เด็กอัจฉริยะ แม่ลึกลับ 461 ท้องก่อนแต่ง

ตอนที่ 461 ท้องก่อนแต่ง

“เธอขี่จักรยานล้ม ช่วยพยุงเธอหน่อย”

“ปกป้อง หรือแอบชอบ” จากนิสัยของหนิงเสี่ยวซี จะไม่สนใจเรื่องไม่เป็นเรื่อง ความเย็นชาของเขา เมื่อเทียบกับหนิงเส่าเฉินแล้ว ไม่มีอะไรแย่ไปกว่านี้อีกแล้ว

หนิงเสี่ยวซีเม้มริมฝีปากและเลียริมฝีปาก และเหลือบมองที่แม่ของเธอ “แม่ครับ ช่วงนี้คือแม่ว่างมากใช่ไหมครับ”

“ฉันต้องถามให้ชัดเจนกว่านี้หน่อย เรื่องแต่งงานเรื่องใหญ่ ถ้าฉันไม่สนใจใครจะสนใจ “เย่หลินเป็นคนจริงจัง ลูกชายของเขามีแฟน ซึ่งทำให้เธอตื่นเต้นเล็กน้อย

หนิงเสี่ยวซีอ้าปากกว้างและถอนหายใจเล็กน้อย “ยังเร็วเกินไป”

“ดูแล้วสวยดี รักษาไว้ เป็นหยกหายาก”

“แม่กับเธอรู้จักกันมาไม่นาน ก็มั่นใจขนาดนั้น? ”

เย่หลินจับหลังของหนิงเสี่ยวซี “แม่เชื่อในสายตาของลูกชายแม่”

หนิงเสี่ยวซีก้มศีรษะลง เชื่อสายตาของเขา ตัวเขาเองก็แทบจะสงสัย ผู้หญิงที่งี่เง่าและไร้เดียงสา เขาไม่รู้จริงๆว่าชอบเธอตรงไหน

ครึ่งปีต่อมา เวินเสี่ยวซีส่งข้อความถึงเย่หลิน “แม่ย่า เสี่ยวซีตอบตกลงที่จะคบกับฉันแล้ว แต่เขาบอกว่าเขาจะกลับไปที่เมือง C ฉันควรทำอย่างไร”

ใช่ ตอนทานข้าวครั้งที่แล้ว ตอนที่หนิงเสี่ยวซีไปห้องน้ำ เย่หลินได้ขอเบอร์โทรของเวินเสี่ยวซี แล้วทำการเพิ่มวีแชทของเธอ ทั้งสองได้ติดต่อกันเสมอ เวินเสี่ยวซีเด็กคนนี้เหมือนกระดาษขาว ไม่มีอุบาย คิดอะไรก็จะพูดแบบนั้น เย่หลินได้เรียนรู้ในภายหลังว่าคะแนนการบ้านของเธอดีมาก แม้ว่าจะเทียบไม่ได้กับอัจฉริยะอย่างหนิงเสี่ยวซี แต่เธอก็เป็นผู้หญิงที่ดีมากๆ

และที่บ้านสอนมาดี สามารถทำอาหารได้ ในอนาคตหนิงเสี่ยวซีจะไม่ต้องทนหิว และสิ่งที่สำคัญที่สุดคือเขาชอบหนิงเสี่ยวซี เย่หลินยิ่งดูยิ่งชอบใจ

ดังนั้น เธอจึงมักจะสอนเวินเสี่ยวซีถึงวิธี “จัดการ” ลูกชายของเธอ

ในวันหนึ่ง ขณะที่เย่หลินไปอาบน้ำ โทรศัพท์อยู่ในหน้าแชทของวีแชท

“แม่ย่า วันนี้เสี่ยวซีจูบหนู หนูมีความสุขมาก”

หนิงเส่าเฉินหน้าดำขึ้นมา แม่ย่า?

เมื่อเย่หลินออกมา ชายหนุ่มวางหนังสือในมือลงแล้วตบที่ว่างด้านข้างของเขา “มานี่สิ”

เมื่อดูหน้าจอโทรศัพท์ที่ยังคงเปิดอยู่ เย่หลินก้มศีรษะลง ดูเหมือนว่าเขาจะทำอะไรผิด “คุณเห็นแล้วหรอ?”

“ทำไมฉันไม่รู้ คุณยังมีงานอดิเรกนี้อยู่”

เย่หลินสูดหายใจเข้าและนั่งอยู่ในอ้อมแขนของหนิงเส่าเฉิน วาดวงกลมบนหน้าอกด้วยมือของเขา “คุณ อีกไม่นาน บางที คุณอาจจะได้เป็นปู่”

หลังจากพูด เธอเงยหน้าขึ้นและเห็นใบหน้าของหนิงเส่าเฉินกระตุกสองสามครั้ง เธอปิดปากของเธอและไม่สามารถหยุดยิ้มได้

หนิงเส่าเฉิน? ปู่ ……

เมื่อคิดถึงเด็กหญิงตัวเล็ก ๆ ที่ยังคงจ้องมอง “ปู่” คนนี้ เย่หลินยิ้มแทบหายใจไม่ออก

หนิงเส่าเฉินสูดลมหายใจเข้า เห็นได้ชัดว่า สำหรับการเรียกแบบนี้ เขาเหมือนกับเย่หลินในตอนนั้นซึ่งไม่สามารถยอมรับได้

ทั้งสวยทั้งหล่อทั้งคู่ ประกอบกับหลายปีที่ผ่านมา ถูกบังคับโดยเย่หลินและดูแลรักษาเป็นประจำ ดูแล้วเหมือนแค่อายุแค่สามสิบต้นๆ

เย่หลินคิดๆ แล้วขำ

“คุณอย่าไปยุ่งกับเรื่องของลูกมากนัก เสี่ยวซีเขามีขอบเขตของเขา” หนิงเส่าเฉินกล่าวหลังจากคิดเรื่องนี้

เย่หลินมองไปที่หนิงเส่าเฉิน “เขาก็เหมือนกัน … บอบบางเกินไป ต้องมีใครสักคนมาเติมไฟ ฉันชอบเสี่ยวเวินคนนี้”

ชายหนุ่มมองมาที่เธอโดยตรง “คุณกำลังพูดถึงอะไร? แอบแฝง?”

เมื่อเห็นดวงตาของชายคนนั้นค่อยๆเปลี่ยนไป เย่หลินก็ลุกขึ้น “ฉันจะดูว่าสามคนนั้นหลับหรือยัง คุณดูหนังสือต่อเลย”

วันที่สอง หนิงเสี่ยวซีซึ่งเพิ่งกลับมาถึงบ้าน ถูกเรียกให้ไปเรียนหนังสือ

“ฟังจากที่แม่เธอพูด ฉันจะเป็นปู่แล้ว”

ปากของหนิงเสี่ยวซีกระตุกเล็กน้อย “ใช่ สองปีนี้น่าจะยังไม่ อาจต้องหาเวลาที่เหมาะสมก่อน ”

“ให้ความสนใจกับการดูแลก่อนคลอดและหลังคลอด การให้กำเนิดเร็วเกินไป ส่งผลกระทบต่อไอคิวได้” ชายหนุ่มพูดเรื่องไร้สาระอย่างจริงจัง

หนิงเสี่ยวซีขมวดคิ้ว “ใช่ มันส่งผลต่อไอคิว ไอคิวแรกเกิดค่อนข้างสูง” เขาหมายถึงอะไรบางอย่าง

หนิงเส่าเฉินเงยหน้าขึ้นมองเขา…

“เสียงเคาะประตู…”

ประตูถูกผลักเปิดออก

เย่เสี่ยวโม่ยื่นหัวออกไปที่ประตูและเขย่าโทรศัพท์ “พี่สะใภ้บอกว่าตอนนี้เธออยู่ที่สนามบิน พี่จะไปพบเธอไหม”

หนิงเสี่ยวซีทำหน้าหมดหนทาง “สนามบิน?” เขาดูเวลาเป็นเวลาห้าทุ่ม

ก่อนหน้านี้ เวินเสี่ยวซีส่งข้อความหาเขาโดยบอกว่าเธอต้องการพบเขา

เขาตอบกลับหาเธอ “ถ้ามีความสามารถ เธอก็มา…” เขายอมรับว่าตอนนั้นพูดแบบนั้น แต่…ผู้หญิงคนนี้โง่คนนี้มาถึงบ้านจริงๆ

นี่มันดึกดื่นค่อนคืน มุมปากของเขายกขึ้นเล็กน้อย

“เย่เสี่ยวโม่ อย่าแตะต้องมือถือของฉัน”

เย่เสี่ยวโม่เม้มปากทำหน้าเหมือนกลัวและซ่อนโทรศัพท์ไว้ข้างหลังเขา “ถ้าพี่ยังดุอีกเชื่อหรือไม่ฉันจะส่งข้อความบอกพี่สะใภ้ว่าจะไม่ไห้พี่จูบเธอ.”

จูบ? เมื่อมองไปที่น้องสาวคนนี้ที่อายุน้อยกว่าเขาหลายปี หนิงเสี่ยวซีหันไปมองแม่บุคคลที่สามบนโซฟา เขาหลับตาแล้วคำราม “แม่ ทำไมแม่บอกทุกอย่างกับเธอล่ะ? ”

หนิงเส่าเฉินเดินออกจากห้องหนังสือและจ้องมองเขา “เสี่ยวซี ใช้นำเสียงคุยกับแม่ดีๆ ”

หลังจากพูดเสร็จ เขาเดินไปที่โซฟา อุ้มเย่หลินไว้ในอ้อมแขนและดูทีวีกับเธอ

“พี่ชาย ถ้าพี่ไม่รับพี่สะใภ้ เธออาจจะถูกคนไม่ดีจับตัวไป” เย่เสี่ยวโม่พูดแล้ววางโทรศัพท์ลงในกระเป๋าของหนิงเสี่ยวซี ยิ้มอย่างไม่ใส่ใจ

หนิงเสี่ยวซีมองดูผู้คนในห้องนี้ หยิบกระเป๋าแล้ววิ่งออกไป

“มีเมียแล้วลืมแม่ ไม่มีประโยชน์ไร้ประโยชน์” เย่หลินพูด ปากของเขาแคบลง

“คุณว่า ฉันควรจะเกษียณแล้วเลี้ยงหลานแล้วใช่ไหม? ”

หนิงเส่าเฉินขมวดคิ้วและถอนหายใจอย่างไม่ได้ยิน “หยุดพูดเรื่องนี้สักทีได้ไหม ไม่กลัวคนบาดหมางใจกันหรือ ”

เย่หลินมองไปที่เขา “หัวเราะลั่น “ฉันต้องการให้คุณเตรียมใจให้เร็วที่สุด…”

สองปีต่อมา เย่หลินอายุ 40 ปี และ หนิงเสี่ยวซีอายุ 22 ปี

“แม่ย่า,หนิงเสี่ยวซีอายุ22แล้วใช่ไหม ”

เย่หลินตอบว่า “ใช่แล้ว”

“แต่เขาบอกว่าเขายังเด็ก และปฏิเสธที่จะจดทะเบียนสมรสกับหนู”

เย่หลินมองไปที่หน้าจอวีแชทและหันไปมองหนิงเส่าเฉิน”คุณว่า ฉันจะตอบอย่างไงดี ลูกของคุณ ไม่รีบร้อนแบบคุณจริงๆ ”

หนิงเส่าเฉินรับโทรศัพท์และตอบกลับคำสองสามคำอย่างรวดเร็ว

“ท้องก่อนแต่ง”

เย่หลินพยักหน้า “ดูเหมือนว่ามีคนพร้อมที่จะเป็นปู่แล้ว”

ชายหนุ่มทำหน้าหมดหนทางอีกครั้งและจูบที่หน้าผากของเธอ “โอเค คุณยาย ไปนอนได้แล้ว”

เย่หลินเห็นหนิงเสี่ยวซีอีกด้านหนึ่งของห้างสรรพสินค้า ก็อดไม่ได้ที่จะหันไปมองอย่างแปลกใจ

เมื่อเห็นเด็กผู้หญิงคนหนึ่งถือถุงใบใหญ่ใบเล็กออกมาจากร้านร้านหนึ่ง เธอเม้มปากแล้วยิ้ม แปลกใจและดีใจเล็กน้อย ลูกชายของเธอ มีคนที่ชอบแล้วเหรอ?

การปรากฏตัวครั้งนี้ทำให้เธอรู้สึกว่าตนเองคิดถูกจริงๆ

“ใครเหรอ?” เธอระงับความตื่นเต้นในใจ พูดได้ว่าเธอเป็นกังวลมาตลอด ว่าในอนาคต หนิงเสี่ยวซีเป็นคนที่ทะนงตัวแบบนี้ จะไม่สามารถหาผู้หญิงที่ถูกตาต้องใจเขาได้

หนิงเสี่ยวซีพูดว่า “เพื่อนร่วมชั้น”

เพื่อนร่วมชั้น? นี่คือลูกของตนเอง เย่หลินจะไม่เข้าใจเขาได้อย่างไร อุปนิสัยของหนิงเสี่ยวซีคล้ายกับหนิงเส่าเฉินอย่างมาก พูดให้น่าฟังหน่อย ก็คือเท่ พูดอย่างไม่น่าฟังก็คือเย็นชาแต่โรแมนติก

เธอกระแอมเบาๆ แต่เสียงดังเล็กน้อยในห้างที่โล่งกว้าง

เด็กสาวคนนั้นได้ยินก็หันไปมอง พอดีกับเย่หลินกำลังหอมแก้มหนิงเสี่ยวซีอยู่ เธอจึงพูดหยอกล้อว่า “ตอนเย็นไปทานข้าวด้วยกันสิ ฉันจะช่วยคุณอธิบาย”

หนิงเสี่ยวซีหันไปมองสีหน้าแม่ที่ยิ้มอย่างปลื้มใจ เขาสงสัยจริงๆเลย นี่คือแม่ของตนเองใช่ไหม? ใส่ใจลูกชายขนาดนี้เลยเหรอ?

ถุงในมือผู้หญิงคนนั้นตกลงบนพื้น ขอบตาเธอเต็มไปด้วยน้ำตาในชั่วพริบตา เดิมทีเขาชอบผู้หญิงที่เป็นผู้ใหญ่อย่างนี้นี่เอง

เธอแทบจะพุ่งเข้ามาหาหนิงเสี่ยวซี ยืนอยู่ตรงหน้าเขา เงยหน้ามองเขา น้ำตาไหล แต่ไม่ได้พูดอะไร

หนิงเสี่ยวซีลูบๆปลายจมูก “คุณ คุณมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร?”

เด็กผู้หญิงคนนั้นไม่พูดจา หันกลับวิ่งไปทางด้านนั้น เก็บถุงบนพื้นขึ้นมา เอามาวางไว้ตรงหน้าหนิงเสี่ยวซี ปิดปากหันกลับเดินออกไป

เย่หลินขมวดคิ้ว ก้มไปหยิบถึงที่พื้น

“หนังสือสองเล่ม ซีดีหนึ่งแผ่น เสื้อเชิ้ตหนึ่งตัว กางเกงหนึ่งตัว แล้วก็กางเกงในสามตัว รองเท้าหนึ่งคู่ กางเกงในคือขนาดลูกชายของฉัน และรองเท้าก็คือขนาดของลูกชายฉัน……”

เย่หลินกำลังจะพูดอะไรอีก

หนิงเสี่ยวซีก็แย่งถุงจากในมือของเธอไป

“คุณต้องรับผิดชอบที่จะอธิบายนะ”

เย่หลินพยักหน้า “อธิบายได้ คุณก็ให้เธอมาทานข้าวเย็นด้วยกันสิ”

อายุ 38 ปี ต้องเป็นแม่สามีแล้ว ใจเย่หลินรับไม่ค่อยได้เล็กน้อย

“เสี่ยวซี พวกคุณอย่าเพิ่งมีลูกนะ ฉันยังรับไม่ได้ที่จะถูกเรียกว่าคุณย่า”

หนิงเสี่ยวซีหยุดฝีเท้า หางตากระตุก หันไปถลึงตาใส่แม่ตนเอง ท้ายที่สุดเขาก็ฉีกยิ้มอย่างเอ็นดู พูดอย่างยิ้มเยอะว่า : “จะให้ตาเฒ่าคนนั้นมารับคุณกลับไปทันทีเลย”

ตาเฒ่า? หนิงเส่าเฉินนะเหรอ?

เย่หลินยืนหัวเราะอยู่ข้างหลังเขา

มองภาพด้านหลังของลูกชาย เธอแค่รู้สึกว่าโชคชะตาปฏิบัติต่อเธอไม่เลวเลยจริงๆ

ตอนเย็น

“คุณผู้หญิง ฉันอยากจะแนะนำตัวเองหน่อย ฉันเป็นแม่ของหนิงเสี่ยวซี” เธอจงใจเน้นคำว่าแม่ จากนั้นก็พูดว่า : “สวัสดีค่ะแม่สามี” ผู้หญิงคนนั้นตกตะลึงก่อน จากนั้นก็มีสีหน้าดีใจ รีบลุกขึ้นยืน ถึงแม้น้ำชาจะเทราดตนเองก็ไม่สนใจ ก้มโค้งคำนับเย่หลินด้วยใบหน้าน่ารักไร้เดียงสา แล้วพูดอย่างตรงไปตรงมา

หนิงเสี่ยวซีพูดไม่ออก คนIQ190อย่างเขา จะชอบคนไอคิวต่ำแบบนี้ได้อย่างไร

เขานั่งลงข้างๆ หยิบทิชชูมาเช็ดน้ำให้เธอ “แม่สามีอะไร? ใครจะแต่งงานกับคุณ?” ต่อว่าอย่างนี้ แต่การกระทำอ่อนโยนมาก

เย่หลินเม้มปาก สำหรับความไร้เดียงสาของเด็กผู้หญิงคนนี้ สำหรับความอ่อนโยนของหนิงเสี่ยวซี ใบหน้าก็เต็มไปด้วยรอยยิ้ม “โอเคๆ

ระหว่างมื้ออาหาร

“คุณแม่……คุณน้า นี่เป็นอาหารพื้นเมืองแท้ๆขอที่นี่ คุณลองชิมดูนะคะ”

“คุณน้า อันนี้ต้องทานคู่กันกับอันนี้ถึงจะอร่อยค่ะ”

“เสี่ยวซี คุณทานเผ็ดขนาดนั้นไม่ได้ ครั้งที่แล้วคุณทานเสร็จ ก็ปวดหัว คุณลืมไปแล้วเหรอ”

เย่หลินมองรูปร่างหน้าตาของคนคนนี้แล้วก็นับว่าสวย แต่ที่รู้สึกสบายอย่างมาก ส่วนนิสัยก็ดูหัวดื้อเล็กน้อย แต่ก็ดูเป็นเด็กผู้หญิงที่จริงใจ เม้มปาก พูดตามตรงว่า ถึงแม้ว่าปัจจัยของเด็กผู้หญิงคนนี้ จะเทียบไม่ได้เลยกับหนิงเสี่ยวซี แต่เธอก็ยังรู้สึกว่าคนทั้งสองเหมาะสมกันดี

ตั้งแต่เด็กหนิงเสี่ยวซีสนิทสนมกับคนวัยเดียวกันน้อยมาก ยิ่งเด็กผู้หญิงยิ่งไม่ต้องพูดเลย ช่วงเวลาก่อนหน้านี้ เธอกับหนิงเส่าเฉินยังสงสัยว่าลูกชายคนนี้มีปัญหาเรื่องรสนิยมทางเพศหรือเปล่า แต่เมื่อเห็นเขาปฏิบัติต่อเด็กผู้หญิงคนนี้อย่างอ่อนโยนแบบนี้แล้ว ถึงแม้ปากจะร้าย แต่ความอ่อนโยนในสายตาของเขา เธอเคยเห็นมันในสายตาของหนิงเส่าเฉิน

จึงอดไม่ได้ที่จะโล่งอก

“คุณชื่อ…..”

“เวินเสี่ยวซี” เด็กผู้หญิงตอบกลับอย่างอ่อนโยน จากนั้น ก็กล่าวเสริมอีกว่า: “ซีที่มาจากคำว่าแตงกวาค่ะ”

เย่หลินอ้าปากค้าง เสี่ยวซี เสี่ยวซี? นี่ เป็นพรหมลิขิตจริงๆเหรอ…..เพียงแต่ซีที่มาจากคำว่าแตงกวา เย่หลินสูดลมหายใจเข้า มองหนิงเสี่ยวซี

“คุณน้า คุณเรียกฉันว่าเสี่ยวเวินก็ได้ค่ะ”

เย่หลินพยักหน้า

“เสี่ยวเวิน คุณ….เป็นคนที่นี่เหรอ?”

เวินเสี่ยวซีพยักหน้า “อื้ม พ่อฉันเป็นคนที่นี่ แม่ฉันเป็นคนเมืองC”

“อ้อ อย่างนั้นก็บังเอิญจัง แล้ว พ่อแม่ของคุณทำงานอะไรเหรอ?”

“แม่ คุณถามแบบนี้ทำไม?” หนิงเสี่ยวซีขมวดคิ้ว ไม่พอใจเล็กน้อย

เย่หลินมองค้อนเขาทีหนึ่ง เธอไม่ใช่แม่สามีที่เลือกปฏิบัติแบบนั้นแน่นอน เพียงแต่ กับเด็กผู้หญิงคนนี้ อย่างน้อยเธอก็อยากรู้พื้นเพครอบครัวให้ชัดเจน

เวินเสี่ยวซีลุกขึ้นยืนอีกครั้งอย่างรวดเร็ว “คุณน้า แม่ของฉันและพ่อของฉันทำงานทั้งคู่เลยค่ะ”

ทำงาน? เย่หลินพยักหน้า แต่เมื่อเวินเสี่ยวซีกล่าวประโยคนั้นออกมา เย่หลินก็ประทับใจกับเวินเสี่ยวซีคนนี้อย่างมาก

“พ่อเป็นผู้รักษาการแทนนายกเทศมนตรี แม่เป็นผู้บังคับบัญชาของสำนักงานตำรวจค่ะ”

ห๊ะ? นี่มันเกินความคาดหมายไว้จริงๆ

คนทั้งสองที่มีหน้าที่การงานระดับสูงแบบนี้ ทำไมถึงสอนเด็กผู้หญิงคนนี้ได้อย่าง”ใสซื่อ”แบบนี้นะ

อีกทั้ง เด็กผู้หญิงคนนี้พูดแค่ง่ายๆว่าทำงาน ไม่โอ้อวด ไม่เสแสร้ง

นี่จึงทำให้เย่หลินชื่นชมจริงๆ

“คุณชอบหนิงเสี่ยวเหรอ?”

“แม่!” หนิงเสี่ยวซีขมวดคิ้ว

ทางด้านเด็กผู้หญิงตอบกลับอย่างรวดเร็วว่า: “อื้ม ชอบมาก ตามเขามาสองปีแล้ว เขา…..ไม่เห็นด้วยมาโดยตลอด” เด็กผู้หญิงพูดประโยคนี้จบ ในสายตาก็หดหู่เล็กน้อย

จากนั้นเย่หลินยังไม่ทันเอ่ยปาก เวินเสี่ยวซีคนนี้ก็กล่าวเสริมอีกว่า: “แต่ฉันก็ไม่ยอมถอดใจหรอก อย่างน้อย ตอนนี้เขาก็ยอมพูดกับฉันแล้ว”

เย่หลินรู้สึกว่าเด็กผู้หญิงคนนี้ดูน่ารัก”ไร้เดียงสา” ลูกชายของเธอ ถ้าหากไม่ชอบ จะเช็ดน้ำให้เธอ จะพาเธอมาเจอแม่เหรอ?

เพียงแต่ เธอไม่ได้แสดงความลับของคนอื่นออกมา เรื่องความรักนี้ คนนอกจะเข้ามายุ่งก็ไม่ค่อยเหมาะสม

หลังจากพาเวินเสี่ยวซีกลับไปส่ง

เย่หลินจึงเอ่ยปากว่า “รู้จักกันได้อย่างไร?”

ทั้งสองคนเพิ่งออกจากบ้านมา ก็ได้ยินเสียงรถจอด ชายหญิงคู่หนึ่งเดินลงมาจากรถ ผู้หญิงเย่หลินรู้จัก คนคนนั้นชื่อโอวหยางอะไรสักอย่าง ผู้ชายคือเซี่ยอวี่

นี่กี่ปีแล้วที่ไม่ได้เจอกัน? เธอยังคงจำได้แม่นยำ คนคนนั้นช่วยเธอซื้อผ้าอนามัย แล้วก็เอาเสื้อมาบังให้เธอ

อืม ใช่ เธอลืมไปเลย เซี่ยวอวี่กับโอวหยางแต่งงานกันแล้ว เคยได้ยินหนิงเส่าเฉินบอก

เมื่อโอวหยางเห็นเย่หลิน เห็นได้ชัดว่าตกตะลึง ได้ยินแม่บอกว่า เพราะแม่ของผู้หญิงคนนี้ พ่อจึงย้ายออกจากบ้านไป

แววตาเธอเย็นชาอย่างมาก

เซี่ยวอวี่เห็นเย่หลิน ก็รู้สึกว่าคนคนนี้เหมือนเคยเจอกันมาก่อน

เย่หลินมองเขาแล้วยิ้มเล็กน้อย “สวัสดีค่ะ คุณเซี่ย”

น้ำเสียงนี้ เซี่ยอวี่ก็ตกตะลึง เขาหัวเราะ เขาฟังผิดไปอย่างแน่นอน นี่คือภรรยาของหนิงเส่าเฉิน……

“คุณคือ……”

เป็นธรรมดาที่เย่หลินไม่สามารถอธิบายเรื่องที่ปิดบังใบหน้าของตนเองก่อนหน้านี้ได้ เรื่องบางเรื่อง ผ่านไปแล้ว ก็ควรจะให้มันผ่านไป

“เธอก็คือลูกสาวของนังจิ้งจอกคนนั้น” โอวหยางพูดอย่างลวกๆ

เซี่ยอวี่ดึงเธอเล็กน้อย

สายตาของหนิงเส่าเฉินเย็นชาลงทันที “คุณพูดอีกทีสิ?”

เป็นธรรมดาที่โอวหยางจะรู้จักหนิงเส่าเฉินดี เธอถอยไปอยู่ข้างหลังเซี่ยอวี่ พูดพึมพำว่า : “ที่แท้ลูกไม้ก็ย่อมหล่นไม่ไกลต้น ไม่ใช่เธอก็แย่งเขามาจากเกาเหวินหรอกเหรอ?”

หนิงเส่าเฉินอยากจะเดินเข้าไป เย่หลินรั้งเขาไว้ “ไปกันเถอะ”

เรื่องบางเรื่องเถียงไปก็ไร้ประโยชน์

เธอหันไปพูดกับเซี่ยอวี่ว่า “แววตาหมอเซี่ยดูไม่ค่อยดีเลย”

เซี่ยอวี่ยิ้มตอบกลับอย่างจนปัญญาเล็กน้อย “ต้องขอโทษด้วย……”

เย่หลินยิ้มตอบกลับอย่างสดใส “ไปก่อนนะ”

รอยยิ้มนี้ มันสะเทือนใจโอวหยางที่อยู่ข้างๆ “เซี่ยอวี่ ไม่อนุญาตให้คุณมองผู้หญิงอื่นนะ”

เซี่ยอวี่ผลักเธอที่พัลวันอยู่กับแขนของเขา “คุณลืมไปแล้วเหรอ วันนี้มาคุยเรื่องหย่ากับพ่อของคุณ พรุ่งนี้ เราก็จะต่างคนต่างโสด ฉันจะมองใคร แล้วเกี่ยวอะไรกับคุณด้วย?”

เมื่อเย่หลินเปิดประตูรถ ก็ได้ยินเสียงร้องไห้จากด้านหลัง

“เซี่ยอวี่ ฉันไม่หย่ากับคุณหรอก”

“อย่าเพ้อเจ้อ”

เย่หลินปิดประตูรถ เห็นว่าหนิงเส่าเฉินไม่ได้สตาร์ตรถ ก็เบ้ปาก “หมายความว่าอะไร? ทำไมไม่ไปล่ะ?”

“ต่อไปไม่อนุญาตให้ยิ้มอย่างนั้นกับผู้ชายคนอื่นอีก”

เย่หลินรู้ว่าเขาหมายความว่าอะไร แต่แกล้งโง่ “เป็นมารยาทนะ”

เซี่ยอวี่ ขอให้ชีวิตใหม่ของคุณมีแต่ความสุข

……

ปีนี้เย่หลินอายุ 38 ปี และปีนี้หนิงเสี่ยวซีอายุ 20 ปี เป็นนักศึกษาปีสองอยู่ในเมืองที่ห่างไกลออกไป บอกว่าอยากสัมผัสชีวิตแบบคนธรรมดา เย่หลินเป็นห่วง เลยตัดสินใจไม่เยี่ยมเขา หนิงเสี่ยวซีอยู่หอพักกับเพื่อนร่วมชั้นสี่คน จู่ๆเพื่อนก็วิ่งมาจากด้านนอก แกว่งมือถือในมือ

“พวกเรา มาดูสาวสวยที่หน้าประตูโรงเรียนเร็ว”

เพื่อนสองคนที่อยู่บนเตียงแทบจะกระโดดลงมา “ดูหน่อยๆ ดูหน่อยๆ……”

หนิงเสี่ยวซีที่อยู่บนเตียง รู้สึกเฉยๆ ในบ้านก็มีผู้หญิงสวยๆ เขามีภูมิคุ้มกันต่อสาวสวยอยู่แล้ว

“ว้าว ดูดีจริงๆ ไม่เคยเห็นสาวรุ่นใหญ่ที่สวยอย่างนี้มาก่อนเลย จุ๊ๆ……”

“เฮ้อ  รวบรวมถุงเท้าของทุกคนมาเลย”

หนิงเส่าเฉินหรี่ตา ตื่นเต้นเล็กน้อย

“มึงไสหัวไปเลย ใครทำให้กูเห็นเธออยู่ตรงหน้าได้ เทอมนี้ รวบรวมเสื้อผ้ามาเลย แล้วก็จะซักด้วยมือด้วย”

หนิงเสี่ยวซีเม้มๆปาก ฟังเงื่อนไขนี้ก็ไม่เลว

“เชี่ย นับประสาอะไรกับซักเสื้อผ้า แค่ทำให้เธอยิ้มให้พวกเราได้ อย่าพูดถึงซักเสื้อผ้าเลย ล้างเท้าพวกเราก็จะทำให้”

ท้ายที่สุดหนิงเสี่ยวซีก็ลุกขึ้นนั่ง นิ้วเรียวยาวยื่นออกไป ไปย่างมือถือมาจากเพื่อนร่วมหอ เมื่อเห็นภาพด้านข้างของผู้หญิงคนนั้น เขาก็แทบกระอักเลือด

เขาสมองกลวงเหรอ? คาดไม่ถึงว่ามาใช้ชีวิตอยู่มหาวิทยาลัยแล้ว นี้ยังต้องมาอยู่หอร่วมกับกลุ่มSBอีก

เพียงแต่ เอาเถอะ เพื่อปรนนิบัติรับใช้บางคน เขาก็ต้องเสียสละความงามของแม่สักเล็กน้อย หวังว่าประธานหนิงจะไม่รู้

เขากระแอมเบาๆ “ถ้าฉันสามารถให้เธอเลี้ยงข้าวพวกคุณได้ อย่างนั้นเรื่องราวทั้งหมดของภาคเรียนนี้……”

“สัญญา”

“สัญญา”

“สัญญาแน่นอน

คนทั้งสามตอบกลับมาอย่างมั่นใจ

“คำพูดออกจากปากไปแล้ว”

“ยากที่จะคืนคำ ใครโกหก ให้แม่งเสื่อมสมรรถภาพทางเพศ”

หนิงเส่าเฉินสบายใจ หยิบมือถือออกมา กดต่อสายไปยังเบอร์ที่คุ้นเคย

“เสี่ยวซี คุณเลิกเรียนแล้วเหรอ?”

“อื้ม อยู่ไหน?”

“ฉันอยู่หน้าทางเข้ามหาวิทยาลัยของคุณ”

“อ้อ อย่างนั้น คุณเย่ ตอนกลางวัน สามารถเลี้ยงข้าวเพื่อนร่วมหอของฉันหน่อยได้ไหม?”

เย่หลินหยิบมือถือออกมาดู เป็นเบอร์ของหนิงเส่าเฉินจริงๆ แล้วก็เป็นเสียงของลูกชาย เพียงแต่ นี่เรียกคุณเย่ได้ยังไงกัน ทำไมดูเป็นเด็กไม่รู้จักเคารพผู้ใหญ่เลย

“โอเค อย่างนั้นอีกสักพักจะส่งที่อยู่ให้คุณ”

พอวางสาย เย่หลินก็ส่ายหน้า เจอหน้าแล้วค่อยจัดการคุณ กล้ามาเรียกคุณเย่

แต่ทางด้านหอพัก ส่งเสียงคึกคักเจี๊ยวจ๊าว

“เชี่ย หนิงเส่าเฉิน คุณรู้จักเหรอ?”

หนิงเสี่ยวซีเม้มปาก ตอบกลับอย่างไม่สะทกสะท้านว่า: “อืม เป็นญาติคนหนึ่ง” แม่ก็คือญาติ ไม่ผิด

ได้ยินเสียงข้อความดัง”ตึ๊ง”

หนิงเส่าเฉินก็มองเพื่อนร่วมหอ “ไปกันเถอะ”

เมื่อคนทั้งสามเข้าไปในห้องวีไอพี เมื่อเห็นสาวสวยคนนั้นยิ้มกับพวกเขาอย่างอ่อนโยน หนุ่มๆวัยรุ่นทั้งสาม ก็มองอย่างใจลอยไปในชั่วพริบตา

แต่ว่า…..

“แม่ คุณมาคนเดียวเหรอ? พ่อไม่มาเหรอ?”

เพียงแต่ต่อมา เสียงที่ดังเข้ามามันคืออะไรกัน?

หนิงเสี่ยวซีเรียกว่าอะไรนะ? เรียกแม่เหรอ?

เย่หลินทักทายเพื่อนร่วมหอทั้งสาม “มา พวกคุณมานั่งเร็วเข้า ได้ยินเสี่ยวซีบอกว่า อยู่มหาวิทยาลัย พวกคุณดูแลเขาดีมาก ฉันเป็นแม่ของเสี่ยวซี ต้องขอบคุณอย่างมากที่พวกคุณดูแลเขา วันนี้อยากทานอะไร ก็บอกมาได้เลย”

อาหารมื้อนี้ เพื่อนร่วมหอทั้งสาม เหมือนกับได้กิน”ขี้” ทานไม่ลงเลย

และเสี่ยวซีก็ทำตัวไม่ถูกเหมือนกัน เขาฝืนยิ้มอย่างเกรงใจ ดูแล้ว การมีแม่ยังสาว ก็เป็นผลดีนะ

ในที่สุด ก็มีผู้ใจกล้าคนหนึ่งในจำนวนนั้น เอ่ยปากว่า “อืม…..เอ่อ คุณเป็นแม่เลี้ยงของเสี่ยวซีเหรอ?”

เย่หลินวางช้อนซุปที่อยู่ในมือลงบนโต๊ะเบาๆ เข้าใจในทันใด ส่ายหน้าแล้วยิ้มเล็กน้อย “เพื่อนนักเรียน ฉันคลอดหนิงเสี่ยวซีตอนอายุ18 ปีนี้อายุ38 เคยตรวจสอบทางการแพทย์แล้ว เป็นแม่แท้ๆ ไม่ผิดพลาด”

หันหน้ากลับไปมองลูกชายข้างๆที่เล่นละครได้ดี เย่หลินก็หัวเราะอย่างเย็นชาแล้วกล่าวว่า “เลือกมา จะให้บอกพ่อของคุณ หรือตอนบ่ายจะไปเป็นเพื่อนช้อปปิ้ง?”

หนิงเสี่ยวซีอ้าปากค้าง “แม่ เปลี่ยนตัวเลือกได้ไหม?”

“ขอไปเป็นเพื่อนช้อปปิ้งตอนเย็น”

หญิงสาวหยิบมือถือออกมา เริ่มกดตัวเลขสองสามตัวนั้นที่หนิงเสี่ยวซีคุ้นเคย เมื่อกดตัวเลขตัวที่เก้า หนิงเสี่ยวซีก็หลับตา “ตอนบ่ายไปเป็นเพื่อนคุณช้อปปิ้ง”

ในห้างสรรพสินค้า

ชายหนุ่มที่หล่อเหลาถือของสองไม้สองมือ เดินตามหลังสาวสวยที่เพริศพริ้ง “แม่ คุณยังจะซื้ออะไรอีก?”

“ยังไม่ได้ซื้อของให้คุณปู่คุณย่าคุณเลย มาทางด้านนี้แล้ว ต้องซื้อผลิตภัณฑ์ประจำท้องถิ่นกลับไปซะหน่อย วางใจได้ ฉันจะบอกว่าเสี่ยวซีกตัญญูต่อพวกเขา”

หนิงเสี่ยวซีมองแม่ เขาสาบานว่า อนาคตถ้าเขาแต่งงานกับภรรยา เงื่อนไขก็คือ ไม่ชอบช้อปปิ้ง

แต่เมื่อเขาเห็นเงาของเชี่ยนลี่เดินออกมาจากในร้านร้านหนึ่ง สีหน้าของเขา ก็มืดมนถึงขีดสุด

สีหน้าของโม่หานไม่ได้เปลี่ยนไปมากนัก เขาหันศีรษะมองอู๋เหิง “ตอนบ่ายไม่มีอะไร ไปเที่ยวรอบๆอย่างอิสระกันเถอะ เพื่อนเก่าของคุณ ฉันจำได้ว่าอยู่ที่นี่ ไปประชุม”

มู่เฉียวสังเกตว่าสีหน้าของอู๋เหิงมืดมนลงทันที ใบหน้าเขาบูดบึ้ง “ไปทำไม ? ไปดูครอบครัวเขามีความสุขขนาดไหนเหรอ ?”

โม่หานหรี่ตา และหยิบโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋าแล้วเปิดออก ส่งให้กับอู๋เหิง “ดูเองละกัน”

อู๋เหิงหยิบมันขึ้นมาด้วยความงุนงง จากนั้น ดวงตาทั้งสองข้างของเขาก็เบิกกว้างราวกับได้เห็นโลกใหม่ เขามองโม่หาน “สิ่งนี้ได้มาจากไหน ?”

“แผ่นที่อยู่ข้างหลังอีกหน้า อีกเดี๋ยวส่งวีแชทให้คุณ รีบไปเถอะ”

อู๋เหิงเหลือบมองโม่หานอย่างซาบซึ้ง แล้วตบไปที่ไหล่ของเขา “คุ้มแล้วพี่ชายที่ผมรักคุณโดยไม่เปล่าประโยชน์”

หลังจากที่อู๋เหิงจากไป โม่หานก็มองไปที่หลินซานอีกครั้ง “ตอนบ่าย ผมยังมีธุระอยู่ทางนี้อีกนิดหน่อย” ความหมายก็คือ เขาไม่มีเวลาไป โบส์ถอะไรนั่น

เมื่อเห็นโม่หานจากไป มู่เฉียวก็ภูมิใจเล็กน้อย

ทันใดนั้น จังหวะการก้าวเท้าของชายหนุ่มก็หยุดลง และชายคนหนึ่งก็หันกลับมามองมู่เฉียวแล้วพูดอย่างเป็นทางการว่า “คุณมู่ ผมยังต้องการให้คุณมาทำธุระกับผมในตอนบ่าย”

มู่เฉียวตอบกลับไป “อ่อ ค่ะ ประธานโม่” จากนั้น เธอก็รีบตามเขาไป

……

เมื่อมองไปที่โบสถ์ข้างหน้า มู่เฉียวก็หันศีรษะมองโม่หาน “คุณนี่รู้ไส้รู้พุงของฉันหมดเลยรึเปล่า ?”

ชายหนุ่มรั้งเอวของเธอไว้ “ถ้าไม่มาดู เกรงว่าตอนกลางคืนจะมีคนนอนไม่หลับ”

มู่เฉียวเม้มริมฝีปากและยิ้ม “พูดมาตรงๆ ว่าทำไมถึงเคยอยู่ด้วยกัน…….”

“ในตอนที่เรียนอยู่ต่างประเทศนั้น พวกเราอยู่คณะเดียวกัน ตอนเรียนจบ ทุกคนจึงนัดกันมาที่นี่ ดังนั้น ก็เลยมาด้วยกัน แต่มาด้วยกันเป็นกลุ่ม”

มู่เฉียวพยักหน้า ตกลง หลินซานคนนี้ก็จริงๆเลย เห็นได้ชัดว่าเป็นกลุ่ม แต่ทำไมเธอต้องพูดแบบคลุมเครือด้วย

“คุณก็รู้ว่าเธอชอบคุณ แล้วทำไมถึงยังให้เธอมาทำงานที่บริษัท ?”

โม่หานพาเธอไปนั่งใต้เก้าอี้นอกโบสถ์ ลมพัดเบาๆ และใบไม้ก็ร่วงลง ซึ่งบังเอิญตกลงมาบนผมยาวของมู่เฉียว ชายหนุ่มค่อยค่อยดึงออกให้เธอก่อนจะพูดว่า:“ ในสายตาของผม นอกจากคุณแล้ว ผู้หญิงคนอื่นก็มีเพียงประโยชน์เหมือนกับผู้ชาย คุณอย่าลืมนะว่าผมเป็นนักธุรกิจ ผมจะไม่คบถ้าไม่ได้ผลประโยชน์ นั่นคือหลักการของผม ผมไม่ปฏิเสธว่าผมฉวยโอกาสจากความอ่อนแอของเธอ อย่างไรก็ตาม ด้วยสถานะที่สูงของเธอในตอนนี้ ไม่ใช่ว่าใช้เงินก็จะได้มา และนี่ก็เป็นเหตุผลที่ดีใช่ไหม ”

มู่เฉียวหันศีรษะและมองไปที่โม่หานอย่างเหลือเชื่อ เธอรู้สึกว่าผู้ชายคนนี้ ช่างน่ากลัวและน่ารังเกียจจริงๆ

เธอควรจะขอบคุณชายคนนี้ดีไหมนะที่ไม่ใช้ความน่ารังเกียจของเขากับตัวเธอ ?

ชายหนุ่มปิดตาของเธอ และโน้มตัวลงมาจูบริมฝีปากเธอ “อย่าใช้สายตาแบบนี้มองผม แล้วก็เชื่อผม ผมแยกได้ว่าใครสำคัญใครไม่สำคัญ และผมจะไม่ให้โอกาสใดกับเธออีก”

เขาพูดแบบนี้ออกมาแล้ว มู่เฉียวยังจะพูดอะไรได้อีกล่ะ ?

เมื่อหันกลับมา เธอมองไปที่ข้างหลังโบสถ์ “พวกเราเปลี่ยนสถานที่กันเถอะ”

โม่หานจับแขนของเธอแล้วขมวดคิ้ว “เป็นอะไรไปเหรอ ?”

มู่เฉียวเหลือบมองเขา “ฉันไม่สนใจความทรงจำของคุณและคนอื่น” รู้ทั้งรู้ว่าเขากับหลินซานไม่ได้มีอะไรเลย แต่มู่เฉียวก็อดไม่ได้ที่จะหยอกล้อเขา

อารมณ์ของชายหนุ่มดีและไม่ได้พูดอะไร เขาแค่จับเอวของเธอไว้และพยักหน้าอย่างช่วยไม่ได้ “ตกลง ฟังคุณ พูดมา คุณอยากไปไหน ?”

มู่เฉียวชี้ไปข้างหน้า หลังจากนั้นก็โบกมือ “สถานที่แห่งนี้ ฉันมาหลายครั้งแล้ว ดังนั้น จึงไม่มีที่ที่อยากจะไป หรือไม่ คุณก็เดินเป็นพื่อนฉัน ไม่ต้องทำอะไร ตกลงไหม ?” ตอนอยู่ในประเทศ เพื่อหลีกเลี่ยง ทั้งสองคนไม่เคยได้จับมือเดินเที่ยวด้วยกันแบบนี้เลย

โม่หานเหลือบมองมู่เฉียวโดยไม่ได้ตั้งใจ และนึกถึงคำพูดของอู๋เหิงที่ดังอยู่ในหูของเขา “มีผู้หญิงที่ไหนกันเมื่อมาถึงฝรั่งเศสแล้วจะไม่ช็อปปิ้ง คุณนี่นะ ระวังบัตรของคุณรูดจนหมดล่ะ”

แต่ จนท้ายที่สุด มู่เฉียวก็ไม่ได้ซื้อของอะไรเลย เธอซื้อแค่น้ำสองขวด และเธอก็ยังเป็นคนจ่ายอีก

เขาอยากจะบอกกับอู๋เหิงมากว่า ผู้หญิงของโม่หาน ไม่ซื้อของอะไรเลยจริงๆ ไม่เหมือนกับคนอื่น

“โม่หาน คุณแบกฉันหน่อยได้ไหม ?”

ทันใดนั้นเธอก็นั่งยองๆอยู่ที่พื้น โม่หานมองตามลงไป ถึงพบว่าเธอใส่รองเท้าส้นสูง และเดินมาตั้งนานขนาดนี้ แต่เขากลับไม่ได้สังเกต และทันใดนั้นเขาก็ถอนหายใจว่าเขาไม่ได้ประมาท

“คุณดูสิ เท้าของฉันล้าไปหมดแล้ว ”เมื่อมู่เฉียวพูดแบบนี้ ทำให้นึกถึงคำพูดของเล่อเชี่ยงหย่วน “คุณใส่รองเท้าส้นสูงไม่ได้”

โม่หานพยุงเธอไปนั่งบนเก้าอี้พักผ่อนด้านข้าง จากนั้นเขาก็นั่งลงต่อหน้ามู่เฉียว แล้วมองดูส้นเท้าที่เจ็บทั้งสองข้างของเธอ จากนั้นเขาก็ถอดรองเท้าของเธอทั้งสองข้างออกมา และโยนทิ้งลงไปในถังขยะข้างๆ จากนั้นก็คุกเข่าลงต่อหน้าเธอ “ไปกันเถอะ ผมจะแบกคุณเอง ไปหาซื้อรองเท้าที่เหมาะสมกับคุณก่อน แล้วค่อยกลับโรงแรม”

เดิมทีมู่เฉียวแค่แกล้งเล่น ที่นี่มีผู้คนตั้งมากมายเดินไปมา โม่หานไม่อาย เธอรู้สึกเขินอาย แต่ว่ารองเท้าของเธอก็ถูกโม่หานโยนทิ้งไปแล้ว เมื่อคิดไปคิดมา เธอก็ยังคงปีนขึ้นไปบนหลังของโม่หาน

รอบดวงตาของเธอมีน้ำตาเล็กน้อย ในปีนั้นที่ต่างประเทศ เธอพูดกับเล่อเชี่ยงหย่วนว่าตัวเองเจ็บเท้า ให้เขาอุ้มหน่อย แต่เขากลับให้เธอนั่งรอตรงนั้น แล้วเขาไปซื้อรองเท้ามาให้เธอ

ต่อมา เธอไม่มีความสุข เชี่ยงหย่วนบอกว่าคนเยอะเกินไป ขอโทษนะ

ถ้าหากมองดูอย่างละเอียดก็จะรู้ว่าชายคนหนึ่งจะสนใจเธอหรือไม่ ไม่ว่าวันนี้จะเป็นโม่หานหรือ

ทั้งสองคนเกิดมาดี ดังนั้นมู่เฉียวจึงอายเล็กน้อย เมื่อถูกเขาแบกอยู่บนหลังในถนนแบบนี้ มีผู้คนจำนวนมากหันมามอง

อย่างไรก็ตาม ประมาณยี่สิบกว่านาทีนี้ โม่หานไม่ได้หยุดพักเลย ระหว่างทาง เธอแนะนำให้ขึ้นรถ

“แบกคุณไว้ที่หลังแบบนี้ก็ยังสามารถขยับได้ ผมแบกไหว”

เมื่อผ่านร้านขายยาจีน โม่หานก็ไปซื้อยาฆ่าเชื้อและปลาสเตอร์แปะแผล และในร้านขายยาเขาก็ช่วยเธอล้างฆ่าเชื้อและผันแผลให้กับเธอ ในเวลานี้ เขาไม่ใช่โม่หานที่สูงส่งคนนั้นอีกแล้ว แต่เป็นเพียงสามีของมู่เฉียว

เมื่อมาถึงร้านทำรองเท้าระดับไฮเอนด์ โม่หานก็ให้มู่เฉียวนั่งพักผ่อนอยู่บนโซฟา แล้วบอกว่าเขาจะไปช่วยเลือกรองเท้ามาให้เธอสักสองสามคู่

เมื่อเห็นว่า เขาพูดภาษาฝรั่งเศสได้อย่างคล่องออกมาจากปากของเขา มู่เฉียวก็แปลกใจเล็กน้อย เธอถึงรู้ว่า ที่แท้การพาเธอมาเป็นล่ามจริงๆแล้วก็เป็นเพียงข้ออ้าง ปรากฏว่าโม่หานของเธอยอดเยี่ยมจริงๆ

ในแววตามีความชื่นชมเขาอยู่

เมื่อกลับมาถึงโรงแรมหลังจากซื้อรองเท้าแล้ว มู่เฉียวก็ปฏิเสธที่จะให้โม่หานแบก แล้วทั้งสองคนก็เข้าไปในโรงแรมทีละคน

“ฉันไปอาบน้ำที่ห้องก่อนนะ” มู่เฉียวพูดกับโม่หานในลิฟต์

“ผมจะไปกับคุณ”

มู่เฉียวขมวดคิ้ว

“เท้าของคุณโดนน้ำไม่ได้ ”หลังจากที่ชายหนุ่มพูดจบ เขาก็เดินออกจากลิฟต์ไปก่อน

มู่เฉียวแลบลิ้นให้แผ่นหลังของเขา แต่ในหัวใจกลับหวานชื่นเหลือเกิน

แต่ เมื่อทั้งสองคนเพิ่งเดินมาถึงหน้าประตูห้อง พวกเขาก็ได้ยินเสียง “ช่วยด้วย” ดังออกมาจากห้องข้างๆ

"มู่เฉียว คุณยังเหม่อลอยอะไรอยู่? เวลาของเจ้านายฉันนับเป็นเงินเป็นทองนะ คุณไม่รู้เลยเหรอ?" หานฉุนจ้องมองมู่เฉียว

มู่เฉียวถอนหายใจเล็กน้อย หรี่ตามองเขา พูดออกมาโดยจิตใต้สำนึก : "หานฉุน คุณขอร้องให้ฉันไปนะ ฉันไม่ได้ขอร้องคุณ ถ้าคุณมีทัศนคติอย่างนี้ เดือนต่อไปเราจะต้องเหนื่อยกันอย่างมาก"

"มู่เฉียว ปัญหานี้ เราค่อยมาคุยกันทีหลังได้ไหม ok?” มู่หานมองเวลา เดินไปข้างหน้าแล้วดึงมู่เฉียวมาไว้ข้างๆ จากนั้นก็เริ่มหยิบกระเป๋าเดินทางของเธอไปเก็บ

มู่เฉียวก้มหน้า ขมวดคิ้ว กัดริมฝีปากแดงๆมองเขาแป๊บหนึ่ง เอาเถอะ วันหลังค่อยว่ากัน

เมื่อทั้งสองมาถึงสนามบิน ผู้ช่วยของหานฉันก็มาถึงก่อนแล้ว เห็นพวกเขามาก็เข้าไปต้อนรับ

"สวัสดีค่ะ คุณมู่" ผู้จัดการของหานฉุนกล่าวทักทาย ชื่อพี่เหมย เธอยิ้มแย้มอย่างอ่อนโยน รับกระเป๋าเดินทางในมือมู่เฉียว "ครั้งนี้ต้องลำบากคุณเลย"

หานฉุนถลึงตาใส่เธออย่างอารมณ์เสีย "เธอลำบากอะไรเหรอ? จะเอาเงินของคนอื่น ก็ต้องทำงานให้ ก็สมควรแล้ว"

มู่เฉียวไม่อยากพูดกับคนคนนี้ วิธีการของคนทั้งสองก็คือการโจมตีและการถากถางกัน ถึงดีก็โจมตี ไม่ดีก็ไม่ปล่อยไปแน่นอน

เงียบสงัด

เวลานี้ฉับพลันก็ได้ยินเสียงประหลาดใจมาจากทางเข้า

ทั้งสองเงยหน้าขึ้นและมองไปที่ทางเข้า เห็นผู้ช่วยของโม่หานลากกระเป๋าเดินทางมาสองสามใบ

มู่เฉียวสูดลมหายใจเข้า จากนั้นก็ขมุบขมิบปากบ่นพึมพำว่า : "ช่างเป็นโชคชะตาที่เลวร้ายจริงๆเลย"

"เฮ้ เจอกันอีกแล้ว" ท่าทีของหานฉุนนิ่งสงบ ยื่นมือออกไป จับเอวของมู่เฉียวแล้วทั้งสองคนก็เดินไปที่จุดตรวจความปลอดภัยด้วยกัน

"โม่หาน คนตรงหน้านั้น เหมือนภรรยาคุณเลย?" อู๋เหิงมองภาพด้านหลังของคนคนนั้น จึงเอ่ยเตือนโม่หาน

โม่หานมองเขาตาขวาง สีหน้าเคร่งขรึม "ฉันไม่ได้ตาบอด!"

อู๋เหิงลูบๆจมูก เงยหน้าขึ้นมองเพดาน สูดลมหายใจเข้าลึกๆ ถอนหายใจในใจ ผู้ชายที่ตกอยู่ในห้วงความรักอย่างนี้ ปรนนิบัติรับใช้ยากเหลือเกิน

"สรุปแล้วความสัมพันธ์ของคุณกับโม่หานคืออะไร?" ตลอดจนถึงขึ้นเครื่อง หานฉุนแกล้งถามอย่างสบายๆ

"คุณก้าวก่ายเกินไปแล้วหรือเปล่า?" มู่เฉียวหลับตาไม่มองเขา

"เขามาแล้ว!" จู่ๆหานฉุนก็พูดประโยคนี้

ตอนแรกมู่เฉียวก็ไม่เข้าใจ พอเข้าใจอย่างชัดเจนก็อ้าปากค้าง ค่อยๆเงยหน้าขึ้น เห็นโม่หานกอดอก มองเธอด้วยสีหน้าสบายใจ

"คุณ……คุณ……คุณก็ไปแอฟริกาใต้เหรอ?" เที่ยวบินนี้บินตรงไปยังแอฟริกาใต้

โม่หานนั่งลงบนเก้าอี้ตรงข้ามกับเธอ จากนั้นริมฝีปากบางๆก็ยกยิ้มขึ้น พูดออกมาอย่างไม่รีบไม่ร้อน : "ไปปฏิบัติงานนอกสถานที่"

ใบหน้าที่สงบนิ่งนั้น ดูเหมือนว่าเรื่องทั้งหมดก่อนหน้านี้ไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่มีแค่มู่เฉียวเท่านั้นที่รู้ โม่หานทำอย่างนี้ มันน่ากลัวที่สุดเลย

"มู่เฉียว ไม่ได้เจอกันนานเลย" เสียงตะโกนเรียกจู่ๆก็ดังขึ้นจากด้านหลังของมู่เฉียว จึงหันกลับไปเห็นเป็นอู๋เหิง มู่เฉียวยิ้มหันไปทางเขา นั่งตัวตรงทันที ยิ้มแล้วพูดว่า "อู๋เหิง?" เมื่อกี้อยู่ที่สนามบิน อู๋เหิงยืนอยู่ด้านหลังของโม่หาน เธอจึงไม่เห็น

ในตอนนั้นที่คนตระกูลโม่พุ่งเป้ามาที่เธอ ระหว่างนั้นอู๋เหิงก็ช่วยเธอไว้ได้มาก เป็นผู้ชายคนหนึ่งที่ค่อนข้างอบอุ่น

อีกทั้งนึกถึงเรื่องก่อนหน้านี้ที่อู๋เหิงบอกกับตู้เสี่ยวซิน เห็นได้ชัดว่าเขาอยากจะช่วยตน

เห็นข้างๆของเขาว่าง เธอก็ยืดตัว ปลดเข็มขัดนิรภัย แล้วไปนั่งข้างๆอู๋เหิง

สายตาทั้งคู่มุ่งตรงมายังเขา อู๋เหิงสูดลมหายใจเข้าลึกๆ "ไม่เจอกันนานเลย"

"อู๋เหิง สองสามปีมานี้ ฉันโทรไปหาคุณตั้งหลายครั้ง คุณเปลี่ยนเบอร์มือถือเหรอ?"

"ใช่ เปลี่ยนเบอร์แล้ว" พูดพลาง หยิบมือถือออกมา

"อะแฮ่ม" ชายคนหนึ่งกระแอมเบาๆ อู๋เหิงเม้มริมฝีปาก ชี้ไปที่ด้านบนของเครื่องบิน "ลืมไป เครื่องบินจะเริ่มบินแล้ว"

มู่เฉียวยิ้มเล็กน้อย "ตอนนี้คุณยังอยู่คนเดียวอยู่ไหม?"

อู๋เหิงพยักหน้า จากนั้น ก็ส่ายหน้าทันที "สองคน สองคน"

"คุณร้อนมากเลยเหรอ? ทำไมเหงื่อออกเต็มหน้าผากเลยล่ะ?" มู่เฉียวพูดพลาง หยิบทิชชูจากในกระเป๋าออกมาให้อู๋เหิง

อู๋เหิงอยากจะบอกว่า ไม่ร้อน แต่กดดันมากเกินไป

ปีศาจร้ายสองตัวด้านหน้าจ้องมองอยู่ไหม? คุณนั่งแบบนี้ต่อไป เกรงว่าเขายังไม่ทันถึงที่นั่น ก็จะต้องโรคหัวใจกำเริบแน่

"ไอ๋หยา นั่งตรงนี้ ฉันรู้สึกวิงเวียนเล็กน้อย ฉันไปนั่งด้านหน้านะ" จู่ๆอู๋เหิงก็ลุกขึ้นยืน เดินไปยังเก้าอี้ว่างอีกที่หนึ่ง หลังจากนั้นที่นั่งข้างๆมู่เฉียว ก็มีโม่หานมานั่งลง

บรรยากาศเป็นไปอย่างอึดอัดวางตัวไม่ถูกเล็กน้อย

"มู่เฉียว นี่พวกคุณจะไปเมืองไหนของแอฟริกาใต้เหรอ?" เพื่อปิดบังเรื่องเมื่อกี้ อู๋เหิงจึงหาเรื่องมาพูด

มู่เฉียวชี้ไปยังหานฉุนที่อยู่ด้านหน้า "คุณลองถามคุณหานดูเถอะ ฉันก็ไม่ค่อยรู้แน่ชัด"

หานฉุนได้ยิน ก็มองมู่เฉียวอย่างไม่เข้าใจ "ไปเมืองC"

เมืองC? มู่เฉียวเหมือนจะจำได้ว่าเป็นเมืองAนะ ทำไมถึงกลายเป็นเมืองCไปได้ล่ะ?

"อ้อ อย่างนั้นก็บังเอิญจริงๆ พวกเราก็จะไปที่นั่น อาจจะต้องอยู่สักครึ่งเดือน พอถึงแล้ว ไม่แน่อาจจะรวมตัวกันสังสรรค์!" อู๋เหิงมองไปยังมู่เฉียวอย่างสุภาพ แต่ถือโอกาสที่โน้มตัวไปหยิบหนังสือพิมพ์ขยิบตาให้กับมู่เฉียว แล้วเชยคางไปยังโม่หาน

มู่เฉียวเข้าใจ จากนั้นก็กล่าวว่า: "ประธานโม่ อย่างนั้น…..รอให้คุณทำงานเสร็จแล้ว มีเวลาพวกเราค่อยนัดสังสรรค์กันนะ!"

โม่หานเงยหน้า มองมู่เฉียวแล้วยิ้มอย่างไม่เต็มใจ หยิบหนังสือพิมพ์ที่อยู่ข้างตัวขึ้นมา ปิดบังใบหน้า ครู่ใหญ่ๆจึงกล่าวว่า: "ฉันยุ่งมาก!"

มู่เฉียวขมวดคิ้วเล็กน้อย เธอรู้ว่าโม่หานกำลังโกรธเธออยู่แน่นอน โกรธเรื่องที่เธอหนีไปวันนั้น แต่ถ้าเธอไม่หนี เธอจะสามารถไปได้เหรอ?

คิดๆแล้ว จู่ๆเขาต้องออกไปทำงานนอกสถานที่ที่แอฟริกาใต้ มู่เฉียวเม้มริมฝีปากเล็กน้อย แต่ในใจก็หวานชื่น เธอจะคิดเข้าข้างตัวเองมากเกินไปไหม ว่าคนบางคนไปเพื่อเธอ

เวลานี้อีกคนชื่นชมอีกคนเพิกเฉย ถ้าหากเป็นเมื่อก่อน เธอคงจะไม่สนใจอย่างแน่นอน แต่หลังจากได้ฟังคำพูดเหล่านั้นของตู้เสี่ยวซินแล้ว ไม่รู้ทำไม? เวลานี้ เธอถึงรู้สึกผิดอย่างมาก

จากนั้น ก็นิ่งเงียบไม่พูดจา มู่เฉียวหันหน้ามองไปนอกหน้าต่าง แล้วคิดว่าเวลาสิบกว่าชั่วโมงหากเป็นแบบนี้ต่อไป เธอคิดว่าจะต้องเป็นบ้าอย่างแน่นอน

"ฉัน…..จะไปห้องน้ำหน่อย!" ขืนอึดอัดแบบนี้ต่อไป เธอไม่บ้าก็คงจะแปลก!

หลังจากมู่เฉียวเดินไปได้ราวๆหนึ่งนาที

โม่หานจึงวางหนังสือพิมพ์ในมือ ก็ลุกตามไปอย่างรวดเร็ว ผู้หญิงคนนี้ ไม่แสดงความร้ายกาจให้เธอเห็นสักหน่อย ดูท่าจะไม่ได้!

สีหน้าของโม่หานเปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน เขาลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นยกมือขึ้น และยกผ้าห่มคลุมร่างกายของเธอ จากนั้นก็ยืดมือไปถอดเสื้อกั๊กของเธอออก

เมื่อเสื้อกั๊กถูกถอดออกไป ร่างกายอันวิจิตรงดงามของมู่เฉียวก็เริ่มปรากฏขึ้น เย้ายวนอย่างยิ่ง

โม่หานจ้องตรงไปที่มู่เฉียวที่เมาและไม่รู้สึกตัว ลุกขึ้นยืนอย่างยากลำบาก หายใจเข้าลึกๆ เขายกมือขึ้น ดึกเนกไทออกด้วยความร้อนเล็กน้อย แล้วโยนมันลงพื้นไป จากนั้น เขาก็อดไม่ได้ที่จะหลับตาลง มองลึกไปยังร่างที่สวยงามที่นอนอยู่บนเตียง ที่ขดตัวเป็นลูกบอล และทันใดนั้น เขาก็ก้มตัวลงและกอดเธอไว้จากด้านข้าง…..

“อืม……..”มือทั้งสองข้างของมู่เฉียวกอดคอเข้าแน่น และคร่ำครวญโดยสัญชาตญาณ

โม่หานอุ้มเธอไปที่ห้องน้ำ และค่อยค่อยวางเธอลงในอ่างอาบน้ำ

จากนั้น เขาก็ถอดชุดชั้นในทั้งหมดที่อยู่ในร่างกายของเธอออก

น้ำอุ่น ล้างผิวที่เรียบเนียนและขาวของเธอ

สติของมู่เฉียวค่อยค่อยกลับมา จากนั้นไม่ ตาทั้งสองข้างของเธอก็ลืมขึ้น สิ่งที่จับได้คือร่างกายของโม่หานที่กำลังอาบน้ำให้เธออย่างจริงจังด้วยฝักบัว

เธอกลืนน้ำลาย เธอค่อยค่อยก้มศีรษะลง เมื่อเห็นว่าร่างกายเธอเปลือยเปล่า เธอก็อ้าปากกว้าง ดวงตาเบิกกว้าง และมองไปยังใบหน้าด้านข้างที่สมบูรณ์แบบและไร้ที่ติของโม่หานด้วยท่าทางตกใจ เป็นเรื่องปกติที่จะไม่รู้จะตอบสนองยังไง

นี่ นี่มันเกิดอะไรขึ้น ? เธอกำลังดื่มอยู่กับตู้เสี่ยวซินไม่ใช่เหรอ ? แล้วมาอยู่กับโม่หานได้อย่างไร………

แล้วทำไม โม่หานถึงอาบน้ำให้เธอ……นี่………นี่………..

