะงักไป เอ่ยถามขึ้นมาอย่างสงสัย

ยอดฝีมืออีกสิบสองคนที่เหลือต่างก็มองเย่เทียนเฉินอย่างไม่เข้าใจ ตอนนี้เป็นเวลาตีหนึ่งแล้ว ถึงกับพูดว่าจะไปมณฑลชวน ออกเดินทางตอนกลางคืน ลูกพี่เย่เทียนเฉิน คงไม่ใช่เดินทางในความฝันหรอกนะ?

เย่เทียนเฉินมองไปยังท่าทางสงสัยของทุกคนแล้วพูดขึ้นด้วยรอยยิ้มว่า “ฟังไม่ผิดหรอก ไปมณฑลชวน ที่นั่นมีการต่อสู้ครั้งแรกของกลุ่มสิบสามจ้าวสวรรค์ของพวกเราอยู่ ฉันบอกพวกแกได้เลยว่า การต่อสู้ในครั้งนี้พวกเราจะพบกับยอดฝีมือที่แข็งแกร่งเป็นอย่างมาก บางทีอาจจะมีคนตายก็ได้ อยากได้ลำพองใจไป!”

เมื่อได้ยินคำพูดของเย่เทียนเฉิน อู๋เสวี่ยและอีกสิบสองคนไม่เพียงแต่จะไม่กลัว กลับกระตือรือร้นขึ้นมาด้วยซ้ำ พวกเขาแต่ละคนเป็นยอดฝีมือชั้นหนึ่ง ต่างมีความปรารถนาอยู่กับตัวและมีความสามารถที่แข็งแกร่ง พวกเขาไม่หวาดกลัวความตายมานานแล้ว สิ่งที่น่ากลัวก็คือจะไม่มีการต่อสู้ที่ดุเดือดเลือดพล่าน นี่จึงจะเป็นจุดที่ทำให้พวกเขารับไม่ได้มากที่สุด

“ดี ไปมณฑลชวนไปต่อสู้ครั้งแรกของกลุ่มสิบสามจ้าวสวรรค์ของพวกเรา ทำให้โลกเบื้องหน้าและเบื้องหลังรู้ถึงการก่อตั้งของสิบสามจ้าวสวรรค์ของพวกเรากันเถอะ!” หวังเจี๋ยพูดอย่างกระตือรือร้น

“วางใจเถอะ การต่อสู้ในวันข้างหน้ายังมีอีกมาก ฉันหวังว่าทุกคนจะรักษาชีวิตเอาไว้ได้ รอดูความรุ่งโรจน์ของสิบสามจ้าวสวรรค์!” เย่เทียนเฉินพูดด้วยรอยยิ้ม

เวลาประมาณตีสอง เครื่องบินเที่ยวพิเศษลำหนึ่งบินขึ้นจากเมืองหลวง ไม่กล่าวไม่ได้ว่าในสังคมปัจจุบันนี้ ถ้ามีเงินก็สามารถทำได้ทุกอย่าง เย่เทียนเฉินมอบเงินให้กับสนามบินไปห้าล้าน เพื่อจะได้รับบริการเที่ยวบินพิเศษที่บินขึ้นคืนนี้ในทันที ประมาณสองชั่วโมงกว่า เครื่องก็ลงจอดที่เมืองเอกของมณฑลชวน รถสีดำสามคันออกเดินทางจากเมืองเอกของมณฑลชวน มุ่งหน้าไปยังทะเลซือไห่ของ รถที่อยู่คันแรกสุดมีเย่เทียนเฉินนั่งอยู่ ส่วนหวังเจี๋ยนั่งอยู่ในตำแหน่งที่นั่งข้างคนขับ โดยมีอู๋เสวี่ยเป็นผู้ขับรถด้วยตัวเอง รถสีดำคันหลังอีกสองคันก็แบ่งไปนั่งคันละห้าคน ขับตามกันมาติดๆ สิบสามจ้าวสวรรค์มุ่งหน้าไปยังทะเลซือไห่เพื่อกำจัดตระกูลเซวียนเยวี๋ยนแล้ว

“พี่ใหญ่ ผมซื้อคฤหาสน์เรียบร้อยแล้วนะครับ บริเวณชานเมืองทิศตะวันออกมีเขตคฤหาสน์ใหญ่อยู่เขตหนึ่ง มีคนอยู่อาศัยน้อย หลังจากที่ผมดูภูมิประเทศแล้ว ก็เลือกคฤหาสน์หลังที่อยู่ลึกที่สุด ด้านข้างมีทะเลสาบเล็กๆ อยู่แห่งหนึ่ง เงียบสงบเป็นอย่างมาก ยามปกติไม่มีใครไป!” อู๋เสวี่ยขับรถไปพลางพูดพลาง

“อืม เลือกที่แบบนี้ก็ดีสุดแล้ว จะได้หลีกเลี่ยงคนมาลอบโจมตี และทำให้คนธรรมดาได้รับบาดเจ็บ!” เย่เทียนเฉินพยักหน้าแล้วพูดขึ้น

“จ่ายเงินทั้งหมดไปหนึ่งร้อยล้าน ผมไปกู้ยืมมาด้วย…” อู๋เสวี่ยพูดเสียงเบา

“อะไรนะ? หนึ่งร้อยล้าน…”

ชั่วขณะนั้นเย่เทียนเฉินแทบจะแหลกสลาย เขาสั่งให้อู๋เสวี่ยไปหาคฤหาสน์ และต้องหาที่เงียบสงบสักหน่อย เป็นตำแหน่งที่ในยามปกติไม่มีคนอื่นอยู่รอบๆ คิดไม่ถึงว่าคนคนนี้จะจ่ายออกไปหนึ่งร้อยล้านภายในเวลาชั่วพริบตา

“พี่ใหญ่ คฤหาสน์หลังนั้นมีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน เป็นคฤหาสย์ที่จัดเตรียมเอาไว้เพื่อให้เศรษฐีใหญ่เลี้ยงดูคนรักโดยเฉพาะ รอบๆ ไม่มีคฤหาสน์อื่นอยู่เลย เรียกได้ว่าเป็นคฤหาสน์โดดเดี่ยวและหรูหรามาก ห้องฟิตเนส สระน้ำ รวมไปถึงสนามบาสล้วนมีทั้งหมด ยิ่งไปกว่านั้นอยู่ใกล้กับทะเลสาบเล็กๆ นั่นย่อมมีทิวทัศน์งดงามแน่นอน พอบอกว่าราคาหนึ่งร้อยล้านผมคิดสักพักก็ตอบรับทันที!” อู๋เสวี่ยพูดเสียงเบา

เย่เทียนเฉินมองอู๋เสวี่ย ทอดถอนใจอย่างหดหู่ ซื้อก็ซื้อไปแล้ว ยังจะทำอะไรได้อีก? เพียงแต่คิดว่าวันหน้าคงไม่อาจให้อู๋เสวี่ยที่พึ่งพาไม่ได้คนนี้ไปซื้ออะไรให้อีกแล้ว คฤหาสน์หลังละหนึ่งร้อยล้าน บอกจะซื้อก็ซื้อ ถึงแม้ว่าตอนนี้ตนเองจะเป็นประธานคณะกรรมการแห่งเครือไห่หวางซึ่งเป็นตำแหน่งที่มีมูลค่าหลายร้อยล้าน แต่เพียงพริบตาเดียวก็จะออกไปหนึ่งร้อยล้านแล้ว สำหรับคนที่ขี้งกอย่างเย่เทียนเฉินเรียกได้ว่าปวดใจเป็นอย่างมาก

“ช่างเถอะ รอให้ฉันกลับไปเมืองหลวงก่อน ฉันค่อยย้ายเข้าไป พวกแกหลายคนก็ไปอยู่ด้วยกันกับฉันเถอะ มีเรื่องอะไรจะได้ปรึกษากันให้ดี!” เย่เทียนเฉินพูดแล้วทอดถอนใจออกมาอย่างหดหู่

“ครับพี่ใหญ่!” อู๋เสวี่ยตอบกลับอย่างระมัดระวัง ในตอนที่เขาซื้อก็บุ่มบ่ามไปบ้าง จากนั้นเมื่อคิดดูก็พบว่าจ่ายเงินออกไปหนึ่งร้อยล้านในชั่วพริบตา รู้สึกพูดไม่ออกเลยจริงๆ

“รอให้ไปถึงทะเลจำลองซือไห่ก่อน ฟ้าก็คงจะสว่างแล้ว แกกับหวังเจี๋ยรับผิดชอบจัดการคนอื่นๆ ตอนกลางวันพวกเราจะไปเที่ยวที่ทะเลซือไห่ ตอนกลางคืนก็จะมาอีกครั้ง คราวนี้พวกเราจะกำจัดตระกูลเซวียนเยวี๋ยน ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ อนุญาตให้ประสบความสำเร็จเท่านั้น ไม่อนุญาตให้แพ้ สงครามครั้งแรกของสิบสามจ้าวสวรรค์จะต้องชนะ!” เย่เทียนเฉินพูดอย่างเข้มงวด

“พี่ใหญ่? พะ พวกเราจะไปกำจัดตระกูลเซวียนเยวี๋ยนเหรอครับ?”

อู๋เสวี่ยอดไม่ได้ที่จะตกตะลึง ก่อนหน้านี้นอกจากเย่เทียนเฉิน พวกเขาก็ไม่มีใครรู้ว่าเดินทางไปที่มณฑลชวนเพื่อทำภารกิจอะไร แต่ทุกคนก็มีกฎเกณฑ์และระเบียบอย่างมาก ในเมื่อจะติดตามเย่เทียนเฉินแล้ว ก็จะเชื่อฟังคำสั่งอย่างแน่วแน่ สิ่งที่ไม่ควรถามก็จะไม่ถาม ทำงานไปอย่างจริงจังก็พอแล้ว แต่กลับคิดไม่ถึงว่าครั้งนี้จะไปกำจัดตระกูลกาก

“ตระกูลเซวียนเยวี๋ยน? นี่ไม่ใช่ตระกูลในโลกเบื้องหลังเหรอ? ดูเหมือนจะไม่มีใครรู้ว่าตระกูลเซวียนเยวี๋ยนอยู่ที่ไหน หรือว่า…” หวังเจี๋ยเองก็เลยถามออกมาอย่างประหลาดใจ

“ใช่แล้ว สงครามครั้งแรกของกลุ่มสิบสามจ้าวสวรรค์ของพวกเราก็คือกำจัดตระกูลเซวียนเยวี๋ยนที่เป็นตระกูลแห่งโลกเบื้องหลัง ตอนนี้ฉันบอกกับพวกแกได้ว่า ตระกูลเซวียนเยวี๋ยนอยู่ที่ทะเลจำลองซือไห่แห่งมณฑลชวน ในส่วนลึกของทะเลจำลองซือไห่มีเกาะอยู่แห่งหนึ่ง ที่นั่นเป็นเกาะทะเลทรายตามธรรมชาติ ตระกูลเซวียนเยวี๋ยนก็อยู่บนนั้น ฉันสืบมาได้ว่า ทะเลจำลองซือไห่ก็เป็นธุรกิจของตระกูลเซวียนเยวี๋ยน พวกเขาต้องการที่จะขยายกิจการของตระกูลและเพื่อปิดบังตัวตนให้ดี!” เย่เทียนเฉินพูดพลางพยักหน้า

อู๋เสวี่ยและหวังเจี๋ยทั้งสองต่างตกตะลึงเป็นอย่างมาก แน่นอนว่าไม่มีใครไม่รู้จักทะเลจำลองซือไห่ของประเทศจีน แต่ดูเหมือนว่าใครก็คิดไม่ถึงว่าทะเลจำลองซือไห่นี้จะเป็นกิจการของตระกูลเซวียนเยวี๋ยนซึ่งเป็นตระกูลแห่งโลกเบื้องหลังที่ปิดบังตัวตน ยิ่งไปกว่านั้นตระกูลเซวียนเยวี๋ยนยังซ่อนตระกูลของตนเอาไว้ที่เกาะทะเลทรายในส่วนลึกที่สุดของทะเลจำลองซือไห่ นี่จะต้องใช้ฝีมือขนาดไหนกัน? เท่านี้ก็สามารถเห็นได้แล้วว่าตระกูลเซวียนเยวี๋ยนแข็งแกร่งมาก กำลังพล กำลังทรัพย์ กำลังสิ่งของ ต่างมีครบครัน

“พี่ใหญ่ ผมได้ยินว่ายอดฝีมือในตระกูลเซวียนเยวี๋ยนมีเยอะมาก ถึงแม้ว่าหลายปีมานี้ตระกูลเซวียนเยวี๋ยนจะไม่ได้โลดแล่นอยู่ในลงเบื้องหน้าและเบื้องหลัง แต่หลายคนก็ได้ยินว่าตระกูลเซวียนเยวี๋ยนเตรียมจะเปิดเผยตัวตนสู่โลกภายนอกอีกครั้ง!” อู๋เสวี่ยชะงักไปครู่หนึ่งแล้วพูดขึ้น

“อืม คงจะเป็นแบบนั้นแหละ ไม่งั้นคงไม่ส่งเซวียนเยวี๋ยนเถิงและเซวียนเยวี๋ยนอวี่ไปเรียนที่เมืองหลวงหรอก!” เย่เทียนเฉินพูดด้วยรอยยิ้ม

“ตระกูลเซวียนเยวี๋ยนต้องเก็บซ่อนตัวตนเพราะอำนาจของรัฐบาล ผ่านมานานหลายปีขนาดนี้แล้ว รัฐบาลเองก็แข็งแกร่งขึ้นทุกวัน ตระกูลเซวียนเยวี๋ยนกลับต้องการที่จะเปิดเผยตัวตนออกมา ท่าทางจะมีความเป็นไปได้อยู่แค่สองอย่าง อย่างแรกก็คือมีคนของตระกูลเซวียนเยวี๋ยนอยู่ในเหล่าบุคคลระดับสูงของรัฐบาลแล้ว อย่างที่สองก็คือความสามารถของตระกูลเซวียนเยวี๋ยนพัฒนามากขึ้น จึงเชื่อว่ารัฐบาลไม่กล้าแตะต้องพวกเขาง่ายๆ!” หวังเจี๋ยเป็นคนฉลาด เพียงไม่นานก็สามารถคาดเดาปัญหาที่มีได้

ตอนแรกเย่เทียนเฉินเองก็เคยคิดถึงปัญหานี้มาก่อน โดยปกติการที่ตระกูลแห่งโลกเบื้องหลังของประเทศจีนต้องปิดซ่อนตัวตน ส่วนใหญ่เป็นเพราะอำนาจยิ่งใหญ่เกินไป จนคุกคามไปถึงความปลอดภัยของประชาชนธรรมดา รัฐบาลจึงต้องเข้ามาสยบ ดังนั้นจึงเลือกที่จะเก็บซ่อนตัวตน มีเพียงการที่พวกเขาปิดซ่อนตัวตนเท่านั้นรัฐบาลถึงจะแกล้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น จะอย่างไรหากต้องการกำจัดตระกูลใหญ่เหล่านี้ ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายขนาดนั้น ทำได้เพียงหาจุดสมดุลกันก็เท่านั้น

แต่ว่าตระกูลใหญ่และกลุ่มอำนาจใหญ่ธรรมดาทั่วไป ต่างก็แข็งแกร่งขนาดนั้นมาโดยตลอด หลังจากที่ผ่านการพัฒนามาหลายชั่วอายุคน ก็จะต้องมีความหยิ่งยโสอย่างแน่นอน ก็เหมือนกับคนคนหนึ่งที่มีความสามารถแข็งแกร่งมาโดยตลอด จนมีคู่ต่อสู้น้อยมาก ไม่ว่าจะเป็นใครต่างก็ค่อยๆ มีความยโสโอหังขึ้นมา โดยเฉพาะลูกหลานรุ่นหลังของพวกเขา ก็จะยิ่งบ้าอำนาจมากขึ้น เพียงแค่เปิดเผยตัวตนออกไปอีกครั้ง จะต้องส่งผลกระทบไปถึงความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนธรรมดาแน่นอน

………….

“เคล็ดวิชาพลังพิเศษสายพสุธาของแกป้องกันเอาไว้ไม่ได้แน่ มือขวาของแกจะถูกฉันตัดทิ้ง!” หวังเจี๋ยพูดออกมาอย่างโหดเหี้ยมและเชื่อมั่นในตัวเอง

เย่เทียนเฉินยิ้มเล็กน้อยแต่ไม่ได้พูดอะไร ทำเพียงยื่นมือขวาออกไป แผ่เป็นฝ่ามือหันไปทางหวังเจี๋ย ทุกคนที่เห็นก็ชะงักไป ไม่รู้ว่าเย่เทียนเฉินต้องการจะทำอะไรกันแน่ เมื่อเผชิญหน้ากับกระบวนท่าโจมตีที่แข็งแกร่งขนาดนี้ของหวังเจี๋ย ในตอนที่ยังไม่ได้ทำการโจมตีก็ทำให้ผู้คนต้องรู้สึกสั่นสะท้านแล้ว เมื่อดวลกับเคล็ดวิชาสังหารที่แข็งแกร่งเช่นนี้ หากไม่พยายามขัดขวางเต็มกำลัง ก็ต้องรีบหนีเอาชีวิตรอดอย่างรวดเร็ว มีเพียงสองตัวเลือกนี้เท่านั้น แต่เย่เทียนเฉินกลับไม่ทำสิ่งใดในตัวเลือกทั้งสองเลย ทำเพียงยืนอยู่ที่เดิมอย่างใจเย็น รอการโจมตีของหวังเจี๋ย

“ฉันยอมรับว่าแกแข็งแกร่งมาก แต่แกจะต้องจ่ายค่าตอบแทนกับความโอหังของแกออกมาแน่นอน!” หวังเจี๋ยพูดอย่างดุดัน

“กระบวนท่าที่เก้าแล้ว ยังเหลืออีกหนึ่งกระบวนท่า!” เย่เทียนเฉินมองไปที่ไหล่ของตน เมื่อครู่นี้ถูกหมัดอันรวดเร็วของหวังเจี๋ยเฉียดไป ทำให้มีบาดแผลลึกอยู่แผลหนึ่ง และยังคงเลือดไหลออกมาอยู่ อย่างไรก็ตามไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร เขารู้สึกยินดีมาก ความสามารถของหวังเจี๋ยแข็งแกร่งมาก หากต้องการที่จะป้องกันกระบวนท่าโจมตีสิบกระบวนท่าของหวังเจี๋ยโดยอาศัยแค่มือขวาของตนก็เป็นเรื่องยากมาก จะอย่างไรตนก็ประมือผ่านไปได้เก้ากระบวนท่าแล้ว แต่กระบวนท่าสุดท้ายจะต้องแข็งแกร่งเป็นอย่างมากโดยไม่ต้องสงสัยเลย กระทั่งคนรอบๆ ที่ไม่ได้เข้าร่วมการต่อสู้ก็รู้สึกได้ถึงบรรยากาศอันบ้าคลั่ง หวังเจี๋ยลงมือเต็มกำลังแล้ว คิดจะใช้ความสามารถที่แท้จริงออกมา และอาจจะฆ่าเย่เทียนเฉินก็เป็นได้

“แกรนหาที่ตายเอง จะมาตำหนิฉันไม่ได้!”

หวังเจี๋ยตะโกนออกมาเสียงดัง นิ้วทั้งสิบปรากฏพลังภายในที่แข็งแกร่งออกมา พุ่งตัดเข้าไปที่เย่เทียนเฉิน ปราณดัชนียังมาไม่ถึง แต่อากาศก็ถูกฉีกขาดแล้ว พลังภายในที่แข็งแกร่งอีกทั้งยังมีความรวดเร็วอย่างหาใดเปรียบ ฉีกอากาศอย่างดุดันจนสามารถเห็นได้ด้วยตาเปล่า ช่างน่าหวาดกลัวมากจริงๆ

ต้นหญ้าที่ห่างออกไปหลายเมตรก็ถูกทำให้สั่นไหว นั่นเป็นเพียงการผันผวนของพลังภายในที่เล็กน้อยที่สุดเท่านั้น ใบหญ้าบนพื้นราวกับถูกใบมีดอันคมกริบกรีดผ่านอย่างไรอย่างนั้น หลายคนต่างมีสีหน้าประหลาดใจ กระทั่งอู๋เสวี่ย หูหลง หลินตวน และเปาเทียนหลงก็ประหลาดใจอย่างหาใดเปรียบ รู้สึกเป็นห่วงเย่เทียนเฉินผู้เป็นพี่ใหญ่อยู่บ้าง จะอย่างไรเย่เทียนเฉินก็ใช้แค่มือขวา ยิ่งไปกว่านั้นยังต้องเผชิญหน้ากับเคล็ดวิชาการโจมตีที่แข็งแกร่งขนาดนี้อีกด้วย

ครืน!

ทันใดนั้นเองเย่เทียนเฉินก็เคลื่อนไหว บนมือขวาของเขาปรากฏลำแสงสีทองขึ้น สิ่งที่ดูเหมือนโล่สีเหลืองทองพุ่งไปสยบหวังเจี๋ยโดยตรง จนเกิดลำแสงที่ทำให้ผู้คนไม่กล้ามองตรงๆ

ตู้ม!

ตู้ม!

ตู้ม!

ปราณดัชนีทั้งสิบที่แข็งแกร่งที่สุดของหวังเจี๋ยซัดเข้าไปยังกำแพงสีเหลืองทองที่เย่เทียนเฉินใช้พลังพิเศษสร้างขึ้นมา จนเกิดเป็นรูนิ้วที่ดูน่ากลัว เพียงแต่กำแพงสีเหลืองทองของเย่เทียนเฉินยังคงไม่พังลง สามารถป้องกันปราณดัชนีทั้งสิบเอาไว้ได้ และยังพุ่งไปยังหวังเจี๋ยโดยที่พลังอำนาจไม่ลดลงเลย

“โล่ทองคำ!”

เย่เทียนเฉินตะโกนออกมา หมัดขวากำแน่นอยู่กลางอากาศ รูนิ้วบนกำแพงสีเหลืองทองที่ถูกปราณดัชนีทั้งสิบโจมตีจนทะลุฟื้นสภาพได้ในชั่วพริบตา ไม่มีความเสียหายใดๆ เลยแม้แต่น้อย เขาต้องการที่จะใช้ท่าที่แข็งแกร่งที่สุดสยบหวังเจี๋ยให้ได้ ในตอนนี้เองเย่เทียนเฉินใช้ความสามารถของพลังพิเศษในขอบเขตจอมราชันระดับสูงสุดของเขาออกมาแล้ว ระเบิดเคล็ดวิชาพลังพิเศษสายทองคำออกมาด้วยมือข้างเดียว กลายเป็น “โล่ทองคำ” ที่แข็งแกร่ง นี่เป็นวิชาพลังพิเศษสายป้องกันที่ยอดเยี่ยมเป็นอย่างมาก สิ่งที่ดูเหมือนกำแพงของพระเจ้าที่สร้างขึ้นมาจากทองคำนั้น ไม่เพียงแต่จะมีพลังป้องกันอันมหาศาล แต่ยังมีพลังอัดแน่นดังภูเขาไท่ซานอีกด้วย นี่เป็นการฝึกฝนและการทะลวงอย่างหนึ่งที่เย่เทียนเฉินมีต่อตน

“ย๊าก!”

เมื่อต้องเผชิญกับความกดดันของโล่พลังสีเหลืองทอง หวังเจี๋ยก็ไม่ได้ถอยเลยสักนิด เขาแข็งแกร่งมากจริงๆ ถึงกับกำหมัดทั้งสองแน่น ระเบิดพลังการต่อสู้ที่แข็งแกร่งที่สุดออกมา รวบรวมพลังภายในอากาศไปที่หมัดไม่หยุด ทำให้โล่พลังสีทองสั่นสะเทือน

ครืน!

เมื่อถูกโลกพลังสีเหลืองทองกดทับลงมา ฝุ่นดินบนพื้นก็ฟุ้งกระจายไปทั่ว ในชั่วขณะที่โล่พลังสีเหลืองทองตกลงมานั้น อู๋เสวี่ยและคนอื่นๆ ต่างก็หลบออกไปนานแล้ว และมองภาพเหตุการณ์นี้ด้วยความสั่นสะท้าน มีบางคนประหลาดใจในความแข็งแกร่งของเย่เทียนเฉิน อาศัยเพียงมือขวาข้างเดียวก็สามารถสร้างกระบวนท่าโจมตีที่แข็งแกร่งขนาดนี้ออกมาได้ บางคนก็ตื่นตะลึงกับความกล้าของหวังเจี๋ยที่เผชิญหน้ากับอำนาจของโล่พลังสีเหลืองทองที่กดทับลงมาจนถึงที่สุด ไม่มีการหลบหรือถอย ใช้หมัดปะทะเข้าไป จะมีกี่คนที่กล้าทำแบบนี้?

จนกระทั่งหลังจากที่เศษฝุ่นเริ่มเลือนหาย ทุกคนต่างก็มองไปยังบริเวณที่โล่พลังสีทองกดทับลงมา พบว่าขาทั้งสองของหวังเจี๋ยตั้งแต่เข่าลงไปจมอยู่ในดินทั้งหมด หมัดทั้งสองของเขาก็มีเลือดไหลออกมา แต่ดวงตาทั้งสองของเขากับมีประกาย และมองไปยังเย่เทียนเฉินด้วยความแปลกใจ

ฟู่!

หวังเจี๋ยพุ่งออกมาจากในดินในเวลาเพียงชั่วพริบตา นอกจากหมัดทั้งสองที่ถูกเสียดสีจนมีเลือดไหลออกมาแล้ว ก็ไม่เป็นอะไรร้ายแรง ทำให้ทุกคนต่างรู้สึก แปลกใจ หวังเจี๋ยแข็งแกร่งมากจริงๆ นี่ไม่ใช่เรื่องที่ไม่มีมูลความจริงเลย

“แกถึงกับใช้เคล็ดวิชาพลังพิเศษสายทองคำได้ด้วยหรือ?” หวังเจี๋ยมองเย่เทียนเฉิน จ้องเย่เทียนเฉินเขม็งแล้วถามขึ้น ความแข็งแกร่งของชายหนุ่มคนนี้อยู่นอกเหนือการคาดเดาของเขาไปแล้ว

“ดวลกันสิบกระบวนท่าจบแล้ว แกไปได้!” เย่เทียนเฉินพูดกับหวังเจี๋ยด้วยรอยยิ้ม

เมื่อครู่นี้ที่หวังเจี๋ยพูดว่าเคล็ดวิชาพลังพิเศษสายพสุธาของเย่เทียนเฉินไม่มีประโยชน์ เป็นเพราะตอนที่เย่เทียนเฉินและจางอู่เฉวียนตลอดจนเติ้งซวงต่อสู้กัน หวังเจี๋ยยืนอยู่ไกลๆ และได้เห็นเคล็ดวิชาพลังพิเศษสายพสุธาอันแข็งแกร่งที่เย่เทียนเฉินใช้ออกมาแล้ว นี่เป็นเหตุผลที่เขามั่นใจว่าตนเองสามารถเอาชนะเย่เทียนเฉินได้ เพราะพลังภายในที่เขาฝึกฝน หากจะแบ่งประเภทจริงๆ เขาก็เป็นความสามารถประเภทไม้ ไม้ชนะดิน นี่เป็นความสามารถของธาตุทั้งห้าที่กดข่มซึ่งกันและกัน เขาเชื่อว่าหากสู้กับเย่เทียนเฉิน ต่อให้เย่เทียนเฉินจะใช้เคล็ดวิชาสายพสุธาที่แข็งแกร่งออกมาอีก ตนก็จะรับมือได้แน่นอน

ไหนเลยจะรู้ว่า ในตอนที่หวังเจี๋ยใช้กระบวนท่าสุดท้ายออกมา รวบรวมพลังภายในที่อยู่ในธาตุไม้ของตนไปที่นิ้วทั้งสิบ และซัดออกไปที่เย่เทียนเฉินพร้อมกัน ต้องการจะทำให้เย่เทียนเฉินไม่อาจหลบได้ จนต้องใช้เคล็ดวิชาพลังพิเศษในสายพสุธาที่แข็งแกร่งออกมา ถ้าเป็นเช่นนั้นเย่เทียนเฉินก็จะติดกับแล้ว และจะต้องพ่ายแพ้อย่างไม่ต้องสงสัยเลย แต่กลับคาดไม่ถึงว่าเย่เทียนเฉินจะยังสามารถใช้เคล็ดวิชาสายทองคำได้อีก ทองกดข่มไม้ ดังนั้นปราณดัชนีที่หวังเจี๋ยปล่อยออกไปจะแข็งแกร่งมากขนาดไหนก็ไม่สามารถทำลายโล่ทองคำได้ ทำได้เพียงถูกกดทับลงมาเท่านั้น

ในใจของเย่เทียนเฉินเองก็แปลกใจมาก เขาคิดไม่ถึงว่าหลังจากที่พลังภายในของหวังเจี๋ยถูกกดข่มลงแล้ว จะยังสามารถใช้หมัดทั้งสองเข้าปะะทะโล่พลังสีเหลืองทองได้อีก ต่อให้ความสามารถในตอนนี้ของตนจะอยู่เพียงระดับสูงสุดของขอบเขตจอมราชันก็ตาม โล่ทองคำที่ใช้ออกมาจึงไม่ได้แข็งแกร่งที่สุด แต่คนที่สามารถปะทะกับโล่ทองคำได้ถึงขนาดนี้ และไม่ได้รับบาดเจ็บหรือตายไป หวังเจี๋ยนั้นไม่ใช่คนแรกแน่นอน แต่ก็นับว่าใช้นิ้วนับได้เลย

เย่เทียนเฉินเห็นว่าหวังเจี๋ยไม่พูดอะไร ทำเพียงชะงักอยู่กับที่ เขาจึงมองไปยังยอดฝีมือเหล่านี้แล้วพูดขึ้นว่า “ฉันรู้ว่าทุกคนเป็นยอดฝีมือชั้นหนึ่ง ฉันก็ยินดีที่พวกแกมา ฉันเย่เทียนเฉินไม่กล้าทำตัวยโสอวดดี บอกว่าจะเป็นพี่ใหญ่ของพวกแก แต่ฉันเชื่อว่าทุกคนต่างคาดหวังการต่อสู้ คาดหวังชีวิตที่ดุเดือดเลือดพล่าน คาดหวังว่าความสามารถทั้งหมดของตนจะมีประโยชน์ได้ ไม่ใช่แค่การก่อเรื่องเล็กๆ น้อยๆ หรือไปเป็นนักสู้และบอดี้การ์ดของตระกูลใหญ่และอำนาจใหญ่ต่างๆ เท่านั้น ฉันต้องการที่จะปั่นป่วนใต้หล้านี้ไปกับพวกแก สร้างเกียรติยศที่เป็นของพวกเราในเมืองแห่งนี้!”

เมื่อได้ยินคำพูดของเย่เทียนเฉิน ทุกคนต่างก็มองเขาอย่างประหลาดใจ เดิมทีคิดว่าเย่เทียนเฉินที่เป็นชายหนุ่มอายุยี่สิบปีคนหนึ่ง ก็เป็นแค่ทายาทตระกูลใหญ่เท่านั้น คิดที่จะรับสมัครยอดฝีมือกลุ่มหนึ่งมาก็คงจะต้องการเล่นสนุกเท่านั้น คงไม่มีความทะเยอทะยานยิ่งใหญ่อะไร แต่กลับคิดไม่ถึงว่าสิ่งที่เย่เทียนเฉินต้องการทำไม่ใช่แค่การก่อตั้งกลุ่มอำนาจขึ้นมา แต่ยังต้องการปั่นป่วนยุทธภพ สร้างชื่อให้ดังกระฉ่อน นี่ทำให้ใครหลายคนรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาบ้างแล้ว

เย่เทียนเฉินมีความเข้าใจต่อโลกใบนี้นานแล้ว โลกใบนี้มียอดฝีมือแห่งพรรควรยุทธโบราณ มีผู้มีพลังพิเศษที่แข็งแกร่ง กระทั่งมียอดฝีมือที่ปิดซ่อนตัวตนอยู่ด้วย ยอดฝีมือแห่งพรรควรยุทธโบราณและผู้มีพลังพิเศษที่แข็งแกร่งเหล่านี้ส่วนใหญ่ล้วนมีความมุ่งมั่นปรารถนา แต่ละคนต่างก็มีฝีมืออันยอดเยี่ยมอยู่กับตัว มีฝีมือที่แข็งแกร่งอย่างมาก แต่กลับทำได้เพียงให้ตระกูลใหญ่และกลุ่มอำนาจใหญ่มาจ้างวาน เป็นบอดี้การ์ดตัวเล็กๆ คนหนึ่ง รู้สึกผิดหวังอยู่บ้างจริงๆ และรู้สึกว่าตนไม่ได้รับความสำคัญ

ดังนั้นกลุ่มอำนาจที่เย่เทียนเฉินต้องการจะก่อตั้งขึ้นก็คือยอดฝีมือชั้นสูงกลุ่มนี้ ในตอนที่เขาฟื้นฟูตระกูลเย่และต่อต้านตระกูลใหญ่และอำนาจใหญ่ที่ยโสโอหังไม่เห็นหัวใคร ก็จะทำให้ความสามารถของคนเหล่านี้มีประโยชน์ขึ้นมา ทำให้คนเหล่านี้ไม่ต้องมีชีวิตพี่เรียบง่ายไปตลอดชีวิต และมีความสามารถที่แข็งแกร่งติดตัวไปอย่างว่างเปล่า

“แต่ละคนย่อมมีหลักการเป็นของตัวเอง ฉันจะไม่บีบบังคับทุกคน คนที่เต็มใจจะอยู่ก็อยู่ต่อ คนที่ไม่เต็มใจก็กลับไปได้ ฉันแค่อยากจะบอกทุกคนเป็นสิ่งสุดท้ายว่า ถ้าติดตามฉันเย่เทียนเฉิน จะไม่ทำให้พวกแกต้องผิดหวังแน่นอน!” เย่เทียนเฉินพูดด้วยรอยยิ้ม

หลังจากไม่กี่วินาที ทุกคนได้แก่ อู๋เสวี่ย หูหลง หลินตวน เปาเทียนหลง หวังเจี๋ย จางอู่เฉวียน เติ้งซวง แล้วยังมียอดฝีมือคนอื่นๆ อีกห้าคนต่างพากันเดินมายืนเบื้องหน้าเย่เทียนเฉินอย่างพร้อมเพียง ตะกอนออกมาด้วยความเคารพว่า “พี่ใหญ่!”

เย่เทียนเฉินแย้มยิ้มเล็กน้อย สามารถมียอดฝีมือชั้นหนึ่งสิบสามคนได้เช่นนี้ เขาจะไม่ดีใจได้อย่างไร เหมือนกับกลุ่มอำนาจที่เขาต้องการก่อตั้งอย่างคร่าวๆ แล้ว เมื่อมองไปยังคนทั้งสิบสามคน ในใจของเย่เทียนเฉินก็มีชื่อเรียกของกองกำลังของตนขึ้นมา เป็นชื่อที่บ้าอำนาจอย่างมาก และเป็นชื่อที่ถูกกำหนดไว้แล้วว่าจะสั่นสะท้านไปทั่วทั้งโลก

“ดี ตั้งแต่นี้เป็นต้นไปพวกเราถือเป็นคนกันเอง รวมฉันเข้าไปด้วยก็จะมีทั้งหมดสิบสามคน ดังนั้นกองกำลังของพวกเราจะมีชื่อเรียกว่า สิบสามจ้าวสวรรค์” เย่เทียนเฉินพูดเสียงดัง

สิบสามจ้าวสวรรค์ นี่เป็นชื่อที่โอหังระดับไหนกัน และถูกกำหนดไว้แล้วว่าในวันเวลาเบื้องหน้าจะต้องสั่นสะท้านไปทั่วทั้งโลกแน่นอน เย่เทียนเฉินย่อมเป็นหัวหน้าของเหล่าราชัน และหากเรียงตามลำดับความสามารถ หวังเจี๋ยเป็นราชันคนที่สองของสิบสามจ้าวสวรรค์ จากนั้นเรียงลำดับไปก็คือ อู๋เสวี่ย เปาเทียนหลง จางอู่เฉวียน เติ้งซวง หลินตวน หูหลง และยังมีคนอื่นๆ อีกห้าคน

“งั้นไม่ใช่ว่าในหมู่สิบสามจ้าวสวรรค์ฉันเป็นผู้หญิงคนเดียวเหรอ!” ตอนนี้เอง ผู้หญิงคนหนึ่งที่ยืนด้านข้างมาตลอด เดินออกมาด้วยรอยยิ้มมีเสน่ห์ ดวงตาทั้งสองจับจ้องไปยังเย่เทียนเฉิน

“เธอเองเหรอ? ฮ่าๆ ได้เป็นผู้หญิงคนเดียวในหมู่สิบสามจ้าวสวรรค์ เธอควรจะรู้สึกยินดีถึงจะถูก ยิ่งไปกว่านั้นมีเธอมาเข้าร่วมกับสิบสามจ้าวสวรรค์ ของพวกเราฉันก็ดีใจมาก เสี่ยวชิง ไม่เจอกันนานเลย!” เย่เทียนเฉินชะงักไปครู่หนึ่งแล้วจึงพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม

คิดไม่ถึงเลยว่า ในหมู่ยอดฝีมือที่อู๋เสวี่ยรวบรวมมาในครั้งนี้ จะมีหัวหน้าของกลุ่มอำนาจอิทธิพลใต้ดินแห่งเมืองหลวงที่เย่เทียนเฉินกำจัดไปในตอนแรกสุดอยู่ด้วย เธอคือเสี่ยวชิงภรรยาน้อยของหลี่เถี่ย ตอนนั้นเย่เทียนเฉินไม่ได้ฆ่าเสี่ยวชิง แต่ปล่อยเธอไป คิดไม่ถึงว่าจะได้พบกันอีกครั้งที่นี่

…….

ใครก็คิดไม่ถึงว่า เมื่อเผชิญหน้ากับการร่วมมือกันโจมตีของยอดฝีมือที่แข็งแกร่งอย่างจางอู่เฉวียนและเติ้งซวง เย่เทียนเฉินไม่เพียงแต่ไม่บาดเจ็บเลยแม้แต่น้อย แต่ยังสามารถเอาชนะจางอู่เฉวียนและเติ้งซวงได้อีกด้วย โดยเฉพาะเคล็ดวิชาพลังพิเศษที่แข็งแกร่งที่เย่เทียนเฉินแสดงออกมา และยังมีการแสดงออกที่สุขุมเยือกเย็นตั้งแต่ต้นอีกด้วย ทำให้ยอดฝีมือคนที่เหลือต่างสั่นสะท้านเป็นอย่างมาก หลังจากที่เย่เทียนเฉินตะโกนขึ้นมาคำหนึ่งก็ยืดตัวขึ้นตรงอย่างไม่เป็นธรรมชาติ ราวกับเผชิญหน้ากับการสั่งสอนของครูฝึกอย่างไรอย่างนั้น

“คำพูดของฉัน พวกแกไม่ได้ยินหรือไง?” เย่เทียนเฉินหันมาจ้องไปยังจางอู่เฉวียนและเติ้งซวงที่ล้มอยู่กับพื้นแล้วตะโกนขึ้น

จางอู่เฉวียนและเติ้งซวงชะงักไปครู่หนึ่ง พวกเขาคิดไม่ถึงเลยว่าเย่เทียนเฉินที่อายุน้อยขนาดนี้จะถึงกับมีความสามารถที่แข็งแกร่งถึงขนาดนี้ได้ ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อถึงเวลาที่จริงจังขึ้นมา ก็มีบรรยากาศราวกับเทพแห่งความตาย ไม่ว่าใครก็ไม่อาจหยาบคายด้วยได้ มิเช่นนั้นคงทำได้เพียงกินหมัดของเขาเท่านั้น

อู๋เสวี่ย หูหลง หลินตวน และเปาเทียนหลง ทั้งสี่ยืนเข้าแถวอย่างเป็นระเบียบเป็นกลุ่มแรก จากนั้นยอดฝีมือหลายคนที่ไม่ได้ลงมือก่อเรื่องก็ก้าวเข้ามา เหลือเพียงจางอู่เฉวียนและเติ้งซวงเท่านั้น ถึงแม้ในใจของพวกเขาจะไม่พอใจ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ พวกเขาพ่ายแพ้แล้ว เป็นลูกผู้ชายต้องรู้จักแพ้ให้เป็น ในเมื่อแพ้แล้วก็ต้องเชื่อฟังคำสั่งของเย่เทียนเฉิน

ความสามารถในการต่อสู้อันแข็งแกร่งที่เย่เทียนเฉินแสดงออกมาทำให้ยอดฝีมือเหล่านี้ต่างประหลาดใจอย่างหาใดเปรียบจริงๆ ไม่ว่าใครก็คิดไม่ถึงว่าชายหนุ่มคนหนึ่งที่เพิ่งจะอายุยี่สิบปีจะแข็งแกร่งขนาดนี้ได้ ถึงแม้ว่าในใจจะไม่พอใจ ไม่อยากถูกชายหนุ่มเช่นนี้ออกคำสั่ง แต่หลายคนก็ไม่กล้าลงมืออีก พวกเขาไม่ได้แข็งแกร่งกว่าจางอู่เฉวียนและเติ้งซวงเท่าไหร่นัก อย่างไรก็ตาม ในใจหลายของใครหลายคนก็คิดถึงเรื่องเดียวกันขึ้นมา นั่นก็คือหวังเจี๋ยที่ปลีกตัวออกไปฉี่ยังไม่กลับมา คนคนนี้รับมือไม่ง่ายเลย บางทีหวังเจี๋ยอาจจะสามารถเอาชนะเย่เทียนเฉินได้ หรือบางทีอาจจะทำไม่ได้ ไม่ว่าใครก็ไม่รู้ แต่กลับเฝ้ารอเป็นอย่างมาก

“ไม่ต้องไป ก็แค่ไอ้เด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมคนหนึ่ง อาศัยที่ตัวเองมีความสามารถนิดหน่อยก็กล้ามาสั่งนู่นสั่งนี่กับพวกเราแล้ว ไม่ดูซะบ้างว่าตัวเองเป็นยังไง!”

ในตอนนี้เอง ขณะที่จางอู่เฉวียนและเติ้งซวงเตรียมจะลุกขึ้นเดินไปร่วมในกองกำลัง น้ำเสียงไม่พอใจเสียงหนึ่งก็ดังขึ้น ชายอายุไม่เกินสามสิบปีคนหนึ่ง สูงประมาณหนึ่งร้อยเจ็ดสิบสามเซ็นติเมตร สวมเสื้อลายพรางเช่นเดียวกับจางอู่เฉวียนและเติ้งซวง เดินมาทางเย่เทียนเฉินอย่างสบายอารมณ์ ดวงตาทั้งสองมองไปยังเย่เทียนเฉิน ในนั้นเจือไปด้วยความไม่พอใจและความท้าทาย

เย่เทียนเฉินเองก็หันไปมองชายคนนี้เช่นกัน สัญชาตญาณของเขาบอกกับตนว่า ชายคนนี้แข็งแกร่งมาก ความสามารถเหนือกว่าจางอู่เฉวียนและเติ้งซวงอย่างแน่นอน กล่าวตามจริง เกี่ยวกับยอดฝีมือที่อู๋เสวี่ยหามาได้ในครั้งนี้ เย่เทียนเฉินรู้สึกเหนือคาดจริงๆ และดีใจเป็นอย่างมากด้วย เขาจะต้องสยบคนกลุ่มนี้ให้ได้ พวกเขาจะกลายเป็นลูกน้องที่มีความสามารถในการต่อสู้ที่แข็งแกร่งที่สุดของตน

ในเมื่อตัดสินใจที่จะสร้างกลุ่มอำนาจของตัวเองขึ้นมาแล้ว ในเมื่อตัดสินใจที่จะแข็งแกร่งให้ตระกูลใหญ่และกลุ่มอำนาจใหญ่ทั้งหลายที่ยโสโอหังจนไม่เห็นหัวใครเหล่านี้ได้เห็นแล้ว ในเมื่อตัดสินใจที่จะฟื้นฟูตระกูลเย่แล้ว เช่นนั้นเย่เทียนเฉินก็ไม่สามารถขี้ขลาดตาขาวได้ เขาเป็นคนที่หากต้องการก็จะทำให้ได้ การถอยไม่ใช่นิสัยของเขาโดยเด็ดขาด

“พี่ใหญ่ คนคนนี้ก็คือหวังเจี๋ย!” อู๋เสวี่ยเดินมาข้างกายของเย่เทียนเฉินแล้วพูดขึ้นเสียงเบา

ตอนนี้เองหวังเจี๋ยเดินมาอยู่ในตำแหน่งที่ห่างจากเย่เทียนเฉินประมาณสองเมตรแล้วหยุดลง จางอู่เฉวียนแล้วเติ้งซวงเดินตามหลังของเขามา หวังเจี๋ยมองเย่เทียนเฉินครู่หนึ่ง จากนั้นจึงจงใจมองไปยังอู๋เสวี่ยแล้วพูดว่า “อู๋เสวี่ย พี่ใหญ่ตดหมาอะไรของพวกแกนั่นยังไม่มาอีกเหรอ? บิดาฉี่เสร็จแล้ว จะไปแล้ว ไม่มีเวลาว่างมาเล่นกับพวกแกหรอก!”

“หวังเจี๋ย ไอ้หนูอย่างแกจะทำเกินไปแล้ว คนผู้นี้ก็คือเย่เทียนเฉินพี่ใหญ่ของพวกเรา!” อู๋เสวี่ยพูดขึ้นแล้วมองไปยังเย่เทียนเฉินด้วยความเคารพ

หวังเจี๋ยมองไปยังเย่เทียนเฉินอย่างไม่สบอารมณ์ หัวเราะเสียงเย็นออกมา จากนั้นจึงพูดขึ้น “งั้นเหรอ? ลาก่อน!”

ความจริงทุกคนต่างก็มองออก ไม่ใช่ว่าหวังเจี๋ยไม่รู้ว่าวัยรุ่นที่ยืนอยู่หน้าตนก็คือเย่เทียนเฉิน แต่จงใจแสร้งทำเป็นมองไม่เห็น เมื่อพูดออกมาก็เป็นการดูถูกเหยียดหยาม ต่อให้เย่เทียนเฉินจะเอาชนะจางอู่เฉวียนและเติ้งซวงได้ หวังเจี๋ยก็ยังไม่เห็นเย่เทียนเฉินอยู่ในสายตา ตัวเขาเองเป็นคนที่มีความสามารถแข็งแกร่งและหยิ่งยโสเป็นอย่างยิ่ง คิดว่าเย่เทียนเฉินที่ดูหนุ่มแน่นขนาดนี้ ก็คงเป็นแค่ทายาทตระกูลใหญ่ที่ต้องการเล่นสนุกก็เท่านั้น ไม่คู่ควรที่จะมาออกคำสั่งกับเขาหวังเจี๋ย ครั้งนี้ถูกอู๋เสวี่ยหลอกมาแล้ว ช่างซวยจริงๆ ในใจก็เกิดประกายแห่งความโกรธขึ้นมา

“แก…” อู๋เสวี่ยกำลังคิดจะลงมือสั่งสอนหวังเจี๋ย แต่กลับถูกเย่เทียนเฉินขวางเอาไว้

ทุกคนต่างแสดงท่าทางราวกับรอดูละครออกมาอีกครั้ง เมื่อครู่นี้เย่เทียนเฉินเอาชนะจางอู่เฉวียนและเติ้งซวงไปได้ ทำให้พวกเขารู้สึกสั่นสะท้านมากจริงๆ แต่อย่างไรก็ทำให้คนจำนวนมากคาดเดาได้ถึงความสามารถของเย่เทียนเฉิน เย่เทียนเฉินเอาชนะจางอู่เฉวียนและเติ้งซวงได้ คงจะลงมือเต็มที่แล้ว ใช้เคล็ดวิชาพลังพิเศษที่แข็งแกร่งขนาดนั้นออกมา จะต้องลงมือเต็มกำลังแน่นอน เช่นนั้นก็เป็นไปได้มากกว่าเย่เทียนเฉินจะไม่ใช่คู่มือของหวังเจี๋ย หากจะลงมือกับหวังเจี๋ยเย่เทียนเฉินจะต้องแพ้อย่างไม่ต้องสงสัยเลย

คนกลุ่มนี้ที่ถูกอู๋เสวี่ยเรียกตัวมาย่อมไม่อยากให้เย่เทียนเฉินเอาชนะหวังเจี๋ยได้ ในหมู่พวกเขา ความสามารถของหวังเจี๋ยแข็งแกร่งที่สุด ถ้าหากหวังเจี๋ยแพ้ เช่นนั้นพวกเขาก็จะต้องฟังคำสั่งของชายหนุ่มอายุยี่สิบปีคนนี้อีก จะอย่างไรในใจก็รู้สึกไม่พอใจอยู่บ้าง พวกตนก็ปั่นป่วนแผ่นดินไปทั่ว จะมากจะน้อยก็มีชื่อเสียงอยู่บ้าง หากต้องมาทำเรื่องต่างๆ ให้กับทายาทตระกูลใหญ่ที่เอาแต่เล่นสนุกคนหนึ่ง ไม่ถูกคนอื่นหัวเราะใส่ก็แปลกแล้ว

เย่เทียนเฉินเดินขึ้นมาเบื้องหน้าก้าวหนึ่ง มองไปยังหวังเจี๋ยแล้วพูดขึ้นด้วยรอยยิ้มว่า “ฉันจะใช้มือขวาข้างเดียว ภายในสิบกระบวนท่าหากอกเอาชนะฉันได้ จะไปหรือจะอยู่ก็ตามใจ!”

หวังเจี๋ยขมวดคิ้วอย่างโหดเหี้ยม คนอื่นๆ ที่อยู่ที่นี่ต่างก็ตกตะลึง เพราะเขารู้ว่าเย่เทียนเฉินจะไม่ยอมปล่อยให้หวังเจี๋ยจากไปง่ายๆ แน่นอน แต่กลับคิดไม่ถึงว่าเย่เทียนเฉินจะโอหังถึงขนาดนี้ ใช้มือขวาข้างเดียว และยังความมั่นใจว่าภายในสิบกระบวนท่าหวังเจี๋ยจะเอาชนะเขาไม่ได้อีกหรือ? นี่ทำให้ผู้คนไม่อยากจะเชื่อเลยจริงๆ ความสามารถของหวังเจี๋ยอาจจะสูสีกับอู๋เสวี่ย กระทั่งหากจะเทียบให้ละเอียดอาจจะเหนือกว่าอู๋เสวี่ยเล็กน้อยด้วยซ้ำ เย่เทียนเฉินใช้มือขวาข้างเดียวเท่ากับเป็นการดูหมิ่นหวังเจี๋ย ไม่เห็นหวังเจี๋ยอยู่ในสายตา นี่เป็นการดูหมิ่นที่ร้ายกาจยิ่งกว่าการดูหมิ่นทางวาจานับร้อยเท่า

“หึ บิดาไม่เอากับแกด้วยหรอก คิดจะให้ฉันหวังเจี๋ยเข้าร่วมกับเด็กน้อยอย่างแก ขายหน้าจริงๆ!” หวังเจี๋ยแค่นเสียงเย็น มองไปยังเย่เทียนเฉินอย่างดุดัน พูดจบก็หมุนตัวจะเดินจากไป

“ต่อให้แกหวังเจี๋ยมีความสามารถอยู่บ้าง ในสายตาของฉันก็ไม่พอให้มองหรอก ยิ่งไปกว่านั้นลูกน้องที่ไม่มีระเบียบวินัยอย่างแกฉันก็ไม่ต้องการ!” เย่เทียนเฉินเองก็พูดด้วยรอยยิ้มเรียบเฉย

ชั่วขณะนั้นเอง หวังเจี๋ยก็หยุดฝีเท้าลงแล้วหันมามองเย่เทียนเฉิน ภายในดวงตาทั้งสองมีไฟแห่งความโกรธที่ไม่อาจสงบลงได้ เขาหวังเจี๋ยแต่ไหนแต่ไรก็ไม่เคยถูกคนดูถูกเช่นนี้มาก่อน โดยเฉพาะเย่เทียนเฉินที่เป็นชายหนุ่มอายุยี่สิบปีคนหนึ่งเท่านั้น ถึงกับบอกว่าจะใช้มือขวาข้างเดียว และภายในสิบกระบวนท่าตนก็ไม่สามารถเอาชนะเขาได้อย่างนั้นหรือ? ต้องทราบว่าเขาหวังเจี๋ยอยู่ในยุทธภพมาหลายปี และมีชื่อเสียงมาก กล่าวตามจริงแล้ว ในตอนที่เขาปั่นป่วนยุทธภพ เย่เทียนเฉินก็เป็นเพียงแค่เด็กอายุสิบขวบคนหนึ่งเท่านั้น

“ตอนนี้ฉันอยากจะฉีกแขนขวาของแกจริงๆ!” หวังเจี๋ยมองไปยังเย่เทียนเฉินแล้วพูดขึ้นอย่างเย็นชา

“น่าเสียดายที่แกไม่มีความสามารถจะทำแบบนี้!” เย่เทียนเฉินพูดด้วยรอยยิ้ม

บรรยากาศพลันเปลี่ยนไปเป็นหนักแน่นขึ้นมา หวังเจี๋ยและเย่เทียนเฉินยืนเผชิญหน้ากัน มองไปยังอีกฝ่าย ในเวลาเพียงชั่วพริบตาหวังเจี๋ยก็หายไปจากที่เดิม พุ่งเข้าไปยังเย่เทียนเฉินด้วยความเร็วดุจสายฟ้า ส่วนเย่เทียนเฉินก็ขมวดคิ้ว อดไม่ได้ที่จะถอยหลังไปสองก้าว เอามือซ้ายไพ่ไปด้านหลัง ส่วนมือขวาก็กำแน่น ในเวลาเพียงชั่วพริบตาพลังพิเศษขั้นสูงสุดของขอบเขตจอมราชันก็อาบไปทั่วร่าง เขาไม่กล้าลำพองใจ หวังเจี๋ยเป็นยอดฝีมือคนหนึ่ง ความสามารถเหนือกว่าทุกคนที่อยู่ที่นี่ ตนเองใช้แค่มือขวาต่อสู้กับเขา และยังรับประกันไปว่าจะไม่พ่ายแพ้ภายในสิบกระบวนท่า ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยจริงๆ

กล่าวตามจริง จะสามารถป้องกันการโจมตีของหวังเจี๋ยโดยที่ใช้แค่มือขวาและไม่พ่ายแพ้ภายในสิบกระบวนท่าได้หรือไม่นั้น เย่เทียนเฉินก็ไม่มีความมั่นใจเลย เขากำลังเดิมพัน จะใช้วิธีการแบบนี้ทำให้หวังเจี๋ยยอมสยบทั้งกายใจ นี่เรียกได้ว่าเป็นขุนพลที่หาได้ยากยิ่งของเขา ต่อให้ยโสโอหังเกินไปก็ตาม ถ้าไม่สยบความยโสโอหังของเขา เขาก็จะไม่ติดตามคุณไปทำเรื่องต่างๆ อย่างสุดใจ

ฉัวะ!

หวังเจี๋ยปล่อยมันออกไป ส่วนเย่เทียนเฉินก็ไม่ได้หลบแต่กลับใช้มือขวาแผลเป็นฝ่ามือแล้วตบเข้าไป ปะทะไปบนหมัดของหวังเจี๋ยโดยตรง

ตู้ม!

เสียงหนึ่งดังขึ้น เย่เทียนเฉินและหวังเจี๋ยถอยออกไปสองก้าว แล้วพุ่งเข้าใส่อีกฝ่ายในเวลาเดียวกัน ไม่ว่าใครก็ไม่เก็บงำความสามารถ พอลงมือก็ใช้พลังเต็มที่

หวังเจี๋ยคิดไม่ถึงว่าเย่เทียนเฉินจะใช้แค่มือขวาจริงๆ ยิ่งไปกว่านั้นยังทำการปะทะกับตนตรงๆ อีกด้วย ทั้งยังไม่เสียเปรียบเลยแม้แต่น้อย ความจริงเมื่อครู่ตอนนี้ที่เย่เทียนเฉินสู้กับจางอู่เฉวียนและเติ้งซวง หวังเจี๋ยก็ยืนมองอยู่ไม่ไกลแล้ว ในใจก็รู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างมาก คิดไม่ถึงว่าชายหนุ่มอายุยี่สิบปีคนนี้ ที่เป็นได้ค่าแจกันประดับเท่านั้น จะมีฝีมือแข็งแกร่งห้าวหาญเป็นอย่างมาก สามารถเอาชนะจางอู่เฉวียนและเติ้งซวงได้ในระยะเวลาสั้นๆ ทำให้เขาคิดไม่ถึงจริงๆ อย่างไรก็ตามจากการประเมินของเขา คิดว่าเย่เทียนเฉินคงจะลงมือเต็มที่แล้ว หากคำนวณเช่นนี้ตนเองคงจะเอาชนะเย่เทียนเฉินได้

แน่นอนว่าหวังเจี๋ยไม่ได้ดูถูกเลยแม้แต่ครึ่งส่วน อย่างน้อยในตอนที่ลงมือก็ไม่ได้ยั้งมือ คนที่มีความสามารถมาถึงระดับเขาแล้วย่อมเข้าใจในเหตุผลอย่างหนึ่ง นั่นก็คือไม่ว่าจะเผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้อย่างไรก็ไม่สามารถลำพองใจและดูหมิ่นศัตรูได้ เพราะนั่นไม่ใช่ทัศนคติที่ยอดฝีมือคนหนึ่งควรจะมี มียอดฝีมือมากมายที่แพ้เพราะดูถูกศัตรูเกินไป คิดไม่ถึงว่าคู่ต่อสู้จะแข็งแกร่งขนาดนั้น แต่เมื่อลงมือไปแล้วก็ไม่อาจเสียใจภายหลังได้

หลังจากประมือกันครั้งหนึ่ง บรรยากาศของหวังเจี๋ยก็เปลี่ยนไป ดวงตาทั้งสองคมกริบอย่างหาใดเปรียบ คล้ายกับจะแทงทะลุไปยังเย่เทียนเฉิน เขายื่นนิ้วชี้ของมือทั้งสองออกมา บนนิ้วมือแต่ละนิ้วมีลมปราณรูปร่างคล้ายกระบี่พุงออกมา ดูแล้วทำให้ผู้คนต้องตกใจมาก และเหล่ายอดฝีมือกลุ่มนี้ที่ล้อมอยู่รอบๆ ก็ประหลาดใจจนตัวแข็งค้าง พวกเขาคิดไม่ถึงเลยว่าหวังเจี๋ยจะแข็งแกร่งจนถึงขั้นนี้ สามารถรวบรวมพลังภายในไปที่นิ้วมือ ได้ พลังภายในที่แข็งแกร่งยังไม่ปรากฏออกมาก็ทำให้ต้นหญ้าบนพื้นดินสั่นไหวแล้ว เห็นได้ว่ามีอำนาจมากเพียงใด คนธรรมดาย่อมป้องกันไม่ได้แน่นอน

………..

เย่เทียนเฉินไม่ได้พูดอะไรมาก เมื่อต้องเผชิญหน้ากับยอดฝีมือที่มีความโอหังเป็นอย่างมากตรงนี้ เขาก็ทำเพียงเดินไปตรงกลาง ต้องการที่จะใช้พลังของตนเองเพียงลำพังเพื่อท้าทายพวกเขาทั้งหมด นี่ไม่ใช่ว่าเย่เทียนเฉินลำพองใจและไม่ใช่ว่าเขาจะยโสโอหังจนไม่เห็นหัวใคร แต่เป็นเพราะเขามองออกว่าคนสิบกว่าคนที่อยู่ที่นี่ แต่ละคนต่างก็เป็นยอดฝีมือชั้นหนึ่ง ในใจของเขาย่อมยินดีเป็นอย่างมาก ความสามารถในการสร้างอำนาจของอู๋เสวี่ยอยู่นอกเหนือการคาดเดาของเขาไปแล้ว ถึงกับสามารถรับสมัครยอดฝีมือชั้นยอดสิบกว่าคนนี้มาได้ นี่นับว่าการก่อตั้งอำนาจในครั้งแรกของตนประสบความสำเร็จอย่างไม่ต้องสงสัย และเป็นเพราะคนสิบกว่าคนที่อยู่ที่นี่ แต่ละคนต่างก็เป็นยอดฝีมืออันดับหนึ่ง มีฝีมือแข็งแกร่งห้าวหาญเป็นอย่างมาก เย่เทียนเฉินจึงใช้วิธีเช่นนี้มาสยบพวกเขา เพราะเขาเข้าใจถึงหลักการอย่างหนึ่งว่า ยิ่งเป็นยอดฝีมือก็ยิ่งต้องสยบให้ดี ใช้ความสามารถของตนทำให้พวกเขายอมรับทั้งกายใจ พวกเขาจึงจะยอมเก็บความโอหังของตนกลับไป และทำเรื่องต่างๆ ให้คุณอย่างเต็มใจ มิฉะนั้นคุณก็ทำได้เพียงถูกพวกเขาดูถูก พวกเขาไม่เห็นคุณอยู่ในสายตาแล้วยังจะทำอะไรให้คุณได้อีก? ใช้ความสามารถสยบคนเหล่านี้ถึงจะเป็นวิธีการที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด การพูดจามากความยังไม่อาจสู้หมัดของคุณได้ ใช้หมดไปบอกคนเหล่านี้ว่าตนเองเป็นพี่ใหญ่ของพวกเขาได้ นี่ถึงจะเป็นวิธีการที่ถูกต้องที่สุด บนโลกใบนี้ บางคนสามารถใช้เงินหรือสามารถใช้อำนาจซื้อตัวมาได้ แต่มีบางคนต้องใช้ความสามารถสยบเท่านั้น! ตอนนี้เอง เย่เทียนเฉินยืนอยู่ที่พื้นตรงกลาง จากที่อู๋เสวี่ยบอก ในหมู่คนเหล่านี้หวังเจี๋ยเป็นคนที่มีฝีมือแข็งแกร่งห้าวหาญที่สุด และปลีกตัวออกไปฉี่อยู่ ส่วนจางอู่เฉวียนและชายวัยกลางคนที่ชื่อเติ้งซวง ต่างก็มาด้วยกันกับหวังเจี๋ย พวกเขาก้าวออกมาพร้อมกันเตรียมจะลงมือกับเย่เทียนเฉิน ตอนนี้เอง บริเวณนั้นเงียบเป็นพิเศษ ทุกคนต่างมองไปยังเย่เทียนเฉิน เพราะเมื่อครู่นี้ฝีมือที่แสดงออกมาของชายหนุ่มที่ถูกพวกเขาดูหมิ่นและดูถูกคนนี้ทำให้พวกเขาประหลาดใจเป็นอย่างมาก กระทั่งเรียกว่าสั่นสะท้านเลยก็ว่าได้ จางอู่เฉวียนมีความสามารถแข็งแกร่งห้าวหาญมาก เรียกได้ว่าเป็นรองเพียงหวังเจี๋ยเท่านั้น สามารถปะทะกับเปาเทียนหลงที่เคยเป็นขุนพลระดับทัพฟ้าได้ ก็เพียงพอที่จะอธิบายได้ถึงความร้ายกาจของเขาแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นจุดที่ร้ายกาจที่สุดของจางอู่เฉวียนก็คือการโจมตีอันรวดเร็วของเขาที่รวดเร็วดุจสายฟ้า และใช้จุดนี้รับมือกับเปาเทียนหลง มิฉะนั้นหากต่อสู้กันตรงๆ บางทีจางอู่เฉวียนก็คงไม่สามารถเอาชนะเปาเทียนหลงได้ ไม่ว่าใครก็คิดไม่ถึงว่า ลูกเตะของจางอู่เฉวียนที่รวดเร็วยากจะป้องกัน หลายคนที่อยู่ที่นี่ถามตนเองก็พบว่าไม่สามารถหลบได้ แต่เย่เทียนเฉินกลับหลบได้ง่ายๆ แล้วยังเกือบจะโจมตีจางอู่เฉวียนจนบาดเจ็บได้อีกด้วย หากไม่ใช่ว่าจางอู่เฉวียนมีฝีมือแข็งแกร่งเช่นเดียวกัน คงจะยับเยินไปแล้ว “ต้องการให้พวกฉันสองคนลงมือพร้อมกัน แกรนหาที่ตายจริงๆ แล้วหรือไง?” จางอู่เฉวียนมองไปยังเย่เทียนเฉินอย่างเย็นชาแล้วเอ่ยถาม “ฉันบอกแล้ว พวกแกเข้ามาพร้อมกันอีกหลายคนก็ได้ ยังไงฉันก็รอด!” เย่เทียนเฉินพูดด้วยรอยยิ้มเรียบเฉย “ฉันไม่ชอบพูดจาไร้สาระ พวกเรามาจัดการไอ้หนูนี่กันเถอะ แล้วก็ไปหาหวังเจี๋ย ไปจากที่นี่ด้วยกัน ไม่สนุกเลยสักนิด!” เติ้งซวงเป็นคนที่พูดคนสุดท้ายแต่กลับเป็นคนแรกที่พุ่งเข้าหาเย่เทียนเฉิน จางอู่เฉวียนชะงักไปครู่หนึ่งแล้วกำหมัดแน่นก้าวขึ้นไปพร้อมกับเติ้งซวง หวังเข้าไปฆ่าเย่เทียนเฉิน คนทั้งหมดต่างจดจ่ออยู่กับการมองเหตุการณ์นี้ ต่างคิดอยากจะเห็นว่าตกลงแล้วใครกันแน่จะเป็นผู้ชนะ อู๋เสวี่ย หูหลง หลินตวน และเปาเทียนหลงทั้งสี่คนก็จับตาดูอย่างใกล้ชิด พวกเขารู้ว่าเย่เทียนเฉินแข็งแกร่งมาก มีความสามารถที่ลึกล้ำเกินหยั่ง แต่ก็ยังอดไม่ได้ที่จะเป็นกังวล เพราะจางอู่เฉวียนและเติ้งซวงทั้งสองเรียกได้ว่านอกจากหวังเจี๋ยแล้ว ก็เป็นคนที่มีฝีมือแข็งแกร่งที่สุดในหมู่คนหลายสิบคนนี้ หากต้องการที่จะเอาชนะคนทั้งสองที่ร่วมมือกันโจมตีเข้ามา คงจะยากลำบากเป็นอย่างมาก ถ้าหากเย่เทียนเฉินพ่ายแพ้ เช่นนั้นยอดฝีมือสิบกว่าคนที่เขาหามาอย่างยากลำบากจะต้องจากไปทั้งหมดแน่นอน ไม่เหลือแม้แต่คนเดียว ตู้ม! เสียงดังสนั่น เย่เทียนเฉินไม่ได้ลำพองใจ เขารู้ว่าจางอู่เฉวียนและเติ้งซวงทั้งสองแข็งแกร่งมาก และไม่ได้แข็งแกร่งธรรมดาๆ หากตนเองต้องการจะเอาชนะพวกเขาจะต้องลงมือเต็มที่ หากไม่ระวังแม้แต่นิดเดียวก็อาจจะได้รับบาดเจ็บก็เป็นได้ ดังนั้นในตอนที่เติ้งซวงพุงเข้ามาหาตนแล้วซัดหมัดออกมา มือขวาของเย่เทียนเฉินก็กำแน่น กระตุ้นพลังพิเศษในขอบเขตจอมราชันขึ้นมาแล้วปล่อยหมัดออกไปเช่นเดียวกัน ดวลกันหนึ่งหมัด เย่เทียนเฉินซัดเติ้งซวงจนกระเด็นออกไปหลายเมตร ถึงแม้ว่าเติ้งซวงจะไม่ได้รับบาดเจ็บ แต่ก็ตื่นตะลึงอย่างหาใดเปรียบ เมื่อครู่นี้เขาเพียงเห็นจางอู่เฉวียนลงมือกับเย่เทียนเฉิน แต่คิดไม่ถึงว่าชายหนุ่มคนนี้จะร้ายกาจขนาดนี้ ถึงกับใช้หมัดเดียวต่อยตนจนกระเด็นถอยหลังออกไปได้ ต้องทราบว่าความสามารถของเขาเติ้งซวงไม่ได้อ่อนแอไปกว่าจางอู่เฉวียนเลย ฉัวะ! ฉัวะ! ฉัวะ! เย่เทียนเฉินเพิ่งจะต่อยเติ้งซวงจนกระเด็นออกไป จางอู่เฉวียนก็มาใกล้ด้านหน้าแล้ว จากนั้นจึงจัดกระบวนท่าที่เขาชำนาญที่สุดออกมา เรียกว่าหมัดสายฟ้า ซึ่งก็คือหมัดที่รวดเร็วดุจสายฟ้าตามชื่อ โจมตีไปยังเย่เทียนเฉินอย่างรุนแรงไม่หยุด ในเวลาเพียงชั่วพริบตาเย่เทียนเฉินทำได้เพียงถอยหลังหลบไปไม่หยุด หาทางที่จะทำลายให้ได้ “หึ ฉันว่าไอ้หนูนี่ไม่ใช่คู่มือของจางอู่เฉวียนและเติ้งซวงหรอก!” “จะถูกกำจัดเมื่อไหร่ก็เป็นเรื่องของเวลาแล้ว!” “แต่เขาสามารถป้องกันการร่วมมือการโจมตีของพวกเขาได้ก็นับว่าไม่เลวแล้ว!” ในกลุ่มคนที่เหลือ มีบางคนอดไม่ได้ที่จะวิพากษ์วิจารณ์กันขึ้นมา จนถึงตอนนี้แม้ว่าเย่เทียนเฉินจะไม่ได้โจมตีจางอู่เฉวียนและเติ้งซวง แต่ความสามารถในการต่อสู้ที่เขาแสดงออกมาก็ทำให้ใครหลายคนอดไม่ได้ที่จะสั่นสะท้านแล้ว คนเพียงคนเดียวรับมือกับยอดฝีมือทั้งสองอย่างจางอู่เฉวียนและเติ้งซวงเพียงลำพังได้ ไม่เพียงแต่จะไม่พ่ายแพ้ แต่ยังหาทางหนีทีไล่และตอบโต้กลับได้อีกด้วย จะไม่ทำให้พวกเขาสั่นสะท้านได้อย่างไร หมัดของจางอู่เฉวียนรวดเร็วอย่างมาก เหมือนกับสายฟ้าจริงๆ โดยเฉพาะในหมัดของเขาที่คละเขาไปด้วยพลังภายในอันมหาศาล พลังภายในประเภทนี้ทำให้เย่เทียนเฉินรู้สึกได้ว่า ไม่เหมือนกับพลังภายในที่ยอดฝีมือคนอื่นๆ ใช้ พลังภายในที่จางอู่เฉวียนฝึกฝน ไม่เพียงแต่จะแข็งแกร่งหาใดเปรียบ แต่ยังเข้ากันได้ดีกับเคล็ดหมัดที่รวดเร็วอีกด้วย กลายเป็นการปิดล้อมคู่ต่อสู้ ทำให้อยากหลบก็ไม่อาจหลบได้ เบื้องหน้าของเย่เทียนเฉินในตอนนี้ก็คือเงาหมัดจำนวนหนึ่ง หากไม่ระวังก็จะถูกโจมตีจนบาดเจ็บได้ ตอนนี้เองเติ้งซวงบุกเข้ามาอีกครั้ง ในมือขวาปรากฏมีทหารเล่มหนึ่งขึ้นมา ยิ่งไปกว่านั้นบนมีดทหารเล่มนั้นก็มีพลังภายในล้นทะลักออกมาอีกด้วย มหาศาลจนทำให้ผู้คนต้องตกใจ ทำให้มีดทหารด้ามเล็กกลายเป็นมีดทหารที่ส่องประกายลุกโชน ฟู่! มีทหารถูกฟันลงมา เย่เทียนเฉินที่กำลังหลบหมัดอันรวดเร็วของจางอู่เฉวียนอยู่ กลับพบว่ามีเงามีดอันใหญ่ยักษ์ร่วงหล่นลงมากลางอากาศ มีพลังที่น่าหวาดกลัวเป็นอย่างยิ่ง เขาขมวดคิ้ว แต่มุมปากกับเผยรอยยิ้มออกมา สิ่งที่เขารอก็คือโอกาสเช่นนี้ โอกาสที่จะโจมตีจางอู่เฉวียนและเติ้งซวงในเวลาเดียวกัน “ย๊าก!” เย่เทียนเฉินตะโกนออกมา เบื้องหน้าของเขาปรากฏกำแพงดินขึ้นแห่งหนึ่ง เขาใช้เคล็ดวิชาพลังพิเศษสายพสุธาออกมา ในตอนที่หมัดและเงามีดของจางอู่เฉวียนและเติ้งซวงโจมตีลงมาบนกำแพงดินทั้งหมด การโจมตีของพวกเขาก็เหมือนกับโคลนที่จมลงสู่ทะเลสาบ ไม่มีผลอะไรโดยสิ้นเชิง ต่างพากันตกใจรีบพุ่งเข้าไปด้านล่างของกำแพงดิน แล้วใช้การโจมตีที่แข็งแกร่งที่สุดออกไป ต้องการจะทำลายกำแพงดินนี้แล้วอัดเย่เทียนเฉินให้ได้ ไหนเลยจะรู้ว่าในตอนที่จางอู่เฉวียนและเติ้งซวงพุ่งไปเบื้องล่างกำแพงดิน จะมีกำแพงดินอีกหลายแห่งปรากฏขึ้น ล้อมพวกเขาเอาไว้ คนที่อยู่ด้านนอกจึงไม่อาจเห็นสถานการณ์ด้านในได้ ตู้ม! ตู้ม! เสียงดังลั่นดังขึ้นสองครั้ง จางอู่เฉวียนและเติ้งซวงซัดกำแพงดินที่ปิดล้อมตนออกมาได้ในเวลาเดียวกัน แข็งแกร่งเป็นอย่างมาก แต่ในตอนนี้เอง เงาร่างเงาหนึ่ง สามารถเรียกได้ว่าตกลงมาจากฟ้า และใช้หมัดทั้งสองโจมตีพวกเขาพร้อมกัน คนคนนี้ก็คือเย่เทียนเฉิน จางอู่เฉวียนและเติ้งซวงทำได้เพียงโจมตีสกัดเท่านั้น ในอากาศที่ไม่มีจุดยืนที่มั่นคง พวกเขาถูกหมัดทั้งสองของเย่เทียนเฉินซัดจนกระเด็นเข้าไปในช่องว่างที่กำแพงหลายแห่งสร้างขึ้น เย่เทียนเฉินเองก็พุ่งตามเข้าไปด้วย จนถึงตอนนี้ก็ไม่มีใครมองเห็นด้านในกำแพงแล้ว สถานการณ์การต่อสู้ของเย่เทียนเฉินและจางอู่เฉวียนกับเติ้งซวงทั้งสามจะเป็นอย่างไรกันแน่ เนื่องจากทั้งสี่ด้านต่างถูกล้อมรอบไปด้วยกำแพงดิน แล้วพวกเขาเองก็ไม่มีใครกล้าเดินเข้าไปใกล้ตามใจชอบ ทั้งสามต่างก็เป็นยอดฝีมือชั้นสูง ตอนนี้เกรงว่าคงจะต่อสู้กันอย่างบ้าคลั่ง หากเข้าไปใกล้ตามใจ เป็นไปได้มากว่าจะถูกทำร้ายจนบาดเจ็บ ตู้ม! หมัดหมัดหนึ่งระเบิดออกมา ซัดกำแพงดินจนเป็นรูใหญ่ แล้วพุ่งขึ้นไปในอากาศ! ฉัวะ! เงามีดฟันกำแพงดินจนแตก และพุ่งออกมาเช่นเดียวกัน เฉือนไปบนต้นไผ่ที่อยู่ไม่ไกลจนต้นไผ่ถูกฟันเป็นสองส่วน รอยฟันเรียบกริบเป็นอย่างมาก ถ้าหากฟันถูกตัวคนเกรงว่าคงจะกลายเป็นสองท่อนแน่นอน ตู้มๆ! เสียงดังขึ้นสองครั้ง มีเงาร่างของคนสองคนพุ่งออกมาจากกำแพงดิน แล้วร่วงลงสู่พื้น ต่างพากันมองไปยังเบื้องหน้าด้วยความไม่พอใจ สองคนนี้ก็คือจางอู่เฉวียนและเติ้งซวง พวกเขาแพ้แล้ว แพ้ให้กับเย่เทียนเฉิน ส่วนเย่เทียนเฉินยังคงเดินออกมาจากกำแพงดินด้วยใบหน้าที่ประดับไปด้วยรอยยิ้ม มองไปยังทุกคนที่อยู่ที่นี่ที่กำลังตกตะลึงจนคางแทบร่วง “นี่…จางอู่เฉวียนและเติ้งซวงแพ้แล้ว? เป็นไปได้ยังไง?” “มะ ไม่จริงน่ะ พวกเขาสองคนแข็งแกร่งขนาดนี้ เข้าร่วมมือกันใครจะเป็นคู่ต่อสู้ของพวกเขาได้ ถึงกับแพ้เชียวหรือ?” “ลึกล้ำไม่อาจคาดเดา ความสามารถของเย่เทียนเฉินลึกลับไม่อาจคาดเดา…” “เป็นเคล็ดวิชาพลังพิเศษที่แข็งแกร่งจริงๆ มิน่าล่ะพวกอู๋เสวี่ยทั้งสี่คนที่แข็งแกร่งขนาดนั้นถึงได้สาบานว่าจะจงรักภักดี!” เหล่าผู้แข็งแกร่งที่มายืนดูความคึกครื้นและไม่ได้ลงมือต่างก็อดไม่ได้ที่จะวิพากษ์วิจารณ์กันขึ้นมาเสียงเบา พวกเขาคิดไม่ถึงจริงๆ ว่า ภายใต้การร่วมมือกันของบุคคลที่มีความสามารถแข็งแกร่งทั้งสองคนอย่างจางอู่เฉวียนและเติ้งซวง ไม่เพียงแต่จะไม่สามารถเอาชนะเย่เทียนเฉินได้ แต่ยังแพ้ให้กับชายหนุ่มคนนี้อีกด้วย นี่จะอยู่นอกเหนือการคาดเดาของพวกเขาเกินไปแล้ว “ยินดีต้อนรับทุกคนมาเข้าร่วมกับพวกเรา ฉันก็คือเย่เทียนเฉิน!” เย่เทียนเฉินพูดกับทุกคนด้วยรอยยิ้ม ตอนนี้เอง ในใจของใครหลายคนต่างเต็มไปด้วยความประหลาดใจและความสับสน ประหลาดใจในความสามารถที่แข็งแกร่งเหนือระดับของเย่เทียนเฉิน และสับสนในอายุของเย่เทียนเฉิน หากต้องถูกชายหนุ่มอายุยี่สิบปีคนหนึ่งออกคำสั่ง จะทำได้จริงๆ หรือ? ยิ่งไปกว่านั้นจะสามารถร่วมกันบุกเบิกอำนาจกับวัยรุ่นคนหนึ่งได้จริงๆ หรือ? หลายคนยังคงสงสัย “ทั้งหมดมารวมตัวกัน ยืนตรง!” เย่เทียนเฉินตระกูลอย่างดุดัน ทุกคนชะงักไปเพียงพริบตา จากนั้นจึงยืดตัวขึ้นตรงอย่างไม่เป็นธรรมชาติ ต่างพากันยืนอยู่ที่เดิม พวกเขาไม่ใช่ทหาร แต่ก็มีคุณสมบัติและความคิดที่ยอดฝีมือคนหนึ่งควรจะมี ชายหนุ่มเบื้องหน้าทำให้พวกเขาสั่นสะท้านมากจริงๆ ไม่อาจไม่เชื่อฟัง ……………

เย่เทียนเฉินไม่ได้พูดอะไรมาก เมื่อต้องเผชิญหน้ากับยอดฝีมือที่มีความโอหังเป็นอย่างมากตรงนี้ เขาก็ทำเพียงเดินไปตรงกลาง ต้องการที่จะใช้พลังของตนเองเพียงลำพังเพื่อท้าทายพวกเขาทั้งหมด

นี่ไม่ใช่ว่าเย่เทียนเฉินลำพองใจและไม่ใช่ว่าเขาจะยโสโอหังจนไม่เห็นหัวใคร แต่เป็นเพราะเขามองออกว่าคนสิบกว่าคนที่อยู่ที่นี่ แต่ละคนต่างก็เป็นยอดฝีมือชั้นหนึ่ง ในใจของเขาย่อมยินดีเป็นอย่างมาก ความสามารถในการสร้างอำนาจของอู๋เสวี่ยอยู่นอกเหนือการคาดเดาของเขาไปแล้ว ถึงกับสามารถรับสมัครยอดฝีมือชั้นยอดสิบกว่าคนนี้มาได้ นี่นับว่าการก่อตั้งอำนาจในครั้งแรกของตนประสบความสำเร็จอย่างไม่ต้องสงสัย

และเป็นเพราะคนสิบกว่าคนที่อยู่ที่นี่ แต่ละคนต่างก็เป็นยอดฝีมืออันดับหนึ่ง มีฝีมือแข็งแกร่งห้าวหาญเป็นอย่างมาก เย่เทียนเฉินจึงใช้วิธีเช่นนี้มาสยบพวกเขา เพราะเขาเข้าใจถึงหลักการอย่างหนึ่งว่า ยิ่งเป็นยอดฝีมือก็ยิ่งต้องสยบให้ดี ใช้ความสามารถของตนทำให้พวกเขายอมรับทั้งกายใจ พวกเขาจึงจะยอมเก็บความโอหังของตนกลับไป และทำเรื่องต่างๆ ให้คุณอย่างเต็มใจ มิฉะนั้นคุณก็ทำได้เพียงถูกพวกเขาดูถูก พวกเขาไม่เห็นคุณอยู่ในสายตาแล้วยังจะทำอะไรให้คุณได้อีก?

ใช้ความสามารถสยบคนเหล่านี้ถึงจะเป็นวิธีการที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด การพูดจามากความยังไม่อาจสู้หมัดของคุณได้ ใช้หมดไปบอกคนเหล่านี้ว่าตนเองเป็นพี่ใหญ่ของพวกเขาได้ นี่ถึงจะเป็นวิธีการที่ถูกต้องที่สุด

บนโลกใบนี้ บางคนสามารถใช้เงินหรือสามารถใช้อำนาจซื้อตัวมาได้ แต่มีบางคนต้องใช้ความสามารถสยบเท่านั้น!

ตอนนี้เอง เย่เทียนเฉินยืนอยู่ที่พื้นตรงกลาง จากที่อู๋เสวี่ยบอก ในหมู่คนเหล่านี้หวังเจี๋ยเป็นคนที่มีฝีมือแข็งแกร่งห้าวหาญที่สุด และปลีกตัวออกไปฉี่อยู่ ส่วนจางอู่เฉวียนและชายวัยกลางคนที่ชื่อเติ้งซวง ต่างก็มาด้วยกันกับหวังเจี๋ย พวกเขาก้าวออกมาพร้อมกันเตรียมจะลงมือกับเย่เทียนเฉิน

ตอนนี้เอง บริเวณนั้นเงียบเป็นพิเศษ ทุกคนต่างมองไปยังเย่เทียนเฉิน เพราะเมื่อครู่นี้ฝีมือที่แสดงออกมาของชายหนุ่มที่ถูกพวกเขาดูหมิ่นและดูถูกคนนี้ทำให้พวกเขาประหลาดใจเป็นอย่างมาก กระทั่งเรียกว่าสั่นสะท้านเลยก็ว่าได้

จางอู่เฉวียนมีความสามารถแข็งแกร่งห้าวหาญมาก เรียกได้ว่าเป็นรองเพียงหวังเจี๋ยเท่านั้น สามารถปะทะกับเปาเทียนหลงที่เคยเป็นขุนพลระดับทัพฟ้าได้ ก็เพียงพอที่จะอธิบายได้ถึงความร้ายกาจของเขาแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นจุดที่ร้ายกาจที่สุดของจางอู่เฉวียนก็คือการโจมตีอันรวดเร็วของเขาที่รวดเร็วดุจสายฟ้า และใช้จุดนี้รับมือกับเปาเทียนหลง มิฉะนั้นหากต่อสู้กันตรงๆ บางทีจางอู่เฉวียนก็คงไม่สามารถเอาชนะเปาเทียนหลงได้

ไม่ว่าใครก็คิดไม่ถึงว่า ลูกเตะของจางอู่เฉวียนที่รวดเร็วยากจะป้องกัน หลายคนที่อยู่ที่นี่ถามตนเองก็พบว่าไม่สามารถหลบได้ แต่เย่เทียนเฉินกลับหลบได้ง่ายๆ แล้วยังเกือบจะโจมตีจางอู่เฉวียนจนบาดเจ็บได้อีกด้วย หากไม่ใช่ว่าจางอู่เฉวียนมีฝีมือแข็งแกร่งเช่นเดียวกัน คงจะยับเยินไปแล้ว

“ต้องการให้พวกฉันสองคนลงมือพร้อมกัน แกรนหาที่ตายจริงๆ แล้วหรือไง?” จางอู่เฉวียนมองไปยังเย่เทียนเฉินอย่างเย็นชาแล้วเอ่ยถาม

“ฉันบอกแล้ว พวกแกเข้ามาพร้อมกันอีกหลายคนก็ได้ ยังไงฉันก็รอด!” เย่เทียนเฉินพูดด้วยรอยยิ้มเรียบเฉย

“ฉันไม่ชอบพูดจาไร้สาระ พวกเรามาจัดการไอ้หนูนี่กันเถอะ แล้วก็ไปหาหวังเจี๋ย ไปจากที่นี่ด้วยกัน ไม่สนุกเลยสักนิด!”

เติ้งซวงเป็นคนที่พูดคนสุดท้ายแต่กลับเป็นคนแรกที่พุ่งเข้าหาเย่เทียนเฉิน จางอู่เฉวียนชะงักไปครู่หนึ่งแล้วกำหมัดแน่นก้าวขึ้นไปพร้อมกับเติ้งซวง หวังเข้าไปฆ่าเย่เทียนเฉิน

คนทั้งหมดต่างจดจ่ออยู่กับการมองเหตุการณ์นี้ ต่างคิดอยากจะเห็นว่าตกลงแล้วใครกันแน่จะเป็นผู้ชนะ อู๋เสวี่ย หูหลง หลินตวน และเปาเทียนหลงทั้งสี่คนก็จับตาดูอย่างใกล้ชิด พวกเขารู้ว่าเย่เทียนเฉินแข็งแกร่งมาก มีความสามารถที่ลึกล้ำเกินหยั่ง แต่ก็ยังอดไม่ได้ที่จะเป็นกังวล เพราะจางอู่เฉวียนและเติ้งซวงทั้งสองเรียกได้ว่านอกจากหวังเจี๋ยแล้ว ก็เป็นคนที่มีฝีมือแข็งแกร่งที่สุดในหมู่คนหลายสิบคนนี้ หากต้องการที่จะเอาชนะคนทั้งสองที่ร่วมมือกันโจมตีเข้ามา คงจะยากลำบากเป็นอย่างมาก ถ้าหากเย่เทียนเฉินพ่ายแพ้ เช่นนั้นยอดฝีมือสิบกว่าคนที่เขาหามาอย่างยากลำบากจะต้องจากไปทั้งหมดแน่นอน ไม่เหลือแม้แต่คนเดียว

ตู้ม!

เสียงดังสนั่น เย่เทียนเฉินไม่ได้ลำพองใจ เขารู้ว่าจางอู่เฉวียนและเติ้งซวงทั้งสองแข็งแกร่งมาก และไม่ได้แข็งแกร่งธรรมดาๆ หากตนเองต้องการจะเอาชนะพวกเขาจะต้องลงมือเต็มที่ หากไม่ระวังแม้แต่นิดเดียวก็อาจจะได้รับบาดเจ็บก็เป็นได้ ดังนั้นในตอนที่เติ้งซวงพุงเข้ามาหาตนแล้วซัดหมัดออกมา มือขวาของเย่เทียนเฉินก็กำแน่น กระตุ้นพลังพิเศษในขอบเขตจอมราชันขึ้นมาแล้วปล่อยหมัดออกไปเช่นเดียวกัน

ดวลกันหนึ่งหมัด เย่เทียนเฉินซัดเติ้งซวงจนกระเด็นออกไปหลายเมตร ถึงแม้ว่าเติ้งซวงจะไม่ได้รับบาดเจ็บ แต่ก็ตื่นตะลึงอย่างหาใดเปรียบ เมื่อครู่นี้เขาเพียงเห็นจางอู่เฉวียนลงมือกับเย่เทียนเฉิน แต่คิดไม่ถึงว่าชายหนุ่มคนนี้จะร้ายกาจขนาดนี้ ถึงกับใช้หมัดเดียวต่อยตนจนกระเด็นถอยหลังออกไปได้ ต้องทราบว่าความสามารถของเขาเติ้งซวงไม่ได้อ่อนแอไปกว่าจางอู่เฉวียนเลย

ฉัวะ! ฉัวะ! ฉัวะ!

เย่เทียนเฉินเพิ่งจะต่อยเติ้งซวงจนกระเด็นออกไป จางอู่เฉวียนก็มาใกล้ด้านหน้าแล้ว จากนั้นจึงจัดกระบวนท่าที่เขาชำนาญที่สุดออกมา เรียกว่าหมัดสายฟ้า ซึ่งก็คือหมัดที่รวดเร็วดุจสายฟ้าตามชื่อ โจมตีไปยังเย่เทียนเฉินอย่างรุนแรงไม่หยุด ในเวลาเพียงชั่วพริบตาเย่เทียนเฉินทำได้เพียงถอยหลังหลบไปไม่หยุด หาทางที่จะทำลายให้ได้

“หึ ฉันว่าไอ้หนูนี่ไม่ใช่คู่มือของจางอู่เฉวียนและเติ้งซวงหรอก!”

“จะถูกกำจัดเมื่อไหร่ก็เป็นเรื่องของเวลาแล้ว!”

“แต่เขาสามารถป้องกันการร่วมมือการโจมตีของพวกเขาได้ก็นับว่าไม่เลวแล้ว!”

ในกลุ่มคนที่เหลือ มีบางคนอดไม่ได้ที่จะวิพากษ์วิจารณ์กันขึ้นมา จนถึงตอนนี้แม้ว่าเย่เทียนเฉินจะไม่ได้โจมตีจางอู่เฉวียนและเติ้งซวง แต่ความสามารถในการต่อสู้ที่เขาแสดงออกมาก็ทำให้ใครหลายคนอดไม่ได้ที่จะสั่นสะท้านแล้ว คนเพียงคนเดียวรับมือกับยอดฝีมือทั้งสองอย่างจางอู่เฉวียนและเติ้งซวงเพียงลำพังได้ ไม่เพียงแต่จะไม่พ่ายแพ้ แต่ยังหาทางหนีทีไล่และตอบโต้กลับได้อีกด้วย จะไม่ทำให้พวกเขาสั่นสะท้านได้อย่างไร

หมัดของจางอู่เฉวียนรวดเร็วอย่างมาก เหมือนกับสายฟ้าจริงๆ โดยเฉพาะในหมัดของเขาที่คละเขาไปด้วยพลังภายในอันมหาศาล พลังภายในประเภทนี้ทำให้เย่เทียนเฉินรู้สึกได้ว่า ไม่เหมือนกับพลังภายในที่ยอดฝีมือคนอื่นๆ ใช้ พลังภายในที่จางอู่เฉวียนฝึกฝน ไม่เพียงแต่จะแข็งแกร่งหาใดเปรียบ แต่ยังเข้ากันได้ดีกับเคล็ดหมัดที่รวดเร็วอีกด้วย กลายเป็นการปิดล้อมคู่ต่อสู้ ทำให้อยากหลบก็ไม่อาจหลบได้ เบื้องหน้าของเย่เทียนเฉินในตอนนี้ก็คือเงาหมัดจำนวนหนึ่ง หากไม่ระวังก็จะถูกโจมตีจนบาดเจ็บได้

ตอนนี้เองเติ้งซวงบุกเข้ามาอีกครั้ง ในมือขวาปรากฏมีทหารเล่มหนึ่งขึ้นมา ยิ่งไปกว่านั้นบนมีดทหารเล่มนั้นก็มีพลังภายในล้นทะลักออกมาอีกด้วย มหาศาลจนทำให้ผู้คนต้องตกใจ ทำให้มีดทหารด้ามเล็กกลายเป็นมีดทหารที่ส่องประกายลุกโชน

ฟู่!

มีทหารถูกฟันลงมา เย่เทียนเฉินที่กำลังหลบหมัดอันรวดเร็วของจางอู่เฉวียนอยู่ กลับพบว่ามีเงามีดอันใหญ่ยักษ์ร่วงหล่นลงมากลางอากาศ มีพลังที่น่าหวาดกลัวเป็นอย่างยิ่ง เขาขมวดคิ้ว แต่มุมปากกับเผยรอยยิ้มออกมา สิ่งที่เขารอก็คือโอกาสเช่นนี้ โอกาสที่จะโจมตีจางอู่เฉวียนและเติ้งซวงในเวลาเดียวกัน

“ย๊าก!”

เย่เทียนเฉินตะโกนออกมา เบื้องหน้าของเขาปรากฏกำแพงดินขึ้นแห่งหนึ่ง เขาใช้เคล็ดวิชาพลังพิเศษสายพสุธาออกมา ในตอนที่หมัดและเงามีดของจางอู่เฉวียนและเติ้งซวงโจมตีลงมาบนกำแพงดินทั้งหมด การโจมตีของพวกเขาก็เหมือนกับโคลนที่จมลงสู่ทะเลสาบ ไม่มีผลอะไรโดยสิ้นเชิง ต่างพากันตกใจรีบพุ่งเข้าไปด้านล่างของกำแพงดิน แล้วใช้การโจมตีที่แข็งแกร่งที่สุดออกไป ต้องการจะทำลายกำแพงดินนี้แล้วอัดเย่เทียนเฉินให้ได้

ไหนเลยจะรู้ว่าในตอนที่จางอู่เฉวียนและเติ้งซวงพุ่งไปเบื้องล่างกำแพงดิน จะมีกำแพงดินอีกหลายแห่งปรากฏขึ้น ล้อมพวกเขาเอาไว้ คนที่อยู่ด้านนอกจึงไม่อาจเห็นสถานการณ์ด้านในได้

ตู้ม! ตู้ม!

เสียงดังลั่นดังขึ้นสองครั้ง จางอู่เฉวียนและเติ้งซวงซัดกำแพงดินที่ปิดล้อมตนออกมาได้ในเวลาเดียวกัน แข็งแกร่งเป็นอย่างมาก แต่ในตอนนี้เอง เงาร่างเงาหนึ่ง สามารถเรียกได้ว่าตกลงมาจากฟ้า และใช้หมัดทั้งสองโจมตีพวกเขาพร้อมกัน คนคนนี้ก็คือเย่เทียนเฉิน

จางอู่เฉวียนและเติ้งซวงทำได้เพียงโจมตีสกัดเท่านั้น ในอากาศที่ไม่มีจุดยืนที่มั่นคง พวกเขาถูกหมัดทั้งสองของเย่เทียนเฉินซัดจนกระเด็นเข้าไปในช่องว่างที่กำแพงหลายแห่งสร้างขึ้น เย่เทียนเฉินเองก็พุ่งตามเข้าไปด้วย

จนถึงตอนนี้ก็ไม่มีใครมองเห็นด้านในกำแพงแล้ว สถานการณ์การต่อสู้ของเย่เทียนเฉินและจางอู่เฉวียนกับเติ้งซวงทั้งสามจะเป็นอย่างไรกันแน่ เนื่องจากทั้งสี่ด้านต่างถูกล้อมรอบไปด้วยกำแพงดิน แล้วพวกเขาเองก็ไม่มีใครกล้าเดินเข้าไปใกล้ตามใจชอบ ทั้งสามต่างก็เป็นยอดฝีมือชั้นสูง ตอนนี้เกรงว่าคงจะต่อสู้กันอย่างบ้าคลั่ง หากเข้าไปใกล้ตามใจ เป็นไปได้มากว่าจะถูกทำร้ายจนบาดเจ็บ

ตู้ม!

หมัดหมัดหนึ่งระเบิดออกมา ซัดกำแพงดินจนเป็นรูใหญ่ แล้วพุ่งขึ้นไปในอากาศ!

ฉัวะ!

เงามีดฟันกำแพงดินจนแตก และพุ่งออกมาเช่นเดียวกัน เฉือนไปบนต้นไผ่ที่อยู่ไม่ไกลจนต้นไผ่ถูกฟันเป็นสองส่วน รอยฟันเรียบกริบเป็นอย่างมาก ถ้าหากฟันถูกตัวคนเกรงว่าคงจะกลายเป็นสองท่อนแน่นอน

ตู้มๆ!

เสียงดังขึ้นสองครั้ง มีเงาร่างของคนสองคนพุ่งออกมาจากกำแพงดิน แล้วร่วงลงสู่พื้น ต่างพากันมองไปยังเบื้องหน้าด้วยความไม่พอใจ สองคนนี้ก็คือจางอู่เฉวียนและเติ้งซวง พวกเขาแพ้แล้ว แพ้ให้กับเย่เทียนเฉิน ส่วนเย่เทียนเฉินยังคงเดินออกมาจากกำแพงดินด้วยใบหน้าที่ประดับไปด้วยรอยยิ้ม มองไปยังทุกคนที่อยู่ที่นี่ที่กำลังตกตะลึงจนคางแทบร่วง

“นี่…จางอู่เฉวียนและเติ้งซวงแพ้แล้ว? เป็นไปได้ยังไง?”

“มะ ไม่จริงน่ะ พวกเขาสองคนแข็งแกร่งขนาดนี้ เข้าร่วมมือกันใครจะเป็นคู่ต่อสู้ของพวกเขาได้ ถึงกับแพ้เชียวหรือ?”

“ลึกล้ำไม่อาจคาดเดา ความสามารถของเย่เทียนเฉินลึกลับไม่อาจคาดเดา…”

“เป็นเคล็ดวิชาพลังพิเศษที่แข็งแกร่งจริงๆ มิน่าล่ะพวกอู๋เสวี่ยทั้งสี่คนที่แข็งแกร่งขนาดนั้นถึงได้สาบานว่าจะจงรักภักดี!”

เหล่าผู้แข็งแกร่งที่มายืนดูความคึกครื้นและไม่ได้ลงมือต่างก็อดไม่ได้ที่จะวิพากษ์วิจารณ์กันขึ้นมาเสียงเบา พวกเขาคิดไม่ถึงจริงๆ ว่า ภายใต้การร่วมมือกันของบุคคลที่มีความสามารถแข็งแกร่งทั้งสองคนอย่างจางอู่เฉวียนและเติ้งซวง ไม่เพียงแต่จะไม่สามารถเอาชนะเย่เทียนเฉินได้ แต่ยังแพ้ให้กับชายหนุ่มคนนี้อีกด้วย นี่จะอยู่นอกเหนือการคาดเดาของพวกเขาเกินไปแล้ว

“ยินดีต้อนรับทุกคนมาเข้าร่วมกับพวกเรา ฉันก็คือเย่เทียนเฉิน!” เย่เทียนเฉินพูดกับทุกคนด้วยรอยยิ้ม

ตอนนี้เอง ในใจของใครหลายคนต่างเต็มไปด้วยความประหลาดใจและความสับสน ประหลาดใจในความสามารถที่แข็งแกร่งเหนือระดับของเย่เทียนเฉิน และสับสนในอายุของเย่เทียนเฉิน หากต้องถูกชายหนุ่มอายุยี่สิบปีคนหนึ่งออกคำสั่ง จะทำได้จริงๆ หรือ? ยิ่งไปกว่านั้นจะสามารถร่วมกันบุกเบิกอำนาจกับวัยรุ่นคนหนึ่งได้จริงๆ หรือ? หลายคนยังคงสงสัย

“ทั้งหมดมารวมตัวกัน ยืนตรง!” เย่เทียนเฉินตระกูลอย่างดุดัน

ทุกคนชะงักไปเพียงพริบตา จากนั้นจึงยืดตัวขึ้นตรงอย่างไม่เป็นธรรมชาติ ต่างพากันยืนอยู่ที่เดิม พวกเขาไม่ใช่ทหาร แต่ก็มีคุณสมบัติและความคิดที่ยอดฝีมือคนหนึ่งควรจะมี ชายหนุ่มเบื้องหน้าทำให้พวกเขาสั่นสะท้านมากจริงๆ ไม่อาจไม่เชื่อฟัง

……………

หูหลงคิดไม่ถึงเลยว่าหลังจากที่พี่ใหญ่เย่เทียนเฉินได้ยินว่ามีคนก่อเรื่อง ไม่เพียงแต่จะไม่โกรธแต่กลับยังเผยรอยยิ้มออกมาอีกด้วย ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่เขาก็สงบลงมาก เพราะเขาเชื่อในความสามารถของเย่เทียนเฉินผู้เป็นพี่ใหญ่ เย่เทียนเฉินและหูหลงเดินไปด้วยกัน ในตอนที่มาถึงกลางป่าไผ่ ก็พบว่าเปาเทียนหลงและชายคนหนึ่งซึ่งสวมเสื้อลายพรางกำลังต่อสู้กันอยู่ คนทั้งสองแลกหมัดกันอย่างดุเดือด ส่วนอู๋เสวี่ยและหลินตวนก็มองทุกอย่างด้วยความร้อนใจ คนอื่นๆ ที่ล้อมอยู่รอบๆ คงจะเป็นคนที่อู๋เสวี่ยหามาในครั้งนี้ ต่างก็พากันมุงดูความคึกครื้น เมื่อก่อนเปาเทียนหลงเคยเป็นขุนพลประดับฟ้า ความสามารถย่อมแข็งแกร่ง ในตอนที่เย่เทียนเฉินอยู่ที่ตระกูลหลัว ก็เคยลงมือต่อสู้กับเปาเทียนหลงอย่างเต็มกำลังมาก่อน รู้ว่าเปาเทียนหลงแข็งแกร่งมาก เขาคิดไม่ถึงเลยว่าในหมู่คนที่อู๋เสวี่ยหามาในครั้งนี้ จะมีคนที่มีความสามารถเทียบเคียงเปาเทียนหลงได้อยู่ ในใจจึงรู้สึกแปลกใจอยู่บ้าง แต่ก็มีความยินดีมากกว่า สิ่งที่เขาต้องการก็คือกองกำลังที่แข็งแกร่งห้าวหาญเช่นนี้ ไม่เน้นปริมาณแต่เน้นคุณภาพ นี่คือความคิดของเย่เทียนเฉิน หากต้องการที่จะก่อตั้งกลุ่มอำนาจของตน จะมีแค่คนไร้ความสามารถกลุ่มหนึ่งย่อมไม่ได้อย่างแน่นอน ตอนนี้เองคนที่ล้อมอยู่รอบๆ เห็นหูหลงเดินมาด้วยกันกับชายวัยรุ่นอายุประมาณยี่สิบปีคนหนึ่ง ต่างก็มองไปที่เย่เทียนเฉินด้วยความสงสัย และอดไม่ได้ที่จะวิพากษ์วิจารณ์กันขึ้นมา “ให้ตายเถอะ ไอ้หนูนั่นมันเป็นใคร?” “ก็แค่เด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมคนหนึ่งเท่านั้น วางมาดไม่น้อยเลยจริงๆ” “ไอ้เด็กนี่คงจะไม่ใช่คนที่ชื่อเย่เทียนเฉินอะไรนั่นหรอกมั้ง?” เย่เทียนเฉินยิ้มเล็กน้อย อู๋เสวี่ยเห็นพี่ใหญ่เดินเข้ามาก็รีบเดินไป ยิ้มอย่างกระอักกระอ่วนเล็กน้อยแล้วพูดขึ้น “ลูกพี่ เรื่องนี้ผมจัดการได้ไม่ดี ปล่อยให้คนพวกนี้ก่อเรื่องแล้ว!” “ไม่ แกทำได้ดีแล้ว คนเหล่านี้แต่ละคนต่างก็เป็นยอดฝีมือ ย่อมต้องมีความหยิ่งทะนงอยู่บ้าง ขอเพียงสยบพวกเขาได้ อำนาจของพวกเราก็จะต้องยิ่งใหญ่มากแน่นอน!” เย่เทียนเฉินพูดยิ้มๆ พลางส่ายหน้า “ให้ตายเถอะ พี่น้องทั้งหลาย ฉันได้ยินมาว่าเย่เทียนเฉินเป็นไอ้ลูกแหง่คนหนึ่ง เกรงว่ากระทั่งนมก็คงยังไม่เลิกกิน นี่จะออกมาหาเรื่องแล้ว ยังคิดที่จะมาสั่งพี่ของพวกเราอีก แม่งหน้าด้านจริงๆ” มีคนตะโกนขึ้นจากด้านข้าง ส่วนเปาเทียนหลงและชายที่สวมชุดลายพรางก็สู้กันอย่างมีสีสัน ระหว่างทั้งสองไม่อาจแยกแยะแพ้ชนะได้ “ใช่แล้ว แม่มันเถอะ พวกเราถูกหลอกแล้ว” “พวกเราแต่ละคนต่างก็เป็นยอดฝีมือ เดิมทีคิดว่ามีเรื่องให้ทำบ้างแล้ว คิดไม่ถึงว่าจะถูกหลอกได้ ต่อให้ต้องมีชีวิตย่ำแย่ ก็จะไม่ยอมถูกไอ้เด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมคนหนึ่งมาชี้นิ้วสั่งหรอก ขายหน้าแย่เลยใช่หรือเปล่า?” “ใช่แล้ว แม่มันเถอะ สั่งสอนพวกมันทั้งหลายแล้วพวกเราก็แยกย้ายกันเถอะ แม่งซวยจริงๆ ” “คนที่สู้กับเปาเทียนหลงก็คือหวังเจี๋ยเหรอ?” เย่เทียนเฉินเอ่ยปากถามอู๋เสวี่ย “ไม่ใช่ ไอ้เด็กนั่นมันไปฉี่ บอกว่าหลังจากที่ฉี่เสร็จแล้วกลับมา ถ้าหากคุณยังไม่มาก็จะไป!” อู๋เสวี่ยพูดด้วยความโกรธ “อืม จัดการคนที่นี่ก่อนก็แล้วกัน แล้วค่อยทดสอบหวังเจี๋ย!” เย่เทียนเฉินพยักหน้าแล้วพูดขึ้น “พี่ใหญ่ ความสามารถของหวังเจี๋ยคนนี้แข็งแกร่งมาก!” อู๋เสวี่ยชะงักไปครู่หนึ่งแล้วพูดขึ้น “แข็งแกร่งขนาดไหน?” เย่เทียนเฉินเอ่ยปากถาม “ผมลงมือเต็มกำลังก็ยังเอาชนะเขาไม่ได้ แต่ก็สามารถสู้เสมอกันได้!” ในตอนนี้เอง มีคนใจกล้าคนหนึ่งเห็นอู๋เสวี่ยและเย่เทียนเฉินแล้ว จึงอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาอย่างชั่วร้าย เดินเข้ามาด้วยท่าทีนักเลง มายังเบื้องหน้าของเย่เทียนเฉินและอู๋เสวี่ย หัวเราะอย่างเหยียดหยามแล้วพูดขึ้นว่า “อู๋เสวี่ย พี่ใหญ่ตดหมาอะไรของแกนั่นยังอยู่ในท้องแม่ใช่หรือเปล่า? บิดารอนานขนาดนี้แล้วยังไม่โผล่หัวออกมาอีก คงจะไม่ตกใจจนฉี่รดกางเกงไปแล้วนะ?” “แกพูดอะไร จะหาเรื่องใช่ไหม?” อู๋เสวี่ยจ้องชายคนนั้นอย่างดุดันแล้วพูดขึ้น “หาเรื่อง? แกเป็นคู่มือของหวังเจี๋ยได้เหรอ? เป็นผู้ชายก็ขี้โม้ให้มันน้อยๆ หน่อย บิดามาทำเรื่องจริงจังไม่ได้มาเล่น เย่เทียนเฉินพี่ใหญ่ตดหมาอะไรของพวกแกนั่น จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่โผล่หัวออกมา แล้วก็ไม่มีเรื่องอะไรให้พวกบิดาทำ จะรออยู่ที่นี่ทำอะไรล่ะ? ฉันบอกแกแล้ว ได้ยินว่าลูกพี่ใหญ่อะไรนั่นของแก เป็นแค่เด็กที่ยังไม่หย่านม คนแบบนี้คู่ควรจะเป็นลูกพี่ของพวกเราเหรอ? ตลก!” ชายคนนั้นเอ่ยปากพูดอย่างไม่สบอารมณ์ “สหายคนนี้พูดได้ถูกต้อง ได้ยินว่าเย่เทียนเฉินแม่งเป็นแค่เด็กมหาวิทยาลัยปีหนึ่ง แสดงว่ายังไม่หย่านมแม่จริงๆ พอคิดถึงตอนที่พวกเราไปฆ่าคน ไม่แน่ว่าไอ้หนูนั่นคงจะฉี่รดที่นอนก็เป็นได้ ฮ่าๆๆๆ!” คนกลุ่มนี้พากันหัวเราะออกมาเสียงดัง ไม่มีแม้แต่คนเดียวที่เห็นพวกอู๋เสวี่ยอยู่ในสายตา เพราะว่าพวกเขาได้ยินว่าเย่เทียนเฉินเป็นชายหนุ่มอายุประมาณยี่สิบปีเท่านั้น ในใจจึงรู้สึกทอดถอนใจและไม่พอใจมาก คิดว่าหากถูกเด็กเช่นนี้มาออกคำสั่ง ช่างขายหน้าจริงๆ “พี่ใหญ่…” อู๋เสวี่ยพูดอย่างโหดเหี้ยม เย่เทียนเฉินไม่พูดอะไร ทำเพียงเดินไปยังชายคนนั้นที่กำลังสู้อยู่กับเปาเทียนหลง ทุกคนพากันชะงัก ต่างจ้องมองไปยังเย่เทียนเฉิน แปลกใจว่าชายวัยรุ่นอายุประมาณยี่สิบปีคนนี้เป็นใครกัน? เขาเดินไปตรงกลางจะทำอะไร? รนหาที่ตายหรือไง? เปาเทียนหลงที่กำลังต่อสู้อยู่ เมื่อเห็นว่าเย่เทียนเฉินเดินเข้ามา ก็ปล่อยหมัดกระแทกชายสวมชุดลายพรางออกไป แล้วจึงเอ่ยเรียกอย่างเคารพและรู้สึกผิดเล็กน้อย “พี่ใหญ่!” “อืม! แกออกไปพักผ่อนเถอะ!” เย่เทียนเฉินพูดด้วยรอยยิ้ม “ครับ!” เปาเทียนหลงพยักหน้าแล้วเดินออกไป ทันใดนั้นทุกคนต่างพากันจ้องมองไปยังเย่เทียนเฉิน รู้สึกแปลกใจและสงสัยอยู่บ้าง ไม่รู้ว่าชายวัยรุ่นอายุประมาณยี่สิบปีเช่นนี้โผล่ออกมาจากที่ไหน และไม่รู้ว่าเขาคิดจะทำอะไร แต่กลับมีบางคนที่คาดเดาฐานะของเย่เทียนเฉินออกแล้ว “หรือว่าเขาจะคือเย่เทียนเฉิน?” “เป็นคนรุ่นหลังจริงๆ ด้วย ผอมขนาดนี้ แค่ดูก็รู้ว่าเป็นดอกไม้ในเรือนกระจก ยังไม่หย่านมเลยมั้ง?” “เด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมคนหนึ่งต้องการป่วนยุทธภพ ไม่รู้จักที่ตายจริงๆ ” “บิดาต่อยหมัดเดียวก็ซัดไอ้หนูจนกระทั่งพ่อแม่ก็จำมันไม่ได้ได้แล้ว!” เย่เทียนเฉินไม่สนใจการวิพากษ์วิจารณ์พวกนี้โดยสิ้นเชิง จ้องมองไปยังทุกคนที่อยู่รอบๆ แล้วพูดขึ้น “ฉันคนเดียวจะสู้กับพวกแกทั้งหมด พวกแกเข้ามาพร้อมกันเถอะ” เมื่อได้ยินคำพูดของเย่เทียนเฉินทุกคนก็ชะงักไป จะอย่างไรพวกเขาก็คิดไม่ถึงว่า ชายวัยรุ่นที่ปรากฏตัวออกมาอย่างกะทันหันคนนี้ จะถึงกับมีความใจกล้าบ้าบิ่นถึงเพียงนี้ ต้องรู้ว่าพวกเขามาถึงนานแล้ว อู๋เสวี่ย หูหลง หลินตวนและเปาเทียนหลงทั้งสี่คนต่างก็ลงมือมาก่อน ความสามารถที่พวกเขาแสดงออกมาก็ทำให้ผู้คนตกตะลึงเป็นอย่างมาก แข็งแกร่งกว่าคนที่อยู่ที่นี่เล็กน้อย แต่สำหรับคนที่หวังเจี๋ยพามาก่อเรื่อง หลายคนก็เฮโลตามกันไป กระทั่งอู๋เสวี่ยทั้งสี่ก็สยบเอาไว้ไม่ได้ มิฉะนั้นพวกเขาคงไม่ปล่อยให้สถานการณ์พัฒนามาจนมีสภาพเช่นนี้ ส่วนเย่เทียนเฉินถึงกับต้องการสู้กับทุกคนด้วยตัวคนเดียว คำพูดนี้ไม่เพียงแต่พูดได้อย่างใหญ่โต ทั้งยังมีความกล้าหาญเป็นอย่างมากอีกด้วย ถ้าไม่มีความกล้าหาญและฝีมือที่แน่นอน เกรงว่าคงไม่กล้าพูดแบบนี้ออกมา แต่หากจะบอกว่าเย่เทียนเฉินแข็งแกร่งมาก คนที่นี่ก็ยังไม่มีใครเชื่อ เพราะพวกเขามองไม่ออกเลยจริงๆ ว่าวัยรุ่นคนหนึ่งอีกทั้งยังเป็นคนที่ผอมเล็กน้อย จะแข็งแกร่งขนาดไหนกันแน่ “หึไม่รู้จักที่ตายเลยจริงๆ ฉันใช้มือเดียวก็บี้แกให้ตายได้แล้ว” ชายสวมชุดลายพรางที่สู้กับเปาเทียนหลงแค่นเสียงเย็นครั้งหนึ่ง มองไปยังเย่เทียนเฉินแล้วพูดขึ้น “งั้นก็มาบี้ฉันให้ดูหน่อยสิ!” เย่เทียนเฉินพูดด้วยรอยยิ้มเรียบเฉย ทุกคนต่างตกตะลึง ถึงแม้พวกเขาจะคาดเดาฐานะของเย่เทียนเฉินได้แล้ว แต่ก็ไม่เชื่อโดยเด็ดขาดว่าเย่เทียนเฉินเพียงคนเดียวจะสามารถเอาชนะพวกเขาทั้งหมดได้ ต่อให้เป็นหวังเจี๋ยหรืออู๋เสวี่ยที่แข็งแกร่งขนาดนี้ก็ยังไม่อาจทำได้ ชายสวมเสื้อลายพรางชื่อจางอู่เฉวียน เป็นคนที่มาด้วยกันกับหวังเจี๋ย จากคำบอกกล่าวของอู๋เสวี่ย คนคนนี้เคยเป็นผู้แข็งแกร่งแห่งพรรควรยุทธโบราณมาก่อน จากนั้นจึงไปเป็นทหาร มีความสามารถแข็งแกร่งมาก เป็นรองเพียงหวังเจี๋ยเท่านั้น มิฉะนั้นคงไม่สามารถต่อสู้กับเปาเทียนหลงได้นานขนาดนี้ เมื่อครู่นี้เย่เทียนเฉินเองก็เห็นแล้ว เปาเทียนหลงใช้ปราณหนักออกมา จางอู่เฉวียนก็ไม่กล้าปะทะตรงๆ บางทีหากเป็นการต่อสู้ถึงขั้นเป็นตายจริงๆ จางอู่เฉวียนคงจะอ่อนแอกว่าเปาเทียนหลงเล็กน้อย แต่สามารถต่อสู้มานานขนาดนี้ได้ เชื่อว่ามีประสบการณ์ในการต่อสู้จริงมามาก รวมกับฝีมือแข็งแกร่ง จึงไม่อาจดูเบาได้โดยเด็ดขาด จางอู่เฉวียนเดินมาเบื้องหน้าเย่เทียนเฉิน หัวเราะอย่างเย็นชา แล้วใช้เท้าเตะไปบริเวณหน้าอกของเย่เทียนเฉิน การเตะในครั้งนี้รวดเร็วมาก เรียกได้ว่ามีหลายคนที่คิดไม่ถึง รวดเร็วดุจสายฟ้า เตะเข้าไปยังตำแหน่งของเย่เทียนเฉินหวังที่จะทำร้าย ทุกคนต่างพากันชะงัก คิดไม่ถึงว่าจางอู่เฉวียนจะลงมือเช่นนี้ หลายคนต่างรอดูเรื่องน่าขันของเย่เทียนเฉิน มาคุยโวโอ้อวดอย่างไม่ละอายใจจะต้องลำบากแน่นอน ในตอนที่ขาของจางอู่เฉวียนเตะไปยังหน้าอกของเย่เทียนเฉิน เย่เทียนเฉินก็เอี้ยวตัวอย่างฉับพลัน ไพร่มือซ้ายไว้ที่หลัง ส่วนมือขวาจับข้อเท้าของจางอู่เฉวียน จางอู่เฉวียนตกใจจนหน้าถอดสี การเตะของตนในครั้งนี้รวดเร็วมาก พลังก็มหาศาล ชายวัยรุ่นที่อยู่เบื้องหน้าถึงกับหลบได้ง่ายๆ แล้วยังจับข้อเท้าของตนเอาไว้ได้อีกด้วย คิดไม่ถึงเลยจริงๆ ต้องทราบว่าเขาสามารถต่อสู้กับเปาเทียนหลงได้นานขนาดนี้โดยไม่แพ้ ก็เกี่ยวข้องกับกระบวนท่าอันรวดเร็วเช่นนี้ของเขาด้วย เสียงตู้มดังขึ้น มือขวาของเย่เทียนเฉินออกแรง สะบัดจางอู่เฉวียนออกไปโดยตรง ทุกคนที่ดูอยู่ที่นี่ต่างตกตะลึงจนคางแทบร่วง ประเมินชายวัยรุ่นที่ค่อนข้างผอมตรงหน้าอีกครั้ง ดูเหมือนกับเป็นแค่ดอกไม้ประดับในเรือนกระจกเท่านั้น คิดไม่ถึงว่าจะมีฝีมือแข็งแกร่งขนาดนี้ได้ สามารถโยนยอดฝีมืออย่างจางอู่เฉวียนออกไปได้ง่ายๆ เหนือคาดจริงๆ ฝีมือของจางอู่เฉวียนก็ไม่อ่อนแอเลย ถึงแม้ในใจจะตกตะลึง กระทั่งเรียกได้ว่าตกใจจนหน้าถอดสี แต่ก็ใช้ฝ่ามือขวาซัดออกไปที่พื้นอย่างรวดเร็ว พลิกตัวกลางอากาศ แล้วลงมายืนกับพื้น บนหน้าผากมีเหงื่อซึมออกมาเล็กน้อย มองเย่เทียนเฉินด้วยความประหลาดใจอย่างหาใดเปรียบ “ฉันบอกแล้ว เข้ามาอีกหลายคนเถอะ เข้ามาพร้อมกันเลย ไม่งั้นมันก็ไม่สนุก” เย่เทียนเฉินพูดอย่างเรียบเฉย ตอนนี้เอง ชายวัยกลางคนที่สวมเสื้อลายพรางอีกคนหนึ่งที่ยืนอยู่ด้านข้างเดินมาข้างกายของจางอู่เฉวียน มองไปยังเย่เทียนเฉินอย่างเย็นชาแล้วพูดเสียงเย็นว่า “พวกเราสองคนเข้าไปพร้อมกัน แกจะต้องตายแน่นอน!” “ผิดแล้ว พวกแกสองคนเข้ามาพร้อมกันฉันก็ยังคงจะไม่บาดเจ็บเลยแม้แต่น้อย!” เย่เทียนเฉินพูดด้วยรอยยิ้ม เมื่อคำพูดนี้ของเย่เทียนเฉินถูกเอาออกมา จางอู่เฉวียนและชายวัยกลางคนอีกคนหนึ่งที่เดินออกมา ก็กำหมัดแน่น คนทั้งหลายที่อยู่ที่นี่ต่างไม่เชื่อฟังเย่เทียนเฉิน ย่อมพากันบ่นด่าขึ้นมา “แม่งเอ้ย ไอ้หนูนี่จะโอหังไปแล้ว จะต้องสั่งสอนให้โหดๆ สักหน่อย” “ฆ่ามันก็จบแล้ว มีอะไรให้พูดมากกัน” “ฆ่าเลยๆ พวกเราเองก็แยกย้ายกันเถอะ ซวยจริงๆ โดนหลอกแล้ว!” ………….

หูหลงคิดไม่ถึงเลยว่าหลังจากที่พี่ใหญ่เย่เทียนเฉินได้ยินว่ามีคนก่อเรื่อง ไม่เพียงแต่จะไม่โกรธแต่กลับยังเผยรอยยิ้มออกมาอีกด้วย ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่เขาก็สงบลงมาก เพราะเขาเชื่อในความสามารถของเย่เทียนเฉินผู้เป็นพี่ใหญ่

เย่เทียนเฉินและหูหลงเดินไปด้วยกัน ในตอนที่มาถึงกลางป่าไผ่ ก็พบว่าเปาเทียนหลงและชายคนหนึ่งซึ่งสวมเสื้อลายพรางกำลังต่อสู้กันอยู่ คนทั้งสองแลกหมัดกันอย่างดุเดือด ส่วนอู๋เสวี่ยและหลินตวนก็มองทุกอย่างด้วยความร้อนใจ คนอื่นๆ ที่ล้อมอยู่รอบๆ คงจะเป็นคนที่อู๋เสวี่ยหามาในครั้งนี้ ต่างก็พากันมุงดูความคึกครื้น

เมื่อก่อนเปาเทียนหลงเคยเป็นขุนพลประดับฟ้า ความสามารถย่อมแข็งแกร่ง ในตอนที่เย่เทียนเฉินอยู่ที่ตระกูลหลัว ก็เคยลงมือต่อสู้กับเปาเทียนหลงอย่างเต็มกำลังมาก่อน รู้ว่าเปาเทียนหลงแข็งแกร่งมาก เขาคิดไม่ถึงเลยว่าในหมู่คนที่อู๋เสวี่ยหามาในครั้งนี้ จะมีคนที่มีความสามารถเทียบเคียงเปาเทียนหลงได้อยู่ ในใจจึงรู้สึกแปลกใจอยู่บ้าง แต่ก็มีความยินดีมากกว่า สิ่งที่เขาต้องการก็คือกองกำลังที่แข็งแกร่งห้าวหาญเช่นนี้ ไม่เน้นปริมาณแต่เน้นคุณภาพ นี่คือความคิดของเย่เทียนเฉิน หากต้องการที่จะก่อตั้งกลุ่มอำนาจของตน จะมีแค่คนไร้ความสามารถกลุ่มหนึ่งย่อมไม่ได้อย่างแน่นอน

ตอนนี้เองคนที่ล้อมอยู่รอบๆ เห็นหูหลงเดินมาด้วยกันกับชายวัยรุ่นอายุประมาณยี่สิบปีคนหนึ่ง ต่างก็มองไปที่เย่เทียนเฉินด้วยความสงสัย และอดไม่ได้ที่จะวิพากษ์วิจารณ์กันขึ้นมา

“ให้ตายเถอะ ไอ้หนูนั่นมันเป็นใคร?”

“ก็แค่เด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมคนหนึ่งเท่านั้น วางมาดไม่น้อยเลยจริงๆ”

“ไอ้เด็กนี่คงจะไม่ใช่คนที่ชื่อเย่เทียนเฉินอะไรนั่นหรอกมั้ง?”

เย่เทียนเฉินยิ้มเล็กน้อย อู๋เสวี่ยเห็นพี่ใหญ่เดินเข้ามาก็รีบเดินไป ยิ้มอย่างกระอักกระอ่วนเล็กน้อยแล้วพูดขึ้น “ลูกพี่ เรื่องนี้ผมจัดการได้ไม่ดี ปล่อยให้คนพวกนี้ก่อเรื่องแล้ว!”

“ไม่ แกทำได้ดีแล้ว คนเหล่านี้แต่ละคนต่างก็เป็นยอดฝีมือ ย่อมต้องมีความหยิ่งทะนงอยู่บ้าง ขอเพียงสยบพวกเขาได้ อำนาจของพวกเราก็จะต้องยิ่งใหญ่มากแน่นอน!” เย่เทียนเฉินพูดยิ้มๆ พลางส่ายหน้า

“ให้ตายเถอะ พี่น้องทั้งหลาย ฉันได้ยินมาว่าเย่เทียนเฉินเป็นไอ้ลูกแหง่คนหนึ่ง เกรงว่ากระทั่งนมก็คงยังไม่เลิกกิน นี่จะออกมาหาเรื่องแล้ว ยังคิดที่จะมาสั่งพี่ของพวกเราอีก แม่งหน้าด้านจริงๆ” มีคนตะโกนขึ้นจากด้านข้าง ส่วนเปาเทียนหลงและชายที่สวมชุดลายพรางก็สู้กันอย่างมีสีสัน ระหว่างทั้งสองไม่อาจแยกแยะแพ้ชนะได้

“ใช่แล้ว แม่มันเถอะ พวกเราถูกหลอกแล้ว”

“พวกเราแต่ละคนต่างก็เป็นยอดฝีมือ เดิมทีคิดว่ามีเรื่องให้ทำบ้างแล้ว คิดไม่ถึงว่าจะถูกหลอกได้ ต่อให้ต้องมีชีวิตย่ำแย่ ก็จะไม่ยอมถูกไอ้เด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมคนหนึ่งมาชี้นิ้วสั่งหรอก ขายหน้าแย่เลยใช่หรือเปล่า?”

“ใช่แล้ว แม่มันเถอะ สั่งสอนพวกมันทั้งหลายแล้วพวกเราก็แยกย้ายกันเถอะ แม่งซวยจริงๆ ”

“คนที่สู้กับเปาเทียนหลงก็คือหวังเจี๋ยเหรอ?” เย่เทียนเฉินเอ่ยปากถามอู๋เสวี่ย

“ไม่ใช่ ไอ้เด็กนั่นมันไปฉี่ บอกว่าหลังจากที่ฉี่เสร็จแล้วกลับมา ถ้าหากคุณยังไม่มาก็จะไป!” อู๋เสวี่ยพูดด้วยความโกรธ

“อืม จัดการคนที่นี่ก่อนก็แล้วกัน แล้วค่อยทดสอบหวังเจี๋ย!” เย่เทียนเฉินพยักหน้าแล้วพูดขึ้น

“พี่ใหญ่ ความสามารถของหวังเจี๋ยคนนี้แข็งแกร่งมาก!” อู๋เสวี่ยชะงักไปครู่หนึ่งแล้วพูดขึ้น

“แข็งแกร่งขนาดไหน?” เย่เทียนเฉินเอ่ยปากถาม

“ผมลงมือเต็มกำลังก็ยังเอาชนะเขาไม่ได้ แต่ก็สามารถสู้เสมอกันได้!”

ในตอนนี้เอง มีคนใจกล้าคนหนึ่งเห็นอู๋เสวี่ยและเย่เทียนเฉินแล้ว จึงอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาอย่างชั่วร้าย เดินเข้ามาด้วยท่าทีนักเลง มายังเบื้องหน้าของเย่เทียนเฉินและอู๋เสวี่ย หัวเราะอย่างเหยียดหยามแล้วพูดขึ้นว่า

“อู๋เสวี่ย พี่ใหญ่ตดหมาอะไรของแกนั่นยังอยู่ในท้องแม่ใช่หรือเปล่า? บิดารอนานขนาดนี้แล้วยังไม่โผล่หัวออกมาอีก คงจะไม่ตกใจจนฉี่รดกางเกงไปแล้วนะ?”

“แกพูดอะไร จะหาเรื่องใช่ไหม?” อู๋เสวี่ยจ้องชายคนนั้นอย่างดุดันแล้วพูดขึ้น

“หาเรื่อง? แกเป็นคู่มือของหวังเจี๋ยได้เหรอ? เป็นผู้ชายก็ขี้โม้ให้มันน้อยๆ หน่อย บิดามาทำเรื่องจริงจังไม่ได้มาเล่น เย่เทียนเฉินพี่ใหญ่ตดหมาอะไรของพวกแกนั่น จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่โผล่หัวออกมา แล้วก็ไม่มีเรื่องอะไรให้พวกบิดาทำ จะรออยู่ที่นี่ทำอะไรล่ะ? ฉันบอกแกแล้ว ได้ยินว่าลูกพี่ใหญ่อะไรนั่นของแก เป็นแค่เด็กที่ยังไม่หย่านม คนแบบนี้คู่ควรจะเป็นลูกพี่ของพวกเราเหรอ? ตลก!” ชายคนนั้นเอ่ยปากพูดอย่างไม่สบอารมณ์

“สหายคนนี้พูดได้ถูกต้อง ได้ยินว่าเย่เทียนเฉินแม่งเป็นแค่เด็กมหาวิทยาลัยปีหนึ่ง แสดงว่ายังไม่หย่านมแม่จริงๆ พอคิดถึงตอนที่พวกเราไปฆ่าคน ไม่แน่ว่าไอ้หนูนั่นคงจะฉี่รดที่นอนก็เป็นได้ ฮ่าๆๆๆ!”

คนกลุ่มนี้พากันหัวเราะออกมาเสียงดัง ไม่มีแม้แต่คนเดียวที่เห็นพวกอู๋เสวี่ยอยู่ในสายตา เพราะว่าพวกเขาได้ยินว่าเย่เทียนเฉินเป็นชายหนุ่มอายุประมาณยี่สิบปีเท่านั้น ในใจจึงรู้สึกทอดถอนใจและไม่พอใจมาก คิดว่าหากถูกเด็กเช่นนี้มาออกคำสั่ง ช่างขายหน้าจริงๆ

“พี่ใหญ่…” อู๋เสวี่ยพูดอย่างโหดเหี้ยม

เย่เทียนเฉินไม่พูดอะไร ทำเพียงเดินไปยังชายคนนั้นที่กำลังสู้อยู่กับเปาเทียนหลง ทุกคนพากันชะงัก ต่างจ้องมองไปยังเย่เทียนเฉิน แปลกใจว่าชายวัยรุ่นอายุประมาณยี่สิบปีคนนี้เป็นใครกัน? เขาเดินไปตรงกลางจะทำอะไร? รนหาที่ตายหรือไง?

เปาเทียนหลงที่กำลังต่อสู้อยู่ เมื่อเห็นว่าเย่เทียนเฉินเดินเข้ามา ก็ปล่อยหมัดกระแทกชายสวมชุดลายพรางออกไป แล้วจึงเอ่ยเรียกอย่างเคารพและรู้สึกผิดเล็กน้อย “พี่ใหญ่!”

“อืม! แกออกไปพักผ่อนเถอะ!” เย่เทียนเฉินพูดด้วยรอยยิ้ม

“ครับ!” เปาเทียนหลงพยักหน้าแล้วเดินออกไป

ทันใดนั้นทุกคนต่างพากันจ้องมองไปยังเย่เทียนเฉิน รู้สึกแปลกใจและสงสัยอยู่บ้าง ไม่รู้ว่าชายวัยรุ่นอายุประมาณยี่สิบปีเช่นนี้โผล่ออกมาจากที่ไหน และไม่รู้ว่าเขาคิดจะทำอะไร แต่กลับมีบางคนที่คาดเดาฐานะของเย่เทียนเฉินออกแล้ว

“หรือว่าเขาจะคือเย่เทียนเฉิน?”

“เป็นคนรุ่นหลังจริงๆ ด้วย ผอมขนาดนี้ แค่ดูก็รู้ว่าเป็นดอกไม้ในเรือนกระจก ยังไม่หย่านมเลยมั้ง?”

“เด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมคนหนึ่งต้องการป่วนยุทธภพ ไม่รู้จักที่ตายจริงๆ ”

“บิดาต่อยหมัดเดียวก็ซัดไอ้หนูจนกระทั่งพ่อแม่ก็จำมันไม่ได้ได้แล้ว!”

เย่เทียนเฉินไม่สนใจการวิพากษ์วิจารณ์พวกนี้โดยสิ้นเชิง จ้องมองไปยังทุกคนที่อยู่รอบๆ แล้วพูดขึ้น “ฉันคนเดียวจะสู้กับพวกแกทั้งหมด พวกแกเข้ามาพร้อมกันเถอะ”

เมื่อได้ยินคำพูดของเย่เทียนเฉินทุกคนก็ชะงักไป จะอย่างไรพวกเขาก็คิดไม่ถึงว่า ชายวัยรุ่นที่ปรากฏตัวออกมาอย่างกะทันหันคนนี้ จะถึงกับมีความใจกล้าบ้าบิ่นถึงเพียงนี้ ต้องรู้ว่าพวกเขามาถึงนานแล้ว อู๋เสวี่ย หูหลง หลินตวนและเปาเทียนหลงทั้งสี่คนต่างก็ลงมือมาก่อน ความสามารถที่พวกเขาแสดงออกมาก็ทำให้ผู้คนตกตะลึงเป็นอย่างมาก แข็งแกร่งกว่าคนที่อยู่ที่นี่เล็กน้อย แต่สำหรับคนที่หวังเจี๋ยพามาก่อเรื่อง หลายคนก็เฮโลตามกันไป กระทั่งอู๋เสวี่ยทั้งสี่ก็สยบเอาไว้ไม่ได้ มิฉะนั้นพวกเขาคงไม่ปล่อยให้สถานการณ์พัฒนามาจนมีสภาพเช่นนี้

ส่วนเย่เทียนเฉินถึงกับต้องการสู้กับทุกคนด้วยตัวคนเดียว คำพูดนี้ไม่เพียงแต่พูดได้อย่างใหญ่โต ทั้งยังมีความกล้าหาญเป็นอย่างมากอีกด้วย ถ้าไม่มีความกล้าหาญและฝีมือที่แน่นอน เกรงว่าคงไม่กล้าพูดแบบนี้ออกมา แต่หากจะบอกว่าเย่เทียนเฉินแข็งแกร่งมาก คนที่นี่ก็ยังไม่มีใครเชื่อ เพราะพวกเขามองไม่ออกเลยจริงๆ ว่าวัยรุ่นคนหนึ่งอีกทั้งยังเป็นคนที่ผอมเล็กน้อย จะแข็งแกร่งขนาดไหนกันแน่

“หึไม่รู้จักที่ตายเลยจริงๆ ฉันใช้มือเดียวก็บี้แกให้ตายได้แล้ว” ชายสวมชุดลายพรางที่สู้กับเปาเทียนหลงแค่นเสียงเย็นครั้งหนึ่ง มองไปยังเย่เทียนเฉินแล้วพูดขึ้น

“งั้นก็มาบี้ฉันให้ดูหน่อยสิ!” เย่เทียนเฉินพูดด้วยรอยยิ้มเรียบเฉย

ทุกคนต่างตกตะลึง ถึงแม้พวกเขาจะคาดเดาฐานะของเย่เทียนเฉินได้แล้ว แต่ก็ไม่เชื่อโดยเด็ดขาดว่าเย่เทียนเฉินเพียงคนเดียวจะสามารถเอาชนะพวกเขาทั้งหมดได้ ต่อให้เป็นหวังเจี๋ยหรืออู๋เสวี่ยที่แข็งแกร่งขนาดนี้ก็ยังไม่อาจทำได้

ชายสวมเสื้อลายพรางชื่อจางอู่เฉวียน เป็นคนที่มาด้วยกันกับหวังเจี๋ย จากคำบอกกล่าวของอู๋เสวี่ย คนคนนี้เคยเป็นผู้แข็งแกร่งแห่งพรรควรยุทธโบราณมาก่อน จากนั้นจึงไปเป็นทหาร มีความสามารถแข็งแกร่งมาก เป็นรองเพียงหวังเจี๋ยเท่านั้น มิฉะนั้นคงไม่สามารถต่อสู้กับเปาเทียนหลงได้นานขนาดนี้ เมื่อครู่นี้เย่เทียนเฉินเองก็เห็นแล้ว เปาเทียนหลงใช้ปราณหนักออกมา จางอู่เฉวียนก็ไม่กล้าปะทะตรงๆ บางทีหากเป็นการต่อสู้ถึงขั้นเป็นตายจริงๆ จางอู่เฉวียนคงจะอ่อนแอกว่าเปาเทียนหลงเล็กน้อย แต่สามารถต่อสู้มานานขนาดนี้ได้ เชื่อว่ามีประสบการณ์ในการต่อสู้จริงมามาก รวมกับฝีมือแข็งแกร่ง จึงไม่อาจดูเบาได้โดยเด็ดขาด

จางอู่เฉวียนเดินมาเบื้องหน้าเย่เทียนเฉิน หัวเราะอย่างเย็นชา แล้วใช้เท้าเตะไปบริเวณหน้าอกของเย่เทียนเฉิน การเตะในครั้งนี้รวดเร็วมาก เรียกได้ว่ามีหลายคนที่คิดไม่ถึง รวดเร็วดุจสายฟ้า เตะเข้าไปยังตำแหน่งของเย่เทียนเฉินหวังที่จะทำร้าย ทุกคนต่างพากันชะงัก คิดไม่ถึงว่าจางอู่เฉวียนจะลงมือเช่นนี้ หลายคนต่างรอดูเรื่องน่าขันของเย่เทียนเฉิน มาคุยโวโอ้อวดอย่างไม่ละอายใจจะต้องลำบากแน่นอน

ในตอนที่ขาของจางอู่เฉวียนเตะไปยังหน้าอกของเย่เทียนเฉิน เย่เทียนเฉินก็เอี้ยวตัวอย่างฉับพลัน ไพร่มือซ้ายไว้ที่หลัง ส่วนมือขวาจับข้อเท้าของจางอู่เฉวียน จางอู่เฉวียนตกใจจนหน้าถอดสี การเตะของตนในครั้งนี้รวดเร็วมาก พลังก็มหาศาล ชายวัยรุ่นที่อยู่เบื้องหน้าถึงกับหลบได้ง่ายๆ แล้วยังจับข้อเท้าของตนเอาไว้ได้อีกด้วย คิดไม่ถึงเลยจริงๆ ต้องทราบว่าเขาสามารถต่อสู้กับเปาเทียนหลงได้นานขนาดนี้โดยไม่แพ้ ก็เกี่ยวข้องกับกระบวนท่าอันรวดเร็วเช่นนี้ของเขาด้วย

เสียงตู้มดังขึ้น มือขวาของเย่เทียนเฉินออกแรง สะบัดจางอู่เฉวียนออกไปโดยตรง ทุกคนที่ดูอยู่ที่นี่ต่างตกตะลึงจนคางแทบร่วง ประเมินชายวัยรุ่นที่ค่อนข้างผอมตรงหน้าอีกครั้ง ดูเหมือนกับเป็นแค่ดอกไม้ประดับในเรือนกระจกเท่านั้น คิดไม่ถึงว่าจะมีฝีมือแข็งแกร่งขนาดนี้ได้ สามารถโยนยอดฝีมืออย่างจางอู่เฉวียนออกไปได้ง่ายๆ เหนือคาดจริงๆ

ฝีมือของจางอู่เฉวียนก็ไม่อ่อนแอเลย ถึงแม้ในใจจะตกตะลึง กระทั่งเรียกได้ว่าตกใจจนหน้าถอดสี แต่ก็ใช้ฝ่ามือขวาซัดออกไปที่พื้นอย่างรวดเร็ว พลิกตัวกลางอากาศ แล้วลงมายืนกับพื้น บนหน้าผากมีเหงื่อซึมออกมาเล็กน้อย มองเย่เทียนเฉินด้วยความประหลาดใจอย่างหาใดเปรียบ

“ฉันบอกแล้ว เข้ามาอีกหลายคนเถอะ เข้ามาพร้อมกันเลย ไม่งั้นมันก็ไม่สนุก” เย่เทียนเฉินพูดอย่างเรียบเฉย

ตอนนี้เอง ชายวัยกลางคนที่สวมเสื้อลายพรางอีกคนหนึ่งที่ยืนอยู่ด้านข้างเดินมาข้างกายของจางอู่เฉวียน มองไปยังเย่เทียนเฉินอย่างเย็นชาแล้วพูดเสียงเย็นว่า “พวกเราสองคนเข้าไปพร้อมกัน แกจะต้องตายแน่นอน!”

“ผิดแล้ว พวกแกสองคนเข้ามาพร้อมกันฉันก็ยังคงจะไม่บาดเจ็บเลยแม้แต่น้อย!” เย่เทียนเฉินพูดด้วยรอยยิ้ม

เมื่อคำพูดนี้ของเย่เทียนเฉินถูกเอาออกมา จางอู่เฉวียนและชายวัยกลางคนอีกคนหนึ่งที่เดินออกมา ก็กำหมัดแน่น คนทั้งหลายที่อยู่ที่นี่ต่างไม่เชื่อฟังเย่เทียนเฉิน ย่อมพากันบ่นด่าขึ้นมา

“แม่งเอ้ย ไอ้หนูนี่จะโอหังไปแล้ว จะต้องสั่งสอนให้โหดๆ สักหน่อย”

“ฆ่ามันก็จบแล้ว มีอะไรให้พูดมากกัน”

“ฆ่าเลยๆ พวกเราเองก็แยกย้ายกันเถอะ ซวยจริงๆ โดนหลอกแล้ว!”

………….

“ไม่ใช่ว่าผมข่มขู่คุณ แต่อยากให้คุณเข้าใจความจริงให้ชัดเจน ถ้าหากคุณลงมือกับเย่เทียนเฉินที่บริสุทธิ์ และยังทำลายตระกูลเย่ทั้งตระกูล เกรงว่าจะมีคนออกหน้าให้ตระกูลเย่แน่ เมื่อถึงตอนนั้นตระกูลโอวหยางของคุณก็คงไม่มีช่วงเวลาที่ดี!” มู่หรงอวี๋ตูพูดเสียงขรึม

เดิมทีมู่หรงอวี๋ตูและโอวหยางเจิ้นฮว๋าก็เป็นขาวกับดำ เป็นน้ำกับไฟที่ไม่อาจอยู่ร่วมกันได้ การที่ทั้งสองพูดคุยกันอย่างละมุนละม่อมในตอนแรกสุดนั้น ประการแรกเป็นเพราะทั้งสองนับว่าเป็นคนที่อยู่ในยุคสมัยเดียวกัน จะมากจะน้อยก็มีอารมณ์ความรู้สึกคล้ายกัน ประการที่สองเป็นเพราะเมื่ออยู่มาจนมีอายุและตำแหน่งเช่นพวกเขาแล้ว เรื่องที่ทำให้โกรธง่ายๆ นั้นมีน้อยมาก หากไม่แสดงท่าทางสุขุมก็เป็นการง่ายที่จะถูกผู้อื่นทำร้าย

ตอนนี้ในเมื่อทั้งสองต่างพูดออกมาแล้ว ก็ไม่มีอะไรต้องปิดบัง อย่างแย่ที่สุดก็ตาต่อตาฟันต่อฟัน จะอย่างไรก็ไม่มีใครกลัวใคร ด้วยวิธีการเช่นนี้บางทีอาจจะยังหาจุดสมดุลได้

“ดูท่าคุณมู่หรงอวี๋ตูจะยืนอยู่ฝั่งเย่เทียนเฉิน ต้องการช่วยเขารับมือกับตระกูลโอวหยางของผมเหรอครับ?” โอวหยางเจิ้นฮว๋าเลยถามเสียงขรึม

“ผมต้องการช่วยเย่เทียนเฉิน แต่ก็ไม่อยากให้ตระกูลโอวหยางของคุณถูกฆ่าล้าง ดังนั้นหวังเพียงว่าคุณจะใคร่ครวญให้ดี สืบหาให้ชัดเจนก่อนแล้วค่อยว่ากัน!” มู่หรงอวี๋ตูเอ่ยปากพูด

อีกด้านหนึ่งของโทรศัพท์เงียบไปนาน ดูเหมือนว่าโอวหยางเจิ้นฮว๋าจะกำลังใคร่ครวญอยู่ คำพูดที่มู่หรงอวี๋ตูพูด ตำแหน่งทุกอย่างที่มู่หรงอวี๋ตูมี เขาโอวหยางเจิ้นฮว๋าจำเป็นจะต้องใคร่ครวญ มู่หรงอวี๋ตูเป็นนายพลที่รอดชีวิตมาจากผืนทรายที่เต็มไปด้วยการฆ่าฟัน ต่อให้ไม่ได้กุมอำนาจนานแล้ว แต่ประโยคหนึ่งของเขา กระทั่งผู้นำระดับสูงของประเทศก็ยังต้องให้ความสำคัญ นี่เป็นศักดิ์ศรีของนายพลชรา

“ได้ สามวัน ผมจะใช้เวลาสามวันไปตรวจสอบ ไม่ว่าผลจะเป็นอย่างไร เย่เทียนเฉินก็หนีไม่พ้นความผิดที่ทำให้หลานชายของผมตาย เมื่อถึงตอนนั้นใครก็ปกป้องเขาไม่ได้!” โอวหยางเจิ้นฮว๋าพูดอย่างดุดัน

“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ผมก็จะช่วยหาหลักฐานเอง!” มู่หรงอวี๋ตูเห็นว่าโอวหยางเจิ้นฮว๋ายอมผ่อนปรนจึงเอ่ยปากพูดขึ้นมา

“ไม่จำเป็น ผมจะไปจัดการเอง!” โอวหยางเจิ้นฮว๋าปฏิเสธ

“นอกจากนี้ผมคิดจะเตือนคุณสักประโยค ถึงแม้ว่าเย่เทียนเฉินจะเป็นคนหนุ่มอายุไม่ถึงยี่สิบปี แต่เขาไม่ใช่คนที่จัดการง่ายอย่างที่คุณคิด คุณอย่าได้แพ้ให้กับชนรุ่นหลังเชียว จะอับอายเปล่าๆ!” มู่หรงอวี๋ตูพูดยิ้มๆ

ปัง!

โทรศัพท์ถูกวางสายไปแล้ว โอวหยางเจิ้นฮว๋าวางสายโทรศัพท์ไปโดยตรง มู่หรงอวี๋ตูกลับยิ้มเล็กน้อย หยิบหนังสือพิมพ์ขึ้นมาอย่างสบายใจ เขารู้ว่าเขาทำสิ่งที่รับปากเย่เทียนเฉินเอาไว้สำเร็จแล้ว อย่างน้อยก็มีเวลาสามวัน ภายในสามวันนี้ตระกูลโอวหยางจะไม่ลงมือกับเย่เทียนเฉินและตระกูลเย่ และสามวันนี้นับว่าเพียงพอแล้วสำหรับเย่เทียนเฉิน ถึงแม้ความกดดันจะมากมาย แต่เขาก็จะลองดูสุดชีวิต หลังจากที่กำจัดตระกูลเซวียนเยวี๋ยนแล้ว ก็ค่อยกลับมาเผชิญหน้ากับตระกูลโอวหยาง

อีกด้านหนึ่ง หลังจากที่โอวหยางเจิ้นฮว๋าวางโทรศัพท์ไปแล้วก็ขมวดคิ้ว ใคร่ครวญครู่หนึ่งแล้วจึงพูดกับบอดี้การ์ดที่อยู่เบื้องหน้าว่า “ส่งคนไปตรวจสอบเรื่องการตายของเฟยอวิ๋นสักหน่อย ยิ่งไปกว่านั้นส่งคนไปติดตามเย่เทียนเฉินให้ฉันด้วย และจับตาดูตระกูลเย่ให้ดี รอคำสั่งของฉัน!”

“ครับ!”

โอวหยางเจิ้นฮว๋าคิดไม่ถึงเลยว่า ในตอนที่เขาเตรียมจะให้คนไปจับคนทั้งหมดของตระกูลเย่กลับมา ไม่ว่าเย่เทียนเฉินจะเป็นคนฆ่าโอวหยางเฟยอวิ๋นหลานชายของตนหรือไม่ ก็จะทำให้ตระกูลเย่ได้เห็นดีกัน ในตอนนี้เองมู่หรงอวี๋ตูจะถึงกับโทรมาหาเขา ยิ่งไปกว่านั้นยังแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่ายืนอยู่ฝั่งเย่เทียนเฉิน เรื่องนี้ทำให้โอวหยางเจิ้นฮว๋าจำเป็นต้องใคร่ครวญให้ดี จะอย่างไรตำแหน่งฐานะทั้งหมดของมู่หรงอวี๋ตูก็มากเพียงพอที่จะพูดเช่นนี้กับเขา ถึงแม้เขาโอวหยางเจิ้นฮว๋าจะไม่กลัวอะไร ต่อให้เป็นบุคคลระดับสูงของประเทศก็ไม่อาจแตะต้องตระกูลโอวหยางของเขาง่ายๆ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าตระกูลโอวหยางจะทำทุกสิ่งที่ต้องการได้ตามใจ มีเรื่องราวมากมายที่ต้องใส่ใจกับหลักฐานให้ดี

หลังจากผ่านการใคร่ครวญของโอวหยางเจิ้นฮว๋าแล้ว เขาก็รู้สึกว่ามู่หรงอวี๋ตูพูดได้ไม่ผิด ก่อนที่จะตรวจสอบเรื่องราวให้กระจ่างชัด พูดได้แค่ว่าเย่เทียนเฉินเป็นผู้ต้องสงสัยอันดับหนึ่งที่เป็นคนฆ่าโอวหยางเฟยอวิ๋นหลานชายของเขา หากตนฆ่าเย่เทียนเฉินและทำลายตระกูลเย่ทั้งหมด เกรงว่าจะก่อให้เกิดผลกระทบที่ยิ่งใหญ่ระหว่างโลกเบื้องหน้ากับเบื้องหลัง ซึ่งจะไม่เป็นผลดีกับตระกูลโอวหยางของเขา ดังนั้นโอวหยางเจิ้นฮว๋าจึงต้องใคร่ครวญรอบด้าน และตัดสินใจจะส่งคนไปตรวจสอบหลักฐาน ยิ่งไปกว่านั้นยังให้เวลามู่หรงอวี๋ตูสามวัน หลังจากสามวันแล้วไม่ว่าจะมีหลักฐานที่พิสูจน์ว่าเย่เทียนเฉินเป็นคนฆ่าโอวหยางเฟยอวิ๋นอย่างชัดเจนหรือไม่ เขาก็จะลงมือจัดการกับเย่เทียนเฉิน และจะฆ่าล้างตระกูลเย่ทั้งตระกูล แข็งกร้าวเป็นอย่างมาก

เวลาสามวันก็เป็นการไว้หน้ามู่หรงอวี๋ตูแล้ว และนับว่าเขาโอวหยางเจิ้นฮว๋าได้อธิบายเกี่ยวกับเรื่องนี้แล้ว แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าเขาโอวหยางเจิ้นฮว๋าไม่ใช่คนที่เอาแต่ถือหางพรรคพวกของตัวเองจนไม่แยกแยะถูกผิด หลังจากสามวันไม่ว่าจะมีหลักฐานหรือไม่ เขาก็จะฆ่าเย่เทียนเฉิน ดังนั้นการที่พูดว่าให้เวลาสามวันก็เพียงเพื่อรักษาชื่อเสียงของตระกูลโอวหยางของเขาเท่านั้น ไม่ได้จะบอกว่าเขาโอวหยางเจิ้นฮว๋ากลัวอะไร

แต่สิ่งที่โอวหยางเจิ้นฮว๋าไม่รู้ก็คือ เวลาสามวันนี้ก็เพียงพอสำหรับเย่เทียนเฉินแล้ว เมื่อถึงตอนนั้นบางทีเขาคงจะกำจัดตระกูลเซวียนเยวี๋ยนได้แล้ว และกลับมายังเมืองหลวง หันมารับมือกับตระกูลโอวหยาง ถึงแม้จะกล่าวเช่นนี้ แต่เย่เทียนเฉินจะสามารถกำจัดตระกูลเซวียนเยวี๋ยนได้อย่างสะดวกราบรื่นหรือไม่ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง จะอย่างไรความสามารถของตระกูลเซวียนเยวี๋ยนก็แข็งแกร่ง ไม่แน่ว่าเย่เทียนเฉินไปมณฑลชวนในครั้งนี้อาจจะไม่รอดกลับมาก็เป็นได้!

“หึ เย่เทียนเฉิน มู่หรงอวี๋ตูให้ความสำคัญกับแกขนาดนี้ ฉันกลับอยากจะเห็นจริงๆ ว่า ตระกูลเย่ผลิตชนรุ่นหลังออกมายังไงกันแน่ ถึงกับมีความกล้าและห้าวหาญขนาดนี้เชียว!” โอวหยางเจิ้นฮว๋าปาถ้วยชาที่อยู่ข้างกายจนแหลกละเอียด แค่นเสียงเย็นออกมาครั้งหนึ่งแล้วกล่าวขึ้น

วันนั้นทั้งวัน เย่เทียนเฉินล้วนอยู่ในคฤหาสน์ ไม่ได้ไปที่อื่น ดื่มชาแล้วทานอาหารว่างอย่างสบายอกสบายใจ เพียงแต่ตอนกลางวันได้โทรไปหาเสี้ยวหยาครั้งหนึ่ง บอกว่าตอนจะออกไปเที่ยวสักหลายวัน หลายวันนี้คงไม่ได้ไปเรียนที่มหาวิทยาลัย นอกจากนั้นก็ได้โทรไปหาฉินเหยาเยว่ซึ่งเป็นอาจารย์ที่ปรึกษาด้วย

หลังจากที่จัดเตรียมทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว เย่เทียนเฉินก็จะรอจนถึงเที่ยงคืน แล้วเดินทางไปยังป่าไผ่บริเวณชานเมืองทิศใต้ ก่อตั้งกลุ่มอำนาจของตนเองขึ้นมา แล้วรีบเดินทางไปที่มณฑลชวน หลังจากที่จัดการเรื่องของตระกูลเซวียนเยวี๋ยนแล้ว ก็จะรีบกลับมาที่เมืองหลวงเพื่อรับมือกับตระกูลโอวหยาง ยิ่งไปกว่านั้นจะจับตัวการที่อยู่หลังม่านออกมาให้ได้ ถึงเวลาที่ควรจะเริ่มปฏิบัติการแล้ว เพื่อเป็นการหลีกเลี่ยงไม่ให้กลุ่มอำนาจและตระกูลใหญ่ต่างๆ คิดว่าตนรังแกได้ง่าย และสามารถเหยียบย่ำตระกูลเย่ได้ตามใจเหมือนเมื่อก่อนอีก

เวลาประมาณห้าทุ่ม เย่เทียนเฉินออกไปจากบ้านตระกูลเย่อย่างเงียบๆ คืนนี้ก็ทะเลาะกับฉีหรูเสวี่ยมาทั้งวัน เดิมทีฉีหรูเสวี่ยต้องการจะกลับไป ไหนเลยจะรู้ว่าแม่จะบอกว่าต้องการสอนฉีหรูเสวี่ยทำอาหารอย่างหนึ่ง เรียกให้ฉีหรูเสวี่ยอยู่ต่ออีกวัน เย่เทียนเฉินมองออกว่าการทำอาหารนี้เป็นเรื่องโกหก แม่ต้องการให้ตนกับฉีหรูเสวี่ยสานสัมพันธ์กันถึงจะเป็นเรื่องจริง เพียงแต่น่าเสียดายที่เขาในตอนนี้ไม่มีเวลาว่างขนาดนั้น

ก่อนเย่เทียนเฉินขี่รถมอเตอร์ไซค์ออกไปจากบ้านตระกูลเย่ เขาได้จัดวางค่ายกลปัญจลักษณ์เอาไว้รอบๆ ขอเพียงมีคนที่มีไอสังหารเข้ามาใกล้ ค่ายกลก็จะถูกกระตุ้นให้ทำงาน นี่เป็นวิธีการที่เย่เทียนเฉินใช้ปกป้องครอบครัวของตน ถึงแม้เฮยเมี่ยนจะรับปากแล้วว่าจะส่งคนมาคุ้มครองครอบครัวของตน แต่อย่างไรเย่เทียนเฉินก็ยังไม่วางใจ

เที่ยงคืน เย่เทียนเฉินมาถึงป่าไผ่แห่งหนึ่งบริเวณชานเมืองทางทิศใต้ของเมืองหลวงตรงเวลา เมื่อเห็นเขาขับรถมอเตอร์ไซค์มา หูหลงที่รออยู่ที่นั่นนานแล้วก็วิ่งเข้ามาทันที ในตอนที่เย่เทียนเฉินเห็นหูหลงก็อดไม่ได้ที่จะชะงักไป เพราะหูหลงมีหน้าตาบวมช้ำ นี่มันเกิดอะไรขึ้น? ยิ่งไปกว่านั้นหากพูดถึงความสามารถหูหลงแล้วก็นับว่าไม่อ่อนแอเลย เพียงแต่ยังเยาว์อยู่บ้าง ขาดประสบการณ์การต่อสู้จริงเท่านั้น

“พี่ใหญ่…” หูหลงเอ่ยปากเรียก มีท่าทางกระอักกระอ่วนอยู่บ้าง

“เกิดอะไรขึ้นกับแก?” เย่เทียนเฉินมองไปยังสภาพบนใบหน้าหูหลงแล้วถามขึ้น

“เอ้อ อย่าไปพูดถึงเลย ในหมู่คนกลุ่มนี้มีคนก่อเรื่องน่ะครับ…” หูหลงพูดอย่างโมโห

เย่เทียนเฉินมองหูหลง คิดไปถึงใบหน้าดั้งเดิมของเขา มิน่าล่ะอู๋เสวี่ยถึงต้องการให้เขามาดูสักหน่อย ท่าทางในหมู่คนเหล่านี้จะมีคนที่ไม่ค่อยฟังคำสั่ง หรือจะพูดให้ชัดเจนก็คือก่อเรื่อง

“ไปเถอะ เดินไปคุยไป!” เย่เทียนเฉินมองไปยังบริเวณที่มีแสงไฟเบื้องหน้าแล้วพูดขึ้น

“ครับ!”

หูหลงเดินไปพลางเล่าเรื่องที่ผ่านมาให้เย่เทียนเฉินฟังไปพลาง เดิมทีหลังจากที่อู๋เสวี่ยได้รับคำสั่งจากเย่เทียนเฉินก็เริ่มประกาศหายอดฝีมือจำนวนหนึ่งไปทุกช่องทาง แน่นอนว่าในหมู่ยอดฝีมือเหล่านี้ ไม่เพียงแต่จะต้องมีฝีมือดี แต่ยังต้องมีระเบียบวินัยอีกด้วย นอกจากนั้นไม่อาจรับคนที่เลวทรามจนเกินไป อู๋เสวี่ยประกาศผ่านความสัมพันธ์เดิมๆ ของตน ติดต่อไปยังคนจำนวนหนึ่ง ในหมู่คนเหล่านี้มียอดฝีมือแห่งพรรควรยุทธโบราณ มีทหารหน่วยรบพิเศษที่ปลดประจำการออกไปแล้ว ทั้งยังมีผู้มีพลังพิเศษอีกด้วย เรียกได้ว่าการรับสมัครของอู๋เสวี่ยในครั้งนี้ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก ไม่เสียทีที่เคยเป็นมือสังหารอันดับหนึ่งของเมืองหลวง มีความคิดและวิธีการอยู่บ้าง

ไหนเลยจะรู้ว่าจะมีคนไม่พอใจ ได้ยินว่าคนที่ต้องการความจงรักภักดีจากพวกเขาเป็นแค่วัยรุ่นอายุยี่สิบปีคนหนึ่งเท่านั้น จึงอดไม่ได้ที่จะทอดถอนใจและรู้สึกว่าถูกหลอกเข้าแล้ว จึงผิดหวังอย่างรุนแรง พวกตนต่างก็เป็นบุคคลชั้นยอดในกองทัพ ในพรรควรยุทธโบราณ หรือกระทั่งในโลกของผู้มีพลังพิเศษ สามารถเรียกได้ว่าเป็นยอดฝีมือที่มีความสามารถแข็งแกร่ง ตอนนี้ไม่คิดว่าจะต้องถูกเด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมคนหนึ่งชี้นิ้วสั่ง ในใจพลันรู้สึกรับไม่ได้เป็นอย่างยิ่ง

มีคนจํานวนหนึ่งก่อเรื่องขึ้นมา ไม่ว่าหูหลง อู๋เสวี่ย หลินตวน และเปาเทียนหลงทั้งสี่คนจะเตือนอย่างไรก็ไม่ฟัง ช่วยอะไรไม่ได้เลย โดยเฉพาะผู้แข็งแกร่งแห่งพรรควรยุทธโบราณคนหนึ่งในนี้ที่ชื่อว่าหวังเจี๋ย มีฝีมือและความสามารถที่แข็งแกร่งเป็นอย่างมาก ในตอนที่มาถึงที่นี่ก็ประลองกับคนอื่นๆ อย่างโอหัง คนคนนี้ร้ายกาจมากจริงๆ ไม่มีใครเป็นคู่มือของเขาได้เลย

หลังจากที่อู๋เสวี่ยและคนอื่นๆ มาถึงที่นี่ เมื่อก่อเรื่องขึ้นมาแล้วหวังเจี๋ยย่อมได้เป็นผู้นำ ไม่เพียงแต่จะไม่เชื่อฟังคำพูดของพวกอู๋เสวี่ย แต่ยังด่าเย่เทียนเฉินอีกด้วย เมื่ออู๋เสวี่ยโกรธก็ลงมือ เพียงแต่ฝีมือของหวังเจี๋ยไม่อ่อนแอเลย เรียกได้ว่าสูสีกันกับอู๋เสวี่ย เมื่อต่อสู้กันหวังเจี๋ยก็ได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย ส่วนอู๋เสวี่ยก็ไม่ได้ดีไปกว่ากัน ย่อมไม่สามารถสยบหวังเจี๋ยได้

“ความสามารถของหวังเจี๋ยคนนี้แข็งแกร่งมากจริงๆ แล้วเขายังพาคนมาอีกสองคนด้วย ล้วนแต่มีฝีมือไม่อ่อนแอ คนคนนี้เป็นผู้นำในการก่อเรื่อง ส่วนคนอื่นๆ ก็ก่อเรื่องตามขึ้นมา สยบไว้ไม่อยู่แล้ว!” หูหลงพูดอย่างรู้สึกผิด

อู๋เสวี่ยเป็นคนที่มีฝีมือแข็งแกร่งที่สุดในหมู่พวกเขาทั้งสี่ กระทั่งเขาก็ยังไม่สามารถสยบหวังเจี๋ยไว้ได้ ตอนนี้จะต้องวุ่นวายแน่นอน โดยเฉพาะหลังจากที่หวังเจี๋ยสู้กับอู๋เสวี่ยแล้ว ก็พูดจายโสโอหังออกมาว่า ถ้าหากที่นี่มีคนที่สามารถเอาชนะเขาหวังเจี๋ยได้ เขาหวังเจี๋ยก็จะติดตามเย่เทียนเฉินไปชั่วชีวิต ถ้าหากไม่มีใครเป็นคู่มือของเขาหวังเจี๋ยได้ เช่นนั้นก็ขี้โม้ให้มันน้อยๆ หน่อย อย่าทำให้เขาเสียเวลา

“ไปเถอะ ไปดูสักหน่อย มีคนก่อเรื่องก็ดีแล้ว!” เย่เทียนเฉินพูดด้วยรอยยิ้ม

…………..

มู่หรงอวี๋ตูอธิบายเรื่องเกี่ยวกับตระกูลโอวหยางให้มู่หรงซินผู้เป็นหลานได้ฟัง เย่เทียนเฉินให้เขาออกหน้าสยบตระกูลโอวหยางชั่วคราว มู่หรงอวี๋ตูก็รับปากไปแล้ว

ส่วนมู่หรงซินก็รู้สึกแปลกใจมาก และกังวลใจอยู่บ้าง กังวลว่าเย่เทียนเฉินจะต้องปะทะกับตระกูลโอวหยางและอาจมีอันตรายเกิดขึ้น

หลังจากที่ที่ได้ยินมู่หรงอวี๋ตูผู้เป็นปู่อธิบายแล้ว มู่หรงซินก็ยิ่งกังวลมากขึ้น เธอคิดไม่ถึงเลยว่าตระกูลโอวหยางจะมีอำนาจแข็งแกร่งขนาดนี้ กระทั่งรัฐบาลเองหากต้องการจะแตะต้องตระกูลโอวหยางก็ยังต้องใคร่ครวญให้ดี

ยิ่งไปกว่านั้นตระกูลเบื้องหลังทุกตระกูล ที่พวกเขาต้องปิดซ่อนตัวตนก็เป็นเพราะต้องการที่จะเก็บงำความสามารถของตนเอง แต่จะมากจะน้อยก็ยังทำให้ความสามารถของตนอ่อนแอลงบ้าง

แต่จากที่มู่หรงอวี๋ตูกล่าว ตระกูลโอวหยางคงจะเป็นเพียงตระกูลเดียวที่ไม่ได้เก็บงำความสามารถของตนและยังปิดซ่อนตัวตนไม่ปรากฏตัวออกมา เห็นได้ว่ามีความแข็งแกร่งมากเพียงใด

จุดที่ตระกูลโอวหยางไม่เหมือนกับตระกูลใหญ่อื่นๆ ก็คือ ตระกูลโอวหยางเป็นตระกูลที่มีอิทธิพลใต้ดินอันยิ่งใหญ่ เป็นผู้นำของกลุ่มอิทธิพลใต้ดิน

ตระกูลเช่นนี้ป่าเถื่อนเป็นอย่างมาก ฆ่าคนราวกับผักปลา และสามารถดำรงอยู่ต่อไปได้ตลอด ยิ่งไปกว่านั้นยังเก็บงำความแข็งแกร่งเอาไว้มากอีกด้วย ในตระกูลจะต้องมียอดฝีมือมากมายราวกับเมฆบนท้องฟ้าแน่นอน เป็นศัตรูกับตระกูลที่มีอำนาจใต้ดินเช่นนี้ จะต้องมีความกล้าหาญเป็นอย่างมากจริงๆ

“ตระกูลโอวหยางเป็นตระกูลที่มีอิทธิพลใต้ดิน เรียกได้ว่าเป็นตระกูลที่มีอำนาจมืดที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประเทศจีน เมื่อปีนั้นตอนที่ประเทศเพิ่งจะก่อตั้ง ท่านผู้นำสูงสุดเคยพบกับหัวหน้าตระกูลโอวหยางมาก่อน และพูดคุยกันถึงบางเรื่อง ตระกูลโอวหยางจึงได้เก็บงำตัวตนแบบนี้ โชคดีที่หลายปีมานี้ตระกูลโอวหยางไม่ได้ขยายอำนาจของตนออกไปอีก ทำเพียงควบคุมให้อยู่ในขอบเขตที่แน่นอนเท่านั้น แต่อย่างไรความแข็งแกร่งของพวกเขาก็เป็นสิ่งที่ไม่ต้องสงสัยเลย คนระดับสูงในประเทศก็ให้ความสนใจมาโดยตลอด!” มู่หรงอวี๋ตูพูดพลางขมวดคิ้ว

บนโลกนี้เมื่อมีดำก็ต้องมีขาว ก็เหมือนกับกลางวันและกลางคืน ไม่ว่าใครก็ไม่อาจแทนที่ใครได้ ยิ่งไม่อาจทำร้ายใครสักคนหนึ่งไปได้ ดำไม่อาจมาแทนที่ขาว ขาวก็ไม่สามารถทำลายดำได้ตลอดกาล ทำได้เพียงหาจุดสมดุลระหว่างกันเท่านั้น

ขอเพียงอำนาจของตระกูลโอวหยางไม่ขยายต่อไป ขอเพียงไม่คุกคามไปถึงความปลอดภัยในทรัพย์สินและชีวิตของประชาชนคนธรรมดา รัฐบาลก็จะไม่ต่อต้านอย่างรุนแรง

จะอย่างไรหากกำจัดตระกูลโอวหยางไปก็จะทำให้เกิดผลกระทบอย่างมาก หากยังไม่ถึงเวลาที่จำเป็น รัฐบาลก็ไม่อยากให้มีผลกระทบไปถึงความปลอดภัยของประชาชน

สามารถจินตนาการได้เลยว่า ตระกูลเช่นนี้ที่กระทั่งรัฐบาลต้องใคร่ครวญก่อนที่จะแตะต้องพวกเขา คนที่อยู่ในตระกูลนี้จะโอหังบ้าอำนาจขนาดไหน?

มิน่าล่ะโอวหยางเฟยอวิ๋นถึงได้โอหังขนาดนี้ กระทั่งคุณชายใหญ่แห่งมหาวิทยาลัยหลงเถิงก็ไม่เห็นอยู่ในสายตา กระทั่งดูถูกการเข้าร่วมพรรคคุณชาย และยังมีความกล้าหาญอยู่บ้าง เพียงแต่น่าเสียดายที่โอวหยางเฟยอวิ๋นตายไปแล้ว ถูกคนฆ่าตาย ส่วนเรื่องที่ใครเป็นคนฆ่านั้น เย่เทียนเฉินมั่นใจเลยว่าไม่ใช่เขาแน่นอน แต่อย่างไรก็ตามปลายหอกทั้งหมดก็ชี้มาที่เขา

ตระกูลโอวหยางที่มีอำนาจแข็งแกร่งและยโสโอหังมาโดยตลอด จะต้องไม่ยอมจบง่ายๆ แน่นอน เย่เทียนเฉินย่อมไม่หวั่นกลัว และจะรับมือไปตามสถานการณ์ การถอยไม่ใช่นิสัยของเขา

เพียงแต่เขาในตอนนี้ต้องไปกำจัดตระกูลเซวียนเยวี๋ยนที่มณฑลชวน จึงทำได้เพียงให้มู่หรงอวี๋ตูออกหน้าให้ เพื่อสยบตระกูลโอวหยางชั่วคราว รอจนตนกลับมาจากมณฑลชวนเสียก่อน ดูสิว่าตระกูลโอวหยางของพวกเขาคิดจะเล่นลูกไม้อะไร

“งั้นคุณปู่คะ พวกเราช่วยเย่เทียนเฉินกันเถอะ ถึงแม้ฝีมือเขาจะร้ายกาจ แต่ตระกูลเย่ก็ไม่ได้แข็งแกร่ง จะต้องไม่ใช่คู่ต่อสู้ของตระกูลโอวหยางแน่นอน หากเป็นแบบนี้ต่อไปตระกูลเย่ก็จะมีอันตรายมาก!”

มู่หรงซินเป็นคนฉลาดมาก เพียงไม่นานก็สามารถคิดได้ถึงจุดสำคัญของปัญหา รีบเอ่ยปากพูดขึ้นมา

“ฮ่าๆ เด็กคนนี้นี่ วางใจเถอะ ปู่รับปากเย่เทียนเฉินไปแล้วว่าจะช่วยเขาทำให้ตระกูลโอวหยางสงบสักหลายวัน ส่วนเรื่องต่อไปนั้นก็ต้องพึ่งตัวเขาเองแล้ว!” มู่หรงอวี๋ตูพูดด้วยรอยยิ้ม

ตกลงแล้วมู่หรงซินมีความรู้สึกอย่างไรต่อเย่เทียนเฉินกันแน่ มู่หรงอวี๋ตูยังดูไม่ออกทั้งหมด

อาจเป็นไปได้ว่ากระทั่งตัวมู่หรงซินเองก็ไม่รู้ เย่เทียนเฉินช่วยชีวิตเธอเอาไว้ ในใจของเธอย่อมซาบซึ้งเป็นอย่างมาก แต่เมื่อคิดถึงตอนที่ทั้งสองอยู่ในถังน้ำถังเดียวกัน รินน้ำอุ่นลงไปจนเต็ม หันหน้าเข้าหากันด้วยร่างกายเปลือยเปล่า แล้วยังจูบกันอีก ก็ทำให้มู่หรงซินหน้าแดง ดูเหมือนว่าหัวใจจะเต้นตึกตักไม่ยอมหยุด คงไม่เป็นเพียงความซาบซึ้งใจง่ายๆ เช่นนั้นแน่

“จริงเหรอคะ ถ้างั้นก็ดีมากเลย!” มู่หรงซินพูดอย่างดีใจ

“เอาล่ะ ซินเอ๋อร์ หลานออกไปก่อนเถอะ ปู่ยังมีเรื่องต้องทำ!” มู่หรงอวี๋ตูพูดยิ้มๆ

“ค่ะ!” มู่หรงซินพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง

เมื่อเห็นท่าทางมีความสุขและสุขภาพแข็งแรงของมู่หรงซินผู้เป็นหลาน มู่หรงอวี๋ตูก็รู้สึกปลาบปลื้มใจเป็นอย่างมาก

โชคดีที่ตอนนั้นเย่เทียนเฉินช่วยมู่หรงซินเอาไว้ มิฉะนั้นถ้าหลานสาวของตนตายไป มู่หรงอวี๋ตูก็ไม่รู้ว่าจะทำเช่นไรจริงๆ ทั้งตระกูลมู่หรงมีเพียงเขาและหลานสาวเท่านั้นที่นับว่ามีความเกี่ยวพันทางสายเลือดกันโดยตรง ปู่หลานสองคนพึ่งพาอาศัยกันมาหลายปีแล้ว

“คุณปู่ หนู…ถ้ามีเวลาหนูอยากจะออกไปเที่ยวสักหลายวันได้ไหมคะ?” มู่หรงซินเดินมาถึงบริเวณประตูห้องหนังสือ สุดท้ายจึงหันไปถามอย่างน่ารัก

“รออีกสักหลายวันค่อยว่ากันเถอะ บำรุงร่างกายให้ดี!” มู่หรงอวี๋ตูพูดอย่างเมตตา

“ค่ะ!” มู่หรงซินยู่ปากแล้วเดินออกไปจากห้องหนังสือ

มู่หรงอวี๋ตูมีชีวิตอยู่จนอายุปูนนี้แล้ว ยังมีเรื่องอะไรที่มองไม่ออกอีกบ้าง เขาย่อมต้องรู้ความคิดของมู่หรงซินผู้เป็นหลานอยู่แล้ว

ถึงแม้ว่าเขาจะมีความประทับใจที่ดีต่อเย่เทียนเฉิน แต่เมื่อดูจากสถานการณ์ในปัจจุบัน เย่เทียนเฉินจะสามารถเอาชนะได้หรือไม่ จะสามารถทำให้ตระกูลเย่ผงาดขึ้นมาได้หรือไม่ ยังคงเต็มไปด้วยความไม่แน่นอนที่มากจนเกินไป หากพ่ายแพ้ก็จะต้องตายโดยไร้ที่ฝัง กระทั่งตระกูลเย่ก็จะถูกฆ่าล้าง

มู่หรงอวี๋ตูดื่มชาไปอึกหนึ่ง จากนั้นจึงวางหนังสือพิมพ์ลงบนโต๊ะ แล้วหยิบโทรศัพท์บนโต๊ะขึ้นมา กดเบอร์โทรออกไปด้วยตัวเอง

การที่สามารถทำให้มู่หรงอวี๋ตูโทรออกไปด้วยตัวเองได้ เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นน้อยมาก อย่างไรก็ตามโทรศัพท์สายนี้ของเขาโทรออกไปเพื่อช่วยเหลือเย่เทียนเฉิน และโทรไปหาตระกูลโอวหยางโดยตรง เบอร์โทรของตระกูลโอวหยางนี้ก็สามารถต่อสายไปถึงผู้นำตระกูลโอวหยางได้

หลังจากกดโทรออกแล้ว เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นประมาณเจ็ดแปดครั้ง ด้านในจึงมีเสียงวัยรุ่นคนหนึ่งดังขึ้น

“ฮัลโหล ต้องการคุยกับใคร?”

“ฉันต้องการคุยกับโอวหยางเจิ้นฮว๋า!” มู่หรงอวี๋ตูเอ่ยปากพูด

“คุณคือ…”

“มู่หรงอวี๋ตู!”

“ได้ครับ กรุณารอสักครู่!”

คนที่เพิ่งจะรับโทรศัพท์เมื่อสักครู่นี้จะต้องไม่ใช่โอวหยางเจิ้นฮว๋าซึ่งเป็นผู้นำตระกูลโอวหยางแน่นอน คนที่มีตำแหน่งเช่นเขา อายุก็ไม่แตกต่างกับมู่หรงอวี๋ตูมาก จะมีเวลามาเฝ้าอยู่ข้างโทรศัพท์ได้อย่างไร?

ยิ่งไปกว่านั้นครั้งนี้หลานชายของโอวหยางเจิ้นฮว๋าซึ่งก็คือโอวหยางเฟยอวิ๋นตายไปแล้ว โอวหยางเจิ้นฮว๋าจะต้องโกรธเป็นอย่างมากแน่นอน ไม่เพียงแต่จะเสียใจที่หลานชายของตนถูกคนอื่นฆ่า ทั้งยังโกรธที่ถูกคนอื่นยั่วยุศักดิ์ศรีของตระกูลโอวหยางอีกด้วย

ไม่นานอีกด้านหนึ่งของโทรศัพท์ก็มีเสียงของชายชราคนหนึ่งดังขึ้น ดูเหมือนจะไม่พอใจเล็กน้อย แต่ยังนับว่าเอ่ยถามออกมาอย่างสงบ

“หายากจริงๆ ที่สหายอวี๋ตูจะโทรมา ไม่รู้ว่ามีอะไรจะสั่งสอน?”

“ฮ่าๆ สหายเจิ้นฮว๋าเกรงใจเกินไปแล้ว จะสั่งสอนคงไม่กล้ารับ เพียงแต่ไม่ได้ติดต่อกันมานาน เลยโทรมาถามไถ่เท่านั้น!” มู่หรงอวี๋ตูพูดยิ้มๆ

มู่หรงอวี๋ตูและโอวหยางเจิ้นฮว๋าเรียกได้ว่าเป็นเสือร้ายมาชั่วชีวิต คนหนึ่งเป็นนายพลที่ฆ่าฟันจนมีชีวิตรอดผ่านสนามรบออกมาได้ ความองอาจย่อมไม่ต้องพูดอะไรให้มากความ ส่วนอีกคนหนึ่งเป็นฮีโร่ที่มีอำนาจใต้ดิน เรียกได้ว่าเป็นจักรพรรดิของเหล่าผู้มีอิทธิพลใต้ดินเลยทีเดียว

ทั้งสองต่างก็เป็นผู้ยิ่งใหญ่ที่อยู่ในตำแหน่งต่างกัน เมื่อสนทนากันจึงค่อนข้างที่จะเกรงใจอยู่บ้าง

“ขอบคุณสหายอวี๋ตูที่ใส่ใจ!” โอวหยางเจิ้นฮว๋าพูดด้วยรอยยิ้ม

“ไม่จำเป็นต้องเกรงใจ พวกเราเองก็ไม่ได้เจอกันหลายปีแล้ว ต่างก็แก่ชรากันแล้ว จริงสิ ผมได้ยินว่าเรื่องของโอวหยางเฟยอวิ๋นหลานของคุณแล้ว ไม่รู้ว่ามีอะไรที่ผมสามารถช่วยได้หรือเปล่า?” มู่หรงอวี๋ตูงเอ่ยปากถาม

“เรื่องนี้ผมย่อมต้องจัดการอยู่แล้ว จะต้องให้ฆาตกรชดใช้ด้วยเลือด!” น้ำเสียงของโอวหยางเจิ้นฮว๋าเย็นยะเยือกเป็นอย่างมาก

โอวหยางเจิ้นฮว๋า เป็นหัวหน้าตระกูลที่มีอำนาจใต้ดินอันยิ่งใหญ่มาเกือบจะร้อยปี เรียกได้ว่าเพียงกระทืบเท้าก็สามารถทำให้อำนาจใต้ดินของประเทศจีนสั่นสะท้าน กระทั่งบุคคลระดับสูงของประเทศก็ไม่อาจล่วงเกินชายชราคนนี้ได้ง่ายๆ เมื่อเขาเกิดบ้าบิ่นขึ้นมา เกรงว่าจะต้องมีพายุครั้งใหญ่เกิดขึ้นแน่นอน

การตายของโอวหยางเฟยอวิ๋นหลานชายของโอวหยางเจิ้นฮว๋าในครั้งนี้ไปกระตุ้นให้ความโกรธของเขาเข้าแล้ว

ถึงแม้โอวหยางเจิ้นฮว๋าจะไม่ได้มีโอวหยางเฟยอวิ๋นเป็นหลานชายเพียงคนเดียว แต่การตายของญาติมิตร ทำให้ศักดิ์ศรีของตระกูลโอวหยางถูกยั่วยุ โอวหยางเจิ้นฮว๋าไม่อาจอดกลั้นได้ เขาในตอนนี้ส่งคนออกไปทำการสืบสวนแล้ว ทุกอย่างต่างชี้ไปที่เย่เทียนเฉิน เพียงแต่ยังไม่ได้หลักฐานที่แน่ชัดก็เท่านั้น

“สหายเจิ้นฮว๋า ระหว่างคุณกับผมไม่จำเป็นต้องอ้อมค้อมหรอกนะครับ? ผมคิดว่าเรื่องนี้อาจจะไม่เกี่ยวข้องกับเย่เทียนเฉิน ต้องตรวจสอบให้แน่ชัดถึงจะถูก!”

มู่หรงอวี๋ตูงเอ่ยปากพูด ทั้งสองต่างก็เป็นคนฉลาด หากเอาแต่พูดอ้อมค้อมจะเป็นการแสดงความโง่ออกมาเปล่าๆ สู้พูดออกไปตรงๆ จะมีประสิทธิภาพและน่าพอใจมากกว่า

“งั้นเหรอครับ? สหายอวี๋ตู ตอนนี้ข้อมูลทุกอย่างที่ผมได้รับต่างชี้ไปที่เย่เทียนเฉินแห่งตระกูลเย่ ไม่ว่าเขาจะฆ่าหลานชายของผมหรือไม่ ผมก็จะต้องจับเขากลับมาถามให้ได้ ยิ่งไปกว่านั้นต่อให้เขาไม่ได้ทำ ผมก็ยังต้องการชีวิตเขาอยู่ดี เพราะเขาขัดแย้งกับหลานชายของผม ผมต้องฆ่าเขาและทำลายตระกูลเย่!”

โอวหยางเจิ้นฮว๋ากล่าวอย่างแข็งกร้าว

มู่หรงอวี๋ตูที่อยู่อีกด้านหนึ่งของโทรศัพท์ขมวดคิ้ว เขารู้ว่าโอวหยางเจิ้นฮว๋าแข็งกร้าวมาโดยตลอด

เพียงแต่คิดไม่ถึงว่าในครั้งนี้ชายชราคนนี้จะไม่ยอมเจรจา ท่าทางจะโกรธจริงๆ แล้ว สำหรับคนที่มีตำแหน่งเช่นเขา มีไม่กี่เรื่องที่ทำให้เขาโกรธขนาดนี้ได้

“ฮ่าๆ สหายเจิ้นฮว๋า ผมรู้ว่าอำนาจของตระกูลโอวหยางยิ่งใหญ่มาก แต่หวังว่าคุณจะใคร่ครวญให้ดี ตระกูลเย่เคยเป็นตระกูลชั้นหนึ่งถึงแม้ตอนนี้จะตกต่ำลงไปแล้ว แต่จะอย่างไรเย่หย่วนซานก็ยังมีอำนาจอยู่บ้าง ยิ่งไปกว่านั้นในเมื่อคุณตรวจสอบเย่เทียนเฉินแล้ว ก็คงเข้าใจว่าเย่เทียนเฉินไม่ได้เป็นเศษสวะเหมือนเมื่อก่อนอีกต่อไปแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นบุคคลระดับสูงของประเทศก็มีความคิดที่ดีต่อเขา หากคุณฆ่าเขาแล้วทำลายตระกูลเย่โดยไม่แยกแยะถูกผิดเช่นนี้ เกรงว่าคงไม่สบายแน่!”

มู่หรงอวี๋ตูพูดอย่างสงบ แต่ในน้ำเสียงกลับเจือไปด้วยความแข็งกร้าว เห็นได้ชัดว่าเขายืนอยู่ข้างเย่เทียนเฉิน ต้องการจะพูดให้โอวหยางเจิ้นฮว๋าฟังอย่างชัดเจน

“หึ คุณกำลังข่มขู่ผมเหรอครับ? ตระกูลโอวหยางของผมแต่ไหนแต่ไรก็ไม่เคยกลัว ผมอดทนมานานหลายปีแล้ว!” โอวหยางเจิ้นฮว๋าแค่นเสียงเย็นครั้งหนึ่งแล้วพูดขึ้น

“คุณไม่กลัว แล้วรัฐบาลจะกลัวเหรอ? เมื่อถึงเวลาเกรงว่าคนที่จะถูกฆ่าล้างคงเป็นตระกูลโอวหยางของคุณ!” มู่หรงอวี๋ตูพูดอย่างแข็งกร้าว

“มู่หรงอวี๋ตู นี่คุณกำลังข่มขู่ผมเหรอ? ในเมื่อเป็นแบบนี้ ผมก็จะฆ่าเย่เทียนเฉิน จะทำลายตระกูลเย่ ผมจะดูซิว่าคุณจะทำยังไง!”

โอวหยางเจิ้นฮว๋าที่อยู่อีกฝั่งของโทรศัพท์ตบโต๊ะอย่างแรงแล้วพูดขึ้น

…………

บางทีการดวลกันของเย่เทียนเฉินและเฮยเมี่ยนอาจจะมองผลแพ้ชนะไม่ออก แต่ในใจของทั้งสองกลับกระจ่างชัดเป็นอย่างมาก ความสามารถของเย่เทียนเฉินลึกล้ำไม่อาจหยั่ง ทำให้เฮยเมี่ยนพูดไม่ออก ส่วนพลังการต่อสู้ที่เฮยเมี่ยนซึ่งเป็นขุนพลระดับทัพฟ้าแสดงออกมาก็ทำให้ในใจของเย่เทียนเฉินเกิดความนับถือมาก ขุนพลระดับทัพฟ้า ไม่เสียทีที่เป็นกองกำลังที่มีพลังการต่อสู้ที่แข็งแกร่งที่สุดของประเทศจีน ในขณะเดียวกันก็ทำให้เขามีความคิดที่จะไปฝ่า “ด่านทัพฟ้า” ดูสักหน่อย คิดว่าจะต้องน่าสนใจแน่นอน

เฮยเมี่ยนรับปากแล้วว่าสองวันนี้เขาจะช่วยเย่เทียนเฉินจับตามองทางฝั่งของตงฟางเมิ่ง สำหรับเวลาสองวันนี้เย่เทียนเฉินก็ไม่มีทางเลือก เขาจำเป็นต้องไปที่มณฑลชวน และกำจัดตระกูลเซวียนเยวี๋ยนให้ได้ภายในสองวัน นี่เป็นความกดดันอันมหาศาลอย่างไม่ต้องสงสัยเลย ต่อให้เขาในตอนนี้จะเป็นผู้แข็งแกร่งที่มีพลังพิเศษในขอบเขตจอมราชันขั้นสูงแล้ว ก็ไม่กล้าพูดจาใหญ่โตเช่นนั้น ไม่กล้ารับประกันว่าจะสามารถกำจัดตระกูลเซวียนเยวี๋ยนได้ในครั้งเดียว จะอย่างไรตระกูลเซวียนเยวี๋ยนก็เป็นตระกูลใหญ่ในโลกเบื้องหลัง นับเป็นตระกูลที่มีความสามารถในการต่อสู้เหนือระดับท่ามกลางตระกูลต่างๆ ไม่สามารถดูถูกได้

อย่างไรก็ตามแต่ไหนแต่ไรเย่เทียนเฉินก็ไม่ใช่คนที่ขี้ขลาดตาขาว เมื่ออยู่ต่อหน้าความยากลำบาก เขาก็ไม่เคยใช้ทางอ้อม จะทำเพียงปะทะตรงๆ เท่านั้น นี่คือนิสัยของเขา ยิ่งศัตรูแข็งแกร่งมากเท่าไร เขาก็ยิ่งแข็งแกร่งขึ้นเท่านั้น นี่เป็นจุดที่น่ากลัวของเขา เป็นความสามารถส่วนที่ลึกลับไม่อาจคาดเดามากที่สุด

แต่ตอนนี้ยังมีปัญหาใหญ่อยู่อีกปัญหาหนึ่ง นั่นก็คือตระกูลโอวหยาง หากเทียบกันจริงๆ ตระกูลโอวหยางมีอำนาจที่แข็งแกร่งยิ่งกว่าตระกูลเซวียนเยวี๋ยนมาก การตายของโอวหยางเฟยอวิ๋น เห็นได้ชัดว่ามีคนต้องการจะใส่ร้ายตนเอง เพื่อให้ตนถูกโจมตีทั้งสองด้าน สองมืออยากจะสู้สี่มือ นี่สามารถอธิบายได้ว่าการที่โอวหยางเฟยอวิ๋นและไป๋อู่ตายในเวลาเดียวกัน เป็นการกระทำของคนเพียงคนเดียว อย่างน้อยก็สามารถมั่นใจได้ว่าคนคนนี้เป็นนายใหญ่ของพรรคคุณชายในปัจจุบัน เย่เทียนเฉินไม่สามารถสืบหาคนนี้ได้ แต่ในใจของเขาก็มีแผนการอยู่บ้าง อย่างไรก็ตามเรื่องสำคัญยังคงเป็นการไปกำจัดตระกูลเซวียนเยวี๋ยน รีบโจมตีตระกูลเซวียนเยวี๋ยนจนรับมือไม่ทัน

เมื่อกลับมาถึงคฤหาสน์ เย่เทียนเฉินก็คิดใคร่ครวญ หากต้องการที่จะทำให้ตระกูลโอวหยางสงบเสียก่อน อาจจะมีคนคนหนึ่งที่สามารถช่วยเหลือตนเองได้ ถึงแม้เขาจะไม่อยากติดหนี้น้ำใจใครก็ตาม และไม่อยากไปมาหาสู่กับตระกูลนั้นให้มากนัก แต่นี่เป็นช่วงเวลาพิเศษ ต้องใช้วิธีพิเศษเท่านั้น แค่ตอบแทนน้ำใจของอีกฝ่ายคืนในภายหลังก็เพียงพอแล้ว

เมื่อคิดถึงตรงนี้เย่เทียนเฉินก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรออกไปเบอร์หนึ่ง เบอร์นี้เป็นเบอร์ของเมืองหลวง แต่กลับมีน้อยคนที่จะรู้ หลังจากที่โทรศัพท์ดังขึ้นสิบกว่าครั้ง ด้านในก็มีเสียงของชายชราดังขึ้น

“ฮัลโหล!”

“ผู้อาวุโสมู่หรง ไม่เจอกันนานเลยนะครับ ผมคือเย่เทียนเฉิน!” เย่เทียนเฉินพูดด้วยรอยยิ้ม

“อ้อ เทียนเฉินนี่เอง มีเรื่องอะไรหรือเปล่า? เรื่องครั้งที่แล้วยังไม่ทันได้ขอบคุณเธอเลย!” มู่หรงอวี๋ตูก็พูดด้วยความยินดีเช่นเดียวกัน

ถูกต้อง เย่เทียนเฉินโทรหามู่หรงอวี๋ตู เขาคิดไปคิดมาก็มีเพียงชายชราคนนี้ที่จะสามารถช่วยเขาได้ มู่หรงอวี๋ตูเป็นนายพลในช่วงเปิดประเทศ ถึงแม้จะเกษียณออกมานานหลายปีแล้ว แต่ก็เป็นคนที่รอดมาจากสนามรบที่เต็มไปด้วยการฆ่าฟัน คนเช่นนี้มีศักดิ์ศรีสูงมาก ขอเพียงยังมีชีวิตอยู่ ต่อให้เป็นผู้นำระดับสูงสุดของประเทศก็ต้องให้ความสำคัญกับเขาเป็นอย่างมาก หลายปีมานี้มู่หรงอวี๋ตูมีอิทธิพลในหมู่บุคคลระดับสูงของประเทศเป็นอย่างมาก ต้องกล่าวว่าในหมู่ตระกูลต่างๆ ที่จะสามารถยับยั้งตระกูลเซวียนเยวี๋ยนและตระกูลโอวหยางเอาไว้ได้ คงจะมีแต่ตระกูลมู่หรงเท่านั้น

“ฮ่าๆ ผู้อาวุโส ผมจะพูดสั้นๆ ได้ใจความเลยแล้วกันนะครับ ความจริงผมมีเรื่องยุ่งยากอยู่เรื่องหนึ่ง ต้องการให้คุณช่วยสักหน่อย!” เย่เทียนเฉินพูดด้วยรอยยิ้ม

“งั้นเหรอ? พูดมาเถอะ เรื่องอะไร?” ผู้อาวุโสมู่หรงอวี๋ตูเอ่ยถามอย่างพึงพอใจ

เย่เทียนเฉินเองก็ไม่ใช่คนชักช้าอะไร ยิ่งไปกว่านั้นตอนนี้ก็ไม่ใช่เวลาที่จะมายืดเยื้อ ต้องให้ผู้อาวุโสมู่หรงหยุดยั้งตระกูลโอวหยางไว้ชั่วคราว เขาถึงจะสามารถปลีกตัวออกไปกำจัดตระกูลเซวียนเยวี๋ยนได้

“ผู้อาวุโสครับ มันเป็นแบบนี้ โอวหยางเฟยอวิ๋นแห่งตระกูลโอวหยางตายไปแล้ว แล้วผมก็เคยมีเรื่องกับเขามาก่อน แต่ว่าผมไม่ได้เป็นคนทำ มีคนจงใจใส่ร้ายผม ต้องการให้ตระกูลโอวหยางลงมือกับผม แต่สองวันนี้ผมมีธุระเล็กน้อย ไม่มีเวลาจะไปรับมือกับตระกูลโอวหยางจริงๆ ดังนั้นจึงอยากให้ผู้อาวุโสมู่หรงช่วยยับยั้งตระกูลโอวหยางเอาไว้ซักหลายวันน่ะครับ” เย่เทียนเฉินเอ่ยปากพูด

“เป็นแบบนี้เองเหรอ วางใจเถอะ ไม่มีปัญหา เธอวางมือไปทำธุระของเธอซะ ฉันรับประกันเลยว่าตระกูลโอวหยางไม่กล้าลงมือกับตระกูลเย่ของเธอแน่!” มู่หรงอวี๋ตูก็เป็นชายชราที่ตรงไปตรงมาเช่นเดียวกัน เขารับปากในทันที

“ถ้าเป็นแบบนี้ก็ขอบคุณผู้อาวุโสมากครับ!” เย่เทียนเฉินพูดขอบคุณอย่างจริงจัง

“ขอบคุณอะไรกัน ถ้ามีเวลาก็มาเป็นแขกที่บ้านบ้าง เมื่อคืนซินเอ๋อร์ยังพูดถึงเธออยู่เลย? ยังไม่ได้ขอบคุณบุญคุณที่เธอช่วยชีวิตเลย!” มู่หรงอวี๋ตูพูดอย่างยินดี

“ได้ครับ ถ้ามีเวลาจะต้องไปแน่นอน!”

หลังจากวางโทรศัพท์แล้ว เย่เทียนเฉินก็วางใจลงไม่น้อย มู่หรงอวี๋ตูรับปากด้วยตัวเองว่าจะทำให้ตระกูลโอวหยางสงบ เขาก็ไม่มีอะไรต้องกังวล ตอนนี้ก็แค่รอเวลาเที่ยงคืน เพื่อจะไปที่ป่าไผ่บริเวณชานเมืองทางทิศใต้ หลังจากที่พบกับพวกอู๋เสวี่ยแล้ว ก็จะออกเดินทางไปมณฑลชวนเพื่อกำจัดตระกูลเซวียนเยวี๋ยน ถึงแม้อาจจะมีการต่อสู้ที่ยากลำบาก และอาจจะเป็นการต่อสู้นองเลือด แต่หลังจากที่เย่เทียนเฉินมีอำนาจเป็นของตัวเองแล้ว การออกศึกครั้งแรกจะต้องชนะเท่านั้นไม่อาจแพ้ได้

ตอนนี้เอง มู่หรงอวี๋ตูอยู่ในห้องหนังสือและเพิ่งจะวางโทรศัพท์ไป หลานสาวของเขามู่หรงซินสวมชุดเดรสสีขาว ยิ้มอย่างน่ารักพลางเดินเข้ามา ยกน้ำชามาถ้วยหนึ่งวางลงเบื้องหน้ามู่หรงอวี๋ตูผู้เป็นปู่ แล้วเอ่ยปากขึ้นว่า “คุณปู่คะ เมื่อกี้นี้เย่เทียนเฉินโทรมาหรือเปล่าคะ?”

“เด็กคนนี้นี่ ถึงกับกล้าแอบฟังปู่คุยโทรศัพท์เชียวเหรอ จะเสียมารยาทเกินไปหรือเปล่า?” ถึงแม้ว่าปากขอมู่หรงอวี๋ตูจะพูดเช่นนี้ แต่ใบหน้ากลับเจือไปด้วยรอยยิ้มเมตตา เขามีหลานสาวเพียงคนเดียว เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขเพียงหนึ่งเดียวของตระกูลมู่หรง เขาจะไม่รักได้อย่างไร?

สุขภาพของมู่หรงซินผ่านการดูแลรักษามาช่วงหนึ่งแล้วและฟื้นฟูได้อย่างสมบูรณ์แบบ ไม่มีปัญหาใหญ่อะไร ทำให้มู่หรงอวี๋ตูดีใจมาก ตนเองอยู่ในสนามรบมาชั่วชีวิต กลับมาจากพื้นดินทราย ตอนนี้เหลือเพียงเลือดเนื้อเชื้อไขคนเดียวเท่านั้น หากมู่หรงซินถูกพิษสยบจนตายไปจริงๆ มู่หรงอวี๋ตูก็ไม่รู้ว่าจะทำเช่นไรดี

เรื่องที่เย่เทียนเฉินช่วยหลานสาวของตน ช่วยเลือดเนื้อเชื้อไขเพียงหนึ่งเดียวของตระกูลมู่หรงของตน ถึงแม้มู่หรงอวี๋ตูจะไม่ได้พูดอะไรมาก แต่ในใจก็รู้สึกขอบคุณ ดังนั้นไม่ว่าเย่เทียนเฉินจะต้องการอะไร ขอเพียงเขามู่หรงอวี๋ตูสามารถทำได้ ก็จะให้ความช่วยเหลือทั้งหมด ยิ่งไปกว่านั้นมู่หรงอวี๋ตูยังพบว่า ตั้งแต่ที่มู่หรงซินหลานสาวของตนกลับมาที่บ้าน ก็มักจะพูดถึงเย่เทียนเฉิน ถามถึงเย่เทียนเฉินเสมอ ท่าทางหลานสาวของตนคนนี้จะถึงวัยที่จะเริ่มมีความรักแล้ว เรื่องของคนหนุ่มสาวตนเองจะไม่สอดมือเข้าไป ปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติจะดีที่สุด อีกทั้งมู่หรงอวี๋ตูยังมีความประทับใจต่อเย่เทียนเฉินไม่เลวเลยทีเดียว

“ที่ไหนกันคะ หนูมาเสริฟน้ำชาให้คุณปู่ เลยได้ยินโดยไม่ระวังเท่านั้นเอง!” มู่หรงซินพูดอย่างน่ารัก

แน่นอนว่ามู่หรงซินได้ยินเข้าโดยไม่ทันระวัง ในตอนที่ถือถ้วยชาเดินมาถึงหน้าห้องหนังสือของคุณปู่ ก็ได้ยินว่าคุณปู่กำลังคุยโทรศัพท์อยู่ ในตอนที่ได้ยินคำว่า “เทียนเฉิน” สองคำนี้ มู่หรงซินก็ยืนอยู่บริเวณประตูโดยไม่ขยับ ต้องการที่จะฟังว่าเย่เทียนเฉินโทรหาคุณปู่ด้วยเรื่องอะไร จะพูดถึงตนหรือไม่

“ฮ่าๆ ไม่ทันระวังนี่เอง ซินเอ๋อร์ สุขภาพของหลานดีขึ้นบ้างแล้วใช่ไหม?” มู่หรงอวี๋ตูถามหลานสาวอย่างใส่ใจ จากนั้นจึงยกชาขึ้นดื่มด้วยรอยยิ้ม

“ดีแล้วค่ะ ดีหมดแล้ว!” มู่หรงซินพูดแล้วยิ้มอย่างมีชีวิตชีวา

มู่หรงอวี๋ตูพยักหน้าเล็กน้อย คิดว่าการที่หลานสาวสามารถแข็งแรงได้เช่นนี้ สามารถมีชีวิตอยู่ต่อไปได้ก็ต้องขอบคุณเย่เทียนเฉิน ยิ่งไปกว่านั้นหลังจากที่กลับมาถึงบ้าน มู่หรงอวี๋ตูก็ได้ยินมู่หรงซินพูดว่า เป็นเย่เทียนเฉินที่ใช้วิธีเอาชีวิตแลกชีวิตเพื่อช่วยเหลือเธอ ส่วนเรื่องที่ทั้งสองอยู่ในถังไม้ถังเดียวกันโดยที่ร่างกายเปลือยเปล่าและจูบกันนั้น มู่หรงซินย่อมรู้สึกไม่ดีที่จะพูดถึง แต่มู่หรงอวี๋ตูเป็นคนฉลาดระดับไหนกัน ย่อมต้องคิดถึงเรื่องนี้ได้บ้างแล้ว

หากจะกล่าวว่าต้องการให้เย่เทียนเฉินมาเป็นเขยของตนจริงๆ มู่หรงอวี๋ตูก็จะไม่คัดค้าน แต่เรื่องของคนหนุ่มสาวยังต้องรอดูเสียก่อนค่อยว่ากัน จะอย่างไรนี่ก็เป็นเรื่องของโชคชะตา แตงที่เด็ดออกมาก่อนเวลาย่อมไม่หวาน

มู่หรงซินเห็นคุณปู่ของตนไม่ได้พูดอะไรต่อจึงอดไม่ได้ที่จะหันไป เธออยากรู้มากว่าเย่เทียนเฉินกับคุณปู่คุยอะไรกัน และใส่ใจเป็นอย่างมาก แต่ก็กลัวว่าคุณปู่จะไม่ยอมบอกตนจึงกำลังคิดหาวิธี

“คุณปู่คะ เมื่อกี้หนูได้ยินว่าคุณปู่พูดถึงตระกูลโอวหยาง เย่เทียนเฉินมีความสัมพันธ์กับตระกูลนั้นยังไงเหรอคะ?” มู่หรงซินแสร้งทำเป็นถามด้วยความแปลกใจ

“ฮ่าๆ ถ้างั้นหลานสาวของปู่ต้องการฟังเรื่องของเย่เทียนเฉินหรือต้องการฟังเรื่องของตระกูลโอวหยางล่ะ?” มู่หรงอวี๋ตูจงใจพูดด้วยรอยยิ้ม

“อยากฟังหมดเลยค่ะ คุณปู่บอกหนูหน่อยเถอะ หนูจะได้เรียนรู้เอาไว้บ้าง!” มู่หรงซินเดินมาหลังมู่หรงอวี๋ตูผู้เป็นปู่อย่างเฉลียวฉลาด จากนั้นจึงพูดขึ้นพลางทุบหลังให้มู่หรงอวี๋ตู

เมื่อเห็นมู่หรงซินผู้เป็นหลานสาวของตนฉลาดเฉลียวและเปรื่องปราดขนาดนี้ มู่หรงอวี๋ตูก็ปลื้มใจเป็นอย่างมาก จะอย่างไรในตอนนี้มู่หรงซินก็เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขคนสุดท้ายของตระกูลมู่หรง ตนเองก็อายุมากแล้ว สุขภาพแย่ลงทุกวัน ในอนาคตตระกูลมู่หรงอันยิ่งใหญ่จะต้องให้มู่หรงซินรับช่วงต่อ ในตระกูลที่ยิ่งใหญ่มากเกินไป ย่อมมีคนคิดไม่ซื่อเป็นธรรมดา หากมู่หรงซินไม่ฉลาดมากพอ ก็จะถูกคนอื่นคิดร้ายจนสูญเสียตำแหน่งผู้นำตระกูลไป นี่เป็นสาเหตุหนึ่งที่มู่หรงอวี๋ตูต้องการหาลูกเขยมาโดยตลอด แน่นอนว่าตัวเลือกนี้จะต้องผ่านการพิจารณาอย่างเข้มงวด เพราะนี่เกี่ยวพันไปถึงการสืบทอดตระกูลมู่หรง ไม่อาจทำเป็นเล่นได้

“ตระกูลโอวหยางเป็นตระกูลใหญ่ตระกูลหนึ่ง เมื่อปีนั้นในช่วงเปิดประเทศก็ปิดซ่อนตัวตนแล้ว เพราะอำนาจมืดในตระกูลของพวกเขายิ่งใหญ่มาก บุคคลระดับสูงของประเทศย่อมไม่อนุญาตให้ตระกูลที่มีอำนาจมืดอันยิ่งใหญ่เช่นนี้ดำรงอยู่ แบบนั้นจะคุกคามไปถึงความปลอดภัยของชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนคนธรรมดา ดังนั้น ตระกูลโอวหยางจึงปิดซ่อนตัวตนไม่โผล่ออกมาอีก แต่อำนาจของพวกเขาก็ไม่ได้ลดลง เพียงแต่ไม่ได้ขยายออกไปต่อก็เท่านั้น หากรัฐบาลต้องการแตะต้องตระกูลโอวหยาง ก็จำเป็นต้องชั่งน้ำหนักดูให้ดี!” มู่หรงอวี๋ตูพูดพลางขมวดคิ้ว

“ไม่จริงน่ะ กระทั่งรัฐบาลก็ไม่สามารถบีบบังคับให้อำนาจของตระกูลโอวหยางลดลงได้เลยเหรอคะ หากต้องการแตะต้องตระกูลโอวหยางก็ยังต้องดูสถานการณ์ถึงจะทำได้ อำนาจของตระกูลโอวหยางจะต้องยิ่งใหญ่มากแน่ๆ!”

มู่หรงซินคาดเดาได้อย่างชาญฉลาดในเวลาเพียงชั่วพริบตา มีเพียงตระกูลหนึ่งที่ยิ่งใหญ่จนถึงขั้นที่ว่าหากรัฐบาลต้องการแตะต้องพวกเขาก็จะมีผลกระทบและสร้างความสั่นสะเทือนอันยิ่งใหญ่เท่านั้น ถึงจะต้องใคร่ครวญให้ดี ดูท่าตระกูลโอวหยางจะร้ายกาจมากจริงๆ ซ่อนตัวได้อย่างยิ่งใหญ่ นี่อดไม่ได้ที่จะทำให้มู่หรงซินเป็นห่วงเย่เทียนเฉินขึ้นมา

…………

การดวลกันระหว่างยอดฝีมือมักจะเป็นการต่อสู้กันตรงๆ นั่นจึงเป็นความน่ากลัวที่สุด การงัดข้อที่เย่เทียนเฉินพูดก็เหมือนกับตอนตัดสินแพ้ชนะกับเฮยเมี่ยน ถ้าหากทำเพียงต่อสู้อย่างดุเดือดรุนแรง ก็ยังสามารถได้รับชัยชนะด้วยการระดับการต่อสู้และความรวดเร็วได้ แต่การงัดข้อกลับไม่มีวิธีที่เอาชนะได้ด้วยความบังเอิญ เป็นการปะทะกันของพลังโดยสิ้นเชิง ใครที่มีพลังไม่มากพอก็จะต้องแพ้

เฮยเมี่ยนขับรถ มุมปากปรากฏรอยยิ้มเชื่อมั่นในตัวเองขึ้น เขาคิดไม่ถึงว่าเย่เทียนเฉินจะถึงกับเลือกวิธีการงัดข้อแบบนี้ ถึงแม้ว่าในใจจะรู้สึกแปลกใจอยู่บ้าง แต่ก็ไม่กล้าลำพองใจ จะอย่างไรรูปแบบนี้ก็เป็นการปะทะกันของพลังโดยสิ้นเชิง หากไม่แข็งแกร่งมากพอก็จะแพ้อย่างอนาถ แต่ที่เฮยเมี่ยนยิ้มอย่างเชื่อมั่นในตัวเองออกมาเช่นนี้ เป็นเพราะเขาเชื่อว่าเย่เทียนเฉินจะต้องแพ้อย่างแน่นอน หากเป็นการต่อสู้เพียงอย่างเดียว เขาคงไม่มีความมั่นใจพี่จะเอาชนะเย่เทียนเฉินได้ จะอย่างไรคนคนนี้ก็มีความสามารถลึกล้ำไม่อาจคาดเดา ส่วนเรื่องที่แข็งแกร่งขนาดไหนกันแน่ จนถึงตอนนี้ก็ไม่มีใครรู้ แต่หากเป็นการประลองกำลังกันเพียวๆ เฮยเมี่ยนกลับมีความมั่นใจมาก เพราะเขาเป็นคนที่ได้รับฉายา “อาร์มคิง” ในกองกำลังขุนพลระดับฟ้า

ฉายา “อาร์มคิง” นี้ เป็นฉายาอันทรงเกียรติที่ได้รับมาจากการประลองกับขุนพลระดับทัพฟ้าคนอื่นๆ หลายปีมานี้ไม่มีใครเอาชนะตนได้มาก่อน อย่างมากก็มีเพียงคนสองคนในหมู่ขุนพลระดับทัพฟ้าที่แข็งแกร่งเป็นพิเศษ ซึ่งสามารถเสมอกับตนได้

“เห็นแกยิ้มร้ายกาจขนาดนี้ คงมั่นใจมากจริงๆ สินะ!” เย่เทียนเฉินนั่งอยู่บริเวณที่นั่งข้างคนขับ มองไปยังรอยยิ้มเย็นชาของเฮยเมี่ยน อดไม่ได้ที่จะกล่าวออกมา

“หึ ไอ้หนูแกก็ทำตัวดีๆ อยู่ในเมืองหลวงซะเถอะ ทำภารกิจคุ้มครองตงฟางเมิ่งให้สำเร็จก่อนแล้วค่อยมาพูดกัน!” เฮยเมี่ยนแค่นเสียงเย็นแล้วพูดขึ้น

“หวา มั่นใจขนาดนี้ แกกินยาโด๊ปมาหรือไง?” เย่เทียนเฉินถามด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์

“แก…ไอ้หนูมีช่วงเวลาที่จริงจังสักหน่อยได้หรือเปล่า? ฉันประหลาดใจจริงๆ นิสัยเอ้อระเหยลอยชายแบบแก แต่กลับมีฝีมือขนาดนี้ได้ สวรรค์ไร้ตาจริงๆ เลย!” เฮยเมี่ยนพูดด้วยท่าทางจนใจ

“ดูท่าแกจะกินยาโด๊ปมามาก ฉันคงต้องระวังสักหน่อยแล้ว!” เย่เทียนเฉินแสร้งทำเป็นพูดด้วยท่าทางให้ความสำคัญ

“ถ้าแกแพ้ก็อยู่ที่เมืองหลวงดีๆ ซะเถอะ!” เฮยเมี่ยนไม่พูดพร่ำทำเพลง เหยียบคันเร่งมุ่งหน้าตรงไปยังศาลาที่อยู่ไม่ไกล

เมื่อมาถึงในศาลา เฮยเมี่ยนและเย่เทียนเฉินก็นั่งลงตรงกันข้าม ตอนนี้ใครก็ไม่กล้าดูเบาอีกฝ่าย เฮยเมี่ยนรู้ว่าเย่เทียนเฉินแข็งแกร่งมาก เย่เทียนเฉินเองก็รู้ดีว่าเฮยเมี่ยนที่เป็นขุนพลระดับทัพฟ้าคนนี้ ไม่ได้มีชื่อมาเปล่าๆ แข็งแกร่งเป็นอย่างมาก หากไม่ระวังแม้เพียงนิดเดียวตนเองคงจะแพ้ภายใต้น้ำมือของเฮยเมี่ยนจริงๆ ก็เป็นได้ เขาไม่อาจแพ้ได้ จะต้องหาเวลาไปจัดการเรื่องของตระกูลเซวียนเยวี๋ยนและตระกูลโอวหยางก่อนค่อยว่ากันอีกที

เย่เทียนเฉินและเฮยเมี่ยนพับแขนเสื้อขึ้นแทบจะพร้อมกัน เผยให้เห็นกล้ามเนื้อแข็งแกร่งออกมา เมื่อดูจากความแข็งแรงของกล้ามเนื้อแล้ว เฮยเมี่ยนชนะเย่เทียนเฉิน ทั้งสองต่างก็มองกันด้วยความเคร่งขรึมจริงจัง เมื่อถึงตอนนี้ใครก็ไม่กล้าลำพองใจและดูเบาอีกฝ่าย ต่างรู้ว่าอีกฝ่ายแข็งแกร่งมาก

ฟุ่บ!

มือขวาของทั้งสองจับเข้าด้วย และออกแรงแทบจะพร้อมกัน ต้องการโจมตีอีกฝ่ายในเวลาชั่วพริบตา เพียงไม่นานก็ระเบิดพลังการต่อสู้ที่แข็งแกร่งออกมา

ตู้ม!

ตู้ม!

เสียงดังขึ้นสองครั้ง เก้าอี้หินที่เย่เทียนเฉินและเฮยเมี่ยนนั่งต่างแหลกเป็นผุยผงไปหมดแล้ว มากเพียงพอที่จะทำให้เห็นว่าทั้งสองมีพลังในการดวลกันเป็นอย่างมาก ทั่วทั้งศาลาสั่นระริก คล้ายกับเกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ เก้าอี้หินที่เย่เทียนเฉินและเฮยเมี่ยนก็แหลกเป็นผุยผงไปแล้ว แต่เขาทั้งสองกลับยังรักษาท่าทางการนั่งเอาไว้ มือขวาจับมือของอีกฝ่ายแน่น ดวงตาจ้องมองไปที่อีกฝ่าย เพิ่งจะเริ่มก็ใช้แรงเข้าปะทะกันอย่างมหาศาลแล้ว

ถ้าหากมีคนนอกมาเห็นจะต้องตกใจจนคางร่วงแน่นอน เพียงแค่การงัดข้อธรรมดาเท่านั้น ถึงกับเกิดภาพเหตุการณ์รุนแรงเช่นนี้ได้ ภายในศาลาทั้งหมดเต็มไปด้วยบรรยากาศของพลังอันแข็งแกร่ง หากคนธรรมดาเข้ามาใกล้ เป็นไปได้มากว่าจะถูกโจมตีจนบาดเจ็บ เห็นได้ว่าเย่เทียนเฉินกับเฮยเมี่ยนไม่ได้ทำเป็นเล่น แต่ดวลกันอย่างจริงจัง

ตอนนี้เอง ม้านั่งที่เย่เทียนเฉินและเฮยเมี่ยนนั่งไม่เพียงแต่จะแหลกเป็นผุยผง กระทั่งโต๊ะหินที่พวกเขาวางมือก็ปรากฏรอยร้าวขึ้นมาแล้ว มีแนวโน้มว่าจะพังทลายไปได้ทุกเมื่อ พลังของทั้งสองมหาศาลจนทำให้ผู้คนต้องเย็นสันหลังเลยทีเดียว

“คิดไม่ถึงเลยว่าพลังของแกจะไม่เบาจริงๆ!” เฮยเมี่ยนพูดกับเย่เทียนเฉินด้วยรอยยิ้ม

“แกก็ไม่อ่อนเลย!” เย่เทียนเฉินเองก็ตอบไปตามใจ

ตอนนี้ในใจของเย่เทียนเฉินและเฮยเมี่ยนต่างสั่นสะท้านเป็นอย่างมาก เมื่อเย่เทียนเฉินลงมือก็ใช้พลังในขอบเขตจอมราชันออกมาจนแทรกซึมอยู่ในมือขวา เรียกได้ว่าพลังที่เพิ่มขึ้นไม่ใช่น้อยๆ แต่ก็ไม่สามารถ จัดการเฮยเมี่ยนได้ นี่อยู่เหนือการคาดเดาของเขาไปมาก

ส่วนในใจของเฮยเมี่ยนก็ยิ่งรู้สึกสั่นสะท้าน เขาที่ได้รับฉายาว่า “อาร์มคิง” ในหมู่ขุนพลระดับทัพฟ้า ก็ไม่ได้ได้รับฉายามาเปล่าๆ ไม่ต้องพูดถึงเรื่องการใช้พลังภายในเลย แค่พลังของกล้ามเนื้อเพียวๆ ก็มีแค่ไม่กี่คนที่เป็นคู่ต่อสู้ของเฮยเมี่ยนได้ ยิ่งไปกว่านั้นในตอนที่เพิ่งจะเริ่ม เฮยเมี่ยนยังขับเคลื่อนพลังภายในของตนเพื่อไปกระตุ้นที่แขนขวา ต้องการที่จะเอาชนะเย่เทียนเฉิน สั่งสอนเจ้าหมอนี่สักหน่อย ให้เย่เทียนเฉินรู้ถึงความร้ายกาจของขุนพลระดับทัพฟ้า ไหนเลยจะรู้ว่าทั้งสองต่างมีความคิดที่จะจัดการอีกฝ่ายอย่างรวดเร็ว เพิ่งจะเริ่มก็ระเบิดพลังที่แข็งแกร่งขนาดนี้ออกมาแล้ว เฮยเมี่ยนก็ตกใจจนยากที่จะเชื่อ จะอย่างไรเขาก็คิดไม่ถึงว่าเย่เทียนเฉินจะแข็งแกร่งจนถึงขั้นนี้ได้

“ดูท่าพวกเราคงจะต้องทำให้ที่นี่ราบเป็นหน้ากลองแล้ว!” เฮยเมี่ยนมองไปยังศาลาที่สั่นระริก พลังของเขาและเย่เทียนเฉินปะทะกัน ใช้ความสามารถโจมตีใส่กัน ไม่ยอมถอยให้แก่กัน แข็งแกร่งเป็นอย่างมาก เกรงว่าอีกไม่กี่นาทีศาลาแห่งนี้ก็คงพังแน่นอน

“วางใจเถอะ เดี๋ยวก็ออกแรงเต็มกำลังซะ ศาลาแห่งนี้ไม่พังหรอก เพราะแกเอาชนะฉันไม่ได้!” เย่เทียนเฉินพูดด้วยรอยยิ้ม

เฮยเมี่ยนขมวดคิ้ว คิดไม่ถึงว่าไอ้หนูเย่เทียนเฉินนี่จะดูถูกตนเช่นนี้ ต่อให้ท่าทางของอีกฝ่ายจะทำให้แปลกใจ แต่จนกระทั่งตอนนี้ทั้งสองก็เรียกได้ว่าเสมอกันเท่านั้น เย่เทียนเฉินถึงกับกล้าพูดแบบนี้ออกมา จะเป็นการไม่เห็นเขาเฮยเมี่ยนอยู่ในสายตาเกินไปหรือเปล่า?

“ในเมื่อไอ้หนูอย่างแกเชื่อมั่นในตัวเองแบบนี้ ฉันก็จะทำลายมือขวาของแกซะ!” เฮยเมี่ยนพูดอย่างดุดัน

“มาเถอะ!” เย่เทียนเฉินตะโกนออกมา!

จนถึงตอนนี้เย่เทียนเฉินยังคงยั่วยุเฮยเมี่ยนอยู่ เขาจงใจทำ เพราะต้องการให้เฮยเมี่ยนลงมือเต็มกำลัง เย่เทียนเฉินอยากจะเห็นสักหน่อยว่า ขุนพลระดับทัพฟ้าแข็งแกร่งขนาดไหน ถ้าหากแข็งแกร่งมากพอเขาก็คิดจะไปฝ่าด่านของขุนพลระดับฟ้าสักหน่อย จะต้องสนุกแน่นอน ถ้าหากไม่แข็งแกร่งมากพอเขาก็ไม่จำเป็นต้องไปเล่น

“อ๊าก!”

เฮยเมี่ยนและเย่เทียนเฉินดูเหมือนจะตะโกนออกมาพร้อมกัน ในขณะที่เย่เทียนเฉินกำลังพูดก็กางเขตแดนปิดกั้นออกมาแล้ว เพราะไม่อยากให้คนนอกมาเห็น และไม่ต้องการให้ศาลาแห่งนี้พังลง

ในเวลาเพียงชั่วพริบตา เย่เทียนเฉินอดไม่ได้ที่จะตกใจจนหน้าซีด เนื่องจากเฮยเมี่ยนตะโกนออกมาครั้งหนึ่ง ขาทั้งสองของเขาก็เหยียบแผ่นหินใต้เท้าจนสลายเป็นผง กล้ามเนื้อที่มือขวาบวมเป่งออกมา เส้นเลือดสีเขียวปรากฏขึ้น มีไอพลังงานที่แข็งแกร่งไหลทะลักโจมตีออกมา ทำให้ผู้คนตกตะลึงมากจริงๆ ความสามารถของเฮยเมี่ยนที่เป็นขุนพลประดับฟ้าแข็งแกร่งมาก พลังภายในก็แข็งแกร่งถึงขนาดนี้เชียวหรือ

เย่เทียนเฉินย่อมไม่กล้าลำพองใจ ในชั่วพริบตาพลังพิเศษในขอบเขตจอมราชันของตนก็พุ่งทะยานขึ้นไปจนถึงขีดสุด ทำการดวลเป็นครั้งสุดท้ายกับเฮยเมี่ยน

แค่การงัดข้อเล็กๆ เท่านั้น ในสายตาของคนทั่วไปนั้นธรรมดาจนไม่อาจธรรมดาไปมากกว่านี้ได้ แต่เมื่ออยู่ต่อหน้ายอดฝีมือระดับสูงอย่างเย่เทียนเฉินและเฮยเมี่ยน การประลองที่ธรรมดาที่สุดแบบนี้กลับสามารถสะท้อนให้เห็นถึงพลังการต่อสู้ที่แข็งแกร่งที่สุดออกมาได้ หากไม่ใช่ว่าเย่เทียนเฉินกางเขตแดนปิดกั้นออกมาค้ำยันศาลาเล็กๆ อย่างนี้เอาไว้ และรักษาสมดุล เกรงว่าคงระเบิดจนกลายเป็นฝุ่นไปนานแล้ว

ปัง!

หลังจากเสียงดังสนั่น ในศาลาเล็กๆ ก็เต็มไปด้วยเศษฝุ่น เย่เทียนเฉินและเฮยเมี่ยนคุกเข่าครึ่งหนึ่งอยู่บนพื้น รอจนกระทั่งฝุ่นควันหายไป พวกเขาทั้งสองต่างก็จ้องมองอีกฝ่าย พบว่าทั้งสองนั่งคุกเข่าครึ่งนึงอยู่บนพื้น มือขวาและมือขวายังคงจับกันอยู่ ส่วนเก้าอี้หินที่พวกเขานั่งก็กลายเป็นเศษหินไปนานแล้ว โต๊ะหินที่มือทั้งสองวางเอาไว้ก็แตกเป็นสี่ห้าส่วน แต่มือของทั้งสองยังคงจับกันอยุ่ รักษาท่าทางดั้งเดิมเอาไว้ได้

บริเวณฝ่ามือขวาของเย่เทียนเฉินมีเลือดไหลออกมา เหมือนกับถูกไอพลังอันมหาศาลบาดอย่างไรอย่างนั้น ส่วนมือขวาของเฮยเมี่ยนไม่มีการเสียหายใดๆ เลย แต่หากมองให้ละเอียดจะพบว่าบิดงอไปเล็กน้อย ทั้งสองเพิ่งจะใช้พลังเต็มที่ นำพลังการต่อสู้ทั้งหมดรวบรวมเอาไว้ที่มือขวา แล้วทำการดวลกันครั้งใหญ่อย่างที่คนนอกไม่อาจสัมผัสได้

“สองวัน สองวันเท่านั้น ฉันจะรีบกลับมา ในเมื่อฉันตอบรับคำของท่านหยางแล้ว ก็จะต้องทำให้ได้!” เย่เทียนเฉินพูดกับเฮยเมี่ยนด้วยรอยยิ้ม

“ทางที่ดีแกก็รักษาคำพูดหน่อยเถอะ!” เฮยเมี่ยนมองเย่เทียนเฉินก็พูดขึ้น

“ขอบคุณมาก!” เย่เทียนเฉินยิ้มแล้วคลายมือออก!

เมื่อเห็นเงาหลังของเย่เทียนเฉินกำลังเดินจากไป เฮยเมี่ยนก็ชะงักไปครู่หนึ่ง ในใจเต็มไปด้วยความประหลาดใจ การดวลของเขากับเย่เทียนเฉิน บางทีอาจจะเรียกได้ว่า หากมียอดฝีมือระดับสูงอยู่ด้วยก็ไม่แน่ว่าจะมองผลแพ้ชนะออก เพราะหลังจากที่เย่เทียนเฉินและเฮยเมี่ยนระเบิดพลังที่แข็งแกร่งที่สุดของตนออกมา ก็ยืนอยู่กับที่โดยไม่เคลื่อนไหว

“ให้ตายเถอะ ท่าทางต้องฝึกความแข็งแรงของกล้ามเนื้อเพิ่มซะแล้ว เฮยเมี่ยนแข็งแกร่งมากจริงๆ ดูท่าหากมีโอกาสฉันจะต้องไปเล่นฝ่าด่านขุนพลระดับทัพฟ้าสักหน่อยแล้ว ถือโอกาสฝึกฝนกายเนื้อของตัวเองไปด้วย!” เย่เทียนเฉินเดินไปพลางมองไปยังอาการบาดเจ็บบริเวณง่ามนิ้วที่ถูกบดขยี้ในมือขวาของตน อดไม่ได้ที่จะส่ายหัวแล้วพูดขึ้นมา ตอนนี้กล้ามเนื้อไม่อาจรับพลังที่มากเกินไปได้จริงๆ ต่อให้ตนเองสามารถทะลวงไปยังขอบเขตจักรพรรดิได้ ก็ไม่กล้าไปลองมั่วๆ แน่

ส่วนเฮยเมี่ยนก็มองเย่เทียนเฉินแล้วใช้มือซ้ายบิดข้อมือขวาของตนเล็กน้อย จากนั้นจึงเดินไปนั่งในรถจี๊ปทหารแล้วขับออกไป เหลือไว้เพียงพื้นหินที่แหลกเป็นผุยผง มีเพียงตำแหน่งที่เย่เทียนเฉินและเฮยเมี่ยนวางมือเท่านั้นที่ยังสมบูรณ์ไม่เสียหาย รอยประทับตอนที่เฮยเมี่ยนวางมือ ค่อยๆ เลื่อนไปทางซ้ายเล็กน้อย เลื่อนไปเล็กน้อยเท่านั้น หากไม่มองให้ดีก็คงมองไม่ออก…

………….

“ชิงเฉิงเยว่?”

เย่เทียนเฉินขมวดคิ้ว เมื่อได้ยินชื่อนี้แล้วก็สามารถคาดเดาได้ถึงใบหน้างดงามของผู้หญิงคนนี้เลยทีเดียว มิเช่นนั้นคงไม่กล้าใช้ชื่อแบบนี้แน่ ยิ่งไปกว่านั้นในตอนที่เฮยเมี่ยนพูดถึงก็จริงจังเป็นอย่างมาก เห็นได้ว่าเมื่อดูจากข้อมูลที่อยู่ในมือของพวกเขา ผู้หญิงที่ชื่อว่าชิงเฉิงเยว่คนนี้ คงจะเป็นคนที่ร้ายกาจที่สุดในหมู่สุดยอดสาวงามแห่งพรรควรยุทธโบราณแล้ว

จนถึงตอนนี้เย่เทียนเฉินก็เข้าใจกระจ่างแล้วว่า การที่ท่านหยางต้องการให้ตนไปที่มหาวิทยาลัยหลงเถิง จุดสำคัญก็คือผู้หญิงที่ชื่อตงฟางเมิ่งนี้ เพราะตงฟางเมิ่งไม่เพียงแต่จะเป็นผู้หญิงที่ได้รับเลือกให้เป็นดาวมหาวิทยาลัยสามปีซ้อน และยังเป็นเพราะเธอเป็นหนึ่งในสี่สุดยอดสาวงามแห่งพรรควรยุทธโบราณอีกด้วย ครั้งนี้สุดยอดสาวงามทั้งสี่ของพรรควรยุทธโบราณจะทำการประลองกัน และในหมู่พวกเธอชิงเฉิงเยว่แข็งแกร่งที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย การประลองระหว่างพรรควรยุทธโบราณเช่นนี้สามารถกล่าวได้ว่าเป็นตายอยู่ที่ฟ้ากำหนด ใครก็ไม่อาจควบคุมได้ คนระดับสูงของทางรัฐบาลคงจะไม่ต้องการให้ตงฟางเมิ่งเกิดอุบัติเหตุอะไรขึ้นจึงได้ให้ตนไปคุ้มครองอยู่ลับๆ

เพียงแต่น่าเสียดายที่เย่เทียนเฉินเอาแต่เอ้อระเหยทั้งวัน ยิ่งกว่านั้นยังมีเรื่องเกิดขึ้นไม่น้อย ดังนั้นจนถึงตอนนี้กระทั่งตงฟางเมิ่งเป็นอย่างไรก็ยังไม่เคยเห็น กลายเป็นว่าในคณะโบราณคดีได้มีผู้หญิงที่ไม่ธรรมดาคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้น นั่นก็คือฉินเหยาเยว่ ผู้หญิงคนนี้แข็งแกร่งมากอย่างไม่ต้องสงสัย โดยเฉพาะเคล็ดวิชาสะกดใจนั้นเกือบจะทำให้เย่เทียนเฉินหลงใหลไปแล้ว ไม่กล่าวไม่ได้ว่าผู้หญิงคนนี้ไม่ธรรมดาเลยจริงๆ

เย่เทียนเฉินมีความสนใจต่อฉินเหยาเยว่มาก ผู้หญิงคนนี้อายุน้อยเพียงเท่านี้ ก็มีเคล็ดวิชาสะกดใจที่โดดเด่นในใต้หล้าแล้ว คงจะเป็นศิษย์ที่แข็งแกร่งของพรรควรยุทธโบราณสักพรรคแน่นอน แต่เหตุใดจึงได้เข้ามาในเมือง ยิ่งไปกว่านั้นยังกลายมาเป็นอาจารย์ที่ปรึกษาของคณะโบราณคดีของมหาวิทยาลัยหลงเถิงด้วย? หรือจะกล่าวว่าฉินเหยาเยว่ชอบชีวิตในเมือง ชอบเป็นครูที่ปรึกษาสาวสวย เย่เทียนเฉินไม่เชื่อโดยเด็ดขาด ดังนั้นจึงต้องการทำให้กระจ่างชัดว่าเธอมีเป้าหมายอะไรกันแน่

“ใช่แล้ว ผู้หญิงคนนี้แข็งแกร่งมาก การประลองของสี่สุดยอดสาวงามแห่งพรรควรยุทธโบราณในครั้งนี้ก็เป็นสำนักของชิงเฉิงเยว่ที่เป็นผู้เริ่มขึ้น หรือบางทีอาจจะเป็นอาจารย์ของชิงเฉิงเยว่จัดขึ้นเพราะต้องการส่งต่อตำแหน่งหัวหน้าสำนักให้แก่ชิงเฉิงเยว่ก็ได้ และเป็นการจัดเตรียมให้เธอมีชื่อเสียงโด่งดังสะท้านไปทั่ว!” เฮยเมี่ยนคิดครู่หนึ่งแล้วกล่าวขึ้น

เมื่อได้ยินคำพูดของเฮยเมี่ยนเย่เทียนเฉินก็รู้สึกแปลกใจ ถึงแม้เขาจะเป็นผู้มีพลังพิเศษ ไม่คุ้นเคยกับเรื่องของพรรควรยุทธโบราณเหล่านี้ แต่อย่างน้อยก็เข้าใจอยู่สามจุด จุดแรก พรรควรยุทธโบราณที่สืบทอดมาจากหลายพันปีที่แล้วจนมาถึงตอนนี้ได้ย่อมไม่ใช่ผู้อ่อนแออย่างแน่นอน ศิษย์ที่พวกเขาเลี้ยงดูออกมาแต่ละคนล้วนเป็นยอดฝีมือชั้นสูง ไม่อาจดูเบาได้ จุดที่สองก็คือ ในหมู่พรรควรยุทธโบราณ มีความลับที่คนอื่นไม่รู้อยู่ กระทั่งอาจจะเกี่ยวข้องกับเรื่องของเคล็ดวิชาอมตะก็เป็นได้ กระทั่งจางอีเต๋อก็พูดว่า ค่ายกลเคลื่อนย้ายในตำนานที่สามารถทำให้เดินทางไปยังดาวจักรพรรดิได้ บางทีอาจจะมีบันทึกเอาไว้ในตำราลับของพรรควรยุทธโบราณนั้น จุดที่สามก็คือ ดูเหมือนว่าการสืบทอดเจ้าสำนักทุกคนจะต้องรอให้เจ้าสำนักคนก่อนใกล้จะตายเสียก่อนจึงจะมีเจ้าสำนักคนใหม่ปรากฏตัวขึ้นมา นี่เป็นกฎเกณฑ์ที่สืบทอดกันมาหลายพันปีแล้ว และเพื่อไม่ให้ศิษย์ในสำนักฆ่าฟันเพื่อแย่งชิงตำแหน่งกันเอง จึงจะได้รู้ว่าใครจะเป็นเจ้าสำนักคนต่อไปในตอนที่เจ้าสำนักคนก่อนใกล้จะตายเท่านั้น แน่นอนว่านี่ก็มีข้อยกเว้น เช่นการที่ศิษย์ในสำนักยอดเยี่ยมเกินไป คนที่เป็นอาจารย์จึงลงจากตำแหน่งก่อน ชิงเฉิงเยว่ก็เป็นผู้หญิงแบบนี้ เห็นได้ชัดว่าแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก

“งั้นพวกเธอสี่คนจะประลองกันเมื่อไหร่? สถานที่คือที่ไหน? ฉันยุ่งมาก คงไม่สามารถไปตามเฝ้าผู้หญิงสี่คนนี้ได้ทั้งวันหรอก?”เย่เทียนเฉินเอ่ยถาม

“ไอ้หนูแกอย่าลืมสิว่าแกตอบรับท่านผู้นำสูงสุดและท่านหยางไปแล้ว ถ้าหากตงฟางเมิ่งมีอันตรายอะไร แกเองก็หนีความผิดไม่พ้น!” เฮยเมี่ยนพูดอย่างไม่สบอารมณ์

“ฉันรู้แล้ว แต่ฉันมีเรื่องเร่งด่วนจริงๆ เอาแบบนี้แล้วกัน งั้นแกก็ช่วยฉันเฝ้าไปก่อนซักหลายวัน หากผู้หญิงสี่คนนี้ไม่มีการประลองอะไรก่อนที่ฉันจะกลับมาเมืองหลวง ฉันก็จะมาเฝ้าต่อเอง ถ้าหากพวกเธอประลองกันแล้ว แกก็ออกหน้าคุ้มครองตงฟางเมิ่งไปก่อน ฉันคิดว่าด้วยฝีมือของแกเรื่องพวกนี้คงเป็นเรื่องเล็ก!” เย่เทียนเฉินพูดแล้วมองไปยังเฮยเมี่ยนก่อนจะหัวเราะฮี่ๆ

“ฉันว่าแกคิดจะโกงล่ะสิท่า จะมองเรื่องนี้ง่ายเกินไปหรือเปล่า? ถ้าหากพวกเราสามารถออกหน้าได้ยังต้องมาหาแกอีกหรือไง? ยังไงก็ตามฉันนำคำพูดของท่านหยางมาบอกต่อแล้ว ส่วนจะทำยังไงก็เป็นเรื่องของแก!” เฮยเมี่ยนมองเย่เทียนเฉิน เมื่อพูดจบก็เข้าไปนั่งในรถจี๊ปทหาร

ที่ท่านหยางและท่านผู้นำสูงสุดเลือกส่งเย่เทียนเฉินมาดำเนินการภารกิจนี้ เห็นได้ชัดว่าเป็นเพราะเขาไม่ใช่คนที่อยู่ในกองทหารประจำการของประเทศ ทุกการกระทำไม่ได้สื่อถึงเจตนาของบุคคลระดับสูงของประเทศ นอกจากนี้พวกท่านผู้นำสูงสุดต้องการให้เย่เทียนเฉินพัฒนาไปเป็นบุคคลผู้มีความสามารถที่ใช้ประโยชน์ได้ของประเทศ และใช้ประโยชน์ความสามารถในการต่อสู้ที่น่ากลัวของเขาเพื่ออุทิศให้แก่ประเทศชาติ มิฉะนั้นเย่เทียนเฉินที่ก่อเรื่องมากมายขนาดนี้ คนระดับสูงของประเทศคงไม่ออกหน้าสงบเรื่องให้เขาทั้งยังช่วยเขาจัดการปัญหาแน่นอน

“นี่ เฮยเมี่ยน พี่ดำ พี่มืด…พวกเรามาตกลงกันสักหน่อยดีกว่า แกช่วยฉันจับตาดูสักสองวันเถอะ วันนี้ฉันไปมณฑลชวนก็จะกลับมาแล้ว ไม่มีปัญหาใช่หรือเปล่า?” เย่เทียนเฉินรีบดึงเฮยเมี่ยนเอาไว้แล้วพูดด้วยรอยยิ้ม

เฮยเมี่ยนอับจนคำพูดโดยสิ้นเชิง จ้องมองเย่เทียนเฉินอย่างดุดันครั้งหนึ่ง เวลาเพียงชั่วพริบตาตนเองก็มีฉายาเพิ่มมาอีกสองฉายาแล้ว นั่นก็คือพี่ดำกับพี่มืด (ทำไมฟังแล้วถึงได้คิดว่าเขาเฮยเมี่ยนมาจากแอฟริกานะ) ถูกเย่เทียนเฉินทำให้หัวเราะไม่ออกร้องไห้ไม่ได้จริงๆ นิสัยของคนคนนี้ทำให้เขามองไม่ออกเลยจริงๆ

“ไอ้หนู…ฉันอยากจะบดขยี้แกสักครั้งจริงๆ !” เฮยเมี่ยนกำหมัดแน่นแล้วพูดขึ้น

“งั้นเหรอ? ฉันเองก็อยากอัดแกอยู่เหมือนกัน พวกเรามาพนันกันหน่อยเป็นไง?” ทันใดนั้นเย่เทียนเฉินก็มองไปยังเฮยเมี่ยนอย่างจริงจังแล้วพูดขึ้น

“พนัน? ฉันยุ่งมาก ไม่มีเวลาไปเล่นกับแกหรอก…” เฮยเมี่ยนพยายามอดกลั้นเอาไว้ เขาเป็นขุนพลระดับทัพฟ้า ซึ่งดูเหมือนจะเป็นหนึ่งในกองกำลังที่มีความสามารถในการต่อสู้แข็งแกร่งที่สุดในหมู่กองทัพแห่งประเทศจีน มีเวลาไปเล่นเป็นเพื่อนไอ้หนูนี่ที่ไหนกัน

“แกมีฐานะเป็นขุนพลระดับทัพฟ้า กระทั่งการท้าทายของฉันก็ไม่กล้ารับ จะอ่อนไปหรือเปล่า? หรือขุนพลระดับทัพฟ้าอย่างพวกแกคงมีความสามารถแค่นี้ กระทั่งการท้าทายเล็กๆ ก็ไม่กล้ารับ?” เย่เทียนเฉินพูดพลางส่ายหน้า

“ไอ้หนูแกอย่าได้มาใช้วิธีการยั่วยุฉันเลย ฉันไม่เล่นด้วยหรอก…” เฮยเมี่ยนพูดเสียงเย็น

“ฉันกำลังใช้วิธีการยั่วยุอยู่ไง และจะลองทดสอบฝีมือของขุนพลระดับทัพฟ้าอย่างแกดูด้วย ว่ากันว่าขุนพลระดับทัพฟ้าของประเทศจีนน่ากลัวกว่ากองกำลังพลังพิเศษของประเทศ M อีก ฉันดูจากความสามารถของแกแล้วก็ไม่ถึงขนาดนั้นหรอก!” เย่เทียนเฉินมองไปยังเฮยเมี่ยนแล้วพูดอย่างจริงจัง

“ได้ ฉันก็อยากจะเห็นว่าไอ้หนูอย่างแกร้ายกาจขนาดไหน พูดมาเถอะ จะพนันอะไร?” เฮยเมี่ยนเดินลงมาจากรถจี๊ปทหาร กำหมัดแน่นแล้วเอ่ยถามขึ้นมา

ความจริงในใจของเฮยเมี่ยนโมโหเย่เทียนเฉินมาโดยตลอด และรู้สึกไม่พอใจคนคนนี้อยู่บ้างที่มีท่าทางเอ้อระเหยลอยชายมาตลอด โดยเฉพาะในตอนที่เข้าพบท่านผู้นำสูงสุดและท่านหยาง ก็ทำตัวตามสบาย ไม่มีกฎเกณฑ์ไม่มีวินัยเลยแม้แต่น้อย เมื่อได้รับคำสั่งของพวกท่านหยาง ไหนเลยเย่เทียนเฉินจะไปทำตามคำสั่ง ดูเหมือนจะทำตัวบ้าบิ่นทั้งยังชอบต่อรองอีกด้วย ทำให้เฮยเมี่ยนคิดจะลงมือสั่งสอนเย่เทียนเฉินมานานแล้ว

เพียงแต่ว่าเฮยเมี่ยนมีฐานะเป็นขุนพลระดับทัพฟ้า มีระเบียบวินัยที่เข้มงวด นอกจากตอนที่ทำภารกิจแล้วก็ไม่อนุญาตให้ลงมือตามใจ ไม่เช่นนั้นคงอดไม่ได้ที่จะลงมือสังหารเย่เทียนเฉินไปตั้งนานแล้ว ตอนนี้ในเมื่อเย่เทียนเฉินท้าทายตนแบบนี้ ต่อให้รู้ว่าไอ้หนูนี่ใช้วิธีการยั่วยุ เฮยเมี่ยนก็พร้อมรับคำท้าทาย เพราะเขามีความมั่นใจในฝีมือของตนมาก

เย่เทียนเฉินแข็งแกร่งมากนี่เป็นความจริง เฮยเมี่ยนดูออก แต่หลังจากเขาประเมินและคำนวณแล้ว ถ้าหากตนลงมือเต็มกำลังคงจะสามารถเอาชนะเย่เทียนเฉินได้

เย่เทียนเฉินเห็นว่าเฮยเมี่ยนติดกับแล้วก็อดไม่ได้ที่จะแอบหัวเราะอยู่ในใจ แต่การแสดงท่าทางยังคงเข้มงวดจริงจัง จ้องมองไปยังเฮยเมี่ยนแล้วพูดขึ้นอย่างจริงจังว่า “ฉันก็อยากจะตัดสินแพ้ชนะกับแกมานานแล้ว!”

“พูดจาไร้สาระให้มันน้อยๆ หน่อย จะแข่งกันยังไงพูดมา!” เฮยเมี่ยนเองก็เป็นคนที่เด็ดขาดคนหนึ่ง ในเมื่อตัดสินใจที่จะลงมือสั่งสอนเย่เทียนเฉินแล้วก็จะรีบสู้รีบจบให้เร็ว

“ได้ ถ้าหากว่าแกแพ้แกก็ช่วยฉันจับตามองตงฟางเมิ่งสักหลายวัน จนถึงตอนที่ฉันกลับมา ถ้าหากฉันชนะ แกก็ช่วยฉันจับตามองตงฟางเมิ่งสักหลายวันจนถึงเวลาที่ฉันกลับมา!” เย่เทียนเฉินพูดด้วยรอยยิ้ม

“อือ หือ? ไอ้หนูแกล้อฉันเล่นหรือไง…ถ้าหากแก้แพ้ ไม่ว่าแกจะมีเรื่องอะไรก็ต้องจัดการเรื่องของการประลองของสี่สุดยอดสาวงามแห่งพรรควรยุทธโบราณก่อน แล้วค่อยไปทำเรื่องของตัวเอง!” เดิมทีเฮยเมี่ยนพยักหน้าตอบรับไปแล้ว ไหนเลยจะรู้ว่าเมื่อคิดดูจะมีบางอย่างไม่ถูกต้อง เย่เทียนเฉินคนนี้เกือบจะทำให้ตนออกนอกประเด็นไปแล้ว

“เอาเถอะ ฉันจะจำใจตอบรับก็ได้!” เย่เทียนเฉินทำท่าทางไม่ได้รับความยุติธรรมแล้วกล่าวออกมา

“แก…วันนี้ฉันจะอัดแกซะไอ้หนู!”

เฮยเมี่ยนพูดพลางกำหมัดทั้งสองแน่น เตรียมจะเริ่มโจมตีเย่เทียนเฉิน ไหนเลยจะรู้ว่าเย่เทียนเฉินกับทำท่าทางหยุดเอาไว้ จากนั้นจึงโบกมือให้เฮยเมี่ยน พูดขึ้นอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “แกดูเถอะ ตอนนี้พวกเราอยู่ในสังคมที่มีอารยธรรม สิ่งสำคัญก็คือความสามัคคีกลมเกลียว เรื่องน่าขายหน้าแบบการทะเลาะกันบนถนน แกทำได้งั้นเหรอ? แกคิดว่าแกอายุสามสี่ขวบหรือไง? ตอนฉันอายุสามสี่ขวบก็เลิกทะเลาะกันแล้ว การทะเลาะกันมันไม่ถูก ไม่เป็นผลดีกับความสงบสุขของโลก!”

เมื่อเห็นเย่เทียนเฉินพูดกับตนด้วยท่าทางเคร่งขรึมเช่นนี้ บนใบหน้าเจือไปด้วยความไม่ได้อย่างใจ เหมือนกับกำลังสั่งสอนลูกของตนอย่างไรอย่างนั้น เฮยเมี่ยนก็โกรธจนดวงตาทั้งสองแดงก่ำ บนหมัดปรากฏเส้นเลือดสีเขียวขึ้น อยากจะอัดเจ้าหมอนี่สักหมัดจริงๆ

“แม่งเอ้ย ไอ้หนูจะบอกมาว่าจะแข่งกันยังไง?” เฮยเมี่ยนอดไม่ได้ที่จะสบถออกมา

เย่เทียนเฉินอดไม่ได้ที่จะแอบหัวเราะ จากนั้นจึงมองไปรอบๆ ทันใดนั้นจึงเห็นศาลาแห่งหนึ่งอยู่ไม่ไกล ที่นั่นมีเก้าอี้หินและโต๊ะหินอยู่ จึงชี้ไปตรงนั้นแล้วพูดขึ้นว่า “งัดข้อกันเป็นไง?”

“หึ ได้ ระวังมือของแกจะหักก็แล้วกัน!” เฮยเมี่ยนได้ยินคำพูดนี้ของเย่เทียนเฉินก็ยิ้มอย่างลำพองใจ

“ลองดูก็รู้แล้วไม่ใช่หรือไง?” เย่เทียนเฉินเองก็เอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม

ทั้งสองเข้าไปนั่งในรถจิ๊บทหารของเฮยเมี่ยนเพื่อมุ่งตรงไปยังศาลาเล็กๆ ที่อยู่ไม่ไกล ถึงแม้ท่าทางของพวกเขาทั้งสองจะแย้มยิ้ม แต่ความจริงให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก ต่างลอบเดินพลังในร่างกายของตนอย่างลับๆ ไม่ว่าใครก็ไม่อยากแพ้ ราวกับว่าการงัดข้อเล็กๆ จะเป็นการปะทะกันของพลังอันยิ่งใหญ่ ดุเดือดยิ่งกว่าการต่อสู้อันรุนแรงเสียอีก

……….

หลังจากกินข้าวเช้าเสร็จแล้ว เย่เชี่ยนเหวินก็ไปโรงเรียน ส่วนหลัวเยี่ยนและฉีหรูเสวี่ยก็ไปเดินช็อปปิ้ง ดูเหมือนว่าฉีหรูเสวี่ยจะถูกแม่ร้องขอให้อยู่ต่ออีกครั้ง เย่เทียนเฉินไม่รู้จริงๆ ว่าจะพูดอะไรดี ช่างเถอะ ขอเพียงแม่ชอบเธอก็พอ ส่วนท่าทางที่ตนมีต่อฉีหรูเสวี่ย ไม่อาจเรียกได้ว่าชอบ และไม่อาจเรียกได้ว่าเกลียด

“เทียนเฉิน ต้องไปเรียนเร็วๆ หน่อยนะลูก ตั้งใจเรียนด้วย!” ก่อนที่หลัวเยี่ยนจะออกไปก็ได้กล่าวกำชับกับเย่เทียนเฉิน

“วางใจเถอะครับแม่ ผมจะต้องเอาใบจบปริญญาโทกลับมาให้แม่แน่นอนครับ!” เย่เทียนเฉินตอบแล้วหัวเราะ

เย่เทียนเฉินนอนลงบนโซฟาแล้วหาวออกมาครั้งหนึ่ง คว้าโทรศัพท์ของตนออกมาดู ด้านบนมีสายที่ไม่ได้รับอยู่หนึ่งสาย และมีข้อความอยู่หนึ่งข้อความ ดูเหมือนจะส่งมาสักพักแล้ว เบอร์ที่ไม่ได้รับเป็นของซูเฟยเฟย ส่วนข้อความเป็นเสี้ยวหยาที่ส่งมา

“เทียนเฉิน ทำไมนายยังไม่ถึงมหาวิทยาลัยอีก? ดูเหมือนช่วงนี้พี่อวี่สวิ๋นจะบอกว่าไม่ได้มาเรียน ไม่รู้ว่าทำไม แต่ฉันเป็นห่วงมาก!”

เมื่ออ่านข้อความของเสี้ยวหยาแล้ว เย่เทียนเฉินก็ยิ้มพลางส่ายหัวเล็กน้อย เสี้ยวหยาเป็นคนใจดีมาก ส่วนเรื่องระหว่างตนกับหลิงอวี่สวิ๋น ยังไม่บอกเธอจะดีกว่า จะได้ลดทอนความกังวลของเธอได้บ้าง อีกอย่างหลิงเยว่พ่อของหลิงอวี่สวิ๋นก็ดูถูกเย่เทียนเฉิน คิดว่าที่เย่เทียนเฉินไปหาเรื่องคุณชายใหญ่แห่งมหาวิทยาลัยหลงเถิงจะต้องตายอย่างแน่นอน ถึงไม่อยากให้ลูกสาวของตนมาเกี่ยวพัน และไม่อยากให้ตระกูลหลิงของตนไปเกี่ยวพัน กล่าวคือมีอคติต่อเย่เทียนเฉินที่เป็นคุณชายของตระกูลชั้นสามคนนี้นั่นเอง

“ฉันมีธุระนิดหน่อย วันนี้คงไม่ได้ไปเรียนแล้ว จะไปพรุ่งนี้!” เย่เทียนเฉินตอบกลับข้อความของเสี้ยวหยา

หลังจากที่เย่เทียนเฉินตอบข้อความแล้วจึงใคร่ครวญครู่หนึ่ง เขาในตอนนี้ต้องการจะไปที่มณฑลชวนมาก และจะกำจัดตระกูลเซวียนเยวี๋ยนให้หมด เนื่องจากความสามารถที่ตระกูลเซวียนเยวี๋ยนแสดงออกมาแข็งแกร่งมากจริงๆ เย่เทียนเฉินไม่ใช่คนที่ชอบถูกกระทำ หากกล้ำกลืนก็ทำได้เพียงถูกตบตีเท่านั้น จำเป็นจะต้องลงมือบ้าง ลงมือโจมตีตระกูลเซวียนเยวี๋ยนจนรับมือไม่ทัน ถึงจะเอาชนะได้ เขาคาดว่าจะกูลเซวียนเยวี๋ยนเองก็คงคิดไม่ถึงว่าตนจะกล้าพาคนไปหาเรื่องถึงที่ ถ้าหากรอให้ตระกูลเซวียนเยวี๋ยนลงมืออีกครั้งเกรงว่าคงอันตรายแล้ว

ถึงแม้ในตอนนี้การทำลายตระกูลเซวียนเยวี๋ยนเป็นเรื่องใหญ่ แต่เรื่องในเมืองหลวงก็ยังไม่สงบ อย่างแรกตนได้ตอบรับคำขอของผู้นำสูงสุดและท่านหยางไปแล้วว่าจะต้องไปที่มหาวิทยาลัยหลงเถิงและคุ้มครองคนที่ชื่อตงฟางเมิ่ง ซึ่งก็ไม่อาจกล่าวได้ว่าเป็นการคุ้มครองแต่เป็นการป้องกันไม่ให้ผู้หญิงคนนี้ไปก่อเรื่อง และไม่ให้ผู้หญิงคนนี้ทำร้ายคนอื่น แต่จนถึงตอนนี้กระทั่งตงฟางเมิ่งมีหน้าตาอย่างไรเขาก็ยังไม่เคยเห็น เพียงเคยได้ยินหลิงอวี่สวิ๋นบอกว่า ผู้หญิงที่ชื่อตงฟางเมิ่งคนนี้ ได้รับเลือกให้เป็นดาวมหาวิทยาลัยหลงเถิงสามปีซ้อน สวยและเอาแต่ใจเป็นอย่างมาก

แล้วยังมีเรื่องสำคัญอีกอย่างหนึ่งนั่นก็คือเย่เทียนเฉินมักจะรู้สึกว่า มีกลุ่มอำนาจใหญ่กำลังจับจ้องตนเองอยู่ในมุมมืด ถ้าหากตนรีบออกไปจากเมืองหลวงและมุ่งหน้าไปยังมณฑลชวน กลุ่มอำนาจในเงามืดนี้จะลงมือกับครอบครัวของตนหรือไม่?

หากต้องการที่จะออกไปจากเมืองหลวงเพื่อไปยังมณฑลชวน เย่เทียนเฉินจำเป็นต้องใคร่ครวญถึงปัญหานี้ให้ดี หากเดินทางออกไปตามใจเกรงว่าจะก่อให้เกิดความสูญเสียที่ไม่อาจย้อนคืนได้ และกลายเป็นความเจ็บปวดไปตลอดกาล

เย่เทียนเฉินเปิดโทรทัศน์แล้วสำรวจช่องต่างๆ ตามใจ ทันใดนั้นเขาเห็นว่าพิธีกรข่าวช่องจิงตูไถกำลังออกอากาศว่า บริเวณชานเมืองของเมืองหลวง พบศพชายคนหนึ่ง ในตอนที่เขาได้เห็นใบหน้าของสภเพศชายคนนี้ก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว นั่นไม่ใช่ใครอื่นแต่เป็นไป๋อู่

“ลงมือรวดเร็วจริงๆ ฆ่าคนปิดปากเร็วขนาดนี้เชียว!” เย่เทียนเฉินขมวดคิ้วแล้วพึมพำกับตนเอง

ไป๋อู่ตายแล้ว เย่เทียนเฉินคิดไม่ถึงเลยจริงๆ เขาคิดไม่ถึงว่าบุคคลที่อยู่หลังม่านคนนี้จะเคลื่อนไหวรวดเร็วเช่นนี้ และจะมีความโหดเหี้ยมถึงขนาดนี้ หลังจากที่ตนเพิ่งจะติดต่อกับไป๋อู่ไปไม่นาน ไป๋อู่ก็ถูกสังหารจนตาย ท่าทางบุคคลที่อยู่หลังม่านจะสังเกตเห็นเขาแล้ว จะต้องหาคนคนนี้ออกมาให้ได้ ให้เขาได้รับโทษที่ควรได้รับ

ในตอนนี้เองมือถือของเย่เทียนเฉินก็ดังขึ้น เมื่อมองหน้าจอก็พบว่าเป็นเบอร์แปลกเบอร์หนึ่งโทรมา อดไม่ได้ที่จะกดรับสาย

“ฮัลโหล!” เย่เทียนเฉินกล่าว

“พี่ใหญ่ ผมคืออู๋เสวี่ย!” เสียงอู๋เสวี่ยในโทรศัพท์ดังขึ้น

“ในที่สุดแกก็โทรมาหาฉันจนได้ รับสมัครคนเป็นยังไงบ้างแล้ว?” เย่เทียนเฉินเอ่ยถาม

“ทั้งหมดสามสิบคน แต่ละคนเป็นยอดฝีมือชั้นหนึ่งแต่ว่า…แต่ว่าในหมู่พวกเขามีคนหนึ่งต้องการเจอคุณ…” ดูเหมือนว่าอู๋เสวี่ยจะพูดอย่างลำบากใจ

“ต้องการพบฉัน? คืนนี้เที่ยงคืนเจอกันที่ป่าไผ่ที่ชานเมืองทางทิศใต้แล้วกัน ใช่แล้ว ช่วยซื้อคฤหาสน์ให้ฉันด้วยหลังหนึ่ง จัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้วก็บอกฉันด้วย!” เย่เทียนเฉินคิดครู่หนึ่งแล้วพูดขึ้น

“ได้ครับพี่ใหญ่!” อู๋เสวี่ยตอบ

“ตอนนี้แก หูหลง หลินตวน เปาเทียนหลง พวกแกสี่คนรีบจัดการรับผิดชอบพาคนกลุ่มนี้มาพบฉันตอนกลางคืน แล้วค่อยว่ากันอีกที!” เย่เทียนเฉินเอ่ยปาก

“ครับ พี่ใหญ่ ไป๋อู่ตายแล้วคุณรู้หรือยัง?” อู๋เสวี่ยเอ่ยถาม

“รู้แล้ว เมื่อคืนฉันเพิ่งจะไปเจอเขา วันนี้เขาก็ตายแล้ว ท่าทางจะมีคนเพ่งเล็งฉันอยู่!” เย่เทียนเฉินพยักหน้าเล็กน้อยแล้วพูดขึ้น

“เมื่อคืนโอวหยางเฟยอวิ๋นก็ถูกคนสังหารเหมือนกัน หัวและตัวอยู่กันคนละที่ ตายอนาถมาก!” อู๋เสวี่ยพูดขึ้น

“หืม? โอวหยางเฟยอวิ๋นเองก็ตายเหรอ?” เย่เทียนเฉินอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วแล้วถามขึ้น

อู๋เสวี่ยเคยเป็นมือสังหารอันดับหนึ่งแห่งเมืองหลวง ย่อมต้องมีความฉลาดเฉลียวที่จะหาข่าวสารแต่ละอย่างเป็นอย่างมากแน่นอน นี่เป็นสาเหตุที่เย่เทียนเฉินรับเขามาเป็นลูกน้อง ไม่เพียงแต่ฝีมือของอู๋เสวี่ยจะแข็งแกร่งมาก ที่สำคัญยิ่งกว่าก็คือเขาฉลาดและสุขุม มีความกล้ามีแผนการ อีกทั้งยังมีแหล่งข่าวและช่องทางต่างๆ อีกด้วย

“ใช่แล้วครับพี่ใหญ่ เมื่อคืนคุณไปติดต่อกับไป๋อู่วันนี้เช้าเขาก็ตายแล้ว แล้วคุณก็เคยมีเรื่องกับโอวหยางเฟยอวิ๋นมาก่อน เมื่อคืนเขาก็ตายเหมือนกัน ดูแล้วคงมีคนต้องการที่จะทำร้ายพวกเขา เพื่อกระตุ้นตระกูลโอวหยางและตระกูลเซวียนเยวี๋ยนให้ร่วมกันลงมือโจมตี เจตนาก็ชัดเจนเป็นอย่างมาก ส่วนเจตนาที่ฆ่าไป๋อู่ก็คงไม่ผิดพลาดแล้ว นั่นก็คือต้องการฆ่าปิดปากเขา!” อู๋เสวี่ยกล่าววิเคราะห์ออกมา

“ฉันรู้แล้ว คืนนี้เที่ยงคืน ป่าไผ่ทางทิศใต้บริเวณชานเมือง พวกแกสามสิบคนต้องมาทั้งหมด ขาดไปคนเดียวก็ไม่ได้!” เย่เทียนเฉินพูดอย่างเข้มงวด

“ครับ!”

หลังจากวางโทรศัพท์ไปแล้วเย่เทียนเฉินก็ขมวดคิ้ว เขาคิดไม่ถึงว่าภายในคืนเดียวเรื่องจะเปลี่ยนแปลงไปเป็นเช่นนี้ได้ และไม่เป็นผลดีกับเขาอย่างมาก ตระกูลเซวียนเยวี๋ยนและโอวหยางเป็นสองตระกูลในโลกเบื้องหลังที่แข็งแกร่ง ตอนนี้ตระกูลเซวียนเยวี๋ยนก็ลงมือแล้ว เผยให้เห็นจุดที่แข็งแกร่งของตระกูลเบื้องหลังของพวกเขาออกมา นี่ยังโหดเหี้ยมยิ่งกว่าตระกูลฉินและตระกูลลั่วอีก พวกเขาแฝงตัวมานานหลายปีขนาดนี้ ในตระกูลย่อมต้องมียอดฝีมือชั้นสูงอยู่แน่นอน ไม่ว่าจะเป็นผู้มีพลังพิเศษหรือผู้แข็งแกร่งแห่งพรรควรยุทธโบราณ ล้วนมีทั้งนั้น รับมือได้ยากยิ่ง นี่ก็เป็นจุดที่หากทางรัฐบาลคิดจะลงมือก็ต้องใคร่ครวญให้ดี

“ท่าทางจะต้องจัดการความยุ่งยากทั้งสองของตระกูลเซวียนเยวี๋ยนและตระกูลโอวหยางให้เร็วหน่อยซะแล้ว!” เย่เทียนเฉินขมวดคิ้วแล้วคิดในใจ

ในตอนนี้เอง เย่เทียนเฉินยืนขึ้นอย่างฉับพลัน เดินไปที่ประตูคฤหาสน์ด้วยรอยยิ้มแล้วเปิดประตูออก พบเฮยเมี่ยนกำลังขับรถจี๊ปทหารอยู่ เพิ่งจะมาถึงถนนสาธารณะด้านนอกคฤหาสน์เมื่อสักครู่นี้

“แกวิ่งมาบ้านฉันทำไมอีก? ทำภารกิจอะไรไม่สำเร็จอีกแล้วหรือเปล่า เลยต้องการที่จะมาขอร้องฉัน? ครั้งนี้ฉันไม่เลี้ยงแขกคงไม่ได้แล้ว!” เย่เทียนเฉินมองเฮยเมี่ยนแล้วพูดขึ้นเสียงดังอย่างไม่สบอารมณ์

เฮยเมี่ยนมองเย่เทียนเฉินอย่างอับจนคำพูด แล้วเดินลงมาจากรถจี๊ปทหารไปเบื้องหน้าเย่เทียนเฉิน พูดขึ้นว่า “นี่เป็นคำสั่งที่ท่านหยางสั่งลงมาถึงแก สี่สุดยอดสาวงามแห่งพรรควรยุทธโบราณอาจจะมีการประลองกันในไม่กี่วันนี้ อย่าปล่อยให้ตงฟางเมิ่งได้รับบาดเจ็บเป็นอันขาด!”

“การประลองของสี่สุดยอดสาวงามแห่งพรรควรยุทธโบราณ?” เย่เทียนเฉินถามอย่างสงสัย

“ใช่แล้ว ตงฟางเมิ่งก็เป็นหนึ่งในสี่สุดยอดสาวงามแห่งพรรควรยุทธโบราณ แล้วยังมีเซี่ยอวี่เหอที่แกพบก่อนหน้านี้ นอกจากนี้ยังมีผู้หญิงอีกสองคน คือเทียนซวงเอ๋อร์และชิงเฉิงเยว่ ในหมู่ผู้หญิงทั้งสี่คนนี้ความสามารถของชิงเฉิงเยว่แข็งแกร่งที่สุด ไม่ด้อยไปกว่าแกเลย!” เฮยเมี่ยนเอ่ยปากอธิบายง่ายๆ อย่างรวดเร็ว

“อ้อ ฉันเข้าใจแล้ว ตาแก่หยางอี้คนนี้ต้องการให้ฉันไปดูคนที่ชื่อว่าตงฟางเมิ่งอะไรนั่น ความจริงก็เพื่อต้องการหยุดยั้งการประลองของสี่สุดยอดสาวงามแห่งพรรควรยุทธโบราณใช่หรือเปล่า? เรื่องแบบนี้พวกแกถึงกลับไม่ยอมบอกฉันให้เร็วสักหน่อย จะเกินไปหรือเปล่า? นี่เป็นการไม่เชื่อใจและเป็นการหลอกลวงฉัน ฉันรู้สึกโกรธและโมโหมาก ฉันต้องการหยุดงานประท้วง ฉันต้องการลาออก!”เย่เทียนเฉินตะโกนออกมา

“แก…ฉันคงปฏิบัติกับแกดีเกินไปจริงๆ สินะ คนที่กล้าพูดแบบนี้กับเหล่าผู้นำของประเทศ เกรงว่ามีแค่แกคนเดียว รู้หรือเปล่า ท่านหยางบอกว่าขอเพียงครั้งนี้แกหยุดยั้งการประลองของผู้หญิงทั้งสี่คนนี้ได้ และไม่ให้ตงฟางเมิ่งได้รับบาดเจ็บ ก็จะให้พ่อของแกได้เลื่อนขั้น!” เฮยเมี่ยนกล่าวอย่างรวดเร็วด้วยท่าทางรับไม่ได้

“จริงเหรอ? เอาแบบนี้แล้วกัน อืม ฉันเย่เทียนเฉินก็ไม่ใช่คนถ่อยอะไร ดูท่าพวกแกมีความจริงใจขนาดนี้ ก็จะให้อภัยพวกแกสักครั้งก็แล้วกัน จำไว้ว่าแกต้องไปบอกตาแก่หยางว่าครั้งหน้าจะไม่ยอมแล้ว!” เย่เทียนเฉินยักไหล่ พูดออกมาด้วยท่าทางจนใจ

“ไอ้หนูแกอย่าได้ลำพองใจเกินไปนัก การประลองของพรรควรยุทธโบราณนี้ มีมาตลอดตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน แกก็รู้ว่าพรรควรยุทธโบราณที่สืบทอดกันมาพวกนี้แข็งแกร่งขนาดไหน กระทั่งทางรัฐบาลก็ไม่เต็มใจที่จะเข้าไปก้าวก่าย ครั้งนี้หากไม่ใช่เพราะต้องการปกป้องตงฟางเมิ่ง ท่านหยางก็คงไม่สอดมือเข้าไปยุ่ง ในหมู่พรรควรยุทธโบราณของพวกเขามีกฎเกณฑ์เป็นของตัวเอง แกเพียงแค่ปกป้องตงฟางเมิ่งก็พอแล้ว!” เฮยเมี่ยนเอ่ยปากพูด

“รู้แล้ว ก็แค่สาวงามสี่คนไม่ใช่เหรอ? ฉันรับได้ทั้งหมดแหละ!” เย่เทียนเฉินพูดแล้วหัวฮี่ๆ

“ฉันบอกแล้วว่าแกอยากได้ลำพองใจเกินไป ได้ยินว่าในหมู่พวกเธอคนที่แข็งแกร่งที่สุดก็คือชิงเฉิงเยว่ เป็นอัจฉริยะในการฝึกฝนวรยุทธที่หาได้ยากยิ่งในรอบร้อยปีของพักวรยุทธโบราณ ผู้หญิงคนนี้ไม่เพียงแต่มีใบหน้างดงามจนสวรรค์ต้องอิจฉา ทั้งยังมีความสามารถที่สั่นสะท้านพรรควรยุทธโบราณทั้งหมดได้อีกด้วย ว่ากันว่ามีฝีมือเกินหน้าอาจารย์ของเธอไปแล้ว และจะได้เป็นหัวหน้าพรรคคนใหม่ของพวกเขา!”

เฮยเมี่ยนขมวดคิ้วแล้วพูดขึ้นอย่างจริงจัง

…….

“พี่ ถ้ามีความสามารถก็อย่าโผล่ออกมาตลอดไปเลยแล้วกัน หึ!” น้องสาวถีบประตูห้องนอนของเย่เทียนเฉินผู้เป็นพี่อย่างรุนแรงครั้งหนึ่ง จากนั้นจึงทำแก้มป่องเดินลงมาจากชั้นสองด้วยความโกรธเคือง

เมื่อบ้านเย่มีฉีหรูเสวี่ยมาหา อาหารเช้าจึงอุดมสมบูรณ์ยิ่งขึ้น เดิมทีหลัวเยี่ยนก็เป็นแม่บ้านคนหนึ่งอยู่แล้ว ทำอาหารได้อร่อยมาก ส่วนฉีหรูเสวี่ยก็ไม่ใช่คุณหนูสูงศักดิ์ที่ทำอะไรไม่เป็น เธอมีความชำนาญในการทำอาหารเป็นอย่างมาก จึงได้รับความเอ็นดูจากหลัวเยี่ยนอย่างลึกซึ้ง ดังนั้นอาหารเช้าที่ยกขึ้นโต๊ะของบ้านตระกูลเย่ซึ่งเกิดจากการร่วมมือกันทำของแม่ครัวมือฉมังทั้งสอง จึงอลังการขึ้นมาก หากเป็นเมื่อก่อนถ้าไม่ใช่นมก็ต้องเป็นไข่ ไม่เช่นนั้นก็เป็นบะหมี่ผัดซอส แต่วันนี้มีอาหารครบครัน

“แม่คะ พี่เขาจะเลวร้ายเกินไปแล้วจริงๆ แม่ดูสิ บิชองฟรีเซ่ของหนูท้องเสียจนน่าอนาถแล้ว ฮือๆ …”

เย่เชี่ยนเหวินอุ้มบิชองฟรีเซ่ออกมาอย่างน่าสงสาร เจ้าบิชองฟรีเซ่ที่เดิมทีก็ตัวเล็กอยู่แล้ว ตอนนี้ดูไม่ได้เลย ตัวเหลวเหมือนกับดินโคลนไม่มีชีวิตชีวาสักนิด ถ่ายท้องไปทั่วภายในบ้านสุนัขของมัน นั่นเป็นเพราะเมื่อคืนเย่เทียนเฉินต้องการจะหาวิธีทดสอบจึงได้นำแตงโมเย็นๆ ให้บิชองฟรีเซ่กิน ทำให้มันท้องเสีย กินอะไรไม่ได้

“เอาล่ะ รีบวางมันกลับไปเถอะ อีกสักครู่ก็ไม่เป็นไรแล้ว รอพี่ชายของลูกลงมาก่อนแม่จะพูดกับเขาเอง!” หลัวเยี่ยนพูดด้วยรอยยิ้มเล็กน้อย

“น้องเชี่ยนเหวินวางใจเถอะ รอให้พี่ชายของเธอออกมา พี่จะต้องช่วยน้องสั่งสอนเขาแน่ จะร้ายกาจเกินไปแล้ว บิชองฟรีเซ่ที่น่ารักขนาดนี้ก็ยังลงมือได้!” ฉีหรูเสวี่ยก็เข้าข้างเย่เชี่ยนเหวิน เอ่ยปากพูดอย่างดุดัน

“อืม พี่หรูเสวี่ย พี่รู้วิธีลงโทษพี่ชายของหนูมากที่สุดแล้ว อีกครู่หนึ่งจะต้องช่วยหนูสั่งสอนเขาให้ดีด้วยนะคะ!” เย่เชี่ยนเหวินลูบบิชองฟรีเซ่ที่น่าสงสารของตนแล้วพูดขึ้น

“วางใจเถอะ ไม่มีปัญหา!” ฉีหรูเสวี่ยพูดด้วยรอยยิ้มน่ารักอย่างเจ้าเล่ห์

“เทียนเฉิน รีบลงมากินข้าวเถอะ มีบะหมี่ผัดซอสกับไข่หมักที่ลูกชอบกินที่สุดด้วยนะ กินเสร็จแล้วก็ไปเรียน!” หลัวเยี่ยนยกบะหมี่ผัดซอสขึ้นโต๊ะ ตะโกนขึ้นไปยังชั้นสองเสียงดัง

“รู้แล้วครับแม่ ผมจะลงไปเดี๋ยวนี้!” เมื่อได้ยินว่ามีของอร่อย เย่เทียนเฉินก็ไม่สนใจแล้วว่าน้องสาวจะแก้แค้นตนเองอย่างไร คงจะใช้ท่าทางราวกับจะฆ่าคนมองมาที่ตนแน่นอน แต่อย่างไรก็ไม่สามารถอยู่แต่ในห้องได้ไปตลอด เรื่องใหญ่แบบนี้ก็ทำเป็นไม่ยอมรับไปแล้วกัน!

ไม่นานเย่เทียนเฉินก็ลงมาชั้นล่างด้วยความเร็วที่ทำให้ผู้คนไม่กล้าเชื่อ และไม่ทักทายหลัวเยี่ยนผู้เป็นแม่ อีกทั้งยังไม่สนใจเย่เชี่ยนเหวินและฉีหรูเสวี่ยเลยด้วย นั่งลงบนเก้าอี้แล้วหยิบบะหมี่ผัดซอสขึ้นมาถ้วยหนึ่ง จากนั้นจึงเริ่มกินคำใหญ่ ไหนเลยจะรู้ว่าเพิ่งจะกินไปไม่กี่คำเย่เทียนเฉินก็แทบจะอาเจียนออกมา รีบวิ่งเข้าไปในห้องน้ำอย่างรวดเร็ว

“เทียนเฉิน ลูกเป็นอะไรไป? ไม่เป็นไรใช่ไหม?” หลัวเยี่ยนไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น มองไปยังทิศทางของห้องน้ำแล้วตะโกนถาม

“แหวะ แม่ครับ นายบะหมี่ผัดซอสของแม่ใส่อะไรลงไป ผมแทบจะไฟลุกอยู่แล้ว เผ็ดมาก…” เย่เทียนเฉินพูดเสียงดังในห้องน้ำ

“ฮ่าๆ เจ้าบ้าหลงกลแล้ว!” ฉีหรูเสวี่ยพูดแล้วหัวเราะ

“สมน้ำหน้า นี่เป็นการแก้แค้นให้บิชองฟรีเซ่ของหนู!” เย่เชี่ยนเหวินเองก็พูดด้วยรอยยิ้มชั่วร้าย

“เย่!”

เย่เชี่ยนเหวินและฉีหรูเสวี่ยสองคนทำท่าชนะขึ้นพร้อมกัน ยกนิ้วโป้งให้กันแล้วแตะมือแสดงความยินดี ท่าทางน่ารักเป็นอย่างมาก ทำให้หลัวเยี่ยนอดไม่ได้ที่จะมองไปยังพวกเธอทั้งสองด้วยความสงสัย ในใจเข้าใจกระจ่างชัดขึ้นมาทันที จะต้องเป็นเด็กสาวทั้งสองคนนี้แน่นอนที่ก่อเรื่อง มิเช่นนั้นเย่เทียนเฉินผู้เป็นลูกจะหลงกลได้อย่างไร

ที่แท้ในตอนที่หลัวเยี่ยนหมุนตัวเดินเข้าไปในครัวแล้วยกบะหมี่ผัดซอสถ้วยสุดท้ายมา ฉีหรูเสวี่ยและเย่เชี่ยนเหวินก็แอบนำวาซาบิใส่ลงไปในบะหมี่ผัดซอสถ้วยหนึ่งแล้วคนเล็กน้อยก่อนจะวางมือทำเป็นไม่มีอะไรเกิดขึ้น ไม่บอกแม้แต่หลัวเยี่ยน จากนั้นจึงกินอาหารของตนเอง

เด็กสาวสองคนนี้เข้าใจเย่เทียนเฉินเป็นที่สุด รู้ว่าเย่เทียนเฉินเป็นตัวตะกละตะกลาม ขอเพียงมีของอร่อยก็จะพุ่งเข้ามาทันที และบะหมี่ผัดซอสก็เป็นของที่เย่เทียนเฉินชอบกินที่สุดอย่างหนึ่ง ดังนั้นเมื่อใส่วาซาบิเข้าไปด้านในจึงทำให้เขาไม่สามารถป้องกันได้

จริงดังคาด หลังจากที่เย่เทียนเฉินพุ่งลงมาจากชั้นสอง เมื่อเห็นบะหมี่ผัดซอสก็รีบนั่งลงโดยไม่ล้างหน้าแปรงฟันและไม่พูดพร่ำทำเพลง กินเข้าไปคำใหญ่ทันที ทำให้แผนประสบความสำเร็จ

“พวกเธอสองคนนี่ ตอนนี้ดีใจแล้วหรือยัง? คิกๆ!” หลัวเยี่ยนเองก็อดไม่ได้ที่จะพูดขึ้นพลางส่ายหัว แล้วหัวเราะออกมา

จนกระทั่งเย่เทียนเฉินเดินออกมาจากห้องน้ำ หลัวเยี่ยน ฉีหรูเสวี่ยและเย่เชี่ยนเหวิน ก็กินอาหารเช้าเสร็จเรียบร้อยแล้ว เหลือแค่เขาคนเดียว เมื่อเห็นเย่เทียนเฉินผู้เป็นพี่ชายออกมา เย่เชี่ยนเหวินเดินเข้าไปหาอย่างลำพองใจ พูดขึ้นด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ว่า “พี่ รสชาติของวาซาบิไม่เลวเลยใช่ไหม? อร่อยหรือเปล่า?”

“เด็กคนนี้นี่ เธอกล้าแกล้งพี่ของเธอ กรรมต้องตามสนองแน่!” เย่เทียนเฉินมองน้องสาวอย่างไม่สบอารมณ์แล้วพูดขึ้น

“ฮี่ๆ หนูก็แค่เรียกร้องความยุติธรรมให้บิชองฟรีเซ่ของหนูเท่านั้นเอง มันตัวเล็กขนาดนี้ น่าสงสารขนาดนี้ พี่ถึงกับให้มันกินแตงโมเย็นๆ ได้ จะมากเกินไปแล้ว ถ้าหากมันท้องเสียจนเกิดอะไรขึ้น หนูไม่ยอมจบกับพี่แน่!” เย่เชี่ยนเหวินพูดฟังทำแก้มป่อง

“พี่ไม่ได้ทำ ไม่เกี่ยวกับพี่!” เย่เทียนเฉินนั่งลง สำรวจอาหารบนโต๊ะอย่างละเอียด หลังจากที่มั่นใจแล้วว่าไม่มีอะไรผิดปกติจึงเริ่มกินต่อไป

“แอบกินผลไม้ที่ฉันทำอีกแล้ว แถมยังไม่ยอมรับอีกเจ้าบ้า!” ฉีหรูเสวี่ยเองก็พูดเข้าข้างเย่เชี่ยนเหวิน

เย่เทียนเฉินมองฉีหรูเสวี่ยครั้งหนึ่ง เมื่อคิดว่าเมื่อสักครู่นี้น้องสาวและผู้หญิงคนนี้ร่วมมือกันแกล้งตน จึงอดไม่ได้ที่จะพูดออกมาอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “ฉันว่านะพวกเธอสองคน จะประหยัดกันหน่อยได้หรือเปล่า? ไม่รู้หรือว่าการประหยัดเป็นคุณธรรมที่สืบทอดกันมาของชนชาติจีน? จะนอนกันหมดแล้วยังมาทำผลไม้วางไว้ในตู้เย็นอีก สิ้นเปลืองเกินไปแล้ว ฉันทำเพื่อระงับพฤติกรรมสิ้นเปลืองของพวกเธอทั้งสองคน เพื่อลดบาปกรรมของพวกเธอลงบ้าง!”

“พี่…พี่…พี่นี่เป็นยอดคนจริงๆ !” เย่เชี่ยนเหวินพูดอะไรไม่ออกแล้วจริงๆ ขนาดเหตุผลเช่นนี้พี่ชายก็ยังคิดออกมาได้ เธอนับถือจริงๆ เลย!

“นายคิดว่าฉันเตรียมไว้ให้ตัวเองหรือไง? หากไม่คิดว่าจะมีบางคนกลับมากลางดึกแล้วหิว…” ฉีหรูเสวี่ยจ้องเย่เทียนเฉินอย่างดุดันแล้วกล่าวขึ้น

ได้อยู่ที่บ้านตระกูลเย่มาเกือบเดือน ฉีหรูเสวี่ยจึงค่อนข้างเข้าใจนิสัยของเย่เทียนเฉิน คนคนนี้เป็นตัวตะกะตะกามคนหนึ่ง โดยเฉพาะกลางคืนของทุกวันถ้าหากไม่กินมื้อดึกบ้างก็จะนอนไม่หลับ ดังนั้นเมื่อคืนเมื่อเห็นว่าเย่เทียนเฉินออกไป ก่อนนอนฉีหรูเสวี่ยจึงทำผลไม้จานใหญ่เอาไว้ คิดว่าถ้าคนคนนี้กลับมากลางดึกคงมาเปิดตู้เย็นดู ไหนเลยจะรู้ว่า ถ้าเจ้าบ้านี้แอบกินก็แล้วไปเถอะ แต่ถึงกับยังมาพูดว่าช่วยพวกเธอประหยัดอะไรอีก จะหน้าด้านเกินไปแล้ว!

“งั้นก็ขอบคุณน้ำใจของเธอมาก เด็กสาวอย่างเธอวันๆ เอาแต่จ้องจะแกล้งพี่ชายละมั้ง อีกไม่กี่วันฉันก็จะย้ายออกไปแล้ว จะไม่อยู่ในบ้านแล้ว!” เย่เทียนเฉินพูดด้วยรอยยิ้มลำพองใจ

“หือ? เทียนเฉิน ลูกจะย้ายไปอยู่ที่ไหน? ไม่อยู่บ้านแล้วเหรอ?” หลัวเยี่ยนอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม

“พี่ พี่จะออกไปจากบ้านเหรอ?” เย่เชี่ยนเหวินถามอย่างสงสัยเช่นเดียวกัน

“ลูกผู้ชายตัวโตๆ คนหนึ่ง ถึงกับหนีออกจากบ้าน น่าขายหน้าจริงๆ !” ฉีหรูเสวี่ยพูดอย่างไม่สบอารมณ์

เย่เทียนเฉินมองเย่เชี่ยนเหวินและฉีหรูเสวี่ยอย่างหดหู่ จากนั้นจึงเคาะศรีษะของเย่เชี่ยนเหวินเบาๆ แล้วพูดขึ้นว่า “เธอสิหนีออกจากบ้าน ฉันเป็นลูกผู้ชายคนหนึ่ง เป็นผู้ชายที่โตเป็นผู้ใหญ่แล้ว จะต้องเรียนรู้ที่จะยืนด้วยลำแข้งของตน ใครจะไปเหมือนเธอที่ตอนนี้ที่ยังเรียนมัธยมปลายปีที่สามอยู่ถึงได้เอ้อระเหยแบบนี้ ฉันจะเริ่มรับผิดชอบครอบครัวแล้ว จัดต่อสู้ดิ้นรนเพื่อธุรกิจของตน!”

แหวะ!

แหวะ!

เมื่อต้องเผชิญหน้ากับท่าทางเคร่งขรึมจริงจังของเย่เทียนเฉิน เห็นเขาพูดจาหนักแน่นอย่างมีเหตุมีผล การทำท่าอยากจะอ้วกออกมาก็คือปฏิกิริยาที่เย่เชี่ยนเหวินและฉีหรูเสวี่ยมีให้เขา ส่วนหลัวเยี่ยนผู้เป็นแม่ดูเหมือนจะคิดอะไรบางอย่างได้ จึงรู้สึกกังวลอยู่บ้าง แต่อย่างไรก็ยังพูดออกมาด้วยรอยยิ้มว่า “เทียนเฉิน ลูกจะย้ายออกไปอยู่ข้างนอกเหรอ?”

“ใช่แล้วครับแม่ ลูกโตแล้ว ควรจะมีชีวิตเป็นของตนเอง ผมอยากจะออกไปฝึกฝนสักหน่อยครับ!” เย่เทียนเฉินกรอกตาใส่เย่เชี่ยนเหวินและฉีหรูเสวี่ย จากนั้นจึงพูดกับหลัวเยี่ยนด้วยรอยยิ้ม

“ก็ดี แม่สนับสนุนลูก แต่อยู่เองข้างนอกก็ต้องระวังตัวให้มาก นอกจากนั้นจำไว้ว่าจะต้องกลับมาเยี่ยมบ้านบ่อยๆ!” หลัวเยี่ยนพยักหน้าแล้วพูดขึ้น

ความจริงที่เย่เทียนเฉินตัดสินใจจะย้ายออกไปอยู่ข้างนอก เป็นเรื่องที่เขาคิดมานานแล้ว ตลอดมายังคงรู้สึกอาลัยอาวรณ์อยู่บ้าง ได้มาเกิดใหม่ในโลกแห่งนี้ไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าครอบครัวแล้ว แต่เมื่อมีเรื่องราวเกิดขึ้นติดต่อกันทำให้เย่เทียนเฉินรู้สึกกังวลขึ้นมา ตระกูลใหญ่และกลุ่มอำนาจใหญ่หล่านั้นจะต้องไม่ยอมปล่อยตนไปแน่ พวกเขาไม่อนุญาตให้มีใครท้าทายอำนาจของพวกเขา และยิ่งไม่ยอมมองตระกูลหนึ่งผงาดขึ้นมาเฉยๆ แน่ จะต้องมีมาตรการตอบโต้แน่ ซึ่งเป็นไปได้มากว่าจะคุกคามไปถึงความปลอดภัยของพ่อแม่และน้องสาวด้วย

โดยเฉพาะอย่างยิ่งมือสังหารชุดดำที่ตระกูลเซวียนเยวี๋ยนส่งมา เรื่องนี้มีผลกระทบกับเย่เทียนเฉินมาก แล้วทำให้เขาสัมผัสได้ว่า บนโลกปัจจุบันนี้ ถึงแม้กฎเกณฑ์ของธรรมชาติจะเปลี่ยนแปลงไปมาก พลังงานที่อาศัยอยู่ในธรรมชาติก็น้อยมาก จนไม่อาจทำให้ผู้ฝึกตนแข็งแกร่งถึงขั้นสุดได้ แต่ย่อมมีคนฝืนลิขิตฟ้า และมีคนกลายเป็นยอดฝีมือชั้นสูง อย่างน้อยคนที่ใช้พลังอันมหาศาลอัดเข้าไปในจดหมายนั้นก็เป็นยอดฝีมือระดับสูงคนหนึ่ง เป็นยอดฝีมือที่กระทั่งตัวเขาเองก็ต้องรับมืออย่างจริงจัง

บนโลกใบนี้ที่ธรรมชาติเปลี่ยนแปลงไปมาก ผู้มีพลังพิเศษและผู้แข็งแกร่งแห่งพรรควรยุทธโบราณคนอื่นๆ จึงถูกจำกัด ไม่สามารถแข็งแกร่งจนถึงขั้นสุดได้ หลังจากที่พัฒนาไปถึงระดับหนึ่งแล้วก็ไม่สามารถรวบรวมพลังธรรมชาติที่แข็งแกร่งและทำการทะลวงพลังได้ ตลอดมาเขามีพลังอยู่ในระดับสูงสุดของขอบเขตจอมราชันแล้ว หากต้องการที่จะพัฒนาไปถึงระดับจักรพรรดิก็เรียกได้ว่ายากเย็นเป็นอย่างมาก ประการแรกเป็นเพราะพลังที่จำเป็นในการทะลวงไม่เพียงพอ ประการที่สองเป็นเพราะกายเนื้อของเขาในตอนนี้ยังไม่แข็งแกร่งมากพอ เกรงว่าต่อให้ทะลวงไปถึงระดับจักรพรรดิได้ กายเนื้อนี้ก็คงไม่อาจรับไหว และทำให้เกิดอันตรายอย่างใหญ่หลวงจนร่างกายอาจจะเหลวแหลก

ดังนั้นเย่เทียนเฉินจึงไม่อยากนำอันตรายใดๆ มาสู่พ่อแม่และน้องสาว เขาต้องการที่จะย้ายออกไป แล้วพยายามเผชิญหน้ากับอันตรายด้วยตัวเองเพียงลำพัง ส่วนหลัวเยี่ยนก็เป็นผู้หญิงที่ฉลาดมากคนหนึ่ง ในตอนที่เย่เทียนเฉินผู้เป็นลูกชายกล่าวว่าต้องการที่จะย้ายออกไป เธอก็คิดได้แล้ว หลังจากที่ลูกชายของตนกลับเมืองหลวงมาก็นับว่าก่อเรื่องที่สั่นสะท้านเมืองหลวงไปไม่น้อย เมื่ออยู่ในคลื่นลมแบบนี้ เธอย่อมรู้ว่ามีกลุ่มอำนาจใหญ่และตระกูลใหญ่บางตระกูลเพ่งเล็ง หรือกระทั่งส่งมือสังหารออกมา อยากจะหลบก็หลบไม่พ้น ทำได้เพียงเผชิญหน้าเท่านั้น เมื่อกำจัดปัญหาทุกอย่างได้ถึงจะสามารถมีชีวิตอย่างสงบสุข

………

เมื่อกลับมาถึงห้องนอนของตน เย่เทียนเฉินก็กินผลไม้ในจานอย่างมีความสุข เมื่อครู่นี้เขาให้เจ้าบิชองฟรีเซ่ตัวเล็กของน้องสาวลองกินแตงโมไปชิ้นหนึ่งแล้ว และสังเกตอยู่ประมาณครึ่งชั่วโมงก็ไม่มีปัญหาอะไร จึงได้มั่นใจว่าฉีหรูเสวี่ยไม่ได้วางยาอะไรในนี้ และกินได้อย่างวางใจ

เมื่อกินผลไม้ในจานหมด เย่เทียนเฉินก็ไม่ได้นอนในทันที แต่นั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียง แสงจันทร์นอกหน้าต่างยังคงสว่าง สาดส่องทะลุหน้าต่างเข้ามาภายในห้อง เย่เทียนเฉินค่อยๆ เข้าสู่สภาวะสมาธิ สัมผัสถึงพลังสูงสุดของพลังพิเศษในขอบเขตจอมราชันของตน เขาต้องการที่จะทะลวงพลัง ต่อให้กฎเกณฑ์แห่งธรรมชาติของโลกจะเปลี่ยนแปลงไป ไม่ว่าจะเป็นผู้มีพลังพิเศษหรือผู้แข็งแกร่งแห่งพรรควรยุทธโบราณ หรือบางทีอาจเป็นสัตว์กลายพันธุ์ของดาวสิ้นโลกและอื่นๆ ต่างเรียกได้ว่าเป็นการบําเพ็ญเพียรอย่างหนึ่ง ในเมื่อเป็นการบำเพ็ญ ก็ไม่อาจออกห่างจากคำว่า “เต๋า” ไปได้ โดยปกติเต๋าหมายถึงกฎเกณฑ์แห่งธรรมชาติของโลก ในมุมมองที่กว้างยิ่งขึ้นจะหมายถึงกฎเกณฑ์แห่งจักรวาล กฎเกณฑ์แห่งธรรมชาติ นี่คือเต๋า

คืนนี้เย่เทียนเฉินใช้ความสามารถสูงสุดของขอบเขตจอมราชันไปแล้วสองครั้ง โดยเฉพาะการต่อสู้กับมือสังหารชุดดำที่ตระกูลเซวียนเยวี๋ยนส่งมา เย่เทียนเฉินได้แสดงพลังที่แข็งแกร่งที่สุดของเขาออกมา มิฉะนั้นคงไม่สามารถกำจัดมือสังหารชั้นยอดเช่นนี้ภายในเวลาสั้นๆ ได้

มือสังหารชุดดำคนนั้นแข็งแกร่งมาก แข็งแกร่งจนถึงขั้นที่แกว่งดาบไปมั่วๆ ก็สามารถระเบิดกระบวนท่าสังหารของพลังภายในที่แข็งแกร่งออกมาได้ ยิ่งไปกว่านั้นวัสดุของด้ามดาบของเขาก็พิเศษมาก ทั้งยังมีอานุภาพเกรียงไกร หากไม่ใช่ว่าเย่เทียนเฉินระเบิดพลังขั้นสูงสุดของขอบเขตจอมราชันออกมา รวบรวมไว้บนฝ่ามือขวาทั้งหมด แล้วซัดเข้าไปที่ด้ามดาบจนหัก เกรงว่าคนที่จะถูกฟันเป็นสองท่อนก็คือเย่เทียนเฉิน

และในตอนที่เย่เทียนเฉินกระโดดอยู่ภายใต้แสงจันทร์ ใช้หมัดทำลายเงาดาบจนเป็นชิ้นๆ เขาก็รู้สึกได้ว่าทั่วทั้งร่างกายของตนเต็มไปด้วยพลังพิเศษขอบเขตจอมราชัน ภายในเซลล์ทุกเซลล์และเลือดทุกหยดคล้ายกับถูกพลังแทรกซึม เย่เทียนเฉินที่เคยเป็นผู้แข็งแกร่งผู้มีพลังพิเศษในระดับพระเจ้าที่ดาวสิ้นโลก ย่อมรู้ว่านี่คืออะไร นี่หมายความว่าเขาใกล้จะทะลวงไปถึงขอบเขตจักรพรรดิแล้ว แต่ในช่วงเวลานั้นเองเขากลับไม่สามารถสัมผัสได้ถึงพลังธรรมชาติของโลกและพลังเต๋าทั้งหมดที่มีได้เลย จึงไม่สามารถทำการทะลวงได้

การทะลวงทุกครั้งต้องอาศัยพลังธรรมชาติที่แข็งแกร่งจึงจะสามารถทำการแทรกซึมพลังได้ ถ้าคิดจะอาศัยพลังพิเศษในร่างกายตนอย่างเดียว จะไม่เพียงพอที่จะทะลวงพลังส่วนที่จำเป็นโดยเด็ดขาด มีเพียงตอนที่พลังไปถึงจุดสูงสุดของขอบเขตแล้ว จะต้องดึงดูดพลังธรรมชาติเข้ามารวมกับพลังพิเศษในร่างกาย แล้วทะลวงขอบเขตการบำเพ็ญขั้นใหม่ในฉับพลัน เพิ่มพลังความสามารถขึ้นอย่างสูงและทะลวงออกไปทั้งหมดจึงจะทำได้

แต่จากพี่เย่เทียนเฉินและจางอีเต๋อรับรู้ร่วมกัน นั่นคือพลังธรรมชาติของโลกถูกทำลายไปอย่างสาหัส เมื่อผ่านการเปลี่ยนแปลงนับพันปีจึงทำให้กฎเกณฑ์ของธรรมชาติเกิดการเปลี่ยนแปลงไป หากต้องการดูดซึมพลังจากธรรมชาติของโลกเพื่อมาทะลวงขอบเขต และยืนอยู่บนจุดที่มีพลังสูงส่งยิ่งขึ้นดูเหมือนจะเป็นไปไม่ได้เลย เนื่องจากพลังงานบนโลกได้เลือนหายไปแทบจะหมดแล้ว อย่างมากก็มีเพียงสถานที่เร้นลับบางแห่งที่ไม่มีคนเหยียบย่างเข้าไป จึงจะสามารถรักษาการตกตะกอนของพลังงานเอาไว้ได้บ้าง เพียงแต่ไม่ถึงขอบเขตที่แน่ชัด หากต้องการรับพลังในที่ลึกลับของโลกเหล่านี้มาก็เป็นการยากยิ่งนัก

นี่เป็นสาเหตุที่ว่าทำไม เมื่อโลกพัฒนามาถึงปัจจุบันจึงมียอดฝีมือที่มีพลังแข็งแกร่งอยู่น้อยมาก คนธรรมดามากมายไม่สามารถบำเพ็ญเพียรได้ ที่สำคัญก็คือความเสียหายของโลกร้ายแรงเกินไป พลังงานในธรรมชาติที่สามารถทำให้ผู้คนตระหนักถึงกฎเกณฑ์ได้หายไปเกือบหมดแล้ว ทุกคนถูกกำหนดให้เป็นคนธรรมดาไปชั่วชีวิต

“ไม่ได้ ฉันจะต้องคิดหาวิธีทะลวงไปยังขอบเขตจักรพรรดิให้ได้ ไม่งั้นด้วยความสามารถในตอนนี้ ต่อให้หาค่ายกลเคลื่อนย้ายพบ แล้วจะเดินทางไปดาวจักรพรรดิหรือดาวสิ้นโลก อาจจะตกตายได้ จะไปพูดถึงการตามหาความเป็นอมตะและการแก้แค้นให้เพื่อนพ้องได้ยังไง?” เย่เทียนเฉินบอกตัวเองในใจ เขาไม่อาจลำพองใจได้ ในตอนที่จัดการเรื่องบนโลกนี้เรียบร้อยแล้ว ยังต้องคิดหาวิธีทะลวงความสามารถอีก จะอย่างไรเขาก็ยังมีเรื่องที่สำคัญยิ่งกว่าต้องกระทำ นี่คือโชคชะตาของเขา

ทีละเล็กทีละน้อย ภายในห้วงสมาธิ เย่เทียนเฉินกระตุ้นพลังพิเศษระดับสูงสุดของขอบเขตจอมราชันครั้งแล้วครั้งเล่า ทำการบ่มเพาะเลือดเนื้อและกระดูกทุกอณูในร่างกายของตน ต่อให้ตอนนี้ไม่มีทางทะลวงขอบเขตได้ เขาก็ต้องทำการเตรียมตัวทะลวง หากจะเดินทางไปยังดาวจักรพรรดิหรือกลับไปยังดาวสิ้นโลกจริงๆ นั่นเป็นโลกที่นับถือความสามารถ เป็นโลกที่คนกินคน หากคนไม่แข็งแกร่งมากพอก็ทำได้เพียงถูกฆ่าตายโดยผู้อื่นแล้ว

ตอนนี้เอง ในสถานที่แห่งหนึ่งของเมืองหลวงที่ดูเหมือนจะมีน้อยคนรู้จัก บนตึกสูงสี่สิบแปดชั้นแห่งหนึ่ง ชายอายุประมาณสามสิบกว่า สวมเสื้อเชิ้ตสีขาวสบายๆ กำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้เอน มีลมแรงพัดขึ้นมา ถือแก้วเหล้าอยู่หนึ่งแก้ว ด้านหลังของเขามีหญิงงามสูงเพรียวยืนอยู่สองคน ทุกคนต่างแต่งกายรัดรูป ถ้าหากมีใครกล้าลวนลามพวกเธอ จะต้องตายแน่นอน เนื่องจากหญิงงามทั้งสองคนนี้ต่างเป็นมือสังหารที่แข็งแกร่งอย่างมาก ไม่ต้องพูดถึงผู้ชายสิบคนเลย ต่อให้เป็นผู้ชายร้อยคนก็ไม่ใช่คู่มือของพวกเธอ

ชายอายุประมาณสามสิบคนนี้จิบเหล้าไปอึกหนึ่ง มองไปยังทิวทัศน์ยามค่ำคืนของเมืองหลวง มุมปากเผยรอยยิ้มออกมา ในช่วงเวลาหลายปีมานี้เขาได้มาถึงระดับสูงแล้ว มีฐานะที่สำคัญมากมาย แต่กลับไม่มีใครรู้ว่าเขาเป็นใคร มีฐานะและเบื้องหลังอย่างไร เขาชอบความรู้สึกที่คอยควบคุมแผ่นดินอยู่เบื้องหลังเช่นนี้มาก เดิมทีคิดว่าตนเป็นยอดฝีมือที่เหงาหงอยเพียงลำพัง ไม่มีอะไรน่าสนุกอีกต่อไป แต่การปรากฏตัวของเย่เทียนเฉินทำให้เขาเกิดความสนใจขึ้นอีกครั้ง คนที่เคยถูกเขาเหยียบย่ำอยู่ใต้เท้าและเป็นได้แค่เนื้อปลาที่เขาทำอะไรก็ได้ตามใจ ตอนนี้มีการเปลี่ยนแปลงไปแล้ว มีการเปลี่ยนแปลงที่ทำให้เขาต้องเปลี่ยนมุมมอง เขารู้สึกเกิดความสนุกขึ้นมามากจริงๆ

“คุณชาย เพิ่งจะได้รับข่าวมาว่าเย่เทียนเฉินไปที่เทียนซ่างเหรินเจียน สั่งสอนนายท่านรองของพรรคคุณชายแล้วค่ะ!” มือสังหารหญิงสาวสวยคนหนึ่งเดินมาเบื้องหน้าแล้วกล่าวรายงานด้วยความเคารพ

“อ้อ? ดูท่าเขาคงจะตรวจสอบเรื่องเมื่อปีนั้นแล้ว ก็ดี ให้เขาตรวจสอบไปเถอะ ฉันจะเล่นเป็นเพื่อนเขาสักหน่อย หวังว่าเขาคงไม่ทำให้ฉันผิดหวัง!” ชายที่สวมเสื้อเชิ้ตสีขาวชะงักไปครู่หนึ่งแล้วเอ่ยปากพูด

“ถ้างั้นคุณชายจะจัดการไป๋อู่ยังไงคะ เย่เทียนเฉินไม่ได้ฆ่าเขา บางทีเขาอาจจะทรยศพวกเราแล้วก็ได้!” มือสังหารสาวสวยเอ่ยปากถาม

“แต่ไหนแต่ไรไป๋อู่ก็ไม่เคยเห็นฉันมาก่อน เขาก็เป็นแค่เครื่องมือที่ฉันใช้ประโยชน์เพื่อควบคุมดูแลพรรคคุณชายเท่านั้น เมื่อปีนั้นฉันเพิ่งจะออกมาทำเรื่องเรื่องแรก ก็ใช้ประโยชน์จากความโง่ของเย่เทียนเฉินแล้ว ทำให้มันไปเห็นหลิ่วหรูเหมยอาบน้ำ ก่อให้เกิดความครึกโครมขึ้นในเมืองหลวง แต่ต่อให้เป็นการเล่นไปตามใจชอบ สิ่งที่ทำให้ฉันคิดไม่ถึงก็คือเย่เทียนเฉินจะไม่ตาย คนของตระกูลหลิ่วช่างมีความสามารถในการอดทนสูงจริงๆ ในเมื่อตอนนี้เย่เทียนเฉินต้องการจะตามหาฉัน ถ้างั้นฉันก็จะเล่นเป็นเพื่อนเขาสักหน่อย ดูซิว่าเขาเปลี่ยนเนื้อตัดกระดูกมาแล้วจะร้ายกาจขนาดไหน!”

“ถ้างั้นตกลงจะฆ่าหรือเปล่าคะ?”

“ฆ่าไปเถอะ เหลือไว้ก็ไม่มีประโยชน์อะไร นอกจากนี้ส่งคนไปฆ่าโอวหยางเฟยอวิ๋นด้วย ฉันอยากจะดูสักหน่อยว่าเย่เทียนเฉินจะต่อต้านการโจมตีพร้อมกันของตระกูลแห่งโลกเบื้องหลังทั้งสองตระกูลอย่างตระกูลเซวียนเยวี๋ยนและตระกูลโอวหยางได้หรือเปล่า” ชายสวมเสื้อเชิ้ตสีขาวหันหลังให้มือสังหารสาวสวยทั้งสองคนอยู่ตลอด พูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย แต่กลับเจือไปด้วยความสนุก

“ค่ะ!” มือสังหารสาวสวยพยักหน้า

จากข่าวที่พวกเขาได้รับมา ตระกูลเซวียนเยวี๋ยนส่งคนออกไปลงมือแล้ว และต้องการฆ่าเย่เทียนเฉิน กระทั่งต้องการฆ่าล้างตระกูลเย่ ซึ่งตระกูลเซวียนเยวี๋ยนเป็นตระกูลใหญ่ที่อยู่ในมณฑลชวน ที่พวกเขาไม่ได้มาโจมตีอย่างบ้าคลั่งเป็นเพราะเขาไม่ได้อยู่ในเมืองหลวง มีเรื่องราวมากมายที่ต้องใช้แผนการ แต่ใครต่างก็รู้ว่า ตระกูลเซวียนเยวี๋ยนที่ซ่อนตัวอยู่นั้นแข็งแกร่งมาก เมื่อลงมืออย่างจริงจัง ก็จะต้องโจมตีอย่างหนักหน่วงราวพายุคลั่ง สำหรับตระกูลเย่แล้วไม่อาจขวางได้อย่างแน่นอน

เย่เทียนเฉินเองก็รู้ว่าตระกูลเซวียนเยวี๋ยนแข็งแกร่งและบ้าอำนาจมาก ส่งจดหมายมาฉบับหนึ่งก็สามารถทำลายเขตคฤหาสน์ทั้งเขตได้ ส่งมือสังหารชุดดำมาคนหนึ่ง แต่กลับมียอดฝีมือที่แข็งแกร่งห้าวหาญอยู่ด้วย สิ่งเหล่านี้เปรียบเสมือนการฆ่าไก่โดยใช้มีดฆ่าโคของตระกูลเซวียนเยวี๋ยนเท่านั้น ตามที่มือสังหารชุดดำที่ตายไปคนนั้นบอก ในตระกูลเซวียนเยวี๋ยนมีคนที่แข็งแกร่งเป็นอย่างมากอยู่คนหนึ่ง คนผู้นั้นแข็งแกร่งจนถึงขั้นวิปลาส และลงมือน้อยมาก เป็นเขาที่อัดพลังอันมหาศาลเข้ามาในจดหมาย คนคนนี้มีความเป็นไปได้มากว่าจะเป็นคู่ต่อสู้และอุปสรรคที่ใหญ่ที่สุดในการกำจัดตระกูลเซวียนเยวี๋ยนของเย่เทียนเฉิน

“น่าสนุกจริงๆ เย่เทียนเฉิน ฉันต้องขอบคุณจริงๆ ที่มีคู่ต่อสู้อย่างแกปรากฏตัวขึ้น อย่าได้ทำให้ฉันผิดหวังเป็นอันขาด ถ้าหากสู้ตระกูลเซวียนเยวี๋ยนและตระกูลโอวหยางไม่ได้ จะมาสู้กับฉันได้ยังไง?” ชายสวมเสื้อเชิ้ตสีขาว ยังคงพูดด้วยน้ำเสียงเชื่อมั่นในตนเอง

เช้าตรู่วันต่อมา เย่เทียนเฉินถูกเสียงตะโกนอย่าโมโหปลุกให้ตื่น เป็นเสียงตะโกนที่ร้ายกาจยิ่งกว่าเสียงคำรามของสิงโตเสียอีก ต่อจากนั้นเขาได้ยินเสียงเคาะประตูที่แทบจะทำให้ประตูพัง เย่เชี่ยนเหวินตะโกนอยู่ด้านนอกว่า “พี่ ออกมาเดี๋ยวนี้ พี่ให้บิชองฟรีเซ่ของหนูกินแตงโมใช่ไหม?”

เย่เทียนเฉินหาวออกมาครั้งหนึ่ง เมื่อได้ยินคำพูดของน้องสาวก็อดไม่ได้ที่จะชะงักไป จากนั้นจึงหัวเราะออกมาอย่างชั่วร้าย ใช้หมอนและผ้าห่มปิดศีรษะของตนเอาไว้แล้วนอนกรนต่อไป ต่อให้เย่เชี่ยนเหวินจะเคาะประตูอยู่ด้านนอกอย่างไร หรือจะตะโกนเรียกอย่างไรเขาก็ไม่ยอมเปิดประตู เห็นได้ชัดว่าเมื่อคืนเขาให้บิชองฟรีเซ่กินแตงโมเย็นๆ ชิ้นนั้นเพื่อขัดขวางแผนร้ายของฉีหรูเสวี่ย ตอนนี้บิชองฟรีเซ่เกิดเรื่องแล้ว เย่เชี่ยนเหวินเดาได้ว่าเขาเป็นคนทำ ดังนั้นจึงได้มาถามหาความผิด

หากเปิดประตูออกไปตอนนี้ไม่ถูกน้องสาวโมโหใส่ก็แปลกแล้ว และยังต้องถูกตำหนิจากหลัวเยี่ยนผู้เป็นแม่และฉีหรูเสวี่ยอีก จะทำทำไมล่ะ? สู้แกล้งทำเป็นไม่รู้เรื่องอะไรยังดีซะกว่า

เย่เชี่ยนเหวินอยู่นอกประตูห้องนอนของเย่เทียนเฉิน อย่างน้อยก็เคาะประตูไปครึ่งชั่วโมงกว่าแล้ว และยังใช้เท้าถีบประตูอย่างแรงอีกด้วย แต่เย่เทียนเฉินผู้เป็นพี่ชายก็ไม่โผล่หัวออกมา จึงโกรธจนหน้าเล็กๆ แดงก่ำ ถีบประตูอย่างรุนแรงอีกครั้ง จากนั้นจึงพูดกับหลัวเยี่ยนที่อยู่ชั้นล่างว่า “แม่คะ พี่ทำเกินไปแล้วจริงๆ จะต้องเป็นเขาที่ทำให้บิชองฟรีเซ่เกิดเรื่องแน่นอน เพราะกลัวความผิดเลยไม่กล้าออกมา หึ!”