“อ๊ะ !”ในที่สุดเธอก็ฟื้นคืนสติ และลุกขึ้นยืนในอ่างอาบน้ำ จากนั้นหยิบผ้าเช็ดตัวมาพันรอบส่วนสำคัญในตัวเธอไว้อย่างแน่นหนา จากนั้นก็ยกมือขึ้นตบหน้าโม่หาน

“คุณมันโรคจิต !”เธอขมวดคิ้วตะโกน จริงจริงเลย กล้าอาบน้ำ…….อาบน้ำให้เธอ………

ผู้ชายคนนี้มีปัญหาทางสมองรึเปล่า ?

นิ้วเรียวยาวของโม่หานเลื่อนผ่านแก้มที่มู่เฉียวตบ ดวงตาทั้งสองข้างของเขาเบิกขึ้นเล็กน้อย และทันใดนั้น เขาไม่ให้เธอได้มีโอกาสฟื้นตัวอะไรทั้งนั้น เขาอุ้มเธออีกครั้ง จากนั้น ก้าวสองสามก้าวไปที่ข้างเตียง และโยนเธอลงบนเตียงใหญ่ จากนั้นก็เอาตัวเองกดทับเธอไว้

“อื้อ………”มู่เฉียวขมวดคิ้วแน่น กัดริมฝีปากและร้องด้วยความเจ็บปวด และความตื่นตระหนกในใจของเธอเริ่มเพิ่มขึ้นทีละน้อย

เธอสะบัดมือ พยายามหยุดการกระทำของโม่หาน แต่เธอ…..ไม่สามารถขยับเขาได้เลย ในขณะนี้ เธอเริ่มกังวลแล้ว !

“โม่หาน คุณ…..คุณไม่มีสิทธิ์แตะต้องฉัน !”เขาจะแต่งงานกับคนอื่นอยู่แล้ว ระหว่างพวกเขานี่มันอะไรกัน ?

ไม่มีความหวานเหมือนกับครั้งก่อน มีเพียงความอัปยศอดสู่ที่หยุดไม่ได้

ต่อให้เธอเลวแค่ไหน เธอก็ไม่อยากเป็นมือที่สามให้เขา โอ้ ไม่สิ เธอลืมไปได้อย่างไร พวกเรายังไม่ได้หย่ากันนี่ ? แต่ยังไงก็ไม่ได้

ผู้ชายที่ไม่ได้อยู่ในใจของเธอ เธอเกลียดชังยิ่งนัก

โม่หานเพิกเฉยต่อเธอ เขาแค่โน้มตัวลง และจูบคิ้ว ดวงตา จมูก จากนั้นก็ริมฝีปากแดงของเธอเบาๆ การกระทำของเขานุ่มนวลมาก จนทำให้มือของมู่เฉียวค้างอยู่กลางอากาศ

เขาจูบที่หูของเธอเบาๆ

ลงคอ ลมหายใจร้อนค่อยค่อยรดเข้าที่คอของเธอ ทำให้เกิดอาการชา และจากนั้นเสียงที่คลุมเครือของเขาก็เข้ามาในหูของเธอ:“ มู่เฉียว ผมเคยบอกว่า ให้รอผม”

เสียงของเขาแหบและมีเสน่ห์ มู่เฉียวถูกเขาทำให้สับสน และใช้เวลาสักพักกว่าจะตอบสนองกลับมา รอเขาอีกแล้ว

“รอให้เขาแต่งงานกับคนอื่นแล้ว ฉันก็เป็นเมียน้อยน่ะเหรอ ?” เธอถามกลับไปทั้งที่สติครึ่งๆกลางๆ

นิ้วเรียวยาวของโม่หานจับริมฝีปากบางที่ตกตะลึงของมู่เฉียว ริมฝีปากบางโน้มเข้ามาใกล้ริมฝีปากของเธอ เขาอยากจะอธิบาย ว่านี่มันเป็นเพียงการเข้าใจผิด แต่เขาก็รู้ดีว่า ตอนนี้เขาไม่สามารถปล่อยให้มู่เฉียวรู้มากเกินไป เขาไม่อยากดึงเธอลงไปในน้ำ

เมื่อมันมาถึงข้างริมฝีปาก จู่ๆเขาก็เปลี่ยนอย่างกะทันหัน “มู่เฉียว คุณรักผมแล้วใช่ไหม ?”

มู่เฉียวอยู่ตรงนั้น เป็นเวลานาน และยังสงสัยว่าคำพูดของโม่หานหมายความว่ายังไง ?

อย่างไรก็ตาม เมื่อคิดว่าเขาจะแต่งงานกับคนอื่นแล้ว งั้นมันก็ไม่สำคัญหรอก ว่ามันจะหมายถึงอะไร

เมื่อคิดได้เช่นนี้ เธอก็ใช้แรงผลักร่างกายที่กดทับเธออยู่ จากนั้นก็ลุกขึ้นนั่ง และหยิบเสื้อผ้าข้างๆขึ้นมาใส่ แล้วก็หันไปมองโม่หาน “คุณหลงตัวเองเกินไปแล้ว ฉันรักคุณ จะเป็นไปได้อย่างไร ?”

ชายหนุ่มยิ้ม และกัดริมฝีปากแดงของเธอ “ปากแข็ง”

มู่เฉียวมองเขา เพราะความโกรธความเมาก่อนหน้านี้ของเธอ ในตอนนี้มันหายไปเกือบหมดแล้ว

“ปากแข็ง เหอะเหอะ โม่หาน ถึงแม้ว่าฉันอยากจะแต่งงาน ฉันก็จะหาคนที่ดีกว่าคุณ” มู่เฉียวพูดไปพลางสวมใส่เสื้อผ้าไป และมองเขา “ท้ายที่สุดแล้ว ผู้ชายที่ทำเรื่องนั้นเสร็จภายใน 5 นาที ชาตินี้ทั้งชาติก็คงเศร้าไปตลอดชีวิต”

เมื่อพูดจบ เธอก็หันกลับมาอย่างเย็นชา

และโม่หานก็มองไปที่มู่เฉียวที่หันกลับมาแน่นอน และด้วยการโบกมือ เขาคว้าแขนของเธอ และออกแรงที่นิ้ว

มู่เฉียวเจ็บปวด เธอขมวดคิ้วและกลั้นไว้ ที่จริงแล้วหัวใจของเธอเจ็บปวดยิ่งกว่าร่างกายอีก

เธอเกลียดโม่หาน ที่ให้ความหวังกับตัวเอง ทำให้ตัวเธอเองสิ้นหวัง

เธอยิ่งเกลียดตัวเองมากขึ้นไปอีก ทั้งๆที่รู้ว่าเขาอาจจะแค่เล่นกับตัวเอง แต่เธอก็ถูกล่อลวงครั้งแล้วครั้งเล่า

เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ มู่เฉียวก็เหยียดหลังให้ตรง หันหลังกลับมามองโม่หานด้วยความโกรธ และพูดอย่างเย็นชาว่า:“ ปล่อยมือ !”

“คุณพูดสิ่งที่คุณเพิ่งพูดออกมาเมื่อครู่อีกครั้งซิ คุณอยากหาใคร ? ”ดวงตาของโม่หานหรี่ลง น้ำเสียงของเขาเย็นชามาก ริมฝีปากของเขาอยู่ใกล้กับริมฝีปากของเธอ และคำพูดพึมพำก็พ่นออกมา

“หาคนที่ดีกว่าคุณใช่ไหม ? ไม่รู้จริงๆว่าผู้หญิงพวกนั้น มองเห็นอะไรในตัวคุณ ในเมื่อหนึ่งครั้ง จริงจริงแล้วก็แค่…….”เธอโต้กลับเขาอย่างดื้อรั้น โดยรู้ว่าอาจจะมีเรื่องเพราะเรื่องนี้ แต่ในใจเธอกลับรู้สึกเศร้า และไม่สามารถเข้าใจได้ เธอจึงต้องพยายามอย่างที่สุดที่ทำให้ชายคนนี้ไม่มีความสุข

แต่ พูดไปได้เพียงครึ่งเดียว เธอก็ถูกโม่หานใช้แรงดึงเธอเข้ามาในอ้อมกอด หลังจากนั้นก็ประกบริมฝีปากบางๆ และปิดผนึกคำพูดทั้งหมดไว้

“มู่เฉียว คุณกระตุ้นผม คุณตายแน่ !”เสียงของเขาหนักแน่นด้วยความโกรธเล็กน้อย

“โม่หาน คุณจะทำกับฉันอย่างนี้ไม่ได้………”มู่เฉียวพูดอย่างคลุมเครือในขณะที่ผลักโม่หาน

มือของเขา ลูกไร้ไปรอบร่างกายของเธออย่างไร้ยางอาย และทุกสัมผัสของปลายนิ้วเขาทำให้เธอสั่นสะท้าน ผู้ชายคนนี้ จริงจัง !

นี่เป็นสิ่งเดียวที่มู่เฉียวสามารถรับรู้ได้ในขณะนี้

“ไม่…….”เธอขัดขืนโดยสัญชาตญาณ และเริ่มเข้าไปหาเขา

เธอพยายามดิ้นรน ดิ้นรนเพื่อหนีจากความยับยั้งชั่งใจจากเขา

แต่อย่างไรก็ตาม มือที่อยู่บนร่างกายนั้นไม่ได้หยุดเลย

 

“ซู……ซูหย่ามาแล้ว”

ซูหย่าพยักหน้า แล้วส่งสายตาให้เด็กทั้งสองคน “กล่าวทักทายหน่อยสิ”

“สวัสดีคุณปู่”

“สวัสดีคุณปู่

จากนั้นซูหย่าก็เห็นพ่อเซียวหันกลับไปเช็ดน้ำตา

คนที่ใกล้จะตาย จิตใจล้วนดีไปหมด เธอคิดได้แค่นี้

เมื่อเซียวอู๋มา พวกเขากำลังจะทานข้าว สีหน้าการแสดงออกของเขาเฉยเมยอย่างมาก เหมือนเลิกงานกลับบ้านปกติ มาหอมแก้มลูกทั้งสองคน

จากนั้นก็พยักหน้าให้พ่อแม่ แล้วไม่ได้พูดอะไร

แต่ซูหย่าเห็นมือของพ่อเซียวสั่นเล็กน้อย

คฤหาสน์ตระกูลเซียววันนี้ ไม่มีคนอื่น มีเพียงพ่อเซียวแม่เซียวและครอบครัวของพวกเขา

ถ้าไม่ใช่เพราะความทรงจำที่ไม่ดี ซูหย่าจะคิดว่า นี่เป็นครอบครัวที่มีความสุขครอบครัวหนึ่ง

แต่ว่า……

เมื่อทานอาหารใกล้เสร็จ พ่อเซียวก็ส่งสายตาให้แม่เซียว แม่เซียวเดินเข้าห้องไป หยิบซองเอกสารเดินออกมา

ส่งให้เซียวอู๋ ดูเหมือนว่าเซียวอู๋จะรู้ว่ามันคืออะไร จึงไม่ได้รับไว้ ซูหย่าเห็นเช่นนั้นจึงยื่นมือไปรับ “แม่ นี่คืออะไรเหรอ?”

ได้ยินซูหย่าเรียกตนเองว่าแม่ สายตาแม่เซียวก็เป็นประกายขึ้นมา รีบพูดว่า “นี่คืออสังหาริมทรัพย์ของตระกูลเซียวในทุกๆแห่ง พ่อของคุณเก็บไว้ 60% ให้กับคุณกับเสี่ยวหวู่……”

ถึงแม่ซูหย่าจะไม่ได้ตั้งใจถามว่าอสังหาริมทรัพย์ภายใต้ชื่อของตระกูลเซียวมีเท่าไหร่ ในภาพความทรงจำ พี่ใหญ่แค่เตรียมนัดดูตัวให้เธอกับเซียวอู๋ บอกว่าภูมิหลังครอบครัวค่อนข้างดี

คิดแล้ว 60%ก็น่าจะไม่เลวเลยแหละ

หลังจากแต่งงาน ถึงแม้เงินเดือนเธอจะไม่น้อย แต่ต้องเลี้ยงดูลูกสองคน เซียวหวู่ แม้ว่าจะเป็นข้าราชการระดับสูง อยากจะอยู่สบายในเมืองชั้นหนึ่งอย่างเมือง Cนี้ บางครั้งพวกเขาก็ต้องพึ่งพาพ่อแม่ฝ่ายหญิงในด้านทุนทรัพย์บ้าง โชคดีที่เซียวอู๋ให้บัตรเงินเดือนแก่เธอ ก็เลยไม่ต้องไปยุ่งกับครอบครัว ฉะนั้นจึงไม่รู้สถานการณ์ปัจจุบันของครอบครัวพวกเขา แล้วครอบครัวเธอก็คงไม่รู้เรื่องราวเหล่านี้ มิเช่นนั้นเธอกลัวว่าเขาจะไม่สบายใจ

เวลานี้จู่ๆทรัพย์สินเหล่านี้ก็ตกใส่หัวพวกเขา พูดตามความจริงซูหย่าก็ใจสั่นเล็กน้อย

แต่เธอยังคงเต็มใจที่จะเชื่อฟังเซียวอู๋ ถ้าเซียวอู๋ไม่ต้องการ ทรัพย์สินจะมากแค่ไหน เธอก็ไม่โลภมาก

การเคี้ยวของเซียวอู๋ช้าลงเล็กน้อย เขาคีบอาหารใส่ถ้วยซูหย่า “ให้คุณ ก็รับไว้เถอะ”

ซูหย่าประหลาดใจเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่าพ่อเซียวกับแม่เซียวโล่งอก

“ใช่ เสี่ยวหย่า คุณรับไว้เถอะ” แม่เซียวรีบพูดต่อว่า “ฉันจะให้ทนายความไปที่สำนักงานของเซียวอู๋ในวันพรุ่งนี้ เพื่อทำระเบียบการขั้นตอน”

เซียวอู๋สูดลมหายใจเข้า วางตะเกียบในมือลง ทว่าสายตาไม่ได้เคลื่อนย้าย ยกซุปขึ้นดื่ม “เขียนชื่อซูหย่าเถอะ”

ซูหย่าร้อง”ห๊ะ”ออกมา “เขียน……เขียนชื่อฉัน?” “ทรัพย์สินร่วมกันของสามีภรรยา เขียนชื่อใคร มันจะต่างกันเหรอ?”

แม่เซียวดูเหมือนจะเข้าใจความหมายของเซียวอู๋ จึงมองซูหย่า “ใช่สิเหมือนกันนั่นแหละ เสี่ยวหวู่เขางานยุ่ง อย่างนั้นเช้าพรุ่งนี้ เสี่ยวหย่าฉันจะให้ทนายไปหาคุณ”

พูดขนาดนี้แล้ว ซูหย่ายังสามารถพูดอะไรได้อีกล่ะ?

เธอพยักหน้า “ได้ อย่างนั้นก็ขอบคุณ……คุณพ่อ แล้วก็คุณแม่ด้วย”

มื้ออาหารนี้ ถึงแม้ว่าเซียวอู๋จะไม่ได้เรียกพ่อแม่ตั้งแต่ต้นจนจบ แต่ก็สามารถทำให้เขามาที่บ้านได้อีกครั้ง คู่สามีภรรยาดีใจมาก

กลับบ้านมาตอนกลางคืน ซูหย่านอนอยู่ในอ้อมกอดของเซียวอู๋ “เสี่ยวหวู่ ฉันคิดว่า คุณจะไม่ต้องการมัน”

เซียวอู๋จับมือของซูหย่า จูบลงบนริมฝีปาก เงียบอยู่นาน จึงค่อยๆพูดด้วยน้ำเสียงเรียบๆว่า “ไม่ดีนักที่จะให้พ่อตาแม่ยายใช้จ่ายสิ้นเปลือง จะว่าไปทรัพย์สินของตระกูลเซียว ฉันก็อุ่นใจ อีกอย่างหนึ่ง รับมาแล้วเขาจะได้ตายไปอย่างสบายใจหน่อย ยิงปืนนัดเดียวได้นกสามตัว ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะไม่รับ”

ซูหย่าลุกขึ้น เธอมองเขาอย่างประหลาดใจ “เสี่ยวหวู่ คุณ……คุณรู้ทั้งหมดเลยเหรอ?”

เซียวอู๋พยักหน้า ถอนหายใจเล็กน้อย “ติดตามฉัน ทำให้คุณต้องลำบากเลย” พูดจบ มือใหญ่ก็ลูบที่แก้มของเธอเบาๆ

ซูหย่าส่ายหน้า “ไม่ลำบากหรอก เสี่ยวหวู่ ฉันรู้ว่า คุณมีหลายวิธีมากที่สามารถหาเงินได้ แต่ฉันไม่อยากให้คุณทำลายอนาคตของตัวเองแบบนั้น ดังนั้น ฉันจึงยินยอมพร้อมใจ คุณก็รู้ว่า ฉันไม่ได้เหมือนคนทั่วๆไป ถ้าคุณไม่ต้องการเงินนี้ ต่อไป ฉันก็จะไม่รับเงินจากบ้านพ่อแม่ พวกเราจะขยันขันแข็งหากันเอง อาจจะผ่านช่วงที่ยากลำบากหน่อย แต่ฉันไม่อยากให้คุณทำเพราะเรื่องนี้ แล้วต้องรับในสิ่งที่คุณไม่เต็มใจจะรับ…….”

ยังพูดไม่ทันจบ ก็ถูกชายหนุ่มจูบอย่างลึกซึ้ง

เซียวอู๋คิดว่าตนเองมีดีอะไรกัน ถึงได้สามารถแต่งงานกันผู้หญิงแบบนี้ เซ่อขนาดนี้…..

เวลานี้ เขาคิดว่า บั้นปลายชีวิต เขาจะต้องปฏิบัติต่อเธอให้ดียิ่งขึ้น

หลังจากการจูบอันยาวนานจบสิ้นลง

“พรุ่งนี้ไปเอามันกลับมา นี่คือสิ่งที่พวกเขาใช้เพื่อมาชดใช้ความผิด ถ้าไม่เอา ก็จะเป็นการไม่ดี”

ซูหย่าพยักหน้า “โอเค ฉันเชื่อคุณ”

เพียงแต่ วันต่อมา เมื่อเห็นกองสัญญาเอกสารที่ยกให้ปึกนั้น ซูหย่าก็ต้องตื่นตระหนก เธอหาข้ออ้างไปห้องน้ำ แล้วโทรศัพท์ไปหาเซียวอู๋

“เสี่ยวหวู่ ทำไมครอบครัวคุณถึงได้รวยขนาดนั้น ฉัน…..ฉันไม่กล้าเซ็นลงนามแล้ว”

สิทธิ์ถือหุ้นโรงแรมกว่าสามสิบแห่ง อาคารสูงเจ็ดแห่ง แล้วก็ร้านค้าและห้องชุดวิลล่ากว่าร้อยแห่ง แต่นี่เป็นเพียง60%ของตระกูลเซียวเท่านั้น

เธอสูดลมหายใจเข้า ที่แท้ ตัวเองก็ได้แต่งงานกับทายาทเศรษฐี

“เซ็นไปเถอะ ต่อไป เห็นกระเป๋าแล้ว จะได้ไม่ต้องมองตาปริบๆ”

ซูหย่าปิดปาก เธอไม่เคยรู้มาก่อนเลย ที่แท้ เสี่ยวหวู่ของเธอจะเอาใจใส่เธอแบบนี้ แม้กระทั่งของที่เธออยากได้ ก็จดจำใส่ใจ

อนาคตต่อไป ซูหย่าก็จะกลายเป็นหญิงมหาเศรษฐีที่มีรายชื่อติดอันดับ

ทุกคนต่างบอกว่า เซียวอู๋แต่งเข้ามา ภรรยาร่ำรวยอย่างมาก

เวลานั้น เธอจึงได้รู้ว่า เมื่อตอนที่เธอเซ็นสัญญา เซียวอู๋ให้ทนายความหลอกเธอ เซ็นเอกสารสัญญาพิเศษฉบับหนึ่ง เนื้อหาคือ ถ้าในอนาคตเซียวอู๋หย่าร้างกับซูหย่า ทรัพย์สมบัติที่มีทั้งหมดนี้ จะต้องตกเป็นของซูหย่าทั้งหมด

เมื่อรู้ถึงการมีอยู่ของเอกสารฉบับนี้ ซูหย่าก็แทบจะไม่ร้องไห้เลย

เธอรู้ว่า นี่คือความรู้สึกมั่นคงที่สุดที่เซียวอู๋มอบให้กับเธอ

ซูหย่าคิดว่าตนเองมีดีอะไรกัน ถึงได้สามารถแต่งงานกับผู้ชายแบบนี้ ซื่อบื้อแบบนี้…..

เวลานี้ เธอคิดว่า บั้นปลายชีวิต เธอจะต้องปฏิบัติต่อเขาให้ดียิ่งขึ้น

เมื่อพ่อเซียวจากไป เซียวอู๋ก็ได้ออกไปปฏิบัติงานนอกสถานที่ ซูหย่าพาลูกทั้งสองไปบ้านตระกูลเซียว แต่ไม่สามารถไปเจอหน้าเขาได้ทันเวลา

เธอโทรหาเซียวอู๋ เซียวอู๋สงบนิ่งอย่างมาก แล้วตอบ”อืม”คำหนึ่ง

ซูหย่ารู้ว่า เขาคนนี้ยิ่งเป็นทุกข์ ก็ยิ่งไม่แสดงออก

“ถ้าคุณไม่อยากกลับมา ก็ไม่ต้องกลับมา พ่อบอกว่า เขาเข้าใจความรู้สึกคุณ”

เซียวอู๋ตอบ”อืม”อีกคำหนึ่ง

แต่สุดท้ายเขาก็ยังกลับมา ขณะฝังศพพ่อเซียววันนั้น

ฝนตกลงมาอย่างหนัก เขายืนอยู่หน้าหลุมฝังศพ ไม่ได้คุกเข่า แต่ทุกคน ไม่มีใครกล้าต่อว่าเขาแม้แต่คนเดียว หนึ่งคืออำนาจและอิทธิพลที่ยิ่งใหญ่ สองคือ คนที่รู้จักต่างก็รู้ว่าพ่อเซียวรู้สึกขอโทษลูกชายคนนี้

หลังจากกลับไป เซียวอู๋ก็เป็นไข้ ป่วยจากการตากฝน

ตอนที่เป็นไข้ละเมอ เขาดึงมือของซูหย่า พูดพึมพำว่า “พ่อ คุณอย่าทิ้งฉันให้อยู่คนเดียวอีกเลยนะ”

ซูหย่ารู้สึกสงสารอย่างยิ่ง

ทางด้านแม่เซียวหลังจากที่พ่อเซียวจากไปได้หนึ่งปีกว่า ด้วยอาการเลือดออกในสมอง จึงเสียชีวิตขณะนำส่งโรงพยาบาล

ตั้งแต่นั้นมา เซียวอู๋ก็ไม่มีครอบครัวแล้วจริงๆ

ซูหย่าพูดถึงเรื่องนี้กับปี๋ไค ปี๋ไคก็ถอนหายใจอย่างแรง กงเกวียนกำเกวียนจริงๆ กรรมนั้นย่อมสนองแน่ เพียงแต่ยังไม่ถึงเวลา

เห็นชายที่กำลังจะตายอยู่บนเตียงผู้ป่วยตรงหน้า เย่หลินก็รู้สึกว่าความเกลียดชังได้หายไปจากใจหมดแล้ว

ตอนที่คุณน้าบอกให้เธอมา เธอก็คิดอยู่นาน บางทีอาจจะอยากได้คำตอบนั้นจึงไปดูเขา

เธอเรียกเกาไห่ให้มาด้วย แต่เกาไห่ปฏิเสธ

“คุณเหมือนเธอจริงๆเลย”

นี่คือสิ่งที่พ่อเกาพูดเป็นคำแรก

เป็นธรรมดาที่เย่หลินจะรู้ ว่าพ่อเกาหมายความว่าอะไร เม้มปากพูดว่า “ฉันอยากรู้ว่า ในตอนนั้นระหว่างคุณกับแม่ของฉัน มันเกิดอะไรขึ้น?”

พ่อเกาตกตะลึง แล้วหัวเราะสองที จากนั้นก็ไออย่างรุนแรง สักพักพ่อเกาจึงพูดขึ้นว่า “เธอเป็นพี่สะใภ้ของฉัน คุณว่าเราจะสามารถเกิดเรื่องอะไรขึ้นได้ล่ะ?”

“เช่นนั้นทำไมแม่ของฉันจะได้หนีไปไกลขนาดนั้น?” นี่คือเรื่องที่เธออยากรู้มาตลอด ว่าในตอนนั้นมันเกิดเรื่องอะไรขึ้น

“ก็ไม่ทำไมหรอก? เธอแค่อยากให้ช่วงชีวิตสุดท้ายของพ่อคุณมั่นคงปลอดภัยขึ้นหน่อย……” พูดถึงตรงนี้ เขาก็สูดลมหายใจเข้า แล้วค่อยๆพูดต่อว่า : “จนเธอได้ยินฉันบอกว่า ฉันเห็นด้วยที่จะบริจาคตับให้พ่อของคุณ ฉะนั้นเธอจึงยอมมีเกาไห่ให้ฉัน นี่น่าจะเป็นสิ่งที่คนอยากจะรู้ใช่ไหม?”

พ่อเกาพูดจบก็หยุดไปชั่วขณะ เพราะว่าเขาคิดอะไรอยู่ การหายใจจึงเปลี่ยนเป็นถี่ขึ้นเล็กน้อย “แต่ต่อมา เขาก็ตาย”

เย่หลินสูดลมหายใจเข้า ขมวดคิ้ว “ฉะนั้น พ่อฉันตายตั้งแต่ฉันอายุได้หนึ่งขวบใช่ไหม?”

พ่อเกากะพริบๆตาบอกให้รู้เป็นนัย

ถ้าอย่างนี้ก็เข้าใจได้ ว่าเพราะอะไรแม่จึงมีรูปนั้น

“อย่างนั้นทำไมแม่ฉันถึงให้ฉันอุ้มบุญล่ะ?”

พ่อเกาเงยหน้ามองเย่หลิน “เพื่อพี่ชายของคุณ แม่คุณทำเพื่อพี่ชายของคุณ เพื่อเกาไห่ เรื่องนี้ คุณไม่ได้รู้แล้วเหรอ?”

เย่หลินแค่รู้สึกอึดอัดใจ ได้รู้ได้ฟังกับตัวเอง ก็คิดได้สองแบบ

เธอคิดว่าแม่รักเธอมาก แต่ไม่คิดว่า ในสายตาแม่ เธอจะเป็นแค่เครื่องมือเท่านั้น

เธอหลับตา “คุณพักผ่อนเถอะ”

พูดจบก็หันกลับเตรียมออกจากห้องผู้ป่วยไป

เมื่อจะกลับออกไป ก็ได้ยินเสียงทุ้มของชายคนนั้นจากด้านหลัง

“เย่หลิน ลุงต้องขอโทษคุณ แล้วก็ขอโทษแม่คุณกับเกาไห่ด้วย เรื่องที่เกิดขึ้นกับแม่ของคุณในตอนนั้น เป็นอาสะใภ้ของคุณทำ เพราะหมอบอกว่า ตลอดชีวิตเธอสามารถท้องได้แค่ครั้งเดียว เธอจึงอยากมีลูกชาย ดังนั้นต้องขอโทษพวกคุณด้วย อีกอย่าง อันที่จริงเธอก็เสียใจอย่างมาก ที่ให้คุณไปแทนที่เสี่ยวเหวิน”

เย่หลินกัดริมฝีปาก มองพ่อเกาอย่างไม่อยากจะเชื่อ ท้ายที่สุดเธอก็ไม่ได้พูดอะไร ใช้ชีวิตผ่านมาครึ่งชีวิตแล้ว เรื่องราวเหล่านี้ เธอเพียงแค่อยากจะเข้าใจ แต่ไม่อยากไปคิดเล็กคิดน้อยอะไร  เห็นสีหน้าเธอไม่ค่อยดี จึงเดินเข้าไปโอบเอวเธอ “สีหน้าไม่ค่อยดีเลย คุยอะไรกันเหรอ?”

ก่อนหน้านี้หนิงเส่าเฉินบอกว่าจะตามขึ้นไปด้วย เย่หลินคิดว่าไม่ควรจะเปิดเผยเรื่องราวที่น่าอับอายขายหน้าของคนในบ้าน ต่อให้เป็นลูกเขย เธอกลัวว่าเขาจะได้ยินเรื่องราวที่ไม่ดีของแม่ด้วย ดังนั้นเธอจึงปฏิเสธไป

“ไปกันเถอะ” เย่หลินไม่ได้ตอบเขา แต่หลังจากขึ้นรถไป ท้ายที่สุดเธอก็อดไม่ได้ที่จะบอกความจริงกับหนิงเส่าเฉิน

“เรื่องก่อนหน้านี้มันผ่านไปแล้ว” หนิงเส่าเฉินหยุดไปชั่วขณะ แล้วก็เอ่ยขึ้น

เย่หลินพยักๆหน้า

หนิงเส่าเฉินเหลือบมองเธอ แล้วเปิดสัญญาณไฟเลี้ยว

“ทำไมจู่ๆถึงอยากไปเยี่ยมเขาล่ะ?”

ครั้งที่แล้วที่เจอกัน ก็เมื่อหลายปีก่อน อันที่จริงเย่หลินเพียงแค่ไม่รู้ว่าจะเผชิญหน้ากับเขาอย่างไรแต่วันนี้เห็นพ่อเกาแล้ว เธอก็ตระหนักถึงความกตัญญูอีกครั้ง ถ้ามาไม่ทันเวลา ก็อาจจะสายเกินไป

“ฉันเพิ่งรู้ว่า เขาน่าจะรักแม่ของฉันจริงๆ รู้ทั้งรู้ว่าในใจของแม่ฉันมีเพียงพ่อของฉัน แต่เนิ่นนานหลายปีขนาดนี้แล้วก็ไม่ยอมล้มเลิก สองปีนั้นที่พ่อฉันจากไป ฉันคิดว่า ถ้าไม่มีเขา ความเป็นอยู่ของพวกเราแม่ลูก ก็จะต้องยากลำบากอย่างแน่นอน”

หนิงเส่าเฉินตอบ”อืม”คำหนึ่ง

เพียงแต่เห็นเธอขับรถมายังเขตเมือง เย่หลินก็งุนงงเล็กน้อย “นี่คือจะไปไหน?”

“เขาเกษียณแล้ว ฉันมีธุระเล็กน้อยแล้วเดินทางผ่านที่นั่นเมื่อหลายเดือนก่อน เลยถือโอกาสเข้าไปเยี่ยมเขา”

เย่หลินมองหนิงเส่าเฉิน “เรื่องนี้ ทำไมคุณถึงไม่บอกฉันล่ะ?”

พอดีติดไฟแดง ชายหนุ่มจอดรถ แล้วหันหน้าไปมองเย่หลิน “ฉันคิดว่าคุณคงไม่อยากรู้หรอก”

รถเดินทางมาได้สิบกว่านาที เมื่อเย่หลินเห็นบ้านที่อยู่ตรงหน้า ขอบตาก็แดงก่ำ เพราะว่า บ้านหลังนี้สร้างตามบ้านที่อยู่ในเมืองSเมื่อปีนั้นทั้งหมด รวมทั้งต้นไม้นั้นที่อยู่หน้าประตู รวมทั้งภาพวาดที่อยู่ที่ประตูนั้น

ต้นไม้ต้นนั้น คือต้นไม่ที่เธอปลูกกับเขาเมื่อตอนยังเด็ก เธอเดินเข้าไปดูใกล้ๆ ก็ยิ่งแปลกใจอย่างมาก เพราะด้านบนมีการสลักส่วนสูงของเธอเอาไว้ด้วย นี่เขาน่าจะย้ายจากเมืองSมาปลูกใหม่

เดินมาถึงหน้าประตู บนประตูนั้นคือภาพที่แม่ของเธอวาด สีสันดูเก่าไปไม่น้อย แต่ดูอบอุ่นใจอย่างมาก

หนิงเส่าเฉินยกมือขึ้นกำลังเตรียมจะเคาะประตู แต่ประตูถูกดึงเปิดจากด้านใน

เมื่อเห็นเย่หลินและหนิงเส่าเฉิน บนใบหน้าของเหลียงกั้วอันก็แสดงความประหลาดใจเล็กน้อย จากนั้นก็เก็บความดีใจเอาไว้ไม่อยู่ “เย่จึ คุณ……คุณมาได้อย่างไร? มา รีบเข้ามาเร็ว”

เย่หลินพยักหน้ากับเขา เดินเข้าไปในบ้าน ฉากที่คุ้นเคยในความทรงจำ ก็ปรากฏขึ้นมาในสมอง

“พ่อ คุณกลับมาแล้วเหรอ? ฉันคิดถึงคุณจังเลย”

“พ่อ คุณซื้อกระเป๋าหนังสือให้ฉันอีกแล้วเหรอ?”

“พ่อ นี่คือรางวัลแรกที่คุณให้ฉันเหรอ?”

“พ่อ……”

อันที่จริงถึงแม้ว่าพ่อเหลียงจะไม่ได้ดีกับเธอเป็นพิเศษ แต่ขออะไรไปก็ให้ตามที่ขอ ปฏิบัติดีกับเธอ ตอบรับเธอมาโดยตลอด ตอนเด็กๆ ในใจของเธอ พ่อเหลียงดีกว่าแม่ของเธอมาก

เพราะว่า เขาเล่นเกมกับเธอได้ เขาสามารถหยอกล้อกับเธอได้ แล้วก็สามารถให้คำปรึกษาเรื่องบางเรื่องกับเธอได้ ไม่เหมือนกับแม่ของเธอ แต่ไหนแต่ไรมีแค่การแสดงออกทางอารมณ์

“พ่อ…..”

เย่หลินเอ่ยปาก เธอเห็นม่านน้ำตาบางๆในดวงตาของพ่อเหลียง

“เฮ้ อย่ายืนอยู่เลย คุณนั่งลงๆ เดี๋ยวฉันจะให้คุณจางไปซื้ออาหารสักหน่อย ทานอาหารเที่ยงกับฉันที่นี่นะ ฉัน…..พ่อจะทำอาหารที่คุณชอบให้คุณทาน”

เย่หลินคิดจะปฏิเสธ แต่หนิงเส่าเฉินจับมือของเธอเอาไว้ สุดท้าย เธอจึงพยักหน้า “ค่ะ”

คนแก่แล้ว จึงยิ่งชอบคิดถึงอดีต เมื่อเย่หลินเห็นฉากที่คุ้นเคยภายในบ้านนี้ ก็ทำให้เธอแน่ใจอีกครั้งว่า พ่อเหลียงยังคงรักแม่อยู่เหมือนเดิม

ทานอาหารที่พ่อเหลียงทำให้แล้ว ก็เป็นเพื่อนพูดคุยกับเขาครู่หนึ่ง เย่หลินก็ไม่มีเรื่องจะพูดแล้ว ดังนั้น สุดท้ายก็เป็นหนิงเส่าเฉินที่พูดคุย คนทั้งสองคุยกันเรื่องธุรกิจ คุยเรื่องที่รู้กันอยู่สองคน เย่หลินก็ได้แต่มองพวกเขา

เมื่อตอนจะจากไป พ่อเหลียวมองเย่หลิน “มีเวลา ก็กลับมาเยี่ยมบ้านบ่อยๆนะ”

เย่หลินพยักหน้า “ค่ะ”

ณ วันหนึ่ง

“เสี่ยวหวู่ ทำไมตอนแรกคุณถึงมาชอบฉันขนาดนั้นล่ะ?”

สายตาชายคนนั้นค่อยๆเลื่อนขึ้นมาจากเอกสารบนโต๊ะ แล้วมองซูหย่า “เพราะกลัวว่าจะตกหลุมรัก”

มือที่ถือกาแฟของหญิงคนนั้นสั่นเล็กน้อย

“คุณพูดอะไร?”

ริมฝีปากชายคนนั้นเม้มเป็นเส้นตรง “ครั้งแรกที่เจอกัน คุณรวบผมทัดหูหกครั้ง กัดริมฝีปากเก้าครั้ง มองฉันสิบสองครั้ง”

ซูหย่าอ้าปากค้าง “คุณ……”

“คนสวยๆที่สามารถเป็นเพื่อนกับเล่อจยาได้ นิสัยก็น่าจะไม่ได้แย่ แต่คุณเป็นคนที่พวกเขาแนะนำให้ ฉันเลยไม่เต็มใจที่จะสนิทสนมด้วย”

นิสัยเซียวอู๋อันที่จริงเป็นคนคนเงียบ จึงไม่ค่อยพูดอย่างนี้กับเธอ

ฉะนั้นหลายปีมานี้ ซูหย่าคิดมาตลอดว่าตนเองตกหลุมรักเซียวอู๋ข้างเดียว เธอคิดแบบนี้มาตลอด บางเวลาเธอถึงขั้นคิดว่า เซียวอู๋เพียงแค่ซาบซึ้งในบุญคุณของเธอ ไม่ใช่ความรัก

ซูหย่าวางกาแฟลงบนโต๊ะ เดินเข้าไป กอดคอเซียวอู๋จากด้านหลัง “คุณ ทำไมคุณไม่เคยบอกสิ่งเหล่านี้กับฉันเลยล่ะ?”

เซียวอู๋ออกแรงเล็กน้อย ดึงซูหย่ามานั่งบนตัก

“กลัวว่าคุณจะอวดเก่งเกินไป”

“ไอ้บ้า”

เซียวอู๋จูบลงบนหน้าผากซูหย่า “อันที่จริงฉันก็แค่หาโอกาสมาได้”

พูดจบก็มองเธอ “คุณ ดึกขนาดนี้ไม่หลับไม่นอน มาหาฉันไม่ได้เพื่อจะฟังสิ่งเหล่านี้ใช่ไหม?”

“พรุ่งนี้เป็นวันเกิดของพ่อ เรากลับไปที่บ้านกันไหม?”

“วันเกิดของพ่อ? เดือนที่แล้วไม่ใช่เหรอ? คุณมีพ่อกี่คนเนี่ย?” ชายคนนั้นพูดจบก็ยื่นมือไปจับเอวของเธอ

หญิงคนนั้นกดมือใหญ่ของเขาไว้ ออกแรงตีเล็กน้อย “คุณว่าฉันมีพ่อหลายคนเหรอ? พูดจบก็มองชายคนนั้นตาปริบๆ

เธอเห็นลูกกระเดือกชายคนนั้นกลิ้งขึ้นลง

โดยปกติแล้วที่เขาแสดงแบบนี้ มีแค่สองอย่างที่เป็นไปได้ คือหนึ่งมาจากกายภาพ อีกอันหนึ่งมาจากจิตใจ

เห็นได้ชัดว่านี่เป็นอย่างหลัง

ตั้งแต่ทั้งสองคนแต่งงานกันอีกครั้ง เธอก็ไม่เคยไปที่ตระกูลเซียวเลย แน่นอนว่าเธอรู้เรื่องที่พ่อแม่ทิ้งเขาไปในตอนนั้น มันไม่เคยลบออกจากใจไปได้ ฉะนั้นปลายปีมานี้ เธอจึงไม่เคยบีบบังคับเขาเลย

แต่ว่า……

“เสี่ยวหย่า แม่รู้ว่าตอนนี้จะมาพูดคำนี้กับคุณ คุณจะลำบากใจเล็กน้อย แต่พ่อคุณเป็นมะเร็งระยะสุดท้าย หมอบอกว่าอยู่ได้ไม่เกินสามเดือน ช่วงนี้เขาพูดถึงเซียวอู๋อยู่บ่อยๆ ถึงแม้ว่าฉันจะอยู่ด้วยกันกับเขามาตลอดชีวิต แต่ว่าแก่แล้ว ฉันก็มองออกว่าจิตใต้สำนึกของเขารู้สึกติดค้างกับเสี่ยวหวู่ แม่ก็เช่นกัน ตลอดชีวิตนี้รู้สึกผิดต่อลูกคนนี้มาก”

คำพูดของคุณนายเซียวดังก้องอยู่ในหูซูหย่า

“คุณอย่าบอกเสี่ยวหวู่นะว่าพ่อเขาป่วย คุณบอกว่าเป็นวันเกิดของพ่อ เสี่ยวหย่า ขอร้องคุณล่ะ”

อันที่จริงซูหย่าไม่อยากช่วยสามีภรรยาตระกูลเซียวเลย เรื่องราวในตอนนั้น ไม่ใช่แค่เซียวอู๋ที่เกลียดพวกเขา เธอก็เกลียด เธอไม่กล้าจินตนาการว่าเสี่ยวหวู่ใช้ชีวิตในวัยเด็กของเขาอย่างไร เธอกลัวว่าตนเองจะเจ็บปวดใจจนเสียสติไป ฉะนั้นเธอก็อยากให้บ้านที่อบอุ่นแก่เขา

เธอจึงตอบรับคุณนายเซียวไป เธอไม่อยากให้ในอนาคตเซียวอู๋ต้องเสียใจเพราะรู้สึกผิด

“เรื่องนี้ คุณไม่ต้องยุ่งหรอก” เสียงที่มีเสน่ห์ของเซียวอู๋ดังขึ้นข้างๆหู

ซูหย่ารู้อยู่แล้วว่าจะต้องพูดอย่างนี้ เธอคิดๆดูแล้ว ก็พูดความจริงออกมา “พ่อคุณเป็นมะเร็งระยะสุดท้าย มีชีวิตอยู่ได้นานสุดไม่เกินสามเดือน” หลังจากพูดจบ เธอก็จ้องมองเซียวอู๋

สีหน้าเขาสงบนิ่งอย่างมาก แต่แววตาเหมือนคลื่นลมที่ถาโถมเข้ามา

ซูหย่าอ้าอ้อมแขนเธอ แล้วโอบกอดเขา “เสี่ยวหวู่ ถ้าคุณอยากร้องก็ร้องออกมาเลย”

ชายหนุ่มอิงแอบอยู่ในอ้อมกอดของเธอ พอดีที่ก้มลงในตำแหน่งหน้าอกของเธอ ซูหย่าไม่ได้สนใจ จนกระทั่งมือของชายหนุ่มยื่นเข้าไปจากชายเสื้อ

เธอจึงตกใจ

“เสี่ยวหวู่….” คำพูดอยู่ในปาก แต่สุดท้ายเธอก็ไม่ได้พูดอะไร ถ้าวิธีนี้จะสามารถทำให้เขาได้ปลดปล่อยอารมณ์ออกมาได้ เธอจะใจร้ายปฏิเสธได้อย่างไร

กลางดึก เมื่อซูหย่าตื่นขึ้นมา ข้างๆเตียงก็ไม่มีเงาของเซียวอู๋แล้ว ได้ยินเสียงเบาๆดังเข้ามาจากด้านนอก ช่วงนี้เด็กทั้งสองปิดเทอม พ่อแม่ของเธอจึงรับไปตระกูลซู ดังนั้น ในบ้านก็มีเพียงเธอและเซียวอู๋

คิดๆแล้ว เธอก็ลุกขึ้นเดินไปด้านนอก เห็นชายหนุ่มนั่งอยู่ที่ระเบียง ดื่มเหล้าแก้กลุ้มอยู่คนเดียว ซูหย่ารู้ว่าเซียวอู๋เขาไม่ชอบดื่มเหล้า หลายปีมานี้ เขาที่เป็นแบบนี้ เป็นครั้งแรกที่ซูหย่าได้เห็น

เธอเปิดประตูกระจกของระเบียง เดินออกไป นำเสื้อโค้ตที่ถือมาคลุมไหล่ของเขา “ดื่มเหล้าคนเดียวน่าเบื่อจะตาย ดื่มด้วยกันเถอะ”

“ทำให้คุณตื่นเหรอ?”

หญิงสาวยกขวดเหล้าขึ้นแล้วรินใส่ปากโดยตรง ดื่มอย่างรวดเร็ว จนสำลักไอขึ้นมาเล็กน้อย

ชายหนุ่มลุกขึ้นยืนอย่างจนปัญญา ตบหลังให้เธอเบาๆ “ใครจะแย่งคุณดื่มห๊ะ?”

ซูหย่าสูดลมหายใจเข้า “ไม่ได้ดื่มนานมาก ดื่มยากจัง”

ชายหนุ่มแย่งขวดเหล้าจากในมือของเธอมา “พอแล้ว ไม่ต้องดื่มแล้ว ไปนอนเถอะ”

ซูหย่าโอบเอวของเขา “เสี่ยวหวู่ คุณอย่าทำแบบนี้ได้ไหม? ฉันเจ็บปวดใจมาก ถ้าบอกคุณ แล้วต้องทำให้คุณทุกข์ใจแบบนี้ ฉันก็ไม่ควรบอกคุณเลย”

ชายหนุ่มไม่พูดจา แต่เพราะคำพูดของผู้หญิงคนนี้ ในใจก็รู้สึกอบอุ่นอย่างมาก ไม่ว่าผู้อาวุโสทั้งสองคนนั้นจะแย่แค่ไหน เขาก็ยังรู้สึกขอบคุณพวกเขา ที่ได้มอบการแต่งงานที่หาได้ยากกับเขาในชีวิตนี้

“พรุ่งนี้ตอนกลางวันหรือตอนเย็น?”

ในใจซูหย่าดีใจ “อะ…..อ้อ ตอนเย็น คุณเลิกงานแล้ว พวกเราจะเข้าไปกัน ถึงเวลานั้นฉันจะไปรับคุณที่ชั้นล่างของตึกคุณ”

ชายหนุ่มตอบ”อืม”คำหนึ่ง

วันต่อมา

ทานอาหารค่ำของครอบครัวตอนเย็นที่ตระกูลเซียว

ซูหย่าตั้งใจไปรับเด็กทั้งสองเข้ามา แม่ซูรู้ว่าเธอจะไปตระกูลเซียว สีหน้าก็ไม่พอใจเล็กน้อย ลูกสาวของตัวเองแต่งงานตั้งหลายปีขนาดนี้แล้ว เกี่ยวดองทั้งสองคนไม่เคยไถ่ถามเลย ตั้งแต่เซียวอู๋เป็นทหารใหม่ๆ ต่อมา ถึงแม้จะได้เป็นข้าราชการแล้ว แต่ก็ใสซื่อมือสะอาด เงินเดือนอันน้อยนิดแค่นั้น จะพอเลี้ยงลูกสองคนและซูหย่าได้อย่างไร

หลายปีมานี้ แอบรู้มาว่า พวกเขามีเงินสมทบอยู่ไม่น้อย

แต่ถึงรู้เรื่องเหล่านี้ของตระกูลเซียวแล้ว ก็ยังทำเป็นหูหนวกตาบอด นี่จึงทำให้แม่ซูรู้สึกไม่ยุติธรรมกับลูกสาวอย่างมาก

“แม่ พ่อของเสี่ยวหวู่ เป็นมะเร็งระยะสุดท้าย”

แม่ซูขมวดคิ้ว ทิ้งเสื้อผ้าในมือลงบนโซฟาที่อยู่ข้างๆ ไม่พูดจา แล้วหันเดินไปยังห้องเก็บอาหาร เมื่อออกมา ในมือถือขวดไวน์สองขวด

นั่นคือไวน์แดงชั้นดีที่พี่ใหญ่เอากลับมาจากต่างประเทศเพื่อให้พ่อ แต่พ่อเสียดายที่จะดื่ม

“เอาไปด้วยสิ อย่าไปมือเปล่า”

ซูหย่ารับของที่อยู่ในมือแม่ “ขอบคุณค่ะแม่”

เมื่อพาลูกขึ้นรถ เซียวอู๋ก็โทรเข้ามา “คุณไปตระกูลเซียวได้เลย อีกเดี๋ยวฉันจะเข้าไป”

ซูหย่านิ่งอึ้งไปเล็กน้อย “โอเค อย่างนั้น อีกสักครู่เจอกัน”

พอถึงตระกูลเซียวแล้ว ชัดเจนว่าพ่อเซียวไม่รู้ว่าพวกเขาจะมา จึงประหลาดใจอย่างมาก สีหน้าดีใจจนเก็บไว้ไม่อยู่

ครั้งที่แล้วที่ซูหย่าเจอพ่อเซียว คืออยู่ในงานเลี้ยงงานหนึ่ง คนทั้งสองเพียงแค่พยักหน้า ทักทายกัน ไม่ได้พูดคุยอะไรมาก

เพียงแต่ไม่ถึงสองปี พ่อเซียวดูชรางลงไปมาก คาดว่าเพราะปัญหาของสุขภาพ คนเลยดูบวมเล็กน้อย

เมื่อเผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้ที่อันตรายที่สุด เขาสามารถรักษาสีหน้าไว้ได้ไม่เปลี่ยนแปลง แต่ว่าเวลานี้ คาดไม่ถึงว่าเขาจะตื่นตระหนก เมื่อเขาได้ยินผู้หญิงคนนั้นบอกว่าอยากแต่งงานกับหมอคนนั้น ฉับพลันเขาก็ถอยกลับมา เพียงเพราะว่าเขาอยากให้เธอมีความสุข ถ้าอยู่กับตนเองแล้วไม่มีความสุข เช่นนั้นเขาก็จะไม่ฝืนอีกต่อไป

ต่อมาผู้หญิงคนนั้นก็ถลึงตาใส่เขาแล้วบอกว่า เขาเป็นคนที่โง่ที่สุดในโลก ผู้หญิงที่เอาใจใส่ตนเองอย่างนี้ จะทิ้งไปง่ายๆได้อย่างไร? เขาก็แอบถอนหายใจ โชคดีที่ยังได้พบกัน

เขากลับมาที่กองทัพ เมื่อผู้หญิงคนนั้นมาหาตนเองที่กองทัพ เขาก็ถอยอีกครั้ง ครั้งนี้เขารู้สึกว่าการติดตามตนเองมันอันตรายเกินไป แต่ก็ไม่ได้ทำให้เขาทอดทิ้งอาชีพการงานของตนเองไป เขาทำไม่ได้

เป็นอย่างนี้ ให้เธอไปแต่งงานกับคนอื่นอย่างสบายใจดีกว่า

แต่ต่อมาเธอไม่ได้แต่งงาน เธอไปฝรั่งเศสไปหาปี๋ไค พอดีกับโม่หานต้องไปหามู่เฉียว อันที่จริงเขาเข้าใจว่าตนเองเพียงแค่อยากเจอเธอเท่านั้น แต่ก็รับไม่ได้ที่ชายโสดหญิงโสดอยู่ในห้องเดียวกัน

เห็นเธอหัวเราะกับเขา เห็นเธอเข้าห้องไปกับเขา เขาก็รู้สึกว่าตนเองแทบบ้า

เดมทีที่คิดว่าจะปล่อยวาง ตลอดมามันเป็นแค่การปลอบใจตนเอง

……

ณ วันนั้น

หลังจากที่ซูหย่าดูแลลูกทั้งสองคนให้หลับดีแล้ว ก็นอนอยู่บนเตียงคนเดียว รู้สึกโดดเดี่ยวอย่างมาก จู่ๆเธอก็รู้สึกว่าตนเองต้องสมองกลวงแน่ๆ จึงได้ตอบตกลงแต่งงานกับผู้ชายคนนี้ จากนั้นวันแล้ววันเล่า ปีแล้วปีเล่าก็รอเขากลับมา

โกรธมาก จนเธอต้องฝากลูกสองคนไว้กับพ่อแม่ แล้วก็ไปที่กองทัพ เธออยากไปหาหัวหน้าของพวกเขา แล้วให้เซียวอู๋ถอยออกจาก”แนวหน้า”

เธอร้องไห้ราวกับสายฝน ท้ายที่สุดหัวหน้ากองทัพก็เห็นใจ ให้เซียวอู๋วัย 35 ปีกลับมาที่เมืองC และกลายเป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูง

จากนั้น คุณหนูซูก็รู้สึกเสียใจอีกครั้ง เพราะเซียวอู๋เป็นข้าราชการระดับสูงยังก็คงยุ่งมาก และมีผู้หญิงมากมายที่อยากได้เขา

อยู่ที่กองทัพ วินัยทหารเคร่งครัด บางคนมีความกล้าแต่ไม่มีโอกาส แต่ตอนนี้มันแตกต่างออกไป

บางคนก็ประจบประแจงเขา นำสตรีสวยๆงามๆเหล่านั้น มาส่งให้โดยตรง

ในห้องทำงานของเซียวอู๋ ก็บังเอิญเจอน้องสาวคนนั้นในวัยยี่สิบปี หลังจากที่เธอโผเข้าไปในอ้อมกอดเซียวอู๋ เธอก็พูดกับเซียวอู๋ว่า “ถ้าคุณไม่กลับมา ฉันก็ต้องเลี้ยงดูคุณใช่ไหม?”

ชายคนนั้นหัวเราะเบาๆ เขาจูบลงบนปากแดงๆของเธอ “บนโลกนี้ ผู้หญิงที่ยอมเสียสละเพื่อฉัน หาไม่ได้อีกแล้ว”

“ถ้ามีล่ะ?” ผู้หญิงคนนั้นยังคงดันทุรัง

ชายคนนั้นมองซูหย่า “ผู้หญิงที่ฉันรัก มันหาไม่ได้อีกแล้ว”

ผู้หญิงคนนั้นจึงยิ้มขึ้นมา

วันหนึ่งเซียวอู๋โทรหาซูหย่าที่กำลังมาส์กหน้าอยู่ “ฉันอยู่ร้านน้ำชาซานซาน คุณรีบเข้ามา อยากจะแนะนำคนสำคัญกับคุณ”

ซูหย่าตอบกลับอย่างใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว “ไม่ใช่เมียน้อยใช่ไหม? ไม่ต้อง ฉันไม่เห็นด้วย”

เพราะเปิดลำโพงอยู่ เซียวอู๋จึงเขินอายคนที่นั่งอยู่ข้างๆ อาจารย์จิบน้ำชา ปิดลำโพงแล้วหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา “คืออาจารย์ พ่อของโม่หาน”

ซูหย่าหยิบที่มาส์กออกจากใบหน้า “สามี สมองคุณมีปัญหาใช่ไหม? อาจารย์คุณตายไปแล้วไม่ใช่เหรอ?”

เสียงของเธอดังอย่างมาก ชัดเจนว่า อาจารย์ที่นั่งอยู่ตรงกันข้ามไม่ไกลต้องได้ยินแน่นอน รอยยิ้มมุมปากก็ชัดเจนขึ้นอย่างมาก

“รอคุณอยู่ที่นี่ รีบเข้ามาเถอะ”

ซูหย่ามองมือถือที่ถูกวางสาย ชัดเจนว่าเหม่อลอยเล็กน้อย หลังจากอาบน้ำแล้ว เธอจึงออกจากบ้าน เมื่อเห็นชายวัยกลางคนคนนั้นที่กำลังนั่งจิบชาอยู่ตรงข้ามเซียวอู๋ สีหน้าของเธอก็ซีดเผือด แทบจะทุกปีที่เธอไปวางดอกไม้ที่หลุมศพให้กับคนนี้ แต่คนคนนี้ เวลานี้นั่งอยู่ตรงหน้าของเธอ เธอเปลี่ยนสมองไม่ทันเล็กน้อย

“นึกไม่ถึงเลยจริงๆ ว่าคุณจะแต่งงานกับเด็กผู้หญิงที่นิสัยร่าเริงแบบนี้”

เซียวอู๋เห็นซูหย่าที่ยังคงนิ่งอึ้งอยู่หน้าประตู จึงเดินเข้าไป ดึงเธอ มานั่งลงข้างๆตนเอง

“อาจารย์ไม่ได้ตาย เวลานั้น เป็นเพียงแค่ความเข้าใจผิด” เซียวอู๋อธิบายอย่างง่ายๆ สีหน้าของซูหย่าจึงผ่อนคลายลง เธอไม่ได้ถามโดยละเอียดว่าเข้าใจผิดอะไร ที่ทำให้คนคนหนึ่งที่ตายไปตั้งหลายปีขนาดนี้แล้ว เพิ่งปรากฏตัวออกมา

เซียวอู๋ไม่พูด เธอก็ไม่ถาม เพียงแค่มองคนที่อยู่ตรงหน้า แล้วก็ยิ้มเล็กน้อย “สวัสดีค่ะอาจารย์”

ชายคนนั้นหัวเราะเบาๆ “ยัยหนู ฉันได้ยินมาว่าคุณทุ่มเทเพื่อเสี่ยวหวู่ มันวิเศษมากจริงๆ เสี่ยวหวู่มีวันนี้ได้ ช่างโชคดีที่มีคุณ”

ใครจะไม่เต็มใจฟังคำพูดดีๆล่ะ ซูหย่าหันไปมองเซียวอู๋ “ได้ยินแล้วหรือยัง ต่อไปปฏิบัติกับฉันดีๆหน่อย แล้วเลิกคิดที่จะไปหาเมียน้อยด้วย”

กับคำพูดเหลวไหลของเธอ เซียวอู๋เคยชินแล้ว

หลังจากแต่งงานกันใหม่ พวกเขาก็ผ่านการล้มลุกคลุกคลานมาโดยตลอด ทะเลาะเบาะแว้งกันอยู่บ่อยๆ แต่พื้นฐานแล้วเป็นซูหย่าที่ทะเลาะ ซูหย่าที่โวยวาย เซียวอู๋ถูกโมโหจนแทบกระอักเลือด แต่พอคิดอีกที ก็ยิ้มแล้วไปง้อเธอ เอาใจเธอ

เล่อจยาบอกว่าซูหย่าทำตัวเองที่อายุ30กว่าปีให้กลายเป็น18ปี ก่อเรื่องวุ่นวายทุกอย่าง ไร้เหตุผลทุกอย่าง

แต่ซูหย่าเข้าใจว่า เธอเพียงแค่แคร์เซียวอู๋มากเกินไป

“ยัยหนู อย่าเพิ่งพูดถึงคุณปฏิบัติต่อเฉียวอู๋ พูดถึงความรู้สึกความยุติธรรม เสี่ยวหวู่ทำเพื่อคุณ ละทิ้งหนทางชีวิตที่จะเป็นใหญ่เป็นโต แล้วทำไมถึงไปหาคนอื่น?” ผู้ชายจิบชา แล้วเงยหน้ามองซูหย่า

ซูหย่าไม่เข้าใจ ตอนนี้เสี่ยวหวู่เป็นข้าราชการที่มีอำนาจที่สุดในเมืองC ทำไมถึงละทิ้งหนทางที่จะยิ่งใหญ่ของเธอบ้างล่ะ?

“อาจารย์….” เซียวอู๋อยากจะขัดขวาง แต่ซูหย่าชี้นิ้วไปที่เขา “คุณไม่ต้องพูด ให้อาจารย์พูด”

“เดินทีเขากำลังจะย้ายไปจังหวัดอื่น แล้วจะได้เลื่อนอีกสองขั้น แต่เขาบอกว่า ไม่อยากให้คุณต้องจากบ้านไกลเมืองอีก จึงได้ปฏิเสธไป นี่ฉันก็เพิ่งได้ยินมาว่า เตรียมจะเข้ามาพูดโน้มน้าวคุณ แต่ไม่คาดคิดว่า เขาจะปล่อยโอกาสให้กับคนอื่น”

ซูหย่านิ่งอึ้งไป เลื่อนขั้นอีกสองขั้น นี่หมายความว่าอะไร เธออยู่ตระกูลซูมาตั้งแต่เด็กยันโต เธอรู้ได้โดยธรรมชาติ

มิน่าล่ะช่วงเวลาก่อนหน้านี้ เสี่ยวหวู่ถามเธอ ถ้ามีวันหนึ่งเขาต้องย้ายไปต่างมณฑล เธอจะเป็นอย่างไร?

ทันทีเธอพูดอย่างไม่คาดคิด “สองสถานที่ที่ห่างกัน? ช่างเถอะ อย่างนั้นคุณก็กลับมา แล้วสามารถไปเยี่ยมฉันที่โรงพยาบาลโรคประสาทได้…….” เธอแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า ไม่มีเซียวอู๋อยู่ข้างๆ เธอคงจะเป็นบ้า

เธอพูดเล่นๆ แต่ผู้ชายคนนี้จริงจัง

“เสี่ยวหวู่ คุณคงไม่ได้ทำเพื่อฉันแน่ ใช่ไหม?” เธอถามประโยคนี้เสร็จ ก็ร้องไห้ “ฉันไม่ได้ตั้งใจ ฉันไม่รู้ว่า…..ถ้าหากฉันรู้ ฉันคงไม่ตอบคุณแบบนั้นแน่ๆ”

เซียวอู๋ดึงมือของเธอ มองเธอ “ไม่ใช่เพื่อคุณ แต่เพราะตนเองที่ตัดใจจากที่นี่ไปไม่ได้”

ความนิ่งสงบของเขา แต่ทำให้ซูหย่าตำหนิตัวเอง โอกาสแบบนี้ยากที่จะได้มา ไม่ใช่ว่าเธอไม่รู้ แต่คนโง่นี้ละทิ้งโอกาสแบบนี้เพื่อตนเอง

รักอำนาจบารมีแต่รักสาวสวยมากกว่า ก่อนหน้านี้เธอคิดว่าสาวสวยคนนั้น ต้องมีความสุขมากจริงๆ แต่ขณะนี้เธอรู้สึกว่าตนเองเป็นทุกข์อย่างมากจริงๆ……

ตอนที่เซียวอู๋ได้ยินชื่อซูหย่าคนนี้ครั้งแรก เป็นพ่อเซียวที่แจ้งเขาว่าให้กลับมาดูตัว

“อีกฝ่ายเป็นลูกสาวของตระกูลซู ในอนาคตจะมีประโยชน์ต่อหน้าที่การงานของคุณ” นี่คือคำพูดเดิมของพ่อ

เซียวอู๋อดหัวเราะไม่ได้ เขาไม่เคยรู้มาก่อน ว่านี่เป็นแผนการของพ่อเพื่อหน้าที่การงานที่ดีขึ้นของเขา

“เสี่ยวหวู่ คุณก็ถึงช่วงวันที่จะแต่งงานแล้ว ลูกสาวตระกูลซูคนนั้น สวยความประพฤติดี และที่สำคัญคือเป็นเด็กที่รู้จักคิด”

นี่คือคำพูดของแม่

แต่เซียวอู๋ไม่เข้าใจ รู้สึกว่าเป็นลูกที่พ่อแม่ไม่รัก พ่อแม่ถึงได้พูดแบบนี้ มันเป็นคำพูดที่เปลี่ยนแปลงไปตามสถานการณ์ ถ้าพวกเขาปฏิบัติต่อเขาอย่างจริงใจ ก็จะไม่ปล่อยให้เขาเผชิญกับค่ำคืนที่เดียวดายลำพังแบบนั้น ฉะนั้น ภาพความทรงจำของเขาต่อซูหย่าจึงแย่อย่างมาก

หลังจากวันแรกที่กลับมา เขาได้เจอกับเล่อจยา เพื่อนร่วมชั้นในตอนนั้นที่ทั้งซื่อบื้อทั้งโง่ ในตอนนั้นเขาคิดว่า ถ้าวันหนึ่งในอนาคตจะต้องแต่งงาน เป็นอย่างนี้ก็ดี รู้รากเหง้ากันแล้ว ที่สำคัญไม่เกี่ยวข้องกับอำนาจและอิทธิพล และที่สำคัญอีกอย่างก็คือ จะทำให้พ่อแม่โกรธ

เขาคาดไม่ถึงว่า วันที่มานัดดูตัวซูหย่า จะได้เจอเล่อจยาอีกครั้ง

แต่ซูหย่าอันที่จริงก็สวยมาก แต่ดูเหมือนนิสัยไม่ค่อยดี เพราะเป็นเพื่อนสนิทกับเล่อจยา เขาจึงเชื่อว่าจะไม่แย่เกินไป

กับเล่อจยาเขาเข้าใจ ว่าโง่และไร้เดียงสามาก แต่เขาไม่อยากฟังการจัดการของพ่อแม่ ฉะนั้นเขาจึงไม่ชายตามองเธอเลย แต่เขาแสดงออกว่าสนใจเล่อจยามาตลอด

เห็นเล่อจยาไปห้องน้ำ เขาก็ตามออกไป ระหว่างที่เดิน เขาก็มองซูหย่าด้วยสายตาลึกซึ้ง

เป็นอย่างที่คาดไว้ เมื่อเขาสารภาพรักกับเล่อจยา เขาก็เห็นซูหย่าแอบอยู่ที่มุม

เขายอมรับ เขาใช้ประโยชน์จากเล่อจยา เขาอยากให้ผู้หญิงคนนั้นถอยออกไป

แต่ที่เกินคาดก็คือ เปล่าเลย……

ที่เหนือไปกว่านั้น ซูหย่าบอกว่าเธอตกหลุมรักเขาตั้งแต่แรกเห็น เธออยากหัวเราะเธอยังคงอยากเป็นผู้หญิงของตนเองอยู่ใช่ไหม? แต่ก็หัวเราะไม่ออก ผ่านนานไปเขากลับนึกถึงวันนั้น บางทีเขาก็อยากจะเปลี่ยนความคิด

ฉะนั้นต่อมาก็รังเกียจเธออย่างเธอได้ชัด และใจร้ายกับเธอมาตลอด

ในคืนนั้น รู้ดีว่าเธอวางกับดักกับตน แต่เขายังคงทำตามแผน

อาจเป็นการกบฏในใจที่ทำให้เขามักจะกีดกันซูหย่าอย่างสุดความสามารถ

ต่อมาคาดไม่ถึงว่าเธอจะไม่สนใจความคิดเห็นของตน ตัดสินใจแต่งงานครั้งนี้เป็นการส่วนตัว นี่ทำให้เขากีดกันเธอมากขึ้นไปอีก

เมื่อรู้ว่าเธอท้อง เขายังคงสะเทือนใจ ลืมไม่ลงจนถึงตอนนี้ แต่เด็กที่เติบโตมาในครอบครัวอย่างนั้น พ่อแม่ที่มีเจตนาแอบแฝงเช่นนั้น ปล่อยให้เขาแต่งงานไป เมื่อเด็กคนนี้เกิดมา เขาก็จะเข้าใจว่าอะไรเป็นอะไร

ฉะนั้นเขาจึงส่งเธอกลับไป เมื่อลูกน้องเข้ามารายงาน เขาก็ดื่มเหล้าอย่างมาก ไม่ได้นอนทั้งคืน ความเจ็บปวดในใจ เขายากที่จะอธิบาย เล่อจยาโทรหาเขา เขาแปลกใจเล็กน้อย เมื่อเห็นเลือดบนเตียง เขาเสียใจมากจริงๆ เขารู้สึกว่าเขาโหดเหี้ยมมาก จึงสามารถลงมือกับเธอได้ จึงสามารถทำลายเลือดเนื้อของตนเองด้วยมือตนเอง

เวลานั้นที่ซูหย่าเข้าห้องผ่าตัดไป เซียวอู๋ก็ภาวนาว่าให้เด็กคนนั้นรอด

เมื่อหมอบอกว่าเด็กไม่อยู่แล้ว เซียวอู๋รู้ว่า ตนเองจะต้องไม่สบายใจไปตลอดชีวิต ตนเองติดหนี้ผู้หญิงคนนี้ไปตลอดชีวิต

ต่อมาหลังจากที่แต่งงาน เขามีวิธีที่จะผลักไสออกไป แต่ว่าเขาก็ไม่ได้พูดอะไร ถ้าสิ่งนี้จะทำให้ซูหย่าดีขึ้นบ้าง เขาก็จะไม่คัดค้าน

การเข้าหอในคืนนั้น ร่างกายของหญิงสาวทำให้เขารู้สึกโลภ แต่ภายในใจปฏิเสธอย่างมาก

เขาใช้คำพูดหยาบคายมากลบหัวใจที่สั่นสะท้าน

เมื่อเห็นเธออยู่ด้วยกันอย่างสนิทสนมกับปี๋ไค เขาไม่อยากยอมรับว่าตนเองหึง แต่สุดท้ายเขาก็ยังเอ่ยเรียกร้องให้เธอเข้าไปอยู่ในค่ายทหาร เขาคิดแล้ว ก็เหมือนว่าตนเองเห็นแก่ตัว

เขาใช้อุบายที่เลวทรามต่ำช้าที่สุด เพื่อให้บรรลุจุดประสงค์ของตัวเอง

การอยู่ร่วมกันในกองทหาร ทำให้เซียวอู๋ยิ่งเข้าใจว่า ซูหย่าดีมากจริงๆ เขาพบว่าสายตาของตนเองที่มองเธอ กลับมองได้ยาวนานมากขึ้น

วันนี้ที่เธออ้างว่าจะไปพบเล่อจยา แต่กลับไปนัดพบกับปี๋ไค ชายคนนั้นพูดยั่วยุกับตนเองว่า พวกเขารักกันอย่างจริงใจ

บางที เขาก็อิจฉาจริงๆ รู้ดีว่าภารกิจวันนี้อันตรายแค่ไหน เขาก็ยังจะไป

หลังจากนั้นทุกอย่าง ก็เริ่มหลุดพ้นจากความคิดของตัวเอง

เมื่อเขาเกิดเรื่อง คนทั้งหมดต่างมองเขาเหมือนผัก มีเพียงตัวเขาเองที่รู้ เขาได้ยิน แล้วก็มีความคิด

เขาได้ยินถึงความรู้สึกที่เย็นชาของคนในห้องผู้ป่วย คนทั้งหมด เริ่มทยอยห่างหายไปจากเขา

เพื่อนทหารที่ร่วมรบพูดบางอย่างโดยไม่ได้ตั้งใจ ทำให้หัวใจของเขาหนาวเหน็บขึ้นมาอย่างเฉียบพลัน เขาจะคาดคิดได้อย่างไรว่า ขณะที่ตนเองกำลังผ่าตัด มีคนกระทำการบางอย่างที่คนอื่นไม่รู้

เขายิ่งไม่คาดคิดว่า ลูกของซูหย่ายังอยู่

เห็นเธอทำเพื่อตนเองโดยไม่ลังเลใจ เขาเลยคิดว่า ถ้าชีวิตยังสามารถหยัดยืนได้ต่อไป เขาจะพยายามทำดีกับเธอให้ถึงที่สุด

แต่เขาก็ไม่รู้ว่า หลังจากที่ตนเองทำร้ายเธอมาเป็นเวลายาวนานมาก

แต่เพราะของแข็งนั้นที่อยู่ในสมองของเขาทำให้ความรู้สึกของเขาเลือนรางไปเล็กน้อย ไอคิวของเขาเริ่มค่อยๆ มีปัญหา

เริ่มแรก เขาพยายามที่จะรีเฟรชตัวเอง เพราะเขายังติดหนี้การสมรสกับผู้หญิงคนนั้น

แต่เมื่อพ่อแม่เซ็นยินยอมให้เขาย้ายไปอยู่โรงพยาบาลจิตเวช สติสัมปชัญญะของเขาพังทลายลงทันที

เขาเริ่มมีไอคิวเหมือน”เด็ก”สองสามขวบ

เรื่องราวหลังจากนั้น ผ่านพ้นไปหลายเดือน จึงฟื้นฟูกลับมาเป็นปกติ เขาจึงค่อยๆ จดจำขึ้นมาได้

ความโง่เขลาของผู้หญิงคนนี้ทำให้เขาคิดได้ รู้สึกเจ็บปวดใจจนแทบจะเป็นสายเลือด แต่ทำให้เขาเข้าใจเหตุผลหนึ่งว่า เขาต้องให้ครอบครัวที่มั่นคงและปลอดภัยกับผู้หญิงคนนี้ แล้วก็ต้องให้การสนับสนุนที่แข็งแกร่งอยู่เบื้องหลัง

ดังนั้น รู้ดีว่าเอ่ยปากหย่า ผู้หญิงจะโกรธ เขาก็ยังจะเอ่ยปาก

ไม่มีใครรู้ว่า กี่วันกี่คืน ที่เขาคิดถึงเธอคิดถึงจนนอนไม่หลับ

แต่สายตาที่ยังจ้องมองมายังเขาอย่างถมึงทึง นอกจากความอดทนแล้ว เขาก็ไม่มีทางเลือกอื่น บนโลกใบนี้ หลายๆ ครั้ง ไม่ใช่ว่าคุณยอมแพ้แล้ว คนอื่นจะเมตตาต่อคุณ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ อย่างนั้น ก็แค่ต้องทำให้ตนเองแข็งแกร่งขึ้นเอง

เขาพยายามปูทางให้ตนเองอย่างสุดความสามารถ ทำให้ตนเองมีความดีความชอบ ทุกครั้งที่เป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ เขาก็จะคิดถึงผู้หญิงคนหนึ่งที่สามารถทำให้เขาละทิ้งทุกอย่างบนโลกนี้ได้ เพื่อความสุขในบั้นปลายชีวิตของเธอ เขาจะต้องพยายามมีชีวิตต่อไป แล้วก็ต้องมีชีวิตที่ดีขึ้น

เมื่อคนนั้นถูกตรวจสอบ ถึงแม่ว่าเขาจะโล่งอก แต่ช่วงเวลาที่สำคัญที่สุดคือมู่ซือแทบจะเสียสละชีวิตทำเพื่อเขา ดังนั้น เมื่อมู่ซือขอให้เขาเลี้ยงข้าว เขาจึงไม่ปฏิเสธ หลังจากผ่านมานาน เขาจึงรู้ว่า วันนั้น ซูหย่าเห็นฉากนี้ จึงเข้าใจผิด

หลังจากทานข้าวกับมู่ซื้อเสร็จแล้ว เขาก็ไม่รีรอที่จะไปตระกูลซู เอ่ยถึงความปรารถนาที่จะแต่งงานอีกครั้ง พ่อซูเข้าใจว่าสถานการณ์ของเขาเป็นอย่างไร จึงไม่ได้โต้แย้ง ตื่นเต้นเล็กน้อยที่จะได้พบคนที่คิดถึงทุกวันทุกคืน ดังนั้นเขาจึงไม่รีรอที่จะออกจากบ้าน แต่เมื่อเห็นหญิงสาวลงมาจากรถของผู้ชาย เขาก็สับสนอลหม่านเล็กน้อย

ตลอดคืนนี้ มู่เฉียวนอนอยู่ที่ห้องรับแขก ตอนเช้าตื่นขึ้นมา ทุกๆคนก็ไม่เห็นเธอแล้ว

“เมื่อคืนพวกคุณทะเลาะกันเหรอ?” คุณนายโม่เอ่ยถาม

ทุกๆคนมองไปที่โม่หาน โม่หานส่ายหัว อยากจะบอกว่าเดิมทีไม่มีโอกาสได้ทะเลาะกัน เขาอยากจะให้มู่เฉียวทะเลาะกับเขาด้วยซ้ำ อย่างนี้บางทีเธออาจจะสบายใจขึ้นเล็กน้อย แต่เธอเปล่าเลย เธอขังตนเองอยู่ในโลกส่วนตัวไม่ออกมาเลย

“ไปตามหาแถวๆนี้เถอะ อาจจะไม่ค่อยสบายใจ จึงออกไปเดินเล่น”

โม่หานพยักหน้า เขาขับรถออกไป ขับเลียบตลอดทางไปอย่างช้าๆ

แต่จนถึงเที่ยงแล้ว ก็ไม่พบมู่เฉียวเลย ต่อมาโม่หานก็นึกถึงกล้องวงจรปิดที่หน้าประตูทางเข้า

“เดิมทีเธอไม่ได้ออกไปจากคฤหาสน์ตระกูลโม่นะ” คำพูดนี้พ่อโม่เป็นคนบอก

คุณนายโม่ซวนเซถอยหลังไปเล็กน้อย ดูเหมือนว่าเธอจะรู้ว่ามู่เฉียวอยู่ที่ไหน?

สีหน้าย่ำแย่เล็กน้อย

เธอหันกลับวิ่งไปที่หลังบ้าน โม่หานก็ตามไป

ในห้องที่มืดและว่างเปล่านั้น มู่เฉียวนอนอยู่บนพื้น เธอรู้สึกว่าตนเองบ้าไปแล้วจริงๆ

เธอหาทางออกไม่เจอ เธออึดอัดใจพูดอะไรไม่ออก

ผู้หญิงยุคใหม่ไม่ควรเป็นเช่นนี้ เธอควรจะเดินออกไป และไม่ใช่การหลีกหนี ตนเองเป็นอย่างนี้เธอยังรังเกียจตัวเองเลย นับประสาอะไรกับโม่หาน

นึกถึงโม่หาน เธอรู้สึกว่าตนเองทำผิดต่อเขา น้ำตาก็พรั่งพรูไหลออกมา

รู้สึกได้ว่ามีมืออุ่นๆมาปกคลุมแก้มของเธอ จากนั้นก็ดึงเธอมาไว้ในอ้อมกอด

“ฉันควรจะลองออกไปใช่ไหม?” คำพูดของมู่เฉียว ทำให้โม่หานดีใจ จูลงบนหน้าของเธอ “คุณอยากไปที่ไหน ฉันจะไปเป็นเพื่อนคุณ”

หลังจากทานข้าวกลางวันเสร็จ โม่หานก็ออกจากตระกูลโม่ไปกับมู่เฉียว ยืนอยู่บนถนนที่ผู้คนผ่านไปผ่านมา มู่เฉียวได้รับสายตาแปลกๆจากทุกคน เธออยากจะพูดโน้มน้าวใจตนเองว่าอย่าไปสนใจสายตาคนอื่น แต่ก็มีคนโพสต์รูปพวกเขาบนอินเทอร์เน็ต

มีการพูดจาถากถางและกระทบกระเทียบเธออย่างท่วมท้น

แม้ว่าโม่หานจะจัดการได้ทันเวลา มู่เฉียวก็ยังได้รับความเจ็บปวดใจ เธอรู้ว่าเธอเป็นอย่างนี้ มันไม่เหมาะสมกับโม่หานจริงๆ ไม่แปลกใจเลยที่คนอื่นจะถากถาง พูดจากระทบกระทั่ง

เธอขังตัวเองอยู่ในห้องมืดนั้นอีกครั้ง

พ่อได้ยิน ก็อารมณ์เสียอย่างมาก “คุณมีความสามารถที่จะเสียใจได้ขนาดนี้ คุณก็มีความสามารถที่จะเปลี่ยนตนเองให้ดีขึ้นมาได้ ลูกสาวของฉัน จะไม่สามารถอ่อนแอแบบนี้”

แต่มู่เฉียวเวลานี้ไม่ฟังการโน้มน้าวใดๆ เธอยังคงดันทุรัง เธอคิดว่าตนเองเป็นอย่างนี้ โม่หานจะทิ้งเธอไหม เธอจมดิ่งอยู่กับจุดบอดของตนเอง

ท้ายที่สุด โม่หานเห็นเธอ คำพูดก็ค่อยๆน้อยลง

ท้ายที่สุด เธอจะไปนอนที่ห้องรับแขกคนเดียว โม่หานก็ไม่ได้รั้งเธอไว้อีก

ท้ายที่สุด ก็จะเป็นครั้งแรกที่โม่หานไปค้างคืนข้างนอก

ท้ายที่สุด ผู้ชายของเธอ ก็ต้องทิ้งเธอไป

เธอ มู่เฉียว ทำให้ความสุขของตนเองหมดไป!

พ่อแม่เกลียดที่เธอไม่ต่อสู้ หลังจากที่มู่หลิงได้ฟัง ก็แตะหน้าผากของเธอแล้วพูดว่า ไม่หาเรื่องก็ไม่เกิดเรื่องหรอก

แต่จะมีสักกี่คนที่เข้าใจ ว่าจริงแล้วเธอไม่ได้เสแสร้ง เธอแค่เธอเป็นซึมเศร้าก็เท่านั้น……

เพราะเรื่องนี้คฤหาสน์ตระกูลโม่ จึงไม่มีเสียงหัวเราะเหมือนแต่ก่อน

มื้ออาหารวันนี้ มือถือของโม่หานก็ดังขึ้น เธอมองเขาโดยจิตใต้สำนึก โม่หานหยิบมือถือขึ้นมา ลุกขึ้นยืนแล้วไปที่ห้องรับแขก

มู่เฉียวอ่อนไหวทุบชามอย่างบ้าคลั่ง เธอเอ่ยถามโม่หานเสียงดัง ว่าเขามีผู้หญิงอื่นข้างนอกใช่ไหม?

เธอเห็นในแววตาโม่หานทั้งจนปัญญาและสงสาร

เธอคิดว่าโม่หานจะโกรธ แต่เขาดึงเธอเข้ามาไว้ในอ้อมกอด

“มู่เฉียว พวกเราไปอยู่ฝรั่งเศสสักระยะหนึ่งดีไหม? คุณบอกว่าคุณชอบหมู่บ้านที่นั่นมาก พวกเราไปพักที่นั่นสักระยะหนึ่ง ดีไหม?”

มู่เฉียวจำหมู่บ้านนั้นที่ราวกับทูตสวรรค์จูบได้ สวยงามจนไม่น่าเชื่อ วิลล่าเล็กๆแต่ละหลัง กระจายอยู่ท่ามกลางขุนเขา นั่นคือสถานที่ที่เธอกับโม่หานไปเที่ยว แล้วได้พบ ตอนนั้นเธอพูดเล่นๆว่า ตอนแก่ พวกเขาสองคน จะมาใช้ชีวิตที่นี่

ในสายตาของเธอเป็นประกาย เธอเงยหน้ามองโม่หาน น้ำตาไหลริน “ขอโทษนะ”

พ่อแม่มองคุณนายโม่แล้วพยักหน้ากัน ในสายตาแสดงความรู้สึกผิดและเสียใจ

โม่หานเป็นคนที่ดำเนินการเรื่องราวได้อย่างรวดเร็ว อีกสามวันต่อมา คนทั้งสองก็นั่งเครื่องบินไปฝรั่งเศส

คาดไม่ถึงว่า จะเป็นเครื่องบินลำเดิมกับครั้งที่แล้ว เพราะเธอจำพนักงานต้อนรับสาวสวยคนนั้นได้

เมื่อเห็นว่าโม่หานไม่ได้สนใจต่อเธอ ในสายตาของผู้หญิงคนนั้นก็ไม่เข้าใจ

เมื่อถึงฝรั่งเศส มู่เฉียวจึงรู้ว่า โม่หานได้เตรียมการเรื่องนี้ไว้ก่อนหน้านี้แล้ว วันนี้ที่เขาไม่กลับบ้าน ก็คือมาฝรั่งเศส จัดบ้านที่นี่ให้เธอ ให้เหมือนกับ”บ้าน”ที่เธอจินตนาการไว้ในตอนนั้นทุกประการ

อาจเป็นเพราะคนต่างประเทศไม่ค่อยชอบก้าวก่ายเรื่องของคนอื่น อยู่ที่นี่ เมื่อเพื่อนบ้านเห็นเธอและโม่หานปรากฏตัว ในสายตาก็ไม่ได้สงสัยอีก เพียงแค่ปิดปากแล้วกล่าวชมเป็นภาษาฝรั่งเศสว่า “คุณมู่ สามีของคุณ หล่อจริงๆเลย คุณดูมีความสุขมาก”

ในสายตานั้นจริงใจ ทำให้หัวใจของมู่เฉียวเหมือนกับได้รับการปลอบโยน มีพละกำลังขึ้นมาในชั่วพริบตา

เธอไม่หวาดกลัวที่จะออกไปข้างนอกกับโม่หานอีกแล้ว เธอเริ่มทำตามการนำของโม่หาน เริ่มออกกำลังกาย วิ่งตอนเช้า ตอนกลางวันให้เทรนเนอร์ฟิตเนสส่วนตัวเข้ามาแนะนำ ตอนเย็น ทำการฟื้นฟูหลังคลอด

โม่หานตั้งใจอย่างมาก เขาพาเธอออกจากบ้าน จูบเธอในที่สาธารณะ เขาวางแผนว่าหลังจากกลับประเทศมาจะแต่งงานกับเธอ

เขาบอกกับเธอว่า ถ้าเธอลดน้ำหนักไม่ได้ ก็จะทำให้ตนเองอ้วนขึ้นมา จะได้เหมาะสมกับเธอ

เมื่อเธอลดน้ำหนักลงมาได้5กิโลกรัม เธอโอบกอดโม่หานด้วยความดีใจ คนทั้งสองใช่ชีวิตดั่งสามีภรรยาเป็นครั้งแรกหลังจากคลอด

สุดท้ายเมื่อชายหนุ่มได้รับการปลดปล่อย เธอได้เห็นความโล่งใจอย่างชัดเจนของเขา ทั้งจิตใจ แล้วก็ร่างกาย…..

“ขอโทษนะ” เธอเอ่ยปาก เธอเคยค้นหาข้อมูลมามากมาย คนที่เป็นแบบเธอนี้ มีอยู่มากมาย ถ้าปรับได้ไม่ดี ก็มีคนที่ฆ่าตัวตาย เป็นบ้า เยอะมาก

คู่สามีภรรยา คู่รักจำนวนมาก ที่สุดท้ายแล้วเลือกที่จะเลิกรากัน

เธอช่างโชคดีเหลือเกิน

ชายหนุ่มจูบลงบนใบหน้าของเธอ “อันที่จริงทำเรื่องเหล่านี้ ก็คือการลดน้ำหนักนะ”

มู่เฉียว”หัวเราะลั่น หลังจากนั้นก็เห็นความแปลกใจในสายตาของชายหนุ่ม เธอไม่ได้หัวเราะแบบนี้มานานแค่ไหนแล้ว?

บางทีอาจเป็นเรื่องนี้ที่ให้กำลังใจเธอ จากนั้นมู่เฉียวก็ขยันมากขึ้น เธอพยายามทำให้ตัวเองยุ่ง ออกกำลังกาย ออกไปเที่ยว ฟังคำแนะนำของนักจิตวิทยา เพื่อไม่ให้ตนเองรู้สึกไม่ภูมิใจในตนเองอีกต่อไป

“โม่หาน คุณทำแบบนี้ ในบริษัทโอเคเหรอ?”

“ถึงแม้บริษัทจะล้มละลาย แต่คุณฟื้นฟูร่างกายให้แข็งแรงได้ มันก็คุ้มค่านะ” คำพูดของชายหนุ่ม ทำให้หญิงสาวที่อยู่ท่ามกลางคนผ่านไปมา เขย่งปลายเท้า แล้วจูบเขา

เธอตัดสินใจแล้วว่า เพื่อโม่หานแล้ว เธอจะต้องดีขึ้น

หลังจากผ่านไปสามเดือน เมื่อเธอจูงมือของโม่หานเดินออกมาจากสนามบิน สื่อมวลชนก็ตาเป็นประกาย ทำให้มู่เฉียวไม่ทันได้ตั้งตัว

เธอมองโม่หาน “คุณเป็นคนจัดการเหรอ?”

ถ้าไม่ใช่โม่หานแนะนำให้ทำ ที่เมืองA ไม่มีสื่อมวลชนสำนักไหนกล้าทำแบบนี้หรอก

“คุณนายโม่ ควรจะให้เครดิตฉันนะ”

วันต่อมา มู่เฉียวได้รับเกียรติให้พาดหัวข่าวอีกครั้ง น่าทึ่งมาก

มีสื่อมวลชนเผยแพร่ภาพก่อนที่เธอจะลดน้ำหนัก ชาวเน็ตแต่ละคนต่างก็ทยอยส่งข้อความกันเข้ามา คุณแม่สุดยอดอย่างมาก ขอโทษที่ตนเองพูดจากระทบกระทั่งก่อนหน้านี้ และต้องขอโทษโม่หานอย่างสูง

ด้วยเหตุนี้ หลายแบรนด์ของMYได้เพิ่มประสิทธิภาพขึ้น30%ในคราวเดียว ผลลัพธ์นี้ทำให้ผู้ถือหุ้นMYทุกคนตกใจ

………………

ตั้งแต่บัดนั้นจนถึงบัดนี้ ก็จบสิ้น

ต่อไปก็น่าจะทำตามความปรารถนาของทุกคน เขียนตอนพิเศษเล็กน้อย เช่นหนิงเส่าเฉินกับเย่หลิน เช่นซูหย่ากับเสี่ยวหวู่ คาดว่าจะมีการอัปเดตสิบกว่าวัน ในที่สุดแล้วฉันก็จะบอกลาพวกคุณ

บทความใหม่กำลังอยู่ระหว่างการจัดทำ และกำลังเตรียมเขียนเกี่ยวกับการกลับมาใหม่ของนางเอก ซึ่งจะทำให้คุณรู้สึกตื่นเต้นไปอีกแบบหนึ่งอย่างแน่นอน จึงขอให้ทุกคนสนับสนุนต่อไป

ไอ๋หยา ช่างน่าเศร้าใจ ลูกโตแล้ว ความรู้สึกที่จะต้องแยกจาก ขอบคุณที่ระหว่างทางมีพวกคุณมาโดยตลอด ขอบคุณ

เพราะเด็กทั้งสองต้องการนมแม่ แล้วระหว่างตั้งครรภ์เธอก็ถูกตรวจพบว่า บริเวณหน้าอกมีปัญหาเล็กน้อย ในช่วงเวลานั้นหมอแนะนำให้เธอขยายเวลาให้นมลูกให้นานที่สุดหลังจากคลอด ดังนั้นจึงไม่สามารถลดน้ำหนักได้ชั่วคราว

เมื่อเห็นเธอกับโม่หานเดินอยู่ด้วยกัน ทุกๆคนก็มองด้วยสายตาที่ไม่อยากจะเชื่อ เธอจึงรู้สึกเป็นทุกข์เล็กน้อย

เธอไม่ได้สนใจสายตาของคนอื่น แต่เธอไม่อยากให้โม่หานถูกคนอย่างนี้วิพากษ์วิจารณ์

เมื่อมาถึงที่จอดรถใต้ดิน โม่หานก็ไม่ได้สตาร์ตรถ เขานั่งอยู่ฝั่งคนขับมองมู่เฉียว นิ้วเรียวยาวเชยคางเธอขึ้น ก้มลงไปคิดที่จะจูบ

แต่ถูกมู่เฉียวหลบหลีก “ที่นี่คนผ่านไปผ่านมาเยอะแยะ คุณบ้าไปแล้วเหรอ?”

โม่หานออกแรงเล็กน้อยหันหน้าเธอกลับมา ประกบลงไปอีกครั้ง ด้วยอารมณ์ความรักของทั้งสอง ทำให้มู่เฉียวลืมเรื่องนี้ไปชั่วขณะ

หลังจากแยกจากกันแล้ว เธอเห็นความรักที่จริงใจในสายตาของโม่หาน เธอไม่ได้โง่ เธอรู้ว่าโม่หานใช้วิธีนี้เพื่อจะบอกเธอว่า เขาไม่ได้สนใจว่าเธอจะเปลี่ยนจนกลายเป็นอย่างไร

แต่เธอก็ยังคงเจ็บปวดใจอยู่

เวลานั้นหลังจากคลอดมู่เสี่ยวโยวแล้ว ถึงแม้ว่าเธอจะอ้วน แต่เมื่อเทียบกับวันนี้ นั่นแตกต่างกันหลายระดับเหลือเกิน

ต่อมาเธอก็ไม่กล้าออกจากบ้าน แล้วก็ไม่กล้าออกไปกับโม่หานอีก

นอกจากจะป้อนนมลูกทั้งสองคนแล้ว เธอก็ค่อยๆคิดในแง่ลบ ทั้งอ่อนไหว ทั้งน้อยเนื้อต่ำใจ

แม่เห็นความผิดปกติของเธอ จึงบอกเธอว่าอย่ากังวล รอหย่านมแล้ว ค่อยลดน้ำหนัก แต่เธอก็ดูถูกตนเองเล็กน้อย ในเวลานั้นมันมีแรงกระตุ้นจากคนตระกูลโม่กับโม่หานและก็การทำงาน แต่ตอนนี้เธอไม่มีแรงกระตุ้นอะไรเลย ก็รู้ว่าอารมณ์อย่างนี้มันไม่ดี แต่ก็รู้สึกซึมเศร้าไม่มีชีวิตชีวาเลย

แม้ว่าโม่หานจะพยายามหยอกล้อให้เธอมีความสุขทุกๆวัน แต่รอยยิ้มของเธอยังคงลดน้อยลง

คนในครอบครัวค่อยๆตระหนักถึงความรุนแรงของเรื่องนี้ คุณนายโม่จึงเชิญหมอมา หมอบอกว่าเธออาจเป็นโรคซึมเศร้าหลังคลอด

หลังจากที่หมอไปแล้ว มู่เฉียวก็ค้นหาในอินเทอร์เน็ต ดูเหมือนว่าจะพูดไม่ผิดเลย เธอบอกตนเองให้พยายามปรับสภาพจิตใจ แต่เมื่อพบเจอเรื่องเล็กๆน้อย ก็เกิดขึ้นมาอีกอย่างไม่ทันตั้งตัว

“เฉียวเอ๋อ คุณไม่สบายใจอะไร คุณก็บอกแม่ได้นะ อย่าให้อัดอั้นอยู่ในใจ คุณดูสิตอนนี้คนบ้านสามีของคุณปฏิบัติกับคุณดีขนาดนี้ ลูกๆก็มีแล้ว โม่หานก็ทำดีกับคุณมาก ชีวิตมีแต่ดีขึ้นเรื่อยๆนะ

มู่เฉียวมองแม่ ไม่อยากพูดอะไร อันที่จริงเธอรู้สึกว่าตนเองเป็นประสาทเล็กน้อย แม้แต่อารมณ์ก็หดหู่ ไม่สนใจอะไรเลยแม้แต่ชีวิตคู่สามีภรรยา

เธอคิดไปเองว่า ที่โม่หานยังเต็มใจใช้ชีวิตคู่สามีภรรยากับเธอ เพียงเพื่อทำให้เธอมีความสุข

สิ่งที่น่ากลัวที่สุดของคนก็คือการอยู่ในโลกจองตัวเอง

เธอเริ่มต่อต้านการสัมผัสใกล้ชิดกับโม่หาน และทั้งสองคนก็เริ่มแยกผ้าห่มกันนอน

ตอนแรกๆโม่หานก็เกลี้ยกล่อมเธอหยอกล้อเธอ แต่ทุกๆครั้งที่โม่หานไปสัมผัสร่างกายเธอ เธอก็โดดลงจากเตียงอย่างบ้าคลั่ง แล้วนำผ้าห่มมาพันตัวเองไว้แน่น

นานๆไปโม่หานก็ไม่ทำอีก เขาไม่หยอกล้อเธอ อีกทั้งเธอก็รู้สึกว่าเขาเปลี่ยนไป แล้วก็ระแวงว่าโม่หานต้องนอกใจอย่างแน่นอน

การอยู่ร่วมกันแบบนี้ เธอเหนื่อยมาก และเธอรู้ว่าโม่หานก็เหนื่อย

จนกระทั่ง หลังจากโม่หานเชิญโค้ชฟื้นฟูหลังคลอดคนหนึ่งที่ดีที่สุดในเมืองAเข้ามา เธอก็ต้องหดหู่ใจถึงที่สุด เธอเอะอะโวยวายกับคนอื่น แล้วยังทำลายข้าวของภายในบ้าน ปากบอกว่าโม่หานรังเกียจเธอ

แท้ที่จริงแล้ว ภายในใจ มีเสียงบอกเธออย่างชัดเจนว่า โม่หานเพียงแค่ทำเพื่อเธอ แต่คนก็อดไม่ได้ที่จะคิดถึงด้านร้าย

มู่เฉียวรู้สึกว่าตอนนี้เธอกำลังมองโลกในแง่ร้าย เรื่องที่ทุกคนทำ เธอล้วนคิดในแง่ร้าย มู่เฉียวที่มองโลกในแง่ดี เหมือนกับว่าจะวิ่งสวนทางกันกับเธอ

หลังจากไล่โค้ชฝึกสอนไป มู่เฉียวก็ขังตัวเองอยู่ในห้องคนเดียว เธอยืนอยู่หน้ากระจก ถอดเสื้อผ้าของตนเองออก เมื่อเห็นเนื้อหนังที่อ้วนฉุของร่างกายนั้น เธอก็ปิดหน้าแล้วร้องไห้อย่างเจ็บปวด

ขณะที่เธอพยายามปรับอารมณ์ความรู้สึกให้ดีขึ้น เมื่ออยากให้ตนเองพยายามเดินออกมา แต่กลับเห็นภาพของโม่หานที่นัดพบกันกับหลินซาน

มองภาพของคนนั้นที่ดูสดใส ผู้หญิงที่ประสบความสำเร็จในธุรกิจ ที่ครึ่งตัวพิงอยู่บนตัวของผู้ชายของตนเอง มู่เฉียวมองตนเองอีกครั้ง ยากที่จะสู้ได้ เหมือนถูกน้ำเย็นสาดเข้ามาอีกครั้ง

เธอเริ่มปฏิเสธที่จะร่วมห้องกับโม่หาน

“ภรรยา นั่นเป็นข่าวไร้สาระของสื่อมวลชน แค่ร่วมรับประทานอาหารกับแผนกพวกเขาครั้งหนึ่ง หลินซานดื่มไปเยอะ แล้วฉันกำลังรอรถอยู่ด้านนอก เธอพุ่งตัวเข้ามาอย่างรวดเร็ว ฉันหลีกหนีไม่ทัน จึงถูกสื่อมวลชนถ่ายรูป คุณภรรยา คุณเปิดประตูหน่อยได้ไหม?”

มู่เฉียวได้แต่พิงประตูร้องไห้ เธอคิดว่าจนเองสามารถเชื่อโม่หานได้ แต่เธอไม่อยากพบหน้าเขา

“คุณภรรยา ฉันผิดไปแล้ว พรุ่งนี้ฉันจะให้หลินซานลาออก ดีไหม? คุณออกมาก่อน ได้ไหม?”

มู่เฉียวปิดหน้า เจ็บปวดใจอย่างแสนสาหัส

เธอเคยคิดว่าภาวะซึมเศร้าหลังคลอดของผู้หญิง เกิดจากการนิสัยที่เอาแต่ใจ แต่เวลานี้ เธอเพิ่งรู้ว่า ความเจ็บปวดใจนี้ กดดันจนเธออึดอัดใจ

ต่อมา มู่เฉียวก็ร้องไห้แล้วหลับไปตลอด

เมื่อตื่นขึ้นมาอีกครั้ง โม่หานก็นอนอยู่ข้างๆเธอแล้ว ประสานมือทั้งสองไว้หลังศีรษะ หลับตา ผู้ชายแบบนี้ สมบูรณ์แบบจนทำให้คนไม่สามารถละสายตาได้

เธอยกมือขึ้น คลำใบหน้าของเขาเบาๆ ช่วงนี้ทรมานตนเอง จนซูบผอมลงไปไม่น้อย มู่เฉียวสงสารอย่างมาก แล้วก็ยิ่งเกลียดตัวเอง

ชายหนุ่มสามารถรู้สึกได้ถึงสัมผัสของเธอ เมื่อมู่เฉียวเตรียมจะดึงมือกลับ โม่หานก็กุมฝ่ามือของเธอไว้อย่างรวดเร็ว แล้วยิ้มมุมปาก “คุณภรรยา”

เวลานี้ มู่เฉียวได้ยินเสียงหัวใจเต้นอย่างรวดเร็ว เธอลุกขึ้นนั่ง คุกเข่าบนเตียง แล้วโน้มตัวลง จูบบนริมฝีปากของชายหนุ่ม

ทุกสิ่งทุกอย่างคล้ายกับดีขึ้นมา

แต่เมื่อมือของชายหนุ่มจับที่เอวของเธอ เธอก็เหมือนกับถูกไฟช็อต กระโดดออกอย่างรวดเร็ว ทำท่าทางจะลงจากเตียง มือของเธอก็ถูกดึงเอาไว้ โม่หานมองมู่เฉียวอย่างเจ็บปวดใจ “ถ้าเป็นเพราะอ้วน จึงทำให้คุณดูถูกตัวเองแบบนี้ อย่างนั้นพวกเราก็ไปลดน้ำหนักกัน มู่เฉียว ทำไมคุณถึงไม่ยอมเชื่อฉัน ฉันไม่เคยสนใจว่าคุณจะเปลี่ยนไปอย่างไร ฉันสนใจแค่เป็นมู่เฉียว แค่เป็นคุณ เท่านั้น”

มู่เฉียวมองโม่หาน ในใจเธอรู้สึกซาบซึ้งใจ แต่ปากกล่าวว่า: “ถ้าฉันไม่ลดน้ำหนัก มีรูปร่างแบบนี้ คุณก็จะหย่าเหรอ”

คำพูดที่พูดออกมานี้ คนทั้งสองต่างก็ตกตะลึง มู่เฉียวเห็นความเจ็บปวดในสายตาของโม่หาน แต่เธอก็ยังออกจากห้องไปโดยไม่หันกลับมามอง

ขอเพียงแต่โม่หานมีเวลา เขาก็จะทำให้เธอไม่ว่าเรื่องเล็กหรือเรื่องใหญ่ จนทุกๆครั้งที่เธออยากจะบ่นว่า ก็ต้องกลืนมันกลับไป

“เฉียวเอ๋อ แม่ปรารถนาให้การตั้งท้องนี้ของคุณได้ลูกชายจริงๆเลย” วันนี้หลังจากทานข้าวเสร็จ แม่ก็เอาผลไม้ที่ล้างเป็นอย่างดีมาส่งให้ แล้วก็นั่งลงข้างๆเธอ

มู่เฉียวมองรูปร่างที่เปลี่ยนไปเป็นอ้วนกลม เธอก็ยิ้มเจื่อนๆ “ฉันก็หวังอย่างนั้น” เพราะเธอไม่กล้าจะมีลูกเป็นครั้งที่สามจริงๆ อันที่จริงเธอเสนอว่าจะไปตรวจเลือดดูว่าเป็นลูกชายหรือลูกสาว แต่โม่หานก็ปฏิเสธ

นอกจากนี้ยังขอให้หมอไม่เปิดเผยข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับเธอ มู่เฉียวรู้ว่าเขากลัวที่จะส่งผลต่ออารมณ์เธอในระหว่างตั้งครรภ์

เธอไม่ได้เห็นว่าผู้ชายดีกว่าผู้หญิง แต่โม่หานเป็นลูกชายคนเดียวมาหลายชั่วอายุคน หานฉุนไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับตระกูลโม่ ฉะนั้นเขาจึงต้องการมีลูกเพื่อมาสืบทอดต่อพวกเขา

ตอนกลางคืน โม่หานนวดขาที่บวมน้ำอย่างมากให้เธอทั้งสองข้าง

มู่เฉียวกินเนื้อวัวแห้ง อาจเป็นเพราะเกี่ยวกับลูกทั้งสองคน เธอเลยหิวง่ายเป็นพิเศษ

“โม่หาน คุณว่าฉันอ้วนจนกลายเป็นอย่างนี้ คุณไม่ว่าผู้หญิงข้างนอกเหล่านั้นสวยเป็นพิเศษเหรอ?”

โม่หานไม่พูดอะไร มือยังคงทำเหมือนเดิมไม่หยุด

“โม่หาน ฉันพูดกับคุณนะ……”

โม่หานดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมขาเธอ นำเธอมาไว้ในอ้อมกอด “พูดเหลวไหลอะไรมากมายขนาดนี้ กินแล้วก็รีบนอน” ชายคนนั้นพูดจบ มือก็ลูบอยู่บนท้องนูนๆของเธอ มุมปากยกยิ้มขึ้น

มู่เฉียวเบะปาก “เห็นไหม คุณหมดความอดทนกับฉันแล้ว”

โม่หานลุกขึ้นนั่งแล้วมองเธอ พูดอย่างจริงจังว่า : “ฉันได้ยินหมอบอกว่า ในช่วงสองสามเดือน จึงจะเหมาะสมไม่ใช่เหรอ?”

มู่เฉียวผลักเขาออก เปิดผ้าห่มลุกขึ้น ไปที่ห้องน้ำ ตลอดทางก็ไม่ได้ฟังว่าโม่หานพูดอะไร

ชายคนนั้นเห็นเธอทำเป็นไม่รู้เรื่อง จึงเดินตามไปที่ห้องน้ำ

“โม่หาน เมื่อกี้ฉันแค่พูดผิดไป”

ชายคนนั้นนำผ้าเช็ดตัวมารองไว้ที่พื้นห้องน้ำ ถอดเสื้อคลุมให้เธออย่างมีระเบียบ

หญิงคนนั้นกัดริมฝีปากล่าง “ทำไมคุณไม่ไปหาสาวสวยๆข้างนอกล่ะ?”

ดีดหน้าผากเธอเบาๆ “รอคุณคลอดลูกแล้วค่อยหา”

เขาพูดประโยคนี้อย่างจริงจังมาก มู่เฉียวเงยหน้าขึ้นมองเขา “คุณพูดจริงๆเหรอ?”

“คลอดลูกสาวแล้ว ไม่เรียกว่าสาวสวย แล้วจะเรียกว่าอะไร?”

มู่เฉียวหัวเราะ

ชีวิตเป็นอย่างนี้ตลอดจนกระทั่งมู่เฉียวคลอดลูก

เพราะมีลูกคนหนึ่งที่มีตำแหน่งของทารกในครรภ์ไม่ค่อยดี คนในบ้านกับโม่หานจึงเป็นกังวล ฉะนั้นจึงเลือกที่จะไม่ให้เธอคลอดธรรมชาติ

ในวันที่ผ่าคลอด โม่หานบอกว่าตนเองจะเข้าไปด้วย แต่มู่เฉียวไม่ยอม รูปร่างน่าเกลียดขนาดนี้ เธอกลัวว่าในอนาคตเขาจะรู้สึกแย่

“โม่หาน คุณรอฉันอยู่ด้านนอกนะ”

โม่หานลูบผมของเธอ ก้มลงไปจูบหน้าผากเธอ “คุณภรรยา ทำให้คุณต้องลำบากเลย ฉันอยู่ด้วยตลอดนะ”

ต่อหน้าผู้คนมากมาย โม่หานเรียกเธออย่างน่าซาบซึ้งใจอย่างนี้ มู่เฉียวก็หน้าแดงเล็กน้อย

โม่หานมองประตูที่ปิดอย่างช้าๆ จึงหลับตาลง ครั้งแรกที่มู่เฉียวคลอดลูก เข้ามาช้า เวลานั้นเขายังไม่มีความรักต่อเธอ เดิมทีก็ไม่ได้ตระหนักถึงความกลัวและความกังวลเลย

“โม่หาน คุณดื่มน้ำหน่อยเถอะ” พ่อมู่มองโม่หานที่สีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย ในฐานะที่เป็นผู้ชาย เป็นธรรมดาที่เขาจะสัมผัสได้ถึงสภาพจิตใจเช่นนี้ แต่ก็รู้สึกปลื้มใจเล็กน้อย ที่ลูกสาวไม่ได้แต่งผิดคน

โม่หานรับน้ำมา “ขอบคุณครับพ่อ”

เมื่อฉีดยาชาเข้าไป ร่างกายของมู่เฉียวก็ค่อยๆหมดสติไป เธอพยายามบังคับให้ตัวเองมีสติสักเล็กน้อย ดังนั้น เธอจึงได้ยินการสนทนาระหว่างหมอ

แต่สุดท้ายก็เคลิ้มแล้วหลับไป ในความสะลึมสะลือ เธอรู้สึกว่ามีคนเรียกเธอ

พอลืมตา ก็เห็นคุณหมอเจ้าของไข้

“คุณนายโม่ ยินดีกับคุณด้วย ได้ลูกชายหนึ่งคน ลูกสาวหนึ่งคน เป็นฝาแฝดชายหญิง คุณนายโม่โชคดีจริงๆ” คนในห้องคลอดต่างก็แสดงความยินดี ถึงแม้พวกเธอจะไม่คาดคิดว่า ผู้ชายที่ดีเลิศขนาดนั้น หล่อเหลาขนาดนั้น และร่ำรวยขนาดนั้น ทำไมถึงมาแต่งงานกับผู้หญิงที่”ไม่เข้าตา”แบบนี้ได้ อีกทั้งยังดูแลเอาใจใส่ แต่ใครก็รู้ว่า บางทีอาจเป็นเพราะแม่ได้ดีเพราะลูกหรือเปล่า?

มู่เฉียวถอนหายใจอย่างโล่งอก หลับตา ความอ่อนแรงและผ่อนคลายของร่างกาย ทำให้เธอหลับไป

เมื่อตื่นขึ้นมาอีกครั้ง คนก็มาอยู่ที่ห้องผู้ป่วยแล้ว

โม่หานนั่งอยู่ข้างๆเตียงของเธอ กุมมือของเธอเอาไว้ เห็นเธอตื่นขึ้นมา ก็แสดงการโล่งอกอย่างชัดเจน ยิ้มมุมปากเล็กน้อย “ยังเจ็บอยู่ไหม?”

มู่เฉียวพบว่า ขณะที่โม่หานพูดคำนี้ ในดวงตามีน้ำตาคลอเบ้า

เธออยากจะหัวเราะเยาะเขา แต่พออ้าปาก หางตาก็มีน้ำตาไหลออกมา

“โม่หาน ฉันไม่อยากคลอดลูกอีกแล้ว”

แม่เดินเข้ามาจากด้านนอก เมื่อได้ยิน จึงกล่าวว่า “คุณคิดว่าตัวเองเป็นหมูเหรอ? ตั้งสามคนแล้ว ยังคิดจะคลอดลูกอีกเหรอ?”

ริมฝีปากของมู่เฉียวกลายเป็นเส้นตรง

เวลานี้ คุณนายโม่และคุณนายนายท่านโม่ก็เข้ามา ด้านหลังมีพยาบาลอุ้มเด็กสองคนตามเข้ามา

“แม่ คุณย่า….” เธอกล่าวทักทาย

“อย่าเพิ่งรีบพูด ตอนนี้ร่างกายคุณอ่อนแอ อย่าออกแรงมากไป” คนที่พูดคือคุณนายนายท่านโม่ พูดพลาง แสดงเจตนาให้กับพยาบาล “เอาเด็กสองคนมาให้แม่ดูสิ คนหนึ่งเหมือนแม่ คนหนึ่งเหมือนพ่อ ตระกูลโม่ของพวกเราช่างมีบุญวาสนาจริงๆเลย”

มู่เฉียวได้ยิน ในสายตาก็เป็นประกาย ค้ำร่างตัวเองขึ้นมาเล็กน้อย เมื่อเธอได้เห็นลูกทั้งสองคน ก็เบะปาก มองโม่หาน “ทำไมขี้เหร่แบบนี้ล่ะ?”

ตอนมู่เสี่ยวโยวเกิดมา งดงามอย่างมาก เหมือนโม่หานถึงที่สุด สวยมาก แต่เด็กสองคนนี้ ใบหน้าขาวซีด มีรอยย่น คาดไม่ถึงว่าคุณนายนายท่านโม่จะบอกว่าเหมือนพวกเขา

คุณนายโม่ปิดปากหัวเราะเบาๆ คนหนึ่ง2.5กิโลกรัม อีกคนหนึ่ง2.7กิโลกรัม แน่นอนว่าไม่มีทางเทียบกับเสี่ยวโยวตอนนั้นได้ รอเวลาให้เติบโตสักหน่อย ก็สวยแล้ว”

มู่เฉียวพยักหน้า

สองวันต่อมา โม่หานอยู่กับมู่เฉียวสองวันแทบจะไม่ห่างไปไหน ชัดเจนว่ามีพยาบาลดูแลหลังคลอดแล้ว แต่เขาก็ยังดื้อรั้นช่วยเช็ดตัวให้เธอ

“คุณไม่กลัวเงามืดในอนาคตเหรอ?” มู่เฉียวละอายใจ จึงห้ามปรามเขา

“หนี้ของคุณไม่ใช่แค่เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ที่จะสามารถชดเชยได้”

มู่เฉียวน้ำตาคลอเบ้า สะอื้นเล็กน้อย เธอคิดว่าตนเองเกิดใหม่สามรอบก็ยังคงมีความสุข

หลังจากหมอให้ออกจากโรงพยาบาลได้ โม่หานก็จ้างคนเข้ามาสามคน สองคนให้ดูและลูกแต่ละคน ส่วนอีกคนให้ปรนนิบัติมู่เฉียวโดยเฉพาะ บอกกับพ่อแม่รวมทั้งคุณนายโม่และคุณนายนายท่านที่เข้ามากันแทบทุกวัน คฤหาสน์ของเธอและโม่หานก็ดูครึกครื้นขึ้นมา

เดิมทีก็เป็นห่วงว่ามู่เสี่ยวโยวจะน้อยใน ที่ไหนได้เจ้าตัวน้อยคนนี้ กลับชอบเด็กสองคนอย่างมาก ทุกวันที่กลับมาจากโรงเรียนอนุบาลก็ต้องวิ่งเข้ามา ทำให้มู่เฉียวรู้สึกโล่งใจ

ชีวิตงดงามอย่างมาก ลูกสามคน มู่เฉียวก็ไม่ต้องเป็นห่วงจนเกินไป แต่ต้องปลงกับร่างกายที่อ้วน หลังจากทำการอยู่เดือนแล้ว น้ำหนักของเธอยังคงหนักกว่าตอนที่คลอดมู่เสี่ยวโยว เวลาก้มหน้า แทบจะมองไม่เห็นปลายเท้า แม่บอกว่า อาจเพราะเธอโครงสร้างเหมือนคุณยาย อาจจะผอมลงยากแล้ว เธออยากจะร้องไห้แต่ไม่มีน้ำตา

หลังคลอดหนึ่งเดือน เธอไปตรวจอีกครั้ง คาดไม่ถึงคุณหมอแต่ละคนจะพูดว่า: “ตรวจครรภ์ชั้นล่างค่ะ”

ตรวจครรภ์???

โม่หานหัวเราะเบาๆอยู่ข้างๆ มู่เฉียวมองตนเองที่ยังคงเหมือนคนท้องสี่ห้าเดือนอยู่ ก็อยากจะแทรกแผ่นดินหนีจริงๆ

เมื่อออกมา โม่หานจะไปจูงมือของเธอ แต่เธอเก็บมือไปด้านหลัง และอยู่ห่างจากเขาหลายเมตร

ชายหนุ่มมองเธอ อย่างจนปัญญา

ตรวจแล้วล้วนเป็นปกติทุกอย่าง เมื่อออกจากโรงพยาบาล อารมณ์ของมู่เฉียวก็หดหู่อย่างมาก

เท้าของมู่เฉียวหยุดชะงัก และชี้ไปที่ห้องข้างๆ นี่คือห้องพักของหลินซาน เมื่อครู่เธออยากจะยกมือขึ้นเคาะประตู แต่โม่หานกลับดึงเธอไว้ รูดบัตร แล้วทั้งสองก็เข้าห้องไป

เสียงขอความช่วยเหลือก็ยังคงดังมาจากข้างห้อง

มู่เฉียวขมวดคิ้ว “ห้องข้าง……..”

โม่หานหยิบโทรศัพท์ข้างเตียงและโทรหาแผนกต้อนรับ และพูดภาษาฝรั่งเศสกับพนักงานอย่างคล่องแคล่วว่า ห้องข้างดูเหมือนมีคนตะโกนร้องขอความช่วยเหลือ พูดจบ เขาก็วางโทรศัพท์และถอดเสื้อโค้ตออก

เมื่อเห็นมู่เฉียวจ้องมองเขา เขาก้าวมาข้างหน้าและโบกมือให้เธอนั่งลง “ต่อไปนี้ไม่ต้องใส่รองเท้าส้นสูงแล้ว”

ทัศนคติของเขาที่ไม่แยแสต่อห้องข้างๆ ทำให้มู่เฉียวเห็นความโหดเหี้ยมของชายคนนี้อีกครั้ง

พูดจบ เขาก็เข้าไปในห้องน้ำ “ผมจะปรับอุณหภูมิน้ำให้คุณ”

“โม่หาน ที่จริงแล้ว ฉันไม่เป็นไร……..”

“ขาต้องหักก่อนถึงจะเป็นอะไรรึไง ?”

ชายหนุ่มสำลักเธอ แต่มู่เฉียวพูดอะไรไม่ออกมาครู่หนึ่ง ขาเธอก็เป็นเพียงที่ผิวเท่านั้น แต่ข้างๆกำลังร้องขอความช่วยเหลือ

……

ประมาณหนึ่งชั่วโมงต่อมา โม่หานได้รับโทรศัพท์จากผู้ช่วย บอกว่าหลินซานที่กำลังอาบน้ำอยู่ในห้องน้ำ ขาพลิก

มู่เฉียวถอนหายใจ ทำไมถึงมีเรื่องบังเอิญอะไรเช่นนี้ ? ล้วนแต่เท้ามีปัญหา

เธอเหลือบมองโม่หานอย่างไม่ใส่ใจ ในขณะที่เขากำลังเปลี่ยนผ้าพันแผลให้เธอด้วยท่าทางจริงจัง ทำให้มู่เฉียวขยับอีกครั้ง

ถ้าชายหนุ่มใส่ใจคุณ สิ่งเล็กเล็กน้อยน้อยในของคุณก็จะอยู่ในสายตาอันกว้างของเขา แต่ถ้าหากว่าชายหนุ่มไม่สนใจ ถึงแม้เป็นเรื่องใหญ่ของคุณก็ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับผม

อืม นี่อาจจะเป็นการตีความหมายรักที่ดีที่สุด

ต่อมา โม่หานก็สั่งให้คนซื้อรถเข็นอัตโนมัติสุดหรูมาให้หลินซาน บอกว่าให้เธอไปไหนมาไหนได้สะดวก

เมื่อวันรุ่งขึ้นหลินซานได้พบกับใครบางคน เธอพูดถึงเหตุการณ์นี้โดยตั้งใจและไม่ได้ตั้งใจ ซึ่งมันแสดงให้เห็นมากว่าโม่หานให้ความสำคัญกับเธอมากเพียงใด

มู่เฉียวแอบหัวเราะในใจ เธออยากจะบอกเธอมากว่า เมื่อเทียบกับรถเข็นราคาแพงนี้ เธอยังรู้สึกว่าหลังของโม่หานนั้นสบายกว่า

นิทรรศการดำเนินการเป็นเวลาสามวัน ในช่วงสามวันนี้หลังจากที่ได้เรียนรู้เกี่ยวกับความสามารถทางภาษาฝรั่งเศสของโม่หาน มู่เฉียวก็เลยละเลยเล็กน้อย แต่โม่หานกลับจงใจเงยหน้าขึ้นและถามเธอว่า “คุณมู่เฉียว รบกวนแปลด้วย”

หลังจากจบงานนิทรรศการ โม่หานก็หาข้ออ้างมาว่าธุรกิจบางอย่างยังไม่เรียบร้อย เลยให้มู่เฉียวอยู่ต่อ

ทั้งสองคนเดินไปตามถนนในฝรั่งเศส มู่เฉียวรู้ว่า เขาตั้งใจที่จะมากับเธอ

เธอรู้สึกประทับใจมาก

บางทีอาจจะเป็นเพราะเรื่องของหลินซานทำให้มู่เฉียวเห็น “ความภักดี” ของโม่หาน และยกระดับความไว้วางใจเข้าขึ้นโดยไม่รู้ตัว

หลังจากกลับมา ชีวิตก็กลับมาสงบสุขอีกครั้ง

โม่หานยุ่งกับงานมาก แต่ก็มักจะใช้เวลาว่างไปกับเธอและมู่เสี่ยวโยว และเมื่อมู่เฉียวทำงานล่วงเวลา โม่หานก็จะตั้งตารอเธอ ชีวิตแบบนี้ เหมือนกับชีวิตคู่ในจินตนาการของมู่เฉียว สงบ แต่มีความสุขมาก

“คุณภรรยา วันนั้นของเดือนของคุณ ไม่มาใช่ไหม ?”

เมื่อคืนมู่เฉียวรีบทำงาน และนอนค่อนข้างดึก ดังนั้น สมองของเธอเลยมีการตอบสนองช้าเล็กน้อย เธอหันศีรษะไปมองโม่หาน “เรื่องอะไร ?”

ชายหนุ่มหยิกไปที่ใบหน้าของเธอ “คุณว่าไงล่ะ ?”

มู่เฉียวขมวดคิ้ว จากนั้นก็ค่อยค่อยยกมือปิดหน้า และเปิดปากของเธอเล็กน้อย “ดูเหมือนว่าจะไม่มาสองเดือนแล้ว ”เมื่อเธอพูดจบ เธอก็อดไม่ได้ที่จะกลืนน้ำลาย เดือนนี้มีเรื่องเยอะมาก

“ในตอนกลางคืน เธอไปซื้อที่ทดสอบการตั้งครรภ์กลับมาตรวจ”

ชายหนุ่มพยักหน้า และจูบไปที่แก้มขวาของเธอ

เมื่อมาถึงบริษัท เพราะว่าเรื่องนี้ มู่เฉียวจึงไม่สนใจที่จะทำสิ่งต่างๆ เธอทั้งตั้งหน้าตั้งตาและกลัวความผิดหวัง

ในตอนกลางวัน โม่หานส่งข้อความหาเธอ บอกให้เธอขึ้นมาชั้นบน

เธอหาข้ออ้างไปที่ห้องทำงานของโม่หาน

ชายหนุ่มหยิบกล่องบรรจุภัณฑ์ออกมาจากลิ้นชักแล้วส่งให้กับมู่เฉียว “ไปดูกันเถอะ”

มู่เฉียวขมวดคิ้ว “ห้องทำงานของคุณทำไมถึงมีอันนี้ ?”

ชายหนุ่มลุกขึ้น และพยักหน้าบนหน้าผากของเธอ “ความสามารถในการจินตนาการของคุณมากขึ้นนะ”

ในขณะที่มู่เฉียวไปเข้าห้องน้ำ เธอก็มองเห็นโม่หานเอนพิงประตูผ่านประตูกระจกฝ้าได้อย่างชัดเจน

ดูเหมือนว่าเขาจะประหม่ากับผลตรวจนี้มากกว่าเธอ

มากเสียจนมือที่ถือแท่งทดสอบการตั้งครรภ์สั่นเล็กน้อย

ครั้งแรกที่ท้องเธอเป็นลมไปโรงพยาบาล หลังจากนั้นก็เรียนรู้เกี่ยวกับการตั้งครรภ์จากพี่ซู ดังนั้น การใช้แท่งการทดสอบนี้มันจึงเป็นครั้งแรก เธอจึงดูงุ่มง่ามเล็กน้อย

เมื่อเธอเห็นแถบสีแดงปรากฏสองแถบ เธอดูคู่มือการใช้งานและอ่านอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นถึงกล้ามั่นใจว่า เธอตั้งครรภ์แล้วจริงๆ

เมื่อชายหนุ่มได้ยินเสียงลูกบิดประตู เขาก็ยืนตรงและถอยหลังไปสองก้าว

เขามองไปที่มู่เฉียว “เป็นอย่างไรบ้าง ?”

มู่เฉียวเม้มริมฝีปาก และวางท่าทางประหม่าลงไปในดวงตาของชายหนุ่ม “โม่หาน คุณชอบลูกชายหรือลูกสาว ?”

โม่หานกอดเธอไว้ในอ้อมแขน แต่การเคลื่อนไหวของเขาเบาลงอย่างเห็นชัด

“แค่คุณเป็นคนให้กำเนิด ผมชอบหมด”

มู่เฉียวยิ้ม วันรุ่งขึ้นเป็นวันเสาร์พอดี โม่หานจึงพามู่เฉียวไปโรงพยาบาลหรูแห่งหนึ่ง

“ถุงตั้งครรภ์คู่ ตัวอ่อนคู่ ”หมอวัยกลางคนผลักแว่นของตัวเองขึ้นและพูดออกมา

“หมายความว่ายังไง ?”

“ฝาแฝด !”

มู่เฉียวและโม่หานหันหน้าสบตากัน ทั้งคู่ต่างประหลาดใจเป็นอย่างมาก

คุณนายโม่และคุณย่าโม่หลังจากตรวจสอบครบสามเดือน และเด็กก็ปลอดภัยแล้ว มู่เฉียวถึงบอกพวกเขา เมื่อรู้ว่าเธอตั้งครรภ์ แถมยังเป็นฝาแฝดอีก พวกเขาทั้งสองดีใจมาก และขอร้องให้เธอรีบย้ายมาอยู่คฤหาสน์ตระกูลโม่ทันที และบอกว่าเธอติดหนี้เมื่อครรภ์แรก ครั้งนี้เธอต้องชดใช้ และเสนอให้ครอบครัวมู่ย้ายมาอยู่คฤหาสน์ตระกูลโม่ด้วย

พ่อแม่บอกว่าเมื่อครอบครัวฝ่ายสามีมีน้ำใจแบบนี้ มันก็ยากที่จะปฏิเสธ ก็เลยตอบรับว่าจะอยู่จนมู่เฉียวคลอด แล้วค่อยกลับของตัวเอง ด้วยวิธีนี้มู่เฉียวและครอบครัวจึงย้ายเข้ามาอยู่ในคฤหาสน์ตระกูลโม่อีกครั้ง

“เมื่อรอให้มู่เฉียวให้กำเนิดแล้ว พวกเราก็จัดงานแต่งงานให้คุณกับโม่หาน คุณดูสิมีลูกสองคนแล้ว ยังไม่ได้จัดงานแต่งดีดีให้กับเสี่ยวเฉียวเลย ”ในงานเลี้ยงอาหารค่ำวันนี้ คุณนายโม่ก็พูดขึ้น ซึ่งมู่เฉียวรู้ว่านี่เป็นการพูดให้พ่อกับแม่ของเธอฟัง

อันที่จริงโม่หานพูดถึงเรื่องแต่งงานนี้หลายครั้งแล้ว แต่เป็นตัวเธอเองที่ไม่สนใจเรื่องนี้

เธอรู้สึกว่าเมื่อจัดงานแต่งงานแล้ว การแต่งงานของเธอกับโม่หานก็จะถูกเปิดเผยต่อสาธารณะ ดังนั้นเธอจึงยืนยันว่าจะไม่จัด

แต่เมื่อได้ยินคำพูดของคุณนายโม่ เธอเองก็ไม่ได้พูดอะไร เพราะต้องเตรียมพร้อมรอให้ลูกเกิดก่อน

“ยังมีอีกนะ เสี่ยวเฉียว คุณลองดูสิว่างานของคุณอันนั้นสามารถหยุดทำก่อนได้ไหม”

การเคลื่อนไหวของมู่เฉียวหยุดชะงัก

คุณนายโม่รีบเปลี่ยนน้ำเสียงทันที“ ไม่ใช่ ความหมายของแม่ก็คือ คุณก็เข้าใกล้เดือนที่4แล้ว แล้วคุณทำงานล่วงเวลาทุกวัย มันเหนื่อยเกินไป รอให้คุณคลอดลูกแล้ว ถ้าหากคุณยังอยากจะไปทำ ก็เอาเด็กมาให้พวกเราดูแล คุณว่าแบบนี้โอเคไหม ?”

มู่เฉียวมองไปที่โม่หาน

โม่หานวางตะเกียบลง “แม่ แล้วแต่เธอเถอะ ให้เธอเล่นอยู่ที่บ้าน ทุกวันมันก็ยากลำบาก เรื่องนี้ค่อยพูดทีหลังนะ”

มู่เฉียวพยักหน้าซ้ำๆ และมองดูเขาอย่างซาบซึ้ง

ต่อมา จนกระทั่งถึงเดือนที่7 คุณย่าโม่บอกว่าจะไม่ปล่อยให้เธอไปไหนแล้ว เพราะว่าเธอตั้งครรภ์ลูกแฝด ท้องของเธอจึงใหญ่เป็นพิเศษ การแปลล่ะ แค่นั่งลงก็ลุกขึ้นมาไม่ได้แล้ว ในช่วงนี้มู่เฉียวก็รู้สึกเหนื่อยเล็กน้อย โม่หานก็ยอมแล้ว มู่เฉียวก็ทำอะไรไม่ถูก รอคลอดอยู่ที่บ้าน

โม่หานยุ่งมากเพราะบริษัทกำลังจะเปิดกิจการ ถึงแม้ว่าเขาจะลดจำนวนการเดินทางเพื่อทำธุรกิจลง แต่เวลาที่เขาใช้กับเธอที่บ้านก็น้อยมาก สิ่งนี้ทำให้ในใจมู่เฉียวที่อ่อนไหวและอึดอัดเล็กน้อยในระหว่างตั้งครรภ์

มู่เฉียวรู้สึกว่าโม่หานอาจจะไม่ปลอดภัยสำหรับเธอ มิฉะนั้น เธอจะไม่ใช่การเปิดเผยความสัมพันธ์ระหว่างคนทั้งสองเป็นข้ออ้างเสมอไป เธอลังเลและตอบไปว่า :“ส่งเลขห้องมาให้ฉัน เดี๋ยวฉันขึ้นไป”

เมื่อมู่เฉียวลุกขึ้นยืนมองหน้าต่าง มองดูวิวภายนอกและสระว่ายน้ำกลางแจ้ง เธออดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ:“นี่คือความแตกต่างระหว่างนายทุนกับคนทำงาน”

ชายหนุ่มกอดหญิงสาวจากด้านหลัง และวางคางบนไหล่ของมู่เฉียว “คุณภรรยา ที่จริงแล้ว……….”