“ลงมากินข้าวก่อนเถอะ อย่าไปสนใจพี่เขาเลย!” หลัวเยี่ยนพูดด้วยรอยยิ้มพลางส่ายหน้า

“น้องเชี่ยนเหวิน จะต้องเป็นไอ้บ้านั่นแน่นอน ถ้าไม่ใช่เขาที่กินจานผลไม้ที่พี่วางไว้ในตู้เย็นแล้วจะเป็นใคร!” ฉีหรูเสวี่ยเองก็พูดขึ้นแล้วมองไปยังชั้นบนอย่างไม่สบอารมณ์

……………….

ในตอนที่เย่เทียนเฉินเดินออกมาจากเทียนซ่างเหรินเจียนก็เป็นเวลาตีหนึ่งกว่าแล้ว เขาขึ้นขี่มอเตอร์ไซค์ของตนขับมุ่งหน้ากลับบ้าน เขามีแผนอยู่ในใจเรียบร้อยแล้ว เบื้องหลังเรื่องของตนกับหลิ่วหรูเหมยเมื่อปีนั้นก็คือคนที่ได้กลายเป็นลูกพี่ใหญ่ผู้ลึกลับแห่งพรรคคุณชายในวันนี้ เป็นคนที่ไม่ธรรมดาแน่นอน หลายปีมานี้ไม่เผยตัวออกมา นับเป็นคนที่มีสมองและมีฝีมือมาก ยิ่งไปกว่านั้นเย่เทียนเฉินยังรู้สึกได้ลางๆ ว่าบุคคลที่อยู่หลังม่านผู้ลึกลับคนนี้อาจจะมีแผนการร้ายที่คิดไม่ถึงอยู่ก็เป็นได้

เรื่องเมื่อปีนั้นเย่เทียนเฉินไม่เคยคิดมาก่อนเช่นกัน ในตอนนั้นเรียกได้ว่าตนเองก็เป็นเหมือนกับทายาทตระกูลใหญ่เหล่านี้ สร้างปัญหาไปทุกที่ กินดื่มเที่ยวเล่น ยโสโอหัง เพียงแต่อำนาจตระกูลของเขาเมื่อปีนั้นคือตระกูลเย่ที่ตกต่ำ จนเขากลายเป็นคุณชายของตระกูลชั้นสามคนหนึ่ง จึงเป็นคนที่ถูกรังแก กล่าวคือไม่ควรค่าที่จะใช้ประโยชน์อะไร ส่วนตระกูลหลิ่วของหลิ่วหรูเหมยในตอนนั้นกลับเป็นตระกูลระดับสูงของเมืองหลวง เขาและหลิ่วหรูเหมยไม่รู้จักกันโดยสิ้นเชิง อย่างมากเขาก็แค่พูดจาไม่ดีเกี่ยวกับหลิ่วหรูเหมยสักหลายประโยคในตอนที่พูดคุยเพ้อเจ้อกับเหล่าทายาทตระกูลใหญ่เท่านั้น เป็นความรู้สึกที่ได้จินตนาการว่าได้ขึ้นเตียงกับสาวงามอันดับหนึ่งของเมืองหลวง ส่วนเรื่องอื่นๆ นั้นทำไม่ได้ จะอย่างไรตระกูลหลิ่วก็นำผลงานมากมายมาให้แก่ประเทศชาติ ตระกูลใหญ่หลายตระกูลและกลุ่มอำนาจใหญ่ต่างๆ รู้ดี จึงไม่มีใครกล้าไปแตะต้องพวกเขา

ดังนั้นหลังจากที่เย่เทียนเฉินใคร่ครวญครู่หนึ่ง จึงคิดว่าตนและหลิ่วหรูเหมยไม่มีค่าให้ใช้ประโยชน์อะไร เช่นนั้นเพราะเหตุใดบุคคลที่อยู่หลังม่านถึงได้ต้องการจัดฉากเรื่องนี้ด้วย? คิดไปคิดมาความเป็นไปได้มากที่สุดก็คือ ประการแรก บุคคลเบื้องหลังรู้สึกสนุก คิดจะลิ้มรสความสุขของเกม ลิ้มรสความสุขที่ได้เล่นกับชีวิตของคนอื่นในเกมนี้ ประการที่สอง หากบุคคลเบื้องหลังไม่ได้ต้องการกำจัดตระกูลเย่ ก็ต้องคิดจะกำจัดตระกูลหลิ่ว กลับเป็นตัวเย่เทียนเฉินเองที่กลายเป็นผู้พลีชีพ กลายเป็นคนที่ถูกใช้ประโยชน์ก็เท่านั้น

“เล่นเกมเหรอ ก่อนหน้านี้ที่อยู่ในดาวสิ้นโลกฉันเองก็ค่อนข้างจะชอบ ถ้างั้นพวกเราก็ค่อยๆ เล่นกันไปเถอะ!” เย่เทียนเฉินตัดสินใจเช่นนี้อยู่ในใจ เขาจะต้องหาบุคคลที่อยู่หลังม่านคนนี้ออกมาให้ได้ จะมากจะน้อยก็ยังรู้สึกคาดหวังว่าคนคนนี้จะเป็นใครกันแน่?

กระทั่งตอนที่เย่เทียนเฉินกลับถึงบ้านก็เป็นเวลาตีสองกว่าแล้ว เขาจอดมอเตอร์ไซค์ไว้ในโรงรถเล็กๆ จากนั้นจึงเดินไปยังประตูใหญ่ของคฤหาสน์ ตอนนี้เองหลัวเยี่ยนผู้เป็นแม่ น้องสาวเย่เชี่ยนเหวิน และยังมีฉีหรูเสวี่ยที่กลายเป็นคนพักอาศัยอยู่ในตระกูลเย่อีกครั้ง จะต้องหลับไปนานแล้วแน่นอน

เพิ่งจะเดินเข้าประตูคฤหาสน์ไปเตรียมจะไขกุญแจเปิดประตู ทันใดนั้นเย่เทียนเฉินก็ขมวดคิ้ว รู้สึกได้ว่ามีคนกำลังจับจ้องตนเองอยู่ หากพูดให้ชัดเจนก็คือจับตามองคฤหาสน์ตระกูลเย่ของตน ในตอนที่มือสังหารที่ตระกูลเซวียนเยวี๋ยนส่งมาลอบโจมตี ระเบิดพลังการต่อสู้ที่แข็งแกร่งออกมา และเย่เทียนเฉินเดินทางไปยังเทียนซ่างเหรินเจียนนั้น เขาได้ใช้ “ค่ายกลปัญจลักษณ์” ขนาดเล็กเอาไว้แล้ว

ค่ายกลปัญจลักษณ์ เป็นค่ายกลปกปักษ์ประเภทหนึ่ง และเรียกได้ว่าเป็นค่ายกลประเภทโจมตี เป็นค่ายกลที่มีพร้อมทั้งโจมตีและป้องกัน ในช่วงยุคสิ้นโลก เย่เทียนเฉินเคยใช้เข่นฆ่าศัตรูที่แข็งแกร่งมาก่อน แน่นอนว่าในตอนนั้น ค่ายกลที่เย่เทียนเฉินจัดวางไม่ใช่ค่ายกลปัญจลักษณ์ขนาดเล็กเช่นนี้ แต่เป็นค่ายกลมหาปัญจลักษณ์ ในดาวสิ้นโลกมีศัตรูแข็งแกร่งนับไม่ถ้วน ค่ายกลปัญจลักษณ์ขนาดเล็กจะสยบและเข่นฆ่าศัตรูจำนวนมากได้ที่ไหนกัน

ค่ายคนปัญจลักษ์นี้เป็นสิ่งที่เย่เทียนเฉินพัฒนาขึ้นมาโดยเฉพาะ ในค่ายกลมีพลังพิเศษที่สำคัญอยู่ห้าประเภทได้แก่ ทอง ไม้ น้ำ ไฟ ดิน ทำงานสอดประสานซึ่งกันและกัน จนเกิดเป็นพลังแห่งการเข่นฆ่าที่มหาศาล เมื่อเข้าไปด้านใน มีเพียงไม่กี่คนที่จะหนีออกไปได้ และต้องตายอยู่ด้านในอย่างแน่นอน หากเป็นศัตรูที่แข็งแกร่งบุกเข้ามา ก็จะกระตุ้นค่ายกล ทำให้เกิดการโจมตีเข่นฆ่าด้วยตัวมันเอง แข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่ง

ได้มาเกิดใหม่ในโลกแห่งนี้ไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าญาติมิตรแล้ว ดังนั้นเย่เทียนเฉินจึงรู้สึกว่าต้องการจะปกป้องครอบครัวของตน ในตอนที่จะออกไปจึงได้เดินไปยังตำแหน่งต่างๆ ทั้งห้าจุดภายในบ้าน เพื่อติดตั้งค่ายกลปัญจลักษณ์ขนาดเล็กแห่งหนึ่ง ถึงแม้จะเป็ค่ายกลขนาดเล็ก แต่ก็มากเพียงพอที่จะสกัดกั้นผู้แข็งแกร่งที่มีพลังพิเศษระดับจอมราชัน

ดังนั้นค่ายกลปัญจลักษณ์ที่เย่เทียนเฉินเป็นผู้ติดตั้งย่อมเชื่อมโยงจิตใจกับเขา ในตอนที่เขาเดินมาถึงประตูก็รับรู้ได้ผ่านค่ายกลปัญจลักษ์ว่ามีคนกำลังจับตามองคฤหาสน์ตระกูลเย่ของตนอยู่ ถึงแม้ไอสังหารบนร่างจะไม่แข็งแกร่ง แต่ก็มีอันตราย เย่เทียนเฉินย่อมไม่ปล่อยให้ปมีอันตรายใดๆ ก็ตามหลงเหลือมาสู่ครอบครัวของตนได้

ตอนนี้เอง ด้านหลังคฤหาสน์ตระกูลเย่ บนต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง มีชายสวมเสื้อยืดสีดำกำลังนั่งอยู่ เขามาถึงที่นี่เวลาประมาณเที่ยงคืน จนกระทั่งหาตำแหน่งที่ไม่เลวเช่นนี้ได้จึงเริ่มใช้กล้องมองกลางคืนจับตาดูการเคลื่อนไหวทุกอย่างของตระกูลเย่

ในเวลาเพียงชั่วพริบตา เขาพลันชะงักไปทั้งร่าง ขมวดคิ้วด้วยความแปลกใจ เนื่องจากเขาเพิ่งจะเห็นเย่เทียนเฉินขับรถมอเตอร์ไซค์กลับมาถึงบ้าน และหยิบกุญแจออกมาเพื่อจะไขประตู แต่เหตุใดจึงหายไปจากกล้องมองกลางคืนของตนได้?

เขาตกใจครั้งใหญ่ ชายสวมเสื้อยืดสีดำรีบใช้กล้องมองกลางคืนมองหาเย่เทียนเฉินไปทั่ว

“แกกำลังหาฉันอยู่เหรอ?”

วินาทีต่อมา ชายสวมเสื้อยืดสีดำคนนี้ก็ได้ยินเสียงของเย่เทียนเฉิน เขาตกตะลึงไปทั้งร่าง บนหน้าผากมีเหงื่อเย็นๆ ไหลซึมออกมา เมื่อหันไปมองพบว่าเย่เทียนเฉินยืนอยู่บนกิ่งไม้ด้านหลังของเขาตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่ทราบได้ จ้องมองเขาด้วยใบหน้าที่ประดับไปด้วยรอยยิ้ม

“แก…”

ฉัวะ!

ชายสวมเสื้อยืดสีดำคนนี้พูดได้แค่คำว่าแกคำเดียว จากนั้นจึงหมุนตัวไปอย่างฉับพลัน กวาดเท้าซ้ายเตะออกไปในแนวขวางใส่เย่เทียนเฉิน เขาถูกส่งมาให้จับตามองเย่เทียนเฉิน จากข้อมูลที่ทางพวกเขาได้รับมา เย่เทียนเฉินแข็งแกร่งมาก แข็งแกร่งจนถึงขั้นไม่อาจหยั่งถึง การส่งเขามาย่อมเป็นเพราะฝีมือของเขาไม่เลว

เย่เทียนเฉินกระโดดขึ้น จากนั้นจึงทะลวงกรงเล็บไปจับลำคอของชายสวมเสื้อสีดำ ชายในเสื้อยืดสีดำมีปฏิกิริยาว่องไวมาก โยนกล้องมองกลางคืนในมือซ้ายทิ้งไป ในขณะเดียวกันก็บุกเข้าไปหาเย่เทียนเฉิน ในสถานการณ์เช่นนี้หากต้องการจะหนี เกรงว่าคงจะถูกเย่เทียนเฉินกำจัดเสียก่อน

เพียงแต่น่าเสียดาย เมื่อเย่เทียนเฉินลงมือก็ใช้ความสามารถขั้นสูงสุดของพลังพิเศษขอบเขตจอมราชันออกมาทันที ในตอนที่ชายสวมเสื้อยืดสีดำหยุดมือลง บริเวณลำคอของเขาก็ถูกมือขวาของเย่เทียนเฉินบีบเอาไว้แล้ว ทั้งสองยืนอยู่บนกิ่งไม้ใหญ่อย่างเดียวกัน โชคดีที่ต้นไม้ต้นนี้ใหญ่มาก เก่งก้านก็แข็งแรงมากพอ ไม่เช่นนั้นคงถูกชายร่างใหญ่ทั้งสองกดทับจนหักไปแล้ว

“แกเก่งดีนี่!” ชายสวมเสื้อยืดสีดำมองไปยังเย่เทียนเฉินแล้วพูดขึ้น

“บอกมาเถอะ ฉันไม่อยากฆ่าแก ขอแค่แกพูดความจริงกับฉัน!” เย่เทียนเฉินพูดด้วยรอยยิ้ม

เย่เทียนเฉินไม่อาจสัมผัสได้ถึงไอสังหารใดๆ จากบนร่างของชายสวมเสื้อยืดสีดำคนนี้เลย คนคนนี้คงจะเป็นแค่คนเบิกทางเท่านั้น ตกลงแล้วเป็นใครกันแน่ที่ต้องการจับตามองตน เย่เทียนเฉินยังคงรู้สึกสงสัยอยู่บ้าง จะเป็นตระกูลใหญ่และกลุ่มอำนาจใหญ่ที่ต้องการกำจัดตนหรือเปล่า? หรือจะบอกว่าเป็นโอวหยางเฟยอวิ๋น หรือไม่ก็คนของคุณชายใหญ่แห่งมหาวิทยาลัยหลงเถิงที่ลึกลับคนนั้น?

“ฉันไม่รู้ แกฆ่าฉันเถอะ!” ขายสวมเสื้อยืดสีดำกล่าวเสียงแข็ง

“ฉันไม่อยากฆ่าแกเพราะวันนี้ฉันฆ่าคนไปเยอะแล้ว แต่ก็อย่าได้บีบบังคับฉันนัก ยิ่งไปกว่านั้นฉันเชื่อว่าแกไม่ได้มีเจตนาร้ายอะไร แค่ต้องการมาจับตาดูก็เท่านั้น!” เย่เทียนเฉินพูดด้วยรอยยิ้ม

ชายสวมเสื้อยืดสีดำชะงักไปครู่หนึ่ง คิดว่าเย่เทียนเฉินพูดไม่ผิดเลย ตนเองได้รับคำสั่งให้มาจับตาดูเท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้นก็ไม่ได้บอกให้ลงมือกับตระกูลเย่ แต่ในช่วงเวลาที่สำคัญก็สามารถลงมือฆ่าเย่เทียนเฉินได้เช่นกัน นั่นเพื่อกำจัดความคิดของคุณหนู กล่าวคือ ทั้งสองตระกูลไม่ได้มีความแค้นลึกล้ำอะไรต่อกัน ไม่จำเป็นต้องทำเช่นนั้น

“ฉันเป็นคนของตระกูลหลิง นายท่านหลิงส่งฉันมาจับตาดูแก!” ชายสวมเสื้อยืดสีดำเอ่ยปาก

“ตระกูลหลิง? พ่อของหลิงอวี่สวิ๋นส่งแกมาหรือ?” เย่เทียนเฉินชะงักไปครู่หนึ่งแล้วถามขึ้น

“ถูกต้อง ท่านบอกว่าไม่อาจปล่อยให้แกไปมาหาสู่กับคุณหนูได้ ดังนั้น…”

เมื่อได้ยินคำพูดนี้ของชายสวมเสื้อยืดสีดำ เย่เทียนเฉินก็เข้าใจกระจ่าง กล่าวคือพ่อของหลิงอวี่สวิ๋นมีอคติต่อเย่เทียนเฉิน คิดว่าเย่เทียนเฉินยังไม่มีคุณสมบัติเพียงพอที่จะเป็นเขยของเขา ไม่เหมาะสมกับลูกสาวของเขา ดังนั้นจึงได้ขัดขวางทุกทาง

สำหรับหลิงอวี่สวิ๋นแล้วเย่เทียนเฉินกลับไม่ได้คิดอะไรมากขนาดนั้น แต่เกิดเป็นคนต้องมีความทะเยอทะยาน ผู้อาวุโสตระกูลหลิงจะดูถูกกันเกินไปแล้ว ตนเองยังไม่ได้ล่วงเกินเขา เขาก็ดูถูกตนเช่นนี้แล้ว ยิ่งไปกว่านั้นจากที่หลัวเยี่ยนกล่าว ก่อนหน้านี้ความสัมพันธ์ตระกูลหลิงและตระกูลเย่ไม่เลวเลย ถึงแม้จะไม่ได้ไปมาหาสู่กันหลายปี ก็ไม่ถึงกับต้องปล่อยให้ตระกูลหลิงดูถูกตระกูลเย่ขนาดนี้หรอก?

“เอาแบบนี้แล้วกัน แกกลับไปบอกนายท่านหลิงว่าว่างๆ ฉันจะไปคุยกับเขาที่ตระกูลหลิงสักหน่อย เรื่องของหนุ่มสาว ผู้ใหญ่อย่าได้วุ่นวายให้มากเกินไปนัก!” เย่เทียนเฉินพูดด้วยรอยยิ้ม

“แก…”

“ยังไม่ไปอีก หรือต้องการให้ฉันฆ่าแก?” เย่เทียนเฉินเอ่ยปากพูดอย่างเย็นชา

เมื่อปล่อยชายสวมเสื้อยืดสีดำไปแล้ว เย่เทียนเฉินก็รู้สึกหดหู่จริงๆ เดิมทีเขาเป็นคนที่ไม่สนใจว่าคนอื่นจะมองตนอย่างไร เช่นเดียวกับที่คำโบราณได้กล่าวไว้ เดินทางของตนเองไปซะ แล้วทำให้คนอื่นรู้สึกกล้ำกลืน เพียงแต่การมีคนดูถูกตน ก็ทำให้ไม่พอใจมากจริงๆ

เมื่อกลับมาถึงคฤหาสน์ เย่เทียนเฉินก็เปิดตู้เย็นออก ปรากฏว่ามีจานผลไม้อยู่ไม่ต่างจากที่เขาคาด การที่ฉีหรูเสวี่ยอยู่ที่ตระกูลเย่ก็มีข้อดีเช่นนี้เอง ชอบทำเรื่องเล็กๆ อย่างเตรียมผลไม้อะไรแบบนั้น จะอย่างไรนี่ก็เป็นงานอดิเรกของเธอ และมันก็กลายเป็นอาหารมื้อดึกของเย่เทียนเฉินทั้งหมด

เพิ่งจะหยิบแตงโมขึ้นมาชิ้นหนึ่งเตรียมจะกินเข้าไป ทันใดนั้นเย่เทียนเฉินก็ชะงัก คิดไปถึงครั้งที่แล้วที่ตนท้องเสียทั้งคืน ครั้งนี้ฉีหรูเสวี่ยจะแกล้งตนหรือเปล่า? ไม่ได้แล้ว จะต้องระมัดระวังเข้าไว้ เมื่อคิดถึงตรงนี้เย่เทียนเฉินก็หัวเราะอย่างชั่วร้าย จากนั้นจึงเดินมาที่ห้องสัตว์เลี้ยง ที่นี่เย่เชี่ยนเหวินเลี้ยงสุนัขไว้ตัวหนึ่ง เป็นสุนัขสุนัขพันธุ์บิชองฟรีเซ่ที่น่ารักคาวาอี้มาก และเป็นลูกรักของเย่เชี่ยนเหวิน ยามปกติจะไม่ยอมให้เย่เทียนเฉินไปแตะโดยเด็ดขาด ด้วยเกรงว่าเย่เทียนเฉินจะทำอะไรไม่ดีจนมันตาย!

เย่เทียนเฉินถือจานผลไม้เดินไปยังห้องสัตว์เลี้ยง จากนั้นจึงนำแตงโมที่อยู่ในมือชิ้นนั้นโยนลงไปให้บิชองฟรีเซ่ตัวเล็ก ให้มันทดสอบให้ตนสักหน่อยว่า ฉีหรูเสวี่ยวางยาไว้ในผลไม้นี้หรือไม่ ถ้าหากว่าเย่เชี่ยนเหวินรู้เข้า เกรงว่าคงตะโกนลั่นไปทั่วคฤหาสน์แน่ ฮ่าๆ!

……….

“แก…” ไป๋อู่ตกตะลึง ทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟา ตกใจจนหน้าขาวซีด บนหน้าผากอดไม่ได้ที่จะมีเหงื่อเย็นๆ ไหลซึมออกมา แม้แต่ในความฝันเขาก็คิดไม่ถึงว่าเย่เทียนเฉินจะแข็งแกร่งขนาดนี้ ฝีมือแข็งแกร่งจนถึงขั้นวิปลาส

เดิมทีไป๋อู่คิดว่า การที่เย่เทียนเฉินสามารถฝ่าบอดี้การ์ดถือปืนของชั้นสามมากมายขนาดนั้นมาได้เป็นเพราะโชคดีที่มีวิธีการอันร้ายกาจ มิฉะนั้นด้วยบอดี้การ์ดถือปืนสิบกว่าคนเย่เทียนเฉินจะต้องไม่มีทางบุกเข้ามาได้อย่างแน่นอน ตอนนี้กลับไม่เป็นเช่นนั้น ความแข็งแกร่งของเย่เทียนเฉินเป็นอะไรที่เขาไป๋อู่ไม่อาจจะจินตนาการได้

“พูดมาเถอะ ฉันไม่อยากจะฆ่าแก แต่นี่ก็ต้องดูการกระทำของแกด้วย” เย่เทียนเฉินพูดออกมาอย่างเรียบเฉย

คนอื่นๆ ที่อยู่ที่นี่เพิ่งจะได้สติกลับมา ทุกคนต่างมองไปยังเย่เทียนเฉินอย่างยากที่จะเชื่อ ใครก็คิดไม่ถึงว่าเย่เทียนเฉินจะแข็งแกร่งถึงเพียงนี้ แข็งแกร่งจนเกินกว่าจินตนาการของพวกเขาไปแล้ว ไม่แปลกใจเลยที่หวังป๋อจะถูกเย่เทียนเฉินตบหน้าไปหลายครั้งจนสลบไป ส่วนเจียงเวยยิ่งอนาถ ถูกเตะไปครั้งหนึ่ง เพียงแค่เตะครั้งเดียวก็ลุกไม่ขึ้นแล้ว

“ฆ่ามันซะ!”

ตอนนี้เองมือสังหารสองคนที่คุ้มครองไป๋อู่ได้สติกลับมา แต่ละคนก็ควักมีดออกมาแล้วพุ่งเข้าไปยังเย่เทียนเฉิน สำหรับยอดฝีมือที่แท้จริงแล้ว การใช้ปืนนับเป็นการกระทำระดับต่ำ จะให้ดีควรจะเป็นมีดหรือมือเปล่าถึงจะเป็นสัญลักษณ์ของยอดฝีมือชั้นสูงที่แท้จริง

ฉัวะ!

ประกายมีดส่องสว่าง พุ่งตรงไปยังเสื้อกล้ามของเย่เทียนเฉินด้วยความรวดเร็ว น่าเสียดายที่มีดของมือสังหารที่พุ่งเข้ามาคนแรกสุดยังไม่ทันได้แตะถูกเย่เทียนเฉิน เขาก็กระเด็นออกไปแล้ว ถูกเย่เทียนเฉินใช้ขาแตะไปที่ท้องอย่างฉับพลันโดยไม่ทันตั้งตัว ปลิวไปชนเข้ากับมือสังหารอีกคนหนึ่ง

ชั่วขณะนั้น เย่เทียนเฉินพุ่งเข้าไป ใช้มือขวาจับมีดที่ลอยอยู่ในอากาศของมือสังหารที่ถูกเตะปลิวออกไปคนนั้น แล้วแทงมีดเข้าไปที่หัวใจของเขาในเวลาเพียงชั่วพริบตา

ฉึก!

ฉึก!

เสียงดังขึ้นสองครั้ง ไม่ใช่ครั้งเดียว บอดี้การ์ดที่ลงเมืองกับเย่เทียนเฉินคนแรกนั้นถูกมีดแทงทะลุหน้าอก ส่วนบอดี้การ์ดที่เหลือซึ่งยังไม่ได้ลงมือก็ถูกมีดแทงเข้าไปที่หัวใจเช่นกัน หนึ่งมีดฆ่าสองศพ มือสังหารชั้นยอดทั้งสองถูกเย่เทียนเฉินกำจัดไปเช่นนี้เอง ต่อหน้าต่อตาเหล่าทายาทตระกูลใหญ่ที่อยู่ที่นี่ ล้มลงไปนอนจมกองเลือด พวกผู้ชายตกใจจนรีบถอยหลังไป ส่วนพวกลูกคุณหนูสูงศักดิ์ก็กรีดร้องออกมา พวกเขาโอหัง ใช้อำนาจบาตรใหญ่ และสามารถสั่งให้คนอื่นไปฆ่าคนได้ตามใจ แต่กลับเห็นเหตุการณ์ฆ่าคนเช่นนี้ต่อหน้าต่อตาน้อยมาก โดยเฉพาะการที่เย่เทียนเฉินใช้มีดเดียวฆ่าสองศพโดยที่บนใบหน้าประดับรอยยิ้มไร้พิษสงตั้งแต่ต้นจนจบ ช่างทำให้ผู้คนต้องสั่นสะท้านจริงๆ

ครั้งนี้ทุกคนเห็นเย่เทียนเฉินฆ่าคนกับมือ ต้องกล่าวว่าตอนแรกที่อัดหวังป๋อและเจียงเวย เขายังไม่ได้ลงมือฆ่า และอย่างน้อยก็ยังไม่รู้ว่าหวังป๋อและเจียงเวยเป็นหรือตาย แต่มือสังหารชั้นยอดทั้งสองคนนี้ตายไปแล้วโดยสิ้นเชิง เลือดสดๆ ไหลเต็มพื้น ดูแล้วทำให้พวกเขาศีรษะชาวาบ

เย่เทียนเฉินไม่ได้พูดอะไรอีกแม้แต่ประโยคเดียว สิ่งที่เขาควรจะพูดก็พูดออกไปหมดแล้ว เมื่อเจอกับการด่าว่าของหวังป๋อและเจียงเวยเขาก็ตอบโต้ไปแล้ว กระทั่งไป๋อู่เองก็ไม่ได้มีความรู้สึกดังพี่น้องเหมือนในวันวานกับเขาอีกต่อไป เขาเมตตาและรักษาสัจจะจนถึงที่สุด แต่ในเมื่อไป๋อู่กลายเป็นคนโหดเหี้ยมและไม่คิดถึงฐานะของพี่น้องในอดีตแม้แต่น้อย แล้วทำไมเขาต้องยืนกรานด้วยล่ะ? ตอนนี้ก็เหลือเพียงแต่ทำให้ได้รู้ข้อมูลที่เขาต้องการ แน่นอนว่าต้องอยู่ภายใต้สถานการณ์ที่ไป๋อู่เต็มใจ หากไม่เต็มใจก็คงทำได้เพียงลงมือเท่านั้น ต้องสยบด้วยวิธีการรุนแรง

ไป๋อู่ใบหน้าซีดขาว จ้องมองไปยังเย่เทียนเฉินด้วยร่างกายสั่นเทิ้มไปทั้งร่าง ไม่ใช่ว่าเขาไม่เคยทำให้ใครตายมาก่อน เมื่อได้เป็นนายท่านรองของพรรคคุณชาย ไป๋อู่ย่อมต้องฆ่าคนมาไม่น้อย แต่คนเหล่านั้นเขาไม่ได้เป็นคนฆ่าเอง เป็นลูกน้องที่ลงมือให้ แต่ไหนแต่ไรเขาก็ไม่เคยเผชิญหน้ากับความตายอย่างแท้จริง ตอนนี้เมื่อได้พบเย่เทียนเฉินฑีฆาบอดี้การ์ดทั้งสองของเขาโดยไม่ไว้ไมตรีเลยแม้แต่น้อย ในใจก็รู้สึกสั่นสะท้าน ที่สำคัญก็คือความกล้าหาญดุดันของเย่เทียนเฉินทำให้เขารู้สึกว่า ตอนที่จะฆ่าเขาเย่เทียนเฉินเองก็คงแข็งกร้าวเช่นนี้เหมือนกัน

“แก…แกจะฆ่าฉันหรือ?” ไป๋อู่ถามด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ

เย่เทียนเฉินไม่ได้ตอบไป๋อู่แต่ยังคงเดินก้าวไปข้างหน้าต่อไป

“แก…ตอนนี้แกจะหนีก็ไม่ทันแล้ว!” ไป๋อู่เห็นเย่เทียนเฉินไม่พูด จึงกล่าวออกมาด้วยใจที่เคร่งขรึม

เย่เทียนเฉินยังคงมองไป๋อู่ด้วยรอยยิ้ม ใกล้จะเดินไปถึงเบื้องหน้าเขาแล้ว

“เย่เทียนเฉิน แกไม่ใช่คู่มือของคุณชายใหญ่โดยเด็ดขาด ไม่เพียงแต่แกจะต้องตาย ตระกูลเย่ทั้งหมดของแกก็ต้องตาย!” ไป๋อู่ พังทลายแล้ว จิตใจพังทลายโดยสิ้นเชิง เขาตะโกนใส่เย่เทียนเฉินลั่น

ทายาทตระกูลใหญ่ทั้งหมด ทั้งผู้หญิงผู้ชายเหล่านั้นต่างก็ถูกเย่เทียนเฉินทำให้ตกใจจนโง่งมไปนานแล้ว จ้องมองไปยังเย่เทียนเฉินด้วยท่าทางตกตะลึงจนแข็งค้าง พวกเขาไม่รู้ว่าเย่เทียนเฉินจะทำอย่างไรกับไป๋อู่ และไป๋อู่จะตอบโต้อย่างไร? เพียงแต่สิ่งที่ทำให้พวกเขาคิดไม่ถึงก็คือ เย่เทียนเฉินเพียงคนเดียวก็สามารถทำให้ทุกคนในพรรคคุณชายสั่นสะท้านได้ ถูกทำให้มึนงงไปหมด คนคนนี้เปลี่ยนไปร้ายกาจมากจริงๆ เกินกว่าจินตนาการของพวกเขาไปแล้ว ฝีมือห่างชั้นกับพวกเขาเกินไป

“พูดมาเถอะ สิ่งที่ควรพูดก็พูดมา!” เย่เทียนเฉินพูดกับไป๋อู่ด้วยรอยยิ้มบางเบา

“ฉัน ฉันไม่รู้ว่าควรพูดอะไร…” ไป๋อู่จ้องเย่เทียนเฉินอย่างดุดัน

“ไม่พูดจริงเหรอ?” เย่เทียนเฉินทำเพียงถามอย่างเรียบเฉย

“แก…” ไป๋อู่ใจเต้นตึกตัก เขาสัมผัสได้ว่าเย่เทียนเฉินไม่ได้ล้อเล่น ถ้าหากเขาไม่พูดเรื่องเมื่อปีนั้นออกมาบางทีอาจจะตายจริงๆ ก็เป็นได้

“โอกาสสุดท้ายแล้ว!” เย่เทียนเฉินพูดขัดคำพูดของไป๋อู่

ฟุ่บ ไป๋อู่ทรุดลงนั่งกับพื้น หอบหายใจครั้งใหญ่ เย่เทียนเฉินยังไม่ได้ลงมือกับเขาก็ทำให้เขาสัมผัสได้ถึงความกดดันมันมหาศาลจนรับไม่ไหวแล้ว นี่น่ากลัวกว่าการฆ่าเขาตรงๆ อีก

“ให้พวกเขาออกไปเถอะ ฉันจะพูดกับแกตามลำพัง!” ไป๋อู่มองเย่เทียนเฉินแล้วพูดออกมาอย่างจนใจ เขารู้ว่าวันนี้หากไม่พูดเรื่องเมื่อปีนั้นออกไปจะต้องไม่ได้ออกไปจากที่นี่อย่างมีชีวิตแน่นอน เดิมทีคิดว่าเย่เทียนเฉินยังคงเป็นเหมือนเมื่อวันวานที่มีเพียงถูกผู้อื่นเหยียบย่ำ ไหนเลยจะรู้ว่าเขาจะแข็งแกร่งจนถึงขั้นที่ทำให้ผู้คนรู้สึกห่างชั้นกันมาก ตนเองวางมาดนายท่านรองเบื้องหน้าเขา ช่างอ่อนแอจริงๆ!

เย่เทียนเฉินยิ้ม หันไปมองเหล่าทายาทตระกูลใหญ่ที่ยืนตะลึงอยู่กับที่กลุ่มนั้น แล้วพูดว่า “ออกไปให้หมดเถอะ อย่าลืมลากไอ้โง่สองคนนั้นออกไปด้วย ฉันไม่อยากเห็นพวกมัน เดี๋ยวจะทนไม่ไหวจนต้องลงมือฆ่า!”

ถึงแม้ในหมู่ทายาทตระกูลใหญ่ยังมีคนไม่พอใจเย่เทียนเฉินอยู่บ้าง เพราะจะอย่างไรพวกเขาก็ยโสโอหังมาหลายปี นี่เป็นครั้งแรกที่มีคนกดดันพวกเขา คนเพียงคนเดียวสามารถทำให้พวกเขาสั่นสะท้านได้ทั้งหมด ช่างน่าขายหน้าจริงๆ จึงต้องการออกหน้าต่อกรกับเย่เทียนเฉิน แต่สุดท้ายก็ยังอดกลั้นเอาไว้ เพราะตอนนี้กระทั่งไป๋อู่ก็ไม่กล้าพูดจามั่วซั่วและไม่กล้าพูดอะไรมากความ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงพวกเขาเลย

เมื่อเห็นหญิงชายทั้งหลายของพรรคคุณชายเดินออกไปหมดแล้ว เย่เทียนเฉินก็นั่งลงบนโซฟา หยิบซิก้าบนโต๊ะกาแฟขึ้นมาจุดสูบ ในขณะเดียวกันก็รินเหล้า เตรียมจะฟังไป๋อู่พูด คงจะมีข้อมูลไม่น้อยเลยทีเดียว

“จะพูดหรือเปล่า?” เย่เทียนเฉินถามด้วยรอยยิ้ม

“เรื่องเมื่อปีนั้น…เรื่องเมื่อปีนั้น ความจริงฉันวางยาในกาแฟที่ให้แกดื่ม จากนั้นแกก็ถูกคนอื่นควบคุม เรื่องที่ไปเห็นหลิ่วหรูเหมยอาบน้ำก็เป็นเรื่องที่จงใจจัดฉากขึ้น แต่ฉันไม่รู้ว่าคนที่อยู่เบื้องหลังเป็นใครกันแน่ ฉันแค่ทำตามคำสั่ง ช่วยเขาทำเรื่องต่างๆ มาโดยตลอด จากนั้นฉันก็ได้เลื่อนตำแหน่ง!” ไป๋อู่มองเย่เทียนเฉินแล้วพูดขึ้น

“ถ้างั้นแกกับคนที่อยู่เบื้องหลังมีความสัมพันธ์กันยังไง? ยิ่งไปกว่านั้นหลายปีมานี้แกจะไม่สงสัยอะไรบ้างเลยเหรอ?” เย่เทียนเฉินถามยิ้มๆ เขายังเข้าใจไป๋อู่อยู่บ้าง ถึงแม้อำนาจตระกูลของไป๋อู่จะไม่แข็งแกร่ง แต่ก็นับว่าเป็นคนที่ฉลาดคนหนึ่ง และเป็นคนที่ไม่พอใจที่ต้องอยู่สังคมระดับร่างมาโดยตลอด เพราะแบบนี้จึงถูกผู้อื่นชี้นำและควบคุม ไป๋อู่เองก็รู้ว่าสักวันหนึ่งจะมีจุดจบอย่างไร รอให้เขาไม่ควรค่าที่จะใช้ประโยชน์ก็จะถูกฆ่าทิ้ง ถูกทำให้หายไปอย่างสะอาดหมดจด

ไป๋อู่มองเย่เทียนเฉิน แล้วจึงหยิบซิก้าจากบนโต๊ะกาแฟมามวนหนึ่งก่อนจะจุดขึ้นสูบด้วยตัวเอง ทอดถอนใจยาวๆ แล้วพูดขึ้นว่า “แกกับฉันเป็นดังพี่น้องกันมาหลายปี ยังเป็นแกที่เข้าใจฉันดีที่สุด ฉันย่อมต้องเคยสงสัยมาก่อนแน่นอน และค่อยๆ สังเกตการณ์ มีหลายครั้งที่ฉันหาทางเพื่อให้ได้พบคนที่อยู่หลังม่านคนนั้น แต่กลับถูกขวางเอาไว้ แต่อย่างน้อยฉันก็มั่นใจอย่างหนึ่งนั่นก็คือ คนที่ชี้นำให้ฉันวางแผนร้ายเพื่อให้แกไปเห็นหลิ่วหรูเหมยอาบน้ำเมื่อปีนั้น เป็นคนเดียวกับคนที่ได้กลายเป็นลูกพี่ใหญ่ของพรรคคุณชายในตอนนี้!”

เย่เทียนเฉินได้ยินคำพูดของไป๋อู่ก็ขมวดคิ้ว คนเดียวกัน เช่นนั้นก็กล่าวได้ว่าเมื่อสองปีก่อน บุคคลที่อยู่หลังม่านคนนี้ก็คิดจะใส่ร้ายตนเองและหลิ่วหรูเหมยแล้ว ไม่เพียงแต่จะต้องการให้ตนตาย แต่ยังต้องการทำลายชื่อเสียงของหลิ่วหรูเหมยอีกด้วย หรือบางทีอาจกล่าวได้ว่าต้องการทำให้เขาเย่เทียนเฉินตายเพียงคนเดียว สองปีถัดมาบุคคลที่อยู่หลังม่านคนนี้ก็ปั่นป่วนแผ่นดินจนกลายเป็นลูกพี่ใหญ่แห่งพรรคคุณชาย ไม่กล่าวไม่ได้ว่าปีนป่ายได้เร็วมาก และมีฝีมือมากด้วย

“คนเดียว ถ้างั้นทุกครั้งที่พวกแกติดต่อกัน ทำยังไง?” เย่เทียนเฉินเอ่ยปากถาม

“ติดต่อทางโทรศัพท์ ฉันไม่เห็นเขา ได้ยินแต่เสียงเขาเท่านั้น แต่ฉันเดาว่านั่นก็คงถูกจัดการมาก่อน ฉันเคยสืบหาจากโทรศัพท์มือถือ แต่ก็ไม่พบอะไรเลย!” ไป๋อู่พูดพลางส่ายหน้า

“ดูท่าคนๆ นี้คงจะซ่อนตัวได้ลึกลับมาก น่าสนุกขึ้นเรื่อยๆ แล้ว!” เย่เทียนเฉินพูดทางยืนขึ้น

เมื่อเย่เทียนเฉินพูดจบก็หมุนตัวเดินจากไป ไม่ได้ทำอะไรกับตนมากมาย ไป๋อู่ชะงักไปครู่หนึ่ง เขาเข้าใจว่าเย่เทียนเฉินไม่ฆ่าเขาเพราะคิดถึงความสัมพันธ์พี่น้องเมื่อปีนั้น ไม่ว่าจะพูดอย่างไรก็เป็นพี่น้องที่ใช้ชีวิตด้วยกันมาครั้งหนึ่ง ต่อให้ตอนนี้เขาจะเปลี่ยนไปไม่เหมือนกับเมื่อก่อน แต่ก็นับว่ามีไมตรีอยู่บ้าง

“เรื่องเมื่อปีนั้นฉันเองก็ถูกบังคับ ฉันไม่อยากเป็นแบบนี้ไปตลอด และไม่อาจทำให้ตระกูลไป๋ของฉันเป็นแบบนี้อีกต่อไป ขอโทษด้วย!” ไป๋อู่มองแผ่นหลังของเย่เทียนเฉินแล้วพูดอย่างจริงจัง

เย่เทียนเฉินชะงักฝีเท้า ยังคงไม่พูดอะไรเช่นเดิม จากนั้นจึงก้าวเดินออกไปจากเทียนซ่างเหรินเจียน จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่พูดอะไรออกมา มีเรื่องราวมากมายได้เปลี่ยนไปแล้ว

ไป๋อู่เห็นเย่เทียนเฉินเดินออกไปจากห้องส่วนตัวก็ลุกขึ้นยืนจากพื้น ทันใดนั้นมุมปากเผยรอยยิ้มโหดเหี้ยมขึ้นแล้วพูดออกมาว่า “เย่เทียนเฉิน ทางที่ดีแกก็กำจัดคนที่อยู่หลังม่านไปซะ แบบนั้นฉันก็จะได้เป็นลูกพี่ใหญ่ของพรรคคุณชาย ถ้าหากคนที่ตายเป็นแก ฉันก็จะช่วยคนเบื้องหลังคนนี้กำจัดตระกูลเย่ของแกให้สิ้นซาก ไม่ว่าจะยังไงก็มีประโยชน์กับฉันไป๋อู่ทั้งนั้น ฮ่าๆๆๆ!”

……………

พ่อของหวังป๋อเป็นคนใหญ่คนโตในวงการสื่อสิ่งพิมพ์ เรียกได้ว่าควบคุมกิจการสื่อทั้งหมดของประเทศจีน ไม่ว่าจะเป็นดาราในวงการบันเทิง คนมีชื่อเสียง หรือว่าขุนนางระดับบิ๊กบางคน ต่างก็ต้องการการป่าวประกาศผลงานการดำเนินการทางการเมืองของพวกเขาในข่าวสารเหล่านี้ ถ้าหากว่าพ่อของคิดไม่ดี จินตนาการได้เลยว่าจะทำให้คนเหล่านี้ต้องพบกับวันเวลาอันยากลำบากขนาดไหน สูญเสียตำแหน่งราชการไปเป็นเรื่องเล็ก แต่อาจถูกบีบบังคับจนถึงขั้นไม่สามารถรักษาไว้ได้

หวังป๋อในตอนนี้ถูกเย่เทียนเฉินตบจนใบหน้าเต็มไปด้วยเลือด นอนสลบอยู่กับพื้นโดยไม่ขยับเขยื้อน ไม่รู้ว่าเป็นหรือตาย เขาเป็นคนที่หยิ่งยโสที่สุด แต่ตอนนี้กลับมีสภาพเหมือนสุนัขตายตัวหนึ่ง

พ่อขอเจียงเวยยิ่งแล้วใหญ่ เป็นถึงรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม เรียกได้ว่าเป็นข้าราชการชั้นผู้ใหญ่อย่างแท้จริง ตำแหน่งสูงส่งอำนาจยิ่งใหญ่ เป็นตัวตนที่สามารถเคลื่อนย้ายกองทัพได้โดยตรง ถามหน่อยว่าจะมีกี่คนที่กล้าไปหาเรื่อง?

ทว่าเจียงเวยในตอนนี้กลับถูกเย่เทียนเฉินเตะจนกระเด็นออกไป ตกลงบนพื้นอย่างรุนแรง เขาดิ้นรนคิดจะลุกขึ้นมา แต่ในที่สุดก็ต้องหมอบลงกับพื้น ชักกระตุกไปทั้งร่าง ฝ่าเท้านี้ของเย่เทียนเฉินมีพลังไม่น้อยเลยทีเดียว

ทุกคนที่อยู่ที่นี่ต่างก็เป็นทายาทตระกูลใหญ่ เบื้องหลังของแต่ละคนโดดเด่นอย่างหาใดเปรียบ เคยมีใครกล้ามาทำร้ายคนต่อหน้าพวกเขาที่ไหนกัน?

เย่เทียนเฉินในตอนนี้อัดหวังป๋อและเจียงเวยจนมีสภาพเหมือนหมาตาย ความจริงนี้ทำให้ทุกคนต้องสูดหายใจเย็นยะเยือก ไม่เพียงแต่เย่เทียนเฉินจะไม่เห็นอำนาจตระกูลของหวังป๋อและเจียงเวยอยู่ในสายตา ทั้งยังกล้าลงมือทำร้ายอย่างรุนแรงอีกด้วย ในตอนนี้ความรู้สึกที่พวกเขามีต่อเย่เทียนเฉินที่ยืนอยู่เบื้องหน้าก็คือ สั่นสะท้านเป็นอย่างมาก ดูเหมือนว่าจะไม่ใช่ตัวตลกของเมืองหลวงอีกต่อไป ไม่ใช่ลูกหลานไม่เอาไหนที่พวกเขารังแกได้แล้ว นี่ทำให้พวกเขารู้สึกยากที่จะรับไหว จะอย่างไรก่อนหน้านี้พวกเขาต่างก็เคยเหยียบย่ำเย่เทียนเฉินกันทั้งนั้น ตอนนี้เย่เทียนเฉินพลิกฐานะขึ้นมาแล้ว พวกเขาจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน?

ทุกคนต่างรู้สึกประหลาดใจ มองไปยังเย่เทียนเฉินด้วยความโกรธ เย่เทียนเฉินในตอนนี้ยังคงนั่งอยู่บนโซฟา ใบหน้าประดับไปด้วยรอยยิ้มไร้พิษภัย แต่เขาก็สามารถกำจัดหวังป๋อและเจียงเวยลงได้ทั้งๆ ที่มีรอยยิ้มเช่นนี้ ทำให้หญิงชายที่เป็นทายาทตระกูลใหญ่กลุ่มนี้ไม่กล้าพูดอะไรออกมา ตอนนี้พวกเขาเข้าใจกระจ่างชัดแล้วว่า หากต้องการจะใช้อำนาจตระกูลที่อยู่เบื้องหลังของพวกเขาอย่างยโสโอหังต่อหน้าเย่เทียนเฉิน ก็จะต้องมีจุดจบที่การถูกทำร้ายจนมีสภาพเหมือนสุนัขตายตัวหนึ่ง

“นี่…คนคนนี้คือเย่เทียนเฉินเหรอ?”

“จะเป็นไปได้ยังไง ไอ้หมอนี่เปลี่ยนไปเป็นร้ายกาขขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่?”

“หรือว่าข่าวลือในเมืองหลวงจะเป็นจริง? เย่เทียนเฉินได้ถอดเนื้อเปลี่ยนกระดูกไปแล้ว ไม่ใช่เศษสวะโง่งมเหมือนเมื่อก่อนอีก?”

“แม้แต่เจียงซานยังไม่กล้าหาเรื่องเขา ดูท่าไม่ใช่ว่าเย่เทียนเฉินจะไม่มีเบื้องหลังจริงๆ สักหน่อย!”

ทายาทตระกูลใหญ่ที่ยังมีความฉลาดอยู่บ้างอดไม่ได้ที่จะวิพากษ์วิจารณ์ขึ้นมา ดูเหมือนต่างก็รับรู้แล้วว่า เย่เทียนเฉินในตอนนี้ไม่ใช่ลูกหลานของตระกูลชั้นสามที่พวกเขาสามารถรังแกได้ตามใจอีกต่อไป กระทั่งไม่สามารถหาเรื่องได้ด้วยซ้ำ

หากจะพูดว่าเย่เทียนเฉินตบหน้าหวังป๋อจนเลือดอาบเพราะไม่รู้จักอำนาจตระกูลที่อยู่เบื้องหลังหวังป๋อ แต่การเตะเจียงเวยจนกระเด็นออกไป แล้วยังกล่าวเตือนเจียงซานพ่อขอเจียงเวยที่เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหมให้ชัดเจนก่อนด้วยว่า จะอัดลูกของคุณแล้วนะ! นี่จะต้องบ้าอำนาจเอาแต่ใจขนาดไหนกัน? อย่างน้อยก็ไม่มีใครในที่นี้กล้าทำแบบนี้ กระทั่งไป๋อู่เองก็ไม่มีความกล้าที่จะทำเช่นนี้

ความจริงแล้วหลังจากเจียงซานพ่อของเจียงเวยรับโทรศัพท์ ก็รู้สึกถึงความแปลกประหลาดเป็นอย่างมาก ในตอนที่รู้ว่าลูกชายของเขากำลังมีเรื่องกับเย่เทียนเฉิน ปฏิกิริยาแรกของเจียงซานก็คือ จะต้องไม่ทำให้เป็นเรื่องใหญ่อย่างเด็ดขาด ต่อให้จะต้องทำโทษลูกของตน หรือกระทั่งต้องให้ลูกของตนขอโทษและชดใช้ให้เย่เทียนเฉินก็ไม่เสียดาย

คนที่มีตำแหน่งฐานะเหมือนเจียงซาน ย่อมได้รับข่าวสารที่คนธรรมดาไม่รับรู้ เขาเองก็ต้องเคยได้ยินข่าวลือมาบ้าง นั่นก็คือการที่เรื่องของตระกูลฉินและตระกูลลั่วถูกกดจนเงียบ โดยที่ไม่ส่งผลกระทบใดๆ เป็นเพราะท่านผู้นำสูงสุดได้พูดคุยกับเย่เทียนเฉินต่อหน้า และเห็นได้ชัดว่าเขามีความชื่นชมต่อตัวเย่เทียนเฉิน จึงได้กดเรื่องใหญ่ขนาดนี้ให้เงียบเอาไว้ ถ้าอย่างนั้นจึงสามารถเรียกได้ว่าเย่เทียนเฉินมีเบื้องหลังยิ่งใหญ่คับฟ้า เกรงว่าเขาเจียงซานจะไม่สามารถไปแตะต้องได้ จะอย่างไรนี่ก็เกี่ยวข้องกับท่านผู้นำสูงสุด ไม่ใช่อะไรที่คนธรรมดาจะเข้าไปยุ่งด้วยได้

“ยังมีอีกไหม? คนต่อไป…” เย่เทียนเฉินมองไปยังคนที่เหลืออยู่ด้วยรอยยิ้มแล้วเอ่ยถามขึ้นมา

เมื่อได้ยินคำพูดของเย่เทียนเฉิน ทุกคนต่างก็มองไปที่เขาอย่างโกรธแค้น พวกเขาต่างก็เป็นทายาทตระกูลใหญ่ที่ยโสโอหัง เคยได้รับความอัปยศขนาดนี้ที่ไหนกัน เมื่อได้รับความไม่เป็นธรรมแบบนี้ต่างก็อยากจะสั่งสอนเย่เทียนเฉินให้หนักๆ เพียงแต่น่าเสียดาย มีคนโง่อย่างหวังป๋อและเจียงซานไปสองคนแล้ว มีบทเรียนให้เห็นก่อนหน้านี้แล้ว ถึงไม่มีใครกล้าเสนอหน้าออกมาตามใจอีก

เสนอหน้าออกมายังไม่เท่าไหร่ ที่สำคัญก็คือหากเย่เทียนเฉินไม่ไว้หน้า เกิดตบหน้าซักหลายครั้งขึ้นมา พวกเขาเหล่าทายาทตระกูลใหญ่ที่รู้จักแต่ตะโกนด่า ไม่มีเรี่ยวแรงแม้แต่จะฆ่าไก่ ถ้าถูกตบจนหมอบไปกับพื้นเหมือนสุนัขตัวหนึ่ง แบบนั้นก็จะขายน่าเกินไปแล้ว

ตั้งแต่ต้นไป๋อู่ก็ไม่พูดอะไรออกมา ในใจของเขารู้สึกสั่นสะท้านเป็นอย่างมาก คิดไม่ถึงว่าไม่เจอกันสองปี เขาไป๋อู่ได้กลายเป็นนายท่านสองของพระคุณชายแล้ว มีตำแหน่งสูงขึ้นมาก วันนี้ไม่เหมือนวันวานอีกต่อไป แต่คิดไม่ถึงว่าไม่เจอเย่เทียนเฉินสองปี เขาจะถอดเนื้อเปลี่ยนกระดูกเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง ไม่เหมือนกับเมื่อก่อน เมื่อเทียบกับตนเองยังดูมีความกล้าหาญทรงอำนาจที่อธิบายไม่ถูกมากกว่าเสียด้วยซ้ำ

“ไม่มีแล้วเหรอ? ไป๋อู่ แกไม่คิดว่ามีเรื่องอะไรที่ต้องพูดกับฉันหน่อยเหรอ?” เย่เทียนเฉินจ้องมองไปยังไป๋อู่แล้วพูดด้วยรอยยิ้ม

“ฮ่าๆ น้องเย่ ไม่เจอกันสองปี หลังจากที่นายไปเป็นทหารฝีมือก็ไม่เลวเลยจริงๆ นับถือๆ!” ไป๋อู่ชะงักไปครูหนึ่ง เมื่อได้สติกลับมาก็เดินไปนั่งหน้าเย่เทียนเฉินด้วยรอยยิ้ม นักสู้ร่างกำยำสองคนตามก็ตามหลังเข้ามาติดๆ

เมื่อคนอื่นเห็นไป๋อู่ที่เป็นนายท่านสอนของพรรคคุณชายคนนี้ออกหน้า ย่อมหลีกทางไปอยู่ด้านข้าง พวกเขาอยากจะเห็นว่าไป๋อู่จะกำจัดเย่เทียนเฉินได้หรือไม่ ถ้าจะบอกว่ากระทั่งเขาที่เป็นนายท่านสองยังทำไม่ได้ หรือจะต้องให้นายท่านใหญ่ที่ลึกลับคนนั้นออกหน้ากัน?”

เย่เทียนเฉินมองไป๋อู่ หาวออกมาครั้งหนึ่งแล้วพูดว่า “ฉันเห็นว่าแกยุ่งมาก ฉันเองก็ไม่ค่อยมีเวลามากนัก เข้าประเด็นเลยแล้วกัน เรื่องเมื่อปีนั้นมันเกิดอะไรขึ้น? ฉันอยากจะฟังจะพูดสักหน่อย!”

“ปีนั้น? ปีนั้นมันเรื่องอะไร? คำพูดของนายฉันฟังไม่เข้าใจเลย!”

ไป๋อู่ขมวดคิ้ว เขาคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าเย่เทียนเฉินจะพูดออกมาตรงๆ ขนาดนี้ มาถึงก็ถามเรื่องเมื่อปีนั้นทันที ท่าทางเขาเองก็ต้องการที่จะตรวจสอบให้ชัดเจนจริงๆ และรู้แล้วว่าเรื่องเมื่อปีนั้นมีลับลมคมใน แต่เมื่อได้ยินเย่เทียนเฉินถามแบบนี้ ไป๋อู่ก็วางใจไปเปราะหนึ่ง เนื่องจากเขาคิดว่าเย่เทียนเฉินยังเป็นไอ้โง่เหมือนเมื่อก่อน ต้องการที่จะตรวจสอบเรื่องเมื่อปีนั้นให้ชัดเจนก็ไม่รู้จักหาหลักฐานไปช้าๆ คิดว่ามาหาตนจะมีประโยชน์หรืออย่างไร? ตนจะต้องบอกเขาหรือ? โง่จริงๆ

“ไป๋อู่ ปีนั้นพวกเราสองพี่น้อง ถึงแม้จะมีตำแหน่งไม่สูง แต่ความสัมพันธ์ก็ไม่เลว กินดื่มเที่ยวเล่นด้วยกัน ตอนนี้แกได้เลื่อนตำแหน่งแล้ว ฉันก็ไม่ยุ่ง ทำได้แค่ยินดีกับแกเท่านั้น เห็นแก่มิตรภาพในวันวานของพวกเรา ฉันขอเพียงให้แกบอกเรื่องเมื่อปีนั้นกับฉัน ฉันก็จะไม่ทำให้แกลำบากใจ!” เย่เทียนเฉินมองไปยังไป๋อู่แล้วพูดขึ้นอย่างจริงจัง

“ทำให้ฉันลำบากใจ? ฮ่าๆ น้องเย่ นายพูดตลกจริงๆ นายคิดว่านายจะสามารถทำให้ฉันลำบากใจได้เหรอ?” ไป๋อู่พูดด้วยรอยยิ้มเย็นชา

เห็นได้ชัดว่าในสายตาของไป๋อู่ ไม่ได้มองเย่เทียนเฉินเป็นพี่น้องนานแล้ว เขาในตอนนี้มีตำแหน่งสูงส่ง กลายเป็นนายท่านสองของพรรคคุณชาย ส่วนเย่เทียนเฉินยังคงเป็นคุณชายของตระกูลชั้นสามคนหนึ่ง ต่อให้วันนี้ปีกกล้าขาแข็งขึ้นมาบ้าง แต่ก็ยังเป็นการดำรงอยู่ที่ห่างชั้นกับไป๋อู่อย่างเขาเราฟ้ากับเหว เขาไม่คิดอย่างเด็ดขาดว่าเย่เทียนเฉินจะทำอะไรเขาได้ กล่าวคือ ถ้ายังมีนายท่านใหญ่แห่งพรรคคุณชายที่ลึกลับยากจะคาดเดาอยู่ เขาไป๋อู่จะต้องกลัวอะไรอีก? อย่างน้อยเขาก็คิดแบบนี้

เย่เทียนเฉินมองไป๋อู่แล้วส่ายหน้า ในใจของเขาไม่อยากจะทำอะไรไป๋อู่จริงๆ จะอย่างไรเมื่อก่อนพวกเขาทั้งสองก็เป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน เป็นเหมือนพี่น้อง เย่เทียนเฉินในตอนนั้นก็เป็นคุณชายเสเพลคนหนึ่ง มีเพื่อนเสเพลมากมาย แต่เพื่อนแท้มีน้อยมาก ไป๋อู่ก็เป็นหนึ่งในนั้น

เย่เทียนเฉินที่ได้กลับชาติมาเกิดใหม่ก็ไม่ใช่คนที่จะต้องแก้แค้นในเรื่องเล็กน้อย เขารู้ว่าไป๋อู่ต้องการปีนป่าย จึงได้ขายตนออกไป ตอนนี้เขาเพียงแค่ต้องการให้ตัวการหลักที่อยู่หลังม่านโผล่หัวออกมา ไป๋อู่ก็นับว่าเป็นแค่ส่วนเสริมเท่านั้น เย่เทียนเฉินไม่อยากทำให้เขาลำบากใจ และต้องการที่จะหักล้างกับความสัมพันธ์ในอดีต แน่นอนว่าต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขที่ไป๋อู่ยังสามารถจดจำความสัมพันธ์ในอดีตได้ ถ้าหากไป๋อู่ไม่คิดถึงมิตรภาพที่เป็นเหมือนพี่เหมือนน้องเมื่อปีนั้นเลยแม้แต่น้อย ถ้าเช่นนั้นเย่เทียนเฉินก็ไม่มีอะไรจะพูด

“ฉันจะให้โอกาสแกเป็นครั้งสุดท้าย ขอเพียงแกพูดออกมา ฉันก็จะเห็นแก่ความสัมพันธ์พี่น้องเมื่อปีนั้นแล้วไม่สืบสาวหาความอีก ฉันแค่ต้องการจะรู้ว่าคนที่วางแผนใส่ฉันเป็นใครกันแน่ มันร้ายกาจขนาดไหนกัน!” เย่เทียนเฉินยืนขึ้น ยังคงพูดด้วยรอยยิ้ม

“ฮ่าๆๆๆ เย่เทียนเฉิน แกคิดว่าแกเป็นใคร? แกคิดว่าแกมีความสามารถจริงๆ เหรอ? ฉันไม่บอกแก ต่อให้ฉันบอกแกแกก็ทำได้แค่รนหาที่ตายเท่านั้น ทำอะไรไม่ได้หรอก!”

ไป๋อู่หัวเราะขึ้นมา ตอนนี้เขาฉีกหน้ากากออกแล้ว ไม่เห็นเย่เทียนเฉินอยู่ในสายตาอีกต่อไป ไม่คิดมองโดยสิ้นเชิง และจดจำคนที่เป็นเหมือนพี่น้องเมื่อปีนั้นคนนี้ไม่ได้อีก ในเมื่อเมื่อสองปีก่อนเขาสามารถขายเย่เทียนเฉินออกไปได้ แล้วทำไมตอนนี้ถึงต้องช่วยเย่เทียนเฉินด้วย? กระทั่งต้องการที่จะฆ่าเย่เทียนเฉินให้สิ้นซากด้วยซ้ำ ไม่มีความเป็นมนุษย์และมนุษยธรรมเหลืออยู่โดยสิ้นเชิง

“ในเมื่อเป็นแบบนี้ก็ไม่มีอะไรจะพูด…” เย่เทียนเฉินมองไป๋อู่แล้วพูดยิ้มๆ เดินไปยังไป๋อู่ทีละก้าวๆ

ไป๋อู่ชะงักไปครู่หนึ่ง ถอยหลังไปสองก้าวโดยไม่รู้ตัว มือสังหารสองคนที่ยืนอยู่ข้างหลังเขาเดินขึ้นมาอย่างรวดเร็ว เตรียมที่จะปกป้องเจ้านายของตน เนื่องจากพวกเขามองออกว่าชายหนุ่มตรงหน้าคนนี้ ถึงแม้เพิ่งจะมีอายุยี่สิบปี แต่ฝีมือกลับแข็งแกร่งห้าวหาญเป็นอย่างมาก ต้องทราบว่าทั่วทั้งชั้นสามของเทียนซ่างเหรินเจียน มีบอดี้การ์ดถือปืนยืนเฝ้าอยู่ห่างกันทุกสิบเมตร แต่เย่เทียนเฉินยังสามารถเตะประตูห้องส่วนตัวเข้ามาได้อย่างไรซุ่มไร้เสียง ฝีมือระดับนี้มากพอที่จะทำให้พวกเขาต้องตกตะลึง

“หึ เย่เทียนเฉิน แกสามารถมาถึงที่นี่ได้นับว่าแกมีความสามารถ แต่วันนี้ก็จะต้องตายแน่นอน แกถูกกำหนดให้เป็นแค่คนไร้ค่าที่ต้องถูกผู้อื่นเหยียบย่ำ ส่วนฉันไป๋อู่ไม่ใช่ ฉัน…”

พลั่ก!

คำพูดของไป๋อู่ยังไม่ทันจะพูดจบ บริเวณที่เย่เทียนเฉินยืนอยู่ก็เหลือเพียงเงา มือสังหารชั้นหนึ่งทั้งสองคนยังไม่ทันได้มีปฏิกิริยาอะไร ทุกคนที่อยู่ที่นี่มองไปยังเย่เทียนเฉินจนตาค้าง เนื่องจากเขาเคลื่อนตัวไปอยู่เบื้องหน้าไป๋อู่ในเวลาเพียงชั่วพริบตาเดียว กำปั้นข้างขวาซัดลงมาที่จมูกของไป๋อู่…

……………….

ทายาทตระกูลใหญ่อายุน้อยเหล่านี้ ยโสโอหังยิ่งกว่าทายาทตระกูลใหญ่ทั่วๆ ไปมากนัก ในจุดนี้เย่เทียนเฉินเองก็เข้าใจเป็นอย่างดี ทายาทตระกูลใหญ่เหล่านี้ถ้าคุณแค่ข่มขู่ก็ไม่มีประโยชน์อะไร ในใจของพวกเขาทุกคนต่างคิดว่าบิดาเป็นใหญ่ในแผ่นดิน ไม่มีใครแตะต้องได้ ซึมลึกเข้าไปในผิวหนังของพวกเขา ซึมลึกเข้าไปถึงกระดูกของพวกเขา จะไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวดอย่างเด็ดขาด และไม่อาจระงับปากอันน่ารังเกียจของตนเลยแม้แต่น้อย

ดังนั้นเมื่อเจอกับคนอายุสิบแปดสิบเก้าปีอย่างหวังป๋อ ซึ่งอายุน้อยกว่าเย่เทียนเฉินแต่กลับหยิ่งยโสอย่างร้ายกาจเป็นที่สุด และต้องการให้เย่เทียนเฉินคุกเข่าโขกหัวให้พวกเขา ดังนั้นจึงทำอะไรไม่ได้ เย่เทียนเฉินทำได้แค่ลงมือเท่านั้น อัดขาทั้งสองของหวังป๋อก่อน ให้เขาคุกเข่าลงเบื้องหน้าของตน จากนั้นค่อยตบหน้าแรงๆ น่าสงสารหวังป๋อที่ยโสโอหังไม่เห็นหัวใคร ตั้งแต่เล็กจนโตก็ไม่เคยได้เจอกับการปฏิบัติแบบนี้มาก่อน ต้องมาถูกเย่เทียนเฉินตบจนหน้าบวมเป็นหมู สุดท้ายก็สลบไปด้านข้าง

ทุกคนที่อยู่ที่นี่ต่างตกตะลึงจนตาค้าง สูดหายใจเย็นยะเยือก พวกเขาด่าได้ร้ายกาจเป็นอย่างมาก และดูเหมือนว่าทุกคนจะคนต่างก็ด่าเย่เทียนเฉินออกมาทั้งนั้น ดูถูกเป็นอย่างยิ่ง ทั้งด่าและเหยียดหยามไม่ได้ขาด เพราะเขาคิดไม่ถึงว่าเย่เทียนเฉินร้ายกาจขนาดนี้ จะป่าเถื่อนขนาดนี้ บางทีคงไม่มีใครคิดว่า เมื่ออยู่ต่อหน้าทายาทตระกูลใหญ่ที่มีทั้งอำนาจและอิทธิพลอย่างพวกเขา จะยังมีคนกล้าตบหน้าคนซึ่งๆ หน้าอีก ไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อแล้วหรือไง? ดังนั้นในตอนที่มีคนกระทำเช่นนี้จริงๆ พวกเขาต่างมองจนโง่งม ไม่รู้จะทำอย่างไร

ก่อนหน้านี้ในตอนที่เย่เทียนเฉินยังอยู่ในกลุ่มเยาวชนพวกนี้ ก็เป็นแค่คนไร้ค่าคนหนึ่ง ใครก็รู้ว่าทายาทตระกูลใหญ่ในกลุ่มผู้เยาว์เหล่านี้ ต่างเป็นพวกบ้าคลั่ง แต่ละคนมีตระกูลที่โดดเด่น เดิมทีก็ยโสโอหังจนไม่เห็นหัวใครอยู่แล้ว ดังนั้นย่อมมีการวางอุบายกัน เปรียบเทียบอำนาจกันกับตระกูลตนเอง คนที่มีพื้นเพเหมือนเย่เทียนเฉิน ซึ่งเป็นเพียงตระกูลชั้นสามที่ตกต่ำ ย่อมเป็นได้แค่คนที่ถูกรังแก คนที่อยู่ที่นี่ มีหลายคนที่เมื่อก่อนเคยรังแกและเหยียดหยามเย่เทียนเฉินบ่อยๆ นั่นก็เพื่อความสนุกเท่านั้น ตอนนี้อยู่ดีๆ เย่เทียนเฉินก็ถอดเนื้อเปลี่ยนกระดูก เหมือนกับเป็นชายที่ผงาดขึ้นมาอย่างไรอย่างนั้น ไหนเลยพวกเขาจะรับได้ ใครก็ไม่เคยคิดมาก่อนว่าคนที่ถูกตนเหยียบอยู่ใต้ฝ่าเท้าจะยืนขึ้นมาได้ จะขายหน้าเกินไปหรือเปล่า?

“ยังมีใครชอบนับเลขอีกไหม? คิดไม่ถึงว่าผ่านไปหลายปีขนาดนี้แล้ว นิสัยชอบนะนับเลขของพวกแกยังไม่เปลี่ยนไปเลย!” เย่เทียนเฉินยิ้ม มองไปยังทุกคนที่อยู่ที่นี่แล้วพูดขึ้น

“เย่เทียนเฉิน แกจะโอหังเกินไปแล้ว คิดว่าไปเป็นทหารมาหลายปี พอมีฝีมืออยู่บ้างก็กล้ามาก่อเรื่องหรือไง ไอ้กากเอ้ย!” ชายวัยกลางคนคนหนึ่ง อายุประมาณสามสิบกว่าปี มองไปยังเย่เทียนเฉินแล้วพูดขึ้นอย่างดุดัน

“แกผิดแล้ว ไม่ใช่ว่าฉันกากเกินไป แม่แกต่างหากที่กากเกินไป พ่อแกคงจะเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหมแล้วละมั้ง? ปีนป่ายได้เร็วดีนี่ น่าเสียดายที่แกยังเป็นเหมือนเดิม โง่เหมือนเดิม!” เย่เทียนเฉินยังคงพูดกับชายวัยกลางคนด้วยใบหน้าที่ประดับไปด้วยรอยยิ้ม

“แก…หึ เชื่อไหมว่าฉันยกหูโทรศัพท์ครั้งเดียว ก็ทำให้คนตระกูลเย่ทั้งหมดของแกถูกจับในทันที?” เจียงเวยกัดฟันตะโกนออกมา

“งั้นเหรอ? ฉันก็ไม่ค่อยเชื่อจริงๆ นั่นแหละ แต่ก็ลองโทรไปดูเป็นไง?” เย่เทียนเฉินยักไหล่แล้วพูดออกมาอย่างไม่ใส่ใจ

ตอนนี้เองทุกคนมองไปที่เจียงเวย ในเมื่อเขาออกหน้าแล้ว ทุกคนก็อยากจะเห็นสักหน่อยว่าเจียงเวยจะกำจัดเย่เทียนเฉินได้หรือไม่ หรือจะกลายเป็นโศกนาฏกรรมเหมือนหวังป๋อ คนที่ยโสโอหังขนาดนั้นยังถูกเย่เทียนเฉินตบจนครึ่งเป็นครึ่งตายอย่างรวดเร็ว ทำให้ทุกคนที่ได้เห็นรู้สึกสันหลังเย็นวาบ ไม่กล้าพูดอะไรออกมาอีก จะอย่างไรความรู้สึกที่พวกเขามีต่อเย่เทียนเฉินก็เปลี่ยนไปแล้วโดยสิ้นเชิง คนที่เคยเป็นตัวตลกไปทั่วทั้งเมืองหลวงคนนั้น คนที่เป็นลูกหลานไม่เอาไหนเป็นเศษสวะที่เลื่องชื่อคนนั้น เย่เทียนเฉินที่ถูกพวกเขากลั่นแกล้งได้ตลอดเวลา ดูเหมือนว่าจะไม่อยู่แล้ว แทนที่ด้วยจักรพรรดิที่ไม่ว่าใครก็ไม่สามารถไปหาเรื่องได้ เป็นชายที่มีรอยยิ้มราวกับเทพแห่งความตาย

เจียงเวยชะงักอยู่กับที่ เขาคิดไม่ถึงว่าเย่เทียนเฉินจะกล้าพูดคำนี้ออกมาจริงๆ ส่วนเขาก็ไม่คิดจะโทรไปบอกให้พ่อจับคนตระกูลเย่จริงๆ จะอย่างไรพ่อของตนก็ไม่ใช่คนโง่ ไม่ใช่ว่าจะฟังเขาไปทุกเรื่อง เขาก็แค่พูดจาให้ดูเวอร์วังไปก็เท่านั้น ตอนนี้พอพูดจาใหญ่โตออกมาแล้ว ทุกคนต่างก็มองมาที่เขา เขาจึงทำได้เพียงหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาอย่างหน้าด้าน

ความจริงแล้วทายาทตระกูลใหญ่ที่อายุน้อยเหล่านี้ หากจะบอกว่ามีอำนาจที่แท้จริงอยู่มากน้อยแค่ไหน ก็พูดได้เลยว่าไม่มี เพียงแต่ตระกูลที่อยู่เบื้องหลังของเขาแข็งแกร่งมาก โดยปกติก็ไม่มีใครอยากมาหาเรื่อง รวมกับที่มีผู้อาวุโสของตระกูลที่ถือหางเข้าข้างพวกเขาเป็นอย่างยิ่ง ขอเพียงลูกหลานของตนมีเรื่องอะไร ไม่ว่าตัวปัญหาจะอยู่ที่ลูกหลานของตนหรือไม่ ก็จะปกป้องหลานของตนเอาไว้ก่อน ต่อให้ลูกหลานของตนจะฆ่าผู้บริสุทธิ์ ก็จะต้องออกหน้าทำให้เรื่องสงบลงในทันที ไม่เห็นชีวิตคนอื่นอยู่ในสายตาโดยสิ้นเชิง มีชีวิตมานานจนเลอะเลือนไปแล้วจริงๆ

พูดได้ว่า ทายาทตระกูลใหญ่เหล่านี้ต่างก็พึ่งพาอาศัยอำนาจของตระกูลเบื้องหลังของตนในการดำรงชีวิต เรียกได้ว่าในตอนที่พวกเขาอยากจะทำอะไรก็สามารถทำได้ทุกอย่าง คนอื่นจะต้องไว้หน้าพวกเขาอยู่บ้าง แต่ก็หมายถึงเรื่องเล็กๆ เท่านั้น ในเวลาที่เกิดเรื่องใหญ่จริงๆ คนพวกนี้ก็ทำได้แต่ขอร้องคนในตระกูล จะอย่างไรผู้อาวุโสของพวกเขาก็ไม่ใช่พวกโง่ ถ้าพวกเขาอยากพูดอะไรหรืออยากทำอะไรก็จะได้ตามใจอย่างนั้นหรือ? นั่นเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้โดยเด็ดขาด

“เป็นอะไรไปคุณชายใหญ่เจียง? ยังไม่รีบโทรไปอีก? พ่อของแกอาจจะกำลังรออยู่ก็ได้!” เย่เทียนเฉินพูดด้วยรอยยิ้ม

“ได้ๆ บิดาจะปล่อยให้แกโอหังไปก่อน อีกไม่นานแกจะต้องคุกเข่าขอร้องฉันแน่!” เจียงเวยมองไปยังเย่เทียนเฉินอย่างดุดัน แล้วต่อสายโทรศัพท์ไปหาพ่อ ทายาทตระกูลใหญ่อย่างพวกเขารักหน้ารักศักดิ์ศรีเป็นที่สุด เสียอะไรก็ได้แต่ห้ามเสียหน้า แต่ไหนแต่ไรก็มีท่าทางเหมือนกับบิดาข้าใหญ่สุดในใต้หล้ามาโดยตลอด จะทนกับความกล้ำกลืนนี้ได้อย่างไร?

เพียงไม่นานโทรศัพท์ของเจียงเวยก็ต่อสายติด เขายกโทรศัพท์ขึ้นมาพูดว่า “พ่อครับ พ่อรีบสั่งให้คนไปจับทุกคนในตระกูลเย่มาให้ผมเดี๋ยวนี้!”

“ตระกูลเย่? ตระกูลเย่ไหน?” พ่อของเจียงเวยชะงักไปครู่หนึ่งแล้วถามขึ้น

“ยังจะมีตระกูลเย่ไหนอีก ก็ตระกูลเย่ที่ตกต่ำจนกลายเป็นตระกูลชั้นสาม ไม่ควรค่าให้พูดถึง แล้วยังมีไอ้โง่ที่ชื่อว่าเย่เทียนเฉินออกมาอีกไงเล่า!” เจียงเวยพูดอย่างสบายๆ และไม่สบอารมณ์เป็นอย่างมาก ประการแรกเป็นเพราะเพื่อแสดงให้เห็นว่าเขาไม่เห็นเย่เทียนเฉินอยู่ในสายตา ประการที่สองเพราะอยากจะบอกกับพ่อของตนว่า ตระกูลเย่ก็แค่ตระกูลชั้นสาม ที่ตกต่ำแล้วเท่านั้น จับก็จะไปเถอะ ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร

“เกิดอะไรขึ้น?” พ่อของเจียงเวยไม่ใช่คนโง่ สามารถขึ้นเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหมได้ ความคิดจะต้องไม่ถูกคนอื่นชักจูง ต่อให้ลูกชายของตนเองขอให้เขาไปทำเรื่องอะไร เขาก็จะต้องถามให้ชัดเจน จะอย่างไรกว่าที่จะได้ตำแหน่งนี้มานั้นไม่ง่ายเลย ตำแหน่งฐานะจึงสำคัญที่สุด

“พ่อครับ ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ก็แค่ไอ้โง่เย่เทียนเฉินมันกล้ามาก่อเรื่องต่อหน้าพวกเรา ผมต้องการให้มันรู้ว่าอะไรคือความร้ายกาจ ต้องการให้มันรู้ว่าตระกูลเย่ก็เป็นแค่ขี้หมา แค่ขาเดียวของผมก็ทำให้มัน…”

ไหนเลยจะรู้ว่า คำพูดดุดันเหล่านี้ของเจียงเวยยังไม่ทันจบ ก็ได้ยินเสียงด่าของพ่อดังขึ้นมา “แกสิขี้หมา ไอ้โง่ เย่เทียนเฉินอยู่ที่นั่นใช่ไหม? ส่งโทรศัพท์ให้เขาซะ ฉันต้องการพูดกับเขาสักหลายประโยค!”

เมื่อได้ยินคำพูดของพ่อตัวเอง เจียงเวยก็มองไปยังเย่เทียนเฉินอย่างแปลกใจ ตอนนี้เย่เทียนเฉินนั่งไขว่ห้างสูบบุหรี่อยู่ อีกทั้งยังจิบเหล้าอยู่เป็นระยะ ท่าทางสบายอุราเป็นอย่างมาก รอให้ทายาทตระกูลใหญ่พวกนี้แสดงออกมาให้หมด ในเมื่อไม่ได้มากันบ่อยๆ ก็ควรจะเก็บกวาดให้ดี หากไม่พูดถึงแค้นในวันเก่าๆ ก็ถือซะว่าเป็นการหาความสุข และแสดงให้ไป๋อู่เห็นสักหน่อย ให้เขาได้รู้ว่าถ้าไม่พูดความจริงใครก็ปกป้องเขาไม่ได้

“พ่อครับ…ไม่มีอะไรต้องคุยหรอก ไอ้โง่นี่ ผมกำจัดมันได้ด้วยตัวเอง พ่อก็แค่…” เจียงเวยกระซิบออกมาอย่างกระอักกระอ่วน

“ไร้สาระ ส่งโทรศัพท์ให้คุณชายเย่เดี๋ยวนี้ ไม่งั้นฉันจะไล่แกออกจากตระกูลเจียง ฉันก็แค่ขาดแกที่เป็นลูกชายไปคนเดียว!” พ่อของเจียงเวยตะโกนใส่โทรศัพท์ด้วยความโกรธ

ความกระอักกระอ่วนนี้ ความขมขื่นนี้ ทำให้เจียงเวยหัวเราะไม่ออกร้องไห้ไม่ได้ นี่เป็นการตบหน้าอย่างแรง เมื่อครู่นี้เขาต้องการจะประกาศศักดาตระกูลของตน ให้ทุกคนรู้ว่าตนเองร้ายกาจขนาดไหน การกำจัดเย่เทียนเฉินก็เป็นแค่เรื่องเล็กๆ เท่านั้น ขอเพียงแค่โทรศัพท์ไปเท่านั้น ดังนั้นหลังจากที่โทรหาพ่อก็จงใจเปิดลำโพง ให้ทุกคนได้ยินกันอย่างทั่วถึง หากต้องการที่จะกำจัดตระกูลเย่พี่เป็นตระกูลเล็กๆ ต้องการกำจัดเย่เทียนเฉินที่ไม่สำคัญ ก็ไม่เหลือบ่ากว่าแรง

แน่นอนว่าตอนนี้ทุกคนต่างก็ได้ยินบทสนทนาของเจียงเวยกับพ่อหมดแล้ว และได้ยินคำพูดของพ่อเจียงเวยด้วย ทำให้รู้สึกสงสัย ในใจคิดว่า ตอนที่พ่อของเจียงเวยที่คิดว่าเจียงเวยไปทำเรื่องชั่วช้ามา ก็ยังไม่โกรธขนาดนี้ ยิ่งไปกว่านั้นยังให้เย่เทียนเฉินมารับโทรศัพท์อีก น้ำเสียงดูเคารพนอบน้อมเป็นอย่างมาก นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?

เจียงเวยชะงักไป มองเย่เทียนเฉินอย่างดุดัน เขาคิดไม่ถึงว่าเรื่องจะเป็นเช่นนี้ได้ จึงทำได้เพียงส่งโทรศัพท์ไปให้เย่เทียนเฉินอย่างหน้าด้าน เขาเองก็รู้สึกแปลกใจ ก่อนหน้านี้พ่อของตนไม่ได้เป็นแบบนี้ หากตนขอร้องก็จะทำให้ วันนี้เป็นอะไรไปแล้ว? เมื่อคิดสักนิดก็รู้สึกหวาดกลัว จะอย่างไรตระกูลเจียงก็ไม่ได้มีเขาเป็นลูกหลานคนเดียว มีความเป็นไปได้ว่าจะถูกล้างออกจากตระกูล

“ทำอะไร? พูดกับพ่อของแกหรือยัง? รีบมาจับคนตระกูลเย่ของฉันไปสิ!” เย่เทียนเฉินเห็นเขายื่นโทรศัพท์มาให้ก็เอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม

“แก…ไอ้คนไม่รู้จักดีชั่ว…”

“คุณชายเย่ เป็นคุณหรือเปล่าครับ? ผมคือเจียงซาน รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม ผมต้องขอโทษจริงๆ ที่ผมไม่ได้สั่งสอนเจียงเวยให้ดี ทำให้คุณโกรธแล้วใช่ไหมครับ? ถ้ากลับบ้านมาผมจะต้องหักคาเขาแน่นอน จะทำโทษเขาให้หนักๆ แน่ครับ!” คำพูดของเจียงเวยยังไม่ทันจบ เสียงของพ่อเขาก็ดังขึ้น ทำให้ทุกคนตกใจจนชะงักไป

รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม นั่นเป็นตัวตนแบบไหนกัน? คนที่สามารถทำให้เขาปฏิบัติตัวอย่างเคารพนอบน้อมแบบนี้ และยังทำให้เขาขอโทษต่อหน้าผู้คนจะร้ายกาจขนาดไหนกัน? โดยเฉพาะคนคนนั้นเป็นเย่เทียนเฉิน เป็นคนพี่เกรงว่ายังไม่ถึงเวลาให้เขาพลิกฐานะขึ้นมาด้วยซ้ำ เห็นได้ชัดว่าในตอนนี้เขาพัฒนาไปได้สุดยอดอย่างหาใดเปรียบแล้ว

“ท่านรัฐมนตรีเจียง สวัสดีครับ ลูกชายของคุณเจียงเวยบอกว่าจะจับคนตระกูลเย่ทั้งหมด แล้วให้ผมคุกเข่าขอร้อง ผมอยากจะถามคุณสักหน่อยว่า ผมจะต้องไปคุกเข่าให้คุณเมื่อไหร่?” เย่เทียนเฉินเลยถามด้วยรอยยิ้ม

“นี่…ฮ่าๆ คุณชายเย่ล้อเล่นแล้ว ล้อเล่นใช่ไหมครับ ไอ้ลูกทรพีมันไม่รู้เรื่องรู้ราว คุณก็อย่าโกรธไปเลย ผมไม่มีอะไรจะพูดเกี่ยวกับลูกหลานไม่เอาไหนคนนี้ คุณสั่งสอนมันไปก็พอแล้ว!” เจียงซานรีบพูดออกมาแล้วหัวเราะอย่างกระอักกระอ่วน

“ในเมื่อรัฐมนตรีเจียงพูดแบบนี้ ผมก็รู้สึกสนใจมาบ้าง จะตบรางวัลเป็นลูกเตะให้เขาสักครั้ง ดูสิว่าจะรอดไปได้หรือเปล่า…”

พลั่ก!

เจียงเวยถูกเย่เทียนเฉินจนกระเด็นออกไป…

…………………..

ตอนนี้คนของพรรคคุณชายส่วนใหญ่มาจากลูกหลานนักการเมืองในสมัยก่อน ถึงแม้ช่วงสองปีนี้จะมีหญิงชายคนใหม่เข้าร่วมมาบ้าง แต่ส่วนใหญ่ก็ยังรู้จักเย่เทียนเฉิน ต่อให้จะจำคนที่เคยเป็นคนไม่สำคัญนี้ได้ไม่เท่าไหร่ แต่หลังจากที่ได้ยินข่าวครึกโครมในเมืองหลวงระยะนี้ จะมากจะน้อยก็ยังให้ความสนใจ

คนที่สนใจเรื่องของเย่เทียนเฉินมากที่สุดในพรรคคุณชายจะเป็นใครไม่ได้นอกจากไป๋อู่ เนื่องจากก่อนหน้านี้เขากับเย่เทียนเฉินเป็นเพื่อนสนิทกัน เมื่อปีนั้นเรื่องที่เย่เทียนเฉินแอบดูหลิ่วหรูเหมยอาบน้ำ ตัวเขาเองก็ไม่อาจสลัดเรื่องนี้พ้น

ความจริงต่อให้เย่เทียนเฉินกลับมาเมืองหลวงแล้ว ไป๋อู่ก็ไม่รู้สึกหวาดกลัวเลยสักนิด สาเหตุนั้นง่ายดายมาก นั่นเป็นเพราะเขาไป๋อู่ไม่เหมือนเมื่อก่อนแล้ว ไม่ใช่ไป๋อู่ที่ถูกคนอื่นตบตีด่าทอแบบเมื่อก่อนอีกต่อไปแล้ว แต่เป็นนายท่านสองของพรรคคุณชายที่สูงส่ง ในด้านฐานะและตำแหน่งก็พัฒนาขึ้นมาก กล่าวคือ ต่อให้เย่เทียนเฉินคิดจะมาแก้แค้น คิดจะมาสู้กับไป๋อู่ในตอนนี้ ก็ยังไม่มีคุณสมบัติเพียงพอ เพียงแขนเดียวของไป๋อู่ก็สามารถกดให้เย่เทียนเฉินตายได้แล้ว

ไหนเลยจะรู้ว่า หลังจากที่เย่เทียนเฉินกลับมาจากกองทัพ ทุกเรื่องที่กระทำจะสะเทือนเลื่อนลั่นขึ้นเรื่อยๆ แต่ละเรื่องยิ่งใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ทำให้กลุ่มอำนาจใหญ่และตระกูลใหญ่ทั้งหลายในเมืองหลวงต้องตื่นตะลึง อดไม่ได้ที่จะตกใจจนต้องส่งคนไปตรวจสอบอย่างลับๆ ไม่รู้แน่ชัดว่าลูกหลานตระกูลเย่คนนี้ที่เคยเป็นตัวตลกของทั่วทั้งเมืองหลวง เป็นเศษสวะและลูกหลานไม่เอาไหนที่โด่งดัง มีการเปลี่ยนแปลงอะไรกันแน่

ตอนแรกไป๋อู่ก็ไม่ได้สนใจ ถึงอย่างไรเขาก็มีความกล้าหาญมากพอ ได้เป็นนายท่านสองของพรรคคุณชายมาสองปีกว่า ชี้นิ้วบงการประเทศ ทำให้เขาผงาดขึ้นมาอย่างช้าๆ ยิ่งไปกว่านั้นอำนาจของลูกพี่ใหญ่แห่งพรรคคุณชายที่อยู่เบื้องหลังเขาก็ยิ่งใหญ่พอที่จะทำให้คนตกใจ เขาเองก็ได้รู้มาจากเส้นทางบางแห่งโดยบังเอิญเท่านั้น หลังจากที่ได้รู้แล้วก็ต้องตกใจจนสั่นไปทั้งตัว จะอย่างไรก็คิดไม่ถึงว่า คนแบบนี้จะเป็นลูกพี่ใหญ่ของพรรคคุณชาย ด้วยความสามารถของเขา เกรงว่าแค่การควบคุมก็คงยังไม่เพียงพอ

แต่หลังจากคืนนั้นที่เรียกได้ว่าเย่เทียนเฉินกำจัดตระกูลฉินและตระกูลลั่วไปแล้ว ไป๋อู่ก็รู้สึกตึงเครียดขึ้นมา แม้ในฝันเขาก็คิดไม่ถึงว่า เย่เทียนเฉินที่ไม่มีอำนาจและตระกูลใดคอยสนับสนุนอยู่อยู่เบื้องหลัง ไม่เพียงแต่จะสามารถกำจัดตระกูลฉินและตระกูลลั่วได้ อีกทั้งยังสามารถกดสองเรื่องนี้ให้เงียบไปได้อีกด้วย นี่ทำให้ผู้คนต้องสั่นสะท้านจนต้องให้ความสำคัญ

พริบตาเดียวไป๋อู่ก็รู้สึกกังวลขึ้นมา หลังจากที่เย่เทียนเฉินปลดประจำการกลับมาที่เมืองหลวง ก็เหมือนถอดเนื้อเปลี่ยนกระดูกอย่างไรอย่างนั้น มีแนวโน้มที่จะผงาดขึ้นมามาก ดูเหมือนว่าจะไม่มีเค้าของคนที่เคยเป็นคุณชายโง่งมไม่เอาไหนคนนั้นอีกต่อไปแล้ว กลายเป็นผู้ชายที่เฉลียวฉลาดและทรงอำนาจเอาแต่ใจเป็นอย่างยิ่ง

เย่เทียนเฉินคงไม่ตรวจสอบเรื่องเกี่ยวกับเมื่อปีนั้นหรอกใช่ไหม? คงจะไม่ตรวจสอบมาถึงตนใช่ไหม? ไป๋อู่ยังคงรู้สึกกังวล จะอย่างไรเย่เทียนเฉินในตอนนี้ก็ไม่เหมือนเย่เทียนเฉินเมื่อปีนั้น ไม่ใช่คนที่หลอกง่ายรังแกง่ายอีก ถึงแม้ในใจของไป๋อู่จะมีความกล้าและมีไพ่ตายอยู่บ้าง คิดว่าต่อให้เย่เทียนเฉินจะเปลี่ยนไปร้ายกาจขนาดไหนก็ไม่กล้ามาอะไรกับตนแน่ เพราะตอนนี้หากพูดถึงอำนาจของไป๋อู่ก็มากเพียงพอที่จะทำให้เย่เทียนเฉินหายไปในชั่วพริบตา เขาคิดว่าเย่เทียนเฉินจะต้องคิดถึงตรงนี้แน่นอน

“เย่เทียนเฉิน? ไอ้โง่ที่ออกมาจากตระกูลเย่คนนั้นน่ะเหรอ?” วัยรุ่นที่ถือแก้วเหล้าเอ่ยถามแล้วหัวเราะอย่างเย็นชา

“เรื่องของไอ้หมอนี่ฉันเองก็เคยได้ยิน ฉันว่าคงจะอยู่ได้ไม่นานหรอก ก็แค่ไอ้โง่คนหนึ่งเท่านั้น”

“หรือว่าพี่อู่จะกังวลเรื่องไอ้หมอนี่? ไม่จริงน่ะ ก็แค่ขยะเท่านั้น”

“ให้ตายเถอะ พอคิดแล้วฉันก็โกรธขึ้นมา ไอ้โง่นี่ถึงกับไปแอบดูหลิ่วหรูเหมยอาบน้ำ อยากจะควักลูกตาของมันออกมาจริงๆ”

เมื่อได้ยินคำพูดของไป๋อู่ ทายาทตระกูลใหญ่ที่อยู่รอบๆ ก็บ่นด่ากันออกมา แสดงท่าทางไม่พอใจและดูถูกอย่างยิ่งยวด ประการแรกเป็นเพราะเย่เทียนเฉินในสมัยก่อนก็เป็นแค่คนไร้ค่าที่ถูกรังแกก็เท่านั้น ประการที่สองเป็นเพราะหลายปีมานี้ตระกูลเย่ไม่มีทีท่าว่าจะผงาดขึ้นมาได้ กลับตกต่ำจนไม่อาจฟื้นคืน ยิ่งไปกว่านั้นยังไม่มีใครเห็นตระกูลเย่อยู่ในสายตาอีกด้วย ประการที่สามซึ่งเป็นสาเหตุที่สำคัญที่สุดก็คือ ทายาทตระกูลใหญ่เหล่านี้ยโสโอหัง แต่ไหนแต่ไรก็ไม่เคยพบความลำบากอะไรมาก่อน และไม่มีใครกล้าทำอะไรพวกเขา ต่อให้ในหมู่คนเหล่านี้จะมีคนรู้ว่า ทุกการกระทำของเย่เทียนเฉินหลังจากกลับมาที่เมืองหลวง ไม่มีการกระทำไหนเลยที่ทำให้รู้สึกเหยียดหยามดูถูกก็ตาม แต่จะอย่างไรพวกเขาก็คิดว่าตัวเองใหญ่ที่สุดในแผ่นดิน ลำพองใจในตัวเองจนถึงขั้นสุด

“ไม่ใช่ว่าฉันกังวล แต่กำลังคิดว่ามันจะกลับมาที่พรรคคุณชายของพวกเราหรือเปล่า!” ไป๋อู่พูดด้วยรอยยิ้ม แน่นอนว่าเขาไม่คิดจะบอกคนพวกนี้ว่าสิ่งที่เขากังวลจริงๆ คืออะไร นี่ไม่ใช่นิสัยของเขาไป๋อู่ เขาได้ตอนนี้พัฒนาขึ้นมามากแล้ว ความมั่นใจในตัวเองก็มีมากพอ และยังฉลาดลึกล้ำกว่าทายาทตระกูลใหญ่ที่โง่งมพวกนี้ด้วย

“ชิ ไอ้โง่นั่น ฉันจะลืมมันไปแล้วกัน!”

“ไม่ อาจจะมีโอกาสกลับมา แต่แบบนี้ก็แค่มีคนที่จะให้พวกเราเรียกใช้เพิ่มมาอีกคนก็เท่านั้น”

“ใช่แล้ว มีคนให้ด่าให้ว่าก็ดีไม่เลว!”

“ถ้าไอ้ขยะนี่ก็ปรากฏตัวออกมาต่อหน้าฉันล่ะก็ ฉันจะตบหน้ามันจนแม่มันจำไม่ได้เลย…” วัยรุ่นอายุสิบแปดสิเก้าปีคนนั้นยโสโอหังเป็นที่สุด และยังพูดออกมาด้วยเสียงดังที่สุดด้วย

ปัง!

เสียงหนึ่งดังสนั่น ในห้องส่วนตัวที่หรูหราที่สุดและใหญ่ที่สุดในชั้นสามแห่งนี้ และเป็นห้องที่มีเพียงคนของพรรคคุณชายถึงจะเข้ามาได้ ประตูใหญ่ของห้องถูกถีบจนกระเด็น มันไม่ได้ถูกถีบให้เปิดออกแต่ถูกถีบจนกระเด็นออกไปจนตกอยู่บนพื้น ทุกคนต่างตกตะลึง มองไปบริเวณประตูด้วยท่าทางอึ้งๆ พบว่ามีเงาร่างของคนสูงผอมคนหนึ่งปรากฏตัวบริเวณประตู มองมายังพวกเขาด้วยรอยยิ้ม มือทั้งสองล้วงอยู่ในกระเป๋ากางเกง ที่มุมปากคาบซิก้าเอาไว้มวนหนึ่ง ท่าทางผ่อนคลายและสบายอารมณ์เป็นอย่างมาก เหมือนกับมาเที่ยวเล่นอย่างไรอย่างนั้น

“แก…แกคือ…” ในหมู่พวกเขามีคนที่จำเย่เทียนเฉินได้ จึงอดไม่ได้ที่จะตื่นตะลึง พูดออกมาด้วยน้ำเสียงสั่นระริก

“สหายทุกคน ไม่ได้เจอกันนาน ฉันคิดถึงพวกนายจริงๆ กลับมานานขนาดนี้แล้วยังไม่ได้เจอหน้าเพื่อนๆ เลยสักครั้ง เป็นฉันที่ไม่ดีเอง!”

“แกเป็นใครถึงได้กล้ามาที่นี่? รีบไสหัวออกไปซะ ไม่งั้นก็ตาย!” วัยรุ่นอายุประมาณสิบแปดสิบเก้าปีที่ดื่มเหล้าจนเมา ยังคงจำคนที่ยืนอยู่ตรงประตูไม่ได้ เอ่ยปากออกมาด้วยความยโสโอหัง

“ดูเหมือนว่าที่นี่จะมีบางคนไม่ต้อนรับฉัน หรือว่าฉันจะมาผิดที่?” เย่เทียนเฉินพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม เขาพูดพลางเดินเข้าไปในห้องส่วนตัวสุดหรู แล้วนั่งลงบนโซฟา ระหว่างนั้นเขาปรายตามองไป๋อู่เล็กน้อยเท่านั้น ไม่ได้สนใจเป็นพิเศษ เท่านี้ก็เป็นการแสดงท่าทางของเขาได้แล้ว

“เย่เทียนเฉิน นายมาเที่ยวอะไร? อยากจะเที่ยวให้ตัวเองตาย อยากจะเที่ยวให้ตระกูลเย่ตายรึไง?” มีคนเอ่ยถามออกมาแล้วแค่นเสียงเย็น

“เที่ยวอะไร? อีกแปบพวกแกก็รู้เอง ตอนนี้เริ่มประชุมกันได้หรือยัง? ไม่ได้เข้าประชุมมาหลายปีแล้ว รู้สึกคิดถึงจริงๆ นายท่านรองไป๋อู่ แกว่าจริงไหม?” สุดท้ายเย่เทียนเฉินจึงมองไปยังไป๋อู่แล้วพูดขึ้น

ไป๋อู่ขมวดคิ้ว ลุกขึ้นยืนจากโซฟา มือสังหารชั้นยอดสองคนที่อยู่ด้านหลังเขาคิดจะลงมือแต่กลับถูกไป๋อู่ยกมือเป็นสัญญาณให้หยุด จากนั้นไป๋อู่ก็พูดขึ้นด้วยรอยยิ้มว่า “ที่แท้ก็เป็นสหายเทียนเฉินนี่เอง ยินดีต้อนรับ!”

“ยินดีต้อนรับเหรอ? ทำไมฉันไม่รู้สึกเลย? ไม่เห็นมีเสียงตบมือสักนิด?” เย่เทียนเฉินนั่งไขว่ห้างอยู่บนโซฟา พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงหยอกล้อ

ในตอนนี้เอง เขาสัมผัสได้ว่าทายาทตระกูลใหญ่ที่ยโสโอหังกลุ่มนี้ ต่างโกรธเหมือนกับอยู่ในกองเพลิง จ้องมองมาที่เขาด้วยดวงตาแดงก่ำ เกรงว่าที่นี่จะไม่เคยมีใครกล้ามาทำตัวกำเริบเสิบสานขนาดนี้มาก่อน ในสายตาของคนเหล่านี้ เย่เทียนเฉินก็เป็นแค่คนไร้ค่าคนหนึ่ง เป็นคนไร้ค่าที่จะด่าจะลงมือลงไม้ยังไงก็ได้เท่านั้น ตอนนี้ถึงกับกล้ามาวางท่าขนาดนี้ กล้าไม่เห็นพวกเขาอยู่ในสายตา ทายาทตระกูลใหญ่ที่ไม่ร่ำเรียนเหล่านี้ไหนเลยจะรับไหว โกรธจนอยากจะฆ่าเย่เทียนเฉินให้ตายไปซะเดี๋ยวนั้น

“เย่เทียนเฉิน แกยังอยากจะได้เสียงตบมืออีกหรือไง รนหาที่ตายใช่ไหม?”

“เชื่อไหมว่าบิดาจะจะทำให้แกอยู่ไม่สู้ตายตอนนี้เลย?”

“ก็แค่ไอ้สวะโง่เท่านั้น กล้ามาอวดเบ่งที่นี่อีก ไม่รู้จักที่ตายเลยจริงๆ”

ทุกคนตะโกนออกมาด้วยความโกรธ ต่างรู้สึกไม่พอใจเย่เทียนเฉิน แต่ไหนแต่ไรก็ไม่เคยมีใครกล้ามาทำแบบนี้กับทายาทตระกูลใหญ่ของพรรคคุณชายอย่างพวกเขา ก่อนหน้านี้เย่เทียนเฉินก็เป็นแค่คนที่พวกเขาทำให้อับอายก็เท่านั้น ตอนนี้จะให้พวกเขายอมรับได้อย่างไรไหว?

ตอนนี้เอง วัยรุ่นที่ตะโกนด่าเสียงดังที่สุดและยโสที่สุด เดินถือแก้วเหล้ามาเบื้องหน้าเย่เทียนเฉิน พูดอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “เย่เทียนเฉิน บิดาจะนับถึงสาม รีบคุกเข่าโขกหัวให้บิดาซะ แบบนี้ฉันจะหักขาสุนัขทั้งสองข้างของแก แล้วโยนแกออกไปเท่านั้น ถ้าไม่งั้นตระกูลเย่ของแกทั้งหมดก็รอตายให้ฉันได้เลย!”

เย่เทียนเฉินแย้มยิ้มเล็กน้อย มองไปยังวัยรุ่นอายุสิบแปดสิบเก้าปีคนนี้ คนคนนี้ยังพอจะอยู่ในความทรงจำของเขาบ้างเล็กน้อย ดูเหมือนจะชื่อหวังป๋ออะไรสักอย่าง พ่อของเขาเป็นลูกพี่ใหญ่ในวงการสื่อสิ่งพิมพ์ ดูเหมือนจะเป็นคนที่อายุน้อยที่สุดในพรรคคุณชาย แต่ก็หยิ่งยโสที่สุดด้วย ยโสโอหังมาโดยตลอด คิดว่าบิดาเป็นใหญ่ในแผ่นดินอย่างไรอย่างนั้น

“อ้อ? งั้นก็ลองนับดูเป็นไง?” เย่เทียนเฉินเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงหยอกล้อ

“แม่งเอ้ย แกรนหาที่ตายจริงๆ บิดาจะเล่นงานกันแน่ หนึ่ง…สอง…สาม…”

หวังป๋อมองไปยังเย่เทียนเฉินอย่างดุดัน เขาไม่เชื่อว่าเย่เทียนเฉินจะพลิกฐานะอะไรขึ้นมาได้ ก่อนหน้านี้ตอนอยู่ที่พรรคคุณชายเขาก็เคยสั่งสอนเย่เทียนเฉินบ่อยๆ เย่เทียนเฉินก็แค่ต้องทนรับเท่านั้น ไม่กล้าแม้แต่จะผายลม หรือตอนนี้เศษสวะคนนี้จะกล้าต่อต้านตนขึ้นมา?

พลั่ก!

พลั่ก!

โครม!

ทุกคนมองได้ไม่ชัดเจนว่าเกิดอะไรขึ้น ไม่รู้ว่าเย่เทียนเฉินลงมืออย่างไร จนกระทั่งพวกเขาได้สติกลับมา หวังป๋อก็ลงไปนั่งคุกเข่าอยู่เบื้องหน้าเย่เทียนเฉินแล้วกรีดร้องออกมาอย่างอนาถเรียบร้อยแล้ว นั่งคุกเข่าทั้งสองอยู่กับพื้น มีรอยเลือดปรากฏออกมา ทั้งยังมีเลือดไหลออกมาไม่หยุด

“หึ พ่อแม่ไม่สั่งสอนหรือไง คอยดูฉันแล้วกัน น่าเสียดายที่ฉันไม่ใช่พ่อแก…”

เพี๊ยะ! ตบหน้าหนึ่งครั้ง!

เพี๊ยะ! ตบหน้าสองครั้ง!

เพี๊ยะ! ตบหน้าสามครั้ง!

เพี๊ยะ…

เพี๊ยะ…

ไม่รู้ว่าตบหน้าไปแล้วกี่ครั้ง หวังป๋อที่ยโสโอหังจนทะลุฟ้าสลบลงไปกับพื้นนานแล้ว ใบหน้าที่ถูกเย่เทียนเฉินตบบิดเบี้ยวจนเปลี่ยนรูปร่างไป บนใบหน้าของเย่เทียนเฉินยังคงประดับไปด้วยรอยยิ้มไร้พิษภัยอยู่ตลอด ทำให้ทุกคนที่อยู่ที่นี่ตกตะลึงจนต้องสูดหายใจเย็นยะเยือก รู้สึกหวาดกลัวอยู่ในใจ ต่อให้พวกเขาจะโอหังและหยิ่งยโสขนาดไหน ก่อนหน้านี้จะดูถูกเย่เทียนเฉินขนาดไหน แต่ตอนนี้ก็ต้องรู้สึกเย็นสันหลังวาบ ไม่กล้าเอ่ยปากด่าออกมาอีก

………………

ชั้นสามของเทียนซ่างเหรินเจียนถูกคุณชายของพรรคคุณชายทั้งหมดเหมาเอาไว้แล้ว บางทีอาจจะมีคนที่ไม่รู้จักพรรคคุณชาย แต่เย่เทียนเฉินนั้นรู้จักเป็นอย่างดีแน่นอน ความจริงพรรคคุณชายก็คือกลุ่มคนที่เป็น “พรรคพวกของลูกหลานนักการเมือง” เพียงแต่เมื่อก่อนยิ่งใหญ่เกินไป ยิ่งใหญ่จนถึงระดับที่สามารถกุมอำนาจทางด้านต่างๆ หลายด้านของเมืองหลวงเอาไว้ในมือทั้งหมดได้ ทำให้คนระดับสูงของประเทศเริ่มให้ความสนใจ จึงถูกอำนาจของตระกูลแต่ละตระกูลเข้าควบคุมให้พวกเขาสงบเสงี่ยมบ้าง ด้วยเหตุนี้จึงได้กลายเป็นพรรคคุณชายขึ้นมา

แต่เย่เทียนเฉินรู้ว่าพวกทายาทตระกูลสูงเหล่านี้มีนิสัยยโสโอหังจนเคยตัว และไม่สามารถเก็บอาการได้ กล่าวคือพรรคคุณชายเป็นการรวมตัวกันของทายาทตระกูลต่างๆ ทำให้หยิ่งทะนงกันมากขึ้น เป็นการรวมกลุ่มเพื่อทำตามใจปรารถนาโดยแท้

“ได้ยินหรือเปล่า รนหาที่ตายหรือไง ไสหัวไปให้บิดาซะ!” บอดี้การ์ดถือปืนคนหนึ่งเดินมาด้านหน้า มองไปยังเย่เทียนเฉินด้วยหน้าตาทะมึงทึง คิดจะลงมือ

มุมปากของเย่เทียนเฉินคาบซิก้าเอาไว้ มือซ้ายล้วงอยู่ในกระเป๋ากางเกง เมื่อต้องเผชิญหน้ากับสุนัขน่ารังเกียจของพรรคคุณชายก็ยังสามารถมองพวกเขาด้วยรอยยิ้มได้ ราวกับไม่ได้ยินพวกเขาอย่างไรอย่างนั้น

บอดี้การ์ดถือปืนอีกคนนึงอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว พุ่งเข้าไปเบื้องหน้าเย่เทียนเฉินในเวลาเพียงชั่วพริบตา ซัดหมัดออกไปยังเย่เทียนเฉิน ยโสโอหังและบ้าอำนาจเป็นอย่างมาก

กรอบ!

นั่นคือเสียงกระดูกหัก บอดี้การ์ดที่พุ่งเข้ามาลงมือกับเย่เทียนเฉินถูกหักข้อมือขวาอย่างแรง ในตอนที่เขายังไม่ทันได้ร้องออกมาบอดี้การ์ดอีกคนก็หยิบปืนมาจากด้านหลังอย่างรวดเร็ว คิดจะลั่นไกยิงไปยังเย่เทียนเฉิน เพียงแต่น่าเสียดายต่อให้เขาจะเร็วยิ่งกว่านี้ก็ไม่เร็วกว่าเย่เทียนเฉิน เพิ่งจะแตะโดนด้ามปืนก็ถูกเงาร่างเงาหนึ่งปะทะเข้ามา นั่นเป็นร่างของเพื่อนร่วมงานของเขา เพื่อนร่วมงานที่ถูกเย่เทียนเฉินหักแขนขวาไปแล้วนั่นเอง

บอดี้การ์ดทั้งสองที่ได้รับการฝึกฝนมาอย่างเข้มงวดย่อมมีฝีมือไม่ธรรมดา แต่นั่นเฉพาะสำหรับคนทั่วไป เมื่อมาอยู่ต่อหน้าเย่เทียนเฉินก็ทำได้แค่ถูกอัดเท่านั้น ดูเหมือนว่าทั้งสองคนยังไม่มีโอกาสได้ลงมือก็ถูกเย่เทียนเฉินอัดจนสูญเสียความสามารถในการต่อสู้ไปหมดแล้ว

“แก…รู้ไหมว่าชั้นสามมีใครอยู่?” บอดี้การ์ดที่มือขวาหักจนกระดูกโผล่ออกมา มีเลือดไหลออกมาเป็นสาย จ้องมองไปยังเย่เทียนเฉินอย่างขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน สายตาเจือไปด้วยความหวาดกลัว ส่วนบอดี้การ์ดที่ถูกเขาชน ศีรษะไปกระแทกกับกำแพงอย่างรุนแรงจนสลบไปแล้ว

“รู้สิ ไม่ใช่คนของพรรคคุณชายหรือไง?” เย่เทียนเฉินเดินไปข้างหน้าพลางเอ่ยปาก

“งะ งั้นแกยังกล้าขึ้นไปอีก มีกี่ชีวิตก็ไม่พอตาย!”

“แกพูดผิดแล้ว คนที่ต้องตายคือพวกมัน ส่วนฉันน่ะเหรอ ฉันมีเรื่องที่ต้องทำ ยังต้องอยู่ต่อไป!” เย่เทียนเฉินพูดกับบอดี้การ์ดคนนั้นด้วยรอยยิ้ม

เมื่อได้ยินคำพูดของเย่เทียนเฉิน บอดี้การ์ดก็ชะงักไปโดยสิ้นเชิง ไม่รู้เป็นเพราะความเจ็บปวดที่มาจากการถูกหักข้อมืออย่างแรงหรือเป็นเพราะคำพูดของเย่เทียนเฉินที่ทำให้เขาสั่นสะท้านจนมีเหงื่อเย็นๆ ไหลซึมออกมาบริเวณหน้าผาก สีหน้าขาวซีดเป็นอย่างมาก เขาไม่อยากจะเชื่อเลยจริงๆ คนตรงหน้านี้เป็นใครกันแน่ ทั้งๆ ที่รู้ว่าชั้นสามมีทายาทตระกูลใหญ่ที่มีอำนาจอิทธิพลและมีเบื้องหลังที่ยิ่งใหญ่มากพอจะทำให้คนตกใจตายได้รวมตัวกันอยู่ ถึงกับยังกล้าขึ้นไปหาเรื่องอีก ยิ่งไปกว่านั้นดูเหมือนจะไม่เห็นทายาทกลุ่มนี้อยู่ในสายตาเลยแม้แต่น้อย ตกลงแล้วเขาเป็นใครกันแน่?

เย่เทียนเฉินเดินก้าวขึ้นไปที่ชั้นสามทีละก้าวๆ ในตอนที่เพิ่งจะเดินไปถึงทางเลี้ยวบริเวณชั้นสอง เขาพลันหมุนตัวครั้งหนึ่ง พลังพิเศษสายหนึ่งพุ่งทะลุออกมาจากนิ้วชี้ขวา ซัดพุ่งไปยังหน้าผากของบอดี้การ์ดคนที่เหลือจนทะลุตายคากำแพง นั่นเป็นบอดี้การ์ดที่เกือบจะใช้มือซ้ายลั่นไกปืน นับว่าเขารนหาที่ตายเอง

ในตอนที่เย่เทียนเฉินเดินไปถึงชั้นสามก็ไม่ได้หลบซ่อน และไม่ได้เดินเข้าไปอย่างระมัดระวัง จนถึงตอนนี้ก็ไม่มีความจำเป็นอะไรที่จะต้องหลบแล้ว ต่อให้พลังพิเศษแห่งการรับรู้จะทำให้เขารู้ว่า ภายในชั้นสามแห่งนี้จะมีบอดี้การ์ดชั้นยอดพร้อมด้วยอาวุธปืนยืนอยู่ทุกระยะสิบเมตร แต่นี่ก็ไม่สามารถขัดขวางการก้าวเดินของเขาได้ วันนี้เขามาก็เพื่อมาหาไป๋อู่ วิธีที่ใช้ก็เรียบง่ายที่สุดและเปิดเผยตรงไปตรงมาที่สุด บางครั้งการรับมือกับคนเจ้าเล่ห์ ปลิ้นปล้อนและฉลาดเฉลียว การใช้กำปั้นอัดเขาตรงๆ จะมีผลลัพธ์มากที่สุด ขี้เกียจจะไปพูดจาไร้สาระกับเขาให้มากความ เสียเวลารับมือ

“ใคร?”

“โธ่เว้ย พวกแกยังอึ้งอะไรกันอยู่ ยิงมันสิ!”

เย่เทียนเฉินที่เพิ่งจะเดินขึ้นมาถึงชั้นสาม และกำลังเดินมุ่งหน้าไปยังห้องสังสรรค์ที่ใหญ่ที่สุดที่อยู่ส่วนท้ายของชั้นสาม ในชั่วขณะที่เขาปรากฏตัวขึ้น บอดี้การ์ดชั้นยอดสิบกว่าคนในชั้นสามก็ควักปืนออกมา ยิงไปที่เขาอย่างที่ได้รับการสั่งสอนมาอย่างเข้มงวด เพียงแต่เขาใช้พลังเขตแดนปิดกั้นที่ไร้รูปลักษณ์นานแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นยังใช้โล่พลังพิเศษสร้างเป็นลักษณะสี่เหลี่ยมผืนผ้าขวางเอาไว้เบื้องหน้าของเขาอีกด้วย

เสียงยิงปืนและเสียงตะโกนของบอดี้การ์ดชั้นยอดสิบกว่าคนนี้ไม่อาจแพร่ออกไปได้ ลูกกระสุนปืนที่ยิงกระทบลงบนร่างของเย่เทียนเฉินก็ไม่มีประโยชน์อะไรเลยแม้แต่น้อย ทุกคนสูดหายใจเย็นยะเยือก แต่กลับยังคงบุกเข้ามาโดยไม่ยอมแพ้ คนที่พวกเขาคุ้มครองก็คือคุณชายของพรรคคุณชาย ไม่ว่าใครก็เป็นคนที่พวกเขาไม่อาจล่วงเกินได้ ไม่ต้องพูดถึงล่วงเกินเลย ต่อให้คุณชายเหล่านี้เกิดความเสียหายแม้แต่ครึ่งส่วน ตระกูลที่อยู่เบื้องหลังพวกเขาจะต้องทำให้บอดี้การ์ดอย่างพวกตนแหลกเหลวเป็นชิ้นๆ แน่นอน

ในตอนนี้บริเวณชั้นสาม ภายในห้องส่วนตัวที่ใหญ่ที่สุด มีหญิงชายอยู่หลายสิบคน อายุประมาณยี่สิบสามสิบ กำลังสังสรรค์กันอย่างสนุกสนาน ภายในห้องที่หรูหราที่สุดและใหญ่ที่สุดแห่งนี้มีทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่ว่าจะสุรานารีการพนัน อีกทั้งยังมีความโหดเหี้ยมและความหื่นกระหาย ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนมีครบครัน ทุกคนอยู่บนโซฟา บ้างก็ดูดผงขาว บางก็ขลุกอยู่กับผู้หญิง บ้างก็เล่นคอมเล่นมือถือของแต่ละคน

ตรงกลางสุดของห้องถุง มีผู้ชายคนหนึ่งนั่งอยู่ เขาสวมสูทสีขาว คาบซิก้ามวนหนึ่ง หน้าตาธรรมดา ส่วนสูงประมาณหนึ่งร้อยเจ็ดสิบเซนติเมตร ดวงตาทั้งสองมองสำรวจไปรอบๆ อยู่เป็นระยะ อายุประมาณยี่สิบสามปี และมีเพียงเขาคนเดียวที่ข้างกายไม่มีผู้หญิง แต่มีมือสังหารสวมแว่นดำสองคนยืนอยู่แทน คนคนนี้ก็คือไป๋อู่

ไป๋อู่เคยเป็นคนไม่สำคัญในพรรคคุณชายเหมือนกับเย่เทียนเฉิน เรียกได้ว่าตอนนั้นพวกเขาเป็นพวกไม่ถึงระดับ อยู่ในพรรคคุณชายก็เป็นแค่คนที่ถูกด่าถูกแกล้ง เนื่องจากในตอนนั้นตระกูลของไป๋อู่เป็นตระกูลที่ไม่เข้าชั้น ฝืนนับได้ว่าเป็นตระกูลชั้นสาม ส่วนตระกูลเย่ เมื่อมาถึงรุ่นของเย่เทียนเฉินก็ได้กลายเป็นตระกูลชั้นสามของเมืองหลวงไปแล้ว แล้วยังมีแนวโน้มที่จะตกต่ำลงเรื่อยๆ ถ้าไม่รังแกพวกคุณสองคนแล้วจะไปรังแกใครล่ะ?

แต่ไป๋อู่ในตอนนี้ไม่เหมือนกับวันวาน เพียงไม่นานก็สามารถกลายเป็นนายท่านสองของพรคคุณชายได้ หรือถ้าจะพูดว่าเป็นนายท่านใหญ่ของพระคุณชายก็ไม่มากเกินไป เพราะว่าตั้งแต่ไอ้โง่เฉินเจียงถูกกำจัด ลูกพี่ใหญ่ของพรรคคุณชายก็ถูกผู้คนยอมรับอย่างลึกลับมาโดยตลอด ส่วนไป๋อู่นั้นเรียกได้ว่าเป็นโฆษกของลูกพี่ใหญ่แห่งพรรคคุณชายในตอนนี้ ลูกพี่ใหญ่ของพระคุณชายที่ลึกลับคนนี้ดูเหมือนจะไม่เคยโผล่หน้ามาก่อน จนถึงตอนนี้พวกเขาก็ไม่เคยเห็นและไม่มีใครรู้จัก

หากจะบอกว่าคนที่ไม่เคยมีใครเห็นหน้ามาก่อนคนหนึ่งมาเป็นลูกพี่ใหญ่ของพรรคคุณชาย ด้วยนิสัยของทายาทตระกูลใหญ่ในพรรคคุณชายที่ยโสโอหังไม่เห็นหัวใคร จะต้องไม่เห็นด้วยเป็นอันขาด ยิ่งไปกว่านั้นหลังจากที่เฉินเจียงถูกลอบสังหาร ทายาทตระกูลใหญ่กลุ่มนี้จะต้องแย่งชิงตำแหน่งลูกพี่ใหญ่พาคุณชายกันแน่นอน แต่ถึงกับถูกคนลึกลับคนนี้กดดันเอาไว้ ดังนั้นคนคนนี้ไม่ธรรมดาเลยจริงๆ

ส่วนเรื่องทายาทตระกูลใหญ่ของพรรคคุณชายเหล่านี้ เย่เทียนเฉินเข้าใจดี แต่ละคนไม่ได้เรียนหนังสือ ใช้อำนาจเบื้องหลังของตระกูลจัดการทุกอย่าง โอหังจนถึงขั้นที่เรียกได้ว่าพ่อข้าใหญ่ที่สุดในแผ่นดิน หากต้องการทำให้ทายาทตระกูลใหญ่เหล่านี้เชื่อฟังอย่างรวดเร็ว จะต้องไม่ง่ายอย่างแน่นอน

“ลูกพี่ไป๋ ทำไมวันนี้ไม่เรียกดาราคนนั้นมาเล่นด้วยกันล่ะ?” วัยรุ่นคนหนึ่งอายุประมาณสิบแปดสิบเก้าปีถือแก้วเหล้าเดินเข้ามา ยืนด้วยท่าทางมึนเมาแล้วเอ่ยถาม

“ใช่แล้วพี่อู่ ครั้งที่แล้วปิงปิงอะไรนั้นที่พี่เรียกมาไม่เลวเลย คราวนี้ได้ยินมาว่าซินหรูก็มาถึงเมืองหลวงแล้ว ไม่เรียกมาสักหน่อยล่ะ?” วัยรุ่นอีกคนหนึ่งที่อายุประมาณยี่สิบปีซึ่งกำลังสูบบุหรี่อยู่หันมาเอ่ยถามขึ้น

“ไอ้บ้าเอ๋ย นายนี่ชอบผู้หญิงแก่จริงๆ ฉันคิดว่าคนที่ชื่อมี่มี่นั่นไม่เลวเลย ใช้ปากได้ดีทีเดียว แล้วยังมีคนที่ชื่อซือซือนั่นอีก เด็ดโคตร…” วัยรุ่นอีกคนหนึ่งอายุประมาณสิบแปดสิบเก้าปีมองไปยังคนที่อยู่ด้านข้างอย่างไม่สบอารมณ์แล้วพูดขึ้น

“เฮอะ พ่อแกเป็นลูกพี่ใหญ่ในด้านสื่อสิ่งพิมพ์ คิดจะแบล็คเมล์ดาราหญิงคนไหนก็แบล็คเมล์ ขอแค่พูดออกมาคำเดียว มีผู้หญิงคนไหนบ้างที่จะไม่รีบคุกเข่าเลียไข่ให้แก?” ผู้ชายที่อยู่ด้านข้างพูดด้วยรอยยิ้มหื่นกระหาย

“พวกแกพูดถูกแล้ว บอกตามตรง ดาราหญิงที่คุกเข่าเลียไข่ให้ฉันถ้าไม่ใช่ร้อยคนก็เก้าสิบเก้าคนได้ แต่ละคนไม่ต่างอะไรจากอีตัวเลย แต่ก็นับได้ว่าเป็นอีตัวชั้นยอด ไอ้พวกอีตัวชั้นสูงเหล่านี้ย่อมต้องให้คนมีอำนาจมีอิทธิพลอย่างพวกเราเล่นอยู่แล้ว แต่ไอ้นั่นดำกันทั้งนั้น นอกจากรู้งานแล้ว ก็ไม่รู้ว่าถูกผู้ชายกินไปมากแค่

ไป๋อู่ชะงักไปครู่หนึ่ง มองไปยังคุณชายเหล่านั้นด้วยใบหน้าประดับรอยยิ้ม หากเป็นเวลาปกติเขาก็สามารถพูดคุยเฮฮาไปกับคนเหล่านี้ได้ สำหรับคนอย่างพวกเขาแล้ว ต้องการได้ผู้หญิงคนไหนแล้วไม่ได้บ้าง? อยากจะทำเรื่องอะไรแล้วทำไม่สำเร็จบ้าง?

หากใช้คำว่าเรียกลมได้ลมเรียกฝนได้ฝนมาบรรยายก็ไม่มากเกินไป พวกเขากลุ่มนี้ตั้งแต่เด็กก็ไม่ต้องกังวลเรื่องเสื้อผ้าอาหาร ว่างจนปวดไข่จริงๆ ดังนั้นจึงต้องหาอะไรมากระตุ้นบ้าง สำหรับคุณชายเหล่านี้ที่เงินไม่เคยขาดมือ นอกจากเรื่องกินเที่ยวแล้ว ยังมีอะไรน่าทำอีก?

“รองหัวหน้า ดูเหมือนว่าช่วงนี้คุณจะอารมณ์ไม่ดี เป็นอะไรไป? มีดาราหญิงคนไหนคุกเข่าเลียไข่ให้พี่ไม่เด็ดเหรอ บิดาจะรีบไปสั่งให้คนฝังมันทั้งเป็น ให้มันหายไปตลอดกาล!” วัยรุ่นที่ถือแก้วเหล้าเห็นไป๋อู่ไม่พูดอะไรก็อดไม่ได้ที่จะนั่งลงด้านข้างแล้วถามออกมาด้วยรอยยิ้ม

“ช่วงนี้พวกแกได้ยินเรื่องของเย่เทียนเฉินหรือเปล่า? ดูเหมือนมันจะกลับมาเมืองหลวงแล้ว!” ไป๋อู่ขมวดคิ้วแล้วถามไปเรื่อยเปื่อย

เมื่อคำพูดนี้ของไป๋อู่ถูกพูดออกมา ทายาทตระกูลใหญ่ที่กำลังเฮฮากันอยู่ต่างหยุดชะงักลง ก่อนหน้านี้เย่เทียนเฉินก็เป็นสมาชิกของพรรคคุณชาย แต่ตอนนี้ถูกสลัดออกไปนานแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นระยะนี้ทั่วทั้งเมืองหลวงต่างก็มีแต่ขาวของเย่เทียนเฉิน ไม่มีใครไม่ได้ยิน ไม่มีใครไม่รู้ ตอนนี้เมื่อไป๋อู่พูดถึงเย่เทียนเฉินขึ้นมาทำให้รู้สึกแปลกประหลาดอยู่บ้างจริงๆ

…………………..

Related

เย่เทียนเฉินมาถึงห้องห้องหนึ่งบริเวณชั้นสอง เพิ่งจะเดินเข้าไปก็ถูกปืนจ่อที่ขมับ หลี่ลี่ที่เมื่อสักครู่นี้ยังมีใบหน้าเป็นมิตร ยิ้มแย้มแจ่มใส เพียงชั่วขณะเดียวก็โผล่หางออกมา ปรากฏรอยยิ้มน่ารังเกียจที่มุมปาก มองไปยังเย่เทียนเฉินอย่างดุดัน โกรธแค้นจนแทบจะอยากสั่งให้ลูกน้องลั่นไกฆ่าเย่เทียนเฉินให้ตายโดยทันที

ในตอนนี้ถ้าหากคนที่มาล้อมดูความคึกคักเมื่อสักครู่นี้ได้เห็นสีหน้าของหลี่ลี่ในตอนนี้ จะต้องตกใจจนหน้าซีดแน่นอน และในใจคงจะสัมผัสได้ถึงความรังเกียจและน่าขยะแขยงอย่างหาใดเปรียบ เนื่องจากจนถึงตอนนี้ใครก็ต้องเข้าใจกระจ่างว่า หลี่ลี่เป็นคนร้ายกาจ เป็นคนที่หน้าด้านไร้ยางอาย เมื่อสักครู่นี้ตอนที่อยู่ในห้องโถงแค่แสร้งทำเป็นไม่เข้าข้างพรรคพวก แสร้งทำเป็นมีความยุติธรรม ไม่ปกป้องพ่างสยงน้องชายแท้ๆ ของตนที่ทำความผิด ดูเหมือนจะเป็นคนที่ไม่เลวคนหนึ่ง ทุกสิ่งทุกอย่างนี้เป็นแค่การเสแสร้งเท่านั้น เป็นแค่การหลอกลวงคนที่อยู่รอบๆ ความจริงทำให้คนต้องรู้สึกอยากจะอ้วก เสแสร้งได้เหมือนมาก

ตอนนี้เมื่อเดินเข้าไปในห้อง ในตอนที่ไม่มีคนอื่นอยู่ ความน่ารังเกียจขอหลี่ลี่ก็ถูกเปิดเผยออกมา ท่าทางดังคนถ่อยไร้ยางอายปรากฏชัดอย่างไม่ต้องสงสัย เขาคิดว่าเย่เทียนเฉินอยู่ในกำมือของเขาแล้ว เขาอยากให้เย่เทียนเฉินตาย เย่เทียนเฉินก็ต้องตาย เขาอยากให้เย่เทียนเฉินอยู่ไม่สู้ตาย เย่เทียนเฉินก็จะต้องอยู่ไม่สู้ตาย

หลี่ลี่เป็นคนที่ยโสโอหังเป็นอย่างมากคนหนึ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่ได้เป็นผู้จัดการใหญ่ของเทียนซ่างเหรินเจียนแล้วก็ยิ่งโอหังจนไม่เห็นหัวใคร จินตนาการได้เลยว่า ขนาดพ่างสยงน้องชายของเขายังหยิ่งยโสถึงขนาดนั้น เขาก็คงไม่ใช่คนดีอะไร ถ้าเปรียบเทียบกันจริงๆ หลี่ลี่ยังชั่วกว่าพ่างสยงเป็นร้อยเท่า เนื่องจากเขาเป็นคนที่เสแสร้งมากคนหนึ่ง และเป็นคนที่โหดเหี้ยมมากเช่นกัน

“เสแสร้งมานานขนาดนี้ เสียเวลาไปนานขนาดนี้ พูดมาเถอะว่าจะเอายังไง?” เย่เทียนเฉินแย้มยิ้ม พูดออกมาอย่างเรียบเฉย

เมื่อได้ยินคำพูดของเย่เทียนเฉิน หลี่ลี่ก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว เนื่องจากท่าทางที่เย่เทียนเฉินแสดงออกมาในตอนนี้ทำให้เขารู้สึกเหนือคาด ไม่สอดคล้องกับสิ่งที่เขาคิดโดยสิ้นเชิง เขาเดาว่าบางทีเย่เทียนเฉินอาจจะมีเบื้องหลังอยู่บ้าง ดังนั้นถึงไม่หวาดกลัว แต่เมื่ออยู่ภายใต้สถานการณ์ที่ถูกปืนจ่อหัว เย่เทียนเฉินควรจะคุกเข่าร้องขอชีวิตถึงจะถูก ทว่าเย่เทียนเฉินในตอนนี้นอกจากจะไม่คุกเข่าขอชีวิตแล้ว ยังไม่มีท่าทางหวาดกลัวเลยแม้แต่ครึ่งส่วน ทำให้หลี่ลี่รู้สึกแปลกใจจริงๆ

“หึ เสแสร้งไปเถอะ บิดาจะดูสิว่าตอนแกตายยังจะเสแสร้งได้อีกไหม…” หลี่ลี่พูดอย่างโหดเหี้ยม ในความคิดของเขา ตอนนี้เย่เทียนเฉินก็แค่ทำเป็นสงบนิ่งก็เท่านั้น ความจริงในใจคงจะหวาดกลัวจนแทบร้องขอชีวิต ขอเพียงตนมีท่าทางแข็งกร้าวกับเขาเล็กน้อย รับประกันได้เลยว่าจะต้องคุกเข่าขอชีวิตแน่นอน

“ฉันถามแกอยู่ แกจะเอายังไง? บอกเงื่อนไขมาสิ?” เย่เทียนเฉินถามด้วยรอยยิ้ม

“สิบล้าน” หลี่ลี่มองไปยังเย่เทียนเฉินแล้วพูดขึ้นอย่างเย็นชา

“อ้อ ความหมายของแกก็คือเงินสิบล้านหยวนสามารถซื้อชีวิตของน้องชายแกได้สินะ?” เย่เทียนเฉินเอ่ยถามอย่างเรียบเฉย

“แม่งเอ้ย พูดจาไร้สาระให้มันน้อยๆ หน่อย พูดมา จะตกลงหรือเปล่า…” หลี่ลี่จ้องมองเย่เทียนเฉินอย่างหัวเสียแล้วตะโกนใส่

เย่เทียนเฉินส่ายหน้ายิ้มยิ้ม เขาคิดไม่ถึงว่าหลี่ลี่จะเสนอเงื่อนไขแบบนี้ออกมาได้ คิดไม่ถึงว่าในสายตาของหลี่ลี่ ชีวิตของน้องชายเขาจะมีค่าแค่สิบล้านเท่านั้น

ถึงแม้ว่าหลี่ลี่จะเป็นผู้จัดการใหญ่ของเทียนซ่างเหรินเจียน แต่ก็เป็นคนที่ไม่สำคัญอะไร เป็นแค่คนงานคนหนึ่งก็เท่านั้น เรียกได้ว่าเขาเป็นคนงานระดับสูง คนที่ได้เงินจริงๆ คือเถ้าแก่ที่อยู่หลังม่าน ส่วนเขาได้เงินไม่เท่าไหร่ การจะได้รับเงินสิบล้านในเวลาเพียงชั่วครู่เป็นเรื่องที่หาได้ยากมาก ดังนั้นหลี่ลี่จึงถือโอกาสนี้หาเงิน คิดจะแบล็คเมล์เย่เทียนเฉิน ส่วนชีวิตของน้องชายเขา เมื่ออยู่ต่อหน้าเงินตราก็ไม่ได้คิดมากอะไรขนาดนั้นแล้วจริงๆ

“หึ ความจริงเมื่อกี้นี้ฉันกำลังคิดว่า ขออย่าให้แกเป็นคนถ่อยเลย เพราะฉันคนนี้ไม่ชอบฆ่าคนไร้เดียงสา ตอนนี้ดูแล้วไม่ลงมือคงไม่ได้!” เย่เทียนเฉินส่ายศีรษะแล้วพูดด้วยความจนใจ

ความจริงดูเหมือนทุกคนจะคิดว่าหลี่ลี่เป็นสุภาพบุรุษที่มีความยุติธรรมคนหนึ่ง เมื่อต้องพบกับเรื่องของน้องชายก็ไม่ได้ปกป้องถือหาง กระทำตัวอย่างยุติธรรม แต่เย่เทียนเฉินกลับสัมผัสได้ ดังนั้นตลอดทางไม่ว่าหลี่ลี่จะพูดอะไรออกมาเย่เทียนเฉินก็ไม่เอ่ยปาก เนื่องจากพลังพิเศษแห่งการรับรู้ของเขาสัมผัสได้ถึงบรรยากาศอันรุนแรงที่แผ่ออกมาจากร่างของหลี่ลี่ เป็นบรรยากาศที่น่ารังเกียจมาก

ซึ่งก็ไม่ผิดไปจากการคาดเดาของเย่เทียนเฉินจริงๆ หลี่ลี่เป็นคนถ่อยไร้ยางอายคนหนึ่ง เป็นสุภาพบุรุษจอมปลอม ตอนนี้หลี่ลี่ยโสโอหังอย่างถึงที่สุด คิดว่ากุมความเป็นความตายของตนเอาไว้ในกำมือแล้ว ทั้งน่าสงสารและน่าสมเพชจริงๆ

จะอย่างไรคนที่น่าสงสารก็จำเป็นต้องมีส่วนที่น่ารังเกียจ เย่เทียนเฉินจะลงมือโดยไม่ไว้ไมตรีแน่นอน คนแบบนี้น่ากลัวกว่าคนถ่อยเป็นสิบเท่า วันนี้ยังงดีที่ได้มาพบกับเขา ถ้าหากไปเจอคนอื่นเกรงว่าคนที่ซวยคงจะเป็นคนอื่นแล้ว ชีวิตของคนแบบนี้ไม่ควรเก็บเอาไว้

“แม่งเอ๊ย ปากแข็งจริง ฉันจะลั่นไกใส่สมองแกซะตอนนี้…”

คำพูดที่อยู่ในปากขอหลี่ลี่ยังไม่ทันจบ ลำคอของเขาก็ถูกเย่เทียนเฉินบีบแน่น ในตอนนี้เอง บอดี้การ์ดสองคนที่ใช้ปืนจ่อมาที่ขมับของเย่เทียนเฉิน ลั่นไกปืนแทบจะพร้อมกัน เพียงแต่น่าเสียดาย เมื่อลูกกระสุนในปืนของพวกเขายิงไปถูกขมับของเย่เทียนเฉินก็เกิดเสียงดังราวกับโลหะกระทบกัน จากนั้นจึงตกลงสู่พื้น ทำให้บอดี้การ์ดที่ยิงปืนทั้งสองคนตกใจจนตาค้าง

น่าเสียดาย ในตอนที่บอดี้การ์ดสองคนที่ใช้ปืนจ่อหัวเย่เทียนเฉินกำลังตกตะลึงอยู่นั้นก็สิ้นชีพไปเสียแล้ว เรื่องที่พวกเขาไม่ควรทำที่สุดก็คือลั่นไกใส่เย่เทียนเฉิน และถูกฉากตรงหน้าทำให้สั่นสะท้าน แต่ไหนแต่ไรก็ไม่เคยมีใครที่สามารถป้องกันลูกปืนได้ คนคนนี้เกิดมาจากอิฐจากปูนหรือไง?

ลูกปืนจากปืนสองกระบอก ยิงไปบนร่างของเย่เทียนเฉิน แล้วตกลงสู่พื้น เนื่องจากเย่เทียนเฉินใช้โล่พลังพิเศษที่มองด้วยตาเปล่าไม่เห็นนานแล้ว โดยศูนย์กลางอยู่บริเวณปากกระบอกปืน นี่เป็นเรื่องง่ายๆ ก็แค่เคล็ดวิชาที่สามารถทำให้โล่พลังพิเศษยืดขยายได้เท่านั้น ส่วนโล่พลังพิเศษ ไม่ต้องพูดถึงปืนเลย ต่อให้เป็นระเบิดขีปนาวุธก็เกรงว่าจะยิงไม่เข้า นอกจากจะเป็นเคล็ดวิชาบ่มเพาะที่แข็งแกร่ง

ปัง!

บอดี้การ์ดคนหนึ่งที่ตามหลี่ลี่เข้ามาด้านหลังถูกอัดปลิวออกไปชนกับกำแพง มุมปากมีเลือดไหลออกมาลุกไม่ขึ้นอีกต่อไป บอดี้การ์ดอีกคนหนึ่งคุกเข่าลงกับพื้นอย่างรุนแรง เขาได้เห็นเย่เทียนเฉินฆ่าคนไปสี่คนอย่างต่อเนื่องโดยไม่ขมวดคิ้วเลยแม้แต่น้อย ยิ่งไปกว่านั้นกระทั่งลูกปืนก็ทำร้ายเขาไม่ได้ อีกทั้งตลอดเวลาก็มีใบหน้าที่ประดับไปด้วยรอยยิ้มไร้พิษสง นี่เป็นรอยยิ้มของเทพแห่งความตายจริงๆ เห็นแบบนี้แล้วไหนเลยจะยังกล้าลงมือฆ่าฟันอยู่อีก ตกใจจนขาอ่อนลงไปคุกเข่ากับพื้นตั้งนานแล้ว

“สหาย หยะ อย่าฆ่าฉัน อย่าฆ่าฉันเลย…” บอดี้การ์ดอีกคนหนึ่งที่คุกเข่าอยู่กับพื้นพูดด้วยเสียงอันสั่นระริก

“พวกคุณชายที่อยู่ชั้นสามมาถึงกันทุกคนหรือยัง? วันนี้พวกเขานัดรวมตัวกันหรือเปล่า?” เย่เทียนเฉินถามยิ้มๆ

“เอ๋?” บอดี้การ์ดคนนั้นชะงัก คิดไม่ถึงว่าเย่เทียนเฉินจะถามถึงเรื่องบนชั้นสาม ดังนั้นจึงรู้สึกสงสัย

“นี่เป็นโอกาสสุดท้ายที่แกจะได้พูดแล้ว…”

“ถึงแล้ว มาถึงกันหมดแล้วมั้งครับ วันนี้พวกเขามีนัดรวมตัวกัน!” บอดี้การ์ดคนนั้นได้สติกลับมาก็รีบเอ่ยปากพูด

“ขอบคุณ!”

พลั่ก!

บอดี้การ์ดคนนี้ล้มลงกับพื้นเนื่องจากเย่เทียนเฉินหักคอเขา สำหรับศัตรูแล้วเขาจะไม่ยอมอ่อนข้อให้โดยเด็ดขาด ในจุดนี้เกรงว่าไม่ต้องพูดทุกคนก็รู้ ถ้าคุณไม่ฆ่าศัตรู เป็นไปได้ว่าจะพาความยุ่งยากอันมหาศาลมาให้คุณ กระทั่งอาจจะกลายเป็นปัญหาที่ใหญ่ที่สุดในอนาคตของคุณก็เป็นได้

ไม่ผิดไปจากที่เย่เทียนเฉินคาดเดาเลยแม้แต่น้อย พรรคคุณชายมีการรวมตัวกันในวันนี้จริงๆ เมื่อสักครู่นี้เขาดูเวลา พบว่าวันนี้เป็นวันสุดสัปดาห์ ก่อนหน้านี้ทุกวันหยุดสุดสัปดาห์พรรคคุณชายจะเปิดประชุมกัน ถึงแม้จะบอกว่าเป็นการเปิดประชุมแต่ความจริงก็คือการกินดื่มเที่ยวเล่น เป็นการพบปะกันระหว่างอำนาจของพวกเขา ทำให้เป้าหมายของตนบรรลุผล นอกจากนี้ยังเป็นการรายงานลูกพี่ใหญ่อย่างตรงเวลา ดูเหมือนว่ากฎเกณฑ์นี้ของพรรคคุณชายจะไม่เคยถูกเปลี่ยนแปลงมาโดยตลอด ไป๋อู่ยังคงทำตามต่อไป

ที่เย่เทียนเฉินเล่นเป็นเพื่อนหลี่ลี่นั้น ความจริงเป็นเพราะเขากำลังรอ จากการคำนวณของเขา ต้องรออีกสักพักพรรคคุณชายถึงจะเริ่มรวมตัวกัน ส่วนตอนนี้ก็คงใกล้ได้เวลาแล้ว

ทุกวันนี้ไป๋อู่กลายเป็นนายท่านสองของพรรคคุณชายไปแล้ว หลิ่วหรูเหมยบอกว่าไป๋อู่เป็นนายท่านสอง ความจริงก็คือลูกพี่ใหญ่ของพรรคคุณชาย เนื่องจากลูกพี่ใหญ่ที่แท้จริงของพรรคคุณชายในตอนนี้ลึกลับเป็นอย่างมาก เกรงว่าจะมีแค่ไม่กี่คนในพรรคคุณชายที่รู้จักเขา ดูเหมือนไป๋อู่จะเป็นคนจัดการทุกเรื่อง ตำแหน่งของคนคนนี้สูงส่งมากจริงๆ แตกต่างกับในอดีตโดยสิ้นเชิง เพียงแต่ไป๋อู่ในวันนี้จะยังจำเย่เทียนเฉินได้หรือไม่?

เย่เทียนเฉินเดินออกมานอกห้องแล้วปิดประตูลง ในตอนนี้ไม่มีใครรู้เลยว่าภายในห้องมีศพเพิ่มมากขึ้นอีกห้าศพ ส่วนหลี่ลี่ที่เป็นสุภาพบุรุษจอมปลอมน่ารังเกียจก็ไปพบพญายมเรียบร้อยแล้ว แม้ในฝันเขาก็คงคิดไม่ถึงว่า เขาที่คิดว่าตัวเองฉลาดและรู้จักวางแผนอย่างร้ายกาจ เมื่ออยู่ต่อหน้าเย่เทียนเฉินจะอ่อนแอถึงขนาดนี้

มือซ้ายล้วงอยู่ในกระเป๋ากางเกง มือขวาหยิบซิก้าออกมามวนหนึ่ง เย่เทียนเฉินออกแรงที่มือขวาเล็กน้อย กรอกพลังพิเศษเข้าไปในซิก้า หัวของซิก้าก็ถูกจุดไฟขึ้น จากนั้นจึงนำมาสูบในปาก เดินทอดน่องไปบริเวณส่วนหน้าสุดของชั้นสอง เขาต้องการขึ้นไปที่ชั้นสาม ถึงแม้จะสัมผัสได้ว่าที่ชั้นสามมีบอดี้การ์ดถือปืนอยู่หลายคนซึ่งมีฝีมือไม่ธรรมดา แต่สิ่งเหล่านี้ก็ไม่สามารถขัดขวางการก้าวเดินของเย่เทียนเฉินได้ เขารู้สึกคาดหวังอยู่บ้าง ในตอนที่ไป๋อู่เห็นเขาจะมีปฏิกิริยาอย่างไร ในตอนที่พรรคคุณชายเหล่านี้เห็นเย่เทียนเฉินที่เป็นคนไม่สำคัญที่ถูกพวกเขาหยอกล้อเยาะเย้ยและก่นด่าในวันวาน จะมีปฏิกิริยาอย่างไร จะเหมือนเดิมหรือไม่? น่าเสียดายที่เขาไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว รรู้จักแค่ทำตามหลักการโดยไม่สนใจตัวคน!

“หยุด ไสหัวไปซะ ที่นี่เป็นที่ที่แกเข้าไปได้หรือไง?” บอดี้การ์ดที่ยืนอยู่บริเวณปากทางของชั้นสองแตกต่างไปกันจริงๆ เจ้านายเหล่านี้โอหังมากขนาดไหน สุนัขที่เลี้ยงก็โอหังตามขนาดนั้น ถึงกับบอกให้เย่เทียนเฉินไสหัวไปโดยตรง

“ไสหัวไป ถ้ายังไม่ไปอีกก็ตายซะ!” บอดี้การ์ดอีกคนก็แข็งแกร่งหาใดเปรียบ โอหังจนถึงขั้นใช้มือไปลูบคลำด้านหลังในตำแหน่งที่มีปืนอยู่

สำหรับบอดี้การ์ดที่คุ้มครองพรรคคุณชายซึ่งเป็นพวกคุณชายเสเพลเหล่านี้ ดูเหมือนว่าหากพวกเขาจะยิงปืนฆ่าคนก็ไม่มีเรื่องวุ่นวายอะไร เพียงพูดแค่ประโยคเดียวว่าทำเพื่อคุ้มครองคุณชายเสเพลทั้งหลาย ก็จะมีตระกูลของคุณชายเหล่านี้คอยจัดการให้ แล้วยังตบรางวัลให้บอดี้การ์ดพวกนี้อีกด้วย เห็นได้ว่าในสายตาของตระกูลใหญ่เหล่านี้ ชีวิตของคนธรรมดาก็เป็นแค่มดปลวกเท่านั้น

………………

Related

“แม่ง พวกแก ยังไม่ฆ่าไอ้ลูกเต่านี่อีก รออะไรอยู่…” พ่างสยงร้อง แล้วจึงตะโกนใส่บอดี้การ์ดร่างกำยำสี่คนที่ติดตามตนมา

ชายฉกรรจ์ที่สวมเสื้อกล้ามสีดำทั้งสี่คนนั้นได้สติกลับมา ต่างพากันพุ่งเข้าไปยังเย่เทียนเฉิน ต้องการที่จะอัดเย่เทียนเฉินให้หมอบ เพียงแต่น่าเสียดาย ไหนเลยพวกเขาทั้งหมดจะเป็นคู่ต่อสู้ได้ กระทั่งโอกาสจะได้ลงมือก็ยังไม่มี ถูกเย่เทียนเฉินอัดจนปลิวออกไป ทำให้ไอ้คนตอแหลที่พุ่งเข้ามาคนสุดท้ายตกใจจนยืนอยู่กับที่ด้วยอาการตัวสั่น ไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรดี เขารู้ว่าถ้าตัวเองพุ่งเข้าไปจะต้องถูกเตะกระเด็นแน่นอน แต่ถ้าไม่พุ่งเข้าไปก็จะน่าอับอายเกินไป พ่างสยงคงไม่ปล่อยเขาไปแน่

ตอนนี้เอง เย่เทียนเฉินเตะชายฉกรรจ์ในเสื้อกล้ามสีดำทั้งสามคนจนกระเด็นออกไป ชายฉกรรจ์ในชุดเสื้อกล้ามสีดำทั้งสามคนทรุดลงกับพื้นลุกไม่ขึ้น ทำให้คนที่อยู่รอบๆ ตกใจจนแข็งค้าง ใครก็คิดไม่ถึงว่าชายหนุ่มที่ดูผอมแห้งคนนี้จะร้ายกาจถึงเพียงนี้ ชายฉกรรจ์ร่างกายกำยำแข็งแรงทั้งสามคนไม่ใช่คู่มือของเขาเลย ไม่สามารถเข้าใกล้ได้ด้วยซ้ำ นี่ยิ่งทำให้สาวเซ็กซี่มีท่าทางเจ้าชู้ส่งสายตาให้เย่เทียนเฉินเป็นระยะ

เย่เทียนเฉินยิ้มเล็กน้อย บนใบหน้าประดับไปด้วยรอยยิ้มไร้พิษภัยมาโดยตลอด เดินไปยังพ่างสยงที่นอนร้องโอดโอยราวกับหมูถูกเชือดทีละก้าวๆ ทำให้ทุกคนตกใจจนชะงักไป ไม่รู้ว่าเย่เทียนเฉินต้องการจะทำอะไร?

“แก…แกจะทำอะไร…” พ่างสยงรีบถอยหลังไปด้วยความตกใจโดยไม่สนว่าศีรษะของตนจะเต็มไปด้วยเลือด เขารู้สึกได้ว่าตนเองไปหาเรื่องคนที่ไม่ควรหาเรื่องเข้าซะแล้ว วันนี้เจอของแข็งเข้าแล้ว

“ได้ยินว่าพี่ชายของแกเป็นผู้จัดการใหญ่ของเทียนซ่างเหรินเจียนหรือ?” เย่เทียนเฉินถามด้วยรอยยิ้ม

พ่างสยงชะงักไป เขาไม่รู้จริงๆ ว่าชายเบื้องหน้ามีนิสัยอย่างไรกันแน่ ตกลงเขาเป็นคนอย่างไรกันแน่ ตอนที่ลงมืออัดตนก็เหมือนกับปีศาจตนหนึ่งโดยสิ้นเชิง ตอนนี้กลับมองมาที่ตนด้วยใบหน้าที่เปี่ยมไปด้วยรอยยิ้มและความอบอุ่น แต่ในใจของพ่างสยงคิดว่าต่อให้เย่เทียนเฉินจะร้ายกาจขนาดไหนก็ไม่กล้าทำอะไรตน สุดท้ายก็ยังต้องยอมอ่อนข้อให้ เนื่องจากพี่ชายของเขาคือผู้จัดการใหญ่ในเทียนซ่างเหรินเจียน ไม่ว่าใครก็ต้องไว้หน้า

“หึ กลัวหรือไง? รู้ก็ดีแล้ว!” พ่างสยงมองไปยังเย่เทียนเฉินอย่างดุดันแล้วพูดขึ้น

“อ้อ ฉันกลัวมากเลย ฉันกลัวจริงๆ นะ…”

พลั่ก!

เย่เทียนเฉินใช้เท้ากระทืบลงไปบนใบหน้าของพ่างสยง ขยี้รองเท้าหนังลงไปไม่หยุด ทำให้พ่างสยงถูกเศษแก้วของขวดเบียร์ที่ยังไม่ทันได้ตรวจสอบให้ดีแทงลึกลงไปที่เนื้อ พ่างสยงยิ่งร้องเสียงดังมากขึ้น

“อ๊าก…หน้าฉัน ตาฉัน…” พ่างสยงร้องโหยหวนพลางดิ้นอยู่บนพื้น มือทั้งสองจับอยู่ที่ข้อเท้าเย่เทียนเฉิน ต้องการจะดึงเท้าออกไป แต่ว่าน่าเสียดาย ฝีมือของเย่เทียนเฉินอยู่ระดับใดกัน พ่างสยงเป็นได้แค่ผักปลาโดยสิ้นเชิง

“แก…แกรู้หรือเปล่าว่าเขาคือใคร? พี่ชายของเขาเป็นผู้จัดการใหญ่ของเทียนซ่างเหรินเจียน ถ้าหากเขาเกิดเป็นอะไรขึ้นมา แกจะต้องตายแน่!” ชายฉกรรจ์สวมเสื้อกล้ามสีดำคนที่เหลือเห็นว่าเย่เทียนเฉินยังคงอัดพ่างสยงต่อไปจึงอดไม่ได้ที่จะพูดออกมาด้วยอาการสั่นระริก

“งั้นเหรอ?”

เพล้ง!

เย่เทียนเฉินซัดขวดเบียร์ขวดหนึ่งลงไปบนศีรษะของพ่างสยงอีกครั้ง ในครั้งนี้พ่างสยงสลบไปโดยไม่ทันก็ได้กรีดร้องด้วยซ้ำ บนใบหน้าเต็มไปด้วยเลือด ดูแล้วทำให้ผู้คนต้องตกใจ ตั้งแต่ต้นเย่เทียนเฉินก็มีใบหน้าประดับไปด้วยรอยยิ้มไร้พิษภัย แต่คนที่มองดูรอบๆ เห็นแล้วกลับรู้สึกมีเหงื่อเย็นเยียบซึมออกมาที่หลัง

ใครก็คิดไม่ถึงว่า ตอนที่เจอกับการหาเรื่องของพ่างสยง ซึ่งหลายคนคิดว่านี่เป็นละครที่สนุกสนามฉากหนึ่ง หรือบางทีอาจพูดได้ว่าหลายคนคิดว่าเย่เทียนเฉินจะต้องถูกอัดจนหน้าทิ่มดินแล้วถูกหิ้วออกไปจากเทียนซ่างเหรินเจียนแน่นอน ไหนเลยจะรู้ว่าเรื่องกับพลิกผันโดยสิ้นเชิง เรียกได้ว่านี่เป็นการตอบโต้ของชายท่าทางธรรมดา เย่เทียนเฉินลงมือลงไม้อัดบอดี้การ์ดของพ่างสยงจนหมอบ แล้วยังอัดพ่างสยงจนมีสภาพเหมือนกับหมูตายนอนไม่ขยับเขยื้อน

“นี่…นี่…”

“ร้ายกาจจริง พ่ายสยงตายหรือยัง?”

“จบแล้ว ไอ้หมอนี่อัดพ่างสยงจนตาย จะต้องเกิดเรื่องใหญ่แน่…”

“ไอ้หมอนี่เป็นใครกัน?”

ดูเหมือนว่าในใจของใครหลายๆ คนจะมีคำถามเหมือนกัน นั่นก็คือชายหนุ่มเบื้องหน้าคนนี้เป็นใครกันแน่? ถึงร้ายกาจได้ขนาดนี้ และยังไม่เห็นพ่างสยงอยู่ในสายตาอีกด้วย ต่อให้รู้ฐานะและเบื้องหลังของพ่างสยงแล้ว ก็ยังใช้ขวดเบียร์ตีเขาจนสลบไปอีก เป็นหรือตายก็ยังไม่ชัดเจน

ตอนนี้เอง ผู้รักษาความปลอดภัยที่ถือกระบองหลายสิบคนพุ่งเข้ามา กลุ่มคนที่ยืนล้อมดูเปิดทางให้อัตโนมัติ ไม่อยากไปเกี่ยวข้องกับเรื่องเช่นนี้ ทุกคนต่างก็รู้ว่าพี่ชายของพ่างสยงคือผู้จัดการใหญ่ของเทียนซ่างเหรินเจียน อำนาจอิทธิพลเบื้องหลังไม่ด้อย ตอนนี้พ่างสยงถูกอัดจนเป็นแบบนี้ไปแล้ว พี่ชายของเขาจะต้องไม่ยอมจบง่ายๆ แน่

คนที่ฉลาดสักหน่อยต่างก็คิดได้ เทียนซ่างเหรินเจียนได้รับการกล่าวขานว่าเป็นคลับที่ดีที่สุดและใหญ่ที่สุดในประเทศจีน คนที่เข้าออกที่นี่ทั้งหมดต่างก็เป็นคนมีอำนาจอิทธิพล คนที่จะสามารถเป็นผู้จัดการของที่นี่ได้จะต้องไม่ธรรมดาแน่นอน ได้ยินว่าเถ้าแก่ใหญ่ที่อยู่หลังม่านของเทียนซ่างเหรินเจียนแห่งนี้เป็นตระกูลที่มีอำนาจอิทธิพลมากตระกูลหนึ่ง มิฉะนั้นคงไม่สามารถผงาดอยู่ในเมืองหลวงโดยไม่เคยล้มได้ และคงไม่สามารถกลายเป็นคลับที่ดีที่สุดและใหญ่ที่สุดตลอดกาลของประเทศจีนได้

เย่เทียนเฉินถูกผู้รักษาความปลอดภัยถือกระบองหลายสิบคนล้อมเข้ามา ในตอนนี้ผู้รักษาความปลอดภัยทั้งหลายทำให้เกิดเส้นทางสายหนึ่ง ชายวัยกลางคนสูงราวหนึ่งร้อยแปดสิบเซนติเมตร สวมสูทเรียบกริบ เดินเข้ามาอย่างมีมาด บางคนคุ้นเคยอยู่บ้าง ในตอนที่เห็นชายวัยกลางคนสวมสูทคนนี้ ทุกคนต่างก็ตกใจ เพราะว่าชายวัยกลางคนคนนี้ก็คือหลี่ลี่พี่ชายแท้ๆ ของพ่างสยง

“หลี่ลี่มาแล้ว ไอ้หมอนี่ตายแน่!”

“ไอ้หมอนี่ต้องตายแน่นอน หลี่ลี่เห็นน้องชายของตัวเองถูกอัดจนกลายสภาพเป็นแบบนั้นไปแล้ว ถ้าไม่อัดไอ้หมอนี่จนเละก็แปลกแล้ว!”

“ตายแน่ ละครสนุกๆ จบแล้ว!”

หลี่ลี่เดินมาเบื้องหน้าเย่เทียนเฉิน มองไปยังชายฉกรรจ์ที่นอนหมอบอยู่กับพื้นจนลุกไม่ขึ้น จากนั้นจึงมองไปยังน้องชายของตนที่อยู่บนพื้นในสภาพใบหน้าเต็มไปด้วยเลือด เขาอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว ออกคำสั่งกับหน่วยรักษาความปลอดภัยที่อยู่ด้านหลังเขาเสียงเข้ม “ยังมัวมองอะไรอยู่ พาพ่างสยงไปส่งโรงพยาบาล!”

หน่วยรักษาความปลอดภัยถือกระบองสองคนรีบหามพ่างสยงออกไปนอกเทียนซ่างเหรินเจียน พาไปส่งโรงพยาบาลอย่างเร่งด่วนเพื่อให้รอดพ้นอันตราย ทุกคนไม่พูดอะไร ต่างยืนรออยู่ตรงนั้น อยากจะเห็นว่าเรื่องนี้จะมีจุดจบอย่างไร หรืออาจกล่าวได้ว่าทุกคนกำลังดูว่า เย่เทียนเฉินจะตายอย่างไร หลี่ลี่จะแก้แค้นเย่เทียนเฉินที่อัดน้องชายของตนจนเป็นแบบนี้อย่างไร

“ขอโทษด้วยคุณผู้ชาย คุณมาเที่ยวที่นี่ แต่กลับทำให้คุณไม่มีความสุข ผมคือผู้จัดการใหญ่ของเทียนซ่างเหรินเจียน ผมต้องขอโทษคุณ ณ ที่นี้ด้วย!” หลี่ลี่พูดขึ้น พยักหน้ามองไปยังเย่เทียนเฉินอย่างสุภาพ

เมื่อคำพูดนี้ถูกกล่าวออกมา ทุกคนต่างตกอยู่ในความโกลาหล ใครก็คิดไม่ถึงว่าหลี่ลี่จะทำแบบนี้กับเย่เทียนเฉิน สิ่งที่พวกเขาคาดหวังก็คือ หลี่ลี่จะระเบิดความโกรธออกมาจนบ้าคลั่ง สั่งให้หน่วยรักษาความปลอดภัยหลายสิบคนอัดเย่เทียนเฉิน กระทั่งทำให้เย่เทียนเฉินตาย ทว่าจุดจบนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเลย กลับเป็นหลี่ลี่ที่ขอโทษเย่เทียนเฉิน ทำให้พวกเขาคิดไม่ถึงจริงๆ

“ดูท่าหลี่ลี่ทำเพื่อรักษาชื่อเสียงของเทียนซ่างเหรินเจียน!”

“ลูกค้าคือพระเจ้า ไม่อาจล่วงเกิน เลยต้องอดกลั้นเรื่องของน้องชายของตนเอาไว้!”

“แบบนี้ดูแล้วหลี่ลี่ก็ไม่เลวเลย เดิมทีก็เป็นน้องชายของเขาที่ไปหาเรื่องก่อน ต้องการจะรังแกไอ้หนุ่มคนนี้ หาเรื่องใส่ตัวจริงๆ หลี่ลี่ไม่ได้เข้าข้าง ค่อนข้างที่จะยุติธรรมเลยทีเดียว!”

ทุกคนที่อยู่รอบๆ อดไม่ได้ที่จะวิพากษ์วิจารณ์กันขึ้นมา ต่างพากันคิดว่าที่หลี่ลี่ไม่ได้โมโหและไม่ได้ให้คนอัดเย่เทียนเฉินจนตายแล้วโยนออกไป เป็นเพราะต้องการรักษาชื่อเสียงของเทียนซ่างเหรินเจียน คิดว่าลูกค้าต้องมาเป็นอันดับแรก ไม่เต็มใจที่จะล่วงเกินลูกค้าท่านใดก็ตาม ส่วนเรื่องที่น้องชายของตนถูกอัดจนกลายเป็นแบบนั้นก็ต้องอดทนเอาไว้

เย่เทียนเฉินยิ้มเล็กน้อยไม่ได้พูดอะไร ทำเพียงบิดขี้เกียจครั้งหนึ่ง สูบซิก้าเฮือกหนึ่งแล้วพูดอย่างเรียบเฉยว่า “เมื่อกี้ได้ออกกำลังอัดคน ตอนนี้เหนื่อยแล้ว หาที่เงียบๆ ให้พักสักหน่อยได้ไหม?”

“ได้ครับ เชิญตามผมมา!” หลี่ลี่พูดด้วยรอยยิ้ม

ทุกคนมองแผ่นหลังของหลี่ลี่และเย่เทียนเฉินพี่กำลังเดินไปยังลิฟต์ชั้นหนึ่ง ลิฟท์ตัวนี้เป็นลิฟต์ที่ขึ้นไปยังชั้นสอง หากว่าต้องการขึ้นจากชั้นสองไปยังชั้นสามจะต้องเดินขึ้นบันไดไปเท่านั้น ที่ประตูลิฟท์ตัวนี้มีหน่วยรักษาความปลอดภัยที่ไม่ธรรมดาคุ้มครองอยู่ เป็นบอดี้การ์ดพร้อมด้วยอาวุธปืน นี่ทำให้จินตนาการได้เลยว่าพรรคคุณชายที่สามารถเหมาชั้นสามของเทียนซ่างเหรินเจียนได้ จะร่ำรวยขนาดไหน จะมีอำนาจแข็งแกร่งขนาดไหน

เมื่อเดินมาถึงประตูลิฟท์ บริเวณห้องโถงชั้นหนึ่งก็มีพนักงานเดินเข้ามากดลิฟท์ให้เย่เทียนเฉินและหลี่ลี่อย่างเร่งรีบ ด้านหลังของหลี่ลี่ยังมีบอดี้การ์ดติดตามมาอีกสองคน บอดี้การ์ดสองคนนี้ทำให้เย่เทียนเฉินรู้สึกว่าพอมีฝีมืออยู่บ้าง ไม่เหมือนกับหน่วยรักษาความปลอดภัยธรรมดาเหล่านั้นที่อ่อนแอไร้ฝีมือ

ติ้ง ประตูลิฟต์เปิดออก หลี่ลี่พูดกับเย่เทียนเฉินด้วยรอยยิ้ม “คุณผู้ชาย เชิญครับ!”

เย่เทียนเฉินมองไปยังหลี่ลี่ที่มีรอยยิ้มเต็มใบหน้าแล้วจึงยิ้มตาม เดินเข้าไปด้านในลิฟท์ หลี่ลี่ก็เดินตามเข้าไป จากนั้นก็เป็นบอดี้การ์ดทั้งสองคน ภายในลิฟท์หลี่ลี่แนะนำเทียนซ่างเหรินเจียนให้เย่เทียนเฉินฟังด้วยรอยยิ้มเช่นเดิม เหมือนกับคนที่เอาใจใส่กับงานคนหนึ่งที่กำลังนำเสนอสินค้าอย่างแท้จริง

“ผู้จัดการหลี่ ขอบคุณสำหรับคำแนะนำของคุณ ตอนนี้ผมอยากจะหาสถานที่พักผ่อนสักหน่อย!” เย่เทียนเฉินพูดด้วยรอยยิ้ม

“อ่าฮ่าๆ ได้ครับ ผมจะจัดเตรียมห้องว่างให้คุณห้องหนึ่งเดี๋ยวผมจะส่งคุณขึ้นไป!” หลี่ลี่พูด

ตลอดทาง ตั้งแต่ที่เดินออกมาจากลิฟท์กับหลี่ลี่ เย่เทียนเฉินก็เดินหน้าไปแล้วประมาณสิบกว่าเมตร หลี่ลี่เดินไปหยุดอยู่บริเวณประตูห้องแห่งหนึ่ง จากนั้นจึงใช้คีย์การ์ดเปิดประตูห้องแล้วดันประตูออก กล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “เชิญครับ!”

เย่เทียนเฉินยกขาเดินเข้าไปในห้อง ในตอนที่ขาซ้ายของเขายังไม่วางลงนั้น บริเวณขมับทั้งสองของเขาก็ถูกปืนจ่อ จากนั้นจึงได้ยินเสียงหลี่ลี่พูดขึ้นจากด้านหลังอย่างโหดเหี้ยมว่า “แม่งเอ้ย มาอัดน้องชายของฉัน แกจะต้องตายโดยไม่ได้เห็นพระอาทิตย์วันพรุ่งนี้ ไอ้คนไม่รู้จักที่ตาย”

“แกแน่ใจว่าจะลงมือกับฉันจริงๆ ใช่ไหม?” เย่เทียนเฉินหันไปถามหลี่ลี่

หลี่ลี่ขมวดคิ้ว เขาเองก็ไม่ใช่คนที่จะยอมงอมืองอเท้า เขาดูออกว่าเย่เทียนเฉินไม่ธรรมดา แต่เมื่อคิดถึงน้องชายของตนที่ถูกอัดจนมีสภาพเครื่องเป็นครึ่งตายแบบนั้น รวมกับที่หลี่ลี่เอ็งก็เป็นคนมีเบื้องหลังยิ่งใหญ่ จึงทำให้โอหังขึ้นมา พูดอย่างดุดันว่า “บิดาไม่สนใจว่าแกจะเป็นใคร วันนี้ยังไงก็ต้องตาย!”

……………………………….

Related

สำหรับเทียนซ่างเหรินเจียนแล้วเงินหนึ่งล้านหยวนไม่นับเป็นอะไรได้ เนื่องจากบริการของที่นี่หนึ่งคืนก็มีราคามากเพียงพอที่จะทำให้คนธรรมดาตกใจแล้ว เป็นจำนวนเงินที่คิดไม่ถึง เพียงแต่สิ่งที่ทำให้ผู้คนต้องแปลกใจก็คือ การที่มีคนหิ้วถุงใส่เงินสดจำนวนหนึ่งล้านหยวนไปตบรางวัลให้พนักงานในเทียนซ่างเหรินเจียนตามอำเภอใจ เกรงว่านี่จะเป็นครั้งแรก โดยปกติคนที่มีเงินและมีอำนาจมักจะใช้บัตรเครดิตหรือไม่ก็คิดเงินหลังจากเที่ยวเสร็จ ดูเหมือนว่าแต่ไหนแต่ไรจะไม่เคยมีใครแบกเงินสดหนึ่งล้านหยวนไปตบรางวัลให้พนักงานหลังจากที่เพิ่งทำบัตร VIP ราคาสิบล้านมาก่อน

เย่เทียนเฉินแบกถุงเงิน มุมปากคาบซิก้ามวนหนึ่งเดินเข้าไปในเทียนซ่างเหรินเจียนอย่างรวดเร็ว ตอนนี้เขามีท่าทางเหมือนผู้ชายเสเพลที่ดูอันธพาลเล็กน้อย จะดูอย่างไรก็เหมือนกับเพลบอยคนหนึ่ง ไม่มีใครคิดเลยว่าเขาคือเย่เทียนเฉินที่ในระยะนี้ก่อคลื่นลมไปทั่วทั้งเมืองหลวงจนเป็นที่รู้จักไปทั่ว

ด้านหลังของเย่เทียนเฉินมีหญิงสาวอายุประมาณสิบเจ็ดสิบแปดปีคนหนึ่งยืนอึ้งอยู่กับที่ มองแผ่นหลังของเย่เทียนเฉินที่กำลังเดินจากไปด้วยความมึนงง เธอคิดไม่ถึงเลยว่าตนเองเรียกแขกตามปกติเพราะจะถือโอกาสทำเงิน จะถึงกับมีคนยัดเงินจำนวนห้าหมื่นหยวนในชั้นในของเธอ ไม่ผิด ธนบัตรที่โผล่ออกมาจากชุดชั้นในมีค่าถึงห้าหมื่นหยวน เพียงครั้งเดียวก็ได้รับรางวัลถึงห้าหมื่นหยวนโดยที่ไม่ต้องจ่ายค่าตอบแทนอะไรออกไป ไม่ว่าจะเป็นร่างกายหรือจิตใจล้วนไม่ต้องจ่ายออกไปสักนิดก็สามารถได้เงินมาแบบนี้ ทำให้หญิงสาวคนนี้รู้สึกแปลกใจและตกตะลึงอยู่บ้าง“นี่ เธอจะไปไหนเหรอ?” สาวเซ็กซี่คนหนึ่งดึงเพื่อนๆ ที่กำลังจะเดินออกไปนอกห้องโถงแล้วถามขึ้น

“โอ๊ย เธอไม่รู้เหรอ มีคนใจกว้างตบรางวัลให้คนอื่นตามใจ อย่างน้อยก็สองสาม หมื่นเลย พวกเราจะไปดูน่ะสิ!” สาวเซ็กซี่ที่ถูกดึงพูดอย่างเร่งรีบ

“อะไรนะ? ไม่จริงน่ะ โยนเงิน?” สาวเซ็กซี่อ้าปากเล็กๆ ถามด้วยความตื่นตะลึง

“ใช่แล้ว ฉันไม่พูดกับเธอแล้ว ฉันจะไปดูสักหน่อย หากว่าเก็บได้สักหลายหมื่น ไม่ใช่ว่าจะทำเงินได้เยอะเลยเหรอ?”

“เดี๋ยวก่อน รอฉันด้วยสิ ฉันไปด้วย…”

ตลอดทาง เย่เทียนเฉินพบคนมากขึ้นเรื่อยๆ แต่เขาก็ไม่สนใจเลยแม้เพียงนิด ทุกคนที่ยื่นมือมาทางเขา เขาก็จะโยนเงินไปให้หลายหมื่นหยวน ตอนที่เขาเดินขึ้นไปถึงห้องโถงของเทียนซ่างเหรินเจียน หลายคนก็มองเขาด้วยความตกตะลึงจนตาค้าง ต่างพากันสงสัยว่าคนคนนี้เป็นใครกันแน่? จะเวอร์เกินไปหรือเปล่า? โยนเงินสดเนี่ยนะ? ที่สำคัญไม่ว่าใครที่ยื่นมือไปก็จะโยนไปให้หลายหมื่นหยวน ตกลงเป็นพวกขี้โอ่หรือพวกปัญญาอ่อนกันแน่?

“พี่ชายสุดหล่อ สนใจไปเที่ยวกับผมไหมครับ?” ตอนนี้เอง ชายร่างกำยำที่หน้าตาไม่เลวคนหนึ่งเดินมาเบื้องหน้าเย่เทียนเฉิน ถามพลางเล่นหูเล่นตา

พลั่ก!

ทว่าชายร่างกำยำคนนี้กลับกระเด็นออกไปแล้วตกกระแทกกับพื้นอย่างแรง สูญเสียความสามารถในการต่อสู้จนลุกไม่ขึ้น เย่เทียนเฉินยักไหล่แล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ขอโทษที รสนิยมทางเพศของฉันปกติ!”

เทียนซ่างเหรินเจียนก็เป็นเช่นนี้เอง มีแต่สิ่งที่คุณคิดไม่ถึง ไม่มีอะไรที่คุณทำไม่ได้ สรุปแล้วที่นี่ไม่ว่าคุณอยากจะเที่ยวเล่นอะไรก็มีทั้งหมด เป็นสถานที่ที่ทำให้ทุกคนมีความสุข

“โอ้โหคุณชาย คุณมือเติบจริงๆ วันนี้ให้ฉันปรนนิบัติคุณดีไหมคะ?” ผู้หญิงคนหนึ่งสวมเสื้อแหวกหลังจนเรียกได้ว่ากางเกงในและเสื้อชั้นในโผล่ออกมาให้เห็นได้เลยทีเดียว เธอเดินมาเบื้องหน้าเย่เทียนเฉินด้วยใบหน้าแดงระเรื่อ พูดขึ้นพลางส่งสายตาไปให้

เย่เทียนเฉินยิ้มเล็กน้อย ควักเงินปึกหนึ่งออกมาจากกระเป๋าเสื้อตามใจแล้วโยนไปให้ผู้หญิงคนนั้น เพี๊ยะ! มือขวาตีบนสะโพกผายของเธอครั้งหนึ่ง แล้วพูดขึ้นด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ “น่าเสียดายจริงๆ ก้นของเธอใหญ่ไม่พอ ฉันชอบผู้หญิงก้นใหญ่!”

พูดจบเย่เทียนเฉินก็ไม่ได้สนใจคนรอบข้างที่กำลังมองมาทางเขาด้วยอาการตกตะลึง พนักงานที่ทำงานอยู่ในเทียนซ่างเหรินเจียนและแขกที่อยู่ที่นี่พากันเดินเข้าไปด้านในต่อไป เป้าหมายของเย่เทียนเฉินก็คือชั้นสาม ที่นี่ก็เป็นแค่การเปิดตัวของเขาเท่านั้น เป็นการเปิดตัวเพื่อที่จะได้ขึ้นไปยังชั้นสามได้อย่างสะดวกราบรื่น และเขาคิดจะทำเซอร์ไพรส์ใหญ่ที่สุดให้กลุ่มของพรรคคุณชายที่ชั้นสามในสถานการณ์ที่ไม่มีใครสงสัย

“คุณผู้ชายคะ คุณคิดว่าฉันพอได้หรือเปล่า? ให้ฉันพาคุณไปเยี่ยมชมที่นี่ดีไหมคะ…” ผู้หญิงหน้าตางดงามคนหนึ่งในชุดพนักงานเอ่ยปากถามด้วยรอยยิ้ม

“เธอฉลาดมาก ถึงกับมองออกว่าฉันมาที่นี่เป็นครั้งแรก งั้นเธอก็นำทางเถอะ!”

ไหนเลยจะรู้ว่าในตอนที่พนักงานสาวสวยคนนั้นเกาะแขนเย่เทียนเฉินเตรียมที่จะพาเขาเดินไปรอบๆ ชายอ้วนคนหนึ่งที่มีบอดี้การ์ดในชุดเสื้อกล้ามสีดำสี่คนเดินตามหลังก็เดินมาขวางอยู่เบื้องหน้าของเย่เทียนเฉิน จ้องมองเย่เทียนเฉินด้วยท่าทางไม่สบอารมณ์และไม่พอใจ

“ไอ้หนู เห็นว่าแกมือเติบ ได้ยินว่ารวยมากนักนี่ เอามาให้บิดาใช้สักหลายแสนหน่อยสิ?” ชายอ้วนมองเย่เทียนเฉินอย่างเย็นชาแล้วพูดขึ้น

“แกเป็นใคร คิดว่าตัวเองหน้าตาเหมือนหมูแล้วจะวิ่งไปที่ไหนก็ได้หรือไง? ระวังถูกโรงฆ่าสัตว์จับไปล่ะ!” เย่เทียนเฉินเอ่ยปากพูดด้วยรอยยิ้ม

“แก…แม่ง กล้ามาแกล้งทำเป็นรวยที่นี่ เดี๋ยวบิดาจะทำให้แกพูดไม่ออกเลยเชื่อไหม?” ชายล่างอ้วนตะโกนใส่เย่เทียนเฉินด้วยท่าทางกระฟัดกระเฟียด

“ไม่เชื่อ!” เย่เทียนเฉินพูดอย่างเรียบเฉย

ใครก็คิดไม่ถึงว่า ระหว่างทางจะมีชายร่างอ้วนคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้น ทั้งยังพาบอดี้การ์ดในชุดเสื้อกล้ามสีดำมาอีกสี่คนซึ่งมองผิวเผินดูเหมือนพวกอันธพาล มีหลายคนมองออกว่าคนอย่างเย่เทียนเฉินมาทำตัวโดดเด่นที่เทียนซ่างเหรินเจียน จะต้องมีคนรู้สึกขัดลูกตาและต้องการที่จะสั่งสอนเขาแน่นอนอยู่แล้ว

เป็นเช่นนี้จริงๆ เทียนซ่างเหรินเจียนเป็นถ้ำเสือมังกรที่แท้จริง เรียกได้ว่าคนที่เข้ามาเที่ยว มีใครบ้างที่ไม่มีเบื้องหลังยิ่งใหญ่? กระทั่งข้าราชการระดับสูงบางคนในเมืองหลวงก็ยังมาอุดหนุนที่นี่บ่อยๆ

“นี่ไม่ใช่พ่างสยงเหรอ? เขามาได้ยังไง?”

“พ่างสยง เขาไม่ใช่น้องชายแท้ๆ ของผู้จัดการใหญ่ของเทียนซ่างเหรินเจียนเหรอ?”

“เขาเป็นคนคุ้มครองที่นี่ แต่คนๆ นี้ก็เป็นคนที่โอหังมาก พี่ชายของเขาเป็นผู้จัดการใหญ่ของเทียนซ่างเหรินเจียน มีเบื้องหลังไม่กระจอกเลย เขาต้องยโสโอหังเป็นธรรมดาอยู่แล้ว คิดว่าคนที่มาเที่ยวที่นี่ก็คงเคยได้ยินเรื่องเกี่ยวกับเขามาบ้าง!”

หลายคนรอบๆ อดไม่ได้ที่จะวิพากษ์วิจารณ์กันขึ้น ชาอ้วนคนนี้มีฉายาว่าพ่างสยง กล่าวคือเป็นอันธพาลน้อยที่ไม่ร่ำเรียน หลังจากที่พี่ชายของเขาได้เป็นผู้จัดการใหญ่ที่เทียนซ่างเหรินเจียนแห่งนี้ ทำให้เขามีที่พึ่งและมีเบื้องหลังไม่น้อย ดังนั้นเขาจึงมาเป็นผู้อำนวยการฝ่ายรักษาความปลอดภัยที่นี่ แม้จะบอกว่าเป็นผู้อำนวยการฝ่ายรักษาความปลอดภัยแต่ก็ทำตัวไม่ต่างไปจากมาเฟียคุมถิ่นด้านนอก ใช้อำนาจบาตรใหญ่ทำตามอำเภอใจอยู่ในเทียนซ่างเหรินเจียน และเนื่องจากไม่อยากไปขัดแย้งกับอำนาจเบื้องหลังของพี่ชายเขาจึงทำให้คนที่มาเที่ยวหลายคนโดยเฉพาะเหล่าพนักงานไม่อยากไปล่วงเกินเขาถ้าหากไม่มีเรื่องใหญ่อะไร เป็นเพราะเห็นแก่อำนาจเบื้องหลังของพี่ชายเขา นี่ทำให้พ่างสยงยิ่งยโสโอหังมากขึ้น

เดิมทีพ่างสยงกำลังเสพสุขกับผู้หญิงอยู่ในห้องน้ำ ทันใดนั้นได้ยินลูกน้องมารายงานว่าที่ห้องโถงใหญ่ในชั้นหนึ่งมีชายวัยรุ่นคนหนึ่งหิ้วถุงสดหนึ่งล้านมาโปรยแจกไปทั่ว ทำให้เกิดความวุ่นวายไม่น้อย ทันใดนั้นพ่างสยงจึงรู้สึกไม่สบอารมณ์ขึ้นมา ในใจคิดว่าใครกันที่กล้ามาทำตัวโอหังยิ่งกว่าเขาในเทียนซ่างเหรินเจียน? จะต้องสั่งสอนสักหน่อยแล้ว

“ดี ดี บิดาไม่สนว่าแกจะเป็นใคร วันนี้แกจะต้องทอดตัวนอนเป็นศพ!” พ่างสยงโอหังมาก แน่นอนว่าเขาเองก็รู้จักดูคน จะอย่างไรเย่เทียนเฉินก็ดูเหมือนจะเป็นคนมีเงิน แต่กลับสวมเสื้อผ้าธรรมดา ดูไร้ราคาไม่มีหน้ามีตาอะไรเลย คงจะหลอกง่าย ดังนั้นพ่างสยงจึงคิดสั่งให้คนที่ติดตามมาอัดเย่เทียนเฉินสักยก จากนั้นค่อยโยนเขาออกไป ให้ทุกคนได้รู้ว่า ถ้ามาเที่ยวที่นี่แล้วไม่เคารพกฎของเขาพ่างสยง ก็จะมีจุดจบที่อนาถ

เย่เทียนเฉินมองพ่างสยงอย่างไม่สบอารมณ์ วันนี้เขาจะสร้างชื่อขึ้นก่อนแล้วค่อยไปรวมตัวกับคนที่เคยรวมกลุ่มกันเมื่อสมัยก่อนบริเวณชั้นสาม ถ้าไม่สร้างความเคลื่อนไหวบ้างจะเป็นไปได้อย่างไร ทันใดนั้นจึงแค่นเสียงเย็นออกมาครั้งหนึ่ง พูดอย่างไม่สบอารมณ์ว่า

“อ้วนเป็นหมูแล้วยังมีหน้าออกมาเจอผู้คนในสภาพน่าเกลียดแบบนี้อีก รีบกลับไปในท้องแม่เลยไป ไปเกิดใหม่ซะเถอะ!”

เมื่อได้ยินคำพูดของเย่เทียนเฉิน คนที่มาเที่ยวบ่อยๆ ต่างรู้สึกตื่นตะลึง พ่างสยงโกรธจนแทบจะระเบิด พวกเขาคิดไม่ถึงเลยว่า ชายหนุ่มตรงหน้าคนนี้จะกล้าทำให้พ่างสยงอับอาย ไม่เห็นพ่างสยงอยู่ในสายตาเลยแม้แต่น้อย ต้องพูดว่าถึงแม้พ่างสยงจะไม่มีอำนาจอะไร แต่พี่ชายของเขาสามารถเป็นผู้จัดการใหญ่ในเทียนซ่างเหรินเจียนที่เป็นที่รวมตัวของคนมีเงินมีอำนาจจำนวนมากได้ เห็นได้ว่าไม่ใช่คนธรรมดา คุณชายทั้งหลายที่มาเที่ยวที่นี่ ต่อให้ไม่พอใจพ่างสยงแต่ก็จะไม่ล่วงเกิน เมื่อมาเที่ยวก็ยังต้องทักทายปราศรัย ที่สำคัญคือต้องแสดงความสัมพันธ์เบื้องหน้าให้ดีสักหน่อย แต่ไหนแต่ไรก็ไม่เคยมีใครกล้าทำให้เขาอับอายเหมือนเย่เทียนเฉินมาก่อน

“แก บิดาจะฆ่าแกซะ…”

คำว่า “ฆ่า” ของพ่างสยงยังพูดไม่ทันจบ บนศีรษะก็ถูกขวดเบียร์ขวดหนึ่งกระทบลงมา สำหรับคนประเภทนี้ไม่มีอะไรต้องพูดมาก จงใจหาเรื่องเช่นนี้ เย่เทียนเฉินจะเกรงใจได้อย่างไร จึงได้หยิบขวดเบียร์ที่วางอยู่บนชั้นวางเหล้าด้านข้างตีลงไปบนศีรษะของพ่างสยงโดยตรง ซัดจนหัวแตกเลือดไหล

“อ๊าก! หัวฉัน!” พ่างสยงล้มลงบนพื้น กรีดร้องออกมาราวกับหมูถูกเชือด มือทั้งสองกุมอยู่บนศีรษะของตน ขวดเบียร์เมื่อสักครู่นี้แข็งมาก เป็นเบียร์ที่นำเข้าจากต่างประเทศ ดังนั้นคงจะทำให้ศีรษะของพ่างสยงแตกเป็นรูใหญ่ไปแล้ว

“หัวของแกก็คือหัวหมูไง แข็งจริง ถึงกับไม่แตกเลยนะเนี่ย!” เย่เทียนเฉินพูดด้วยรอยยิ้มสนุกสนาน

คนที่อยู่ข้างๆ ทั้งหมดตกตะลึงจนแข็งค้างไปหมดแล้ว กระทั่งชายฉกรรจ์สวมเสื้อกล้ามสีดำทั้งสี่คนที่ยืนอยู่ด้านหลังของพ่างสยงก็มองฉากนี้อย่างตกตะลึงจนตาค้าง เนื่องจากมันเกิดขึ้นอย่างกะทันหันเกินไป ไม่มีใครคิดว่าเย่เทียนเฉินยังไม่ทันพูดกับพ่างสยงให้มากความ ขวดเบียร์ก็กระแทกลงบนหัวเขาแล้ว

ทุกคนถอยหลังไปเล็กน้อยโดยไม่รู้ตัว พนักงานหญิงที่จะนำทางให้เย่เทียนเฉินก็ตกใจจนวิ่งหนีไปแล้ว ทุกคนต่างก็รู้ว่าเกิดเรื่องแล้ว เย่เทียนเฉินก่อเรื่อง จะเกิดเรื่องใหญ่แล้ว

“จบ จบกัน ไอ้หมอนี่ตายแน่ ถึงกับกล้าอัดพ่างสยงเลย!”

“คงไม่สามารถออกไปจากเทียนซ่างเหรินเจียนอย่างมีชีวิตได้แล้ว พ่างสยงจะต้องฆ่าเขาแน่”

“พี่ชายแท้ๆ ของพ่างสยงคือผู้จัดการใหญ่ของเทียนซ่างเหรินเจียน จะต้องฆ่าไอ้หมอนี่แน่ ไม่งั้นวันหลังเขาจะคุมที่นี่ได้ยังไง!”

……………………………..

Related

เรื่องการตรวจสอบที่เขาใส่ร้ายเมื่อปีนั้นให้ชัดเจนเป็นเรื่องที่อยู่ในใจของเย่เทียนเฉินมาโดยตลอด และนี่ก็เป็นสิ่งที่เขารู้สึกว่าเป็นความอัปยศที่ยิ่งใหญ่ที่สุดหลังจากที่ได้กลับชาติมาเกิดใหม่ ให้ตายเถอะ ถึงกับถูกคนอื่นวางแผนใส่ ไม่รู้จริงๆ ว่าหลายปีมานี้ ผู้อยู่เบื้องหลังแผนร้ายที่มีต่อตนเองและหลิ่วหรูเหมยจะหัวเราะเยาะไปกี่ครั้งแล้ว ที่สำคัญที่สุดก็คือ เย่เทียนเฉินรับรู้ได้ว่าการที่ตนและหลิ่วหรูเหมยถูกคนวางแผนร้ายใส่ ไม่เพียงจะเป็นการเพ่งเล็งพวกเขาทั้งสอง แต่ยังเป็นแผนการครั้งใหญ่ที่เพ่งเล็งไปยังตระกูลเย่และตระกูลหลิ่วอีกด้วย

เดิมทีเมื่อต้องเผชิญหน้ากับการโจมตีอันโหดร้ายแข็งแกร่งของตระกูลเซวียนเยวี๋ยน เขาก็รู้ดีว่าเรื่องด่วนและสำคัญที่สุดที่ควรจะทำก็คือกำจัดตระกูลเซวียนเยวี๋ยน แต่เขารู้สึกว่ามีกลุ่มอำนาจบางอย่างกำลังจับจ้องเขาอยู่ตลอดเวลา หรือบางทีอาจจะกล่าวได้ว่าจับจ้องตระกูลเย่อยู่ตลอด เมื่อเขาไปจากเมืองหลวง เกรงว่าตระกูลเย่ก็จะพบกับความลำบากครั้งใหญ่ ดังนั้นครั้งนี้เขามาที่เทียนซ่างเหรินเจียนก็เพื่อตรวจสอบเรื่องที่เขาถูกใส่ร้ายเมื่อปีนั้น ต่อให้จะไม่มีผลลัพธ์ออกมาในทันที แต่อย่างน้อยก็สามารถเคาะภูเขาสะเทือนพยัคฆ์ได้ การที่จะทำให้ตนเองได้มีเวลาไปกำจัดตระกูลเซวียนเยวี๋ยนที่มณฑลชวนก็คือจุดประสงค์ที่แท้จริงของเย่เทียนเฉิน

และยังมีอีกสาเหตุหนึ่งนั่นก็คือ จนถึงตอนนี้อู๋เสวี่ยก็ยังไม่กลับมา ไม่รู้ว่าการสร้างอำนาจเป็นอย่างไรบ้าง ที่เย่เทียนเฉินรู้ก็มีแค่ อู๋เสวี่ย หูหลง หลินตวน เปาเทียนหลง ถึงแม้ว่าพวกเขาทั้งสี่คนจะเป็นยอดฝีมือระดับสูง แต่ครั้งนี้หากไปกำจัดตระกูลเซวียนเยวี๋ยนที่มณฑลชวน ก็จะเป็นการต่อสู้ที่ดุเดือดรุนแรงเป็นอย่างมาก ในเมื่อจะไปมณฑลชวนแล้ว เช่นนั้นก็จะต้องกำจัดตระกูลเซวียนเยวี๋ยนจนถึงราก หากลังเลไม่เด็ดขาดก็ไม่ใช่นิสัยของเย่เทียนเฉิน ตระกูลเซวียนเยวี๋ยนเป็นตระกูลที่ปิดซ่อนตัวตนตระกูลหนึ่ง ความสามารถที่เก็บซ่อนเอาไว้จะแข็งแกร่งขนาดไหนเย่เทียนเฉินเองก็ไม่รู้ แต่ดูจากยอดฝีมือที่สามารถอัดพลังอันมหาศาลเข้าไปในจดหมายได้นั้น คนผู้นี้นับว่ามีคุณสมบัติมากพอที่ตนจะสู้ด้วย

สำหรับนักรบอันดับหนึ่งของตระกูลเซวียนเยวี๋ยนที่มือสังหารชุดดำคนนั้นพูด ไม่เพียงแต่จะมีความสามารถลึกล้ำเกินหยั่ง แต่ยังมีจิตใจโหดเหี้ยมอีกด้วย เป็นยอดฝีมือคนหนึ่งที่ไม่รู้ว่ามีความสามารถลึกล้ำแค่ไหน เย่เทียนเฉินเองก็รู้สึกระมัดระวังเป็นอย่างมาก ดังนั้นเขาจึงต้องการรอให้อำนาจของตนยิ่งใหญ่สักหน่อย แล้วค่อยพาลูกน้องของตนไปที่มณฑลชวนด้วยกัน เพื่อกำจัดตระกูลเซวียนเยวี๋ยนให้ถึงรากถึงโคน

เย่เทียนเฉินขี่มอเตอร์ไซค์ของตนมาจอดอยู่ด้านนอกเทียนซ่างเหรินเจียน มองไปยังคลับที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในประเทศจีนแห่งนี้ เมื่อปีนั้นเขาเองก็เป็นแขกประจำของที่นี่ เป็นสมาชิกของพรรคคุณชาย เพียงแต่เป็นคนที่ไร้ความสำคัญคนหนึ่งก็เท่านั้น หลังจากที่เขาแอบดูหลิ่วหรูเหมยอาบน้ำและถูกทำให้อัปยศอดสูอย่างยิ่งยวด เย่เทียนเฉินก็ไปจากพรรคคุณชาย ไปเข้าร่วมกองทัพเพื่อเป็นทหาร หลังจากที่กลับมาก็ไม่ได้มีการติดต่ออะไรกับพรรคคุณชายอีก การมาครั้งนี้เขามาหาไป๋อู่ลูกพี่ของพรรคคุณชาย คนคนนี้เป็นคุณชายเสเพลของตระกูลชั้นสามเหมือนกับเขา ตอนนี้ได้กลายเป็นคนระดับบิ๊กของพรรคคุณชายไปแล้ว ไม่กล่าวไม่ได้ว่าไป๋อู่ปิดซ่อนตัวตนได้ดีมาก และปีนป่ายได้เร็วมากด้วย

“คุณผู้ชาย คุณเข้าไปไม่ได้นะครับ เรียนถามหน่อยว่าคุณเป็นสมาชิก VIP ของที่นี่หรือเปล่า?” บอดี้การ์ดที่ยืนอยู่นอกประตูถามเย่เทียนเฉินด้วยท่าทางเฉยเมย

“อ้อ? นายคิดว่าฉันไม่ใช่หรือไง?” เย่เทียนเฉินพูดด้วยรอยยิ้ม

“เนื่องจากพวกเราไม่มีบันทึกของคุณจึงพิสูจน์ได้ว่านี่เป็นครั้งแรกที่คุณมาเทียนซ่างเหรินเจียน แบบนี้พวกเราก็ไม่มีทางอนุญาตให้คุณเข้าไปได้นะครับ!” บอดี้การ์ดอีกคนหนึ่งเอ่ยปากพูด

ดูท่าทางเทียนซ่างเหรินเจียนแห่งนี้ไม่ใช่อะไรที่คนธรรมดาจะสามารถเข้าไปได้ ที่นี่เป็นสถานที่ที่คนมีอำนาจและมีอิทธิพลมากัน ดังนั้นไม่ใช่ว่าใครก็สามารถเข้าไปได้ นี่เป็นคลับระดับสูงที่มีเป้าหมายลูกค้าเป็นคนมีอำนาจและมีเงินทั้งหลาย ดูจากบอดี้การ์ดที่นี่ก็พอจะรู้ได้บ้าง พวกเขาไม่ใช่หน่วยรักษาความปลอดภัยไร้เดียงสา แต่ผ่านการอบรมมาอย่างเข้มงวดและมีฝีมืออยู่บ้าง ในจุดนี้เย่เทียนเฉินเองก็พอจะมองออก

ตอนนี้เอง เย่เทียนเฉินพบว่าที่ประตูของเทียนซ่างเหรินเจียน มีเครื่องมือจดจำตัวตนเครื่องหนึ่งกำลังทำงาน ดูท่าทางบอดี้การ์ดสองคนนี้หยุดเขาเอาไว้เป็นเพราะในเครื่องมือจดจำบุคคลนี้ ไม่พบข้อมูลที่ตนเองทิ้งไว้เมื่อก่อน ในตอนนั้นที่เขาอัดลั่วเหลย เย่เทียนเฉินก็บุกเข้าไปโดยตรง ตอนนี้กลับอยากจะเดินเข้าไปดีๆ ไม่อยากแหวกหญ้าให้งูตื่น ไม่อยากทำให้คุณชายกลุ่มนั้นตกใจ คิดจะทำเซอร์ไพรส์ที่คนพวกนั้นคิดไม่ถึง

“เอาแบบนี้ก็แล้วกัน ฉันจะทำบัตร VIP เลย วันหน้าว่างๆ ก็จะมาเที่ยวเล่นสักหน่อย!”

เย่เทียนเฉินพูดแล้วควักบัตรสีทองออกมาใบหนึ่ง ส่งไปให้บอดี้การ์ดที่อยู่บริเวณประตู ล้อเล่นอะไรกัน ประธานกรรมการของเครือไห่หวางที่สง่าผ่าเผยซึ่งมีมูลค่านับร้อยล้าน สถานที่เช่นเทียนซ่างเหรินเจียนจะต้องเข้าไปได้อยู่แล้ว

เมื่อเห็นเย่เทียนเฉินส่งบัตรสีทองมาให้ บอดี้การ์ดสองคนนั้นก็ยังไม่ได้สติกลับมา ดูเหมือนจะคิดไม่ถึงว่าเย่เทียนเฉินที่สวมเสื้อผ้าธรรมดาแบบนี้ จะมีบัตรสีทองของธนาคารที่ใหญ่ที่สุดในประเทศจีน ยิ่งไปกว่านั้นบัดสีทองนี้ยังเขียนคำว่า VIP เอาไว้ด้วย นั่นไม่ธรรมดาเลย แม้แต่คนโง่ก็ยังดูออกว่าในนี้มีเงินเยอะมาก มีเงินมากพอที่จะทำให้คนตกใจตายได้เลย

ไม่รอให้บอดี้การ์ดทั้งสองได้มีปฏิกิริยากลับมา ผู้หญิงคนหนึ่งที่ดูเหมือนจะเป็นมาม่าซัง อายุประมาณสามสิบปีก็รีบเดินมาที่ประตู พูดด้วยใบหน้าที่ระดับไปด้วยรอยยิ้มว่า “น้องชายมาเป็นครั้งแรกหรือ? เป็นคนนอกพื้นที่หรือ? ขอโทษด้วย เจ้าสองคนนี้ไม่รู้เรื่องเอาซะเลย คุณอยากได้โกรธไปเลย เข้าไปกับฉันเถอะ อยากเล่นอะไรก็บอกฉันได้!”

เมื่อต้องเจอกับมาม่าซังที่เป็นมิตรคนนี้ เย่เทียนเฉินก็ทำเพียงพยักหน้าด้วยรอยยิ้มแต่ไม่พูดอะไร เดินตามหลังเธอเข้าไปในเทียนซ่างเหรินเจียน มีบัตรทองอยู่ในมือ เมื่อเดินเข้าไปก็ได้รับการปฏิบัติที่เป็นมิตรจากคนนับไม่ถ้วน ที่เคาน์เตอร์ เย่เทียนเฉินได้สมัครสมาชิก VIP สำหรับสามปีของเทียนซ่างเหรินเจียนแล้ว ส่วนเรื่องที่ว่าจ่ายเงินไปเท่าไหร่นั้นเย่เทียนเฉินเองก็ไม่รู้ คงจะเกือบสิบล้านได้ ก็แค่บัตร VIP เท่านั้น มาเที่ยวที่นี่ลิ้มรสอำนาจสักหน่อยก็พอแล้ว สามารถเลือกหญิงบริการสวยๆ ทั้งหมด เหมาห้องที่ดีที่สุด ทำได้ทุกตัวเลือก และสามารถเข้าร่วมกิจกรรมที่เทียนซ่างเหรินเจียนจัดขึ้นมาได้โดยไม่ต้องจอง เช่นกิจกรรมรัสเซียนรูเล็ต เป็นต้น น่าตื่นเต้นเป็นอย่างมาก

“คุณเย่ ฉันแนะนำให้คุณกดเงินสดออกมาดีกว่า!” มาม่าซังที่เป็นมิตรพูดด้วยรอยยิ้ม

“ทำไมล่ะ?” เย่เทียนเฉินเอ่ยปากถามไปตามใจ

“เพราะว่าระหว่างทางคงจะมีคุณหนูสวยๆ มาต้อนรับคุณ ถ้าหากคุณคิดว่าพวกเธอไม่เลวก็สามารถให้ทิปพวกเธอได้ ทุกคนต่างก็ไม่ง่ายเลย!”

“งั้นก็ดี กดเงินออกมาให้ฉันซักหนึ่งล้านก็แล้วกัน อย่าลืมใส่ถุงมาให้ฉันด้วย!” เย่เทียนเฉินพูดด้วยรอยยิ้ม

เมื่อเย่เทียนเฉินพูดแบบนี้ออกมาก็ทำให้มาม่าซังที่อยู่ด้านข้างตกใจจนชะงักไป ไม่ใช่ว่าการที่เย่เทียนเฉินใช้เงินหนึ่งล้านที่เทียนซ่างเหรินเจียนภายในคืนเดียวจะเป็นเรื่องใหญ่อะไร ที่นี่ล้วนมีแต่คนมีอำนาจและมีเงิน ของแบบเงินนั้นเป็นเพียงกระดาษสำหรับเทียนซ่างเหรินเจียน แต่หากจะพูดถึงว่าคนคนหนึ่ง พอเข้ามาก็ทำบัตร VIP ที่มีมูลค่าเกือบสิบล้าน แล้วยังใช้เงินสดหนึ่งล้านมาเป็นทิป เกรงว่าจะเป็นเอกลักษณ์ไม่เหมือนใครเกินไป นับเป็นอันดับต้นๆ เลยก็ว่าได้

“คุณเย่ นี่เงินของคุณค่ะ ถือให้ดี!”

ถุงใบหนึ่งถูกส่งมาให้ที่มือของเย่เทียนเฉิน ด้านในมีเงินสดบรรจุอยู่หนึ่งล้านหยวน ซึ่งสำหรับเย่เทียนเฉินแล้วก็ไม่ได้มีความคิดอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ เดิมทีเขาก็เป็นคนที่ไม่ได้สนใจกับเรื่องเงินเงินทองทองอยู่แล้ว ของพวกนี้สำหรับเขาอย่างมากก็แค่เป็นสกุลเงินอย่างหนึ่งเท่านั้น ก็แค่สกุลเงินที่แปรเปลี่ยนไปตามสภาพของแต่ละคนเท่านั้น

“ขอบคุณ!”

หลังจากที่เย่เทียนเฉินยิ้มขอบคุณแล้วก็ใช้มือซ้ายหิวถุงใบนั้นบนไหล่ เดินเข้าไปที่เทียนซ่างเหรินเจียนอย่างรวดเร็ว สถานที่ที่เขาต้องไปไม่ใช่ชั้นหนึ่งของเทียนซ่างเหรินเจียนแห่งนี้ แต่ต้องการไปที่ชั้นสามเพื่อไปพบคนของพรรคคุณชาย ทางที่ดีจะต้องพบกับไป๋อู่ให้ได้เพื่อทำให้เรื่องเมื่อปีนั้นกระจ่างชัด

“สุดหล่อ เล่นกันหน่อยไหมคะ?” หญิงงามคนหนึ่งถือถ้วยเหล้ามาต้อนรับเย่เทียนเฉิน

“ไม่เล่น เธอดูไม่น่าสนุก!” เย่เทียนเฉินพูดด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์

“คุณผู้ชาย อยากพูดคุยกันเรื่องหัวใจไหมคะ?” มีผู้หญิงหุ่นสะบึมคนหนึ่งเดินมาถามเย่เทียนเฉินด้วยรอยยิ้ม

“ไม่ หน้าอกเธอมันดูปลอมเกินไป!” เย่เทียนเฉินพูดทางส่ายหน้า

“ต้องการเกย์หรือเปล่าครับ?” มีผู้ชายคนหนึ่งถามออกมาตรงๆ

“อ้อ รสนิยมทางเพศของผมปกตินะครับ” เย่เทียนเฉินพูดพลางยักไหล่

เมื่อเข้ามาถึงที่นี่แล้ว ถ้าคุณไม่มีท่าทางเย็นชาเหมือนกับเทพแห่งความตาย เช่นนั้นก็จะถูกคนสงสัย กระทั่งลอบติดตาม เย่เทียนเฉินไม่ได้กลัวเรื่องพวกนี้ แต่รู้สึกว่าเป็นความวุ่นวายที่ไม่จำเป็น จึงคิดจะหลบเลี่ยง เพราะเขาเป็นคนที่กลัวความยุ่งยากมากที่สุด

ระหว่างทางเดินนี้ ทั้งหญิงทั้งชายที่ถามเย่เทียนเฉินต่างเป็นพนักงานระดับต่ำที่สุดในเทียนซ่างเหรินเจียนแห่งนี้ ในหมู่พนักงานเหล่านี้ต่างก็มีทุกรูปแบบ เสนอบริการทุกรูปแบบ ถ้าหากคุณถูกใจพวกเขา ก็เป็นใช้จ่ายที่ไม่เลวเลย อาจจะมีใครหลายคนคิดว่านี่ไม่เหมือนกับคลับที่ใหญ่ที่สุดและดึงดูดผู้คนมากที่สุดในประเทศจีน แต่เหมือนกับเดินเข้าไปในซ่องมากกว่า ถ้าหากคิดแบบนี้คุณก็ผิดแล้ว คุณจะไม่มีทางพบกับสินค้าน่าตื่นตะลึงไปตลอดกาล และไม่อาจชื่นชมเสน่ห์ของเทียนซ่างเหรินเจียนได้เลย คนเหล่านี้เป็นพนักงานระดับต่ำ ทำให้แขกที่มีเงินใช้จ่ายพึงพอใจได้บ้างเท่านั้น แน่นอนว่าการบริการเหล่านี้ไม่ใช่อะไรที่คนธรรมดาจะได้รับ

เย่เทียนเฉินแบกถุงเงิน เดินไปด้านในพลางควักบุหรี่ออกมาสูบที่ปาก แสดงท่าทางเหมือนคุณชายเสเพลที่รักความสนุกสนานเป็นที่สุด ไม่ว่าใครก็คิดไม่ถึงว่าเขาจะมีการเปลี่ยนแปลงไปมากขนาดนี้ เรียกได้ว่าผู้ชายที่ไม่ต่างอะไรจากเทพแห่งความตาย ในตอนที่เขานึกสนุกขึ้นมา ในตอนที่แสดงนิสัยที่เหมือนอันธพาลออกมา จะทำให้คนยากที่จะเชื่อ จะทำให้คนลบล้างภาพจำเกี่ยวกับเย่เทียนเฉินไปได้โดยสิ้นเชิง

“พี่ชาย หะ ให้หนูไปเป็นเพื่อนพี่ไหมคะ?” ในตอนนี้เอง หญิงสาวตัวน้อยอายุประมาณสอบเจ็ดสิบแปดปีคนหนึ่งกระพริบตาก่อนจะจ้องมองไปยังเย่เทียนเฉิน ถามขึ้นด้วยท่าทางขี้ขาดและคาดหวัง

เย่เทียนเฉินมองหญิงสาวตรงหน้า เธอสวมชุดเปิดเผยเป็นอย่างมาก ถุงน่องสีดำ รองเท้าหนังสีดำ เสื้อสายเดี่ยวสีดำ ม้วนผมขึ้น แต่งหน้าเบาๆ โดยเฉพาะหน้าอกหน้าใจที่ยังไม่พัฒนาเต็มที่ ภายใต้การพยายามดันอย่างสุดความสามารถของเธอถึงจะทำให้รู้สึกน่าดึงดูดขึ้นมาบ้าง แต่ก็ไม่อาจปิดซ่อนอายุของเธอได้ ไม่รู้ว่าทำไมถึงเข้ามา ไม่รู้ว่าทำไมต้องมาทำงานแบบนี้ในเทียนซ่างเหรินเจียนตั้งแต่อายุน้อย แต่เย่เทียนเฉินไม่คิดจะถามและไม่คิดจะรู้ เนื่องจากมีเรื่องราวมากมายที่หากถามไปแล้ว หากรู้เข้าแล้ว จะคิดว่าเป็นเรื่องที่ไม่รู้จะดีกว่า

“กลับไปเถอะ ที่นี่ไม่ใช่ที่เธอควรจะมา!” เย่เทียนเฉินยื่นมือเข้าไปในถุงเงิน หยิบเงินออกมาปึกหนึ่ง ไม่รู้ว่าเป็นเงินเท่าไหร่ เขาเองก็ไม่ได้มอง เสียบลงไปในร่องบริเวณหน้าอกของหญิงสาวตัวน้อยคนนั้น จากนั้นจึงหมุนตัวเดินไปโดยไม่หันกลับมามอง

……………………………..

Related

“พูดกับพี่ชายให้มันดีๆ หน่อยไม่ได้เหรอ?” เย่เทียนเฉินหลอกตาใส่น้องสาวแล้วเอ่ยถาม

“ฮี่ๆ ที่หนูพูดก็เป็นเรื่องดีๆ ทั้งนั้น พี่ดูสิว่าตอนนี้พี่สาวหรูเสวี่ยประคองพี่อยู่ พี่ดูสนุกจริงๆ เลยนะ!” เย่เชี่ยนเหวินส่งสายตาให้เย่เทียนเฉินพร้อมรอยยิ้มชั่วร้ายแล้วพูดขึ้น

ใบหน้าของฉีหรูเสวี่ยแดงระเรื่อเล็กน้อยแล้วรีบปล่อยเย่เทียนเฉิน จากนั้นจึงพูดด้วยความร้อนรนว่า “คุณน้า เชี่ยนเหวิน พวกคุณไม่เป็นไรใช่ไหม? เทียนเฉินบอกว่ากินเนื้อตุ๋นหัวไชเท้าไปแล้วปวดท้อง พวกคุณล่ะคะ?”

“หือ? ก็ไม่เป็นอะไรนะ?” เย่เชี่ยนเหวินถามอย่างสงสัย

“เทียนเฉิน ลูกปวดท้องเหรอ? คงไม่ได้เป็นเพราะกินเนื้อตุ๋นหัวไชเท้าหรอก พวกเราก็ไม่เห็นเป็นไรเลย?” หลัวเยี่ยนเองก็มองไปยังลูกชายด้วยความแปลกใจ

ตอนนี้เอง ฉีหรูเสวี่ยที่ฉลาดเฉลียวดูเหมือนจะได้สติกลับมาแล้ว คิดถึงอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ จึงอดไม่ได้ที่จะหันไปกำหมัดขาวนวลของตนอย่างแรง เย่เทียนเฉินจะต้องแกล้งตนแน่นอน หลอกให้ตนประคองเขากลับมาบ้านจากสถานที่ห่างไกลถึงขนาดนั้น น่ารังเกียจจริงๆ

ความจริงแล้ว ในตอนที่เย่เทียนเฉินบอกว่าท้องเสียประมาณหนึ่งชั่วโมง ฉีหรูเสวี่ยก็รู้สึกสงสัยแล้ว สงสัยว่าคนคนนี้จะเสแสร้ง จะต้องหลอกตนแน่นอน แต่ตอนนั้นเย่เทียนเฉินแสดงละครได้เหมือนมาก รวมกับที่ตอนนั้นเธอถูกความรักที่มีต่อเย่เทียนเฉินบังตา เมื่อเห็นท่าทางยากลำบากของคนคนนี้ก็รู้สึกกังวลจนเชื่อ ตอนนี้เมื่อได้เห็นคุณน้าหลัวเยี่ยนและเย่เชี่ยนเหวินไม่เป็นอะไร ถ้าเช่นนั้นยังจะมีอะไรต้องสงสัยอีก? จะต้องเป็นเย่เทียนเฉินหลอกตนแน่นอน

“เย่เทียนเฉิน…เจ้าบ้า…ฉันจะ…” ฉีหรูเสวี่ยอดไม่ได้ที่จะโกรธขึ้นมา คิดว่าตนเองถึงกับประคองคนคนนี้เดินมาจากสถานที่ห่างไกลขนาดนั้นเลย ยิ่งไปกว่านั้นเขายังหนักเหมือนกับหมูอีกด้วย

ไหนเลยจะรู้ว่า ในตอนที่ฉีหรูเสวี่ยกำหมัดขาวนวล ทนไม่ไหวเข้าจริงๆ จนหันไปจะตีเย่เทียนเฉินนั้น เย่เทียนเฉินจะวิ่งออกไปที่ประตูคฤหาสน์ หายไปเรากับหมอกควัน ยิ่งไปกว่านั้นยังเปิดประตูรั้วแล้วอีกด้วย

“เทียนเฉิน ดึกขนาดนี้แล้วรีบไปส่งหรูเสวี่ยกลับเถอะ!” หลัวเยี่ยนเอ่ยปากพูด

“แม่ครับ คืนนี้ก็ให้เธอพักอยู่ที่บ้านพวกเราเถอะ ผมยังมีธุระต้องไปทำเล็กน้อย คงจะกลับมาดึกหน่อยนะครับ!” เย่เทียนเฉินพูดพลางหัวเราะ

“หวา…พี่ พี่ถึงกับยอมให้พี่สาวหรูเสวี่ยมาค้างที่บ้านของเราเองเลย พี่นี่เป็นเจ้าพี่บ้าจริงๆ …” เย่เชี่ยนเหวินมองไปยังเย่เทียนเฉินด้วยท่าทางเวอร์วังแล้วพูดขึ้น

“ไปทางโน้นเลย เอาตามนี้แล้วกัน พี่ไปก่อนละ บายๆ!”

เย่เทียนเฉินพูดจบก็ไม่ให้หลัวเยี่ยน ฉีหรูเสวี่ยและเย่เชี่ยนเหวินได้มีโอกาสพูด รีบปิดประตูรั้วของคฤหาสน์แล้ววิ่งออกไป ทำให้พวกหลัวเยี่ยนทั้งสามยืนงงอยู่กับที่

จากคำพูดของฉีหรูเสวี่ย เธอไม่ได้คิดจะค้างคืนที่บ้านตระกูลเย่ในคืนนี้ ก่อนหน้านี้เธออยู่ที่บ้านตระกูลเย่มาเกือบหนึ่งเดือน เป็นเพราะต้องการหนีการแต่งงาน ต้องการหนีจากตระกูลที่จะให้เธอแต่งงานกับฉินเหิงให้ได้ แต่ตอนนี้แค่อยากมาพบหลัวเยี่ยนเพื่อตอบแทนบุญคุณ และอยากจะเห็นเย่เทียนเฉินสักหน่อย ดังนั้นการพักค้างคืนที่ตระกูลเย่ในตอนนี้กับการพักค้างคืนในตระกูลเย่เมื่อก่อนนั้นมีส่วนที่แตกต่างกันอยู่ ทำให้เธอรู้สึกเขินอาย ทั้งยังไม่เคยคิดมาก่อน

หลัวเยี่ยนเองก็เป็นเช่นนี้ เธอไม่ได้คิดจะให้ฉีหรูเสวี่ยอยู่พักค้างคืนที่บ้าน จะอย่างไรฉีหรูเสวี่ยก็เป็นคุณหนูสูงศักดิ์ของตระกูลฉี ถึงแม้เธอจะชอบฉีหรูเสวี่ยมาก กระทั่งในเรื่องของการเลือกลูกสะใภ้ก็ยังเอนเอียงไปทางฉีหรูเสวี่ย แต่จะอย่างไรลูกชายก็อาศัยอยู่ที่บ้าน เมื่อก่อนไม่มีทางเลี่ยง แต่ตอนนี้หากว่าให้ผู้อื่นมาอาศัยอยู่ที่บ้านคงยากจะหลีกเลี่ยงคำวิพากษ์วิจารณ์ของคนอื่น ยิ่งไปกว่านั้นเป็นเพราะเรื่องที่เย่เทียนเฉินแบกโลงศพไปก่อเรื่องที่ตระกูลฉินแพร่ออกไปแล้ว ดังนั้นทั่วทั้งเมืองหลวงจึงพูดกันว่าเย่เทียนเฉินรักฉีหรูเสวี่ย จึงไปก่อเรื่องที่ตระกูลฉินโดยไม่เสียดายชีวิต

“เด็กคนนี้…หรูเสวี่ย ดึกขนาดนี้แล้ว หนูก็พักอยู่ที่บ้านสักคืนเธอ พักที่ห้องเดิมนั่นแหละ!” หลัวเยี่ยนพูดด้วยรอยยิ้ม

“เอ๋? หนะ หนูขับรถกลับไปเองดีกว่า ไม่เป็นไรค่ะ!” ฉีหรูเสวี่ยหน้าแดง ถึงแม้มุมปากจะพูดเช่นนี้ แต่ในใจก็รู้สึกดีใจมาก จะอย่างไรก่อนหน้านี้เย่เทียนเฉินก็ชอบไล่ตนไป หาได้ยากที่จะให้ตนเองพักอยู่ที่บ้านสักคืน

“พี่สาวหรูเสวี่ย พักอยู่ที่นี่เถอะค่ะ พวกเราจะได้พูดคุยกันได้ แม่ของหนูก็อยากให้พี่อยู่ พี่ชายหนูก็อยากให้พี่อยู่!” เย่เชี่ยนเหวินพูดด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์

“แต่ว่า…” ฉีหรูเสวี่ยยังรู้สึกเขินอายและรู้สึกลำบากใจอยู่บ้าง จะอย่างไรเป็นผู้หญิงคนหนึ่ง พอผู้ชายเอ่ยปากเรียกให้เธอพักอยู่ที่บ้านหนึ่งคืน จะมากจะน้อยก็ทำให้ผู้หญิงต้องเขินอาย แล้วทำให้คิดไปไกลอีกด้วย

“หรูเสวี่ย เอาตามนี้แล้วกัน หนูกับเชี่ยนเหวินไปคุยเล่นกันก่อน น้าจะไปทำผลไม้มาให้พวกหนู!”

สุดท้ายฉีหรูเสวี่ยก็รั้งอยู่ ความจริงแล้ว ถึงแม้ว่าเธอจะรู้สึกเขินอายและลำบากใจอยู่บ้าง แต่ในใจก็ยังรู้สึกดีใจ เพราะหาได้ยากที่เย่เทียนเฉินจะยอมให้ตนอยู่ที่บ้านตระกูลเย่ นี่ไม่ได้หมายความว่าเขามีความรู้สึกกับตนบ้างหรือ?

“พี่สาวหรูเสวี่ย พี่ชายของหนูอาจจะชอบพี่แล้วก็ได้?” เย่เชี่ยนเหวินจงใจพูดขึ้นพลางมองไปยังฉีหรูเสวี่ยด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์

“เด็กคนนี้นี่ พูดอะไรกัน เรื่องไม่เป็นเรื่อง…” ฉีหรูเสวี่ยหยิกเย่เชี่ยนเหวินอย่างแรง พูดด้วยใบหน้าแดงก่ำ

“ฮี่ๆ พี่สาวหรูเสวี่ยเขินแล้ว!” เย่เชี่ยนเหวินหัวเราะร่าออกมา พูดหยอกล้อฉีหรูเสวี่ยต่อไป

“เด็กคนนี้นี่ วันๆ ไม่ตั้งใจเรียน เอาแต่ถามเรื่องของผู้ใหญ่ คอยดูเถอะว่าพี่จะจัดการเธอยังไง…”

ฉีหรูเสวี่ยและเย่เชี่ยนเหวินเอะอะกันขึ้นมา หลัวเยี่ยนที่เตรียมผลไม้อยู่ในครัวก็รู้สึกดีใจ ไม่ว่าจะอย่างไรลูกชายก็รั้งฉีหรูเสวี่ยให้อยู่ต่อ แสดงว่าเขาไม่ได้มีความประทับใจที่ย่ำแย่อะไรต่อฉีหรูเสวี่ย กลับกัน ที่ทั้งสองคนเจอหน้ากันก็ทะเลาะนั้น ในสายตาของคนนอกไม่แตกต่างอะไรจากคู่รักที่ทะเลาะเบาะแว้งกันเลย

“ไว้ชีวิตด้วย ไว้ชีวิตด้วย หนูพูดความจริง หนูพูดความจริง…”

เย่เชี่ยนเหวินถูกฉีหรูเสวี่ยกดลงบนโซฟาแล้วจักจี้จนเกือบจะรับไม่ไหวแล้ว จึงรีบเอ่ยปากยอมแพ้ ฉีหรูเสวี่ยไม่สนใจ เชี่ยนเหวินเด็กคนนี้ เป็นคนร่าเริงมาโดยตลอด แต่จะอย่างไรก็ยังกล้ามาหยอกล้อตน ถ้าไม่จัดการให้ดีเธอก็จะไม่รู้จักคำว่าร้ายกาจ

“สำนึกผิดแล้วใช่ไหม หึ เด็กน้อย คอยดูเถอะว่าพี่จะลงโทษเธอยังไง!” ฉีหรูเสวี่ยยิ้มหวานไปพลางใช้มือจักจี้เย่เชี่ยนเหวินอย่างเอาจริงเอาจังไปพลาง

“อา…ฮ่าๆๆ ที่หนูพูดเป็นความจริงทั้งหมด พี่ดูสิเมื่อก่อนพี่ชายของหนูวันๆ ไม่อยากจะให้พี่อยู่ที่บ้าน ตอนนี้ถึงกับรั้งที่ให้อยู่ค้างคืนด้วยตัวเอง เปลี่ยนแปลงไปมากเลยทีเดียว ยิ่งไปกว่านั้นยังมีเรื่องสำคัญอีกเรื่องหนึ่ง นั่นก็คือในวันที่รู้ว่าพี่จะต้องหมั้นกลับฉินเหิง พี่ชายของหนูก็ขังตัวเองอยู่ในห้องหนึ่งวันเต็มๆ เลย…” เย่เชี่ยนเหวินถูกจักจี้จนรับไม่ไหว จึงพูดขึ้นพลางหัวเราะออกมา

เมื่อได้ยินคำพูดของเย่เชี่ยนเหวิน ฉีหรูเสวี่ยก็อดไม่ได้ที่จะหยุดมือทั้งสองของตน ในใจรู้สึกซาบซึ้งใจ ตลอดมาเขาเธอคิดว่าเย่เทียนเฉินไม่มีความรู้สึกใดๆ ต่อเธอ คนคนนี้ไม่เกลียดเธอก็บุญแล้ว จะมาชอบเธอได้อย่างไร? คิดไม่ถึงว่าในตอนที่รู้ว่าตนเองจะต้องหมั้นหมายกับฉินเหิง เย่เทียนเฉินจะถึงกับขังตัวเองอยู่ในห้อง

“จะ จริงเหรอ?” ฉีหรูเสวี่ยถามด้วยใบหน้าที่แดงระเรื่อเล็กน้อย

“จริงแท้แน่นอน ถ้าไม่เชื่อก็ไปถามคุณแม่ได้เลย พี่สาวหรูเสวี่ยน ความจริงแล้วพี่ชายของหนูคนนี้ ถึงแม้จะอีคิวต่ำ กระทั่งอีคิวติดลบ เขาไม่รู้จักแสดงความรู้สึกของตนออกมา แต่ก็เป็นคนที่ให้ความสำคัญกับคุณธรรมน้ำมิตร ไม่งั้นคงไม่ไปก่อเรื่องที่ตระกูลฉิน ไปสร้างเรื่องใหญ่ขนาดนั้นเพื่อพี่หรอกใช่ไหม?”

“อืม…งั้นน้องเชี่ยนเหวิน น้องบอกพี่เกี่ยวกับเรื่องของพี่ชายของน้องมากกว่านี้สักหน่อยเธอ พี่อยากจะฟัง!” ฉีหรูเสวี่ยพูดด้วยรอยยิ้ม

จากนั้นหลัวเยี่ยนเองก็เดินออกมาพร้อมจานผลไม้ ผู้หญิงหน้าตาดีทั้งสามเริ่มพูดคุยกันด้วยความเบิกบานใจอีกครั้ง ส่วนหัวข้อสนทนาย่อมต้องเกี่ยวกับเย่เทียนเฉินไม่น้อย ส่วนเย่เทียนเฉินในตอนนี้กลับขี่รถมอเตอร์ไซค์ที่เท่ที่สุดของตนไปยังสถานที่แห่งหนึ่งที่เขาจำเป็นต้องไป

เดิมทีเย่เทียนเฉินคิดว่าผ่านไปอีกหลายวันค่อยไปจัดการเรื่องนี้ แต่ตระกูลเซวียนเยวี๋ยนโจมตีมาอย่างโหดเหี้ยม ทำให้เขาจำเป็นต้องลงมือให้เร็วหน่อย เขาคิดว่าหากเขาไม่จัดการเรื่องนี้ก่อนแล้วนำอู๋เสวี่ยและคนอื่นๆ ไปที่มณฑลชวนโดยตรงเพื่อไปกำจัดตระกูลเซวียนเยวี๋ยนก่อนแล้วค่อยว่ากัน ก็เกรงว่าหลิ่วหรูเหมยจะรอจนร้อนใจ และอาจจะลงมือได้ หากถึงตอนนั้นก็แย่แล้ว ยิ่งไปกว่านั้นตอนนี้เขาต้องการจะไปบอกคนพวกนั้นว่าตนเองกลับมาแล้ว ซึ่งเป็นเรื่องที่สำคัญอย่างมาก ไม่แน่ว่าตอนนี้อาจจะจัดการคนเหล่านี้เลยก็เป็นได้

เทียนซ่างเหรินเจียน เป็นคลับที่ไม่มีใครในเมืองหลวงไม่รู้จัก ที่นี่ก็คือสวรรค์ มิเช่นนั้นคงไม่กล้าตั้งชื่อแบบนี้ กล่าวคือที่นี่มีแต่เรื่องที่คุณคิดไม่ถึง ไม่มีเรื่องอะไรที่ทำไม่ได้ สุรนารีและการพนัน ความบันเทิงทุกอย่างล้วนมีครบครัน ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นระดับที่สูงที่สุดอีกด้วย

หลังจากที่เย่เทียนเฉินได้กลับมาเกิดใหม่และมาเทียนซ่างเหรินเจียนเป็นครั้งแรกก็อัดลั่วเหลยไปแล้ว เจ้าหมอนี่ถึงกับกล้าแพร่ข่าวลือที่ไม่เป็นความจริงของตน มุ่งทำลายตระกูลเย่ เย่เทียนเฉินจึงลงมืออย่างรุนแรง ทำร้ายลั่วเหลยที่เทียนซ่างเหรินเจียนจนครึ่งเป็นครึ่งตาย ตอนนี้เขาไปที่เทียนซ่างเหรินเจียนอีกครั้ง แต่ไม่ได้ต้องการจะไปชั้นล่างสุด แต่ต้องการจะขึ้นไปชั้นสูงที่สุด

เทียนซ่างเหรินเจียนมีทั้งหมดสามชั้น ชั้นแรกเป็นห้องคาราโอเกะ เรียกได้ว่าคนที่มีเงินมีอำนาจต่างก็เข้าไปได้ ส่วนชั้นที่สองจะค่อนข้างหรูหรา ดูเหมือนว่าหญิงขายบริการที่สวยที่สุดในเทียนซ่างเหรินเจียนต่างก็อยู่ที่ชั้นสอง ส่วนชั้นสามนั้นมีน้อยคนมากที่จะขึ้นไป นั่นเป็นสถานที่ที่เกรงว่าคนจากตระกูลใหญ่หรือข้าราชการใหญ่ๆ ในเมืองหลวงก็ยังยากที่จะเข้าไปได้ เนื่องจากชั้นสามทั้งหมดถูกพรรคคุณชายจองเอาไว้หมดแล้ว ถึงคุณจะมีเงินมีอำนาจ แต่พวกเขามีมากกว่าคุณ ยิ่งไปกว่านั้นเบื้องหลังของพวกเขาแต่ละคนต่างก็น่าตกใจ

วันนี้สถานที่ที่เย่เทียนเฉินจะเข้าไปก็คือเทียนซ่างเหรินเจียนชั้นสามที่คนมากมายไม่มีคุณสมบัติและไม่มีทางเข้าไปได้ พรรคคุณชายจองชั้นสามทั้งหมดเอาไว้หลายปีก่อนหน้านี้ นี่จึงเป็นสถานที่รวมตัวของพวกเขา ไม่มีคนนอกล่วงรู้ ดังนั้นจึงมีเพียงที่นี่ที่เย่เทียนเฉินจะสามารถรู้ข่าวที่เขาอยากจะรู้ได้ ไป๋อู่ที่เคยเป็นคุณชายเสเพลของตระกูลชั้นสามสามารถกลายเป็นลูกพี่ของพรรคคุณชายได้ในเวลาสั้นๆ เพียงไม่กี่ปี ไม่อาจไม่กล่าวว่าคนๆ นี้ปิดซ่อนตัวตนได้ดีมาก กระทั่งเย่เทียนเฉินในสมัยก่อนก็มองเขาไม่ออกเลยแม้แต่น้อย ตอนนี้เขามาหาไป๋อู่ เพราะต้องการจะรู้เรื่องที่ตนกับหลิ่วหรูเหมยถูกวางแผนร้ายใส่เมื่อปีนั้นให้ชัดเจน ถ้าไม่ตรวจสอบเรื่องนี้ให้แน่ชัดเย่เทียนเฉินก็ไม่วางใจ

…………………

Related

เย่เทียนเฉินใช้หมัดทำลายเงาดาบ ใช้ฝ่ามือทำลายดาบยาวในมือของมือสังหารชุดดำจนหมด ยิ่งไปกว่านั้นมือสังหารชุดดำยังถูกโจมตีจนตกลงมาจากต้นไม้ใหญ่ที่สูงสิบกว่าเมตรอีกด้วย หากไม่ใช่เพราะว่าในตอนที่ฝ่ามือของเย่เทียนเฉินสัมผัสศีรษะของมือสังหารชุดดำ ได้หยุดยั้งเส้นทางของพลังในขอบเขตจอมราชันลงเล็กน้อย เกรงว่าศีรษะขอมือสังหารชุดดำคนนี้ คงจะถูกตบจนเละเป็นแตงโมไปแล้ว

ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้แต่ฝ่ามือมีของเย่เทียนเฉินก็ยังสามารถโจมตีจนมือทหารชุดดำตกลงมาได้ ร่างกายของเขาจมลงไปในดิน มีเพียงศีรษะที่โผล่ออกมาข้างนอก ทั้งจมูกและปากกระอักเลือดออกมา ส่งเสียงร้องอย่างเจ็บปวดราวกับหมูถูกเชือด เนื่องจากเขารับรู้ได้ว่าสมองของตนแทบจะระเบิดออกมาแล้ว หากไม่ใช่ว่าเขตแดนปิดกั้นของเย่เทียนเฉินทำการสกัดกั้นเสียงและพลังทั้งหมดเอาไว้ ไม่ว่าจะเป็นการต่อสู้ของเขาและมือสังหารชุดดำ หรือจะเป็นเสียงร้องของมือทหารชุดดำในตอนนี้ คงจะทำให้คนในเขตคฤหาสน์ตกใจไปแล้ว

ที่มุมปากของมือสังหารชุดดำกระอักเลือดออกมาไม่หยุด แต่ยังคงไม่สิ้นลม ยังคงยืดลมหายใจเฮือกสุดท้ายออกไปได้ ในตอนนี้เขาต้องการมีชีวิตอยู่ต่อ ความจริงแล้วทุกคนต่างก็กลัวความตายกันทั้งนั้น มีหลายคนที่มักจะบอกว่าตนไม่กลัวความตาย ไม่รู้สึกว่าความตายมีอะไรน่ากลัวอยู่เลย แต่เมื่อต้องมาพบกับช่วงเวลานี้เข้าจริงๆ ไม่มีใครที่ไม่หวาดกลัว เพราะชีวิตนี้มีเพียงครั้งเดียว เมื่อตายไปแล้วก็ไม่อาจพบอะไรได้อีก

“หยะ อย่าฆ่าฉัน…อย่าฆ่าฉัน…” มือสังหารชุดดำพูดด้วยเสียงอันสั่นระริก ในดวงตาเต็มไปด้วยความหวาดกลัว เย่เทียนเฉินแข็งแกร่งมากจริงๆ แข็งแกร่งจนเหนือจินตนาการของเขาไปมาก จิตใจของเขาไม่อาจแน่วแน่เด็ดเดี่ยวได้อีกต่อไป พังทลายไปแล้วโดยสิ้นเชิง

กล่าวตามจริง ที่เย่เทียนเฉินสามารถเอาชนะมือสังหารชุดดำได้รวดเร็วขนาดนี้ จนกระทั่งมือสังหารชุดดำเองก็คิดไม่ถึง นั่นก็เป็นเพราะเขาลำพองใจ หากพูดถึงเรื่องฝีมือและความสามารถ บางทีเขาอาจจะเทียบเย่เทียนเฉินที่มีพลังพิเศษถึงขอบเขตสูงสุดของระดับจอมราชันแล้วไม่ได้ แต่ก็ไม่ควรจะแพ้อย่างอนาถและแพ้อย่างรวดเร็วขนาดนี้โดยเด็ดขาด เป็นเพราะเขาดูถูกเย่เทียนเฉิน ไม่คิดว่าเย่เทียนเฉินที่อายุน้อยเมื่อได้ระเบิดพลังที่แข็งแกร่งที่สุดออกมาจะน่าหวาดกลัวถึงขนาดนี้

มือสังหารที่เคยฆ่าคนเป็นผักปลา ฟันคนเหมือนกับหั่นผัก แต่ไหนแต่ไรก็ไม่เคยเห็นชีวิตคนอยู่ในสายตา เขาไม่เห็นชีวิตของคนที่ถูกเขาฆ่าเป็นชีวิตมนุษย์แล้วด้วยซ้ำ ความจริงก็เป็นเรื่องธรรมดามาก และเขาก็ไม่เคยคิดมาก่อนว่าตนจะมีวันนี้ได้ ไม่เคยคิดว่าในยามที่ตนต้องเผชิญหน้ากับความตายจะหวาดกลัวเช่นนี้ เนื่องจากเขาแข็งแกร่งมากพอ แข็งแกร่งจนทำให้เขามีความมั่นใจ

เมื่อความตายคืบคลานเข้ามาอยู่เบื้องหน้าของเขาจริงๆ มือสังหารชุดดำก็รู้สึกราวกับได้พบมัจจุราช ซึ่งก็คือเย่เทียนเฉิน เขามีรอยยิ้มดุจดั่งเทพแห่งความตาย ฝ่ามือข้างขวาประทับอยู่บริเวณศีรษะของเขา ขอเพียงเย่เทียนเฉินขยับนิดเดียว สมองของเขาก็แหลกเป็นแตงโม บางทีเขาอาจจะไม่กลัวความตาย แต่ไม่อยากตายอย่างอนาถขนาดนี้ ไม่อยากตายอย่างน่าทุเรศ

“ตระกูลเซวียนเยวี๋ยนอยู่ที่ไหน?” น้ำเสียงของเย่เทียนเฉินไม่มีการข่มขู่อยู่เลย และไม่มีอำนาจใดๆ แต่กลับเรียบเฉยเป็นอย่างมาก เขาถามออกมาด้วยใบหน้าที่ยังคงประดับไปด้วยรอยยิ้มไร้พิษภัย

“นี่…ฉัน…” มือสังหารชุดดำรู้สึกลังเล ไม่ใช่ว่าเขาไม่รู้แต่ไม่กล้าพูด แต่ในตระกูลเซวียนเยวี๋ยนมีคนที่ร้ายกาจกว่าเขาอยู่ หากเขาพูดออกไป หากเปิดเผยสถานที่ซ่อนตัวของตระกูลเซวียนเยวี๋ยนและถูกตรวจสอบจนพบขึ้นมา เกรงว่าเขาไม่เพียงแต่จะต้องแหลกเป็นผุยผง แต่กระทั่งญาติมิตรทั้งหมดของเขาก็ต้องตายด้วย ตระกูลเซวียนเยวี๋ยนโหดเหี้ยมแบบนี้เอง

ในตระกูลเซวียนเยวี๋ยนยังมีคนน่ากลัวคนหนึ่งที่ต่อให้เขาลงมือเต็มกำลังก็ไม่สามารถเอาชนะได้ กระทั่งไม่อาจรับมือกับเขาได้ถึงสามกระบวนท่าด้วยซ้ำ เมื่อคิดถึงคนๆ นี้มือสังหารชุดดำก็รู้สึกขี้ขลาดขึ้นมาจนลังเลไม่แน่ใจ ความจริงเป็นความหวาดกลัวที่มีต่อนักรบอันดับหนึ่งของตระกูลเซวียนเยวี๋ยนที่ไม่อาจจินตนาการได้ ต่อให้ใช้เทพแห่งการฆ่าฟันมาบรรยายก็ยังไม่พอ

“ฉันรู้ว่าแกกำลังกลัวอะไร ถ้าแกพูดตอนนี้ บางทีอาจจะยังสามารถอยู่ต่อไปได้สักหน่อย แต่ถ้าไม่พูดก็ต้องตายทันที ฉันเห็นว่าเธออยากจะมีชีวิตอยู่ต่อ คงไม่อยากตาย!” เย่เทียนเฉินย่อมมองออกว่ามือสังหารชุดดำลังเลอะไร จึงพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม

มือสังหารชุดดำคนนี้มองเย่เทียนเฉินครู่หนึ่ง ความจริงเขาก็ไม่มีทางเลือกอะไรแล้ว เขาไม่ใช่คู่มือของเย่เทียนเฉิน และยังทำภารกิจล้มเหลวอีกด้วย ต่อให้กลับไปที่ตระกูลเซวียนเยวี๋ยนก็เกรงว่าจะต้องสิ้นชีพ ในเมื่อตนต้องการที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไป ถ้าไม่บอกถึงสถานที่ซ่อนตัวของตระกูลเซวียนเยวี๋ยนให้แก่เย่เทียนเฉินย่อมเป็นไปไม่ได้ ชายหนุ่มเบื้องหน้าคนนี้แม้จะอายุน้อยแต่กลับมีความสามารถและความฉลาดที่ทำให้คนต้องตื่นตะลึง ความจริงนี้ทำให้เขารู้สึกความมั่นใจพังทลาย

“หยะ…อยู่ที่ทะเลซือไห่มณฑลชวน” มือสังหารชุดดำกัดฟันพูด

“ทะเลซื่อไห่มณฑลชวน?” เย่เทียนเฉินรู้สึกสงสัย นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้ยินว่าที่มณฑลชวนมีทะเลซือไห่อยู่ ดังนั้นจึงรู้สึกแปลกใจ

“ที่มณฑลชวนมีทะเลซือไห่ซึ่งเป็นทะเลจำลองที่คนสร้างขึ้น ที่นั่นเป็นเขตการท่องเที่ยวที่ใหญ่ที่สุดในมณฑลชวน ที่ศูนย์กลางของทะเลซือไห่มีเกาะเล็กๆ แห่งหนึ่ง เมื่อก่อนเป็นเกาะกันดารจริงๆ หลังจากที่ถูกตระกูลเซวียนเยวี๋ยนทำให้รอบๆ กลายเป็นทะเล เกาะกันดาลแห่งนั้นก็กลายเป็นสถานที่ซ่อนตัวของตระกูลเซวียนเยวี๋ยน ดูเหมือนว่าจะมีเพียงไม่กี่คนที่รู้!” มือสังหารชุดดำรีบอธิบาย

เย่เทียนเฉินชะงักไปครู่หนึ่ง จากนั้นจึงเข้าใจได้อย่างรวดเร็ว ตระกูลเซวียนเยวี๋ยนไม่ธรรมดาเลยจริงๆ ถึงกับสามารถสร้างทะเลซือไห่ออกมาได้ ยิ่งไปกว่านั้นเกาะที่เดิมทีรกร้างกันดารยังถูกนำมาใช้ประโยชน์ จนกลายเป็นสถานที่ซ่อนตัวของตระกูลเซวียนเยวี๋ยน นี่ก็เป็นเหมือนศูนย์บัญชาการแห่งหนึ่งของตระกูลเซวียนเยวี๋ยน ไร้ข้อผูกมัดใดๆ ยิ่งไปกว่านั้นใครจะคิดว่า ที่เกาะกัลดาลท่ามกลางทะเลซือไห่ ซึ่งเป็นสถานที่ที่ไม่มีใครไปถึง และไม่มีใครกล้าไป จะมีตระกูลเซวียนเยวี๋ยนซึ่งเป็นตระกูลใหญ่ซ่อนตัวอยู่?

“ฮ่าๆ ท่าทางตระกูลเซวียนเยวี๋ยนจะมือเติบจริงๆ มีเงินมีอำนาจมาก ฉันคงจะต้องไปเกาะกันดารในทะเลสาบซือไห่ซักรอบแล้ว จะไปยืมเงินตระกูลเซวียนเยวี๋ยนสักหน่อย!” เย่เทียนเฉินพูดด้วยรอยยิ้ม

เมื่อได้ยินคำพูดของเย่เทียนเฉิน มือสังหารชุดดำก็ตกตะลึง พยายามอดกลั้นไม่ให้กระอักเลือดออกมา กัดฟันแน่นแล้วพูดออกมาอย่างเย้ยหยัน “ฉันยอมรับว่าแกแข็งแกร่งมาก แต่ฉันขอเตือนแกว่าอย่าไปจะดีที่สุด นักรบอันดับหนึ่งของตระกูลเซวียนเยวี๋ยนไม่ใช่คนที่แกจะเป็นคู่มือด้วยได้ ฉันรับมือเขาได้ไม่ถึงสามกระบวนท่าด้วยซ้ำ…”

“งั้นเหรอ? ถ้างั้นฉันก็ยิ่งต้องไป ยอดฝีมือขนาดนี้ถ้าไม่ไปสู้ด้วยสักครั้งก็น่าเสียดายแล้ว!”

“แก…” มือสังหารชุดดำตกตะลึง เขามองชายหนุ่มตรงหน้าไม่ออกเลยจริงๆ ฝีมือแข็งแกร่งมาก ทั้งยังมีความหยิ่งผยองเอาแต่ใจดังจักรพรรดิอยู่มาก ตั้งแต่ที่ได้เป็นมือสังหารมาหลายสิบปี นี่เป็นคนเพียงคนเดียวที่ทำให้เขามองความคิดไม่ออก “แกไปได้แล้ว ฉันพูดคำไหนคำนั้น!”

เย่เทียนเฉินพูดจบก็หมุนตัวเดินจากไป เขาไม่จำเป็นต้องกำจัดมือสังหารชุดดำคนนี้แล้ว เนื่องจากฝ่ามือเมื่อสักครู่นี้ แม้จะไม่ได้ทำให้ศีรษะของมือสังหารชุดดำระเบิดเป็นแตงโม แต่ก็ทำให้เส้นชีพจรในร่างกายแหลกสลาย มือสังหารชุดดำคนนี้กลายเป็นของไร้ค่าไปแล้ว

ตู้ม!

เย่เทียนเฉินหมุนตัว มือสังหารชุดดำคนนั้นเตรียมจะคลานออกมาจากหลุมดิน รู้สึกโชคดีที่เย่เทียนเฉินพูดคำไหนคำนั้น จึงสามารถเก็บชีวิตกลับมาได้ ไหนเลยจะรู้ว่าตอนนั้นเองกลับเกิดเสียงดังสนั่น ร่างกายทั้งร่างของมือสังหารชุดดำระเบิดออกมากลายเป็นหมอกเลือด เหลือไว้เพียงหลุมลึกประมาณสิบเมตรกว้างประมาณห้าเมตร เย่เทียนเฉินเห็นเช่นนั้นก็ขมวดคิ้ว

พริบตานั้นเองเย่เทียนเฉินสัมผัสได้ถึงพลังพิเศษที่แข็งแกร่งสายหนึ่งจึงจำเป็นต้องกำหมัดขวาแน่นอย่างช่วยไม่ได้ ดูท่ามือสังหารชุดดำคนนี้จะเป็นเช่นเดียวกับจดหมายฉบับนั้น คือถูกยอดฝีมืออัดพลังพิเศษลงไปในร่างกายก่อนแล้ว พอรับรู้ได้ว่าเขาทำภารกิจไม่สำเร็จ หรือบางทีอาจเป็นเพราะไม่ได้กลับไปรายงานข้อมูลในช่วงเวลาที่กำหนด ก็ทำให้เกิดระเบิดขึ้นมา ตายไปโดยไร้ศพ เพื่อป้องกันไม่ให้คนอื่นตรวจสอบได้

“ตระกูลเซวียนเยวี๋ยนจะโหดเหี้ยมเกินไปแล้ว ถ้าไม่กำจัดจะต้องมีอันตรายมาถึงพ่อแม่และน้องสาวแน่นอน ฉันจะต้องรีบไปที่มณฑลชวนให้เร็วที่สุดซะแล้ว!” เย่เทียนเฉินคิดในใจ

จนกระทั่งเย่เทียนเฉินกลับมาที่สวนสาธารณะเล็กๆ ในเขตคฤหาสน์ ก็เป็นเวลาสี่ทุ่มแล้ว ฉีหรูเสวี่ยรออยู่ที่นั่นจนเกือบจะหลับ เมื่อเห็นเย่เทียนเฉินเดินเข้ามาก็อดไม่ได้ที่จะยืนขึ้น เดินไปเบื้องหน้าเย่เทียนเฉินด้วยท่าทางไม่พอใจ พองแก้มเล็กๆ อย่างน่ารัก ใช้ดวงตาอันงดงามจ้องไปยังเย่เทียนเฉินอย่างดุดันแล้วพูดขึ้น “เจ้าบ้า นายไปที่ไหนมา? ทิ้งฉันไว้ที่นี่คนเดียวตั้งชั่วโมงหนึ่ง…”。

“อา ฉันว่า ฉันสงสัยเนื้อตุ๋นหัวไชเท้าของเธอที่กินเข้าไปนะ ฉันท้องเสียมาตลอดจนถึงตอนนี้ เกือบจะเดินไม่ไหวแล้ว!” เย่เทียนเฉินทำท่าทางเหมือนปวดมาก กุมท้องของตนแล้วพูดขึ้น

“ไม่จริงน่ะ นายท้องเสียเหรอ? จะเป็นไปได้ยังไง เป็นยังไงบ้าง ไม่เป็นไรใช่ไหม?”

ฉีหรูเสวี่ยถูกเย่เทียนเฉินหลอกจนอยู่หมัดจริงๆ เมื่อเห็นเย่เทียนเฉินมีท่าทางปวดท้องขนาดนั้นก็รีบเดินเข้าไปประคองด้วยท่าทางใส่ใจมาก แต่กลับรู้สึกแปลกใจ ตนเองก็กินเนื้อตุ๋นหัวไชเท้าลงไปเช่นกันแต่ก็ไม่เป็นอะไร

“ฉันจะไปรู้ได้ไง ไม่ใช่ว่าเธอจงใจแกล้งฉันหรอกนะ?” เย่เทียนเฉินถามฉีหรูเสวี่ยด้วยท่าทางชั่วร้าย

“ฉัน…ฉันทำที่ไหนล่ะ ฉันไม่ทำแบบนั้นหรอก ถ้านายไม่เชื่อก็กลับไปดูคุณน้าและน้องเชี่ยนเหวินสิ ถ้าหากพวกเธอไม่เป็นอะไร ฉันก็ไม่เป็นอะไร ก็จะต้องมีสาเหตุจากท้องของนายแล้ว ไม่แน่ว่าอาจจะกินมากเกินไปก็ได้!” ฉีหรูเสวี่ยรีบเอ่ยปากพูด

“งั้นจะรออะไรอยู่ กลับบ้านไปดูก็รู้แล้ว…” เย่เทียนเฉินจงใจแกล้งทำเป็นปวดท้องมาก

“อือ!”

เย่เทียนเฉินหลอกฉีหรูเสวี่ยจนขมวดคิ้วแน่น ยิ่งไปกว่านั้นยังมีท่าทางเป็นกังวลอีกด้วย ถ้าเป็นก่อนหน้านี้เธอคงจะไม่เป็นแบบนี้ แทบอยากจะให้เย่เทียนเฉินท้องเสียจนลุกไม่ขึ้นด้วยซ้ำ แต่ตอนนี้เธอหลงรักเย่เทียนเฉินแล้ว ย่อมไม่อยากเห็นเขาเกิดเรื่องอะไรขึ้นแม้แต่น้อย เมื่อเห็นท่าทางยากลำบากของเย่เทียนเฉินก็รู้สึกตำหนิตัวเองขึ้นมาจริงๆ คิดว่าตนไม่ได้ล้างเนื้อและหัวไชเท้าให้สะอาดทำให้เย่เทียนเฉินท้องเสีย

ในตอนที่เย่เทียนเฉินและฉีหรูเสวี่ยกลับมาถึงในบ้าน หลัวเยี่ยนและเย่เชี่ยนเหวินยังคงพูดคุยกันอยู่ในห้องโถง กินแตงโมไปพลางพูดคุยกันไปพลาง เมื่อเห็นเย่เทียนเฉินและฉีหรูเสวี่ยกลับมาก็สบตากันยิ้มๆ ด้วยท่าทางลึกลับ เมื่อเย่เทียนเฉินและฉีหรูเสวี่ยเห็นก็รู้สึกงงๆ

“พี่ชาย พี่และพี่สาวหรูเสวี่ยกลับมาแล้วเหรอ? พี่เป็นยังไงบ้าง? คงไม่ได้รังแกพี่สาวหรูเสวี่ยจนถูกตบมาใช่ไหม? พี่สาวหรูเสวี่ยคนดี พี่ชายของหนูเป็นหมาป่าตัวใหญ่จะต้องค่อยๆ สั่งสอน ไม่งั้นเขาก็จะไม่เชื่อง!” เย่เชี่ยนเหวินเห็นพี่ชายกุมท้องก็จงใจพูดออกมาด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์

……………..

Related

เมื่อเผชิญหน้ากับการโจมตีของมือสังหารชุดดำ เย่เทียนเฉินก็รีบกางเขตแดนปิดกั้น ในระยะใกล้เพียงเท่านี้รวมกับที่ฝีมือของมือสังหารคนนั้นก็ไม่ได้อ่อนแอ เย่เทียนเฉินกลัวว่าการสู้กันจะไปทำร้ายผู้บริสุทธิ์เข้า และจะถูกผู้อื่นได้ยินจนทำให้เกิดความยุ่งยากที่ไม่จำเป็น โดยเฉพาะหากไปทำร้ายหลัวเยี่ยนและเย่เชี่ยนเหวินก็คงเลวร้ายสุดๆ!

ตู้ม!

ตู้ม!

กิ่งไม้ของต้นไม้ใหญ่ที่เย่เทียนเฉินยืนอยู่ถูกไอดาบอันแข็งแกร่งทั้งสองสายฟันขาด ดูเหมือนว่าจะไม่มีร่องรอยการถูกฟันที่เสียเปล่าเลยแม้แต่น้อย ส่วนเย่เทียนเฉินนั้นได้ไปจากกิ่งไม้ที่ยืนอยู่ตั้งแต่ตอนที่มือสังหารชุดดำคนนี้ฟันไอดาบทั้งสองสายออกมาแล้ว ไม่เช่นนั้นแม้แต่เขาเองก็คงถูกฟันขาดเป็นสองท่อน

คิดไม่ถึงว่ามือสังหารชุดดำคนนี้จะมีกระบวนท่าโจมตีที่แข็งแกร่งถึงขนาดนี้ ด้วยระยะห่างขนาดนั้นยังสามารถฟันไอดาบออกมาสองสายจนทำให้กิ่งไม้ที่ใหญ่เท่าข้อมือสองข้อมือขาดได้ง่ายๆ ถ้าหากว่าฟันถูกคนขึ้นมาเกรงว่าถ้าไม่ถูกฟันขาดจนกลายเป็นสี่ห้าท่อนก็แปลกแล้ว

มือสังหารชุดดำขมวดคิ้ว จับดาบในมือขวาของตนแน่น คมดาบเปล่งประกายเย็นยะเยือกออกมา สะท้อนอยู่ภายใต้แสงจันทร์ ทำให้เกิดไอสังหารมากยิ่งขึ้น มือซ้ายของเขาสัมผัสบริเวณหน้าอกซ้ายของตนเล็กน้อย เมื่อสักครู่นี้ที่เย่เทียนเฉินเตะเขากลางอากาศ ได้เตะถูกหน้าอกด้านซ้ายของเขาเข้าพอดี จนถึงตอนนี้ก็ยังรู้สึกปวดราวมีอะไรบางอย่างฉีกขาด ฝีมือของเย่เทียนเฉินอยู่นอกเหนือการคาดเดาของเขาไปมาก และอยู่นอกเหนือการคาดเดาที่ตระกูลเซวียนเยวี๋ยนได้หาข้อมูลมาด้วย มิฉะนั้นเกรงว่าคงไม่ส่งเขามาแน่ แต่จะส่งคนที่ร้ายกาจที่สุดในตระกูลเซวียนเยวี๋ยนมาแทน ซึ่งก็คือยอดฝีมือคนที่นำพลังพิเศษอันมหาศาลอัดแน่นลงในจดหมายคนนั้น

ไอดาบอันใหญ่สองสายตัดกิ่งไม้ใหญ่จนขาดในเวลาเพียงชั่วพริบตา แต่กลับไม่สามารถทำร้ายเย่เทียนเฉินได้ นี่ทำให้มือสังหารชุดดำรู้สึกแปลกใจ เนื่องจากคิดไม่ถึงว่า “ดาบสะบั้นความเร็วสูง” ที่ดีที่สุดของตนจะมีช่วงเวลาที่พลาดพลั้งด้วย

ในตอนนี้เองเย่เทียนเฉินกระโดดไปยืนอยู่บนยอดไม้อีกแห่งหนึ่งแล้ว คล้ายกับคนมีวิชาตัวเบาที่สามารถกระโดดข้ามกำแพงได้ตามใจอย่างไรอย่างนั้น ความจริงแล้วนี่เป็นเคล็ดวิชาพลังพิเศษที่เรียบง่ายประเภทหนึ่ง เย่เทียนเฉินรวบรวมพลังพิเศษไปรองที่เท้าทั้งสอง เมื่อทำแบบนี้ก็ดูเหมือนว่าจะสามารถตัดแรงดึงดูดที่พื้นได้ เหมือนกับยอดฝีมือแห่งพรรควรยุทธโบราณ การที่พวกเขาสามารถกระโดดลอยตัวข้ามกำแพงได้ก็เป็นวิธีการใช้พลังภายในประเภทหนึ่งเช่นกัน

หากจะพูดถึงเรื่องของการ “บิน” ในดาวสิ้นโลกเองก็ไม่นับเป็นอะไรได้ เย่เทียนเฉินสามารถทำได้ สิ่งสำคัญเป็นเพราะหลักการแห่งธรรมชาติของโลกเปลี่ยนแปลงไป ในช่วงยุคโบราณ มีคนสามารถบินขึ้นไปบนท้องฟ้าได้จริงๆ ซึ่งนี่คือสิ่งที่คนธรรมดาทั่วไปเห็นและเรียกกันว่าวิชาตัวเบา ไม่ต้องพูดถึงดาวสิ้นโลกเลย ต่อให้เป็นประเทศจีนในยุคปัจจุบันนี้ก็สามารถทำได้ เพียงแต่ตอนนี้ ประการแรกเป็นเพราะกฎเกณฑ์ของธรรมชาติบนโลกใบนี้มีการเปลี่ยนแปลงไป ส่วนจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรหรือว่าเพราะเหตุใดจึงได้เปลี่ยนไปก็ไม่มีผู้ใดล่วงรู้ ประการที่สองเป็นเพราะความขี้เกียจของคนในยุคปัจจุบัน ไม่เหมือนกับคนยุคโบราณที่ทนลำบากได้ เส้นทางแห่งการบ่มเพาะนั้นยากลำบากกว่าปกติมากนัก ไม่เพียงแต่จะต้องเผชิญหน้ากับความอันตรายถึงขั้นเป็นตาย แต่ยังมีความเจ็บปวดทางร่างกายและจิตใจ บางครั้งความเจ็บปวดทั้งร่างกายและจิตใจนี้ทำให้คนรับไม่ได้มากยิ่งขึ้น ประการที่สามเป็นเพราะ วิธีการฝึกฝนบางอย่างของสำนักแห่งพรรควรยุทธโบราณในอดีตและเคล็ดวิชาการฝึกฝนที่ลึกล้ำสูงส่งได้เลือนหายไปจำนวนมาก เลือนหายไปในแม่น้ำสายยาวที่เรียกว่ายุคสมัย ไร้การสืบทอด

“จะไม่ยอมพูดจริงๆ เหรอ? นี่อาจจะเป็นโอกาสสุดท้ายที่แกจะได้เอ่ยปากพูดก็ได้!” เย่เทียนเฉินยืนอยู่บนยอดไม้ มองไปยังมือสังหารคนนั้นด้วยความใจเย็น แม้ว่าเขาจะคิดว่ามือสังหารชุดดำคนนี้แข็งแกร่งมาก แต่หากว่าตนเองลงมือเต็มกำลังก็ควรจะสามารถจัดการเขาได้ จึงได้พูดจาไร้สาระมากมายขนาดนี้ เพราะอยากจะสอบถามว่าตระกูลเซวียนเยวี๋ยนซ่อนตัวอยู่ที่ใด

เย่เทียนเฉินไม่ใช้คนที่หวังจะนั่งอยู่เฉยๆ รอให้คนมาฆ่า ด้วยนิสัยของเขา แต่ไหนแต่ไรก็ไม่เคยรอและไม่เคยหลีกเลี่ยง มีแต่จะลงมือโจมตีด้วยตัวเอง มีแต่ทำเช่นนี้ถึงจะสามารถกดความสามารถและอำนาจของศัตรูเอาไว้ได้

ตระกูลเซวียนเยวี๋ยนเป็นตระกูลที่ปิดซ่อนตัวตนของประเทศจีน ว่ากันว่าเริ่มปิดซ่อนตัวตนตั้งแต่ช่วงแรกเริ่มของการปลดแอก จนกระทั่งถึงตอนนี้เพิ่งจะปรากฏสู่โลกภายนอก จะต้องมีจุดที่แข็งแกร่งของมันอยู่อย่างแน่นอน จะอย่างไรเย่เทียนเฉินก็ไม่ได้ดูเบาตระกูลเซวียนเยวี๋ยนเลยแม้แต่น้อย จากการที่ตระกูลเซวียนเยวี๋ยนมีความสามารถพอที่จะใช้พลังพิเศษอันมหาศาลอัดแน่นลงไปในจดหมายเล็กๆ ฉบับเดียว จนกลายเป็นพลังงานที่แยกออกมาอย่างอิสระและเพียงพอที่จะระเบิดเขตคฤหาสน์เขตนี้ทั่วทั้งเขตได้ เพียงเท่านี้ก็ทำให้ผู้คนไม่กล้าดูถูกแล้ว

ดังนั้นเย่เทียนเฉินจึงมีความคิดอย่างหนึ่ง นั่นก็คือต้องหาสถานที่เก็บซ่อนตัวของตระกูลเซวียนเยวี๋ยน ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายขนาดนั้น มือสังหารชุดดำคนนี้มีฝีมือไม่อ่อนแอเลย เรียกได้ว่าฝีมือชั้นหนึ่ง เป็นหนึ่งในมือสังหารที่สำคัญของตระกูลเซวียนเยวี๋ยนอย่างแน่นอน ถ้าได้รู้สถานที่ซ่อนตัวของตระกูลเซวียนเยวี๋ยนจากปากของเขาก็จะดีเป็นที่สุด

“หึ แกแข็งแกร่งมาก แล้วก็มีความเชื่อมั่นในตัวเองด้วย แต่แกคิดว่าจะสามารถฆ่าฉันได้หรือไง? คนที่จะต้องตายก็คือแก!”

ในใจของมือสังหารรู้สึกตื่นตะลึงมาก กระทั่งมีความหวาดกลัวเล็กน้อย ความจริงแล้วเขาคิดไม่ถึงว่าเย่เทียนเฉินจะอายุน้อยขนาดนี้ แต่กลับมีฝีมือการต่อสู้ถึงขั้นนี้ ดูเหมือนว่าตนเองจะต้องรีบลงมือเต็มที่เสียแล้ว ส่วนเย่เทียนเฉินก็ยังไม่ได้ลงมือตอบโต้ หลบการโจมตีของตนอย่างสบายๆ ท่าทางคืนนี้ภารกิจที่ต้องสังหารทุกคนในตระกูลเย่คงจะทำไม่ได้แล้ว

“อย่ามาเสแสร้งเลยน่ะ? ฉันสัมผัสได้ถึงเหงื่อเย็นๆ ที่ไหลซึมออกมาจากร่างของแก บอกสถานที่ซ่อนตัวของตระกูลเซวียนเยวี๋ยนออกมาดีๆ เถอะ แล้วฉันจะฆ่าแกสบายๆ จะไม่ปล่อยให้แกเจ็บปวด!” เย่เทียนเฉินพูดอย่างเรียบเฉย

ฉัวะ!

เงาดาบพุ่งฝ่าอากาศออกไป ไอดาบขนาดใหญ่ฟันผ่านอากาศจนฉีกขาด กลายเป็นเส้นโค้งอันสวยงามสายหนึ่งภายใต้แสงจันทร์ เพียงแต่เส้นโค้งอันสวยงามนี้กลับมากพอที่จะฟันคนให้ขาดเป็นท่อนๆ และกลายเป็นหมอกเลือดได้

ซู่ม!

เงาคนเงาหนึ่งพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า แสงจันทร์สาดส่องลงมา คล้ายกับภาพฝัน เงานั้นก็คือเย่เทียนเฉิน มือสังหารชุดดำคนนี้แข็งแกร่งมากพอ ที่สำคัญก็คือกระบวนท่าสังหารของเขารุนแรงเอาแต่ใจมาก ไอดาบนั้นฟันขาดได้แม้กระทั่งอากาศ เป็นเคล็ดวิชาสังหารที่แข็งแกร่งที่สุดวิชาหนึ่ง สิ่งที่เย่เทียนเฉินขาดไปก็คือการได้สัมผัสกับกระบวนท่าที่แข็งแกร่งแบบนี้ เขาจึงต้องการใช้กระบวนท่าที่แข็งแกร่งเหล่านี้มาฝึกฝนร่างกายของตน

กฎเกณฑ์ของธรรมชาติของโลก ซึ่งสามารถเรียกได้อีกอย่างว่า “เต๋า” ตามที่คนโบราณเรียกกัน สิ่งนี้ได้เปลี่ยนแปลงไปแล้ว หากต้องการที่จะทะลวงพลังจากขอบเขตจอมราชันไปสู่ขอบเขตจักรพรรดิ ไม่รู้ว่าจะมีความยากลำบากมากขึ้นอีกกี่เท่า แต่เย่เทียนเฉินก็ไม่ได้ยอมแพ้ เขาพยายามมาโดยตลอด และไม่สามารถนั่งรอให้ผู้อื่นมาโจมตีได้ หากต้องนั่งรอจนกว่าจะสามารถหา “ค่ายกลเคลื่อนย้าย” ได้จริงๆ แล้วกลับไปยังดาวสิ้นโลกค่อยว่ากันอีกที นี่ไม่ใช่นิสัยของเย่เทียนเฉินเลย

การต่อสู้ครั้งใหญ่กับเปาเทียนหลงก่อนหน้านี้ ทำให้เย่เทียนเฉินได้สัมผัสถึงพลังสูงสุดในขอบเขตจอมราชันอีกครั้งหนึ่ง ในขณะเดียวกันก็สามารถสัมผัสได้ว่า ในขณะที่ภายในร่างกายระเบิดพลังขั้นสูงสุดของขอบเขตจอมราชันออกมา กล้ามเนื้อจะมีความรู้สึกว่าทนไม่ไหวเล็กน้อย นั่นก็คือกายเนื้อไม่แข็งแกร่งมากพอ

เพื่อที่จะฝึกฝนกายเนื้อของตน เย่เทียนเฉินจึงใช้พลังพิเศษชำระชีพจรและกระดูกของตนทุกวัน จุดประสงค์ก็เพื่อที่จะช่วยให้กายเนื้อเกิดความเปลี่ยนแปลง ส่วนคัมภีร์เปลี่ยนเส้นเอ็นของวัดเส้าหลินที่เรียกได้ว่าเป็นวิชาการบ่มเพาะพลังภายในที่แข็งแกร่งที่สุดนั้น เย่เทียนเฉินไม่เคยลืมมาโดยตลอด เขาต้องการได้รับคัมภีร์เปลี่ยนเส้นเอ็น หากสามารถหลอมรวมพลังพิเศษและพลังภายในที่แข็งแกร่งของพรรควรยุทธโบราณเข้าด้วยกันได้ เขาเชื่อว่าจะต้องทำให้ตนเองแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้นอย่างแน่นอน

“ฮ่า!”

เสียงตะโกนดังขึ้น เย่เทียนเฉินพุ่งทะยานไปบนฟ้า เผชิญหน้ากับไอดาบที่แหวกอากาศโจมตีเข้ามาทางตน ไม่หลบไม่ถอย มือขวาซัดกำปั้นออกไปอย่างแรง ทำให้มือสังหารชุดดำตกใจจนตาค้าง แต่ไหนแต่ไรก็ไม่เคยมีใครกล้าใช้วิชาหมัดไปสัมผัสกับไอดาบมาก่อน นี่ก็เหมือนกับการที่คนธรรมดาใช้หมัดต่อยลงไปบนคมดาบ ถ้าทำแบบนั้นจะมีผลอย่างไร เกรงว่าทุกคนก็คงจะคิดได้ มือสังหารชุดดำระเบิดไอดาบที่บ้าคลั่งออกมา มากเพียงพอที่จะทำให้ยอดเขาแห่งหนึ่งกลายเป็นเสี่ยงๆ เมื่อเทียบกับการใช้หมัดลุนๆ เข้าปะทะกับคมดาบแล้วยังน่ากลัวกว่ามาก

ตู้ม!

เสียงดังลั่นฟ้า หากไม่ใช่เพราะเย่เทียนเฉินใช้เขตแดนปิดกั้นก่อนหน้านี้แล้ว เกรงว่าต้นไม้รอบๆ คงจะถูกทำลายและส่งผลกระทบกับคนในเขตคฤหาสน์แห่งนี้ทั้งหมด และอาจจะทำร้ายผู้บริสุทธิ์อีกด้วย

เพียงหมัดเดียวเท่านั้น เป็นหมัดที่เย่เทียนเฉินรวบรวมพลังพิเศษระดับสูงสุดในขอบเขตจอมราชันเอาไว้ ปะทะเข้าไปบนเงาดาบอันใหญ่โตอย่างรุนแรง มันส่งเสียงระเบิดออกมาทันทีที่สัมผัสกัน ภายใต้แสงจันทร์ หมัดของเย่เทียนเฉินกระทบเงาดาบที่เกิดจากพลังภายในจนแตกสลาย เกิดประกายแสงสว่างไสวระเบิดออกมา ทำให้มือสังหารชุดดำแสบตาจนลืมตาไม่ขึ้น

หลังจากนั้นเพียงไม่นาน มือสังหารชุดดำก็พยายามฝืนลืมตาขึ้น เขารู้ว่าการมองสภาพรอบๆ ไม่ชัดเจนแบบนี้ เป็นไปได้มากว่าเขาจะถูกเย่เทียนเฉินลอบสังหาร ถึงแม้ในใจของเขาจะคิดว่าเย่เทียนเฉินเข้าปะทะกับไอดาบที่สั่นไหวอย่างรุนแรงนั้นจะถูกหั่นเป็นสองส่วนไปแล้วก็ตาม แต่ก็ยังไม่กล้าลำพองใจ จะอย่างไรพลังที่เย่เทียนเฉินระเบิดออกมาก็แข็งแกร่งมากเหลือเกิน แข็งแกร่งจนถึงขั้นทำให้กระดูกสันหลังของเขาเย็นวาบ

มือสังหารชุดดำลืมตาขึ้น พบว่ามีใบไม้ที่ถูกไอดาบโจมตีเร็วอยู่ทั่วทั้งท้องฟ้า ภายใต้แสงจันทร์ดูงดงามเป็นพิเศษ ในขณะเดียวกันเขาก็ไม่เห็นเงาร่างของเย่เทียนเฉินอยู่เลย จึงอดไม่ได้ที่จะยกยิ้มเย็นชาที่มุมปาก คิดว่าตัวเองคาดเดาได้ถูกต้องแล้ว เย่เทียนเฉินใช้วิธีการโง่งมแบบนี้ ถึงกับกล้าใช้หมัดเข้าปะทะกับไอดาบที่มีพลังมากพอจะป่นภูเขาได้ ช่างเป็นการรนหาที่ตายจริงๆ

“ฮ่าๆๆๆ โง่ แต่ไหนแต่ไรก็ไม่เคยมีใครกล้ารับการโจมตีของฉันตรงๆ แบบนี้ ไอ้คนไม่รู้จักที่ตาย!” มือสังหารชุดดำยืนอยู่บนยอดไม้แล้วหัวเราะออกมา

“คนที่ไม่รู้จักที่ตายก็คือแก!”

ทันใดนั้นเอง ข้างหูของมือสังหารมีเสียงของเย่เทียนเฉินดังขึ้น เมื่อเงยหน้ามองไปพบว่าเย่เทียนเฉินกำลังอยู่เหนือศีรษะของเขา ไม่มีการเคลื่อนไหวที่ตระการตาอะไร และไม่ได้หยุดพักมากเกินความจำเป็น ใช้ฝ่ามือตบลงมาบริเวณศีรษะของมือสังหารชุดดำโดยตรง

มือสังหารชุดดำตกใจจนหน้าซีด จะอย่างไรก็คิดไม่ถึงว่าเย่เทียนเฉินจะใช้หมัดทำลายไอดาบของตนได้ แล้วยังสามารถโจมตีกลับอย่างแข็งแกร่งเช่นนี้อีกด้วย

พลั่ก!

ถึงแม้ในใจจะตื่นตะลึง แต่ไม่กล่าวไม่ได้ว่ามือสังหารชุดดำแข็งแกร่งมากจริงๆ เขาใช้มือทั้งสองกำดาบฟันลงไปยังฝ่ามือขวาของเย่เทียนเฉินโดยตรง

พลั่ก!

บู้ม!

บู้ม!

บู้ม!

เสียงที่ทำให้มือสังหารชุดดำต้องหวาดกลัวดังขึ้น มือทั้งสองที่กำดับของเขาฟันไปด้านบน ส่วนเย่เทียนเฉินใช้ฝ่ามือตบลงมาด้านล่าง ทำให้ดาบในมือของเขาสั่นสะเทือนจนหัก จนกระทั่งเขาเงยหน้าขึ้นมองไปด้วยความหวาดกลัว มือของเย่เทียนเฉินก็กระทบลงบนศีรษะของเขาแล้ว

พลั่ก!

มือสังหารชุดดำถูกเย่เทียนเฉินใช้ฝ่ามือโจมตีจนตกลงมาจากบนต้นไม้สูงสิบกว่าเมตร ฝ่ามือนี้แฝงไปด้วยพลังพิเศษในขอบเขตจอมราชันระดับสูงของเย่เทียนเฉิน มือสังหารชุดดำต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัยเลย แต่ไหนแต่ไรเย่เทียนเฉินก็ไม่เคยปราณีศัตรู จินตนาการได้เลยว่า หากวันนี้ตนเองไม่ระวัง อาจจะกลับบ้านไปเห็นศพของแม่และน้องสาวก็เป็นได้

“อั่ก…หยะ อย่าฆ่าฉัน…”

ฝ่ามือขวาของเย่เทียนเฉินหยุดอยู่บนหัวของมือสังหารชุดดำ ในตอนที่ฝ่ามือเมื่อสักครู่นี้สัมผัสถูกศีรษะของมือสังหารชุดดำ ก็ได้เก็บแรงเอาไว้บ้าง เนื่องจากเขาต้องการรู้ถึงสถานที่ที่ตระกูลเซวียนเยวี๋ยนซ่อนตัวอยู่

…………………….

Related

เวลาประมาณสามทุ่ม เย่เทียนเฉินและฉีหรูเสวี่ยนั่งอยู่ในสวนสาธารณะเล็กๆ ภายในเขตคฤหาสน์ ที่นี่มีคู่รักที่มาพลอดรักกันจำนวนมาก ถ้าไม่พูดคุยกระหนุงกระหนิง ก็กอดรัดหอมแก้มกัน ถึงขั้นเริ่มเปลื้องผ้ากันก็มี ในยุคปัจจุบันนี้ การออกมาทำสงครามรักกันนอกบ้านไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร เป็นเรื่องที่ปกติมาก

“คนตระกูลฉินไม่ได้มาหาเรื่องเธออีกใช่ไหม?” เย่เทียนเฉินเอ่ยปากถามไปตามใจ

“เปล่า ขอบคุณนายมากเจ้าบ้า!” ฉีหรูเสวี่ยมองเย่เทียนเฉินด้วยท่าทางเขินอาย ดวงหน้าเล็กๆ แดงระเรื่อเล็กน้อย

เย่เทียนเฉินรู้สึกหดหู่อยู่บ้าง กรอกตาใส่ฉีหรูเสวี่ยแล้วพูดขึ้น “ขอบคุณก็ขอบคุณสิ ยังมาขอบคุณเจ้าบ้าอะไรอีก ใครเป็นเจ้าบ้ากัน?”

“ก็ต้องเป็นนายอยู่แล้วไง ไม่งั้นจะให้ฉันพูดกับท้องฟ้าเหรอ?” ฉีหรูเสวี่ยแลบลิ้นใส่เย่เทียนเฉิน พูดออกมาด้วยท่าทางเฉลียวฉลาด

“นี่ ขอให้เธอเข้าใจไว้สักหน่อยนะ ฉันเนี่ยเป็นผู้มีพระคุณของเธอ เรียกได้ว่าเป็นผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิตเธอ ถ้าหากไม่มีฉัน เธอคงถูกฉินเหิงนั่น…ฮี่ๆ” เย่เทียนเฉินพูดออกมาแล้วหัวเราะชั่วร้าย

“อะไรล่ะ ตอนที่ฉันมาอยู่ที่บ้านนาย วันๆ ก็เอาแต่กินอาหารที่ฉันทำ ฉันสิถึงจะเป็นผู้มีพระคุณของนาย!” ฉีหรูเสวี่ยพูดอย่างไม่ยอมลงให้แม้แต่น้อย

“ไม่จริงน่ะ กระทั่งทำอาหารให้ฉันกินมื้อเดียวก็จดจำเอาไว้ในใจแล้ว แล้วยังมาพูดย้ำ 2-3 รอบอีก จะขี้เหนียวเกินไปหรือเปล่า?” เย่เทียนเฉินพูดอย่างสนใจ

“ฉันขี้เหนียวเหรอ? คิกๆ ต่อให้ฉันขี้เหนียวยังไงก็สู้นายไม่ได้หรอก…มีฐานะเป็นประธานกรรมการที่มีมูลค่านับร้อยล้าน แต่ก็ยังทำใจซื้อของขวัญให้น้องกับแม่ไม่ได้ ยังมีคนที่ขี้งกกว่านายอีกเหรอ?” ฉีหรูเสวี่ยจงใจพูดหยอกล้อเย่เทียนเฉินขึ้นมา

ประโยคนี้ทำให้เย่เทียนเฉินหมดอารมณ์จริงๆ ในใจของเขาไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าครอบครัวแล้ว เพียงแต่เขาคนนี้บางทีก็แสดงออกไม่เก่ง ตั้งแต่ที่ได้เป็นประธานกรรมการเครือไห่หวางจนถึงตอนนี้ เขาก็ยังไม่ได้แสดงความกตัญญูอะไรต่อพ่อแม่จริงๆ และไม่เคยซื้อของขวัญอะไรให้น้องด้วย เมื่อคิดดูแล้วก็รู้สึกผิดอยู่ในใจ

“ทำไม? พูดไม่ออกเลยเหรอ? นาย…” ฉีหรูเสวี่ยคิดว่าเย่เทียนเฉินโกรธ แต่ก็ไม่คิดที่จะขอโทษอะไร ดังนั้นจึงพูดกระตุ้นเย่เทียนเฉินต่อไป

ไหนเลยจะรู้ว่าในตอนนี้เอง เย่เทียนเฉินจะยืนขึ้นจากม้านั่งหินอย่างฉับพลัน พูดกับฉีหรูเสวี่ยขึ้นมาประโยคหนึ่งอย่างจริงจัง “เธอรอฉันอยู่ที่นี่อย่าไปไหนนะ ฉันจะรีบกลับมา”

“นี่…นาย…” ฉีหรูเสวี่ยยังไม่ทันได้พูดอะไรเย่เทียนเฉินก็หายไปแล้ว ไม่รู้ว่าไปที่ไหน

ตอนนี้เอง ภายในห้องโถงของคฤหาสน์ตระกูลเย่ หลัวเยี่ยนและเย่เชี่ยนเหวินสองแม่ลูกกำลังพูดคุยกันอย่างเบิกบานใจ ส่วนหัวข้อที่พูดคุยกันย่อมต้องเป็นเรื่องเกี่ยวกับเย่เทียนเฉิน ไม่กล่าวไม่ได้ว่า ถึงแม้เย่เชี่ยนเหวินแล้วเย่เทียนเฉินจะทะเลาะกันบ่อย แต่ความสัมพันธ์ก็ดีมาก ในตอนที่รู้ว่าจดหมายฉบับนั้นเป็นหลิงอวี่สวิ๋นที่ส่งมาให้ เย่เชี่ยนเหวินก็เกิดอย่าซุบซิบขึ้นมา แล้วก็ดีใจมากด้วย หลัวเยี่ยนเล่าเรื่องเกี่ยวกับหลิงอวี่สวิ๋นให้ฟังว่า ในตอนที่หลิงอวี่สวิ๋นเล่นกับเย่เทียนเฉินตอนเด็กๆ เย่เชี่ยนเหวินก็เพิ่งจะเดินได้ ตอนนั้นเธอเอาแต่เดินตามติดอยู่ข้างหลังเรียกพี่ชายพี่สาวอวี่สวิ๋น ต้องการให้พานางไปเล่นด้วยกัน

“ไม่จริงน่ะ แม่คะ แม่ดูผิดไปหรือเปล่า พี่ชายของหนูเป็นคนที่มีอีคิวติดลบ ถึงกับได้รับความรักจากสาวงามทั้งสองอย่างพี่สาวหรูเสวี่ยและพี่สาวอวี่สวิ๋นเลยเหรอ จะโชคดีเกินไปแล้ว!” เย่เชี่ยนเหวินเปิดปากพูดอย่างตื่นตะลึง

“เด็กคนนี้นี่ มิน่าล่ะพี่ชายของลูกถึงไม่ยอมเพิ่มค่าขนมให้ มีใครเขาพูดกับพี่ชายของตนแบบนี้บ้าง? ก่อนหน้านี้พวกเรากังวลว่าเขาจะมีปมในใจ ถึงได้วุ่นวายอยู่กับเรื่องของการหาแฟน ตอนนี้ก็มีตัวเลือกแล้วควรจะดีใจถึงจะถูก!” หลัวเยี่ยนยิ้มฟังพูดตำหนิลูกสาว

เมื่อเห็นว่าแม่ดีใจขนาดนี้ เย่เชี่ยนเหวินก็หัวเราะออกมา พูดตามจริงเธอเองก็ดีใจกับพี่ชายของตน เพียงแต่เคยชินที่จะพูดแซะพี่ก็เท่านั้น หยอกล้อให้สนุกสนานกันเท่านั้น ถึงได้พูดออกมาแบบนี้ ตอนนี้เมื่อเห็นแม่ยิ้มจนหุบไม่ลงก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามเสียงเบา “แม่คะ ถ้างั้นแม่อยากให้ใครมาเป็นลูกสะใภ้ของแม่มากกว่ากัน?”

“นี่นะเหรอ…แม่ก็ไม่รู้” หลัวเยี่ยนชะงักไปครู่หนึ่ง เธอไม่เคยคิดถึงปัญหานี้เลยจริงๆ ขอแค่ลูกชายมีตัวเลือกที่ดีก็รู้สึกดีใจแล้ว

“ถ้าหากว่าจำเป็นต้องเลือกคนใดคนหนึ่งระหว่างพี่สาวหรูเสวี่ยกับพี่สาวอวี่สวิ๋นล่ะ?” เย่เชี่ยนเหวินพูดด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ ต้องการที่จะรู้ความคิดของแม่

“เรื่องนี้ไม่เคยคิดมาก่อนจริงๆ นี่ก็ต้องดูว่าพี่ชายของลูกชอบคนไหน จะยังไงแม่ก็หวังว่าพวกลูกจะได้มีความรักกันอย่างอิสระ ได้มีคนที่ตนเองรักจริงๆ ถ้าเป็นแบบนั้นถึงจะมีความสุขไปชั่วชีวิต!” หลัวเยี่ยนพูดด้วยรอยยิ้มเล็กน้อย

เย่เชี่ยนเหวินลุกขึ้นยืนจากบนโซฟา วางท่าเป็นผู้รอบรู้ พูดเหมือนกับคนที่มีประสบการณ์มามากว่า “แม่คะ จากความเห็นของหนู พี่ชายของหนูจะต้องเลือกพี่สาวหรู่เสวี่ย…”

“หือ? ทำไมพูดแบบนี้?” หลัวเยี่ยนเองก็รู้สึกอยากรู้อยากเห็นขึ้นมา แม้แต่เธอก็ไม่รู้ว่าลูกชายจะเลือกใคร เชี่ยนเหวินจะรู้หรือ?

“ก่อนอื่นเลย ในใจของหนูเข้าข้างพี่สาวหรูเสวี่ยมากกว่า ยังไงพี่สาวหรูเสวี่ยก็ใช้เวลาอยู่กับพวกเรานานที่สุด ถึงแม้พี่สาวอวี่สวิ๋นจะไม่เลว แต่ก็ไม่ได้เจอหน้ากันมาสิบกว่าปีแล้ว ยังไงก็ต้องมีระยะห่างอยู่บ้าง ยิ่งไปกว่านั้นก็พูดถึงเรื่องรูปร่างหน้าตาของพวกเธอทั้งสองคนแล้ว ต่างก็เป็นผู้หญิงที่สวยมาก ทางด้านรูปร่างหน้าตาไม่มีใครได้เปรียบ แต่พี่สาวหรูเสวี่ยทำอาหารเก่ง เป็นไปได้ว่าในเรื่องอาหารบางอย่างอาจจะเก่งกว่าแม่ซะอีก ที่สำคัญที่สุดก็คือ พี่ชายของหนูชอบผู้หญิงก้นใหญ่ ถ้าพิจารณาดูสักหน่อย เปรียบเทียบระหว่างคนทั้งสอง ดูเหมือนว่าพี่หรูเสวี่ยจะก้นใหญ่กว่าพี่สาวอวี่สวิ๋น!” เย่เชี่ยนเหวินพูดแล้วหัวเราะฮี่ๆ

“เด็กคนนี้นี่ วันๆ ไม่รู้จักร่ำเรียน รู้จักแต่ซุบซิบนินทา ไม่อายหรือไง!” หลัวเยี่ยนตำหนิเย่เชี่ยนเหวิน

“แม่คะ นี่หนูคิดถึงเรื่องใหญ่ในชีวิตของพี่ชายเลยนะ พวกเราจะต้องรวมกำลังเป็นหนึ่งสิ” เย่เชี่ยนเหวินพูดด้วยรอยยิ้ม

“เด็กคนนี้นี่…” หลัวเยี่ยนพูดแล้วส่ายหน้า

ขณะนั้นเอง ในตอนที่หลัวเยี่ยนและเย่เชี่ยนเหวินกำลังพูดคุยกันถึงเรื่องของเย่เทียนเฉิน มือสังหารชุดดำคนหนึ่งได้มายืนอยู่ด้านบนต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งบริเวณไม่ไกลจากคฤหาสน์ตระกูลเย่ ใช้กล้องมองกลางคืนสำรวจทุกสิ่งทุกอย่างด้านใน มือสังหารคนนี้เป็นคนที่ตระกูลเซวียนเยวี๋ยนส่งมา จดหมายฉบับนั้นก็เป็นเขาที่ไปส่งถึงประตูบ้านตระกูลเย่ ต้องการฆ่าทุกคนในตระกูลเย่ด้วยการส่งจดหมายที่อัดแน่นไปด้วยพลังอันร้ายกาจจากยอดฝีมือผู้มีพลังพิเศษของตระกูลเซวียนเยวี๋ยนมาที่ตระกูลเย่ และในขณะเดียวกันเพื่อเป็นการป้องกันความผิดพลาด จึงให้มือสังหารรอดูผลลัพธ์อยู่ด้านนอก ถ้าหากล้มเหลวก็ให้เขาบุกเข้าไปฆ่าทุกคนในบ้านของเย่เทียนเฉิน

บางทีมือสังหารคนนี้อาจจะไม่ใช่คนที่แข็งแกร่งเท่ากับคนที่สามารถอัดพลังอันยิ่งใหญ่ลงไปในจดหมายได้ แต่ก็ไม่สามารถดูเบาได้เป็นอันขาด นี่คือคนที่ถูกส่งมาฆ่าคนตระกูลเย่ทั้งหมด ยิ่งไปกว่านั้นตระกูลเซวียนเยวี๋ยนยังรู้ว่าเย่เทียนเฉินมีฝีมือไม่ธรรมดา แต่ก็ยังส่งคนคนนี้มา เห็นได้ว่าฝีมือของคนคนนี้จะต้องแข็งแกร่งห้าวหาญเป็นอย่างมาก เป็นคนที่มีความอันตรายมาก

“ถึงกับไม่เป็นอะไรเลย ท่าทางจะต้องให้ฉันลงมือเองซะแล้ว…” มือสังหารในชุดดำคนนี้พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา

พูดจบมือสังหารชุดดำก็ยื่นมือขวาไปด้านหลัง สัมผัสดาบที่ผูกติดอยู่ด้านหลัง จากนั้นจึงจับด้ามดาบ มุมปากปรากฏรอยยิ้มโหดเหี้ยม สำหรับมือสังหารที่ฆ่าคนเป็นผักปลาแบบเขา การทำภารกิจให้สำเร็จเป็นจุดประสงค์เดียว ส่วนศัตรูนั้นยิ่งฆ่าก็ยิ่งดี

ฉัวะ!

มือสังหารชุดดำคนนี้กระโดดลงมาจากบนต้นไม้ที่สูงเกือบสิบเมตร พุ่งลงมาด้านล่าง มีความว่องไวรวดเร็วเป็นอย่างมาก เขาต้องการที่จะพุ่งเข้าไปในคฤหาสน์ เพื่อฆ่าหลัวเยี่ยนและน้องสาวก่อน เนื่องจากตามคำสั่งของตระกูลเซวียนเยวี๋ยน ต้องฆ่าเย่เทียนเฉินเป็นคนสุดท้าย เพราะต้องการให้เขาเห็นครอบครัวตายไปต่อหน้าต่อตาทีละคน ทำให้เขาลิ้มรสความเจ็บปวดสุดขั้วหัวใจ เป็นวิธีการที่โหดเหี้ยมและเลือดเย็นมาก

พลั่ก!

ไหนเลยจะรู้ว่าในตอนที่มือสังหารชุดดำกระโดดลงมาจากต้นไม้สูงสิบกว่าเมตรนั้น เพิ่งจะกระโดดอยู่กลางอากาศก็มีเงาร่างร่างหนึ่งพุ่งเข้ามาจากด้านข้าง เตะเขาจนกระเด็นออกไปชนเข้ากับกิ่งไม้บนต้นไม้ใหญ่ด้านข้างอย่างรุนแรง เป็นลูกเตะที่ร้ายกาจมาก จนแทบจะทำให้มือสังหารกระอักเลือด

มือสังหารชุดดำกระแทกลงบนกิ่งไม้ของต้นไม้ใหญ่อย่างแรง พยายามฝืนกลั้นเลือดที่พุ่งออกมา ใช้มือซ้ายยันไว้บนลำต้นของต้นไม้ แล้วระโดดขึ้นอีกครั้ง ขึ้นไปยืนบนกิ่งของต้นไม้ใหญ่ที่อยู่ด้านข้าง ดวงตาอันโหดเหี้ยมทั้งสองจ้องมองไปยังกิ่งของต้นไม้ใหญ่ที่อยู่ฝั่งตรงข้าม เพราะว่าบนนั้นมีเงาร่างเงาหนึ่งยืนอยู่นานแล้ว มือทั้งสองล้วงอยู่ในกระเป๋ากางเกง มองมาที่เขาด้วยรอยยิ้ม ซึ่งนี่ก็คือคนที่เตะเขากลางอากาศนั่นเอง

“แก…แกเป็นใคร?” มือสังหารชุดดำกำด้ามดาบแม่นแล้วพูดขึ้น ตอนนี้ดาบของเขายังคงแขวนอยู่ที่หลัง ยังไม่ถูกชักออกมา

“แกเป็นคนที่ตระกูลเซวียนเยวี๋ยนส่งมาใช่ไหม? บอกมาซะว่าตระกูลเซวียนเยวี๋ยนอยู่ที่ไหน? เพื่อไม่ให้พวกแกหนี ฉันจะไปเยี่ยมเยียนด้วยตัวเองสักหน่อย!”

“หึ แกก็คือเย่เทียนเฉินสินะ?” มือสังหารชุดดำขมวดคิ้วแล้วถามขึ้น

“คำถามที่รู้คำตอบอยู่แล้วยังจะต้องถามอีกทำไม? ฉันรู้ว่าแกจะต้องรออยู่รอบๆ ถ้ายังไม่ตอบคำถามของฉันอีก ก็จะไม่มีโอกาสแล้ว!” เย่เทียนเฉินพูดด้วยรอยยิ้ม

ความจริงหลังจากที่นำจดหมายฉบับนั้นเข้าไปในคฤหาสน์ เย่เทียนเฉินก็คิดแล้วว่าคนที่ส่งจดหมายจะต้องอยู่รอบๆ แน่นอน ด้วยสไตล์การทำงานของคนตระกูลใหญ่ จะต้องไม่ให้มีความผิดพลาดใดๆ ถ้าไม่เห็นคฤหาสน์ตระกูลเย่ของตนระเบิด ก็คงไม่วางใจ

ดังนั้นในตอนที่ออกไปเดินเล่นกับฉีหรูเสวี่ย เย่เทียนเฉินก็กางพลังพิเศษแห่งการรับรู้แล้ว แต่กลับไม่พบจุดที่น่าสงสัยหรือการผันผวนของพลังของคนที่น่าสงสัยเลย คงจะเป็นเพราะตอนนั้นมือสังหารชุดดำคนนี้สังเกตการณ์อยู่ในตำแหน่งที่ห่างออกไป ดังนั้นพลังพิเศษแห่งการรับรู้จึงไม่อาจสัมผัสได้ แต่ในตอนที่เย่เทียนเฉินกำลังตีฝีปากกับฉีหรูเสวี่ยนั้น อยู่ๆ เขาก็สัมผัสได้ถึงไอสังหารอันรุนแรงสายหนึ่ง ที่มุ่งไปยังบริเวณรอบๆ ของคฤหาสน์ตระกูลเย่ของตน ดังนั้นจึงรีบทะยานออกมา และพบมือสังหารชุดดำคนนี้พอดี จึงเตะเขากลางอากาศโดยไม่ได้มีความเกรงใจอะไร

“คิดไม่ถึงว่าฝีมือของแกจะแข็งแกร่งขนาดนี้ แต่ก็ไม่มีประโยชน์ วันนี้คนตระกูลเย่ของแกทั้งหมดจะต้องตาย!”

ฉัวะ!

ฉัวะ!

มือสังหารชุดดำตะโกนเสียงต่ำ ดาบที่หลังถูกชักออกมา ส่องประกายเย็นเยียบ ไอดาบสองสายทะยานออกไปเป็นกากบาท ส่งเสียงแหวกอากาศออกมา พุ่งโจมตีไปยังเย่เทียนเฉิน…

………………..

Related

จดหมายท้ารบที่มาจากตระกูลเซวียนเยวี๋ยน และเรียกได้ว่าเป็นการลอบโจมตีที่ทรงอำนาจจากตระกูลเซวียนเยวี๋ยน ทำให้ในใจของเย่เทียนเฉินรู้สึกตื่นตะลึง ตั้งแต่ได้มาเกิดใหม่จนถึงตอนนี้ นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เผชิญหน้ากับการท้ารบที่ยิ่งใหญ่ขนาดนี้ และเป็นครั้งแรกที่มีความรู้สึกตื่นตะลึงอยู่ในใจ ตระกูลเซวียนเยวี๋ยนส่งจดหมายมาเพียงฉบับเดียวเท่านั้น เพียงแต่จดหมายฉบับนี้กลับสามารถระเบิดเขตคฤหาสน์ทั้งเขตได้เลยทีเดียว เห็นได้ว่าตระกูลเซวียนเยวี๋ยนแข็งแกร่งมากขนาดไหน และสิ่งที่ทำให้เย่เทียนเฉินคิดไม่ถึงก็คือ การแก้แค้นของตระกูลเซวียนเยวี๋ยนจะมาถึงเร็วขนาดนี้ อีกทั้งยังมียอดฝีมือแบบนี้อยู่อีกด้วย ดูท่าตนจะต้องระมัดระวังให้มากสักหน่อย

เมื่อตอนนั้นหลิงอวี่สวิ๋นเคยพูดเรื่องตระกูลเซวียนเยวี๋ยนกับเย่เทียนเฉินมาก่อนแล้ว นี่เป็นตระกูลในโลกเบื้องหลังตระกูลหนึ่งที่แข็งแกร่งเป็นอย่างมาก ส่วนจะแข็งแกร่งมากขนาดไหนนั้นกลับไม่มีใครรู้ แต่คนที่พอมีตำแหน่งอยู่บ้างต่างก็รู้ว่า ในประเทศจีนมีตระกูลที่ปิดซ่อนตัวตนอยู่จำนวนหนึ่ง ตระกูลเหล่านี้ต้องปิดซ่อนตัวตน โดยปกติเป็นเพราะมีอำนาจแข็งแกร่งเกินไป จึงกลัวว่าจะถูกรัฐบาลโจมตี

จินตนาการได้เลยว่า ในฐานะที่เป็นตระกูลที่แข็งแกร่งมากตระกูลหนึ่ง แข็งแกร่งจนต้องปิดซ่อนตัวตน เพื่อหลีกหนีจากนโยบายของประเทศ ต่อให้ตระกูลนี้ไม่ค่อยเท่าไหร่แต่ก็ยังมีอำนาจที่ทำให้ผู้คนคิดไม่ถึงได้

เย่เทียนเฉินเก็บโล่พลังพิเศษของตนกลับมา และสลายพลังเขตแดนปิดกั้น มองไปในห้องนอน เมื่อพบว่าไม่มีที่ใดแปลกไปถึงได้วางใจลงไม่น้อย หลัวเยี่ยนเคาะประตูอยู่ข้างนอก เห็นได้ชัดว่ารู้สึกสงสัยและไม่วางใจ เย่เทียนเฉินย่อมไม่สามารถบอกครอบครัวได้ว่านี่เป็นการแก้แค้นของตระกูลเซวียนเยวี๋ยน และยังเป็นวิธีการแก้แค้นที่เอาแต่ใจเป็นอย่างมาก ปัญหาเหล่านี้เขาจะแก้ไขด้วยตัวเองเพียงลำพัง เขาคิดว่าไม่อาจให้คนใกล้ชิดของตนได้รับรู้ถึงการคุกคามนี้แม้แต่ครึ่งส่วน

เขาจัดการอารมณ์ของตนเอง ไม่คิดถึงบุคคลที่มีพลังพิเศษอันแข็งแกร่งและเข้มข้นที่อยู่ในจดหมายชั่วคราว ตกลงแล้วแข็งแกร่งมากเพียงใด มีพลังพิเศษที่แข็งแกร่งขนาดไหน กระทั่งโล่พลังพิเศษของตนก็ยังสามารถทำลายได้ ขนาดเขตแดนปิดกั้นก็ยังสามารถระเบิดออกมาได้ คนคนนี้จะต้องเป็นหนึ่งในคนที่แข็งแกร่งที่สุดของตระกูลเซวียนเยวี๋ยนแน่นอน และเป็นหนึ่งในศัตรูที่ต้องกำจัดมากที่สุดของตระกูลเซวียนเยวี๋ยน

“เทียนเฉิน เป็นอะไรไปลูก?” หลัวเยี่ยนเคาะประตูเรียกด้วยความร้อนใจต่อไป

“แม่ครับ อย่ารบกวนตอนที่ผมอ่านจดหมายรักได้ไหม? ไม่ง่ายเลยกว่าที่ลูกชายของแม่จะมีแฟน!” เย่เทียนเฉินเปิดประตูห้องนอนออกมา แสร้งทำเป็นพูดขึ้นด้วยท่าทางจนใจ

หลัวเยี่ยนมองลูกชาย ความจริงแล้วเธอรู้สึกว่าตั้งแต่ลูกชายกลับมาที่เมืองหลวงก็เปลี่ยนแปลงไปมาก ไม่เพียงแต่รู้ความขึ้น แต่ยังมีความทะนงตนและเอาแต่ใจ มีความกล้าหาญไม่กลัวเกรงในอำนาจ เรื่องที่เขากระทำทั้งหลายและยังมีตอนที่อยู่ที่บ้านตระกูลหลัวนั้น หลัวเยี่ยนเห็นลูกชายแสดงความสามารถในการต่อสู้ออกมากับตาของตน นั่นข้ามผ่านจินตนาการของคนธรรมดาอย่างพวกเธอไปแล้วโดยสิ้นเชิง ไม่แตกต่างอะไรกับฉากต่อสู้ในภาพยนตร์ ถ้าหากหลัวเยี่ยนไม่ใช่คนที่เติบโตมาจากตระกูลใหญ่ตั้งแต่เด็ก และได้เห็นยอดฝีมือที่มีพลังแปลกๆ มาบ้าง คงจะถูกทำให้ตกใจไปแล้ว

แต่ว่าเพราะเป็นเช่นนี้ ในใจของหลัวเยี่ยนจึงเกิดความสงสัยเป็นอย่างมาก ก่อนหน้านี้ก็ไม่เห็นลูกชายจะร้ายกาจขนาดนี้ ไม่เห็นจะมีฝีมือแข็งแกร่งขนาดนี้ ดูท่าเย่เทียนเฉินผู้เป็นลูกได้ไปเป็นทหารมารอบหนึ่งแล้ว ไม่เพียงแต่จะได้รับการฝึกฝนวินัยทหารที่เข้มงวดจนกลายเป็นรู้เรื่องรู้ราวขึ้นมาแค่นั้นแน่นอน

“เทียนเฉิน นั่นเป็นจดหมายรักจริงๆ หรือ? ถึงแม้ว่าแม่จะแก่แล้วแต่ก็ไม่ได้โง่ ลูกบอกกับแม่มาตามตรงเถอะ ตกลงแล้วเกิดเรื่องอะไรกันแน่?” หลัวเยี่ยนมองตาของเย่เทียนเฉิน เอ่ยปากถามขึ้นมาอย่างจริงจัง

เย่เทียนเฉินเองก็ตกตะลึงไปครู่หนึ่ง เขารู้ว่าแม่ฉลาดมาก นี่เป็นผู้หญิงที่เคยเกือบจะได้เป็นผู้นำตระกูลหลัว จะไม่ฉลาดและมีความสามารถได้อย่างไร? เพียงแต่เขาคิดไม่ถึงว่าแม่จะถามตนออกมาตรงๆ แบบนี้

“แม่ครับ เป็นจดหมายรักจริงๆ แม่คิดมากเกินไปแล้ว ผมเองก็รู้สึกแปลกเหมือนกัน ไม่คิดว่าเธอจะใช้วิธีแบบนี้ ถึงกับเขียนจดหมายรักมาให้ลูกชายของแม่เลย…” เย่เทียนเฉินหัวเราะฮี่ๆ มองไปยังหลัวเยี่ยนแล้วพูดขึ้น

“งั้นเหรอ? งั้นใครเป็นคนส่งจดหมายรักให้ลูก?” หลัวเยี่ยนถามอย่างไม่เชื่อ

“แม่ครับ เรื่องนี้แม่อย่าถามเลย…ให้ความเป็นส่วนตัวกับผมหน่อยได้ไหมครับ?” เย่เทียนเฉินแสร้งพูดด้วยท่าทางหดหู่

ในตอนนี้เย่เทียนเฉินดันหลัวเยี่ยนออกไปจากห้องนอนของตนโดยไม่รู้ตัว ถึงแม้การระเบิดของพลังพิเศษที่รุนแรงเมื่อสักครู่นี้จะถูกเขตแดนปิดกั้นที่เย่เทียนเฉินใช้ ควบคุมไว้หมดแล้ว แต่เขาก็ยังกลัวว่าจะมีส่วนที่เขายังไม่เห็น สำหรับเรื่องที่ห้องนอนของเขามีความเสียหายเล็กน้อย หลัวเยี่ยนที่ฉลาดเฉลียวและละเอียดรอบคอบจะต้องมองออกอย่างแน่นอน จึงกลัวว่าจะทำให้เธอรู้สึกกังวลมากขึ้น

“เทียนเฉิน ไม่ใช่ว่าแม่จะละราบละล้วงความเป็นส่วนตัวของลูก แต่ว่าไม่วางใจ แม่แค่ต้องการให้ลูกอยู่อย่างสงบปลอดภัยเท่านั้น!” หลัวเยี่ยนพูดอย่างจริงใจ

“แม่ครับ แม่คิดมากเกินไปแล้วจริงๆ เอาล่ะ ผมจะบอกแม่แล้วกัน นี่เป็นจดหมายที่หลิงอวี่สวิ๋นเขียนให้ผม โอเคไหมครับ? นี้เป็นความลับนะ แม่อย่าได้ไปบอกคนอื่นเชียว โดยเฉพาะเชี่ยนเหวินยัยเด็กปากมากคนนั้น ผมกลัวว่าเธอจะมาทำลายเรื่องดีๆ ของผม!” เย่เทียนเฉินพูดเสียงเบาด้วยท่าทางลึกลับ

ไม่ว่าจะอย่างไรเย่เทียนเฉินก็ไม่สามารถบอกแม่ได้ว่านี่เป็นจดหมายท้ารบจากตระกูลเซวียนเยวี๋ยน ถ้าพูดไปแบบนั้นจะทำให้แม่รู้สึกกังวลใจมาก ไม่มีข้อดีอะไรเลย และไม่มีประโยชน์อะไรด้วย มีแต่จะทำให้ครอบครัวรู้สึกหวาดกลัว ยิ่งไปกว่านั้นเรื่องที่ตนเองเป็นผู้มีพลังพิเศษก็ไม่สามารถบอกหลัวเยี่ยนได้ เธอจะต้องรับไม่ได้อย่างแน่นอน

ในเมื่อได้มาเกิดใหม่ในโลกแห่งนี้แล้ว เย่เทียนเฉินก็ตัดสินใจจะรับผิดชอบทุกสิ่งทุกอย่างนานแล้ว เขาเป็นผู้ชายคนหนึ่ง เป็นผู้ชายที่มีความเด็ดเดี่ยวแน่วแน่ แล้วเป็นผู้แข็งแกร่งที่มีพลังพิเศษในขอบเขตพระเจ้าในช่วงยุคสิ้นโลก นิสัยของเขา ความเด็ดเดี่ยวของเขา การตัดสินใจที่จะเดินไปข้างหน้าอย่างกล้าหาญของเขา ไม่มีใครมาทำลายได้ และไม่มีใครมาขวางได้

“จริงเหรอ? อวี่สวิ๋นกับลูก…” หลัวเยี่ยนรู้สึกคิดไม่ถึงว่าเย่เทียนเฉินและหลิงอวี่สวิ๋นจะพัฒนาไปถึงขั้นนี้แล้ว ถึงขั้นส่งจดหมายรักหากัน นี่เป็นเรื่องที่เธอคาดไม่ถึงจริงๆ แต่เมื่อได้ยินลูกชายพูดแบบนี้แล้วในใจก็รู้สึกยินดี นี่ไม่ใช่ว่าเธอเป็นพวกได้ใหม่ลืมเก่า ไม่ใช่ว่าได้ยินว่าลูกชายกับหลิงอวี่สวิ๋นมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันก็ไม่อยากจะได้ฉีหรูเสวี่ยมาเป็นลูกสะใภ้แล้ว เพียงแต่คนเป็นแม่คนไหนบ้างที่ไม่อยากให้ลูกชายของตนได้มีชีวิตราบรื่น มีผู้หญิงห้อมล้อมให้มากสักหน่อย?

สำหรับหลิงอวี่สวิ๋น ความจริงแล้วก่อนหน้านี้ความสัมพันธ์ระหว่างตระกูลเย่และตระกูลหลิงก็ไม่เลวเลย อยู่ในซอยเดียวกัน สองตระกูลอยู่บ้านตรงกันข้าม ดังนั้นสามารถกล่าวได้ว่าเป็นคนที่อยู่ด้วยกันทั้งเช้าค่ำ เป็นช่วงเวลาที่ไม่เลวเลยจริงๆ ส่วนเย่เทียนเฉินกับหลิงอวี่สวิ๋นก็มีความสัมพันธ์การตั้งแต่เล็กจนโต เป็นคนที่เล่นด้วยกันมาตั้งแต่เล็ก ในตอนเด็กก็เล่นพ่อแม่ลูกกันหลายครั้ง มากเพียงพอที่จะทำให้ผู้ใหญ่จดจำเอาไว้ในใจ

“แม่ครับ ยังไม่ถึงขั้นที่แม่คิดหรอก เพียงแต่ลูกชายของแม่เกิดมาหล่อจริงๆ มีผู้หญิงสวยๆ มาหลงรัก ผมเองก็ไม่มีทางเลือก!” เย่เทียนเฉินพูดออกมาอย่างหน้าด้าน

เมื่อได้ยินลูกชายพูดแบบนี้ หลัวเยี่ยนก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะ เห็นได้ชัดว่าเธอเชื่อในคำพูดของเย่เทียนเฉินและเบาใจเรื่องหาคู่ชีวิตให้เย่เทียนเฉินลงไปไม่น้อย จะอย่างไรหลัวเยี่ยนก็ไม่ได้เสแสร้ง แต่กังวลเรื่องการแต่งงานของเย่เทียนเฉินจริงๆ เพราะกลัวว่าจะมีสักวันหนึ่งที่ลูกชายกลับไปมีนิสัยเรื่อยเฉื่อยเสเพลแบบเดิม ถ้าเป็นเช่นนั้นก็แย่มาก

เย่เทียนเฉินจับไหล่แม่แล้วเดินลงไปชั้นล่าง ในตอนที่เดินมาถึงในห้องโถงก็พบว่าเหลือเพียงฉีหรูเสวี่ยกดรีโมทโทรทัศน์อยู่ จึงอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม “น้องสาวของฉันล่ะ?”

“พี่ ถ้าไม่ใช่ว่าพี่จะต้องไปเดินเล่นเป็นเพื่อนพี่สาวหรูเสวี่ย หนูก็ขี้เกียจจะช่วยพี่ล้างจานแล้วนะ จำไว้ด้วยว่าค่าขนมเดือนนี้จะต้องเพิ่มให้หนู 100 หยวน!” เย่เชี่ยนเหวินวิ่งออกมาจากห้องครัวอย่างรวดเร็ว มองไปยังพี่ชายของตนอย่างดุดันแล้วพูดขึ้น

“ไม่ได้หรอก เรื่องการไปเดินเล่นเป็นเพื่อนหรูเสวี่ยเป็นคำสั่งของคุณแม่ พี่เองก็ทำเพื่อแม่ ถ้าต้องการค่าขนมก็ไปหาแม่เถอะ มาหาพี่ก็ไม่มีประโยชน์!” เย่เทียนเฉินพูดด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์

“พี่…แม่คะ ดูสิพี่แกล้งหนูอีกแล้ว จะขี้งกเกินไปแล้ว!” เย่เชี่ยนเหวินพูดขึ้น โกรธจนกระทืบเท้า

“พวกลูกสองคนนี่ หยุดพักให้แม่บ้างเถอะ เชี่ยนเหวิน หลังจากล้างจานเสร็จก็ไปทำการบ้านซะ เทียนเฉิน ตอนนี้ลูกก็ไปเดินเล่นเป็นเพื่อนหรูเสวี่ยได้แล้ว ห้ามรังแกคนอื่น!” หลัวเยี่ยนพูดออกมาด้วยท่าทางเคร่งขรึมจริงจัง

“หึ พี่ชายขี้งก แบร่!” เย่เชี่ยนเหวินแค่นเสียงออกมาครั้งหนึ่ง จากนั้นจึงทำหน้าทะเล้นใส่เย่เทียนเฉิน แล้วเดินเข้าไปล้างจานในห้องครัวต่อ

“แม่ครับ ถ้าหากว่าหรูเสวี่ยรังแกผมจะทำยังไง?” เย่เทียนเฉินพูดแล้วหัวเราะฮี่ๆ เขาไม่อยากให้แม่คิดเรื่องจดหมายฉบับนั้นอีก

“ลูกก็ให้มันน้อยๆ หน่อยเถอะ หรูเสวี่ยเป็นเด็กที่ซื่อสัตย์ขนาดนั้นจะรังแกลูกได้ยังไง? รีบไปเถอะ จะได้กลับมาให้เร็วหน่อย!” หลัวเยี่ยนกรอกตาใส่เย่เทียนเฉินแล้วพูดขึ้น

“ผมจะทำตามคำสั่งของแม่อย่างระมัดระวังเลยครับ!” เย่เทียนเฉินพูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม

ฉีหรูเสวี่ยและเย่เทียนเฉินเดินออกไปนอกคฤหาสน์ตระกูลเย่ ระหว่างทางตอนแรกสุดทั้งคู่ก็ไม่ได้พูดอะไรกัน เงียบลงอย่างเห็นได้ชัด อีกทั้งยังไม่เข้ากับนิสัยของคนทั้งสอง ก่อนหน้านี้ทั้งสองคนพอเจอหน้ากันก็ทะเลาะ ตอนนี้ต่อให้ฟ้าถล่มทั้งสองก็ยังไม่ยอมพูดกัน

เย่เทียนเฉินกำลังคิดถึงเรื่องจดหมายฉบับนั้น ไม่ใช่ว่าเขากลัวการแก้แค้นของตระกูลเซวียนเยวี๋ยน เขาได้คิดวิธีการรับมือแล้ว เพียงแต่กำลังพิจารณาว่าคนที่มีพลังแข็งแกร่งและสามารถบีบอัดพลังลงไปในจดหมายได้ จะแข็งแกร่งขนาดไหนกัน ถ้าหากตนเองทำแบบนี้บ้างจะทำได้หรือไม่? ส่วนฉีหรูเสวี่ยกำลังคิดว่า ตนเองรักเย่เทียนเฉินเข้าจริงๆ แล้ว ตอนนั้นที่อยู่ในห้องครัวจึงอดไม่ได้ที่จะเกิดสถานการณ์ที่ตนไปยั่วยวนเขา แล้วเขาจะใจเต้นหรือเปล่า? หรือบางทีอาจจะเรียกได้ว่ามีความรู้สึกหรือเปล่า? ตนพยายามไล่ตามความสุขของตนอย่างสุดความสามารถ จะประสบความสำเร็จหรือไม่?