“โอเค หยุด ฉันรู้ว่าคุณจะพูดอะไร คุณก็แค่ปฏิบัติกับฉันเหมือนคนทำงาน คุณอย่าเกลี้ยกล่อมฉัน”

โม่หานพยักหน้า “ถ้างั้น คุณอยากนอนต่ออีกหน่อยไหม ?”

“แต่ว่า ฉันไม่ง่วง ทำยังไงดี ?” มู่เฉียวสัญญาว่า ทำพูดที่เธอพูดนี้ ไม่มีความหมายอื่นแน่นอน

อย่างไรก็ตาม เธอไม่เข้าใจ ทำไมถึงได้ยินว่าในหูของผู้ชายคนนี้มีความหมายอื่นอยู่

และหลังจากนั้นต่อมา มู่เฉียวก็เหนื่อยจนผล็อยหลับไป

ความงามที่ไร้ยางอายของผู้ชายคนนี้ สะกดจิตเธอและหว่านเมล็ดพืชไว้ตามทาง

เมื่อตื่นขึ้นมา เธอหันศีรษะไปก็มองเห็นโม่หานเดินขึ้นมาจากสระว่ายน้ำ

เมื่อเห็นเธอตื่นนอนแล้ว เขาก็เอาผ้าขนหนูเช็ดผม เดินมาทางเธอและถามเธอว่า “หิวไหม ?”

มู่เฉียวจ้องมองเขา สายตาของเธอจ้องมองไปที่ร่างเปลือยเปล่าของเขา อยู่ด้วยกันมาตั้งนาน นี่เป็นครั้งแรกที่เธอชื่นชมผู้ชายไม่สวมเสื้อผ้าคนนี้ มัน…….สะดุดตามาก !

โม่หานคว้าผ้าเช็ดตัวสะอาดที่วางอยู่บนเก้าอี้ข้างๆเธอ และโยนไปที่หน้าเธอโดยตรง “คุณไม่อายบ้างเหรอ ที่จ้องมองผู้ชายแบบนี้”

มู่เฉียวดึงผ้าขนหนูที่อยู่บนหน้าออก และพบว่าชายหนุ่มสวมเสื้อเชิ้ตแล้ว และยืนหันหลังให้กับเธอ

ทันใดนั้นเธอก็ค้นพบว่า ที่จริงแล้วก็มีบางเรื่อง ที่โม่หานนั่นบอบบางกว่าเธอมาก

แต่ก็ยังรู้สึกแปลกอยู่เล็กน้อย ทำไมในตอนนั้นเขาถึงถูกมองเป็นคนขี้ขลาดขนาดนั้น

“โม่หาน คุณคงไม่ได้อายหรอกใช่ไหม ?”ไม่ค่อยจะได้เห็นเขาในสภาพแบบนี้ มู่เฉียวจะปล่อยโอกาสแบบนี้ไปได้ยังไง

ชายหนุ่มเริ่มสวมกางเกงของเขา เมื่อได้ยินเธอพูดแบบนี้ เขาจึงหันศีรษะมาเล็กน้อยแล้วเหลือบมองเธอ “พวกเขารอผมอยู่ที่ประตู”

“อะไรนะ ?”มู่เฉียวนั่งตัวตรง

ชายหนุ่มเม้มปากและหัวเราะอย่างแผ่วเบา ที่จริงแล้วมู่เฉียวค่อนข้างซุกซน เขาโน้มตัวลงและจูบไปที่ใบหน้าของเธอ “เด็กดี ลุกขึ้นมาอาบน้ำ ผมจะพาพวกเขาลงไปข้างล่างก่อน คุณเสร็จแล้วก็ค่อยลงมาทานข้าว”

มู่เฉียวพยักหน้า และชายคนนี้ก็ระมัดระวังมากขึ้น ผู้หญิงคนนั้นไม่มีอะไรผิดปกติจริงๆ

เธอใช้เวลาอย่างรวดเร็วที่สุด เมื่อมาถึงร้านอาหาร ก็กินเวลาไปยี่สิบนาทีแล้ว

เห็นได้ชัดว่าโม่หานและคนอื่นๆทานเสร็จแล้ว และหลายคนก็กำลังปรึกษาพูดคุยกันอยู่

เมื่อเห็นเธอเดินเข้ามา สายตาของหลายคนก็จับจ้องมองมาที่เธออย่างพร้อมเพรียง

“โอ้ คุณนักแปลมู่ คุณนี่ยิ่งใหญ่มากเลยเหรอ ? ให้พวกเรากลุ่มใหญ่ขนาดนี้รอคุณคนเดียว คุณคิดว่าในประเทศจีนนี่หานักแปลไม่ได้แล้วใช่ไหม ?” เป็นผู้ช่วยของหลินซานอีกแล้ว

มู่เฉียวเม้มริมฝีปากของเธอ เธออยากจะบอกมาว่า หากผู้ที่อยู่ระดับใหญ่ประพฤติไม่ดี ผู้น้อยก็จะทำตาม ในมุมมองนี้ เธอเหลือบมองและเบ้ปากด้วยรอยยิ้ม “คุณผู้หญิงคนนี้ คุณพูดแบบนี้หมายถึงใครกัน ? ประธานโม่เหรอ ? ถ้าหากว่าใช่ ฉันก็ไม่มีอะไรจะพูด แต่ถ้าหากว่าหมายถึงตัวคุณเอง ก็ต้องขอโทษด้วย ดูเหมือนว่าฉันไม่จำเป็นต้องฟังคำร้องเรียนจากคุณ”

เมื่อพูดจบ เธอก็หันไปสบสายตากับประธานโม่

อู๋เหิงยิ้มอย่างอึดอัดใจ เขามองดูนาฬิกาในมืออย่างเร็วและรีบพูดออกไปว่า “”ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร เวลานี้ก็ยังมาทันไม่ใช่เหรอ ? คุณมู่ คุณรีบมานั่งทานเถอะ ? และก็ไม่ได้พูดว่าไม่ดี

หลักๆก็คือ เขากล้าพูดไหม ? ไม่กล้า เกรงว่ากลางคืนจะเข้าห้องไม่ได้

“ประธานอู๋ คุณกับเธอมีความสัมพันธ์อะไรกันมาก่อนรึเปล่า ทำไมถึงช่วยเธอพูดเธอตลอดเลย”

อู๋เหิง “อ๋า” และเหลือบมองโม่หานโดยไม่รู้ตัว ชายผู้นี้ชำเลืองมองเขาอย่างมีความหมาย อู๋เหิงขมวดคิ้ว เขากำลังทำเรื่องที่ดี โอเคไหม ?

หลินซานเหลือบมองผู้ช่วยของเธอ “ทำไมถึงพูดมากอะไรขนาดนี้”

ผู้ช่วยเงียบไป

อย่างไรก็ตาม หลินซานรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย ถึงแม้ว่าโม่หานจะไม่ค่อยพูดอะไรกับนักแปลคนนี้ แต่ก็เห็นได้ชัดว่าเขามีความอดทนสูง

ทันใดนั้น สายตาของมู่เฉียวก็เข้มขึ้นเล็กน้อย

เมื่อมีสองสามคนมาถึงที่นั่น ก็มีคนมารับพวกเขาแล้ว

“ประธานโม่ เชิญทางนี้”

จากนั้น มีหลายคนที่ดูเหมือนจะรับผิดชอบกับงานนิทรรศการนี้ก็รีบเข้ามาพูดทักทายกับโม่หาน

มู่เฉียวพยักหน้าให้กับโม่หาน และแปลให้อย่างเป็นระบบ ในการทำงานนั้นมู่เฉียวทำอย่างได้อย่างยอดเยี่ยมและทุ่มเทอย่างไม่ต้องสงสัย

ขณะที่กลุ่มคนเดินลงมา มู่เฉียวก็มีความเข้าใจเกี่ยวกับกระบวนการในครั้งนี้บ้างแล้ว และยิ่งคร่ำครวญถึงความแข็งแกร่งและความเฉียบแหลมในการทำงานของโม่หาน

ภายในระยะเวลาเพียงช่วงสั้นๆ สามารถทำให้เครื่องประดับ MY ที่ไม่เป็นที่รู้จักเข้าสู่ตลาดต่างประเทศได้อย่างรวดเร็ว

และยังได้เห็นความสามารถระดับมืออาชีพของหลินซานอีกครั้ง ซึ่งมันน่าชื่นชมมาก และข้อมูลเชิงลึกของเธอหลายครั้ง ล้วนทำให้เพื่อนร่วมงานต่างปรบมือให้

ถ้าหากพูดว่าสำหรับการทำงานนี้ เธอเป็นคนไม่สำคัญ

ดังนั้น หลิงซานจึงมีโปรไฟล์ที่สูงและเปล่งประกายอย่างไม่ต้องสงสัย

“คุณหลิน คุณกับคุณโม่กำลังคบกันอยู่หรือเปล่า ?” มีผู้หญิงคนหนึ่งถามหลินซาน ปรากฏว่าผู้หญิงที่ขี้เม้าไม่ใช่แค่ที่จีน แต่กลายเป็นสากลไปแล้ว

มู่เฉียวมองไปที่โม่หานและมองไปที่หลินซาน ทั้งสองคนไม่ว่าจะอารมณ์ รูปลักษณ์ และออร่า ไม่ต้องพูดถึงเลย มันเข้าคู่กันได้อย่างเหมาะสมมาก

แต่ว่า นี่เป็นวังของเธอ และเธอก็ไม่ได้ตั้งใจจะให้ประธานโม่พาสนมเข้ามา

อย่างไรก็ตาม คนที่ถูกถามไม่ใช่เธอ และเธอก็ไม่สามารถตอบได้ตามตรง ดังนั้น เธอจึงให้ความสนใจกับคำตอบของหลินซาน

หลินซานเอาผมยาวไว้ข้างใบหูของเธอ แล้วตอบไปด้วยภาษาฝรั่งเศสที่แข็งทื่อเล็กน้อยไปว่า “ตอนนี้ยังไม่ใช่”

คำตอบที่ลึกซึ้งนี้ ทำให้มู่เฉียวรู้สึกได้ถึงเสน่ห์ของภาษาในทันที

บุคคลนั้นตอบสนองอย่างรวดเร็ว และสายตาที่มองหลินซานอย่างลึกซึ้งนั้นก็มีความหมาย

ทั้งสองก้าวไปข้างหน้าพร้อมกัน

โม่หานที่กำลังคุยอยู่กับอู๋เหิง เมื่อเห็นสีหน้าของมู่เฉียวเปลี่ยนไปเล็กน้อย เขาก็เดินเข้ามาและถามว่า “เกิดอะไรขึ้น ?”

“มีคนอยากจะขุดคุ้ยเรื่องของฉัน คุณว่าฉันควรทำอย่างไรดี ?” มู่เฉียวยังคงมองไปข้างหน้า ดังนั้น เธอจึงไม่เห็นรอยยิ้มในดวงตาของโม่หาน

“วางใจเถอะ คอนกรีตผสมเหล็ก ขุดต่อไปไม่ได้แล้ว”

เหล็ก คอนกรีต ? มู่เฉียวเลิกคิ้วและหัวเราะเบาๆ

อู๋เหิงที่อยู่ข้างๆถอนหายใจเป็นเวลานาน “ยังไงก็ตาม พวกคุณสองคน จะใจร้ายเกินไปหน่อยไหม ? ภายในผมเจ็บช้ำไปหมดแล้ว”

โม่หานพูดอย่างเคร่งขรึม:“ กลับถึงจีนแล้ว เดี๋ยวจะหาหมอจีนให้”

มู่เฉียวยิ้มออกมาอีกครั้ง อันที่จริงโม่หานค่อนข้างตลก แต่สำหรับคนเท่านั้น

“โม่หาน คุณ……….คุณมันไม่มีศีลธรรม” พูดจบ ก็ทิ้งพวกเขาทั้งสองคน “ฉันจะไปห้องน้ำ ไม่ต้องตามหาฉัน”

หลังจากที่หลายคนดูสถานที่จัดงานในตอนเช้าแล้ว ขั้นตอนต่อไปก็คือรอเปิดงานนิทรรศการ

ดังนั้น ในตอนบ่ายพวกเขาจึงมีเวลาว่าง

“โม่หาน คุณยังจำโบสถ์ที่พวกเราไปด้วยกันในตอนนั้นได้ไหม ? ได้ยินมาว่ากำลังจะรื้อถอนแล้ว”

ดวงตาของมู่เฉียวหรี่ลง หันศีรษะไปมองโม่หาน โบสถ์ที่เคยไปด้วยกัน ? ข้อมูลนี้ค่อนข้างกว้าง

เมื่อหลินซานออกมาจากห้องน้ำ ผู้ช่วยก็รีบรายงานข้างหูเธอทันทีว่า “ฉันไปแอบได้ยินมา ผู้หญิงคนนั้น เคยหย่าร้าง และยังมีลูกอีก”

“หย่าร้าง และยังมีลูกอีก ? อะไรจะบังเอิญเช่นนี้ ?”

“ใช่ ได้ยินมาว่าในอดีตเป็นหมอที่อยู่ในเมือง B ”

หมอ ? หลินซานพยักหน้า ถอดแว่นกันแดดออก สายตาดูเหยียดหยามเล็กน้อย

ถึงแม้ว่าหน้าตาจะดูดี แต่มีภูมิหลังแบบนี้ ไม่น่าพูดถึงเลย

เมื่อออกมา โม่หานและคนอื่นๆก็เตรียมพร้อมขึ้นเครื่องบินแล้ว

เห็นได้ชัดว่า กำลังรอเธอ เธอเงยหน้าขึ้นด้วยความรู้สึกที่เหนือกว่า ถอดแว่นกันแดดออก และวิ่งเหยาะๆสองก้าว และก็ไม่รู้ว่าเธอจงใจหรือเปล่า เมื่อเธอเข้าไปใกล้โม่หาน ขาของเธอก็พันกันสะดุดล้ม

มู่เฉียวเดินตามหลังทั้งสองคน ด้วยสายตาที่เฉียบคม เธอดึงเธอไว้ “ผู้อำนวยการหลิน ระวังค่ะ”

หลินซานมองไปที่มือที่จับแขนของเธอไว้ สีหน้าของเธอก็แย่ลง แต่เธอก็ลืมตาขึ้นหันมาทันที “ขอบคุณค่ะ”

มู่เฉียวรอให้เธอทรงตัวอยู่นิ่งแล้ว ถึงค่อยปล่อยมือ

ในขณะนี้โม่หานได้หยุดอยู่ข้างหน้าทั้งสองคนอยู่ประมาณสองสามเมตร เขาหันกลับมาและถามอย่างเป็นทางการว่า:“ เป็นอะไรรึเปล่า ?”

หลินซานส่ายศีรษะ

ผู้ช่วยของเธอดูหมิ่นมู่เฉียวอย่างรุนแรง ราวกับว่าคุณเป็นคนที่ชอบยุ่งเรื่องของคนอื่นอย่างนั้น

มู่เฉียวอยากจะบอกว่า คุณหลอกล่อสามีเธออย่างเปิดเผย เธอไม่ยุ่ง แล้วใครจะยุ่ง ?

อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่นั้นมา เธอก็เข้าใจจุดประสงค์ของหลินซานอย่างแท้จริงแล้ว ดูเหมือนว่าเสี่ยวโหรวจะพูดถูก ผู้หญิงคนนี้ มาที่นี่เพื่อแย่งชิงผู้ชายจากเธอ

เพียงแต่ มีความสงสัยเล็กน้อย หลินซานคนนี้ก็เป็นคนที่มีพรสวรรค์ แล้วทำไมเธอต้องยึดติดกับโม่หานด้วย ?

ยิ่งกว่านั้น ในเมื่อทั้งสองคนเป็นเพื่อนร่วมชั้นกัน ทำไมเธอถึงไม่ทำตั้งแต่ก่อนหน้านี้ล่ะ ?

เป็นไปได้ไหมว่า มีการล่วงประเวณี ?

เธอจ้องโม่หานอย่างดุเดือดอีกครั้งเธอไม่เชื่อว่า ผู้ชายคนนี้จะไม่สามารถมองผ่านความคิดของผู้หญิงคนนี้ได้ ดูเหมือนว่า คืนนี้ จะต้องลองพยายามดูแล้ว

บนเครื่องบิน ที่พวกเขาซื้อคือชั้นเฟิร์สคลาส

มู่เฉียวและผู้ช่วยอีกสองสามคนนั่งห่างกันที่อยู่แถวเดียวกันบนชั้นประหยัด

ดังนั้น อู๋เหิง โม่หาน หลินซานทั้งสามคนจึงนั่งอยู่แถวเดียวกัน

แล้วดังที่เห็น ที่นั่งนี้จะเป็นการประกาศสถานะทันที

โม่หานมีความคิดเห็นบางอย่างเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่เธอยืนกราน เป็นแค่นักแปลคนหนึ่ง จะให้ไปนั่งชั้นเฟิร์สคลาสราคาหลายหมื่นหยวน มันก็ไม่สามารถอธิบายเหตุผลได้

อู๋เหงิและโม่หานที่นั่งอยู่ติดกัน และประมาณไม่กี่นาทีหลังจากที่เครื่องบินขึ้น ทันใดนั้นอู๋เหิงก็ลุกขึ้น และพูดกับมู่เฉียวว่า คุณมู่ พวกเรามาแลกที่นั่งกัน ตกลงไหม ?

มู่เฉียวขมวดคิ้ว นี่มันหมายความว่ายังไง ?

“เกิดอะไรขึ้นรึเปล่า ?”

“ผมก็แค่ไม่อยากนอนเอง ?

ถึงแม้ว่ามู่เฉียวจะรู้ว่านี่เป็นความตั้งใจของอู๋เหิง แต่เธอก็ยังรู้สึกผิดเล็กน้อย

“ถ้างั้นคุณกับเปลี่ยนกับผู้อำนวยการหลินก็เหมือนกันไม่ใช่เหรอ ? ”ผู้ช่วยของผู้อำนวยการหลินกระซิบ

อู๋เหิงชำเลืองมองเธอ และดึงเนกไทของตัวเองออก “หรือว่านั่งตรงที่เธอนั่นแล้วกรน คิดว่าประธานโม่จะไม่ได้ยิน ?”

หลินซานเหลือบมองโม่หาน เขาหลับตา และไม่ได้ตั้งใจจะเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้

มู่เฉียวไม่ขยับ อู๋เหิงยืนอยู่ข้างเธอ “คุณมู่ ช่วยหน่อยเถอะ ”

เมื่อพูดถึงเรื่องสถานะ มู่เฉียวจะพูดอะไรได้ จึงทำได้เพียงลุกขึ้นและไปนั่งที่นั่งข้างข้างโม่หาน นี่เป็นห้องหรูหราประมาณ3ตารางเมตร เธอมองไปที่คำแนะนำการใช้งานที่ด้านข้างเก้าอี้ เธอถึงรู้ว่าเมื่อปรับเก้าอี้ตัวนี้จะกลางเป็นเตียงขนาดสองเมตร ทันใดนั้นเธอมองกลับไปที่อู๋เหิงด้วยความรู้สึกผิดบางอย่าง “เอ่อ ประธานอู๋ คุณนี่ ดูเหมือนจะนอนสบายยิ่งขึ้นแล้วสินะ ?”

อู๋เหิงกระแอมเล็กน้อย เขาไม่ได้โง่ แน่นอนว่าเขารู้ว่าที่ตรงนั้นนอนสบายกว่า แต่ใครบอกให้คนเป็นคนจงรักภักดีกันล่ะ ? ช่างเถอะ เห็นแก่ที่โม่หานเพิ่งแก้ปัญหาใหญ่ให้เขา เขาเลยจะทำดีตอบแทน

“ไม่เป็นไร ทะเลาะกับประธานโม่ผู้ยิ่งใหญ่ของพวกเรามันจะกลายเป็นเรื่องใหญ่”

มู่เฉียวหัวเราะออกมาสองครั้ง และก็ไม่พูดอะไรอีก

เพราะว่าเที่ยวบินนี้ใช้เวลาสิบชั่วโมง และพวกเขาก็ขึ้นเครื่องกันประมาณสี่โมงเย็น ไม่นานหลังจากเครื่องบินทรงตัวแล้ว ก็มีคนมาเสิร์ฟอาหาร

หลังจากที่ดูอาหารของเธอที่แตกต่างกับประธานโม่โดยสิ้นเชิง มู่เฉียวก็บุ้ยปาก เพราะว่านี่เป็นห้องส่วนตัว ที่มีด้านหลังกว้างจึงมีพนักพิงใหญ่ที่สามารถบังสายตาผู้คนได้

มู่เฉียวยื่นตะเกียบออกไปเพื่อใส่เนื้อชิ้นเล็กชึ้นหนึ่งลงในถ้วยของหาน และกะพริบตาไปทางเขา

จากนั้น กล่องอาหารข้างหน้าของตัวเองก็ถูกยกขึ้น และเปลี่ยนเป็นอีกกล่องหนึ่งมาวางข้างหน้าเธอแทน

“ขอบคุณค่ะประธานโม่”

เธอเข้าใกล้เขา และกระซิบเบาๆที่ข้างหูของเขา

ชายหนุ่มเอื้อมมือออกและบีบหน้าเธอเบาๆ ด้วยใบหน้าที่นุ่ม

จากนั้น น้ำผลไม้คั้นสดและของว่างก็กลายเป็นของมู่เฉียว

โม่หานไม่ชอบดื่มเครื่องดื่มใดๆ เขาดื่มเฉพาะน้ำเปล่า โม่หานไม่ชอบขนม เธอก็รู้

“ฉันกำลังช่วยคุณ”

หญิงสาวทำหน้าบูดบึ้งใส่ชายหนุ่ม โม่หานไม่พูดอะไร ได้แต่ถอนหายใจ

หลังจากทานอาหารไปครึ่งชั่วโมง ไฟในห้องผู้โดยสารก็ดับลง

ม่านข้างๆของแต่ละคนถูกดึงขึ้นเช่นกัน นอกจากนี้ระหว่างเธอและโม่หานยังมีม่านกั้นอยู่ โดยทีที่ทั้งสองไม่ได้ดึงขึ้นมาเอง

ชายหนุ่มลุกขึ้น ช่วยเธอปรับตำแหน่งที่นั่งให้เข้ากับเตียง และก็ปรับของตัวเอง ระหว่างเตียงทั้งสอง มีที่วางแขนกั้นอยู่ แต่กลับไม่ได้ป้องกันไม่ใช่ชายหนุ่มเอื้อมมือมากอดเธอ

“เดี๋ยวจะถูกคนเห็นเอา” มู่เฉียวผลักเขา

แต่ชายหนุ่มกลับไม่ได้ดึงแขนออก

จู่ๆ มู่เฉียวเริ่มสนใจที่จะเล่น เธอหันกลับไปมองโม่หาน นิ้วที่เรียวยาวของเธอค่อยค่อยเลื่อนไปบนใบหน้าเขา “คุณว่า ผิวของคุณทำไมถึงดีขนาดนี้นะ ? ฉันไม่เคยเห็นคุณเช็ดอะไรเลย”

ชายหนุ่มขมวดคิ้ว “นอนหลับ อย่าวุ่นวาย”

เธอกำลังวุ่นวายอยู่เหรอ ? มู่เฉียวใช้สายตาหลอกล่อเขา

มู่เฉียวมองไปที่โม่หาน และขยับศีรษะโน้มลงไปแตะที่ริมฝีปากของชายหนุ่มอย่างรวดเร็ว

เธอได้ยินเสียงหายใจของชายหนุ่มหนักขึ้นเรื่อยๆ

เธออดไม่ได้ที่จะพูดติดตลกว่า “คุณคงไม่ได้จะควบคุมตัวเองไม่อยู่ใช่ไหม ?”

ชายหนุ่มใช้มือข้างหนึ่งหนุนศีรษะ และมองมู่เฉียวด้วยสีหน้าจริงจัง “มู่เฉียว คุณกำลังเล่นกับไฟ”

มู่เฉียวหรี่ตาและหัวเราะเบาๆ เธอพบว่า บางครั้งการล้อเลียนโม่หานและดูเขาไร้หนทาง ก็เป็นความสุขอีกอย่างหนึ่ง

อย่างไรก็ตาม เธอก็ยังคงมีสติสัมปชัญญะ

ในคืนนี้ เธอนอนไม่ค่อยหลับ เพราะว่ามีโม่หานอยู่ด้วย ดังนั้น ในคืนนี้ หัวใจของเธอจึงหวานมาก

เมื่อทุกคนมาถึง ที่ฝรั่งเศสก็เป็นกลางคืนพอดี

แม้ว่าตลอดทางเธอจะหลับอย่างเดียว แต่มู่เฉียวก็ยังรู้สึกเหนื่อยเล็กน้อย

เนื่องด้วยสถานะที่พิเศษของเธอ แน่นอนว่าเธอไม่สามารถอยู่กับโม่หานได้

เมื่อเข้ามาในห้องนอนของตัวเอง เธอก็อาบน้ำแล้วนอนลงบนเตียง จากนั้นก็ได้รับข้อความจากโม่หาน

“ขึ้นมา รอคุณอยู่ที่ห้อง”

ไม่เอานะ ? มันจะโอ้อวดเกินไปรึเปล่า ?

“ถ้างั้นผมลงไป หรือไม่ก็เปิดเผยต่อสาธารณะ”

มู่เฉียวพูดเสริมอีกประโยคว่า “ยังคงเป็นภาพคู่ที่น่ารักกว่า”

ชายคนนั้นขมวดคิ้ว “ผม…..กับเธอ มีภาพร่วมกัน ? และยังสนิทสนม ? ”ริมฝีปากของเขาเป็นเส้นตรง และเขาแสร้งทำเป็นพูดลวกๆว่า ในความทรงจำของผม ผมยังไม่เคยนอนกับเธอเลยนะ ?

มู่เฉียวอ้าปากค้าง “คุณ………”

ทันใดนั้นชายหนุ่มก็โน้มตัวลงมา และจูบไปยังริมฝีปากแดงที่เปิดอยู่เล็กน้อยของมู่เฉียว โอบเอวของเธอ และกระชับให้แน่นขึ้น จากนั้นเขาก็ปล่อย “เด็กโง่ ถึงแม้ว่าบางครั้งจะหึง แต่ผมก็ยังมีความสุขมาก อย่างไรก็ตามพวกเราผ่านประสบการณ์ร่วมกันมามากแล้ว ดังนั้น ไม่มีใครหรืออะไรจะสามารถมาทำลายความสัมพันธ์ของพวกเราได้ รูปที่ถ่ายกับเธอนี้ น่าจะเป็นมารยาทที่ไม่สามารถปฏิเสธได้ ก็เท่านั้น”

“แบบนี้ที่ดีสุดแล้ว” เสียงหวานของหญิงสาวดังก้องอยู่ในหูของชายหนุ่ม

“เมื่อวาน ดูเหมือนว่าคุณจะมีเรื่องอะไรที่อยากจะพูดกับผม ใช่ไหม ?”ทันใดนั้นโม่หานก็คิดอะไรได้

มู่เฉียวกะพริบตา “ไม่ต้องพูดแล้ว เพราะว่า คุณได้ทำมันไปแล้ว”

ชายหนุ่มเข้าใจทันที “หรือว่าเป็นคำขอร้องของคุณ ?”

มู่เฉียวผลักเขาออกไปด้วยความเขินอายเล็กน้อย “คุณพูดไร้สาระอะไรเนี่ย ?”

“นั่นคือ………”

“แม่ให้เราเตรียมพร้อมสำหรับลูกคนที่สอง เลยอยากจะถามความคิดเห็นของคุณ”

โม่หานมองดูเธอ “เรื่องนี้ผมแล้วแต่คุณ ถ้าหากคุณอยากให้กำเนิด พวกเราก็จะให้กำเนิด ถ้าคุณอยากจะรอก่อน ก็รอก่อน เพราะการหว่านเมล็ดนั้นง่ายกว่าการที่คุณคลอดลูกอีก”

เมื่อได้ยินคำว่าหว่านเมล็ดสองคำนี้จากเขา ทันใดนั้นมู่เฉียวก็ “อิอิ” หัวเราะออกมา

ไม่เข้าใจจริงๆว่า คนนอกบอกว่าเขาเย็นชา นี่เย็นชาตรงไหนเนี่ย ?

“ถ้างั้น พวกเราก็ไม่ต้องคุมกำเนิดแล้ว ถ้าหากมีแล้ว พวกเราก็ให้กำเนิดออกมา ตกลงไหม ?”

ที่จริงแล้ว มู่เฉียวอยากให้รออีกสักสองปี อย่างไรก็ตาม เธอยังอยากพัฒนาอาชีพของตัวเองขึ้นมาอีกหน่อย แต่คำพูดของคุณนายโม่เมื่อวานนี้ เพื่อตอบสนองความปรารถนาของย่าโม่ ได้ทำให้เธอสัมผัสได้อย่างลึกซึ้ง

“วันมะรืนฉันจะไปงานนิทรรศการเครื่องประดับในต่างประเทศ คุณนายโม่จะไปไหม ?” มีบางอย่างในคำพูดของเขา มู่เฉียวไม่ได้โง่ เธอเข้าใจโดยธรรมชาติ

“ฉันไปด้วย ?”

“จำเป็นต้องไป เพื่อความไร้เดียงสาของฉัน มิฉะนั้น ทันทีที่สื่อเผยแพร่ เมื่อกลับมา ต่อให้โดนลงโทษก็คงไม่มีประโยนช์แล้ว”

มู่เฉียวเงยหน้าขึ้นและมองโม่หานด้วยรอยยิ้มอันแสนหวาน “ตกลง ก็ถือซะว่าพวกเราไปปั๊มลูก”

ในวันที่ออกเดินทาง มู่เฉียวถึงเพิ่งรู้ว่า พวกเขากำลังจะไปฝรั่งเศส

ในทริปนี้มีอู๋เหิงกับเลขาสาวหนึ่งคน ยังมีผู้ช่วยอีกหนึ่งคน รวมกับหลินซานและผู้ช่วยอีกคนหนึ่ง รวมเธอด้วยแล้ว ก็ทั้งหมด7คน

ในตอนเช้าเธอจงใจกลับไปที่บริษัท และสั่งงานพวกนั้นให้กับเสี่ยวโหรว

เนื่องจากเป็นการเดินทางเพื่อธุรกิจ เสี่ยวโหรวจึงไม่ได้ถามอะไรมาก

“มีเรื่องอะไร โทรศัพท์หาฉัน ส่งวีแชท ได้หมด” เธอสั่งไว้

เสี่ยวโหรวพยักหน้า “คุณมู่ พวกคุณครั้งนี้ มีหลินซานไปด้วยใช่ไหม ?”

มู่เฉียวพยักหน้า

เสี่ยวโหรวส่ายศีรษะ ครุ่นคิดและเอ่ยปากออกมาว่า:“ คนนั้นหยิ่งมาก ฉันแค่เกรงว่าคุณเสี่ยวเฉียว คุณพูดง่ายเกินไป จะรู้สึกเสียใจ ?”

เสียใจ ? มู่เฉียวยิ้ม เธอคนนี้ไม่ใช่คนร้ายกาจ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะรังแกได้ง่าย และอีกอย่าง ครั้งนี้ยังมีโม่หานอยู่ด้วย ถ้าหากจะต้องเสียใจจริงๆ ถ้างั้นคนที่ทุกข์ทรมานก็คงจะไม่ใช่เธอ

อย่างไรก็ตาม ฉันยังคงรู้สึกขอบคุณเสี่ยวโหรว “ตกลง ฉันจะระมัดระวังตัวเอง ”

เมื่อทั้งสองมาถึงสนามบิน โม่หานกับหลินซานก็อยู่ในอาคารผู้โดยสารแล้ว

“ตอนนี้ นักแปลคนเดียวนี่ยิ่งใหญ่เหลือเกิน ?” เมื่อพวกเขาเดินเข้ามาใกล้ ผู้ช่วยของหลินซานก็เอ่ยปากทักทาย

มู่เฉียวยิ้ม “ขอโทษนะคะ ที่ทำให้พวกคุณต้องรอ”

“ไม่เป็นไรไม่เป็นไร เครื่องบินยังไม่บินเลยนี่ ?” คนที่ตอบเธอก็คือผู้ช่วยของหาน เขารู้เกี่ยวกับความสัมพันธ์ของเธอกับโม่หาน และหันไปมองผู้ช่วยคนนั้นอย่างมีความหมายลึกซึ้ง

หลินซานสวมแว่นกันแดด ทำให้มู่เฉียวไม่เห็นแววตาของเธอ แต่สามารถสัมผัสได้ว่าผู้หญิงคนนี้กำลังมองเธอ

เธอมองไปที่เธอแล้วพยักหน้า มองดูเธอไปเรื่อยๆ เสื้อเชิ้ตยาวคอวีสีดำ และกางเกงขาสั้นเผยให้เห็นเรียวขาที่ยาวและขาวทั้งคู่นั่นของเธอ

ต้องบอกเลยว่า เธอมีรสนิยมที่ดีมาก ทุกครั้งที่เธอ ล้วนทำให้คนรู้สึกสดชื่น

“คุณมู่ ทางนี้มีนั่งว่าง คุณนั่งก่อนเถอะ อาจจะต้องใช้เวลารออีกประมาณครึ่งชั่วโมง” อู๋เหิงชี้ไปที่ตำแหน่งข้างข้างโม่หาน

มู่เฉียวพยักหน้า โม่หานคนนี้น่าสมเพชเกินไปหรือไม่มีใครกล้านั่ง ? ที่นั่งด้านข้างทั้งสองนั้นถึงว่างอยู่

เธอนั่งลงข้างโม่หาน และก้มศีรษะลงเล่นโทรศัพท์

“ติ้ง” มีข้อความวีแชทส่งเข้ามา

เธอเหลือบมองไปที่โม่หาน

“คุณภรรยา เล่นแบบนี้ สนุกมากไหม ?”

“ไม่สนุกเหรอ ? ฉันรู้สึกว่ามันไม่เลวเลยนะ ฮ่าฮ่า…….”

ปรายตาของเธอเห็นมุมมปากของโม่หานกระตุก

ผ่านไปสักพัก เธอหยิบขนมออกมาจากกระเป๋าของเธอ แล้วใส่เข้าไปในปากของตัวเอง จากนั้นก็ยื่นส่งให้กับโม่หาน “คุณเอาหน่อยไหม ?”

เมื่อทุกคนได้ยิน ก็ลืมตาขึ้นมาและหันมามอง

มู่เฉียวสูดหายใจเข้าลึกๆ แน่นอนว่ามันเป็นความคุ้นเคยกับเรื่องที่แย่

ผู้ช่วยของหลินซาน “อิอิ” หัวเราะออกมา และทำเสียง“ จุ๊จุ๊ ”สองครั้ง

อู๋เหิงยื่นมือออกมา “คุณมู่ ให้ผมสักอันหนึ่งได้ไหม”

เมื่อเขากำลังจะแตะลูกอมนั้น ทันใดนั้นโม่หานที่ไม่พูดอะไรก็ยื่นมือออกมา และหยิบลูกอมนั้นไปจากมือของเธอ เขาแกะแล้วใส่เข้าปากไป

นิ้วมือของเขา สัมผัสกับฝ่ามือของมู่เฉียวทั้งตั้งใจและไม่ได้ตั้งใจ ทำให้หัวใจของหญิงสาวเต้นเร็วขึ้นสองสามจังหวะ

เมื่อเห็นการกระทำของเขาในคราวนี้ ทำให้ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นตกตะลึง รวมถึงหลินซานด้วย

โม่หานกินลูกอมในที่สาธารณะ ฉากนี้ ทำให้ทุกคนรู้สึกแปลกประหลาดเล็กน้อย

มู่เฉียวถอนหายใจด้วยความโล่งอก และเพื่อปกปิด“ความผิดปกติ” เธอจึงหยิบอีกกำมือหนึ่งออกมาจากกระเป๋า “นี่ยังมีอีก เอาไปคนละอัน”

อู๋เหิงและผ็ช่วยของโม่หานหยิบไปคนละอัน แต่หลินซานและผู้ช่วยของเธอไม่ขยับ

อันที่จริง มู่เฉียวอยากจะบอกว่า ลูกอมนี้เป็นของที่ประธานโม่ไปทำธุรกิจจากที่แสนไกลเมื่อนานมาแล้วเอามาให้เธอ เป็นของที่คนท้องถิ่นทำ และมันมีประโยชน์ทั้งหญิงและชาย ช่วยเพิ่มพลังและยังรสชาติดี มู่เฉียวก็เลยชอบกิน และโม่หานเลยขอให้คนซื้อกลับมาให้บ้าง

เมื่อเธอกินบ่อยๆ เธอก็จะบังคับให้โม่หานกินด้วย และพฤติกรรมเมื่อครู่นี้มันก็ติดเป็นนิสัยไปแล้ว

เฮ้อ คนบางคน ไม่มีวาสนา

หลินซานมองดูมู่เฉียวผ่านแว่นกันแดด ในความทรงจำของเธอ อดีตภรรยาของโม่หาน ก็เหมือนจะชื่ออะไรเฉียว แต่ตอนนั้น เธออยู่ต่างประเทศ และเวลาก็ล่วงเลยมานานแล้ว เธอก็จำไม่ค่อยได้

อย่างไรก็ตาม เมื่อมองไปที่ลักษณะของผู้หญิงตรงหน้า และมองจากปฏิกิริยาของโม่หาน เธอก็แน่ใจในการคาดเดาของตัวเอง

ด้วยนิสัยของโม่หาน มันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะหย่าร้าง และยังอยู่ใกล้กับภรรยาเก่าขนาดนี้ และยังว่ากันว่า ในตอนนั้นผู้หญิงคนนั้นก็ยังเป็นคนโกหก

เธอกระแอมเล็กน้อย ลุกขึ้นและพูดว่า “ฉันจะไปเข้าห้องน้ำ”

ประโยคนี้ เธอพูดกับโม่หาน โม่หานพยักหน้า และยังคงเล่นโทรศัพท์อยู่ และสีหน้าของเขาก็เป็นปกติ

เมื่อผู้ช่วยได้ยิน ก็รีบตามไปทันที

มู่เฉียวอาบน้ำเสร็จแล้ว นอนอ่านหนังสืออยู่บนเตียง ช่วงนี้เธอกำลังเรียนภาษารัสเซียอยู่ ปวดหัวเล็กน้อย

ได้ยินเสียง ‘แกร๊ก’จากข้างนอก เธอก็ลุกลงจากเตียง

“โม่หานคุณกลับมาแล้วเหรอ?”

โม่หานกำลังเปลี่ยนรองเท้าอยู่ ได้ยินเสียงที่กระฉับกระเฉงของเธอแล้ว อารมณ์กดดันจากบริษัทก็ดีขึ้นมามาก เดินเข้าไป กอดเอวเธอไว้ “อื้ม ยังไม่นอนเหรอ?”

มู่เฉียวจุ๊บที่หน้าของเขา “ฉันเตรียมน้ำอาบให้คุณแล้ว คุณไปอาบน้ำก่อน อาบเสร็จแล้ว ออกมามีเรื่องคุยกับคุณหน่อย”

โม่หานกอดเธอไว้ นิ้วมือบีบเบาๆเข้าที่แก้มเนียนของเธอ “พูดก่อน ค่อยอาบ”

“รีบไป เปิดน้ำอุ่นหน่อยก็ได้แล้ว”

ครึ่งชั่วโมงต่อมา

ชายหนุ่มนอนอยู่ข้างมู่เฉียว ดมกลิ่นหอมอ่อนๆจากตัวเธอ พลิกตัว มากดทับร่างของหญิงสาวไว้ “พูดมา มีเรื่องอะไร?”

มู่เฉียวผลักเขา “มันหนักนะ คุณลงไปก่อน”

ชายหนุ่มทับลงมาทั้งตัว มู่เฉียวขมวดคิ้ว กึ่งผลักกึ่งปล่อยวางแล้วพูดว่า “โม่หาน วันนี้แม่นัดฉันไปคุย บอกว่าให้เรามีลูกอีกคน ฉันคิดดีๆแล้ว ฉันคิดว่าพวกเราควรพิจารณาได้แล้วหรือเปล่า?”

พูดจบ ไม่มีการตอบรับอยู่นาน จากนั้น มู่เฉียวก็ได้ยินเสียงหายใจข้างหูของเธอ

มู่เฉียวหลับตา โกรธจนจะอ้วกเป็นเลือด

แต่ว่า ช่วงนี้โม่หานดูเหนื่อยมาก เท่าที่เธอรู้ MYรับโครงการใหญ่ๆมาหลายโครงการ คิดแล้ว ก็ปล่อยมันไปก็แล้วกัน

ตอนเช้าเธอตื่นขึ้นมา ก็ไม่เจอเงาของโม่หานแล้ว

เธอรู้สึกแพ้ ยิ่งกว่านั้นคือผิดหวังเล็กน้อย

พอถึงบริษัท เธอหาข้ออ้างไปส่งเอกสารที่ชั้นบน

เลขาคนอื่นเห็นเธอมา ไม่ได้มีปฏิกิริยาอะไรมาก มีแต่เลขาคนที่รู้สถานการณ์รีบยืนขึ้น “คุณมาแล้วเหรอคะ”

มู่เฉียวพยักหน้า ชี้ไปที่ออฟฟิศของโม่หาน “ฉันมาส่งเอกสาร”

จู่ๆเลขาก็เข้ามาขวางเธอไว้ “หรือว่า ให้ฉันเทน้ำอุ่นให้คุณสักแก้วไหมคะ? ประธานโม่คุยธุระอยู่ข้างใน”

มู่เฉียวคิดว่าโม่หานคุยเรื่องธุรกิจอยู่ คิดๆแล้ว เธอก็ส่งเอกสารในมือให้กับเลขา “ถ้าอย่างนั้นรบกวนคุณช่วยเอาให้เขาหน่อย ฉันไม่รอเขาแล้ว”

กำลังจะหันหลัง ก็ได้ยินเสียงเปิดประตูจากด้านหลัง

หลินซานเดินออกมาจากข้างใน วันนี้เธอใส่ชุดเดรสยาวเปิดไหล่สีดำ สวมเสื้อคลุม ยิ่งมีความเป็นผู้หญิงมากขึ้น สีหน้าแดง เดินผ่านเธอไปเบาๆ

“เห็นไหม เข้าไปหนึ่งชั่วโมงแล้วเพิ่งจะออกมา”

“พวกเธอว่า ทำอะไรกันอยู่ข้างในหรือเปล่า……”

“ทำไมจะเป็นไปไม่ได้? ภาพลักษณ์ประธานโม่ของพวกเรา ไม่ใช่ว่าพวกเธอจะไม่รู้ ไม่อย่างนั้น ชายหญิงอยู่ด้วยกันสองต่อสอง หนึ่งชั่วโมงกว่า จะทำอะไร?”

…….

มู่เฉียวหันหลังไปมองหลินซานที่กำลังรอลิฟต์อยู่ ผู้หญิงคนนี้ไร้ที่ติ360องศาจริงๆ แต่ เธอจะไม่เชื่อคำพูดของคนอื่นแน่นอน

รับเอกสารมาจากมือของเลขา “ขอโทษที ฉันนำไปให้เองดีกว่า”

มู่เฉียวไม่ได้เคาะประตู ดังนั้น เธอผลักประตู ก็เห็นโม่หานกำลังติดกระดุมเสื้อของเขาพอดี เห็นว่าเธอมา โม่หานตกใจเล็กน้อย

“มู่เฉียว คุณมาได้ยังไง?”

ดีๆอยู่ ทำไมถึงติดกระดุมเสื้อล่ะ? โอเค มู่เฉียวรู้สึกว่าตัวเองมีอคติเล็กน้อย แต่ ในใจมีเสียงหนึ่งบอกเธอว่า ต้องเชื่อใจผู้ชายของตัวเอง

เธอล็อคประตูด้านหลัง

“ฉันมาหาผู้ชายของฉัน ต้องแจ้งด้วยเหรอ?”เธอเก็บความสงสัยในตา วางเอกสารในมือของเธอไว้บนโต๊ะของโม่หาน

โม่หานยิ้มมุมปาก พยักหน้า “แน่นอนว่าไม่ต้อง ต้อนรับเสมอ”

จากนั้น มู่เฉียวก็อ้อมไปข้างหน้าโม่หาน เอนตัวเข้าใกล้ นั่งลงบนตักของชายหนุ่ม นิ้วมือขาวนั้นสอดเข้าไปในเสื้อโดยตรง

เธอรู้สึกว่าดวงตาของชายหนุ่มดูขุ่นลงเล็กน้อย เธอเข้าใกล้พูดขึ้นที่ข้างหูเขา “โม่หาน คุณไม่แตะต้องฉันมาหลายวันแล้ว”

เธอยอมรับว่าเธอตั้งใจ ทั้งๆที่รู้ ว่าช่วงนี้ทั้งสองคนต่างก็ยุ่ง

เธอรู้สึกได้ว่าการหายใจของชายหนุ่มก็ถี่ตาม จากนั้น ข้างใต้ก็มีบางอย่างบวมขึ้น

เธอสูดหายใจเข้าและดูเหมือนพอใจกับผลลัพธ์มาก คิดแล้ว ก็รีบลุกขึ้น แต่ว่า ชายหนุ่มจะปล่อยเธอไปง่ายๆได้ยังไง

หนึ่งชั่วโมงต่อมา

หญิงสาวเดินออกมาจากห้องน้ำข้างใน มัดผม จ้องเขม็งไปที่โม่หาน ยู่ปาก โอเค นี่เป็นผลของความสงสัย เธอสมควรแล้ว

ชายหนุ่มเดินเข้ามา เอนตัวเข้ามาจูบที่ริมฝีปากแดงของเธอ กดหลังคอเธอไว้ รวบเธอเข้ามาในอ้อมกอด “พูดมาซิ ว่าเห็นอะไรมา? ถึงได้กระตุ้นคุณนายรองโม่ของเรา ให้รุกขนาดนี้”

มู่เฉียวเขินเล็กน้อย ยิ่งกว่านั้นคือทำตัวไม่ถูก เธอรู้อยู่แล้วว่าความคิดเล็กน้อยของเธอ ปิดบังโม่หานไม่ได้

เธอเกาะอ้อมกอดของเขา“คุณไม่ต้องทำเป็นใสซื่อหลังจากได้ผลประโยชน์แล้วนะ”

ชายหนุ่มกัดที่ริมฝีปากของเธอเบาๆ “คุณนายรองโม่ ไม่ควรเป็นทำนองเดียวกันเหรอ?”

หญิงสาวได้ยินแบบนั้น บีบเข้าที่เอวของชายหนุ่ม ทำให้โม่หานหัวเราะขึ้นเบาๆ เสียงหัวเราะของเขาเห็นได้น้อยมาก แต่กลับมีเสน่ห์พิเศษ ทำให้จิตใจของมู่เฉียวดีขึ้นมาก

“ฉันเพิ่งเข้ามา ก็เห็นสาวสวยคนหนึ่งเดินออกจากห้องของคุณ มีคนบอกว่าเธออยู่ในห้องกับคุณมาหนึ่งชั่วโมงกว่าแล้ว”

โม่หานพยักหน้า มุมปากแฝงไปด้วยรอยยิ้ม ดูเหมือนว่าเขาจะอารมณ์ดีมาก แต่เขาจงใจพูดด้วยเสียงต่ำ “อ๋อ คุณหมายถึงเธอเหรอ เฮ้อ ไม่มีทางเลือก มีคนบางคนไม่อยากเปิดเผย ผมจึงต้องใช้ประโยชน์จากมันโดยวิธีแบบนี้”

มู่เฉียวทุบเบาๆที่อกของชายหนุ่ม “คุณยังกล้าพูดไร้สาระอีก”

ชายหนุ่มรวบมือเธอไว้ วางไว้ตรงหัวใจ “คุณจับดูสิ หัวใจดวงนี้ไม่เคยเต้นแรงเพื่อใครนอกจากคุณ”

เขาพูดคำหวานน้อยมาก แต่ทุกครั้งที่พูด มู่เฉียวก็รู้สึกเขินมากจนทำตัวไม่ถูก

“ใครจะรู้ว่าเคยหรือไม่เคย? เป็นถึงเพื่อนวัยเด็กด้วยนี่……”

ปล่อยเธอออก ชายหนุ่มไปเทน้ำให้เธอ ส่งให้มู่เฉียว “ถ้าหากเพื่อนวัยเด็กมีส่วนเกี่ยวข้อง ถ้าอย่างนั้นเพื่อนสมัยประถม คงพากันมาหมดแล้ว”

พูดจบ ไม่รอให้มู่เฉียวรู้สึกตัว ก็ขยี้ที่หัวเธอเบาๆ อธิบายว่า“เพื่อนสมัยเด็ก ทักษะทางวิชาชีพแข็งแกร่งมาก ครั้งนี้บริษัทเข้าร่วมงานอัญมณีระหว่างประเทศ ในฐานะผู้อำนวยการออกแบบ เธอเข้ามาขอความคิดเห็นของผม เพราะโครงการที่เกี่ยวข้องมีมากและค่อนข้างซับซ้อน ส่วนพวกเรา นี่ก็เป็นครั้งแรก ดังนั้น ถึงได้คุยกันนานหน่อย”

ส่วนข้างหลัง มู่เฉียวไม่ได้ตั้งใจฟัง ความสนใจเธออยู่ที่คำนั้น เพื่อนสมัยเด็ก

“ถ้าหากเป็นแค่เพื่อนสมัยเด็ก ทำไมถึงได้มีรูปคู่ที่ดูสนิทสนมขนาดนั้น?”เธอถาม เรื่องบางเรื่อง เธอไม่อยากเก็บสะสมอะไรไว้ในใจ ทั้งสองคนเดินมาถึงทุกวันนี้ก็ไม่ง่าย เธอไม่อยากให้ความเดาไปเรื่อยของเธอทำลายสิ่งที่กว่าทั้งสองคนจะมีในวันนี้

“ความสัมพันธ์ของเรา ควรจะเปิดเผยได้หรือยัง?”

“เปิดเผย?” มู่เฉียวแปลกใจมากที่จู่ๆโม่หานก็แสดงความเห็นนี้ขึ้น เงยหน้ามองเขา อย่าให้พูดเลย ดูหล่อมากจริงๆ แต่พอคิดถึงสีหน้าของผู้หญิงเหล่านั้น เธอส่ายหน้า “ยังก่อนดีกว่า ฉันคิดว่าตอนนี้ก็ดีอยู่แล้ว”

สีหน้าชายหนุ่มนิ่งลง “ทำไม?”

มู่เฉียวมองสีหน้าของชายหนุ่มที่โศกเศร้า “คุณประธานโม่ ไม่เปิดเผย คุณไม่พอใจเหรอ? ดอกท้อของคุณจะได้บานได้ตลอดไง?” เธอพูด ก้มหน้า กินอาหารต่อไปสองสามคำ อารมณ์ดี เรื่องที่ว่าจะเปิดเผยนี้ ถ้าหากโม่หานไม่พูดถึง เธออาจจะรู้สึกอึดอัดใจ แต่ พอเขาพูดว่าจะเปิดเผย เธอกลับรู้สึกว่ามันไม่เป็นไรแล้ว

การแต่งงานก็เหมือนคนที่ดื่มน้ำ รู้อยู่กับตัวว่ามันเย็นหรือร้อน

เธอไม่สนใจว่าคนอื่นจะมองยังไง แค่เพียงในใจของโม่หานมีเธอ ก็พอแล้ว เธอไม่ได้อะไรกับชื่อเสียงจอมปลอมเหล่านั้นอยู่แล้ว

“เป็นแบบนี้นั่นแหละ ปิดบังการแต่งงาน ก็ดี”หญิงสาวยิ้ม แบบนี้ คนอื่นก็จะไม่มองเธอแบบผิดๆ เธอเองก็ไม่ต้องสนใจสายตาของคนอื่น อีกอย่าง เธอสามารถเป็นตัวของตัวเอง ชายหนุ่มจ้องเธอ

“คุณไม่ได้มีแผนอื่นใช่ไหม?”

“คุณไม่มีความรู้สึกปลอดภัย?”มู่เฉียวคีบผักยื่นไปที่ปากของโม่หาน

ชายหนุ่มอ้าปากกินเข้าไป จากนั้น พยักหน้าแรงๆ “ใช่”

“ถ้าอย่างนั้นยิ่งเปิดเผยไม่ได้เลย ให้คุณกังวลต่อไป”นึกถึงตอนที่โม่หานหึง เธอก็รู้สึกอิ่มเอมใจมาก

“ถ้าอย่างนั้นคืนนี้ไปพบแม่ผม”

“แค่กๆ……”มู่เฉียวกำลังซดน้ำซุปอยู่ ประเด็นสนทนาเปลี่ยนเร็วเกินไป และยังได้ยินโม่หานพูดแบบนี้อีก เธอจึงสำลัก เธอเงยหน้ามองโม่หาน “คุณว่าอะไรนะ?”

“เธอน่ากลัวขนาดนั้นเลยเหรอ?”โม่หานตบหลังเธอเบาๆ

มู่เฉียวสูดหายใจเข้า ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ว่าน่ากลัวหรือไม่น่ากลัว เพียงแต่เธอรู้สึกตกใจก็เท่านั้น

เหตุการณ์ครั้งนี้ของโม่หาน อาจทำให้ความสัมพันธ์ของพวกเธอคลี่คลายลงแล้ว แต่ว่า เธอคิดไม่ถึงว่า“แม่สามี”จะรีบร้อนขนาดนี้

“มู่เฉียว……”

“โอเค”

เวลาเลิกงาน รถของโม่หานก็จอดอยู่หน้าบริษัท มู่เฉียวคิดๆแล้ว ไม่ได้เลือกที่จะนั่งรถของเขา คนไปๆมาๆเยอะขนาดนี้ เธอไม่กล้า

“แต่งงานกับผมมันน่าขายหน้าขนาดนั้นเลย?”

ข้อความจากชายหนุ่มที่ถูกส่งมา มู่เฉียวนั่งอยู่ในแท็กซี่เรียบร้อยแล้ว เธอมองข้างหลังผ่านกระจก เม้มปาก

พอถึงที่ทานข้าว ไม่รู้ว่าเป็นเรื่องบังเอิญหรือตั้งใจ มันเป็นที่ที่พวกเขากินข้าวด้วยกันครั้งแรก ที่ที่พ่อโกรธออกจากที่นี่ ตอนที่ปู่โม่ยังอยู่

ตอนที่มาถึง โม่หานยืนอยู่นอกประตู

เห็นเธอลงรถ รีบเดินเข้ามาใกล้ ขยี้ที่หัวเธอสองครั้ง ยิ้มขึ้นอย่างไม่มีหนทาง

คนยังไม่ทันเดินเข้าไป  ก็สามารถยืนยันได้ หันไปมองโม่หาน“หมายความว่ายังไง?”

“ผมรับพ่อกับแม่มาแล้ว”

“อ๋า?”มู่เฉียวประหม่าเล็กน้อย การก้าวเดินก็เร็วขึ้นเล็กน้อย

โม่หานดึงเธอไว้ ทั้งสองยืนอยู่นอกประตู มองเข้าไปข้างในผ่านกระจกรูปพัด คุณนายโม่กำลังเทน้ำชาให้พ่อกับแม่

“นี่ คุณแม่ยาย คุณดื่มเยอะหน่อย ชานี้พื้นเมืองมาก”

“คุณแม่ของโม่หาน พวกเราทำเอง คุณไม่ต้องเกรงใจ”แม่รู้สึกตกใจเล็กน้อย

คุณนายโม่ยิ้มบางๆ “ฉันต้องขอโทษทั้งสองคนจริงๆ ไม่กี่ปีที่ผ่านมา สมองฉันไม่ดีแล้วแน่เลย ที่ทำเรื่องทำร้ายทั้งสองคนและเสี่ยวเฉียว โชคดีที่พวกคุณเป็นผู้ยิ่งใหญ่ไม่คิดถือโทษคนต่ำต้อย ไม่อย่างนั้น ความสุขทั้งชีวิตนี้ของเด็กทั้งสองคนนี้ คงพังลงที่มือของฉัน”

“เรื่องนี้ไม่ต้องพูดถึงแล้ว เราเป็นคนบ้านเดียวกันแล้วไม่ต้องเกรงใจ แค่เด็กทั้งสองคนยังอยู่ดี พวกเรา ก็ไม่มีความเห็นอะไร”

มู่เฉียวเม้มปาก น้ำตาคลอเล็กน้อย “โม่หาน คุณว่านี่เป็นความโชคดีในความโชคร้ายหรือเปล่า? ถ้าหากไม่ใช่เพราะเรื่องของคุณในครั้งนี้ ก็ไม่รู้ว่าฉันกับแม่คุณจะทะเลาะกันไปถึงเมื่อไหร่?”

โม่หานก้มมอง “โอเคแล้ว เข้าไปกันเถอะ พวกเขารอเรากันอยู่”

อาหารมื้อนี้ มู่เฉียวหลั่งน้ำตาหลายครั้ง แต่เป็นน้ำตาแห่งความสุข

เธอไม่เคยคิดจริงๆ ว่าจะมีวันนี้ได้

ชีวิตกลับมาสงบอีกครั้ง

มู่เฉียวไม่อยากเปิดเผยความสัมพันธ์ของทั้งสองคน เธอคิดว่าที่เป็นอยู่แบบนี้ มันดีอยู่แล้ว เธอเป็นมู่เฉียว พนักงานหญิงคนใหม่ที่เพิ่งความสามารถของตัวเองในการหาเงิน ชื่อของเธอจะไม่ถูกพูดถึงโม่หาน เธอเองก็ไม่ต้องกังวลว่าจะทำได้ไม่ดี แล้วกระทบต่อโม่หาน อยู่อย่างสบายๆ

เธอคิด ถ้าหากความสัมพันธ์นี้เปิดเผยแล้ว คาดว่าเธอคงต้องปวดหัว ด้วยฐานะคุณนายรองโม่แล้ว เธอคงจะไม่ได้มีชีวิตที่สงบสุข แบบนั้น ไม่ใช่สิ่งที่เธอต้องการ เพราะ โม่หานเข้าใจเธอ จึงตามใจเธอ

คุณนายโม่อาจจะคิดว่ารู้สึกผิดต่อเธอ จึงชอบซื้อของให้เธอบ่อยๆ เช่น สินค้าฟุ่มเฟือย เครื่องประดับ เธอพูดไปหลายครั้ง ว่าเธอเป็นพนักงานออฟฟิศ ใช้สิ่งของเหล่านี้ เด่นเกินไป

แต่ ก็ไม่สามารถหยุดอาการหลงลูกสะใภ้ของคุณนายโม่ได้

พริบตาก็เดือนหกแล้ว

วันนี้ คุณนายโม่นัดมู่เฉียวทานข้าว แต่กลับพูดชัดเจนว่าไม่ให้พาโม่หานมา

“แม่คะ คุณจะทานข้าวอะไรเหรอคะ ถึงพาโม่หานมาด้วยไม่ได้?”มู่เฉียวนั่งลง ในมือถือกระเป๋าแบรนด์ดังที่คุณนายโม่ซื้อให้เธอ เสียดาย เธอหยิบออกมาใช้ ผู้หญิงที่ขี้นินทาเหล่านั้น ถามเธอว่าซื้อจากที่ไหน เกรดเอเหมือนจริงขนาดนี้

เธอไม่อธิบาย แต่กลับพิสูจน์ความจริงที่น่าเศร้าของมนุษย์

ทานอาหารมื้อนี้เสร็จ คุณนายโม่ก็ไม่พูดถึงจุดประสงค์ของเธอ

จนกระทั่งทั้งสองคนจ่ายบิลและจากไป คุณนายโม่จึงจับมือมู่เฉียว พูดว่า“เสี่ยวเฉียว เธอว่า ปีนี้โม่หานอายุ32แล้ว ส่วนเธอ ปีหน้าก็อายุ30แล้วใช่ไหม?”

มู่เฉียวพยักหน้าอื้มไปเสียงหนึ่ง ก็รีบรู้สึกตัวขึ้นมา “แม่คะ แม่คงไม่ได้เร่งให้ฉันมีลูกคนที่สองใช่ไหมคะ?”

สีหน้าของคุณนายโม่มีความดีใจขึ้นมา “ฉันหมายถึงนี่แหละ เธอดูสิ ทุกวันนี้ฉันกับย่าเธอก็อยู่แต่บ้าน ต่างฝ่ายต่างมองตากัน ส่วนเสี่ยวโยว ก็อยู่แต่กับตากับยายของเธอ พวกเราเหงามากจริงๆ เธอว่าถ้าหากพวกเธอมีลูกให้พวกฉันอีกสักคน…….”

มู่เฉียวเม้มปาก “แม่คะ นี่คุณจะให้ฉันมีหลานให้พวกคุณ หรือมีของเล่นให้พวกคุณกัน?”

หลังจากที่ปรับความเข้าใจกับคุณนายโม่ นิสัยของเธอก็มีความคล้ายคลึงกับย่าโม่ นิสัยเด็ก ทำให้มู่เฉียวหัวเราะไม่ออกร้องไห้ไม่ได้บ่อยๆ

ได้ยินมู่เฉียวพูดจนรู้สึกเขินไปเล็กน้อย คุณนายโม่มองไปทางอื่น แล้วเอ่ยปากพูดอีกครั้ง “งั้นเธอก็พูดสักคำสิ ย่าเธอวันๆอยู่แต่บ้าน บ่นตั้งแต่เช้าจนค่ำ พวกเธอสองคนน่ะไม่ได้ยิน หูสงบ แต่ฉันนี่สิปวดหัวมาก”พูดถึงตรงนี้ คุณนายโม่ก็หยุดไปสักพัก จับมือมู่เฉียวไว้ “เสี่ยวเฉียว อายุคุณย่าไม่น้อยแล้ว เธอก็ทำให้ท่านได้สมปรารถนาแทนแม่หน่อยแล้วกัน”

พูดถึงขนาดนี้แล้ว มู่เฉียวยังจะพูดอะไรได้อีก? เธอพยักหน้า “ค่ะ ฉันไปคุยกับโม่หานก่อน”

ดึกๆกลับไป ห้าทุ่มกว่าแล้วโม่หานก็ยังไม่เลิกงาน

 

“เธอว่าประธานโม่อายุตั้งสามสิบกว่าแล้ว ทำไมถึงยังหล่อขนาดนี้?”

“มองให้น้อยๆหน่อย มองคนที่สุดยอดแบบนี้ แฟนตัวเองคงดูไม่ได้แล้ว”

“แต่ น่าตาดีจริงๆ ถ้าฉันสามารถแต่งให้กับคนแบบนี้ได้ ฉันเดาว่าคงเสียดายเวลานอนมากแน่ๆ ฉันต้องลืมตาโตๆมองเขาทุกวัน”

มู่เฉียวขมวดคิ้ว ต้องขนาดนั้นไหม? ถ้าพูดแบบนี้ ที่เธอนอนก่อนผู้ชายคนนั้นทุกวัน ก็เป็นความผิดของตัวเองเหรอ?

“พอได้แล้วมั้ง? ผู้ชายแบบนี้ ยังหวังจะแต่ง แค่ให้เขาหันมานอนกับเธอสักคืน เธอคงจะต้องสะสมบุญมาหลายชาติ”

ริมฝีปากแดงของมู่เฉียวเม้มเป็นเส้นตรง นี่เธอสะสมบุญมากี่ชาติแล้วนะ?

…….

ในลิฟต์ ผู้หญิงกลุ่มหนึ่งกำลังซุบซิบ ในใจของมู่เฉียวรู้สึกครบทุกอย่าง เสน่ห์ของโม่หานนี่นะ……มันมากเกินไปหรือเปล่า?

ตอนนี้เอง มือถือแจ้งเตือนเสียงวีแชต

เธอเปิดอ่าน

“กระโปรงสั้นเกินไป ทิ้งซะ”

มู่เฉียวขมวดคิ้ว รู้สึกอบอุ่นขึ้นในใจ ที่แท้ ไม่ใช่ว่าเขาไม่เห็นเธอ เพียงแต่ แกล้งทำเป็นไม่เห็น

เดิมทีเตรียมจะตอบกลับข้อความโม่หาน ทันใดนั้นก็มีคนเดินเข้ามาในลิฟต์ มู่เฉียวจึงลืมไป

เพราะคนคนนี้ มู่เฉียวเคยเห็นมาก่อน

ในอัลบั้มภาพของโม่หาน ผู้หญิงคนเดียวที่มีรูปถ่ายคู่กับเขา

เพราะสวยมาก จนทำให้คนยากที่จะลืม

“สวัสดีค่ะ ผู้อำนวยการหลิน”

หญิงสาวแต่งตัวด้วยชุดทำงาน แต่กลับเผยให้เห็นหุ่นส่วนเว้าโค้ง กระดูกไหปลาร้าที่เซ็กซี่ ใบหน้ารูปไข่ หน้าตาดีมากๆ ความสวยของมู่เฉียว ออกไปทางหวานๆ แต่ผู้หญิงคนนี้ กลับดูเย็นชาเย่อหยิ่ง เธอพยักหน้าเล็กน้อยให้กับคนที่พูดทักทาย ไม่ได้เอ่ยปากพูดอะไร ประตูลิฟต์เปิดออก เธอก็เดินออกไป ทิ้งไว้เพียงกลิ่นหอมที่เป็นเอกลักษณ์

“หลินซาน นักออกแบบเครื่องประดับ เห็นบอกว่า เป็นเพื่อนที่เล่นกันมาตั้งแต่เด็กกับประธานโม่ของเรา”

หลังจากผู้หญิงคนนั้นออกไป คนที่ยืนอยู่ข้างหลังมู่เฉียวก็เริ่มซุบซิบขึ้นมาอีกครั้ง

เพื่อนที่เล่นกันมาตั้งแต่เด็ก? มู่เฉียวสูดหายใจเข้า ทำไมโม่หานถึงได้มีเพื่อนที่เล่นกันมาตั้งแต่เด็กเยอะนักนะ?