“อา!”

ทันใดนั้นเอง ฉีหรูเสวี่ยร้องออกมา เนื่องจากไม่ทันระวังทำให้สะดุดก้อนหินจนล้ม ร่างกายเซไปเบื้องหน้า เย่เทียนเฉินได้สติกลับมาจึงกอดฉีหรูเสวี่ยเอาไว้ด้วยความว่องไว ทั้งสองถูกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างไม่คาดฝันทำให้ชะงักไป ในเวลาเพียงวันเดียวถึงกับกอดกันสองครั้งแล้ว เรื่องดีๆ มักจะมาไม่ถึงสามครั้ง ถ้าหากว่ามีครั้งที่สาม คงจะไม่เกิดเรื่องอะไรขึ้นจริงๆ หรอกนะ?

“โตขนาดนี้แล้วยังไม่รู้จักดูทางอีก ไม่ได้เรียนอนุบาลหรือไง?” เย่เทียนเฉินยิ้มแล้วพูดออกมาอย่างนึกสนุก

“นายสิไม่ได้เรียนอนุบาล ฉันก็แค่ไม่ทันระวังเท่านั้น!” ฉีหรูเสวี่ยจองเย่เทียนเฉินอย่างไม่สบอารมณ์

……………………

Related

“ได้ยินหรือเปล่าเทียนเฉิน กินข้าวเสร็จก็ออกไปเดินรอบๆ กับหรูเสวี่ยนะ!” หลัวเยี่ยนจ้องลูกชายของตนแล้วเอ่ยปากขึ้น

ความจริงแล้วหลัวเยี่ยนเองก็รู้จักแยกแยะเป็นอย่างมาก ทั้งยังเป็นผู้หญิงที่ฉลาดและมีความสามารถ เธอย่อมมองออกว่าครั้งนี้ที่ฉีหรูเสวี่ยมาตระกูลเย่ ไม่เพียงแต่มาขอบคุณในสิ่งที่เธอเคยได้รับ แต่ยังมีความคิดอื่นอีกด้วย นั่นก็คืออยากที่จะจุดประกายความรักกับเย่เทียนเฉิน แม้แต่เย่เชี่ยนเหวินก็ยังมองออก หลัวเยี่ยนจะมองไม่ออกได้อย่างไร?

หลัวเยี่ยนหวังจริงๆ ว่าเย่เทียนเฉินผู้เป็นลูกของตนจะแต่งงานให้เร็วเสียหน่อย ต่อให้ไม่ได้แต่งงานเร็วๆ ก็ควรมีแฟนสาวที่จะสามารถแต่งงานกันได้สักคนหนึ่งก็ยังดี จะอย่างไรเย่เทียนเฉินก่อนหน้านี้ก็ไม่ทำให้พ่อแม่วางใจเลยจริงๆ ก่อเรื่องมากมาย วันๆ เอาแต่ทำตัวเรื่อยเฉื่อย ไม่ร่ำเรียนหนังสือ ตอนนี้ไม่ง่ายเลยกว่าที่จะเห็นเขารู้ความขึ้นมาบ้าง แต่ก็ยังคงสร้างเรื่องไม่หยุดหย่อน ถึงจะถูกแก้ไขไปได้แล้วแต่ก็ทำให้หลัวเยี่ยนและเย่หงรู้สึกกังวลมากขึ้นจริงๆ ในฐานะที่เป็นพ่อแม่ ย่อมหวังให้ลูกๆ ของตนปลอดภัยสงบสุข ดังนั้นพวกเขาจึงต้องการให้เย่เทียนเฉินแต่งงานให้เร็วเสียหน่อย หรือจะมีแฟนที่เป็นตัวเป็นตนก็ยังอยู่ในเหตุผลที่รับได้

ตอนนี้ฉีหรูเสวี่ยมาที่บ้านตระกูลเย่แล้ว ไม่ว่าเย่เทียนเฉินจะชอบหรือไม่ จะรักหรือไม่ ผู้อื่นเขาก็มาเป็นแขก ในฐานะที่เป็นเจ้าบ้านจะต้องไปเป็นเพื่อนถึงจะถูก ดังนั้นหลัวเยี่ยนจึงพูดกับลูกชายด้วยความเคร่งขรึมจริงจัง

“รู้แล้วครับ ขอแค่เธอไม่กลัวว่าออกไปข้างนอกดึกๆ ดื่นๆ ขนาดนี้ผมจะจับเธอไปขาย ก็ไปเดินเล่นกับเธอสักหน่อยก็แล้วกัน!” เย่เทียนเฉินพูดพลางหัวเราะชั่วร้าย

“นายยังไม่กลัวแล้วฉันจะกลัวอะไร…รอดูไปเถอะ!” ฉีหรูเสวี่ยทำแก้มป่องใส่เย่เทียนเฉินอย่างน่ารัก พูดขึ้นด้วยเจตนาท้าทายเต็มที่

“งั้นก็ดี อีกเดี๋ยวฉันจะพาเธอออกไปขาย!” เย่เทียนเฉินหัวเราะฮี่ๆ พูดออกมาด้วยท่าทางเหมือนหมาป่าตัวหนึ่ง

“ใครจะขายใครก็ยังไม่แน่!” ฉีหรูเสวี่ยตอบด้วยท่าทางทะเล้น

ความจริงความประทับใจที่เย่เทียนเฉินมีต่อฉีหรูเสวี่ยก็ไม่เลวเลย ถึงแม้ทั้งสองจะเคยทะเลาะกันบ่อยๆ ดูแล้วเป็นน้ำกับไฟที่เข้ากันไม่ได้ แต่ความจริงความใจดีของฉีหรูเสวี่ย ความอ่อนโยน และฝีมือในการทำอาหารที่อร่อย อีกทั้งยังเป็นคนสวย มีรูปร่างน่าหลงใหล ก้นใหญ่ สิ่งเหล่านี้เย่เทียนเฉินต่างก็เห็นอยู่ในสายตา แต่ก็ยังวางตำแหน่งไว้ให้เป็นเพื่อนที่ดี เพียงแต่รู้สึกไม่อยากพูดถึงความรักระหว่างชายหญิงอยู่บ้าง

ก๊อกๆๆ!

ในตอนนี้เอง นอกประตูคฤหาสน์มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น พวกเขาอดไม่ได้ที่จะชะงักไป สองทุ่มแล้ว ปกติตระกูลเย่มีคนมาหาน้อยมาก เป็นใครที่มาเคาะประตูกัน?

การเคลื่อนไหวของเย่เชี่ยนเหวินว่องไวที่สุด หลังจากที่วางถ้วยวางตะเกียบลงก็วิ่งออกไปเปิดประตู ในตอนที่เธอเปิดประตูออกก็พบว่าบริเวณประตูไม่มีใครอยู่ มีเพียงจดหมายฉบับหนึ่งเท่านั้น ด้านบนเขียนเอาไว้ว่า “ถึงเย่เทียนเฉิน”

เย่เชี่ยนเหวินหยิบจดหมายขึ้นมา รู้สึกแปลกใจมาก ยุคนี้แล้วยังมีใครส่งจดหมายอีก? ยิ่งไปกว่านั้นเอาจดหมายมาวางไว้หน้าประตูแล้วก็จากไป คนที่ส่งจดหมายจะสะเพร่าเกินไปหรือเปล่า? บนจดหมายเขียนว่าถึงพี่ชาย ถ้าไม่กลัวว่าพี่ชายจะโกรธ เย่เชี่ยนเหวินก็อยากจะเห็นจริงๆ ว่าด้านในเขียนอะไรเอาไว้ เป็นใครที่ส่งจดหมายลึกลับนี้มากันแน่

“เชี่ยนเหวิน ใครมาเหรอ?” หลัวเยี่ยนอดไม่ได้ที่จะมองไปที่ประตูคฤหาสน์แล้วเอ่ยถาม

“ไม่มีใคร มีแค่จดหมายฉบับเดียว!” เย่เชี่ยนเหวินปิดประตูคฤหาสน์ เดินกลับมาพลางพูดขึ้น

เมื่อได้ยินคำพูดของเย่เชี่ยนเหวิน เย่เทียนเฉิน หลัวเยี่ยนและฉีหรูเสวี่ยก็รู้สึกสงสัยและแปลกใจ วางตะเกียบและถ้วยลงแล้วพากันเดินมาที่ห้องโถง มองจดหมายสีขาวในมือของเย่เชี่ยนเหวิน เย่เทียนเฉินขมวดคิ้ว สัญชาตญาณบอกเขาว่า ผู้มาเยือนไม่ได้มาดี

“เทียนเฉิน ใครส่งจดหมายให้ลูกกัน?” หลัวเยี่ยนมองจดหมายฉบับนั้นแล้วเอ่ยถามออกมาอย่างแปลกใจ ยังไม่ต้องพูดถึงว่าตอนนี้ในยุคปัจจุบันจะยังมีใครใช้จดหมายกันอยู่อีก แค่เรื่องที่มาส่งจดหมายตอนดึกๆ ดื่นๆ ก็เพียงพอที่จะทำให้คนอื่นสงสัยได้แล้ว

เย่เทียนเฉินรับจดหมายมาจากในมือของเย่เชี่ยนเหวิน เขาเองก็สงสัยเช่นกัน ทันใดนั้นเอง เขาสัมผัสได้ถึงกระแสของพลังงานอันแปลกประหลาดจึงขมวดคิ้วขึ้น จากนั้นจึงพูดออกไปด้วยรอยยิ้ม “แม่ครับ ผมขึ้นไปข้างบนนะครับ!”

“ของอะไรทำไมต้องขึ้นไปชั้นบน? เปิดอ่านตอนนี้ไม่ได้หรือ?” หลัวเยี่ยนไม่ได้ต้องการวุ่นวายเรื่องส่วนตัวของลูกชาย แต่เธอรู้สึกเป็นห่วงจึงได้ถามแบบนี้ออกมา

“ฮี่ๆ จดหมายรักแบบนี้ไม่ใช่อะไรที่คุณแม่จะดูได้นะครับ!”

พูดจบเย่เทียนเฉินก็ไม่รอให้หลัวเยี่ยนเอ่ยปากอีกครั้ง รีบวิ่งขึ้นไปที่ชั้นสองและเข้าไปในห้องของตนก่อนจะปิดประตู ทำให้หลัวเยี่ยน เย่เชี่ยนเหวินและฉีหรูเสวี่ยที่อยู่ในห้องโถงชั้นหนึ่งต่างรู้สึกแปลกใจมาก ดึกๆ ดื่นๆ ขนาดนี้ยังมีคนมาส่งจดหมายรัก อีกทั้งส่งเสร็จก็รีบหนีไป จะแปลกไปหรือเปล่า?

ทุกคนไม่รู้เลยว่า เย่เทียนเฉินที่เพิ่งจะเข้ามาที่ห้องของตน จะรีบกางเขตแดนปิดกั้นออกมาทันที ขอบเขตครอบคลุมพื้นที่ประมาณ 1-2 เมตรรอบตัวเท่านั้น เนื่องจากเย่เทียนเฉินรู้สึกได้ถึงพลังงานอันแข็งแกร่งที่ปะทุอยู่ในจดหมายฉบับนี้ หากระเบิดออกมาเกรงว่าคงจะระเบิดจนคฤหาสน์ทั้งหลังปลิวไปแน่นอน

จุดเด่นที่สุดของเขตแดนปิดกั้นก็คือ ไม่เพียงแต่จะสามารถปิดกั้นเสียงทั้งหมดได้ แต่ยังสามารถควบคุมขอบเขตของการระเบิดให้อยู่ในเขตแดนได้อีกด้วย แน่นอนว่าจะต้องไปถึงระดับเขตแดนที่แน่นอนเสียก่อนถึงจะสามารถควบคุมได้

ตอนนี้ภายในขอบเขตสองเมตร เย่เทียนเฉินได้กางเขตแดนปิดกั้นของตนเอาไว้แล้ว มือซ้ายถือจดหมาย ค่อยๆ ส่งพลังพิเศษแห่งการรับรู้เข้าไป เขารับรู้ได้ถึงพลังอันแข็งแกร่งสายหนึ่งกำลังไหลเวียนอยู่ ส่วนพลังนี้จะร้ายกาจมากขนาดไหนเขาเองก็ไม่รู้ แต่เขาไม่อาจทำให้แม่น้องและฉีหรูเสวี่ยต้องพบกับอันตราย ดังนั้นทันทีที่วิ่งเข้ามาในห้องของตนก็รีบล็อคประตูและกางเขตแดนปิดกั้นออกมา ต่อให้พลังงานอันมหาศาลที่อัดแน่นอยู่ภายในจดหมายระเบิดออก ก็จะถูกเขาควบคุมให้อยู่ในขอบเขตที่แน่นอน ทำร้ายเขาได้แต่จะไม่ให้ทำร้ายครอบครัวอย่างเด็ดขาด

ผู้มาเยือนไม่ได้มาดีแน่นอน หากไม่ใช่ว่าพลังพิเศษแห่งการรับรู้ของตนแข็งแกร่งขึ้นจนถึงระดับหนึ่ง จะไม่มีทางค้นพบอย่างแน่นอน ในจดหมายฉบับนี้มีพลังอันแข็งแกร่งซ่อนอยู่ คนธรรมดาอย่างแม่และน้องจะรู้ได้อย่างไร? เมื่อเปิดจดหมายออก จะต้องทำให้เกิดการระเบิดของพลังงานอันมหาศาลแน่ จากสิ่งที่เย่เทียนเฉินสัมผัสได้ในตอนนี้ เกรงว่าคฤหาสถ์ทั้งหลังคงจะถูกระเบิดจนปลิว ถ้าหากว่าตนไม่อยู่ที่บ้าน และจดหมายถูกแม่และน้องเปิดออก ผลลัพธ์คงเลวร้ายไม่อาจจินตนาการ จะเป็นใครกันแน่ที่โหดเหี้ยมถึงขนาดนี้? เย่เทียนเฉินมีใจคิดจะฆ่าขึ้นมาแล้ว จะต้องกำจัดปัญหานี้ออกไปให้ได้

ใครก็คิดไม่ถึงว่า ในจดหมายเล็กๆ ฉบับหนึ่งจะอัดแน่นไปด้วยพลังงานอันมหาศาลแบบนี้ เย่เทียนเฉินระมัดระวังเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากนี่เป็นเคล็ดวิชาพลังพิเศษอันสูงส่งลึกล้ำประเภทหนึ่ง ซึ่งเป็นการนำพลังพิเศษอันมหาศาลอัดแน่นให้เล็กเท่าเม็ดข้าว เล็กเท่าเม็ดข้าวจนไม่อาจเล็กไปกว่านี้ได้ เมื่อระเบิดออกมายังร้ายกาจยิ่งกว่าขีปนาวุธเป็นร้อยเท่า ก็เหมือนกับผู้แข็งแกร่งระดับเทพราชันในตำนานเล่าขาน ที่สามารถคว้าดาวเอาไว้ในมือได้ นี่ก็เป็นเคล็ดวิชาที่แข็งแกร่งมากอย่างหนึ่ง

ฉัวะ!

เย่เทียนเฉินเปิดจดหมายสีขาวในมือซ้ายออกทันที พริบตานั้นพลังพิเศษอันมหาศาลฟุ้งกระจายออกมา กระทั่งเย่เทียนเฉินก็รู้สึกถึงอันตรายจึงรีบใช้โล่พลังพิเศษเบื้องหน้าของตนอย่างรวดเร็ว

ตู้ม!

เสียงที่เรียกได้ว่าดังลั่นสนั่นฟ้าดังขึ้น เพียงแต่ถูกเขตแดนปิดกั้นที่เย่เทียนเฉินใช้ควบคุมเอาไว้ มิเช่นนั้นเมื่อระเบิดออกมาและเย่เทียนเฉินประเมินพลังและวิธีการของมันต่ำเกินไป เกรงว่าคงไม่จบแค่คฤหาสน์ตระกูลเย่ของเขาถูกระเบิดจนปลิว ถูกระเบิดจนแหลกเป็นเสี่ยงๆ แต่กระทั่งเขตคฤหาสน์ผืนนี้ก็คงกลายเป็นพื้นราบ ดูท่าคนที่มาส่งจดหมายคิดจะส่งคนตระกูลเย่ทุกคนไปขึ้นสวรรค์ในชั่วพริบตา โหดเหี้ยมเป็นอย่างมาก

ภายในเขตแดนปิดกั้น เสียงดังสนั่น โล่พลังพิเศษเบื้องหน้าเย่เทียนเฉินถูกระเบิดจนแหลกสลาย เขาให้ความสำคัญกับพลังป้องกันมาโดยตลอด และลงทุนลงแรงกับเคล็ดวิชาโล่พลังพิเศษนี้ไปมาก นี่เป็นครั้งแรกที่โล่พลังพิเศษของเขาถูกคนอื่นทำให้แตกได้ จินตนาการได้เลยว่าพลังที่ระเบิดออกมาจากจดหมายน่าหวาดกลัวเพียงใด โล่พลังของเขาถึงกับแตกเป็นเสี่ยงๆ กระทั่งเขตแดนปิดกั้นก็เกือบจะพังทลาย ผู้ลงมือสามารถนำพลังพิเศษอันมหาศาลนี้อัดแน่นลงไปในจดหมายเล็กๆ ฉบับเดียวได้ วิธีการที่แข็งแกร่งขนาดนี้ทำให้เย่เทียนเฉินรู้สึกตื่นตะลึง ท่าทางอีกฝ่ายจะเป็นผู้มีพลังพิเศษที่แข็งแกร่งมากคนหนึ่ง ไม่อาจดูเบาได้

ตอนนี้เอง เบื้องหน้าของเย่เทียนเฉินมีตัวอักษรแถวหนึ่งปลิวออกมา ซึ่งเป็นตัวอักษรที่เขียนขึ้นจากพลังพิเศษ หลังจากที่ปรากฏขึ้นก็จะสลายไปในทันที แต่ก็มีเวลาเพียงพอที่จะทำให้ผู้รับมองเห็นอย่างชัดเจน

“เย่เทียนเฉิน แกฆ่าลูกหลานตระกูลเซวียนเยวี๋ยนของฉัน ฉันก็จะให้ตระกูลเย่ทั้งตระกูลตายเป็นเพื่อน ไม่ให้เหลือแม้แต่ไก่สักตัว หากแต่ไม่ตายก็ดี ฉันจะให้แกได้เห็นคนใกล้ชิดของแกตายไปต่อหน้าต่อตาแกทีละคน!”

ท้าทาย คุกคามและข่มขู่ นี่คือสารท้ารบที่มาจากตระกูลเซวียนเยวี๋ยน เย่เทียนเฉินขมวดคิ้ว เขาคิดไม่ถึงเลยว่าการแก้แค้นของตระกูลเซวียนเยวี๋ยนจะมาถึงรวดเร็วขนาดนี้ และคิดไม่ถึงว่าในตระกูลเซวียนเยวี๋ยนจะมียอดฝีมือแบบนี้อยู่ เกรงว่านี่จะเป็นคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งที่สุดเท่าที่เขาเคยพบหลังจากที่มาเกิดใหม่ในโลกใบนี้ ดูจากวิธีการที่พลังพิเศษอันมหาศาลที่แฝงอยู่ในจดหมายระเบิดออกมาเพียงอย่างเดียวก็ทำให้คนต้องตื่นตะลึงจนตาค้างแล้ว กระทั่งเย่เทียนเฉินเองก็ไม่กล้าดูเบาแม้แต่ครึ่งส่วน

“ตระกูลเซวียนเยวี๋ยน ดูท่าฉันจะต้องเตรียมตัวให้เร็วสักหน่อยแล้ว!” เย่เทียนเฉินกำมือขวาเบาๆ ตัวอักษรเบื้องหน้าสลายไปหมดแล้ว ในสายตาของเขาปรากฏความโกรธราวเปลวเพลิงขึ้น เมื่อต้องเผชิญหน้ากับตระกูลเซวียนเยวี๋ยนที่ทรงอำนาจและกดดันผู้คนเช่นนี้ เย่เทียนเฉินไม่มีความกลัวอยู่เลย เขาเพียงกำลังคิดว่า จะกำจัดตระกูลเซวียนเยวี๋ยนอย่างไรภายใต้สถานการณ์ที่ต้องคุ้มครองคนในครอบครัว ผู้อื่นมาหาเรื่องถึงประตูแล้ว ถ้ายังไม่ลงมืออีกก็สายเกินไป

ก๊อกๆ!

ประตูห้องนอนมีเสียงเคาะประตูดังขึ้น จากนั้นจึงตามมาด้วยเสียงของแม่ “เทียนเฉิน อ่านจบหรือยัง รีบออกมาเถอะ ไปเดินเล่นเป็นเพื่อนหรูเสวี่ยสักหน่อย!”

เย่เทียนเฉินรู้ว่าแม่เป็นห่วงตน บางทีที่ตนพูดว่าเป็นจดหมายรักอาจจะหลอกเย่เชี่ยนเหวินได้ แต่กลับไม่สามารถหลอกหลัวเยี่ยนที่ฉลาดเฉลียวได้ เขาอดไม่ได้ที่จะสูดหายใจเย็นยะเยือก วันนี้หากไม่ใช่เพราะตนอยู่บ้าน ผลกระทบที่มีต่อแม่และน้องคงไม่อาจจินตนาการได้เลยจริงๆ

“พ่อแม่ เชี่ยนเหวิน ผมจะต้องคุ้มครองทุกคนให้ได้ ไม่ว่าจะเป็นใคร กล้ามาคุกคามความปลอดภัยของทุกคน ผมจะต้องทำให้มันไม่มีโอกาสได้เห็นพระอาทิตย์วันพรุ่งนี้อีก ในเมื่อสวรรค์มอบความโปรดปรานให้กับผมแล้ว ในเมื่อได้มีชีวิตใหม่แล้ว ถ้างั้นผมจะต้องคุ้มครองทุกสิ่งทุกอย่างที่มีในตอนนี้ ครอบครัวของผม มิตรสหายของผม ใครกล้ามาทำร้าย? ก็ต้องใช้ชีวิตเข้าแลก!” ในใจของเย่เทียนเฉินทำการตัดสินใจแล้ว จากนั้นจึงเดินไปที่ประตูห้อง

…………………..

Related

เย่เทียนเฉินและเย่เชี่ยนเหวินสองคนกำลังทะเลาะกันอยู่ที่ห้องโถง เมื่อเห็นว่าหลัวเยี่ยนผู้เป็นแม่และฉีหรูเสวี่ยเดินลงมาจากชั้นสองของคฤหาสถ์แล้วจึงหยุดทะเลาะ เนื่องจากแม่สวมรองเท้าส้นสูงคู่งามเดินลงมาจากชั้นบนแล้ว ซึ่งก็คือรองเท้าที่ฉีหรูเสวี่ยซื้อให้เธอ

“ว้าว แม่คะ แม่ใส่รองเท้าส้นสูงแล้วดูดีจริงๆ!” เย่เชี่ยนเหวินวิ่งมาอย่างร่าเริง เกาะแขนผู้เป็นแม่แล้วพูดด้วยรอยยิ้ม

“พระเจ้า นี่ผมเห็นอะไรกัน? นางเซียนลงมาจากสวรรค์หรือ? แม่ครับ ผมไม่พูดไม่ได้แล้ว พอแม่สวมรองเท้าส้นสูงคู่นี้ก็ดูเด็กลงไปอย่างน้อยก็ยี่สิบปี ไม่สิ สามสิบปีเลย องค์จักรพรรดินี โปรดประทานโอกาสให้กระหม่อมได้เต้นรำกับพระองค์ด้วยเถิด…” เย่เทียนเฉินกล่าวชมเกินจริงขึ้นมาก หยอกล้อจนหลัวเยี่ยนจนอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา สองพี่น้องคู่นี้บางครั้งก็ทำให้เธอเบิกบานใจจริงๆ

“พวกลูกสองพี่น้องไม่กลัวหรูเสวี่ยหัวเราะเยาะจริงๆ สินะ จะทำท่าทางเว่อร์กันเกินไปหรือเปล่า?” ปากของหลัวเยี่ยนก็พูดเช่นนี้แต่ในใจกลับรู้สึกยินดีมาก ใครบ้างที่ไม่ชอบให้คนอื่นชมว่าตนดูเด็กลง? โดยเฉพาะเมื่อใช้ชีวิตมาจนถึงอายุเท่าเธอ คนที่ชมตนก็ยังเป็นลูกชายลูกสาว เมื่อได้สัมผัสกับความสัมพันธ์แบบนี้ทำให้รู้สึกยินดีอย่างหาใดเปรียบจริงๆ

“กลัวอะไร พี่สาวหรูเสวี่ยไม่ใช่คนนอก อีกอย่าง ไม่แน่ว่าอีกไม่นานก็จะกลายเป็นครอบครัวเดียวกันแล้ว…” เย่เชี่ยนเหวินเป็นคนเก็บความลับไม่อยู่ ยิ้มออกมาอย่างเจ้าเล่ห์ พูดทางจงใจมองไปยังพี่ชายของตน

แก้มงามของฉีหรูเสวี่ยแดงระเรื่อ ในใจของเธอคิดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในครัวเมื่อสักครู่นี้ ความจริงรู้สึกเขินอายอยู่บ้าง คิดไม่ถึงว่าตนจะต้องการยั่วยวนเย่เทียนเฉินโดยไม่รู้ตัว หรือว่าในใจลึกๆ จะหลงรักผู้ชายคนนี้จนถึงขั้นนั้นแล้ว? ฉีหรูเสวี่ยทำให้ตัวเองตกใจครั้งใหญ่จริงๆ

“อือฮึ แม่ครับ แต่ผมพูดจริงนะครับ รองเท้าส้นสูงคู่นี้ใครใส่ก็ดูดีไม่เท่าแม่ใส่ รองเท้าส้นสูงคู่นี้สร้างมาเพื่อแม่จริงๆ ไม่สิ ต้องบอกว่าโรงงานที่ผลิตรองเท้าหนังแห่งนี้มีอยู่เพื่อแม่โดยเฉพาะ!” เย่เทียนเฉินพูดด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมโดยที่สีหน้าไม่เปลี่ยนเลยแม้แต่น้อย

ความจริงแล้ว ในตระกูลเย่ มีบรรยากาศแห่งความสุขเช่นนี้มาตลอด เดิมทีหลัวเยี่ยนเองก็ไม่อยากจะทำตัวเป็นแม่หัวโบราณอะไรอยู่แล้ว ส่วนเย่เชี่ยนเหวินก็มีนิสัยร่าเริง น่ารักเป็นอย่างมาก คอยบ่นเรื่องพี่ชายให้แม่ฟังเป็นระยะ เป็นชีวิตธรรมดาๆ เท่านั้น และเนื่องจากเย่เทียนเฉินที่ให้เงินค่าขนมเย่เชี่ยนเหวินเดือนละร้อยหยวนรับไม่ได้ที่เด็กคนนี้ไปฟ้องแม่ จึงได้ประนีประนอมกัน ส่วนเย่เทียนเฉินที่มีนิสัยทั้งอันธพาลและคล้ายกับมัจจุราช กล่าวคือในตอนที่ไม่มีเรื่องอะไรก็สามารถพูดคุยหยอกล้อได้ ตอนที่มีเรื่องก็เป็นจักรพรรดิที่ไม่อาจหาเรื่องได้

ที่สำคัญที่สุดก็คือ หลังจากที่เย่เทียนเฉินมาเกิดใหม่ในโลกแห่งนี้ มีความหวงแหนต่อครอบครัวมากขึ้นเป็นเท่าตัว ความหวังสูงสุดของเขาก็คือการที่สามารถใช้ชีวิตอย่างเบิกบานใจกับพ่อแม่และน้องสาวชั่วชีวิต ปกป้องพวกเขาไม่ให้พบกับความไม่เป็นธรรมใดๆ ตอนนี้ดูแล้วคงจะไม่ได้ ในเมื่อไม่ได้ก็ต้องทำให้ตนเองแข็งแกร่งยิ่งขึ้น ใครที่ขวางทางก็ฆ่าให้หมด ถึงจะสามารถสงบได้

“แม่ว่านะเทียนเฉิน ลูกอย่าเอาแต่พูดเลย ลูกยังไม่รู้ความเท่าหรูเสวี่ยด้วยซ้ำ เป็นประธานกรรมการแห่งเครือไห่หวางที่สง่าผ่าเผย แต่ของขวัญสักชิ้นก็ไม่เคยซื้อให้แม่กับน้อง ลูกก็จะขี้งกเกินไปหรือเปล่า ขนาดจะให้แม่กับน้องใช้เงินเล็กน้อยก็ยังทำใจไม่ได้…เฮ้อ เลี้ยงลูกชายนี่ไม่ง่ายเลยจริงๆ!”

หลัวเยี่ยนเห็นเย่เทียนเฉินทำท่าทางทาง ก็จงใจแสร้งทำเหมือนได้รับความไม่ยุติธรรมออกมาบ้าง ทำให้ฉีหรูเสวี่ย เย่เชี่ยนเหวินและเย่เทียนเฉินที่อยู่ด้านข้างมองจนตกตะลึง ใครก็คิดไม่ถึงว่าแม่จะใช้ลูกไม้นี้ ดูถูกไม่ได้จริงๆ แสดงออกมาได้ดียิ่งกว่าพวกเขามากนัก ขิงยิ่งแก่ก็ยิ่งเผ็ด นี่ไม่เพียงแต่ทำให้เย่เทียนเฉินคิดถึงสิ่งที่หลัวเยี่ยนแสดงออกมาที่ตระกูลหลัว ทำให้เขาต้องยกนิ้วให้จริงๆ

“ใช่แล้ว เฮ้อ เป็นน้องสาวนี่ก็ไม่ได้รับสวัสดิการอะไรเลย พี่ชายเป็นถึงประธานคณะกรรมการแห่งเครือไห่หวางที่มีมูลค่านับร้อยล้าน แต่ก็ไม่เคยเห็นจะให้ของขวัญเลย…” เย่เชี่ยนเหวินเองก็แสดงไปกับหลัวเยี่ยน เข้าข้างหลัวเยี่ยนอย่างรวดเร็ว ทำให้ผู้คนต้องรู้สึกอับจนคำพูดจริงๆ

เมื่อเห็นว่าเย่เทียนเฉินไม่พูดอะไร หลัวเยี่ยนก็รีบหันไปพูดกับฉีหรูเสวี่ยที่อยู่ด้านข้าง “หรูเสวี่ยก็พูดอะไรหน่อยเถอะ เทียนเฉินก็จะขี้งกเกินไปแล้ว”

“ใช่แล้วพี่สาวหรูเสวี่ย พี่เองก็ว่าพี่ชายบ้างเถอะ เขาจะขี้เหนียวเกินไปแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งขี้เหนียวกับน้องสาวมาก…แบร่!” เย่เชี่ยนเหวินพูดพลางหันไปแลบลิ้นให้เย่เทียนเฉิน จงใจยั่วโมโห

“อา…” ฉีหรูเสวี่ยชะงักไป แก้มเล็กๆ แดงระเรื่อ กัดริมฝีปากล่างเบาๆ ไม่รู้จะพูดอะไรดี เธอยังคงจมอยู่ในความกระอักกระอ่วนเมื่อสักครู่นี้อยู่

“แม่ น้อง พวกแม่เห็นไหม? มีแต่พวกคุณแม่สองคนที่บอกว่าผมขี้งก ไปบอกให้หรูเสวี่ยพูด เธอก็พูดไม่ออกใช่ไหม? ความจริงผมคนนี้ใจกว้างมาก แต่พวกแม่คิดเล็กคิดน้อยเกินไป!”

เย่เทียนเฉินส่ายหน้า พูดจาให้ตัวเองสบายใจ ไม่ใช่ว่าเขารู้สึกเสียดายที่จะให้แม่และน้องใช้เงิน แต่เป็นเพราะเหมือนที่เขากล่าวกันว่า สำหรับเย่เทียนเฉินแล้วยิ่งเงินเยอะก็ไม่มีประโยชน์อะไรแม้แต่น้อย ไม่มีเรื่องอะไรที่จะสำคัญกว่าครอบครัว เพียงแต่ด้วยนิสัยของเขาไม่เคยคิดถึงเรื่องของขวัญอะไรนี่เลย ยิ่งไปกว่านั้นอีคิวของเขาก็ต่ำเตี้ยเรี่ยดินขนาดนี้ ไม่คิดเรื่องซื้อของอะไรโดยสิ้นเชิง ตอนนี้เห็นแม่และน้องร่วมมือกันรุมตัวเองก็รีบแก้ตัวออกมา

ไหนเลยจะรู้ว่า ในตอนที่เย่เทียนเฉินกำลังได้ใจ เตรียมจะหมุนตัวเดินไปนั้น ฉีหรูเสวี่ยจะพูดขึ้นว่า “นี่ ก่อนหน้านี้นายแอบกินกุ้งมังกรของฉัน ตอนนี้ยังแอบกินเนื้อที่ฉันทำอีก ไม่คิดว่าควรจะซื้อของขวัญตอบแทนฉันบ้างหรือไง?”

ฉีหรูเสวี่ยพูดจาทำให้ผู้คนตกใจได้จริงๆ เมื่อคำพูดนี้ของเธอถูกกล่าวออกมา เย่เทียนเฉินก็มึนงงลงทันตา ต้องกล่าวว่าเขาเป็นลูกผู้ชายคนหนึ่ง จะไปแอบกินอะไรได้อย่างไร ทั้งๆ ที่เขาได้กลับชาติมาเกิดใหม่จากดาวสิ้นโลก สิ่งที่ชอบที่สุดก็คือการกินอาหารเลิศรสบนโลกนี้ ตอนนี้ถูกฉีหรูเสวี่ยพูดแบบนี้ใส่ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก หลัวเยี่ยนและเย่เชี่ยนเหวินที่ได้เห็นก็อดไม่ได้ที่จะแอบหัวเราะ คิดว่าฉีหรูเสวี่ยร้ายกาจกว่าพวกเธอมากนัก พูดประโยคเดียวก็ควบคุมเย่เทียนเฉินได้แล้ว

“ฉัน…นั่นเรียกว่าแอบกินได้เหรอ? ฉันใช้ร่างกายทดสอบพิษ ทดสอบดูว่าอาหารที่เธอทำมีปัญหาหรือเปล่า…” เย่เทียนเฉินคิดคำแก้ตัวไม่ออกจริงๆ เขาพูดพลางยักไหล่

“อ้อ กุ้งมังกรตัวใหญ่ที่ฉันทำก่อนหน้านี้คุณน้ากับน้องเชื่อยนเหวินก็กินไปก่อนแล้ว ส่วนเนื้อวัวตุ๋นหัวไชเท้า น้องเชี่ยนเหวินก็ชิมไปก่อนแล้ว ต้องให้นายมาทดสอบอีกเหรอ? แล้วยังมีผลไม้จานนั้นอีก ไม่รู้ว่าใครแอบลงมากินตอนกลางคืน จนท้องเสียไปหนึ่งวันเต็มๆ!” ฉีหรูเสวี่ยพูดกับเย่เทียนเฉินแล้วยู่ปากเล็กๆ อันน่ารักขึ้น

“เธอสารภาพเองแล้วใช่ไหม? ผลไม้จานนั้นเธอจงใจวางยา จงใจแกล้งฉัน ในที่สุดก็สารภาพออกมาเองแล้ว!” เย่เทียนเฉินมองไปยังฉีหรูเสวี่ยแล้วพูดขึ้นด้วยท่าทางดุดัน

“เปล่านะ นายสมควรได้รับมันแล้ว แอบมาขโมยของกินตอนกลางคืน กินผลไม้จานใหญ่หมดไปขนาดนั้นไม่ท้องเสียก็แปลกแล้ว…” ฉีหรูเสวี่ยเองก็ไม่ยอมอ่อนข้อแม้แต่น้อย เธอพูดขึ้นพลางยักไหล่สูง

หลัวเยี่ยนและเย่เชี่ยนเหวินที่อยู่ข้างๆ เห็นเย่เทียนเฉินและฉีหรูเสวี่ยตีฝีปากกันโดยไม่รับรู้ถึงคนอื่นโดยสิ้นเชิง จนทำให้บรรยากาศอบอุ่นขึ้นมา ก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มน้อยๆ ในสายตาของพวกเธอ เย่เทียนเฉินและฉีหรูเสวี่ยเหมาะสมกันมาก บางทีใครหลายคนอาจจะบอกว่า หลัวเยี่ยนผู้เป็นแม่และเย่เชี่ยนเหวินผู้เป็นน้องสาวจะคิดมากเกินไปหรือเปล่า? เมื่อเห็นผู้หญิงคนหนึ่งก็ดูเหมือนจะต้องการให้มาเป็นพี่สะใภ้ลูกสะใภ้ของตนทันที หากคุณมีลูกชายหรือพี่ชายที่เคยใช้ชีวิตว่างเปล่าไม่ยอมร่ำเรียนหนังสือมาตลอดจนอายุยี่สิบ และยังดูท่าทางติดเล่นอยู่มาก กระทั่งแฟนก็ไม่มี ยิ่งไม่เข้าใจเรื่องความรัก อีคิวก็ต่ำเตี้ยเรี่ยดิน คุณก็จะรู้สึกกังวลมาก จะรีบจัดการเรื่องการแต่งงานซึ่งเป็นเรื่องใหญ่ในชีวิตของเขา

“เอาล่ะๆ เทียนเฉิน เอาแบบนี้แล้วกัน ของขวัญเหล่านี้เพื่อแสดงถึงหนี้ที่ลูกติดค้างพวกเรา ส่วนของแม่และน้องรอก่อนก็ได้ แต่ลูกจะต้องซื้อของขวัญให้หรูเสวี่ย เป็นของแทนคำขอโทษและของตอบแทน!” หลัวเยี่ยนพูดขัดเย่เทียนเฉินและฉีหรูเสวี่ยด้วยรอยยิ้ม

“เอ๋? แม่ครับ ผมไม่ได้ติดหนี้อะไรเธอ แล้วยังต้องให้ของขวัญอีก จะวุ่นวายเกินไปหรือเปล่า?” เย่เทียนเฉินพูดพลางกรอกตาใส่ฉีหรูเสวี่ย

“ลูกนี่นะ ก่อนหน้านี้ตอนที่หรูเสวี่ยอาศัยอยู่ในบ้านของพวกเรา ลูกกินข้าวที่ใครทำ ตอนนี้ไม่ง่ายเลยกว่าที่หรูเสวี่ยจะมาเยี่ยมสักครั้ง และทำกับข้าวให้พวกเรากิน ลูกก็ไปแอบกินเป็นคนแรก มอบของขวัญให้เธอก็เป็นเรื่องเหมาะสม เอาตามนี้แล้วกัน ไม่งั้นแม่จะโกรธแล้ว!” หลัวเยี่ยนมองไปยังเย่เทียนเฉินแล้วพูดขึ้นอย่างจริงจัง

ต้องกล่าวว่าบนโลกแห่งนี้คนที่สามารถสยบเย่เทียนเฉินได้มากที่สุดก็คือหลัวเยี่ยนอย่างแน่นอน นี่ไม่ใช่ความหวาดกลัว และก็ไม่ใช่คำสั่ง แต่เป็นการตอบแทนความรักที่ครอบครัวและพ่อแม่มีให้กับเขา เมื่อเห็นแม่ดูจริงจังขึ้นมาจริงๆ เย่เทียนเฉินก็ส่งเสียงตอบรับออกมา มองไปยังฉีหรูเสวี่ยที่แย้มยิ้มราวดอกไม้บาน ถือว่าเธอชนะไปอีกครั้งแล้ว เขาทอดถอนใจออกมาอย่างจนคำพูด เดินเข้าไปในครัวเตรียมกินข้าว

การตั้งโต๊ะกินข้าวเป็นหน้าที่ของเย่เทียนเฉินและเย่เชี่ยนเหวิน เนื่องจากฉีหรูเสวี่ยมาหา หลัวเยี่ยนย่อมต้องอยู่คุยเป็นเพื่อนเธอด้วยตัวเอง และเธอชอบฉีหรูเสวี่ยมากด้วย ในหมู่ผู้หญิงที่มาติดพันลูกชายในช่วงนี้ คนที่หลัวเยี่ยนพึงพอใจมากที่สุดก็คือฉีหรูเสวี่ย ยอดเยี่ยมไปทุกด้านจริงๆ จุดอ่อนเพียงข้อเดียวก็คือดูเหมือนว่าลูกชายจะไม่มีความรู้สึกอะไรต่อฉีหรูเสวี่ย

สองทุ่มท้องฟ้ามืดแล้ว เย่เทียนเฉิน เย่เชี่ยนเหวิน หลัวเยี่ยน และฉีหรูเสวี่ยต่างนั่งล้อมกินข้าวกันบนโต๊ะอาหารอย่างมีความสุข กระทั่งการทะเลาะกันของเย่เทียนเฉินและเย่เชี่ยนเหวินในตอนแรกก็ลืมไปหมดแล้ว พวกเขากินไปพลางพูดคุยไปพลาง เมื่อรวมเข้ากับเนื้อตุ๋นหัวไชเท้าที่ฉีหรูเสวี่ยทำซึ่งอร่อยเลิศเป็นอย่างมาก ทำให้ทุกคนกินข้าวกันอย่างมีความสุข มีหลายครั้งที่เย่เชี่ยนเหวินแย่งเนื้อมาจากในถ้วยของเย่เทียนเฉิน ทำให้เย่เทียนเฉินโกรธจนพูดอะไรไม่ออก

“เทียนเฉิน กินข้าวเสร็จลูกก็ไปเดินเล่นกับหรูเสวี่ยสักหน่อยเถอะ ถึงแม้หรูเสวี่นจะอยู่ที่บ้านตระกูลเย่ของพวกเรามาระยะหนึ่ง แต่ก็ยังไม่คุ้นเคยกับสภาพแวดล้อมของเขตคฤหาสถ์นี้ ลูกพาไปเดินดูรอบๆ สักหน่อยแล้วกัน!” หลัวเยี่ยนเอ่ยปากพูดด้วยรอยยิ้ม

“ไม่ต้องหรอกค่ะคุณน้า หนูเดินไปดูเองก็ได้!” ฉีหรูเสวี่ยพูดด้วยรอยยิ้มหวานเยิ้ม

“จะทำอย่างนั้นได้ยังไง หนูเป็นแขก ให้เทียนเฉินไปเดินรอบๆ เป็นเพื่อนเถอะ ถ้าเด็กคนนี้กล้ารังแกหนู หนูก็มาบอกน้าได้เลย น้าจะจัดการเขาให้!” หลัวเยี่ยนจ้องไปยังลูกชายของตนแล้วพูดขึ้น

เย่เทียนเฉินรู้สึกอับจนคำพูดโดยสิ้นเชิง เขารู้ว่าแม่และน้องสาว อีกทั้งยังมีฉีหรูเสวี่ย ผู้หญิงสามคนนี้อยู่ฝ่ายเดียวกัน ตนเองพูดไปจะไม่นับเป็นการหาเรื่องหรือไง? หุบปากกินเนื้อตุ๋นหัวไชเท้าเลิศรสไปเงียบๆ จะดีกว่า!

…………………..

Related

“แม่ครับ ผมกับหรูเสวี่ยเป็นแค่เพื่อนธรรมดาๆ ไม่ได้เป็นแบบที่พวกแม่คิด แล้วเมื่อกี้เชี่ยนเหวินก็เข้าใจผิด เมื่อกี้ไม่ทันได้ระวังก็เลย…” เย่เทียนเฉินพูดขัดคำพูดของหลัวเยี่ยนผู้เป็นแม่ เขาไม่อยากถูกแม่และน้องสาวเข้าใจผิดต่อไป หากปล่อยไว้นานจนคนในบ้านเห็นด้วย จะต้องซวยแน่

“เทียนเฉิน เด็กคนนี้นี่ แม่ยังไม่ได้พูดอะไรเลย ลูกกับหรูเสวี่ยเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันแม่ก็ดีใจแล้ว ส่วนเรื่องของวัยรุ่นอย่างพวกลูก แม่จะไม่ยุ่ง แล้วก็คงยุ่งไม่ได้ด้วย ปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติเถอะ!” หลัวเยี่ยนก็พูดขัดคำพูดของเย่เทียนเฉินเช่นกัน

“แม่ครับ ความหมายของผมก็คือ…”

“เอาล่ะ แม่รู้แล้ว ปล่อยมันไปเถอะ ลูกกินอิ่มแล้วแต่พวกเรายังหิวอยู่นะ!”

หลัวเยี่ยนไม่ให้โอกาสเย่เทียนเฉินพูดต่อไปอีก เธอย่อมมองความคิดของลูกชายออก และรับรู้ความรู้สึกของฉีหรูเสวี่ยด้วย จึงไม่อยากให้ลูกชายพูดต่อไป ประการแรกก็เพราะไม่อยากให้ฉีหรูเสวี่ยต้องอยู่ในสถานการณ์ที่น่าอับอาย ไม่อยากทำให้เด็กสาวที่ทั้งเฉลียวฉลาดรู้ความและทั้งหน้าตาสวยงามคนนี้ต้องปวดใจ ประการที่สองก็เพราะรู้ว่า ในตอนนี้เย่เทียนเฉินผู้เป็นลูกชายยังไม่มีความรู้สึกอะไรกับฉีหรูเสวี่ย ไม่มีความรักหนุ่มสาวอะไรเลย รวมกับที่ลูกชายมีอีคิวต่ำมาโดยตลอด ดังนั้นหลัวเยี่ยนจึงต้องการให้โอกาสลูกมากๆ หน่อย ความรู้สึกจะต้องได้รับการบ่มเพาะ รักแรกพบก็เป็นแค่เรื่องเล่าขานเท่านั้น

“นี่…”

“เชี่ยนเหวิน ลูกกับพี่ไปรับผิดชอบจัดโต๊ะอาหาร แม่กับหรูเสวี่ยนจะไปลองรองเท้า!” หลัวเยี่ยนพูดกับฉีหรูเสวี่ยด้วยรอยยิ้ม

เมื่อเห็นหลัวเยี่ยนและฉีหรูเสวี่ยเดินขึ้นไปชั้นสองด้วยกัน เย่เทียนเฉินก็รู้สึกอับจนคำพูด เขาคิดจะอธิบายให้ชัดเจน อยากอธิบายเรื่องความสัมพันธ์ของเขากับฉีหรูเสวี่ยให้ชัดเจนเพื่อหลีกเลี่ยงความเข้าใจผิดแบบนี้ต่อไป ไหนเลยจะรู้ว่าแม่และน้องสาวอีกทั้งยังมีฉีหรูเสวี่ย จะไม่ให้โอกาสเขาได้พูดเลย จะไม่ให้เขารู้สึกจนใจได้อย่างไร

“จบแล้ว จบสิ้นแล้ว!” เย่เทียนเฉินทอดถอนใจ นั่งลงบนโซฟา แล้วพูดขึ้นพลางส่ายหน้า

ตอนนี้เอง เย่เชี่ยนเหวินยิ้มเจ้าเล่ห์ขึ้นมา เดินมาเบื้องหน้าเย่เทียนเฉิน มองขึ้นไปที่ชั้นสองด้วยท่าทางลึกลับ จากนั้นจึงพูดเสียงเบาว่า “พี่ เมื่อกี้พี่จูบกับพี่หรูเสวี่ยใช่ไหม? พี่นี่กล้าจริงๆ อีคิวต่ำขนาดนี้แต่กลับใจกล้า แถมยังมีโอกาสกุมหัวใจสาวงามได้อีก!”

เย่เทียนเฉินมองเย่เชี่ยนเหวินผู้เป็นน้อง เด็กคนนี้ยังคงมีท่าทางเหมือนกับใต้เท้าตัวน้อย คิดที่จะมาถามเรื่องในม่านมุ้ง เมื่อครู่ก็เป็นเพราะเธอปากมาก พอเห็นเหตุการณ์ในห้องครัวของตนกับฉีหรูเสวี่ยก็รีบเอาไปบอกแม่ ทำให้แม่ไม่ยอมฟังตนอธิบายจนเข้าใจผิดกันไปใหญ่

“เด็กคนนี้นี่ ปกติพี่ชายดูแลเธอไม่ดีหรือไง? ทำไมพอถึงเวลาสำคัญก็ขายพี่ได้ล่ะ? ท่าทางวันข้างหน้าเธอคงไม่มีค่าขนมอะไรแล้ว แล้วก็อย่ามาหาพี่ด้วยพี่จนมาก!” เย่เทียนเฉินมองเย่เชี่ยนเหวินผู้เป็นน้อง จงใจพูดหยอกล้อออกมา

เย่เชี่ยนเหวินชะงักไป รีบเดินไปนั่งข้างเย่เทียนเฉิน ดึงแขนเย่เทียนเฉินอย่างไม่สบอารมณ์ มองไปยังเย่เทียนเฉินอย่างดุดันแล้วกล่าวขึ้นว่า “พี่ ตอนพี่ไม่พูดก็ยังดี แต่พอพูดแล้วทำให้หนูและแม่ไม่พอใจมาก หึ!”

“ไม่พอใจมาก? นี่ เงินค่าขนมที่ใช้ทุกเดือนไม่พอหรือไง เงินพวกนั้นก็เป็นเงินที่พี่สนับสนุนให้เธอไม่ใช่เหรอ? เธอยังมาไม่พอใจพี่อีก บนโลกนี้ยังมีความยุติธรรมอยู่ไหม?” เย่เทียนเฉินมองท่าทางน่ารักของผู้เป็นน้องแล้วกล่าวขึ้นด้วยท่าทางรับไม่ได้

“พี่ พี่ยังกล้าพูดอีกว่าเป็นเงินสนับสนุนที่พี่มอบให้หนูทุกเดือน มีครั้งไหนบ้างที่หนูกินแกลบจนแทบจะทนไม่ไหวจนต้องหน้าด้านไปขอจากพี่ พี่ถึงจะให้? มีหลายครั้งที่พี่ให้หนูมาแค่หยวนสองหยวน พี่ยังเป็นประธานกรรมการเครือไห่หวางที่สง่าผ่าเผยอยู่หรือเปล่า? ที่สำคัญก็คือพี่เป็นถึงประธานกรรมการ อย่างน้อยก็มีค่าถึงร้อยล้านละมั้ง? แต่จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่เคยซื้อของขวัญให้หนูและแม่เลย จะเกินไปแล้ว หึ!” เย่เชี่ยนเหวินทำแก้มป่องอย่างน่ารัก มองไปยังเย่เทียนเฉินผู้เป็นพี่อย่างดุดันแล้วกล่าวขึ้น

แน่นอนว่าเย่เชี่ยนเหวินไม่ได้ไม่พอใจพี่ชายเพราะความขี้เหนียวของเขาจริงๆ เพียงแต่อยากจะหยอกล้อกันเล่นเท่านั้น ทำให้พี่มีอีคิวเพิ่มมากขึ้นสักหน่อย ความจริงจนถึงตอนนี้เย่เทียนเฉินก็เปลี่ยนไปมาก แต่เพราะเรื่องในสมัยก่อนทำให้หลัวเยี่ยนผู้เป็นแม่และเย่เชี่ยนเหวินน้องสาวรู้สึกไม่วางใจ ดังนั้นจึงคิดจะให้เขาหาแฟนให้เร็วสักหน่อย หากจะให้ดีก็ให้รีบแต่งงานเร็วๆ เมื่ออยู่ในมุมที่ต่างออกไปจะต้องมีความคิดต่างออกไปแน่นอน

“นี่นะเหรอ ความจริงเรื่องซื้อของขวัญให้คน พี่ก็ไม่เคยทำสักครั้งจริงๆ ก่อนหน้านี้มีแต่คนอื่นมอบของขวัญให้พี่ พี่ชายหล่อล้ำไร้คู่แข่งแบบนี้เลยคิดถึงเรื่องพวกนี้น้อยมาก ครั้งนี้เป็นเพราะปากของเธอที่ไปพูดเรื่องที่ไม่ควรพูดกับแม่ พี่เลยตัดสินใจจะหักเงินค่าขนมเธอ…”

“พี่ พี่จะแย่เกินไปแล้ว…” เย่เชี่ยนเหวินได้ยินพี่ชายพูดว่าจะหักเงินค่าขนมของเธอก็รีบส่งเสียงออกมา

“พี่ยังพูดไม่จบเลย จะรีบไปไหน…แต่เพราะปัญหาที่เธอมาพูดกับพี่นี้ก็เป็นความจริง พี่ไม่เคยซื้อของขวัญให้เธอกับแม่เลยจริงๆ ถือว่าพี่ทำไม่ถูก ดังนั้นถือว่าทำผลงานชดเชยความผิด พี่จะเพิ่มเงินค่าขนมให้เธอสักหน่อยก็แล้วกัน…” เย่เทียนเฉินพูดแล้วหัวเราะฮี่ๆ

“จริงเหรอคะ? พี่ พี่นี่เยี่ยมจริงๆ!” เย่เชี่ยนเหวินอดไม่ได้ที่จะหอมแก้มเย่เทียนเฉินครั้งหนึ่ง หาได้ยากนักที่พี่ชายคนนี้จะใจกว้าง ทำให้เธอรู้สึกดีใจมาก

บนโลกนี้เกรงว่ามีเพียงเย่เชี่ยนเหวินคนเดียวที่สามารถวุ่นวายกับเย่เทียนเฉินได้ และสามารถข่มขู่เย่เทียนเฉินได้แบบนี้ สำหรับครอบครัวเย่เทียนเฉินรู้สึกหวงแหนมากเป็นเท่าตัว ในช่วงเวลาที่อยู่ดาวสิ้นโลก เขาเป็นเด็กกำพร้า ความโดดเดี่ยวและความเดียวดายเช่นนั้น ในตอนที่คุณพบเจอกับรสชาติต่างๆ ของชีวิตก็ไม่มีใครที่จะร่วมแบ่งปันความรู้สึกไปกับคุณ ทำให้รู้สึกหวาดกลัว ทำให้รู้สึกสิ้นหวัง กระทั่งทำให้รู้สึกไม่มีความหมายพี่จะมีชีวิตอยู่ต่อไป

“แน่นอนว่าพูดจริง พี่ชายของเธอเคยโกหกเธอที่ไหนกัน?” เย่เทียนเฉินพูดด้วยท่าทางเคร่งขรึม

“ฮี่ๆ แน่นอนว่าไม่เคย งั้นพี่คิดว่าทุกเดือนจะเพิ่มเงินค่าขนมให้หนูเท่าไหร่เหรอ?” เย่เชี่ยนเหวินถามด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์

“อืม…เรื่องนี้น่ะเหรอ ดูจากการเงินในตอนนี้ ดูจากระดับการใช้เงินของเธอในยามปกติ ดูจากพฤติกรรมช่วงนี้ของเธอ ดูจากความวุ่นวายแต่ละอย่างที่เธอทำกับพี่ ท่านประธานตัดสินใจว่า…จากเดิมทีที่เคยให้เงินค่าขนมเดือนละร้อยหยวน ตอนนี้จะให้…ร้อยห้าหยวน”

เมื่อได้ยินคำพูดสุดท้ายของเย่เทียนเฉิน เย่เชี่ยนเหวินก็แทบทรุด เดิมทีเธอก็เกาะความหวังไว้เต็มอก เห็นว่าไม่ง่ายเลยกว่าพี่พี่ชายขี้งกคนนี้จะใจกว้างขึ้นมาสักครั้ง คิดไปว่าจะเพิ่มเงินค่าขนมให้เธอเท่าไหร่ พูดไปพูดมา จนพูดถึงเรื่องนี้ สุดท้ายก็เพิ่มให้แค่ห้าหยวน…ด้วยสภาพเศรษฐกิจในตอนนี้ เงินห้าหยวนซื้อไม่ได้แม้แต่ไอศครีมด้วยซ้ำ…

ที่สำคัญก็คือคำพูดสุดท้ายของเย่เทียนเฉินทำให้เย่เชี่ยนเหวินรู้สึกราวกับตกสวรรค์มาถึงนรก พูดกันครึ่งวันแต่ก็เพิ่มให้เธอแค่ห้าหยวน…พี่ชายคนนี้ขี้เหนียวถึงที่สุดจริงๆ ทำให้เธอรู้สึกอยากร้องไห้โดยไร้น้ำตา

“พี่ พี่นี่แย่จริงๆ เฮ้อ…”

เย่เชี่ยนเหวินโวยวาย ใช้หมอนบนโซฟาตีเย่เทียนเฉิน แทบจะคลั่งไปแล้ว เย่เทียนเฉินกลับหัวเราะออกมาครั้งใหญ่ ความจริงเขาก็ไม่ได้มีแนวคิดอะไรกับธนบัตรพวกนี้มากมาย เพียงแต่นิสัย “ประหยัดและขี้เหนียว” มันเปลี่ยนแปลงไม่ได้ ไม่ต้องพูดถึงห้าหยวนเลย ต่อให้เป็นห้าร้อยล้าน ขอเพียงเย่เทียนเฉินเอาออกมาได้ หากน้องสาวต้องการเขาก็จะมอบให้ ในใจของเย่เทียนเฉินครอบครัวย่อมสำคัญกว่าอะไรทั้งหมด

ตอนนี้เองหลัวเยี่ยนและฉีหรูเสวี่ยเดินลงมาจากคฤหาสน์ชั้นสองเห็นเย่เทียนเฉินและเย่เชี่ยนเหวินทะเลาะกันอยู่ในห้องโถงก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา โดยเฉพาะฉีหรูเสวี่ยที่เห็นว่าเย่เทียนเฉินที่ในยามปกติมีความหัวโบราณเล็กน้อย ในตอนนี้กำลังทะเลาะกับน้องสาวอย่างเบิกบานใจ เหมือนกับเป็นลูกผู้ชายคนหนึ่ง ในใจรู้สึกอยากจะใกล้ชิดกับเขาจริงๆ คิดว่าหากตนเองสามารถอยู่ด้วยกันกับเย่เทียนเฉินได้จะดีมากแค่ไหนกัน

เมื่อครู่ที่อยู่ในห้องบริเวณชั้นสอง หลังจากที่หม่อมหน้าเปลี่ยนไปสวมรองเท้าที่ฉีหรูเสวี่ยซื้อให้เธอ ก็พูดคุยกับฉีหรูเสวี่ยมากมาย ลอบถามจนรู้ว่า ฉีหรูเสวี่ยที่สวยและฉลาดคนนี้ ฉีหรูเสวี่ยที่ตนรู้สึกดีด้วยคนนี้ หลงรักลูกชายของตนเข้าจริงๆ นี่ทำให้ในใจของหลัวเยี่ยนยินดีมาก คิดไม่ถึงว่าลูกชายจะมีวาสนาเช่นนี้ ทั้งๆ ที่เป็นคนไม่มีอีคิวเลยแม้แต่น้อย และแต่ไหนแต่ไรก็ไม่เข้าใจเรื่องความรักจนทำให้หลัวเยี่ยนรู้สึกกังวลว่าลูกชายจะหาเมียไม่ได้ช่วยชีวิต ตอนนี้ผู้หญิงดีๆ อย่างฉีหรูเสวี่ยก็ชอบลูกชายของเธอแล้ว เธอที่เป็นแม่จะไม่ดีใจได้อย่างไร?

ดังนั้นหลัวเยี่ยนจึงพูดจาแฝงความนัยกับฉีหรูเสวี่ยมากมาย บอกเธอว่าตอนนี้เย่เทียนเฉินยังติดเล่นอยู่มาก ถึงแม้จะเป็นผู้ชายแต่บางครั้งก็ยังซุกซนยิ่งกว่าผู้หญิงมากนัก ถ้าอายุมากกว่านี้อีกสักหน่อยก็คงจะเคร่งขรึมขึ้นมาบ้าง จะอย่างไรตอนนี้เย่เทียนเฉินก็ยังเรียนมหาวิทยาลัยปีหนึ่งอยู่ ส่วนฉีหรูเสวี่ยอายุมากกว่าเขาสองปี ย่อมมีบ้างที่นิสัยแตกต่างกัน

“หรูเสวี่ย หนูดูสองพี่น้องคู่นี้สิ วันๆ ทำบ้านกลายเป็นสนามเด็กเล่นไปหมดแล้ว!” หลัวเยี่ยนหัวเราะ พูดพลางส่ายหน้า

“คุณน้าคะ หนูอิจฉาพวกเขาจริงๆ บางครั้งใช้ชีวิตธรรมดาสักหน่อยก็ไม่เห็นจะมีอะไรไม่ดี!” ฉีหรูเสวี่ยพูดอย่างจริงจัง

หลัวเยี่ยนพยักหน้า เธอเองก็เป็นผู้หญิงที่ออกมาจากตระกูลใหญ่ ย่อมเข้าใจว่าฉีหรูเสวี่ยพูดความจริง ยิ่งเป็นตระกูลใหญ่กฎเกณฑ์ก็ยิ่งมาก หากไม่มีกฎเกณฑ์ก็ไม่ได้ แต่เมื่อมีกฎเกณฑ์ก็จะเป็นการปิดกั้นธรรมชาติของคน ยิ่งไปกว่านั้นในตระกูลใหญ่มีแต่ความหน้าไหว้หลังหลอก มีหลายคนที่ถูกลาภยศสรรเสริญครอบงำจนตามืดบอด จะมีความสุขกว่าแบบนี้ได้อย่างไร?

“พวกลูกสองพี่น้องอย่าทะเลาะกันได้ไหม บอกให้ตั้งโต๊ะกินข้าว แล้วตอนนี้พวกลูกทำอะไรกันอยู่?” หลัวเยี่ยนแสร้งทำเป็นโกรธ เดินลงมาจากชั้นบนพลางเอ่ยปากขึ้น

“แม่คะ พี่ชายแกล้งหนู ถึงกับจะเพิ่มเงินค่าขนมให้หนูแค่เดือนละห้าหยวนเอง!” เย่เชี่ยนเหวินทำแก้มป่องอย่างน่ารัก ใช้หมอนบนโซฟาตีไปที่เย่เทียนเฉินอย่างแรงแล้วเอ่ยขึ้น

“นี่ เธอไม่เคารพพี่ชายเอาซะเลย ปากมากไปฟ้องแม่ทุกเรื่อง พี่เพิ่มเงินให้เธอห้าหยวนก็ไม่เลวแล้ว…” เย่เทียนเฉินหลบพลางกล่าวรอยยิ้มเจ้าเล่ห์

“เอาล่ะๆ ลูกสองคนไม่กลัวฉีหรูเสวี่ยหัวเราะเยาะเอาหรือไง อายุเท่าไหร่แล้วยังทะเลาะกันอีก รีบเตรียมกินข้าวเถอะ!” หลัวเยี่ยนส่ายหน้า บนใบหน้าปรากฏรอยยิ้มปลาบปลื้มออกมา หญิงชายคู่นี้นำความสุขมาให้เธอไม่น้อยเลยทีเดียว ไม่ได้เลี้ยงมาเสียเปล่าจริงๆ!

……………….

Related

“เห้อ ต้องบอกว่าฝีมือในด้านการทำอาหารของฉีหรูเสวี่ยไม่เลวเลยจริงๆ …น่าเสียดายที่น่าเกลียดเกินไปหน่อย ก้นก็ไม่ผายมากพอ หน้าอกก็…ฮี่ๆ!” เย่เทียนเฉินกินเนื้อเลิศรสไปพลาง วิพากษ์วิจารณ์รูปร่างและฝีมือการทำอาหารของฉีหรูเสวี่ยไปพลาง โดยไม่รู้เลยว่าฉีหรูเสวี่ยได้มายืนอยู่ข้างหลังตนแล้ว

นี่เป็นเรื่องบังเอิญ ความจริงเย่เทียนเฉินไม่ใช่คนลามกอะไร แต่จะมากจะน้อยก็มีนิสัยอันธพาลอยู่บ้าง รวมกับที่ตอนนี้ได้กินเนื้อเลิศรส ทำให้มีความสุขมากจริงๆ แน่นอนว่าทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะคิดถึงฉีหรูเสวี่ยขึ้นมา และเผลอวิพากษ์วิจารณ์รูปร่างและฝีมือการทำอาหารของฉีหรูเสวี่ยไปตามใจ แต่จะอย่างไรก็คิดไม่ถึงว่าฉีหรูเสวี่ยจะมายืนอยู่ข้างหลังเขาและได้ยินคำวิพากษ์วิจารณ์นี้

“นี่!” ฉีหรูเสวี่ยกัดริมฝีปากเล็กๆ อันเซ็กซี่ของเธอ ตะโกนเรียกเย่เทียนเฉินจากด้านหลังอย่างกะทันหัน จงใจแกล้งให้เย่เทียนเฉินตกใจเล่น

“หวา…หวา เนื้อ…”

เย่เทียนเฉินไม่ได้สังเกตเห็นเลยว่าฉีหรูเสวี่ยเดินมาอยู่ข้างหลังตนแล้ว แล้วยังตะโกนเรียกออกมาเสียงดังอีกด้วย เดิมทีเขาก็วิ่งมาในห้องครัวเพื่อที่จะมาแอบกินเนื้อ ในใจยังคิดว่าอีกสักครู่พอแม่ของเขาเข้ามาพบจะโกรธหรือเปล่า ในตอนที่กำลังคิดก็ได้ยินเสียงตะโกนเรียกด้านหลัง เนื้อที่ใช้ตะเกียบคีบเข้าปากจึงกระเด็นออกไปด้วยความตกใจ

ภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นต่อไปนี้เป็นภาพที่ทำให้ฉีหรูเสวี่ยไม่สามารถลืมเลือนไปได้ชั่วชีวิต และทำให้เธอต้องตกใจจนอ้าปากเล็กๆ อันเซ็กซี่ของเธอขึ้น จ้องไปยังเย่เทียนเฉินอย่างตกตะลึง เย่เทียนเฉินเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วราวกับถูกกระตุ้น ใช้มือซ้ายรับจานเอาไว้ ส่วนมือขวาก็หยิบตะเกียบ พุ่งตัวไปยังเนื้อที่กระเด็นออกไปจนเกือบจะตกพื้น เขาอ้าปากกว้างรับเอาไว้แล้วงับเข้าไปในปาก เป็นภาพที่น่าเหลือเชื่อจริงๆ ทำให้รู้สึกร้องไห้ไม่ออกหัวเราะไม่ได้

ใครก็คิดไม่ถึงว่า ยอดฝีมือเช่นเย่เทียนเฉิน ชายที่เมื่อได้โหดเหี้ยมขึ้นมาก็น่ากลัวไม่ต่างอะไรจากเทพแห่งความตายคนนี้ จะดิ้นรนสุดชีวิตเพียงเพราะเนื้อชิ้นเดียว นี่ทำให้ผู้คนคิดไม่ถึงเลยจริงๆ ถ้ายอดฝีมือที่เคยต่อสู้กับเขามาเห็นเข้า คงจะรู้สึกสิ้นหวังไปจริงๆ แล้ว เกรงว่าบนโลกใบนี้ ยอดฝีมือเพียงหนึ่งเดียวที่สามารถสละชีพได้เพียงพเพราะการกิน เห็นจะมีแต่เย่เทียนเฉินคนเดียวเท่านั้น

“ไม่เลว ไม่เลว ของดีขนาดนี้จะทำให้เสียเปล่าไม่ได้เด็ดขาด นี่ เธอมาตั้งแต่เมื่อไหร่ ทำไมไม่เข้าประตู?” เย่เทียนเฉินอดไม่ได้ที่จะมองไปยังฉีหรูเสวี่ยแล้วจงใจถามออกมาเสียงดัง

“ฉัน…ขอโทษแล้วกัน ฉัน…เอ๋? นายเคยเห็นใครเคาะประตูก่อนเข้ามาที่ห้องครัวด้วยเหรอ? นายกล้ามาแซวฉัน ไม่ให้กินเนื้อตุ๋นของฉันแล้ว…” ในที่สุดฉีหรูเสวี่ยก็ได้สติกลับมา เย่เทียนเฉินถึงกลับชิงบ่นออกมาก่อน คิดจะทำให้เธอตกใจ ทั้งๆ ที่คนคนนี้มาแอบกินเนื้อตุ๋นแท้ๆ ตอนนี้กลายเป็นความผิดเธอไปได้!

เย่เทียนเฉินมองท่าทางเขินอายของฉีหรูเสวี่ย คิดว่าผู้หญิงคนนี้บางครั้งก็น่ารักจริงๆ เขาจงใจตะโกนออกไปก็ทำให้เธอตกใจเธอก็ตกใจจริงๆ เมื่อเห็นฉีหรูเสวี่ยได้สติกลับมาและมองเขาด้วยอาการขบเขี้ยวเคี้ยวฟันก็อดไม่ได้ที่จะพูดออกมาอย่างเคร่งขรึม “นี่เธอไม่รู้เหรอ? ที่บ้านตระกูลเย่ของพวกเรามีกฏแบบนี้ ไม่ว่าจะเข้าไปที่ห้องไหนก็ต้องเคาะประตูก่อน นี่เป็นมารยาทนะเข้าใจไหม?”

ฉีหรูเสวี่ยในตอนนี้รู้สึกโกรธบ้างแล้ว ใช้ดวงตาอันงดงามจ้องมองไปยังเย่เทียนเฉินอย่างดุดัน เธออาศัยอยู่ที่คฤหาสน์ตระกูลเย่มาเกือบหนึ่งเดือนแล้ว และก็ทะเลาะกับเย่เทียนเฉินมาหนึ่งเดือนแล้ว ทำไมจะไม่เข้าใจนิสัยของคนคนนี้ เขากำลังแถชัดๆ

เขาแอบมากินเนื้อที่เธอทำ ยิ่งไปกว่านั้นในตอนที่เย่เทียนเฉินกำลังพูดกับฉีหรูเสวี่ยด้วยท่าทางเคร่งขรึมจริงจัง ก็ยังกลืนเนื้อลงท้องไปอีกชิ้นหนึ่งอย่างรวดเร็ว

“เจ้าบ้า ไม่อนุญาตให้นายกิน วางถ้วยและตะเกียบลงซะ…” ฉีหรูเสวี่ยไม่ได้คิดอะไรมากถึงขนาดนั้น เดินเข้าไปคิดจะแย่งถ้วยและตะเกียบมาจากเย่เทียนเฉิน สาเหตุเป็นเพราะประการแรกคนๆ นี้ไม่ซื่อสัตย์ กล้ามาหยอกล้อตนเอง ประการที่สองเพราะกลัวว่าคนๆ นี้กินอิ่มแล้ว อาหารเย็นในคืนนี้คงจะไม่เหลือให้คนอื่นได้กิน

แน่นอนว่ายังมีอีกจุดหนึ่งที่ลืมพูดไป นั่นก็คือตอนนี้เย่เทียนเฉินเข้าใจมากขึ้นเรื่อยๆ ว่าทำไมหลัวเยี่ยนถึงได้ชอบฉีหรูเสวี่ยขนาดนั้น แค่พูดถึงเรื่องการทำอาหารจุดเดียว คงไม่มีใครคิดว่าฉีหรูเสวี่ยที่เป็นคุณหนูตระกูลใหญ่ จะลงมือเข้าครัวทำอาหารด้วยตัวเอง ยิ่งไปกว่านั้นยังทำออกมาได้อร่อยอีกด้วย และเป็นเพราะจุดนี้ที่ทำให้หลัวเยี่ยนชอบฉีหรูเสวี่ย รวมกับที่ระยะเวลาหนึ่งเดือนมานี้ ทั้งสองคนเข้ากันได้ไม่เลวเลยทีเดียว ดังนั้นหลังจากที่ฉีหรูเสวี่ยไปจากตระกูลเย่ มีหลายครั้งที่หลัวเยี่ยนมาบ่นกับเย่เทียนเฉิน เย่เทียนเฉินเข้าใจความหมายของหลัวเยี่ยนดี เพียงแต่เขาไม่ได้มีความรู้สึกหญิงชายกับฉีหรูเสวี่ย อย่างน้อยตอนนี้ก็ยังไม่มี

“นี่ไม่ได้นะ อันนี้ฉันทำเอง ถ้านายอยากกินอะไรก็ไปทำเองเลย!” เย่เทียนเฉินรีบถอยหลังไป หัวเราะฮี่ๆ แล้วหยิบเนื้ออีกชิ้นหนึ่งใส่ปาก

“เจ้าบ้า ห้ามกิน จะทำตัวน่าเกลียดเกินไปแล้ว ของที่ฉันทำไม่ได้มีไว้ให้คนไร้มโนธรรมอย่างนายกิน…”

ฉีหรูเสวี่ยเดินไปหาเย่เทียนเฉิน เย่เทียนเฉินเองก็ถอยหลังทางหัวเราะ คอยหยิบเนื้อเข้าปากอยู่เป็นระยะ อร่อยจริงๆ แค่เนื้อตุ๋นหัวไชเท้าธรรมดา ฉีหรูเสวี่ยก็สามารถทำออกมาได้อร่อยขนาดนี้ ไม่อาจไม่นับถือฝีมือการทำอาหารของผู้หญิงคนนี้เลยจริงๆ

“อา…”

เย่เทียนเฉินไม่ทันระวังจนหงายหลังไป เกือบจะล้มลงไปข้างที่ล้างจาน เขารีบนำตะเกียบวางไว้ในซิงค์ล้างจาน มือซ้ายก็ยันด้านหลังของตนเอาไว้ แต่ตอนนี้ฉีหรูเสวี่ยเองก็เดินเข้ามาแล้ว และคิดไม่ถึงว่าอยู่ดีๆ เย่เทียนเฉินจะหยุดถอย ดังนั้นจึงได้โถมตัวเข้าไปในอ้อมกอดของเย่เทียนเฉินโดยไม่ตั้งใจ

เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน ใครก็คิดไม่ถึง ระยะห่างระหว่างคนทั้งสองใกล้กันมาก เย่เทียนเฉินรับรู้ได้ถึงหน้าอกเต่งตึงของฉีหรูเสวี่ยที่กระเพื่อมขึ้นลงอยู่บนหน้าอกเขาตามการหายใจของเธอ

“เมื่อกี้นายบอกว่าก้นของฉันไม่ใหญ่พอ…แล้วหน้าอกเป็นยังไง…” บนใบหน้าของฉีหรูเสวี่ยปรากฏรอยแดงด้วยความเขินอาย บรรยากาศของเธอเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง กลายเป็นสาวน้อยขึ้นมาทันที ดูมีเสน่ห์ของผู้หญิง ดวงตาอันงดงามทั้งสองจ้องมองไปยังตาของเย่เทียนเฉินแล้วพูดขึ้น

เมื่อได้ยินคำพูดของฉีหรูเสวี่ย และเห็นว่าฉีหรูเสวี่ยเปลี่ยนไปราวกับเป็นคนละคน คล้ายกับมีความรู้สึกดีๆ ในใจกับตนอย่างไรอย่างนั้น เย่เทียนเฉินก็ตกตะลึง นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้มองฉีหรูเสวี่ยในระยะใกล้ขนาดนี้ ผู้หญิงคนนี้สวยมากจริงๆ เรียกได้ว่าสวยจนไม่มีที่ติ รวมกับที่อยู่ในระยะใกล้แค่นี้ ทำให้สามารถได้กลิ่นหอมของหญิงสาวที่เป็นเอกลักษณ์บนร่างของฉีหรูเสวี่ย เย่เทียนเฉินเองก็อดไม่ได้ที่จะเหม่อลอยไปคู่นึง

“อา… หนูไม่เห็นอะไรทั้งนั้น ไม่เห็นอะไรทั้งนั้น พวกพี่ต่อกันเถอะ พวกพี่ต่อกันเลย…” ทันใดนั้นเอง เย่เชี่ยนเหวินที่ปรากฏตัวออกมาที่ประตูห้องครัวอย่างกะทันหันได้มาเห็นเข้ากับฉากนี้พอดี จากมุมมองของเธอทำให้เห็นว่าฉีหรูเสวี่ยโถมตัวเข้าไปในอ้อมกอดของเย่เทียนเฉิน และดูเหมือนทั้งสองกำลังจูบกัน ทำให้เย่เชี่ยนเหวินอดไม่ได้ที่จะอุทานออกมา

ฉีหรูเสวี่ยเองก็ได้สติกลับมาแล้ว เมื่อครู่นี้ไม่รู้ว่าเธอเป็นอะไรไป บางทีอาจเป็นเพราะอยากจะแกล้งเย่เทียนเฉินก็เป็นได้ หรือบางทีอาจจะอยากลองยั่วยวนดูสักหน่อยว่าผู้ชายที่ทำให้ตนชอบคนนี้จะใจเต้นกับเธอหรือไม่ ดังนั้นถึงได้ทำเรื่องเมื่อครู่นี้ออกมา ตอนนี้เมื่อได้ยินเสียงอุทานของเย่เชี่ยนเหวินก็รีบผละออกมาจากอ้อมกอดของเย่เทียนเฉินทันที ใบหน้าเล็กๆ แดงระเรื่อด้วยความเขินอาย จ้องมองไปยังเย่เทียนเฉินอย่างดุดัน อายจนพูดอะไรไม่ออก

ความจริงแล้วตัวฉีหรูเสวี่ยเองก็ไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ หรือเป็นเพราะเธอรักเย่เทียนเฉินมากเกินไป ดังนั้นจึงคิดอยากจะมัดใจของคนคนนี้ให้ได้ในทันที? ทำให้เธอทำเรื่องยั่วยวนเขาออกมาในเวลาที่ไม่รู้ตัว? แต่ไหนแต่ไรฉีหรูเสวี่ยที่ไม่เคยขึ้นเตียงกับผู้ชายคนไหนมาก่อน ยังคงรักษาครั้งแรกของตนเอาไว้ และนี่ก็เป็นครั้งแรกที่เธอยั่วยวนผู้ชายและคิดที่จะกระตุ้นเขา กระทั่งตัวฉีหรูเสวี่ยเองก็ตกใจไปเหมือนกัน

“เชี่ยนเหวิน ไม่ได้เป็นเหมือนที่น้องเห็นแบบนั้น พวกเราแค่ไม่ทันระวัง…” เย่เทียนเฉินเองก็รู้สึกเขินอายอยู่บ้าง คิดไม่ถึงว่าสถานการณ์จะกลายเป็นแบบนี้ไปได้ ตอนแรกเขายังคิดจะหาเรื่องทะเลาะกับฉีหรูเสวี่ยเพื่อฉวยโอกาสกินเนื้ออีกสักหลายชิ้น ไหนเลยจะรู้ว่าจะเป็นแบบนี้ แล้วยังถูกน้องสาวมาเห็นเข้าพอดีอีก…

“หนะ หนูไม่เห็นอะไรทั้งนั้นแหละ หนูไปก่อนนะ…” เย่เชี่ยนเหวินรู้สึกกระอักกระอ่วน รีบเดินจากไปทันที ทำให้เย่เทียนเฉินและฉีหรูเสวี่ยรู้สึกหัวเราะไม่ออกร้องไห้ไม่ได้

“เด็กคนนี้นี่…พวกเราออกไปกันเถอะ ไม่งั้นพวกเธอได้คิดว่าพวกเรากำลังทำอะไรกันอยู่ในนี้แน่…” เย่เทียนเฉินพูดพลางส่ายหน้าด้วยรอยยิ้ม

ฉีหรูเสวี่ยจ้องมองเย่เทียนเฉินอย่างดุดัน เดินออกไปจากห้องครัวเป็นคนแรก แต่ในใจยังคงรู้สึกหวานฉ่ำ เธอมั่นใจแล้วว่าตนเองหลงรักเย่เทียนเฉิน และต้องการอยู่ด้วยกันกับเขา ดังนั้นเรื่องเหล่านี้สำหรับเธอแล้วก็ทำได้เพียงเพิ่มความสุขมากขึ้นเท่านั้น

ในตอนที่ผู้หญิงคนหนึ่งรักผู้ชายคนหนึ่งอย่างแท้จริง เธอจะยอมมอบทุกสิ่งทุกอย่างที่เธอมีออกไปทั้งหมด ต่อให้เธอรู้สึกรู้สึกคลื่นไส้ และไม่อาจรับการแสดงออกของความรักบางอย่างได้ แต่เธอก็จะพยายามลองดู พยายามปรับตัว ดังนั้นในตอนที่มีผู้หญิงคนหนึ่งมาทำแบบนี้กับคุณ คุณก็ควรจะรักษาไว้ให้ดี

ในตอนที่เย่เทียนเฉินและฉีหรูเสวี่ยเดินออกมาจากห้องครัว ก็พบเย่เชี่ยนเหวินที่หน้าแดงเล็กน้อย กำลังพูดอะไรบางอย่างกับหลัวเยี่ยนอย่างลึกลับ เมื่อเห็นว่าเย่เทียนเฉินและฉีหรูเสวี่ยเดินออกมา ก็รีบไปนั่งทางด้านหนึ่งแล้วหัวเราะฮี่ๆ

“เทียนเฉิน ลูกเปลี่ยนนิสัยแบบนี้ได้แล้ว ถึงกับวิ่งไปแอบกินของในครัวเลยเหรอ? ถ้าไม่ใช่หรูเสวี่ยเขาไปเรียกลูก ลูกคงจะกินเนื้อหมดหม้อเลยมั้ง?” หลัวเยี่ยนพูดด้วยรอยยิ้มยินดี ฉีกยิ้มจนแทบจะถึงใบหู มองไปยังเย่เทียนเฉินอย่างตำหนิ แต่จะมองอย่างไรก็ดูท่าทางดีใจมาก

เย่เทียนเฉินทอดถอนใจอย่างรู้สึกหดหู่ มองไปยังเย่เชี่ยนเหวินผู้เป็นน้องอย่างดุดัน เด็กคนนี้ปากมากจริงๆ จะต้องออกมาพูดอะไรกับแม่แน่ มิฉะนั้นแม่คงไม่ยิ้มอย่างแฝงความนัยแบบนี้แน่

“คุณน้าคะ หนูกับเทียนเฉิน…” ฉีหรูเสวี่ยอายจนหน้าแดง ชั่วขณะนั้นไม่รู้ว่าจะพูดอะไรออกมาดี

“พวกเรารู้หมดแล้ว พวกเราสนับสนุน…”

คำพูดของหลัวเยี่ยนยังไม่ทันจบก็ถูกเย่เทียนเฉินพูดขัด…

………………………….

Related

ไม่ว่าเจ้าบ้าคนนี้จะรักเธอหรือไม่ แต่จะอย่างไรฉีหรูเสวี่ยก็รักผู้ชายคนนี้ และต้องการจีบให้ได้ จะต้องพยายามสุดความสามารถเพื่อให้ได้ใจเขามา!

นี่เป็นการตัดสินใจในใจของฉีหรูเสวี่ย เรียกได้ว่าเธอเองก็เป็นผู้หญิงที่มีความรักนวลสงวนตัวและความเอียงอายเหมือนผู้หญิงทั่วไป แต่ฉีหรูเสวี่ยที่ได้รับการศึกษาในระดับสูงจากต่างประเทศเข้าใจถึงเหตุผลข้อหนึ่งได้อย่างลึกซึ้ง ชีวิตคนนัั้นสั้นมาก ยากที่จะหาคนที่สามารถทำให้ตัวเองใจเต้นได้ โดยเฉพาะเมื่อคุณเป็นผู้หญิงคนหนึ่งที่จะต้องรับภาระมากกว่าผู้ชายมาก ช่วงเวลาเบ่งบานก็มีประมาณสิบปีเท่านั้น ถ้าไม่ไล่ตามความสุขของตน จะรออะไรอีก?

ตั้งแต่ตอนที่เย่เทียนเฉินบุกเข้าไปที่ตระกูลฉินเพียงลำพังเพื่อช่วยตนออกมาจากกองเพลิงครั้งนั้น หัวใจอันเย็นชาของฉีหรูเสวี่ยก็หลอมละลาย เธอค่อยๆ พบว่า ไม่รู้ตั้งแต่ตอนไหนที่ในใจของตนเองเปลี่ยนมุมมองที่มีต่อเย่เทียนเฉินไปอย่างลึกล้ำ ตอนนี้รู้สึกว่าคนๆ นี้แม้จะดูอันธพาลไปบ้างในบางครั้ง และดูเหมือนเทพแห่งความตายในบางครั้ง แต่ความจริงก็น่ารักมาก ต่อให้เขาไม่มีสไตล์และอีคิวต่ำ แต่กลับสามารถแสดงด้านที่เป็นสุภาพบุรุษออกมาในช่วงเวลาที่สำคัญที่สุดได้ ฉีหรูเสวี่ยรู้ว่าบางทีตนเองอาจจะถูกความรักบดบังสายตา แต่เธอก็เป็นคนที่มีนิสัยดื้อรั้น เรื่องที่ตัดสินใจไปแล้วก็จะพยายามเต็มที่ ไม่ยอมแพ้เด็ดขาด

ในตอนนี้หลัวเยี่ยนกำลังทักทายอยู่กับฉีหรูเสวี่ยอย่างเป็นมิตร สาเหตุประการแรกก็คือผู้มาเยือนเป็นแขก ประการที่สองก็คือในใจของหลัวเยี่ยนยังหวังว่าฉีหรูเสวี่ยจะมาเป็นลูกสะใภ้ของเธอได้ นอกจากฉีหรูเสวี่ยจะสามารถรับแขกเบื้องหน้าเข้าครัวเบื้องหลังได้แล้ว ฉีหรูเสวี่ยยังเป็นผู้หญิงที่มีทุกอย่างครบครัน จะต้องคลอดลูกชายออกมาได้แน่นอน ในจุดนี้หลัวเยี่ยนให้ความสำคัญมาก ไม่ใช่ว่าเธอมีความคิดล้าหลังอะไร แต่คนที่มาจากตระกูลใหญ่จะมากจะน้อยต่างก็หวังจะมีลูกชายมาสืบทอดกิจการทั้งนั้น ที่สำคัญที่สุดก็คือ ช่วงเวลาที่ฉีหรูเสวี่ยอาศัยอยู่ในคฤหาสน์ตระกูลเย่ เข้ากันได้ดีกับหลัวเยี่ยนและเย่เชี่ยนเหวินเป็นอย่างมาก ผู้หญิงทั้งสามคนมักจะไปเดินช็อปปิ้งและคุยเล่นกัน ความรู้สึกเช่นนี้หายากจริงๆ

“หรูเสวี่ย อย่าเกรงใจไปเลย รีบมานั่งเถอะ พอมาถึงก็ต้องให้หนูไปทำอาหาร รู้สึกไม่ดีจริงๆ เชี่ยนเหวิน เด็กคนนี้นี่ นับวันก็ยิ่งใช้ไม่ได้…” หลัวเยี่ยนพูดกับฉีหรูเสวี่ยด้วยรอยยิ้ม

“คุณน้าคะ คุณอย่าได้เกรงอกเกรงใจกับหนูเกินไปเลย ครั้งนี้หนูมาเยี่ยมพวกคุณ มาขอบคุณทุกสิ่งทุกอย่างที่ได้รับก่อนหน้านี้ หนูเอาของขวัญมาให้คุณน้ากับน้องเชี่ยนเหวินด้วยค่ะ ซื้อรองเท้ามาให้คุณคู่หนึ่ง คุณน้าลองสวมดูเถอะว่าพอดีหรือเปล่า?” ฉีหรูเสวี่ยพูดพลางหยิบกล่องรองเท้าออกมา จากนั้นจึงส่งไปให้หลัวเยี่ยน

“นี่…จะรับไว้ได้ยังไง?”

หลัวเยี่ยนรู้สึกไม่ดีอยู่บ้างจริงๆ ไม่ต้องพูดถึงว่ารองเท้าคู่นี้ที่ฉีหรูเสวี่ยมอบให้เธอ อย่างน้อยก็มีราคาเกือบหมื่น น้ำใจของเด็กคนนี้ทำให้เธอซาบซึ้งมาก ทุกวันนี้ผู้เยาว์ที่ว่านอนสอนง่ายและรู้ความแบบนี้หาไม่ง่ายเลยจริงๆ

“แม่คะ แม่อย่าเกรงใจไปเลย พี่สาวหรูเสวี่ยไม่ใช่คนนอกอะไร อีกอย่างพี่สาวหรูเสวี่ยก็มีน้ำใจยิ่งกว่าคนขี้เหนียวของพวกเราอีก เป็นถึงประธานคณะกรรมการแห่งเครือไห่หวังที่สง่าผ่าเผยแท้ๆ แต่ไม่เคยซื้อของแบบนี้ให้พวกเราเลย จะขี้เหนียวเกินไปแล้ว มีพี่ชายที่ขี้เหนียวแบบนี้หนูรู้สึกเหมือนกับจมลงในความมืดที่ไร้ก้นบึ้งจริงๆ …” เย่เชี่ยนเหวินพูดถึงตอนสุดท้ายก็ทำท่าทางอยากจะร้องไห้ออกมา ทำให้หลัวเยี่ยนและฉีหรูเสวี่ยอดไม่ได้ที่จะหัวเราะ บางครั้งตอนที่เย่เทียนเฉินและเย่เชี่ยนเหวินหยอกล้อขึ้นมาก็ทำให้ผู้คนอยากจะหัวเราะจริงๆ

“เชี่ยนเหวิน อย่าพูดกับพี่ชายของลูกแบบนี้เลย พี่ชายของลูกคนนี้อีคิวต่ำ ทำเรื่องอะไรก็มักจะหยาบกระด้างไปบ้าง ไม่ใช่ว่าลูกไม่รู้สักหน่อย…” หลัวเยี่ยนมองเย่เชี่ยนเหวินแล้วพูดออกมาอย่างไม่พอใจ

“รู้แล้วค่ะ รู้แล้วค่ะ หนูไม่พูดถึงลูกชายสุดที่รักของแม่แล้ว มีแค่ลูกสาวอย่างหนูคนเดียวที่มีชีวิตรันทด ไม่มีใครรัก…” เย่เชี่ยนเหวินทำหน้าทะเล้นใส่หลัวเยี่ยน พูดออกมาแล้วหัวเราะฮี่ๆ

“คุณน้าคะ อย่ามัวแต่ไปพูดกับน้องเชี่ยนเหวินอยู่เลย ลองสวมรองเท้าดูว่าพอดีหรือเปล่า ดูว่าคนชอบหรือเปล่า หนูจะได้เอาไปเปลี่ยน!” ฉีหรูเสวี่ยพูดด้วยรอยยิ้ม

“ได้ งั้นน้าจะไปลองดู หนูก็คุยเล่นกับเชี่ยนเหวินไปก่อน!” หลัวเยี่ยนเองก็พูดด้วยรอยยิ้ม

“ช่างเถอะ พี่สาวหรูเสวี่ยมาหาพี่ สาวน้อยชีวิตรันทดคนนี้จะไปกินมันฝรั่งทอดเติมเต็มความหิวและไปดูทีวีสักหน่อย!” เย่เชี่ยนเหวินพูดออกมาด้วยรอยยิ้มชั่วร้าย

เมื่อได้ยินคำพูดของเย่เชี่ยนเหวิน ฉีหรูเสวี่ยก็อดไม่ได้ที่จะหน้าแดง เธอมาหาเย่เทียนเฉินโดยเฉพาะจริงๆ ของขวัญที่ซื้อมาให้หลัวเยี่ยนและเย่เชี่ยนเหวินก็ทำตามมารยาทเท่านั้น เธอมาหาเย่เทียนเฉินเพราะคนคนนี้หลังจากที่แยกย้ายกันที่ตระกูลฉินเมื่อครั้งที่แล้วก็ไม่ได้มาหากันอีกเลย โทรศัพท์ก็ไม่ยอมโทรมา ดังนั้นฉีหรูเสวี่ยจึงอดไม่ได้ที่จะวิ่งมาหาเย่เทียนเฉินถึงบ้านตระกูลเย่

“เด็กคนนี้นี่…หรูเสวี่ย อย่าไปฟังเด็กคนนี้พูดเลย เทียนเฉินจะต้องอยู่ในห้องครัวแอบกินอาหารอยู่แน่นอน หนูไปช่วยนะดูเขาหน่อย อย่าให้เขากินหมด ไม่งั้นพวกเราจะไม่มีอะไรกิน…” หลัวเยี่ยนแสร้งพูดด้วยท่าทีเคร่งขรึม

“ได้ค่ะคุณน้า หนูรับประกันเลยว่าจะทำภารกิจให้สำเร็จ!” ฉีหรูเสวี่ยพูดอย่างเบิกบานใจ ลุกขึ้นแล้วเดินเข้าไปในห้องครัว

เมื่อเห็นฉีหรูเสวี่ยเดินเข้าไปในห้องครัวอย่างดีอกดีใจ หลัวเยี่ยนที่ถือกล่องรองเท้าเตรียมจะเดินขึ้นไปรอที่ชั้นบนก็รีบเดินเข้าไปหาลูกสาวของตน และในเวลาเดียวกันนี้เย่เชี่ยนเหวินก็วางถุงมันฝรั่งทอดในมือลงไปรวมตัวกับแม่อย่างกระตือรือร้น

หลัวเยี่ยนและเย่เชี่ยนเหวินทำท่าทางเหมือนกับเป็นโจร แอบมองเงาร่างสูงเพรียวของฉีหรูเสวี่ยอย่างระมัดระวัง คอยสังเกตสถานการณ์ในห้องครัว แต่ละคนต่างก็มีท่าทางลึกลับ ทั้งน่าตลกและแปลกประหลาดมาก

“เชี่ยนเหวิน พี่สาวหรูเสวี่ยของลูกมาเมื่อไหร่ มาทำอะไร?” หลัวเยี่ยนถามเสียงเบา

“แม่คะ ไม่ใช่ว่าแม่ถามมาทั้งที่รู้อยู่แล้วเหรอ? เห็นได้ชัดว่าพี่สาวหรูเสวี่ยมาหาพี่ชาย นี่เป็นการจู่โจมด้วยความรัก ทำให้หนูคาดไม่ถึงเลยจริงๆ คนที่ไม่มีสไตล์และอีคิวต่ำอย่างพี่จะมีผู้หญิงสวยอย่างพี่สาวหรูเสวี่ยมาชอบได้ ดวงอาทิตย์จะขึ้นทางทิศตะวันตกแล้วละมั้ง?” เย่เชี่ยนเหวินพูดด้วยท่าทางจริงจัง

“เด็กคนนี้นี่พูดอะไรกัน ไม่อนุญาตให้พูดถึงพี่ชายของลูกแบบนี้ ลูกว่าพี่สาวหรูเสวี่ยของลูกจะทำสำเร็จไหม? พี่ชาของลูกจะรักพี่สาวหรูเสวี่ยไหม?” หลัวเยี่ยนถามออกมาอย่างเป็นกังวล

เย่เชี่ยนเหวินมองไปยังคุณแม่ ทำท่าทางอวดแบ่งเอากับใต้เท้าตัวน้อย เหมือนตัวเองเป็นกูรูด้านความรัก วิเคราะห์ออกมาด้วยท่าทีเคร่งขรึมจริงจังว่า “นี่ก็เป็นเรื่องที่ไม่แน่นอน ด้วยมาตรฐานของพี่ชาย เขาชอบผู้หญิงก้นใหญ่ ก่อนหน้านี้ในห้องของเขาก็ติดรูปผู้หญิงก้นใหญ่เอาไว้เต็มไปหมด ถ้าพูดถึงก้นของพี่สาวหรูเสวี่ยแล้ว ก็คงไม่มีปัญหาอะไร ใหญ่พอ แต่ปัญหาในตอนนี้คือ ดูเหมือนว่าช่วงนี้จะมีผู้หญิงมาติดพันพี่ไม่น้อย เช่นพี่เฟยเฟย แล้วยังมีพี่อวี่สวิ๋น โดยเฉพาะสาวงามอันดับหนึ่งแห่งเมืองหลวงหลิ่วหรูเหมยคนนั้น…”

“แม่ขอให้ใครก็ได้ในตัวเลือกสามลำดับแรกมาเป็นลูกสะใภ้ของแม่ แต่ไม่ชอบให้หลิ่วหรูเหมยมาอะไรกับพี่ชายลูก” หลัวเยี่ยนพูดออกมาอย่างจริงจัง

“แม่คะ หนูรู้ว่าแม่มีอคติกับหลิ่วหรูเหมยเพราะเรื่องเมื่อปีนั้น หนูเองก็ไม่ชอบเหมือนกัน แต่แม่อย่าทำท่าทางเหมือนจะไปฆ่าคนตายได้หรือเปล่า?” เย่เชี่ยนเหวินพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม

“เชี่ยนเหวิน ความจริงพวกลูกผิดกันหมดแล้ว แม่ไม่ใช่คนที่ใจแคบ เรื่องเมื่อปีนั้นไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น แต่อันดับแรก การที่พี่ชายของลูกไปแอบดูหลิ่วหรูเหมยอาบน้ำก็เป็นเรื่องไม่ถูกต้องแล้ว ได้รับการลงโทษนิดหน่อยก็เป็นสิ่งที่สมควร ไม่ใช่เพราะเรื่องเมื่อปีนั้นที่ทำให้แม่ไม่อยากให้พี่ชายของลูกกับหลิ่วหรูเหมยไปมาหาสู่กัน แต่เป็นเพราะบนโลกนี้ยิ่งเป็นผู้หญิงที่สวยมากเท่าไหร่ก็ยิ่งมีความยุ่งยากมากเท่านั้น เป็นไปได้มากว่าจะกระตุ้นให้มีการฆ่าฟันเกิดขึ้น คำว่านารีเป็นเหตุก็มีที่มาแบบนี้แหละ!” หลัวเยี่ยนส่ายหน้าแล้วพูดขึ้น

“ที่แท้ก็เป็นอย่างนี้นี่เอง…งั้นก็หวังว่าพี่ชายกับหลิ่วหรูเหมยจะไม่ได้ไปมาหาสู่อะไรกัน จะได้ไม่เกิดเรื่องอะไรขึ้น!”

ในยามปกติสองพี่น้องเย่เทียนเฉินและเย่เชี่ยนเหวินก็มันจะเล่นอะโวยวายกันอยู่แล้ว ความสัมพันธ์ระหว่างสองพี่น้องลึกล้ำมาโดยตลอด ในเวลาสำคัญแบบนี้เย่เชี่ยนเหวินย่อมไม่อยากให้พี่ชายของตนเกิดเรื่อง

“ดังนั้นแม่หวังว่าพี่ชายของลูกจะรีบแต่งงานให้เร็วสักหน่อย ถ้าเป็นแบบนั้นไม่เพียงแต่ทำให้ความปรารถนาของแม่สำเร็จไปหนึ่งเรื่อง แล้วยังทำให้พี่ชายของลูกดึงดูดปัญหาให้มันน้อยลงด้วย!” หลัวเยี่ยนพูดพลางพยักหน้า

“วางใจเถอะ ในเมื่อแม่ชอบพี่สาวหรูเสวี่ยขนาดนั้น หนูเองก็รู้สึกว่าถ้ามีพี่สาวหรูเสวี่ยมาเป็นพี่สะใภ้ก็คงไม่เลว งั้นพวกเราก็จับคู่ให้พี่ชายกับพี่สาวหรูเสวี่ย ให้พี่ชายที่มีอีคิวต่ำคนนี้ได้ใช้สมองบ้าง!” เย่เชี่ยนเหวินพูดแล้วยิ้มออกมาอย่างน่ารักมีชีวิตชีวา

“เด็กคนนี้นี่ วันๆ เอาแต่คิดเรื่องแปลกๆ แม่ว่า ลูกไปดูเถอะว่าพี่สาวหรูเสวี่ยซื้ออะไรให้ลูก?” หลัวเยี่ยนเป็นผู้หญิงที่ฉลาด แต่ในยามปกติก็เป็นแม่บ้านทั่วไป ไม่ได้แสดงความโดดเด่นออกมาก็เท่านั้น

“แม่คะ แม่จะฉลาดเกินไปแล้ว ถูกแม่เดาออกหมดเลย ดูเถอะ มันคือนี่…” เย่เชี่ยนเหวินแกว่งเครื่องประดับสีเงินในมือขวาต่อหน้าหลัวเยี่ยนอย่างลำพองใจ เป็นเครื่องประดับที่กำลังนิยมและทันสมัยมาก สามารถดึงดูดสายตาของผู้คนได้เป็นอย่างดี

“เครื่องประดับเงินแบบนี้อย่างน้อยก็ราคาหมื่นสองหมื่น ลูกระวังหน่อยนะอย่าทำพัง…” หลัวเยี่ยนกล่าวเตือน ถึงแม้ว่าตระกูลเย่จะไม่ขาดแคลนเงินทอง แต่ตลอดมาก็ประหยัดจนชิน ดังนั้นเมื่อเห็นฉีหรูเสวี่ยมอบของขวัญที่ล้ำค่าเช่นนี้ให้เย่เชี่ยนเหวิน หลัวเยี่ยนก็ยังคงรู้สึกแปลกๆ

“อะไรคะ? รองเท้าคู่นั้นของแม่นำเข้ามาจากประเทศฝรั่งเศส อย่างน้อยก็ต้อง…” เย่เชี่ยนเหวินพูดฟังยกนิ้วขึ้นมาห้านิ้ว

หลัวเยี่ยนชะงักไปเล็กน้อย พูดกับเย่เชี่ยนเหวินอย่างเคร่งขรึม “ของขวัญที่หรูเสวี่ยมอบให้พวกเรา ถ้าพวกเราไม่รับเอาไว้ก็จะเป็นการทำให้คนอื่นเขาเสียหน้า แต่ลูกจำไว้ว่าจะต้องดูแลให้ดี ต่อให้เรื่องของพี่สาวหรูเสวี่ยแล้วพี่ชายของลูกไม่ประสบผลสำเร็จ ของพวกนี้พวกเราก็ต้องอย่าไปอยากได้ เข้าใจไหม?”

“เข้าใจแล้วค่ะคุณแม่ เข้าใจแล้ว!” เย่เชี่ยนเหวินพูดออกมาพลางยิ้มหวาน

ตอนนี้เองภายในห้องครัว เย่เทียนเฉินที่กำลังกินเนื้อตุ๋นหม้อใหญ่อย่างมีความสุขอยู่นั้นยิ้มไม่ขาดปาก ไม่ว่าจะอย่างไรเขาก็ไม่อาจไม่ยอมรับว่าฝีมือการทำอาหารของฉีหรูเสวี่ยยอดเยี่ยมมากจริงๆ เนื้อตุ๋นหัวไชเท้านี้ ได้กลิ่นก็หอม ยิ่งกินก็ยิ่งหอม โดยเฉพาะเนื้อวัว ที่ทำได้ปราณีตมาก เคี้ยวง่ายไม่เหนียวเลยสักนิด น้ำซุปก็ทำให้สดชื่น มีความสุขจริงๆ

เมื่อกลับมาถึงบ้านเย่เทียนเฉินย่อมไม่ระมัดระวังตัวมากเกินไป และไม่ได้ใช้พลังพิเศษแห่งการรับรู้ ที่นี่เป็นบ้านของเขา แน่นอนว่าการที่เขาไม่ทำแบบนี้สาเหตุสำคัญเป็นเพราะความคิดของเขาจดจ่ออยู่กับเนื้อตุ๋นหัวไชเท้า ดังนั้นกระทั่งฉีหรูเสวี่ยเดินมาถึงด้านหลังของเขาแล้วเขาก็ยังไม่รู้ ยังคงลิ้มรสเนื้ออย่างมีความสุขต่อไป

……………

Related

รถที่พวกเขากำลังนั่งอยู่นี้เป็นรถของเปาเทียนหลง ส่วนรถของครอบครัวของเย่เทียนเฉิน ลุงหวังได้สั่งให้คนรับใช้อีกคนหนึ่งของตรกูลหลัวขับกลับไปแล้ว เพราะรถของเปาเทียนหลงคันนี้เร็วมาก เย่เทียนเฉินเองก็อยากที่จะไปจากตระกูลหลัวให้เร็วสักหน่อย ไม่อยากให้แม่ไปพัวพันอะไรกับตระกูลหลัวอีก

“เทียนเฉิน ผู้หญิงคนเมื่อกี้บอกว่าเธอชื่ออะไรนะ?” หลัวเยี่ยนอดไม่ได้ที่จะคิดถึงจานไถเวยเสวี่ยจึงเอ่ยปากถามขึ้นมา

“ไม่รู้ครับ เธอไม่ได้บอกผม!” เย่เทียนเฉินมองไปยังหยกมีตำหนิครึ่งก้อนที่เปื้อนเลือดในมือ ส่งพลังพิเศษเข้าไปสำรวจเป็นระยะ เพื่อต้องการที่จะตรวจสอบให้ชัดเจน ต้องการดูว่าหยกมีตำหนิครึ่งก้อนที่เปื้อนเลือดนี้มีความมหัศจรรย์และความพิเศษอะไรอยู่กันแน่

หากว่าเป็นเหมือนที่ยายทวดพูดจริงๆ ว่าหยกมีตำหนิที่เปื้อนเลือดครึ่งก้อนนี้เคยตกลงมาจากฟ้าในช่วงที่จิ๋นซีฮ่องเต้รวบรวมหกแคว้นเป็นหนึ่ง และทำลายแคว้นฉีทั้งแคว้นจนราบคาบ จึงทำให้จิ๋นซีฮ่องเต้สถาปนาแคว้นอันเป็นอมตะนี้ขึ้นมาได้ ถ้าอย่างนั้นหยกมีตำหนิเปื้อนเลือดจะต้องมีความมหัศจรรย์อย่างแน่นอน บางทีอาจจะมีพลังในการฆ่าฟันรุนแรง แต่เย่เทียนเฉินมองอยู่สิบกว่านาทีก็ยังไม่เห็นร่องรอยเบาะแสอะไรแม้แต่น้อย ต่อให้ใช้พลังพิเศษแห่งการรับรู้ไปสำรวจ ก็ไม่มีปฏิกิริยาเลยแม้แต่น้อย เหมือนกับหยกธรรมดาธรรมดาก็หนึ่งจริงๆ ด้านบนก็มีแค่รอยเลือดรอยหนึ่งเท่านั้น

“ตอนที่ผู้หญิงคนนั้นไปถึงประตูใหญ่และให้ผู้คุ้มกันไปแจ้งเรื่อง ไม่รู้ว่าได้บอกชื่อของเธอไปหรือเปล่า? แม่ฟังไม่ชัดเลย ลูกคิดหน่อยสิ!” ดูเหมือนว่าหลัวเยี่ยนจะอยากรู้ชื่อของผู้หญิงคนนั้นมากจริงๆ ถึงได้ถามต่อไป

เย่เทียนเฉินชะงักไปครู่หนึ่ง จากนั้นจึงคิดขึ้นมาได้ ผู้หญิงที่มีนิสัยซุกซนคนนี้ดูเหมือนจะบอกชื่อของเธอจริงๆ เพียงแต่ตอนนั้นเขาไม่ได้สนใจเพราะกำลังสำรวจกล่องหยกหงส์มังกรอยู่

“ดูเหมือนจะบอกเธอจริงๆ เป็นชื่อตระกูลที่ค่อนข้างแปลก ชื่ออะไรนะ…จานไถ ใช่แล้ว จานไถเวยเสวี่ย…” ไม่นานเย่เทียนเฉินก็คิดออก ในตอนที่ได้ยินชื่อของจานไถเวยเสวี่ย เขายังรู้สึกกังขาอยู่ในใจ ทำไมผู้หญิงถึงชอบใช้ชื่อที่มีคำว่า ‘เสวี่ย’ อยู่ด้วย?

“จานไถเวยเสวี่ย…” หลัวเยี่ยนพึมพำกับตัวเอง ดูเหมือนจะคิดอะไรบางอย่างอยู่

“แม่ครับ แม่อย่าบอกนะว่า แม่รู้จักจานไถเวยเสวี่ยคนนี้ เมื่อกี้ผมไม่เห็นว่าแม่จะพูดกับเธอเลย!” เย่เทียนเฉินมองไปยังหลัวเยี่ยนผู้เป็นแม่แล้วพูดขึ้น

แม่ส่ายหน้าแล้วเปิดปากพูด “แม่ไม่รู้จักเด็กสาวที่ชื่อว่าจานไถเวยเสวี่ยคนนี้ แต่รู้จักตระกูลจานไถ ความจริงแล้วกล่องหยกหงส์มังกรนั้นเป็นของตระกูลจานไถ ดูเหมือนว่าพวกเขาจะรู้เรื่องที่คุณย่าเสียชีวิตแล้วจึงได้ให้เด็กที่ชื่อว่าจานไถเวยเสวี่ยมานำกล่องหยกหงส์มังกรไป เป็นแบบนี้ก็ดีจะได้หลีกเลี่ยงการแย่งชิงกันเองของคนตระกูลหลัว”

“ตระกูลจานไจ? ไม่เคยได้ยินชื่อตระกูลนี้มาก่อนเลย แล้วแซ่นี่มันจะแปลกเกินไปหรือเปล่า?” เย่เทียนเฉินอดไม่ได้ที่จะเอ่ยปากถาม

“ความจริงแล้วแม่ก็ไม่ได้รู้เรื่องเกี่ยวกับตระกูลนี้มากมายอะไรหรอก เพียงแต่ตอนเด็กเคยได้ยินคุณปู่พูดถึงเท่านั้น ตระกูลจานไถเป็นตระกูลที่ปิดซ่อนตัวตน แต่ไหนแต่ไรก็ไม่เคยปรากฏมาที่โลกเบื้องหน้า ดูเหมือนว่าทั้งตระกูลจะเก็บอยู่ในภูเขาคุนหลุน เป็นตระกูลที่ลึกลับตระกูลหนึ่ง กล่องหยกหงส์มังกรก็เป็นของที่คุณปู่ยืมมาจากตระกูลจานไถเมื่อปีนั้น เวลาผ่านไปยี่สิบปีแล้ว ในตอนที่คุณย่าแก่ชราลง ก็รีบมารับรองหยกมังกรนี้ไปอย่างรวดเร็ว ในตอนนี้เกรงว่าจะมีคนในสังคมรับรู้ถึงตระกูลจานไถน้อยมาก” หลัวเยี่ยนเองก็พูดออกมาด้วยความรู้สึกแปลกใจ

ไม่ต้องพูดถึงเย่เทียนเฉินที่แปลกใจเลย ต่อให้เป็นหลัวเยี่ยนที่พูดออกมาเองก็ยังสงสัย แม้แต่เปาเทียนหลงที่ขับรถอยู่ก็ยังขมวดคิ้วด้วยความใคร่ครวญ

จินตนาการได้เลยว่า ในสังคมปัจจุบัน คนธรรมดาที่ใช้ชีวิตทั่วไปได้ถูกทำให้เป็นอัตลักษณ์นิยมและทุนนิยมไปหมดแล้ว ชั่วชีวิตนี้ต่างก็อยู่ในกระแสของปัจจัยสี่ สำหรับผู้มีพลังพิเศษและยอดฝีมือแห่งพรรควรยุทธโบราณ มีน้อยคนมากที่จะรู้เรื่องของเส้นทางแห่งชีวิตอมตะ และดูเหมือนว่าจะมีแค่ไม่กี่คนคิดถึง ไม่ใช่ว่าจะมีตระกูลไหนที่คิดจะปิดซ่อนตัวตนไม่อยากออกมาก็จะสามารถไปซ่อนตัวอยู่ในหุบเขาลึกได้ หรือว่าคนในตระกูลนี้ทั้งหมดจะเป็นคนป่า? ทำให้ผู้คนยากที่จะเชื่อจริงๆ

“เป็นไปไม่ได้น่ะ ตระกูลนี้เป็นคนป่าหรือไง? อยู่ในหุบเขาลึกกินอาหารป่าทั้งวัน?” เปาเทียนหลงก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยปากถาม

“คงจะไม่ใช่หรอก เพียงแต่ตะกูลนี้ปิดซ่อนตัวตนไม่ปรากฏสู่โลกภายนอก มีคนน้อยมากที่จะรู้จัก จะดูจานไถเวยเสวี่ยนั่นสิ แต่งตัวทันสมัย ไม่ได้ดูล้าหลังเลย แค่นี้ก็รู้แล้ว เพียงแต่พวกเรากำลังสงสัยว่า ตระกูลนี้เป็นตระกูลแบบไหนกันแน่ถึงได้มีของเช่นกล่องหยกหงส์มังกรได้ ยิ่งไปกว่านั้นกำลังภายในสายหยินที่จานไถเวยเสวี่ยใช้ออกมาก็แข็งแกร่งมาก!” เย่เทียนเฉินพูดแล้วส่ายหน้า

“เทียนเฉิน แม่ไม่สนใจว่าลูกจะทำอะไร หวังเพียงว่าลูกจะปลอดภัยก็เท่านั้น ตระกูลจานไถมีความลึกลับ และไม่รู้ว่าความสัมพันธ์กับตระกูลหลัวดีหรือแย่ นี่เป็นเรื่องที่ไม่แน่นอน วันหลังลูกก็อย่าไปหาเรื่องเลย!” หลัวเยี่ยนชะงักไปครู่หนึ่งแล้วพูดออกมา

“รู้แล้วครับแม่ วางใจเถอะ ผมยังต้องหาเงินมาเลี้ยงพ่อแม่อยู่!” เย่เทียนเฉินพูดพลางหัวเราะฮี่ๆ

หลัวเยี่ยนไม่ใช่คนโง่ กลับจะฉลาดอย่างมากด้วยซ้ำ เมื่อมาถึงขั้นนี้แล้วเธอก็รู้ว่าลูกชายเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง อย่างน้อยความสามารถก็แข็งแกร่งมาก ไม่ใช่อะไรที่เธอสามารถจินตนาการได้อีกต่อไป ก่อนหน้านี้ลูกชายเสเพลและมักจะก่อเรื่องเป็นประจำ ตอนนี้เติบโตขึ้นแล้ว รู้ความขึ้นมาแล้ว แต่กลับมีปัญหามากมายที่มาเยือนถึงประตู บางเรื่องไม่อาจไม่เผชิญหน้า เธอไม่ต้องการจะพันธนาการลูกชายของตน แค่หวังว่าเขาจะปลอดภัยก็เท่านั้น

เวลาหกโมงเย็น เปาเทียนหลงขับรถมาส่งเย่เทียนเฉินและหลัวเยี่ยนกลับบ้าน เย่เทียนเฉินให้เบอร์โทรศัพท์ของอู๋เสวี่ยกับเปาเทียนหลงไป จากนั้นจึงให้เปาเทียนหลงไปหาอู๋เสวี่ย ก่อนหน้านี้อู๋เสวี่ยเป็นนักฆ่าอันดับหนึ่งแห่งเมืองหลวงหลวง เป็นผู้นำในการรับผิดชอบการหาคนมาเพื่อก่อตั้งกลุ่มอำนาจอำนาจของเขา จนกระทั่งตอนนี้ลูกน้องของเย่เทียนเฉินก็มีอู๋เสวี่ย หูหลง หลินตวนและเปาเทียนหลง ยอดฝีมือชั้นสูงทั้งสี่คน เพียงแต่ไม่รู้ว่ายอดฝีมือคนอื่นที่อู๋เสวี่ยรวบรวมมาเป็นอย่างไร ก็เหมือนกับที่เย่เทียนเฉินพูด ไม่เน้นปริมาณแต่เน้นคุณภาพ ถ้าไม่ใช่ยอดฝีมือระดับสูงเขาก็จะไม่รับ นี่เป็นนิสัยของเขาเช่นเดียวกัน

เย่เทียนเฉินและหลัวเยี่ยนเดินเข้าไปในคฤหาสน์ด้วยกัน คิดไม่ถึงว่าในห้องโถงของคฤหาสน์นอกจากเย่เชี่ยนเหวินแล้วจะยังมีสาวสวยอีกคนหนึ่งอยู่ด้วยนั่นก็คือ ฉีหรูเสวี่ย

ฉีหรูเสวี่ยถึงกับมาหาถึงบ้าน อีกทั้งยังกำลังพูดคุยกับเย่เชี่ยนเหวินอย่างสบายอกสบายใจ เมื่อเห็นเย่เทียนเฉินและหลัวเยี่ยนเดินเข้ามาในห้องโถง ฉีหรูเสวี่ยก็ยิ้มทักทายหลัวเยี่ยนแล้วพูดขึ้นอย่างมีมารยาท “คุณน้าคะ คุณกลับมาแล้วหรือ?”

“หรูเสวี่ยมาแล้ว ทำไมไม่โทรมาบอกกันก่อน น้าจะได้ไปซื้ออาหารมา!” หลัวเยี่ยนพูดด้วยรอยยิ้ม

“ไม่ต้องหรอกค่ะแม่ คืนนี้พี่สาวหรูเสวี่ยจะตุ๋นเนื้อวัวให้พวกเรา หอมมากเลยค่ะ หนูอดใจไม่ไหวจนแอบกินไปหลายชิ้นแล้ว!” เย่เชี่ยนเหวินพูดออกมาอย่างซุกซน

“งั้นเหรอ? หรูเสวี่ย น้าจะรับน้ำใจนี้ได้ยังไงกัน? พอมาถึงก็ให้หนูทําอาหารเลย เทียนเฉินลูก…เอ๋? เทียนเฉินไปไหนแล้ว?”

หลัวเยี่ยนย่อมรู้ว่าฉีหรูเสวี่ยมาแล้ว จะต้องมาหาเย่เทียนเฉินอย่างแน่นอน ลูกสาวของคนอื่นทั้งยังเป็นเด็กสาวที่สวยงามขนาดนี้มาหาคุณ แต่คุณกลับไม่แม้แต่จะทักทาย โดยเฉพาะฉีหรูเสวี่ยที่เมื่อวันนั้นเกือบจะต้องแต่งงานกับฉินเหิง ส่วนเย่เทียนเฉินนั้นปากก็พูดว่าไม่เกี่ยวอะไรกับเขาแต่สุดท้ายก็ยังแบกโลงศพไปที่ตระกูลฉิน และยังทำให้ฉินเหิงตกใจตาย ทำให้ฉินอี้โกรธจนตาย จนกลายเป็นข่าวครึกโครมในเมืองหลวง ถ้าจะกล่าวว่าเย่เทียนเฉินไม่มีความรู้สึกอะไรกับฉีหรูเสวี่ย ตีให้ตายก็เกรงว่าไม่มีใครเชื่อ

“พี่ชายของลูกล่ะ?” หลัวเยี่ยนหันมามองด้านหลังที่ว่างเปล่า เมื่อครู่นี้เย่เทียนเฉินยังอยู่หลังเธอ ทำไมพอหันไปก็ไม่เจอแล้วล่ะ? ด้วยเหตุนี้จะอดไม่ได้ที่จะหันไปมองเย่เชี่ยนเหวินแล้วเอ่ยถาม

“แม่คะ แม่ไม่ต้องไปสนใจพี่ชายหนูหรอก วันๆ เอาแต่กิน เขาวิ่งเข้าไปในครัวนานแล้ว!” เย่เชี่ยนเหวินมองไปยังหลัวเยี่ยนแล้วพูดขึ้นอย่างจนใจ

ในตอนนี้เอง เย่เทียนเฉินที่อยู่ในห้องครัวก็ไม่ได้คิดอะไรมาก พอเข้ามาก็ได้กลิ่นหอมของเนื้อ เดิมทียังคิดไปว่ามีคนในครอบครัวทำอาหารเอาไว้ แต่สุดท้ายก็ต้องปฏิเสธความคิดนี้ไป จะว่าอย่างไรดีล่ะ นอกจากหลัวเยี่ยนที่มีฝีมือทางด้านการทำอาหารแล้ว เย่เชี่ยนเหวินก็ทำอาหารไม่เป็น ดังนั้นจะต้องไม่ใช่น้องสาวที่เป็นคนทำอาหารแน่ เมื่อเห็นว่าฉีหรูเสวี่ยมาที่บ้าน ทันใดนั้นเย่เทียนเฉินจึงได้รู้ว่าในห้องครัวมีของอร่อยๆ กินแน่นอน

ส่วนเรื่องของฉีหรูเสวี่ย จะพูดอย่างไรดีล่ะ? ในใจของเย่เทียนเฉินอย่างมากก็เห็นเธอเป็นเพื่อนที่ดีคนหนึ่ง กล่าวได้ว่าทั้งสองไม่ทะเลาะก็ไม่ได้รู้จักกัน ฉีหรูเสวี่ยอยู่ในบ้านตระกูลเย่มาหลายวัน และปะทะฝีปากกับเย่เทียนเฉินหลายครั้ง ทุกคนเห็นจนเคยชิน ดังนั้นในตอนที่ฉีหรูเสวี่ยจะหมั้นหมายกับฉินเหิง เย่เทียนเฉินจึงได้แบกโลงศพไปก่อเรื่องที่ตระกูลฉิน เหตุผลประการแรกก็คือไม่ว่าจะพูดยังไงฉีหรูเสวี่ยก็เป็นคนที่ไม่เลวเลย อย่างน้อยก็ใจดี และจะยังไงก็เป็นเพื่อน เหตุผลประการที่สองก็คือฉินเหิงกวนตีนเกินไป คนตระกูลฉินเคยเกือบจะส่งคนมาลอบสังหารพ่อของตน จะอย่างไรก็ต้องมอบจุดจบกลับไปให้พวกเขา

ไม่กล่าวไม่ได้ว่าฝีมือการทำอาหารของฉีหรูเสวี่ยดีมากจริงๆ มิน่าเล่าหลัวเยี่ยนถึงได้ชอบฉีหรูเสวี่ยมาโดยตลอด และต้องการที่จะได้ฉีหรูเสวี่ยมาเป็นลูกสะใภ้ของเธอ หากจะใช้คำพูดบรรยายฉีหรูเสวี่ยให้ครบถ้วนมันก็คือ เบื้องหน้ารับแขกเบื้องหลังเข้าครัว!

ในสังคมปัจจุบันนี้ การจะสามารถหาผู้หญิงแบบนี้ได้เป็นเรื่องที่ไม่ง่ายเลยจริงๆ แต่เย่เทียนเฉินยังคงไม่สนใจฉีหรูเสวี่ย หากจะพูดถึงฉีหรูเสวี่ย ทั้งรูปร่างหน้าตามันสมองหรือก้นใหญ่ๆ ล้วนมีครบครัน ผู้ชายธรรมดาเห็นต่างก็ต้องน้ำลายไหล โดยปกติคงไม่มีผู้ชายคนไหนที่ไม่ชอบ เพียงแต่เย่เทียนเฉินพี่ไม่มีความรู้สึกอะไรแบบนั้น บางทีนี่อาจจะเป็นโชคชะตาก็เป็นได้

เพียงแต่ว่าท่าทีที่ฉีหรูเสวี่ยมีต่อเย่เทียนเฉินในตอนนี้ได้เปลี่ยนไปมากเหลือเกิน อย่างน้อยเธอก็ไม่ดูถูกเย่เทียนเฉินแล้ว คนคนนี้มีนิสัยเหมือนอันธพาล ยิ่งไปกว่านั้นยังไม่มีสไตล์ และไม่มีอีคิวเลยสักนิด ไม่อ่อนโยนต่อผู้หญิง ตอนนี้ไม่รู้ว่าทำไม ตั้งแต่ที่เธอไปจากตระกูลเย่ ในสมองก็มักจะปรากฏเงาร่างของเย่เทียนเฉิน โดยเฉพาะช่วงเวลาที่เธอจะต้องหมั้นกับฉินเหิง เธอกระทั่งคิดว่า ถ้าหากได้แต่งงานกับเย่เทียนเฉินก็คงจะดีไม่น้อย

ตอนแรกฉีหรูเสวี่ยถูกความคิดแบบนี้ทำให้ตกใจ เธอไม่รู้ว่าตอนไหนที่ในใจของเธอเริ่มมีเย่เทียนเฉินอยู่ จนสุดท้ายเธอจึงค่อยๆ พบว่า ตนเองรักเย่เทียนเฉินเข้าแล้วจริงๆ รักผู้ชายที่มีนิสัยเหมือนอันธพาลและมีความคล้ายกับเทพแห่งความตายคนนี้ ฉีหรูเสวี่ยที่ได้รับการศึกษาระดับสูงมาจากต่างประเทศ จึงไม่ได้มีความคิดล้าหลังในเรื่องของผู้ชาย ในเมื่อรักเข้าแล้วก็ต้องไล่ตามความสุขของตน ผู้หญิงจีบผู้ชายมีอะไรไม่เหมาะสมเหรอ? ดังนั้นเธอจึงมาแล้ว!

…………………..

Related

“คุณผู้หญิง ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร?” เย่เทียนเฉินหันไปมองเด็กสาวที่สวมแว่นตาสีดำและลงมือสะบัดแส้ใส่เขา เอ่ยถามออกมาด้วยรอยยิ้ม

มุมปากมันเซ็กซี่ของเด็กสาวที่สวมแว่นกันแดดสีดำแย้มยิ้มออกมา เพียงแต่รอยยิ้มนี้ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็รู้สึกได้ถึงความซุกซน เจือไปด้วยความสนุกสนาน ผู้หญิงคนนั้นเดินเข้ามา นิ้วมือเล็กๆ ในมือซ้ายชี้มาที่เย่เทียนเฉินแล้วกระดิกเข้า ริมฝีปากแดงใช้น้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความเฉลียวฉลาดพูดออกมาว่า “เอากล่องหยกนั้นมาให้ฉัน แล้วฉันจะปล่อยพวกคุณไป…”

กล่องหยกหงส์มังกร เด็กสาวคนนี้มาเพื่อกล่องหยกหงส์มังกร เย่เทียนเฉินขมวดคิ้ว ดูท่าทางกล่องหยกหงส์มังกรนี้จะมีปัญหาจริงๆ เขารู้ตั้งนานแล้ว หากนำกล่องนี้ไปจะต้องพบกับปัญหาใหญ่ไม่ช้าก็เร็ว นี่เป็นของที่คนธรรมดาเห็นต่างก็ต้องรู้สึกใจสั่น อดไม่ได้ที่คิดจะได้มาครอบครอง ยิ่งไม่ต้องพูดถึงตระกูลใหญ่และกลุ่มอำนาจใหญ่เลย ต่อให้รู้ว่ากล่องหยกหงส์มังกรอยู่ในตระกูลเย่ จะต้องมีคนยอมเสี่ยงส่งยอดฝีมือมาแย่งชิงไปแน่นอน ถึงแม้ตนเองจะอยู่และไม่กลัวอะไร แต่เย่เทียนเฉินก็ไม่ต้องการทำให้พ่อแม่และน้องสาวพบกับอันตรายที่อาจจะเกิดขึ้นแม้เพียงนิดเดียว

“นี่ไม่ได้หรอก กล่องนี้เป็นสมบัติที่แม่ของแม่ของแม่มอบให้พวกเรา ถ้าถูกเธอเอาไป แม่ของแม่ของแม่ก็คงไม่ดีใจ เธอคิดว่าฉันจะส่งให้เธอได้หรือ?” เย่เทียนเฉินยิ้มเล็กน้อย เขาพูดพลางแสดงนิสัยอันธพาลออกมา

“งั้นเหรอ? ถ้างั้นฉันก็คงทำได้แค่แย่งชิงมาแล้วแหละ ถ้าทำร้ายพวกคุณก็คงไม่ค่อยดีมั้ง?” เด็กสาวมองไปยังเย่เทียนเฉินแล้วเอ่ยถาม

“ฉันคนนี้ จุดเด่นที่สุดก็คือทำใจลงมือกับผู้หญิงสวยๆ ไม่ได้ จุดอ่อนที่สุดก็คือทำใจลงมือกับผู้หญิงสวยๆ ไม่ได้ เธอว่าฉันจะลงมือหรือไม่ลงมือดีล่ะ?”

เย่เทียนเฉินเห็นเด็กสาวสวมแว่นกันแดดดูซุกซนและขี้เล่น จึงอดไม่ได้ที่จะไปกระตุ้นนิสัยหยอกล้อของเขาออกมา ยิ่งไปกว่านั้นเขายังรู้สึกสนใจผู้หญิงคนนี้มาก เด็กสาวที่สวมแว่นกันแดดคนนี้ ขี่รถมอเตอร์ไซค์ที่โคตรเท่ รูปร่างสูงเพรียว สิ่งที่ควรจะนูนก็นูน สิ่งที่ควรจะเว้าก็เว้า รวมกับที่อยู่ในช่วงอายุที่กำลังเบ่งบาน และยังมีฝีมือที่ไม่ธรรมดา จะมากจะน้อยก็ทำให้คนรู้สึกสนใจ เด็กสาวคนนี้มีที่มาที่ไปอย่างไรกันแน่?

ทันใดนั้น แส้สีดำในมือขวาของเด็กสาวสั่นไหว พลังหยินอันอ่อนนุ่มส่งผ่านไปยังฝ่ามือของเย่เทียนเฉิน นี่เป็นพลังหยินที่มีความแข็งแกร่งมาก บางครั้งก็ไม่ใช่พลังอันรุนแรงดุเดือดที่จะทำให้ผู้คนนับถือ พลังหยินที่อ่อนนุ่มพริ้วไหวก็มักจะมีความแปลกประหลาดเช่นกัน ในสถานการณ์ที่ไร้การป้องกันตัวอาจจะตายได้ ตามการคาดเดาของเย่เทียนเฉิน เด็กสาวคนนี้ควรจะฝึกฝนเคล็ดวิชาพลังภายในสายอ่อนของพรรควรยุทธโบราณ มิฉะนั้นคงไม่สามารถใช้พลังภายในสายหยินลอบโจมตีตนเองโดยไร้ซุ่มไร้เสียงได้

ฟ้าว!

เสียงแส้สีดำแหวกอากาศเข้ามา ในตอนที่เย่เทียนเฉินรับรู้ได้ถึงพลังภายในสายหยินก็รีบปล่อยมือขวาของตนทันที แส้สีดำโจมตีถูกอากาศจนเกิดเสียงดังขึ้น เด็กสาวคนนั้นควบคุมแส้ให้พุ่งเข้ามายังกล่องหยกหงส์มังกรบนมือซ้ายของเย่เทียนเฉินอย่างรวดเร็ว

เย่เทียนเฉินย่อมไม่ยอมให้เด็กสาวคนนี้ทำสำเร็จแน่นอนอยู่แล้ว ไม่ต้องพูดเลยว่ากล่องหยกหงส์มังกรนี้มีค่ามากขนาดไหน กล่าวได้ว่าแต่ไหนแต่ไรก็ไม่เคยมีคนสามารถแย่งชิงสิ่งของไปจากมือของเย่เทียนเฉินได้มาก่อน และเขาก็จะไม่ยอมปล่อยให้เกิดขึ้นแน่

เด็กสาวเห็นแส้ของตนตวัดถูกอากาศ ในใจก็รู้สึกประหลาดใจ คิดว่าคนที่มีอายุพอๆ กันกับเธอเบื้องหน้านี้มีฝีมือไม่อ่อนแอเลยทีเดียว ท่าทางหากคิดจะนำกล่องหยกหงส์มังกรไปจะต้องเปลืองแรงอยู่บ้าง

ครั้งนี้เด็กสาวได้รับคำสั่งจากตระกูลมาว่า ให้มารับกล่องหยกหงส์มังกรจากตระกูลหลัวกลับไป ตระกูลของเธอให้ตระกูลหลัวยืมกล่องหยกหงส์มังกรเป็นเวลายี่สิบปีแล้ว เพราะบรรพบุรุษในตระกูลของพวกเธอเป็นสหายกับบรรพบุรุษตระกูลหลัว มิฉะนั้นคงไม่ให้ยืมกล่องหยกหงส์มังกรไปยี่สิบปีแบบนี้แน่

เย่เทียนเฉินลงมือรวดเร็ว พลิกตัวออกมาจากรถ ยิ้มให้แม่และเปาเทียนหลงก่อนจะพูดว่า “พวกคุณรอผมสักครู่นะ!”

เดิมทีหลัวเยี่ยนให้ลุงหวังนำกล่องหยกหงส์มังกรกลับไปที่ตระกูลหลัวแล้ว นั่นก็เพื่อไม่อยากทำให้พ่อต้องลำบากใจ ไหนเลยจะรู้ว่าก่อนออกเดินทางเย่เทียนเฉินจะอยากดูสักหน่อย แม้จะพูดออกมาว่าสนใจ แต่ความจริงเป็นเย่เทียนเฉินรับรู้ได้ถึงบรรยากาศอันคุ้นเคยอย่างหนึ่งบนกล่องหยกหงส์มังกร บรรยากาศเช่นนี้ทำให้เขารู้สึกแปลกใจ ตามความทรงจำของเขา เคยสัมผัสได้ถึงบรรยากาศแบบนี้จากช่วงยุคสิ้นโลก

“ท่าทางนายคงไม่คิดที่จะมอบกล่องหยกหงส์มังกรให้ฉันละมั้ง?” เด็กสาวดึงแส้สีดำของตนกลับมา ยังคงมองไปยังเย่เทียนเฉินแล้วพูดด้วยรอยยิ้ม

“คุณผู้หญิง ของอยู่ในมือของฉัน เธอเอาแต่พูดว่าให้เธอให้เธอ มันจะปล้นกันมากเกินไปหรือเปล่า?” เย่เทียนเฉินเองก็พูดด้วยรอยยิ้มเช่นเดียวกัน

“กล่องหยกหงส์มังกรนี้เดิมทีก็เป็นของของตระกูลจานไถของฉัน วันนี้ฉันได้รับคำสั่งของตระกูลให้มานำกลับไป พวกคุณจะเอาไปไม่ได้ อีกสักครู่นายท่านตระกูลออกมาก็จะรู้แล้ว!” เด็กสาวเปิดปากพูดอย่างเรียบเฉย

“งั้นพวกเราก็รอกันก่อนเถอะ รอให้นายท่านตระกูลหลัวออกมาเป็นไง?” เย่เทียนเฉินยักไหล่แล้วพูดขึ้นอย่างไม่ใส่ใจ

“แต่ฉันไม่อยากรอ ฉันอยากจะนำไปตอนนี้…” ทันใดนั้นเด็กสาวพลันพูดขึ้นมาด้วยความสนุกสนาน

“ยังคิดจะแย่งอีก?”

“เพราะท่าทางของนายทำให้คุณหนูอย่างฉันไม่พอใจน่ะสิ!”

ฟ้าว!

คำพูดของเด็กสาวเพิ่งจะพูดจบ แส้สีดำเส้นนั้นก็ถูกเธอสะบัดออกมาอีกครั้งราวกับงูตัวหนึ่งที่พุ่งเข้ามากัด เย่เทียนเฉินขมวดคิ้ว แส้ที่โจมตีมาเมื่อสักครู่นี้ทำให้เขารู้สึกได้ถึงพลังหยินที่แข็งแกร่ง ตอนนี้เขาไม่ดูเบาเด็กสาวคนนี้อีกต่อไปแล้วโดยสิ้นเชิง ยอดฝีมือไม่เกี่ยวกับเรื่องอายุ ถ้าหากคุณคิดว่าอีกฝ่ายอายุน้อยแล้วดูถูกเขา เป็นไปได้มากกว่าจะต้องพบกับความลำบาก ในตอนที่อยู่ดาวสิ้นโลก ก็มีคนที่แข็งแกร่งแบบนี้อยู่ เมื่อเกิดมาก็แข็งแกร่งอย่างหาใดเปรียบทำให้ผู้คนต้องตกตะลึง

ฉัวะ!

ฉัวะ!

ฉัวะ!

เมื่อต้องเผชิญกับการโจมตีด้วยแส้สีดำที่สะบัดออกมาไม่หยุดของเด็กสาวคนนั้น เย่เทียนเฉินก็หลบโดยที่ถือกล่องหยกหงส์มังกรเอาไว้ในมือซ้าย เขาอยู่ห่างจากผู้หญิงคนนี้ประมาณห้าหกเมตร ในมือก็ไม่ได้มีอาวุธใดๆ อยู่เลย คิดจะเข้าไปโจมตีในระยะใกล้ก็เป็นเรื่องที่ลำบากมาก ยิ่งไปกว่านั้นเขาพบว่าผู้หญิงคนนี้ ทุกแส้ที่โจมตีออกมาล้วนแฝงด้วยพลังภายใน กระทั่งอากาศก็ยังถูกทำให้สั่นไหว ไม่รู้จริงๆ ว่าผู้หญิงคนนี้ฝึกเคล็ดวิชาพลังภายในสายหยินที่แข็งแกร่งอะไรมา

ฝีมือของผู้หญิงคนนี้ไม่อ่อนแอเลย แม้ว่าเย่เทียนเฉินจะพูดอย่างสบายๆ แต่ก็ไม่ได้ลำพองใจเลยแม้แต่น้อย ถ้าหากถูกแส้ที่แฝงไปด้วยพลังหยินอันแข็งแกร่งฟาดเข้า เกรงว่าเนื้อหนังคงแตกจนเห็นกระดูก ยิ่งไปกว่านั้นผู้หญิงคนนี้ยังมีนิสัยเผ็ดร้อน ทำให้ผู้คนรู้สึกหัวเราะไม่ออกร้องไห้ไม่ได้จริงๆ พูดอะไรไม่ถูกแค่ประโยคเดียวแส้ในมือของเธอก็มาแล้ว

“นายจะเอาแต่หลบแบบนี้ไม่ได้นะ จะช้าจะเร็วก็ต้องถูกตีอยู่ดี!”เด็กสาวพูดด้วยรอยยิ้มน่ารัก แสดงท่าทางคล้ายกับว่ากำลังเตือนให้เย่เทียนเฉินระวัง แต่ความจริงการโจมตีในมือไม่ได้หยุดลงเลย ทุกแส้ต่างโจมตีออกมาอย่างเต็มกำลังจนอาจถึงแก่ชีวิต

“สุภาพบุรุษที่หล่อสมาร์ทมาดเท่อย่างฉัน เธอทำใจตีลงเหรอ?” เย่เทียนเฉินหลบแส้ที่เด็กสาวสะบัดโจมตีออกมาพลางพุ่งเข้าไปใกล้เด็กสาวด้วยความรวดเร็ว ในมือของเขาไม่มีอาวุธ ถ้าหากไม่เข้าไปสู้ระยะประชิดก็คงไม่สามารถดำราบเด็กสาวที่สุดทนคนนี้ได้

ฉัวะ!

แต่ในเมืองของเด็กสาวสั่นไหวจนคล้ายกับกระบี่เล่มหนึ่งที่แทงเข้ามายังเย่เทียนเฉิน เย่เทียนเฉินพลิกตัวไปทางด้านซ้ายเพื่อหลบแส้สีดำที่โจมตีเข้ามา

ตู้ม!

เสียงหนึ่งดังสนั่น แส้สีดำในมือของเด็กสาวไม่ได้โจมตีถูกเย่เทียนเฉินแต่กลับโจมตีผ่านเย่เทียนเฉินไปโดนสิงโตหินที่อยู่ด้านหลัง เปาเทียนหลงที่นั่งอยู่ในรถได้เห็นก็ตกตะลึง เขามองไม่ออกเลยว่าเด็กสาวที่ใช้แส้คนนี้จะร้ายกาจถึงขนาดนี้ นี่ถ้าหากว่าถูกแส้ตีเข้าไป คนจะต้องถูกฟาดจนพรุนแน่นอน กระทั่งสิงโตหินที่หนาสามสี่เมตรและใช้วัสดุที่แข็งแกร่งสร้างขึ้นมาก็ยังถูกโจมตีจนพังไปง่ายๆ จนเกิดเป็นรูใหญ่ขึ้นมารูหนึ่ง จินตนาการได้เลยว่าถ้าตีถูกคนจะมีผลอย่างไร

แต่ว่าตอนนี้เอง เย่เทียนเฉินรีดเร้นความสามารถในขอบเขตจอมราชันทั้งหมดออกมา เพิ่มความเร็วจนถึงขีดสุด พุ่งเข้าไปยังเด็กสาวคนนั้นด้วยความเร็วดุจสายฟ้า กล่าวตามจริง ฝีมือของผู้หญิงคนนี้แข็งแกร่งมาก โดยเฉพาะแส้สีดำที่อยู่ในมือของเธอ สะบัดพริ้วไหวได้อย่างงดงามไร้ที่ติ ทำให้ผู้คนไม่สามารถเข้าไปใกล้ได้ง่ายๆ ยิ่งไปกว่านั้นพลังหยินที่เธอฝึกฝนมาก็แข็งแกร่งเป็นอย่างมาก ถ้าไม่ได้ฉวยโอกาสนี้ปราบเธอ เช่นนั้นก็จะลำบากแล้ว

เด็กสาวที่เดิมทียังคงมีท่าทางสนุกสนาน ทันทีที่เห็นเย่เทียนเฉินพุ่งเข้ามาทางตนเองอย่างรวดเร็วจนดูเหมือนจะหายไปต่อหน้าต่อตา ก็อดไม่ได้ที่จะหน้าซีด เธอคิดไม่ถึงเลยว่าเย่เทียนเฉินจะร้ายกาจขนาดนี้ สามารถเพิ่มความเร็วได้ในพริบตา จากเมื่อสักครู่นี้ที่เธอลงมือก็เห็นเย่เทียนเฉินเอาแต่หลบมาโดยตลอด ดูเหมือนไม่มีแรงที่จะลงมือตอบโต้ ที่แท้ก็เป็นการเสแสร้งของเขาเพื่อจะทำให้ตนเองประเมินเขาต่ำไปและหลอกลวงเธอ

“ว้าย!”

เด็กสาวร้องตะโกนออกมาด้วยความตกใจ เนื่องจากเห็นเย่เทียนเฉินพุ่งเข้ามาต่อหน้าต่อตา หากคิดจะเก็บแส้ของตนกลับมาให้เร็วก็คงทำได้ยาก เพราะแส้สีดำโจมตีสิงโตหินตัวใหญ่จนทะลุไป ซึ่งสิงโตหนักนับพันจิน จะยกขึ้นมาง่ายๆ ได้อย่างไร

“คุณผู้หญิง รับมือ!” เย่เทียนเฉินมาถึงเบื้องหน้าของเด็กสาวแล้ว ใช้หมัดต่อยออกไป

“ต้องดวลกับนายแล้ว!”

ทันใดนั้นเอง เด็กสาวก็กัดริมฝีปากเซ็กซี่ของเธอ มือขวาปล่อยแส้สีดำด้วยท่าทางน่ารักเป็นอย่างมาก มือทั้งสองกำเป็นหมัด ร่ายรำเป็นแผนภูมไทเก๊กแปดทิศอยู่บริเวณหน้าอก ป้องกันการโจมตีของเย่เทียนเฉินเอาไว้

เรื่องแปลกประหลาดได้เกิดขึ้นแล้ว ในตอนที่หมัดของเย่เทียนเฉินซัดลงไปบนการร่ายรำแปนภูมไทเก็กแปดทิศที่บริเวณหน้าอกของเด็กสาวคนนั้น ถึงกับเกิดความรู้สึกที่ราวกับจมลงไปในทะเลสาบ กำลังหมัดของเขาถูกทำให้สลายไป ถูกแผนภูมิแปดทิศกำจัดออกไป ทันใดนั้นจึงรู้สึกตื่นตะลึง ไม่ได้คาดคิดถึงสถานการณ์เช่นนี้โดยสิ้นเชิง ตอนนี้เองเด็กสาวก็เก็บแส้สีดำของตนกลับมาและสะบัดไปยังเย่เทียนเฉินอีกครั้ง

ฟ้าว!

เด็กสาวสะบัดแส้ออกไป เย่เทียนเฉินเองก็ถอยหลังไปอยู่ในตำแหน่งที่ห่างจากเด็กสาวสองเมตร มองเด็กสาวด้วยรอยยิ้ม ไม่กล่าวไม่ได้ว่าฝีมือของเด็กสาวคนนี้ไม่อ่อนแอเลย ยิ่งไปกว่านั้นกระบวนท่าก็แปลกประหลาด เป็นครั้งแรกที่เย่เทียนเฉินได้เห็น ดังนั้นจึงไม่อาจเอาชนะได้อย่างราบรื่น

“หยุดมือ นำกล่องหยกหงส์มังกรมอบให้คุณหนูเวยเสวี่ยซะ!” ตอนนี้เอง หลัวเหยียนซงปรากฏตัวออกมาที่บริเวณประตูใหญ่ มองไปยังเย่เทียนเฉินแล้วพูดขึ้น

“ก็แค่เห็นหินก้อนนึงไม่ใช่เหรอ? มีอะไรน่าแปลกกัน เอาไปสิ!” เย่เทียนเฉินยักไหล่ โยนกล่องหยกหงส์มังกรให้เด็กสาว ส่วนหยกมีตำหนิเปื้อนเลือดด้านในกล่องก็ถูกหลัวเยี่ยนเก็บเอาไว้แล้ว

 เย่เทียนเฉินหมุนตัวจะเดินขึ้นรถ เด็กสาวอดไม่ได้ที่จะกัดริมฝีปากอันเซ็กซี่แล้วเอ่ยปากอย่างไม่พอใจ “นายชื่ออะไร?”

“เย่เทียนเฉิน!” เย่เทียนเฉินพูดจบก็เข้าไปนั่งในรถ ให้เปาเทียนหลงขับรถจากไป

เมื่อเห็นเย่เทียนเฉินจากไป เด็กสาวก็อดไม่ได้ที่จะกำหมัดอันขาวนวลของเธอจนแน่นพลางกัดริมฝีปาก โกรธจนกระทืบเท้าเล็กๆ และพูดพึมพำกับตัวเองเสียงเบาว่า “เย่เทียนเฉิน ถ้านายกล้าปรากฏตัวต่อหน้าฉันจานไถเวยเสวี่ยอีกครั้ง ฉันจะไม่ปล่อยนายไปแน่ จะอัดนายให้หน้าทิ่มเลย!”

…………

Related

“แม่ครับ ผมไม่เป็นไรอย่ากังวลไปเลย!” เย่เทียนเฉินเดินออกมาจากฝุ่นควัน พูดพลางยิ้มให้หลัวเยี่ยนผู้เป็นแม่

ตกตะลึง หวาดกลัว ยากที่จะเชื่อ ทุกคนต่างมองเย่เทียนเฉินอย่างตกใจจนตาค้าง เดิมทีเขาสามารถสู้กับเปาเทียนหลงจนถึงขั้นที่พื้นรอบๆ กลายเป็นเศษซากได้นั้น ก็ทำให้ทุกคนอดไม่ได้ที่จะสั่นสะท้านแล้ว เดิมทีคิดว่าการโจมตีที่แข็งแกร่งที่สุดของเปาเทียนหลง การใช้หมัดเทพปราณฟ้าออกไปจะต้องสามารถฆ่าเย่เทียนเฉินได้อย่างแน่นอน เมื่อเห็นมือขวาของเปาเทียนหลงบิดเบี้ยวผิดรูปไป มีลักษณะของอาการกระดูกหักหลายท่อน ทุกคนต่างก็รู้สึกตกตะลึงอย่างหาใดเปรียบ แต่ทั้งหมดต่างก็คิดว่าเปาเทียนหลงจะต้องสามารถฆ่าเย่เทียนเฉินได้ด้วยหมัดนี้แน่นอน นี่ก็นับว่าไม่เลวแล้ว ไหนเลยจะรู้ว่าเย่เทียนเฉินจะถึงกลับเดินออกมาด้วยใบหน้าที่ประดับรอยยิ้มไร้พิษสง

“แกแข็งแกร่งมาก!” เปาเทียนหลงพูดออกมา คำพูดนี้แสดงให้เห็นถึงทุกอย่าง นี่คือความรู้สึกที่เขามีต่อเย่เทียนเฉิน และเป็นการประเมินที่เขาซึ่งเคยเป็นขุนพลระดับทัพฟ้ามีต่อเย่เทียนเฉิน

“แกเองก็ไม่เลวเหมือนกัน คิดดีแล้วหรือยัง มาเป็นลูกน้องของฉันเถอะ ติดตามฉันเป็นไง?” เย่เทียนเฉินถามด้วยรอยยิ้ม

ใครก็คิดไม่ถึงว่า หลังจากที่เย่เทียนเฉินและเปาเทียนหลงต่อสู้กันครั้งใหญ่ ประโยคแรกที่พูดกับเปาเทียนหลงจะเป็นคำพูดที่ต้องการรับเปาเทียนหลงเป็นลูกน้อง นี่ทำให้ทุกคนรู้สึกแปลกใจมาก ในสายตาของคนรอบๆ การต่อสู้ครั้งยิ่งใหญ่นี้เรียกได้ว่ายังไม่รู้แพ้รู้ชนะ เพราะเย่เทียนเฉินและเปาเทียนหลงต่างก็ใช้การโจมตีที่แข็งแกร่งที่สุดของตนออกมาและได้รับบาดเจ็บกันทั้งคู่ ไม่มีใครชนะใคร

แต่ในใจของเปาเทียนหลงรู้ดีว่าตัวเองแพ้แล้ว ประการแรก การต่อสู้กันอย่างดุเดือดของกระบวนท่าทั้งยี่สิบกระบวนท่านี้ เริ่มต้นก็เป็นเขาที่ลงมือโจมตี จนถึงการโจมตีที่แข็งแกร่งครั้งสุดท้ายนั้นก็เป็นเช่นเดียวกัน ถึงแม้เมื่อมาถึงตอนสุดท้ายจะสามารถบีบบังคับให้เย่เทียนเฉินใช้พลังพิเศษในขอบเขตจอมราชันออกมาได้ และยังเป็นความสามารถในขั้นสูงสุดอีกด้วย แต่เย่เทียนเฉินก็สามารถต่อต้านหมัดเทพปราณฟ้าของเขาได้ และโจมตีเขาอย่างหนักหน่วง ที่สำคัญที่สุดก็คือเย่เทียนเฉินเพิ่งจะอายุยี่สิบปี อายุน้อยกว่าเขาถึงสิบกว่าปี หากเวลาผ่านไปอีกสิบปีตนเองจะยังเป็นคู่ต่อสู้ของเย่เทียนเฉินได้อีกหรือ? ในใจของเปาเทียนหลงไม่มีความมั่นใจเลยสักนิด

“ความคาดหวังของฉันสูงมาก หากไม่มีการต่อสู้ดุเดือดเลือดพล่าน ก็ไม่สนใจหรอก!” เปาเทียนหลงพูดยิ้มๆ

“คนที่ฉันต้องการแต่ละคนต่างก็มีความสามารถแข็งแกร่งทั้งนั้น รวมกับที่ฉันเย่เทียนเฉินไปหาเรื่องเอาไว้มากมายขนาดนั้น เกรงว่าคนที่คิดจะฆ่าฉันคงมีไม่น้อย ในหมู่คนพวกนี้จะต้องมียอดฝีมือระดับสูงอยู่แน่นอน สนใจหรือเปล่า?” เย่เทียนเฉินมองเปาเทียนหลงแล้วเอ่ยถาม

“ขอแค่มีการต่อสู้ที่ดุเดือดเลือดพล่าน และดูแลเรื่องอาหารการกินก็พอแล้ว เงินก็เป็นแค่ของไร้ประโยชน์!” เปาเทียนหลงพูดพลางยิ้มออกมาอย่างพึงพอใจ

“เรื่องอาหารฉันดูแลเอง รับประกันด้วยชีวิตเลย!”

ทุกคนที่อยู่ที่นี่คิดไม่ถึงอย่างสิ้นเชิงว่า หลังจากการต่อสู้เมื่อสักครู่นี้ แม้จะไม่รู้แพ้รู้ชนะ แต่เปาเทียนหลงกลับมีความคิดที่จะติดตามเย่เทียนเฉินแล้ว สามารถดึงนักสู้แบบเปาเทียนหลงไปได้ทั้งๆ ที่เย่เทียนเฉินยังอายุน้อยแค่ยี่สิบปีเท่านั้น จะไม่ทำให้ผู้คนต้องสั่นสะท้านได้อย่างไร?

การต่อสู้ของเย่เทียนเฉินและเปาเทียนหลงนับว่าสิ้นสุดลงแล้ว หลังจากการต่อสู้ระหว่างพวกเขา แม้ว่าทั้งสองต่างก็ได้รับบาดเจ็บ แต่กลับไม่ได้มีความแค้นอะไรต่อกัน กลับมีความรู้สึกหนึ่งที่เรียกได้ว่าไม่ต่อยตีก็ไม่รู้จักกันด้วยซ้ำ สามารถพูดชักจูงให้เปาเทียนหลงติดตามตนเองไปป่วนยุทธภพได้ เย่เทียนเฉินก็ดีใจมากแล้ว นี่ก็อยู่ในแผนการของเขาเช่นเดียวกัน

ในตอนที่เปาเทียนหลงเพิ่งจะเดินเข้ามาในบ้านสไตล์โบราณนั้น พลังพิเศษแห่งการรับรู้ของเย่เทียนเฉินก็รับรู้ได้ถึงกำลังภายในที่แข็งแกร่งในร่างกายของเปาเทียนหลงแล้ว ซึ่งไม่เหมือนกับพลังภายในที่พรรควรยุทธโบราณอื่นๆ ฝึกฝน เพราะพลังภายในร่างกายของเปาเทียนหลงหนักแน่นดุดันเป็นอย่างมาก ซึ่งมีพื้นฐานมาจากพลังการต่อสู้ เย่เทียนเฉินที่ต้องการจะก่อตั้งกลุ่มอำนาจของตน จึงต้องการคนที่บ้าการต่อสู้แบบเปาเทียนหลง

ในฐานะที่เคยเป็นขุนพลระดับทัพฟ้าและเป็นยอดฝีมือชั้นยอด ในร่างกายของเปาเทียนหลงย่อมมีเลือดแห่งการต่อสู้ไหลเวียนอยู่ มีบางคนที่เกิดมาเพื่อต่อสู้ แต่พอฆ่าคนผิดเปาเทียนหลงจึงถูกบีบบังคับให้ออกจากทัพฟ้า และเพื่อปากท้องจึงจำเป็นต้องมาเป็นหัวหน้าผู้คุ้มกันให้กับตระกูลหลัว ความจริงแล้วเขาไม่ชอบชีวิตแบบนี้เลย การเป็นหัวหน้าผู้คุ้มกันคนหนึ่งในตระกูลหลัว ทั้งวันก็ไม่มีเรื่องอะไรให้ทำ เป็นการใช้คนไม่ถูกกับงานเลยจริงๆ แต่ก็ไม่สามารถเลือกได้ เปาเทียนหลงคาดหวังการต่อสู้ที่ดุเดือดเลือดพล่าน การต่อสู้ที่จะสามารถใช้ความสามารถของตนออกมาได้อย่างเต็มที่ ต่อให้ต้องตายในการต่อสู้ก็ยังดีกว่ามีชีวิตราบเรียบแบบนี้ นี่เป็นข้อต่อรองเพียงข้อเดียวที่เย่เทียนเฉินคิดว่าตนเองจะสามารถชักจูงเปาเทียนหลงให้ติดตามตัวเองได้

แน่นอนว่าหากเขาไม่สามารถแสดงออกมาให้เห็นว่าตนเองเข้ากันได้ดีกับเปาเทียนหลง กระทั่งมีความสามารถที่แข็งแกร่งยิ่งกว่าเขา เขาก็คงไม่ยอมติดตามเย่เทียนเฉินอย่างแน่นอน

“หัวหน้า คุณ…”

“หัวหน้า คุณจะติดตามไอ้หนูนี่จริงๆ เหรอ…”

ผู้คุ้มกันสองคนที่ติดตามเปาเทียนหลงมาโดยตลอดจนสามารถเรียกได้ว่ามีความสัมพันธ์ที่ไม่เลวต่อกัน ต่างก็รู้สึกตกตะลึงอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ จะอย่างไรเขาก็ไม่คิดว่าหลังจากการต่อสู้เปาเทียนหลงจะถูกเย่เทียนเฉินดึงไปเป็นพวก ไปจากตระกูลหลัว ไม่เป็นหัวหน้าผู้คุ้มกันอีกต่อไป ไปติดตามไอ้หนูคนนี้แทน นี่ช่างกะทันหันเกินไปแล้ว

“พวกแกสองคนอยู่ที่ตระกูลหลัวต่อไปเถอะ มีเรื่องอะไรก็มาหาฉันได้!” เปาเทียนหลงพูดด้วยรอยยิ้ม

ตอนนี้เอง หลัวเหยียนซงที่ยืนมองเย่เทียนเฉินอยู่ไม่ไกลมาโดยตลอด ก็ไม่ได้รู้สึกโกรธเพราะเย่เทียนเฉินไม่ได้แพ้ให้กับเปาเทียนหลงและต้องการจะจากไปหลังจากที่ทำกร่างทำร้ายคนตระกูลหลัวของตน แต่กลับมีรอยยิ้มปรากฏขึ้นที่มุมปาก สั่งกับคนรับใช้ที่อยู่ข้างกายอย่างราบเรียบว่า “ให้เย่เทียนเฉินและแม่ไปได้ กล่องหยกหงส์มังกรและหยกมีตำหนิเปื้อนเลือดก็ให้พวกเขาไปด้วย!”

“งั้นนายท่าน แล้วเปาเทียนหลงล่ะครับ?” คนใช้ถามอย่างนอบน้อม

“แล้วแต่เขาเถอะ นี่เป็นอิสระของเขา!”

พูดจบหลัวเหยียนซงก็เดินไปจากที่นั่น ในใจของเขารู้สึกสะท้อนใจและเจ็บปวดใจ เนื่องจากแม่เฒ่าตระกูลหลวงซึ่งเป็นแม่ของเขาจากโลกนี้ไปแล้ว ถึงเขาจะรีบกลับมาก็ยังไม่สามารถป้องกันไม่ให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นได้ บางทีผลลัพธ์ในตอนนี้คงจะดีที่สุดแล้ว เพียงแต่เย่เทียนเฉินที่เป็นหลานของเขาคนนี้ทำให้เขารู้สึกตื่นตะลึงและสั่นสะท้านมากเหลือเกิน

เมื่อรู้ว่าเย่เทียนเฉินมีความสามารถที่แข็งแกร่งถึงขั้นนี้ คุณลุงทั้งหลายแห่งตระกูลหลัวที่เดิมทีรู้สึกไม่พอใจจนคิดจะลงมือลอบทำร้าย ต่างก็ไม่กล้าพูดอะไรออกมาแม้แต่ประโยคเดียว ต่อให้จะเห็นลุงหวังนำหยกมีตำหนิเปื้อนเลือดไปบรรจุลงในกล่องหยกหงส์มังกร และพาหลัวเยี่ยนไปก็ไม่มีใครกล้าขวาง ไม่ว่าใครต่างก็รู้ว่าเย่เทียนเฉินเป็นคนที่ทำตามหลักการโดยไม่สนใจตัวคน หากตอนนี้มีใครเข้าไปขวางไม่ใช่ว่าเป็นการรนหาที่ตายหรอกหรือ?

“แม่มันเถอะ หรือจะปล่อยให้ไอ้หนูนี่เอากล่องหยกหงส์มังกรและหยกมีตำหนิไป?” มีคนกัดฟันถามออกมาอย่างไม่สบอารมณ์

“ไม่งั้นจะทำยังไงได้อีก? แกจะไปดวลตัวต่อตัวกับมันหรือไง?”

“ห้ามให้มันเอาไปเด็ดขาด พวกเราสามารถออกคำสั่งให้ผู้คุมการตระกูลหลัวยิงมันได้”

“ผู้นำตระกูลก็รับรู้แล้ว ช่างมันเถอะ ฉันอยากจะมีชีวิตอยู่ต่อไปอีกหลายปี”

เพียงไม่นาน เย่เทียนเฉิน หลัวเยี่ยนและลุงหวังสามคนก็นั่งอยู่ในรถซีดานคันหนึ่ง โดยมีเปาเทียนหลงเป็นคนขับ เย่เทียนเฉินนั่งอยู่ในตำแหน่งข้างคนขับ ส่วนหลัวเยี่ยนนั่งอยู่ที่นั่งด้านหลัง รับกล่องหยกหงส์มังกรที่ลุงหวังส่งมาให้ หลัวเยี่ยนยังคงหยิบยกมีตำหนิด้านในกล่องออกมาเพียงอย่างเดียวเท่านั้น และมอบกล่องหยกหงส์มังกรคืนให้ลุงหวัง

“คุณหนู นี่คุณ…” ลุงหวังถามอย่างสงสัย ไม่ง่ายเลยกว่าที่ผู้นำตระกูลจะให้หลัวเยี่ยนสองแม่ลูกนำหยกมีตำหนิและกล่องหยกหงส์มังกรไปได้ หลัวเยี่ยนไม่ต้องการหรือ? นี่เป็นของล้ำค่าที่ไม่อาจประเมินค่าได้ บนโลกมีเพียงชิ้นเดียวเท่านั้น

“พ่อพูดแล้วว่าให้พวกเราเอาไปแค่หยกมีตำหนิ ถึงตอนนี้คุณลุงตระกูลหลัวทั้งหลายจะไม่ได้พูดอะไร แต่ก็คงเลี่ยงไม่ได้ที่จะทำให้พ่อลำบากใจภายหลัง ของสิ่งนี้เก็บไว้ที่ตระกูลหลัวเถอะ พวกเรานำไปแค่หยกมีตำหนิก็พอแล้ว!” หลัวเยี่ยนพูดด้วยรอยยิ้ม

 “คุณหนูครับ ถ้าหากว่านายท่านรู้ จะต้อง…” ลุงหวังรู้สึกซาบซึ้งใจ หลัวเยี่ยนเห็นเขาเป็นญาติผู้ใหญ่คนหนึ่ง และมีความกตัญญูมากด้วย ต่อให้เหตุการณ์มาถึงขั้นนี้แล้วก็ยังไม่อยากทำให้พ่อลำบากใจ

“อย่าบอกเขานะ บอกให้ว่าฉันไม่ต้องการก็พอแล้ว!” หลัวเยี่ยนพูดพลางส่ายหน้า

ลุงหวังมองหลัวเยี่ยนครั้งหนึ่ง อดไม่ได้ที่จะถอนใจออกมา สองพ่อลูกคู่นี้ผ่านไปยี่สิบปีแล้วก็ยังไม่สามารถปล่อยวางได้ การทะเลาะกันจนตัดความสัมพันธ์พ่อลูกเมื่อปีนั้น จะไม่อาจแก้ไขได้ไปตลอดชีวิตเลยหรือ? นี่จะโหดร้ายเกินไปหรือเปล่า?

“ผมทราบแล้วครับ!” ลุงหวังพูดแล้วพยักหน้า

เอี๊ยด!

ในตอนที่เย่เทียนเฉิน หลัวเยี่ยน และเปาเทียนหลงเตรียมจะจากไปนั้น รถมอเตอร์ไซค์ที่โดดเด่นคันหนึ่งได้มาจอดที่ประตูใหญ่ของบ้านตระกูลหลัว มีเด็กสาวคนหนึ่งลงมาจากรถ เธอสวมชุดหนัง กางเกงหนัง รองเท้าหนัง บนใบหน้าสวมแว่นกันแดดสีดำ มองใบหน้าของเธอได้ไม่ชัดเจน ปากเล็กๆ ที่แดงเอิบอิ่มมีเสน่ห์อยู่หลายส่วน ร่างกายสูงประมาณ 172 เซนติเมตร เมื่อรวมกับชุดหนังที่สวมอยู่บนร่างแล้วก็ทำให้ส่วนเว้าส่วนโค้งของร่างกายถูกขับเน้นจนเด่นอย่างมาก กระทั่งเย่เทียนเฉินก็มองจนอดไม่ได้ที่จะยิ้มชั่วร้ายขึ้นมาที่มุมปาก ผู้หญิงดีๆ แบบนี้ ต่อให้ไม่สามารถมองเห็นใบหน้าทั้งหมดได้ แต่จากการคาดเดาของเขาผู้หญิงคนนี้จะต้องสวยมากแน่ ไม่ด้อยไปกว่าสาวงามอันดับหนึ่งแห่งเมืองหลวงอย่างหลิ่วหรูเหมยเลย

“สวัสดี ฉันชื่อจานไถเวยเสวี่ย คุณช่วยแจ้งกับหัวหน้าตระกูลหลัวหน่อยว่า ฉันมีเรื่องด่วนต้องการพบเขา!” ผู้หญิงร่างสูงที่สวมแว่นกันแดดสีดำคนนั้นเดินมาที่ประตูคฤหาสน์ตระกูลหลัวแล้วพูดกับพวกคุ้มกันด้วยรอยยิ้ม

ผู้คุ้มกันบริเวณประตูชะงักไปเล็กน้อย จากนั้นจึงรีบต่อสายโทรศัพท์อย่างรวดเร็ว แล้วพูดอย่างเกรงใจว่า “คุณหนูเวยเสวี่ยเชิญเข้าไปครับ นายท่านหลัวรออยู่ในห้องรับแขกแล้ว!”

“ว้าว ผู้หญิงคนนี้โดดเด่นจริงๆ แม่ครับ คุณพ่อของแม่มารอที่ห้องโถงด้วยตัวเองเลย!” เย่เทียนเฉินพูดพลางยิ้มอย่างสนใจ

“จานไถเวยเสวี่ย หรือว่า…ไปเถอะ ไม่เกี่ยวอะไรกับพวกเรา!” หลัวเยี่ยนชะงักไปครู่หนึ่ง จากนั้นจึงพูดออกมาพลางส่ายหน้า

“จริงสิ หยกมีตำหนินี้แม่ใหญ่ของแม่ทิ้งเอาไว้ให้ ส่วนกล่องหยกหงส์มังกรพวกเราก็ไปหาผู้เชี่ยวชาญมาประเมินราคา ของสิ่งนี้ถ้าเก็บไว้ที่บ้านคงต้องเจอกับนักฆ่าแน่นอน!” มือซ้ายของเย่เทียนเฉินถือกล่องหยกหงส์มังกรเอาไว้ สังเกตกล่องแล้วพูดออกมาอย่างสนใจ

ฟ้าว!

คำพูดของเย่เทียนเฉินเพิ่งจะพูดจบ แส้หนังสีดำเส้นหนึ่งก็ตวัดมาทางเขา โจมตีไปที่กล่องหยกหงส์มังกรในมือซ้ายคล้ายจะขโมยไป

เย่เทียนเฉินสายตาว่องไวลงมือรวดเร็ว เขาเบี่ยงตัวหลบ ในขณะเดียวกันก็ใช้มือขวาจับแส้หนังสีดำเอาไว้แล้วหันไปมอง พบว่าคนที่สะบัดแส้โจมตีเขาและจับอยู่ที่อีกด้านหนึ่งของแส้ก็คือเด็กสาวที่สวมแว่นสีดำ สวมเสื้อหนังรองเท้าหนัง และมีรูปร่าง เซ็กซี่คนนั้น เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นอย่างกะทันหันทำให้ทุกคนคิดไม่ถึง

………………..

Related

เย่เทียนเฉินและเปาเทียนหลงสู้กันไปสิบกว่ากระบวนท่าแล้ว มีทั้งการบุกโจมตีและมีการบาดเจ็บด้วยกันทั้งคู่ เปาเทียนหลงแสดงความสามารถที่ไม่ธรรมดาของอดีตขุนพลระดับทัพฟ้าอย่างเขาออกมา ส่วนเย่เทียนเฉินก็ทำให้ทุกคนที่อยู่ที่นี่ต้องสั่นสะท้านเป็นที่สุด ใครก็คิดไม่ถึงว่าเขาจะร้ายกาจขนาดนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเขาถึงกับมีฝีมือแข็งแกร่งในขณะที่ยังอายุน้อยเช่นนี้ สามารถต่อสู้กับเปาเทียนหลงได้สิบกว่ากระบวนท่าโดยไม่ตกเป็นรอง

สิบกว่ากระบวนท่า เพียงแค่สิบกว่ากระบวนท่าเท่านั้นแต่กลับทำให้ใครหลายคนรับรู้ได้ถึงความร้ายกาจและความน่าตื่นตาตื่นใจของศิลปะป้องกันตัวของจีน สิบกว่ากระบวนท่านี้ดุเดือดรุนแรงเป็นอย่างมาก ทำให้เย่เทียนเฉินและเปาเทียนหลงต่างก็เคร่งขรึมจริงจังอย่างหาใดเปรียบ ไม่มีใครกล้าดูถูกคู่ต่อสู้ ทำได้เพียงรับมืออย่างเต็มกำลังเท่านั้น

ในตอนที่เปาเทียนหลงตะโกนออกมา ต้องการที่จะตัดสินแพ้ชนะกับเย่เทียนเฉินนั้น แผ่นหินที่อยู่รอบๆ เขาถึงกลับลอยขึ้นมาจากพื้นทั้งหมด อย่างน้อยก็สิบกว่าแผ่น เป็นแผ่นหินที่ใหญ่มาก ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ว่าหากถูกแผ่นหินทั้งสิบกว่าแผ่นตกใส่เลย แค่แผ่นเดียวก็สามารถทับคนธรรมดาตายได้แล้ว

“พลังปราณหนักแข็งแกร่งมาก หัวหน้าใช้พลังปราณหนักทำให้แผ่นหินรอบๆ ลอยขึ้นมา จะต้องสามารถโจมตีไอ้หนูนั่นให้ครึ่งเป็นครึ่งตายได้แน่นอน!”

“ไม่ใช่ครึ่งเป็นครึ่งตายตาย แต่จะต้องฆ่าไอ้หนูนั่นได้แน่!”

เมื่อเห็นว่าหัวหน้าใช้พลังปราณหนักของตนออกมาจนทำให้แผ่นหินแผ่นใหญ่ลอยขึ้น ผู้คุ้มกันสองคนที่ติดตามเปาเทียนหลงมาโดยตลอดก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกตื่นเต้น หลายคนคิดว่าพลังปราณหนักก็คือพลังภายในที่แข็งแกร่งชนิดหนึ่ง เมื่อปะทุออกมาก็จะมีพละกำลังที่แข็งแกร่ง ความจริงนั้นไม่ถูกต้อง ส่วนที่ร้ายกาจที่สุดของพลังปราณหนักก็คือสามารถทำให้ร่างกายรับความกดดันเพิ่มมากขึ้นได้หลายเท่า จากนั้นจึงควบคุมแรงโน้มถ่วงที่คนธรรมดารับไม่ได้ไปโจมตีศัตรู

“ให้ตายสิ ไม่พูดไม่ได้ว่าไอ้เด็กแซ่เย่ร้ายการมาก แต่ครั้งนี้มันจะต้องตายแน่นอน!”

“ต่อให้ก่อนหน้านี้เขาจะสามารถตอบโต้เปาเทียนหลงได้อย่างดุเดือด แต่ตอนนี้ไปยั่วโมโหเปาเทียนหลงก็จะต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัยเลย”

“ครั้งนี้จะต้องไม่เกิดความผิดพลาดอะไรขึ้นอีกแน่นอน เย่เทียนเฉินต้องตาย!”

คนตระกูลหลัวบ้าคลั่งไปแล้วโดยสิ้นเชิง โดยเฉพาะคนที่ต้องการให้เย่เทียนเฉินตายมาโดยตลอด พูดได้ว่าทุกครั้งที่พวกเขาคิดว่าเย่เทียนเฉินจะต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัย เย่เทียนเฉินก็จะทำให้พวกเขาต้องสั่นสะท้านโดยไม่คาดคิด ยิ่งเป็นเช่นนี้พวกเขาก็ยิ่งหวังจะให้เย่เทียนเฉินสิ้นชีพ ต้องการให้เขาถูกเปาเทียนหลงฆ่าตาย มีเพียงเช่นนี้เท่านั้นพวกเขาจึงจะสามารถวางใจได้

“กระบวนท่าสุดท้าย ถ้าหากแกรอดไปได้ ก็ถือว่าแกชนะ!” มือทั้งสองของเปาเทียนหลงควบคุมแผ่นหินแผ่นใหญ่สิบกว่าแผ่น มองไปยังเย่เทียนเฉินอย่างเย็นชาแล้วพูดขึ้น

“ฉันชนะแน่อยู่แล้ว ความสามารถทางการต่อสู้ที่แกแสดงออกมาสามารถเป็นลูกน้องของฉันได้เลย แกแพ้แล้ว ฉันไม่ต้องการชีวิตของแก มาติดตามฉันซะเถอะ!” เย่เทียนเฉินพูดด้วยรอยยิ้ม

“รับมือ!”

เปาเทียนหลงตะโกนเสียงดัง กระโดดขึ้นไปสูงสามเมตร ยืนอยู่บนแผ่นหินแผ่น หนึ่ง หินทั้งสิบกว่าแผ่นพุ่งโจมตีลงมายังเย่เทียนเฉินพร้อมกัน คนที่อยู่รอบๆ เห็นดังนั้นก็อดไม่ได้ที่จะถอยหลังออกไป หากว่าถูกทับเข้าไม่ตายก็ต้องเจ็บหนัก ใครก็ไม่กล้าเอาชีวิตของตนมาล้อเล่น

“ลูก…” หลัวเยี่ยนตะโกนอย่างร้อนใจ คิดจะวิ่งเข้าไปแต่กลับถูกลุงหวังขวางเอาไว้ ตอนนี้ใครก็ช่วยเย่เทียนเฉินไม่ได้แล้ว ทำได้แต่พึ่งตัวเองเท่านั้น

“คุณหนูครับ เข้าไปไม่ได้เดี๋ยวจะตายเอา!” ลุงหวังพูดอย่างร้อนใจเช่นเดียวกัน

“ลุงหวัง ปล่อยหนูเถอะ เทียนเฉินกำลังมีอันตราย!” หลัวเยี่ยนดิ้นสุดชีวิต คิดจะพุ่งเข้าไปปกป้องลูกชาย

“แม่ครับ แม่อย่ามาทำให้ผมกังวลเลย ผมไม่เป็นอะไรหรอก แม่ไปยืนกับลุงหวังห่างๆ หน่อยเถอะ!” เย่เทียนเฉินพูดกับแม่ด้วยรอยยิ้ม

หลัวเยี่ยนชะงักไปเล็กน้อย มองใบหน้าเปี่ยมรอยยิ้มของลูกชาย ทันใดนั้นจึงสงบลงมาก เป็นเช่นนั้นจริงๆ ต่อให้ตนวิ่งเข้าไปจะทำอะไรได้ล่ะ? คงทำให้ลูกชายต้องกังวลเปล่าๆ และไม่อาจรับมือได้อย่างเต็มกำลัง

ในที่สุดหลัวเยี่ยนและลุงหวังก็ไปยืนด้านข้าง ส่วนคนตระกูลหลัวก็ถอยออกไปไกลตั้งนานแล้ว เมื่อต้องเจอกับเหตุการณ์เช่นนี้ ต้องเจอกับสถานการณ์การต่อสู้อันดุเดือดรุนแรงที่เหนือจินตนาการ ก็ไม่มีใครกล้าเข้าไปใกล้แม้แต่คนเดียว ในกลุ่มคนเหล่านั้น ดวงตาทั้งสองของหลัวเหยียนซงจับจ้องไปที่เย่เทียนเฉินโดยตลอด นิสัยและฝีมือของหลานคนนี้เหนือจินตนาการของเขาไปมาก ความเด็ดเดี่ยวและความกล้าหาญนั้นร้ายกาจยิ่งกว่าตอนเขายังหนุ่มเสียอีก

เย่เทียนเฉินเห็นหลัวเยี่ยนไปยืนด้านข้างแล้วก็รู้สึกวางใจลงไม่น้อย แต่เขาก็ไม่ได้ดูเบาอีกฝ่ายโดยเด็ดขาด การโจมตีที่เปาเทียนหลงใช้ออกมาหลายกระบวนท่า ต่างเป็นเคล็ดวิชาของพรรควรยุทธโบราณที่รับมือไม่ง่าย และยังไปถึงขั้นที่สามารถควบคุมวัตถุได้แล้ว แน่นอนว่าเย่เทียนเฉินรู้ว่านี่ไม่ใช่พลังพิเศษ เขาไม่อาจรับรู้ได้ถึงการสั่นไหวของพลังพิเศษใดๆ บนร่างของเปาเทียนหลง วิธีที่เปาเทียนหลงใช้ออกมาคือพลังภายในที่แข็งแกร่งอันบริสุทธิ์ สอดแทรกเข้าไปในวัตถุ และใช้พลังในการควบคุมและโจมตี วิธีการเช่นนี้ยิ่งอัดพลังแน่น ก็ยิ่งร้ายกาจ มีอำนาจยิ่งใหญ่เป็นอย่างมาก

ฟิ้ว!

ฟิ้ว!

ฟิ้ว!

หินทั้งสิบกว่าแผ่นพุงเข้าไปยังเย่เทียนเฉินพร้อมกัน ดูเหมือนว่าจะพุ่งตกลงมาจากฟ้า เย่เทียนเฉินไม่มีทางให้หลบเลยสักนิด ส่วนเปาเทียนหลงในตอนนี้ดูคล้ายกับกำลังเดินอยู่บนอากาศ เตะแผ่นหินออกมาด้วยท่าทางคล้ายกับนกนางแอ่น จากนั้นจึงพุ่งตังตามหินทั้งสิบกว่าแผ่นที่กำลังพุ่งไปยังเย่เทียนเฉินแล้วร่วมโจมตีเข้าด้วยกัน

“ย่ะ!”

ในช่วงเวลาแห่งความเป็นความตาย เย่เทียนเฉินตะโกนออกมา มือทั้งสองแบขึ้นสู่ท้องฟ้า เกิดเสียงดังกึกก้อง มีกำแพงดินผุดขึ้นมาจากดินทั้งสองฝั่ง พุ่งไปยังแผ่นหินทั้งสิบกว่าแผ่นนั้นพร้อมกัน กระบวนท่าโจมตีนี้ก็เป็นการปะทะกันของพลัง เย่เทียนเฉินใช้เคล็ดวิชาพลังพิเศษสายพสุธา กระตุ้นพลังพิเศษในขอบเขตจอมราชันที่อยู่ในร่างกายออกมาในเวลาเพียงพริบตาเดียว สร้างกำแพงดินขึ้นมาสองแผ่นจากพื้นราบรอบๆ เพื่อมาต่อกรกับแผ่นหินที่ตกลงมาทั้งสิบกว่าแผ่นของอีกฝ่าย

ตู้มๆๆ…

กำแพงดินและแผ่นหินปะทะเข้าด้วยกัน เกิดเป็นเสียงระเบิดขึ้นครั้งใหญ่ บนอากาศภฟุ้งกระจายไปด้วยเศษฝุ่น คนที่ยืนล้อมอยู่วงนอกไม่มีใครเห็นสถานการณ์ได้ชัดเจน เพียงแต่ในช่วงพริบตาที่กำแพงดินและแผ่นหินปะทะกันนั้น พวกเขาเห็นว่ากำแพงดินยุบลง ส่วนแผ่นหินก็แตกเป็นเสี่ยงๆ พลังที่แข็งแกร่งเช่นนี้ทำให้ทุกคนต้องสั่นสะท้าน ช่างร้ายกาจจริงๆ พลังของสองคนนี้เกินขอบเขตคนธรรมดาไปแล้ว

“หมัดเทพปราณฟ้า!”

เปาเทียนหลงตะโกน พุ่งตัวลงมาจากตำแหน่งที่สูงสามเมตร หมัดขวากำแน่นมีประกายสีทองส่องสว่าง ดวงตาแพรวพราวดูโดดเด่น นี่คือการโจมตีเต็มพลังของเขา และเป็นการโจมตีที่แข็งแกร่งที่สุดในฐานะที่เขาเป็นขุนพลระดับทัพฟ้า ในตอนที่หมัดขวาของเขาพุ่งตรงลงมาข้างล่าง ดูคล้ายกับลำแสงลำหนึ่งที่ปัดเป่าเศษฝุ่นออกเป็นสายอย่างไรอย่างนั้น

ฟิ้ว!

ในตอนที่เปาเทียนหลงทะยานลงมาและโจมตีหมัดออกไปนั้น ท่ามกลางฝุ่นควันก็มีเงาคนพุ่งออกมา ทะยานร่างขึ้นมาข้างบน ต่อยหมัดออกมาเช่นเดียวกัน ทั้งสองทั้งแข็งแกร่งและบ้าคลั่งเป็นอย่างมาก

ตู้ม!

เสียงดังสนั่นหวั่นไหว หมัดเย่เทียนเฉินและเปาเทียนหลงปะทะกัน ระเบิดจนส่องประกายออกมา นี่คือการโจมตีที่แข็งแกร่งที่สุดของพวกเขาทั้งสอง เย่เทียนเฉินลงมือเต็มกำลังแล้ว ระเบิดพลังพิเศษในขอบเขตจอมราชันขั้นสูงสุดออกมา ต่อยหมัดออกไปได้หนักแน่นอย่างมาก ส่วนเปาเทียนหลงที่เคยเป็นขุนพลระดับทัพฟ้า หากไม่ใช่เพราะฆ่าคนผิดตอนนี้ก็คงเป็นขุนพลระดับทัพฟ้าที่โดดเด่นคนหนึ่ง มีลมปราณแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก จนถึงขั้นที่สามารถควบคุมวัตถุได้แล้ว หมัดนี้ของเขารวบรวมลมปราณฟ้าทั้งหมดในร่าง ดังนั้นจึงเรียกว่าหมัดเทพปราณฟ้า

เปาเทียนหลงถูกโจมตีกลางอากาศจนกระเด็นออกไป ส่วนเย่เทียนเฉินกลับถูกแรงโจมตีกระแทกจนกระเด็นกลับไปอยู่ท่ามกลางเศษฝุ่น ทุกสิ่งทุกอย่างเงียบลง ยี่สิบกระบวนท่า ทั้งสองต่อสู้กันยี่สิบกระบวนท่าจริงๆ ทั้งตื่นตาตื่นใจและบ้าคลั่งเป็นอย่างมาก เพียงแต่หลังจากยี่สิบกระบวนท่านี้ จะสามารถรู้แพ้รู้ชนะได้หรือไม่คนนอกยากที่จะรู้ได้ เกรงว่าคงมีเพียงเย่เทียนเฉินและเปาเทียนหลงสองเท่านั้นที่จะรู้

ไม่นานเปาเทียนหลงก็ล่วงลงมาถึงพื้น สีหน้าขาวซีด มือขวาบิดเบี้ยวจนเปลี่ยนรูปไปอย่างชัดเจน หมัดเมื่อสักครู่นี้เขาลงมือเต็มที่แล้ว ต่อย “หมัดเทพปราณฟ้า” ที่เป็นการโจมตีที่แข็งแกร่งที่สุดของเขาออกไป เดิมทีคิดว่าจะสามารถฆ่าเย่เทียนเฉินได้ ไหนเลยจะรู้ว่าเย่เทียนเฉินกลับต่อยหมัดออกมา เป็นหมัดที่มีความหนักหน่วงรุนแรงเช่นเดียวกัน หมัดปะทะเข้าด้วยกัน ดวลพลังกัน เปาเทียนหลงคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าเย่เทียนเฉินจะแข็งแกร่งถึงเพียงนี้

“หัวหน้า คุณไม่เป็นไรใช่ไหม?”

“หัวหน้า มือของคุณ…”

ผู้คุ้มกันทั้งสองรีบวิ่งเข้ามา ตอนนี้มือขวาของเปาเทียนหลงบิดเบี้ยวจนเปลี่ยนรูปไปแล้ว ทั้งสองต่างรู้สึกอกสั่นขวัญแขวนอยู่ในใจ เมื่อสักครู่นี้พวกเขาย่อมเห็นเปาเทียนหลงต่อยหมัดเทพปราณฟ้าออกมา เรียกได้ว่าเป็นการโจมตีที่แข็งแกร่งที่สุดของเขา แม้แต่คนที่ไม่รู้วิชาต่อสู้ก็สามารถรับรู้ได้ถึงความรุนแรงของหมัด ยิ่งไปกว่านั้นหมัดนี้เป็นหมัดที่เปาเทียนหลงรวบรวมพลังภายในทั้งหมด ดูเหมือนว่าจะไม่มีใครต้านทานได้ แต่เย่เทียนเฉินถึงกับสามารถปะทะขึ้นมาได้จริงๆ ใช้กำปั้นซัดปะทะเข้ามาเช่นเดียวกัน ที่สำคัญที่สุดก็คือยังทำให้มือขวาของเปาเทียนหลงกระดูกหักจนเปลี่ยนรูปร่างไปแล้ว ทำให้พวกเขาตกใจจนคางแทบร่วง

“ฉันไม่เป็นไร…เย่เทียนเฉินแข็งแกร่งมากจริงๆ โชคดีที่พวกแกสองคนไม่ได้ลงมือ ไม่งั้นคงต้องตายไปแล้ว!” เปาเทียนหลงมองผู้คุ้มกันสองคนที่เป็นลูกน้องของตน พูดด้วยสีหน้าเคร่งขรึมจริงจัง

ผู้คุ้มกันทั้งสองพยักหน้าเงียบๆ มองไปท่ามกลางเศษฝุ่น ตอนนี้พวกเขาไม่ได้มีสายตาดูถูกเลยแม้แต่ครึ่งส่วน แต่กลับนับถือเย่เทียนเฉินด้วยซ้ำ ผู้แข็งแกร่งย่อมควรค่าแก่การนับถือของผู้คน พวกเขาเองก็รู้สึกโชคดีที่เมื่อสักครู่นี้ไม่ได้ออกไปสู้แทนหัวหน้าเปาเทียนหลง มิเช่นนั้นเกรงว่าตอนนี้คงจะกลายเป็นศพไปแล้ว

“หัวหน้าเปา ไม่เป็นไร ไอ้หนูนั่นจะต้องตายแน่!”

“ฮ่าๆ ตายก็ดี ไอ้เด็กนี่โอหังเกินไปแล้ว กล้ามาก่อเรื่องที่ตระกูลหลัวของพวกเรา จะต้องตาย”

“หึ ไอ้คนไม่รู้จักที่ตาย ถึงกับกล้ายั่วยุหัวหน้าเปา ต่อให้เขามีความสามารถอยู่บ้าง แต่จะต้องแหลกเป็นโคลนไปแล้วแน่!”

เมื่อเห็นเปาเทียนหลงถึงกับได้รับบาดเจ็บ มือขวาบิดเบี้ยวจนเปลี่ยนรูปไป กระดูกจะต้องแตกเป็นเสี่ยงอย่างแน่นอน มิฉะนั้นคงไม่เกิดสภาพร้ายแรงแบบนี้ คนตรกูลหลัวต่างก็รู้สึกใจสั่น ใครก็คิดไม่ถึงว่าเย่เทียนเฉินจะแข็งแกร่งถึงขั้นนี้ ดูท่าที่เขาลงมือทำร้ายจางอวิ๋นและหลัวเสียนเม่ยก็ลงมือไว้ไมตรีมากแล้ว มิฉะนั้นชีวิตของสองแม่ลูกคู่นี้คงเก็บไว้ไม่ได้

“เทียนเฉิน…เทียนเฉิน…” หลัวเยี่ยนตกตะลึง เปาเทียนหลงไม่เป็นอะไรแล้ว ถ้าอย่างนั้นเย่เทียนเฉินคงจะไม่…

ในตอนที่คนตรกูลหลัวลอบยินดีอยู่ในใจ กระทั่งระงับความยินดีเอาไว้ไม่ไหวจนยิ้มออกมา ส่วนหลัวเยี่ยนก็ใกล้จะคลั่งไปแล้ว คิดที่จะวิ่งเข้าไปท่ามกลางฝุ่นควันเพื่อไปหาลูกชาย ตอนนั้นเอง เงาร่างร่างหนึ่งก็เดินออกมาอย่างมาดเท่ มุมปากคาบบุหรี่มวนหนึ่ง มือซ้ายล้วงอยู่ในกระเป๋ากางเกง มือขวามีเลือดไหลลงมาตามแขน…

……………….

Related

ตู้ม!

นอกประตูบ้านสไตล์โบราณของตระกูลหลัวเกิดเสียงดังสนั่น ทุกคนมองฉากนี้จนตาค้าง โดยเฉพาะคนตระกูลหลัวเหล่านั้น คุณลุงทั้งหลายของตระกูลหลัวเหล่านั้นที่หวังจะให้เปาเทียนหลงซึ่งเป็นหัวหน้าผู้คุ้มกันอัดเย่เทียนเฉินให้ตายภายในหมวดเดียว ทั้งหมดต่างก็อึ้งจนแข็งเป็นหิน สูดหายใจเย็นยะเยือกด้วยความประหลาดใจ คิดไม่ถึงโดยสิ้นเชิงว่าจะเกิดสถานการณ์เช่นนี้ขึ้นมาได้

เย่เทียนเฉินและเปาเทียนหลงประหมัดกันจริงๆ ทั้งคู่ต่างก็ยืนอยู่ที่เดิมโดยไม่ขยับเขยื้อน มือขวาของพวกเขาชนกัน มองอีกฝ่ายด้วยใบหน้าที่ประดับไปด้วยรอยยิ้ม เพียงแต่พื้นหินใต้เท้าของพวกเขาในขอบเขตหนึ่งเมตรต่างแหลกจนกลายเป็นฝุ่นผงไปหมดแล้ว เรียกได้ว่าหมัดนี้สูสีกัน สุดท้ายแล้วใครที่แข็งแกร่งกว่ากันแน่ เกรงว่ามีเพียงเย่เทียนเฉินและเปาเทียนหลงเท่านั้นที่จะรู้

“แม่งเอ้ย ฉัน…ฉันไม่ได้กำลังฝันอยู่ใช่ไหม? ไอ้หนูนี่ถึงกับประหมัดกับหัวหน้าได้เลยเหรอ?” ผู้คุ้มกันคนหนึ่งไม่อยากจะเชื่อสายตาโดยสิ้นเชิง ขยี้ตาของตนอย่างแรงแล้วอุทานออกมา

“นี่…หัวหน้า หัวหน้าจะต้องยังไม่ได้ใช้พลังภายในของตนแน่นอน ถ้าเขาใช้พลังภายในก็จะไม่มีใครต้านทานได้!” ผู้คุ้มกันอีกคนหนึ่งก็ทำได้เพียงหาเหตุผลมาปลอบใจตัวเอง

“ใช่แล้ว หัวหน้าจะต้องยังไม่ได้ใช้พลังภายในแน่นอน ไม่งั้นมือขวาของไอ้หนูนี่คงหักไปแล้ว…”

ผู้คุ้มกันสองคนที่เดิมทีคิดจะลงมือสั่งสอนเย่เทียนเฉิน ในตอนที่เห็นเย่เทียนเฉินและเปาเทียนหลงประหมัดกันอย่างรุนแรงแต่ถึงกับไม่ได้รับความเสียหายเลยแม้แต่น้อย กระทั่งกล่าวได้ว่าไม่ถอยเลยแม้แต่ครึ่งก้าว ต่างก็ต้องแปลกใจจนอดไม่ได้ที่จะเอ่ยปากออกมา เมื่อคิดว่าสักครู่นี้พวกเขาทั้งสองยังต้องการสั่งสอนเย่เทียนเฉินแทนท่านหัวหน้า ตอนนี้จึงเริ่มรู้สึกหนาวถึงกระดูก ต่อให้พวกเขาสองคนเข้าไปพร้อมกันก็คงไม่สามารถป้องกันหมัดนี้ของเย่เทียนเฉินได้

คุณลุงทั้งหลายของตระกูลหลัวต่างก็ตกตะลึงไปตามๆ กัน โดยเฉพาะคนที่รู้ว่าเปาเทียนหลงเคยเป็นขุนพลระดับทัพฟ้ามาก่อน ต่างก็ลอบประหลาดใจ ใครก็คิดไม่ถึงว่าเย่เทียนเฉินแห่งตระกูลเย่จะแข็งแกร่งถึงขั้นนี้ ถ้ารู้ว่าจะเป็นเช่นนี้ ไม่สู้ให้ผู้คุ้มกันยิงปืนฆ่าเย่เทียนเฉินให้ตายไปเสียยังจะดีกว่า เพียงแต่ถ้าทำแบบนี้หัวหน้าตระกูลอย่างหลัวเหยียนซงคงไม่อนุญาต และถ้าทำแบบนี้ก็จะเป็นการทำลายชื่อเสียงของตระกูลหลัวอย่างแท้จริง คงจะถูกคนอื่นพูดกันว่ากระทั่งคนนอกแค่คนเดียวตระกูลหลัวก็เก็บกวาดไม่ได้ ทำได้เพียงใช้ปืนโจมตี เช่นนั้นก็จะกลายเป็นตัวตลกของตระกูลใหญ่และกลุ่มอำนาจใหญ่จริงๆ แน่

“ไอ้หนูตระกูลเย่มีฝีมือจริงๆ แม่งเจอผีหลอกแล้ว!”

“ต่อให้ร้ายกาจกว่านี้ก็ไปจากตระกูลหลัวของพวกเราไม่ได้ ต่อให้มีความรวดเร็วจะเร็วไปกว่าปืนหรือไง?”

 “คะ…ความหมายของคุณคือ?”

“ถ้าหากเปาเทียนหลงแพ้จริงๆ ก็ให้ผู้คุ้มกันที่เหลืออีกสองคนยิงปืน พวกเขานับถือหัวหน้าขนาดนั้น จะต้องระบายความโกรธแทนเขาแน่!”

“เป็นความคิดที่ดี ยังไงก็ห้ามปล่อยให้ไอ้หนูนี่มีชีวิตออกไปจากตระกูลหลัวได้เป็นอันขาด ถ้าหากว่ามันเติบโตขึ้นจริงๆ อาจจะไม่เป็นผลดีกับตระกูลหลัวของพวกเรา”

มีคนใจคอโหดเหี้ยมของตระกูลหลัวบางคนเริ่มมีพากย์วิจารณ์กันขึ้นมา พวกเขาไม่เพียงแต่ต้องการจะเก็บกล่องหยกหงส์มังกรเอาไว้ แต่ยังต้องการฆ่าเย่เทียนเฉินอีกด้วย เพราะพวกเขารับรู้ได้ถึงความกดดันอย่างหนึ่ง หากเย่เทียนเฉินเติบโตขึ้นก็เป็นไปได้มากว่าจะพาตระกูลเย่ให้เติบโตขึ้นมาด้วย ก่อนหน้านี้พวกเขาเพ่งเล็งเย่เทียนเฉิน เพ่งเล็งหลัวเยี่ยนซึ่งเป็นแม่ของเย่เทียนเฉิน และต้องการที่จะฆ่าพวกเขาสองแม่ลูก ดังนั้นเย่เทียนเฉินจะต้องไม่ยอมปล่อยพวกเขาไปแน่

“ผ่านไปหนึ่งกระบวนท่าแล้ว ยังเหลืออีก 19 กระบวนท่า…” เย่เทียนเฉินพูดด้วยรอยยิ้ม

“แกต้องแพ้แน่นอน เพราะฉันยังไม่ได้ลงมือเต็มที่!” ถึงแม้ว่าเปาเทียนหลงจะรู้สึกแปลกใจอยู่บ้างที่เย่เทียนเฉินอายุน้อยเพียงเท่านี้แต่มีฝีมือแข็งแกร่งขนาดนี้ แต่จะอย่างไรเขาก็มีความมั่นใจในตัวเอง เพราะเขายังไม่ได้ลงมือเต็มที่จริงๆ

“ลองดูเถอะ ฉันก็ไม่ได้ลงมือเต็มที่เหมือนกัน!” เย่เทียนเฉินพูดด้วยรอยยิ้ม

เปาเทียนหลงขมวดคิ้ว ออกแรงสะกิดเท้าด้านหลัง ใช้แรงส่งนี้เตะกวาดไปยังศีรษะด้านซ้ายของเย่เทียนเฉิน เย่เทียนเฉินเองก็แปลกใจ เมื่อเผชิญหน้ากับเปาเทียนหลงที่เคยเป็นขุนพลระดับทัพฟ้า เขาย่อมไม่กล้าลำพองใจ จากหมัดเมื่อสักครู่นี้เขาก็รู้สึกได้ว่า หากต้องการทำให้เปาเทียนหลงพ่ายแพ้ จะต้องเปลืองแรงอยู่บ้าง อย่างน้อยฝีมือของเปาเทียนหลงก็ไม่ด้อยไปกว่าเฮยเมี่ยน ถ้าสู้สุดชีวิตขึ้นมาจริงๆ ใครจะตายใครจะรอดก็ยังไม่แน่

จากความประทับใจที่มีต่อเย่เทียนเฉิน แรกเริ่มเดิมทีในตอนที่เพิ่งจะเข้ามาในห้องโถงใหญ่ของบ้านสไตล์โบราณ เปาเทียนหลงก็รู้สึกได้แล้ว บางทีคนอื่นอาจจะคิดว่าเย่เทียนเฉินโอหัง ไม่เอาไหน พูดจาโอ้อวด แต่เปาเทียนหลงกลับรู้สึกว่าคนหนุ่มที่ดูเอ้ยระเหยและมีนิสัยเหมือนอันธพาลคนนี้ มีฝีมือแข็งแกร่งมาก และไม่ใช่แข็งแกร่งธรรมดา แต่ยังเก็บซ่อนเอาไว้ได้อย่างดี คนทั่วไปมองไม่ออกอย่างแน่นอน เพียงแต่เขาผ่านการสู้รบมานับร้อยสนาม เคยเป็นขุนพลระดับทัพฟ้ามาก่อน จึงมีสายตาเฉียบแหลมเช่นนี้

หมัดเมื่อสักครู่นี้ทำให้เปาเทียนหลงลอบตกตะลึงในใจ เขามองออกว่าเย่เทียนเฉินแข็งแกร่งมาก แต่คิดไม่ถึงว่าเย่เทียนเฉินจะแข็งแกร่งถึงขั้นนี้ หมัดเมื่อสักครู่นี้เขาไม่ได้ลงมือเต็มที่จริงๆ แต่อย่างน้อยก็ใช้พลังภายในไปสามส่วน เดิมทีคิดว่าเป็นการลงมือเกินความจำเป็น คิดอยากจะลองเชิงเย่เทียนเฉินสักหน่อย ทำให้ไอ้หนูนี่รู้ถึงความร้ายกาจบ้าง ไหนเลยจะรู้ว่าไอ้หนูนี่จะประหมัดกับตนได้โดยไม่ขยับเขยื้อนเลยแม้แต่น้อย ความจริงนี้ทำให้เปาเทียนหลงต้องแปลกใจและตกตะลึง อย่างน้อยความสามารถที่เย่เทียนเฉินแสดงออกมาในตอนนี้ก็แข็งแกร่งกว่าตอนเขาหนุ่มๆ

เมื่อเจอกับลูกเตะของเปาเทียนหลงในระยะใกล้แค่นี้ และยังเป็นการลงมือที่รวดเร็วว่องไวจนดูเหมือนว่าจะหาจุดอ่อนไม่พบ เย่เทียนเฉินจำเป็นต้องถอยหลังไปสอองก้าวและเอนร่างหลบไปด้านหลัง ขาขวาของเปาเทียนหลงเตะเฉียดหน้าอกของเย่เทียนเฉินไป

“ย๊าก!”

ในตอนนี้เองเปาเทียนหลงตะโกนออกมาครั้งหนึ่ง ขาขวาหยุดอยู่บนตำแหน่งหน้าอกของเย่เทียนเฉิน จากนั้นจึงสะบัดตอกลงมายังหน้าอกของเย่เทียนเฉินอย่างรุนแรง ทุกคนที่ได้เห็นต่างตกใจจนคางแทบร่วง การปะทะกันของยอดฝีมือเช่นนี้ดูตื่นตาตื่นใจยิ่งกว่าในภาพยนตร์เป็นร้อยเท่า ยิ่งไปกว่านั้นการต่อสู้ในระดับสูงที่หาได้ยากแบบนี้ ต่อใหมียอดฝีมืออยู่ด้วย ก็เกรงว่าจะอดตกใจไม่ได้

“สวรรค์ นั่นมันไม้ตายของหัวหน้า!”

“จะต้องรู้แพ้รู้ชนะในลูกเตะเดียวแน่ มีไม่กี่คนที่รอดไปได้ โดยเฉพาะในสถานการณ์แบบนี้!”

ผู้คุ้มกันที่เห็นว่าเปาเทียนหลงเพิ่งจะลงมือก็ใช้ท่าไม้ตายออกมาอดไม่ได้ที่จะอุทานขึ้น ใบหน้าเจือไปด้วยรอยยิ้ม เนื่องจากพวกเขาเคยเห็นเปาเทียนหลงใช้กระบวนท่านี้มาก่อน ขาขวาเตะไปในแนวขวางด้วยความรวดเร็วอย่างหาใดเปรียบ อีกฝ่ายจะหลบก็หลบไม่ได้ ทำได้แค่เอนตัวหลบไปข้างหลัง ในตอนนี้เองเปาเทียนหลงก็จะหยุดขาขวาที่เตะออกไปตามปกติของตน แล้วตอกขาลงมา อีกฝ่ายไม่ตายก็ต้องเจ็บหนัก

ในตอนนี้ เย่เทียนเฉินเองก็ตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ ร่างกายเอนไปด้านหลัง ไม่มีอะไรค้ำยัน เป็นสภาพที่ถูกบีบบังคับ ส่วนขาขวาของเปาเทียนหลงก็สะบัดลงมาอย่างรุนแรง ตอกลงไปยังหน้าอกของเย่เทียนเฉิน

“ลูก…” หลัวเยี่ยนอดไม่ได้ที่จะส่งเสียงเรียกอย่างเคร่งเครียด เธอไม่อยากเห็นลูกชายบาดเจ็บ

“ช่วยไม่ได้แล้ว ต้องตายแน่!”

“ให้หัวหน้าผู้คุ้มกันเปาเทียนหลงแต่ส่งมันไปพบมัจจุราชเถอะ!”

“ถ้าตายก็จะดีที่สุด!”

ตู้ม!

ในตอนที่เย่เทียนเฉินและเปาเทียนหลงหยุดมือ บรรยากาศพลัยเงียบเชียบลงอย่างมาก ทุกคนเบิกตากว้างจ้องมองไปยังเย่เทียนเฉินและเปาเทียนหลง

ขาซ้ายของเปาเทียนหลงยืนอยู่ที่เดิม ขาขวายังคงรักษาสภาพที่กำลังโจมตีสะบัดลงเอาไว้ ส่วนเย่เทียนเฉินนั้น ในช่วงเวลาแห่งความเป็นความตายก็ใช้มือซ้ายตบลงบนพื้นเพื่อยันร่างกายของตนเอาไว้ ส่วนมือขวาก็จับข้อเท้าของเปาเทียนหลง ต่อให้เป็นแบบนี้เขาก็ยังถูกกระแทกจนหลังแนบพื้น ทุกคนเห็นว่าพื้นหินที่หลังของเย่เทียนเฉินแนบติดไปนั้นแหลกเป็นผุยผงไปแล้ว เห็นได้ชัดว่าลูกเตะนี้ของเปาเทียนหลงรุนแรงเพียงใด

“ย่ะ!”

เย่เทียนเฉินตะโกนออกมา ออกแรงที่มือขวาอย่างฉับพลัน เปาเทียนหลงถูกโยนขึ้นสูงสองเมตรจนลอยอยู่ในอากาศ เขาตกใจจนหน้าถอดสี คิดไม่ถึงว่าท่าไม้ตายนี้ของตน ไม่เพียงแต่จะไม่สามารถฆ่าเย่เทียนเฉินได้ กระทั่งอาการบาดเจ็บสาหัสไอ้หนูนี่ก็ยังไม่แสดงออกมา นี่เป็นครั้งแรกที่ท่าไม้ตายของเขาล้มเหลว

ฉัวะ!

ในตอนที่เปาเทียนหลงลอยตัวขึ้นสูงสองเมตรและมีทีท่าว่าจะลอยสูงขึ้นไปอีกเล็กน้อย เย่เทียนเฉินก็ใช้ฝ่ามือขวาตบลงที่พื้นอย่างรุนแรงจนปรากฏรอยประทับฝ่ามืออย่างชัดเจน พริบตาเดียวร่างทั้งร่างของเขาก็พุ่งทะยานขึ้น หมัดทั้งสองกำแน่น พลังพิเศษในขอบเขตจอมราชันอาบย้อมทั่วทั้งหมัดในเวลาเพียงพริบตา ต่อยโจมตีไปยังเปาเทียนหลง

ตู้มๆๆ…

เงาร่างของคนทั้งสองอยู่ในตำแหน่งสูงขึ้นไปสองเมตร เริ่มออกหมัดโจมตีกันไม่หยุด คุณต่อยผมสวน ในตอนนี้เย่เทียนเฉินใช้พลังพิเศษในขอบเขตจอมราชันออกมาโดยไม่สงวนไว้เลยแม้แต่น้อย ในการรับมือกับขุนพลระดับทัพฟ้า ถ้าเขาไม่ใช้ความสามารถในขอบเขตจอมราชันออกมา ก็ไม่มีทางเอาชนะได้ ส่วนเปาเทียนหลงก็ไม่เก็บซ่อนพลังอีกต่อไป แสดงความสามารถของตนออกมาอีกครั้ง ใช้เคล็ดวิชาพลังภายในของเขาออกมา ทุกหมัดที่โจมตีออกไปรุนแรงจนทำให้อากาศสั่นสะเทือน จนกระทั่งตอนที่ทั้งสองตกลงมาสู่พื้นในเวลาเดียวกันก็ยังแลกหมัดกันไม่หยุด

ทุกคนที่อยู่ที่นี่มองจนตาค้างไปนานแล้ว ภาพการต่อสู้เช่นนี้ดุเดือดจริงๆ ตื่นตาตื่นใจเหลือเกิน ไม่ต้องพูดถึงคนธรรมดาเลย ต่อให้เป็นยอดฝีมือคนไหนที่ได้เห็นก็ต้องตกตะลึงเป็นอย่างมาก เนื่องจากความสามารถที่เย่เทียนเฉินและเปาเทียนหลงแสดงออกมาน่าตกใจจริงๆ

ปัง!

สองหมัดปะทะสองหมัด เย่เทียนเฉินและเปาเทียนหลงปะทะกันอย่างรุนแรงอีกครั้ง ครั้งนี้ทั้งสองคนถูกกระแทกจนกระเด็นออกไปไกล เปาเทียนหลงกระเด็นถอยหลังไปสิบกว่าก้าวถึงจะหยุดร่างกายเอาไว้ได้ ส่วนเย่เทียนเฉินก็พลิกตัวกลางอากาศสี่ห้าตลบแล้วม้วนลงมายืนที่พื้นอย่างมาดเท่ แถมด้วยการโพสท่าครั้งหนึ่ง จากนั้นจึงมองไปยังเปาเทียนหลงด้วยรอยยิ้ม ในการต่อสู้กับเปาเทียนหลงเมื่อสักครู่นี้ เย่เทียนเฉินรับรู้ได้ถึงพลังพิเศษของตนอีกครั้ง ดูเหมือนว่าจะสัมผัสจุดสูงสุดของขอบเขตจอมราชันแล้ว ถึงแม้จางอีเต๋อจะพูดว่าบนโลกนี้ไม่มีเส้นทางแห่งการสำนึกถึงธรรมชาติ ไม่มีพลังธรรมชาติ แต่เย่เทียนเฉินก็ไม่ยอมแพ้ เขายังพยายามทะลวงไปยังระดับจักรพรรดิอย่างเต็มที่ เนื่องจากเขาเข้าใจดีว่า หากมีวันหนึ่งที่ตนเองสามารถกลับไปยังดาวสิ้นโลกได้ ด้วยความสามารถในเขตจอมราชันในตอนนี้ย่อมไม่เพียงพออย่างแน่นอน

“มาเถอะ ตัดสินแพ้ชนะกัน!”

เปาเทียนหลงตะโกนออกมา มือเหยียดเป็นฝ่ามือแบขึ้นด้านบน แผ่นหินแผ่นใหญ่ลายสิบแผ่นที่อยู่รอบๆ เขาต่างก็ลอยขึ้นมา มีอำนาจมากจนทำให้ผู้คนต้องตกตะลึง

………………

Related

เย่เทียนเฉินพูดออกมาอย่างโอหังเป็นอย่างมาก เป็นคำพูดที่โดดเด่น และกล่าวได้ว่าไม่เหมาะสมกับสถานการณ์ยิ่งนัก แต่กลับทำให้ทุกคนพูดอะไรไม่ออก พากันมองมายังเย่เทียนเฉินด้วยความโกรธจนแทบกระอักเลือด

เดิมทีคนเหล่านี้ส่งเสียงเอะอะโวยวาย คิดจะถือโอกาสนี้กู้หน้าให้ตน ลงโทษเย่เทียนเฉินสักครั้ง ไหนเลยจะรู้ว่าเย่เทียนเฉินจะเห็นคำพูดของพวกเขาเป็นเพียงการผายลม และพูดสวนออกมาประโยคเดียวเท่านั้น ‘เห่าอะไรกันนักหนา? มีความสามารถก็ออกมาดวลกันตัวต่อตัวสิ!’

ประโยคนี้มากเพียงพอที่จะทำให้คนเหล่านี้โกรธจนกระอักเลือด พวกเขาเป็นคนของตระกูลใหญ่ การทะเลาะวิวาทสำหรับพวกเขาแล้วมีเพียงร่วมมือกันตบตีเท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้นภายในตระกูลใหญ่จะเวียนมาถึงคราวที่พวกเขาจะต้องลงมือด้วยตัวเองได้อย่างไร แค่โทรศัพท์ครั้งเดียวหรือบางทีอาจจะพูดแค่ประโยคเดียว ก็จะมีคนที่มีฝีมือไม่ธรรมดาไปจัดการให้แล้ว ตอนนี้เย่เทียนเฉินถึงกับโวยวายให้พวกเขามาดวลตัวต่อตัว ทำให้คนเหล่านี้อับจนคำพูดเป็นอย่างมาก และรู้สึกเสียหน้ายิ่งนัก ไม่มีใครกล้าดวลตัวต่อตัวกับเย่เทียนเฉินจริงๆ ประการแรกก็คือไม่ใช่คู่มือของเขา ประการที่สองเพราะไม่เหมาะสมกับฐานะของพวกเขา

“ทำไม? คนตระกูลหลัวขี้ขลาดขนาดนี้เลยหรือ? ความสามารถสักนิดก็ไม่มี ทำได้แต่อาศัยอันธพาล?” เย่เทียนเฉินพูดด้วยรอยยิ้มไม่พอใจ

“เทียนเฉิน…”

หลัวเยี่ยนอดไม่ได้ที่จะเคร่งเครียดขึ้นมา เธอไม่รู้ว่าเพราะอะไรลูกถึงได้จงใจก่อเรื่อง จงใจยั่วยุคุณลุงตระกูลหลัวทั้งหลายแบบนี้ ต่อให้ต้องเผชิญหน้ากับผู้นำตระกูลอย่างหลัวเหยียนซง เย่เทียนเฉินก็ไม่กลัวเลยแม้แต่น้อย ยังคงเป็นเหมือนเมื่อสักครู่นี้ เธอพบว่าตอนนี้เธอกังวลขึ้นมาแล้วจริงๆ กังวลว่าหลัวเหยียนซงจะออกคำสั่งจับตัวเย่เทียนเฉินไป

นี่เป็นเหตุการณ์ที่หลัวเยี่ยนไม่ต้องการเห็นมากที่สุด เหตุผลประการแรกเป็นเพราะตระกูลหลัวเป็นตระกูลใหญ่ มีผู้คุ้มกันพร้อมด้วยอาวุธปืน หากออกคำสั่งให้จับคนจริงๆ จนถึงขั้นยิงปืนฆ่าคนขึ้นมาล่ะก็ คงไม่ใช่อะไรที่จะรับผิดชอบไหว และคงไม่มีใครกล้าสอบสวนอะไรอย่างแน่นอน เหตุผลประการที่สองก็คือ หลัวเยี่ยนรู้ว่าพ่อแก่แล้ว เธอต้องการจะไปจากที่นี่เร็วๆ เท่านั้น เพื่อหลีกเลี่ยงการปะทะกันมากกว่านี้ แต่เป็นคุณลุงเหล่านี้ที่ไม่ยอมจบสิ้นเสียที

“แม่ครับ พวกเขาไม่ยอมปล่อยพวกเราไป พวกเราก็ทำได้เพียงเดินออกไปด้วยความสามารถของตัวเอง ปล่อยผมเถอะครับ!” เย่เทียนเฉินมองไปยังหลัวเยี่ยน เพราะรู้ความคิดของเธอดีจึงได้พูดออกมาอย่างจริงจัง

“อืม ลูกระวังตัวด้วย!” หลัวเยี่ยนชะงักไปเล็กน้อย รู้ว่าวิธีที่ลูกชายพูดออกมานั้นเป็นวิธีเดียว ดังนั้นในที่สุดจึงพยักหน้ายอมรับ หลบไปยืนด้านข้างให้เย่เทียนเฉินผู้เป็นลูกไปจัดการ

“ฉันจะถามเป็นครั้งสุดท้าย ถ้าต้องการจะรั้งฉันไว้ ก็รีบลงมือซะ ไม่งั้นฉันก็จะไปแล้ว มาตระกูลหลัวของพวกแกครึ่งวัน น้ำชาก็ไม่ได้ดื่มสักคำ จะไม่รู้จักรับรองแขกเกินไปหรือเปล่า?” เย่เทียนเฉินหาวแล้วพูดขึ้น

ตอนนี้เองหลัวเหยียนซงก็ลุกขึ้นยืนจากที่นั่ง มองไปยังเย่เทียนเฉินอย่างเย็นชา ในใจก็รู้สึกประหลาดใจอยู่บ้าง ไม่ว่าจะพูดอย่างไรเย่เทียนเฉินก็นับว่าเป็นหลานของเขา ต่อให้ตัดความสัมพันธ์พ่อลูกกับหลัวเยี่ยนไปแล้ว แต่สายเลือดยังไงก็ตัดไม่ขาด ดังนั้นเรื่องเกี่ยวกับเย่เทียนเฉินที่เป็นหลานคนนี้หลัวเหยียนซงต่างก็รู้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะข่าวของเย่เทียนเฉินที่ดังไปทั่วทั้งเมืองหลวงในระยะนี้ เรียกได้ว่าขอเพียงเป็นคนมีตำแหน่งเล็กน้อย เป็นคนที่มีคนรู้จักเล็กน้อยต่างก็รู้

เย่เทียนเฉินทำลายตระกูลฉินและตระกูลลั่วในเวลาเพียงคืนเดียว ทำให้มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วทั้งเมืองหลวงว่าเป็นคนทำตามหลักการโดยไม่สนใจตัวคน ดูเหมือนว่าทุกคนต่างก็รู้ดีว่าตระกูลเย่ซึ่งตกต่ำจนกลายเป็นตระกูลชั้นสามมีเย่เทียนเฉินโผล่ออกมาคนหนึ่ง ไม่ว่าคุณจะเป็นลูกหลานข้าราชการ ลูกหลานเศรษฐีตระกูลใหญ่ หรือลูกหลานของนายทหาร ขอเพียงกล้าใช้อำนาจบาตรใหญ่ ขอเพียงไปหาเรื่องเย่เทียนเฉิน เช่นนั้นเขาก็จะมอบกำปั้นให้คุณเพียงอย่างเดียว นี่เป็นคนที่ไม่หวาดกลัวในอำนาจอิทธิพลโดยสิ้นเชิง ยิ่งไปกว่านั้นหลังจากที่ทำลายตระกูลฉินแล้วตระกูลลั่วแล้ว ถึงกับมีคนระดับสูงของประเทศกดเรื่องนี้เอาไว้ ทำให้ผู้คนอดไม่ได้ที่จะแปลกใจจริงๆ

“พบตาอย่างฉันทั้งทีแต่ไม่มีมารยาทเลยสักนิด ตระกูลเย่ของแกสั่งสอนแกยังไง?” หลัวเหยียนซงมองไปยังเย่เทียนเฉินแล้วเอ่ยถาม

“คุณเป็นตาของผมหรือไง? ไล่แม่ของผมออกจากตระกูลหลัว เห็นคนมากมายล้อมโจมตีพวกเราแม่ลูก กระทั่งต้องการที่จะสั่งให้ผู้คุ้มกันมาฆ่าพวกเรา คุณที่เป็นตากลับไม่มีความคิดที่จะต่อต้านเลย คุณตาแบบนี้ผมเย่เทียนเฉินไม่รู้จัก!” เย่เทียนเฉินพูดด้วยรอยยิ้มเรียบเฉย

เดิมทีเย่เทียนเฉินก็ไม่มีความผูกพันอะไรกับคนตระกูลหลัวเหล่านี้อยู่แล้ว และยิ่งไม่มีความรู้สึกดีๆ อะไรให้ กระทั่งหลัวเหยียนซงซึ่งเป็นคุณตาคนนี้ แม้ว่าจะมีบารมีอยู่บ้าง และมีความเปิดเผยตรงไปตรงมาเล็กน้อย แต่เย่เทียนเฉินในตอนนี้รู้ดีว่า ขอเพียงเขายอมอ่อนข้อให้ เกรงว่าคนตระกูลหลัวก็จะต้องการจับพวกเขาแม่ลูกอีกครั้ง เมื่อถึงตอนนั้นต่อให้หลัวเหยียนซงคิดจะหยุดก็เกรงว่าจะไม่มีความเด็ดเดี่ยวมากพอ จะอย่างไรความมั่นคงและความสามัคคีของตระกูลหลัวทั้งตระกูลก็สำคัญกว่าเขาและแม่โดยสิ้นเชิง ในจุดนี้เย่เทียนเฉินเข้าใจเป็นอย่างดี ดังนั้นเขาจึงไม่ยอมอ่อนข้อแม้แต่น้อย ไม่ว่าจะด้วยการกระทำหรือด้วยคำพูด ต่างเฉียบคมทั้งคู่

“ดี มีลักษณะเหมือนฉันเมื่อปีนั้นอยู่หลายส่วน ฉันได้ยินว่าฝีมือของแกแข็งแกร่งมาก ถ้าหากวันนี้สามารถเอาชนะเปาเทียนหลงได้ ฉันก็จะปล่อยแกไป ส่วนเรื่องที่แกทำร้ายคนของตระกูลหลัว ก็จะถือว่าเป็นเรื่องที่ผ่านไปแล้วไม่พูดถึงอีก!”

หลัวเหยียนซงไม่ได้โกรธ แต่กลับรู้สึกชื่นชมหลานคนนี้ด้วยซ้ำ ในตระกูลหลัวขาดคนที่มีความเด็ดเดี่ยวเหมือนเย่เทียนเฉิน แต่ละคนต่างก็อาศัยอำนาจของตระกูลทำตัวโอ้อวด หากว่าเบื้องหลังไม่มีตระกูลหลัวคอยค้ำจุน ลูกหลานหลายคนของตระกูลหลัวก็จะกลายเป็นเศษสวะ แต่เบื้องหลังของเย่เทียนเฉินไม่มีที่พึ่งพิงอะไร มีแค่ตระกูลเย่ที่ตกต่ำจนกลายเป็นตระกูลชั้นสามไปแล้วเท่านั้น แต่เขากลับมีความเด็ดเดี่ยวแบบนี้ได้ ช่างไม่ง่ายเลยจริงๆ

“หัวหน้าตระกูล นี่เกรงว่า…”

“เอาล่ะ ฉันตัดสินใจแบบนี้แล้ว เปาเทียนหลง จะสามารถรักษาหน้าตาของตระกูลหลัวของฉันเอาไว้ได้หรือไม่ก็ต้องดูแกแล้ว ไม่จำเป็นต้องไว้ไมตรี จะฆ่าก็ไม่เป็นไร!” หลัวเหยียนซงพูดขัดคำพูดของคนที่คิดจะพูด มองไปยังเปาเทียนหลงแล้วพูดขึ้น

“ครับนายท่าน!”

เปาเทียนหลงกำหมัดขวา มองไปยังเย่เทียนเฉินด้วยท่าทางเคร่งขรึมจริงจังอย่างหาใดเปรียบ ยังมีผู้คุมการอีกสองคนที่ยืนอยู่ข้างกายเขา คนเหล่านี้ต่างก็เป็นทหารปลดประจำการ มีฝีมือไม่เลว ไม่เช่นนั้นคงไม่สามารถเข้ามาเป็นผู้คุ้มกันในตระกูลหลัวได้ ตอนนี้ทุกคนต่างต้องการดูว่าเปาเทียนหลงจะจัดการเย่เทียนเฉินอย่างไร

“หัวหน้า ให้ผมไปเถอะครับ จะไปสั่งสอนไอ้หนูนี่สักหน่อย”

“ไอ้หนูนี่พูดจาโอหัง ผมจะต้องทำให้มันเห็นดีแน่นอน!”

“สั่งสอนฉัน แกคู่ควรเหรอ? โอหัง? บิดาก็โอหังแบบนี้มาตลอด แกเพิ่งจะรู้หรือไง จะทำให้เห็นดีงั้นเหรอ พี่ชายดูดีกว่าแกอยู่แล้ว อิจฉาล่ะสิ ที่พูดออกมาไม่มีอะไรถูกเลย!” เย่เทียนเฉินพูดจาหยอกล้อกับผู้คุ้มกันสองคนที่อยู่ข้างกายเปาเทียนหลง

ผู้คุ้มกันสองคนนั้นโกรธจนทนไม่ไหว คิดอยากจะพุ่งเข้าไปสั่งสอนเย่เทียนเฉิน แต่กลับทุกเปาเทียนหลงขวางเอาไว้ เปาเทียนหลงมองไปยังเย่เทียนเฉินอย่างเย็นชา พูดกับผู้คุ้มกันที่อยู่ด้านหลังทั้งสองคนว่า “พวกแกไม่ใช่คู่มือของเขา ให้ฉันไปเอง!”

ผู้คุ้มกันสองคนนี้คิดไม่ถึงว่าหัวหน้าเปาเทียนหลงจะพูดแบบนี้ออกมา พวกเขาไม่ได้ติดตามอยู่ข้างกายของเปาเทียนหลงผู้เป็นหัวหน้าผู้คุ้มกันเพียงแค่วันสองวัน ย่อมรู้ว่าเมื่อก่อนเปาเทียนหลงที่เป็นทหารมีความสามารถแข็งแกร่งขนาดไหน ยิ่งไปกว่านั้นเปาเทียนหลงยังมีฐานะที่คนไม่รู้อยู่อีกฐานะหนึ่ง หากพูดออกไปก็เกรงว่าจะทำให้ใครหลายคนตกใจ นั่นก็คือเปาเทียนหลงเคยเป็นขุนพลระดับทัพฟ้ามาก่อน เขาฆ่าคนผิดตัวในตอนทำภารกิจหนึ่ง จึงถูกบีบบังคับให้ปลดประจำการจากทัพฟ้า เคยมีคนเห็นเปาเทียนหลงรีดเร้นลมปราณออกมา อากาศถึงกับสั่นสะเทือนไป 10 เมตร สามารถต่อยทะลุแผ่นเหล็กได้ ทำให้รู้สึกน่าเหลือเชื่อเป็นอย่างมาก

เปาเทียนหลงเดินมาเบื้องหน้าเย่เทียนเฉิน จากนั้นจึงหยุดลงในตำแหน่งที่อยู่ห่างจากเย่เทียนเฉินสองเมตร เขาสูงพอๆ กับเย่เทียนเฉิน และมีรูปร่างค่อนข้างผอม แต่ไม่ใช่แบบที่ใครหลายคนคิดว่า ยิ่งร่างกายกำยำก็ยิ่งมีความสามารถแข็งแกร่ง

“พวกเราเปลี่ยนสถานที่ดีไหม?” เปาเทียนหลงถามเย่เทียนเฉินด้วยรอยยิ้ม

“ฉันยังไงก็ได้ ยังไงถ้าทำของพังก็ไม่ใช่บ้านฉันอยู่แล้ว!” เย่เทียนเฉินเองก็พูดตอบด้วยรอยยิ้ม

“ดี พวกเราไปสู้กันที่ว่างด้านนอกเถอะ ถ้าแกชนะก็ไปได้ ถ้าหากแพ้ก็ตาย!” เปาเทียนหลงพูดอย่างเคร่งขรึม

“ได้ ถ้าหากแก้แพ้ฉันจะดูความสามารถของแก แล้วพิจารณารับแกเป็นลูกน้องของฉัน แน่นอนว่านี่ต้องดูความสามารถที่แกแสดงออกมาด้วย!” เย่เทียนเฉินพูดพลางยักไหล่

ทุกคนคิดไม่ถึงว่า เมื่อเผชิญหน้ากับยอดฝีมือแบบเปาเทียนหลง เย่เทียนเฉินจะยังสุขุมอยู่ได้ ไม่รู้จักที่ตายเลยจริงๆ

“แม่งเอ้ย ไอ้หนูนี่ยิ่งพูดก็ยิ่งโม้ ถึงกับกล้าประมือกับหัวหน้า ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงเลยจริงๆ!”

“วางใจเถอะ ไม่เกินสองกระบวนท่าไอ้หนูนี่ก็ถูกอัดจนหน้าทิ่มดินแล้ว นี่เป็นจุดจบที่กล้าไม่เห็นท่านหัวหน้าอยู่ในสายตา”

ไม่เพียงแต่ผู้คุ้มกันสองคนที่อยู่ด้านหลังของเปาเทียนหลงเท่านั้น กระทั่งทุกคนในตระกูลหลัวล้วนคิดเช่นนี้ พวกเขาไม่คิดว่าเย่เทียนเฉินจะเป็นคู่มือของหัวหน้าผู้คุ้มกันอย่างเปาเทียนหลง โดยเฉพาะคนที่รู้ว่าเปาเทียนหลงเคยเป็นขุนพลระดับทัพฟ้ามาก่อน คนที่เป็นขุนพลระดับทัพฟ้าได้ดูเหมือนว่าจะมีคู่ต่อสู้น้อยมาก ไม่ต้องพูดถึงคนที่เก่งที่สุดไม่กี่คนในกองทัพเลย เกรงว่าจะต่างกันไม่มากเท่าไหร่

ตอนนี้หลายคนภาวนาอยู่ในใจ หวังว่าเปาเทียนหลงจะอัดเย่เทียนเฉินจนหน้าทิ่มดิน ทางที่ดีที่สุดอัดให้หัวร้างข้างแตก อัดให้เย่เทียนเฉินตายไปเลยยิ่งดี เช่นนั้นทุกเรื่องก็จะสิ้นสุดลง และยังช่วยระบายความโกรธแค้นให้พวกเขาได้อย่างสะใจอีกด้วย

เย่เทียนเฉินและเปาเทียนหลงเดินมาถึงสนามหญ้าด้านนอกบ้านสไตล์โบราณแห่งตระกูลหลัว ทั้งสองยืนอยู่ในตำแหน่งที่ห่างกับอีกฝ่าย 10 เมตร คนตระกูลหลัวรอบๆ ต่างจับตาดูการต่อสู้ หลัวเยี่ยนเองก็มองลูกชายด้วยความเคร่งเครียด เนื่องจากเมื่อครู่นี้เธอได้รู้จากลุงหวังว่าเปาเทียนหลงร้ายกาจมาก ทั้งชีวิตพ่ายแพ้ไม่กี่ครั้ง เป็นยอดฝีมือที่มีความสามารถคนหนึ่ง

“เล่นยังไงดี? แกรู้ไหมว่าเวลาของฉันมีค่ามาก!” เย่เทียนเฉินมองไปยังเปาเทียนหลงแล้วเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม

“สิบกระบวนท่า ถ้าหากว่าฉันเอาชนะแกไม่ได้ภายในสิบกระบวนท่าก็ถือว่าแกชนะเป็นไง?” เปาเทียนหลงพูดออกมาอย่างเชื่อมั่นในตนเอง

“ยี่สิบกระบวนท่าก็แล้วกัน แค่สิบกระบวนท่าแกเอาชนะฉันไม่ได้แน่นอน ให้โอกาสแกได้โจมตีกลับบ้างแล้วกัน!” เย่เทียนเฉินยืดกล้ามเนื้อของตนพลางพูดขึ้น

“ได้!”

ฉัวะ!

ฉัวะ!

การประลองระหว่างยอดฝีมือไม่จำเป็นต้องพูดอะไรให้มากความ คนที่เอาแต่พูดไร้สาระไม่ใช่ยอดฝีมือที่แท้จริง หลังจากที่พูดจบเย่เทียนเฉินและเปาเทียนหลงก็พุ่งเข้าหาอีกฝ่ายรวดเร็วดังสายฟ้าในเวลาแทบจะพร้อมกัน พวกเขาสัมผัสได้ถึงความแข็งแกร่งของอีกฝ่าย ดังนั้นจึงคิดจะรีบสู้รีบจบ

…………………..

Related

“พวกแกจำไว้ให้ดี ลุงหวังไม่ใช่คนรับใช้ของตระกูลหลัว แต่เป็นพี่น้องหลัวเหยียนซงคนนี้ วันนี้แกไม่คุกเข่าขอโทษลุงหวัง ฉันก็จะหักขาของแก!”

หลัวเหยียนซงเอ่ยปากพูด คำพูดนี้ของเขาไม่ได้พูดให้หลัวเสียนเม่ยฟังเพียงคนเดียว แต่พูดให้ทุกคนที่อยู่ที่นี่ฟังด้วยทั้งหมด เขาแสดงท่าทีออกมาอย่างชัดเจน การปรากฏตัวของเขาทำให้ทุกคนต้องสั่นสะท้าน เขาเป็นหัวเรือใหญ่แห่งตระกูลหลัว ต่อให้ที่นี่จะมีคนที่อาวุโสยิ่งกว่าเขาก็ไม่กล้าพูดอะไร ในฐานะที่เป็นผู้นำตระกูล หากไม่มีบารมีก็ไม่สามารถเป็นผู้นำตระกูลได้ ต่อให้เป็นหลัวเสียนเม่ยที่ยโสโอหังและใช้อำนาจบาตรใหญ่จนเคยตัว ตอนนี้ก็ยังตกใจจนสั่นไปทั้งตัว ถูกพ่อตบหน้าไปครั้งหนึ่ง แต่ก็ยังกล้ำกลืนความโกรธไม่กล้าพูดออกมา

“พ่อคะ หนู…หนู…” หลัวเสียนเม่ยตกใจจนสั่นไปทั้งตัว นี่เป็นครั้งแรกที่เธอถูกพ่อตบ และเป็นครั้งแรกที่เห็นพ่อโกรธขนาดนี้ มีเหตุผลอะไรที่จะไม่หวาดกลัวกัน ตกใจจนหน้าซีดขาวไปหมดแล้ว

“ฉันจะพูดเป็นครั้งสุดท้าย คุกเข่าลง ขอโทษลุงหวังซะ!” หลัวเหยียนซงมองหลัวเสียนเม่ยอย่างเย็นชาแล้วพูดขึ้น

หลัวเสียนเม่ย มองไปยังทุกคนที่อยู่รอบๆ ไม่มีแม้แต่คนเดียวที่กล้าขอร้องแทนเธอ แม้แต่ในความฝันเธอก็คงคิดไม่ถึง เดิมทีทุกคนต่างเพ่งเล็งไปยังสองแม่ลูกหลัวเยี่ยนและเย่เทียนเฉิน ในตอนที่ลุงหวังกล้าก้าวออกมาพูดแทนพวกเขา ทุกคนก็ด่าลุงหวังกันทั้งนั้น ไหนเลยจะรู้ว่าตอนนี้จะถึงทีของเธอแล้ว ถึงทีที่ทุกคนจะมองเธอถูกทำโทษแล้ว มองดูเธอถูกพ่อตบหน้า

เมื่อคิดทบทวนดูสักนิด วันนี้หลัวเสียนเม่ยและจางอวิ๋นสองแม่ลูกโชคร้ายมากจริงๆ เริ่มจากจางอวิ๋นผู้เป็นลูกที่ต้องการสั่งสอนหลัวเยี่ยนและเย่เทียนเฉินที่หน้าประตูใหญ่ของบ้านสไตล์โบราณ ก็ถูกเย่เทียนเฉินตบจนหน้าบวมและต้องขับรถสปอร์ตหนีไป

เดิมทีจางอวิ๋นคิดว่าหากเรียกแม่ขี้โมโหมาในตอนนี้จะสามารถระบายความโกรธให้เขาได้ แต่กระทั่งแม่ของเขาที่เป็นคนโมโหร้ายก็ยังถูกตบ มองไม่ออกจริงๆ ว่าเย่เทียนเฉินจะเป็นคนบ้าบิ่นไม่กลัวฟ้าไม่กลัวดิน มาถึงก็ถูกตบ ประโยคนี้เหมาะสมกับหลัวเสียนเม่ยและจางอวิ๋นดีจริงๆ ไม่ง่ายเลยกว่าจะรอให้ทุกคนพุ้งเป้าไปที่สองแม่ลูกคู่นั้นได้ แต่เมื่อถึงเวลาหลัวเยี่ยนกลับแสดงความโกรธออกมา ทั้งมั่นคงหนักแน่นและทรงอำนาจ ทำให้ทุกคนพูดอะไรไม่ออก

ตอนนี้คนที่ยื่นมือมาตบหลัวเสียนเม่ยไม่ใช่คนอื่น แต่เป็นหลัวเหยียนซงพ่อของเธอ เป็นผู้นำตระกูลหลัว ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้จะมีใครบ้างที่กล้าพูดออกมาแม้เพียงครึ่งประโยค? ต่างพากันไปยืนสงบเสงี่ยมอยู่ด้านข้าง ไม่กล้าพูดอะไรออกมาแม้แต่คำเดียว เพราะใครหลายคนต่างก็มีส่วนร่วมในการด่าลุงหวังทั้งนั้น

เสียงพลั่กดังขึ้น หลัวเสียนเม่ยคุกเข่าลงเบื้องหน้าลุงหวัง ทำเอาลุงหวังตกใจจนชะงักไป จากนั้นจึงรีบยื่นมือออกมาประคอง ปากก็พูดไม่หยุดว่า “ไม่ต้องแล้วครับคุณหนูรอง ไม่ต้องแล้ว เป็นผมที่ไม่ดีเอง เป็นผมที่ไม่ดีเอง…คุณชายใหญ่ อย่าให้คุณหนูรองขอโทษเลยครับ ไม่เป็นไรจริงๆ !”

“แกยังมัวอึ้งอะไรอยู่? ยังไม่รีบขอโทษลุงหวังอีก? มาถึงตอนนี้แล้ว ลุงหวังก็ยังพยายามพูดเพื่อแก ฉันรู้สึกอับอายแทนแกจริงๆ รู้สึกขายหน้าแทนแกจริงๆ เป็นความผิดของฉันเองที่ไม่ได้สั่งสอนแกให้ดี!” หลัวเหยียนซงมองไปยังหลัวเสียนเม่ยอย่างดุดันแล้วกล่าวด่าออกมา

“ลุงหวัง ขอโทษ…” ต่อให้ในใจหลัวเสียนเม่ยจะโกรธยิ่งกว่านี้ จะไม่เต็มใจมากกว่านี้เป็นร้อยเท่า ตอนนี้ก็ไม่กล้าแสดงออกมา ทำได้เพียงขอโทษลุงหวังอย่างว่านอนสอนง่ายเท่านั้น

“ไม่ต้องแล้วครับคุณหนูรอง คุณชายใหญ่ไม่เป็นไรจริงๆ ครับ…รีบให้คุณหนูรองลุกขึ้นเถอะ…” ลุงหวังไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดีได้แต่พูดกับหลัวเหยียนซงอย่างกระวนกระวาย

“ลุงหวัง คุณทุ่มเทแรงกายแรงใจทำงานให้ตระกูลหลัวมาชั่วชีวิต สมควรได้รับแล้ว เด็กคนนี้เป็นฉันที่สั่งสอนไม่ดีเอง เป็นความผิดของฉันเอง คุณอย่าเก็บไปใส่ใจเลย!” หลัวเหยียนซงพูดกับลุงหวังด้วยรอยยิ้ม

“คุณชายใหญ่…”

ลุงหวังรู้สึกซาบซึ้งใจเป็นอย่างมาก เขาทำงานให้ตระกูลหลัวอย่างทุ่มเทมาชั่วชีวิต ทุกคนในที่นี้มีใครบ้างที่ไม่ได้รับการดูแลจากเขา? บางทีหลายคนอาจจะพูดว่าลุงหวังได้รับการว่าจ้างจากตระกูลหลัว รับเงินจากตระกูลหลัว ภายหลังก็ได้กลายเป็นพ่อบ้านใหญ่แห่งตระกูลหลัว ไม่รู้ว่าได้รับผลประโยชน์จากเรื่องนี้ไปมากมายขนาดไหน แต่หลัวเหยียนซงเข้าใจในจุดนี้เป็นอย่างดี ลุงหวังเห็นตระกูลหลัวเป็นครอบครัวของตน มีหลายครั้งที่ขอให้ตัดเงินเดือนตนเอง บอกว่าตนเองแก่แล้ว มีเงินมากมายขนาดนั้นไปก็ไม่มีประโยชน์ ความสัมพันธ์นี้หลัวเหยียนซงย่อมรู้จักรักษาเอาไว้ให้ดี

ทุกคนที่อยู่ที่นี่นอกจากหลัวเยี่ยนและหลัวเหยียนซงแล้ว ไม่มีแม้แต่คนเดียวที่มองลุงหวังเป็นคนกันเอง หลายคนมองลุงหวังเป็นคนรับใช้ กระทั่งเห็นลุงหวังเป็นสุนัขตัวหนึ่งเหมือนกับที่หญิงชั่วอย่างหลัวเสียนเม่ยคิดเสียด้วยซ้ำ ไม่มีความเป็นมนุษย์และมนุษยธรรมเลยแม้แต่น้อย

“ไสหัวออกไป หากฉันรู้ว่าแกก่อเรื่องอะไรขึ้นมาอีก ก็ไสหัวกลับตระกูลจางไปซะ ตระกูลหลัวของฉันไม่มีลูกหลานแบบแก!” หลัวเหยียนซงด่าหลัวเสียนเม่ยอย่างรุนแรง

หลัวเสียนเม่ยลุกขึ้นยืน มองไปยังเย่เทียนเฉินและหลัวเยี่ยนด้วยความเคียดแค้นอย่างหาใดเปรียบ พาใบหน้าที่ถูกตบจนบวมของตนและลูกชายที่หน้าบวมเป็นหมูเช่นเดียวกันเดินคอตกออกไป เมื่อผ่านเหตุการณ์เช่นนี้มา ทุกคนที่อยู่ในห้องโถงก็ไม่มีใครกล้าพูดอะไรมั่วซั่วแม้แต่คนเดียว รวมไปถึงหลัวฉีที่ยโสจนไม่เห็นหัวใครก็ยังยืนอยู่ด้านข้าง ไม่กล้าแสดงความโมโหออกมาแม้แต่น้อย

หลัวเหยียนซงมองหลัวเยี่ยน จากนั้นจึงมองไปยังเย่เทียนเฉิน ไม่ได้พูดอะไรให้มากความ ทำเพียงเดินไปนั่งลงบนเก้าอี้กลางห้องโถง พูดกับเปาเทียนหลงซึ่งเป็นหัวหน้าผู้คุ้มกันแห่งตระกูลหลัวว่า “ไม่ต้องการคนมากมายขนาดนี้หรอก แกกับคนอีก 2-3 คนอยู่ที่นี่ก็พอแล้ว”

“ครับนายท่าน!” เปาเทียนหลงโบกมือ ผู้คุ้มกันที่อยู่ด้านหลังพากันออกไป เหลือเพียงตัวเขาเองและผู้คุ้มกันอีกสองคนเท่านั้น

เย่เทียนเฉินมองไปยังเปาเทียนหลง รู้สึกได้ถึงบรรยากาศอันแข็งแกร่งบนร่างของคนคนนี้ ในขณะเดียวกันเขาก็สามารถรับรู้ได้ถึงสายตาของเปาเทียนหลงที่มองสำรวจมาทางตนเองเป็นระยะ ดูเหมือนว่าคนคนนี้ต้องการที่จะต่อสู้ลองเชิงกับตน

“คุณชายใหญ่ กล่องหยกหงส์มังกรนี้เป็นแม่เฒ่า…” ลุงหวังมองหลัวเหยียนซงที่นั่งลงบนตำแหน่งที่อยู่กลางห้องแล้วเอ่ยปากพูดขึ้นด้วยความเคารพ

“ฉันรู้แล้ว ทิ้งกล่องหยกหงส์มังกรไว้ซะ แล้วเอาหยกเปื้อนเลือดไป ไปจากตระกูลหลัว ไม่อนุญาตให้มาเหยียบอีกแม้แต่ครึ่งก้าว!” หลัวเหยียนซงพูดออกมาอย่างเรียบเฉยโดยที่ไม่มองหลัวเยี่ยนผู้เป็นลูกสาวเลยแม้แต่น้อย

เมื่อได้ยินคำพูดของหลัวเหยียนซง คนตระกูลหลัวที่อยู่ที่นี่ ถึงแม้ว่าจะไม่มีใครกล้าพูดอะไรแต่ก็รู้สึกโล่งใจ จุดประสงค์ของพวกเขาก็คือกล่องหยกหงส์มังกร ส่วนหยกเปื้อนเลือดนั้นก็เป็นแค่ตำนานเล่าขาน ไม่มีใครรู้ว่าจริงหรือเท็จ ต่อให้เป็นเรื่องจริงก็เกรงว่าหยกมีตำหนิจะมีค่าไม่เท่าไหร่ เป็นแค่ของไร้ประโยชน์ก็เท่านั้น

ทิ้งกล่องหยกหงส์มังกรไว้ แล้วนำหยกมีตำหนิเปื้อนเลือดไปก็จะปล่อยให้สองแม่ลูกหลัวเยี่ยนไปได้ นี่เป็นสิ่งที่ทุกคนยอมรับได้

หลัวเยี่ยนยืนอยู่กลางห้องโถง มองไปยังหลัวเหยียนซงผู้เป็นพ่อ อดไม่ได้ที่จะรู้สึกปวดใจขึ้นมา ไม่เจอกันยี่สิบปีแล้ว พ่อก็แก่ลงมากจริงๆ จอนผมทั้งสองข้างก็เริ่มขาวแล้ว ต่อให้สายตายังคมกริบเหมือนเดิม แต่ก็ทำให้เธอรับรู้ได้ถึงความแก่ชราของเขา คำพูดก็ไม่มีชีวิตชีวาและทรงพลังเหมือนเดิม

หลัวเยี่ยนทอดถอนใจครั้งหนึ่ง เดินไปเบื้องหน้าลุงหวัง เปิดกล่องหยกหงส์มังกรออกแล้วหยิบหยกมีตำหนิด้านในออกมาถือไว้ในมือ จากนั้นจึงมองไปยังหลัวเหยียนซงผู้เป็นพ่อ ไม่พูดอะไร คำเพียงโค้งคำนับอย่างลึกล้ำครั้งหนึ่ง แล้วหมุนตัวเตรียมจะพาเย่เทียนเฉินจากไป

หลัวเหยียนซงไม่มีท่าทีอะไรกับทุกสิ่งทุกอย่างนี้เลย หลัวเยี่ยนก็ไม่ได้เรียกเขาว่าพ่อ เขาก็ไม่ได้เรียกหลัวเยี่ยนว่าลูก ทั้งสองไม่ได้พูดอะไรกันแม้แต่คำเดียว ยี่สิบปีแล้วกว่าพ่อลูกได้พบกันอีกครั้งแต่กลับสิ้นสุดลงแบบนี้

ลุงหวังทอดถอนใจ เรื่องเมื่อปีนั้นเขาเองก็รู้มาเหมือนกัน และเกิดขึ้นในห้องโถงแห่งนี้ด้วย แม่เฒ่าตระกูลหลัวก็ไร้เรี่ยวแรงที่จะต่อต้าน ทำได้เพียงมองหลัวเหยียนซงและหลัวเยี่ยนทะเลาะกันจนต้องตัดความสัมพันธ์พ่อลูกไปต่อหน้าต่อตา ตั้งแต่ที่หลัวเยี่ยนไปจากตระกูลหลัว พริบตาเดียวก็ผ่านไปยี่สิบปีแล้ว และไม่ได้กลับมาอีกเลย

เย่เทียนเฉินเองก็ไม่ได้พูดอะไร ทำเพียงเดินตามหลังหลัวเยี่ยนไปเท่านั้น จะอย่างไรเขาก็ไม่มีความรู้สึกดีๆ กับคนตระกูลหลัวอยู่แล้ว และเพิ่งจะได้พบหน้าผู้เป็นตาคนนี้เป็นครั้งแรก ต่อให้จะรู้สึกประทับใจไม่น้อย แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา จะอย่างไรแม่ก็เคยถูกขับไล่ออกจากตระกูลหลัวมาแล้ว ตัดความสัมพันธ์ทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับตระกูลหลัวไปหมดแล้ว ตั้งแต่ที่แม่กลับมายังตระกูลหลัวในครั้งนี้ งพวกเขาก็แสดงออกอย่างชัดเจนว่าไม่เห็นแม่เป็นครอบครัวเลยแม้แต่น้อย

“หยุดก่อน ไอ้หนูตระกูลเย่ แกคิดว่าทำร้ายคนแล้วจะจากไปแบบนี้ได้หรือ? แกเห็นตระกูลหลัวเป็นอะไรกัน…” ชายวัยกลางคนที่ถูกเย่เทียนเฉินเตะจนกระเด็นออกไปกุมท้องของตน มองไปยังเย่เทียนเฉินด้วยเหงื่อเต็มใบหน้าแล้วกัดฟันพูดขึ้น

“ใช่แล้ว ตระกูลหลัวของพวกเราเป็นตระกูลใหญ่ จะปล่อยให้คนนอกจากไปอย่างโอหังได้ยังไง? จะต้องจ่ายค่าเสียหายออกมาถึงจะถูก”

“ถ้าไม่สั่งสอนไอ้หนูนี่ วันหน้าตระกูลหลัวของพวกเราจะเอาหน้าที่ไหนไปเผชิญหน้ากับตระกูลใหญ่และกลุ่มอำนาจใหญ่อื่นๆ?”

“หัวหน้าตระกูล เรื่องนี้ไม่จัดการไม่ได้ นี่เกี่ยวข้องกลับสถานการณ์ของตระกูลหลัว!”

หลายคนพูดสมทบตามน้ำขึ้นมา ในน้ำเสียงเต็มไปด้วยความโกรธที่มีต่อเย่เทียนเฉิน โดยเฉพาะคุณลุงทั้งหลายที่ตกใจเพราะเย่เทียนเฉินลงมือทำร้ายคนเมื่อสักครู่นี้ ต่างรู้สึกเสียหน้าเป็นอย่างมาก ตอนนี้หลัวเหยียนซงที่เป็นผู้นำตระกูลอยู่ที่นี่แล้ว และยังมีเปาเทียนหลงที่เป็นหัวหน้าผู้คุ้มกันผู้มีฝีมือไม่ธรรมดาอยู่ด้วย พวกเขาต้องการกู้หน้ากลับมา

“เหยียนซง พวกเขาพูดถูกแล้ว แต่ไหนแต่ไรก็ไม่มีใครกล้ามาก่อเรื่องที่ตระกูลหลัวของพวกเราแบบนี้ ไม่ว่าใครก็ทำไม่ได้ เย่เทียนเฉินทําร้ายคนในตระกูลหลัวของพวกเรา ถ้าปล่อยออกไปแบบนี้เกรงว่าตระกูลหลัวของพวกเราจะถูกคนหัวเราะเยาะเอาได้!” ตอนนี้เอง ชายชราคนหนึ่งที่ท่าทางอาวุโสมากเอ่ยปากพูดกับหลัวเหยียนซง

หลัวเหยียนซงหลัวเยี่ยนแวบหนึ่ง แล้วมองไปยังเย่เทียนเฉิน ในตอนที่กำลังจะเอ่ยปากพูดออกมานั้น หลัวเยี่ยนจะพูดขึ้นมาก่อน “เรื่องนี้ไม่เกี่ยวอะไรกับลูกชายของฉัน เขาทำทุกอย่างก็เพราะฉัน พวกคุณต้องการจะทำยังไง ถ้าต้องการใช้กฎบ้านตระกูลหลัว ฉันก็จะรับผิดชอบเอง!”

“หึ คนที่ทำร้ายคนก็คือเย่เทียนเฉิน คนสาระเลวแบบนี้ไม่ลงโทษไม่ได้”

“พวกแก่ล้วนเป็นคนนอก จะคู่ควรให้ใช้กฎตระกูลหลัวของพวกเราได้ยังไง?”

“หักขาทั้งสองข้างของมันแล้วโยนมันออกไปซะ!”

“ถ้าไม่จ่ายค่าชดเชยออกมา วันนี้ก็อย่าได้คิดจะออกไปจากตระกูลหลัว!”

เดิมทีคนเหล่านี้ก็ไม่พอใจเย่เทียนเฉินและหลัวเยี่ยนอยู่แล้ว ตอนนี้มีคนยุยงขึ้นมา แน่นอนว่าต้องผสมโรงเข้าไปทันที อยากจะให้เย่เทียนเฉินและหลัวเยี่ยนตายอยู่ที่นี่

“เห่าอะไรกันนักหนา? มีความสามารถก็ออกมาดวลกันตัวต่อตัวสิ!”

ในตอนที่ทุกคนแย่งกันพูดจาโหดร้าย และหลัวเยี่ยนก็กำลังกังวลว่าพ่อของเธอจะให้ผู้คุ้มกันมาลากลูกไป เย่เทียนเฉินก็ประกาศศักดิ์ดาออกมาอีกครั้ง ทำให้ทุกคนที่อยู่ที่นี่ตกใจกันถ้วนหน้า

…………………..

Related

ทุกคนที่อยู่ที่นี่ต่างตกใจจนงุนงง ไม่คิดว่าหลัวเยี่ยนจะลงมือตบหลัวเสียนเม่ย บรรยากาศที่ระเบิดออกมาทำให้ทุกคนรู้สึกแปลกใจ ในตอนที่ผู้หญิงคนหนึ่งแสดงความโกรธออกมา ในตอนที่เธอมีความคิดที่จะสู้สุดชีวิตขึ้นมาจริงๆ ผู้ชายต่างก็ต้องหวาดกลัว

“แม่ครับ เจ๋งมาก…แม่เป็นความภาคภูมิใจของผม!” เย่เทียนเฉินที่รู้สึกว่าได้ระบายอามรมณ์พูดกับแม่เสียงเบาแล้วหัวเราะออกมา

หลัวเยี่ยนส่ายหน้า กวาดตามองไปยังทุกคนที่อยู่ที่นี่ จากนั้นจึงมองไปยังลุงหวังที่ก้มหน้าไม่พูดไม่จา พลันรู้สึกโศกเศร้าและผิดหวังในใจ สุดท้ายจึงมองไปยังหลัวฉีผู้เป็นพี่และหลัวเสียนเม่ยน้องสาวแล้วเอ่ยปากขึ้น “ลุงหวังทำงานให้ตระกูลหลัวทั้งตระกูลมาสี่สิบปีแล้ว พูดได้ว่าดีกับพวกเราทุกคน คุณลุงทุกคนที่อยู่ที่นี่ ตอนที่พวกคุณหลายคนยังอายุน้อยก็เติบโตมาพร้อมๆ กับลุงหวัง ลุงหวังปฏิบัติต่อคนอื่นยังไงเชื่อว่าพวกคุณก็คงรู้แก่ใจดี สำหรับผู้เฒ่าผู้แก่ที่อายุหกสิบกว่าปีคนหนึ่ง ทำงานรับใช้ตระกูลหลัวอย่างซื่อสัตย์มาสี่สิบปี สุดท้ายได้อะไรตอบแทน? ต้องมารองรับคำก่นด่าของพวกคุณแบบนี้เหรอ? กฏบ้านตระกูลหลัวของพวกเรา คุณธรรมตระกูลหลัวไปอยู่ที่ไหนหมดแล้ว?”

“แก…นี่เป็นเรื่องของตระกูลหลัวของพวกเรา เกี่ยวอะไรกับคนนอกอย่างแกด้วย?” มีคนพูดออกมาอย่างไม่สบอารมณ์

“คุณหนูครับช่างมันเถอะ ผมเป็นแค่คนรับใช้คนหนึ่ง นายท่านทั้งหลายด่าแค่ไม่กี่ประโยคก็สมควรแล้ว…” ลุงหวังไม่อยากให้หลัวเยี่ยนต้องลำบากใจ ไม่อยากให้หลัวเยี่ยนทะเลาะกับคนในตระกูลจนร้ายแรงมากเกินไป ตอนนี้พวกเขาสั่งให้ผู้คุมการออกมาเคลื่อนไหวแล้ว และคิดที่จะจับสองแม่ลูกหลัวเยี่ยน หากว่าเรื่องราวรุนแรงไปมากกว่านี้เพราะตน เกรงว่าจะเป็นการทำร้ายหลัวเยี่ยนเปล่าๆ

“ลุงหวัง ลุงทำงานรับใช้ตระกูลหลัวอย่างซื่อสัตย์มาสี่สิบปีแล้ว ไม่มีผลงานก็ต้องมีความลำบาก พวกเขาไม่ควรจะทำกับลุงแบบนี้ คนทุกคนในตระกูลหลัวมีใครบ้างที่ไม่ได้รับการดูแลจากคุณ วันนี้ในเมื่อพวกเขาทำแบบนี้ ฉันก็จะทวงความยุติธรรมให้คุณเอง!” หลัวเยี่ยนพูดขัดคำพูดของลุงหวัง มองเขาด้วยความเสียใจแล้วพูดขึ้น

“หลัวเยี่ยน แกกล้าตบฉันเพียงเพราะคนรับใช้คนเดียว แกเชื่อไหมว่าฉันจะฆ่าไอ้แก่นี่ซะ?” หลัวเสียนเม่ยลุกขึ้นมาจากพื้น จ้องมองหลัวเยี่ยนอย่าโกรธเคืองแล้วตะโกนออกมา

“ที่นี่มีที่ให้คนรับใช้พูดที่ไหนกัน จับเหล่าหวังมาก่อน แล้วค่อยจัดการทีหลัง!” หลัวฉีพูดขึ้นอย่างเย็นชา

“พี่คะ ฉันจำได้ว่าตอนเด็กมีครั้งหนึ่งที่พี่ตกลงไปในบ่อน้ำ วันนั้นอุณหภูมิ -10 กว่าองศา หนาวจนถึงขั้วกระดูก คนในบ้านไม่มีใครกล้ากระโดดลงไปช่วยพี่ มีแต่ลุงหวังที่กระโดดลงไปโดยไม่สนใจอะไรแล้วลากพี่ขึ้นมา ตอนหลังลุงหวังป่วยไปหนึ่งเดือนเต็มๆ …” หลัวเยี่ยนมองไปยังหลัวฉีผู้เป็นพี่ชายแล้วพูดขึ้นด้วยความผิดหวัง

“เรื่องมันนานขนาดนั้นแล้ว ฉันจำไม่ได้…” หลัวฉีพูดอย่างไร้ความรู้สึก

“หึ ก็แค่คนใช้คนเดียวเท่านั้น ใครจะมานั่งจำเรื่องพวกนี้กัน…” หลัวเสียนเม่ยเองก็พูดขึ้นมาอย่างไม่สบอารมณ์

หลัวเยี่ยนมองหลัวเสียนเม่ยอย่างดุดัน เดินไปเบื้องหน้าหลัวเสียนเม่ยหลายก้าว ทำให้หลัวเสียนเม่ยตกใจจนรีบยกมือขึ้นบังหน้าของตนไว้ ตอนนี้เธอก็แค่ปากแข็งเท่านั้น แต่จริงๆ ถูกหลัวเยี่ยนที่กำลังโกรธทำให้ตกใจไปแล้ว

“แก…ทำอะไร…” หลัวเสียนเม่ยถามออกมาอย่างติดขัดด้วยความตกใจ

“คนที่สมควรจะหุบปากที่สุดก็คือเธอ ฉันจำได้ว่าตอนที่เธออายุ 10 ขวบ ไปปีนต้นไม้นอกประตูใหญ่เล่นคนเดียว แล้วตกลงมาโดยไม่ทันได้ระวัง เป็นลุงหวังที่พุ่งเข้าไปรับเธอโดยไม่สนใจอะไร ส่วนตัวเขาเองก็กระดูกหัก จนถึงตอนนี้ก็ยังมีอาการเรื้อรัง แต่เธอถึงกลับหักขาของเขา หักขาขวาของเขา ตอนนี้ฉันอยากจะถามเธอสักหน่อยว่า ทำไมเธอถึงใจคอโหดเหี้ยมได้ขนาดนี้? ทำไมถึงโหดร้ายได้ขนาดนี้? ทำไมไม่มีความเป็นคนเลยสักนิด?”

หลัวเยี่ยนพูดพลางเดินเข้าไปหาหลัวเสียนเม่ย ยิ่งคิดก็ยิ่งโกรธ เรียกได้ว่าลุงหวังนั้นทำเพื่อตระกูลหลัวมาชั่วชีวิต ทำงานอย่างซื่อสัตย์อดทน คอยดูแลทุกคนตลอด สุดท้ายแล้วกลับต้องมาเจอกับสถานการณ์แบบนี้ จะไม่ทำให้เธอผิดหวังได้อย่างไร? จะไม่ทำให้เธอเสียใจได้อย่างไร? ไม่ต้องพูดถึงว่าถ้าคนนอกได้ยินเรื่องแบบนี้คงรู้สึกอยากร้องไห้ ต่อให้เป็นคนของตระกูลหลัวตัวเองก็ควรจะรู้สึกอับอายถึงจะถูก แต่พวกเขาไม่ได้รู้สึกเลยสักนิด พวกเขาเห็นลุงหวังเป็นแค่คนรับใช้ เป็นแค่สุนัขตัวหนึ่งก็เท่านั้น นี่ทำให้หลัวเยี่ยนโกรธขึ้นมาจริงๆ แล้ว

“แก…แกมีคุณสมบัติอะไรมาสั่งสอนฉัน แกถูกไล่ออกไปจากตระกูลหลัวนานแล้ว ไม่ใช่คนของตระกูลอีกแล้ว อีกอย่างเหล่าหวังก็เป็นแค่คนรับใช้ของตระกูลหลัวของพวกเรา เป็นแค่สุนัขตัวหนึ่งของตระกูลหลัวก็เท่านั้น ต่อให้ฉันฆ่ามันก็ไม่มีใครพูดอะไร…” หลัวเสียนเม่ยเอ่ยปากพูดด้วยใบหน้าไม่พอใจ

“ท่าทางเธอจะเกินเยียวยาแล้วจริงๆ โชคดีที่เธอเกิดในตระกูลหลัว ไม่งั้นคงถูกปล่อยให้หิวตายไปแล้ว!” หลัวเยี่ยนส่ายหน้า เธอรู้ว่าน้องสาวคนนี้มีชีวิตอยู่ในตระกูลหลัวมาตั้งแต่เด็ก และในตระกูลใหญ่อย่างตระกูลหลัวก็เรียกได้ว่าต้องการอะไรก็ได้อย่างนั้น กลายเป็นการบ่มเพาะความยโสโอหังให้เธอโดยปริยยาย ไม่เห็นใครอยู่ในสายตา ไม่รู้จักบุญคุณคน

“หึ นี่ไม่เกี่ยวอะไรกับคนนอกอย่างแก!” หลัวเสียนเม่ยต้องการที่จะยั่วยุหลัวเยี่ยนจึงเน้นว่าเธอเป็นคนนอก

หลัวเยี่ยนไม่สนใจหลัวเสียนเม่ยอีก น้องสาวคนนี้ไม่มีทางช่วยเหลือแล้ว พูดอะไรมากไปก็ไม่มีประโยชน์ ทำเพียงมองไปยังทุกคนที่อยู่ที่นี่แล้วพูดขึ้นว่า “ตระกูลหลัวของพวกเรา สามารถเรียกได้ว่าเป็นตระกูลใหญ่อันดับต้นๆ ของเมืองหลวงหรือกระทั่งทั่วทั้งประเทศก็ยังได้ ต่อให้ไม่ได้โด่งดังเท่ากับตระกูลอื่นๆ ไม่ได้โดดเด่นขนาดนั้น แต่ในใจของพวกคุณก็โอหังมาก หากไม่มีกฏบ้านและคำสั่งสอนของบรรพบุรุษมาคอยควบคุม ไม่รู้ว่าพวกคุณจะกลายเป็นยังไง ต่อให้เป็นคนแก่ธรรมดาๆ คนหนึ่งก็ควรจะได้รับความเคารพ แล้วลุงหวังล่ะ? พวกคุณจะไร้ความเป็นมนุษย์แบบนี้จริงๆ หรือ? คิดดูเถอะ คิดดูว่าสี่สิบปีมานี้ลุงหวังสร้างผลงานอะไรให้ตระกูลหลัวบ้าง…”

เมื่อได้ยินคำพูดของหลัวเยี่ยน คุณลุงหลายคนก็เงียบลง ในตอนที่พวกเขายังเด็กต่างก็เติบโตมาด้วยกันกับลุงหวัง ไม่ว่าจะเป็นตอนที่ตระกูลหลัวยิ่งใหญ่ หรือจะเป็นตอนที่ตกต่ำ ลุงหวังก็ยังอยู่ เรียกได้ว่าพวกเขาใกล้ชิดกับลุงหวังมาสี่สิบปี เมื่อคิดถึงทุกสิ่งที่ผ่านไป ลุงหวังก็รับใช้ตระกูลหลัวของพวกเขาอย่างสุดความสามารถจริงๆ ชายชราคนนี้ฝ่าฟันอุปสรรคมากมายมาด้วยกันกับตระกูลหลัว ทำงานอย่างซื่อสัตย์อดทนโดยไม่บ่นว่า ไม่ควรจะทำแบบนี้กับเขาจริงๆ

“เหล่าหวัง แกออกไปก่อนเถอะ เอากล่องหยกหงส์มังกรมาให้พวกเรา!”

“เรื่องเหล่าหวังพวกเราจัดการได้ ทิ้งกล่องหยกหงส์มังกรไว้ซะ แล้วจะปล่อยพวกแกแม่ลูกไป!”

มีคุณลุงสองคนเอ่ยปากขึ้น ในใจของพวกเขารู้สึกนับถือหลัวเยี่ยนที่เป็นชนรุ่นหลังคนนี้มาก เมื่อปีนั้นก็เกือบจะได้เป็นผู้นำตระกูลหลัวแล้ว หลัวเยี่ยนเป็นผู้หญิงที่มีความสามารถโดดเด่นครบครันจริงๆ มีทั้งความกล้า แผนการ และความเด็ดเดี่ยว

“ไม่ได้ สองแม่ลูกคู่นี้กล้ามาก่อเรื่องที่ตระกูลหลัวของพวกเรา จำเป็นจะต้องสั่งสอน เหล่าหวังกินข้าวตระกูลหลัวแต่กลับช่วยคนนอก หักขาสุนัขของมันซะ แล้วค่อยไล่มันออกจากตระกูลหลัวไป!” หลัวเสียนเม่ยพูดขึ้นอย่างไร้ซึ่งความเป็นมนุษย์โดยสิ้นเชิง

“แกรีบคุกเข่าขอโทษเหล่าหวังเดี๋ยวนี้ ไม่งั้นคนที่จะถูกหักขาแล้วไล่ออกจากตระกูลหลัวก็คือแก!”

ในตอนนี้เอง นอกห้องโถงมีเสียงอันทรงอำนาจดังขึ้น ทุกคนพากันชะงักไป หลัวเสียนเม่ยตกใจจนสั่นไปทั้งร่าง เธอรู้ดีว่าเป็นใครที่กลับมา ส่วนหลัวเยี่ยนเดินไปด้านข้างโดยไม่พูดอะไร ผู้พูดก็คือคนที่เธอไม่ต้องการเผชิญหน้ามากที่สุด หากไม่ใช่เพราะคนของตระกูลหลัวรั้งพวกเธอแม่ลูกเอาไว้เพื่อจะแย่งชิงกล่องหยกหงส์มังกร เธอจะต้องรีบจากไปในทันทีอย่างแน่นอน ในตอนที่คุณย่าจะจากโลกนี้ไปก็ได้บอกกับเธอแล้วว่าไม่ต้องมาร่วมงานศพของคุณย่า เพราะไม่อยากให้หลัวเยี่ยนได้พบกับหลัวเหยียนซงผู้เป็นพ่อ ด้วยเกรงว่าสองพ่อลูกจะทะเลาะกัน

ไม่ผิด คนที่พูดอยู่นอกประตูด้วยน้ำเสียงทรงอำนาจจนทำให้ทุกคนอดไม่ได้ที่จะพากันไปยืนด้านข้าง คนที่ทำให้หลัวเสียนเม่ยตกใจจนต้องสั่นไปทั้งร่าง กระทั่งหลัวฉีก็ยังรีบลงมาจากที่นั่งตรงกลางแล้วไปยืนอยู่ด้านข้าง คนคนนี้ก็คือหลัวเหยียนซง ผู้นำตระกูลหลัว พ่อของหลัวเยี่ยน และเป็นตาของเย่เทียนเฉิน

ตอนนี้เองชายชราอายุประมาณหกสิบปีคนหนึ่งเดินเข้ามาจากด้านนอกห้องโถง มองทุกคนที่อยู่ด้านในด้วยใบหน้าเคร่งขรึม ในดวงตาแม้จะมีความเสียใจอยู่บ้างแต่ก็มีความโกรธมากกว่า เพราะเมื่อครู่นี้หลัวเหยียนซงที่อยู่ด้านนอกได้ยินบทสนทนาของคนพวกนี้หมดแล้ว ลุงหวังนั้นเรียกได้ว่ามีอายุพอๆ กับเขา รู้จักกันมาหลายสิบปี ในตอนที่เขายังหนุ่มจนกระทั่งได้เป็นผู้ถือหางเสือแห่งตระกูลหลัว ก็มีลุงหวังที่เป็นพยานในเส้นทางของเขามาโดยตลอด

“พ่อ…” หลัวเสียนเม่ยเห็นหลัวเหยียนซงผู้เป็นพ่อมองตนเองด้วยท่าทางเคร่งขรึมก็อดไม่ได้ที่จะส่งเสียงเรียกเบาๆ

“คุกเข่าลง ขอโทษลุงหวังซะ!” หลัวเหยียนซงมองหลัวเสียนเม่ยผู้เป็นลูกอย่างเรียบเฉยแล้วพูดขึ้น

“พ่อคะ…หนู…” หลัวเสียนเม่ยคิดไม่ถึงว่าพ่อจะให้เธอคุกเข่าขอโทษลุงหวังต่อหน้าคนมากมายขนาดนี้จริงๆ จะเป็นไปได้อย่างไร? ยิ่งเป็นหลัวเสียนเม่ยที่ในใจของเธอเห็นลุงหวังเป็นเพียงคนรับใช้ของตระกูลหลัวมาโดยตลอด เธอต้องการอะไรก็ได้อย่างนั้น จะยอมคุกเข่าขอโทษให้คนรับใช้คนหนึ่งได้อย่างไร? ตนเองยโสโอหังและใช้อำนาจบาตรใหญ่อยู่ในตระกูลหลัวมาโดยตลอด วันหน้ายังจะมีที่ยืนในตระกูลหลัวอีกหรือ?

“ฉันจะพูดอีกครั้งเดียว คุกเข่าลง ขอโทษลุงหวังซะ!” หลัวเหยียนซงไม่พูดอะไรให้มากความ มองไปยังหลัวเสียนเม่ยอย่างเคร่งขรึม

คนที่อยู่ที่นี่ต่างก็ตกตะลึง คิดไม่ถึงว่าหลัวเหยียนซงจะให้ลูกสาวของตนคุกเข่าขอโทษลุงหวัง มีแค่คุณลุงบางคนเท่านั้นที่เข้าใจได้ หลัวเหยียนซงมีฐานะเป็นหัวเรือใหญ่แห่งตระกูลหลัว มีความสามารถ มีความกตัญญู และจดจำคุณธรรมของตระกูลหลัวมาโดยตลอด เป็นผู้นำตระกูลที่ไม่เลวคนหนึ่ง

ในตอนที่หลัวเหยียนซงกำลังพูดนั้นไม่มีใครกล้าส่งเสียงออกมาแม้แต่คนเดียว นี่คือบารมีของผู้นำตระกูล เป็นบารมีที่ปรากฏโดยตัวมันเอง หลัวเสียนเม่ยที่โอหังและขี้ฉุนเฉียวขนาดนั้นก็ต้องสั่นสะท้านไปทั้งร่าง

“ช่างเถอะครับ ช่างเถอะ คุณหนูรองไม่ได้ตั้งใจ ไม่ต้องหรอกครับ!” ลุงหวังรีบเอ่ยปากพูด

หลัวเสียนเม่ยกวาดตามองทุกคนที่อยู่ที่นี่ ไม่มีแม้แต่คนเดียวที่กล้าพูดจาช่วยเหลือเธอ กระทั่งหลัวฉีที่ร่วมมือกันทำชั่วมาโดยตลอดก็ยังรีบหลบไปด้านข้างไม่กล้าพูดอะไร เธอพยายามฝืนยิ้มยินดีมองไปยังหลัวเหยียนซงผู้เป็นพ่อแล้วพูดขึ้น “พ่อคะ…หละ เหล่าหวัง…เอ้อ ลุงหวังบอกว่าไม่ต้องแล้ว หนู…”

เพี๊ยะ!

หลัวเสียนเม่ยถูกตบอีกครั้ง การตบครั้งนี้รุนแรงมาก หลัวเหยียนซงเป็นผู้ลงมือด้วยตัวเอง ตบจนหลัวเสียนเม่ยทรุดลงไปนั่งกับพื้น ร่างกายสั่นเทา ในดวงตาปรากฏความหวาดผวาออกมาอย่างแท้จริง นี่เป็นครั้งแรกที่พ่อลงมือกับเธอ จะอย่างไรเธอก็คิดไม่ถึงว่า พ่อจะโกรธเพราะลุงหวังที่เป็นเพียงคนรับใช้คนหนึ่ง และยังลงมือตบตนด้วยตัวของเขาเองแบบนี้

……………………….

Related

คนตระกูลหลัวจริงจังขึ้นมาแล้ว เรียกผู้คุ้มกันเกือบร้อยคนเข้ามา คิดจะจับหลัวเยี่ยนและเย่เทียนเฉินไป เนื่องจากเย่เทียนเฉินทำร้ายคนในตระกูลหลัว อีกทั้งคนที่ถูกทำร้ายยังเป็นสองแม่ลูกหลัวเสียนเม่ยและจางอวิ๋น รวมกับที่หลัวเยี่ยนถูกขับไล่ออกจากตระกูลหลัวไปนานแล้ว และไม่ได้กลับมายี่สิบปี คนตระกูลหลัวจึงทำเหมือนกับเธอเป็นคนนอก ตอนนี้ยังมีของที่ดึงดูดผู้คนอย่างกล่องหยกมังกรปรากฏขึ้นมาอีก ใครหลายคนต่างเกิดความคิดชั่วร้ายอยู่ในใจ ต่อให้ต้องให้ผู้คุ้มกันยิงปืนฆ่าเย่เทียนเฉินและหลัวเยี่ยน ก็ไม่สามารถปล่อยให้พวกเขานำกล่องหยกหงส์มังกรไปได้อย่างเด็ดขาด

ไม่มีความรู้สึกดังญาติมิตรเลยแม้แต่น้อย ไม่คิดถึงสายเลือดที่ไหลเวียนเลยสักนิด จะอย่างไรก็เป็นคนครอบครัวเดียวกัน แต่กลับเรียกผู้คุมการมาจริงๆ และต้องการที่จะจับหลัวเยี่ยนและเย่เทียนเฉินไป แน่นอนว่าจุดประสงค์หลักของคนเหล่านี้ก็คือกล่องหยกหงส์มังกร ไม่อย่างนั้นคงไม่ทำการ “ล้อม” เช่นนี้

หลัวฉีมองหลัวเยี่ยนและเย่เทียนเฉิน มุมปากปรากฏรอยยิ้มเย็นชาขึ้น เมื่อครู่นี้เย่เทียนเฉินถึงกับกล้าด่าตนเอง ในใจของเขาจึงรู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมาก ตอนนี้ผู้คุ้มกันตระกูลหลัวก็มาหมดแล้ว แต่ละคนต่างก็พกปืนมาด้วย โดยเฉพาะเปาเทียนหลงหัวหน้าผู้คุ้มกันซึ่งเป็นยอดฝีมือที่ร้ายกาจคนหนึ่ง เมื่อใช้พลังภายในออกมาจะแข็งแกร่งดุจเหล็กกล้า สามารถป่นกำแพงได้ง่ายๆ

“หลัวเยี่ยน ฉันจะให้โอกาสแกเป็นครั้งสุดท้าย มอบกล่องหยกหงส์มังกรมาซะ แล้วให้ลูกชายของแกคุกเข่ากลางห้องโถง โขกหัวสำนึกผิดให้ทุกคนสามครั้ง ฉันที่เป็นพี่ชายของแกก็จะยอมยกโทษให้สักครั้ง ไม่งั้นก็อย่ามาหาว่าฉันโหดเหี้ยม!” หลัวฉีมองหลัวเยี่ยนและเย่เทียนเฉิน พูดออกมาอย่างดุดัน

เห็นได้อย่างชัดเจนว่า หลัวฉีต้องการทำให้เย่เทียนเฉินและหลัวเยี่ยนอับอาย ต้องการที่จะทำให้น้องสาวของตนได้รับความอัปยศต่อหน้าคนมากมายของตระกูลหลัวอีกครั้งหนึ่ง จนทำให้เธอไม่มีหน้ากลับมาที่ตระกูลหลัวอีก เพื่อกำจัดการคุกคามของเธออย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด

ในตอนนี้หลัวเยี่ยนรู้สึกกังวลขึ้นมาจริงๆ แล้ว จะอย่างไรผู้คุ้มกันพร้อมอาวุธปืนหลายสิบคนนี้ก็ดูเคร่งขรึมจริงจังเป็นอย่างมาก ดูเหมือนกับทหารหลายสิบคนอย่างไรอย่างนั้น ขอเพียงมีคนออกคำสั่ง ให้ฆ่าคนก็จะฆ่าโดยไม่มีการลังเลเลยแม้แต่น้อย โดยเฉพาะหัวหน้าผู้คุมกันที่ยืนอยู่ตรงกลาง แม้จะดูแล้วไม่แข็งแกร่ง กลับจะดูอ่อนแอด้วยซ้ำ แต่กลับมีใบหน้าเคร่งขรึมจนกระทั่งสามารถรับรู้ได้ถึงไอสังหารที่ปรากฏบนใบหน้า ดวงตาทั้งสองคมกริบ ในตอนที่เดินเข้ามาก็อดไม่ได้ที่จะมองสำรวจเย่เทียนเฉินเล็กน้อยแล้วขมวดคิ้ว นี่เป็นสัญชาตญาณของยอดฝีมือ

“พี่ พี่จะโหดร้ายแบบนี้จริงๆ หรือ? พวกพี่จะไม่คิดถึงความสัมพันธ์ญาติมิตรแบบนี้จริงๆ หรือ?” หลัวเยี่ยนถามด้วยความเสียใจ

“หึ ญาติมิตร? แกเป็นคนที่ถูกขับไล่ออกจากตระกูลหลัวนานแล้ว พวกเราไม่มีความสัมพันธ์เครือญาติอะไรกับแกอีก วันนี้ลูกชายของแกจำเป็นต้องตาย ไอ้คนไม่รู้จักที่ตาย!” หลัวเสียนเม่ยมองไปยังหลัวเยี่ยนอย่างดุดันแล้วด่าออกมา บนใบหน้าปรากฏรอยยิ้มลำพองใจ เนื่องจากผู้คุ้มกันมากันหมดแล้ว และยังมีเปาเทียนหลงหัวหน้าผู้คุมกันที่นำทัพมาเองกับตัว ต่อให้เป็นเย่เทียนเฉินก็ไม่กล้าลงมืออีกครั้งแน่

“ใช่ แกเป็นคนที่ถูกตระกูลหลัวของเราไล่ออกไปนานแล้ว ยังกล้ากลับมาอีก?”

“ลูกชายของแกกล้าลงมือกับคนตระกูลหลัว มีกี่ชีวิตก็ไม่พอชดใช้”

“ทิ้งกล่องหยกหงส์มังกรเอาไว้ซะ แล้วคุกเข่าโขกหัวยอมรับผิดก็จะยอมปล่อยพวกแกแม่ลูกไปสักครั้ง!”

“ยังจะพูดมากอะไรอยู่อีก ส่งกล่องหยกหงส์มังกรมาซะ…”

“ฉันว่าฆ่าไอ้เดรัจฉานนี่ก่อนแล้วค่อยพูดกันเถอะ จะได้ลดความโอหังของมันบ้าง…”

แรกเริ่มคนตระกูลหลัวเหล่านี้ซึ่งรวมไปถึงคุณลุงทั้งหลายต่างถูกเย่เทียนเฉินที่ลงมืออย่างโหดเหี้ยมทำให้ตกใจไป จะอย่างไรหลายคนก็เคยได้ยินข่าวลือของเขาในเมืองหลวงมาก่อน ตระกูลฉินและตระกูลลั่วตกต่ำลงในเวลาเพียงคืนเดียว และตระกูลลั่วยังถูกฆ่าล้างตระกูลอีกด้วย พวกเขารู้สึกหวาดกลัวอยู่บ้าง เย่เทียนเฉินอาศัยพลังของคนเพียงคนเดียวทำเรื่องแบบนี้ออกมาได้ ทำให้ผู้คนต้องเปลี่ยนมุมมองจริงๆ

แต่ตอนนี้ทุกคนรู้ว่าผู้คุ้มกันแห่งตระกูลหลัวของตนมาถึงแล้ว อีกทั้งคนที่นำกองกำลังมาก็ยังเป็นเปาเทียนหลงหัวหน้ากองกำลังที่แข็งแกร่ง ต่อให้เย่เทียนเฉินจะมีความสามารถมากกว่านี้ ก็เกรงว่าจะไม่ใช่คู่มือของเขา ที่แย่ไปกว่านั้นก็คือ หากทำให้หัวหน้าผู้คุ้มกันโกรธขึ้นมาจนยิงปืนฆ่าสองแม่ลูกคู่นี้ ถ้าอย่างนั้นก็จะง่ายดายขึ้นมาก เห็นได้ว่าคนตระกูลหลัวไม่ได้คิดถึงความสัมพันธ์ญาติมิตรเลยแม้แต่น้อย

“หลัวเยี่ยน ยังไม่มอบกล่องหยกหงส์มังกรมาอีก คิดจะให้ฉันออกคำสั่งให้ฆ่าลูกชายแกหรือไง?” หลัวฉีคิดว่าตนเองได้เปรียบ จึงต้องการทำให้สองแม่ลูกคู่นี้ต้องอับอายเพิ่มขึ้นอีกเล็กน้อย พูดออกมาด้วยรอยยิ้มเยาะเย้ย

หลัวเยี่ยนมองไปยังคุณลุงทั้งหลายที่อยู่รอบๆ เหล่าพี่น้องรุ่นราวคราวเดียวกับตนเอง รวมไปถึงญาติผู้ใหญ่แห่งตระกูลหลัว ทุกคนต่างก็มีท่าทางโหดเหี้ยมดุดัน กำลังเพ่งเล็งมาที่เธอและเย่เทียนเฉินผู้เป็นลูก หากเป็นเวลาปกติ บางทีหลัวเยี่ยนอาจจะกังวลถึงความปลอดภัยของลูกชาย แต่วันนี้เธอก็ถูกยั่วโมโหจนโกรธเข้าจริงๆ แล้ว ถูกญาติมิตรที่ไม่เห็นตัวเองเป็นญาติมิตรเหล่านี้ทำให้โกรธแล้ว คนเรามีชีวิตอยู่เพียงไม่นานเท่านั้น ในตอนที่แย่งชิงกับคนภายนอกหลัวเยี่ยนก็อดทนและยอมถอย จะอย่างไรก็เป็นคนนอก แต่ตอนนี้คนที่เผชิญหน้ากับตนเองคือคนที่มีความเกี่ยวพันทางสายเลือดกับเธอ พวกเขาถึงกับทำแบบนี้ต่อพวกเธอสองแม่ลูกทำให้ในใจของหลัวเยี่ยนรู้สึกโกรธ

“ไม่ กล่องหยกหงส์มังกรเป็นของขวัญแต่งงานที่คุณย่ามอบให้ฉัน ตอนนี้ท่านก็ไม่อยู่แล้ว ฉันจะนำมันไป ถ้าพวกคุณต้องการก็ข้ามศพฉันไปก่อน!” ทันใดนั้นหลัวเยี่ยนจริงจังขึ้นมา มองไปยังทุกคนด้วยท่าทางแน่วแน่จริงจังแล้วพูดขึ้น

เมื่อได้ยินคำพูดของหลัวเยี่ยน คนที่เหลือต่างอดไม่ได้ที่จะตกตะลึงและประหลาดใจ พวกเขาคิดไม่ถึงเลยว่าภายใต้สถานการณ์ที่ไม่ว่าใครก็ต้องยอมสิโรราบแบบนี้ ภายใต้สถานการณ์ที่ถูกล้อมโจมตีแบบนี้ หลัวเยี่ยนจะเข้มแข็งขึ้นมาได้ หญิงคนนี้ไม่ง่ายเลยจริงๆ ถ้าคิดจะแสดงความสามารถและความฉลาดของตัวเองออกมา เกรงว่าคนมากมายคงอดไม่ได้ที่จะทอดถอนใจด้วยความชื่นชม

“ดี…ทุกคนได้ยินแล้วนะ ฉันที่เป็นพี่ชายให้โอกาสแกแล้ว แต่แกไม่ยอมรักษาโอกาสเอาไว้ ถ้างั้นก็ไม่มีทางแล้ว ทำได้แต่ฆ่าลูกชายของแกซะ ดูซิว่าแกจะยอมส่งออกมาหรือเปล่า…” หลัวฉีพูดขึ้น มุมปากเจือไปด้วยรอยยิ้มโหดเหี้ยม ไม่มีความรู้สึกดั่งญาติมิตรเลยแม้แต่น้อย

“ไม่ต้องหาข้ออ้างอะไรหรอก หรือถ้าฉันขอร้องพี่แล้วพี่จะยอมปล่อยฉันกับลูกไป? ยังไงก็เป็นคนถ่อยหยาบช้าอยู่แล้ว ทำไมต้องแสร้งทำเป็นสุภาพบุรุษขึ้นมาด้วย?” หลัวเยี่ยนมองไปยังหลัวฉีผู้เป็นพี่ชายของตนเขม็งแล้วเอ่ยถามออกมา

“แก…ทุกคนลงมือซะ จับสองแม่ลูกคู่นี้มา ถ้ามันกล้าขัดขืนก็ฆ่าได้เลย!” หลัวฉีถูกหลัวเยี่ยนกระตุ้นจนพูดอะไรไม่ออก ความอับอายกลายเป็นความโกรธแค้นจนตะโกนสั่งออกมา

ตอนนี้เองลุงหวังที่ยืนอยู่ด้านข้างโดยถือกล่องหยกหงส์มังกรเอาไว้ในมือขวามาโดยตลอด เห็นว่าผู้คุ้มกันแห่งตระกูลหลัวจะลงมือกับหลัวเยี่ยนและเย่เทียนเฉินจริงๆ ก็อดไม่ได้พี่จะกังวลใจขึ้นมา รีบก้าวออกมาพูดอย่างเคารพว่า “นายท่านทุกท่าน กล่องหยกหงส์มังกรนี้แม่เฒ่ามอบให้คุณหนูในช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิต ทุกคนก็เห็นเองกับตา ให้คุณหนูนำไปเถอะครับ อย่าทำให้พวกเขาแม่ลูกต้องลำบากใจเลย ผมคิดว่าวันหน้าพวกเขาก็คงไม่กลับมาที่ตระกูลหลัวอีกแล้ว!”

“กล่องหยกหงส์มังกรเป็นของของตระกูลหลัวของพวกเรา จะให้คนนอกนำไปได้ยังไง”

“ถูกแล้ว คนนอกคนหนึ่งจะมาเอาของล้ำค่าของตระกูลหลัวของพวกเราไปได้ยังไง แม่เฒ่าอายุมากแล้ว อาจจะพูดผิดก็ได้!”

“จะต้องแก่จนจำผิดแน่นอน ถึงได้มอบกล่องหยกหงส์มังกรให้หลัวเยี่ยน ดังนั้นจะให้เขาเอาไปไม่ได้เด็ดขาด!”

เย่เทียนเฉินยืนอยู่ด้านข้างโดยไม่ได้พูดอะไร มุมปากอดไม่ได้ที่จะปรากฏรอยยิ้มสนุกสนานขึ้นพลางส่ายหัวเล็กน้อย ในใจก็คิดว่าไอ้แก่โง่งมฝูงนี้ของตระกูลหลัวหน้าหนาจริงๆ เพื่อกล่องหยกหงส์มังกรถึงกับยอมทำทุกอย่าง กระทั่งศักดิ์ศรีก็ไม่ต้องการแล้ว

ทั้งๆ ที่ตอนนั้นทุกคนก็อยู่ด้วยแท้ๆ แม่เฒ่าตระกูลหลัวก็มีสติแจ่มชัดเป็นอย่างมาก ทุกคนล้วนได้ยินคำพูดของแม่เฒ่าตระกูลหลัวว่าจะมอบกล่องหยกหงส์มังกรและหยกเปื้อนเลือดที่อยู่ด้านในให้แก่หลัวเยี่ยนผู้เป็นหลานสาว ตอนนี้คนกลุ่มนี้กลับพูดจาเฉไฉออกมาอย่างหน้าตาเฉย ช่างไร้ศักดิ์ศรีจริงๆ ไม่นับถือไม่ได้แล้ว มิน่าเล่าถึงได้มีประโยคที่พูดกันในสังคมอย่างกว้างขวางว่า ยิ่งเป็นคนตระกูลใหญ่เท่าไหร่ก็ยิ่งไร้ยางอายมากเท่านั้น ยิ่งเป็นคนใหญ่คนโตมากเท่าไหร่ก็ยิ่งไร้ศักดิ์ศรีมากเท่านั้น เห็นได้ชัดว่านี่เป็นคำพูดที่มีเหตุผล!

“เหล่าหวัง แกนับเป็นตัวอะไรได้ ไสหัวไปซะ ที่นี่มีที่ให้แกพูดที่ไหนกัน อยากให้ฉันหักขาสุนัขของแกอีกข้างหนึ่งหรือไง?” หลัวเสียนเม่ยโพล่งออกมาพลางจ้องมองไปยังลุงหวังอย่างดุดัน

“เหล่าหวัง แกอยู่ข้างใครกันแน่?”

“ไอ้คนเลี้ยงเสียข้าวสุก ฉันว่าตำแหน่งพ่อบ้านใหญ่แห่งตระกูลหลัวควรจะเปลี่ยนคนได้แล้ว!”

“ก็แค่คนใช้คนเดียวเท่านั้นยังกล้าปากมากอีก ฆ่าให้ตายก็สิ้นเรื่อง!”

เมื่อมีคำพูดร้ายกาจของหลัวเสียนเม่ยที่พูดด่าให้ลุงหวังต้องอับอาย คนอื่นๆ ก็พากันด่าตามมาครั้งใหญ่ ไม่มีความเคารพต่อคนรับใช้ชราที่ทำงานเพื่อตระกูลหลัวอย่างซื่อสัตย์มาทั้งชีวิตคนนี้เลยแม้แต่ครึ่งส่วน สามารถพูดได้ว่าเทียบไม่ได้แม้แต่สุนัขตัวหนึ่ง คนเหล่านี้ช่างไม่มีมนุษยธรรมจริงๆ ทำให้ต้องรู้สึกผิดหวังจริงๆ

ลุงหวังเห็นว่ามีคนมากมายที่ด่าตน ดวงตาก็แดงก่ำ ยืนอยู่ตรงนั้นโดยไม่ขยับเขยื้อน ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรดี ในใจก็รู้สึกเสียใจเป็นอย่างมาก เขาคิดที่จะช่วยหลัวเยี่ยนและเย่เทียนเฉิน เพียงแต่น่าเสียดายที่ไม่มีความสามารถ เขาก็เป็นแค่คนใช้คนหนึ่งเท่านั้น ไม่มีคุณสมบัติเพียงพอที่จะพูดอะไรมากมาย เพิ่งจะพูดออกไปประโยคเดียวก็ต้องพบกับความอัปยศแบบนี้แล้ว ทำให้เขารู้สึกเสียใจและผิดหวังยิ่งนัก

เพี๊ยะ!

เสียงตบหน้าดังลั่นดังขึ้นจนทำให้ห้องโถงเงียบลงในทันที ทว่าการตบหน้าครั้งนี้เย่เทียนเฉินไม่ได้เป็นผู้ลงมือ ทุกคนมองไปยังหลัวเยี่ยนและหลัวเสียนเม่ย การตบหน้าเมื่อสักครู่นี้เป็นหลัวเยี่ยนที่ตบลงไปบนใบหน้าของหลัวเสียนเม่ย ตบได้อย่างรุนแรงและหนักหน่วงมาก ตบจนอีกฝ่ายมึนงง มือขวากุมแก้มของตนเอาไว้ พลางมองไปยังหลัวเยี่ยนด้วยความหวาดกลัว แต่ไหนแต่ไรเธอก็ไม่เคยเห็นท่าทางโกรธเคืองเช่นนี้ของหลัวเยี่ยนมาก่อน ไม่เคยเห็นพี่สาวที่อ่อนโยนกล้าทำร้ายตนเองมาก่อน

“พวกคุณพูดพอแล้วหรือยัง?” หลัวเยี่ยนกัดฟันแน่น ตะโกนใส่ทุกคนเสียงดัง

“แก…” หลัวเสียนเม่ยได้สติกลับมา มองไปยังพี่สาวของตนอย่างโหดเหี้ยม

เพี๊ยะ!

ตบหน้าไปอีกครั้งหนึ่ง ครั้งนี้หลัวเสียนเม่ยถูกตบจนทรุดลงไปกับพื้น มองหลัวเยี่ยนด้วยความหวาดผวา ภาพบรรยากาศของหลัวเยี่ยนที่เปลี่ยนไปทำให้ผู้คนต้องรู้สึกหวาดผวาขึ้นมาจริงๆ จินตนาการได้เลยว่าคนคนหนึ่งที่อ่อนโยนมาโดยตลอด เรียกได้ว่าถ้าถูกกตบก็ไม่เอาคืน ถูกด่าก็ไม่ตอบโต้ ในตอนที่โกรธขึ้นมาจริงๆ จะทำให้ผู้คนต้องสั่นสะท้านและหวาดผวามากเพียงใด

“ฉันเป็นพี่สาว วันนี้จะสั่งสอนเธอสักหน่อยว่าอะไรที่เรียกว่าเคารพผู้อาวุโส อะไรที่เรียกว่ามนุษยธรรม!” ดวงตาทั้งสองของหลัวเยี่ยนแดงก่ำ มองไปยังหลัวเสียนเม่ยอย่าโกรธเคืองแล้วพูดออกมาด้วยเสียงอันดัง

…………………..

Related

หลัวเยี่ยนมองเย่เทียนเฉินผู้เป็นลูก รู้ว่าเขาพูดจามีเหตุผล ความจริงหลัวเยี่ยนจะมองไม่ออกได้อย่างไร คนตระกูลหลัวเหล่านี้ไม่เห็นเธอและเย่เทียนเฉินเป็นญาติมิตรเลยแม้แต่น้อย ตั้งแต่ที่เธอกับลูกชายเดินเข้าตระกูลหลัวมาจนถึงตอนนี้ พวกเขาก็ทำเหมือนกับพวกตนสองคนเป็นคนนอก ไม่ได้คิดถึงความสัมพันธ์เครือญาติเลยแม้แต่นิดเดียว ไม่มีใครเคยพูดแม้แต่คนเดียวว่า ไม่ว่าจะอย่างไรทุกคนก็เป็นสายเลือดเดียวกัน ถึงจะทะเลาะเบาะแว้งกันกระทั่งแขนขาหักก็ไม่ควรที่จะใช้มีดใช้ปืน

ในสายตาของคนตระกูลหลัวเหล่านี้ เธอหลัวเยี่ยนและเย่เทียนเฉินผู้เป็นลูก ก็เป็นเพียงคนนอกสองคน เป็นคนสองคนที่จะทำอย่างไรก็ได้ ถึงแม้ดูถูกว่าเป็นคนนอก แต่ตอนนี้เพื่อกล่องหยกหงส์มังกร ถึงไม่เสียดายที่จะพลิกสีหน้า กระทั่งต้องการที่จะเรียกผู้คุ้มกันมาเพื่อจับพวกเธอสองแม่ลูกไป ในสถานการณ์เช่นนี้ ถ้าหากยังสงบนิ่งอยู่ ก็คงเป็นไอ้โง่จริงๆ แล้ว

แรกเริ่มเดิมที ในใจของหลัวเยี่ยนยังคงมีความคาดหวังอยู่บ้าง ไม่ว่าจะอย่างไรทุกคนก็เป็นครอบครัวเดียวกัน ต่อให้ก่อเรื่องร้ายแรงขนาดไหน ต่างก็เป็นครอบครัวเดียวกัน คงไม่ทำอะไรตนเองแน่ ไหนเลยจะรู้ว่า ตอนนี้เพียงเพื่อกล่องหยกหงส์มังกร พวกเขาจะก่นด่าและกระทั่งลงมือโดยไม่เสียดาย ต้องการที่จะลากตัวตนและลูกชายออกไป นี่ยังจะให้เธอคิดอย่างอื่นได้อีกหรือ?

ความจริงแล้ว หลัวเยี่ยนไม่ใช่คนโง่ กลับเป็นผู้หญิงที่ฉลาดเป็นอย่างมากด้วยซ้ำ เธอกลับมาที่ตระกูลหลัวเพียงเพราะต้องการที่จะดูใจคุณย่าที่ใกล้จะจากโลกนี้ไปเป็นครั้งสุดท้าย ไม่คิดที่จะมาสานสัมพันธ์อะไรกับตระกูลหลัวอีก เธอเองก็รู้ดีว่าคนตระกูลหลัวเหล่านี้เห็นเธอเป็นศัตรู โดยเฉพาะหลัวฉีผู้เป็นพี่และหลัวเสียนเม่ยน้องสาว ในตอนที่คุณย่าต้องการที่จะมอบกล่องหยกหงส์มังกรให้ตนเองเพื่อเป็นของขวัญแต่งงาน หลัวเยี่ยนก็คิดแล้วว่าจะทิ้งกล่องหยกหงส์มังกรไว้ที่นี่ จะไม่แย่งชิงกับคนของตระกูลหลัว แต่ตอนนี้เมื่อดูแล้ว ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องทิ้งเอาไว้โดยสิ้นเชิง หากว่าทิ้งกล่องหยกหงส์มังกรเอาไว้ที่นี่ คงจะทำให้คนเหล่านี้แย่งกันอย่างรุนแรง จะเป็นการทำร้ายน้ำใจของคุณย่าให้เสียเปล่า

“อืม อย่าได้ถึงขั้นเอาชีวิตใครเลย ยังไงพวกเราก็เป็นครอบครัวเดียวกัน!” หลัวเยี่ยนกล่าวออกมาอย่างทอดถอนใจ

“ได้ครับคุณแม่ มีคำพูดนี้ของแม่ผมก็วางใจแล้ว!” เย่เทียนเฉินพูดพลางหัวเราะฮี่ๆ

ใครก็คิดไม่ถึงว่า สองแม่ลูกหลัวเยี่ยนและเย่เทียนเฉินที่เดิมทียังถูกคนรุมล้อมและสอบสวน ตอนนี้จะค่อยๆ เปลี่ยนบทบาทไปอย่างเชื่องช้า จุดสำคัญเป็นเพราะเย่เทียนเฉินไม่ทำตามเหตุผลตามปกติ ภายใต้สถานการณ์ที่ทุกคนเพ่งเล็ง ก็ยังลงมือทำร้ายจางอวิ๋นและหลัวเสียนเม่ย ทำให้ทุกคนต่างต้องสั่นสะท้าน

บางครั้งการใช้กำลังก็เป็นวิธีการแก้ไขปัญหาที่ไม่เลวเลยทีเดียว ด้วยเหตุนี้เย่เทียนเฉินจึงได้ลงมือ ทำให้คนตระกูลหลัวเหล่านี้ตกตะลึง ไม่ต้องพูดอะไรพวกเขาก็กลัวแล้ว สำหรับคนที่ยโสโอหังจนเคยตัวแบบนี้ โดยเฉพาะสำหรับคนที่มาจากตระกูลใหญ่อย่างตระกูลหลัว ดูเหมือนพวกเขาจะไม่เคยเห็นสถานการณ์ที่ลงมือทำร้ายคนอย่างรุนแรงแบบนี้มาก่อน เพราะไม่มีใครกล้าลงมือกับคนอย่างพวกเขา ดังนั้นเมื่อเห็นว่าเย่เทียนเฉินลงมือทำร้ายสองแม่ลูกจางอวิ๋นอย่างรุนแรงขึ้นมากระทันหัน ต่างก็ถูกทำให้สั่นสะท้าน โดยเฉพาะจางอวิ๋นในตอนนี้ที่ถูกอัดจนหัวแตกเลือดไหล

ในเมื่อหลัวเยี่ยนเห็นด้วย เย่เทียนเฉินก็ยิ่งออกมือออกเท้าอย่างสบายอารมณ์ เมื่อสักครู่นี้เขาแค่ลองดูเท่านั้น จะอย่างไรเขาก็ไม่มีความรู้สึกใดๆ กับไอ้แก่โง่เง่าแห่งตระกูลหลัวเหล่านี้อยู่แล้ว และไม่มีความประทับใจใดๆ เลย จุดสำคัญก็คือที่นี่เป็นบ้านเดิมของแม่ อีกทั้งหลัวเยี่ยนก็ค่อนข้างใจดี จึงไม่อยากทำให้เธอต้องลำบากใจ ตอนนี้สบายใจแล้ว แม่ก็เข้าใจแล้วว่าคนกลุ่มนี้ไม่เห็นเธอเป็นคนกันเอง กระทั่งคิดจะเรียกผู้คุ้มกันเข้ามา นี่มากพอที่จะแสดงให้เห็นถึงปัญหาอย่างชัดเจน หากตนเองยังเกรงใจและอดทนเช่นนี้ต่อไป เป็นไปได้มากว่าจะตาย ไม่สู้ให้ลูกชายจัดการยังจะดีกว่า

“ยังมีไอ้ตัวไหนที่มันไม่รู้จักดีชั่วอีกหรือเปล่า ใครต้องการที่จะให้พวกเราแม่ลูกทิ้งของเอาไว้อีก? ก้าวออกมา!” เย่เทียนเฉินยิ้มเล็กน้อย กวาดตามองไปยังทุกคนที่อยู่ที่นี่แล้วเอ่ยถาม

“ไอ้เดรัจฉานน้อย แกจะโอหังเกินไปแล้ว กล้ามาก่อเรื่องที่ตระกูลหลัวของพวกเรา ต่อให้มีอีกกี่ชีวิตก็ไม่พอ”

“รีบเรียกคุ้มกันมาเดี๋ยวนี้ จับไอ้เวรตะไลนี่ออกไปฆ่าให้ตายซะ!”

“จะต้องยิงมันให้ตาย คนนอกคนเดียวกล้ามาก่อเรื่องที่ตระกูลหลัว หากข่าวแพร่ออกไป พวกเราตระกูลหลัวจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน”

“ท่าทางคงไม่ง่ายแค่ทิ้งกล่องหยกหงส์มังกรเอาไว้ที่นี่แล้ว ยังต้องจับสองแม่ลูกที่ไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำคู่นี้ไปด้วย!”

เมื่อได้ยินคำพูดของเย่เทียนเฉิน ญาติผู้ใหญ่ทั้งหลายของตระกูลหลัวต่างก็โกรธจนปอดแทบระเบิด ตระกูลหลัวสามารถรุ่งเรืองมาจนถึงขั้นนี้ได้ ตำแหน่งของพวกเขาย่อมไม่ต่ำต้อย เคยมีใครกล้ามาด่าพวกเขาแบบนี้ที่ไหนกัน? โดยเฉพาะเย่เทียนเฉินที่ลงมือถึงสองครั้งสองคราว ทำร้ายจางอวิ๋นและแม่ของเขา ถึงแม้แม่ลูกคู่นี้จ้ะทำให้ผู้อื่นโกรธก่อน แต่คนตระกูลหลัวเหล่านี้ก็ใจแคบหาได้เปรียบ พวกเขาย่อมต้องเลือกยืนอยู่ข้างเดียวกันอยู่แล้ว เพราะมีเพียงทำแบบนี้ถึงจะสามารถได้รับของหยกหงส์มังกร รอให้ได้ส่งหยกหงส์มังกรมาก่อน ถึงจะเป็นสงครามภายในของพวกเขา

“แม่งเอ้ย ไอ้พวกตาแก่ตายยากอย่างพวกแกพูดพอหรือยัง? ใครที่มีปัญหาก็ก้าวออกมา!” เย่เทียนเฉินยืนอยู่ข้างกายหลัวเยี่ยนผู้เป็นแม่ ตะโกนออกมาด้วยท่าทางโอหังเต็มที่

เย่เทียนเฉินก็เป็นคนแบบนี้ ในเมื่อพวกคุณไม่เห็นผมกับแม่เป็นญาติพี่น้อง ไม่เพียงแต่ต้องการสิ่งของที่ยายทวดให้ไว้ แต่ยังทำท่าจะจัดจับตายผมกับแม่อีก งั้นจะให้ผมเกรงใจอะไร? แม่เป็นคนดี แต่ผมเย่เทียนเฉินไม่ใช่คนดีอะไร ในสังคมแบบนี้ คนดีก็จะถูกมองว่าโง่ จะถูกผู้คนคิดว่ารังแกได้ง่าย และจะทำได้แค่ถูกรังแกหนักยิ่งกว่าเก่า วันนี้บิดาจะสอนไอ้แก่อย่างพวกคุณ ถ้าต้องการไล่พวกเราแม่ลูกออกไปจากตระกูลหลัวอย่างสะดวกสบายเหมือนเมื่อปีนั้น ก็จะต้องจ่ายผลตอบแทนออกมาบ้าง

“แกจะโอหังเกินไปหรือเปล่า คิดว่าตระกูลหลัวไม่มีปัญญาทำอะไรแกจริงๆ หรือไง? แกนับเป็นตัวอะไรได้…” ตอนนี้เองชายวัยกลางคนคนหนึ่งเดินก้าวออกมา มองเย่เทียนเฉินแล้วพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา

“งั้นฉันขอถามแกสักหน่อย แล้วแกเป็นตัวอะไรได้ล่ะ?” เย่เทียนเฉินหาวครั้งหนึ่งแล้วถามออกมา

“หึ ฉันอายุมากกว่าแกรอบหนึ่ง ได้เป็นสมาชิกกรรมาธิการแห่งเมืองหลวงแล้ว หากพูดถึงความอาวุโส แกควรจะเรียกฉันว่าลุง…สอง…”

เพี๊ยะ!

คำพูดของชายวัยกลางคนผู้นั้นยังไม่ทันจะพูดจบก็ถูกเย่เทียนเฉินตบหน้าจนกระเด็นออกไป คนคนนี้เสนอหน้าออกมาครั้งแล้วครั้งเล่า เพ่งเล็งตนเองกับแม่มาก กล่าวได้ว่าเป็นรองเพียงแค่สองแม่ลูกโง่งมหลัวเสียนเม่ยเท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้นบนร่างของคนผู้นี้ยังมีไอสังหารออกมา เมื่อครู่นี้คนที่วิ่งออกไปเรียกผู้คุมกันก็คือเขา ดังนั้นเย่เทียนเฉินจึงไม่จำเป็นต้องเกรงใจ

“แก…รนหาที่ตาย…ไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อแล้วจริงๆ หรือไง?” ชายวัยกลางคนที่ถูกเย่เทียนเฉินตบจนทรุดลงกับพื้น ตะโกนออกมาอย่างงุนงนแต่ยังคงโอหังเหมือนเดิม

พลั่ก!

อีกครั้งหนึ่งแล้ว เย่เทียนเฉินใช้เท้าเตะชายวัยกลางคนออกไป เตะจนปลิวออกไปนอกประตูห้องโถง เตะจนออกไปนอกประตู การเตะครั้งนี้รุนแรงมาก ทำให้ชายวัยกลางคนที่ค่อนข้างอวบคนนี้กระเด็นไปหลายเมตร ตกลงบนบันไดนอกห้องโถงอย่างรุนแรง กรีดร้องออกมาอย่างน่าอนาถ ลุกไม่ขึ้นอีกต่อไป ทำให้หลายคนที่ได้เห็นต่างนิ่งอึ้ง ในใจคิดว่า เย่เทียนเฉินคนนี้โง่หรือไง? ทำร้ายคนท่ามกลางตระกูลหลัวครั้งแล้วครั้งเล่า เห็นตระกูลหลัวเป็นที่ที่อยากมาก็มาอยากไปก็ไปจริงๆ หรือ? คิดว่าหลังจากที่ผู้คุ้มกันของตระกูลหลัวมาถึงจะไม่กล้ายิงพวกเขาให้ตายจริงๆ หรือ?