อาจเป็นเพราะเรื่องของมู่หยิง พอได้ยินคำนี้ เธอก็ปวดหัวขึ้นมา

พอถึงออฟฟิศ เดิมทีเธอคิดว่าตัวเองสงบลงมากแล้ว แต่เธอก็อดไม่ได้ที่จะเปิดไป่ตู้ขึ้นมา เสิร์ชหาคำว่าหลินซาน

นักออกแบบเครื่องประดับที่มีชื่อเสียงระดับนานาชาติ เคยได้รับรางวัลระดับนานาชาติมากมาย เคยออกแบบเครื่องประดับให้กับคนดังหลายคน…..

ข้างหลังคำชมมากมาย เขียนไว้ว่า ในเดือนมีนาคมของปีนี้ เธอได้เป็นผู้อำนวยการฝ่ายออกแบบเครื่องประดับภายใต้ MYกรุ๊ป

เดือนมีนา ถ้าอย่างนั้นก็เดือนนี้?

เธอขมวดคิ้ว

“พี่เสี่ยวเฉียว พี่รู้จักหลินซานเหรอ?”

เสียงของเสี่ยวโหรวดังขึ้นข้างหูมู่เฉียว ความสนใจทั้งหมดของมู่เฉียวอยู่ที่หน้าจอคอมพิวเตอร์ เธอถึงได้สะดุ้งตกใจกับเสียงที่จู่ๆก็ดังขึ้น  ที่หลินซานคนนี้ยอมมาทำงานที่MYกรุ๊ป ก็เพราะจะมาตามจีบประธานโม่”

มู่เฉียวมองเธอ “เพื่อนสาวๆของเธอ?”

“ใช่ เพื่อนสนิทของฉัน อยู่แผนกออกแบบที่นี่”

“ทำไมถึงไม่เคยได้ยินเธอพูดถึงเลย?”มู่เฉียวตกใจเล็กน้อย

เสี่ยวโหรวจับหัวตัวเอง “ฉันเห็นว่าพี่เสี่ยวเฉียวไม่ชอบซุบซิบเรื่องของคนอื่น เพราะฉะนั้น ก็เลยไม่ค่อยกล้าพูดถึงเธอต่อหน้าพี่”

นี่ถือเป็นเรื่องจริง มู่เฉียวไม่เคยชอบไปยุ่งเรื่องซุบซิบที่น่าเบื่อของผู้หญิง

มู่เฉียวพยักหน้า  “พี่เสี่ยวเฉียว พี่อ่านเรื่องเธอทำไม?”

มู่เฉียวยกยิ้ม แสร้งทำเป็นพูดอย่างไม่ใส่ใจ “ไม่มีอะไร เมื่อกี้เจอในลิฟต์ เห็นว่าดูสวยมาก ได้ยินคนพูดขึ้น ก็เลยสงสัย”

เสี่ยวโหรวท่าทางเข้าใจชัดเจน “สวยมากเหรอ? แต่ฉันคิดว่าพี่เสี่ยวเฉียวสวยกว่า เธอเย็นชาเกินไป”

มู่เฉียวยิ้ม

“แต่ เธออายุ32แล้ว ยังไม่แต่งงาน คาดว่ามาเพราะประธานโม่จริงๆ เย็นชากันทั้งสองคน ดูเหมาะสมดีนะ”

เหมาะสม? ไม่กลัวจะกลายเป็นน้ำแข็งหรือไง? อีกอย่าง โม่หานเย็นชาเหรอ? เธอไม่รู้สึกนี่!

จีบโม่หาน ถ้าอย่างนั้นก็ต้องแต่งงานใหม่นะสิ?

ตอนพักเที่ยง โม่หานโทรเข้ามา

“ลงมาข้างล่าง ไปร้านอาหารทะเลตรงข้าม ผมรอคุณอยู่ห้องอาหาร222”

มู่เฉียวลังเลอยู่พักหนึ่ง “แค่เราสองคนเหรอ?”

“คุณยังอยากให้มีคนมาเป็นก้างขวางคออีกสักกี่คน?”

“โอเค!”วางสายไป เธอก็คิดถึงคำพูดของเสี่ยวโหรวที่ว่าเย็นชาอีกครั้ง “เหอะๆ”

พอถึงตึกตรงข้าม ร้านอาหารทะเลดูไม่ใหญ่โต เมื่อเดินเข้าไปข้างใน กลับใหญ่โตจนน่าตกใจ ในใจกลางเมือง ที่ดินที่เป็นวิ่งราวทรัพย์ทองแบบนี้ ร้านอาหารใหญ่โตขนาดนี้ สามารถคิดออกเลยว่าการเงินที่อยู่เบื้องหลังต้องมากขนาดไหน

“คุณหนูมู่ใช่ไหมคะ เชิญทางนี้ค่ะ”

มู่เฉียวก้มหน้ามองดูตัวเอง เมื่อเห็นป้ายชื่องานที่อยู่ตรงอก เธอจึงเข้าใจ

เปิดประตูห้องอาหาร ข้างในไม่มีคน ก็ปิดประตู ชายหนุ่มโอบเอวเธอจากด้านหลัง “คุณภรรยา”

มู่เฉียวรู้สึกเพียงว่ามีกระแสไฟฟ้าไหลออกมาจากก้นบึ้งของหัวใจ ทั้งๆที่ทั้งสองคนอยู่ด้วยกันมาหลายครั้งแล้ว แต่พวกเขาก็ยังคงใจสั่น

เธอเม้มปาก “ทำไมจู่ๆถึงเรียกฉันออกมากินข้าว?”

ชายหนุ่มหอมแก้มเธอ “ไถ่โทษ!”

มู่เฉียวยิ้มบางๆ แต่กลับพบว่ามือของชายหนุ่มกำลังลูบขึ้นมาจากกระโปรงช้าๆ เธอขมวดคิ้ว ผลักเขาออก“คุณบ้าไปแล้ว”

“แกร๊ก” มู่เฉียวได้ยินเสียงล็อคประตู

ชายหนุ่มรูดซิบข้างกระโปรงของเธอออก หยิบกางเกงตัวหนึ่งบนเก้าอี้ขึ้นมา “เปลี่ยนไปใส่ตัวนี้”

“คุณ……”มู่เฉียวหัวเราะไม่ออกร้องไห้ไม่ได้

“พนักงานหญิงในบริษัทของคุณ มีคนไหนไม่ใส่แบบนี้บ้าง ทำไมพอเป็นฉัน ถึงไม่ได้ล่ะ?”

โม่หานไม่สนใจเธอ กดเธอให้นั่งลงบนเก้าอี้ นั่งยองๆตรงหน้าเธอ ถอดส้นสูงให้เธอ

“เดี๋ยวฉันทำเอง……”เธอทนรับความโปรดปรานของประธานโม่แบบนี้ไม่ไหว

มู่เฉียวเปลี่ยนกางเกงไปด้วยบ่นไปด้วย “ไม่เข้าใจจริงๆ ดอกท้อเน่าของตัวเองล่ะมีอย่างต่อเนื่อง แล้วมาควบคุมคนอื่น ทีตัวเองยังทำได้ แต่ไม่ให้คนอื่นทำบ้าง”

ชายหนุ่มเลิกคิ้ว เข้าใกล้เธอ ยิ้ม “คุณกำลังพูดอะไรนะ?”

มู่เฉียวดึงกางเกงขึ้น แต่กลับเห็นว่าชายหนุ่มกำลังจ้องช่วง-ล่างของตัวเอง หน้าแดงขึ้น “คุณ……คุณโรคจิต มองตรงไหนอยู่น่ะ?”

อาหารมื้อนี้ เหมือนชายหนุ่มจะไถ่โทษจริงๆ กินอาหารทะเล ปลอกกุ้ง แกะเปลือกให้ต่างๆนาๆ มู่เฉียวไม่ได้ทำอะไรเลย

ความหวานแบบนี้ทำให้เธอลืมผู้หญิงที่ชื่อหลินซานคนนั้นไป

“คุณเอากางเกงมาจากไหน?”

“ให้คนไปซื้อมา”ชายหนุ่มตอบกลับอย่างธรรมดา

“ฉันไม่เห็นว่าคุณมองฉันนี่?”

“มองก่อนที่คุณจะมองผม”

มู่เฉียวเม้มปาก ในสายตามีแต่รอยยิ้ม

หลังจากกินเสร็จ ชายหนุ่มวางตะเกียบลง และจู่ๆก็พูดอะไรบางอย่างที่มู่เฉียวนึกไม่ถึง

มู่เฉียวเม้มปาก “สมองคุณมีปัญหาหรือเปล่า?”

เธอพูดจบ ก็วิ่งเหยาะๆออกไป ทั้งร้อนรนทั้งหงุดหงิด

เพราะเรื่องนี้ของโม่หาน เธอไม่มีความตั้งใจในการทำงานเลย ช่วงนี้เองก็ไม่ได้ยุ่ง เสี่ยวโหรวคนเดียวก็สามารถรับมือได้

เธอยังไม่กล้าบอกพ่อกับแม่ว่าเกิดเรื่องขึ้นกับโม่หาน บอกพวกเขาว่าโม่หานไปคุยงานที่ต่างประเทศ

เดินอยู่บนถนนคนเดียวอย่างไร้จุดหมาย เธอไม่รู้ว่าควรจะทำยังไง? ถ้าหากโม่หานละทิ้งตัวเอง ถึงเธอจะขอความช่วยเหลือจากใคร คาดว่าสุดท้ายคงเทียบไม่ได้กับคำพูดเพียงคำเดียวของเขา

เธออยากไปขอร้องเขา ให้เขาเห็นแก่เธอกับลูก ไม่ต้องทำแบบนี้ แต่ว่า……

เธอเดินตั้งแต่เช้าจนฟ้ามืด แล้วเธอก็ได้รับสายจากคุณนายโม่

“เธออยู่ไหน?”

“อยู่ถนนกลางเมือง”

“เธอมาที่……”เธอบอกที่อยู่มา

เจอกับคุณนายโม่อีกครั้ง เธอยิ่งซูบผอมลงมากกว่าเดิม

“ตอนนี้โม่หานไม่ยอมเจอกับฉัน เธอไปเจอกับโม่หาน บอกเขาว่า ถ้าหากเขาเข้าคุก ฉันจะยอมตาย” ตอนที่คุณนายโม่พูดคำนี้ มู่เฉียวเห็นความตั้งใจในสายตาของเธอ เธอรู้สึกโล่งใจ บางที แบบนี้อาจจะเป็นวิธีที่ดีที่สุด ใครเป็นคนผูกคนนั้นต้องเป็นคนแก้

“เขาทำเพื่อคุณ……”

“ฉันไม่ให้เขาทำเพื่อฉัน!”เสียงของคุณนายโม่ดังขึ้นทันที

มู่เฉียวก้มหน้า คิดๆแล้วก็พูดขึ้น “เขามีความสามารถมากพอที่จะไม่ให้ตัวเองติดคุก แต่เขาเลือกทางนี้ ก็เพราะอยากให้คุณสบายใจ”

เห็นได้ชัดว่าคุณนายโม่คิดไม่ถึงว่ามู่เฉียวจะพูดแบบนี้กับเธอ ความเข้าใจของเธอที่มีต่อลูกชาย จำกัดอยู่เพียงแค่วัยเด็กเท่านั้น พอโตขึ้นโม่หานก็กลายเป็นคนนิ่งขรึม พูดกับเธอน้อยมาก เดิมทีเธอคิดแค่ว่าลูกชายของเธอแค่ไม่อยากให้เธอติดคุกเท่านั้นเอง

“เธอบอกว่า เขาสามารถช่วยตัวเองได้?”

มู่เฉียวพยักหน้า

คุณนายโม่ปิดหน้าร้องไห้อย่างหนัก ที่แท้ หลายปีมานี้ เธอไม่ได้สูญเสียทุกอย่าง เธอยังมีลูกชายที่กตัญญูที่สุดในโลกนี้

น้ำตาของมู่เฉียวไหลตามลงมา เดิมทีเธอคิดว่าคุณนายโม่รู้เหตุผลข้อนี้ ตอนนี้เห็นแล้ว ว่าเธอไม่รู้ นี่เป็นวิธีปฏิบัติต่อคนอื่นที่ดีของโม่หาน ไม่เคยโอ้อวดทำตัวสูงส่ง แต่เป็นการสละให้ทีละน้อย

ต่อมา มู่เฉียวก็ไม่รู้ว่าคุณนายโม่ใช้วิธีอะไร โม่หานได้ออกมาหลังจากนั้นหนึ่งอาทิตย์

นอกจากนี้ เขายังระบุหลักฐานการก่ออาชญากรรมของชายคนนั้นด้วย

ไม่มีใครอยากล่วงเกินคนที่‘มีชีวิต’อยู่ เพียงเพื่อคนที่ตายไปแล้วเพียงคนเดียว อีกอย่างเป็นคนที่เก่งมากถึงขนาดที่สามารถทำให้พวกเขาตกงานได้ตลอดเวลา ดังนั้น เรื่องทั้งหมดก็คลี่คลายลงอย่างเงียบๆ

ทำให้มู่เฉียวได้เห็นถึงสำนวนที่ว่ามีเงินก็สามารถสั่งผีให้โม่แป้งได้

เมื่อมองไปยังเขาที่พิงอยู่ตรงประตู มู่เฉียวคิดว่าตัวเองตาฝาดไป

จนกระทั่งเข้าไปอยู่ในอ้อมกอดที่อบอุ่น เธอถึงได้รู้ว่า โม่หานกลับมาแล้วจริงๆ

เธอร้องไห้ขึ้นมาก่อน ต่อมาถึงได้โกรธ

กัดเข้าที่ไหล่ของเขาอย่างแรง

เธอได้ยินเสียงครางของชายหนุ่ม แต่เขากลับไม่ได้หยุดเธอ คิดๆแล้ว เธอก็รู้สึกทำไม่ลง

ชายหนุ่มก้มหน้าลง นิ้วเรียวเชยคางเธอขึ้นอย่างนุ่มนวล  จากนั้นประตูลิฟต์ก็เปิดออก

พ่อมู่รีบหันหลัง

มู่เฉียวหลับตาและผลักโม่หานออกไปอย่างอายๆ “พ่อ ทำไมถึงได้กลับดึกขนาดนี้?”

ตั้งสามทุ่มแล้ว ปกติเวลาสามทุ่มกว่า พ่อมู่ต้องนอนอยู่บนเตียงแล้ว

สีหน้าของโม่หานไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนแปลง สายตาไปตกอยู่ตรงมือของพ่อมู่ที่ถือถุงยาไว้ “พ่อครับ คุณไม่สบายตรงไหนหรือเปล่า?”

มู่เฉียวถึงได้เห็นว่าพ่อถือยาไว้หลายกระปุก เดินเข้าไป หยิบยาจากมือเขามา พ่อมู่อยากแย่ง แต่ก็ไม่ทัน ไม่มีอะไร”

“แม่ ปวดกระเพาะ? ทำไมหนูไม่รู้?”

พ่อมู่เปิดประตู หันกลับมามองโม่หาน “เขาไม่เป็นไร อาการปวดกระเพาะของแม่ลูกก็น่าจะดีขึ้นแล้ว”

มู่เฉียวเบิกตากว้างมองพ่อ คำพูดนี้ หมายความว่ายังไง?

ดึงโม่หานและพ่อเข้ามาด้วยกัน

แม่กุมกระเพาะเทน้ำอยู่ในห้องครัว พอเห็นโม่หานเข้ามา สีหน้าก็นิ่งไป รีบวางแก้วน้ำในมือ “โม่หาน นาย…..นายกลับมาแล้วเหรอ?”

โม่หานพยักหน้า “ทำให้แม่เป็นห่วงแล้ว”

แม่ส่ายหน้า “ไม่เป็นไรก็ดีๆ”

“พวกคุณรู้ได้ยังไง?”มู่เฉียวถาม

โม่หานกระซิบข้างหูมู่เฉียว “คุณภรรยา ขอโทษนะ ผมกลัวว่าตัวเองจะไม่ได้ออกมา ก็เลย……”

“ก็เลย วานให้พ่อกับแม่ หาใครให้ลูกสักคน”

มู่เฉียวหันไปจ้องเขม็งที่โม่หาน “ที่แท้ คุณคิดไว้หมดแล้ว?”ก็มีแต่เธอที่เหมือนกับคนโง่ ฝืนยิ้มปิดบังพ่อกับแม่อยู่ทุกวัน

“คุณภรรยา……”

“คุณเข้ามานี่เลย”มู่เฉียวโกรธแล้ว

โม่หานมองพ่อมู่ “พ่อครับ ตกลงกันแล้วไม่ใช่เหรอ ว่าจะไม่พูดออกมา?”

“ฮึ” พ่อมู่ส่งเสียง “ฉันกับแม่นายตีนายไม่ได้ ให้ภรรยานายเป็นคนจัดการ ผิดเหรอ?”

โม่หานส่ายหน้า

เข้าห้องไปแล้ว มู่เฉียวไม่ได้ต่อว่าทุบตีโม่หาน แต่ทำเหมือนเช่นเคย เธอเข้าไปอาบน้ำ เปลี่ยนเสื้อผ้า เข้านอน

แต่ยิ่งเงียบแบบนี้ โม่หานก็ยิ่งร้อนรนใจ

เขาออกมาหลังอาบน้ำเสร็จ มู่เฉียวได้หลับตาลงแล้ว

เขากอดเธอจากข้างหลัง

มู่เฉียวไม่ได้พูดอะไร กับโม่หาน เธอทั้งปวดใจ ทั้งโกรธ

“ขอโทษ ที่ทำให้คุณเป็นห่วง”

มู่เฉียวไม่พูด

“ชีวิตครึ่งแรกของแม่ผม ลำบากมาก ถ้าผมไม่ทำแบบนี้ เธอจะต้องยอมไปติดคุกและใช้ชีวิตครึ่งหลังอยู่ในนั้นอย่างไม่ลังเล ผม……”

เขาพูดเล่าเหตุการณ์ในอดีตของคุณนายโม่อย่างเป็นระยะๆ

มู่เฉียวไม่ได้เอ่ยปากพูดอะไรเลย

ตอนแรกเธอฟังเขาพูด ต่อมา เธอหลับไปจริงๆ หลายวันมานี้ เธอเครียดมาก แทบจะไม่ได้นอนหลับสนิทเลยสักคืน

มองมู่เฉียวที่มีลมหายใจอย่างสม่ำเสมอ ก็คิดถึงคำพูดของทนายเลวๆคนนั้น

“ภรรยาคนนั้นของนาย ไม่เหมือนกับคนอื่นจริงๆ ฉันบอกว่าจะใช้นายไปแลกอิสรภาพของนายกับเหอเจี๋ย เธอบอกว่านายจะไม่ชอบใจที่เธอทำแบบนี้ ฉันก็พูดไปอีกว่า นอนกับฉันหนึ่งคืน แล้วฉันจะช่วยนายเอง เธอก็บอกว่าฉันเป็นประสาท ยังหยิบบัตรออกมาใบหนึ่ง ทุบลงกับโต๊ะ ถามฉันว่าจะช่วยนายออกมาได้ยังไง นายว่าคนรักแบบนี้ นายหามาจากไหน? เพื่อนรัก เรามาแบ่งกันไหม?”

หลังจากทนายความคนนั้นถูกซ้อมไปสองสามที ก็พูดสาบานขึ้นว่า “ฉันจะต้องหาคนที่ดีกว่าของนายให้ได้”

เขายิ้ม มู่เฉียวของเขา บนโลกนี้มีเพียงคนเดียว

วันต่อมามู่เฉียวตื่นขึ้น ข้างเตียงไม่มีเงาของโม่หานอยู่ เธอแทบจะกระโดดออกจากเตียง พุ่งออกไปนอกห้อง ในห้องอาหารมีผู้ใหญ่กับเด็กคนหนึ่ง ได้ยินเสียงจึงมองมาทางเธอ

“เขาไปทำงานแล้ว” พ่อเอ่ยปากพูดขึ้น

เห็นมู่เฉียวโล่งใจ ก็หันไปสบตากับแม่ “ลูกสาวที่แต่งออกไป ก็เหมือนกับน้ำที่สาดออกไป คุณเห็นไหม?”

มู่เฉียวปิดประตูอย่างเขินๆ เปลี่ยนชุด ล้างหน้า แต่งหน้าอ่อนๆให้ตัวเอง

คนเจอกับเรื่องดีๆอารมณ์ก็จะรู้สึกสดชื่น มองดูแล้ว คนดูสวยขึ้นเป็นกอง

พอถึงบริษัท เพิ่งจะเข้าประตูล็อบบี้ ก็เจอเข้ากับโม่หานที่เตรียมตัวออกไปข้างนอก

ผู้บริหารระดับสูงหลายคนกำลังรายงานบางสิ่งให้เขาฟัง เขาก้มหน้าลง ไม่เห็นมู่เฉียวตั้งแต่ต้นจนจบ เมื่อทั้งสองเดินสวนทางกัน มู่เฉียวก็ขมวดคิ้ว ไหนบอกว่าคู่รักจะมีกระแสจิตต่อกันไง? ขี้โม้สิ เธอมองเขานานขนาดนี้ เขาไม่แม้แต่จะมองเธอด้วยซ้ำ

โม่หานกลับตัดสินใจแล้ว

“โม่หาน ลูกลืมไปแล้วเหรอว่าลูกยังมีมู่เฉียว ยังมีเสี่ยวโยว คนอื่นเขารอลูกมานานขนาดนี้ ลูกทำแบบนี้ ลูกจะอธิบายกับครอบครัวเขายังไง โม่หาน……”

โม่หานมองแม่ เรื่องบางเรื่อง คนอื่นไม่เคยสัมผัสและไม่รู้ เขาลืมไม่ลง เมื่อตอนที่เขายังเป็นเด็ก เขาอยู่กับแม่ในห้องมืดนั้น แม่จับผมของตัวเอง กระแทกเข้ากับกำแพง และยิ่งลืมไม่ลงภาพที่แม่มักจะนอนอยู่บนพื้น นอนทีก็หลายชั่วโมง

พอโตขึ้นหน่อย เขาถามแม่ว่าทำไมถึงไม่ขัดขืน แม่บอกว่า เพราะคนคนนั้นสติฟั่นเฟือน เธอไม่อยากให้เขาและครอบครัวมีอันตราย

หลายปีมานี้ คนอื่นไม่รู้ถึงการเสียสละของแม่ แต่ใจเขารู้ดี

ชายคนนั้นแข็งแกร่งเกินไป ปีกของเขายังไม่แข็งมากพอ

เพราะฉะนั้น เขาเห็นชายคนนั้นกระทำรุนแรงกับแม่ต่อหน้าต่อตาตัวเอง เขาลืมสายตาที่แทบจะสิ้นหวังของแม่ไม่ลง

“สิ่งที่ติดเธอไว้ ผมค่อยคืนในชาติหน้า”

มือของชายหนุ่มที่วางอยู่บนโต๊ะ งอช้าๆ แล้วกำไว้แน่น

วันนั้น ตอนที่เขาไปถึงงานศพ ตำรวจเองก็เพิ่งถึง

เขารับโทษที่แม่ก่อ ต่อหน้าทุกคน เขาไม่ได้ใจกว้างขนาดนั้น เขาแค่ทำในสิ่งที่ลูกชายคนหนึ่งควรทำ

เขารักมู่เฉียว และต้องการใช้ชีวิตต่อไปกับเธอ แต่ เขารู้ว่าแม่ของเขาต้องทนทุกข์ทรมานมากมายในช่วงครึ่งแรกของชีวิต จนได้หลุดพ้น แต่กลับต้องเฝ้าดูเธอติดคุก เขาทำไม่ได้

มู่เฉียวใช้ความพยายามอย่างมาก ในการตัดสินใจมาดูโม่หาน แต่ยังไม่ทันได้เดินเข้าใกล้ ก็ได้ยินคำนี้ของโม่หาน

เธอกำเสื้อผ้าที่หน้าอก ปิดปากไว้ การเปลี่ยนแปลงนี้ทำให้เธอรู้สึกว่าชีวิตมีรสหวาน แต่แค่แป๊บเดียวก็ต้องตกนรกอีกครั้ง

แต่เรื่องนี้ ก็ยังดีกว่า การที่แม่และภรรยาตกลงไปในแม่น้ำพร้อมๆกัน คุณช่วยใครก่อน มันคือเหตุผลหนึ่ง ในฐานะคนรักของโม่หาน เธอไม่มีทางไปโทษการกระทำของเขา ยิ่งไม่สามารถพูด ว่าไม่ให้เขาทำแบบนี้

เพียงแต่ โม่หาน คุณเสียสละเพื่อเธอ และแม่ของคุณแบบนี้ คุณเคยคิดบ้างไหมว่าพวกเขาก็รู้สึกปวดใจเหมือนกัน?

ความโกรธก่อนหน้านี้ ณ เวลานี้ ได้หายไปแล้ว เพียงแค่คิดว่า เขาจะถูกพิพากษา เธอก็ปวดใจจนแทบหายใจไม่ออก

เธอวิ่งเหยาะๆ ออกจากประตูศูนย์กักกัน

เธอโทรหาทนายความคนก่อนหน้านี้ ทั้งสองนัดพบกัน

“คุณบอกฉันหน่อย ยังมีวิธีอะไรบ้าง ที่เขาจะไม่ต้องติดคุก มีใครช่วยเขาได้บ้าง เพียงแค่คุณบอกฉัน ฉันจะไปหาวิธีมา ได้ไหม?” เธอเหลือเพียงแค่คุกเข่าให้ทนายคนนั้นแล้ว

ขอให้เป็นผู้หญิงสวย ทุกคนก็จะรู้สึกสงสารมากขึ้น

ทนายขมวดคิ้ว ดูลำบากใจเล็กน้อย แต่เมื่อมองสายตาของเขา

“คุณมู่ คุณไปหาเหอเจี๋ย บางที ขอความช่วยเหลือจากพ่อเขา เรื่องนี้อาจจะพลิกกลับได้”

“เหอเจี๋ย?”มู่เฉียวขมวดคิ้ว เหอเจี๋ยเป็นลูกสาวของนายกเทศมนตรีเหอ

แต่…….โม่หานและเหอเจี๋ยยกเลิกการหมั้นแล้ว

“เธอกับโม่หานไม่มีความเกี่ยวข้องอะไรกันแล้ว พ่อของเขาจะยอมช่วยไหม?”เธอถามทนาย

ทนายพยักหน้าให้เธอ “ช่วยหรือไม่ช่วย ผมคิดว่ามันขึ้นอยู่กับคุณมู่ ไม่ใช่เหรอครับ?”

มู่เฉียวเข้าใจอะไรบางอย่างจากสายตาของเขา

เธอหลับตา สูดหายใจเข้า ที่หมายถึงคือแลกเปลี่ยนเรื่องการแต่งงานกับโม่หานใช่ไหม?

ยังไม่ต้องพูดถึงว่าเหอเจี๋ยจะตกลงหรือเปล่า ต่อให้เป็นโม่หาน เขาก็คงไม่ดีใจที่เธอทำแบบนี้

เธอล้มลงบนเก้าอี้แล้วจ้องไปที่พื้นอย่างว่างเปล่า “ฉันไม่อยากทำแบบนี้ ถ้าโม่หานรู้ ต่อให้เขาออกมา เขาก็คงไม่ดีใจ”

“คุณหนูมู่เสียดายความร่ำรวย หรือคิดแทนโม่หานจริงๆ?”

มู่เฉียวรู้สึกเพียงว่าทัศนคติของทนายคนนี้น่าเกลียดมากเท่านั้น

“คุณไม่มีคุณสมบัติพอที่จะประเมินการกระทำของฉัน”น้ำเสียงของเธอไม่ค่อยดี

“แต่ก็ ไม่ใช่ว่าจะไม่มีทางอื่น”ทนายนั่งลงตรงที่นั่งตรงข้ามเธอ

มู่เฉียวขมวดคิ้ว เกลียดวิธีพูดของทนายคนนี้จริงๆ มีอะไรจะพูดก็พูดมา อย่ามาลีลา รู้ทั้งรู้ว่าเธอร้อนรน ยังจะพูดอ้อมไปมาอยู่ได้

“โม่หาน ช่วยตัวเองได้” เดิมทีเขาต้องการทดสอบผู้หญิงคนนี้ แต่ในตอนนี้ เขารู้สึกว่าบางทีเขาอาจเหมารวมผู้หญิงทั้งหมดไว้ในประเภทเดียวกัน

“คุณพูดว่าอะไรนะ?”มู่เฉียวลุกจากเก้าอี้อย่างรวดเร็ว

“แล้วเขา……”

“เขากำลังรับโทษแทนแม่ของตัวเอง เขารู้สึกว่าตัวเองอยู่ในนั้น ใจของแม่เขาอาจจะสบายขึ้น”ทนายพูดถึงตรงนี้ เงยหน้ามองมู่เฉียว มองดูการเปลี่ยนแปลงของสีหน้าเธอ “ด้วยความสามารถของโม่หานกับตระกูลโม่ เขาสามารถหาวิธีเอาตัวรอดได้ แต่ เรื่องนี้ ขึ้นอยู่กับเขา ถ้าเขาไม่เต็มใจที่จะช่วยตัวเอง ต่อให้นายกเทศมนตรีออกหน้าให้ ผมคิดว่ามันก็คงไม่มีประโยชน์”

เห็นได้ชัดว่าคำตอบนี้ทำให้มู่เฉียวอึ้งอีกครั้ง

เธอหลับตาลง ปวดหัวเหมือนจะแตก คว้ากระเป๋าบนเก้าอี้ “ฉันมีเรื่องต้องทำ ฉันจะติดต่อหาคุณอีกครั้ง รบกวนคุณแล้ว”

ทนายเห็นว่าเธอจะไป หันตัวไป พูดกับแผ่นหลังของเธอ “ผมจะพยายามชะลอการพิพากษา แต่ ด้วยฝีมือของโม่หานแล้ว หากเขาละทิ้งตัวเอง ผมเกรงว่าเขาจะเร่งความเร็วในส่วนนี้ คุณต้องรีบแล้ว”

มู่เฉียวหยุดฝีเท้า คิดๆแล้ว เธอก็หันกลับมา หยิบบัตรที่โม่หานให้ไว้กับเธอ

ที่เขาบอกว่า ‘ไว้ซื้อกับข้าว’ เธอตบมันลงตรงหน้าทนายความ “บอกฉันมาสิ สรุปว่าต้องใช้เงินเท่าไหร่ คุณถึงจะยอมช่วย”

ทนายคนนี้ เห็นได้ชัดว่ามีประสบการณ์ และมีกำลัง ยิ่งกว่านั้นยังมีคนที่รู้วิธี แต่เขาคอยชี้แนะทีละนิดแบบนี้ คาดว่าถ้าไม่ใช่โม่หานเป็นคนสั่งเขาไว้ ไม่ให้เขาได้ใช้ความสามารถ ก็คงจะเป็นการที่เขาอยากได้รับผลประโยชน์มากขึ้น

ทนายลุกขึ้นยืน คนที่สูงประมาณร้อยแปดสิบเซนติเมตร ทำให้มูเฉียวรู้สึกกดดันเล็กน้อย เขามองมู่เฉียวตั้งแต่หัวจรดเท้า ใบหน้าที่บอบบางขาว แดงเล็กน้อย เพราะความโกรธของเธอ ไม่น่าแปลกใจที่โม่หานใส่ใจเธอขนาดนี้ สวยจริงๆ

“ผม…..เป็นเพื่อนร่วมชั้นของเขา”เขาพูดจบ ก็หยิบบัตรที่อยู่บนโต๊ะคืนไปที่มือของมู่เฉียว จากนั้น เขาก็นั่งลงอีกครั้งและหยิบถ้วยชาที่อยู่ตรงหน้าอย่างสบายๆ จิบไปหนึ่งคำ

“คุณเป็นเพื่อนร่วมชั้นของเขา? แล้วคุณจะทำเพียงแค่ดูเขาเข้าคุกเหรอ?”

“เหอะๆ”ทนายเพื่อนร่วมชั้นส่งเสียง “ความสัมพันธ์ของพวกเราไม่ได้ดี ดังนั้น เขาเข้าคุก ผมดีใจมาก”

มู่เฉียวแทบจะทนไม่ได้ที่จะหยิบชาบนโต๊ะสาดใส่หน้าเขา แต่คิดๆแล้ว ก็อดทน เธอไม่อยากผิดใจกับคนที่สามารถช่วยโม่หานได้ตอนนี้

“ตกลงคุณจะเอายังไง? ถึงจะยอมช่วยเขา?” ตอนที่มู่เฉียวพูดคำนี้ ก็ยกมือขึ้นมาทาบหน้าผาก ปิดบังน้ำตาที่ไหลลงมา เธอร้อนรนมากจริงๆ

ชายคนนั้นหันไป สายตาจ้องไปที่ใบหน้าของเธอ “ผมคิดว่าคนที่โม่หานรักจะเป็นแค่แจกันใบหนึ่ง แต่กลับคิดไม่ถึง ว่าเขาจะเจอกับรักแท้”

น้ำเสียงนี้เต็มไปด้วยความอิจฉา

“ไม่อย่างนั้น คุณนอนกับผมสักคืน? แล้วผมจะช่วยเขา?”

 

“ตั้งแต่ฉันพบเขาตอนอายุ 22 ฉันก็เหมือนตกนรก ไม่ว่าเรื่องอะไรของฉันเขาก็ควบคุมหมด เมื่อไหร่จะมีลูก จะแต่งงานกับใคร การวางแผนหลังการมีลูก เขาจะเข้าไปยุ่งเกี่ยวทั้งนั้น ฉันทนไม่ไหวแล้ว ฉันจะเป็นบ้า…” เมื่อเธอพูดถึงเรื่องนี้ เธอมองขึ้นไปบนเพดาน ” ฉันจะไปดูเขาฝังศพด้วยตัวเองเพื่อส่งเขาไปยังนรก ดังนั้น ฉันจะไม่ถูกจับชั่วคราว ดังนั้น เธอวางใจได้ ฉันจะเอาหานแลกกลับมา อย่างไงก็ตาม เขาได้ตายไปแล้ว มันคุ้มค่าแล้ว ชีวิตหนึ่งแลกชีวิตหนึ่ง ”

มู่เฉียวยังไม่ได้พูด และดูเหมือนว่าเรื่องนี้จะจบตั้งแต่ต้น

ถ้าฉันเคยเกลียดผู้หญิงคนนี้มาก่อน แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าทุกอย่างจะหายไป

เธอนึกไม่ออกในพื้นที่ที่หดหู่เช่นนี้ ชีวิตเลวร้ายยิ่งกว่าความตายเป็นเวลาหลายสิบปีและเธอต้องทนรับบาปมามากแค่ไหนเพื่อที่จะทำให้เธอสามารถฆ่าคนได้

“ฉันแค่ฟังเขาเพื่อให้เขาเชื่อใจฉัน แต่เขาไม่เคยคาดหวังว่าเขาจะตายในมือของฉัน” เมื่อเธอพูดแบบนี้ เธอสูดหายใจอย่างแรงและยิ้มที่มุมปากของเธอ

“รู้ไหมทำไมฉันถึงเกลียดเธอ”

มู่เฉียวไม่คิดว่าจะได้รับคำตอบนี้ในวันนี้

“เพราะเธอขัดขวางแผนการทั้งหมดของฉัน ฉันจึงคิดว่าโม่หานจะหาคนที่สามารถช่วยเขาได้ หาผู้หญิงที่เขาไม่รักและแต่งงานกัน ในอนาคตจะไม่มีจุดอ่อนให้ผู้ชายคนนั้นจับได้ แต่เธอกลับใจดี เด็ดเดี่ยว ไม่สนใจเรื่องเงิน เธอเป็นคนพิเศษยิ่งค้นมากเท่าไหร่ยิ่งน่ากลัวมากเท่านั้น ฉันกลัวโม่หานจะหลงรักเธอ ต่อมา มีบางอย่างเกิดขึ้นกับ โม่หาน ฉันจงใจส่งเขาไปต่างประเทศโดยจงใจบอกเธอว่าเขาตายแล้ว แต่…” คุณนายโม่สูดลมหายใจและมองขึ้นไปที่มู่เฉียว

“แต่ฉันยังประเมินคุณต่ำไป ฉันทำกับเธอขนาดนี้ แต่เธอก็ยังยอมรับเขา เขาตกหลุมรักเธอ และเขาก็แสดงท่าทางต่อต้านเพราะเธออย่างโจ่งแจ้ง แต่คุณไม่รู้ว่าเขาทำอะไรไปบ้าง เขาทำงานหนักทั้งกลางวันและกลางคืนเพียงเพื่อให้ตัวเองแข็งแกร่งพอที่จะต่อสู้กับเขา แต่เขายังเด็กเกินไป เขาประเมินความสามารถของชายคนนั้นต่ำไป หานฉุนและหานเสว่แม้จะไม่ใช่ลูกที่ฉันคลอด แต่เขาก็เป็นลูกชายของฉัน ลูกฉันน่าสงสารแบบนี้ฉันทำใจไม่ได้”

มู่เฉียวรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย หานฉุน และหานเสว่ ไม่ได้เกิดจากคุณนายโม่ เธอคิดเสมอว่าใช่ลูกของเธอ

“ดังนั้นมู่เฉียว ฉันถึงเกลียดเธอ ถ้าเธอไม่ปรากฏตัว เขาก็จะไม่สิ้นหวัง เขาจะไม่ต้องทนทุกข์ทรมานมาก ตอนนั้นเธออยู่ในเมือง B เขาทำงานบริษัทในตอนกลางวัน แต่ตอนกลางคืนเขาจะไปที่เมือง B ที่ห่างออกไปหลายพันไมล์ เพียงเพื่อต้องการเจอเธอ เขาไม่หลับทั้งคืนทั้งวัน กระเพาะอาหารของเขาถูกเอาออกโดยหนึ่งในสามทั้งหมดนี้เป็นเพราะเธอ” “เธอคำรามเสียงต่ำ มู่เฉียวลืมตากว้าง

เธอไม่คิดว่า ความจริงของเรื่องจะเป็นแบบนี้

เธอตกตะลึงและไม่สามารถสงบสติอารมณ์เป็นเวลานาน จริงๆแล้ว ในบ้านไม่มีใครในตอนกลางวันและเปิดไฟตอนกลางคืนคือบ้านของโม่หาน แล้วใช่หรือไม่ โม่หานได้มอบบ้านราคาประหยัดให้ด้วย ในปีนั้นเธออาศัยอยู่อย่างสงบมากแต่เขาไม่เคยคิดว่าชายคนนี้ต้องทนทุกข์กับบาปและความทุกข์ทรมานมากมายเพราะเธอ และเขาไม่เคยพูดสักคำต่อหน้าเธอ

เจ็บปวดใจ เจ็บจนหายใจไม่ออก “โม่หาน คุณมันโง่”

คุณนายโม่กอดขาและเอาหัวไว้ระหว่างขา ร้องไห้อย่างปวดใจ มู่เฉียวอยากปลอบเธอ ยื่นมือขึ้นไปในอากาศ แต่ก็ค้างไว้อย่างนั้น

เธอควรพูดอะไร? ถ้าลูกสาวของเธอต้องทนทุกข์ทรมานกับลูกเขยของเธอมากในอนาคต ในหัวใจของเธอคงไม่ชอบผู้ชายคนนั้น

อย่างไรก็ตาม เธอต้องการจะบอกว่าเธอไม่รู้จริงๆ ลับหลังโม่หานได้ทำอะไรเพื่อเธอมากมายเพียงนี้ “ขอโทษ,เรื่องพวกนี้ ฉันไม่รู้จริงๆ”

คุณนายโม่ไม่ตอบเธอ มู่เฉียวเม้มริมฝีปาก

หลังจากนั้นไม่นาน เธอพูดว่า “คุณออกไปเถอะ ทิ้งฉันไว้คนเดียวสักพัก”

มู่เฉียวพยักหน้า หันหลังเดินไปสองก้าว เธอคิดแล้วพูดว่า

“คนที่คุณชอบ น่าจะเป็นพ่อบุญธรรมของโม่หาน” มู่เฉียวเรียกเธอว่า “คุณ”

ร่างกายของคุณนายโม่แข็งทื่อ จากนั้นเขาก็ยิ้ม”แล้วยังไงล่ะ แม้ว่าเขาจะถูกฆ่าโดยเขา แต่ฉันก็ยังต้องยิ้มให้เขาทุกวัน”

“คุณเกลียดเขามาก ทำไมคุณถึงปล่อยให้โม่หานไปงานศพในวันนั้น”

คุณนายโม่พูดเพียงว่า “ฉันมีจุดประสงค์ เธอไม่เข้าใจ”

เมื่อเรื่องราวจบลงแล้ว มู่เฉียวหันตัวเมื่อเขากำลังจะจากไป คุณนายโม่ ก็พูดขึ้นทันที “ในอนาคตดูแลโม่หานให้ดี ลูกคนนี้ ไม่ชอบพูด ตอนเขาอายุได้ไม่กี่ขวบ ถูกลากเข้ามาในห้องนี้เพื่อมาอยู่กับฉัน เขาก็ทุกข์ทรมานจริงๆ”

มู่เฉียวขมวดคิ้ว เธอมองคุณนายโม่อย่างเหลือเชื่อ “คุณ…” คำกล่าวหาเข้ามาในใจเธอ แต่จู่ๆ เธอก็พูดไม่ออก เธอแค่รู้สึกเสียใจต่อโม่หาน

เธอยังได้ยินคำพูดของคุณนายโม่และการเอาชนะตัวเองอย่างเห็นได้ชัด

เดินไปที่ประตู หันกลับมามองคุณนายโม่ “บางทีพ่อบุญธรรมของโม่หานอาจยังไม่ตาย ดังนั้นหากทำได้ รักษาให้มีชีวิตอยู่” สัญชาตญาณบอกเธอว่าเธอควรบอกคุณนายโม่เกี่ยวกับเรื่องนี้

ก่อนที่เธอจะทันได้ตอบโต้ เธอก็ดึงแขนออกทันที คุณนายโม่ลุกขึ้นยืนทันที มู่เฉียวเกือบถูกลากลงมา และเขาเดินเซไปหลายก้าวก่อนที่เธอจะยืนมันไว้ ก่อนที่ผู้คนจะกลับมา คุณนายโม่คว้าตัวเธอไว้ จับแขนเธอไว้ “เธอพูดว่าอะไรนะ เธอบอกว่าเขายังไม่ตาย?”

มู่เฉียวพยักหน้า ในวันนั้นที่แอฟริกาใต้ ตอนแรกเธอไม่แน่ใจ แต่ต่อมาเมื่อดูปฏิกิริยาของโม่หาน เธอรู้ว่าการเดาของเธอไม่ผิด

“แต่คุณก็ถามโม่หานเองแล้วกัน”

สามวันต่อมาคุณนายโม่ยอมจำนน โดยบอกว่าเธอได้เปลี่ยนยาของชายคนนั้นซึ่งมีสารก่อมะเร็งอะฟลาทอกซินและนำออกมาเองและมอบส่วนที่เหลือให้

ตอนที่ทราบข่าว คุณนายโม่ไม่คาดคิดเลยว่า โม่หานจะทำอย่างนั้น เธอร้องไห้และขอร้องให้บอกทนายความและตำรวจว่า โม่หานยอมรับผิดแทนเธอ

อย่างไรก็ตาม เนื่องจากหลักฐาน หลักฐานที่เป็นวัตถุ และแรงจูงใจ การร้องไห้ของเธอจึงกลายเป็นเครื่องป้องกันของแม่สำหรับลูกชายของเธอ และไม่มีใครเชื่อเธอ

“โม่หาน เธอจะทำแบบนี้ไม่ได้ เธอยังอายุน้อย เธอจะทำลายชีวิตตัวเองแบบนี้ไม่ได้นะลูก” เธอโอดครวญถึงโม่หานและร้องไห้

แต่โม่หานยกริมฝีปากขึ้นและปาดน้ำตาจากหางตาของเขา “หลังจากผ่านภาวะซึมเศร้ามาหลายปี คุณสามารถอยู่เพื่อตัวเองได้ เขาอยู่ที่นี่เพื่อรอคุณและไปหาเขา” ในมือของโม่หานมีกระดาษแผ่นหนึ่งที่มีที่อยู่แถวหนึ่งเขียนไว้

“ไม่… ฉันไม่ต้องการมัน ลูก แม่ขอร้อง อย่าทำแบบนี้”

แต่โม่หานได้ตัดสินใจแล้ว

คนที่แจ้งข่าวมาคือคุณนายโม่

“มู่เฉียว เธอไปดูโม่หานหน่อยไหม”

“เขาเป็นอะไร”

“เขาอยู่ในสถานกักกัน”

มู่เฉียวกำลังทานอาหารอยู่ในร้านอาหาร เมื่อเธอได้ยินสิ่งนี้ ตะเกียบในมือของเธอตกลงบนพื้น เธอกลืนแล้วพูดช้าๆ ว่า “คุณพูดว่าอะไรนะ?”

“ที่อยู่ถูกส่งให้ในโทรศัพท์มือถือของเธอ เธอสามารถดูได้ด้วยตัวเอง”

เป็นครั้งแรกที่ได้เยี่ยมชนสถานกักกัน หัวใจของมู่เฉียวดูหดหู่และประหม่ามาก อย่างไรก็ตาม ผู้คนภายในดูเหมือนจะรู้ตัวตนของเธอและเธอก็ไม่มีสิ่งกีดขวางตลอดทาง หากสภาพแวดล้อมโดยรอบ เตือนเธอ อยู่ในสถานกักกัน ฉันยังคิดว่านี่เป็นร้านอาหารและที่ดื่มชา การต้อนรับระดับสูงแบบนี้

เมื่อเห็นโม่หาน เขายังคงสวมเสื้อผ้าชุดเดิมที่เขาทิ้งไว้เมื่อวานนี้ ด้วยเนื้อผ้าที่ดี แม้ว่าจะอยู่ในสถานการณ์คับขันก็ตาม ก็ยังไม่มีรอยย่นเลยแม้แต่น้อย

ประตูห้องกักกันเปิดออก

มู่เฉียวเดินเข้ามา “มันเกิดอะไรขึ้น เป็นไปได้ยังไง…”

โม่หานไม่ได้พูด แต่เขากอดเธอไว้ในอ้อมแขนของเขา “มู่เฉียว ผมอาจจะเสียคุณไปได้ ควรทำอย่างไร?”

คำพูดง่าย ๆ ไม่กี่คำทำให้ร่างกายของมู่เฉียว แข็งทื่อทันที

เธอหลับตาลงและใช้ความพยายามอย่างมากในการสงบสติอารมณ์ เธอผลักโม่หานออก “โม่หานบอกฉันหน่อยว่าเกิดอะไรขึ้น?”

“อันนี้ ทนายจะเล่าให้คุณฟังเอง มู่เฉียว ถ้าผมเกิดอะไรขึ้นมาจริงๆ ผมขอให้ทนายโอนหุ้นทั้งหมดในMy กรุ๊ปที่เป็นชื่อของผมให้คุณและเสี่ยวโยว รวมถึงเงินในบัตรนั้นด้วย , ก็คงพอ…”

มู่เฉียวรู้สึกหนาวเหน็บขึ้นมาในใจ เธอเงยหน้าขึ้นมอง โม่หาน พลางยิ้มจากมุมปากของเธอ “ไม่ต้องการฉันอีกครั้งแล้วหรือ ไม่เอาแล้วนะ โม่หาน คุณคิดว่าฉันสนใจเงินเหม็นของคุณหรือ ฉันจะบอกคุณ ถ้าคุณติดคุกขึ้นมา ฉันจะพาเสี่ยวโยวแต่งงานใหม่ ฉันจะไม่เอาเงินคุณสักบาท ในชีวิตนี้ คุณเป็นหนี้ฉัน”

หลังจากพูดจบ มู่เฉียวก็หันหลังเดินออกมาทั้งน้ำตา แต่ก็ไหลออกมาเมื่อเธอหันหลังกลับ

เธอไม่กล้าที่จะอยู่อีกต่อไป เธอรู้สึกอึดอัด ประหม่า และหวาดกลัว

เพราะเธอรู้ดีอยู่ในใจว่าคำพูดของโม่หานแบบนั้นเหมือนยอมแพ้ให้กับตัวเอง เขาไม่ได้ให้คำอธิบายหรือแก้ต่างใด ๆ เลย ทำให้เธอรู้สึกว่าเธออยู่ในสายตาของเขาเป็นแค่คนที่พร้อมจะรอรับเงิน

ในใจเจ็บจนเหมือนจะหายใจไม่ออก

หลังจากที่เธอออกมา ทนายความในชุดสูทและรองเท้าหนังกำลังรอเธออยู่ข้างนอก

“ในยาบำรุงที่พ่อของประธานโม่ทานอยู่ ตรวจพบสารก่อมะเร็ง” ทนายความพูดโดยตรงและกล่าวถึงประเด็นนี้

มู่เฉียวส่ายหัว “เขาไม่ได้ทำ เขาไม่ได้สนใจที่จะทำ ถ้าเขาต้องการจะทำ เขาจะไม่ใช้วิธีลึกลับเช่นนี้ เขา…เขา…”

ทันใดนั้นเธอก็นึกขึ้นได้ว่าเมื่อตอนที่เขาจากมาในวันนั้น โม่หานบอกว่าคุณนายโม่ถูกจับแล้ว

มันอาจจะเป็น…

ความคิดที่ไม่ดีก่อตัวขึ้นในหัวของเธอ และเธอก็ดึงทนายความเข้าไปในรถ

“คุณบอกฉันหน่อยได้ไหม ว่าเขาจะรับโทษแทนแม่ของเขาใช่ไหม”

มู่เฉียวรู้สึกว่าหายใจลำบาก เธอจะพูดอะไรเกี่ยวกับเรื่องแบบนี้ได้อีก? เขาคือสามี แต่เป็นลูกของผู้หญิงคนนั้น เขาอยากกตัญญู เธอจะพูดอย่างไรได้?

“ไม่มีทางอื่นแล้วหรือ” เธอสูดลมหายใจ และวิญญาณทั้งหมดของเธอพังทลายลงในทันที

“หลักฐานแน่นหนา และประธานโม่เองก็ยอมรับเอง ว่าเขาเกลียดความโหดร้ายที่พ่อมีต่อเขา แต่ก่อนหน้านี้ พ่อของเขาจ้างคนมาพยายามทำให้เกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์กับเขา ซึ่งสามารถใช้เป็นหลักฐานในการพิจารณาคดีได้ ถ้าถึงกับมีคนตาย อย่างน้อยขาดไม่ได้ก็ถูกจำคุกสิบปี”

สิบปี? สิบปีหลังจากที่เขาออกมา โม่หานก็อายุ

มู่เฉียวไม่พูด ผลักประตูและลงจากรถ หยุดรถ และตรงไปที่บ้านของตระกูลโม่

ยังไม่เห็นเสียงคร่ำครวญและเสียใจของงานศพในจินตนาการ

หานฉุนพิงศาลาสูบบุหรี่ในลานบ้าน สวมชุดไว้ทุกข์ แต่ยังไม่กระทบความหล่อของเขา แต่สีหน้าของเขาดูน่าเกลียดเล็กน้อย

เมื่อเห็นเธอเดินเข้ามา สัมผัสของความรู้สึกผิดที่ไม่อาจมองเห็นได้แวบเข้ามาในดวงตา

ขอต้อนรับ “ทำไมคุณถึงมาที่นี่” เขาไม่ได้เรียกเธอว่าน้องสะใภ้และไม่ได้เรียกชื่อของเธอ

มู่เฉียวมองเขา “แม่ของคุณอยู่ที่ไหน”

มีความขุ่นเคืองในหัวใจของเธอที่มีต่อ โม่หาน และ คุณนายโม่

พวกเขาต้องการเป็นลูกกตัญญู พวกเขาต้องการที่จะเห็นแก่ตัว แต่ใครจะคิดเกี่ยวกับเธอและลูก ๆ ของเธอ?

การแสดงออกของหานฉุนมืดลง “คุณกำลังมองหาเธอเพื่อต้องอะไร?”

มู่เฉียวไม่มีอารมณ์จะคุยกับเขา เขาไม่ได้บอกเธอ เธอก็ไปหาด้วยตัวเอง

หลังจากผ่านหานฉุนเธอก็วิ่งเหยาะตรงไปทางห้องโถง

ห้องโถงที่ไว้ทุกข์ไม่ได้ถูกรื้อถอน ในภาพขาวดำ ผู้ชายที่ค่อนข้างคล้ายกับโม่หาน แค่คิดถึงสิ่งที่เขาทำกับโม่หานแล้วคิดว่าเป็นชะตากรรมที่อาจเปลี่ยนไปเพราะเขา เธอไม่ได้มีความเศร้าเลย.

คุณนายโม่คุกเข่าอยู่ใต้ห้องโถงที่ไว้ทุกข์โดยก้มหน้าลง ที่ซึ่งยังมีอดีตที่เจ็บปวด

“เสี่ยวเฉียว เธอ… มาที่นี่ได้อย่างไร?” ย่าโม่ เป็นคนออกเสียง การตายของปู่โม่ทำให้เธอดูแก่กว่ามาก

“คุณย่า” มู่เฉียวพูดตรง ๆ ไม่สามารถไม่ชอบคนชราคนนี้ได้

เธอดูแปลกใจ เธอเรียกตัวเองว่า คุณย่าก้าวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วแล้วจับมือเธอ “กลับมาได้ก็ดีแล้ว”

แต่มู่เฉียวดึงมือออกด้วยความเขินอาย “คุณย่า ฉันมาเพื่อตามหาคุณย่าของเสี่ยวโยวเพื่อพูดอะไรบางอย่าง”

เธอไม่แน่ใจว่าคุณย่าโม่ รู้เรื่องการจับกุมของโม่หานหรือไม่และกลัวว่าจะทำให้เธอตกใจ ดังนั้นเธอจึงเลือกวิธีถามอีกแบบ แม้ว่าเธอจะถึงขีดจำกัดในใจแล้วก็ตาม

คุณนายโม่ไม่ได้เงยหน้าขึ้น แต่ค่อยๆ ลุกขึ้น จากนั้นเงยหน้าขึ้นและมองที่มู่เฉียว “เธอจะพูดอะไร พูดมาเลย”

มู่เฉียวมองผู้หญิงที่อยู่ฝั่งตรงข้าม เธอไม่ได้เจอเธอมาสองสามวันแล้ว เธอไม่รู้ว่าเป็นเพราะเธอไม่แต่งหน้าหรือเพราะว่าเธอเหนื่อยเกินไป ทำให้เธอดูซีดเซียว

“คุณแน่ใจหรือว่าจะพูดที่นี่” เธอถามอีกครั้ง

คุณนายโม่ดูเหมือนจะตอบสนอง “มากับฉัน”

ทั้งสองเดินไปทางด้านหลังบ้านพักของคุณนายโม่

ห้องสีดำว่างเปล่า ไม่มีไฟ ไม่มีเฟอร์นิเจอร์ และมันว่างเปล่า

มู่เฉียวไม่เคยรู้ว่ามีห้องแบบนี้ในบ้านตระกูลโม่

เธอมองไปรอบๆ ยกเว้นแสงเล็กน้อยจากหน้าต่างแคบด้านบน ไม่มีแสงริบหรี่ สภาพแวดล้อมแบบนี้น่าหดหู่และอึดอัด เธอต้องการหนีเพราะเริ่มหายใจไม่ออก

“มันน่าหดหู่มากไหม?” คุณนายโม่นั่งลงที่มุมหนึ่งแล้วพูดช้าๆ น้ำเสียงของเธอสงบมาก มู่เฉียววิตกกังวลมาก แต่เธอยังคงบังคับตัวเองให้สงบลง

ขมวดคิ้ว “หมายความว่ายังไง”

“ฉันอยู่ในสภาพแวดล้อมแบบนี้มานานกว่า 20 ปีแล้ว”

มู่เฉียวยิ่งสับสน

และต่อมา เมื่อของที่ส่งกลับไป โม่หานไม่ยอมรับกลับและปล่อยให้เธอจัดการเอง เธอรู้ว่าโม่หานไม่ได้พูดเล่นกับเธอ เขาหาเงินเก่ง แต่เขาก็เต็มใจที่จะให้เธอมากกว่า ลองคิดดูเธอก็เอาของทั้งหมดนี้แลกเป็นเงินและฝากไว้ในบัตรที่โม่หานมอบให้เธอไว้เพื่อซื้ออาหาร

หลังจากวันนี้ โม่หานทำตัวดีพ่อแม่ของเธอจึงค่อยๆ ยอมรับเขา และพวกเขาก็พูดถึงเขามากขึ้นเรื่อยๆ

“เฉียวเอ๋อ ดูนี่สิ นี่คือโม่หานไปหาซื้อมาให้ฉันและพ่อของเธอเป็นพิเศษเลยนะ”

“เฉียวเอ๋อ ดูยุ่งทุกวัน ยุ่งกว่าโม่หานเลยหรือ เขาจำเวลาที่พ่อต้องไปตรวจร่างกายได้ เขาสร้างความสัมพันธ์ มันไปมา แล้วเธอล่ะ โชคดีที่ได้ลูกเขยดี ทั้งเธอและน้องชายพึ่งไม่ได้เลย”

“เฉียวเอ๋อ นี่ตุ๋นไว้ให้สำหรับโม่หาน เห็นว่าเขาช่วงนี้ดูผอมไป”

“เฉียวเอ๋อ เธออย่าสั่งให้ โม่หานทำอะไรให้มันมาก งานของเขาก็เหนื่อยเกินไปแล้ว ทำอะไรด้วยตัวเอง…”

ในระยะหลังสถานะของเธอในตระกูลมู่ เริ่มลดลงทีละน้อย แต่เธอก็มีความสุข

ตอนพบคุณนายโม่ ก็เมื่อสองเดือนที่แล้วหลังจากคืนนั้น

ในวันนี้ เธอเพิ่งเลิกงานและลงจากรถบัส ในรถหรูข้างถนนมี ผู้หญิงที่แต่งตัวมีสไตล์สวมแว่นกันแดด ยืนอยู่หน้ามู่เฉียวอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่เธอจะจำเธอได้

ขมวดคิ้ว “มีเรื่องจะคุย?”

ตั้งแต่เหตุการณ์ครั้งก่อน มู่เฉียวไม่มีความรู้สึกดีๆ ต่อคุณนายโม่ ถ้าไม่ใช่เพราะเป็นแม่ของโม่หาน เธอก็คงไม่สนใจเรื่องนี้

ผู้มาเยือนเงยหน้าขึ้น “ไปที่รถแล้วค่อยพูด”

มู่เฉียวไม่อยากไป แต่ดูชุดของนางดูโอ้อวดเกินไป เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ จึงต้องประนีประนอม

หลังจากที่ประตูรถปิดลง ผู้หญิงคนนั้นก็ถอดแว่นกันแดดออกจากดวงตาของเธอ และมู่เฉียวเห็นว่าดวงตาของเธอแดงเล็กน้อยและบวม และดูเหมือนว่าเธอร้องไห้มาเป็นเวลานาน

เธอคิดอยู่ครู่หนึ่งและถามขึ้นว่า “คุณไม่เป็นไรใช่ไหม”

คุณนายโม่มองไปข้างหน้า ก่อนที่เธอจะพูดโดยใช้เวลานาน “มู่เฉียว หากเธอสามารถเกลี้ยกล่อมให้โม่หานไปร่วมงานศพของพ่อของเขาในวันพรุ่งนี้ได้ ฉันจะอนุญาตให้เธออยู่ด้วยกัน”

เห็นได้ชัดว่าเหตุผลดังกล่าวทำให้ มู่เฉียว รู้สึกไร้สาระเล็กน้อย

แค่งานศพ? ทันใดนั้นเธอก็เงยหน้าขึ้นมองคุณนายโม่ “เขา… เขาตายแล้วเหรอ?”

อย่างไรก็ตาม เมื่อตอนที่คุยกันทางโทรศัพท์ในช่วงบ่าย ไม่ได้สังเกตเห็นอะไรผิดปกติเกี่ยวกับโม่ห่าน?

ทำไมเรื่องสำคัญเช่นนี้เขาถึงไม่บอกกับเธอ

คุณนายพ่นลมหายใจอย่างเย็นชา จากนั้นเธอก็จ้องมองไปที่มู่เฉียว “ในฐานะภรรยาของเขา คุณคิดว่าคุณมีคุณสมบัติเพียงพอหรือไม่”

“คุณยอมรับว่าฉันเป็นภรรยาของเขาหรือ?” เธอโต้กลับ

นึกไม่ถึงว่าจะพาเธอไปที่หลุมฝังศพโดยไม่คาดคิด สีหน้าของคุณนายโม่ควบคุมไม่ได้เล็กน้อย และแววตาของเธอมีความอดทนไม่มากพอ “อย่างไรก็ตาม ถ้าเธออยากอยู่กับเขาจริง จงชักชวนให้เขามาที่นี่ให้ทันเวลาในวันพรุ่งนี้ .”

มู่เฉียวทนน้ำเสียงแบบนี้ของเธอไม่ได้และเม้มปาก “ฉันไม่อยากบังคับเขาในสิ่งที่เขาไม่อยากทำ ฉันขอโทษ ฉันไม่สามารถช่วยคุณได้” หลังจากพูดเธอเปิดประตูลงจากรถโดยไม่หันหลังกลับเดินเข้าไปในชุมชน

เธอสามารถจินตนาการถึงท่าทางของคุณนายโม่ที่โกรธได้ แต่เธอก็สง่าผ่าเผย ไม่ใช่แมวหรือสุนัข และมันก็ไม่สำคัญว่าครอบครัวตระกูลโม่จะยอมรับเธอเป็นลูกสะใภ้หรือไม่ เธอเพียงแต่ต้องให้โม่หานยอมรับก็พอ

โม่หานกลับมาก็หลังสามทุ่มแล้ว หลังจากเธอพามู่เสี่ยวโยวเข้านอนแล้ว เธอก็ไปดู้เขา

เห็นเขาเพิ่งเปิดประตูและได้ยินเสียงเปิดประตู เขาหันกลับมามองเธอ ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยรอยยิ้มและความเหนื่อยล้า เธอก้าวไปข้างหน้าและกอดเอวของเขาจากด้านหลัง พยายามจะพูดอะไรบางอย่างสุดท้ายก็ได้แต่พูดว่า”อย่าเหนื่อยให้มันนัก ฉันเป็นคนเลี้ยงง่าย”

มุมปากของเขายกขึ้น “ใช่เลี้ยงง่าย”

หลังจากเข้ามาในห้องแล้ว มู่เฉียวก็ถามโม่หานว่า “คุณอยากทานเกี๊ยวหน่อยไหม แม่ของฉันเพิ่งทำเกี๊ยวใหม่วันนี้”

โม่หานลุกจากโซฟาแล้วเดินเข้าไปในครัว “ไปล้างมา

จากนั้นมู่เฉียวมองดูโม่หานล้างหม้อและต้มน้ำอย่างชำนาญแล้ววางเกี๊ยวลง

เสื้อเชิ้ตลายสีเทา แขนเสื้อถูกรีดไปถึงที่ข้อศอก ปลอกคอปลดกระดุมสองเม็ด รูปลักษณ์ที่หล่อเหลา และสัมผัสที่แนบเนียน พอมองดูโม่หานทำให้มู่เฉียวมึนเมาเล็กน้อย

ดูเหมือนผู้ชายจะชอบความหลงใหลของผู้หญิง หัวใจที่อ่อนล้าของเขาค่อยๆ เริ่มกระฉับกระเฉงในการต้มเกี๊ยว เขาโอบกอดมู่เฉียวที่ไม่ได้เตรียมตัวไว้ ก้มศีรษะและจูบมัน จนน้ำในหม้อเดือดล้นออกมา

สองคนจึงปล่อย

“นี่สำหรับคุณ” โม่หานวางถ้วยหนึ่งไว้ข้างหน้ามู่เฉียว

มู่เฉียวอยากจะปฏิเสธ แต่นี่คือเกี๊ยวที่โม่หานปรุงเอง เธอไม่สามารถปฏิเสธได้ ดังนั้นเธอจึงหยิบมันขึ้นมาและยัดมันลงในท้องของเธอ

“แม่ทำอร่อยมาก” โม่หานชมหลังจากกินไปสองชิ้น

“คราวหน้าจะบอกให้แม่ทำให้เยอะหน่อย”

“ไม่เป็นไร มันเหนื่อยเกินไป”

“ถ้าเธอรู้ว่าคุณชอบกิน เธอก็จะไม่รู้สึกเหนื่อยเลย” แม่ยายมองลูกเขยของเธออย่างพอใจมากขึ้นเรื่อยๆ และตอนนี้สถานะของโม่หานในสายตาของพวกเขาสูงกว่าตัวเธออีก.