“น้องสาวแกสิ ยังมีใครไม่พอใจอีกหรือเปล่า?” เย่เทียนเฉินมองไปยังชายวัยกลางคนที่กำลังกรีดร้องอยู่นอกประตูด้วยความไม่พอใจ จากนั้นจึงมองชายชราคนอื่นๆ ที่นั่งอยู่อีกครั้ง เอ่ยปากถามออกมาอย่างเรียบเฉย

ความจริงช่างอยู่นอกเหนือการคาดเดาของทุกคนไปมากเหลือเกิน เดิมทีคิดว่าหลัวเยี่ยนและเย่เทียนเฉินจะต้องมอบกล่องหยกหงส์มังกรออกมาภายใต้การบีบบังคับของทุกคนและจากไปด้วยความอัปยศแน่นอน กล่าวได้ว่านั่นจะทำให้ทุกคนมีความสุขมาก ไหนเลยจะรู้ว่าเย่เทียนเฉินจะใช้วิธีการเช่นนี้ ใช้กำปั้นไม่ใช้เหตุผล ทำให้ทุกคนหุบปาก แต่ไม่กล่าวไม่ได้ว่า วิธีนี้ใช้ได้ผลมากจริงๆ การจะรับมือกับชายชราที่เห็นตัวเองเป็นใหญ่พวกนี้ ถ้าไม่สั่งสอนพวกเขา คนที่อยู่มาจนอายุขนาดพวกเขาแล้วคงไม่มีใครกล้าลงมือสั่งสอนพวกเขาแน่

“แกไม่คิดว่าตัวเองจะทำเกินไปหรือไง? จะรนหาที่ตายก็ต้องดูเวลาด้วย!” หลัวฉีมองเย่เทียนเฉินอย่างเย็นชาแล้วพูดขึ้น

เย่เทียนเฉินมหลัวฉีแวบหนึ่ง แสร้งทำสายตาไม่สบอารมณ์ ขมวดคิ้วอย่างนึกสนุกแล้วพูดขึ้นว่า “แกกำลังพูดอยู่หรือไง? แม่งเอ๊ย แกไม่พอใจก็ไสหัวออกมาให้บิดานี่…”

“แก…”

หลัวฉีโกรธจนแทบจะกระอักเลือด จะอย่างไรตัวเองก็จะต้องกลายเป็นผู้นำตระกูลหลัวคนต่อไป ยิ่งไปกว่านั้นตนนั่งอยู่ตรงตำแหน่งกลางสุดก็ยังไม่มีใครกล้าพูดอะไร นี่เพียงพอแล้วที่จะแสดงให้เห็นว่าคนส่วนใหญ่ไม่กล้าล่วงเกินตนเอง แต่เย่เทียนเฉินถึงกับกล้าทำท่าไม่พอใจแบบนี้ ทำให้หลัวฉีอดไม่ได้ที่จะโกรธจนแทบเต้นเร่าๆ

“อย่ามาแกๆ ฉันๆ อะไรอยู่เลย มีความสามารถก็มาสู้กันตัวต่อตัว บิดาจะอัดแกให้เอ๋อไปเลย!” เย่เทียนเฉินยังคงพูดต่อไปอย่างไม่สบอารมณ์

เมื่อต้องเผชิญหน้ากับคนตระกูลหลัวกลุ่มนี้ เย่เทียนเฉินก็ไม่อยากพูดอะไรให้มากความ กับคนพวกนี้ไม่มีอะไรต้องพูด ถ้าคุณไม่แสดงความแข็งแกร่ง พวกเขาก็จะถือโอกาสนี้กัดกินคุณ ดังนั้นเย่เทียนเฉินจึงเลือกที่จะลงมือ ลงมืออย่างเฉียบคม ถ้าไม่สั่งสอนคนพวกนี้สักหน่อย พวกเขาก็จะไม่หวาดกลัว และจะไม่ยอมปล่อยตนและแม่ออกไปแน่

“ดีๆ ๆ …น้องสาว ในเมื่อลูกของแกร้ายกาจขนาดนี้ โอหังขนาดนี้ ก็อย่ามาตำหนิพี่ใหญ่อย่างฉันว่าโหดเหี้ยมก็แล้วกัน ฉันจะให้แกรู้ถึงกฎบ้านตระกูลหลัว ให้แกได้รู้ว่าคำว่าตายสะกดยังไง!” หลัวฉีมีสีหน้าดุดัน มองไปยังหลัวเยี่ยนแล้วพูดออกมาด้วยความโกรธจนกลายเป็นรอยยิ้ม

“บิดาบอกว่าแกเป็นไอ้เอ๋อ แกก็เอ๋อจริงๆ เล่นลูกไม้นี้ให้มันน้อยๆ หน่อยเถอะ แกเคยเห็นแม่ของฉันเป็นน้องสาวมาก่อนหรือไง? คิดจะลงมือก็เร็วๆ หน่อย อย่าได้หาข้ออ้างอะไร บิดายุ่งมาก!” เย่เทียนเฉินพูดแทรก เขารู้ว่าแม่อาจจะใจอ่อน เมื่อถึงตอนนั้นเรื่องที่ตนกระทำไปก่อนหน้านี้ก็คงจะสูญเปล่า เขาจะต้องแสร้งทำเป็นทายาทโง่เขลา แกล้งทำเป็นยโสโอหัง เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้คนตระกูลหลัวมาสร้างความวุ่นวายครั้งแล้วครั้งเล่าหลังจากที่ออกไปจากตระกูลหลัวได้

“แก…ฉันจะทำให้แกตาย!” หลัวฉีทนไม่ไหวอีกต่อไป ทันใดนั้นจึงลุกขึ้นจากที่นั่ง ชี้ไปที่เย่เทียนเฉินแล้วตะโกนขึ้นอย่างดุดัน

ตอนนี้เอง มีผู้คุมการกลุ่มหนึ่งพุ่งเขามาจากนอกประตูห้องโถงใหญ่ ทุกคนต่างพกอาวุธปืน นี่คือสัญลักษณ์ที่ตระกูลถหลัวสามารถกลายเป็นตระกูลใหญ่แบบนี้ได้ ในเมืองหลวงมีตระกูลใหญ่และกลุ่มอำนาจใหญ่บางกลุ่มที่บอดี้การ์ดของตระกูลสามารถพกอาวุธปืนได้ หรือกระทั่งมีบอร์ดี้การ์ดเป็นทหาร ก็เหมือนกับตระกูลฉินและตระกูลลั่ว แต่หากต้องการมาถึงขั้นนี้จะต้องมีบุคคลที่มีตำแหน่งสูงในด้านการเมืองและด้านการทหารอยู่ในตระกูลด้วย

ดังนั้นกล่าวได้ว่า ตระกูลหลัวทที่ไม่ใช่ตระกูลใหญ่ทางด้านการเมือง และไม่ใช่ตระกูลใหญ่ทางด้านการทหาร แต่สามารถมีผู้คุ้มกันที่พกพาอาวุธปืนมากกว่าร้อยคนได้แบบนี้ มากเพียงพอที่จะกลายเป็นกองทหารกองหนึ่ง จินตนาการได้เลยว่าตระกูลหลัวมีชื่อเสียงฉาวโฉ่ขนาดไหน

“พี่ ยังจะพูดกับไอ้เดรัจฉานสองแม่ลูกอยู่ทำไม ฆ่าพวกมันซะ!”

หลัวเสียนเม่ยและจางอวิ๋นเห็นว่าผู้คุ้มกันพกอาวุธปืนของตระกูลพุ่งเข้ามาแล้ว ใบหน้าก็ปรากฏความโอหังอีกครั้ง โอหังจนไม่เห็นหัวใคร คิดว่าต่อหน้าผู้คุ้มกันถือปืนเหล่านี้ เย่เทียนเฉินจะไม่กล้าลงมืออย่างแน่นอน เช่นนี้ก็จะสามารถถือโอกาสฆ่าเย่เทียนเฉินและหลัวเยี่ยนได้

………………………………..

Related

เย่เทียนเฉินลงมืออัดจางอวิ๋น และยังเตะหลัวเสียนเม่ยแม่ของจางอวิ๋นอีกด้วย ทำให้ทุกคนที่อยู่บริเวณนั้นตกตะลึง ใครก็คิดไม่ถึงว่า เย่เทียนเฉินที่นับว่าอายุน้อยที่สุดในที่นี้จะถึงกับลงมืออัดคนได้ และยังลงมือกับน้าของตนอีกด้วย คนคนนี้ทำตามหลักการโดยไม่สนใจตัวคนจริงๆ !

ยิ่งไปกว่านั้นจากการตบและเตะสองแม่ลูกหลัวเสียนเม่ยของเย่เทียนเฉิน ทำให้คนอื่นๆ ต่างก็ได้สติ คิดถึงข่าวลือเกี่ยวกับทุกการกระทำของเย่เทียนเฉินในเมืองหลวงขึ้นมา ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขายังได้ยินเรื่องราวในช่วงที่เดินทางไปยังประเทศ M ของเย่เทียนเฉินมาอีกด้วย จึงอดไม่ได้ที่จะสูดหายใจเย็นยะเยือก คนคนนี้นับว่าเป็นหลานสายนอกของตระกูลหลัว ถึงกับแข็งแกร่งจนถึงขั้นนี้เชียว มีแนวโน้มมากว่าจะทำให้ตระกูลเย่รุ่งเรืองขึ้นมาได้

คนกลุ่มหนึ่งเดินมาถึงห้องโถงของบ้านเดิม เป็นห้องโถงสไตล์โบราณ บนยกพื้นที่สูงที่สุดมีเก้าอี้อยู่ตัวหนึ่ง ด้านล่างทั้งสองฝั่งมีเก้าอี้วางเรียงราย เมื่อก่อนเก้าอี้ในตำแหน่งที่อยู่สูงสุดนั้นมักจะเป็นที่นั่งของแม่เฒ่าของตระกูลหลัวมาโดยตลอด และมีเพียงเธอเท่านั้นถึงจะมีคุณสมบัติพอที่จะได้นั่งตำแหน่งนี้ ตอนนี้หลัวฉีกลับไปนั่งอยู่ด้านบน ทำเหมือนกับว่าได้กลายเป็นผู้นำสูงสุดของตระกูลหลัวไปแล้ว กลายเป็นหัวเรือใหญ่ของตระกูลหลัวไปแล้วอย่างไรอย่างนั้น

หลัวฉีนั่งอยู่เก้าอี้กลางห้อง ลูกสาวของเขาหลัวชิงหงยืนอยู่ด้านหลัง มองไปยังเย่เทียนเฉินและหลัวเยี่ยนอย่างดุดัน ก่อนหน้านี้เธอก็ถูกหลัวเยี่ยนสั่งสอนมา ถูกสั่งสอนจนพูดอะไรไม่ออก หน้าแดงหูแดงไปหมด เพราะต้องการที่จะออกหน้าให้พ่อของตน แต่น่าเสียดายที่ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของหลัวเยี่ยน จึงต้องทำให้ตัวเองขายหน้า

คุณลุงคนอื่นๆ เมื่อเห็นว่าหลัวฉีนั่งอยู่บนเก้าอี้ตรงกลาง ในใจของคนจำนวนมากก็รู้สึกไม่พอใจ แต่กลับไม่ได้เอ่ยปากอะไร เหตุผลประการแรกก็คือ หลัวฉีเป็นลูกชายคนเดียวของหลัวเหยียนซง หลายปีมานี้ก็สงบเสงี่ยมลงมาก ตามปกติเขาก็ควรจะได้เป็นหัวเรือใหญ่คนต่อไปของตระกูลหลัว ไม่ว่าใครก็ไม่อยากที่จะล่วงเกิน ต่อให้คุณลุงเหล่านี้จะไม่ได้หวาดกลัวอะไร แต่ก็ต้องคิดถึงลูกๆ ของตน จะอย่างไรภายหลังหลัวฉีกลายเป็นผู้นำตระกูลคนใหม่ของตระกูลหลัว ด้วยนิสัยใจแคบของเขาจะต้องสร้างความลำบากให้กับลูกๆ ของคนที่เคยขัดขวางเขาแน่นอน เหตุผลประการที่สองก็คือ ตอนนี้ความคิดของทุกคนต่างจับจ้องอยู่ที่กล่องหยกหงส์มังกร ของสิ่งนี้มีความเย้ายวนใจมากมายเหลือเกิน ไม่ว่าใครก็ต้องการที่จะครอบครอง บนโลกใบนี้มีเพียงหนึ่งไม่มีสอง ล้ำค่าจนมิอาจประเมินค่าได้

ตอนนี้เอง คุณลุงทั้งหลายของตระกูลหลัวรวมถึงผู้อาวุโสจำนวนหนึ่งต่างก็นั่งอยู่บนเก้าอี้สองฝั่งของห้องโถง มีเพียงเย่เทียนเฉิน หลัวเยี่ยน และลุงหวังสามคนเท่านั้นที่ยืนอยู่กลางห้องโถง สภาพแบบนี้คล้ายกับกำลังสอบสวนพวกเขาอย่างไรอย่างนั้น ทำให้เย่เทียนเฉินรู้สึกไม่พอใจมาก

ภายในห้องโถงเงียบสงัด ใครก็ไม่กล้าเอ่ยปากเป็นคนแรก ถึงแม้พวกเขาจะอยากได้กล่องหยกหงส์มังกรมาก แต่ของสิ่งนี้แม่เฒ่าตระกูลหลัวก็มอบให้กับหลานสาวของตนก่อนตาย รวมกับการกระทำของเย่เทียนเฉินเมื่อครู่นี้ทำให้ในใจของใครหลายคนต่างรู้สึกหวาดกลัว ถึงแม้พวกเขาจะมีคนมากกว่า และจะไม่ยอมให้เย่เทียนเฉินและหลัวเยี่ยนนำกล่องหยกหงส์มังกรออกไปจากตระกูลหลัวง่ายๆ แต่ยังคงหวาดกลัวว่าเย่เทียนเฉินจะบ้าคลั่งขึ้นมาแล้วจัดการพวกเขาทุกคน คนคนนี้เป็นคนที่ทำตามหลักการโดยไม่สนใจตัวคน คงจะไม่เห็นพวกเขาเป็นญาติผู้ใหญ่อะไรแน่นอน

เย่เทียนเฉินมองไปรอบๆ ในตอนที่ยังไม่มีใครเอ่ยปากเขาก็เดินไปยังหลัวเสียนเม่ยและจางอวิ๋น สองแม่ลูกคู่นี้นั่งอยู่บนม้านั่งยาวตัวหนึ่ง จางอวิ๋นในตอนนี้มุมปากยังคงมีรอยเลือด ใบหน้าบวมช้ำเหมือนหมู ส่วนหลัวเสียนเม่ยก็กุมท้องของตนเอาไว้ตลอด มองหลัวเยี่ยนและเย่เทียนเฉินอย่างเคียดแค้น เดิมทีเธอก็เป็นผู้หญิงปากร้ายคนหนึ่งอยู่แล้ว บุกเข้าไปในบ้านสไตล์โบราณอย่างร้อนอกร้อนใจ พอไปถึงก็พ่นคำด่าออกมา ต้องการที่จะเพ่งเล็งหลัวเยี่ยนผู้เป็นพี่สาวของตนอีกครั้ง ยิ่งไปกว่านั้นยังต้องการที่จะได้รับกล่องหยกหงส์มังกรอีกด้วย ไหนเลยจะรู้ว่าเย่เทียนเฉินจะกล้าลงมืออัดตน ตัวแปรนี้มากมายเกินไปจริงๆ ทำให้ใครหลายคนคิดไม่ถึง กระทั่งตัวเองก็ยังต้องตกตะลึง

“แกคิดจะทำอะไร ไอ้เดรัจฉาน ฉันจะไม่ยอมให้พวกแกออกไปจากประตูบ้านของตระกูลหลัวได้อย่างมีชีวิตแน่…” หลัวเสียนเม่ยเห็นเย่เทียนเฉินเดินมาทางพวกเขา จึงอดไม่ได้ที่จะพูดออกมาอย่างโหดเหี้ยม

เย่เทียนเฉินไม่ได้พูดอะไร ใบหน้าประดับไปด้วยรอยยิ้ม เป็นรอยยิ้มที่ดูไร้พิษภัย ก้าวเดินไปยังจางอวิ๋น จางอวิ๋นในตอนนี้ถูกตบจนใบหน้าบวมเป่งเหมือนกับหมู เจ็บจนต้องซี้ดปาก เมื่อเห็นเย่เทียนเฉินเดินมาหาตน ในดวงตาก็ปรากฏความหวาดกลัวขึ้น เขาจางอวิ๋นทำตัวยโสโอหังอยู่ในตระกูลหลัวจนเคยชินแล้ว ต่อให้เป็นภายนอกก็เกรงว่าจะไม่มีใครกล้าอัดเขา แต่เย่เทียนเฉินไม่พูดพร่ำทำเพลง เพิ่งจะมายังตระกูลหลัวไม่ถึงครึ่งวันก็ตบหน้าเขาไปสองครั้งแล้ว คนคนนี้มีนิสัยอย่างไรกันแน่ จะทำให้คนคาดเดาไม่ได้มากไปแล้ว จะแปลกเกินไปแล้ว

“แก..แกคิดจะทำอะไร?” จางอวิ๋นนั่งยืดตัวตรงด้วยความหวาดกลัว มองเย่เทียนเฉินแล้วถามอย่างตึงเครียด

“แกดูสิว่าที่นี่ต่างก็เป็นญาติผู้ใหญ่แกทั้งนั้น ไม่ใช่ว่าแกควรจะลุกขึ้นหรือไง? ไม่ควรส่งเก้าอี้ออกมาหรือไง?” เย่เทียนเฉินมองจางอวิ๋นแล้วเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม

“แก…” จางอวิ๋นมองเย่เทียนเฉินด้วยความโกรธอย่างหาใดเปรียบ ต่อหน้าของคนมากมายขนาดนี้จะให้เขายืนขึ้นแล้วมอบเก้าอี้ออกไป ช่างน่าขายหน้าจริงๆ ยิ่งไปกว่านั้นตลอดมาเขาจางอวิ๋นก็มีอำนาจมากในตระกูลหลัว อีกทั้งยังมีแม่ที่มีนิสัยฉุนเฉียวง่าย ใครกล้ามาทำให้เขาได้รับความอับอายต่อหน้าคนมากมายขนาดนี้บ้าง?

“ไอ้เด็กพ่อแม่ไม่สั่งสอน กล้ามาบอกให้ลูกชายของฉันมอบที่นั่งให้แก แกคู่ควรหรือไง?” ทันใดนั้นหลัวเสียนเม่ยลุกขึ้นยืนจากบนที่นั่ง มองเย่เทียนเฉินอย่างขบเคี้ยวเคี้ยวฟันแล้วตะโกนออกมา

เมื่อครู่นี้ถึงแม้ว่าหลัวเสียนเม่ยและจางอวิ๋นจะถูกเย่เทียนเฉินอัด และรู้สึกมึนงงอยู่บ้าง เพราะคิดไม่ถึงว่าเย่เทียนเฉินจะถึงกับกล้าลงมือได้ คิดไม่ถึงว่าจะถึงกับกล้าทำตัวเป็นศัตรูกับญาติผู้ใหญ่มากมายขนาดนี้ ตอนนี้เมื่อได้สติกลับมาจึงรู้สึกโกรธเคืองมากและยิ่งทำตัวยโสโอหังมากขึ้นอีกด้วย คิดว่าต่อให้เย่เทียนเฉินและหลัวเยี่ยนจะร้ายกาจขนาดไหนก็ไม่ใช่คู่มือของคนตระกูลหลัวเหล่านี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลัวฉี เขาเป็นคนที่ใกล้จะได้ขึ้นเป็นผู้นำตระกูลหลัวคนต่อไป จะต้องไม่ยอมปล่อยหลัวเยี่ยนไปแน่

เมื่อปีนั้นที่ทำให้เรื่องของหลัวเยี่ยนและเย่หงเป็นเรื่องใหญ่ คนที่ลงแรงมากที่สุดก็คือหลัวฉี เนื่องจากเมื่อปีนั้นเขาเป็นคนที่ไม่เรียนหนังสือ แต่หลัวเยี่ยนผู้เป็นน้องสาวกลับแสดงความเฉลียวฉลาดออกมา กระทั่งคุณลุงทั้งหลายของตระกูลหลัวก็ยังอดไม่ได้ที่จะทอดถอนใจ ในตอนนั้นหลัวเหยียนซงผู้เป็นพ่อก็ได้คิดถึงตำแหน่งผู้นำตระกูลแล้ว และได้เลือกหลัวเยี่ยนผู้เป็นลูกสาวให้รับผิดชอบต่อไป ถึงแม้ในตระกูลหลัวจะยังมีคนคัดค้าน แต่ท่าทีของหลัวเหยียนซงก็เด็ดขาดมั่นคงมาก จนกระทั่งหลัวเยี่ยนและเย่หงรักกัน หลัวฉีจึงได้รู้ว่าโอกาสของเขามาถึงแล้ว ขอเพียงไล่หลัวเยี่ยนออกไปจากตระกูลหลัวได้ เขาก็จะมีโอกาสที่จะได้เป็นผู้นำตระกูล ดังนั้นจึงป่าวประกาศออกไปทั่ว กระทั่งไม่สนใจที่จะทำลายชื่อเสียงของน้องสาวแท้ๆ ของตน สุดท้ายเขาก็ได้รับสิ่งที่ต้องการ ทำให้หลัวเยี่ยนทะเลาะกับพ่อและต้องออกไปจากตระกูลหลัว

ดังนั้นนี่จึงทำให้ในใจของสองแม่ลูกหลัวเสียนเม่ยมีความกล้า รวมกับการปรากฏขึ้นของกล่องหยกหงส์มังกร ถึงตอนนั้นต่อให้ต้องบีบบังคับหรือต้องฆ่าสองแม่ลูกหลัวเยี่ยนและเย่เทียนเฉินก็ไม่รู้สึกเสียดาย ยังไงคนตระกูลหลัวเหล่านี้ก็ไม่ยอมให้นำกล่องหยกหงส์มังกรไปแน่

“ฉันจะคู่ควรหรือเปล่าเดี๋ยวแกก็จะรู้เอง…”

คำพูดของเย่เทียนเฉินเพิ่งจะถูกกล่าวออกมา มือขวาก็กระชากผมของจางอวิ๋น ใช้แรงดึงไปกระแทกฟาดลงไปบนโต๊ะไม้เล็กๆ ด้านข้างที่ใช้วางถ้วยชา

โครม!

เสียงดังกังวาน ศีรษะของจางอวิ๋นกระแทกกับโต๊ะไม้ ตามมาด้วยเสียงกรีดร้องราวกับหมูถูกเชือด จางอวิ๋นล้มลงกับพื้น มือทั้งสองกุมศีรษะของตนที่เต็มไปด้วยเลือด ดิ้นไปมาไม่หยุด ถ้วยชาบนโต๊ะไม้เล็กๆ นั้นถูกศีรษะของเขากระแทกจนแตกเป็นเสี่ยงๆ ไปแล้ว เลือดสดๆ ไหลลงมาตามขาโต๊ะ ทำให้ทุกคนที่ได้เห็นต่างต้องตกใจ

“แก…”

เมื่อเห็นเย่เทียนเฉินลงมือทำร้ายคนอีกครั้ง คุณลุงทั้งหลายของตระกูลหลัวก็เกิดความโกรธปะทุขึ้นมา เย่เทียนเฉินทําร้ายคนต่อหน้าพวกเขาครั้งแล้วครั้งเล่า จะไม่เห็นญาติผู้ใหญ่ตระกูลหลัวอย่างพวกเขาอยู่ในสายตาเกินไปหรือเปล่า? โดยเฉพาะท่าทางเรียบเฉยหลังจากที่ทำร้ายคนแล้วแบบนั้น ดูเหมือนไม่หวาดกลัวเลย และดูเหมือนกับไม่คิดถึงผลลัพธ์ที่จะตามมาอย่างไรอย่างนั้น

“เรียกผู้คุ้มกัน เรียกผู้คุ้มกัน…” หลัวเสียนเม่ยตกใจจนนิ่งงันไปแล้วโดยสิ้นเชิง เธอรีบผละออกมาจากที่นั่ง วิ่งไปยังข้างกายของลูกชายที่กำลังส่งเสียงกรีดร้องและชักดิ้นชักงออยู่บนพื้น ตะโกนออกมาเสียงดัง

“ตอนนี้ก็รู้แล้วใช่ไหมว่าฉันต้องการที่จะทำอะไร? อย่าคิดว่าพวกคุณมีคนมาก ก็จะทำอะไรกับผมและแม่ได้ ก็แค่ไอ้แก่ที่ไร้มนุษยธรรมกลุ่มหนึ่ง ผมไม่เกรงใจหรอกนะ!” ในตอนนี้ เย่เทียนเฉินโกรธขึ้นมาจริงๆ แล้ว แม่ของเขาอดทนได้ แต่เขาทำไม่ได้ เพราะเขาไม่อาจเห็นแม่ของตนได้รับการข่มขู่คุกคาม และรู้ว่าคนกลุ่มนี้จะไม่ยอมปล่อยพวกเขาไปแน่ ถ้าไม่ลงมือจะทำอะไรได้อีก? หรือกับพวกที่ไร้มนุษยธรรมเหล่านี้ กับไอ้แก่ที่ไม่เห็นแก่ญาติมิตรเหล่านี้ยังต้องพูดคุยกันอย่างมีเหตุผลอีก?

“เย่เทียนเฉิน ฉันไม่สนว่าหลังจากที่แกกลับมายังเมืองหลวงจะเปลี่ยนแปลงไปยังไง จะทำเรื่องอะไรมาบ้าง แต่วันนี้แกคงยากที่จะมีชีวิตออกไปจากตระกูลหลัวแล้ว!” ในที่สุดหลัวฉีก็อดทนต่อไปไม่ไหว มองเย่เทียนเฉินอย่างโหดเหี้ยมแล้วพูดขึ้น

หลายปีมานี้ หลัวฉีสงบนิสัยดั้งเดิมของตนเองลงไปไม่น้อย แน่นอนว่านี่เป็นเพียงแค่สิ่งที่เขาเสแสร้งออกมาเท่านั้น เพราะเขาต้องการที่จะรอ รอหลัวเหยียนซงผู้เป็นพ่อส่งมอบตำแหน่งผู้นำตระกูลให้แก่เขา ต้องการรอให้หลัวเหยียนซงตายไปก่อน เช่นนั้นเขาก็จะกลายเป็นผู้นำตระกูลและสามารถทำทุกอย่างได้ตามแต่ใจต้องการ ก่อนหน้านี้เขาจำเป็นที่จะต้องอดทน จำเป็นที่จะต้องเสแสร้งว่าตนเองเปลี่ยนไปแล้วและรู้ความขึ้นแล้ว

ตอนนี้เย่เทียนเฉินทําร้ายคนต่อหน้าเขาครั้งแล้วครั้งเล่า นี่ไม่เพียงแต่เป็นการทำร้ายจางอวิ๋นต่อหน้าผู้คน แต่ยังเท่ากับเป็นการตบหน้าเขาหลัวฉีอีกด้วย เป็นการไม่เห็นเขาอยู่ในสายตา จะให้เขาที่เป็นว่าที่ผู้นำตระกูลแห่งตระกูลหลัวเอาหน้าไปไว้ที่ไหน? ดังนั้นหลัวฉีจึงเอ่ยปากขึ้นมาแล้ว แสดงท่าทีออกมา เขาตัดสินใจเอาไว้ในใจเรียบร้อยแล้วว่า ต่อให้เขาจะไม่อะไรกับหลัวเยี่ยนผู้เป็นน้อง แต่ก็ต้องฆ่าเย่เทียนเฉินให้ได้ มิฉะนั้นวันหน้าหากอีกฝ่ายรุ่งเรืองขึ้นมาจริงๆ เขาหลัวฉีคงวุ่นวายมาก

“เรียกผู้คุ้มกัน? ฉันว่าช่างมันเถอะ คนพวกนั้นมาก็ต้องตาย!” เย่เทียนเฉินมองหลัวฉีแล้วพูดขึ้นอย่างเรียบเฉย

“แก…หึ ฉันจะดูซิว่าแกจะร้ายกาจขนาดไหน ถึงได้กล้ามาเป็นศัตรูกับพวกเราตะกูลหัวทั้งตระกูล!” หลัวฉีโบกมือ มีคนออกไปเรียกผู้คุ้มกันมา ผู้คุ้มกันของตระกูลหลัวย่อมเป็นผู้คุ้มกันพร้อมอาวุธปืน ดูน่าเกรงขามเป็นอย่างมาก

เย่เทียนเฉินไม่ได้พูดอะไร ทำเพียงแย้มยิ้มเล็กน้อย ถือเก้าอี้ที่จางอวิ๋นนั่งเดินไปยังข้างกายของหลัวเยี่ยนแล้วจึงวางเก้าอี้ตัวนั้นไว้ด้านหลัง ก่อนจะกล่าวว่า “แม่ครับ มานั่งเถอะ ผมจะเป็นผู้ดูแลให้แม่เอง!”

“เทียนเฉิน…อย่าทำแบบนี้เลย…ยังไงพวกเขาก็…” หลัวเยี่ยนยังคงมีจิตใจดีงาม ในสายตาของเขาคุณลุงเหล่านี้ หรือกระทั่งพี่ชายและน้องสาวแท้ๆ ของตน ต่างก็ไม่มีความรู้สึกดังครอบครัวกับเธอ แต่เธอก็ยังคงมองพวกเขาเป็นญาติมิตรของตน ไม่อยากให้เกิดเรื่องใหญ่อะไร และไม่อยากให้พ่อแท้ๆ ต้องโกรธหลังจากที่ตามกลับมา อย่างไรเสียพวกเขาก็อายุมากแล้ว

“แม่ครับ แม่อย่าใจดีเกินไปเลย ถ้าผมไม่ทำแบบนี้ พวกเราคงไม่รอดออกไปจากที่นี่จริงๆ ผมรู้จักหนักเบานะครับ!” เย่เทียนเฉินพูดข้างหูของหลัวเยี่ยนเสียงเบา

………………

Related

คำพูดของหลัวเยี่ยนทำให้ทุกคนที่ส่งเสียงเอะอะโวยวายสั่นสะท้าน รวมถึงเหล่าคุณลุงของหลัวเยี่ยนด้วย พวกเขาคิดไม่ถึงว่า หลัวเยี่ยนที่ดูอ่อนโยน พอจริงจังขึ้นมาจริง พวกเขาจะรับมือได้ยากยิ่ง ไม่แปลกใจเลยที่เป็นผู้หญิงที่มีความสามารถที่สุดของตระกูลหลัวในหลายปีมานี้

แต่ว่าในตอนนี้เอง นอกประตูก็มีเสียงผู้ชายและผู้หญิงคนดังขึ้น เป็นน้ำเสียงที่ไม่ลงรอยเลยแม้แต่น้อย ได้ยินก็รู้ว่าเป็นคนที่เพ่งเล็งหลัวเยี่ยนโดยเฉพาะ

นอกห้องมีชายวัยกลางคนและหญิงวัยกลางเดินเข้ามา คนที่เดินตามหลังชายวัยกลางคนก็คือหลัวชิงหง และด้านหลังของหญิงวัยกลางคนก็คือจางอวิ๋นที่ถูกเย่เทียนเฉินตบหน้าจนใบหน้าบวมไปครึ่งหนึ่ง

คิดว่าไม่จำเป็นต้องพูดทุกคนก็สามารถเดาได้ ชายวัยกลางคนคนนี้ก็คือพี่ชายของหลัวเยี่ยน หลัวฉี หญิงวัยกลางคนคนนี้ก็คือน้องสาวของหลัวเยี่ยน หลัวเสียนเหม่ย จากคำพูดของพวกเขาก็สามารถรู้ได้ว่า หลัวฉีไม่พอใจน้องสาวคนนี้มาก หลัวเสียนเหม่ยก็ไม่มีความคิดที่จะเคารพเธอเลยแม้แต่ครึ่งส่วน และเป็นเพราะต้องการที่จะเรียกร้องความยุติธรรมให้แก่ลูกชายของตนเองที่ถูกเย่เทียนเฉินตบด้วย

มุมปากของเย่เทียนเฉินประดับไปด้วยรอยยิ้ม คนที่ก่อเรื่องจริงๆ ในที่สุดก็โผล่ออกมาแล้ว ตนเองยังกลัวว่าพวกเขาจะไม่โผล่หัวออกมา เมื่อปีนั้นแม่ของเขาถูกขับไล่ออกมาจากตระกูลหลัว สองคนนี้เป็นคนที่ “เหน็ดเหนื่อย” มากที่สุด เดิมทีเย่เทียนเฉินไม่คิดจะคิดเล็กคิดน้อยอะไรกับคนของตระกูลหลัว เพื่อที่จะมอบความยุติธรรมคืนให้กับแม่ แต่วันนี้เมื่อดูแล้ว หากเขาคิดที่จะไกล่เกลี่ยเพื่อยุติความขัดแย้ง ผู้อื่นคงไม่อยากจะทำ เพราะว่าคนอื่นเขาคิดว่าตัวเองอยู่เหนือกว่า ในเมื่อพวกเขาไม่เต็มใจ ตนเองก็ไม่จำเป็นต้องเกรงใจ

“น้องสาว ไม่ได้เจอกันยี่สิบปีแล้ว แกยังร้ายกาจเหมือนเดิม ฉันไม่อยากจะพูดอะไรกับแกมาก ทิ้งกล่องหยกหงส์มังกรเอาไว้ก็พอ ส่วนหยกมีตำหนิก็ไม่มีค่าอะไร แกเอาไปได้ ฉันจะไม่ทำให้แกลำบากใจ ไม่งั้นแกต้องรับผลของการกระทำเอง!” หลัวฉีมองไปยังหลัวเยี่ยนน้องสาวของตนแล้วพูดขึ้นอย่างเย็นชา

“หึ หลัวเยี่ยน ลูกชายของแกกล้ามาตบลูกชายของฉัน วันนี้ฉันจะหักแขนหักขามันซะ!” หลัวเสียนเหม่ยมีท่าทางเหมือนมนุษย์ป้า ชี้หน้าหลัวเยี่ยนแล้วด่ากราด ไม่ให้ความเคารพกับพี่สาวคนนี้เลยแม้แต่น้อย บ้าคลั่งเสียยิ่งกว่าหลัวฉีอีก

เมื่อได้ยินคำพูดของหลัวฉีและหลัวเสียนเหม่ย ในใจของหลัวเยี่ยนก็รู้สึกเจ็บปวด เธอกลับตระกูลหลัวมา สิ่งที่กลัวที่จะเผชิญหน้าที่สุดก็คือสถานการณ์แบบนี้ เมื่อปีนั้นเป็นพี่ชายและน้องสาวที่เพ่งเล็งเธอมากที่สุด นี่ทำให้หัวใจของหลัวเยี่ยนต้องหนาวเหน็บ เป็นพี่น้องกันแท้ๆ เพราะอะไรถึงได้เดินมาถึงจุดนี้? ตลอดมาเธอก็ไม่ได้แย่งชิงอะไรกับพี่ชายและน้องสาวของเธอ กระทั่งหลีกทางให้พวกเขาทุกอย่าง หรือพวกเขาจะทนเธอที่เป็นแบบนี้ไม่ไหว?

“พี่ น้อง ครั้งนี้ฉันกลับมาเพื่อมาเยี่ยมคุณย่า คุณย่าจากไปแล้ว ฉันก็เสียใจมาก ไม่คิดที่จะแย่งชิงอะไรกับพวกคุณ และไม่คิดที่จะอยู่ที่ตระกูลหลัว พวกคุณวางใจเถอะ!” หลัวเยี่ยนพูดออกมาอย่างทอดถอนใจ

หลังจากที่หลัวฉีและหลัวเสียนเหม่ยเดินเข้ามาในห้อง ก็ไม่มองไปที่คุณย่าที่ตายจากไปแล้วแม้แต่ครั้งเดียว ไม่มีความเศร้าโศกเสียใจแม้แต่น้อย พอเข้ามาก็เพ่งเล็งมาที่ตน พอเข้ามาก็พูดแต่เรื่องของกล่องหยกหงส์มังกร ถูกผลประโยชน์บดบังดวงตาไปแล้วโดยสิ้นเชิง ไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น

“พวกเราไม่สนใจว่าแกจะกลับมาทำไม พวกเราต้องการแค่กล่องหยกหงส์มังกร!” หลัวฉีพูดพลางยิ้มเย็น

“หลัวเยี่ยน แกก็เป็นแค่คนที่ถูกตระกูลหลัวขับไล่ออกไป มีคุณสมบัติอะไรให้กลับมา? แล้วยังกล้าใช้ลูกชายของแกมาตบลูกชายของฉันอีก แกไม่อยากจะอยู่แล้วใช่ไหม? ไม่อยากจะมีชีวิตออกไปจากตระกูลหลัวแล้วใช่ไหม?” หลัวเสียนเหม่ยไม่มีท่าทีของคุณหนูตระกูลใหญ่ที่ได้รับการสั่งสอนอย่างดีเลยแม้แต่น้อย ไม่มีอะไรแตกต่างกับมนุษย์ป้าที่พบเห็นได้ตามถนนหนทาง

เพี้ยะ!

ภายในห้อง ในตอนที่บรรยากาศเคร่งเครียดอและหนักแน่นย่างหาใดเปรียบ หลัวเยี่ยน เย่เทียนเฉิน ลุงหวัง ทั้งสามถูกคนล้อมเอาไว้ ท่าทางจะไม่ยอมให้เดินไปข้างหน้าอีกแม้แต่ก้าวเดียว ทันใดนั้นเสียงตบหน้าดังขึ้นครั้งหนึ่ง จางอวิ๋นผู้น่าสงสารถูกเย่เทียนเฉินตบหน้าจนกระเด็นออกไป เรี่ยวแรงที่ใช้ตบหน้าในครั้งนี้หนักกว่าครั้งที่แล้วมาก แรงกระทั่งทำให้จางอวิ๋นปลิวออกไปข้างนอก มุมปากมีเลือดไหลออกมา ฟันร่วงออกมาพลางกระอักเลือด

ใครก็คิดไม่ถึงว่า ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้เย่เทียนเฉินจะยังกล้าตบคนอีก กระทั่งหลัวเยี่ยนก็ตกตะลึง เธอคิดไม่ถึงว่าลูกชายจะลงมือ พวกเขาแม่ลูกดูเหมือนว่าจะถูกทุกคนล้อมเอาไว้ นอกจากลุงหวัง ก็ไม่มีใครที่ยืนอยู่ข้างพวกเขาเลย ส่วนลุงหวังก็เป็นแค่คนรับใช้ของตระกูลหลัว แต่คนที่ล้อมพวกเขาต่างก็เป็นเจ้านายของตระกูลหลัว ลุงหวังไม่มีความสามารถที่จะหยุดยั้ง

เย่เทียนเฉินลงมือตบคนภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ เกรงว่าจะต้องกลายเป็นเป้าของทุกคนแน่ หากคิดที่จะออกไปจากตระกูลหลัวก็เกรงว่าจะยากแล้ว ต่อจากนี้ไปจะจบอย่างไร? ตบหน้าจางอวิ๋นจนเกือบจะหมดสติไปแล้ว

“แก…อั่ก…” จางอวิ๋นล้มลงบนพื้น มือทั้งสองจับแก้มทั้งสองด้านของตน ตอนแรกเป็นเพราะการตบหน้าของเย่เทียนเฉินจึงทำให้หน้าบวมเป็นไปครึ่งแถบ ตอนนี้ก็ถูกตบอีกครั้งหนึ่ง ใบหน้าอีกครึ่งจึงบวมเป่งขึ้นมาในทันที ตอนนี้ทั้งใบหน้าเหมือนกับหมู ดูแล้วน่าอนาถจนอดไม่ไหว

“ลูก ลูก…ลูกไม่เป็นไรใช่ไหม?” หลัวเสียนเหม่ยรีบวิ่งเข้าไปข้างกายลูกชายของตน เอ่ยปากถามออกมาอย่างร้อนใจ

“แม่ ฆ่า ผมจะต้องฆ่าไอ้ลูกเต่านี้ให้ได้…” จางอวิ๋นอดกลั้นความเจ็บปวด จ้องมองไปยังเย่เทียนเฉินแล้วพูดออกมาอย่างขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน

จางอวิ๋นเป็นคนน่าสงสารคนหนึ่ง ตอนแรกคิดจะออกหน้าให้แม่ของตนถึงได้พูดจาเยาะเย้ยหลัวเยี่ยนและเย่เทียนเฉิน ไหนเลยจะรู้ว่าเย่เทียนเฉินจะไม่ใช่คนที่หาเรื่องได้ง่ายๆ ตบหน้าเขาจนมึนงง ทำให้เขาตกใจจนต้องรีบขับรถโฟล์คไปตามหลัวเสียนเหม่ยมาช่วย

ตอนนี้เขามาด้วยกันกับหลัวเสียนเหม่ยซึ่งเป็นผู้หญิงปากร้าย คิดที่จะกู้หน้า จะสั่งสอนสองแม่ลูกหลัวเยี่ยนอย่างโหดเหี้ยม ไหนเลยจะรู้ว่าเขายังไม่ทันได้พูดอะไร ยังไม่ทันได้โอ้อวดอะไรก็ถูกเย่เทียนเฉินตบหน้าจนกระเด็นออกไปอีกครั้ง ในฐานะที่เป็นคนรุ่นเยาว์ของตระกูลหลัวที่ได้รับความสนใจมากที่สุด ทำให้เขาเป็นคุณชายที่หยิ่งทะนงไม่สนใจใครที่สุดเช่นเดียวกัน เคยมีใครกล้าตบจางอวิ๋นบ้าง? ไม่ว่าจะเป็นคนนอกหรือจะเป็นญาติผู้ใหญ่ในตระกูลหลัว ก็ไม่กล้าสั่งสอนจางอวิ๋น จะอย่างไรเขามีแม่ที่ถือหางเขา และยังเป็นแม่ที่ปากร้ายอีกด้วย

หลัวเสียนเหม่ยเดินก้าวออกมาในทันที ท่าทางโหดเหี้ยมดุร้าย เข้าไปเบื้องหน้าหลัวเยี่ยนอย่างบ้าคลั่ง คล้ายกับว่าเมื่อตัวเองพุ่งเข้าไปใครก็จะต้องกลัวอย่างไรอย่างนั้น ชี้หน้าของหลัวเยี่ยนผู้เป็นพี่สาวแล้วกล่าวด่า “หลัวเยี่ยน วันนี้แกกับลูกชายของแกอย่าได้คิดที่จะมีชีวิตออกไปจากตระกูลหลัวเลย ฉันจะต้อง…”

พลั่ก!

เย่เทียนเฉินใช้ขาเตะหลัวเสียนเหม่ยจนปลิวออกไป ตกลงข้างลูกชายของเธอ ทำยังไงได้ อีกฝ่ายเป็นผู้หญิงแบบนี้ ถ้าไม่ลงมือตบตี จะทำอย่างไรได้อีก?

ทุกคนที่อยู่ที่นี่ต่างพากันตกใจจนนิ่ง จางอวิ๋นยิ่งไม่ต้องพูดถึงเลย ต่อให้จะโอหังมากกว่านี้ก็ยังเป็นแค่รุ่นเยาว์ ต่อหน้าคุณลุงที่เป็นผู้อาวุโสในตระกูลหลัว ก็ยังไม่กล้าที่จะทำอะไร ส่วนหลัวเสียนเหม่ยก็เป็นผู้หญิงหยาบคายที่โด่งดังในตระกูลหลัว ใครก็ไม่กล้าไปล่วงเกินง่ายๆ เพราะไม่คิดอยากจะหาเรื่องผู้หญิงปากร้ายคนนี้ รวมกับที่พ่อของหลัวเสียนเหม่ยเป็นผู้ถือหางเสือของตระกูล ทุกคนจึงไว้หน้าอยู่หลายส่วน พยายามหลีกเลี่ยงให้ไกลที่สุด

แต่เย่เทียนเฉินกลับไม่สนใจเรื่องพวกนี้ ตบลูกเตะแม่ อย่างไรแม่ลูกคู่นี้ก็ไม่ได้เป็นคนดี ยิ่งไปกว่านั้นตอนนี้เขากับหลัวเยี่ยนผู้เป็นแม่ต่างก็ถูกคนพวกนี้ล้อมเอาไว้ ถ้าหากสามารถใช้เหตุผลยุติปัญหาแล้วเดินออกไปจากตระกูลหลัวได้ ก็คงไม่ต้องเกิดสถานการณ์แบบนี้ขึ้นมา ถ้าไม่ลงมือทำให้คนพวกนี้ตกตะลึงสักหน่อย พวกเขาก็คงไม่ยอมปล่อยออกไป

“แก…ไอ้เดรัจฉาน แกกล้าเตะฉัน…ฉันไม่ปล่อยแกแน่…” หลัวเสียนเหม่ยคลานขึ้นมาจากพื้น คิดจะพุ่งเข้าไปสู้แลกชีวิตกับเย่เทียนเฉิน นั่นเป็นเพราะส่วนลึกในใจของเธอคิดว่าต่อให้เย่เทียนเฉินจะบ้ายิ่งกว่านี้ ก็ไม่กล้าทำอะไรเธอ

“ผมขอเตือนไว้ก่อนว่าคุณอย่าเอะอะไปจะดีกว่า ผมไม่สนว่าคุณจะเป็นใคร พวกคุณที่นี่ไม่เห็นผมกับแม่เป็นคนกันเอง ผมก็จะไม่เห็นพวกคุณเป็นคนกันเอง ผมเย่เทียนเฉินกระทั่งคนของตระกูลฉินกลับตะกูลลั่วก็ฆ่ามาหมดแล้ว ถ้าฆ่าพวกคุณอีกมันก็คงจะเหมือนกัน!”

ในตอนนี้ มุมปากของเย่เทียนเฉินปรากฏรอยยิ้มโหดเหี้ยม เขาไม่ได้พูดข่มขู่ แต่เตรียมจะทำแบบนั้นจริงๆ ถ้าหากคนตระกูลหลัวไม่รู้จักผิดชอบชั่วดี จะเข้ามาขวางเอาไว้ให้ได้ เขาก็ไม่สนใจที่จะต้องฆ่า อย่างไรเสียคนพวกนี้ก็คิดที่จะฆ่าเขาและแม่ ต้องเกรงใจอีกหรือไง?

“เทียนเฉิน อย่า…” หลัวเยี่ยนรู้สึกทนไม่ไหว คิดที่จะพูดเตือนลูกชาย

“แม่ครับ แม่จะใจดีเกินไปแล้ว ดังนั้นถึงได้ถูกรังแก ทุกสิ่งทุกอย่างต่างก็คิดเพื่อคนอื่น ทุกสิ่งทุกอย่างต่างก็ยอมถอยให้คนอื่น แต่พวกเขาไม่ยอมปล่อยแม่ไปแน่ ให้ผมจัดการเถอะครับ!” เย่เทียนเฉินพูดกับแม่ด้วยรอยยิ้ม

ตอนนี้เอง บุคคลที่อยู่ที่นี่รวมไปถึงเหล่าผู้อาวุโสในตระกูลหลัว ต่างก็ตกตะลึงจนนิ่ง ถ้าพูดให้ชัดเจนก็คืออึ้งไปแล้ว ในหมู่ของพวกเขามีข้าราชการระดับสูงอยู่ มีคนในแวดวงทหารอยู่ และมีเถ้าแก่ในแวดวงธุรกิจ ทุกคนต่างก็เป็นคนมีตำแหน่งอยู่บ้าง ย่อมเคยได้ยินเรื่องที่เย่เทียนเฉินทำในเมืองหลวงมาก่อน เพียงแต่เพราะว่าการปรากฏของกล่องหยกหงส์มังกรทำให้ใครหลายคนลืมเรื่องเหล่านี้ไป ตอนนี้เมื่อได้ยินคำพูดของเย่เทียนเฉิน ทุกคนก็อดไม่ได้ที่จะก้าวถอยหลังออกไปโดยไม่รู้ตัว กระทั่งรู้สึกตื่นตะลึง ชายหนุ่มเบื้องหน้าผู้นี้ กล่าวได้ว่าเป็นหลานชายรุ่นหลังของตระกูลหลัว ถึงกับร้ายกาจเพียงนี้เชียว

เดิมทีหลัวเสียนเหม่ยคิดจะพุ่งเข้ามาสู้กับเย่เทียนเฉินอย่างสุดความสามารถ ไหนเลยจะรู้ว่าเมื่อได้ยินคำพูดนี้ของเย่เทียนเฉิน จะยืนนิ่งอยู่กับที่ไม่กล้าพุ่งไปข้างหน้าอีก เนื่องจากเธอได้ยินเรื่องของเย่เทียนเฉินมาก่อน ตอนนั้นเธอยังพูดออกมาด้วยความไม่พอใจ ลูกชายของหลัวเยี่ยนมีอะไรยอดเยี่ยมกัน หาเรื่องตายไปทั่ว จะช้าจะเร็วก็ต้องถูกคนฆ่าตาย

ตอนนี้ดูแล้ว ไม่ใช่ว่าเย่เทียนเฉินกำลังหาที่ตาย แต่เป็นหลัวเสียนเหม่ยที่รนหาที่ตาย กล้าตบตีลูกชายของเธอและเธอโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง ยังต้องการข้อพิสูจน์อย่างอื่นอีกหรือ?

“หลัวเยี่ยน ฉันไม่สนใจว่าลูกชายของแกจะร้ายกาจขนาดไหน แต่ยังไงกล่องหยกหงส์มังกรก็ต้องทิ้งเอาไว้ แกอย่าได้บีบบังคับให้ฉันต้องเรียกผู้รักษาความปลอดภัยทุกคนของตระกูลหลัวมา ถึงตอนนั้นคงจบไม่สวย…” หลัวฉีขมวดคิ้วมองไปยังเย่เทียนเฉิน จากนั้นจึงพูดกับหลัวเยี่ยนเสียงเย็น

หลัวเยี่ยนชะงักไป มองไปยังคุณลุงทั้งหลายที่อยู่ที่นี่ แล้วหันกลับไปมองคุณย่าบนเตียงที่เพิ่งจะจากไป ในดวงตาปรากฏน้ำตาขึ้น เธอสงบอารมณ์ตนเองแล้วพูดขึ้นมาว่า “พวกเราไปจัดการเรื่องกล่องหยกหงส์มังกรที่ห้องโถงเถอะ อย่าได้รบกวนคุณย่าเลย ฉันไม่ต้องการให้คุณย่าตายไม่สงบ!”

“หึ ไปห้องโถงก็ไป สุดท้ายถ้าแกไม่มอบกล่องหยกหงส์มังกรออกมา ก็ออกไปจากประตูของตระกูลหลัวไม่ได้เด็ดขาด!” หลัวฉีมองหลัวเยี่ยนอย่างโหดเหี้ยม เดินนำหน้าไปยังห้องโถง

“ไปเถอะ แต่ผมขอเตือนไว้ก่อนว่าพวกคุณอย่าได้พูดจามั่วซั่ว ไม่งั้นจุดจบจะต้องเป็นอย่างสองแม่ลูกคู่นี้…” เย่เทียนเฉินยักไหล่ พูดด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มไร้พิษสง

………………..

Related

แม่เฒ่าตระกูลหลัวต้องการมอบของขวัญแต่งงานให้หลานสาวของตนเอง นั่นก็คือหยกมีตำหนิครึ่งก้อนที่เปื้อนเลือด ไม่ใช่กล่องหยกหงส์มังกรที่ดูมีค่ามากกว่าหยกมีตำหนินั้นนับร้อยเท่า นี่ทำให้ทุกคนรู้สึกแปลกใจ ต่อให้ได้ฟังตำนานเล่าขานที่แม่เฒ่าอธิบายมาแล้ว หลายคนก็ยังคงมองกล่องหยกหงส์มังกรนั้นด้วยดวงตาเปล่งประกาย ไม่มีใครจ้องมองหยกมีตำหนิครึ่งก้อนที่เปื้อนเลือดนั้นเลย เพราะว่าจะอย่างไรนั้นก็เป็นแค่เรื่องเล่าเท่านั้น เป็นเพียงของที่หม่นหมอง ในสายตาของคนยุคปัจจุบันมีแค่เงินตราเท่านั้น ของอย่างอื่นไม่นับเป็นอะไรได้

เย่เทียนเฉินเห็นยายทวดหลับตาลง สิ้นลมจากโลกนี้ไป ในใจก็รู้สึกเจ็บปวด ถึงแม้นี่จะเป็นครั้งแรกที่เขาได้พบกับผู้อาวุโส แต่กลับรู้สึกได้ถึงความเมตตาและอ่อนโยนของเธอ อีกทั้งเธอยังคงคิดถึงลูกหลานรุ่นหลังในช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิตอีกด้วย ควรค่าแก่การเคารพ

บางทีเย่เทียนเฉินที่ได้มาเกิดใหม่จากดาวสิ้นโลก ในตอนนั้นเขามีฐานะเป็นผู้มีพลังพิเศษในระดับพระเจ้า ในโลกที่คนกินคนเช่นนั้น ทุกที่เต็มไปด้วยการฆ่าฟัน ความตายสำหรับทุกคนแล้วเธอเป็นเรื่องธรรมดาเหมือนการกินข้าว มองความเป็นความตายอย่างเรียบเฉยด้วยจิตใจสงบนิ่งดุจสายน้ำไปนานแล้ว เพราะว่าเห็นมามากมายจนด้านชา อย่างไรก็ตาม หลังจากที่เย่เทียนเฉินได้มาเกิดใหม่ในโลกใบนี้ มีความอบอุ่นของครอบครัว รู้สึกถึงความอบอุ่นในใจ ทำให้เขามีความรู้สึกต่อเรื่องการเกิดแก่เจ็บตายเหล่านี้ต่างออกไป

“คุณย่า คุณย่า ย่าตื่นสิ เยี่ยนเอ๋อร์ไม่อยากได้ของขวัญอะไรแล้ว ขอแค่ให้คุณย่ามีชีวิตอยู่อีกหลายปีก็พอ…” หลัวเยี่ยนอดไม่ได้ที่จะน้ำตาไหล ยี่สิบปีแล้วที่ไม่ได้มาพบคุณย่า คิดไม่ถึงว่าวันนี้เมื่อได้พบกันจะเป็นการจากลาตลอดกาล ภาพเหตุการณ์ในอดีตปรากฏขึ้น ตอนเด็กๆ คุณย่าเป็นคนสั่งสอนตนเอง ใส่ใจตนเอง รักและปกป้องตนเอง ภาพเหล่านั้นปรากฏขึ้นในสมองของหลัวเยี่ยน นี่ทำให้เธอยิ่งรู้สึกเสียใจ

“แม่ครับ คุณยายทวดจากไปแล้ว ให้ท่านอยู่อย่างสงบเถอะครับ!” เย่เทียนเฉินทอดถอนใจแล้วพูดออกมา อดคิดไม่ได้ว่า จะไม่มีทางหลุดพ้นจากการเกิดแก่เจ็บตายจริงๆ หรือ? ทุกคนต้องเผชิญหน้ากับการจากไปของญาติมิตรจริงๆ หรือ?

“ใช่แล้ว แม่เฒ่าดีใจมาก คงไม่มีอะไรให้ต้องเสียใจแล้ว ได้เจอกับคุณหนูเป็นครั้งสุดท้าย ก็ทำให้ท่านพอใจมากแล้วครับ!” ลุงหวังพูดด้วยความเสียใจ

หลัวเยี่ยนสงบอารมณ์ของตน ไม่ได้คุกเข่าอยู่ที่พื้นอีกต่อไป เธอยืนขึ้นเช็ดน้ำตา มองไปยังคุณย่าที่นอนหลับตาไปตลอดกาล สูดหายใจลึกๆ ครั้งหนึ่งแล้วพูดออกมา “ลุงหวัง หนูกับเทียนเฉินไปก่อนนะคะ คงจะไม่มางานศพของคุณย่าแล้ว!”

“ครับ ผมจะไปส่งคุณเอง!” มือขวาของลุงหวังยังคงถือกล่องหยกหงส์มังกรอยู่ เขาพยักหน้าเล็กน้อยแล้วพูดขึ้น

หลัวเยี่ยนไม่ได้พูดอะไร ทำเพียงมองไปยังคุณย่าที่นอนอยู่บนเตียงอย่างอาลัยอาวรณ์ กัดฟันแน่นหมุนตัวเดินจากไป เย่เทียนเฉินก็เดินตามหลังแม่ของตนไปโดยไม่ได้พูดอะไรมาก เขามองไปยังเหล่าญาติผู้ใหญ่แห่งตระกูลหลัวที่อยู่รอบๆ จากพลังพิเศษแห่งการรับรู้ เขารู้สึกได้ว่าคนเหล่านี้ไม่ได้มีสายตาที่เป็นมิตร โดยเฉพาะกลิ่นอายความโหดเหี้ยมที่แผ่ออกมาจากร่างกายนั้น ท่าทางหากพวกเขาแม่ลูกต้องการที่จะไปจากตระกูลหลัวอย่างราบรื่นคงจะไม่ง่ายแล้ว

“หยุดนะ ตระกูลหลัวเป็นสถานที่ที่พวกแกอยากมาก็มาอยากไปก็ไปหรือไง?” ตอนนี้เอง ในที่สุดชายสูงวัยแห่งตระกูลหลัวคนหนึ่งก็ทนไม่ไหวจนต้องก้าวออกมา สายตาจ้องมองไปยังกล่องหยกหงส์มังกรในมือของลุงหวังเขม็ง ของสิ่งนี้ล้ำค่าเหลือเกิน บนโลกนี้มีเพียงหนึ่งไม่มีสอง สามารถทำให้ใครหลายคนใจเต้นจนบ้าคลั่งได้

“ลุงสอง ไม่ได้พบกันหลายปี คุณเองก็แก่แล้ว ยังต้องการแย่งชิงอะไรอีกหรือคะ?” หลัวเยี่ยนอดไม่ได้ที่จะเงยหน้ามองชายวัยกลางคนตรงหน้า เอ่ยถามออกมาด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยความจนใจ

“หึ ฉันไม่ได้ต้องการแย่งชิงอะไร เพียงแต่ของที่เป็นของตระกูลหลัวของพวกเรา ไม่อาจถูกคนนอกนำไปได้!” ชายวัยกลางคนที่ถูกหลัวเยี่ยนเรียกว่าลุงสองแค่นเสียงเย็นครั้งหนึ่ง มองไปยังหลัวเยี่ยนอย่างเหยียดหยามแล้วพูดขึ้น

“ใช่แล้ว ของของตระกูลหลัวของพวกเรา จะให้คนนอกเอาไปได้ยังไง?”

“คนไปได้ แต่กล่องหยกหงส์มังกรต้องอยู่ที่นี่!”

“คนที่ถูกตระกูลหลัวขับไล่ออกไปนานแล้ว ยังกล้ากลับมาอีก ช่างไม่รู้จักที่ตายเลยจริงๆ”

“พวกเรายอมให้แกได้เห็นหน้าแม่เฒ่าเป็นครั้งสุดท้ายก็ใจดีมากแล้ว อย่าได้ไม่รู้จักผิดชอบชั่วดี”

“ทิ้งกล่องหยกหงส์มังกรไว้แล้วไสหัวไปซะ!”

ขอเพียงมีคนก้าวออกมาขวาง คนที่เหลือก็พากันตามน้ำไป ทุกคนต่างขวางหลัวเยี่ยนและเย่เทียนเฉินเอาไว้ ไม่ยอมให้พวกเขาแม่ลูกไปจากที่นี่ พูดให้ชัดเจนก็คือ ไม่ยอมให้กล่องหยกหงส์มังกรถูกเอาไป

ทุกคนที่อยู่ที่นี่ มีหลายคนที่มีส่วนร่วมในการขับไล่หลัวเยี่ยนออกจากตระกูลหลัวเมื่อปีนั้น จะอย่างไรหลัวเยี่ยนก็เป็นลูกสาวแท้ๆ ของหลัวเหยียนซง ต่อให้จะทำความผิดมากกว่านี้ก็ยังเป็นพ่อลูกกัน ยิ่งไปกว่านั้นก่อนหน้านี้ หลัวเยี่ยนแสดงความสามารถออกมา ทำให้เหล่าผู้อาวุโสในตระกูลหลัวต่างตกใจจนหายใจไม่ออก คิดว่าหากหลัวเยี่ยนเป็นผู้ชาย ตำแหน่งหัวเรือใหญ่คนต่อไปของตระกูลหลัวจะต้องเป็นของเธอแน่นอน ไม่จำเป็นต้องคิดเลย

ดังนั้นหากพูดถึงสถานการณ์ในปัจจุบัน หลัวเยี่ยนแสดงความสามารถออกมาเกินหน้าเกินตาคนอื่น แสดงความสามารถเหนือกว่าเหล่าพี่น้องของคนตระกูลหลัวในรุ่นเดียวกันไปมาก ยิ่งไปกว่านั้นหลัวเหยียนซงก็รักลูกสาวคนนี้มาก พูดอีกอย่างก็คือ หากต้องการไล่หลัวเยี่ยนออกไปจากตระกูลหลัว ก็ต้องบีบบังคับให้เธอและหลัวเหยียนซงผู้เป็นพ่อทะเลาะเบาะแว้งกันจนตัดความสัมพันธ์ระหว่างพ่อลูก ถ้าหากว่าคนเหล่านี้ไม่ทำเรื่องร้ายกาจเมื่อปีนั้น ก็คงไม่กลายเป็นสถานการณ์เช่นในตอนนี้ ดังนั้นพูดได้ว่า ในหมู่คนเหล่านี้ ไม่มีแม้แต่คนเดียวที่ต้องการเห็นหลัวเยี่ยนกลับมาที่ตระกูลหลัว และไม่มีแม้แต่คนเดียวที่หวังจะให้เธอนำกล่องหยกหงส์มังกรไป

ตอนนี้เอง เมื่อต้องเผชิญหน้ากับคำพูดเสียดสีของคุณลุงทั้งหลาย หลัวเยี่ยนก็ไม่ได้พูดอะไร เธอยังคงอดทนอดกลั้น ไม่ต้องการก่อเรื่องใดๆ กับคุณลุงเหล่านี้ เพราะศพของคุณย่ายังไม่ทันแห้ง หากได้เห็นกับ ภาพแบบนี้ ไม่รู้ว่าท่านจะเจ็บปวดใจขนาดไหน ยิ่งไปกว่านั้นที่สำคัญที่สุดก็คือหลัวเยี่ยนคิดเพื่อคุณพ่อของเธอ ต่อให้เมื่อปีนั้นเธอจะทะเลาะกับพ่อจนต้องตัดความสัมพันธ์พ่อลูก ต่อให้ไม่ได้กลับมาที่ตระกูลหลัวยี่สิบปีแล้ว แต่พ่อก็ยังคงเป็นพ่อ สุดท้ายเธอก็ยังเป็นลูกสาวของพ่อ

เย่เทียนเฉินเองก็ไม่ได้ลงมือและไม่ได้พูดอะไร เขากลับอยากจะเห็นว่าคนตระกูลหลัวเหล่านี้จะเล่นลูกไม้อะไรอีก วันนี้เขาได้เตรียมตัวมาพร้อมแล้ว ความจริงถ้าทำอะไรไม่ได้ก็ใช้กำลังเปิดทางและพาแม่เขากลับไปเท่านั้น แล้วเขาก็ไม่สนใจว่าคนเหล่านี้จะเป็นญาติผู้ใหญ่อะไร ญาติผู้ใหญ่พวกนี้ไม่คู่ควรที่จะเป็นญาติผู้ใหญ่ของเขาเย่เทียนเฉิน ไม่มีความคิดถึงครอบครัวเลยแม้แต่น้อย ในดวงตามีแต่ผลประโยชน์ ญาติเหล่านี้จะยังมีประโยชน์อะไรอีก?

“พวกคุณ…ของในกล่องหยกหงส์มังกร เป็นของขวัญแต่งงานที่แม่เฒ่ามอบให้คุณหนู คำพูดของแม่เฒ่าทุกคนต้องฟัง ต้องส่งมอบให้คุณหนู…” ลุงหวังทนไม่ไหว ก้าวออกมาเปิดปากพูด

“เหล่าหวัง แกยังเป็นคนของตระกูลเหลืออยู่หรือเปล่า?”

“ไอ้คนไม่รู้จักบุญคุณ ตอนนี้ถึงกับกล้าช่วยคนนอกมาหลอกลวงพวกเราแล้วเหรอ?”

“อยากตายหรือไง?”

“ถ้าพูดอีกประโยคเดียว ก็ไสหัวกลับไปตระกูลหวังเลย!”

คำพูดของเหล่าหวังทำให้ทุกคนรู้สึกไม่พอใจ ไม่ว่าจะอย่างไรพวกเขาก็ไม่อยากให้หลัวเยี่ยนนำกล่องหยกหงส์มังกรนั้นไป ของสิ่งนี้มีค่ามาก ใครก็วางไม่ลง ต่อให้เป็นตระกูลใหญ่เช่นตระกูลหลัว ก็เกรงว่าไม่สามารถซื้อกล่องหยกหงส์มังกรที่มีเพียงหนึ่งไม่มีสองในโลกนี้ได้ นี่เป็นของที่ไม่อาจประเมินค่า ใครก็คิดอยากจะได้ไว้ครอบครอง

หลัวเยี่ยนเห็นคุณลุงเหล่านี้ กระทั่งมีเด็กรุ่นหลังบางคนที่กล่าวด่าลุงหวัง ก็อดไม่ได้ที่จะโกรธ ตอนเด็กๆ ลุงหวังรักตนเองมาก ยิ่งไปกว่านั้นลุงหวังยังเป็นพ่อบ้านให้กับตระกูลหลัวมาชั่วชีวิต พยายามรับใช้ทุกคนอย่างเต็มที่ พูดได้ว่าตระกูลหลัวสามารถมีทุกวันนี้ได้ ลุงหวังก็ต้องออกแรงไปมาก ทำงานเพื่อตระกูลหลัวมาชั่วชีวิต สุดท้ายกลับถูกคนพวกนี้ทำให้เกิดความอับอาย กระทั่งเด็กรุ่นหลังก็ยังไม่ให้ความเคารพเขาเลยแม้แต่น้อย ไม่ว่าใครก็ต้องรู้สึกหนาวเหน็บในใจ

“พวกคุณคิดจะทำอะไร? ลุงหวังทำงานให้ตระกูลหลัวของพวกเราอย่างรอบคอบมาชั่วชีวิต แต่สุดท้ายกระทั่งคำพูดดีๆ ก็ยังไม่ออกมาจากปากพวกคุณ ก็คุณไม่คิดว่ามันจะเกินไปหน่อยเหรอ?” หลัวเยี่ยนย้อนถามด้วยใบหน้าเคร่งขรึม

“ตลกน่า เหล่าหวังก็เป็นแค่คนรับใช้ของตระกูลหลัวของพวกเราเท่านั้น หากไม่ใช่เพราะตระกูลหลัวของพวกเราเลี้ยงดูเขามา เขาก็คงหิวตายไปแล้ว”

“ใช่แล้ว เธอยังเด็กกว่าพวกเรา มีคุณสมบัติมาสั่งสอนพวกเราที่ไหนกัน ไม่รู้จักเด็กรู้จักผู้ใหญ่เลย!”

“พูดจาไร้สาระให้มันน้อยๆ หน่อยเถอะ ทิ้งกล่องหยกหงส์มังกรไว้แล้วไสหัวไปซะ!”

เมื่อเห็นคนเหล่านี้ตะโกนโหวกเหวกบีบบังคับ ถูกความโลภบังตาจนถึงขั้นที่ไม่สนใจอะไรทั้งนั้น หลัวเยี่ยนรู้สึกหัวใจหนาวเหน็บมากจริงๆ คุณย่าเพิ่งจะจากไป แต่ที่นี่กลับไม่มีแม้แต่คนเดียวที่เศร้าโศกเสียใจ ทุกคนต่างก็จ้องกล่องหยกหงส์มังกรตาเป็นมัน ต่างต้องการที่จะได้ไปครอบครอง ส่วนลุงหวัง ทำงานเพื่อตระกูลหลัวมาชั่วชีวิต ต้องอดทนต่อความยากลำบากและคำก่นด่า สุดท้ายกลับไม่มีใครเคารพแม้แต่คนเดียว จะอย่างไรตนเองก็เป็นคนของตระกูลหลัว มีความสัมพันธ์ทางสายเลือดอยู่ ต่อให้ถูกขับไล่ออกไปจากตระกูลหลัวแล้ว ก็ยังไม่อาจตัดขาดความสัมพันธ์ทางสายเลือดได้ ตอนนี้คุณลุงทั้งหลายทำท่าทางราวกับต้องการฆ่าเธอ จะให้หลัวเยี่ยนไม่รู้สึกหนาวเหน็บในใจอย่างไรไหว

เดิมทีหลัวเยี่ยนไม่ต้องการแก่งแย่งชิงดีอะไร ตลอดมาเธอก็เห็นเรื่องเหล่านี้จนชินชาไปแล้ว แต่ว่าตอนนี้คนเหล่านี้ถึงกับบีบบังคับเธอ ทำให้เธอที่เดิมทีคิดจะทิ้งกล่องหยกหงส์มังกรและหยกมีตำหนิเปื้อนเลือดนั้นเอาไว้ต้องเปลี่ยนความคิด นี่เป็นของเพียงชิ้นเดียวที่คุณย่าให้ตนเอง จะต้องนำไปให้ได้ จะไม่ให้ตกไปอยู่ในมือของคนเหล่านี้เด็ดขาด ถ้าหากต้องส่งมอบให้พวกเขาจริงๆ ไม่รู้ว่าจะถูกนำออกไปขายเมื่อไหร่ ทำให้คุณย่าต้องลำบากใจเปล่าๆ

“ฉันจะขอบอกพวกคุณให้ชัดเจนตรงนี้เลย กล่องหยกหงส์มังกรเป็นของที่คุณย่ามอบให้ฉัน ไม่ว่าจะเป็นกล่องหยกหรือว่าจะเป็นหยกมีตำหนิ ฉันก็จะนำไปทั้งหมด ถ้าหากว่าใครต้องการ ก็ต้องข้ามศพฉันไปก่อน!” ทันใดนั้นหลัวเยี่ยนพูดกับคุณลุงทั้งหลายด้วยเสียงอันดังท่าทางทรงอำนาจ ไม่เห็นความขี้ขลาดเลยแม้แต่น้อย แสดงความสามารถในวันเก่าๆ ของเธอออกมาทั้งหมด

เมื่อได้ยินคำพูดของหลัวเยี่ยน ทุกคนในที่นี้ต่างตกตะลึง และรู้สึกประหลาดใจมาก ชั่วขณะนั้นจึงพูดอะไรไม่ออก ใครก็คิดไม่ถึงว่า คนที่มีท่าทางอ่อนโยนมาโดยตลอดตั้งแต่เข้ามายังตระกูลหลัว ต่อให้ต้องเจอกับคำพูดเสียดสีดูถูกและคำกล่าวว่าต้องการไล่นางออกไปของใครหลายคนก็ตาม หลัวเยี่ยนก็ไม่พูดไม่จา ดูเหมือนว่าจะทำให้ทุกคนคิดว่า หลัวเยี่ยนเป็นคนที่ถูกขับไล่ออกไปจากตระกูลหลัว ทำได้เพียงถูกพวกเขารังแกเท่านั้น ไหนเลยจะกล้าพูดอะไรออกมา แต่กลับคิดไม่ถึงว่าคำพูดนี้ของเธอ จะมากพอที่จะทำให้ทุกคนในที่นี้พูดอะไรไม่ออก

“แกคิดจะบีบบังคับให้พวกเราลงมือหรือไง? กล่องหยกหงส์มังกรนั้นแกเอาไปไม่ได้ จำเป็นต้องทิ้งเอาไว้ที่นี่!” ในตอนนี้เองล็อคประตูมีเสียงของชายคนหนึ่งดังขึ้น เป็นเสียงที่เอาแต่ใจอย่างมาก

“ถูกแล้ว กล้าตีลูกของฉัน วันนี้ฉันจะตีลูกของแกให้มือหักขาหัก!” ตามมาด้วยเสียงของผู้หญิงที่โหดเหี้ยมเป็นอย่างมากดังออกมาจากนอกประตู หยิ่งยโสเกินเยียวยา

……………..

Related

กล่องหยก เป็นกล่องหยกที่ทำมาจากหยกเขียวมรกตแกะสลักทั้งใบ ถูกลงหวังประคองเข้ามาในมือ มีขนาดประมาณเครื่องเราเตอร์ แต่กลับทำให้ผู้ที่ได้พบเห็นไม่อาจละสายตาได้ ขนาดเย่เทียนเฉินก็ลืมเรื่องของลูกประคำลึกลับนั้นไปชั่วขณะ มองไปยังกล่องยกใบนั้น หยกใบนั้นไม่ธรรมดา ดูจากวัสดุและการแกะสลักแล้วต่างก็มีความพิเศษเฉพาะตัวเป็นอย่างมาก กระทั่งสามารถพูดได้ว่ามีเพียงหนึ่งไม่มีสอง

เดิมทีหยกก็เป็นชื่อเรียกของจักรพรรดิแห่งอัญมณีต่างๆ หินหยกที่สมบูรณ์ก้อนหนึ่งยังมีค่ามากกว่าเพชรหรือทองคำซะอีก เพราะว่าหินหยกไม่เพียงแต่มีประวัติศาสตร์ยาวนาน แต่หากย้อนกลับไปในช่วงยุคหินใหม่มันมีความหมายแฝงอยู่หลายอย่าง หนึ่ง มีพลังบงการสรรพสิ่ง หยกเป็นตัวแทนของจักรพรรดิในสวรรค์และโลกมนุษย์ สามารถใช้ในการสื่อสารระหว่างมนุษย์และเทพเซียน ส่งผ่านข่าวสารจากสวรรค์ เป็นสิ่งควบคุมโชคชะตาในโลกมนุษย์และจักรวาลแห่งนี้ สอง เป็นแก่นแท้ของสวรรค์และโลก มุมมองในจุดนี้คิดว่าหยกก่อกำเนิดมาจากสรรพสิ่งของสวรรค์ มีพลังอันลึกลับ สาม หยกมีคุณธรรมห้าประการ สี่ หยกสามารถขับไล่วิญญาณชั่วร้ายได้ ความคิดเช่นนี้คิดว่าหยกมีพลังเหนือธรรมชาติ ถ้าผู้คนเลื่อมใสบูชาก็จะสามารถใช้ขับไล่พลังชั่วร้ายได้ เพราะเชื่อว่าหยกสามารถกำจัดสิ่งชั่วร้ายได้ และช่วยคุ้มครองผู้เป็นเจ้าของให้ปลอดภัยและมีความสุข ห้า หยกช่วยให้อายุยืน ความคิดนี้เชื่อว่าหยกมีความสามารถในการช่วยต่ออายุให้ผู้คน ผู้คนสามารถมีชีวิตยืนยาวได้ด้วยการบูชาหยก

“เป็นกล่องงหยกที่สวยเหลือเกิน…” มีคนอดไม่ได้ที่จะกล่าวชมออกมา

“ไม่ หยกเป็นจักรพรรดิของอัญมณี แต่หยกนี้นับได้ว่าเป็นน้ำทิพย์แห่งหยก สร้างมาจากการแกะสลักหยก ถ้าหากพวกเราเดาไม่ผิด กล่องหยกกล่องนี้เกิดจากการแกะสลักหยกชิ้นเดียว แล้วขุดออกมาจนแกะสลักเป็นกล่องหยกนี้ได้ ไม่ว่าจะเป็นลักษณะของกล่อง หรือจะเป็นฝาปิด ต่างก็สามารถเข้ากันได้อย่างดี งดงามมาก ไม่รู้ว่าเป็นของคนยุคสมัยไหน ถึงมีฝีมือแกะสลักหยกที่ยอดเยี่ยมเช่นนี้!”

“เกรงว่าในยุคปัจจุบันที่วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีพัฒนาก็ยังไม่สามารถทำงานได้”

“พวกเธอดูกล่องหยกสิ ด้านหน้าและด้านบนสลักรูปมังกรเอาไว้ ด้านหลังสลักรูปหงส์…”

“หรือว่า…นี่จะเป็นกล่องหยกหงส์มังกรในตำนาน?”

ในตอนที่กล่องหยกถูกลุงหวังหยิบออกมานั้น และยังไม่ได้เปิดดูว่าด้านในบรรจุของอะไรไว้กันแน่ คนตระกูลหลัวที่อยู่รอบๆ ก็อดไม่ได้ที่จะวิพากษ์วิจารณ์กันขึ้นมา และยังมีคุณลุงหลายคนของหลัวเยี่ยนซึ่งเป็นคนรุ่นเดียวกันกับหลัวเหยียนซงพ่อของหลัวเยี่ยน ย่อมได้พบเห็นเรื่องราวมามากมาย โดยเฉพาะในตระกูลใหญ่อย่างเช่นตระกูลหลัวแห่งนี้ มีการพัฒนาทุกด้านได้อย่างดี ในเรื่องสิ่งของระดับสูงแบบนี้ก็ย่อมมีความรู้อยู่บ้าง

เย่เทียนเฉินยืนอยู่ด้านข้าง ได้ยินเสียงคนเหล่านี้อดไม่ได้ที่จะวิพากษ์วิจารณ์กัน ก็รู้สึกแปลกใจ ถึงแม้เขาจะไม่รู้ว่ากล่องหงส์มังกรคืออะไร แต่เมื่อดูจากท่าทางของคนเหล่านี้แล้วก็รู้ได้ว่าต้องเป็นของที่พิเศษอย่างมากแน่นอน ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นเขายังรีบส่งพลังพิเศษแห่งการรับรู้ออกไปในทันที เพื่อที่จะดูว่าด้านในกล่องบรรจุของอะไรเอาไว้

จินตนาการได้เลยว่า ขนาดกล่องบรรจุสิ่งของก็ยังเป็นของที่มีค่ามากเช่นกล่องหยกหงส์มังกร ถ้าอย่างนั้นของที่อยู่ด้านในจะคืออะไรกันแน่? ยิ่งไปกว่านั้นจากการอุทานของเหล่าผู้สูงอายุในตระกูลหลัว เห็นได้ชัดว่าพวกเขาเองก็เพิ่งจะเห็นเป็นครั้งแรก ของที่แม่เฒ่าแห่งตระกูลหลัวหวงแหนขนาดนี้จะต้องไม่ธรรมดาแน่นอน

ไหนเลยจะรู้ว่า ในตอนที่เย่เทียนเฉินใช้พลังพิเศษแห่งการรับรู้ค่อยๆ แผ่ขยายออกไปเพื่อที่จะสำรวจตัวกล่องยก จะถึงกับถูกป้องกันเอาไว้ เขาไม่สามารถรู้ได้เลยว่าในกล่องนั้นเป็นอะไร เพราะกล่องหยกทำมาจากการแกะสลักที่ดีที่สุดบนโลกใบนี้ มีพลังอันพิเศษอยู่ เย่เทียนเฉินทำได้เพียงรู้สึกถึงความเย็นยะเยือกระลอกหนึ่งเท่านั้น

“เป็นไปได้ยังไง? กล่องหยกหงส์มังกรเป็นของในยุคสมัยของจิ๋นซีฮ่องเต้ เป็นของที่ตกลงมาจากฟ้าในตอนที่จิ๋นซีฮ่องเต้ขึ้นครองบัลลังก์…”

“ที่เล่าขานกันในตำนานมาปรากฏที่นี่ได้ยังไง?”

ใครก็คิดไม่ถึงว่า กล่องหยกหส์มังกรจะถึงกับมีที่มาแบบนี้ จะเป็นถึงของในยุคสมัยของจิ๋นซีฮ่องเต้ ถ้าเช่นนั้นจะต้องย้อนไปถึงเวลาไหนกัน? ถึงกลับมาอยู่ในมือของแม่เฒ่าแห่งตระกูลหลัวได้ ของแบบนี้ถ้าถูกผู้อื่นรู้เข้าแสดงว่าจะต้องสั่นสะเทือนไปทั่วทั้งโลกแน่นอน เพราะตัวมันเองเป็นของที่อยู่ในตำนานเท่านั้น

ตอนนี้ในใจของคนจำนวนมากรู้สึกตื่นเต้นอย่างหาที่เปรียบมิได้ โดยเฉพาะคนตระกูลหลัวที่อยู่ ณ ที่นี้ เกรงว่ากล่องหยกหงส์มังกรเพียงกล่องเดียวก็สามารถทำลายโลกนี้ได้ ถ้าหากให้คาดเดาราคาของมัน เรียกได้ว่าหาค่ามิได้…ถ้าอย่างนั้นของที่อยู่ในกล่องหยกหงส์มังกรใบนี้จะเป็นอะไรกันแน่? จะเป็นของที่สะเทือนฟ้าอะไรกันแน่?

นี่ทำให้คนจำนวนมากเข้าใจถึงความลึกลับและความแปลกประหลาดของกล่องหยกหงส์มังกร หากว่าเป็นเช่นที่เล่าขานกันมาจริงๆ เป็นสิ่งของที่อยู่ในยุคสมัยของจิ๋นซีฮ่องเต้ และมาถึงปัจจุบันนี้ก็เป็นเวลาสองพันกว่าปีมาแล้ว ไม่ว่าจะเป็นสิ่งของใดที่เก็บรักษาอย่างดีก็จะต้องเสื่อมสลายไป ก็จะต้องปรากฏร่องรอยของกาลเวลา แต่กล่องหยกหงส์มังกรนี้กลับยังคงไม่มีรอยเลยแม้แต่น้อย กระทั่งกล่าวได้ว่าไม่มีความหม่นหมองเลยแม้แต่น้อย เหมือนกับเพิ่งจะทำออกมาอย่างไรอย่างนั้น ช่างน่าเหลือเชื่อจริงๆ

“ของสิ่งนี้ลี้ลับมาก คงจะมีความลับอะไรซ่อนอยู่แน่นอน!” เย่เทียนเฉินขมวดคิ้วแล้วคิดในใจ

“แค่กๆ …เหล่าหวัง เปิดกล่องออก…” แม่เฒ่าลืมตาขึ้นยังอ่อนล้า มองไปยังกล่องหยกหงส์มังกรแล้วพูดขึ้น

“ครับ!”

ลุงหวังยืนอยู่ด้านข้าง มือซ้ายถือกล่องยก ค่อยๆ เปิดออกอย่างระมัดระวัง หลังจากที่เปิดกล่องยกออกมาแล้ว หลายคนก็อดไม่ได้ที่จะล้อมรอบเข้ามา ต้องการที่จะเห็นว่าในกล่องหยกหงษ์มังกรอันล้ำค่าบรรจุอะไรเอาไว้กันแน่…

หลังจากที่กล่องหยกหงส์มังกรถูกเปิดออก หลายคนก็ไม่เห็นประกายแสงอะไร หรือจะบอกว่าไม่เห็นความแปลกประหลาดอะไร เห็นเพียงหยกแตกหักที่วางอยู่ในกล่องหยกหงส์มังกรอย่างสงบเท่านั้น ในกล่องหยกมีหยกซ่อนเอาไว้ เป็นหยกแตกหักครึ่งก้อนทรงกลม นี่ทำให้ทุกคนรู้สึกเหลือเชื่อมาก เดิมทียังคิดว่าเป็นของล้ำค่าที่ประเมินค่าไม่ได้ที่ถูกเก็บเอาไว้ในกล่องหยกหงส์มังกร คิดไม่ถึงว่าจะเป็นหยกครึ่งก้อน ไม่มีประกายอะไรเลยแม้แต่น้อย วางอยู่ด้านในอย่างสงบ และบนหยกก็ยังมีรอยเลือดอยู่รอยนึง ธรรมดาเป็นอย่างมาก หลายคนไม่รู้ว่าทำไม ทำไมในกล่องหยกหงส์มังกรที่สามารถเรียกได้ว่าประเมินค่าไม่ได้ ถึงได้มีหยกหักครึ่งก้อนแบบนี้อยู่ นี่มันเพราะอะไรกันแน่?

“เยี่ยนเอ๋อร์…ในตอนที่หลานแต่งงาน ย่าไม่มีของอะไรจะให้ ตลอดมาก็รู้สึกเสียใจ หยกครึ่งก้อนในกล่องหยกหงส์มังกรนี้ย่าขอมอบให้เป็นของขวัญแต่งงานของหลาน…” ทุกประโยคของแม่เฒ่าพูดแล้วหยุดไปนาน เธอมาถึงช่วงสุดท้ายของชีวิตแล้ว เหลือเวลาอีกไม่มาก อย่างมากก็ยืนหยัดไปได้อีกไม่กี่นาทีเท่านั้น

“คุณย่า…นี่คือ…” หลัวเยี่ยนเองก็รู้สึกไม่เข้าใจ ทำไมคุณย่าถึงได้นำหยกครึ่งก้อนที่เปื้อนเลือดนี้มอบให้กับตนเอง

แน่นอนว่าไม่เหมือนกับคนอื่นที่คิดว่าของขวัญนี้ไร้ค่าเกินไป หากพูดกันถึงเรื่องมูลค่า ใครก็มองออกว่าหยกครึ่งก้อนที่เปื้อนเลือดนี้ไม่อาจเทียบเท่าได้กับค่าของกล่องหยกหงส์มังกร แม่เฒ่ายังไม่ได้เลอะเลือน ควรจะมอบกล่องหยกมังกรนี้ให้หลัวเยี่ยนมากกว่า แต่กลับพูดว่ามอบหยกครึ่งก้อนนั้นให้ ไม่ว่าจะคิดอย่างไรก็ไม่ควรจะพูดแบบนี้ออกมา เพราะตอนนี้ในใจของใครหลายคนกำลังคิดว่า จะทำอย่างไรถึงจะได้กล่องหยกหงส์มังกรนั้นมา ถ้ามีของสิ่งนี้อยู่ ก็จะมีทรัพย์สินใช้จ่ายไปได้อีกหลายชั่วอายุคน หรือกระทั่งสามารถก่อตั้งตระกูลใหญ่เหมือนกับตระกูลหลัวได้อีกตระกูลหนึ่งด้วยซ้ำ พูดอย่างไม่เกินจริงได้เลยว่า กล่องหยกหงส์มังกรประเมินค่าไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นตัวกล่องหรือจะเป็นการตกทอดมาหลายยุคหลายสมัย ต่างก็ทำให้กลายเป็นหยกที่ล้ำค่าจนประเมินค่าไม่ได้ไปแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นของในช่วงยุคสองพันกว่าปีก่อนด้วย หากต้องการที่จะวัดมูลค่าก็ไม่อาจกระทำได้

“เยี่ยนเอ๋อร์ ย่าหวังว่าหลานจะมีความสุขและอยู่อย่างสงบสุข กล่องหยกหงส์มังกรนี้ไม่ใช่ของตระกูลหลัวของพวกเรา แต่หยกครึ่งชิ้นเปื้อนเลือดนั้นเป็นของตระกูลหลัวของพวกเรา เมื่อปีนั้นย่ากับคุณปู่ของหลานได้หยกหนึ่งก้อนนี้มา ก็คิดดูแลมันอย่างดีที่สุด ถึงได้ขอยืมกล่องหยกหงส์มังกรนี้มาจากสหายคนหนึ่ง…” แม่เฒ่าอธิบายถึงเรื่องเมื่อปีนั้น ดูเหมือนว่าจะย้อนคิดอะไรบางอย่างอยู่

“คุณย่า หยกก้อนนี้…” หลัวเยี่ยนเองก็รู้สึกแปลกประหลาดเป็นอย่างมาก หยกมีตำหนิก้อนนี้ไม่มีจุดพิเศษอะไรเลย ทำไมถึงได้นำมาเก็บไว้ในกล่องยกหัวมังกรที่ล้ำค่า?

แม่เฒ่าตระกูลหลัวมองหลัวเยี่ยน พยายามลุกขึ้นนั่ง เย่เทียนเฉินรีบเข้าไปประคอง เขารู้ว่านี่เป็นช่วงเวลาสุดท้ายขอแม่เฒ่า ถ้าให้เธอพูดถึงเรื่องราวเก่าๆ นี้ออกมาก็นับว่าเป็นการทำความปรารถนาของตนให้สำเร็จได้แล้ว

“จากประวัติศาสตร์ที่ไม่ได้มีการบันทึกอย่างเป็นทางการ ในตอนที่จิ๋นซีฮ่องเต้รวมจีนเป็นหนึ่งได้ แคว้นสุดท้ายที่ถูกทำลายก็คือแคว้นฉี ตอนนั้นจิ๋นซีฮ่องเต้ใช้การโจมตีทั้งระยะใกล้และระยะไกลเพื่อที่จะกลืนแคว้นอื่น แต่ในตอนที่จิ๋นซีฮ่องเต้รวมแคว้นอื่นให้เป็นหนึ่ง แคว้นฉีก็แข็งแกร่งมาก แคว้นฉีรู้ว่าสุดท้ายแล้วจะต้องต่อสู้กับแคว้นฉิน พวกเขาจึงรอ รอเวลาหลังจากที่แคว้นฉินมาทำร้ายแคว้นอื่นและมาทำสงครามกับแคว้นฉีของพวกเขา เมื่อถึงตอนนั้นขอเพียงเอาชนะแคว้นฉินได้ ก็จะสามารถรวบรวมแผ่นดินจีนให้เป็นหนึ่งได้อย่างสบายๆ ไหนเลยจะรู้ว่าในตอนสุดท้าย จะเกิดเสียงฟ้าร้องดังสนั่น หยกมีตำหนิเปื้อนเลือดก้อนหนึ่งจะตกลงมาจากฟ้า ฆ่าทหารของความฉีนับล้านคนจนย่อยยับ จิ๋นซีฮ่องเต้ก็ได้รับหยกครึ่งก้อนที่เปื้อนเลือดนี้ไป สุดท้ายเขาจึงสั่งให้คนไม่เล่าเรื่องนี้ออกไปอีก ความจริงที่สั่งให้เผาทำลายตำรา ก็เป็นเพราะต้องการปกปิดเรื่องนี้ เป็นข้ออ้างในการทำลายประวัติศาสตร์…”

ทุกคนได้ยินคำพูดของแม่เฒ่าก็พากันตกตะลึงจนคางแทบร่วง เดิมทีคิดว่ากล่องหยกมังกรก็เป็นของที่เยี่ยมยอดมากแล้ว เป็นของที่ประเมินค่าไม่ได้ แต่คิดไม่ถึงว่าหยกมีตำหนิที่เปื้อนเลือดนี้จะมีเรื่องเล่าขานแบบนี้อยู่ เพียงแต่หลายคนไม่ค่อยเห็นด้วยนัก จะอย่างไรหยกมีตำหนิเปื้อนเลือดก็ดูเหมือนจะดูไม่มีค่าอะไรเลย เหมือนกับหยกก้อนหนึ่งที่วางไว้นานจนหม่นแสง

“คุณย่า หนูรู้ หนูจะให้หยกก้อนนี้อยู่เป็นเพื่อนย่าตลอด…” หลัวเยี่ยนอดไม่ได้ที่จะน้ำตาไหล

“ไม่ ไม่ใช่…ย่าเป็นคนใกล้ตายแล้ว ต้องการของพวกนี้ไปก็ไม่มีประโยชน์อะไร ย่าต้องการส่งมอบให้กับหลาน ถึงแม้นี่จะเป็นเพียงแค่ของในเรื่องเล่าขานที่ไม่มีการบันทึกความจริง แต่ย่าเชื่อว่าหยกก้อนนี้จะสามารถให้โชคลาภและกำจัดความชั่วร้ายได้ กำจัดภัยพิบัติได้ ชั่วชีวิตของคนคนหนึ่งการอยู่อย่างสงบสุขสำคัญยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด!” แม่เฒ่าพูดอย่างอ่อนแรงพลางส่ายหน้า

“คุณย่า…” หลัวเยี่ยนกัดฟัน พยายามไม่ให้ตัวเองร้องไห้ออกมาต่อหน้าหญิงชรา

“เอาไปเถอะ ส่วน…ส่วนกล่องหยกมังกรย่อมมีคนมากลับไป มารับกลับไป…” หลังจากที่แม่เฒ่าพูดประโยคนี้จบก็ปิดตาลง มือทั้งสองตกลงไป สีหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม ได้เห็นหลานสาวที่รักที่สุดในช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิตเธอก็พอใจแล้ว

“ย่า ย่า…ย่าคะ…”

หลัวเยี่ยนโถมร่างกายเข้าไปหาย่า ร้องไห้ออกมาอย่างสะอึกสะอื้น เธอรู้ว่าบนโลกนี้คนที่รักเธอที่สุดเพียงคนเดียวได้จากไปแล้ว จะไม่ได้เจอกันอีกต่อไปแล้ว!

……………………………….

Related

หลัวเยี่ยนแสดงอำนาจออกมาแล้ว โกรธขึ้นมาแล้ว ตั้งแต่เข้ามาในตระกูลหลัวจนมาถึงที่นี่ต่างก็ได้รับสายตาแปลกๆ จากใครหลายคน ต่อให้จางอวิ๋นคนนั้นจะดูถูกเหยียดหยามเธอตรงหน้าประตูของที่พักอาศัยของยายทวด หลัวเยี่ยนก็ไม่โกรธ เย่เทียนเฉินเห็นว่าในที่สุดแม่ของเขาก็โกรธขึ้นมาบ้างแล้ว ในใจก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกยินดี เพราะว่าเขามองออกนานแล้วว่า คนตระกูลหลัวพวกนี้ ไม่ใช่คนดีอะไร ทุกคนต่างก็หวาดกลัวแม่ของตน เกรงว่าถ้าหากยายทวดลมหายใจขาดห้วงไป พวกเขาก็คงไม่สามารถเดินออกไปจากตระกูลหลัวได้อย่างราบรื่นขนาดนั้น หากต้องการที่จะรับมือกับพวกคนสารเลว ก็ไม่จำเป็นต้องใช้ไม้อ่อน จำเป็นจะต้องใช้ไม้แข็ง

แน่นอนว่าที่หลัวเยี่ยนโกรธนั้น เป็นเพราะผ่านไปยี่สิบปีแล้วถึงจะได้กลับมาที่ตระกูลหลัว เดิมทีก็คิดจะมาดูใจคนบ้าเป็นครั้งสุดท้าย ทำความปรารถนาในใจให้สำเร็จ ไม่ได้คิดจะมาแย่งชิงอะไร และไม่ได้ต้องการต่อสู้กับใคร แต่ในตอนที่คุณย่าป่วยหนัก เป็นช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิต จะถึงกับมีคนตระกูลหลัวที่ไม่ยอมหยุด ยังเพ่งเล็งมาที่เธอ ยังต้องการทะเลาะกับเธอ ทำให้หญิงชราจากไปโดยไม่สงบ ไม่ว่าใครก็ทนไม่ไหว

“คุณ…คุณก็เป็นแค่คนที่ถูกตระกูลหลัวของพวกเราไล่ออกไปเท่านั้น มีคุณสมบัติอะไรที่จะมาตะโกนโหวกเวกอยู่ที่นี่…” หลัวชิงหงอับอายจนใบหน้าแดงก่ำ แต่ก็ยังมองไปยังหลัวเยี่ยนแล้วพูดขึ้นอย่างไร้ยางอาย

“ทุกคนที่อยู่ที่นี่ต่างก็เป็นญาติผู้ใหญ่ของเธอทั้งนั้น ถึงทีที่เธอจะสอfปากพูดได้ที่ไหนกัน ต่อให้พ่อของเธออยู่ที่นี่ก็ยังไม่กล้าส่งเสียง ดูแล้วกฏบ้านตระกูลหลัวคงจะไม่ได้ใช้มานานแล้ว หยิบออกมาเตือนเธอหน่อยก็คงดี!”

หลัวเยี่ยนคล้ายกับว่าเปลี่ยนไปเป็นคนละคน ไม่ได้ให้ความรู้สึกอ่อนแออีกต่อไปแล้ว ดูเข้มแข็งเป็นอย่างมาก เหมือนกับวีรสตรีหญิงที่ผ่านสนามรบมานานอย่างไรอย่างนั้น ไม่ว่าจะเป็นสายตา หรืออำนาจที่แสดงออกมา ต่างก็เพียงพอที่จะกดข่มหลัวชิงหง นี่ทำให้คุณลุงทั้งหลายที่อยู่ที่นี่ต่างก็ต้องมองจนตกตะลึง วันเวลาผ่านไปนานหลายปี ตลอดยี่สิบปีที่ผ่านมานี้หลัวเยี่ยนก็ช่วยเหลือสามีและสั่งสอนมาโดยตลอด บางทีใครหลายคนคงจะคิดว่าความฉลาดของเธอคงจะลดลงไปไม่น้อย แต่คิดไม่ถึงว่าผู้หญิงคนนี้ พอได้จริงจังขึ้นมาจะรับมือไม่ง่ายเลย

“คุณ…คุณ…” หลัวชิงหงพูดอะไรไม่ออกโดยสิ้นเชิง เพราะว่าเราคุณลุงที่อยู่ที่นี่ก็ไม่กล้าส่งเสียงสนับสนุนเธอแล้ว หลัวเยี่ยนพูดตามสถานการณ์และตามหลักเหตุผลได้อย่างถูกต้องเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะแม่เฒ่าที่ใกล้จะจากโลกนี้ไปแล้ว หากว่าส่งเสียงทะเลาะอั๋นขึ้นมาจริงๆ หรือจะไม่คิดถึงครอบครัวเลยแม้แต่น้อย?

“ออกไปซะ!” หลัวเยี่ยนตะโกนเสียงดัง ทำให้หลัวชิงหงตกใจจนอดไม่ได้ที่จะถอยหลังออกไปจนเกือบจะสะดุดล้มจนต้องลงไปนั่งที่พื้นแล้ว

หลัวชิงหงโกรธจนใบหน้าแดงก่ำ เดินออกไปจากห้อง คนที่อยู่ที่นี่ต่างก็ไม่มีใครกล้าเอ่ยปากพูดอะไรอีก เพราะว่าหลัวเยี่ยนทำตามเหตุผล ต่อให้มีใครหลายคนที่ไม่ต้องการที่จะใช้เหตุผล แต่ก็ไม่กล้าก่อเรื่องขึ้นมาในตอนที่แม่เฒ่าใกล้จะจากโลกนี้ไป สาเหตุนั้นง่ายมาก นั่นก็คือหลัวเหยียนซงพ่อของหลัวเยี่ยน ซึ่งก็คือผู้เป็นหัวเรือใหญ่แห่งตระกูลหลัว บางทีเขาอาจจะทะเลาะกับหลัวเยี่ยนและตัดขาดความสัมพันธ์พ่อลูกกันไปแล้ว แต่หลัวเหยียนซงเป็นคนที่กตัญญูมาโดยตลอด ถ้าหากรู้ว่าในช่วงเวลาที่แม่กำลังป่วยหนัก เป็นวาระสุดท้ายของชีวิต ยังมีคนกล้าก่อเรื่องขึ้นมา จะต้องลงโทษตามกฎตระกูลแน่นอน

กฏตระกูล ในยุคสมัยโบราณของประเทศจีน จะมีอยู่ในตระกูลใหญ่หลายตระกูล เมื่อพัฒนามาถึงทุกวันนี้ ตระกูลใหญ่หลายตระกูลก็ยังคงมีกฎของตระกูลที่เข้มงวด นี่เป็นสัญลักษณ์ของตระกูลใหญ่ เพื่อที่จะควบคุมคนในตระกูลได้ง่าย ตระกูลใหญ่ตระกูลหนึ่งสามารถมาถึงจุดที่ยิ่งใหญ่ได้ สามารถมาถึงช่วงเวลาอันยิ่งใหญ่ได้ จะต้องสามารถควบคุมสมาชิกในตระกูลได้ โดยเฉพาะญาติพี่น้อง นั่นเป็นสิ่งที่ยากลำบากเป็นอย่างมาก จึงต้องใช้กฎตระกูลเข้ามาควบคุม หากทำผิดกฎตระกูลก็จะต้องลงโทษตามกฎของตระกูล นี่ทำให้สามารถหลีกเลี่ยงไม่ให้คนบางคนใช้ความสัมพันธ์เครือญาติมาหาผลประโยชน์ได้ ซึ่งจะเป็นการทำร้ายการพัฒนาและความรุ่งเรืองของตระกูลให้ย่อยยับ

เมื่อตอนนี้หลัวชิงหงจนต้องออกไปจากห้องแล้ว ในใจของหลัวเยี่ยนก็ไม่ได้ดีอะไรนัก ยี่สิบปีก่อนคนที่เพ่งเล็งเธอมากที่สุดก็คือพี่ชายและน้องสาวแท้ๆ ของเธอ ตอนนั้นหลัวเยี่ยนโดดเด่นมาก ทั้งเยาว์วัย ทั้งสวย มีกลุ่มอำนาจใหญ่และตระกูลใหญ่ต่างๆ มากมายที่ต้องการมาสู่ขอ เธอเป็นผู้หญิงที่ทั้งฉลาดและหน้าตาดี เริ่มช่วยพ่อของตนจัดการธุรกิจของตระกูลแล้ว พัฒนาไปตามลำดับ และทำออกมาได้อย่างดีอีกด้วย นี่ทำให้พี่ชายและน้องสาวของหลัวเยี่ยนยิ่งรู้สึกถึงอันตราย ยิ่งรู้สึกอิจฉา จนกระทั่งสุดท้ายหลัวเยี่ยนถูกขับไล่ออกไปจากตระกูลหลัว ไม่กลับมาอีกเลยตลอดยี่สิบปี เดิมทีคิดว่าพี่ชายและน้องสาวจะค่อยๆ เลิกอิจฉาและเพ่งเล็งตัวเอง ไหนเลยจะรู้ว่ากลับยิ่งรุนแรงขึ้น

เมื่อดูจากจางอวิ๋นผู้เป็นลูกชายของน้องสาว และหลัวชิงหงผู้เป็นลูกสาวของพี่ชาย ท่าทางที่พวกเขามีต่อตนเองแสดงให้เห็นอย่างชัดเจน พี่ชายและน้องสาวของเธอนำความขับออกคับใจและความอิจฉาของรุ่นตัวเองส่งต่อไปให้รุ่นถัดไป มิฉะนั้นจางอวิ๋นและหลัวชิงหงคงไม่คิดจะเดินออกมาขับไล่ตนเองซึ่งเป็นญาติผู้ใหญ่ให้ออกไปจากตระกูลหลัว พวกเขาทำเช่นนี้ก็เพื่อออกหน้าให้พ่อแม่ของตน

และสิ่งที่ทำให้เสียใจมากที่สุดก็คือ เดิมทีก็เป็นสายเลือดเดียวกัน ทำไมจะต้องกังวลให้มากด้วย ไม่ว่าจะอย่างไรทุกคนต่างก็เป็นครอบครัวเดียวกัน ต่างก็เป็นญาติพี่น้องกัน ทำไมต้องทำแบบนี้ด้วย? ทำไมต้องเห็นแก่ชื่อเสียงเงินทองเหล่านั้นด้วย?

“เยี่ยมเสร็จแล้ว เธอก็ออกไปเองเถอะ พวกเราตะกูลหลัวไม่เก็บเธอเอาไว้แน่!” ในตอนนี้เอง มีคุณลุงคนหนึ่งเอ่ยออกมา

“ฉันรู้ดี ฉันเองก็ไม่อยากที่จะกลับมาตระกูลหลัว สถานที่แห่งนี้ไม่มีความรู้สึกของครอบครัวอยู่เลยแม้แต่น้อย มีเพียงแค่การแย่งชิงชื่อเสียงเงินทองก็เท่านั้น!” หลัวเยี่ยนมองไปยังคุณลุงคนนั้นแล้วพูดขึ้นอย่างเย็นชา

เมื่อพูดจบหลัวเยี่ยนก็ไม่ได้มองไปที่ลุงคนนั้นอีกเลย เดินไปยังข้างเตียงอีกครั้ง แล้วนั่งลงขอบเตียง จับมือของคุณย่าเอาไว้แน่น พูดคุยกับหญิงชราที่ใกล้จะจากโลกนี้ไป ถึงแม้สีหน้าของหญิงชราจะอบอุ่นขึ้นไม่น้อย แต่ใครก็มองออกว่านี่เป็นแสงสุดท้ายของชีวิต เป็นไฟสุดท้ายของชีวิต ขอเพียงดับมอดลงก็จะจากไปตลอดกาล ดังนั้นหลัวเยี่ยนจึงรู้สึกหวงแหน ช่วงเวลาเหล่านี้ ไม่ได้พบกันมายี่สิบปี ควรจะพูดคุยกับคุณย่าอย่างสนุกสนาน ไม่ควรจะให้หญิงชราต้องจากโลกนี้ไปด้วยความถูกใจ

“เยี่ยนเอ๋อร์ หลังจากที่ย่าจากไปแล้ว หลานก็อย่าอยู่ที่นี่อีกเลย กลับไปใช้ชีวิตอย่างมีความสุขของตัวเองเถอะ!”

ถึงแม้ว่าแม่เฒ่าจะอายุมากแล้ว แต่ก็ไม่ได้หูตาฝ้าฟาง ยังไม่ได้หลงลืม แม่เฒ่าตระกูลหลัวก็เคยเป็นผู้หญิงที่ต่อสู้ดิ้นรนทำธุรกิจมาด้วยกันกับคุณปู่ของหลัวเยี่ยน หากจะบอกว่าไม่มีความเฉลียวฉลาดหรือความสามารถอะไรเลยนั่นย่อมเป็นไปไม่ได้ ทุกสิ่งทุกอย่างของตระกูลหลัวเธอรู้เหมือนกับรู้ฝ่ามือของตน ใครกตัญญูใครไม่กตัญญู ใครที่ต้องการตำแหน่งหัวเรือใหญ่ของตระกูลหลัว เธอเข้าใจชัดเจนเป็นอย่างมาก เพียงแต่เธอแก่มากแล้ว มีหลายเรื่องที่ต้องปล่อยผ่านให้เป็นเรื่องของคนรุ่นหลัง และให้คนรุ่นหลังมาแก้ไขกันเอง

“คุณย่า ย่าพูดอะไรคะ ย่ายังจะต้องมีชีวิตอยู่ไปได้อีกร้อยปี ย่าเพียงแค่ไม่สบายเท่านั้นเอง!” หลัวเยี่ยนพูดปลอบใจคุณย่าด้วยรอยยิ้ม

“ฮ่าๆ เยี่ยนเอ๋อร์ หลานใจดีเหลือเกิน ไม่ได้เห็นหลานมาหลายปีก็ไม่ได้เปลี่ยนไปเลย ย่ามีความสุขมาก เพียงแต่ร่างกายของย่า ย่าย่อมรู้ดี หลังจากที่ย่าตายไปแล้ว หลานก็ไม่ต้องมางานศพ ย่าไม่อยากเห็นพวกหลานสองพ่อลูกต้องทะเลาะกันหลังจากที่ย่าตายไป พ่อของหลานก็แก่แล้ว ร่างกายไม่แข็งแรง ยอมให้เขาหน่อย…” แม่เฒ่าทอดถอนใจ ต่อให้ใกล้จะจากโลกนี้ไปแล้วก็ยังอดไม่ได้ที่จะคิดถึงลูกหลาน ยังคงคิดถึงหลานสาวของตัวเอง และยังคงคิดเพื่อลูกชายของตน

“คุณย่า วางใจเถอะ หนูจะไม่ทะเลาะกับพ่อแน่นอน จะอย่างไรเขาก็เป็นพ่อของหนู!” หลัวเยี่ยนกัดปาก พยายามกลั้นไม่ให้น้ำตาไหลออกมา

“งั้นก็ดีแล้ว งั้นก็ดีแล้ว…แค่กๆ …”แม่เฒ่าไอออกมาสองครั้ง ท่าทางจะยืนหยัดต่อไปไม่ไหวแล้ว ถึงแม้เย่เทียนเฉินจะแอบใช้พลังพิเศษช่วย แต่ก็ไม่สามารถทำให้เธอยืนหยัดต่อไปได้นานขนาดนั้น ทุกคนต่างก็ต้องแก่ตายเป็นธรรมดา

“คุณย่า…” หลัวเยี่ยนเครียดมาก มีน้ำตาไหลคลอออกมา หญิงชราใกล้ที่จะยืนหยัดต่อไปไม่ไหวแล้ว

“เทียนเฉิน หลานมาหายายนี่…” หญิงชราพยายามลืมตา พูดกับเย่เทียนเฉินอย่างอ่อนแรง

เย่เทียนเฉินในตอนนี้ก็รู้สึกจิตใจสั่นไหว หญิงชราที่ใจดีและเมตตาขนาดนั้น แต่กลับต้องมาจากโลกนี้ไป นี่ทำให้เขายิ่งคิดถึงคำพูดของจางอีเต๋อ บนโลกนี้ไม่เหมาะสมที่จะบ่มเพาะพลัง ไม่มีใครที่สามารถอยู่ได้ยืนยาว หากต้องการที่จะตามหาวิธีการเป็นอมตะ จำเป็นที่จะต้องไปยังดาวที่ธรรมชาติยังไม่ถูกทำลาย ถ้าหากไม่สามารถอยู่เป็นอมตะได้ก็ไม่สามารถหลีกเลี่ยงการเกิดแก่เจ็บตายออกไปได้ ผมต้องการให้มีความอมตะอยู่จริงๆ อยากที่จะสามารถมีอายุยืนยาวต่อไปได้ผ่านเส้นทางแห่งการบ่มเพาะจริงๆ ไม่ว่าจะเป็นใคร ต่อให้เป็นคนที่อยู่ในสังคมไหน โดยเฉพาะคนที่มีญาติพี่น้องที่จากไปแล้ว จะต้องพยายามบ่มเพาะอย่างเต็มที่ เพราะการที่ต้องมองญาติมิตรตายจากไปนั้น ความรู้สึกที่ไร้ซึ่งพลังเช่นนั้น ช่างเป็นการเจ็บปวดถึงจิตวิญญาณจริงๆ

“ยายทวดครับ ผมอยู่ที่นี่แล้ว!” เย่เทียนเฉินจับมือหญิงชราแล้วพูดขึ้น

ในตอนนี้เอง เย่เทียนเฉินก็ยังคิดที่จะพยายามส่งพลังพิเศษเข้าไปช่วยเหลืออีกครั้ง แต่เขาพบว่ามันไร้ประโยชน์แล้ว หากฝืนส่งพลังพิเศษเข้าไปอีก ก็จะทำให้เส้นเลือดในร่างกายของแม่เฒ่าระเบิดเท่านั้น และตายไปยังเจ็บปวด ดังนั้นเย่เทียนเฉินจึงทำอะไรไม่ได้

“สร้อยประคำเส้นนี้ มีพระอาจารย์ท่านหนึ่งมอบให้ยายทวดมา สามารถคุ้มครองให้ผู้คนสงบสุขได้ ครั้งแรกที่ยายทวดได้เห็น ไม่รู้ว่ามีอะไรโดนใจถึงต้องการมอบมันให้กับหลาน!” แม่เฒ่าหยิบสร้อยประคำบริเวณลำคอออกมาส่งให้เย่เทียนเฉินแล้วพูดขึ้น

“ยายทวดครับ…” เย่เทียนเฉินรู้สึกตกตะลึง พอเขารู้สึกว่าสร้อยประคำเส้นนี้ไม่ธรรมดาเลย ไม่ใช่ของที่จะเอาไว้หลอกลวงผู้อื่นแบบนั้น

“เอาไปเถอะ ยายทวดใกล้จะจากโลกนี้ไปแล้ว เก็บเอาไว้ก็ไม่มีประโยชน์!” แม่เฒ่าพูดด้วยรอยยิ้มเมตตา

เย่เทียนเฉินชะงักไปครู่หนึ่งแล้วจึงรับประคำนั้นมา เพื่อจะทำให้หญิงชราดีใจจึงสวมเข้าไปที่คอของตน ในตอนที่เขาสวมสร้อยประคำเส้นนี้ ถึงกับรู้สึกได้ถึงบรรยากาศหนักหน่วงยิ่งใหญ่อย่างหนึ่ง ที่แอบซ่อนอยู่ในลูกประคำ ไม่รู้ว่าเป็นอะไร

“ขอบคุณยายทวดมากครับ!” เย่เทียนเฉินพูดด้วยรอยยิ้ม

“แค่กๆ …แค่กๆ …แค่กๆ …” เสียงแม่เฒ่าไอขึ้นมา ชีวิตใกล้จะถึงจุดสุดท้ายแล้ว ยืนหยัดต่อไปไม่ไหวอีกแล้ว เธอพิงลงที่หมอน แต่กลับยังคงพยายามพูดออกมา “เหล่าหวัง ทำไมเหล่าหวังยังไม่มาอีก…”

ทุกคนอดไม่ได้ที่จะมองไปที่ประตู ในตอนนี้พวกเขาถึงจะเข้าใจว่าลุงหวังไปหยิบของอะไรมา แม่เฒ่าถึงยืนหยัดไม่ยอมตาย ก็จะต้องรอของที่ลุงหวังจะเอามาให้ได้

“กลับมาแล้ว ลุงหวังมาแล้ว!” มีคนพูดขึ้น

ลุงหวังวิ่งขะโหยกขะเหยกเข้ามาในห้อง มีเหงื่อเต็มใบหน้า ในมือขวามีกล่องหยกอันประณีตกล่องหนึ่ง ไม่รู้ว่าบรรจุอะไรเอาไว้ในนั้น ทุกคนต่างก็มองด้วยความแปลกใจ…

……………………

Related

เย่เทียนเฉินยืนอยู่ด้านหลังของหลัวเยี่ยนผู้เป็นแม่ ไม่ได้กล่าวอะไร ตอนนี้เขาทำเพียงมองไปยังแม่เฒ่าที่นอนอยู่บนเตียง นี่คือยายทวดของเขา ถึงแม้จะได้พบกันครั้งแรก แต่เย่เทียนเฉินก็รู้สึกได้ถึงความเมตตาแล้วความเป็นมิตร รวมกับความรักที่ยายทวดมีต่อแม่มาตั้งแต่เด็ก ทำให้เย่เทียนเฉินมีความประทับใจที่ดีต่อยายทวดคนนี้มากขึ้น

หากไม่ใช่เพราะพลังพิเศษแห่งการรับรู้ของเย่เทียนเฉินรับรู้ได้ถึงความอ่อนเพลียของอวัยวะทั้งหมดในร่างกายของยายทวด เขาจะต้องไม่ยอมยืนมองยายทวดผู้เมตตาจากโลกนี้ไปเฉยๆ แน่นอน จะต้องไปตามหาเซียนแพทย์เทวะให้มารักษายายทวดของเขา เพียงแต่อวัยวะแต่ละอย่างอ่อนล้าลงมากแล้ว นี่เป็นโรคของคนชรา ไม่ได้เป็นอาการป่วย ดังนั้นเกรงว่าจางอีเต๋อก็คงไม่มีความสามารถที่จะรักษา

คุณอาคุณลุงของหลัวเยี่ยนทั้งหลายที่ยืนล้อมรอบอยู่บริเวณนี้ คนเหล่านี้เป็นญาติผู้ใหญ่ของเย่เทียนเฉิน ต่างก็ยืนอยู่ด้านข้างด้วยใบหน้าไร้อารมณ์ ถึงแม้ว่าในหมู่พวกเขาจะมีคนที่ไม่พอใจต่อหลัวเยี่ยน และกลัวว่าครั้งนี้หลัวเยี่ยนจะถือโอกาสนี้กลับเข้ามายังตระกูลหลัวอีกครั้ง จึงต้องการที่จะไล่เธอออกไปให้เร็วที่สุด แต่กลับไม่มีใครกล้าทำแบบนี้ แม่เฒ่าของตระกูลหลัวเป็นคนที่เทียบได้กับระดับไท่ซ่างหวง(จักรพรรดิองค์ก่อน) และใกล้จะจากโลกนี้ไปแล้ว ในเวลาแบบนี้ใครก็ไม่คิดที่จะทำตัวเป็นที่เพ่งเล็งของผู้อื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลัวเหยียนซงคุณพ่อของหลัวเยี่ยน ซึ่งเป็นคุณตาของเย่เทียนเฉิน กำลังอยู่ระหว่างทางที่จะกลับมายังตระกูลหลัว ถ้าหากถูกเขารู้เข้า เกรงว่าต่อให้เป็นเทวดาก็ต้องถูกลงโทษตามกฎตระกูล

“เทียนเฉิน ลูกมานี่ มาให้ยายทวดของลูกดูหน่อย!” หลัวเยี่ยนนั่งอยู่ข้างเตียงโดยตลอด จับมือของคุณย่าของตนแน่น หันมาพูดกับเย่เทียนเฉิน

“ครับ!” เย่เทียนเฉินพยักหน้าเดินไปข้างเตียง ยายทวดเป็นหญิงชราที่มีเมตตาคนหนึ่ง เย่เทียนเฉินไม่อาจสัมผัสได้ถึงไอสังหารใดๆ บนร่างของหญิงชราคนนี้เลย ก็เหมือนกับที่แม่พูด ยายทวดเป็นคนที่มีจิตใจดีงามมาตลอดชีวิต แต่ไหนแต่ไรก็ไม่เคยฆ่าคน หลายเรื่องราวที่อยู่อย่างสงบสุข แล้วทำธุรกิจอย่างเมตตาและมีความสุข บริจาคให้บ้านพักคนชราและบ้านเด็กกำพร้า รวมถึงบริจาคให้คนยากคนจนบนเขาไปมาก และไม่เคยหลงใหลในชื่อเสียงมาก่อน เธอมักจะพูดว่าคนดีย่อมได้รับการตอบแทน สวรรค์ย่อมมีความยุติธรรม

ไหนเลยจะรู้ว่า ในตอนที่เย่เทียนเฉินกำลังจะเดินเข้าไปนั้น ผู้หญิงอายุสามสิบกว่าปีคนหนึ่งจะมาขวางอยู่หน้าเย่เทียนเฉิน เธอสวมชุดแบรนด์เนมทั้งตัว โดยเฉพาะกำไลข้อมือหยกชิ้นใหญ่บริเวณข้อมือของเธอ ดูโดดเด่นสะดุดตาเป็นอย่างมาก

“แกเข้าไปไม่ได้…” ผู้หญิงคนนั้นมองเย่เทียนเฉินแล้วพูดอย่างเย็นชา

“ทำไม?” เย่เทียนเฉินถามอย่างเรียบเฉย

“ทำไมน่ะเหรอ? ยายทวดของฉันสูงส่งมาก คนชั้นต่ำอย่างแกจะเข้าไปใกล้ได้หรือไง? ไสหัวไปทางนู้นซะ!” ผู้หญิงคนนี้หวังถ้ามีอำนาจมาก ดูเหมือนกับจะตั้งใจทำให้เย่เทียนเฉินอับอายต่อหน้าทุกคน

“ถูกต้อง แม่ของแกถูกขับไล่ออกจากตระกูลหลัวไปนานแล้ว…”

“ไอ้ขยะสมควรตายนี่ ตระกูลหลัวเป็นที่ที่สามารถเข้าออกได้ตามใจหรือไง?”

“ไม่มีมารยาทเลยสักนิด เห็นผู้อาวุโสอย่างพวกเราก็ยังไม่รู้จักคารวะ”

“คุกเข่าโขกหัวเดี๋ยวนี้!”

เดิมทีคุณลุงคุณอาเหล่านี้ก็ไม่พอใจที่หลัวเยี่ยนกลับมาที่ตระกูลหลัวอยู่แล้ว พวกเขากลัวว่าการกลับมาของหลัวเยี่ยนในครั้งนี้ เธอจะไม่ยอมจะไปไหนอีก หลัวเหยียนซงก็แก่มากแล้ว ถึงแม้เรื่องเมื่อปีนั้นจะรุนแรง แต่ก็ยังเป็นลูกสาวของตัวเอง เป็นเลือดเนื้อเชื้อไข นี่เป็นสายสัมพันธ์ของครอบครัวที่ตัดไม่ขาด เป็นกระดูกเป็นเส้นเอ็นที่ไม่อาจตัดขาด ใครจะสามารถรับประกันได้ว่า หลังจากที่หลัวเหยียนซงกลับมาถึงตระกูลหลัวแล้ว จะไม่ให้ลูกสาวย้ายกลับมาตระกูลหลัวเพื่อช่วยเขาจัดการธุรกิจ?

ในตอนเริ่มแรกทุกคนยังไม่กล้าก่อเรื่อง เพราะแม่เฒ่าตระกูลหลัวอยู่ในวาระสุดท้ายของชีวิตแล้ว หากว่าก่อเรื่องขึ้นมาในตอนนี้ เกรงว่าจะเป็นที่เพ่งเล็งของทุกคน โดยเฉพาะถ้าหากว่าหลัวเหยียนซงรู้เข้า จะต้องมีโทสะคับฟ้าอย่างแน่นอน ความจริงแล้วพ่อของหลัวเยี่ยนเป็นคนที่ไม่สามารถดูเบาได้คนหนึ่ง ไม่เพียงแต่มีความสามารถ แต่ยังกตัญญูต่อบุพการี เกี่ยวกับเรื่องของหลัวเยี่ยน หลัวเหยียนซงตัวเองก็ตัดสินใจอย่างเด็ดขาด

หลัวเยี่ยนถูกขับไล่ออกจากตระกูลหลัว แต่กลับไม่เคยโกรธคนในตระกูลหลัวเลย เพราะเธอรู้สึกคนเหล่านั้นต่างก็เป็นครอบครัวของเธอ หากพูดถึงหลัวเหยียนซงผู้เป็นพ่อ ในตอนที่ขับไล่ตัวเองออกมาจากตระกูล ถึงแม้จะเคร่งขรึมจริงจังเป็นอย่างมาก และไม่มีคำขอโทษออกมาแม้แต่ครึ่งคำ แต่หลัวเยี่ยนก็รู้สึกได้ถึงความลำบากใจของผู้เป็นพ่อ ยิ่งไปกว่านั้นหลังจากที่เธอไปจากตระกูลหลัวแล้ว ได้ยินว่าพ่อของเธอป่วยอยู่หนึ่งเดือนเต็มๆ ถึงจะค่อยๆ ดีขึ้น ทำให้หลัวเยี่ยนที่ฉลาดเฉลียวอดไม่ได้ที่จะคิดว่า จะเป็นเพราะพ่อเองก็มีเรื่องลำบากใจอะไรหรือไม่?

“ยายทวดใกล้จะจากโลกนี้ไปแล้ว ยังมีคนรุ่นหลังที่เอาแต่ก่อเรื่องอย่างพวกคุณ ผมล่ะเสียใจจริงๆ!” เย่เทียนเฉินมองไปยังผู้หญิงอายุสามสิบกว่าปีตรงหน้าอย่างไม่พอใจ อยากจะตบปากแรงๆ สักครั้ง แต่ก็ยังอดทนเอาไว้ สาเหตุนั้นมีเพียงอย่างเดียวนั่นก็คือไม่อยากให้หญิงชราจากไปด้วยความเป็นทุกข์

“หึ แกนับเป็นตัวอะไรได้ถึงกล้ามาสั่งสอนฉัน ถ้าพูดถึงเรื่องอายุ ฉันก็เป็นญาติผู้พี่ของแก ที่นี่มีที่ให้แกสอดปากที่ไหนกัน ไสหัวออกไป!” ผู้หญิงอายุสามสิบกว่าปีชี้หน้าเย่เทียนเฉินแล้วแค่นเสียงเย็นออกมาพลางกล่าวด่า

เดิมทีผู้หญิงที่วิ่งออกมาอย่างกะทันหันเพื่อมาด่าเย่เทียนเฉินนี้ คือลูกสาวคนโตของพี่ใหญ่ของหลัวเยี่ยน ชื่อว่าหลัวชิงหง เป็นลูกสาวคนโตของคุณลุงของเย่เทียนเฉิน เป็นญาติผู้พี่ของเย่เทียนเฉิน เพียงแต่น่าเสียดายที่ญาติผู้พี่คนนี้ไม่มีความน่าเคารพเลื่อมใสแบบญาติผู้พี่เลยแม้แต่น้อย ในตอนนี้ยังออกมายืนด่าโดยไม่รู้ความ หากไม่ใช่ว่าคนส่วนใหญ่ต้องการที่จะไล่เย่เทียนเฉินและหลัวเยี่ยนออกไปอยู่แล้ว เกรงว่าเธอคงจมน้ำลายตายแน่

เย่เทียนเฉินมองหลัวชิงหง สำหรับผู้หญิงปากร้ายคนนี้นั้นเขาไม่ต้องการที่จะใส่ใจอะไรให้มากมาย เขาไม่ทำร้ายผู้หญิงนั้นเป็นเรื่องจริง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่ทำร้ายผู้หญิงปากร้าย ตอนนี้เขาไม่คิดจะลงมือเพราะไม่อยากก่อเรื่อง และไม่อยากทำให้แม่ต้องรู้สึกอึดอัด ที่สำคัญที่สุดก็คือยายทวดกำลังอยู่ในช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิต เขาไม่อยากทำให้หญิงชราคนนี้จากโลกนี้ไปด้วยความทุกข์

ทุกคนมองเย่เทียนเฉิน หลัวเยี่ยนขมวดคิ้ว ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี ความจริงสถานการณ์เช่นนี้ ระหว่างทางที่เดินทางมาเธอก็ได้คิดเอาไว้แล้ว ดังนั้นในตอนที่อยู่บริเวณนอกประตู จึงไม่คิดที่จะให้ลูกชายเข้ามาด้วยกันกับเธอ ตอนนี้ครอบครัวตระกูลหลัวไม่มีความรู้สึกของครอบครัวให้เธอเลยแม้แต่ครึ่งส่วน ปฏิบัติต่อเธอเหมือนกับเป็นคนนอกอย่างไรอย่างนั้น

“ยายทวด ผมเอง ผมชื่อเย่เทียนเฉิน ผมกลับมากับแม่เพื่อเยี่ยมยายทวดแล้วครับ!” เย่เทียนเฉินเดินไปข้างเตียง จับมือของยายทวดแล้วพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม

หญิงชราลืมตาขึ้นอย่างยากลำบาก รับรู้ได้ถึงบริเวณที่ถูกสัมผัส ที่เธอยังไม่ตายก็เป็นเพราะเธอยังมีเรื่องในใจที่ยังทำไม่สำเร็จ สิ่งที่ต้องการเห็นก็ยังไม่ได้เห็น

“เด็กดี แค่กๆ …แค่กๆ …” คำพูดของหญิงชรายังพูดไม่ทันจบก็ไอออกมาอย่างรุนแรง ดูเหมือนว่าเพียงพริบตาก็อาจจะยืนหยัดต่อไปไม่ไหว ทุกคนต่างร่วมกันเข้ามา คิดว่าแม่เฒ่าตระกูลหลัวจะลมหายใจขาดห้วงแล้ว

ไหนเลยจะรู้ว่าในตอนนี้เอง สีหน้าของหญิงชราจะแดงระเรื่อขึ้นมาเล็กน้อย คล้ายกับกลับมาจากความตาย ดวงตาก็ลืมขึ้นแล้ว เปล่งประกายขึ้นมาก โดยเฉพาะตัวคนที่ค่อยๆ ลุกขึ้นมาอย่างเชื่องช้า ทำให้ทุกคนตกใจจนถอยหลังออกไป ไม่กล้าเชื่อในสิ่งที่เห็น มีเพียงหลัวเยี่ยนที่น้ำตาไหลออกมาไม่หยุด นี่คือความซาบซึ้งใจ เธอรีบยืนขึ้นประคองคุณย่าให้นั่งลงบนเตียง นำหมอนหลายใบไปวางไว้ข้างหลังให้เธอพิง

ทุกคนที่อยู่ที่นี่รวมไปถึงหลัวเยี่ยนซึ่งเป็นแม่ของเย่เทียนเฉินต่างก็รู้สึกประหลาดใจ มีเพียงเย่เทียนเฉินคนเดียวถึงจะรู้ว่านี่เกิดขึ้นได้อย่างไร เขารู้ว่ายายทวดยังมีเรื่องติดค้างในใจที่ยังทำไม่สำเร็จ ไม่เต็มใจที่จะจากไปเช่นนี้ ดังนั้นในตอนที่เขาจับมือยายทวด จึงแอบส่งพลังพิเศษที่มีอยู่ในร่างกายเข้าไปยังร่างกายของยายทวด ซึ่งพลังพิเศษเหล่านั้นเป็นพลังพิเศษที่บริสุทธิ์ที่สุด ช่วยให้หญิงชราสามารถยืนหยัดต่อไปได้อีกสักครู่ เขาก็ทำได้เพียงเท่านี้ จะอย่างไรอวัยวะในร่างกายของหญิงชราก็ย่ำแย่มากแล้ว ไม่มีเรี่ยวแรงจะอยู่ต่อไป

“หลานคือเทียนเฉินเหรอ? ก่อนหน้านี้ตอนที่โทรคุยกับแม่ของเธอ ก็ได้พูดถึงเธอมาก่อนแล้ว หน้าเหมือนแม่จริงๆ ลูกชายที่เหมือนแม่นับว่ามีวาสนา!” แม่เฒ่าพูดด้วยรอยยิ้ม ดูเหมือนจิตใจจะดีขึ้นมาก

“ใช่แล้วครับยายทวด ยายทวดรู้สึกดีขึ้นไหมครับ?” เย่เทียนเฉินเองก็เอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม

“ดีขึ้นมากแล้ว ได้เห็นหลานกับแม่ของหลาน ยายก็มีความสุขมากจริงๆ มีความสุขมากจริงๆ …” แม่เฒ่ายิ้มหยังเมตตา

ในตอนนี้เอง หลัวชิงหงเห็นว่าเย่เทียนเฉินถึงกับเดินไปเบื้องหน้ายายทวดโดยไม่เห็นตัวเองอยู่ในสายตา และดูเหมือนว่าจะทำให้ยายทวดพึงพอใจและยินดีมาก ทันใดนั้นหลัวชิงหงจึงรู้สึกไม่พอใจยิ่งขึ้น ตั้งแต่เล็กเธอก็อาศัยอยู่ในคฤหาสน์ตระกูลหลัว ไม่เคยเห็นยายทวดมีท่าทางแบบนี้กับตนเองมาก่อน เย่เทียนเฉินก็เป็นแค่หลานนอกตระกูลเท่านั้น แม่ของเขาก็ถูกขับไล่ออกไปแล้ว ไม่ใช่คนตระกูลหลัวนานแล้ว ยายทวดกลับรักและเอ็นดูพวกเขาแบบนี้ ยิ่งทำให้ในใจของเธอรู้สึกว่าไม่ยุติธรรม

“ยายทวด ยายดีขึ้นก็ดีแล้วค่ะ ตอนนี้ก็สามารถให้คนนอกสองคนนี้ออกไปได้แล้ว!” หลัวชิงหงไม่รู้จักกาละเทศะ มองหลัวเยี่ยนและเย่เทียนเฉินอย่างไม่พอใจแล้วพูดขึ้น

ไม่รอให้แม่เฒ่ากล่าวอะไร เย่เทียนเฉินและหลัวเยี่ยนก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป ถ้าหากเป็นยามปกติ บางทีหลัวเยี่ยนก็อาจจะอดทน เดิมทีนิสัยของเธอก็ใจดีอยู่แล้ว แล้วไม่ชอบแก่งแย่งชิงดีกับคนอื่น แต่วันนี้ ตอนนี้ คุณย่าของตน ญาติผู้ใหญ่ทุกคนในตระกูลหลัว ญาติผู้ใหญ่สายเลือดเดียวกัน กำลังจะจากโลกนี้ไปแล้ว อยู่ในวาระสุดท้ายของชีวิตแล้ว จนถึงตอนนี้ก็ยังมีคนเพ่งเล็งมาที่เธอ ไม่ให้ยายทวดจากไปอย่างสงบใจ ต่อให้เป็นพระโพธิสัตว์ก็ต้องมีความโกรธเคืองอยู่สามส่วน โดยเฉพาะกับคนสาระเลวเหล่านี้

“ฉันไม่รู้จริงๆ ว่าพวกคุณเป็นอะไรกันไปหมดแล้ว? หรือว่าการที่ตระกูลหลัวรุ่งเรืองมากขึ้นทุกวัน ทำให้พวกคุณกลายเป็นคนที่เห็นแก่ชื่อเสียงและความมั่งคั่งไปทั้งหมดแล้ว? กระทั่งญาติพี่น้องที่เป็นดั่งมือเท้าของตัวเองก็สามารถเพ่งเล็งและทำร้ายได้? เธอเป็นญาติผู้น้อยของฉัน ตามหลักแล้วก็ควรจะเรียกฉันว่าอาหญิง แต่ตอนนี้เธอใช้น้ำเสียงแบบไหนพูดกับฉัน? พ่อของเธอสั่งสอนทำมาแบบไหน?” หลัวเยี่ยนทนไม่ไหวอีกต่อไป จ้องมองไปยังหลัวชิงหงแล้วพูดขึ้น

หลัวชิงหงอดไม่ได้ที่จะชะงักไป ถอยหลังออกไปหลายก้าวโดยไม่รู้ตัว ตั้งแต่เด็กเธอก็เติบโตมาในตระกูลหลัว เคยได้ยินผู้หลักผู้ใหญ่พูดกันถึงเรื่องเมื่อปีนั้นที่หลัวเยี่ยนถูกขับไล่ออกจากตระกูลหลัวมาก่อน คนรุ่นเดียวกับเธอต่างก็คิดว่า หลัวเยี่ยนซึ่งเป็นอาหญิง เป็นคนใจดี แล้วเป็นคนที่รังแกได้ง่าย มิฉะนั้นเมื่อปีนั้นคงไม่ร้องไห้ไปจากตระกูลหลัว แต่คาดไม่ถึงว่าหลัวเยี่ยนในตอนนี้จะแสดงความโกรธออกมา นี่มากพอที่จะทำให้เธอต้องตกใจ โดยเฉพาะคำพูดของหลัวเยี่ยน ไม่เพียงแต่ทำให้หลัวชิงหงรู้สึกอับจนคำพูด แต่ยังอับอายจนหน้าแดงหูแดงไปหมด

“คุณ…ฉัน…” หลัวชิงหงหน้าแดงขึ้นเรื่อยๆ อับอายจนพูดอะไรไม่ออกแม้แต่ประโยคเดียว

“ไปเรียกพ่อของเธอมา ฉันต้องการจะถามเขาที่เป็นพี่ใหญ่สักหน่อยว่าสั่งสอนลูกสาวเขายังไง…” หลัวเยี่ยนมองไปยังหลัวชิงหงแล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

…………………………….

“ดี…ดี ไอ้เดรัจฉานน้อย แกก็เป็นแค่คนที่ถูกขับไล่ออกจากตระกูลเท่านั้น กล้ามาทำกับฉันแบบนี้ รอดูเถอะ…”

จางอวิ๋นด่าออกมาอย่างโกรธเคือง ขับรถออดี้ของตนไปจากประตูบ้านสไตล์โบราณแห่งนี้ เย่เทียนเฉินไม่ได้ลงมืออีก เขารู้ว่าหลัวเยี่ยนแม่ของเขาจะต้องหยุดยั้งเขาเอาแน่นอน ยิ่งไปกว่านั้นตอนนี้ก็ไม่ใช่เวลามาก่อเรื่อง รีบเข้าไปดูยายทวดให้เร็วหน่อยจะดีกว่า

“คุณชายน้อย คุณไม่ควรจะลงมือเลย จางอวิ๋นเป็นคนใจแคบคนหนึ่ง เป็นคนที่มีแค้นต้องชำระ ยิ่งไปกว่านั้นในช่วงที่คุณชายใหญ่ไม่อยู่ ดูเหมือนว่าตระกูลหลัวจะเชื่อฟังแม่ของจางอวิ๋นและลุงใหญ่ของคุณ ตอนนี้แม่เฒ่าป่วยหนัก พวกเขาจะต้องคิดหาผลประโยชน์จากเรื่องนี้แน่นอน!” ลุงหวังเห็นเย่เทียนเฉินตบหน้าจางอวิ๋นไปครั้งหนึ่งก็อดไม่ได้ที่จะพูดออกมาอย่ากังวลใจ

“เทียนเฉิน หรือว่าลูกจะกลับไปก่อน แม่เข้าไปดูแป๊บเดียวก็ออกมาแล้ว…” หลัวเยี่ยนพูดอย่างกังวล

ถึงแม้ว่าจะไม่ได้กลับมาตระกูลหลัวยี่สิบปีแล้ว หลัวเยี่ยนก็ยังเข้าใจนิสัยของพี่ชายและน้องสาวของเธอเป็นอย่างมาก น้องสาวของเธอก็คือแม่ของจางอวิ๋น มีนิสัยยโสโอหังมาโดยตลอด และยังใช้อำนาจบาตรใหญ่ ตอนสมัยวัยรุ่นยังคิดที่จะเข้าไปคลุกคลีกับสังคมมืด เห็นได้ชัดว่าโอหังถึงขนาดไหน ส่วนพี่ชายของหลัวเยี่ยนซึ่งก็คือคุณลุงใหญ่ของเย่เทียนเฉิน นี่ก็เป็นคนที่โหดเหี้ยมคนหนึ่ง เมื่อปีนั้นต้องการที่จะไล่หลัวเยี่ยนออกมาจากตระกูลหลัว ก็เป็นเรื่องที่เขาพูดขึ้นมาเป็นคนแรก เจตนาของเขานั้นทุกคนต่างก็ดูออก เขากลัวว่าคุณพ่อจะยอมรับให้หลัวเยี่ยนอยู่ด้วยกันกับเย่หง ตอนนั้นคุณย่าก็ยังยืนอยู่ฝ่ายเดียวกับหลัวเยี่ยน หากว่าคุณพ่อเองก็ยอมรับ เย่หงก็เป็นไปได้มากกว่าจะกลายเป็นลูกเขยที่แต่งเข้าบ้านตระกูลหลัว เมื่อถึงตอนนั้นเขาก็ไม่มีทางควบคุมอำนาจส่วนใหญ่ของตระกูลหลัวได้ และความเป็นไปได้ที่จะได้เป็นผู้ควบคุมตระกูลหลัวก็น้อยลง

ไม่กล่าวไม่ได้ว่าคุณพ่อของหลัวเยี่ยน หลัวเหยียนซง เป็นผู้ชายที่เข้มงวดและมีความสามารถคนหนึ่ง ถึงแม้ว่าเมื่อปีนั้นจะไม่เห็นด้วยพี่จะให้หลัวเยี่ยนแต่งงานกับเย่หง แต่ว่าในด้านของการสั่งสอนและการควบคุมคนรุ่นหลังก็เข้มงวดจริงจังเป็นอย่างมาก ยิ่งไปกว่านั้นเขาไม่ใช่คนที่เหลิงในอำนาจ ตอนนั้นพี่ชายของหลัวเยี่ยนเป็นพวกเหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อ ไม่ยอมเรียนไร้ซึ่งความรู้ หลัวเหยียนซงจึงได้พูดประโยคหนึ่งต่อหน้าคนตระกูลหลัวทั้งตระกูลว่า ผู้ที่จะมาเป็นหัวเรือใหญ่ของตระกูลหลัว ไม่จำเป็นที่จะต้องเป็นสายเลือดของคนตระกูลหลัวเสมอไป ตระกูลหลัวของพวกเราเติบโตมาจนถึงทุกวันนี้ จำเป็นที่จะต้องมีบุคคลผู้มีความสามารถคนหนึ่งมาเป็นหัวเรือใหญ่ ไม่ต้องการพวกไร้ประโยชน์

เพราะประโยคนี้พี่ชายใหญ่ของหลัวเยี่ยนจึงตกตะลึง เดิมทีเขาคิดว่าตนเองเป็นหลานชายคนโตของตระกูลหลัว ไม่ว่าจะอย่างไรพ่อก็ทำได้เพียงมอบตำแหน่งหัวเรือใหญ่ของตระกูลหลัวให้เขา และด้วยอำนาจและอิทธิพลเบื้องหลังของตระกูลหลัวก็มากพอที่จะใช้ชีวิตสุขสบายไปทั้งชาติ เงินทอง ที่ดิน จากการประเมินของเขาก็มีมูลค่านับร้อยล้าน ไหนเลยจะรู้ว่าพ่อของเขาหลัวเหยียนซงจะพูดแบบนี้ออกมา ยิ่งไปกว่านั้นเขาก็ยังเข้าใจนิสัยของพ่อมากด้วย เป็นคนพูดจริงทำจริง นี่จึงทำให้เขารู้สึกอันตราย หลายปีมานี้จึงอยู่ในกฎเกณฑ์ขึ้นมาก คอยช่วยเหลือกิจการของตระกูลหลัวมาโดยตลอด แต่นิสัยดั้งเดิมก็ยากที่จะเปลี่ยน นิสัยยโสโอหังนั้นไม่เปลี่ยนแปลงไปเลย

“แม่ครับ ไม่เป็นไร พวกเราเข้าไปดูยายทวดกันก่อนเถอะ!” เย่เทียนเฉินพูดด้วยรอยยิ้ม

“แต่ว่า…”

“ไปเถอะครับแม่…”

เย่เทียนเฉินกล่าวขัดคำพูดของแม่ ดันแม่ของตนให้เข้าไปในบ้านสไตล์โบราณ การปรากฏตัวจางอวิ๋นทำให้เย่เทียนเฉินเกิดความโมโหอยู่ในใจแล้ว เพียงแต่เขาไม่ต้องการที่จะก่อเรื่อง จะอย่างไรแม่ก็ต้องรู้สึกอึดอัด และไม่ต้องการให้เขาทำแบบนี้ แต่ตอนนี้ขอแค่คนเหล่านี้ถ้าไม่มาหาเรื่องเขาก็พอ เขาก็จะไม่ใส่ใจไปสั่งสอน เขาทำเพียงเพื่อเรียกร้องความยุติธรรมคืนให้แม่เท่านั้น

หลัวเยี่ยนเองก็รู้ว่าสถานการณ์เร่งด่วนมาก ยังไงก็มาถึงประตูใหญ่แล้วจึงไม่ได้มีการลังเลอะไรอีก เพียงแต่ในใจจะมากจะน้อยก็รู้สึกลำบากใจ ผ่านไปนานหลายปีขนาดนี้แล้ว พี่ใหญ่และน้องสาวทั้งสองคนก็ยังเพ่งเล็งตนเองอยู่ ไม่รู้จริงๆ ว่าพวกเขาคิดอะไร ไม่ว่าจะอย่างไรต่างก็เป็นครอบครัวเดียวกัน ทำไมต้องกังวลมากขนาดนั้นด้วย?

เย่เทียนเฉิน หลัวเยี่ยน และมุ่งหวัง ทั้งสามเดินเข้าไปในบ้านสไตล์โบราณด้วยกัน ด้านในหมีคุณลุงของหลัวเยี่ยนจำนวนหนึ่งอยู่กับคนรุ่นเดียวกับคุณพ่อ พวกเขาต่างก็เป็นลูกสาวลูกชายของคุณย่า ย่อมต้องมาอยู่ที่นี่ในตอนที่แม่เฒ่าป่วยหนักเป็นธรรมดา

มีคนลุงคุณอาหลายคนเห็นว่าหลัวเยี่ยนกลับมาแล้ว ต่างก็ตกตะลึงอย่างมาก แต่กลับไม่ได้ขัดขวางเอาไว้ พวกเขารู้ว่าหลานสาวที่แม่เฒ่ารักมากที่สุดก็คือหลัวเยี่ยน ในช่วงเวลาสุดท้ายก่อนจะไปจากโลกนี้ คงจะต้องการเห็นหลัวเยี่ยนเป็นธรรมดา ใครก็ไม่คิดจะก่อเรื่องในสถานการณ์เช่นนี้ ถ้าทำแบบนั้นจะต้องถูกเพ่งเล็งแน่นอน

เย่เทียนเฉินมองคนที่อยู่บริเวณนี้ ต่างก็มีอายุมากกว่าแม่ของเขา เขาไม่ได้ทักทายใคร จะอย่างไรถึงแม้ว่าคนเหล่านี้จะไม่ได้ขัดขวางคุณแม่ แต่ในดวงตาจะมากจะน้อยก็มีความรู้สึกขับไล่ เชื่อว่าคนเหล่านี้จะต้องมีส่วนร่วมเรื่องที่หลัวเยี่ยนถูกไล่ออกมาจากตระกูลหลัวอย่างแน่นอน

ตระกูลใหญ่ก็มีความน่าเศร้าของตระกูลใหญ่ สิ่งที่น่าเศร้าที่สุดก็คือลูกหลานคนรุ่นหลังของตระกูลต่างก็มีใจคิดแย่งชิงสมบัติกัน สุดท้ายก็ไม่เสียดายความสัมพันธ์ฉันพี่น้อง กระทั่งสามารถหันหน้าเข้าห้ำหั่นกันได้ เรื่องเหล่านี้ไม่นับว่าเป็นเรื่องแปลกอะไรในตระกูลใหญ่

พ่อของหลัวเยี่ยนหลัวเหยียนซงเป็นหัวเรือใหญ่ของตระกูลหลัว สิ่งแรกที่เขาใคร่ครวญก็คือตำแหน่งหัวเรือใหญ่ของตระกูลนี้จะต้องส่งมอบให้กับหนึ่งในลูกชายลูกสาวทั้งสามคนของเขา ในเรื่องของการส่งมอบตำแหน่งหัวเรือใหญ่ของตระกูลใหญ่ไม่ได้แบ่งแยกชายหญิงมานานแล้ว ดูเพียงความสามารถเท่านั้น นี่จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้หลัวเยี่ยนถูกพี่ใหญ่และน้องสาวเล่นงาน หลัวเยี่ยนที่เป็นที่รัก นี่มีผลอย่างมากต่อคนที่จะได้รับตำแหน่งหัวเรือใหญ่แห่งตระกูลหลัว และยิ่งทำให้พวกเขารู้สึกว่าหลัวเยี่ยนเป็นคนที่อาจจะคุกคามพวกเขาได้มากที่สุด

ดังนั้นในตอนที่รู้ว่าหลัวเยี่ยนคบกับเย่หง และดูเหมือนจะต้องพบกับการคัดค้านของคนทั้งหมดในตระกูล จึงทำการเสริมเติมแต่ง สร้างข่าวลือแย่ๆ บอกว่าหลัวเยี่ยนตกเป็นของเย่หงเรียบร้อยแล้ว ในที่สุดก็บีบบังคับให้หลัวเยี่ยนออกไปจากตระกูลหลัว และยังทะเลาะกับหลัวเหยียนซงผู้เป็นพ่ออีกด้วย จนถึงขั้นตัดขาดความสัมพันธ์พ่อลูกกัน

ตอนนี้หลัวเยี่ยนกลับมาแล้ว กลับมาเพื่อมาดูใจแม่เฒ่าตระกูลหลัวที่ใกล้จะลาโลกนี้ไป คนส่วนใหญ่รับรู้ได้ถึงอันตราย เป็นความรู้สึกที่อันตรายยิ่งกว่าเมื่อยี่สิบปีก่อน เพราะว่าเมื่อยี่สิบปีก่อนคุณพ่อของหลัวเยี่ยนหลัวเหยียนซงยังอายุน้อย โดยปกติก็ไม่คิดที่จะมอบตำแหน่งหัวเรือใหญ่ให้ใคร แต่ยี่สิบปีผ่านมาแล้ว หลัวเหยียนซงก็แก่ลงมากแล้ว จำเป็นจะต้องใคร่ครวญถึงปัญหานี้

บางทีมีเพียงเย่หงผู้เป็นพ่อของเย่เทียนเฉินคนเดียวเท่านั้นถึงจะรู้ว่าในสิ่งที่แม้แต่เย่เทียนเฉินและเย่เชี่ยนเหวินก็ไม่รู้ นั่นก็คือหลัวเยี่ยนผู้เป็นแม่ของพวกเขาเคยเป็นผู้หญิงที่มีความสามารถมาก่อน จบการศึกษาสาขาวิชาการจัดการการเงินจากมหาวิทยาลัยหลงเถิง ตอนนั้นยังเป็นบุคคลที่มีอิทธิพลในมหาวิทยาลัยอีกด้วย เป็นผู้หญิงที่มีทั้งหน้าตาสวยงามและมีทั้งความเฉลียวฉลาด เพียงแต่หลายปีมานี้ เธอคอยสนับสนุนพ่อของเย่เทียนเฉินอยู่เบื้องหลังมาเงียบๆ โดยตลอด ทำตัวตามแบบฉบับของแม่และภรรยาที่ดี

เพราะคุณลุงคุณอาเหล่านั้นของตระกูลหลัว และยังมีพี่ชายและน้องสาวของหลัวเยี่ยนซึ่งเข้าใจว่าหลัวเยี่ยนเป็นผู้หญิงที่มีความสามารถและเฉลียวฉลาดคนหนึ่ง ถึงได้กังวลขนาดนั้น หากหลัวเยี่ยนไม่ถูกไล่ออกจากตระกูลหลัว ก็ไม่รู้ว่าจะมีอุปสรรคมากน้อยเพียงใด เช่นคุณลุงคุณอาเหล่านั้น พวกเขาย่อมไม่มีโอกาสที่จะได้เป็นหัวเรือใหญ่ของตระกูลหลัวแล้ว แต่พวกเขาก็ยังมีลูกสาวลูกชายของตนเองที่ต่อสู้แย่งชิงได้

“คุณย่า คุณย่า…หนูคือเยี่ยนเอ๋อร์ หนูกลับมาแล้ว…ย่ารู้สึกดีขึ้นไหมคะ?” หลัวเยี่ยนนั่งลงข้างเตียง กลุ่มมือขวาของแม่เฒ่าที่นอนอยู่บนเตียงเอาไว้แน่น น้ำตาไหลออกมาเต็มหน้า แต่ก็ยังพยายามเรียกด้วยน้ำเสียงยินดี

บนเตียงตรงกลางของห้องมีแม่เฒ่าที่อายุเกือบจะร้อยปีนอนอยู่ ร่างกายซูบผอมเป็นอย่างมาก สีหน้าซีดขาว ใครก็มองออกว่านี่เป็นวาระสุดท้ายของเธอแล้ว นี่ไม่ใช่การป่วยสาหัส แต่เป็นโรคชราตามธรรมชาติ อวัยวะต่างๆ เริ่มหยุดทำงาน ในทันทีที่เย่เทียนเฉินแผ่ขยายพลังพิเศษแห่งการรับรู้ออกไป เขาสามารถรับรู้ได้ถึงลมหายใจแห่งชีวิตของแม่เฒ่าค่อยๆ หย่อนลง และใกล้จะดับไฟแล้ว

“เยี่ยนเอ๋อร์…เป็นหลานจริงๆ เหรอ?” แม่เฒ่าลืมตาขึ้นอย่างอ่อนแรง ในดวงตามีความยินดีปรากฏ เธออยากที่จะลุกขึ้นนั่ง แต่กลับไม่มีเรี่ยวแรง

“เป็นหนูเองค่ะคุณย่า เป็นหนูเองเยี่ยนเอ๋อร์…หนูกลับมาแล้ว หนูกลับมาเยี่ยมคุณย่าแล้ว ย่าจะต้องไม่เป็นอะไร….” หลัวเยี่ยนอดไม่ได้ที่จะน้ำตาไหลออกมา ตัวเองก็สามารถรับรู้ได้ว่าเวลาของเธอเหลืออีกไม่นานแล้ว

จากกันไปยี่สิบปี ย่าหลานถึงจะได้พบกันอีกครั้ง แต่ก็เป็นช่วงเวลาที่ผู้สูงวัยก็ใกล้จะจากโลกนี้ไปแล้ว จะให้ไม่รู้สึกเจ็บปวดใจได้อย่างไร โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อหลัวเยี่ยนคิดไปถึงตอนเด็กๆ คุณย่ารักตัวเองมาก เลี้ยงสามพี่น้องให้เติบโตมาด้วยมือของตน และรักตัวเองมากเป็นที่สุด หลัวเยี่ยนอดไม่ได้ที่จะร้องไห้สะอึกสะอื้น นี่เป็นหญิงชราที่เมตตาคนหนึ่ง แต่ไหนแต่ไรก็ไม่เคยเย็นชากับคนในครอบครัวด้วยเรื่องความร่ำรวยความยากจน ในใจของเธอครอบครัวเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดตลอดกาล

“กลับมาก็ดีแล้ว กลับมาก็ดีแล้ว…หลายปีมานี้หลานมีความสุขดีหรือไม่?” ความจริงดวงตาของแม่เฒ่ามองได้ไม่ชัดเจนแล้ว แต่กลับยังจับมือของหลัวเยี่ยนไว้แน่นแล้วถามขึ้น

“มีความสุขค่ะ ย่าคะ หนูมีความสุขมาก!” หลัวเยี่ยนอดไม่ได้ที่จะมองไปยังหญิงชราที่หายใจอย่างยากลำบาก เอียงหัวไปด้านหนึ่งแล้วพูดขึ้น

“งะ งั้นก็ดีแล้ว…เมื่อปีนั้นย่าไม่ได้สนับสนุนหลานในทางที่ผิด เป็นผู้หญิงสิ่งที่จำเป็นก็คือผู้ชายที่รักตัวเอง จำเป็นต้องมีครอบครัวที่มีความสุข นี่สำคัญยิ่งกว่าอะไรทุกสิ่ง…” แม่เฒ่ายืนหยัดต่อไป ยืนหยัดที่จะพูดกับหลานสาวที่ตนเองรักที่สุดให้มากขึ้น

“ค่ะ คุณย่า ย่าจะต้องไม่เป็นอะไรแน่ จะต้องไม่เป็นอะไร…เดี๋ยวก็ดีขึ้น!” หลัวเยี่ยนพยักหน้า พูดออกมาด้วยรอยยิ้มที่ดูฝืนๆ บริเวณมุมปาก

แม่เฒ่าไม่ได้พูดอะไร หลับตาลง สูดหายใจลึก เธอไม่มีเรี่ยวแรงที่จะพูดอีกต่อไปแล้ว ได้เห็นหลานสาวที่ตนเองรักที่สุดในช่วงเวลาสุดท้ายก่อนที่จะจากโลกนี้ไป เธอก็พอใจมากแล้ว ยกมือขวาของตนเองขึ้นมาอย่างยากลำบาก ดูเหมือนว่าต้องการจะพูดอะไรบางอย่าง หรือไม่ก็ต้องการที่จะหยิบของบางอย่างออกมา

“คุณย่าคะ ย่าอย่าขยับเลย ไปคิดจะทำอะไรบอกเยี่ยนเอ๋อร์มาเถอะ เยี่ยนเอ๋อร์จะทำให้…” หลัวเยี่ยนพูดอย่างร้อนใจ

“ผมทราบครับแม่เฒ่า ผมทราบแล้วครับผมจะรีบกลับมา…” ในตอนนี้เอง ลุงหวังก็พูดขึ้นแล้ววิ่งออกนอกประตูไปด้วยความเร่งร้อน ดูเหมือนว่าจะไปเอาของบางอย่างออกมา

เย่เทียนเฉินมองแม่เฒ่าที่หลับตาลง หายใจอย่างหนักหน่วง และกำลังรอคอย กำลังพยายาม ต้องการที่จะทำเรื่องสุดท้ายที่เธอต้องการให้สำเร็จ มิฉะนั้นเธอก็ไม่อาบสงบใจได้

…………………………….

ถ้าลุงหวังไม่ได้ปรากฏตัวออกมา เย่เทียนเฉินจะต้องลงมือสั่งสอนพวกสุนัขเฝ้าบ้านหลายคนนั้นแล้วแน่นอน เห็นได้ชัดว่าบอดี้การ์ดเฝ้าบ้านเหล่านี้เป็นสุนัขที่เหยียดหยามคน รวมกับที่ไม่ยอมช่วยแม่ของตน คนที่เคยเป็นคุณหนูตระกูลหลัว ตอนนี้ถึงกลับไม่สามารถเข้าไปได้แม้แต่รั้วบ้านของตระกูล มีช่างเป็นการเสียดสีมากจริงๆ เย่เทียนเฉินคิดว่าจะไม่สนใจ แต่ตอนนี้เขาไม่สามารถปล่อยให้พ่อแม่และน้องสาวได้รับความอยุติธรรมแม้แต่น้อย โดยเฉพาะยิ่งไม่สามารถปล่อยให้ถูกคนน่ารังเกียจเหล่านี้รังแกได้โดยเด็ดขาด

โชคดีที่ลุงหวังปรากฏตัวได้ทันเวลา และพาหลัวเยี่ยนและเย่เทียนเฉินเข้าไปในตระกูลหลัว มิฉะนั้นจะต้องหลีกเลี่ยงการต่อสู้ไม่ได้แน่นอน พูดให้ชัดเจนก็คือเย่เทียนเฉินจะต้องอัดคนแน่

“คุณหนูครับ คุณไม่ได้กลับบ้านมาหลายปีแล้ว ลองดูการตกแต่งรอบๆ สิครับ ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงไปเลย!” ลุงหวังเป็นคนซื่อตรง พูดกับหลัวเยี่ยนด้วยรอยยิ้ม

หลัวเยี่ยนมองไปรอบๆ ไม่ได้กลับมาบ้านตระกูลหลัวยี่สิบ ปีแล้ว ที่นี่เคยเป็นสถานที่ที่เธอใช้ชีวิตอยู่ และกล่าวได้ว่าเป็นบ้านหลังแรกของเธอ ความรู้สึกย่อมลึกล้ำเป็นธรรมดา ต้นหญ้าทุกต้นต้นไม้ทุกต้นต่างก็ให้ความรู้สึกคุ้นเคยเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะศาลาเล็กๆ บริเวณไม่ไกลนั้น เมื่อหลัวเยี่ยนเห็นก็อดไม่ได้ที่จะชะงักไป

ภายในคฤหาสน์ตระกูลหลัว เมื่อมองไปก็สามารถพูดได้ว่ายิ่งใหญ่มีแบบแผน มีสิ่งปลูกสร้างทันสมัยมากมาย ต่อให้เมื่อก่อนจะมีบ้านแบบโบราณของเมืองหลวงล้อมรอบสิ่งปลูกสร้างในยุคปัจจุบันอยู่มาก มีเพียงศาลาเล็กๆ แห่งเดียวเท่านั้นที่เห็นได้ชัดเจน ทั้งหมดต่างใช้หินและกระเบื้องทำขึ้นมา เมื่อเทียบกับสิ่งปลูกสร้างอันยิ่งใหญ่ตระการตารอบๆ แล้ว ดูโทรมลงมาก แต่ก็ยังรักษาเอาไว้ได้ คิดว่าจะต้องมีความหมายอันลึกซึ้งอะไรอยู่แน่นอน

“ศาลานี้…” หลัวเยี่ยนอดไม่ได้ที่จะเอ่ยปาก

“เป็นแม่เฒ่าที่ยืนหยัดให้รักษาเอาไว้ ท่านกล่าวว่าตอนคุณหนูเด็กๆ มักจะจูงท่านมาเล่นที่นี่ คุณไม่อยู่ในตระกูลหลัวแล้ว ทุกวันท่านก็จะมานั่งเล่นที่นี่ คิดถึงคุณหนูตอนเด็กๆ นับว่ามีความคิดถึงคุณแล้ว!” ลุงหวังพูดถึงตรงนี้ก็อดไม่ได้ที่จะปวดใจ

หลัวเยี่ยนกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่ได้อีก คุณแม่ของเธอจากโลกนี้ไปแล้วคุณพ่อก็กลายเป็นหัวเรือใหญ่แห่งตระกูลหลัว ทุกวันต่างก็ยุ่งมาก ไหนเลยจะมีเวลามาสนใจเธอ มีเพียงคุณย่าคนเดียวที่ดูแลเธอจนเติบใหญ่ ใส่ใจเธอ รักและปกป้องเธอ

เย่เทียนเฉินที่ยืนอยู่ด้านข้างเองก็รู้สึกหวั่นไหว เมื่อได้ยินคำพูดของลุงหวัง ต่อให้แต่ไหนแต่ไรมาก็ไม่เคยได้พบกับคุณยายทวดมาก่อน แต่ก็สามารถจินตนาการได้เลยว่า จะต้องเป็นหญิงชราที่ใจดีและเมตตาคนนึงแน่นอน ให้ความสำคัญกับความรักของครอบครัว ผู้สูงอายุแบบนี้อยู่กับความเป็นจริง เป็นคนที่น่านับถือ

“แม่ครับ พวกเรารีบเดินเถอะ ไปเยี่ยมคุณยายทวดกัน!” เย่เทียนเฉินมองหลัวเยี่ยนที่หันหลังให้เขากับลุงหวังและกำลังเช็ดน้ำตาอยู่ เย่เทียนเฉินจะอดไม่ได้ที่จะพูดเตือนขึ้นเสียงเบา

“อืม!” หลัวเยี่ยนพยักหน้า เช็ดน้ำตาที่ไหลออกมา เดินตามหลังลุงหวังมุ่งหน้าไปยังบ้านที่มีคุณยายทวดอาศัยอยู่ด้วยความรวดเร็ว

หลัวเยี่ยนมองลุงหวังที่เดินอยู่ด้านหน้าสุด มือเท้าคดงอไปหมดแล้ว จึงทำให้อดไม่ได้ที่จะรู้สึกปวดใจแทนเฒ่าชราคนนี้ จากลากันไปยี่สิบปีแล้ว ในตอนที่เธอยังอยู่ในบ้านตระกูลหลัว ลุงหวังดีกับเธอมาก และยังแอบเปิดประตูให้เธอ ทำให้เธอได้ไปตามนัดที่นัดเอาไว้กับเย่หงผู้เป็นพ่อของเย่เทียนเฉิน เป็นผู้สูงวัยที่ดีมากคนนึง

“ลุงหวัง คนนี้คือลูกชายของหนูชื่อว่าเทียนเฉิน…” หลัวเยี่ยนแนะนำให้ลุงหวังด้วยรอยยิ้ม

“คุณชายน้อยดูเป็นคนมีความสามารถ ได้เห็นคุณชายน้อยก็เหมือนได้เห็นคุณหนู จะต้องเป็นผู้มีวาสนาแน่นอน!” ลุงหวังมองเย่เทียนเฉิน พูดออกมาด้วยรอยยิ้มชื่นชม

“ปู่หวัง สวัสดีครับ!” เย่เทียนเฉินเองก็พยักหน้าให้อย่างมีมารยาท

“รับไม่ไหวหรอกครับ คุณชายน้อยคุณเรียกผมว่าลุงหวังก็พอแล้ว ทุกคนต่างก็เรียกผมแบบนี้กันทั้งนั้น!” ลุงหวังตกใจจนพูดเป็นพัลวัน

เย่เทียนเฉินรับรู้ได้ว่า ลุงหวังเป็นคนรับใช้ของตระกูลหลัว แม้ว่าต่อหน้าของผู้อื่นเขาจะเป็นผู้จัดการทั่วไปตระกูลหลัวที่มีศักดิ์มีศรีอย่างมาก แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าญาติมิตรของคนตระกูลหลัว เกรงว่าคงได้รับความลำบากไม่น้อย เพราะว่าบนทางที่เดินผ่านมา เย่เทียนเฉินได้ยินแม่พูดถึงเรื่องของคนในตระกูลหลัวอยู่บ้าง รู้ว่าคนเหล่านี้ยโสโอหัง หากไม่ใช่ว่าตระกูลหลัวมีคำสั่งสอนของบรรพบุรุษว่า ปฏิบัติต่อคนให้ค้อมต่ำ ปฏิบัติงานให้ทะยานสูง เกรงว่าลูกหลานรุ่นหลังเหล่านี้คงบินไปสวรรค์นานแล้ว

“ลุงหวัง ขาของคุณเป็นอะไรไปคะ?” หลัวเยี่ยนอดไม่ได้ที่จะถามอย่างใส่ใจ

“อ้อ ไม่เป็นไร ไม่เป็นไรครับ…ผมล้มโดยไม่ทันระวังเท่านั้นเอง แก่แล้ว ใช้ประโยชน์อะไรไม่ค่อยได้ ฮ่าๆ!” ลุงหวังพูดแล้วหัวเราะออกมาอย่างขมขื่น เห็นได้ชัดว่ามีเรื่องปิดบัง ไม่เต็มใจที่จะบอกหลัวเยี่ยน

เมื่อเห็นลุงหวังไม่เต็มใจพูด หลัวเยี่ยนก็ไม่ได้ถามมาก ตอนนี้ที่สำคัญที่สุดก็คือไปเจอคุณย่า ไม่รู้ว่าแม่เฒ่าจะยังรอตัวเองอยู่หรือไม่

“คุณหนูถึงแล้วครับ หลังจากที่คุณไปจากตระกูลหลัว แม่เฒ่าก็ย้ายมาอยู่ที่นี่ ท่านบอกว่าท่านชอบอยู่เงียบๆ คนเดียวมากกว่า!” ลุงหวังหยุดอยู่เบื้องหน้าบ้านหลังเก่าแห่งหนึ่ง

เมื่อคนเราแก่ตัวลงก็มักจะนึกถึงความทรงจำเก่าๆ อาลัยอาวรณ์กับสิ่งของเดิมๆ ก็เหมือนกับความรู้สึกที่มีต่อหลัวเยี่ยน แม่เฒ่าตระกูลหลัวคิดถึงมาโดยตลอด เพียงแต่หลานสาวโตแล้ว ส่วนเธอเองก็แก่แล้ว ไม่สามารถไปวุ่นวายอะไรได้มากมาย คิดที่จะได้พบหน้าหลัวเยี่ยนสักครั้งเท่านั้น อยากจะเห็นว่าเธอใช้ชีวิตอย่างมีความสุขนั่นก็เพียงพอแล้ว

“พวกเราเข้าไปกันเถอะ!” หลัวเยี่ยนหันไปมองเย่เทียนเฉินแล้วพูดขึ้น

ไหนเลยจะรู้ว่า ในตอนที่หลัวเยี่ยน เย่เทียนเฉิน และลุงหวัง เตรียมที่จะเดินเข้าไปในบ้านสไตล์โบราณแห่งนี้ รถออร์ดี้คันนึงก็มาขวางเอาไว้เบื้องหน้าพวกเขา ชายวัยรุ่นคนหนึ่งลงมาจากรถ อายุประมาณยี่สิบกว่าปี สวมเสื้อผ้าแบรนด์เนมทั้งตัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งนาฬิกาที่เขาสวมบนมือขวา อย่างน้อยก็มีค่าเป็นล้าน เชื่อว่าต้องทำให้คนธรรมดาตกใจจนอ้าปากค้างแน่นอน

“ไอ้แก่หวัง สองคนนี้เป็นใคร? ไม่รู้หรือไงว่าคุณยายทวดของฉันป่วยอยู่ ไม่อนุญาตให้ไอ้พวกว่างงานเข้าไป?” ชายวัยรุ่นคนนี้มองเย่เทียนเฉินและหลัวเยี่ยนอย่างไม่สบอารมณ์แล้วพูดขึ้น

“คุณชายอวิ๋น คนคนนี้คือหลัวเยี่ยน เป็นย่าของคุณ ได้ยินว่าแม่เฒ่าป่วยเลยมาดู กลับมาเยี่ยมท่านโดยเฉพาะ!” ลุงหวังพูดด้วยรอยยิ้ม

เมื่อได้ยินคำพูดของลุงหวัง คุณชายอวิ๋นผู้นี้ก็เดินมาเบื้องหน้าเย่เทียนเฉินและหลัวเยี่ยนอย่างวางมาด ใช้สายตาดูถูกมองไปยังพวกเขา จากนั้นก็ทำท่าทางยิ่งใหญ่ออกมา พูดอย่างนึกสนุกกว่า “หลัวเยี่ยน? ฉันเคยได้ยินแม่ของฉันพูดถึงคนคนนี้มาก่อน นี่ไม่ใช่คนที่ตายไปจากพวกเราตลอดกาลหรอกเหรอ? ทำไมยังวิ่งกลับมาที่ตระกูลหลัวอีก? ไอ้ยามเฝ้าบ้านพวกนั้นก็จริงๆ เลย ไม่ว่าใครก็ปล่อยเข้ามาด้านในทั้งหมด ไม่รู้หรือไงว่าตระกูลหลัวกลัวจะถูกคนอื่นทำให้สกปรกมากที่สุด?”

เย่เทียนเฉินขมวดคิ้ว ทันใดนั้นพลันเกิดความต้องการที่จะเดินเข้าไปสั่งสอนเจ้าลูกหลานรุ่นสองของตระกูลคนนี้ขึ้นมา เขาไม่สนใจว่าไอ้ปากหมานี้เป็นใคร มีฐานะอะไรในตระกูลหลัว แต่ถ้ามารังแกแม่ของเขา ในสายตาของเย่เทียนเฉินคนคนนี้สมควรตายแล้ว

“เทียนเฉิน…เทียนเฉิน…” หลัวเยี่ยนขวางเอาไว้เบื้องหน้าลูกชายในพริบตา เธอไม่อยากให้เกิดเรื่องอะไรที่นี่ โดยเฉพาะตอนนี้ที่คุณย่ากำลังป่วยนะ เธอต้องการรีบเข้าไปดูคุณย่าเป็นครั้งสุดท้าย ส่วนชายวัยรุ่นตรงหน้าก็สามารถรู้ได้จากคำพูดของลุงหวังว่า เขาเป็นหลานชายคนหนึ่งในตระกูล เป็นลูกชายของน้องสาวของเธอชื่อว่าจางอวิ๋น

“แกคิดจะทำอะไร? จะอัดฉันเหรอ? เบื่อชีวิตแล้วหรือไง? ไอ้เดรัจฉานน้อย!” จางอวิ๋นชี้ไปที่เย่เทียนเฉินอย่างโอหังและเอาแต่ใจ

“เอาอย่างนี้เถอะ นายก็ไปบอกแม่ของนาย บอกว่าพี่สาวของเธอซึ่งเป็นหลานสาวคนโตของตระกูลกลับมาแล้ว ให้พวกเขามาคารวะซะ!” เย่เทียนเฉินรู้ว่าแม่ไม่ยอมให้เขาลงมือแน่ ดังนั้นจึงมองจางอวิ๋นอย่างเย็นชาแล้วพูดขึ้น

“แก…แกะนับเป็นตัวอะไรได้ มาพูดกับฉันแบบนี้ ระวังจะตาย!” จางอวิ๋นมองเย่เทียนเฉินแล้วพูดขึ้นด้วยท่าทางขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน

จางอวิ๋นคิดไม่ถึงเลยว่า เย่เทียนเฉินจะกล้าพูดกับเขาแบบนี้ทั้งๆ ที่อยู่ในตระกูลหลัว จะไม่รู้สึกอับอายเลยสักนิดได้อย่างไร เดิมทีหลังจากที่จางอวิ๋นรู้ว่าคนคนนี้ก็คือหลัวเยี่ยน ก็ไม่เคยคิดว่าเป็นย่าของเขาเลย มารยาทที่ผู้น้อยควรจะทำต่อผู้ใหญ่ห็ไม่มี กลับคิดว่าเป็นการอับอาย ทางที่ดีรีบไล่พวกเขาออกไปจากตระกูลหลัวจะดีกว่า

เนื่องจากแม่ของเขาซึ่งก็คือหลัวชิง ซึ่งเป็นน้องสาวของหลัวเยี่ยน ตั้งแต่เด็กก็เป็นคนเห็นแก่ตัว เป็นคนจิตใจคับแคบ ยิ่งไปกว่านั้นก็ไม่เคยเชื่อฟัง รู้จักแค่ก่อเรื่องเท่านั้น ดังนั้นในตอนนั้นหลายคนในตระกูลจึงได้รักใคร่หลัวเยี่ยน โดยเฉพาะคุณยายทวดที่รักหลัวเยี่ยนที่สุด นี่ทำให้หลัวชิงเกลียดชังอยู่ในใจมาตั้งแต่เด็ก จึงมักจะลงเมืองกับหลัวเยี่ยนอยู่บ่อยครั้ง หลัวเยี่ยนเองก็ไม่เคยคิดเล็กคิดน้อย จะอย่างไรก็เป็นน้องสาว เมื่อปีนั้นที่ถูกไล่ออกจากตระกูลหลัว ย่อมมีแผนการของน้องสาวหลัวชิงอยู่ด้วย เพียงแต่หลัวเยี่ยนไม่เคยเก็บมาใส่ใจ

“ไปเรียกแม่ของแกมาคารวะเถอะ ไม่เช่นนั้นแกคนเดียวไม่มีทางออกไปจากตระกูลหลัวได้หรอก!” เย่เทียนเฉินพูดอย่างเรียบเฉย

“แก…”

จางอวิ๋นโกรธจนปอดแทบระเบิด ตลอดมาเขาก็วางอำนาจบาตรใหญ่กับพี่น้องรุ่นเดียวกับเขามาโดยตลอด และต่างก็ไม่มีใครกล้าหาเรื่องเขา เนื่องจากเย่เทียนเฉินเดิมทีก็เป็นหลานชายคนโตของตระกูลหลัว แต่ไม่ได้อยู่ในตระกูล ดังนั้นจางอวิ๋นจึงเป็นหลานคนโตสุด รวมกับที่อำนาจของตระกูลหลัวยิ่งใหญ่มาก ถึงแม้ว่าพ่อของหลัวเยี่ยนซึ่งเป็นคุณปู่ของเย่เทียนเฉินจะเชื่อฟังและส่งเสริมคำสั่งสอนของบรรพบุรุษและเข้มงวดกับคนรุ่นหลังเป็นอย่างมาก แต่ก็เป็นเรื่องของรุ่นก่อนก่อน ที่ไม่สามารถดูแลได้มากมายขนาดนั้น

“ไสหัวไป!” ทันใดนั้นเย่เทียนเฉินตะโกนออกมา ทำให้จางอวิ๋นอดไม่ได้ที่จะถอยหลังไป จนเกือบจะชนเข้ากับรถ โกรธจนหน้าแดงก่ำ

“ไอ้แก่หวัง ฉันขอสั่งแก ระ รีบไล่แม่ลูกคู่นี้ออกไปจากตระกูลหลัวซะ…ไม่นั้นงั้นฉันก็จะให้แม่ของฉันมาตีขาสุนัขแกให้หักอีกข้าง!” จางอวิ๋นตกลงสั่งกับลุงหวัง

พลั่ก!

ทนได้ก็ทนทนไม่ได้ก็ไม่ต้องทน เย่เทียนเฉินตบไปครั้งหนึ่ง ตบลงบนใบหน้าของจางอวิ๋นอย่างรุนแรงจนเขาปลิวออกไป เมื่อครู่นี้เย่เทียนเฉินอยากจะลงมือมาก หากไม่ใช่ว่าแม่ขวางเอาไว้ด้วยกลัวว่าคุณยายทวดได้ยินแล้วจะส่งผลกระทบจะกระทบกับคุณยายทวด เย่เทียนเฉินก็คงลงมือแล้ว ตอนนี้เห็นจางอวิ๋นด่ากราดลุงหวังที่มีอายุมากพอที่จะเป็นปู่ของเขา และยังได้รู้ว่าขาของลุงหวังพิการก็เพราะแม่ของไอ้สัตว์นรกตัวนี้เป็นผู้กระทำ เย่เทียนเฉินจะไม่ทนอีกต่อไป

“แก…แกกล้าตีฉัน…” จางอวิ๋นตกใจจนตะลึง จะอย่างไรเย่เทียนเฉินก็คิดไม่ถึงว่าเย่เทียนเฉินจะกล้าลงมือกับตัวเอง ตัวเองเป็นคุณชายของตระกูลหลัว แต่ไหนแต่ไรก็ไม่เคยมีใครกล้าลงมือกับเขา

“ฉันขอเตือนให้แกไสหัวไปซะ สหัวไปได้ไกลเท่าไหร่ยิ่งดี ตอนนี้ฉันแค่ตบแกเท่านั้น อย่าบังคับให้ฉันต้องฆ่าแก…” เย่เทียนเฉินไม่ได้ล้อเล่น เขามองไปยังจางอวิ๋นอย่างเย็นชาแล้วพูดขึ้น

……………………………..

เย่เทียนเฉินเองก็คิดไม่ถึงว่า ที่หลายปีมานี้หลัวเยี่ยนไม่เคยพูดถึงตระกูลเดิมเลยนั้น เป็นเพราะการแต่งงานกับเย่หงเมื่อปีนั้น ทำให้เกิดการคัดค้านของคนตระกูลหลัว และยังบีบบังคับหลัวเยี่ยนจนต้องทะเลาะกับพ่อของเธอ แล้วตัดขาดความสัมพันธ์พ่อลูกกัน ทั้งยังถูกไล่ออกมาจากตระกูลหลัว เชื่อว่าใบปีนั้นหลัวเยี่ยนและเย่หงผู้เป็นพ่อของเย่เทียนเฉินจะต้องได้รับความอัปยศจากเหล่าพี่น้องและคุณลุงคุณอาของหลัวเยี่ยนไม่หยุดหย่อนแน่นอน นั่นเป็นสถานที่แห่งความทรงจำที่หลัวเยี่ยนและเย่หงไม่ต้องการที่จะกลับไป

วันนี้คุณย่าของหลัวเยี่ยนซึ่งก็คือคุณยายทวดของเย่เทียนเฉินป่วยหนัก แทบจะเป็นวาระสุดท้าย ในตอนที่เผชิญหน้ากับความตายจึงคิดที่จะเห็นหน้าหลานสาวที่รักที่สุดของตนเองสักครั้ง คิดถึงหลัวเยี่ยนที่ออกไปจากตระกูลหลัว ยี่สิบปีแล้วที่เธอไม่ได้กลับไป มีเพียงทุกวันเกิดของคุณย่าเท่านั้นถึงจะโทรกลับไป และมีเพียงช่วงเวลาแบบนี้ที่คนตระกูลหลัวจะไม่อาจขวางเอาไว้ได้ และไม่สามารถพูดจาเสียดสีเหยียดหยามหลัวเยี่ยนได้ เพราะพวกเขาไม่กล้าทำให้คุณย่าไม่พอใจในช่วงเวลาแบบนี้

จินตนาการได้เลยว่า หญิงชราคนหนึ่งเมื่อถึงเวลาที่ใกล้จะสิ้นแสง หลานสาวที่รักที่สุดซึ่งไม่ได้พบหน้ามายี่สิบปี สามารถทำได้เพียงคิดถึงอยู่ในใจ สามารถโทรคุยกันได้ไม่กี่ประโยคในวันเกิด ในใจจะเจ็บปวดขนาดไหน? ตอนนี้หากต้องจากโลกนี้ไป ก็ต้องการที่จะเห็นความหวังนั้นอีกครั้ง นี่มากพอที่จะทำให้ผู้อื่นซาบซึ้ง

หลัวเยี่ยนย่อมอยากที่จะไปตระกูลหลัวในตอนนี้อยู่แล้ว เพื่อไปเห็นวาระสุดท้ายของคุณยายทวด แต่กลับกลัวว่าจะถูกขวางเอาไว้ที่หน้าประตูตระกูลหลัว เธอไม่ได้กลัวว่าตนเองจะถูกพี่น้องเยาะเย้ย แต่กลัวว่าจะอดไม่ได้จนร้องไห้ออกมา จะทนไม่ไหวจนต้องตะโกนออกมา เพราะสิ่งที่เธอกลัวที่สุดก็คือรับรู้ได้ว่าคุณย่าอยากจะพบตนเองเป็นที่สุดแต่กลับไม่สามารถเอ่ยปากออกมาได้ และยังต้องได้ยินการทะเลาะของเธอกับพี่น้องคนอื่นๆ อีก แบบนั้นจะปวดใจมาก

ตระกูลหลัว เย่เทียนเฉินก็เคยได้ยินมาก่อน จะอย่างไรตอนนี้ตำแหน่งของเขาก็สูงขึ้นไม่หยุด เพียงแต่ว่าสิ่งที่ทำให้เย่เทียนเฉินคิดไม่ถึงก็คือ หลัวเยี่ยนผู้เป็นแม่ถึงกับมีความสัมพันธ์กับตระกูลที่มีอำนาจมากขนาดนี้ด้วย และยังเป็นคนของตระกูลหลัว นี่จะทำให้ผู้คนมากน้อยแค่ไหนตกตะลึงกัน

ภายในเมืองหลวงมีอำนาจและตระกูลใหญ่อยู่มากมาย ตระกูลหลัวเองก็เป็นหนึ่งในนั้น สามารถกล่าวได้ว่าตระกูลหลัวนับได้ว่าเป็นตระกูลที่อยู่ในระดับต้นๆ ของเมืองหลวงแล้ว เพราะว่าตระกูลหลัวมีคนใหญ่คนโตมากมาย ไม่ว่าจะเป็นทางด้านการเมือง ด้านการทหาร ด้านเศรษฐกิจ หรือว่าจะเป็นกรมกองสำคัญอื่นๆ ของประเทศ ต่างก็มีคนของตระกูลหลัวอยู่ แน่นอนว่านี่เป็นประโยชน์จากผู้อาวุโสตระกูลหลัวที่ได้กลายเป็นผู้ช่วยอันดับสองของผู้นำที่เป็นดังพี่น้องร่วมเป็นตายหลังก่อตั้งประเทศ จึงเป็นรากฐานให้ลูกหลานรุ่นต่อมาได้เป็นอย่างดี ส่วนคุณพ่อของหลัวเยี่ยน ซึ่งก็คือคนตาของเย่เทียนเฉิน ก็มีความมุมานะอย่างมาก ทำให้อำนาจในแต่ละด้านของตระกูลหลัวมีความมั่นคงมากและทำให้ตระกูลหลัวกลายเป็นตระกูลที่ไม่เคยตกต่ำมานานในรอบร้อยปี

เย่เทียนเฉินขับรถโฟล์คของตระกูลเย่ พาหลัวเยี่ยนไปที่ตระกูลหลัว ไม่ว่าจะอย่างไรสุดท้ายหลัวเยี่ยนก็ยังตัดสินใจว่าจะต้องกลับไปเห็นหน้าคุณย่าสักครั้ง ตั้งแต่เล็กจนโตคุณย่าก็รักเธอที่สุด เพราะแม่ของหลัวเยี่ยนจากไปเร็ว เรียกได้ว่าคุณย่าเลี้ยงดูเธอมาจนเติบใหญ่ และมีความรู้สึกไม่เปลี่ยนแปลง รวมกับที่ไม่ได้เจอกันยี่สิบปีแล้ว จึงทำให้คิดถึงมากยิ่งขึ้น

“แม่ครับ แม่อย่ากังวลไปเลย มีลูกอยู่ รับประกันได้เลยว่าแม่จะต้องได้เจอคุณยายทวดแน่!” เย่เทียนเฉินพูดปลอบใจผู้เป็นแม่ด้วยรอยยิ้ม

“เทียนเฉิน หลังจากที่ไปถึงตระกูลหลัวแล้ว แม่จะเจรจากับพวกเขาก่อน ลูกก็อย่า…” หลัวเยี่ยนรู้ว่าลูกชายของตนเองเปลี่ยนไปแล้ว แล้วกลัวว่าลูกชายจะลงมือบุ่มบ่ามที่ตระกูลหลัว ถ้าเป็นแบบนั้นคงทำให้เธอไม่มีหวังที่จะได้เจอคุณย่าของเธอ เพราะว่าเธอเข้าใจพี่น้องเหล่านั้นของตัวเองเป็นอย่างดี แต่ละคนยโสโอหัง เป็นพวกไม่สนใจโลกอย่างแท้จริง

“วางใจเถอะครับแม่ ผมเป็นคนมีเหตุผลมาก…” เย่เทียนเฉินพูดแล้วหัวเราะฮี่ๆ แต่ยังมีประโยคหลังที่ไม่ได้พูดออกมานั่นก็คือ เตือนผู้อื่นด้วยเถอะว่าให้มีเหตุผลกับผมด้วย

ครั้งนี้เย่เทียนเฉินสนับสนุนให้หลัวเยี่ยนผู้เป็นแม่กลับมาที่ตระกูลหลัวเพื่อมาดูหน้าคุณยายทวดของเขาเป็นครั้งสุดท้าย นี่ไม่ได้หมายความว่าเขาคิดถึงความอัปยศที่ผู้เป็นแม่ได้รับมาก่อนหน้านี้จากตระกูลหลัว วันนี้เขาที่เป็นหลานชายต้องการจะกลับไป ไม่ว่าจะอย่างไรนี่ก็เป็นตระกูลเดิมของแม่ เป็นสถานที่ที่แม่มีชีวิตและเติบโตมา จะต้องมีความรู้สึกมากมาย เพียงแต่หลักการของความเป็นมนุษย์ของเย่เทียนเฉินก็คือ คุณไม่หาเรื่องผมผมก็ไม่หาเรื่องคุณ หากคุณหาเรื่องผมผมก็จะฆ่าคุณ ถึงแม้ว่าจะไม่ได้ปฏิบัติแบบนี้กับคนตระกูลหลัว แต่ก็อยากจะเห็นว่าพวกเขาจะตัดสินใจให้แม่ของตนได้พบกับคุณยายทวดหรือไม่

ระหว่างทาง เย่เทียนเฉินขับรถเร็วมาก ถึงแม้ว่าแม่ที่นั่งอยู่ในตำแหน่งที่นั่งข้างคนขับไม่ได้พูดอะไร แต่เขากลับมองออกว่าแม่ร้อนใจมาก กลัวว่าจะไปไม่ทันได้เห็นหน้าคุณยายทวดเป็นครั้งสุดท้าย

ประมาณสองชั่วโมงต่อมา ในที่สุดเย่เทียนเฉินก็จอดรถตรงหน้าประตูคฤหาสน์ตระกูลหลัว ไม่กล่าวไม่ได้ว่าในเมืองหลวงรถติดมากจริงๆ ติดแบบไม่ธรรมดาเลยทีเดียว

ในตอนที่เย่เทียนเฉินจอดรถและเดินออกมาด้วยกันกับแม่ ก็ถูกสถานการณ์ตรงหน้าทำเอาตกตะลึง เพราะไม่เสียทีที่ตระกูลหลัวเป็นตระกูลที่โดดเด่นในทุกด้าน คฤหาสน์ตระกูลหลัวอย่างน้อยก็มีเนื้อที่หลายพันเอเคอร์ สิ่งปลูกสร้างทั้งหมดต่างก็เป็นสไตล์โบราณ เป็นเหมือนกับเรือนโบราณที่มีลานอยู่ในบ้านของเมืองหลวงประเภทนั้น คฤหาสน์ตระกูลหลัวประกอบขึ้นจากเรือนต่างๆ ที่ล้อมกันเป็นหนึ่ง ด้านในมีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน ทั้งสระว่ายน้ำ สนามบาส สนามเทนนิสเป็นต้น เกรงว่าคนที่เข้ามาเป็นครั้งแรกคงจะต้องหลงทางแน่นอน

“พวกเราเข้าไปกันเถอะ!” หลัวเยี่ยนมองไปยังประตูตระกูลหลัว ไม่ได้กลับมายี่สิบปีแล้ว ครั้งนี้ที่กลับมาก็เพื่อคุณย่า เป็นครั้งแรกที่พาลูกชายกลับตระกูลเดิม ค่อนข้างที่จะประหม่าอยู่บ้าง

ไม่ต้องพูดถึงตระกูลใหญ่อย่างตระกูลหลัว ต่อให้เป็นครอบครัวของคนธรรมดาทั่วไป เมื่อหลานสาวกลับบ้านพ่อแม่จะต้องออกมาต้อนรับที่ประตูและยิ้มไม่หุบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าพาลูกมาด้วย ก็จะยิ่งเพิ่มความรักและเอ็นดู มีเพียงหลัวเยี่ยนและเย่เทียนเฉินเท่านั้นที่ไม่ต้องการ

เย่เทียนเฉินเดินตามหลังหลัวเยี่ยน ในตอนนี้เขารู้สึกว่าอารมณ์ของหลัวเยี่ยนค่อนข้างเคร่งขรึม จึงไม่ได้พูดอะไรออกไป หวังเพียงว่าจะสามารถเข้าไปในตระกูลหลัวได้อย่างราบรื่น เพื่อที่จะไปดูหน้าคุณยายทวดเป็นครั้งสุดท้าย จากนั้นก็จะจากมา ทางที่ดีควรจะเป็นเช่นนี้ คนตระกูลหลัวอย่าได้บีบบังคับให้เขาต้องลงมือเลย

“พวกคุณสองคนเป็นใคร ที่นี่เป็นคฤหาสน์ตระกูลหลัว ไม่อนุญาตให้คนนอกเข้าไป!”

เรื่องมันผ่านมายี่สิบปีแล้ว ยามเฝ้าประตูของตระกูลหลัวก็ไม่รู้ว่าเปลี่ยนไปแล้วกี่คน บอดี้การ์ดชั้นยอดที่อายุน้อยเหล่านี้คงไม่รู้จักหลัวเยี่ยนและเย่เทียนเฉิน ซึ่งก็เป็นเรื่องธรรมดา เพียงแต่ที่ทำให้รู้สึกไม่พอใจก็คือ จากคำพูดของบอดี้การ์ดชั้นยอดเหล่านี้สามารถเห็นได้ว่า คนธรรมดาทั่วไปไม่สามารถเข้าไปในคฤหาสน์ตระกูลหลัวได้ ไม่รู้จริงๆ ว่าจะโอหังไปถึงไหนถึงได้รับยามแบบนี้มา

“สวัสดีค่ะ ฉันชื่อว่าหลัวเยี่ยน ได้ยินว่าแม่เฒ่าตระกูลหลัวป่วยหนัก ฉันจึงคิดจะเข้าไปเจอหน้าท่านเป็นครั้งสุดท้าย!” หลัวเยี่ยนพูดด้วยรอยยิ้ม

“หลัวเยี่ยน? ไม่เคยได้ยินมาก่อน รีบไปซะเถอะ คฤหาสน์ตระกูลหลัวไม่ใช่ว่าใครก็เข้าไปได้ แม่เฒ่าหลัวก็ไม่ใช่คนที่ใครก็สามารถพบได้!” บอดี้การ์ดชั้นยอดอีกคนหนึ่งพูดอย่างไม่สบอารมณ์

ตอนนี้เอง เย่เทียนเฉินก็รู้สึกทนไม่ไหว เขากำหมัดแน่น สาเหตุก็เพราะประการแรกเขามองออกว่าสุนัขเฝ้าบ้านหลายคนนี้คงไม่ยอมให้เขาและแม่เข้าไป ประการที่สองเพราะเห็นได้ชัดว่าบอดี้การ์ดหลายคนนี้ ตัดสินพวกเขาจากการแต่งตัว และรถที่ใช้ จึงได้ไม่ไว้หน้ากันเลยแม้แต่น้อย ประจบสอพลอคนใหญ่คนโตและรังแกคนอ่อนแอกว่าจริงๆ

“แม่ครับ คุณพวกนี้จะนิสัยไม่ดีเกินไปแล้ว ให้ผมสั่งสอนพวกเขาสักหน่อยเถอะ!” เย่เทียนเฉินพูดเสียงเบา

“ไม่ต้องหรอก พวกเขามีหน้าที่ดูแลตระกูลหลัว เคยเจอแต่คนใหญ่คนโตระดับสูงงามสง่าต่างกับพวกเรามาก ถ้าจะทำตัวประจบสอพลอคนใหญ่คนโตและดูหมิ่นคนอ่อนแอก็เป็นเรื่องปกติ พวกเราพูดกับพวกเขาสักหน่อยเถอะ!” หลัวเยี่ยนไม่อยากจะก่อเรื่อง จะอย่างไรนี่ก็เคยเป็นบ้านของเธอ เพียงแค่อยากจะเจอหน้าคุณย่าเท่านั้น จากนั้นก็จะจากไปจบเท่านี้

“ผมว่าไอ้พวกสุนัขเหล่านี้มันคงไม่ให้พวกเราเข้าไปแน่ ให้ผมสั่งสอนสักหน่อยเถอะ…”

เย่เทียนเฉินรู้ว่าหลัวเยี่ยนใจดี แต่เขาไม่ใช่คนดีอะไร สิ่งที่ทนเห็นไม่ได้ที่สุดก็คือพวกสุนัขที่ประจบสอพลอคนใหญ่คนโตและดูหมิ่นคนจน ยิ่งไปกว่านั้นแม่ของตนก็เรียกได้ว่าเป็นคุณหนูสูงศักดิ์ของตระกูลหลัว ตอนนี้กระทั่งประตูบ้านของตระกูลหลัวก็ยังเข้าไปไม่ได้ จะมากจะน้อยก็ทำให้เย่เทียนเฉินรู้สึกโกรธเคือง ในเมื่อเขามาเกิดใหม่ ในเมื่อเขามีครอบครัวที่อบอุ่น ก็จะไม่ยอมให้พ่อแม่และน้องสาวของตัวเองต้องได้รับความอยุติธรรมแม้แต่ครึ่งสวน

“คิดจะทำอะไร?” บอดี้การ์ดที่พูดขึ้นมาเป็นคนแรกเห็นว่าเย่เทียนเฉินเดินเข้ามา จึงอดไม่ได้ที่จะจับกระบองที่เหน็บไว้ที่เอว

“ไม่ได้ทำอะไร ก็แค่จะสั่งสอนพวกสุนัขอย่างแก ให้พวกแก่รู้ว่าหลัวเยี่ยนคือใคร!” เย่เทียนเฉินพูดอย่างเรียบเฉย

“ไอ้ลูกหมา…”

บอดี้การ์ดที่พูดเป็นคนแรกคว้ากระบองออกมาฟาดลงไปยังเย่เทียนเฉิน แต่ในตอนที่เย่เทียนเฉินเตรียมจะลงมือกับบอดี้การ์ดคนนั้น เสียงหนึ่งก็ดังขึ้น

“หยุด!”

หลังจากเสียงตะโกน ชายชราหลังค่อมคนหนึ่งก็ปรากฏตัวบริเวณประตูใหญ่ของบ้านตระกูลหลัว เมื่อเขาเห็นหลัวเยี่ยนและเย่เทียนเฉิน บนใบหน้าก็อดไม่ได้ที่จะปรากฏรอยยิ้มขึ้น แต่ก็เพียงพริบตาเดียวแล้วจึงหันไปตะโกนกับบอดี้การ์ดคนนั้นว่า “รู้ไหมว่านี่คือใคร? เธอก็คือ…”

“คุณลุงหวัง ช่างมันเถอะ คุณย่าเป็นยังไงบ้างคะ?” หลัวเยี่ยนรีบเดินเข้าไปถามอย่างร้อนใจ

“คุณหนู ในที่สุดคุณก็กลับมาแล้ว ยี่สิบปีแล้ว แม่เฒ่ารอคุณมาตลอด รอคุณมาตลอด จนไม่อาจกล้ำกลืนฝืนทนได้…”

ชายชราหลังค่อมคนนี้ที่หลัวเยี่ยนเรียกว่าลุงหวังก็คือพ่อบ้านของตระกูลหลัว ทำงานต่างๆ ให้ตระกูลหลัวมาทั้งชีวิต สามารถเรียกได้ว่าเขาเห็นหลัวเยี่ยนเติบโตมากับตา ตั้งแต่เล็กหลัวเยี่ยนก็เฉลียวฉลาดและรู้ความมาก ความสัมพันธ์กับลุงหวังก็ดีมาก ลุงหวังก็เห็นเธอเป็นเหมือนหลานสาวแท้ๆ เมื่อปีนั้นที่หลัวเยี่ยนถูกไล่ออกไปจากตระกูลหลัว ไม่กลับมาเลยยี่สิบปี เมื่อได้พบกันอีกครั้ง ลุงหวังก็อดไม่ได้ที่จะน้ำตาไหล เขาคิดไม่ถึงเลยว่าคุณหนูหลัวเยี่ยนจะกลับมาแล้วจริงๆ เขารออยู่ที่นี่

“ลุงหวัง พวกเรารีบเข้าไปกันเถอะค่ะ หนูอยากไปดูคุณย่า!” หลัวเยี่ยนพูดอย่างร้อนใจ

“พวกแกยังอึ้งอะไรกันอยู่อีก คุณหนูหลัวกลับมาแล้ว หลีกทางให้ฉันซะ!” ลุงหวังตะคอกบอดี้การ์ดชั้นยอดทั้งหลายอย่างข่มขู่ ในใจของเขาเฝ้ารอมาตลอด

บอดี้การ์ดชั้นยอดไม่ค่อยเข้าใจเหตุการณ์มากนัก ทำได้เพียงขยับไปยืนด้านข้างอย่างขี้ขลาด หลีกทางให้พวกเขา มองดูหลัวเยี่ยนและเย่เทียนเฉินเดินเข้าไปในประตูใหญ่ภายใต้การต้อนรับของลุงหวังผู้เป็นพ่อบ้านแห่งตระกูลหลัว

……………………………

“ในสมัยโบราณก็มีการบันทึกและการคาดเดาแบบนั้นเหมือนกัน เพียงแต่น่าเสียดายที่บนโลกไม่มีใครที่เดินทางไปดาวจักรพรรดิและกลับมาได้ ไม่สามารถนำความจริงพวกนั้นกลับมาได้…สาเหตุที่สำคัญก็เป็นเพราะหลักการแห่งธรรมชาติของโลกได้เปลี่ยนไปแล้ว ไม่สามารถทำให้คนแข็งแกร่งขึ้นจนถึงระดับที่โบราณเล่าขานกันว่าสามารถบินท่องยุทธภพ ไม่งั้นอารยธรรมในปัจจุบันนี้ก็คงไม่เป็นแบบนี้ คนที่ใช้ชีวิตอยู่ในโลกก็คงไม่ถูกล้างสมองและทำได้เพียงยอมรับการเกิดแก่เจ็บตายเหมือนมดแมลงตัวหนึ่งเท่านั้น ถ้าต้องเผชิญหน้ากับหายนะของธรรมชาติก็ไร้ซึ่งพลัง…”

คำพูดของจางอีเต๋อนแฝงไปด้วยความหมายลึกล้ำ แต่กลับมีความเป็นจริงอยู่อย่างหนึ่ง โลกมีการวิวัฒนาการมานับแสนล้านปีกว่าจะมาถึงจุดที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ ตำนานเล่าขานเรื่องเทพเซียนปีศาจก่อนหน้านี้ดูเหมือนจะเป็นเรื่องเพ้อฝันและเป็นความลับที่คลุมเครือที่ไม่มีใครล่วงรู้มานานแล้ว ไม่มีใครเก็บมาใส่ใจ เพราะการสอนสั่งที่เป็นการล้างสมองในแต่ละยุคแต่ละสมัยทำให้คนที่เติบโตขึ้นทุกยุคทุกสมัยทำได้เพียงยอมรับโชคชะตา ดิ้นรนต่อสู้เพื่อการใช้ชีวิต ไม่มีใครคิดถึงปัญหาเหล่านี้ ไม่มีใครคิดว่าจะทำอย่างไรถึงจะหลุดพ้นจากการเกิดแก่เจ็บตาย ไม่มีใครคิดที่จะได้รับพลังที่ยิ่งใหญ่เหนือใครเพื่อชี้นำโลก

“งั้น พระอาจารย์ท่านนั้นนั่งมรณภาพไปแล้วจริงๆ เหรอ?” เย่เทียนเฉินอดไม่ได้ที่จะถามอย่างสงสัย เขาสามารถเป็นพระอรหันต์ได้แม้จะอยู่ภายใต้สถานการณ์ที่โลกนี้ไร้ซึ่งเส้นทางบ่มเพาะและมีจิตวิญญาณแห้งเหือด ก็ควรจะมีชีวิตยืนยาวกว่าคนธรรมดา

ความจริงหลังจากที่เย่เทียนเฉินได้มาเกิดใหม่ในโลกแห่งนี้ ตอนแรกเขาคิดว่าตนเองทะลุมาจากยุคสิ้นโลกมาโลกปัจจุบันที่อยู่ในดาวดวงเดียวกัน ตอนหลังจึงได้พบว่า นี่มันเป็นไปไม่ได้ เพราะเหตุการณ์และกฎเกณฑ์ในช่วงยุคสิ้นโลกที่เขาเคยได้เห็นในหลายล้านปีก่อนไม่ได้เกิดขึ้นในโลกแห่งนี้เลย นี่แสดงให้เห็นว่าเขาทะลุมาจากดาวสิ้นโลกมาเกิดใหม่ในต่างโลก เป็นการกระโดดข้ามดวงดาว ไม่ใช่กระโดดข้ามเวลา

แน่นอนว่าเย่เทียนเฉินที่เป็นผู้มีพลังพิเศษระดับพระเจ้าในช่วงยุคสิ้นโลก ในตอนเริ่มต้นนั้นก็ไม่ได้รู้สึกว่าโลกแห่งนี้ไม่มีเส้นทางการบ่มเพาะ จนกระทั่งขอบเขตพลังของเขาทะลวงมาถึงระดับจอมราชัน และทำได้เพียงรีดเร้นความสามารถในขอบเขตจอมราชันระดับสูงออกมาได้เท่านั้น ไม่สามารถทะลวงไปขอบเขตต่อไปได้อีก เขาถึงจะรู้ว่าดาวดวงนี้ไม่มีเส้นทางแห่งการบ่มเพาะ เพราะไม่อาจสัมผัสได้ถึงกฎเกณฑ์แห่งธรรมชาติ และไม่อาจสัมผัสได้ถึงจิตวิญญาณเลยแม้แต่ครึ่งส่วน หากต้องการที่จะทะลวงขอบเขต และได้รับพลังที่แข็งแกร่งมากขึ้นนั้นเป็นเรื่องที่ยากมาก

“ไม่รู้ เพราะตอนนั้นพระอาจารย์ท่านนั้นพูดจบก็หายตัวไปเลย ผมอึ้งอยู่นานถึงจะได้สติกลับมา และขุดหญ้าไขกระดูกมังกรออกมา นำกลับมาที่บ้าน หลังจากที่ผ่านการหลอมมาเกือบสิบปี ถึงจะเหลอมออกมาเป็นยาไขกระดูกมังกรได้!” จางอีเต๋อคิดครู่หนึ่งแล้วพูดออกมาด้วยท่าทางขมวดคิ้ว

“ท่าทางจะต้องไปวัดเส้าหลินดูสักครั้ง ไปหาพระอาจารย์ท่านนั้นสักหน่อย ไปหาชีพจรมังกร…” เย่เทียนเฉินพูดพึมพำกับตัวเองอยู่ในใจ

ในระหว่างที่กินข้าวเย่เทียนเฉินได้รู้เรื่องความลับไม่น้อยจากจางอีเต๋อ เพียงแต่จางอีเต๋อก็ไม่ได้เก็บมาใส่ใจ ผู้แข็งแกร่งที่มีชีวิตอยู่จนอายุเท่าเขา เห็นสิ่งต่างๆ มากมายจนเบื่อแล้ว บางทีในตอนยังหนุ่ม ถ้าได้รู้เรื่องเหล่านี้คงคิดที่จะไปลองดูสักหน่อยว่าจะสามารถหาค่ายกลเคลื่อนย้ายได้หรือไม่ จะไปดูดาวจักรพรรดิที่สามารถบ่มเพาะได้สักหน่อย เดินตามรอยเท้าของบรรพบุรุษ ตอนนี้เขาก็ทำได้แค่มองอย่างเรียบเฉย ยิ่งไปกว่านั้นเรื่องเหล่านี้หากพูดออกไปคงไม่มีใครเชื่อ คิดซะว่าเล่านิทานให้เย่เทียนเฉินฟังก็แล้วกัน

สิ่งที่ทำให้จางอีเต๋อคิดไม่ถึงก็คือ เย่เทียนเฉินจะไม่ใช่คนของโลกนี้ แต่เป็นคนที่มาเกิดใหม่จากดาวสิ้นโลก หากพูดถึงเรื่องเส้นทางบ่มเพาะ เย่เทียนเฉินเคยเป็นผู้แข็งแกร่งที่มีพลังพิเศษระดับพระเจ้า ย่อมต้องร้ายกาจกว่าจางอีเต๋อมาก และเข้าใจเรื่องของค่ายกลเคลื่อนย้าย เขาคิดว่ามีเพียงวิธีนี้ที่จะทำให้เขากลับไปยังดาวสิ้นโลกได้ มีเพียงวิธีเดียวเท่านั้นถึงจะสามารถไปยังดาวจักรพรรดิได้

เมื่อเย่เทียนเฉินและจางอีเต๋อกินข้าวเสร็จก็เป็นเวลาห้าโมงกว่าแล้ว ในตอนนี้เย่เทียนเฉินได้รับข้อความจากหลิงอวี่สวิ๋น แต่เขาไม่ได้ตอบอะไรไป เพราะเขารู้สถานการณ์ของหลิงอวี่สวิ๋นเป็นอย่างดี และรู้ความคิดของหลิงอวี่สวิ๋น หลิงอวี่สวิ๋นต้องการให้เขาระมัดระวังตัว นั่นเป็นเพราะหลิงเยว่พ่อของเธอไม่ต้องการให้เย่เทียนเฉินไปมาหาสู่กับหลานสาวของเขา ถ้าหากว่าจำเป็นเขาก็จะส่งคนมาฆ่าเย่เทียนเฉิน

เขาจดจำเรื่องที่จางอีเต๋อพูดกับตนเองเอาไว้ในใจ เย่เทียนเฉินไม่รีบร้อนอะไร เขาต้องการกลับไปที่ดาวสิ้นโลก ต้องการไปดูดาวจักรพรรดิที่ร่ำลือ ต้องการทำให้ตัวเองแข็งแกร่งขึ้น และต้องการกลับไปล้างแค้นให้คนของเขาที่ตายไป แต่ยังไม่ใช่ตอนนี้ เพราะว่าเมื่อได้มาเกิดในโลกแห่งนี้แล้ว เย่เทียนเฉินก็มีเรื่องที่ต้องทำในโลกแห่งนี้ มีภารกิจและความรับผิดชอบของเขา หากตอนนี้เย่เทียนเฉินไปตามหาวิธีที่จะออกไปจากโลกนี้ เมื่อถึงตอนนั้นกลุ่มอำนาจและตระกูลใหญ่ทั้งหลายที่เขาไปหาเรื่องเอาไว้ จะต้องไม่ยอมปล่อยตระกูลเย่ของเขาไปแน่ จะไม่ยอมปล่อยพ่อแม่ของเขาไป และหากจะพูดเรื่องการฆ่าฟัน หากเขาต้องการฆ่ากลุ่มอำนาจใหญ่และตระกูลใหญ่ต่างๆ เหล่านี้ไปทั้งหมด เย่เทียนเฉินก็ยังไม่มีความสามารถขนาดนั้น จะอย่างไรในโลกใบนี้ก็ยังมีตัวตนที่แข็งแกร่งกว่าเขาอยู่

ดังนั้นเรื่องราวจึงต้องค่อยเป็นค่อยไป แก้ปัญหาทางด้านนี้ก่อน ปกป้องตระกูลเย่ของตัวเอง ให้พ่อแม่และน้องสาวของตนไม่มีเรื่องอะไร ต่อให้ถึงวันที่เขาต้องไปจากที่นี่ก็จะต้องไม่มีเรื่อง เช่นนั้นเย่เทียนเฉินถึงจะวางใจได้

ในตอนที่กลับมาถึงบ้าน เย่เทียนเฉินพบว่าหลัวเยี่ยนผู้เป็นแม่อยู่ที่บ้านคนเดียว กำลังร้องไห้อยู่ในห้องโถง จึงอดไม่ได้ที่จะเข้าไปถามอย่างร้อนใจ “แม่ครับ แม่เป็นอะไร?”

“มะ ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร…” หลัวเยี่ยนกำลังเสียใจกับเรื่องที่เธอกำลังคิด กระทั่งลูกชายเปิดประตูกลับมาก็ไม่รู้ตัว จนกระทั่งได้ยินเสียงของเย่เทียนเฉินถึงได้รู้ว่าลูกชายกลับมาแล้ว เธอรีบเช็ดน้ำตาแล้วพูดขึ้น

เย่เทียนเฉินมองหลัวเยี่ยนผู้เป็นแม่ ต่อให้นี่จะไม่ใช่แม่แท้ๆ ของเขา แต่เขาก็ให้ความสำคัญยิ่งกว่าแม่แท้ๆ เพราะสำหรับเด็กกำพร้าแล้ว สำหรับคนที่ไม่เคยได้รับความรักและความอบอุ่นของครอบครัว จินตนาการได้เลยว่าจะเห็นครอบครัวสำคัญขนาดไหน มิฉะนั้นเย่เทียนเฉินคงไม่ใคร่ครวญให้มาก คงจะไปตามหาความลับในเรื่องของค่ายกลเคลื่อนย้ายแล้วไปจากที่นี่แล้ว

“แม่ครับ มีเรื่องอะไรก็พูดกับผมเถอะ แม่ไม่ได้อยู่ตัวคนเดียว!” เย่เทียนเฉินพูดพลางหัวเราะฮี่ๆ

เมื่อได้ยินคำพูดของเย่เทียนเฉิน และยังมีท่าทางตลกของเขาอีก หลัวเยี่ยนก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะทั้งน้ำตา พูดออกมาด้วยน้ำเสียงขมขื่นว่า “ย่าของแม่ป่วย ท่านเป็นยายทวดของลูก อาการสาหัสมาก แม่อยากจะไปเยี่ยม…”

“คุณยายทวดป่วยเหรอครับ? งั้นพวกเราก็ไปกันเถอะครับ ตอนนี้เราไปบ้านเดิมของแม่กันเถอะ!” เย่เทียนเฉินรีบเอ่ยปากพูด

ไม่ว่าจะเป็นเย่เทียนเฉินในสมัยก่อนหรือว่าจะเป็นเย่เทียนเฉินในตอนนี้ ต่างก็ไม่เคยได้ยินหลัวเยี่ยนพูดถึงตระกูลเดิมมาก่อน นี่เป็นครั้งแรกที่ได้ยิน ตอนนี้เมื่อคิดดูก็รู้สึกว่าแปลกอยู่บ้างจริงๆ ทำไมแม่ถึงไม่เคยไปมาหาสู่กับคนตระกูลเดิมมาก่อน? แต่ดูจากสีหน้าของเธอแล้วดูเหมือนว่าจะกังวลใจเป็นอย่างมาก

แน่นอนว่าไม่ว่าจะอย่างไร ย่าของหลัวเยี่ยนก็เป็นยายทวดของเย่เทียนเฉิน ตอนนี้คุณยายทวดป่วยหนัก แม่เสียใจจนน้ำตาไหล ไม่ว่าจะอย่างไรก็ต้องกลับไปเยี่ยม มิฉะนั้นเกรงว่าคงจะเป็นความเสียใจของหลัวเยี่ยนไปชั่วชีวิต

“แม่ครับ พวกเราขับรถไปกันตอนนี้เลยเถอะ!” เย่เทียนเฉินพูดว่าจะขับรถไปเลย ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้ไปทำงานที่เครือไห่หวาง แต่ฉีหรูเสวี่ยและพี่ชายของเธอก็เป็นคนมีความสามารถในการควบคุมงาน ดังนั้นก็ไม่ต้องเป็นห่วงแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นหลังจากที่เย่เทียนเฉินกำจัดตระกูลฉินและตระกูลลั่ว ตระกูลฉีก็เปลี่ยนมุมมองที่มีต่อเขา กระทั่งผู้อาวุโสแต่กูฉีก็ยังพูดว่า ถ้าหากฉีหรูเสวี่ยและเย่เทียนเฉินมีวาสนาต่อกันจริงๆ ไม่สู้ให้พวกเขาอยู่ด้วยกันไปเลย จินตนาการได้เลยว่าเปลี่ยนมุมมองไปมากขนาดไหน

“เทียนเฉิน อย่ารีบร้อนไปเลย นั่งลงก่อน แม่จะพูดเรื่องเกี่ยวกับทางฝั่งของคุณยายทวดของลูกให้ฟัง…” หลัวเยี่ยนเรียกให้เย่เทียนเฉินหยุดลง คิดจะพูดเรื่องตระกูลเดิมของเธอให้ลูกชายฟัง จะอย่างไรลูกชายก็โตเป็นผู้ใหญ่แล้ว

เย่เทียนเฉินนั่งลงข้างแม่ เขามองออกว่าในตอนที่หลัวเยี่ยนพูดถึงเรื่องตระกูลเดิม ในดวงตามีความเจ็บปวดเจืออยู่ และมีความผิดหวังอยู่ด้วย

“ลูก ตอนนั้นแม่คบกับพ่อของลูกโดยที่ทางตระกูลไม่อนุญาต มันเป็นเรื่องยี่สิบปีก่อน ตอนนั้นตระกูลเย่ยังอยู่ในซอยเล็กๆ มีเพียงคุณปู่เย่หย่วนซานที่เป็นข้าราชการระดับเล็กๆ เพียงคนเดียว ส่วนตระกูลหลัวก็เป็นตระกูลใหญ่ลำดับต้นๆ ในเมืองหลวง ดังนั้นแม่กับพ่อของลูกอยู่ด้วยกันจึงทำให้เกิดการต่อต้านจากคนในตระกูลหลัว เพื่อที่จะได้แต่งงานกับพ่อของลูก แม่ถึงไม่สนใจเสียงคัดค้านของคนในตระกูล สุดท้ายก็มีปากเสียงรุนแรงกับคุณปู่ของลูก และตัดความสัมพันธ์กันไป ไม่นับเป็นคนของตระกูลหลัวอีก และต้องย้ายออกจากตระกูล ต่อมาคุณพ่อก็พยายทวดามทุกทางให้แม่กลับไป คุณลุงคุณอาเหล่านั้นของลูกก็คิดทำทุกวิถีทางเพื่อที่จะกดดันตระกูลเย่ ใส่ร้ายพ่อของลูก เพราะว่าในตอนนั้นพวกเขาต้องการให้แม่แต่งงานกับคุณชายใหญ่ของอีกตระกูลหนึ่ง…” หลัวเยี่ยนย้อนนึกไปถึงเรื่องเมื่อวันวาน ดูเหมือนจะเจอกับเหตุการณ์ที่ต้องทะเลาะกับพ่อของตนในปีนั้นอีกครั้ง พูดออกมาด้วยความเสียใจอย่างมาก

“ที่แท้ก็เป็นแบบนี้นี่เอง…แม่กลัวว่าถ้ากลับตระกูลหลัวไป พี่น้องของแม่จะไม่ยอมให้แม่กลับและไม่ให้แม่พบกับคุณยายทวดเหรอครับ?” เย่เทียนเฉินเข้าใจได้โดยพลัน

“ความจริงแล้วแม่ไม่ได้กลัวว่าจะกลับไปถูกพวกเขาทำให้อับอาย แต่เมื่อคิดว่าไม่มีทางได้เห็นวาระสุดท้ายของยายทวดลูกก็รู้สึกเสียใจ ตอนเด็กๆ คุณยายทวดดีกับแม่มาก ไม่ว่าจะเป็นช่วงที่ตระกูลยากจนหรือว่าร่ำรวยก็รักแม่เหมือนเดิม และยังสนับสนุนแม่ให้ไล่ตามความสุขของตัวเอง การเป็นผู้หญิงคนหนึ่งถ้าไม่ได้แต่งงานกับคนที่ตัวเองรักที่สุดและใช้ชีวิตอยู่กับเขา คงจะไม่มีความสุขไปชั่วชีวิต…แม่ยังจำได้ว่าตอนนั้น แม่ออกจากตระกูลหลัวมา คุณยายทวดแอบยืนร้องไห้อยู่ตรงประตู ท่านบอกกับแม่ว่า ในวันเกิดของท่านให้โทรกลับไปสักครั้ง ท่านต้องการได้ยินเสียงของหลานสาวแค่นี้ก็พอใจแล้ว…” หลัวเยี่ยนพูดถึงตรงนี้ก็ร้องไห้สะอึกสะอื้น เมื่อคิดถึงเมื่อปีนั้นที่ได้อยู่ด้วยกันกับเย่หง ทุกคนในตระกูลไม่พอใจเธอมาก รู้สึกอับอายกับเธอและเย่หง มีเพียงคุณย่าคนเดียวที่สนับสนุนเธอ ช่วยเธอไขว่คว้าโอกาสที่จะได้อยู่กับเย่หง

“ไปกันเถอะครับ พวกเราไปตระกูลหลัวกัน ผมยังไม่เคยพบคุณยายทวดเลย ผมคิดว่าจะต้องเป็นผู้เฒ่าที่เมตตาใจดีคนหนึ่งแน่นอน!” เย่เทียนเฉินยืนขึ้นพูดกับหลัวเยี่ยนผู้เป็นแม่ด้วยรอยยิ้ม

“เทียนเฉิน ลูก…”

“วางใจเถอะ ผมไม่ทำตัวเหลวไหลหรอก พวกเราไปที่ตระกูลหลัวในครั้งนี้ก็เพื่อไปเยี่ยมคุณยายทวดเท่านั้น ก็ง่ายๆ แค่นี้เอง เชื่อว่าคนตระกูลหลัวจะไม่ขวางพวกเราแน่!” เย่เทียนเฉินพูดออกมาพลางหัวเราะเบิกบาน

“อืม!” หลัวเยี่ยนเห็นลูกชายเชื่อมั่นขนาดนั้น จึงรู้สึกเข้มแข็งขึ้นมา ตัวเองจะไปเจอคุณยายทวด ใครก็ไม่มีสิทธิ์ขวาง เธอไม่ได้ไปแย่งชิงอะไรกับตระกูลหลัว ไม่ว่าใครก็ขวางไม่ได้!

……………………………..

เย่เทียนเฉินต้องการใช้ชีวิตในโลกนี้ต่อไปดีๆ อยู่ด้วยกันกับครอบครัวอย่างเบิกบานใจและมีความสุข เนื่องจากในช่วงยุคสิ้นโลกเขาเป็นเด็กกำพร้าคนหนึ่ง ไม่เคยรู้สึกถึงความอบอุ่นของครอบครัว ดังนั้นนี่จึงทำให้เขาหวงแหนมากขึ้น และทำให้เขาไม่อนุญาตให้ใครก็ตามมาทำร้าย มิฉะนั้นก็จะต้องเจอกับกำปั้นของเขา

เพียงแต่ตั้งแต่ที่เขาได้มาเกิดใหม่ในโลกปัจจุบันแห่งนี้ ได้พบว่าไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนต่างก็มีการฆ่าฟัน ไม่ว่าจะเป็นที่ไหนถ้าความสามารถของคุณไม่แข็งแกร่งพอ ก็จะเป็นได้แค่เนื้อปลาที่ถูกผู้อื่นกัดกิน ดังนั้นเขาจึงต้องการแข็งแกร่งขึ้น ในขณะเดียวกันก็เป็นเพราะคำพูดของจางอีเต๋อที่ทำให้เขารู้สึกว่า หากไม่แข็งแกร่งขึ้น ไม่เพียงจะไม่สามารถปกป้องครอบครัวของตัวเองได้ แต่ยังอาจจะต้องเผชิญกับวิกฤตที่ไม่เคยมีมาก่อน ธรรมชาติในดาวโลกถูกทำลายไปแล้ว สัมผัสถึงธรรมชาติและเต๋าได้ยาก ดังนั้นหากคิดที่จะทะลวงขอบเขตพลังก็เป็นเรื่องที่ยากมาก จึงทำได้เพียงคิดหาวิธีไปยังดาวอื่นที่มีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่ นี่จำเป็นจะต้องมีของสิ่งหนึ่งที่สามารถทำให้ท่องจักรวาลได้

ในขณะเดียวกัน เย่เทียนเฉินเป็นคนที่มาจากดาวสิ้นโลก ถึงแม้ก่อนที่เขาจะได้มาเกิดใหม่ มนุษย์ที่เขาปกป้องรวมไปถึงคนสนิทและเพื่อนของเขาต่างก็ตายไปหมดแล้ว แต่ก็ยังมีสิ่งที่ควรค่าพอที่จะให้เขาคิดถึง อย่างน้อยก็ยังมีคนที่ต้องไปแก้แค้น และยังมีพวกสาระเลวที่ต้องการเหยียบย่ำชีวิตคนและต้องการทำลายล้างเผ่าพันธุ์มนุษย์อยู่ เขาต้องการกลับไป ต้องการกลับไปเพื่อทำให้ตัวเองแข็งแกร่ง ต้องการกลับไปก็ไปล้างแค้นให้คนของเขา มิฉะนั้นผู้ชายไม่ได้ความอย่างเขาก็ไม่ควรค่าที่จะได้มาเกิดใหม่ในโลกใบนี้

ในเมื่อจางอีเต๋อพูดถึงเรื่องนี้แล้ว แม้เย่เทียนเฉินจะรู้ว่าไม่มีทางกลับไปยังดาวสิ้นโลกได้ในทันที แต่ก็ยังคิดที่จะลองถามดู หากมีความเป็นไปได้และมีโอกาสแบบนี้ก็จะต้องกลับไปแน่ ไม่เพียงแต่เพื่อที่จะทำให้ตัวเองแข็งแกร่ง สิ่งสำคัญยิ่งกว่านั้นก็คือเพื่อแก้แค้นให้คนของเขา และเพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับภัยพิบัติที่อาจจะเกิดขึ้นบนดาวโลกต่อจากนี้

“เรื่องนี้ผมไม่รู้จริงๆ ยังไงซะของแบบนี้ก็ยังลึกลับยิ่งกว่าความลับระดับสูงสุดของประเทศ ต่อให้เป็นประเทศใดประเทศหนึ่งก็ยังไม่รู้ เพราะความแข็งแกร่งที่ซ่อนเร้นของเคล็ดวิชาโบราณสืบทอดกันมายาวนาน ถ้าพูดถึงประเทศจีน ก็มีเรื่องที่คนจำนวนมากไม่รู้ เช่นเรื่องของสวรรค์ เรื่องของคุนหลุน…” จางอีเต๋อส่ายหน้า พูดด้วยท่าทางครุ่นคิด

เดิมทีจางอีเต๋อก็เป็นคนที่น่าเหลือเชื่อมากอยู่แล้ว เขาเป็นผู้มีพลังพิเศษในสายรักษาที่สามารถใช้เคล็ดวิชาพลังพิเศษในสายโลหะได้อย่างชำนาญ ในขณะเดียวกันเขาก็อยู่มาถึงร้อยปีแล้ว รู้ความลับมาไม่น้อย ดังนั้นเรื่องที่เย่เทียนเฉินพูดเกี่ยวกับของบางอย่างในเคล็ดวิชาโบราณที่จะสามารถทำให้คนคนหนึ่งเดินทางจากดาวดวงหนึ่งไปยังดาวอีกดวงหนึ่งได้ ดูไปแล้วเหมือนจะเป็นเรื่องเพ้อฝัน แต่ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ นี่ทำให้เขาอดคิดไม่ได้ว่า เรื่องน่าเหลือเชื่อที่เล่าขานสืบต่อกันมาห้าพันปีหรืออาจจะยาวนานกว่านั้นเกิดขึ้นได้อย่างไร เช่นคนทั้งหลายในประวัติศาสตร์ที่มีอิทธิพลและชื่อเสียงโด่งดัง พวกเขาไปอยู่ที่ไหน? กระทั่งหลุมฝังศพก็ยังหาไม่เจอ นี่ไม่น่าสงสัยหรือ?

ดังนั้นเมื่อคิดถึงตรงนี้ก็ทำให้ผู้คนอดไม่ได้ที่จะรู้สึกว่า คนเหล่านี้ที่มีความสามารถอันยอดเยี่ยมในแต่ละด้าน จะจากโลกนี้ไปและเดินทางไปยังดาวที่มีอารยธรรมโบราณอีกดวงหนึ่ง เพื่อตามหาเส้นทางแห่งความอมตะต่อไปหรือไม่?

หากเป็นคนอื่น ต่อให้เป็นยอดฝีมือแห่งพรรควรยุทธโบราณหลายคนในปัจจุบันนี้หรือผู้มีพลังพิเศษที่แข็งแกร่ง ก็เกรงว่าจะไม่เข้าใจในบทสนทนาของเย่เทียนเฉินและจางอีเต๋อ แต่เป็นเพราะเย่เทียนเฉินเป็นคนที่มาจากดาวสิ้นโลก ซึ่งเป็นโลกที่แปลกประหลาดพิสดาร เป็นโลกที่เหมือนกับเทพนิยาย ไม่มีอะไรที่ไม่มี ส่วนจางอีเต๋อก็มีอายุถึงร้อยปีแล้ว มีกระทั่งวิธีการที่จะยืดอายุได้ ในเรื่องของวิธีการคิดใคร่ครวญเหล่านี้ ย่อมไม่ถูกเทคโนโลยีและวิทยาศาสตร์ในยุคปัจจุบันล้างสมอง

เย่เทียนเฉินมองจางอีเต๋อ ท่าทางเขาเองก็ไม่รู้ว่าของสิ่งนี้มีอยู่หรือไม่ วันหน้าถ้าหากว่ามีโอกาส จะต้องไปดูที่พรรควรยุทธโบราณสักหน่อย ด้วยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในยุคปัจจุบันของดาวโลก หากต้องการที่จะไปดาวดวงอื่นที่อยู่ห่างไกลนั้นเป็นไปไม่ได้เลย แค่ไปดวงจันทร์และดาวอังคารก็ยากมากแล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการกลับไปในดาวสิ้นโลกที่ห่างไกลนั้นเลย

“ถ้าหากหาหญ้าไขกระดูกมังกรพบ จะสามารถต่อชีวิตให้แม่ของเสี้ยวหยาได้ไหมครับ?” เย่เทียนเฉินคิดครู่หนึ่งแล้วถามออกมา

“อย่างน้อยก็สามารถต่ออายุไปได้สิบปี แต่คุณก็อย่าลืมซะล่ะ สภาพแวดล้อมของโลกนี้ถูกทำลายไปนานแล้ว หลักการของธรรมชาติก็เปลี่ยนแปลงไป สมุนไพรที่ดูน่าเหลือเชื่ออย่างหญ้าไขกระดูกมังกรก็คงจะหาไม่พบแล้ว!” จางอีเต๋อพูดแล้วส่ายหน้า

“งั้นเมื่อปีนั้นคุณหาหญ้าไขกระดูกมังกรเจอได้ยังไง?” เย่เทียนเฉินอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม

“ดูเหมือนว่าคุณจะใส่ใจอาการป่วยของแม่ของเด็กสาวคนนั้นมาก จะจีบเหรอ…” ทันใดนั้นในสายตาของจางอีเต๋อมีประกายแปลกประหลาดเกิดขึ้น จ้องมองไปยังเย่เทียนเฉินแล้วเอ่ยถาม

“เธอมีหน้าตาเหมือนเพื่อนของผมคนหนึ่ง แต่ยังไงผมก็ใส่ใจเธอเหมือนน้องสาวคนหนึ่งเท่านั้น อีกอย่าง การช่วยชีวิตคนได้บุญยิ่งกว่าสร้างเจดีย์เจ็ดชั้น ไม่ควรทำหรือไง?” เย่เทียนเฉินพูด

จางอีเต๋อมองเย่เทียนเฉิน เขามักจะรู้สึกว่าเด็กหนุ่มคนนี้ไม่เหมือนวัยรุ่นทั่วไป ที่คิดแบบนี้ก็เพราะบางครั้งเรื่องที่เย่เทียนเฉินพูดหรือคำถามที่เย่เทียนเฉินถาม แม้แต่จางอีเต๋อที่มีอายุร้อยปีก็ยังรู้สึกมึนงง และรู้สึกกระจ่างแจ้งขึ้นมาอย่างกะทันหัน นี่ไม่ควรจะเป็นเรื่องที่คนในอายุแบบเขาจะรู้ สิ่งเหล่านี้จะต้องผ่านการฝึกฝน ต้องผ่านการตกตะกอนของช่วงเวลา โดยเฉพาะความเข้าใจของเขาที่มีต่อระดับขอบเขตพลังแห่งการบ่มเพาะ การใคร่ครวญเกี่ยวกับเรื่องเดินทางไปดาวโบราณอื่น เขายังเข้าใจเรื่องเหล่านี้มากกว่าตนเองเสียอีก นี่ทำให้จางอีเต๋อรู้สึกสั่นสะท้านเป็นอย่างมาก

“เอาล่ะ ผมจะบอกคุณ…เมื่อปีนั้นผมหามันเจอโดยบังเอิญที่วัดเส้าหลิน มันเป็นเรื่องประมาณสามสิบกว่าปีมาแล้ว ผมเดินทางท่องเที่ยวไปทั่วแผ่นดินจีนเพื่อตามหาสมุนไพรล้ำค่าแปลกใหม่ บริเวณภูเขาด้านหลังของวัดเส้าหลินซึ่งเป็นสถานที่ต้องห้าม ผมได้พบกับชายหัวล้านคนหนึ่ง เขาเป็นพระรูปหนึ่งที่มีเคราขาวยาวถึงอก ไม่รู้ว่ามีชีวิตอยู่มานานเท่าไหร่แล้ว ให้ความรู้สึกว่าเป็นผู้แข็งแกร่งที่ซ่อนตัวอยู่ในสังคมเมืองที่แท้จริง ข้างกายของเขามีหญ้าไขกระดูกมังกรปลูกอยู่กอหนึ่ง ผมอยากได้หญ้าไขกระดูกมังกรมาก เพราะว่ามันสามารถนำมาหลอมเป็นยาที่ช่วยยืดอายุออกไปได้ แต่ผมก็ไม่สามารถเข้าไปใกล้ได้เลย เพราะมีความกดดันที่ไร้รูปลักษณ์ทำให้ผมยากที่จะก้าวเข้าไปใกล้…” จางอีเต๋อดูคล้ายกับจะจมลงสู่ความทรงจำเมื่อปีนั้น ในคำพูดมีความรู้สึกประหลาดใจ และมีความหวาดกลัวและความเคารพเลื่อมใสอยู่เล็กน้อย

เมื่อได้ยินการอธิบายของจางอีเต๋อ เย่เทียนเฉินก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกตื่นตะลึง ต้องทราบว่าจางอีเต๋อในตอนนี้มีอายุถึงร้อยปีแล้ว และยังมีพลังการต่อสู้ที่รุนแรงดุเดือดดังมังกรแบบนี้อยู่ด้วย ถ้าหากว่าเป็นสามสิบกว่าปีก่อนหน้านี้ เกรงว่าไม่ว่าจะเป็นพรรควรยุทธโบราณหรือผู้มีพลังพิเศษที่แข็งแกร่งก็ยากที่เป็นคู่มือของจางอีเต๋อ ต่อให้มี จางอีเต๋อก็คงไม่รู้สึกหวาดกลัว หากต้องการทำให้ยอดฝีมือชั้นยอดคนหนึ่งเกิดความกลัวขึ้นมา อีกฝ่ายจะแข็งแกร่งมากขนาดไหน?

“สุดท้ายแล้วคุณได้สนทนากับพระอาจารย์ท่านนั้นหรือเปล่า?” เย่เทียนเฉินคิดว่าการที่จางอีเต๋อได้หญ้าไขกระดูกมังกรมา จะต้องเป็นเพราะการพูดคุยกับพระอาจารย์ลึกลับท่านนั้นอย่างแน่นอน

“เปล่า ในตอนที่ผมกำลังสิ้นหวังอยู่นั้น คิดว่าตัวเองคงไม่ได้หญ้าไขกระดูกมังกรแน่ๆ และเตรียมจะจากไป พระอาจารย์ท่านนั้นก็ลืมตาขึ้น ในดวงตาทั้งสองเปล่งประกายชีวิตชีวา ราวกลับว่าจะสามารถมองทะลุทุกสิ่งทุกอย่างได้ เขาพูดกับผมประโยคหนึ่งว่า อาตมาอยู่มานานเกินไปแล้ว วิชาแพทย์ของโยมสูงส่ง หวังว่าหญ้าไขกระดูกมังกรนี้เมื่ออยู่ในมือของโยมจะสามารถช่วยเหลือผู้คนได้!” จางอีเต๋อพูดด้วยท่าทางจริงจัง

“นี่…” เย่เทียนเฉินเองก็ตกตะลึงเป็นอย่างมาก คิดไม่ถึงว่าบนดาวดวงนี้จะมียอดฝีมือเช่นนี้อยู่ด้วย ท่าทางจะมีความลับมากมายเหลือเกินที่ผู้คนไม่รู้ จะต้องไปค้นหาสักครั้ง

“ใช่แล้ว ผมจำได้ว่าในตอนที่พระอาจารย์ท่านนั้นนั่งมรณภาพยังพูดอีกประโยคหนึ่งด้วย…” ทันใดนั้นจางอีเต๋อราวกับคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ ในดวงตาเกิดความประหลาดใจอย่างหาใดเปรียบ เรื่องมันผ่านไปสามสิบกว่าปีแล้ว ตอนนี้เขาถึงจะเข้าใจความหมายของพระอาจารย์ท่านนั้น นี่เป็นเพราะการได้วิธีคิดที่เหนือกว่าคนธรรมดาของเย่เทียนเฉินมากล่าวเตือน แม้ว่าจางอีเต๋อก็ร้ายกาจมาก แต่เขาก็ยังใช้ชีวิตอยู่แบบฆราวาส จึงอดไม่ได้ที่จะถูกจำกัดด้วยความคิดของฆราวาส

“พระอาจารย์ท่านนั้นพูดว่าอะไร?” เย่เทียนเฉินรีบถาม

ในตอนนี้เอง เย่เทียนเฉินมองจางอีเต๋อต่างก็จริงจังขึ้นมา เย่เทียนเฉินมีท่าทีจริงจังยังหาได้ยาก เพราะเขารู้ว่าความลับเหล่านี้เป็นความลับที่มีเพียงคนไม่กี่คนบนโลกที่จะรับรู้ ความลับเหล่านี้อยู่นอกเหนือความคิดของมนุษย์ไปแล้ว และอยู่นอกเหนือกฎหมายกฎเกณฑ์ต่างๆ ของประเทศ ถ้าพูดอย่างไม่น่าฟังก็คือ เมื่ออยู่ต่อหน้าความลับเหล่านี้และเคล็ดวิชาโบราณที่มีความแข็งแกร่งมาก ทางประเทศก็ไม่นับเป็นตัวอะไรได้

“หลังจากที่ท่านพูดประโยคนั้นจบ ก็มองไปบนท้องฟ้า มองไปยังดาวจักรพรรดิที่อยู่ห่างไกล ถูกต้อง เป็นดาวจักรพรรดิ ดูเหมือนจะพูดว่า เสียดายที่ค่ายกลเคลื่อนย้ายถูกทำลายไปแล้ว ยากที่จะซ่อมแซม ไม่อย่างนั้นอาตมาก็คงสามารถเดินตามรอยเท้าของบรรพบุรุษได้ สามารถไปดูได้ว่าตกลงแล้วมีคนที่สามารถเป็นอมตะอยู่หรือไม่ มีเซียนอยู่หรือไม่…”

ค่ายกลเคลื่อนย้าย? การเดินทางไปดาวจักรพรรดิ ที่นั่นมีรอยเท้าของบรรพบุรุษอยู่ ที่นั่นอาจจะมีความลับของเคล็ดวิชาแห่งความอมตะและเซียนอยู่ นี่เป็นการดำรงอยู่ที่ทำให้จิตวิญญาณของผู้คนต้องสั่นสะท้าน หากสิ่งที่พระอาจารย์ที่นั่งมรณภาพผู้นั้นพูดเป็นความจริง มีเพียงต้องซ่อมแซมค่ายกลเคลื่อนย้ายถึงจะสามารถไปยังดาวจักรพรรดิได้ ที่นั่นจะต้องมีของที่ทำให้ผู้คนต้องบ้าคลั่งอยู่แน่นอน

ดาวจักรพรรดิ สำหรับโลกนี้แล้วคงไม่มีใครเคยได้ยินมาก่อน กระทั่งผู้เชี่ยวชาญที่ศึกษาเกี่ยวกับจักรวาลและกาแล็กซีก็ยังไม่รู้ เพราะว่าดาวจักรพรรดินี้มีอยู่ในหนังสือโบราณเท่านั้น เกรงว่ามีการส่งต่อมาในหมู่พรรควรยุทธโบราณเท่านั้น เพราะสำนักต่างๆ ในพรรควรยุทธโบราณจำนวนมากต่างก็วิวัฒนาการมาจากสำนักฝึกตนในสมัยก่อน ย่อมมีความลับอยู่แน่นอน

จากคำพูดของจางอีเต๋อ เย่เทียนเฉินได้รู้เรื่องลึกลับที่ทำให้ผู้คนต้องตกตะลึงเป็นอย่างมาก พรรควรยุทธโบราณที่อยู่มาจนถึงทุกวันนี้มีการปรับตัวให้เข้ากับสังคมในยุคปัจจุบัน แต่พรรคเหล่านั้นไม่ใช่พรรควรยุทธโบราณที่แท้จริง บางทีอาจจะเป็นเพียงแค่ประตูหน้าของสำนักก็เท่านั้น ก็เหมือนกับวัดเส้าหลิน ง้อไบ๊ บู๊ตึ๊ง ทุกคนสามารถเข้าไปเยี่ยมชมได้ตามใจ แต่สิ่งที่ได้เห็นเป็นเพียงแค่ฉากหน้าเท่านั้น ไม่สามารถเห็นอีกด้านหนึ่งที่ทำให้ผู้คนต้องสั่นสะท้านอย่างแท้จริง ของเหล่านั้นได้ถูกเก็บซ่อนเอาไว้แล้ว ยอดฝีมือที่แท้จริง ผู้แข็งแกร่งที่แท้จริง คนธรรมดาจะสามารถพบเห็นได้หรือ? ไม่ใช่ตัวตนที่จะดำรงอยู่ในโลกแห่งเดียวอีกต่อไปแล้ว

“ดาวจักรพรรดิ…ใช้ชื่อแบบนี้ หรือว่าจะเป็น…” ทันใดนั้นเย่เทียนเฉินพูดออกมาด้วยความตกตะลึง

………………………..

“ไปเถอะ เดี๋ยวผมจะเลี้ยงหมูสามชั้นผัดพริก คิดว่าเป็นค่าตอบแทนที่ลำบากให้คุณเดินทางมาก็แล้วกัน!” เย่เทียนเฉินพูดกับจางอีเต๋อแล้วหัวเราะฮี่ๆ

จางอีเต๋อและเย่เทียนเฉินเดินเข้าไปในร้านอาหารเสฉวนแห่งหนึ่งที่อยู่ไม่ไกล หลังจากที่ได้มาเกิดใหม่ในโลกแห่งนี้ เย่เทียนเฉินก็ชอบอาหารเสฉวนที่เน้นรสเผ็ดมาก ดังนั้นจึงได้สั่งหม้อไฟหมาล่า หมูสามชั้นผัดพริก และยังมีอาหารจานผักอีกสองอย่าง นี่นับว่าเป็นการรับรองจางอีเต๋อที่เป็นเซียนแพทย์เทวะอย่างดีแล้ว

หากคนอื่นรู้ว่าเย่เทียนเฉินใช้วิธีการนี้มารับรองแขก ทุกคนคงต้องคุกเข่าร้องไห้ขอให้เซียนแพทย์เทวะอย่าได้ออกมาอีกเลย เชื่อว่าพวกเขาคงคิดอยากจะอัดเจ้าหมอนี่สักยกแน่ๆ

จางอีเต๋อเองก็รู้สึกแปลกใจกับเย่เทียนเฉินมาก เพราะว่าเขาอยู่มาแล้วร้อยปี เคยเห็นยอดฝีมือแห่งพรรควรยุทธโบราณ และเคยเห็นยอดฝีมือผู้มีพลังพิเศษมามากมาย แต่ว่าแต่ไหนแต่ไรก็ไม่เคยเห็นคนหนุ่มแบบเย่เทียนเฉินมาก่อน แล้วยังเป็นคนที่มีพลังพิเศษที่แข็งแกร่งถึงขนาดนี้อีกด้วย ที่สำคัญก็คือในร่างกายของเย่เทียนเฉินมีพลังพิเศษในสายที่แตกต่างกันไป ต่อให้ไม่ได้แข็งแกร่งอะไรมากก็ตาม สิ่งนี้ยากที่จะถูกผู้อื่นค้นพบ หากไม่ใช่เพราะตนเองเป็นผู้มีพลังพิเศษในสายรักษาจึงมีพลังพิเศษที่ค่อนข้างเฉพาะตัว ในตอนที่รักษาบาดแผลให้เย่เทียนเฉินก็คงจะไม่รู้สภาพอันหน้าตื่นตะลึงของเขาแน่

ความจริงแล้วในเรื่องขอบเขตพลังของผู้มีพลังพิเศษ ตอนที่เย่เทียนเฉินได้กลับมาเกิดใหม่ก็พบว่าขอบเขตพลังของตนได้ตกไปอยู่ระดับราชัน นี่ทำให้เขารู้สึกแปลกใจมาก ในช่วงยุคสิ้นโลกเขาเป็นผู้แข็งแกร่งที่มีพลังพิเศษระดับพระเจ้า ทำไมหลังจากที่ได้มาเกิดใหม่ถึงได้มีพลังพิเศษแค่ระดับราชัน? หากจะพูดว่าการเกิดใหม่สามารถพาพลังพิเศษมาด้วยได้ ถ้าอย่างนั้นก็ควรจะเป็นขอบเขตพระเจ้าถึงจะถูก? นี่ทำให้เขารู้สึกสงสัยมากจริงๆ

สุดท้ายเย่เทียนเฉินก็ให้คำอธิบายออกมาอย่างหนึ่ง นั่นก็คือตนเองได้มาเกิดใหม่ในร่างของเย่เทียนเฉิน กายเนื้อนี้ไม่อาจรองรับพลังพิเศษได้มาก นี่ก็เป็นสาเหตุที่ว่าทำไมเขาที่ไปถึงขอบเขตจอมราชันแล้วจึงได้ก้าวหน้าไปอีกขั้นได้ยาก นอกจากนี้ในตอนนั้นที่เขาต่อสู้กับสัตว์อสูรที่แข็งแกร่ง เดิมทีเขาก็ไม่มีความสามารถที่จะสู้กับมันอยู่แล้ว เพียงแต่เย่เทียนเฉินที่กำลังโกรธจนคลั่ง ได้ไปสัมผัสถึงขอบเขตหนึ่งที่ทำให้ก้าวกระโดดไปครั้งใหญ่ ซึ่งถูกเรียกว่าเป็น “เขตแดนต้องห้าม” ในตอนที่ยืนอยู่ในเขตแดนต้องห้ามเย่เทียนเฉินก็ได้ก้าวกระโดดไปครั้งใหญ่ เขาโอบกอดร่างของคนที่แม้ตายก็ต้องปกป้องเอาไว้ให้ได้ ไปแก้แค้นให้ผู้หญิงของเขา

เพียงแต่น่าเสียดายที่สัตว์อสูรแข็งแกร่งตัวนั้นอยู่ในขอบเขตพระเจ้าระดับสูงแล้ว แต่เย่เทียนเฉินยังอยู่ในขอบเขตพระเจ้าระดับต้น ห่างกันเก้าขั้นเต็มๆ ต่อให้พลังการต่อสู้ก้าวกระโดดไปได้เพราะเขตแดนต้องห้าม แต่ก็เป็นระยะห่างที่มากเกินไป ยิ่งไปกว่านั้นนี่เป็นครั้งแรกที่เย่เทียนเฉินได้สัมผัสกับเขตแดนแบบนี้ จึงรู้สึกไม่คุ้นชิน และไม่อาจควบคุมได้ ถูกสัตว์อสูรฉีกกระชากจนกลายเป็นหมอกเลือด กระดูกป่นเป็นผง และในตอนนั้นเองเรื่องพิสดารก็เกิดขึ้น ประกายดาวสาดส่องลงมาบนร่างของเย่เทียนเฉิน ทำให้เขาได้มาเกิดในร่างของเย่เทียนเฉินบนโลกแห่งนี้ ในตอนนั้นเย่เทียนเฉินถูกกำจัดไปแล้วอย่างสมบูรณ์ เกรงว่าจะเหลือไว้เพียงความสามารถพลังพิเศษในขอบเขตราชันเท่านั้น

ไม่ว่าจะด้วยสาเหตุใด เย่เทียนเฉินก็ได้มาเกิดใหม่ในโลกแห่งนี้แล้ว มีพลังพิเศษในระดับราชันขั้นต้นสุด นี่ทำให้เขาปราบปลื้มใจเป็นอย่างมาก มิฉะนั้นคงเป็นได้แค่เนื้อปลาให้ผู้อื่นกัดกิน ไม่ว่าจะเป็นโลกไหน ไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ใด ปลาใหญ่กินปลาเล็ก คนกินคน ต่างก็เป็นหลักการในการเอาชีวิตรอดที่เป็นธรรมชาติ ใครก็ไม่มีทางหนีพ้น ไม่ว่าคุณจะแข็งแกร่งมากขนาดไหนก็ตาม ดังนั้นตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันจึงได้มีคนมากมายที่ต้องการเป็นอมตะ คนเหล่านั้นต่างก็ต้องการบ่มเพาะ ต้องการหลุดพ้นจากโลกทั้งสาม ไม่อยู่ในวัฏสงสารอีก และกลายเป็นสิ่งที่ตำนานเรียกขานว่า “เซียน”

เซียน ทุกคนมองไม่ผิด และไม่ได้ฟังผิด ในระยะเวลากว่าห้าพันปีของประเทศจีน คำว่าเซียนต่างก็ไม่เคยหายไป ต่อให้เป็นในยุคปัจจุบันซึ่งเป็นยุคที่คนมากมายถูกล้างสมองจนทำให้หลายคนไม่ยอมรับเรื่องของเทพเซียนปีศาจอีก แต่ก็มีหลายคนที่หลงใหล แม้ปากจะไม่พูดแต่ในใจกลับเต็มไปด้วยเรื่องของเทพเซียนปีศาจ บนโลกยังมีความลึกลับที่ไม่อาจอธิบายได้อยู่มากมาย ตกลงแล้วยังมีเซียนอยู่หรือไม่? ตกลงแล้วมีคนที่เป็นอมตะหรือไม่? โลกมีการวิวัฒนาการมานับแสนล้านปี กระทั่งธรรมชาติหรือการบำเพ็ญตนก็เปลี่ยนแปลงไปหลายครั้ง มีอะไรหลายๆ อย่างที่หายไป เกรงว่าใครก็ไม่กล้าพูดว่าเซียนเป็นเรื่องโคมลอย ไม่อย่างนั้นเรื่องเล่าตำนานเทพนิยายต่างๆ ของประเทศจีนจะเป็นเรื่องโกหกหมดเลยหรือ? ผมคิดว่าใครก็ไม่กล้าสรุป

“คุณต้องการทำให้ตัวเองแข็งแกร่งขึ้น ก็เลยฝึกฝนและดูดซึมพลังพิเศษที่ไม่เหมือนกันเข้ามา แต่คุณเองก็รู้ว่า เกือบร้อยปีมานี้ ยอดฝีมือแห่งพรรควรยุทธโบราณที่แข็งแกร่งมากมายหรือผู้มีพลังพิเศษที่แข็งแกร่งมากมาย ล้วนไม่มีใครที่ทำสำเร็จเลยสักคนเดียว จุดจบของพวกเขาก็คือตัวระเบิดตายกลายเป็นหมอกเลือด หากว่าคุณทำแบบนี้ต่อไป คงหนีไม่พ้นจุดจบแบบนี้แน่!” จางอีเต๋อคิดถึงเรื่องที่เย่เทียนเฉินหล่อเลี้ยงพลังพิเศษที่แตกต่างกันไปในร่างกาย รู้สึกว่ามันอันตรายมากจนอดไม่ได้ที่จะกล่าวเตือนออกมา

“ผู้เฒ่า ผมก็ไม่ขอพูดเล่นกับคุณแล้ว ผมมีเรื่องที่ต้องการที่จะถามคุณ…” ทันใดนั้นเย่เทียนเฉินมองไปที่จางอีเต๋อแล้วพูดออกมาอย่างจริงจัง

“ถามมาเถอะ ผมแก่แล้ว นี่เป็นยุคของคนรุ่นใหม่อย่างพวกคุณ!” จางอีเต๋อพูดด้วยรอยยิ้ม

“เคล็ดวิชาโบราณของประเทศจีนสืบทอดกันมายาวนาน อย่างน้อยก็คงไม่ได้หยุดอยู่ที่ห้าพันปีแน่นอน มีสิ่งลึกลับอะไรที่สามารถทำให้คนจากดาวดวงหนึ่งเดินทางไปยังดาวอีกดวงหนึ่งได้บ้างไหมครับ?” เย่เทียนเฉินมองจางอีเต๋อแล้วเอ่ยถาม

ที่เขาถามเรื่องแบบนี้ออกมา เป็นเพราะเย่เทียนเฉินคิดถึงช่วงยุคสิ้นโลก ตัวเขานั้นได้มาเกิดใหม่จากช่วงยุคสิ้นโลก ถึงแม้ว่าโลกนั้นทุกคนที่เขาคุ้มครองและคนที่เขารักจะตายไปหมดแล้ว แต่ก็ยังมีศัตรูอยู่ และยังมีความลับอีกมากมายที่ยังรอให้เขาไปค้นหา อีกทั้งมีเส้นทางแห่งความเป็นอมตะให้เขาไขว่คว้า ก่อนหน้านี้เขาคิดเพียงว่าต้องการจะใช้ชีวิตอย่างสงบสุขเท่านั้น แต่เขาก็ค่อยๆ พบว่ามันเป็นเรื่องที่ทำได้ยากมาก เพราะในเมื่อเขาสามารถมาเกิดใหม่จากช่วงยุคสิ้นโลกได้ ก็เกรงว่าจะมีคนอื่นที่สามารถมาจากยุคสิ้นโลกได้เหมือนกับเขา เมื่อถึงตอนนั้น ชีวิตอันสงบสุขก็คงจะถูกทำลาย ด้วยความสามารถในขอบเขตจอมราชันของตนในตอนนี้ เกรงว่าจะไม่อาจขวางผู้แข็งแกร่งที่มาจากช่วงยุคสิ้นโลกได้เลย

ที่ใช้วิธีการถามเป็นระหว่างดาวดวงหนึ่งกับดาวดวงหนึ่งนั้น เป็นเพราะเย่เทียนเฉินพบว่า ตนนั้นได้มาเกิดใหม่จากช่วงยุคสิ้นโลก ซึ่งช่วงยุคสิ้นโลกที่ว่านี้ไม่ใช่ดาวโลก แต่เป็นดาวสิ้นโลก นั่นเป็นดาวที่มีอารยธรรมแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง ระยะนี้เย่เทียนเฉินอ่านหนังสือมาไม่น้อย สามารถพูดได้ว่าสภาพในปัจจุบันของดาวสิ้นโลกเหมือนกับช่วงเทพนิยายของดาวโลก มีความแปลกประหลาดพิสดารมากมาย ไม่มีอะไรที่ไม่มี เป็นโลกที่เหมาะต่อการบ่มเพาะพลัง ไม่เหมือนดาวโลกที่ถูกทำลายจนกลายเป็นแบบนี้ไปแล้ว ไม่สามารถสัมผัสได้ถึงพลังธรรมชาติ ไม่สามารถใช้วิธีพิสดารอะไรทำให้ตัวเองแข็งแกร่งขึ้นมาได้

ถ้ากลับไปช่วงยุคสิ้นโลก เขาจะทำให้ตัวเองแข็งแกร่ง ทะลวงขอบเขตระดับพระเจ้าหรือกระทั่งทะลวงไปให้ถึงขอบเขตเทพราชัน ขี่เมฆท่องไปทั่วโลกเพื่อแก้แค้นให้เพื่อนของตนที่ตายไป แก้แค้นให้คนรักที่ตายไป กลายเป็นเย่เทียนเฉินที่มีความแค้นอยู่ในใจ เพราะเขารู้ว่าจะต้องมีสักวันที่ผู้แข็งแกร่งในดาวสิ้นโลกค้นพบวิธีการที่จะมายังดาวโลก เมื่อถึงตอนนั้นก็ไม่รู้ว่าจะมีสภาพอย่างไร ถ้าขอบเขตพลังของเขายังไม่อาจทะลวงไปได้ก็คงไม่สามารถขัดขวางปีศาจเหล่านี้ได้อย่างแน่นอน คงทําได้เพียงเบิกตามองดูจุดจบของเพื่อนและครอบครัวในโลกนี้ของตนถูกฆ่าไปต่อหน้าต่อตา

จางอีเต๋อเป็นชายชราที่ลึกลับคนหนึ่ง มีชีวิตอยู่มาถึงอายุร้อยปีแล้ว เรื่องที่รู้มากมายกว่าคนธรรมดามาก ดังนั้นเย่เทียนเฉินจึงคิดที่จะทำความเข้าใจจากคำพูดของเขา บางทีเคล็ดวิชาโบราณที่สืบทอดกันมายาวนานจะมีวิธีที่ทำให้สามารถเดินทางจากดาวดวงหนึ่งไปยังดาวอีกดวงหนึ่งได้ เพราะในหมู่เคล็ดวิชาโบราณมีความลึกลับและวิชาลึกลับมากมาย กระทั่งมีสิ่งที่วิวัฒนาการจากเส้นทางการบ่มเพาะในสมัยก่อน มีเรื่องมากมายที่คนธรรมดาไม่รู้และไม่อาจเข้าใจได้ เย่เทียนเฉินมาจากช่วงยุคสิ้นโลกซึ่งเป็นโลกที่มีความแปลกพิสดาร ดังนั้นในโลกใบนี้จึงไม่มีอะไรที่สามารถทำให้เขาต้องสั่นสะท้านได้ง่ายๆ ยิ่งไปกว่านั้นเดิมทีเขาก็ไม่ใช่คนของโลกนี้ ยังไม่ได้ถูกล้างสมอง ยังไม่ได้ถูกจองจำ ความคิดยังคงแตกต่างอยู่มาก

“ทำไมคุณถึงถามแบบนี้?” ทันใดนั้นจางอีเต๋อมองไปยังเย่เทียนเฉิน ไม่รู้จริงๆ ว่าเด็กหนุ่มคนนี้หมายถึงอะไร

“ความเป็นอมตะ คุณพูดถึงเรื่องความเป็นอมตะกับผม ผมคิดว่าเป็นเพราะคุณเองก็อยากที่จะค้นหาด้วยกันกับผม ต้องการเข้าไปในโลกแบบนั้นเหมือนกัน ถ้างั้นคุณก็คงจะรู้ว่า ธรรมชาติที่พวกเราอาศัยอยู่นี้ถูกทำลายไปแล้ว ไม่อาจสัมผัสได้ถึงพลังธรรมชาติ ไม่อาจสัมผัสได้ถึงพลังของ “เต๋า” หากต้องการที่จะทะลวงไปในขอบเขตที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้น ดูเหมือนว่าจะเป็นไปไม่ได้ ถ้างั้นพวกเราก็ต้องไปยังสถานที่อื่นถึงจะสามารถทำได้” เย่เทียนเฉินพูดด้วยท่าทางสบายๆ

แน่นอนว่าเย่เทียนเฉินไม่สามารถพูดเรื่องที่ตัวเองได้มาเกิดใหม่ในดาวโลก มาเกิดใหม่จากดาวสิ้นโลกให้จางอีเต๋อฟังได้โดยเด็ดขาด ต่อให้ความคิดของจางอีเต๋อจะล้ำเลิศ ต่อให้ความคิดของเขายังไม่ถูกจำกัด แต่ก็เกรงว่าเรื่องของการเกิดใหม่คงจะรับได้ยาก ยิ่งไปกว่านั้นเย่เทียนเฉินมีความรู้สึกหนึ่ง นั่นก็คือดาวโลกในตอนนี้ถึงแม้จะถูกทำลายไปแล้ว แต่ที่นี่ก็มีความลับอยู่อีกมากมาย จะต้องมีสักวันที่ดึงดูดการโจมตีของผู้แข็งแกร่ง ซึ่งผู้แข็งแกร่งเหล่านี้ก็จะทำเรื่องลั่นฟ้าสะเทือนดินเพียงเพื่อที่จะตามหาความลับเหล่านั้น แต่คนในดาวโลกตอนนี้หากอยู่ต่อหน้าของผู้แข็งแกร่ง จะต้องเป็นได้แค่มดแมลง ทำได้เพียงถูกผู้อื่นฆ่า ดังนั้นเย่เทียนเฉินจึงต้องการแข็งแกร่งขึ้น ปกป้องโลกแห่งนี้เพื่อพ่อแม่และน้องสาวของตน

เพราะคำพูดของจางอีเต๋อทำให้เย่เทียนเฉินรับรู้ได้ในทันใดว่า ตัวเขายังมีภาระอันยิ่งใหญ่อยู่กับตัว ยังมีเรื่องราวยิ่งใหญ่ที่ยังต้องกระทำให้สำเร็จ แน่นอนว่าก่อนหน้านี้ เขายังต้องตามหาวิธีการก่อน หากว่าไม่มีทางกลับไปดาวสิ้นโลกได้ ก็ไม่มีประโยชน์อะไร ทำได้เพียงใช้ชีวิตอยู่ต่อไปในสังคมเมืองเท่านั้น ใช้ชีวิตแบบนี้ต่อไป

“พูดได้ว่ามี และพูดได้ว่าไม่มี” จางอีเต๋อชะงักไปครู่หนึ่งแล้วจึงเปิดปากพูด

“หมายความว่ายังไง?” เย่เทียนเฉินอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม

“เพราะแต่ไหนแต่ไรก็ไม่เคยมีการพิสูจน์ความจริงได้ว่ามีคนสามารถเดินทางจากดาวดวงหนึ่งไปยังดาวอีกดวงหนึ่งได้ จักรวาลกว้างใหญ่ไพศาล มีดวงดาวมากมายนับไม่ถ้วน และมีความลี้ลับอยู่ไม่น้อย ในดาวที่ไม่รู้จักเหล่านั้น จะมีใครที่กล้ารับประกันว่าจะไม่มีวิชาที่ทำให้เป็นอมตะ หรือไม่มีคนที่เป็นอมตะ? มีชีวิตอยู่จนอายุเช่นนี้แล้ว คุณคงมีเหตุผลที่จะรีบหาความอมตะ ด้วยความสามารถของคนในดาวโลกในยุคปัจจุบันนี้ ทำได้เพียงหาในดาวที่อยู่ใกล้ไม่กี่ดวง ยิ่งไปกว่านั้นยังไม่อาจหาได้หมด ยังไม่มีความสามารถแบบนั้น เกรงว่าในตอนที่ดาวโลกล่มสลาย ก็คงยังไม่พบวิธีการที่จะเดินทางไปยังดาวอื่น!” จางอีเต๋อคิดไม่เหมือนกันจริงๆ เขาพูดออกมาพลางส่ายหัว

“ผมคิดว่ามี และวิธีนั้นก็อยู่ในเคล็ดวิชาโบราณด้วย คุณเคยได้ยินตำนานหรือเรื่องราวแบบนี้มาก่อนหรือเปล่าครับ?” เย่เทียนเฉินเลยถามอย่างตรงไปตรงมา

………………..

เสี้ยวหยาพยักหน้า ไม่ได้พูดอะไร เธอมองจางอีเต๋อจับชีพจรให้แม่ของตนอย่างเคร่งเครียด ตอนนี้ในใจของเธอก็รู้สึกซับซ้อนกับเย่เทียนเฉิน มีทั้งมิตรภาพความเป็นเพื่อนที่บริสุทธิ์ และมีทั้งความรู้สึกคล้ายกับแฟนหนุ่มที่ฝ่าฟันอุปสรรคมาด้วยกัน หากจะบอกว่าไม่มีความรู้สึกอะไรต่อเย่เทียนเฉินก็คงจะไม่ได้ ผู้ชายที่ทั้งแข็งแกร่งและมีเสน่ห์แบบนี้ มีทั้งนิสัยอันธพาลและนิสัยดั่งเทพแห่งความตายทั้งสองด้าน เธอถูกนิสัยอันแปลกประหลาดนี้ดึงดูดไปโดยไม่รู้ตัว เกรงว่าคงมีผู้หญิงแค่ไม่กี่คนที่ไม่หลงเสน่ห์เขา

ประมาณสิบนาทีต่อมา จางอีเต๋อก็จับชีพจรให้แม่ของเสี้ยวหยาเสร็จแล้ว สีหน้าเคร่งขรึมลง หยิบกล่องยาด้านข้างมา ดูมีมาดของแพทย์แผนจีนในสมัยโบราณมาก เสี้ยวหยาและเย่เทียนเฉินที่เห็นดังนั้นก็รู้สึกหม่นหมองอยู่ในใจ สิ่งที่เสี้ยวหยากังวลย่อมเป็นอาการป่วยของแม่ของเธอ ส่วนเย่เทียนเฉินกังวลว่าจางอีเต๋อจะไม่พูดตามที่เขานัดหมายกันไว้ก่อนหน้านี้

จางอีเต๋อเป็นใคร? เขาคือเซียนแพทย์เทวะ ถ้าหากไม่ใช่คนที่มีวิชาแพทย์สูงส่งเหนือชั้นก็เกรงว่าจะต่างกันไม่มาก อาการป่วยของแม่ของเสี้ยวหยาจะสามารถปิดบังเขาได้อย่างไร ในตอนที่จางอีเต๋อจับชีพจรให้แม่ของเสี้ยวหยาก็ได้ใช้พลังพิเศษในสายรักษาเพื่อตรวจสอบอาการป่วยของแม่ของเสี้ยวหยาจนกระจ่างชัด เห็นได้ชัดเจนว่าเขาได้ข้อสรุปที่ใกล้เคียงกับการใช้เครื่องมือของโรงพยาบาลแห่งเมืองหลวง ได้ข้อสรุปเหมือนกับเหล่าแพทย์เฉพาะทาง กระทั่งละเอียดกว่าด้วยซ้ำ นั่นก็คือแม่ของเสี้ยวหยาจะมีชีวิตอยู่ได้นานที่สุดเพียงไม่กี่เดือน

“คุณปู่จางคะ อาการป่วยของแม่หนูเป็นยังไงบ้างคะ?” เสี้ยวหยาเห็นจางอีเต๋อไม่พูดจึงรีบถามออกไปด้วยความกังวล

“โรคมะเร็ง แต่อาการไอตอนนี้ก็ไม่เลวนัก หากว่าทำการรักษาต่อไปอย่างน้อยก็สามารถอยู่ต่อไปได้อีกห้าปี ในช่วงนี้ก็กินอาหารดีๆ เข้ารับการรักษาด้วยเทคโนโลยีและวิทยาศาสตร์ที่ดี ก็อาจจะสามารถอยู่ได้อีกสิบปีขึ้นไป!” จางอีเต๋อมองเสี้ยวหยาแล้วพูดขึ้นอย่างจริงจัง

“ค่ะ…” เสี้ยวหยาเงียบลง แม้จะรู้ว่าแม่ของตนยังเหลือเวลาอีกนิดหน่อย แต่เมื่อคิดว่าแม่สามารถอยู่ได้เพียงห้าปีหรืออาจจะสิบปีก็ต้องมาจากตนเองไป ทำให้อดไม่ได้ที่จะรู้สึกเจ็บปวดใจ

“ขอบคุณท่านปรมาจารย์จางมากค่ะ หยาเอ๋อร์อย่าได้ทำให้เขาลำบากใจอีกเลย สามารถอยู่ต่อได้อีกห้าปีแม่ก็พอใจมากแล้ว ถึงตอนนั้นก็จะได้เห็นลูกแต่งงาน หาสามีดีๆ สักคน ก็นับว่าความหวังของแม่เป็นจริงแล้ว!” แม่ของเสี้ยวหยาพูดอย่างเบิกบานใจ

“แม่ แม่พูดอะไรคะ แม่จะต้องมีชีวิตยืนยาวถึงร้อยปีแน่นอน!” เสี้ยวหยาเดินไปเบื้องหน้าของแม่ด้วยความแน่วแน่ จับมือแม่แล้วพูดด้วยรอยยิ้ม

“เด็กคนนี้นี่…รีบไปส่งคุณปู่จางและเทียนเฉินเถอะ…” แม่ของเสี้ยวหยาเห็นเย่เทียนเฉินและจางอีเต๋อกำลังจะเดินไปจึงอดไม่ได้ที่จะเอ่ยปากอย่างร้อนรน

จางอีเต๋อมองแม่ของเสี้ยวหยาและเสี้ยวหยา เขาถูกความสัมพันธ์อันลึกซึ้งของแม่ลูกคู่นี้โจมตีเอาเสียแล้ว โดยเฉพาะเสี้ยวหยาที่เหมือนกับจางรั่วถงหลานสาวของตน มีความฉลาดเฉลียวรู้ความ นี่ทำให้เซียนแพทย์เทวะอย่างจางอีเต๋อซึ่งเห็นการเกิดการตายมาจนคุ้นชินอดไม่ได้ที่จะซาบซึ้งใจขึ้นมา เขาหยิบกล่องเล็กๆ ใบหนึ่งออกมาจากกล่องยาของตัวเองแล้วส่งไปให้เสี้ยวหยา พูดขึ้นว่า “เด็กน้อย ในนี้มียาอยู่สามเม็ด ทุกครั้งที่อาการป่วยของแม่เธอถึงขั้นวิกฤตก็ให้กินหนึ่งเม็ด จะสามารถรักษาชีวิตของเธอเอาไว้ได้สามครั้ง!”

“ขอบคุณค่ะคุณปู่จาง!” เสี้ยวหยารับกล่องเล็กๆ ใบนั้นมาจากจางอีเต๋อ พูดขึ้นด้วยความซาบซึ้งใจ

จากนั้นจางอีเต๋อและเย่เทียนเฉินก็เดินออกไปจากห้องผู้ป่วย เมื่อมาถึงด้านนอกเย่เทียนเฉินจึงได้ถอนหายใจยาวเหยียด มองไปยังจางอีเต๋อแล้วพูดขึ้น “ผมว่านะ เมื่อกี้คุณทำให้ผมตกใจจริงๆ คุณคิดที่จะพูดความจริงจริงเหรอ?”

“ผมต้องคิดที่จะพูดความจริงอยู่แล้ว เพราะผมมีจรรยาบรรณของคนเป็นหมอ เพียงแต่ว่าผู้ป่วยทุกคนต่างก็รู้ถึงสภาพของตัวเองดี พวกคุณหลอกผู้ป่วยแบบนี้จะเป็นการไม่รับผิดชอบต่ออาการป่วยของเธอ แม่ของเสี้ยวหยาป่วยเป็นโรคมะเร็งระยะสุดท้ายแล้ว มีชีวิตได้อย่างมากก็แค่สามเดือน ไม่อาจอยู่ได้นานถึงครึ่งปีขนาดนั้น พวกคุณหลอกเธอแบบนี้ ไม่มีผลดีอะไรกับอาการป่วยของเธอเลย!” จางอีเต๋อพูดกับเย่เทียนเฉินพลางสายหน้า

“บางครั้งเราก็ต้องทำการโกหกด้วยเจตนาดี มันเป็นการให้ความหวังคนอื่นได้ ทำไมพวกเราจะไม่ทำล่ะ?” ทันใดนั้นเย่เทียนเฉินทอดถอนใจแล้วพูดออกมา

เมื่อได้ยินคำพูดของเย่เทียนเฉิน จางอีเต๋อก็ไม่ใช่ว่าจะไม่เข้าใจ เขามีฐานะเป็นเซียนแพทย์เทวะ และเป็นยอดฝีมือผู้มีพลังพิเศษในสายโลหะ มีอายุยืนมาถึงร้อยปี ได้เห็นเรื่องราวต่างๆ มากมายที่คนในยุคปัจจุบันนี้ไม่เคยเห็น โดยเฉพาะการเกิดแก่เจ็บตาย

“วางใจเถอะ แม่ของสาวน้อยคนนั้น อย่างน้อยก็สามารถยืนหยัดไปได้อีกหนึ่งปี!” จางอีเต๋อเปิดปากพูด

“ดูแล้วยาเม็ดทั้งสามเม็ดนั้นคงจะไม่ได้หลอกกัน มันมีผลที่ช่วยให้ยืดอายุได้!” เย่เทียนเฉินพูดพลางพยักหน้า

ในตอนแรกเย่เทียนเฉินคิดว่ายาในกล่องเล็กๆ ที่เขาให้เสี้ยวหยานั้นเป็นเพียงคำลวงที่ทำเพื่อเจตนาดีเท่านั้น ทำเพื่อมอบความหวังให้แก่เธอ ตอนนี้ดูแล้วจางอีเต๋อจะไม่ได้โกหก ยาที่ให้เสี้ยวหยาไปสามเม็ดนั้นสามารถช่วยยืดอายุได้จริงๆ

ถ้าหากว่าอย่าเช่นนี้ถูกเทคโนโลยีและวิทยาศาสตร์ในยุคปัจจุบันนำไปวิจัยและค้นคว้า คงจะต้องสั่นสะเทือนไปทั่วทั้งโลกแน่นอน และจะต้องทำให้นักวิทยาศาสตร์จำนวนมากตื่นตะลึง ความเป็นไปได้ที่มากที่สุดก็คือถูกประเทศเก็บเอาไว้เป็นความลับไม่ให้คนทั่วไปในโลกภายนอกได้รู้ ในจุดนี้ไม่มีอะไรน่าแปลก หากพูดถึงสังคมในยุคปัจจุบันนี้แล้ว ประชาชนทั่วไปในระดับล่างจะรู้เกี่ยวกับเรื่องของการพัฒนาประเทศได้อย่างไร จะรู้เรื่องเกี่ยวข้องกับการสูญพันธุ์ของมนุษย์ได้อย่างไร? คนที่เข้าใจต่างก็เป็นคนจำนวนน้อย หรือกระทั่งคนจำนวนน้อยก็ยังไม่เข้าใจด้วยซ้ำ

“ตอนนั้นที่ยืดอายุให้ท่านผู้นำที่เป็นผู้ก่อตั้งประเทศไปอีกยี่สิบปีไม่ได้สูญเปล่าเลยจริงๆ ผมเรียนรู้มาทั้งชีวิต แล้วต้องใช้ของล้ำค่าที่บังเอิญได้มาของผมถึงจะหลอมยาที่ช่วยยืดอายุไปได้ยี่สิบปีขึ้นมาได้!” ดูเหมือนว่าจางอีเต๋อจะย้อนนึกไปถึงเรื่องเมื่อปีนั้น ในค่ำคืนที่มีฟ้าร้องดังสนั่น หลังจากที่เขายืดชีวิตให้ท่านผู้นำแล้ก็หายตัวไปโดยไร้ร่องรอย เพราะเขาไม่มีวิธีการอื่นที่จะสามารถทำให้มีชีวิตอยู่ได้นานขึ้นอีก สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นความลับ ถ้าพูดออกไปก็คงไม่มีใครเชื่อ กระทั่งผู้นำระดับสูงสุดของประเทศในตอนนี้ก็ยังไม่รู้เรื่องนี้ นี่เป็นเรื่องสำคัญมากจริงๆ

เมื่อได้ยินคำพูดของจางอีเต๋อ ในใจของเย่เทียนเฉินก็ตกตะลึง ยืดอายุไปอีกยี่สิบปี นี่ฟังดูแล้วเหมือนกับเป็นเรื่องเพ้อเจ้อ ต่อให้เขาเคยเป็นผู้แข็งแกร่งในช่วงยุคสิ้นโลกมาก่อน มีความสามารถในการป่นหินทลายแม่น้ำ ก็ยังหายาวิเศษที่ช่วยยืดอายุให้ผู้คนได้ยากยิ่ง ในช่วงยุคสิ้นโลกไม่ใช่ว่าจะไม่มียาแบบนี้ เพียงแต่ยาแบบนี้ล้ำค่ามากเกินไป ต่อให้เป็นผู้แข็งแกร่งระดับเทพราชันก็ยังไม่มี

จางอีเต๋อเป็นชายชราที่น่าเหลือเชื่อและลึกลับมากคนหนึ่ง มีฐานะเป็นผู้มีพลังพิเศษในสายรักษา และสามารถใช้เคล็ดวิชาพลังพิเศษในสายโลหะได้ นอกจากนี้เขายังมีอายุถึงร้อยปี แต่ยังมีร่างกายแข็งแรง มีความสามารถแข็งแกร่ง เดิมทีสิ่งเหล่านี้ก็ทำให้ผู้คนรู้สึกสั่นสะท้านมากแล้ว ไม่ว่าจะเป็นใครเมื่อต้องเผชิญหน้ากับความตายในตอนที่ไร้ซึ่งพลัง ก็จะมีความโหยหาในคำว่าอมตะมากยิ่งขึ้น หากมีวิธีการที่ทำให้คนเป็นอมตะได้จริงๆ เชื่อว่าคนมากมายจะต้องการผลประโยชน์ตรงนี้และพากันออกตามหา นี่เป็นสาเหตุที่ทำไมในช่วงยุคสิ้นโลก ซึ่งเป็นโลกที่แปลกพิสดาร คล้ายกับว่าทุกสิ่งทุกอย่างย้อนกลับไปในยุคของเทพเซียนนั้น มีอารยธรรมในยุคปัจจุบัน มีมนุษย์กลายพันธุ์และสัตว์กลายพันธุ์ และมีผู้ที่ต้องการบ่มเพาะความเป็นอมตะ ซึ่งสามารถเรียกได้ว่าผู้บ่มเพาะ ดังนั้นในช่วงยุคสิ้นโลกไม่ว่าจะเป็นมนุษย์และสัตว์กลายพันธุ์ ยอดฝีมือแห่งพรรควรยุทธโบราณ หรือจะเป็นผู้แข็งแกร่งที่มีพลังพิเศษ ต่างก็สามารถเรียกได้ว่าเป็นผู้บ่มเพาะ จุดประสงค์สุดท้ายก็คือต้องการทำให้ตัวเองแข็งแกร่ง สามารถอยู่ในโลกที่ปลาใหญ่กินปลาเล็กนี้ได้ ในขณะเดียวกันก็แสวงหาเส้นทางแห่งความเป็นอมตะ ยึดถือเป็นแนวทางของชีวิต

“ในสังคมปัจจุบันนี้ นอกจากป่าดึกดำบรรพ์แล้ว ที่อื่นก็ถูกวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีและสิ่งปลูกสร้างทำลายไปหมดแล้ว คุณถึงกับสามารถหาวัตถุดิบที่นำมาหลอมเป็นยายืดอายุได้ มหัศจรรย์มากจริงๆ!” เย่เทียนเฉินอดไม่ได้ที่จะพูดขึ้น

การหลอมยานั้นเป็นอารยธรรมของชาวจีนเมื่อห้าพันปีที่แล้ว จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่หยุดพัฒนา ในปัจจุบันนี้ก็มีแพทย์แผนจีนจำนวนหนึ่ง มีห้องยาที่ได้รับถ่ายทอดเป็นมรดกมาอีกจำนวนหนึ่ง และยังมีการหลอมยาอยู่ เพียงแต่ยาที่หลอมออกมาได้ในปัจจุบันนี้ ส่วนใหญ่ทุกคนเรียกว่ายาลูกกลอน มีประสิทธิภาพธรรมดาๆ เท่านั้น

“ยาลูกกลอนทั้งสามเม็ดที่ผมให้สาวน้อยคนนั้นไป ความจริงแล้วเป็นยาที่เหลือจากการที่ผมยืดอายุให้ท่านผู้นำเมื่อปีนั้น มีชื่อว่ายาไขกระดูกมังกร น่าเสียดายที่ประสิทธิภาพของยาลดลงไปเหลือเพียงแค่หนึ่งส่วน ไม่งั้นจะต้องสามารถทำให้แม่ของเธออยู่ต่อไปได้อีกหลายปี!” จางอีเต๋อเดินไปพลางพูดไปพลาง

“ยาไขกระดูกมังกร เป็นยาที่ใช้น้ำจากหญ้าไขกระดูกมังกรหลอมออกมาหรือเปล่า?” จู่ๆ เย่เทียนเฉินก็ชะงักไป อดไม่ได้ที่จะเอ่ยปากถาม

“คิดไม่ถึงว่าคุณจะรู้เรื่องไม่น้อยเลยทีเดียว ถูกต้องแล้ว เมื่อปีนั้นผมได้รับหญ้าไขกระดูกมังกรมาจำนวนหนึ่งโดยบังเอิญ หลังจากที่ผ่านการหล่อมาหลายครั้งจึงสามารถหลอมออกมาเป็นยาไขกระดูกมังกรได้ ท่านผู้นำผู้ก่อตั้งประเทศจีนสร้างผลประโยชน์มากมายให้แก่ประชาชน มีเหตุผลมากพอที่จะได้รับการยืดอายุครั้งนี้ ดังนั้นผมจึงให้เขากินยาไขกระดูกมังกร ยืดอายุไปอีกยี่สิบปี!” จางอีเต๋อเองก็มองเย่เทียนเฉินอย่างประหลาดใจแล้วพูดขึ้น

หญ้าไขกระดูกมังกร ในตอนที่เย่เทียนเฉินอยู่ในช่วงยุคสิ้นโลกก็เคยได้ยินผู้อาวุโสคนหนึ่งพูดถึงมาก่อน นั่นเป็นสมุนไพรที่พิสดารมาก สิ่งที่สำคัญที่สุดที่ทำให้ธรรมชาติสามารถก่อกำเนิดสรรพสิ่งได้ก็คือชีพจรของโลก ซึ่งเรียกกันว่าเป็นชีพจรมังกร ในชีพจรมังรแฝงไปด้วยพลังงานที่แข็งแกร่งหาใดเปรียบ สามารถทำให้สรรพสิ่งในโลกใบหนึ่งเกิดการสืบพันธุ์ต่อไปได้ เห็นได้ชัดว่ามันเยี่ยมยอดขนาดไหน ส่วนหญ้าไขกระดูกมังกรนั้นก็เป็นสมุนไพรชนิดหนึ่งที่เกิดและเติบโตใกล้กับชีพจรมังกร อาศัยแก่นแท้ของชีพจรมังกรในการดำรงอยู่และเติบโต จินตนาการได้เลยว่าจะมีค่ามากขนาดไหน จะทำให้คนฟื้นขึ้นมาจากความตายก็ไม่นับว่าเป็นเรื่องยากอะไร

เพียงแต่หากต้องการที่จะได้รับหญ้าไขกระดูกมังกรมานั้นเป็นเรื่องที่ยากมาก เมื่อตอนนั้นเย่เทียนเฉินอยู่ในขอบเขตพระเจ้า แข็งแกร่งเป็นอย่างมาก เขาก็เคยตามหาหญ้าไขกระดูกมังกรมาก่อน คิดที่จะเก็บสำรองเอาไว้ใช้ยามจำเป็น แต่ก็ไม่ได้มีโอกาสนั้น เพราะชีพจรมังกรที่อยู่ลึกลงไปใต้พื้นเคลื่อนไหวไม่หยุด ถูกคนอื่นควบคุมได้ยากมาก หญ้าไขกระดูกมังกรก็มีจิตวิญญาณ แน่นอนว่าจะไม่ถูกผู้ค้นหาพบได้ง่ายๆ ขนาดนั้น มีผู้แข็งแกร่งจำนวนมากที่ตามหาหญ้าไขกระดูกมังกรเพราะมีความลับอันยิ่งใหญ่อยู่อย่างหนึ่ง นั่นก็คือต้องการที่จะใช้โอกาสนี้ตามหาชีพจรมังกร และใช้ประโยชน์จากชีพจรมังกรมาทำให้ตัวเองแข็งแกร่ง ทำให้ตนเองทะลวงไปถึงขอบเขตที่สูงยิ่งขึ้น

“ผมเองก็เคยเห็นในตำราโบราณมาครั้งหนึ่ง คิดไม่ถึงว่าในโลกนี้จะมีสมุนไพรแบบนั้นอยู่จริงๆ!” เย่เทียนเฉินแสร้งพูดด้วยท่าทางแปลกใจ

“ธรรมชาติเปลี่ยนไปแล้ว หากว่าเป็นสมัยดึกดำบรรพ์ สมัยเทพนิยาย หรือสมัยโบราณที่ไกลออกไป ผมเชื่อว่าบนโลกแห่งนี้คงจะมีแก่นแท้อยู่ คงจะไม่ไร้ชีวิตชีวาเหมือนตอนนี้หรอก!” จางอีเต๋อมองไปยังท้องฟ้า มีท่าทางราวกับกำลังคิดอะไรบางอย่างอยู่

……………………………

จางรั่วถงทั้งฉลาด บริสุทธิ์ และรู้ความเป็นอย่างมาก ในใจของเธอคิดว่าเย่เทียนเฉินเป็นคนดีคนหนึ่ง ถึงแม้ดูผิวเผินจะดูพึ่งพาไม่ได้และชอบทำตัวเรื่อยเฉื่อยอยู่บ้าง แต่ในตอนที่เขาลงมือก็จะจริงจัง มีเสน่ห์ของพี่ใหญ่

สรุปแล้วเย่เทียนเฉินได้ช่วยตนเองและช่วยกำจัดพิษให้มู่หรงซิน ในใจของจางรั่วถงเย่เทียนเฉินก็เลยเห็นว่าเป็นคนดี เป็นเหมือนพี่ใหญ่ที่ทำให้เธอคิดจะใช้เวลาด้วยให้มากขึ้น

“งั้นพวกเราก็ตกลงตามนี้ บอกก่อนว่าฉันเป็นคนกินเยอะ ถึงตอนนั้นเธอก็อย่ารู้สึกว่าเป็นการรบกวนก็แล้วกัน!” เย่เทียนเฉินยืนขึ้นบิดขี้เกียจด้วยความพึงพอใจ จากนั้นจึงพูดกับจางรั่วถงด้วยรอยยิ้ม

“จะเป็นแบบนั้นได้ไงคะ ขอแค่พี่มาเยี่ยมหนูบ้าง หนูก็จะทำของอร่อยๆ ให้พี่กิน!”

“งั้นก็เอาตามที่เธอพูด มาเกี่ยวก้อยสัญญากันเถอะ!”

เย่เทียนเฉินเองก็มีความประทับใจต่อจางรั่วถงไม่เลวเลยเช่นกัน ถึงแม้ทั้งสองจะเพิ่งได้พบหน้ากัน แต่ก็รู้สึกคุ้นเคยอย่างบอกไม่ถูก ระหว่างคนสองคนความจริงใจก็คือกุญแจสำคัญ เย่เทียนเฉินสามารถรับรู้ได้จากสายตาและคำพูดของจางรั่วถงว่าเด็กสาวคนนี้เป็นคนดีอย่างแท้จริง ทำให้เย่เทียนเฉินอดไม่ได้ที่จะต้องการรู้จักน้องสาวตัวน้อยให้มากขึ้น

“ค่ะ!” จางรั่วถงเองก็ยื่นนิ้วก้อยมือขวาของเธอออกไป เกี่ยวก้อยกับเย่เทียนเฉินแล้วพูดขึ้น

“เอาล่ะ ฉันกับคุณปู่ของเธอจะออกไปข้างนอกสักพัก เธอก็ทำอะไรของเธอไปเถอะ!”

เมื่อเห็นว่าเย่เทียนเฉินเดินออกไปจากห้องกินข้าวอย่างเบิกบานใจ จางรั่วถงก็เก็บถ้วยเก็บตะเกียบ เธอคิดถึงเรื่องที่เพิ่งจะเกี่ยวก้อยกับเย่เทียนเฉินเมื่อสักครู่นี้ก็อดไม่ได้ที่จะหน้าแดง ตั้งแต่เล็กจนโต นี่เป็นครั้งแรกที่มีผู้ชายมาแตะต้องตัวเธอ ยิ่งไปกว่านั้นจางรั่วถงยังไม่รู้ว่าทำไม เมื่อคืนเธอถึงฝันว่าได้พบกับเย่เทียนเฉิน ฝันเห็นเรื่องที่เขาแก้พิษให้มู่หรงซินอย่างบริสุทธิ์ใจ ฝันเห็นเงาร่างอันหล่อเหลาของเขากำลังสู้กับคาเอดะอิจิโร่

หัวใจของเด็กสาวค่อยๆ เต้นแรง จางรั่วถงอดไม่ได้ที่จะย้อนคิดไปถึงภาพนั้น ทุกสิ่งทุกอย่างต่างก็เกี่ยวข้องกับเย่เทียนเฉิน โดยเฉพาะรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ของเย่เทียนเฉิน คำพูดอันธพาลที่ดูไร้แก่นสารของเขายิ่งทำให้เธอรู้สึกว่ามีเสน่ห์

ในตอนที่เย่เทียนเฉินเดินไปถึงลาน พบว่าจางอีเต๋อพกล่องยานั่งอยู่ข้างโต๊ะหินในลานก่อนแล้ว ชายชราที่ทั้งผมและหนวดเคราขาวโพลนไปหมดแล้วคนนี้มีท่าทางราวกับเซียน ในฐานะที่เป็นเซียนแพทย์เทวะ เย่เทียนเฉินรู้ว่าชีวิตของจางอีเต๋อในตอนนี้สงบสุขมาก หากไม่ใช่เพราะมู่หรงอวี๋ตูมาหาเขา เขาคงไม่ปรากฏตัวออกมาสู่โลกภายนอกเป็นอันขาด

จางอีเต๋อสามารถรักษาให้ประชาชนคนธรรมดาทั่วไปได้โดยที่ไม่คิดเงิน แต่ก็ไม่แน่ว่าผู้มีเงินทองหรือผู้มีอำนาจจะสามารถเชิญเขาไปได้ นี่คือหลักการในการรักษาคนของจางอีเต๋อ จะไม่แบ่งแยกผู้ป่วยจากทรัพย์สินเงินทองหรืออำนาจเป็นอันขาด นี่จึงจะเป็นภาวะสูงที่สุดของผู้เป็นหมอ จิตใจโอบอ้อมอารีของผู้เป็นหมอที่ประดุจดั่งบุพการีต่างก็ปรากฏอยู่ในนี้แล้ว

“ผู้อาวุโสจาง ผมขอเตือนคุณไว้สักหน่อย ผู้ป่วยที่ผมคิดจะเชิญคุณไปรักษานั้นป่วยเป็นโรคมะเร็ง และยังเป็นระยะสุดท้ายด้วย มีชีวิตอยู่ได้เพียงแค่ไม่กี่เดือน!” เย่เทียนเฉินเดินไปเบื้องหน้าจางอีเต๋อ มองจางอีเต๋อแล้วพูดขึ้นอย่างจริงจัง

“ไปดูสักหน่อยก็แล้วกัน โรคมะเร็งเป็นโรคที่ในสังคมปัจจุบันนี้รักษาไม่หาย ผมเองก็ไม่แน่ว่าจะทำได้ แต่อย่างน้อยก็สามารถทำให้เธอมีชีวิตยืนยาวไปได้อีกหลายปี นี่เป็นข้อจำกัดที่สุดแล้ว!” จางอีเต๋อกล่าวตามจริง

เย่เทียนเฉินพยักหน้า เขารู้ว่าจางอีเต๋อไม่ได้พูดโกหก โรคมะเร็งในช่วงยุคสิ้นโลกอาจจะไม่นับว่าเป็นอะไรได้ แต่หากต้องการรักษาให้หายในโลกแห่งนี้นับเป็นเรื่องเพ้อฝันอย่างแน่นอน ปัญหาที่สำคัญก็คือขาดแคลนยารักษาโรคประเภทนี้ ไม่เหมือนกับในช่วงยุคสิ้นโลกที่มีความพิสดาร มีกระทั่งยาที่สามารถทำให้คนตายฟื้นขึ้นมาได้

จางอีเต๋อและเย่เทียนเฉินเดินออกมาจากลานบ้านตระกูลจาง ในตอนที่พวกเขาเพิ่งจะเดินไปถึงประตูนั้น จางรั่วถงก็ตามมา ในมือถือกล่องข้าวกล่องนึง เธอส่งไปให้เย่เทียนเฉินแล้วพูดว่า “พี่เทียนเฉิน หนูเห็นว่าพี่ชอบกินเนื้อกระต่ายน้ำแดงนี้มาก ยังเหลืออยู่อีกหน่อย พี่เอากลับไปกินเถอะ!”

“หือ? งั้น…ฉันก็เขินแย่น่ะสิ?”

เย่เทียนเฉินพูดว่าเขินไปพลาง หยิบกล่องข้าวที่จางรั่วถงส่งมาให้ไปพลาง จางรั่วถงเห็นดังนั้นก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มหวานออกมา ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี

จางอีเต๋อมองหลานสาว ในสายตาเจือไปด้วยความกังวล ในขณะเดียวกันก็มองไปยังเย่เทียนเฉิน ราวกับตัดสินใจเรื่องอะไรบางอย่างได้ เขาโบกมือเรียกรถแท็กซี่คันหนึ่ง จากนั้นจึงเข้าไปนั่ง เย่เทียนเฉินเองก็ตามเข้าไปนั่งที่ตำแหน่งข้างคนขับหลังจากยิ้มบอกลาจางรั่วถงเรียบร้อยแล้ว

“คุณคนขับครับ ไปโรงพยาบาลเมืองหลวง!” เย่เทียนเฉินมองเนื้อกระต่ายน้ำแดงที่ส่งกลิ่นหอมในกล่องข้าว อดไม่ได้ที่จะพูดออกมาแล้วหัวเราะฮี่ๆ

ไม่กล่าวไม่ได้ว่า ฝีมือการทำอาหารของจางรั่วถงดีมากจริงๆ หลังจากที่กลับมาเกิดใหม่ในสังคมเมือง เย่เทียนเฉินก็กินอาหารเลิศรสไปไม่น้อย เขามีความพิถีพิถันในการเลือกกินมาก ฝีมือการทำอาหารของหลัวเยี่ยนผู้เป็นแม่ก็ดีมากเช่นเดียวกัน ส่วนเย่เชี่ยนเหวินนั่นน่ะเหรอ เขาไม่กล้าชมเชยเลยจริงๆ แน่นอนว่ายังมีอีกคนหนึ่งที่เย่เทียนเฉินอยากจะลืมก็ลืมไม่ลง นั่นก็คือฉีหรูเสวี่ย ถึงแม้เย่เทียนเฉินจะไม่ได้รู้สึกอะไรกับฉีหรูเสวี่ย แต่ก็ยังเห็นเธอเป็นเพื่อน การที่ทั้งสองทะเลาะกันก็เป็นเรื่องปกติ แต่มีจุดหนึ่งที่เย่เทียนเฉินจำเป็นต้องยอมรับ นั่นก็คืออาหารที่ฉีหรูเสวี่ยทำรสชาติไม่เลวเลยจริงๆ โดยเฉพาะกุ้งมังกรที่เรียกได้ว่ากินร้อยครั้งก็ไม่เบื่อ

“คุณมีแฟนหรือยัง?” ทันใดนั้นจางอีเต๋อก็มองไปยังเย่เทียนเฉินแล้วเอ่ยถามออกมา

“ถามทำไมเนี่ย? ผมบอกคุณไว้ก่อนนะ รสนิยมทางเพศของผมปกติมาก ยิ่งคนแก่ผมยิ่งไม่สนใจ!” เย่เทียนเฉินจงใจพูดด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์

ใบหน้าของจางอีเต๋อมืดครึ้ม รู้สึกอยากอัดเย่เทียนเฉินแรงๆ สักครั้ง คนคนนี้บางทีก็กวนประสาทเกินไปแล้ว หากไม่ได้อยู่บนรถแท็กซี่ กลัวว่าจะทำให้คนขับรถตกใจ เกรงว่าจางอีเต๋อที่มีอายุเกือบร้อยปีคงจะทนไม่ไหวไปแล้ว

“ไม่มีอะไร ถามดูเฉยๆ!” จางอีเต๋อพูดด้วยใบหน้าเคร่งขรึม

“ฮี่ๆ คนหล่อสง่างามอย่างผม มีออร่าซะยิ่งกว่าหิ่งห้อยตอนกลางคืนอีก เป็นเหมือนกับเต่าทองคำในท้องนา เอาวางไว้ที่ไหนก็เปล่งประกายที่นั่น ผู้หญิงสวยๆ ที่ตามจีบผมเยอะมาก แต่ก็ยังไม่เจอผู้หญิงที่ผมถูกใจมาก่อน ผมรอคอยเธอมาโดยตลอด…” เย่เทียนเฉินเก๊กพูดอย่างจริงจังแล้วมองไปเบื้องหน้า

จางอีเต๋ออับจนคำพูดแล้วจริงๆ ชายชราอายุเกือบร้อยปีกับเด็กหนุ่มอายุยี่สิบปีแบบเย่เทียนเฉิน หาหัวข้อเรื่องมาพูดคุยกันยากมาก กลับเป็นคนขับรถด้านข้างที่อายุประมาณสี่สิบปีซึ่งดูเป็นคนร่าเริงและช่างพูดช่างเจรจา เมื่อได้ยินคำพูดของเย่เทียนเฉินก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มแล้วพูดออกมา “เด็กหนุ่มที่ยังอายุน้อยและมั่นใจในตัวเองอย่างคุณมีไม่มากเลยจริงๆ คนหนุ่มสาวก็ควรจะมีความร่าเริง คุณคนที่อยู่ด้านหลังเป็นคุณปู่ของคุณหรอ? สุขภาพดีมากจริงๆ อายุยืนยาวนับร้อยปี!”

เมื่อได้ยินคำพูดของคุณลุงคนขับรถ เย่เทียนเฉินก็รู้สึกเอือมระอา ถึงกลับคิดว่าจางอีเต๋อเป็นคุณปู่ของเขา ส่วนจางอีเต๋อก็ยิ้มอย่างได้ใจ มองท่าทางเซ็งๆ ของเย่เทียนเฉิน เด็กหนุ่มที่วันๆ เอาแต่ล้อเล่นพูดจาเรื่อยเฉื่อยแบบเขาก็มีช่วงเวลาที่เสียเปรียบด้วย?

สำหรับยอดฝีมืออย่างเย่เทียนเฉินและจางอีเต๋อย่อมไม่คิดเล็กคิดน้อยกับคนธรรมดาทั่วไป โดยเฉพาะคนธรรมดาที่มีจิตใจดีงามแบบนี้ ผู้อื่นเขาคุยกับคุณด้วยเจตนาดี ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นมิตรมากด้วย ต่อให้จะเข้าใจผิดก็ไม่ควรที่จะไปอัดคนอื่นเขามั่วๆ

“คุณลุงคนขับรถ สายตาของคุณดีจริงๆ มองแป๊บเดียวก็รู้เลย แต่ผมกับเขาไม่ใช่ปู่หลานกัน!” เย่เทียนเฉินพูดด้วยรอยยิ้ม

 “เอ๋? ขะ ขอโทษด้วยครับ ผมดูผิดไปแล้ว ขอโทษน้องชายจริงๆ !” คนขับรถแท็กซี่พูดด้วยรอยยิ้ม

“ไม่เป็นไร!” เย่เทียนเฉินพยักหน้าแล้วพูดขึ้น

“ไม่ต้องพูดถึงเขาหรอก แต่คุณเรียกผมว่าคุณปู่ก็สมควรแล้ว ผมอายุร้อยปีแล้ว พวกคุณเพิ่งจะเท่าไหร่กันเชียว รีบเรียกคุณปู่สิ!” จางอีเต๋อในตอนนี้ก็เริ่มพูดจาหยอกล้อขึ้นมา

ในตอนนี้เองทำให้เย่เทียนเฉินและคนขับรถรู้สึกอับจนคำพูด ขิงยิ่งแก่ยิ่งเผ็ดจริงๆ ล้อเล่นน่า พวกผู้เฒ่าเหล่านี้ตอนที่คิดจะหยอกล้อขึ้นมา รับประกันได้เลยว่าไม่ว่าใครก็ต้องหัวเราะไม่ออกร้องไห้ไม่ได้

จนกระทั่งถึงเวลาประมาณบ่ายสอง เย่เทียนเฉินและจางอีเต๋อจึงได้มาถึงโรงพยาบาลแห่งเมืองหลวง เย่เทียนเฉินโทรหาเสี้ยวหยา ให้เธอรีบมาที่โรงพยาบาลแห่งเมืองหลวง บอกว่ามีเซอร์ไพรส์ให้เธอ

เมื่อเย่เทียนเฉินพาจางอีเต๋อเดินเข้าไปในห้องผู้ป่วยของแม่ของเสี้ยวหยาจึงพบว่าเสี้ยวหยารออยู่ด้านในแล้ว เธอกำลังคุยเล่นกับแม่อย่างเบิกบานใจ สีหน้าของแม่ของเสี้ยวหยายังคงซีดขาวเป็นอย่างมาก เมื่อเทียบกับเมื่อหลายวันก่อนก็ดูซีดลงไปไม่น้อยเลยทีเดียว ท่าทางผู้อำนวยการของโรงพยาบาลแห่งเมืองหลวงจะไม่ได้โกหกเขา แม่ของเสี้ยวหยาอยู่ได้ไม่นานนัก อย่างมากที่สุดก็อยู่ได้อีกครึ่งปี

“หยาเอ๋อร์ คนๆ นี้คือปรมาจารย์จาง มีฝีมือทางการแพทย์ยอดเยี่ยมมาก จะต้องรักษาแม่ของเธอได้แน่ เขารับปากฉันแล้ว!” เย่เทียนเฉินแนะนำจางอีเต๋อให้เสี้ยวหยาด้วยรอยยิ้ม

“คุณปู่จางสวัสดีค่ะ ขอบคุณที่มารักษาให้แม่ของหนู!” เสี้ยวหยามองไปยังจางอีเต๋อด้วยความซาบซึ้งใจ พูดจาอย่างมีมารยาท

“อืม!” จางอีเต๋อพยักหน้า มองไปยังเย่เทียนเฉินอย่างไม่สบอารมณ์ คนคนนี้ยังไม่ทันได้รับคำอนุญาตจากตนเองก็บอกไปว่าสามารถรักษาอาการป่วยของแม่ของเสี้ยวหยาได้ ไม่มีความรับผิดชอบเลยจริงๆ

เสี้ยวหยายืนอยู่ด้านข้าง เย่เทียนเฉินมองเธอแล้วยิ้มพลางพยักหน้าให้ เขาไม่ต้องการเห็นเสี้ยวหยาเจ็บปวดใจ ผู้หญิงที่จิตใจดีงามคนนี้ คนที่บริสุทธิ์ไร้เดียงสาแบบนี้ กล่าวได้เลยว่าในใจไม่มีความคิดสกปรกเลยแม้แต่น้อย รวมกับที่เธอมีหน้าตาเหมือนผู้หญิงที่เย่เทียนเฉินรักอย่างลึกซึ้งในช่วงยุคสิ้นโลก ทำให้เย่เทียนเฉินรู้สึกปล่อยวางไม่ได้ ปล่อยวางความคิดถึงลงไปไม่ได้

จางอีเต๋อไม่ได้พูดอะไรมาก เขาและเย่เทียนเฉินได้เดิมพันกันไว้แล้ว ในเมื่อเย่เทียนเฉินสามารถรักษาพิษให้มู่หรงซินได้ก็นับว่าได้ช่วยเขาและจางรั่วถงผู้เป็นหลาน เพื่อที่จะทำตามสัญญา การมารักษาให้แม่ของเสี้ยวหยาก็นับว่าสมควรแล้ว

เมื่อเห็นจางอีเต๋อนั่งลงข้างเตียงผู้ป่วยของแ่ของเสี้ยวหยา และยังใช้วิธีการที่เก่าแก่ที่สุดของหมอแผนจีน นั่นคือมองดมถามแมะ ซึ่งเป็นวิธีในการจับชีพจรให้ผู้ป่วย และไม่ได้ทำให้รู้สึกว่ามีจุดแปลกหรือพิสดารอะไร มีเพียงเย่เทียนเฉินที่สัมผัสได้ถึงพลังพิเศษอันแปลกประหลาดสายหนึ่ง นี่คงจะเป็นพลังพิเศษในสายรักษาของจางอีเต๋อที่ใช้ออกมาเป็นพิเศษ สามารถตรวจสอบอาการป่วยใดๆ ก็ตามในร่างกายของผู้ป่วยได้อย่างกระจ่างชัดแม่นยำ

“วางใจเธอ แม่ของเธอจะต้องไม่เป็นอะไรแน่ จะต้องดีขึ้นแน่นอน!” เย่เทียนเฉินพูดออกมากลับเสี้ยวหยาอย่างมาดเท่

…………………..

หลิงเยว่ พ่อของหลิงอวี่สวิ๋นและหัวเรือใหญ่แห่งตระกูลหลิง เป็นชายที่ประสบความสำเร็จและมีความสามารถเป็นอย่างมาก มิฉะนั้นเขาคงไม่ได้เป็นหัวเรือใหญ่ของตระกูลลิงที่ยิ่งใหญ่ในตอนที่คุณปู่ของหลิงอวี่สวิ๋นยังคงอยู่ในโลกนี้แน่

ประมาณสามปีก่อน ตอนนั้นตระกูลหลิงยังอยู่ต่างประเทศ ปักหลักอยู่ที่ประเทศ M คุณปู่ของหลิงอวี่สวิ๋นซึ่งก็คือผู้อาวุโสหลิง เห็นว่าลูกชายของเขาหลิงเยว่มีความสามารถถึงขนาดนี้ทั้งยังมีความกตัญญู รวมกับที่ตัวเขาเองก็แก่ชรามากแล้ว มีหลายเรื่องที่อยากทำแต่ไร้เรี่ยวแรง จึงได้มอบตำแหน่งหัวเรือใหญ่แห่งตระกูลหลิงให้แก่หลิงเยว่โดยไม่สนใจเสียงคัดค้านของเหล่าพี่น้องและคุณลุงคุณอาทั้งหลายในตระกูล ถึงแม้ตระกูลหลิงจะมีหลายคนที่ไม่พอใจต่อตัวของหลิงเยว่มาโดยตลอด แต่ก็หวาดกลัวผู้อาวุโสที่ยังมีชีวิตอยู่จึงไม่กล้าขัดแย้งกันอย่างชัดเจน

แต่หลิงเยว่และพ่อของเขาเคยคุยเรื่องธุรกิจกันมาก่อน เขารู้ว่ามีคุณลุงคุณอาบางคนไม่ต้องการที่จะกลับมาในประเทศ พวกเขาอยู่ที่ประเทศ M จนคุ้นชินแล้ว และยังมีชีวิตมั่นคงร่ำรวยอยู่ที่นั่น ลืมประเทศแม่และบ้านเกิดของตัวเอง กระทั่งในหมู่พี่น้องของหลิงเยว่ก็มีคนที่คัดค้านอยู่จำนวนหนึ่ง แต่ที่พวกเขาไม่กล้าก่อเรื่อง เป็นเพราะผู้อาวุโสหลิงซึ่งเป็นคุณพ่อของพวกเขายังคงมีชีวิตอยู่ จะอย่างไรหลายปีมานี้ผู้อาวุโสหลิงรู้สึกว่าร่างกายของตัวเองแย่ลงทุกวัน ดังนั้นจึงให้หลิงเยว่ผู้เป็นลูกชายกลับประเทศมา และย้ายธุรกิจของตระกูลหลิงกลับมาในประเทศให้เร็วที่สุด เขารู้ว่าถ้าเขาตายไป หลิงเยว่คงจะต้องเผชิญหน้ากับความกดดันมากมาย เหล่าพี่น้องคุณลุงคุณอาที่ไม่พอใจพวกนั้นก็จะต้องก่อเรื่องขึ้นมาอย่างแน่นอน

ดังนั้นตั้งแต่ที่หลิงเยว่กลับมาในประเทศจึงได้ทำทุกวิถีทางเพื่อที่จะย้ายธุรกิจกลับมา ซึ่งรวมไปถึงการสร้างความสัมพันธ์กับรัฐบาลประเทศจีนด้วย นี่ทำให้เขาได้รับความสำคัญจากคนระดับสูงในประเทศ จะอย่างไรพวกเราก็เป็นคนจีนด้วยกัน คงไม่มีใครที่ไม่อยากจะช่วย ยิ่งไปกว่านั้นตระกูลหลิงยังเป็นตระกูลที่มีอิทธิพลยิ่งใหญ่ต่อโลกธุรกิจต่างประเทศอีกด้วย หากว่าย้ายกลับมาทำธุรกิจในประเทศ เชื่อว่าจะต้องทำให้เศรษฐกิจของประเทศจีนพัฒนาขึ้นอย่างมาก และนำพาผลลัพธ์อันน่าตื่นตะลึงมาด้วยแน่นอน ดังนั้นประเทศจีนจึงยินดีต้อนรับเป็นที่สุด

ไม่ง่ายเลยกว่าที่ธุรกิจของตระกูลที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้จะย้ายกลับมาก่อตั้งอยู่ในประเทศจีนอย่างมั่นคงหยั่งรากลึก ดังนั้นคนในประเทศก็ทำได้เพียงสามารถช่วยเหลืออย่างลับๆ หรือไม่ก็ช่วยพูดเรื่องของนโยบายเล็กน้อย ส่วนใหญ่ก็ยังต้องพึ่งพาตัวของพวกเขาเอง ตัวอย่างไรประเทศจีนก็ใหญ่มาก มีกลุ่มอำนาจใหญ่และตระกูลใหญ่อยู่มากมาย ทางประเทศไม่สามารถละทิ้งทุกอย่างและมาใส่ใจตระกูลหลิงเพียงตระกูลเดียว

เพื่อที่จะช่วยให้ธุรกิจของตระกูลหลิงค่อยๆ ย้ายเข้ามาพัฒนาต่อในประเทศทีละเล็กทีละน้อย หลังจากที่หลิงเยว่กลับมาเขาก็ได้ทำการติดต่อและไกล่เกลี่ยกับคนทุกภาคส่วน ในขณะเดียวกันก็ใคร่ครวญถึงโครงการต่างๆ เตรียมตัวที่จะทำการลงทุนครั้งใหญ่ และเริ่มสานสัมพันธ์กับกลุ่มอำนาจใหญ่และตระกูลใหญ่บางตระกูล หวังว่าพวกเขาจะสามารถช่วยเหลือตระกูลหลิงได้บ้าง มีผลประโยชน์ร่วมกัน นี่จึงทำให้เขาต้องติดต่อกับคนจำนวนมาก ดังนั้นจึงพูดได้ว่าความกดดันของหลิงเยว่มีมากมายเหลือเกิน

ในตอนที่รู้ว่าลูกสาวของเขาหลิงอวี่สวิ๋นได้ไปมาหาสู่กับเย่เทียนเฉิน หลิงเยว่ก็คิดไปถึงจุดสำคัญที่สุดของปัญหาบางอย่างในทันที เมื่อปีนั้นตระกูลหลิงและตระกูลเย่มีความสัมพันธ์ที่ไม่เลวต่อกันจริงๆ อีกทั้งยังอาศัยอยู่ในซอยเดียวกัน แต่ว่าหลายปีมานี้ก็ไม่ได้มีการติดต่อกันแล้วจึงค่อยๆ ห่างเหินไป ยิ่งไปกว่านั้นหลิงเยว่ยังเข้าใจเป็นอย่างดีว่าตระกูลเย่ตกต่ำลงไปนานแล้ว กลายเป็นตระกูลชั้นสามของเมืองหลวงไปแล้ว และไม่อาจปีนป่ายขึ้นมาได้ ด้วยตำแหน่งฐานะและอำนาจของตระกูลหลิงในปัจจุบันนี้ ตระกูลเย่ไม่สามารถเทียบได้โดยเด็ดขาด

จุดที่สำคัญที่สุดก็คือ หลังจากที่หลิงเยว่ส่งย่าขู่ไปตรวจสอบจึงได้รู้ว่าเย่เทียนเฉินเป็นคนที่กำลังเผชิญกับอุปสรรคอันตรายมากมาย ถึงแม้ความสามารถส่วนตัวของเขาจะแข็งแกร่งมาก ถึงขนาดที่ตระกูลฉินและตระกูลลั่วเคยส่งมือสังหารชั้นยอดไปลอบสังหารเย่เทียนเฉินและสุดท้ายก็ต้องล้มเหลวกลับมา แต่หลิงเยว่ไม่เชื่อโดยเด็ดขาดว่า ด้วยเย่เทียนเฉินเพียงคนเดียวจะสามารถงัดข้อกับอำนาจใหญ่มากมายได้ ยิ่งไปกว่านั้นครั้งนี้คู่ต่อสู้ของเย่เทียนเฉินก็คือคุณชายใหญ่แห่งมหาวิทยาลัยหลงเถิง เป็นผู้ชายที่แข็งแกร่งอย่างแท้จริง ไม่ว่าจะเพื่อความรุ่งเรืองของตระกูลหลิงของตนหรือเพื่อความปลอดภัยของลูกสาว หลิงเยว่จึงทำการตัดสินใจว่าจะไม่ให้ลูกสาวได้ไปมาหาสู่กับเย่เทียนเฉินเป็นอันขาด

“พ่อคะ หนูไม่สนใจว่าเย่เทียนเฉินจะเป็นยังไง หนูเป็นเพื่อนกับเขา ยิ่งไปกว่านั้นเรื่องนี้ก็เป็นเรื่องส่วนตัวของหนู พ่อไม่มีสิทธิ์ห้าม!” หลิงอวี่สวิ๋นเห็นว่าพ่อของตนจะขังตนเอาไว้ในบ้านก็รีบเถียงออกมาด้วยเหตุผล

“พ่อเป็นพ่อของลูก และเป็นผู้ควบคุมตระกูลหลิง คำพูดของพ่อก็คือคำสั่ง ต่อให้ลูกไม่อยากทำตามก็ต้องทำ ย่าขู่ พาเธอไปซะ ไม่อนุญาตให้เหยียบย่างออกจากคฤหาสน์แม้แต่ครึ่งก้าว!” หลิงเยว่มองหลิงอวี่สวิ๋นผู้เป็นลูกแล้วพูดด้วยความเคร่งขรึมจริงจังอย่างหาใดเปรียบ

“พ่อคะ…” หลิงอวี่สวิ๋นน้ำตาไหล เธอคิดไม่ถึงว่าพ่อจะแน่วแน่ถึงขนาดนี้ ตั้งแต่เล็กจนโต นี่เป็นครั้งแรกที่พ่อของเธอเข้มงวดกับเธอขนาดนี้ ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อคิดว่าต่อจากนี้จะไม่ได้เจอเย่เทียนเฉินแล้ว หลิงอวี่สวิ๋นก็รู้สึกปวดใจ

หลิงอวี่สวิ๋นถูกย่าขู่ฝืนบังคับพาตัวออกไป หลิงเยว่ทอดถอนใจ เขารักหลิงอวี่สวิ๋นเป็นที่สุด ลูกสาวคนนี้คือความภาคภูมิใจของเขามาโดยตลอด เขาไม่ต้องการทะเลาะกับลูกสาวแบบนี้ แต่ก็ไม่มีวิธีการใด เพื่อตระกูลหลิง เพื่อความปลอดภัยของลูกสาว เขาจำเป็นต้องทำแบบนี้

“นายท่าน มีคำสั่งอะไรครับ!” บอดี้การ์ดสูทดำคนหนึ่งเดินเข้ามาจากประตูด้านข้าง ยืนอยู่ข้างกายของหลิงเยว่อย่างเคารพนอบน้อมแล้วเอ่ยถามขึ้น

“ช่วยฉันจับตาดูเย่เทียนเฉินแห่งตระกูลเย่ หากเขามีการไปมาหาสู่อะไรกับอวี่สวิ๋น ก็สั่งสอนเขาแทนฉันด้วย ถ้าเขายังทำตัวไม่รู้ความ ก็ฆ่าซะ…” หลิงเยว่พูดจบในดวงตาก็มีประกายความโหดเหี้ยมเพิ่มขึ้น

สำหรับกลุ่มอำนาจใหญ่และตระกูลใหญ่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นเบื้องหน้าหรือโลกเบื้องหลัง เมื่อสามารถกลายเป็นตระกูลที่มีอำนาจเช่นนี้ได้ก็ย่อมมีอำนาจอิทธิพลเป็นของตนเองทั้งทางสว่างและทางมืด มิฉะนั้นก็ไม่สามารถคงอำนาจไว้ได้ เมื่อเทียบกับตระกูลหลิงซึ่งเป็นตระกูลใหญ่ตระกูลแรกในสายธุรกิจของชาวจีนโพ้นทะเลที่ไปอยู่ต่างประเทศ และสามารถยืนหยัดได้โดยไม่ล้ม หากไม่มีอำนาจมืดนั่นเป็นไปไม่ได้โดยเด็ดขาด เพราะมักจะมีการต่อสู้ที่ไม่ยุติธรรมเกิดขึ้นเสมอ มักจะมีเรื่องการลอบสังหารและความอันตรายบางอย่างเกิดขึ้นบ่อยๆ เพียงแต่หากไม่ถึงที่สุดจริงๆ ตระกูลหลิงก็จะไม่ใช้วิธีนี้

“ครับ!” บอดี้การ์ดสูทดำตอบรับ แล้วรีบหมุนกายเดินจากไปทันที

หลิงเยว่หยิบหนังสือพิมพ์บนโต๊ะกาแฟขึ้นมา อ่านข่าวเกี่ยวกับตระกูลฉินและตระกูลลั่วต่อไป พูดออกมาอย่างใคร่ครวญว่า “อวี่สวิ๋น ลูกอย่าตำหนิพ่อเลย เย่เทียนเฉินไม่เหมาะสมกับลูก เขาจะเดินไปได้ไม่ไกลนักหรอก และเขาก็ไม่สามารถทำให้ตระกูลเย่รุ่งเรืองได้ด้วย ทำได้เพียงนำพาอันตรายมาสู่ตระกูลหลิงของพวกเราเท่านั้น เมื่อถึงเวลาที่จำเป็น ฆ่าเขาให้ตายซะยังจะดีกว่า!”