โม่หานมีรอยยิ้มในดวงตาของเขา แต่เขาไม่ได้พูด

มู่เฉียวรู้สึกว่าโม่หานรู้สึกหดหู่เล็กน้อยในวันนี้ เมื่อคิดถึงคุณนายโม่ ที่มาหาเธอก่อนหน้านี้ และคิดถึงเรื่องนี้ เธอจึงพูดขึ้นมาว่า “โม่หานเขาตายแล้วใช่ไหม”

อันที่จริง ตอนจบนี้เหนือความคาดหมายโดยสิ้นเชิง ไม่มีใครที่จะไม่คิดถึงจิตใจคนอื่นอย่างเต็มที่และผู้ชายที่ทำได้แต่สิ่งที่ต้องการ ที่จะจากโลกนี้ไปอย่างเงียบๆ

การเคลื่อนไหวของโม่หานเปลี่ยนไป เขามองไปที่มู่เฉียว “คุณรู้ได้อย่างไร”

“คุณย่าของเสี่ยวโยวมาหาฉัน ให้ฉันเกลี้ยกล่อมให้คุณไปงานศพพรุ่งนี้” เธอคิดว่าทั้งสองคนเป็นแบบนี้แล้ว คงจะไม่เรียกคำว่าแม่ มันคงจะแปลกเกินไป แต่เธอไม่สามารถเรียกเธอว่าแม่ได้

เขาหยิบเกี๊ยวใส่เข้าไปทั้งปาก เห็นได้ชัดว่าเป็นวิธีการกินของผู้ชาย แต่เมื่อเป็นโม่หานกลับดูดีขึ้นมา

“คุณคิดว่าอย่างไร?”

“ฉันสนับสนุนการตัดสินใจของคุณ”

โม่หานก้มศีรษะลงมาและอ้าปากเอาเกี๊ยวสิบกว่าชิ้นเข้าปากจนหมดแล้วพูดว่า “ไม่”

“ตกลง” มู่เฉียวพูด ลุกขึ้นและเก็บภาชนะของทั้งสองคน

ชายคนนั้นจับมือเธอ “ผมไปล้างเอง”

มู่เฉียวพูดว่า “ได้” และมองดูโม่หานอย่างเหลือเชื่อ “คุณล้างเป็นหรือ”

มู่เฉียวเป็นคนสอนโม่หานทำเกี๊ยวเอง เห็นครั้งเดียวก็ทำได้ดี

โม่หานมองเธออย่างแรง

วันรุ่งขึ้น โม่หานไม่ไปจริงๆ มู่เฉียวก็ไม่พูดอะไรมาก

เธอไม่ได้บอก เรื่องที่คุณนายโม่บอกเขาทั้งหมด เพราะไม่ต้องการกดดันเขา

เนื่องจากเป็นวันพักผ่อน เธอจึงพามู่เสี่ยวโยวไปเรียนศิลปะวาดรูปที่บ้านของเขา หลังโม่หานทานข้าวเรียบร้อยก็ไปที่ห้องหนังสือ

จนถึงเวลาประมาณบ่ายสามโมงเย็น

เธอได้ยินเสียงโทรศัพท์มือถือของโม่หาน ดังขึ้นหลายครั้ง

หลังจากนั้นไม่นาน โม่หานก็รีบออกจากห้อง

“มีอะไรเหรอ?” มู่เฉียวถามเขา

“แม่ถูกจับ ฉันต้องกลับไปบ้านตระกูลโม่สักพัก”

ปากกาในมือของมู่เฉียวติดอยู่ที่โครงร่างที่มู่เสี่ยวโยวเพิ่งวาด

“คุณนั่งแท็กซี่ไป อย่าขับรถ” เธอบอกโม่หานที่กำลังเปลี่ยนรองเท้า แต่เธอไม่ได้ถามโม่หานว่าทำไมคุณนายโม่ถึงถูกจับ

แต่เธออาจคิดไม่ถึงว่าจะได้เห็นโม่หานอีก แต่เขาอยู่ในสถานกักกัน เหตุผลคือโม่หานฆ่าคน ฆ่าพ่อของเขา

“แม่…” มู่เฉียวดึงแขนเสื้อแม่ของเธอ ในตอนนี้เธอทนไม่ได้ที่จะทำให้โม่หานอับอาย

ผู้เป็นพ่อไอเล็กน้อย และมู่เฉียวก็เข้าใจว่าเป็นการเตือน

“คุณย่าและน้อง ๆ ที่บ้านชอบมู่เฉียวมาก แต่แม่ของผมอาจจะเข้าใจผิดเธอนิดหน่อย อย่างไรก็ตาม พ่อแม่สามารถมั่นใจได้ก่อนที่ความขัดแย้งจะคลี่คลาย ผมจะแยกมาอยู่กับมู่เฉียว ก่อนที่แม่ของผมจะยอมรับ ผมจะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อหลีกเลี่ยงความขัดแย้งระหว่างพวกเขา และแน่นอนผมจะพยายามเกลี้ยกล่อมแม่ของผมให้เห็นว่าผมเลือกคนไม่ผิด”

หลังจากพูดไปไม่กี่คำ เขาไม่ได้ทำให้ตัวเองเป็นลูกชายที่อกตัญญู แต่ยังขจัดความกังวลของพ่อแม่ของเขา และยกย่องมู่เฉียว

เห็นได้ชัดว่าใบหน้าของพ่อผ่อนคลายลงเล็กน้อย และเธอก็ขยิบตาให้แม่

แม่พูดทันทีอีกครั้ง “ถ้าอย่างนั้นเราจะคิดดูอีกครั้ง”

มู่เฉียวพูดว่า “อ่า” แล้วบอกว่า เด็กก็โตจนเทซอสเองได้แล้ว ยังคิดอยู่อีกเหรอ?

โม่หานยืนขึ้นและตอบอย่างเคร่งขรึม “ถ้าอย่างนั้นไม่รบกวนพ่อแม่แล้วครับผมขอกลับไปที่บริษัทก่อน”

มู่เฉียวก็ลุกขึ้น “อยู่ทานข้าวกันก่อนซิ”

เมื่อมองย้อนกลับไป เธอขยิบตาให้พ่อ แต่พ่อของเธอกลับมองออกไป คิ้วของ มู่เฉียวขมวดเข้าหากัน และมองไปที่โม่หาน ด้วยความเขินอาย

“บริษัทมีเรื่องมากมาย ผมขอไปก่อนนะครับ”

หลังพูดเสร็จ เขาก็โน้มตัวและจูบใบหน้าของมู่เสี่ยวโยว “เสี่ยวโยว พ่อซื้อของขวัญให้ในวันนี้ ลองหาดูนะ”

โม่เสี่ยวโยว เป็นคนลักษณะพิเศษ เมื่อเธอได้ยินคำว่าของขวัญ ดวงตาของเธอก็สว่างขึ้นในทันที และเธอก็เอาแขนโอบรอบคอของ โม่หานจูบลงที่ใบหน้า

ส่งโม่หานไปที่ประตู มู่เฉียวกระซิบบอก “ขับรถระวังด้วยนะ”

โม่หานชี้นิ้วไปที่ประตูข้างหลังเขา และยกกรามของเขาไปที่มู่เฉียว

มู่เฉียวกัดริมฝีปากล่างขวาของเขาห่อไว้ และกะพริบตา

ประตูปิดลงและเธอก็กลับมาสู่สภาพปกติของเธอ

“คุณแม่ค่ะ หนูขอรื้อได้ไหมค่ะ”

“ลองถามคุณตาดู สิ่งของเหล่านี้พ่อมอบให้คุณตาและคุณยาย”

มู่เสี่ยวโยวขมวดคิ้ว “ทำไม?”

“เพราะ……”

ก่อนที่มู่เฉียวจะพูดจบ มู่เสี่ยวโยวรีบวิ่งไปที่อ้อมแขนของตา “คุณตาค่ะ พ่อของหนูทำผิดและซื้อของมาให้เพื่อให้มีความสุขหรือเปล่า?”

สำหรับมู่เสี่ยวโยว พ่อมู่ได้ทำอย่างเต็มที่กับคำสามคำที่ว่า “การเอาใจใส่จากรุ่นสู่รุ่น” และใบหน้าที่จริงจังของเขาก็ยิ้มขึ้นทันที

เขาแสร้งทำเป็นโกรธและพูดว่า “ไปรื้อมันซะ”

หลังจากเปิดกล่องของขวัญแล้ว พ่อมู่ ก็หัวเราะไม่ออก

เพราะมันแพงเกินไป

ประเพณีการแต่งงานในเมือง A คือการขอสิบแปดสิ่งซึ่งหมายถึงการขอบคุณพ่อแม่ของฝ่ายหญิงที่เลี้ยงเจ้าสาวให้เป็นผู้ใหญ่ โดยครอบครัวทั่วไปก็จะมีถั่วลิสง เค้ก และปลา ครอบครัวที่ฐานะดีหน่อยก็จะเพิ่มเงิน ของขวัญ และเสื้อผ้าหรืออะไรสักอย่าง

อย่างไรก็ตาม 18 รายการของ โม่หาน ได้แก่ ของที่บินอยู่บนท้องฟ้า วิ่งอยู่บนพื้น ของที่ว่ายน้ำในทะเล ของหายากทุกชนิด ยาชูกำลังทุกชนิด เสื้อผ้าเป็นแบรนด์ต่างประเทศทั้งหมด รวมทั้งทองคำแท่ง เงินสด บัตรธนาคาร หยก ทอง และกองอสังหาริมทรัพย์และอื่นๆ

โม่หานคงจะย้ายของที่บ้านทั้งหมดมาที่นี่แล้ว

เรื่องอสังหาฯ ถึงแม้จะเป็นที่เล็กๆ แต่ก็เห็นได้ไม่ยากเลย โม่หานใส่ใจในทุกรายละเอียด เช่น หยกและทองต่างก็มีชื่อย่อของมู่เฉียว เสื้อผ้าที่ ให้พ่อแม่ก็เหมาะสมตามวัยและความชอบ

ความฟุ่มเฟือยของมันทำให้พ่อของเขาซึ่งไม่เคยสนใจเงินมาก่อน ทำให้สีหน้าของเขาอ่อนลง

มู่เฉียวรู้ว่าไม่ใช่พ่อของเขาที่โลภเงิน แต่พ่อของเขารู้สึกได้ว่าสิ่งที่โม่หาน คิดเกี่ยวกับเธอ

อย่างน้อยก็พิสูจน์ได้ว่าลูกสาวของพวกเขายังคงมีความสำคัญต่อผู้อื่น

“พ่อมู่ อาหารเหล่านี้ทั้งหมดเราก็เก็บไว้ ส่วนพวกอสังหาริมทรัพย์เหล่านั้น มันแพงเกินไปฉันดูมันฉันก็ตื่นตระหนกเราให้เฉียวเอ๋อเอาไปคืนเขาดีกว่า” ทั้งชีวินของแม่ของเธอจะระมัดระวังเรื่องเงินเสมอ เงินจำนวนมากอยู่ที่นี่ในคราวเดียว เลยรู้สึกอึดอัด

พ่อเหลือบมองมู่เฉียว “เฉียวเอ๋อ พูดอะไรหน่อยไหม”

มู่เฉียวต้องการบอกพ่อแม่ของเธอว่าตามความรู้ของเธอแล้ว อสังหาริมทรัพย์เหล่านั้นยังไม่ต้องนับ แค่อาหารที่แม่ของเธอบอกมีค่ามากกว่าสิบล้านอย่างแน่นอน สัตว์และนกหายากเหล่านั้นดูเหมือนจะไร้ค่า แต่ ทุกอย่างคือของแท้และเป็นสมบัติได้ไม่ว่าจะเป็น, อัลมัสคาเวียร์, อิตาเลียน อัลบาไวท์ เห็ดทรัฟเฟิล, วานิลลา, เห็ดมัตสึทาเกะ ฯลฯ มีค่ามากกว่าทองคำและเงินที่คิดหลายเท่า

เธอหายใจเข้า “พ่อ แม่ ทุกคนยอมรับไว้เถอะ โม่หาน ขาดทุกอย่าง แต่เขาไม่ขาดเงิน” ความตั้งใจดั้งเดิมของ มู่เฉียว คือการให้พ่อแม่ของเธอยอมรับมันโดยรับไว้พิจารณา

เธอจะไปรู้อะไร พ่อโยนหนังสือในมือลงบนโต๊ะกาแฟ หน้าเขาทรุดลง “ฟังที่เธอพูด นี้เรียกว่าอะไร เขากำลังแต่งงานกับลูกสาวของเรา ไม่ได้ขายลูกสาวของเรา นอกจากนี้หากเรารับสิ่งเหล่านี้ไว้ , เราจะใช้อะไรเป็นขวัญถุงแต่งงานให้เธอละ? ในอนาคตเมื่อเธออยู่ในตระกูลมู่ เธอจะสามารถเงยหน้าขึ้นมองผู้คนได้หรือเปล่า?

คำพูดของพ่อทำให้ดวงตาของมู่เฉียวร้อนผ่าวทันที

บางทีความคิดของคนหนุ่มสาวอาจยังง่ายเกินไปที่จะคิดซับซ้อน แต่พ่อแม่ที่ผ่านโลกมาแล้วไม่เหมือนกัน การพิจารณาครั้งแรกของพวกเขาไม่ใช่เงินจำนวนมาก แต่คิดถึงลูกสาวของพวกเขา ว่าคนอื่นจะปฏิบัติต่ออย่างไรในอนาคตกับลูกสาวของพวกเขา

นอกจากนี้เสี่ยวโยวก็หาเจอของขวัญที่โม่หานซื้อให้เป็นของเล่นชุดเจ้าหญิงที่ละเอียดอ่อน มงกุฎประดับด้วยเพชร และเครื่องประดับต่างๆ มู่เฉียวรู้ว่าเพชรบนเครื่องประดับเหล่านั้นเป็นของจริงทั้งหมด ก่อนหน้านี้มู่เฉียวได้อธิบายเรื่องนี้ให้มู่เสี่ยวโยวแล้วเธอก็ให้ความร่วมมืออย่างดีโดยเอาของทั้งหมดที่อยู่ในมือยื่นให้มู่เฉียว

เธอช่วยพ่อแม่รวบรวมทั้งหมดให้อยู่ด้วยกัน ส่วนกล่องบรรจุภัณฑ์สีแดงพวกเขาเก็บไว้

ส่วน”ของกิน” ที่พ่อแม่ของเขาคิดว่าไม่มีค่ามู่เฉียวทำเป็นเงียบและเก็บไว้

ส่วนอื่นๆ เธอเก็บมันไว้ในถุงผ้าใบใหญ่ ทั้งเล่มหนังสือบ้าน และอื่นๆ

“พ่อแม่ ส่วนของพวกนี้ เราก็คืนให้เขาเถอะ”

มู่เฉียวมองพ่อของเขาด้วยความโล่งอก

“ส่งกลับไปเถอะ ราคาแพงเกินไป เอาไว้ที่บ้านแล้วหายใจไม่ออก” พ่อลุกขึ้นเดินไปที่ครัว “ตอนเที่ยงให้เขามากินด้วยกันซิ”

เมื่อมองดูด้านหลังพ่อของเธอ หากเธอไม่รู้ว่าพ่อของเธอปฏิเสธสิ่งเหล่านี้ เธอคงสงสัยว่าพ่อของเธอเป็นคนประเภทที่เห็นแก่เงิน

แต่เธอรู้ดีว่าพ่อของเธอแค่ต้องการให้เธอไม่ต้องอายและอยากให้เธอมีความสุข

“รีบส่งกลับไปเถอะ” แม่ก็เร่งเร้า แล้วเดินไปที่ครัวด้วยกัน “เสี่ยวโยว มาช่วยยายเก็บผักเร็ว”

จู่ ๆ มู่เฉียวก็รู้สึกว่าเธอได้รับการปกป้องอย่างมากเมื่อเห็น แต่เมื่อเธอหันหลังกลับไป เธอกลับรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ

มู่เฉียวมองดูติ่มซำในมือของเขา และหลังจากคิดดูแล้ว เธอก็ยกมันไปที่บ้านของโม่หาน

เมื่อเปิดประตูเข้าไป โม่หานนั่งอยู่บนโซฟาที่ยังสวมชุดนอนอยู่ “คุณไม่ใช่ออกไปดูงานนอกสถานทีหรือ”

โม่หานปิดทีวี ก้าวไปข้างหน้า จดจ่ออยู่กับติ่มซำในมือของเธอ “มีติ่มซำด้วย คุณไปกินข้าวที่ไหน คนเดียว?”

หลังจากคิดถึงเรื่องนี้ มู่เฉียวก็สารภาพเกี่ยวกับการนัดพบเจอของเธอกับคุณนายโม่ เธอรู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ควรให้เข้าใจผิด

“แม่ของคุณไม่เห็นด้วยกับการที่เราอยู่ด้วยกัน” เธอนั่งอยู่ในอ้อมแขนของโม่หาน

โม่หานตอบหลังจากคิดครู่หนึ่ง “ฉันจะเกลี้ยกล่อมเธอ แม้ว่าจะไม่เห็นด้วยจริงๆ มันเป็นเรื่องของเราที่จะแต่งงานกัน”

“โม่หาน คุณบอกว่าคนอื่นแต่งงาน และมีลูกง่ายมาก แต่พอเป็นเรากลับเหมือนดังในละครทีวีที่พลิกผันตลอดเวลา” เธอต้องการมีชีวิตที่ธรรมดาจริงๆ แต่งงาน มีลูก แต่ดูแล้วทำไมมันเละเทะจัง

เขาจ้องมองมาที่มู่เฉียวใกล้ ๆผิวหน้าที่เรียบเนียนใบหน้าของเธอก็ดูงดงามและมีมิติ ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้กลับไม่มีร่องรอยใด ๆ บนใบหน้าของเธอ

เมื่อคิดถึงความเขินอายเมื่อเจอเธอครั้งแรก ความขุ่นเคืองในระยะต่อมา โม่หานรู้สึกขอบคุณเล็กน้อย แต่โชคดีที่เขาไม่ได้เสียเธอไป

“เธอมองไม่เห็นความงามของคุณ” นิ้วของผู้ชายเลื่อนไปมาระหว่างผมเรียบของเธอ

มู่เฉียวไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี “คุณหมายถึง แม่ของคุณคิดว่าฉันน่าเกลียดเหรอ?”

โม่หานจูบเธอที่ใบหน้าเธอ “ฉันหมายถึง เธอไม่เห็นความงามในหัวใจของคุณ”

มู่เฉียวไม่พูด เพราะความงามภายในนี้จริง ๆ แล้วที่ผู้มีเมตตาเห็นความเมตตา ปราชญ์เห็นปัญญา คุณชอบเธอ สิ่งที่เธอทำนั้นดี แม้ว่าเธอจะด่าคนอื่น อย่างน้อยเธอก็แสดงอารมณ์ที่แท้จริงออกมาให้เห็น

อย่างไรก็ตาม ถ้าไม่ชอบเธอ เธอใจดี คุณจะคิดว่าเธอแกล้งทำ เธอใจดีกับคุณ คุณจะคิดว่าเธอพอใจคุณ เธอแค่เป็นคนที่มีมโนธรรม

นั่นเป็นวิธีที่มนุษย์เป็น สายพันธุ์ที่แปลกประหลาด

“ลืมมันไปเถอะ มันจะใช้เวลานานกว่าจะได้เห็นหัวใจของผู้คน ฉันไม่รีบในเวลานี้” ที่จริงแล้วมู่เฉียวรู้สึกผิดหวัง

ความสัมพันธ์ระหว่างแม่ผัวกับลูกสะใภ้มันแย่มาก บอกตรงๆ รู้สึกปวดหัว

โดยเฉพาะอย่างยิ่งนี่ไม่ใช่แม่ผัวธรรมดา

“รอก่อน.”

โม่หานไปที่ห้องหนังสือ และหลังจากนั้นไม่นาน เขาหยิบหนังสือสีแดงอีกสองเล่มในมือออกมา

“ไม่ว่าแม่จะมีความคิดเห็นแบบไหน อย่างไรเราก็เป็นสามีภรรยากันเสมอและไม่เคยเปลี่ยน”

มู่เฉียวหยิบขึ้นมาหนึ่งเล่ม ในขณะนั้น เธอได้ยินโม่หานบอกว่าทั้งสองไม่เคยคิดจะหย่ากัน และคิดว่าเขาแค่ให้กำลังใจเธอ เธอรู้สึกแปลกใจเมื่อเห็นทะเบียนสมรส

ในภาพ ใบหน้าผอมลงอย่างน่าสมเพช มีดวงตาที่ไร้พลัง และโม่หานที่อยู่ข้างๆ เขามีใบหน้าที่เย็นชาและไม่เต็มใจนัก

“ตอนนั้นคุณไม่เต็มใจเหรอ?”

เธอถามเขา

ชายคนนั้นเดินไปรอบๆ และนั่งลงข้างเธอ “เราไปขอถ่ายรูปใหม่อีกสักรูปดีไหม”

“ไม่ ดูมีความหมายดี ใช่ไหม ”

เขาหยิกใบหน้าของเธอ “เชื่อฟังคุณ”

“ช่วงนี้ดูคุณเชื่อฟังดีจัง”

“เพราะผมต้องการรางวัล”

“อะไร?”

“ผมควรไปเยี่ยมครอบครัวคุณอย่างเป็นทางการดีไหม” เขากระซิบที่ข้างหูเธอ

มู่เฉียวนอนอยู่ในอ้อมแขนของโม่หานหลังจากออกกำลังกายมาอย่างหนัก เธอหายใจหอบเล็กน้อย เธอเงยหน้าขึ้นมองผู้ชายที่มีใบหน้าปกติ แล้วปิดหัวข้อว่า “ทำไมทุกครั้งเหมือนคุณทำงานหนักแต่สุดท้ายคนที่ รู้สึกเหนื่อยกว่ากลับเป็นฉัน?”

เขาหัวเราะเบาๆ “ผมไม่อยากตื่นตอนเช้า พอไปนั่งทำงานก็คือทั้งวัน คุณต้องออกกำลังกายให้มากกว่านี้”

เธอส่ายหัวเร็ว ๆ จากวัยเด็กจนถึงวัยผู้ใหญ่เธอภูมิใจในความสำเร็จของเธอ แต่กีฬาทำให้เธอคิดหนัก

ชายคนนั้นลูบหัวเธออย่างผ่อนคลาย “ตกลง ครั้งหน้าจะทำให้มันง่าย”

ผู้หญิงคนนั้นขมวดคิ้ว “คุณพูดแบบนั้นเสมอ”

เธอคิดว่าการมาเยี่ยมครอบครัวของเขาน่าจะถูกเขาหลอกมาแบบนี้

เนื่องจาก มู่เฉียว ไม่ได้เตรียมตัวไว้ เธอยังไม่รู้ว่าจะให้โม่หาน ไปพบพ่อแม่ของเธอได้อย่างไร

แต่ในวันเสาร์ที่สองในช่วงเช้าตรู่ กริ่งหน้าบ้านก็ดังขึ้นขณะทานอาหารที่บ้าน

มู่เสี่ยวโยวเปิดประตู

“คุณพ่อ?”

หลายคนตกใจ มู่เฉียววางตะเกียบลงและยืนขึ้น เมื่อเธอมองไปที่โม่หานที่สวมเสื้อผ้าเป็นทางการนอกประตู เธอหัวเราะสองครั้ง “คุณ… ทำไมคุณมาเช้าจัง”

พูดแล้วรู้สึกไม่สมควรพูด

โม่หานเดินเข้ามา จากนั้นกลุ่มคนก็เดินเข้ามาพร้อมกับกล่องของขวัญต่างๆ จากข้างหลังเขา

ตอนแรกพ่อแม่ก็สงบ แต่เมื่อมองดูห้องนั่งเล่นที่ใกล้จะเต็มแล้ว ก็นั่งนิ่งๆ ไม่ได้

แม่ลุกขึ้นเดินไปที่ประตู “นี่มัน…”

“คุณแม่ครับ นี่เป็นของขวัญหมั้นที่เตรียมตามมารยาทและประเพณีของเมือง A ครับ” โม่หานพูด กลุ่มคนก็พยักหน้าให้เขาและเดินออกไป

ด้วยคำว่า “แม่” มู่เฉียวรู้สึกว่าแขนของแม่สั่นเล็กน้อย

เธอหันไปมองพ่อด้วยความเป็นห่วง

โชคดีที่อารมณ์ของเขาค่อนข้างคงที่

ผู้เป็นแม่ยังงงอยู่เล็กน้อย เธอหันไปมองดูพ่อของเธอ

พ่อค่อยๆ ลุกขึ้น เดินไปข้างหน้าโม่หานแล้วหยุด จากนั้นยกมือขึ้นตบโม่หานอย่างรุนแรง

ความเร็วนั้นเร็วเกินไปและกะทันหันเกินไป มู่เฉียวดูตกตะลึงเป็นอย่างมาก

แค่ฟังเสียงตบหน้าก็รู้ว่าพ่อออกแรงมาก

“พ่อมู่ ทำอะไร” แม่เอ่ยเสียงขึ้น

มู่เฉียวดึงสติกลับเธอขมวดคิ้วและมองดูโม่หานด้วยความกังวล แต่เธอรู้ดีว่าพ่อของเธอตบหน้าหมายความว่าอย่างไร?

พ่อแค่รู้สึกเสียใจและเพราะรักเธอมาก เป็นเวลาหลายปีเพราะการเสียสละทั้งหมดของเธอ ผู้ชายคนนี้ทำให้เกินความคับข้องใจ

อย่างไรก็ตาม เธอกังวลว่าเขาจะเข้าใจหัวใจของพ่อเธอได้หรือไม่

ถ้าเขาหันหลังแล้วจากไป เธอควรทำอย่างไร?

โม่หานเหลือบมองที่มู่เฉียวและแสดงปฏิกิริยาของเธอในดวงตาของเขา เขายกริมฝีปากขึ้นและพยักหน้าให้เธอ “มู่เฉียว ถูกแล้วที่พ่อตบเขา”

เขาพูด น้ำเสียงของเขาดัง ตรงไปตรงมา และไม่มีร่องรอยของความคับข้องใจ

มู่เฉียว ถอนหายใจด้วยความโล่งอก เธอรู้ว่าโม่หาน เข้าใจ

พ่อมู่สูดหายใจอย่างเย็นชา เดินไปที่โซฟาและนั่งลง มองดูของขวัญหมั้นสีแดงทั่วห้อง ความโค้งของปากของเขาชัดเจนขึ้นมาก

เมื่อเห็นเช่นนั้น มารดาก็รีบกล่าวทักทายว่า “ไปนั่งเร็วเข้า ยืนอยู่ทำไม”

น้ำเสียงไม่ค่อยดีนัก แต่อย่างน้อยมันก็พิสูจน์ได้ว่ายอมปล่อยให้โม่หานเข้ามาในบ้าน

มู่เฉียวรีบไปข้างหน้า พยายามเอื้อมมือไปแตะแก้มที่โดนตบของโม่หาน แต่โม่หานก็จับแขนที่ยกขึ้นและส่ายหัวให้เธอ

เอนตัวไปมองไปที่โม่เสี่ยวโยวที่ซ่อนตัวอยู่ข้างหลังมู่เฉียว บางทีการตบหน้าของพ่อมู่อาจทำให้เธอกลัว

“เสี่ยวโยว มา มาให้พ่อกอดเร็ว”

มู่เฉียวพยักหน้าให้มู่เสี่ยวโยว เด็กก็คือเด็ก และเธอก็รีบวิ่งไปหาโม่หาน

หลังจากที่พวกเขานั่งลงบนโซฟา แม่ก็พูดขึ้นก่อน

“โม่หาน ครอบครัวของคุณ คุณจะทำอย่างไรถ้าพวกเขาไม่ยอมรับมู่เฉียว”

ประตูปิดลง มู่เฉียวชำเลืองถ้วยชาที่ถืออยู่ เป็นชาแดง ตอนดื่มรู้สึกขมๆฝาดๆเล็กน้อย ผ่านไปสักพักยังคงมีความหวานติดอยู่ในปาก

“อร่อยจัง”

“เดี๋ยวก็เอาไปด้วยสิ”

มู่เฉียวมองโม่หาน “คุณว่า เลขาคนนั้นจะคิดว่าคุณเป็นโรคจิตหรือเปล่า?”

โม่หานแค่ชำเลืองมองเธอ เดินเข้าไปนวดไหล่ให้เธอต่อ จากนั้นก็ก้มตัวลงไปจูบที่ริมฝีปากเธอ “รอก่อน ไว้ฉันจะอธิบายให้คุณฟัง”

“อธิบาย? คุณบอกว่าจะรับผิดชอบไม่ใช่เหรอ?” อันที่จริงมู่เฉียวก็รู้ว่าเขาหมายความว่าอย่างไร แต่ยังคงแกล้งโง่อยู่

“ถึงอย่างไรก็อายุมากขนาดนี้แล้ว คงต้องฝืนใจยอมรับไป” หาได้ยากที่ชายคนนั้นจะพูดเล่นอย่างอารมณ์ดี

มู่เฉียวลุกขึ้นนั่งคุกเข่าอยู่บนโซฟา และมองไปที่โม่หาน พูดด้วยแววตาที่จริงจัง : “ฉันได้ยินมาว่าคุณถอนหมั้นกับเหอเจี๋ยคนนั้นแล้วเหรอ?”

ชายคนนั้นฝังศีรษะไปที่ไหล่ของเธอ น้ำเสียงทุ้มๆพูดอย่างช้าๆ : “ถูกทิ้งแล้ว คุณก็ฝืนใจยอมรับฉันหน่อยได้ไหม?”

มู่เฉียวเงยหน้าขึ้นมา เห็นเขาเม้มปากเป็นเส้นตรง ก็เหมือนว่าอารมณ์ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

“โม่หาน คุณไม่ต้องรีบร้อนเกินไปหรอก ฉันรู้ดี ว่าตอนนี้ไม่เหมาะที่จะเปิดเผยสถานะของเรา วางใจเถอะ ตอนนี้ฉันไม่ได้รีบร้อน ได้หัวใจคุณไว้ในครอบครอง ดีกว่าฐานะที่จอมปลอมนั่น” มู่เฉียวพูดจบ ก็จิ้มๆที่หน้าอกของโม่หาน ถึงแม้ว่าจะมีข่าวมากมายเกี่ยวกับโม่หาน แต่ก็เป็นเรื่องความเจ้าชู้ของผู้ชายเท่านั้น การแต่งงานเป็นเรื่องใหญ่สำหรับคนอย่างเขา ถ้าก่อนหน้าเพิ่งเลิกกับลูกสาวของนายกเทศมนตรี จากนั้นก็ประกาศว่าอยู่ด้วยกันกับเธอ ก็จะเกิดปัญหาอย่างไม่ต้องสงสัย มู่เฉียวไม่อยากให้เขาลำบากใจ

นิ้วมือเรียวยาวเชยคางของผู้หญิงคนนั้นขึ้น ก้มหน้าลงไปจูบ

เมื่อมู่เฉียวออกมาอีกครั้ง ทุกคนต่างกระซิบกระซาบว่าเธอทำผิดอะไรจึงถูกเรียกตัวไปที่ห้องทำงานของประธานโดยตรง แล้วยังถูกต่อว่านานขนาดนี้ มีแค่เลขาคนนั้น ลุกขึ้นยืนก้มทำความเคารพให้มู่เฉียว แต่ไม่กล้าสบตาเธอโดยตรง

คนที่ออกคำสั่งท่านประธานได้ แน่นอนว่าเธอต้องประจบประแจงให้มากขึ้น

มู่เฉียวเม้มๆปาก รู้สึกว่าเลขาคนนี้”เข้าใจกฎเกณฑ์”ดีมาก เดินไปตรงหน้าเธอ แล้วกระซิบข้างหูเธอว่า “ประธานโม่บอกว่า เดือนนี้จะเพิ่มเงินเดือนให้คุณ สู้ๆนะ”

หลังจากมู่เฉียวไปแล้ว เลขาก็ยืนตัวตรง แล้วถอนหายใจออกมาอย่างหนัก

“เธอพูดอะไรกับคุณเหรอ?”

เลขาส่ายหัว “ไม่มีอะไรหรอก อยากให้ฉันพูดถึงเธอต่อหน้าประธานดีๆ”

ทุกคนก็พูดกันสองสามคำ แล้วแยกย้ายกันไป

จากนั้นชีวิตก็กลับมาสงบสุขอีกครั้ง มู่เฉียวจงใจไม่นึกถึง”พ่อตา”คนนั้นที่กำลังจะตาย ตอนกลางคืน เป็นเพราะการควบคุมดูแลของพ่อแม่ เธอจึงไม่ได้ไปหาโม่หานอีก บางครั้งชายคนนั้นก็เรียกมาที่ห้องทำงาน บางครั้งก็ต้องการล่ามจึงพาเธอออกไปทำงานนอกสถานที่

จนกระทั่งเวลาเลิกงานวันนี้ มู่เฉียวก็ได้รับสายแปลกๆที่คุ้นเคย เบอร์แปลกเพราะไม่มีรายชื่อคนติดต่อเก็บไว้ แต่เธอคุ้นเคยจนจำได้ขึ้นใจ

ร้านอาหารที่หรูหราแห่งหนึ่ง

เมื่อมู่เฉียวเข้ามา คุณนายโม่กำลังก้มหน้า ใช้ช้อนคนชานมที่อยู่ในแก้ว

เห็นเธอเข้ามา ก็ชี้ไปยังเก้าอี้ตรงข้าม

“คุณนี่มันเล่ห์เหลี่ยมแพรวพราวจริงๆ” หลังจากที่มู่เฉียวนั่งลง คุณนายโม่ก็เอ่ยปาก

มู่เฉียวไม่รู้จริงๆว่าทำไมคุณนายโม่คนนี้ถึงจงเกลียดจงชังเธอขนาดนี้ ครั้งแรกที่เจอคุณนายโม่เธอจำได้อย่างลึกซึ้ง อ่อนโยนอย่างมาก ไม่มีการวางมาดเลยสักนิด

เธอก้มหน้า ไม่พูดจา ลักษณะท่าทางเหมือนลูกสะใภ้ตัวน้อย อันที่จริง เธอแค่ไม่อยากเผชิญหน้ากับคุณนายโม่ก็เท่านั้น เธอไม่อยากให้โม่หานต้องอยู่ท่ามกลางความลำบากใจ

“มู่เฉียว ฉันไม่ชอบคุณเลยจริงๆ”

มู่เฉียวพยักหน้า “ฉันรู้ค่ะ”

“อย่างนั้นคุณก็น่าจะรู้ว่า ฉันจะไม่มีทางยอมรับให้คุณคืนดีกับโม่หานเด็ดขาด”

มู่เฉียวพยักหน้าอีก “รู้ค่ะ” อย่างน้อยตอนนี้ เธอก็ไม่กล้าที่จะคาดหวังเกินไป

ท่าทีนี้ของเธอ ทำให้คุณนายโม่ยิ่งอึดอัดอย่างมาก เธอจิตใจวุ่นวาย “อย่างนั้นคุณก็ไปจากเขาซะเถอะ คุณต้องการเงินเท่าไร ฉันจะให้คุณ” พูดพลาง หยิบเช็คธนาคารที่ยังไม่ได้กรอกตัวเลขใบหนึ่งออกมาจากในกระเป๋า

นี่ทำให้มู่เฉียวต้องเบิกตาโตจริงๆ ตอนที่มา เธอก็คิดเอาไว้แล้วว่า คุณนายโม่จะต้องเอาเงินฟาดหัวเธอ

เมื่อตอนที่อยู่มหาวิทยาลัย เธอและตู้เสี่ยวซินเคยพูดกันถึงปัญหานี้ เธอเคยบอกว่า ถ้าถึงวันนั้น ฉันจะเอาเงินโยนใส่หน้าเธอแล้วบอกเธอว่า คนอย่างฉันไม่ขาดเงิน

แต่ด้วยเรื่องราวที่มากมาย ที่ตนเองได้ประสบพบเจอมาจริงๆ จึงได้เข้าใจว่า ความเป็นจริงมันไม่ได้เป็นแบบนั้น?

“ถ้าฉันไม่รับเงินล่ะ?” เธอจึงเงยหน้าขึ้น มองคุณนายโม่

“หรือว่าคุณลืมเรื่องราวเหล่านั้นเมื่อหลายปีก่อนไปแล้ว? หรือคุณอยากให้เรื่องเหล่านั้นเกิดขึ้นใหม่อีกครั้ง ให้พ่อแม่ของคุณและคุณกลายเป็นเหมือนหนูข้างถนนอีกครั้ง? คุณก็น่าจะรู้นะว่า ฉันสามารถที่จะทำให้มันเกิดขึ้นอีกครั้งได้”

คนอะไรช่างน่ารังเกียจที่สุด ตัวเองเอามีดมาเฉือนที่ตัวเธอไม่พอ แต่ยังเอาเกลือมาโรยที่บาดแผลอีก

มู่เฉียวยกมุมปากขึ้น เธอหยิบมือถือออกมาจากในกระเป๋า กดปุ่มบันทึก

จากนั้น เธอก็หันหน้าจอมือถือให้คุณนายโม่ กดปุ่มสามเหลี่ยมเพื่อเล่น ด้านในมีเสียงของคุณนายโม่ที่เพิ่งพูดเมื่อกี้ดังออกมา

“ไม่….ไม่นึกเลยว่าคุณจะบันทึกเสียง!” คุณนายโม่โมโหจนตบโต๊ะ

มู่เฉียวเผชิญหน้ากับสายตาของเธอโดยตรง “คุณนายโม่ ฉันคิดว่า คุณคงไม่อยากให้โม่หานได้ยินคำพูดเหล่านี้หรอกใช่ไหม?”

“ได้ คุณนี่มันไม่ใช่เล่นๆเหมือนกันนะ มิน่าล่ะลูกชายของฉันถึงโดนคุณหลอกลวงจนหลงใหล แต่ละคืนไม่อยู่บ้าน มู่เฉียว ฉันจะบอกคุณให้นะ ที่ตระกูลโม่ มีคุณ ไม่มีฉัน คุณคิดจะแต่งงานเข้ามาตระกูลโม่ คุณอย่าเพ้อฝันไปหน่อยเลย” พูดจบ เธอก็หยิบกระเป๋า แล้วเดินออกไป เดินไปได้สองก้าว ก็หันหน้ากลับมา หยิบเช็กที่อยู่ด้านบนโต๊ะ ใส่ลงในกระเป๋า

มู่เฉียวอับอายจนเหงื่อตก น่าเสียดายที่เธอคิดว่าคุณนายโม่เป็นลูกสาวของตระกูลที่มั่งมีมาโดยตลอด

เพียงแต่ เธอไม่สบายใจอย่างมากจริงๆ ในตอนนั้นที่เธอบีบบังคับให้แต่งงาน ชัดเจนว่า โม่หานได้อธิบายกับเธอแล้ว เธอไม่เข้าใจจริงๆว่า เพราะเหตุใดเธอถึงยังเกลียดชังเธออยู่แบบนี้

มองของหวานที่อยู่บนโต๊ะแล้ว แทบจะไม่ได้ทานเลย คิดๆแล้วจึงเรียกบริกรให้ห่อใส่กล่อง

ห่อกลับบ้าน มู่เสี่ยวโยวชอบทานของเหล่านี้

ในลิฟต์ เธอรับโทรศัพท์โม่หาน “กลับมาแล้ว มาหาฉันก่อนนะ”

แม่เม้มๆปาก แล้วดึงมู่เฉียวไว้ “เฉียวเอ๋อ นี่คุณอายุเกือบจะ 30 แล้ว คุณยังคิดว่าตนเองเด็กอยู่จริงๆนะเหรอ? คุณรอให้แม่เขายอมรับ แล้วถ้าแม่เขาไม่ยอมรับล่ะ? คุณจะให้ยืดเยื้อไปแบบนี้เหรอ? ถึงเวลาที่คุณจะแต่งงานเป็นครั้งที่สอง คุณก็บอกว่าตลอดชีวิตนี้คุณ……” แม่ถอนหายใจเบาๆ ไม่อยากจะพูดอะไรต่อไปอีก

มู่เฉียวเคยคิดว่าคุณนายโม่จะไม่ยอมรับเธอ อันที่จริงก็อยากจะบอกแม่ว่า ถ้าไม่ยอมรับ เธอไม่แต่งงานก็ได้ แต่ได้เลือกที่จะอยู่ด้วยกันกับโม่หานไปตลอดชีวิต เธอไม่สนใจเรื่องชื่อเสียงอย่างนี้หรอก

แต่ก็สงสารจิตใจของพ่อแม่ เป็นธรรมดาที่เธอรู้ว่าพ่อแม่มีปฏิกิริยามากมายขนาดนี้ ทั้งหมดเป็นการพิจารณาเพื่อเธอ ฉะนั้นจึงไม่กล้าบอกความคิดเห็นออกไป เกรงว่าจะทำให้พวกเขาตกใจ

เธอกอดคอแม่ “แม่ ลูกสาวคนสวยขนาดนี้ เป็นไปไม่ได้หรอกที่จะไม่มีคนต้องการ”

แม่กับพ่อมองหน้ากัน เห็นว่ามู่เฉียวโตแล้วก็ต้องแต่งงาน

“อย่างนั้นเสี่ยวโยวเคยเจอเขาแล้วใช่ไหม?”

มู่เฉียวพยักหน้า

“ยัยหนูคนนั้น วันนั้นฉันถามเธอว่าแม่อยู่ด้วยกันกับใคร เธอยังบอกว่าคุณลุงเลย” แม่พูดกับพ่อ

มู่เฉียวที่อยู่ข้างๆเม้มปากหัวเราะเบาๆ

พ่อพูดอย่างไม่พอใจ “คุณหัวเราะไปเถอะ ต่อไปถ้าร้องไห้อีก คุณก็อย่ามาหาพวกเราก็แล้วกัน”

ลุกขึ้นยืนเดินไปกอดแขนพ่อ แล้วมู่เฉียวก็ออดอ้อน “พ่อ ลูกๆหลานๆมีบุญมีกรรมของตนเอง ไม่ว่าต่อไประหว่างฉันกับโม่หานจะเกิดอะไรขึ้น คุณก็อย่าให้เกิดเรื่องอะไรเพราะว่าฉันเลย มิเช่นนั้น ลูกสาวคนนี้จะไม่มีความสุขไปตลอดชีวิต”

พ่อชำเลืองมองเธอ “คุณไม่ทำให้ฉันโกรธ ฉันจะเกิดเรื่องเหรอ?”

มู่เฉียวนำหัวไปพิงบนไหล่ของพ่อ “พ่อ ฉันจะต้องมีความสุขแน่ๆ เชื่อฉันสิ”

จากนั้นก็ไม่อยากให้พ่อแม่สะเทือนใจอีก มู่เฉียวจึงไม่ได้ไปหาโม่หาน ส่งข้อความไปบอกเขาเกี่ยวกับสถานการณ์ต่างๆ

เจอโม่หานอีกครั้ง ก็ที่บริษัท

เวลาทานข้าวตอนกลางวัน เธอกับเสี่ยวโหรวเพิ่งจะนั่งลง กลุ่มของโม่หายก็เดินเข้ามาจากด้านนอก

เพราะว่าเป็นเวลานาน ฉะนั้นยังคงทำให้รู้สึกกระสับกระส่ายมาก

ผู้หญิงที่อยู่ข้างๆมองเขาด้วยสายตาเปี่ยมล้นไปด้วยความรัก

“นี่ คุณว่าคนแบบไหนจึงจะได้แต่งงานกับโม่หาน?”

“ลูกสาวของนายกเทศมนตรีเหอไม่ใช่เหรอที่เป็นคู่หมั้นของเขา?”

“คุณไม่ได้ยินเหรอว่า เหอเจี๋ยคนนั้นเป็นฝ่ายถอนหมั้นเขา เมื่อเช้าวันนี้”

มู่เฉียวมองไปที่โม่หานด้วยความประหลาดใจ แต่เห็นเพียงใบหน้าด้านข้างของเขาเท่านั้น

“อย่างนั้นก็พูดได้ว่า ตอนนี้ประธานโม่กลับมาโสดอีกครั้งแล้วใช่ไหม?”

“แล้วอย่างไรล่ะ? คนอย่างเขา จะเห็น”สามัญชน”อย่างเราอยู่ในสายตาเหรอ?”

ผู้หญิงบางคนวิพากษ์วิจารณ์อยู่ในใจ หรือว่าตนเองผ่านการฝึกฝนจนกลายเป็นนางฟ้าแล้วใช่ไหม?

“พี่เสี่ยวเฉียว คุณไม่ชอบโม่หานคนนั้นเหรอ?” ระหว่างทางกลับไป เสี่ยวโหรวที่อยู่ข้างๆมู่เฉียวก็เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงติดตลก

มู่เฉียวขมวดคิ้ว “ผู้ชายหล่อรวยดูดี คุณไม่ชอบเหรอ?”

เสี่ยวโหรวส่ายหัว “ไม่ใช่ว่าไม่ชอบ แต่ว่า……ไม่กล้าชอบ เขาเหมือนกับพระจันทร์ ได้แค่มองแต่ไม่ได้ใกล้ชิด ได้แค่มองแต่ไม่ได้ใกล้ชิดเหรอ? มู่เฉียวยิ้มๆ ไม่ได้พูดอะไรอีก

เมื่อทำงานตอนบ่ายไปได้สักพัก โทรศัพท์ที่ห้องทำงานก็ดังขึ้น เสี่ยวโหรวรับสาย เห็นสีหน้าเธอเปลี่ยนไปเล็กน้อย มู่เฉียวก็หยุดพิมพ์แป้นพิมพ์

“โอเค ฉันทราบแล้ว”

วางสายไปเสี่ยวโหรวก็มองมู่เฉียว “พี่เสี่ยวเฉียว คุณไม่ได้ทำเรื่องอะไรผิดไปใช่ไหม?”

มู่เฉียวขมวดคิ้ว “หมายความว่าอย่างไร?”

นิ้วของเสี่ยวโหรวชี้ขึ้นไปชั้นบน “ประธานโม่ให้คุณไปพบที่ห้องทำงานของเขา”

“ห๊ะ?” ชัดเจนว่า มู่เฉียวประหลาดใจ อยู่ที่บริษัท คนทั้งสองร่วมมือกันโดยการทำเป็นไม่รู้จักกันมาโดยตลอด

เสี่ยวโหรวเดินเข้าไป ดึงมือของเธอ “พี่เสี่ยวเฉียว คุณอย่าเครียดไปเลยนะ อาจจะไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ถ้ามีเรื่องอะไรผิดพลาดจริงๆ……” เธอหยุดชะงักเล็กน้อย แล้วสูดลมหายใจเข้า “ไม่อย่างนั้น คุณก็ผลักมาให้ฉัน ฉันเข้ามาใหม่ ทำเรื่องผิดพลาดก็เป็นปกติ”

มู่เฉียวซาบซึ้งใจน้ำใจนี้ของเธอ ยกมือลูบศีรษะเธอเบาๆ “เอาล่ะ ไม่ต้องกังวล”

ครั้งแรกที่เธอมาถึงที่ทำงานของโม่หาน แปลกใจมาก ที่เห็นการตกแต่งที่ไม่ได้หรูหรามากนัก สีดำขาวเทา การตกแต่งคล้ายกับห้องของเขาที่ตระกูลโม่

เลขาฯเห็นเธอเข้ามา จึงลุกขึ้นยืน “คุณมาแล้วเหรอ? เข้าไปสิ!”

เห็นท่าทีที่นอบน้อมของเธอ คิ้วของมู่เฉียวที่คลายลงแล้วก็ต้องขมวดขึ้นอีกครั้ง คนเหล่านี้ ทำไมรู้สึกเหมือนว่าจะพาเธอไปที่ลานประหาร?

เปิดประตูเข้าไป

ก็เห็นโม่หานพิงอยู่ข้างหน้าต่าง ในมือถือบุหรี่ที่ยังไม่ได้จุดไฟ กำลังเตรียมจะจุดไฟ ก็เห็นเธอเข้ามา จึงหยุดการกระทำ

มู่เฉียวเดินเข้าไป หยิบบุหรี่มวนนั้นมาจากในมือของเขา แล้วโยนทิ้งลงถังขยะโดยตรง “โม่หาน ต่อไปห้ามสูบบุหรี่อีก ฉันเคยบอกมากี่ครั้งแล้ว?”

น้ำเสียงของเธอ ไม่สบายใจเล็กน้อย แต่ไม่ทันได้ระวังว่า ลักษณะท่าทางของเธอเหมือนกันคนเป็นภรรยา

ชายหนุ่มเลิกคิ้วมองเธอ บนใบหน้าแสดงความสุขที่หาได้ยาก โอบเอวของเธอ “โอเค ไม่สูบแล้ว”

พูดพลาง หยิบซองบุหรี่จากในกระเป๋าโยนลงถังขยะ

“คุณรู้ไหมว่า การสูบบุหรี่ไม่มีประโยชน์ต่อคุณสักนิดเลย”

“อื้ม รู้แล้ว คุณภรรยา”

มู่เฉียวอ้าปากค้าง แสดงใบหน้าเขินอายทันที “อย่าพูดพร่ำเพรื่อ เดี๋ยวคนอื่นได้ยิน”

ทันใดก็ผลักโม่หานออก นั่งลงบนโซฟา นวดไหล่ของตัวเอง เมื่อวานคงจะนอนไม่ค่อยหลับ คนถึงรู้สึกอ่อนล้าอย่างมาก

ชายหนุ่มเดินไปด้านหลังโซฟา นำมือวางที่ไหล่ของเธออย่างเป็นธรรมชาติ แล้วนวดให้เธอ “ไม่สบายเหรอ?”

“คุณคิดว่าอย่างไรล่ะ? ที่นอนไม่ค่อยหลับทั้งคืน”

“คุณภรรยา ฉันผิดไปแล้ว ต่อไปไม่ทำแล้ว”

“เอาล่ะ ด้านซ้ายหน่อย…..อืม ตรงนี้ คุณกดลงอีกหน่อย”

“แบบนี้ ได้ไหม?”

“อืม”

หน้าประตู จู่ๆเลขฯก็เปิดเข้ามา เห็นคนทั้งสองก็ทำท่าเหมือนเห็นผี เธอไม่ได้ตั้งใจจริงๆ เธอแค่ยกแก้วน้ำมาสองแก้ว เลยไม่สามารถเคาะประตูได้ แต่คาดไม่ถึงว่าจะได้เห็นฉากแบบนี้

ประธานโม่ที่เย่อหยิ่งของพวกเธอกำลังทำอะไร? กำลังนวดไหล่ให้กับล่ามตัวเล็กๆคนหนึ่ง อีกทั้งผู้หญิงคนนั้นยังมีท่าทีที่ไม่ค่อยพอใจอีก

คุณพระ เธอประสาทหลอนไปแล้วเหรอ?

มู่เฉียวเห็นเลขาฯที่อยู่หน้าประตู จึงลุกขึ้นจากโซฟา แล้วก้มหน้า ท่าทีเหมือนกับทำผิด ดูไม่เหมือนกับท่าทีที่เพิ่งออกคำสั่งเมื่อกี้นี้เลย

โม่หานกระแอมเบาๆ “ตะลึงอะไรอยู่ล่ะ? ต้องให้ฉันไปรับมาไหม?”

นี่จึงเป็นท่าทีที่ประธานโม่ควรจะเป็น เย็นชา ไม่เห็นใจคนอื่น

เลขาฯถอนหายใจอย่างโล่งอก ก้มหน้าต่อโม่หาน “ประธานโม่ “ฉัน……ไม่เห็นอะไรทั้งนั้น”

มู่เฉียวกัดริมฝีปากเล็กน้อย ระงับรอยยิ้ม

โม่หานมองเธอด้วยสายตาที่พึงพอใจ แล้วตอบว่า”อืม”คำหนึ่ง

มู่เสี่ยวโยวถามมู่เฉียว “แม่ เมื่อไหร่คุณทวดจะฟื้นขึ้นมา?”

มู่เฉียวสะอื้นไห้ แล้วพูดว่า : “คุณทวด ไปสวรรค์แล้ว”

วันที่เผาศพนายท่านโม่ ตอนดึกก็ได้รับโทรศัพท์จากโม่หาน นับตั้งแต่เขาอยู่คนละที่กัน มู่เฉียวจึงเปลี่ยนนิสัยปิดเสียงโทรศัพท์ขณะนอนหลับ

จึงกดรับสาย ในนั้นมีเสียงลม ได้ยินเหมือนอยู่ข้างถนน

“คุณภรรยา ฉันคิดถึงคุณ”

เป็นครั้งแรกที่เขาเรียกเธอแบบนี้ มู่เฉียวรู้สึกว่าหัวใจเต้นระรัว เธอลุกขึ้นนั่ง “คุณอยู่ที่ไหน?”

เสียงด้านในเงียบไปสักพัก

“คุณภรรยา ฉันไม่สบายใจเลย”

มู่หานฟังอย่างถี่ถ้วนแล้ว ก็รู้สึกว่าโม่หานเมานิดหน่อย เธอสูดลมหายใจเข้า “โม่หาน คุณบอกฉันมา ว่าคุณอยู่ที่ไหน ฉันจะไปหาคุณ”

ด้านในได้ยินเสียงซ่าๆดังออกมา “สวัสดีคุณมู่ ฉันเป็นผู้ช่วยของโม่หาน ตอนนี้ประธานโม่อยู่ที่ตึกจิ่วหยาง เขาไม่ให้เราเข้าใกล้เลย รบกวนคุณมาที่นี่หน่อยนะ”

มู่เฉียวขมวดคิ้ว ลุกขึ้นสวมเสื้อผ้า เดือนแรกของฤดูใบไม้ผลิของเมืองA อุณหภูมิในตอนกลางคืนยังคงต่ำมาก เธอสวมเสื้อกันหนาวยาวสีดำ พันผ้าพันคอแบบลวกๆแล้วออกจากบ้านไป

เมื่อเขามาถึงสถานที่ที่กำหนด โม่หานนั่งพิงเสาไฟอยู่ ห้องเสื้อโค้ตไว้บนไหล่ขวา สวมเสื้อเชิ้ตตัวเดียว คอตก ท่าทางซึมเซา มีชายชุดดำสี่ห้าคนยืนล้อมรอบเขาอยู่ โชคดีที่ตอนนี้เป็นเวลาตีสาม จึงไม่มีคนเดินบนถนน มิเช่นนั้นสถานการณ์แบบนี้ ท่าทางแบบนี้ ก็ไม่รู้ว่าจะถูกเขียนถึงว่าอย่างไรอีก

นี่คือโม่หานที่มู่เฉียวไม่คุ้นเคย

เธอเดินเข้าไปใกล้ๆเขา ผลักเขาเบาๆแล้วเอ่ยเรียก : “โม่หาน”

โม่หานได้ยินก็ค่อยๆเงยหน้าขึ้นมา เห็นหน้าของมู่เฉียว ก็ยื่นมือออกไป ดึงเธอเข้ามาไว้ในอ้อมกอด “คุณภรรยา”

น้ำเสียงมีความเศร้าแล้วก็น้อยใจ

เห็นได้ชัดว่าดื่มจนเมา แต่ว่ากลิ่นก็ไม่ได้รุนแรงเกินไป มู่เฉียวขยับๆอยู่ในอ้อมกอดเขา “โม่หาน เรากลับบ้านกันก่อนเถอะ ดีไหม?”

พูดจบก็ผละออกจากเขา นำเสื้อบนไหล่ของเขามาสวมให้เขา “สวมเสื้อก่อนนะ อย่างนี้จะหนาวเอาได้”

ชายคนนั้นเชื่อฟังอย่างเกินคาด นำเสื้อมาสวม

ผู้ช่วยและบอดี้การ์ดหลายคนที่อยู่ข้างๆมองอย่างตกตะลึง แน่นอนว่าความอ่อนโยนสามารถเอาชนะความแข็งแกร่งได้จริงๆ

หลังจากผู้ช่วยนำโม่หานส่งกลับบ้านแล้ว มู่เฉียวก็ไปต้มซุปของให้เขา ด้านนอกหนาวขนาดนั้น เธอกลัวว่าเขาจะหนาวตาย

โชคดีที่โม่หาน”เชื่อฟัง”อย่างมากหลังจากที่เมาเหล้า ดื่มไปทีแรกเขาก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย คาดว่าน่าจะเผ็ด มู่เฉียวเห็นเขาหลับตา จากนั้นก็ดื่มรวดเดียวจนหมดถ้วย

นำผ้าขนหนูมาเช็ดตัวให้เขา หลังจากทำเสร็จ เวลาก็เกือบจะตีห้าแล้ว

มู่เฉียวห่มผ้าให้เขาแล้วกลับไปที่ห้องของตนเอง

เพิ่งจะจัดการตนเองเสร็จก็ได้ยินเสียงไอของพ่อ พ่อตื่น 6 โมงทุกวัน เธอก็รู้ดี “เฉียวเอ๋อ คุณตื่นแล้วเหรอ?”

มู่เฉียวมองดูตัวเอง ก็พบว่าไม่มีอะไรผิดปกติ จึงเปิดประตู “พ่อ”

“ทำไมคุณตื่นเช้าขนาดนี่ล่ะ?”

“ฉันนอนไม่หลับ ก็เลยตื่นขึ้นมา” มู่เฉียวใจฝ่อเล็กน้อย

“ยังเช้าอยู่เลย ไปนอนอีกสักพักเถอะ ฉันจะออกไปเดินหน่อย แล้วจะถือโอกาสนำอาหารเช้ามาให้คุณด้วย”

“โอเค พ่อ”

ได้ยินเสียงปิดประตู มู่เฉียวก็ถอนหายใจโล่งอก

เธอเป็นห่วงโม่หานที่เมาเหล้า ดังนั้น หลังจากผ่านไปครู่หนึ่งแล้ว คิดว่าพ่อน่าจะลงชั้นล่างไปแล้ว เธอจึงรีบย่องไปเปิดประตู เตรียมจะไปดูโม่หาน

ห้องของโม่หาน ต้องใช้รหัสผ่าน พอเธอป้อนรหัสผ่านเข้าไป เท้าเหยียบเข้าไปข้างหนึ่ง

เสียงของพ่อก็ดังเข้ามาจากด้านหลัง “เฉียวเอ๋อ”

มู่เฉียวอ้าปากค้าง หลับตา เธอสูดลมหายใจเข้า ปิดประตูกลับมาอีกครั้ง หันไปมองพ่อที่ยืนอยู่หน้าประตูบันไดฉุกเฉิน แล้วกล่าวถามอย่างใจเย็นว่า “พ่อ คุณ คุณยังไม่ออกไปเหรอ?”

พ่อมู่เดินเข้ามาสองสามก้าว จ้องมองเธอ แล้วเอ่ยปากว่า “เปิดประตู”

“พ่อ”

มู่เฉียวส่ายหน้า ด้วยอาการทางร่างกายของพ่อ เธอไม่กล้าที่กระตุ้นเขาจริงๆ

“เปิดประตู”

“พ่อ พวกเรากลับห้องกันก่อน ฉันเคยเล่าเรื่องราวให้คุณฟัง คุณค่อยตัดสินใจว่า ได้หรือไม่? หัวใจของคุณ……”

“คุณยังจำได้เหรอว่าหัวใจของฉันมีปัญหา?” เสียงของพ่อดังขึ้นมาในทันใด

มู่เฉียวรีบเดินเข้ามา ดึงมือของพ่อ “พ่อ คุณอย่าโมโหเลยนะ พวกเรากลับห้อง กลับห้องกัน ฉันจะบอกกับคุณทุกอย่าง คุณอย่าตื่นเต้นไปเลยนะ ได้ไหม?”

เวลานี้ ประตูเปิดออก แม่ขยี้ๆตา “ฉันอยู่ด้านในได้ยินเสียงของคุณ นี่เป็นอะไรไปอีก?” หันหน้ากลับมา เห็นมู่เฉียวสวมชุดนอนอยู่ “เฉียวเอ๋อ ทำไมวันนี้คุณตื่นเร็วขนาดนี้ล่ะ?”

มู่เฉียวกัดริมฝีปาก ทันทีก็รู้สึกปวดหัวเล็กน้อย เดิมที เธอคิดว่าจะรอให้เรื่องราวของโม่หานได้รับการแก้ไขก่อน แล้วค่อยๆทำงานตามอุดมคติของพ่อแม่ ความบังเอิญนี้ ทำให้เธอจับได้โดยตรง เธอมองพ่อของเธอ รู้สึกว่า เมื่อกี้เหมือนกับว่าเขาจงใจล่อให้เธอออกมา “แม่ พาเขาเข้าไปก่อนเถอะ คุณอย่าให้เขาตื่นเต้นเกินไป แล้วฉันจะเล่าให้พวกคุณฟังทุกอย่าง”

ในที่สุด แม่ก็สามารถทำได้ดีกว่า และในที่สุดพ่อก็ถูกเกลี้ยกล่อมโดยใช้ทั้งมิตรภาพและอำนาจ

ตอนเช้า6โมงครึ่ง ท้องฟ้าเพิ่งจะเริ่มสว่าง

“ที่อยู่ด้านใน คือโม่หานใช่ไหม?” เสียงของพ่อเบาอย่างมาก แต่มู่เฉียวฟังออกว่า เขาโกรธอย่างมาก

ทางด้านของแม่ก็ขมวดคิ้ว นั่งลงข้างๆมู่เฉียว “เฉียวเอ๋อ คุณบอกแม่มาซิว่า สองสามวันก่อนที่คุณไม่กลับบ้าน ไปอยู่ด้วยกันใช่ไหม?”

มู่เฉียวพยักหน้า ทันทีก็มองไปยังพ่อ “พ่อ คุณ…..คุณอย่าตื่นเต้นไปนะ คุณค่อยๆฟังฉันพูดก่อน”

จากนั้น มู่เฉียวก็เล่าเรื่องของโม่หานตั้งแต่เมืองB จนกระทั่งกลับมาเมืองAอีกครั้ง เรื่องราวของคนทั้งสองที่ผ่านมา และการกระทำทั้งหมดของโม่หาน เล่าให้ผู้อาวุโสทั้งสองฟัง รวมทั้งเมื่อปีนั้น ที่เขาตายแล้วฟื้นขึ้นมาใหม่อีกครั้ง

เมื่อเล่าจบ ท้องฟ้าก็สว่างแล้ว แสงแดดสาดส่องเข้ามาในชั้นล่างของบ้าน มู่เฉียวพ่นลมหายใจออกมาอย่างแรง

แม่เคาะที่หน้าผากของเธอเล็กน้อย “คุณ….เฉียวเอ๋อ ทำไมคุณทำอะไร แล้วไม่ปรึกษาหารือกับพวกเราเลยล่ะ? หรือว่าคุณยังไม่เข้าใจ? คุณแต่งงาน คุณก็ไม่ใช่แค่แต่งงานกับโม่หาน ถึงแม้จะเป็นอย่างที่คุณบอก ว่าเขาชอบคุณ แต่แม่ของเขาล่ะ? แม่ของเขานั้น ถ้าไม่ยอมรับคุณ เรื่องราวในตอนแรกนั้น ไม่แน่ว่าอาจจะเกิดขึ้นอีกครั้ง”

พ่อมองๆแม่ ในสายตาแสดงความเห็นด้วย

มู่เฉียวก้มหน้า เธอจะไม่เคยคิดถึงปัญหานี้เลย ปีนั้นไร้เดียงสาเกินไป ขณะนี้ เธอเข้าใจแล้ว การแต่งงานไม่ใช่แค่เรื่องส่วนตัว เธอเข้าใจแล้ว ถึงสาเหตุที่พ่อแม่อยากให้เธอแต่งงานกับคนที่คู่ควรกันมาโดยตลอด

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง แม่ของโม่หานยังเป็นคนแบบนั้น เรื่องเหล่านี้ที่แม่บอก ไม่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้

“อย่างนั้นก็รอให้แม่ของเขารับได้ก่อน แล้วค่อยแต่งงาน”

พ่อลุกขึ้นยืน ชี้หน้ามู่เฉียว “คุณนี่มันไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตาจริงๆ!”