เช้าวันต่อมา ในตอนที่เย่เทียนเฉินตื่นพระอาทิตย์ก็แขวนลอยอยู่บนท้องฟ้าเรียบร้อยแล้ว เขาหาวออกมาครั้งหนึ่งพลางบิดขี้เกียจ ในตอนที่เขาเดินออกมาจากห้องพบว่าจางอีเต๋อกำลังออกกำลังกายเช้าอยู่ในลาน ชายชราอายุเกือบร้อยปีคนนี้ออกท่าทางไปเรื่อย บางทีก็สยายปีกคล้ายกับเหยี่ยว บางทีก็ทำท่าปีนป่ายราวกับลิง เย่เทียนเฉินที่เห็นก็รู้สึกแปลกใจ จางอีเต๋อเป็นคนที่ลึกล้ำเกินคาดเดาจริงๆ นอกจากเขาจะมีฝีมือและเป็นเซียนแพทย์เทวะที่มีวิชาแพทย์สูงส่งแล้ว เขายังเข้าใจในเรื่องของความเป็นอมตะเหนือกว่าคนทั่วไปมาก หากจางอีเต๋อเกิดในช่วงยุคสิ้นโลก หรือไม่ก็เกิดในดวงดาวอื่นหรืออารยธรรมอื่นๆ อาจจะสามารถเดินไปบนเส้นทางแห่งความเป็นอมตะได้ไกลยิ่งขึ้นก็เป็นได้!

“พี่เทียนเฉิน พี่ตื่นแล้วเหรอคะ รีบล้างหน้าเถอะ พวกเราจะกินข้าวกันแล้ว!” จางรั่วถงยกอาหารมา พูดกับเย่เทียนเฉินด้วยรอยยิ้ม

“ได้ ทำอาหารมาเยอะแยะน่าอร่อยขนาดนี้ รั่วถงมีความสามารถจริงๆ !” เย่เทียนเฉินพูดแล้วหัวเราะฮี่ๆ

เมื่อเห็นจางรั่วถงเดินเข้าไปในห้องกินข้าว เย่เทียนเฉินก็ไปล้างหน้า จากนั้นจึงเดินไปหาจางอีเต๋อ จางอีเต๋อในตอนนี้ยังคงหันหลังให้เขาและออกกำลังกายกล้ามเนื้อและกระดูกต่อไป ในตอนนี้มองไม่ออกเลยว่าจางอีเต๋อเป็นชายชราอายุเกือบร้อยปี หลังไม่ค่อมเอวไม่คด ร่างกายนั้นทำให้ผู้คนรู้สึกเหลือเชื่อจริงๆ

ฉัวะ!

ไหนเลยจะรู้ว่า เย่เทียนเฉินเพิ่งจะเดินไปถึงด้านหลังของจางอีเต๋อ ยังไม่ทันได้พูดอะไร เงาหมัดก็ต่อยมายังเย่เทียนเฉิน ทั้งเฉียบขาดและว่องไวเป็นอย่างมาก ไม่เหมือนกับกำลังลองเชิง แต่เหมือนกับต้องการต่อสู้เป็นตายจริงๆ

พลั่ก!

เย่เทียนเฉินลงมือ เอี้ยวตัวไปทางซ้าย มือซ้ายจับข้อมือขวาของจางอีเต๋อเอาไว้แล้วพูดขึ้นด้วยรอยยิ้มว่า “จะออกกำลังกายเหรอครับ?”

จางอีเต๋อมองเย่เทียนเฉิน ในดวงตาเจือความประหลาดใจ คิดไม่ถึงว่าปฏิกิริยาของเด็กคนนี้จะว่องไว เดิมทีตั้งแต่เมื่อคืนเขาก็คิดที่จะทดสอบฝีมือของเย่เทียนเฉินแล้ว เพียงแต่ตอนนั้นทั้งสองต่างก็ผ่านการต่อสู้ครั้งยิ่งใหญ่มาจนได้รับบาดเจ็บ ดังนั้นจางอีเต๋อจึงคิดจะลงมือตอนนี้แทน

เมื่อเห็นจางอีเต๋อไม่พูดอะไรเอาแต่โจมตีตนเองมาไม่หยุดหย่อน เย่เทียนเฉินก็โถมตัวเข้าไปเต็มกำลัง ทั้งสองออกกระบวนท่าอย่างต่อเนื่อง แต่ก็ไม่ได้ใช้เคล็ดวิชาพลังพิเศษอันแข็งแกร่ง เพราะการต่อสู้ระหว่างยอดฝีมือสามารถรู้แพ้รู้ชนะได้ภายในไม่กี่กระบวนท่า ไม่จำเป็นต้องสู้กันถึงตายก็สามารถตัดสินได้ว่าผู้ใดเหนือกว่า

พลั่ก!

หลังจากสิบกระบวนท่าผ่านไป เย่เทียนเฉินและจางอีเต๋อก็ปะทะหมัดกัน ทั้งสองถูกแรงปะทะจนกระเด็นออกมา มองฝั่งตรงข้ามอย่างตื่นตะลึงและหัวเราะออกมาถ้าจะพร้อมกัน

“ฝีมือดี ชนะผมตอนหนุ่มได้แล้ว!” จางอีเต๋อมองเย่เทียนเฉินแล้วพูดขึ้น

“ถ้าตอนที่ผมอายุร้อยปีและมีความสามารถได้แบบคุณ ผมก็พอใจมากแล้ว!” เย่เทียนเฉินพูดด้วยรอยยิ้ม

จางอีเต๋อมองเย่เทียนเฉินแล้วพยักหน้า ไม่ได้พูดอะไร เดินไปยังห้องกินข้าว เย่เทียนเฉินสัมผัสได้ถึงความแปลกไปของจางอีเต๋อ ดูเหมือนว่าชายชราคนนี้จะมีเรื่องในใจบางอย่าง แน่นอนว่าเขาไม่เต็มใจจะพูด เย่เทียนเฉินเองก็ไม่อยากถาม เดิมทีจางอีเต๋อก็เป็นคนที่มีนิสัยแปลกประหลาดอยู่แล้ว บางทีคนชราที่มีอายุถึงตอนนี้ ต่างก็มีความแปลกประหลาดกันทั้งนั้น

ในตอนที่กินข้าวเช้า จางอีเต๋อเอาแต่กินโดยไม่พูดอะไรสักคำ กลับเป็นเย่เทียนเฉินและจางรั่วถงที่พูดคุยกันอย่างมีความสุข จางรั่วถงยังคีบอาหารให้เย่เทียนเฉินอยู่บ่อยๆ อีกด้วย ทำให้เย่เทียนเฉินรู้สึกอายมาก ที่สำคัญก็คือฝีมือทำอาหารของจางรั่วถงยอดเยี่ยมมาก ดูเหมือนว่าอาหารทุกอย่างจะทำออกมาได้อร่อยทั้งหมด โดยเฉพาะเย่เทียนเฉินที่ได้มาเกิดใหม่ในโลกแห่งนี้ที่เรียกได้ว่าเป็นตัวตะกละตะกลาม กินข้าวหมดไปห้าถ้วยแล้ว และกินอาหารบนโต๊ะราวกับยัด สุดท้ายก็เหลือเพียงเย่เทียนเฉินคนเดียวที่ขยับตะเกียบ จางอีเต๋อนั้นออกไปจากห้องกินข้าวนานแล้ว ส่วนจางรั่วถงก็มองเย่เทียนเฉินด้วยรอยยิ้ม

“หวา น่าพอใจจริงๆ ฝีมือทำอาหารของเธอไม่เลวเลย คล้ายกับอาหารที่แม่ของฉันทำ เพียงแต่ไม่รู้ว่าวันหลังจะมีโอกาสได้กินอาหารที่เธอทำอีกไหม!” เย่เทียนเฉินผู้ชมจางรั่วถงด้วยรอยยิ้ม

“พี่เทียนเฉิน พี่เป็นคนดี ถ้าพี่มีเวลามาหา หนูก็จะทำอาหารให้พี่กิน!” จางรั่วถงยิ้มหวาน กระพริบดวงตากลมโตมองไปยังเย่เทียนเฉิน

………………….

“คำว่าอมตะมันหนักเกินไปจริงๆ และอยู่ห่างจากพวกเราไปมาก อย่างน้อยในโลกนี้ก็ไม่อาจตามหาได้ บางทีในดาวดวงอื่นที่มีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่ ในดวงดาวที่มีอารยธรรมที่แตกต่างออกไปอาจจะมีผู้แข็งแกร่งที่สามารถเดินบนเส้นทางแห่งความเป็นอมตะได้”

เย่เทียนเฉินชะงักไปครู่หนึ่ง นอนฟังคำพูดนี้ของจางอีเต๋ออยู่บนเตียง ในใจของเขารู้สึกสั่นไหว เขาคิดไม่ถึงเลยว่า จางอีเต๋อที่เป็นเซียนแพทย์เทวะของโลกใบนี้จะมีความคิดที่นำหน้าคนธรรมดาไปมาก ที่สำคัญก็คือทัศนคติเกี่ยวกับเรื่องความอมตะของจางอีเต๋อสามารถเทียบเท่าได้กับผู้แข็งแกร่งในช่วงยุคสิ้นโลก ท่ามกลางจักรวาลอันกว้างใหญ่ มีดวงดาวและอารยธรรมที่แตกต่างกันมากมาย ที่นั่นมียอดฝีมือที่เก่งกาจที่ไล่ตามเคล็ดลับของความเป็นอมตะมาโดยตลอด ก็เหมือนกับสังคมในยุคปัจจุบันนี้ที่มีหลายประเทศคิดจะสร้างยานอวกาศเพื่อสำรวจความลึกลับของท้องฟ้า

“อย่าคิดอีกเลย ทั่วทั้งจักรวาลมีคนที่อยู่ถึงพันปีหมื่นปี แต่ไม่มีคนที่เป็นอมตะอยู่แน่นอน ตื่นเถอะ! ”เย่เทียนเฉินหัวเราะหิๆ แล้วพูดขึ้น

“คุณรู้ได้ยังไง?” ทันใดนั้นจางอีเต๋อมองเย่เทียนเฉินแล้วเอ่ยถามอย่างจริงจัง

“นี่คือความลับที่พูดไม่ได้!” เย่เทียนเฉินอยากไหลแล้วล้มหัวลงไปนอน

บทสนทนาที่พูดคุยกับจางอีเต๋อในยามค่ำคืน สร้างความสั่นสะเทือนให้เย่เทียนเฉินเป็นอย่างมาก นี่ทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะคิดเรื่องเกี่ยวกับช่วงยุคสิ้นโลกให้มากขึ้น ความเป็นอมตะ เย่เทียนเฉินเองก็เคยไล่ตามมันมาก่อน เพียงแต่ในช่วงยุคสิ้นโลก ไม่ว่าจะเป็นผู้แข็งแกร่งแห่งพรรควรยุทธโบราณหรือจะเป็นผู้มีพลังพิเศษที่แข็งแกร่งหาได้เปรียบ หรือไม่ก็มนุษย์กลายพันธุ์และสัตว์กลายพันธุ์ กระทั่งสัตว์ประหลาดและปีศาจ หากไม่ไปถึงขอบเขตของผู้มีพลังพิเศษในระดับเทพราชัน ก็ไม่อาจอาศัยความสามารถของคนเพียงคนเดียวเดินท่องไปในจักรวาลได้ แบบนั้นจะทำให้เหนื่อยจนตาย มีเพียงต้องไปถึงขอบเขตของเทพราชันเท่านั้นถึงจะสามารถเติมเต็มตัวแปรของทุกสรรพสิ่งได้ พูดอย่างไม่เกินจริงก็คือ สามารถขี่กระบี่ท่องไปได้นับล้านลี้ ขี่เมฆท่องไปได้ทั่วทุกสารทิศ!

ในช่วงยุคสิ้นโลกเย่เทียนเฉินเป็นผู้มีพลังพิเศษในขอบเขตพระเจ้าขั้นสูง เขาย่อมคิดเรื่องเกี่ยวกับความเป็นอมตะมาก่อน เพียงแต่ตอนนั้น ด้วยขอบเขตพลังของเขาก็ยังไม่พบความลับอะไรมากมาย แล้วยังไม่สามารถมีสำนึกต่อธรรมชาติและเส้นทางบำเพ็ญเพียรในขั้นสูงได้ ดังนั้นจึงข้องเกี่ยวกับเรื่องนี้น้อยมาก

จางอีเต๋อเป็นเซียนแพทย์เทวะในโลกใบนี้ และเป็นผู้มีพลังพิเศษที่มีฝีมือร้ายกาจมากคนหนึ่ง ทำลายกรอบความคิดที่ว่าผู้มีพลังพิเศษในสายรักษาจะต้องมีพลังต่อสู้อ่อนแอไปได้โดยสิ้นเชิง ในขณะที่เขามีวิชาแพทย์สูงส่ง ก็ยังสามารถใช้เคล็ดวิชาพลังพิเศษในสายโลหะได้ ในจุดนี้ต่อให้เป็นในช่วงยุคสิ้นโลกก็มากเพียงพอที่จะสั่นสะท้าน บางทีจางอีเต๋อที่มีฐานะเป็นเซียนแพทย์เทวะ ซึ่งสามารถยืดอายุให้ผู้นำสูงสุดที่ก่อตั้งประเทศได้ไปยี่สิบปี คงจะเคยศึกษาวิจัยเกี่ยวกับเรื่องของความเป็นอมตะมาก่อน ไม่ได้พูดเรื่องนี้ขึ้นมาลอยๆ

ในตอนนี้ ในเขตของคฤหาสน์แห่งหนึ่งที่มีเพียงตระกูลทรงอำนาจที่สุดของประเทศจีนเท่านั้นถึงจะสามารถเข้าไปได้ มีคฤหาสน์หลังใหญ่อยู่เพียงไม่กี่หลัง จนสามารถเรียกได้ว่าเป็นพระราชวัง มีตำรวจติดอาวุธล้อมเอาไว้เพื่อคุ้มครอง เห็นได้ถึงความแข็งแกร่งของมัน คนธรรมดาไม่อาจเข้าไปได้โดยเด็ดขาด

ตระกูลหลิง ซึ่งเป็นตระกูลหนึ่งที่มีความสำคัญมากพอที่จะขับเคลื่อนโลกธุรกิจระหว่างประเทศ พ่อของหลิงอวี่สวิ๋นเป็นประธานสมาคมการค้าระหว่างประเทศเพื่อชาวจีนโพ้นทะเล นี่เป็นตระกูลที่มีอำนาจยิ่งใหญ่ในโลกของธุรกิจ ตระกูลหลิงเคยไปตั้งรกรากเพื่อทำธุรกิจอยู่ในประเทศ M จนฝังแน่น และดูเหมือนว่าจะไปถึงขั้นที่สามารถส่งผลกระทบกับธุรกิจและเศรษฐกิจจำนวนมากของประเทศ M ได้แล้ว ในช่วงหลายปีมานี้ เนื่องจากสถานการณ์ในประเทศเป็นไปในทิศทางที่ดี และเนื่องจากการดูแลของผู้นำทางด้านการเมืองท่านหนึ่งในประเทศที่มีต่อตระกูลหลิง ผู้อาวุโสตะกูลหลิงซึ่งก็คือคุณปู่ของหลิงอวี่สวิ๋นจึงคิดที่จะกลับสู่บ้านเกิด เมื่อเดินทางไกลโพ้น จะช้าจะเร็วก็ต้องกลับสู่อ้อมกอดของมารดา เขาจึงค่อยๆ เคลื่อนย้ายศูนย์กลางของเศรษฐกิจมายังภายในประเทศ

เมื่อทำเช่นนี้ในโลกของเศรษฐกิจในประเทศก็จะมีตระกูลใหญ่อยู่สองตระกูล ตระกูลแรกก็คือตระกูลซู เดิมทีตระกูลซูเป็นตระกูลใหญ่อันดับหนึ่งในโลกของธุรกิจภายในประเทศ ความสามารถทางด้านการเงินแข็งแกร่งมาก นี่เป็นเรื่องที่ไม่ต้องบอกก็รู้ มิฉะนั้นเมื่อวันนั้นที่เย่เทียนเฉินถูกจับไปที่สำนักความปลอดภัยสาธารณะ และฆ่าคนในนั้น หากไม่ใช่เพราะซูเฟยเฟยให้คุณปู่ช่วยยกหูโทรศัพท์ให้เธอ เกรงว่าเย่เทียนเฉินคงทําได้เพียงแหกคุกของสำนักความปลอดภัยสาธารณะออกมาจริงๆ แล้ว

ในตอนที่ทราบว่าตระกูลหลิงต้องการที่จะกลับมาพัฒนาตระกูลภายในประเทศ ยิ่งไปกว่านั้นก็ค่อยๆ เคลื่อนย้ายศูนย์กลางธุรกิจมาในประเทศแล้วนั้น บุคคลสำคัญในโลกธุรกิจตลอดจนข้าราชการระดับสูงในโลกของการเมืองจำนวนมาก และคนใหญ่คนโตทั้งโลกเบื้องหน้าและเบื้องหลังต่างก็สั่นสะท้านเป็นอย่างมาก ตระกูลหลิงต้องการกลับมายืนหยัดในประเทศ จะต้องมีผลกระทบครั้งใหญ่แน่นอน ผลประโยชน์นี้เกี่ยวพันกับคนมากมาย ที่สำคัญที่สุดก็คือทุกคนต่างก็อยากจะดูว่า สุดท้ายจะเป็นตระกูลหลิงที่ร้ายกาจ หรือจะเป็นตระกูลซูที่ร้ายกาจ ตระกูลที่เป็นหัวเรือใหญ่ในโลกของธุรกิจทั้งสองตระกูลนี้จะอย่างไรก็ต้องเผชิญหน้ากัน

ตอนนี้หลิงอวี่สวิ๋น คุณพ่อของหลิงอวี่สวิ๋น และน้องชายคนหนึ่ง ตลอดจนคุณลุงคุณอาทั้งหลาย ต่างก็ย้ายมาอยู่ในประเทศแล้ว เหลือเพียงคุณปู่ของหลิงอวี่สวิ๋นที่ยังรั้งอยู่ที่ประเทศ M เหตุผลประการแรกก็คือครั้งนี้ตระกูลหลิงตั้งใจย้ายกลับมาอยู่ในประเทศ มีอาวุธยุทโธปกรณ์ที่ต้องการเคลื่อนย้ายมากจริงๆ จึงมีหลายเรื่องที่ต้องจัดการ เหตุผลประการที่สองก็คือ ความตั้งใจที่ตระกูลหลิงต้องการย้ายกลับมาตั้งรกรากในประเทศ ทางฝั่งของรัฐบาลประเทศ M ก็สังเกตเห็นแล้ว เมื่อตะกูลหลิงมีใจแน่วแน่ที่จะย้ายกลับมาในประเทศ เกรงว่ารัฐบาลประเทศ M จะใช้มาตรการอันเข้มข้นกับพวกเขา เพราะว่าเมื่อตระกูลหลิงย้ายศูนย์กลางเศรษฐกิจกลับไปในประเทศจีน จะต้องทำให้รัฐบาลของประเทศ M เกิดความสูญเสียอย่างไม่อาจคาดเดา พวกเขาจะต้องไม่อนุญาตอย่างแน่นอน

ผู้อาวุโสตระกูลหลิงยังคงอยู่ที่ประเทศ M พูดตามหลักการแล้วก็เพื่อทำให้รัฐบาลของประเทศ M สับสน ในขณะเดียวกันก็ให้พ่อของหลิงอวี่สวิ๋นย้ายกลับมาในประเทศ ดำเนินโครงการลงทุนทั้งหลายให้เร็วที่สุด เพื่อย้ายจุดศูนย์กลางเศรษฐกิจมา

หลิงอวี่สวิ๋นและย่าขู่กลับมาถึงตระกูลหลิง เพิ่งจะเดินเข้าไปถึงห้องโถงใหญ่ของตระกูลหลิงก็พบว่าหลิงเยว่ผู้เป็นพ่อนั่งอยู่บนโซฟาในห้องโถง กำลังอ่านหนังสือพิมพ์อยู่ ในห้องโถงมีเพียงหลิงเยว่คนเดียว ดูเหมือนว่าจะกำลังรอหลิงอวี่สวิ๋นอยู่

“อวี่สวิ๋น ลูกมานี่หน่อย พอมีเรื่องจะพูดกับลูก!” หลิงเยว่มองลูกสาวแล้วพูดขึ้น

“พ่อคะ หนูง่วงมาก ขอไปนอนก่อนนะคะ มีเรื่องอะไรพรุ่งนี้ค่อยพูดกันเถอะ…” หลิงอวี่สวิ๋นดูเหมือนจะรู้ว่าพ่อต้องการที่จะพูดอะไรกับตน เมื่อเห็นท่าทางเข้มงวดจริงจังเช่นนั้นของพ่อ เธอก็ไม่คิดที่จะพูดคุย

“หากว่าไม่คุย พ่อก็คงต้องใช้มาตรการเข้มงวดกับลูก ถึงตอนนั้นก็อย่ามาหาว่าพ่อยุ่งเรื่องของลูกก็แล้วกัน!” หลิงเยว่อ่านหนังสือพิมพ์ พูดกับหลิงอวี่สวิ๋นโดยไม่ได้มองเธอเลย

หลิงอวี่สวิ๋นมองหลิงเยว่ผู้เป็นพ่อ เดาได้ว่าเขาต้องการที่จะพูดอะไร แต่หลิงอวี่สวิ๋นก็เข้าใจนิสัยของหลิงเยว่เป็นอย่างดี ในยามปกติสามารถพูดจาหยอกล้อกับตนเองได้ ในตอนเด็กก็เล่นกับตนบ่อยครั้ง แต่ว่าตั้งแต่ที่คุณปู่ถอยลงจากตำแหน่งหัวเรือใหญ่ของตระกูลหลิง หลิงเยว่ผู้เป็นพ่อก็ต้องกลายเป็นหัวเรือตะกูลหลิงคนใหม่ ต้องคอยควบคุมสกุลหลิงที่ยิ่งใหญ่และยังต้องมาขัดแย้งกับคุณลุงคุณอาพี่ชายน้องชายที่ไม่ค่อยสามัคคีกันคนอื่นๆ อีกด้วย ถ้าหากไม่มีอำนาจควบคุมก็ไม่ได้ ดังนั้นทุกครั้งที่พ่อมีท่าทีจริงจังเคร่งขรึมขึ้นมา หลิงอวี่สวิ๋นก็ไม่กล้าออดอ้อน

เธอนั่งลงตรงข้ามหลิงเยว่ผู้เป็นพ่อ ถามด้วยรอยยิ้มว่า “พ่อคะ มีเรื่องอะไรเหรอ?”

หลิงเยว่ไม่ได้ตอบในทันที แต่มองไปยังย่าขู่แล้วพูดขึ้นว่า “ย่าขู่ ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ให้คุณจับตาดูอวี่สวิ๋นให้ดี ถ้าผมไม่เห็นด้วย ก็ไม่อนุญาตให้เธอออกไปจากประตูแม้แต่ครึ่งก้าว!”

“ค่ะนายท่าน!” ย่าขู่พูดแล้วพยักหน้า

“พ่อคะ พ่อ…ทำไม…” หลิงอวี่สวิ๋นมองไปยังผู้เป็นพ่อแล้วพูดขึ้นด้วยความโกรธในพริบตา

“อวี่สวิ๋น พ่อคิดจะบอกลูก การไปมาหาสู่กับเย่เทียนเฉินไม่ใช่ทางเลือกที่ฉลาดเลย และไม่ใช่ทางเลือกที่ดีนัก ตระกูลเย่กลายเป็นตระกูลชั้นสามของเมืองหลวงไปนานแล้ว ไม่ว่าในด้านไหนก็ไม่มีคุณสมบัติมากพอที่จะไปมาหาสู่กับตระกูลหลิงของพวกเราได้ ลูกกับเย่เทียนเฉินก็ไม่ควรจะมีการติดต่อกัน!” หลิงเยว่อ่านหนังสือพิมพ์ต่อไป พูดออกมาด้วยใบหน้าไร้อารมณ์

“พ่อคะ งั้นจะทำยังไง? ก่อนหน้านี้จะกูลหลิงของพวกเราและตระกูลเย่อยู่ในซอยเดียวกัน ตอนนั้นทั้งสองตระกูลต่างก็ไม่มีอำนาจอะไร เกิดอะไรขึ้นทำไมถึงได้เป็นแบบนี้ เป็นแบบเมื่อก่อนไม่ได้เหรอ? ยิ่งไปกว่านั้นการที่หนูติดต่อกับเย่เทียนเฉิน ก็ไม่ได้หมายความว่าพวกเราสองคนจะอยู่ด้วยกัน กระทั่งเป็นแค่เพื่อนธรรมดาก็ไม่ได้เลยเหรอ?” หลิงอวี่สวิ๋นพูดออกมาอย่างไม่พอใจและไม่เชื่อฟัง

“ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนธรรมดา หรือว่าลูกจะรักเย่เทียนเฉินแล้ว พ่อไม่อนุญาตให้พวกลูกติดต่อกัน พวกเราอยู่กันคนละโลกโดยสิ้นเชิง ลูกถอดใจซะเถอะ!” หลิงเยว่พูดอย่างจริงจัง

“พ่อคะ พ่อ…ทำไมพ่อไม่มีเหตุผลเลย?” หลิงอวี่สวิ๋นถแทบจะน้ำตาไหลออกมา เธอคิดไม่ถึงเลยว่าพ่อที่เฉลียวฉลาดและรักเธอมากมาโดยตลอดจะกลายเป็นคนไม่มีเหตุผลแบบนี้ได้

หลิงเยว่มองหลิงอวี่สวิ๋น วางหนังสือพิมพ์ในมือลง หลิงอวี่สวิ๋นเป็นลูกสาวที่เขารักมากที่สุด ตั้งแต่เล็กหลิงอวี่สวิ๋นก็เชื่อฟังและรู้ความมาก คะแนนการเรียนก็ดี เป็นความภาคภูมิใจของหลิงเยว่มาโดยตลอด เขาไม่อยากจะพูดแบบนี้กับลูกสาว ไม่อยากจะทำลายความสัมพันธ์ระหว่างพ่อลูก แต่ครั้งนี้เรื่องของเย่เทียนเฉิน เขาก่อเรื่องได้ยิ่งใหญ่เกินไปแล้ว บางทีชาวบ้านทั่วไปอาจจะไม่รู้และมันก็ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับพวกเขา แต่ตระกูลใหญ่และกลุ่มอำนาจใหญ่ต่างก็เข้าใจถึงเรื่องใหญ่ที่สั่นสะท้านโลกเบื้องหน้าและเบื้องหลังของประเทศจีนซึ่งเต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือดนี้ดี

คุณชายใหญ่แห่งมหาวิทยาลัยหลงเถิง คนคนนี้มีความสามารถแข็งแกร่งมาก ยิ่งไปกว่านั้นอำนาจที่อยู่เบื้องหลังก็เป็นบุคคลลึกลับที่ยิ่งใหญ่ เขาได้จับจ้องไปที่เย่เทียนเฉินแล้ว ประกาศสงครามกับเย่เทียนเฉินแล้ว ถ้าหากเย่เทียนเฉินและคุณชายใหญ่แห่งมหาวิทยาลัยหลงเถิงเกิดการปะทะกัน คงจะรุนแรงยิ่งกว่าตอนที่ตระกูลฉินและตระกูลลั่วถูกทำลายในค่ำคืนเดียว นี่เป็นสิ่งที่หลิงเยว่กังวล กังวลว่าลูกสาวจะไปเกี่ยวพันกับเย่เทียนเฉิน กังวลว่าเรื่องนี้จะไปขัดขวางการกลับมาพัฒนาธุรกิจในประเทศของตระกูลหลิง จึงพะว้าพะวงใจอยู่ตลอดเวลา

“อวี่สวิ๋น เย่เทียนเฉินกลายเป็นคนที่อยู่ท่ามกลางเกลียวคลื่นไปแล้ว และตระกูลเย่ก็กลายเป็นตระกูลชั้นสามไปนานแล้ว เย่เทียนเฉินล่วงเกินกลุ่มอำนาจมากมายเกินไป ล่วงเกินคนมากเกินไป ยิ่งไปกว่านั้นในครั้งนี้คุณชายใหญ่แห่งมหาวิทยาหลงเถิงผู้ลึกลับคนนั้น เขาเป็นคนที่กระทั่งพ่อเองก็ไม่รู้ว่าร้ายกาจขนาดไหน หากจะบอกว่าเย่เทียนเฉินที่ไม่มีคนอยู่เบื้องหลังและไม่มีอำนาจที่แข็งแกร่งจะสามารถมีชีวิตรอจากการปะทะกับคุณชายใหญ่แห่งมหาวิทยาลัยหลงเถิงได้ พ่อก็คิดว่าคงไม่มีใครเชื่อ ต่อให้เขาจะมีความสามารถอยู่บ้าง ก็เป็นคนเพียงคนเดียวเท่านั้น จะสามารถป้องกันการเพ่งเล็งของกลุ่มอำนาจใหญ่มากมายขนาดนี้ได้เลยหรือ?” หลิงเยว่พูดความหวาดกลัวในใจของเขาออกมาตรงๆ เขาต้องการให้หลิงอวี่สวิ๋นเข้าใจ เย่เทียนเฉินอยู่ในเกลียวคลื่น ไม่มีอำนาจ ไม่มีที่พึ่งพา ดูเหมือนจะต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัย ไม่อาจไปคบค้าสมาคมกับเขาได้โดยเด็ดขาด จะทำให้ต้องเข้าไปเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้เปล่าๆ

……………………..

“นี่มัน…ช่างมันเถอะ พักผ่อนให้มากๆ ถ้ามีโอกาสพวกเราคงได้เจอกัน!” เย่เทียนเฉินพูดกับมู่หรงซินด้วยรอยยิ้ม นับว่าเป็นการปฏิเสธการให้เบอร์โทรศัพท์ของตนกับมู่หรงซินอย่างสุภาพแล้ว

สำหรับมู่หรงซิน เย่เทียนเฉินไม่ได้มีความรู้สึกอะไรมากนัก ทั้งสองคนเป็นคนแปลกหน้า เขาถูกบีบบังคับให้กำจัดพิษให้มู่หรงซินจึงต้องเผชิญหน้ากันด้วยร่างกายที่เปลือยเปล่า กอดกันแน่นและยังต้องจูบกันอีกด้วย ถึงแม้ทุกสิ่งทุกอย่างนี้จะทำเพื่อบีบบังคับให้หญ้าสยบกายาออกมา แต่ก็ไม่มีวิธีการอื่นอีก

จะอย่างไรเย่เทียนเฉินก็เป็นผู้ชาย เป็นชายวัยรุ่นคนหนึ่งที่มีพลังเต็มเปี่ยม จึงอดไม่ได้ที่จะตื่นตัว ในตอนนั้นมู่หรงซินอายจนหน้าแดง ไม่กล้ามองเย่เทียนเฉิน คล้ายกับว่าร่างกายเปลือยเปล่าอันขาวผุดผ่องจะบดบังความเขินอายเอาไว้ได้ แต่จะมากจะน้อยก็ยังทำให้ทั้งสองรู้สึกกระอักกระอ่วน จะอย่างไรทั้งสองก็ไม่ได้มีความสัมพันธ์แบบแฟนหนุ่มแฟนสาว นี่เป็นครั้งแรกที่เจอหน้ากัน ก็ต้องมากอดกันด้วยร่างกายเปลือยเปล่าและยังต้องจูบกันอีก ไม่ว่าใครก็ต้องรู้สึกเขินและอึดอัดเป็นธรรมดา

สามารถกล่าวได้ว่าการที่เย่เทียนเฉินช่วยมู่หรงซินก็เพราะจะช่วยจางอีเต๋อและจางรั่วถง มิฉะนั้นคงไม่ได้ยุ่งเกี่ยวอะไรกับมู่หรงซินโดยสิ้นเชิง และเขาเองก็ไม่อยากจะเกี่ยวข้องอะไรกัน ก็เหมือนกับที่เขาพูดกับมู่หรงอวี๋ตู ทั้งสองไม่ติดค้างกัน เขาเป็นคนที่ไม่ชอบให้มีความวุ่นวายมากเกินไป

“งั้น…งั้นคุณจำไว้นะคะ ว่าจะต้องมาหาฉัน!” มู่หรงซินกะพริบตาอันงดงาม พูดกับเย่เทียนเฉินด้วยรอยยิ้ม

“อืม!” เย่เทียนเฉินพยักหน้า

เมื่อเห็นมู่หรงซินและมู่หรงอวี๋ตูไปจากบ้านตระกูลจางภายใต้การคุ้มกันของราชานักรบแห่งประเทศจีนทั้งสองอย่างชางหลางและเหยียนหลง เย่เทียนเฉินก็หาวออกมาครั้งหนึ่ง เฮยเมี่ยนเองก็ไปพร้อมกับรถของพวกชางหลางแล้ว ตอนนี้ในบ้านตระกูลจางเหลือแค่จางอีเต๋อ จางรั่วถง แล้วเย่เทียนเฉินสามคนเท่านั้น

เย่เทียนเฉินมองไปยังจางอีเต๋อ จุดประสงค์สำคัญที่เขามาในครั้งนี้ก็เพื่อขอให้จางอีเต๋อไปตรวจให้แม่ของเสี้ยวหยา ตอนนี้อาการป่วยของแม่ของเสี้ยวหยาไม่อาจรั้งรอได้อีกต่อไปแล้ว ไม่สามารถยืดเยื้อได้อีกต่อไป โชคดีที่จางอีเต๋อเป็นเซียนแพทย์เทวะจริงๆ นี่ทำให้เย่เทียนเฉินรู้สึกโชคดีมาก มิฉะนั้นก็ไม่รู้ว่าจะไปตามหาจางอีเต๋อได้ที่ไหน

“ปรมาจารย์จาง จบเรื่องแล้ว ตอนนี้พวกเราก็มาเติมเต็มคำสัญญาระหว่างคุณกับผมกันเถอะ?” เย่เทียนเฉินพูดกับจางอีเต๋อด้วยรอยยิ้ม

“วางใจเถอะ ผมจางอีเต๋อพูดคำไหนคำนั้น คุณช่วยพวกเราสองปู่หลาน ผมก็จะไปดูผู้ป่วยที่คุณว่าด้วยกันกับคุณสักหน่อย แต่วันนี้ไม่ได้แล้ว ผมแก่แล้ว ทนบาดเจ็บไม่ไหวต้องพักสักคืน พรุ่งนี้ผมจะไปกับคุณก็แล้วกัน!” จางอีเต๋อพูดพลางพยักหน้า

“หา? ไม่ได้สิ ผมเป็นผู้ชายแข็งแรงคนหนึ่งจะให้พักห้องเดียวกับจางรั่วถง คงไม่ค่อยดีมั้ง?” เย่เทียนเฉินมองไปยังจางรั่วถง จงใจพูดหยอกล้อออกมา

จางรั่วถงหน้าแดง เธอเพิ่งจะอายุสิบแปดสิบเก้า เป็นวัยที่กำลังเบ่งบาน ไหนเลยจะรับคำพูดลามกของเย่เทียนเฉินได้ อายจนพูดอะไรไม่ออกไปแล้ว จางอีเต๋อจ้องมองเย่เทียนเฉินอย่างดุดัน หากไม่ใช่ว่าบาดเจ็บจะต้องลงมือกับเย่เทียนเฉินแน่นอน

“คุณคิดไปไหนของคุณ คืนนี้คุณต้องนอนห้องเดียวกับผม!” พี่มองเย่เทียนเฉินแล้วพูดอย่างจริงจัง

“อะไรนะ? ไม่จริงน่ะ? ปรมาจารย์จางครับ รสนิยมทางเพศของผมเป็นปกติมาตลอด ข้างนอกมีโรงแรมหรือเปล่า ผมจะใช้แก้ขัดไปก่อนสักคืน จากนั้นพรุ่งนี้เช้าพวกเราก็ค่อยมารวมตัวกันใหม่!” เย่เทียนเฉินอุทานออกมา แล้วรีบพูดก่อนจะหัวฮี่ๆ

ไหนเลยจะรู้ว่า จางอีเต๋อจะไม่สนใจเย่เทียนเฉินอีก เดินไปยังห้องที่อยู่ด้านข้างด้วยตัวเอง และพูดทิ้งท้ายไว้ให้เย่เทียนเฉินประโยคหนึ่ง

“บาดแผลของคุณยังไม่สมานตัวกันอย่างสมบูรณ์ ผมอัดพลังพิเศษเข้าไปในแขนซ้ายของคุณแล้ว ถ้าคุณอยากให้แขนซ้ายระเบิดก็ไม่ต้องเข้าไปแล้วกัน!”

วันนั้นตอนกลางคืน เย่เทียนเฉินจึงต้องอาศัยอยู่ที่บ้านตระกูลจาง แน่นอนว่าเขาพักห้องเดียวกับจางอีเต๋อ โชคดีที่ในห้องมีเตียงสองเตียง มิฉะนั้นเย่เทียนเฉินคงรับไม่ไหว ต่อให้เป็นเกย์ ก็คงไม่เคยเห็นคู่เกย์ของสุดหล่ออายุน้อยคนหนึ่งกับชายชราอายุเกือบร้อยปีคนหนึ่งหรอกใช่ไหม?

เย่เทียนเฉินเดินเข้าไปในห้อง เห็นจางอีเต๋อกำลังนั่งขัดสมาธิ พลังพิเศษอันแข็งแกร่งบนร่างแผ่ออกมา แต่พลังพิเศษเช่นนี้ไม่มีไอสังหาร และไม่ได้แกร่งกร้าวมากเกินไปนัก กลับเป็นกลิ่นอายที่อ่อนโยน เป็นพลังพิเศษในแบบที่เย่เทียนเฉินไม่เคยได้สัมผัสมาก่อน

เขาบิดขี้เกียจครั้งหนึ่ง แล้วเดินไปข้างเตียงตรงข้ามกับจางอีเต๋อ เตรียมจะล้มตัวลงนอน ในตอนนี้เองอยู่ดีๆ จางอีเต๋อก็ลืมตาขึ้น สีหน้าแดงก่ำสุขภาพดีขึ้นไม่น้อย ดูท่าทางบาดแผลที่ได้รับจากการต่อสู้กับคาเมดะอิจิโร่คงเกือบจะหายดีแล้ว นี่ทำให้เย่เทียนเฉินตื่นตะลึงมาก ผู้มีพลังพิเศษในสายรักษา โดยปกติพลังในการโจมตีจะไม่แข็งแกร่งแต่จะมีพลังในการรักษาตัวเองที่แข็งแกร่งจนถึงขั้นที่เรียกได้ว่าฆ่าไม่ตาย แต่จางอีเต๋อไม่เพียงแต่จะมีวิชาแพทย์สูง ทั้งยังสามารถใช้เคล็ดวิชาพลังพิเศษในสายโลหะได้อีกด้วย คนแบบนี้ไม่ต้องพูดถึงโลกปัจจุบันแห่งนี้เลย กระทั่งเป็นช่วงยุคสิ้นโลกก็เป็นตัวตนที่แข็งแกร่งเป็นอย่างมาก

“ในร่างกายของคุณมีพลังพิเศษที่แตกต่างกันไปไหลเวียนอยู่ ท่าทางคุณจะใช้เคล็ดวิชาพลังพิเศษได้หลายสาย เพียงแต่หากทำแบบนี้ต่อไป ถ้าไม่สามารถรวมพวกมันให้เข้ากันได้ จุดจบจะมีเพียงอย่างเดียวนั่นก็คือระเบิดตาย!” จางอีเต๋อนั่งสมาธิอยู่บนเตียง มองไปยังเย่เทียนเฉินแล้วพูดขึ้นอย่างเรียบเฉย

“คุณดูออกด้วยเหรอครับ? ร้ายกาจ ร้ายกาจ!” เย่เทียนเฉินพูดแล้วหัวเราะฮี่ๆ

ถึงแม้ว่าเย่เทียนเฉินจะพูดกับจางอีเต๋อด้วยรอยยิ้มแต่ก็ยังลอบนับถืออยู่ในใจ ไม่เสียทีที่จางอีเต๋อได้ชื่อว่าเป็นเซียนแพทย์เทวะ ไม่ทันไรก็พบว่าในร่างกายของตนมีพลังพิเศษอยู่หลายสาย ยิ่งไปกว่านั้นเขาก็พูดไม่ผิด ขอเพียงแค่ควบคุมได้ไม่ดีก็เป็นไปได้มากกว่าร่างกายจะระเบิดออกมาจนตาย

ในช่วงยุคสิ้นโลก เย่เทียนเฉินก็เคยมีพลังพิเศษหลายสายเช่นกัน และสามารถใช้เคล็ดวิชาพลังพิเศษที่แข็งแกร่งในสายหลักต่างๆ ได้หลายสาย จนกลายเป็นผู้มีพลังพิเศษในขอบเขตพระเจ้าระดับสูง หากเทียบกับยอดฝีมือผู้มีพลังพิเศษในขอบเขตพระเจ้าธรรมดาทั่วไปก็ร้ายกาจกว่าไม่น้อย นี่คือความน่ากลัวของผู้ที่มีพลังพิเศษหลายสาย

แต่ไม่ว่าใครก็สามารถจินตนาการได้เลยว่า เมื่อในร่างกายของคนๆ หนึ่งมีพลังพิเศษในสายที่แตกต่างกันไป ก็มีความเป็นไปได้ว่าพลังพิเศษเหล่านี้จะเกิดการปะทะกัน และ “ทะเลาะ” กันในร่างกาย ผลที่เกิดขึ้นก็คือการระเบิด หากต้องการทำให้พลังพิเศษที่แข็งแกร่งที่แตกต่างกันไปรวมเข้าด้วยกันได้มันไม่ใช่เรื่องง่าย ท่ามกลางผู้มีพลังพิเศษและยอดฝีมือแห่งพรรควรยุทธโบราณต่างก็มีคนที่ทำแบบนี้อยู่

ผู้มีพลังพิเศษฝึกฝนเขตวิชาพลังพิเศษในสายที่แตกต่างกันไป ส่วนยอดฝีมือแห่งพรรควรยุทธโบราณก็คิดวิธีที่จะฝึกฝนเคล็ดวิชาที่แตกต่างกันไป นี่ล้วนเป็นเหตุผลเดียวกัน ยอดฝีมือจำนวนมากเพียงเพื่อที่จะไล่ตามพลังที่แข็งแกร่งที่สุด สุดท้ายจึงนำมาซึ่งความตายของตนเอง

ที่จางอีเต๋อพูดแบบนี้นับว่าเป็นการเตือนเย่เทียนเฉิน หากต้องการที่จะรวมพลังพิเศษในสายที่แตกต่างกันเข้าด้วยกันเป็นเรื่องที่ยากลำบากมาก ถ้าไม่ระวังเขาก็จะระเบิดจนตาย กระทั่งศพก็ไม่เหลือ

ในจุดนี้ ความจริงเย่เทียนเฉินรู้สึกได้นานแล้ว ในช่วงยุคสิ้นโลกเขาเองก็มีพลังพิเศษในสายที่แตกต่างกันไปหลายสาย แยกกันไปอาศัยอยู่ในอวัยวะที่แตกต่างกันไป นั่นเป็นเพราะในช่วงยุคสิ้นโลกมีความพิสดารมากมาย เช่นสมุนไพรที่ทำให้ผู้คนอายุยืนยาว หรือไม่ก็วิธีการบำเพ็ญตนขั้นสูง กระทั่งความลับเกี่ยวกับชีวิตอมตะก็ยังมีออกมา เป็นเพราะว่าของเหล่านี้ เย่เทียนเฉินจึงสามารถรวบรวมพลังพิเศษในสายที่แตกต่างกันไปได้ในช่วงยุคที่โลก และกลายเป็นผู้แข็งแกร่งขั้นสูงของขอบเขตระดับพระเจ้า แต่โลกนี้ไม่เหมือนกัน ร่างกายนี้ไม่ใช่ของเขาเอง มีการเปลี่ยนแปลงทางรากฐาน นอกจากนี้โลกนี้ก็เป็นโลกที่ไม่เหมาะกับการบำเพ็ญเพียร เขารับรู้ได้นานแล้ว เส้นทางพำเพ็ญของโลกนี้ถูกควบคุม ทำให้ผู้คนสัมผัสกับพลังแห่งธรรมชาติได้ยากยิ่งขึ้นมาก เป็นสาเหตุที่ทำให้กลายเป็นผู้แข็งแกร่งขั้นสูงได้ยาก

ดังนั้นความจริงที่โหดร้ายนี้ได้มาวางกองตรงหน้าของเย่เทียนเฉิน หาเขาคิดที่จะกลายเป็นผู้แข็งแกร่งที่ภายในร่างกายมีพลังพิเศษอยู่หลายประเภทเช่นเดียวกับในช่วงยุคสิ้นโลกอีกครั้ง เป็นเรื่องที่ลำบากมาก นี่เป็นสาเหตุที่ว่าทำไมหลังจากที่พลังพิเศษของเขาไปถึงขอบเขตจอมราชันขั้นสูงแล้ว ยังคงมีความยากลำบากที่จะทลวงต่อไป เพราะหลังจากที่มาถึงขอบเขตนี้แล้ว ไม่ใช่แค่อาศัยการต่อสู้กับยอดฝีมือและพลังพิเศษที่เพิ่มขึ้นไม่หยุดแล้วจะทะลวงไปได้ ยังต้องการความ “สำนึก” สำนึกในธรรมชาติ สำนึกในสัจธรรม ถึงจะพัฒนาขึ้นไปอีกขั้นได้

“ไม่ว่าจะเป็นผู้มีพลังพิเศษอย่างพวกเราหรือจะเป็นคนของพรรควรยุทธโบราณ ความจริงเส้นทางที่เดินก็เป็นเพียงเส้นทางของการบำเพ็ญเพียรที่แตกต่างกันเท่านั้น แล้วก็แตกต่างกันไม่มาก เส้นทางแห่งการบำเพ็ญเพียรเมื่อเดินไปถึงปลายทางต่างก็ทำเพื่อตามหาพลังที่แข็งแกร่งที่สุด ซึ่งสุดท้ายก็หนีไม่พ้นคำคำเดียวก็คือคำว่า อมตะ!” จางอีเต๋อมองเย่เทียนเฉิน เอ่ยปากพูดออกมาอย่างลึกซึ้ง

“อมตะ? พูดน่ะมันง่าย ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ไม่รู้ว่ามีจักรพรรดิกี่คนและผู้แข็งแกร่งกี่คนที่ตามหาวิธีที่จะเป็นอมตะ แต่จนวันตายก็ยังไม่อาจเป็นจริงได้ ยิ่งไปกว่านั้นในโลกนี้ ในยุคของวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ความเป็นอมตะเป็นแค่เรื่องที่ทุกคนคิดอยู่ในใจเท่านั้น พูดออกมาก็จะถูกคนอื่นหัวเราะเยาะเปล่าๆ !” เย่เทียนเฉินอดไม่ได้ที่จะมองไปยังจางอีเต๋อแล้วพูดขึ้นอย่างจริงจัง

“ดังนั้นคนเหล่านี้จึงไม่มีวันเป็นอมตะได้ไปตลอดกาล พวกเขาถูกความจริงของสังคมอาบย้อมความคิด ดังนั้นพวกเขาจึงไม่สามารถเข้าใจแก่นแท้แห่งอารยธรรมของประเทศจีนเมื่อห้าพันปีก่อนได้” จางอีเต๋อเองก็พูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม

ในตอนนี้ จู่ๆ เย่เทียนเฉินก็รู้สึกว่าจางอีเต๋อดูลึกลับคาดเดาไม่ได้ขึ้นมา ถึงกับพูดเรื่องความอมตะกับเขา ดูเหมือนว่าในโลกแห่งนี้เรื่องของความเป็นอมตะนั้นจะไม่เคยถูกคนพูดถึงมาก่อน และจะไม่มีทางถูกคนอื่นพูดออกมาจากปากอย่างเป็นจริงเป็นจัง นอกจากจักรพรรดิและผู้แข็งแกร่งแห่งพรรควรยุทธโบราณที่มีตำแหน่งสูงส่งแล้ว ดูเหมือนว่าจะไม่มีใครพูดออกมาเลย

แน่นอนว่าในช่วงยุคสิ้นโลกซึ่งมีความแปลกประหลาดพิสดาร มีทั้งอารยธรรมของวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในยุคปัจจุบัน และมีเรื่องที่เล่าขานกันในเทพนิยาย ในโลกแบบนี้ความเป็นอมตะเป็นเป้าหมายสุดท้ายของผู้แข็งแกร่งทั้งหมด เป็นโลกที่แสวงหาเส้นทางแห่งเซียน ในช่วงยุคสิ้นโลกไม่สามารถใช้ตรรกะความคิดในยุคปัจจุบันได้ มันโค่นล้มทุกความรู้ของผู้คนโดยสิ้นเชิง และสามารถมอบความสนุกและสีสันที่ผู้คนคิดไม่ถึงได้

“ช่างมันเถอะ ผมไม่อยากคุยกับคุณเรื่องอมตะไม่อมตะอะไรนี่หรอก พรุ่งนี้หลังจากที่คุณไปรักษาผู้ป่วยคนนั้นแล้ว พวกเราทั้งสองก็ไม่มีอะไรติดค้างกันอีก!” เย่เทียนเฉินห้าวครั้งหนึ่ง ล้มตัวลงนอน

……………………………..

อวดดี!!!

ใครก็คิดไม่ถึงว่า ผู้อาวุโสแห่งสำนักดาบโฮคุชินอิตโตริวที่สูงส่งจะถึงกับเสียเปรียบเย่เทียนเฉินอย่างมาก ทั้งสองต่างก็ใช้ความสามารถทั้งหมดออกมา กล่าวได้ว่าเป็นการต่อสู้ถึงขั้นเป็นตาย สู้กันอย่างพอฟัดพอเหวี่ยงกัน นี่เป็นเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในประวัติการต่อสู้ของคาเมดะอิจิโร่ ยิ่งไปกว่านั้นคนที่ยืนต่อหน้าเขายังเป็นชายวัยรุ่นชาวจีนคนหนึ่งเท่านั้น จะอย่างไรก็ทำให้เขายากที่จะรับได้

“ดี สำนักดาบโฮคุชินอิตโตริวของฉันจะช้าจะเร็วก็ต้องทำให้ยอดฝีมือแห่งประเทศจีนอย่างพวกแกได้รู้ว่า ใครแข็งแกร่งที่สุด!”

คาเมดะอิจิโร่พูดอย่างตรงไปตรงมา หลังจากที่กล่าวประโยคนี้ เขาก็กระโดดขึ้นหายไปในความมืด ไม่ได้รั้งรอและไม่คิดที่จะฆ่าพวกเย่เทียนเฉินทุกคนอีก เขารู้ว่าในสถานการณ์ตอนนี้ ไม่เป็นผลดีกับเขาอย่างมาก หากดื้อรั้นต่อไป คนที่จะตายจะต้องเป็นเขาอย่างแน่นอน ลูกน้องก็ตายไปแล้วหลายคนแต่ก็ไม่ใช่เรื่องร้ายแรงอะไร ชีวิตตัวเองถึงจะสำคัญที่สุด

คาเมดะอิจิโร่ที่น่าสงสาร เดิมทีวางแผนกับสำนักดาบโฮคุชินอิตโตริวไว้ว่าจะขยายอิทธิพลเข้ามาในประเทศจีนอีกครั้ง เป้าหมายสำคัญก็เพื่อที่จะเอาชนะผู้แข็งแกร่งแห่งพรรควรยุทธโบราณแห่งประเทศจีน ไหนเลยจะรู้ว่า เขาเพิ่งจะพาลูกศิษย์ชั้นยอดแห่งสำนักดาบโฮคุชินอิตโตริวมาหลายคน พอมาถึงเมืองหลวงก็ได้รับการว่าจ้างจากพวกโจรขายชาติบางคน ให้มาลอบสังหารมู่หรงอวี๋ตู

ในตอนที่ได้รู้ว่ามู่หรงอวี๋ตูเป็นทหารผ่านศึกคนหนึ่งทั้งยังเป็นคนที่มีอิทธิพลมาก คาเมดะอิจิโร่ก็รีบตั้งเงื่อนไขของตนออกไปอย่างรวดเร็ว หลังจากที่บรรลุจุดประสงค์แล้วก็พาศิษย์ชั้นยอดของสำนักดาบโฮคุชินอิตโตริวมาหลายคนเพื่อหมาลอบสังหารมู่หรงอวี๋ตู คิดว่าไม่เพียงจะใช้โอกาสนี้ตั้งมั่นในประเทศจีนได้เท่านั้น แต่ยังสามารถข่มขู่ได้อีกด้วย ไหนเลยจะรู้ว่าเขาจะประเมินความสามารถของยอดฝีมือแห่งประเทศจีนต่ำเกินไป ช่วงที่เกิดสงครามในปีนั้นก็ไม่ได้อ่อนแอไปกว่าสำนักดาบโฮคุชินอิตโตริวของเขา วันนี้ก็ยังคงไม่อ่อนแอเช่นเดิม

สิ่งที่ทำให้คาเมดะอิจิโร่คิดไม่ถึงมากที่สุดก็คือเย่เทียนเฉิน คนคนนี้เป็นแค่เด็กวัยรุ่นอายุยี่สิบปีเท่านั้น ถึงกับมีความสามารถที่จะต่อสู้กับเขาได้ และเขาก็ลงมือเต็มกำลังแล้ว ยังทำได้เพียงบาดเจ็บทั้งสองฝ่าย ไม่สามารถฆ่าเขาได้อย่างรวดเร็ว นี่ทำให้คาเมดะอิจิโร่รู้สึกตกตะลึงมาก หากว่าประเทศจีนมียอดฝีมืออายุน้อยเช่นนี้อีกหลายคน ไม่ใช่ว่าสำนักดาบโฮคุชินอิตโตริวของเขาจะไม่มีที่ยืนเลยหรือ?

“อย่าให้ไอ้แก่นั่นหนีไป…” เฮยเมี่ยนเห็นคาเมดะอิจิโร่หนีไป จึงขยับร่างกายที่ชุ่มไปด้วยเลือดจากบาดแผล คิดจะตามไป

“ไม่ต้องตามไปแล้ว ยังไม่ใช่คู่มือของเขาหรอก!” เย่เทียนเฉินค่อยๆ กดพลังพิเศษของตนเองลง ง้าวเทียนฟางในมือขวาซึ่งเกิดจากการสร้างรูปลักษณ์จากพลังพิเศษก็ค่อยๆ หายไปจนไม่เห็นอีก

เฮยเมี่ยนมองเย่เทียนเฉิน ในใจรู้สึกไม่พอใจ เพราะว่าการต่อสู้ที่เย่เทียนเฉินแสดงออกมาในครั้งนี้แข็งแกร่งกว่าเขามากนัก ในฐานะที่เป็นขุนพลระดับทัพฟ้า เฮยเมี่ยนเคยยอมรับความพ่ายแพ้ที่ไหนกัน คำพูดนี้ของเย่เทียนเฉินก็เสียบแทงใจเขามาก อดไม่ได้ที่จะคิดว่า ความหมายของเย่เทียนเฉินก็คือ คุณฆ่าคาเมดะอิจิโร่ไม่ได้ ฉันก็จะฆ่าไม่ได้อย่างนั้นเหรอ?

ไหนเลยจะรู้ว่า ในตอนที่เฮยเมี่ยนเพิ่งจะคิดถึงตรงนี้ ในใจก็เกิดความไม่พอใจเป็นอย่างมาก และยังเตรียมที่จะไล่ตามไปโจมตีนั้น เย่เทียนเฉินก็มองไปที่เขาอีกครั้งแล้วพูดอย่างเรียบเฉยว่า “ไม่ใช่ว่าฉันดูถูกแก คาเมดะอิจิโร่แข็งแกร่งมากจริงๆ ผู้อาวุโสแห่งสำนักดาบโฮคุชินอิตโตริว เกรงว่าต่อให้แกกับฉันร่วมมือกันก็ไม่แน่ว่าจะสามารถฆ่าชายชราคนนี้ได้ รอให้พลังความสามารถแข็งแกร่งกว่านี้ซะก่อน ค่อยไปเก็บชีวิตของไอ้แก่นั้นมาเถอะ!”

“แก…” เฮยเมี่ยนถูกทำให้โกรธจนพูดอะไรไม่ออก

“ระหว่างแกกับฉันยังต้องสู้กันอีกสักรอบ ยังไม่ได้ตัดสินแพ้ชนะกัน แกคิดจะถูกคาเมะดะอิจิโร่ฆ่าหรือไง ถ้าตัวเองตายเป็นเรื่องเล็ก แต่ทำให้ชื่อเสียงของขุนพลระดับทัพฟ้าอย่างแกต้องขายหน้า ทำให้ประเทศชาติต้องขายหน้าถึงจะเป็นเรื่องใหญ่!” เย่เทียนเฉินพูด แล้วเดินไปนั่งข้างโต๊ะหิน ไม่สนใจเฮยเมี่ยนอีก

เฮยเมี่ยนชะงักไปครู่หนึ่ง ขมวดคิ้ว ในใจโกรธจนหาใดเปรียบ แต่กลับไม่ได้ตามไปโจมตีคาเมดะอิจิโร่ เย่เทียนเฉินพูดได้ไม่ผิดจริงๆ หาเขาตามไปโจมตีคาเมดะอิจิโร่แล้วแพ้กลับมา หรือกระทั่งเขาถูกฆ่าตาย เกรงว่าจะกลายเป็นความอัปยศของประเทศ กลายเป็นความอัปยศขององค์กรขุนพลระดับทัพฟ้า

ขุนพลระดับทัพฟ้านั้นแทบจะเป็นสัญลักษณ์ของกองกำลังเดี่ยวที่แข็งแกร่งที่สุดในประเทศจีน เหนือกว่ากองกำลังเหยี่ยวนักล่าและหน่วยมังกรฟ้าเสียอีก สมาชิกธรรมดาของกองกำลังเหยี่ยวนักล่าและหน่วยมังกรฟ้าไม่สามารถเป็นคู่มือของขุนพลระดับทัพฟ้าได้เลย ดังนั้นจึงหมายความว่า ขุนพลระดับทัพฟ้าเป็นหน้าเป็นตาของประเทศ

เมื่อครู่นี้ที่เย่เทียนเฉินและคาเมดะอิจิโร่ต่อสู้กันอย่างเต็มกำลัง เฮยเมี่ยนเห็นอยู่ในสายตาทั้งหมด และลอบตกตะลึงอยู่ในใจ ตกตะลึงฝีมือของไอ้แก่ยังคาเมดะอิจิโร่ และยิ่งตกตะลึงความสามารถอันลึกล้ำเกินคาดเดาของเย่เทียนเฉิน ตอนนี้คนทั้งสองต่างก็ได้รับบาดเจ็บสาหัส นี่ทำให้เฮยเมี่ยนอดไม่ได้ที่จะคิดว่า หากตนเองสู้กับคาเมดะอิจิโร่ จะหยุดไอ้แก่นี่ได้หรือไม่?

แน่นอนว่า การต่อสู้ครั้งนี้ไม่ได้แสดงให้เห็นว่าความสามารถของเฮยเมี่ยนอ่อนแอกว่าเย่เทียนเฉิน นี่จึงเป็นสาเหตุที่ว่าทำไมเย่เทียนเฉินจึงบอกว่าการตัดสินแพ้ชนะระหว่างเขากับเฮยเมี่ยนยังไม่รู้ผล จะอย่างไรการที่เขาเขาสามารถอัดชายชุดดำร่างกำยำไปได้หลายหมัด ก็เป็นเพราะอีกฝ่ายถูกหญ้าสยบกายา และในชั่วพริบตาที่พลังแห่งการต่อสู้ทั้งหมดเพิ่มขึ้น ทำให้ฆ่าเขาได้ภายใต้สถานการณ์ที่ชายชุดดำร่างกำยำไม่ได้ป้องกันตัว

ถึงแม้คาเมดะอิจิโร่จะเป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุดในหมู่นักฆ่า แต่เย่เทียนเฉินก็ทำได้แค่ขวางเขาได้แต่ก็ไม่อาจฆ่าเขาได้ ส่วนเฮยเมี่ยนคนเดียวก็สามารถรับมือกับมือสังหารชั้นยอดทั้งสามคน สามารถสู้ได้โดยไม่แพ้ และยังสังหารไปได้หนึ่งคนในชั่วพริบตา นับว่าแข็งแกร่งมากเช่นเดียวกัน

เย่เทียนเฉินนั่งลงบนเก้าอี้หิน จางอีเต๋อรีบเดินเข้ามา เพราะไหล่ซ้ายของเย่เทียนเฉินมีรอยมีดลึกอยู่หนึ่งรอย ดูเหมือนว่าเกือบจะฟันแขนซ้ายของเขาไปทั้งแขน เลือดสดๆ ไหลออกมาไม่หยุด หากเป็นแบบนี้ต่อไปเกรงว่าจะต้องเลือดไหลหมดตัวตาย

“รั่วถง รีบไปหยิบกล่องยาออกมา!” จางอีเต๋อมองบาดแผลของเย่เทียนเฉิน จากนั้นจึงขมวดคิ้วพูดกับหลานสาว

“ค่ะ!” จางรั่วถงรีบวิ่งเหยาะๆ เข้าไปในห้องยา

“คุณไม่เป็นอะไรใช่ไหมคะ?” มู่หรงซินเดินเข้ามา ฟื้นคืนสู่สภาพสวยงามราวฤดูใบไม้ผลิเหมือนก่อนหน้านี้แล้ว ถึงแม้เย่เทียนเฉินจะมองออกนานแล้วว่ามู่หรงซินเป็นสาวงามคนหนึ่ง แต่ก็คิดไม่ถึงว่าเมื่อกำจัดหญ้าสยบกายาออกไปแล้ว มู่หรงซินที่หน้าแดงสุขภาพดีขึ้นมาจะงดงามมากขึ้นจนทำให้ผู้คนใจเต้น

“ไม่เป็นไร แข็งแรงเหมือนเสือเหมือนมังกรที่พาดโผน…” ในขณะที่พูดเย่เทียนเฉินยังคิดจะทำให้ผิวของเขาเปล่งแสงสักหน่อยก็ถูกจางอีเต๋อกดมือซ้ายเอาไว้

“ถ้าคุณไม่คิดอยากจะมีแค่แขนขวาไปชั่วชีวิต ทางที่ดีก็อย่าขยับ!” เขาพูดอย่างจริงจัง

เย่เทียนเฉินยิ้มให้มู่หรงซินเล็กน้อย ไม่ได้พูดอะไร ทำเพียงส่งสัญญาณให้มู่หรงซินที่น้ำตาคลอเบ้าว่าอย่าได้ร้องออกมา

“อย่าได้ใช้พลังพิเศษ อย่าได้ต่อต้าน ผมจะหยุดเลือดให้คุณก่อน แล้วค่อยสมานแผล!” จางอีเต๋อมองเย่เทียนเฉินแล้วพูดขึ้น

“อืม!” เย่เทียนเฉินพยักหน้าแล้วผ่อนคลายลง มีจางอีเต๋อที่เป็นเซียนแพทย์เทวะอยู่ด้วย เขาเชื่อว่าจะไม่มีปัญหาใหญ่อะไร

ภาพอันแปลกประหลาดปรากฏขึ้น จางอีเต๋อวางมือขวาลงบนบาดแผลที่ไหล่ซ้ายของเย่เทียนเฉิน ฝ่ามือข้างขวาของจางอีเต๋อเริ่มมีแสงสีฟ้าปรากฏออกมา ท่ามกลางความมืดมิดที่ดูเด่นชัดเป็นพิเศษ บาดแผลของเย่เทียนเฉินที่เดิมทีมีเลือดไหลออกมาเป็นสาย เลือดถึงกับหยุดไหลไปในพริบตา มิหนำซ้ำบาดแผลก็สมานกันด้วยความรวดเร็วจนเห็นได้ด้วยตาเปล่า นี่ดูไม่ต่างอะไรกับปาฏิหาริย์ ทำให้ผู้คนไม่กล้าเชื่อว่าบนโลกแห่งนี้จะมีคนที่มีความสามารถพิสดารอยู่ด้วย

ในตอนที่ฝ่ามือข้างขวาของจางอีเต๋อเลื่อนออกจากบาดแผลบริเวณไหล่ซ้ายของเย่เทียนเฉิน มู่หรงอวี๋ตูและคนอื่นๆ ต่างก็มองจนตาค้าง เพราะบาดแผลบนไหล่ซ้ายของเย่เทียนเฉินที่เดิมทีลึกจนเห็นกระดูก ถึงกับสมานตัวทั้งหมดแล้ว เหมือนกับคนที่ไม่เป็นอะไรเลย เพียงแต่ยังมีรอยแผลเป็นอยู่บ้าง

“หวา ปรมาจารย์จาง รอยแผลเป็นนี้น่าเกลียดจริง วันหน้าก็จะมีผลกระทบกับความหล่อของผม มีวิธีทำให้มันหายไปไหมครับ?” เย่เทียนเฉินพูดพลางหัวเราะฮี่ๆ

“คุณก็หยุดซะหน่อยเถอะ หากต้องการหายเป็นปกติจะต้องใช้เวลาสักระยะ ผมเพียงแค่ทำให้กล้ามเนื้อเชื่อมกันชั่วครู่ และสร้างผิวหนังใหม่ขึ้นมาก็เท่านั้น ที่เหลือจะต้องดูแลบาดแผลให้ดีๆ!” จางอีเต๋อเปิดกล่องยาที่จางรั่วถงวางไว้บนโต๊ะหิน หยิบขวดยากระเบื้องเล็กๆ สีขาวออกมาขวดนึง เทผงยาที่ดูเหมือนยาประเภทสมานแผลลงไปบนบาดแผลบริเวณไหล่ซ้ายของเย่เทียนเฉิน

“นี่ ผมจริงจังมากนะครับ สาวงามที่วนเวียนอยู่ข้างกายผมเยอะมาก ถ้าพวกเธอเห็นจะต้องหนีผมไปไกลแน่!” เย่เทียนเฉินแสร้งพูดด้วยท่าทางจริงจัง

ในตอนนี้ทุกคนต่างก็อับจนคำพูดกับเย่เทียนเฉินและรู้สึกคาดเดานิสัยของคนๆ นี้ไม่ได้ เมื่อครู่นี้ในตอนที่ต่อสู้กับคาเมดะอิจิโร่ บรรยากาศนั้นเหมือนกับเทพแห่งความตายที่ถูกปลุกขึ้นมา ไม่มีผู้ใดกล้าขวาง แต่ตอนนี้ถึงกลับมีสีหน้าเหมือนพวกอันธพาล คนคนนี้เป็นอันธพาลหรือเทพแห่งความตายกันแน่?

“ฮ่าๆ ตระกูลเย่มีเย่เทียนเฉิน นับว่าเป็นบุญของตระกูลเย่แล้ว ฉันเชื่อว่าเย่หย่วนซานคงจะดีใจมาก!” มู่หรงอวี๋ตูพูดด้วยรอยยิ้ม

“ผู้อาวุโสมู่หรง คุณอย่ามาหัวเราะผมนะ ตอนนี้พิษของหลานสาวคุณก็แก้แล้ว ชีวิตของคุณก็ปกป้องไว้ได้แล้ว ต่อไปนี้พวกเราไม่ติดหนี้กันอีก!” เย่เทียนเฉินพูดแล้วยักไหล่

“แกช่วยหลานสาวของฉันและยังช่วยชีวิตของฉันมู่หรงอวี๋ตูอีก ฉันเป็นคนรักษาคำพูด ตระกูลเย่ของแกจะกลายเป็นตระกูลชั้นหนึ่งของเมืองหลวง ยิ่งไปกว่านั้นก็จะ…”

คำพูดของมู่หรงอวี๋ตูยังไม่ทันจบก็ถูกเย่เทียนเฉินขัด เขาลุกขึ้นบิดขี้เกียจครั้งหนึ่ง พูดด้วยท่าทางไม่ใส่ใจ “ช่างมันเถอะ ผมไม่ชอบทำให้เรื่องมันซับซ้อน เราทั้งสองไม่ติดค้างซึ่งกันและกัน หากทุกคนไม่มีเรื่องอะไรแล้วก็ไปได้ ผมยังมีเรื่องต้องปรึกษากับปรมาจารย์จางอีก!”

“เย่เทียนเฉิน แกช่วยมีมารยาทกับผู้อาวุโสมู่หรงหน่อยเถอะ…” เฮยเมี่ยนจ้องเย่เทียนเฉินแล้วพูดขึ้น

“แกก็บาดเจ็บจนกลายเป็นแบบนี้ไปแล้ว ยังมีใจมาสนใจเรื่องมารยาทอีก รีบไปพันแผลที่โรงพยาบาลเถอะ อีกเดี๋ยวถ้าเลือดไหลหมดตัวจนสลบไปคงขายหน้าแย่!” เย่เทียนเฉินมองเฮยเมี่ยนแล้วพูดอย่างไม่สบอารมณ์

ตอนนี้เอง รถทหารราวเจ็ดแปดคันจอดอยู่ด้านนอก ชางหลางและเหยียนหลงเดินเข้ามาพร้อมกัน ทำความเคารพมู่หรงอวี๋ตู ทั้งสองต่างก็พาสมาชิกชั้นยอดที่แข็งแกร่งที่สุดของกองกำลังของตนมาด้วย ในตอนที่พวกเขาเห็นศพของมือสังหารทั้งสี่ที่อยู่บนพื้น และเห็นว่ามีเย่เทียนเฉินอยู่ที่นี่ด้วยนั้น จึงรู้สึกเข้าใจอะไรบางอย่างขึ้นมาในทันที ไม่ต้องถามอะไรมาก ไม่ต้องพูดอะไรมาก สั่งให้ลูกน้องของตนนำศพของมือสังหารทั้งสี่คนไป ในขณะเดียวกันก็คุ้มครองมู่หรงอวี๋ตูและมู่หรงซินหลานสาวของเขาขึ้นรถ

“หะ ให้เบอร์โทรของคุณกับฉันได้ไหมคะ?” มู่หรงซินเดินไปเบื้องหน้าเย่เทียนเฉินแล้วถามขึ้นอย่างเขินอาย

………………………………

แม้ปากของเย่เทียนเฉินจะพูดออกมาด้วยท่าทีสบายๆ แต่การเคลื่อนไหวในมือก็ไม่ได้เชื่องช้าลงเลย และในใจก็รู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก ชายชุดดำหลังค่อมคนนี้แข็งแกร่งมากจริงๆ ถึงกับเคลื่อนย้ายมาอยู่ด้านหลังเขาในเวลาเพียงชั่วพริบตาและซัดหมัดมายังศีรษะของเขาได้ โจมตีหวังเอาชีวิต

บางทีคนอื่นอาจจะดูไม่ออก แต่เย่เทียนเฉินนั้นเข้าใจอย่างกระจ่างแจ้ง หากไม่ใช่เพราะเขารีดเร้นพลังพิเศษในขอบเขตจอมราชันจนถึงขั้นสูงสุดออกมาเพื่อบีบบังคับให้หญ้าสยบกายาออกมาจากร่าง ทำให้พลังพิเศษแห่งการรับรู้แผ่ขยายออกไปจนถึงขั้นที่สามารถตรวจพบแม้แต่เสียงหญ้าขยับ มิฉะนั้นคงยากที่จะป้องกันหมัดของชายชราคนนี้

“ประเทศจีนถึงกับมีคนรุ่นหลังที่มีฝีมือแข็งแกร่งแบบแกออกมา ทำให้ฉันคิดไม่ถึงจริงๆ ท่าทางจำเป็นต้องฆ่าคนที่นี่ให้หมดทุกคนแล้ว!” ชายชุดดำหลังค่อมมองไปยังเย่เทียนเฉินแล้วพูดออกมาอย่างเรียบเฉย

“ไอ้แก่ แกจะพูดจาโอหังเกินไปหรือเปล่า? จะตายเหรอ? แกมั่นใจว่าสามารถฆ่าพวกเราทุกคนที่อยู่ที่นี่ได้หรือไง?” เย่เทียนเฉินพูดออกมาอย่างไม่พอใจ

 “ผู้อาวุโสคาเมดะ อย่ามัวแต่พูดกับไอ้เด็กนี่อยู่เลย มันฆ่าคนของพวกเรา มันจะต้องตาย!” หนึ่งในมือสังหารชั้นยอดที่เหลืออีกสองคนพูดพลางมองไปยังเย่เทียนเฉินอย่างโหดเหี้ยม

ในบริเวณนี้ยังมีนักฆ่าชุดดำอีกสามคน แต่ทางฝั่งของเย่เทียนเฉิน นอกจากเย่เทียนเฉินแล้วก็เหลือเพียงเฮยเมี่ยนที่ยังมีแรงต่อสู้ แต่เฮยเมี่ยนก็ได้รับบาดเจ็บไปจำนวนหนึ่งท่าทางจะต้องไม่สามารถป้องกันการลอบสังหารของนักฆ่าชั้นยอดที่เหลืออีกสองคนได้อย่างแน่นอน นานไปจะต้องตายโดยไม่ต้องสงสัยเลย

“หึ แต่ไหนแต่ไรก็ไม่มีใครที่ฉันคาเมดะฆ่าไม่ได้ แกฆ่ายอดฝีมือรุ่นเยาว์ของสำนักโฮคุชินอิตโตริวของฉัน จะต้องไม่มีชีวิตอยู่เพื่อดูพระอาทิตย์ของวันพรุ่งนี้แน่!” ทันใดนั้นสายตาของชายชุดดำหลังค่อมเปลี่ยนไปเป็นโหดเหี้ยมดุร้าย จ้องมองไปยังเย่เทียนเฉินเขม็ง

ในช่วงเวลาเป็นตาย เย่เทียนเฉินพบว่ารอบๆ เกิดการเปลี่ยนแปลง ทั่วทั้งท้องฟ้าเต็มไปด้วยฝนเลือดตกลงมา น่าหวาดผวาเป็นอย่างมาก หากเป็นคนปกติที่ได้มาเห็น เกรงว่าจิตใจจะต้องแหลกสลายไปอย่างแน่นอน และจะต้องตกใจจนตายทั้งเป็น เพียงแต่น่าเสียดายที่ภาพลวงตาของสำนักดาบโฮคุชินอิตโตริวของคาเมดะอิจิโร่ใช้กับคู่ต่อสู้ผิดคน เย่เทียนเฉินเป็นผู้ที่ได้มาเกิดใหม่จากช่วงยุคสิ้นโลก ที่นั่นเต็มไปด้วยความแปลกประหลาดและพิลึกมากมาย เป็นโลกที่คนกินคนโดยสิ้นเชิง ภูเขาศพทะเลเลือดไม่นับว่าเป็นอะไรได้ เป็นเรื่องที่พบเห็นได้อย่างปกติมาก

ผัวะ!

ร่างกายของเย่เทียนเฉินสะท้านขึ้นครั้งหนึ่ง ใช้พลังพิเศษกำจัดภาพลวงตาของคาเมดะอิจิโร่ ในขณะเดียวกันก็ใช้หมัดปล่อยไปยังคาเมดะอิจิโร่ด้วยความเร็วหาใดเปรียบ ทุกคนที่เห็นต่างก็ต้องตกตะลึง โดยเฉพาะมือสังหารชั้นยอดอีกสองคนที่เหลือที่ไม่กล้าเชื่อโดยสิ้นเชิง ในสำนักดาบโฮคุชินอิตโตริว คาเมดะอิจิโร่มีฐานะเป็นผู้อาวุโสซึ่งเป็นตำแหน่งที่เป็นตัวแปรสำคัญ มิหนำซ้ำความแข็งแกร่งของเขา นอกจากจะแข็งแกร่งในด้านความสามารถแล้ว ยังมีวิชาหลวงตาอันร้ายกาจที่ดูเหมือนว่าจะไม่มีใครทำลายได้ เมื่อตกลงสู่ภาพลวงตาของคาเมดะอิจิโร่ ก็จะต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัยเลย

คิดไม่ถึงว่าเย่เทียนเฉินไม่เพียงจะทำลายภาพลวงตาของคาเมดะอิจิโร่ได้ แต่ยังสามารถโจมตีกลับโดยใช้หมัดซัดไปยังคาเมดะอิจิโร่อย่างรุนแรงและว่องไวได้อีกด้วย

ปัง!

เสียงหนึ่งดังสนั่น คาเมดะอิจิโร่และเย่เทียนเฉินโจมตีปะทะกันอีกครั้ง เพียงแต่การโจมตีนี้ไม่ใช่หมัดปะทะหมัด คาเมดะอิจิโร่ซัดฝ่ามือออกไป เดิมทีระยะห่างระหว่างเขากับเย่เทียนเฉินก็ห่างกันเพียงหนึ่งเมตรเท่านั้น ทั้งสองโจมตีใส่กันอีกครั้ง ครั้งนี้คาเมดะอิจิโร่ถอยหลังไปสามสี่ก้าว คิดไม่ถึงว่าชายหนุ่มชาวจีนเบื้องหน้าจะมีฝีมือแข็งแกร่งถึงขนาดนี้ ดูท่าเมื่อสักครู่เขาจะแค่ลองเชิงตนเองเท่านั้น

“เฮยเมี่ยน แกยังทนได้อีกสักพักหรือเปล่า? ฉันจะกำจัดไอ้แก่นี่ก่อนแล้วค่อยไปช่วยแก!” เย่เทียนเฉินมองเฮยเมี่ยน พูดด้วยรอยยิ้มเล็กน้อย

“บิดายังไม่ถึงคราวที่ต้องให้แกมาช่วย แกฆ่าไอ้แก่นั่นให้ได้จะดีกว่า ถ้าฆ่าไม่ได้รออีกสักครู่ฉันจะไปช่วยแก!” เฮยเมี่ยนพูดออกมาอย่างไม่สบอารมณ์

“งั้นก็ดี!”

เย่เทียนเฉินเพิ่งจะพูดจบ ฝ่ามือทั้งสองก็ห่อหุ้มไปด้วยพลังพิเศษในขอบเขตจอมราชัน ยิ่งไปกว่านั้นยังเตรียมที่จะใช้เคล็ดวิชาพลังพิเศษที่แข็งแกร่งออกไปได้ทุกเมื่อ ความสามารถของคาเมดะอิจิโร่ที่อยู่เบื้องหน้ายังเหนือกว่าจางอีเต๋ออีก ไม่อาจลำพองใจได้โดยเด็ดขาด เย่เทียนเฉินไม่มั่นใจเต็มร้อยว่าจะสามารถฆ่าอีกฝ่ายได้ ทำได้เพียงโผทะยานตัวเข้าไปอย่างเต็มกำลังเท่านั้น

ตู้มๆๆ…

ทุกคนถูกการต่อสู้ของเย่เทียนเฉินและคาเมดะอิจิโร่ทำเอาตกตะลึง รวมไปถึงการต่อสู้ของเฮยเมี่ยนและนักฆ่าฉันยอดอีกสองคนนั้นด้วย เนื่องจากในตอนนี้ชายวัยรุ่นชาวจีนถึงกับสามารถต่อสู้สูสีได้กับผู้อาวุโสคาเมดะอิจิโร่ที่ใช้ความสามารถออกมาอย่างเต็มที่ ทำให้คนอื่นตกใจจนพูดอะไรไม่ออกจริงๆ

ยิ่งไปกว่านั้นในตอนนี้ เย่เทียนเฉินและคาเมดะอิจิโร่แต่ก็ไม่ได้ใช้กระบวนท่าที่มีความสามารถในการสังหารแข็งแกร่งอะไรออกมา เย่เทียนเฉินก็ไม่ได้ใช้เคล็ดวิชาพลังพิเศษ คาเมดะอิจิโร่ก็ไม่ได้ใช้กระบวนสังหารของสำนักดาบโฮคุชินอิตโตริว ทั้งสองใช้เพียงหมัดเปล่าๆ ต่อสู้กัน น่าตื่นตาตื่นใจเป็นอย่างมาก และเฉียบคมเป็นอย่างมากด้วย ไม่ทันไรก็สั่นสะเทือนจนห้องยาแทบจะพังทลาย

ซู่ม!

ซู่ม!

เงาร่างสองร่างพุ่งลงมาด้านล่างห้องยาพร้อมกัน ปะทะหมัดกันกลางอากาศไปหลายหมัด ถูกกระแทกจนล่วงไปยืนบนพื้น จ้องมองอีกฝ่ายอย่างเคร่งขรึม เย่เทียนเฉินไม่มีบรรยากาศเรื่อยเฉื่อยอีกต่อไป คาเมดะอิจิโร่เองก็ไม่พูดอะไรมาก เพราะพวกเขาต่างรับรู้ได้ถึงความแข็งแกร่งจนน่าหวาดกลัวของอีกฝ่าย หากเสียสมาธิไป คนที่ตายอาจเป็นตนเองก็เป็นได้

“พวกแกยังมัวตะลึงอะไรกันอยู่ ฆ่าคนอื่นซะ ฉันจะขวางเจ้าหมอนี่ไว้เอง!” คาเมดะอิจิโร่พูดภาษาจีนออกมาอย่างคล่องแคล่ว ออกคำสั่งกับมือสังหารทั้งสองคนที่เหลือ

คำพูดของคาเมดะอิจิโร่ทำให้เห็นได้ว่า ในตอนแรกเขาไม่เห็นเย่เทียนเฉินอยู่ในสายตา ถึงแม้เขาจะรู้สึกว่าเย่เทียนเฉินแข็งแกร่งมาก แต่ก็คิดว่าหากตนเองจะฆ่าเย่เทียนเฉินก็ไม่ใช่เรื่องลำบากอะไร หลังจากต่อสู้กันไปยกหนึ่ง ถึงได้พบว่าชายวัยรุ่นชาวจีนเบื้องหน้าแข็งแกร่งจนถึงขั้นที่สามารถต่อต้านเขาได้ ตอนนี้เขาคิดเพียงจะหยุดยั้งเย่เทียนเฉิน และให้มือสังหารชั้นยอดอีกสองคนที่เหลือลงมือโจมตีฆ่าพวกจางอีเต๋อ

มือสังหารชั้นยอดอีกสองคนนั้นได้สติกลับมา จึงขยับแทบจะเวลาเดียวกัน พุ่งไปยังเฮยเมี่ยน ดาบในมือของพวกเขาก็ได้กลายเป็นเศษเหล็กในการโจมตีของเฮยเมี่ยนไปแล้วเช่นกัน ดังนั้นจึงใช้หมัดเปล่าๆ โจมตีเข้าไป เฮยเมี่ยนเองขมวดคิ้ว กำหมัดทั้งสองแล้วพุ่งเข้าไปต่อสู้โดยไม่สนใจบาดแผล

ฟู่!

มือขวาของคาเมดะอิจิโร่สะบัดครั้งหนึ่ง คมดาบหัวกะโหลกทั้งเจ็ดเล่มปรากฏร่างกายของเขาอีกครั้ง ยิ่งไปกว่านั้น สีของคมดาบหัวกะโหลกทั้งเจ็ดก็ได้กลายเป็นสีเลือดไปแล้ว โดยเฉพาะหัวกระโหลกบนคมดาบที่ดูคล้ายกับจะสูบเลือดผู้คนอย่างไรอย่างนั้น ดูอัปลักษณ์และน่าหวาดกลัว ทำให้ผู้อื่นต้องสั่นสะท้าน

“ดาบสไตล์ชิบะทั้งเจ็ดเล่ม งั้นฉันก็จะใช้อาวุธของจีน!” เย่เทียนเฉินเองก็แบมือขวาออกเช่นเดียวกัน รวบรวมพลังกลางฝ่ามือจนปรากฏเป็นง้าวฟางเทียน(อาวุธของลิโป้)ออกมา ดูเหมือนของจริง จางอีเต๋อเห็นก็ลอบตื่นตะลึงในใจ คิดไม่ถึงว่าเย่เทียนเฉินจะสามารถใช้พลังพิเศษสร้างอาวุธออกมาได้ตามใจชอบ นี่เป็นเคล็ดวิชาพลังพิเศษที่น่าหวาดกลัวอย่างหนึ่ง

ไม่จำเป็นต้องพูดอะไรให้มากความ พริบตาเดียวก็แลกเปลี่ยนกระบวนท่าถึงขั้นเป็นตาย เมื่อมาถึงตอนนี้ เย่เทียนเฉินก็ไม่กล้าเรื่อยเฉื่อยอีกต่อไป คาเมดะอิจิโร่เองก็ไม่กล้าดูเบาเด็กรุ่นหลัง ทั้งสองต่างก็ลงมือเต็มที่ เพิ่มพูนพลังกายของตนเองจนถึงขีดสุด

คมดาบหัวกะโหลกทั้งเจ็ดส่งเสียงหวีดหวิวออกมา พุ่งเข้าไปยังเย่เทียนเฉิน ครอบคลุมขอบเขตไปเกือบร้อยเมตร ไม่มีโอกาสให้หลบโดยสิ้นเชิง บริเวณที่คมดาบหัวกะโหลกพุงผ่านไป กระทั่งอากาศก็ยังถูกฟันขาด น่ากลัวและน่าหวาดหวั่นเป็นอย่างมาก

“โฮ!”

เสียงหนึ่งทีทั้งน่ากลัวและเสียดหูดังขึ้น คล้ายกับเสียงของวิญญาณจากนรกขุมที่เก้า ก็มิปาน ส่องประกายสีแดงเลือดออกมา ในประกายนั้นคล้ายกับว่ามีหัวกระโหลกโถมออกมา ทำให้ผู้คนต้องรู้สึกอกสั่นขวัญแขวน

“หลบไป อย่าได้ปะทะตรงๆ!” จางอีเต๋อเห็นเย่เทียนเฉินยืนอยู่ที่เดิมไม่ขยับเขยื้อนก็รีบตะโกนเตือนอย่างร้อนใจ

“ทุกคนหลับตา!”

ทุกคนได้ยินคำพูดนี้ของเย่เทียนเฉิน ทันใดนั้นเย่เทียนเฉินก็กระโดดขึ้น ง้าวฟางเทียนในมือขวาของเขามีประกายแสงระเบิดออกมา ส่องประกายแพรวพราว ทำให้ผู้คนไม่กล้ามองตรงๆ นอกจากจางอีเต๋อแล้ว คนอื่นรวมทั้งเฮยเมี่ยนแล้วมือทหารทั้งสองคน ต่างก็รับไม่ไหวจนต้องรีบหลับตา

“ฆ่า!”

เย่เทียนเฉินตะโกนเสียงดัง ง้าวฟางเทียนในมือขวาโจมตีออกไป แทงไปยังประกายดาบ ง้าวฟางเทียนฟันลงบนคมดาบหัวกะโหลกทั้งเจ็ดที่รวมเป็นหนึ่ง จนเกิดแสงไฟสว่างจ้าระเบิดออกมากลางอากาศ เกิดการสั่นไหวของพลังอย่างรุนแรงทำให้กำแพงอิฐทั้งสี่ด้านของลานบ้านตระกูลจางถูกทำลายย่อยยับ บนพื้นเองก็ปรากฏหลุมเล็กใหญ่จำนวนมาก กระทั่งต้นไม้ใหญ่สูงเสียดฟ้าก็เกือบจะถูกฟันขาด เห็นได้ว่าการโจมตีของเย่เทียนเฉินและคาเมดะอิจิโร่ ปะทะกันอย่างรุนแรงขนาดไหน

“อั่ก!”

“ไม่…อั่ก…”

เสียงร้องอย่างอนาถดังขึ้นสองเสียง ตามมาด้วยเสียงของการต่อสู้ ในขณะที่ทุกสิ่งทุกอย่างหยุดลง จางอีเต๋อ มู่หรงอวี๋ตู มู่หรงซิน จางรั่วถง และเฮยเมี่ยนต่างต้องสูดหายใจเย็นยะเยือก เย่เทียนเฉินยืนอยู่เบื้องหน้าของเฮยเมี่ยน ง้าวฟางเทียนในมือขวาดูคล้ายกับจะมีการเปลี่ยนแปลง และมีศพสองศพนอนจมกองเลือดอยู่แทบเท้าเขา ศพทั้งสองต่างถูกตัดหัวจนขาด

ศพทั้งสองศพนี้ก็คือมือสังหารชั้นยอดอีกสองคนที่เหลือนั่นเอง ใครก็คิดไม่ถึงว่า ในตอนที่เย่เทียนเฉินต่อสู้กับคาเมดะอิจิโร่ถึงขั้นเป็นตายอยู่นั้น เย่เทียนเฉินจะถือโอกาสในตอนที่ลำแสงเปล่งประกายออกไปทั้งสี่ทิศจนทำให้คนอื่นไม่สามารถลืมตาได้สลัดออกจากคาเมดะอิจิโร่โดยฉับพลันและไปกำจัดมือสังหารฉันยอดทั้งสองคนนั้น

อย่างไรก็ตามบนไหล่ซ้ายของเย่เทียนเฉินก็ปรากฏรอยแผลลึกที่เกิดจากดาบอยู่หนึ่งแผล ลึกจนมองเห็นกระดูกด้านในได้อย่างชัดเจน เขาไม่ใช่จางอีเต๋อที่เป็นเซียนแพทย์เทวะ ไม่มีความสามารถในการฟื้นตัวที่แข็งแกร่งเหนือระดับ แต่กลับยังสามารถยิ้มออกมา พูดกับคาเมดะอิจิโร่ที่ยืนอยู่ไม่ไกลว่า “ลูกน้องของแกตายหมดแล้ว แกคนเดียวจะฆ่าพวกเราได้หมดหรือไง?”

“เจ้าหนุ่ม ฉันว่าแกอย่าได้โอหังเกินไปจะดีกว่า ฝีมือของแกแข็งแกร่งมาก แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีใครฆ่าแกได้!” ในมือของคาเมดะอิจิโร่กำดาบหัวกระโหลกเล่มหนึ่งเอาไว้ แข็นซ้ายของเขาล่วงลงมา ดูเหมือนจะถูกฟันขาด

“ขี้โม้กับบิดาให้มันน้อยๆ หน่อยเถอะ บิดาจะโอหัง แกจะคิดยังไงก็ช่าง มาฆ่าฉันสิ!” เย่เทียนเฉินมองไปยังคาเมดะอิจิโร่แล้วพูดอย่างไม่พอใจ เขาเกลียดคนแก่ที่เสแสร้งแบบนี้เป็นที่สุด

“ดี ฉันอยากจะรู้ชื่อของแก คนที่กล้ามาเป็นศัตรูกับสำนักดาบโฮคุชินอิตโตริวของพวกเรา ล้วนต้องตายทั้งหมด!” คาเมดะอิจิโร่จ้องไปยังเย่เทียนเฉินแล้วพูดขึ้น

“เย่เทียนเฉิน เอาชื่อของฉันไปบอกบรรพบุรุษแกซะ ไสหัวกลับไปยังประเทศชิบะ เถอะ แล้วก็ฉันจะขอเตือนสำนักดาบโฮคุชินอิตโตริวของพวกแกเอาไว้ ฉันไม่สนใจว่าพวกแกจะทำตัวระรานขนาดไหน ถ้ากล้ามาก่อเรื่อง ฉันก็จะฆ่าพวกแก!” มุมปากของเย่เทียนเฉินปรากฏรอยยิ้มโหดเหี้ยม มองไปยังคาเมดะอิจิโร่แล้วพูดขึ้น

จางอีเต๋อแพ้แล้ว ชายชุดดำหลังค่อมที่ปรากฏตัวหลังสุดคนนี้แข็งแกร่งเป็นอย่างมาก ไม่เพียงแต่มีเคล็ดวิชาสังหารที่แปลกประหลาด มิหนำซ้ำความสามารถยังเหนือกว่าชายชุดดำร่างกำยำอีกด้วย คำพูดของเขากล่าวได้ถูกต้อง จางอีเต๋อแก่ชราแล้ว อายุใกล้จะร้อยปีแล้ว สามารถมีพลังการต่อสู้ขนาดนี้ได้ก็ทำให้คนอื่นต้องเปลี่ยนมุมมองไปโดยสิ้นเชิง

เดิมทีจางอีเต๋อก็เป็นผู้มีพลังพิเศษในสายรักษา คนที่รู้จักผู้มีพลังพิเศษต่างก็รู้ดีว่า ผู้มีพลังพิเศษในสายรักษาเรียกได้ว่าเป็นผู้มีพลังพิเศษประเภทหนุนเสริม เดิมทีพลังความสามารถในการต่อสู้ก็จะไม่แข็งแกร่ง แต่จะได้เปรียบในด้านการสนับสนุนผู้มีพลังพิเศษและช่วยเหลือผู้ป่วย เมื่อเทียบกับจางอีเต๋อแล้ว ถึงแม้ไหล่ซ้ายจะถูกคมดาบหัวกระโหลกของชายชุดดำหลังค่อมเจาะเป็นรู แต่ในเวลาไม่ถึงสองนาทีบาดแผลก็สมานกัน ทำให้ชายชุดดำหลังค่อมมองจนปากอ้าตาค้าง

“แกไม่ได้แค่มีฝีมือแข็งแกร่งมาก แต่ถึงกลับมีความสามารถแบบนี้อยู่ด้วย จะต้องฆ่าแกให้ได้!” สายตาที่ชายชุดดำหลังค่อมใช้มองจางอีเต๋อมีไอสังหารหมุนวนเข้มข้นมากขึ้น

เมื่อต้องเจอกับยอดฝีมืออย่างจางอีเต๋อที่มีความสามารถในการฟื้นฟูอย่างไม่อาจจินตนาการได้ ชายชุดดำหลังค่อมก็รู้สึกหวาดกลัวขึ้นจริงๆ คิดไม่ถึงว่าประเทศจีนจะมีผู้มีความสามารถแบบนี้อยู่ หากศิษย์ในสำนักดาบโฮคุชินอิตโตริวของเขามาแลกเปลี่ยนฝีมือกับพรรควรยุทธโบราณของประเทศจีนอีกครั้งหนึ่ง และมีคนแบบจางอีเต๋ออยู่ ไม่ใช่ว่าศิษย์สำนักดาบโฮคุชินอิตโตริวของพวกเขาจะทำได้เพียงรอความตายหรือ?

ฉัวะๆๆ!

คมมีดที่ประทับไปด้วยสัญลักษณ์ของหัวกระโหลกทั้งเจ็ดเล่มเคลื่อนไหวตามการบวกสะบัดมือขวาของชายชุดดำหลังค่อม ทั้งหมดต่างพุ่งตรงไปฆ่าจางอีเต๋อ ในขณะเดียวกันชายชุดดำหลังค่อมก็พุ่งตามคมดาบไปยังจางอีเต๋อพร้อมกัน สาบานกับตนเองว่าจะต้องส่งจางอีเต๋อไปตายให้ได้

พลังในการต่อสู้ของจางอีเต๋อในตอนนี้ลดลงอย่างต่อเนื่อง จะอย่างไรก็อายุมากปูนนี้แล้ว ถึงแม้จะมีความสามารถในการต่อสู้แต่ก็ไม่อาจยืดเยื้อได้นาน โชคดีที่ตนเองมีความสามารถของผู้มีพลังพิเศษในสายรักษาที่แข็งแกร่ง ทำให้บาดแผลสมานกันได้ในพริบตา แต่นี่ก็ทำให้สูญเสียพลังพิเศษไปมาก และไม่ใช่ว่าบาดแผลจะไม่เป็นอะไรเลย

“ผู้อาวุโสจาง ระวัง…”

เฮยเมี่ยนเห็นสถานการณ์นี้ก็ร้อนใจมาก เขารู้ว่าชายชุดดำหลังค่อมคนนั้นแข็งแกร่งมาก หากเป็นเขาเองที่สู้ด้วยพลังทั้งหมด ก็ไม่แน่ว่าจะยืนหยัดได้นาน ตอนนี้เขาถูกมือสังหารชุดดำอีกสองคนที่เหลือล้อมเอาไว้อย่างแน่นหนา กระบวนท่าเมื่อสักครู่นี้ก็ใช้พลังภายในออกไปมาก คนเพียงคนเดียวเผชิญหน้ากับมือสังหารชั้นยอดทั้งสามคน ไม่อาจผ่านไปได้อย่างสะดวกราบรื่น ดังนั้นแม้ว่าเฮยเมี่ยนคิดจะพุ่งเข้าไปช่วยจางอีเต๋ออย่างสุดชีวิตก็ไม่มีทางทำได้

ฉึก!

ฉึก!

ฉึก!

คมดาบหัวกระโหลกสามเล่มแยกกันไปแทงทะลุหน้าอกซ้ายขวาของจางอีเต๋อ มีเล่มหนึ่งพุ่ง ไปยังแขนขวาของเขาโดยตรง คมดาบหัวกะโหลกอีกสี่เล่มที่เหลือก็ถูกจางอีเต๋อหลบไปได้ แต่การโจมตีอันรุนแรงนี้ทำให้จางอีเต๋อถูกกระแทกถอยหลังไป มุมปากมีเลือดสดๆ ไหลออกมา

ฉัวะ!

เสียงหนึ่งดังขึ้น จางอีเต๋อถูกคมมีหัวกระโหลกทั้งสามปักเข้ากับกำแพงด้านหลัง กำแพงอิฐทั้งแถบปรากฏรอยแตกร้าวอย่างรุนแรง ไม่นานก็คงจะถล่มลงมา จางอีเต๋อดึงคมด่าหัวกะโหลกทั้งสามเล่มออกไม่ทันแล้ว เพราะชายชุดดำหลังค่อมคนนั้นได้พุงเข้ามาราวกับเหยี่ยวสยายปีก ใช้มือขวาจับบริเวณหลอดลมของจางอีเต๋อเอาไว้

ตู้ม!

ในช่วงเวลาสำคัญ จางอีเต๋อระเบิดพลังพิเศษทั้งหมดในร่างกายออกมา รวบรวมพลังไว้เบื้องหน้าจนเกิดเป็นหอกเหล็กกล้า ทิ่มแทงไปยังชายชุดดำหลังค่อมที่กระโดดเข้ามากลางอากาศ ขอเพียงขัดขวางการโจมตีไว้ได้เพียงเล็กน้อย ก็จะทำให้เกิดโอกาสขึ้น จางอีเต๋อขยับขยับเล็กน้อยเพื่อเปลี่ยนตำแหน่งของตน

มือขวาของชายชุดดำหลังค่อมจับถูกอากาศ มือซ้ายใช้ฝ่ามือตบลงไปบริเวณหน้าอกของจางอีเต๋อ กำแพงอิฐเกิดเสียงดังสนั่นแล้วถล่มลงมา แหลกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย จางอีเต๋อก็ถูกอัดกระแทกจนกระเด็นออกไปสิบกว่าเมตร มุมปากมีเลือดไหลออกมาไม่หยุด ย้อมเคราอันขาวโพลนของเขาในพริบตา

“คุณปู่ คุณปู่…” จางรั่วถงเห็นฉากนี้ก็วิ่งเข้าไปโดยไม่สนใจอะไร น้ำตาไหลออกมา

“รั่วถง อย่าเข้ามา!” จางอีเต๋อพยายามตะโกนออกมา

“ไปตายซะ…” ชายชุดดำหลังค่อมหัวเราะออกมาเสียงเย็น เดินก้าวไปยังจางอีเต๋อทีละก้าว ต้องการฆ่าเซียนแพทย์เทวะแห่งประเทศจีนคนนี้ให้สิ้นซาก

“อั่ก!”

“ปัง!”

ในตอนที่ชายชุดดำหลังค่อมกำลังจะฆ่าจางอีเต๋อ และจะฆ่าทุกคนที่อยู่ในลานบ้านตระกูลจางแห่งนี้ทั้งหมดนั้น เสียงร้องราวกับหมูถูกเชือดก็ดังขึ้น ตามมาด้วยเสียงดังสนั่น หลังคาของห้องยาตระกูลจางระเบิดออก ชายชุดดำร่างกำยำที่พุ่งเข้าไปคนนั้นกระเด็นออกมาทั้งร่าง ถูกคนผู้หนึ่งใช้หมัดต่อยจนกระเด็นขึ้นไปสูงสิบกว่าเมตรจนทำให้หลังคาของห้องยาทะลุ

ทุกคนพากันหยุดมือ จ้องมองฉากนี้อย่างตกตะลึงจนปากอ้าตาค้าง โดยเฉพาะมือสังหารทางฝั่งของชายชุดดำร่างกำยำที่ไม่กล้าเชื่อโดยสิ้นเชิง

ต้องรู้ว่าชายชุดดำร่างกำยำนับว่าเป็นยอดฝีมือระดับสูงในรุ่นของผู้เยาว์แห่งสำนักดาบโฮคุชินอิตโตริว ต่อให้ไม่นับว่าเป็นอันดับหนึ่ง อย่างน้อยก็สามารถอยู่ในสามอันดับแรกได้ ต่อให้จางอีเต๋อที่เป็นผู้แข็งแกร่งที่ซ่อนเร้นตัวตน ก็ยังไม่สามารถเอาชนะชายชุดดำร่างกำยำได้ เห็นได้ว่าความสามารถของคนคนนี้แข็งแกร่งจริงๆ

ตอนนี้ ชายชุดดำร่างกำยำถูกคนซัดจนปลิวขึ้นฟ้า มิหนำซ้ำยังกรีดร้องออกมาราวกับหมูถูกเชือด นี่ก็เหมือนกับเหตุการณ์เพ้อฝันที่ไม่อาจเป็นไปได้ ทำให้ผู้คนไม่กล้าจะเชื่อ

ฟิ้ว!

ตามมาติดๆ ด้วยเงาร่างของคนผู้หนึ่งที่ปรากฏออกมาจากช่องโหว่บนหลังคาที่ถูกทำลาย หมัดทั้งสองโจมตีไปไม่หยุด แต่ละหมัดต่างซัดลงไปบนร่างของชายชุดดำร่างกำยำ หมัดเหล่านั้นเมื่อต่อยลงบนเนื้อ เนื้อก็จะส่งเสียงลั่นคล้ายเสียงกระดูกหักออกมา คนที่ได้ยินต่างรู้สึกอดไม่ได้ที่จะจิตใจสั่นไหว

“หมัดพี่ชายสุดหล่อ!”

เย่เทียนเฉินตะโกนขึ้น มือขวาเปล่งประกายเล็กน้อย ใช้หมัดซัดไปบริเวณท้องของชายชุดดำร่างกำยำ นี่จึงนับว่าเป็นการสิ้นสุดเหตุการณ์ที่ดูเกินจริงนี้

ชายชุดดำร่างกำยำกลิ้งตกลงมาจากหลังคา ในตอนที่ชายชุดดำหลังค่อมและมือสังหารชั้นยอดอีกสองคนที่เหลือมองมาต่างก็ต้องตกตะลึง เนื่องจากชายชุดดำร่างกำยำถูกเย่เทียนเฉินใช้หมัดซัดจนตายไปแล้ว ร่างกายถูกอัดจนเปลี่ยนรูปร่างไปเลยทีเดียว

ใครก็คิดไม่ถึงว่า ชายชุดดำร่างกำยำที่เป็นยอดฝีมือในรุ่นของผู้เยาว์แห่งสำนักดาบโฮคุชินอิตโตริว จะถึงกับถูกเย่เทียนเฉินต่อยตายด้วยหมัดไม่กี่หมัด หากร่ำลือออกไปจะต้องสั่นสะเทือนโลกวรยุทธของประเทศจีนและประเทศชิบะอย่างแน่นอน

“คิดไม่ถึงว่าจะมีคนรนหาที่ตายด้วย!”

ชายชุดดำหลังค่อมมองไปยังเย่เทียนเฉินที่ยืนอยู่บนหลังคาด้วยสายตาเย็นชา ละทิ้งความคิดที่จะสังหารจางอีเต๋อไปก่อน เพราะว่าด้วยระดับฝีมือของเขาในตอนนี้ ย่อมมองออกในทันทีว่า เจ้าหนุ่มชาวจีนที่ปรากฏตัวออกมาจากห้องยานั้น มีฝีมือแข็งแกร่งมาก ด้วยหมัดเพียงไม่กี่หมัดของเขาก็สามารถอัดชายชุดดำร่างกำยำจนตายได้ นี่ก็เพียงพอที่จะพิสูจน์แล้วว่าจำเป็นต้องฆ่าคนคนนี้ก่อน

“ไม่ใช่ว่าฉันรนหาที่ตาย แต่เป็นไอ้โง่นี่ต่างหากที่รนหาที่ตาย ฉันกำลังอาบน้ำอยู่ข้างใน มันก็บุกเข้ามาจากบนหลังคา มาสบประมาทความเป็นส่วนตัวของฉัน ทำให้ฉันอดไม่ได้ที่จะอัดมัน!” เย่เทียนเฉินพูดด้วยรอยยิ้ม

เมื่อเห็นว่าเย่เทียนเฉินไม่เป็นอะไร เฮยเมี่ยน จางอีเต๋อ และมู่หรงอวี๋ตูต่างก็พากันโล่งใจ ส่วนมู่หรงซินและจางรั่วถงก็อดไม่ได้ที่จะกำมือเล็กๆ ของพวกเธอแน่น ตั้งแต่เมื่อครู่จนถึงตอนนี้ พวกเธอก็เป็นห่วงเย่เทียนเฉินมาโดยตลอด นี่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นโดยไม่ตั้งใจ

“ทางที่ดีแกบอกชื่อของแกมาซะ เพราะอีกเดี๋ยวแกจะต้องตายแน่นอน!” ในตอนนี้ ชายชุดดำหลังค่อมเดินไปด้านล่างเย่เทียนเฉิน เงยหน้ามองไปยังเย่เทียนเฉินแล้วพูดขึ้นอย่างเย็นชา

“เมื่อกี้นี้ไม่ใช่ว่าฉันบอกไปแล้วเหรอ? แกแก่แล้วสินะ หูถึงได้ไม่ดี เป็นโรคหลงๆ ลืมๆ หรือไง?” เย่เทียนเฉินมองเขาอย่างเหยียดหยามแล้วพูดออกไปอย่างไม่สบอารมณ์

เมื่อได้ยินคำพูดของเย่เทียนเฉิน ชายชุดดำร่างกำยำก็มีไอสังหารแผ่พุ่งออกมาทั้งร่าง สายตาเปลี่ยนไปจนราวกับสามารถจะฆ่าคนได้ พวกจางอีเต๋อและเฮยเมี่ยนต่างก็รู้สึกจนปัญญากับเย่เทียนเฉิน เจ้าหมอนี่ทำตัวเหลวไหลไม่รู้จักเวล่ำเวลา อีกไม่นานทุกคนก็จะยืนหยัดต่อไปไม่ไหวแล้ว ฝ่ายศัตรูที่มาก็ล้วนเป็นยอดฝีมือชั้นยอด สถานการณ์อันตรายเป็นอย่างมาก เจ้าหมอนี่ถึงกับยังมีความคิดจะพูดจาหยอกล้ออีก ไม่อาจไม่นับถือจิตใจอันสงบนิ่งของเขาจริงๆ

ฟิ้ว!

ชายชุดดำร่างกำยำหายไปกลางอากาศ เคลื่อนไหวท่ามกลางความมืดอย่างรวดเร็วถึงขีดสุด เพียงพริบตาเดียวก็ไม่รู้ว่าไปที่ไหนแล้ว แต่ทุกคนต่างก็รู้ว่า เย่เทียนเฉินที่กล้าพูดกับยอดฝีมือว่า “แก่ โรคหลงหลงลืมลืม” จะต้องถูกฆ่าแน่นอน

“ระวังหน่อย แข็งแกร่งมาก!” จางอีเต๋อเตือนเย่เทียนเฉิน

“วางใจเถอะ เขาแกร่งปล่อยเขาแกร่ง จันทร์กระจ่างกลางสายน้ำ…”

คำพูดหยอกล้อของเย่เทียนเฉินยังแฝงไปด้วยบทกลอน ไหนเลยจะรู้ว่าเขาเพิ่งจะกลอนออกมาแค่ท่อนเดียว ก็รับรู้ได้ถึงพลังมันรุนแรงด้านหลังศีรษะซึ่งเกิดจากหมัดที่ซัดเข้ามาอย่างแรง

ตู้ม!

เสียงดังสนั่น ชายชุดดำหลังค่อมปรากฏตัวเบื้องหน้าเย่เทียนเฉิน ทั้งสองมองอีกฝ่ายเขม็ง หมัดปะทะหมัด ทั้งสองต่างก็ยืนอยู่ที่เดิมไม่ขยับเขยื้อนเลยแม้แต่น้อย

ทุกคนต่างต้องตกตะลึง ตกตะลึงในความเร็วของชายชุดดำหลังค่อม ตกตะลึงในปฏิกิริยาอันว่องไวของเย่เทียนเฉิน ถึงกับสามารถแยกแยะตำแหน่งของชายชุดดำหลังค่อมได้อย่างว่องไวท่ามกลางความมืดแบบนี้ ยิ่งไปกว่านั้นยังโจมตีตอบโต้กลับไปได้อีก ความสามารถของคนคนนี้ลึกล้ำเกิดคาดเดาจริงๆ

ความจริงแล้ว หมัดที่ปะทะกันนี้ทำให้เย่เทียนเฉินเองตกใจมากเช่นกัน ชายชุดดำหลังค่อมเบื้องหน้าแข็งแกร่งมากจริงๆ ตัวเขาเองเข้าใจดีว่า เขาในตอนนี้อยู่ในสภาพสูงสุดของขอบเขตจอมราชันแล้ว พลังของหมัดหมัดหนึ่งแข็งแกร่งขนาดไหนเขาย่อมเข้าใจดี มันมากพอที่จะถล่มยอดเขาได้เลยทีเดียว ชายชราเบื้องหน้านี้ถึงกับไม่ขยับเขยื้อนเลยแม้แต่น้อย แข็งแกร่งดังที่จางอีเต๋อพูดจริงๆ

ก่อนหน้านี้ที่เย่เทียนเฉินสามารถใช้หมัดซัดชายชุดดำร่างกำยำจนตายในไม่กี่หมัดได้ มีสาเหตุมาจากการที่ความสามารถของเขาพุ่งทะยานขึ้น นอกจากนั้นยังเป็นเพราะชายชุดดำร่างกำยำถูกหญ้าสยบกายา ตอนนั้นที่เย่เทียนเฉินนั่งอยู่ในถังไม้ในห้องยา เขากระตุ้นพลังพิเศษในขอบเขตจอมราชันทั้งร่างกายออกมาเพื่อกดดันหญ้าสยบกายา และใกล้จะบีบบังคับมันให้ออกมาจากปากของเขาได้แล้ว ไหนเลยจะรู้ว่าชายชุดดำร่างกำยำจะทำลายหลังคาและบุกเข้ามา ยิ่งไปกว่านั้นยังใช้ดาบฟันเข้าไปบริเวณศีรษะของเย่เทียนเฉินอีกด้วย

พอดีกับพี่หญ้าสยบกายาถูกเย่เทียนเฉินขับออกมาจากปาก เขารีบอ้าปากและใช้หมัดต่อยไปยังชายชุดดำร่างกำยำแทบจะพร้อมกัน น่าเสียดายที่คนคนนี้ไม่รู้ว่าเย่เทียนเฉินที่นั่งอยู่ในถังน้ำจะเป็นยอดฝีมือที่แท้จริง เขาถูกหมัดซัดเข้าไป หญ้าสยบกายาก็เจาะทะลวงเข้าไปในปาก จากนั้นก็ถูกเย่เทียนเฉินต่อยไปอีกหลายหมัดจนปลิว เย่เทียนเฉินก็ถือโอกาสนี้สวมกางเกง จากนั้นจึงพุ่งออกมาและตะโกนออกมาว่า “หมัดพี่ชายสุดหล่อ!”

………………..

“อ๊าก!”

เย่เทียนเฉินตะโกนออกมา ในตอนนี้เขานั่งอยู่ในถังไม้คนเดียวด้วยร่างกายเปลือยเปล่า รับรู้ได้ถึงไอเย็นที่แทบจะทำให้กระดูกถูกแช่แข็งซึ่งได้ลงไปถึงกระเพาะแล้ว

หากเขายังปล่อยให้หญ้าสยบกายาเดินเล่นไปทั่วเช่นนี้ต่อไป เกรงว่าเมื่อหญ้าสยบกายารับรู้ได้ว่าร่างแฝงใหม่นี้ไม่เหมาะสมกับมัน ก็จะวิ่งพล่านอย่างรุนแรง เมื่อถึงตอนนั้นอวัยวะภายในของเย่เทียนเฉินคงแหลกชิ้นๆ

ปัง! ปัง! ปัง! …

เสียงดังติดต่อกันหกครั้ง ประกายสีทองเล็กๆ ทั้งหกพุ่งจากด้านในทะลุไปด้านนอกของถังไม้ จนไปปักเข้ากับกำแพงทั้งหมด

นั่นเป็นเข็มทองซึ่งเป็นพลังพิเศษที่จางอีเต๋อใช้แทงทะลุเข้ามาในร่างกายของเย่เทียนเฉินโดยไร้รูปร่างเพื่อสกัดกั้นจุดลมปราณของเขาเอาไว้หลายจุด

ตอนนี้หญ้าสยบกายาเข้าไปในร่างกายของเย่เทียนเฉินแล้ว เขาจึงไม่ต้องการให้เข็มทองมาปิดจุดลมปราณอีกต่อไป เพราะจะทำให้เขาไม่สามารถรีดเร้นพลังพิเศษในขอบเขตจอมราชันย์ของตนออกมาได้ทั้งหมด

เมื่อได้ยินเสียงตะโกนดังออกมาจากด้านในห้องยา ทุกคนในลานบ้านตระกูลจาง ไม่ว่าจะเป็นพวกของมู่หรงอวี๋ตู หรือว่าจะเป็นมือสังหารอีกสามคนที่เหลือ ต่างก็อดไม่ได้ที่จะมองไปทางห้องยา พวกเขารู้ว่าด้านในจะต้องเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นแล้วอย่างแน่นอน

ฉัวะ!

มีเงาร่างสีดำพุ่งออกมาสายหนึ่ง เขาขึ้นไปยืนอยู่บนต้นไม้ใหญ่กลางลานบ้านตระกูลจาง แผ่นหลังค่อนข้างจะค่อม ดูเหมือนจะเป็นชายชราคนหนึ่ง ดวงตาทั้งสองมองไปยังพวกของจางอีเต๋ออย่างโหดเหี้ยม ใช้น้ำเสียงเคร่งขรึมพูดกับชายชุดดำร่างกำยำ

“กระทั่งมู่หรงอวี๋ตูก็ยังฆ่าไม่ได้ วันข้างหน้าสำนักดาบโฮคุชินอิตโตริวของพวกเราจะอยู่เหนือประเทศจีนได้ยังไง แกไปฆ่าไอ้หนูนั่นในห้องยาซะ ฉันจะฆ่ามู่หรงอวี๋ตูเอง…”

“ฆ่า!”

ชายชุดดำร่างกำยำได้สติกลับมาจึงตะโกนออกมาครั้งหนึ่ง ดาบสไตล์ชิบะในมือตวัดฟันไปยังจางอีเต๋อ ในขณะเดียวกันก็พุ่งเข้าไปทางห้องยาโดยไม่สนใจอะไร เสียงตะโกนของเย่เทียนเฉินเมื่อสักครู่นี้ทำให้พวกเขารู้สึกไม่ดี ดูเหมือนว่าหญ้าสยบกายาจะถูกกำจัดไปแล้ว

จางอีเต๋อมีปฏิกิริยาว่องไว ในตอนนี้ก็ไม่กล้าเก็บออมพลังเอาไว้อีกแล้ว แสดงพลังความสามารถในการต่อสู้ที่แข็งแกร่งที่สุดของตัวเองออกมา เคลื่อนย้ายไปอยู่เบื้องหน้าของชายชุดดำร่างกำยำในเวลาพริบตาเดียว เขามีฐานะเป็นเซียนแพทย์เทวะ ย่อมรู้ว่าเสียงตะโกนของเย่เทียนเฉินมีความหมายว่าอย่างไร

ตอนนี้เป็นช่วงเวลาที่สำคัญที่เย่เทียนเฉินจะกำจัดหญ้าสยบกายา ไม่สามารถให้คนอื่นเข้าไปรบกวนได้โดยเด็ดขาด มิฉะนั้นจะต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัยเลย

ไหนเลยจะรู้ว่า จางอีเต๋อเพิ่งจะไปขวางหน้าชายชุดดำร่างกำยำ แต่กลับต้องเผชิญกับเงาดำสายหนึ่งที่คล้ายกับว่าจะตกลงมาจากฟากฟ้า ใช้เท้าเตะไปยังจางอีเต๋อทำให้เขาไม่สามารถหลบได้

พลั่ก!

ทุกสิ่งทุกอย่างนี้เกิดขึ้นอย่างกะทันหันเกินไป จางอีเต๋ออยากหลบก็หลบไม่ได้ ทำได้เพียงใช้มือทั้งสองป้องกันเอาไว้ แต่ก็ยังถูกเตะกระเด็น เห็นได้ชัดว่าคนชุดดำหลังค่อมที่ปรากฏตัวออกมาที่หลังสุดแข็งแกร่งมาก เป็นชายชราที่แข็งแกร่งจนถึงขั้นวิปลาส

“ยังไม่รีบไปอีก?”

ชายชุดดำหลังค่อมพูดกับชายชุดดำร่างกำยำอย่างเย็นชา

ชายชุดดำร่างกำยำที่มีปฏิกิริยากลับมาก็สะกิดเท้าพุ่งทะยานไปบนหลังคาห้องยาโดยตรง ดาบสไตล์ชิบะในมือขวาเปล่งประกายแปลกประหลาดท่ามกลางแสงจันทร์ ฟันฉัวะออกไปครั้งหนึ่งก็ทำให้กระเบื้องที่ใช้เป็นหลังคาห้องยาเกิดช่องใหญ่ กระโดดตีลังกาพุ่งหัวลงไปหวังฆ่าฟันในขณะที่มือขวายังคงถือดาบเอาไว้

“เสี่ยวซิน!”

มู่หรงอวี๋ตูเห็นชายชุดดำร่างกำยำที่แข็งแกร่งผู้นี้พุ่งเข้าไป คิดว่าจะต้องเป็นอันตรายต่อมู่หรงซินหลานสาวของตนเองอย่างแน่นอน จึงคิดจะพุ่งเข้าไปในห้องยาโดยไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น

“คุณปู่!”

มู่หรงซินปรากฏตัวที่บริเวณประตูห้องยา มองไปยังทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน ในตอนที่เธอเห็นมู่หรงอวี๋ตู ก็อดไม่ได้ที่จะตะโกนออกม

“เสี่ยวซิน รีบมาหาปู่ เร็วหน่อย!” มู่หรงอวี๋ตูพูดเสียงดัง

มู่หรงซินที่ถูกเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นในลานบ้านทำให้ตกใจนั้นรีบวิ่งไปอยู่ข้างกายของมู่หรงอวี๋ตู เธอไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น สิ่งเดียวที่จำได้ก็คือเย่เทียนเฉินและตนเองกอดกันด้วยร่างกายเปลือยเปล่า และจุมพิตกัน น่าอับอายเป็นอย่างมาก

มิหนำซ้ำเธอยังไม่อาจสัมผัสได้ถึงความเย็นยะเยือกอันเสียดแทงกระดูกในร่างกายอีกต่อไปแล้ว ดูเหมือนว่าหญ้าสยบกายาจะออกไปจากร่างกายของเธอแล้ว เพียงแต่มู่หรงซินไม่รู้ว่าหญ้าสยบกายานี้ไปที่ไหนกันแน่!

“คุณปู่คะ หนูไม่เป็นไรแล้ว แต่พี่เย่เขา…”

ทันใดนั้นมู่หรงซินคิดถึงเย่เทียนเฉินขึ้นมา เมื่อสักครู่นี้ในตอนที่เธอเห็นเย่เทียนเฉิน เห็นว่าใบหน้าของเย่เทียนเฉินเดี๋ยวก็หนาวเย็นจนมีชั้นน้ำแข็งบางๆ เกาะจนกระทั่งคิ้วแข็ง อีกเดี๋ยวก็ร้อนดั่งพระอาทิตย์จนคล้ายกับจะถูกเผาไหม้ จะต้องเจ็บปวดมากอย่างแน่นอน

“หลานไม่เป็นไรก็ดีแล้ว ปู่เชื่อว่าเด็กคนนั้นจะต้องไม่เป็นไรแน่!” มู่หรงอวี๋ตูเลยปากพูด

ทุกคนต่างก็มีความเห็นแก่ตัว ความเห็นแก่ตัวคือสัญชาตญาณของมนุษย์ ไม่ใช่ว่าการที่ทำอะไรก็คิดถึงตัวเองเป็นการเห็นแก่ตัว แต่หากทำเรื่องใดโดยที่ไม่ได้คิดถึงคนอื่น นี่จึงเป็นความเห็นแก่ตัว

มู่หรงอวี๋ตูเห็นว่าหลานสาวของตนไม่เป็นอะไรแล้วก็รู้สึกดีใจมาก เขาย่อมรู้ว่าเย่เทียนเฉินจะเตกอยู่ในความอันตรายมากแค่ไหน นี่เป็นการใช้ชีวิตของตนมาแลกชีวิตกับมู่หรงซินซึ่งเป็นหลานสาวของเขา

เพียงแต่ตอนนี้มู่หรงอวี๋ตูก็ไม่สนใจอะไรมากมายขนาดนั้น ถ้าหากเย่เทียนเฉินตายจริงๆ เขาก็จะทำให้ตระกูลเย่ได้ปีนป่ายจนสามารถเป็นตระกูลชั้นหนึ่งของเมืองหลวงได้ นี่นับว่าเป็นการชดเชยให้เย่เทียนเฉิน!

มู่หรงซินเองก็ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี แม้ในใจจะเป็นห่วงเย่เทียนเฉินมากก็ตาม

อย่างไรก็ตามสถานการณ์ในตอนนี้ก็ไม่ใช่อะไรที่ผู้หญิงตัวคนเดียวอย่างเธอจะเปลี่ยนแปลงได้ สิ่งเดียวที่สามารถทำได้ก็คือคอยอธิษฐานอยู่ในใจ อธิษฐานให้เย่เทียนเฉินไม่เป็นอะไร

ตอนนี้เอง จางอีเต๋อและชายชุดดำหลังค่อมที่ปรากฏตัวออกมาเป็นคนสุดท้ายกำลังจ้องมองอีกฝ่ายในระยะที่ห่างกันไม่ถึงห้าเมตร สายตาของทั้งสองเต็มไปด้วยไอสังหาร

นี่เป็นการต่อสู้ถึงขั้นเป็นตาย ใครก็ไม่กล้าลำพองใจ

“คิดไม่ถึงว่าประเทศจีนจะมีผู้มีพลังพิเศษที่แข็งแกร่งแบบแกซ่อนตัวอยู่ด้วย!”

คนชุดดำหลังค่อมมองจางอีเต๋อ พูดออกมาด้วยน้ำเสียงด้านชาราวกับคนตาย

“หึ สิ่งที่แข็งแกร่งของจีนไม่ได้มีเพียงผู้มีพลังพิเศษ แต่ยังมียอดฝีมือพรรควรยุทธโบราณอีกด้วย เมื่อปีนั้นสำนักดาบโฮคุชินอิตโตริวของพวกแกสู้กับยอดฝีมือพรรควรยุทธโบราณแห่งประเทศจีนของพวกเรา ก็ไม่เห็นว่าจะดีเด่อะไรเลย!” จางอีเต๋อแค่นเสียงเย็นครั้งหนึ่งแล้วพูดขึ้นอย่างไม่สบอารมณ์

จางอีเต๋อเองก็เป็นคนที่เคยผ่านยุคแห่งสงครามมาแล้ว มีฐานะเป็นเซียนแพทย์เทวะ ในขณะเดียวกันก็เป็นผู้มีพลังพิเศษที่แข็งแกร่งเป็นอย่างมาก ย่อมรู้ถึงความลับเมื่อปีนั้น

ในตอนนั้นประเทศชิบะมารุกรานประเทศจีนของพวกเรา ยอดฝีมือทุกคนแห่งสำนักงานโฮคุชินอิตโตริวต่างก็มายังประเทศจีน เพื่อมาทำลายความมั่นใจในเคล็ดวิชาโบราณที่สืบทอดกันมากว่าห้าพันปีของประเทศจีนของพวกเรา ต้องการสั่นสะเทือนไปถึงรากฐาน ในขณะเดียวกันก็ขโมยวิธีการฝึกฝนเคล็ดวิชาแห่งพรรควรยุทธโบราณของประเทศจีนไปด้วย

ในช่วงเวลาแห่งการต่อสู้ที่โหดร้ายหาใดเปรียบนั้น คนที่อยู่ในวงการศิลปะการต่อสู้แห่งประเทศจีนก็เริ่มที่จะก่อสงครามกับสุนัขรับใช้แห่งประเทศชิบะ

ท่ามกลางการประลองที่ทั้งยุติธรรมและไม่ยุติธรรม แต่ละฝ่ายต่างมีการแพ้ชนะ ไม่กล่าวไม่ได้ว่าวิชาดาบแห่งสำนักดาบโฮคุชินอิตโตริวของประเทศชิบะแข็งแกร่งมากจริงๆ จุดสำคัญก็คือความพิสดารที่ไม่สามารถใช้ตรรกะปกติมาอธิบายได้ ทว่ายอดฝีมือจำนวนหนึ่งของพรรควรยุทธโบราณก็เห็นความแปลกประหลาดมาจนเคยชิน ถ้าเป็นคนปกติทั่วไปมาเห็นจะต้องตื่นตะลึงครั้งใหญ่อย่างแน่นอน

หากเทียบกับชายชุดดำร่างกำยำเมื่อสักครู่นี้ที่ใช้พลังทั้งหมดตวัดาบสไตล์ชิบะในมือออกไปจนเป็นเงาดาบ และเงาดาบนั้นก็แปรสภาพเป็นสสารที่แท้จริง พุ่งทะยานไปยังจางอีเต๋อหวังจะฆ่า กระทั่งอากาศก็ถูกฟันขาด ทั้งแข็งแกร่งและทรงอำนาจเป็นอย่างมาก

หากไม่ใช่ว่าจางอีเต๋อสามารถใช้เคล็ดวิชาพลังพิเศษเกราะเหล็กออกมาได้ในช่วงเวลาสำคัญ เกรงว่าจะต้องถูกฟันขาดจนเนื้อแหลกเป็นชิ้นจริงๆ แล้ว

“คนอย่างพวกแก วันนี้จะต้องตายแน่นอน ไม่งั้นจะต้องกลายเป็นอุปสรรคชิ้นใหญ่ของสำนักดาบโฮคุชินอิตโตริวของฉัน!”

ในขณะที่ชายชุดดำหลังค่อมพูดออกมาก็ทำท่าทางแปลกประหลาดอย่างหนึ่ง ยื่นแขนขวาของเขาออกมาเล็งไปยังจางอีเต๋อ

จางอีเต๋อเพิ่มความระมัดระวังขึ้นโดยไม่รู้ตัว กระตุ้นพลังพิเศษทั้งร่าง ชายชุดดำหลังค่อมคนนี้ทำให้เขารู้สึกแตกต่างออกไป ความสามารถเหนือกว่าชายชุดดำร่างกำยำมากนัก มิฉะนั้นคงไม่ปรากฏตัวออกมาทีหลังสุด และคงจะไม่ใช้น้ำเสียงออกคำสั่งพูดกับชายชุดดำร่างกำยำ

“สำนักดาบโฮคุชินอิตโตริวของพวกแก เมื่อปีนั้นก็เอาชนะเคล็ดวิชาของประเทศจีนของพวกเราไม่ได้ ในอนาคตก็เอาชนะไม่ได้เหมือนกัน!” จางอีเต๋อพูดอย่างหนักแน่น

“งั้นก็ลองดู!”

ชายชุดดำหลังค่อมเพิ่งจะพูดจบ มือขวาของเขาก็ตวัดวาดกลางอากาศเบาๆ ทันใดนั้นมีคมดาบ เกือบสิบเล่มปรากฏขึ้นข้างกายซ้ายขวาของเขา

บนดาบแต่ละเล่มมีกะโหลกศีรษะอยู่ชิ้นนึง เมื่อมองแล้วทำให้รู้สึกน่าหวาดผวาเป็นอย่างมาก คล้ายกับว่าหัวกระโหลกเหล่านั้นจะเคลื่อนไหวไปตามดาบ และจะพุ่งออกมากินคนอย่างไรอย่างนั้น

“เข้ามาเลย!”

จางอีเต๋อตะโกนเสียงดัง ปรากฏโล่เกราะเหล็กชิ้นหนึ่งบริเวณหน้าอก นี่เป็นสิ่งที่เกิดจากการรวบรวมพลังในวิชาสายโลหะของเขา แข็งแกร่งอย่างหาใดเปรียบ ดูเหมือนว่าจะไม่มีอะไรที่สามารถทำลายมันได้ อย่างน้อยก่อนหน้านี้ก็ยังไม่มีของมีคมและกระบวนท่าใดที่สามารถทำลายโล่เกราะเหล็กของจางอีเต๋อได้

ตู้ม!

คมดาบนับสิบเล่มอันแปลกประหลาดนั้นเคลื่อนไหวไปตามการฟาดฟันในมือขวาของชายชุดดำหลังค่อม ทั้งหมดเกิดเสียงเสียดแทงอากาศ พุ่งเข้าไปหวังฆ่าจางอีเต๋อ

ในขณะนั้นเอง จางอีเต๋อรู้สึกว่าเหมือนกับตนจะได้ยินเสียงกรีดร้องของหัวกะโหลกเหล่านั้น หัวกะโหลกอันน่าสะพรึงกลัวบนคมดาบทั้งสิบกว่าเล่มก็คล้ายกับว่าจะพุ่งออกมาอย่างไรอย่างนั้น มีเงาของหัวกระโหลกพุงโจมตีเข้ามาเช่นนี้เอง

เคร้ง เคร้ง เคร้ง ตู้ม!

คมดาบสามเล่มที่ปรากฏสัญลักษณ์หัวกะโหลกนั้นถูกโล่เกราะเหล็กของจางอีเต๋อทำลาย แต่โล่เกราะเหล็กของเขาก็แตกเป็นชิ้นๆ เช่นเดียวกัน ในขณะนั้นคมมีดที่เหลือก็โจมตีเข้ามาอย่างบ้าคลั่งและรุนแรงมากขึ้น จางอีเต๋อหน้าเปลี่ยนสี คิดไม่ถึงว่าโล่เกราะเหล็กที่ไม่เคยถูกทำลายของตนจะถูกดาบหัวกะโหลกที่ไม่นับว่าร้ายกาจเหล่านี้ทำลายลงได้

ในขณะที่หลบนั้น ไหล่ซ้ายของจางอีเต๋อก็ถูกดาบหัวกระโหลกเล่มหนึ่งปักจนหมอกเลือดระเบิดออกมา ไหล่ซ้ายของเขาถูกเจาะทะลุ เลือดสดๆ ไหลออกมา ดูท่าทางน่าหวาดกลัวเป็นอย่างมาก

ตอนนี้เอง คมดาบหัวกะโหลกอีกเจ็ดเล่มที่เหลือก็ถูกชายชุดดำหลังค่อมเรียกกลับไปข้างกาย คมดาบหัวกระโหลกอันแปลกประหลาดทั้งเจ็ดเล่มนั้นคล้ายกับมีมนต์ขลัง สามารถโจมตีออกไปตามการเคลื่อนไหวในมือขวาของชายชุดดำหลังค่อม ทำให้ผู้คนต่างหวาดผวาเป็นอย่างมาก และทำให้ผู้คนไม่อาจป้องกันได้

“แกแข็งแกร่งมาก น่าเสียดายที่ต้องมาเจอฉัน ที่สำคัญที่สุดก็คือแกแก่กว่าฉันมาก!” ชายชุดดำหลังค่อมมองไปยังจางอีเต๋ออย่างเย็นชา

จางอีเต๋อพยายามลุกขึ้นมาจากพื้น ไหล่ซ้ายถูกคมดาบหัวกระโหลกเจาะทะลุจนเป็นรูใหญ่ เลือดไหลลงมาไม่หยุด แต่เขาก็ไม่กังวลเลยแม้แต่น้อย เพราะเขาทำเพียงแค่นำมือขวาไปจับที่แผลบริเวณไหล่ซ้ายเท่านั้น

ทีละเล็กทีละน้อย เลือดบริเวณบาดแผลของจางอีเต๋อหยุดลงอย่างรวดเร็ว ยิ่งไปกว่านั้นยังสามารถเห็นได้ด้วยตาว่าบาดแผลสมานกันอย่างรวดเร็ว ทำให้ชายชุดดำหลังค่อมที่เห็นดังนั้นก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วด้วยความแปลกใจ

เหตุการณ์นี้ช่างพิสดารจริงๆ บนโลกนี้ถึงกับมีคนที่มีความสามารถในการรักษาตัวเองที่แข็งแกร่งขนาดนี้อยู่ด้วยหรือ!

……………..

สิ่งที่ทำให้คิดไม่ถึงก็คือ มือสังหารชั้นยอดทั้งสี่คนนี้ หรือยังน้อยที่สามารถมั่นใจได้ก็คือชายชุดดำร่างกำยำที่เป็นหัวหน้า จะถึงกับเป็นคนของชิบะ ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นยอดฝีมือแห่งสำนักดาบโฮคุชินอิตโตริวของชิบะอีกด้วย ความสามารถแข็งแกร่ง ต่อให้เป็นจางอีเต๋อก็ไม่มั่นใจว่าจะเอาชนะเขาได้อย่างความรวดเร็ว

ไหนเลยจะรู้ว่า ในตอนที่ชายชุดดำร่างกำยำใช้เคล็ดวิชาสังหารของตนออกมา จางอีเต๋อจะใช้เคล็ดวิชาพลังพิเศษในสายโลหะป้องกันเอาไว้ได้ โดยการใช้เคล็ดวิชาเกราะเหล็กซึ่งเป็นเคล็ดวิชาพลังพิเศษสายโลหะก่อกำเนิดเป็นกำแพงเหล็ก ซึ่งถูกเงาดาบที่ชายชุดดำร่างกำยำใช้ออกมาฟันจนพังทลายไปแล้ว

ตอนนี้ ในลานบ้านตระกูลจาง คนชุดดำทั้งสี่มาลอบสังหารมู่หรงอวี๋ตู เฮยเมี่ยนและจางอีเต๋อขวางพวกเขาเอาไว้ จางอีเต๋อขัดขวางชายชุดดำร่างกำยำที่มีฝีมือแข็งแกร่งที่สุด ส่วนเฮยเมี่ยนคนเดียวต้องรับมือกับมือสังหารชั้นยอดทั้งสามคน ถึงแม้จะเสียเปรียบอยู่บ้าง และยังได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย แต่ก็ไม่ใช่เรื่องร้ายแรงอะไร เพียงแต่ไม่สามารถต่อสู้ยืดเยื้อออกไปเช่นนี้ได้ จะอย่างไรพลังการต่อสู้และความอดทนของทุกคนก็มีจำกัด ต่อให้อดทนสู้ต่อไปก็อาจจะทำให้เฮยเมี่ยนตายได้

“ขวางพวกเขาเอาไว้ อย่าให้พวกเขาไปรบกวนได้เป็นอันขาด!” จางอีเต๋อเห็นชายชุดดำทั้งสามคนพุ่งเข้าไปยังทิศทางของห้องยาก็ตะโกนบอกเฮยเมี่ยน เนื่องจากตัวเขาเองถูกชายชุดดำร่างกำยำขวางเอาไว้จึงไม่กล้าเข้าไป

ไม่กล่าวไม่ได้ว่า เฮยเมี่ยนที่มีฐานะเป็นขุนพลในระดับทัพฟ้า ความสามารถแข็งแกร่งเหนือระดับโดยไม่ต้องสงสัย ตอนนี้ร่างกายได้รับบาดเจ็บจากดาบเกือบสิบแผล ถึงแม้จะไม่ร้ายแรงอะไรแต่เลือดก็ไหลออกมาไม่หยุด หากว่าเป็นคนธรรมดาเกรงว่าคงจะไม่มีแรงสู้ไปนานแล้ว แต่เฮยเมี่ยนกลับพุ่งเข้าไปในทันที ถือมีทหารในแนวขวางเข้าไปขวางเบื้องหน้ามือสังหารทั้งสามคน

“หากคิดจะเข้าไปก็ต้องผ่านด่านฉันไปก่อน!” เฮยเมี่ยนในตอนนี้ก็โกรธขึ้นมาจริงๆ แล้ว ระเบิดความสามารถทุกด้านของตนออกมาอย่างเต็มที่

“ฆ่ามันซะ!” ชายชุดดำร่างกำยำต่อสู้กับจางอีเต๋อไปพลาง ออกคำสั่งคนชุดดำที่เหลืออีกสามคนไปพลง

ฉัวะๆๆ!

ชายชุดดำร่างกำยำเพิ่งจะพูดจบ ดาบในมือของมือสังหารชุดดำอีกสามคนก็ปรากฏไอเย็นขึ้น นี่เป็นสิ่งที่สะท้อนให้เห็นถึงพลังพิเศษอันแข็งแกร่งประเภทหนึ่ง เป็นจุดที่เหมือนกับเคล็ดวิชาเงาดาบที่ชายชุดดำร่างกำยำใช้ ทำให้เฮยเมี่ยนไม่กล้าลำพองใจเลยแม้แต่น้อย เนื่องจากเมื่อสักครู่นี้ตอนที่ชายชุดดำร่างกำยำฟันเงาดาบไปยังจางอีเต๋อ ถึงกับทำให้เกิดความรู้สึกว่าอากาศถูกฟังจนฉีกขาดขึ้นมาได้ แม้จางอีเต๋อก็ได้ใช้เคล็ดวิชาเกราะเหล็กออกมาก่อกำเนิดเป็นกำแพงเกราะเหล็กที่แข็งแกร่ง แต่ก็ยังถูกเงาดาบนั้นฟันจนแหลกเป็นชิ้นในพริบตา มากเพียงพอที่จะสร้างความกดดันให้เขา

“ระวังหน่อย นี่เป็นเคล็ดวิชาประเภทหนึ่งของสำนักดาบโฮคุชินอิตโตริว เงาดาบมังกรคลั่ง!” จางอีเต๋อเตือนเฮยเมี่ยนด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม

“หึ ไอ้แก่รู้เรื่องไม่น้อยเลย ท่าทางวันนี้จะยิ่งปล่อยกลับไปไม่ได้แล้ว!” ชายชุดดำร่างกำยำตกตะลึง ดาบสไตล์ชิบะในมือขวากวัดแกว่งไม่หยุด ต้องการที่จะฆ่าจางอีเต๋อให้ได้

“หากต้องการที่จะฆ่าคนแก่อย่างฉัน เกรงว่าจะไม่ง่ายขนาดนั้น!” ดวงตาของจางอีเต๋อเต็มไปด้วยประกายไฟ เขาลงมือเต็มที่แล้ว ไม่กล้าลำพองใจเลยแม้แต่น้อย อีกฝ่ายเป็นยอดฝีมือแห่งสำนักดาบโฮคุชินอิตโตริว หากไม่ระวังเพียงนิดเดียวอาจจะตายจริงๆ ก็เป็นได้

เฮยเมี่ยนได้ยินคำพูดของจางอีเต๋อ ในใจก็รู้สึกแปลกใจเป็นอย่างมาก เขาขมวดคิ้ว เขาก็เคยได้ยินเรื่องเกี่ยวกับสำนักดาบโฮคุชินอิตโตริวมาบ้างเล็กน้อย นี่เป็นสำนักที่คล้ายกับสำนักเส้าหลินของจีน มีอิทธิพลต่อประเทศชิบะเป็นอย่างมาก ก็เหมือนกับเส้าหลินที่เป็นสำนักระดับสูงของพรรควรยุทธโบราณ สำนักดาบโฮคุชินอิตโตริวก็เป็นตัวตนเช่นนั้นในประเทศชิบะเหมือนกัน

ฉัวะๆๆ!

มือสังหารชั้นยอดทั้งสามคนไม่เพียงแต่จะตวัดดาบที่แฝงไปด้วยประกายอันเย็นยะเยือก ยิ่งไปกว่านั้นยังพุ่งเข้าไปด้วยหวังจะฆ่าเฮยเมี่ยนก่อน แล้วค่อยบุกเข้าไปในห้องยา

“มาเลย!”

เฮยเมี่ยนตะโกนลั่น เกิดเสียงเพล้งดังสนั่น มีดทหารในมือขวาถึงกับแหลกเป็นผุยผง เงาดาบฟาดฟันฝ่ามือขวาของเขาจนเลือดไหลออกมา แต่เฮยเมี่ยนไม่สนใจ ฝ่ามือทั้งสองมีพลังภายในอันแข็งแกร่งหมุนวนและรวบรวมอยู่ที่กลางฝ่ามืออย่างรวดเร็ว ใช้พลังบังคับเศษซากมีดที่แตกเป็นร้อยชิ้นให้พุ่งเข้าไปโจมตีมือสังหารที่มีความสามารถแข็งแกร่งสามคนนั้น

เศษมีดเหล่านั้นก็เหมือนกับใบมีดขนาดเล็กที่คละเคล้าเข้ากับพลังภายในอันแข็งแกร่ง เศษมีดถูกผลักเข้าไปยังมือสังหารทั้งสามคนด้วยความเร็วดุจสายฟ้า เกิดประกายแห่งความดุเดือดและรุนแรงอย่างหาใดเปรียบ มือสังหารชั้นยอดทั้งสามคนจะอย่างไรก็คิดไม่ถึงว่า เฮยเมี่ยนจะยังมีกระบวนท่าที่แข็งแกร่งขนาดนี้อยู่ด้วย รวมกับที่พวกเขาพุ่งเข้าไปหาเฮยเมี่ยนจนมีระยะห่างไม่ถึงสามเมตรจึงหลบไม่ทัน ทำได้เพียงเปลี่ยนวิถีดาบในมือมาบังเอาไว้

ฉึก!

ฉึก!

มือสังหารชุดดำทั้งสองคนล้มลงบนพื้น มีเศษมีดเล็กๆ แทงทะลุร่างกายของพวกเขา มือสังหารที่ได้รับบาดเจ็บรุนแรงมากที่สุดถึงกับถูกแทงทะลุหัวใจจนล้มลงไปชักกระตุกกับพื้น รอเพียงความตายมาเยือนเท่านั้น สูญเสียพลังในการต่อสู้ไปแล้ว

มือสังหารชุดดำที่เหลืออีกสองคนจะมากจะน้อยก็ได้รับบาดเจ็บ พวกเขามองไปยังเฮยเมี่ยนที่ขวางอยู่ตรงหน้าด้วยความตกตะลึง พวกเขาเป็นนักฆ่าชั้นยอดของประเทศชิบะ เคยผ่านการฆ่าฟันยอดฝีมือและคู่แข่งมาแล้วไม่รู้เท่าไหร่ ไม่เพียงแต่ความสามารถเฉพาะตัว แต่ยังมีประสบการณ์การต่อสู้จริงที่ร้ายกาจเป็นอย่างมากอีกด้วย แต่ไหนแต่ไรก็คิดไม่ถึงว่าประเทศจีนจะมีขุนพลที่มีฝีมือร้ายกาจถึงขนาดนี้อยู่ ถึงกับใช้หนึ่งคนขัดขวางพวกเขาสามคนเอาไว้ได้ แล้วยังฆ่าพวกเขาได้คนหนึ่งอีกด้วย

“บากะ(โง่) ยังมัวอึ้งอะไรกันอยู่ ฆ่ามันซะ บุกเข้าไปในห้องยา…” ชายชุดดำร่างกำยำรู้สึกสั่นสะท้านอยู่ในใจ เขารู้สึกร้อนใจยิ่งขึ้น ชายชราผมขาวโพลนเบื้องหน้านี้ยากที่จะรับมือ หากลูกน้องทั้งสามของตนถูกฆ่า เกรงว่าวันนี้เขาก็คงต้องตายอยู่ที่นี่เช่นกัน เนื่องจากเขาไม่สามารถป้องกันการโจมตีอย่างต่อเนื่องของเฮยเมี่ยนและจางอีเต๋อได้เลย ในใจของเขากระจ่างแจ้งถึงจุดนี้เป็นอย่างดี ดังนั้นเขาจึงยิ่งกดดันให้ลูกน้องของตนบุกเข้าไปในห้องยาและทำลายการรักษาของเย่เทียนเฉินและมู่หรงซิน หากทำเช่นนี้เขาก็จะมีโอกาสฆ่ามู่หรงอวี๋ตู

“อย่าให้พวกมันบุกเข้าไปในห้องยาได้เด็ดขาด!” จางอีเต๋อลงมือเต็มกำลัง ขัดขวางการบุกโจมตีของชายชุดดำร่างกำยำเอาไว้ ตอนนี้เขาสามารถทำได้เพียงเท่านี้ หวังว่าเฮยเมี่ยนจะขวางมือสังหารอีกสองคนที่เหลือเอาไว้ได้

“มีอะไรก็มาลงที่ฉัน หากต้องการฆ่าก็มาฆ่าเลย!” มู่หรงอวี๋ตูมองไปยังชายชุดดำร่างกำยำแล้วพูดขึ้น

“ฮ่าๆๆๆ มู่หรงอวี๋ตูการคิดจะช่วยหลานสาวของแกหรือไง เพ้อฝัน หญ้าสยบกายาไม่มีทางแก้ ยังไงพวกแกทุกคนก็จะต้องตาย ให้ฉันส่งหลานสาวของแกไปลงนรกก่อนก็แล้วกัน!” ชายชุดดำร่างกำยำหัวเราะ ทว่าการโจมตีในมือไม่ได้หยุด ยังคงโจมตีไปยังจุดสำคัญต่างๆ ของจางอีเต๋ออย่างต่อเนื่อง

ตอนนี้เอง เย่เทียนเฉินที่อยู่ในห้องยายังคงกอดกับมู่หรงซิน รอบกายของทั้งสองเปลือยเปล่า เสียงดังเอะอะด้านนอกเย่เทียนเฉินย่อมได้ยินแน่นอน เขารู้ว่ามียอดฝีมือบุกมาลอบสังหารมู่หรงอวี๋ตู ยิ่งไปกว่านั้นตอนนี้ยังคิดที่จะบุกเข้ามารบกวนการแก้พิษสยบของเขาและมู่หรงซิน เมื่ออยู่ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้เขาเองก็ไม่มีเวลาปลีกตัวไป ตอนนี้เขาสัมผัสได้ถึงไอเย็นอันเสียดแทงกระดูกจากในปาก มีอะไรบางอย่างออกมาจากปากของมู่หรงซิน อีกนิดเดียวก็จะสำเร็จแล้ว จะล้มเหลวไม่ได้เป็นอันขาด!

พรึ่บ!

เย่เทียนเฉินรับรู้ได้ถึงอะไรบางอย่างที่ทำให้กระดูกของเขาเย็นจนแทบแข็ง พริบตาเดียวก็เจาะทะลวงเข้ามาในร่างกายของเขา คิดไม่ถึงว่าตนเองจะมีอันตรายอะไร แต่เมื่อได้รู้ว่าหลังจากที่หญ้าสยบกายาเข้ามาในร่างกายของตนเองแล้วก็วางใจ ในที่สุดก็สามารถดึงดูดหญ้าสยบกายาออกมาจากร่างกายของมู่หรงซินได้ เขารู้สึกนับถือจางอีเต๋อซึ่งเป็นเซียนแพทย์เทวะจริงๆ หญ้าสยบกายา ก่อกำเนิดพลังหยินและความเย็น โดยปกติจะตามหาร่างกายของผู้หญิงเพื่อมาเป็นร่างแฝง ร่างกายของผู้ชายมีพลังหยางมาก พูดได้ว่าหญ้าสยบกายามักจะไม่เลือกมาอาศัยอยู่อย่างเด็ดขาด แต่พอจางอีเต๋อใช้เข็มทองทั้งหกเล่มฝังเข็มลงไปยังจุดลมปราณของเย่เทียนเฉิน ทำให้พลังหยางลดลงเป็นอย่างมาก รวมกับไอร้อนจากน้ำร้อนในถังน้ำที่ซึมเข้ามาภายใน ทำให้หญ้าสยบกายารู้สึกไม่สบาย อีกทั้งมันยังสัมผัสได้ว่าด้านนอกมีร่างแฝงที่ดียิ่งกว่าจึงออกมาจากร่างกายของมู่หรงซินและเข้าไปในร่างกายของเย่เทียนเฉิน

ทันใดนั้นเอง เย่เทียนเฉินลืมตาขึ้น กอดร่างกายอันเปลือยเปล่าของตนเอาไว้ ดันมู่หรงซินให้ห่างออกไปด้วยความลืมตัว ในเมืองขวามีพลังพิเศษปรากฏออกมาเล็กน้อย ส่งมู่หรงซินออกไปนอกถังไม้

ในตอนนี้มู่หรงซินเองก็ได้สติกลับมาแล้ว มองสีหน้าของเย่เทียนเฉินที่ดูหนาวเย็นถึงขีดสุดจนแทบจะแข็ง ลืมไปเลยว่าตนเองกำลังเปลือยกายอยู่ รีบวิ่งเข้าไปข้างถังไม้แล้วเอ่ยถามอย่างร้อนใจว่า “คุณไม่เป็นไรใช่ไหม?”

“ดูท่าทางเธอจะดีขึ้นแล้ว ไปใส่เสื้อผ้าแล้วออกไปเถอะ คุณปู่ของเธอจะได้วางใจ!” เย่เทียนเฉินรีบโคจรพลังพิเศษในร่างกายอย่างรวดเร็ว เริ่มควบคุมหญ้าสยบกายาไม่ให้มันวิ่งพล่านไปทั่ว

“งั้นคุณ…” มู่หรงซินได้สติกลับมา ตัวเองยืนอยู่เบื้องหน้าเย่เทียนเฉินด้วยร่างกายอันเปลือยเปล่า ร่างกายเว้านูนชัดเจนปรากฏออกมาทั้งหมดอย่างไม่ต้องสงสัย จึงอดไม่ได้ที่จะใบหน้าแดงระเรื่อ แต่เมื่อเห็นว่าเย่เทียนเฉินหลับตาทั้งสองอยู่ตลอดจึงวางใจลงไปไม่น้อย ทันใดนั้นจึงรู้สึกว่าเย่เทียนเฉินยังมีความเป็นสุภาพบุรุษอยู่บ้าง

“วางใจเถอะ ฉันจัดการตัวเองได้ รีบออกไปเถอะ!” เย่เทียนเฉินพูดเสียงต่ำ

“ไม่…ฉัน…ฉันจะอยู่ที่นี่ ฉันต้องการเห็นว่าคุณไม่เป็นอะไร!” มู่หรงซินรู้ว่าที่เย่เทียนเฉินเป็นแบบนี้ก็เพราะช่วยตัวเธอเองทั้งนั้น ดังนั้นจึงไม่คิดที่จะทิ้งเย่เทียนเฉินไปโดยไม่สนใจ

“หากว่าเธอยังไม่ไปอีก ฉันก็จะข่มขืนเธอแล้วนะ ฉันพูดจริงทำจริง!” ทันใดนั้นเย่เทียนเฉินลืมตาขึ้น จ้องมองไปยังหน้าอกของมู่หรงซินอย่างหื่นกระหายพลางกลืนน้ำลาย

“ฉัน…” มู่หรงซินมองเย่เทียนเฉินด้วยใบหน้าอันแดงก่ำ ถอยหลังออกไปโดยไม่รู้ตัว ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี

“ไป!” เย่เทียนเฉินตะโกนเสียงต่ำ

มู่หรงซินถูกคำพูดของเย่เทียนเฉินทำให้ตกใจ เดินไปด้านข้างสวมเสื้อผ้าให้เรียบร้อย มองไปยังเย่เทียนเฉินด้วยความกังวลอีกครั้งก่อนจะเดินไปยังประตูทางออกของห้องยาอย่างเชื่องช้า

เมื่อเห็นมู่หรงซินเปิดประตูเตรียมเดินออกไปแล้ว เย่เทียนเฉินก็วางใจลงมาก เขาสัมผัสได้ว่าหญ้าสยบกายานั้นลงไปถึงกระเพาะของเขาแล้ว หากยังไม่ควบคุมเกรงว่าคงจะเจาะทะลุไปถึงอวัยวะภายใน เขาจึงรีบกระตุ้นพลังพิเศษในขอบเขตจอมราชันออกมาทั้งร่าง บีบบังคับให้เข็มเงินทั้งหกเล่มที่แทงเข้ามาในร่างกายของตนออกไป มีเพียงวิธีนี้ที่จะสามารถปลดปล่อยพลังทั้งหมดของเขาออกมาได้ และบีบบังคับให้หญ้าสยบกายาออกไปจากร่าง

ในตอนเริ่มแรกที่รับปากว่าจะช่วยกำจัดพิษสยบให้มู่หรงซินนั้น เย่เทียนเฉินก็คิดถึงวิธีนี้เอาไว้แล้ว ด้วยพลังพิเศษในขอบเขตจอมราชันของตน คงจะสามารถบีบบังคับให้หญ้าสยบกายาออกมาจากร่างกายได้ เพียงแต่จะสำเร็จหรือไม่นั้นเย่เทียนเฉินก็ไม่แน่ใจ ตอนนี้ทำได้เพียงพยายามลองดูสุดชีวิต หากว่าพ่ายแพ้เขาก็คงจะต้องตาย…

………………….

ใครก็คิดไม่ถึงว่าในหมู่นักฆ่าชุดดำทั้งสี่ ชายชุดดำร่างกำยำผู้เป็นหัวหน้าจะใช้ดาบสไตล์ชิบะ หรือว่าเขาจะเป็นคนของประเทศชิบะ[1]? โดยเฉพาะในตอนที่เขาฟันดาบลงไปยังมู่หรงอวี๋ตู ถึงกับพูดว่า “คนจีนทั้งหมดสมควรตาย” คล้ายกับว่ามีความแค้นลึกล้ำกับมู่หรงอวี๋ตูที่เป็นทหารผ่านศึกที่เคยผ่านสงครามการฆ่าฟันมามาก

อย่างรวดเร็ว แม้มู่หรงอวี๋ตูจะเผชิญหน้ากับดาบสไตล์ชิบะอันเปล่งประกายเย็นยะเยือกที่ฟันลงมาก็ไม่ถอยหลังแม้แต่ก้าวเดียว นี่เป็นลักษณะอย่างหนึ่ง เป็นความหยิ่งในศักดิ์ศรีในฐานะที่เป็นนายพลเฒ่า ลูกผู้ชายควรจะอยู่ในสนามรบ ตายในสนามรบ นี่เป็นความภาคภูมิใจสูงสุดในใจของคนรุ่นมู่หรงอวี๋ตู

 เคร้ง!

ดาบสไตล์ชิบะอันเปล่งประกายเย็นยะเยือกฟันลงไปยังมู่หรงอวี๋ตูด้วยความเร็วดุจสายฟ้า แต่ในช่วงเวลาแห่งความเป็นความตายนั้นเอง กลับถูกเข็มเล่มหนึ่งกระทบจนฟันพลาดไป จนกระทั่งในตอนที่ชายชุดดำร่างกำยำผู้เป็นหัวหน้าต้องการที่จะลงมือกับมู่หรงอวี๋ตูอีกครั้ง คนที่ยืนอยู่เบื้องหน้าเขาก็กลายเป็นจางอีเต๋อไปแล้ว

การปรากฏตัวอย่างกะทันหันของจางอีเต๋อทำให้มู่หรงอวี๋ตูตลอดจนคนชุดดำร่างกำยำผู้เป็นหัวหน้าคนนั้นตกตะลึง ใครก็คิดไม่ถึงว่าชายชราที่ผมและเคราขาวโพลน ดูผิวเผินยังแก่กว่ามู่หรงอวี๋ตูคนนั้น จะร้ายกาจขนาดนี้ โดยเฉพาะในตอนนี้ พลังที่แผ่ออกมาบนร่างของเขาทำให้ชายชุดดำร่างกำยำตกตะลึงจนชะงักไป

“ปรมาจารย์จาง…” มู่หรงอวี๋ตูคิดจะกล่าวอะไรบางอย่าง แต่กลับถูกจางอีเต๋อขัด

“มีอะไรค่อยพูดกันทีหลัง ต่อหน้าคนพวกนี้ ลูกหลานจักรพรรดิเหลืองอย่างเราห้ามอ่อนข้อเด็ดขาด!” จางอีเต๋อพูดขัดคำพูดของมู่หรงอวี๋ตู

ทันใดนั้นมู่หรงอวี๋ตูคิดถึงอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ ในดวงตาเต็มไปด้วยกลิ่นอายแห่งการฆ่าฟัน เขาไม่ได้พูดอะไรให้มาก ถอยหลังหลายก้าวไปยืนอยู่ด้านข้าง เขารู้ว่าฝีมือของตนในยามที่ร่างกายแก่ชรานี้ ไม่สามารถขวางการฆ่าฟันของชายชุดดำร่างกำยำคนนี้ได้ จางอีเต๋อที่อยู่ด้านหน้าเป็นยอดฝีมือที่ซ่อนเร้นคนหนึ่ง ดูจากเมื่อสักครู่นี้ที่สามารถใช้เข็มบางเฉียบโจมตีดาบสไตล์ชิบะของชายชุดดำร่างกำยำผู้นั้นจนทำให้โจมตีพลาดได้ เห็นได้ว่าเซียนแพทย์เทวะคนนี้มีฝีมือลึกล้ำเกินคาดเดา

ความจริงแล้ว ในตอนที่คนชุดดำทั้งสี่บุกเข้ามาถึงด้านนอกบ้านตระกูลจาง จางอีเต๋อก็รู้แล้ว มิฉะนั้นเขาคงไม่พาหลานสาวของเขาจางรั่วถงออกมาจากห้องยา ตอนนี้เย่เทียนเฉินกำลังใช้ชีวิตของตนเพื่อแก้พิษสยบให้แก่มู่หรงซิน และอยู่ในช่วงเวลาที่สำคัญที่สุดแล้ว ห้ามให้ใครไปรบกวนโดยเด็ดขาด หากว่าชายชุดดำทั้งสี่คนนี้ฆ่ามู่หรงอวี๋ตูได้จริงๆ พวกเขาจะต้องฆ่าทุกคนที่นี่อย่างแน่นอน เมื่อถึงตอนนั้นต่อให้เป็นเทพเซียนก็ช่วยเย่เทียนเฉินและมู่หรงซินไม่ได้

เมื่อสักครู่นี้จางอีเต๋อยืนอยู่ในมุมหนึ่งตลอด ยืนมองชายชุดดำทั้งสี่ลงมือลอบสังหารมู่หรงอวี๋ตู แน่นอนว่าในฐานะที่จางอีเต๋อเป็นผู้มีพลังพิเศษ ย่อมสามารถใช้เคล็ดวิชาพลังพิเศษที่เป็นเคล็ดวิชาพื้นฐานที่สุดอย่างพลังพิเศษแห่งการรับรู้ได้ ถึงแม้ในหมู่ผู้มีพลังพิเศษ ผู้มีพลังพิเศษในสายรักษาจะไม่ได้มีความสามารถในการต่อสู้แข็งแกร่งถึงขนาดนั้น แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาไม่ร้ายกาจ ทุกสรรพสิ่งล้วนมีข้อยกเว้น จางอีเต๋อก็เป็นหนึ่งในข้อยกเว้นเหล่านั้น เขาไม่เพียงแต่มีวิชาแพทย์สูงส่ง ทั้งยังได้รับฉายาว่าเป็นเซียนแพทย์เทวะและมรฝีมือแข็งแกร่งเป็นอย่างมากอีกด้วย มิฉะนั้นเขาคงไม่สามารถทำให้เย่เทียนเฉินรู้สึกสั่นสะท้านได้

“ตาเฒ่า คิดจะรนหาที่ตายหรือไง?” ชายชุดดำร่างกายกำยำผู้อำพรางใบหน้ากล่าวกับจางอีเต๋อด้วยน้ำเสียงเย็นชา

“หึ ฉันจางอีเต๋อแต่ไหนแต่ไรก็ไม่เคยถูกคนรังแกถึงบ้านแบบนี้มาก่อน โดยเฉพาะไอ้หนูอย่างพวกแก!” จางอีเต๋อพูดขึ้นด้วยแววตาที่เปลี่ยนไป

ฉัวะ!

ชายชุดดำร่างกำยำคิดจะจบการต่อสู้ให้เร็วที่สุด พวกเขาได้รับการว่าจ้างให้มาฆ่ามู่หรงอวี๋ตู แต่กลับคิดไม่ถึงว่าข้างกายของมู่หรงอวี๋ตูจะมียอดฝีมือระดับทัพฟ้าอย่างเฮยเมี่ยนอยู่ และคิดไม่ถึงว่าในตอนที่ความสำเร็จอยู่ตรงหน้า จะมีชายชราที่แข็งแกร่งอย่างจางอีเต๋อโผล่ออกมาอีก แบบนี้ถ้าหากยืดเยื้อออกไป เมื่อเหล่ายอดฝีมือของตระกูลมู่หรงมาถึง เกรงว่าจะไม่ใช่พวกเขาที่ฆ่ามู่หรงอวี๋ตู แต่จะกลับกลายเป็นพวกเขาถูกฆ่ามากกว่า

ตวัดดาบออกไป ดาบสไตล์ชิบะมีกระแสความเย็นจนกระทั่งกลายเป็นเงาดาบพุ่งผ่านอากาศไปยังจางอีเต๋อ มู่หรงอวี๋ตูที่ได้เห็นต่างก็ตกตะลึง ในฐานะที่เขาเป็นนายพลเฒ่าและตอนนี้ตระกูลมู่หรงก็เป็นตระกูลที่มีอำนาจในโลกของการทหาร ย่อมเข้าใจเรื่องของพรรควรยุทธโบราณและผู้มีพลังพิเศษเหล่านี้ดี พลังภายในอันแข็งแกร่งสามารถแยกภูเขาป่นหินได้ นี่ไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาดอะไร แต่ว่าสามารถสร้างกระแสความเย็นได้ในขณะที่สะบัดดาบออกไปตามใจ นี่ทำให้เขารู้สึกเหลือเชื่อจริงๆ

จางอีเต๋อในตอนนี้ก็เริ่มเคลื่อนไหวแล้ว เมื่อเผชิญหน้ากับชายชุดดำร่างกำยำที่แข็งแกร่งคนนี้ เขาย่อมไม่กล้าลำพองใจ หากพูดถึงเรื่องของฝีมือ ชายชุดดำร่างกำยำคนนี้มีฝีมือพอๆ กันกับเขา หากพูดถึงเรื่องอายุ จางอีเต๋อแก่ชราแล้วจริงๆ ถึงแม้ว่าจะยังมีเรี่ยวแรงในการต่อสู้ แต่ก็ไม่สามารถยืนหยัดได้นาน

ที่จางอีเต๋อลงมือช่วยเหลือมู่หรงอวี๋ตูแม้ว่าก่อนหน้านี้อีกฝ่ายจะเกือบลงมือฆ่าพวกเขา นั่นเป็นเพราะจางอีเต๋อเห็นว่าในตอนที่มู่หรงอวี๋ตูเผชิญหน้ากับการลอบสังหารแล้วตกอยู่ในสถานการณ์ที่เกือบจะต้องตาย ก็ยังสามารถเผชิญหน้ากับอันตรายโดยไม่หวั่นไหว จึงรู้สึกนับถือนายพลชราที่สร้างผลงานอันยิ่งใหญ่ให้แก่ประชาชนชาวจีนคนนี้จริงๆ จางอีเต๋อเองก็เป็นคนที่เคยผ่านสงครามมาก่อน ที่นั่นมีความโหดร้ายมากมาย จินตนาการได้เลยว่า ต้องเป็นคนที่ไม่กลัวการสละชีพและไม่กลัวการหลั่งเลือดอย่างมู่หรงอวี๋ตูถึงจะมีตำแหน่งฐานะที่ยิ่งใหญ่ในประเทศจีนดังเช่นทุกวันนี้ได้

ส่วนเรื่องที่มู่หรงอวี๋ตูใช้ปืนพกจ่อศีรษะจางอีเต๋อเพื่อช่วยหลานของตนเอง ด้วยจิตใจของหมอที่เปรียบประดุจจิตใจของพ่อแม่ ก็ไม่ใช่ว่าจางอีเต๋อจะไม่เข้าใจ แต่จะอย่างไรสิ่งที่เขาเกลียดชังมากที่สุดก็คือ พวกคนถ่อยที่กล้ามาฆ่าคนถึงเขตแดนของประเทศจีน

“อา!”

จางอีเต๋อตะโกนเสียงต่ำออกมาครั้งหนึ่ง ไม่มีเค้าลางของความแก่ชราโดยสิ้นเชิง หลบดาบของชายชุดดำร่างกำยำที่ฟันมา ทะยานร่างเข้าไปดุจเหยี่ยวสยายปีก จับลำคอของชายชุดดำร่างกำยำในพริบตาเดียว ชายชุดดำร่างกำยำตกตะลึง จะอย่างไรก็คิดไม่ถึงว่าชายชราเบื้องหน้าที่ทั้งผมและเพลาขาวโพลน จะมีการเคลื่อนไหวคล่องแคล่วปราดเปรียวถึงขนาดนี้ เขาชะงักไปครู่หนึ่ง ถอยหลังไปหลายก้าว มือขวาเก็บดาบ มือซ้ายกำหมัดแล้วต่อยไปยังฝ่ามือของจางอีเต๋อ

เสียงดังสนั่นเกิดขึ้น ชายชุดดำร่างกำยำคนนั้นต่อยไปยังฝ่ามือของจางอีเต๋อ ทั้งสองถูกแรงปะทะจนกระเด็นออกไประยะหนึ่ง ดวงตาอันเย็นยะเยือกสองคู่จ้องมองซึ่งกันและกัน

“ตาเฒ่า คิดไม่ถึงว่าแกจะร้ายกาจขนาดนี้!” ชายชุดดำร่างกำยำพูดอย่างขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน

“ไม่ว่าเมื่อไหร่ ก็ไม่อนุญาตให้คนถ่อยอย่างแกมาทำกร่างในประเทศจีนของพวกฉัน ฉันอยากจะรู้จริงๆ ว่าใครที่มันคิดคดทรยศต่อประเทศถึงขั้นจ้างวานพวกแกมา!” จางอีเต๋อต้องไปยังดวงตาของชายชุดดำร่างกำยำตรงหน้าเขม็งแล้วพูดออกมา

“แกไม่จำเป็นต้องรู้ แค่ไปตายซะก็พอ!”

ในขณะที่พูด ชายชุดดำร่างกำยำก็พุ่งเข้าไปหาจางอีเต๋ออีกครั้ง ดาบสไตล์ชิบะในมือขวาตวัดออกไปจนเกิดประกายเงาดาบห่อหุ้มจางอีเต๋อเอาไว้ ดูเหมือนว่าจะไม่สามารถหลบได้ ในตอนนี้เองจางอีเต๋อก็รู้สึกได้ถึงอันตรายอันใหญ่หลวง หากว่าเขาไม่สามารถป้องกันกระบวนท่านี้ของชายชุดดำร่างกำยำเอาไว้ได้ เขาก็อาจจะสิ้นชีพ

“ไปตายซะ!” ชายชุดดำร่างกำยำตะโกน เงาดาบถูกฟันเข้าไปยังจางอีเต๋อ ยิ่งไปกว่านั้นยังมีประกายดาบทั้งบนล่างซ้ายขวา ไม่สามารถหลบเลี่ยงได้ ทำได้เพียงรับเอาไว้เท่านั้น

อากาศถูกเงาดาบเหล่านี้ฟันจนฉีกขาด ชายชุดดำร่างกำยำใช้วิชาดาบอันแปลกประหลาด ท่ามกลางเงาดาบที่ถูกตวัดฟันออกไป เงาดาบเหล่านั้นคล้ายกับแปรสภาพเป็นสสารที่แท้จริง ทั้งหมดถูกฟันไปยังจางอีเต๋อ ทำให้คนที่ได้เห็นต้องตกตะลึงและสั่นสะท้าน หากว่าถูกเงาดาบนี้ฟันลงไปเกรงว่าคงถูกตัดเป็นแปดท่อนแน่นอน

“เคล็ดวิชาเกราะเหล็ก!”

ในช่วงเวลาแห่งความเป็นความตาย จางอีเต๋อตะโกนออกมา ทันใดนั้นมีแผ่นเหล็กประกอบกันจนเป็นกำแพงขวางอยู่ด้านหน้าของเขา เงาดาบกระทบถูกบนกำแพงจนเกิดเสียงดังสนั่นราวกับเสียงเหล็กกระทบกัน นี่คือการแปรสภาพเป็นรูปลักษณ์ที่แท้จริง หากว่าเย่เทียนเฉินมาเห็นฉากนี้ จะต้องตกตะลึงเป็นอย่างมากแน่นอน จะอย่างไรเขาก็คิดไม่ถึงว่า จางอีเต๋อที่มีฐานะเป็นผู้มีพลังพิเศษในสายรักษา ไม่เพียงแต่มีฝีมืออันโดดเด่นในด้านวิชาแพทย์ แต่ถึงกับสามารถใช้เคล็ดวิชาสายโลหะได้แข็งแกร่งเป็นอย่างมากอีกด้วย

เคล็ดวิชาเกราะเหล็ก เป็นเคล็ดวิชาพลังพิเศษในสายโลหะ ถึงแม้ว่าการแบ่งพลังพิเศษจะแบ่งออกเป็นเจ็ดประเภท แต่ก็ยังมีสายโลหะ สายไม้ สายวารี สายอัคคี สายพสุธา ซึ่งเป็นการแบ่งพลังพิเศษสายหลัก และเคล็ดวิชาพลังพิเศษในสายอื่นๆ เช่นสายรักษาก็เรียกได้ว่าเป็นเคล็ดวิชาพลังพิเศษสายที่ถูกเพิ่มเติมเข้ามา มีคนน้อยมากที่สามารถควบคุมเคล็ดวิชาในสายหลักทั้งห้าได้ ดังนั้นในตอนที่ฉินเหยาเยว่เห็นเย่เทียนเฉินใช้สายอัสนี พสุธา และสายวารีทั้งสาม จึงได้ตกตะลึงเป็นอย่างมาก ผู้มีพลังพิเศษห้าสายเป็นเพียงตำนานเท่านั้น ต่อให้เป็นในช่วงยุคสิ้นโลกก็เป็นเพียงเรื่องเล่าขาน เย่เทียนเฉินคนนั้นเป็นผู้ใช้มีพลังพิเศษห้าสายหรือ?

ในตอนที่ เงาดาบของชายชุดดำร่างกำยำถูกแปรสภาพ จางอีเต๋อก็ใช้เคล็ดวิชาพลังพิเศษเกราะเหล็กซึ่งเป็นเคล็ดวิชาในสายโลหะออกมา กำแพงที่ถูกก่อขึ้นถูกพังทลายไปเรียบร้อยแล้ว ทั้งสองต่างก็มองกันด้วยความตกใจ โดยเฉพาะชายชุดดำร่างกำยำ เขาคิดไม่ถึงเลยว่าเคล็ดวิชาสังหารของตนจะถึงกับถูกจางอีเต๋อหยุดเอาไว้ได้ ชายชราที่ทั้งผมและเคราขาวโพลนไปหมดแล้วคนนั้น ถึงกับเป็นผู้มีพลังพิเศษที่แข็งแกร่งคนหนึ่งเชียว

“แกเป็นถึงผู้มีพลังพิเศษ มิน่าล่ะถึงได้แข็งแกร่งขนาดนี้…” ดวงตาทั้งสองอันเย็นยะเยือกของชายชุดดำร่างกำยำมองไปยังจางอีเต๋อแล้วพูดขึ้น

“สำนักดาบโฮคุชินอิตโตริว คิดไม่ถึงว่าพวกแกจะยังอยู่ ยังคิดที่จะสู้กับเคล็ดวิชาแห่งพรรคโบราณของจีนให้รู้แพ้รู้ชนะอีกหรือไง?” จางอีเต๋อพูดด้วยท่าทางเย็นชา

สำนักดาบโฮคุชินอิตโตริว เป็นสำนักวรยุทธโบราณสำนักหนึ่งของชิบะ เหมือนกับสำนักเส้าหลินของจีน มีอิทธิพลในชิบะเป็นอย่างมาก วิชาดาบของเขาแปลกประหลาดยากจะคาดเดา ในช่วงสงคราม สำนักดาบโฮคุชินอิตโตริวเคยเข้ามาในประเทศจีนเพื่อที่จะต่อสู้กับวิชาแห่งพรรควรยุทธโบราณซึ่งมีการถ่ายทอดกันมากว่าห้าพันปีของประเทศจีนให้รู้แพ้รู้ชนะ ในช่วงนั้นแต่ละฝ่ายต่างก็ผลัดกันแพ้ผลัดกันชนะ นี่เป็นความลับที่มีแต่ผู้อาวุโสที่จะรู้ และจำกัดอยู่เพียงผู้อาวุโสของผู้มีพลังพิเศษจำนวนหนึ่งและผู้อาวุโสในพรรควรวุฒิโบราณของจีน คนธรรมดาทั่วไปในสังคมปัจจุบันไม่ได้รับรู้ข่าวนี้โดยสิ้นเชิง

“จะช้าจะเร็วก็ต้องรู้แพ้รู้ชนะอย่างแน่นอน…บุกเข้าไปฆ่าพวกมันสองคนด้านในก่อน…” ทันใดนั้นชายชุดดำร่างกำยำใช้ดาบสไตล์ชิบะชี้ไปทางห้องยาแล้วพูดขึ้น

ใครก็คิดไม่ถึงว่า ชายชุดดำร่างกำยำที่เป็นหัวหน้าจะถึงกับทำการเคลื่อนไหวอย่างฉับพลัน ออกคำสั่งให้คนชุดดำอีกสามคนสลัดออกจากการล้อมเฮยเมี่ยนและพุ่งเข้าไปยังตำแหน่งของห้องยา ท่าทางมือสังหารชุดดำทั้งสี่คนนี้จะรับรู้ถึงการมีอยู่ของเย่เทียนเฉินและมู่หรงซินนานแล้ว จึงคิดที่จะบุกเข้าไปทำลายการแก้พิษของเย่เทียนเฉินและมู่หรงซินก่อน เพื่อให้จางอีเต๋อและคนอื่นๆ วุ่นวาย

ตอนนี้เอง ภายในห้องยา เย่เทียนเฉินที่นั่งอยู่ในถังไม้ใบใหญ่กอดมู่หรงซินเอาไว้แน่นโดยไม่สวมเสื้อผ้าแม้แต่ชิ้นเดียว รู้สึกได้ถึงไอเย็นที่เสียบแทงกระดูกระลอกหนึ่งที่เข้ามาในร่างกายจากทางปาก…

……………………..

[1] ชิบะ เป็นประเทศสมมติที่คล้ายกับประเทศชิบะ

เย่เทียนเฉินและมู่หรงซินกำลังโอบกอดและจูบกันด้วยร่างกายอันเปลือยเปล่า นั่งอยู่ในถังไม้ใหญ่ที่เต็มไปด้วยน้ำร้อนอยู่เช่นนั้น ในตอนนี้เป็นช่วงเวลาที่สำคัญที่สุด ไม่สามารถให้ใครก็ตามมารบกวนได้ หากทำให้หญ้าสยบกายาในร่างกายของมู่หรงซินตกใจ ไม่เพียงแต่มู่หรงซินจะตาย แต่เย่เทียนเฉินก็อาจจะรักษาชีวิตไว้ไม่ได้เช่นกัน

หากต้องการที่จะแก้พิษของหญ้าสยบกายา เดิมทีก็ต้องใช้ชีวิตของเย่เทียนเฉินไปแลกกับชีวิตของมู่หรงซิน ที่สำคัญที่สุดก็คือ หญ้าสยบกายาก่อให้เกิดพลังหยินและความเย็น ที่ต้องให้เย่เทียนเฉินใช้ปากประกบปากกับมู่หรงซิน ก็เพราะต้องการใช้หยางเข้าสยบ และควบคุมหญ้าสยบกายาเอาไว้ เพื่อป้องกันไม่ให้หญ้าสยบกายาวิ่งพล่านอยู่ในร่างกายของมู่หรงซินจนทำให้อวัยวะของมู่หรงซินได้รับบาดเจ็บ

สิ่งที่จางอีเต๋อควรทำก็ทำไปหมดแล้ว สิ่งที่เหลืออยู่ก็เป็นอย่างที่เขาพูด ทุกสิ่งทุกอย่างต้องพึ่งพาเย่เทียนเฉิน เข็มทองทั้งสิบสองเล่มปักเข้าไปในจุดลมปราณของเย่เทียนเฉินและมู่หรงซินคนละหกเล่ม เพื่อบีบบังคับหญ้าสยบกายาให้ออกมา และเพื่อปกป้องให้ปลอดภัย หลีกเลี่ยงไม่ให้มันวิ่งพล่านจนทำร้ายอวัยวะภายในและกระอักเลือดออกมา

แต่ในตอนที่เย่เทียนเฉินและมู่หรงซินกอดกันอย่างแนบแน่น ทุกสิ่งทุกอย่างเดินเข้าสู่ช่วงเวลาสำคัญที่สุด ไม่อนุญาตให้ใครมารบกวนเป็นอันขาดนั้น กลับมีนักฆ่าระดับหนึ่งบุกทะลวงบอดี้การ์ดชั้นยอดอาวุธครบมือนับร้อยคนเข้ามาในลานบ้านตระกูลจาง เพื่อต้องการฆ่ามู่หรงอวี๋ตู

ก่อนหน้านี้นักสู้ที่อยู่ข้างกายของมู่หรงอวี๋ตูมีแค่เฮยเมี่ยนคนเดียว อย่างไรก็ตามชายชุดดำที่บุกเข้ามาก่อนเป็นคนแรกนั้นมีฝีมือร้ายกาจมาก สามารถพูดได้ว่าฝีมือพอๆ กับเฮยเมี่ยน ทั้งสองต่อสู้กันอย่างว่องไวรวดเร็วดุจสายฟ้านับร้อยกระบวนท่าก็ยังไม่สามารถรู้แพ้รู้ชนะได้ นี่ทำให้ทั้งสองตื่นตะลึงเป็นอย่างมาก คิดไม่ถึงว่าจะพบกับคู่ต่อสู้ที่เหมาะเจาะกันเช่นนี้

โดยเฉพาะเฮยเมี่ยน เห็นได้ชัดว่าทหารถือปืนหลายร้อยคนนี้ไม่สามารถขัดขวางกลุ่มนักฆ่านี้ได้ มิฉะนั้นคงไม่ถูกคนอื่นโจมตีเข้ามาง่ายๆ ตอนนี้เขากำลังต่อสู้พัวพันกับนักฆ่าแข็งแกร่งคนนี้อยู่ แต่กลับมียอดฝีมือบุกเข้ามาลอบสังหารมู่หรงอวี๋ตูอีก เย่เทียนเฉินก็กำลังรักษาผิดให้มู่หรงซิน ไม่สามารถปลีกตัวออกมาได้แน่นอน หากเป็นแบบนี้ต่อไป เกรงว่ามู่หรงอวี๋ตูจะต้องตายอยู่ที่นี่จริงๆ แล้ว

หลังจากเสียงดังสนั่นผ่านไป ประตูรั้วของบ้านตระกูลจางถูกระเบิดจนปลิว คนชุดดำหลายคนบุกเข้ามา แต่ละคนต่างก็เป็นยอดฝีมือระดับหนึ่ง ในมือของทุกคนกุมดาบยาวเอาไว้หนึ่งเล่ม ไอสังหารฟุ้งกระจาย เฮยเมี่ยนเห็นดังนั้นก็ตื่นตะลึง คนที่มาลอบสังหารมู่หรงอวี๋ตูเหล่านี้ต่างก็เป็นยอดฝีมือแห่งพรรควรยุทธโบราณทั้งหมด ร้ายกาจกว่านักฆ่าที่ใช้อาวุธปืนธรรมดาเป็นอย่างมาก มิฉะนั้นพวกเขาคงไม่สามารถหลบซ่อนทหารชั้นยอดหลายร้อยคนที่ถืออาวุธปืนอยู่ในมือเข้ามาได้ ดังนั้นที่คนธรรมดาทั่วไปคิดว่าอาวุธปืนของยุคปัจจุบันร้ายกาจที่สุดนั้นไม่เป็นความจริง ต่อหน้ายอดฝีมือแห่งพรรควรยุทธโบราณและผู้มีพลังพิเศษที่แข็งแกร่งอย่างแท้จริง ของเหล่านี้ก็เป็นเพียงแค่ของเล่นเท่านั้น

“ฆ่ามันซะ ทำภารกิจให้สำเร็จ!” มือสังหารคนหนึ่งมองไปยังมู่หรงอวี๋ตูแล้วพูดขึ้นอย่างเย็นชา

เมื่อได้ยินคำสั่งของคนผู้นั้น คนชุดดำสองคนที่ยืนอยู่ด้านข้างก็ตวัดดาบพุ่งเข้ามายังมู่หรงอวี๋ตูด้วยความว่องไว ทั่วทั้งลานบ้านของตระกูลจางมีชายชุดดำบุกเข้ามาสี่คน แต่ละคนล้วนเป็นยอดฝีมือชั้นหนึ่ง ตอนนี้มีเฮยเมี่ยนเพียงคนเดียว ซึ่งกำลังต่อสู้พัวพันอยู่กับชายชุดดำที่ลอบโจมตีเข้ามาเป็นคนแรกอยู่ ดูเหมือนว่าจะไม่มีเวลาปลีกตัวไปสู้กับคนอื่น จินตนาการได้เลยว่ามู่หรงอวี๋ตูตกอยู่ในความอันตรายขนาดไหน

ตอนนี้เอง สิ่งที่ทำให้ผู้คนต้องเลื่อมใสมากก็คือ มู่หรงอวี๋ตูนั้นไม่เสียทีที่เป็นทหารผู้ผ่านสงครามแล้วการฆ่าฟันมาแล้วจริงๆ เมื่อต้องเผชิญหน้ากับนักฆ่าที่ร้ายกาจเช่นนี้ ต้องเผชิญหน้ากับความอันตรายถึงขั้นเป็นตายของตน ก็ไม่แสดงความหวาดกลัวออกมาและไม่ยอมถอยเลยแม้แต่น้อย ท่ามกลางดวงตาขุ่นมัวทั้งสอง กลับปรากฏความเคร่งขรึมจริงจัง นายพลเฒ่าที่ไม่เกรงกลัวความเป็นความตายนี้ มีบรรยากาศแห่งจักรพรรดิ์แพร่ออกมา

ฉัวะ!

ฉัวะ!

ดาบอันคมกริบทั้งสองเล่มฟาดฟันลงไปยังมู่หรงอวี๋ตู มู่หรงอวี๋ตูถอยหลังไปก้าวหนึ่ง ใช้เท้าเตะมือสังหารคนหนึ่งจนกระเด็นออกไป แต่จะอย่างไรเขาก็แก่มากแล้ว อายุ 70 กว่าปีแล้ว รวมกับที่ทำสงครามมาเป็นเวลานานหลายปี ทำให้การบาดเจ็บบนร่างกายมีมากจนเกินไป สามารถตอบสนองได้อย่างว่องไว ใช้เท้าเตะนักฆ่าฉันยอดจนปลิวออกไปได้คนหนึ่งก็นับได้ว่าเป็นกระบี่คมไม่เสื่อมคลายแล้ว เห็นได้ว่าเขาเป็นทหารผ่านศึกที่มีฝีมือมากคนหนึ่ง

แต่ในตอนที่มู่หรงอวี๋ตูเตะนักฆ่าคนหนึ่งจนปลิวออกไปนั้น ดาบในมือของนักฆ่าอีกคนก็ฟันตรงมายังศีรษะของเขา ประกายเย็นยะเยือกส่องสว่าง สามารถฟันคนให้ขาดครึ่งได้เลย

เคร้ง!

ในช่วงเวลาอันหวาดเสียว เฮยเมี่ยนสลัดหลุดจากนักฆ่าที่กำลังประมือด้วย รีบพุ่งไปเบื้องหน้าของมู่หรงอวี๋ตูด้วยความเร็วสูงสุดเท่าที่จะทำได้ ใช้มีดทหารขวางกั้นดาบในมือของนักฆ่าที่ฟันลงมา

ตอนนี้เอง นักฆ่าที่ถูกมู่หรงอวี๋ตูเตะจนปลิวออกไปก็บุกเข้ามาอีกครั้ง เฮยเมี่ยนในตอนนี้ แสดงความสามารถของเขาในฐานะที่เป็นขุนศึกระดับทัพฟ้าออกมา ต่อสู้กับยอดฝีมือชั้นหนึ่งพร้อมกันสองคน มีดในมือซ้ายขวางนักฆ่าคนนึงเอาไว้ หมัดที่มือขวาซัดเข้าไปยังนักฆ่าอีกคนหนึ่ง ในขณะเดียวกันก็ปกป้องมู่หรงอวี๋ตูที่อยู่ด้านหลังไปด้วย ทำให้นักฆ่าทั้งสี่ตกใจจนอดไม่ได้ที่จะลอบส่งสายตาให้กัน พวกเขาคิดไม่ถึงว่า ข้างกายของมู่หรงอวี๋ตู จะมียอดฝีมือเช่นเฮยเมี่ยนอยู่ด้วย

“แกเก่งมาก แต่แกปกป้องมู่หรงอวี๋ตูไม่ได้หรอก คืนนี้เขาจะต้องตาย!” ในที่สุดคนชุดดำร่างกำยำที่ยังไม่ได้ลงมือ ก็มองไปยังเฮยเมี่ยนแล้วพูดขึ้นอย่างเย็นชา

“พวกแกเป็นใครกันแน่? มาจากองค์กรไหน?” เฮยเมี่ยนรู้สึกได้ถึงความอันตราย ถึงแม้ว่าจะไม่พูดออกมา แต่ในใจก็เข้าใจอย่างกระจ่างชัด เมื่อต้องเผชิญหน้ากับนักฆ่าชั้นหนึ่งทั้งสี่คน เขาเพียงคนเดียวหากคิดที่จะขวางนั้นยากมาก มิหนำซ้ำ คนชุดดำที่ยังไม่ได้ลงมือมาตั้งแต่ต้นผู้นี้ให้ความรู้สึกแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก หากคนคนนี้ลงมือ จะเป็นช่วงที่อันตรายที่สุดอย่างแน่นอน

“แกไม่จำเป็นต้องรู้ แกต้องปล่อยให้พวกเราฆ่ามู่หรงอวี๋ตู ไม่งั้นต่อให้แกจะแข็งแกร่งก็ต้องตายเหมือนกัน!” คนชุดดำร่างกำยำพูดขึ้นพลางหัวเราะเสียงเย็น

เฮยเมี่ยนไม่ได้กล่าวอะไร แต่ปกป้องมู่หรงอวี๋ตูเอาไว้ด้านหลัง คนชุดดำทั้งสี่ที่ยืนอยู่ตรงข้ามพวกเขาแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก จนถึงตอนนี้ ทหารชั้นยอดนับร้อยคนที่ยืนเฝ้าอยู่ด้านนอก ก็ยังไม่มีสักคนเดียวที่ตามเข้ามา เกรงว่าพวกเขาคงจะร้ายมากกว่าดี หากเป็นเช่นนี้ต่อไป คืนนี้ทุกคนคงต้องตายอยู่ที่นี่แน่นอน

“นายพลมู่หรง คุณไปก่อนเถอะ ผมจะสกัดเอาไว้ให้!” เฮยเมี่ยนพูดกับมู่หรงอวี๋ตูเสียงเบา

“ไม่ต้อง ถ้าหากต้องใช้ชีวิตของแกมาแลกเปลี่ยนกับชีวิตของฉัน ชื่อเสียงของฉันมู่หรงอวี๋ตูคงถูกทำลายแน่ แต่ไหนแต่ไรฉันก็ไม่เคยให้สหายร่วมรบของตัวเองไปตายเพื่อฉัน” มู่หรงอวี๋ตูส่ายหน้า ออกมายืนเบื้องหน้าเฮยเมี่ยน เขาไม่ได้พูดจาใหญ่โตอะไร และไม่ได้จงใจที่จะแสดงอะไรออกมา แต่เขามู่หรงอวี๋ตูสู้รบมาตลอดชีวิต สู้จนมีชื่อเสียงออกมาได้ ต่อให้วันนี้จะแก่มากแล้ว ก็ไม่อนุญาตให้ใครมาทำลายชื่อเสียงของตนเป็นอันขาด

“หึ มู่หรงอวี๋ตู นับว่าแกเป็นคนที่ใช้ได้คนหนึ่ง หากไม่ใช่ว่าฉันได้รับคำสั่งให้ฆ่าแก ฉันก็อยากจะปล่อยแกไปสักครั้งจริงๆ!” คนชุดดำร่างกายกำยำแค่นเสียงเย็นออกมาครั้งหนึ่งแล้วพูดขึ้น

“จะเข้ามาก็มาเลย ฉันมู่หรงอวี๋ตูไม่เคยกลัวใคร!” ตอนนี้เอง ดวงตาทั้งสองของมู่หรงอวี๋ตูอัดแน่นไปด้วยความโกรธขึ้นมาแล้ว ในฐานะที่เป็นนายพลเฒ่าคนหนึ่ง ต่อให้ต้องตาย เขาก็มีความเคารพในตนเองอย่างเข้มข้น ไม่ยอมให้ใครมาดูหมิ่นง่ายๆ

“ฆ่า!” คนชุดดำร่างกำยำพูดอย่างไร้ปราณี

คนชุดดำทั้งสามบุกเข้าไปยังมู่หรงอวี๋ตูและเฮยเมี่ยนพร้อมกัน มู่หรงอวี๋ตูเผชิญหน้ากับอันตรายโดยไม่หวาดกลัว ไม่ยอมถอยแม้แต่ครึ่งก้าว นี่เป็นนิสัยของนายพลเฒ่าอย่างเขา ต่อให้มีดาบพาดอยู่บนลำคอ ก็จะไม่ถอยอย่างเด็ดขาด

เฮยเมี่ยนไม่ได้พูดอะไรมาก ในฐานะที่เป็นขุนพลระดับทัพฟ้าคนหนึ่ง ในฐานะที่เป็นคนที่เห็นคำสั่งสำคัญกว่าชีวิต การปกป้องมู่หรงอวี๋ตูก็คือภารกิจของเขา ต่อให้เลือดต้องสาดกระเซ็น เขาก็จะบุกเข้าไปเต็มกำลัง เพื่อขัดขวางคนชุดดำทั้งสี่นี้ให้ได้

การต่อสู้เริ่มต้นขึ้น มือสังหารทั้งสามสู้กับเฮยเมี่ยน ส่วนคนชุดดำร่างกำยำที่เป็นหัวหน้า ซึ่งยังไม่ได้ลงมือก็ขมวดคิ้วมองไปยังเฮยเมี่ยน เขาถูกฝีมือของเฮยเมี่ยนทำให้ตื่นตะลึงไปแล้วจริงๆ ลูกน้องทั้งสามของตนต่างก็เป็นยอดฝีมือระดับหนึ่ง ทุกคเคยได้รับการฝึกฝนเคล็ดวิชาของพรรควรยุทธโบราณมาก่อน บอดี้การ์ดธรรมดาหรือทหารธรรมดาไม่ใช่คู่มือของพวกเขาโดยเด็ดขาด แต่เฮยเมี่ยนใช้หนึ่งต้านสามและยังสามารถยืนหยัดมาได้จนถึงตอนนี้ นับว่าไม่อาจดูเบาได้เลยจริงๆ

ขุนพลระดับทัพฟ้า ในประเทศจีนนับว่าเป็นกองกำลังเดี่ยวที่แข็งแกร่งที่สุด พวกเขายังแข็งแกร่งยิ่งกว่ากองกำลังเหยี่ยวนักล่าและหน่วยมังกรฟ้าเสียอีก และภารกิจที่พวกเขากระทำ ส่วนใหญ่ต่างก็เกี่ยวข้องกับการคุ้มครองระดับผู้นำของประเทศ หรือกระทั่งเป็นภารกิจที่เป็นความลับ เกี่ยวกับของบางอย่างที่ไม่สามารถให้โลกภายนอกได้รับรู้ได้ไปตลอดกาล

ถึงแม้ว่าจะเป็นเช่นนี้ แต่เฮยเมี่ยนเองก็ยืนหยัดได้ไม่นานมากนัก จะอย่างไรเขาก็เผชิญหน้ากับมือสังหารระดับหนึ่งทั้งสามคนที่ผ่านประสบการณ์การต่อสู้จริงมาอย่างโชกโชน ไม่นานก็เกิดบาดแผลบนร่างกาย ถึงแม้จะไม่อันตรายถึงชีวิต แต่หากเป็นเช่นนี้ต่อไป เฮยเมี่ยนจะต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัย

“นายพลมู่หรง คุณไปก่อนเถอะครับ ผมจะขวางพวกมันไว้เอง!” เฮยเมี่ยนฟันมีดไปยังมือสังหารคนหนึ่ง หันกายไปพูดกับมู่หรงอวี๋ตูอย่างร้อนรน

 “พยายามอย่างสุดความสามารถก็พอแล้ว ไม่จำเป็นต้องเสียสละชีวิตเพื่อชาติ คนที่พวกมันต้องการฆ่าก็คือฉัน ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นลิขิตฟ้า!” มู่หรงอวี๋ตูยอมไม่หนีไปอย่างเด็ดขาด เป็นนายพลคนหนึ่ง มีเพียงยืนหยัดสู้ตายในสงครามเท่านั้น แต่ไหนแต่ไรก็ไม่เคยหนี เขาเตรียมตัวที่จะตายที่นี่แล้ว ยิ่งไปกว่านั้น หากยังไม่ได้เห็นมู่หรงซินผู้เป็นหลานปลอดภัยไร้อันตราย เขาจะจากไปได้อย่างไร?

 “ในเมื่อแกรู้ตัวว่าจะตาย ฉันก็จะช่วยแกเอง!”

ในตอนนี้ คนชุดดำร่างกำยำที่ยังไม่ลงมือก็กล่าวคำพูดนี้ขึ้นมาและชักดาบที่แขวนอยู่ด้านหลังออกมา ในตอนที่เขาชักดาบออกมา เฮยเมี่ยนอดไม่ได้ที่จะตกตะลึง นั่นเป็นดาบทหารสไตล์ชิบะ บนคมดาบเปล่งประกายเย็นยะเยือก หรือว่านักฆ่าเหล่านี้จะเป็นคนของ “สุนัขรับใช้แห่งประเทศชิบะ”? ตกลงแล้วเป็นใครกันแน่ที่ใช้มือสังหารของสุนัขรับใช้แห่งประเทศชิบะเหล่านี้?

ฟุ่บ!

ชายชุดดำร่างกำยำเคลื่อนไหวแล้ว ทั้งยังรวดเร็วจนไม่มีเวลาให้คิด เฮยเมี่ยนตกตะลึงจนชะงักไปครู่หนึ่ง เขาคาดเดาไม่ผิดจริงๆ ชายชุดดำร่างกำยำคนนี้แข็งแกร่งมาก เป็นสุดยอดนักฆ่าคนหนึ่ง เมื่อเทียบกันแล้วยังร้ายกาจกว่านักฆ่าระดับหนึ่งทั้งสามคนมาก

เฮยเมี่ยนพยายามสลัดมือสังหารทั้งสามคนที่ล้อมตนเองเอาไว้อย่างสุดความสามารถ ต้องการที่จะไปขวางชายชุดดำร่างกำยำคนนั้น เพียงแต่น่าเสียดายที่มือสังหารทั้งสามคนนี้พัวพันกับเฮยเมี่ยนยังไม่ยอมปล่อย แต่ละดาบที่โจมตีเข้ามาล้วนหวังเอาชีวิต ทำให้เฮยเมี่ยนไม่มีเวลาปลีกตัวออกไป ทำได้เพียงมองดูชายชุดดำคนนั้นตวัดดาบฟันลงไปยังมู่หรงอวี๋ตู

“คนจีนทั้งหมดสมควรตาย!” ชายชุดดำร่างกำยำพุ่งเข้าไปเบื้องหน้ามู่หรงอวี๋ตู พูดออกมาอย่างเย็นชา

“แกเป็นใครกันแน่?” มู่หรงอวี๋ตูถามด้วยอาการขมวดคิ้ว

ฉวะ! ดาบสไตล์ชิบะที่เปล่งประกายเย็นยะเยือกฟันลงไปยังมู่หรงอวี๋ตู…

ภายในห้องยาตระกูลจาง เย่เทียนเฉินและมู่หรงซินโอบกอดกันด้วยร่างกายอันเปลือยเปล่า ไม่สวมใส่เสื้อผ้าแม้แต่ชิ้นเดียว นั่งอยู่ในถังไม้ถังใหญ่ที่เต็มไปด้วยน้ำร้อน ทั่วทั้งห้องยาฟุ้งกระจายไปด้วยไอน้ำ มองเห็นไม่ชัดเจนว่าพวกเขาทั้งสองคนกำลังทำอะไรอยู่กันแน่

จินตนาการได้เลยว่า ชายคนหนึ่งที่มีพลังหยางเต็มเปี่ยมและเด็กสาวงดงามคนหนึ่งที่มีร่างกายเต่งตึง ทั้งสองโอบกอดกันด้วยร่างกายอันเปลือยเปล่าและยังจูบปากกัน ต่อไปจะทำอะไรได้ล่ะ?

ในตอนนี้ ภายในลานบ้านของตระกูลจาง มู่หรงอวี๋ตูนั่งอยู่บนเก้าอี้หิน เฮยเมี่ยนคุ้มครองอยู่ด้านหลังของเขาไม่ห่างกาย ถึงแม้รอบด้านในระยะ 100 เมตรจะมีการคุ้มครองที่เข้มงวดของทหาร จนถึงขั้นที่แมลงวันก็บินเข้ามาไม่ได้ แต่ก็ไม่ทำให้เฮยเมี่ยนลำพองใจ ในฐานะที่เป็นขุนพลระดับทัพฟ้า เขาจะไม่ให้โอกาสศัตรูเข้ามาสังหารมู่หรงอวี๋ตูโดยเด็ดขาด

ก่อนหน้านี้ก็ได้รับข่าวมาก่อนแล้วว่า มีศัตรูคู่แค้นของมู่หรงอวี๋ตูส่งยอดฝีมือที่แข็งแกร่งมากหลายคนออกมาเคลื่อนไหว เตรียมที่จะปรากฏตัวออกมาสังหารมู่หรงอวี๋ตูในตอนที่เขาตามหาวิธีรักษาหญ้าสยบกายาให้มู่หรงซินผู้เป็นหลาน เพื่อความปลอดภัยของมู่หรงอวี๋ตู คนระดับสูงของประเทศจึงส่งเฮยเมี่ยนออกมา และยังคิดถึงเย่เทียนเฉินที่เรื่อยเฉื่อยแต่มีฝีมือแข็งแกร่งคนนี้ด้วย สาเหตุสำคัญเพราะครั้งนี้มีเรื่องอื่นที่ทำให้ขุนพลระดับทัพฟ้าของประเทศหลายคนต้องออกเดินทางไปทำภารกิจ ในเวลาเพียงชั่วครู่ไม่สามารถกลับมาได้ทันเวลา ความสามารถของเฮยเมี่ยนนั้นแม้จะนับว่าอยู่ในระดับกลางของขุนพลระดับทัพฟ้า แต่ก็นับว่าเป็นระดับที่แข็งแกร่งที่สุดในระดับกลาง

ครั้งนี้คนที่ต้องการลอบสังหารมู่หรงอวี๋ตูจะแข็งแกร่งมากแค่ไหนก็ไม่อาจรู้ได้ ดังนั้นบุคคลระดับสูงจึงคิดถึงเย่เทียนเฉินขึ้นมา จะยังไงเขาก็ว่างมาก ถ้าไม่ให้ภารกิจเขามาทำสักหน่อย ไม่แน่ว่าคงจะก่อเรื่องในเมืองหลวงอะไรขึ้นมาอีกก็เป็นได้

มู่หรงอวี๋ตูนั่งอยู่หน้าโต๊ะหิน มองนาฬิกาข้อมือของตน ตั้งแต่ที่มู่หรงซินถูกเย่เทียนเฉินอุ้มเข้าไปในห้องยาฝั่งตรงข้าม ก็ผ่านไปหนึ่งชั่วโมงกว่าแล้ว แต่กลับไม่มีการเคลื่อนไหวอะไรเลยสักนิด ทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะเป็นกังวล หญ้าสยบกายาไร้หนทางแก้ไข นี่เป็นสิ่งที่จางอีเต๋อพูด แต่จางอีเต๋อเป็นเซียนแพทย์เทวะ ย่อมไม่พูดเท็จโดยเด็ดขาด แต่ที่มู่หรงอวี๋ตูเชื่อว่าหญ้าสยบกายามีหนทางแก้ ก็เพราะเขาไม่ต้องการให้หลานสาวของตัวเองตายไปจนทำให้เขาต้องสูญเสียเลือดเนื้อเชื้อไขคนสุดท้ายของตระกูลมู่หรง

สำหรับเย่เทียนเฉิน เขาทำให้มู่หรงอวี๋ตูต้องสั่นสะท้านจริงๆ เด็กหนุ่มที่อายุน้อยคนนี้ ถึงกับมีความกล้าหาญที่จะเผชิญหน้ากับนายพลที่ผ่านไฟแห่งสงครามและการฆ่าฟันมาแล้วเช่นเขา โดยที่หน้าไม่เปลี่ยนสีใจไม่เต้นแรง ไม่อาจดูเบาได้เลยจริงๆ แต่หากจะกล่าวว่าเย่เทียนเฉินจะสามารถกำจัดหญ้าสยบกายาได้ร้อยเปอร์เซ็นหรือไม่นั้น ในใจของมู่หรงอวี๋ตูก็ยังไม่แน่ใจ จะอย่างไรกระทั่งจางอีเต๋อซึ่งเป็นเซียนแพทย์เทวะก็พูดว่าหญ้าสยบกายาไม่มีทางรักษา

“หวังว่าหญ้าสยบกายาของซินเอ๋อร์จะรักษาได้!” มู่หรงอวี๋ตูมองไปยังห้องยาที่มีไอน้ำคละคลุ้งแล้วพูดพึมพำกับตัวเอง

“ท่านแม่ทัพวางใจเถอะ พิษสยบของคุณหนูจะต้องรักษาได้แน่ ถึงแม้ว่าเย่เทียนเฉินจะดูเรื่อยเฉื่อยพึ่งพาไม่ได้ แต่เรื่องนี้เขาไม่ล้อเล่นอย่างเด็ดขาด!” เฮยเมี่ยนเอ่ยปากพูดอย่างจริงจัง

ก่อนหน้านี้เฮยเมี่ยนรู้สึกไม่พอใจเย่เทียนเฉินจริงๆ และหลายครั้งที่เขาอยากจะลงมืออัดเย่เทียนเฉิน เพราะไอ้หมอนี่ไม่เพียงแต่จะโอหัง แต่ยังไม่มีกฎเกณฑ์และระเบียบวินัยอย่างร้ายแรง เมื่อได้รับคำสั่งที่ออกมาจากท่านผู้นำ ถึงกับยังพูดจาต่อรอง เกรงว่าทั่วทั้งประเทศจีนจะมีเย่เทียนเฉินคนเดียวที่กล้าทำแบบนี้

วันนั้นที่เย่เทียนเฉินพูดจาไม่ดีเกี่ยวกับขุนพลระดับทัพฟ้าเหล่านั้น ก็เพื่อต้องการที่จะกระตุ้นให้เฮยเมี่ยนลงมือ ต้องการประเมินความสามารถของขุนพลระดับทัพฟ้าคนนี้ นั่นทำให้เฮยเมี่ยนโกรธแค้นอยู่ในใจมาโดยตลอด หากจะพูดถึงนักสู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในประเทศจีน จะต้องมีระดับทัพฟ้าร่วมอยู่ด้วยแน่นอน ไม่ใช่อะไรที่สมาชิกแห่งกองกำลังเหยี่ยวนักล่าหรือหน่วยมังกรฟ้าธรรมดาจะเทียบได้ บางทีชางหลางและเหยียนหลงที่เป็นหนึ่งในสามราชันนักรบแห่งประเทศจีนก็อาจจะมีความสามารถในการต่อสู้เทียบได้กับขุนพลระดับทัพฟ้า ส่วนคนอื่นน่ะหรือ เกรงว่าจะถูกอัดอยู่ฝ่ายเดียวมากกว่า

แต่ครั้งนี้เฮยเมี่ยนนับถือเย่เทียนเฉินจริงๆ เจ้าหมอนี่อยู่ต่อหน้าทหารผ่านศึกที่ผ่านความเป็นความตายจากสนามรบอย่างมู่หรงอวี๋ตู ก็ยังสามารถนิ่งสงบอยู่ได้ ยิ่งไปกว่านั้นในช่วงเวลาสำคัญยังยืดอกก้าวออกมาช่วยกำจัดหญ้าสยบกายาให้มู่หรงซิน ถึงแม้เจ้าหมอนี่จะพูดอย่างสบายๆ บอกมู่หรงอวี๋ตูว่าจะต้องให้เธอแต่งงานให้กับเขา ให้มู่หรงอวี๋ตูเลี้ยงข้าวอะไรแบบนี้ แต่จิตใจอันกว้างขวางก็ทำให้เขานับถือจริงๆ

สาเหตุที่เย่เทียนเฉินเสี่ยงอันตรายเพื่อกำจัดหญ้าสยบกายาให้มู่หรงซิน ประการแรกก็เพราะเขาต้องการทำความเข้าใจกับเรื่องราวใหม่ๆ พูดให้ชัดเจนก็คือ มีความอยากรู้อยากเห็นสูง และด้วยนิสัยแบบนี้จึงทำให้เขาได้กลายเป็นผู้มีพลังพิเศษระดับพระเจ้าในช่วงยุคสิ้นโลกและสะเทือนเลื่อนลั่นอยู่ช่วงหนึ่ง ประการที่สองก็คือ หากไม่กำจัดหญ้าสยบกายาให้มู่หรงซิน มู่หรงอวี๋ตูจะต้องลงมือกับจางอีเต๋อแน่นอน ต่อให้จางอีเต๋อจะร้ายกาจขนาดไหน ก็คงไม่กล้าลงมือกับมู่หรงอวี๋ตูเพราะมีหลานสาวของเขาอยู่ ดังนั้น ต้องกำจัดหญ้าสยบกายาให้มู่หรงซินเท่านั้นถึงจะสามารถช่วยจางอีเต๋อและจางรั่วถงผู้เป็นหลานของเขาได้ และจะทำให้มีโอกาสขอให้จางอีเต๋อไปรักษาโรคมะเร็งให้แม่ของสาวยากจน

ไม่ว่าคุณจะเป็นวีรบุรุษกู้โลก ทหารผ่านศึก หรือคุณจะไร้คู่ต่อกรในใต้หล้า ก็หนีไม่พ้นอารมณ์และกิเลส มู่หรงอวี๋ตูอยู่ในสนามรบมาชั่วชีวิต เมื่อปีนั้นร่วมแย่งชิงแผ่นดินกับท่านผู้นำผู้ก่อตั้งประเทศ ไม่รู้ว่าผ่านสงครามน้อยใหญ่มามากแค่ไหน รอยมีดรอยปืนรอยกระสุนบนร่างกายนับไม่ถ้วน ยิ่งใหญ่กว่าเด็กหนุ่มสาวหลายคน เขาเป็นนายพลเฒ่าที่มีความเข้มงวดจริงจังมาก ต่อให้ตอนนี้ผู้นำระดับประเทศหลายคนมายืนอยู่เบื้องหน้าเขาก็ยังต้องแสดงความเคารพ นี่คือทหารผ่านศึกที่ใช้เลือดเนื้อสร้างผลงานอันยิ่งใหญ่ให้แก่ประชาชน ควรค่าที่จะให้ผู้คนเคารพนับถือและเลื่อมใส

แต่เมื่อต้องเผชิญหน้ากับพิษสยบของมู่หรงซินหลานสาวผู้น่ารัก เมื่อต้องเห็นหลานสาวหายใจรวยระริน ใบหน้าซีดขาว มู่หรงอวี๋ตูในตอนนี้ก็เป็นเพียงชายชราไม้ใกล้ฝั่งคนหนึ่ง เป็นชายชราที่รักใคร่หลานสาว และต้องการช่วยชีวิตหลานสาวของตนเองเท่านั้น

“งั้นเหรอ? งั้นใช้ชีวิตของมู่หรงอวี๋ตูมาแลกเปลี่ยนเป็นไง?” ทันใดนั้นเอง กลางลานบ้านของตระกูลจางมีเสียงมืดครึ้มเสียงหนึ่งดังขึ้น มียอดฝีมือทะลวงแนวป้องกันที่แข็งแกร่งเข้ามา หลบเลี่ยงจากทหารผู้แข็งแกร่งนับร้อยที่ล้อมรอบเอาไว้และลอบเข้ามาในร้านบ้านตระกูลจางได้ ต้องการที่จะมาเก็บชีวิตมู่หรงอวี๋ตู

พลั่ก!

ในขณะเดียวกันกับที่เสียงโหดเหี้ยมนั้นดังขึ้น เฮยเมี่ยนก็ได้ลงมือแล้ว เขาพุ่งตัวไปยังต้นไม้สูงเสียดฟ้าด้านข้างด้วยความรวดเร็ว ใช้เท้าซ้ายตวัดเตะไปบนต้นไม้เพื่อยืมแรงส่งให้ตัวเขากระโดดสูงขึ้นไปหลายเมตร ซัดหมัดไปยังใบไม้หนาแน่น คละเคล้าไปด้วยพลังภายในอันแข็งแกร่ง เมื่อต้องเผชิญหน้ากับผู้แข็งแกร่งที่สามารถหลบสายตาทหารนับร้อยและเข้ามาหลบซ่อนตัวอยู่บนต้นไม้ใหญ่อย่างไรซุ่มไร้เสียงได้ เฮยเมี่ยนจะกล้าลำพองใจได้อย่างไร ถ้าไม่ออกแรงเต็มกำลัง เกรงว่าวันนี้มู่หรงอวี๋ตูคงจะต้องตายอยู่ที่นี่แล้ว

ตู้ม!

เสียงดังสนั่น บนต้นไม้มีคนโจมตีกลับมา เขาพุ่งลงไปหาเฮยเมี่ยนโดยตรง เฮยเมี่ยนเห็นดังนั้นก็ส่งเสียงคำรามลั่น ซัดหมัดเข้าไปอีกครั้ง หมัดทั้งสองประทะกันอย่างรุนแรง เฮยเมี่ยนกระเด็นตกลงมาที่พื้น กลิ้งไปหลายรอบถึงจะลดแรงปะทะลงไปได้ ส่วนคนที่ประหมัดกับเฮยเมี่ยนก็กระเด็นขึ้นไปในอากาศ ในขณะเดียวกันก็ใช้เท้าถีบลงบนต้นไม้ใหญ่ พุ่งตัวเข้าไปหวังฆ่ามู่หรงอวี๋ตูโดยไม่สนใจเฮยเมี่ยน

ฉัวะๆๆ!

มีดบินสามเล่มพุงไปยังมู่หรงอวี๋ตูอย่างรวดเร็วปานสายฟ้า เฮยเมี่ยนตกตะลึงจนหน้าถอดสี ผู้มาเยือนเป็นยอดฝีมือชั้นหนึ่งดังคาด เมื่อครู่นี้ตนเองลงมือเต็มที่แล้วก็ยังไม่สามารถเอาชนะคนผู้นั้นได้ และจุดประสงค์ของศัตรูก็ชัดเจนเป็นอย่างมาก นั่นก็คือต้องการฆ่ามู่หรงอวี๋ตู นับว่าเป็นวิธีการที่ดีมาก

ความจริงแล้วอาวุธที่ทำให้ผู้คนหวาดกลัวมากที่สุดในการลอบสังหารไม่ใช่อาวุธสมัยใหม่ แต่เป็นอาวุธโบราณ เพราะคนที่ใช้อาวุธโบราณมักจะเป็นยอดฝีมือแห่งพรรควรยุทธโบราณ ฝีมือของพวกเขาไม่อาจดูเบาได้โดยเด็ดขาด กระทั่งยากที่จะป้องกัน

เคร้งๆๆ!

เสียงดังขึ้นอีกสามเสียง เฮยเมี่ยนแสดงความสามารถของยอดฝีมือระดับทัพฟ้าออกมาด้วยความรวดเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ ในตอนที่บินทั้งสามเล่มใกล้จะถูกมู่หรงอวี๋ตู ในมือขวาของเขาก็ปรากฏมีดทหารขึ้นเล่มหนึ่ง สกัดกั้นมีดบินทั้งสามเล่มนั้นเอาไว้ได้ทั้งหมด

ตอนนี้เอง นักฆ่าที่สวมชุดสีดำ สวมผ้าปิดหน้าสีดำ ปรากฏให้เห็นเพียงดวงตาทั้งสองข้าง ยืนอยู่ในตำแหน่งที่ห่างจากเฮยเมี่ยนและมู่หรงอวี๋ตูไม่ถึงห้าเมตร สายตาโหดเหี้ยมดุดันคู่หนึ่งมองไปยังเฮยเมี่ยนเขม็ง เชื่อว่าเขาก็คงคิดไม่ถึงว่าครั้งนี้ข้างกายของมู่หรงอวี๋ตูจะมียอดฝีมือที่แข็งแกร่งคุ้มครองอยู่

มู่หรงอวี๋ตูลุกขึ้นยืนจากเก้าอี้หิน เขาเป็นทหารผ่านศึกคนหนึ่ง ผ่านการต่อสู้เป็นตายมานับครั้งไม่ถ้วน ไม่ว่าจะเป็นสนามรบเล็กใหญ่ต่างก็เคยเห็นผ่านตามามาก เมื่อต้องเจอกับการลอบสังหารตนเอง มู่หรงอวี๋ตูก็แสดงความสงบนิ่งมั่นคงของทหารผ่านศึกออกมา ทำให้ผู้คนรู้สึกนับถือ ไม่มีความหวาดกลัวเลยแม้แต่น้อย ต่อให้ศัตรูที่มาลอบสังหารเขาจะเป็นยอดฝีมือก็ตาม

“ใครส่งแกมาฆ่าฉัน เกี่ยวข้องกับพิษสยบในร่างกายของหลานสาวฉันหรือเปล่า?” มู่หรงอวี๋ตูคิดถึงเรื่องบางอย่างขึ้นมาได้ เขาต้องการที่จะพิสูจน์ความจริงจึงได้เอ่ยปากถาม

“ไม่จำเป็นต้องถามให้มาก หลังจากวันนี้แกก็จะถูกฆ่าล้างตระกูล ไม่เพียงแต่หลานสาวของแท้ที่จะต้องตาย แกเองก็ต้องตายเหมือนกัน!” มือสังหารคนนั้นพูดอย่างเย็นชา

“ฆ่ามันซะ เฮยเมี่ยน!” มู่หรงอวี๋ตูออกคำสั่งอย่างเรียบเฉย

เฮยเมี่ยนพยักหน้า ตวัดมีดทหารในมือขวาออกไปในแนวขวาง พุ่งตัวไปยังมือสังหารคนนั้นอย่างรวดเร็วดุจสายฟ้า มือสังหารคนนั้นเองก็แข็งแกร่งเป็นอย่างมาก เมื่อต้องเจอกับการลงมือเต็มที่ของเฮยเมี่ยน ก็ไม่ยอมถอยเลยแม้แต่น้อย ปรากฏมีดเล็กๆ ออกมาในมือขวาและพุ่งเข้าไปหาเฮยเมี่ยนเช่นเดียวกัน

เคร้ง!

เคร้ง!

เคร้ง!

เฮยเมี่ยนและนักฆ่าต่อสู้พัวพัน ทั้งสองต่างก็ต้องตื่นตะลึงเป็นอย่างมาก ฝีมือพอๆ กัน หากต้องการฆ่าอีกฝ่ายอย่างเร็วที่สุด ดูเหมือนจะเป็นไปไม่ได้ นี่เป็นการต่อสู้ยืดเยื้อ

ตู้ม!

ในตอนที่เฮยเมี่ยนพุ่งเข้าไปหานักฆ่าคนนั้นและกำลังต่อสู้อย่างสุดชีวิต เสียงดังสนั่นเสียงหนึ่งดังขึ้น ประตูไม้ของบ้านตระกูลจางถูกระเบิด ทหารผู้แข็งแกร่งหลายคนล้มลงไปบนพื้นด้วยร่างกายโชกเลือด ตายไปแล้ว!

มู่หรงอวี๋ตูขมวดคิ้ว เขาคิดไม่ถึงว่าครั้งนี้อีกฝ่ายจะเคลื่อนไหวอำนาจอิทธิพลที่แข็งแกร่งถึงขนาดนี้เพียงเพื่อที่จะฆ่าเขาให้ได้ ท่าทางหากเขาไม่ตายก็คงไม่ยอมหยุด แต่ตอนนี้มู่หรงอวี๋ตูไม่ได้สนใจความเป็นความตายของตัวเอง มองไปยังห้องยา เขาหวังว่ามู่หรงซินหลานสาวของเขาจะประสบความสำเร็จในการถอนพิษสยบ ถ้าเป็นแบบนั้นเขาก็ไม่มีอะไรต้องเสียใจแล้ว!

………………..

จะอย่างไรเย่เทียนเฉินก็คิดไม่ถึงว่า หากต้องการรักษาพิษสยบให้มู่หรงซิน ไม่เพียงแต่จะต้องให้มู่หรงซินถอดเสื้อผ้าจนหมด นั่งลงในถังไม้ที่เติมน้ำร้อนจนเต็มด้วยร่างกายเปลือยเปล่า ยังต้องให้เขาถอดเสื้อผ้าทั้งหมดและนั่งลงไปด้วย ทั้งสองต้องนั่งหันหน้าเข้าหากันโดยไม่มีอะไรขวางกั้น มิอาจจินตนาการได้เลยจริงๆ ว่าเหตุการณ์นี้จะทำให้ผู้คนต้องเลือดกำเดาไหลขนาดไหน

ถึงแม้ว่ามู่หรงซินจะถูกหญ้าสยบกายา ใบหน้าขาวซีด และเป็นเพราะเย่เทียนเฉินใช้ฝ่ามือกระแทกเข้าไปจนมีรอยเลือดที่มุมปาก ก็ยังคงไม่สามารถบดบังใบหน้าที่โดดเด่นของเธอได้เลยแม้แต่น้อย รูปร่างสะบึมมีเสน่ห์ สิ่งที่ควรนูนก็นูน สิ่งที่ควรเว้าก็เว้า สิ่งที่ควรงอนก็งอน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเด็กสาววัยสิบกว่าๆ ที่อยู่ในช่วงเบ่งบานเช่นนี้ ร่างกายแบบบางจนแทบจะปลิวลม ผิวขาวนวลลื่น ควรจะทำให้คนมากน้อยเท่าไหร่อดไม่ได้ที่จะจินตนาการเลยเถิด

ถ้าหากว่าให้ตนเองถอดเสื้อผ้าจนหมดจริงๆ แล้วลงไปนั่งสบตากับเธอในถังไม้ที่ดูใหญ่แต่ค่อนข้างคับแคบ เย่เทียนเฉินไม่กล้ารับประกันว่าตนจะไม่มองไปจุดอื่น ไม่กล้ารับประกันว่าตัวเองจะไม่เลือดกำเดาไหล ไม่กล้ารับประกันว่าตัวเองจะไม่แข็งขืนขึ้นมา ไม่กล้ารับประกันว่าจะไม่สอดใส่…

“ปรมาจารย์จาง ผมไม่เข้าใจจริงๆ ผมรู้แค่ว่าหากต้องการที่จะกำจัดหญ้าสยบกายา จำเป็นที่จะต้องใช้การเสียสละของคนคนหนึ่ง แต่คิดไม่ถึงว่าจะต้องเสียสละแบบนี้…” เย่เทียนเฉินพูดออกมาด้วยใบหน้าแทบจะร้องไห้อยู่รอมร่อ

ความจริงแล้ว สิ่งที่เย่เทียนเฉินรู้เกี่ยวกับหญ้าสยบกายานั้น เพียงแค่รู้มาอย่างชัดเจนว่าหญ้าสยบกายา ไม่ใช่ไม่มีทางรักษา มีวิธีที่สามารถรักษาได้ หากต้องการที่จะกำจัดหญ้าสยบกายา จะต้องให้คนคนหนึ่งใช้ชีวิตเข้าแลก เพื่อรักษาพิษสยบให้อีกคนหนึ่ง พูดให้ชัดเจนก็คือ จะต้องใช้วิธีการหนึ่งเพื่อดึงดูดหญ้าสยบกายาเข้ามาในร่างกายของตัวเอง ทำให้ตัวเองถูกพิษ เพื่อรักษาพิษของอีกฝ่าย

เพียงแต่สิ่งที่เย่เทียนเฉินไม่รู้ก็คือ วิธีนี้จะถึงกับต้องให้เขาและมู่หรงซินนั่งเผชิญหน้ากันด้วยเรือนร่างเปลือยเปล่า จากที่จางอีเต๋อพูด ยังต้องประกบปากกันอีกด้วย นี่…ถึงแม้มู่หรงซินจะสวยมาก และเจริญเติบโตมาค่อนข้างครบครัน แต่ในสถานการณ์เช่นนี้จะอย่างไรก็ทำให้รู้สึกกระอักกระอ่วน ยิ่งไปกว่านั้นเย่เทียนเฉินและมู่หรงซินไม่รู้จักกัน หากในเวลาสำคัญควบคุมไม่ได้และเกิดอาการแข็งขืนตั้งผงาดขึ้นมาในชั่วพริบตา นั่นก็นับว่าเป็นความผิดใหญ่หลวงจริงๆ

“หญ้าสยบกายาชักนำให้เกิดหยินและความเย็น หากต้องการดึงมันออกมานอกร่างกาย จำเป็นต้องอยู่ในถังไม้ใหญ่ที่เติมน้ำร้อนจนเต็มแบบนี้ ให้หญ้าสยบกายาได้รู้สึกถึงอุณหภูมิจากภายนอกและคุ้นชินกับมัน และจะทำให้มันรับรู้ได้ถึงร่างกายที่เหมาะสมยิ่งกว่าที่อยู่ด้านนอก จึงจะยอมออกมาเพื่อเข้าไปในร่างกายของคุณ หยินก่อเกิดความเย็น หยางก่อให้เกิดความแข็งแกร่ง ทุกสรรพสิ่งต่างก็ส่งเสริมซึ่งกันและกัน คุณเป็นผู้มีพลังพิเศษ ควรจะเข้าใจในจุดนี้ จำเป็นต้องทำแบบนี้เท่านั้นถึงจะสามารถแก้พิษสยบให้มู่หรงซินได้!” จางอีเต๋อมองไปยังเย่เทียนเฉินแล้วพูดขึ้นอย่างจริงจัง

“งั้น…งั้นผมเหลือกางเกงในไว้ตัวหนึ่งได้ไหมครับ ถ้าต้องเปลือยกายจริงๆ มันกระอักกระอ่วน…” เย่เทียนเฉินพูดแล้วหัวเราะฮี่ๆ

“ไม่ได้!” จางอีเต๋อพูดอย่างเด็ดขาด

“คุณ…” เย่เทียนเฉินชะงักไปครู่หนึ่ง พูดอะไรไม่ออก

“รู้ไหมว่าทำไมเมื่อครู่นี้ผมถึงได้ให้มู่หรงอวี๋ตูส่งลูกน้องไปคุ้มครองบริเวณรอบบ้าน 100 เมตร ไม่อนุญาตให้ใครส่งเสียงรบกวน ต่อให้เป็นแค่เสียงหมาเห่าก็ไม่ได้? เป็นเพราะหญ้าสยบกายาแปลกประหลาดมาก แม้จะบอกว่าเป็นหญ้าแต่ก็เป็นแมลง เป็นแมลงดูดเลือดประเภทหนึ่ง ไม่ต่างอะไรกับหญ้าปรสิต ขอเพียงมีเสียงเล็กน้อย หญ้าสยบกายาก็จะเจาะไปอาศัยอยู่ในร่างกายลึกขึ้น กระทั่งเจาะเข้าไปในอวัยวะภายใน ถ้าเป็นแบบนั้นก็ยุ่งยากมากแล้ว!” จางอีเต๋อมองไปยังเย่เทียนเฉินแล้วพูดขึ้น

หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง จางอีเต๋อและจางรั่วถงสองปู่หลานก็เดินไปหลังผ้าผืนใหญ่ เป็นผ้าที่ไม่สามารถมองทะลุได้ จางอีเต๋อเป็นเซียนแพทย์เทวะ ย่อมมีจรรยาบรรณแพทย์ จะไม่คิดอกุศลอะไรกับผู้ป่วยเด็ดขาด ส่วนจางรั่วถงหลานสาวของเขาก็เป็นผู้หญิงคนหนึ่ง คงไม่สามารถยืนอยู่หน้าถังไม้ มองเย่เทียนเฉินที่ร่างกายเปลือยเปล่ากอดจูบมู่หรงซินได้หรอกใช่ไหม?

“เตรียมตัวพร้อมแล้วก็บอกผมสักหน่อย!” จางอีเต๋อนั่งลงหลังผ้าม่านพูดออกมาเสียงเบา

 ตอนนี้เอง เย่เทียนเฉินค่อยๆ ถอดเสื้อผ้าทั้งหมดของตนเองออก จุดบุหรี่ขึ้นสูบ ภายในห้องยาที่ไม่ใหญ่อบอ้าวเพราะไอน้ำจากน้ำร้อนในถังไม้ใหญ่ เมื่อรวมเข้ากับเย่เทียนเฉินที่สูบบุหรี่ ทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างค่อยๆ ถูกหมอกควันปิดบังเอาไว้

เย่เทียนเฉินเข้าไปนั่งในถังไม้ด้วยร่างกายเปลือยเปล่า มองมู่หรงซินที่นั่งอยู่ในน้ำตรงกันข้ามกับตนเองด้วยลมหายใจรวยระริน ใบหน้าขาวซีด เขาไม่ยืดเยื้อเวลาออกไปอีก หากมัวแต่ลังเลต่อไป เกรงว่ายังไม่ทันเริ่มแก้พิษให้มู่หรงซิน มู่หรงซินก็คงลมหายใจขาดห้วงไปแล้ว

เย่เทียนเฉินหลับตาลง กอดมู่หรงซินที่เปลือยกายเอาไว้ ผิวของทั้งสองคนแนบสนิทเข้าด้วยกัน หน้าอกชนหน้าอก เย่เทียนเฉินรับรู้ได้ถึงความอ่อนนุ่มและเต็มตึงของมู่หรงซิน รวมถึงผิวเรียบเนียนขาวบางของเธอ แต่เขาในตอนนี้ไม่มีเวลาที่จะชื่นชมสิ่งเหล่านี้ ริมฝีปากประทบลงไปยังปากเล็กๆ ของมู่หรงซิน ในขณะเดียวกันบุหรี่ในมือขวาก็ถูกดีดออกไปด้านนอกถังไม้ ทำให้เทียนเก้าเล่มบนกำแพงที่จัดเตรียมเอาไว้นานแล้วติดไฟ

จางอีเต๋อนั่งอยู่หลังผ้าม่านผืนใหญ่ ข้างกายมีจางรั่วถงยืนอยู่ เมื่อเห็นเทียนทั้งเก้าเล่มถูกจุดแล้ว จางอีเต๋อก็เปิดกล่องสีทองเบื้องหน้าของตัวเองในทันที ด้านในมีเข็มทองทั้งหมดสิบสองเข็ม ใช้ฝังเข็มเพื่อเปิดจุดลมปราณให้เย่เทียนเฉินไปหกเล่ม ตอนนี้ยังเหลืออีกหกเล่ม เหลือไว้เพื่อใช้บีบบังคับให้หญ้าสยบกายาในร่างกายของมู่หรงซินออกมา

ในฐานะที่เป็นผู้มีพลังพิเศษในสายรักษา เคยทำการยืดชีวิตท่านผู้นำของประเทศไป 20 ปีจนได้รับฉายาว่าเป็นเซียนแพทย์เทวะ แน่นอนว่าไม่ทำให้ฉายาต้องเสียเปล่า เมื่อเห็นว่าเทียนทั้งเก้าเล่มทุกจุดหมดแล้ว พลังพิเศษแห่งการรับรู้ก็ขยายออกไปอย่างรวดเร็ว สะบัดเข็มทองที่เหลืออีกหกเล่มนี้ออกไปผ่านพลังพิเศษแห่งการรับรู้อันแข็งแกร่งซึ่งถูกกั้นขวางด้วยผ้าม่านที่ไม่อาจมองเห็นได้ จนเข็มปักเข้าไปในตำแหน่งลมปราณของมู่หรงซิน เป็นแรงช่วยบังคับให้หญ้าสยบกายาในร่างกายของเธอออกมา

“สิ่งที่ผมควรจะทำก็ทำเสร็จแล้ว ที่เหลือก็ต้องพึ่งตัวคุณเองแล้ว!” จางอีเต๋อพูดกับเย่เทียนเฉินผ่านทางพลังพิเศษ

เย่เทียนเฉินในตอนนี้มีสมาธิจดจ่อ นี่ไม่ใช่การล้อเล่น หญ้าสยบกายาเอาแต่ใจเป็นอย่างมากจนได้รับการขนานนามว่าไร้ทางแก้ นี่ก็เพียงพอที่จะแสดงให้เห็นถึงความร้ายกาจของมันแล้ว ไม่ต้องพูดถึงในโลกนี้เลย ต่อให้เป็นช่วงยุคสิ้นโลกที่มีผู้แข็งแกร่งดุจเมฆบนท้องฟ้า หากถูกหญ้าสยบกายาเข้าไป ก็ไม่สามารถกำจัดได้อย่างง่ายดายถึงขนาดนั้น ตอนนี้จะสามารถกำจัดหญ้าสยบกายาให้มู่หรงซินและทำให้เธอมีชีวิตต่อไปได้หรือไม่ ทั้งหมดต่างต้องพึ่งเย่เทียนเฉิน

มู่หรงซินในตอนนี้ ค่อยๆ ฟื้นขึ้นมาจากสภาพกึ่งตายเพราะถูกเข็มทองทั้งหกเล่มของจางอีเต๋อปักลงบนร่างกาย ในตอนที่เธอเห็นเย่เทียนเฉินที่เปลือยเปล่าอยู่ตรงข้าม เธอพลันตื่นตะลึงไปทั้งร่าง และในตอนที่พบว่าตนเองก็ไม่ได้สวมใส่เสื้อผ้าเลยแม้แต่ชิ้นเดียว ปากเล็กๆ ก็เกือบจะกรีดร้องออกมา แต่กลับถูกเย่เทียนเฉินปิดปากเอาไว้แน่น

“อื้อๆ …” มู่หรงซินคิดจะพูดอะไรบางอย่าง แต่กลับถูกปากของเย่เทียนเฉินประกบปิดปากอันเซ็กซี่ของเธอเอาไว้ คิดจะสลัดออกไปแต่ก็ถูกเย่เทียนเฉินกอดร่างกายเปลือยเปล่าเอาไว้แน่น ทำได้เพียงส่งเสียงอู้อี้

ผ่านไปครู่หนึ่ง เมื่อเย่เทียนเฉินเห็นว่าการต่อต้านของมู่หรงซินไม่ได้รุนแรงขนาดนั้นอีกต่อไปแล้ว จึงมองตาของเธอ ใช้สายตาบอกเธอว่าอย่าได้ต่อต้านและขัดขืน

ในตอนที่เย่เทียนเฉินเลื่อนปากของตนออก คลายมือทั้งสองที่โอบกอดร่างกายของมู่หรงซินลงเล็กน้อย มู่หรงซินหน้าแดงก่ำ จนกระทั่งแดงไปทั้งตัว มือทั้งสองกอดหน้าอกของตนเอาไว้ แต่ไม่สามารถปิดบังความเอิบอิ่มเต่งตึงเอาไว้ได้

“หากต้องการที่จะกำจัดหญ้าสยบกายา จำเป็นต้องทำแบบนี้ ต่อไปเธออย่าถามอะไรอีก อย่าได้คิดอะไรอีก ให้ฉันทำเองก็พอแล้ว!” เย่เทียนเฉินมองตามู่หรงซินแล้วพูดอย่างจริงใจ ให้เธอเชื่อมั่นในตัวเขา เพื่อที่จะทำให้หญ้าสยบกายาถูกบีบบังคับออกมาให้เร็วที่สุด

“อืม…” มู่หรงซินตอบรับเสียงเบาพลางพยักหน้าอย่างเขินอาย ไม่กล้าสบตาเย่เทียนเฉิน

เย่เทียนเฉินก็ไม่ได้ยืดเยื้อออกไป โอบกอดมู่หรงซินที่ร่างกายเปลือยเปล่าเอาไว้ ริมฝีปากทั้งสองประกบเข้าด้วยกัน สภาพอันคลุมเครือเช่นนี้ สภาพที่ต้องทำให้เขาเห่อร้อนคับพองแบบนี้ เย่เทียนเฉินกลัวจริงๆ ว่าตัวเองจะอดไม่ได้ที่จะเข้าไปในร่างกายของมู่หรงซิน สิ่งที่ทำให้เขาคิดไม่ถึงก็คือ ในตอนที่เขาจูบมู่หรงซินอีกครั้ง ลิ้นร้อนของมู่หรงซินจะดุนดันอยู่ในปากของเขา ในเวลาแบบนี้ ไม่ว่าผู้ชายคนไหนก็ต้องมีปฏิกิริยา เย่เทียนเฉินเองก็ย่อมตอบสนองเด็กสาวมู่หรงซินคนนี้เป็นธรรมดา

จางอีเต๋อรับรู้ได้ถึงทุกสิ่งทุกอย่าง แต่ไม่พูดอะไรออกมา ทำเพียงเดินออกไปจากประตูเล็กๆ ด้านข้าง จางรั่วถงก็ตามหลังคุณปู่ของเธอไป ดูเหมือนว่าจะมีความกังวลใจ

“คุณปู่คะ เขาจะตายไหมคะ?” จางรั่วถงอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม

“โอกาสรอดน้อยมาก!” จางอีเต๋อตอบแล้วส่ายหน้า

“คุณปู่คะ เขาเป็นคนดี คิดหาวิธีช่วยเขาได้ไหมคะ?” จางรั่วถงเป็นห่วงเย่เทียนเฉิน ตอนนั้นที่อยู่ตรงประตูใหญ่ของบ้านจาง จางรั่วถงเป็นห่วงคุณปู่มาก เป็นห่วงความปลอดภัยของคุณปู่ และตกใจมากจริงๆ อีกทั้งยังไม่สามารถเข้าไปได้ หากไม่ใช่เพราะคำพูดของเย่เทียนเฉิน เธอก็ไม่รู้ว่าจะร้อนใจมากขนาดไหน

“พิษนี้ไม่มีทางแก้ไข เดิมทีก็ต้องใช้ชีวิตของคนคนหนึ่งเพื่อแลกชีวิตกับอีกคน นี่เป็นสาเหตุที่ทำไมปู่ถึงไม่ตอบรับคำขอของมู่หรงอวี๋ตูที่ต้องการให้ช่วยหลานสาวของเขา แต่คนคนนี้ถึงแม้จะดูเรื่อยเฉื่อย แต่ก็มีหลักการเป็นของตัวเอง มีคุณธรรมน้ำใจยิ่งใหญ่ ตอนนี้ปู่ทำได้เพียงหวังว่า พลังพิเศษของเขาลึกล้ำเกินอย่าง เขาจะสามารถอาศัยพลังพิเศษของตัวเองกำจัดหญ้าสยบกายาได้!” จางอีเต๋อพูดแล้วทอดถอนใจ

ความจริงแล้ว เย่เทียนเฉินรับรู้ได้ว่าจางอีเต๋อเป็นยอดฝีมือผู้มีพลังพิเศษคนหนึ่ง ส่วนจางอีเต๋อเองก็มองออกว่าเด็กหนุ่มที่ปรากฏตัวเบื้องหน้าเขาแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก แข็งแกร่งถึงขั้นที่ลึกล้ำไม่อาจคาดเดา หญ้าสยบกายาร้ายกาจมาก หากต้องการที่จะกำจัดมัน ดูเหมือนว่าแทบจะเป็นไปไม่ได้ แต่ที่จางอีเต๋อไม่ได้พูดออกไปก็เพราะเขาไม่เชื่อว่าเย่เทียนเฉินจะตาย เขารู้สึกชื่นชมความเสียสละตนเองเพื่อผู้อื่นของเด็กหนุ่มคนนี้

“แต่ว่าคุณปู่…” จางรั่วถงยังคิดจะพูดอะไรบางอย่าง แต่กลับถูกปู่ของเธอขัดก่อน

“ไปเถอะ ไปดูที่ลานสักหน่อย ตอนนี้คนที่สามารถช่วยเย่เทียนเฉินได้ก็มีแต่ตัวเขาเอง สิ่งเดียวที่พวกเราจะสามารถทำเพื่อเขาได้ ก็คือรักษาความสงบรอบด้านเอาไว้ เพียงแต่น่าเสียดายที่มีนักฆ่าระดับสูงมาลอบสังหารมู่หรงอวี๋ตูแล้ว!” ในดวงตาของหมอจางเจือไปด้วยไอสังหาร เมื่อพูดจบก็เดินมุ่งหน้าไปกลางลาน!

…………………………

“งั้นก็ดี คำไหนคำนั้น ผมจะร่วมมือกับคุณเพื่อรักษาพิษสยบให้มู่หรงซิน คุณก็ช่วยผมรักษาคนคนหนึ่ง และนับว่าได้ตอบแทนที่ผมช่วยชีวิตของพวกคุณสองปู่หลาน ไม่ติดค้างกัน!” เย่เทียนเฉินมองไปยังจางอีเต๋อแล้วพูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม

“ได้ ไม่ติดค้างกัน ถ้างั้นผมก็จะตอบรับคุณ ถ้าหากว่าคุณตาย ผมก็ยังจะช่วยผู้ป่วยที่คุณพูดถึงคนนั้นด้วย!” จางอีเต๋อพยักหน้าแล้วพูดด้วยรอยยิ้ม

“ดี!”

ครึ่งชั่วโมงต่อมา จางรั่วถงเดินออกมาจากห้องยา มองไปยังเย่เทียนเฉินแวบหนึ่ง แล้วจึงหันไปพูดกับจางอีเต๋อ “คุณปู่ เตรียมทุกอย่างเรียบร้อยแล้วค่ะ!”

จางอีเต๋อพยักหน้า จากนั้นจึงลุกขึ้นยืน มองไปยังมู่หรงอวี๋ตูแล้วพูดว่า “ตอนนี้ผมต้องการให้ทหารของคุณไปทำเรื่องเรื่องหนึ่ง!”

“เชิญกล่าวมาเถอะ!” มู่หรงอวี๋ตูรู้ว่านี่เป็นช่วงเวลาสำคัญ เขาจึงเคร่งขรึมจริงจังขึ้นมา

ในตอนแรกเริ่มนั้น มู่หรงอวี๋ตูไม่ค่อยเชื่อใจเย่เทียนเฉินมากนัก ตอนที่เย่เทียนเฉินใช้ฝ่ามือตบมู่หรงซินหลานสาวของเขาไปครั้งหนึ่งจนทำให้เธอกระอักเลือดออกมา เขาก็มีความคิดที่จะลั่นไกฆ่าเย่เทียนเฉินแล้ว แต่สุดท้ายมู่หรงอวี๋ตูก็อดทนเอาไว้ เพราะความจริงแล้วเขาก็ไม่มีหนทางอื่นที่จะรักษาพิษสยบให้หลานสาวของเขาได้ ด้วยความสามารถของมู่หรงอวี๋ตู แพทย์เฉพาะทางที่มีชื่อเสียงโด่งดังที่สุดภายในประเทศได้มาตรวจวินิจฉัยให้มู่หรงซินก่อนหน้านี้นานแล้ว ยาที่ดีที่สุดก็ใช้ไปแล้ว แต่ยังไม่มีทางรักษาพิษสยบของมู่หรงซินได้

ในตอนที่อับจนหนทาง มู่หรงอวี๋ตูก็คิดถึงข่าวลือเมื่อปีนั้น ว่ากันว่ามีหมอเทวดาคนหนึ่งสามารถยืดชีวิตให้ท่านผู้นำได้ 20 ปี ต่อให้ในสายตาของใครหลายคน นี่จะเป็นเพียงแค่ข่าวลือ เป็นแค่ข่าวลือที่ไม่กล้าเชื่อและไม่อาจเชื่อ แต่มู่หรงอวี๋ตูก็มีเพียงตัวเลือกเดียว จึงเคลื่อนไหวอำนาจอิทธิพลทั้งหมดของตระกูลมู่หรงของตน ตามหามาหลายปี ในที่สุดก็หาสถานที่ที่จางอีเต๋อซ่อนตัวอยู่พบ จึงรีบพามู่หรงซินหลานสาวของตนมา ไม่ว่าจะอย่างไรเขาก็จะต้องช่วยหลานสาวของตนให้ได้

ตอนนี้ เมื่อได้เห็นเย่เทียนเฉินวางหมากกับจางอีเต๋ออย่างใจเย็น การวางหมากแต่ละตาก็ทำให้ผู้คนต้องทอดถอนใจอย่างตื่นตะลึง อดไม่ได้ที่จะทำให้มู่หรงอวี๋ตูเปลี่ยนมุมมองที่มีต่อเย่เทียนเฉิน คนหนุ่มคนนี้นำพาความประหลาดใจมาให้ทหารที่ผ่านศึกมาอย่างโชกโชนแบบเขามากมายเหลือเกิน และเกรงว่าคงจะไม่ได้จำกัดอยู่เพียงเท่านี้

“ให้ลูกน้องของคุณ ล้อมบ้านตระกูลจางของผมเอาไว้ในขอบเขต 100 เมตร ไม่ว่าจะอย่างไรก็อย่าให้ใครเข้ามารบกวนพวกเราได้ ถ้าหากเกิดความผิดพลาดอะไรขึ้น กระทั่งเทวดาก็ช่วยหลานสาวของคุณไม่ได้แล้ว!” จางอีเต๋อมองไปยังมู่หรงอวี๋ตูแล้วพูดขึ้น

“ได้ เฮยเมี่ยน รีบไปสั่งผู้ใต้บังคับบัญชาให้ทำตามคำพูดของปรมาจารย์จาง!” มู่หรงอวี๋ตูสั่ง

“ขอรับ!” เฮยเมี่ยนหมุนตัวออกไปกระจายคำสั่ง

เย่เทียนเฉินมองไปยังมู่หรงซินที่นั่งอยู่บนเก้าอี้รถเข็นแบบพิเศษ เดินไปเบื้องหน้าเธอ แล้วอุ้มมู่หรงซินขึ้นมา จากนั้นจึงพูดกับมู่หรงอวี๋ตูว่า “ไม่ว่าจะได้ยินเสียงอะไร หรือเห็นอะไร ก็ไม่อนุญาตให้ใครเข้ามาเด็ดขาด ถ้ารักษาพิษให้หลานสาวของคุณเสร็จแล้ว พวกเราจะส่งเธอออกมาเอง!”

“อืม!” มู่หรงอวี๋ตูพยักหน้า

จางอีเต๋อและเย่เทียนเฉินที่อุ้มมู่หรงซินเดินเข้าไปในห้องยาด้วยกัน มู่หรงอวี๋ตูทำได้เพียงนั่งลง เขาในตอนนี้รู้สึกว่าตนเองแก่ชราลงไปมาก เพื่อที่จะแก้พิษสยบให้มู่หรงซินผู้เป็นหลาน เขาจึงเป็นห่วงเป็นกังวลมาก ในฐานะที่เป็นชายชราที่เป็นไม้ใกล้ฝั่ง เป็นทหารผ่านศึกที่ผ่านสงครามมานานหลายปี เขายอมรับการตายของบุตรชายทั้งสี่ได้ แต่ไม่สามารถเห็นเลือดเนื้อคนสุดท้ายที่เหลืออยู่ของตระกูลมู่หรงเสียชีวิตไปได้

เย่เทียนเฉินอุ้มมู่หรงซินเข้าไปในห้องยา จางอีเต๋อเดินตามไปด้านหลัง และยังมีจางรั่วถงที่เดินเข้าไปด้วยกัน เมื่อเห็นท่าทางเป็นกังวลของจางรั่วถงและจางอีเต๋อ เย่เทียนเฉินก็อดไม่ได้ที่จะยิ้ม แล้วพูดหยอกล้อขึ้นมาว่า

“ในห้องยานี้ร้อนมากจริงๆ ถอดเสื้อผ้าออกดีไหม?”

“ในช่วงเวลาเป็นตายคุณยังจะสบายอารมณ์ได้อีก ดูเบาไม่ได้เลยจริงๆ!” จางอีเต๋อเดินไปด้านข้าง หยิบกล่องสีทองออกมาแล้วเปิดออก ด้านในเต็มไปด้วยเข็มทองเปล่งประกาย ทั้งหมดล้วนทำมาจากทองแท้

ในตอนที่เห็นจางอีเต๋อเปิดกล่องสีเหลืองแล้วพบว่าด้านในมีเข็มทองที่ทำจากทองบริสุทธิ์นั้น เย่เทียนเฉินก็อดไม่ได้ที่จะตกตะลึง เข็มทองนี้ไม่ว่าจะเป็นด้านมูลค่าหรือด้านฝีมือ ด้วยเทคโนโลยีในปัจจุบันไม่สามารถทำออกมาได้อย่างแน่นอน ก็เหมือนกับเสื้อผ้าที่ปักเย็บจากด้ายทองคำ องค์ความรู้ของคนโบราณ บางครั้งก็วิจิตรพิสดารจริงๆ ทำให้คนรุ่นหลังรู้สึกว่าฝีมือห่างไกลกันมาก

“ฝังเข็มที่จุดลมปราณด้วยเข็มทอง คุณจะใช้วิธีนี้เหรอครับ?” เย่เทียนเฉินมองจางอีเต๋อแล้วถามขึ้น

“คุณรู้จักเรื่องเหล่านี้ได้ยังไง? ด้วยอายุของคุณ ต้องไม่รู้เรื่องโบราณเก่าแก่อะไรถึงจะถูก!” จางอีเต๋อมองไปยังเย่เทียนเฉินแล้วถามด้วยความสงสัย

ความจริงแล้ว ในตอนที่จางอีเต๋อเห็นเย่เทียนเฉิน ในใจก็เกิดความสงสัยและความตื่นตระหนกเป็นอย่างมาก เขาเป็นผู้มีพลังพิเศษ เป็นผู้มีพลังพิเศษที่มีความสามารถทางการรักษาอันแข็งแกร่งคนหนึ่ง ปิดซ่อนตัวตนจากโลกมาหลายปี และไม่คิดอยากจะไปข้องเกี่ยวกับการชิงดีชิงเด่นอีก ยิ่งไปกว่านั้นในโลกแห่งนี้ ผู้คนรู้จักและเข้าใจผู้มีพลังพิเศษน้อยมาก แต่เมื่อเห็นเย่เทียนเฉิน ถึงแม้เขาจะซ่อนกลิ่นอายพลังพิเศษอันแข็งแกร่งของตนอยู่ แต่จางอีเต๋อยังคงสามารถสัมผัสได้ว่าเด็กหนุ่มตรงหน้านี้ลึกล้ำเกินคาดเดา

“คุณกับผมก็เป็นผู้มีพลังพิเศษเหมือนกัน แล้วคุณก็ยังเป็นเซียนแพทย์เทวะ เป็นผู้มีพลังพิเศษที่มีความสามารถทางด้านการรักษา คิดว่าคุณเองก็คงจะเข้าใจ มีหลายเรื่องที่คนธรรมดาทั่วไปไม่รู้ แต่ว่าผมเป็นผู้มีพลังพิเศษเหมือนกัน จะรู้ถึงความลึกลับบางอย่างก็ไม่มีอะไรน่าแปลกมั้งครับ?” เย่เทียนเฉินพูดด้วยรอยยิ้ม

เย่เทียนเฉินรู้ว่าต่อหน้าจางอีเต๋อ หากต้องการที่จะปิดบังฐานะผู้มีพลังพิเศษของตัวเองคงไม่สามารถกระทำได้ เพราะต่อให้ปิดซ่อนไปตอนนี้ อีกสักครู่ที่ต้องรักษาพิษสยบให้มู่หรงซิน ก็ยังต้องเปิดเผยออกมาอยู่ดี ส่วนเรื่องที่ตนเองเป็นผู้มีพลังพิเศษระดับพระเจ้าที่กลับชาติมาเกิดใหม่จากช่วงยุคสิ้นโลกนั้น แน่นอนว่าไม่อาจบอกจางอีเต๋อได้ เพราะหากเรื่องนี้แพร่ออกไป ไม่ต้องพูดถึงคนธรรมดาเลย ต่อให้เป็นจางอีเต๋อที่เป็นยอดฝีมือผู้มีพลังพิเศษเช่นเดียวกัน ก็เกรงว่าจะไม่เชื่อ

“ในเมื่อคุณรู้จักวิธีการฝังเข็มทองที่จุดลมปราณ งั้นก็ต้องรู้ว่าพวกเราจะช่วยแก้พิษให้มู่หรงซินได้ยังไงใช่ไหม? คุณจะใช้หยางควบคุมหยินเพื่อบีบบังคับให้หญ้าสยบกายาในร่างกายของเธอออกมาจริงๆ เหรอ?” จางอีเต๋อเอ่ยปากถามอย่างกังวล

“นอกจากวิธีนี้แล้ว ยังมีวิธีอื่นที่สามารถแก้พิษสยบให้มู่หรงซินได้อีกเหรอ? หญ้าสยบกายากระตุ้นหยินจนเกิดความเย็น มีเพียงใช้หยางถึงจะบีบบังคับมันออกมาได้ มิฉะนั้นก็ไม่มีวิธีอื่นแล้ว!” เย่เทียนเฉินมองไปยังจางอีเต๋อแล้วพูดขึ้น

“แต่ว่าแบบนั้นคุณอาจจะตายได้ ต่อให้คุณจะมีพลังพิเศษที่แข็งแกร่งก็อาจจะตาย ในตอนที่หญ้าสยบกายาไม่มีร่างแฝงที่แน่นอน จะไม่ยอมสลัดออกไปจากร่างแฝงดั้งเดิมโดยเด็ดขาด เมื่อหญ้าสยบกายาที่ทำให้หยินเพิ่มจนเกิดความเย็นนี้เข้าไปในร่างกายของคุณ คุณก็จะถูกมันดูดกลืนเลือดจนกลายเป็นศพแห้ง!” จางอีเต๋อขมวดคิ้วแล้วกล่าวขึ้น

จางอีเต๋อไม่ได้เจตนาพูดให้ตื่นตกใจ และไม่ได้กำลังพูดเกินจริง แต่เป็นแบบนี้จริงๆ หญ้าสยบกายาเอาแต่ใจเป็นอย่างมาก เดิมทีคนที่ถูกพิษสยบนี้ทำได้เพียงรอความตายเท่านั้น ถ้าหากคิดที่จะแก้พิษ นอกจากใช้ชีวิตแลกชีวิตแล้วก็ไม่มีวิธีอื่นอีก พูดอย่างชัดเจนก็คือ ต้องให้คนคนหนึ่งใช้ร่างกายของตัวเองดูดหญ้าสยบกายาออกมาไว้ในร่างกายของตน เพื่อที่จะแก้พิษให้คนอื่น ตัวเองจะต้องถูกพิษแทน นี่เป็นสิ่งแลกเปลี่ยนในการกำจัดหญ้าสยบกายา

และนี่เป็นสาเหตุที่ว่าทำไมในตอนที่จางอีเต๋อเห็นมู่หรงซิน ต่อให้มู่หรงอวี๋ตูจะจ่อปืนที่ศีรษะของเขา ก็ไม่ยินยอมที่จะแก้พิษให้มู่หรงซิน หมอที่ต้องการช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์อย่างแท้จริงจะมองว่าทุกชีวิตเท่าเทียมกัน หากจะต้องใช้ชีวิตของคนคนหนึ่งมาช่วยชีวิตของมู่หรงซินจริงๆ จางอีเต๋อทำไม่ลง เขาเดินอยู่บนเส้นทางการแพทย์มาหลายปี มีวิชาแพทย์ลึกล้ำ รวมกับที่เขาเป็นผู้มีพลังพิเศษในสายรักษาที่แข็งแกร่ง สามารถกล่าวได้ว่าบนโลกนี้ไม่มีอาการป่วยใดที่เขารักษาไม่ได้ แต่หากต้องทำร้ายชีวิตของคนอื่น เพื่อช่วยเหลือชีวิตของคนอีกคนหนึ่ง จางอีเต๋อทำไม่ลงจริงๆ

ส่วนเรื่องที่ว่าทำไมเย่เทียนเฉินถึงรู้วิธีแก้พิษหญ้าสยบกายานั้น เนื่องจากในช่วงยุคสิ้นโลก เขามีฐานะเป็นผู้มีพลังพิเศษระดับพระเจ้า ต่อให้ไม่นับว่าเป็นยอดฝีมือขั้นสูงสุด แต่ก็เพียงพอที่จะทำให้รู้ความลับต่างๆ มากมาย ในช่วงยุคสิ้นโลกซึ่งเป็นโลกที่มีความแปลกประหลาดทุกอย่าง คล้ายกับโลกที่ย้อนกลับไปในยุคของเทพนิยาย เต็มไปด้วยความลึกลับที่ไม่สามารถเข้าใจได้ ไม่เพียงแต่มีผู้มีพลังพิเศษที่แข็งแกร่ง ยอดฝีมือแห่งพรรควรยุทธโบราณ มนุษย์กลายพันธุ์และสัตว์กลายพันธุ์ อีกทั้งยังมีคนประหลาดที่รู้จักวิชาโบราณต่างๆ “สยบ” นั้นเป็นหนึ่งในวิชาโบราณเหล่านั้น เป็นคำสาปไร้รูปลักษณ์ สามารถฆ่าคนได้โดยที่อยู่ห่างไกลเป็นพันลี้

เมื่อปีนั้นเย่เทียนเฉินหาวัตถุดิบที่แข็งแกร่งที่สุดในโลกเพื่อนำมาหลอมอาวุธเทวะให้ตนเองจนพบ เขาได้ออกเดินทางไปยังสถานที่ต้องห้ามมากมาย ที่นั่นเขาพบกับหินจารึกแผ่นหนึ่ง บนหินจารึกมีตัวอักษรโบราณสลักอยู่แถวหนึ่ง ดูเหมือนว่าจะบันทึกเกี่ยวกับหญ้าสยบกายาเอาไว้

“ถ้าไม่ลองแล้วจะรู้ได้ยังไง หากว่ารักษาพิษสยบให้มู่หรงซินไม่ได้ คุณกับหลานสาวของคุณก็ต้องตาย บางทีคุณอาจจะแข็งแกร่งจนสามารถฆ่าเปิดทางหนีออกไปได้ แต่หลานสาวของคุณไปด้วยไม่ไหวแน่นอน ดังนั้นผมจึงต้องการช่วยคุณและหลานสาว แน่นอนว่าผมเองก็มีเงื่อนไข หลังจากที่รักษาพิษสยบให้มู่หรงซินแล้ว คุณจะต้องไปรักษาผู้ป่วยคนนึงให้ผมฟรีๆ!” เย่เทียนเฉินยังคงพูดด้วยรอยยิ้ม

“ได้ งั้นคุณเข้าไปกับผมก่อน ผมจะเปิดจุดลมปราณในร่างกายของคุณ เพื่อป้องกันไม่ให้หญ้าสยบกายาเข้าไปในร่างและดูดเลือดของคุณจนแห้งเหือดในทันที!” จางอีเต๋อคิดครู่หนึ่ง มองไปยังเย่เทียนเฉินแล้วพูดขึ้น

เย่เทียนเฉินวางมู่หรงซินลง จางรั่วถงรีบเข้ามาประคองมู่หรงซิน จางอีเต๋อพูดกับจางรั่วถงว่า “ถอดเสื้อผ้าของเธอออกให้หมด นำเธอลงไปในถังไม้ และแขวนผ้าม่านไว้ตรงข้ามถังไม้ด้วย!”

“เข้าใจแล้วค่ะคุณปู่!” จางรั่วถงพยักหน้าแล้วพูดขึ้น

จนกระทั่งเย่เทียนเฉินและจางอีเต๋อเดินออกมาจากห้องเล็กๆ ที่อยู่ติดกัน มู่หรงซินก็ถูกขอเสื้อผ้าออกจนเปลือยเปล่า นั่งอยู่ในถังน้ำอันใหญ่ สีหน้ายังคงซีดขาวมากเช่นเดิม ลมหายใจยังคงรวยระริน จางรั่วถงยืนเฝ้าอยู่ด้านข้าง คอยเติมน้ำร้อนในถังไม้ไม่หยุดหย่อน

“ถอดเสื้อผ้าของคุณออกให้หมดด้วย เข้าไปนั่งหันหน้าให้มู่หรงซินในถังไม้ กอดเธอเอาไว้ ปากชนปาก!” จางอีเต๋อมองเย่เทียนเฉินแล้วพูดอย่างจริงจัง

“อะไรนะ? ผมต้องเปลือยอยู่กับมู่หรงซิน แล้วยังต้องเอาปากชนปากด้วย? นี่…ไม่จริงมั้ง ผมเย่เทียนเฉินไม่ใช่คนที่ชอบฉวยโอกาส!” เย่เทียนเฉินมองไปยังจางอีเต๋อแล้วพูดขึ้นอย่างตื่นตะลึง

“ไม่ทำแบบนี้ก็แก้พิษของหญ้าสยบกายาไม่ได้ ในเมื่อคุณรู้จักหญ้าสยบกายา ก็ต้องเข้าใจว่ามีเพียงวิธีนี้ถึงจะสามารถนำหญ้าสยบกายาออกมาได้ใช่ไหม?”

จางอีเต๋อมองเย่เทียนเฉินอย่างไม่สบอารมณ์ คิดว่าคนคนนี้จงใจเสแสร้ง สาวสวยคนหนึ่ง นั่งหันหน้าเข้าหาคุณด้วยร่างกายเปลือยเปล่า แล้วยังให้คุณกอดเธอเอาไว้และจูบเธอ ผู้ชายคนไหนบ้างที่จะไม่ตื่นเต้น? เด็กน้อยอย่างคุณยังจะมาเสแสร้งทำไมอีก?

……………………………..

คำพูดของเย่เทียนเฉินทำให้บุคคลที่อยู่ในที่นี้อดไม่ได้ที่จะแปลกใจ กระทั่งมู่หรงอวี๋ตูที่เป็นทหารที่รอดชีวิตออกมาจากไฟสงครามได้ก็อดไม่ได้ที่จะจ้องมองไปยังเย่เทียนเฉิน เนื่องจากแต่ไหนแต่ไรมาก็ไม่มีคนหนุ่มสาวทำตัวสงบนิ่งและพูดอย่างสบายๆ เช่นนี้เมื่ออยู่ต่อหน้าตนเองได้เลย กระทั่งทำให้มู่หรงอวี๋ตูสงสัยว่า นี่จะเป็นยอดฝีมือที่ซ่อนเร้นตัวตนที่ไม่สามารถคาดเดาอายุได้หรือไม่? เหมือนกับจางอีเต๋อ?

แน่นอนว่า มู่หรงอวี๋ตูไม่รู้ว่าเย่เทียนเฉินและเฮยเมี่ยนเป็นคนที่ผู้นำสูงสุดส่งมาคุ้มครองเขา นี่เป็นความใส่ใจที่บุคคลระดับสูงของประเทศมีให้กับตระกูลมู่หรง และเป็นท่าทีของพวกเขาที่ให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก จะอย่างไรคนหลายรุ่นในตระกูลของมู่หรงอวี๋ตูต่างก็ทำเพื่อความสงบและความเป็นปึกแผ่นของประเทศ สร้างผลงานออกมามากมาย ลูกชายทั้งสี่คนก็ตายไปหมดแล้ว การเสียสละเพื่อประเทศชาติและประชาชนเช่นนี้ ควรค่าที่จะทำให้ผู้คนเคารพเลื่อมใส

“แกเป็นใคร?” มู่หรงอวี๋ตูมองไปยังเย่เทียนเฉินอย่างเย็นชาแล้วเอ่ยถาม

“เย่เทียนเฉิน!” เย่เทียนเฉินตอบด้วยรอยยิ้ม

“แกก็คือเย่เทียนเฉิน?” มู่หรงอวี๋ตูอดไม่ได้ที่จะชะงักไปครู่หนึ่ง แล้วจึงเอ่ยถามออกมาอย่างแปลกใจ

คนใหญ่คนโตเช่นมู่หรงอวี๋ตูย่อมกุมข่าวสารมากมายของประเทศเอาไว้ในมือ ทุกเรื่องที่เย่เทียนเฉินแห่งตระกูลเย่กระทำหลังจากที่กลับมาเมืองหลวงต่างก็มากพอที่จะสั่นสะท้านทั้งโลกเบื้องหน้าและเบื้องหลัง โดยเฉพาะเรื่องที่กำจัดตระกูลฉินและตระกูลลั่วภายในหนึ่งคืน ทำให้กลุ่มอำนาจใหญ่และตระกูลใหญ่มากมายอดไม่ได้ที่จะอกสั่นขวัญแขวน เพราะคิดว่านี่จะเป็นสัญญาณว่าตระกูลเย่ที่ตกต่ำไปแล้วเกือบ 20 ปีจะโผทะยานขึ้นมาเพราะเย่เทียนเฉินอีกครั้งหนึ่งหรือไม่?

“ท่านนายพลมู่หรง เย่เทียนเฉินและผมเป็นคนที่ท่านผู้นำสั่งให้มาคุ้มครองท่านครับ!” เฮยเมี่ยนรีบก้าวออกมาแล้วพูดขึ้น

“ฉันไม่สนว่าแกจะเป็นเย่เทียนเฉินหรือจะเป็นใคร ในเมื่อแกก็พูดก็ต้องกล้ารับ หากว่าพิษของหลานสาวฉันแก้ไม่ได้ จางอีเต๋อและหลานสาวของเขาก็ต้องตาย แกก็ต้องตายด้วย!” มู่หรงอวี๋ตู มองไปยังเย่เทียนเฉินแล้วกล่าวขึ้นอย่างเคร่งขรึม

“คุณเอาแต่ตั้งเงื่อนไขกับผม ไม่คิดจะฟังเงื่อนไขของผมบ้างหรือไง? หากว่าผมรักษาพิษให้หลานสาวคุณได้ คุณจะให้เธอหมั้นหมายกับผมหรือเปล่า?” เย่เทียนเฉินพูดออกมาด้วยรอยยิ้มหยอกล้อ

“ไม่มีปัญหา ไม่เพียงแต่ฉันจะให้ซินเอ๋อร์หลานสาวของฉันหมั้นหมายกับแก แต่ยังจะสามารถทำให้ตระกูลเย่ของแกกลายเป็นตระกูลชั้นหนึ่งในเมืองหลวงได้อีกครั้งหนึ่งด้วย แกคิดว่าไง?” มู่หรงอวี๋ตูเองก็มองไปยังเย่เทียนเฉินด้วยรอยยิ้มแล้วพูดขึ้น

หากพูดกันถึงตำแหน่งฐานะ มู่หรงอวี๋ตูย่อมมีความสามารถที่จะทำแบบนี้ เมื่อปีนั้นเขาติดตามท่านผู้นำเดินสู่หนทางการแย่งชิงแผ่นดิน สุดท้ายลูกชายทั้งสี่ก็ต้องสละชีพไปในสนามรบเพื่อประชาชนและเพื่อประเทศชาติ ขอเพียงมู่หรงอวี๋ตูเอ่ยปากกับผู้นำระดับสูงของประเทศ ย่อมไม่มีใครที่ไม่ตอบรับ ทหารผ่านศึกคนหนึ่งย่อมมีความกล้าหาญเด็ดเดี่ยวและหยิ่งทะนงของเขา

ในตอนนี้ มู่หรงอวี๋ตูพลันรู้สึกชื่นชมเย่เทียนเฉินขึ้นมาแล้ว ต่อให้เขาจะไม่มีความสัมพันธ์กับเย่หย่วนซานแห่งตระกูลเย่ แต่เรื่องของตระกูลเย่ จะมากจะน้อยเขาก็เคยได้ยินมาบ้าง คิดไม่ถึงว่าหลานชายของตระกูลเย่ เย่เทียนเฉินคนนี้ จะมีความกล้าหาญเด็ดเดี่ยว บางทีอาจจะสามารถมีชื่อเสียงโดดเด่นขึ้นมาจริงๆ ก็เป็นได้

“ผมแค่ล้อเล่นเท่านั้นแหละ ให้ทุกคนถอยออกไปก่อนเถอะครับ เหลือไว้แค่คุณและหลานสาวของคุณก็พอแล้ว ผมต้องการคุยกับปรมาจารย์จางคนนั้นสักหน่อย!” เย่เทียนเฉินมองไปยังจางอีเต๋อแล้วพูดด้วยรอยยิ้ม ส่วนจางอีเต๋อในตอนนี้ก็มองเย่เทียนเฉินด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความประหลาดใจ

มู่หรงอวี๋ตูหยุดนิ่งไปครู่หนึ่ง จากนั้นจึงโบกมือให้ทหารถือปืนทั้งหมดถอยออกไป ภายในลานบ้านของตระกูลจางที่ไม่ใหญ่โตนัก เหลือเพียงเย่เทียนเฉิน เฮยเมี่ยน มู่หรงอวี๋ตู มู่หรงซิน จางอีเต๋อ และจางรั่วถง

“หนุ่มน้อย ฉันจะพูดต่อหน้าแกอีกครั้ง ถ้าหากหลานสาวของฉันตาย ไม่ว่าพวกแกคนไหนก็ต้องตายเป็นเพื่อน!” มู่หรงอวี๋ตูมองไปยังเย่เทียนเฉินแล้วพูดอย่างเย็นชา

“งั้นคุณก็ไปนั่งดื่มชาอยู่ข้างๆ ก่อน อย่ามารบกวนผม!” เย่เทียนเฉินพูดอย่างไม่พอใจ

เมื่อได้ยินคำพูดของเย่เทียนเฉิน เขาก็โกรธจนหน้าเขียวคล้ำ ไม่ต้องพูดถึงว่าเย่เทียนเฉินเป็นเด็กรุ่นหลังเลย กระทั่งในโลกของการทหาร หรือกระทั่งผู้นำระดับสูงในโลกการเมืองของประเทศ ก็ไม่มีใครกล้าพูดกับเขาแบบนี้มาก่อน

“ได้ ฉันจะรอดูว่าแกจะรักษาพิษให้หลานสาวของฉันยังไง!” มู่หรงอวี๋ตูมองไปยังเย่เทียนเฉินอย่างดุดันแล้วพูดขึ้น

เย่เทียนเฉินเดินไปหาจางอีเต๋อโดยไม่พูดอะไรอีก เมื่อเห็นเย่เทียนเฉินเดินมาทางตน จางอีเต๋อก็ปกป้องหลานสาวเอาไว้ด้านหลังโดยไม่รู้ตัว เนื่องจากเขาสัมผัสได้ถึงบรรยากาศอันคุ้นเคยอย่างหนึ่ง การผันผวนของพลังพิเศษนี้แข็งแกร่งมาก เด็กหนุ่มเบื้องหน้าคนนี้ลึกล้ำเกินหยั่ง ต่อให้เป็นเขาก็ไม่สามารถเอาชนะได้ ดังนั้นจึงทำให้จางอีเต๋อระมัดระวังตัวเป็นพิเศษ

“หมอจาง พวกเราสองคนมาพูดคุยกันหน่อยเป็นไง?” เย่เทียนเฉินถามด้วยรอยยิ้ม

“คุณคิดจะคุยอะไร? หรือคุณคิดว่าหญ้าสยบกายาจะมีวิธีรักษาจริงๆ?” เขามองไปยังเย่เทียนเฉินแล้วพูดขึ้น

“ใช่แล้ว มีทางแก้ ถึงแม้จะยากและอันตรายมาก แต่ก็ต้องลองดูสักครั้ง!” เย่เทียนเฉินยังคงพูดด้วยรอยยิ้ม

“คุณ…” จางอีเต่อมองไปยังเย่เทียนเฉินอย่างประหลาดใจ

“พวกเราไม่มีเวลาให้ยืดเยื้ออีกต่อไปแล้ว มาพูดกันดีๆ เถอะ วางใจได้ ไม่มีใครทำร้ายหลานสาวของคุณหรอก!” เย่เทียนเฉินพูดขัดคำพูดของจางอีเต๋อ มองไปยังจางรั่วถงที่อยู่ด้านหลังเขาแล้วพูดออกมา

ตอนนี้เอง จางรั่วถงดึงแขนเสื้อของจางอีเต๋อเบาๆ มองไปยังมู่หรงซินที่นั่งอยู่บนเก้าอี้รถเข็นแบบพิเศษแล้วพูดขึ้นอย่างสงสารว่า “คุณปู่คะ ช่วยเธอเถอะ เธอน่าสงสารมากเลย!”

จางอีเต๋อหันไปมองหลานสาว เขาไม่ต้องการลงมือรักษาพิษของมู่หรงซินจริงๆ และไม่ใช่ว่าเขาไม่มีจิตใจอันเมตตาของคนเป็นหมอ เพียงแต่หากต้องการที่จะรักษาพิษสยบของมู่หรงซินนี้ ยากลำบากเป็นอย่างมาก กระทั่งอาจจะทำให้คนอื่นมีอันตรายถึงชีวิต ในความคิดของจางอีเต๋อ ชีวิตของทุกคนมีค่าเท่ากัน การเสียสละชีวิตของคนคนหนึ่งเพื่อไปช่วยคนอีกคนหนึ่ง ไม่นับว่าเป็นความเมตตาของผู้เป็นหมอ แต่เป็นความโหดร้ายอย่างหนึ่ง

“คุณคิดจะใช้วิธีนี้จริงๆ เหรอ? คุณจะตายเอาได้!” ทันใดนั้นจางอีเต๋อมองไปยังเย่เทียนเฉินแล้วพูดขึ้น

“นอกจากวิธีนี้แล้ว ยังมีวิธีอื่นอีกเหรอครับ? แน่นอนว่าผมมีเงื่อนไข…” เย่เทียนเฉินพูดออกมาด้วยรอยยิ้มบางเบา

“เงื่อนไขอะไร?” จางอีเต๋อเอ่ยปากถา

“ผมจะร่วมมือกับคุณเพื่อรักษาพิษสยบให้มู่หรงซิน ถ้างั้นคุณก็ต้องช่วยผมรักษาคนคนหนึ่ง มีเพียงคุณคนเดียวเท่านั้นที่จะทำได้!” เย่เทียนเฉินพูดอย่างจริงจัง

“คุณเอาตัวเองให้รอดก่อนเถอะแล้วค่อยมาพูด…”

เย่เทียนเฉินมองจางอีเต๋อครั้งหนึ่ง เขาเชื่อว่าเขาคาดเดาไม่ผิด จางอีเต๋อก็คือเซียนแพทย์เทวะที่เขาตามหา เพราะในตอนที่มู่หรงอวี๋ตูจะลงมือกับจางรั่วถงหลานสาวของเขา จางอีเต๋อกระตุ้นพลังพิเศษอันแข็งแกร่งออกมาจากทั่วทั้งร่าง กระทั่งเย่เทียนเฉินก็อดไม่ได้ที่จะตกตะลึง นี่เป็นยอดฝีมือผู้มีพลังพิเศษ เป็นยอดฝีมือผู้แข็งแกร่งที่เก็บซ่อนตัวตน และยังมีวิชาแพทย์สูงส่งอีกด้วย ถ้าไม่ใช่เซียนแพทย์เทวะแล้วจะเป็นใครไปได้?

“พวกเรามาเล่นหมากกันหน่อยเป็นไง ผมเชื่อว่าหลังจากที่วางหมากเสร็จ การเตรียมการทุกอย่างก็จะเรียบร้อยแล้ว!” เย่เทียนเฉินมองไปยังกระดานหมากล้อมบนโต๊ะหิน จากนั้นจึงมองไปยังจางอีเต๋อแล้วพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม

“รั่วถงไปเตรียมตัวเถอะ จัดเตรียมห้องยาให้เรียบร้อย และต้มน้ำในถังไม้ถังใหญ่ให้เต็มถัง แล้วก็นำกล่องเข็มทองของปู่ออกมาด้วย!” จางอีเต๋อชะงักไปครู่หนึ่ง แล้วจึงหันไปสั่งหลานสาวที่อยู่ด้านหลัง

จางรั่วถงมองไปยังเย่เทียนเฉินครู่หนึ่ง จากนั้นจึงรีบวิ่งเหยาะๆ เข้าไปในห้อง เริ่มต้มน้ำร้อนตามคำสั่งของคุณปู่จางอีเต๋อ จัดเตรียมห้องยา ในขณะเดียวกันก็นำกล่องใส่เข็มทองออกมา

เย่เทียนเฉินและจางอีเต๋อนั่งลงบนโต๊ะหิน ทั้งสองนั่งตรงข้ามกัน มู่หรงอวี๋ตูและเฮยเมี่ยนยืนอยู่ด้านข้าง มองคนทั้งสองวางหมากกัน ไม่กล่าวไม่ได้ว่ามู่หรงอวี๋ตูเป็นคนที่ไม่อาจดูเบาได้จริงๆ เพียงไม่นานก็สามารถสงบสติอารมณ์ของตนได้ ไม่บุ่มบ่ามอีก เขารู้ว่าตอนนี้ตัวเลือกเดียวของเขาก็คือเชื่อใจเย่เทียนเฉินว่าเขาจะสามารถช่วยหลานสาวของตนได้

หมากดำ หมากขาว เกมหมากล้อมเริ่มขึ้นแล้ว จางอีเต๋อเริ่มวางหมากก่อน จนกระทั่งถึงตาเย่เทียนเฉินวางหมาก ทันใดนั้นเขาก็ลุกขึ้นยืน พูดกับจางอีเต๋อด้วยรอยยิ้ม “ดูเหมือนจะลืมไปเรื่องหนึ่ง รอแป๊บ!”

พูดจบ เย่เทียนเฉินก็ไปจากที่นั่ง เดินไปยังมู่หรงซินที่นั่งอยู่บนเก้าอี้รถเข็น นี่เป็นผู้หญิงที่มีลักษณะที่ดีคนหนึ่ง เป็นหญิงงามดั่งดอกไม้บาน แต่ตอนนี้กลับมีใบหน้าซีดขาว ลมหายใจรวยระริน ไม่ว่าใครที่ได้เห็นก็อดไม่ได้ที่จะปวดใจ เย่เทียนเฉินเดินไปเบื้องหน้ามู่หรงซิน ย่อตัวลงนั่งแล้วพูดขึ้นด้วยรอยยิ้มว่า “เธอกลัวตายหรือเปล่า?”

“ไม่กลัว!” มู่หรงซินลืมตาอย่างอ่อนล้า มองไปยังเย่เทียนเฉิน ต่อให้ชายที่อยู่ตรงข้ามจะดูแปลกหน้า แต่กลับให้ความรู้สึกปลอดภัย เป็นความปลอดภัยที่ออกมาจากใจ

“ในเมื่อเธอไม่กลัวตาย งั้นก็ตายให้เร็วหน่อยจะได้ไม่ต้องเจ็บปวด!”

ในขณะที่พูด เย่เทียนเฉินก็ใช้ฝ่ามือตบลงไปที่หน้าอกของมู่หรงซินเบาๆ ไม่นานมู่หรงซินก็หลับตาลง มุมปากมีเลือดสีดำไหลออกมา มู่หรงอวี๋ตู เฮยเมี่ยน และจางอีเต๋อ ทั้งสามคนได้เห็นดังนั้นต่างพากันตกตะลึง

“แก…” มู่หรงอวี๋ตูคิดจะพูดอะไรบางอย่าง แต่กลับถูกเย่เทียนเฉินพูดขัด

“ในเมื่อคุณเชื่อใจผม ก็อย่าพูดอะไร รอให้หลานสาวของคุณตายไปจริงๆ ก่อนค่อยมาคิดบัญชีกับผมก็ไม่สาย!” เย่เทียนเฉินพูดกับมู่หรงอวี๋ตูด้วยรอยยิ้ม

เย่เทียนเฉินกลับไปนั่งตรงข้ามจางอีเต๋ออีกครั้ง ไม่ได้พูดอะไรกับจางอีเต๋อในทันที แต่วางหมากลงไปก่อน ห้านาทีผ่านไป จางอีเต๋อก็แพ้หมากกระดานนี้แล้ว โดยที่เย่เทียนเฉินใช้กลหมากฆ่าตัวตาย ยอมละทิ้งหมากตายเพื่อชัยชนะ ทำให้จางอีเต๋อตกตะลึง มองไปยังเย่เทียนเฉินอย่างไม่คาดคิด

“คุณถึงกับจะใช้วิธีนี้เลยเหรอ ไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วหรือไง? นั่นไม่ใช่การวางหมาก แต่เป็นพิษสยบ เป็นพิษสยบที่เกือบจะไม่มีวิธีแก้!” จางอีเต๋อมองไปยังเย่เทียนเฉินแล้วเอ่ยถาม

“ผมเชื่อว่าด้วยวิชาแพทย์ของผู้อาวุโสอย่างคุณคงไม่มีปัญหาอะไรหรอก และด้วยการร่วมมือกันอย่างแข็งแกร่งของพวกเราสองคน พิษสยบก็จะถูกแก้ไขได้!” เย่เทียนเฉินพูดแล้วยิ้มอย่างเชื่อมั่นในตัวเอง

“คนหนุ่มที่เชื่อมั่นในตนเองและแข็งแกร่งเหมือนเธอ บนโลกนี้มีไม่มากเลยจริงๆ !” จางอีเต๋อพูดอย่างแฝงนัยยะบางอย่าง

“เซียนแพทย์เทวะ ผมคิดว่าคุณคงไม่ยอมเปิดเผยตัวตนของคุณออกมาแน่ คุณกับผมเป็นคนประเภทเดียวกัน เชื่อว่าคุณก็คงเข้าใจ!” เย่เทียนเฉินมองไปยังจางอีเต๋อแล้วพูดอย่างจริงจัง

“คุณ…คุณเป็น…จริงๆ ด้วย ฮ่าๆๆๆ ประเทศจีนมีคนที่แข็งแกร่งแบบคุณ และยังอายุน้อยเพียงเท่านี้ เชื่อว่าคุณคงไม่ตายเร็วหรอก ยังมีเรื่องอีกมากมายหลายอย่างที่รอให้คุณไปทำ!” ทันใดนั้นจางอีเต๋อหัวเราะออกมาแล้วพูดขึ้น

มู่หรงอวี๋ตูและเฮยเมี่ยนที่อยู่บริเวณนั้น ไม่เข้าใจบทสนทนาของเย่เทียนเฉินและจางอีเต๋อ แต่พวกเขาสองคนดูเหมือนจะพูดคุยกันอย่างมีความสุขมาก และในการสนทนาก็ทำให้เกิดความเห็นบางอย่างที่ตรงกัน

คนผู้หนึ่งคือผู้แข็งแกร่งที่มีพลังพิเศษระดับพระเจ้าซึ่งมาเกิดใหม่จากช่วงยุคสิ้นโลก อีกคนหนึ่งคือผู้มีพลังพิเศษในสายรักษาที่หาได้ยากแม้กระทั่งในช่วงยุคสิ้นโลก ทั้งสองต่างก็แข็งแกร่งเป็นอย่างมาก จะสามารถรักษาพิษสยบที่เดิมทีมีเพียงเส้นทางแห่งความตายเพียงทางเดียวได้หรือไม่?

……………………………

จางอีเต๋อจะเป็นเซียนแพทย์เทวะหรือไม่?

หากว่าใช่ สำหรับเย่เทียนเฉินก็จะเรียกได้ว่าเป็นการย่ำจนรองเท้าเหล็กสึกไม่พบพาน ยามได้มากลับไม่เสียเวลาเลย จะโชคดีเกินไปแล้ว จากบทสนทนาของมู่หรงอวี๋ตูและจางอีเต๋อ เป็นไปได้มากกว่าจางอีเต๋อจะเป็นเซียนแพทย์เทวะ เพราะสามารถยืดอายุให้ท่านผู้นำไปได้อีก 20 ปี บนโลกนี้จะมีสักกี่คนกันเชียว?

ยืดอายุไป 20 ปี นี่เป็นความลึกลับและเกินจริงระดับไหนกัน? ต่อให้ในช่วงยุคสิ้นโลก ซึ่งเป็นโลกอันแปลกประหลาดที่มีผู้มีพลังพิเศษอยู่จำนวนมาก ก็ยังไม่อาจละทิ้งการมีชีวิตยืนยาวเป็นอมตะออกไปได้ ตั้งแต่โบราณจนถึงปัจจุบัน จักรพรรดิกี่คน ผู้เป็นใหญ่เป็นโตกี่คน ที่ต้องการมีชีวิตเป็นอมตะจนสูญเสียกำลังคนและวัตถุดิบไปมากมาย ในช่วงยุคสิ้นโลก ซึ่งเป็นโลกที่มีผู้แข็งแกร่งอยู่นับไม่ถ้วน ก็มีผู้แข็งแกร่งเป็นจำนวนมากที่ไล่ตามสิ่งเหล่านี้ชั่วชีวิต หากสามารถมีชีวิตเป็นอมตะได้ ใครบ้างที่จะไม่อยากมีชีวิตยืนยาว?

เพียงแต่ต่อให้เป็นเย่เทียนเฉินที่เป็นผู้มีพลังพิเศษระดับพระเจ้าในช่วงยุคสิ้นโลก ก็ไม่เคยได้ยินว่าใครสามารถมีชีวิตยืนยาวเป็นอมตะได้มาก่อน สมุนไพรลึกลับที่สามารถต่ออายุได้ทั้งหลาย หรือกระทั่งยาอันแปลกประหลาดก็พอมีอยู่บ้าง แต่หามาได้ยากนัก ในโลกแห่งนี้ซึ่งมีการพัฒนาเทคโนโลยีและวิทยาศาสตร์ไปมาก การมีชีวิตยืนยาวเป็นอมตะเริ่มค่อยๆ เลือนหายไปจากสายตาของผู้คน และไม่มีใครคิดว่าจะมีคนที่สามารถต่ออายุให้คนอื่นไปอีก 20 ปีได้แบบนี้อยู่ ถ้าพูดออกมาก็เกรงว่าจะไม่มีใครเชื่อ เรื่องราวเมื่อปีนั้นก็ได้กลายเป็นข้อมูลลับระดับสำคัญที่สุดของประเทศไปแล้ว ต่อให้เป็นผู้นำแต่ละท่านในตอนนี้ก็ไม่กล้าพูดออกมามั่วซั่ว

เย่เทียนเฉินมองไปยังจางอีเต๋อ ชายชราที่ผมและเคราขาวโพลน พลังพิเศษแห่งการรับรู้แผ่ขยายออกไปอย่างเงียบงันนานแล้ว แต่กลับไม่สามารถรับรู้ได้ถึงการสั่นไหวของพลังพิเศษใดๆ ดังนั้นเขาจึงไม่อาจมั่นใจได้ชั่วคราวว่าจางอีเต๋อคือเซียนแพทย์เทวะหรือไม่? แต่ไม่ว่าจะใช่หรือไม่ใช่ ก็จะต้องให้เขาไปดูอาการให้แม่ของเสี้ยวหยาให้ได้ เย่เทียนเฉินจะไม่ยอมเห็นท่าทางเจ็บปวดใจจนร้องไห้ของเสี้ยวหยาโดยเด็ดขาด

“หึ มู่หรงอวี๋ตู ตระกูลจางของผมเหลือผมแค่คนเดียวแล้ว ผมก็คือตระกูลทั้งตระกูล ทั้งตระกูลก็คือผม คุณลั่นไกได้เลย!” จางอีเต๋อแค่นเสียงเย็นครั้งหนึ่ง พูดออกมาอย่างไม่เกรงกลัวความตายเลยแม้แต่น้อย

“งั้นเหรอ? จางอีเต๋อ ผมรู้ว่าคุณไม่กลัวตาย ผมมู่หรงอวี๋ตูเองก็ไม่กลัว แต่ผมรู้ว่าคุณมีหลานสาวอยู่คนหนึ่ง หลังจากที่คุณตายไป คุณคิดว่าด้วยความสามารถของผมจะหาเธอไม่เจอเชียวหรือ? หากหลานสาวของผมตาย หลานสาวของคุณก็จะต้องตายเป็นเพื่อนเธอด้วย!” ปืนพกในมือขวาของมู่หรงอวี๋ตูจ่อไปที่ศีรษะของจางอีเต๋อ จากน้ำเสียงของเขาไม่ต้องสงสัยเลยว่า เขาเป็นคนที่กล้าพูดกล้าทำอย่างแน่นอน

เมื่อได้ยินมู่หรงอวี๋ตูกล่าวถึงหลานสาวของตน จางอีเต๋อที่เดิมทียังคงนิ่งสงบพลันหน้าเปลี่ยนสี มองไปยังมู่หรงอวี๋ตูอย่างดุดันแล้วพูดขึ้นว่า “มีเรื่องอะไรคุณก็มาลงที่ผมได้ ตอนนี้คุณก็ฆ่าผมได้เลย แต่อย่าได้ทำให้หลานสาวของผมลำบากใจ!”

“จางอีเต๋อ หลานสาวของคุณคือหนึ่งชีวิต หลานสาวของผมก็คือหนึ่งชีวิต ทำไมคุณจะช่วยชีวิตหลานสาวผมครั้งหนึ่งไม่ได้ล่ะ?” มู่หรงอวี๋ตูพูดอย่างไม่ยอมถอยเลยแม้แต่น้อย ความรู้สึกนั้นชัดเจนมาก หากวันนี้จางอีเต๋อไม่ช่วยหลานสาวของมู่หรงอวี๋ตู เขาก็จะฆ่าหลานสาวของจางอีเต๋อ

“ผมพูดไปแล้ว หลานสาวของคุณถูกพิษสยบกายา ไม่สามารถแก้พิษได้ ผมช่วยเธอไม่ได้ ทำไมคุณจะต้องบีบบังคับคนอื่นด้วย?” จางอีเต๋อเองก็มองไปยังมู่หรงอวี๋ตูด้วยความโกรธแล้วพูดขึ้น

“ผมเองก็ไม่อยากจะบีบบังคับคุณหรอก แต่ผมก็ไม่มีหนทางแล้ว วันนี้ไม่ว่าจะยังไง คุณก็ต้องช่วยชีวิตหลานสาวผม ไม่งั้นผมก็จะฆ่าคุณ แล้วก็จะฆ่าหลานสาวของคุณด้วย!” ในตอนที่มู่หรงอวี๋ตูพูด ก็กระชับปืนในมือขวาแน่น

ตอนนี้เอง จู่ๆ เด็กสาวแปลกหน้าที่ยืนอยู่ข้างกายเย่เทียนเฉินมาโดยตลอดก็วิ่งออกมาขวางอยู่เบื้องหน้ามู่หรงอวี๋ตู จับมือจางอีเต๋อเอาไว้ มองไปยังมู่หรงอวี๋ตูด้วยสายตาขอร้องก่อนจะพูดขึ้นว่า “หยะ อย่าฆ่าปู่ของหนูเลย ขอร้องล่ะค่ะ คุณอย่าทำให้คุณปู่ลำบากใจเลย!”

ทุกคนที่อยู่ที่นี่ต่างพากันตกตะลึง คิดไม่ถึงว่าเด็กสาวแปลกหน้าคนนี้จะเป็นหลานสาวของจางอีเต๋อ โดยเฉพาะเฮยเมี่ยนและเย่เทียนเฉิน พวกเขาสองคนมึนงงเป็นที่สุด ไม่คิดว่าเด็กสาวที่เจอกันหน้าประตูจะถึงกับเป็นหลานสาวของจางอีเต๋อไปได้ จะอย่างไรก็เหนือความคาดหมายไปมาก

“เธอก็คือจางรั่วถง หลานสาวของจางอีเต๋อ?” มู่หรงอวี๋ตูมองหญิงสาวแปลกหน้าที่พุ่งออกมาเบื้องหน้าเขาแล้วถามขึ้น

“ค่ะ คุณอย่าฆ่าคุณปู่ของหนูเลย…” หญิงสาวอายุประมาณ 17-18 ปีต้องเจอกับสถานการณ์เช่นนี้ ในใจย่อมรู้สึกกังวลและหวาดกลัวเป็นธรรมดา โดยเฉพาะเมื่อเห็นว่ามู่หรงอวี๋ตูใช้ปืนจ่อไปที่ศีรษะของคุณปู่จางอีเต๋อ จางรั่วถงก็รีบพุ่งออกมาทันที ตั้งแต่แรกเธอก็พึ่งพาอาศัยคุณปู่มาโดยตลอด ความสัมพันธ์ระหว่างสองคนปู่หลานลึกล้ำ ต่างเป็นญาติเพียงคนเดียวของกันและกัน

“รั่วถง ไม่ใช่ว่าปู่บอกเธอว่าไม่ให้กลับมาเหรอ? ทำไมไม่เชื่อฟัง!” จางอีเต๋อขมวดคิ้วมองไปยังหลานสาวของตนแล้วพูดขึ้น

“คุณปู่คะ หนูไม่อยากเห็นคุณปู่เกิดเรื่อง!” จางรั่วถงโถมตัวเข้าไปในอ้อมอกของคุณปู่ ร้องไห้ออกมาเสียงดัง

“เธอ…ไม่มีเรื่องอะไรหรอก จะต้องไม่เป็นอะไรแน่ ใครก็แตะต้องเธอไม่ได้!”

ในชั่วพริบตานั้น บรรยากาศของจางอีเต๋อพลันเปลี่ยนไป ในดวงตาทั้งสองเปล่งประกายหนาวเหน็บ ทำให้ผู้คนรู้สึกว่าชายชราผู้มีผมและหนวดเคราขาวโพลนคนนี้ เหมือนกับพยัคฆ์ร้ายที่ตื่นจากการจำศีล หลายคนอดไม่ได้ที่จะก้าวถอยหลังไป ส่วนเย่เทียนเฉินกลับมองไปยังจางอีเต๋ออย่างไม่ละสายตา เขารู้สึกถึงความผันผวนของพลังพิเศษอันแข็งแกร่งระลอกหนึ่ง จางอีเต๋อเป็นยอดฝีมือที่ซ่อนเร้นตัวตนจริงๆ ด้วย ลึกล้ำไม่อาจคาดเดา

“จางอีเต๋อ ในเมื่อตอนนี้หลานสาวของคุณปรากฏตัวขึ้นแล้ว ผมก็จะขอบอกคุณอีกครั้ง ถ้าหากว่าคุณช่วยหลานสาวผมไม่ได้ หลานสาวของคุณก็ต้องตาย ผมพูดจริงทำจริง!” มู่หรงอวี๋ตูพูดเสียงเย็น

“มู่หรงอวี๋ตู ผมจะพูดอีกครั้ง หลานสาวของคุณถูกพิษสยบกายาที่ไม่มีทางรักษา ผมไร้ความสามารถ!” จางอีเต๋อดึงจางรั่วถงผู้เป็นหลานไปอยู่ด้านหลัง กำหมัดแน่นแล้วพูดออกมา

“พอแล้ว ผมไม่อยากฟังคำพูดนี้ของคุณอีกต่อไป เด็กๆ มาพาตัวเด็กคนนี้ไปซะ!”

มู่หรงอวี๋ตูรู้สึกว่าจางอีเต๋อมีวิธีช่วยคนแต่ไม่คิดจะช่วยก็เท่านั้น เขามองไปยังหลานสาวของตนที่หายใจรวยระรินและดูคล้ายกับจะขาดห้วงไปในไม่ช้า เขาไม่อยากจะยืดเยื้ออีกต่อไปแล้ว จะขอคว้าโอกาสสุดท้ายเอาไว้ หากจางอีเต๋อเห็นคนใกล้ตายแล้วไม่ช่วยจริงๆ เขาจะต้องฆ่าจางอีเต๋อและจางรั่วถงอย่างแน่นอน

มู่หรงซินเป็นหลานสาวของเขา เป็นญาติที่เหลือเพียงคนเดียวของมู่หรงอวี๋ตู แล้วเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขเพียงหนึ่งเดียวของเขา แม้ว่าจะต้องจ่ายค่าตอบแทนอะไรออกไป มู่หรงอวี๋ตูก็ต้องช่วยชีวิตหลานสาวของตนให้ได้

ตอนนี้เอง เมื่อได้ยินคำสั่งของมู่หรงอวี๋ตู ทหารถือปืนสองคนที่ยืนอยู่ด้านหลังเขาเดินเข้าไปทางจางรั่วถง จางอีเต๋อปกป้องหลานสาวเอาไว้ด้านหลังอย่างแน่นหนา มองไปยังมู่หรงอวี๋ตูแล้วพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “มู่หรงอวี๋ตู คุณอย่าได้บีบบังคับให้ผมลงมือ…”

“ไม่ใช่ว่าผมบีบบังคับคุณ แต่เป็นคุณที่บีบบังคับผม ขอเพียงคุณช่วยรักษาหลานสาวของผมให้หายดี ทุกสิ่งทุกอย่างก็จะดีเอง ผมก็จะชดเชยให้คุณ!” มู่หรงอวี๋ตูพูดเสียงดัง

“ผมจะพูดอีกครั้ง ผมรักษาไม่ได้!” บรรยากาศที่แผ่ออกมาจากร่างของจางอีเต๋อพลันหนักแน่นขึ้น ไม่ด้อยไปกว่ามู่หรงอวี๋ตูที่เป็นทหารผ่านศึกเลยแม้แต่น้อย

“งั้นก็ไม่มีอะไรต้องคุยกัน ไปนำตัวมาให้ฉันซะ!”

ภายในลานบ้านของตระกูลจาง บรรยากาศเคร่งเครียดและรุนแรงเป็นอย่างมาก มู่หรงอวี๋ตูมีความคิดที่จะสั่งให้ลูกน้องยิงปืน ส่วนจางอีเต๋อก็ใช้กำลังขึ้นมาในพริบตา สลัดคราบชายชราออกไปจนทำให้ทุกคนตื่นตะลึง เย่เทียนเฉินสามารถสัมผัสได้ถึงพลังอันแข็งแกร่งที่ระเบิดออกมาจากร่างของจางอีเต๋อ หากว่าลงมือ เกรงว่าลานบ้านตระกูลจางแห่งนี้คงต้องนองไปด้วยฝนเลือดแน่นอน

“คุณปู่ หยะ อย่าทำให้พวกเขาลำบากใจเลย พวกเราไปกันเถอะค่ะ!” ตอนนี้เอง มู่หรงซินที่นั่งอยู่บนเก้าอี้รถเข็นแบบพิเศษมาโดยตลอดพลันลืมตาขึ้นอย่างอ่อนแรง สีหน้าซีดขาวเป็นอย่างยิ่ง เอ่ยออกมาด้วยเสียงอันแผ่วเบา

เมื่อมองไปยังเด็กสาวที่มีอายุไล่เลี่ยกับจางรั่วถง ความสิ้นหวังหดหู่ในดวงตานั้น ทำให้ทุกคนรู้สึกเสียใจจริงๆ เดิมทีควรจะเป็นช่วงเวลาที่มีชีวิตชีวาดังฤดูใบไม้ผลิ แต่กลับต้องมาพบกับความยากลำบากแบบนี้ ประดุจมัจจุราชกำลังย่างก้าวเข้ามาหาเธอทีละเล็กทีละน้อย ต้องการที่จะนำชีวิตของเธอไป

“เสี่ยวซิน อย่าพูดอีกเลย ปู่จะต้องหาวิธีได้แน่ จะไม่ปล่อยให้หลานเกิดเรื่องอะไรเป็นอันขาด!” มู่หรงอวี๋ตูมองไปยังหลานสาวแล้วพูดขึ้นด้วยความเสียใจ

แม้ว่าปากจะพูดเช่นนั้น แต่ในใจของมู่หรงอวี๋ตูก็ร้อนรนเป็นอย่างมาก และไม่มีความมั่นใจเลยสักนิด ดูท่าทางแล้วจางอีเต๋อจะไม่มีหนทางจริงๆ หรือจะต้องลงมือฆ่าจางอีเต๋อและหลานสาวของเขาจริงๆ ? มู่หรงอวี๋ตูเพียงแค่ลงเดิมพันเท่านั้นว่าจางอีเต๋อที่สามารถช่วยยืดอายุท่านผู้นำเมื่อปีนั้นได้ จะต้องมีวิธีการแก้พิษสยบกายานี้อย่างแน่นอน

“จางอีเต๋อ ผมจะพูดเป็นครั้งสุดท้าย ไม่ว่าคุณต้องการอะไร ผมก็จะรับปากคุณทุกอย่าง แต่หากวันนี้คุณไม่ช่วยหลานสาวของผม ผมก็คงทำได้เพียงให้พวกคุณปู่หลานไปตายเป็นเพื่อนหลานสาวของผมแล้ว!” มู่หรงอวี๋ตูพูดอย่างหนักแน่น

“มู่หรงอวี๋ตูคุณอยากได้บีบบังคับผม!” หมัดขวาของจางอีเต๋อกำแน่น พื้นอันราบเรียบของลานบ้านตระกูลจางเกิดลมพัดขึ้นมาระลอกหนึ่ง ทำให้ผู้คนตกตะลึง

จางอีเต๋อเป็นยอดฝีมือคนหนึ่ง เป็นยอดฝีมือที่ทุกคนคิดไม่ถึง หลายปีมานี้อยู่ในเมืองเล็กๆ แห่งนี้มาโดยตลอด ใช้ชีวิตอย่างพึ่งพาอาศัยกันกับหลานสาว ในสายตาของคนในเมืองแห่งนี้ จางอีเต๋อเป็นชายชราที่ผมและหนวดเคราขาวโพลนคนหนึ่ง ประกอบอาชีพหมอช่วยเหลือผู้คน แต่ไหนแต่ไรก็ไม่เคยเก็บค่ารักษามาก่อน ไม่ว่าใครก็คิดไม่ถึงว่าชายชราเช่นนี้ จะเป็นยอดฝีมือที่แข็งแกร่งมากคนหนึ่ง เมื่อลงมือก็สามารถทำให้สั่นสะท้านไปได้ทั้งโลก

บรรยากาศเคร่งเครียดขึ้นเรื่อยๆ มู่หรงอวี๋ตูพาทหารชั้นยอดมา เดินมาเบื้องหน้าจางอีเต๋อ เตรียมจะลงมือพาตัวจางรั่วถงไปได้ทุกเมื่อ ส่วนจางอีเต๋อก็มีบรรยากาศเปลี่ยนไป ปกป้องหลานสาวของตนไว้เบื้องหลัง สามารถที่จะระเบิดพลังลงมือฆ่าฟันได้ทุกเมื่อ เขาจะไม่ยอมให้ใครก็ตามมาทำร้ายหลานสาวของตนเองเป็นอันขาด

“ความจริง บางที อาจจะไม่ใช่ว่าหญ้าสยบกายาจะไม่มีทางรักษา…”

เมื่อได้ยินคำพูดของเย่เทียนเฉิน ทุกคนต่างพากันมองไปที่เขา สายตาของจางอีเต๋อเกิดความแปลกประหลาดขึ้น เพียงแต่ชั่วพริบตาเดียวเท่านั้น มู่หรงอวี๋ตูเองก็เต็มไปด้วยความสงสัย กระทั่งเฮยเมี่ยนก็มองไปยังเย่เทียนเฉินอย่างดุดัน แล้วกัดฟันพูดขึ้นเสียงเบาว่า

“ไอ้หนูแกอย่าได้พูดจามั่วซั่ว หากว่าแกรักษาไม่ได้จะต้องตายแน่ ท่านผู้นำสูงสุดก็ช่วยแกไม่ได้!”

“ไอ้หนู ฉันไม่สนใจว่าแกจะเป็นใคร จะมีจุดประสงค์และความตั้งใจอะไร ตอนนี้ฉันไม่มีเวลามาเล่นกับแก และไม่มีเวลาให้แกมาล้อเล่น ถ้าพูดจามั่วตั้วจะต้องตายแน่!” มู่หรงอวี๋ตูมองไปยังเย่เทียนเฉินอย่างเย็นชาแล้วพูดขึ้น

“อย่าเอะอะก็ขู่ว่าจะฆ่าคนอื่นสิ คุณไม่กลัวตายแล้วผมจะกลัวตายหรือไง? เกมนี้คุณเล่นไม่ได้หรอก เพราะว่ามันเกี่ยวพันกับชีวิตหลานสาวของคุณ ผมเองก็ไม่มีเวลามาล้อเล่นกับคุณเหมือนกัน ถ้าผมแก้พิษสยบของหลานสาวคุณได้ คุณจะให้เธอหมั้นกับผมหรือไง?” เย่เทียนเฉินเผชิญหน้ากับมู่หรงอวี๋ตูซึ่งเป็นบุคคลที่ถูกหล่อหลอมมาจากไฟสงครามโดยไม่มีความหวาดเกรงแม้แต่น้อย แต่กลับพูดด้วยรอยยิ้มอย่างสบายอารมณ์

………………………….

เมื่อเห็นการจัดกระบวนทัพอันแข็งแกร่งนี้ แม้แต่คนโง่ก็ดูออกว่ามู่หรงอวี๋ตูต้องเป็นคนใหญ่คนโตแน่นอน กระทั่งท่านผู้นำสูงสุดของประเทศก็ยังให้ความสำคัญกับเขาอย่างมาก เห็นได้ชัดว่าคนเช่นนี้มีอำนาจอิทธิพล และทำผลงานให้แก่ประเทศชาติไปไม่น้อย

เพียงแต่สิ่งที่ทำให้เฮยเมี่ยนอับจนคำพูดก็คือ ภายใต้สถานการณ์ที่เคร่งเครียดและอันตรายเป็นอย่างมากเช่นนี้ กลับมีนักศึกษาหญิงแปลกหน้าอายุประมาณ 17-18 ปีคนหนึ่งร่วมวงด้วย และที่ยิ่งทำให้อับจนคำพูดเข้าไปใหญ่ก็คือ เย่เทียนเฉินถึงกลับไม่ถามถึงเหตุผล ก็ตอบรับคำขอของนักศึกษาหญิงแปลกหน้าคนนี้ และต้องการพาเธอเข้าไปในลานด้วยกัน

“หากเกิดเรื่องอะไรขึ้น ไอ้หนูอย่างแกต้องรับผิดชอบทั้งหมด!” เฮยเมี่ยนหันไปมองเย่เทียนเฉินแล้วพูดขึ้นอย่างไม่สบอารมณ์เป็นอย่างมาก

“วางใจเถอะ ผู้หญิงน่ารักแบบนี้ จะเป็นคนชั่วไปได้ยังไง? คนที่ไม่เข้าใจอารมณ์ของหนุ่มสาวอย่างแก มิน่าล่ะทุกครั้งถึงได้ถูกถูกผู้หญิงสลัดทิ้ง สมควรแล้ว…” เย่เทียนเฉินที่เป็นคนที่ไม่เข้าใจความรักของชายหญิงคนหนึ่ง ในตอนนี้ถึงกับกล้าพูดเสียดสีเฮยเมี่ยนออกมาได้

“แก…แกไปฟังใครพูดมา?” เฮยเมี่ยนอดไม่ได้ที่จะมองไปยังเย่เทียนเฉินแล้วเอ่ยถามออกมาอย่างดุดัน

“ชางหลาง…อ้อ เขาพูดออกมาโดยไม่ระวังน่ะ!” เย่เทียนเฉินพูดพลางหัวเราะฮี่ๆ

“พวกแก…ชางหลาง ฉันไม่จบกับแกง่ายๆ แน่!” เฮยเมี่ยนกำหมัดแน่น พูดออกมาอย่างไม่สบอารมณ์

เย่เทียนเฉินเห็นว่าเฮยเมี่ยนถูกทำให้โกรธจนหน้าเขียวเข้าจริงๆ ก็อดไม่ได้ที่ยิ้มออกมาอย่างเจ้าเล่ห์ เมื่อวันนั้นเขาลากชางหลางมาดื่มเหล้าด้วยกัน สุดท้ายทั้งคู่ก็ดื่มจนเมา ชางหลางเองก็พูดจาออกมามั่วซั่วไปหมด ในตอนที่พูดถึงเฮยเมี่ยน ก็ได้พูดถึงเรื่องน่าอายของเฮยเมี่ยนออกมาเล็กน้อย ตอนนี้ถูกเย่เทียนเฉินเอามาใช้ยั่วยุเฮยเมี่ยนต่อหน้า แน่นอนว่าเฮยเมี่ยนจะต้องโกรธจนอยากจะอัดคน

ในตอนที่เย่เทียนเฉิน เฮยเมี่ยน และนักศึกษาหญิงตัวน้อยแปลกหน้าคนนั้น เดินไปถึงลานด้วยกัน พบว่ากลางลานมีโต๊ะหินอยู่ตัวหนึ่งและเก้าอี้อยู่สามตัว ที่โต๊ะมีชายชราสวมชุดทหารนั่งอยู่ อายุประมาณ 60 ปี หน้าเหลี่ยม โกนหัวจนเกลี้ยง มีบรรยากาศดุดัน ด้านหลังของเขามีบอดี้การ์ดถือปืนท่าทางแข็งแกร่งยืนอยู่สองคน

เชื่อว่าชายชราสวมชุดทหารคนนี้จะต้องเป็นมู่หรงอวี๋ตูแน่นอน เป็นชายชาติทหารที่ผ่านสนามรบมานับร้อยจริงดังคาด ในความคิดของเย่เทียนเฉิน ชายชราคนนี้ดูมีอำนาจเป็นอย่างมาก มีความยิ่งใหญ่ที่ไม่อาจสั่นสะเทือนดั่งเขาไท่ซาน

ฝั่งตรงข้ามของมู่หรงอวี๋ตูมีชายชราอีกคนหนึ่งนั่งอยู่ คนคนนั้นทั้งเส้นผมและหนวดเคราต่างขาวโพลนไปหมดแล้ว ดูผิวเผินมีรูปร่างผอม แต่ดวงตาเปล่งประกาย ในตอนที่พวกเย่เทียนเฉินทั้งสามคนเดินเข้ามา สายตาของชายชราคนนั้นก็มองมายังเย่เทียนเฉินครู่หนึ่ง คล้ายกับต้องการมองให้เห็นถึงอะไรบางอย่าง

“พี่อีเต๋อ ผมมู่หรงอวี๋ตู ชีวิตนี้ไม่เคยขอร้องใครมาก่อน แต่ตอนนี้ผมขอร้องคุณ ได้โปรดช่วยหลานสาวของผมด้วย ไม่ว่าจะมีเงื่อนไขอะไร ผมก็ยินดีจะตอบรับทั้งหมด!” มู่หรงอวี๋ตูมองไปยังชายชราผมขาวที่อยู่ตรงข้ามแล้วพูดขึ้น

คำพูดของมู่หรงอวี๋ตูไม่แข็งกร้าวจนดูหยิ่งและก็ไม่ได้ถ่อมตนจนเกินไป แต่กลับสามารถแสดงให้เห็นถึงความรักที่คุณปู่คนหนึ่งมีต่อหลานสาว โดยเฉพาะมู่หรงอวี๋ตูที่สู้รบอยู่ในสงครามมาชั่วชีวิต จนถึงตอนนี้สายเลือดของตระกูลมู่หรงเหลือมู่หรงซินที่เป็นหลานสาวเพียงคนเดียว ดังนั้นไม่ว่าจะต้องจ่ายค่าตอบแทนอะไรออกไป มู่หรงอวี๋ตูก็ต้องการช่วยเหลือหลานสาวของตน ต่อให้มู่หรงอวี๋ตูจะเอาชนะอุปสรรคในสนามรบมาได้ชั่วชีวิตและมีบรรยากาศแห่งการฆ่าฟันติดตัวมาจากไฟสงครามทจนทำให้ผู้คนต้องสั่นสะท้านโดยไม่รู้ตัว แต่ตอนนี้เพื่อที่จะช่วยหลานสาวของตน มู่หรงอวี๋ตูก็จำเป็นจะต้องวางทิฐิลง

“นายพลมู่หรง คุณจะให้ความสำคัญกับผมจางอีเต๋อเกินไปแล้ว ผมรักษาอาการป่วยของหลานสาวคุณไม่ได้ ผมก็เป็นแค่หมอเดินดินคนหนึ่ง ผมว่าคุณไปขอร้องคนเก่งๆ ดีกว่า อย่าได้เสียเวลาอีกเลย!”

ชายชราผมขาวที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามของมู่หรงอวี๋ตูหยิบกาน้ำชาของตนขึ้นมารินชาพลางกล่าวอย่างเฉยเมย คล้ายกับว่าความเป็นความตายของหลานสาวของมู่หรงอวี๋ตูไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเขา ราวกับว่าเขาไม่ต้องการที่จะรักษา

“ปรมาจารย์จาง ไม่ขอปิดบังคุณ หลังจากที่ผมทำการตรวจสอบออกมาแล้ว ถึงได้หาที่นี่พบ ผมรู้ว่าคุณมีความสามารถที่จะรักษาหลานสาวของผมให้ดีได้ คุณสามารถทำได้แม้กระทั่งยืดเวลาชีวิตออกไป ทำไมถึงไม่เต็มใจที่จะรักษาให้หลานสาวของผมล่ะครับ? ช่วยชีวิตคนคนหนึ่งประเสริฐก่อสร้างเจดีย์เจ็ดชั้น!” มู่หรงอวี๋ตูพูดออกมาอย่างสะเทือนใจ

เมื่อได้ยินคำพูดของมู่หรงอวี๋ตู ชายชราผมขาวที่ชื่อว่าจางอีเต๋อก็อดไม่ได้ที่จะหยุดการกระทำในมือจนน้ำชาในกาที่กำลังรินใส่แก้วล้นออกมาเต็มโต๊ะ เห็นได้ว่าคำพูดของมู่หรงอวี๋ตูทำให้จางอีเต๋อรู้สึกแปลกใจ

ทุกคนที่อยู่ในที่นี้ นอกจากมู่หรงอวี๋ตูและจางอีเต๋อแล้ว คนที่ฟังเข้าใจจนต้องตกตะลึงก็มีเพียงเย่เทียนเฉินคนเดียว สิ่งที่ทำให้เย่เทียนเฉินคิดไม่ถึงก็คือ ชายชราผมขาวตรงหน้าถึงกับสามารถต่ออายุให้คนได้ หรือเขาจะเป็นเซียนแพทย์เทวะเมื่อ 20 ปีก่อนหน้านี้ เป็นยอดฝีมือผู้มีพลังพิเศษที่มีความสามารถในสายพิเศษ?

“ผมไม่รู้ว่าคุณกำลังพูดอะไร รีบไปเถอะครับ!” เมื่อได้สติกลับมาจางอีเต๋อจึงโบกมือด้วยเจตนาส่งแขก

“ปรมาจารย์จาง ในเมื่อผมพูดมาถึงขั้นนี้แล้ว หวังว่าคุณจะเข้าใจได้ ขอเพียงคุณช่วยหลานสาวของผม เงื่อนไขอะไรผมก็จะตอบรับทั้งนั้น มิเช่นนั้นก็อย่าว่าที่ผมมู่หรงอวี๋ตูจะต้องลงมือ!” มู่หรงอวี๋ตูรู้สึกโกรธขึ้นบ้างแล้ว จ้องมองไปยังจางอีเต๋อแล้วพูดขึ้น

เมื่อเห็นว่าจางอีเต๋อกำลังตกตะลึง มู่หรงอวี๋ตูก็รีบส่งสัญญาณมือ นายทหารสองคนเข็นเก้าอี้รถเข็นแบบพิเศษเข้ามา บนเก้าอี้รถเข็นมีเด็กสาวหน้าตางดงามสะอาดสะอ้านคนหนึ่งนั่งอยู่ ความงดงามเพริศพริ้งของเธอทำให้ทุกคนต้องดวงตาพร่าเลือน เพียงแต่น่าเสียดายที่ใบหน้าของเธอขาวซีด ระหว่างคิ้วถูกปกคลุมไปด้วยความมืดมนที่อธิบายไม่ถูก ในตอนที่เย่เทียนเฉินเห็นเธอ ดวงตาของเขาก็ไม่มีประกายแม้แต่ครึ่งส่วน ทำเพียงเดินเข้าไปใกล้เก้าอี้รถเข็นแบบพิเศษนั้น

“นี่คือหลานสาวของผม มู่หรงซิน หวังว่าคุณจะช่วยเธอ ผมจะไม่ลืมบุญคุณเลย!” มู่หรงอวี๋ตูประสานหมัดคารวะจางอีเต๋อแล้วพูดขึ้น

จางอีเต๋อมองเด็กสาวที่นั่งอยู่บนเก้าอี้รถเข็นครู่หนึ่ง เด็กสาวคนนั้นใบหน้าซีดขาว ลมหายใจรวยระริน ระหว่างคิ้วปกคลุมไปด้วยความหม่นหมอง ไม่รู้ว่าป่วยเป็นอะไร

“ไปเถอะครับ ผมไม่มีความสามารถ คุณเตรียมโลงศพไว้ล่วงหน้าเถอะ!” จางอีเต๋อส่ายหน้า ลุกขึ้นยืนเตรียมจะเดินจากไป

ปัง!

มู่หรงอวี๋ตูใช้ฝ่ามือตบลงบนโต๊ะหินพลางลุกขึ้นยืนจากเก้าอี้หิน จ้องมองไปยังจางอีเต๋อเขม็งแล้วพูดขึ้น “ปรมาจารย์จาง ผมมู่หรงอวี๋ตู ชั่วชีวิตนี้ฆ่าคนไปไม่น้อย แต่ว่า แต่ไหนแต่ไรก็ไม่เคยฆ่าคนบริสุทธิ์ ซินเอ๋อร์เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขเพียงคนเดียวของตระกูลมู่หรงของผม หากว่าเธอตาย ผมก็ไม่มีห่วงอะไรอีก ถึงตอนนั้นก็อย่ามาตำหนิผมแล้วกัน!”

จางอีเต๋อหันไปมองมู่หรงอวี๋ตู ดวงตาเจือประกายความโกรธเคือง เขามองไปยังทหารถือปืนรอบๆ สุดท้ายจึงมองไปยังนักศึกษาหญิงแปลกหน้าที่อยู่ข้างกายเย่เทียนเฉิน ทอดถอนใจออกมาแล้วพูดกับมู่หรงอวี๋ตูว่า

“นายพลมู่หรง ในเมื่อคุณพูดมาอย่างชัดเจนแบบนี้แล้ว ผมจางอีเต๋อก็จะพูดกับคุณให้เข้าใจ เกรงว่าหลานสาวคนนี้ของคุณจะไม่ได้เจ็บป่วย แต่ว่าถูกพิษ เป็นพิษประเภทสยบเรียกว่าหญ้าสยบกายา จะทำให้เกิดการเจ็บป่วยเนื่องจากพลังหยินมากเกิน คนที่ถูกพิษไม่มีทางช่วยเหลือมีเพียงหนทางแห่งความตายเท่านั้น ไม่รู้ว่าคุณไปล่วงเกินใคร ถึงได้ต้องการจะฆ่าสายเลือดคนสุดท้ายที่เหลืออยู่เพียงหนึ่งเดียวของตระกูลมู่หรงของคุณ!”

ทุกคนที่ได้ยินคำพูดของจางอีเต๋อต่างก็ต้องสั่นสะท้าน คนที่อยู่ในฐานะและตำแหน่งอย่างพวกเขา ย่อมเข้าใจได้มากกว่าคนธรรมดาทั่วไป กระทั่งเย่เทียนเฉินก็อดไม่ได้ที่จะแปลกใจ พิษสยบ ไม่ได้ยินคำนี้มานานแล้ว ในช่วงยุคสิ้นโลกซึ่งเป็นโลกที่มีความแปลกประหลาดทุกสิ่งทุกอย่างอยู่นั้น วิชาสายมืดอันเก่าแก่มากมายต่างก็ถูกขุดออกมา ส่วน “สยบ” ก็คือวิชาประเภทมืดหนึ่งในนั้น หากพูดง่ายๆ ก็คล้ายกับตุ๊กตาวูดู เป็นวิชาสาปแช่ง

แต่พิษที่มู่หรงซินหลานสาวของมู่หรงอวี๋ตูได้รับไม่ใช่คำสาปสยบธรรมดา แต่เป็นพิษสยบ เป็นการรวมพิษกับคำสาปสยบเข้าด้วยกัน ไร้หนทางแก้ไขโดยสิ้นเชิง ไม่มีความเป็นไปได้ที่จะมีชีวิตรอดแม้แต่น้อย มิน่าล่ะ หลังจากที่จางอีเต๋อเห็นมู่หรงซินถึงได้ปฏิเสธอย่างเด็ดขาด หากต้องการแก้พิษจากหญ้าสยบกายา ยังยากยิ่งกว่าการไต่ขึ้นสวรรค์เสียอีก

“ผมขอบอกคุณอย่างไม่ปิดบัง หญ้าสยบกายาเป็นสมุนไพรพิษระดับสูงประเภทหนึ่ง ในนั้นเขาไปด้วยคำสาปที่ผู้ใช้วิชามีต่อผู้ถูกคำสาป และหญ้าชนิดนี้เดิมทีก็มีพิษอยู่แล้ว รู้ไหมว่าทำไมเมื่อมันเข้าไปในร่างกายของหลานสาวของคุณแล้วเธอถึงยังสามารถมีชีวิตอยู่ต่อไปได้ และใบหน้าสีขาวขึ้นเรื่อยๆ? นั่นก็เป็นเพราะผู้ใช้วิชาต้องการทรมานเธอ ต้องการให้คุณเจ็บปวด จึงได้ลดทอนประสิทธิภาพของหญ้าสยบกายาลง ให้มันค่อยๆ ซึมเข้าไปเพื่อกัดกินเลือดเนื้อของหลานสาวของคุณทีละน้อย จนกระทั่งเลือดของเธอถูกกินจนแห้งเหือด อวัยวะภายในถูกกัดกินจนว่างเปล่า ผู้ใช้อาคมคนนี้โหดเหี้ยมมาก!” จางอีเต๋อพูดพลางส่ายหน้า

“นี่…ปรมาจารย์จาง ไม่ว่าจะอย่างไรคุณก็ต้องช่วยหลานสาวผม ไม่ว่าจะมีเงื่อนไขอะไรผมก็จะตอบรับ ไม่ว่าจะต้องใช้เงินหรืออำนาจอะไร หรือต้องการชีวิตของผม ผมก็ให้คุณได้…” มู่หรงอวี๋ตูตกตะลึง รีบมองไปยังจางอีเต๋อแล้วพูดขึ้น

“ผมไร้ความสามารถจริงๆ คุณไปเถอะ ไปขอร้องคนที่มีความสามารถเถอะ!” จางอีเต๋อพูดพลางส่ายหน้า

“ปรมาจารย์จาง ผมคิดทุกวิถีทางแล้ว ตอนนี้มีเพียงอาศัยคุณเท่านั้น ผมคิดว่าคุณเองก็คงเข้าใจ กว่าผมสามารถหาที่นี่พบก็ลงแรงไปมาก ผมเชื่อว่าคุณจะต้องมีวิธีแน่นอน เมื่อปีนั้นคุณยังสามารถยืดอายุให้ท่านผู้นำได้ ทำไมจะไม่สามารถแก้พิษสยบนี้ได้ล่ะครับ?” มู่หรงอวี๋ตูเอ่ยปากพูด

“เรื่องเมื่อปีนั้นผมเองก็คิดว่าทำเพื่อประโยชน์ของประชาชน ครั้งนี้พิษสยบของหลานสาวของคุณ ผมไร้ความสามารถจริงๆ เชิญคุณไปเถอะครับ อย่าได้มารบกวนการพักผ่อนของผมเลย!” จางอีเต๋อพูดจบก็หมุนตัวเดินไปในบ้าน คล้ายกับว่าต่อให้ต้องตายก็จะไม่ช่วย

เมื่อเห็นจางอีเต๋อไม่เต็มใจที่จะรักษาหลานสาวของตัวเอง มู่หรงอวี๋ตูก็ไร้ซึ่งหนทางจริงๆ แล้ว เขาทำได้เพียงเดิมพันว่าจางอีเต๋อจะมีวิธีการแก้พิษสยบนี้ได้ จางอีเต๋อซ่อนตัวมา 20 ปีแล้ว เมื่อปีนั้นที่ท่านผู้นำป่วยหนักอีกครั้งหนึ่ง ทางรัฐได้ส่งยอดฝีมือจำนวนนับไม่ถ้วนออกไปตามหาแต่ก็หาจางอีเต๋อไม่พบ หากไม่ใช่ว่าวันนี้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมีการพัฒนาไปมาก เกรงว่ามู่หรงอวี๋ตูก็คงได้แต่มองหลานสาวตายไปต่อหน้า ไม่อาจตามหาจางอีเต๋อจนเจอ

ทันใดนั้น มู่หรงอวี๋ตูหยิบปืนออกมาจากเอวโดยพลัน เล็งไปยังท้ายทอยของจางอีเต๋อแล้วพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “จางอีเต๋อ ผมนับถือในคุณธรรมและวิชาแพทย์ของคุณ ถึงได้เอ่ยปากขอร้อง ถ้าหากหลานสาวผมมีอันตรายอะไรขึ้นมาจริงๆ ผมจะต้องฆ่าคุณแน่ จะฆ่าตระกูลจางของพวกคุณทั้งหมดให้ตายเป็นเพื่อนหลานสาวของผม!”

…………………………….

เฮยเมี่ยนมาเยือนอย่างกะทันหันก็เพื่อต้องการให้เย่เทียนเฉินไปทำภารกิจคุ้มครองคนคนหนึ่งที่ชื่อว่ามู่หรงอวี๋ตู เย่เทียนเฉินรู้เรื่องของบุคคลที่เรียกได้ว่าเป็นคนใหญ่คนโตเหล่านี้น้อยมาก แต่จากที่ได้ยินเฮยเมี่ยนพูด มู่หรงอวี๋ตูคนนี้สุดยอดมาก คนหลายรุ่นของเขาต่างก็สร้างผลงานยิ่งใหญ่เพื่อความปลอดภัยและความเป็นปึกแผ่นของประเทศมามากมาย

ครั้งนี้หลานสาวของมู่หรงอวี๋ตูที่ชื่อว่ามู่หรงซินถูกพิษ เขาจึงไม่เสียดายที่จะต้องแลกด้วยทุกสิ่งทุกอย่างที่มี และบุคคลระดับสูงในประเทศก็ยังให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มาก เพื่อที่จะแสดงท่าทีของพวกเขาจึงได้ให้เฮยเมี่ยนและเย่เทียนเฉินเคลื่อนไหว ไปคุ้มครองมู่หรงอวี๋ตู

สำหรับคนที่ยืนอยู่ในตำแหน่งเช่นมู่หรงอวี๋ตู ข้างกายคงไม่ขาดแคลนยอดฝีมือที่คอยคุ้มครอง แน่นอนว่าคนแบบเขาก็ย่อมมีคู่แค้นอยู่ไม่น้อย มีตระกูลที่อาฆาตมาดร้ายต่อเขาไม่น้อย ด้วยเหตุนี้มู่หรงอวี๋ตูไปที่ไหนก็มักจะพบกับอันตรายอย่างยิ่งยวด ครั้งนี้ดูท่าแล้วคงจะมียอดฝีมือในหมู่ยอดฝีมือไปลอบสังหารเขา มิฉะนั้นคงไม่ต้องส่งเฮยเมี่ยนที่เป็นยอดฝีมือระดับทัพฟ้าไปคุ้มครอง

เดิมทีด้วยนิสัยของเย่เทียนเฉิน ต่อให้เฮยเมี่ยนจะนำคำสั่งของท่านผู้นำสูงสุดมา ก็ไม่ยอมทำตามง่ายๆ เขาเป็นคนที่ไม่ชอบถูกใครควบคุม แต่สุดท้ายที่เขาสนใจจะไปกับเฮยเมี่ยนนั้น ด้วยเหตุผลสำคัญสองประการ

ประการแรก คนที่สามารถลอบสังหารมู่หรงอวี๋ตูจนทำให้ยอดฝีมือระดับทัพฟ้าอย่างเฮยเมี่ยนต้องไปคุ้มครองอยู่ข้างกายได้ แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าฝั่งศัตรูมียอดฝีมือระดับสูงอยู่ เย่เทียนเฉินคิดอยากจะไปเปิดหูเปิดตาดูสักหน่อย ตอนนี้พลังพิเศษของเขาไปถึงขอบเขตจอมราชันแล้ว หากต้องการที่จะทะลวงระดับขึ้นไป ไม่ใช่ว่าอาศัยเพียงการสะสมพลังพิเศษของตนแล้วจะกระทำได้ ยังจะต้องเข้าใจพลังแห่งธรรมชาติอย่างลึกซึ้งถึงจะได้ ต้องอาศัยความ “เข้าใจ”

ประการที่สอง จากคำพูดของเฮยเมี่ยน เย่เทียนเฉินจึงได้รู้ว่ามู่หรงอวี๋ตูหาหมอเทวดาคนหนึ่งพบแล้ว เพื่อที่จะให้เขารักษาพิษให้มู่หรงซินหลานสาวของเขา หมอเทวดานี้จะสามารถรักษาอาการป่วยของแม่ของเสี้ยวหยาได้หรือไม่? ไม่ว่าจะอย่างไรก็คุ้มค่าที่จะลอง

เซียนแพทย์เทวะจากข้อมูลที่ชางหลางให้เย่เทียนเฉิน สามารถเห็นได้ชัดว่าคนๆ นี้เป็นผู้มีพลังพิเศษในสายรักษาที่แข็งแกร่งคนหนึ่ง เคยช่วยยืดอายุของผู้นำระดับประเทศไป 20 ปี และได้หายตัวไป หากต้องการจะตามหาเซียนแพทย์เทวะผู้นี้เป็นเรื่องที่ยากมาก อีกทั้งจนถึงตอนนี้เซียนแพทย์เทวะยังอยู่บนโลกนี้หรือไม่ก็ไม่อาจรู้ได้ ดังนั้นเย่เทียนเฉินจึงคิดจะไปดูเสียหน่อยว่าหมอเทวดาที่มู่หรงอวี๋ตูหาเจอ จะมีส่วนพิเศษอะไรหรือไม่ หากว่ามีวิชาแพทย์สูงส่งจริงๆ และสามารถรักษาแม่ของเสี้ยวหยาได้ ก็ไม่จำเป็นต้องไปตามหาเซียนแพทย์เทวะอะไรนั่นอีก

“เห้อ กระทั่งข้าวเย็นฉันก็ยังไม่ได้กิน ไปทำภารกิจกับแกทั้งๆ ที่ท้องหิว ไม่ใช่ว่าควรจะเลี้ยงข้าวสักมื้อเหรอ?”

เย่เทียนเฉินกลับไปบอกกับแม่และน้องสาวแล้วจึงตามเฮยเมี่ยนไปนั่งในรถจี๊ปทหาร นี่เป็นข้อดีของกองทัพ หากขับรถจี๊ปทหารก็ไม่จำเป็นต้องถูกตรวจสอบในสถานที่หลายๆ แห่ง ลดทอนเวลาไปได้ไม่น้อย ส่วนเย่เทียนเฉินยังคงคิดวนเวียนอยู่แต่กับเรื่องที่ยังไม่ได้กินข้าว

“ตอนนี้ไม่มีเวลาเลี้ยงข้าวแกหรอก ผู้อาวุโสมู่หรงไปเมืองในเขตชานเมืองก่อนแล้ว ฉันจำเป็นต้องรีบตามไป อีกอย่าง ไม่ใช่ว่าแกแกคิดจะให้ผู้อาวุโสมู่หรงเลี้ยงข้าวแกหรือไง พอไปถึงที่นั่นแกก็เอ่ยปากขอท่านไปสิ!” เฮยเมี่ยนเหยียบคันเร่งด้วยความเร็วสูงมุ่งออกจากเขตคฤหาสน์พลางพูดขึ้น

“เห้อ ท่าทางฉันจะเข้ากับพวกแกไม่ได้จริงๆ แย่มาก ขนาดข้าวก็ยังไม่กิน ต่อให้เป็นยอดฝีมือระดับทัพฟ้าก็หิวตายได้!” เย่เทียนเฉินพูดออกมาอย่างทอดถอนใจ

“ไอ้หนูเพลาๆ ลงบ้างเถอะ อย่าได้มากวนฉันขับรถ…” คำพูดของเฮยเมี่ยนยังไม่ทันจบก็ถูกเย่เทียนเฉินขัด

เนื่องจากเย่เทียนเฉินพบว่าบนที่นั่งด้านหลังมีของอยู่หลายอย่าง มีทั้งแฮมเบอร์เกอร์ โค้กกระป๋อง และไส้กรอกแฮม จึงหันไปหยิบมาโดยไม่เกรงใจและกัดกินอย่างตะกละตะกลาม

“ถึงกับซ่อนของดีๆ ขนาดนี้เอาไว้เชียว ดีที่ฉันฉลาดเลยหาเจอ!” เย่เทียนเฉินกัดกินคำใหญ่พลางพูดออกมาด้วยรอยยิ้มชั่วร้าย

“แก…นั่นเป็นอาหารเย็นของฉัน…เหลือไว้ให้บ้าง…”

เฮยเมี่ยนตะโกนเสียงดัง แต่เย่เทียนเฉินไม่เกรงใจเลยสักนิด จัดการทั้งแฮมเบอร์เกอร์ โค้ก และไส้กรอกแฮมจนหมด ไม่เหลือไว้ให้เฮยเมี่ยนเลย หลังจากกินเสร็จยังจงใจเรอออกมาครั้งหนึ่งแล้วพูดว่า “แค่นี้ไม่พอขัดฟันเลยจริงๆ รอให้ไปถึงก่อนจะต้องให้มู่หรงอวี๋ตูเลี้ยงข้าวให้ได้!”

เย่เทียนเฉินกับเฮยเมี่ยนออกเดินทางตั้งแต่สองทุ่ม บนรถเย่เทียนเฉินสูบบุหรี่หมดไปสองมวน และหลับไปโดยไม่รู้ตัว ตอนที่เขาตื่นขึ้นมาก็พบว่ารอบด้านมีแต่ความมืดมิด มีเพียงข้างหน้าที่มีแสงสว่างอยู่เรืองๆ เมื่อมองไปยังโทรศัพท์โดยไม่ตั้งใจ จึงพบว่าเป็นเวลาห้าทุ่มแล้ว ขับรถมาสามชั่วโมงกว่าก็ยังไม่ถึงจุดหมายปลายทาง นี่จะไกลเกินไปหรือเปล่า

“ใกล้จะถึงแล้ว เตรียมลงรถเถอะ!” เฮยเมี่ยนพูดอย่างเรียบเฉย

“ทำไมต้องลงรถ ขับเข้าไปสิ ฉันไม่ค่อยชอบเดินเท่าไหร่!” เย่เทียนเฉินพูดแล้วหัวเราะฮี่ๆ

เสียงดังเอี๊ยดเกิดขึ้น เฮยเมี่ยนจอดรถจี๊ปทหารแล้วเปิดประตูโรงรถไปโดยไม่สนใจเย่เทียนเฉินที่ทำตัวเรื่อยเฉื่อย เย่เทียนเฉินหาวครั้งหนึ่งแล้วลงรถเดินตามหลังเฮยเมี่ยนไป

เดินไปเบื้องหน้าประมาณหนึ่งพันเมตร เย่เทียนเฉินและเฮยเมี่ยนจึงเดินเข้าไปถึงเมืองอันห่างไกลแห่งหนึ่ง แม้จะกล่าวว่าเป็นเมืองเล็กๆ แต่ความจริงเป็นถนนเส้นหนึ่งที่ยาวราวหนึ่งถึงสองพันเมตร สองข้างทางของถนนมีร้านค้าและที่อยู่อาศัยจำนวนหนึ่ง สิ่งปลูกสร้างล้วนดูธรรมดา ไม่มีตึกใหญ่สูงระฟ้าอะไร และบริเวณรอบๆ ถนนแห่งนี้ยังมีบ้านอยู่จำนวนหนึ่ง ส่วนใหญ่เป็นบ้านมุงกระเบื้อง และปิดไฟนอนกันไปเกือบหมดแล้ว มีเพียงไม่กี่ครัวเรือนที่ไฟยังสว่างอยู่

เย่เทียนเฉินเดินตามหลังเฮยเมี่ยนมุ่งตรงไปข้างหน้าโดยตลอด เดินตั้งแต่ปากทางของถนนจนสุดถนน จากนั้นจึงเลี้ยวซ้ายเดินไปบนถนนดิน ในตอนที่เฮยเมี่ยนหยุดลง เย่เทียนเฉินก็พบว่าพวกเขาได้มาถึงประตูบ้านแบบโบราณแห่งหนึ่งแล้ว เป็นเรือนแบบเก่าที่มีลานหน้าบ้านอะไรประมาณนั้น เขตเรือนถูกล้อมรอบด้วยกำแพง ประตูใหญ่ก็เป็นประตูไม้แบบโบราณ แม้จะไม่ได้เข้าไปเย่เทียนเฉินก็พบว่าภายในลานมีต้นไม้ใหญ่สูงเสียดฟ้าอยู่ต้นหนึ่ง ไม่รู้ว่ามีอายุกี่ร้อยปี ดูขลังเป็นอย่างมาก

สิ่งที่ทำให้เย่เทียนเฉินรู้สึกประหลาดใจก็คือ รอบลานบ้านที่ไม่ใหญ่แห่งนี้มีทหารถือปืนยืนอยู่เต็มไปหมด ทุกคนยืนห่างกันหนึ่งเมตร แต่ละคนยืนตรงตามมาตรฐานของทหาร มือทั้งสองกระชับปืนกลในมือ บริเวณประตูของเขตเรือนแห่งนี้ก็มีทหารร่างกายกำยำยืนอยู่สี่นาย มีรถซีดานสีดำคันหนึ่งและยังมีรถบรรทุกลำเลียงสีเขียวของทหารอยู่อีกหลายคัน พลังพิเศษแห่งการรับรู้ของเย่เทียนเฉินแผ่ขยาย เขาพบว่ายังมีทหารอีกจำนวนมากที่แอบซ่อนตัวอยู่รอบๆ ล้อมเมืองเล็กๆ แห่งนี้ไว้ทั้งเมือง กล่าวได้ว่าแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก

“พวกแกสองคนเป็นใคร? ที่นี่ห้ามเข้าไป!” เฮยเมี่ยนและเย่เทียนเฉินเพิ่งจะปรากฏตัวออกมาก็มีทหารถือปืนคนหนึ่งเดินเข้ามาขวางเอาไว้

ในตอนนี้เองเย่เทียนเฉินจึงได้สติกลับมา เมื่อมองไปด้านข้างพบว่ามีนักศึกษาหญิงอายุประมาณ 17-18 ปีคนหนึ่ง ถึงแม้จะแต่งตัวเรียบง่ายแต่ก็ไม่อาจปิดบังหน้าตาที่งดงามหยาดเยิ้มของเธอได้ ตอนนี้กำลังมีท่าทางน้ำตาไหลสะอึกสะอื้น คล้ายกับต้องการที่จะเข้าไปในเขตเรือน

เฮ้ยเมี่ยนเดินเข้าไป หยิบของสิ่งหนึ่งที่ดูคล้ายกับเหรียญตราออกมาจากบริเวณหน้าอก เมื่อทหารถือปืนที่มาขวางพวกเขาเอาไว้ได้เห็นของสิ่งนี้ก็หลบไปยืนด้านข้างอย่างนอบน้อม และยังทำความเคารพเฮยเมี่ยนและเย่เทียนเฉินอีกครั้งหนึ่ง ทำท่าทางเชิญให้เข้าไป

“พี่ชายคะ หนูขอเข้าไปกับพี่ชายได้ไหมคะ?” เฮยเมี่ยนเพิ่งจะก้าวผ่านประตูเข้าไป เย่เทียนเฉินเพิ่งจะเดินถึงประตู นักศึกษาหญิงคนนั้นก็มองไปยังเย่เทียนเฉินอย่างเขินอายแล้วพูดออกมาเสียงเบา

“เธออยากจะเข้าไปกับพวกเราเหรอ? ข้างในอันตรายมาก ไม่กลัวหรือไง?” เย่เทียนเฉินถามด้วยรอยยิ้ม

“ไม่กลัว บ้านของหนูอยู่ที่นี่ คุณช่วยพูดกับพวกเขาให้หน่อยนะคะ ให้ฉันเข้าไปกับพวกคุณได้ไหม?” นักศึกษาหญิงตัวน้อยพูดกับเย่เทียนเฉินด้วยท่าทางขอร้อง

เย่เทียนเฉินเงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นจึงพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม “มาเถอะ!”

“ขอบคุณพี่ชาย ขอบคุณมากค่ะ!” บนใบหน้าของนักศึกษาหญิงตัวน้อยปรากฏรอยยิ้มขึ้น

ไหนเลยจะรู้ว่า ในตอนที่เย่เทียนเฉินกำลังจะพานักศึกษาหญิงที่ไม่รู้จักคนนี้เข้าไปด้วยกันนั้น นายทหารถือปืนที่มาขวางพวกเขาในตอนแรกก็ขวางอยู่เบื้องหน้าเย่เทียนเฉินอีกครั้ง แล้วพูดอย่างเย็นชาว่า “ขอโทษด้วยครับ พวกคุณเข้าไปได้แค่สองคน ผู้หญิงคนนี้มีที่มาไม่ชัดเจน ห้ามเข้าไป!”

“ไม่เป็นไร ฉันจะดูแลเธอเอง!” เย่เทียนเฉินพูดด้วยรอยยิ้ม

“ไม่ได้ครับ หากว่าเกิดความผิดพลาดอะไรขึ้น พวกเราคงรับผิดชอบไม่ไหว รวมถึงคุณด้วย!”

“พี่ชาย…”

“วางใจเถอะ ฉันจัดการเอง!” เย่เทียนเฉินยิ้มให้กับนักศึกษาหญิงตัวน้อยคนนั้นแล้วพยักหน้ากล่าว

เย่เทียนเฉินย่อมเข้าใจถึงสาเหตุที่ว่าทำไมจึงไม่ให้นักศึกษาหญิงคนนี้เข้าไป มู่หรงอวี๋ตูมาถึงแล้ว เขาเป็นบุคคลที่มีความสำคัญเป็นอย่างมาก ความปลอดภัยของเขาก็สำคัญมาก ย่อมไม่สามารถปล่อยให้คนที่มีที่มาที่ไปไม่ชัดเจนเข้าใกล้ได้

แต่เย่เทียนเฉินมีสัญชาตญาณอย่างหนึ่ง นั่นก็คือนักศึกษาหญิงคนนี้ไม่มีอันตรายอะไร เขาเชื่อในสัญชาตญาณของตน เชื่อว่าบนร่างของนักศึกษาหญิงคนนี้ไม่มีกลิ่นอายของไอสังหารอยู่ บริสุทธิ์เหมือนกับเสี้ยวหยา

“เฮยเมี่ยน ฉันไม่เข้าไปกับนายแล้ว จะอยู่คุยกับน้องสาวคนนี้ด้านนอก!” เย่เทียนเฉินยักไหล่ให้เฮยเมี่ยนแล้วพูดขึ้น

“แก…ปล่อยให้พวกเขาสองคนเข้าไปด้วยกัน!” เฮยเมี่ยนมองไปยังเย่เทียนเฉินอย่างดุดันครั้งหนึ่ง จนปัญญากับเจ้าหมอนี่จริงๆ ทำได้เพียงออกคำสั่งกับทหารถือปืนหลายคนที่อยู่ด้านข้าง

“มาเถอะ!” เย่เทียนเฉินหันไปพูดกับนักศึกษาหญิงด้วยรอยยิ้ม

“ขอบคุณพี่ชายมากค่ะ!” นักศึกษาหญิงพูดกับเย่เทียนเฉินด้วยความซาบซึ้งใจ

เฮยเมี่ยนรู้สึกไม่เข้าใจจริงๆ ตกลงเย่เทียนเฉินมีสมองหรือไม่มีสมองกันแน่ ตกลงเป็นอันธพาลหรือเป็นเทพแห่งความตายกันแน่? ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ถึงกับกล้าพาคนแปลกหน้าเข้าไปด้วย ไม่กลัวว่าอีกฝ่ายจะเป็นนักฆ่าหรือไง?

เพียงแต่ในสถานการณ์เช่นนี้ เฮยเมี่ยนก็จนปัญญากับเย่เทียนเฉิน ครั้งนี้เขาได้รับข้อมูลมาว่า เนื่องจากการปรากฏตัวของมู่หรงอวี๋ตู ทำให้อาจจะมียอดฝีมือมาลอบสังหารได้ตลอดเวลา มาถึงตอนนั้นหากอาศัยเขาเพียงคนเดียว อาจจะไม่มีกำลังมากพอที่จะป้องกัน ยังต้องอาศัยฝีมือของเย่เทียนเฉินด้วย

……………………………..

“ย่าขู่ ความหมายของคุณคือ…” หลิงอวี่สวิ๋นอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม

“เย่เทียนเฉินในตอนนี้นับว่าเป็นคนที่อยู่ท่ามกลางคลื่นลม และคนที่อยู่ในตำแหน่งเช่นนี้ มีจุดจบเพียงสองอย่างเท่านั้น ถ้าไม่กลายเป็นทรราชที่ทุกคนรู้จักไปทั่ว ก็ตายโดยที่ไม่รู้ตัว เย่เทียนเฉินในตอนนี้จำเป็นต้องทำให้คุณชายใหญ่แห่งมหาวิทยาลัยหลงเถิงพ่ายแพ้อย่างรวดเร็วที่สุด เมื่อทำเช่นนั้นไม่เพียงแต่เขาเองจะปลอดภัย แต่จะสามารถสร้างความหวาดกลัวให้กับอำนาจใหญ่และตระกูลใหญ่อื่นๆ ที่คิดจะจัดการกับเขาหรือตระกูลเย่ได้อีกด้วย”

หลิงอวี่สวิ๋นได้ยินคำพูดของย่าขู่จึงได้รู้ตัว เป็นแบบนั้นจริงๆ เย่เทียนเฉินในตอนนี้หลังจากที่กลับมายังเมืองหลวงแล้ว ทุกเรื่องที่กระทำก็ดูเหมือนจะเป็นการสื่อว่าเย่เทียนเฉินต้องการโผทะยานขึ้นมา และตระกูลเย่ที่ตกต่ำต้องการที่จะรุ่งโรจน์ จึงได้รับความสนใจจากอำนาจใหญ่และตระกูลใหญ่จำนวนมาก พวกเขาย่อมไม่ปล่อยให้เย่เทียนเฉินแข็งแกร่งขึ้นมาได้ ในช่วงเวลาสำคัญจะต้องฆ่าเขาแน่ เมื่อถึงตอนนั้นคนที่เย่เทียนเฉินจะต้องต่อกรด้วยไม่ได้มีเพียงคุณชายใหญ่คนเดียว แต่ยังจะมีกลุ่มอำนาจใหญ่ที่คิดไม่ถึงจำนวนมากปรากฏตัวออกมา

ย่าขู่มองหลิงอวี่สวิ๋นครั้งหนึ่ง ผู้หญิงเธอเห็นการเติบโตมาตั้งแต่เด็กและเป็นดั่งหลานสาวแท้ๆ ของเธอ แม้ในยามปกติย่าขู่จะมีท่าทางเย็นชา แต่ในใจของเธอก็รักใคร่หลิงอวี่สวิ๋นมาก ย่อมต้องคิดทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อหลิงอวี่สวิ๋น

“คุณหนู ดิฉันรู้ว่าคุณชอบเย่เทียนเฉิน แต่ด้วยสถานการณ์ของเย่เทียนเฉินในตอนนี้ และยังมีตระกูลเย่และตระกูลหลิงที่แตกต่างกันมากอยู่อีก พ่อของคุณจะต้องไม่เห็นด้วยแน่ที่คุณจะอยู่กับเย่เทียนเฉิน กระทั่งอาจคิดจะส่งคนไปฆ่าเย่เทียนเฉินก็เป็นได้ คุณก็รู้ว่านายท่านทำเรื่องแบบนี้ได้…” ย่าขู่เอ่ยปากพูดต่อไป

ความจริงแล้วสิ่งย่าขู่พูดนั้นไม่ผิดเลย กลุ่มอำนาจใหญ่และตระกูลใหญ่จำนวนหนึ่งจะลงมือโดยไม่สนใจอะไรเพียงเพื่อต้องการจะได้รับผลประโยชน์จำนวนมหาศาล กระทั่งใช้การแต่งงานเพื่อแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ก็ไม่ใช่ความแปลกประหลาดอะไร สิ่งที่ยาขู่พูดนั้นเคยเกิดขึ้นมาหลายครั้งแล้ว ไม่ว่าคุณชายที่มีชาติตระกูลหรือคุณหนูสูงศักดิ์ จะไปหลงรักหญิงขี้เหร่หรือชายยากจน ตระกูลก็จะไม่เห็นด้วยโดยเด็ดขาด หากจำเป็นจริงๆ คนในตระกูลก็จะส่งนักฆ่าออกไปจัดการ เพื่อหยุดยั้งความคิดของลูกหลาน ทำให้พวกเขาทำได้เพียงยอมรับการแต่งงานที่ตระกูลจัดเตรียมเอาไว้เท่านั้น เรื่องแบบนี้ไม่นับว่าเป็นเรื่องแปลกใหม่

หลิงอวี่สวิ๋นย่อมไม่ยินยอมที่จะเห็นพ่อของตนส่งคนไปฆ่าเย่เทียนเฉินแน่นอน เธอคิดเพียงต้องการจะช่วยเหลือเย่เทียนเฉิน จะอยากให้เย่เทียนเฉินตายไปได้อย่างไร? คำพูดนี้ย่าขู่ทำให้หลิงอวี่สวิ๋นเข้าใจทุกอย่างจนกระจ่างชัด ในช่วงเวลาเช่นตอนนี้ ยิ่งเธอใกล้ชิดกับเย่เทียนเฉินมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งเป็นผลร้ายกับเย่เทียนเฉินมากเท่านั้น

เดิมทีเย่เทียนเฉินก็มีเรื่องกับคุณชายใหญ่ที่เป็นบุคคลลึกลับที่ยากจะคาดเดาอยู่แล้ว หากทำให้พ่อของหลิงอวี่สวิ๋นต้องลงมืออีก ก็จะอันตรายมากขึ้น จะทำให้เข้าใกล้ความตายมากยิ่งขึ้น

“ดังนั้นความหมายของดิฉันก็คือ หากเย่เทียนเฉินสามารถโดดเด่นรุ่งโรจน์ขึ้นมาได้ สามารถเอาชนะคุณชายใหญ่แห่งมหาวิทยาลัยหลงเถิงได้ คุณก็สามารถอยู่กับเขาได้ หากเขาแพ้คุณก็ต้องหยุดความคิด ที่ดิฉันให้เขาบุกมาที่ตระกูลของพวกเรา ก็เพราะสาเหตุนี้ หากกระทั่งประตูใหญ่ของตระกูลหลิงยังเข้ามาไม่ได้ ก็ไม่อาจทำให้พ่อของคุณยอมรับให้คุณคบกับเขาได้!” ย่าขู่พูดอย่างเรียบเฉย

“เขาจะต้องไม่มีปัญหาแน่ ด้วยฝีมือของเขาในตอนนี้ก็เพียงพอที่จะปกป้องตัวเองแล้ว!” หลิงอวี่สวิ๋นพูดอย่างแน่วแน่

“คุณหนู ดิฉันว่าคุณอย่าได้มองโลกในแง่ดีเกินไปนัก ไม่ใช่ว่าดิฉันจะดูถูกเย่เทียนเฉิน ฝีมือของคนคนนี้แข็งแกร่งจริงๆ กระทั่งอาจจะเหนือกว่าฉันด้วยซ้ำ แต่คุณชายใหญ่ไม่เพียงแต่ลึกลับ แต่ยังมีฝีมือแข็งแกร่งยากที่จะรับมือ ที่สำคัญที่สุดก็คืออำนาจที่หนุนหลังเขายิ่งใหญ่มาก ต่อให้เย่เทียนเฉินจะร้ายกาจเพียงใดก็เป็นเพียงคนคนเดียว สองหมัดยากที่จะต่อกรกับสี่หมัด!” ย่าขู่พูดแล้วส่ายหัว

ความจริงแล้วในใจของย่าขู่รู้สึกว่าการปะทะกันระหว่างคุณชายใหญ่แห่งมหาวิทยาลัยหลงเถิงกับเย่เทียนเฉิน ทั้งสองต่างก็มีอัตราแพ้ชนะครึ่งต่อครึ่ง ด้วยเหตุนี้เธอจึงพูดเช่นนั้นกับเย่เทียนเฉิน เพื่อให้หลิงอวี่สวิ๋นเตรียมใจรอข่าวจากเย่เทียนเฉิน เธอไม่อยากให้หลิงอวี่สวิ๋นรับไม่ได้ในตอนที่ข่าวเรื่องที่เย่เทียนเฉินแพ้และคุณชายใหญ่ฆ่าเขามาถึง

การประมือกับเย่เทียนเฉินในตอนนั้น แม้ใบหน้าของย่าขู่จะไม่ได้มีปฏิกิริยาอะไร แต่ในใจกลับรู้สึกสั่นสะท้าน เธอคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าเย่เทียนเฉินจะแข็งแกร่งถึงขนาดนี้ แข็งแกร่งถึงขั้นลึกล้ำไม่อาจคาดเดา โดยเฉพาะการตะโกนนั้นที่สามารถลดทอนการโจมตีของเธอได้จนทำให้เขามีโอกาสหลบ ในเสียงตะโกนนั้นคละเคล้าไปด้วยพลังอันแข็งแกร่ง และลงมือมาอย่างกะทันหัน ราวกับอยู่ดีๆ มังกรเผือกที่กำลังจำศีลก็คำรามออกมา สั่นสะท้านจนมึนงง

“ไม่ หนูเชื่อมั่นในตัวเขา เขาจะเอาชนะคุณชายใหญ่แห่งมหาวิทยาลัยหลงเถิงได้แน่นอน ต้องทำได้แน่นอน!” หลิงอวี่สวิ๋นพลันพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม

ในตอนนี้เอง เย่เทียนเฉินที่เดินไปถึงประตูบ้านของตนเองแล้ว กำลังจะเคาะประตูเข้าไป ทันใดนั้นเขารู้สึกว่ามีคนอยู่ด้านหลัง คนคนนี้ปรากฏตัวขึ้นอย่างกะทันหัน ก่อนหน้านี้เย่เทียนเฉินไม่อาจสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของผู้มาเยือน แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าคนผู้นี้แข็งแกร่งมาก

ฉัวะ!

ในตอนที่ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายคือใคร วิธีการที่ดีที่สุดก็คือลงมือโจมตี ไม่ว่าจะเป็นใคร เมื่อซัดอีกฝ่ายจนพ่ายแพ้ถึงจะไร้ข้อผิดพลาด เย่เทียนเฉินหมุนตัวพลางปล่อยมันออกไปด้วยความรวดเร็วเป็นอย่างมาก ต่อให้ไม่มีพลังพิเศษในขอบเขตจอมราชันเจือปนอยู่ ก็ยังคงเป็นหมัดที่ไม่อาจดูเบาได้

ตู้ม!

หมัดทั้งสองปะทะกัน คนที่ยืนอยู่ด้านหลังเย่เทียนเฉินไม่ได้ถอย แต่ใช้หมัดซัดเข้ามาเช่นเดียวกัน เพราะเขาไม่เคยถอยให้กับใคร ต่อให้เป็นเย่เทียนเฉินที่หลายคนคิดว่ามีความสามารถลึกล้ำเกินคาดเดาก็ตาม นอกจากนี้เขายังคิดที่จะสู้กับเย่เทียนเฉินสักครั้งมานานแล้ว อยากจะสั่งสอนไอ้หนูนี่ว่าอย่าได้ไม่เห็นยอดฝีมือทัพฟ้าอยู่ในสายตา

เย่เทียนเฉินและคนด้านหลังที่ปรากฏตัวอย่างกะทันหันประหมัดกันอย่างรุนแรง ทั้งสองถูกแรงปะทะจนถอยออกไปคนละสองก้าว ต่างก็มีสภาพพอกัน แน่นอนว่าทั้งสองไม่ได้ลงมือเต็มที่

“หึ จะช้าจะเร็วฉันก็ต้องอัดแกแน่!” ชายร่างสูงใหญ่ที่ยืนอยู่เบื้องหน้าเย่เทียนเฉินแค่นเสียงเย็นออกมาครั้งหนึ่งแล้วพูดขึ้น

“หือ? แกอยู่ไหนน่ะ? ทำไมฉันมองไม่เห็น? อ้อ…ที่แท้แกก็ดำเกินไปนี่เอง!” เย่เทียนเฉินพูดด้วยน้ำเสียงสงสัยเต็มเปี่ยม

“แก…”

“บอกมาเถอะว่ามาหาฉันมีเรื่องอะไร? คงไม่คิดจะเลี้ยงบะหมี่ฉันใช่ไหม? บะหมี่ของเฮยเมี่ยน บะหมี่ดำ?”

เย่เทียนเฉินเล่นมุกไม่ฮาที่ดูงงๆ ออกมา บางทีหากคนอื่นมาได้ยินคงไม่ตลก แต่ชายร่างใหญ่ที่ยืนอยู่หน้าเขานี้กลับโกรธจนจ้องเขาด้วยดวงตาแดงก่ำ ต้องการที่จะลงมืออัดให้หนักๆ เพราะเขาก็คือเฮยเมี่ยนยอดฝีมือระดับทัพฟ้า

“จะช้าจะเร็วฉันก็ต้องอัดแกให้เละเป็นโจ๊ก!” เฮยเมี่ยนกำหมัดที่แข็งแกร่งดุจเหล็กจนส่งเสียงกรอบแกรบแล้วกัดฟันพูด

“มีอะไรก็พูดมา ฉันยุ่งมาก ยังต้องไปกินข้าวเย็นอีก!” เย่เทียนเฉินพูดพลางหัวเราะฮี่ๆ

“แก…มีเรื่องหนึ่ง ต้องการให้แกไปกับฉัน…” เฮยเมี่ยนโกรธจนแทบกระอักเลือด แต่ยังคงพูดออกมาอย่างอดทน

“อะไรนะ? พี่เฮย ดูบ้างเถอะว่าตอนนี้กี่โมงแล้ว เกือบจะสองทุ่มเเล้ว ยังมีภารกิจอีก? องค์กรของพวกคุณจะไร้คุณธรรมเกินไปหรือเปล่า?”

เย่เทียนเฉินพูดออกมาอย่างทนไม่ไหว เดิมทีเขาก็ไม่ใช่คนที่จะยอมรับการควบคุมจากคนอื่น ต่อให้จะตอบรับคำของหยางอี้และผู้นำสูงสุดไปว่าหากมีเวลาก็จะทำเรื่องเพื่อชาติบ้าง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่ามีเรื่องอะไรก็จะมาหาเขาได้ เย่เทียนเฉินเต็มใจจะทำหรือไม่ล้วนต้องดูอารมณ์ของเขาด้วย

หากคนอื่นรู้เรื่องนี้เกรงว่าจะต้องตกใจจนคางร่วงแน่นอน ใครกล้าขัดคำสั่งของท่านผู้นำสูงสุดบ้าง? เกรงว่าทั่วทั้งประเทศจีนจะมีเพียงเย่เทียนเฉินคนเดียวที่กล้ากระทำเช่นนี้กับคำสั่งของท่านผู้นำ และยังกล้าเอาอารมณ์ของตนเป็นที่ตั้ง

“ฉันไม่อยากจะมาพูดกับไอ้หนูอย่างแกแม้แต่ประโยคเดียว เพียงแต่จะบอกเรื่องคำสั่งของท่านผู้นำสูงสุดให้แกฟัง คำสั่งคือต้องการให้แกกับฉันไปคุ้มครองคนคนหนึ่งทั้งคืน เพราะหากคนคนนี้เกิดเรื่องขึ้น จะส่งผลคุกคามไปถึงความปลอดภัยของประเทศ จะไปหรือไม่ไป?” เฮยเมี่ยนมองเย่เทียนเฉินแล้วเอ่ยขึ้นอย่างไม่สบอารมณ์

“มีคนแบบนี้ด้วย? ไม่มีเขาแล้วโลกจะไม่โคจรรอบดวงอาทิตย์หรือไง? ใครล่ะ?” เย่เทียนเฉินถามอย่างไม่พอใจ

“มู่หรงอวี๋ตู!” เฮยเมี่ยนพูดด้วยน้ำเสียงเคารพ

“มู่หรงอวี๋ตู? ไม่เคยได้ยินมาก่อน!” เย่เทียนเฉินโบกมือพลางพูดอย่างไม่พอใจ

“แก…ไอ้หนูอย่างแกไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรจริงๆ งั้นฉันจะบอกแกให้ ตระกูลมู่หรงหลายรุ่นสร้างผลงานยิ่งใหญ่ที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงและความเป็นปึกแผ่นของประเทศไว้มาก ผู้อาวุโสมู่หรงอวี๋ตูกุมอำนาจทางการทหารทั้งหมดของภาคเหนือของจีนเอาไว้ในมือ เมื่อปีนั้นเพื่อที่จะปกป้องประเทศชาติ ลูกชายทั้งสี่คนของเขาต่างก็ตายในสนามรบ ตอนนี้เหลือหลานสาวเพียงคนเดียวก็คือมู่หรงซิน ดูเหมือนว่ามู่หรงซินจะถูกพิษ ผู้อาวุโสมู่หรงอวี๋ตูต้องการที่จะใช้พลังอำนาจทั้งหมด กระทั่งท่านผู้นำสูงสุดก็ยังใส่ใจเรื่องนี้ สุดท้ายจึงหาหมอเทวดาคนหนึ่งเจอที่เมืองเล็กๆ อันห่างไกลในเขตชานเมือง แต่ได้ข่าวว่าหมอเทวดาผู้นี้มีนิสัยสันโดษเอาแต่ใจ ในขณะเดียวกันก็มีคนคิดที่จะกำจัดผู้อาวุโสมู่หรงอวี๋ตูอย่างลับๆ เพื่อความปลอดภัยของเขาท่านผู้นำจึงตัดสินใจให้แกกับฉันไปคุ้มครองหลานสาวของท่าน!”

เฮยเมี่ยนอธิบายให้เย่เทียนเฉินได้ฟังถึงภารกิจในครั้งนี้ออกมารวดเดียว

“ในเมื่อมู่หรงอวี๋ตูมีอำนาจขนาดนั้น ข้างกายจะต้องไม่ขาดแคลนยอดฝีมือที่จะคุ้มครองเขาแน่ จะต้องใช้ฉันกับแกอีกทำไม แยกย้ายกันกลับบ้านไปนอนเถอะ!” เย่เทียนเฉินหาวครั้งหนึ่งแล้วพูดออกมา

“หากมันง่ายอย่างที่แกพูดจริงๆ เรื่องนี้คงสำเร็จไปนานแล้ว ครั้งนี้อาจจะมียอดฝีมือมาลอบสังหารมู่หรงอวี๋ตู ยิ่งไปกว่านั้นการที่ส่งฉันกับแกไปคุ้มครองเขาก็เป็นน้ำใจของท่านผู้นำ และเป็นท่าทีของบุคคลระดับสูงด้วย!” เฮยเมี่ยนมองเย่เทียนเฉินแล้วพูดขึ้น

“ยอดฝีมือ? กระทั่งขุนศึกระดับทัพฟ้าก็ออกโรงแล้ว ไม่รู้ว่ามู่หรงอวี๋ตูไปล่วงเกินใครเข้า ถึงกับกล้าส่งคนมาลอบสังหารเขา ดูแล้วยอดฝีมือที่ลอบโจมตีเขาคงจะแข็งแกร่งมาก!” เย่เทียนเฉินคิดแล้วพูดขึ้น

“จะไปหรือไม่ไปก็แล้วแต่ คำพูดของท่านผู้นำฉันบอกแกแล้ว ฉันเชื่อว่าด้วยความสามารถของฉันคนเดียว ต่อให้เป็นคนแข็งแกร่งขนาดไหนฉันก็สามารถหยุดมันได้!” เฮยเมี่ยนพูดอย่างหนักแน่น

“โม้ให้น้อยหน่อยเถอะ ไป ฉันจะไปเป็นเพื่อนแกเอง แต่แกต้องให้มู่หรงอวี๋ตูเลี้ยงข้าวฉันด้วย ฉันยังไม่ได้กินข้าวเย็น!” เย่เทียนเฉินคิดแล้วพูดออกมา

“แกก็ไปพูดกับท่านผู้อาวุโสมู่เองเถอะ ฉันไม่มีหน้าจะทำแบบนั้น!” เฮยเมี่ยนมองเย่เทียนเฉินอย่างเอือมระอา

………………………..

“หรือนายคิดว่า อาศัยแค่พลังของนายคนเดียวจะสามารถหาคนหลังม่านออกมาได้?” หลิ่วหรูเหมยมองไปยังเย่เทียนเฉินอย่างเอือมระอาแล้วเอ่ยถามออกมา

ฝีมือของเย่เทียนเฉินแข็งแกร่งมาก แข็งแกร่งจนถึงขั้นไม่อาจจินตนาการได้ ในจุดนี้หลิ่วหรูเหมยรู้ดี การเดินทางไปประเทศ M นั้น หากไม่ใช่เย่เทียนเฉิน เกรงว่าพวกหลิ่วหรูเหมยไม่เพียงแต่จะทำภารกิจแลกเปลี่ยนไม่สำเร็จ แต่ยังต้องทิ้งชีวิตไว้ที่นั่นอีกด้วย หลังจากที่หลิ่วหรูเหมยกลับประเทศมาแล้วก็วุ่นวายอยู่กับการวิจัยและพัฒนาอาวุธเพื่อกองทัพมาโดยตลอด จนกระทั่งถึงตอนนี้ถึงจะมีเวลาว่าง เรื่องเมื่อปีนั้นเป็นปมที่อยู่ในใจของหลิ่วหรูเหมยมาโดยตลอด ยิ่งไปกว่านั้นสิ่งที่เธอพูดก็ไม่ใช่เรื่องโกหก หลายปีมานี้ตระกูลหลิ่วรู้สึกได้ว่ามีกลุ่มอำนาจหนึ่งที่ต้องการควบคุมตระกูลหลิ่วมาตลอด แต่น่าเสียดายที่ส่งยอดฝีมือและมือสังหารออกไปจำนวนมากก็ยังไม่สามารถตรวจสอบอะไรได้ หลิ่วหรูเหมยจึงคิดมาร่วมมือกับเย่เทียนเฉิน

เพียงแต่หลิ่วหรูเหมยคิดไม่ถึงว่า หลังจากที่เย่เทียนเฉินได้ฟังข้อเสนอของตน จะถึงกับคิดจะไปตรวจสอบเรื่องเมื่อปีนั้นด้วยตัวคนเดียว เจ้าหมอนี่จะโอหังกินไปแล้ว จะประเมินตัวเองสูงเกินไปหรือเปล่า? ต้องทราบว่าตระกูลหลิ่วส่งยอดฝีมือออกไปจำนวนมากก็ยังไม่สามารถตรวจสอบจนกระจ่างชัดได้ กระทั่งเบาะแสสำคัญเพียงเล็กน้อยก็ยังหาไม่พบ เห็นได้ชัดว่าบุคคลที่อยู่หลังม่านไม่ธรรมดา เย่เทียนเฉินต้องการตรวจสอบเรื่องเมื่อปีนั้นด้วยตัวคนเดียว เพลงว่าจะเป็นเรื่องน่าขันแล้ว

“ถูกต้อง ฉันคิดทบทวนเรื่องเมื่อปีนั้นแล้ว จุดที่น่าสงสัยที่สุดก็คือไป๋อู่ ได้ยินว่าหลายปีมานี้เจ้าหมอนี่ใช้ชีวิตไม่ได้เลวเลย ฉันคิดจะไปดูแลเขาสักหน่อย…” เย่เทียนเฉินพูดด้วยรอยยิ้ม

“ฉันว่านายอย่าไปจะดีกว่า ไป๋อู่ในตอนนี้ไม่ใช่ไป๋อู่เมื่อตอนนั้นแล้ว ตอนนี้เขาเป็นนายน้อยสองแห่งพรรคคุณชาย ด้วยฐานะของเขาเกรงว่าหากต้องการที่จะพบไป๋อู่คงไม่ง่ายแบบนั้น!” หลิ่วหรูเหมยมองเย่เทียนเฉินแล้วพูดอย่างจริงจัง

ไป๋อู่เมื่อปีนั้นก็เป็นเหมือนกับเย่เทียนเฉินในอดีต เป็นคุณชายในตระกูลชั้นสามของเมืองหลวง ตอนนั้นเย่เทียนเฉินเรื่อยเฉื่อยเสเพล เรียกได้ว่าเป็นสหายเสเพลกับไป๋อู่ ฐานะของทั้งสองไม่ได้สูงส่ง แต่ตั้งแต่ที่เย่เทียนเฉินแอบดูหลิ่วหรูเหมยอาบน้ำจนสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไปทั่วทั้งเมืองหลวง ไป๋อู่ก็หายตัวไประยะหนึ่ง ในตอนที่เขาปรากฏตัวออกมาอีกครั้งก็กลายเป็นนายน้อยสองแห่งพรรคคุณชายไปแล้ว เรียกได้ว่าตำแหน่งกระโดดสูงขึ้นหลายขั้น ทำให้คนจำนวนมากประหลาดใจ

พรรคคุณชายหากพูดตรงๆ ก็พรรคของลูกคุณหนูคุณชายทั้งหลาย นี่เป็นองค์กรแบบไหนเชื่อว่าทุกคนก็คงรู้ เหล่าคุณหนูคุณชายสูงศักดิ์ที่อยู่ในนั้น มีกี่คนที่เป็นลูกหลานเจ้าขุนมูลนาย? ทุกคนต่างก็มีพื้นแพเบื้องหลังแข็งแกร่ง ไม่มีใครกล้าล่วงเกิน จินตนาการได้เลยว่า คนที่สามารถกลายเป็นนายน้อยสองแห่งพรรคคุณชายได้จะมีอำนาจแข็งแกร่งเพียงใด? คุณหนูคุณชายในนั้น ต่างก็ยโสโอหังและหยิ่งผยองจนถึงขีดสุด จะยอมรับคนอื่นด้วยตัวเองได้อย่างไร?

ส่วนไป๋อู่นั้นเป็นคนที่มีพื้นเพเบื้องหลังไม่แข็งแกร่งอะไร แต่ก็ยังสามารถกระโดดไปเป็นนายน้อยสองแห่งพรรคคุณชายได้ ทำให้ผู้คนต้องตื่นตะลึงจริงๆ และที่ทำให้ต้องสงสัยก็คือ การที่เขาได้รับตำแหน่งมากมายเช่นนี้ในชั่วพริบตา จะเป็นเพราะมีคนแนะนำให้เขาทำเรื่องขายเย่เทียนเฉินเมื่อปีนั้น และในขณะเดียวกันก็ทำให้ตระกูลหลิวและตระกูลเย่ขายหน้าหรือไม่

ดังนั้นจึงกล่าวได้ว่าหลิ่วหรูเหมยพูดไม่ผิด ไป๋อู่กลายเป็นนายน้อยสองแห่งพรรคคุณชายไปแล้ว สามารถเรียกได้ว่าเป็นคนที่เรียกลมได้ลมเรียกฝนได้ฝนในเมืองหลวง ต่อให้เป็นแค่เหล่าคุณหนูคุณชายสูงศักดิ์ที่อยู่ใต้เขา หากต้องการที่จะใช้อำนาจของตระกูลกระทำเรื่องอะไรขึ้นมา เชื่อว่าจะต้องทำให้ผู้คนต้องสั่นสะท้านอย่างแน่นอน

“พรรคคุณชาย? จะยังไงก็ไม่ได้ไปเล่นที่นั่นนานแล้ว ไม่รู้ว่าคนพวกนี้เป็นยังไงบ้าง เมื่อปีนั้นฉีกหน้าฉันจนพอแล้วหรือยัง? ใช่แล้ว ตอนนี้ลูกพี่ใหญ่ของพวกเขาคือใคร?” เย่เทียนเฉินเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม

“ไม่รู้” หลิ่วหรูเหมยพูดพลางส่ายหัว

“หือ? ไม่ใช่เฉินเจียงเหรอ? นี่เพิ่งจะผ่านมาไม่กี่ปี พรรคคุณชายเปลี่ยนลูกพี่ซะแล้ว?” เย่เทียนเฉินถามอย่างสงสัย

“เฉินเจียงตายแล้ว ตอนนี้ลูกพี่ใหญ่ของพรรคคุณชายเป็นความลับ แต่ไหนแต่ไรก็ไม่เคยออกหน้า ตลอดมาล้วนเป็นไป๋อู่และนายน้อยสามที่จัดการเรื่องต่างๆ!” หลิ่วหรูเหมยพูดพลางขมวดคิ้ว

“เฉินเจียงตายแล้ว? เกิดเรื่องตอนไหนกัน?” เย่เทียนเฉินอดไม่ได้ที่จะถามด้วยความประหลาดใจ

“ก่อนหน้านี้หนึ่งปี เป็นปีที่นายไปเป็นทหาร เขาถูกคนฆ่าในคฤหาสน์ แฟนสาวทั้งสามคนของเขาก็ถูกฆ่าด้วย สภาพที่เกิดเหตุอนาถมาก!” หลิ่วหรูเหมยเองก็พูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ

เมื่อได้ยินคำพูดของหลิ่วหรูเหมย เย่เทียนเฉินก็อดไม่ได้ที่จะตกตะลึง เขาคิดไม่ถึงว่าจากไปเพียงหนึ่งปี พรรคคุณชายจะถูกเปลี่ยนมือแล้ว ก่อนหน้านี้เย่เทียนเฉินเองก็เป็นสมาชิกพรรคคุณชาย แน่นอนว่าความตกต่ำของตระกูลเย่ทำให้เย่เทียนเฉินที่อยู่ในพรรรคคุณชายถูกรังแกและกดดันไม่น้อย ส่วนเรื่องการตายของเฉินเจียงนั้นทำให้เย่เทียนเฉินตกตะลึงมากจริงๆ เพราะในความคิดของเขา เฉินเจียงไม่ใช่คนโง่ สามารถขึ้นเป็นหัวเรือใหญ่ของพรรคคุณชายได้ ต่อให้โง่ก็ต้องมีความฉลาดอยู่บ้าง พูดได้ว่าจุดอ่อนเพียงอย่างเดียวเฉินเจียงก็คือบ้ากาม บ้ากามจนถึงขั้นทำให้ผู้หญิงต้องคุกเข่า บางทีการตายของเฉินเจียงอาจจะเกี่ยวข้องกับผู้หญิง และบางทีอาจจะถูกผู้หญิงฆ่าตายก็เป็นได้ แต่ไม่ว่าเขาจะตายอย่างไร เรื่องนี้ก็ต้องมีลับลมคมใน คงไม่ง่ายเช่นนั้น

“อำนาจของตระกูลเฉินก็ไม่ได้อ่อนแอ เฉินเจียงถูกฆ่าตาย เกรงว่าตระกูลเฉินจะไม่ยอมจบง่ายๆ แน่…”

“หลังจากที่เกิดเรื่อง ยอดฝีมือจำนวนมากของตระกูลเฉินก็มีการเคลื่อนไหวจริงๆ แต่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด หลังจากนั้นสามวันจึงมีข่าวลือออกมาว่าเฉินเจียงฆ่าตัวตาย เรื่องนี้จึงได้สิ้นสุดลง เห็นได้ว่าเฉินเจียงตายอย่างอัปยศอดสู นับเป็นโศกนาฏกรรมอย่างหนึ่ง!”

เย่เทียนเฉินคิดครู่หนึ่ง อดไม่ได้ที่จะแย้มยิ้มที่มุมปาก ท่าทางดูจะสนุกมากขึ้นเรื่อยๆ แล้ว เรื่องราวไม่ง่ายขนาดนั้น คนหลังม่านผู้นี้ร้ายกาจมาก หากตนเองต้องการที่จะจับเขาออกมาก็เป็นการท้าทายมาก ทั้งยังเพิ่มความลึกลับและความน่าสนใจของเกมอีกด้วย

“น่าสนุก ฉันคิดว่าจะต้องเป็นเกมที่ไม่เลวเกมหนึ่งแน่นอน พวกเธอกลับไปก่อนเถอะ ฉันจะไปตรวจสอบแน่!” เย่เทียนเฉินพูดด้วยรอยยิ้มเล็กน้อย

“นายจะไปหาไป๋อู่จริงๆ เหรอ? ฉันว่านายอย่าไปเสี่ยงอันตรายเลยจะดีกว่า ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นการแหวกหญ้าให้งูตื่นด้วย!” หลิ่วหรูเหมยเอ่ยปาก

ในความคิดของหลิ่วหรูเหมย หากเย่เทียนเฉินไปหาไป๋อู่และถามถึงเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นเมื่อปีน้ำตรงๆ แม้แต่คนโง่ก็ยังรู้ว่า หากไป๋อู่มีปัญหาจริงๆ ไม่เพียงแต่จะไม่พูดเรื่องปีนั้นออกมา แต่ยังจะคิดหาวิธีฆ่าปิดปากเย่เทียนเฉินอีกด้วย นี่เป็นการรนหาที่ตายโดยแท้

การที่หลิ่วหรูเหมยไม่ได้ไปหาไป๋อู่โดยตรงหลังจากที่ตรวจสอบจนพบว่าเขามีปัญหานั้นมีเหตุผลอยู่สองข้อ ข้อแรกเพราะเกรงว่าจะเป็นการแหวกหญ้าให้งูตื่น ข้อที่สองนั้นเป็นสาเหตุที่สำคัญมากสาเหตุหนึ่ง นั่นก็คือด้วยตำแหน่งและฐานะของไป๋อู่ในตอนนี้ ทำให้ไม่สามารถล่วงเกินได้ง่ายๆ ท่ามกลางเมืองหลวงมีกลุ่มอำนาจใหญ่และตระกูลใหญ่ต่างๆ มากมายที่มีความสัมพันธ์เกี่ยวโยงกัน หลิ่วหรูเหมยจำเป็นต้องคิดถึงตระกูลหลิ่วของตน ไม่สามารถทำอะไรมั่วซั่วได้

“วางใจเถอะ ฉันรู้ว่าจะจัดการยังไง คนบางคนก็หยิ่งทะนง ต่อให้ถูกตีจนตายก็ไม่พูดอะไรแม้แต่ประโยคเดียว แต่บางคนก็หน้าตัวเมีย ไม่อัดไม่ได้ ต้องอัดให้แทบตายถึงจะได้ผล!” เย่เทียนเฉินพูดด้วยรอยยิ้ม

“นาย…” หลิ่วหรูเหมยยังไม่ทันพูดอะไรเย่เทียนเฉินก็หมุนตัวเดินไปแล้ว ทำให้เธอโกรธจนพองแก้มออกมา แต่ไหนแต่ไรก็ไม่มีใครกล้าทิ้งเธอที่เป็นคนสวยคนหนึ่งเอาไว้แบบนี้มาก่อน เย่เทียนเฉินเป็นคนแรก

“ใช่แล้ว จำคำพูดของฉันเอาไว้ให้ดี ทำการศึกษาวิจัยข้อมูลอาวุธนิวเคลียร์อะไรของเธอนั่นให้ดีๆ ไป ถ้าเรื่องนี้ได้ผลอะไรแล้วฉันจะบอกเธอเอง!” เย่เทียนเฉินหันไปพูดกับหลิ่วหรูเหมย จากนั้นจึงเดินหายไปท่ามกลางความมืด

“ไอ้หมอนี่…”

หลิ่วหรูเหมยโกรธจนกระทืบเท้า ส้นสูงเซ็กซี่คู่หนึ่งรวมกับเรียวขางดงามราวแจกันหยก ดูน่ารักน่าหมั่นเขี้ยวมาก แต่หลิ่วหรูเหมยเป็นผู้หญิงที่เฉลียวฉลาดและหน้าตางดงามจริงๆ ไม่นานก็ดึงสติกลับมาจากความโมโหเหมือนเด็กน้อยได้

“หย่งชุนไท่ คุณว่าเรื่องนี้พวกเราจะทำยังไงต่อไปดี?” หลิ่วหรูเหมยปรึกษากับหย่งชุนไท่

“ในเมื่อเย่เทียนเฉินคิดจะจัดการคนเดียว งั้นพวกเราก็รอดูการเปลี่ยนแปลงเถอะ ว่ากันตามจริงแล้ว ตระกูลเย่ตกต่ำลง จะล่มสลายหรือไม่ก็ไม่มีผลกระทบยิ่งใหญ่อะไร เย่เทียนเฉินสามารถกระทำการคนเดียวได้โดยไม่ต้องพึ่งพาอาศัยการส่งเสริมของตระกูล แต่ตระกูลหลิ่วไม่เหมือนกัน หากก่อเรื่องใหญ่อะไรขึ้นมา ก็จะส่งผลกระทบไปถึงตระกูลหลิ่ว จะต้องใคร่ครวญให้มากสักหน่อย!” หย่งชุนไท่พูดอย่างจริงจัง

“อืม แต่ฉันเองก็ต้องออกแรงบ้าง จะอย่างไรเรื่องเมื่อปีนั้นก็ส่งผลกระทบกับพวกเราทั้งสองคน ยิ่งไปกว่านั้นเรื่องนี้ส่งผลเชิงลบกับเย่เทียนเฉินไม่น้อย รู้สึกผิดกับตระกูลเย่ของเขาจริงๆ!” หลิ่วหรูเหมยพูดแล้วทอดถอนใจ

“หรูเหมย เพราะเธอใจดีเกินไปเมื่อปีนั้นถึงได้ถูกคนวางแผนร้ายใส่จนมีเรื่องกับเย่เทียนเฉิน ไปเถอะ พวกเราส่งคนไปตรวจสอบอย่างลับๆ ก็พอแล้ว!” หย่งชุนไท่พูดแล้วส่ายหน้า

หย่งชุนไท่และหลิ่วหรูเหมยจากไปแล้ว ส่วนเย่เทียนเฉินกำลังผิวปากเดินทอดน่องอยู่บนถนน มุ่งหน้าไปยังประตู มุมปากคาบบุหรี่มวนหนึ่ง กำลังคิดว่าจะตรวจสอบเรื่องที่ถูกใส่ร้ายอย่างไรดี เรื่องนี้จะต้องทำให้กระจ่างชัดให้ได้ กล่าวได้ว่าเป็นความอัปยศที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่เย่เทียนเฉินเคยได้รับ เย่เทียนเฉินที่เคยเป็นผู้มีพลังพิเศษระดับพระเจ้า เป็นคนที่มีแค้นต้องชำระ ลูกผู้ชายควรจะเป็นเช่นนี้ เมื่อจัดการกับคนถ่อยย่อมไม่จำเป็นต้องออมแรง

ในขณะที่เย่เทียนเฉินที่เดินเอ้อระเหยอยู่นั้น เขาคิดไม่ถึงเลยว่า ในสถานที่แห่งหนึ่ง จะมีสาวสวยคนหนึ่งและหญิงชราคนหนึ่งกำลังพูดคุยเกี่ยวกับตนเองอยู่ สองคนนี้ก็คือหลิงอวี่สวิ๋นและย่าขู่

“ย่าขู่ ต่อให้พวกเราไม่สามารถช่วยเย่เทียนเฉินได้ ก็ไม่เห็นต้องไปกระตุ้นเขาแบบนั้นเลย? หากเขาไปวุ่นวายกับคุณชายใหญ่แห่งมหาวิทยาลัยหลงเถิงขึ้นมาจริงๆ คงต้องตายแน่!” หลิงอวี่สวิ๋นพูดอย่างกังวล

“คุณหนู ความจริงที่ดิฉันกระตุ้นเขาก็เพื่อคุณหนู…” แม้ว่าย่าขู่จะมีท่าทางเย็นชา แต่กลับพูดด้วยน้ำเสียงเมตตา

“เพื่อนหนูเหรอคะ? ย่าขู่…” หลิงอวี่สวิ๋นมองไปยังอีกฝ่ายด้วยความแปลกใจ ไม่รู้ว่าคำพูดนี้ของย่าขู่มีความหมายอะไร

“คุณหนู ดิฉันเห็นคุณเติบโตมาตั้งแต่เล็ก คุณคิดอย่างไรดิฉันจะมองไม่ออกเชียวหรือ คุณไม่ใช่แค่เพื่อนสมัยเด็กกับเย่เทียนเฉินเท่านั้น แต่คุณยังชอบเขาจริงๆ แล้ว…”

“ย่าขู่ เป็นแบบนั้นที่ไหนกันคะ…”

“คุณอย่าเพิ่งขัดคำพูดของดิฉันเลย ฟังให้จบก่อน… เย่เทียนเฉินเคยเป็นคุณชายเสเพลในเมืองหลวง ก่อเรื่องไปไม่น้อย และล่วงเกินคนไปไม่น้อย ดังนั้นตอนนี้เมื่อเขากลับมาที่เมืองหลวงแล้ว จะต้องมีคนมากมายที่อยากจะกำจัดเขา หรือกระทั่งอยากฆ่าเขาแน่นอน ในตอนที่คนเพียงคนเดียวต้องเผชิญหน้ากับศัตรูมากมาย หนทางเดียวก็คือต้องโจมตีกลับ ต้องทำลายศัตรูทุกคนที่มีถึงจะสามารถรักษาตนเองให้ปลอดภัยได้ ถึงจะสามารถมีชีวิตอยู่ต่อไปได้!” ย่าขู่มองหลิงอวี่สวิ๋นแล้วพูดขึ้น

………………………………..

คฤหาสน์ที่เย่เทียนเฉินอาศัยอยู่ไม่นับว่าใหญ่และไม่นับว่าเล็ก ที่นี่ไม่ใช่สถานที่รวมตัวของผู้ร่ำรวยในเมืองหลวง และไม่ใช่สถานที่ที่ผู้มีอำนาจจะอาศัยอยู่ แต่ครอบครัวที่สามารถซื้อคฤหาสน์ในเมืองหลวงได้ จะอย่างไรก็ยังเกี่ยวข้องกับทรัพย์สินเงินทองอยู่บ้างเล็กน้อย ดังนั้นวิวทิวทัศน์ในคฤหาสน์แห่งนี้ก็นับว่าไม่เลวเลยทีเดียว

ตอนนี้เย่เทียนเฉินและผู้หญิงหน้าตางดงามที่มาเยือนอย่างกะทันหันคนนั้นเดินไปนั่งในศาลาเล็กๆ บริเวณไม่ไกลแล้วเริ่มสนทนากัน ส่วนเรื่องที่ว่าผู้หญิงคนนี้มาเยือนอย่างกะทันหันเพราะเรื่องอะไรหรือมีจุดประสงค์อะไร เย่เทียนเฉินเองก็ไม่รู้

ตอนนี้เอง ในห้องโถงใหญ่ของคฤหาสน์ตระกูลเย่ หลัวเยี่ยนขมวดคิ้ว ส่วนเย่เชี่ยนเหวินก็มองไปยังแม่ของตนอย่างสงสัยแล้วถามขึ้น “แม่คะ คนคนนั้นเป็นใคร? มาหาพี่ดึกๆ ทำไมกัน?”

ที่เย่เชี่ยนเหวินพูดว่าดึกนั้นไม่ได้หมายความถึงเวลาดึก แต่ผู้หญิงหน้าตาสวยงามคนหนึ่งมาหาพี่ชายของตนถึงบ้านหลังฟ้ามืดแบบนี้ ทำให้รู้สึกแปลกๆ จริงๆ

“เชี่ยนเหวิน แม่อยากให้พี่ชายของลูกแต่งงานเร็วๆ ก่อนหน้านี้ตอนที่พี่เขาทำตัวเรื่อยเปื่อยไปวันๆ แม่ก็อยากให้เขาแต่งงานเร็วๆ เพราะคิดว่าถ้ามีคนดูแลเขาอาจจะทำให้เขามีความรับผิดชอบขึ้น ตอนนี้แม่อยากให้พี่ชายของลูกแต่งงานเร็วๆ ก็เพราะไม่อยากให้เขาทำให้ผู้หญิงคนอื่นเสียใจ เหมือนกับฉีหรูเสวี่ย หลิงอวี่สวิน สองคนนี้นิสัยไม่เลวเลย ไม่ว่าพวกเธอคนไหนที่มาเป็นลูกสะใภ้ของแม่ แม่ก็จะดีใจมาก แต่คนเดียวที่แม่จะไม่ยอมรับโดยเด็ดขาดก็คือคนที่มาหาพี่ชายของลูก!” หลัวเยี่ยนพูดพลางมองไปที่ลูกสาวของตน

“แม่คะ ผู้หญิงที่มาหาพี่เมื่อกี้ หากจะเทียบอย่างจริงจังแล้วยังสวยกว่าพี่หรูเสวี่ยกับพี่อวี่สวิ๋นอีก…แล้วยังก้นใหญ่มาก เหมาะกับรสนิยมของพี่มากเลย!” เย่เชี่ยนเหวินพูดล้อเล่นออกมาแล้วหัวเราะชั่วร้าย

หลัวเยี่ยนมองลูกสาวแวบหนึ่ง ก่อนหน้านี้ตอนที่เย่เทียนเฉินยังทำตัวเสเพล หลัวเยี่ยนคิดว่าขอแค่มีผู้หญิงคนหนึ่งที่รู้เรื่องรู้ราวก็เพียงพอแล้ว ตอนนี้ลูกชายรู้เรื่องรู้ราวขึ้นมา เธอจึงรู้สึกดีใจขึ้นมาก แต่ระยะนี้ก็เกิดเรื่องขึ้นมากมาย ทำให้หลัวเยี่ยนรู้สึกกระสับกระส่าย เธอสัมผัสได้ถึงการเปลี่ยนแปลงของเย่เทียนเฉินผู้เป็นลูก อย่างน้อยก็รู้สึกได้ว่าเย่เทียนเฉินเข้าใจเรื่องราวต่างๆ มากขึ้น ตอนนี้ดูแล้วลูกชายคนนี้ไม่เพียงแต่เข้าใจเรื่องราว แต่ยังกล้าหาญมากอีกด้วย ชอบทำตามหลักการโดยไม่สนใจว่าอีกฝ่ายจะเป็นผู้ใด ใครกล้ามาหาเรื่องก็จะใช้หมัดตอบโต้อย่างรุนแรง

คนเป็นแม่คนไหนบ้างที่ไม่อยากให้ลูกของตนเองมีอนาคตมีความสามารถ กลายเป็นคนมีหน้ามีตาเพื่อสร้างชื่อเสียงให้วงศ์ตระกูล? โดยเฉพาะสำหรับตระกูลเย่ที่ในตอนนี้ตกต่ำจนถึงขั้นที่ผู้มีอิทธิพลธรรมดาธรรมดาคนหนึ่งก็สามารถรังแกได้ ต้องมีคนมาทำให้รุ่งโรจน์และรักษาศักดิ์ศรีของตระกูลจริงๆ เพียงแต่หลัวเยี่ยนก็เป็นหญิงที่มาจากตระกูลใหญ่คนหนึ่ง เธอเข้าใจถึงหลักการอย่างหนึ่ง ในเมืองหลวงมีกลุ่มอำนาจใหญ่และตระกูลใหญ่มากมาย การฟื้นฟูตระกูลหนึ่งๆ จะต้องได้รับความกดดันจากกลุ่มอำนาจใหญ่ต่างๆ แน่นอน หากต้องการที่จะฟื้นฟูให้รุ่งเรืองขึ้นจริงๆ เป็นเรื่องที่ยากมาก เป็นไปได้มากว่าจะมีจุดจบที่ร่างกายเหลวแหลกเป็นชิ้นหรือถูกฆ่าล้างตระกูล ดังนั้นหลัวเยี่ยนยอมให้เย่เทียนเฉินผู้เป็นลูกลิ้มรสความสุขของชีวิตไปอย่างสงบสุขชั่วชีวิต ดีกว่าให้เขาพบกับอันตรายใดๆ

“ลูกรู้ไหมว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นใคร?” หลัวเยี่ยนหยุดไปครู่หนึ่งแล้วจึงเอ่ยถามเย่เชี่ยนเหวิน

“ใครเหรอคะ? หนูไม่เคยเจอ!” เย่เชี่ยนเหวินเองก็พูดด้วยความแปลกใจ

“หลิ่วหรูเหมย!” หลัวเยี่ยนพูดด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม

“อะไรนะ? เป็นเธอเองเหรอ? เธอ…เธอมาหาพี่ทำไม? คงไม่เกี่ยวกับเรื่องเมื่อปีนั้นหรอกมั้ง?”

เมื่อได้ยินคำพูดของหลัวเยี่ยน เย่เชี่ยนเหวินก็อดไม่ได้ที่จะเป็นห่วงพี่ชายขึ้นมา จะอย่างไรเธอก็คิดไม่ถึงว่า ผู้หญิงที่มาเยือนอย่างกะทันหันจะเป็นหลิ่วหรูเหมย

เรื่องเกี่ยวกับหลิ่วหรูเหมยและพี่ชาย เย่เชี่ยนเหวินย่อมรู้ เพียงแต่ว่าในตอนนั้นเธอกำลังเรียนมัธยมปลายปีหนึ่งอยู่ และยังเรียนในโรงเรียนประจำ ดังนั้นจึงไม่ได้ไปบ้านตระกูลหลิ่วด้วย และไม่เคยเห็นหลิ่วหรูเหมยมาก่อน เมื่อปีนั้น เย่เทียนเฉินแอบมองหลิ่วหรูเหมยอาบน้ำ ทำให้เกิดคลื่นลมอันรุนแรงไปทั่วทั้งเมือง กลุ่มอำนาจใหญ่ทุกกลุ่มต่างต้องสั่นสะท้าน ไม่เพียงแต่คนตระกูลหลิ่วจะโกรธ กระทั่งเหล่าคุณชายของตระกูลใหญ่ต่างๆ ที่ตามจีบหลิ่วหรูเหมยก็ยังต้องการฆ่าเย่เทียนเฉิน ต้องการควักลูกตาของเขาออกมา ไม่อนุญาตให้เขาดูหมิ่นนางฟ้าหลิ่วหรูเหมยเด็ดขาด

เพื่อที่จะสงบเรื่องนี้ พ่อแม่ของเย่เชี่ยนเหวินจึงพาเย่เทียนเฉินไปขอโทษถึงตระกูลหลิ่ว แน่นอนว่าต้องได้รับความอัปยศกลับมา แต่จะดีจะร้ายอย่างไรก็ยังรักษาชีวิตเอาไว้ได้ ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาเย่เทียนเฉินก็ค่อยๆ เปลี่ยนไป บางทีอาจเป็นเพราะความอัปยศในครั้งนั้น ที่ต้องเห็นพ่อแม่ขอร้องอ้อนวอนตระกูลหลิ่ว ทำให้ในใจของเย่เทียนเฉินถูกกระทบอย่างรุนแรง ไม่ออกจากบ้านหนึ่งเดือนเต็มๆ พอออกมาก็ลาออกจากโรงเรียนเพื่อไปเข้าร่วมกับกองทัพ

หลังจากที่เกิดเรื่องนี้ขึ้น ตระกูลหลิ่วและตระกูลเย่ก็ไม่มีการไปมาหาสู่กันอีก และตระกูลเย่ที่เดิมทีตกต่ำลงนั้น ก็ไม่มีคุณสมบัติและความสามารถมากพอที่จะเทียบเคียงตระกูลหลิ่วได้ หากกล่าวกันตามหลักเหตุผลแล้วตระกูลหลิ่วและตระกูลเย่คงไม่อาจมีการติดต่อใดๆ ต่อกันไปตลอดกาล คิดไม่ถึงว่าหลิ่วหรูเหมยจะมาหาเย่เทียนเฉินผู้เป็นพี่ด้วยตัวเอง นี่ทำให้หลัวเยี่ยนแล้วเย่เชี่ยนเหวินรู้สึกสงสัย แน่นอนว่าพวกเธอไม่รู้ว่าก่อนหน้านี้ที่เย่เทียนเฉินไปประเทศ M ก็เพื่อทำภารกิจปกป้องคุ้มครองหลิ่วหรูเหมย ดังนั้นทั้งสองคนจึงมีการติดต่อกันมาก่อนแล้ว

“มีเรื่องอะไรก็พูดมาเถอะ ฉันยังต้องกลับบ้านไปกินข้าวอีก!” เย่เทียนเฉินมองหลิ่วหรูเหมย พูดออกมาด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย

สำหรับหลิ่วหรูเหมยแล้ว หากตอนนั้นไม่ใช่เพราะเย่เทียนเฉินเกิดนึกสนุก ต้องการใช้โอกาสนี้ไปเปิดหูเปิดตาผู้มีพลังพิเศษที่ประเทศ M อีกทั้งยังได้ตอบรับภารกิจจากชางหลางไปแล้ว เย่เทียนเฉินคงไม่มีทางคุ้มครองหลิ่วหรูเหมยไปแน่ หลังจากที่กลับประเทศมา ระหว่างหลิ่วหรูเหมยและเย่เทียนเฉินก็ไม่ได้มีการติดต่อกันอีก ถึงแม้เรื่องเมื่อปีนั้นจะทำให้มีความเข้าใจผิดกัน แต่ทั้งสองก็ไม่สามารถเป็นดั่งเพื่อนสนิทหรือกระทั่งพูดคุยกันได้ หากทำเช่นนั้นก็จะรู้สึกกระอักกระอ่วน

หลิ่วหรูเหมยมองเย่เทียนเฉินแล้วกล่าวออกมาอย่างไม่สบอารมณ์ “นายคิดว่าฉันอยากมาหานายหรือไง? หลงตัวเองเกินไปแล้ว!”

“ในเมื่อไม่อยากมาหาฉัน ก็ไม่มีอะไรจะพูดแล้ว ลาก่อน!” เย่เทียนเฉินยักไหล่ หมุนตัวทำท่าจะเดินไป

ไหนเลยจะรู้ว่า เย่เทียนเฉินเพิ่งจะหมุนตัวไป หย่งชุนไท่ก็ขวางหน้าเขาเอาไว้ เย่เทียนเฉินมันให้ความเคารพหย่งชุนไท่มาก คนเพียงคนเดียวต่อให้จะแข็งแกร่งขนาดไหน ก็ไม่อาจไม่เคารพผู้อาวุโส ไม่อาจเย่อหยิ่งอวดดี คนประเภทนั้นจะไม่มีวันแข็งแกร่งขึ้นอย่างแท้จริงโดยเด็ดขาด

“หย่งชุนไท่ ผมไม่อยากลงมือกับคุณ แต่คุณก็อย่ามาบีบบังคับผม!” เย่เทียนเฉินมองอีกฝ่ายแล้วพูดด้วยรอยยิ้ม

“บางทีถ้าลงมือขึ้นมาจริงๆ ฉันคงไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเด็กหนุ่มอย่างเธอหรอก แต่ว่าครั้งนี้พวกเราต้องการเป็นพันธมิตรกับเธอ หรือจะกล่าวให้ชัดเจนก็คือต้องการที่จะร่วมมือกัน มีผลประโยชน์ทั้งสองฝ่าย…” หย่งชุนไท่เองก็พูดด้วยรอยยิ้ม

“ร่วมมือกัน? ได้ประโยชน์ทั้งสองฝ่าย?” เย่เทียนเฉินชะงักไปครู่หนึ่งแล้วจึงเอ่ยถาม

“ถูกแล้ว เรื่องเมื่อปีนั้นที่นายแอบมองฉันอาบน้ำ มีลับลมคมในอยู่มากจริงๆ ด้วยความสามารถที่เหมือนแมวสามขาของนายเมื่อตอนนั้น ต่อให้มีนายอีกสิบคนก็ไม่สามารถเข้าไปห้องอาบน้ำของฉันได้ ดังนั้นจะต้องมีคนวางแผนใส่ร้ายนายแน่นอน ในขณะเดียวกันก็ต้องการทำลายชื่อเสียงของฉันด้วย หรือนายไม่คิดอยากจะดึงคนคนนี้ออกมา?” หลิ่วหรูเหมยเดินไปด้านหน้า ดวงตาทั้งสองจ้องมองไปที่เย่เทียนเฉินแล้วถามออกมา

เมื่อได้ยินคำพูดของหลิ่วหรูเหมย เย่เทียนเฉินก็ชะงักไป เขาต้องการที่จะตรวจสอบให้แน่ชัดว่าเป็นใครแน่นอนอยู่แล้ว เมื่อปีนั้นเป็นใครกันแน่ที่คิดวางแผนใส่ร้ายตน ต้องการที่จะทำให้เขาตาย เพียงแต่หลังจากที่กลับมาจากประเทศ M ก็เกิดเรื่องราวขึ้นไม่หยุดหย่อน จนไม่มีเวลาไปตรวจสอบ จึงได้ยืดเยื้อมาถึงตอนนี้

ส่วนเรื่องที่ว่าเหตุใดหลิ่วหรูเหมยจึงคิดจะตรวจสอบเรื่องนี้ให้ชัดเจนนั้น เย่เทียนเฉินก็สามารถคาดเดาได้บ้าง นอกจากต้องการที่จะทำให้ตนเองที่เป็นผู้หญิงคนหนึ่งมีชื่อเสียงขาวสะอาดแล้ว ก็เป็นเพราะหลายปีมานี้ ตระกูลหลิ่วยิ่งใหญ่จนรัฐให้ความสำคัญ กลุ่มอำนาจใหญ่และตระกูลใหญ่อื่นๆ ต่างก็จ้องจะตะครุบดั่งพญาเสือ ตระกูลหลิ่วเองก็ต้องการที่จะแสดงอํานาจ

“ลองพูดมาสิ พวกเธอตรวจสอบพบเบาะแสอะไรบ้างแล้ว?” เย่เทียนเฉินหยิบบุหรี่ออกมามวนนึง จุดบุหรี่ขึ้นสูบแล้วถามออกมา

“ไม่ขอปิดบังนาย ที่ฉันต้องการตรวจสอบเรื่องนี้ให้กระจ่างชัดและจับตัวผู้ร้ายหลังม่านออกมา สาเหตุสำคัญเพราะว่าหลายปีมานี้ฉันรู้สึกได้ว่า คนที่อยู่หลังม่านต้องการที่จะจัดการกับตระกูลหลิ่วของฉันมาโดยตลอด ส่วนเรื่องที่ตระกูลเย่ของนายก็ตกต่ำลงเรื่อยๆ คนในตระกูลก็ไม่อาจทำผลงานออกมาได้เลยแม้แต่น้อยก็อาจจะเป็นเพราะสาเหตุนี้…” หลิ่วหรูเหมยมองเย่เทียนเฉินแล้วพูดขึ้นอย่างจริงจัง

“ความหมายของเธอก็คือ คนที่อยู่หลังม่านต้องการจัดการกับตระกูลเย่และตระกูลหลิวของพวกเราไปพร้อมๆ กัน ต้องการดึงตระกูลของพวกเราไปสู่ความตายงั้นหรือ?” เย่เทียนเฉินถามอย่างสงสัย

“ถูกต้อง!”

เย่เทียนเฉินขมวดคิ้ว รู้สึกคำพูดของหลิ่วหรูเหมยมีเหตุผล ในขณะเดียวกันก็รู้สึกแปลกใจ บุคคลหลังม่านผู้นี้ไม่ธรรมดาเลยจริงๆ ที่ไม่ธรรมดาก็นั้นไม่ใช้เพราะเขาต้องการจัดการกับตะกูลหลิ่วและตะกูลเย่ แต่เป็นเพราะเรื่องที่เขาควบคุมและจัดการทุกอย่างอยู่ในเงามืดมาตลอดหลายปี จนถึงตอนนี้ก็ยังเป็นความลับที่ไม่มีใครล่วงรู้ ดูแล้วบุคคลหลังม่านคนนี้ร้ายกาจมาก ด้วยอำนาจของตระกูลหลิ่วในตอนนี้ก็ยังหาไม่พบ ช่างไม่ธรรมดาจริงๆ

“ว่าต่อไป…” เย่เทียนเฉินได้สติกลับมาจึงสูบบุหรี่เข้าไปครั้งหนึ่งแล้วกล่าวขึ้น

“ไป๋อู่ หากต้องการตรวจสอบเรื่องนี้ให้ชัดเจนจำเป็นต้องเริ่มจากไป๋อู่ แต่ถ้าคนอื่นๆ ของพวกเราเข้าใกล้ไป๋อู่ เขาจะต้องระมัดระวังตัวแน่ นายเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด เพราะก่อนหน้านี้นายก็เป็นคุณชายเสเพล เชื่อว่าหากจะเข้าไปตีสนิทกับเขาอีกครั้งก็คงไม่มีปัญหา!” มุมปากของหลิ่วหรูเหมยปรากฏรอยยิ้ม มองไปยังเย่เทียนเฉินแล้วพูดขึ้น

“ไป๋อู่เป็นเบาะแสก็จริง แต่ฉันไม่ได้ไปคลุกคลีกับวงสังคมพวกนั้นนั้นมาหลายปีแล้ว ถึงแม้จะยังมีตำนานของฉันอยู่ก็ไม่แน่ว่าจะใช้การได้!” เย่เทียนเฉินกล่าวด้วยท่าทางขึงขัง

ในตอนนี้หลิ่วหรูเหมยและหย่งชุนไท่มีความรู้สึกอยากจะอัดเย่เทียนเฉินสักยก เจ้าหมอนี่บางครั้งก็ทำเป็นเล่นมากเกินไปแล้ว ทั้งๆ ที่พูดว่าเป็นเรื่องสำคัญมาก แต่ก็ยังทำนิสัยเหลวไหลออกมาอีก ช่างทำให้อับจนคำพูดจริงๆ

“พูดแบบนี้แสดงว่านายตกลงแล้วใช่ไหม? พวกเราจะร่วมมือกันหาคนที่อยู่หลังม่านนั้นออกมา จะไม่ให้เขาสร้างปัญหาให้กับตระกูลเย่และหลิ่วของพวกเราอีก!” หลิ่วหรูเหมยเอ่ยถามพลางมองไปยังเย่เทียนเฉิน

“อืม ถ้าว่างฉันจะไปเทียนซ่างเหรินเจียนสักครั้ง ส่วนเรื่องที่พวกเธอต้องทำ ฉันคิดว่าในตอนที่ยังไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นก็อย่าได้ติดต่อกันอีก หากเป็นเหมือนที่เธอพูดจริงๆ ที่ว่าหลายปีมานี้คนหลังม่านยังสนใจที่จะควบคุมเรื่องอะไรพวกนั้นอยู่ ฉันเชื่อว่าตอนนี้พวกเราคงถูกเขาจับตามองอยู่แน่นอน!” ในระหว่างที่เย่เทียนเฉินพูด พลังพิเศษแห่งการรับรู้พลันแผ่ขยายออกไปในชั่วพริบตา หากว่าพบคนน่าสงสัย เขาจะต้องลงมือฆ่าอย่างไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย

………………………….

ย่าขู่และเย่เทียนเฉินเพิ่งจะเจอหน้ากันครั้งแรก แต่หากจะกล่าวว่าเหตุใดย่าขู่จึงดูถูกเย่เทียนเฉิน อีกทั้งในคำพูดมีความเสียดสีปนอยู่ คำอธิบายอย่างเดียวก็คือหลิงอวี่สวิ๋น

ถึงแม้ว่าเบื้องหน้าย่าขู่จะทำตัวเย็นชากับหลิงอวี่สวิ๋น ดูเหมือนว่าจะไม่เห็นหลิงอวี่สวิ๋นเป็นคุณหนูของตระกูลหลิง ไม่มีความเคารพนอบน้อมระหว่างนายบ่าวอยู่เลยแม้แต่น้อย แต่ในใจของหลิงอวี่สวิ๋นรู้ดีว่า ย่าขู่รักตนเองมาก ตั้งแต่เล็กจนโตก็คอยปกป้องเธอมาโดยตลอด ขอเพียงเธอมีอันตราย ย่าขู่ก็จะเป็นคนแรกที่ปรากฏตัวออกมา ก็เหมือนกับการปกป้องหลานสาวของตนเอง

เพียงแต่ที่ทำให้หลิงอวี่สวิ๋นรู้สึกสงสัยก็คือ แม้ว่าจะมีบางครั้งที่ย่าขู่เย็นชา ไม่พูดจามากมาย แต่ก็ไม่ใช่คนที่จะลงมือกับคนอื่นง่ายๆ โดยเด็ดขาด เหตุใดเธอจึงได้ลงมือกับเย่เทียนเฉินโดยไม่พูดไม่จา?

เมื่อต้องเผชิญหน้ากับการโจมตีอันรวดเร็วและรุนแรงของย่าขู่ เย่เทียนเฉินก็ไม่สามารถหลบเลี่ยงได้ ทำได้เพียงตะโกนออกมาในช่วงพริบตา เสียงตะโกนนี้ปะปนไปด้วยพลังพิเศษในขอบเขตจอมราชัน สั่นไหวจนทำให้หลิงอวี่สวิ๋นอดไม่ได้ที่จะยกมือขึ้นปิดหูเอาไว้ ส่วนย่าขู่นั้นก็ถูกทำให้การโจมตีด้วยมือทั้งสองช้าลง

ในตอนที่ช้าลงไปนี้ เย่เทียนเฉินก็หลบการโจมตีของย่าขู่ ในขณะเดียวกันก็ต่อยไปที่ย่าขู่ นี่เป็นยอดฝีมือแห่งพรรควรยุทธโบราณคนหนึ่ง เย่เทียนเฉินไม่โง่จนถึงขั้นลงมือไว้ไมตรีต่อนางเพียงเพราะนางเป็นหญิงชรา เหตุผลนั้นง่ายมาก ในสังคมปัจจุบันนี้มีคนชราเป็นจำนวนมากที่โหดเหี้ยมน่ารังเกียจยิ่งกว่าอายุของตนเองเป็นร้อยเท่า ยิ่งไม่ต้องพูดถึงในพรรควรยุทธโบราณเลย ยิ่งแก่ก็ยิ่งมีฝีมือลึกล้ำยากที่จะคาดเดา

ตู้ม!

เย่เทียนเฉินส่งหมัดปะทะเข้าไป ย่าขู่ขมวดคิ้ว เธอคิดไม่ถึงเลยว่าลูกหลานของตระกูลเย่ เย่เทียนเฉินคนนี้จะแข็งแกร่งห้าวหาญอยู่บ้างจริงๆ ตนเองดูเบาความสามารถของเขาเกินไป เมื่อครู่นี้ลงมืออย่างรวดเร็ว ถึงแม้ว่าจะไม่ได้ลงมือเต็มกำลัง แต่อย่างน้อยก็ใช้พลังเจ็ดส่วน แต่กลับคิดไม่ถึงว่าจะถูกเย่เทียนเฉินหลบเลี่ยงได้ โดยเฉพาะเสียงตะโกนอย่างกะทันหันของเขา ให้ความรู้สึกที่ทำให้จิตวิญญาณของผู้คนต้องสั่นไหว ไม่รู้ว่าเป็นวิชาอะไร

ในใจคิดไป แต่มือก็ไม่ได้ช้าลงเลย ย่าขู่ไม่ได้หลบเลี่ยง ใช้ฝ่ามือตบปะทะเข้าไปยังเย่เทียนเฉิน หมัดและฝ่ามือปะทะกัน ทั้งสองยืนอยู่ที่เดิมไม่ขยับเขยื้อนแม้แต่น้อย ทำให้หลิงอวี่สวิ๋นที่อยู่ด้านข้างตกใจจนอ้าปากค้าง แต่ไหนแต่ไรมาเธอก็ไม่เคยเห็นคนที่สามารถประมือกับย่าขู่อย่างสูสีมาก่อน และไม่เคยมีใครที่รับการโจมตีของย่าขู่ได้ ต่างก็ถูกฆ่าตายในเวลาเพียงไม่กี่วินาที ไม่ว่าภายภาคหน้าจะปรากฏยอดฝีมือที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้นมาหรือไม่ อย่างน้อยเย่เทียนเฉินก็เป็นคนแรก

“ไม่แปลกเลยที่เธอจะมีความมั่นใจ ความสามารถแข็งแกร่งจริงๆ แต่ว่าสิ่งที่ฉันอยากจะบอกเธอก็คือ ด้วยฝีมือในตอนนี้ของเธอ ก็จะต้องตายอยู่ดี เพราะคุณชายใหญ่ร้ายกาจกว่าเธอมาก!” ย่าขู่พูดอย่างเย็นชา

“งั้นเหรอครับ? สู้กับคุณผมไม่จำเป็นต้องใช้พลังเต็มที่หรอก แต่ถ้าสู้กับคุณชายใหญ่ตดหมาอะไรนะ ผมก็คิดว่าไม่จำเป็นต้องใช้พลังเต็มที่เหมือนกัน!” เย่เทียนเฉินพูดด้วยรอยยิ้ม

“เธอ…ความหมายของเธอก็คือ เธอยังไม่ได้ลงมือเต็มที่?” ย่าขู่ขมวดคิ้ว กำหมัดแน่นแล้วเอ่ยถาม

“ผมไม่ทำร้ายคนแก่ แน่นอนว่าจะต้องไม่ใช่คนแก่ที่ร้ายกาจเกินไป!” เย่เทียนเฉินยังคงพูดต่อไปด้วยรอยยิ้มที่ไม่มีพิษมีภัย

ย่าขู่ชะงักไปครู่หนึ่ง จากนั้นจึงผ่อนคลายลง ไม่มีท่าทางคิดอยากจะลงมืออีก ยิ้มออกมาด้วยความโกรธเคืองเป็นอย่างมาก มองไปยังเย่เทียนเฉินแล้วพูดขึ้น “ดี ฉันจะดูสักหน่อยว่าเธอจะปากดีได้มากขนาดไหน เมื่อถึงเวลาที่จะต้องเห็นตระกูลเย่ถูกฆ่าล้าง ใจยังปากดีต่อไปได้อีกหรือไม่…”

“คุณคิดว่าผมไม่ใช่คู่มือของคุณชายใหญ่จริงๆ หรือครับ?” เย่เทียนเฉินถามอย่างเรียบเฉย

“ไม่ใช่คิดว่า แต่แน่ใจ หากว่าเธอสู้กับคุณชายใหญ่ ไม่เพียงแต่เธอที่จะต้องตาย ตระกูลเย่ของเธอก็จะถูกฆ่าล้างด้วย” ย่าขู่ไม่ได้มองเย่เทียนเฉินดีเลยสักนิด กลับพูดด้วยน้ำเสียงเสียดสี

“ดี ถ้าอย่างนั้นพวกเรามาเดิมพันกันหน่อยเป็นยังไง?” ทันใดนั้นเย่เทียนเฉินก็ถามขึ้นด้วยรอยยิ้ม

“เดิมพัน? เธออยากจะเดิมพันอะไร?” ย่าขู่มองไปยังเย่เทียนเฉินแล้วเอ่ยถามอย่างสงสัย

“ถ้าหากว่าคุณชายใหญ่แห่งมหาวิทยาลัยหลงเถิงพ่ายแพ้ คุณจะต้องไปที่ตระกูลเย่ของผมด้วยตนเอง ไปขอโทษถึงบ้าน!” เย่เทียนเฉินมองย่าขู่แล้วพูดขึ้นอย่างจริงจัง

“เธอ…กล้าดีนี่ แต่ไหนแต่ไรมายังไม่มีใครกล้ามาบอกให้ฉันขอโทษมาก่อน เธอเป็นคนแรก ฉันก็จะตอบรับคำขอของเธอ รอให้เธอชนะคุณชายใหญ่ได้เสียก่อนก็มาหาฉันที่ตระกูลหลิง เงื่อนไขก็คือเธอต้องสามารถเข้ามาที่ประตูหน้าของตระกูลหลิงได้!” ในที่สุดย่าขู่ก็พูดขึ้นแล้วพยักหน้า

“งั้นก็ดีครับ ตระกูลหลิง จะช้าจะเร็วก็ต้องมีสักวันหนึ่งที่จะได้ไปเยือน!” เย่เทียนเฉินพูดด้วยรอยยิ้ม

เมื่อหลิงอวี่สวิ๋นส์และย่าขู่จากไปแล้ว เย่เทียนเฉินก็ไม่ได้พูดอะไรให้มากความ ถึงแม้ว่าเขาจะมองออกว่าหลิงอวี่สวิ๋นไม่อยากไป ไม่สามารถทิ้งเขาไว้ได้ แต่ตอนนี้เย่เทียนเฉินรับรู้ได้ว่า บางทีหลิงอวี่สวิ๋นคงเป็นอย่างที่เสี้ยวหยาพูดจริงๆ ไม่ได้มีเพียงมิตรภาพในวัยเด็กต่อตนเองเท่านั้น แต่ยังคงมีความรักอยู่บ้างเล็กน้อย ดังนั้นเย่เทียนเฉินจึงพูดกับหลิงอวี่สวิ๋นเพียงประโยคเดียวเท่านั้น

“ไม่เป็นอะไรหรอก รอฉันอยู่ที่บ้านนั่นแหละ เมื่อถึงเวลาฉันจะไปหาเธอเอง พวกเราก็จะได้เล่นด้วยกันอีกครั้ง ไปเรียนด้วยกันอีก!”

ดูเหมือนจะเป็นคำพูดที่เรียบง่ายและเรียบเฉย แต่กลับทำให้หลิงอวี่สวิ๋นสะอึกสะอื้น สะอึกสะอื้นจนไม่สามารถพูดคำใดออกมาได้ น้ำตาไหลออกมาจากหางตาทั้งสอง ใบหน้าประดับไปด้วยรอยยิ้มเจิดจ้า  มีสีหน้ามีความสุข เธอสามารถรับรู้ได้ถึงความสำคัญที่เย่เทียนเฉินมีต่อตน อย่างน้อยในใจของเย่เทียนเฉินก็มีตำแหน่งของเธออยู่ นี่ทำให้หลิงอวี่สวิ๋นดีใจมาก

“ฉันจะรอนาย!” หลิงอวี่สวิ๋นยิ้มทั้งน้ำตา พูดออกมาอย่างจริงจัง

เย่เทียนเฉินพยักหน้า โบกมือลาให้หลิงอวี่สวิ๋น เขาไม่อยากจะทำตัวเป็นนักรัก และไม่อยากให้ผู้หญิงทุกคนในโลกมาหลงรักเขา เพียงแต่เขาได้มาเกิดใหม่ในโลกแห่งนี้ ก็สาบานเอาไว้ว่าจะปกป้องและทะนุถนอมคนข้างกาย ให้พวกเขามีความสุข

เขาสตาร์ทรถรถมอเตอร์ไซค์ของตนเองจากนั้นจึงขับไปจากมหาวิทยาลัย ในระหว่างนี้เขารู้สึกถึงบรรยากาศอันแข็งแกร่งที่กำลังจับจ้องตนเองอยู่ แต่เขาก็ไม่ได้สนใจ ตอนนี้จะต้องเก็บกวาดศัตรูที่ปรากฏตัวให้เห็นเบื้องหน้าเสียก่อน รอให้จัดการศัตรูในทางเปิดเผยก่อน ศัตรูในทางลับย่อมปรากฏออกมาเอง เมื่อถึงตอนนั้นจะเก็บกวาดก็ยังไม่สาย

ที่เย่เทียนเฉินเดิมพันกับย่าขู่นั้น สาเหตุก็ง่ายดายเป็นอย่างมาก ในเมื่อเขาตัดสินใจที่จะสร้างอำนาจของตน เหตุใดจะไม่ถือโอกาสนี้ทำตระกูลเย่ให้ยิ่งใหญ่ล่ะ? ยังไม่ต้องสนใจเรื่องลุงสองกับลุงสาม เพียงแต่คิดว่าการทำให้ตระกูลเย่ยิ่งใหญ่ และรุ่งเรืองขึ้นมาอีกครั้ง พ่อแม่และน้องสาวคงจะดีใจมาก เย่เทียนเฉินก็จะทำเช่นนั้น

ต้องการสร้างอำนาจเป็นของตนเอง ต้องการทำให้ตระกูลเย่เติบโต ไม่ใช่เรื่องที่จะทำได้ในวันเดียว ยังต้องค่อยๆ เดินไปทีละก้าว จำเป็นต้องค่อยๆ สร้างศักดิ์ศรีหน้าตาของตระกูลเย่ขึ้นมาอีกครั้ง ให้ขั้วอำนาจอื่นๆ และตระกูลใหญ่อื่นๆ ได้รู้ว่า ตระกูลเย่รุ่งเรืองขึ้นมาแล้ว ไม่เหมือนเมื่อก่อนที่ใครก็จะรังแกได้!

เวลาประมาณหนึ่งทุ่ม เย่เทียนเฉินจอดรถมอเตอร์ไซค์ไว้ที่ประตูบ้าน ผลักประตูให้เปิดออกแล้วเดินเข้าไป พบว่าหลัวเยี่ยนผู้เป็นแม่กำลังทำอาหารอยู่ในครัว ส่วนน้องสาวเย่เชี่ยนเหวินกำลังเล่นคอมอยู่ที่ห้องโถง เล่นอย่างมีความสุขเป็นอย่างมาก ถึงกับหัวเราะออกมาเป็นบางครั้ง

“เลิกเล่นได้แล้ว…ฮ่าๆๆๆ!” เย่เทียนเฉินเดินไปด้านหลังของน้องสาวและกดปุ่มปิดบนโน๊ตบุ้ค ทันใดนั้นเย่เชี่ยนเหวินที่กำลังเล่นเกมอย่างมีความสุขได้แต่มองอย่างโง่งม เพราะโน๊ตบุ้คถูกปิดไปแล้ว

“อา… พี่ หนูจะฆ่าพี่ ไม่ง่ายเลยกว่าจะเล่นได้ที่ห้า… มาให้ตีเดี๋ยวนี้!”

เย่เชี่ยนเหวินตะโกนใส่เย่เทียนเฉินแล้วพุ่งเข้าไป ยกกำปั้นขาวนวลขึ้นจะทุบลงไป เย่เทียนเฉินหัวเราะเสียงดังแล้ววิ่งหนี ทำให้เย่เชี่ยนเหวินโกรธจนต้องขบเขี้ยวเคี้ยวฟันแล้ววิ่งตามไป พี่ชายจะไม่เอาไหนเกินไปแล้ว ไม่ง่ายเลยกว่าเล่นเกมนั้นจนได้ที่ห้า เล่นไปสองชั่วโมงเต็มๆ ไม่รู้ว่าเริ่มใหม่ไปตั้งกี่ครั้ง ตอนนี้เพียงพริบตาเดียวก็ถูกพี่ชายทำร้ายจนหมดสิ้น เย่เชี่ยนเหวินจะไม่โกรธได้อย่างไร

“พวกเธอสองพี่น้องทะเลาะอะไรกันอีก เลิกโวยวายได้แล้ว มาหยิบถ้วยหยิบตะเกียบไปเถอะ เตรียมกินข้าวได้!” หลัวเยี่ยนที่อยู่ในครัวได้ยินเสียงทะเลาะกัน จึงเดินออกมาพบว่าเย่เทียนเฉินและเย่เชี่ยนเหวินกำลังวิ่งไล่กันอยู่ จึงอดไม่ได้ที่จะพูดขึ้นมาแล้วส่ายหน้าด้วยรอยยิ้ม

“รู้แล้วครับคุณแม่ ผมจะไปเดี๋ยวนี้!” เย่เทียนเฉินหัวเราะฮี่ๆ แล้วพูดขึ้น

“แม่คะ อีกเดี๋ยวค่อยกินข้าวเถอะ หนูรับพี่ไม่ได้จริงๆ…” เย่เชี่ยนเหวินทำปากยู่ กำหมัดแน่นแล้วไล่ตีเย่เทียนเฉินต่อไป

“พวกเธอสองพี่น้องเหมือนกับเด็กๆ เลย…”

หลัวเยี่ยนพูดพลางหัวเราะ ยังพูดไม่ทันจบก็ได้ยินเสียงเคาะประตู เธอส่ายหน้าแล้ววางตะเกียบในมือลง จัดเสื้อผ้าให้เรียบร้อยแล้วเดินไปที่ประตู เมื่อเปิดประตูออกก็มองไปว่าเป็นใครถึงได้มาหาดึกดื่นขนาดนี้ ในตอนที่หลัวเยี่ยนเปิดประตูคฤหาสน์ออกไปนั้นก็อดไม่ได้ที่จะตกตะลึง

เย่เทียนเฉินและเย่เชี่ยนเหวินนั้น ถึงแม้ว่าจะทะเลาะกันอยู่ แต่เมื่อได้ยินเสียงหลัวเยี่ยนเปิดประตูแล้วไม่ได้เคลื่อนไหวอะไรอีก ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกแปลกใจ

“แม่คะ ใครเหรอ คุณพ่อกลับบ้านแล้วใช่หรือเปล่าคะ?” เย่เชี่ยนเหวินมองไปยังเย่เทียนเฉินครั้งหนึ่ง จากนั้นจึงเดินไปที่ประตู

“ใช่แล้ว งั้นพวกเราก็เปิดเหล้ากันขวดหนึ่งดื่มฉลองกับคุณพ่อสักหน่อย!” เย่เทียนเฉินเองก็พูดด้วยรอยยิ้ม

ไหนเลยจะรู้ว่า ในตอนที่เย่เทียนเฉินและเย่เชี่ยนเหวินเดินไปถึงประตูคฤหาสน์ จะพบว่าหลัวเยี่ยนยืนอยู่ที่เดิมด้วยใบหน้าไร้อารมณ์ กระทั่งมีท่าทีโกรธเคืองเล็กน้อย เบื้องหน้าของหลัวเยี่ยนมีผู้หญิงคนหนึ่งยืนอยู่ เป็นผู้หญิงที่งดงามเป็นอย่างมาก ต่อให้มาเยือนในเวลาค่ำคืน ก็ไม่สามารถบดบังใบหน้าอันงดงามของผู้หญิงคนนี้ได้เลย

“เธอเองเหรอ?” เย่เทียนเฉินอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามออกมาอย่างสงสัย

“ฉันมาหานายเพราะมีเรื่องอยากจะคุยกับนาย!” ผู้หญิงที่มีใบหน้างดงามบริเวณประตูบ้านตระกูลเย่มองเย่เทียนเฉินครั้งหนึ่งแล้วพูดขึ้น

“เชิญเข้ามาเถอะ!” ถึงแม้ว่าหลัวเยี่ยนจะมีอคติกับผู้หญิงตรงหน้า แต่ก็สามารถเก็บอารมณ์ได้อย่างดี จะอย่างไรผู้มาเยือนก็เป็นแขก ไม่สามารถปฏิบัติกับแขกอย่างเลวร้ายได้

“ไม่ต้องหรอกค่ะคุณน้า หนูมาหาเย่เทียนเฉินผมมีเรื่องจะคุย คุยจบก็ไปแล้ว!” ผู้หญิงที่มีใบหน้างดงามคนนั้นพูดขึ้นพลางยิ้มให้หลัวเยี่ยนอย่างเป็นมิตร

หลัวเยี่ยนไม่ได้พูดอะไร หันกลับไปมองเย่เทียนเฉินผู้เป็นลูก ในเมื่อเย่เทียนเฉินเป็นคนคนต้นเรื่อง เรื่องเหล่านี้ควรจะจัดการด้วยตัวเอง

“แม่ครับ แม่กับน้องกินข้าวกันไปก่อนสองคนนะครับ ผมจะออกไปแปบเดียวเดี๋ยวกลับมา!” เย่เทียนเฉินเดินไปที่ประตูแล้วกล่าวกับหลัวเยี่ยนด้วยรอยยิ้ม

“ระวังตัวหน่อย!” หลัวเยี่ยนพยักหน้าแล้วพูดขึ้น

เย่เทียนเฉินมองผู้หญิงสวยตรงประตู พูดยังเฉยชาว่า “ไปเถอะ ข้างๆ มีศาลาอยู่ พวกเราไปคุยกันที่นั่นได้!”

……………………..

“หยาเอ๋อ เธออย่าพูดเรื่องตลกเลย ฉันกับอวี่สวิ๋นเป็นเพื่อนสมัยเด็กกัน ถึงแม้ว่าจะมีความรู้สึกที่ไม่เลวต่อกัน แต่เธอคงไม่สามารถชอบฉันได้หรอก!” เย่เทียนเฉินพูดพลางส่ายหน้า

เย่เทียนเฉินไม่เคยคิดเลยว่าระหว่างเขากับหลิงอวี่สวิ๋นจะเกิดความรักระหว่างชายหญิงอะไรขึ้นมาได้ ไม่มีความคิดแบบนี้เลยจริงๆ และสามารถกล่าวได้ว่า หลังจากที่มาเกิดใหม่ในโลกแห่งนี้ เรื่องเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างชายหญิงหรือการหาแฟนอะไรพวกนั้น แต่ไหนแต่ไรมาเย่เทียนเฉินก็ไม่เคยคิดมาก่อน ต่อให้เป็นเสี้ยวหยา เขาก็คิดเพียงแค่อยากจะปกป้องและดูแล ไม่ใช่ความรักอะไรแบบนั้น และไม่ได้ชัดเจนอะไรขนาดนั้น

หลิงอวี่สวิ๋นเป็นคนที่มีชีวิตชีวาคนหนึ่ง และเป็นผู้หญิงที่งดงามมากคนหนึ่ง ความรู้สึกที่เย่เทียนเฉินมีต่อหลิงอวี่สวิ๋นไม่เลวนัก ถึงแม้ว่าจะมีบางครั้งที่ทั้งสองคนทะเลาะกัน แต่ความรู้สึกในใจก็ยังไม่เลว เสี้ยวหยาบอกว่าหลิงอวี่สวิ๋นชอบตัวเอง หลงรักตัวเอง ในจุดนี้ทำให้เย่เทียนเฉินตกใจจริงๆ ในสายตาของหลิงอวี่สวิ๋น เกรงว่าตัวเขาจะเป็นแค่อันธพาลคนหนึ่งเท่านั้น เธอจะตกหลุมรักเขาเหรอ? นี่เป็นเรื่องตลกระดับชาติหรือยังไง?

“เทียนเฉิน ไม่ผิดไปจากที่พี่อวี่สวิ๋นพูดไว้จริงๆ นายไม่มีอีคิวเลยแม้แต่น้อย ความคิดของผู้หญิงนายคงยากที่จะเข้าใจ!” เสี้ยวหยาอดไม่ได้ที่จะพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม

“สรุปแล้ว เรื่องที่เธอบอกว่าอวี่สวิ๋นชอบฉัน เป็นไปไม่ได้โดยเด็ดขาด!” เย่เทียนเฉินพูดออกมาอย่างมั่นใจ

“ผู้หญิงคนหนึ่งไม่ว่าจะรักผู้ชายคนหนึ่งมากขนาดไหนก็จะไม่พูดออกมา เพราะว่าพวกเธอต่างก็มีความสงบเสงี่ยมเจียมตัว พี่อวี่สวิ๋นพูดคุยกับฉันเกี่ยวกับเรื่องของนายมากมาย ตลอดทางก็พูดถึงแต่เรื่องของนาย ในตอนที่พูดถึงนายก็ดูเธอจะมีความสุขมาก คงจะชอบนายโดยไม่รู้ตัว พี่อวี่สวิ๋นเป็นคนดีมาก นายอย่าทำให้เธอลำบากใจเลย!” เสี้ยวหยาพูดด้วยรอยยิ้ม เหมือนกับแม่สื่อไม่มีผิด กำลังกล่าวเตือนว่าให้เย่เทียนเฉินทำตัวดีๆ ต่อหลิงอวี่สวิ๋นสักหน่อย

ในตอนนี้ เย่เทียนเฉินพลันมีความรู้สึกไม่พอใจขึ้นมา รู้สึกว่าเสี้ยวหยาช่างเป็นคนดีจริงๆ ที่ไม่พอใจก็เพราะเสี้ยวหยาพูดแบบนี้เป็นการแสดงว่าไม่มีความรู้สึกใดๆต่อเย่เทียนเฉินเลยหรือไม่? เดิมทีเย่เทียนเฉินที่ไม่อยากจะคิดอะไรมาก ไม่อยากจะคิดอะไรต่อเสี้ยวหยาให้มาก คิดแต่จะปกป้องและดูแลเท่านั้น

แต่เมื่อได้ยินคำพูดของเสี้ยวหยาแล้ว เห็นได้ชัดว่าเป็นการผลักตนเองไปให้หลิงอวี่สวิ๋น เย่เทียนเฉินจึงมีความรู้สึกไม่พอใจอยู่บ้าง จะอย่างไรในส่วนลึกของจิตใจของเขาก็ยังหวังว่าเสี้ยวหยาจะรักตัวเอง ผู้หญิงที่ดีถึงขนาดนี้ และมีหน้าตาเหมือนผู้หญิงที่เขารักอย่างลึกซึ้งมากที่สุดในช่วงยุคสิ้นโลกพอดี ผู้หญิงที่มีกิริยาอ่อนช้อยงดงามย่อมเป็นที่หมายปองของผู้ชาย ใครจะไม่หวั่นไหวบ้าง?

“หยาเอ๋อร์งั้นเธอล่ะ? เธอไม่มีความรู้สึกอะไรต่อฉันเลยเหรอ?” เย่เทียนเฉินอดไม่ได้ที่จะมองไปยังเสี้ยวหยาอย่างจริงจังแล้วถามขึ้น

“ฉัน…รถมาแล้ว ฉันไปก่อนนะ บาย!”

เมื่อเห็นเสี้ยวหยาวิ่งเหยาะๆ ไปยังรถสาธารณะอย่างรีบร้อน เมื่อเห็นใบหน้าอันไร้เดียงสาของเสี้ยวหยาแดงขึ้นเล็กน้อย เย่เทียนเฉินก็อดไม่ได้ที่จะยกยิ้มที่มุมปาก ท่าทางเสี้ยวหยาก็จะมีความรู้สึกต่อตนเองบ้าง เพียงแต่เธอคิดว่าหลิงอวี่สวิ๋นเป็นคนดี เธอไม่อยากจะทำให้หลิงอวี่สวิ๋นต้องปวดใจ

“ความรักระหว่างชายหญิง ฉันไม่เคยคิดมาก่อน ฉันแค่อยากจะใช้ชีวิตอยู่อย่างมีความสุข ปกป้องครอบครัวและมิตรสหายของตัวเอง ใครที่มันทำให้ฉันและญาติมิตรของฉันไม่มีความสุข ฉันก็จะทำให้มันไม่มีโอกาสได้มีความสุขไปตลอดกาล!” เย่เทียนเฉินแอบสาบานกับตนเองอยู่ในใจ จะปกป้องทุกสิ่งทุกอย่างที่ตนมี ไม่อนุญาตให้ใครหน้าไหนมาทำลาย หากกล้ามาหาเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นใคร เขาก็จะไม่เกรงใจ

เย่เทียนเฉินมองเสี้ยวหยาจากไป ยกยิ้มพลางส่ายหน้า เดินไปยังประตูมหาวิทยาลัยหลงเถิง หลิงอวี่สวิ๋นยังคงรอตัวเองอยู่ที่นั่น รอกินข้าวด้วยกันกับเขา ในตอนที่อยู่ด้วยกันกับหลิงอวี่สวิ๋น เย่เทียนเฉินจะรู้สึกผ่อนคลายเป็นพิเศษ และรู้สึกดีใจมาก เพื่อนสมัยเด็กคนนี้ ตอนนี้ก็สามารถทำให้เขามีความสุขได้ สำหรับความรู้สึกที่มีต่อหลิงอวี่สวิ๋น ก็เป็นแค่เพื่อนที่ดีมากๆ คนหนึ่งเท่านั้น

ในตอนที่เย่เทียนเฉินเดินไปยังประตูมหาวิทยาลัยหลงเถิง หลิงอวี่สวิ๋นก็ถูกย่าขู่ที่เป็นแม่บ้านของตระกูลหลิงจูงมือไปนั่งในรถซีดานสีดำที่อยู่ข้างถนน เพราะคุณพ่อของหลิงอวี่สวิ๋นรู้ว่าหลิงอวี่สวิ๋นใกล้ชิดกับเย่เทียนเฉิน ส่วนเย่เทียนเฉินก็กลายเป็นคนที่ถูกกล่าวขานมากที่สุดในเมืองหลวง และมีอันตรายมากมายที่จะเข้ามาสู่ชีวิตของเขา ตอนนี้ความอันตรายที่ใหญ่ที่สุดก็คือ คุณชายใหญ่แห่งมหาวิทยาลัยหลงเถิง คนคนนี้มีอำนาจเบื้องหลังยิ่งใหญ่ และตัวเขาเองก็ยังเป็นยอดฝีมือชั้นหนึ่งที่ใช้วรยุทธโบราณ ไม่อาจหาเรื่องด้วยง่ายๆ ไม่เหมือนกับคุณชายไม้ประดับคนอื่นที่ทำอะไรไม่เป็น คนเหล่านั้นถ้าไม่มีเบื้องหลังคอยค้ำจุนอยู่ก็ไม่ต่างอะไรตดหมา

“ย่าขู่ หนูไม่สามารถไปได้จริงๆ หนูจำเป็นต้องช่วยเขา!” หลิงอวี่สวิ๋นขอร้องย่าขู่

“คุณหนู คุณหนูอยากได้บีบบังคับให้ดิฉันต้องลงมือเลย!” ย่าขู่มองไปยังหลิงอวี่สวิ๋นอย่างเย็นชาแล้วพูดขึ้น

“ย่าขู่ หนูทำไม่ได้ หนูทำไม่ได้จริงๆ หนูไม่สามารถมองดูเย่เทียนเฉินตายไปได้ ไม่สามารถมองตะกูลเย่ถูกฆ่าล้างได้…” หลิงอวี่สวิ๋นสะบัดมือของเธอออกย่าขู่สุดชีวิต ไม่อยากจะกลับไปยังประตูหลิงกลับย่าขู่

ย่าขู่เป็นยอดฝีมือที่ใช้วรยุทธโบราณคนหนึ่ง หลิงอวี่สวิ๋นไหนเลยจะสามารถสลัดพ้นได้ ถูกอีกฝ่ายดึงไปยังทิศทางของรถซีดานคันนั้น ด้วยเรี่ยวแรงของหลิงอวี่สวิ๋นจึงไม่สามารถที่จะสลัดพ้นจากมือของย่าขู่ได้

“ย่าขู่…” หลิงอวี่สวิ๋นตะโกนขึ้นเสียงดัง

เมื่อได้ยินเสียงที่เต็มไปด้วยความโมโหของหลิงอวี่สวิ๋น ย่าขู่ก็หันมามอง ใบหน้ายังคงไร้อารมณ์ เย็นชาราวกับไม่มีความเป็นมนุษย์ พูดออกมาอย่างเรียบเฉย “ดูท่าทางคุณพ่อของคุณจะพูดไว้ไม่ผิด คุณมีใจให้เย่เทียนเฉินจริงๆ พวกเราไม่สามารถให้คุณถลำลึกไปกว่านี้ได้ ถ้าคุณรักเย่เทียนเฉินจริงๆ ไม่เพียงแต่เย่เทียนเฉินที่จะต้องตาย คุณเองก็จะต้องตายด้วย แล้วจะเกี่ยวพันมาถึงตระกูลหลิงด้วย!”

“หนู…หนูไม่ได้รักเย่เทียนเฉิน หนูแค่ต้องการจะช่วยเหลือเขา พวกเราเป็นเพื่อนกัน ตระกูลหลิงและตระกูลเย่ก็มีความสัมพันธ์อันดีต่อกัน ทำไมถึงจะช่วยเขาไม่ได้ล่ะ?” เสี้ยวหยาเอ่ยถามอย่างไม่เข้าใจ

“ดิฉันได้พูดไปแล้ว ตระกูลหลิงแล้วตระกูลเย่อยู่ในตำแหน่งที่ไม่เหมือนกันตั้งนานแล้ว เมื่อก่อนทั้งสองตระกูลอาจจะมีความสัมพันธ์ที่ไม่เลวต่อกัน เป็นเพราะอำนาจของสองตระกูลต่างกันไม่มาก แต่ตอนนี้ตระกูลเย่ไม่สามารถเทียบเคียงได้กับตระกูลหลิง ตระกูลหลิงก็ไม่อาจไปหาเรื่องเพียงเพราะตระกูลเย่ได้!” ย่าขู่พูดอย่างเย็นชา

“พวกคุณ…ทำไมพวกคุณถึงได้เลือดเย็นขนาดนี้…” หลิงอวี่สวิ๋นพูดอย่างไม่พอใจ

ย่าขู่ชะงักไปครู่หนึ่ง จากนั้นจึงหันมามองหลิงอวี่สวิ๋น คิดอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ในที่สุดก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา ทำเพียงจูงมือหลิงอวี่สวิ๋นเดินไปเท่านั้น ดึงเธอให้เดินไปยังรถซีดานอย่างไร้หัวใจ เธอไม่สามารถทนเห็นหลิงอวี่สวิ๋นทำร้ายตนเองเพียงเพราะเย่เทียนเฉินได้ เพราะว่าหากดูจากสถานการณ์ในตอนนี้แล้ว เย่เทียนเฉินไม่ใช่คู่มือของคุณชายใหญ่แห่งมหาวิทยาลัยหลงเถิง จะต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัยเลย

“อวี่สวิ๋น พวกเธอทำอะไรเหรอ?” เย่เทียนเฉินปรากฏตัวออกมา มองหลิงอวี่สวิ๋นถูกหญิงชราคนหนึ่งจับจูงเดินไป อดไม่ได้ที่จะถามออกมาด้วยความประหลาดใจ

“เทียนเฉิน ฉัน…”

คำพูดของหลิงอวี่สวิ๋นยังไม่ทันได้กล่าวออกมาก็ถูกย่าขู่ขัดจังหวะ ด้านข้างมีบอดี้การ์ดในชุดสีดำสองคนมาขวางหลิงอวี่สวิ๋นเอาไว้ ส่วนย่าขู่กลับเดินไปอยู่เบื้องหน้าเย่เทียนเฉิน ยังคงมีท่าทางเย็นชา ในดวงตาเปล่งประกายอันคมกริบ

เย่เทียนเฉินขมวดคิ้ว ไม่ใช่เพราะหลิงอวี่สวิ๋นถูกบอดี้การ์ดทั้งสองคนขวางเอาไว้ แต่เป็นเพราะหญิงชราหลังค่อมตรงหน้านี้ ดูผิวเผินเป็นคนชรา แต่ไอสังหารแข็งแกร่งมาก นี่เป็นยอดฝีมือคนหนึ่ง เป็นยอดฝีมือที่เหนือชั้นคนหนึ่ง

“เธอก็คือเย่เทียนเฉินหรือ? ย่าขู่เอ่ยปากถาม”

“ถูกแล้วครับ มีเรื่องอะไรหรือเปล่า?” เย่เทียนเฉินตอบด้วยรอยยิ้ม

“ตระกูลเย่ตกต่ำไปหลายปีแล้ว สามารถมีเด็กรุ่นหลังอย่างเธอออกมาได้ก็เป็นเรื่องที่น่าชื่นชม เพียงแต่น่าเสียดายที่เธอจะมีชีวิตอยู่ได้ไม่นาน ฉันขอเตือนเธอเอาไว้ว่า หลังจากนี้อย่าได้ใกล้ชิดกับคุณหนูของพวกเรามากเกินไป พวกเธอไม่ใช่คนที่อยู่ในระดับเดียวกัน มิฉะนั้นฉันจะทำให้เธอตายเร็วขึ้น!” ย่าขู่มองเย่เทียนเฉิน จ้องไปยังดวงตาของเย่เทียนเฉินแล้วพูดขึ้น

เย่เทียนเฉินชะงักไปครู่หนึ่ง ตนเองไปล่วงเกินใครเอาไว้อีกหรือเปล่า? ถึงได้มีหญิงชราแบบนี้โผล่ออกมา ไม่พูดไม่จาก็เริ่มจะเล็งเป้ามาที่ตน และยังมีความเป็นไปได้มากกว่าจะลงมือ เห็นว่าเขาเป็นคนที่เคารพผู้อาวุโสแล้วจะรังแกได้ง่ายๆหรือยังไง?

“คุณย่าครับ ผมไปล่วงเกินอะไรคุณเหรอ? อย่างแรกที่ผมจะบอกคุณก็คือ ผมกับหลิงอวี่สวิ๋นเป็นเพื่อนกัน นอกจากนี้ยังจะมาพูดถึงตระกูลเย่ของผมตามใจชอบอีก!” เย่เทียนเฉินพูดออกมาด้วยความไม่พอใจ

ย่าขู่มองเย่เทียนเฉินครั้งหนึ่ง เธอได้ได้ยินทุกการกระทำที่เย่เทียนเฉินได้กระทำหลังจากกลับมาที่เมืองหลวงหมดแล้ว ในใจก็ค่อนข้างที่จะชื่นชม อย่างน้อยเย่เทียนเฉินก็เป็นคนที่กล้าทำกล้ารับ เพียงแต่ว่านี่ไม่ได้หมายความว่าย่าขู่จะมองเขาในแง่ดี โดยเฉพาะหลังจากที่ได้รู้ว่าเย่เทียนเฉินไปล่วงเกินคุณชายใหญ่ ไม่ใช่ว่าย่าขู่จะเกรงกลัวบารมีของคนอื่นจนทำลายศักดิ์ศรีของตนเอง แต่เป็นเพราะคุณชายใหญ่แห่งมหาวิทยาลัยหลงเถิงมีความสามารถแข็งแกร่งมากจริงๆ และมีเบื้องหลังที่ยิ่งใหญ่ ตระกูลหลิงไม่กล้าที่จะไปล่วงเกิน

 “นิสัยไม่เลวเลย ต่อให้ปู่ของเธอเย่หย่วนซานมาปรากฏตัวอยู่ที่นี่ ก็เกรงว่าจะไม่กล้าพูดกับฉันแบบนี้ ยิ่งไปกว่านั้นเธอเป็นแค่เด็กรุ่นหลังคนหนึ่ง ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงหรือ?” ย่าขู่มองเย่เทียนเฉินอย่างไม่สบอารมณ์แล้วพูดขึ้น

“คุณย่า ผมว่าไม่ใช่ผมหรอกที่ไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ? แต่เป็นคนที่พอเริ่มพูดก็คิดจะกดหัวผม อยากจะใช้ฐานะผู้ใหญ่ของคุณมากดดันผม คิดว่าผมเย่เทียนเฉินจะรังแกได้ง่ายๆ หรือ? ผมเคารพผู้หลักผู้ใหญ่ก็จริง แต่อย่าได้บีบบังคับผม!” เย่เทียนเฉินเองก็พูดอย่างไม่สบอารมณ์

“งั้นเหรอ? ฉันไม่เพียงแต่จะกดดันเธอ ไม่เพียงแต่จะบีบบังคับเธอ แต่ฉันยังจะสั่งสอนเธอด้วย จะทำให้เธอรู้ว่าวันหน้าอย่าได้เข้ามาใกล้คุณหนูของฉันอีก…” ย่าขู่ยังไม่ทันกล่าวจบก็พุ่งเข้าไปยังเย่เทียนเฉิน

เสี้ยวหยาคิดไม่ถึงและไม่รู้ว่าทำไม พอย่าขู่ได้เห็นเย่เทียนเฉินก็เล็งเป้าไปที่เขาแบบนี้ เหมือนกับว่ามาเพื่อทำให้เย่เทียนเฉินต้องได้รับความอัปยศโดยเฉพาะอย่างไรอย่างนั้น ช่างแปลกประหลาดอยู่บ้านจริงๆ

ผัวะ!

หมัดที่รวดเร็วและรุนแรงพุ่งไปยังลำคอของเย่เทียนเฉิน ไม่เพียงแต่หลิงอวี่สวิ๋น แต่กระทั่งเย่เทียนเฉินเองก็มองจนตกตะลึง เขารู้ว่าหญิงชราตรงหน้ามีความเป็นไปได้มากว่าจะเป็นยอดฝีมือแห่งพรรควรยุทธโบราณคนหนึ่ง แต่กลับคิดไม่ถึงว่าจะแข็งแกร่งถึงเพียงนี้ หนึ่งหมัดที่ต่อยเข้ามา ไม่เพียงแต่รวดเร็วดุจสายฟ้า แต่ยังแฝงไปด้วยพลังภายในที่แข็งแกร่งอีกด้วย กระทั่งสามารถทำให้อากาศสั่นไหว ให้ความรู้สึกราวกับจะฉีกขาด เป็นเพียงแค่การออกหมัดธรรมดาๆ หมัดหนึ่งเท่านั้น ถึงกับมีพลังอำนาจเพียงนี้ จะให้เขาไม่ตกใจได้อย่างไร

เย่เทียนเฉินหลบไปด้านซ้าย ไหนเลยจะรู้ว่ามือขวาของย่าขู่จะพุ่งเข้ามาในท่วงท่าของกรงเล็บอินทรีย์ ทำให้เย่เทียนเฉินไม่อาจหลบหลีกได้ ทั้งซ้ายขวาต่างก็ถูกโจมตี

“ย๊าก!”

ในเวลาชั่วพริบตา เย่เทียนเฉินตะโกนออกมาเสียงดัง ทั่วทั้งร่างมีพลังพิเศษอันแข็งแกร่งฟุ้งกระจายออกมา ลดทอนความเร็วในการโจมตีของย่าขู่ หลิงอวี่สวิ๋นใช้มือทั้งสองปิดหูของตน

……………………………..

วันนั้นห้าโมงเย็น เมื่อหลิงอวี่สวิ๋นและเสี้ยวหยาเดินออกมาจากประตูมหาวิทยาลัยหลงเถิง ก็เห็นเย่เทียนเฉินถือถังไอติมอันใหญ่อยู่ในมือ ตักกินเข้าไปคำใหญ่ ยืนพิงอยู่ที่ต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งบริเวณประตูมหาวิทยาลัย ไม่รักษาภาพลักษณ์ของตัวเองเลยแม้แต่น้อย  ต่อให้รอบด้านจะมีนักศึกษาชายหญิงเดินผ่านทางมาและจำเย่เทียนเฉินที่เป็นบุคคลผู้ทรงอิทธิพลได้ พากันชี้ไม้ชี้มือมา แต่เย่เทียนเฉินก็ยังกินต่อไป คนอื่นจะมีท่าทางยังไงก็เรื่องของเขา

“นายอย่าบอกนะว่า ตอนสี่โมงที่นายโทรมาหาพวกเราก็เริ่มกินแล้ว?” เสี้ยวหยาอ้าปากกว้างอย่างเกินจริง มองไปยังเย่เทียนเฉินแล้วพูดขึ้น

“ไม่ใช่ว่าเริ่มกิน แต่กินมาตลอดไม่ได้หยุด ถ้าพวกเธอยังไม่ออกมาอีก ฉันก็ว่าจะไปซื้อไอติมมาอีก!” เย่เทียนเฉินกินไปพลางพูดไปพลาง

“ฉัน…อับจนคำพูดกับนายจริงๆ!”

หลิงอวี่สวิ๋นไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดีจริงๆ เย่เทียนเฉินเป็นเพื่อนสมัยเด็กของตน ถึงแม้ว่าจะไม่ได้เจอหน้ากันมาหลายปี แต่ความรู้สึกใกล้ชิดสนิทสนมนั้นก็ไม่ได้ลดน้อยลง ไม่ว่าเย่เทียนเฉินจะรู้สึกอย่างไร แต่ตัวหลิงอวี่สวิ๋นนั้น ยังคงรู้สึกเหมือนกับในวัยเด็กทุกอย่าง ระหว่างเธอกับเย่เทียนเฉินไม่มีอะไรมากั้น

ตั้งแต่ที่ได้พบกับเย่เทียนเฉินจนถึงตอนนี้ นอกจากความจนใจและความหดหู่ที่เธอมีต่อเย่เทียนเฉินแล้ว ที่เหลือก็เป็นความตกตะลึงและความยินดี จะอย่างไรเธอก็คิดไม่ถึงว่า เย่เทียนเฉินที่เคยฉี่รดที่นอนในวันนั้น ตอนนี้จะกลายเป็นลูกผู้ชายถึงขนาดนั้น จะแข็งแกร่งถึงขนาดนั้น เขาไม่เกรงกลัวในอำนาจ มีหลักการของตนเอง ขอเพียงคุณไร้เหตุผล ขอเพียงคุณไม่ยอมอยู่อย่างสงบ สิ่งที่เขาจะให้คุณก็มีแค่กำปั้น ผู้ชายเช่นนี้มากพอที่จะทำให้ผู้หญิงคนใดก็ตามต้องหวั่นไหว

“เทียนเฉิน พี่อวี่สวิ๋น คืนนี้หนูไม่กินข้าวกับพวกคุณนะคะ พ่อของหนูทำงานยังไม่กลับบ้าน หนูต้องไปดูแลแม่ที่โรงพยาบาล!” เสี้ยวหยาพูดกับหลิงอวี่สวิ๋นและเย่เทียนเฉิน

“ไม่เป็นไรหรอก พวกเราไปกินที่นอกโรงพยาบาลก็ได้ กินเสร็จแล้วเธอก็ไปดูแลแม่ของเธอ ส่วนพวกเราก็กลับ!” เย่เทียนเฉินพูดด้วยรอยยิ้ม

“ใช่แล้วหยาเอ๋อร์ ขึ้นรถเถอะ อย่านั่งรถมอเตอร์ไซค์ของเย่เทียนเฉินไปเลย มันไม่ปลอดภัย!” หลิงอวี่สวิ๋นเองก็พูดพลางเหลือบมองเย่เทียนเฉิน

“ไม่ปลอดภัย? มอเตอร์ไซค์ของพี่ชายจะไม่ปลอดภัยได้ไง? มันปลอดภัยมากเลยนะ!” เย่เทียนเฉินพูดอย่างไม่สบอารมณ์

“ไม่ พวกเธอไปกินข้าวกันเถอะ ฉันจะไปแล้ว!”

ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด ครั้งนี้เสี้ยวหยาดูเหมือนว่าจะไม่ยอมไปด้วยกันกับเย่เทียนเฉินและหลิงอวี่สวิ๋น พูดจบก็รีบร้อนจากไป เตรียมจะไปนั่งรถสาธารณะ เย่เทียนเฉินและหลิงอวี่สวิ๋นที่เห็นดังนั้นก็ชะงักไป

“หยาเอ๋อร์เป็นอะไรไป?” เย่เทียนเฉินถามด้วยความสงสัย

“ตัวเธอก็มีความเคารพในตนเองอยู่ คงไม่เต็มใจที่จะรับความช่วยเหลือจากพวกเรามากจนเกินไป และคิดที่จะยืนด้วยลำแข้งของตนเอง!” หลิงอวี่สวิ๋นมองแผ่นหลังของเสี้ยวหยาแล้วพูดขึ้น

เสี้ยวหยาและหลิงอวี่สวิ๋นเป็นผู้หญิง ที่สามารถกลายเป็นเพื่อนสนิทกันได้อย่างมีความสุขขนาดนี้ ประการแรกเป็นเพราะทั้งสองต่างก็เป็นคนสวยและเป็นคนจิตใจดี ในส่วนลึกของจิตใจต่างก็คิดแต่เรื่องดีๆ ประการที่สอง หลิงอวี่สวิ๋นนับถือเสี้ยวหยามาก นับถือที่เธอสามารถอยู่ในสังคมที่สกปรกเช่นนี้และสามารถรักษาความไร้เดียงสาของตนเองเอาไว้ได้ ไม่ว่าสุขภาพร่างกายจะเป็นอย่างไร ก็ยังคงรักษาความบริสุทธิ์ของจิตวิญญาณเอาไว้ได้ นี่ไม่ใช่อะไรที่จะใช้เงินและอำนาจแลกมาได้ บนโลกแห่งนี้หากต้องการที่จะหาผู้หญิงเหมือนเสี้ยวหยาเกรงว่าจะไม่ง่าย

“แย่แล้ว สมุดของหยาเอ๋อร์ยังอยู่ที่ฉัน พรุ่งนี้อาจารย์ที่ปรึกษาจะตรวจด้วย…” หลิงอวี่สวิ๋นมองไปยังสมุดในมือ อดไม่ได้ที่จะพูดขึ้น

“ฉันจะเอาไปให้เอง เธอรอฉันอยู่ที่นี่เถอะ!”

เย่เทียนเฉินหยิบสมุดไปจากในมือของหลิงอวี่สวิ๋น จากนั้นจึงเดินไปหาเสี้ยวหยา วิ่งเข้าไปด้วยความรวดเร็ว เมื่อเห็นแผ่นหลังของเย่เทียนเฉิน จู่ๆ หลิงอวี่สวิ๋นก็รู้สึกโดดเดี่ยว ไม่รู้ว่าเพราะอะไร จู่ๆ ในใจของเธอก็เกิดความรู้สึกขมขื่น เพราะเย่เทียนเฉินไม่มีความรู้สึกระหว่างหญิงชายต่อเธอเลยแม้แต่นิดเดียว สิ่งที่มีให้ก็คือเพื่อนที่ดีเท่านั้น เป็นความรู้สึกของเพื่อนสมัยเด็กที่ดี

“หยาเอ๋อร์เป็นคนสวย ใจดี ไร้เดียงสา บางทีเย่เทียนเฉินอยู่ด้วยกันกับเธอคงจะเหมาะสมที่สุดแล้ว!” มุมปากของหลิงอวี่สวิ๋นปรากฏรอยยิ้มขมขื่นขึ้น พูดพึมพำกับตัวเอง

ความจริงแล้ว จนถึงตอนนี้หลิงอวี่สวิ๋นก็รู้สึกตกใจกับตัวเอง ตั้งแต่ได้พบกับเย่เทียนเฉินอีกครั้ง เธอก็อดไม่ได้ที่จะคิดถึงช่วงเวลาในวัยเด็กที่เล่นด้วยกันอย่างมีความสุข บางทีหากจะพูดเช่นนี้คงไม่มีใครเชื่อ คนเราเมื่อเติบโตขึ้นมาแล้ว ช่วงเวลาในวัยเด็กจะยังจำได้อย่างไร? ต่อให้จำได้ ก็คงไม่ติดใจอะไรขนาดนั้น แต่หลิงอวี่สวิ๋นไม่อาจควบคุมตนเองได้จริงๆ หลายวันนี้ในสมองต่างก็มีภาพของเย่เทียนเฉิน

ยิ่งไปกว่านั้นเย่เทียนเฉินที่เคยฉี่รดที่นอนคนนั้น ในตอนนี้ก็เติบโตขึ้นมาแล้ว เป็นผู้ชายที่มีความกล้าหาญคนหนึ่ง มีฝีมือไม่ธรรมดา มีความหล่อเหลามาดเท่ เป็นคนที่มีนิสัยอันธพาลจนทำให้คนอื่นต้องร้องไห้โดยไร้น้ำตา

ชั่วขณะที่หลิงอวี่สวิ๋นเหม่อลอยอยู่นั้น หญิงชราคนหนึ่งก็ปรากฏตัวอยู่ข้างกายของหลิงอวี่สวิ๋น ให้ความรู้สึกว่ากระทันหันเป็นอย่างมาก ก่อนหน้านี้เธอไม่ได้สังเกตเห็นเลยแม้แต่น้อย

“คุณหนู คนเมื่อกี้นี้คือเย่เทียนเฉินเหรอคะ?” หญิงชรามองหลิงอวี่สวิ๋นแล้วถามขึ้น

“ย่าขู่ ยะ ย่ามาได้ยังไงคะ?” หลิงอวี่สวิ๋นอดไม่ได้ที่จะถามออกไปอย่างตกตะลึง

“ดูแล้วคนคนนี้คงจะเป็นเย่เทียนเฉิน คุณหนู นายท่านให้ดิฉันมาบอกคุณว่า อย่าได้ใกล้ชิดกับเย่เทียนเฉินมากเกินไป เขาไปหาเรื่องยุ่งยากมากมาย คงจะมีชีวิตอยู่ได้ไม่นาน!” หญิงชราเอ่ยปากด้วยใบหน้าไร้อารมณ์

“อะไรนะ? ย่าขู่ หนูรู้ว่าเย่เทียนเฉินไปล่วงเกินตระกูลเซวียนเยวี๋ยนและตระกูลโอวหยาง แต่ก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่อะไร ให้คุณพ่อออกหน้าช่วยเขาจัดการไม่ได้เหรอคะ?” หลิงอวี่สวิ๋นมองย่าขู่ด้วยสายตาขอร้อง

ย่าขู่ไม่มองหลิงอวี่สวิ๋น เธอเป็นคนเก่าแก่ในตระกูลหลิง ทำงานให้ตระกูลหลิงตั้งแต่รุ่นของคุณปู่ของหลิงอวี่สวิ๋น ไม่แต่งงานตลอดชีวิต มีใจภักดีซื่อสัตย์ต่อตระกูลหลิง ไม่ว่าจะเป็นหลิงอวี่สวิ๋น หรือกระทั่งคุณพ่อของหลิงอวี่สวิ๋น ต่างก็เป็นคนที่ย่าขู่เห็นการเติบโตขึ้นมากับตา ดังนั้นถึงแม้ว่าย่าขู่จะเป็นคนในบังคับบัญชาของตระกูลหลิง แต่ก็มีตำแหน่งที่สำคัญ เคยมีข่าวลือว่า ย่าขู่คล้ายจะมีรักลึกซึ้งต่อคุณปู่ของหลิงอวี่สวิ๋น ดังนั้นจึงไม่แต่งงานมาตลอดชีวิตและทำงานให้กับตระกูลหลิง ความรู้สึกที่ทำให้ซาบซึ้งใจนี้ ทำให้ทุกคนต้องหวั่นไหว

ดังนั้น หลิงอวี่สวิ๋นจึงเห็นย่าขู่เป็นเหมือนญาติที่แท้จริงของตนเอง มีความรู้สึกลึกซึ้งต่อกัน และมีความเคารพยำเกรง เป็นความเคารพที่มีต่อผู้อาวุโส แต่ไหนแต่ไรก็ไม่เคยปฏิบัติตัวต่อย่าขู่เหมือนบ่าวไพร่

“ไม่ได้หรอกค่ะ ครั้งนี้เย่เทียนเฉินไม่เพียงแต่จะต้องตาย ยังเป็นไปได้มากกว่าจะเกี่ยวพันไปถึงตระกูลเย่ คงจะถูกฆ่าล้างตระกูล เพราะว่าคนที่เขาไปล่วงเกินก็คือคุณชายใหญ่แห่งมหาวิทยาลัยหลงเถิง คนคนนี้ไม่เพียงแต่มีอำนาจยิ่งใหญ่ แต่ตัวเขาเองก็ยังเป็นยอดฝีมือคนหนึ่ง เป็นยอดฝีมือชั้นหนึ่ง มีความสามารถลึกล้ำไม่อาจคาดเดา…” ในตอนที่ย่าขู่พูดถึงคุณชายใหญ่แห่งมหาวิทยาลัยหลงเถิง ก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว

“นี่…”

เมื่อได้ยินคำพูดของย่าขู่ หลิงอวี่สวิ๋นก็ตกตะลึงไป ตระกูลหลิงของเธอไม่ใช่ตระกูลเล็ก โดยเฉพาะในด้านการค้า มีตำแหน่งที่สำคัญมาก ดังนั้นเรื่องเกี่ยวกับเรื่องยอดฝีมือแห่งพรรควรยุทธโบราณและเรื่องเกี่ยวกับคนที่มีฝีมือแข็งแกร่ง หลิงอวี่สวิ๋นก็ได้สัมผัสมาตั้งแต่เด็กแล้ว สำหรับย่าขู่ เมื่อปีนั้นก็นับว่าเป็นคนที่มีชื่อเสียงในยุทธภพ ฉายานางฟ้ามีดบิน มีฝีมือร้ายกาจเป็นอย่างมาก ตั้งแต่เล็กจนโต นี่เป็นครั้งแรกที่หลิงอวี่สวิ๋นเห็นย่าขู่พูดถึงความสามารถของคนอื่นและมีท่าทางเข้มงวดถึงเพียงนี้ออกมาให้เห็น ท่าทางคุณชายใหญ่จะแข็งแกร่งมากจริงๆ

“อย่าคิดอีกเลย ไปเถอะ เย่เทียนเฉินช่วยไม่ได้แล้ว!” ย่าขู่พูดอย่างจริงจัง

“ไม่…ย่าขู่ ตระกูลหลิงของพวกเรากับตระกูลเย่ เมื่อก่อนก็มีความสัมพันธ์ไม่เลวต่อกัน ตอนนี้ถึงกับเห็นคนจะตายแต่ไม่ยอมช่วยเหลือ เย่เทียนเฉินไม่ใช่คนเลวอะไร ช่วยเขาหน่อยเถอะค่ะ!” หลิงอวี่สวิ๋นพูดอ้อนวอน

“นั่นเป็นสมัยก่อน ตอนนี้ตระกูลเย่และตระกูลหลิงไม่ใช่ตระกูลที่อยู่ในระดับเดียวกันมานานแล้ว ตระกูลเย่ตกต่ำจนไม่อาจทําอะไรได้ ลูกชายทั้งสามคนเย่หย่วนซานก็ไม่เอาไหน ไม่มีทางค้ำจุนตระกูลเย่ได้ ส่วนเย่เทียนเฉิน มีความกล้าและเด็ดเดี่ยวจริงๆ เพียงแต่น่าเสียดายที่ไม่มีการสนับสนุนที่ยิ่งใหญ่ทำได้เพียงแค่รนหาที่ตายเท่านั้น!” ย่าขู่พูดพลางส่ายหน้า

ความจริงแล้ว ตระกูลหลิงก็เป็นเช่นเดียวกับตระกูลเย่ ไม่ใช่ตระกูลใหญ่โตอะไรในเมืองหลวง แต่มีแนวโน้มว่าทั้งสองตระกูลจะค่อยๆ ไต่ขึ้นไปอย่างช้าๆ ได้ จนกระทั่งตอนนี้ตระกูลหลิงกลายเป็นตระกูลที่ยิ่งใหญ่เพียงพอที่จะสั่นสะเทือนเศรษฐกิจภายในประเทศได้ แต่ตระกูลเย่กลับตกต่ำลง ตกต่ำลงจนสามารถพูดได้ว่าเละไม่เป็นท่า  ตกต่ำจนถึงระดับที่ไม่สามารถช่วยได้แล้ว

หลังจากที่เย่เทียนเฉินกลับมาเมืองหลวง ทุกเรื่องที่กระทำต่างก็ทำให้ผู้คนอดไม่ได้ที่จะสั่นสะท้าน มีคนที่มองตะกูเย่ในแง่ดี คิดว่าบางทีตระกูลเย่อาจจะรุ่งเรืองขึ้นมาได้เพราะการกลับมาของเย่เทียนเฉิน แต่คำพูดของย่าขู่กลับทำให้หลิงอวี่สวิ๋นเป็นห่วงขึ้นมา ตระกูลเย่ไม่มีที่พึ่งใหญ่อะไรจริงๆ หากมีที่พึ่งพิง เมื่อมีปัญหา ก็จะสามารถทำให้เรื่องสงบลงไปได้ และรุ่งเรืองขึ้นมาได้อย่างรวดเร็ว หากไม่มีที่พึ่งพิงเมื่อมีปัญหาขึ้นมา ก็คงจะมีเพียงเส้นทางแห่งความตายให้เดินเท่านั้น

“แต่ว่า…” หลิงอวี่สวิ๋นยิ่งคิดก็ยิ่งร้อนใจ อดไม่ได้ที่จะกังวลเรื่องของเย่เทียนเฉินและตระกูลเย่

“ไปกันเถอะค่ะคุณหนู เรื่องนี้ไม่ใช่อะไรที่คุณจะสอดมือเข้าไปยุ่งได้…อย่าทำให้เกี่ยวพันไปถึงตระกูลหลิงเลย ไม่งั้นคุณจะกลายเป็นคนที่ทำผิดต่อตระกูลหลิง!” ย่าขู่พูดพลางจับมือของหลิงอวี่สวิ๋น เดินไปทางรถซีดานที่อยู่ด้านข้าง

“ไม่…หนูไม่อาจทนเห็นเขาตายได้ หนู…” ทันใดนั้นหลิงอวี่สวิ๋นคิดถึงฉากหนึ่งขึ้นมา คิดถึงภาพเหตุการณ์ที่เย่เทียนเฉินถูกฆ่าตาย เธอรับไม่ได้จริงๆ ต่อให้จะไม่ได้ตกหลุมรักเย่เทียนเฉินเข้าจริงๆ แต่ด้วยความรู้สึกอันงดงามในสมัยเด็ก เธอก็ไม่อาจมองอยู่เฉยๆ ได้

ในตอนนี้ ขณะที่หลิงอวี่สวิ๋นและย่าขู่กำลังถกเถียงกันอยู่นั้น เย่เทียนเฉินก็ได้ตามเสี้ยวหยามาแล้ว ทั้งสองค่อยๆ เดินไปข้างหน้าด้วยกัน เย่เทียนเฉินเดินมาเพื่อส่งเสี้ยวหยาขึ้นรถสาธารณะ เขารู้ว่าเสี้ยวหยามีความเคารพในตนเองอย่างมาก เป็นผู้หญิงที่ดีคนหนึ่ง ดังนั้นจึงไม่ได้กล่าวอะไรมาก หากช่วยเหลือเธอจนมากเกินไป คงจะทำให้เธอลำบากใจ

“หยาเอ๋อร์ ความจริงพวกเราก็เป็นเพื่อนกัน การช่วยเหลือซึ่งกันและกันก็เป็นสิ่งสมควรแล้ว!” เย่เทียนเฉินพูดแนะนำเสี้ยวหยาด้วยรอยยิ้ม

เสี้ยวหยามองเย่เทียนเฉินครั้งหนึ่ง ตั้งแต่เหตุการณ์ในซอยแคบ หลังจากที่ทั้งสองผ่านความเป็นตายมาด้วยกัน ความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองคนก็มีความเปลี่ยนแปลงไปในทางใกล้ชิดกันมากขึ้น

“เทียนเฉิน ฉันรู้ว่าเธอกับพี่อวี่สวิ๋นเป็นคนดี ต่างก็ต้องการช่วยเหลือฉันด้วยความจริงใจ แต่ฉันก็ต้องเรียนรู้ที่จะพยายามด้วยตัวเอง ไม่สามารถพึ่งพาคนอื่นไปได้ทุกเรื่องหรอก ยิ่งไปกว่านั้นฉันคิดจะบอกนายว่า พี่สวิ๋นอวี่ชอบนาย วันหน้านายก็อย่าทำท่าทางแบบนั้นต่อเธอเลย ฉันจะให้โอกาสพวกเธอสองคนได้อยู่ด้วยกันตามลำพังไง?” เสี้ยวหยาพูดพลางยิ้มให้เย่เทียนเฉิน

………………………..

ในตอนที่หลินตวนใช้มีดเจ็ดดาวนั้น เย่เทียนเฉินรับรู้ได้ถึงความน่าสงสัยอย่างหนึ่ง เพราะว่าไม่เพียงแค่การลองเชิงในก่อนหน้านี้เท่านั้น แต่หลังจากที่ลงมือเต็มกำลังในตอนหลัง ต่อให้โจมตีออกมาได้แข็งแกร่งมาก กระทั่งเกือบจะถึงขั้นที่เปลี่ยนเท็จเป็นจริงและสร้างรูปลักษณ์ออกมา แต่เย่เทียนเฉินกลับไม่สามารถสัมผัสได้ถึงการสั่นสะเทือนของพลังภายในเลยแม้แต่น้อย ตอนแรกเขาคิดว่าหลินตวนเก็บซ่อนเอาไว้ แต่ภายหลังจึงพบว่าไม่ใช่แบบนั้น

ไม่ผิดไปจากที่เย่เทียนเฉินคาดเดา การที่หลินตวนออกกระบวนท่าแต่ไม่มีการสั่นสะเทือนของพลังภายในเลยแม้แต่ครึ่งส่วน เป็นเพราะเขาได้รับบาดเจ็บภายใน จนไม่สามารถใช้พลังภายในออกมาได้ มิเช่นนั้นหากพลังอำนาจของมีดเจ็ดดาวรวมเข้ากับพลังภายในอันแข็งแกร่ง เกรงว่าต่อให้เย่เทียนเฉินต้องการที่จะเข้าปะทะก็ไม่ง่ายถึงขนาดนั้น

“ท่าทางชีพจรลมปราณของนายที่ถูกตัดทอนนี้จะมาจากหัวใจ สามารถมีชีวิตอยู่ได้ก็ไม่ง่ายแล้ว คงจะไม่สามารถใช้พลังภายในออกมาได้จริงๆ ถ้าใช้พลังภายในออกมาก็คงจะต้องตายแน่!” เย่เทียนเฉินมองขีดเส้นสีดำบนมือขวาของหลินตวน พูดพลางพยักหน้า

“ตอนนั้นท่านอาจารย์เก็บผมมาจากภูเขาแห่งหนึ่ง ได้ใช้เคล็ดวิชาลับพลังภายในของพรรควรยุทธโบราณเพื่อปกป้องชีพจรที่ถูกตัดขาดนี้จนสามารถเก็บชีวิตกลับมาได้ เพียงแต่ไม่สามารถฝึกฝนพลังภายในได้ เนื่องจากการฝึกฝนพลังภายในของวรยุทธของประเทศจีน ต่างก็ฝึกฝนจากในมาสู่นอก การที่มีเส้นชีพจรลมปราณจากหัวใจที่ถูกตัดขาด ทำให้เมื่อฝึกฝนพลังภายในก็จะทำให้หัวใจแหลกเหลวจนตาย!” หลินตวนเองก็พูดด้วยความหดหู่

เย่เทียนเฉินมองหลินตวนแวบหนึ่ง เขารู้ความคิดของหลินตวนดี ในฐานะที่เป็นศิษย์ของพรรควรยุทธโบราณ มีใครบ้างที่ไม่ต้องการเพิ่มความแข็งแกร่ง ในสังคมปัจจุบันนี้ คนธรรมดาทั่วไปค่อยๆ กลายเป็นทาส ไม่ไล่ตามความแข็งแกร่งและการทำให้ร่างกายของตนแข็งแกร่งอีกต่อไปแล้ว แต่ในฐานะที่เป็นศิษย์ของพรรควรยุทธโบราณและผู้แข็งแกร่งที่เป็นผู้มีพลังพิเศษนั้น พวกเขาจะเข้าใจได้อย่างกระจ่างชัดว่า ในโลกของพวกเขา ถ้าไม่มีสามารถเพิ่มความแข็งแกร่งของตนเองได้ ก็จะถูกผู้คนเหยียบย่ำ กฎหมายข้อบังคับอะไรต่างๆ ก็เป็นแค่สิ่งเลื่อนลอย ผู้ชนะเป็นเจ้า ผู้แพ้เป็นทาสหรือไม่ก็ต้องตาย

“ก็ไม่แน่ว่าจะช่วยนายไม่ได้ ถ้าหากสามารถหาผลฮั่วหยวนเจอ คงจะสามารถรักษาข้อบกพร่องแต่กำเนิดนี้ของนายได้!” เย่เทียนเฉินพูดด้วยรอยยิ้ม

“ผลฮั่วหยวน?” เมื่อได้ยินคำพูดของเย่เทียนเฉิน หลินตวนก็เลยถามด้วยความดีใจปนสงสัย

“อืม เป็นผลไม้แห่งจิตวิญญาณที่สามารถทำให้กายเนื้อแข็งแกร่งขึ้นได้ และรักษาความบกพร่องแต่กำเนิดบางอย่างได้ หากสามารถหาพบก็จะสามารถรักษาอาการบาดเจ็บภายในของนายได้!” เย่เทียนเฉินมองหลินตวนอย่างจริงจังแล้วพูดขึ้น

“ถ้างั้น จะสามารถหาผลฮั่วหยวนได้ที่ไหน?” หลินตวนเอ่ยถามอย่างร้อนรน

“นี่…ฉันเองก็อ่านเจอมาในหนังสือโบราณเล่มหนึ่ง ถ้ามีโอกาสจะช่วยนายหาดูสักหน่อยก็แล้วกัน!” เย่เทียนเฉินตกตะลึงไปครู่หนึ่งแล้วจึงพูดขึ้น

สำหรับยอดฝีมือแห่งพรรควรยุทธโบราณและผู้มีพลังพิเศษคนหนึ่งแล้ว ความขมขื่นที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคงหนีไม่พ้นการที่ไม่อาจเพิ่มความแข็งแกร่งของตนเองได้ หากจะพูดว่าการเพิ่มพูนความสามารถนั้นยากลำบากขนาดไหน แน่นอนว่าต้องยากลำบากมาก จากที่เย่เทียนเฉินรู้ ยอดฝีมือแห่งพรรควรยุทธโบราณในช่วงยุคสิ้นโลกถูกเรียกว่านักรบ นักรบก็เหมือนกับผู้มีพลังพิเศษ มีขอบเขตของการเพิ่มระดับความสามารถที่สอดคล้องกัน

ผู้มีพลังพิเศษหลังจากระดับเก้าจะแบ่งเป็น ระดับราชัน ระดับจอมราชัน ระดับจักรพรรดิ ระดับพระเจ้า และระดับเทพราชัน

นักรบจะแบ่งออกเป็น นักรบจิตวิญญาณ นักรบราชัน นักรบจอมราชัน นักรบจักรพรรดิ และนักรบเทพราชันย์

ไม่ว่าจะเป็นโลกของผู้มีพลังพิเศษหรือนักรบ สุดท้ายก็จะเป็นระดับเทพราชันที่แข็งแกร่งที่สุด นี่เป็นต้นกำเนิดของสรรพสิ่ง ทุกสรรพสิ่งล้วนกำเนิดจากสิ่งเดียวกัน นี่ก็คือสัจธรรม ไม่ว่าจะใช้วิธีการใดในการเพิ่มความแข็งแกร่งให้แก่ตนเอง สุดท้ายก็จะกลายเป็นพลังกลับคืนสู่ธรรมชาติ แม้จะเปลี่ยนไปนับหนึ่งครั้งก็หนีไม่พ้นต้นกำเนิด ทุกเรื่องราวทุกสรรพสิ่งต่างก็ก่อกำเนิดจากห้าเส้นทาง เมื่อคิดจะสลัดพ้นจากห้าเส้นทางนี้ หลุดพ้นจากการเกิดแก่เจ็บตาย มีเพียงได้เป็นผู้แข็งแกร่งในระดับเทพราชันเท่านั้นถึงจะสามารถทำได้

แน่นอนว่าข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้เย่เทียนเฉินย่อมไม่สามารถบอกหลินตวนได้ อย่างน้อยก็ไม่ใช่ตอนนี้ เนื่องจากต่อให้เขาจะเป็นศิษย์แห่งพรรควรยุทธโบราณ ก็เกรงว่าจะไม่อาจรับข้อมูลในช่วงยุคสิ้นโลกได้ ทำได้เพียงค่อยๆ บอกเขาไปในตอนหลัง โลกแห่งการล่มสลายก็เป็นโลกที่เหนือคาด มีสีสันเช่นเดียวกับยุคปัจจุบันนี้ และมีบรรยากาศอันเต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือดและจินตนาการอันไร้ขอบเขตอยู่ด้วย ที่ถูกเรียกว่าโลกแห่งการล่มสลายนั้นก็ชัดเจนมาก เพราะเป็นโลกที่อยู่ในช่วงยุคสิ้นโลก มีเรื่องมากมายที่ไม่อาจคาดเดา

ส่วนเรื่องผลฮั่วหยวนที่เย่เทียนเฉินบอกกับหลินตวนนั้น ไม่ใช่เป็นเพียงคำพูดปลอบใจ แต่เป็นสิ่งที่มีอยู่จริง เพียงแต่ว่าผลฮั่วหยวนนี้มีตัวตนอยู่ในยุคสิ้นโลก เป็นผลไม้แผ่นจิตวิญญาณประเภทหนึ่ง มียอดฝีมือที่แข็งแกร่งจำนวนมากตามหาผลฮั่วหยวนเพื่อนำไปให้ลูกหรือคนสนิทของตนเองกิน ใช้เพื่อบ่มเพาะร่างกายของเขาอย่างรวดเร็ว และรักษาความบกพร่องที่มีมาแต่กำเนิด เพื่อที่ภายหลังจะสามารถมีพื้นฐานที่ดีในฝึกฝน

“ถ้างั้นก็ขอบคุณมากครับพี่ใหญ่!” หลินตวนมองออกว่าเย่เทียนเฉินไม่มีผลฮั่วหยวนอะไรนั่น และบางทีเขาอาจจะไม่ได้หลอกตนเอง แต่กลับเข้าใจว่าผลฮั่วหยวนนี้ หาได้ยากมากอย่างแน่นอน

เย่เทียนเฉินพยักหน้า แล้วเปลี่ยนหัวข้อสนทนา เขารู้ถึงความคิดของหลินตวนดี เพียงแต่ผลฮั่วหยวนนี้ หากต้องการจะได้มานับว่าไม่ง่ายเลยจริงๆ ในโลกปัจจุบันนี้จะมีหรือไม่มีผลฮั่วหยวนก็ยังไม่แน่ชัด ถ้าหากว่าไม่มี เช่นนั้นก็ทำได้เพียงไปตามหาในโลกแห่งการล่มสลาย ยังไม่ต้องพูดถึงว่าไม่มีการทะลุมิติกลับไปยังโลกแห่งการล่มสลายได้ ต่อให้กลับไปได้ หากต้องการจะได้ผลฮั่วหยวนมาก็ไม่ง่ายเลย ผลฮั่วหยวนอยู่ในส่วนลึกที่สุดของแผ่นดินใหญ่ คนปกติยากที่จะหาพบ

ในตอนนี้เอง ภายในเขตชานเมืองของเมืองหลวงแห่งหนึ่งอันเงียบสงบ โอวหยางเฟยอวิ๋นและชายฉกรรจ์สวมเสื้อกล้ามสีดำของเขา ยืนอย่างเคารพนอบน้อมอยู่กับที่ เบื้องหน้าของพวกเขามีชายคนหนึ่งนั่งหันหลังให้พวกเขา มองไม่เห็นใบหน้าของชายคนนี้ รู้เพียงแต่ว่าเขากำลังตกปลาอยู่ในทะเลสาบเล็กๆ แห่งหนึ่งอย่างสบายอุรา

“เฟยอวิ๋น ฉันได้ยินมาจากโหมวซูว่า แกไม่ค่อยฟังคำสั่ง!” ชายที่หันหลังให้โอวหยางเฟยอวิ๋นคนนั้นพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย

โอวหยางเฟยอวิ๋นมองชายคนนี้แวบหนึ่ง อดกลั้นความโกรธเอาไว้ และยังคงพูดด้วยความเคารพว่า “คุณชายใหญ่ คุณไม่รู้หรอกว่าเย่เทียนเฉินโอหังขนาดไหน อัดเซวียนเยวี๋ยนเถิงต่อหน้าคนนับร้อย ไม่เพียงแต่ไม่ไว้หน้าผม แต่หลังจากที่โหมวซูบอกฐานะของคุณออกมาแล้ว ก็ยังกล้าทำตัวต่อต้านคุณต่อหน้าผู้คน ไม่เห็นพวกเราสามสุดยอดคุณชายแห่งมหาวิทยาลัยหลิงเถิงอยู่ในสายตาเลย ผมจึงคิดจะกำจัดมัน!”

“เย่เทียนเฉินจะต้องตายแน่นอนอยู่แล้ว แต่ไม่ใช่ใครที่แกจะฆ่าได้ มันกล้าที่จะต่อต้านพวกเราถึงจะน่าสนุก ไม่ได้เล่นมานานแล้ว ฉันจะเล่นเป็นเพื่อนมันสักหน่อยก็แล้วกัน!” ชายที่หันหลังให้โอวหยางเฟยอวิ๋นพูดด้วยรอยยิ้ม

“คุณชายใหญ่ เซวียนเยวี๋ยนเถิงและน้องชายของเขาเซวียนเยวี๋ยนอวี่ดูเหมือนจะช่วยไม่ได้แล้ว ผมคิดว่าถึงตอนนั้นตระกูลเซวียนเยวี๋ยนจะต้องมาถามเหตุการณ์จากพวกเราแน่ พวกเราจะพูดอย่างไรดีครับ?” โอวหยางเฟยอวิ๋นชะงักไปครู่หนึ่งแล้วเอ่ยปากถามด้วยเจตนาร้าย

ชายที่หันหลังให้โอวหยางเฟยอวิ๋นคนนี้ก็คือคุณชายใหญ่แห่งมหาวิทยาลัยหลงเถิง เป็นหัวหน้าของสามคุณชาย และเป็นคนที่ส่งโหมวซูไปเพื่อหยุดยั้งโอวหยางเฟยอวิ๋น และเป็นเขาที่ให้โหมวซูนำคำพูดไปบอกต่อเย่เทียนเฉิน หลังจากที่รู้ว่าเย่เทียนเฉินต่อต้านเขา ก็ยังคงมีท่าทางเรียบเฉย เขาไม่เห็นเย่เทียนเฉินอยู่ในสายตาเลย เขาไม่ใช่คนที่ทำอะไรบุ่มบ่ามเหมือนกับเซวียนเยวี๋ยนเถิงและโอวหยางเฟยอวิ๋น ถ้าเขาไม่ได้ลงมือก็แล้วไป แต่เมื่อลงมือเย่เทียนเฉินก็จะต้องตายอย่างแน่นอน

“เซวียนเยวี๋ยนเถิงไม่ใช่ว่าถูกแกกระทืบตายหรอกเหรอ? ฉันคิดว่าหลังจากแกกระทืบมันตายแล้ว คงคิดจะยืมมือของตระกูลเซวียนเยวี๋ยนเพื่อฆ่าเย่เทียนเฉิน ระบายความโกรธเกลียดในใจของแก เซวียนเยวี๋ยนเถิงเสียสละให้แกแล้ว!” คุณชายใหญ่พูดด้วยรอยยิ้มเย็นชา

เมื่อได้ยินคำพูดของคุณชายใหญ่ โอวหยางเฟยอวิ๋นก็อดไม่ได้ที่จะตกตะลึงอยู่ในใจ คุณชายใหญ่คนนี้ไม่ธรรมดาจริงดังคาด ดูเหมือนว่าจะไม่เคยไปมหาวิทยาลัยเลย แต่กลับรู้ทุกอย่างประหนึ่งรู้ฝ่ามือของตน นอกจากนี้เขายังได้พบหน้าคุณชายใหญ่เพียงไม่กี่ครั้ง คนคนนี้ลึกลับเป็นอย่างมาก เคยได้ยินว่า คุณชายใหญ่ไม่เพียงแต่มีอำนาจของตระกูลที่แข็งแกร่ง ตัวเขาเองก็มีฝีมือไม่ธรรมดา เคยพบกับการลอบโจมตีของยอดฝีมือที่ใช้วรยุทธโบราณสิบกว่าคน แต่คุณชายใหญ่คนเดียวก็สามารถรับมือกับพวกเขาได้ทั้งหมด ถึงแม้ว่าเรื่องนี้จะเป็นข้อมูลที่ถูกปิดบังเอาไว้ แต่ก็ไม่สามารถปิดได้สนิท จนถูกโอวหยางเฟยอวิ๋นล่วงรู้

“ฮ่าๆ คุณชายใหญ่ ผมกระทืบเซวียนเยวี๋ยนเถิงตายก็เพราะคนคนนี้ทำให้พวกเราสามคุณชายต้องขายหน้า เขาคิดแต่จะล้างแค้นให้น้องชายของตน คิดแต่จะกู้หน้าของตน เพียงแต่น่าเสียดายที่เย่เทียนเฉินแข็งแกร่งเกินไป เขาไม่มีความสามารถถึงขนาดนั้น เชื่อว่าคงไม่อยากจะมีชีวิตอยู่แล้ว ผมก็แค่ช่วยเขาเท่านั้น!” โอวหยางเฟยอวิ๋นชะงักไปครู่หนึ่งแล้วพูดขึ้นด้วยรอยยิ้มชั่วร้าย

ในตอนนี้ คุณชายใหญ่ที่หันหลังให้โอวหยางเฟยอวิ๋น กระตุกเบ็ดตกปลาในมือขวาขึ้น เหยื่อปลาที่ติดอยู่บนเบ็ดถูกกินไปแล้ว แต่กลับไม่สามารถตกปลาขึ้นมาได้ หลังจากที่ติดเหยื่อปลาอันใหม่เข้าไปแล้ว ก็สะบัดเบ็ดตกปลาลงสู่ทะเลสาบเล็กๆ นั้นอีกครั้ง

“คุณชายใหญ่ ความหมายของคุณคือ…” โอวหยางเฟยอวิ๋นเห็นคุณชายใหญ่แห่งมหาวิทยาลัยหลงเถิงไม่พูด จึงได้เอ่ยถามต่อไป

“ไม่ง่ายเลยกว่าจะปรากฏปลาตัวใหญ่เหมือนเย่เทียนเฉินออกมาได้ ถ้าไม่เล่นเป็นเพื่อนเขาสักหน่อยจะได้ยังไง ฉันอยากจะเห็นว่าเขาจะเล่นด้วยหรือเปล่า นี่อาจจะเกี่ยวพันไปถึงชีวิตของญาติมิตรเลย!” คุณชายใหญ่ยังคนพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย

โอวหยางเฟยอวิ๋นได้ยินคำพูดของคุณชายใหญ่ก็อดไม่ได้ที่จะสูดหายใจเย็นยะเยือก อย่างมากเขาก็แค่คิดจะฆ่าเย่เทียนเฉิน แต่ไม่ได้คิดเหมือนคุณชายใหญ่ ที่ไม่เพียงแต่ต้องการฆ่าเย่เทียนเฉินแต่ยังต้องการฆ่าครอบครัวของเย่เทียนเฉินทั้งหมด ความโหดเหี้ยมแบบนี้ กระทั่งโอวหยางเฟยอวิ๋นก็ยังไม่มี

“พวกเราจะตอบตระกูลเซวียนเยวี๋ยนว่าอย่างไรดี?”

“เซวียนเยวี๋ยนเถิงและเซวียนเยวี๋ยนอวี่ต่างก็ถูกเย่เทียนเฉินฆ่า ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับพวกเรา ให้ตระกูลเซวียนเยวี๋ยนไปจัดการกันเองเถอะ ถ้าไอ้แก่ของตระกูลพวกมันอยากที่จะออกมาเสนอหน้าช่วยพวกเราฆ่าเย่เทียนเฉิน คงไม่มีอะไรมีความสุขไปมากกว่านี้แล้ว?”

“ขอบคุณคุณชายใหญ่!”

“เอาล่ะ เรื่องของเย่เทียนเฉิน แกก็อย่าไปยุ่งชั่วคราว ฉันจะจัดการเอง มีบางเรื่องที่จะต้องให้แกไปทำ!” คุณชายใหญ่สั่ง

“คุณชายใหญ่คุณพูดมาเถอะ!”

“ฉันได้ยินมาว่าพรรคคุณชายมีการเคลื่อนไหว แกช่วยฉันไปสืบหน่อย!”

“ครับ!”

โอวหยางเฟยอวิ๋นและชายฉกรรจ์สวมเสื้อกล้ามสีดำเดินไปจากทะเลสาบเล็กๆ แห่งนี้ นั่งรถซีดานสีดำออกไป ตั้งแต่ต้นคุณชายใหญ่ก็หันหลังให้พวกเขา ไม่เคยหันกลับมาเลย

ไม่นาน โหมวซูก็ปรากฏตัวขึ้นด้านหลังคุณชายใหญ่ พูดอย่างเคารพว่า “คุณชายใหญ่ครับ โอวหยางเฟยอวิ๋นไปแล้ว จะให้ส่งคนไปฆ่าเย่เทียนเฉินตอนนี้เลยหรือเปล่าครับ?”

“ไม่ต้อง ตระกูลของพวกเรามีความแค้นกับตะกูลเย่ ครั้งนี้ฉันจะไม่เพียงแต่ฆ่าเย่เทียนเฉิน แต่จะฆ่าพวกมันทั้งตระกูล!” คุณชายใหญ่เปล่าอย่างเย็นชา

“เข้าใจแล้วครับ!”

“ส่งคนไปตามโอวหยางเฟยอวิ๋น ในตอนที่จำเป็นก็กำจัดเขาซะ ฉันคนนี้ชอบดูละคร ชอบดูตระกูลโอวหยางแล้วตระกูลเซวียนเยวี๋ยน ถ้าสองตระกูลนี้โมโหขึ้นมา แล้วไปรับมือกับตระกูลเย่ด้วยกัน เย่เทียนเฉินจะจัดการกับสถานการณ์นี้ยังไง…” คุณชายใหญ่แห่งมหาวิทยาลัยหลงเถิงพูดด้วยรอยยิ้มเย็นชา

“ครับ!”

ทันใดนั้น มือขวาของคุณชายใหญ่มีแรงกระตุก พริบตานั้นปลาตัวหนึ่งก็ถูกดึงขึ้นมาจากน้ำ เขาหยิบมาโยนลงไปด้านหนึ่ง ปล่อยให้มันขาดน้ำตายทั้งเป็น…

……………………………

ผู้มีพลังพิเศษนั้นถึงแม้ว่าจะมีสายย่อยที่แตกต่างกันอีกมากมายหลายสาย เช่นผู้มีพลังในสายพิเศษ แต่ว่าโดยพื้นฐานแล้วก็แบ่งออกเป็นห้าเส้นทาง ทุกสิ่งทุกอย่างมักจะหนีไม่พ้นเส้นทางทั้งห้านี้ แม้จะเปลี่ยนแปลงไปมากมายก็ไม่อาจหนีพ้นรากเหง้าได้ นี่เป็นสัจธรรมอย่างหนึ่ง

เมื่อเห็นเย่เทียนเฉินเข้าปะทะกับมังกรสองตัวของมีดเจ็ดดาวที่ระเบิดออกอย่างรุนแรง สุดท้ายก็สามารถใช้พลังพิเศษในสายวารีทำให้พ้นจากอันตรายโดยไม่บาดเจ็บได้ คนที่ตื่นตะลึงไม่ได้มีแค่หลินตวนคนเดียว แต่ยังมีฉินเหยาเยว่ที่ยืนอยู่บนตึกภาควิชาโบราณคดีมาโดยตลอด และคอยสังเกตเย่เทียนเฉินมาตั้งแต่ต้นอีกด้วย

ในตอนที่หลินตวนฟาดฟันมีดเจ็ดดาวออกไปจนเกิดเป็นกระบวนท่าโจมตีอันยิ่งใหญ่ของมีดเจ็ดดาวนั้น ฉินเหยาเยว่ก็ตื่นตะลึงมากแล้ว คำเล่าลือที่เกี่ยวกับมีดเจ็ดดาวนั้นเธอเองก็รู้ มีดเล่มนี้ดูเหมือนว่าจะสามารถช่วงชิงอันดับสองจากสุดยอดอาวุธในสามลำดับแรกของพรรควรยุทธโบราณได้ มีผู้แข็งแกร่งจำนวนไม่น้อยพ่ายแพ้ภายใต้คมมีดเล่มนี้ แต่ไหนแต่ไรก็ไม่เคยได้ยินว่ามีคนใช้หมัดทั้งสองเข้าปะทะกับมีดเจ็ดดาวมาก่อน เกรงว่าเย่เทียนเฉินจะเป็นคนแรก และยังเป็นคนแรกที่ใช้หมัดเข้าปะทะกับมีดเจ็ดดาวแล้วยังไม่ตาย

สิ่งที่ทำให้ฉินเหยาเยว่ต้องตื่นตะลึงมากที่สุดก็คือ ในขณะที่เย่เทียนเฉินประมือกับหลินตวนในครั้งนี้ เขาถึงกับใช้เคล็ดวิชาพลังพิเศษในสายวารีออกมา ทำให้เธอรู้สึกเหนือคาดมาก

ฉินเหยาเยว่รู้มาว่าเย่เทียนเฉินเป็นผู้แข็งแกร่งจากช่วงยุคสิ้นโลกที่มาเกิดใหม่ในโลกแห่งนี้ จึงรีบทำการตรวจสอบพัฒนาการของเย่เทียนเฉินในทันที คอยสังเกตการณ์ทุกสิ่งทุกอย่างของเย่เทียนเฉินอยู่ในความมืดมาโดยตลอด เธอรู้ว่าในตอนที่เย่เทียนเฉินอยู่ที่ประเทศ M ตอนที่สู้กับโทมัสซึ่งเป็นหัวหน้าหน่วยสืบราชการลับพลังพิเศษแห่งประเทศ M นั้น เขาได้ใช้เคล็ดวิชาพลังพิเศษสายอัสนีและเคล็ดวิชาพลังพิเศษในสายพระสุธา ตอนนั้นกระทั่งโทมัสเองก็อดไม่ได้ที่จะตกตะลึง ผู้มีพลังพิเศษที่สามารถใช้เคล็ดวิชาในสายที่แตกต่างกันได้นั้นจะแข็งแกร่งกว่าเดิมมาก เมื่อเติบโตขึ้นมาก็สามารถพลิกฟ้าได้เลยทีเดียว

เนื่องจากการจะใช้เคล็ดวิชาพลังพิเศษในสายที่แตกต่างกันนั้น ในร่างกายจำเป็นต้องมีพลังพิเศษที่แตกต่างกันอยู่ แต่พลังพิเศษทั้งห้าสายมีการกดข่มกัน ไม่สามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างเด็ดขาด หากสัมผัสถูกกันจะเกิดผลร้ายที่สาหัสมาก เคยมีผู้มีพลังพิเศษจำนวนนับไม่ถ้วนที่ต้องการจะแข็งแกร่งมากขึ้น จึงได้ฝึกฝนพลังพิเศษในสายที่แตกต่างกันไป สุดท้ายร่างกายระเบิดจนตาย ทำให้ตนเองตายโดยที่ไม่เหลือแม้แต่เศษซาก นี่ก็คือผลลัพธ์

ตอนนี้เย่เทียนเฉินไม่เพียงแต่เคยใช้เคล็ดวิชาพลังพิเศษสายอัสนีและเคล็ดวิชาพลังพิเศษสายพสุธา ในตอนนี้ยังถึงกับใช้เคล็ดวิชาพลังพิเศษในสายวารีด้วย นี่ทำให้ฉินเหยาเยว่ตื่นตะลึงจนต้องอ้าปากอันเซ็กซี่ของเธอ ไม่อยากจะเชื่อโดยสิ้นเชิงว่า บนโลกใบนี้จะมีตัวตนเช่นนี้อยู่ด้วย สามารถใช้เคล็ดวิชาพลังพิเศษในสายที่แตกต่างกันได้ คนคนนี้ก็คือเย่เทียนเฉิน ทำให้ฉินเหยาเยว่ต้องเกิดความสงสัยว่า เย่เทียนเฉินก็คือผู้มีพลังในคำเล่าลือที่ร่อยปีก็ยังไม่สามารถหาออกมาได้สักคนเดียว ซึ่งดูเหมือนว่าจะเป็นผู้มีพลังพิเศษห้าสายที่มีตัวตนอยู่ในคำเล่าลือเท่านั้น

“ไม่เป็นไร มีดเจ็ดดาวของนายแข็งแกร่งมาก เพียงแต่ดูเหมือนว่านายจะไม่ได้ใช้พลังอำนาจของมันออกมาทั้งหมด ยังขาดไปนิดหน่อยนะ!” เย่เทียนเฉินยิ้มพูดกับหลินตวนพลางตบไหล่เขา

“นาย…นายไม่เป็นไรจริงๆเหรอ? นายเป็นคนแรกที่กล้าใช้หมัดเปล่าๆ เข้าปะทะกับมีดเจ็ดดาว หากว่าเรื่องนี้แพร่ออกไปเกรงว่าจะมีกลุ่มอำนาจจำนวนไม่น้อยที่ต้องสั่นไหว และแย่งชิงตัวนาย!” หลินตวนพูดอย่างตะกุกตะกักอยู่บ้าง

เมื่อปีนั้น ในตอนที่หลินตวนออกมาจากพรรควรยุทธโบราณ อาจารย์ก็ได้มอบมีดเจ็ดดาวให้แก่เขา และยังบอกเขาว่า พลังอำนาจของมีดเจ็ดดาวยิ่งใหญ่มาก บนถนนในเมืองคงจะไม่ได้พบกับยอดฝีมืออะไรหรืออย่างน้อยก็คงไม่พบกับยอดฝีมือที่จำเป็นต้องใช้มีดดเจ็ดดาวในการเอาชนะ และให้เขาอย่าได้ใช้ออกมาเป็นอันขาด เนื่องจากพลังอำนาจของมีดเจ็ดดาวนั้นยิ่งใหญ่เกินไป เป็นการทำเพื่อป้องกันการสูญเสียของผู้บริสุทธิ์ ไหนเลยจะรู้ว่าหลินตวนจะใช้มีดเจ็ดดาวออกมาโดยไม่เสียดายเพียงเพื่อที่จะดึงเย่เทียนเฉินเข้าเป็นพวก ส่วนเย่เทียนเฉินก็ถึงกับสามารถใช้หมัดเปล่าๆ เข้าปะทะกับมีดเจ็ดดาวได้โดยไม่ได้รับบาดเจ็บเลย

คำพูดของหลินตวนกล่าวได้ไม่ผิด ในโลกปัจจุบันนี้ ความจริงแล้วอำนาจที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคงหนีไม่พ้นพรรควรยุทธโบราณและกลุ่มองค์กรของผู้มีพลังพิเศษเหล่านั้น พวกเขาเป็นดั่งจักรพรรดิที่ซ่อนตัวอยู่ในความมืด การต่อสู้และฆ่าฟันกันของแต่ละขั้วอำนาจ แต่ไหนแต่ไรมาก็ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ ต้องทราบว่าเย่เทียนเฉินมีความสามารถถึงขั้นนี้ จะต้องมีกลุ่มอำนาจใหญ่ต้องการดึงตัวเขาอย่างแน่นอน ในขณะเดียวกันกลุ่มอำนาจใหญ่อีกกลุ่มหนึ่งก็จะคิดทุกวิถีทางเพื่อฆ่าเย่เทียนเฉินเพราะถ้าไม่สามารถดึงตัวเขามาได้ พวกเขาจะไม่ปล่อยให้เย่เทียนเฉินมีชีวิตอยู่ เพราะถ้ามีชีวิตอยู่ก็จะมาเป็นศัตรูกับกลุ่มอำนาจของพวกเขา และกลายเป็นเสี้ยนหนามชิ้นใหญ่

“นายมองฉันแบบนี้หมายความว่ายังไง? แต่ว่าท่าทางฉันจะไม่สามารถเข้าร่วมกับสำนักงานเทียนหลินของนายได้แล้ว เป็นเพื่อนกันไปก็แล้วกัน!” เย่เทียนเฉินพูดกับหลินตวนด้วยรอยยิ้ม

เดิมทีเย่เทียนเฉินก็รู้สึกชื่นชมหลินตวนมาก รวมกับที่ความสามารถของหลินตวนไม่อ่อนแอเลย อาศัยเพียงมีดเจ็ดดาวในมือเล่มนั้นก็เพียงพอที่จะบุกตะลุยไปทั่วแล้ว หากว่าสามารถเข้าร่วมกับการสร้างอำนาจของตนเองได้ จะต้องเป็นการเพิ่มพลังการต่อสู้ให้มากยิ่งขึ้นอย่างแน่นอน

ในเมื่อเย่เทียนเฉินตัดสินใจที่จะสร้างฐานอำนาจของตน เช่นนั้นก็ไม่อาจอดทนรอได้อีกต่อไป เขาพบว่าถ้าไม่มีพลังอำนาจเป็นของตนเอง เช่นนั้นขั้วอำนาจใหญ่และตระกูลใหญ่ต่างๆ ที่ยโสโอหังและใช้อำนาจบาตรใหญ่ ก็จะคอยหาเรื่องอยู่ตลอด โอหังอยู่ตลอดเวลา และจะคิดว่าคุณสามารถถูกรังแกได้ง่ายๆ สิ่งเดียวที่จะทำให้พวกเขาหยุดความคิดนี้ก็คือ ทำให้พวกเขาไม่กล้ามีปากมีเสียงอีก ไม่มีหนทางอื่นใด หากจะรับมือกับคนเหล่านี้ก็มีเพียงต้องทำเช่นนี้เท่านั้น

“ฉัน…” หลินตวนมองเย่เทียนเฉิน พูดอะไรไม่ออกอยู่ครึ่งวัน ความสามารถของเย่เทียนเฉินทำให้เขาต้องสั่นสะท้านจริงๆ ใช้หมัดเดียวเข้าปะทะกับมีดเจ็ดดาวได้ นี่เป็นพลังอำนาจและความบ้าระห่ำระดับไหนกัน ถึงแม้ว่าเย่เทียนเฉินจะมีท่าทางยิ้มแย้มอยู่ตลอด แต่กลับไม่สามารถปิดบังความแข็งแกร่งของเขาไว้ได้เลยแม้แต่น้อย

“ไปเถอะ หิวแล้ว ฉันเลี้ยงข้าวนายแล้วกัน แต่ว่าฉันไม่ได้เอาตังค์มา…” เย่เทียนเฉินพูดพลางหัวเราะฮี่ๆ

เมื่อเห็นเย่เทียนเฉินหมุนตัวเดินไป หลินตวนก็กำมีดเจ็ดดาวในมือของตน ในใจกำลังทำการตัดสินใจอันสำคัญ เขาปักมีดในมือลงกับพื้น คุกเข่าขวาลง พูดอย่างจริงจังว่า “ผมแพ้แล้ว จากการเดิมพันของพวกเรา ผมจะเข้าร่วมกับคุณ…พี่ใหญ่!”

“คนที่อยู่กับฉันต่างก็เป็นพี่น้องที่จริงใจ ถ้าหากนายตัดสินใจแบบนี้เพียงเพราะสู้แพ้ ฉันก็จะไม่รับนายเอาไว้หรอก!” เย่เทียนเฉินมองไปยังหลินตวนแล้วพูดขึ้นอย่างจริงจัง

“ไม่ ผมเองก็มีความคิดของตัวเอง ผมเชื่อว่าหากอยู่กับคุณจะสามารถทำเรื่องดีๆ ได้ เมื่อถึงตอนนั้นผมยังสามารถทำให้สำนักงานเทียนหลินของผมมีชื่อเสียงยิ่งใหญ่ได้!” หลินตวนพูดอย่างจริงใจ

“ถ้าพูดแบบนั้นก็ได้!”

ความจริงแล้ว เมื่อเห็นหลินตวนต้องการพึ่งพาตนเอง ในใจของเย่เทียนเฉินก็ยินดีมาก เพียงแต่เพื่อลดทอนความสงสัยในใจของหลินตวน และสามารถกลายเป็นพี่น้องที่จริงใจต่อกันได้ เย่เทียนเฉินจึงต้องพูดออกมาอย่างชัดเจน

“พี่ใหญ่!” หลินตวนประสานหมัดคารวะ

“ดี!” เย่เทียนเฉินยิ้มแล้วดึงหลินตวนให้ลุกขึ้น

อู๋เสวี่ย หูหลง หลินตวน อย่างน้อยตอนนี้เย่เทียนเฉินก็มีสมาชิกเป็นสามขุนพลใหญ่แล้ว อำนาจค่อยๆ ถูกสร้างและขยายใหญ่ขึ้นทีละก้าว ส่วนขั้วอำนาจใหญ่ที่คอยจับตามองเย่เทียนเฉินอยู่ในมุมมืดเหล่านั้น ก็เตรียมที่จะชักชวนเขาแล้วเช่นกัน แต่หากว่าชักชวนไม่สำเร็จก็จะฆ่า

“ไปเถอะ ฉันเลี้ยงข้าวนายเอง!” เย่เทียนเฉินพูดด้วยรอยยิ้ม

“กินข้าว? พี่ใหญ่ ตอนนี้เพิ่งจะสี่โมง…” น้องหลิงพูดขึ้นด้วยความระอา

“สี่โมงก็กินข้าวได้แล้ว นี่เป็นโอกาสที่พี่ใหญ่จะเลี้ยงข้าวนายเชียวนะ นายจะต้องคว้าเอาไว้ให้ดี!” เย่เทียนเฉินพูดกับหลินตวนราวกลับเป็นผู้อาวุโสสอนผู้น้อย

หลินตวนรู้สึกหัวเราะไม่ออกร้องไห้ไม่ได้จริงๆ กำลังคิดว่าตนเองยอมรับเย่เทียนเฉินเป็นพี่ใหญ่เป็นเรื่องถูกหรือผิดกันแน่? เพราะว่านิสัยของพี่ใหญ่คนนี้คาดเดาได้ยากจริงๆ มักจะมีรอยยิ้มประดับบนใบหน้าอยู่ตลอดเวลา มีท่าทางไม่มีพิษภัย แต่เมื่อลงมือกับสามารถสั่นสะท้านจิตวิญญาณของผู้คนได้ แข็งแกร่งถึงขีดสุด

ฉินเหยาเยว่ยืนอยู่บนตึกภาควิชาโบราณคดีตั้งแต่ต้นจนจบ จนกระทั่งเย่เทียนเฉินและหลินตวนจากไป เธอมองไปยังแผ่นหลังของเย่เทียนเฉิน มีความประหลาดใจอยู่บ้าง มุมปากมีรอยยิ้มเจ้าเล่ห์และเซ็กซี่อยู่ ความแปลกประหลาดใจย่อมต้องเป็นความสามารถอันยิ่งใหญ่เหนือระดับของเย่เทียนเฉิน ในตอนนี้ถึงแม้ว่าจะยังไม่มั่นใจว่าเย่เทียนเฉินเป็นผู้มีพลังพิเศษห้าสายในคำเล่าลือหรือไม่ แต่เขาก็ได้ใช้เคล็ดวิชาพลังพิเศษในสายอัสนี พสุธา และวารีไปแล้วสาสาย ช่างทำให้ผู้อื่นต้องสงสัยจริงๆ…

“เย่เทียนเฉิน ดูท่าหากต้องการคาดเดาถึงความสามารถที่แท้จริงของนาย และต้องการจะดูว่านายเป็นผู้มีพลังพิเศษห้าสายหรือไม่ คงจะต้องให้ขั้วอำนาจใหญ่อื่นๆ เข้ามามีส่วนร่วมซะแล้ว…” ฉินเหยาเยว่พูดด้วยรอยยิ้มน่ารัก

นอกมหาวิทยาลัยหลงเถิง เวลาบ่ายสี่โมง เย่เทียนเฉินโทรหาหลิงอวี่สวิ๋นและเสี้ยวหยา บอกพวกเธอว่าหลังจากเลิกเรียนแล้วให้มาเจอกันที่หน้าประตูมหาวิทยาลัย ส่วนเย่เทียนเฉินและหลินตวนก็ได้ไปที่ร้านอาหารเสฉวนแห่งหนึ่งที่อยู่ไม่ไกล หลังจากที่เย่เทียนเฉินได้มาเกิดใหม่ในโลกแห่งนี้ก็พบว่าอาหารเสฉวนไม่เลวเลยจริงๆ ถ้ามีโอกาสก็อยากจะไป “ตูเฉิง” ที่ว่ากันว่าเป็นแดนสวรรค์ในโลกมนุษย์ ไปกินอาหารเสฉวนดั้งเดิมสักหน่อย

พริบตาเดียวก็สั่งอาหารไปแล้วแปดอย่าง หลินตวนมองจนตาค้าง เมื่อเย่เทียนเฉินส่งเมนูอาหารไปให้พนักงานยังถือโอกาสพูดไปอีกประโยคหนึ่งว่า “จำไว้ว่าจะต้องเพิ่มซุปสามเซียนดั้งเดิมมาหนึ่งที่ จะต้องเป็นอาหารเสฉวนดั้งเดิมนะ!”

“พี่ใหญ่…ยัง ยังมีคนอื่นอีกหรือเปล่าครับ?” หลินตวนอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม

“ไม่มีแล้ว!” เย่เทียนเฉินเองก็เอ่ยตอบพลางมองไปยังหลินตวนแปลกๆ

“อาหารแปดอย่างกับซุปหนึ่งอย่าง พวกเราสองคนกินกันหมดเหรอ?”

“อ้อใช่แล้ว ลืมบอกกับนายไปเลย อาหารเหล่านี้สั่งมาให้ฉันกินคนเดียว นายอยากกินอะไรก็สั่งเองเลย…” เย่เทียนเฉินมองไปยังหลินตวนแล้วพูดราวกับว่ามันเป็นสัจธรรม แต่กลับไม่ได้สังเกตเห็นเลยว่าหลินตวนแทบจะหมดอาลัยตายอยากอยู่แล้ว

หลินตวนเต็มไปด้วยความเอือมระอา จะอย่างไรเขาก็คิดไม่ถึงว่า เย่เทียนเฉินที่มีความสามารถแข็งแกร่งเหนือระดับ กระทั่งไม่อาจคาดเดาได้คนนี้ จะไม่เพียงแต่มีนิสัยเหมือนอันธพาล แต่ยังเป็นตัวตะกละตะกรามอีกด้วย

เย่เทียนเฉินดื่มน้ำชาไปอึกหนึ่ง มองไปยังหลินตวนแล้วถามว่า “เมื่อกี้นี้ตอนที่สู้กับนาย พบว่านายใช้มีดเจ็ดดาวออกมา ถึงแม้จะมีพลังอำนาจมาก แต่ก็ไม่มีการสั่นไหวของพลังภายในเลยแม้แต่นิดเดียว ในเมื่อนายเป็นศิษย์ของพรรควรยุทธโบราณ คงไม่มีทางไม่ฝึกฝนพลังภายในหรอกใช่ไหม?”

เมื่อได้ยินคำพูดของเย่เทียนเฉิน หลินตวนก็มองไป จากนั้นจึงทอดถอนใจออกมา ยกมือขวาขึ้นและพับแขนเสื้อบริเวณมือ ในตอนที่เย่เทียนเฉินเห็นแขนขวาของหลินตวนก็ตกตะลึงไปทั้งร่าง พบว่าบนมือขวาของหลินตวนมีเส้นขีดสีดำเส้นหนึ่ง ดูจากสภาพแล้วควรจะมาจากตำแหน่งหัวใจ ไล่มาจนถึงกลางฝ่ามือ เป็นอะไรที่พิเศษและประหลาดมาก

“นายคงจะได้รับบาดเจ็บภายในมาสินะ…หรือว่า…ถูกตัดทอนชีพจรลมปราณ?” เย่เทียนเฉินอดไม่ได้ที่จะคิดถึงอะไรบางอย่างขึ้นมา จึงถามออกไปด้วยความประหลาดใจ

“ครับ พี่ใหญ่ร้ายกาจจริงๆ มองแวบเดียวก็ดูออกแล้ว ไม่ผิด นี่เป็นสาเหตุที่ทำให้ผมไม่สามารถฝึกฝนพลังภายในได้!” หลินตวนส่ายศีรษะแล้วพูดออกมาด้วยรอยยิ้มขมขื่น

……………………………….

อำนาจของมีดเจ็ดดาวแข็งแกร่งอย่างหาที่เปรียบมิได้ เป็นมีดเล่มหนึ่งที่รวบรวมเทคโนโลยีระดับสูงของปัจจุบันและเคล็ดวิชาลับอันแข็งแรงของพรรควรยุทธโบราณเข้าด้วยกัน ถึงแม้ว่าหลินตวนจะเป็นศิษย์ของพรรควรยุทธโบราณ แต่ดูเหมือนว่ากระบวนท่าที่เขาใช้จะไม่มีพลังภายในอันแข็งแกร่งของพรรควรยุทธโบราณอยู่เลย ตรงจุดนี้ทำให้เย่เทียนเฉินรู้สึกสงสัยและประหลาดใจในเวลาเดียวกัน

สิ่งที่สงสัยก็คือ หลินตวนมีฐานะเป็นศิษย์ของพรรควรยุทธโบราณ ไม่สามารถฝึกแค่เคล็ดวิชาของพรรควรยุทธโบราณโดยที่ไม่ฝึกพลังภายในอันแข็งแกร่งร่วมด้วยได้ หรือว่าจะมีสิ่งใดปิดบังอยู่อีก?

ที่ประหลาดใจก็คือ ภายใต้สถานการณ์ที่ไม่ได้ใช้พลังภายในอันแข็งแกร่ง หลินตวนก็ยังสามารถใช้มีดเจ็ดดาวได้ และออกกระบวนท่าการโจมตีอันแข็งแกร่งเช่นนี้มาได้ อย่างน้อยก็เป็นครั้งแรกที่เย่เทียนเฉินได้เห็นได้พบตั้งแต่มาเกิดใหม่ในโลกปัจจุบัน

มหาวิทยาลัยหลงเถิง บนสนามหญ้าในภูเขาด้านหลัง มีฝุ่นควันฟุ้งตลบ เงามีดสองสายกลายเป็นมังกร ราวกับเป็นพลังที่แท้จริง มังกรคำรามออกมา พุ่งเข้ามาเพื่อฆ่าเย่เทียนเฉิน

ฉากนี้ทำให้ผู้คนต้องตกตะลึงจริงๆ หากมีคนมาดูอยู่ที่นี่ จะต้องตกใจจนตาค้างแน่นอน บนสนามหญ้าอันใหญ่โตมีเงามังกรตัวใหญ่สองตัว อ้าปากกว้าง และพุ่งตรงไปที่เย่เทียนเฉินจนทำให้เกิดฝุ่นควันฟุ้งกระจาย กระทั่งอากาศก็สั่นไหว ภาพอันน่าหวาดกลัวนี้ได้เกินกว่าความเข้าใจของผู้คนในยุคปัจจุบันที่มีต่อเคล็ดวิชาวรยุทธโบราณไปแล้ว แม้ในความฝันพวกเขาก็คิดไม่ถึงว่าเคล็ดวิชาโบราณของจีนที่มีสีสันเล่าลือต่อๆ กันมาจะกว้างขวางและลึกซึ้ง ถ้าพูดกันตามความเป็นจริงแล้วก็เช่น การเหาะเหินเดินกำแพง การทลายภูผาพลิกมหาสมุทร การเจาะทะลุภูเขาป่นหิน หากพูดอย่างเกินจริงสักหน่อยก็เช่น การขี่เมฆมังกร การขี่กระบี่ ขี่เมฆท่องไปทั่วหล้า…

ดังนั้นในโลกปัจจุบันนี้ มีหลายสิ่งหลายอย่างที่ไม่สามารถอธิบายได้ ดูเหมือนว่าจะมีน้อยคนที่รู้ถึงการมีอยู่ของผู้แข็งแกร่งแห่งพรรควรยุทธโบราณ และยังมีเรื่องราวและเหตุการณ์อีกมากมายที่ผู้คนไม่รู้ ถ้าหากใช้เพียงวิธีการที่อยู่ในความคิดของคนธรรมดาในสังคมมาวิเคราะห์ ย่อมไม่มีทางรับและอธิบายได้โดยเด็ดขาด แต่ถึงแม้ว่าคุณจะไม่เชื่อ ขออันนี้ล้วนเป็นความจริงที่ดำรงอยู่

ในตอนนี้ ขณะที่หลินตวนได้ปล่อยเงาดาบใหญ่ยักษ์สองเงา ใช้พลังอำนาจที่แข็งแกร่งที่สุดของมีดเจ็ดดาวออกมานั้น เย่เทียนเฉินก็ได้รวบรวมพลังพิเศษในขอบเขตจอมราชันทั้งหมดในร่างกายเตรียมที่จะรับกระบวนท่าอันแข็งแกร่งใหญ่โตนี้ เมื่อถึงตอนนี้เขาไม่กล้าที่จะประมาทเลยแม้แต่น้อย อย่างไรเสียถึงแม้ว่ามีดเจ็ดดาวจะไม่ได้เป็นหนึ่งในสามสุดยอดอาวุธของพรรควรยุทธโบราณ แต่ก็เพียงพอที่จะสั่นสะท้านโลกทั้งเบื้องหน้าและเบื้องหลังแล้ว

ในตอนนี้เอง มีดวงตาอันงดงามคู่หนึ่งจ้องมองฉากนี้โดยไม่ละสายตา เมื่อเห็นหลินตวนใช้มีดเจ็ดดาว ปล่อยเป็นเงามีดที่กลายสภาพเป็นมังกรตัวใหญ่เหนือจินตนาการออกมา โจมตีไปยังเย่เทียนเฉิน ก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว มังกรตัวใหญ่ทั้งสองตัวที่คำรามจนอากาศแทบจะฉีกขาดนั้น ในสายตาของคนธรรมดาที่ไม่มีประสาทสัมผัสอันเฉียบแหลมอะไร ก็จะไม่มีผลกระทบอะไรมาก กระทั่งสามารถกล่าวได้ว่า ไม่สามารถสังเกตเห็นได้ แต่ว่าสำหรับยอดฝีมือแห่งพรรควรยุทธโบราณและผู้มีพลังพิเศษที่มีประสาทสัมผัสและสัญชาตญาณสูงนี้ พลังของเสียงมังกรคำรามที่ระเบิดออกมา ไม่สามารถหลุดลอดไปจากการรับรู้ของพวกเขาได้

ฉินเหยาเยว่ยืนอยู่บนตึกของภาควิชาโบราณคดี ในตอนที่เย่เทียนเฉินและหลินตวนเพิ่งจะเดินมาถึงสนามและประลองกันด้วยกระบวนท่าเล็กๆ น้อยๆ เพื่อลองเชิงกันนั้น เธอก็จับตามองทุกการกระทำของเย่เทียนเฉินแล้ว ถึงแม้ว่าหลินตวนเองก็ทำให้เธอต้องแปลกประหลาดใจอยู่บ้าง คิดไม่ถึงว่าในภาควิชาโบราณคดีนี้จะมีพยัคฆ์หมอบมังกรซ่อนอยู่ด้วย แต่ฉินเหยาเยว่ก็ให้ความสนใจกับเย่เทียนเฉินมากกว่า เนื่องจากสิ่งที่เธอกระทำมาโดยตลอดเกี่ยวข้องกับการข้ามมิติ ยังไม่ต้องพูดถึงว่าเธอรู้ได้อย่างไรว่าเย่เทียนเฉินเป็นผู้แข็งแกร่งที่ทะลุมิติมาจากช่วงยุคสิ้นโลก เพียงแค่เธอคิดว่าจะได้รับข้อมูลในช่วงยุคสิ้นโลกมาจากเย่เทียนเฉิน เธอก็ให้ความสนใจกับเย่เทียนเฉินมากแล้ว

กล่าวให้ถูกก็คือ ในตอนนี้คนเพียงคนเดียวที่รู้ฐานะที่แท้จริงของเย่เทียนเฉินก็คือฉินเหยาเยว่ เธอเข้าใกล้เย่เทียนเฉิน กระทั่งไม่ลังเลที่จะใช้วิชาสะกดใจออกมาอย่างกะทันหัน เพื่อต้องการควบคุมเย่เทียนเฉิน ก็เพราะต้องการที่จะได้รับข้อมูลของช่วงยุคสิ้นโลก ฉินเหยาเยว่เองก็คิดที่จะทะลุมิติไปที่นั่น ต้องการไปที่โลกของการล่มสลาย เนื่องจากที่นั่นมีของที่เธอต้องการมาโดยตลอด เป็นสิ่งที่ไม่ว่าใครก็ตามจะต้องหวั่นไหว นั่นก็คือการมีชีวิตยืนยาวเป็นอมตะ!

ยังคงเป็นเช่นนั้น ช่วงยุคสิ้นโลก เป็นโลกที่ไม่สามารถใช้ตรรกะตามปกติได้ ไม่เช่นนั้นคงจะไม่ได้ชื่อว่าโลกแห่งการล่มสลาย คุณสามารถจินตนาการถึงมันได้เลยว่าเป็นโลกที่เกิดจากการรวบรวมยุคปัจจุบัน ความเพ้อฝัน และโลกแห่งเทพเซียนเข้าด้วยกัน ที่นั่นไม่ได้มีเพียงเผ่าพันธุ์มนุษย์ แต่ยังมีสัตว์อสูร มีมนุษย์กลายพันธุ์และสัตว์กลายพันธุ์ มีกระทั่งภูตผีปีศาจ หากคุณใช้ความคิดของคนในปัจจุบันไปใคร่ครวญเรื่องของโลกแห่งการล่มสลายนั้น คุณคงจะต้องล้มเหลว และถูกทำให้ตกใจตาย

“มีดเจ็ดดาวแข็งแกร่งจริงๆ มิน่าล่ะถึงได้เป็นอาวุธชั้นยอดห้าอันดับแรกของพรรควรยุทธโบราณได้ หากสามารถได้มาไว้ในมือจะดีแค่ไหนกัน!” มุมปากของฉินเหยาเยว่ปรากฏรอยยิ้มเซ็กซี่ พูดกับตนเองเสียงเบาด้วยรอยยิ้มชั่วร้าย

ทันใดนั้นเอง เย่เทียนเฉินก็เคลื่อนไหว เมื่อต้องเผชิญหน้ากับเงามีดที่กลายเป็นมังกรตัวใหญ่ทั้งสอง เขาเองก็ไม่กล้าลำพองใจ มีดเจ็ดดาวเล่มนี้เดิมทีก็มีความโหดเหี้ยมร้ายกาจอยู่แล้ว ในตอนที่หลินตวนตวัดมีดฟาดฟันออกมา ลายมังกรบนตัวมีทั้งสองฝั่งก็เปล่งประกาย ดูคล้ายกับว่าจะพุ่งทะยานยานออกมาได้ ในจุดนี้เย่เทียนเฉินค้นพบแล้ว เขาคาดเดาได้ว่าอาจจะเป็นอาจารย์ของหลินตวนที่ใช้เคล็ดวิชาของพรรควรยุทธโบราณอันลึกล้ำ ใช้พลังภายในอันแข็งแกร่งผสานรวมไปบนลายมังกรทั้งสอง จึงทำให้มีผลลัพธ์ที่ร้ายกาจเช่นนี้ได้

“ย๊าก!”

เสียงตะโกนดังขึ้น เย่เทียนเฉินยืนเผชิญหน้ากับฟ้า กระโดดขึ้นสูงสองเมตรกว่า ในหมัดทั้งสองรวบรวมพลังพิเศษในขอบเขตจอมราชันเอาไว้จนเปล่งประกาสว่าง ทำให้หลินตวนที่อยู่ด้านล่างที่ได้เห็นต้องตกตะลึงจนตาค้าง ในใจคิดว่าเย่เทียนเฉินคนนี้คิดจะทำอะไร คงไม่ใช่ว่าต้องการปะทะกับมังกรสองตัวนี้อีกแล้วนะ? คนคนนี้รนหาที่ตายหรือไง?

ต้องกล่าวว่าเมื่อสักครู่นี้ในตอนที่หลินตวนใช้มีดเจ็ดดาวครั้งแรก เขาทำเพียงแค่ฟาดฟันออกมาง่ายๆ ครั้งหนึ่งเท่านั้น เย่เทียนเฉินปะทะเข้าไปก็ทำให้เขาตกใจแล้ว แต่ก็ยังไม่ถึงขั้นสั่นสะท้าน จะอย่างไรเขาก็ไม่ได้ลงมือเต็มที่ พลังอำนาจของมีดเจ็ดดาวก็ไม่ได้ใช้ออกมาเต็มที่ เย่เทียนเฉินสามารถหยุดยั้งเงาดาบขนาดใหญ่นั้นได้ ก็นับว่ามีความสามารถแข็งแกร่งมากแล้ว แต่ก็ไม่ได้ถึงขั้นที่น่าหวาดผวา อย่างไรก็ตามพลังอำนาจของมีดเจ็ดดาวที่ปรากฏขึ้นในตอนนี้ถึงขั้นเท็จเป็นจริง ดูเหมือนจะสามารถเห็นเงาของมังกรอหังการทั้งสองตัวได้ นี่เป็นความน่าเหลือเชื่อและความแข็งแกร่งระดับไหนกัน เย่เทียนเฉินถึงกับกล้าเข้าปะทะเชียว?

ตู้ม!

เสียงดังสนั่นดังขึ้น มือขวาของเย่เทียนเฉินต่อยออกไปยังศีรษะของมังกรตัวนั้น เพื่อหยุดยั้งมังกรตัวนั้นเอาไว้ แต่มังกรอีกตัวหนึ่งก็มาถึงแล้ว มันอ้าปากหวังกลืนกินเย่เทียนเฉินลงไป เย่เทียนเฉินใช้มือซ้ายยื่นออกไป ในฝ่ามือปรากฏลำแสงของคมกระบี่ขึ้นมาในพริบตา นี่เป็นการสร้างขึ้นจากการรวบรวมพลังพิเศษในขอบเขตจอมราชัน เขาฟาดฟันกระบี่ไปยังมังกรอีกตัวหนึ่ง

ตู้มๆ!

เสียงดังสนั่นขึ้นอีกสองครั้ง บริเวณใจกลางของสนามเกิดระเบิดขึ้นอย่างรุนแรง มังกรสองตัวที่ออกมาจากมีดเจ็ดดาวระเบิดกลางอากาศ ถึงแม้ว่าเย่เทียนเฉินจะใช้คมกระบี่ในมือซ้ายฟาดฟันมังกรตัวหนึ่ง และใช้หมัดในมือขวาต่อยปะทะมังกรตัวใหญ่อีกตัวหนึ่งเข้าไป แต่กลับไม่สามารถขัดขวางการโจมตีอันแข็งแกร่งของมังกรทั้งสองตัวได้ จากนั้นมังกรทั้งสองรวมกันเป็นหนึ่งและระเบิดออกมาอย่างรุนแรง ซึ่งใจกลางการระเบิดก็คือเย่เทียนเฉิน

การต่อสู้อันดุเดือดพลุ่งพล่านและการระเบิดอันน่าตื่นตะลึง กลับไม่มีเสียงใดออกมาเลย กระทั่งฉินเหยาเยว่ที่ยืนอยู่บนตึกภาควิชาโบราณคดีก็เห็นเพียงฉากการระเบิดที่น่าตื่นตะลึงเท่านั้น แต่ไม่ได้ยินเสียงใดๆ เลยแม้แต่น้อย เธออดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วอันงดงาม จากนั้นมุมปากจึงปรากฏรอยยิ้มขึ้น “ที่แท้นายก็ใช้พลังพิเศษเขตแดนปิดกั้นตั้งนานแล้ว ต้องเผชิญหน้ากับการโจมตีอันแข็งแกร่งถึงขนาดนี้ยังมีใจไปใช้เคล็ดวิชาพลังพิเศษได้อีก เย่เทียนเฉิน ฉันจะต้องหาข้อมูลเกี่ยวกับยุคสิ้นโลกมาจากนายให้ได้ จะต้องไปที่โลกแห่งการล่มสลายให้ได้…”

“สหายเย่…” หลินตวนเห็นสถานการณ์เช่นนี้ก็ตกตะลึงไป เขาไม่ต้องการฆ่าเย่เทียนเฉิน เขาต้องการเพียงเอาชนะเพื่อที่จะทำให้ชื่อเสียงของสำนักงานเทียนหลินยิ่งใหญ่เท่านั้น ในขณะเดียวกันก็ต้องการให้เย่เทียนเฉินเข้าร่วมกับสำนักงานเทียนหลิน เพื่อช่วยทำงานให้เขา

ไหนเลยจะรู้ว่าจะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น เย่เทียนเฉินเข้าปะทะกับมีดเจ็ดดาวโดยไม่รู้ว่าเป็นหรือตาย ถูกมังกรตัวใหญ่ทั้งสองตัวที่เกิดจากพลังของมีดเจ็ดดาวอันมหาศาลตัดขาดเป็นชิ้นๆ เกรงว่าระเบิดจนไม่เหลือกระทั่งกระดูกแล้ว

จนถึงตอนนี้หลินตวนก็ยังไม่รู้ว่า ความจริงแล้วในตอนที่พวกเขาทั้งสองคนมาถึงสนามหญ้า เย่เทียนเฉินได้ลอบกางเขตแดนปิดกั้นนานแล้ว ไม่เช่นนั้นด้วยอำนาจของมีดเจ็ดดาวที่ยิ่งใหญ่ถึงเพียงนั้น ฟาดฟันเพียงครั้งเดียวก็เกิดเป็นเงาดาบอันใหญ่ ถ้าไม่ทำให้เหล่าอาจารย์และนักศึกษาในมหาวิทยาลัยหลงเถิงต้องตกใจก็แปลกแล้ว โดยเฉพาะครั้งสุดท้ายที่หลินตวนลงมือเต็มกำลัง ใช้พลังอำนาจอันยิ่งใหญ่ของมีดเจ็ดดาวออกมาจนเงามีดกลายเป็นมังกรสองตัว ในอากาศมีเสียงมังกรกู่ร้องคำราม ถ้าหากว่าถูกคนอื่นได้ยินเข้าจะต้องคิดว่าเกิดการล่มสลายอย่างแน่นอน กระทั่งคงจะตกใจตายก็เป็นได้

จินตนาการได้เลยว่า มังกรตัวใหญ่ทั้งสองตัวที่พุ่งทะยานมายังตนเอง ส่งเสียงคำรามกู่ก้อง หากคุณยืนอยู่บนสนามหญ้าโล่งๆ จะมีความรู้สึกอย่างไร คงจะตกใจจนฉี่แทบราด

“ร้ายกาจ ร้ายกาจ พลังของมีดเจ็ดดาวร้ายกาจจริงๆ…”

ชั่วขณะนั้นเองหลินตวนก็ได้ยินเสียงของเย่เทียนเฉิน เขาตกใจจนชะงัก มองไปยังอากาศด้วยอาการตกตะลึงจนตาค้าง ฝุ่นควันค่อยๆ สลายไป เห็นว่าในอากาศปรากฏลูกบอลน้ำขึ้นอันหนึ่ง เย่เทียนเฉินถูกห้อมล้อมเอาไว้ตรงกลาง แขนเสื้อบริเวณมือขวาแหลกสลายเป็นเสี่ยงๆ ไปหมดแล้ว เมื่อสักครู่นี้ที่มังกรที่เกิดจากเงาดาบพุ่งเข้าไปและระเบิดออกมาครั้งใหญ่ เย่เทียนเฉินรีบใช้พลังพิเศษสายวารีคุ้มครองตนเอง แต่กลับช้าไปเล็กน้อย มือขวาจึงถูกระเบิดอย่างรุนแรง

ความจริงแล้ว ในตอนที่มือขวาของเย่เทียนเฉินต่อยปะทะไปยังบริเวณศีรษะของมังกรที่เกิดจากเงาดาบตัวนั้น เขาก็รู้ว่าตนเองไม่อาจสู้ได้ พลังอำนาจของมีดเจ็ดดาวนี้แข็งแกร่งมาก มังกรที่เกิดจากเงาดาบสองตัวนั้นมีความสามารถถึงขั้นก่อสร้างรูปลักษณ์ให้เป็นจริง มีพลังอำนาจอันแข็งแกร่ง การโจมตีของมังกรตัวเดียวก็แข็งแกร่งมากแล้ว เมื่อทั้งสองตัวรวมเป็นหนึ่ง  พลังในการทำลายล้างก็เพิ่มขึ้นในพริบตา ทำให้เขาไม่อาจจะป้องกันได้ ดังนั้นมือซ้ายจึงรีบรวมพลังพิเศษในขอบเขตจอมราชันและก่อสร้างเป็นรูปลักษณ์ของคมกระบี่ขึ้นมา ฟาดฟันลงไปยังมังกรอีกตัวหนึ่งเพื่อจะยืดเวลาออกไปและให้ตนเองมีโอกาสได้ใช้เคล็ดวิชาพลังพิเศษสายวารี

ครั้งนี้เย่เทียนเฉินไม่ได้ใช้โล่พลังพิเศษคุ้มครองตนเอง เป็นเพราะเขาสัมผัสได้ว่าภายในพลังและบรรยากาศของมังกรคมมีดสองตัวนี้ ปะปนไปด้วยธาตุดินซึ่งเป็นธาตุที่ถูกธาตุน้ำกดข่ม นี่จึงเป็นวิธีที่ดีที่สุด

โพล๊ะ!

ลูกบอลน้ำที่ห่อหุ้มเย่เทียนเฉินเอาไว้ระเบิดออก น้ำทั้งหมดหยดลงสู่พื้น เย่เทียนเฉินลงมายืนที่พื้นมองไปยังหลินตวนแล้วพูดว่า “พลังของมีดเจ็ดดาวไม่น้อยเลยทีเดียว เป็นอาวุธที่ยอดเยี่ยมชิ้นหนึ่ง!”

“นาย…ไม่เป็นอะไรใช่ไหม?” หลินตวนมองเย่เทียนเฉินด้วยความตกตะลึงจนตาค้าง จะอย่างไรเขาก็คิดไม่ถึงว่าบนโลกนี้จะมีคนที่สามารถเข้าปะทะกับมีดเจ็ดดาวและยังไม่ได้รับอันตรายจากพลังอำนาจอันแข็งแกร่งที่ถูกใช้ออกไปของมีดเจ็ดดาวอยู่อีก เย่เทียนเฉินแข็งแกร่งมากขนาดไหนกันแน่?

ในตอนนี้เอง ฉินเหยาเยว่ที่ยืนอยู่บนตึกภาควิชาโบราณคดีก็ดวงตาเบิกกว้าง การที่เย่เทียนเฉินหยุดยั้งมีดเจ็ดดาวได้ทำให้เธอต้องสั่นสะท้าน แต่ที่ทำให้เธอต้องตกตะลึงที่สุดก็คือ เย่เทียนเฉินถึงกับสามารถใช้พลังพิเศษในสายวารีได้ จากข้อมูลที่ตนเองมีอยู่ในมือในปัจจุบันนี้ เย่เทียนเฉินเคยใช้พลังพิเศษในสายอัสนีและสายพสุธา ซึ่งก็ทำให้เธอต้องประหลาดใจมากแล้ว ตอนนี้ถึงกับสามารถใช้พลังพิเศษในสายวารีได้ ช่างทำให้เธอต้องสั่นสะท้านเกินไปแล้ว

“หรือว่า หรือว่าเย่เทียนเฉินจะ…เป็นผู้มีพลังพิเศษห้าสาย?” ในพริบตานั้น ฉินเหยาเยว่ก็อ้าปากอันเซ็กซี่ของเธอ มองเย่เทียนเฉินที่อยู่ไกลออกไปอย่างเหลือเชื่อ พูดพึมพำกับตนเองด้วยความสงสัย

……………………………..

เย่เทียนเฉินไม่ได้ดูแคลนหลินตวน กลับจะชอบใจในความคิดของหลินตวนด้วยซ้ำ เพราะหลินตวนเป็นคนเปิดเผยตรงไปตรงมาและมีหลักการเป็นของตนเอง นับเป็นลูกผู้ชายคนหนึ่ง โดยเฉพาะการที่เขาสามารถเป็นผู้อำนวยการสำนักงานเทียนหลินได้ ซึ่งเป็นสิ่งที่คล้ายกับองค์กรทหารรับจ้าง ความสามารถย่อมไม่อ่อนด้อย อีกทั้งยังไม่ใช่คนประเภทที่มีแต่ความกล้าบ้าบิ่นแต่ไร้ซึ่งความคิดประเภทนั้น

ดังนั้นที่เย่เทียนเฉินบอกว่าจะสูบบุหรี่ก่อนสักหน่อยถึงจะสู้กับหลินตวนก็ไม่ใช่การดูถูก แต่เป็นความเคยชินของเย่เทียนเฉินจริงๆ ในช่วงยุคสิ้นโลก สิ่งของประเภทบุหรี่เป็นของหายาก กระทั่งสามารถเรียกได้ว่าเป็นสินค้าหรูหราที่ดูเหมือนจะหาไม่ได้แล้ว ในโลกปัจจุบันนี้ถึงแม้ว่าจะมียอดฝีมือซ่อนเร้นอยู่เป็นจำนวนมาก แต่ก็ยังค่อนข้างจะสงบสุข อย่างน้อยคนธรรมดาก็สามารถนั่งกินข้าวอย่างสงบได้ เสพสุขกับการดื่มเหล้าและสูบบุหรี่สักมวนได้

หมัดของหลินตวนซัดเข้าไปยังใบหน้าของเย่เทียนเฉิน เขาหลบตามสัญชาตญาณ โดยเอนร่างไปทางขวา และจับเข้าที่ข้อมือของหลินตวนในเวลาเดียวกัน เข่าขวาของหลินตวนแทงขึ้นใกล้จะถูกหน้าอกของเย่เทียนเฉิน เย่เทียนเฉินขมวดคิ้ว หลินตวนรวดเร็วมากจริงๆ ทุกสิ่งทุกอย่างนี้เกิดขึ้นในเวลาเพียงชั่วพริบตา เขายกมือซ้ายขึ้นมากัน มือขวาออกแรงเล็กน้อยเพื่อสะบัดหลินตวนออกไป

ภายในเวลาสิบวินาที ทั้งสองคนได้ประลองกันไปแล้วหลายกระบวนท่า โชคดีที่บริเวณที่ว่างแห่งนี้ไม่มีคน ถ้าหากว่าถูกคนพบเห็นฉากนี้เข้าจะต้องตกใจจนคางแทบร่วงแน่นอน การต่อสู้แบบนี้ปรากฏอยู่เพียงแค่ในภาพยนตร์ ในชีวิตปัจจุบันจะเคยพบกับการต่อสู้ด้วยวรยุทธอันมีสีสันถึงขนาดที่ไหนกัน?

“นายแข็งแกร่งมากจริงๆ ถ้าสามารถมาเข้าร่วมกับสำนักงานเทียนหลินของฉันได้ก็จะดีมาก!” หลินตวนมองเย่เทียนเฉินแล้วพูดด้วยรอยยิ้ม

“นายเองก็ไม่เลวเลย มาอยู่กับพี่ชายเถอะ รับรองเลยว่านายจะยืนอยู่ในที่สูงกว่านี้ มองได้ไกลกว่านี้!” เย่เทียนเฉินก็พูดด้วยรอยยิ้ม

“ไม่ได้หรอก ฉันเป็นคนก่อตั้งสำนักงานเทียนหลิน ยังไม่ทันทำงานอะไรสำเร็จก็จะล้มเลิกซะแล้ว ถึงตอนนั้นท่านอาจารย์คงจะไม่ปล่อยฉันไปแน่!” หลินตวนพูดพลางส่ายหน้า

“อาจารย์ของนาย? ไม่สู้เรียกอาจารย์ของนายมาอยู่กับฉันด้วยเป็นไง?” เย่เทียนเฉินหัวเราะฮี่ๆ แล้วกล่าวออกมา

“สหายเย่ คำพูดแบบนี้ไม่สามารถพูดเล่นๆ ได้ ถ้าอาจารย์ฉันได้ยินเข้า เขาจะต้องสู้กับนายอย่างสุดชีวิตแน่นอน อาจารย์ของฉันแข็งแกร่งมาก!”

“ฉันรู้ว่าอาจารย์ของนายแข็งแกร่ง ไม่งั้นคงไม่สามารถสั่งสอนลูกศิษย์แบบนายออกมาได้หรอก มาเถอะ ให้ฉันทดสอบฝีมือของนายสักหน่อย!”

ความรู้สึกของเย่เทียนเฉินและหลินตวนไม่เหมือนกับศัตรูคู่อาฆาต แต่เหมือนกับการคุยเล่นระหว่างเพื่อนพ้องที่เดินอยู่ในเส้นทางการฝึกฝนวรยุทธมากกว่า การที่ทั้งสองมีความรู้สึกเช่นนี้ก็เป็นเพราะหลินตวนและเย่เทียนเฉินต่างก็เป็นคนเปิดเผย เป็นลูกผู้ชายที่มีนิสัยตรงไปตรงมา

เมื่อครู่นี้คนทั้งสองแลกเปลี่ยนกระบวนท่าเพื่อลองเชิงกันไปหลายกระบวนท่า ถึงแม้เบื้องหน้าจะไม่ได้พูดอะไร แต่ก็มีความตื่นตะลึงต่อฝีมือของอีกฝ่าย เย่เทียนเฉินที่ปกติมีท่าทางเหลาะแหละ แต่เมื่อลงมือขึ้นมากลับทำให้ผู้คนต้องตกตะลึงเป็นอย่างมาก ส่วนหลินตวนมาดูภายนอกแล้วค่อนข้างผอม กระทั่งมีบรรยากาศเหมือนหนอนหนังสือ แต่เมื่อได้ลงมือกลับสามารถทำให้เย่เทียนเฉินประหลาดใจได้ ฝีมือของคนคนนี้รวดเร็วว่องไว ยิ่งไปกว่านั้นวิถีหมัดก็ยังแปลกประหลาด ไม่เหมือนเทคนิคที่สืบทอดกันมาในพรรควรยุทธโบราณ

เพียงแต่สิ่งที่ทำให้เย่เทียนเฉินรู้สึกแปลกๆก็คือ เมื่อครู่นี้ประลองกับหลินตวนไปหลายกระบวนท่า แต่เขาไม่สามารถสัมผัสได้ถึงความผันผวนของพลังภายในที่แข็งแกร่งเลย แต่ว่าเคล็ดวิชาหมัดของคนคนนี้เหมือนกับเคล็ดวิชาของพรรควรยุทธโบราณ เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่เคยฝึกฝนพลังภายใน ตกลงแล้วเขาจงใจซ่อนเอาไว้หรือว่ามีสาเหตุอื่นกันเเน่?

ในตอนที่เย่เทียนเฉินมองไปยังหลินตวนและกำลังใคร่ครวญอยู่นั้น มือขวาของหลินตวนก็ปรากฏมีดสั้นเล่มหนึ่งขึ้น ยาวประมาณสองชุ่น ดูภายนอกมีความประณีตงดงามมาก ทันใดนั้น หลินตวนกำมีดสั้นเล่มนั้นแน่น มีดสั้นเล่มนี้สั่นสะเทือนแล้วกลายเป็นมีดเล่มใหญ่ที่ยาวประมาณครึ่งเมตร บนตัวดาบทั้งสองฝั่งมีลายมังกรอยู่ ดูแล้วให้ความรู้สึกอหังการเป็นอย่าง

เมื่อเย่เทียนเฉินเห็นมีดสั้นที่สามารถกลายเป็นมีดยาวเล่มนั้นก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว พลังพิเศษแห่งการรับรู้ของเขาสัมผัสได้ว่ามีดเล่มนี้มีความแปลกประหลาดอยู่ ตัวมีดแผ่ไอสังหารอันแข็งแกร่งออกมา โดยเฉพาะมังกรที่อยู่บนตัวดาบทั้งสองฝั่ง ที่ดูราวกับมีชีวิตนั้น ให้ความรู้สึกเหมือนกับมังกรตัวเขื่องสองตัวนั้นจะสามารถพุ่งทะยานออกมาได้

“มีดเล่มนี้ชื่อว่ามีดเจ็ดดาว เคยผ่านการปรับปรุงของด้วยเทคนิคชั้นสูงในยุคปัจจุบันมาก่อน ท่านอาจารย์ของฉันได้ใส่พลังภายในที่แข็งแกร่งลงไปด้วย เมื่อชักมีดออกมา ถ้าไม่ได้ดื่มเลือดก็จะไม่สามารถปล่อยมือจากมีดได้ นายระวังด้วย!” หลินตวนมองเย่เทียนเฉินแล้วพูดอย่างจริงจัง

“มีดเจ็ดดาว? เป็นชื่อที่ไม่เลวเลย ให้ฉันดูสักหน่อยเถอะว่ามีดเจ็ดดาวในมือของนายจะร้ายกาจขนาดไหน…” เย่เทียนเฉินพูดด้วยรอยยิ้ม

ฉัวะ!

หลินตวนไม่พูดอะไรให้มากความอีก วาดมีดเจ็ดดาวฟันลงไปยังเย่เทียนเฉิน ระยะห่างระหว่างทั้งสองอยู่ไกลกันเกือบสิบเมตร เงามีดอันใหญ่มหึมาฟันลงไปยังศีรษะของเย่เทียนเฉินโดยตรง เย่เทียนเฉินเองก็ไม่กล้าลำพองใจ มีดเจ็ดดาวนี้เมื่ออยู่ภายใต้พลังพิเศษแห่งการรับรู้ของเขาทำให้รู้ว่ามีดเล่มนี้มีความพิเศษและความแปลกประหลาดอยู่ เนื่องจากวัสดุของมีดเล่มนี้ไม่ได้พิเศษอะไรแต่กลับสามารถระเบิดไอสังหารอันแข็งแกร่งเช่นนั้นออกมาได้ โดยเฉพาะในตอนที่หลินตวนสะบัดมีด เงามีดสามารถทำให้อากาศเกิดการสั่นสะเทือนจนแทบจะแหลกสลาย ช่างแข็งแกร่งมากจริงๆ

เย่เทียนเฉินมองเงามีดขนาดใหญ่ที่ถูกฟันมายังตนเอง ไม่ได้ดูแคลนอะไรอีก มุมปากคาบบุหรี่อยู่หนึ่งมวน มือทั้งสองกำแน่น พลังพิเศษในขอบเขตจอมราชันไหลลงไปรวมภายในหมัดทั้งสอง เขาไม่ได้หลบแต่ใช้หมัดต่อยปะทะเข้าไปกับเงามีดใหญ่มหึมานั้นตรงๆ

ตู้ม!

เสียงอันดังสนั่นดังขึ้น บนสนามขนาดใหญ่อันว่างเปล่าฟุ้งกระจายไปด้วยฝุ่นควัน มือขวาของหลินตวนกำมีดเจ็ดดาวเอาไว้ ดวงตาทั้งสองจ้องมองไปยังบริเวณที่ฝุ่นควันฟุ้งกระจาย ตรงนั้นเป็นที่ที่เย่เทียนเฉินยืนอยู่ เมื่อครู่นี้เขาเห็นเย่เทียนเฉินใช้หมัดโจมตีปะทะเข้ากับเงามีด หลินตวนเองก็ถูกทำให้ตกใจไปแล้ว จะอย่างไรก็คิดไม่ถึงว่าเย่เทียนเฉินจะถึงกลับใจกล้าและเด็ดเดี่ยวถึงเพียงนี้ ช่างไม่กลัวตายเลยจริงๆ

มีดเจ็ดดาวเล่มนี้เป็นของอาจารย์ของหลินตวน ซึ่งเป็นปรมาจารย์ชั้นสูงของพรรควรยุทธโบราณคนหนึ่ง ได้มอบให้กับหลินตวน เดิมทีหลินตวนก็เป็นผู้มีความสามารถในด้านเทคโนโลยีอยู่แล้ว จึงได้ปรับปรุงแก้ไขมีดเจ็ดดาว ทำให้สามารถยืดหดและขยายได้ และเมื่อผ่านการเสริมด้วยพลังภายในอันแข็งแกร่งของอาจารย์ของหลินตวนลงไปในมีดเจ็ดดาว โดยใช้วิชาที่สืบทอดกันมาแต่โบราณซึ่งเป็นเคล็ดวิชาลับอย่างหนึ่งทำให้มังกรทั้งสองตัวถูกสลักเพิ่มเข้าไปในสองฝั่งของมีดเจ็ดดาว ทำให้เมื่อเกิดการระเบิดพลังออกมาจริงๆ จะสามารถทำให้มังกรทั้งสองตัวทะยานออกมาได้ มีความสามารถในการฆ่าฟันอย่างรุนแรง

เมื่อครู่นี้หลินตวนสะบัดมีดไม่ได้ใช้พลังความสามารถทั้งหมดของมีดเจ็ดดาวออกมา เขาเพียงแค่จะทดสอบฝีมือของเย่เทียนเฉินเท่านั้น สิ่งที่ทำให้เขาคิดไม่ถึงก็คือ เย่เทียนเฉินจะถึงกับใช้กำปั้นซัดปะทะเข้ามา พริบตานั้นเกรงว่าหากไม่ตายขาทั้งสองก็ต้องพิการแล้ว

“มีดดี มีดดี นี่คงจะไม่ใช่ความสามารถทั้งหมดของมีดเล่มนี้หรอก เร็วๆ เถอะ รีบฟันมาอีกสักสองครั้ง…”

เย่เทียนเฉินพูดไปพลางใช้มือปัดฝุ่นบนร่างไปพลาง เดินออกมาจากบริเวณที่ฝุ่นควันฟุ้งกระจาย บริเวณที่เย่เทียนเฉินเคยยืนอยู่ปรากฏรอยมีดรอยใหญ่ขึ้น ยาวเกือบสิบเมตร แต่บริเวณที่ขาทั้งสองของเย่เทียนเฉินยืนอยู่นั้นปรากฏรอยฝ่าเท้าลึก เห็นได้ชัดว่ามีดเจ็ดดาวเล่มนี้มีพลังไม่น้อย เพียงแต่สิ่งที่ทำให้หลินตวนต้องตกตะลึงก็คือ เย่เทียนเฉินใช้กำปั้นซัดปะทะเข้าไปกับมีดเจ็ดดาว แต่มือขวากลับไม่เป็นอะไรเลยแม้แต่น้อย กระทั่งรอยเลือดก็ไม่ปรากฏ ช่องทำให้เขารู้สึกเหลือเชื่อจริงๆ

“นาย…”

หลินตวนมองเย่เทียนเฉินด้วยความประหลาดใจจนพูดอะไรไม่ออก มีดเจ็ดดาว เป็นอาวุธที่อยู่ในอันดับต้นๆของพรรควรยุทธโบราณ แม้ว่าจะไม่ได้อยู่ในสามอันดับแรก แต่ว่าพลังอำนาจของมันเป็นที่ทราบดีของผู้คน แต่ไหนแต่ไรมาก็ไม่เคยมีใครกล้าใช้กำปั้นซัดเข้าไปปะทะกับมีดเจ็ดดาวมาก่อน เย่เทียนเฉินเป็นคนแรกที่กล้าหาญและเด็ดเดี่ยวจนทำให้ผู้คนต้องตกตะลึง และไม่บาดเจ็บเลยแม้แต่น้อย ยิ่งทำให้หลินตวนรู้สึกว่าความสามารถของเย่เทียนเฉินลึกล้ำจนไม่อาจคาดเดา

“เป็นมีดที่ดีเล่มหนึ่งจริงๆ หากว่านายมาอยู่กับฉัน ก็สามารถมอบให้ฉันเป็นของขวัญแรกพบได้นะ!” เย่เทียนเฉินสูบบุหรี่ไปเฮือกหนึ่งแล้วกล่าวด้วยรอยยิ้ม

ความจริงแล้วเมื่อครู่นี้เย่เทียนเฉินใช้มือขวาซัดปะทะเข้าไปกับเงามีดเจ็ดดาว เป็นการใช้หมัดที่รวบรวมพลังพิเศษในขอบเขตจอมราชันในระดับสูง ถึงจะสามารถทำให้ไม่มีบาดแผลได้ ถ้าหากว่าเขาอาศัยเพียงกายเนื้อไปรับแบบนี้ เกรงว่าตอนนี้คงจะเลือดไหลเป็นสายน้ำไปแล้ว หากเป็นเช่นนี้ เงาดาบอันใหญ่โตเมื่อสักครู่ก็ทำให้หมัดขวาของเย่เทียนเฉินที่รวบรวมพลังพิเศษเอาไว้รู้สึกได้ถึงความเจ็บปวด มีดเจ็ดดาวเล่มนี้ไม่เร็วเลยจริงๆ หากไม่ใช่ว่ามีความสามารถของพลังพิเศษในขอบเขตจอมราชันอยู่ เย่เทียนเฉินก็คงไม่กล้าปะทะ

“นายอยากจะทดสอบพลังที่แท้จริงของมีดเจ็ดดาวจริงๆ หรือ? นายอาจจะตายก็ได้” หลินตวนหมอเย่เทียนเฉินอย่างจริงจังแล้วพูดขึ้น

“ไม่เป็นไร มาเถอะ มาเติมเต็มคำขอของฉันสักหน่อย!” เย่เทียนเฉินพูดด้วยรอยยิ้มสบายๆ

เคยกล่าวไปนานแล้วว่านิสัยของเย่เทียนเฉินเหมือนกับอันธพาลและเหมือนกับเทพแห่งความตาย ในตอนนี้เขามีนิสัยเหมือนอันธพาลคนหนึ่งโดยสิ้นเชิง เนื่องจากเขารู้สึกยินดีที่ได้สู้กับผู้แข่งแกร่งคนหนึ่งอย่างสะใจเช่นนี้ นั่นเป็นความสุขอย่างหนึ่ง รวมกับที่หลินตวนดูท่าทางจะเป็นพวกแข็งทื่อ ทำให้เย่เทียนเฉินอดไม่ได้ที่จะหยอกล้อเขาหลายประโยค ทำให้การต่อสู้ครั้งนี้ผ่อนคลายขึ้นมาก

“งั้นนายก็ระวังหน่อยละ!” หลินตวนใช้สองมือกุมด้ามมีดเจ็ดดาว เตรียมจะโจมตีโดยใช้พลังที่รุนแรงที่สุด

“ถ้าหากว่านายเอาชนะฉันไม่ได้ ไม่เพียงแต่ฉันจะไม่เข้าร่วมสำนักงานเทียนหลินของนาย แต่นายยังต้องมาติดตามฉันด้วย ถ้างั้นสำนักงานเทียนหลินของนายก็จบสิ้นแล้ว นายก็ไม่มีหน้าไปบอกกับอาจารย์ได้!” ทันใดนั้นเย่เทียนเฉินก็มองหลินตวนอย่างจริงจังแล้วพูดขึ้น

“ถ้าหากว่านายสามารถมีชีวิตรอดต่อไปได้ ก็รอฟังคำสั่งฉันได้เลย!”

ที่เย่เทียนเฉินพูดแบบนี้ก็เพื่อที่จะให้หลินตวนลงมือโดยไม่ยั้ง มีดเจ็ดดาวมีความร้ายกาจมาก ส่วนจะร้ายกาจขนาดไหนมีน้อยคนที่จะรู้ เมื่อครู่นี้หลินตวนเองก็แค่ตวัดมีดเพื่อทดลองเท่านั้น ความสามารถที่แท้จริงของมีดเจ็ดดาวยังไม่ได้ใช้ออกมา

หากกล่าวว่าเย่เทียนเฉินและหลินตวนกำลังต่อสู้กันอยู่ ไม่สู้บอกว่าทั้งสองคนต่างก็เข้าอกเข้าใจกันยังจะดีกว่า ทั้งคู่ต้องการจะให้อีกฝ่ายมาอยู่ในกลุ่มอำนาจของตน เชื่อฟังคำสั่ง เพื่อเพิ่มความสามารถให้กลุ่มอำนาจของตน

“ย้าก!”

ทันใดนั้น หลินตวนตะโกนออกมาครั้งหนึ่ง ฟันมีดออกไปจากซ้ายไปขวา ตรงยังเย่เทียนเฉิน ในขณะเดียวกันก็ฟันจากขวาไปซ้ายอีกครั้งหนึ่ง การโจมตีทั้งสองครั้งนี้ ทำให้เย่เทียนเฉินอดไม่ได้ที่จะถอยหลังไปสองสอง กระตุ้นพลังพิเศษในขอบเขตจอมราชันจากทั่วทั้งร่าง มองเงามีดสองสายที่ใหญ่โตมโหฬารนั้นพุ่งมะยานเข้ามายังตนเอง ไม่อาจหลบซ่อน ทำได้เพียงเผชิญหน้าอย่างเด็ดขาดเท่านั้น

“โฮก!”

“โฮก!”

เงามีดอันใหญ่โตทั้งสองถูกฟันไปยังเย่เทียนเฉินด้วยความรวดเร็วดุจสายฟ้า บนสนามหญ้าอันกว้างใหญ่เกิดลมอันบ้าคลั่งรุนแรง ฝุ่นควันฟุ้งกระจาย มีเสียงมังกรคำราม ทำให้ผู้คนต้องตกตลึง

………………………

การปรากฏตัวของหลินตวน ไม่ไก้ทำให้เย่เทียนเฉินอารมณ์เปลี่ยนแปลงมากมายอะไรนัก กลับจะมองคนที่เปิดเผยตรงไปตรงมาคนนี้ในแง่ดีด้วยซ้ำ อย่างน้อยหลินตวนก็เข้ามาอย่างเปิดเผย พูดอย่างตรงประเด็นว่าต้องการประลองกับตน ต้องการถือโอกาสนี้สร้างชื่อเสียงให้กับสำนักงานเทียนหลินของเขา

แต่เรื่องยุ่งยากก็ยังคงยุ่งยาก เย่เทียนเฉินไม่ชอบการเข้าเรียนอะไรนี่เลย นี่ยังลำบากกว่าเข้าไปนั่งในคุกเสียอีก ถึงได้ตอบรับคำขอของหลินตวน ไหนเลยจะรู้ว่าในตอนที่เย่เทียนเฉินและหลินตวนเตรียมจะเดินออกไปจากห้องเรียนใหญ่ของภาควิชาโบราณคดีนั้น ฉินเหยาเยว่จะขวางอยู่เบื้องหน้าของพวกเขาทั้งสอง

“พวกเธอสองคนคิดจะไปไหน? ไม่รู้ว่าถึงเวลาเข้าเรียนแล้วหรือไง?” ฉินเหยาเยว่มองเย่เทียนเฉินอย่างจริงจังเข้มงวดแล้วเอ่ยปากพูด

“ผม…พวกผมมีธุระนิดหน่อยครับ จะออกไปสักครู่” หลินตวนพูดติดตะกุกตะกัก

เมื่อได้ยินคำพูดของหลินตวนและน้ำเสียงที่คนคนนี้พูด เย่เทียนเฉินก็เกือบจะกลั้นหัวเราะเอาไว้ไม่ไหว เมื่อดูภายนอกหลินตวนหล่อเหลา มีท่าทางเย็นชา แต่กลับคิดไม่ถึงว่าต่อหน้าผู้หญิง โดยเฉพาะต่อหน้าผู้หญิงที่สวยเซ็กซี่ พูดออกไปไม่กี่คำก็หน้าแดงซะแล้ว ทำให้เย่เทียนเฉินสงสัยว่าคนคนนี้เป็นผู้อำนวยการสำนักงานเทียนหลินจริงหรือไม่ นี่เป็นองค์กรที่คล้ายกับองค์กรทหารรับจ้าง รับภารกิจที่ต้องฆ่าฟันนองเลือด จะมีคนเหมือนหลินตวนที่ไม่ทันได้แตะต้องผู้หญิงก็หน้าแดงแบบนี้อยู่ด้วยเหรอ?

เมื่อเปรียบเทียบตรงจุดนี้ เย่เทียนเฉินย่อมเหนือกว่าหลินตวนมาก เดิมทีในช่วงยุคสิ้นโลก เย่เทียนเฉินก็มีสาวงามชั้นเลิศอยู่ข้างกายจำนวนไม่น้อย ถึงแม้ว่าเย่เทียนเฉินจะชอบผู้หญิง ในช่วงสิ้นโลกก็นับว่าค่อนข้างจะเป็นคนที่ยิ่งใหญ่ ไม่ใช่คนไร้เดียงสา แต่หากเป็นผู้หญิงที่มีนิสัยเหมือนงูพิษ และคนชราที่มีจิตใจโหดเหี้ยม เย่เทียนเฉินก็จะไม่ไว้ไมตรีโดยเด็ดขาด

“อีกหนึ่งนาทีก็จะเข้าเรียนแล้ว เรื่องอื่นก็รอให้เรียนเสร็จก่อนแล้วค่อยว่ากัน เข้าไปเถอะ!” ในตอนที่ฉินเหยาเยว่พูดล้วนมองอยู่ที่เย่เทียนเฉิน เธอกำลังคิดว่าจะสามารถพบข้อมูลอะไรเกี่ยวกับผู้แข็งแกร่งในช่วงยุคสิ้นโลกจากเย่เทียนเฉินได้หรือไม่

ส่วนเรื่องที่ว่าฉินเหยาเยว่รู้ได้อย่างไรว่าเย่เทียนเฉินเป็นผู้แข็งแกร่งในช่วงยุคสิ้นโลกกลับชาติมาเกิดใหม่นั้น เรื่องนี้เกรงว่าจะเป็นเหตุผลที่มีน้อยคนที่จะรู้ และต้องรอให้เย่เทียนเฉินไปตรวจสอบและค้นพบด้วยตัวเอง

“คนสวย พวกเราสองคนจะไปทำธุระ ธุระเร่งด่วนมาก เร่งด่วนมากจริงๆ เร่งด่วนโคตรๆ เร่งด่วนจนไม่สามารถยืดเวลาไปได้แม้แต่ครึ่งวินาที…” เย่เทียนเฉินหัวเราะฮี่ๆ แล้วพูดขึ้น

“ปากเสียให้มันน้อยๆ หน่อย เรียกฉันว่าอาจารย์ที่ปรึกษา จริงจังซะบ้าง ตอนนี้ได้เวลาเข้าเรียนแล้ว เข้าไปเรียนก่อนเถอะ!” ฉินเหยาเยว่โบกไม้ชี้กระดานสีดำของตนแล้วพูดขึ้น

“ไม่ได้ ไม่ได้จริงๆ พวกเราสองคนไป…” ในขณะที่เย่เทียนเฉินพูดก็เข้าไปใกล้ฉินเหยาเยว่ก้าวหนึ่ง ฉินเหยาเยว่ก็ถอยหลังออกไปโดยไม่รู้ตัว เธอไม่ได้กลัวว่าเย่เทียนเฉินจะทำอะไรที่เหลือเชื่อ แต่คิดว่าเย่เทียนเฉินสามารถเอาชนะได้แม้กระทั่งวิชาสะกดใจของตน ฝีมือจะต้องลึกล้ำไม่อาจคาดเดา จะต้องระวังตัวให้มาก ไหนเลยจะรู้ว่าเธอเพิ่งจะถอยหลังไปก้าวหนึ่ง ริมฝีปากของเย่เทียนเฉินก็เข้ามาใกล้หูของเธอแล้ว แล้วพูดต่อไปว่า “เปิดห้อง!”

“อะไรนะ? พวกเธอ…พวกเธอผู้ชายอกสามศอกทั้งสองคน…”

ฉินเหยาเยว่เบิกตาอันงดงามจนกว้าง มองไปยังหลินตวนและเย่เทียนเฉินอย่างไม่อยากจะเชื่อ แม้ว่าสังคมปัจจุบันนี้ เรื่องของชายรักชายจะไม่นับว่าเป็นเรื่องใหญ่อะไร และไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาด แต่เมื่อเรื่องแบบนี้มาเกิดขึ้นข้างกายของตน คนส่วนใหญ่ก็จะตกใจ อย่างไรก็ตามเรื่องแบบนี้เมื่อคิดดูให้ดีก็ชวนให้คลื่นไส้จริงๆ

 “อาจารย์ครับ พวกเราสองคนรักกันจริงๆ อาจารย์สนับสนุนพวกเราด้วยเถอะ…” เย่เทียนเฉินจงใจแสร้งทำท่าทางเจ็บปวดพูดกับฉินเหยาเยว่

“เธอไปให้ห่างฉันหน่อย อย่า อย่าเข้ามาใกล้ฉัน…” ครูจะรีบถอยหลังไปสองก้าว เว้นระยะห่างจากเย่เทียนเฉิน

“อาจารย์ครับ พวกเราเองก็เป็นคน แม้ว่าจะเป็นผู้ชายสองคนแต่พวกเราก็มีความต้องการ พวกเรา…พวกเราเกือบจะทนไม่ไหวแล้ว…” เย่เทียนเฉินพูดถึงส่วนที่น่าตื่นเต้น ทันใดนั้นก็จับมือของหลินตวน ทำให้หลินตวนตกใจจนตัวสั่น

จบแล้ว ฉินเหยาเยว่เห็นเย่เทียนเฉินถึงกับจูงมือของหลินตวนก็แทบจะหาเสียงของตนไม่เจอ จะอย่างไรเธอก็คิดไม่ถึงว่า เย่เทียนเฉินจะถึงกับเป็นเกย์ ยิ่งไปกว่านั้นเพิ่งจะเปิดเรียนก็สามารถหาคู่ขามาควงได้แล้ว แล้วยังพูดว่าจะไปเปิดห้อง สวรรค์ ฉินเหยาเยว่ที่เป็นผู้หญิงก็เกรงว่าจะรับไม่ได้

ต่อให้มาถึงยุคปัจจุบันนี้แล้ว ในสังคมก็มีเกย์มากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้เกย์มีการเรียกร้องสิทธิมนุษยชน เรียกร้องความรักที่แท้จริง แต่ก็เห็นเพียงไม่กี่คู่ที่จะเปิดเผยเหมือนกับเย่เทียนเฉินและหลินตวน

“อาจารย์ครับ พวกเรา พวกเราต้องการ พวกเราจะ…” เย่เทียนเฉินจงใจพูดด้วยน้ำเสียงหื่นกระหาย หลินตวนขนลุกไปทั่วทั้งร่าง ส่วนฉินเหยาเยว่ไม่ต้องไปพูดถึงเลย ใบหน้าอันงดงามซีดขาวไปนานแล้ว รับไม่ได้กับน้ำเสียงชวนคลื่นไส้ของเย่เทียนเฉินจริงๆ

“พวกเธอ…พวกเธอไปเถอะ ไปเถอะ…” เธอรีบโบกไม้ชี้กระดานในมือแล้วพูดขึ้น

 “ขอบคุณครับอาจารย์ที่ปรึกษา อาจารย์ที่ปรึกษา พวกผมรักอาจารย์นะครับ มีแต่คุณที่จะเข้าใจความสุขและความเจ็บปวดของความรักของพวกเรา ขอบคุณครับ…” เย่เทียนเฉินทำท่าทางน้ำตาซึม มองไปยังฉินเหยาเยว่แล้วพูดขึ้น

“ไป รีบไปซะ…” ฉินเหยาเยว่ตะโกนอย่างไม่สบอารมณ์

เย่เทียนเฉินยิ้มอย่างชั่วร้ายครั้งหนึ่ง จับมือหลินตวนเดินออกไป ทำให้ฉินเหยาเยว่ที่เห็นรู้สึกอับจนคำพูด ไม่อาจไม่กล่าวว่าในตอนที่เย่เทียนเฉินทำตัวเหมือนอันธพาลขึ้นมา ความสามารถในการแสดงยังลึกล้ำมากอีกด้วย ดูเหมือนว่าจะทำให้ฉินเหยาเยว่เชื่ออย่างสนิทใจว่าเย่เทียนเฉินเป็นเกย์ เพียงแต่สิ่งที่ทำให้ฉินเหยาเยว่สงสัยก็คือ ในช่วงยุคสิ้นโลก ซึ่งเป็นโลกที่น่าเหลือเชื่อและเต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือดจนทำให้ผู้คนไม่อาจจินตนาการได้นั้น มีเกย์เหมือนเย่เทียนเฉินหรือไม่?

หลินตวนและเย่เทียนเฉินเดินออกจากตึกการเรียนการสอนภาควิชาโบราณคดี ทั้งสองย่อมปล่อยมือกันไปนานแล้ว หากจูงมือกันเดินต่อไปแบบนี้ ไม่เพียงแค่หลินตวน เกรงว่าเย่เทียนเฉินก็จะต้องขนลุกไปทั่วทั้งตัวเหมือนกัน รสนิยมทางเพศของเขาย่อมปกติ มีเพียงแม่และน้องสาวสองคนเท่านั้นที่คิดว่าตนเองจะมีรสนิยมทางเพศที่เปลี่ยนไปเพราะเสียใจกับเรื่องของหลิ่วหรูเหมย ทำให้ไม่มีแฟนมาตลอด กระทั่งคนสวยแบบฉีหรูเสวี่ยก็ยังไม่ชอบ ทำให้เย่เทียนเฉินพูดอะไรไม่ออกไประยะหนึ่ง

“ใครจะไปคิดว่าคนที่เหมือนกับเทพแห่งความตายอย่างเย่เทียนเฉิน ในตอนที่นึกสนุกขึ้นมาจะสามารถทำให้คนอื่นต้องอับจนคำพูดได้?” หลินตวนมองเย่เทียนเฉิน มุมปากประดับไปด้วยรอยยิ้ม

“งั้นเหรอ? หลายคนก็คิดว่าฉันจริงจังและเย็นชา ความจริงคนคนนี้ใจดีแล้วก็อ่อนโยนมาก ไม่เย็นชาเลยสักนิด การเป็นคนที่สำคัญที่สุดก็คือความสุข บางครั้งก็ต้องผ่อนคลาย จะสามารถทำให้จิตใจดีและมีความสุขได้!” เย่เทียนเฉินพูดพลางยักไหล่

“นายกับฉันเพิ่งจะรู้จักกันเป็นครั้งแรก นายก็กล้ารับคำท้าของฉัน กระทั่งฉันเป็นใครก็ไม่สงสัยเลยเหรอ? ตอนนี้อำนาจใหญ่ทุกกลุ่มต่างก็กำลังจับตามองนาย นายล่วงเกินกลุ่มอำนาจใหญ่ไปมากมายขนาดนั้น ไม่กลัวว่าฉันจะฆ่านายเหรอ?” จู่ๆหลินตวนก็คิดถึงจุดนี้จึงได้เอ่ยถามขึ้น

“ไม่กลัวหรอก เพราะว่านายฆ่าฉันไม่ได้!” ทันใดนั้นเย่เทียนเฉินก็พูดออกมาแล้วมองไปยังหลินตวนด้วยท่าทีจริงจัง

หลินตวนชะงักไปครู่หนึ่งแล้วจึงขมวดคิ้ว ความจริงแล้วเย่เทียนเฉินแข็งแกร่งขนาดไหนเขาก็ไม่รู้ ส่วนใหญ่จะได้ยินมาจากข่าวลือ และทำการสรุปออกมาเท่านั้น จะสามารถเอาชนะเย่เทียนเฉินได้หรือไม่ ในใจของหลินตวนก็ไม่แน่ใจ แต่ก็ไม่อาจหลีกเลี่ยงการสู้กับเย่เทียนเฉินได้ เพราะว่าสำนักงานเทียนหลินของพวกเขาไม่มีชื่อเสียงอะไรเลยจริงๆ หากสามารถเอาชนะเย่เทียนเฉินได้ ทำให้ชื่อเสียงโด่งดัง ก็จะสามารถได้รับเย่เทียนเฉินมาเป็นตัวช่วย เรื่องนี้เป็นเรื่องที่คุ้มค่ามาก

“อย่าลืมประโยคนั้นด้วย ถ้าหากว่านายแพ้ ฉันจะไม่ฆ่านาย นายต้องเข้าร่วมสำนักงานเทียนหลินของฉัน คอยทำงานให้ฉัน!” ทันใดนั้นหลินตวนก็พูดออกมาอย่างเย็นชา

“ได้ อย่าลืมที่ฉันพูดประโยคนั้นด้วย ถ้าหากว่านายแพ้ นายจะต้องยุบสำนักงานเทียนหลินของนายและมาเข้าร่วมกับฉัน!” เย่เทียนเฉินเองก็พูดด้วยรอยยิ้ม

“ได้!”

“คำไหนคำนั้น!”

เดิมทีทั้งสองต่างก็เป็นผู้ชายที่เปิดเผย ไม่จำเป็นต้องพูดอะไรให้มาก คำพูดคำจาล้วนน่าเชื่อถือ พูดจาคำไหนคำนั้นไม่กลับคำ นี่จึงจะเป็นลูกผู้ชายที่แท้จริง คำที่พูดออกไปแล้ว ต่อให้ต้องหัวขาดก็จะต้องทำ นี่เป็นความภาคภูมิใจ ไม่ใช่สิ่งที่ทุกคนทำได้ กระทั่งยอดฝีมือหลายคนก็ไม่อาจทำได้

สิ่งที่ทำให้ในใจของเย่เทียนเฉินเกิดความกระตือรือร้นขึ้นมาก็เพราะ หลินตวนคนนี้ดูแล้วค่อนข้างผอม เป็นผู้ชายที่โกหกไม่เป็น เขาจะเป็นผู้อำนวยการสำนักงานเทียนหลินจริงๆ หรือ? นี่เป็นสำนักงานที่มีความคล้ายคลึงกับองค์กรทหารรับจ้าง ถ้าไม่มีฝีมือที่แข็งแกร่งมากพอจะกระทำไม่ได้อย่างแน่นอน หลินตวนคนนี้มีความเปลี่ยนแปลงไปอย่างกะทันหัน ทำให้เย่เทียนเฉินรู้สึกตื่นตะลึง ความสามารถของหลินตวนไม่อ่อนแอ กระทั่งมีกระแสพลังแห่งการต่อสู้ออกมาอย่าเงียบสงบราวกับสาวบริสุทธิ์

ตลอดทางต่างตกอยู่ในความเงียบไม่พูดไม่จา เย่เทียนเฉินและหลินตวนเดินก้าวไปข้างหน้า ไปยังสนามหญ้าอันกว้างขวางแห่งหนึ่งที่ภูเขาด้านหลังของมหาวิทยาลัยหลงเถิง ที่นั่นมีนักศึกษาไปน้อยมาก และตอนนี้ก็เป็นเวลาเข้าเรียน จึงไม่มีใคร

เดินไปเดินไป หลินตวนเดินไปเบื้องหน้าเย่เทียนเฉิน ทันใดนั้นก็ยืนอยู่ที่เดิมไม่ขยับเขยื้อน หมัดทั้งสองกำแน่น ร่างกายที่ดูผอมกลายเป็นให้ความรู้สึกยิ่งใหญ่ขึ้นมา หันไปมองเย่เทียนเฉิน ดวงตาทั้งสองดุเดือดอย่างหาที่เปรียบมิได้ เส้นผมปลิวไสวไปตามลม ให้ความรู้สึกเหมือนปรมาจารย์คนหนึ่ง

“ฉันจะเริ่มแล้ว จะไม่เกรงใจ นายระวังตัวด้วย!” หลินตวนพูดกับเย่เทียนเฉินด้วยรอยยิ้ม

“มาเถอะ!” เย่เทียนเฉินกวักมือแล้วพูดกับหลินตวน

มือขวาของหลินตวนกำแน่น พริบตานั้นจะต่อยไปยังเย่เทียนเฉิน ไหนเลยจะรู้ว่าคนคนนี้จะทำท่าทางให้หยุด ทำให้หลินตวนอดไม่ได้ที่จะเอ่ยปากถาม “ทำอะไร?”

“รอฉันก่อน ฉันขอสูบบุหรี่มวนหนึ่ง ไม่งั้นลงมือแล้วจะไม่ชิน!” เย่เทียนเฉินหัวเราะฮี่ๆ แล้วพูดขึ้น

 “นายแกล้งฉันหรอ ดูกระบวนท่า…”

ต่อให้หลินตวนจะอารมณ์ดีขนาดไหนก็ถูกเย่เทียนเฉินทำให้โกรธแล้ว มาประลองกับตนเองถึงกับมีอารมณ์ไปสูบบุหรี่ จะดูถูกกันเกินไปแล้ว

พลั่ก!

เมื่อเผชิญหน้ากับหมัดอันคมกริบของหลินตวน สายตาของเย่เทียนเฉินพลันเย็นยะเยือก แม้มุมปากจะประดับไปด้วยรอยยิ้ม แต่กลับไม่กล้าดูแคลน หลบไปทางขวาอย่างรวดเร็ว จากนั้นใช้มือซ้ายจับอยู่บนข้อมือขวาของหลินตวน…

……………………

ในช่วงยุคสิ้นโลก เดิมทีก็เป็นโลกที่ไม่อาจจินตนาการได้ กระทั่งสามารถกล่าวได้ว่ามหัศจรรย์เกินขอบเขตความคิดของมนุษย์ ที่นั่นไม่มีการดำรงอยู่ของประเทศใดๆ และไม่มีกฎหมายข้อบังคับ มีเพียงการฆ่าฟัน ผู้ชนะเป็นเจ้า และไม่ใช่โลกที่มีมนุษย์ปกครอง มีทั้งสัตว์อสูรกลายพันธุ์และปีศาจที่ฝึกตนมานับพันปีคอยระราน

ยอดฝีมือแห่งพรรควรยุทธโบราณและผู้มีพลังพิเศษในหมู่มนุษย์ก็มีทั้งดีและชั่ว ในโลกแห่งนั้น ของที่มีอยู่ในยุคดึกดำบรรพ์ที่สุดต่างก็ปรากฏออกมา เช่นการกลับชาติมาเกิด การย้อนกลับไปในยุคจีนโบราณอันแปลกประหลาด เป็นยุคที่มีเรื่องเรื่องน่าอัศจรรย์ทุกอย่าง

สรุปแล้ว ในช่วงยุคสิ้นโลกเป็นโลกที่ไม่สามารถใช้ตรรกะความคิดในปัจจุบันได้ ดุเดือดรุนแรงและเต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือดยิ่งกว่าความเพ้อฝันและจินตนาการของมนุษย์และโลกแห่งเทพเซียนเสียอีก ผู้อ่อนแอก็เป็นได้แค่เนื้อปลา ผู้แข็งแกร่งต่อสู้กันไม่หยุดหย่อน มีคนที่เกิดมาก็แข็งแกร่งอย่างไร้ที่จำกัด และมีคนที่เกิดมาก็ตายไปกลายเป็นเถ้าถ่าน คนที่แข็งแกร่งที่แท้จริงหากไม่ปกป้องคุ้มครองความสงบสุข ก็ตามหาความเป็นอมตะ ทำลายความว่างเปล่า ท่องเที่ยวไปในอวกาศ สำรวจดาวแต่ละแห่งที่ใช้ชีวิตอยู่ได้

เมื่อเย่เทียนเฉินคิดถึงตรงนี้ ก็รู้สึกคิดถึงชีวิตในยุคสิ้นโลก ในวันเวลาที่ไม่มีวันสงบสุขได้ไปตลอดกาลเช่นนั้น ตนเองก็ได้รับเสียงยินดีและเสียงหัวเราะ มีเพื่อน มีพี่น้อง มีคนรู้ใจ แต่ว่าทุกสิ่งทุกอย่างนี้ถูกทำลายย่อยยับไปในค่ำคืนที่ไร้แสงจันทร์ค่ำคืนหนึ่ง

เป็นความเจ็บปวดตลอดกาลของเย่เทียนเฉินที่ไม่สามารถสลัดออกไปจากใจได้ตลอดกาล และเขาต้องการที่จะกลับไปที่โลกแห่งนั้นเพื่อแก้แค้นให้เพื่อนของตน ในคืนนั้น เขาเดินทางไปยังหุบเขาที่ซ่อนเร้นแห่งหนึ่ง เพื่อฝึกฝนบ่มเพาะกายเนื้อของตน กลืนกินพลังของสายฟ้า แต่กลับคิดไม่ถึงว่าจะมีสัตว์อสูรในระดับพระเจ้าขั้นกลางปรากฏตัวออกมา โจมตีหมู่บ้านเล็กๆ ที่เย่เทียนเฉินคุ้มครองอยู่ เลือดนองเป็นแม่น้ำ ศพกระจัดกระจาย เมื่อเย่เทียนเฉินกลับไป ที่นั่นก็กลายเป็นเศษซากไปแล้ว ทุกคนตายหมดไม่เหลือ

เย่เทียนเฉินเงยหน้าตะโกนก้องฟ้า ตามฆ่าไปนับหมื่นลี้ ไล่ตามสัตว์อสูรในขอบเขตพระเจ้าขั้นกลางตัวนั้น เพียงแต่เย่เทียนเฉินที่มีความสามารถในระดับพระเจ้าขั้นต้น ก็ไม่สามารถเทียบได้กับสัตว์อสูรชั้นยอดตัวนี้ได้เลย ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของมันโดยสิ้นเชิง แต่ว่าในขณะนั้น ทั่วทั้งร่างของเย่เทียนเฉินมีไอสังหารล้นทะลัก ฟุ้งกระจายออกไปไกลในขอบเขตร้อยลี้ เขาระเบิดพลังออกมาแล้วจริงๆ โจมตีอย่างบ้าคลั่ง แตะถึงขอบเขตของพระเจ้า ทำการต่อสู้ข้ามชั้น สู้กับสัตว์อสูรตัวนั้นในคืนมืดสลัวคืนหนึ่ง

เพียงแต่ความสามารถของเย่เทียนเฉินด้อยกว่าขั้นหนึ่งจริงๆ มันเป็นความแตกต่างกันราวฟ้ากับเหว เดิมทีก็ไม่สามารถสู้กับสัตว์อสูรชั้นยอดตัวนั้นได้ แต่เป็นเพราะเขาโกรธจนบ้าคลั่ง สู้กันจนดวงตาทั้งสองมีเลือดไหลออกมา สัมผัสไปถึงเขตแดนของพระเจ้า ก้าวเข้าไปสู่เขตแดนลึกลับ ไม่เช่นนั้นคงถูกฆ่าตายด้วยฝ่ามือเดียวไปแล้ว

ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้แต่เย่เทียนเฉินก็เพิ่งจะแตะขอบเขตพระเจ้าเท่านั้น มีความสามารถที่จะสู้ข้ามประดับได้ แต่ก็ยังคงไม่ใช่คู่มือของสัตว์อสูรตัวนั้นอยู่ดี ถูกโจมตีจนอวัยวะภายในเหลวแหลก เลือดไหลออกมาไม่หยุด แต่เขากลับยังคงไม่ยอมถอย ฉีกแขนข้างหนึ่งของสัตว์อสูรตัวนั้นออกมา และในตอนที่โจมตีอย่างรุนแรงที่สุดนั้น เขาก็ได้เข้ามาสวมร่างของเย่เทียนเฉินในปัจจุบันนี้แล้ว

ในใจของเย่เทียนเฉินมีความลับเกี่ยวกับช่วงยุคสิ้นโลกอยู่มากมาย เรื่องเหล่านี้ไม่สามารถพูดได้กับคนอื่น เนื่องจากโลกในปัจจุบันนี้ความคิดของคนจำนวนหนึ่งได้ถูกจำกัด พูดไปแล้วก็คงไม่มีใครเชื่อ เขาคิดที่จะเก็บซ่อนเรื่องราวเกี่ยวกับช่วงยุคสิ้นโลกเอาไว้ตลอดกาล เพราะเขาก็ได้อาศัยอยู่ในโลกปัจจุบันนี้แล้ว

สิ่งที่ทำให้เย่เทียนเฉินคิดไม่ถึงอย่างเด็ดขาดก็คือ ฉินเหยาเยว่ผู้หญิงลึกลับคนนั้นจะถึงกับเริ่มสงสัยในฐานะของเขา สงสัยว่าเขาจะไม่ใช่เย่เทียนเฉินในสมัยก่อน นี่เป็นข้อมูลที่ทำให้ต้อรู้สึกงสงสัยและตกตะลึง ฉินเหยาเยว่รู้ฐานะของเย่เทียนเฉินได้อย่างไร? ผู้หญิงคนนี้คาดเดาไม่ได้เกินไปแล้ว

เขาหาวครั้งหนึ่ง แล้วจึงเดินเข้าไปในห้องเรียนใหญ่ของภาควิชาโบราณคดี พบว่าด้านในห้องเรียนใหญ่สามารถบรรจุนักศึกษาได้หลายร้อยคน แต่มีคนอยู่เพียงไม่กี่คน ดูแล้วภาควิชาโบราณคดีนี้จะเป็นเอกวิชาที่ไม่ได้รับความนิยมจริงๆ ขนาดคนที่มาลงสมัครสอบภาควิชาโบราณคดีก็ค่อนข้างจะน้อย คนมาน้อยยังไม่ต้องไปพูดถึง คนที่มาแล้วต่างกำลังเล่นอยู่กับสิ่งของของตนเอง ส่วนใหญ่จะก้มหน้าเล่นเกมในมือถือ บางคนก็อ่านนิยาย

เย่เทียนเฉินหาที่นั่งแห่งหนึ่งและนั่งลงไปตามใจ รออาจารย์ภาควิชาโบราณคดีเข้ามาสอน ความจริงแล้วที่เขามายังมหาวิทยาลัยหลงเถิงไม่ได้มาเพื่อเข้าเรียนอะไรนี่เลย เพียงแต่อยากจะมาเล่นสนุกสักหน่อย ในใจของพ่อและแม่หวังว่าตนเองจะได้เรียนมหาวิทยาลัย พอดีกับที่เขาตอบรับหยางอี้ผู้เป็นรองประธานคณะกรรมาธิการทหาร จึงจะต้องมาอยู่ใกล้กับตงฟางเมิ่งอะไรนั่น และต้องการมาดูสักหน่อยว่าผู้หญิงที่ได้ตำแหน่งดาวอันดับหนึ่งของมหาวิทยาลัยหลงเถิงติดต่อกันหลายปีจะมีหน้าตาอย่างไร จะน่าหลงใหลมากเพียงใดกันแน่

เย่เทียนเฉินเพิ่งจะนั่งลงไม่นาน ก็เห็นว่าด้านหน้ามีผู้ชายร่างผอมคนหนึ่งเดินมาทางตนเอง เย่เทียนเฉินเรื่องนั่งแถวท้ายสุดเพราะว่าเขาไม่สนิทสนมคุ้นเคยกับนักศึกษาเหล่านี้ และไม่มีอะไรให้น่าคุยเล่น ยิ่งกว่านั้นเย่เทียนเฉินยังชอบที่จะอยู่คนเดียวมากกว่า

ไหนเลยจะรู้ว่า นักศึกษาชายร่างผอมคนนั้นจะเดินมาตรงหน้าเย่เทียนเฉิน มองเย่เทียนเฉินคู่หนึ่งแล้วจึงพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “นักศึกษา ที่นั่งนี้เป็นของฉัน โปรดลุกให้ด้วย!”

เมื่อได้ยินคำพูดของชายร่างผอมคนนั้น เย่เทียนเฉินก็อดไม่ได้ที่จะตกตะลึง ถึงแม้ว่าในช่วงยุคสิ้นโลกเขาจะไม่เคยเรียนหนังสือ แต่ก็อยู่ในโลกแห่งนี้มาระยะหนึ่งแล้ว ชีวิตในมหาวิทยาลัยอิสระเสรีเป็นอย่างมาก จะมีการเจาะจงที่นั่งที่ไหนกัน ไปเข้าเรียนก็สามารถเลือกที่นั่งได้ตามใจ หรือว่าชายร่างผอมตรงหน้านี้จะจงใจหาเรื่อง

เมื่อคิดถึงตรงนี้ เย่เทียนเฉินก็อดไม่ได้ที่จะมองสำรวจชายร่างผอม คนคนนี้สูงประมาณหนึ่งร้อยเจ็ดสิบห้าเซนติเมตร สวมชุดลำลอง กางเกงยีนและรองเท้ากีฬา ทรงผมค่อนข้างสุภาพ ปัดเป๋ไปทางซ้าย หน้าตาค่อนข้างหล่อเหลา เพียงแต่สายตาเย็นชาเป็นอย่างมาก กำลังจ้องมองเย่เทียนเฉินอยู่

“เป็นไปไม่ได้นะ ที่นั่งนี้เขียนชื่อนายไว้หรือไง? มาก่อนได้ก่อนสิ?” เย่เทียนเฉินถามด้วยรอยยิ้ม

“บนเก้าอี้นี้ไม่ได้มีชื่อฉันเขียนเอาไว้ แต่คำพูดของฉันหลินตวน พูดอะไรก็ต้องเป็นอย่างนั้น!” ชายร่างผอมมองเย่เทียนเฉินแล้วพูดขึ้น

“ฉันเย่เทียนเฉินเองก็เหมือนกัน นายไม่ได้พูดโน้มน้าวฉัน ฉันก็ไม่จำเป็นต้องยกที่นั่งให้นาย!” เย่เทียนเฉินยังคงพูดด้วยรอยยิ้ม

เมื่อได้ยินคำพูดของเย่เทียนเฉิน นักศึกษาชายที่ชื่อว่าหลินตวนคนนี้ก็อดไม่ได้ที่จะชะงักไปครู่หนึ่ง ขมวดคิ้ว จากนั้นจึงมองเย่เทียนเฉินอย่างจริงจังแล้วพูดว่า “ฉันต้องการสู้กับนาย เป็นไง?”

เย่เทียนเฉินเองก็ถูกทำจนงงไปหมดแล้ว เขากับชายตรงหน้าที่ชื่อว่าหลินตวนนั้นไม่ได้สนิทกัน นี่เป็นครั้งแรกที่ได้พบหน้า หลินตวนถึงกับขอให้ตนประลองด้วย นี่มันเหตุผลอะไรกัน?

“ประลอง? ทำไมล่ะ?” เย่เทียนเฉินเอ่ยถามด้วยความสงสัย

“ตอนนี้ทั่วทั้งเมืองหลวงมีแต่ข่าวของนาย ทุกคนต่างก็พูดคุยกันว่านายถอดเนื้อเปลี่ยนกระดูกมา แข็งแกร่งจนถึงขั้นที่ไม่อาจคาดเดาได้ ฉันอยากจะดูสักหน่อยว่านายจะแข็งแกร่งถึงขนาดไหน…” ทันใดนั้นเองมุมปากของหลินตวนปรากฏรอยยิ้มขึ้นมา

ทันใดนั้นเย่เทียนเฉินรู้สึกว่าชายที่ชื่อว่าหลินตวนตรงหน้าเขานี้น่าสนใจมากจริงๆ เจอหน้ากันครั้งแรกก็พูดว่าต้องการจะประลองกับตน คำพูดคำจาก็เปิดเผยตรงไปตรงมา ไม่มีความคิดเหมือนพวกคนถ่อยเลยแม้แต่น้อย กับคนประเภทนี้เย่เทียนเฉินค่อนข้างที่จะชื่นชม แบบนี้ถึงจะเป็นลูกผู้ชาย

“เกรงว่านี่ก็ไม่ใช่เหตุผลที่ฉันจะต้องตอบรับการประลองกับนายล่ะมั้ง? คนธรรมดาฉันไม่สู้ด้วยหรอก ฉันยุ่งมาก!” เย่เทียนเฉินพูดด้วยรอยยิ้ม

“งั้นก็ได้ ฉันมีฐานะเป็นผู้อำนวยการคนที่สองของสำนักงานเทียนหลิน ขอท้าประลองกับนาย” หลินตวนพูดขึ้นมาอย่างจริงจัง

“สำนักงานเทียนหลิน?”

“ถูกต้อง ประเทศจีนไม่อนุญาตให้มีจัดตั้งกลุ่มทหารรับจ้าง ดังนั้นพวกเราจึงตั้งสำนักงานเทียนหลินขึ้นมา มีความคล้ายคลึงกับกลุ่มทหารรับจ้าง รับงานต่างๆ ของกลุ่มอำนาจใหญ่ ช่วยพวกเขาทำเรื่องมากมาย!” หลินตวนพูดพลางพยักหน้า

ในตอนนี้เอง เย่เทียนเฉินก็เข้าใจกระจ่าง เข้าใจว่าทำไมหลินตวนจึงได้ขอท้าประลองกับเขาหลังจากที่ได้รู้ถึงฐานะของตนแล้ว เพราะว่าเย่เทียนเฉินเป็นบุคคลที่ทรงอิทธิพลของเมืองหลวงในตอนนี้ ไม่รู้ว่ามีอำนาจมากน้อยเพียงใดที่กำลังจับจ้อง และมีคนที่คิดว่าตนเองฝีมือไม่เลวจำนวนหนึ่งต้องการที่จะประลองกับเขาเพื่อชื่อเสียง คนส่วนใหญ่พูดกันได้อย่างผ่อนคลาย แต่ยากที่จะทำ ขอเพียงเอาชนะเย่เทียนเฉินได้ก็จะสามารถกลายเป็นบุคคลผู้ทรงอิทธิพลอันดับหนึ่งในเมืองหลวง แต่ดูท่าทางของหลินตวนแล้วจะไม่ใช่คนที่ต้องการใช้ประโยชน์แบบนี้ เขาคงจะทำเพื่อชื่อเสียงของสำนักงานเทียนหลิน ถึงได้มาท้าประลองกับตน

“ถ้าหากว่าฉันชนะจะมีประโยชน์อะไร? ถ้าหากว่านายแพ้ ฉันจะได้ประโยชน์อะไร?” เย่เทียนเฉินพูดอย่างนึกสนุก

หลินตวนชะงักไปครู่หนึ่ง ไม่มีปฏิกิริยาอะไรอยู่นาน สุดท้ายจึงได้รู้ว่าเย่เทียนเฉินแค่หยอกล้อเขาเล่น พริบตานั้นจึงรู้สึกอับจนคำพูด มิน่าเล่าถึงได้มีคนบอกว่า นิสัยของเย่เทียนเฉินเป็นเหมือนอันธพาลและเป็นเหมือนเทพแห่งความตาย ในตอนที่จริงจังก็เป็นเหมือนเทพแห่งความตายที่ไม่มีใครกล้าขวาง ในตอนที่หนึ่งสนุกขึ้นมาก็มักจะทำให้คุณประหลาดใจได้เลย

“ถ้าหากว่านายชนะ ฉันหลินตวนก็จะทำตามที่นายต้องการ ถ้าหากว่าแพ้ ก็ต้องมาเข้าร่วมสำนักงานเทียนหลินของพวกเรา ทำงานเพื่อพวกเรา!” หลินตวนพูดอย่างจริงจัง

“ท่าทางพวกนายจะไตร่ตรองมาก่อนแล้วสินะ?” เย่เทียนเฉินถามด้วยรอยยิ้ม

“ขอพูดอย่างไม่ปิดบัง พวกเราสำนักงานเทียนหลินตั้งแต่ที่ก่อตั้งมาก็เป็นเวลาไม่น้อยแล้ว แต่กลับไม่ได้สร้างชื่อเสียงในประเทศ พวกเราต้องการคนแบบนาย!”

“งั้นเอาอย่างนี้แล้วกัน ถ้าหากว่านายแพ้ ก็ล้มเลิกสำนักงานเทียนหลินของนายไปซะ แล้วมาอยู่กับฉันเย่เทียนเฉิน ถ้าหากว่านายชนะ ฉันก็จะตอบรับคำขอของนาย!”

ถึงแม้ว่าจะยังไม่เคยแลกเปลี่ยนฝีมือกับหลินตวนมาก่อน แต่เย่เทียนเฉินก็มองออกว่าฝีมือของหลินตวนไม่อ่อนแอเลย สามารถเป็นหัวหน้าขององค์กรที่คล้ายกับองค์กรทหารรับจ้างได้ ถ้าไม่มีความสามารถจะทำได้อย่างไร? ตนเองตัดสินใจแล้วว่าจะสร้างอำนาจของตน อู๋เสวี่ยก็ได้เริ่มรวบรวมคนแล้ว ตอนนี้ก็มีหูหลงกับอู๋เสวี่ยสองคน หลินตวนคนนี้มีความฉลาดเฉลียวและเด็ดขาด มีความกล้ามีแผนการ นับว่าเป็นคนที่มีความสามารถคนหนึ่ง สามารถทำงานให้ตนเองได้ จะต้องมีประโยชน์ต่ออำนาจอิทธิพลของตนอย่างแน่นอน

“ได้ คำไหนคำนั้น งั้นตอนนี้พวกเราก็ไปกันเถอะ ไปหาสถานที่ที่ไม่มีคนตัดสินแพ้ชนะกันเลย!” หลินตวนพยักหน้าตอบ

“หา? ฮ่าๆๆ ได้…เฉียบขาดดีฉันชอบ ไปเถอะ!” เย่เทียนเฉินชะงักไปครู่หนึ่ง จากนั้นจึงหัวเราะออกมาด้วยความยินดีแล้วพูดขึ้น

ไหนเลยจะรู้ว่า ในตอนที่เย่เทียนเฉินและหลินตวนเพิ่งจะเดินไปถึงประตูห้องเรียนใหญ่ ฉินเหยาเยว่ที่สวมเสื้อเชิ้ตสีดำอันเซ็กซี่ สวมถุงน่องสีดำและรองเท้าส้นสูงสีดำ ในมือถือไม้ชี้กระดานอยู่อันนึง จะยืนขวางอยู่หน้าประตูห้องเรียน ไม่ยอมให้เย่เทียนเฉินและหลินตวนโดดเรียนได้…

……………………………..

หลายคนยังคงไม่ได้สติกลับมาจากสถานการณ์อันน่าตื่นตะลึง เย่เทียนเฉินล่วงเกินคุณชายใหญ่และคุณชายสองแห่งมหาวิทยาลัยหลงเถิงไปแล้ว และยังอัดคุณชายสามอย่างแรง พริบตาเดียวก็ล่วงเกินคุณชายทั้งสามที่เป็นตำนานครบทุกคน ช่างทำให้ผู้คนรู้สึกตกตะลึงจนคางแทบร่วง

เย่เทียนเฉินกลับไม่ได้รู้สึกอะไรมากนัก ไม่ใช่เขาโอหังและหยิ่งยโส แต่ในสายตาของเขา คุณชายทั้งสามนี้ก็เป็นแค่คนที่รังแกชาวบ้านธรรมดาทั่วไป เป็นแค่คนที่รังแกนักศึกษามหาวิทยาลัยเท่านั้น ไม่มากระทบกระทั่งกับตนเองก็ยังดี แต่เมื่อมากระทบกระทั่งกับเขาแล้ว ก็ขอโทษด้วย ผมเย่เทียนเฉินไม่ชอบหาเรื่อง แต่ก็ไม่กลัวมีเรื่องอย่างเด็ดขาด

เมื่อได้ยินคำพูดหยอกล้อของเย่เทียนเฉิน หลิงอวี่สวิ๋นและเสี้ยวหยาก็ได้สติกลับมา ต่างก็มองเย่เทียนเฉินด้วยสายตาเอือมระอา เมื่อสักครู่นี้คนคนนี้ทำให้พวกเธอต้องเป็นห่วงมาก จะอย่างไรสามสุดยอดคุณชายแห่งมหาวิทยาลัยหลงเถิงก็มีชื่อเสียงไม่น้อย เย่เทียนเฉินไปอัดเซวียนเยวี๋ยนเถิงอย่างแรง และยังล่วงเกินโอวหยางเฟยอวิ๋น ตอนนี้กระทั่งคุณชายใหญ่ที่เป็นคุณชายลึกลับก็ยังสอดมือเข้ามา เรื่องราวชักจะน่าสนุกขึ้นเรื่อยๆ ในขณะเดียวกันก็ทำให้เย่เทียนเฉินตกอยู่ในสถานการณ์ที่อันตรายเป็นอย่างมาก

ในความเห็นของคนปกติ สามคุณชายนี้หากล่วงเกินไปหนึ่งคน เกรงว่าจะต้องตายโดยที่ศพไม่สมบูรณ์แล้ว ยิ่งไปกว่านั้น เขาล่วงเกินไปแล้วสามคนแต่ก็ยังไม่ถูกสับเป็นชิ้นๆ เย่เทียนเฉินจึงกลายเป็นบุคคลผู้ทรงอิทธิพลคนใหม่ในมหาวิทยาลัยหลงเถิง และเป็นจุดสนใจของคนจำนวนมาก หลายคนต่างกำลังคิดว่าเย่เทียนเฉินจะตายอย่างไร จะถูกทำให้หายไปโดยทันทีหรือไม่

“ไอ้หน้าเหม็น สะดีดสะดิ้งทำไม อยากตายหรือไง!” หลิงอวี่สวิ๋นด่าอย่างไม่สบอารมณ์

“สะดีดสะดิ้งสักหน่อยชีวิตจะได้มีความสุข!” เย่เทียนเฉินหัวเราะฮี่ๆ แล้วพูดขึ้น

“เทียนเฉิน ครั้งนี้นายล่วงเกินพวกเขาไปแล้ว จะต้องมีปัญหาใหญ่แน่นอน ยังไม่ต้องมามหาวิทยาลัยดีไหม?” เสี้ยวหยาถามด้วยความเป็นห่วง

เมื่อเห็นเสี้ยวหยาใส่ใจตนเองและคิดเพื่อตนแบบนี้ ในใจของเย่เทียนเฉินก็รู้สึกซาบซึ้งใจ ความจริงแล้ว เขาค่อยๆ มีความรู้สึกดีๆ ให้กับเสี้ยวหยาทีละนิด แรกเริ่มเป็นเพราะเสี้ยวหยามีหน้าตาเหมือนผู้หญิงที่เขารักที่สุดในช่วงยุคสิ้นโลก หลังจากนั้นเขาก็พบว่านอกจากเธอจะมีหน้าตาเหมือนกับผู้หญิงที่เขารักอย่างลึกซึ้งในช่วงยุคสิ้นโลกแล้ว ยังมีนิสัยที่ไม่เหมือนกันหลายอย่าง ใจดี อบอุ่น ไร้เดียงสา คิดทำอะไรเพื่อเขาอยู่ตลอด โดยเฉพาะการต่อสู้ในซอยแคบนั้น เย่เทียนเฉินแบกเสี้ยวหยาอยู่บนไหล่ซ้าย มือขวาถือมีดตัดฟืน ฆ่าฟันเพื่อเปิดทางออกมาโดยตลอด ช่วงเวลานั้นในใจของเขาตัดสินใจแล้วว่าเสี้ยวหยาก็คือนางฟ้าของเขา ใครกล้าแตะต้องนางฟ้าของเขาเขาจะฆ่ามันซะ!

“วางใจเถอะ ฉันมีวิธีของฉัน ช่วงนี้เริ่มจะน่าสนุกขึ้นเรื่อยๆ แล้ว เล่นด้วยสักหน่อยก็คงดี จะได้ไม่น่าเบื่อจนไร้รสชาติ!” เย่เทียนเฉินหัวเราะแล้วพูดขึ้นอย่างสบายๆ

“ไม่ต้องให้ฉันใช้อำนาจในตระกูลเพื่อช่วยจัดการเรื่องนี้ให้นายจริงๆ เหรอ?” หลิงอวี่สวิ๋นเองก็ถามอย่างใส่ใจ

“ไม่ต้องๆ ฉันคิดว่าต่อให้ตระกูลหลิงของเธอจะร้ายกาจขนาดไหน ก็เข้าไปขวางอำนาจของสามตระกูลของสามสุนัขแห่งมหาวิทยาลัยหลงเถิงพวกนั้นไม่ได้หรอก เมื่อถึงตอนนั้นไม่เพียงแต่จะช่วยฉันไม่ได้ แต่ยังจะทำให้ตระกูลหลิงของเธอเข้ามาเกี่ยวพัน แบบนั้นก็ไม่ใช่แผนการที่ดีอะไรเลย!” เย่เทียนเฉินพูดพลางส่ายศีรษะ

เย่เทียนเฉิน หลิงอวี่สวิ๋นและเสี้ยวหยา เดินเข้าไปในมหาวิทยาลัยหลงเถิงท่ามกลางสายตาตกตะลึงของนักศึกษาชายหญิงจำนวนมาก ตลอดเส้นทางทั้งสามคนต่างก็คุยเล่นกันอย่างเบิกบานใจเกี่ยวกับเรื่องของวัยรุ่น อย่างเช่นเรื่องเล่นเกม เล่นแอพใหม่ล่าสุดในมือถือ เป็นต้น และยังมีเรื่องเกี่ยวกับข่าวซุบซิบดาราด้วย ต่างก็คุยกันอย่างมีความสุข เดิมทีเย่เทียนเฉินก็ไม่ได้เก็บเรื่องของสามคุณชายมาใส่ใจ หลิงอวี่สวิ๋นเองก็ไม่ได้ซีเรียสอะไร ส่วนเสี้ยวหยานั้นถึงแม้ว่าจะกังวลเกี่ยวกับอาการป่วยของแม่ แต่เมื่อได้อยู่กับเย่เทียนเฉินและหลิงอวี่สวิ๋น ได้พูดคุยกันอย่างสนุกสนานก็ทำให้สามารถลืมเลือนไปได้ชั่วคราว

“เทียนเฉิน มีบางเรื่องที่ฉันจำเป็นจะต้องเตือนนาย คุณชายใหญ่แห่งมหาวิทยาลัยหลงเถิงเป็นคนที่ร้ายกาจมาก ไม่อาจนำไปเทียบได้กับเซวียนเยวี๋ยนเถิงและโอวหยางเฟยอวิ๋นเลย น่าจะต้องระวังสักหน่อยนะ!” จู่ๆหลิงอวี่สวิ๋นก็คิดถึงคุณชายใหญ่ขึ้นมา จึงกล่าวเตือนกับเย่เทียนเฉินอย่างจริงจัง

“อ้อ? ตกลงคุณชายใหญ่นี่มันเป็นใครกัน?” เย่เทียนเฉินถามด้วยความสงสัย

“ไม่รู้!” หลิงอวี่สวิ๋นพูดพลางส่ายหน้า

“จะเป็นไปได้ยังไง? คนที่มีชื่อเสียงมากคนหนึ่ง จะถึงกับไม่มีใครรู้ว่าเขาชื่ออะไร ไม่รู้ว่าหน้าตาเป็นยังไง นี่มันจะไม่แปลกไปหน่อยเหรอ!” เย่เทียนเฉินอดไม่ได้ที่จะรู้สึกประหลาดใจ

หลิงอวี่สวิ๋นมองเย่เทียนเฉินและเสี้ยวหยาที่รู้สึกสงสัย จากนั้นจึงหยุดไปครู่หนึ่งแล้วจึงพูดต่อว่า “คุณชายใหญ่เป็นใครนั้น ไม่มีใครรู้จริงๆ รู้แต่ว่าตำแหน่งของเขายังสูงกว่าเซวียนเยวี๋ยนเถิงและโอวหยางเฟยอวิ๋น ถ้าพูดให้ชัดเจนสักหน่อยก็คือ เซวียนเยวี๋ยนเถิงและโอวหยางเฟยอวิ๋นเป็นได้แค่ลูกน้องของคุณชายใหญ่เท่านั้น จะต้องเชื่อฟังคำสั่งของคุณชายใหญ่”

“งั้นเหรอ? คุณชายใหญ่คนนี้ ได้รับตำแหน่งหัวหน้าของสามคุณชายได้ยังไง?” เย่เทียนเฉินถามต่อไป

“เรื่องนี้ก็ไม่ชัดเจนนัก เพียงแต่ลือกันว่าเมื่อสองปีก่อน เซวียนเยวี๋ยนเถิงและโอวหยางเฟยอวิ๋นทำตัวระรานอยู่ในมหาวิทยาลัยหลงเถิง เพราะอยากที่จะเป็นเจ้าถิ่นคุมมหาวิทยาลัย และกลายเป็นคนที่อยู่ในจุดสูงสุด การต่อสู้ของทั้งสองจึงไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ ทั้งในทางลับทางแจ้งก็ประมือกันมาหลายครั้งแล้ว มีแพ้มีชนะ แต่ในตอนนั้นชายสวมแว่นกรอบทองซึ่งเป็นคนที่นายพบคนนั้นแหละ เขามีฉายาว่าโหมวซู คนคนนี้ได้ปรากฏตัวออกมา และให้เซวียนเยวี๋ยนเถิงและโอวหยางเฟยอวิ๋นดูของอย่างหนึ่ง สองคนนี้จึงได้วางมือ และได้เป็นคุณชายมหาวิทยาลัยหลงเถิง โอวหยางเฟยอวิ๋นเป็นคนชายสอง เซวียนเยวี๋ยนเถิงเป็นคุณชายสาม นี่จึงทำให้ทั้งสองคนสงบลง” หลิงอวี่สวิ๋นเราทุกสิ่งทุกอย่างเกี่ยวกับคุณชายใหญ่ที่เธอรู้ออกมา

เมื่อได้ยินคำพูดของหลิงอวี่สวิ๋น เย่เทียนเฉินก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว ท่าทางจะต้องสนใจสักหน่อยแล้ว คุณชายใหญ่คนนี้ลึกลับเหลือเกิน คำโบราณกล่าวไว้ว่า ทวนเปิดเผยหลบหลีกง่าย เกาทัณฑ์ลับยากระวัง ศัตรูที่เผยตัวย่อมไม่ทำให้ผู้คนหวาดเกรง แต่ศัตรูที่แอบซ่อนตัวอยู่นั้นถึงจะทำให้ผู้คนไม่อาจป้องกันได้

“ให้ดูของอย่างหนึ่งก็ทำให้เซวียนเยวี๋ยนเถิงและโอวหยางเฟยอวิ๋นที่เป็นคนยโสโอหังถึงกับยอมวางมือ ไม่แย่งชิงตำแหน่งเจ้าถิ่นมหาวิทยาลัยอีก ท่าทางของสิ่งนี้จะมีอำนาจมาก มันเป็นอะไรกันแน่?” เย่เทียนเฉินถามด้วยรอยยิ้ม

“ฉันเคยได้ยินคนในตระกูลพูดขึ้นมาครั้งหนึ่ง เป็นบทสนทนาของคุณปู่และคุณพ่อของฉันแล้วฉันก็ไปแอบได้ยินมา เขาบอกว่าหลายปีมานี้มีตระกูลโลกเบื้องหลังหลายตระกูลที่คิดจะปรากฏตัวในโลกเบื้องหน้า และต้องการกอบกุมของบางอย่างเอาไว้ในมือ ตระกูลเซวียนเยวี๋ยนและตระกูลโอวหยางต่างก็เป็นตระกูลในโลกเบื้องหลัง อำนาจที่เก็บซ่อนเอาไว้ก็ยิ่งใหญ่จนไม่อาจรู้ได้ ส่วนอำนาจตระกูลของคุณชายใหญ่ก็เพียงพอที่จะเทียบเคียงได้กับสามตระกูลชั้นยอดแห่งประเทศจีนที่มีอยู่ทุกวันนี้” หลิงอวี่สวิ๋นพูดออกมาด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ

ประเทศจีนมีกลุ่มอำนาจใหญ่และตระกูลใหญ่อยู่เป็นจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็นในโลกเบื้องหลังหรือว่าโลกเบื้องหน้า ต่างก็มีอำนาจที่ผู้คนภายนอกไม่รู้ และสามตระกูลชั้นยอดเป็นตระกูลที่อยู่เบื้องบนอย่างแท้จริง พูดโดยไม่เกินจริงได้เลยว่า เพียงแค่ขยับขาข้างเดียวก็สามารถทำให้ประเทศจีนต้องสั่นสะเทือนได้ทั้งประเทศ ตระกูลที่คุณชายใหญ่อยู่ถึงกับสามารถเทียบเคียงได้กับนามสกุลชั้นยอดของประเทศจีน ช่างทำให้ผู้คนต้องตกตะลึงจริงๆ

“น่าสนุก น่าสนุกขึ้นเรื่อยๆ เลย งั้นก็ให้ฉันเล่นเป็นเพื่อนพวกเขาสักหน่อยก็แล้วกัน!” เย่เทียนเฉินยื่นมือออกไปบิดขี้เกียจครั้งหนึ่งแล้วพูดขึ้น

“นาย…ฉันพูดจริงนะเนี่ย ระวังตัวด้วย!” หลิงอวี่สวิ๋นมองเย่เทียนเฉินแล้วพูดขึ้น

“รู้แล้ว พวกเราแยกย้ายกันไปเรียนเถอะ วันนี้ฉันเข้าเรียนวันแรก จะต้องสร้างความประทับใจให้อาจารย์สาวสวยสักหน่อย…” เย่เทียนเฉินพูดขึ้นพลางยิ้มอย่างน่าเกลียด

เย่เทียนเฉิน เสี้ยวหยาและหลิงอวี่สวิ๋นเรียนอยู่ในภาควิชาที่แตกต่างกัน ดังนั้นหลังจากที่เดินเข้าไปแล้ว สุดท้ายก็มีเพียงเย่เทียนเฉินคนเดียวที่เดินมุ่งหน้าไปยังตึกภาควิชาโบราณคดี

ภาควิชาโบราณคดีเดิมทีก็เป็นเอกวิชาที่ไม่ได้รับความนิยมอยู่แล้ว ดังนั้นตึกการเรียนการสอนและห้องทำงานของอาจารย์จะรวมอยู่ด้วยกัน ตึกนี้มีเพียงสามชั้น และตั้งอยู่ในจุดที่ห่างไกลที่สุดของมหาวิทยาลัย และยังคงเป็นเอกวิชาที่ไม่ได้รับความนิยมเช่นนี้ที่มีอาจารย์สาวสวยผู้ลึกลับคนหนึ่ง ยิ่งทำให้เย่เทียนเฉินรู้สึกสนใจ

ในตอนที่ฉินเหยาเยว่ได้พบกับเย่เทียนเฉินเป็นครั้งที่สองขณะที่เขาเดินเข้าไปในตึกภาควิชาโบราณคดีโดยไม่รู้ตัวนั้น ฉินเหยาเยว่ได้ใช้วิชาสะกดใจกับเย่เทียนเฉิน เป็นเคล็ดวิชาโบราณประเภทหนึ่งที่ร้ายกาจเป็นอย่างมาก ขอเพียงคนที่ถูกเคล็ดวิชานี้มองดวงตาของผู้ใช้ก็จะหลงเสน่ห์โดยไม่รู้ตัว วันนั้น ถ้าไม่ใช่เพราะขอบเขตพลังพิเศษของเย่เทียนเฉินได้ไปถึงขอบเขตจอมราชันแล้วจึงทำให้ภายในเลือดเนื้อมีพลังพิเศษอันแข็งแกร่งแฝงอยู่ เมื่อถูกเคล็ดวิชาสะกดใจของฉินเหยาเยว่และกำลังที่จะสูญเสียสติสัมปชัญญะอยู่นั้น พลังพิเศษภายในร่างกายก็ระเบิดออกมา หากไม่ใช่เพราะเหตุผลนี้เกรงว่าเขาก็คงจะถูกฉินเหยาเยว่ควบคุมไปแล้ว

เกี่ยวกับฉินเหยาเยว่นั้น ในตอนนั้นเย่เทียนเฉินยังไม่ได้ลงมือเพราะเขารู้สึกสนใจ ฉินเหยาเยว่สวยและเซ็กซี่ขนาดนี้ เหตุใดถึงได้มาอยู่ที่มหาวิทยาลัยหลงเถิง และยังมาเป็นที่ปรึกษาภาควิชาโบราณคดีอีกด้วย? ฉินเหยาเยว่มีฐานะที่ลึกลับอะไรกันแน่? มีจุดประสงค์อะไรถึงได้มาเป็นอาจารย์ที่ปรึกษาภาควิชาโบราณคดี?