มู่เฉียวไม่กล้าเผชิญหน้ากับพ่อ “พ่อ คุณวางใจได้ ครั้งนี้ฉันจะไม่ตัดสินใจโดยพลการอีก ถ้าแม่ของเขาไม่ยอมรับฉัน ฉันก็จะไม่แต่งโดยเด็ดขาด”

พ่อถอนหายใจเบาๆ คำพูดที่อยู่ในปาก ต้องกลืนกลับไปอีกครั้ง ทำท่าทีลังเลใจ จากนั้นก็ชี้ไปที่แม่ “คุณพูดซิ”

ในตอนเช้าก็เอาบะหมี่กับเกี๊ยวที่แม่ห่อไว้มาจากบ้าน มู่เฉียวทำบะหมี่ชามหนึ่งให้โม่หานด้วยวัตถุดิบง่ายๆ

ถึงแม้ว่าจะมีเครื่องใช้ในครัวทุกชนิด แต่ก็เป็นของใหม่ทั้งหมด เธอจึงทำอยู่นาน เมื่อบะหมี่อยู่ในหม้อ ชายคนนั้นก็กอดเธอจากด้านหลัง กลิ่นตัวจางๆผสมกับเจลอาบน้ำหอมสดชื่น ความสุขก็เกิดขึ้นเองโดยธรรมชาติ

นี่อาจจะเป็นชีวิตแต่งงานที่เธอต้องการ

“ไปนั่งเถอะ ฉันตักมันขึ้นมาก็ใช้ได้แล้ว”

“โอเค”

เมื่อโม่หานกินบะหมี่แล้ว มู่เฉียวไปที่ห้องก็เห็นมู่เสี่ยวโยว ก็ประหลาดใจเล็กน้อย คาดไม่ถึงว่าเธอจะไม่แปลกที่นอน ตอนนั้นที่เธอกลับมาจากเมืองB เธอแทบจะร้องไห้ทุกคืน แปลกที่นอน แล้วก็แปลกที่

ตอนเย็นส่งข้อความไปบอกพ่อตอนว่า จะพามู่เสี่ยวโยวมานอนที่บ้านเพื่อน ไม่ได้กลับไป

ก็เลยตรงไปที่ห้องอาบน้ำ เพราะเคยมาหลายครั้งแล้ว มู่เฉียวจึงเตรียมเสื้อผ้ามาไว้ที่นี่

เมื่ออาบน้ำเสร็จออกมา โม่หานก็ยุ่งอยู่กับคอมพิวเตอร์ที่ห้องหนังสือ มู่เฉียวจึงเดินไปกอดคอของเขา แต่พบว่าเขากำลังค้นหา”โรคมะเร็งที่ไตอยู่”

หัวใจเธอจมลงไปในชั่วพริบตา สีหน้าเธอหม่นหมอง “โม่หาน คุณค้นหาสิ่งนี้ทำไม?”

โม่หานหันมา ก็เห็นสีหน้าแววตาที่เปลี่ยนไปของเธอ ดึงมือเธอมาจูบ “ไม่ใช่ฉัน เป็นเขา”

เขา? มู่เฉียวตกตะลึง แล้วก็ได้สติกลับมา คือพ่อของเขาเหรอ

เธอปิดปาก ชั่วขณะก็เข้าความหมายที่โม่หายพูดก่อนหน้านี้ ว่าหมายความว่าอะไร

“พ่อคุณเป็นมะเร็งที่ไตระยะสุดท้ายแล้ว มันทำให้ปวดเอว ปัสสาวะเป็นเลือดต่างๆนานา ถ้าครอบครัวคุณไม่พูดโน้มน้าวให้เข้ารักษาในโรงพยาบาล เกรงว่ามันจะยิ่งรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ”

คำพูดของหมอดังก้องอยู่ในหูของโม่หาน

“กรรมตามสนอง” หลังจากโม่หานพูดสี่คำนี้ ก็ปิดคอมพิวเตอร์

กังวลว่ามู่เสี่ยวโยวจะตื่นมาในตอนกลางคืน มู่เฉียวจึงนอนเตียงเดียวกันกับมู่เสี่ยวโยว

ในความสะลึมสะลือ เธอรู้สึกว่าเตียงข้างๆจมลง แล้วมีมือใหญ่มาจับที่เอวเธอ

นี่เป็นคืนที่สำคัญคืนหนึ่ง สำหรับครอบครัวทั้งสามคนนี้ ก็เป็นการเริ่มต้นที่มีความสุข

เมื่อมู่เฉียวตื่นมาในตอนเช้า โม่หานก็ไม่ได้อยู่ข้างๆแล้ว เธอลุกขึ้นไปที่ห้องรับแขก ก็ไม่เจอโม่หาน จึงส่งข้อความหาเขา

เห็นว่าข้อความไม่ได้ตอบกลับเลย เธอก็ไม่สบายใจเล็กน้อย

จึงไปเรียกมู่เสี่ยวโยวให้ตื่น ไปโรงเรียนอนุบาล

“แม่ ฉันไม่ดูคุณปู่ทวดก่อนได้ไหม ดูเสร็จแล้ว ฉันค่อยไปโรงเรียน ดีไหม?”

เด็กมีความกตัญญูกตเวทีแบบนี้หายาก แน่นอนว่ามู่เฉียวไม่ได้ปฏิเสธ

โบกรถแล้วก็ตรงไปที่โรงพยาบาล

ระหว่างทางเธอก็โทรไปหาโม่หาน แต่ก็ไม่มีคนรับสาย เมื่อมาถึงชั้นล่าง ก็รออยู่สักพัก แม้ว่าเธอจะมีอิสระที่จะเข้างาน แต่ว่าสายเกินไปก็ไม่ดีนัก “เสี่ยวโยว จำได้ไหมว่าคุณปู่ทวดอยู่ห้องไหน?”

มู่เสี่ยวโยวคิดๆแล้ว “เหมือนจะรู้นะ แม่  เพียงแต่ห้องผู้ป่วยที่นายท่านโม่อยู่เป็นชั้นVIP คนปกติจะไม่ให้เข้าไป แต่ว่าพยาบาลจำมู่เสี่ยวโยวได้ “เด็กน้อย คุณมาเยี่ยมคุณทวดของคุณเหรอ?”

มู่เสี่ยวโยวพยักหน้า

พยาบาลก้มหน้าลง มู่เฉียวเห็นว่าเธอชะงักเล็กน้อย ดูเหมือนว่าเธอรู้อะไรบางอย่างโดยจิตใต้สำนึก

กอดมู่เสี่ยวโยว “เสี่ยวโยว คุณทวดน่าจะหลับอยู่ เช่นนั้นเราไปโรงเรียนกันก่อน หลังจากคุณเลิกเรียน ฉันค่อยพาคุณมา ได้ไหม?”

“แม่ แต่ว่าฉันอยากเจอคุณทวด” มู่เสี่ยวโยวยังคงยืนหยัด

“คุณนายโม่ คุณเข้าใจผิดแล้ว ฉันหมายถึง นายท่านโม่ออกจากโรงพยาบาลไปแล้ว”

ถูกเรียกว่าคุณนายโม่ มู่เฉียวรู้สึกเขินอายเล็กน้อย ใบหน้าที่ขาวหมดจดของเธอ กลับแดงระเรื่อ พอคิดที่จะเอ่ยปาก จู่ๆมือถือก็ดังขึ้น

มองดูแล้ว คือโม่หาน

“คุณอยู่ที่ไหน?”

“โรงพยาบาล”

“เสี่ยวโยวอยู่ด้วยกันกับคุณเหรอ?”

“อื้ม”

“โอเค พวกคุณมารอฉันหน้าประตูโรงพยาบาลนะ ฉันจะเข้าไปรับพวกคุณ”

เมื่อโม่หานเข้ามา ก็เห็นมู่เฉียวจูงมู่เสี่ยวโยวยืนอยู่หน้าโรงพยาบาล ลมค่อนข้างแรง พัดผมของคนทั้งสองกระจาย แต่ด้วยผมที่ยาวโดดเด่น ดึงดูดคนจำนวนไม่น้อยให้หันมามอง

“แม่ พ่อมาแล้ว”

มู่เฉียวพยักหน้า จูงมู่เสี่ยวโยว เดินไปยังตำแหน่งที่รถของโม่หานจอดอยู่

“มู่เฉียว คุณปู่ไม่ไหวแล้ว คุณหมอบอกว่า อาจจะแค่สองวันนี้ เขาอยากเจอคุณสักครั้ง”

ชัดเจนว่า กับคำขอร้องนี้ มู่เฉียวค่อนข้างแปลกใจ

เพียงแต่ คนจะตายแล้ว จะให้คิดเล็กคิดน้อยเรื่องในอดีตอีก เธอก็คิดว่ามันเกินไปหน่อย

จึงพยักหน้า

เมื่อมาถึงตระกูลโม่ โม่หานก็อุ้มลูกไว้ในมือ มู่เฉียวจูงมือของเขา เห็นคุณนายโม่ยืนอยู่หน้าประตูไกลๆ

เห็นครอบครัวพวกเขาเข้ามา สีหน้าก็ค่อนข้างไม่พอใจ

มู่เฉียวไม่เคยคาดคิดว่า จะยังมีโอกาสเข้ามาในสถานที่แห่งนี้อีกครั้ง ทุกสิ่งทุกอย่างโดยรอบยังคงคุ้นตา กวาดสายตาไปมองคุณป้าที่อยู่ที่ลานบ้านพยักหน้าให้เธอ สีหน้าก็แสดงความประหลาดใจ

เธอมองคุณนายโม่ แต่ไม่ได้มองนานสักเท่าไร แล้วก็มองไปยังในห้อง นายท่านโม่นั่งอยู่บนรถเข็น สีหน้าของเขาดูมีชีวิตชีวาไม่น้อย ไม่ได้เจอกันหลายปี ถึงแม้จะดูชราลงกว่าเมื่อก่อนไม่น้อย แต่กับที่โม่หานบอกว่าจะมีชีวิตอยู่ได้แค่สองวัน มันช่างแตกต่างกันอย่างมาก

เธอมองโม่หานด้วยความหมายที่ลึกซึ้ง

“เสี่ยวเฉียวมาแล้วเหรอ?” น้ำเสียงของนายท่านโม่เรียบเฉยอย่างมาก ราวกับเรื่องราวเมื่อหลายปีมานี้เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน

มู่เฉียวนิ่งอึ้งไปเล็กน้อย จากนั้น เธอก็เม้มริมฝีปาก แล้วรับมู่เสี่ยวโยวมาจากในมือโม่หาน วางลงกับพื้น จูงมือของเธอ แล้วเดินไปยังข้างๆนายท่านโม่

“เสี่ยวโยวอยากเจอท่าน” เธอไม่ได้เรียกคุณปู่ บางที ใจของเธอก็ไม่ได้กว้างขนาดนั้น

“คุณทวด คุณหายป่วยแล้วเหรอ?” มู่เสี่ยวโยวปล่อยมือมู่เฉียว แล้วเดินไปข้างๆนายท่านโม่ มองพิจารณาเขาอย่างละเอียด

“หานแล้ว อ้อ ใช่แล้ว……” นายท่านโม่ ยื่นมือไปยังคนที่อยู่ด้านหลัง

พอดีคุณนายนายท่านโม่กำลังเดินลงบันไดมา ในมือถือถุงพลาสติกลายการ์ตูนถุงหนึ่ง

เห็นมู่เฉียว บนใบหน้าก็เต็มไปด้วยรอยยิ้ม “เสี่ยวเฉียว คุณกลับมาแล้ว”

มู่เฉียวพยักหน้า

นายท่านโม่รับถุงจากในมือของคุณนายนายท่านโม่มาวางลงที่ขา เปิดถุงออก “เสี่ยวโยว คุณดูสิ นี่คือสติกเกอร์อุลตร้าแมนที่ก่อนหน้านี้คุณให้ปู่ทวดซื้อให้คุณ ฉันกับย่าทวดของคุณวิ่งหาอยู่หลายที่เลย กว่าจะหาเจอ คุณลองดูซิว่า ใช่ไหม?”

มู่เสี่ยวโยวแสดงสีหน้าดีใจ ก้มลงไปมอง “ว้าว คุณทวด อันนี้แหละ ดีมากเลย”

เด็กแสดงความดีใจ เขย่งเท้าขึ้นแล้วไปหอมแก้มนายท่านโม่

“ขอบคุณค่ะคุณปู่ทวด คุณย่าทวด”

“คุณทวด คุณอุ้มฉันหน่อยได้ไหม?”

“เสี่ยวโยว” มู่เฉียวกังวลใจ ดึงมู่เสี่ยวโยวเล็กน้อย

แต่นายท่านโม่ ยื่นมือไปขวางมู่เฉียวเอาไว้ “ไม่เป็นไร” จากนั้นก็ชี้โม่หาน “คุณอุ้มเสี่ยวโยวมาวางบนขาฉันหน่อย”

ต่อมา….

หลังจากนายท่านโม่อุ้มมู่เสี่ยวโยวเสร็จ โม่หานก็คิดว่าเขาคงจะเหนื่อยเกินไป พอรับมู่เสี่ยวโยวมา ทันใดนั้นนายท่านเฟิงก็เสียชีวิต

“คุณมาได้อย่างไร?” โม่หานเอ่ยถาม

คุณนายโม่เห็นเช่นนั้นก็ลุกขึ้น เดินไปตรงหน้าประตู จูงมือของเหอเจี๋ย “เสี่ยวเจี๋ยมาแล้ว รีบเข้ามาสิ” หันกลับไปมองโม่หาน “ฉันให้เสี่ยวเจี๋ยมาเองแหละ”

โม่หานสีหน้าเคร่งขรึม ไม่พูดอะไร

เหอเจี๋ยเดินมาข้างเตียง อยากจะทักทายนายท่าน แต่ปรากฏว่าเขาหลับตาอยู่ไม่ได้มองเธอเลย ชั่วขณะก็ทำอะไรไม่ถูกเล็กน้อย

“พ่อ เธอเป็นใคร?”

มู่เสี่ยวโยวชี้ไปที่เหอเจี๋ย แต่มองโม่หาน

ชั่วพริบตาทุกๆคนก็เงียบไป

สายตาเหอเจี๋ยมองอยู่ที่มู่เสี่ยวโยว เด็กคนนี้กับโม่หานหน้าตาคล้ายกันมากจริงๆ ดังนั้นแทบไม่ต้องสงสัยเลย เธอคือลูกของโม่หาน แต่เมื่อนึกถึงก่อนหน้านี้ คุณนายโม่บอกกับตนเองว่า เด็กคนนี้เป็นลูกของมู่เฉียวกับผู้ชายคนอื่น

เธอคิดว่ามันน่าตลก ความสัมพันธ์นี้ดีจริงๆเลย เธอยังไม่ทันได้แต่งงาน ก็จะต้องเป็นแม่เลี้ยงซะแล้วเหรอ?

“เธอคือคนที่กำลังจะแต่งงานกับพ่อของคุณ” คุณนายโม่พูดออกมา

โม่หานขมวดคิ้วทันที “แม่ ต่อหน้าเด็กตัวเล็กๆ คุณพูดสิ่งเหล่านี้ทำไม?”

จากนั้นเขาก็พูดกับเหอเจี๋ยด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ “คุณไปเถอะ ที่นี่ไม่ใช่เรื่องของคุณ”

“คุณโกหก ฉันมีแม่ พ่อฉันจะไม่หาแม่เลี้ยงให้ฉันหรอก”

“ไม่เลว การตอบสนองค่อนข้างเร็ว” หานฉุนยืนอยู่ข้างหน้าต่างเลิกคิ้วพูด

โม่หานถลึงตาใส่เขา เขาก็กลอกตากลับ แล้วมองออกไปนอกหน้าต่าง

“โม่หาน……”

“คุณย่า คุณช่วยดูเสี่ยวโยวให้หน่อย ฉันจะออกไปคุยกับเธอ” พูดจบ ก็ลูบหัวเสี่ยวโยว มองเหอเจี๋ย “ออกไปกันเถอะ”

บนดาดฟ้าของโรงพยาบาล

“เหอเจี๋ย เรายกเลิกการแต่งงานเถอะ มีเงื่อนไขอะไร ขอแค่คุณบอกมา” โม่หานพูดอย่างตรงไปตรงมา

เห็นได้ชัดว่าเหอเจี๋ยประหลาดใจเล็กน้อย เธอคิดอยู่แล้วว่าโม่หานจะต้องเอ่ยกับเธอเรื่องยกเลิกการแต่งงาน แต่ไม่คาดคิดว่า เขาจะเอ่ยออกมาในตอนนี้

“โม่หาน คุณได้ประโยชน์แล้วก็ถีบหัวส่งเหรอ?”

โม่หานหยิบบุหรี่ออกมาจุดหนึ่งมวน ระหว่างที่พ่นควันออกมา สีหน้าเขาก็ไม่ได้ผิดแปลกไปมากนัก “คุณไม่ยกเลิกก็ได้ รอให้ข่าวเสนอเรื่องเหล่านั้นของคุณออกมา แล้วพ่อของคุณบอกยกเลิกด้วยปากของตัวเอง ฉันก็ไม่ถือสาอะไร”

สีหน้าเหอเจี๋ยเปลี่ยนไปในทันที เธอบังคับให้ใจเย็นลง “คุณ……คุณพูดอะไร ฉันไม่เข้าใจ โม่หาน นี่คุณคิดจะถีบหัวส่งเหรอ มันต่ำทรามเกินไปแล้วนะ”

ชายคนนั้นพิงอยู่กับราวจับ สองนิ้วคีบบุหรี่ ดีดขี้บุหรี่ออกเบาๆ แล้วจึงพูดว่า “เรื่องระหว่างคุณกับเทรนเนอร์คนนั้น ฉันคิดว่า พ่อคุณน่าจะสนใจที่จะฟังนะว่าไหม?”

พูดจบก็กดเบอร์โทรหาพ่อเหอต่อหน้าเหอเจี๋ย เหอเจี๋ยเห็นเช่นนั้น ก็ตะลีตะลานเดินเข้าไป แย่งโทรศัพท์จากในมือของโม่หาน แล้วกดวางสาย

โม่หานยิ้ม ฉันคิดว่าผลลัพธ์จะไม่เป็นที่น่าพอใจของคุณอย่างแน่นอน”

เหอเจี๋ยไหล่ตก ปิดหน้าของตนเอง “คุณรู้จักเขาได้อย่างไร?”

โม่หานยืนตัวตรง “เคยทำเรื่องไม่ดีไว้ อย่างไรเสียก็ต้องปรากฏขึ้นในสักวัน” พูดจบก็เดินไปที่ทางลงบันได

มองภาพด้านหลังของเขา จู่ๆเหอเจี๋ยก็นึกอะไรขึ้นได้ เธอหลับตา แล้วถามว่า : “โม่หาน มันคือหลุมพรางแผนการของคุณใช่ไหม ใช่ไหม?”

โรคฮิสทีเรียของเธอ ทำให้โม่หานหยุดฝีเท้าลง เขาไม่ได้หันกลับไป แค่เทรนเนอร์คนเดียวก็เท่านั้น คุณต้องเชื่อว่าตนเองยังมีต้นทุนอยู่”

เหอเจี๋ยถอดรองเท้าส้นสูงของตนเอง แล้วโยนไปที่ทางลงบันได จากนั้นคนก็ยังลงกับพื้น ดึงผมตนเองอย่างบ้าคลั่ง

เมื่อโม่หานกำลังเดินมาที่ห้องผู้ป่วย จากหางตาก็เห็นเงาคนคนหนึ่งเดินขึ้นบันไดไป

เขาจับราวบันไดแล้วมองไป ก็เห็นชายคนนั้นสวมหมวกแก๊ปเดินไปที่ชั้นสองของแผนกโรคมะเร็ง

เขาขมวดคิ้ว

“คุณสามารถโล่งอกได้ทันทีเลยเหรอ?” น้ำเสียงของหานฉุนดังเข้ามาจากด้านหลัง บนหน้าผากมีเหงื่อซึมออกมา สายตาของเขาก็มองลงไปชั้นล่างเหมือนกัน

“หมายความว่าอะไร?”

หานฉุนร้องเชอะอย่างเย็นชา สายตาลึกลับ แต่ไม่ได้ตอบคำถามของเขา “ไปเถอะ เด็กคนนั้นรอคุณแล้วล่ะ!”

เมื่อพวกเขากลับมา นายท่านโม่ก็หลับไปแล้ว

มู่เสี่ยวโยวเห็นโม่หานกลับมา ก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้ “พ่อ”

“คุณย่า….คุณปู่เขา….”

“เพิ่งหลับไป”

โม่หานถอนหายใจโล่งอก

“เอาลูกกลับไปเถอะ ดึกแล้ว อากาศที่โรงพยาบาลก็ไม่ดี”

มู่เฉียวเดินเล่นเรื่อยเปื่อยอยู่ด้านนอก จนกระทั่งมาถึงทางเข้าโรงพยาบาล ร่างกายของนายท่านโม่ไม่ดี ถึงแม้เธอจะไม่ได้ถามมาก แต่ในใจก็กระวนกระวายไม่น้อย แล้วก็สงสารโม่หาน นี้เป็นความทุกข์ยากซ้ำซ้อนที่ต้องเผชิญจริงๆ เรื่องราวมากมาย ถาโถมเข้ามาพร้อมกัน เธอเป็นห่วงเขา

เมื่อเห็นโม่หานจูงมู่เสี่ยวโยวออกมา เธอจึงเดินเข้าไปหา

“แม่”

มู่เฉียวพยักหน้า เห็นเสี่ยวโยวขอบตาแดงๆ เธอจึงเม้มปากเล็กน้อย มองโม่หาน “ไม่เป็นไรใช่ไหม?”

โม่หานพยักหน้า “ไปกันเถอะ ฉันจะไปส่งพวกคุณ”

“นี่ที่ ไม่ต้องการคนอยู่เหรอ?”

“ส่งพวกคุณกลับไปก่อน ดึกๆฉันค่อยเข้ามา”

“ไม่ต้องลำบากขนาดนั้นหรอก ดึกขนาดนี้แล้ว อย่าให้ตนเองเหนื่อยเกินไปเลย คุณเข้าไปเถอะ ฉันกับเสี่ยวโยวนั่งรถกลับเองได้”

มู่เฉียวยังไม่ทันพูดจบ โม่หานก็ก้มตัวลง อุ้มเสี่ยวโยวขึ้นมามือเดียว แล้วยื่นอีกมือหนึ่งไปจูงเธอ

เข้าไปนั่งเบาะด้านหลังกับมู่เสี่ยวโยวแล้ว โม่หานจึงออกรถ

เมื่อเดินทางมาได้ครึ่งทาง มู่เสี่ยวโยวก็หลับไปแล้ว โม่หานถอดเสื้อสูทของตัวเองออกแล้วส่งให้มู่เฉียว “คลุมให้เธอหน่อย” แล้วก็ปรับอุณหภูมิในรถให้สูงขึ้น

“โม่หาน คุณไม่เป็นไรใช่ไหม?”

พอดีติดไฟแดง โม่หานจึงหันมามองมู่เฉียว “ไม่เป็นไร บางที ทุกอย่างก็อาจจะใกล้จบลงแล้ว”

“เขา หาตัวเจอแล้วเหรอ?” มู่เฉียวแปลกใจ

“ไม่ต้องหา ก็คงไม่ต่างกันหรอก”

มู่เฉียวมองโม่หาน ถึงแม้ว่าเธอจะไม่เข้าใจความหมายในคำพูดของเขา แต่ในเมื่อ เขาไม่พูด เธอก็ไม่อยากถาม เพียงแต่สีหน้าของเขาดูแย่มาก พูดตามเหตุผลแล้ว ถ้าใกล้จบสิ้นแล้วจริงๆ เวลานี้ เขาก็ควรจะโล่งอกสิ

เธอยืนมือออกมาจากที่นั่งด้านหลัง กุมมือของโม่หาน “โม่หาน พวกเราอยู่ข้างๆคุณตลอดนะ”

“อื้ม”

หลังจากรถจอดดีแล้ว โม่หานก็เปิดประตูให้เธอ อุ้มมู่เสี่ยวโยวจากในอ้อมกอดเธอ

จากนั้น ก็เดินไปยังลิฟต์

พอถึงหน้าประตู โม่หานก็อุ้มมู่เสี่ยวโยวเจ้าไปในห้องของเขา วางลงบนเตียงเบาๆ ถอดรองเท้าและเสื้อคลุมกันหนาวให้เธอ ปฏิบัติอย่างอ่อนโยน

มู่เฉียวไม่คัดค้าน พิงที่ประตู มองโม่หาน

โม่หานที่เป็นแบบนี้ ดูไม่คุ้นเคย แต่ทำให้เธอรู้สึกอบอุ่นอย่างมาก

หลังจากห่มผ้าให้มู่เสี่ยวโยวเสร็จแล้ว โม่หานจึงเดินไปข้างๆเธอ โอบกอดมู่เฉียว ก้มลงเล็กน้อย แล้วจูบที่บนหน้าผากของเธอ “ฉันต้องขอโทษด้วยนะ ที่ทำให้คุณเป็นห่วงมาโดยตลอด”

มู่เฉียวส่ายหน้า “ที่โรงพยาบาลมีหานฉุนและพวกเขาอยู่ คุณไปอาบน้ำด้านในก่อนสิ ฉันจะทำอะไรให้คุณทานสักหน่อย”

“ทาน?” โม่หานขมวดคิ้ว แล้วจึงพบว่าห้องที่เดิมทียุ่งเหยิง ถูกจัดให้เป็นระเบียบแล้ว

“คุณมาทำความสะอาดเหรอ?”

“จะใครล่ะ?” มู่เฉียวดันเขาออก “รีบไปอาบน้ำเถอะ”

คุณย่าได้ยินก็มองโม่หาน ในแววตามีการอ้อนวอน “โม่หาน”

“ฉันจะพาเสี่ยวโยวมานะ ส่วนมู่เฉียวคนนั้น คุณย่า สถานการณ์ตอนนี้ ยังไม่เหมาะสม”

สีหน้าคุณนายนายท่านโม่ดูผิดหวังเล็กน้อย

คุณนายโม่เดินเข้าไปคว้าแขนของโม่หาน “ลูก คุณยังติดต่อกับผู้หญิงคนนั้นอยู่อีกเหรอ? เธอเป็นตัวซวย คุณดูสิตั้งแต่ได้พบเธอ ตระกูลของเรา……”

“แม่” โม่หานพูดตัดบทคุณนายโม่ด้วยน้ำเสียงเย็นชา แล้วพูดต่อว่า “แม่ ต่อไปฉันหวังว่าจะไม่ได้ยินคุณพูดถึงเธออย่างนี้อีกนะ”

คุณนายโม่ยิ่งร้องไห้เสียใจหนักขึ้น

“คาดไม่ถึงว่าคุณจะใจร้ายกับฉัน ฉันเลี้ยงดูคุณมาจนโตขนาดนี้ มันง่ายเหรอ? คาดไม่ถึงเลยว่าจะใจร้ายกับฉัน……”

โม่หานปวดหัวเล็กน้อย ลูบๆหน้าผาก “แม่ คุณเลี้ยงดูฉันมาไม่ง่ายเลย ฉันรู้ แต่เสี่ยวโยวก็เป็นลูกของฉัน คุณเคยนึกถึงความรู้สึกของฉันบ้างไหม?”

คุณนายโม่หยุดร้องไห้ทันที เธอมองโม่หานอย่างไม่อยากจะเชื่อ “คุณ นี่คุณกำลังตำหนิฉันอยู่ใช่ไหม?”

คุณนายนายท่านโม่กระแอมเบาๆ ดึงแขนเสื้อของโม่หาน บอกใบ้ให้เขาอย่าพูดมาก โม่หานหยิบมือถือออกมา ส่งข้อความให้มู่เฉียว บอกเกี่ยวกับสถานการณ์ทางด้านนี้

ข้อความตอบกลับอย่างรวดเร็ว “โอเค ตอนบ่ายฉันจะไปรับเธอ จากนั้นก็จะเอาไปส่งคุณ”

“โม่หาน คุณส่งข้อความหามู่เฉียวใช่ไหม?”

ทุกคนต่างจับจ้องมาที่เขา โม่หานพูดว่า”อืม” และยืนตัวตรง “ตอนเย็นเธอจะเอาเสี่ยวโยวมาส่ง”

คุณนายนายท่านโม่เช็ดน้ำตา “ฉันรู้ว่าสายตาฉันไม่ได้แย่ แต่……ฉันยังคงทำร้ายเธอ เด็กคนนี้ช่างมีจิตใจดีงาม” พูดจบก็หันไปมองประตูห้องฉุกเฉินที่ปิดสนิท

มู่เฉียวโทรหาแม่ บอกว่าเย็นนี้จะพาเสี่ยวโยวไปเดินเล่น ตนเองจะไปเอง

แม่ก็ไม่ได้ถามมาก

“แม่ คุณจะพาฉันไปไหน?”

มู่เฉียวเห็นร้านผลไม้ข้างทาง หลังจากคิดๆดูแล้ว เธอก็เข้าไปซื้อกระเช้าผลไม้ มันไม่ได้แพงอะไร แต่มันก็เป็นน้ำใจ

เมื่อถึงชั้นล่างของโรงพยาบาล เธอก็โทรหาโม่หานแต่ไม่มีคนรับ

ยืนรออยู่ที่ชั้นล่างสักพัก โทรศัพท์จึงโทรหลับมา “มู่เฉียว คุณปู่เพิ่งจะฟื้น พวกคุณอยู่ไหนแล้ว?”

“ชั้นล่าง คุณลงมาเถอะ”

เมื่อโม่หานมาถึง มู่เฉียวก็นำกระเช้าผลไม้กับมู่เสี่ยวโยวส่งให้เขา และไม่ได้ถามอาการป่วยของนายท่านมากมาย

หลังจากกำชับมู่เสี่ยวโยวสองสามคำ เธอก็พยักหน้าให้โม่หาน “อย่างนั้น ฉันจะเดินอยู่แถวๆนี้นะ คุณเสร็จธุระแล้ว ก็โทรหาฉันได้เลย”

โม่หานอ้าปาก แต่ในที่สุดก็ไม่ได้พูดอะไร

คุณนายนายท่านโม่ยืนรออยู่นอกห้องผู้ป่วย

“คุณย่า……”

โม่หานขมวดคิ้ว รีบพูดแก้ว่า “เสี่ยวโยว ต้องเรียกคุณทวดนะ”

เสี่ยวโยวเงยหน้ามองโม่หาน “พ่อ ทำไมต้องเรียกคุณทวดล่ะ?”

สีหน้าคุณนายนายท่านโม่ทำอะไรไม่ถูกเล็กน้อย เธอก้มลงไปจูงมือมู่เสี่ยวโยว “ก็คือว่า เป็นย่าของพ่อไง”

มู่เสี่ยวโยวไม่ตอบสนองในทันที จู่ๆเธอก็คิดอะไรได้ มองโม่หาน “พ่อ เธอคือแม่ของแม่เหรอ?”

“เสี่ยวโยวฉลาดจริงๆ” หานเสว่เดินออกมาจากด้านใน โน้มตัวลง หยิกเบาๆที่แก้มของมู่เสี่ยวโยว

“คุณคือคุณอาของฉันใช่ไหม?”

หานเสว่แปลกใจเล็กน้อย “คุณ…..คุณรู้ได้อย่างไร?”

“แม่ของฉันบอกว่า ถ้าวันนี้เจอคนที่สวยเป็นพิเศษ ก็จะเป็นคุณอา คนที่หล่ออย่างมากก็จะเป็นคุณลุง แล้วก็….” เธอหันหน้ามองไปรอบๆ ยืดหน้าขึ้น ชี้คุณนายโม่ที่อยู่ในห้อง “แล้วก็คุณย่าที่ยังสาวสวย ให้เรียกคุณย่า”

คุณนายโม่ที่นั่งอยู่ข้างเตียงคุณพ่อ ได้ยินคำพูดของมู่เสี่ยวโยว มือของเธอที่ยกถ้วยชาอยู่ ก็สั่นเล็กน้อย อดกลั้นใบหน้าเอาไว้ไม่อยู่

“เสี่ยวโยว คุณนี่น่ารักจริงๆเลย” หานเสว่พูดพลาง เดินเข้าไปโอบเธอมาไว้ในอ้อมกอด “แล้ว แม่ของคุณยังพูดอะไรอีกไหม?”

เสี่ยวโยวคิดๆแล้ว เธอก็เม้มปากน้อยๆ “แม่บอกว่า คุณทวดไม่สบาย ให้ฉันพูดคุยกับเขาให้มากๆ ให้ฉันเล่าเรื่องตลกให้เขาฟัง แล้วก็บอกว่า…..ให้ฉันเชื่อฟังคุณพ่อ เพราะว่าพวกคุณล้วนเป็นญาติของฉัน”

เด็กอายุไม่กี่ขวบ แน่นอนว่าไม่สามารถโกหกได้ ทุกคนต่างก็เงียบไปในชั่วพริบตา

“เสี่ยวเฉียว สอนเธอได้ดีอย่างมาก” เธอไม่ได้บอกกับเด็กเรื่องที่ตระกูลโม่ทำไม่ดีกับเธอ แต่กลับสั่งสอนเด็กให้กตัญญู คุณนายนายท่านโม่ตบเบาๆที่มือของโม่หาน “โม่หาน เธอคู่ควรที่คุณจะทะนุถนอม”

โม่หานพยักหน้า ดึงมู่เสี่ยวโยวออกจากในมือของหานเสว่ “เสี่ยวโยว เราไปเยี่ยมคุณทวดกันเถอะ”

แต่หานเสว่ไม่ยอมปล่อยมือ “พี่ ฉันอุ้มไปก็เหมือนกันแหละ” มองออกว่า หานเสว่ชอบมู่เสี่ยวโยวมาก

มู่เสี่ยวโยวยืนอยู่ตรงหน้าเตียงของนายท่านโม่ เธอไม่ได้รังเกียจคนชรา กุมมือที่ไม่ได้ใส่สายน้ำเกลือของเขา “คุณทวด ที่แท้ คุณก็เป็นคุณทวดของฉัน คุณเป็นอะไรไป? คุณเคยบอกว่าจะพาเสี่ยวโยวไปเล่นไม่ใช่เหรอ? แล้วทำไมคุณถึงป่วยล่ะ? คุณลุกขึ้นมา ได้ไหม?”

เด็กช่างบริสุทธิ์ไร้เดียงสาจริงๆ ไม่พูดอ้อมค้อมเหมือนกับผู้ใหญ่ พูดได้ว่า พูดแล้วทุกคนก็ยากที่จะระงับไม่ให้น้ำตาไหลออกมา

นายท่านโม่ลืมตามองมู่เสี่ยวโยว ยิ้มมุมปาก “เสี่ยวโยว คุณมาแล้วเหรอ”

“คุณทวด แม่ฉันบอกว่าคุณป่วยหนักมาก คุณไม่สบายตรงไหนเหรอ? คุณทานยาอย่างสม่ำเสมอหรือเปล่า? ทุกครั้งที่ฉันไม่สบาย แม่จะให้ฉันทานยา เธอบอกว่ายารสขมแต่สามารถรักษาโรคได้ คุณทวด คุณก็ต้องทานยานะ ทานยาแล้ว คุณจะได้หาย” พูดพลาง เธอก็เขย่งปลายเท้า ทำท่าทางคลำหน้าผากของนายท่านโม่เล็กน้อย “คุณทวด คุณไม่ได้ตัวร้อนนะ คุณแกล้งป่วยใช่ไหม ตอนฉันไม่อยากไปโรงเรียน……อ้อ คุณไม่อยากไปทำงานแน่ๆเลย ใช่ไหม?”

คนที่รายล้อมอยู่ ต่างก็อึ้งกันไปในทันใด

นายท่านโม่อดไม่ได้ที่จะฉีกยิ้ม ยกมือขึ้น ลูบหัวของเธอเล็กน้อย “โรคนี้ของทวด กินยาก็ไม่มีประโยชน์หรอก ทวดแก่แล้ว คนแก่ ก็จะต้องป่วย”

มู่เสี่ยวโยวนิ่งอึ้งไปเล็กน้อย จากนั้น น้ำตาเธอก็เริ่มไหล เริ่มร้องไห้สะอึกสะอื้น

“เป็นอะไรไป ทำไมถึงร้องไห้?” ทุกคนต่างกระวนกระวายใจขึ้นมา

มู่เสี่ยวโยวร้องไห้อย่างเศร้าเสียใจ “คุณทวด ฉันไม่อยากให้คุณแก่ คุณยายบอกว่า คนแก่แล้ว ก็จะต้องตาย ฉันไม่อยากให้คุณตาย คุณทวด คุณบอกไม่ใช่เหรอว่า เพียงแค่เสี่ยวโยวเชื่อฟัง คุณก็จะอยู่เป็นเพื่อนฉันไปตลอดไม่ใช่เหรอ? ฉันเชื่อฟัง ฉันเชื่อฟังแล้วโอเคไหม?”

ความดีที่มีมาแต่กำเนิด ไม่ว่าระหว่างผู้ใหญ่จะบาดหมางกันอย่างไร แต่จิตใจของเด็กก็มีเมตตา

“เสี่ยวโยว มีใครไม่แก่บ้างล่ะ? คนแก่แล้ว ก็ต้องตาย นี่เป็นกฎของธรรมชาติ”

เสียงร้องไห้ของมู่เสี่ยวโยว ยิ่งดังขึ้น หันตัวกลับ กอดขาของโม่หาน “พ่อ แม่บอกว่าคุณเก่งมาก คุณช่วยคุณทวดหน่อยได้ไหม อย่าให้เขาตาย พ่อ…..คุณช่วยเขาหน่อย ได้ไหม? คุณช่วยเขาหน่อย”

โม่หานน้ำตาคลอเบ้า เขาก้มหน้ามองเด็กคนนั้นที่ร้องไห้จนตัวสั่น ก้มตัวลง แล้วอุ้มเธอมาไว้ในอ้อมกอด ไม่พูดจา

เสียงประตูเปิดเข้ามาจากด้านนอกดัง”โครม” เหอเจี๋ยยืนหน้าซีดอยู่หน้าประตู บนพื้นมีช่อดอกไม้ช่อหนึ่ง

มู่เฉียวอดไม่ได้ที่จะกลืนน้ำลาย เป็นธรรมดาที่เธอจะเข้าใจว่านี่หมายความว่าอะไร มันหมายความว่าเขายังคงมีอันตราย

“โม่หาน ถึงอย่างไรเขาก็คือพ่อของคุณ คุณอาจจะมีอะไรเข้าใจผิดหรือเปล่า?” อันที่จริงมู่เฉียวก็ไม่อยากจะเชื่อ ว่าพ่อคนหนึ่งจะไร้ความเมตตาปรานีได้ขนาดนี้

“เขาก็ไม่ใช่คนมานานแล้ว” โม่หานพูดจบ ก็นำมู่เฉียวเข้ามาไว้ในอ้อมกอด “ในสายตาเขามีแค่ผลประโยชน์ ไม่มีความรักให้กับครอบครัวเลย

มู่เฉียวไม่ได้พูดอะไรอีก เพราะไม่ได้ใกล้ชิดกัน มู่เฉียวนึกไม่ออกว่าจะมีพ่อแบบนี้ในโลกได้อย่างไร

เมื่อทั้งสองคนมาที่เมืองA โม่หานส่งเธอที่ชั้นล่าง มู่เฉียวกำลังจะลงจากรถ จู่ๆโม่หานก็ดึงแขนของเธอ

ในตาเขามู่เฉียวเห็นความกังวลใจ เธอจึงยิ้มพูดว่า “อย่ากังวลใจขนาดนั้นเลย ฉันไม่เป็นอะไรหรอก อีกอย่างเขาอาจจะคิดว่าเราเลิกกันแล้วก็ได้”

โม่หานพยักหน้า แต่ความกังวลในแววตากลับมากยิ่งขึ้น ด้วยความคิดที่รอบคอบของชายคนนั้น บางทีเขาอาจจะรู้ความสัมพันธ์ของตนเองกับมู่เฉียวแล้วก็ได้

กลับมาถึงบ้าน พ่อแม่ก็นั่งอยู่บนโซฟา เห็นเธอเข้ามาสีหน้าก็เคร่งขรึมลงอย่างมาก

“เมื่อคืนคุณไปไหนมา?” พ่อเอ่ยถามก่อนเลย

มู่เฉียวเม้มๆปาก แล้วเกาหัว “พ่อฉันไม่ใช่เด็กๆแล้วนะ ไม่กลับบ้านแค่วันเดียว เกี่ยวอะไรด้วยล่ะ?”

ใบหน้าแม่ดูมีความสุข เดินเข้ามา “เฉียวเอ๋อ หรือว่า……คุณมีความรักเหรอ?”

มู่เฉียวก้มหน้า ใบหน้าแดงขึ้นมา

“ผู้ชายคนนั้นทำงานอะไร? อายุเท่าไหร่ วงศ์ตระกูลเป็นอย่างไร? มีความชัดเจนหรือเปล่า?” พ่อถามเหตุผลมากมาย นำผักในมือโยนใส่ตะกร้าแล้วมองมู่เฉียว

“พ่อ แม่ เมื่อถึงโอกาสแล้ว ฉันจะพาเขามาเจอพวกคุณนะ” พูดจบก็เข้าไปในห้อง เปลี่ยนเสื้อผ้า เตรียมจะไปทำงาน

ที่คฤหาสน์ตระกูลโม่

“โม่หาน คุณไม่เป็นไรใช่ไหม?” ได้ยินว่าโม่หานกลับมา ผู้เฒ่าสองคนรออยู่ข้างนอกประตูมานานแล้ว สีหน้าของนายท่านโม่ ดูโหดเหี้ยมจนน่าตกใจ

โม่หานมองแม่ แล้วยิ้ม “ไม่เป็นไร”

“ทั้งหมดเป็นความผิดของคุณ ที่ไปรับสัตว์เดรัจฉานเข้ามาในบ้าน คาดไม่ถึงว่าจะลงมือกับลูกชายของตนเองได้ คุณยังพูดถึงเขาดีๆ คุณมันโง่หรือเปล่า?” นายท่านโม่ชี้หน้าด่าคุณนายโม่

คุณนายนายท่านโม่ตบๆหลังเขา “คุณอย่ากระตือรือร้นเกินไป หมอบอกไม่ใช่เหรอ ว่าอย่าเครียด”

“ไม่พูดไม่กล่าว โม่หานอยู่ในเงื้อมมือเขาจนเกือบเอาชีวิตไม่รอดตั้งหลายครั้ง จะไม่ให้พูดเลยเหรอ?” จู่ๆเสียงของนายท่านโม่ก็ดังขึ้น ทุกๆคนจึงไม่พูดอะไร

คุณนายโม่เงยหน้าขึ้นมองโม่หาน ด้วยแววตาที่ขอโทษอย่างสุดซึ้ง “ลูก แม่ไม่ดีเอง แม่ไม่รู้ว่า เขา……เขาจะเป็นคนอย่างนี้”

โม่หานมองเธอ อารมณ์ในแววตาสับสนยุ่งเหยิง “ฉันไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน”

“หานฉุนกับหานเสว่ล่ะ? โทรหาพวกเขาหรือยัง?” แม้ว่าเด็กทั้งสองจะไม่ได้เติบโตเคียงข้างกันมาตั้งแต่เด็กๆ แต่นายท่านทั้งสองยังคงมีความรู้สึกรักใคร่เอ็นดู

คุณนายโม่มองภาพด้านหลังของโม่หาน สีหน้าย่ำแย่เล็กน้อย เธอไม่ได้ตอบคำถามพ่อ แต่บ่นพึมพำว่า “ใกล้จะสิ้นสุดแล้ว ใกล้จะจบสิ้นแล้ว”

ทั้งสามคนหันไป ก็เห็นหานฉุนกับหานเสว่เดินเข้ามาด้านใน

“คุณปู่ คุณย่า แม่……”

“คุณปู่ คุณย่า แม่……”

“พวกคุณกลับมาได้อย่างไร?” คุณนายนายท่านโม่เดินเข้าไป แล้วเอ่ยถาม ดึงมือของหานเสว่ “เสว่เอ๋อ คุณอย่าเหนื่อยล้าเกินไปนะ หน้าคุณดูซูบๆไป”

หานเสว่ยิ้ม “คุณย่า ฉันเหมือนกับแม่นั่นแหละ แม่ สีหน้าคุณดูเหมือนไม่ค่อยสบายใจเลยนะ”

หานฉุนก็หันไปมองหน้าแม่ แววตายุ่งเหยิง “ได้ยินมาว่า พี่ชายเกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์ เป็นอะไรหรือเปล่า? ทำไมรถถึงได้เกิดอุบัติเหตุได้?”

“ต้องขอบคุณพ่อเลวๆคนนั้นของคุณไงล่ะ”

“พ่อ!” คุณนายโม่ เธอยังไม่อยากเปิดโปงจุดบกพร่องของพ่อพวกเขาต่อหน้าเด็กๆ

“ทำไมล่ะ? คุณยังอยากจะปิดบังอีกเหรอ? พวกเขาล้วนไม่ใช่เด็กๆแล้วนะ แยกแยะดีเลวได้ชัดเจน” หลังจากตำหนิคุณนายโม่เสร็จ นายท่านโม่ก็หันหน้าไปมองหานฉุนและหานเสว่ ด้วยสายตาที่คมกริบอย่างมาก

“พ่อของพวกคุณต้องการจะฆ่าพี่ชายของพวกคุณ”

คนทั้งสองหน้าถอดสีอย่างชัดเจน

“พ่อ นั่นอาจจะเป็นเพียงเหตุสุดวิสัย คุณมีหลักฐานอะไร…….”

“คุณหุบปากเลยนะ!” นายท่านโม่ชี้หน้าคุณนายโม่ อาจเพราะหัวใจเต้นแรงด้วยความตื่นเต้น จากนั้น ในขณะที่สายตาของทุกคนกำลังตึงเครียด เขาก็หมดสติไปโดยตรง

“พ่อ…..”

“คุณปู่….”

“รีบโทรไป120เร็วเข้า จากนั้นก็แจ้งหมอประจำตระกูล”

โม่หานได้ยินเสียงรถพยาบาลจากด้านนอก จึงออกมา

“เกิดอะไรขึ้น?” โม่หานกล่าว หานฉุนหันหน้ากลับไปมองเขา หาได้ยากที่จะไม่ทะเลาะกับเขา

“ถูกทำให้โมโหจนหมดสติไป”

โม่หานหันหน้ากลับไปจ้องมองเขา แล้วตามขึ้นรถไป

ด้านนอกห้องผ่าตัด

คนในครอบครัวไม่พูดจา มีเพียงคุณนายโม่ที่สะอื้นไห้เป็นระยะๆ

คุณนายนายท่านโม่นั่งอยู่บนเก้าอี้ สีหน้านิ่งสงบอย่างมาก

ผ่านไปนานมาก ประตูห้องฉุกเฉินจึงเปิดออก คุณหมอออกมา ดึงผ้าปิดจมูกลงเล็กน้อย แล้วพยักหน้ากับทุกคน “หัวใจของนายท่านโม่ค่อนข้างอ่อนแอ ทนรับการกระตุ้นอะไรไม่ได้ บวกกับอายุที่มากแล้ว พวกเราอยากจะขอความคิดเห็นจากครอบครัวพวกคุณว่า ต้องการทำการผ่าตัดหรือไม่?”

“ต้องทำสิ พวกคุณเป็นหมอได้อย่างไร เรื่องนี้ยังต้องมาถามพวกเราอีกเหรอ?”

คุณนายโม่เดินเข้ามา ดึงคุณหมอแล้วตะโกนเอะอะโวยวาย

“แม่” โม่หานเดินเข้าไป ดึงคุณนายโม่มาไว้ข้างๆ

“ถ้าไม่ทำล่ะ?” คุณนายนายท่านโม่เอ่ยปาก ตลอดทั้งปีนี้ชายชราบอกเธอมากกว่าหนึ่งครั้งว่า เขาไม่ต้องการใช้ชีวิตในโรงพยาบาลอีกต่อไปแล้ว

“หากไม่ทำล่ะก็ อาการก็ไม่ค่อยสู้ดีนัก อาจจะอันตรายถึงแก่ชีวิตได้ทุกเมื่อ”

“แล้วถ้าทำล่ะ?”

“ถ้าทำ ด้วยอายุของนายท่านโม่นี้ หลังจากทำเสร็จ อาจจะต้องใช้เครื่องช่วยหายใจมาประคองชีวิตเอาไว้ หากอาการดีขึ้น บางครั้งอาจจะ……”

“ไม่ทำ” คุณนายนายท่านโม่กล่าวตัดบทคำพูดคุณหมอ ด้วยเหตุนี้สีหน้าของเธอจึงซีดเผือด ร่างกายสั่นเล็กน้อย

หานเสว่เดินเข้าไป ประคองเธอ “คุณย่า คุณนั่งลงก่อนนะ”

ชัดเจนว่าคุณหมอแปลกใจเล็กน้อย กับการตัดสินใจนี้ของคุณนายนายท่านโม่ จึงหันหน้าไปมองโม่หาน “คุณโม่ อย่างนั้น ก็ตามความคิดเห็นของคุณนายนายท่านเหรอ?”

โม่หานมองคุณย่า เขาเข้าใจอย่างมากว่า คุณย่าไม่ต้องการให้คุณปู่ได้รับความทุกข์เช่นนั้น จึงพยักหน้า

คุณหมอเข้าไปแล้ว คุณย่าก็แทบจะล้มลงในทันที นั่งลงบนเก้าอี้ ก้มหน้า ท่าทีดูไม่ดีอย่างมาก

คุณนายโม่ที่อยู่ด้านหลัง ร้องไห้สะอึกสะอื้นไม่หยุด

ทันใด คุณนายนายท่านโม่ก็เงยหน้า ดึงมือของโม่หาน “หาน พาเสี่ยวโยวกลับมาได้ไหม ปู่ของคุณ เขาชอบเด็กคนนั้นจริงๆ ถึงแม้จะไม่พูด แต่ในใจของฉันก็รู้ดี”

โม่หานนิ่งเงียบไม่พูดจา

“ฉันรู้ว่าตระกูลโม่ของพวกเรารู้สึกผิดกับพวกเธอแม่ลูก ย่าก็รู้ว่า ในใจคุณก็ปล่อยพวกเธอไปไม่ได้ เพียงแค่ต้องการให้มู่เฉียวกลับมา พวกเราจะชดเชยให้เธออย่างดีแน่นอน” ในสายตาของหญิงชราแสดงความอ้อนวอน แต่โม่หานไม่ได้รับปากออกมาในทันที

“คุณย่า คุณลืมไปแล้วเหรอว่า พี่ชายฉันกับคุณหนูตระกูลเหอ กำลังหมั้นกันอยู่? คุณเอามู่เฉียวกลับมา แล้วคนอื่นจะยอมเหรอ?” หานฉุนที่ไม่พูดจามาโดยตลอดเอ่ยปากประชดประชัน

เมื่อเห็นมู่เฉียว ชายคนนั้นก็ตะโกนว่า “คุณบ้าไปแล้วเหรอ มานั่งอยู่ที่นี่ รถเร็วขนาดนี้ คุณไม่กลัวจะเกิดอุบัติเหตุหรือไง”

ชายคนนั้นเห็นมู่เฉียวจึงตะโกนเสียงดัง มู่เฉียวเงยหน้ามองโม่หาน ในตาเต็มไปด้วยน้ำตา ในแสงไฟที่สลัว เดิมทีเธอไม่จำเป็นต้องมอง ก็ฟังออกว่าเป็นเสียงใคร เธอลุกขึ้น เช็ดน้ำตา ทั้งร้องไห้ทั้งยิ้ม “โม่หาน คุณยังไม่ตาย ฮือๆ……โม่หาน……”

ชายคนนั้นถอนหายใจหนักๆ ไม่ได้พูดอะไร ดึงเธอเข้ามานั่งในรถ แล้วปิดประตู มู่เฉียวนั่งอยู่ข้างคนขับ อดไม่ได้ที่จะเอามือปิดหน้าแล้วร้องไห้โฮออกมา “ฮือ……”

เธอสะอื้นไห้ออกมา “ฉัน……ฉันคิดว่า……คิดว่าคุณ……คุณเกิดอุบัติเหตุ” เธอร้องไห้เหมือนเด็กๆ สะอึกสะอื้นอย่างแรง

ชายคนนั้นยื่นมือใหญ่ออกไปตบๆหลังเธอ สงสารแล้วก็ไม่รู้จะรับมืออย่างไร

หลังจากรู้เหตุการณ์นั้น เขาก็รีบร้อนจนลืมมือถือไว้ที่โรงแรม ต่อมาเมื่อรู้ว่าเธอมาที่นี่ เขาจึงรีบตามมาทันที

ไม่นานรถก็ลงจากทางด่วน

เมื่อมาถึงเมืองเล็กๆ พวกเขาก็เข้าพักที่โรงแรม

หลังจากปิดประตูห้องลง ชายคนนั้นก็นำมู่เฉียวมากอดไว้แน่นๆ

“ท้ายที่สุดแล้วเกิดอะไรขึ้น? พวกเขา……พวกเขาบอกว่าคุณเกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์”

โม่หานดึงทิชชูมาสองสามแผ่น เช็ดน้ำตาให้มู่เฉียวอย่างอ่อนโยน “ครั้งหน้า อย่าทำเรื่องที่อันตรายแบบนี้อีก รู้ไหม?”

มู่เฉียวสูดหายใจเข้า แล้วพยักหน้า

“บางทีก็ควรจะขอบคุณคุณนะ”

“หมายความว่าอย่างไร?” เสียงขึ้นจมูก แล้วก็แหบพร่า บอกโม่หานได้ว่า ผู้หญิงคนนี้น่าจะร้องไห้มานานแล้ว

“อุบัติเหตุทางรถยนต์เขาเป็นคนทำ” หลังจากโม่หานพูดคำนี้ มู่เฉียวได้ยืนก็ตกตะลึง จากนั้นเธอก็ปิดปาก มองโม่หานอย่างไม่อยากจะเชื่อ “คุณ……คุณบอกว่าเป็นเขาอย่างนั้นเหรอ? ที่สร้างสถานการณ์ให้คุณเกิดอุบัติเหตุ?”

ความหวาดกลัวบนใบหน้าของเธอ ทำให้โม่หานรู้สึกผิดที่บอกความจริงกับเธอไป

โลกของเธอ ก็ไม่ควรจะยุ่งเหยิงและนองเลือดขนาดนั้น

อันที่จริงมู่เฉียวถูกทำให้ตกใจ เพราะเดิมทีเธอไม่คาดคิดว่า นี่คือเรื่องที่พ่อคนหนึ่งจะกระทำต่อลูกชายของตนเอง

“เขาไม่ได้อยากให้คุณรับช่วงต่อธุรกิจเหรอ? แล้วทำไม?”

โม่หานเงยหน้าขึ้นมองมู่เฉียว ยิ้มอย่างโล่งอก “ก็เพราะว่าเขาไม่มีธุรกิจให้ฉันรับช่วงต่อได้แล้วไง”

มู่เฉียวขมวดคิ้ว “ถึงกับ……ไม่มีเลยเหรอ?”

โม่หานพูดไม่ชัด แต่มู่เฉียวเห็นคำตอบในดวงตาของเขา

แต่นั่นคือลูกชายของเขา ถึงเสือจะร้ายก็ไม่กินลูกตัวเองนะ? แล้วนี่ยังเป็นคนอยู่หรือเปล่า?

โม่หานลุกขึ้น หยิบขวดน้ำแร่บนตู้ส่งให้มู่เฉียว “ไปอาบน้ำก่อน ดูตัวคุณสิ” พูดจบก็ก้มลงมา ถอดเสื้อคลุมเธอออก เขย่าๆฝุ่นออกมา

มู่เฉียวลูบๆจมูก ลุกขึ้นจากเก้าอี้ ยื่นสองมือออกไปกอดเอวโม่หาน ศีรษะแนบอยู่ที่หน้าอกของเขา “โม่หาน คุณยังไม่บอกฉันเลย ว่าคุณหนีออกมาได้อย่างไร?”

โม่หานผลักเธอออกเบาๆ แล้วก้มลงไปจูบริมฝีปากเธอ จากนั้นก็หยิบกล่องผ้าเล็กๆหนึ่งอันออกมาจากกระเป๋ากางเกง “เดิมทีฉันเตรียมจะขับรถกลับมา แต่เพื่อไปรับของสิ่งนี้ ก็เลยตัดสินใจนั่งเครื่องบินกลับ”เพชรถูกประกอบเป็นคำว่าMM ถ้าไม่ได้สังเกตก็จะเป็นเหมือนกับคลื่นน้ำ

“นี่สั่งจองให้คนที่เก่งๆทำเลยนะ อยากเอามาให้คุณเอง ไม่อยากให้ใครรับแทน”

โม่หานพูดจบ ก็สวมสร้อยให้มู่เฉียว “สุขสันต์วันเกิดนะ”

มู่เฉียวประหลาดใจอย่างเห็นได้ชัด ใช่สิ เธอลืมว่าวันนี้เป็นวันเกิดของตนเอง

เขาพูดต่อว่า : “แล้วก็พิสูจน์ให้เห็นว่า ฉันจะไม่มีวันตาย”

มู่เฉียวโผเข้าอ้อมกอดของเขาอีกครั้ง ทั้งร้องไห้ทั้งหัวเราะ  “ไปอาบน้ำก่อนเถอะ”

มู่เฉียวไม่ขยับ

“จะอาบด้วยกันเหรอ?” ชายหนุ่มจงใจยั่วเย้าเธอ

หญิงสาวปล่อยเขาอย่างรวดเร็ว แล้วหันเดินเข้าห้องน้ำไป

โรงแรมในเมืองเล็กๆ ถึงเป็นระดับสูง ก็มีเพียงมาตรฐาน มู่เฉียวปวดหัวเล็กน้อย รีบร้อนออกมา ไม่ได้เอาอะไรมาเลย

อาบน้ำเล็กน้อย พอออกมา โม่หานกำลังสูบบุหรี่อยู่ที่ระเบียงด้านนอก เพราะเธอแพ้กลิ่นบุหรี่ ตอนที่คนทั้งสองอยู่ด้วยกัน นี่เป็นครั้งแรกที่เธอเห็นโม่หานสูบบุหรี่ ท่าทางของผู้ชายคนนั้น ยังคงทำให้เธอรู้สึกเจ็บปวดใจเล็กน้อย

ได้ยินเสียง ชายหนุ่มก็ดับบุหรี่ครึ่งตัวที่อยู่ในมือ ยืนอยู่ด้านนอกครู่หนึ่ง จึงเข้ามา

มู่เฉียวเดินเข้าไป โอบกอดเขา “ไม่สบายใจมากเลยใช่ไหม?”

“นอนไปก่อนนะ ฉันจะไปอาบน้ำ” ชายหนุ่มพูดจบ ก็จูบบนศีรษะเธอเล็กน้อย

มองภาพด้านหลังของชายหนุ่ม ในดวงตาของมู่เฉียวก็รู้สึกเจ็บปวดใจ เธอเดินไปที่ระเบียง มองลงไปด้านล่าง เมื่อตอนที่เข้ามา เธอเห็นชั้นล่างมีร้านบะหมี่

คิดๆแล้ว ก็ออกจากห้องไป

เธอเดาว่าโม่หานคงยังไม่ได้ทานข้าวเย็นแน่ๆ

บะหมี่เสร็จแล้ว กำลังจะใช้มือถือชำระเงิน ก็เห็นว่าโม่หานโทรมาหาเธอ เธอกำลังเตรียมจะรับ ก็เห็นชายหนุ่มเดินอยู่หน้าประตูร้านบะหมี่ด้วยสีหน้าที่เป็นกังวล

จึงกดวางสาย จ่ายเงินแล้ว ออกจากร้าน เธอยืนอยู่ด้านหลังของเขา ส่งเสียงเรียกว่า: “โม่หาน”

ชายหนุ่มหันกลับมา เห็นเธอและบะหมี่ในมือของเธอ ก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก

ผมของเขายังมีหยดน้ำอยู่ เขาน่าจะเพิ่งอาบน้ำเสร็จ ออกมาแล้วไม่เจอเธอ จึงรีบตามออกมา

คิดๆแล้ว เธอก็เดินเข้าไป จูงมือของเขา “ไปกันเถอะ กลับไปทานบะหมี่กัน”

ชายหนุ่มปล่อยให้เธอจูงมือไปอย่างว่าง่าย เวลานี้ เขาเหมือนกับเด็กที่อ่อนแอ ทำให้มู่เฉียวเจ็บปวดใจอย่างมาก

“รีบทานบะหมี่เถอะ”

พอมาถึงห้อง เธอก็นำบะหมี่วางบนโต๊ะ แกะถุงออกไปพลาง กล่าวไปพลาง

ชายหนุ่มโอบเอวเธอจากด้านหลัง หยดน้ำที่หยดลงบริเวณคอ เย็นเล็กน้อย แต่หัวใจอบอุ่นอย่างมาก

ชื่อเสียงเกียรติยศอะไร อำนาจอิทธิพลอะไร ถ้าคนไม่อยู่แล้ว สิ่งเหล่านี้ จะไปมีประโยชน์อะไร?

“โม่หาน ต่อไปคุณต้องใช้ชีวิตให้ดี เพื่อฉันและเสี่ยวโยวนะ”

ชายหนุ่มตอบอืมคำหนึ่ง

“ฉันหวาดกลัวอย่างมาก ฉันคิดว่า ถ้าคุณเกิดเรื่องจริงๆ ฉันจะมีชีวิตอยู่ต่อไปอย่างไร จะต้องตายตามไปไหม” เธอแกะตะเกียบออกเป็นสองอัน

มือใหญ่ๆจับเอวไว้แน่นอย่างมาก “อย่าคิดไร้สาระแบบนี้อีก เรื่องนี้ ใกล้จบสิ้นแล้ว”

มู่เฉียวพยักหน้า ดึงมือของเขาออก “มา รีบทานเถอะ เดี๋ยวบะหมี่อืดหมด”

“ทานด้วยกันสิ”

“ฉันไม่ทานหรอก ฉันทานข้าวเย็นมาแล้ว”

ชายหนุ่มนั่งลงบนเก้าอี้ทานบะหมี่อย่างเชื่อฟัง มู่เฉียวไปห้องน้ำเอาไดร์เป่าผมออกมา เป่าผมให้โม่หาน เสียงหนวกหูอย่างมาก แต่ในใจของคนทั้งสองสงบอย่างมาก

คืนนี้ พวกเขานอนหลับด้วยกัน คนทั้งสองไม่ได้ทำอะไรทั้งสิ้น

เมื่อท้องฟ้าใกล้สว่าง มู่เฉียวก็รู้สึกได้ถึงการเคลื่อนไหวเบาๆจากข้างๆ พอลืมตาก็พบว่า โม่หานนอนเอามือประสานกันรองศีรษะ ลืมตา เหมือนว่ากำลังคิดอะไรอยู่ ชัดเจนว่า เขาไม่ได้นอนมาทั้งคืน

“โม่หาน คุณไม่นอนเหรอ?”

โม่หานเอียงตัวมา หยิกเบาๆที่แก้มของเธอ “ทำให้คุณตื่นเหรอ?”