ในตอนที่เย่เทียนเฉินเดินไปถึงหน้าประตูตึกการเรียนการสอนภาควิชาโบราณคดีนั้น ก็อดไม่ได้ที่จะมองไปยังชั้นสามโดยไม่รู้ตัว จากนั้นจึงชะงักไปครู่หนึ่งและเดินเข้าไปในตึกการเรียนการสอน ใกล้จะเริ่มเรียนแล้ว อีกไม่นานก็จะได้พบกับฉินเหยาเยว่ ความตื้นลึกของผู้หญิงคนนี้จะต้องทำให้กระจ่างชัดให้ได้ ที่สำคัญที่สุดก็คือทำไมเธอต้องใช้วิชาสะกดใจกับเขาด้วย ตกลงแล้วอยากจะได้ข้อมูลอะไรจากเขาเองกันแน่?

คิดไม่ถึงว่า หลังจากที่เย่เทียนเฉินเดินเข้าไปในตึกการเรียนการสอนของภาควิชาโบราณคดีแล้ว ในมุมหนึ่งของชั้นสามจะมีคนคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้น สวมชุดสีดำอันเซ็กซี่ หน้าอกทั้งสองตั้งตระหง่าน ผมยาวสีทอง ในดวงตาอันงดงามมีสายตาอันคมกริบ ผู้หญิงคนนี้ก็คือฉินเหยาเยว่ เขามองเย่เทียนเฉินเดินเข้าไปในตึกการเรียนการสอนของภาควิชาโบราณคดี มุมปากปรากฏรอยยิ้มเซ็กซี่ขึ้น

“เย่เทียนเฉิน ฉันอยากจะเห็นจริงๆ ว่าจะได้รับข้อมูลเกี่ยวกับช่วงยุคสิ้นโลกจากนายหรือไม่ นายจะเก็บซ่อนไว้ได้นานขนาดไหนกัน…” ฉินเหยาเยว่พูดด้วยเสียงเย็นชา

หากเย่เทียนเฉินได้ยินคำพูดนี้ของฉินเหยาเยว่ เป็นไปได้มากว่าจะลงมือทำลายดอกไม้งามดอกนี้ทันที คงจะลงมือฆ่าฉินเหยาเยว่อย่างแน่นอน เรื่องที่ตนเองมาเกิดใหม่จากช่วงยุคสิ้นโลกนั้น เป็นเรื่องที่ไม่มีใครรู้ แต่ถึงกับถูกฉินเหยาเยว่ผู้หญิงแปลกหน้าที่ลึกลับคนนี้สงสัยเอาได้ ผู้หญิงคนนี้ดูแล้วคงจะไม่ธรรมดาจริงๆ เธอรู้ได้อย่างไรกันแน่?

“ยุคสิ้นโลก มีเรื่องทุกเรื่องของประเทศจีนในยุคโบราณ ก็เหมือนกับการกลับมาเกิดใหม่นั่นแหละ บางทีที่นั่นอาจจะมีทุกอย่าง มีแม้กระทั่งการมีชีวิตยืนยาวเป็นอมตะ…” ฉินเหยาเยว่มองท้องฟ้า พูดด้วยความโหยหา

……………………………..

คำสั่งของคุณชายใหญ่แห่งมหาวิทยาลัยหลงเถิงถูกส่งต่อมาให้ชายสวมแว่นกรอบทอง ชายสวมแว่นกรอบทองคนนี้อาจจะมีใครหลายคนที่ไม่รู้จัก แต่โอวหยางเฟยอวิ๋นกลับคุ้นเคยดี ชายสวมแว่นกรอบทองคนนี้เป็นที่ปรึกษาของคุณชายใหญ่แห่งมหาวิทยาลัยหลงเถิง มีฉายาว่าโหมวซู และหากจะพูดถึงตระกูลและอำนาจเบื้องหลัง โหมวซูย่อมเทียบไม่ได้กับโอวหยางเฟยอวิ๋นและเซวียนเยวี๋ยนเถิง แต่เขาเป็นคนสำคัญของคุณชายใหญ่แห่งมหาวิทยาลัยหลงเถิง การที่เขาได้อยู่ในตำแหน่งสำคัญเช่นนี้เป็นเรื่องที่สามารถจินตนาการได้ มิเช่นนั้นเขาก็คงไม่กล้าพูดเช่นนี้กับโอวหยางเฟยอวิ๋น

เดิมที ชายฉกรรจ์ในชุดเสื้อกล้ามสีดำกำลังต่อสู้ถึงขั้นเป็นตายกับหูหลง ความโกรธเกรี้ยวในใจมหาศาล เขาเป็นยอดฝีมือที่ผ่านการต่อสู้มานับร้อย เคยมีชื่อเสียงเลื่องลือมาก่อน วันนี้กลับไม่สามารถกำจัดเด็กรุ่นหลังอายุน้อยคนหนึ่งได้ นี่ทำให้ชายฉกรรจ์ในชุดเสื้อกล้ามสีดำหงุดหงิดมาก มองไปยังหูหลงที่เริ่มยืนหยัดต่อไปไม่ไหวขึ้นเรื่อยๆ และเมื่อมีข้อบกพร่องปรากฏออกมาก็จะสามารถฆ่าเขาได้ แต่กลับคิดไม่ถึงว่าชายสวมแว่นกรอบทองจะนำคำสั่งของคุณชายใหญ่แห่งมหาวิทยาลัยหลงเถิงมา ต้องการให้โอวหยางเฟยอวิ๋นหยุดมือ นี่ทำให้เขาไม่พอใจบ้าง

“แกพูดอะไร?” สีหน้าของโอวหยางเฟยอวิ๋นมืดครึ้มลงในพริบตา จ้องมองไปยังชายสวมแว่นกรอบทองตรงหน้าแล้วเอ่ยถาม

จะอย่างไรโอวหยางเฟยอวิ๋นก็คิดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะพูดแบบนี้ ตนเองนั้นให้ความเคารพยำเกรงคุณชายใหญ่แห่งมหาวิทยาลัยมาหลายปี และเขาก็ยังเป็นผู้นำของฝั่งคุณชายด้วย แต่นี่ไม่ได้หมายความว่าเขาจะหวาดกลัวคุณชายใหญ่ และไม่ได้หมายความว่าลูกน้องของคุณชายใหญ่จะสามารถพูดกับเขาเช่นนี้ได้ ยิ่งไปกว่านั้นไม่ได้หมายความว่าลูกน้องของคุณชายใหญ่จะสามารถตะโกนใส่เขาจนทำให้เขาต้องอับอายได้

จนถึงตอนนี้ โอวหยางเฟยอวิ๋นยังไม่เห็นว่า การแสร้งทำเป็นเคร่งขรึมของตน การวางตัวสูงส่งของตน และท่าทางที่สามารถตัดสินความเป็นความตายของคนอื่นได้ สิ่งเหล่านี้ในสายตาของคนอื่นเป็นการเสแสร้งแกล้งทำ ไม่นับเป็นอะไรได้ นอกจากอำนาจของตระกูลโอวหยางแล้วตัวเขาโอวหยางเฟยอวิ๋นก็ไม่มีอะไรเลย ไม่มีความแตกต่างอะไรกับเซวียนเยวี๋ยนเถิง เพียงแต่เสแสร้งยิ่งกว่านิดหน่อยเท่านั้น

“ผมพูดว่าถ้าคุณคิดจะเทียบกับเย่เทียนเฉิน คุณยังไม่คู่ควร คุณชายใหญ่กล่าวว่า คุณไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเย่เทียนเฉิน อย่าทำให้ขายหน้าเลยนะครับ” ชายสวมแว่นกรอบทองมองไปยังโอวหยางเฟยอวิ๋นแล้วพูดเสียงเย็น

เมื่อได้ยินคำพูดของชายสวมแว่นกรอบทอง โอวหยางเฟยอวิ๋นก็พลันโมโหขึ้นมา ยื่นมือไปคว้าเน็คไทร์ของชายสวมแว่นกรอบทอง แล้วเอ่ยปากพูดอย่างดุดันว่า “แกก็เป็นแค่สุนัขตัวหนึ่งของคุณชายใหญ่เท่านั้น กล้ามาพูดกับฉันแบบนี้เหรอ? ต่อให้คุณชายใหญ่มาเอง เขาก็ไม่กล้าพูดแบบนี้กับฉัน แกนับเป็นตัวอะไรได้ อยากตายหรือไง?”

ชายสวมแว่นกรอบทองเห็นโอวหยางเฟยอวิ๋นโมโห จึงได้ดึงเน็คไทร์ของตนกลับมามือของจากโอวหยางเฟยอวิ๋น มองไปยังโอวหยางเฟยอวิ๋นอย่างไม่พอใจแล้วกล่าวว่า “ผมไม่นับเป็นตัวอะไรได้จริงๆ ครับ คำพูดของคุณชายใหญ่คุณจะไม่ฟังก็ได้ แต่มีบางอย่างที่ผมต้องบอกต่อคุณ…”

“อะไร?” โอวหยางเฟยอวิ๋นเลยถามด้วยท่าทีขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน

“รับผิดชอบเอง!” ชายสวมแว่นกรอบทองพูดอย่างเย็นชา

โอวหยางเฟยอวิ๋นได้ยินเขากล่าวเช่นนี้ก็อดไม่ได้ที่จะตกตะลึง ถึงแม้ว่าเขาจะโกรธมาก และไม่พอใจเป็นอย่างมาก ตนเองมีฐานะเป็นถึงคุณชายสองแห่งมหาวิทยาลัยหลงเถิง หากพูดถึงความเฉลียวฉลาดและอำนาจของตระกูล ย่อมอยู่เหนือเซวียนเยวี๋ยนเถิงอย่างแน่นอน ต่อให้เทียบกับคุณชายใหญ่ก็ต่างกันไม่มาก อาศัยอะไรตนเองถึงได้เป็นแค่คุณชายสอง อาศัยอะไรถึงต้องฟังคำสั่งของคุณชายใหญ่? ความจริงแล้วเขาไม่อาจกล้ำกลืนฝืนทนสิ่งเหล่านี้ได้ อดไม่ได้ที่จะเปลี่ยนสีหน้า อยากจะกำจัดโหมวซูตรงหน้าเพื่อระบายความโกรธเกลียดของตน

ไม่พอใจก็ส่วนไม่พอใจ ความจริงแล้วโอวหยางเฟยอวิ๋นฉลาดกว่าเซวียนเยวี๋ยนเถิงอยู่บ้างจริงๆ เขารู้ว่าครั้งนี้คุณชายใหญ่แห่งมหาวิทยาลัยหลงเถิงส่งโหมวซูมาหยุดยั้งตนเอง จะต้องมีแผนการใหญ่อย่างแน่นอน ถ้าเขาไม่ฟังคำสั่ง จะต้องทำให้เกิดเรื่องเลวร้ายขึ้นแน่ ต่อให้เขาไม่กลัวผิดใจกับคุณชายใหญ่ แต่ในสถานการณ์เช่นนี้ ไม่สู้ปล่อยให้คุณชายใหญ่เก็บกวาดเย่เทียนเฉิน ส่วนตนเองก็นั่งดูยังจะดีเสียกว่า

“ได้ ฉันจะไว้หน้าคุณชายใหญ่ แต่ว่าฉันต้องการเจอเขา!” โอวหยางเฟยอวิ๋นมองชายสวมแว่นกรอบทอง ในที่สุดก็พูดออกมาอย่างยอมถอย

“คุณชายใหญ่ยุ่งมาก เขาบอกว่า ถ้ามีเวลาเขาจะเรียกคุณไปพบเอง พวกคุณไปกันเถอะ เรื่องต่อจากนี้ผมจะจัดการเอง!” ชายสวมแว่นกรอบทองยังคงพูดด้วยรอยยิ้ม

โอวหยางเฟยอวิ๋นจ้องมองชายสวมแว่นกรอบทองอย่างดุดัน แต่กลับไม่สามารถทำอะไรได้ ในสถานการณ์เช่นตอนนี้ บอดี้การ์ดในชุดเสื้อกล้ามสีดำที่อยู่ข้างกายของตน ไม่แน่ว่าจะสามารถฆ่าเย่เทียนเฉินได้ หากตกอยู่ในจุดจบเช่นเดียวกับเซวียนเยวี๋ยนเถิง เช่นนั้นก็จะเป็นการขายหน้าผู้อื่นครั้งใหญ่ ไม่สู้อดกลั้นเอาไว้ก่อน จากนั้นค่อยส่งยอดฝีมือของตระกูลโอวหยางมา จะต้องกำจัดเย่เทียนเฉินได้อย่างแน่นอน

“พวกเราไป!” โอวหยางเฟยอวิ๋นพูดกับชายฉกรรจ์สวมเสื้อกล้ามสีดำ

เมื่อเห็นโอวหยางเฟยอวิ๋นพาชายฉกรรจ์ในชุดเสื้อกล้ามสีดำจากไป หูหลงก็กลับมาอยู่ข้างกายของเย่เทียนเฉิน ยืนอยู่ด้านซ้ายอย่างเคารพ ไม่พูดจาอะไรให้มากความ มีท่าทางของลูกน้องที่เคร่งครัดกฎเกณฑ์เป็นอย่างมาก เย่เทียนเฉินมองหูหลงครั้งหนึ่ง คนคนนี้ถูกชายฉกรรจ์สวมชุดเสื้อกล้ามสีดำอัดจนเป็นหมีแพนด้า มุมปากก็มีรอยเลือด เมื่อครู่นี้เขาทำการต่อสู้กับชายฉกรรจ์สวมเสื้อกล้ามสีดำ เย่เทียนเฉินล้วนเห็นอยู่ในสายตา เขากำลังคิดว่าจะฝึกฝนให้หูหลงอย่างไรดี ถึงจะสามารถเพิ่มประสบการณ์ในการต่อสู้จึงให้เขาได้

“ไม่เป็นไรใช่ไหม?” เย่เทียนเฉินถามเรื่องรอยยิ้ม

“ไม่เป็นไรครับ!” หูหลงเช็ดเลือดที่มุมปาก ตอบออกไปอย่างเด็ดเดี่ยว

“ไม่ต้องใส่ใจหรอก ฝึกฝนให้มาก ไม่นานฝีมือของนายก็จะแซงชายฉกรรจ์สวมเสื้อกล้ามสีดำคนนั้นได้ นายยังอายุน้อย!” เย่เทียนเฉินพูดแล้วจึงพยักหน้า

“พี่ใหญ่ ผมจะพยายามครับ!”

เย่เทียนเฉินพยักหน้าเล็กน้อยแล้วไม่ได้กล่าวอะไรอีก เนื่องจากชายสวมแว่นกรอบทองเดินมาทางพวกเขาแล้ว เกี่ยวกับคนคนนี้เขายังคงให้ความสำคัญอยู่มาก พูดจาไม่กี่ประโยคก็สามารถทำให้โอวหยางเฟยอวิ๋นยอมถอยไปได้ อย่างน้อยคงมีฐานะไม่ธรรมดา ดูแล้วเรื่องราวจะสนุกมากขึ้นเรื่อยๆ แล้ว

ไม่ใช่เพียงแค่เย่เทียนเฉินเท่านั้น เหล่านักศึกษาของมหาวิทยาลัยหลงเถิงที่ล้อมดูเรื่องสนุกจำนวนมากต่างมองจนปากอ้าตาค้าง เกิดเรื่องต่างๆ ขึ้นติดต่อกันมากมาย ทำให้พวกเขารู้สึกตื่นตะลึง แทบจะทำให้พวกเขารู้สึกรับไม่ทัน เริ่มจากเย่เทียนเฉินอัดเซวียนเยวี๋ยนเถิง ไม่ไว้หน้าโอวหยางเฟยอวิ๋น จากนั้นก็เป็นวรยุทธที่มีอยู่แต่ในจินตนาการของทุกคนถูกลำเลียงเข้ามาในความเป็นจริง ทำลายความรู้และวิทยาศาสตร์ในโลกปัจจุบันจนย่อยยับ ตอนนี้ก็มีชายสวมแว่นกรอบทองโผล่มาอีกคนหนึ่ง พูดไม่กี่ประโยคก็สามารถทำให้โอวหยางเฟยอวิ๋นที่เป็นทายาทตระกูลใหญ่ยอมจากไปด้วยความโกรธ เรื่องราวชักจะซับซ้อนขึ้นเรื่อยๆ ชักจะมีสีสันขึ้นเรื่อยๆ แต่ทั้งหมดทั้งมวลนี้ล้วนเป็นเพราะการปรากฏตัวของเย่เทียนเฉิน

“คุณคือเย่เทียนเฉิน?” โหมวซูเดินไปเบื้องหน้าเย่เทียนเฉิน มุมปากประดับไปด้วยรอยยิ้มเย็นชา

“ทั้งๆ ที่รู้แต่ก็ยังถามอีก มีอะไรก็รีบพูดมาเถอะ ฉันยุ่งมาก หรือว่านายไม่เห็น?” เย่เทียนเฉินทำท่าทางทนไม่ไหวออกมา และเป็นท่าทางที่โอหังเป็นอย่างมาก เขารู้ว่าชายสวมแว่นกรอบทองคนนี้ไม่ใช่คนดีอะไร อยากจะมาสร้างความวุ่นวายและยังเสแสร้งมากอีกด้วย เย่เทียนเฉินขี้เกียจจะเปลืองน้ำลาย

โหมวซูชะงักไปครู่หนึ่ง เขาคิดไม่ถึงว่าเย่เทียนเฉินจะเป็นเหมือนกับผลจากการตรวจสอบ คนคนนี้เป็นคนที่ไม่สามารถใช้เหตุผลตามปกติมาตัดสินได้ เป็นคนที่มีเอกลักษณ์อย่างมาก แล้วยังเป็นคนที่คาดเดาไม่ได้

“ผมเป็นที่ปรึกษาของคุณชายใหญ่แห่งมหาวิทยาลัยหลงเถิง ชื่อว่าโหมวซู คุณชายใหญ่มีคำพูดที่จะให้ผมมาบอกต่อคุณ!” โหมวซูดันแว่นของตนเองขึ้นแล้วพูดด้วยรอยยิ้ม

“คุณชายใหญ่แห่งมหาวิทยาลัยหลงเถิง? ไม่เคยได้ยินมาก่อน มีอะไรก็ให้มาบอกฉันด้วยตัวเอง อย่ามาทำเป็นเสแสร้ง!” เย่เทียนเฉินยักไหล่ พูดด้วยท่าทางสบายๆ

เสียงที่เย่เทียนเฉินใช้พูดไม่ดัง แต่เป็นเพราะตอนนี้ทุกคนต่างตกตะลึงกับสถานการณ์ตรงหน้าจึงเงียบเสียงลง ทำให้ทุกคนได้ยินคำพูดของเขา หลายคนรู้สึกหัวเราะไม่ออกร้องไห้ไม่ได้ รู้สึกจิตใจแทบจะพังทลาย

สามสุดยอดคุณชายแห่งมหาวิทยาลัยหลงเถิง มีอำนาจชื่อเสียง ไม่กล่าวไม่ได้ว่ามีผลกระทบอย่างใหญ่หลวงต่อสังคม อย่างน้อยก็ต่อมหาวิทยาลัยทุกแห่ง อย่างน้อยสำหรับเมืองหลวงแล้วล้วนเป็นคนที่มีชื่อเสียงมาก เป็นบุคคลที่คนธรรมดาทั่วไปต้องเงยหน้ามอง แต่วันนี้ ในเวลาเพียงหนึ่งวัน เย่เทียนเฉินล่วงเกินคุณชายทั้งสามท่านแห่งมหาวิทยาลัยหลงเถิงต่อๆ กัน ไม่ไว้หน้าใครแม้แต่คนเดียว ทำลายความสูงส่งของสามคุณชาย ทำให้ผู้คนต้องสั่นสะท้านอย่างหาที่เปรียบไม่ได้

หากเป็นยามปกติ ล่วงเกินคุณชายคนใดคนหนึ่ง ก็จะต้องตายอย่างศพไม่สวยแล้ว แต่เย่เทียนเฉินล่วงเกินไปแล้วสามคนในเวลาชั่วพริบตา ไม่ต้องพูดถึงว่าคุณชายทั้งสามท่านร้ายกาจขนาดไหน เพียงแค่สามตระกูลที่อยู่เบื้องหลังของพวกเขาลงมือมั่วๆ ตามใจ ก็สามารถบดขยี้เย่เทียนเฉินให้ตายได้แล้ว และมากพอที่จะทำให้ตระกูลเย่ถูกฆ่าล้าง

“ฮ่าๆ มีความกล้าดีนะครับ คุณชายใหญ่บอกว่าคุณเย่เทียนเฉินนับว่าเป็นคนพิเศษคนหนึ่ง หากสนใจจะสวามิภักดิ์ต่อเขา เขาก็จะพิจารณารับคุณเป็นลูกน้อง” โหมวซูพูดด้วยรอยยิ้ม

“งั้นเหรอ? งั้นนายก็กลับไปบอกคุณชายใหญ่ของนายด้วยว่า ฉันเย่เทียนเฉินไม่สนใจ ในเมื่อเขามองฉันในแง่ดีขนาดนั้น ฉันก็คิดว่าจะให้เขามาขัดรองเท้าให้ฉันสักหน่อย นับว่าเป็นการตบรางวัลให้เขาก็แล้วกัน!” เย่เทียนเฉินพูดออกมาอย่างเรียบเฉย

“คุณ…ดี มีความกล้าดี คุณชายใหญ่ยังมีคำพูดบางคำที่ต้องการบอกต่อสหายเย่ อย่างแรกก็คือ หากอยู่ในมหาวิทยาลัยหลงเถิงทางที่ดีก็ทำตามกฎจะดีกว่า นี่เป็นถิ่นของคุณชายใหญ่ ระวังตายโดยไม่รู้ตัว อย่างที่สองก็คือ ในตอนที่คุณไปพบคุณชายใหญ่ คุณก็จะได้เป็นแค่คนตายเท่านั้น!” โหมวซูรู้สึกโกรธอยู่บ้าง แต่ยังคงอดกลั้นเอาไว้เราพูดออกมา

“พูดจบหรือยัง? บอกชื่อคุณชายใหญ่ของพวกแกมาสิ ฉันเย่เทียนเฉินไม่สู้กับคนไร้ชื่อเสียงหรอก!” เย่เทียนเฉินโบกมือแล้วพูดขึ้น

“ชื่อของคุณชายใหญ่ของพวกเราไม่ใช่อะไรที่คนธรรมดาจะรู้ได้ ในเมื่อคุณต้องการต่อต้านคุณชายใหญ่ ถ้างั้นก็รักษาชีวิตที่จะเหลืออีกไม่กี่วันของคุณเอาไว้ให้ดีเถอะ…”

โหมวซูพูดประโยคนี้จบก็หันกายเดินจากไป เย่เทียนเฉินไม่ได้สร้างความลำบากให้โหมวซู และไม่จำเป็นต้องทำ ในสายตาของเขา ต่อให้คุณเป็นคุณชายใหญ่อะไรนั่น หรือจะคุณชายสองคุณชายสาม ขอเพียงแค่คุณมาหาเรื่อง ขอเพียงแค่คุณไร้เหตุผล ก็อย่ามาตำหนิที่ผมไม่เกรงใจ สำหรับพวกทายาทตระกูลใหญ่ที่เสแสร้งแบบนี้ เย่เทียนเฉินมีเพียงประโยคเดียวจะมอบให้ “เหยียบให้เละ!”

 เย่เทียนเฉินบิดขี้เกียจครั้งหนึ่ง หาวออกมาครั้งหนึ่ง เสียเวลาอยู่ที่ประตูมหาวิทยาลัยหลงเถิงนานมากแล้ว เมื่อดูโทรศัพท์มือถือก็พบว่าเป็นเวลาเกือบจะบ่ายสามแล้ว ใกล้จะได้เวลาเรียนแล้ว จึงเดินไปหาหลิงอวี่สวิ๋นและเสี้ยวหยา คนสวยทั้งสองคนนี้มองเย่เทียนเฉินเหมือนกับมองตัวประหลาด เนื่องจากเย่เทียนเฉินทำให้พวกเธอต้องตกตะลึงมากเหลือเกิน บ่อนทำลายสิ่งที่พวกเธอเคยรู้จักเกี่ยวกับเย่เทียนเฉินโดยสิ้นเชิง โดยเฉพาะหลิงอวี่สวิ๋น แม้ในความฝันเธอก็คิดไม่ถึงว่า เย่เทียนเฉินที่ฉี่รดที่นอนในตอนเด็ก จะกลายเป็นคนที่ยอดเยี่ยมถึงขนาดนี้

“ทั้งสองคน รู้สึกว่าฉันหล่อขึ้นเรื่อยๆ เลยใช่ไหม? อดใจไม่ได้ที่จะหอมสักครั้ง?” เย่เทียนเฉินหัวเราะฮี่ๆ อย่างเจ้าเล่ห์แล้วพูดกับหลิงอวี่สวิ๋นและเสี้ยวหยา

……………………………

ไม่ว่าใครก็คิดไม่ถึงว่า ในตอนที่เย่เทียนเฉินเตรียมจะลงมือฆ่าเซวียนเยวี๋ยนเถิง โอวหยางเฟยอวิ๋นคุณชายสองซึ่งเป็นหนึ่งในสามคุณชายแห่งมหาวิทยาลัยหลงเถิงจะปรากฏตัวออกมาหยุดยั้ง และที่ทำให้คนคิดไม่ถึงยิ่งกว่าก็คือ โอวหยางเฟยอวิ๋นที่วางตัวสูงส่งต้องการที่จะออกคำสั่งให้เย่เทียนเฉินปล่อยคน จะถึงกับถูกปฏิเสธ เมื่ออยู่ต่อหน้าเย่เทียนเฉิน ใบหน้าของโอวหยางเฟยอวิ๋นชิยโสโอหังมาโดยตลอดก็ไม่อาจใช้ได้ ถูกเย่เทียนเฉินตอกหน้าจนเทียบไม่ได้แม้แต่ตดหมา พริบตานั้นทำให้เขามีท่าทีเหมือนอันธพาลถ่อย สั่งลูกน้องให้ลงมือฆ่าเย่เทียนเฉินด้วยความโมโห

ในขณะนั้นเอง เสี้ยวหยาและหลิงอวี่สวิ๋นก็มองออกว่า เย่เทียนเฉินไม่ใช่คนสะเพร่า และไม่ใช่คนที่เห็นตนเองเป็นใหญ่ เป็นเพียงแค่คนที่ทำตามหลักการโดยไม่สนใจตัวคน และเป็นลูกผู้ชายที่ไม่ก้มหัวให้อำนาจใดๆ หากคุณต้องการที่จะมาทำตัวกำเริบเสิบสานต่อหน้าเขา จะมาวางมาดเป็นคุณชายใหญ่อะไรนั่น มาใช้อำนาจราวกับตนเองเป็นใต้เท้าที่สั่งเป็นสั่งตายยุทธภพได้ ถ้าอย่างนั้นก็ต้องขอโทษด้วย ฉันเย่เทียนเฉินไม่ยอมกล้ำกลืนฝืนทนแน่ ฉันก็คือฉัน เป็นหนึ่งไม่มีสอง

การปรากฏตัวของหูหลงเป็นสิ่งที่อยู่นอกเหนือความคาดหมายของเย่เทียนเฉิน แน่นอนว่าทำให้เขาดีใจมาก นี่ทำให้เห็นว่าหูหลงมีความซื่อสัตย์ภักดีต่อตนเอง ยอมติดตามด้วยตัวเอง และต้องการจะติดตามเขาจากใจจริงเพื่อไปป่วนยุทธภพด้วยกัน ส่วนเย่เทียนเฉินก็ได้ออกคำสั่งให้อู๋เสวี่ยไปรวบรวมยอดฝีมือ เพื่อสร้างเป็นฐานอำนาจของตน ในเมื่อกลุ่มอำนาจใหญ่และตระกูลใหญ่ต้องการที่จะเล่น ถ้าอย่างนั้นเขาจะไม่เล่นเป็นเพื่อนได้อย่างไร?

เย่เทียนเฉินมีความประทับใจที่ดีต่อหูหลงมาก ในตอนที่ช่วยเหลือหูหลง เย่เทียนเฉินก็มองออกแล้วว่า ฝ่ามือมังกรท่องแปดทิศของหูหลงเป็นของจริง ช่วงเวลาที่ฝึกฝนอย่างน้อยก็ต้องสิบปี หากพูดกันในด้านฝีมือหูหลงก็สามารถไปถึงระดับยอดฝีมือชั้นหนึ่งได้ เพียงแต่ข้อเสียเพียงอย่างเดียวของเขาก็คือประสบการณ์ ซึ่งก็หมายถึงประสบการณ์ในการต่อสู้จริง และยังขาดความโหดเหี้ยมดุดัน ไม่เช่นนั้นเมื่อวันนั้นเขาคงจะไม่ถูกลูกน้องของหลี่เถี่ยรุมซ้อม

ต่อให้เย่เทียนเฉินรู้ว่า การที่หูหลงจะเอาชนะชายฉกรรจ์สวมเสื้อกล้ามสีดำคนนี้เป็นเรื่องที่ยาก แต่ก็ไม่อาจไม่นับถือความร้ายกาจของตระกูลโอวหยาง เนื่องจากชายฉกรรจ์สวมเสื้อกล้ามสีดำที่อยู่ข้างกายโอวหยางเฟยอวิ๋นคนนี้ มีความสามารถไม่อ่อนแอเลย หากว่ามีคนแบบนี้เพิ่มขึ้นมาอีกหลายคนเกรงว่าเย่เทียนเฉินจะต้องต่อสู้อย่างจริงจัง

ความจริงหากพูดถึงตระกูลโอวหยางและตระกูลเซวียนเยวี๋ยน มีน้อยคนที่จะรู้จัก น้อยคนที่จะรู้ว่าอำนาจของสองตระกูลนี้แข็งแกร่งขนาดไหน แต่ว่าเซวียนเยวี๋ยนเถิงและโอวหยางเฟยอวิ๋น เป็นทายาทของตระกูลที่ยโสโอหัง ทั้งวันเอาแต่ใช้อำนาจบาตรใหญ่อยู่ในมหาวิทยาลัยหลงเถิง วางมาดว่าบิดาเป็นใหญ่ในใต้หล้า เย่อหยิ่งจนคิดว่าไม่ว่าใครก็มาหาเรื่องเขาไม่ได้ ต่อให้ไม่รู้ก็ไม่ได้

“มาเถอะ ฉันจะเล่นเป็นเพื่อนเอง จะเก็บกวาดแกเอง ไม่ต้องให้พี่ใหญ่ของฉันลงมือหรอก!” หูหลงเดินไปด้านหน้า มองชายฉกรรจ์ในเสื้อกล้ามสีดำตรงหน้าแล้วพูดขึ้นด้วยความไม่พอใจ

“ใจกล้าดีนี่ ดูซิว่าฉันป่นสมองแกแล้วแกยังจะโอหังได้อีกไหม…” ชายฉกรรจ์ในเสื้อกล้ามสีดำคิดไม่ถึงว่าจะถูกเด็กวัยรุ่นคนหนึ่งดูแคลน พริบตานั้นจึงเกิดโมโหขึ้นมา

หากพูดกันถึงด้านอายุแล้ว หูหลงอายุน้อยจริงๆ ยังอายุน้อยกว่าเย่เทียนเฉินอยู่หนึ่งปี ปีนี้เพิ่งจะอายุสิบเก้า เขาได้กราบการผู้สืบทอดฝ่ามือมังกรท่องแปดทิศคนหนึ่งเป็นอาจารย์โดยบังเอิญ ฝึกฝนอยู่เกือบสิบปีโดยเริ่มฝึกวรยุทธตั้งแต่อายุเก้าขวบ เป็นอายุที่เหมาะสมที่สุดในการเริ่มต้นฝึกฝนวรยุทธ ดังนั้นความสามารถของหูหลงจึงไม่เลวเลย นับว่ามีพื้นฐานมั่นคง ขาดเพียงประสบการณ์ในการต่อสู้จริง และความโหดเหี้ยมเด็ดเดี่ยวไปเล็กน้อย

“ก็ลองดู!”

พูดออกไปเพียงเท่านี้ หูหลงก็ลงมือพุ่งเข้าไปยังชายฉกรรจ์ในเสื้อกล้ามสีดำก่อน หมัดทั้งสองร่ายรำเป็นรูปแบบของแผนผังแปดทิศ เย่เทียนเฉินมีความเข้าใจต่อฝ่ามือมังกรท่องแปดทิศไม่มากนัก แต่ก็รู้ถึงหลักสำคัญๆ นี่ก็เป็นสิ่งที่เขาได้พบเห็นโดยไม่ได้ตั้งใจในช่วงยุคสิ้นโลก ฝ่ามือมังกรท่องแปดทิศ จะใช้หมัดทั้งสองโจมตีออกไปโดยการควบคุมให้อยู่ในลักษณะแผนผังแปดทิศ หากสามารถฝึกฝนจนถึงขั้นสูงจริงๆ ก็จะสามารถใช้ฝ่ามือเดียววาดเป็นแผนผังแปดทิศกว้างถึงสิบกว่าเมตร ซึ่งขอบเขตสิบกว่าเมตรนี้ ก็จะกลายเป็นขอบเขตในการโจมตี น่าหวาดกลัวเป็นอย่างมาก

พลั่กๆๆ!

ชายฉกรรจ์ในชุดเสื้อกล้ามสีดำและหูหลงต่อสู้กัน ทำให้นักศึกษาชายหญิงที่ล้อมดูความคึกคักตกตะลึงจนต้องเบิกตากว้าง นี่ช่างอยู่นอกเหนือจินตนาการของพวกเขาจริงๆ ฉากการต่อสู้ที่มีสีสันเช่นนี้ช่างดีและชวนให้สั่นสะท้านยิ่งกว่าฉากในภาพยนตร์เสียอีก พวกเขาเป็นคนธรรมดา ไหนเลยจะคิดว่ายังมีพรรควรยุทธโบราณสืบทอดนับพันปีมาจนถึงปัจจุบันนี้ได้ ไหนเลยจะเข้าใจเกี่ยวกับพรรควรยุทธโบราณ ดังนั้นย่อมไม่รู้จักวรยุทธจีน เช่น การเหาะเหินเดินกำแพง การผ่าภูเขาป่นหิน หรือกระทั่งวิชาดาบ ไม่รู้ว่าสิ่งเหล่านั้นจะยังคงดำรงอยู่จนถึงปัจจุบันนี้จริงๆ

มือทั้งสองของเย่เทียนเฉินล้วงอยู่ในกระเป๋ากางเกง มองกระบวนท่าของหูหลงและชายฉกรรจ์ในเสื้อกล้ามสีดำอย่างละเอียด เมื่อได้ลงมือหูหลงก็ใช้พลังเต็มที่ ส่วนชายฉกรรจ์ในเสื้อกล้ามสีดำก็ใส่กระบวนท่าเต็มกำลัง ถึงแม้ว่าหูหลงอาจจะเอาชนะชายฉกรรจ์ในเสื้อกล้ามสีดำได้อย่างยากลำบาก แต่ก็ยังสามารถประคองไปได้ชั่วคราว แะถือโอกาสฝึกฝนให้หูหลงได้ต่อสู้จริง

ในตอนนี้เอง โอวหยางเฟยอวิ๋นมองเซวียนเยวี๋ยนเถิงที่มีเลือดเปื้อนอยู่เต็มหน้าด้วยท่าทางไม่พอใจ และไม่ได้เข้าไปประคองเซวียนเยวี๋ยนเถิงขึ้นมา ไม่ได้โทรศัพท์ไปเรียกรถพยาบาลให้เซวียนเยวี๋ยนเถิง ทำเพียงมองดูเซวียนเยวี๋ยนเถิงอย่างเลือดเย็น

“พี่โอวหยาง ช่วย ช่วยผม…” เซวียนเยวี๋ยนเถิงดิ้นรน ใช้มือขวาจับเท้าของโอวหยางเฟยอวิ๋น มุมปากมีเลือดไหลออกมา

“ช่วยแก? หึ แกคิดว่าฉันมาเพื่อช่วยแกจริงๆหรือไง? ไอ้ตัวไร้ค่า ไม่เพียงแต่ทำให้ขายหน้าตระกูลเซวียนเยวี๋ยนของแก ยังทำให้ชื่อเสียงของสามสุดยอดคุณชายแห่งมหาวิทยาลัยหลงเถิงของพวกเราต้องมัวหมอง สมควรตาย!” โอวหยางเฟยอวิ๋นแค่นเสียงเย็นครั้งหนึ่ง มองเซวียนเยวี๋ยนเถิงแล้วพูดขึ้นอย่างไร้มนุษยธรรมโดยสิ้นเชิง

“โอวหยาง…ไม่ พี่เฟยอวิ๋น ขอแค่ ขอแค่คุณช่วยผม ผมรับรองว่าจะใช้อำนาจของตระกูลเซวียนเยวี๋ยนของผมฆ่าเย่เทียนเฉิน” เซวียนเยวี๋ยนเถิงรู้ว่าตอนนี้คนที่จะสามารถช่วยเขาได้มีเพียงโอวหยางเฟยอวิ๋นเท่านั้น ขอเพียงเขามีชีวิตอยู่ต่อไป ก็จะสามารถล้างแค้นได้

“ไอ้เศษสวะ บิดาออกคำสั่งไปแล้ว ไอ้เศษสวะอย่างแกตายไปซะได้ก็ดี หากอยู่เป็นสามคุณชายแห่งมหาวิทยาลัยหลงเถิงต่อไป จะเสียหน้าพวกเราเปล่าๆ!” โอวหยางเฟยอวิ๋นพูดอย่างเลือดเย็น

เซวียนเยวี๋ยนเถิงเห็นท่าทางไม่แยแสเช่นนี้ของโอวหยางเฟยอวิ๋น พริบตานั้นดวงตาจึงแดงก่ำ ไม่สนใจความเจ็บปวดที่ทำให้กระอักเลือดออกมา มองไปยังโอวหยางเฟยอวิ๋นอย่างดุดันแล้วกล่าวเสียงต่ำว่า “พวกคุณสองคนโหดเหี้ยมจริงๆ ถ้าหากว่าผมตาย ตระกูลของผมจะไม่ปล่อยพวกคุณสองคนไว้แน่”

“งั้นเหรอ? คนที่ฆ่าแกก็คือเย่เทียนเฉิน ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับฉัน!” โอวหยางเฟยอวิ๋นมองเซวียนเยวี๋ยนเถิงด้วยสายตาเย็นชา

มหาวิทยาลัยหลงเถิง เป็นมหาวิทยาลัยชั้นหนึ่งในประเทศ และในหมู่คุณชายทั้งสามนั้นต่อให้จะกระทำเรื่องเพื่อตัวเอง แต่ก็ยังให้ความสำคัญกับลำดับชั้น โอวหยางเฟยอวิ๋นเป็นอันดับสอง เซวียนเยวี๋ยนเถิงอยู่ในอันดับสาม ในช่วงเวลาสำคัญคุณชายทั้งสามแห่งมหาวิทยาลัยหลงเถิงยังคงต้องปรึกษาหารือร่วมกัน อย่างน้อยก็ไม่มองข้ามหัวใครไป จะอย่างไรเซวียนเยวี๋ยนเถิงก็คิดไม่ถึงว่า ในช่วงเวลาที่สำคัญที่สุด ไม่ใช่เย่เทียนเฉินที่ต้องการเอาชีวิตตนเอง แต่เป็นคุณชายอีกสองคนที่ต้องการให้ตนเองตาย

“พวกคุณ…พวกคุณจะโหดร้ายเกินไปแล้ว…” เซวียนเยวี๋ยนเถิงกัดฟันพูด

“แกอย่าได้พูดอย่างนี้เลย ฉันรู้ว่าแกเกลียดเย่เทียนเฉินเข้ากระดูก ความตายของแก ฉันจะต้องบอกต่อไปยังตระกูลเซวียนเยวี๋ยนของแกแน่ เมื่อถึงตอนนั้นตระกูลของแกจะต้องออกหน้าล้างแค้นให้แก ไม่ใช่ว่าทำให้ความหวังของแกเป็นจริงหรือ? เป็นเรื่องดี นี่เป็นเรื่องดีจริงๆ ฉันกำลังทำเพื่อแกอยู่!”

ทันใดนั้นโอวหยางเฟยอวิ๋นกลายเป็นโหดเหี้ยมขึ้นมา กระทั่งใบหน้าก็ดุดัน พี่เขาต้องการให้เซวียนเยวี๋ยนเถิงตาย สาเหตุที่สำคัญที่สุดก็เพราะต้องการชีวิตของเย่เทียนเฉิน ยืมมีดฆ่าคน ไม่มีอะไรจะมีความสุขไปมากกว่านี้แล้ว

“คุณ…”

“ไปตายซะเถอะ ลาก่อน!”

ไม่กล่าวไม่ได้ว่า โอวหยางเฟยอวิ๋นเป็นคนที่โหดเหี้ยมคนหนึ่ง เพื่อที่จะวางแผนร้ายใส่เย่เทียนเฉินเนื่องจากความรังเกียจในใจของตน เพื่อต้องการยืมมีดฆ่าคน และให้ตระกูลเซวียนเยวี๋ยนออกหน้าฆ่าเย่เทียนเฉิน เขาไม่เสียดายที่จะลงมือฆ่าเซวียนเยวี๋ยนเถิงด้วยตัวเองเลย เขาใช้ขากระทืบลงไปยังหน้าอกของเซวียนเยวี๋ยนเถิงอย่างแรง ทำให้เซวียนเยวี๋ยนเถิงที่เดิมทีหายใจรวยรินกระอักเลือดออกมาคำใหญ่ ไม่กี่นาทีก็ตาเหลือกไป

ทางด้านนี้โอวหยางเฟยอวิ๋นได้ใช้เท้ากระทืบเซวียนเยวี๋ยนเถิงจนตายไปแล้วเพื่อที่จะใส่ร้ายเย่เทียนเฉินและยืมมีดฆ่าคน ส่วนอีกด้านหนึ่ง การต่อสู้ระหว่างหูหลงและชายฉกรรจ์สวมเสื้อกล้ามสีดำก็ได้มาถึงจุดเดือดแล้ว หูหลงใช้พลังเต็มที่ แสดงวิชาฝ่ามือมังกรท่องแปดทิศออกมาอย่างลื่นไหลคล่องแคล่ว ทุกครั้งที่แสดงกระบวนท่าออกไป จะแฝงไปด้วยพลังภายใน กระทั่งเย่เทียนเฉินก็ไม่อาจไม่นับถือความร้ายกาจของฝ่ามือมังกรช่องแปดทิศ

ชายฉกรรจ์ในชุดเสื้อกล้ามสีดำผู้นั้น เดิมทีก็มีฝีมือไม่อ่อนแอ มิฉะนั้นคงไม่ถูกตระกูลโอวหยางส่งมาอยู่ข้างกายโอวหยางเฟยอวิ๋นเพื่อปกป้องคุ้มครองเขาแน่ เพียงแต่สิ่งที่ทำให้เขาคิดไม่ถึงก็คือ หูหลงอายุยังน้อย แต่ถึงกับมีความสามารถในการต่อสู้ถึงขนาดนี้ มีฝีมือสูงส่ง หากให้เขาเติบโตไปอีกหลายปี เกรงว่าจะกลายเป็นยอดฝีมือชั้นหนึ่งที่อายุน้อยที่สุด

หากพูดกันตามจริงแล้ว ในตอนนี้หูหลงสู้ชายฉกรรจ์ในชุดเสื้อกล้ามดำไม่ได้ ที่สำคัญก็คือพ่ายแพ้ด้านพละกำลังและประสบการณ์ในการต่อสู้จริง หากได้ฝึกฝนอีกระยะหนึ่ง จะต้องสามารถข้ามผ่านไปได้แน่ การต่อสู้สิบกว่านาที หูหลงถูกโจมตีไปหลายหมัด มุมปากมีเลือดไหลออกมา แต่ยังคงสู้ตายไม่ยอมถอย เขารู้ว่าหากต้องการป่วนยุทธภพไปกับพี่ใหญ่เพื่อสร้างฐานอำนาจ วันหน้าจะต้องพบกับการต่อสู้ที่รุนแรงมากกว่านี้ หากถอยไปตอนนี้ วันหน้าจะอยู่อย่างไร

เย่เทียนเฉินเห็นหูหลงเสียเปรียบลงเรื่อยๆ และมีสัญญาณออกมาว่าจะยืนหยัดต่อไปไม่ไหวแล้ว หากเป็นเช่นนี้ต่อไป เป็นไปได้มากกว่าจะถูกชายฉกรรจ์เสื้อกล้ามดำฆ่าตาย กำลังเตรียมจะลงมือ ไหนเลยจะรู้ว่าในฝูงชนจะมีคนหนึ่งเดินออกมา เป็นชายคนหนึ่งที่สวมแว่นกรอบทองธรรมดา น้ำเสียงไม่นับว่าดัง แต่กลับได้ยินชัดเจน

“คุณชายโอวหยาง คุณชายใหญ่มีคำสั่งลงมาว่า ให้พวกคุณไปซะ เขาจะจัดการเรื่องนี้เอง!” ชายสวมแว่นกรอบทองพูดด้วยรอยยิ้ม

“หากต้องหยุดมือ ก็ต้องรอให้ฉันฆ่าสองคนนี้ก่อนแล้วค่อยว่ากัน!” โอวหยางเฟยอวิ๋นไม่ได้พูด กลับเป็นชายฉกรรจ์สวมเสื้อกล้ามสีดำที่ต่อสู้กับหูหลงที่พูดออกมาอย่างไม่พอใจ เขาเกือบจะฆ่าหูหลงได้อยู่แล้ว ย่อมไม่ยอมปล่อยไปง่ายๆ สู้กับเด็กรุ่นหลังที่อายุเพียงสิบเก้าปีคนหนึ่งมานานขนาดนี้ สำหรับเขาแล้วนับเป็นความอัปยศอย่างหนึ่ง

“อะไรนะ? แกถึงกับกล้าขัดคำสั่งคุณชายใหญ่เชียว ดูท่าอยากตายเร็วๆ สินะ!” ชายสวมแว่นกรอบทองคนนั้นพลันมีสายตาเปลี่ยนไป ในดวงตาเต็มไปด้วยความหงุดหงิด

“ไม่ใช่ว่าพวกเราไม่ฟังคำสั่งของคุณชายใหญ่ แต่กำลังอยู่ในช่วงเวลาวิกฤตจริงๆ คิดจะฆ่าเย่เทียนเฉินก่อนค่อยว่ากันอีกที ไม่ใช่ว่าคุณชายใหญ่ก็สนใจเย่เทียนเฉินมากหรือ? ฉันจะถือหัวเจ้าเย่เทียนเฉินไปพบเขา เชื่อว่าเขาจะต้องดีใจมากแน่!” โอวหยางเฟยอวิ๋นพูดกับชายสวมแว่นกรอบทองด้วยรอยยิ้มเกรงใจ

ไหนเลยจะรู้ว่า ชายสวมแว่นกรอบทองจะมองโอวหยางเฟยอวิ๋นอย่างเย็นชาไม่สบอารมณ์ และพูดออกมาอย่างเรียบเฉยประโยคหนึ่ง “จะเล่นกับเย่เทียนเฉิน? เกรงว่าคุณจะไม่คู่ควร…”

………………….

“โอวหยางเฟยอวิ๋น…”

“เขามาได้ยังไง? เขาจะช่วยเซวียนเยวี๋ยนเถิงเหรอ?”

“เซวียนเยวี๋ยนเถิงคุณชายสามแห่งมหาวิทยาลัยหลงเถิง โอวหยางเฟยอวิ๋นคุณชายสองแห่งมหาวิทยาลัยหลงเถิง และคุณชาย…”

“แกอย่าได้พูดจามั่วซั่ว เดี๋ยวมีปัญหา”

ชายร่างผอมที่ปรากฏตัวอย่างกะทันหันทำให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ของนักศึกษารอบๆ เย่เทียนเฉินเองก็มองไปยังคนคนนั้นด้วยรอยยิ้ม จากเสียงวิพากษ์วิจารณ์ของคนรอบๆ ทำให้เขารู้ว่าชายร่างผอมคนนี้ชื่อว่าโอวหยางเฟยอวิ๋น เป็นหนึ่งในสามสุดยอดคุณชายแห่งมหาวิทยาลัยหลงเถิง ท่าทางจะมีความสำคัญมากกว่าเซวียนเยวี๋ยนเถิงมากนัก แค่ดูจากชายฉกรรจ์ที่สวมเสื้อกล้ามสีดำคนนั้นที่อยู่ข้างกายเขาก็รู้แล้ว

บอดี้การ์ดชั้นยอดทั้งแปดคนที่อยู่ข้างกายของเซวียนเยวี๋ยนเถิง ถึงแม้ว่าจะมีฝีมือไม่อ่อนแอ แต่ก็ไม่เท่ากับชายฉกรรจ์ในเสื้อกล้ามสีดำคนเดียว ไม่เน้นปริมาณแต่เน้นคุณภาพ เมื่อครู่นี้ตอนที่เย่เทียนเฉินปะทะกับชายฉกรรจ์ที่สวมเสื้อกล้ามสีดำคนนั้น แม้ว่าจะไม่ได้ลงมือเต็มที่แต่ก็รู้ว่าชายฉกรรจ์ในเสื้อกล้ามสีดำคนนี้ไม่อ่อนแอเลย หากต้องการที่จะเอาชนะเขาเกรงว่าคงจะต้องเปลืองมือเปลืองเท้าอยู่บ้าง

“พี่โอวหยาง ช่วยผมด้วย ช่วยด้วย…” เซวียนเยวี๋ยนเถิงเรียกโอวหยางเฟยอวิ๋นให้ช่วยชีวิตเขา

โอวหยางเฟยอวิ๋น คุณชายสองแห่งมหาวิทยาลัยหลงเถิง ถึงแม้ว่าเขากับคุณชายใหญ่แห่งมหาวิทยาลัยหลงเถิงจะมีข่าวไม่มากเท่าเซวียนเยวี๋ยนเถิง แต่ความน่าหวาดกลัวของชื่อเสียงเหนือกว่าเซวียนเยวี๋ยนเถิงมาก เนื่องจากพวกเขาสองคนค้ำจุนมหาวิทยาลัยหลงเถิงทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นการวางแผนในเรื่องอะไรก็มีคำพูดของพวกเขาเป็นคำขาด เมื่อเทียบกับเซวียนเยวี๋ยนเถิง การกระทำของเขาก็เป็นแค่การก่อเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น ไม่สามารถจะทำงานใหญ่ได้

“ปล่อยเขาไปซะ ฉันโอวหยางเฟยอวิ๋นจะไม่ทำให้แกลำบากใจ เป็นไง?” โอวหยางเฟยอวิ๋นมองเย่เทียนเฉินปราดหนึ่ง เอ่ยถามขึ้นด้วยรอยยิ้ม

เมื่อได้ยินคำพูดของโอวหยางเฟยอวิ๋น เย่เทียนเฉินก็ไม่พอใจเป็นอย่างมาก นิสัยของเขาคนนี้คือ คุณเคารพผมหนึ่งส่วน ผมจะถอยให้คุณสามส่วน คุณหาเรื่องผมครึ่งส่วน ผมจะตอบแทนคุณหนึ่งหมัด คำพูดของโอวหยางเฟยอวิ๋นคนนี้ ฟังดูแล้วไม่เหมือนเป็นการดูถูกอะไร แต่หากเทียบกับเซวียนเยวี๋ยนเถิงแล้วนับว่าโอหังกว่ามาก ความหมายนั้นก็คือ ถ้าหากเย่เทียนเฉิน ไม่ยอมปล่อยเซวียนเยวี๋ยนเถิง เขาโอวหยางเฟยอวิ๋นก็จะไม่เกรงใจ ในน้ำเสียงแสดงให้เห็นว่า ไม่เห็นเย่เทียนเฉินอยู่ในสายตาเลยโดยสิ้นเชิง พูดด้วยอารมณ์ผ่อนคลายเป็นอย่างมาก

“แกจะไม่ทำให้ฉันลำบากใจ แต่ฉันจะทำให้แกลำบากใจ!” เย่เทียนเฉินพูดกับโอวหยางเฟยอวิ๋นด้วยรอยยิ้ม

โอวหยางเฟยอวิ๋นขมวดคิ้ว แต่ไหนแต่ไรเขาไม่เคยพบกับคนที่มองข้ามความหวังดีของคนอื่นแบบเย่เทียนเฉินมาก่อน ตลอดมาคำพูดของคุณชายโอวหยางอย่างเขาถือเป็นที่สุด  บอกว่าหนึ่งก็คือหนึ่ง บอกว่าสองก็คือสอง ไม่มีใครกล้าไม่เห็นด้วย คำพูดของเขาคือคำสั่ง คิดไม่ถึงว่าเย่เทียนเฉินจะไม่ไหวหน้าตนเองเช่นนี้

เรื่องเกี่ยวกับเย่เทียนเฉินนั้น โอวหยางเฟยอวิ๋นก็เคยได้ยินมาก่อน และยังให้ความสนใจเป็นพิเศษในช่วงหนึ่ง ถึงกับเกือบจะฆ่าล้างตระกูลฉินและตระกูลลั่วภายในคืนเดียว ความบ้าระห่ำเช่นนี้ทำให้ผู้คนต้องสั่นสะท้าน ที่สำคัญก็คือเย่เทียนเฉินในสมัยก่อนและเย่เทียนเฉินในตอนนี้ต่างกันราวกับเป็นคนละคน แข็งแกร่งรุ่งโรจน์ขึ้นมาจนดึงดูดความสนใจของกลุ่มอำนาจใหญ่หลายกลุ่ม กระทั่งพรรควรยุทธโบราณบางสำนักก็ยังให้ความสนใจกับเย่เทียนเฉิน เพียงแต่ไม่ได้มีการเคลื่อนไหวก็เท่านั้น

“เรื่องของแกฉันก็เคยได้ยินมาบ้าง ยังนับว่ามีความกล้าความเด็ดเดี่ยว แต่ฉันหวังว่าแกจะเข้าใจให้ชัดเจนว่า ฉันไม่เหมือนกับเซวียนเยวี๋ยนเถิง ล่วงเกินฉันก็ไม่มีใครที่ปกป้องจะได้ รวมถึงเบื้องบนด้วย…” ท่าทางของโอวหยางเฟยอวิ๋นเสแสร้งมาก ทำเหมือนว่าตนอยู่ในระดับสูง ส่วนเย่เทียนเฉินก็เป็นแค่คนธรรมดาทั่วไปที่อยู่ใต้เขา เขาพูดพลางชี้ไปยังท้องฟ้า

ในตอนนี้เอง หลิงอวี่สวิ๋นที่อยู่ด้านข้างคิดจะเข้ามาเตือนเย่เทียนเฉิน เขาล่วงเกินเซวียนเยวี๋ยนเถิงไปแล้ว เดิมทีก็เป็นการสร้างปัญหาใหญ่หลวงมากพอแล้ว โอวหยางเฟยอวิ๋นนั้นยังเป็นคนที่ร้ายกาจยิ่งกว่าเซวียนเยวี๋ยนเถิงมาก มิฉะนั้นเขาคงไม่สามารถเป็นคุณชายสองแห่งมหาวิทยาลัยหลงเถิงได้ ในความคิดของหลิงอวี่สวิ๋น หากก่อเรื่องใหญ่กับเซวียนเยวี๋ยนเถิงจริงๆ ถึงตอนนั้นก็ยังสามารถอาศัยอำนาจของตระกูลหลิงของตนเจรจากดดันได้ แต่หากไปล่วงเกินโอวหยางเฟยอวิ๋น ตระกูลหลิงก็อับจนหนทาง เย่เทียนเฉินก็จะมีอันตรายร้ายแรง

เย่เทียนเฉินย่อมรู้ถึงความกังวลใจของเสี้ยวหยาและหลิงอวี่สวิ๋น จึงได้หันไปส่ายหน้าให้กับพวกเธอ เป็นสัญญาณว่าไม่ให้พวกเธอเข้ามา จากนั้นจึงได้พูดกับโอวหยางเฟยอวิ๋นด้วยรอยยิ้ม “เรื่องของโอวหยางเฟยอวิ๋นอย่างแก ฉันก็เคยได้ยินมาบ้าง แต่ฉันหวังว่าแกจะเข้าใจให้ชัดเจน ฉันเย่เทียนเฉินไม่เหมือนกับคนอื่น หาเรื่องฉัน ก็ไม่มีใครคุ้มครองก็ได้ รวมถึงบรรพบุรุษตระกูลโอวหยางของแกด้วย…”

“แก…” พริบตานั้นโอวหยางเฟยอวิ๋นโกรธจนหน้าเขียว ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน ใช้มือขวาชี้ไปยังเย่เทียนเฉินอย่างดุดันแล้วกล่าวอะไรไม่ออกไปครึ่งวัน

โอวหยางเฟยอวิ๋นโอหัง บิดาจะโอหังยิ่งกว่า คุณขี้โอ่ ผมก็จะขี้โอ่ยิ่งกว่าคุณ คิดจะมาเสแสร้งเล่นละครต่อหน้าผม มันยังน้อยไปหน่อย

นิสัยของเย่เทียนเฉินก็เป็นเช่นนี้ หากจะรับมือกับคนที่คิดว่าตนเองอยู่สูงกว่าคนอื่น เขาก็จะไม่ไว้หน้าเลยแม้แต่น้อย จะต้องทำลายความกําเริบเสิบสานของพวกเขาให้ดีๆ อย่าให้มีท่าทางบิดาเป็นหนึ่งในใต้หล้าเช่นนี้อีก

“อย่ามาวางท่าต่อหน้าฉัน พี่ชายไม่รับหรอกนะ ไสหัวไปซะ ใบหน้าของคุณชายสองแห่งมหาวิทยาลัยหลงเถิงของแกมันยังไม่ใหญ่พอ!” เย่เทียนเฉินมองโอวหยางเฟยอวิ๋นอย่างเหยียดหยาม  ทำให้โอวหยางเฟยอวิ๋นถูกสั่งสอนจนพูดอะไรไม่ออก

โอวหยางเฟยอวิ๋นโกรธจนแทบระเบิด เดิมทีเขาผ่อนคลายเป็นอย่างมาก และยังคิดว่าตนเองเหนือกว่า คิดว่าต่อให้เย่เทียนเฉินจะร้ายกาจขนาดไหน แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าตนเองก็ต้องโอนอ่อนผ่อนตาม ขอเพียงเขาพูดคำเดียว เย่เทียนเฉินก็จะต้องเชื่อฟัง จะไม่กล้าต่อต้านอย่างเด็ดขาด ไหนเลยจะรู้ว่า เย่เทียนเฉินจะมีนิสัยพิเศษถึงขนาดนี้ คุณจะมีอำนาจอะไร จะเป็นคุณชายอะไร เมื่ออยู่ต่อหน้าเขาก็ไร้ค่า ยังเทียบไม่ได้กับคนธรรมดาคนหนึ่งด้วยซ้ำ คุณคิดว่าศักดิ์ศรีหน้าตาของคุณยิ่งใหญ่ เย่เทียนเฉินก็จะไม่ไว้หน้าคุณ

คนอื่นๆ ที่อยู่ในเหตุการณ์ก็คิดไม่ถึงว่า เย่เทียนเฉินจะอัดเซวียนเยวี๋ยนอวี่และเซวียนเยวี๋ยนเถิงอย่างรุนแรง ล่วงเกินตระกูลเซวียนเยวี๋ยนไปแล้ว ล่วงเกินคุณชายสามแห่งมหาวิทยาลัยหลงเถิงไปแล้ว ตอนนี้โอวหยางเฟยอวิ๋นที่เป็นคุณชายสองแห่งมหาวิทยาลัยหลงเถิงปรากฏตัวขึ้น ถึงแม้จะมีท่าทางวางตนเหนือกว่า และหยิ่งยโสโอหังยิ่งกว่าเซวียนเยวี๋ยนเถิง แต่ในสายตาของทุกคนก็ยังสามารถทนได้ ถือโอกาสนี้ถอยออกไป บางทีเรื่องราวก็จะไม่ใหญ่โตถึงขนาดนั้น ไหนเลยจะรู้ว่า เย่เทียนเฉินจะไม่ไว้หน้าโอวหยางเฟยอวิ๋นเลยแม้แต่น้อย และไม่สนใจว่าจะล่วงเกินสามสุดยอดคุณชายไปแล้วสองคน ทำให้โอวหยางเฟยอวิ๋นที่คิดว่าตนเองสูงส่งบงการใต้หล้าได้ พลันเทียบไม่ได้แม้แต่ตดหมา

“ดีๆๆ แกปล่อยเซวียนเยวี๋ยนเถิงลงเดี๋ยวนี้ ไม่งั้นผลลัพธ์ไม่ใช่อะไรที่ตระกูลเย่ของแกจะรับผิดชอบไหว แกทำให้ฉันโมโหขึ้นมาบ้างแล้ว!” โอวหยางเฟยอวิ๋นพยายามระงับความโกรธของตนเอาไว้ พูดคำว่าดีออกมาถึงสามครั้ง มองไปยังเย่เทียนเฉินอย่างโหดเหี้ยม

“ทำให้แกโมโหแล้วยังไง? แกบอกให้ฉันปล่อยฉันก็ต้องปล่อยเหรอ? แกนับเป็นตัวอะไรได้!” เย่เทียนเฉินจงใจกล่าวออกมาด้วยเสียงอันดังอย่างไม่พอใจ ต้องการทำลายความกําเริบเสิบสานของโอวหยางเฟยอวิ๋น ยิ่งไปกว่านั้นตัวเขาเองก็รู้สึกขัดหูขัดตากับคนประเภทโอวหยางเฟยอวิ๋นมาก

“แกรนหาที่ตายซะแล้ว ฆ่ามันซะ ฆ่ามันซะ…”

โอวหยางเฟยอวิ๋นถูกคำพูดไม่กี่ประโยคของเย่เทียนเฉินทำให้โกรธ จึงออกคำสั่งกับชายฉกรรจ์ในเสื้อกล้ามสีดำที่อยู่ด้านหลัง ชั่วขณะนั้นไหนเลยจะยังมีท่าทางเหนือกว่า ไหนเลยจะมีมาดของคุณชายสองแห่งมหาวิทยาลัยหลงเถิงอยู่อีก มีก็แต่ท่าทางเหมือนอันธพาลบนถนนคนหนึ่งเท่านั้น ทำให้ทุกคนมองอย่างจนคำพูด ในใจคิดว่า ที่แท้โอวหยางเฟยอวิ๋นที่เบื้องหน้ายโสโอหังและมีท่าทางเคร่งขรึม แต่แท้จริงแล้วเป็นคนใจแคบคนหนึ่ง เป็นแค่คนถ่อยที่ไม่มีความสุขุมเลยแม้แต่ขึ้นส่วน

ฉัวะ!

ชายฉกรรจ์ในชุดเสื้อกล้ามสีดำได้ยินคำสั่งของโอวหยางเฟยอวิ๋น จึงพุ่งเข้าใส่เย่เทียนเฉินในพริบตา ทะยานออกไปด้วยความรวดเร็ว ใช้กระบวนท่ากระชากลำคอ ยื่นกรงเล็บไปยังลำคอของเย่เทียนเฉิน มุมปากของเย่เทียนเฉินปรากฏรอยยิ้มขึ้น โยนเซวียนเยวี๋ยนเถิงที่หิ้วอยู่บนอากาศไปยังชายฉกรรจ์ในเสื้อกล้ามสีดำคนนั้นอย่างแรง ชายฉกรรจ์เสื้อกล้ามดำคิดไม่ถึงว่าเย่เทียนเฉินจะเขวี้ยงเซวียนเยวี๋ยนเถิงมา จึงใช้ขาเตะออกไปโดยไม่รู้ตัวจนเซวียนเยวี๋ยนเถิงกระเด็นออกไป

เซวียนเยวี๋ยนเถิงผู้น่าสงสาร ไหนเลยจะเคยถูกเตะอย่างแรงเหมือนที่ชายในชุดเสื้อกล้ามสีดำคนนั้นกระทำ เขาถูกเตะจนปลิวออกไปชนกับต้นไม้ใหญ่ด้านข้างอย่างรุนแรง ในตอนนี้กระทั่งเสียงกรีดร้องก็ไม่มีแล้ว กระอักเลือดออกมาแล้วสลบไป ไม่มีทางช่วยเหลือ

“โอวหยางเฟยอวิ๋น เป็นแกที่ฆ่าเซวียนเยวี๋ยนเถิง ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับฉันเลย มีคนมองเห็นมากมายขนาดนี้ สามารถเป็นพยานให้ฉันได้แน่!” เย่เทียนเฉินหัวเราะฮี่ๆอย่างชั่วร้ายแล้วกล่าวออกมา

“แก…” โอวหยางเฟยอวิ๋นโกรธจนกระอักเลือดออกมา ตนเองเป็นคุณชายสองแห่งมหาวิทยาลัยหลงเถิงที่อยู่เหนือผู้อื่น เป็นคุณชายแห่งตระกูลโอวหยาง แต่ไหนแต่ไรคำพูดของเขาก็ไม่เคยมีใครกล้าไม่ฟัง และไม่เคยมีใครกล้าทำให้เขาได้รับความอัปยศเช่นนี้ เย่เทียนเฉินไม่เพียงแต่ไม่ไว้หน้าเขา แต่ยังเหยียบย่ำใบหน้าของเขายังโหดเหี้ยมอีกด้วย ทำให้คุณชายโอวหยางที่อยู่เหนือผู้อื่นต้องร่วงลงมาในพริบตา กลายเป็นแค่อันธพาลคนหนึ่ง ความกล้ำกลืนนี้โอวหยางเฟยอวิ๋นจะรับได้อย่างไร

เย่เทียนเฉินไม่สนใจโอวหยางเฟยอวิ๋น มองไปยังมือที่โจมตีมาในท่ากรงเล็บมายังลำคอของตน เพียงมองก็รู้ว่าชายฉกรรจ์ในชุดเสื้อกล้ามดำคนนี้เป็นผู้ฝึกวรยุทธคนหนึ่ง มีฝีมือแข็งแกร่ง ไม่อาจเปรียบเทียบได้กับบอดี้การ์ดชั้นยอดเหล่านั้น

ผลั่ก!

ในตอนที่เย่เทียนเฉินเตรียมจะลงมือสู้กับชายฉกรรจ์ชุดเสื้อกล้ามดำนั้น ก็มีเงาคนอีกเงาหนึ่งพุ่งออกมา ประเคนหมัดเข้าปะทะกับกระบวนท่าของชายฉกรรจ์เสื้อกล้ามดำ ทั้งสองต่างถอยกันไปคนละก้าว มองหน้ากันอย่างโหดเหี้ยม

“นายกลับมาได้ยังไง?” เย่เทียนเฉินอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม

“พี่ใหญ่ ผมบอกแล้วว่าจะติดตามคุณ ชีวิตของผมหูหลงเป็นของคุณ”

ผู้มาเยือนก็คือหูหลง วันนั้นหลังจากที่เย่เทียนเฉินช่วยชีวิตพวกเขาสองพี่น้อง หูหลงก็ตัดสินใจว่าจะให้เย่เทียนเฉินเป็นพี่ใหญ่ ต้องการติดตามข้างกายเย่เทียนเฉินมาโดยตลอด ตอนนั้นเย่เทียนเฉินไม่ได้มีความคิดที่จะสร้างอำนาจของตน ถึงแม้ฝีมือของหูหลงจะแข็งแกร่งมาก เป็นผู้ได้รับสืบทอดวิชาจากพรรควรยุทธโบราณ และมีความลึกซึ้งในฝ่ามือมังกรท่องแปดทิศแล้ว แต่กลับยังไม่เพียงพอที่จะต่อต้านศัตรูที่แข็งแกร่ง เย่เทียนเฉินไม่อยากให้หูหลงต้องมาเสี่ยงอันตราย จึงสั่งให้เขากลับไปที่บ้านเกิด หากไม่มีคำสั่งของเขาก็ไม่อนุญาตให้กลับมา

“ไปเถอะ นี่เป็นเรื่องของฉัน!” เย่เทียนเฉินมองหูหลงแล้วพูดขึ้น

“พี่ใหญ่ ผมจัดการเรื่องน้องสาวเรียบร้อยแล้วครับ ไม่มีปัญหาแน่นอน ขอให้ผมท่องยุทธภพไปด้วยกันกับคุณเถอะ ต่อให้ผมต้องตายผมหูหลงก็จะไม่บ่นแม้แต่ครึ่งคำ!” หูหลงมองไปยังเย่เทียนเฉินด้วยสายตาแน่วแน่แล้วพูดขึ้น

เย่เทียนเฉินมองหูหลง รู้สึกว่าคนๆ นี้มีอนาคต อีกฝ่ายมีความสามารถไม่เลว หากได้รับการฝึกฝนเพิ่มขึ้น จะต้องกลายเป็นยอดฝีมือชั้นหนึ่งได้อย่างแน่นอน ในเมื่อตนเองตัดสินใจที่จะสร้างฐานอำนาจ หูหลงยอมเป็นตัวเลือกที่ไม่เลว

“ได้ ระวังตัวด้วย คู่ต่อสู้แข็งแกร่งมาก!” ในที่สุดเย่เทียนเฉินก็พยักหน้าพูดด้วยรอยยิ้ม

“ขอบคุณพี่ใหญ่!” หูหลงประสานหมัดคารวะตอบอย่างยินดี

…………………………….

“เซี่ยอวี่เหอเป็นผู้มีพลังพิเศษและเป็นยอดฝีมือพรรควรยุทธโบราณ กระบวนท่าของเธอมีพลังในการฆ่าฟันสูงมาก ส่วนเทียนซวงเอ๋อร์มีกระบวนท่าสะกดใจที่ร้ายกาจ สามารถทำให้คนตกอยู่ในห้วงแห่งความคิดได้ในชั่วพริบตา นอกจากนี้เธอยังมีกระบวนท่าสังหารระดับใดก็ยังไม่รู้ ส่วนชิงเฉิงเยว่ก็แข็งแกร่งมากจริงๆ ส่วนจะแข็งแกร่งถึงขนาดไหนก็มีน้อยคนมากที่รู้!” หญิงร่างสูงที่สวมผ้าปิดปากและแว่นกันแดดสีดำพยักหน้าแล้วพูดขึ้น

“หากเธอต้องการชนะชิงเฉิงเยว่ก็ต้องฝึกวิชาคัมภีร์ดรุณีหยกให้สมบูรณ์!” ชายชรามองหญิงร่างสูงแล้วพูดขึ้น

หญิงร่างสูงเงียบไป ไม่ใช่ว่าเธอไม่รู้ถึงความเกี่ยวโยงอันร้ายกาจนั้น การแข่งขันสี่สุดยอดสาวงามแห่งพรรควรยุทธโบราณในครั้งนี้ก็เหมือนกับการประลองยุทธของพรรควรยุทธโบราณในสมัยก่อน เบื้องหน้าเป็นการเรียนรู้แลกเปลี่ยนศิลปะการต่อสู้ แต่ความจริงแล้วเป็นตายล้วนอยู่ที่ฟ้าลิขิต การประลองทุกครั้งต่างก็มีคนตาย นี่เป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ คนแพ้ไม่เพียงแต่ต้องเสียชีวิต แต่ยังนำความอัปยศมาสู่สำนักตนเองอีกด้วย

การประลองสี่สุดยอดสาวงามแห่งพรรควรยุทธโบราณในครั้งนี้ได้รับความสนใจจากกลุ่มอำนาจอิทธิพลจำนวนมาก กล่าวได้ว่าสำนักในพรรควรยุทธโบราณทุกสำนักต่างก็กำลังจับตามอง บางคนก็คิดจะดูว่าใครแพ้ใครชนะ บางคนก็คิดจะดูความสง่างามของสี่สุดยอดสาวงามแห่งพรรควรยุทธโบราณ และมีบางคนที่อยากจะรู้ว่าพวกเธอแข็งแกร่งมากขนาดไหน โดยเฉพาะชิงเฉิงเยว่ ผู้หญิงที่ได้รับการขนานนามว่าเป็น สาวงามยอดฝีมืออันดับหนึ่งแห่งพรรควรยุทธโบราณ จะมีหน้าตาอย่างไร? จะร้ายกาจขนาดไหน?

เมื่อก่อนเคยมีข่าวลือว่า เจ้าสำนักของพระวรยุทธโบราณสำนักหนึ่งซึ่งเป็นสำนักที่ชิงเฉิงเยว่เป็นสมาชิกอยู่ ภายใต้ต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งที่สูงเสียดฟ้าของสำนัก มีผู้หญิงงดงามเหมือนสตรีในยุคโบราณนั่งอยู่ สวมชุดสีขาว งดงามเหมือนกับนางเซียน งดงามจนมัจฉาจมวารี ทันใดนั้น สตรีในชุดขาวก็ลืมตาทั้งสองขึ้น ในตอนที่เจ้าสำนักคนนั้นสบตากับเธอ ผู้หญิงในชุดขาวก็เลือนหายไป ความสามารถลึกล้ำถึงขั้นที่ไม่อาจจินตนาการได้ ไปมาไร้ร่องลอย

พรรควรยุทธโบราณสืบทอดกันมานับพันปี มีความแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก พลังลมปราณและพลังภายในที่เรียกขานต่อๆ กันมาในหมู่ผู้คนเป็นสิ่งที่รู้กันอย่างผิวเผินเท่านั้น เมื่อพูดถึงการเหาะเหินเดินกำแพงได้อยู่นอกเหนือจินตนาการของคนธรรมดาไปไกลแล้ว หากไม่ใช่คนระดับเดียวกันย่อมไม่รู้

ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ชื่อเสียงของชิงเฉิงเยว่ก็ร่ำลือกันไปทั่วทั้งพรรควรยุทธโบราณ หลายคนไปเยี่ยมเยือนถึงสำนักเพียงเพื่อจะได้เห็นชิงเฉิงเยว่กับตา เพียงแต่น่าเสียดายที่ผู้หญิงที่งดงามราวกับนางฟ้าคนนี้ ดูเหมือนว่าจะมีเพียงไม่กี่คนที่เคยเห็นใบหน้าของเธอ กระทั่งเจ้าสำนักคนนั้นที่เคยเห็นใบหน้าของชิงเฉิงเยว่ก็ไม่สามารถบรรยายใบหน้าของเธอออกมาได้ นี่เป็นเรื่องที่ทำให้ผู้คนต้องสั่นสะท้านมากที่สุด

พรรควรยุทธโบราณที่รับการสืบทอดมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน มีสำนักใดบ้างที่ไม่แข็งแกร่ง เจ้าสำนักของพวกเขาย่อมต้องคัดเลือกออกมาจากเหล่ายอดฝีมือที่แข็งแกร่งที่สุด ไม่มีแม้แต่คนเดียวที่ธรรมดาสามัญ แม้แต่เจ้าสำนักแห่งพรรควรยุทธโบราณก็ยังทำได้เพียงปรายตามองชิงเฉิงเยว่แวบเดียวก็เลือนหายไปแล้ว ไม่อาจไม่กล่าวว่าชิงเฉิงเยว่แข็งแกร่งถึงขั้นที่ไม่อาจจินตนาการได้ ไม่แปลกที่อาจารย์และศิษย์พี่ของเซี่ยอวี่เหอจะกังวลใจมากขนาดนั้น และไม่อยากให้เซี่ยอวี่เหอเข้าร่วมการประลองในครั้งนี้

“หลายปีมานี้ ไม่เคยมีผู้ชายคนไหนที่สามารถทำให้หนูหวั่นไหวได้ หากไม่สามารถหาผู้ชายที่หนูรักเจอ ส่วนสุดท้ายของคัมภีร์ดรุณีหยก ไม่ฝึกก็ช่างมันเถอะ!” สาวร่างสูงพูดแล้วถอนหายใจ

“บางทีเย่เทียนเฉินคนนั้นอาจจะเป็นตัวเลือกที่ไม่เลวเลย ความสามารถของเขาลึกล้ำไม่อาจคาดเดา บางทีคงจะสามารถช่วยเธอฝึกคําภีร์ดรุณีหยกจนสำเร็จก็ได้…” ชายชราพูดขึ้นพลางมองไปยังเย่เทียนเฉินที่อยู่ไม่ไกล

“เขาแข็งแกร่งมากจริงๆ แต่หนูไม่ชอบ หลายปีมานี้ยอดฝีมือแห่งพรรควรยุทธโบราณและผู้มีพลังพิเศษที่แข็งแกร่งจำนวนมากไปเข้ารวมกับกลุ่มอำนาจและตระกูลใหญ่ บางคนทำเพื่อความดีงาม บางคนทำเรื่องชั่วร้าย ความหวังสุดท้ายในชีวิตของท่านอาจารย์ คือหวังว่าจะมีบุคคลผู้มีเมตตาที่สามารถรวมพรรควรยุทธโบราณให้เป็นหนึ่งได้ เพื่อลดทอนการฆ่าฟันที่เต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือด หนูจะต้องเอาชนะการประลองในครั้งนี้ให้ได้ เพื่อช่วยทำความหวังของท่านให้สำเร็จ ต่อให้ไม่สามารถฝึกฝนวิชาคัมภีร์ดรุณีหยกจนสมบูรณ์ได้ หนูก็มีวิธี!” ทันใดนั้นสาวร่างสูงก็พูดออกมาด้วยความจริงจังเป็นอย่างมาก กำหมัดอันขาวนวลของตนเองแน่น

คัมภีร์ดรุณีหยก เป็นพลังภายในประเภทหนึ่งที่ลึกล้ำสูงส่งเป็นอย่างมากในพรรควรยุทธโบราณ และถูกขนานนามว่าเป็นวิธีฝึกฝนพลังภายในที่เมื่อฝึกฝนจนสำเร็จ ผู้ฝึกฝนก็จะประหนึ่งได้ถอดเนื้อเปลี่ยนกระดูก ในทุกการเคลื่อนไหวจะมีพลังอันแข็งแกร่ง เพียงนิ้วเดียวก็สามารถแทงทะลุภูผาป่นหินได้ เพียงแต่ในหน้าสุดท้ายของคัมภีร์ดรุณีหยกบันทึกไว้ว่า หากต้องการฝึกฝนจนสำเร็จ ต้องร่วมฝึกฝนกับเพศตรงข้าม ร่วมฝึกฝนที่ว่านั้นหมายถึงการฝึกฝนพลังภายในของคัมภีร์ดรุณีหยกในขณะที่หญิงชายร่วมอภิรมย์กัน ถึงจะมีโอกาสสำเร็จได้ ในส่วนนี้เป็นส่วนที่ยากที่สุดของผู้หญิงที่ฝึกฝนคัมภีร์ดรุณีหยกจำนวนมาก

ในใจของผู้หญิงทุกคนต่างก็มีเรื่องราวความรักที่เป็นดั่งเทพนิยายอยู่ ไม่ว่าผู้หญิงคนนี้จะแข็งแกร่งขนาดไหน จะสวยแค่ไหน พวกเธอก็มีจินตนาการในด้านความรักที่สมบูรณ์แบบ นี่เป็นสัญชาตญาณของมนุษย์ และเป็นวิสัยปกติของมนุษย์ หากต้องปล่อยตัวร่วมอภิรมย์ไปกับผู้ชายที่ไม่ชอบคนหนึ่งเพียงเพื่อที่จะฝึกฝนวรยุทธให้สูงส่ง เกรงว่าต่อให้วรยุทธจะสูงส่งมากเพียงใดก็จะกลายเป็นความเสียใจที่ยิ่งใหญ่ที่สุดไปชั่วชีวิต เพียงแค่คิดก็ทำให้ผู้คนรับไม่ไหวแล้ว

จินตนาการได้เลยว่า หากให้คุณอยู่กับผู้ชายที่ไม่รักคนหนึ่งด้วยร่างกายที่เปลือยเปล่า ดวงตาทั้งสี่สบกันโดยไม่มีรู้สึกส่วนตัวเลยแม้แต่น้อย จะมีผู้หญิงสักกี่คนที่รับได้กัน?

“ไปเถอะ เซวียนเยวี๋ยนเถิงช่วยอะไรไม่ได้แล้ว ฉันว่าเย่เทียนเฉินคนนี้ก็ไม่ใช่คนที่จะหาเรื่องได้ง่ายๆ ถึงแม้จะมีท่าทางไม่เอาไหน แต่พอเอาจริงขึ้นมากลับทำให้คนต้องรู้สึกขนลุก!” ชายชรากล่าวด้วยรอยยิ้ม ดูเหมือนจะชื่นชมเย่เทียนเฉินมาก

“การประลองใกล้จะเริ่มขึ้นแล้ว ระยะนี้หนูจะไม่มามหาวิทยาลัย ทางตระกูลคุณลุงก็ช่วยหนูบอกกับพ่อหน่อยนะคะ บอกให้เขาไม่ต้องเป็นห่วง และไม่ต้องขัดขวางหนู หนูมีฐานะเป็นศิษย์ในสำนัก นี่เป็นความรับผิดชอบและหน้าที่ของหนู ต่อให้สู้จนตายก็ตาม!” สาวร่างสูงให้ความรู้สึกเก่งกาจไม่แพ้ผู้ชาย

สาวร่างสูงที่สวมผ้าปิดปากและแว่นตาสีดำและชายชราที่เธอเรียกว่าคุณลุงมองเย่เทียนเฉินครั้งหนึ่ง จากนั้นจึงหันกายเดินจากไป บทสนทนาระหว่างพวกเขาหากคนอื่นได้ยินเข้าคงจะต้องตกใจจนคางแทบร่วง

ในตอนนี้เอง เย่เทียนเฉินอัดชายปากเสียสามคนจนปลิวออกไป จากนั้นจึงเดินไปเบื้องหน้าเซวียนเยวี๋ยนเถิงโดยไม่สนใจท่าทางตกตะลึงจนตาค้างของคนอื่น เซวียนเยวี๋ยนเถิงในตอนนี้ ใบหน้าทั้งสองฝั่งบวมเป่งเป็นซาลาเปา มองดูแล้วไม่เหลือมาดของคุณชายใหญ่เลยแม้แต่น้อย เหมือนกับหมูตัวหนึ่งมากกว่า

“เย่เทียนเฉิน ฉันไม่สนใจว่าแกจะมีเบื้องหลังอะไร กล้ามาเป็นศัตรูกับชั้นเซวียนเยวี๋ยนเถิง แกจะต้องตายแน่นอน!” เซวียนเยวี๋ยนเถิงขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน มองไปยังเย่เทียนเฉินแล้วตะโกนขึ้น

“ฉันคิดว่าฉันพูดไปแล้วนะ ฉันไม่อยากจะเป็นศัตรูกับแก เซวียนเยวี๋ยนเถิง…” เย่เทียนเฉินยังคงพูดด้วยรอยยิ้ม

“งั้นแก…”

พริบตานั้นเซวียนเยวี๋ยนเถิงรู้สึกว่าเย่เทียนเฉินกำลังหยอกล้อตนอยู่ ปากบอกว่าไม่อยากเป็นศัตรูกับเขาเซวียนเยวี๋ยนเถิง แต่กลับอัดเขาจนหน้าบวมเป็นหมู น้องชายของเขาเซวียนเยวี๋ยนอวี่ก็ยังไม่รู้ว่าเป็นหรือตาย ตกลงหมายความว่าอะไรกันแน่?

“เพราะว่าแกมันไม่คู่ควร ฉันคิดจะเป็นศัตรูกับตระกูลเซวียนเยวี๋ยนทั้งตระกูลของแก บางทีทำแบบนี้คงจะสนุกขึ้นสักหน่อย!” เย่เทียนเฉินพูดด้วยรอยยิ้มเรียบเฉย

“แก…”

เมื่อเย่เทียนเฉินกล่าวจบ นักศึกษาชายหญิงที่ล้อมดูจำนวนหลายร้อยคนต่างพากันสูดหายใจเย็นยะเยือก นักศึกษาชายหลายคนต่างเลือดลมพลุ่งพล่านขึ้นมา นักศึกษาหญิงหลายคนพากันมองด้วยอาการใจเต้น เย่เทียนเฉินเท่มากจริงๆ หล่อมาก ถึงกับพูดว่าจะเป็นศัตรูกับตระกูลเซวียนเยวี๋ยนทั้งตระกูลต่อหน้าทุกคน ทำให้ยากที่จะเชื่อจริงๆ

“นี่…ไอ้หมอนี่ไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วเหรอ?”

“เป็นศัตรูกับตระกูลเซวียนเยวี๋ยนทั้งตระกูล?”

“กล้าพูดแบบนี้ออกมาถือเป็นการประกาศสงครามกับตระกูลเซวียนเยวี๋ยนแล้ว เกรงว่าจะต้องดึงดูดอันตรายครั้งใหญ่อย่างแน่นอน!”

ยังมีคนอีกจำนวนหนึ่งที่อดไม่ได้ที่จะวิพากษ์วิจารณ์กันขึ้นมาเสียงเบา พวกเขาไม่ว่าใครก็คิดไม่ถึงว่าเย่เทียนเฉินจะระหํ่าถึงขนาดนี้ ประกาศสงครามกับตระกูลเซวียนเยวี๋ยนต่อหน้าทุกคน ไม่เห็นตระกูลแห่งโลกเบื้องหลังอยู่ในสายตาเลยแม้แต่น้อย กระทำในสิ่งที่คนอื่นไม่กล้าทำ แค่ความกล้าที่ไม่สนใจต่อกลุ่มอำนาจก็เพียงพอที่จะทำให้ผู้คนต้องนับถือแล้ว

“ยืดเยื้อมานานมากแล้ว ฉันยังต้องไปเรียนที่มหาวิทยาลัยอีก การเรียนวันแรกไม่ควรจะไปสาย แกเองก็ไปพบท่านยมฯให้เร็วๆหน่อยเถอะ ทุกคนจะได้คลายกังวล!” เย่เทียนเฉินพูดกับเซวียนเยวี๋ยนเถิงด้วยรอยยิ้มน้อยๆ

“แก…อั่ก!”

เซวียนเยวี๋ยนเถิงยังไม่ทันได้พูดออกมาก็ถูกเย่เทียนเฉินบีบลำคอ เขารู้สึกหายใจไม่ออกในพริบตา น่าเสียดายที่เขายังไม่ทันได้ร้อง เย่เทียนเฉินก็หิ้วเขาขึ้นมาด้วยมือข้างเดียวจนขาไม่ติดพื้น ลอยอยู่กลางอากาศ ใกล้จะถูกบีบคอจนขาดอากาศหายใจตายทั้งเป็น

“อย่า…อย่าฆ่า อย่าฆ่าฉัน…” เซวียนเยวี๋ยนเถิงใช้แรงกายทั้งหมดมองไปยังเย่เทียนเฉิน ร้องขอชีวิตออกมาด้วยความหวาดกลัว

“สายไปแล้ว ตอนที่แกฆ่าคนอื่น เคยสนใจคำร้องขอชีวิตของพวกเขาไหม เคยเห็นอกเห็นใจพวกเขาไหม ถึงเวลาที่แกจะได้ลิ้มรสบ้างแล้ว!” เย่เทียนเฉินยังคงพูดด้วยรอยยิ้มที่ไร้พิษภัย

ฉัวะ!

ในตอนที่เย่เทียนเฉินกำลังจะหักคอเซวียนเยวี๋ยนเถิงเพื่อฆ่าเศษสวะคนนี้ ทันใดนั้นก็มีคนลงมือลอบโจมตีเย่เทียนเฉิน การเคลื่อนไหวรวดเร็วเป็นอย่างมาก แข็งแกร่งเป็นอย่างมาก ซัดหมัดไปยังลำคอของเย่เทียนเฉินโดยตรง

เย่เทียนเฉินขมวดคิ้ว สัมผัสได้ถึงพลังอันแข็งแกร่งของหมัดนี้ มือขวายังคงบีบคอของเซวียนเยวี๋ยนเถิง ถอยหลังไปสองก้าวแล้วใช้มือซ้ายซัดปะทะเข้าไป

ผัวะ!

หมัดของเขาปะทะเข้ากับหมัดของคนที่ลอบโจมตีอย่างรุนแรง เย่เทียนเฉินยืนอยู่กับที่โดยไม่ขยับ เบื้องหน้าของเขาปรากฏชายฉกรรจ์รูปร่างกำยำล่ำสันคนหนึ่ง เขาคิดไม่ถึงว่าเย่เทียนเฉินจะรอดพ้นจากหมัดอันรุนแรงของตนไปได้

“คุณชายของพวกเราต้องการให้แกปล่อยเซวียนเยวี๋ยนเถิงไป!” ชายฉกรรจ์คนนั้นมองเย่เทียนเฉินอย่างเย็นชาแล้วเอ่ยปาก

“คุณชายของพวกแกคือใคร? เขาจะสั่งฉันเหรอ?” เย่เทียนเฉินเอ่ยถามด้วยความไม่พอใจ

“ถูกต้อง ฉันกำลังสั่งแก ถ้าเซวียนเยวี๋ยนเถิงตาย ตระกูลเย่ของแกก็ต้องตาย ฉันจะต้องฆ่าแก!” ในตอนนี้เองด้านหลังของชายฉกรรจ์มีชายร่างผอมคนหนึ่งเดินออกมา มุมปากประดับไปด้วยรอยยิ้มสนุกสนาน แต่น้ำเสียงกลับบ้าอำนาจเป็นอย่างมาก เขามองไปยังเย่เทียนเฉินแล้วพูดขึ้น

เย่เทียนเฉินไม่รู้จักชายที่โผล่มาอย่างกระทันหันคนนี้ ในตอนที่เขายังไม่ได้พูดอะไร เซวียนเยวี๋ยนเถิงที่ใกล้จะขาดอากาศหายใจก็ทำราวกับว่าพบผู้ช่วยชีวิต เขาพยายามดิ้นอย่างสุดชีวิตแล้วมองไปยังชายที่ปรากฏตัวออกมาอย่างกะทันหันคนนั้น ใช้น้ำเสียงอ้อนวอนกล่าวออกมาว่า “พี่โอวหยาง ช่วยผม ช่วยผมด้วย…”

………………………….

ใช้เท้าถีบเซวียนเยวี๋ยนอวี่ครั้งหนึ่ง ตบเซวียนเยวี๋ยนเถิงไปสามครั้งจนโง่งม น่าสงสารสองพี่น้องบ้าอำนาจ ความยโสโอหังและความโหดเหี้ยมที่พวกเขามีต่อหน้าคนอื่น เมื่อมาอยู่ต่อหน้าเย่เทียนเฉินก็ทำได้เพียงถูกอัดเท่านั้น

ก่อนหน้านี้คนที่กล้าต่อต้านเซวียนเยวี๋ยนเถิง ส่วนใหญ่ล้วนถูกเซวียนเยวี๋ยนเถิงกำจัดไปหมดแล้ว หลายคนเกรงกลัวอำนาจของตระกูลเซวียนเยวี๋ยน กลัวว่าจะเกี่ยวพันไปถึงครอบครัวและคนในครอบครัวของตนเอง ดังนั้นจึงเลือกที่จะหลีกเลี่ยง ไม่กล้าไปกระตุ้นความโกรธของเซวียนเยวี๋ยนเถิงจริงๆ คนคนนี้ไม่มีอะไรต่างกับหมาบ้าเลย เบื้องหลังของเซวียนเยวี๋ยนเถิงยังมีตระกูลอยู่ตระกูลหนึ่ง เป็นตระกูลหมาบ้าเช่นกัน เพียงแค่คิดก็ทำให้ผู้คนต้องหวาดกลัว ด้วยเหตุนี้จึงทำให้คนส่วนใหญ่หลีกทางให้เซวียนเยวี๋ยนเถิง ทำให้เซวียนเยวี๋ยนเถิงยิ่งโอหังมากขึ้น จนถึงขั้นโอ้อวดตัวเองถึงขีดสุด

เพียงแต่น่าเสียดายที่ครั้งนี้คนที่เซวียนเยวี๋ยนเถิงหาเรื่องก็คือเย่เทียนเฉิน เย่เทียนเฉินไม่หาเรื่องคนอื่นแต่ก็ไม่กลัวมีเรื่อง ดูเหมือนว่าตั้งแต่ที่เขากลับมาเกิดใหม่ในโลกแห่งนี้ เดิมทีคิดเพียงต้องการใช้ชีวิตอยู่กับพ่อแม่และน้องสาวอย่างสงบสุขและมีความสุขไปชั่วชีวิต และกลายเป็นนักกินอย่างจริงจัง ไหนเลยจะรู้ว่า หลังจากที่กลับถึงเมืองหลวงแล้วจะต้องมาพบว่ามีใครหลายคนที่ต้องการจะกำจัดเขา กำจัดอำนาจของตระกูลเย่ บางทีคงไม่ใช่ความแค้นความเกลียดชังที่ยิ่งใหญ่อะไรนัก เพียงแต่อำนาจเหล่านี้ยโสโอหังจนเคยตัว ทนไม่ได้ที่จะให้คนอื่นมาท้าทายพวกเขาหรือหาเรื่องพวกเขาแม้แต่นิดเดียว ทัศนคตินี้ทำให้ต้องการที่จะกดตระกูลเย่ให้ตกต่ำ

ดังนั้นเย่เทียนเฉินจึงลงมืออย่างรุนแรง เขาสาบานอยู่ในใจไว้นานแล้วว่า จะไม่อนุญาตให้ใครก็ตามมารังแกญาติมิตรของเขา ไม่ว่าจะเป็นใคร หากกล้ามาลงมือกับญาติมิตรของเขา ก็จะทำได้เพียงใช้หมัดและเลือดตอบแทน ใครกล้ามาวุ่นวายต้องชดใช้ด้วยชีวิต!

จนถึงตอนนี้ เย่เทียนเฉินเข้าใจกระจ่างแล้วว่า เขาต้องการจะอยู่อย่างสงบก็ไม่สามารถทำได้ ไม่สู้เล่นเป็นเพื่อนกับกลุ่มอำนาจเหล่านี้เสียหน่อย ดูซิว่าใครจะร้ายกาจมากกว่ากัน เมื่อดูจากนิสัยแล้ว เดิมทีเย่เทียนเฉินก็เป็นคนที่ “สามารถปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ได้ดี” หากจะกล่าวให้ชัดเจนก็คือ หากได้ใช้ชีวิตอย่างสงบสุข ต่อให้เป็นอุปสรรคใดๆ บิดาก็ไม่กลัวเกรง พวกคุณอยากจะเล่น ผมก็จะเล่นเป็นเพื่อนคุณให้สนุกสักหน่อย!

จะอย่างไรเซวียนเยวี๋ยนเถิงก็คิดไม่ถึงว่า ตนเองที่เป็นคุณชายใหญ่แห่งตระกูลเซวียนเยวี๋ยน เป็นหนึ่งในสามสุดยอดคุณชายแห่งมหาวิทยาลัยหลงเถิง มีอำนาจระดับใด ยโสโอหังระดับใด วันนี้กลับถูกคนตบหน้าต่อหน้าผู้คนมากมาย แล้วยังตบจนเลือดกลบปาก ฟันร่วงไปหลายซี่ เดิมทีสิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นเขากระทำต่อผู้อื่น มาวันนี้กลับเป็นเขาที่ได้สัมผัสประสบการณ์ นี่ล้วนเป็นเพราะได้เจอกับเย่เทียนเฉิน ต้องมาพบกับเย่เทียนเฉินที่ทำตามหลักการโดยไม่สนใจตัวคน ไม่สนว่าคุณจะเป็นคุณชายใหญ่อะไร ไม่สนว่าตระกูลของคุณจะยิ่งใหญ่แค่ไหน ขอเพียงกล้ามาหาเรื่อง คุณไม่มีเหตุผล เช่นนั้นคุณก็กินหมัดไปซะ

นักศึกษาชายหญิงที่ล้อมดูหลายร้อยคนต่างมองเย่เทียนเฉินราวกับตัวประหลาด ในใจของใครหลายคนต่างวิตกกังวล แม้ในฝันก็คิดไม่ถึงว่า เซวียนเยวี๋ยนเถิงที่ยโสโอหังมาโดยตลอดจะถึงกับถูกตบจนมีสภาพแบบนี้ได้ เซวียนเยวี๋ยนเถิงที่รู้จักแต่รังแกคนอื่นมาโดยตลอด จะถึงกับถูกคนตบจนเลือดกลบปาก ตกลงแล้วเย่เทียนเฉินร้ายกาจขนาดไหนกันแน่? ตกลงแล้วมีไพ่ตายอะไรกันแน่ ถึงได้กล้าล่วงเกินเซวียนเยวี๋ยนเถิงโดยไม่สนใจอะไรเลยแม้แต่น้อย ล่วงเกินตระกูลในโลกเบื้องหลังที่ไม่รู้ว่ามีอำนาจแข็งแกร่งมากขนาดไหน?

“นี่…เป็นไปไม่ได้น่า ฉันตาฝาดไปหรือเปล่า? คุณชายเซวียนเยวี๋ยนเถิงถูกตบ?”

“พระเจ้า จบแล้ว จบแล้ว จบสิ้นแล้ว…”

“เย่เทียนเฉินจบสิ้นแล้ว ต้องตายแน่นอน!”

“ดูเหมือนว่าเซวียนเยวี๋ยนอวี่จะช่วยอะไรไม่ได้แล้ว ที่ปากกระอักเลือดออกมาไม่หยุด เซวียนเยวี๋ยนเถิงเองก็ถูกเย่เทียนเฉินฆ่าไปแล้วหรือเปล่า?”

“เย่เทียนเฉินคนนี้ต้องการจะทำอะไรกันแน่? เขาไม่กลัวว่าล่วงเกินตระกูลเซวียนเยวี๋ยนแล้วตระกูลเย่จะถูกฆ่าล้างหรือไง?”

คนรอบๆ หลายคนอดไม่ได้ที่จะวิพากษ์วิจารณ์กันเสียงเบา การได้เห็นทุกสิ่งทุกอย่างนี้ด้วยตาของตน ทำให้รู้สึกสั่นสะท้านยิ่งกว่าได้ยินข่าวลือเกี่ยวกับการกระทำทุกสิ่งทุกอย่างของเย่เทียนเฉินหลังจากที่กลับมาเมืองหลวงแล้วนับร้อยเท่า ตระกูลเซวียนเยวี๋ยนเป็นหนึ่งในตระกูลโลกเบื้องหลังไม่กี่ตระกูลของจีน มีอำนาจมากขนาดไหนกันแน่ก็เป็นสิ่งที่ไม่มีใครทราบ แต่ว่าทุกตระกูลที่สามารถเป็นตระกูลแห่งโลกเบื้องหลังได้ย่อมไม่ใช่ตระกูลเล็กๆ ที่ไหน เดิมทีตระกูลเหล่านี้ก็มีความแข็งแกร่งและมีอำนาจมากในประเทศจีน การถอยออกไปสู่โลกเบื้องหลังก็เป็นความลับที่ไม่มีใครรู้ ตอนนี้ปรากฏสู่โลกภายนอกแล้ว ย่อมต้องมีแผนการร้าย กระทั่งรัฐบาลจีน และยังมีกลุ่มอำนาจใหญ่และตระกูลใหญ่ในโลกเบื้องหน้าจำนวนหนึ่งที่ไม่กล้าไปหาเรื่องง่ายๆ ทำได้เพียงตรวจสอบและลองเชิงอยู่อย่างลับๆ

“เย่เทียนเฉิน แกจะเป็นศัตรูกับฉันเซวียนเยวี๋ยนเถิงจริงๆ ใช่ไหม? แกคิดดีแล้วใช่ไหม!” เซวียนเยวี๋ยนเถิงถูกเย่เทียนเฉินตบจนเลือดกลบปากคลานขึ้นมาจากบนพื้น ยังคงมองเย่เทียนเฉินอย่างยโสโอหังแล้วตะโกนขึ้น

“ผิดแล้ว ฉันไม่อยากเป็นศัตรูกับแกเซวียนเยวี๋ยนเถิง…” เย่เทียนเฉินพูดกับเซวียนเยวี๋ยนเถิงด้วยรอยยิ้ม

“หึ รู้ตัวก็ดีแล้ว แต่แกล่วงเกินฉันแล้ว เรื่องนี้จบไม่สวยแน่ ตระกูลเย่ของแกก็เคยมีอำนาจมาก่อน ขอเพียงแกหักแขนขาของแกด้วยตัวเอง ฉันก็จะไว้ชีวิตสุนัขของแกซะ!” เซวียนเยวี๋ยนเถิงมองเย่เทียนเฉินด้วยความโหดเหี้ยม คิดว่าเย่เทียนเฉินกลัวแล้ว จึงพูดขึ้นด้วยรอยยิ้มลำพองใจโดยไม่สนใจรอยประทับฝ่ามือบนใบหน้า

“งั้นฉันก็ต้องขอบคุณคุณชายใหญ่เซวียนเยวี๋ยนอย่างแกสินะ?” เย่เทียนเฉินพูดด้วยรอยยิ้มหยอกล้อ

“ไว้ชีวิตสารเลวของแกคนเดียวก็ไม่สามารถขวาทางคุณชายใหญ่อย่างฉันได้ แกก็เป็นแค่มดตัวหนึ่ง ฉันอยากจะเหยียบให้ตายยังไงก็ได้!” เซวียนเยวี๋ยนเถิงไม่รู้ว่าถูกตบจนบ้าไปแล้ว หรือว่าถูกตบจนโง่ไปแล้ว ตะโกนขึ้นมาด้วยความโอหังที่ทบทวี บางทีความเคารพในตนเองอันบอบบางของคุณชายใหญ่เซวียนเยวี๋ยนอย่างเขา คงไม่อนุญาตให้ใครก็ตามมาแตะต้อง โอหังบ้าอำนาจจนเคยชินไปแล้ว

ในตอนนี้เอง เหล่านักศึกษาชายหญิงจำนวนหนึ่งที่ดูความคึกคักอยู่ด้านข้าง ได้ยินบทสนทนาระหว่างเซวียนเยวี๋ยนเถิงกับเย่เทียนเฉินก็อดไม่ได้ที่จะวิพากษ์วิจารณ์กันขึ้นมา โดยเฉพาะคนที่เมื่อก่อนมองเซวียนเยวี๋ยนเถิงในแง่ดี ยิ่งพูดคำถากถางเยาะเย้ยเย่เทียนเฉินออกมา

“ฉันก็บอกแล้วไงว่าเย่เทียนเฉินไม่ใช่คู่มือของคุณชายเซวียนเยวี๋ยน ตอนนี้รู้ตัวว่าผิดก็สายเกินไปแล้ว!”

“ต้องตายแน่นอน จะต้องตายแน่นอน คุณชายใหญ่เซวียนเยวี๋ยนเถิงไม่ได้หาเรื่องกันง่ายๆ”

“อยากจะขอโทษตอนนี้ก็ไม่ทันแล้ว คงต้องชดเชยด้วยชีวิต!”

ไหนเลยจะรู้ว่า นักศึกษาชายปากมากทั้งสามคนนี้เพิ่งจะพูดจบ เย่เทียนเฉินก็ยืนอยู่เบื้องหน้าของพวกเขา เหตุการณ์นี้ไม่เพียงแต่ทำให้นักศึกษาชายปากร้ายทั้งสามคนตกใจจนหน้าเปลี่ยนสี กระทั่งนักศึกษาที่ล้อมอยู่รอบๆ ก็ตกใจจนต้องสูดหายใจเย็นยะเยือก เพียงพริบตาเดียวเย่เทียนเฉินที่อยู่ห่างออกไปสิบเมตรกลับมาถึงด้านหน้า ไม่มีใครมองเห็นได้อย่างชัดเจนว่าเขาทำได้อย่างไร ช่างทำให้ผู้คนต้องสั่นสะท้านจริงๆ

พลั่ก!

พลั่ก!

พลั่ก!

สามหมัด เย่เทียนเฉินต่อยนักศึกษาชายปากเสียทั้งสามคนไปสามหมัดจนกระเด็นออกไป นักศึกษาชายปากเสียทั้งสามคนล้มลงบนพื้นแล้วร้องออกมาอย่างน่าอนาถ เย่เทียนเฉินไม่ได้ลงมือโหดเหี้ยมจนถึงตาย เขาเองก็รู้จักหนักเบา คนเหล่านี้เป็นแค่คนธรรมดา ถึงแม้ว่าจะมีบางครั้งที่น่ารังเกียจ แต่ก็ยังสามารถให้อภัยได้ ตนเองไม่คิดเล็กคิดน้อยกับสามคนนี้

ในความคิดของคนอื่น เย่เทียนเฉินมาถึงเบื้องหน้าของชายปากร้ายทั้งสามคนอย่างน่าเหลือเชื่อ แต่เย่เทียนเฉินกับไม่ได้มีความรู้สึกอะไรนัก เมื่อครู่นี้ตนเองใช้พลังพิเศษในขอบเขตจอมราชัน เร่งความเร็วจนถึงขีดสุดในชั่วพริบตา และย่นระยะห่างระหว่างเขากับคนทั้งสาม สามารถเรียกได้ว่าเป็นเคล็ดวิชาพลังพิเศษ “ย่นระยะ”ประเภทหนึ่ง ในช่วงยุคสิ้นโลก การระรานจากยอดฝีมือแห่งพรรควรยุทธโบราณที่แข็งแกร่งและผู้มีพลังพิเศษในขอบเขตระดับสูงต่างก็ต่อสู้กันอยู่บนอากาศ ไม่นับว่าเป็นเรื่องน่าตื่นเต้นอะไร นี่ก็คือยุคสิ้นโลก เป็นโลกที่เหนือจินตนาการ มีสีสันเป็นอย่างมาก ทำให้ผู้คนต้องการจะไปสำรวจ

ในตอนนี้ ท่ามกลางผู้คนในมุมหนึ่ง มีผู้หญิงร่างสูงคนหนึ่งสวมผ้าปิดปากและแว่นกันแดดสีดำยืนอยู่ มือทั้งสองล้วงอยู่ในกระเป๋ากางเกง ดวงตาทั้งสองอันมีเสน่ห์มองสำรวจไปยังเย่เทียนเฉินเป็นระยะ หากว่าเย่เทียนเฉินเห็นผู้หญิงร่างสูงคนนี้ จะต้องตกตะลึงเป็นอย่างมาก เนื่องจากนี่ก็คือผู้หญิงที่เขาเดินชนหน้าประตูตึกภาควิชาโบราณคดี และข้างกายของผู้หญิงร่างสูงคนนี้ยังมีชายชราร่างผอมคนหนึ่ง รูปร่างหน้าตาธรรมดาถึงขั้นที่หากโยนลงบนถนนใหญ่ก็จะหาไม่เจอ ถึงแม้ดูแล้วจะแก่ชราเป็นอย่างมาก อย่างน้อยคงจะอายุประมาณเจ็ดสิบปี แต่ดวงตาทั้งสองกลับทอประกายแปลกประหลาด ขมวดคิ้วเป็นบางครั้ง โดยเฉพาะในตอนที่เย่เทียนเฉินลงมาือ

“คุณลุงคะ นั่นก็คือเย่เทียนเฉิน คุณลุงว่าฝีมือของเขาเป็นยังไง?” ผู้หญิงที่สวมผ้าปิดปากและสวมแว่นกันแดดสีดำเอ่ยถามขึ้นด้วยน้ำเสียงที่มีเสน่ห์แต่เย็นชา

“ลึกล้ำไม่อาจคาดเดา!” ชายชราร่างผอมยิ้มไปจนถึงดวงตาแล้วเอ่ยปากขึ้น

หญิงร่างสูงได้ยินชายชราพูดคำนี้ก็อดไม่ได้ที่จะมีสายตาเปลี่ยนไป และมองเย่เทียนเฉินด้วยสายตาที่แปลกประหลาดยิ่งขึ้น เนื่องจากเธอรู้ว่าคุณลุงของตนเองแข็งแกร่งมากขนาดไหน เขาเป็นคนที่เคยใช้ชีวิตอยู่ทั้งในโลกมืดและในโลกเบื้องหน้า คนที่สามารถทำให้เขาพูดประโยคมีไม่มาก โดยเฉพาะเป็นการให้ค่าคนที่เป็นเด็กรุ่นหลังเช่นนี้ ดูเหมือนว่าจะไม่เคยมีมาก่อน

“อย่ามองแบบนั้น เดี๋ยวจะถูกพบเอาได้ ลุงรู้สึกได้ถึงพลังภายในร่างกายของไอ้หนูนี่ เหมือนมีมังกรตัวเขื่องหลับไหลอยู่ หากระเบิดออกมาจะต้องสั่นสะท้านไปทั่วทั้งโลกแน่นอน จะต้องสั่นสะท้านไปทั่วทั้งพรรควรยุทธโบราณและองค์กรของผู้มีพลังพิเศษ!” ชายชรายังคงพูดด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม

เมื่อได้ยินคนลุงของตนกล่าวเช่นนี้ หญิงร่างสูงก็เก็บสายตากลับมา มองเย่เทียนเฉินที่อยู่ไม่ไกลด้วยสายตาใคร่ครวญ พูดออกมาอยากเรียบเฉยว่า “หนูเคยจงใจไปชนเขามาก่อน ต้องการจะโอกาสนั้นสำรวจดูว่าเขาแข็งแกร่งมากขนาดไหน แต่กลับไม่สามารถสัมผัสได้ถึงการสั่นไหวของพลังพิเศษเลยแม้แต่น้อย แล้วยังเกือบจะถูกเขามองออกด้วย เย่เทียนเฉินคนนี้น่าสนใจจริงๆ!”

“น่าสนุกมากจริงๆ ใครจะคิดว่าคนที่เคยเป็นตัวตลกของทั่วทั้งเมืองหลวง มีชื่อเสียงว่าเป็นลูกหลานไม่เอาไหนของตระกูล พอกลับมาเมืองหลวงอีกครั้งจะมีความพิเศษขนาดนี้ได้ ดึงดูดความสนใจของเหล่าคนที่เก็บซ่อนความสามารถจนอยากที่จะทดสอบความสามารถของไอ้หนูนี่กันทั้งนั้น”

“คุณลุงคะ การทดลองในครั้งนี้ไม่รู้ว่าจะมีผลยังไง หากว่าหนูตาย อย่าให้น้องสาวของหนูได้เดินเส้นทางเดียวกับหนูเลย!” หญิงร่างสูงคิดอะไรบางอย่างแล้วจึงพูดขึ้น

ชายชราถอนหายใจออกมาอย่างหนักหน่วง การประลองสี่สุดยอดสาวงามแห่งพรรควรยุทธโบราณในครั้งนี้ แม้จะบอกว่าเป็นการประลอง แต่ความจริงแล้วจะเป็นจะตายก็อยู่ที่ฟ้ากำหนด สำนักไหนก็ไม่สามารถขายหน้าได้ แล้วไม่อนุญาตให้แพ้ นี่ไม่ใช่ความเป็นความตายของคนเพียงคนเดียวแล้ว แต่เกี่ยวข้องกับความน่าเคารพที่สืบทอดกันมานับพันปีของสำนัก ต่อให้รู้ว่าจะต่อกรกับคู่ต่อสู้ไม่ได้ ต่อให้รู้ว่าจะต้องตายก็ไม่อาจถอย

“ในหมู่พวกเธอทั้งสี่คน นอกจากเซี่ยอวี่เหอและเทียนซวงเอ๋อร์แล้ว ฝีมือของเธอก็แข็งแกร่งที่สุด แต่ความสามารถของชิงเฉิงเยว่ก็ยอดเยี่ยมเกินไป อายุไม่ถึงยี่สิบปีก็มีฝีมือไล่ตามคนของสำนักใหญ่ใหญ่ได้ เรียกได้ว่าเป็นผู้มีพรสวรรค์ร้อยปีในหมู่ผู้ฝึกวรยุทธ เธอไม่ใช่คู่มือของเขา!” ชายชราถอนหายใจครั้งหนึ่ง หากกล่าวตามจริงแล้ว นี่เป็นความจริงที่หลีกหนีไม่ได้ และไม่อาจหลีกหนี

…………………………

การมาถึงของเซวียนเยวี๋ยนเถิงไม่สามารถหยุดยั้งการลงมือสั่งสอนเซวียนเยวี๋ยนอวี่ของเย่เทียนเฉินได้เลยแม้แต่น้อย เขาตัดสินใจแล้วว่าจะถอนวัชพืชให้ถึงราก ถ้างั้นก็ไม่จำเป็นต้องยั้งมือ เซวียนเยวี๋ยนเถิงและเซวียนเยวี๋ยนอวี่ สองพี่น้องนี้ไม่ฆ่าไม่ได้ หากปล่อยเอาไว้ก็จะกลายเป็นหนามยอกอกชิ้นใหญ่ในภายหลัง

เซวียนเยวี๋ยนอวี่ถูกเย่เทียนเฉินโยนไปบนอากาศ ไชเท้าเตะไปครั้งหนึ่งราวกับลูกฟุตบอลจนปลิวออกไป ปะทะกับนักฆ่าชั้นยอดทั้งสองคน และไม่อาจกล่าวได้ว่าเป็นการชน เพราะนักฆ่าทั้งสองคนนั้นเห็นเซวียนเยวี๋ยนอวี่ที่ถูกเย่เทียนเฉินโยนมาก็ไม่กล้าหลบ ทำได้เพียงรับเอาไว้เท่านั้น แต่ว่าแรงเตะของเย่เทียนเฉินรุนแรงยิ่งนัก รวมกับน้ำหนักร่างกายของเซวียนเยวี๋ยนอวี่ นักฆ่าสองคนจึงถูกชนจนล้มลงกับพื้น

“น้อง น้อง…” เซวียนเยวี๋ยนเถิงก้มตัวลงดูเซวียนเยวี๋ยนอวี่ผู้เป็นน้องชายที่มีเลือดไหลออกจากมุมปาก ตะโกนออกมาเสียงดัง

นักฆ่าชั้นยอดทั้งสองคนลุกขึ้น พวกเขาไม่ได้สนใจเซวียนเยวี๋ยนอวี่ ต่างพากันพุ่งเข้าไปใส่เย่เทียนเฉิน เนื่องจากเซวียนเยวี๋ยนเถิงจะให้พวกเขาฆ่าเย่เทียนเฉินให้ได้ ต่อให้เป็นการฆ่าคนต่อหน้าผู้คนมากมาย เย่เทียนเฉินก็จำเป็นต้องตาย

“เย่เทียนเฉิน แกกล้าลงมือกับน้องชายของฉัน ฉันจะฆ่าทุกคนของตระกูลเย่ของแก!” เซวียนเยวี๋ยนเถิงมองเย่เทียนเฉินอย่างโหดเหี้ยมแล้วตะโกนออกมา

“อย่ามาทำเป็นใหญ่ต่อหน้าบิดา แกคิดว่าแกเป็นใคร? สามารถตัดสินชีวิตของคนอื่นได้ตามใจเหรอ? จะคิดว่าตัวเองใหญ่เกินไปแล้ว!”

ในเมื่อเย่เทียนเฉินลงมือแล้วก็จะไม่เกรงใจอีกต่อไป บิดาขี้เกียจจะไปพูดจาไร้สาระกับเซวียนเยวี๋ยนเถิงอย่างแก ไว้หน้าแล้วไม่ยอมรับ ถ้างั้นบิดาก็จะอัดหน้าแกซะ

“แก…ถ้ามันซะ ฆ่ามันซะ!” เซวียนเยวี๋ยนเถิงตะโกน

ตลอดเวลาที่ผ่านมา ถึงแม้ว่าเซวียนเยวี๋ยนเถิงจะไม่ได้ออกมาเคลื่อนไหวหลายปีเพราะสาเหตุบางอย่างภายในตระกูลเซวียนเยวี๋ยนของโลกเบื้องหลัง ก่อนหน้านี้หลายปี ตั้งแต่มาเรียนที่มหาวิทยาลัยหลงเถิง ชื่อเสียงของคุณชายใหญ่เซวียนเยวี๋ยนของเขาก็โด่งดังขึ้นเรื่อยๆ ทุกคนที่กล้าต่อต้านเขาต่างก็ถูกกำจัดไปหมดแล้ว ส่วนใหญ่ตายกันไปแล้ว และเรื่องที่ทำให้สั่นสะท้านที่สุดก็คือ เด็กในเมืองหลวงคนหนึ่งถูกเซวียนเยวี๋ยนเถิงทำร้ายจนพิการตลอดชีวิต ส่วนเซวียนเยวี๋ยนเถิงกลับไม่เป็นอะไรเลยแม้แต่น้อย เห็นได้ว่าความตื้นลึกหนาบางของตระกูลเซวียนเยวี๋ยนมากมายขนาดไหน

ในตอนนี้บุคคลที่ตื่นตะลึงที่สุด กระทั่งกล่าวได้ว่าไม่กล้าที่จะเชื่อสายตาตนเองก็คือเหล่านักศึกษาชายหญิงที่ล้อมดูอยู่รอบๆ เหล่านั้น จะอย่างไรพวกเขาก็คิดไม่ถึงว่า เซวียนเยวี๋ยนเถิงมาถึงแล้วจะโอหังและบ้าอำนาจถึงเพียงนี้ พวกเขาไม่กล้าผายลมต่อหน้าเย่เทียนเฉินเลยแม้แต่คนเดียว เย่เทียนเฉินอยากจะอัดก็อัด อยากจะฆ่าก็ฆ่า คำพูดนั้นกระจ่างชัดแล้ว เซวียนเยวี๋ยนเถิงบ้าอำนาจ? ต่อหน้าเย่เทียนเฉินก็เป็นแค่ไก่เท่านั้น!

เมื่อได้ยินเซวียนเยวี๋ยนเถิงออกคำสั่ง นักศึกษาชายหญิงที่ล้อมดูก็ถอยหลังไปหลายก้าวโดยไม่รู้ตัว ดวงตาเบิกกว้างมองไปยังนักฆ่าชั้นยอดทั้งแปดคนที่พุ่งเข้าใส่เย่เทียนเฉิน เซวียนเยวี๋ยนเถิงโกรธแล้ว และยังจะฆ่าเย่เทียนเฉินต่อหน้าทุกคนด้วย ความโอหังบ้าอำนาจของเขาต่างแสดงออกมาทั้งหมด

หลิงอวี่สวิ๋นและเสี้ยวหยาจับมืออีกฝ่าย ฝ่ามือมีเหงื่อเย็นๆ ไหลซึมออกมา พวกเธอเป็นห่วงเย่เทียนเฉิน เซวียนเยวี๋ยนเถิงบ้าเกินไปแล้วจริงๆ ถึงกับจะฆ่าเย่เทียนเฉินต่อหน้าทุกคน และยังส่งนักฆ่าชั้นยอดทั้งแปดคนที่เป็นลูกน้องไปลงมือ ไม่สนใจกฎหมายบ้านเมืองโดยสิ้นเชิง ดูเหมือนว่าหากเซวียนเยวี๋ยนเถิงต้องการฆ่าคน ไม่ว่าใครก็ขวางไม่ได้

หลังจากที่ เย่เทียนเฉินใช้เท้าถีบเซวียนเยวี๋ยนอวี่จนกระเด็นออกไป เมื่อเห็นว่านักฆ่าชั้นยอดทั้งแปดคนพุ่งเข้าใส่ตน เขาก็ยืนอยู่กับที่ไม่ขยับเขยื้อน หมัดทั้งสองกำแน่นจนส่งเสียงดังกรอบแกรบออกมา ต่อหน้าคนมากมายถึงเพียงนี้เขาย่อมไม่อาจใช้พลังพิเศษได้ เนื่องจากในสายตาของคนปกติทั่วไป พลังพิเศษเป็นความลึกลับและเป็นเหลือเชื่อ เกรงว่าจะทำให้คนจํานวนหนึ่งตกใจจนตาค้างหรือกระทั่งตกใจจนสลบไป

ผัวะ!

ผัวะ!

ผัวะ!

นักฆ่าชั้นยอดสามคนพุ่งเข้ามาเบื้องหน้า ปล่อยหมัดออกไปยังจุดตายของเย่เทียนเฉินพร้อมเพียงกัน นักฆ่าชั้นยอดอีกห้าคนที่เหลือด้านหลังก็ล้อมเย่เทียนเฉินเอาไว้ ภาพเหตุการณ์ฆ่าคนหลั่งเลือดย่อมไม่สามารถให้คนอื่นเห็นได้

พลั่ก!

ในตอนที่ทุกคนคิดว่าเย่เทียนเฉินจะต้องตายแน่แล้วนั้น นักฆ่าที่ปล่อยหมัดออกมาใส่เย่เทียนเฉินด้านหน้าสุดกลับปลิวออกไป ไม่มีโอกาสแม้จะส่งเสียงร้อง กระเด็นออกไปไกลห้าเมตรแล้วตกลงมากระแทกพื้นอย่างแรง จากนั้นจึงตกตายไปโดยไม่ส่งเสียงร้องสักแอะ

หมัดนี้ของเย่เทียนเฉินไม่ได้แฝงพลังพิเศษในขอบเขตจอมราชันอะไรไว้เลย มีเพียงพลังของกำปั้นล้วนๆ สามารถซัดจนนักฆ่าคนหนึ่งตายไปได้ ทำให้ทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ตกใจจนคางแทบร่วง โดยเฉพาะเซวียนเยวี๋ยนเถิงที่กำลังอุ้มเซวียนเยวี๋ยนอวี่ผู้เป็นน้องชายของตนที่สลบไปแล้ว มองเหตุการณ์นี้ด้วยความตกใจ นักฆ่าชั้นยอดทั้งแปดคนของตน ถึงแม้ว่าจะไม่ใช่คนที่ร้ายกาจที่สุดในตระกูลเซวียนเยวี๋ยน แต่ก็เป็นบอดี้การ์ดมากฝีมือ ตั้งแต่ที่ตนมาเรียนที่เมืองหลวงพวกเขาก็ติดตามตนเองมาโดยตลอด แต่ไหนแต่ไรก็ไม่เคยพ่ายแพ้ยับเยินเหมือนวันนี้มาก่อน ถึงกับถูกเย่เทียนเฉินกำจัดด้วยหมัดเดียว นี่เป็นความอัปยศอย่างหนึ่ง

เย่เทียนเฉินไม่ได้หยุดมือ และไม่ได้เกรงใจเลยแม้แต่น้อย หลังจากที่ต่อยบอดี้การ์ดที่อยู่ตรงกลางสุดกระเด็นออกไปแล้วก็กวาดเท้าแตะออกไปด้านหลังเป็นแนวขวาง เตะบอดี้การ์ดมากฝีมือที่โจมตีด้านหลังของเขาอีกสองคนกระเด็นออกไป

เพียงพริบตาเดียวก็กำจัดบอดี้การ์ดออกไปได้สามคน ทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์สั่นสะท้านเพราะฝีมือของเย่เทียนเฉิน การเคลื่อนไหวเด็ดขาดเฉียบคมและยังงดงาม มีสีสันตระการตายิ่งกว่าฉากบู๊ในภาพยนตร์เป็นร้อยเท่า เพียงแค่มองก็สามารถทำให้ผู้ชายเลือดร้อนหลายคนรู้สึกพลุ่งพล่าน

บอดี้การ์ดชั้นยอดอีกห้าคนที่เหลือต่างก็ขมวดคิ้ว จะอย่างไรพวกเขาก็คิดไม่ถึงว่า เย่เทียนเฉินที่เดิมทีพวกเขาคิดจะฆ่า จะถึงกับแข็งแกร่งห้าวหาญขนาดนี้ เผชิญหน้ากับการล้อมโจมตีของบอดี้การ์ดยอดฝีมือทั้งสามคน ก็ยังตอบโต้ไปอย่างง่ายดายโดยไม่หลบไม่ซ่อน พริบตาเดียวก็กำจัดพวกเขาไปได้ นี่เป็นพลังการต่อสู้ระดับไหนกัน เกรงว่าพวกเขาทั้งหมดรุมเข้าไปพร้อมกันก็คงจะไม่รอด

“พวกแก พวกแกยังจะยืนบื้อทำอะไรอยู่อีก เข้าไปพร้อมกัน ฆ่ามันซะ!” เซวียนเยวี๋ยนเถิงได้สติกลับมาก็ตะโกนด่าบอดี้การ์ดยอดฝีมือที่เหลืออีกห้าคน

บอดี้การ์ดยอดฝีมืออีกห้าคนนั้นรู้ตัวแล้วว่า วันนี้เจอตอแข็งเข้าให้แล้ว ต่อให้พวกเขาแปดคนรุมเข้าไปพร้อมกันก็ไม่อาจเป็นคู่มือของเย่เทียนเฉินได้ พุ่งเข้าไปก็เป็นการรนหาที่ตายเท่านั้น แต่ว่าด้วยนิสัยของเซวียนเยวี๋ยนเถิง เขาไม่อนุญาตให้ตนเองล้มเหลว โดยเฉพาะต่อหน้าคนมากมายถึงเพียงนี้ เขาเซวียนเยวี๋ยนเถิงแต่ไหนแต่ไรก็มีแต่ใช้เท้าเหยียบคนอื่น ไหนเลยจะถูกคนอื่นเหยียบย่ำ ดังนั้นหากพวกเขาไม่พุ่งเข้าไป เซวียนเยวี๋ยนเถิงจะต้องฆ่าพวกเขาแน่

ภาพเหตุการณ์อันน่าเหลือเชื่อนี้เกิดขึ้นอีกครั้ง บอดี้การ์ดชั้นยอดที่เหลืออีกห้าคนพุ่งเข้าไปพร้อมกัน เย่เทียนเฉินยืนอยู่ที่เดิมไม่ขยับ มือทั้งสองล้วงอยู่ในกระเป๋ากางเกง เพียงแต่ขาทั้งสองข้างแตะออกไปไม่หยุด เหมือนกับเตะลูกบอล เงาร่างทั้งห้ากระเด็นออกไปอย่างต่อเนื่อง หมดสิ้นเรี่ยวแรงที่จะต่อสู้

นักฆ่าชั้นยอดทั้งแปดคน บอดี้การ์ดชั้นยอดทั้งแปดแห่งตระกูลเซวียนเยวี๋ยน ลูกน้องทั้งแปดที่คอยช่วยเซวียนเยวี๋ยนเถิงโอหังระรานไปทั่วมาโดยตลอด ถูกเย่เทียนเฉินจัดการต่อหน้าผู้คน ในตอนนี้กล่าวได้ว่า เซวียนเยวี๋ยนเถิงสูญเสียที่พึ่งพาทุกอย่างไปหมดแล้ว พริบตาเดียวราวกับมีความโกรธเกรี้ยวพุ่งทะยานขึ้นมา เเรกเริ่มยังพุ่งเข้าไปอย่างมาดเท่คิดจะทำให้เย่เทียนเฉินคุกเข่าร้องขอชีวิตภายใต้น้ำมือของเขา ไหนเลยจะรู้ว่า เขาจะดูเบาเย่เทียนเฉินมากเกินไป นี่เป็นคนที่ไม่สามารถใช้ตรรกะปกติมาตัดสินได้ ในตอนที่ขี้เล่นขึ้นมาก็เหมือนอันธพาล ในตอนที่จริงจังก็เหมือนกับมัจจุราช ผู้ชายเช่นนี้จะมีสักกี่คนที่ไปล่วงเกินเขาได้?

หลังจากที่กำจัดบอดี้การ์ดทั้งแปดคนแล้ว สองมือของเย่เทียนเฉินยังคงร่วงอยู่ในกระเป๋ากางเกง มุมปากประดับไปด้วยรอยยิ้มไร้พิษสง เดินไปยังเซวียนเยวี๋ยนเถิงอย่างเรียบเฉย สายตาของทุกคนต่างจ้องมองไปยังเย่เทียนเฉิน ใครก็คิดไม่ถึงว่าเซวียนเยวี๋ยนเถิงที่มีอำนาจมากมายไร้ขีดจํากัด พาบอดี้การ์ดชั้นยอดทั้งแปดคนมาเพื่อจะสั่งสอนเย่เทียนเฉิน ในตอนที่ทุกคนต่างคิดว่าเย่เทียนเฉินจะต้องตายแน่แล้วนั้น เย่เทียนเฉินคนเดียวสามารถต่อต้านและพลิกสถานการณ์ได้ ทั้งยังทำได้อย่างหมดจดอีกด้วย บอดี้การ์ดชั้นยอดทั้งแปดคนของเซวียนเยวี๋ยนเถิงไม่พอให้มองเลยแม้แต่น้อย

เซวียนเยวี๋ยนเถิงเห็นเย่เทียนเฉินเดินมายังตนเองด้วยรอยยิ้มก็ชะงักไป จากนั้นจึงยืดเอวขึ้น เขายังคงมั่นใจมาก ตระกูลเซวียนเยวี๋ยนของตนเองมีอำนาจในทางลับยิ่งใหญ่ ไม่ใช่อะไรที่ตระกูลใหญ่ธรรมดาๆ จะมาเปรียบเทียบด้วยได้โดยเด็ดขาด ภายในตระกูลมียอดฝีมือมากมาย เพียงแต่ครั้งนี้เขาดูแคลนเย่เทียนเฉินมากเกินไป คิดว่าบอดี้การ์ดชั้นยอดทั้งแปดคนนี้จะสามารถกำจัดเขาได้อย่างสบายๆ หากรู้เร็วกว่านี้ว่าเย่เทียนเฉินจะแข็งแกร่งถึงขนาดนี้ จะต้องส่งยอดฝีมือของตระกูลออกมา แล้วจะฆ่าเขาให้ได้อย่างแน่นอน

“เย่เทียนเฉิน วันนี้แกล่วงเกินฉันเซวียนเยวี๋ยนเถิง วันหน้าฉันจะต้อง…”

เพี๊ยะ!

ตบลงบนใบหน้าของเซวียนเยวี๋ยนเถิงไปครั้งหนึ่ง เซวียนเยวี๋ยนเถิงคิดจะพูดจาโหดเหี้ยมออกมา เพียงแต่น่าเสียดายที่ยังไม่ทันพูดจบก็ต้องเผชิญเข้ากับการตบหน้าของเย่เทียนเฉิน ตบจนเซวียนเยวี๋ยนเถิงโซเซ เกือบจะทรุดลงไปกับพื้น

“แก…”

เพี๊ยะ!

ตบมาอีกครั้งหนึ่งแล้ว แต่กลับตบลงบนใบหน้าด้านขวาของเซวียนเยวี๋ยนเถิง ตบจนเซวียนเยวี๋ยนเถิงเซไปแนบลงกับประตูรถซีดาน หากไม่ใช่ว่ามีประตูรถค้ำยัน เขาคงทรุดลงไปกับพื้นนานแล้ว การตบครั้งนี้ทำให้เซวียนเยวี๋ยนเถิงโยนน้องชายของลงกับพื้น โยนลงไปจริงๆ หลายคนมองจนพูดอะไรไม่ออก เซวียนเยวี๋ยนเถิงถึงกลับโยนน้องชายที่บาดเจ็บของตนลงไป ดูแล้วคนๆ นี้จะไร้มนุษยธรรมจริงๆ

“กล้าตบฉัน ฉันจะทำให้ตระกูลเย่…”

เพี๊ยะ!

ตบครั้งที่สามทำให้เซวียนเยวี๋ยนเถิงกระเด็นออกไปและตกลงกระแทกพื้น มุมปากมีเลือดไหลออกมา เซวียนเยวี๋ยนเถิงไม่กล้าใช้มือทั้งสองสัมผัสหน้าของตน เนื่องจากถูกเย่เทียนเฉินตบจนหน้าบวม ในปากเต็มไปด้วยเลือด

เซวียนเยวี๋ยนเถิงกระอักเลือดออกมาคำหนึ่ง เลือดสดๆ และฟันที่ถูกตบร่วงผสมปนเปกันออกมา ดูแล้วช่างหน้าอัปลักษณ์ยิ่งนัก ในตอนที่เซวียนเยวี๋ยนเถิงเห็นฟันที่ถูกตบจนร่วงของตน ดวงตาทั้งสองพลันแดงก่ำ ใบหน้าน่าเกลียด แต่ไหนแต่ไรเขายังไม่เคยถูกคนอื่นตบเช่นนี้มาก่อน และไม่มีใครกล้าตบเขาแบบนี้ เย่เทียนเฉินไม่พูดอะไรแม้แต่คำเดียวก็ตบหน้าเขาสามครั้งต่อๆ กัน นี่เป็นการเหยียดหยามอย่างหนึ่ง

ทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ตกตะลึงจนตาค้าง เซวียนเยวี๋ยนเถิง หนึ่งในสามสุดยอดคุณชายแห่งมหาวิทยาลัยหลงเถิง ยโสโอหังระดับไหน บ้าคลั่งระดับไหน เคยมีใครกล้าตบเขาแบบนี้บ้าง? ตระกูลเซวียนเยวี๋ยนมีอำนาจในทางลับยิ่งใหญ่ มีเพียงไม่กี่คนที่กล้าไปล่วงเกิน เย่เทียนเฉินกับไม่เห็นอยู่ในสายตาโดยสิ้นเชิง ตบตามใจชอบถึงขนาดนั้น ตบจนทำให้ผู้คนรู้สึกสบายใจไปหมดแล้ว

“แก…” เสียงของเซวียนเยวี๋ยนเถิงสั่นระริก มองเย่เทียนเฉินอย่างดุดัน

“คนแบบแกไม่โดนตบไม่ได้ กวนตีนเกินไป!” เย่เทียนเฉินยังคงมีใบหน้าที่ประดับไปด้วยรอยยิ้ม พูดออกมาด้วยรอยยิ้มที่ไม่มีไอสังหารเลยแม้แต่น้อย

………………………….

จะอย่างไรเซวียนเยวี๋ยนอวี่ก็คิดไม่ถึงว่า ข่าวเรื่องที่เซวียนเยวี๋ยนเถิงพี่ชายของตนกลับมาถึงเมืองหลวงแพร่ออกไปนานแล้ว คิดว่าเย่เทียนเฉินจะตกใจจนฉี่ราด ต่อให้จะไม่ตกใจจนคแทบตาย ก็เกรงว่าจะไม่กล้ามามีปัญหาอะไรกับเขาอีก ไหนเลยจะรู้ว่า เย่เทียนเฉินจะไม่สนใจโดยสิ้นเชิง ตบหน้าเขาจนลงไปนอนทรุดอยู่กับพื้น แล้วยังกระทืบซ้ำบนใบหน้า ไม่เห็นเขาเป็นคุณชายเล็กของตระกูลเซวียนเยวี๋ยนเลยแม้แต่น้อย ต่อให้เขาจะเป็นคุณชายเล็กแห่งตระกูลเซวียนเยวี๋ยน หากไปหาเรื่องเย่เทียนเฉินก็จะต้องถูกอัดอย่างไม่ต้องสงสัย

ทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างมองจนตาค้าง เดิมทีเหล่าคนที่ยืนอยู่บริเวณมหาวิทยาลัยหลงเถิงคิดว่าเซวียนเยวี๋ยนเถิงกลับมาแล้ว เย่เทียนเฉินจะต้องตายอย่างแน่นอน จึงกลัดกลุ้มจนถึงขีดสุด และประหลาดใจจนถึงขีดสุด เนื่องจากดูเหมือนว่าเย่เทียนเฉินจะไม่เห็นเซวียนเยวี๋ยนเถิงอยู่ในสายตาเลยแม้แต่น้อย ยังคงลงมือสั่งสอนเซวียนเยวี๋ยนอวี่อย่างรุนแรงเช่นเดิม ต่อให้เซวียนเยวี๋ยนเถิงกลับมายังเมืองหลวงแล้ว ก็ไม่สามารถกลายเป็นเหตุผลที่จะทำให้เย่เทียนเฉินไม่ลงมือได้ เนื่องจากเซวียนเยวี๋ยนเถิงไม่มีค่าพอ

“ปล่อยคุณชายเล็ก…”

ในตอนนี้ บอดี้การ์ดสิบกว่าคนเพิ่งจะได้สติกลับมาจากความตกตะลึง ต่างพากันทำท่าเตรียมพร้อมที่จะพุ่งเข้ามา หากเซวียนเยวี๋ยนอวี่ถูกเย่เทียนเฉินทำร้ายหรือกระทั่งถูกฆ่าจริงๆ ด้วยวิธีการอันโหดเหี้ยมของเซวียนเยวี๋ยนเถิง พวกเขาที่เป็นบอดี้การ์ดทั้งสิบกว่าคนจะต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัย

“ไม่กลัวตายก็เข้ามา!” เย่เทียนเฉินหันไป มุมปากระดับด้วยรอยยิ้มเย็นชา กวาดตามองไปยังบอดี้การ์ดสูทดำทั้งสิบกว่าคน

พริบตานั้น บอดี้การ์ดสูทดำทั้งสิบกว่าคนต่างหยุดชะงักอยู่กับที่ ทำได้เพียงเบิกตามองเซวียนเยวี๋ยนอวี่ดิ้นรนอยู่ใต้ฝ่าเท้าของเย่เทียนเฉิน กรีดร้องออกมาราวกับหมูถูกเชือด เนื่องจากพวกเขาคิดถึงภาพที่ต้องทำให้สั่นสะท้าน คนเพียงคนเดียว มีดตัดฟืนเพียงเล่มเดียว แบกผู้หญิงของตนอยู่ที่ไหล่ ตวัดมีดฆ่าฟัน กระทั่งเทพเซียนก็ยังไม่อัดขวางทางได้ ฆ่าฟันกองทัพทั้งสามร้อยคนที่ใช้มีดตัดฟืนจนแตกพ่าย นี่เป็นความเก่งกว่าระดับไหนกัน เพียงแค่คิดก็สามารถทำให้เลือดอันร้อนรุ่มในกายต้องพลุ่งพล่าน และทำให้ผู้คนต้องหวาดกลัวจนส่วนลึกของจิตใจต้องสั่นสะท้าน

“ช่วย ช่วยฉันด้วย…” เซวียนเยวี๋ยนอวี่เห็นบอดี้การ์ดแห่งตระกูลเซวียนเยวี๋ยนของตนเองทั้งสิบกว่าคนถูกเย่เทียนเฉินทำให้ตกใจไปแล้ว ไม่มีแม้แต่คนเดียวที่กล้าพุ่งเข้ามาช่วยเหลือตน จึงยิ่งตะโกนเสียงดังด้วยความหวาดกลัว

“ไอ้เด็กเมื่อวานซืนคนหนึ่ง ปีกยังไม่ทันแข็งก็คิดจะบินซะแล้ว คิดที่จะรังแกคนอื่น จะรออีกสักหลายปีไม่ได้หรือไง? ฆ่าแกคนเดียวก็สามารถนำความสงบสุขมาให้คนอื่นอีกมากมาย ฉันก็เต็มใจที่จะเป็นคนชั่ว!” เย่เทียนเฉินเอ่ยด้วยรอยยิ้ม

 เมื่อเห็นรอยยิ้มที่ดูไร้พิษสงบนใบหน้าของเย่เทียนเฉิน เซวียนเยวี๋ยนอวี่ก็ตกใจจนใบหน้าซีดขาว สั่นสะท้านไปทั้งร่าง ไม่สนใจความเจ็บปวดบริเวณกระดูกบนใบหน้าที่ถูกเหยียบจนหักของตน มองไปยังเย่เทียนเฉินด้วยความหวาดกลัวแล้วพูดขึ้น “อย่า อย่าฆ่าฉัน พี่ชายของฉันจะมาถึงแล้ว…”

เย่เทียนเฉินไม่ได้ล้อเล่น เขาต้องการที่จะฆ่าเซวียนเยวี๋ยนอวี่จริงๆ อายุแค่นี้ก็รู้จักโอหังบ้าอำนาจแล้ว โตไปไม่รู้ว่าจะทำร้ายผู้คนอีกมากมายขนาดไหน และการกำจัดวัชพืชโดยไม่ถอนรากไม่ใช่นิสัยของเย่เทียนเฉิน หากต้องการฆ่าก็ต้องฆ่าเขาให้สะอาดหมดจด หากจะมัวมาหวาดกลัวพะวงหน้าพะวงหลังย่อมไม่ใช่วิสัยของลูกผู้ชาย

“พี่ชายของแกจะมาถึงแล้ว?” เย่เทียนเฉินจงใจถามด้วยรอยยิ้ม

“ชะ ใช่แล้ว ขะ ขอเพียงแกอย่าฆ่าฉัน ฉันก็จะให้พี่ชายปล่อยแกไป…” เขารีบพูด

“จะให้พี่ชายแกปล่อยฉัน แต่ฉันไม่อยากจะปล่อยเขาไป เขามาพอดีเลย พวกแกสองพี่น้องจะได้ตายด้วยกัน!” เย่เทียนเฉินเอ่ยออกมาอย่างเรียบเฉย

ในตอนที่เย่เทียนเฉินถูกอันธพาลสามร้อยกว่าคนที่มีมีดตัดฟืนอยู่ในมือล้อมเอาไว้นั้น เขาก็ได้ตัดสินใจแล้วว่าจะต้องฆ่าเซวียนเยวี๋ยนเถิงให้ได้ หากปล่อยคนคนนี้ไว้ จะช้าจะเร็วก็ต้องกลายเป็นเสี้ยนหนามอันใหญ่ ไม่สู้ฆ่าไปเลยเพื่อกำจัดปัญหาในอนาคตให้เด็ดขาด

“แก…อั่ก ปล่อยฉัน…”

คำพูดของเซวียนเยวี๋ยนอวี่ยังไม่ทันจบ เย่เทียนเฉินก็หิ้วเซวียนเยวี๋ยนอวี่ขึ้นมาราวกับหิ้วไก่ ใช้มือขวาข้างเดียวหิ้วเซวียนเยวี๋ยนอวี่ขึ้นมาจนตัวลอยกลางอากาศ ไม่ว่าเซวียนเยวี๋ยนอวี่จะดิ้นรนสุดชีวิตอย่างไรก็ไม่สามารถสลัดพ้นจากมือขวาของเย่เทียนเฉินได้ เขาลอยอยู่กลางอากาศ ตกใจจนมีเหงื่อเย็นๆไหลออกมาทั่วทั้งร่าง

เหล่านักศึกษาชายหญิงที่มาล้อมดูอยู่รอบๆ ก็ถูกฉากนี้ทำให้ตกตะลึงจนต้องอ้าปากกว้าง ไม่อยากจะเชื่อว่าเย่เทียนเฉินจะฆ่าเซวียนเยวี๋ยนอวี่จริงๆ ยังไม่ต้องพูดถึงว่ามันผิดกฎหมาย การฆ่าคนต่อหน้าคนมากมายเช่นนี้จะมีความผิดใหญ่หลวงขนาดไหนกัน ด้วยความแข็งแกร่งของตระกูลเซวียนเยวี๋ยน อำนาจอันยิ่งใหญ่ของตระกูลเซวียนเยวี๋ยน เกรงว่าหากเย่เทียนเฉินฆ่าเซวียนเยวี๋ยนอวี่จริงๆ คงจะถูกฆ่าหั่นศพออกเป็นชิ้นๆ ตายโดยที่ศพไม่สมบูรณ์

“นี่…ไม่จริงน่ะ เย่เทียนเฉินฆ่าเซวียนเยวี๋ยนอวี่จริงๆเหรอ?”

“โหดเหี้ยมเกินไปแล้ว เซวียนเยวี๋ยนเถิงใกล้จะมาถึงแล้ว เย่เทียนเฉินกลับฆ่าเซวียนเยวี๋ยนอวี่ก่อน เซวียนเยวี๋ยนเถิงจะต้องคลั่งแน่…”

“เย่เทียนเฉินไม่อยากจะมีชีวิตอยู่แล้วหรือไง? อยากจะเป็นศัตรูกับตระกูลเซวียนเยวี๋ยนจนถึงที่สุดหรือ?”

“ตระกูลเย่มีปัญหาใหญ่แล้ว!”

นักศึกษาชายบางคนที่ตระกูลมีอำนาจอยู่บ้างอดไม่ได้ที่จะวิพากษ์วิจารณ์กันขึ้นมาเสียงเบา ตระกูลเซวียนเยวี๋ยนเป็นตระกูลแห่งโลกเบื้องหลัง ไม่เหมือนกับตระกูลใหญ่ธรรมดาทั่วไป ตระกูลใหญ่ที่อยู่ในโลกเบื้องหน้ามีอำนาจมากเพียงใด ก็มักจะมีคนรู้ ส่วนตระกูลที่อยู่ในโลกเบื้องหลังจะแข็งแกร่งมากเพียงใดกลับไม่มีคนรู้ พูดให้ชัดเจนก็คือ ทวนเปิดเผยหลบหลีกง่าย เกาทัณฑ์ลับยากระวัง

“เทียนเฉิน อย่า รีบปล่อยเซวียนเยวี๋ยนอวี่ลง อย่าทำอะไรบุ่มบ่าม!” หลิงอวี่สวิ๋นเห็นเย่เทียนเฉินต้องการฆ่าเซวียนเยวี๋ยนอวี่จริงๆ จึงรีบเข้ามาจับข้อมือขวาของเย่เทียนเฉินเอาไว้แล้วเอ่ยขึ้น

“ฉันบุ่มบ่ามเหรอ? ฉันไม่ได้บุ่มบ่ามเลยแม้แต่น้อย แค่อยากจะฆ่าเขาก็เท่านั้น!” เย่เทียนเฉินมองเซวียนเยวี๋ยนอวี่แล้วพูดขึ้น

“อย่า อย่าฆ่าฉัน…คะ คุณชายเย่ ไว้ชีวิตด้วย!” เซวียนเยวี๋ยนอวี่ถูกความกลัวทำลายความกล้าไปหมดแล้ว ไม่มีมาดของคุณชายเล็กแห่งตระกูลเซวียนเยวี๋ยนของเขา ไม่มีอำนาจเฉกเช่นเมื่อคู่นี้ที่จะให้เย่เทียนเฉินคุกเข่ายอมรับผิด กลายเป็นเนื้อปลาบนเขียงของเย่เทียนเฉินโดยสิ้นเชิง บอดี้การ์ดที่เขาพามาเหล่านั้นก็ไม่มีใครกล้าพุ่งเข้ามาเลยแม้แต่คนเดียว ใครกันแน่ที่จะตาย

“เทียนเฉิน นี่เป็นการก่อความผิดใหญ่ จะฆ่าเซวียนเยวี๋ยนอวี่ไม่ได้ ปล่อยลงซะ!” หลิงอวี่สวิ๋นมองเย่เทียนเฉินอย่างร้อนรนแล้วพูดขึ้น

“ก่อความผิดใหญ่เหรอ ฉันอยากจะเห็นว่าความผิดมันจะใหญ่สักแค่ไหนกัน” เย่เทียนเฉินพูดอย่างเย็นชา

หลิงอวี่สวิ๋นมองเย่เทียนเฉินปราดหนึ่ง  เธอรู้ว่าตนเองไม่สามารถโน้มน้าวใจคนคนนี้ได้ ทำได้เพียงมองไปที่เสี้ยวหยา “หยาเอ๋อร์ มาเตือนเขาหน่อย บอกเขาว่าอย่าได้ทำอะไรบุ่มบ่าม หากเกิดความผิดใหญ่หลวงขึ้นมาจริงๆ จะต้องตายแน่!”

เสี้ยวหยากระวนกระวายใจมาก เธอรู้ว่าตระกูลเซวียนเยวี๋ยนมีอำนาจมาก คนปกติไปหาเรื่องไม่ได้ เธอไม่อยากให้เย่เทียนเฉินก่อเรื่อง ถึงตอนนั้นจะต้องถูกคนของตระกูลเซวียนเยวี๋ยนฆ่าตายแน่ ดังนั้นจึงรีบเอ่ยปากขึ้น “เทียนเฉิน…”

“หยาเอ๋อร์ วางใจเถอะ ฉันจะปกป้องเธอเอง!” เย่เทียนเฉินพูดขัดคำของเสี้ยวหยา เขารู้ว่าเสี้ยวหยาคิดจะพูดอะไร เพียงแต่ตระกูลเซวียนเยวี๋ยนมีอำนาจแข็งแกร่งและบ้าอำนาจมาก ตนเองลงมือกับเซวียนเยวี๋ยนอวี่ย่อมไม่ใช่เรื่องที่จะจบดีๆได้ ไม่สู้ฆ่าเขาให้สะอาดหมดจดและสบายใจจะดีซะกว่า

ในตอนที่ทุกคนเบิกตาทั้งสองกว้างมองเย่เทียนเฉินกำลังจะฆ่าเซวียนเยวี๋ยนอวี่อยู่นั้น รถซีดานสีดำหลายคันก็พุ่งเข้ามาจนเกือบจะชนผู้คน โชคดีที่มีหลายคนตะโกนเสียงดังจึงหลบได้ทัน

ชายในสูทสีเงินคนหนึ่งลงมาจากรถซีดานคันหน้าสุด ตามลงมาด้วยบอดี้การ์ดท่าทางโหดเหี้ยมอีกแปดคน เย่เทียนเฉินชะงักไปครู่หนึ่ง บอดี้การ์ดแปดคนนี้ไม่ใช่อะไรที่ลูกกระจ๊อกธรรมดาจะสามารถไปเทียบเคียงได้ ล้วนมีความสามารถในการต่อสู้ไม่ธรรมดา ฐานะของชายสวมสูทเงินคนนี้เย่เทียนเฉินดาวได้แล้ว ความสนุกเริ่มขึ้นแล้ว

“เย่เทียนเฉิน ปล่อยน้องของฉันซะ ถ้าแกกล้าแตะต้องเขาแม้แต่นิดเดียว ฉันจะทำให้ตระกูลเย่ของแกไม่เหลือแม้แต่ไก่สักตัวเดียว!”

เซวียนเยวี๋ยนเถิงโอหังบ้าอำนาจเป็นอย่างมาก ราวกลับว่าเพียงประโยคเดียวของเขาก็สามารถตัดสินความเป็นความตายของคนอื่นได้ เมื่อเห็นเย่เทียนเฉินใช้มือข้างหนึ่งหิ้วน้องชายของเขาอยู่ เตรียมจะลงมือฆ่า เขาก็กำหมัดแน่นมองไปยังเย่เทียนเฉินอย่างดุดันแล้วพูดขึ้น

“งั้นเหรอ? ฉันไม่คิดจะปล่อยน้องของแกไป เพราะว่ามันสมควรตาย ยิ่งไปกว่านั้นหลังจากที่ฉันฆ่ามันแล้ว ก็จะไปที่ตระกูลเซวียนเยวี๋ยนของแก ไปฆ่าล้างมันทั้งตระกูล ฉันคนนี้ไม่ชอบทิ้งปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นภายหลังเอาไว้!” เย่เทียนเฉินมองไปยังเซวียนเยวี๋ยนเถิงแล้วพูดด้วยรอยยิ้ม

คุณบ้าอำนาจ ผมจะบ้าอำนาจยิ่งกว่าคุณ คุณโอหัง ผมก็จะโอหังยิ่งกว่าคุณ คุณบ้า บิดาจะบ้ายิ่งกว่าคุณ คุณคิดว่าคุณเจ๋ง ผมก็เจ๋งยิ่งกว่าคุณ นี่คือเย่เทียนเฉิน แต่ไหนแต่ไรก็ไม่ยอมกล้ำกลืนฝืนทน สิ่งที่เกลียดที่สุดก็คือถูกข่มขู่ ยิ่งมีคนข่มขู่เขา เขาก็จะยิ่งตอบโต้

ทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ได้ยินคำพูดของเย่เทียนเฉิน ต่างพากันสูดหายใจเย็นยะเยือก ถึงกับกล้าพูดว่าจะไปตระกูลเซวียนเยวี๋ยนและฆ่าล้างทุกคน นี่เป็นความใจกล้าระดับไหนกัน? ไม่ต้องพูดถึงการกระทำ แค่กล้าพูดออกมาก็ทำให้ผู้คนต้องสั่นสะท้านแล้ว

“แก…รนหาที่ตาย!”

เซวียนเยวี๋ยนเถิงโกรธจนปอดแทบระเบิด ตัวเองเป็นคุณชายตระกูลเซวียนเยวี๋ยน พูดออกไปส่งๆ ประโยคนึงจะมีใครหน้าไหนที่กล้ามาต่อต้าน? ตอนนี้ตนเองมาถึงแล้ว เย่เทียนเฉินไม่เพียงไม่ยอมคุกเข่าร้องขอชีวิต กลับทำตัวโอหังซะยิ่งกว่าตน บอกว่าจะบุกไปที่ตระกูลเซวียนเยวี๋ยนและฆ่าล้างตระกูล เซวียนเยวี๋ยนเถิงที่เป็นคนใจคอโหดเหี้ยมและหยิ่งยโสโอหัง ไหนเลยจะรับไหว โบกมือครั้งหนึ่ง บอดี้การ์ดชั้นยอดทั้งแปดคนที่อยู่ข้างหลังต่างพุ่งใส่เย่เทียนเฉิน

“พวกเธอสองคนอยู่ไกลๆ ฉันหน่อย!” เย่เทียนเฉินเห็นบอดี้การ์ดชั้นยอดทั้งแปดคนพุ่งเข้ามาใส่ตนก็ไม่ได้ดูเบา พูดกับหลิงอวี่สวิ๋นและเสี้ยวหยาที่อยู่ด้านหลัง

“เทียนเฉิน…”

“เทียนเฉิน…”

“ไปเถอะ อย่าให้ฉันต้องพะวง การต่อสู้ของลูกผู้ชาย ผู้หญิงอย่าเข้ามาเกี่ยวข้อง!” แม้เย่เทียนเฉินจะเผชิญหน้ากับสถานการณ์เช่นนี้ก็ยังคงพูดกับเสี้ยวหยาและหลิงอวี่สวิ๋นด้วยรอยยิ้ม

เสี้ยวหยาและหลิงอวี่สวิ๋นสบตากัน พวกเธอไม่มีทางโน้มน้าวใจเย่เทียนเฉินได้ และรู้ว่าเซวียนเยวี๋ยนเถิงมีอำนาจมาก เรื่องนี้หยุดไว้ไม่ได้แล้ว ทำได้เพียงหวังว่าเย่เทียนเฉินจะไม่เป็นอะไร และสามารถลงมือฆ่าบอดี้การ์ดชั้นยอดทั้งแปดคนนี้ได้

เมื่อเห็นหลิงอวี่สวิ๋นและเสี้ยวหยาเดินปะปนเข้าไปในกลุ่มคน เย่เทียนเฉินก็วางใจลงไม่น้อย มองเซวียนเยวี๋ยนเถิงแล้วพูดขึ้นว่า “คุณชายใหญ่เซวียนเยวี๋ยนช่างโอหังจริงๆ เพียงแต่น่าเสียดายที่ฉันเย่เทียนเฉินไม่ยอมทนกับแก…”

“ปล่อยน้องชายของฉันซะแล้วฉันจะให้แกมีศพที่สมบูรณ์!” เซวียนเยวี๋ยนเถิงใช้มือขวาชี้ไปที่เย่เทียนเฉินอย่างดุดันแล้วตะโกนขึ้นด้วยความโมโห

“พี่ ช่วยด้วย ช่วยผมด้วย…” เซวียนเยวี๋ยนอวี่เลือดท่วมหน้า มองไปยังเซวียนเยวี๋ยนเถิงพี่ชายของตนแล้วตะโกนด้วยความหวาดกลัว

“ความสัมพันธ์ระหว่างพี่น้องของพวกแกสองคนไม่เลวเลย ถ้าอยากจะรวมตัวกันขนาดนั้น งั้นฉันก็ไม่ใช่คนที่ไร้เมตตา ไปรวมตัวกันเถอะ…”

เย่เทียนเฉินพูดจบก็โยนเซวียนเยวี๋ยนอวี่ออกไปในอากาศ แล้วใช้เท้าถีบจนกระเด็นออกไป ปะทะเข้ากับนักฆ่าชั้นยอดสองคนที่พุ่งเข้ามา…

“เทียนเฉิน เรื่องนี้สามารถทำให้เรื่องใหญ่เป็นเรื่องเล็กได้ ทำให้เรื่องเล็กเปลี่ยนเป็นเรื่องดีได้ ให้ฉันไปตกลงกับเซวียนเยวี๋ยนเถิงเถอะ!” หลิงอวี่สวิ๋นเห็นเย่เทียนเฉินลงจากรถไปก็อดไม่ได้ที่จะพูดขึ้นมาด้วยความกังวล

หลิงอวี่สวิ๋นและเย่เทียนเฉินเป็นเพื่อนสมัยเด็ก ความสัมพันธ์ระหว่างตระกูลเย่แล้วตระกูลหลิงเมื่อปีนั้นก็ไม่เลวนัก หลายวันมานี้ได้อยู่ด้วยกันกับเย่เทียนเฉินทำให้เธอมักจะคิดถึงช่วงเวลาในวัยเด็ก ความทรงจำอันงดงามที่ยังคงติดค้างอยู่ในส่วนลึกของจิตใจไม่อาจจะสลัดออกไปได้ตลอดกาล

เซวียนเยวี๋ยนเถิงคอยตามจีบหลิงอวี่สวิ๋นมาโดยตลอด มีความรู้สึกชมชอบอยู่บ้าง แน่นอนว่าไม่ใช่ความรักที่บริสุทธิ์อะไร แต่เพราะต้องการใช้อำนาจของตระกูลหลิง ตระกูลหลิงอยู่ในตำแหน่งที่เป็นตัวแปรสำคัญในด้านเศรษฐกิจ ส่วนตระกูลเซวียนเยวี๋ยนมีชื่อเสียงในด้านอำนาจมืด และยังมีความสามารถมาก พูดให้ชัดเจนก็คือมีอำนาจในด้านมืดยิ่งใหญ่และมีกิจการในด้านมืดที่สะสมมาอยู่ไม่น้อย เพียงแต่กิจการเหล่านี้หากต้องการที่จะฟอกให้ขาวนั้นเป็นเรื่องยาก ดังนั้นตระกูลเซวียนเยวี๋ยนจึงต้องการเชื่อมสัมพันธ์กับตระกูลหลิง หากเป็นเช่นนี้ก็จะสามารถใช้อำนาจของตระกูลหลิงทำให้กิจการที่ไม่ถูกกฎหมายกลายเป็นถูกกฎหมายได้

กล่าวให้กระจ่างชัดก็คือ ที่เซวียนเยวี๋ยนเถิงตามจีบหลิงอวี่สวิ๋นเพราะคำสั่งของพ่อ พ่อของเซวียนเยวี๋ยนเถิงต้องการให้เขาทำเช่นนี้ นอกจากนี้ยังต้องการสร้างความกดดันให้ตระกูลหลิงผ่านทางเขา เพื่อให้ตระกูลหลิงตอบรับการแต่งงาน เมื่อถึงตอนนั้นต่อให้ตระกูลหลิงไม่คิดทำเพื่อตระกูลเซวียนเยวี๋ยนของพวกเขาก็ยังต้องทำเพื่อหลิงอวี่สวิ๋น

สิ่งที่ทำให้หลิงอวี่สวิ๋นคิดไม่ถึงก็คือ เซวียนเยวี๋ยนเถิงถึงกับกลับมาเมืองหลวงตอนกลางคืน ดูท่าครั้งนี้เขาจะโกรธจริงๆ แล้ว จะต้องลงมือกับเย่เทียนเฉินอย่างโหดเหี้ยมแน่นอน และเป็นไปได้มากกว่าจะฆ่าเย่เทียนเฉิน

ในความคิดของหลิงอวี่สวิ๋น เย่เทียนเฉินมีความสามารถอยู่บ้างแต่ก็ไม่พอที่ขัดขวางการฆ่าฟันของเซวียนเยวี๋ยนเถิง เพราะข้างกายของเซวียนเยวี๋ยนเถิงมียอดฝีมืออยู่มากมาย คนเหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นคนในยุทธภพ เป็นโจรชั่วที่โหดเหี้ยม เปรียบได้กับบุคคลเช่นอาหู่ ส่วนตระกูลเย่นั้นตกต่ำไปนานแล้ว และไม่ใช่เพียงแค่ปีสองปี ต่อให้ผู้อาวุโสเย่หย่วนซานจะยังก็เกรงว่าจะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของตระกูลเซวียนเยวี๋ยน ดังนั้นหลิงอวี่สวิ๋นจึงคิดจะออกหน้า หากว่าหน้าของตนเองไม่ใหญ่พอ ไม่อาจทำให้เซวียนเยวี๋ยนเถิงเชื่อได้ ก็จะใช้อำนาจของตระกูลหลิงพูดคุยกับตระกูลเซวียนเยวี๋ยนโดยตรง

ไหนเลยจะรู้ว่าเย่เทียนเฉินกลับดึงหลิงอวี่สวิ๋นไปด้านหนึ่ง แล้วเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้ม “หลบอยู่หลังกระโปรงผู้หญิง ไม่ใช่นิสัยของฉัน!”

“แกเป็นใคร ถึงกับกล้าโผล่หัวออกมา ไม่รู้เหรอไงว่าคนที่กล้าเสนอหน้าในมหาวิทยาลัยหลงเถิงถูกคุณชายเซวียนเยวี๋ยนเถิงของพวกเราฆ่าตายไปแล้ว?” บอดี้การ์ดสูทดำคนที่ยืนอยู่หน้าสุดพูดจาโอหังเป็นอย่างมาก ราวกับว่าเขาเป็นเซวียนเยวี๋ยนเถิงเสียเอง ใช้นิ้วชี้ไปที่หัวของเย่เทียนเฉินอย่างไม่พอใจแล้วพูดขึ้น

พลั่ก!

คำตอบของเย่เทียนเฉินมีแค่ฝ่าเท้าเท่านั้น เขาถีบบอดี้การ์ดชุดดำที่เป็นคนพูดจนกระเด็นออกไปไกลต่อหน้าต่อตานักศึกษาชายหญิงจำนวนมากที่อยู่บริเวณประตูมหาวิทยาลัยหลงเถิง ลงมืออย่างรุนแรงเพื่อสั่งสอนลูกน้องน่ารังเกียจแบบนี้ บอดี้การ์ดชุดดำคนนั้นถูกเย่เทียนเฉินจนกระเด็นออกไปและตกลงมาสู่พื้นอย่างรุนแรง คิดจะลุกขึ้นมาแต่กลับไม่มีแรงที่จะทำเช่นนั้นได้ กายเนื้อของเย่เทียนเฉินในตอนนี้ผ่านการฝึกฝนบ่มเพาะมาแล้ว จนกลายเป็นแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น ต่อให้อยู่ในสถานการณ์ที่ไม่ต้องใช้พลังพิเศษ ก็ไม่ใช่อะไรที่คนธรรมดาจะรับมือได้

“แก…แกเป็นใครกันแน่? พวกแกยังยืนบื้ออะไรอยู่อีก เข้าไปพร้อมกัน ฆ่าไอ้หนูนี่ให้ตาย!” บอดี้การ์ดสูทดำอีกคนหนึ่งที่อยู่ด้านข้างได้สติกลับมาก็ตะโกนขึ้นแล้วมองไปยังเย่เทียนเฉินอย่างดุดัน

“ฉันเย่เทียนเฉิน แต่ไหนแต่ไรก็ไม่เคยหาเรื่องใคร แต่ว่า แต่ไหนแต่ไรก็ไม่เคยกลัวการมีเรื่อง เซวียนเยวี๋ยนเถิงคิดจะมาสร้างความยุ่งยากให้กับฉัน งั้นก็ให้มันมาหาฉันเอง!” เย่เทียนเฉินมองบอดี้การ์ดสูทดำที่เหลือแล้วพูดขึ้นอย่างเย็นชา

เมื่อประโยคนี้ถูกกล่าวออกมา บอดี้การ์ดสูทดำที่เหลืออีกสิบกว่าคนต่างก็ตกใจจนอึ้ง คนที่คิดจะพุงเข้ามาสู้กับเย่เทียนเฉินต่างหยุดชะงักอยู่กับที่ ไม่มีใครกล้าบุกเข้ามาเลยแม้แต่คนเดียว พวกเขาต่างเป็นคนในปกครองของตระกูลเซวียนเยวี๋ยน ย่อมรู้เรื่องที่คุณชายเล็กเซวียนเยวี๋ยนอวี่ถูกเย่เทียนเฉินอัด และรู้เรื่องที่เซวียนเยวี๋ยนเถิงส่งอาหู่ไปลงมือ อาหู่ก็ส่งลูกน้องอันธพาลพร้อมด้วยมีดตัดฟืนไปสามร้อยกว่าคนเพื่อไปล้อมโจมตีเย่เทียนเฉินในซอยแคบ แต่กลับถูกเย่เทียนเฉินฆ่าเปิดทางออกมา แค่คิดก็ทำให้ผู้คนต้องตกตะลึงจนหนาวเหน็บ

เรื่องเมื่อคืนนั้น หลูเซิ่งต๋าปิดเงียบไว้อย่างชาญฉลาด ปิดข่าวในทุกด้าน และยังสั่งคนลงมาอย่างเข้มงวดว่าไม่อนุญาตให้ใครพูดออกมาแม้แต่ครึ่งคำ ต่อให้มีสำนักขาวใหญ่ที่สุดของเมืองหลวงโทรมาสอบถามหรือสัมภาษณ์ก็ต้องบอกว่าไม่รู้อย่างเดียว

หลูเซิ่งต๋าฉลาดมาก หลังจากที่ได้สัมผัสกับเย่เทียนเฉินไม่กี่ครั้ง ในที่สุดเขาก็ตัดสินใจยืนฝั่งเย่เทียนเฉิน เนื่องจากเขาเชื่อในความสามารถของเย่เทียนเฉิน ต่อให้จะไม่มีอะไรเลย ต่อให้จะเหลือเพียงหมัดทั้งสอง ก็ไม่ใช่อะไรที่คนธรรมดาจะไปหาเรื่องได้

“แก…แกคือเย่เทียนเฉิน…” บอดี้การ์ดสูทดำอีกคนหนึ่งได้ยินคำพูดของเย่เทียนเฉินก็ตกใจจนพูดติดอ่าง

“ให้เซวียนเยวี๋ยนเถิงออกมาเถอะ เขาอยากจะเล่น ฉันก็จะเล่นกับเขาเอง!” เย่เทียนเฉินพูดด้วยรอยยิ้ม

เมื่อได้ยินคำพูดของเย่เทียนเฉิน ไม่เพียงแค่บอดี้การ์ดสูทดำเหล่านั้นที่ตกตะลึง กระทั่งนักศึกษาชายหญิงที่ล้อมดูก็ต้องมองเย่เทียนเฉินอย่างไม่อยากจะเชื่อ นักศึกษาทุกคนที่เรียนอยู่ในมหาวิทยาลัยหลงเถิง มีใครบ้างที่ไม่รู้จักชื่อเสียงอันยิ่งใหญ่ของเซวียนเยวี๋ยนเถิง ในหมู่สามคุณชายของมหาวิทยาลัยหลงเถิง เซวียนเยวี๋ยนเถิงมีชื่อเสียงทางด้านความโอหังบ้าอำนาจ อย่างน้อยการแสดงออกเบื้องหน้าก็เป็นแบบนี้ คนที่กล้าต่อต้านเซวียนเยวี๋ยนเถิง ตอนนี้น้อยที่สุดคือเด็กในเมืองหลวง มีจุดจบที่พิการไปตลอดชีวิต ส่วนคนอื่นที่ตาไม่มีแวว จะตายอย่างกะทันหันก็เป็นเรื่องปกติ

ดังนั้นจึงกล่าวได้ว่า เย่เทียนเฉินเอ่ยปากว่าจะเล่นกับเซวียนเยวี๋ยนเถิง หลายปีมานี้ในมหาวิทยาลัยหลงเถิง เพิ่งจะมีเขาคนเดียวที่กล้าพูดเช่นนี้

“พี่ของฉันกำลังอยู่ระหว่างทางมาที่นี่ ตอนนี้แกคุกเข่าโขกหัวให้ฉันซะสิ!”

ในตอนที่ทุกคนกำลังตกตะลึงกับความกล้าของเย่เทียนเฉินอยู่นั้นเอง ไอ้เด็กเมื่อวานซืนอายุสิบหกปีคนหนึ่ง เดินออกมาจากกลุ่มคน บอดี้การ์ดสูทดำสิบกว่าคนต่างเปิดทางให้อย่างจงใจ มองไอ้เด็กเมื่อวานซืนคนนั้นด้วยความเคารพ

ต่อให้ใช้ส้นเท้าคิดก็รู้ว่าไอ้เด็กเมื่อวานซืนคนนี้ไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นเซวียนเยวี๋ยนอวี่ที่บ้าอย่างไร้ขอบเขตตั้งแต่อายุยังน้อย เขาใช้ดวงตาอันโหดเหี้ยมจ้องมองไปยังเย่เทียนเฉิน ต้องการจะแก้แค้นให้ตนเอง แก้แค้นที่เย่เทียนเฉินตบหน้าเขาต่อหน้าฝูงชนที่ประตูมหาวิทยาลัยหลงเถิง

ที่เซวียนเยวี๋ยนอวี่ใจกล้าถึงเพียงนี้ ถึงขั้นสั่งให้บอดี้การ์ดชุดดำสิบกว่าคนมารอเย่เทียนเฉินที่ประตูมหาวิทยาลัยหลงเถิง เป็นเพราะเขารู้ว่าพี่ชายของตนกลับมาแล้ว ส่วนลึกของจิตใจคิดว่ามีที่พึ่งแล้ว เย่เทียนเฉินจะต้องตายอย่างแน่นอน ดังนั้นความโอหังของเขาพุ่งทะยานขึ้นมาในชั่วพริบตา ความพ่ายแพ้ที่เคยได้รับมาจากอาหู่และความรู้สึกหวาดกลัวเหล่านั้น ในตอนนี้กลับไม่เหลืออยู่เลย

ในใจของเซวียนเยวี๋ยนอวี่ ตระกูลเซวียนเยวี๋ยนของตนเองก็คือฟ้า ต้องการอะไรก็ได้อย่างนั้น ไม่มีใครกล้ามีปัญหากับตน ส่วนเซวียนเยวี๋ยนเถิงก็เป็นพี่ใหญ่ เขาต้องการให้ใครตายคนนั้นก็ต้องตาย ตอนนี้พี่ใหญ่กลับมาแล้ว วันตายของเย่เทียนเฉินก็มาถึงแล้ว

เพราะเหตุนี้เซวียนเยวี๋ยนอวี่จึงได้คิดจะข่มขู่และสั่งสอนเย่เทียนเฉินอย่างโหดเหี้ยมก่อนที่พี่ชายจะมาถึง เพื่อกู้หน้าให้ตัวเอง รอให้เซวียนเยวี๋ยนเถิงมาถึงค่อยฆ่าเย่เทียนเฉิน เช่นนั้นความกล้ำกลืนก็จะมีที่ระบาย เขาจะทำให้เย่เทียนเฉินไม่กล้าลงมือกับตนเองอีก ไม่กล้าต่อต้านพี่ชายของตนอีก

เย่เทียนเฉินมองเซวียนเยวี๋ยนอวี่ครั้งหนึ่ง มุมปากประดับด้วยรอยยิ้ม เดินมุ่งหน้าไปยังเซวียนเยวี๋ยนอวี่ทีละก้าว ทำให้เซวียนเยวี๋ยนอวี่ตกใจจนถอยหลังไปหลายก้าวตามสัญชาตญาณ อดไม่ได้ที่จะพูดออกมาอย่างตะกุกตะกัก “แก อย่าคิดจะทำอะไร…”

“ได้ข่าวว่าพี่ชายของแกกลับมาแล้วเหรอ? อยู่ไหนล่ะ?” เย่เทียนเฉินเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม

“หึ รู้จักกลัวแล้วหรือ? สายไปแล้ว แกลงมืออัดฉัน จะต้องตายอย่างแน่นอน ถือโอกาสที่พี่ชายของฉันยังมาไม่ถึง คุกเข่าโขกหัวสำนึกผิดกับฉันอย่างว่าง่ายซะ บางทีอาจจะทำให้แกตายโดยมีศพสมบูรณ์ก็ได้!”

เซวียนเยวี๋ยนอวี่คิดว่าเย่เทียนเฉินกลัวขึ้นมาแล้ว ทันใดนั้นจึงได้ยืดอกขึ้น มองเย่เทียนเฉินอย่างดุดันแล้วกล่าวขึ้น ความโหดเหี้ยมที่ไม่เหมาะสมกับอายุของเขา นักศึกษาชายหญิงแห่งมหาวิทยาลัยหลงเถิงที่อยู่รอบๆ เห็นแล้วต่างมีความรู้สึกรังเกียจ ไอ้เด็กเมื่อวานซืนคนหนึ่ง จะโอหังอะไรมากมาย แค่ฝ่ามือเดียวก็ตบเขาจนตายได้แล้ว นี่เป็นความคิดในใจของใครหลายคน เพียงแต่ไม่กล้าเคลื่อนไหวก็เท่านั้น

เพี๊ยะ!

เย่เทียนเฉินเคลื่อนไหวแล้ว ยังคงเป็นการตบหน้า ตบจนเซวียนเยวี๋ยนอวี่ทรุดลงกับพื้น มุมปากมีเลือดไหลออกมา เห็นได้ชัดว่าการตบในครั้งนี้รุนแรงขนาดไหน ตบจนเซวียนเยวี๋ยนอวี่มึนงง สมองมีเสียงดังหึ่งหึ่งออกมา

“แก…แก…” มือขวาของเซวียนเยวี๋ยนอวี่กุมอยู่ที่ใบหน้า มองเย่เทียนเฉินด้วยความหวาดกลัว จะอย่างไรเขาก็คิดไม่ถึงว่า ทั้งๆ ที่เย่เทียนเฉินรู้ว่าเซวียนเยวี๋ยนเถิงพี่ชายของเขากำลังจะมาถึง ก็ยังกล้าตบเขาอีก

“ฉันจะถามแกอีกครั้ง พี่ชายของแกอยู่ไหน?” เย่เทียนเฉินเลยถามด้วยรอยยิ้ม

“ฉัน…ฉันไม่รู้ แต่ยังไงวันนี้แกก็ต้องตายแน่นอน!” เซวียนเยวี๋ยนอวี่มองเย่เทียนเฉินด้วยใบหน้าอัปลักษณ์แล้วตะโกน

พลั่ก!

เย่เทียนเฉินใช้ขากระทืบลงไปบนใบหน้าของเซวียนเยวี๋ยนอวี่ เหยียบขยี้เซวียนเยวี๋ยนอวี่จนกรีดร้องออกมาเสียงดัง กับคนถ่อยน่ารังเกียจเช่นเซวียนเยวี๋ยนอวี่ เย่เทียนเฉินเองก็ไม่เกรงใจ อายุน้อยก็ยังโหดเหี้มยมถึงขนาดนี้ โตไปแล้วจะเป็นอย่างไร? ไม่สู้ทำให้หายไปจากโลกนี้ให้เร็วหน่อย นำความสงบสุขกลับมาให้คนธรรมดา

“อา… หน้าฉัน…” เซวียนเยวี๋ยนอวี่ร้องเสียงดัง มือทั้งสองจับอยู่ที่ข้อเท้าของเย่เทียนเฉิน รู้สึกว่ากระดูกบนใบหน้าของตนถูกเหยียบจนหัก ส่งเสียงร้องออกมาอย่างเจ็บปวด

“คนอย่างแกยังต้องใช้ใบหน้าอีกเหรอ? ตระกูลเซวียนเยวี๋ยนของแกยังต้องการหน้าอีกเหรอ? ในเมื่อไม่ต้องการ ฉันเย่เทียนเฉินก็จะเหยียบมันให้แหลกเหลวเอง!” เย่เทียนเฉินโมโหขึ้นมาแล้ว ออกแรงเหยียบที่เท้าเพิ่มขึ้น

“ไม่ อย่าฆ่าฉัน พะ…พี่ชายของฉันจะมาถึงแล้ว เขาจะไม่ปล่อยแกไปแน่!” เซวียนเยวี๋ยนอวี่ตะโกนออกมาเสียงดัง

“ฉันกำลังถามแกว่า เซวียนเยวี๋ยนเถิงพี่ชายของแกอยู่ที่ไหน จะพูดเรื่องไร้สาระมากมายไปทำไม?” เย่เทียนเฉินพูดอย่างเย็นชา

“ฉัน ฉันไม่รู้…ควรจะใกล้ถึงแล้ว แกปล่อยฉันไปตอนนี้ก็ยังทัน!”

เซวียนเยวี๋ยนอวี่ถูกทำเอาตกใจ เดิมทีเขาคิดว่าพี่ชายของตนกลับมา เย่เทียนเฉินจะไม่กล้าทำอะไรเขาอีก ทำได้เพียงยอมให้เขาฆ่าแกง ไหนเลยจะรู้ว่าเย่เทียนเฉินกลับไม่ยอมทำเช่นนั้น ไม่ว่าพี่ชายของคุณจะมาหรือไม่ หากมาหาเรื่องเขาก็ต้องถูกอัดอย่างไม่ต้องสงสัย

………………………………..

การปรากฏตัวของอู๋เสวี่ยทำให้เย่เทียนเฉินรู้สึกสงสัยอยู่บ้าง ระหว่างเขากับอู๋เสวี่ยไม่ได้มีการคบค้าสมาคมกันมากนัก ที่ตอนนั้นเขาไม่ได้ฆ่าอู๋เสวี่ยเป็นเพราะรู้สึกชื่นชมในนิสัยและความสามารถ ตอนนี้อู๋เสวี่ยมาหาเขาเพื่อมาบอกกับเขาว่าเซวียนเยวี๋ยนเถิงนั่งเครื่องบินเที่ยวพิเศษรอบดึกมาที่เมืองหลวง เห็นได้ชัดว่ากลับมาเพื่อฆ่าเย่เทียนเฉิน คุณชายเซวียนเยวี๋ยนอย่างเขายโสโอหังมาโดยตลอด ไม่อาจอดกลั้นความกล้ำกลืนนี้ได้

ท่าทางของเย่เทียนเฉินทำให้เลือดรู้สึกประหลาดใจมากจริงๆ และก็รู้สึกนับถือด้วย ต้องกล่าวว่าเมื่อก่อนฉินเหิงเอย ลั่วเหลยเอย ลั่วซงเฉิงเอย พวกเขาต่างก็มีอำนาจของตระกูลไม่น้อย แต่สามารถเห็นได้ว่าจะมากจะน้อยก็มีวิธีการอยู่บ้าง แต่กับเซวียนเยวี๋ยนเถิงนั้นไม่เหมือนกัน ตระกูลโลกเบื้องหลัง เหตุใดจึงเป็นโลกเบื้องหลัง นั่นก็เพราะไม่ได้ปรากฏออกมาเคลื่อนไหวในสังคมภายนอกมานานหลายปีแล้ว บางทีอาจจะมีคนรู้จักน้อยมาก สำหรับเรื่องที่ว่าตระกูลที่ไม่มีใครรู้จักนี้จะแข็งแกร่งถึงขนาดไหน ก็ดูเหมือนว่าจะมีไม่กี่คนที่เข้าใจได้อย่างกระจ่าง ทุกครั้งที่ตระกูลที่แอบซ่อนตัวอยู่เหล่านี้ใช้อำนาจปรากฏตัวในโลกเบื้องหน้าอีกครั้ง มักจะแข็งแกร่งจนทำให้ผู้คนต้องตกตะลึง

ดังนั้นจึงกล่าวได้ว่า ความร้ายกาจของเซวียนเยวี๋ยนเถิงยังเหนือกว่าพวกฉินเหิงเสียอีก แต่เย่เทียนเฉินยังคงสามารถสงบนิ่งได้ นี่ทำให้อู๋เสวี่ยคิดไม่ถึง

“นายแข็งแกร่งมาก แต่ถ้านายมองตระกูลเซวียนเยวี๋ยนเป็นคู่ต่อสู้ระดับเดียวกับตระกูลฉินและตระกูลลั่วก็ผิดแล้ว!” อู๋เสวี่ยมองเย่เทียนเฉินแล้วกล่าวขึ้น

“ในสายตาของฉันเย่เทียนเฉิน ไม่มีอะไรถูกผิด มีแต่กำปั้นเท่านั้น นายมีเหตุผล ฉันยอมให้นาย นายไม่มีเหตุผล ฉันก็จะอัดนาย ง่ายๆ แค่นี้เอง!”

กล่าวจบก็เดินจากไปโดยไม่หันกลับมามอง ทำให้อู๋เสวี่ยตะลึงงัน รู้จักเพียงทำตามหลักการโดยไม่สนใจตัวคน ไม่ว่าคุณจะเป็นใครหากกล้ามาหาเรื่องก็จะถูกกำปั้นตอบโต้เท่านั้น นี่เป็นนิสัยแบบไหนกัน กระทั่งตนเองพี่เป็นนักฆ่าอันดับหนึ่งแห่งเมืองหลวงก็ไม่อาจไม่นับถือ

“พี่ใหญ่!”

ทันใดนั้น อู๋เสวี่ยคุกเข่าข้างหนึ่งลงกับพื้น หันหน้าให้แผ่นหลังของเย่เทียนเฉิน ประสานหมัดคารวะ ท่าทางจริงจังเป็นอย่างมาก เย่เทียนเฉินที่หันกลับมามองอดไม่ได้ที่จะตกตะลึง ในใจคิดว่านี่มันเล่นอะไรกัน?

“นายหมายความว่าอะไร?” เย่เทียนเฉินเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม

“ผมอยากติดตามพี่ใหญ่ บุกยึดใต้หล้านี้ไปด้วยกัน!” อู๋เสวี่ยมองเย่เทียนเฉินอย่างจริงจังแล้วพูดขึ้น

“บุกยึดใต้หล้า? ฉันไม่มีความทะเยอทะยานแบบนั้นหรอก ฉันก็แค่อยากจะใช้ชีวิตอย่างสงบสุขกับครอบครัวเท่านั้นเอง!” ในใจของเย่เทียนเฉินรู้สึกหวั่นไหว แต่กลับยังคงพูดออกมาพลางมองไปที่อู๋เสวี่ยอย่างเรียบเฉย

“พี่ใหญ่ โปรดอภัยที่ผมต้องพูดตรงๆ ตอนนี้คุณได้กลายเป็นอุปสรรคของเมืองหลวงไปแล้ว ทุกกลุ่มอำนาจอิทธิพลต่างก็ให้ความสนใจ หากให้พูดตามจริง คนคิดอยากจะอยู่สงบสงบก็ทำไม่ได้ เพราะพวกเขาจะไม่ยอมปล่อยคุณไปแน่ ความโอหังบ้าอำนาจของพวกเขา จะไม่อนุญาตให้ใครก็ตามไปแตะต้อง…” อู๋เสวี่ยขมวดคิ้ว มองไปยังดวงตาของเย่เทียนเฉินแล้วพูดขึ้น

ความจริงแล้ว ในตอนที่หูหลงต้องการจะติดตามตนเองนั้น เย่เทียนเฉินก็คิดถึงการสร้างฐานอำนาจของตนไว้แล้ว หลังจากที่กลับถึงเมืองหลวง เย่เทียนเฉินก็มีใจคิดอยากจะใช้ชีวิตอย่างสงบสุขมาโดยตลอด แต่กลับพบว่าไม่มีทางทำได้เลย มีกลุ่มอำนาจที่อันตรายอยู่มากเกินไป มีตระกูลที่ยโสโอหังอยู่มากเกินไป ทุกอำนาจทุกตระกูลต่างก็ต้องการเหยียบย่ำตระกูลเย่ ต้องการทำให้เย่เทียนเฉินตกอยู่ในความตาย เขาต้องการปกป้องครอบครัวของตน ต้องการปกป้องพ่อแม่และน้องสาวของตน ก็จำเป็นที่จะต้องลงมือ ต้องลงมืออย่างรวดเร็วและรุนแรง ต้องปราบกลุ่มอำนาจยโสโอหังเหล่านี้

ในช่วงยุคสิ้นโลก เย่เทียนเฉินมีฐานะเป็นผู้แข็งแกร่งที่มีพลังพิเศษในขอบเขตพระเจ้า เดิมทีก็มีแต่การฆ่าฟันและการพิชิตมาตลอดชีวิต เมื่อได้มาเกิดใหม่ในโลกแห่งนี้ ถึงแม้เขาจะหวังว่าจะได้ใช้ชีวิตอย่างสงบสุข แต่นี่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาเย่เทียนเฉินจะเป็นตัวไร้ประโยชน์ที่รังแกได้ง่าย เขาคิดไว้นานแล้วว่า ในเมื่อมีคนมาหาเรื่อง สองหมัดของเขาก็จะไม่เกรงใจ กลับจะเป็นการเพิ่มความน่าสนใจความตื่นเต้นเล็กน้อยให้กับชีวิตอันน่าเบื่อของเขาด้วย เป็นแบบนี้ก็ไม่เลวนัก  จะได้ไม่ทำให้หมัดทั้งสองขึ้นสนิมไปเสียก่อน

ดังนั้นจึงกล่าวได้ว่า เย่เทียนเฉินไม่ใช่ว่าจะไม่เคยคิดถึงเรื่องการสร้างอำนาจของตน ตอนนี้กลุ่มอำนาจใหญ่แต่ละกลุ่มต่างจับจ้องตนเองอยู่ ยิ่งไปกว่านั้นเขายังพบว่ามีเรื่องน่าสนใจมากมาย เช่นการผสานวิชาแห่งพรรควรยุทธโบราณและพลังพิเศษเข้าด้วยกัน จะอย่างไรเขาก็ต้องเผชิญหน้ากับกลุ่มอำนาจมากมาย ไม่ใช่ว่าจะสามารถลงมือเองได้ทุกเรื่อง ถ้าเป็นแบบนั้นก็คงจะต้องวิ่งจนขาหักเข้าจริงๆแล้ว

เพียงแต่ว่าการสร้างอำนาจของตนไม่ได้ง่ายถึงขนาดนั้น ต้องมีคนที่มีความสามารถแข็งแกร่งและซื่อสัตย์ภักดซึ่งหายากยิ่งกว่ายาก เย่เทียนเฉินเคยคิดว่า หากเขาต้องการสร้างอำนาจ ลูกน้องจะต้องเป็นยอดฝีมือชั้นหนึ่งทั้งหมด ดูที่คุณภาพไม่ได้ดูที่ปริมาณ นอกจากจะต้องมีฝีมือดีแล้ว ยังต้องอยู่ในกฎระเบียบและวินัย จะต้องเชื่อฟังคำสั่งอย่างเด็ดขาด และที่สำคัญที่สุดก็คือ ไม่ใช่คนสาระเลวที่หลงใหลในการฆ่าฟัน

“พี่ใหญ่ หลังจากที่ได้ต่อสู้กับคน ผมก็อยากจะติดตามคุณมาตลอด ผมรู้ว่าคุณมีความทะเยอทะยาน แล้วก็มีความสามารถจะทำเช่นนั้นด้วย ผมอู๋เสวี่ยไม่ขออะไร ขอเพียงสามารถสร้างชื่อเสียงได้ สามารถใช้ชีวิตเพื่อกระทำเรื่องราวที่มีความหมายได้เท่านั้น ก่อนหน้านี้ผมเป็นนักฆ่าเพียงเพราะชีวิตบีบบังคับ นั่นไม่ใช่ชีวิตที่ผมต้องการ!” อู๋เสวี่ยเห็นเย่เทียนเฉินยังคงลังเล จึงรีบเอ่ยปากพูดไม่หยุด

“นายจะติดตามฉันจริงๆ เหรอ? ตอนนี้ฉันตัวคนเดียว ไม่มีอำนาจอะไร เป็นไปได้มากว่าจะเดินไปได้ไม่ไกลก็จะตาย แล้วนายเองก็จะตายด้วย!” เย่เทียนเฉินมองอู๋เสวี่ยแล้วเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม

“ผมอู๋เสวี่ยเป็นนักฆ่าอันดับหนึ่งแห่งเมืองหลวง ความตายสำหรับผมแล้วไม่ได้น่ากลัวอะไร สิ่งที่น่ากลัวก็คือไม่ได้มีการต่อสู้ที่ทำให้เลือดร้อนตื่นเต้น” อู๋เสวี่ยยังคงมองเย่เทียนเฉินด้วยความแน่วแน่

กล่าวตามจริง เย่เทียนเฉินยังคงคิดอยากจะสร้างอำนาจเป็นของตนเองอยู่บ้าง อยากจะเล่นกับพวกที่ได้ชื่อว่าเป็นอำนาจใหญ่ตระกูลใหญ่เหล่านี้ดูสักหน่อย เพื่อไม่ให้พวกเขาคิดว่าตระกูลเย่ของตนรังแกได้ง่ายเข้าจริงๆ หากพูดถึงตัวเลือกที่จะใช้ในการสร้างอำนาจของตน อู๋เสวี่ยย่อมนับรวมอยู่ในนั้นด้วย มีสมองอันชาญฉลาด มีฝีมืออันแข็งแกร่ง ที่สำคัญที่สุดก็คือก็ทำเรื่องราวอย่างมีหลักการของตนเอง เย่เทียนเฉินชอบคนที่ทำอะไรมีหลักการแบบนี้มาก

“งั้นเอาแบบนี้แล้วกัน พวกเรามาพนันกันเป็นไง?” ทันใดนั้นเย่เทียนเฉินยิ้มออกมาอย่างนึกสนุกแล้วเอ่ยขึ้น

“พนัน? พนันอะไรครับ?”  อู๋เสวี่ยเอ่อด้วยความสงสัย

“ถ้าหากว่าภายในสามเดือนนี้ นายสามารถรวบรวมยอดฝีมือที่มีความสามารถไม่เลวได้กลุ่มหนึ่ง ฉันก็จะรับนายมาเป็นน้อง ให้นายติดตามฉันไปท้าทายุทธภพด้วยกัน หากว่าทำไม่ได้ ฉันก็ไม่อยากจะเห็นนายปรากฏตัวอีก!” เย่เทียนเฉินพูดพลางมองอู๋เสวี่ย มุมปากปรากฏรอยยิ้มออกมา

อู๋เสวี่ยตกตะลึงไปครู่หนึ่ง ถึงแม้ว่าในใจเขาจะรู้สึกยินดีมาก เพราะเขาเชื่อมั่นว่าหากเย่เทียนเฉินลงมือจะต้องสามารถสร้างอำนาจที่ยิ่งใหญ่ออกมาได้อย่างแน่นอน และสามารถคุกคามอำนาจใหญ่และตระกูลใหญ่เหล่านั้นได้ ทำให้พวกเขาไม่คิดเหลิงในอำนาจอีก เช่นนั้นจะต้องสนุกมากแน่ๆ เพียงแต่เย่เทียนเฉินต้องการให้ตนเองรวบรวมยอดฝีมือที่มีความสามารถไม่เลวมากลุ่มหนึ่งภายในสามเดือน ความจริงแล้วค่อนข้างยากอยู่บ้าง ในสังคมปัจจุบันนี้ ถึงแม้ว่าจะมียอดฝีมือที่ซ่อนเร้นอยู่จำนวนมาก เช่นยอดฝีมือแห่งพรรควรยุทธโบราณและผู้มีพลังพิเศษ แต่หากต้องการเชิญคนเหล่านี้มาก็ไม่ง่ายเช่นนั้น

“เป็นไง? ทำได้หรือเปล่า?” เย่เทียนเฉินเอ่ยถาม

“ไม่มีปัญหา พี่ใหญ่ มีบางคำที่ผมอยากจะพูดต่อหน้าคุณ หากว่ามีวันหนึ่งที่ฝีมือของคุณสู้ผมไม่ได้ ผมอู๋เสวี่ยก็จะจากไป หรือกระทั่งฆ่าคุณซะ!” อู๋เสวี่ยมองเย่เทียนเฉินยังเด็ดเดี่ยวแล้วพูดขึ้น

“ได้ มีความเด็ดเดี่ยวดี แต่ว่าฉันจะไม่ให้วันนั้นมาถึงหรอก!” เย่เทียนเฉินพูดแล้วหัวเราะเสียงดัง

“พี่ใหญ่!” อู๋เสวี่ยพูแล้วหัวเราะออกมาเช่นกัน

“ดีมากไอ้น้องชาย!”

เย่เทียนเฉินตบไหล่อู๋เสวี่ย มีผู้ช่วยอย่างอู๋เสวี่ยทำให้เย่เทียนเฉินดีใจมาก การสร้างอำนาจของตนเป็นสิ่งที่ไม่อาจเลี่ยงได้ ในตอนนี้อำนาจที่เป็นศัตรูกับเย่เทียนเฉินมากขึ้นทุกวัน เขาเพียงคนเดียวต่อให้จะร้ายกาจมากเพียงใด หากต้องรับมือรอบด้านก็คงไม่อาจทำได้ ตอนนี้จำเป็นจะต้องมีเหล่าพี่น้องที่มีจิตใจภักดีสักกลุ่มหนึ่งติดตามเขา และทำเรื่องต่างๆให้เขา

เสี้ยวหยาและหลิงอวี่สวิ๋นรอเย่เทียนเฉินอยู่ที่ประตูใหญ่ของโรงพยาบาลแห่งเมืองหลวงเกือบครึ่งชั่วโมงแล้ว ถึงจะเห็นเขาเดินออกมาจากสวนหย่อม หลิงอวี่สวิ๋นมองนาฬิกา เกือบจากบ่ายโมงแล้ว อดไม่ได้ที่จะทำแก้มป่องขึ้น มองไปยังเย่เทียนเฉินอย่างดุดันแล้วพูดว่า “ทำอะไรน่ะ นานขนาดนี้เชียว?”

“ไปฉี่มา!” เย่เทียนเฉินพูดด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์

“นาย…น่ารังเกียจ!” หลิงอวี่สวิ๋นด่ากราด

เย่เทียนเฉินหัวเราะเสียงดังแล้วเดินไปข้างหน้า หลิงอวี่สวิ๋นมองเย่เทียนเฉินหนังเหยียดหยาม กำมืออันขาวนวลแน่น อยากจะต่อยเย่เทียนเฉินให้ตายจริงๆ ส่วนเสี้ยวหยารู้สึกสับสนในใจ ในตอนนี้เธอกำลังคิดถึงคำพูดของแม่ มองแผ่นหลังที่ดูคล้ายอันธพาลของเย่เทียนเฉิน เธอไม่รู้ว่าตนเองคิดอย่างไรกันแน่ ชอบเย่เทียนเฉิน รักเย่เทียนเฉิน  หรือ…

หลังจากที่กินข้าวกลางวันเสร็จแล้ว เย่เทียนเฉินและเสี้ยวหยาก็นั่งรถสปอร์ตของหลิงอวี่สวิ๋นไปยังมหาวิทยาลัยหลงเถิง ในตอนนี้เองที่ประตูมหาวิทยาลัยหลงเถิง มีคนรอเย่เทียนเฉินอยู่นานแล้ว เตรียมที่จะสร้างความอัปยศให้เย่เทียนเฉินต่อหน้าผู้คน กระทั่งเตรียมที่จะฆ่าเขา

เมื่อรถสปอร์ตของหลิงอวี่สวิ๋นจอดอยู่หน้าประตูมหาวิทยาลัยหลงเถิง ทันใดนั้นบอดี้การ์ดสูทดำสิบกว่าคนก็มาล้อมรถสปอร์ตเอาไว้ หลิงอวี่สวิ๋นขมวดคิ้ว ตระกูลหลิงของเธอเป็นตระกูลที่มีอำนาจอยู่บ้าง และไม่ใช่ตระกูลที่จะถูกผู้อื่นรังแกงได้ตามใจ

“พวกนายเป็นใคร? คิดจะทำอะไร?” หลิงอวี่สวิ๋นเอ่ยถามเสียงต่ำ

“คุณหนูหลิง พวกเราไม่อยากทำให้คุณลำบากใจ คนที่มีธุระกับพวกเราก็คือเย่เทียนเฉิน!” บอดี้การ์ดชุดดำคนหนึ่งพูดขึ้นพลางมองเย่เทียนเฉินอย่างเย็นชา

“เขาเป็นเพื่อนของฉัน พวกนายมีเรื่องอะไรก็มาคุยกับฉันนี่!” หลิงอวี่สวิ๋นชะงักไปเล็กน้อย คิดถึงความเป็นไปได้อย่างหนึ่งแต่กลับยังคงช่วยเหลือเย่เทียนเฉิน

“คุณชายเซวียนเยวี๋ยนเถิงกลับมาแล้ว เรื่องนี้คุณหนูหลิงรับผิดชอบไม่ไหวหรอกครับ พวกเราไม่อยากจะทำให้คุณลำบากใจ ให้เย่เทียนเฉินไปกับพวกเราเถอะ!” บอดี้การ์ดที่เอ่ยปากพูดคนแรกยังคงพูดต่อไป

“อะไรนะ? เซวียนเยวี๋ยนเถิงกลับมาแล้ว?” หลิงอวี่สวิ๋นกดไม่ได้ที่จะตกตะลึง เธอคิดไม่ถึงว่าเซวียนเยวี๋ยนเถิงจะกลับมาเร็วขนาดนี้ ท่าทางเย่เทียนเฉินจะทำให้เขาโกรธจริงๆแล้ว เซวียนเยวี๋ยนเถิงกลับมาเพื่อหาเรื่องเย่เทียนเฉิน

“ถูกแล้วครับ ความหมายของคุณชายเซวียนเยวี๋ยนเถิงชัดเจนมาก ต้องการให้เย่เทียนเฉินตาย ใครก็ช่วยเขาไม่ได้!”

คำพูดของบอดี้การ์ดชุดดำคนนั้นเย็นยะเยือกและมีอำนาจมาก ราวกับว่าความเป็นความตายของเย่เทียนเฉินถูกเซวียนเยวี๋ยนเถิงตัดสินไปแล้วอย่างไรอย่างนั้น เซวียนเยวี๋ยนเถิงต้องการให้ใครตาย คนนั้นก็ไม่รอด

“กลับไปบอกเซวียนเยวี๋ยนเถิงว่าให้เขามาหาฉันเอง ไม่งั้นเขาจะเสียใจ!

ในตอนนี้เอง เย่เทียนเฉินเดินลงมาจากรถสปอร์ต มุมปากประดับไปด้วยรอยยิ้มชั่วร้าย ทุกครั้งที่เขาคิดจะลงมือฆ่า ต่างก็มีรอยยิ้มเช่นนี้ปรากฏออกมาทั้งสิ้น

………………………

น่าสงสารคนเป็นแม่ในโลกนี้ หากไม่ใช่เพราะอาการป่วยของตนแม่ของเสี้ยวหยาก็คงไม่รีบร้อนให้ลูกสาวหาคู่ชีวิตที่มีความจริงใจต่อเธอ บางทีมีเพียงคนที่ยืนอยู่ในฐานะแม่อย่างแม่ของเสี้ยวหยาเท่านั้นที่จะเข้าใจอารมณ์ของคนเป็นแม่เช่นนี้

เสี้ยวหยาเป็นผู้หญิงที่สวยงามและไร้เดียงสาคนหนึ่ง ตั้งแต่เล็กจนโตก็เชื่อฟังและรู้ความ ในด้านความรักก็ไม่เคยมีประสบการณ์มาก่อน แน่นอนว่าก่อนหน้านี้ไม่มีผู้ชายคนไหนที่สามารถทําให้เธอหวั่นไหวได้เลย ชายใดบ้างที่จะไม่มากรัก หญิงใดบ้างที่จะไม่อยู่ในห้วงแห่งความรัก ขอเพียงเป็นมนุษย์ก็ไม่อาจหลุดพ้นกิเลสตัณหาไปได้ ความแตกต่างระหว่างคนกับสัตว์ก็คือความรู้สึก

เพียงแต่ว่าจะอย่างไรเสี้ยวหยาก็คิดไม่ถึงว่า แม่ของเธอจะพูดประโยคนี้ออกมาอย่างกะทันหัน แล้วยังพูดต่อหน้าเย่เทียนเฉินอีกต่างหาก ทำให้ทั้งสองค่อนข้างรู้สึกลำบากใจ

เสี้ยวหยาไม่อาจพูดได้ว่าไม่มีความรู้สึกใดต่อเย่เทียนเฉินแล้ว และไม่อาจพูดได้ว่าไม่มีความรักใคร่ เพียงแต่ไม่ใช่อารมณ์รุนแรงเช่นนั้น ระหว่างทั้งสองไม่นับว่าโรแมนติกอะไรมากมาย ครั้งแรกที่ได้พบหน้ากัน เสี้ยวหยาก็เห็นเย่เทียนเฉินสั่งสอนเซวียนเยวี๋ยนอวี่เพื่อออกหน้าแทนเธอ การช่วยเหลือของเย่เทียนเฉินและหลิงอวี่สวิ๋นที่มีต่อเธอ ทำให้เสี้ยวหยารู้สึกซาบซึ้งมาก ความรู้สึกที่มากที่สุดจึงหยุดลงเพียงแค่สถานะของเพื่อนสนิทเท่านั้น

เพียงแต่เมื่อผ่านประสบการณ์เมื่อคืนมาแล้ว ทำให้เสี้ยวหยาไม่อาจลืมเลือนไปได้ชั่วชีวิต ในช่วงเวลาแห่งความเป็นความตาย เย่เทียนเฉินปกป้องตนเองราวกับมัจจุราช เผชิญหน้ากับอันธพาลที่ใช้มีดตัดฟืนสามร้อยกว่าคนโดยไม่ยอมถอยแม้เพียงครึ่งก้าว ความรู้สึกที่ถึงตายก็จะปกป้องตนเองให้ได้นั้น เสี้ยวหยาสามารถสัมผัสได้จากในใจ ผู้ชายเช่นนี้บางทีอาจจะพบแค่ครั้งเดียวในชีวิต

สิ่งที่ทำให้เสี้ยวหยาคิดไม่ถึงก็คือ เมื่อได้เห็นเย่เทียนเฉินตกอยู่ในอันตราย เธอจะเป็นห่วงขนาดนั้น และไปขวางมีดให้เขาโดยที่ไม่สนใจตนเอง

เมื่อคลื่นทะเลซัดสาด จึงเห็นธาตุแท้แห่งจอมคน การพานพบภัยอันตรายด้วยกัน จึงจะเป็นน้ำใสใจจริงแห่งโลกมนุษย์

ดังนั้นสามารถกล่าวได้ว่า ความรู้สึกที่เสี้ยวหยามีต่อเย่เทียนเฉินในตอนนี้ค่อนข้างจะแปลกประหลาด ทั้งชอบ ซาบซึ้ง และหวั่นไหว เสี้ยวหยาที่แต่ไหนแต่ไรมาก็ไม่เคยมีความรักสนใจเพียงแต่การเรียนมาโดยตลอด จึงไม่สามารถเข้าใจชัดเจนว่าตนเองในตอนนี้คิดอย่างไรกันแน่

“อ้อ มะ ไม่เป็นไร เทียนเฉิน อย่ายืนอยู่เลย นั่งเถอะ!” แม่ของเสี้ยวหยาได้สติกลับมา จึงค่อยพูดออกมาด้วยรอยยิ้มกระอักกระอ่วนเล็กน้อย

“ไม่เป็นไรครับ ผมยืนก็ดีแล้ว!” เย่เทียนเฉินพูดแล้วส่ายหน้า

เป็นเพราะคำพูดของแม่ของเสี้ยวหยา ทั้งสองจึงได้กระอักกระอ่วน ในใจของแต่ละคนก็คิดเรื่องในใจ ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี ทำให้บรรยากาศภายในห้องผู้ป่วยค่อยๆ กลายเป็นกดดันขึ้นมา ทุกคนต่างก็ไม่รู้จะพูดอะไรดี ทุกครั้งที่เย่เทียนเฉินและเสี้ยวหยาสบตากัน เย่เทียนเฉินก็ทำได้เพียงยิ้มให้อย่างอึดอัด ส่วนเสี้ยวหยาก็หน้าแดงอย่างไร้เดียงสา

 ปัง!

ประตูห้องผู้ป่วยถูกผลักออก หลิงอวี่สวิ๋นหอบกล่องของขวัญกองหนึ่งเดินเข้ามา เมื่อเห็นว่าเย่เทียนเฉินและเสี้ยวหยาต่างก็อยู่ด้านในจึงอดไม่ได้ที่จะมองไปยังเย่เทียนเฉินด้วยความสนใจแล้วพูดขึ้นว่า “นายนี่กระตือรือร้นดีจริงๆ เลย ฉันว่าฉันมาเช้าที่สุดแล้วนะ คิดไม่ถึงว่านายยังจะมาเช้ากว่าฉันอีก!”

“นี่ยังเรียกว่าเช้าอีกเหรอ? ใกล้จะสิบเอ็ดโมงแล้ว คุณหนูอย่างเธอนี่นอนขี้เกียจนานเลยสิท่า? ถ้าขี้เกียจมากเกินไปวันหน้าจะแต่งไม่ออกจริงๆ ด้วย!” เย่เทียนเฉินส่ายหน้า แสร้งทำท่าทางสงสารแล้วพูดออกมา

“ใครเขานอนขี้เกียจกัน ฉันตื่นมาก็อาบน้ำแล้วก็ขับรถมาเลย ไม่เหมือนคนบางคน ไม่รู้ว่าไม่อาบน้ำมากี่ร้อยปีแล้ว!” หลิงอวี่สวิ๋นมองไปที่เย่เทียนเฉินอย่างกวนๆ แล้วพูดขึ้น

“เธอรู้เหรอว่าฉันไม่อาบน้ำมากี่ร้อยปีแล้ว? หรือว่าเธอเข้าห้องน้ำพร้อมฉัน?” เย่เทียนเฉินพูดอย่างไม่ยอมอ่อนข้อให้เลยแม้แต่น้อย

“ไอ้บ้า ไอ้บ้ากาม!” หลิงอวี่สวิ๋นพูดขึ้น จ้องมองไปที่เย่เทียนเฉินด้วยสายตาดุดัน

เมื่อหลิงอวี่สวิ๋นและเย่เทียนเฉินเจอหน้ากันก็ปะทะฝีปากกันทันที ไม่มีใครยอมลงให้ใคร ให้ความรู้สึกเหมือนกับฉีหรูเสวี่ยในตอนแรก ผู้หญิงในปัจจุบันนี้ โดยเฉพาะผู้หญิงสวย จะมากจะน้อยก็ต้องอารมณ์ร้อนกันบ้าง เมื่อเทียบหลิงอวี่สวิ๋นกับฉีหรูเสวี่ยแล้ว หลิงอวี่สวิ๋นยังทำให้เย่เทียนเฉินปวดหัวได้มากกว่าเสียอีก เธอกับเขาเป็นเพื่อนเล่นกันมาตั้งแต่เด็ก ความรู้สึกนั้นค่อนข้างจะพิเศษ ดังนั้นเขาจึงไม่สามารถมองข้ามหลิงอวี่สวิ๋นได้ ทำได้เพียงปะทะฝีปากกับเธอมาโดยตลอด

เสี้ยวหยาเห็นหลิงอวี่สวิ๋นและเย่เทียนเฉินเจอหน้ากันก็ทะเลาะกันทันที บรรยากาศพลันอบอุ่นขึ้นมา ทุกคนไม่ได้ระมัดระวังตัวอะไรขนาดนั้นแล้ว ในใจรู้สึกอิจฉาอยู่บ้านจริง อิจฉาที่พวกเขาไร้ความกังวล

เพียงไม่นาน ภายในห้องผู้ป่วยที่แม่ของเสี้ยวหยาอยู่ก็มีเสียงหัวเราะดังขึ้น เมื่อมีหลิงอวี่สวิ๋นที่เป็นคนร่าเริงเพิ่มเข้ามา บรรยากาศจึงไม่หม่นหมอง ทั้งสี่พูดคุยกันอย่างมีความสุข จนกระทั่งถึงเวลาประมาณเที่ยง พ่อของเสี้ยวหยาก็มาส่งอาหาร เย่เทียนเฉิน เสี้ยวหยาและหลิงอวี่สวิ๋นจึงจะเดินออกไปจากโรงพยาบาลแห่งเมืองหลวง

เมื่อเดินออกมาจากโรงพยาบาล เย่เทียนเฉินก็มองไปยังเสี้ยวหยาด้วยความกังวลแล้วเอ่ยถามว่า “หยาเอ๋อร์ เธอไม่เป็นไรใช่ไหม?”

ถึงแม้บาดแผลที่หลังของเสี้ยวหยาจะไม่ลึก หลังจากที่เลือดหยุดไหลแล้วก็ไม่มีอะไรร้ายแรง แต่ก็ควรจะเจ็บมาก อย่างไรก็เป็นบาดแผลจากมีด ดังนั้นในตอนที่พูดคุยกัน เย่เทียนเฉินจึงมองไปยังเสี้ยวหยาเป็นระยะ ด้วยกลัวว่าเธอจะรู้สึกปวดเพราะบาดแผล

“ไม่เป็นไร ไม่เจ็บ!” เสี้ยวหยายิ้มพลางส่ายหน้าแล้วเอ่ยขึ้น

หลิงอวี่สวิ๋นที่เดินอยู่ข้างกายของเสี้ยวหยารู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาเล็กน้อย เธอไม่รู้ว่าเมื่อคืนเย่เทียนเฉินและเสี้ยวหยาไปเจออะไรมา เนื้อหาในบทสนทนาของเย่เทียนเฉินและเสี้ยวหยาหมายถึงอะไรกันแน่

“พวกเธอ…หรือว่าพวกเธอสองคน…จะ…กันแล้ว? เร็วจริงๆเลย…” ทันใดนั้นหลิงอวี่สวิ๋นพลันคิดถึงความเป็นไปได้อย่างหนึ่งออกมา จึงมีท่าทางตกใจจนหน้าซีด เอ่ยถามขึ้นมาด้วยคำพูดติดอ่าง

“หือ? พี่อวี่สวิ๋น พี่หมายถึงอะไรคะ?” เสี้ยวหยาเอ่ยถามพลางมองไปยังหลิงอวี่สวิ๋นด้วยความสงสัย

“เมื่อคืนพวกเธอสองคนไปเปิดห้องกันใช่ไหม? ไอ้บ้านี่ทำเธอ…”หลิงอวี่สวิ๋นแลบลิ้นออกมา

เมื่อได้ยินคำพูดของหลิงอวี่สวิ๋น เย่เทียนเฉินและเสี้ยวหยาก็เกือบจะสะดุดล้มลงกับพื้น ทำไมพวกเขาจะคิดไม่ได้ว่าหลิงอวี่สวิ๋นเกิดความคิดชั่วร้ายขึ้นมาเพราะไม่เข้าใจในบทสนทนาของพวกเขา แน่นอนว่านี่ต้องโทษคำพูดของเย่เทียนเฉินและเสี้ยวหยาที่ทำให้คนอื่นเข้าใจไปในเรื่องนั้นได้ง่าย คนนึงพูดว่าเธอไม่เป็นไรใช่ไหม อีกคนพูดว่าไม่เจ็บ เหมือนกับบทสนทนาระหว่างหญิงชายที่เปิดห้องกันเป็นครั้งแรก

“ความคิดของเธอจะลามกเกินไปแล้ว ให้เกียรติใบหน้าสวยๆ ของเธอด้วยเถอะ!” เย่เทียนเฉินเคาะหัวหลิงอวี่สวิ๋นครั้งหนึ่งแล้วพูดขึ้น

“โอ๊ย ไอ้บ้า หาเรื่องหรือไง? หรือว่าเมื่อคืนพวกเธอสองคนไม่ได้…งั้นทำไมถึงถามแบบนั้นออกมาล่ะ?” หลิงอวี่สวิ๋นจ้องไปยังเย่เทียนเฉินอย่างดุดันแล้วพูดขึ้น

“ใช่ที่ไหนกันคะพี่อวี่สวิ๋น ไม่ใช่แบบที่พี่คิดนะคะ ไม่มีเรื่องแบบนั้น!” ใบหน้าเล็กๆ ของเสี้ยวหยาแดงระเรื่อด้วยความเขินอาย ถึงแม้ว่าเธอจะไม่มีประสบการณ์เรื่องระหว่างชายหญิงมาก่อนแต่ก็ฟังความหมายในคำพูดของหลิงอวี่สวิ๋นออก

“งั้นทำไมพวกเธอถึงได้…”

“นี้เป็นความลับระหว่างเราสองคน ไม่บอกเธอหรอก ฮ่าๆ!” เย่เทียนเฉินพูดแล้วหัวเราะขึ้น

“นาย…ใครอยากจะรู้กัน หึ!” หลิงอวี่สวิ๋นมองไปยังเย่เทียนเฉินด้วยความไม่พอใจ

เมื่อเย่เทียนเฉิน เสี้ยวหยาและหลิงอวี่สวิ๋นเพิ่งจะเดินออกมาถึงประตูใหญ่ของโรงพยาบาลแห่งเมืองหลวง ทันใดนั้นเย่เทียนเฉินก็สัมผัสได้ถึงบรรยากาศอันแปลกประหลาดอย่างหนึ่ง ถึงแม้ว่าอีกฝ่ายจะรีบเก็บซ่อนในทันที แต่จิตสังหารที่แข็งแกร่งขนาดนั้น ยังคงไม่สามารถหลบซ่อนจากพลังพิเศษแห่งการรับรู้ของเย่เทียนเฉินได้

เย่เทียนเฉินมองไปยังศาลาพักผ่อนด้านซ้ายมือ บริเวณนั้นเป็นสวนหย่อมเล็กๆแห่งหนึ่ง เป็นสถานที่ที่จัดเตรียมไว้ให้คนที่มารักษาที่โรงพยาบาลแห่งเมืองหลวงได้พักผ่อน จิตสังหารอันแข็งแกร่งเช่นนั้นแพร่ออกมาจากในสวนหย่อม เย่เทียนเฉินคิดอยู่ครู่หนึ่ง ยิ้มให้เสี้ยวหยาและหลิงอวี่สวิ๋นพลางพูดขึ้นว่า “ผู้หญิงอย่างพวกเธอสองคนรอฉันสักหน่อยนะ เดี๋ยวฉันมา!”

“นี่ ไอ้บ้า นายจะไปไหน? คงไม่คิดที่จะหาเรื่องโดดไม่ยอมจ่ายเงินค่าอาหารหรอกนะ…” คำพูดของหลิงอวี่สวิ๋นยังไม่ทันจบ เย่เทียนเฉินก็เดินตรงไปที่สวนหย่อมแล้ว

เย่เทียนเฉินเดินไปทางสวนหย่อมและค่อยๆ กระตุ้นความสามารถพิเศษในขอบเขตจอมราชันของตนอย่างช้าๆ จิตสังหารที่เขาสัมผัสได้ไม่ธรรมดาเลย อีกฝ่ายจะต้องเป็นยอดฝีมือคนหนึ่งอย่างแน่นอน

 ฉัวะ!

เพิ่งจะเดินเข้าไปในสวนหย่อม ก็มีคนลอบโจมตีเย่เทียนเฉิน เป็นหมัดที่รุนแรงมาก ซัดมายังศีรษะของเย่เทียนเฉิน เง่าร่างหนึ่งโจมตีมาจากบนอากาศราวกับเหยี่ยวสยายปีก มุมปากของเย่เทียนเฉินแย้มยิ้มเล็กน้อย มือขวากำแน่น ไม่หลบไม่ซ่อน ซัดหมัดออกไปปะทะเช่นเดียวกัน

ตู้ม!

เสียงดังสนั่นเกิดขึ้น เงาร่างที่ปล่อยหมัดออกมาลอบโจมตีเย่เทียนเฉินถูกมัดของเย่เทียนเฉินปะทะเข้าอย่างรุนแรง จากนั้นจึงกระเด็นพลิกกตัวไปด้านหลังแล้วตกลงสู่พื้น เย่เทียนเฉินไม่ได้ไล่ตามไปโจมตี ทำเพียงยืนมองคนตรงหน้าด้วยรอยยิ้ม คิดไม่ถึงว่าจะเป็นเขา

“ไม่ได้เจอกันพักหนึ่งแล้ว มวยสิงอี้ของนายพัฒนาขึ้นนะ ท่าทางจะฝึกฝนอย่างยากลำบากนาน!” เย่เทียนเฉินพูดด้วยรอยยิ้ม

“ฉันอู๋เสวี่ยที่เคยเป็นนักฆ่าอันดับหนึ่งแห่งเมืองหลวง ต่อให้พยายามอย่างเต็มที่ก็ไม่ใช่คู่มือของนาย นายแข็งแกร่งจริงๆ”

ผู้มาเยือนก็คืออู๋เสวี่ย ซึ่งอยู่นอกเหนือความคาดหมายของเย่เทียนเฉินไปมาก ในความทรงจำเกรงว่าจะมีแค่อู๋เสวี่ยเพียงคนเดียวถึงจะสามารถแผ่จิตสังหารที่แข็งแกร่งขนาดนั้นออกมาได้ นี่เป็นสัญลักษณ์ของนักฆ่าชั้นยอด

เพียงแต่เย่เทียนเฉินไม่เข้าใจ เขากับอู๋เสวี่ยไม่มีความเกี่ยวพันกันมากนัก อู๋เสวี่ยเคยถูกลั่วซงเฉิงใช้ผลประโยชน์เข้าข่มขู่และบีบบังคับให้มาฆ่าเย่เทียนเฉิน เย่เทียนเฉินเองก็ชื่นชมในความสามารถและนิสัยของอู๋เสวี่ย ดังนั้นจึงไม่ได้ฆ่าเขา สุดท้ายก็ตกลงกันว่าจะช่วยพ่อของอู๋เสวี่ยออกมาจากคุก จากนั้นระหว่างคนทั้งสองก็ไม่ได้มีการติดต่อใดๆ กันอีก หากว่ากันตามเหตุผลคงไม่มีวันจะได้พบหน้ากันอีก แต่ตอนนี้ดูท่าแล้วอู๋เสวี่ยกลับมารอเย่เทียนเฉินอยู่ที่นี่โดยเฉพาะ

“นายมาหาฉันมีเรื่องอะไรเหรอ? มีเรื่องอะไรก็พูดมา ฉันยังต้องไปกินข้าวเป็นเพื่อนสาวสวยทั้งสองคนนั้นอีก!” เย่เทียนเฉินเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม

“ฉันมาเพราะอยากจะบอกนายว่า เซวียนเยวี๋ยนเถิงกลับมาที่เมืองหลวงแล้ว มาถึงตอนเจ็ดโมงเช้า เขาจะมาฆ่าเพื่อนายโดยเฉพาะ!” อู๋เสวี่ยมองเย่เทียนเฉินแล้วพูดขึ้น

“งั้นเหรอ? งั้นก็ดีเลย ฉันจะได้ไม่ต้องกังวลว่าเขาจะไม่กล้าโผล่หน้าออกมา รู้จักแต่วางแผนร้ายอยู่ข้างหลัง!” เย่เทียนเฉินยังคงพูดด้วยใบหน้าที่ประดับไปด้วยรอยยิ้ม

อู๋เสวี่ยมองเย่เทียนเฉินครั้งหนึ่ง หลังจากที่ได้ต่อสู้กับเย่เทียนเฉิน อู๋เสวี่ยก็นับถือเย่เทียนเฉินจากใจ ถึงแม้คนๆ นี้จะมีบางเวลาที่ดูไม่เอาไหน นิสัยก็ค่อนข้างตามสบาย แต่กลับมีบรรยากาศที่ทำให้คนไม่กล้าดูเบา

……………………….

ได้ยินพูดไม่เข้าหูประโยคเดียวก็ฆ่าคน โอหังบ้าอำนาจ ไร้มนุษยธรรม คำเหล่านี้สามารถใช้บรรยายเซวียนเยวี๋ยนเถิงได้เป็นอย่างดี เขาไม่ได้บ้า ไม่ได้หยิ่ง แต่ไม่มีความเป็นมนุษย์ ไม่เห็นใครอยู่ในสายตาโดยสิ้นเชิง

คนที่อยู่ในเหตุการณ์ล้วนเป็นคนที่มีฐานะอยู่บ้าง และนับว่าเป็นคนที่มีอำนาจ แต่กลับถูกเซวียนเยวี๋ยนเถิงทำเอาตกใจ

ใครก็คิดไม่ถึงว่าเซวียนเยวี๋ยนเถิงที่ฆ่าคนเพียงเพราะประโยคเดียว จะใจแคบจนถึงขั้นนี้ เห็นชีวิตคนเป็นเพียงของเล่น คนประเภทนี้จะช้าจะเร็วก็ต้องดึงดูดความโกรธเกรี้ยวมาสู่ตนเองและจะไม่ได้ตายดีแน่นอน

“ทำไม? พวกแกไม่พอใจเรอะ ยังมีใครอยากตายอีกหรือไง?”

เขายิ้มอย่างเย็นชาพลางใช้สายตากวาดมองไปยังคนรอบๆ ราวกับว่าไม่ว่าใครก็ตามที่มองเห็นเขาล้วนต้องหลบทางให้เขา ล้วนต้องหวัดกลัวเขาอย่างไรอย่างนั้น

หลายคนมีความหวาดกลัวปรากฏบนใบหน้า ทำได้เพียงโมโหอยู่ในใจแต่ไม่กล้าพูดออกมา

ชายคนนี้ถูกเซวียนเยวี๋ยนเถิงฆ่าเพียงเพราะประโยคเดียว บอดี้การ์ดชุดดำที่ยืนอยู่ข้างหลังเซวียนเยวี๋ยนเถิงทั้งแปดคนล้วนเป็นยอดฝีมือชั้นนำ มีฝีมือแข็งแกร่งมาก คอยปกป้องคุ้มครองอยู่ข้างกายเซวียนเยวี๋ยนเถิง

นี่เป็นข้อพิสูจน์ให้เห็นถึงความตื้นลึกหนาบางของตระกูลในโลกเบื้องหลัง ไม่อาจดูเบาได้เลยจริงๆ ตระกูลเซวียนเยวี๋ยนจะแข็งแกร่งขนาดไหนก็ไม่มีใครที่สามารถพูดได้อย่างชัดเจนมานานแล้ว

คนที่ล้อมดูอยู่รอบๆ ต่างก็พากันเดินจากไป มุมปากของเซวียนเยวี๋ยนเถิงปรากฏรอยยิ้มลำพองใจขึ้น นั่งไขว่ห้างอยู่บนโซฟา สูบซิการ์เข้าไปเฮือกหนึ่ง มองหญิงขายบริการระดับสุดยอดตรงหน้าด้วยรอยยิ้มหื่นกระหาย พูดออกมาด้วยความเรียบเฉยว่า

“เข้ามาอมให้ฉันซะ…”

หญิงขายบริการชั้นหนึ่งคนนั้นอดไม่ได้ที่จะตกตะลึง ถึงแม้เธอจะเป็นหญิงขายบริการชั้นสูงที่พบเจอคนใหญ่คนโตมาไม่น้อย และเจอสถานการณ์ต่างๆ มามาก แต่คนที่ยโสโอหังขนาดเซวียนเยวี๋ยนเถิงนั้นเป็นคนที่บริการได้ยากมาก และไม่กล้าที่จะล่วงเกิน

ในตอนนี้เซวียนเยวี๋ยนเถิงถึงกับต้องการให้เธอใช้ปากประกอบกามกิจให้เขาต่อหน้าสาธารณชน นี่มันช่าง…ช่างไม่เห็นเธอเป็นมนุษย์เลยจริงๆ

ถึงแม้ว่าสีหน้าของหญิงขายบริการชั้นหนึ่งคนนี้จะดูไม่ดีนัก กระทั่งมีความโมโหโกรธเคืองอยู่ในใจ ต่อให้ตนขายบริการแต่ก็มีความเคารพในตนเอง ต่อให้ตนจะขายบริการก็มีศักดิ์ศรี การถูกเหยียบย่ำตามใจชอบเช่นนี้ใครก็รับไม่ไหว

ถึงจะพูดว่ารับไม่ไหวแต่ก็ต้องรับให้ได้ หญิงขายบริการที่ไม่มีอำนาจไม่มีอิทธิพลแบบพวกเธอ ต่อให้จะเป็นหญิงขายบริการชั้นหนึ่ง แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าคนที่มีฐานะแบบเขาก็ยังต้องก้มหน้ายอมอย่างไร้ศักดิ์ศรี ให้ทำอย่างไรก็ต้องทำอย่างนั้น

ขนาดดาราสาวชั้นสูงระดับต้นๆ ที่มีชื่อเสียงทั้งในและต่างประเทศเหล่านั้น ตอนกลางวันเห็นว่างดงามเป็นประกาย ตอนกลางคืนไม่รู้ว่าต้องกรีดร้องมากน้อยแค่ไหน ไม่รู้ว่าถูกเหล่าข้าราชการที่มีอำนาจและอิทธิพลที่แท้จริงข่มเหงไปกี่ครั้ง

“นี่…คุณชายเซวียนเยวี๋ยน นี่เกรงว่าจะไม่ค่อย ไม่ค่อยดีหรือเปล่าคะ?” หญิงขายบริการชั้นยอดคนนั้นพูดขึ้นอย่างระมัดระวัง

“ไม่มีอะไรไม่ดี เร็วๆ เถอะ…” เซวียนเยวี๋ยนเถิงพูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม ไม่มีมนุษยธรรมเลยแม้แต่นิดเดียว

ไม่มีทางเลือก หญิงขายบริการชั้นยอดคนนั้นเคยบริการเซวียนเยวี๋ยนเถิงมาก่อน จึงรู้ถึงนิสัยคุณชายใหญ่คนนี้ดี คำพูดที่ตนเองกล่าวไปเมื่อสักครู่นี้ไม่ได้ทำให้เขาโกรธก็นับว่าโชคดีมากแล้ว หากยังจะพูดอะไรออกไปอีกแม้แต่ครึ่งคำ เกรงว่าจะถูกเขาฆ่าตายได้

หญิงขายบริการคนนั้นย่อกายลงอย่างเชื่องช้า คุกเข่าลงเบื้องหน้าเซวียนเยวี๋ยนเถิง ต่อให้เป็นหญิงขายบริการแต่ก็เขินอายจนใบหน้าแดงก่ำไปนานแล้ว ค่อยๆ รูดซิปกางเกงของเขาลง ยื่นมือออกไปเตรียมจะควักเซวียนเยวี๋ยนน้อยออกมาอมเข้าไปในปาก ต่อให้จะอายมากขนาดไหน จะโกรธมากขนาดไหน ก็ไม่กล้าไม่ทำ เพราะชีวิตย่อมสำคัญกว่า

ไหนเลยจะรู้ว่า ในตอนที่หญิงขายบริการคนนั้นค่อยๆ จับกุมเซวียนเยวี๋ยนน้อย เตรียมจะควักออกมาเริ่มการกระทำนั้น บอดี้การ์ดในชุดสูทสีดำอายุน้อยคนหนึ่งวิ่งเข้ามาภายในคลับหรูหราแห่งนี้จนมาถึงข้างกายเซวียนเยวี๋ยนเถิง พูดกระซิบข้างหูว่า

“คุณชายใหญ่ ที่เมืองหลวงมีข่าวมา…”

“จะต้องเป็นข่าวดีแน่นอน อาหู่ฆ่าเย่เทียนเฉินแล้วใช่ไหม บอกมาเถอะไม่ต้องกังวลไป แค่เย่เทียนเฉินตัวเล็กๆ คนหนึ่งเท่านั้น แค่คนที่ตระกูลตกต่ำไปนานแล้วก็เท่านั้น ฉันแค่ขยับนิ้วก็เก็บกวาดมันได้แล้ว!

เซวียนเยวี๋ยนเถิงพูดขัดคำพูดของลูกน้องที่วิ่งเข้ามาเพื่อรายงานสถานการณ์ ด้วยนึกว่าอาหู่ฆ่าเย่เทียนเฉินไปแล้วและเกิดข่าวลือออกมา จึงรู้สึกยินดียิ่งนัก

“ไม่ ไม่ใช่ครับ คุณชายใหญ่ อาหู่…อาหู่แพ้แล้วครับ…” ลูกน้องที่เข้ามารายงานสถานการณ์คนนั้นพูดเสียงเบาด้วยความหวาดกลัว

“อะไรนะ? เป็นไปไม่ได้เด็ดขาด แกไปได้ยินข่าวเท็จมาจากไหน”  เซวียนเยวี๋ยนเถิงขมวดคิ้ว เอ่ยถามออกไปด้วยความโกรธที่เพิ่มมากขึ้นหลายส่วน

“ปะ เป็นความจริงครับ ได้รับการยืนยันมาแล้ว ภารกิจของอาหู่ล้มเหลว…”

เซวียนเยวี๋ยนเถิงตวาดออกมาครั้งหนึ่ง ลุกขึ้นยืนจากบนโซฟา หญิงขายบริการที่นั่งคุกเข่าอยู่ระหว่างขาของเขาก็รีบลุกขึ้นยืนแล้วถอยออกไปยืนทางด้านหนึ่ง หวาดเกรงว่าเขาจะระเบิดโทสะและมาระบายกับตน

เซวียนเยวี๋ยนเถิงจับเนคไทร์ของลูกน้องที่เข้ามารายงาน ดวงตาทั้งสองวาวโรจน์ขึ้นมาอย่างน่ากลัว เขาไม่อาจยอมรับข่าวเช่นนี้ได้

เพราะว่าในความคิดของเขา เย่เทียนเฉินก็เป็นแค่มดตัวหนึ่ง เป็นมดที่เขาจะเหยียบย่ำให้มันตายเมื่อไหร่ก็ได้ แต่ตอนนี้ มดในสายตาของเขากลับทำเรื่องสะท้านฟ้าดิน ไหนเลยเขาจะยอมรับได้!

“แกบอกฉันมาให้ละเอียด อย่าให้ขาดไปแม้แต่คำเดียว มิฉะนั้นบิดาจะจับโยนลงไปในทะเลซะ!” เซวียนเยวี๋ยนเถิงเอ่ยปากพูดอย่างเย็นชา

เดิมทัเซวียนเยวี๋ยนเถิงยังยินดีเปรมปรีดิ์ กำลังวางท่าลำพองใจใหญ่โตเพื่อรอข่าวที่อาหู่กำจัดเย่เทียนเฉินได้

ไหนเลยจะรู้ว่า ข่าวที่มากลับเป็นข่าวที่ว่าอาหู่ทำภารกิจล้มเหลว ก่อนหน้านี้เพียงไม่นาน เขาเพิ่งจะคุยโทรศัพท์กับอาหู่ อาหู่ก็ยังรับประกันกับเขาครั้งแล้วครั้งเล่า ว่าจะต้องฆ่าเย่เทียนเฉินได้อย่างแน่นอน ไม่จำเป็นต้องให้เขารีบกลับเมืองหลวงก็สามารถกำจัดเย่เทียนเฉินได้

เซวียนเยวี๋ยนเถิงย่อมเชื่อในความสามารถของอาหู่ เนื่องจากไหนแต่ไรมาอาหู่ก็ไม่เคยทำให้เขาผิดหวัง เพียงแต่น่าเสียดายที่ครั้งนี้คู่ต่อสู้ที่ต้องเจอก็คือเย่เทียนเฉิน

“คะ คุณชายใหญ่ครับ เรื่องก็เป็นแบบนี้ คืนนี้อาหู่ส่งพี่น้องไปสามร้อยกว่าคน ไปล้อมเย่เทียนเฉินในซอยแคบแห่งหนึ่ง เตรียมจะรุมฆ่ามันให้ตาย ไหนเลยจะรู้ว่าเย่เทียนเฉินจะถึงกับฆ่าพวกมันเพื่อฝ่าออกมา…”

ลูกน้องคนนั้นรายงานสถานการณ์ราวกับว่าเห็นเย่เทียนเฉินสะบัดมีดฆ่าฟันด้วยตาของตน อดไม่ได้ที่จะร่างกายสั่นเทา

“สามร้อยกว่าคน สามร้อยกว่าคนที่ใช้มีดตัดฟืน ต่อให้แตงโมสามร้อยลูก เย่เทียนเฉินก็ต้องฟันจนเหนื่อย จะถูกเขาฆ่าเปิดทางออกมาได้ยังไง ให้อาหู่มันมาเจอฉันเดี๋ยวนี้ ฉันจะดูซิว่ามันจะรายงานฉันยังไง!” เซวียนเยวี๋ยนเถิงตะโกนออกมา โกรธจนต้องขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน

“คุณชายใหญ่ครับ อาหู่ เขา เขา เขาตายแล้ว…”

“นี่…ใคร ใครเป็นคนฆ่ามัน…” เซวียนเยวี๋ยนเถิงขมวดคิ้ว กำหมัดแน่นแล้วเอ่ยถามออกไป

“ดะ ได้ยินว่าเป็นหลูเซิ่งต๋าพาคนไปจับกุมอาหู่ แล้วถูกวิสามัญ…”

“เย่เทียนเฉิน หลูเซิ่งต๋า ฉันจะฆ่าพวกแก!”

เซวียนเยวี๋ยนเถิงพลักลูกน้องตรงหน้าจนล้มลงกับพื้น ในดวงตาทั้งสองเต็มไปด้วยความโกรธแค้น แม้ในความฝันเขาก็คิดไม่ถึงว่าเย่เทียนเฉินจะร้ายกาจถึงขนาดนี้

อาหู่เป็นคนที่โหดเหี้ยมมาก ฆ่าคนได้โดยไม่ขมวดคิ้วเลยแม้แต่น้อย แต่ไหนแต่ไรก็ไม่เคยทำให้เขาผิดหวัง ขอเพียงเขาออกคำสั่ง อาหู่ก็จะตัดหัวศัตรูมาให้ในทันที และในครั้งนี้เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความผิดพลาด อาหู่ถึงกับส่งอันธพาลออกไปสามร้อยกว่าคน

สิ่งที่ทำให้คิดไม่ถึงก็คือ พวกเขาถึงกับถูกเย่เทียนเฉินฆ่าเปิดทางออกมา เจ้าหมอนี่มันเป็นคนหรือเป็นเทพเซียนกันแน่?

ปัง!

ภายในคลับอันหรูหราแห่งนี้ เซวียนเยวี๋ยนเถิงฆ่าคนอีกครั้งแล้ว เพื่อระบายความโมโหและความไม่พอใจในใจของตนเอง เขาชักปืนออกมายิงลูกน้องที่คอยติดตามข้างกายเขาด้วยความภักดีจนตายโดยไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย

“คุณชายใหญ่ครับ ตอนนี้พวกเราจะทำยังไงดี?” บอดี้การ์ดสูทดำที่ยืนอยู่ด้านหลังคนหนึ่งเอ่ยปากถาม

“เตรียมเครื่องบินเที่ยวพิเศษ ฉันจะกลับเมืองหลวงคืนนี้!” เซวียนเยวี๋ยนเถิงโยนปืนในมือไปให้บอดี้การ์ดด้านหลังแล้วออกคำสั่ง

“ครับ!”

“เย่เทียนเฉิน ฉันอยากจะเห็นจริงๆว่าแกอาศัยอะไรมาต่อต้านฉัน จะดูซิว่าแกจะมีความสามารถขนาดไหน…” เซวียนเยวี๋ยนเถิงหัวเราะออกมาด้วยความโกรธเกรี้ยวแล้วพึมพำกับตนเอง

วันต่อมา ในตอนที่เย่เทียนเฉินตื่นขึ้นก็ผมว่าเสี้ยวหยาไม่ได้นอนอยู่บนเตียงคนไข้แล้ว ถึงแม้เมื่อคืนหมอจะบอกว่าเสี้ยวหยาเพียงแค่ถูกฟันที่หลังเท่านั้น ด้วยปฏิกิริยาอันว่องไวของเย่เทียนเฉิน ทำให้สาวยากได้รับบาดแผลแค่ชั้นผิวภายนอกเท่านั้น ไม่ได้ร้ายแรงอะไร แต่ยังคงต้องพักผ่อนให้มาก จะอย่างไรก็ได้รับความตกใจและเสียเลือดไปมาก

“หยาเอ๋อร์? หยาเอ๋อร์?”

เย่เทียนเฉินลุกขึ้นจากเตียงเฝ้าไข้แล้วออกตามหา

ไม่มีเสียงตอบกลับมาจากในห้องคนไข้เลย เย่เทียนเฉินอดไม่ได้ที่จะตกใจ คิดว่าเป็นเซวียนเยวี๋ยนอวี่ที่ส่งคนมาจับตัวเสี้ยวหยาไปหรือไม่?

ถึงแม้ความเป็นไปได้นี้จะมีอัตราต่ำมาก แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้เลย เนื่องในโลกปัจจุบันนี้มียอดฝีมือแห่งพรรควรยุทธโบราณและผู้มีพลังพิเศษอยู่ สำหรับเย่เทียนเฉินที่ในตอนนี้เป็นผู้มีพลังพิเศษในขอบเขตจอมราชันแล้ว ต่อให้จะแข็งแกร่งมากแต่ก็ไม่ได้เป็นเจ้าถิ่น รับประกันไม่ได้ว่าอีกฝ่ายจะใช้ยอดฝีมือที่แข็งแกร่งเพื่อมาจัดการกับตน

“หยาเอ๋อร์…”

ในตอนที่เย่เทียนเฉินเดินเข้ามาในห้องผู้ป่วยของแม่ของเสี้ยวหยานั้น จึงพบว่าไม่ผิดไปจากที่ตนคาด เสี้ยวหยาอยู่ดูแลแม่ที่นี่ กำลังปอกแอปเปิ้ลให้แม่ของตนอยู่

“เทียนเฉิน นายมาแล้ว!” เสี้ยวหยาพูดพลางยิ้มให้เย่เทียนเฉิน

“หยาเอ๋อร์ เธอ…”

“ฉันรู้ว่าวันนี้เช้านายจะต้องกลับมา ที่มหาวิทยาลัยไม่มีเรียนเหรอ?” เสี้ยวหยาขัดคำพูดของเย่เทียนเฉิน ส่งสายตาเป็นสัญญาณให้เย่เทียนเฉินแล้วกล่าวขึ้น

เย่เทียนเฉินย่อมไม่ใช่คนโง่อะไร เมื่อเห็นว่าเสี้ยวหยาส่งสายตามาให้ และเห็นว่าแม่ของเธอกำลังพูดคุยกับลูกสาวด้วยรอยยิ้ม จึงรู้ได้ว่าเสี้ยวหยาไม่ได้บอกเรื่องเมื่อวานกับแม่ และไม่อยากให้แม่รู้ เสี้ยวหยาเป็นผู้หญิงที่จิตใจดีและรู้ความคนหนึ่ง

“อ้อ ใช่แล้ว ตอนบ่ายถึงจะมีเรียน พวกเธอก็ดูเหมือนว่าจะมีเรียนตอนบ่าย พอถึงเวลาพวกเราก็ไปมหาวิทยาลัยด้วยกันเถอะ!” เย่เทียนเฉินได้สติกลับมาจึงพูดด้วยรอยยิ้ม

“เทียนเฉิน ลำบากเธอจริงๆ ต้องวิ่งมาดูน้าอีกแล้ว!” แม่ของเสี้ยวหยาพูดด้วยรอยยิ้มเมตตา

“คุณน้าครับ ผมกับหยาเอ๋อร์เป็นเพื่อนสนิทกัน นี่เป็นเรื่องที่สมควรทำแล้ว วันนี้คุณดูท่าทางไม่เลวเลยนะครับ ผมเชื่อว่าอีกไม่นานร่างกายก็จะฟื้นฟูอย่างสมบูรณ์ จะต้องใส่ใจพักผ่อนให้มากๆ กินอาหารให้มากๆ นะครับ!” เย่เทียนเฉินพูดด้วยรอยยิ้ม

“ฮ่าๆ อาการป่วยของน้า น้าย่อมรู้ตัวเองดี ขอเพียงเธอดีต่อหยาเอ๋อร์ให้มากน้าก็วางใจแล้ว วันหลังก็ขอมอบหยาเอ๋อร์ให้เธอดูแล…”

“แม่ แม่พูดอะไรกันคะ…”

เสี้ยวหยาอดไม่ได้ที่จะใบหน้าแดงระเรื่ออย่างไร้เดียงสา มองไปที่แม่แล้วพูดขึ้น

……………………….

ชายสวมชุดสูทสีเงินเรียกได้ว่าหรูหราฟุ่มเฟือยมาก บอดี้การ์ดในชุดสูทสีดำทั้งแปดคนที่ยืนอยู่ด้านหลัง ยืนตรงราวกับหอก สายตาของทุกคนเต็มไปด้วยไอสังหาร ขอเพียงเจ้านายออกคำสั่ง พวกเขาทั้งแปดก็จะลงมือ ภายในห้องโถงอันหรูหรา มีคนไม่น้อยที่กำลังล้อมดู ต่างกำลังคาดเดาถึงฐานะของชายที่สวมชุดสูทสีเงินคนนี้

เบื้องหน้าของชายสวมชุดสูทสีเงินเป็นผู้หญิงหน้าตางดงามรูปร่างเซ็กซี่สิบแปดคน ทุกคนใส่ถุงน่องที่ดูเซ็กซี่เหมือนกันทั้งหมด กำลังรอให้ชายตรงหน้าคัดเลือก เขาเลือกใคร คนนั้นก็จะกลายเป็นผู้หญิงที่โชคดีที่สุดที่จะให้บริการเขาในคืนนี้ บางทีอาจจะกล่าวได้ว่าพวกเธอเป็นหญิงขายบริการ แต่ไม่ใช่หญิงขายบริการที่ให้เงินก็สามารถขึ้นขี่ได้ประเภทนั้น เนื่องจากพวกเธอมักจะสามารถทำให้ผู้ชายพึงพอใจได้จนไม่อาจถอนตัว

“คนตรงกลางอยู่ก่อน คนอื่นไปได้!” ชายสวมสูทสีเงินที่นั่งอยู่บนโซฟาพูดขึ้นด้วยรอยยิ้มโอ้อวด

หญิงบริการสาวสวยทั้งสิบแปดคนได้ฟังคำสั่ง นอกจากคนตรงกลางแล้วคนอื่นๆ ก็ถอยออกไป กลุ่มคนที่มาล้อมดูในห้องโถงอดไม่ได้ที่จะตกตะลึง ในใจเต็มไปด้วยความประหลาดใจ

คลับอันหรูหราแห่งนี้สามารถพูดได้ว่าเป็นสถานที่ที่มีข้าราชการระดับสูงจำนวนมากมาเที่ยว ทุกคนที่อยู่ที่นี่มีใครบ้างที่ไม่มีฐานะอะไร แต่ว่าแต่ไหนแต่ไรมาก็ไม่มีใครที่โอ้อวดเหมือนกับชายในชุดสูทสีเงินตรงหน้านี้เลย หญิงขายบริการสวยงามทั้งสิบแปดคนต่างก็เป็นหญิงขายบริการลำดับต้นๆ ของคลับหรูหราแห่งนี้ ไม่ใช่ประเภทที่คุณจะโยนเงินแล้วขึ้นคร่อมได้เลย ยังต้องใช้แำนาจและเสน่ห์ด้วย การที่สามารถเรียกรวมหญิงบริการอันดับต้นๆ ทั้งสิบแปดคนมารวมตัวกันที่ห้องโถงเพื่อให้เขาเลือกสรรได้ แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าชายในชุดสูทสีเงินคนนี้มีอำนาจยิ่งใหญ่

“คะ…คนคนนี้เป็นใครกัน?”

“ถึงกับสามารถเรียกรวมหญิงขายบริการอันดับต้นๆ ทั้งสิบแปดคนให้มารวมตัวกันที่ห้องโถงเพื่อให้เขาเลือกได้ สั่งให้พวกเธอทำยังไงก็ทำอย่างนั้น เป็นครั้งแรกที่ฉันเห็นคนแบบนี้”

“พวกข้าราชการระดับสูงที่เข้าออกที่นี่มากมายขนาดนั้น ก็ยังไม่มีความกล้าถึงขั้นนี้ ไอ้หนูนี่โอ้อวดจริงๆ”

“จะชอบโอ้อวดมากเกินไปแล้ว จะช้าจะเร็วก็ต้องถูกสั่งสอน…”

“นาย…เบาเสียงลงหน่อย นายรู้ไหมว่าเขาเป็นใคร?”

“ใคร? ต่อให้บ้าอำนาจขนาดไหนก็ไม่มีใครกล้ามาก่อเรื่องที่นี่แน่ ต้องรู้ว่าที่นี่มีข้าราชการระดับสูงอยู่มาก หากก่อเรื่องขึ้นมาก็เป็นการรนหาที่ตาย…”

“เขาคือเซวียนเยวี๋ยนเถิง…”

“อะไรนะ…เซวียนเยวี๋ยนเถิง…”

คนรอบด้านวิพากษ์วิจารณ์กันเสียงเบา เดิมทียังมีคนไม่พอใจอยู่บ้าง อย่างไรเสียคนที่อยู่ที่นี่ ส่วนใหญ่เป็นคนที่มีฐานะและภูมิหลัง พอเห็นเซวียนเยวี๋ยนเถิงทำตัวโอ้อวดแบบนั้น พาหญิงขายบริการอันดับต้นๆ ทั้งสิบแปดคนมานั่งเลือกตามอำเภอใจ ในใจของพวกเขาย่อมโกรธแน่นอนอยู่แล้ว จะอย่างไรหญิงขายบริการทั้งสิบแปดคนนี้ก็ได้มายากมาก ดูเหมือนว่าจะมีผู้ชายหลายคนที่อยากจะได้มาครอบครอง แต่เซวียนเยวี๋ยนเถิงอยากจะได้ใครก็เลือกคนนั้น จะทำให้ไม่โกรธได้อย่างไร

ไม่ผิด ชายในชุดสูทสีเงินคนนี้ก็คือเซวียนเยวี๋ยนเถิง หลังจากที่เขามาที่นี่และทำธุระของตระกูลเสร็จ ย่อมต้องมาผ่อนคลายเป็นธรรมดา วัยรุ่นแบบเขาที่ทั้งอายุน้อย ทั้งมัวเมาในโลกีย์ ทั้งมีเงินมีอำนาจ หากไม่ให้มั่วสุมเลยคงเป็นเรื่องยาก

เมื่อรู้เรื่องที่เซวียนเยวี๋ยนอวี่น้องชายแท้ๆ ของตนถูกคนอัดหน้าประตูมหาวิทยาลัยหลงเถิง เขาก็โกรธมาก ในฐานะที่เป็นหนึ่งในสามคุณชายแห่งมหาวิทยาลัยหลงเถิง เรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในสามบุคคลที่เจ๋งที่สุดในมหาวิทยาลัย ดูเหมือนจะไม่มีใครกล้ามาหาเรื่องตน คนที่กล้ามาหาเรื่องเขาเซวียนเยวี๋ยนเถิงต่างก็ตายไปหมดแล้ว แต่ว่าในตอนที่เขาเพิ่งจะออกจากเมืองหลวงมา น้องชายของเขาถึงกับถูกคนอัด นี่เป็นการไม่เห็นเขาอยู่ในสายตาเลยแม้แต่น้อย

เดิมทีเซวียนเยวี๋ยนเถิงคิดจะนั่งเที่ยวบินพิเศษกลับเมืองหลวงในตอนกลางคืนเพื่อไปฆ่าเย่เทียนเฉิน แต่ว่าทางด้านนี้เขาเองก็มีเรื่องที่จะต้องจัดการเล็กน้อย กลัวว่าจะกลับไปเลยไม่ได้ แต่เซวียนเยวี๋ยนเถิงที่ใช้อำนาจบาตรใหญ่มาโดยตลอดย่อมไม่เคยได้รับความลำบากเลยแม้แต่น้อย และไม่เคยได้รับความลำบากใจแม้แต่ครึ่งส่วน จึงได้ส่งอาหู่ออกไป และยังสั่งอาหู่ด้วยว่าจะต้องฆ่าเย่เทียนเฉินให้ได้ มิฉะนั้นคนที่ต้องตายก็คืออาหู่เอง ดังนั้นอาหู่จึงรู้สึกกดดันถุงขั้นส่งกองทัพอันธพาลที่ถือมีดตัดฟืนอยู่ในมือทั้งสามร้อยกว่าคนออกไปในการลงมือครั้งแรก

สำหรับชื่อเสียงของเย่เทียนเฉินนั้น เซวียนเยวี๋ยนเถิงที่อยู่แต่ในมหาวิทยาลัยหลงเถิงแห่งเมืองหลวง มีฐานะเป็นหนึ่งในสามคุณชายแห่งมหาวิทยาลัยหลงเถิง และเป็นคุณชายใหญ่ในตระกูลเซวียนเยวี๋ยนซึ่งเป็นตระกูลในโลกเบื้องหลัง ย่อมต้องเคยได้ยินมาก่อน ถึงแม้ว่าในใจจะค่อนข้างแปลกใจแต่ก็ยังไม่เห็นเย่เทียนเฉินอยู่ในสายตา เนืองมาจากสองสาเหตุ หนึ่งคือตระกูลเย่ตกต่ำไปนานแล้ว นี่เป็นเรื่องที่ใครๆ ก็รู้ ดังนั้นอำนาจย่อมไม่อาจเทียบเคียงตระกูลเซวียนเยวี๋ยนได้โดยเด็ดขาด กล่าวให้ชัดเจนก็คือ เย่เทียนเฉินไม่มีที่พึ่ง หากก่อความผิดใหญ่หลวงขึ้นมาจริงๆ ก็ไม่มีใครช่วยเขาได้ เหตุผลที่สองก็คือ เซวียนเยวี๋ยนเถิงถือดีมาก คิดว่าต่อให้เย่เทียนเฉินจะร้ายกาจมากกว่านี้ก็ไม่ใช่คู่มือของเขาโดยเด็ดขาด ขอเพียงเขาคุณชายใหญ่เซวียนเยวี๋ยนเถิงโกรธขึ้นมา มีเย่เทียนเฉินอีกสิบคนก็ต้องตาย

ดังนั้น เมื่อมีเหตุผลเหล่านี้ เซวียนเยวี๋ยนเถิงก็ไม่รีบร้อนอะไรขนาดนั้น ถึงแม้ว่าจะส่งอาหู่ที่เป็นลูกน้องคนสำคัญของตนไปลงมืออย่างรอบคอบแล้ว แต่ในใจกลับคิดว่า มีอาหู่ลงมือก็นับว่าให้เกียรติเย่เทียนเฉินแล้ว เขาจะต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัยเลย

ในตอนนี้เอง เซวียนเยวี๋ยนเถิงเลือกหญิงขายบริการระดับสูงคนนั้นที่อยู่ตรงกลางสุดออกมา สาเหตุเป็นเพราะหญิงขายบริการระดับสูงคนนี้บั้นท้ายใหญ่อุดมสมบูรณ์ เขาชอบร่างกายแบบนี้ เมื่อได้ยินเสียงวิพากษ์วิจารณ์ของคนรอบๆ มุมปากของเซวียนเยวี๋ยนเถิงพลันปรากฏรอยยิ้มเย็นชา หันไปมองชายผู้รนหาที่ตายแวบหนึ่งแล้วพูดขึ้นอย่างเรียบเฉยว่า “พวกแกกล้ามาวิพากษ์วิจารณ์ฉันเซวียนเยวี๋ยนเถิง คิดว่ามีกี่ชีวิตกัน?”

“นาย…” ชายที่พูดจาไม่ดีต่อเซวียนเยวี๋ยนเถิงอดไม่ได้ที่จะชะงักไป ในใจรู้สึกโมโห คิดว่าเซวียนเยวี๋ยนเถิงโอหังบ้าอำนาจจริงๆ พวกตนก็ออกมาเที่ยวบ่อยๆ หากจะพูดว่าไม่มีความสามารถก็ไม่ได้ แต่กลับคิดไม่ถึงว่าเซวียนเยวี๋ยนเถิงคนนี้จะหยิ่งยโสโอหังจนถึงขั้นนี้ได้ คนอื่นซุบซิบกันอยู่ด้านข้างประโยคหนึ่ง อีกทั้งยังไม่ได้เอ่ยชื่อแซ่ เขาก็พูดจาขู่ฆ่าขึ้นมาแล้ว

คนที่อยู่ในเหตุการณ์ทั้งหมด ไม่ใช่เพียงแค่ชายที่พูดจาไม่เข้าหูคนนั้นที่ถูกเซวียนเยวี๋ยนเถิงคุกคามข่มขู่จนรู้สึกไม่พอใจ กระทั่งคนอื่นๆ เองก็รู้สึกว่าเซวียนเยวี๋ยนเถิงจะโอหังเกินไปแล้ว ทุกคนยังไม่ทันได้พูดอะไรเพียงแค่วิพากษ์วิจารณ์กันด้วยความประหลาดใจเท่านั้น และยังไม่ได้พูดจาว่าร้ายเซวียนเยวี๋ยนเถิง อย่างมากที่สุดก็แค่ไม่ได้พูดเข้าข้างเขา เขาก็ขู่จะฆ่าขึ้นมา ช่างโอหังบ้าอำนาจถึงขีดสุด

“ฆ่ามัน!”

พริบตาต่อมา เซวียนเยวี๋ยนเถิงพูดจาโอหังยิ่งกว่าเดิมออกมาอีกครั้ง เพียงเพราะประโยคเดียวเท่านั้น เพียงเพราะประโยคเดียวที่เขาไม่พอใจ ก็จะฆ่าคนแล้ว ต้องการฆ่าชายที่พูดคุยอย่างประหลาดใจเพราะไม่รู้จักเขา

“นาย…เซวียนเยวี๋ยนเถิง ต่อให้ตระกูลเซวียนเยวี๋ยนของนายเป็นตระกูลโลกเบื้องหลัง แต่ฉันก็เป็นบุคคลที่มีหน้ามีตา นายกล้าฆ่าฉันจะต้องไม่มีจุดจบที่ดีเหมือนกัน…” ชายคนนั้นตกใจจนชะงักไปครู่หนึ่ง แต่ก็ยังคงพูดออกมาด้วยความโมโหมากยิ่งขึ้น ยังไงซะเขาก็มีอำนาจอยู่บ้างจริงๆ และยังคงไม่เชื่อว่าเซวียนเยวี๋ยนเถิงจะกล้าฆ่าตนเองไปเช่นนี้ได้

เสียงฉึกดังขึ้น ทุกคนในเหตุการณ์ต่างตกตะลึงจนตาค้าง สูดหายใจเย็นยะเยือกครั้งหนึ่ง เพราะว่าคำพูดของชายคนนั้นยังไม่ทันจบ มีเล่มหนึ่งก็ปักอยู่ที่คอของเขา เลือดสดๆ พุ่งกระฉูดออกมา มือทั้งสองของเขากุมอยู่ที่ลำคอของตน ค่อยๆรู้สึกถึงลมหายใจที่ขาดห้วง ตาทั้งสองจงมองไปเบื้องหน้าด้วยความหวาดกลัว เพราะประโยคเดียว เพียงแค่ประโยคเดียวเท่านั้นเขาถึงกับถูกเซวียนเยวี๋ยนเถิงฆ่า

ในโลกที่สงบสุขเช่นทุกวันนี้ คำพูดของทุกคนต่างก็มีความอิสระเสรี แต่วิธีการของเซวียนเยวี๋ยนเถิงแสดงความหมายได้อย่างชัดเจนมากว่า ไม่ต้องพูดถึงการลงมือต่อเขาเซวียนเยวี๋ยนเถิงเลย แม้กระทั่งกล้าพูดจาว่าร้ายเขาเพียงแค่ครึ่งประโยค พูดจาไม่เข้าหูเขาสักนิดเขาก็จะฆ่ามันซะ เรียกได้ว่าโอหังถึงที่สุด

ตุบ!

ชายที่ไม่ได้พูดเข้าข้างเซวียนเยวี๋ยนเถิงล้มลงจมกองเลือด ทำเอาคนที่อยู่ในเหตุการณ์ตกใจจนถอยหลังออกไปหลายก้าว กระทั่งหายใจแรงก็ยังไม่กล้าด้วยกลัวว่าจะเป็นการทำให้เซวียนเยวี๋ยนเถิงไม่พอใจ คุณชายใหญ่แห่งตระกูลโลกเบื้องหลังคนนี้ ช่างโอหังบ้าอำนาจมากจริงๆ ไม่เห็นใครอยู่ในสายตาจนถึงขั้นกล้าฆ่าคนตามใจชอบ

“หึ ฉันเซวียนเยวี๋ยนเถิงไม่ได้ออกมาเดินเล่นแค่แป๊บเดียว ดูเหมือนว่าจะมีหลายคนที่ลืมฉันไปแล้ว ตอนนี้ฉันจะทำให้ทุกคนรู้ว่า ฉันเซวียนเยวี๋ยนเถิงมีฐานะเป็นหนึ่งในสามคุณชายแห่งมหาวิทยาลัยหลงเถิง ไม่ใช่คนธรรมดาที่จะมาหาเรื่องด้วยได้!” เซวียนเยวี๋ยนเถิงสูบซิการ์ไปเฮือกหนึ่ง จากนั้นจึงพูดออกมาเสียงเย็น

ไม่มีใครกล้าพูด ไม่มีใครกล้าพูดอะไรอีก มีชายที่นอนจมกองเลือดอยู่นั้นเป็นบทเรียนแล้วยังจะมีใครกล้าพูดอะไรออกมามั่วๆ อีกหรือ? ไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วหรือไง? สิ่งสำคัญก็คือเซวียนเยวี๋ยนเถิงที่เหมือนกับคนบ้าคนหนึ่ง ไปล่วงเกินไม่ได้จริงๆ

เซวียนเยวี๋ยนเถิงพูดจบ มุมปากก็ปรากฏรอยยิ้มโหดเหี้ยมขึ้น กวาดตามองไปยังทุกคนที่อยู่ที่นี่ จากนั้นจึงพูดต่อไปด้วยความไม่สบอารมณ์ “ถึงแม้ว่าฉันจะไม่อยู่ในเมืองหลวง แต่ก็ได้ยินว่ามีคนกล้ามาต่อต้านฉันในตอนที่ฉันไปจากเมืองหลวงแล้ว ชื่อของมันก็คือเย่เทียนเฉิน บางทีในหมู่พวกแกคงจะเคยได้ยินมาบ้าง แต่ฉันอยากจะบอกพวกแกเอาไว้ว่า เมื่อผ่านพ้นวันนี้ไป พวกแกจะไม่ได้ยินชื่อเย่เทียนเฉินอีก มันตายแล้ว!”

“อะไรนะ? เย่เทียนเฉิน?”

“ไอ้หมอนี่ไม่ใช่ตัวตลกของเมืองหลวงหรือไง? ทำไมไปหาเรื่องคุณชายเซวียนเยวี๋ยนได้”

“พวกแกจะไปรู้อะไร ตั้งแต่กลับมาที่เมืองหลวง ทุกเรื่องที่เย่เทียนเฉินทำต่างก็ทำให้ต้องตกตะลึง ได้ยินว่าการที่ตระกูลฉินและตระกูลลั่วตกต่ำลงในคืนเดียวก็มีความเกี่ยวข้องกับเขา”

“คิดไม่ถึงเลยว่าเย่เทียนเฉินจะถึงกับไปล่วงเกินคุณชายเซวียนเยวี๋ยน ท่าทางจะต้องตายจริงๆแล้ว!”

“แต่พวกนายยังไม่รู้ ฉันได้ยินว่าเย่เทียนเฉินต่อยเซวียนเยวี๋ยนอวี่น้องชายของเซวียนเยวี๋ยนเถิงที่หน้าประตูมหาวิทยาลัยหลงเถิง ดังนั้นเซวียนเยวี๋ยนเถิงเลยต้องการจะฆ่าเย่เทียนเฉิน”

“ไม่จริงน่า เย่เทียนเฉินโง่จริงๆ อย่าพูดถึงเรื่องที่เซวียนเยวี๋ยนอวี่เป็นน้องชายแท้ๆของเซวียนเยวี๋ยนเถิงเลย ต่อให้ไม่ใช่ แต่ก็เป็นคนของตระกูลโลกเบื้องหลัง ไปหาเรื่องมั่วๆ แบบนี้เป็นการรนหาที่ตายจริงๆ!”

ในหมู่คนเหล่านี้มีบางคนที่เคยได้ยินข่าวที่ลือกันอยู่ในเมืองหลวงมาบ้าง รู้ว่าเย่เทียนเฉินได้เปลี่ยนไปแล้ว แต่กลับคิดไม่ถึงว่า เซวียนเยวี๋ยนเถิงอยู่ไกลถึงที่นี่ จะยังแก้แค้นเย่เทียนเฉินได้ หลายคนที่ยืนอยู่ข้างเซวียนเยวี๋ยนเถิงคิดว่าเย่เทียนเฉินต้องตายแน่แล้ว ไม่ใช่คู่มือของเซวียนเยวี๋ยนเถิงโดยสิ้นเชิง

“รู้ก็ดีแล้ว ไสหัวออกไปให้ฉันซะ อย่ามารบกวนความสุขของคุณชายใหญ่อย่างฉัน!” เซวียนเยวี๋ยนเถิงพูดอย่างเรียบเฉย

……………………………

จะอย่างไรอาหู่ก็คิดไม่ถึงว่า อันธพาลสามร้อยกว่าคนที่ตนเองส่งออกไปล้อมโจมตีเย่เทียนเฉินในซอยเล็กๆ จะถึงกับถูกเย่เทียนเฉินฆ่า ทำให้คนที่ได้ยินข่าวนี้ต้องหวาดผวาจริงๆ หากไม่ใช่หลูเซิ่งต๋าพาตำรวจหน่วยรบพิเศษติดอาวุธมาจับกุมเขา เขาจะต้องไม่เชื่อแน่ จะต้องคิดว่าลูกน้องคนนี้พูดจาเลอะเทอะ และยิงเขาให้ตายไปแล้ว

ความจริงอาหู่ไม่รู้ว่า ยอดฝีมือที่เป็นผู้มีพลังพิเศษในขอบเขตจอมราชันอย่างเย่เทียนเฉิน หากใช้พลังพิเศษขึ้นมา ไม่ต้องพูดถึงชายฉกรรจ์สามร้อยกว่าคนที่ใช้มีดตัดฟืนเลย ต่อให้เป็นพันคนก็เกรงว่าจะหยุดการก้าวเดินของเย่เทียนเฉินไม่ได้

เรื่องที่เย่เทียนเฉินเสียใจที่สุดก็คือ ตนเองคิดแต่จะบ่มเพาะกายเนื้อ เพื่อทำให้กายเนื้อนี้สามารถรองรับพลังพิเศษในขอบเขตจอมราชันได้มากยิ่งขึ้น แต่กลับไม่ได้คำนึงถึงอันตรายของเสี้ยวหยา และยังประเมินความสามารถของกายเนื้อในตอนนี้มากเกินไป กายเนื้อในตอนนี้ยังไม่แข็งแกร่งถึงขั้นที่ไม่ต้องพึ่งพาพลังพิเศษในการต่อสู้ จึงทำให้พละกำลังไม่เพียงพอตามต้องการและทำให้เสี้ยวหยาได้รับบาดเจ็บ

จนถึงท้ายที่สุด เย่เทียนเฉินก็ต่อฝ่าฟันออกมาได้ราวกับภูตผี ต่อสู้ฝ่าฟันออกมาด้วยความโกรธ ด้วยเลือดแห่งการต่อสู้ที่เดือดพล่าน ล้นทะลักออกมาอย่างรุนแรง ไหล่ซ้ายแบกเสี้ยวหยาเอาไว้ มือขวาถือมีดตัดฟืน ลืมเลือนว่าตนเองเป็นผู้มีพลังพิเศษในขอบเขตจอมราชัน ลืมเลือนของบางอย่างที่ถูกพันธนาการเอาไว้ ใช้เพียงมีดในมือฆ่าฟันเพื่อเปิดเส้นทางออกไป

จินตนาการถึงสถานการณ์เช่นนั้นได้เลยว่า เมื่อผู้ชายคนหนึ่งซึ่งมีภาพลักษณ์ของลูกผู้ชายที่แข็งแกร่ง เนื้อตัวเต็มไปด้วยเลือด แบกผู้หญิงที่ตนเองรักที่สุดเอาไว้ที่ไหล่ซ้าย มือขวาถือมีดตัดฟืนที่มีเลือดไหลหยดลงมา ย่างก้าวไปท่ามกลางหยาดเลือด เดินสิบก้าวฆ่าหนึ่งคน นั่นจะเป็นภาพที่เยี่ยมยอดขนาดไหน เป็นความมีเสน่ห์ขนาดไหน

ในตอนที่เย่เทียนเฉินขับรถตำรวจของหลูเซิ่งต๋าซึ่งเป็นผู้อำนวยการสำนักความปลอดภัยสาธารณะแห่งเมืองหลวงฝ่าไฟแดงไปโดยไม่สนใจทุกสิ่งทุกอย่าง เพื่อพาเสี้ยวหยาไปส่งที่โรงพยาบาลนั้น อาหู่ก็ถูกหลูเซิ่งต๋าพาตำรวจหน่วยรบพิเศษหลายสิบคนมาล้อมเอาไว้ ปากกระบอกปืนจำนวนหลายสิบกระบอกเล็งไปที่อาหู่ หลูเซิ่งต๋าไม่กล้าลำพองใจเลยแม้แต่ครึ่งส่วน เดิมทีอาหู่ก็เป็นโจรชั่วที่น่ารังเกียจคนหนึ่งอยู่แล้ว ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ทำออกมาได้ เขาไม่อยากจะให้มีความเสียหายที่คาดไม่ถึง ในเมื่อจะลงมือก็ต้องกำจัดอาหู่ให้ราบคาบถึงจะถูก เนื่องด้วยอาหู่ที่เป็นคนของเซวียนเยวี๋ยนเถิงซึ่งเป็นคนที่ตัวเขาหลูเซิ่งต๋าไม่สามารถล่วงเกินได้

หากพูดกันถึงตำแหน่งหน้าที่แล้ว อาหู่เป็นแค่โจรชั่วที่มีอำนาจใต้ดินของเมืองหลวงเท่านั้น แต่ว่าอาหู่เป็นคนที่โหดเหี้ยมคนหนึ่ง บทจะโหดขึ้นมาก็ไม่สนใจใครหน้าไหนทั้งสิ้น หลูเซิ่งต๋าไม่ใช่คนโง่และเขาก็ไม่มาหาเรื่องคนเหล่านี้มั่วซั่ว หากคนพวกนี้เกิดเล่นบทโหดขึ้นมาแล้วฆ่าพวกเขาทั้งหมดจะทำยังไง? นอกจากนี้ ชื่อของเซวียนเยวี๋ยนเถิงที่อยู่เบื้องหลังเป็นสิ่งที่หลูเซิ่งต๋ากังวลมากที่สุด เขาล่วงเกินไม่ได้จริงๆ

เซวียนเยวี๋ยนเถิงเป็นคุณชายใหญ่แห่งตระกูลเซวียนเยวี๋ยน แล้วตระกูลเซวียนเยวี๋ยนก็เป็นตระกูลที่อยู่ในโลกเบื้องหลังของจีน ในประเทศจีนนั้นไม่ขาดแคลนตระกูลโลกเบื้องหลังเช่นนี้เลย ก็เหมือนกับพรรควรยุทธโบราณและผู้มีพลังพิเศษที่ไม่มีใครรู้จัก ตระกูลโลกเบื้องหลังเหล่านี้ส่วนมากมีอำนาจแข็งแกร่ง บ้างก็ในด้านเศรษฐกิจ บ้างก็ในด้านการเมือง บ้างก็ในด้านการทหาร กระทั่งบางตระกูลเป็นเจ้านายของกลุ่มอำนาจในโลกมืด สาเหตุที่พวกเขาเร้นกายนั้นมีหลากหลายเหตุผล แต่กลับไม่มีใครกล้าดูแคลนพวกเขา ต่อให้เป็นรัฐบาลสมัยต่างๆ ก็ไม่กล้าไปหาเรื่องพวกเขาง่ายๆ เพราะตระกูลในโลกเบื้องหลังเหล่านี้ล้วนมีอำนาจมากพอที่จะทำให้ผู้คนต้องประหลาดใจ หากไปหาเรื่องเข้าจริงๆ อาจจะทำให้ประเทศรับไม่ไหว

ตระกูลเซวียนเยวี๋ยนเป็นตระกูลในโลกเบื้องหลัง ส่วนเรื่องที่มีอำนาจแข็งแกร่งขนาดไหนกลับเป็นเรื่องที่ไม่มีใครรู้ หากอำนาจของตระกูลในโลกเบื้องหลังเหล่านี้ถูกคนอื่นล่วงรู้ได้ง่ายถึงขนาดนั้นจริงๆ คงถูกประเทศควบคุมไปนานแล้ว ดังนั้นก็มีบางคนและบางเรื่องที่รัฐบาลของประเทศไปแตะต้องไม่ได้ มักจะต้องใช้การดำเนินการที่พิเศษเข้าไปจัดการ ซึ่งการให้เย่เทียนเฉินจัดการก็เป็นวิธีการดำเนินการพิเศษอย่างหนึ่ง

“เหอะ!”

อาหู่ใช้ฝ่ามือตบลงบนโต๊ะ ลุกขึ้นยืนจากบนโซฟา ใช้เท้าถีบผู้หญิงข้างกายออกไป มองไปยังหลูเซิ่งต๋าอย่างโหดเหี้ยม กำหมัดแน่น เขาต้องการจะต่อย อยากจะต่อยหน้าหลูเซิ่งต๋าแรงๆ สักครั้งถ้า

อาหู่ในตอนนี้ หากจะบอกว่าไม่โกรธไม่แปลกใจนั่นคงเป็นไปไม่ได้ แม้ในฝันเขาก็คิดไม่ถึงว่า ลูกน้องมากฝีมือที่ตนเองส่งออกไปล้อมฆ่าเย่เทียนเฉินจะพ่ายแพ้ และคิดไม่ถึงว่าหลูเซิ่งต๋าถึงกับกล้าพาคนมาจับตนเอง ยิ่งไปกว่านั้นยังมีท่าทางราวกับจะทำให้เขามีโทษถึงตาย ดูท่าเขาจะประเมินเย่เทียนเฉินต่ำไปแล้ว

“ทำไม? แกคิดจะสู้กับฉันเหรอ?” หลูเซิ่งต๋าหัวเราะเสียงเย็น มองไปที่อาหู่แล้วกล่าวขึ้น

“หลูเซิ่งต๋า แกคิดให้ดี เย่เทียนเฉินมันก็แค่ลำพองใจไปครั้งหนึ่งเท่านั้น แต่ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของคุณชายใหญ่เซวียนเยวี๋ยนเถิงโดยเด็ดขาด พอคุณชายใหญ่เซวียนเยวี๋ยนเถิงกลับมาถึงเมืองหลวง ก็จะเป็นวันตายของมัน!” อาหู่มองหลูเซิ่งต๋าอย่างดุดันแล้วพูดออกมาเสียงต่ำ

หลูเซิ่งต๋าได้ยินคำพูดของอาหู่ก็ขมวดคิ้ว เขาเองก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีสมอง และไม่ใช่ว่าไม่เคยคิดถึงปัญหานี้ แต่สัญชาตญาณบอกเขาว่า การยืนอยู่ข้างเย่เทียนเฉินเป็นตัวเลือกที่ถูกต้อง มิฉะนั้นตัวเขาเองก็อาจจะตายอย่างอนาถได้ บางทีเมื่อเปรียบเทียบเซวียนเยวี๋ยนเถิงกับเย่เทียนเฉินแล้ว แม้ว่าหลังจากที่เย่เทียนเฉินกลับมายังเมืองหลวงจะก่อเรื่องที่ทำให้ผู้คนต้องตกตะลึงจนอ้าปากค้างมากมาย โดยเฉพาะเรื่องที่ทำให้ตระกูลใหญ่อย่างตระกูลฉินและตระกูลลั่วตกต่ำลงในคืนเดียว จนถึงกับทำให้ผู้คนต้องสูดหายใจเย็นยะเยือก แต่ดูเหมือนว่าจะไม่อาจเทียบได้กับเซวียนเยวี๋ยนเถิง

เนื่องจากว่า ต่อให้เย่เทียนเฉินจะร้ายกาจขนาดไหนก็เป็นเพียงแค่คนคนเดียว ตระกูลเย่ตกต่ำลงไปนานแล้ว ไม่สามารถให้การสนับสนุนอันแข็งแกร่งต่อเขาได้ แต่เบื้องหลังของเซวียนเยวี๋ยนเถิงมีตระกูลเซวียนเยวี๋ยนที่เป็นตระกูลแห่งโลกเบื้องหลังอยู่ ดูเหมือนว่าขอแค่เป็นคนที่มีความคิดสักหน่อยก็จะยืนอยู่ข้างตระกูลเซวียนเยวี๋ยน

แต่ว่าหลูเซิ่งต๋าเป็นคนที่แปลกประหลาด ครั้งนี้ฝ่ายที่เขาเลือกกลับเป็นฝ่ายของเย่เทียนเฉิน สาเหตุที่สำคัญที่สุดก็คือ เย่เทียนเฉินทำให้เขารู้สึกสั่นสะท้าน เย่เทียนเฉินทำให้ผู้คนรู้สึกราวกับว่า ต่อให้เหลือเขาเพียงคนเดียว ไม่มีอำนาจและเบื้องหลังใดๆ ก็ไม่อาจไปหาเรื่องได้ และหาเรื่องเขาไม่ได้ พลังอำนาจเช่นนี้ ทั่วทั้งโลกเกรงว่าจะหาได้แค่ไม่กี่คน

ดังนั้น ในเมื่อหลูเซิ่งต๋าพาคนมาจับกุมอาหู่แล้วก็นับว่าเป็นการยืนอยู่ข้างเย่เทียนเฉิน และเขาก็จะไม่ปล่อยอาหู่ไป เพราะหากไม่ฆ่าอาหู่ เมื่อเซวียนเยวี๋ยนเถิงกลับมา เกรงว่าชีวิตของเขาหลูเซิ่งต๋าจะไม่ดีอะไรนัก ถ้าฆ่าอาหู่ไปแล้วหาข้ออ้างสักหน่อย ต่อให้เซวียนเยวี๋ยนเถิงรู้ว่าเขาฆ่าอาหู่ ก็เกรงว่าจะไม่มีเหตุผลใดมาสร้างความวุ่นวายให้เขา ยิ่งไปกว่านั้นความโกรธทั้งหมดของเซวียนเยวี๋ยนเถิงก็จะไปลงที่เย่เทียนเฉิน นี่เป็นความคิดของหลูเซิ่งต๋า เรียกได้ว่าเป็นคนที่มีความคิดความสามารถคนหนึ่งเลยทีเดียว

“จะเป็นวันตายของเย่เทียนเฉินหรือไม่ ฉันหลูเซิ่งต๋าไม่รู้ แต่ฉันรู้วันตายของแก…” หลูเซิ่งต๋ามองอาหู่อย่างเย็นชาแล้วพูดขึ้น

“แกจะฆ่าฉันเหรอ?” ทันใดนั้นอาหู่ราวกับเข้าใจอะไรบางอย่างขึ้นมาจึงเอ่ยถามออกไปด้วยความแตกตื่นที่อยู่ในใจ

“แกจำเป็นต้องตาย ถ้าแกไม่ตาย หากเซวียนเยวี๋ยนเถิงกลับมาเมืองหลวงและไปฆ่าเย่เทียนเฉินแล้ว ถึงตอนนั้นฉันก็จะมีปัญหาใหญ่!” หลูเซิ่งต๋าพูดด้วยรอยยิ้มโหดเหี้ยม

“แต่หากแกฆ่าฉันตอนนี้ เซวียนเยวี๋ยนเถิงก็จะไม่ปล่อยแกไปแน่ ต่อให้ฉันจะเป็นสุนัขตัวหนึ่งของเซวียนเยวี๋ยนเถิง แต่ก็เกี่ยวพันไปถึงศักดิ์ศรีหน้าตาของเขา จุดจบของแกคงไม่ดีแน่!” อาหู่พูดเสียงต่ำ

“งั้นเหรอ? คิดไม่ถึงว่าอาหู่ที่โหดเหี้ยมน่ารังเกียจฆ่าคนเป็นผักปลาจะกลัวตายด้วย น่าตลกจริงๆ น่าตลกจริงๆ…” หลูเซิ่งต๋าหมุนตัว ส่ายหน้าไปพลางพูดไปพลาง

“น่าตลกแม่แกสิ…”

ทันใดนั้น อาหู่ระเบิดโทสะยื่นมือออกหมายจะจับคอของหลูเซิ่งต๋า เขารู้ว่าหลูเซิ่งต๋าจะไม่ปล่อยเขาไป คืนนี้เขาจะต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัยเลย มีแค่ต้องต่อสู้อย่างถึงที่สุด จับหลูเซิ่งต๋าเป็นตัวประกันถึงจะหนีออกไปได้

ปัง!

ไหนเลยจะรู้ว่า ในตอนที่อาหู่เพิ่งจะทะยานออกไป มือขวายื่นออกไปยังหลูเซิ่งต๋า กลับมีเสียงปืนดังขึ้น ระหว่างคิ้วของอาหู่ถูกลูกปืนเจาะทะลวง ล้มหงายลงไปบนโซฟา ดวงตาทั้งสองเบิกกว้าง จ้องมองหลูเซิ่งต๋าอย่างตายตาไม่หลับ

ในมือขวาของหลูเซิ่งต๋าปรากฏปืนพกกระบอกหนึ่ง เขาระวังการโจมตีกะทันหันของอาหู่อยู่นานแล้ว ด้วยนิสัยมุทะลุของอาหู่ ไม่มีอะไรที่ไม่กล้าทำ โดยเฉพาะในตอนที่ชีวิตตกอยู่ในอันตราย กระทั่งพ่อแท้ๆ ก็ยังกล้าฆ่า หลูเซิ่งต๋าไม่ได้ลำพองใจจนคิดว่าอาหู่ไม่กล้าลงมือกับตน

“ยกศพกลับไป บอกไปว่าตอนควบคุมตัวเขาถูกสไนเปอร์คนหนึ่งลอบยิงตาย!” หลูเซิ่งต๋าสั่งกับตำรวจหน่วยรบพิเศษที่อยู่ข้างหลังอย่างเย็นชา

“ครับ ท่านผู้อำนวยการหลู!” ตำรวจหน่วยรบพิเศษที่อยู่ข้างหลังหลูเซิ่งต๋าตอบรับ

หลูเซิ่งต๋าหมุนตัวเดินออกไปจากห้อง เรื่องที่เหลือย่อมให้ลูกน้องไปจัดการ ส่วนเขากำลังคิดว่า การช่วยเย่เทียนเฉินฆ่าอาหู่ในครั้งนี้จะทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับเย่เทียนเฉินแน่นแฟ้นขึ้นหรือไม่? นอกจากนี้ หลังจากที่เซวียนเยวี๋ยนเถิงกลับเมืองมา เย่เทียนเฉินจะตายหรือไม่?

ในวันเดียวกันตอนกลางคืน เย่เทียนเฉินพาเสี้ยวหยามาส่งที่โรงพยาบาลแห่งเมืองหลวง โชคดีที่เสี้ยวหยาได้รับบาดเจ็บที่ผิวหนังชั้นนอก ไม่ได้ร้ายแรงอะไร มิฉะนั้นเย่เทียนเฉินคงไม่อาจให้อภัยตนเองได้ คืนนั้นทั้งคืนเย่เทียนเฉินไม่ได้กลับบ้าน เฝ้าอยู่ข้างเตียงผู้ป่วยของเสี้ยวหยา มองดูเสี้ยวหยาที่ยังคงมีใบหน้าขาวซีดค่อยๆ หลับไป ทันใดนั้นเย่เทียนเฉินรู้สึกว่า การที่ตนปฏิบัติต่อเสี้ยวหยาเช่นนี้ ดูเหมือนไม่ใช่แค่เพราะว่าเธอมีหน้าตาเหมือนผู้หญิงที่เขารักที่สุดในช่วงยุคสิ้นโลกง่ายๆ เพียงเท่านั้น แน่นอนว่าไม่อาจปฏิเสธได้ว่ามีปัจจัยนี้รวมอยู่ด้วย กล่าวได้เพียงว่าความรู้สึกของเย่เทียนเฉินเปลี่ยนไปแล้ว เปลี่ยนไปเรียบง่ายขึ้น เขาแค่อยากจะปกป้องผู้หญิงที่งดงามและบริสุทธิ์คนนี้เท่านั้น

ในตอนนี้เอง ใจกลางเมืองของเมืองแห่งหนึ่ง ภายในคลับที่หรูหราแห่งหนึ่ง ชายคนหนึ่งที่สวมสูทสีเงิน สูงประมาณหนึ่งร้อยแปดสิบเซนติเมตร ร่างกายผอมมาก ผอมจนใบหน้าดูซีดขาว สิ่งเดียวที่ทำให้ต้องตกใจก็คือ สายตาคมกริบของเขามีไอสังหารอยู่ หากสบตากับเขาจะให้ความรู้สึกราวกับมีไอสังหารซึมลึกไปถึงกระดูก

เบื้องหน้าของชายในชุดสูทสีเงินคนมีสาวสวยยืนอยู่สิบแปดคน ทุกคนสวมถุงน่องเซ็กซี่ เปลือยไหล่เปิดหลัง สะโพกงามขาอ่อนงามราวน้ำนม ด้านหลังของพวกเธอมีบอดี้การ์ดในชุดสูทสีดำยืนอยู่แปดคน บอดี้การ์ดแปดคนนี้ยืนเอามือไขว้หลัง ยืนอยู่หลังชายสวมชุดสูทสีเงินอย่างเรียบร้อยเป็นนระเบียบ เหมือนกับขุนศึกแปดคนอย่างไรอย่างนั้น หากไม่มีคำสั่งของเจ้านาย ก็ไม่เคลื่อนไหวบุ่มบ่าม

“หันหลังไปให้หมด ฉันจะดูสิว่าบันท้ายใครใหญ่ที่สุด…” ชายในชุดสูทสีดำ สูบซิการ์ นั่งไขว่ห้าง มุมปากประดับไปด้วยรอยยิ้มชั่วร้าย

…………………………..

ครั้งนี้ถึงแม้ว่าเซวียนเยวี๋ยนเถิงจะอยู่ไกล แต่ก็สั่งการอาหู่ที่เป็นลูกน้องมากความสามารถของตนลงมา เพื่อเป็นการระบายความโกรธแทนน้องชายของตน และเพื่อพิสูจน์อำนาจของตนเองที่เป็นหนึ่งในสามคุณชายแห่งมหาวิทยาลัยหลงเถิง  อาหู่เองก็ให้ความสำคัญกับเรื่องในครั้งนี้มาก เขารู้ว่าเซวียนเยวี๋ยนเถิงอารมณ์รุนแรง เซวียนเยวี๋ยนอวี่ที่เป็นน้องชายแท้ๆ ถูกอัด เซวียนเยวี๋ยนเถิงให้ความสำคัญกับศักดิ์ศรีหน้าตาของตัวเองมาก ดังนั้นเขาจึงต้องการให้เย่เทียนเฉินตาย และอาหู่จำเป็นต้องทำให้สำเร็จ

อาหู่เองก็เป็นคนมีแผนการและความโหดเหี้ยม เมื่อเริ่มลงมือก็สั่งการอันธพาลสามร้อยกว่าคนลงไป แต่ละคนต่างก็ใช้มีดตัดฟืน คิดจะให้พวกเขาใช้มีดล้อมฆ่าเย่เทียนเฉินในซอยแคบ และดูเหมือนว่าลูกน้องที่ส่งออกไปต่างก็เป็นคนมากฝีมือ ดังนั้นจะต้องฆ่าเย่เทียนเฉินได้อย่างแน่นอน

การต่อสู้น้องเลือดอันดุเดือดทำให้ทั้งซอยกลายเป็นนรกบนดิน เย่เทียนเฉินฆ่าคนด้วยความโกรธแค้นประหนึ่งเทพแห่งความตาย บนไหล่ซ้ายแบกผู้หญิงของตนเอาไว้ มีดยาวในมือขวาฟันออกไปราวกับหั่นผัก เก็บเกี่ยวชีวิตกลุ่มนักฆ่าที่เป็นลูกน้องของอาหู่

เย่เทียนเฉินใช้การฆ่าฟันเพื่อเปิดเส้นทางด้วยเลือด เขาอุ้มเสี้ยวหยาด้วยร่างกายที่ชุ่มไปด้วยเลือด ภายใต้สถานการณ์ที่ไม่ได้ใช้พลังพิเศษ เขาสามารถฆ่ากองกำลังที่ใช้มีดยาวสามร้อยกว่าคมและบ่มเพาะกายเนื้อของตนออกมาได้ และเริ่มรู้สึกว่าพลังกายแทบจะเหือดแห้ง ในใจของเขารู้สึกเสียใจ หากไม่ใช่เพราะว่าตนเองต้องการที่จะฝึกฝนกายเนื้อจึงไม่ยอมใช้พลังพิเศษ มิฉะนั้น ไม่ต้องพูดถึงกองกำลังถือมีดยาวจำนวนสามร้อยกว่าคนนี้เลย ต่อให้นับพันคน เมื่ออยู่ต่อหน้าผู้มีพลังพิเศษในขอบเขตจอมราชันย์ก็ยังไม่พอให้เหลือบมอง ในตอนที่เย่เทียนเฉินอุ้มเสี้ยวหยาเดินออกมานอกซอย ตำรวจหน่วยรบพิเศษติดอาวุธจำนวนร้อยกว่าคนต่างใช้ปืนเล็งมาที่พวกเขา

“หยาเอ๋อร์ หยาเอ๋อร์ เธอเป็นไงบ้าง?” เย่เทียนเฉินไม่สนใจตำรวจหน่วยรบพิเศษที่เล็งอาวุธมาที่เขาเลย ยังคงอุ้มยากจนที่หมดสติไปแล้วพูดขึ้นเสียงดัง

“หยาเอ๋อร์ หยาเอ๋อร์ พวกเราออกมาแล้ว พวกเราไม่เป็นไรแล้ว…ขอโทษ!” เย่เทียนเฉินเอ่ยปากพูดอย่างสะเทือนอารมณ์

ผู้คนที่มาล้อมดู รวมไปถึงตำรวจหน่วยรบพิเศษที่ผ่านสนามรบมานับร้อยเหล่านั้น ต่างก็พากันสูดหายใจเย็นยะเยือก ทั่วทั้งร่างของเย่เทียนเฉินต่างเต็มไปด้วยเลือด บนใบหน้าไม่รู้ว่าเป็นเลือดหรือว่าเหงื่อ บางทีอาจจะเป็นเลือดผสมกับเหงื่อและไหลหยดลงมา ดูแล้วทำให้รู้สึกหวาดผวาจริงๆ และไม่รู้ว่าบนร่างกายของเย่เทียนเฉินมีบาดแผลจากมีดมากน้อยแค่ไหน ในตอนที่เขาฆ่าฟันอย่างบ้าคลั่งได้ลืมใช้พลังพิเศษของตน และไม่ได้ใช้โล่พลังพิเศษป้องกันอะไรเลย อาศัยเพียงกายเนื้อที่แข็งแกร่งในการฆ่าฟันเท่านั้น นี่เป็นส่วนที่ทำให้จิตวิญญาณของผู้อื่นต้องสั่นสะท้าน เขาในตอนนี้กู่ร้องเรียกชื่อของผู้หญิงในอ้อมกอดจากหัวใจ

“ทะ เทียนเฉิน…นายไม่เป็นอะไรใช่ไหม…” เสี้ยวหยาลืมตาขึ้นมาด้วยความอ่อนระโหยโรยแรง มองใบหน้าอันน่ากลัวของเย่เทียนเฉิน ดวงหน้างดงามของเธอปรากฏรอยยิ้มขึ้นมา

“ฉันไม่เป็นไร ฉันไม่เป็นไร พวกเราออกมาแล้ว ฉันพาเธอออกมาแล้ว เธออดทนอีกหน่อยนะ ฉันจะรีบพาเธอไปโรงพยาบาล” เย่เทียนเฉินเห็นว่าเสี้ยวหยาได้สติขึ้นมา จึงกล่าวออกมาด้วยความวางใจ

“นาย…นายไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว…” เสี้ยวหยาพูดจบก็หมดสติไปอีกครั้ง ได้เห็นเย่เทียนเฉินที่ปลอดภัยไร้สารอันตราย เสี้ยวหยาก็มีความสุขมากแล้ว เธอคิดว่าเย่เทียนเฉินดีต่อเธอเหลือเกิน เธอติดหนี้เขามากเหลือเกิน

“หยาเอ๋อร์ หยาเอ๋อร์…”

เย่เทียนเฉินร้องเรียกชื่อของเสี้ยวหยา เขารู้ว่าเสี้ยวหยาอ่อนแอมาก ไม่รู้ว่ามีดตัดฟืนเล่นนั้นฟันโดนตรงไหน ทั่วทั้งร่างต่างเต็มไปด้วยเลือด เขาอุ้มเสี้ยวหยาขึ้นมาเตรียมจะจากไป แต่กลับถูกตำรวจหน่วยรบพิเศษขวางเอาไว้

“ขอเชิญคุณกลับไปกับพวกเราด้วยครับ เกิดเรื่องใหญ่ขนาดนี้ พวกเราไม่สามารถปล่อยให้คุณไปได้” ตำรวจหน่วยรบพิเศษคนหนึ่งเอ่ยปากออกมาอย่างจริงจัง

“ไสหัวไป ถ้าหากเพื่อนของฉันเป็นอะไรขึ้นมา พวกคุณคงรับผิดชอบไม่ไหว รวมถึงหลูเซิ่งต๋าด้วย” เย่เทียนเฉินกล่าวออกมาเสียงดัง

ตำรวจหน่วยรบพิเศษคนนั้นตกใจจนชะงักไป จากนั้นจึงเอ่ยปากขึ้นอีก “พะ พวกเราเรียกรถพยาบาลแล้ว คิดว่าอีกไม่นานก็จะมาถึง”

“ไสหัวไป!”

ตอนนี้เย่เทียนเฉินจิตใจสับสนเป็นอย่างมาก เขากลัวว่าเสี้ยวหยาจะเป็นอะไรไป กังวลว่าผู้หญิงที่งดงามคนนี้จะเกิดเรื่อง ในตอนนี้เย่เทียนเฉินเพิ่งจะเข้าใจอย่างแท้จริงว่า บางทีตัวเขาเองคงจะหวั่นไหวกับผู้หญิงที่น่ารักบริสุทธิ์คนนี้เข้าจริงๆ แล้ว และไม่ใช่เพียงเพราะเสี้ยวหยามีเงาของผู้หญิงที่เขารักในช่วงยุคสิ้นโลกเท่านั้น

“คุณโปรดอย่าทำอะไรบุ่มบ่าม มิฉะนั้นพวกเราจะต้องยิงปืนวิสามัญคุณ” ตำรวจหน่วยรบพิเศษคนนั้นยกปืนกลในมือขึ้นแล้วเอ่ยปาก

เย่เทียนเฉินไม่พูดอะไรอีก อุ้มเสี้ยวหยาเดินก้าวไปข้างหน้าทีละก้าว ตำรวจหน่วยรบพิเศษที่โอบล้อมอยู่นั้นชะงักไป ตกใจจนถอยหลังไม่หยุด พวกเขาไม่กล้ายิงและก็ไม่กล้าปล่อยให้เย่เทียนเฉินจากไป เนื่องจากได้รับรายงานจากพลเมืองมาว่าที่นี่เกิดเหตุนองเลือดอันรุนแรงขึ้น มีคนตายอย่างน้อยนับร้อยคน คิดว่าเป็นการสู้กันระหว่างแก๊ง

เอี๊ยด! เสียงรถตํารวจคันหนึ่งเบรกอย่างกะทันหัน จอดอยู่ข้างพวกเย่เทียนเฉิน หลูเซิ่งต๋าซึ่งเป็นผู้อำนวยการสำนักความปลอดภัยสาธารณะแห่งเมืองหลวงรีบลงมาจากรถตำรวจคันนั้น เมื่อเขาเห็นเย่เทียนเฉินที่ร่างกายเต็มไปด้วยเลือดพลันต้องตกตะลึงและสั่นสะท้านไปทั้งร่าง เหงื่อเย็นๆ บนหน้าผากไหลซึมออกมาในพริบตา เดินเข้าไปอย่างระมัดระวัง

หลังจากที่ได้รับโทรศัพท์แจ้งความจากหลายคน หลูเซิ่งต๋าก็คิดไปว่าเป็นสองแก๊งไหนต่อสู้กันเพื่อแย่งชิงเขตแดน แต่กลับคิดไม่ถึงว่าจะเป็นเย่เทียนเฉินที่อยู่ที่นี่ เมื่อเห็นร่างกายที่ชุ่มไปด้วยเลือดและบาดแผลของเย่เทียนเฉิน หลูเซิ่งต๋าก็คิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ ทำให้ต้องสูดหายใจเย็นยะเยือก

“คะ คุณชายเย่ คะ คุณไม่เป็นอะไรใช่ไหมครับ?” หลูเซิ่งต๋าเอ่ยถามด้วยเสียงอันสั่นเทา

“หึ ยังไม่ตาย หลูเซิ่งต๋า คุณมาเร็วจริงๆ เลยนะ” เย่เทียนเฉินมองหลูเซิ่งต๋าปราดหนึ่ง แค่นเสียงเย็นออกมาครั้งหนึ่งแล้วเอ่ยขึ้น

“อา ผม ผมได้รับแจ้งก็รีบส่งคนมาเลยครับ” หลูเซิ่งต๋าตกใจจนรีบเอ่ยปากพูดด้วยความร้อนรน

เย่เทียนเฉินเป็นใครกัน มีเบื้องหลังอย่างไร หลูเซิ่งต๋ารู้ดี บางทีตระกูลเย่อาจจะตกต่ำไปตั้งนานแล้ว ต่อให้เย่เทียนเฉินจะร้ายกาจขนาดไหนก็เป็นคนเพียงคนเดียวเท่านั้น แต่ว่า หลังจากที่เย่เทียนเฉินกลับเมืองหลวงมาแล้ว หากดูจากทุกเรื่องที่กระทำแล้ว การจะบีบหลูเซิ่งต๋าให้ตายเป็นเรื่องที่ง่ายมาก อย่างน้อยเขาหลูเซิ่งต๋าก็ไม่กล้าล่วงเกิน

“ตอนนี้ผมไปได้แล้วหรือยัง?” เย่เทียนเฉินไม่อยากพูดอะไรมาก ช่วยเสี้ยวหยาสำคัญกว่า ยิ่งไปกว่านั้นตั้งแต่ที่ตนลงมือกับลูกน้องของอาหู่จนถึงตอนนี้ก็ผ่านไปราวๆ ครึ่งชั่วโมงเท่านั้น ความรวดเร็วในการที่พวกหลูเซิ่งต๋าส่งตำรวจมาก็ไม่นับว่าช้า

“อา แน่นอน แน่นอนครับ ถ้างั้นผมจะให้คนไปส่งคุณ” หลูเซิ่งต๋ารีบพูดด้วยรอยยิ้ม

“ไม่ต้องแล้ว ยืมรถตำรวจของคุณมาใช้หน่อยก็พอ” เย่เทียนเฉินพูดอย่างเรียบเฉย

หลูเซิ่งต๋าพยักหน้า ตะโกนใส่ข้าราชการตำรวจตัวเล็กๆ คนหนึ่งที่อยู่ข้างๆ “แม่งเอ๊ย ยังมัวอึ้งอะไรกันอยู่ ยังไม่รีบขับรถมาอีก!”

เย่เทียนเฉินพาเสี้ยวหยาไปวางไว้ที่ตำแหน่งข้างคนขับอย่างระมัดระวัง ส่วนตัวเองก็เข้าไปนั่งอยู่ในตำแหน่งคนขับ ในตอนที่กำลังจะขับรถออกไปนั้น เย่เทียนเฉินก็คิดอะไรขึ้นมาได้ จึงกวักมือเรียกหลูเซิ่งต๋า อีกฝ่ายจึงรีบวิ่งเข้ามา

“คุณชายเย่ มีอะไรจะสั่งหรือครับ?” หลูเซิ่งต๋าเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม

“คุณพาคนไปจัดการอาหู่ซะ ส่วนเซวียนเยวี๋ยนเถิงผมจะทำให้มันได้รู้ซึ้งเอง” เย่เทียนเฉินพูดอย่างเรียบเฉย

ในขณะที่หลูเซิ่งต๋าอึ้งอยู่นั้น เย่เทียนเฉินก็ขับรถจากไปด้วยความเร็ว หลูเซิ่งต๋าเช็ดเหงื่อเย็นๆ บนหน้าผาก โชคดีที่คุณชายท่านนี้ไม่ได้โกรธจริงๆ ไม่งั้นตนเองคงไม่จบแค่สูญเสียตำแหน่ง แต่เป็นไปได้มากว่าจะสิ้นชีพไปด้วย

“ผู้อำนวยการหลู จะปล่อยเขาไปแบบนี้เหรอครับ?” ตำรวจนายหนึ่งถามด้วยความหวาดกลัว

“อะไรที่ไม่ควรพูดก็อย่าไปพูดให้มันมากความ ไสหัวไปจัดการซะ” หลูเซิ่งต๋าหันไปถลึงตามองอย่างดุดัน แล้วเอ่ยปากพูดกับตำรวจชั้นผู้น้อยที่ไม่รู้ความคนนั้น

“ผู้อำนวยการหลู นี่…ครั้งนี้อย่างน้อยก็มีคนบาดเจ็บล้มตายไปร้อยกว่าคน ไอ้หนูนั่น…” นายตำรวจชั้นผู้น้อยคนนั้นถามอย่างตกใจ มีเหงื่อไหลออกมาเต็มหัว

“อะไรนะ?”

หลูเซิ่งต๋าตกตะลึง มองเงาของเย่เทียนเฉินที่ขับรถจากไปไกลแล้วด้วยความอึ้ง จะอย่างไรเขาก็คิดไม่ถึงว่าเย่เทียนเฉินจะร้ายกาจถึงขนาดนี้ อาหู่ที่เป็นลูกน้องของเซวียนเยวี๋ยนเถิงใช้คนถึงสามร้อยกว่าคน ทุกคนต่างก็ถือมีดตัดฟืนอยู่ในมือ แต่เย่เทียนเฉินก็ยังสามารถฆ่าเพื่อเปิดทางออกมาได้ นี่เป็นฝีมือที่จะทำให้ผู้คนต้องตกตะลึงระดับไหนกัน ทำให้เขาไม่กล้าที่จะจินตนาการ

“แจ้งทุกคนไปว่า ให้เก็บเรื่องในคืนนี้เอาไว้ให้เงียบ หากมีใครทำข่าวหลุดออกไป จะมีความผิดฐานละเมิดวินัย” หลูเซิ่งต๋าได้สติกลับมาก็รีบเอ่ยปากพูดอย่างเคร่งขรึม

“ครับ!”

ในตอนนี้เอง ตำรวจหน่วยรบพิเศษและตำรวจกองคดีอาญาจำนวนหนึ่งเดินเข้าไปในซอยแคบแห่งนั้น ในตอนที่ทุกคนเห็นภาพภายในซอย ต่างก็ตกใจจนตาค้าง ถึงแม้ว่าพวกเขาจะเคยทำคดีมามาก เห็นฉากนองเลือดจนชินตา แต่ก็ยังตกตะลึง ทุกที่เต็มไปด้วยเศษซากอวัยวะ จะบอกว่าเลือดนองดุจทะเลสาบก็ไม่มากเกินไป ไม่มีแม้แต่ศพเดียวที่สมบูรณ์ อีกทั้งยังมีศีรษะคนกลิ้งอยู่ข้างๆ เมื่อเห็นแล้วทำให้รู้สึกหวาดผวาอยู่ในใจ

“อ๊อก…” ตำรวจหนุ่มหลายคนรับไม่ได้ ยันกำแพงแล้วอ้วกออกมา

“ยะ ยังมัวอึ้งอะไรกันอยู่ ทะ โทร 120…” ตำรวจอาวุโสคนหนึ่งได้สติกลับมา ตะโกนออกไปเสียงดัง

ในตอนนี้ ภายในคฤหาสน์อันเงียบสงบแห่งหนึ่งในเมืองหลวง อาหู่สูบซิการ์อยู่อย่างสบายอุรา ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มโหดเหี้ยม ผู้หญิงคนหนึ่งคุกเข่าอยู่ระหว่างขาทั้งสองของอาหู่ โลมเลียกระบองท่อนใหญ่ของเขาไม่หยุด ถูกเขากดลึกเข้าไปในลำคอเป็นระยะ

“หึ เย่เทียนเฉิน ฉันจะดูซิว่า ครั้งนี้ไอ้ลูกเต่าอย่างแกยังจะรอดอีกไหม” อาหู่เอ่ยปากอย่างดุดัน

ในความคิดของอาหู่ ครั้งนี้เย่เทียนเฉินจะต้องตายอย่างแน่นอน ต่อให้เขาจะร้ายกาจมากขนาดไหน ก็ไม่ใช่คู่มือของกองทัพที่ใช้มีดยาวทั้งสามร้อยคน เลี่ยงไม่ได้ที่จะถูกฟันจนแหลกเหลว

เกิดเสียงดังปัง ประตูถูกเปิดออก ลูกน้องคนหนึ่งของอาหู่วิ่งล้มลุกคลุกคลานเข้ามา อาหู่ตบลูกน้องคนนั้นจนคว่ำลงกับพื้นแล้วด่าว่า “รีบร้อนอะไรของแก? พูดมา”

“พะ พะ พี่ใหญ่ พวกเฮยหวาแพ้แล้ว ถูกเย่เทียนเฉินฆ่าตายไปร้อยกว่าคน ตอนนี้พวกเราถูกตำรวจล้อมเอาไว้แล้วครับ” ลูกน้องคนนั้นกล่าวขึ้น กลัวจนฉี่ราดกางเกง

“อะไรนะ? เป็นไปได้ยังไง เย่เทียนเฉินมัน…” อาหู่ยืนขึ้นทันที จากนั้นจึงหย่อนก้นนั่งลงบนโซฟา ตกตะลึงจนแข็งเป็นหิน ความสูญเสียครั้งนี้สำหรับเขาแล้วนีบว่ามากเกินไปจริงๆ

ไม่นาน หลูเซิ่งต๋าก็พาตำรวจหน่วยรบพิเศษหลายสิบนายมาด้วยตัวเอง ล้อมคฤหาสน์ของอาหู่เอาไว้ ในตอนที่หลูเซิ่งต๋ายืนอยู่เบื้องหน้าอาหู่ อาหู่ถึงจะได้สติขึ้นมา

“หลูเซิ่งต๋า แกคิดจะทำอะไร?”

“ทำอะไร? ฉันจะบอกให้แกรู้เอาไว้ตอนนี้เลย อาหู่ แกทำผิดกฎหมาย สร้างความอันตรายให้กับสังคม ฉันขอจับแกอย่างเป็นทางการ” หลูเซิ่งต๋าพูดเสียงเย็น

“แกกล้าเหรอ หลูเซิ่งต๋า แกก็รู้ว่าฉันเป็นใคร เบื้องหลังของฉันคือคุณชายเซวียนเยวี๋ยนเถิง แกล่วงเกินไม่ได้!” อาหู่มองไปยังหลูเซิ่งต๋าด้วยสองตาที่เต็มไปด้วยความโมโหแล้วพูดขึ้น

“หึ เซวียนเยวี๋ยนเถิงฉันล่วงเกินไม่ได้จริงๆ แต่เย่เทียนเฉินล่วงเกินเขาได้ ฉันก็เป็นแค่คนที่ทำตามหน้าที่เท่านั้น การต่อสู้ระหว่างเซวียนเยวี๋ยนเถิงและเย่เทียนเฉิน ใครจะแพ้ใครจะชนะ สำหรับฉันแล้วไม่มีผลอะไรมากมาย…” หลูเซิ่งต๋าแค่นเสียงเย็นครั้งหนึ่งแล้วพูดขึ้น

…………………………..

จะอย่างไรเย่เทียนเฉินก็คิดไม่ถึงว่า เสี้ยวหยาจะได้รับบาดเจ็บ หรือบางทีอาจจะกล่าวได้ว่า เขาคิดไม่ถึงอย่างเด็ดขาดว่าจะมีคนถ่อยไร้ยางอายเหมือนเฮยหวาอยู่ด้วย กระทั่งผู้หญิงที่ไม่มีแรงจะฆ่าไก่ก็ยังลงมือได้ น่าขายหน้าจริงๆ!

หยาเอ๋อร์!” เย่เทียนเฉินตะโกนเสียงดัง พุ่งเข้าไปหาเสี้ยวหยาโดยไม่สนใจอะไร

“แม่งเอ๊ย พวกแกยังจะมัวตะลึงอะไรกันอยู่อีก ฟันมันให้ตายซะ ถือโอกาสนี้ฟันมันให้ตายซะ” เฮยหวาเห็นเย่เทียนเฉินมีท่าทางสับสน จึงตะโกนออกมาใส่อันธพาลที่เหลืออย่างตื่นเต้น

อันธพาลที่ถือมีดตัดฟืนอยู่ในมือกลุ่มนี้ซึ่งเป็นลูกน้องของอาหู่ล้วนมีใบหน้าหวาดกลัว ไม่มีแม้แต่คนเดียวที่กล้าพุ่งเข้าไปตามใจ เมื่อครู่ฉากที่เย่เทียนเฉินฆ่าคนราวกับผักปลาทำให้ในใจของใครหลายคนรู้สึกเย็นยะเยือก เย่เทียนเฉินร่างกายชุ่มไปด้วยเลือดสด กระทั่งเส้นผมก็มีเลือดไหลหยดลงมา ราวกับเทพแห่งความตายที่ออกมาจากขุมนรก ไม่มีใครสามารถขวางเขาได้

“พวกแก…บุกเข้าไปพร้อมกัน ฟันมันให้ตาย ใครฟันมันได้ครั้งหนึ่งจะได้รางวัลหนึ่งแสน ฆ่ามันได้จะได้รางวัลหนึ่งล้าน…”

เฮยหวาเห็นสถานการณ์ไม่สู้ดี พวกลูกน้องของพี่ชายเขาต่างถูกเย่เทียนเฉินทำให้หวาดกลัวจนไม่มีใครกล้าพุ่งเข้าไปสักคน หากเป็นแบบนี้จะต้องฆ่าเขาไม่ได้แน่

เมื่อได้ยินคำพูดของเฮยหวา พวกอันธพาลที่เหลือก็ชะงักไปสักพักหนึ่ง จากนั้นดวงตาทั้งสองแดงก่ำขึ้น จ้องมองไปยังเย่เทียนเฉินอย่างดุดัน ถึงแม้พวกเขาจะถูกเย่เทียนเฉินทำให้ผวา แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าอำนาจเงิน ทุกคนต่างก็ไม่คิดชีวิต ในใจก็คิดว่าอาจจะโชคดี ไม่เชื่อว่าตนเองมีคนเยอะขนาดนี้จะฆ่าเย่เทียนเฉินไม่ได้

ฟันฉัวะลงไปครั้งหนึ่ง อันธพาฃตัวดำคนหนึ่งกัดฟันแน่น ใช้มีดฟันลงไปที่บริเวณหลังของเย่เทียนเฉิน เย่เทียนเฉินดวงตาเย็นยะเยือก หันมาจับอันธพาลตัวดำคนนั้น ใช้มือขวาบีบลงไปที่คอของเขา ได้ยินเสียงกรอบครั้งหนึ่ง อันธพาลตัวดำถูกเย่เทียนเฉินหักคอตายทั้งเป็น นอนตายตาไม่หลับอยู่บนพื้น

เย่เทียนเฉินหยิบมีดตัดฟืนในมือของอันธพาลตัวดำคนนั้นขึ้นมา เขาโกรธขึ้นมาบ้างแล้ว เสี้ยวหยาได้รับบาดเจ็บ ทำให้เขาปลดปล่อยกลิ่นอายแห่งการฆ่าในใจของตัวเองออกมาอย่างรุนแรง เป็นสิ่งที่ออกมาจากความโกรธแค้นของเขาจริงๆ

“ขะ เข้าไปพร้อมกัน พะ พวกเรามีมากขนาดนี้ ต้องฆ่ามันได้แน่!” ตอนนี้เอง มีอันธพาลที่ถือมีดตัดฟืนอยู่ในมือคนหนึ่งตะโกนออกมาด้วยเสียงอันสั่นเทา

พริบตานั้น อันธพาลสิบกว่าคนที่ไม่กลัวตายล้อมเย่เทียนเฉินเอาไว้ แกว่งมีดตัดฟืนในมือไปยังจุดตายของเขา เย่เทียนเฉินยืนอยู่ที่เดิมไม่ขยับเขยื้อน ในตอนที่มีดตัดฟืนในมือของอันธพาลเหล่านี้ฟันลงมาพร้อมกัน เย่เทียนเฉินก็ใช้เท้าขวาออกแรงเหยียบพื้นส่งตัวเองขึ้นสู่อากาศแล้วม้วนตัวครั้งหนึ่ง อันธพาลสิบกว่าคนที่ล้อมเขอยู่มองจนตาค้าง ไม่ขยับเขยื้อน

บนใบมีดของเย่เทียนเฉินชุ่มไปด้วยเลือดสดๆ ใบหน้าของเขาเย็นชา ชั่วขณะนั้นจิตวิญญาณแห่งการฆ่าพุ่งทะยานขึ้น ไม่มีการกักเก็บเอาไว้แม้เพียงครึ่งส่วน เขาโกรธแล้ว ราวกับว่ากลายเป็นเทพแห่งความตายจริงๆ ใครก็ไม่สามารถเข้าไปใกล้เขาได้แม้แต่ครึ่งก้าว

เฮยหวาตกใจจนถอยหลังไปก้าวหนึ่ง เขาแทบจะทรุดลงกับพื้นจนก้นจ้ำเบ้า ในตอนที่เย่เทียนเฉินเดินออกมาจากเหล่าอันธพาลสิบกว่าคนที่ล้อมเขาเป็นวงกลมอยู่นั้น คนทั้งสิบกว่าคนที่เดิมทีพุ่งเข้าไปเพื่อต้องการที่จะฟันแขนเย่เทียนเฉิน ในตอนนี้กลับลงจมกองเลือด การฟันเมื่อครู่นี้ เย่เทียนเฉินได้ดับลมหายใจของพวกเขาทุกคนไปแล้ว เลือดหลั่งไหลออกมาประดุจทะเลสาบ

มือขวาของเย่เทียนเฉินถือมีดตัดฟืนอยู่เล่มหนึ่ง  เดินไปยังเฮยหวาทีละก้าว ในตอนนี้เฮยหวาตกใจจนหน้าซีด เหงื่อเย็นๆ ไหลออกมาราวกับสายฝน ความตาย ทั่วทั้งซอยฟุ้งกระจายไปด้วยกลิ่นอายแห่งความตาย ได้ยินเพียงเสียงหัวใจของเหล่านักฆ่าอันธพาลที่เป็นลูกน้องของอาหู่เต้นตึกตักด้วยความหวาดกลัว

“หยาเอ๋อร์ หยาเอ๋อร์ เธอไม่เป็นไรใช่ไหม?” เย่เทียนเฉินนั่งลงกอดเสี้ยวหยาเอาไว้ในอ้อมกอด ตะโกนออกมาอย่างร้อนรน

เสี้ยวหยาลืมตาขึ้นมาอย่างอ่อนแรง เธอเป็นเพียงผู้หญิงอ่อนแอคนหนึ่ง ไม่มีแม้แต่แรงจะฆ่าไก่ แต่กลับไปบังมีดให้เย่เทียนเฉินโดยที่ไม่ลังเลและไม่สนใจทุกสิ่งทุกอย่างเลยแม้แต่น้อย บางทีอาจเป็นเพราะหลงรักอีกฝ่ายโดยไม่รู้ตัว บางทีอาจเป็นเพราะบุญคุณ จะอย่างไรเธอก็ไม่อยากเห็นเย่เทียนเฉินได้รับบาดเจ็บ ไม่อยากให้ตัวเองเป็นตัวถ่วงของเขา

“หยาเอ๋อร์ หยาเอ๋อร์…” เย่เทียนเฉินก่อนเสี้ยวหยาเอาไว้ในอ้อมกอดแน่น กําหมัดแน่นแล้วตะโกนออกมาเสียงดังด้วยความร้อนใจ

“ทะ เทียนเฉิน ระ รีบไป…ไม่งั้นพวกเราจะตายกันหมด…” เสี้ยวหยาลืมตาทั้งสองอย่างอ่อนแรง มองเย่เทียนเฉินด้วยความรักและสงสารแล้วพูดขึ้น

“ไม่ ใครกล้าแตะต้องเธอแม้แต่นิดเดียว ฉันจะฆ่ามันซะ!”

ในตอนนี้ เลือดแห่งการสู้รบของเย่เทียนเฉินได้พุ่งพล่านขึ้นมาแล้ว ในตอนที่พูดก็หันไปมองเหล่าอันธพาลที่อยู่ด้านหลัง ทำให้พวกอันธพาลที่ถือมีดตัดฟืนอยู่ในมือเหล่านี้ตกใจจนถอยออกไปหลายก้าวโดยไม่รู้ตัว

“เทียนเฉิน นายรีบไปซะ อย่าสนใจฉัน ฉัน…”

คำพูดของเสี้ยวหยายังไม่ทันจบก็หมดสติไปภายในอ้อมกอดของเย่เทียนเฉิน เย่เทียนเฉินชะงักไปทั้งร่าง จากนั้นจึงกัดฟันอย่างรุนแรง พูดพึมพำกับตัวเองว่า “หยาเอ๋อร์ เธอวางใจเถอะ ฉันจะพาเธอออกไป ไม่ว่าใครก็ขวางฉันกับเธอไม่ได้…”

เย่เทียนเฉินยืนขึ้นอย่างเชื่องช้า เหล่าอันธพาลที่เหลืออยู่รอบๆ ต่างตกใจจนสั่นไปทั้งร่าง ถอยหลังออกไปโดยไม่รู้ตัว ในตอนนี้ ไอสังหารของเย่เทียนเฉินบานสะพรั่ง เขาเตรียมพร้อมที่จะฆ่าแล้ว ความรู้สึกกดดันจนทำให้หายใจไม่ออกเช่นนั้น สามารถทำให้คนจิตวิปลาสได้เลยทีเดียว

เย่เทียนเฉินไม่พูดอะไรแม้แต่คำเดียว ใช้มือขวาเช็ดเลือดบนหน้า สายตามีความเด็ดเดี่ยวยิ่งขึ้น เขาเก็บมีดตัดฟืนเปื้อนเลือดขึ้นมาจากพื้น ใช้ปากฉีดเศษผ้าออกมาจากเสื้อของตน แล้วนำมาพันไว้บนมือขวา อุ้มเสี้ยวหยาขึ้นแบกเอาไว้บนไหล่ซ้าย ใช้มือซ้ายจับหลังของเสี้ยวหยาเอาไว้

ในซอยคับแคบที่เงียบงันราวกับความตาย ไม่มีใครกล้าขยับ กระทั่งหายใจแรงก็ยังไม่กล้า เงาร่างสูงใหญ่ดุดันร่างหนึ่ง ไหล่ซ้วาแบกสาวงามคนหนึ่งเอาไว้ มือซ้ายจับเอวของเธอแน่น มีดตัดฟืนในมือขวาพันเข้ากับมือ และยังมีดวงตาแน่วแน่เย็นชาคู่นั้น ดูแล้วทำให้ต้องสั่นทั้งๆ ที่ไม่หนาว

เย่เทียนเฉินแบกเสี้ยวหยาเอาไว้บนไหล่ซ้าย เดินตรงไปยังปากซอยทีละก้าวๆ ทุกก้าวที่เขาก้าวเดินไปข้างหน้า เหล่าอันธพาลที่ยืนขวางอยู่เบื้องหน้าของเขาต่างก็ถอยหลังออกไปก้าวหนึ่งโดยไม่รู้ตัว ในขณะนี้เย่เทียนเฉินราวกับเป็นเทพแห่งความตายที่แบกสาวงามดุจนางฟ้าอยู่บนไหล่ เดินตรงไปข้างหน้าด้วยความแน่วแน่ ไม่มีผู้ใดกล้าขวาง

เฮยหวาหอบหายใจเฮือกใหญ่ ไม่ใช่เพราะเหนื่อยจนเกินไป และไม่ใช่เพราะได้รับบาดเจ็บ แต่เป็นเพราะถูกกลิ่นอายอำนาจแห่งจักรพรรดิที่แผ่ออกมาจากเย่เทียนเฉินกดดันจนแทบจะหายใจไม่ออก มองเย่เทียนเฉินที่แบกเสี้ยวหยาอยู่บนไหล่เดินไปยังปากทางทีละก้าว เฮยหวากัดฟัน กำตัดฟืนในมือแน่น

“ฆ่า ฆ่ามันซะ มันได้รับบาดเจ็บแล้ว อย่าให้มันสองคนหนีไปด้วยกันได้…” เฮยหวาตะโกนเสียงดัง

ยังมีอันธพาลจำนวนหนึ่งที่ไม่กลัวตายพุ่งเข้าใส่เย่เทียนเฉิน อารมณ์ของเขาไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ แม้แต่ครึ่งส่วน และไม่ได้ถอยแม้แต่หนึ่งก้าว ทำเพียงเดินต่อไปข้างหน้า

มีดตัดฟืนสะบัดราวกับเต้นรำ มีดตัดฟืนในมือขวาของเย่เทียนเฉินฟันออกไปไม่หยุด หยาดเลือดสาดกระเซ็น เสียงกรีดร้องและเสียงตะโกนให้ฆ่าดังขึ้นทั่วทั้งซอย เย่เทียนเฉินไม่ได้สนใจเลยว่าบนมือ บนขา และบนหลังของตนจะได้รับบาดเจ็บมากขนาดไหน ทำเพียงแบกเสี้ยวหยาเดินตรงไปข้างหน้าเท่านั้น ทุกมีดที่ฟันออกไป จะต้องมีอันธพาลคนหนึ่งนอนทอดตัวเป็นศพ

ในที่สุด เย่เทียนเฉินก็เริ่มฆ่าด้วยความโกรธแค้น แบกเสี้ยวหยาวิ่งตรงไปด้านหน้า มีดตัดฟืนในมือขวากวัดแกว่งออกไปเก็บเกี่ยวชีวิตผู้คนไม่หยุด แต่ละมีดต้องมีคนตาย

บางทีเป็นเพราะลืมไปแล้วหรืออาจเป็นเพราะเสี้ยวหยาได้รับบาดเจ็บ จึงทำให้เย่เทียนเฉินโกรธ เขาในตอนนี้ไม่ใช่ว่าไม่อยากใช้พลังพิเศษ แต่ลืมใช้พลังพิเศษ มีดตัดฟืนในมือเก็บเกี่ยวชีวิตผู้คนราวกับผักปลา แบบนี้จะยิ่งเพิ่มความสะใจและความเลือดพล่านมากขึ้น อีกทั้งยังสามารถกระตุ้นจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ของเย่เทียนเฉินได้ ร่างกายของเขาก็จะได้รับการบ่มเพาะครั้งใหญ่

“ทำไม…ทำไม ทำไมพวกแกต้องบีบบังคับฉัน!” เย่เทียนเฉินใช้มีดตัดฟืนฟันหัวของอันธพาลคนหนึ่งจนขาดกระเด็น ตะโกนออกมาเสียงดัง

“ฆ่ามันซะ อย่าให้มัน…”

เฮยหวาพุ่งออกมาจากด้านหลัง มีพี่น้องตายไปมากขนาดนี้ หากยังฆ่าเย่เทียนเฉินไม่ได้ พวกเขาก็ไม่อาจคุ้มถนนเส้นนี้ได้อีก แต่คำพูดของเขายังไม่ทันพูดจบ เย่เทียนเฉินก็หันมาอย่างฉับพลัน เขาจ้องมองเฮยหวาแล้วขว้างมีดตัดฟืนที่ผูกกับมือขวาออกไป

เสียงดังฉึก ท้องของเฮยหวาถูกมีดตัดฟืนเสียบทะลุ มีดตัดฟืนที่มีพลังในการโจมตีอันรุนแรงพาร่างของเฮยหวาไปปักอยู่บนกำแพง เลือดสดๆ ไหลหยดลงมาตามกำแพง ดูแล้วทำให้ผู้คนต้องหวาดกลัว และยังเป็นการกระตุ้นความเลือดร้อน

“มา มาฟันฉันสิ มา…” เย่เทียนเฉินตะโกน

“อ๊าก!”

อันธพาลที่ถือมีดตัดฟืนไว้ในมือคนหนึ่งกลัวจนจิตตก ทั่วท้องซอยเต็มไปด้วยเลือด เศษซากอวัยวะ และยังมีศีรษะที่ถูกฟันขาด ดูราวกับนรกบนดิน อันธพาลคนนั้นทำมีดในมือตกพื้น มือทั้งสองกุมศีรษะของตน กรีดร้องออกมา จากนั้นจึงวิ่งหนีไปอย่างบ้าคลั่ง

คนที่สอง…

คนที่สาม…

นักฆ่าที่เหลือต่างก็จิตใจแหลกสลาย พวกเขาไม่กล้าไปเป็นคู่ต่อสู้กับเทพแห่งความตาย ต่างพากันกรีดร้องออกมาและวิ่งหนีกันอย่างล้มลุกคลุกคลาน วิ่งได้ไกลเท่าไหร่ก็วิ่ง ไม่หันหน้ากลับมาอีก…

เย่เทียนเฉินผ่อนลมหายใจครั้งหนึ่ง ยืนไม่ค่อยมั่นคงเท่าไหร่นัก ต่อสู้อย่างรุนแรงเช่นนี้มาครึ่งชั่วโมงกว่าแล้ว อีกทั้งยังไม่ได้ใช้พลังพิเศษ เขาคนเดียวฆ่ากองกองอันธพาลที่ใช้มีดตัดฟืนไปสามร้อยกว่าคน ฟังดูน่าหวาดผวาเป็นอย่างมาก

เขาวางเสี้ยวหยาลง มองเธอที่หมดสติไป ในใจรู้สึกร้อนรน ไม่รู้ว่าอาการบาดเจ็บของผู้หญิงที่งดงามคนนี้เป็นอย่างไรบ้าง เธอถึงกับไม่สนใจอะไร ผลักเขาออกและเอาตัวมาขวางมีดให้เขา เย่เทียนเฉินรู้สึกผิด ต้องโทษเขาที่อยากจะถือโอกาสนี้ฝึกฝนกายเนื้อ มิเช่นนั้นเธอคงไม่ได้รับบาดเจ็บ

มือทั้งสองของเย่เทียนเฉินอุ้มเสี้ยวหยาในท่าอุ้มเจ้าสาว เดินออกไปยังปากทางทีละก้าว ทั่วทั้งตัวเต็มไปด้วยเลือด ราวกับเปียกชุ่มไปด้วยฝนเลือด เดินออกไปยังปากซอย เขาไม่สนใจบาดแผลของตน ในใจคิดว่าจะต้องพาเสี้ยวหยาไปส่งที่โรงพยาบาลให้เร็ว หากผู้หญิงคนนี้เป็นอะไรไป เย่เทียนเฉินคงไม่ยกโทษให้ตนเองไปชั่วชีวิต

ในตอนที่เย่เทียนเฉินอุ้มเสี้ยวหยาเดินออกมาที่ปากซอยแล้ว ผู้คนที่เดินอยู่บนถนนนอกซอยต่างพากันตกตะลึงจนตาค้าง มองเย่เทียนเฉินอย่างไม่อยากจะเชื่อ บางคนรู้ว่าในซอยแคบแห่งนี้เกิดอะไรขึ้น แต่กลับไม่กล้าไปยุ่งให้มากเรื่อง ตอนนี้เห็นเย่เทียนเฉินถึงกับอุ้มเสี้ยวหยาออกมา ร่างกายเต็มไปด้วยเลือด ทำให้ต้องตกตะลึงจนแข็งเป็นหิน

“พะ พระเจ้า ขะ เขาฆ่าคนออกมาได้แล้ว”

“นะ นี่ยังเป็นคนอยู่อีกเหรอ? คนสามร้อยคนที่มีมีดตัดฟืนถึงกับฆ่าเขาไม่ได้เชียว?”

“ปกป้องผู้หญิงที่ตนรัก ฆ่าคนเพื่อเปิดเส้นทางแห่งเลือด คนคนนี้แข็งแกร่งจริงๆ”

ในตอนนี้ เสียงรถตํารวจดังขึ้น รอบด้านต่างก็มีตำรวจพุ่งเข้ามาเป็นจำนวนมาก รถตำรวจสิบกว่าคันขวางเย่เทียนเฉินและเสี้ยวหยาเอาไว้ที่ปากทาง มีตำรวจอาวุธครบมือเกือบร้อยคนลงมาจากรถ ทุกคนต่างยกปืนขึ้น เล็งไปยังเย่เทียนเฉิน…

…………………………….

“หยาเอ๋อร์ อยู่ใกล้ฉันเอาไว้ ฉันจะพาเธอฝ่าออกไป” เย่เทียนเฉินหันไปยิ้มให้กับเสี้ยวหยาที่มีใบหน้าซีดขาวแล้วพูดขึ้น

ในตอนนี้ เหล่าพี่น้องกลุ่มนี้ที่เป็นลูกน้องของอาหู่ จากเดิมทีที่คิดว่าจะสามารถฆ่าเย่เทียนเฉินได้ด้วยคนเพียงไม่กี่คน ต่อให้ไม่ลงมือแต่ก็มีพละกำลังมากกว่าขนาดนี้ ชายฉกรรจ์ที่ถือมีดตัดฟืนอยู่ในมือทั้งสามร้อยกว่าคน สามารถทำให้คนตกใจตายได้ แต่เย่เทียนเฉินไม่เพียงแต่ไม่หวาดกลัวแม้แต่น้อย กลับลงมืออย่างโหดเหี้ยม พริบตาเดียวก็ฟันชายฉกรรจ์สิบกว่าคนจนล้มตาย ทำให้ทุกคนในที่นี้ต่างก็ตกตะลึงจนนิ่งไป

เย่เทียนเฉินมองเหล่าอันธพาลทั้งซ้ายขวา กลยุทธ์ของตนถูกต้องจริงดังคาด วิธีการนองเลือดอันโหดเหี้ยมจะทำให้ทุกคนต้องสั่นสะท้านจนนิ่งไป จึงจะมีโอกาสฝ่าวงล้อม มิเช่นนั้นหากปะทะกันอย่างรุนแรงเข้ามาจริงๆ หากตนเองไม่ใช้พลังพิเศษและต้องการฆ่าคนทั้งสามร้อยกว่าคนนี้ ต่อให้หั่นแตงกวาสามร้อยลูกก็ยังหันจนมือไม้อ่อนได้

เสี้ยวหยาอยู่ด้านหลังของเย่เทียนเฉิน ร่างกายของเขาเต็มไปด้วยเลือดสดๆ มือซ้ายกุมมือเสี้ยวหยาเอาไว้ มีดตัดฟืนในมือขวาชี้ลงพื้นมีเลือดสดๆ ไหลหยดลงมาไม่หยุด ทุกก้าวที่เขาก้าวไปข้างหน้า เหล่าชายฉกรรจ์โหดเหี้ยมที่ยืนอยู่ขวางด้านหน้าเขา ต่างก็ตกใจจนอดไม่ได้ที่จะถอยหลังไป

“แม่งเอ๊ย ฟัน ฟันมันให้ตาย หากว่าไอ้หมอนี่มันหนีไป พี่หู่ก็ไม่ปล่อยพวกเราไปแน่…” ชายฉกรรจ์คนหนึ่งตะโกนขึ้น

เย่เทียนเฉินขมวดคิ้ว กลุ่มคนทะลักเข้ามาทั้งหน้าและหลัง สะบัดมีดตัดฟืนจนมั่วซั่ว ชายฉกรรจ์คนหนึ่งแทงมีดเขามายังหน้าอกของเย่เทียนเฉิน เย่เทียนเฉินเอี้ยวตัวแล้วฟันมีดกลับไป เสียงร้องอย่างอนาถดังขึ้น แขนทั้งแขนของชายฉกรรจ์ผู้นั้นถูกเย่เทียนเฉินฟันจนขาดทั้งดุ้น ล้มลงไปแล้วกลิ้งไปมาท่ามกลางกองเลือด

ชายฉกรรจ์อีกสองคน คนหนึ่งฟันไปยังศีรษะของเย่เทียนเฉิน อีกคนหนึ่งฟันแนวขวางไปยังอวของเย่เทียนเฉิน

ฉัวะ!

มือขวาของเย่เทียนเฉินฟันออกไปเป็นแนวนอน ปะทะเข้ากับมีดตัดฟืนที่ฟันมายังศีรษะของตนจนกระเด็นออกไป ในขณะเดียวกันก็ใช้เท้าแตะชายฉกรรจ์ที่ฟันมีดมายังศีรษะของตนผู้นั้นจนปลิว กระแทกกับเหล่านักฆ่าที่ทะลักเข้ามาไปแถบหนึ่ง

 ในขณะเดียวกันนี้ เย่เทียนเฉินก็ปล่อยมือเสี้ยวหยา ใช้มือซ้ายจับข้อมือของชายฉกรรจ์ที่ฟันมีดลงมาบริเวณเอวของเขา หยุดไม่ถึงครึ่งวินาทีก็ได้ยินเสียงกระดูกหักดังขึ้น เย่เทียนเฉินหักข้อมือของชายฉกรรจ์โหดเหี้ยมคนนั้นอย่างรุนแรง และใช้เท้าถีบจนปลิวออกไปเช่นกัน

“อา… เทียนเฉินระวัง” ทันใดนั้นเสี้ยวหยาตะโกนเรียก เพราะด้านหลังของเย่เทียนเฉินมีชายฉกรรจ์ผู้โหดเหี้ยมคนหนึ่งแทงมีดเข้าไปด้านหลังของเย่เทียนเฉิน

เย่เทียนเฉินขมวดคิ้ว หมุนตัวพร้อทั้งเตะกลับไปจนชายฉกรรจ์ที่ลอบโจมตีตัวเองผู้นั้นกระเด็นออกไป ปะทะเข้ากับชายฉกรรจ์ถือมีดตัดฟืนที่อยู่ด้านหน้าสุดหลายคน

อันธพาลที่ถือมีดตัดฟืนอยู่ในมือทะลักเข้ามามากขึ้นเรื่อยๆ ทั้งหมดต่างก็มีดวงตาแดงก่ำด้วยความต้องการฆ่า เย่เทียนเฉินถอยหลังไปหลายก้าว ปกป้องเสี้ยวหยาให้อยู่ด้านหลังติดๆ เสี้ยวหยาเกาะแขนเย่เทียนเฉินไว้แน่น สถานการณ์เช่นนี้หากไม่กลัวก็โกหกแล้ว ไม่ต้องพูดถึงว่าเสี้ยวหยาเป็นผู้หญิงคนหนึ่ง ต่อให้เป็นผู้ชายตัวใหญ่ได้มาเห็น เกรงว่าจะถูกทำให้ตกใจจนฉี่ราด

“หยาเอ๋อร์ อย่ากลัว ไม่มีอะไรหรอก!” เย่เทียนเฉินหันไป เช็ดอยากเลือกบนหน้าออก ยิ้มให้เสี้ยวหยาแล้วพูดขึ้น

เสี้ยวหยาเห็นท่าทางเช่นนี้ของเย่เทียนเฉิน น้ำตาก็พลันไหลออกมา เธอรู้ว่านี่ล้วนเป็นเพราะต้องปกป้องตน มิเช่นนั้นเย่เทียนเฉินจะต้องสู้อย่างลำบากขนาดนี้ได้อย่างไร ด้วยฝีมือของเขา ในที่นี้ไม่มีใครที่จะขวางเขาไว้ได้

“เทียนเฉิน นายไม่ต้องสนใจฉัน นายรีบไป รีบไปเถอะ…” เสี้ยวหยาผลักเย่เทียนเฉินออกไป เธอรู้ว่าตัวเองเป็นตัวถ่วงของเย่เทียนเฉิน

“เด็กโง่ ต่อให้ฉันตายก็จะไม่ทิ้งเธอเอาไว้ อีกอย่างด้วยฝีมือของพวกเขา…ฆ่าฉันไม่ได้หรอก!” อเย่เทียนเฉินยิ้มอย่างมาดเท่พูดกับเสี้ยวหยา

“เทียนเฉิน นายไม่ต้องสนใจฉันแล้ว รีบไปเถอะ หากว่านายต้องการจะออกไปก็ไม่มีใครขวางนายได้!” เสี้ยวหยาร้องไห้แล้วพูดขึ้นเสียงดัง

“ฉันจะพาเธอออกไปด้วยกัน พวกเราไปด้วยกัน!”

คำพูดอันหนักแน่นของเย่เทียนเฉินเพิ่งจะพูดออกมา เขาก็ไม่ยอมถอยแต่กลับบุกเข้าไป พุ่งเข้าไปยังอันธพาลกลุ่มนั้นที่ไหลทะลักเข้ามา ทำให้ชายฉกรรจ์หลายคนตกใจจนชะงัก อดไม่ได้ที่จะหยุดฝีเท้าตนเองลง กระทั่งมีคนถอยหลังออกไป

“ไอ้…ไอ้หนูนี่ ระ รนหาที่ตายหรือไง?”

“ถึงกับกล้าพุ่งเข้ามาเลย?”

“ฆะ ฆ่ามัน”

อันธพาลกลุ่มนี้เดิมทีก็ฆ่าคนได้โดยไม่กระพริบตา ในตอนนี้ถูกฉากนองเลือดกระตุ้นนิสัยบ้าเลือดขึ้น ชายฉกรรจ์หลายสิบคนที่พุ่งเข้ามาด้านหน้าสุดตวัดมีดตัดฟืน ด้านหลังยังมีเงาคนทะลักเข้ามาจนไม่อาจเห็นจุดสิ้นสุดได้

เย่เทียนเฉินรู้ว่าในตอนนี้ไม่มีทางแล้ว ต้องพึ่งพาตนเอง พึ่งพามีดในเมือง ฆ่าเปิดทางออกไปอย่างดุดัน เขาเป็นคนที่แน่วแน่คนหนึ่ง เรื่องที่ตัดสินใจไปแล้ว ก็จะต้องทำให้ได้ กล่าวแล้วว่าจะไม่ใช้พลังพิเศษก็จะต้องไม่ใช้พลังพิเศษ อีกทั้งแบบนี้ยังมีผลดีต่อการฝึกฝนกายเนื้อเป็นอย่างมาก ยากที่จะมีโอกาสเช่นนี้ได้

สถานการณ์เช่นในตอนนี้ เขารู้ว่าเขาจำเป็นต้องลงมือฆ่า มิเช่นนั้นไม่เพียงแต่เขาที่ต้องตาย เสี้ยวหยาเองก็คงไม่รอด เขาจะต้องปกป้องเสี้ยวหยา ปกป้องให้ผู้หญิงคนนี้ฝ่าออกไปให้ได้

การต่อสู้อันดุเดือดเลือดพล่านเริ่มขึ้นแล้ว เย่เทียนเฉินคนเดียวเผชิญหน้ากับชายฉกรรจ์ถือมีดตัดฟืนอยู่ในมือหลายสิบคน ด้านหลังยังมีคนจำนวนนับไม่ถ้วนไหลทะลักเข้ามา มีดตัดฟืนในมือขวาสะบัดออกไปไม่หยุด เสียงกรีดร้องดังขึ้นไม่หยุด เงาคนเบียดเสียดเข้ามา

เมื่อเห็นว่าเย่เทียนเฉินต่อสู้นองเลือดอยู่ท่ามกลางฝูงชนอย่างยากลำบาก เสี้ยวหยาก็น้ำตาไหลออกมาอย่างไม่อาจระงับ ผู้ชายเช่นนี้ เพื่อที่จะปกป้องตนเอง ไม่เสียดายที่จะทำให้ทั้งร่างของตนย้อมไปด้วยเลือด คนขวางก็ฆ่าคน พระขวางก็ฆ่าพระ น้ำตาของเธอไหลออกมาเพื่อเขา

ในตอนที่เย่เทียนเฉินจับหัวชายฉกรรจ์คนหนึ่ง ตวัดมีดตัดฟืนในเมืองขวาออกไปแนวนอน ตัดศีรษะของชายฉกรรจ์ผู้นั้นออกมา เสาเลือดพุ่งทะยานขึ้น ฉากนี้ทั้งสั่นสะท้านและเต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือด จนทุกคนชะงักไป ไม่มีแม้แต่คนเดียวที่กล้าขยับ มีชายฉกรรจ์บางคนตกใจจนฉี่ราด ในใจของหลายคนต่างก็เย็นเยียบขึ้น คิดว่านี่ยังเป็นคนอยู่อีกหรือ? เป็นคนหรือเป็นเทพแห่งความตายกันแน่?

ในซอยแคบพลันเงียบงั้น แสงไฟอันมืดสลัวเรากลับกำลังไว้อาลัยให้ผู้ตาย ชายฉกรรจ์ที่ถือมีดตัดฟืนอยู่ในมือที่เหลืออีกสองร้อยกว่าคน ไม่ว่าจะเป็นคนที่พุ่งไปด้านหน้าสุด หรือว่าจะถูกขวางเอาไว้ข้างหลัง ทั้งหมดต่างก็ใบหน้าซีดขาว มีเหงื่อเย็นๆไหลซึมออกมา มองไปยังด้านหน้าอย่างตะลึงจนแข็งเป็นหิน

ตรงกลางสุดของซอย มีเงาร่างสูงใหญ่ผอมเพรียวร่างหนึ่ง ใบหน้าเย็นยะเยือก ร่างกายชุ่มไปด้วยเลือด มือซ้ายถือหัวคน มืดตัดฟืนในมือขวาเต็มไปด้วยรอยบิ่นตั้งนานแล้ว เลือดสดๆ หยดไหลลงติ๋งๆ ทุกครั้งที่หยดลง ต่างก็สั่นสะท้านไปถึงจิตวิญญาณของผู้คน

เย่เทียนเฉิน ตัวตนที่เป็นดั่งเทพแห่งความตาย เขาลงมือเอง ไม่ถึงสิบนาทีรอบเช้าของเขาก็มีศพยี่สิบกว่าศพนอนอยู่ โดยเฉพาะศพของชายฉกรรจ์ศพหนึ่ง  คุกเข่าอยู่เบื้องหน้าของเขา และในมือซ้ายของเย่เทียนเฉินถือหัวของชายฉกรรจ์ผู้นั้นอยู่

นรกบนดิน น่าสยดสยองมากนัก หลายคนกระทั่งหายใจแรงก็ยังไม่กล้า สองตาเบิกกว้าง เหงื่อเย็นๆ ไหลลงมาไม่หยุด

เสียงพลั่กดังขึ้น เย่เทียนเฉินโยนมีดตัดฟืนที่เต็มไปด้วยรอยบิ่นลงสู่พื้น พาร่างที่เต็มไปด้วยหยาดเลือดเดินไปเบื้องหน้าเสี้ยวหยา หอบหายใจครั้งใหญ่ เขาไม่ได้ใช้พลังพิเศษ แม้จะฝีมือแข็งแกร่งเช่นเขาก็ยังต้องใช้พลังกายออกไปมาก เผชิญหน้ากับชายฉกรรจ์ถือมีดตัดฟืนอยู่ในมือทั้งสามร้อยกว่าคน มือขวาของเย่เทียนเฉินฟันจนล้าไปหมดแล้ว

“เทียนเฉิน เทียนเฉิน นายไม่เป็นอะไรใช่ไหม…” เสี้ยวหยาสูดจมูก ใบหน้าอันงดงามมีน้ำตาไหลออกมาเต็มหน้า ผู้ชายเช่นนี้ควรค่าที่จะทำให้เธอร้องไห้เพื่อเขา ควรค่าที่เธอจะรักอย่างลึกซึ้ง

“เด็กโง่ ฉันไม่เป็นไร อย่าร้องเลย พวกเราไปกันเถอะ!” เย่เทียนเฉินพูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม

เสี้ยวหยาตกตะลึง จากนั้นจึงพยักหน้าอย่างแน่วแน่ จับมือซ้ายของเย่เทียนเฉิน กุมเอาไว้จนแน่น ดูเหมือนจะกลัวว่าหากไม่ระวังจะสูญเสียอะไรบางอย่างไป

เย่เทียนเฉินจูงมือเสี้ยวหยา เดินเหยียบย่างไปบนซากศพของเหล่าชายฉกรรจ์ ชายฉกรรจ์ที่เหลืออีกหลายร้อยคนที่ขวางหน้าเย่เทียนเฉินเอาไว้ ต่างก็สั่นสะท้านไปทั้งร่าง มีดตัดฟืนภายในมือขวาแทบจะประคองไว้ไม่ได้ เย่เทียนเฉินพาเสี้ยวหยาไป ทุกครั้งที่ก้าวไปด้านหน้าหนึ่งก้าว คนเหล่านี้ก็จะถอยไปหนึ่งก้าว ไม่มีใครกล้าพุ่งเข้ามาเลยแม้แต่คนเดียว

 เมื่อต้องเผชิญหน้ากับเย่เทียนเฉินที่เป็นเหมือนปีศาจฆ่าคน ใครจะไม่กลัวบ้าง? จิตวิญญาณต่างก็กำลังสั่นเทา ไม่ถึงสิบนาทีก็ ไปแล้วสามสิบกว่าคน แต่ละมีดล้วนเอาชีวิต โดยเฉพาะช่วงเวลาสุดท้ายนั้น ตัดศีรษะคนผู้หนึ่งจนขาดร่วง เสาเลือดพุ่งทะยานขึ้นฟ้า ภาพเหตุการณ์อันโหดเหี้ยมปรากฏต่อสายตา ไม่มีแม้แต่คนเดียวที่ไม่กลัว

เป็นเช่นนี้เอง เย่เทียนเฉินจูงมือเล็กๆของเสี้ยวหยา เดินมุ่งไปยังปากซอยช้าๆทีละก้าว เมื่อผ่านการต่อสู้อันดุเดือดเลือดพล่านเมื่อสักครู่นี้มา ถึงแม้เขาจะได้รับบาดเจ็บจากมีดๆ เพียงเล็กน้อย แต่พลังกายก็เริ่มจะประคองไว้ไม่ไหว เขาคอยสังเกตอันธพาลนักฆ่ากลุ่มนี้ที่เบื้องหน้าอย่างระมัดระวัง เกรงว่าจะมีคนลอบโจมตี เขาไม่ต้องการให้เสี้ยวหยาได้รับบาดเจ็บ

เป็นไปอย่างเชื่องช้า ดวงตาของเย่เทียนเฉินและเสี้ยวหยามองไปยังปากซอยที่มีระยะห่างไม่ถึงสิบเมตร ขอเพียงออกไปได้ก็ไม่มีใครกล้าขวางทางเย่เทียนเฉินอีก

“ไปตายซะ ไอ้ลูกหมา…”

ชั่วขณะนั้นเอง ชายฉกรรจ์คนหนึ่งตะโกนขึ้นมาเสียงดัง ลอบโจมตีขึ้นมาจากด้านหลัง แทงมีดไปยังหลังของเย่เทียนเฉิน

ชายฉกรรจ์คนที่ลอบโจมตีเย่เทียนเฉินขึ้นมาอย่างกะทันหันนี้ ก็คือน้องชายแท้ๆ ของอาหู่ มีฉายาว่าเฮยหวา(ทารกดำ) เดิมทีคิดว่าต่อให้เย่เทียนเฉินมีฝีมืออยู่บ้าง ก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของตนที่มีคนมากถึงเพียงนี้ แต่ว่าตั้งแต่ชั่วขณะที่เริ่มประมือกัน เฮยหวาก็ไม่กล้าพุ่งเข้าไปด้านหน้า เย่เทียนเฉินก็เหมือนกับเทพแห่งความตาย ห้าวหาญจนมิอาจขวาง ทุกคนที่กล้าพุ่งเข้าไปต่างก็มีคำเดียวที่รออยู่นั่นคือ ตาย

ตอนนี้เฮยหวามองไปยังเย่เทียนเฉินที่จะหนีไป กัดฟันแน่น ต้องการจะลอบโจมตีเย่เทียนเฉิน ขอเพียงลอบโจมตีได้ คืนนี้พวกเขาก็จะต้องฆ่าเย่เทียนเฉินได้อย่างแน่นอน

“เทียนเฉิน ระวัง!”

เสี้ยวหยาตะโกนขึ้นมาเสียงดังด้วยความตกใจ เธอผลักเย่เทียนเฉินออกไปโดยไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย ใช้ตัวเองบังอยู่ด้านหน้าของเย่เทียนเฉิน เสียงซวบดังขึ้น เป็นเสียงที่กล้ามเนื้อถูกตัดขาด มีดนี้ของเฮยหวาไม่ได้แทงถูกเย่เทียนเฉิน

ชั่วพริบตาที่เย่เทียนเฉินหันกลับมานั้น เขาเห็นรอยยิ้มหวานของเสี้ยวหยา ใบหน้างดงามทำให้ผู้คนหลงใหล ร่างกายอันมีเสน่ห์ล้มลงบนพื้น

“เทียนเฉิน รีบไป รีบไป รีบไปเร็ว…” เสี้ยวหยาล้มลงนอนจมกองเลือด ตะโกนออกมาอย่างยากลำบากด้วยความเจ็บปวด

“เสี้ยวหยา!”

เย่เทียนเฉินตะโกนขึ้น พุงเข้าไปหาเสี้ยวหยาโดยไม่สนใจสิ่งใด…

เสี้ยวหยาเอาตัวมาขวางมิให้เย่เทียนเฉินโดยไม่สนใจอะไร มีดนั้นของเฮยหวาฟันถูกร่างของเสี้ยวหยา เขาก็ชะงักไป จากนั้นใบหน้าปรากฏรอยยิ้มเหี้ยมขึ้น เย่เทียนเฉินร้ายกาจมากจริงๆ พวกเขาไม่ใช่คู่มือของเย่เทียนเฉินอย่างแน่นอน นี่เป็นเทพแห่งความตายคนหนึ่ง ไม่มีใครขวางทางได้ เพียงแต่ตอนนี้ เฮยหวาพบจุดอ่อนของเย่เทียนเฉิน นั่นก็คือเสี้ยวหยา เมื่อเสี้ยวหยาได้รับบาดเจ็บหรือถูกโจมตี เย่เทียนเฉินก็จะสับสนวุ่นวายขึ้นมา นี่จะเป็นโอกาสที่ดีที่สุดที่พวกเขาจะฆ่าเย่เทียนเฉิน

“เทียนเฉิน ไม่ต้องสนใจฉัน นาย…นายรีบไปเถอะ…” เสี้ยวหยาล้มอยู่ท่ามกลางกองเลือด กัดฟันตะโกนบอกเย่เทียนเฉินอย่างยากลำบาก

……………………..

เมื่อเห็นว่าผู้หญิงที่ใส่แว่นกันแดดสีดำขนาดใหญ่และผ้าปิดปากสีขาวเดินเข้าไปในหอพักนักศึกษาหญิง เย่เทียนเฉินก็ขมวดคิ้ว นี่เป็นผู้หญิงคนที่สี่ที่เขาพบตั้งแต่มาถึงมหาวิทยาลัยหลงเถิง สองคนก่อนหน้านี้ก็คือหลิงอวี่สวิ๋นและเสี้ยวหยา จากนั้นก็เป็นผู้หญิงที่ลึกลับอย่างฉินเหยาเยว่ มักจะทำให้เขามีความรู้สึกไม่ถูกต้อง ตกลงว่าไม่ถูกต้องตรงไหนก็พูดไม่ได้ กลับรู้สึกว่าเกี่ยวข้องกับตัวเอง บางทีหลังจากนี้คงจะเปิดเผยก็ได้!

เย่เทียนเฉินมองท้องฟ้าที่ค่อยๆมืดลงแล้วจึงหยิบโทรศัพท์ออกมาโทรไปหาเสี้ยวหยา หลังจากที่ดังอยู่ประมาณสิบครั้งก็รับสาย

“หยาเอ๋อร์ เป็นยังไงบ้าง ไปกินข้าวกันได้หรือเปล่า?”

“อืม รอแปบหนึ่งนะ กำลังจะลงไปเดี๋ยวนี้!” เสี้ยวหยาพูดแล้ววางสายไป

รอสักครู่ก็ได้ เย่เทียนเฉินรอไปครึ่งชั่วโมงกว่า ถึงจะเห็นเสี้ยวหยาเดินออกมาจากหอพักนักศึกษาหญิงอย่างรีบร้อน ศีรษะเต็มไปด้วยเหงื่อหอมๆ ดูท่าแล้วจะเก็บกวาดห้องจนสะอาดเรียบร้อยแล้ว เพียงแต่บ่นใบหน้าบริสุทธิ์นั้นดูยับยุ่งอยู่บ้าง

“ขะ ขอโทษที เมื่อครู่นี้ฉันถูพื้น เลยช้าไปหน่อย!” เสี้ยวหยามองเย่เทียนเฉินอย่างรู้สึกผิดแล้วพูดขึ้น

“อย่าขยับ…”

“เอ๋? อะไรเหรอ?”

เสี้ยวหยาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น จึงยืนอยู่เบื้องหน้าเย่เทียนเฉินโดยไม่ขยับ เขาหยิบใยแมงมุมออกจากบนผมของเสี้ยวหยาเบาๆ พูดขึ้นยิ้มๆ ว่า “วันนี้พวกเรากินวุ้นเส้นกันไหม?”

“อะ อาจเป็นเพราะเมื่อครู่นี้ไม่ทันระวัง พวกเราไปกันเถอะ เพื่อแสดงความขอโทษ ฉันจะพาเธอไปที่ที่หนึ่ง กินของอร่อย!” เสี้ยวหยาพูดอย่างน่ารัก

“ของอร่อย ของอร่อยอะไร?” เมื่อพูดถึงเรื่องกิน เย่เทียนเฉินก็กระตือรือร้นขึ้นมา อดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม

“ไปกินบาร์บีคิวเถอะ ในซอยเล็กๆซอยหนึ่ง บาร์บีคิวไม่เลวเลย!” เสี้ยวหยาพูดแล้วจึงยิ้มด้วยท่าทางน้ำลายสอ

“ฮ่าๆ ดูแล้วคงแอบไปกินบ่อยๆ แล้วถูกจับได้ล่ะสิ” เย่เทียนเฉินจงใจพูดแล้วหัวเราะเสียงดัง

“นายสิถูกจับได้ เป็นร้านที่พ่อพาฉันไปกินเมื่อก่อน รสชาติไม่เลวเลย อยู่ห่างจากที่นี่ไม่ไกล!” เสี้ยวหยามองเย่เทียนเฉินแล้วพูดขึ้น

“ไม่มีปัญหา เธอบอกทาง เดี๋ยวฉันจะขับรถไปหญิงชายร่วมมือกันทำงานไม่เหนื่อย!” เย่เทียนเฉินยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์

“อือ!” เสี้ยวหยาไม่ได้เกรงใจ และไม่พูดอะไรมาก รู้ว่าเย่เทียนเฉินคนนี้ปากไม่ดี เหมือนกับที่หลิงอวี่สวิ๋นพูด คนๆ นี้ในตอนที่ร้ายขึ้นมา ก็จะต้องใช้วิชาหยิกอันรุนแรงไปรับมือเขา

เย่เทียนเฉินขับรถมอเตอร์ไซค์สุดหล่อไปจากประตูมหาวิทยาลัยหลงเถิงด้วยกันกับเสี้ยวหยาท่ามกลางเสียงหัวเราะ

ในตอนที่พวกเขากำลังจะจากไป ชายหลายคนเห็นก็เดินออกมาจากถนน มองรถมอเตอร์ไซค์ของเย่เทียนเฉินทะยานออกไป ชายคนหนึ่งเปิดปากเอ่ย “เมื่อครู่นี้พวกนายได้ยินชัดเจนหรือยัง? ก็เขาจะต้องไปที่ซอยแคบๆ นั่นแน่นอน ประกาศให้พี่น้องของพวกเรารู้ว่าพาคนไปปิดล้อมได้เลย”

“หึ ไอ้หนูนี่รนหาที่ตายจริงๆ ซอยเล็กนั้นทั้งหน้าทั้งหลังก็มีถนนอยู่เส้นเดียว สองด้านล้อมด้วยกำแพงสูงสามเมตร ถ้าปิดทางไว้ทั้งหน้าทั้งหลัง ต่อให้มีปีกก็หนีไม่รอด” ชายฉกรรจ์อีกคนหนึ่งก็หัวเราะออกมาอย่างเย็นชา

นี่นับเป็นครั้งแรกที่เย่เทียนเฉินและเสี้ยวหยานัดกันโดยลำพัง ในใจของทั้งสองมีความสุขมาก ไม่มีใครมารบกวน มีเพียงพวกเขาสองคน นี่เป็นความสุขที่พูดไม่ได้ ทั้งสองเดินทางไปกินบาร์บีคิวในซอยแคบด้วยความเบิกบานใจ แต่กลับไม่รู้ว่าวิกฤตเป็นตายกำลังค่อยๆ เข้ามาใกล้พวกเขา

ประมาณครึ่งชั่วโมงต่อมา พวกเย่เทียนเฉินได้ไปถึงในซอยแคบนั้นแล้ว ที่นี่โด่งดังมากในเมืองหลวง เย่เทียนเฉินแม้จะไม่เคยมา แต่ก็เคยได้ยินมาก่อน เป็นซอยลึกที่มองไม่เห็นปลายทาง ทันใดนั้นเย่เทียนเฉินมีลางสังหรณ์ไม่ดีขึ้นมา

“ทำไมไม่เจอแล้วล่ะ? เมื่อก่อนก็ยังเห็นอยู่เลย จะย้ายไปตรงโน้นหรือเปล่านะ? พวกเราเข้าไปดูกันเถอะ” เสี้ยวหยามองไปด้านในอย่างน่ารัก เมื่อมองไม่เห็นจึงเอ่ยปากพูดขึ้น

“ได้!”

เย่เทียนเฉินพูดยิ้มๆ ขับรถเข้าไปช้าๆ เมื่อขับรถเข้าไปในซอยลึกแห่งนี้ถึงครึ่งซอย เย่เทียนเฉินก็ชะงักไป ซอยนี้ปากทางทั้งสองกว้าง ตรงกลางแคบ สามารถให้รถเก๋งผ่านได้คันเดียว เป็นสถานที่ที่เหมาะแก่การลอบโจมตี

ในตอนนี้เอง เย่เทียนเฉินได้ยินเสียงรถมอเตอร์ไซค์ดังมาจากข้างหลัง ในขณะเดียวกันเบื้องหน้าก็มีเสียงรถมอเตอร์ไซค์ดังขึ้น เป็นเสียงบิดคันเร่งสุดแรงที่เมื่อใครได้ฟังก็ต้องตกใจ

เสี้ยวหยาเองก็ตกตะลึง ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ในตอนนี้เธอถึงจะพบว่า ซอยแคบที่คึกคักมากทั้งซอยในสมัยก่อน ในตอนนี้กลับเงียบเชียบ ดูเหมือนว่าจะไม่มีเลยแม้แต่คนเดียว

“หยาเอ๋อร์ อย่ากลัวไป อีกสักครู่ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น จะต้องอยู่ติดฉันเอาไว้”

เย่เทียนเฉินรู้ว่าถูกลอบโจมตีแล้ว สิ่งแรกที่ทำก็คือมองโทรศัพท์ ไม่มีสัญญาณเลย ดูท่าอีกฝ่ายจะเตรียมพร้อมมาดี มีใจแน่วแน่ว่าต้องการฆ่าตนเอง เย่เทียนเฉินย่อมไม่กลัวอยู่แล้ว ล้อเล่นอะไรกัน ในฐานะที่เป็นผู้แข็งแกร่งที่มีพลังพิเศษในขอบเขตจอมราชัน หากต้องการเก็บคนไม่กี่คนก็เป็นเพียงแค่อาหารเรียกน้ำย่อย เพียงแต่ว่าเย่เทียนเฉินต้องการจะเล่นเป็นเพื่อนคนกลุ่มนี้เท่านั้น สิ่งที่เขาชอบที่สุดยังคงเป็นการใช้มือเปล่าฆ่าคน เช่นนี้จะค่อนข้างสดชื่น

หลังจากที่เย่เทียนเฉินและเสี้ยวหยาลงจากรถ มอเตอร์ไซค์สองคันทั้งหน้าหลังขับพุ่งเข้ามาด้วยความรวดเร็ว ต้องการจะชนให้พวกเขาตาย และในมือของคนขับรถมอเตอร์ไซค์ทั้งสองคนยังมีมีดตัดฟืนอยู่อีกด้วย

ทันใดนั้น สายตาของเย่เทียนเฉินสว่างวาบ ป้องกันเสี้ยวหยาให้อยู่ข้างหลังแล้วพูดขึ้นว่า “อย่าขยับ!”

ในตอนที่เสี้ยวหยาได้ยินคำพูดของเย่เทียนเฉิน เย่เทียนเฉินก็เคลื่อนไหวแล้ว พุ่งไปด้านหน้าหลายก้าวอย่างว่องไว เข้าไปรับมือกับมอเตอร์ไซค์ทางด้านซ้าย ใช้ขาเหยียบปีนไปบนกำแพงด้านข้างแล้วกระโดดขึ้น ต่อยหมัดออกไปอย่างหน้าอกของคนขับรถมอเตอร์ไซค์ทางด้านซ้ายคนนั้น จนกระเด็นออกไป

ไม่มีการชะงักแม้เพียงชั่วครู่ ในตอนที่เย่เทียนเฉินอัดคนขับรถมอเตอร์ไซค์ทางด้านซ้ายจนกระเด็นออกไปนั้น เขาก็แย่งมีดตัดฟืนในมือของคนผู้นั้นมา เหมาะสมทีเดียว คนที่ขับรถมอเตอร์ไซค์พุ่งเข้ามาทางด้านขวาฟันมีดลงมายังศีรษะของเย่เทียนเฉิน เย่เทียนเฉินตวัดมีดกลับไปโดยไม่หันไปมองแม้แต่น้อย สะอาดหมดจด เสียงอึกอักดังขึ้น คนขี่รถมอเตอร์ไซค์ทางด้านขวาถูกเย่เทียนเฉินตัดหลอดลมจนขาด เลือดสดๆทะลักไหลออกมา

เย่เทียนเฉินยืนอยู่ตรงกลางซอยแคบอย่างเย็นชา รถมอเตอร์ไซค์ทั้งสองคันทะยานเข้ามาจากด้านหน้าและด้านหลังของเขา เสียงตู้มดังขึ้นสองครั้ง รถมอเตอร์ไซค์ที่ไม่มีคนขี่ทั้งสองคันชนเข้ากับกำแพง เกิดเป็นเสียงระเบิดครั้งใหญ่ ไฟลุกท่วมฟ้า สะท้อนภาพของเย่เทียนเฉินที่ถือมีดอยู่ในมือ ยืนปกป้องเสี้ยวหยาอยู่กลางซอยราวคนเหล็ก

ในตอนนี้เอง เย่เทียนเฉินได้ยินเสียงฝีเท้ากระชั้นถี่ดังขึ้นจากปากซอยทั้งสองด้าน เขาขมวดคิ้ว เมื่อคำนวณจากเสียงฝีเท้าแล้ว อย่างน้อยก็มีสามสี่ร้อยคนที่ไหลทะลักเข้ามาในนี้ เย่เทียนเฉินอดไม่ได้ที่จะมองไปยังเสี้ยวหยา ถึงแม้ว่าพลังพิเศษของเขาจะแข็งแกร่ง แต่ก็เหนื่อยได้ ที่สำคัญก็คือ เขาต้องการเอาชีวิตของคนกลุ่มนี้ทิ้งไว้ที่นี่ เรื่องการหนีนั้น แต่ไหนแต่ไรเขาก็ไม่เคยทำมาก่อน อย่างไรก็ตามเขาตัดสินใจแล้วว่า จะไม่ใช้พลังพิเศษ จะใช้มือเปล่าเปิดเส้นทางแห่งเลือดออกไป ถือโอกาสนี้ฝึกฝนกายเนื้อของตนเอง

“เทียนเฉิน…” เสี้ยวหยามองปากซอยซ้ายขวาทั้งสองทาง มีเงามืดครึ้มของกลุ่มคนไหลทะลักเข้ามา ในมือของแต่ละคนถือมีดตัดฟืนเอาไว้ ท่าทางโหดเหี้ยมดุดัน ใครมาเห็นก็ต้องขาอ่อน มีคนจำนวนเท่าไหร่กัน คนสามสี่ร้อยที่ถือมีดตัดฟืนอยู่ในมือ ไม่มีใครที่ไม่กลัว

“หยาเอ๋อร์ เธออย่ากลัวไปเลย อยู่ใกล้ฉันเอาไว้ ฉันจะฆ่าเปิดเส้นทางแห่งเลือดแล้วพาเธอออกไป!” มุมปากของเย่เทียนเฉินปรากฏรอยยิ้มชั่วร้ายแล้วพูดขึ้น

เสี้ยวหยาเห็นใบหน้าเยือกเย็นของเย่เทียนเฉิน ทันใดนั้นในใจของเธอก็ไม่หวาดกลัวขนาดนั้นอีกต่อไปแล้ว ความแน่วแน่มาดเข้มที่แพร่กระจายออกมาจากร่างของเย่เทียนเฉินทำให้เธอเชื่อใจ เชื่อใจในความสามารถของเย่เทียนเฉิน เชื่อว่าเขาจะต้องสามารถพาตนเองออกไปได้อย่างปลอดภัย

“อืม!” เสี้ยวหยาจับมือของเย่เทียนเฉินแน่นแล้วพูดขึ้น

เย่เทียนเฉินยิ้มพยางพยักหน้า มือซ้ายจับมือเสี้ยวหยา มือขวากำมีดตัดฟืนแน่น มองไปยังกองทัพมีดตัดฟืนที่ล้อมเข้ามาทางหน้าหลัง ในใจของเขาไม่มีความหวาดกลัวเลยแม้แต่น้อย ทำเพียงสังเกตอย่างระมัดระวัง ป้องกันว่าจะมีคนลอบโจมตีและจะทำให้เสี้ยวหยาได้รับบาดเจ็บ อย่างไรเสียกลุ่มคนที่ทะลักเข้ามาอย่างหนาแน่นทั้งซ้ายขวาสองด้านนี้ อย่างน้อยก็มีถึงสามสี่ร้อยคน

“เย่เทียนเฉิน ไอ้ลูกเต่า พี่หู่ของพวกเรามีคำสั่งมา ให้ตัดหัวของแกกลับไปรายงาน ไป…”

ชายฉกรรจ์ที่เดิมมาเบื้องหน้าเย่เทียนเฉินและเสี้ยวหยา ใช้มีดตัดฟืนในมือชี้ไปยังจมูกของเย่เทียนเฉินแล้วพูดขึ้นอย่างโหดเหี้ยม เพียงแต่น่าเสียดายที่คำพูดของเขายังไม่ทันพูดจบ ก็ได้ยินเสียงอึกอัก มีดตัดฟืนในเมืองของเย่เทียนเฉินแทงไปที่หน้าอกของเขาเรียบร้อยแล้ว…

เย่เทียนเฉินเองก็คิดไม่ถึงว่าลูกน้องของเซวียนเยวี๋ยนเถิงจะรวดเร็วและโหดเหี้ยมถึงเพียงนี้ ถึงกับส่งพี่น้องมาสามร้อยกว่าคน ทั้งยังมีมีดตัดฟืนอยู่ในมือ ล้อมตนเองไว้ในซอยแคบ ต้องการจะฟันคนให้เละเป็นโจ๊ก

เย่เทียนเฉินไม่คิดอะไรเกี่ยวกับสถานการณ์ในตอนนี้ตั้งนานแล้ว เขาได้ตัดสินใจไปแล้วว่าจะไม่ใช้พลังพิเศษ จะถือโอกาสนี้ฝึกฝนการความสามารถของกายเนื้อของตนเสียหน่อย ดังนั้นจึงแทงมีดออกไปยังหน้าอกของชายฉกรรจ์ที่ยืนอยู่ตรงหน้าตนเองโดยไม่พูดไม่จา แล้วใช้เท้าถีบออกไปจนกระเด็น ชนเข้ากับคนกลุ่มใหญ่

เหล่าพี่น้องที่เป็นลูกน้องของอาหู่ที่เหลือได้สติกลับมา ต่างก็มีใบหน้าโหดเหี้ยมดุดัน กำมีดตัดฟืนในมือแน่น โอบล้อมเข้าไปยังเย่เทียนเฉินละเสี้ยวหยา

มือซ้ายของเย่เทียนเฉินจับมือเสี้ยวหยา มีดตัดฟืนที่อยู่ในมือขวาก็มีเลือดสดๆ หยดลงมา เมื่อถึงตอนนี้ ถึงแม้ว่าเขาจะเป็นผู้แข็งแกร่งที่มีพลังพิเศษในขอบเขตจอมราชัน แต่ก็ตัดสินใจแล้วว่าจะไม่ใช้พลังพิเศษ ดังนั้นเขาจึงไม่กล้าไว้ไมตรี ทางด้านพละกำลังไม่อาจแพ้ได้ ทุกการลงมือจำเป็นต้องเก็บชีวิตคนไปด้วย มิเช่นนั้นหากพลังกายเริ่มอ่อนแรง แล้วคนทั้งสามร้อยคนพุ่งเข้ามาด้วยกัน ต่อให้เป็นคนที่ร้ายกาจขนาดไหนก็ถูกฟันจนเละเป็นโจ๊กได้

“ฟัน ฟันมันให้ตาย!”

ในตอนนี้ อันธพาลคนหนึ่งได้สติกลับมาจึงตะโกนออกไปเสียงดังแล้วสะบัดมีดฟันเข้าใส่เย่เทียนเฉินเป็นคนแรก แววตาของเย่เทียนเฉินเย็นยะเยือก คมมีดเปล่งประกาย หลอดลมของอันธพาลน้อยผู้นั้นถูกตัดขาด ล้มลงท่ามกลางกองเลือดอย่างไม่อยากจะเชื่อ ในตอนนี้ เหล่าอันธพาลที่ถือมีดตัดฟืนอยู่ในมือทั้งสองด้านต่างก็ล้อมกันเข้ามา มีดตัดฟืนในมือขวาของเย่เทียนเฉินสะบัดออกไปไม่หยุด ทุกครั้งที่สะบัดจะต้องมีอันธพาลคนหนึ่งล้มลงไปนอนจมกองเลือด ไม่ถึงสองนาที บนพื้นก็มีศพล้มอยู่สิบกว่าศพ ตัวของเย่เทียนเฉินเต็มไปด้วยเลือด เพียงแต่เป็นเลือดของศัตรูทั้งนั้น

อันธพาลที่ถือมีดตัดฟืนอยู่ในมือทั้งสามร้อย กว่าคนต่างก็ชะงักไป จ้องมองไปยังฉากตรงหน้าด้วยความตกตะลึง กระทั่งมีบางคนที่ร่างกายสั่นระริก พวกเขาเป็นผู้ที่อยู่ในสังคมด้านมืดอย่างแท้จริง ฆ่าคนโดยไม่สนใจ แต่เมื่อเผชิญหน้ากับเย่เทียนเฉิน ทุกครั้งที่ออกมีด ต่างก็ต้องมีคนสิ้นชีพ ฆ่าคนเป็นผักปลาราวกับเป็นคนเหล็ก ไม่มีสักคนเดียวที่จะไม่รู้สึกสั่นไหวและตกใจ

เย่เทียนเฉินมองเสี้ยวหยาที่อยู่ด้านหลัง จะอย่างไรเธอก็เป็นผู้หญิง ถึงแม้ว่าเธอจะเชื่อในความสามารถของเย่เทียนเฉิน แต่ก็ตกใจจนหน้าซีด ขาแทบจะก้าวไม่ออก เพราะว่าความจริงมันโหดร้ายนองเลือดจนเกินไป สถานการณ์ทำให้คนสั่นสะท้านจนเกินไป ถูกล้อมรอบด้วยศพหลายศพ เลือดสดๆ นองเต็มพื้น

……………………..

เย่เทียนเฉินเดินมาถึงหน้าตึกภาควิชาโบราณคดีโดยไม่รู้ตัวอีกครั้งหนึ่ง กระทั่งเขาเองก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น บางทีอาจเป็นเพราะความอยากรู้อยากเห็นเกี่ยวกับพลังพิเศษอันแข็งแกร่งลึกๆ ในใจที่มีก่อนหน้านี้ จึงเดินมาถึงที่นี่ในสภาพที่ไม่ได้สังเกตเห็น

ในตอนที่เย่เทียนเฉินเตรียมจะเดินเข้าไปนั้น ก็ได้ปะทะกับสาวงามสวมแว่นกันแดดสีดำและผ้าปิดปากสีขาวที่เดินออกมากระทันหัน ต่อให้ไม่เห็นใบหน้าของเธอ เย่เทียนเฉินก็กล้ามั่นใจว่า ผู้หญิงที่ปิดบังใบหน้าคนนี้จะต้องสวยมากอย่างแน่นอน ในช่วงยุคสิ้นโลกเย่เทียนเฉินมีหญิงงามจำนวนมาก พูดได้โดยไม่เกินจริงเลยว่า จะเป็นสาวงามหรือไม่แค่ดมดูก็รู้แล้ว

เป็นดังที่คาดไว้ ผู้หญิงที่ใช้แว่นกันแดดสีดำและผ้าปิดปากสีขาวปิดบังใบหน้าของตนเองคนนี้ หลังจากที่ชนกับเย่เทียนเฉินแล้วก็ทำแว่นกันแดดตกพื้นโดยไม่ทันได้ระวัง เย่เทียนเฉินจึงสามารถเห็นดวงตาของเธอได้ ดวงตาอันงดงามที่ไม่รู้จะอธิบายอย่างไร สวยจนราวกับจะพูดออกมาได้ หลังจากที่ได้มาเกิดใหม่ในโลกแห่งนี้ เย่เทียนเฉินพบว่ามีผู้หญิงเพียงคนเดียวที่สามารถเทียบกับเธอได้ นั่นก็คือหลิวหรูเหมย แน่นอนว่าระหว่างหลิวหรูเหมยที่เป็นสาวงามอันดับหนึ่งแห่งเมืองหลวงคนนี้กับเย่เทียนเฉิน มีความเกี่ยวพันกันอย่างคลุมเครือ

ผู้หญิงคนนั้นรีบเดินจากไปอย่างกระวนกระวาย กระทั่งชื่อของเธอเย่เทียนเฉินก็ไม่รู้ แน่นอนว่าไม่ใช่จะถูกใจสาวงามคนนี้ แต่เป็นเพราะชั่วขณะที่ชนกันนั้น เย่เทียนเฉินรู้สึกว่ามีตรงไหนไม่ถูกต้อง ตกลงเป็นอะไรที่ไม่ถูกต้อง ในเวลาเพียงชั่วครู่ก็พูดไม่ได้

ในตอนที่เย่เทียนเฉินกำลังสงสัยอยู่นั้น เมื่อหมุนตัวมาก็พบกับฉินเหยาเยว่ที่ไม่รู้ว่ามาปรากฏตัวอยู่ด้านหลังของเขาอย่างไร้ซุ่มไร้เสียงเมื่อไหร่ นี่ทำให้เย่เทียนเฉินอดไม่ได้ที่จะตกตะลึง เขาเป็นยอดฝีมือผู้มีพลังพิเศษในขอบเขตจอมราชันแล้ว จะต้องไม่มีใครปรากฏตัวต่อหน้าของเขาอย่างไรซุ่มไร้เสียงได้โดยเด็ดขาด แต่ฉินเหยาเยว่สามารถทำได้ นี่ทำให้เย่เทียนเฉินยิ่งเกิดความสงสัยมากขึ้น ดูเหมือนว่าเขาจะสามารถแน่ใจได้ว่าฉินเหยาเยว่ไม่ใช่คนธรรมดาโดยเด็ดขาด

“งั้นให้ครูพาเธอไปดูสักหน่อยเป็นไง?” ฉินเหยาเยว่เองก็มองเย่เทียนเฉินอย่างล้ำลึก เอ่ยถามออกมาด้วยรอยยิ้ม

“จะกล้าลำบากอาจารย์ได้ยังไงครับ ผมเดินดูรอบๆ เองก็พอแล้ว!” เย่เทียนเฉินพูดอย่างเกรงใจ

“พอดีว่าครูมีเวลา อีกอย่าง ความจริงแล้วอายุของพวกเราก็ใกล้เคียงกัน ไม่ต้องเกรงใจขนาดนี้หรอก ทุกคนต่างก็เป็นคนรุ่นเดียวกัน!”

“งั้น งั้นก็ได้ครับ!”

ตอนแรกเย่เทียนเฉินและฉินเหยาเยว่ต่างก็เดินเข้าไปในตึกภาควิชาโบราณคดีด้วยกัน ยิ่งนานเข้าเย่เทียนเฉินก็ยิ่งมีความสนใจต่ออาจารย์ที่ปรึกษาสาวสวยอย่างฉินเหยาเยว่คนนี้มากยิ่งขึ้น เธออายุเพียงยี่สิบสองปีเท่านั้น แถมยังหน้าตาสละสลวย ถึงกับสามารถกลายเป็นอาจารย์ที่ปรึกษาของภาควิชาโบราณคดีได้ และยังมีบรรยากาศลึกล้ำปรากฏออกมาทุกที่ ฉินเหยาเยว่คนนี้สร้างความประทับใจให้กับเย่เทียนเฉินอยู่สามคำนั่นก็คือ ไม่ธรรมดา

นี่ทำให้เย่เทียนเฉินยิ่งรู้สึกสนใจ ดูท่าแล้วในมหาวิทยาลัยหลงเถิงแห่งนี้ จะมีเรื่องน่าสนุกอยู่มากจริงๆ เริ่มด้วยเรื่องที่หยางอี้ไหว้วันตนเอง ตงฟางเมิ่งเป็นหนึ่งในสี่สุดยอดสาวงามแห่งพรรควรยุทธโบราณ ต่อมาเย่เทียนเฉินจึงได้รู้ว่า ตงฟางเมิ่งไม่เพียงแต่เป็นหนึ่งในสี่สุดยอดสาวงามแห่งพรรควรยุทธโบราณ แต่ยังมีอีกหนึ่งเรื่องที่ทุกคนก็รู้ นั่นคือเธอเป็นผู้หญิงเพียงคนเดียวที่ได้รับโหวตให้เป็นดาวมหาวิทยาลัยหลงเถิงในอันดับแรกติดต่อกัน อีกทั้งเมื่อคิดดูแล้วกระทั่งเย่เทียนเฉินก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกอัศจรรย์ใจ อยากจะเห็นตงฟางเมิ่งสักหน่อยว่าผู้หญิงคนนี้หน้าตาอย่างไรกันแน่

เพียงแต่ในตอนนี้ ความคิดของเย่เทียนเฉินล้วนอยู่ที่อาการป่วยของแม่ของเสี้ยวหยา ดังนั้นการตามหาจอมแพทย์เทวะจึงเป็นเรื่องฉุกเฉินเร่งด่วน ตนเองได้นำข้อมูลในเรื่องนี้บอกกับเสี้ยวหยาไปแล้ว จึงไม่อยากจะทำให้เธอผิดหวัง หากเป็นเช่นนี้จะมีเป็นการทำร้ายเสี้ยวหยามากเกินไปจริงๆ

เย่เทียนเฉินเดินตามหลังฉินเหยาเยว่ ไม่ได้กางพลังพิเศษแห่งการรับรู้ออกมา และได้เก็บซ่อนพลังพิเศษทั้งหมดของตนเอาไว้ เขารู้ว่าในตึกภาควิชาโบราณคดีแห่งนี้ เป็นไปได้มากว่าจะมียอดฝีมือผู้มีพลังพิเศษคนหนึ่งซ่อนตัวอยู่ หากว่าเขากลางพลังพิเศษแห่งการรับรู้ออกไปตามใจ ไม่เพียงแต่จะหาอีกฝ่ายไม่เจอ และยังเป็นไปได้มากกว่าจะถูกอีกฝ่ายตามรอยตนเองได้

“ไม่รู้ว่าอาจารย์เป็นคนที่ไหน?” เย่เทียนเฉินเอ่ยถามเพื่อทำลายบรรยากาศอันกระอักกระอ่วน

“อ๋อ มณฑลชวน เธอล่ะ?” ฉินเหยาเยว่ที่เดินอยู่ด้านหน้า ดูเหมือนว่าจะเดินไปพลางคิดอะไรบางอย่างไปพลาง หลังจากที่ได้สติกลับมาก็เอ่ยถามกลับด้วยรอยยิ้ม

“คนเมืองหลวงครับ!” เย่เทียนเฉินเองก็พูดยิ้มๆ

แม้จะพูดว่าฉินเหยาเยว่พาเย่เทียนเฉินเดินชมเพื่อให้คุ้นเคยกับสภาพแวดล้อมของตึกภาควิชาโบราณคดี แต่ความจริงทั้งสองต่างก็มีความคิดเป็นของตนเอง เย่เทียนเฉินกำลังคิดจะดูสักหน่อยว่าฉินเหยาเยว่เป็นใครกันแน่? จะเป็นเหมือนกับที่ตนเองคาดเดาหรือไม่ ส่วนฉินเหยาเยว่กับคิดจะดูว่าเย่เทียนเฉินแข็งแกร่งขนาดไหนกันแน่ จะเหมือนกับที่ข้อมูลแสดงเอาไว้จริงๆ หรือไม่ แข็งแกร่งจนถึงขั้นคาดเดาไม่ได้ ควรค่าที่จะให้กลุ่มอำนาจในแต่ละด้านแอบตรวจสอบอย่างลับๆ

“ใช่แล้วครับอาจารย์ คุณสอนที่มหาวิทยาลัยหลงเถิงนานแค่ไหนแล้วครับ?” ทันใดนั้นเย่เทียนเฉินก็คิดถึงคำถามหนึ่งขึ้นมา

“สองปีแล้ว ตอนที่ไม่มีคนอื่นก็ไม่ต้องเรียกฉันว่าอาจารย์หรอก เรียกฉันว่าเหยาเยว่ก็พอแล้ว!” ฉินเหยาเยว่หันมามองเย่เทียนเฉิน พูดพลางยิ้มหวานให้

เย่เทียนเฉินอดไม่ได้ที่จะชะงักไป เมื่อเห็นฉินเหยาเยว่มองตนเองด้วยท่าทางหยอกล้อแบบนี้ เขาก็อดไม่ได้ที่จะคิดหยอกล้อขึ้นมา

“เรียกคุณอย่างสนิทสนมแบบนี้ จะทำให้ผมรู้สึกว่าเป็นคนโปรดจนลำบากใจนะครับ…”

“งั้นเหรอ? แต่ว่าฉันมีความสุขมาก!”

ทันใดนั้นนิสัยของฉินเหยาเยว่ก็เปลี่ยนไป เปลี่ยนไปเป็นมีเสน่ห์อย่างมาก เธอโถมกายเข้าหาเย่เทียนเฉิน หน้าอกอันตั้งตระหง่านคู่นั้นแกว่งไกวอยู่เบื้องหน้าเย่เทียนเฉิน ใกล้เพียงเอื้อมมือ โดยเฉพาะกลิ่นหอมอันเป็นเอกลักษณ์บนร่างของผู้หญิง ทำให้เย่เทียนเฉินอดไม่ได้ที่จะตื่นเต้นขึ้นมา สิ่งที่เป็นที่สุดก็คือ ฉินเหยาเยว่ไม่เพียงแต่โถมร่างมาใส่เย่เทียนเฉิน แต่ริมฝีปากแดงชุ่มฉ่ำอันเซ็กซี่นั้นก็ราวกับจะประทับเข้ามา

“ฉันอยากจะรู้มากเลยว่า นายแข็งแกร่งขนาดไหนกันแน่…” ฉินเหยาเยว่กระซิบข้างหูเย่เทียนเฉินด้วยน้ำเสียงอ่อนนุ่ม ราวกับมีเวทย์มนต์ ทำให้เย่เทียนเฉินอดไม่ได้ที่จะเอ่ยปาก

“หวา ใหญ่มาก จับเต็มมือ…”

ชั่วพริบตานั้น เย่เทียนเฉินตะโกนออกมาครั้งหนึ่ง มือทั้งสองจับไปยังหน้าอกของฉินเหยาเยว่โดยไม่เกรงใจเลยแม้แต่น้อย เมื่อมองไปก็พบว่าอีกไม่ถึงครึ่งเซนติเมตรก็จะจับโดนแล้ว พริบตานั้นฉินเหยาเยว่ได้สติกลับมาจึงรีบถอยไปสองก้าว  ดวงหน้างดงามแดงระเรื่อ ใช้ดวงตาคู่งามจ้องเย่เทียนเฉินอย่างดุดัน ในใจกลับรู้สึกประหลาดใจอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ เมื่อครู่นี้ตนเองเกือบจะทำสำเร็จแล้ว ทำให้เย่เทียนเฉินถูกตนเองควบคุม ขอเพียงเธอถามอะไร เย่เทียนเฉินก็จะตอบออกมาอย่างซื่อสัตย์ แต่ว่า  ถึงกับถูกเย่เทียนเฉินทำลาย นี่ทำให้ฉินเหยาเยว่คิดไม่ถึงโดยสิ้นเชิง เนื่องจากแต่ไหนแต่ไรก็ไม่มีใครที่สามารถหนีจากการสะกดจิตของตนเองได้

“นาย…นายคิดจะทำอะไร?” ฉินเหยาเยว่มองเย่เทียนเฉินแล้วเอ่ยถามอย่างตึงเครียด

“เอ๋? ไม่มีอะไรครับ คุณเข้ามาใกล้แบบนี้ แล้วยังมีของทรงพลังขนาดนี้อีก ผมย่อมต้องช่วยนวดให้มันสักหน่อย!” เย่เทียนเฉินหัวเราะฮี่ๆ แล้วพูดขึ้นด้วยท่าทางอันธพาล

ฉินเหยาเยว่มองเย่เทียนเฉินครั้งหนึ่ง พยายามสงบจิตใจแล้วพูดขึ้นว่า “ไปเถอะ เธอก็คงจะคุ้นเคยกับตึกนี้พอประมาณแล้ว วันหน้ามาเข้าเรียนก็อย่ามาสายล่ะ!”

“เอ๋ ความจริงแล้วผมไม่ชอบเข้าเรียนเท่าไหร่นัก แต่ตอนนี้ มีอาจารย์สาวสวยแบบคุณอยู่ ผมจะไม่มาเข้าเรียนทุกวันได้ยังไงล่ะครับ!” เย่เทียนเฉินพูดด้วยใบหน้าทะเล้น

“นี่เธอพูดแล้วนะ หากว่ามีคาบไหนที่ครูเห็นว่าเธอไม่มา จะไม่ปล่อยเธอไปแน่!” ฉินเหยาเยว่เองก็พูดหยอกล้อด้วยรอยยิ้ม

“งั้นพวกเราก็พูดคำไหนคำนั้น!”

เย่เทียนเฉินเดินออกมาจากตึกภาควิชาโบราณคดี เขาเดินตรงไปข้างหน้า ไปยังทิศทางของหอนักศึกษาหญิง ตลอดทางก็ไม่ได้หันกลับไป เพราะเขารู้ว่าฉินเหยาเยว่กำลังยืนมองเขาอยู่บนตึกภาควิชาโบราณคดี ดวงตาคู่นั้นที่เต็มไปด้วยจิตวิญญาณ รวมกับใบหน้างดงามไร้ที่ติ เพียงพอที่จะทำให้ผู้ชายคนใดก็ตามหลงใหล เมื่อครู่นี้เขาก็เกือบจะตกหลุมของฉินเหยาเยว่แล้ว

ถึงแม้ก่อและหลังช่วงเวลาที่ปะทะกันนั้น ทั้งสองจะมีท่าทางธรรมชาติอย่างมาก เหมือนกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ว่าต่างก็ถูกทำให้ตกตะลึงไปแล้ว ฉินเหยาเยว่ไม่ต้องพูดถึง เคล็ดวิชาสะกดจิตของเธอ แต่ไหนแต่ไรก็ไม่เคยล้มเหลวมาก่อน ครั้งนี้ถึงกับถูกเย่เทียนเฉินทำลาย ประหลาดใจจนทนไม่ไหวไปตั้งนานแล้ว คิดว่าไม่ผิดไปจากข่าวลือ เย่เทียนเฉินลึกล้ำเกินคาดเดา ไม่ใช่เย่เทียนเฉินที่เป็นตัวตลกของทั้งเมืองหลวงแล้ว คนคนนี้กลายเป็นจุดรวมสายตาของกลุ่มอำนาจอิทธิพลลับๆ ทั้งหลาย

ส่วนเย่เทียนเฉินเองก็ประหลาดใจมาก เมื่อคู่นี้เขาเกือบจะทนไม่ไหวจนต้องลงมือกับฉินเหยาเยว่ เพราะเขาคิดไม่ถึงว่าจะกะทันหันและคาดเดาไม่ได้แบบนี้ ในชั่วพริบตาที่ตนเองสบตากับฉินเหยาเยว่นั้น เธอก็ได้ใช้เคล็ดวิชาสะกดจิต ค่อยๆควบคุมเย่เทียนเฉิน เป็นเหตุให้ฉินเหยาเยว่เข้าไปใกล้ขนาดนั้น คิดจะใช้โอกาสนี้ถามความสามารถของเย่เทียนเฉิน อีกนิดเดียวก็จะสำเร็จแล้ว หากไม่ใช่ว่าในช่วงเวลาสำคัญ แก่นพลังในสมองของเย่เทียนเฉินเกิดการสั่นไหว ทำให้พลังพิเศษในร่างกายของเขาสับสนจนได้สติขึ้นมา เกรงว่าเย่เทียนเฉินจะต้องถูกครอบงำโดยฉินเหยาเยว่ไปแล้ว

“ดูท่าฉินเหยาเยว่จะไม่ใช่อาจารย์ที่ปรึกษาภาควิชาโบราณคดีง่ายๆ แบบนั้นอย่างแน่นอน เธอมาที่มหาวิทยาลัยหลงเถิงเพราะมีเป้าหมาย ถึงกับมีเคล็ดวิชาสะกดจิตที่แข็งแกร่งถึงขั้นนี้ ฉันอยากจะรู้จริงๆ ว่าเธอมีฐานะอะไรกันแน่…” ในใจของเย่เทียนเฉินอดไม่ได้ที่จะคิดอย่างประหลาดใจ

เมื่อครู่นี้ที่เย่เทียนเฉินไม่ได้ลงมือแต่อดกลั้นเอาไว้ ก็เพราะเขาไม่อยากจะแหวกหญ้าให้งูตื่น เขาต้องการรู้ว่าฉินเหยาเยว่เป็นใครกันแน่ ทำไมจึงต้องมาที่มหาวิทยาลัยหลงเถิง? อีกทั้งดูท่าทางแล้วฉินเหยาเยว่จะสนใจในตัวเขาเป็นอย่างมาก บางทีอาจจะเกี่ยวข้องกับตนเอง ดังนั้นเย่เทียนเฉินจึงอดกลั้นเอาไว้ มิเช่นนั้นคงจะหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องต่อสู้กับฉินเหยาเยว่

ฉินเหยาเยว่ ผู้หญิงที่ลึกลับคนนี้ ตกลงแล้วมีฐานะอะไรกันแน่ มาเป็นอาจารย์ที่ปรึกษาภาควิชาโบราณคดีในมหาวิทยาลัยหลงเถิง มีเป้าหมายอะไรกันแน่?

เย่เทียนเฉินนำพาคำถามอันน่าสงสัยเช่นนี้เดินไปถึงใต้หอพักนักศึกษาหญิงแห่งมหาวิทยาลัยหลงเถิง หยิบโทรศัพท์มือถือของตนออกมา กำลังจะโทรไปหาเสี้ยวหยา ทันใดนั้นก็เห็นเงาร่างร่างหนึ่ง ทำให้เย่เทียนเฉินหยุดการกระทำลง เพราะเหงาร่างที่เดินไปยังหอพักนักศึกษาหญิงนั้น เป็นผู้หญิงปิดบังใบหน้าที่เดินชนกับเย่เทียนเฉินที่หน้าประตูตึกภาควิชาโบราณคดี

ผู้หญิงคนนี้ทำให้เย่เทียนเฉินรู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง โดยเฉพาะตอนที่ชนกันนั้น เขารู้สึกเหมือนเห็นอะไรบางอย่าง ในใจรู้สึกสั่นสะท้านเป็นอย่างมาก แต่กลับไม่สามารถคิดออกได้ในเวลาเพียงชั่วครู่ ดูท่าแล้วในมหาวิทยาลัยหลงเถิงแห่งนี้จะมีเรื่องลึกลับไม่น้อยเลยทีเดียว!

……………………..

“กอดให้แน่นหน่อย ฉันจะออกรถแล้วนะ!” เย่เทียนเฉินหันมามองเสี้ยวหยาแล้วพูดด้วยรอยยิ้ม

นี่เป็นครั้งแรกที่เสี้ยวหยากอดผู้ชาย และการนั่งแบบนี้ก็เหมือนกับคู่รัก ในใจของทุกคนมักจะมีจินตนาการสุดเจ๋งอยู่ รถมอเตอร์ไซค์สุดเท่ มีคนรักนั่งซ้อนท้าย โอบกอดเอวของคุณเอาไว้ บิดคันเร่งเต็มพิกัด เปิดเพลงเสียงดัง หล่อและเท่มาก!

“อืม!” ใบหน้าอันบริสุทธิ์ของเสี้ยวหยาแดงระเรื่อ กอดเย่เทียนเฉินเอาไว้เบาๆ

บรื้น!

กรี๊ด!

เมื่อเย่เทียนเฉินบิดคันเร่ง มอเตอร์ไซค์คันใหญ่ก็พุ่งทะยานออกไปในพริบตา หลิงอวี่สวิ๋นคิดไม่ถึงว่าอยู่ดีๆ จะเร็วถึงขนาดนี้ จึงอดไม่ได้ที่จะกรีดร้องออกมาครั้งหนึ่ง ตกใจจนรีบใช้มือทั้งสองกอดเย่เทียนเฉินไว้แน่น ส่วนเย่เทียนเฉินกลับยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ บิดคันเร่งจนถึงขีดสุด ขับมุ่งไปยังมหาวิทยาลัยหลงเถิง

ทีละเล็กทีละน้อย เสี้ยวหยาค่อยๆ คุ้นเคยกับความรู้สึกนี้ ถึงแม้ว่ารถมอเตอร์ไซค์จะขับเร็ว แต่ด้วยฝีมือของเย่เทียนเฉินก็ปลอดภัยมาก ลมพัดผมของเสี้ยวหยา ทำให้ใบหน้างดงามบริสุทธิ์ปรากฏออกมา ชายเสื้อชุดเดรสสีขาวถูกลมพัดปลิวเล็กน้อยดูงดงาม โดยเฉพาะเสี้ยวหยาที่นั่งอยู่นั้นพิงหลังของเย่เทียนเฉินโดยไม่รู้ตัว อบอุ่นเป็นอย่างมาก ด้วยความสวยของเสี้ยวหยาและความเท่ของมอเตอร์ไซค์เย่เทียนเฉิน ทำให้ดึงดูดความสนใจของคนขับรถจำนวนไม่น้อยไปตลอดทาง ส่วนใหญ่จะเป็นคนขับรถผู้ชายที่อิจฉาริษยาจนถึงขั้นเกลียดชัง

ในใจของเย่เทียนเฉินก็รู้สึกอบอุ่น คิดไปถึงในยุคสิ้นโลก ผู้หญิงที่ตนรักที่สุดคนนั้น ทุกครั้งล้วนกอดตนเองเช่นนี้ ใช้ศรีษะซบลงบนหลังของเขา ทำให้เขารู้สึกอบอุ่นและสบายใจ วันเวลาเหล่านั้นเป็นช่วงเวลาที่เย่เทียนเฉินมีความสุขที่สุด เพียงแต่น่าเสียดายที่ผู้หญิงที่เขารักอย่างลึกซึ้งในช่วงยุคสิ้นโลกคนนั้นไม่อยู่แล้ว กลายเป็นความเจ็บปวดในส่วนลึกของจิตใจของเย่เทียนเฉินไปตลอดกาล บางครั้งเขาก็คิดว่า ถ้าหากสามารถกลับไปในช่วงยุคสิ้นโลกได้ เช่นนั้นคงจะดีมาก และไม่รู้ว่าทางโลกนั้นเป็นอย่างไรบ้าง จะมีผู้แข็งแกร่งระดับไหนปรากฏตัวขึ้นมาอีก?

เวลาครึ่งชั่วโมง เย่เทียนเฉินก็ขับรถมอเตอร์ไซค์มาถึงหน้าประตูของมหาวิทยาลัยหลงเถิงแล้ว ในพริบตาที่ลงจากรถนั้น เย่เทียนเฉินรู้สึกได้ถึงสายตาอำมหิตคู่หนึ่งกำลังมองตนเองอยู่ เขาทำเพียงหันไปมองแวบนึง แล้วก็ไม่ได้สนใจ เดินเข้ามหาวิทยาลัยไปด้วยกันกับเสี้ยวหยา ตอนนี้เป็นเวลาบ่ายสามโมงกว่าแล้ว เสี้ยวหยาต้องรีบไปรายงานตัวกับอาจารย์ที่ปรึกษา และยังต้องไปหอพักเพื่อเก็บกวาดเตียงของตนเองอีก

“แม่งเอ๊ย ทำไมอาหู่ถึงยังไม่ส่งคนไปลงมืออีก!” เซวียนเยวี๋ยนอวี่ยืนอยู่ไม่ไกลมองเย่เทียนเฉินและเสี้ยวหยาเดินเข้าไปในมหาวิทยาลัยหลงเถิง บีบกระป๋องเครื่องดื่มในมืออย่างรุนแรงจนบุบบี้ จินตนาการได้เลยว่า ไอ้เด็กเมื่อวานซืนอายุสิบหกปีคนหนึ่งหัวรุนแรงขนาดนี้ แล้วโตไปจะเป็นอย่างไร?  ไม่รู้ว่าทำร้ายคนธรรมดาไปมากเท่าไหร่แล้ว

“คุณชายน้อย ผะ ผมว่าพวกเราอย่าไปเร่งพี่หู่เลยครับ ในเมื่อพี่หู่บอกว่าเขาจะฆ่าเย่เทียนเฉิน งั้นก็จะต้องลงมือแน่!”

“ใช่แล้ว พวกเรารอหน่อยเถอะครับ พี่หู่บอกว่าคืนนี้ ก็จะต้องเป็นคืนนี้แน่ ไอ้ลูกเต่าเย่เทียนเฉินจะต้องตายแน่นอน!”

บอดี้การ์ดคนใหม่ล่าสุดทั้งสองคนที่อยู่ด้านหลังเซวียนเยวี๋ยนอวี่ย่อมรู้ว่าเมื่อคืนเซวียนเยวี๋ยนอวี่ไปทำให้อาหู่โมโห ด้วยจุดจบของบอดี้การ์ดคนก่อนหน้าพวกเขา พวกเขาจึงไม่อยากให้เซวียนเยวี๋ยนอวี่ไปหาเรื่องอาหู่อีก ถึงตอนนั้นพวกเขาก็จะต้องกลายเป็นแพะรับบาป แบบนั้นไม่ยุติธรรมมากจริงๆ!

“พวกแก…ไอ้พวกไร้ประโยชน์ มีแต่พวกไร้ประโยชน์ทั้งฝูง ฆ่าเย่เทียนเฉินก็ไม่ได้ อาหู่ก็เป็นแค่สุนัขใต้บัญชาของพี่ชายฉันเท่านั้น ในเมื่อกล้าไม่ฟังคำสั่งฉัน แล้วยังกล้าเล็งปืนมาที่หัวของฉัน รอให้พี่ชายฉันกลับมาก่อน จะต้องให้มันมาโขกหัวรับผิดแน่!” เซวียนเยวี๋ยนอวี่เปิดปากพูดอย่างดุดัน

เมื่อได้ยินคำพูดของเซวียนเยวี๋ยนอวี่ บอดี้การ์ดคนใหม่ทั้งสองคนที่ยืนอยู่ข้างหลังเขาก็มองไปที่เซวียนเยวี๋ยนอวี่อย่างเหยียดหยาม แต่ไม่กล้าพูดอะไร ขนาดพวกเขาก็ยังดูถูกเซวียนเยวี๋ยนอวี่ หากไม่ใช่เพราะว่าอำนาจของตระกูลเซียนเยวี๋ยน ใครจะเต็มใจมาตามตูดไอ้เด็กเมื่อวานซืนนี่กัน เกรงว่าไม่ว่าจะเป็นใครก็ต้องรู้สึกไม่พอใจ อีกทั้งเรื่องที่เมื่อวานเซวียนเยวี๋ยนอวี่ถูกทำให้ตกใจจนฉี่ราดก็ได้แพร่ไปในหมู่ลูกน้องแล้ว ตอนนี้เห็นเขาบ้าขึ้นมาอีก ใครจะไม่ดูถูกคนแบบนี้กัน

“ใช่แล้ว คุณชายน้อยระงับความโกรธหน่อยนะครับ รอให้คุณชายใหญ่กลับมาก่อน ทุกอย่างจะต้องไม่มีปัญหาแน่!”

“เรื่องฆ่าเย่เทียนเฉินให้อาหู่ไปจัดการเถอะครับ นี่ก็เป็นคำสั่งของคุณชายใหญ่ หากว่าอาหู่ฆ่าเย่เทียนเฉินไม่ได้ ก็ดูว่าเขาจะไปรายงานคุณชายใหญ่ยังไง!”

“หึ เย่เทียนเฉินกล้ามาหาเรื่องฉันจะต้องตายแน่นอน อาหู่กล้าไม่เคารพฉัน ฉันก็จะไม่ปล่อยมันไว้แน่!” เซวียนเยวี๋ยนอวี่ยังอายุน้อย แต่กลับพูดได้อำมหิตยิ่ง

เย่เทียนเฉินและเสี้ยวหยาเดินทางไปยังตึกภาควิชาบริหารธุรกิจ เพราะเสี้ยวหยาลงทะเบียนเรียนเอกวิชาบริหารธุรกิจ เมื่อไปพบอาจารย์ที่ปรึกษาและรายงานตัวเรียบร้อยแล้ว เสี้ยวหยาก็ถือกุญแจห้องนอนแยกมา

“ตอนนี้เธอก็วางใจได้แล้วใช่ไหม รายงานตัวกับอาจารย์ที่ปรึกษาเรียบร้อยแล้ว ฉันว่าอาจารย์ที่ปรึกษาดูประทับใจเธอไม่น้อยเลย!” เย่เทียนเฉินพูดยิ้มๆ

“อืม ฉันจะต้องเรียนให้ดีๆแน่นอน หวังว่าจะสามารถเรียนรู้กับอาจารย์ที่ปรึกษาได้อีกหลายอย่าง!” เสี้ยวหยาพูดพลางพยักหน้า

เมื่อเดินไปถึงหน้าประตูหอพักนักศึกษาหญิง เย่เทียนเฉินก็หยุดฝีเท้าตรงนั้น พูดด้วยรอยยิ้มกระอักกระอ่วนว่า “ฉันไม่ขึ้นไปนะ รอเธออยู่ตรงนี้แหละ ไม่ค่อยสะดวก!”

“ถ้านายมีธุระก็ไปก่อนเถอะ ฉันขึ้นไปแล้วยังต้องไปเก็บกวาดเตียงอะไรอีก ได้ยินอาจารย์ที่ปรึกษาบอกว่าเพื่อนนักเรียนคนอื่นมารายงานตัวแล้ว แต่ว่าคืนนี้ทุกคนไม่ได้พักอยู่ที่มหาวิทยาลัย ฉันเลยคิดว่าจะทำความสะอาดห้องนอนสักหน่อย!” เสี้ยวหยามองเย่เทียนเฉินแล้วพูดขึ้น

“ไม่มีปัญหา ฉันจะรอเธออยู่ข้างล่างนี่แหละ เดินเล่นไปเรื่อย ถึงเวลาอาหารเย็นพวกเราก็ไปกินข้าวด้วยกัน ไม่มีหลิงอวี่สวิ๋นมาโวยวาย กินข้าวเงียบๆ คงดีมาก!” เย่เทียนเฉินยิ้มเจ้าเล่ห์แล้วพูดขึ้น

“ความจริงพี่อวี่สวิ๋นก็ดีกับนายมาก แต่ปากร้ายไปหน่อยเท่านั้นเอง งั้นฉันขึ้นไปก่อนนะ!” เสี้ยวหยายิ้มอย่างไร้เดียงสาแล้วพูดขึ้น

เมื่อเห็นว่าเสี้ยวหยาเดินเข้าไปในตึกหอพักนักศึกษาหญิงแล้ว เย่เทียนเฉินก็ควักโทรศัพท์ออกมาดู สี่โมงเย็นแล้ว ยังมีเวลาอีกสามชั่วโมงกว่าฟ้าถึงจะมืด และคาดว่าเสี้ยวหยาเองก็จะเก็บกวาดห้องถึงเวลานั้น เสี้ยวหยาเป็นผู้หญิงที่มีจิตใจดีงามจากก้นบึ้งของหัวใจ ถึงแม้ว่าดูแล้วจะอ่อนแอ กระทั่งดูท่าทางผอมกะหร่อง แต่เย่เทียนเฉินรู้ว่าเธอเป็นผู้หญิงที่มีหัวใจแน่วแน่คนหนึ่ง เธอมีจิตใจที่เคารพตัวเอง มีความพยายามมาตลอด คิดจะใช้ความพยายามของตนเพื่อเปิดทางสู่อนาคต

เย่เทียนเฉินบิดขี้เกียจครั้งหนึ่งแล้วออกไปจากหน้าประตูตึกหอพักนักศึกษาหญิง เขาเป็นผู้ชาย มายืนอยู่หน้าประตูหอพักนักศึกษาหญิง คนที่ไม่รู้คงคิดว่าจะเข้าไปทำเรื่องลามก

เย่เทียนเฉินไม่รู้ว่าจะไปที่ไหนดี เพียงเดินอยู่ในเขตมหาวิทยาลัยหลงเถิงไปเรื่อย มหาวิทยาลัยหลงเถิงแห่งนี้เป็นสถานศึกษาชั้นหนึ่งของประเทศจีน ไม่เพียงแต่มีเนื้อที่กว้างขวาง ทิวทัศน์ก็ยังไม่เลวอีกด้วย โดยเฉพาะเมื่อถึงฤดูร้อน สาวสวยในมหาวิทยาลัยแต่ละคนต่างสวมชุดร้อนแรง คนนั้นสวมกระโปรงสั้นจนเห็นขางามๆ คนนี้สวมเสื้อลูกไม้บางจนเห็นอกภูเขา เย่เทียนเฉินมองจนรู้สึกตาพร่า มิน่าล่ะทุกคนถึงได้บอกว่า ทุกเวลาของมหาวิทยาลัยล้วนเป็นฤดูแห่งความรัก

โดยไม่รู้ตัว ตอนที่เย่เทียนเฉินเงยหน้าขึ้นมอง เขาพบว่าได้เดินมาถึงตึกภาควิชาโบราณคดีแล้ว ในตอนที่มากับหลิงอวี่สวิ๋น เขารู้สึกได้ถึงพลังพิเศษอันแข็งแกร่ง ทำให้เขารู้สึกสงสัยมาโดยตลอดว่าตกลงแล้วเป็นใครกันแน่ที่แข็งแกร่งถึงขนาดนี้ สามารถปล่อยพลังพิเศษออกมาครอบคลุมทั่วทั้งตัวตึกได้ กระทั่งเย่เทียนเฉินก็รู้สึกสั่นสะท้าน

คิดครู่หนึ่ง เย่เทียนเฉินก็รู้สึกว่า อาจจะเป็นไปได้มากว่าจิตใต้สำนึกของตนเองต้องการรู้ให้แน่ชัดว่าพลังพิเศษอันแข็งแกร่งนั้นเกิดขึ้นได้อย่างไรกันแน่ ดังนั้นจึงเดินมาที่หน้าตึกภาควิชาโบราณคดีโดยไม่รู้ตัว ในเมื่อเดินมาถึงนี่แล้วก็เข้าไปดูสักหน่อยเถอะ คราวก่อนเป็นเพราะมีหลิงอวี่สวิ๋นมาด้วย เย่เทียนเฉินจึงไม่สะดวกที่จะตามหา และไม่สะดวกที่จะใช้พลังพิเศษแห่งการรับรู้ ตอนนี้เขาอยู่คนเดียว ไม่มีอะไรต้องสนใจ ต่อให้เจอกับอันตรายอะไร ก็เพียงพอที่จะรับมือได้

แต่ว่าในตอนที่เย่เทียนเฉินเพิ่งจะก้าวเดินไปและเตรียมที่จะเดินเข้าไปในตึกภาควิชาโบราณคดีนั้น ผู้หญิงคนหนึ่งมีรูปร่างสูงเพรียว สูงประมาณหนึ่งร้อยเจ็ดสิบสามเซนติเมตร สวมรองเท้าส้นสูงคู่หนึ่ง  กางเกงหนังสีดำ เสื้อยืดสีดำ สวมแว่นตากันแดดสีดำอันใหญ่ กระทั่งปากก็สวมผ้าปิดปาก เธอเดินออกมาจากด้านใน ชนเข้ากับเย่เทียนเฉิน

“ขอโทษค่ะ!” ผู้หญิงคนนั้นกล่าวประโยคหนึ่งแล้วคิดที่จะจากไปอย่างรีบร้อน

“คนสวย แว่นของคุณตกแล้วครับ!” เย่เทียนเฉินเก็บแว่นของผู้หญิงคนนั้นขึ้นมาจากพื้น อดไม่ได้ที่จะตะโกนออกไปด้วยรอยยิ้ม

ผู้หญิงคนนั้นหันมา ถึงแม้ว่ายังคงสวมผ้าปิดปากอยู่บนหน้า แต่เย่เทียนเฉินก็อดไม่ได้ที่จะชะงักไป ดวงตางดงามคู่นั้นราวกับสามารถสื่อความออกมาได้ ให้ความรู้สึกมีเสน่ห์เป็นอย่างมาก รวมกับร่างกายของผู้หญิงคนนี้ ถึงแม้ว่าจะไม่สะบึม แต่ก็สัดส่วนดี ให้ความรู้สึกอยากเข้าไปโอบกอด

“ขอบคุณค่ะ!” ผู้หญิงคนนั้นรับแว่นมาจากในมือเย่เทียนเฉิน หลังจากที่พูดขอบคุณก็รีบเดินไปด้วยความเร็ว

เย่เทียนเฉินมองแผ่นหลังของผู้หญิงคนนั้น รู้สึกราวกับว่ามีตรงไหนไม่ถูกต้อง ในเวลาเพียงชั่วคู่ก็คิดไม่ออก นั่นเป็นความรู้สึกที่แปลกประหลาดมาก ในตอนที่เขาหันไปเตรียมจะเดินเข้าไปในตึกภาควิชาโบราณคดีต่อไปนั้น ก็เกือบจะชนเข้ากับคนข้างหลังเขาอีกครั้ง เกือบจะศีรษะชนกัน

“เป็นเธอนั่นเอง? มีธุระอะไรเหรอ?” ผู้หญิงที่ยืนอยู่ด้านหลังของเย่เทียนเฉิน มองเย่เทียนเฉินอย่างแปลกใจแล้วแล้วเอ่ยถามขึ้น

“อ๋อ อาจารย์ฉินนี่เอง ไม่มีธุระหรอกครับ แค่เดินไปเรื่อย ทำความคุ้นเคยกับสภาพแวดล้อม!” เย่เทียนเฉินพูดด้วยรอยยิ้ม

คิดไม่ถึงว่าตอนที่เย่เทียนเฉินหมุนตัวไป ฉินเหยาเยว่จะยืนอยู่ด้านหลังเขา ส่วนเรื่องที่ว่าฉินเหยาเยว่ปรากฏตัวเมื่อไหร่นั้น เย่เทียนเฉินถึงกลับไม่ได้สังเกตเห็น ต้องทราบว่าเขาในตอนนี้เป็นยอดฝีมือที่มีพลังพิเศษขอบเขตจอมราชัน ในระยะไกลไม่ต้องพูดถึง แต่อย่างน้อยภายในขอบเขตหนึ่งพันเมตร ทุกเรื่องจะต้องสามารถรับรู้ได้ราวกับรู้ฝ่ามือของตน การปรากฏตัวอย่างกระทันหันของฉินเหยาเยว่ ทำให้เย่เทียนเฉินยิ่งรู้สึกสงสัยมากขึ้น

เพราะว่าคนธรรมดาคนหนึ่งจะไม่มีทางทำได้ถึงขั้นนี้อย่างเด็ดขาด หากต้องการปรากฏตัวด้านหลังเย่เทียนเฉินโดยที่ไร้ซุ่มไร้เสียง เชื่อว่าจะต้องถูกเขาพบนานแล้ว แต่ฉินเหยาเยว่ถึงกับทำได้ นี่ทำให้เย่เทียนเฉินสงสัยว่าเธอจะเป็น…

……………………..

“คุณน้าเกรงใจไปแล้วค่ะ พวกเราและเสี้ยวหยาเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน ช่วยเหลือเรื่องเล็กน้อยแค่นี้ก็เป็นสิ่งที่สมควรแล้ว!” หลิงอวี่สวิ๋นพูดด้วยรอยยิ้มหวาน

“ใช่แล้ว พวกเธอรีบนั่งเถอะ อย่ายืนอยู่เลย!” แม่ของเสี้ยวหยาเห็นเย่เทียนเฉินและหลิงอวี่สวิ๋นยังยืนอยู่ จึงรีบเรียกให้พวกเขานั่งลง

“ไม่เป็นไรครับ คุณน้าอยากได้ขยับเลยครับ พวกเราจัดการตัวเองก็ใช้ได้แล้ว!” เย่เทียนเฉินพูดพลางพยักหน้า

ในตอนนี้ เสี้ยวหยาถูกเสียงดังรบกวนจนตื่น ลืมตาขึ้นมาอย่างมึนงง เมื่อเห็นเย่เทียนเฉินและหลิงอวี่สวิ๋นมาแล้วจึงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกประหลาดใจ ลืมไปเสียสนิทว่าวันแรกเป็นวันลงทะเบียน วันที่สองเป็นวันรายงานตัวกับอาจารย์ที่ปรึกษา ทำแบบนี้หากว่าอยู่ในมหาวิทยาลัย อาจารย์ที่ปรึกษาก็จะดำเนินการจัดการได้ดี

“พี่อวี่สวิ๋น พวกพี่มาได้ยังไงคะ?” เสี้ยวหยาเอ่ยถามด้วยความสงสัย

“ฮ่าๆ วันนี้เป็นวันรายงานตัวกับอาจารย์ที่ปรึกษา เธอลืมไปแล้วเหรอ?” หลิงอวี่สวิ๋นอดไม่ได้ที่จะถามด้วยรอยยิ้ม

“เอ๋? แย่แล้ว หนูถึงกับหลับไป ลืมไปรายงานตัวกับอาจารย์ที่ปรึกษาที่มหาวิทยาลัยเลย!”

เสี้ยวหยาพลันกระวนกระวายขึ้นมา ตั้งแต่เล็กจนโตเธอก็มีผลการเรียนที่ดีเลิศมาตลอด อีกทั้งยังเชื่อฟังคำพูดของอาจารย์และพ่อแม่เป็นอย่างมาก วันนี้เป็นวันรายงานตัวกับอาจารย์ที่ปรึกษาก็ควรจะไปสร้างความประทับใจให้อาจารย์บ้าง ตอนนี้เลยเวลาเที่ยงไปแล้ว ก็ยังไม่ได้ไปมหาวิทยาลัย จะต้องทำให้อาจารย์ที่ปรึกษาไม่พอใจอย่างแน่นอน

“งั้นทำยังไงดี หยาเอ๋อร์ ลูกรีบไปมหาวิทยาลัยเถอะ แม่อยู่ที่นี่ก็ไม่เป็นไรแล้ว!” แม่ของเสี้ยวหยาพูดขึ้นด้วยความกระวนกระวาย

“ไม่ต้องรีบร้อนไปหรอก รอให้กินข้าวกลางวันเสร็จก่อน ฉันจะไปส่งเธอเอง แปบเดียวก็เสร็จแล้ว!” เย่เทียนเฉินพูดด้วยรอยยิ้ม

“งั้นก็ดีเลย พวกเราไปกินข้าวกันเถอะ ฉันรู้สึกหิวอยู่บ้างจริงๆ นายจะเลี้ยงอะไรสาวสวยอย่างพวกเราสองคนล่ะ?” หลิงอวี่สวิ๋นเอ่ยถามยิ้มๆ

“อะไรนะ? ไม่ได้บอกว่าเธอจะเลี้ยงเหรอ? ทำไมเป็นฉันอีกแล้วล่ะ?” เย่เทียนเฉินพูดพลางมองไปยังหลิงอวี่สวิ๋นอย่างจนใจ

“เรื่องของการเลี้ยงข้าวเนี่ย มีนายที่เป็นสุภาพบุรุษอยู่ จะมาถึงตาพวกเราทั้งสองคนที่เป็นผู้หญิงได้ยังไง เป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว!” หลิงอวี่สวิ๋นยิ้มเจ้าเล่ห์ดูน่ารัก

ในตอนนี้เย่เทียนเฉินถึงจะพบว่า หลิงอวี่สวิ๋นบางครั้งก็เป็นคนเขี้ยวลากดิน และยังมีฝีมืออยู่บ้าง ทั้งๆที่ตอนเริ่มต้นตอบรับไปแล้วว่าวันนี้เธอจะเป็นคนเลี้ยง แต่เมื่อถึงเวลากินข้าว ก็ยังร้องเรียกให้ตนเองเป็นคนเลี้ยง เกินไปแล้วจริงๆ ดูท่าแล้ววันหน้าคำพูดของผู้หญิงคนนี้คงจะเชื่อถือได้น้อยแล้ว

“แม่คะ แม่อยากกินอะไร หนูจะไปซื้อมาให้แม่” เสี้ยวหยาเลยถามผู้เป็นแม่อย่างรู้ความ

“ไม่ต้องหรอกจ้ะ พวกลูกไปกินกันเถอะ อีกเดี๋ยวพ่อของลูกก็จะมาส่งอาหารแล้ว หลังจากกินข้าวลูกก็ไปรายงานตัวที่มหาวิทยาลัย สร้างความประทับดีๆ ใจให้อาจารย์ ตอนมืดมีพ่อของลูกอยู่ที่นี่ ไม่ต้องเป็นห่วงไป!” แม่ของเสี้ยวหยาพูดด้วยรอยยิ้ม

“ค่ะ!” เสี้ยวหยาพยักหน้า

เดินออกมาจากโรงพยาบาลแห่งเมืองหลวง เสี้ยวหยายังคงพะว้าพะวงอยู่ อย่างไรเสียอาการป่วยของแม่ก็รุนแรงมาก นอกจากนี้เมื่อเกิดเจ็บปวดขึ้นมา กระทั่งคำพูดก็ไม่สามารถเปล่งออกมาได้ ทำได้เพียงอาศัยยาแก้ปวดเพื่อระงับปวด

“หยาเอ๋อร์ เธอวางใจเถอะ แม่ของเธอจะต้องไม่เป็นอะไรแน่ จะต้องดีขึ้นอย่างแน่นอน!” หลิงอวี่สวิ๋นกุมมือเสี้ยวหยา เปิดปากพูดอย่างจริงจัง

“อืม!” เสี้ยวหยาพยักหน้าแต่ไม่กล่าวอะไร

เย่เทียนเฉินมองเสี้ยวหยา ความจริงแล้วเขาไม่อยากบอกเธอเรื่องของจอมแพทย์เทวะเร็วขนาดนี้ เพราะการจะหาตัวจอมแพทย์เทวะพบหรือไม่นั้นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง อีกทั้งยังเป็นเรื่องที่ผ่านไปแล้วหลายสิบปี บางทีจอมแพทย์เทวะอาจจะไม่ได้อยู่ในโลกมนุษย์แล้วก็เป็นได้ เขาไม่อยากให้ความหวังกับเสี้ยวหยาแล้วทำให้เธอผิดหวัง หากเป็นแบบนั้นจะเป็นการทำร้ายเธอมาเกินไป

แต่เมื่อเห็นท่าทางหดหู่ไม่มีความสุขของเสี้ยวหยาในตอนนี้แล้ว เย่เทียนเฉินก็รู้สึกปวดใจจริงๆ หญิงสาวที่น่ารักบริสุทธิ์คนหนึ่ง ควรจะได้มีชีวิตที่มีความสุข แต่ตอนนี้กลับต้องทรมานจนกินไม่ได้นอนไม่หลับ นี่เป็นเรื่องที่ไม่ควรเกิดขึ้น ไม่ว่าใครเห็นก็ต้องทนไม่ได้

นี่ทำให้เย่เทียนเฉินรู้สึกกดดัน การตามหาจอมแพทย์เทวะเป็นเรื่องด่วนที่ต้องรีบจัดการ แม่ของเสี้ยวหยาสามารถยืนหยัดต่อไปได้อีกเพียงไม่กี่เดือน หากว่าในหลายเดือนนี้ไม่สามารถหาจอมแพทย์เทวะได้ แม่ของเสี้ยวหยาก็จะไม่มีทางช่วยได้แล้ว ส่วนเสี้ยวหยาก็จะต้องทนทุกข์ทรมานมาตลอด กังวลเรื่องอาการป่วยของแม่

“หยาเอ๋อร์ ความจริงแล้วเธอไม่ต้องกังวลจนเกินไปหรอก ฉันได้ยินว่ามีหมอคนหนึ่ง มีฝีมือทางการแพทย์สูงส่งมาก กระทั่งสามารถทำให้คนกลับมาจากความตายได้ หากว่าสามารถหาเขาเจอ เชื่อว่าจะต้องรักษาอาการป่วยของแม่ของเธอได้อย่างแน่นอน!” เย่เทียนเฉินคิดครู่หนึ่งแล้วจึงเอ่ยปากขึ้น

“จริงเหรอ? เทียนเฉิน นายไม่ได้หลอกฉันใช่ไหม? ช่วยคนกลับมาจากความตาย…”

เสี้ยวหยามีท่าทางไม่เชื่อถือนัก ความจริงแล้วด้วยเทคโนโลยีในยุคนี้ ยังจะมีสักกี่คนที่จะเชื่อในเรื่องเล่าเหนือธรรมชาติอยู่อีก? กล่าวเกินจริงไปถึงขั้นทำให้คนฟื้นจากความตายได้ หากพูดออกไปเกรงว่าจะทำให้คนอื่นคิดว่าบ้า แต่เย่เทียนเฉินกลับเชื่อ เขาที่เป็นผู้มีพลังพิเศษระดับพระเจ้าที่กลับชาติมาเกิดจากในยุคสิ้นโลก ย่อมได้พบกับเรื่องเกินจริงเหนือธรรมชาติมามากมาย กระทั่งผู้มีชีวิตเป็นอมตะในช่วงยุคสิ้นโลกที่กล่าวได้ว่ามีชีวิตยืนยาวไม่มีวันตาย และยังมีคนที่สามารถใช้หมัดเดียวทลายความว่างเปล่าจนเป็นผุยผง ทรงพลังไม่มีที่เปรียบ

เรื่องราวเหล่านี้ล้มล้างความคิดของคนในยุคปัจจุบันไปโดยสิ้นเชิง ก็เหมือนกับย้อนไปสู่ยุคของภูติผีวิญญาณอีกครั้งหนึ่ง ความจริงนั้นเรียบง่ายมาก หากเทียบกับคนปัจจุบัน จะมีสักกี่คนที่รู้ว่าบนโลกนี้จะมีผู้มีพลังพิเศษและยอดฝีมือพรรควรยุทธโบราณอยู่จริงๆ?  คนเหล่านี้แข็งแกร่งจนถึงขั้นที่ไม่อาจจินตนาการได้ ไม่ถูกควบคุมโดยรัฐและกฎหมาย กระทำการต่างๆ ตามความชอบใจของตนเองโดยสิ้นเชิง สิ่งนี้น่าหวาดกลัวมากเพียงใดกัน? ช่วยไม่ได้ที่คุณจะไม่เชื่อในการมีอยู่ของคนเหล่านี้ คนธรรมดาไม่มีโอกาสและคุณสมบัติได้เจอพวกเขาไปตลอดชีวิตก็เท่านั้น เป็นคนที่ไม่ได้อยู่ในโลกเดียวกันโดยสิ้นเชิง

“จริงสิ ฉันไม่หลอกเธอหรอก ไม่เชื่อก็ถามอวี่สวิ๋นดู!” เย่เทียนเฉินพยักหน้าอย่างจริงจัง  มองไปยังหลิงอวี่สวิ๋นแล้วพูดขึ้น

หลิงอวี่สวิ๋นอดไม่ได้ที่จะตกตะลึง เรื่องนี้เย่เทียนเฉินไม่เคยถามเธอมาก่อน ไม่ต้องพูดถึงเสี้ยวหยาเลย ขนาดตัวเธอเองก็รู้สึกไม่เชื่ออยู่บ้าง บนโลกนี้ยังมีคนที่มีวิชาแพทย์เก่งกาจเกินพิกัดขนาดนี้ด้วยหรือ? ถึงกับสามารถทำให้คนตายกลับมามีชีวิตได้ นี่เกรงว่าจะไม่ใช่คนแล้ว แต่เป็นเทพมากกว่า?

แต่ว่าหลิงอวี่สวิ๋นก็เป็นผู้หญิงที่ฉลาดมากคนหนึ่ง เพียงมองเย่เทียนเฉินแวบหนึ่งและดูเหมือนเธอจะชะงักไปชั่วครู่จนดูไม่ออกจากนั้นจึงพยักหน้าพูดกับเสี้ยวหยาว่า “เทียนเฉินพูดถูกแล้ว บนโลกนี้มีผู้วิเศษท่านนี้อยู่จริงๆ หากว่าสามารถหาเขาเจอ อาการป่วยของแม่เธอก็จะรักษาได้แล้ว!”

“จริงเหรอคะ?” ครู่หนึ่งเสี้ยวหยาก็ตื่นเต้นขึ้นมา สายตาเต็มไปด้วยประกายแห่งความหวัง เธอย่อมหวังอย่างแน่นอนว่าผู้วิเศษท่านนี้จะมีตัวตนอยู่จริงๆ หากเป็นเช่นนั้นอาการป่วยของแม่เธอก็มีหวังแล้ว

“จริงสิ ขอเพียงแค่พวกเราหาคนคนนี้เจอ ก็สามารถรักษาอาการป่วยของแม่เธอได้แล้ว!” เย่เทียนเฉินพูดพลางมองเสี้ยวหยา

“งั้น งั้นพวกเรารีบไปหาผู้วิเศษท่านนี้กันเถอะ ไปขอร้องเขาให้ช่วยมารักษาแม่ของฉัน!”

“หยาเอ๋อร์ ผู้วิเศษท่านนี้ตอนนี้จะอยู่ที่ไหน พวกเราเองก็ยังไม่รู้ มีเพียงเบาะแสเล็กน้อยเท่านั้น แต่ว่าเธอวางใจเถอะ พวกเราจะต้องหาเขาให้เจอให้ได้อย่างแน่นอน เธอไม่ต้องกังวลจนเกินไป!” เย่เทียนเฉินรีบเปิดปากพูด

“ใช่แล้วหยาเอ๋อร์ ทุกวันเธอต้องไปเรียนและดูแลแม่ของเธอ ส่วนเรื่องตามหาผู้วิเศษท่านนี้ ก็ให้ฉันกลับเทียนเฉินไปจัดการเถอะ ยังไงซะพวกเราก็พอมีวิธีอยู่บ้าง จะมากจะน้อยก็ยังสามารถรวบรวมคนได้!” หลิงอวี่สวิ๋นยิ้มพลางกุมมือของเสี้ยวหยาแล้วพูดขึ้น

เสี้ยวหยาคิดครู่หนึ่ง มองไปทางเย่เทียนเฉินและหลิงอวี่สวิ๋นอย่างจริงจังแล้วพูดขึ้นว่า “งั้นก็ขอบคุณพวกเธอมากเลยนะ พวกเธอดีกับฉันมากจริงๆ!”

“เด็กโง่ เคยบอกแล้วไงว่าไม่ต้องเกรงใจ พวกเราเป็นเพื่อนกัน ไปเถอะ ไปกินข้าว!”

ในที่สุดก็ทำให้เสี้ยวหยามีความหวังขึ้นมาบ้าง ในใจของเธอไม่หดหู่ระทมทุกข์แบบนั้นอีกต่อไปแล้ว เธอเดินอยู่กับหลิงอวี่สวิ๋นข้างหน้าสุด พูดคุยกัน หัวเราะเป็นบางครั้ง เย่เทียนเฉินที่เห็นก็ดีใจมาก เพียงแต่เขารู้สึกว่าความกดดันของตัวเองเพิ่มขึ้นมาก ในเมื่อให้ความหวังเสี้ยวหยาไปแล้วก็ไม่สามารถทำให้เธอผิดหวังได้อีกครั้ง เกรงว่าเธอจะรับความกระทบกระเทือนเช่นนี้ไม่ไหว เรื่องของการตามหาจอมแพทย์เทวะผู้นี้เป็นเรื่องด่วน จำเป็นต้องดำเนินการให้เร็วที่สุด

ในตอนที่กินข้าวกลางวันกันนั้น เย่เทียนเฉินใจกว้างอย่างหาได้ยาก เลี้ยงหม้อไฟเสี้ยวหยาและหลิงอวี่สวิ๋น ทำให้หลิงอวี่สวิ๋นมองเย่เทียนเฉินเหมือนกับมองมนุษย์ต่างดาว ทำให้เขาโกรธอับจนคำพูด ทำเหมือนกับตัวเองไม่เคยเลี้ยงใครมาแปดชาติอย่างไรอย่างนั้นแหละ

หนึ่งชั่วโมงต่อมา เย่เทียนเฉิน เสี้ยวหยาและหลิงอวี่สวิ๋นก็เดินออกมาจากร้านหม้อไฟ ในตอนที่ทั้งสามกำลังจะเดินทางไปยังมหาวิทยาลัยนั้น โทรศัพท์มือถือของหลิงอวี่สวิ๋นก็ดังขึ้น เธอหยิบมือถือขึ้นมากดรับสาย

“ฮัลโหล คุณพ่อ มีอะไรเหรอคะ?”

“อะไรนะ? คนของตระกูลเซวียนเยวี๋ยนจะเกินไปแล้ว พวกเขาทำแบบนี้ต้องการจะไล่กิจการของพวกเราเหรอ หนูจะกลับไปเดี๋ยวนี้!” หลิงอวี่สวิ๋นพูดด้วยความโมโห

“เป็นอะไรเหรอ สวิ๋นอวี่?” เย่เทียนเฉินรู้ว่าเกิดเรื่องแล้วจึงเอ่ยถามอย่างใส่ใจ

“ไม่มีอะไร ฉันคงไปมหาวิทยาลัยเป็นเพื่อนพวกเธอไม่ได้แล้ว นายใช้มอเตอร์ไซค์พาเสี้ยวหยาซ้อนไปเถอะ ฉันจะกลับบ้านสักหน่อย!” หลิงอวี่สวิ๋นเปิดปากพูด

“อืม ขับรถระวังหน่อย มีเรื่องอะไรก็โทรหาฉันนะ!” เย่เทียนเฉินพยักหน้าพลางกล่าว

“รู้แล้ว!”

เมื่อเห็นหลิงอวี่สวิ๋นขับรถสปอร์ตจากไป ในใจของเย่เทียนเฉินก็รู้สึกกังวล ถึงแม้ว่าทั้งสองจะทะเลาะกันบ่อย แต่มิตรภาพในวัยเด็กเขาจะลืมได้อย่างไร หลิงอวี่สวิ๋นเองก็เป็นผู้หญิงที่สวยงามและจิตใจดีคนหนึ่ง เพียงแต่นิสัยไม่เหมือนกับเสี้ยวหยา หากว่าหลิงอวี่สวิ๋นเกิดเรื่องอะไรขึ้น เย่เทียนเฉินย่อมไม่นิ่งดูดายอย่างแน่นอน

“ไปเถอะ หยาเอ๋อร์ พวกเราไปมหาวิทยาลัยกัน!” เย่เทียนเฉินมองไปยังเสี้ยวหยาด้วยรอยยิ้มแล้วพูดขึ้น

“อืม!” เสี้ยวหยามองเย่เทียนเฉินครู่หนึ่ง ทันใดนั้นคิดได้ถึงประโยคนั้นของแม่ขึ้นมา หากว่าลูกรู้สึกว่าผู้ชายคนนี้ไม่เลว ก็สามารถอยู่กับเขาได้

เย่เทียนเฉินสตาร์ทมอเตอร์ไซค์ เสี้ยวหยานั่งซ้อนท้ายเขา เธอที่นั่งรถมอเตอร์ไซค์เป็นครั้งแรกรู้สึกไม่ชินอยู่บ้าง ที่สำคัญก็คือรู้สึกกระอักกระอ่วน ไม่รู้ว่าจะเอามือทั้งสองวางไว้ตรงไหน ไม่มีที่ให้จับเลยสักที่ และรู้สึกไม่ปลอดภัย

“กอดฉันเอาไว้เถอะ แบบนี้ก็จะปลอดภัยหน่อย อีกอย่างฉันก็ขับรถเร็วมากด้วย!” เย่เทียนเฉินพูดกับเสี้ยวหยาด้วยรอยยิ้ม

เสี้ยวหยาชะงักไปครู่หนึ่ง ดวงหน้าเล็กๆ แดงระเรื่อ กัดปากกัดริมฝีปากล่างของตนเอง มือทั้งสองโอบเอวเย่เทียนเฉินช้าๆ…

……………………..

เมื่อเดินออกมาจากห้องทำงานของตึกภาควิชาโบราณคดีแล้ว เย่เทียนเฉินก็อดไม่ได้ที่จะหันไปมองตึกนี้ เพราะว่าเขามักจะรู้สึกได้ว่าตึกนี้มีพลังพิเศษอันแข็งแกร่งอยู่ โดยเฉพาะในตอนที่เขาเพิ่งจะเหยียบย่างมายืนอยู่หน้าตึกแห่งนี้ เขาสัมผัสได้อย่างชัดเจนถึงพลังพิเศษอันแข็งแกร่งเกินพิกัด กระทั่งสามารถครอบคลุมไปทั่วทั้งตัวตึกได้ ช่างทำให้ผู้คนต้องสั่นสะท้านมากจริงๆ

อย่างไรก็ตาม เย่เทียนเฉินจูงมือหลิงอวี่สวิ๋น พุ่งทะยานเข้าไปด้วยความเร็ว ขึ้นไปยังชั้นสามด้วยความเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่พลังพิเศษอันแข็งแกร่งนั้นกลับเลือนหายไปในชั่วพริบตาโดยไม่เหลือร่องรอย นี่ยิ่งทำให้เย่เทียนเฉินรู้สึกสั่นไหว คนที่สามารถใช้พลังพิเศษที่แข็งแกร่งขนาดนี้ได้อย่างคล่องแคล่ว จะต้องเป็นยอดฝีมือในหมู่ยอดฝีมืออย่างแน่นอน

“เป็นอะไรไป? อาลัยอาวรณ์อาจารย์ที่ปรึกษาสาวสวยหรือไง?” หลิงอวี่สวิ๋นเห็นเย่เทียนเฉินหันกลับไปมองตึกภาควิชาโบราณคดีอยู่เป็นระยะ จึงอดไม่ได้ที่จะถามขึ้นอย่างล้อเลียน

เย่เทียนเฉินได้สติกลับมา ทันใดนั้นเขาคิดว่าหลิงอวี่สวิ๋นไร้เดียงสาจริงๆ บางครั้งก็ไร้เดียงสาจนน่ารัก ไม่ใช่ว่าตนตั้งใจจะหลอกลวงอะไรเธอ เพียงแต่เรื่องนี้ยิ่งรู้น้อยก็จะยิ่งปลอดภัย อย่างไรเสียในโลกแห่งนี้ ผู้แข็งแกร่งพรรควรยุทธโบราณและยอดฝีมือแห่งโลกพลังพิเศษก็มีสถานะลึกลับเป็นอย่างมาก หากว่าคนธรรมดารับรู้เรื่องของพวกเขาก็จะไม่มีผลดีเลยแม้แต่น้อย และยังอาจจะดึงดูดอันตรายถึงชีวิตอีกด้วย

ดังนั้นในตอนเริ่มแรก เย่เทียนเฉินจึงแสร้งทำเป็นมีท่าทีลามก ทำเหมือนกับอดรนทนไม่ไหวที่จะไปพบอาจารย์ที่ปรึกษาสาวสวย คิดไม่ถึงว่าหลิงอวี่สวิ๋นก็ยังคงเชื่อ ตอนนี้ยังมีท่าทีเชื่อถืออยู่อีกด้วย

“ก็ใช่น่ะสิ อาจารย์ที่ปรึกษาสาวสวยที่สวยถึงขนาดนี้ ฉันเต็มใจที่จะเข้าเรียนทุกวันเลย!” เย่เทียนเฉินพูดขึ้นพลางหัวเราะฮี่ๆ

หลิงอวี่สวิ๋นมองค้อนใส่เย่เทียนเฉิน เดิมทีเธอคิดว่าเย่เทียนเฉินจะเปลี่ยนแปลงท่าทางเกเรในสมัยก่อนแล้ว คิดไม่ถึงว่าเจ้าหมอนี่ในตอนที่ไม่เอาไหนขึ้นมาก็เหมือนกับอันธพาลมากจริงๆ เปิดปากพูดออกไปอย่างดุดันว่า “ด้วยอีคิวแบบนี้ของนาย อาจารย์สาวสวยถูกใจนายก็แปลกแล้ว!”

“ประโยคนั้นไม่ถูกนะ ไม่แน่ว่าเสน่ห์ของฉันจะปะทุออกมาครั้งใหญ่ก็ได้ อาจจะทำบุญมาดีจนมีสาวงามมาหลงรักก็ได้นะ!” เย่เทียนเฉินยังคงพูดจาหยอกล้อหลิงอวี่สวิ๋นต่อไป

“หึ ฉันขี้เกียจจะสนใจนายแล้ว ไปเถอะพวกเราไปหาเสี้ยวหยากัน ไม่รู้ว่าตอนนี้แม่ของเธอเป็นยังไงบ้าง!” หลิงอวี่สวิ๋นยังคงใจดี จิตใจไม่เลวเลย ยังคงกังวลถึงเสี้ยวหยา

“อืม ตอนเที่ยงเธอคิดจะเลี้ยงอะไรฉัน?” เย่เทียนเฉินถามแล้วหัวเราะฮี่ๆ

“นาย…ผู้ชายมาดแมนอย่างนายไปกับผู้หญิงสวยๆ อย่างพวกฉันทั้งสองคน เอาแต่คิดจะให้พวกเราเลี้ยงข้าวนาย นายยังรู้สึกดีได้อีกหรือ?” หลิงอวี่สวิ๋นพูด รู้สึกหมดอาลัยตายอยากและอับจนคำพูดจริงๆ

“มีอะไรให้ไม่รู้สึกดีกัน ตอนเที่ยงฉันเลี้ยงอาหารทะเลพวกเธอ เมื่อคืนเสี้ยวหยาก็เลี้ยงก๋วยเตี๋ยว วันนี้ตอนเที่ยงก็ควรจะเป็นเธอที่เลี้ยง ควรจะเป็นเธอที่เลี้ยงแล้ว…” เย่เทียนเฉินพูดด้วยใบหน้าเคร่งขรึมจริงจัง

นาย…นาย…ไปตายซะ!” หลิงอวี่สวิ๋นถลึงตามองเย่เทียนเฉินแล้วสะบัดก้นเดินไป เสียงรองเท้าส้นสูงดังกังวาน เดินมุ่งไปยังประตูมหาวิทยาลัยด้วยความรวดเร็ว เธอไม่อยากจะเดินด้วยกันกับเจ้าหมอนี่จริงๆ

แต่ไหนแต่ไรก็ไม่เคยเจอผู้ชายที่ไม่มาดแมนไม่สุภาพบุรุษขนาดนี้มาก่อน ไม่ใช่ว่าหลิงอวี่สวิ๋นจะเลี้ยงข้าวไม่ได้ แต่ความขี้เหนียวของเย่เทียนเฉินทำให้คนอื่นรับไม่ไหว ผู้ชายคนหนึ่งทั้งไม่มี อีคิวทั้งขี้เหนียว มิน่าล่ะหลัวเยี่ยนผู้เป็นแม่ของเย่เทียนเฉินถึงกังวลว่าลูกชายของตนจะแต่งเมียไม่ได้ จึงได้ร้อนรนขึ้นมาในตอนที่เย่เทียนเฉินเพิ่งจะอายุยี่สิบ นี่ต้องเป็นเหตุผลอย่างแน่นอน!

เย่เทียนเฉินหัวเราะฮี่ๆ พลางเดินตามหลังหลิงอวี่สวิ๋นไปยังบริเวณประตูมหาวิทยาลัยหลงเถิงด้วยกัน ตลอดทางนี้ย่อมดึงดูดสายตาของนักศึกษาชายหญิงเป็นจำนวนมาก ประการแรกก็เพราะว่าความโด่งดังของเย่เทียนเฉิน คนที่กล้าอัดน้องชายของเซวียนเยวี๋ยนเถิงในมหาวิทยาลัยหลงเถิงและยังสามารถมีชีวิตอยู่ถึงวันถัดมาได้ เกรงว่าจะมีเพียงเย่เทียนเฉินสุดเจ๋งเพียงคนเดียวเท่านั้น ประการที่สองก็เพราะหลิงอวี่สวิ๋น สาวสวยที่จะได้รับโหวตให้เป็นดอกไม้ทั้งสี่แห่งมหาวิทยาลัยหลงเถิงในรอบใหม่ ย่อมต้องมีแฟนคลับเป็นจำนวนมาก ในหน้าแฟนเพจของมหาวิทยาลัยหลงเถิงก็มีรูปของหลิงอวี่สวิ๋นอยู่เป็นจำนวนมาก ถูกนักศึกษาชายและเหล่าโอตาคุชายดาวน์โหลดและวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างบ้าคลั่ง  ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ชื่อเสียงของหลิงอวี่สวิ๋นโด่งดังเป็นอย่างมากในมหาวิทยาลัย

“นะ นั่นไม่ใช่หลิงอวี่สวิ๋นเหรอ? ทำไมดูเหมือนว่าจะโกรธเลยล่ะ?”

“ดอกไม้งามคนใหม่แห่งมหาวิทยาลัย ทั้งสวยและเซ็กซี่มากจริงๆ แล้วยังมีร่างกายนั่นอีก ทำให้น้ำลายไหลเลย!”

“พวกนายรีบดูสิ คะ คนที่ตามหลังมาคือเย่เทียนเฉินเหรอ?”

“พระเจ้า เป็นไอ้หมอนั่นจริงๆด้วย ไม่ใช่ว่าเขาเพิ่งจะอัดน้องชายของเซวียนเยวี๋ยนเถิงไปเหรอ? ทำไมยังมาอยู่กับหลิงอวี่สวิ๋นอีก?”

“นายน้อยเซวียนเยวี๋ยนเถิงต้องบ้าไปแล้วแน่เลย เย่เทียนเฉินอัดน้องชายของเขา ตอนนี้ก็มาจีบผู้หญิงของเขา ทั้งตบหน้าทั้งเล่นชู้ ผู้ชายคนไหนจะรับได้บ้าง!”

มีพวกสอดรู้สอดเห็นบางคนที่แสร้งทำใบหน้าโศกเศร้าขมขื่น ทำท่าเหมือนกำลังเห็นใจเย่เทียนเฉิน แต่ว่ามีหลายคนที่มาดูความคึกครื้น คิดอยากจะเห็นว่าเรื่องนี้จะมีจุดจบอย่างไร ในมหาวิทยาลัยหลงเถิงเซวียนเยวี๋ยนเถิงขึ้นชื่อว่าเป็นผู้ที่หาเรื่องไม่ได้ ใครที่ไปหาเรื่องก็จะต้องตาย เมื่อก่อนมีลูกผู้อำนวยการ ลูกนายกเทศมนตรีอะไรต่างๆ ไปหาเรื่องเซวียนเยวี๋ยนเถิง ก็ต้องมีจุดจบที่ถูกหักแขนหักขา นี่ก็เพียงพอที่จะทำให้ทุกคนต้องสั่นสะท้านแล้ว

ดังนั้นโดยปกติ ความคิดของคนส่วนใหญ่ก็คือ กำลังรอดูว่าครั้งนี้เย่เทียนเฉินจะตายอย่างไร หากพูดถึงเรื่องหาเรื่องแล้ว เย่เทียนเฉินเป็นคนที่หาเรื่องเซวียนเยวี๋ยนเถิงได้อย่างโหดเหี้ยมที่สุดคนหนึ่ง อัดเซวียนเยวี๋ยนอวี่ซึ่งเป็นน้องชายของเซวียนเยวี๋ยนเถิง แล้วตอนนี้ยังมาเดินใกล้อยู่กับผู้หญิงที่เขาตามจีบมาตลอด เกรงว่าต้องทำให้เซวียนเยวี๋ยนเถิงโกรธจนแทบกระอักเลือด นายน้อยเซวียนเยวี๋ยนเถิงอย่างเขา มีอำนาจอิทธิพลที่ค่อนข้างแข็งแกร่งมาโดยตลอด มีใครกล้าหาเรื่องกับเขาแบบนี้บ้าง เขาจะเอาหน้าไปวางไว้ที่ไหน? ยังจะอยู่ในมหาวิทยาลัยหลงเถิงต่อไปได้อย่างไร?

เมื่อเดินมาถึงบริเวณประตูของมหาวิทยาลัยหลงเถิง หลิงอวี่สวิ๋นก็เดินขึ้นรถสปอร์ตของตนโดยไม่สนใจเย่เทียนเฉินอีก สตาร์ทรถแล้วขับไปยังทิศทางของโรงพยาบาลแห่งเมืองหลวง เย่เทียนเฉินขี่มอเตอร์ไซค์ของตน ใช้รองเท้าแตะสุดเจ๋งของตนสตาร์ทรถ ทำให้นักศึกษาจำนวนมากที่ดูอยู่บริเวณประตูมหาวิทยาลัยรู้สึกอับจนคำพูดเป็นอย่างมาก

ตลอดทาง เย่เทียนเฉินขับรถมอเตอร์ไซค์ของตนอยู่ข้างรถสปอร์ตของหลิงอวี่สวิ๋น คอยก่อกวนอยู่เป็นระยะ เขารู้ว่าหลิงอวี่สวิ๋นถูกตัวเองทำให้โกรธจนเคืองไปหมดแล้ว ดังนั้นจึงหยอกล้อด้วยใบหน้าทะเล้น หลิงอวี่สวิ๋นทำหน้ายู่ เบะปากเล็กๆของตน ดูน่ารักเป็นอย่างมาก ใช้ดวงตาอันสวยงามจองเย่เทียนเฉินเป็นระยะ ไม่พูดอะไรแม้แต่ประโยคเดียว

“ฮ่าๅ ตอนเด็กๆเธอโกรธก็มีท่าทางแบบนี้ ผ่านไปหลายปีแล้วยังไม่เปลี่ยนอีก?” เย่เทียนเฉินพูดยิ้มๆ

“หึ เจ้าบ้า เป็นนายที่เปลี่ยน เมื่อก่อนนายไม่มีท่าทีอันธพาลแบบนี้ น่ารังเกียจ…” หลิงอวี่สวิ๋นพูดอย่างไม่สบอารมณ์

“เมื่อก่อนเป็นเพราะว่าเธอยังเด็ก ตอนนี้ยิ่งโตก็ยิ่งสวย ผู้ชายคนไหนจะไม่ใจเต้นบ้าง? ฉันก็เป็นผู้ชาย ดังนั้นก็เลยหยอกล้อเธอ ก็เป็นเรื่องที่ปกติธรรมดาไม่ใช่เหรอ?” เย่เทียนเฉินพูดเสียงดัง

ได้ยินประโยคนี้ของเย่เทียนเฉิน หลิงอวี่สวิ๋นก็ไม่ทราบว่าเพราะเหตุใด ตนเองจึงไม่โกรธ หรือจะเป็นเพราะในส่วนลึกของจิตใจยังคงมีความรู้สึกดีๆ ต่อเย่เทียนเฉินในวัยเด็กหลงเหลืออยู่? ผู้หญิงคนหนึ่งมักจะจดจำเรื่องราวในสมัยเด็กได้โดยไม่ลืมเลือน เพราะในช่วงเวลานั้นเธอมีจิตใจที่บริสุทธิ์ที่สุด และใฝ่หาความรักที่บริสุทธิ์ที่สุด

เมื่อเห็นว่าใบหน้าของหลิงอวี่สวิ๋นแดงระเรื่อ เย่เทียนเฉินก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะในใจ ล้อเล่นอะไรกัน ในช่วงยุคสิ้นโลกข้างกายของเขาล้วนเป็นหญิงงามชั้นเลิศ หากต้องการจะแย่งชิงหัวใจของผู้หญิงคนหนึ่ง ถ้าไม่มีเทคนิคเลยแม้แต่น้อยจะได้รับความรักจากผู้หญิงมากมายขนาดนั้นได้อย่างไร

เพียงแต่หลังจากได้มาเกิดใหม่ในโลกแห่งนี้ เย่เทียนเฉินต้องการใช้ชีวิตอย่างสงบธรรมดา ใช้ชีวิตอยู่กับครอบครัวของตนอย่างมีความสุขและเบิกบานใจ ส่วนเรื่องของชายหญิง กลับไม่ได้คิดอะไรมาก สรุปแล้ว เย่เทียนเฉินเป็นผู้ชายที่มีทั้งด้านอันธพาลและด้านที่เป็นดั่งเทพแห่งความตาย ไม่สามารถใช้ตรรกะปกติมาตัดสินได้ แล้วเพราะมีนิสัยแบบนี้ จึงทำให้คนจำนวนมากมองไม่ออกว่าเย่เทียนเฉินเป็นคนอย่างไร

“นับว่านายยังพูดจาภาษามนุษย์อยู่ ฉันจะทำเป็นให้อภัยนายก็แล้วกัน!” หลิงอวี่สวิ๋นพูดกับเย่เทียนเฉินแล้วยู่ปากเล็กๆ

“อะไรคือนับว่าฉันยังพูดจาภาษามนุษย์อยู่? ดูเหมือนว่าเธอจะคุยกับฉันมาตลอด หรือว่าเธอกำลังด่าตัวเอง?” เย่เทียนเฉินพูดพลางหัวเราะ

“ไอ้บ้า!”

บนทางด่วน เมื่อเจอกับเสียงตะโกนอันน่ารักของหลิงอวี่สวิ๋น เย่เทียนเฉินก็หัวเราะเสียงดัง ทั้งสองขับรถตรงไปยังโรงพยาบาลแห่งเมืองหลวงด้วยความเร็ว วันนี้เป็นวันรายงานตัววันแรก แต่เสี้ยวหยาไม่ได้ไปที่มหาวิทยาลัย นี่ทำให้เย่เทียนเฉินและหลิงอวี่สวิ๋นรู้สึกเป็นกังวลอยู่บ้าง คงจะไม่ใช่ว่าอาการป่วยของแม่ของเสี้ยวหยาแย่ลงหรอกนะ?

ยังเป็นรถมอเตอร์ไซค์ของเย่เทียนเฉินที่เร็วกว่า ที่สำคัญก็คือคนคนนี้ขับอยู่ข้างๆ และหยอกล้อหลิงอวี่สวิ๋นอยู่เป็นระยะ จึงทำให้หลิงอวี่สวิ๋นไม่มีสมาธิในการขับรถ ฝ่าไฟแดงไปหลายครั้ง โกรธจนทนไม่ไหว

เย่เทียนเฉินจอดรถมอเตอร์ไซค์สุดเจ๋งที่หน้าประตูโรงพยาบาลแห่งเมืองหลวง โดยมีรถสปอร์ตของหลิงอวี่สวิ๋นตามมาถึงติดๆ กัน ทั้งสอง คนหนึ่งนำหน้าคนหนึ่งตามหลัง เดินเข้าไปในห้องผู้ป่วยของแม่ของเสี้ยวหยา พบว่าเสี้ยวหยากำลังนอนหลับอยู่ที่เตียงข้างๆ แม่ของเสี้ยวหยากำลังลูบศีรษะเธอเบาๆ

เมื่อเห็นเย่เทียนเฉินและหลิงอวี่สวิ๋นเดินเข้ามา แม่ของเสี้ยวหยาก็ทำท่าทางจุ๊ๆ เป็นสัญญาณให้เย่เทียนเฉินและหลิงอวี่สวิ๋นอย่าส่งเสียงปลุกเสี้ยวหยา

“คุณน้าคะ ดีขึ้นบ้างหรือเปล่าคะ?” หลิงอวี่สวิ๋นเลยถามเสียงเบาอย่างใส่ใจ

“ดีขึ้นมากแล้วจ้ะ ขอบคุณเธอมาก เมื่อคืนหยาเอ๋อร์ไม่ได้นอนทั้งคืน คอยเฝ้าน้าตลอด กลัวว่าน้าจะอาการกำเริบ เพิ่งจะได้นอนเอง!” แม่ของเสี้ยวหยาพูดด้วยรอยยิ้ม

“วางใจเถอะครับคุณน้า อาการป่วยของคุณจะต้องดีขึ้นแน่นอน ผมคิดวิธีได้แล้ว!” เย่เทียนเฉินเอ่ยปาก

แม่ของเสี้ยวหยามองสำรวจเย่เทียนเฉินครู่หนึ่ง รู้สึกจากใจจริงว่าผู้ชายคนนี้ไม่เลวเลย ทุ่มเทกายใจเต็มที่เพื่อเรื่องของตน หากว่าเขาชอบเสี้ยวหยาจริงๆ เธอก็จะไม่ต่อต้านการคบหาระหว่างลูกสาวกับเย่เทียนเฉิน อย่างไรเสียเมื่อลูกสาวโตขึ้นแล้วก็จะต้องมีชีวิตเป็นของตนเอง มีเส้นทางเดินเป็นของตนเอง และมีครอบครัวเป็นของตนเอง พ่อแม่ที่คิดถึงลูกสาวจริงๆนั้น จะต้องไม่สร้างความลำบากให้แก่ลูกสาว ไม่กลายเป็นภาระและความลำบากของเธอ

“ขอบคุณเธอมาก น้าได้ยินหยาเอ๋อร์บอกว่าพวกเธอเพิ่งจะรู้จักกัน ลูกน้าสามารถรู้จักกับเพื่อนดีๆเหมือนพวกเธอทั้งสองคนได้ นับว่าเป็นบุญจริงๆ!” แม่ของเสี้ยวหยาพูดพลางพยักหน้า

หลิงอวี่สวิ๋นไม่เข้าใจเลยจริงๆ ว่าทำไมเย่เทียนเฉินจึงได้เลือกเรียนภาควิชาโบราณคดี ใครๆ ก็รู้ว่าภาควิชาโบราณคดีเป็นเอกวิชาที่ไม่เป็นที่นิยม ยิ่งไปกว่านั้นสำหรับมหาวิทยาลัยหลงเถิงแล้ว ภาควิชาโบราณคดีเป็นวิชาที่ไม่นิยมเป็นอย่างมาก มีคนเพียงไม่กี่คน ทั้งภาควิชามีเราราวๆ สามสิบกว่าคนเท่านั้น ไม่ว่าใครก็สามารถคิดได้ว่า คนที่ศึกษาทางด้านโบราณคดีเป็นพวกไม่พูดไม่จา เป็นพวกหัวโบราณแข็งทื่อ เมื่อคิดว่าเย่เทียนเฉินจะกลายเป็นไอ้แว่นหัวโบราณ หลิงอวี่สวิ๋นก็รู้สึกหัวเราะไม่ออกร้องไห้ไม่ได้

“ทำไมนายถึงได้เลือกเรียนเอกวิชาโบราณคดีล่ะ ทางภาควิชามีแค่หลายสิบคน เอกวิชานี้น่าเบื่อเกินไปหรือเปล่า?” หลิงอวี่สวิ๋นอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามเย่เทียนเฉิน

“คำตอบมีเพียงอย่างเดียว นั่นก็คืออาจารย์ที่ปรึกษาสาวสวย ฉันจำได้ว่าตอนที่เธอคุยกับเสี้ยวหยา เธอพูดว่าในมหาวิทยาลัยหลงเถิงมีอาจารย์ที่ปรึกษาที่สวยที่สุดอยู่ในภาควิชาโบราณคดี ดังนั้นฉันก็เลยลงทะเบียนเอกโบราณคดี เพื่อสาวสวยแล้วฉันยอมทนลำบากทุกอย่าง ต่อให้เป็นจูบแรกของฉันก็ไม่เสียดาย!” เย่เทียนเฉินพูดพลางทำท่าทางเพ้อฝัน

“ไปตายซะ ใครต้องการจูบแรกของนายกัน น่ารังเกียจ!” หลิงอวี่สวิ๋นรู้สึกอยากจะอ้วก

“ฮี่ๆ จูบแรกของฉันหวานหอมมากเลยทีเดียว ไม่งั้นจะลองสักหน่อยไหม…” จู่ๆ เย่เทียนเฉินก็หยอกล้อหลิงอวี่สวิ๋นขึ้นมา ตั้งใจทำปากจู๋เข้าไปใกล้อีกฝ่าย

“อา…ไอ้บ้า อย่าเข้ามา…” หลิงอวี่สวิ๋นเห็นเย่เทียนเฉินทำปากจู๋ขึ้นมาจริงๆ และทำท่าจะประทับลงมาที่ปากเล็กๆ ของตน จึงตกใจจนรีบวิ่งออกไป เย่เทียนเฉินเห็นว่าในที่สุดเธอก็รู้สึกกลัวแล้วจึงหัวเราะอย่างชั่วร้ายและวิ่งตามไป

ในยามเด็ก ในซอยเล็กๆ มีเพียงเย่เทียนเฉินและหลิงอวี่สวิ๋นสองคน พวกเขาเล่นกันหยอกล้อกันจนกระทั่งเรียนจบโรงเรียนประถม ตอนนี้เติบโตขึ้นแล้ว ถึงแม้ว่าจะไม่ได้พบกันหลายปี แต่ความรู้สึกในวัยเด็กยังคงอยู่ เพียงแต่ความรู้สึกของหลิงอวี่สวิ๋นไม่เหมือนกับความรู้สึกของเย่เทียนเฉิน กระทั่งตัวเธอเองก็ไม่สังเกตเห็นก็เท่านั้น

เย่เทียนเฉินและหลิงอวี่สวิ๋นหยอกล้อกันไปพลางวิ่งไปที่บริเวณรายงานตัวของภาควิชาโบราณคดีไปพลาง ตอนนี้เอง ชายฉกรรจ์สอง คนที่ยืนอยู่บริเวณไม่ไกลหยิบกล้องส่องทางไกลขึ้นมา เมื่อสังเกตเห็นถึงทุกสิ่งทุกอย่างพลันมีท่าทางโหดเหี้ยมดุดันขึ้น

“หึ ไอ้หนูเย่เทียนเฉินยังกล้าออกมาจริงๆ ช่างไม่กลัวตายเอาซะเลย!” ชายฉกรรจ์ที่ถือกล้องส่องทางไกลพูดแล้วยิ้มออกมาอย่างโหดเหี้ยม

“คืนนี้มีความตายที่รอมันอยู่!” ชายฉกรรจ์อีกคนหนึ่งก็พูดอย่างดุร้าย

“ได้ยินว่าไอ้หนูนี่มีฝีมือไม่เลว พวกเราจำเป็นต้องคิดหาวิธีที่จะไม่มีข้อผิดพลาด อย่าให้มันหนีไปได้…”

“หนีไม่ได้หรอก กองกำลังถือมีดตัดฟืนสามร้อยกว่าคน ไม่ต้องพูดถึงฟันคนให้ตายเลย แค่ทำให้คนตกใจตายก็ยังได้ ต่อให้เย่เทียนเฉินจะร้ายกาจขนาดไหน ก็ต้องถูกฟันจนเละเป็นโจ๊ก!”

“อืม นายดูอยู่ที่นี่ ฉันจะไปรายงานพี่หู่!”

ชายฉกรรจ์ทั้งสองคนเป็นคนของอาหู่ อาหู่นั้นเพื่อที่จะสามารถจัดการเย่เทียนเฉินได้โดยไม่ให้มีข้อผิดพลาดใดๆ จึงส่งคนสนิทสองคนมาที่มหาวิทยาลัยหลงเถิง พอเย่เทียนเฉินปรากฏตัวก็ให้จับตามองอย่างเคร่งครัด ขอเพียงมีโอกาสลงมือ กองกำลังถือมีดตัดฟืนทั้งสามร้อย คนก็จะทะลักออกมากำจัดเย่เทียนเฉิน

นี่เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่อาหู่จริงจังขนาดนี้ เมื่อก่อนที่เขาฆ่าคน กระทั่งคิ้วก็ไม่ขมวดเลยแม้แต่น้อย ส่งพี่น้องไปหาตัวต้นเรื่องโดยตรง แล้วใช้มีดตัดฟืนฆ่าให้ตายก็ใช้ได้แล้ว ส่วนเย่เทียนเฉินนั้นมีฝีมือแข็งแกร่งมาก รวมกับที่อาจจะมีอำนาจอยู่เบื้องหลัง อาหู่รู้ว่าหากไม่สามารถฆ่าเย่เทียนเฉินได้ในครั้งแรก ก็เป็นไปได้มากกว่าจะมีปัญหาใหญ่ที่สามารถจะทำให้ตนเองตายได้

ในตอนนี้ เย่เทียนเฉินและหลิงอวี่สวิ๋นทั้งสองคนเดินเข้าไปในตึกของภาควิชาโบราณคดี หากจะพูดว่าเป็นตึกใหญ่ก็ไม่ใหญ่นัก มีเพียงสามชั้นเท่านั้น เนื่องจากเดิมทีนักศึกษาภาควิชาโบราณคดีก็ไม่มาก อาจารย์เองก็มีไม่กี่คนเท่านั้น

“ห้องของอาจารย์ที่ปรึกษาคงจะอยู่ที่ชั้นสาม ไปเถอะ!” หลิงอวี่สวิ๋นที่ยืนอยู่หน้าตึกของภาควิชาโบราณคดีพูดขึ้น

“หือ?”

เย่เทียนเฉินอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว เมื่อครู่นี้เขายังไม่ได้รู้สึกถึงอะไร แต่เมื่อยืนอยู่หน้าตึกภาควิชาโบราณคดีความรู้สึกได้ถึงการฟุ้งกระจายของพลังพิเศษอันแข็งแกร่ง ราวกับครอบคลุมทั้งตึกอยู่ แข็งแกร่งเป็นอย่างมาก กระทั่งเย่เทียนเฉินเองก็ต้องตกใจ ถึงกับมีผู้มีพลังพิเศษที่แข็งแกร่งถึงขั้นนี้อยู่เชียวหรือ

แต่ว่า ความรู้สึกนี้ค่อยๆจางลง ปรากฏอยู่เพียงแค่ไม่ถึงสิบวินาทีเท่านั้นแล้วก็จางหายไป เย่เทียนเฉินอดไม่ได้ที่จะประหลาดใจและสั่นไหวเล็กน้อย ภายในตึกภาควิชาโบราณคดีแห่งนี้จะต้องมีผู้มีพลังพิเศษที่แข็งแกร่งซ่อนตัวอยู่อย่างแน่นอน มิเช่นนั้นคงจะไม่สามารถปล่อยพลังพิเศษอันแข็งแกร่งขนาดนี้ออกมาได้ ดูแล้ว โลกแห่งนี้จะมียอดฝีมือซ่อนอยู่เบื้องหลังไม่ยอมออกมาไม่น้อยเลยทีเดียว

“ไปเถอะ พวกเราไปดูกัน!”

ในขณะที่พูด เย่เทียนเฉินก็จับมือหลิงอวี่สวิ๋นเอาไว้ แล้วเดินเข้าไปในตัวตึกด้วยความรวดเร็ว เขาทำเช่นนี้ก็เพื่อที่จะปิดบังจากหูตาผู้คนเท่านั้น ความจริงแล้วคิดอยากจะดูสักหน่อยว่าเป็นใครที่แข็งแกร่งถึงขั้นที่สามารถปล่อยพลังพิเศษออกมาครอบคลุมทั่วทั้งตัวตึกได้ เขามีความอยากรู้อยากเห็นและมีความประหลาดใจเล็กน้อย

หลิงอวี่สวิ๋นรู้สึกแปลกใจ อยู่ดีๆ เย่เทียนเฉินก็จับมือของเธอ ทำให้ใบหน้าเล็กๆ ของเธอแดงระเรื่อ ในตอนที่เย่เทียนเฉินจูงมือเธอ เธอมักจะคิดถึงช่วงเวลาในวัยเด็กโดยไม่รู้ตัว เป็นความรู้สึกที่ทั้งสองอยู่ด้วยกันในตอนเด็ก ทำให้เธอรู้สึกคิดถึงจริงๆ

เย่เทียนเฉินจูงมือหลิงอวี่สวิ๋นวิ่งเหยาะๆ ไปตลอดทางมุ่งขึ้นไปที่ชั้นสาม ในตอนที่เขาวิ่งไปถึงหน้าห้องที่มีป้ายอาจารย์ที่ปรึกษาติดอยู่นั้นจึงค่อยหยุดลง มองไปยังห้องนั้นด้วยสายตาลึกล้ำ ความจริงแล้วในตอนที่เขาเพิ่งจะเหยียบย่างเข้ามาสู่ตัวตึกแห่งนี้ ก็รู้สึกได้ถึงการปะทุของพลังพิเศษอันแข็งแกร่งในชั้นสาม เพียงแต่น่าเสียดายในตอนที่เขาวิ่งมาถึงชั้นสามพลังพิเศษก็หายไปทั้งหมดแล้ว ในชั้นสามมีห้องของอาจารย์ที่ปรึกษาอยู่หลายท่าน เย่เทียนเฉินไม่สามารถตัดสินได้ว่าพลังพิเศษนี้แพร่ออกมาจากไหน เพราะว่ามันได้เลือนหายไปทั้งหมดและถูกเก็บซ่อนเอาไว้แล้ว

“สามารถเก็บซ่อนพลังพิเศษได้ในพริบตา ถึงขนาดไม่มีซึมออกมาเลยสักหยด นี่ถึงจะเป็นยอดฝีมือในหมู่ยอดฝีมือ!” เย่เทียนเฉินอดไม่ได้ที่จะพึมพำกับตัวเองอย่างชื่นชมระคนประหลาดใจ

“นายพูดอะไรอยู่น่ะ?” หลิงอวี่สวิ๋นมองเย่เทียนเฉินอย่างประหลาดใจ ไม่รู้ว่าเขากำลังพึมพำพูดอะไรอยู่

“ไม่ ไม่มีอะไร!” เย่เทียนเฉินได้สติกลับมาจึงพูดด้วยรอยยิ้ม

“งั้นนายจูงฉันวิ่งมาเร็วขนาดนี้ทำไม มีหมาไล่นายอยู่หรือไง?” หลิงอวี่สวิ๋นตบหน้าอกของตนเบาๆ ปากเล็กๆ อ้ากว้างสูดหายใจเข้าไปแล้วพูดขึ้น

“ไม่มีหมาที่ไหนไล่หรอก ก็แค่อยากจะเจออาจารย์ที่ปรึกษาสาวสวยให้เร็วขึ้นหน่อยเท่านั้น เห็นสาวสวยก็วิ่งตามไง? ล้อเล่นที่ไหนกัน!” เย่เทียนเฉินพูดพลางหัวเราะฮี่ๆ

ในตอนนี้หลิงอวี่สวิ๋นขี้เกียจจะไปต่อล้อต่อเถียงกับเย่เทียนเฉินแล้ว ถูกเจ้าหมอนี่จูงมือวิ่งจนถึงชั้นสาม สาวสวยอย่างเธอรับไม่ได้จริงๆ หน้าอกอันตั้งตระหง่านกระเพื่อมไปตามลมหายใจอันหนักหน่วงของเธอ ขึ้นครั้งหนึ่งลงครั้งหนึ่ง ให้ความรู้สึกกระตุ้นเป็นอย่างมาก หากว่าผู้ชายธรรมดามาเห็นจะต้องคว้าจับเอาไว้อย่างบ้าคลั่งแน่นอน

ก๊อกๆ!

เย่เทียนเฉินเคาะประตูสองครั้ง ด้านในมีเสียงผู้หญิงดังแว่วออกมาอย่างเย็นชา มีความเป็นมิตรอยู่ไม่เท่าไหร่ เย่เทียนเฉินผลักประตูเดินเข้าไป หลิงอวี่สวิ๋นเองก็รีบตามเข้าไป

เมื่อเดินเข้าไปในห้องของอาจารย์ที่ปรึกษาภาควิชาโบราณคดี พบว่าทั้งห้องมีขนาดยี่สิบตารางเมตร ไม่ใหญ่ไม่เล็ก ตรงกลางมีโต๊ะยาวตัวหนึ่ง ทั้งสองฝั่งเป็นชั้นหนังสือ ล้อมรอบไปด้วยของที่เกี่ยวกับโบราณคดี เช่นพวกหินหรือฟอสซิลไดโนเสาร์อะไรจำพวกนี้

สิ่งที่ดึงดูดมากที่สุดก็คืออาจารย์ที่ปรึกษาสาวสวยที่นั่งอยู่หน้าโต๊ะทำงาน เป็นเหมือนกับที่หลิงอวี่สวิ๋นพูดจริงๆ มีอายุเพียงแค่ยี่สิบกว่าปีเท่านั้น ผมสีดำสลวยคลอเคลียอยู่บริเวณบ่า ตาโตงดงาม ปากเล็กๆ แดงระเรื่อชุ่มชื่น รวมกับดวงหน้างดงามและรูปร่างที่ทำให้ผู้คนหลงใหลก็มากพอที่จะทำให้ผู้ชายคนใดก็ตามต้องใจเต้น

“พวกเธอมีเรื่องอะไรหรือ?” อาจารย์ที่ปรึกษาสาวสวยมองเย่เทียนเฉินแล้วเอ่ยถาม

“อ๋อ อาจารย์ครับผมคือเย่เทียนเฉิน มารายงานตัวกับคุณครับ ปีนี้อายุยี่สิบปี สูงหนึ่งร้อยเจ็ดสิบแปดเซนติเมตร ยังไม่แต่งงาน!” เย่เทียนเฉินกล่าวแนะนำตัว

ได้ยินเย่เทียนเฉินแนะนำตัว หลิงอวี่สวิ๋นก็อดไม่ได้ที่จะยิ้ม การแนะนำตัวเองกับอาจารย์เป็นเรื่องที่เข้มงวดจริงจังมาก แต่เจ้าหมอนี่ประโยคแรกยังดีๆ อยู่ แต่ประโยคหลังกลับบอกว่ายังไม่แต่งงาน นี่ไม่ใช่การดูตัวจะพูดละเอียดขนาดนี้ทำไมกัน

“เธอก็คือเย่เทียนเฉิน?” อาจารย์ที่ปรึกษาสาวสวยคนนั้นอดไม่ได้ที่จะตกตะลึงไปเล็กน้อย ยืนขึ้นแล้วจ้องเย่เทียนเฉินพลางเอ่ยถาม

“ใช่แล้วครับ ดูเหมือนว่าสาวสวยจะให้ความสนใจกับผมมาก มีอะไรจะแนะนำหรือเปล่าครับ?” เย่เทียนเฉินเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม

อาจารย์ที่ปรึกษาสาวสวยจ้องมองเย่เทียนเฉินโดยไม่ได้พูดอะไร ทำเพียงมองสำรวจขึ้นลง ราวกับต้องการเห็นอะไรบางอย่าง เพียงแต่น่าเสียดายที่มองอยู่ครึ่งค่อนวันแล้วก็ยังไม่ได้รับผลอะไร สุดท้ายจึงพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม “ครูชื่อฉินเหยาเยว่ สวัสดี ได้ยินชื่อเสียงเธอมานานแล้ว!”

“ฮ่าๆ อาจารย์ล้อเล่นแล้ว คุณเคยได้ยินชื่อผมหรอครับ?” เย่เทียนเฉินอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น

“แน่นอนว่าต้องเคยได้ยินมา เธอก็คือนายน้อยเย่เทียนเฉิน ตอนนี้เป็นคนใหญ่คนโตในเมืองหลวง ตั้งแต่ที่กลับมาที่เมือง เรื่องไหนที่ทำแล้วไม่สั่นสะท้านไปทั่วทั้งเมืองหลวงบ้าง ครูสนใจเรื่องของเธอมาก ถ้ามีเวลาพวกเราก็มาคุยกันสักหน่อยเป็นยังไง?” ฉินเหยาเยว่พูด

“ไม่มีปัญหาครับ แต่ว่าวันนี้ผมไม่มีเวลา มีธุระนะครับ ต้องไปก่อนแล้ว!” เย่เทียนเฉินพูดยิ้มๆ

หลิงอวี่สวิ๋นที่อยู่ข้างๆมองอย่างมึนงง จะอย่างไรเธอก็คิดไม่ถึงว่า เย่เทียนเฉินและฉินเหยาเยว่พบหน้ากันครั้งแรกก็สามารถพูดคุยกันได้อย่างเบิกบานใจขนาดนี้ ช่างอยู่เหนือความคาดหมายของหลิงอวี่สวิ๋นอยู่บ้างจริงๆ  ที่สำคัญก็คือนักศึกษาคนหนึ่ง อาจารย์ที่ปรึกษาคนหนึ่ง ดูไม่มีความแตกต่างทางฐานะเลยแม้แต่น้อย ช่างน่าแปลกประหลาดจริงๆ

“ไปเถอะ!” เย่เทียนเฉินพูดกับหลิงอวี่สวิ๋น

“ได้ๆ ลาก่อนค่ะอาจารย์!” หลิงอวี่สวิ๋นได้สติกลับมาก็รีบพูดขึ้นยิ้มๆ

เมื่อเห็นว่าเย่เทียนเฉินและหลิงอวี่สวิ๋นไปจากห้องทำงานของตนแล้ว ฉินเหยาเยว่ก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว จากนั้นจึงปรากฏรอยยิ้มขึ้นที่มุมปาก อดไม่ได้ที่จะพูดพึมพำกับตนเอง “เย่เทียนเฉิน เธอเป็นคนที่น่าสนใจจริงๆ มิน่าล่ะทุกภาคส่วนถึงได้แอบตรวจสอบเธออยู่ลับๆ ฉันก็อยากจะเห็นเหมือนกันว่าเธอแข็งแกร่งขนาดไหน!”

ฉินเหยาเยว่ จะกล่าวจบ เธอก็รู้สึกวิงเวียนศีรษะ จึงรีบนั่งลงที่เก้าอี้ ในใจอดไม่ได้ที่จะโมโห ดูท่าอาการบาดเจ็บที่ได้รับยังต้องใช้เวลาอีกระยะหนึ่งจึงจะหายดี

เพื่อที่จะหาผู้มีพลังพิเศษในสายรักษามารักษาแม่ของเสี้ยวหยา เย่เทียนเฉินจึงพยายามคิดทุกวิถีทางเพื่อที่จะให้ชางหลางนำข้อมูลของผู้มีพลังพิเศษที่ประเทศจีนรวบรวมมาในหลายปีนี้ออกมาให้ แต่ว่า ดูเหมือนหลังจากที่อ่านข้อมูลเกี่ยวกับผู้มีพลังพิเศษทั้งหมดเสร็จแล้ว เย่เทียนเฉินจะยิ่งหมดหวัง เพราะว่าเขาไม่พบการบันทึกของผู้มีพลังพิเศษในสายรักษาใดๆ เลยแม้แต่น้อย

ในตอนที่เย่เทียนเฉินคิดว่าคงจะต้องหาวิธีอื่นนั้น เขาก็หยิบกระดาษแผ่นหนึ่งออกมา บนกระดาษแผ่นนั้นมีตัวอักษรเขียนอยู่สี่ตัว แต่กลับเป็นตัวอักษรสี่ตัวที่สามารถทำให้เขาสั่นสะท้านได้ ‘จอมแพทย์เทวะ!’

เมื่อได้ยินชางหลางสาธยาย เย่เทียนเฉินก็อดไม่ได้ที่จะลอบตกตะลึง ดูเหมือนว่าจะมั่นใจได้ว่าจอมแพทย์เทวะก็คือผู้มีพลังพิเศษในสายรักษา และยังแข็งแกร่งมากอีกด้วย สามารถช่วยคนใกล้ตายคนหนึ่งยืดเวลาชีวิตออกไปอีกยี่สิบปี แล้วยังทิ้งท้ายไว้ด้วยว่ายี่สิบปีหลังจากนี้ จะไม่มีทางกลับมาอีก เมื่อคิดดูแล้วทำให้รู้สึกน่าหวาดหวั่นเป็นอย่างมาก

“จอมแพทย์เทวะทำได้ยังไงก็ไม่มีใครรู้ ในตอนนั้นได้ยินมาว่ามีแค่เขากับผู้นำระดับสูงสุดอยู่ภายในห้อง รอบด้านถูกคุ้มครองด้วยยอดฝีมือที่เป็นสุดยอดในหมู่หัวกะทิ!” ชางหลางคิดครู่หนึ่งแล้วจึงเอ่ยขึ้น

“งั้นหลายปีมานี้ มีข่าวคราวเกี่ยวกับจอมแพทย์เทวะบ้างหรือเปล่าครับ?” เย่เทียนเฉินอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม

“ไม่มี ตั้งแต่ครั้งนั้นที่เขาช่วยยืดชีวิตของผู้นำสูงสุดก็หายไปไม่เหลือร่องรอย!” ชางหลางพูดแล้วจึงส่ายหน้า

เย่เทียนเฉินขมวดคิ้ว สามารถได้รับข่าวสารของจอมแพทย์เทวะเขาย่อมต้องดีใจมากอยู่แล้ว นี่แสดงให้เห็นว่าอย่างน้อยก็ยังมีความหวัง ยังมีความหวังที่จะช่วยแม่ของเสี้ยวหยา แต่ว่าไม่ได้มีข่าวของจอมแพทย์เทวะคนนี้มาสิบกว่าปีแล้ว ไม่รู้ว่ายังอยู่ในโลกมนุษย์หรือไม่ การจะหาเจอหรือไม่นั้นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง

อย่างไรก็ตาม เย่เทียนเฉินมีลางสังหรณ์ว่าจอมแพทย์เทวะจะต้องยังอยู่ในโลกมนุษย์อย่างแน่นอน เพราะคนๆนี้เป็นคนที่ฉลาดมาก เพราะเหตุใดคนที่มีวิชาแพทย์ขั้นสูงและยังมีความสามารถด้านพลังพิเศษที่แข็งแกร่งถึงได้หายไปอย่างไม่เหลือร่องรอยหลังจากที่ช่วยให้ผู้นำระดับสูงสุดยืดอายุออกไปอีกยี่สิบปี?

เหตุผลนั้นง่ายมาก วิชาแพทย์ของเขาได้เกินกว่าระดับเขตแดนไปแล้ว ช่วยผู้นำระดับสูงสุดของประเทศยืดชีวิตออกไปอีกยี่สิบปีก็ทำให้ผู้คนต้องสั่นสะท้านเป็นอย่างมาก ถึงแม้ว่าเขาจะกล่าวว่าหลังจากนี้อีกยี่สิบปีจะไม่กลับมาอีก แต่ประโยคนี้มีคนจำนวนมากที่ไม่เชื่อ ต่อให้เป็นเช่นนี้ ในตอนที่ผู้นำระดับสูงเจ็บป่วยอย่างรุนแรง ก็ยังตามหาเขา เมื่อถึงตอนนั้นจริงๆ เกรงว่าเขาที่เป็นจอมแพทย์เทวะไม่เพียงไม่ได้รับการยกย่อง แต่จะมีอันตรายถึงชีวิต

นี่ก็เหมือนกับว่า คนคนหนึ่งในช่วงเวลาใกล้ตาย ได้ถูกหมอผู้หนึ่งช่วยชีวิตเอาไว้ เขาก็จะเชื่อในฝีมือของหมอคนนั้นเป็นอย่างมาก เมื่อเขาใกล้จะตายอีกครั้ง ก็หวังว่าหมอคนนั้นจะสามารถช่วยเหลือเขาไว้ได้ แต่ถ้าหมอทำไม่ได้ ความหวาดกลัวในความตายเช่นนั้นก็จะทำให้คนๆนั้นบ้าคลั่ง กระทั่งสังหารผู้อื่นได้

ดังนั้นจอมแพทย์เทวะจึงเป็นคนที่ฉลาดมาก หลังจากที่ช่วยผู้นำระดับสูงสุดยืดชีวิตไปอีกยี่สิบปี ข่าวคราวก็หายไปไม่อย่างเหลือร่องรอยในทันที นี่ก็เพื่อหลีกเลี่ยงหายนะถึงชีวิตที่จะตามมาถึงในภายหลัง

“ดูท่าแล้วหากต้องการตามหาจอมแพทย์เทวะจะไม่ใช่เรื่องง่ายเลยจริงๆ!” เย่เทียนเฉินพูดพึมพำกับตัวเอง

“ยากมากแน่นอน เพราะได้ยินว่าวิชาปลอมแปลงของจอมแพทย์เทวะสูงส่งลึกล้ำมาก คนปกติไม่มีทางมองออกอย่างเด็ดขาด!” ชางหลางพูดพลางส่ายหน้า

“วิชาปลอมแปลง จอมแพทย์เทวะรู้วิชาปลอมแปลงด้วยเหรอ?” เย่เทียนเฉินอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม

“ใช่แล้ว จอมแพทย์เทวะเคยสอนทักษะนี้ให้กับหน่วยปฏิบัติการพิเศษแห่งชาติ ตอนนี้พวกเขาก็ยังคงใช้อยู่ และยังไม่เคยถูกเปิดโปงมาก่อน…” ชางหลางพยักหน้าแล้วพูดขึ้น

“ดี ผมมีเบาะแสแล้ว!” เย่เทียนเฉินอดไม่ได้ที่จะพูดด้วยรอยยิ้ม

“หือ? ไอ้หนูนายตามหาจอมแพทย์เทวะมีเป้าหมายอะไร? รักษาโรคเหรอ?”

ชางหลางอดไม่ได้ที่จะตกตะลึง เดิมทีเขาคิดว่าเย่เทียนเฉินดูข้อมูลของผู้มีพลังพิเศษ เพียงเพราะอยากรู้อยากเห็นเท่านั้น ต้องการตามหาผู้แข็งแกร่งเพื่อมาประมือด้วยก็เท่านั้น เพราะว่าคนๆ นี้เหมือนกับพวกบ้าการต่อสู้ คิดไม่ถึงว่าเขาจะทำเพื่อหาจอมแพทย์เทวะ ในตอนนี้ชางหลางไม่เข้าใจจริงๆ เย่เทียนเฉินต้องการจะทำอะไรกันแน่?

“ใช่แล้วครับ ช่วยรักษาโรคนกเขาไม่ขันของคุณไง!” เย่เทียนเฉินพูดจาหยอกล้อด้วยรอยยิ้ม

“ไอ้หนู…หาเรื่องโดนอัดซะแล้ว!” ชางหลางหันไปมอง แต่เย่เทียนเฉินกระโดดลงรถไปเรียบร้อยแล้ว อดไม่ได้ที่ปรายตามองอีกฝ่ายด้วยความจนใจ

“ขอบคุณมากครับ ถ้ามีเวลาจะเลี้ยงข้าวคุณนะ เลี้ยงก๋วยเตี๋ยว…” เย่เทียนเฉินตะโกนบอกชางหลาง

เย่เทียนเฉินมองชางหลางขับรถจี๊ปทหารจากไป ในมือของเขายังถือกระดาษที่เขียนว่าจอมแพทย์เทวะเอาไว้ อดไม่ได้ที่จะยิ้มขึ้นมา ในที่สุดก็หาผู้มีพลังพิเศษในสายรักษาพบแล้ว เช่นนี้ก็มีความหวังที่จะทำให้แม่ของเสี้ยวหยาอยู่ต่อไปได้แล้ว เพียงแต่หากคิดจะหาจอมแพทย์เทวะให้เจอเกรงว่าจะไม่ง่าย เมื่อปีนั้นทางรัฐจะต้องส่งคนและยอดฝีมือออกไปตามหาเป็นจำนวนมาก แต่ก็หาไม่พบ เห็นได้ว่าจอมแพทย์เทวะมีการเตรียมพร้อมอยู่นานแล้ว เย่เทียนเฉินหวังว่าผ่านไปหลายปีขนาดนี้ ความหวาดระแวงของจอมแพทย์เทวะจะผ่อนคลายลงมาก อีกทั้งตนเองยังมีการคาดเดาที่บ้าบิ่นอย่างหนึ่ง จะต้องถูกต้องอย่างแน่นอน

หลังจากกลับมาถึงบ้านแล้ว เย่เทียนเฉินก็นั่งลงบนโต๊ะกินข้าวแล้วเริ่มกินอาหารเช้า อาหารเช้าที่แม่ทำเป็นอาหารที่เย่เทียนเฉินชอบที่สุดอย่างไม่มีวันเปลี่ยนแปลง บะหมี่ผัดซอส ตั้งแต่เล็กจนโตก็เป็นสิ่งที่เย่เทียนเฉินชอบกิน ทุกครั้งต้องกินสองชามใหญ่ถึงจะหยุด

“แม่ครับ ยังมีอีกไหม เติมให้ผมหน่อย!” เย่เทียนเฉินกินไปพลางตะโกนไปทางห้องครัวไปพลาง

“ยังมีอีก รู้อยู่ว่าลูกกินเยอะ…” หลัวเยี่ยนหัวเราะ ยกหมี่ผัดซอสถ้วยเล็กเดินออกมาแล้วเติมลงในถ้วยของเย่เทียนเฉินด้วยรอยยิ้ม

“ใช่แล้วครับ หมี่ผัดซอสที่แม่ของผมทำ อร่อยกว่าข้างนอกเยอะเลย ต่อให้มีคนต่อแถวยาวเหยียดก็กินไม่ได้!” เย่เทียนเฉินพูดแล้วหัวเราะฮี่ๆ

“ลูกนี่…ใช่แล้ว เมื่อครู่นี้อวี่สวิ๋นโทรมาหาลูก บอกว่าให้ลูกรีบไปมหาวิทยาลัยหน่อย มีเรื่องด่วน!” หลัวเยี่ยนคิดถึงเรื่องที่หลิงอวี่สวิ๋นโทรมาเมื่อครู่นี้ได้จึงรีบเอ่ยปาก

“ครับ ได้ครับ ยัยคนนี้รบกวนคนอื่นตั้งแต่เช้าเชียว เมื่อคืนก็ถูกทำให้โกรธกลับไป วันนี้เช้ายังโทรมาอีก หน้าหนาจริงๆ…” เย่เทียนเฉินกินไปพลางบ่นไปพลาง

“ลูกพูดอะไร? เมื่อคืนลูกทำให้อวี่สวิ๋นโกรธหรือ?” หลัวเยี่ยนได้ยินเย่เทียนเฉินพึมพำกับตัวเองจึงเอ่ยถามขึ้นมาอย่างเข้มงวด

“เอ๋? ปะ เปล่าครับ แม่ฟังผิดแล้ว ผมจะไปทำให้อวี่สวิ๋นโกรธได้ยังไงล่ะ พวกเราเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่เด็ก ผมไม่ไปหาเรื่องเธอหรอก!” เย่เทียนเฉินเห็นสีหน้าของผู้เป็นแม่ก็รีบอธิบายออกมา

หลัวเยี่ยนส่ายหน้า ในใจเริ่มเป็นกังวลขึ้นมาบ้างจริงๆ แล้ว ลูกของตนคนนี้เมื่อก่อนก็เกเร ตอนนี้รู้ความแล้วก็ยังมีอีคิวต่ำมาตลอด กังวลจริงๆว่าในอนาคตจะแต่งเมียไม่ได้ แล้วตัวเองจะไม่ได้อุ้มหลาน

เพียงไม่นานเย่เทียนเฉินก็กินบะหมี่จนหมด อาบน้ำง่ายๆ ครู่หนึ่ง แล้วจึงสวมเสื้อยืดสีขาวของตน กางเกงชายหาด และรองเท้าแตะคู่หนึ่งออกจากบ้านไป หลัวเยี่ยนผู้เป็นแม่เห็นก็ตะโกนเรียก คิดจะให้เย่เทียนเฉินกลับมาเปลี่ยนให้ดูดีขึ้น แต่เด็กคนนี้ก็ขี่รถมอเตอร์ไซค์ของตนออกไปแล้ว

บนถนน เย่เทียนเฉินบิดคันเร่งจนถึงขีดสุด เขาชอบความรู้สึกที่มีลมพัดเข้ามาปะทะนี้มาก ให้ความรู้สึกปลดปล่อย เขาขับรถมอเตอร์ไซค์มาจอดที่ประตูมหาวิทยาลัยหลงเถิง ดึงดูดสายตาของนักศึกษาชายหญิงจำนวนไม่น้อย

การที่ดึงดูดสายตาของนักศึกษาชายหญิงในครั้งนี้ ไม่ใช่เพราะเย่เทียนเฉินหล่อ แต่เป็นเพราะการแต่งตัวของเขาไม่เข้ากับมอเตอร์ไซค์สุดเท่คันนี้เลยจริงๆ มอเตอร์ไซค์คันนี้เป็นคันที่เย่เทียนเฉินขับมาตลอด อย่างน้อยที่สุดก็หลายแสน ดูเท่มาก แต่เขาสวมเสื้อผ้าแบบนี้ ดูแล้วช่างทำให้ผู้คนรู้สึกอับจนคำพูดจริงๆ

“ไอ้บ้านนอกนี่เป็นใคร น่าเสียดายรถมอเตอร์ไซค์ดีๆ แบบนี้ เสียของจริงๆ!”

“นาย…เบาเสียงหน่อย เขาก็คือคนที่อัดเซวียนเยวี๋ยนอวี่…”

“อะไรนะ? ไม่จริงน่ะ? นี่…”

“ได้ข่าวว่าหลี่อี้พายอดฝีมือเทควันโดไปก็ยังอัดเจ้าหมอนี่ไม่ได้ ช่างร้ายกาจจริงๆ…”

“เขาอัดเซวียนเยวี๋ยนอวี่ไปแล้วยังอยู่รอดถึงวันต่อไปได้อีก? จะเจ๋งเกินไปแล้ว!”

นักศึกษาสอดรู้สอดเห็นกลุ่มหนึ่งอดไม่ได้ที่จะวิพากษ์วิจารณ์กันเสียงเบาอยู่รอบข้าง ทันใดนั้นเย่เทียนเฉินเห็นหลิงอวี่สวิ๋นรอตนเองอยู่ที่นั่นนานแล้ว เธอกำลังยู่ปากเล็กๆ อันน่ารัก ใช้ดวงตางดงามจ้องไปยังเย่เทียนเฉิน ความโมโหเมื่อวานไม่มีแล้ว ตอนนี้ตนเองรออยู่ที่มหาวิทยาลัยหลงเถิงมาเกือบหนึ่งชั่วโมง เย่เทียนเฉินเพิ่งจะมา เธอกำหมัดอันขาวนวลแน่น เกิดความรู้สึกว่าต้องการจะอัดเจ้าหมอนี่ขึ้นมาจริงๆ

“ป่านนี้เพิ่งจะมาถึง ไม่รู้ว่ารึไงว่าคุณหนูอย่างฉันรอนายอยู่ที่นี่มาเกือบหนึ่งชั่วโมงแล้ว?” หลิงอวี่สวิ๋นมองเย่เทียนเฉินอย่างดุดันแล้วเอ่ยถาม

“เธออยากรอเองนี่ มันเรื่องอะไรของฉันล่ะ!” เย่เทียนเฉินพูดอย่างไม่สบอารมณ์

“นาย…”

“ไปเถอะ ไปเถอะ มีเรื่องอะไรก็พูดมาตรงๆ…” เย่เทียนเฉินขัดคำพูดของหลิงอวี่สวิ๋น กล่าวจบก็เดินไปข้างในประตูมหาวิทยาลัย

หลิงอวี่สวิ๋นแทบจะถูกเย่เทียนเฉินทำให้โกรธจนบ้า ให้ผู้หญิงคนหนึ่งรอเกือบหนึ่งชั่วโมง ผู้ชายมาถึงก็ควรจะกล่าวอะไรสักหลายประโยค อย่างน้อยก็ไม่มีท่าทางเหมือนเย่เทียนเฉิน อีคิวเป็นศูนย์จริงๆ ไม่มีความรักหยกถนอมบุปผาที่ผู้ชายควรกระทำต่อผู้หญิงเลยแม้แต่น้อย

ถึงแม้ว่าหลิงอวี่สวิ๋นจะโกรธ แต่เธอก็ทำอะไรเย่เทียนเฉินไม่ได้ จึงกระทืบเท้าเล็กๆ อย่างรุนแรงแล้วค่อยเดินตามไปข้างหลังเย่เทียนเฉิน พูดว่า “วันนี้เป็นวันรายงานตัววันแรกนายก็มสายแล้ว จะต้องถูกอาจารย์ที่ปรึกษาตำหนิแน่ หึ!”

“อาจารย์ที่ปรึกษาเป็นผู้ชายหรือผู้หญิง?” เย่เทียนเฉินเอียงคอถาม

“นายปีหนึ่ง ฉันปีสอง นายยังมาถามฉันว่าอาจารย์ที่ปรึกษาของนายเป็นผู้ชายหรือผู้หญิงอีก?” หลิงอวี่สวิ๋นกล่าวด้วยความระอา

“ไม่รู้เหรอ ไม่รู้ก็ช่างเถอะ ดูแล้วเธอก็ไม่ได้คุ้นเคยกับมหาวิทยาลัยหลงเถิงเหมือนกัน!” เย่เทียนเฉินพูดพลางยักไหล่

“อาจารย์ที่ปรึกษาของพวกนายเป็นผู้หญิง เป็นผู้หญิงที่สวยมากๆ คนหนึ่ง เป็นผู้หญิงที่มีอายุแค่ยี่สิบสองปี!” หลิงอวี่สวิ๋นพูดอย่างไม่สบอารมณ์

“อายุยี่สิบสองก็เป็นที่ปรึกษาแล้วเหรอ? ดูท่าทางจะสวยมากจริงๆ ไปดูสักหน่อย…” เย่เทียนเฉินพูดพลางหัวเราะฮี่ๆ

เมื่อวานเป็นวันลงทะเบียน วันนี้เป็นวันรายงานตัวกับอาจารย์ที่ปรึกษาเพื่อให้อาจารย์ที่ปรึกษาทราบจำนวนนักเรียนทั้งชั้นเรียน เย่เทียนเฉินรายงานตัวเรียนภาควิชาโบราณคดี นี่ยิ่งทำให้หลิงอวี่สวิ๋นรู้สึกจนใจจริงๆ

เย่เทียนเฉินวางแผนนับร้อยพัน คิดทุกวิถีทาง ไม่ง่ายเลยกว่าที่จะให้ชางหลางนำข้อมูลลับสุดยอดเกี่ยวกับผู้มีพลังพิเศษออกมา เพียงเพื่อที่จะหาผู้มีพลังพิเศษสายรักษาคนหนึ่ง หากว่ายังหาไม่เจออีกล่ะก็ เกรงว่าแม่ของเสี้ยวหยาจะช่วยไม่ได้แล้ว

ข้อมูลลับที่ชางหลางนำมาเป็นข้อมูลของผู้มีพลังพิเศษ ในช่วงห้าสิบปีมานี้ แม้ว่าข้อมูลของผู้มีพลังพิเศษทั้งในและต่างประเทศที่ทางรัฐจีนได้กุมเอาไว้จะไม่ได้ละเอียด แต่ก็ยังสามารถหาเงื่อนงำได้

เพียงแต่น่าเสียดาย หลังจากที่พลิกไปหลายสิบหน้า เย่เทียนเฉินก็ไม่พบผู้มีพลังพิเศษสายรักษาเลยแม้แต่คนเดียว กระทั่งเบาะแสสักนิดก็ไม่มี ข้อมูลมากมายภายในนี้ส่วนมากจะไม่มีรูปถ่ายของผู้มีพลังพิเศษ มีเพียงแค่ชื่อและคำแนะนำพลังพิเศษอย่างง่ายๆ เท่านั้น นอกจากนี้ในสายตาของเย่เทียนเฉิน คนเหล่านี้ต่างก็อ่อนแอเกินไป

ยิ่งอ่านก็ยิ่งต้องส่ายหน้า หลังจากที่เย่เทียนเฉินดูข้อมูลมากกว่าหนึ่งร้อยชุดนี้เสร็จก็รู้สึกผิดหวังมาก โยนซองหนังไปด้านข้าง ตอนแรกคิดว่าจะหาผู้มีพลังพิเศษสายรักษาออกมาได้ซักคนหนึ่งโดยใช้ข้อมูลที่รัฐควบคุมอยู่ในมือ หรือต่อให้หาเขาไม่เจอ อย่างน้อยก็หาเบาะแสให้พบบ้าง แบบนี้ตัวเองก็จะตามหาได้สะดวกยิ่งขึ้น ไหนเลยจะรู้ว่าเบาะแสสักนิดก็ไม่มี ส่วนใหญ่เป็นผู้มีพลังพิเศษธรรมดาๆ ความสามารถก็ไม่ได้แข็งแกร่งอะไร

“ทำให้ผมผิดหวังจริงๆ ในนี้ไม่มีผู้มีพลังพิเศษที่แข็งแกร่งเลยสักคน มีแต่ปลาเล็กปลาน้อยทั้งนั้น คุ้มค่าที่จะทำให้เป็นความลับแบบนี้เหรอครับ เห้อ ไม่รู้จริงๆว่ารัฐบาลอย่างพวกคุณทำอะไรกัน เปลืองภาษีประชาชนจริงๆ!” เย่เทียนเฉินอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมา โยนซองหนังไปข้างๆ แล้วพูดขึ้น

ชางหลางได้ยินคำพูดของเย่เทียนเฉินก็มีความรู้สึกอยากจะใช้เท้ายันเจ้าหมอนี่ให้ตกรถไปจริงๆ คนที่ดีแต่พูดมันไม่ได้มาลำบากด้วย ต้องทราบว่าหลายปีมานี้เพื่อที่ทางรัฐจะสามารถรวบรวมข้อมูลผู้มีพลังพิเศษเหล่านี้ได้ ต้องเปลืองแรงเป็นอย่างมาก กระทั่งมีการบาดเจ็บล้มตายเกิดขึ้น อย่างไรก็ตามมีผู้มีพลังพิเศษจำนวนหนึ่งที่ไม่ต้องการถูกคนอื่นค้นพบ และยังมีผู้มีพลังพิเศษอีกจำนวนหนึ่งที่อาศัยพลังพิเศษอันแข็งแกร่งของตนเองก่อเรื่องเลวร้ายไปทั่ว ฝ่าฝืนกฎหมาย ทำร้ายประชาชนธรรมดาทั่วไป เพื่อที่จะควบคุมพวกเขา รัฐบาลก็ได้คิดวิธีการมาหลายวิธี เพียงแต่คนภายนอกไม่รู้ก็เท่านั้น

“ไอ้หนู ตกลงนายดูข้อมูลพวกนี้เพื่อจะทำอะไรกันแน่?” ชางหลางอดไม่ได้ที่จะถามอย่างสงสัย

“คุณลองเดาดูสิ?” เย่เทียนเฉินพูดแล้วหัวเราะฮี่ๆ

“นายคงไม่คิดจะหาผู้มีพลังพิเศษที่แข็งแกร่งเพื่อต่อสู้หรอกนะ? ฉันขอเตือนนายไว้ก่อนว่าอย่าได้รนหาที่ตาย  ถึงแม้ในหมู่ผู้มีพลังพิเศษในข้อมูลที่ฉันให้นายเหล่านี้จะดูเหมือนไม่เก่ง แต่ประเทศจีนของพวกเราก็ยังมีผู้มีพลังพิเศษที่แข็งแรงอยู่ด้วยเช่นกัน ไอ้หนูอย่างนายเอาแต่หาเรื่องทั้งวัน ถ้าเจอตอเข้าล่ะก็ ถึงตอนนั้นคงตายโดยไม่รู้ตัวว่าตายยังไง!” ชางหลางพูดอย่างไม่สบอารมณ์

เย่เทียนเฉินอดไม่ได้ที่จะชะงักไป จากนั้นจึงยิ้มออกมาอย่างเจ้าเล่ห์ มองชางหลางแล้วพูดว่า

“คุณพี่ชางหลางครับ คุณว่าพวกเราสองคนนับว่าเป็นคนที่ไม่ต่อยตีกันก็ไม่รู้จักกันหรือเปล่าครับ? ตั้งแต่ที่ผมปลดประจำการออกมาจากกองทัพ ตอนนั้นคุณยังเป็นผู้บังคับบัญชาของผมอยู่เลย แล้วก็เป็นคนที่สั่งการด้วยตัวเอง นับได้ว่าเป็นโชคชะตา ผมรู้สึกว่าความหมายของคำพูดนี้ของคุณก็คือ รัฐยังมีข้อมูลของผู้มีพลังพิเศษที่แข็งแกร่งอยู่ จะให้ผมดูสักหน่อยได้ไหมครับ?”

“ตอนนี้ฉันล่ะอยากรู้จริงๆ ว่าไอ้หนูอย่างนายต้องการข้อมูลของผู้มีพลังพิเศษเหล่านี้ไปเพื่ออะไรกันแน่?” ชางหลางจ้องเย่เทียนเฉินเขม็งแล้วเอ่ยถาม

“คุณเดาถูกแล้ว ช่วงนี้น่าเบื่อจริงๆ ผมคิดจะหาคนที่แข็งแกร่งสักหลายคนมาเล่นด้วยสักหน่อย วางใจเถอะครับ จะไม่ทำให้มันเกินไปหรอก จะไม่ให้มีอันตรายไปถึงความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนคนธรรมดาอย่างเด็ดขาด!” เย่เทียนเฉินพูดพลางหัวเราะฮี่ๆ

เมื่อได้ยินคำพูดของเย่เทียนเฉิน ชางหลางก็รู้สึกจนใจเป็นอย่างมาก กรอกตาใส่เขาครั้งหนึ่งแล้วพูดขึ้นว่า

“ฉันรู้สึกว่าไอ้หนูอย่างนายทำตัวเหมือนกับว่าต้องการความเงียบสงบ แต่ความจริงแล้วเป็นไอ้บ้าต่อสู้คนหนึ่ง มิน่าล่ะ ขนาดเรื่องประเภทที่ว่าจะให้โฮบาม่าเลี้ยงข้าวนายก็ยังคิดออกมาได้…”

“ช่วยไม่ได้ ตอนนั้นผมหิวเลยคิดขึ้นมาได้ พี่ชางหลางครับ จะไม่เอาข้อมูลที่เก็บซ่อนเอาไว้มาให้ผมดูหน่อยเหรอ?” เย่เทียนเฉินพูดด้วยรอยยิ้ม

ไม่กล่าวไม่ได้ว่า ในใจของชางหลางนับถือเย่เทียนเฉินมาก ไอ้หนูนี่ดูแล้วมีท่าทางไม่เอาไหน แต่ความจริงฉลาดมาก กระทั่งหยางอี้ก็บอกว่า ในตอนที่เขาติดเล่นขึ้นมาก็เหมือนกับอันธพาล พอจริงจังขึ้นมาก็เหมือนกับเทพแห่งความตาย หากว่าสามารถนำมาใช้งานเพื่อประเทศได้ ประเทศจีนอาจจะสามารถสั่นสะเทือนทั้งโลกได้เพราะเขา

แน่นอนว่าในตอนที่ชางหลางมาเขาได้หยิบซองหนังมาสองซอง อีกซองหนึ่งวางเอาไว้ด้านข้างอย่างโดดเดี่ยว เพราะข้อมูลเหล่านี้เป็นข้อมูลลับสุดยอดมากจริงๆ ทั่วทั้งประเทศจีนเกรงว่าจะมีคนที่รู้ไม่เกินห้าคน หากไม่ใช่ว่าเย่เทียนเฉินต้องการทำเพื่อประเทศชาติ ตีให้ตายก็ไม่นำข้อมูลเหล่านี้ออกมา

“ไม่มี ข้อมูลทั้งหมดที่เกี่ยวกับผู้มีพลังพิเศษอยู่ที่นี่หมดแล้ว นายก็ดูไปแล้วนี่!” ชางหลางยังคิดจะยืดเวลาออกไปสักหน่อย เพราะของสิ่งนี้สำคัญมากจริงๆ

“งั้นเหรอ? งั้นผมดูหน่อยสิว่าในนี้มีอะไร…”

เย่เทียนเฉินยิ้มเจ้าเล่ห์ ในมือขวามีซองหนังอีกซองหนึ่งปรากฏขึ้น ด้านหน้าซองตรงกลางมีตัว “X” สีแดงอยู่เพียงตัวเดียว ดูแล้วเป็นของที่สำคัญอย่างมาก แม้กระทั่งในตอนที่เขาแตะถูกซองนั้นก็รู้สึกได้ถึงรสชาติของความหนักแน่น เหมือนว่าจะถูกปิดผนึกมาแล้วหลายปีและดูท่าทางจะเก่ากว่าห้าสิบปี

“นาย…ไอ้หนู นายรู้เมื่อไหร่? เอาไปได้ยังไง?”

ชางหลางอดไม่ได้ที่จะตกใจ ซองหนังที่โดดเดี่ยวนี้ถูกเขาวางเอาไว้บนร่างกายของตนเองและรักษาไว้ติดตัวตลอด เดิมทีเขาคิดว่าหากไม่ถึงเวลาจำเป็นจริงๆ จะไม่ยอมนำออกมาให้เย่เทียนเฉินดูเป็นอันขาด คิดไม่ถึงว่าในตอนที่ไม่รู้ตัว เย่เทียนเฉินจะขโมยไปจากเขาได้ ทำให้เขาสะท้อนใจจริงๆ

ด้วยฝีมือของชางหลางเกรงว่าจะไม่มีคนสามารถหยิบสิ่งของไปจากเขาได้โดยที่ไม่รู้ตัว แต่เย่เทียนเฉินคนนี้ทำได้แล้ว ช่างทำให้เขาตกตะลึงจริงๆ ไม่รู้ว่าหยิบไปจากเขาเมื่อไหร่

“พี่ชางหลาง คุณเป็นคนที่ซื่อตรงเปิดเผยคนหนึ่ง ทำไมถึงได้โกหกล่ะครับ นี่มันไม่ถูกต้องเลย…”

เย่เทียนเฉินยกยิ้มชั่วร้ายอย่างลำพองใจ ตบไหล่ชางหลางแล้วจึงเปิดซองหนังที่มีสัญลักษณ์นั้นออก อ่านอย่างตั้งใจ

ในซองหนังซองนั้นเย่เทียนเฉินได้ข้อมูลมาทั้งหมดสามชุด ในสามชุดนี้ไม่มีรูปภาพ มีเพียงชื่อและการแนะนำอย่างง่ายๆ ด้านในยังมีฝุ่นเกาะอยู่เป็นจำนวนมาก ดูแล้วท่าทางจะวางเอาไว้หลายปี

หลังจากที่อ่านข้อมูลเสร็จไปสองชุดเย่เทียนเฉินก็ส่ายศีรษะ ถึงแม้ว่าจะรู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างมากเนื่องจากตามการจดบันทึกของข้อมูล คนสองคนนี้แข็งแกร่งมาก แข็งแกร่งจนถึงขั้นไม่สามารถหยุดยั้งได้ แต่ว่าเย่เทียนเฉินก็ยังผิดหวัง สาเหตุเป็นเพราะตามที่บันทึกไว้ คนสองคนนี้ไม่ใช่ผู้มีพลังพิเศษในสายรักษา

แต่ในตอนที่เย่เทียนเฉินหยิบข้อมูลชุดที่สามออกมาก็อดไม่ได้ที่จะชะงักไปทั้งร่าง บนกระดาษสีขาวแผ่นที่สามนี้มีตัวอักษรอยู่เพียงสี่ตัว ตัวอักษรทั้งสี่ตัวนี้สั่นสะเทือนจิตวิญญาณของเย่เทียนเฉินอย่างลึกล้ำ จากนั้นในสายตาของเขาก็ปรากฏประกายแห่งความคาดหวังออกมา

“จอมแพทย์เทวะ…”

เย่เทียนเฉินอ่านตัวอักษรทั้งสี่ตัวที่อยู่บนกระดาษสีขาวในมือออกมาด้วยรอยยิ้ม

ชางหลางได้ยินคำสี่คำนี้ก็อดไม่ได้ที่จะมองไป ในใจรู้สึกสั่นสะท้าน เขาเป็นคนในระดับสูงของประเทศ ดังนั้นสำหรับเรื่องที่เป็นความลับเหล่านี้แล้ว ย่อมต้องรู้มากกว่าเย่เทียนเฉินที่กลับมาเกิดใหม่ในโลกแห่งนี้มาก เขาคิดไม่ถึงเลยว่า ในข้อมูลที่เป็นความลับสุดยอดที่สุดสามชุดนี้จะถึงกับมีเรื่องของจอมแพทย์เทวะอยู่ด้วย

“จอมแพทย์เทวะ เป็นเขาหรือ?” ชางหลางอดไม่ได้ที่จะพูดพึมพำกับตนเอง

“พี่ชางหลาง คุณรู้เรื่องเกี่ยวกับคนคนนี้เหรอครับ?” เย่เทียนเฉินรีบถามออกมา

ชางหลางมองไปที่เย่เทียนเฉินแวบหนึ่ง สุดท้ายจึงเปิดปากพูด

“จอมแพทย์เทวะ ไม่รู้ว่าเป็นคนในยุคไหน ตอนนั้นได้ข่าวว่าคนคนนี้ร้ายกาจมาก และลึกลับมากด้วย มีน้อยคนที่ได้เห็นใบหน้าที่แท้จริงของเขา ที่รัฐมีบันทึกข้อมูลของเขาก็เพราะเมื่อปีนั้นเขาเคยรักษาให้ท่านผู้นำท่านหนึ่ง ช่วยยืดชีวิตให้เขาไปอีกยี่สิบปี…”

“ยืดชีวิตออกไปยี่สิบปี?” เย่เทียนเฉินอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามออกมาด้วยความประหลาดใจ

“ใช่แล้ว ความจริงตอนที่ท่านผู้นำอายุหกสิบปี ก็เริ่มป่วยจนหมดหนทางแล้ว และเป็นเพราะการปรากฏตัวของจอมแพทย์เทวะจึงสามารถมีชีวิตอยู่ต่อไปได้ จากคำเล่าลือ หลังจากที่จอมแพทย์เทวะคนนี้รักษาให้ท่านผู้นำแล้วก็หายตัวไป ก่อนที่จะจากไปเค้าได้พูดไว้ประโยคหนึ่งว่า ยี่สิบปีหลังจากนี้จะไม่กลับมาอีก!”

ชางหลางทำเหมือนกับว่าเห็นเหตุการณ์เมื่อปีนั้นด้วยตัวเอง ท่าทางตื่นเต้นมากทีเดียว

เย่เทียนเฉินเองก็ขมวดคิ้ว ยืดอายุไปอีกยี่สิบปี ตามที่ทุกคนรู้ ต่อให้คนคนหนึ่งจะแข็งแกร่งมากเพียงใดก็ไม่สามารถมีชีวิตเป็นอมตะได้ โดยเฉพาะผู้ป่วยที่อาการสาหัส ต้องอยู่ต่อไปอีกยี่สิบปี พูดเหมือนง่าย แต่มีเพียงผู้มีพลังพิเศษที่แข็งแกร่งและยอดฝีมือแห่งพรรควรยุทธโบราณเท่านั้นที่จะสามารถมีชีวิตอยู่ได้เกินหนึ่งร้อยปีเนื่องจากความพิเศษของพลังที่อยู่ภายในของพวกเขา แต่ไม่อาจมีชีวิตเป็นอมตะได้โดยเด็ดขาด

แน่นอนว่านี่ก็เป็นเพียงแค่ตัวอย่างหนึ่งเท่านั้น ในช่วงยุคสิ้นโลก เย่เทียนเฉินได้ยินมาว่าผู้แข็งแกร่งขั้นสูงสุดในระดับเทพราชันสามารถมีชีวิตเป็นอมตะได้ อย่างน้อยก็สามารถอยู่ได้นานถึงพันปี หากใช้คำพูดง่ายๆ ก็คือ พวกเขาเป็นตัวตนที่เกินกว่าคนธรรมดาไปแล้ว และเหนือกว่าระดับพระเจ้า โดยปกติแล้วผู้มีพลังพิเศษจะมีอยู่ห้าธาตุ แต่ผู้ที่กลายเป็นผู้มีพลังพิเศษระดับเทพราชันขั้นสูงสุดได้นั้น ได้อยู่นอกเหนือธาตุทั้งห้าไปแล้ว และไม่ได้อยู่ในดินแดนทั้งสาม เรื่องนี้หากฟังไปแล้วจะรู้สึกเพ้อฝันเลื่อนลอย แต่ยังคงมีคนเชื่อ เพราะว่าต่อให้เป็นโลกปัจจุบันนี้ ก็มีเรื่องราวมากมายที่ไม่สามารถอธิบายได้ด้วยวิทยาศาสตร์ ตกลงแล้วมีวิธีการยืดอายุหรือไม่นั้นก็ยังไม่มีใครทราบ

“เขาสามารถช่วยยืดชีวิตให้คนได้จริงๆ เหรอครับ ดูท่าทางเขาจะเก่งมากจริงๆ คงไม่ใช่ทักษะการแพทย์ที่แข็งแกร่งเพียงอย่างเดียว แต่เป็นไปได้มากว่าจะใช้ร่วมกับเคล็ดวิชาพลังพิเศษ ไม่งั้นหากต้องการช่วยยืดอายุคนคนหนึ่งไปอีกยี่สิบปี หากสามารถทำได้ถึงจุดนี้แล้วล่ะก็ คนที่ยืดเวลาชีวิตได้คนนั้นก็เป็นตัวตนที่แปลกประหลาดเกินไปแล้ว!” เย่เทียนเฉินอดไม่ได้ที่จะพึมพำกับตัวเองด้วยความประหลาดใจ

เมื่อได้ยินคำพูดของเย่เทียนเฉิน ชางหลางก็เกือบจะถูกทำให้โกรธจนคลั่ง คนคนนี้โทรมาหาเขาตอนตีสองก็เพราะต้องการที่จะดูข้อมูลของผู้มีพลังพิเศษทั้งหมดที่อยู่ในการดูแลของประเทศจีน แต่ข้อมูลเหล่านี้ได้กลายเป็นความลับสุดยอดระดับประเทศไปตั้งนานแล้ว ต่อให้เป็นเขาชางหลางก็ไม่สามารถนำมาได้ง่ายๆ นอกจากจะเป็นคนใหญ่คนโตเช่นหยางอี้อนุมัติด้วยตัวเอง และยังต้องรายงานไปยังกรมความปลอดภัยสาธารณะแห่งประเทศอีกด้วย ต้องผ่านการเห็นชอบหลายขั้นตอนถึงจะสามารถดูได้

แต่คำพูดของเย่เทียนเฉิน พูดเหมือนกับว่านี่เป็นที่สามารถทำได้ง่ายๆ อย่างไรอย่างนั้น ทำให้ชางหลางโกรธจนอับจนคำพูดเป็นอย่างมาก ยิ่งไปกว่านั้นเจ้าหมอนี่ยังกล้าข่มขู่ตัวเอง พูดถึงเรื่องของหยางอี้ ทำให้เขาโกรธจนทนไม่ไหว

“ภารกิจของนายก็คือดูแลตงฟางเมิ่ง ไม่เกี่ยวกับว่าจะดูหรือไม่ดูข้อมูลของผู้มีพลังพิเศษเหล่านี้เลย ใช้ประโยชน์จากรัฐเพื่อประโยชน์ของตัวเอง ฉันไม่ทำ!” ชางหลางตะโกนออกมาอย่างทนไม่ไหวจริงๆ

“อย่าโกรธไปสิครับ อย่าโกรธเลย พี่ชางหลาง ผมก็แค่อยากรู้อยากเห็น อยากจะทำความเข้าใจสักหน่อย ยิ่งกว่านั้นผมคิดว่าตงฟางเมิ่งอาจจะเป็นผู้มีพลังพิเศษ แล้วดูเหมือนว่าจะมีอาจารย์ด้วย ผมก็ไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น ดังนั้นจึงอยากจะหาข้อมูลดูสักหน่อย นี่ไม่ใช่ว่าเพื่อจะทำภารกิจที่ท่านหยางอี้มอบหมายให้หรอกเหรอ? ไม่ได้ใช้ประโยชน์ของรัฐเพื่อประโยชน์ของตัวเองอะไรนั่นเลยสักนิดเดียว ผมเย่เทียนเฉินไม่ใช่คนแบบนั้นโดยเด็ดขาด!” เย่เทียนเฉินพูดแล้วหัวเราะฮี่ๆ

“นาย…”

คำพูดของชางหลางยังไม่ทันพูดออกมาจากปาก ก็ถูกเย่เทียนเฉินขัด เย่เทียนเฉินยังคงพูดโน้มน้าวต่อไป

“พูดอีกอย่างก็คือ คุณลองคิดดูสิ ผู้มีพลังพิเศษ ยอดฝีมือพรรควรยุทธโบราณ คนเหล่านี้หากว่าสามารถใช้ประโยชน์ให้ดีๆ ล่ะก็ อาจจะกลายเป็นกำลังสำคัญที่ยิ่งใหญ่ของประเทศก็เป็นได้ หากว่าใช้การได้ไม่ดี ก็จะกลายเป็นวิกฤต พวกเขาเหล่านี้ได้เกินขอบเขตของบุคคลธรรมดาไปนานแล้ว หากว่าทำเรื่องเลวร้ายอะไรขึ้นมา เกรงว่ารัฐก็ยากที่จะขวางทางพวกเขา เพราะว่าทางรัฐไม่สามารถเคลื่อนย้ายทั้งกองทัพเพื่อกำจัดคนคนเดียวได้หรอกใช่ไหม? ผมต้องการข้อมูลทางด้านนี้ก็เพื่อทำให้ประเทศชาติสงบสุข และเพื่อทำคุณประโยชน์ให้กับประเทศไม่ใช่หรอครับ? แต่ว่า หากต้องการควบคุมข้อมูลมากเกินไป คุณไม่ให้ผมดูข้อมูลเมื่อก่อน ผมก็วิเคราะห์ไม่ได้นะครับ!”

“นาย…ไอ้หนู…”

“ถ้าหากว่าพรุ่งนี้ผมไม่ได้ดูข้อมูลแล้วก็ ผมก็จะไม่ไปมหาวิทยาลัย ยังไงซะผมก็จะทำภารกิจไม่สำเร็จ ไปก็เสียเที่ยวเปล่าๆ!”

ใช้ทั้งไม้แข็งและไม้อ่อน เย่เทียนเฉินไม่ให้โอกาสชางหลางได้พูดเลยแม้แต่น้อย ใช้ทั้งกำลังและผลประโยชน์ ทำทุกวิถีทาง ทำให้ชางหลางจนใจเป็นอย่างมาก ชะงักเงียบไปครึ่งวันถึงจะกัดฟันพูดออกมา “ได้ ไอ้หนูนายรอก่อน ฉันจะรายงานขึ้นไปหาท่านหยางอี้สักหน่อย!”

“ฮี่ๆ งั้นก็ขอบคุณพี่ชางหลางมากนะครับ ฝันดี บายบาย!”

“ฝันดีบ้านแกสิ นี่มันจะตีสามแล้ว!”

เย่เทียนเฉินตัดสายไป ไม่ว่าชางหลางที่อยู่อีกด้านหนึ่งของสายจะบ้าขนาดไหน จะโกรธจนพูดจาหยาบคายแค่ไหน เขาก็ยังดีใจเป็นอย่างมาก ด้วยความเข้าใจของเขาที่มีต่อชางหลาง พรุ่งนี้ตอนเที่ยง เขาก็คงได้ดูข้อมูลลับสุดยอดของผู้มีพลังพิเศษที่ประเทศจีนควบคุมอยู่ในมือทั้งหมด นี่ไม่ใช่สิ่งที่ไม่ว่าใครก็สามารถดูได้

ที่เย่เทียนเฉินต้องการดูข้อมูลของผู้มีพลังพิเศษเหล่านี้ ก็เพื่อหาผู้มีพลังพิเศษสายรักษาคนหนึ่ง อาการป่วยของแม่ของเสี้ยวหยา เย่เทียนเฉินยังคงเก็บไว้ในใจ หลังจากที่ใคร่ครวญแล้ว ในโลกแห่งนี้ก็ทำได้เพียงวิธีเดียว ถึงจะสามารถรักษาอาการป่วยของแม่ของเสี้ยวหยาได้ นั่นก็คือตามหาผู้มีพลังพิเศษในสายรักษา แต่ต้องเป็นคนที่มีเคล็ดวิชารักษาที่ค่อนข้างสูงส่ง ถึงจะมีวิธีที่จะรักษาอาการป่วยของแม่ของเสี้ยวหยาได้ ต่อให้ยาหรือเทคโนโลยีทั้งในและต่างประเทศดีขนาดไหน ด้วยระดับในปัจจุบันนี้ก็ไม่สามารถรักษาเธอได้

เพียงแต่ว่า เย่เทียนเฉินนั้นเข้าใจเป็นอย่างมาก ในช่วงยุคสิ้นโลก ผู้มีพลังพิเศษในสายรักษาที่แข็งแกร่งเช่นนี้ ต่างก็เป็นสิ่งล้ำค่าและหายาก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงในโลกแห่งนี้เลย จะหาผู้มีพลังพิเศษแบบนี้ได้หรือไม่ก็เป็นเรื่องหนึ่ง ตอนนี้ขอบเขตพลังพิเศษของเย่เทียนเฉินได้ไปถึงระดับจอมราชันแล้ว หากต้องการจะทะลวงไปถึงระดับจักรพรรดิก็ไม่ใช่เรื่องง่ายดายเช่นนั้น พลังพิเศษแห่งการรับรู้มีข้อจำกัด ต้องการค้นหาด้วยตัวของเขาเอง เกรงว่าจะเสียเวลาไปหนึ่งปีก็ยังหาไม่เจอ

แต่ตามการวิเคราะห์ของผู้อำนวยการหลิน แม่ของเสี้ยวหยาจะสามารถยืนหยัดได้มากที่สุดแค่ไม่กี่เดือน ดังนั้นการตามหาผู้มีพลังพิเศษในสายรักษาจึงเป็นเรื่องเร่งด่วน

เสี้ยวหยา เป็นผู้หญิงคนแรกที่เขาต้องการจะปกป้องตั้งแต่ที่ได้มาเกิดใหม่ในโลกแห่งนี้ ไม่ว่าจะเป็นเพราะเสี้ยวหยามีเงาของผู้หญิงที่เขารักที่สุดในช่วงยุคสิ้นโลก หรือจะเป็นเพราะเสี้ยวหยาทำให้เขารู้สึกถึงความน่ารักบริสุทธิ์จนอดไม่ได้ที่จะดูถนอมปกป้องก็ตาม สรุปแล้ว เย่เทียนเฉินจะพยายามอย่างสุดความสามารถเพื่อปกป้องเสี้ยวหยา ไม่ให้เธอได้รับบาดเจ็บ และไม่ให้เธอต้องปวดใจ

หลังจากที่วางโทรศัพท์ไปแล้ว เย่เทียนเฉินก็นอนลงบนเตียง แล้วค่อยๆ หลับไป ในคืนนี้ เขาฝันหลายอย่างมาก ส่วนใหญ่จะฝันถึงเรื่องราวในช่วงยุคสิ้นโลกของตนเอง ฝันถึงผู้หญิงที่ร่วมต่อสู้และรักและซื่อสัตย์ต่อกันในช่วงหยุดสิ้นโลก แต่น่าเสียดายที่เธอตายไปแล้ว ถูกทับตายอยู่ภายใต้ซากปรักหักพัง เย่เทียนเฉินไล่ฆ่ามานับหมื่นลี้ คำรามลั่นฟ้า เขาที่ไม่ได้มีน้ำตาไหลแม้แต่หยดเดียวมาตลอดหลายปี ได้ร้องไห้ในวันนั้นเอง…

คนที่กล่าวว่าลูกผู้ชายร้องไห้ไม่ได้ก็แค่ไม่เคยเจอกับความเสียใจเท่านั้น ผู้ชายทุกคนต่างก็มีสิทธิ์ที่จะเหนื่อยล้า พวกเขาไม่ใช่เหล็กที่ถูกตีจนเป็นเหล็กกล้า

เช้าวันต่อมา เย่เทียนเฉินถูกเสียงโทรศัพท์มือถือปลุกให้ตื่น เมื่อหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาดู เป็นชางหลางที่โทรเข้ามา เย่เทียนเฉินลุกขึ้นจากเตียงในทันที มุมปากประดับไปด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ ดูแล้วเขาคงจะเดาไม่ผิด ให้ชางหลางทำเรื่องนี้ จะต้องสามารถนำข้อมูลลับสุดยอดของผู้มีพลังพิเศษมาได้อย่างแน่นอน

“ฮัลโหล พี่ชางหลาง อรุณสวัสดิ์ครับ กินข้าวหรือยัง? มีเรื่องอะไรถึงโทรหาผม?” เย่เทียนเฉินพูดด้วยน้ำเสียงที่เจือไปด้วยเสียงหัวเราะ

“ไอ้หนูเล่นลิ้นกับฉันให้มันน้อยๆ หน่อย ฉันอยู่หน้าประตูบ้านนายแล้ว ลงมาซะ!”  ชางหลางพูดอย่างไม่สบอารมณ์

“ครับๆ จะลงไปเดี๋ยวนี้ จะลงไปเดี๋ยวนี้!”

เย่เทียนเฉินวางโทรศัพท์ด้วยรอยยิ้ม พริบตาเดียวก็ลุกขึ้นจากเตียง ใส่เสื้อผ้า และไม่ทันได้อาบน้ำก็เปิดประตูห้องนอนออกไป หลัวเยี่ยนกำลังทำอาหารเช้าอยู่ ส่วนเย่เชี่ยนเหวิน ด้วยความที่ว่าใกล้จะสอบเข้ามหาวิทยาลัยแล้วจึงไปโรงเรียนตั้งแต่เช้า เป้าหมายของเด็กคนนี้ก็คือจะต้องสอบเข้ามหาวิทยาลัยหลงเถิงให้ได้ ต้องการที่จะเรียนที่เดียวกับพี่ชาย จึงตั้งใจเรียนเป็นอย่างมาก

“เทียนเฉิน เช้าขนาดนี้จะไปไหน? กินข้าวก่อนค่อยว่ากันเถอะ!” หลัวเยี่ยนเห็นว่าลูกชายเปิดประตูคฤหาสน์เดินออกไปข้างนอก จึงเอ่ยปากถาม

“ผมออกไปแป๊บเดียว เดี๋ยวก็กลับมา มีธุระด่วนครับ!”

เมื่อเดินออกไปนอกคฤหาสน์ เย่เทียนเฉินก็เห็นชางหลางขับรถจี๊ปทหารคันหนึ่งมาจอดไว้บนถนนหน้าคฤหาสน์ของตนเอง มองมาด้วยสายตาไม่พอใจ เย่เทียนเฉินกลับเดินเข้าไปพลางหัวเราะฮี่ๆ เขารู้ว่าชางหลางจะต้องนำข้อมูลลับสุดยอดของผู้มีพลังพิเศษมาด้วยอย่างแน่นอน มิเช่นนั้นเขาคงจะไม่ขับรถมาหาตนเองตั้งแต่เช้าขนาดนี้แน่ๆ

“พี่ชางหลาง อรุณสวัสดิ์ กินข้าวเช้าหรือยังครับ? ให้น้องชายเลี้ยงดีไหม?” เย่เทียนเฉินเอ่ยถามพลางมองชางหลางด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม

ชางหลางมองเย่เทียนเฉินอย่างเหยียดหยาม คอยแต่หาเรื่องมาให้ตนทั้งวัน กวนทั้งเช้าเย็นจนเขาต้องรายงานหยางอี้ในตอนดึก บอกว่าเย่เทียนเฉินต้องการดูข้อมูลลับสุดยอดของผู้มีพลังพิเศษ หลังจากที่ผ่านการเจรจาต่อรองมาแล้ว หยางอี้ก็เห็นด้วย และโทรไปที่กรมความปลอดภัยสาธารณะ ชางหลางถึงได้ไปนำแฟ้มข้อมูลมาตั้งแต่เช้า คิดว่าเย่เทียนเฉินคนนี้ช่างใหญ่โตจริงๆ ทำเรื่องเหล่านี้ออกมาได้ แล้วยังเรียกตัวเองมาอีก ทำให้เขาคิดอยากจะอัดเจ้าหมอนี่สักสองทีจริงๆ

“ขึ้นรถมาสิ อย่ายืดเยื้อเวลาอีก เดี๋ยวฉันมีภารกิจจะต้องรีบกลับไป!” ชางหลางกรอกตาใส่เย่เทียนเฉินแล้วพูดขึ้น

“ก็ต้องเป็นแบบนั้นแหละ เวลาของผมแพงมาก ไม่ได้ว่างไปกว่าคุณหรอก!” เย่เทียนเฉินพูดพลางเดินขึ้นไปนั่งตรงที่นั่งข้างคนขับ ชางหลางมองเย่เทียนเฉินอย่างเหยียดหยามครั้งหนึ่ง สตาร์ทรถแล้วเหยียบคันเร่งออกไป

บนรถ ชางหลางส่งซองหนังซองหนึ่งให้เย่เทียนเฉิน เย่เทียนเฉินเปิดออกดูพบว่าด้านในเป็นข้อมูลของผู้มีพลังพิเศษที่ประเทศจีนควบคุมเอาไว้ในมือในหลายปีมานี้ เมื่อดูแล้วก็อดไม่ได้ที่จะตกตะลึง มีมากถึงร้อยกว่าคน เกรงว่ายังมีอีกมากที่ไม่ได้อยู่ในการดูแลของรัฐ ในโลกแห่งนี้มีคนที่แข็งแกร่งอยู่มากมายจริงๆ เพียงแต่มีน้อยคนที่จะรู้จักพวกเขาก็เท่านั้น

“ใส่ซองมาแบบนี้ไม่ปลอดภัยเลยนะครับ ทำไมถึงไม่เก็บใส่คอม ข้อมูลลับแบบนี้มีมาตรการการป้องกันให้มากสักหน่อยน่าจะดี ดูแล้วคนของกรมความปลอดภัยสาธารณะจะไม่เป็นงานเลย ควรจะสั่งสอนซะหน่อย!” เย่เทียนเฉินรับซองหนังมา พูดด้วยท่าทางเป็นการเป็นงาน

“ไอ้หนูอย่างนายไม่รู้เรื่องก็ไม่ต้องพูด ตอนนี้มีแฮกเกอร์อยู่ทั่วทั้งโลก โดยเฉพาะแฮกเกอร์ของประเทศ M ที่เก่งมาก มาตรการป้องกันอะไรก็ไม่มีประโยชน์ ต่างก็ถูกเจาะทำลายไปทั้งหมด ดังนั้นพวกเราจึงใช้วิธีดังเดิมแบบนี้ป้องกันข้อมูลสำคัญต่างๆ ยิ่งสำคัญก็ยิ่งมีทหารคุ้มครองอยู่ถึงจะสามารถทำให้ไม่มีข้อผิดพลาดได้!” ทหารพูดขึ้นแล้วมองไปยังเย่เทียนเฉินด้วยท่าทางจนใจ

“อ๋อ ที่แท้ก็เป็นแบบนี้…”

เย่เทียนเฉินพูดแล้วเปิดซองหนังออก เมื่อเห็นหนังกระดาษนี้ก็รู้ว่าข้อมูลข้างในจะต้องสะสมมาหลายปีแล้ว ข้อมูลเหล่านี้ดูเหมือนจะเก็บสะสมมานานไม่ต่ำกว่าห้าสิบปี ดูแล้วประเทศจีนจะเริ่มมีการควบคุมข้อมูลเหล่านี้มานานแล้ว

“นายดูให้มันเร็วๆ หน่อย ดูเสร็จแล้วฉันจะรีบนำกลับไป มีเวลาแค่ครึ่งชั่วโมงเท่านั้น!” ชางหลางพูดพลางมองเย่เทียนเฉิน

“ไม่จริงน่ะ ครึ่งชั่วโมง? ในนี้มีข้อมูลอยู่ร้อยกว่าคนเลยนะ ผมจะดูเสร็จเร็วขนาดนั้นได้ยังไง?” เย่เทียนเฉินอดไม่ได้ที่จะพูดออกมาเสียงดัง

“ไอ้หนูนายรู้ไหมว่า นี่เป็นข้อมูลที่พวกเราเก็บรวบรวมมาอย่างยากลำบาก นายจะดูหรือไม่ดู ถ้าไม่ดูฉันก็จะเก็บกลับไป นายก็ลงรถไปเถอะ!” ชางหลางพูดอย่างไม่สบอารมณ์

“ผมดู ผมดู…ขับช้าหน่อย!”

เย่เทียนเฉินนั่งอยู่บนรถจี๊บทหารของชางหลาง เปิดซองหนังที่ฝุ่นเกาะมาหลายปี ด้านในเป็นข้อมูลของผู้มีพลังพิเศษที่ประเทศจีนรวบรวมมาในช่วงห้าสิบมาปีนี้ เป็นความลับและมีค่าเป็นอย่างมาก หากไม่ใช่คำสั่งของหยางอี้ เกรงว่าเย่เทียนเฉินก็ไม่มีทางดูได้

เปิดซองหนังออก เย่เทียนเฉินพบว่ามีหลายคนที่มีเพียงแค่ชื่อและการแนะนำอย่างคร่าวๆ ไม่มีแม้กระทั่งรูปภาพ เขารีบหาข้อมูลที่เกี่ยวกับการแนะนำพลังพิเศษ ต้องการจะหาแฟ้มที่มีคำว่า “ผู้มีพลังพิเศษสายรักษา” แบบนั้นแม่ของเสี้ยวหยาก็จะนับว่าช่วยได้แล้ว เพียงแต่น่าเสียดายที่พลิกไปหลายสิบหน้าก็ยังหาไม่เจอ นี่ทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะกระวนกระวายใจขึ้นมา

“พี่หู่ครับ ความหมายของพี่คือ?” ชายฉกรรจ์ที่เป็นลูกน้องซึ่งยืนอยู่เบื้องหน้าอาหู่เอ่ยถาม

อาหู่สูบซิการ์เฮือกหนึ่ง อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว ครั้งนี้เรื่องของการฆ่าเย่เทียนเฉิน เขารู้ว่ามีเพียงต้องสำเร็จเท่านั้น ไม่สามารถล้มเหลวได้ ถ้าหากว่าล้มเหลว เกรงว่าเซวียนเยวี๋ยนเถิงก็จะเอาชีวิตเขา เพราะแต่ไหนแต่ไรมาก็ไม่เคยมีใครที่ยังสามารถมีชีวิตอยู่ได้หลังจากที่ถูกเซวียนเยวี๋ยนเถิงเห็นเป็นศัตรู

แต่ว่า จากการหาข้อมูลของอาหู่ ในใจของเขาก็ต้องสั่นสะท้านเป็นอย่างมาก เย่เทียนเฉิน บุคคลที่ในอดีตไม่มีชื่อเสียงในเมืองหลวง หรือบางทีอาจจะบอกได้ว่ามีชื่อเสียง แต่ก็เป็นชื่อเสียงอันเหม็นเน่า เป็นชื่อที่ถูกผู้คนเยาะเย้ย ถึงกับเปลี่ยนเป็นคนที่ร้ายกาจขนาดนี้ได้ โดยเฉพาะการทำลายตระกูลเฉินและตระกูลลั่ว ฟังดูแล้วเป็นเรื่องที่น่าเหลือเชื่อเป็นอย่างมาก มากพอที่จะสั่นสะท้านทุกคน

แต่สิ่งที่ทำให้อาหู่หวาดกลัวมากที่สุดก็คือฝีมือของเย่เทียนเฉิน ทุกสิ่งทุกอย่างแสดงให้เห็นได้อย่างชัดเจนว่า ฝีมือของเย่เทียนเฉินแข็งแกร่งจนถึงระดับที่ทำให้ผู้คนหวาดผวา อาศัยแค่คนไม่กี่คนหรือไม่กี่สิบคน ไม่สามารถฆ่าเขาได้โดยเด็ดขาด ดังนั้นครั้งนี้อาหู่จึงเตรียมจะใช้คนถึงสามร้อยคน

สามร้อยคน แค่เพียงทุกคนถมน้ำลายคนละครั้งก็สามารถทำให้เย่เทียนเฉินจมน้ำลายตายได้แล้ว ให้ทุกคนต่อยออกไปคนละหมัดก็สามารถต่อยเย่เทียนเฉินจนตายได้แล้ว แน่นอนว่านี่เป็นเพียงความคิดของอาหู่ก็เท่านั้น อย่างไรก็ตามเพื่อที่จะฆ่าเย่เทียนเฉินให้ได้โดยไม่มีข้อผิดพลาด เขาจึงได้แต่ทำเช่นนี้

หลังจากที่เกิดเรื่องของตระกูลฉินและตระกูลลั่ว เมืองหลวงก็ยังคงสงบไร้คลื่นลม คิดว่าคงจะมีข้าราชการระดับสูงบางคนและยังมีสื่อใหญ่ๆ บางสื่อ หลังจากที่หารือกันเรียบร้อยแล้วก็ปิดปากเงียบไม่พูดถึงสองเรื่องนี้อีก เป็นเหตุให้ประชาชนคนธรรมดาจำนวนมากไม่รู้ว่าในเมืองหลวงมีเรื่องใหญ่สะท้านฟ้าแบบนี้เกิดขึ้น

ขอเพียงเป็นคนที่พอมีสมองอยู่บ้าง ก็ไม่ยากเลยที่จะคิดได้ว่าเย่เทียนเฉินจะต้องมีคนระดับสูงในประเทศหนุนหลังอยู่อย่างแน่นอน หากว่าไม่มีคนระดับสูงของประเทศกดเรื่องนี้เอาไว้ เกรงว่าคงจะสั่นสะเทือนไปทั่วทั้งประเทศแล้ว

“เรียกรวมตัวพี่น้องมือดีทั้งสามร้อยคนที่เป็นลูกน้องของพวกเรามารวมตัวกันทั้งหมด ให้ทุกคนลับมีดตัดฟืนให้คมสักหน่อย อย่าได้ใช้ปืน คืนพรุ่งนี้จะใช้มีดฟันเย่เทียนเฉินให้เละ!” อาหู่คิดครู่หนึ่งแล้วจึงพูดขึ้น

“พี่หู่ ไม่สู้ให้พี่น้องของพวกเราใช้ปืนดีกว่าหรือครับ แบบนี้ก็จะรับประกันได้บ้างนะครับ!”

“ไม่ ใช้ปืนกับใช้มีดในประเทศจีนแตกต่างกันอย่างมาก และอีกอย่างหนึ่งที่นี่มันเป็นเมืองหลวง หากว่าใช้ปืน เกรงว่าถึงตอนนั้นเซวียนเยวี๋ยนเถิงก็คงจะหนีความรับผิดชอบไม่พ้น หากว่าเป็นเรื่องใหญ่ขึ้นมา เขาจะต้องให้พวกเราจะเป็นแพะรับบาปอย่างแน่นอน!” อาหู่ขมวดคิ้วแล้วพูดขึ้น

จะพูดไปแล้วความสัมพันธ์ของอาหู่และเซวียนเยวี๋ยนเถิง เดิมทีก็เป็นการใช้ผลประโยชน์ซึ่งกันและกันอยู่แล้ว อาหู่พึ่งพาอำนาจของตระกูลเซวียนเยวี๋ยนที่เป็นต้นไม้ใหญ่ ทำให้มีเพียงไม่กี่คนที่กล้ามาหาเรื่อง ส่วนสิ่งที่เซวียนเยวี๋ยนเถิงใช้ประโยชน์ก็คือความโหดเหี้ยมของอาหู่ ช่วยเขาทำเรื่องต่างๆ ช่วยเขาจัดการเรื่องบนถนนต่างๆ อย่างไรเสียตระกูลใหญ่แบบนี้ เบื้องหน้าก็ทำตัวได้ดี ความเมตตากรุณาอะไรต่างๆ ช่วยเหลือบริจาคให้พื้นที่ประสบภัย ดูแล้วก็เหมือนกับมีความรู้สึกที่กระทำเพื่อประเทศชาติเพื่อประชาชน ความจริงแล้วลับหลังไม่ไม่รู้ว่าทำเรื่องเลวร้ายไปมากน้อยเพียงใดแต่ไม่ให้คนอื่นรู้

ดังนั้นความสัมพันธ์ที่ใช้ประโยชน์ซึ่งกันและกันแบบนี้ พอฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งรู้สึกว่าคุณไม่มีค่าที่จะให้ใช้ประโยชน์ หรือเกิดเรื่องราวใหญ่โตอะไรขึ้นมา จะต้องคิดกำจัดคุณอย่างแน่นอน อาหู่ไม่ใช่คนโง่ หลายปีมานี้ขาช่วยเซวียนเยวี๋ยนเถิงกระทำเรื่องราวต่างๆ ก็กุมหลักฐานความผิดของเซวียนเยวี๋ยนเถิงไว้ไม่น้อย หากว่ามีสักวันหนึ่งที่เกิดพลิกผันขึ้นมา เซวียนเยวี๋ยนเถิงเกิดอยากจะหันหน้าหนีไม่สนใจคนขึ้นมา อาหู่ก็จะไม่เกรงใจ

“ทราบแล้วครับพี่หู่ ผมจะไปทำตามนี้!” ชายฉกรรจ์ที่เป็นลูกน้องเปิดปากพูด

“อืม ส่งคนไปยืนยันตัวเย่เทียนเฉินด้วย รอให้พี่น้องมารวมตัวกันทั้งหมดก่อน เตรียมรับคำสั่งได้ตลอดเวลา ขอเพียงมีโอกาสก็จัดการเย่เทียนเฉินได้เลย!” อาหู่พูดอย่างโหดเหี้ยม

“ครับ!”

เมื่อเห็นว่าลูกน้องของตนเดินออกไปจากห้องแล้ว อาหู่ก็นั่งพิงโซฟาสูบบุหรี่ ฆ่าเย่เทียนเฉิน นี่เป็นเรื่องที่ทำได้ยากที่สุดตั้งแต่ที่เขามีชีวิตอยู่มาจนถึงทุกวันนี้ หากว่าเขาไม่ฆ่าเย่เทียนเฉิน เซวียนเยวี๋ยนเถิงก็จะไม่ปล่อยเขาไป แต่ว่าต้องการฆ่าเย่เทียนเฉินก็ไม่ได้ง่ายดายขนาดนั้น หากล้มเหลวเขาก็อาจจะตายได้

เมื่อลองคิดดูแล้ว อาหู่ก็โบกมือ ผู้หญิงเซ็กซี่ยั่วยวนที่ใส่ชุดแนบเนื้อสีดำทั้งสามคนที่ยืนอยู่ข้างหลัง ก็รีบเดินเข้ามาข้างๆอาหู่ สองคนนวดให้อาหู่อยู่ซ้ายขวา คนที่สามอ้าขาทั้งสองข้างนั่งอยู่บนตักของอาหู่ ถูไถไม่หยุดทำให้อาหู่รู้สึกดี

ในตอนนี้เย่เทียนเฉินไม่ได้รับรู้ถึงวิกฤตถึงขั้นเป็นตายที่จะมาถึงในวันพรุ่งนี้เลย เขากำลังนั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียง เริ่มฝึกฝนพลังพิเศษของตนเอง เขาไม่ได้ฝึกฝนมาหลายวันแล้ว จำเป็นจะต้องฝึกฝนเอาไว้ การบ่มเพาะกายเนื้อเป็นสิ่งที่เย่เทียนเฉินต้องการดำเนินการและเพิ่มความแข็งแกร่งมากที่สุด เพราะว่าขอบเขตของพลังพิเศษในปัจจุบันนี้ของเขาได้หยุดอยู่ที่ระดับจอมราชัน และยังไม่มีทางทะลวงไปได้ ต่อให้สามารถทะลวงไปได้ เขาก็ยังไม่กล้าทะลวง เพราะเขารู้ว่าขอบเขตจอมราชันและขอบเขตจักรพรรดิแตกต่างกันราวฟ้ากับเหว ไม่สามารถนำมาเทียบเคียงกันได้

พลังพิเศษ หากพูดถึงขอบเขตเพียงอย่างเดียว ทุกครั้งที่เพิ่มระดับไปหนึ่งขอบเขต ความสามารถที่เพิ่มขึ้นก็จะแตกต่างกันมาก เปรียบดังความแตกต่างระหว่างเด็กและผู้ใหญ่ โดยเฉพาะการทะลวงขอบเขตของพลังพิเศษ ซึ่งมีระดับราชัน ระดับจอมราชัน ระดับจักรพรรดิ ระดับพระเจ้า และระดับเทพราชัน เป็นขอบเขตใหญ่ๆ ที่สูงที่สุดทั้งห้าขอบเขต ต่อให้เป็นเพียงความแตกต่างระหว่างหนึ่งขอบเขตเล็กๆ ก็ไม่สามารถเทียบเคียงกันได้ ตัวอย่างเช่น ทุกหนึ่งขอบเขตใหญ่ๆ จะแบ่งเป็นสามขอบเขตเล็กๆ ขอบเขตจอมราชันระดับกลางก็จะสามารถฆ่าขอบเขตจอมราชันระดับต้นได้ในพริบตา

ในช่วงยุคสิ้นโลก ผู้แข็งแกร่งที่มีพลังพิเศษในระดับพระเจ้าเหมือนกับเย่เทียนเฉินสมัยก่อน สามารถพูดได้ว่ามีความสามารถแข็งแกร่งเกินพิกัด หมัดเดียวก็สามารถระเบิดภูเขาได้ ฝ่ามือเดียวก็สามารถแยกทะเลได้ แต่เมื่อเผชิญหน้ากับผู้แข่งแกร่งในระดับเทพราชัน ก็สามารถถูกฆ่าได้ด้วยนิ้วเดียว นี่เป็นคำพูดที่ไม่ได้กล่าวเกินจริงเลยแม้แต่น้อย ไม่ได้อยู่ในขอบเขตเดียวกันโดยสิ้นเชิง

เย่เทียนเฉินนั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียง ค่อยๆ กระตุ้นพลังพิเศษขอบเขตจอมราชันในร่างกายของตนเอง ทำการชักนำไปสู่ชีพจรและกระดูกทุกตารางนิ้วของร่างกายรอบแล้วรอบเล่า เพื่อทำให้มันมากยิ่งขึ้น นี่เป็นหนทางเดียวที่จะทำได้ในตอนนี้ แต่ไหนแต่ไรมา เย่เทียนเฉินก็อยากจะฝึกเคล็ดวิชาพลังภายในของพรรควรยุทธโบราณมาโดยตลอด ทำเช่นนั้นก็จะสามารถทำให้กล้ามเนื้อแข็งแกร่งอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ หากว่าสามารถเรียนรู้พลังภายในและพลังพิเศษจนทะลุปรุโปร่งได้จริงๆ ก็จะทำให้เขาแข็งแกร่งยิ่งกว่าในช่วงยุคสิ้นโลก

เดิมที หลังจากที่ได้มาเกิดใหม่ในโลกแห่งนี้ เย่เทียนเฉินก็คิดว่าผู้มีพลังพิเศษและยอดฝีมือแห่งพรรควรยุทธโบราณในโลกนี้ ต่อให้แข็งแกร่งเพียงใดก็มีข้อจำกัด แต่เมื่อเดินบนเส้นทางนี้ ได้พบกับยอดฝีมือมากมาย โดยเฉพาะเมื่อได้พบกับเฮยเมี่ยนที่เป็นยอดฝีมือระดับทัพฟ้า เย่เทียนเฉินก็ค้นพบอย่างลึกซึ้งว่า ในโลกแห่งนี้ยังคงยอดฝีมือที่แข็งแกร่งอยู่มากมาย บนโลกนี้มีดำก็ต้องมีขาว ในเส้นทางเบื้องหน้ามียอดฝีมือเช่นนี้อยู่ ในเส้นทางเบื้องหลังก็ย่อมต้องมีด้วยเช่นกัน ดังนั้นเย่เทียนเฉินถึงต้องการทำให้ตนเองแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น

หากพูดถึงปัจจุบันนี้ ยอดฝีมือที่แข็งแกร่งที่สุดที่เย่เทียนเฉินได้พบก็คือเฮยเมี่ยน คนคนนี้เป็นยอดฝีมือในระดับทัพฟ้า ฝีมือแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก ต่อให้ไม่เคยได้ประมือกับเฮยเมี่ยน แต่เย่เทียนเฉินก็รู้สึกได้ถึงบรรยากาศที่แผ่ออกมาจากร่างของเขา หากว่าต่อสู้กันอย่างสุดกำลังจริงๆ ก็ไม่แน่ว่าตนเองจะเป็นคู่มือของเฮยเมี่ยนได้ อย่างมากก็สู้เสมอกันเท่านั้น

ตอนนี้ปัญหาที่ทำให้เย่เทียนเฉินรู้สึกยุ่งยากที่สุด นอกจากการบ่มเพาะกายเนื้อให้แข็งแกร่งแล้ว ก็คือการฝึกฝนพลังภายใน นอกจากนี้เขายังพบว่า ในตอนที่สู้กับศัตรูที่แข็งแกร่งก่อนหน้านี้นั้น พลังพิเศษในร่างกายของเขาจะเดือดพล่าน มีสัญญาณที่จะทะลวงขอบเขต แต่การต่อสู้หลายครั้งก่อนหน้านี้ เช่นการต่อสู้กับกูตู๋อ๋าง ความสามารถของกูตูอ๋างไม่นับว่าอ่อนแอ เย่เทียนเฉินลงมืออย่างเต็มที่แล้วก็สามารถทำให้เขาบาดเจ็บได้เท่านั้น สามารถพูดได้ว่าชนะกันเพียงครึ่งกระบวนท่า

การต่อสู้กับกูตู๋อ๋าง เย่เทียนเฉินพบว่าพลังพิเศษภายในร่างกายของตนเอง มีความผันผวนตามธรรมดาเท่านั้น ไม่ได้มีสัญญาณที่จะทะลวงไปได้ เขาคงจะใกล้ถึงจุดที่ยากที่สุดแล้ว หลังจากนี้หากคิดที่จะทะลวงขอบเขต แต่ละย่างก้าวก็คงจะยากลำบากเป็นอย่างมาก

เพราะเคยเป็นผู้แข็งแกร่งที่มีพลังพิเศษในขอบเขตพระเจ้าในยุคสิ้นโลก เย่เทียนเฉินย่อมรู้ดีว่า มีคนจำนวนมากเมื่อมีพลังพิเศษถึงขอบเขตที่แน่นอนแล้ว หากต้องการที่จะก้าวต่อไป นอกจากการเพิ่มความแข็งแกร่งของพลังพิเศษในร่างกายแล้ว สิ่งสำคัญที่สุดก็คือความเข้าใจ ความเข้าใจต่อธรรมชาติ ความเข้าใจต่อร่างกายของตัวเอง พูดไปแล้วนี่ก็เป็นสิ่งที่ลึกลับเป็นอย่างมาก ความเข้าใจของทุกคนนั้นไม่เหมือนกัน ดังนั้นความเร็วในการทะลวง และเคล็ดลับที่ใช้ย่อมไม่เหมือนกัน

“ดูท่าจะต้องหาโอกาสไปวัดเส้าหลินซักครั้งจริงๆ ไม่รู้ว่าคัมภีร์เปลี่ยนเส้นเอ็นในโลกนี้ยังอยู่หรือเปล่า หากว่ายังอยู่จะต้องเอามาให้ได้!” เย่เทียนเฉินพูดกับตัวเองในใจ

ฝึกฝนอยู่สองชั่วโมงกว่า บนหน้าผากของเย่เทียนเฉินมีเหงื่อเย็นๆ ซึมออกมา ในชั่วขณะที่เขาลืมตาขึ้น ภายในดวงตาทั้งสองของเขาก็เปล่งประกายไปด้วยแสงสีฟ้า นี่เป็นพลังพิเศษในขอบเขตจอมราชัน เป็นสีของพลังพิเศษที่อยู่ภายในร่างกาย

คิดอยู่ครู่หนึ่ง เย่เทียนเฉินก็คาดเดาว่าชางหลางคงจะยังไม่นอน จึงหยิบโทรศัพท์มือถือของตนเองขึ้นมา ต่อสายไปหาชางหลาง หลังจากที่ดังอยู่ประมาณสิบกว่าครั้งถึงจะรับสาย ดูท่าทางชางหลางคงจะนอนแล้วจริงๆ และถูกเย่เทียนเฉินปลุกขึ้นมา

“ฮัลโหล ใครครับ…” ชางหลางหาวครั้งหนึ่งแล้วพูดขึ้นในโทรศัพท์

“ผมเอง พี่ชางหลาง อย่าเพิ่งโกรธนะ ผมมีเรื่องสำคัญที่จะพูดกับคุณ…” เย่เทียนเฉินพูดใส่โทรศัพท์เสียงดัง

“ความคิดของไอ้หนูอย่างนายนี่ไม่ธรรมดาเลยจริงๆ มีเรื่องอะไรก็พูดมา!” ชางหลางพูดอย่างไม่สบอารมณ์

“เรื่องมันเป็นอย่างนี้ คุณก็รู้ว่าผมมีความสนใจในเรื่องผู้พลังพิเศษเป็นอย่างมาก ดังนั้น อยากจะให้คุณส่งข้อมูลผู้มีพลังพิเศษที่มีอยู่ในมือของคุณให้ผมดูสักหน่อย ไม่ว่าจะเป็นผู้มีพลังพิเศษในประเทศจีนของเราหรือว่าต่างประเทศ ผมต้องการดูทั้งหมด!” เย่เทียนเฉินรีบพูด

“นี่ไม่ได้หรอก นี่เป็นความลับระดับประเทศ ขนาดฉันก็ดูไม่ได้ ฉันจะให้นายได้ยังไงล่ะ!” ชางหลางพูดอย่างจนใจ

เย่เทียนเฉินก็รู้ว่า ผู้มีพลังพิเศษและยอดฝีมือพรรควรยุทธโบราณในโลกนี้แตกต่างจากคนทั่วไป กระทั่งมีคนธรรมดาจำนวนมากที่ไม่รู้ถึงการมีอยู่ของพวกเขา ดังนั้นข้อมูลเกี่ยวกับคนเหล่านี้ จะต้องเป็นความลับอย่างแน่นอน คนธรรมดาย่อมไม่สามารถดูได้ ดังนั้นเย่เทียนเฉินจึงพึ่งชางหลาง เขามีฐานะเป็นทหาร และเป็นลูกน้องของหยางอี้ หากต้องการข้อมูลเหล่านี้ จะมากจะน้อยก็คงมีวิธีมากกว่าตนเอง

“เอาอย่างนี้แล้วกันครับ ผมก็แค่โทรไปหาท่านหยางอี้ บอกว่าภารกิจที่ผมทำต้องการความร่วมมือ แต่พี่ชางหลางไม่ยอมให้ความร่วมมือ ภารกิจนี้ผมก็ไม่ทำแล้ว!” เย่เทียนเฉินจงใจแกล้งทำเป็นพูดด้วยท่าทางสิ้นหวัง

อาหู่ คนที่โหดเหี้ยมยิ่งกว่าหัวหน้าแห่งวงการใต้ดินของเมืองหลวงอย่างหลี่เถี่ย หากไม่ใช่ว่าถูกเซวียนเยวี๋ยนเถิงปราบ เกรงว่าคงจะก่อเรื่องสะเทือนฟ้าภายในเมืองหลวงไปนานแล้ว คงจะสู้กับหลี่เถี่ยให้ตายกันไปข้างหนึ่ง

เมื่อเห็นว่าเซวียนเยวี๋ยนอวี่เดินเข้ามา อาหู่ก็กล่าวทักทายด้วยใบหน้าที่ยังคงเจือไปด้วยรอยยิ้ม แต่ว่าไม่ได้ลุกขึ้นยืนเข้าไปต้อนรับด้วยความเคารพ นี่ทำให้เซวียนเยวี๋ยนอวี่ไม่พอใจอยู่บ้าง แต่ในความคิดของอาหู่ก็เป็นเรื่องปกติ เซวียนเยวี๋ยนอวี่แม้ว่าจะถูกเขาเรียกว่าเป็นคุณชายน้อย แต่ว่าเขาเป็นคนของเซวียนเยวี๋ยนเถิง ต่อให้พวกเขาจะเป็นพี่น้องกัน ต่อหน้าไอ้เด็กเมื่อวานซืนคนหนึ่ง เขาก็ไม่สามารถใช้ท่าทางเคารพนอบน้อมได้ อย่างไรเสียอาหู่ก็เป็นคนแบบนี้ ไม่ใช่คนที่มีท่าทางแบบสุนัขรับใช้ นับได้ว่าเป็นสุนัขรับใช้ขั้นสูง จะมากจะน้อยก็ยังมีความยโสอยู่

อย่างไรก็ตามในสายตาของเซวียนเยวี๋ยนอวี่ ไม่ว่าจะเป็นคนรับใช้ของตระกูลเซวียนเยวี๋ยน หรือว่าเป็นลูกน้องใต้บังคับบัญชาของเซวียนเยวี๋ยนเถิงผู้เป็นพี่ชาย ก็ล้วนต้องฟังตัวเองเหมือนกัน เขาบอกให้ไปขวาก็ไม่มีใครกล้าไปซ้าย ดังนั้นเมื่อเห็นท่าทางของอาหู่ที่ไม่สะทกสะท้าน เซวียนเยวี๋ยนอวี่ก็พลันโมโหขึ้นมา ไอ้เด็กเมื่อวานซืนอายุสิบหกปีคนหนึ่งโอหังบ้าอำนาจจนถึงขีดสุดจริงๆ

“คุณชายน้อยไม่ต้องรีบร้อนไป ผมได้ให้คนไปหาข้อมูลของไอ้ลูกหมาเย่เทียนเฉินมาแล้ว เรื่องเบื้องหลังอื่นๆ ยังไม่ต้องพูดถึง ตามความคาดเดาของผม แค่ความสามารถของเย่เทียนเฉิน ถ้าต้องการฆ่าไอ้ลูกหมานี่ในทันทีก็เป็นเรื่องที่ค่อนข้างยาก ใช้คนแค่สองสามคนไม่มีทางกำจัดมันได้ เราต้องเตรียมตัวกันสักหน่อย!” อาหู่มองเซวียนเยวี๋ยนอวี่แล้วพูดขึ้น

“ยังต้องเตรียมตัวอะไรอีก ก็แค่ส่งคนไปฆ่าไอ้หนอนแมลงนั่นก็พอแล้ว!” เซวียนเยวี๋ยนอวี่พูดอย่างไม่สบอารมณ์

“คุณชายน้อย เรื่องมันไม่ง่ายเหมือนที่คุณคิดแบบนั้น ถ้าหากว่าทำแบบนี้แล้วสามารถฆ่าเย่เทียนเฉินได้ง่ายๆ ผมก็คิดว่าคุณคงลงมือไปนานแล้ว ด้วยบอดี้การ์ดใต้บังคับบัญชาของคุณ ฝีมือก็ไม่ได้ห่วยมาก ถ้าเก็บกวาดคนธรรมดาสักคนสองคนก็ไม่มีปัญหาอะไร เพียงแต่น่าเสียดายที่เย่เทียนเฉินไม่ใช่คนธรรมดา!” อาหู่พูดอย่างอดทน

เมื่อต้องเผชิญหน้ากับเซวียนเยวี๋ยนอวี่ ในใจของอาหู่ก็ต้องอดกลั้นความโกรธเอาไว้ จะอย่างไรบิดาก็เป็นคนที่ขลุกที่อยู่ในยุทธภพมาหลายปี มีดตัดฟืนเพียงเล่มเดียวก็สามารถฆ่าเปิดทางจนมีพี่น้องผู้ซื่อสัตย์ติดตามอยู่หลายร้อยคน นับว่าเป็นคนที่มีหน้ามีตาคนหนึ่ง ขนาดเซวียนเยวี๋ยนเถิงพี่ชายของคุณก็ไม่พูดกับผมด้วยท่าทางแบบนี้ คุณก็เป็นแค่ไอ้เด็กเมื่อวานซืนอายุสิบหกปีคนหนึ่ง กล้ามาตะโกนใส่ผมแบบนี้ แล้วยังพูดด้วยน้ำเสียงออกคำสั่งอีก ถ้าไม่ใช่เพราะเห็นแก่หน้าพี่ชายของคุณ บิดาคงจะฟันไอ้ลูกเต่าอย่างคุณไปนานแล้ว

“ฉันไม่สนใจว่าเย่เทียนเฉินจะเป็นใคร ฉันรู้นะว่าพี่ชายของฉันส่งแกมา ก็จะให้แกไปฆ่าเย่เทียนเฉิน ถ้าฆ่ามันไม่ได้ภายในสองวันจะได้เห็นดีกัน!”

เซวียนเยวี๋ยนอวี่ตัวเล็กแต่อารมณ์ใหญ่โต เมื่อได้ยินคำพูดของอาหู่ ก็ลุกขึ้นยืนจากบนโซฟาในทันที ใช้ฝ่ามือตบลงไปบนโต๊ะกระจก มองอาหู่อย่างดุดัน ท่าทางเช่นนั้นราวกับว่าถ้าอาหู่ไม่ฟังคำสั่ง อาหู่ก็จะต้องตาย

“คุณชายน้อย ผมหวังว่าคุณจะใจเย็นลงบ้าง ท่าทางเหมือนคุณในตอนนี้จะช้าจะเร็วก็ต้องก่อเรื่องใหญ่เขาสักวัน!” อาหู่สีหน้ามืดครึ้มลง พูดออกมาอย่างไม่สบอารมณ์

“หึ อาหู่แกกล้าไม่ฟังคำสั่งของฉัน ท่าทางแกจะเบื่อชีวิตแล้วสินะ จับตัวมันมาให้ฉันซะ!” เซวียนเยวี๋ยนอวี่โอหังเป็นอย่างมาก ถึงกับสั่งให้บอดี้การ์ดที่อยู่ข้างหลังทั้งสองคนเข้าไปจับอาหู่มาให้ ช่างกบฏจริงๆ!

ไหนเลยจะรู้ว่า บอดี้การ์ดด้านหลังทั้งสองคน เพิ่งจะขยับ อาหู่ก็ดีดนิ้วครั้งหนึ่ง มีชายฉกรรจ์หลายคนพุ่งเข้ามาจากด้านนอกห้องส่วนตัว ทั้งหมดใช้ปืนเล็งไปที่หน้าผากของบอดี้การ์ดทั้งสองและเซวียนเยวี๋ยนอวี่ ทันใดนั้นเซวียนเยวี๋ยนอวี่พลันตกใจกลัว สั่นสะท้านไปทั้งร่าง ส่วนบอดี้การ์ดสองคนด้านหลังเขา ก็ตกใจจนไม่กล้าขยับ หากว่าอาหู่ออกคำสั่งให้ยิงปืนจริงๆ สมองของพวกเขาก็คงจะระเบิดเป็นรู

“คุณชายน้อย ในเมื่อคุณต้องการที่จะฉีกหน้าผม ถ้างั้นผมก็คงทำอะไรไม่ได้ คงได้แต่ฆ่าพวกคุณอย่างเดียว แล้วไปบอกคุณชายใหญ่ว่าพวกคุณถูกเย่เทียนเฉินฆ่า ผมเชื่อว่าคุณชายใหญ่จะต้องแก้แค้นให้พวกคุณแน่!” อาหู่ยิ้มเย็นชา สายตามีประกายความโหดเหี้ยม ไม่เหมือนกับกำลังล้อเล่น

พริบตานี้ เซวียนเยวี๋ยนอวี่จะนับเป็นอะไรได้ บนหน้าผากมีเหงื่อเย็นๆไหลซึมออกมา ในตอนแรกเขาถูกความโกรธทำให้สมองมึนงง ตอนนี้ถึงจะมีสติแจ่มชัดขึ้นมาบ้าง เขาพบว่าตนเองโกรธจนหาคู่มือผิดคนจริงๆ อาหู่เป็นใคร? ฆ่าคนได้โดยไม่กระพริบตา เป็นพวกโฉดชั่วที่ฆ่าคนจริงๆ เป็นคนที่ถ้าโกรธขึ้นมาขนาดพ่อแม่บังเกิดเกล้าก็กล้าฆ่า ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเขาเลย

เซวียนเยวี๋ยนอวี่ยังจำตอนที่พี่ชายไปจากเมืองหลวงเพื่อไปทำธุระได้ เซวียนเยวี๋ยนเถิงเคยกำชับเขาไว้ว่า จะต้องปฏิบัติต่ออาหู่ให้ดีๆ อย่าได้ทำให้เกิดความขัดแย้งใดๆ มีเรื่องอะไรก็ให้ฟังอาหู่ อย่าได้ไม่ทันจะขยับก็แสดงมาดคุณชายน้อยของเขาออกมา

“อะ อาหู่ โทษที เมื่อกี้ฉันบุ่มบ่ามเกินไปหน่อย!” เซวียนเยวี๋ยนอวี่อดไม่ได้ที่จะพูดขึ้นด้วยเสียงอันสั่นเทา

“งั้นหรือ? แต่ว่าตอนนี้ผมโกรธขึ้นมาจริงๆแล้ว ต้องฆ่าคนถึงจะสงบความโกรธของผมลงได้!” อาหู่พูดด้วยรอยยิ้มเย็นเยียบ

“นี่…นี่…อาหู่ แกกล้าฆ่าฉันเหรอ? แกจะไปรายงานพี่ชายของฉันยังไง? แกเองก็จะตายเหมือนกัน” เซวียนเยวี๋ยนอวี่ตะโกนออกมาด้วยท่าทางโอหังอีกครั้ง

อาหู่มองเซวียนเยวี๋ยนอวี่ ลุกขึ้นยืนจากบนโซฟา มุมปากประดับไปด้วยรอยยิ้มโหดเหี้ยม เดินเข้าไปเบื้องหน้าเซวียนเยวี๋ยนอวี่ พูดด้วยเสียงแหลมเล็กว่า “คุณชายน้อย เมื่อกี้ผมก็พูดไปแล้ว ฆ่าคุณซะแล้วก็บอกว่าเย่เทียนเฉินเป็นคนฆ่า ถึงตอนนั้นคุณชายใหญ่จะต้องแก้แค้นให้พวกคุณแน่ ตายอย่างไม่ได้รับความเป็นธรรม!”

 “แก…อะ อาหู่ หยะ อย่าฆ่าฉัน อย่าฆ่าฉัน…” เซวียนเยวี๋ยนอวี่ ไม่มีความโกรธเคืองแล้วโดยสิ้นเชิง เมื่อเจอกับมุมที่โหดเหี้ยมของอาหู่ตอนที่เขาโกรธขึ้นมา คนโฉดชั่วที่ไม่รู้จักระงับอารมณ์นี้ ทำให้เซวียนเยวี๋ยนอวี่เกรงกลัวขึ้นมาแล้วจริงๆ

“ไม่ได้หรอก หากว่าผมไม่ฆ่าคน ก็คงไม่มีทางสงบความโกรธของผมลงได้!” อาหู่พูดแล้วส่ายหน้า

 พลั่ก!

 พลั่ก!

บอดี้การ์ดสองคนที่ตามหลังเซวียนเยวี๋ยนอวี่มา ดูเหมือนว่าจะคุกเข่าลงบนพื้นในเวลาเดียวกัน ต่างก็พากันร้องขอชีวิตอาหู่ พวกเขาเองย่อมรู้ว่าอาหู่เป็นคนโฉดชั่วคนหนึ่ง หากจะฆ่าคนก็ไม่สนอีกฝ่ายจะเป็นใคร ตอนนี้ดูแล้วอาหู่ไม่ได้พูดเล่น ท่าทางจะเอาจริง ไหนเลยจะมีเหตุผลให้ไม่เกรงกลัว

ไม่ว่าจะเป็นใคร ไม่ว่าเขาจะพูดได้ร้ายกาจขนาดไหน เมื่อถูกปืนเล็งไปที่สมองของพวกเขาจริงๆ ทุกคนก็ล้วนต้องกลัวจนตัวสั่น เสแสร้งแกล้งทำเป็นพูดจาใหญ่โตก็ไม่มีประโยชน์ ปืนนั้นไม่มีตา

“พะ พี่หู่ พวกเราไม่เกี่ยวด้วย อย่าฆ่าพวกเราเลยครับ!”

“พี่หู่ พวกเราเชื่อฟังคุณ คุณบอกว่าจะทำยังไงก็ทำอย่างนั้น”

เซวียนเยวี๋ยนอวี่เห็นบอดี้การ์ดทั้งสองคนที่ตามหลังตนเองมาคุกเข่าขอร้องอยู่บนพื้น ก็ยิ่งเกิดความหวาดกลัว แม้แต่พวกเขาก็มองออกว่าอาหู่ไม่ได้ล้อเล่น ต้องการลงมือฆ่าคนจริงๆ เขาที่เป็นไอ้เด็กเมื่อวานซืนอายุสิบหกปีคนหนึ่ง เมื่อก่อนก็โอหังบ้าอำนาจ คนข้างกายต่างก็ถอยให้เขา ไม่กล้าหาเรื่องเขา ทั้งหมดเป็นเพราะอำนาจของตระกูลเซวียนเยวี๋ยนของเขา หากไม่ใช่เพราะจุดนี้ ก็ไม่ทราบว่าเขาเซวียนเยวี๋ยนอวี่จะตายไปแล้วกี่รอบ

“พี่หู่ ผม ผม…” เซวียนเยวี๋ยนอวี่เป็นแค่เด็กคนหนึ่ง ตกใจกลัวจนหน้าซีดไปหมดแล้ว น้ำเสียงก็สั่นไหว ขาทั้งสองกำลังสั่นจนพูดอะไรไม่ออก

อาหู่ยิ้มอย่างเย็นชา ส่งสายตาบอกใบ้ไปให้คนของตัวเอง ปัง ปัง เสียงปืนดังขึ้นสองครั้ง เซวียนเยวี๋ยนอวี่ตกใจจนคุกเข่าลงกับพื้นทันที คุกเข่าต่อหน้าของอาหู่ ส่วนบอดี้การ์ดสองคนข้างกายเขา ถูกลูกปืนเจาะทะลุเข้าไปในสมองเรียบร้อยแล้ว ล้มลงไปนอนจมกองเลือด ตายไปเช่นนี้

เมื่อเห็นฉากนี้ เซวียนเยวี๋ยนอวี่ก็ยิ่งร่างกายสั่นสะท้าน ตกใจจนเกือบเป็นลมไป รีบเข้าไปกอดขาอาหู่ ร้องไห้ทำหน้าเศร้าแล้วพูดออกมาว่า “พะ พี่หู่ หยะ อย่าฆ่าผม เห็นแก่พี่ชายของผม อย่าฆ่าผมเลย!”

“คุณชายน้อย ขอให้คุณจำเอาไว้ เป็นเด็กก็อย่ามายุ่งเรื่องของผู้ใหญ่ อย่ามากวนตีนแบบนั้น!” อาหู่กระซิบข้างหูเซวียนเยวี๋ยนอวี่อย่างเย็นยะเยือก

จากนั้นอาหู่ก็โบกมือ ลูกน้องของตนก็ลากเซวียนเยวี๋ยนอวี่และศพทั้งสองศพนั้นออกไป เขาไม่ได้ฆ่าเซวียนเยวี๋ยนอวี่ ก็เพราะเห็นแก่หน้าเซวียนเยวี๋ยนเถิงซึ่งเป็นพี่ชายของเขา นอกจากนี้เพราะอำนาจของตระกูลเซวียนเยวี๋ยน อาหู่อย่อมล่วงเกินไม่ได้

อาหู่นั่งพิงลงไปบนโซฟา ยังคงสูบซิการ์อยู่ ผู้หญิงเซ็กซี่สวยงามทั้งสามคนนั้นต่างก็ยืนอยู่ด้านหลังอาหู่ อาหู่ยังไม่ได้เอ่ยปากให้พวกเธอมาบริการ พวกเธอย่อมไม่กล้าทำมั่วๆ แม้แต่ผู้หญิงที่ถูกอาหู่ใช้ซิการ์จี้ก้นคนนั้น ก็อดทนเป็นอย่างมาก ไม่กล้าเคลื่อนไหวมั่วๆ

ไม่นาน ชายฉกรรจ์คนหนึ่งซึ่งเป็นลูกน้องของอาหู่ก็เปิดประตูห้องส่วนตัวแล้วเดินเข้ามา ยืนอยู่เบื้องหน้าของอาหู่แล้วพูดว่า “พี่หู่ครับ ศพจัดการเรียบร้อยแล้วครับ เซวียนเยวี๋ยนอวี่ก็ไปแล้ว!”

“อืม ไอ้ลูกเต่านี่ไม่สั่งสอนไม่ได้ โอหังเกินไปแล้ว!” อาหู่พูดอย่างเย็นชา

“พี่หู่ครับ ผมกังวลว่าคุณทำแบบนี้กับคุณชายน้อย คงจะอธิบายดีๆ ให้คุณชายใหญ่ไม่ได้นะครับ!” ชายฉกรรจ์ที่เป็นลูกน้องคนนั้นพูดอย่างกังวล

“หึ มีอะไรให้อธิบายไม่ได้กัน เซวียนเยวี๋ยนเถิงจะไม่ยอมผิดใจกับฉันเพราะว่าน้องชายของเขาหรอก เขายังต้องการใช้อำนาจอิทธิพลของฉันช่วยเขาทำเรื่องต่างๆ อยู่ แล้วฉันก็ไม่ได้ทำอะไรเซวียนเยวี๋ยนอวี่ ก็แค่ทำให้มันตกใจเท่านั้น!”

“งั้นพี่หู่ ต่อไปพวกเราจะทำยังไงกันดีครับ?” ชายฉกรรจ์เอ่ยถาม

“เรื่องที่พักการะเดินทางของเย่เทียนเฉินตรวจสอบแล้วหรือยัง?”

“ตรวจสอบเรียบร้อยแล้วครับ ไอ้หมอนี่ฝีมือแข็งแกร่งมาก พรุ่งนี้เป็นวันรายงานตัววันแรกของมหาวิทยาลัยหลงเถิง จะต้องไปที่มหาวิทยาลัยแน่นอน”

“งั้นก็ดี พวกเราเลือกลงมือตอนกลางคืน ฆ่าไอ้หมอนี่ซะ ฉันไม่อยากให้มีการประมาทเลินเล่อใดๆ เรียกรวมพี่น้องสามร้อยคนไปด้วย จะต้องฆ่าเย่เทียนเฉินให้ได้!” อาหู่พูดอย่างโหดเหี้ยม

ภารกิจที่เซวียนเยวี๋ยนเถิงมอบให้อาหู่ก็คือ ฆ่าเย่เทียนเฉิน แต่หลังจากที่อาหู่ทำการตรวจสอบแล้ว พบว่าฝีมือของเย่เทียนเฉินแข็งแกร่งมาก ถ้าอาศัยพลังของคนคนเดียว หรือหลายคนหลายสิบคน เกรงว่าจะฆ่าเย่เทียนเฉินไม่ได้ ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจเรียกรวมตัวชายฉกรรจ์ที่เป็นลูกน้องของเขาสามร้อยคน เตรียมที่จะไปฆ่าเย่เทียนเฉินพรุ่งนี้โดยไม่ให้มีข้อผิดพลาด

ต้องฆ่าเย่เทียนเฉินถึงจะสามารถทำให้อาหู่ผ่อนคลายได้ เพราะครั้งนี้อาหู่ได้สั่งสอนเซวียนเยวี๋ยนอวี่ไป จะมากจะน้อยก็ทำให้ในใจของเซวียนเยวี๋ยนเถิงไม่พอใจ หากว่าฆ่าเย่เทียนเฉินได้สำเร็จ เซวียนเยวี๋ยนเถิงก็จะไม่พูดอะไร ดังนั้นในความคิดของอาหู่ การไปฆ่าเย่เทียนเฉินในคืนพรุ่งนี้เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้

เย่เทียนเฉินขอบคุณฟ้าดินอยู่ในใจ ในที่สุดก็สามารถหาข้ออ้างมั่วๆ เพื่อให้หลิงอวี่สวิ๋นหลุดออกจากการพักค้างคืนของหลัวเยี่ยนได้!

หากว่าให้อีกฝ่ายพักอยู่ที่นี่จริงๆ แล้วยังพักอยู่ในห้องที่ฉีหรูเสวี่ยเคยพัก นั่นมันก็จะตลกไปหน่อยแล้ว

คงจะไม่เป็นเหมือนที่เย่เทียนเฉินคิดเช่นนั้นจริงๆ ห้องว่างห้องนั้นของคฤหาสน์ตระกูลเย่ของตน ไม่แน่ว่าจะมีสาวสวยมากน้อยแค่ไหนมาเข้าพัก…

หลิงอวี่สวิ๋นและเย่เทียนเฉินเดินออกมาจากคฤหาสน์ตระกูลเย่ เย่เทียนเฉินจูงมือหลิงอวี่สวิ๋นเดินมาตลอดทาง เดินไปที่หน้ารถสปอร์ตอย่างรวดเร็ว ในตอนนี้เขารีบร้อนที่จะส่งหลิงอวี่สวิ๋นกลับไปจริงๆ

ในตอนนี้หลัวเยี่ยนผู้เป็นแม่และน้องสาวเย่เชี่ยนเหวินเหมือนกับบ้าไปแล้วจริงๆ เมื่อเห็นผู้หญิงคนหนึ่ง ขอเพียงแค่หน้าตาไม่เลวและถูกตัวเองพากลับมาที่บ้าน พวกเธอก็จะรีบคิดจะให้ผู้หญิงคนนี้คบหากับเขา หรือกระทั่งแต่งงานกัน แต่งเข้ามาที่ตระกูลเย่

ไม่รู้จริงๆ ว่าเหตุใดแม่และน้องสาวถึงได้คิดเรื่องพวกนี้ หรือว่าเมื่อก่อนตนเองจะไม่เอาไหนจริงๆ?

หลิงอวี่สวิ๋นถูกเย่เทียนเฉินจูงมือออกมาจากคฤหาสน์ตระกูลเย่เช่นนี้

จูงมือมาตลอดทางแบบนี้ ทำให้เธอเริ่มคิดถึงช่วงเวลาตอนเด็ก

ในตอนนั้นภายในซอยเล็กๆ มีเพียงเธอและเย่เทียนเฉินสองคน ถึงแม้ว่าเธอจะโตกว่าเย่เทียนเฉินหนึ่งปี แต่จะอย่างไรก็เป็นผู้หญิง ไม่มีทางสู้แรงเด็กผู้ชายได้

ดังนั้นทุกครั้ง ขอเพียงเพื่อนตัวน้อยข้างบ้านมารังแกเธอ เย่เทียนเฉินก็มักจะขวางเธอไว้ข้างหน้า และถ้าหากว่าสู้ไม่ได้ก็จะจูงมือหลิงอวี่สวิ๋นวิ่งหนี

ตอนนี้เย่เทียนเฉินและหลิงอวี่สวิ๋นทั้งสองคนล้วนเติบโตแล้ว เธอเป็นผู้หญิงที่สวยมากคนหนึ่ง จินตนาการได้เลยว่า ผู้หญิงที่สามารถได้รับการโหวตให้กลายเป็นหนึ่งในดาวมหาวิทยาลัยหลงเถิงได้ จะไม่สวยได้หรือ?

งดงามสะโอดสะอง จันทร์หลบโฉมสุดา มวลผกาละอายนาง ส่วนเย่เทียนเฉินก็เติบโตเป็นชายรูปงาม มีความเป็นลูกผู้ชาย อาศัยฝีมือในตอนนี้ ก็มีความสามารถที่จะปกป้องหลิงอวี่สวิ๋นได้แล้ว ให้ความรู้สึกปลอดภัยแก่เธอ

ดังนั้นนี่เป็นจุดที่แตกต่างกันระหว่างเด็กผู้หญิงและเด็กผู้ชาย!

บางทีความทรงจำในวัยเด็ก ในสมองของเด็กผู้ชายคนหนึ่งจะค่อยๆ เลือนหายไป จนกระทั่งจำไม่ได้เลย แต่ในจิตวิญญาณของเด็กผู้หญิงคนหนึ่งกลับจำได้อย่างลึกซึ้ง กระทั่งไม่มีทางทำให้เธอลืมได้

ด้วยเหตุนี้เมื่อเติบโตแล้ว เด็กผู้หญิงคนนี้ก็ยังมีความคาดหวังว่าเด็กผู้ชายจะสามารถปกป้องตัวเองได้เหมือนตอนเด็กๆ

“เธอรีบเดินหน่อยสิ ฉันกลัวจริงๆ ว่าแม่จะถูกใจเธอ ถ้าเธอต้องมาเป็นสะใภ้จริงๆ ก็ซวยแล้ว…”

เย่เทียนเฉินจูงมือหลิงอวี่สวิ๋นเดินไปข้างหน้าพลางเปิดปากพูด

ทันใดนั้น เขารู้สึกว่าด้านหลังตัวเองมีไอสังหารแผ่ออกมา ตนเองจูงหลิงอวี่สวิ๋นอยู่แต่หลิงอวี่สวิ๋นก็ไม่เดินมากับเขา จึงอดไม่ได้ที่จะหันไปมอง เห็นว่าเธอกำลังใช้ดวงตาทั้งสองอันงดงามจ้องมองมายังตนเองอย่างดุดัน ท่าทางเช่นนั้นราวกับว่าสามารถกินคนได้ จึงอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามอย่างสงสัย

“เธอ เธอเป็นอะไร?”

“หึ ไอ้บ้า นายคิดจะไล่ฉันไปจริงๆ สินะ? หากว่าคุณแม่ของนายให้ฉันแต่งให้นายจริงๆ นายไม่เต็มใจใช่ไหม?”

หลิงอวี่สวิ๋นอดไม่ได้ที่จะทำแก้มป่องอย่างน่ารัก ยู่ปากเล็กๆ อันเซ็กซี่ของเธอแล้วถามขึ้น

“นั่น ความหมายของเธอก็คืออยากจะแต่งให้ฉันหรือไง?” เย่เทียนเฉินอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามด้วยรอยยิ้มหยอกล้อ

“ใคร ใครอยากจะแต่งให้นายกัน ฝันหวานไปแล้ว ฉันก็แค่ไม่ชินกับท่าทางแบบนี้ของนาย นายนั่นแหละที่มีปัญหา!” หลิงอวี่สวิ๋นชะงักไป พูดออกมาด้วยใบหน้าแดงระเรื่อง

“นั่นก็ถูกแล้วไง เธอก็ไม่อยากแต่งให้ฉัน แล้วไม่คิดที่จะทำตามคำสัญญาในตอนเด็ก งั้นก็ไม่มีอะไรจะต้องพูดกันแล้ว รีบไปเถอะ!” เย่เทียนเฉินพูดแล้วจึงเบะปาก

“นาย…ไอ้บ้า ฉันไม่สนใจนายแล้ว หลบไป…”

หลิงอวี่สวิ๋นถูกเย่เทียนเฉินทำให้โกรธจนทนไม่ไหวจริงๆแล้ว จึงผลักเย่เทียนเฉินออกไป โยนกระเป๋าถือเข้าไปในรถสปอร์ตด้วยความโกรธ จากนั้นจึงเปิดประตูรถ สตาร์ทรถแล้วขับจากไป ก่อนที่จะจากไปยังถลึงตามองและทำหน้าโหดใส่เย่เทียนเฉินครั้งหนึ่ง ทำให้เขาร้องไห้ไม่ออกหัวเราะไม่ได้

เย่เทียนเฉินมองหลิงอวี่สวิ๋นจากไป อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาเบาๆ แล้วส่ายหน้า หันตัวเดินกลับเข้าไปในบ้าน

“ไอ้บ้า ไอ้คนไม่มีอีคิว น่ารังเกียจ เป็นโสดไปชั่วชีวิตเลย…”

ระหว่างทางที่หลิงอวี่สวิ๋นขับรถกลับบ้าน ในใจก็อดไม่ได้ที่จะก่นด่าเย่เทียนเฉิน

ในตอนนี้ ภายในบาร์ที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่งนอกมหาวิทยาลัยหลงเถิง เต็มไปด้วยหญิงชายพี่เต้นอย่างบ้าคลั่งมัวเมา คนทุกอาชีพทุกประเภทล้วนมีทั้งหมด

ภายในห้องส่วนตัวชั้นสอง ผู้หญิงที่สวมชุดเซ็กซี่ยั่วยวนหลายคน ดูเหมือนว่าอีกไม่นานก็จะเปลือยเปล่า ต่างก็ถูไถอยู่บนร่างกายของผู้ชายคนหนึ่ง มือทั้งสองของผู้ชายคนนี้อ้ากว้างนอนอยู่บนโซฟา มีผู้หญิงเซ็กซี่สามคนนวดให้เขา กระทั่งใช้ปากบริการก็มี

ผู้ชายคนนี้ร่างกายสูงใหญ่บึกบึน โกนหัวเรียบ ด้านหน้ามีผมยาวหย่อมหนึ่งที่ย้อมสีแดง สิ่งที่โดดเด่นที่สุดก็คือบนใบหน้าของเขามีรอยมีดลึกอยู่รอยหนึ่ง ดูไปแล้วน่ากลัวเป็นอย่างมาก

รอยแผลเป็นลากยาวมาตั้งแต่หางตาซ้ายจนถึงกรามขวา ดูอัปลักษณ์ยิ่ง ดวงตาทั้งสองเต็มไปด้วยกลิ่นอายของการฆ่าฟัน แค่มองก็รู้ว่าไม่ใช่คนดีอะไร ไม่ต่างอะไรกับพวกมือสังหาร ในมือขวาของเขาถือซิการ์มวนหนึ่ง มุมปากระดับด้วยรอยยิ้มโหดเหี้ยม

เขาก็คืออาหู่ เป็นคนที่โหดเหี้ยมเป็นอย่างมาก ภายหลังจึงถูกพี่ชายของเซวียนเยวี๋ยนอวี่ซึ่งก็คือเซวียนเยวี๋ยนเถิงปราบ และกลายมาเป็นอันธพาลของเซวียนเยวี๋ยนเถิง ซึ่งมีฐานะเป็นหนึ่งในสามสุดยอดคุณชายแห่งมหาวิทยาลัยหลงเถิง ในตอนที่เซวียนเยวี๋ยนเถิงไม่อยู่ในเมืองหลวง มีหลายครั้งที่อาหู่จัดการเรื่องต่างๆ แทนเขา

ดูเหมือนว่าจะไม่มีใครที่ไม่เคยได้ยินชื่อของอาหู่ ต่อให้ตอนนั้นหลี่เถี่ยที่เป็นหัวหน้าของกลุ่มอิทธิพลใต้ดินแห่งเมืองหลวงยังอยู่ และยังไม่ถูกเย่เทียนเฉินฆ่าตายไป ก็ยังอดไม่ได้ที่จะนับถือความสามารถของอาหู่

หากไม่ใช่เพราะอาหู่ติดตามเซวียนเยวี๋ยนเถิงและเชื่อฟังคำสั่งทุกอย่างของเขา บางทีตำแหน่งเจ้าแห่งวงการใต้ดินของเมืองหลวงก็คงจะตกเป็นของอาหู่!

ครั้งนี้ อาหู่ก็ได้รับโทรศัพท์จากเซวียนเยวี๋ยนเถิง บอกว่าเซวียนเยวี๋ยนอวี่ถูกคนทำร้ายที่หน้าประตูมหาวิทยาลัยหลงเถิง หลี่อี้พานักศึกษาชายที่ฝึกฝนวิชาเทควันโด้ไปด้วยสองคนคิดจะไปเอาคืน แต่ก็ถูกอัดจนต้องไสหัวกลับมา นี่ทำให้เซวียนเยวี๋ยนเถิงรู้สึกโกรธเป็นอย่างมาก

แต่ว่าเซวียนเยวี๋ยนเถิงมีธุระ ไม่อาจกลับมาที่เมืองหลวงได้ในทันที ดังนั้นจึงได้บอกอาหู่ เรื่องนี้ทำให้เขาโกรธมาก ไม่ว่าอีกฝ่ายจะเป็นใครก็ตาม แต่กล้ามาลงมือกับน้องชายของเขา ก็ให้ฆ่าให้ตายก่อนแล้วค่อยว่ากัน เห็นได้เลยว่าอำนาจอิทธิพลของเขามากขนาดไหน

ดังนั้นคืนนี้อาหู่จึงมาที่บาร์แห่งนี้เป็นพิเศษ นี่ก็เป็นถิ่นของเขา เขามารอเซวียนเยวี๋ยนอวี่ที่นี่ คิดจะทำความเข้าใจสถานการณ์สักหน่อย เพียงแต่รออย่างน่าเบื่อขนาดนี้ แน่นอนว่าต้องหาผู้หญิงสักหลายคนมาเล่นด้วย

“อา!”

ทันใดนั้นผู้หญิงคนหนึ่งร้องขึ้นมาเสียงดัง บอกได้เลยว่าเป็นเสียงร้องที่ทรมาน เพราะว่าบนก้นของเธอถูกซิการ์จี้อย่างโหดเหี้ยม เจ็บจนทำให้ผู้หญิงคนนั้นกัดฟัน ท่าทางเจ็บปวดทรมานเป็นอย่างมาก อดทนอดกลั้นเป็นอย่างมาก

ซิการ์บนมือขวาของอาหู่ที่จี้ลงบนก้นของผู้หญิงคนนั้น ลวกจนกระโปรงสั้นจู๋อันเซ็กซี่จนเป็นรูใหญ่ จินตนาการได้เลยว่า ก้นขาวนิ่มของผู้หญิงคนนี้จะกลายเป็นอย่างไรไปแล้ว

ถึงแม้ว่าจะเป็นอย่างนี้ ผู้หญิงคนนั้นหลังจากที่กรีดร้องออกมา ก็อดทนเอาไว้อย่างมาก พยายามกัดฟันกัดริมฝีปากล่างปากของตนเอง

เป็นเพราะว่าเธอเคยปรนนิบัติรับใช้อาหู่มาหลายครั้ง จึงรู้ถึงความชอบอันวิปลาสของอาหู่ เขาชอบเห็นท่าทางจะเจ็บปวดทรมานของผู้หญิง โดยเฉพาะในตอนที่ผู้หญิงอดทนอดกลั้นเป็นอย่างมาก ก็จะกระตือรือร้นเป็นพิเศษ หากว่าผู้หญิงคนไหนกล้าตะโกนเสียงดังหรือว่ากล้าต่อต้าน เธอก็อาจจะสิ้นชีพในคืนนี้ได้

เคยมีผู้หญิงคนหนึ่ง ถูกอาหู่ใช้ซิการ์จี้ก้น ผู้หญิงคนนั้นรับไม่ไหวจริงๆ จึงคิดจะหนี ในคืนนั้นอาหู่ก็เรียกผู้ชายสิบกว่าคนไปกำจัดเธอ จนกระทั่งผู้หญิงคนนั้นถูกฆ่าตายอย่างโหดเหี้ยม เมื่อคิดดูแล้วคิดทำให้ได้รู้ว่าอาหู่ไม่ใช่คน แต่เป็นปีศาจ เป็นปีศาจวิปลาส

อาหู่เห็นผู้หญิงตรงหน้าทนทรมานอย่างถึงที่สุด ท่าทางแบบนั้นทำให้เขารู้สึกพอใจอย่างหาที่เปรียบมิได้ จึงใช้มือฉีกเสื้อบริเวณหน้าอกของผู้หญิงคนนั้น ตามมาด้วยการตบตีอย่างโหดเหี้ยม ตีจนแทบจะตาย

ปังๆๆ ด้านนอกมีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

อาหู่ปล่อยผู้หญิงตรงหน้าไปอย่างไม่พอใจ ผู้หญิงคนนั้นทรุดลงนั่งกับพื้น เจ็บจนน้ำตาไหลออกมา แต่กลับไม่กล้าโกรธออกมาเลยแม้แต่น้อย เพราะว่าเธอค่อนข้างจะเข้าใจอาหู่ คนคนนี้วิปลาจนถึงขั้นสุด หากว่าไม่ได้อย่างใจก็จะฆ่าคน ฆ่าคนจริงๆ ไม่ใช่ทำเล่นๆ

“เข้ามา!”

อาหู่สายตาบอกใบ้ให้ผู้หญิงทั้งสามคนที่บริการตนเอง ผู้หญิงสวยเซ็กซี่ทั้งสามคนนั้นรีบยืนขึ้นไปอยู่ด้านข้าง

ชายฉกรรจ์สวมเสื้อกล้ามสีดำสองคนผลักประตูห้องส่วนตัวเข้ามา แล้วไปยืนทางด้านหนึ่ง เซวียนเยวี๋ยนอวี่แม้มีร่างกายเล็กแต่กลับวางมาดใหญ่โต ด้านหลังมีบอดี้การ์ดตามมาด้วยสองคน เดินเข้ามาด้วยใบหน้าที่ไม่น่ามองอย่างยิ่ง

เดิมทีเซวียนเยวี๋ยนอวี่คิดว่าอาหู่จะลงมือกำจัดเย่เทียนเฉินคืนนี้ ไหนเลยจะรู้ว่า หลังจากที่อาหู่มาแล้วกลับมาเสพสุข แล้วยังให้เขามาถึงที่นี่ ช่างทำให้เขาไม่พอใจมากจริงๆ

“คุณชายน้อยมาแล้ว รีบมานั่งเถอะ!”

อาหู่มองเซวียนเยวี๋ยนอวี่แล้วพูดขึ้นยิ้มๆ

เซวียนเยวี๋ยนอวี่มองอาหู่อย่างไม่พอใจ นั่งไขว่ห้างลงบนโซฟาด้านข้าง บอดี้การ์ดด้านหลังรีบเข้ามาจุดซิการ์มวนหนึ่งให้เขา เขาจึงสูบเข้าไปอย่างมีมาด

สามารถคิดได้เลยว่า ไอ้เด็กเมื่อวานซืนอายุสิบหกปีคนหนึ่ง มีท่าทางราวกับคนใหญ่คนโตอยู่ตลอดเวลา ให้ความรู้สึกหยิ่งยโสโอหังไปทุกที่ หากว่าถูกเย่เทียนเฉินมาเห็นฉากนี้ เกรงว่าจะอดไม่ได้ที่จะตบหน้าเซวียนเยวี๋ยนอวี่คนนี้อีกครั้ง ช่างกวนประสาทจริงๆ

“อาหู่ ทำไมแกถึงไม่ลงมือ? หรือว่าแกจะมาเที่ยวเล่น?”

เซวียนเยวี๋ยนอวี่ตัวเล็ก แต่มาดอันยโสโอหังไม่อ่อนแอเลย เขามองอาหู่แล้วถามขึ้นยังไม่สบอารมณ์

แม้แต่ฝันเย่เทียนเฉินก็คิดไม่ถึงว่า หลัวเยี่ยนผู้เป็นแม่และน้องสาวเย่เชี่ยนเหวิน จะถึงกับถูกใจหลิงอวี่สวิ๋น ต้องการให้เธอมาเป็นแฟนของตน ไม่รู้จริงๆว่าแม่และน้องสาวต้องการจะทำอะไร ทำไมถึงดูเหมือนเห็นผู้หญิงคนไหนก็คิดอยากจะให้มาเป็นแฟนของตนเอง? หรือจะกลัวว่าเขาจะเป็นโสดจริงๆ?

“ไม่จริงน่ะ? พวกเธอจะเวอร์เกินไปหรือเปล่า ปีนี้พี่ชายของเธอเพิ่งจะอายุยี่สิบ เป็นเวลาที่ควรจะกินดื่มเที่ยวเล่น ไหนเลยจะมีอารมณ์ไปหาแฟน หรือจะบอกว่า ด้วยเสน่ห์ของพี่ชายของเธอ คิดว่าจะหาแฟนได้ยากเหรอไง?” เย่เทียนเฉินเคาะลงบนศีรษะของเย่เชี่ยนเหวินเบาๆ ครั้งหนึ่งแล้วพูดขึ้น

“คนคนนี้นี่…หนูกับแม่ก็กังวลอยู่บ้านจริงๆ…” เย่เชี่ยนเหวินพูดฟังทำหน้าทะเล้นใส่เย่เทียนเฉิน แล้ววิ่งไปอีกฝั่งหนึ่ง ท่าทางน่ารักเป็นอย่างมาก

ช่างอับจนหนทางกับแม่และน้องสาวจริงๆ ตัวเองเพิ่งจะอายุยี่สิบปี ก็ดูเหมือนว่าพวกเธอจะรีบร้อนอยากให้เขาแต่งงานแล้ว ไม่รู้จริงๆว่าแม่และน้องคิดอย่างไร ยิ่งไปกว่านั้นทั้งสองคนยังร่วมมือกันอย่างจริงจัง คิดแต่จะให้ตนเองแต่งงานอยู่ตลอดเวลา!

“เทียนเฉิน ลูกมานี่สิ มาคุยเป็นเพื่อนอวี่สวิ๋นหน่อย พวกลูกๆ ก็ไม่ได้เจอกันนานแล้ว คงจะมีอะไรพูดคุยกันเยอะแยะเลย!” หลัวเยี่ยนตั้งใจส่งสายตาบอกใบ้ไปให้เย่เทียนเฉิน ความหมายก็คือต้องการเรียกให้เย่เทียนเฉินเข้าไปตีสนิทกับหลิงอวี่สวิ๋น ทำความรู้สึกให้ใกล้ชิดกันสักหน่อย

เย่เทียนเฉินไหนเลยจะมองความคิดของแม่ไม่ออก เธอคิดว่าหลิงอวี่สวิ๋นกับตนเองเป็นเพื่อนสมัยเด็กที่เล่นมาด้วยกัน ทั้งสองเติบโตมาด้วยกันอย่างไม่ต้องสงสัย ต่อให้ไม่ได้เจอกันมาหลายปี แต่ก็ยังมีความรู้สึกในสมัยเด็กเป็นพื้นฐาน ไม่แน่ว่าจะสามารถอยู่ด้วยกันจริงๆ ก็เป็นได้ ขอเพียงแค่ตนเองมีแฟนเป็นตัวเป็นตน ต่อไปนี้ก็เกรงว่าจะเป็นเวลาที่จะถูกแม่บีบบังคับให้แต่งงาน

“พวกคุณแม่คุยกันไปเถอะครับ ผมดูโทรทัศน์สักครู่ กำลังสนุกเลย!” เย่เทียนเฉินพูดไปตามใจ

“เด็กคนนี้นี่ เรียกให้ลูกมาก็มาสิ จะต้องพูดจาไร้สาระที่ทำไมกัน” หลัวเยี่ยนถลึงตาใส่เย่เทียนเฉินแล้วพูดขึ้น

เมื่อเห็นท่าทางของหลัวเยี่ยนผู้เป็นแม่ เย่เทียนเฉินก็รู้สึกกลัวขึ้นมาจริงๆ แล้ว ในโลกนี้มีผู้หญิงอยู่สองคนที่ไม่สามารถล่วงเกินได้โดยเด็ดขาด และก็เป็นคนที่เย่เทียนเฉินไม่กล้าล่วงเกินด้วย นั่นก็คือหลัวเยี่ยนผู้เป็นแม่และน้องสาวเย่เชี่ยนเหวิน พวกเธอเป็นคนใกล้ชิดที่สุดของเขา เขาย่อมทำดีกับพวกเธออย่างแน่นอน นี่เป็นครั้งแรกที่หลัวเยี่ยนตำหนิตัวเองเสียงดังเช่นนี้ ดูท่าทางจะให้ความสำคัญกับหลิงอวี่สวิ๋นมากจริงๆ

“อะไรครับแม่ มีเรื่องอะไรก็พูดมาเถอะ!” เย่เทียนเฉินเดินไปข้างหน้าหลัวเยี่ยนแล้วนั่งลง พูดขึ้นอย่างไม่พอใจ

“นั่งตรงนี้ ไม่อนุญาตให้ไปไหน คุยเป็นเพื่อนกับแม่และอวี่สวิ๋น!” หลัวเยี่ยนพูดอย่างเคร่งขรึมจริงจัง

“ครับๆ ผมรู้แล้ว ยัยหลิงขี้มูกโป่ง อยากกินแอปเปิ้ลหรือเปล่า ฉันจะไปปอกมาให้ลูกนึงเป็นไง?” เย่เทียนเฉินรู้สึกจนใจเป็นอย่างมาก มองไปทางหลิงอวี่สวิ๋นพลางกล่าว

“ไม่ต้องหรอก ขอบคุณมาก ฉันจะคุยเป็นเพื่อนคุณน้าสักหน่อยก็จะกลับแล้ว!” หลิงอวี่สวิ๋นกล่าวแล้วยิ้มให้หลัวเยี่ยน

“กลับ? อวี่สวิ๋น ดึกขนาดนี้แล้ว หนูเป็นผู้หญิงคนเดียวก็ไม่ปลอดภัย พักอยู่ที่บ้านตระกูลเย่ของพวกเราเถอะ ในบ้านมีห้องว่างอยู่ ไม่งั้นก็นอนกับเชี่ยนเหวินก็ได้ โทรไปบอกครอบครัวสักหน่อยเถอะจ้ะ!” เมื่อได้ยินว่าหลิงอวี่สวิ๋นจะกลับ หลัวเยี่ยนก็รีบเปิดปากพูด

ความจริงแล้ว หลัวเยี่ยนนั้นมีเจตนาดี เห็นว่าเวลาใกล้จะเที่ยงคืนแล้ว ผู้หญิงคนเดียวคงไม่ปลอดภัย ส่วนเย่เทียนเฉินที่ได้ยินคำพูดนั้น ก็คิดว่าแม่ต้องการให้หลิงอวี่สวิ๋นพักค้างคืนอยู่ที่บ้าน และถือโอกาสให้ตนเองพัฒนาความสัมพันธ์กับหลิงอวี่สวิ๋นเสียหน่อย

“เอ๋? คุณน้าคะ หนูมีรถค่ะ ถึงตอนนั้นหนูกลับบ้านไปก็พอแล้ว ไม่เป็นไรหรอกค่ะ!” หลิงอวี่สวิ๋นเองก็พูดด้วยความรู้สึกกระอักกระอ่วนอยู่บ้าง

“ดึกขนาดนี้แล้ว ไม่ต้องกลับไปหรอก มันไม่ปลอดภัย เชี่ยนเหวิน ลูกยังมัวอึ้งอะไรอยู่ รีบไปเก็บกวาดห้องที่ว่างสักหน่อย ให้พี่สาวอวี่สวิ๋นนอนที่นั่น!” หลัวเยี่ยนเปิดปากพูดด้วยรอยยิ้ม

“เอ๋? ได้ ได้ค่ะ…”

เย่เชี่ยนเหวินเองก็ตกตะลึง คิดไม่ถึงว่าแม่จะถึงกับรั้งตัวหลิงอวี่สวิ๋นให้ค้างที่นี่ จากนั้นจึงยิ้มออกมาอย่างเจ้าเล่ห์ ในตอนที่อีกฝ่ายยังไม่ทันได้พูดอะไรก็วิ่งตึงตังขึ้นไปที่ชั้นสองของคฤหาสน์และเริ่มเก็บกวาดห้องแล้ว

เย่เทียนเฉินแทบทรุด แม่และน้องสาวสองคนนี้ บางทีก็มีความเป็นผู้ใหญ่ยิ่งกว่าตนเองมาก บางทีก็พึ่งพาไม่ได้ขึ้นมาเฉยๆ แม้แต่เขาก็ต่อต้านไม่ได้ และไม่กลัวว่าจะทำอะไรบุ่มบ่ามจนเกินไป รีบรั้งหลิงอวี่สวิ๋นไว้ให้ค้างคืน ที่สำคัญที่สุดก็คือ ตอนนี้ห้องที่น้องสาวขึ้นไปเก็บกวาด เป็นห้องที่ฉีหรูเสวี่ยเคยอยู่ นี่ไม่ใช่ว่าน่าตลกหรอกหรือ? ทำให้ร้องไห้ไม่ออกหัวเราะไม่ได้จริงๆ

นี่ทำให้เย่เทียนเฉินอดไม่ได้ที่จะมีจินตนาการอันน่าหวาดกลัวขึ้นมา ห้องว่างห้องนี้ของคฤหาสน์ตระกูลเย่ของตน มีฉีหรูเสวี่ยที่เป็นสาวสวยเคยพักอยู่แล้ว ไม่ทันไรก็มีหลิงอวี่สวิ๋นเข้าไปพักอีก ไม่รู้ว่าจะมีหญิงงามสักกี่คนที่ได้เข้าไปพักถึงจะมีเจ้าของ?

ในตอนนี้ ไม่เพียงแต่เย่เทียนเฉินที่มองจนโง่งม ขนาดหลิงอวี่สวิ๋นก็ไม่รู้จะทำอย่างไรดี เดิมทีเธอถือโอกาสมาส่งเย่เทียนเฉินจึงถือโอกาสมาในคฤหาสน์เพื่อพบหลัวเยี่ยน เป็นมารยาทที่ควรกระทำกับผู้ใหญ่ ไม่ได้คิดว่าวันนี้จะค้างคืนอยู่ที่ตระกูลเย่อะไรเลย แต่เมื่อเห็นท่าทางอบอุ่นเช่นนี้ของหลัวเยี่ยนและเย่เชี่ยนเหวิน เธอก็รู้สึกไม่ดีที่จะปฏิเสธ

“อวี่สวิ๋น ไม่ได้พบกันมาหลายปีแล้ว คิดถึงตอนเด็กๆ เธอก็น่าเอ็นดูมาก พอโตมาแล้วก็ยิ่งสวย พักอยู่สักคืนเถอะ คุยเป็นเพื่อนน้าหน่อย!” หลัวเยี่ยนพูดด้วยรอยยิ้ม

“งั้น งั้นก็ได้ค่ะ ต้องรบกวนคุณน้าแล้ว!” หลิงอวี่สวิ๋นกล่าวยิ้มๆ

ก็เป็นเช่นนี้เอง หลิงอวี่สวิ๋นถูกหลัวเยี่ยนรั้งตัวให้พักอยู่ที่บ้านตระกูลเย่หนึ่งคืน เย่เทียนเฉินนอนลงบนโซฟาข้างๆ อย่างอับจนคำพูด ไม่ใช่ว่าไม่ต้อนรับหลิงอวี่สวิ๋นอะไร แต่หลัวเยี่ยนทำให้เขารู้สึกว่า ที่ต้องการรั้งตัวหลิงอวี่สวิ๋นให้พักค้างคืนก็เพื่อจะให้เขาและอีกฝ่ายได้มีโอกาสใกล้ชิดกันให้มาก นี่เป็นเพราะตนเองไม่มีแฟน จึงทำให้แม่มีความรู้สึกว่าต้องคิดวิธีและมองหาไปทั่ว!

“อวี่สวิ๋น มาถึงบ้านของน้าแล้วก็ทำเหมือนอยู่บ้านตัวเองเถอะ ไม่ต้องบอกว่ารบกวนหรือไม่รบกวนอะไรหรอก น้ายังจำได้ว่าตอนเด็กๆ พวกเธอสองคนชอบเล่นพ่อแม่ลูกกันบ่อยๆ แล้วยังพูดว่าโตขึ้นมาจะแต่งงานกัน ทำให้พวกเรามีความสุขมากจริงๆ!” หลัวเยี่ยนอดไม่ได้ที่จะพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม

เมื่อได้ยินคำพูดของหลัวเยี่ยน ใบหน้าอันงดงามของหลิงอวี่สวิ๋นก็พลันแดงระเรือ ส่วนเย่เทียนเฉินก็ลุกพรวดขึ้นมาจากโซฟา ในใจคิดว่าแม่นี่จริงๆ เลย เรื่องที่ทำให้เขากับหลิงอวี่สวิ๋นกระอักกระอ่วนเป็นที่สุดก็คือเรื่องแบบนี้ในตอนเด็กๆ ตอนนั้นทั้งสองเพิ่งจะกี่ขวบกัน เลียนแบบเรื่องในละครในโทรทัศน์ก็เป็นสิ่งปกติ ตอนนี้โตแล้วถูกยกขึ้นมาพูดก็รู้สึกกระอักกระอ่วนจริงๆ

“อะแฮ่ม แม่ครับ แม่ไปทำผลไม้มาให้อวี่สวิ๋นเขากินหน่อยเถอะ ผมจะคุยเป็นเพื่อนเธอเอง!” เย่เทียนเฉินพูดกับหลัวเยี่ยนเพื่อทำลายสถานการณ์กระอักกระอ่วน

“อ่าๆ ได้ๆ พวกเธอคุยกันไป แม่จะรีบกลับมา!”

หลัวเยี่ยนเองก็รู้สึกว่าหัวข้อที่ตนเองยกขึ้นมาพูดจะอ่อนไหวมาก ทำให้หลิงอวี่สวิ๋นอายจนหน้าแดง แต่เมื่อเห็นปฏิกิริยาของหลิงอวี่สวิ๋น หลัวเยี่ยนก็รู้สึกยินดีอยู่ในใจจริงๆ มีปฏิกิริยาก็แสดงว่ายังจำเรื่องในตอนเด็กๆ ได้ และยังคงมีความรู้สึกต่อเรื่องนี้อยู่

เมื่อเห็นว่าหลัวเยี่ยนผู้เป็นแม่เดินจากไปแล้ว เย่เทียนเฉินก็อดไม่ได้ที่จะรีบไปนั่งข้างหลิงอวี่สวิ๋น ทั้งสองคนเปิดปากพูดพร้อมกัน

“เธอ…”

“ฉัน…”

“เธอพูดก่อน!”

“นายพูดก่อน!”

“เธอคงจะไม่พักอยู่ที่บ้านฉันจริงๆ ใช่ไหม?” เย่เทียนเฉินอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามอย่างร้อนใจ

“นี่ นายเข้าใจให้มันชัดเจนหน่อย เป็นแม่ของนายที่รั้งฉันเอาไว้ให้พักอยู่ เชี่ยนเหวินก็ขึ้นไปเก็บกวาดห้องแล้ว จะให้ฉันทำยังไงล่ะ?” หลิงอวี่สวิ๋นกรอกตาใส่เย่เทียนเฉินแล้วพูดขึ้น

“ที่สำคัญก็คือแม่ของฉันมีเป้าหมายอื่น เธอเข้าใจไหม?” เย่เทียนเฉินเอ่ยถามอย่างไม่สบอารมณ์

“ฉันดูออกแล้ว แม่ของนายกับน้องสาวกังวลว่านายจะหาแฟนไม่ได้ ดูแล้วที่พวกเธอกังวลก็ถูกต้องแล้ว ท่าทางของนายแบบนี้ ไม่ต้องพูดเรื่องหาแฟนเลย ขนาอีคิวสักนิดก็ไม่มี ใครจะอยากเป็นเพื่อนกับนายกัน ไม่ถูกนายทำจนโกรธตายก็แปลกแล้ว!” หลิงอวี่สวิ๋นสดไม่ได้ที่จะแอบหัวเราะออกมา มีท่าทางมีความสุขบนความทุกข์ของคนอื่น

“นี่ไม่เกี่ยวอะไรกับเธอ ที่สำคัญก็คือตอนนี้จะต้องไม่ให้แม่ของฉันเข้าใจความสัมพันธ์ของพวกเราผิด เข้าใจไหม? ถ้าหากเข้าใจผิดมากกว่าเดิม วันหน้าบอกว่าพวกเราไม่ใช่แฟนกัน ก็คงจะทำร้ายจิตใจของแม่มาก!”

“ดูไม่ออกเลยนะเนี่ยว่านายจะกตัญญู งั้นบอกมาซิว่าจะให้ทำยังไง?”

หลิงอวี่สวิ๋นในตอนนี้เปลี่ยนท่าทางไปแล้วโดยสิ้นเชิง ในตอนแรกเธอยังคงกังวลอยู่บ้าง ถ้าพักอยู่ที่บ้านตระกูลเย่จะอย่างไรก็คงไม่ดี ถึงแม้ว่าเมื่อก่อนความสัมพันธ์ระหว่างตระกูลหลิงและตระกูลเย่จะไม่เลว อีกทั้งตอนนี้คุณน้าหลัวเยี่ยนก็ดีกับตนเองมาก แต่ว่าเรื่องอย่างการพักค้างคืน จะอย่างไรก็ไม่ค่อยดี ตอนนี้เห็นว่าเย่เทียนเฉินมีท่าทางร้อนรน เธอกลับรู้สึกผ่อนคลาย มีท่าทางรอดูเรื่องสนุก

“เธอรีบไปตอนนี้เลย ฉันจะบอกว่าเธอมีธุระด่วน แบบนี้แม่ของฉันก็จะพูดอะไรไม่ได้แล้ว!” เย่เทียนเฉินรีบเปิดปากพูด

“ได้…เอ๋? ไม่ถูกสิ นายทำแบบนี้เหมือนกับว่าไม่ยินดีต้อนรับให้ฉันมาเป็นแขกของบ้านนายเลย เหมือนกำลังไล่ฉันออกไปเลย!” จู่ๆหลิงอวี่สวิ๋นก็ทำท่าทางโกรธเคืองขึ้นมา จ้องเขม็งไปทางเย่เทียนเฉินแล้วพูดขึ้น

“นี่…นี่มันสำคัญด้วยหรอ? ที่สำคัญก็คืออย่าให้แม่ของฉันเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างพวกเราผิด เธอเองก็คงไม่อยากจะพูดไม่ชัดเจนใช่ไหม? รีบไปสิ!”

เย่เทียนเฉินพูดไปก็พยายามดึงอีกฝ่ายขึ้นจากโซฟาแล้วดันไปที่ประตูคฤหาสน์ หลิงอวี่สวิ๋นก็หยิบกระเป๋าของตนเองขึ้นมา เดินออกไปที่ประตูอย่างระมัดระวัง

ไหนเลยจะรู้ว่า ตอนที่เย่เทียนเฉินเพิ่งจะเปิดประตูคฤหาสน์ออกและเตรียมจะส่งหลิงอวี่สวิ๋นไปนั้น หลัวเยี่ยนก็เดินถือจานผลไม้จานหนึ่งออกมาจากครัว เมื่อเห็นเย่เทียนเฉินและหลิงอวี่สวิ๋นเดินออกไปนอกคฤหาสน์ ก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามว่า “พวกเธอสองคนจะไปไหน?”

“อ้อ อวี่สวิ๋นเธอ ที่บ้านของเธอมีเรื่องเล็กน้อย เพิ่งจะโทรศัพท์มา ก็เลยต้องรีบกลับไปน่ะครับ” เย่เทียนเฉินพูดแล้วหัวเราะแหะๆ

“งั้นหรอ? เกิดเรื่องอะไรขึ้น?” หลัวเยี่ยนอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามอย่างใส่ใจ

“ก็ ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรหรอกค่ะ คุณน้าเดี๋ยวครั้งหน้าจะมาเล่นใหม่ ขอตัวก่อนนะคะ!” หลิงอวี่สวิ๋นพูดด้วยรอยยิ้ม

“งั้นก็ได้จ้ะ เดินทางระวังดีๆ เทียนเฉินไปส่งหนูอวี่สวิ๋นสิ!” หลัวเยี่ยนมองไปยังเย่เทียนเฉินผู้เป็นลูกแล้วพูดขึ้น

“ได้ครับ แม่รีบไปนอนก่อนเถอะ อีกเดี๋ยวผมจะเปิดประตูเอง!”

เย่เทียนเฉินพูดจบก็รีบลากหลิงอวี่สวิ๋นเดินออกไปนอกคฤหาสน์

เทพสังหาร ยุทธการระห่ำ

เทพสังหาร ยุทธการระห่ำ

Score 10
Status: Completed

นิยายแฟนตาซี แปลจีน เกิดใหม่ ต่อสู้


ผู้มีพลังพิเศษระดับพระเจ้ามาเกิดใหม่ในร่างของ ‘เย่เทียนเฉิน’

หน่วยรบพิเศษผู้ไม่เอาถ่าน ระหว่างกำลังปฏิบัติภารกิจคุ้มกันตัวผู้บัญชาการสาวหานเจี๋ยกลับประเทศ

แม้การเกิดใหม่ครั้งนี้จะทำให้พลังระดับเทพเจ้าลดเหลือเพียงระดับราชัน

แต่ขณะที่เผชิญหน้ากับกองกำลังผู้ก่อการร้ายข้ามชาติที่ได้รับมอบหมายให้มาสังหารคนทั้งคู่

เย่เทียนเฉินในร่างใหม่ได้ใช้ความสามารถจากการดูดซับพลังปราณ แสดงฝีมือการต่อสู้อันเป็นเลิศออกมา

สร้างความประหลาดใจให้ทั้งศัตรูและมิตรสหายโดยทั่วกัน

ประตูสู่การเป็นสุดยอดนักรบเปิดออกแล้ว!

แต่เย่เทียนเฉินคนใหม่ยังต้องไล่สะสางปัญหาที่ร่างเดิมก่อเอาไว้เสียก่อน

ไม่ว่าจะเป็นการล้างแค้นญาติพี่น้องผู้ชั่วช้า รับมือกับคู่แข่งทางการเมืองของบิดา

หรือกอบกู้ชื่อเสียงให้วงศ์ตระกูลจากความอัปยศในอดีต

ทั้งหมดทั้งมวลก็เพื่อจะได้อยู่พร้อมหน้ากับครอบครัวอันอบอุ่นเสียที

Options

not work with dark mode
Reset