มู่เฉียวยืดตัวขึ้น นำหมอนมารองด้านหลังศีรษะ “ถ้าคุณอารมณ์ไม่ดี คุณสามารถคุยกับฉันได้นะ โม่หาน สามีภรรยา ควรจะร่วมทุกข์ร่วมสุขกัน”

“มีคนรับโทษแทนเขา เขาหลบหนีไปแล้ว”

เขานั่งยองๆลงตรงหน้าของมู่เสี่ยวโยวอย่างประหม่า “เสี่ยวโยว”

มู่เฉียวมองมู่เสี่ยวโยวที่มุดเจ้ามาในอ้อมกอด แล้วเงยหน้าขึ้น “แม่” เห็นได้ชัด ว่าเด็กคนนี้ก็ประหม่า

“อุ้มเธอหน่อยเถอะ” มู่เฉียวพูดคำนี้กับโม่หาน

โม่หานทำเสียงอืมตอบรับ “เสี่ยวโยว ให้……”

ยังไม่ทันพูดจบ มู่เสี่ยวโยวก็โผเข้าไปในอ้อมกอดของโม่หาน “พ่อ……”

คำคำนี้ถูกเรียกออกมา มู่เฉียวก็เห็นได้ชัดว่าโม่หานตัวสั่นเล็กน้อย จากนั้นเขาก็กอดมาเสี่ยวโยวไว้แน่น “ขอโทษนะเสี่ยวโยว ที่ตลอดมาพ่อไม่ได้อยู่ข้างๆคุณ” น้ำเสียงของเขาสะอื้นเล็กน้อย ทำให้มู่เฉียวที่อยู่ข้างๆอดไม่ได้ที่จะร้องไห้ออกมา

มู่เสี่ยวโยวร้องไห้เสียใจอย่างมาก น้อยใจ แล้วก็ดีใจด้วย

จากนั้นก็เอาอกเอาใจโม่หาน เรียกพ่อๆอยู่ตลอด

ตอนเที่ยงกลัวว่าพ่อแม่จะสงสัย มู่เฉียวจึงบอกว่าจะพามู่เสี่ยวโยวกลับไปทานข้าว แต่เด็กคนนั้นไม่ค่อยเต็มใจ

“ฉันจะจัดการเรื่องทางด้านนั้นให้เร็วที่สุด” โม่หานให้คำสัญญากับมู่เฉียว

มู่เฉียวเดินเข้าไปกอดเขา “โม่หาน ฉันกับเสี่ยวโยวไม่ใช่ภาระของคุณ แล้วก็ไม่อยากให้กลายเป็นความกดดันของคุณด้วย เราจะรอคุณ อย่ารีบร้อนเกินไปเลย”

“พ่อ ฉันก็จะรอคุณ ฉันไม่ต้องการพ่อใหม่”

คนทั้งสามมองหน้ากันแล้วหัวเราะ

โม่หานกลับไปเมืองAในบ่ายวันนั้น มู่เฉียวและพ่อแม่เที่ยวอยู่ที่นี่จนถึงก่อนวันที่จะกลับไปทำงาน

หลังจากหยุดยาววันแรกของการทำงาน ทุกคนยังคงไม่เข้าที่เข้าทาง

อารมณ์ของเสี่ยวโหรวดูหม่นหมองเล็กน้อย ถึงอย่างไรก็ยังวัยรุ่น มีอารมณ์ความรู้สึกมากกว่าเล็กน้อย “ทำตัวให้กระปรี้กระเปร่าหน่อย เรื่องครั้งที่แล้ว ไม่สามารถเกิดขึ้นเป็นครั้งที่สองนะ” มู่เฉียวยิ้มแล้วเอ่ยเตือน

“อืม ขอบคุณพี่เสี่ยวเฉียวที่เตือน”

นิสัยของเสี่ยวโหรว มู่เฉียวชอบมาก ชอบหัวเราะ น่ารักมาก เรียนรู้ได้ดี เรื่องอะไร บอกแค่รอบเดียว โดยพื้นฐานแล้วก็สามารถเข้าใจได้ พบอะไรที่ไม่มีสมเหตุสมผล ก็ไม่เคยบ่นว่าอะไรเลย

เริ่มต้นปีโครงการและเอกสารสัญญาต่างๆนานา งานก็ยุ่งมากขึ้นในชั่วพริบตา

แต่เมื่อเทียบกับการทำงานกับโม่หานเป็นครั้งที่สามแล้ว มู่เฉียวก็รู้สึกว่าพวกเขาดูผ่อนคลายลง

วันก่อนที่จะกลับมาหนึ่งวัน โม่หานต้องไปทำงานนอกเมือง มู่เฉียวจึงรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย

ส่งข้อความไปให้โม่หาน “คิดถึงคุณแล้ว”

สองชั่วโมงต่อมาจึงตอบข้อความกลับ “คิดถึงมากไหม?”

“คิดถึงมาก คุณไม่คิดถึงฉันเหรอ?”

ชายคนนั้นตอบกลับว่า “อืม”

จากนั้นก็พูดเสริมว่า “ซะที่ไหนล่ะ?”

มุมปากผู้หญิงคนนั้นยกยิ้มขึ้น

“พรุ่งนี้ตอนบ่ายน่าจะได้กลับไป”

“โอเค อยู่ข้างนอกก็ระมัดระวังความปลอดภัยด้วย”

หลังจากวางมือถือลง มู่เฉียวก็หมกมุ่นอยู่กับการทำงาน วันต่อมา เธอตื่นแต่เช้า ไปที่บ้านโม่หานช่วยจัดเก็บในบ้านของเขาให้เป็นระเบียบ แล้วจึงไปทำงาน

เพียงแต่ว่าตลอดคืนนี้ มู่เฉียวไม่ได้รับข่าวคราวเลย เธอส่งข้อความไปหาเขา ก็ไม่ได้รับการตอบกลับ

“พี่เสี่ยวเฉียว คุณรู้แล้วหรือยัง? ว่าประธานโม่ประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์”

ดินสอเขียนงานที่อยู่ในมือมู่เฉียว หลังจากได้ยินคำพูดของเสี่ยวโหรว เธอก็นิ่งอึ้งไป ออกแรงที่มี จนปลายดินสอหัก

เธอรู้สึกไม่สบายใจ แต่แสร้งทำเป็นกล่าวอย่างนิ่งๆว่า: “ประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ คุณรู้ได้อย่างไร?”

“เมื่อกี้ฉันไปส่งเอกสารที่แปลเสร็จแล้วที่แผนกจัดซื้อ ได้ยินผู้จัดการแผนกจัดซื้อพูด ผู้บริหารระดับสูงหลายคนต่างก็รีบเข้ามา”

มู่เฉียวก้มหน้า ไม่พูดจา

“พี่เสี่ยวเฉียว คุณไม่สบายเหรอ?”

“ฉัน….ฉัน ฉันปวดหัว เสี่ยวโหรว วันนี้ไม่ทำโอทีแล้วนะ คุณจัดการส่วนนี้สักเล็กน้อย แล้วก็เลิกงานได้” น้ำเสียงของเธอสั่นจนเกินบรรยาย

เสี่ยวโหรวรู้สึกว่าอารมณ์ของมู่เฉียวผิดปกติเล็กน้อย แต่เธอก็ยังรู้ว่าอะไรควรไม่ควร จึงไม่ได้ถามอะไรทั้งนั้น

มู่เฉียวเดินมาถึงทางเข้า โบกแท็กซี่คันหนึ่ง “พี่คนขับ รบกวน…..รบกวนไปที่…..” เธอเพิ่งรู้ว่า เธอไม่รู้ว่าสถานที่ที่เกิดอุบัติเหตุอยู่ที่ไหน?

เธอกุมหัว ทันทีก็ตัดสินใจ เปิดเว็บBaidu เธออยากจะค้นหาว่ามีข่าวอุบัติเหตุทางรถยนต์อะไรบ้างไหม แต่ก็พบว่าไม่มี

เพียงแต่ คิดแล้วก็เข้าใจว่า ด้วยสถานะของโม่หาน ถึงแม้ว่าจะเกิดเรื่องจริงๆ พวกเราก็ไม่สามารถเปิดเผยมันออกมาได้

“คุณผู้หญิง ตกลงคุณต้องการไปที่ไหนครับ?”

มู่เฉียวมองเขา “พี่คนขับ คุณรู้ไหมว่าบนถนนของเมืองY มีที่ไหนที่เกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์?” เธอรู้สึกว่าตนเองกระวนกระวายใจจนทำอะไรวุ่นวายไปหมด

คนขับนิ่งอึ้งเล็กน้อย “ไปเมืองYเหรอ? นั่นมันไกลมากเลยนะ เกรงว่าคุณคงต้องนั่งรถไฟไปแล้วล่ะ”

มู่เฉียวมองนอกหน้าต่าง นำมือถือกดเบอร์โทรศัพท์ต่อสายไปที่โม่หาน แต่ไม่มีคนรับ

“บางทีฉันอาจจะช่วยคุณถามดูได้ ฉันมีเพื่อนอาชีพเดียวกันที่ขับรถอยู่ที่นั่น คุณผู้หญิง คุณอย่าร้อนใจไปเลย”

มู่เฉียวพยักหน้า ไม่ร้อนใจ ไม่ร้อนใจได้อย่างไร โม่หาน คุณจะต้องไม่เป็นอะไร คุณจะมา”ล้อเล่น”กับฉันแบบนี้ไม่ได้นะ หลายปีก่อนฉันก็ต้องตกใจมาครั้งหนึ่งแล้ว พอแล้วนะ

คนขับพูดพลาง นำรถเข้าจอดข้างทาง แล้วโทรศัพท์ออกไปโดยตรง พวกเขาพูดภาษาบ้านเกิดกัน มู่เฉียวฟังไม่รู้เรื่อง

ผ่านไปครู่หนึ่ง คนขับก็หันมามองมู่เฉียว สีหน้าเศร้าเล็กน้อย “คุณผู้หญิง สถานที่ ฉันถามให้แล้ว แต่…..คุณอย่าไปดีกว่า ได้ยินว่ารถหลายคันชนกันด้วยความเร็วสูง มีรถหรูคันหนึ่ง พลิกคว่ำคาที่ ความเร็วขนาดนั้น ฉันว่า คนอาจจะไม่รอดแล้ว”

มือถือในมือของมู่เฉียวลื่นตกลงพื้น

ในทันใด เธอก็ส่ายหน้า “พี่คนขับ คุณสามารถ…..บอกสถานที่ฉันได้ไหม?” เธอไม่เชื่อว่าสวรรค์จะล้อเล่นกับเธอแบบนี้ มีชีวิตก็อยากเห็นคน ตายก็อยากเห็นศพ เธอต้องการที่จะไป

คนขับคนนั้นหยิบกระดาษจากในกล่องที่อยู่ตรงกลางออกมา แล้วเขียนที่อยู่ให้มู่เฉียว

มู่เฉียวรับมาด้วยความซาบซึ้งใจ

เพราะสถานที่ที่คนทั้งสองอยู่ค่อนข้างห่างกัน เมื่อมาถึงเมืองY ก็เป็นเวลาสี่ทุ่มกว่าแล้ว

มู่เฉียวเรียกรถคันหนึ่ง มาถึงถนนของทางหลวง มีอุบัติเหตุทางรถยนต์ที่ไหนกัน ถนนได้ถูกทำความสะอาดจนหมดแล้ว

เธอนั่งยองๆลงกับพื้น กุมศีรษะ “โม่หาน ตกลงคุณอยู่ที่ไหน?”

“หาเรื่องตายเหรอ? ถึงมานั่งข้างๆทางด่วน” รถผ่านไปมา คนในรถก็ลดกระจกลง แล้วตะโกนมายังเธอ

เธอเม้มริมฝีปาก กอดเข่านั่งยองๆข้างทางถนนทางด่วน เธอนำมือถือในมือ โทรไปยังเบอร์ของโม่หานไม่หยุด ความหวาดกลัวในจำอย่างไรก็จนปัญญาที่จะระงับได้

“เอี๊ยด” เสียงล้อยางกระทบกับพื้น ในทันทีก็มีรถคันหนึ่ง มาจอดลงที่ตรงหน้าของเธอ

พอเปิดประตู ชายคนหนึ่งก็ลงมาจากรถ

เธอไม่ใช่พระแม่มารี จึงไม่สามารถตอบโต้ความเลวด้วยความดีได้ ตลอดปีนั้นความเจ็บปวดที่มีต่อเธอและคนในครอบครัว เธอลืมไม่ลงจริงๆ

ที่เธอยอมรับโม่หาน หนึ่งคือเขาเป็นพ่อของมู่เสี่ยวโยว สองคือ แม้ว่าโม่หานจะเป็นคนไม่ดี แต่เมื่อคิดอย่างรอบคอบแล้ว เขาไม่ได้ทำร้ายเธอแต่อย่างใด ยกเว้นแต่คำพูดเป็นพิษเป็นภัยเล็กๆน้อยๆ

แต่คนตระกูลโม่ไม่เหมือนกัน ตลอดหนึ่งปีนั้น ถ้าเธอต้านทานแรงกดดันได้ไม่ดีพอ สงสัยว่าเธอคงจะฆ่าตัวตายไปแล้ว

ทั้งมีชู้ ทั้งยุ่งวุ่นวาย ทั้งเจ้าแผนการ การกล่าวโทษต่างๆนานา ทำให้ตลอดชีวิตของเธอลุกขึ้นยืนหยัดไม่ได้

โม่หานลูบหัวเธอ “ขอโทษนะ”

มู่เฉียวกล่าวว่า “ต่อไปอย่าให้พวกเขาให้เงินเสี่ยวโยวอีก เด็กยังเล็กไม่รู้เรื่องอะไร อาจจะขว้างทิ้งตามอำเภอใจได้”

ตอนนี้โม่หานก็ไม่ได้พูดอะไร

หลังจากมั้งสองคนนั่งอยู่ในรถสักพัก

มู่เฉียวเสนอว่า “ลงจากรถแล้วไปเดินเล่นไหม?”

ที่นี่ถูกรัฐบาลปรับเปลี่ยนให้กลายเป็นรีสอร์ตแล้ว ไม่ไกลจากหมู่บ้านมีลำธารเล็กๆหนึ่งสาย น้ำในลำธารใสมาก

มู่เฉียวเดินควงแขนโม่หาน เหมือนกับคู่รักอื่นๆที่มาที่นี่ ทั้งสองคนเดินๆหยุดๆ พูดคุยหัวเราะกัน สบายใจอย่างมาก

โชคดีที่ที่นี่อยู่ห่างไกลจากบ้านหน่อย พ่อแม่มักชอบเข้านอนเร็ว จึงไม่สามารถมาที่นี่ได้

“มู่เฉียว”

จู่ๆมู่เฉียวก็ได้ยินว่ามีคนเรียกเธอ หันกลับไปก็เห็นผู้หญิงคนหนึ่งยืนอยู่ไม่ไกลจากเธอ

ลูกสาวของป้าหลิว? จ้าวเชี่ยน ท้องใหญ่มาก ชายที่อยู่ข้างๆหน้าตาสุภาพเรียบร้อย หลังจากเรื่องวันนั้น ทั้งสองก็ไม่ได้เจอกันสองสามปี

จ้าวเชี่ยนรู้จักกับโม่หาน

มู่เฉียวปิดบังไม่ทัน ฉะนั้นเธอจึงเอาผมทัดด้วยความเขินอาย ชี้จ้าวเชี่ยนแนะนำกับโม่หาน “โม่หาน คนนี้คือ……”

“ประธานโม่ ไม่ได้เจอกันนานเลย”

โม่หานพยักหน้าให้เธอเล็กน้อย “ครับ ไม่ได้เจอกันนานเลย”

มู่เฉียวประหลาดใจ “พวกคุณ……รู้จักกันเหรอ?”

จ้าวเชี่ยนดึงมู่เฉียวเข้ามา “มีครั้งหนึ่ง เขาอยู่ด้วยกันกับดาราสาวคนหนึ่ง ฉันคิดว่าเขาทิ้งคุณแล้ว ก็เลยโกรธนิดหน่อย ในตอนนั้นจึงเขียนให้เขาเกินจริงไปหน่อย ต่อมาเขาก็แทบจะแบนฉันเลย” พูดถึงตรงนี้ จ้าวเชี่ยนมองมู่เฉียวแล้วหัวเราะ “ฉันโกรธมากก็เลยพูดว่า ใครให้คุณทำมู่เฉียวของเราเสียใจล่ะ หลังจากนั้นฉันก็ได้รับการเลื่อนตำแหน่งและขึ้นเงินเดือน”

มู่เฉียวหันกลับไปมองโม่หาน เม้มปาก “เดิมทีฉันยังคงมีประสิทธิภาพอยู่”

จ้าวเชี่ยนตีหลังมือเธอ “แสดงให้เห็นว่าเขานังสนใจคุณอยู่ ต่อมาเนื้อหาข่าวในเชิงลึกที่ฉันได้สืบมา หลายๆเรื่องเขาจงใจให้คนถ่าย และให้คนเขียนขึ้นมา ก็รู้สึกว่าพวกคุณยังคงมีความหวัง หึหึ คาดไม่ถึงว่าฉันจะเดาถูกด้วย”

“เสี่ยวเชี่ยน แม่โทรหาพวกเราแล้ว ใช่ไหม……” จู่ๆผู้ชายที่ยืนอยู่ข้างหลังจ้าวเชี่ยนก็พูดตัดบทจ้าวเชี่ยน

“แม่คุณ หรือแม่ยายคุณล่ะ?”

“แม่ฉัน”

มู่เฉียวสูดลมหายใจเข้า ก้มลงไปกระซิบข้างๆหูจ้าวเชี่ยน จ้าวเชี่ยนเบิกตาโพลง ชี้ไปที่เธอแล้วก็ชี้ไปที่โม่หาน ทำท่าทางเข้าใจอย่างแจ่มแจ้ง “โอเค ฉันจะเก็บเป็นความลับ ถึงอย่างไร ก็เป็นหนี้ความมีน้ำใจของเขาไม่ใช่เหรอ?”

โม่หานเดินเข้ามาโอบเอวมู่เฉียว “ไปทานข้าวกันก่อนเถอะ”

หลังจากที่กล่าวลากันแล้ว มู่เฉียวจึงนึกขึ้นได้ว่าลืมถามเรื่องการตั้งครรภ์ของจ้าวเชี่ยน จึงเสียดายเล็กน้อย

หาร้านอาหารเล็กๆที่ไม่สะดุดตาร้านหนึ่ง สั่งอาหารที่โม่หานชอบสองสามอย่าง แล้วสั่งอาหารเย็นอีกหนึ่งจาน

เมื่อตะเกียบของเธอจะยื่นเข้าไป ชายคนนั้นก็คีบตะเกียบไว้ แล้วส่ายๆหัว

“ทำไมเหรอ?”

“สองวันนี้มีประจำเดือนไม่ใช่เหรอ? ทานของเย็นให้น้อยหน่อย” พูดจบ ก็ยกจานผักนั้นไปไว้ข้างๆ แล้วตักซุปให้มู่เฉียว

มู่เฉียวนิ่งอึ้งไปเล็กน้อย ใบหน้าแดงระเรื่อในทันที ก้มหน้า ไม่ได้พูดอะไรมาก

คนคนหนึ่งที่ยุ่งมาก คาดไม่ถึงว่าจะจดจำเรื่องนี้ใส่ใจ ถ้าจะบอกว่าไม่ประทับใจ ก็โกหกแล้ว

หลังจากทานเสร็จ มู่เฉียวช่วยโม่หานหาโรงแรม ที่นี่อาจจะไม่ถือว่าหรูหราที่สุด แต่สะอาดและสงบอย่างมาก

ในโรงแรม คนทั้งสองอยู่ด้วยกันครู่หนึ่ง โม่หานกำลังโทรศัพท์ มู่เฉียวเล่นเกมอยู่ข้างเตียง

ผ่านไปครู่หนึ่ง ชายหนุ่มวางสายแล้ว เอนตัวลงนอนข้างๆมู่เฉียวด้วยอารมณ์ที่ดีอย่างมาก แล้วแย่งมือถือจากในมือของเธอ

“เฮ้อ ด่านนี้จะผ่านแล้ว คุณให้ฉันเล่นให้จบก่อนสิ”

“ตรงนี้ ต้องเพิ่มการติดตั้งอุปกรณ์ให้มัน คุณดู แบบนี้ จะเร็วขึ้นอย่างมาก”

มู่เฉียวมองชายหนุ่มอย่างเหลือเชื่อที่เล่นด่านที่ผ่านได้ยากของเธอ ให้ผ่านไปได้โดยง่าย แสดงใบหน้านับถือ “โม่หาน ที่แท้คุณก็เล่นเกมเหมือนกันเหรอ?”

ชายหนุ่มก้มลงไปจูบที่ใบหน้าของมู่เฉียว “บางครั้งความกดดันในการทำงานมากเกินไป ก็จะเล่นนิดหน่อย”

มองผู้ชายที่อยู่ข้างๆคนนี้ มู่เฉียวก็พบว่า ตนเองรู้จักเขาน้อยเกินไปจริงๆ อันที่จริงแล้ว เขาก็เป็นเพียงแค่ผู้ชายธรรมดาทั่วไป ที่เล่นเกมได้ เจ็บปวด เหงา และตกหลุมรักได้ เหมือนกับผู้ชายทุกคนในวัยเดียวกัน

แต่ในสายตาของคนทุกคน เขาคือเทพบุตร ไม่มีอะไรที่โม่หานทำไม่ได้ แต่น้อยคนมากที่จะใช้ความคิดอย่างคนธรรมดาทั่วไปมามองเขา

ที่เรียกว่ายิ่งสูงยิ่งหนาว ก็อาจจะเป็นความหมายนี้

เธออดไม่ได้ที่จะขยับเข้าไปข้างๆชายหนุ่ม โอบกอดเขา “โม่หาน ต่อไปถ้าคุณรู้สึกกดดันมาก ลำบากมาก หรือตอนที่โดดเดี่ยว คุณจำไว้นะว่า ยังมีฉันอยู่”

ชายหนุ่มตกใจเล็กน้อย จากนั้น เมื่อหันกลับมาก็เห็นถึงความรักอย่างสุดซึ้งในสายตาของหญิงสาว

เขาไม่พูดจา ลุกขึ้นนั่ง พิงตัวกับเตียง นำมู่เฉียวมาไว้ในอ้อมกอดของเขา “มู่เฉียว ฉันโชคดีจริงๆที่ได้พบคุณ”

มู่เฉียวยิ้มเล็กน้อย แต่ไม่พูดจา เธอคิดว่าทำไมจะไม่ใช่ล่ะ

อยู่กับโม่หานจนสามทุ่มแล้ว มู่เฉียวก็บอกว่าตนเองจะกลับแล้ว

ชายหนุ่มโอบกอดเธอเหมือนกับเด็กๆ “ฉันอยู่คนเดียว กลางคืนคงเหงาแย่เลย”

ลูบหัวเขา มู่เฉียวหัวเราะเบาๆ “อย่างนั้น ไปบ้านฉัน กล้าไหมล่ะ?”

‘คุณกล้าไหมล่ะ?”

หญิงสาวหัวเราะเบาๆ แต่ไม่พูดอีก พวกเขารู้ดีว่า สถานการณ์แบบนี้ ทำได้เพียงแค่พูดคุยเท่านั้น

เช้าวันต่อมา วันขึ้นปีใหม่ หลังจากมู่เฉียวและพ่อแม่ไปอวยพรปีใหม่ให้ญาติในหมู่บ้านด้วยกันแล้ว ก็บอกกับพ่อแม่ว่า จะพาเสี่ยวโยวไปเดินเล่น

“เสี่ยวโยว แม่จะพาคุณไปพบกับคนคนหนึ่ง”

“ใครเหรอ?”

“พ่อ”

แต่เสี่ยวโยวปล่อยมือของมู่เฉียวทันที ยืนอยู่กับที่ แล้วส่ายหน้า

“เป็นอะไรไป?” มู่เฉียวหันกลับไปมอง

“แม่ แม่ของเพื่อฉันบอกว่า คนที่ไปสวรรค์แล้ว ก็คือตายไปแล้ว ฉันไม่อยากให้คุณตาย” พูดถึงตรงนี้ มู่เสี่ยวโยวก็ร้องไห้เสียงดัง

เด็กสองสามขวบ ในสมองไม่สามารถคิดซับซ้อนได้มากนัก

“พ่อไม่ได้ตาย เขามาหาเสี่ยวโยวแล้ว เพียงแต่ ตอนนี้พ่อต้องทำเรื่องที่เป็นความลับเรื่องหนึ่ง ดังนั้น ถ้าคุณไปพบเขาแล้ว ก็ห้ามบอกคนอื่น รวมทั้งคุณตาคุณยายด้วย ได้ไหม? รอให้พ่อทำเรื่องนี้เสร็จสิ้นแล้ว พวกเราค่อยบอกพวกเขา โอเคไหม?” พามู่เสี่ยวโยวไปเจอโม่หาน เป็นเรื่องที่มู่เฉียวอยากทำมาโดยตลอด

มู่เสี่ยวโยวใช้มือน้อยๆเช็ดน้ำตาบนใบหน้า “แม่ เป็นเรื่องจริงเหรอ?”

มู่เฉียวพยักหน้า

กับมู่เสี่ยวโยวที่จู่ๆก็มา ทำให้โม่หานรู้สึกเกินความคาดหมายอย่างมาก กระทั่งทึ่มทื่อไปเล็กน้อย เป็นครั้งแรกที่มู่เฉียวเห็นหมดหนทางแบบนี้

มู่เฉียวหยิบที่คาดผมขึ้นมาบนโต๊ะและโบกมือให้ลูกพี่ลูกน้องของเขา “พูดถึงอันนี้เหรอ?”

ลูกพี่ลูกน้องรู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อย เขาจับมันด้วยมือทั้งสองข้าง

มู่เฉียวขมวดคิ้ว

“พี่สาว ที่คาดผมนี้มีมูลค่าหลายล้านเหรียญ พี่ใช้เป็นที่คาดผมของมู่เสี่ยวโหยว ไม่กลัวถูกกระชากหรือไง?”

มือของมู่เฉียวสั่น และหวีระหว่างนิ้วของเธอก็ตกลงไปบนโต๊ะ เธอก้าวไปข้างหน้าสองก้าว “อะไรนะ?

ลูกพี่ลูกน้องของฉันชี้ไปที่เพชรที่อยู่บนนั้น “พี่สาว ดูสิ เพชรเม็ดนี้เป็นเพชรจริงๆ เมื่อพิจารณาจากน้ำเทคโนโลยีการตัดแล้ว มันคืองานของปรมาจารย์อย่างแน่นอน”

“จริงเหรอ…เพชรจริงเหรอ” มู่เฉียวสูดหายใจ

ลูกพี่ลูกน้องคนนี้เป็นคนประเมินราคาอัญมณี มู่เฉียวไม่สงสัยในสิ่งที่เขาพูด เสี่ยวโยวชอบที่คาดผมนี้มาก เขาจะคาดมันทุกวันและไม่เคยเปลี่ยน

ตอนแรกมู่เฉียวคิดว่าแม่ของเธอซื้อให้แต่ไม่ได้สังเกตเพชรบนนั้น เธอคิดว่ามันสวยและวาววับมาก วงแหวนผมสีดำ โบสีแดงเข้ม และเพชรประกายตรงกลางแบบไม่ธรรมดา แม้ว่ามันจะดูงดงาม มู่เฉียว ไม่เคยคิดว่าเพชรตรงกลางจะเป็นของจริง

หลังจากฟังลูกพี่ลูกน้องแล้ว เธอก็หยิบขึ้นมาดูใกล้ๆ กัน จากนั้นเธอก็พบว่ามีแหวนไหมทองที่ข้างคันธนูสังเกตเห็นได้ยาก

“มันทำมาจากด้ายสีทองจริงๆ” ลูกพี่ลูกน้อง ในมือของเธออีกครั้งแล้วมองกลับไปกลับมา

“มีด้ายเส้นนี้ด้วย คุณดูอาจธรรมดา เท่าที่ฉันรู้นี่น่าจะเป็นไหมทะเล ของที่หาซื้อยากในโลกนี้ มันควรจะแปรรูปด้วยกระบวนการพิเศษ ที่คาดผมชิ้นนี้สามารถซื้อบ้านสองหลังในเมือง A ได้เลย” ขณะที่เขาพูด เขาก็รีบคืนที่คาดผมให้มู่เฉียวอย่างระมัดระวัง

มู่เฉียวจับที่คาดผมไว้เธอและตกลงไปที่พื้น ทำให้เกิดความตื่นตระหนกในใจของเธอ

เธอหยิบมันขึ้นมา

เดินไปหามู่เสี่ยวโยว “มู่เสี่ยวโหยว บอกแม่หน่อยว่า ใครซื้อที่คาดผมนี้ให้?”

มู่เสี่ยวโยวนั่งบนเก้าอี้ไม้ไผ่ขนาดเล็กที่คุณปู่ทำขึ้นเป็นพิเศษสำหรับเธอ มองขึ้นไปที่มู่เฉียว แล้วหุบปาก และส่ายหัว คุณย่าและคุณปู่บอกว่าถ้าเธอบอกแม่ของเธอ พวกเขาจะหายตัวไป

“พูดไม่ได้” มู่เสี่ยวโยวไม่เคยเห็นมู่เฉียวที่จริงจังขนาดนี้มาก่อน และรู้สึกตกใจเล็กน้อยอยู่พักหนึ่ง

ลูกพี่ลูกน้องก็ตระหนักว่ามีบางอย่างผิดปกติและนั่งยอง ๆ ข้าง มู่เสี่ยวโยว”เสี่ยวโยวบอกลุงหน่อยได้ไหมว่าใครให้สิ่งนี้?”

มู่เสี่ยวโยวเป็นคนตัวเล็ก แต่เธอมีความคิดของเธอเอง เช่นเดียวกับ มู่เฉียวเมื่อเธอยังเป็นเด็ก คนอื่นๆ จะเปลี่ยนสิ่งที่เธอไม่ต้องการจะพูดได้ยาก

ในฐานะแม่ของเธอมู่เฉียวรู้ดี เธอคิดเกี่ยวกับมันและเปลี่ยนวิธีอื่น “เพราะคนที่ให้มันกับเธอไม่ต้องการให้บอกแม่ใช่ไหม?”

มู่เสี่ยวโหย่วพยักหน้า

มู่เฉียวจ้องไปที่คาดผมอีกครั้ง และคนส่วนใหญ่ไม่สามารถมอบสิ่งที่ล้ำค่าให้กับ มู่เสี่ยวโยว ตั้งแต่ยังเป็นเด็กได้

แล้วยังส่งให้แบบเงียบๆ

ยิ่งไปกว่านั้น คนที่กล้าให้ทางการเงินของคนที่ให้ต้องมีกินมีใช้ไม่หมดแน่

เธอนึกถึงโม่หานคนที่มีทรัพยากรทางการเงินและเหตุผลที่จะส่งให้

“ช่วยดูเธอไว้ให้หน่อย ฉันลองโทรสอบถามดู” มู่เฉียวพูดจบ และเมื่อเขาเดินไปที่บ้าน เธอก็โทรหาโม่หาน โม่หานมองดูรถและเห็นหมายเลขของมู่เฉียว และกดเปิดลำโพงเพื่อพูดสาย “อยู่ระหว่างทาง ผมน่าจะไปถึงตอนบ่ายโม่งครึ่ง”

“คุณขับรถอยู่เหรอ”

“ใช่.”

“ทำไมไม่ให้คนขับรถขับ”

“แล้วคุณว่าไงละ?”

เมื่อเขาพูดขึ้น มู่เฉียว ก็ยอมแพ้อีกครั้ง เส้นทางไปหาเธอมันไม่ง่าย เธอไม่ต้องการโน้มน้าวเขา ดังนั้นเธอจึงตัดสินใจรอให้เขามาถามอีกครั้ง

เมื่อกลับมา เสี่ยวโยวกำลังร้องไห้ อาจเป็นเพราะเธอกลัวที่ผู้ใหญ่สองสามคนถามเธอ มู่เฉียวก็ขมวดคิ้ว

“เกิดอะไรขึ้น?”

แม่ทักเธอ “ฉันเพิ่งได้ยินลูกพี่ลูกน้องของเธอบอกว่าที่คาดผมของ เสี่ยวโยวหลายล้าน?”

มู่เฉียวกล่าวว่า “เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยแน่นอน พ่อแม่ของฉันทำงานหนักมาทั้งชีวิต และคาดว่าพวกเขาน่าจะมีไม่ถึงหลายล้าน”

“พ่อแม่ หนูจะออกไปข้างนอกสักพัก พอดีเพื่อนร่วมงานมาที่นี่ หนูจะพาเขาไปเที่ยวหน่อย”

พ่อแม่พยักหน้า “แล้วเรื่อง…”

“เรื่องนี้ จะตรวจสอบเอง อย่าเพิ่งบอกอะไรออกไป”

เธอเหลือบมองลูกพี่ลูกน้องของเธอที่ส่ายหัว “ไม่ต้องห่วง ฉันจะไม่พูดอะไรทั้งนั้น”

มู่เฉียวเดินไปที่ทางเข้าหมู่บ้านและรอสักครู่ เธอเห็นรถออฟโรดขับผ่านไป มันเป็นแบรนด์ชั้นนำ เมื่อเธอเห็นเขาอยู่ที่นั่น ชายคนนั้นเหยียดแขนออกและโบกมือให้เธอ มู่เฉียวโบกมือให้เขาหยุดรถ ถัดจากเขา เขาเปิดประตูที่นั่งผู้โดยสาร แล้วนั่งลง

โม่หาน ในชุดเบสบอลสีดำและเสื้อสเวตเตอร์มีฮู้ดสีขาวอยู่ข้างใน รู้สึกกระฉับกระเฉง

ดึงเธอและจูบใบหน้าของเธอ

มู่เฉียวตบไหล่เขา “เดี๋ยวมีคนเห็น”

ชายคนนั้นเสียใจมาก “คุณมารอที่ข้างถนนคุณกลัวว่าคนจะเห็นหรือ”

มู่เฉียวไม่อยากเถียงกับเขา ดึงที่คาดผมออกจากกระเป๋าเสื้อแล้วกางออกในฝ่ามือ “คุณเป็นคนให้เสี่ยวโยวหรือ?”

โม่หานหยิบมันขึ้นมาและมองดูมันขมวดคิ้ว “ไม่”

“ไม่ใช่คุณ? แล้วใคร?” มู่เฉียวสับสนเล็กน้อย

“คนให้นี้ใจกว้างจริงๆ” โม่หานกล่าว

เป็นคนรอบรู้จริง “คุณดูมันออก”

“บางที ฉันเดาได้ว่าเป็นใคร”

มู่เฉียวรู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อย “ใคร?”

โม่หานปลดเข็มขัดนิรภัย เปลี่ยนท่าทาง และมองมู่เฉียว “น่าจะเป็นปู่กับย่า”

เพราะเขาได้ยินคนพูดมาก่อนว่าปู่ย่าใช้เงินเยอะ

พวกเขาขอให้ใครสักคนทำเครื่องประดับเล็กๆ เขาไม่ได้ถามว่ามันคืออะไร คิดว่าทำให้พวกเขาเอง แต่เขาไม่ได้คาดว่าจะทำเพื่อส่งให้มู่เสี่ยวโยว

“อ่า เป็นไปได้ยังไง…” คำตอบนี้ไม่คาดคิดสำหรับมู่เฉียว ในปีนั้น ครอบครัวตระกูลมู่ ทำให้เธอเสียชื่อเสียง และย่าโม่และปู่โม่ ก็พูดแทนเธอในตอนแรก ต่อมา คุณนายโม่ไม่รู้ว่ามาจากไหน หลังจากทำการทดสอบความเป็นพ่อ เธอแค่พูดว่าโม่เสี่ยวโยวไม่ใช่ลูกหลานตระกูลโม่ และผู้สูงอายุสองคนก็เงียบปล่อยให้คุณนายโม่ ทำให้เธออับอายและทำให้เป็นเรื่องยากสำหรับเธอ

เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ มู่เฉียวก็เม้มปากและเอาที่คาดผมไว้ในมือของโม่หาน “รบกวนคุณช่วยฉันคืนให้หน่อย ของชิ้นนี้แพงเกินไปฉันรับมันไว้ไม่ได้”

โม่หานถือมันไว้ในมือแล้วหันกลับมา “ไม่ใช่ให้คุณ แต่ให้เสี่ยวโยว”

“โม่หาน ถ้าให้ใครรู้ว่าเสี่ยวโยวมีสิ่งล้ำค่าอยู่บนหัวของเธอ มันจะทำให้เธอเป็นอันตราย” นี่เป็นหนึ่งในเหตุผลที่เธอกลัว โชคดีที่มีคนจำนวนมากที่ ไม่รู้จักของแบบนี้เหมือนเธอ หลายๆ อย่าง นึกไม่ถึงจริงๆ

“คุณปู่และคุณย่าอาจพิจารณาถึงแง่มุมนี้ด้วย ดังนั้น ฟังนะ มู่เฉียว ถ้าพวกเขา…”

“ไม่” ดูเหมือนว่าเธอจะรู้ว่าเขาต้องการจะพูดอะไร มู่เฉียวปฏิเสธโดยไม่รอให้เขาพูดจบ หลังจากคิดแล้ว เขาก็เสริมอีกประโยคหนึ่งว่า “ฉันไม่คัดค้านที่พวกเขาแอบมาหามู่เสี่ยวโยวเป็นการส่วนตัว แต่ฉันยังไม่อยากคุยและเผชิญหน้าตอนนี้”

มู่เฉียวส่ายหัว “อย่า ฉันรู้ว่าคุณจะไม่สบายได้”

“คุณแค่คิดว่าร่างกายส่วนล่างครึ่งหนึ่งผมเป็นสัตว์ก็ได้”

เธอเม้มริมฝีปากของเธอและยิ้มไม่ออก “ผู้ชายยังใช้ร่างกายส่วนบนเพื่อคิดเกี่ยวกับปัญหาอยู่หรือ”

“มู่เฉียว!” เขาดุอย่างเย็นชา

เธออยู่ในอ้อมแขนและลูบเขาเบาๆ “ได้ ฉันจะไม่กลับวันนี้ แต่พ่อแม่ของฉันต้องสงสัยเอาได้ ดังนั้นอยู่ที่นี่สักพักแล้วค่อยกลับ”

โม่หานไม่พูด กอดเธอ ก้มลงมองดูคางที่ชี้ชัดของเธอ ขมวดคิ้ว “ทำงานอย่าให้มันเหนื่อยเกินไป”

เธอหลับตาแล้วบ่นว่า “ไม่มีทางนี้ ไม่มีใครมาเลี้ยงดูฉัน”

หลังจากพูดเสร็จ เขาก็ลืมตาและมองตาของเขา “ประธานโม่ คนก็นอนกับคุณแล้ว ให้บัตรใช้ใบหนึ่งซิ ฉันได้ยินจากคนนอกบอกว่าประธานโม่ใจดีมาก และเขาใช้เงินไปเยอะมากทุกครั้ง”

ชายคนนั้นอุ้มเธอไว้ในอ้อมแขน สีหน้าของเขาเย็นลง “คนก็เป็นของคุณทั้งหมดแล้ว คุณยังไม่พอใจอีกหรือ?”

วันรุ่งขึ้น เมื่อได้รับพัสดุ มู่เฉียวมองดูบัตร และเธอก็ไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี

เขาส่งข้อความถึงโม่หานว่า “โม่หาน คุณทำกับฉันเหมือนผู้หญิงพวกนั้นจริงๆ หรือ”

โม่หานอยู่ข้างนอก เมื่อได้รับข้อความ เขาขมวดคิ้วและตอบกลับมาว่า “เมื่อแต่งงานในอนาคต ไว้ใช้มันซื้ออาหาร และแน่นอนคุณนายโม่มีสิทธิ์ควบคุมมันได้ทั้งหมดตลอดเวลา”

คุณนายโม่คำเดียว ในใจมู่เฉียวมันช่างรู้สึกอ่อนหวานอยู่ในใจ มองโทรศัพท์ แล้วยิ้มเหมือนเด็ก

เมื่อเสี่ยวโหรวกลับมาจากส่งเอกสาร เธอเห็นมู่เฉียวเหมือนกำลังอยู่ในคลื่นหัวใจฤดูใบไม้ผลิ หลังจากที่เรื่องจบลงเมื่อวานนี้ เธอส่งข้อความถึงเสี่ยวโหรว เด็กสาวตัวเล็ก ๆ ถือว่าเธอเป็นผู้มีพระคุณ เมื่อเธอมาตอนเช้า ถึงกับรีบยกชาและเทน้ำให้จนแทบทำทุกอย่างให้

“พี่เสี่ยวเฉียว คุณกำลังมีความรักหรือเปล่า?”

มู่เฉียวรู้สึกเขินอายเล็กน้อย “สาวน้อย พูดเรื่องไร้สาระอะไร ลูกของฉันเทซอสเองได้แล้ว” หลังจากพูด มู่เฉียวได้นำการ์ดใส่ในกระเป๋า

ต่อมาทุก ๆ สามถึงห้า มู่เฉียว จะถูกโม่หาน หลอกให้เข้าไปในบ้านของเขาด้วยเหตุผลต่างๆ นานา และประธานโม่ผู้อยู่ยงคงกระพันจะเล่นเป็นพวกอันธพาลต่อหน้าเธอ

การประเมินชีวิตส่วนตัวของเขาแย่ลงไปอีก ฉันได้ยินมาว่าเขาสนับสนุนนักศึกษาด้วย

ในบริษัท มู่เฉียวและโม่หาน ไม่เคยพบกันทำตัวเหมือนดังคนแปลกหน้า

ก่อนปีใหม่ พวกเขาทำงานแปลได้เสร็จก่อนเวลา จึงได้พักร้อน 15 วัน

พ่อแม่แนะนำให้เธอพามู่เสี่ยวโยวไปที่บ้านปู่ย่าในชนบทเพื่อเฉลิมฉลองปีใหม่

มู่เฉียวพยักหน้า แม้ว่าบ้านของปู่ย่าของเธอจะอยู่ในชนบท แต่ก็เป็นหมู่บ้านโบราณที่ได้รับการอนุรักษ์ไว้อย่างดีที่สุดแห่งหนึ่งในประเทศ ดังนั้น จึงได้รับการพัฒนาให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สวยงามเมื่อหนึ่งปีก่อน ในช่วงวันหยุด ผู้คนจำนวนมากมาที่นี่ ผู้ใช้แรงงานที่อยู่ข้างนอกหมู่บ้านก็กลับมาเช่นกัน

หมู่บ้านที่เคยเงียบสงบมักจะมีชีวิตชีวามากขึ้นในทันใด

เมื่อรู้ว่าพวกเขากำลังจะกลับมาในช่วงปีใหม่ ผู้สูงอายุสองคนจึงมีความสุขมากที่ได้จัดห้องไว้แต่เนิ่นๆ

ในวันที่เธอจากมา เธอส่งข้อความถึงโม่หาน โดยบอกว่าเธอกลับไปต่างจังหวัดในช่วงปีใหม่ และขอให้เขาดูแลตัวเองและสวัสดีปีใหม่ล่วงหน้า

เมื่อข้อความถูกส่งไป โม่หานเพิ่งลงจากเครื่องบิน “เมื่อทางนี้จัดการเรียบร้อยแล้วผมจะตามไป”

“คุณจะมา อย่ามาดีกว่า ถ้าพ่อแม่ของฉันรู้…”

“มาท่องเที่ยว”

มู่เฉียวเม้มปาก “ตกลง”

ในวันขึ้นปีใหม่ทั้งคุณลุงและคุณลุงสองเข้ามาดูมีชีวิตชีวามากขึ้น

เมื่อเทียบกับความสามัคคีของตระกูลมู่ ตระกูลโม่นั้นรกร้างมาก

ปู่โม่และย่าโม่เริ่มแก่ขึ้นแล้ว ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา อาจเป็นเพราะผู้ชายเข้ามาแทรกแซง ทั้งสองคนจึงเงียบไปอย่างเห็นได้ชัด

หานฉุนกล่าวว่าเขาจะไม่สามารถกลับมาจากการถ่ายทำได้ และ หานเสว่กล่าวว่าเขาได้มาถึงขั้นตอนที่สำคัญที่สุดในการวิจัยของเขาแล้วและจะไม่สามารถกลับมาได้

“ลุงฮานไม่รู้ว่าวันนี้จะรีบกลับได้หรือเปล่า” จู่ๆ คุณนายโม่ก็พูดขึ้นระหว่างกินข้าว เพราะรู้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างสองคนนี้ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ คุณนายโม่จึงไม่กล้าเรียกพ่อของเขาต่อหน้า ของโม่หาน

ย่าโม่มองดูโม่หาน “หาน เธอจะกำเนิดลูกให้ฉันกับคุณปู่ของเธอเมื่อไหร่ เราไม่รู้ว่าเราจะลงดินเมื่อไหร่”

โม่หานหนีบรากบัวต้มชิ้นหนึ่งลงในชามของคุณย่าแล้วพูดอย่างแผ่วเบาว่า “ไม่ใช่ว่าไม่เคยมีมาก่อน”

คุณนายโม่ตกตะลึง มีปฏิกิริยาทันที และป้อนข้าวสองสามคำลงในชาม

“ถ้าเธอมีความสามารถ ก็พาเธอกลับมา” บางทีอาจเป็นเพราะปู่โม่และย่าโม่อายุเยอะขึ้น ดูเหมือนจะโหยหาเด็กมากขึ้น

“พ่อ พวกเขาก็บอกแล้วว่าไม่ใช่ลูกของโม่หาน”

ทุกคนที่โต๊ะหยุดพูด ใช่ไม่ใช่ ในใจทุกคนรู้ดี

โม่หานวางตะเกียบลง “คุณปู่กับคุณย่า ผมมีธุระจะออกไปข้างนอกหน่อย ตอนเย็นน่าจะไม่กินข้าวบ้าน” น้ำเสียงของเขาดูไม่ค่อยมีความสุข

“ได้ ได้…”

หลังจากโม่หานจากไป ย่าโม่ลุกขึ้นยืนและจ้องไปที่คุณนายโม่ “เธอดู ถ้าไม่ทำแบบนั้นในตอนนั้น ครอบครัวนี้จะเป็นแบบนี้ได้ยังไง เป็นลูกหลานของตระกูลโม่ แท้ๆ กลับให้ใช้นามสกุลมู่ สงสารก็แต่เหลนของฉัน เขาไม่รู้จักย่าทวดอย่างฉันด้วยซ้ำ”

สีหน้าของคุณนายโม่ขมวดคิ้วเล็กน้อย “แม่ แม่แอบไปส่องเธออีกแล้วหรือ”

“อะไรคือแอบมอง เหลนของฉัน ฉันมองดูโดยตรง” แต่เมื่อนึกถึงหลานที่สมควรเรียกว่าย่าทวด แต่นางกุมมือนางก็ตะโกนว่าย่า ย่าดีมากเลย และดีพอกับย่าที่บ้านเลย”

“คุณย่า ทำไมบอกแม่ไม่ได้ว่าเจอคุณย่าที่ใจดีเหมือนเหมือนนางฟ้า”

“คุณย่า ทำไมคุณย่ากับคุณปู่จึงไม่มาหาหนูนานแล้ว หนูคิดถึงท่านมากเลย” เสียงที่อ่อนโยนทำให้หัวใจของผู้อาวุโสทั้งสองอบอุ่นขึ้น

หน้าเล็กนั่น ยิ่งโตขึ้นยิ่งคล้ายโม่หาน ไม่ใช่ลูกหลานของตระกูลโม่ ได้อย่างไร แต่เธอก็ยังเชื่อเรื่องไร้สาระของลูกสาวและปล่อยให้เธอทำร้ายมู่เฉียว เธอจะมีสิทธิ์อะไรกลับไปหาหลานคนนี้?

“เดี๋ยวนะ คราวที่แล้วคุณซื้อสติกเกอร์ที่เสี่ยวโยวพูดถึงหรือเปล่า” จู่ๆ ปู่โม่ก็พูดขึ้น

ย่าโม่ยืนขึ้นแล้วพูดว่า “ดูฉันสิ ฉันลืมอีกแล้ว อีกสักพักเราจะลองไปหาดู คราวหน้าตอนเธอเปิดเรียนจะได้ส่งให้เธอ”

“พ่อ ทำไมพ่อถึงบ้าไปกับแม่แล้ว หานฉุนและโม่หานอายุยังน้อยอยู่เลย กลัวว่าจะไม่เหลนให้กอดเหรอ?”

ชายชราทั้งสองหันกลับมามองเธออย่างเย็นชา

“พวกเขายังเด็ก แต่เรากำลังจะตาย เรารอไม่ไหวแล้ว” ก่อนหน้านั้นที่ปู่โม่กล่าวถึงใบหน้าที่นุ่มนวลของ มู่เสี่ยวโยว ทันใดนั้นสีหน้าก็ค่อยๆ เย็นลง

หลังจากพูดจบ ย่าโม่ก็ผลักปู่โม่ว่า “เสี่ยวโยวของเราเคยพูดครั้งที่แล้วว่าจะซื้อรูปอุลอะไรนะที่เป็นรูปภาพ”

“อุลตร้าแมน”

“อ๋อ ใช่ อุลตร้าแมน เราออกไปซื้อกันเถอะ”

คุณนายโม่มองไปที่หลังของทั้งสองที่ลอยออกไป นั่งอยู่บนโต๊ะ ไม่สามารถพูดในสิ่งที่รู้สึกในใจได้

ชนบท

หลังอาหารเช้า มู่เฉียวกำลังจะผูกผมให้มู่เสี่ยวโยว ดังนั้นเขาจึงหยิบผ้าผูกผมและหวีขึ้นมา จู่ๆ ลูกพี่ลูกน้องตัวน้อยก็ขอให้เธอช่วยขยับของบางอย่าง และเธอก็วางผ้าผูกผมไว้บนโต๊ะตามใจชอบ ผลที่ได้คือ นัยน์ตาของลูกพี่ลูกน้องเป็นประกาย มองดูผ้าผูกผมบนโต๊ะ “พี่ ไปเอานี่มาจากไหน”

“เมื่อวานฉันแปลเอกสารสัญญาจาก3%เป็น30% ฮือๆ…… ทำไงดี ?ทำไงดี?”

ปากกาในมือของมู่เฉียวตกลงบนโต๊ะ สีหน้าเธอสู้ไม่ดีน่ะ “เสี่ยวโหรว นี่…ความผิดพลาดแบบนี้… ” เธอพูดไม่ออกหน้านิ่วคิ้วขมวดกับความผิดพลาดง่าย ๆ

ตอนนี้ทางMy กรุ๊ปต้องการให้รับผิดชอบพี่เสี่ยวเฉียว ฉันจะถูกไล่ออกจากบริษัทไหม? ”

ในสายงานของพวกเขา การแปลผิดบางครั้งอาจถึงแก่ชีวิตได้ ไม่ต้องพูดถึงตัวเลขที่ผิด มู่เฉียวรู้สึกปวดหัว เธอก็เคยผ่านวัยของเสี่ยวโหรว มาก่อน

เธอรู้ดีว่าการที่บัณฑิตจบใหม่มีงานทำที่มั่นคงและดีนั้นยากเพียงใด

“ข้อผิดพลาดนี้ เธอไม่ควรกระทำ ”

เสี่ยวโหรว พยักหน้า ร้องไห้เสียใจมาก ฉันรู้ พี่เสี่ยวเฉียว พี่คิดว่าฉันควรทำอย่างไง? ครอบครัวของฉันมีน้องชาย 1 คน กำลังเรียนมหาวิทยาลัย พ่อของฉันร่างกายไม่ค่อยแข็งแรง กว่าฉันจะหางานได้ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย สามารถช่วยแม่แบ่งเบาภาระได้บ้าง แต่ตอนนี้……”

“บริษัทรู้เรื่องหรือยัง ?”

เสี่ยวโหรวส่ายหัว, “ยังไม่รู้,พวกเขารอการยืนยันจากพี่,ถึงจะรายงาน,ฉันมาทำงานตอนเช้า,My กรุ๊ปถึงได้แจ้งให้ฉัน”

“ถ้าอย่างนั้นก็ต้องให้ My กรุ๊ป ปิดเรื่องนี้ก่อน。”

เป็นไปไม่ได้ เรื่องนี้ ว่ากันว่าโม่หานเป็นคนตรวจพบ ตอนนั้นเขาโกรธมาก ฮือๆ… ถึงแม้ โม่หาน จะดีต่อพนักงาน แต่ถ้าอยู่ในระหว่างงาน ก็ไร้ความเอ็นดูเช่นกัน

ได้ยินมาว่าเป็นโม่หาน มู่เฉียวถอนหายใจด้วยความโล่งอก และยิ่งลำบากใจขึ้นไปอีก เธอไม่ต้องการใช้ความสัมพันธ์ส่วนตัวเพื่อจัดการกับเรื่องนี้

โม่หานก่อตั้งบริษัทและมีหลักการเสมอมา เธอไม่ต้องการทำให้เขาอับอาย

อย่างไรก็ตาม เสี่ยวโหรว มักจะทำสิ่งต่าง ๆ แม้ว่าเธอจะอายุน้อย แต่เธอก็พิถีพิถันมากและมีความคิดของตัวเอง ความผิดพลาดดังกล่าว หากเธอถูกไล่ออกจากบริษัท จะส่งผลต่ออนาคตของเธออย่างแน่นอน

เธอเม้มปาก “เธออย่าร้องไห้ ฉันคิดหาวิธีก่อน”

เสี่ยวโหรวใช้เวลาช่วงบ่ายร้องไห้สะอึกสะอื้นอย่างต่อเนื่อง คงเพราะยังอายุน้อยอาจจะกลัวเกินไป มู่เฉียวเกลี้ยกล่อมยังไงก็ไม่มีประโยชน์

“เธอกลับไปก่อน เดี๋ยวฉันจะไปหาโม่หาน”

“ ไม่ได้ ยังมีงานเยอะมาก ฉัน…”

“คุณเอาแต่ร้องไห้อยู่ที่นี่ ไม่เพียงแต่คุณจะทำไม่ได้ แต่คุณยังจะรบกวนฉันด้วย “เสี่ยวโหรว ร้องไห้หนักกว่าเดิม มู่เฉียวก็ใจอ่อน “ไม่ต้องกังวล ฉันจะพยายามหาทางให้ดีที่สุด ”

“ขอบคุณ พี่เสี่ยวเฉียว ฉัน… ฉันจะตอบแทนคุณในอนาคต “เสี่ยวโหรว คุกเข่าลงให้มู่เฉียว

มู่เฉียวสูดหายใจและพยักหน้า

หลังจากที่เสี่ยวโหรว เดินออกไป มู่เฉียวใช้หมายเลขใหม่ส่งข้อความถึงโม่หาน “โม่หานคุณเลิกงานเมื่อไหร่”

ข้อความตอบกลับอย่างรวดเร็ว

“เกิดอะไรขึ้น ” ตอบแบบค่อนข้างเย็นชา。

“ยุ่งอยู่เหรอ? งั้นคุณยุ่งไปก่อนเลย ”

วางโทรศัพท์ลง ท้ายที่สุดมู่เฉียวก็พูดไม่ออก ปัญหาแบบนี้ ถ้าโม่หานไม่เจอก่อน อาจทำให้บริษัทขาดทุนอย่างคาดไม่ถึง เธอรู้ว่านี่ไม่ใช่ปัญหาเล็กน้อยเลย

เอาแบบนั้นจริงหรือ เลิกงานแล้วค่อยคุย

ทำใจ เริ่มทำงาน จนกระทั่งโทรศัพท์ดังขึ้น มองแล้วมองอีก แล้วรับสาย “สวัสดี”

“เมื่อกี้มีธุระ”

“ใช่”

“บางทีตอนกลางคืน ถ้าคุณอยากเห็นผม? “แม้ว่าชายหนุ่มจะใช้คำถาม แต่ใช้โทนเสียงแบบมาหาเธอแน่

มู่เฉียวคิด “ใช่”

“งั้นอาบน้ำสะอาดรอคุณ”

มู่เฉียวลูบหน้าผาก นี่ต้องการใช้ความสวยช่วยเลยหรือ?

“กี่โมง?”

“กลับไปเดี๋ยวนี้”

เมื่อมู่เฉียวกลับไป เห็นแสงสว่างที่ประตูถัดไป คิดๆ เธอไม่ได้กลับบ้านของตัวเอง แต่มาเคาะประตูบ้านตรงข้าม

โม่หานเปิดประตู สวมเสื้อคลุมอาบน้ำผ้าไหมสีเทา ในห้องเปิดฮีตเตอร์

ชายหนุ่มขมวดคิ้วเมื่อเห็นมู่เฉียวในชุดทำงานและปล่อยให้เธอเข้าไป

เมื่อประตูปิดลง ชายหนุ่มก็กอดเธอจากด้านหลัง “ใจร้อนจัง ไม่ยอมกลับบ้านก่อน?”

มู่เฉียวไม่พูด ผ่านไปครู่หนึ่ง เธอหันไปมองโม่หาน”คุณ… รู้ใช่ไหมว่าฉันมาทำอะไรที่นี่”

ชายหนุ่มก้มศีรษะและจูบเธอ หันหลังกลับ เดินไปห้องครัวหยิบแก้วน้ำ แล้วยื่นแก้วน้ำให้มู่เฉียว “ดื่มน้ำก่อน”

มู่เฉียวรับแก้วน้ำ ชายหนุ่มเอากระเป๋าของเธอออก แล้วช่วยถอดเสื้อโค้ทให้เธอ

การพบกันแบบนี้มู่เฉียวรู้สึกผิดอยู่พักหนึ่ง “โม่หาน…”คำว่าหานลากยาวไปหลายนาที มีเสียงออดอ้อนนิดๆ

ชายหนุ่มยังไม่มีปฏิกิริยาใดๆ บนแขนของมู่เฉียว ขนลุก อดไม่ได้ที่จะหัวเราะ เธอยังไม่สามารถแสดงท่าทางออดอ้อนได้

ดื่มน้ำในแก้วหมดไปในทีเดียวและพูดอย่างชัดเจนว่า เธอทำท่าเหมือนดื่มสุราอย่างภาคภูมิใจ ดื่มเสร็จแล้ววางแก้วลง แล้วมองดูโม่หานชายหนุ่มหันหน้ามาที่เธอและเอนหลังลงบนโต๊ะอาหาร “พูดมา คุณจะติดสินบนผมยังไง”

มู่เฉียวขมวดคิ้วและลุกขึ้น “คุณ… คุณจงใจ?”

หน้าของผู้ชายจมลง “มู่เฉียว คุณน่าจะเข้าใจนี่ไม่ใช่ปัญหาเล็ก ๆ อย่างแน่นอน”

ความจริงจังของเขา ทำให้มู่เฉียวหัวใจพองโต เธอจะไม่รู้ได้ไง ในอาชีพของตน ตอนเรียน ครูเกือบพูดทุกวัน อย่างระมัดระวังและรอบคอบ…

นี่คือองค์ประกอบพื้นฐานของการแปล

“เธอยังเด็กและที่บ้านลำบาก” เธอพูดออกมาแบบลำบาก

“นี่คือหลักการ” โม่หานหยิบแก้วที่เธอดื่มแล้วเทน้ำหนึ่งแก้วให้ตัวเอง

“ไม่มีทางอื่นแล้วเหรอ?”

ชายหนุ่มดูเหมือนกำลังคิด “ไปอาบน้ำ”

“อา”

หัวข้อเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว

ถามถึงวิธีอื่นไม่ใช่เหรอ ความงาม ลองทำดูสิ” ชายหนุ่มพูดจบ เดินไปที่ห้องนั่งเล่นและนอนบนโซฟา เมื่อเปิดเสื้อคลุมอาบน้ำสีเทาออกครึ่งหนึ่ง มองเห็นกล้ามเนื้อหน้าอกที่แข็งแรงของเขาได้อย่างชัดเจน

หญิงสาวขมวดคิ้ว “ถึงแม้ต้องแลกด้วยความงาม คงต้องเป็นเธอไม่ใช่หรือ? ”

ชายหนุ่มกระแอมเบา ๆ “ความสวยทั่วไป มันไม่สะดุดตา””

ในที่สุด มู่เฉียวก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก เดินไปที่โซฟา คุกเข่าลงข้าง ๆ เขา ใช้นิ้วเรียวลูบหน้าอกของชายเบา ๆ ทำให้ดวงตาของชายคนนั้นแดงก่ำทันที

“เฉียวเอ๋อ” ริมฝีปากบางของเขาอดไม่ได้ที่จะเปี่ยมไปด้วยคำสองคำด้วยความปรารถนาอันแรงกล้า

หญิงสาวโน้มตัวลงมากระซิบที่ข้างหูของเขา “คิด?”

ชายหนุ่มพลิกตัวและกดเธอลงบนตัวเขา “คุณคิดอย่างไร”

“เอ่อ งั้น ขอโทษน่ะ พอดีอันนั้นฉันมา” หญิงสาวพูดอย่างน่าเสียดาย

ชายหนุ่มตกตะลึงอย่างเห็นได้ชัด “อันนั้น?”

“ใช่ ประจำเดือน” หลังจากพูด เธอปิดปาก มองดูสีหน้าของชายหนุ่มเปลี่ยนเป็นสีเลือดหมู แต่รีบลุกขึ้นจากเธออย่างรวดเร็ว

“เกิดขึ้นเมื่อไหร่”

“ช่วงบ่ายตอนออกมา”

ชายหนุ่มวางมือบนท้องส่วนล่างของเธอและลูบเบาๆ สองสามครั้ง “ฉันได้ยินมาว่าถ้าอันนี้มาจะทำให้รู้สึกไม่ค่อยสบาย คุณ…”

“ฉันสบายดี ไม่มีอะไรผิดปกติ” หลังจากมู่เฉียวพูดจบ เขาก็ยิ้มแย้ม ปฏิกิริยาของชายผู้นี้ทำให้เขาพอใจจริงๆ

“คืนนี้นอนนี่นะ”

โม่หานเอามือแตะหลังศีรษะแล้วเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดว่า “ผมได้ตรวจสอบดูแล้ว เธอไม่ได้รับความช่วยเหลือในเวลานั้น เพราะมันเป็นเพียงภาพลวงตา ผมเกลียดคนที่โกหกมากที่สุด”

ใบหน้าของมู่เฉียวแข็งทื่อขึ้น เธอปิดหน้าไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี บางทีนี้อาจเป็นโชคชะตาของเธอกับโม่หาน

“ไม่สบายหรือเปล่า?” โม่หานลุกขึ้นนั่งและมองดูเธออย่างประหม่า

มู่เฉียวส่ายหัว เธอวางมือลง คุกเข่าลงบนเตียงแล้วเอาแขนโอบคอของโม่หาน “โม่หาน คุณรู้ไหมว่าทำไมฉันถึงต้องแต่งงานกับคุณตั้งแต่แรก”

มู่เฉียวครุ่นคิดคำถามนี้หลายครั้งและพูดคุยกับโม่หาน แต่เพราะไม่รู้ความรู้สึกของเขาที่มีต่อมู่หยิง เธอจึงไม่อยากเป็นคนที่สร้างปัญหาและเธอไม่ต้องการทำให้โม่หานลำบากใจ

โม่หานดึงมือเธอออกมาวางมันลงบนฝ่ามือของเขา โดยที่ตาของเขาทั้งสองหันหน้าเข้าหากัน และมุมปากของเขายกขึ้นเมื่อเขามองมาที่เธอ “เป็นไปได้ว่าตอนนั้นคุณแอบชอบผมอยู่หรือเปล่า?”

“อะไรนะ?”

มู่เฉียวสั่นศีรษะและพูดเสียงสั่นว่า “ฉันจะไปชอบคุณได้ยังไงในตอนนั้น ทำอะไรก็ดูเหมือนคุณจะไม่พอใจ อย่าพูดแอบชอบเลย…” เมื่อสีหน้าของเขาค่อยๆ มืดลง มู่เฉียวรีบหุบปาก แต่ก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะ “ตอนนั้นคุณก็ไม่เคยเห็นหัวฉัน และดูเกลียดฉันด้วย?”

โม่หานดึงเธอมาไว้ในอ้อมแขนของเขา “แล้วบอกฉันได้ไหมว่าทำไม ไม่ใช่เพื่อเงิน และไม่ใช่เพราะผม”

“คุณมันไม่รู้อะไรเลยจริงๆ เหรอ ฉันคิดว่าคุณทำแบบนั้นกับมู่หยิงเพื่อที่จะล้างแค้นให้ฉัน” เมื่อเป็นเช่นนี้ มู่เฉียวอดไม่ได้ที่จะรู้สึกหลงทางเล็กน้อย

“เป็นเพราะอะไร” เห็นได้ชัดว่า โม่หานมีความอยากรู้

“เพราะมู่หยิงใช้พ่อแม่และน้องชายของฉันมาแบล็กเมล์ฉัน และรู้ไหม เธอไม่ต้องการแต่งงานกับคุณ เธอ… เธอกลัวว่าจู่ๆ คุณจะหายไป เธอจะเป็นม่าย และเธอก็ไม่อยากเป็นคนเลวคนนั้น เธอเลยปล่อยให้ฉัน……”

“หยุดพูด” โม่หานขัดจังหวะเธอทันที

เมื่อเห็นสีหน้าของเขาเริ่มเข้มด้วยความโกรธ มู่เฉียวรู้สึกผิดเล็กน้อย เธอเป็นเหยื่อ และเธอก็ไม่โกรธ ทำไมเขาถึงโกรธมาก

ทั้งสองไม่พูดอะไรและบรรยากาศก็ค่อนข้างหดหู่ มู่เฉียวลุกขึ้นจากอ้อมแขนของเขาแล้วพูดว่า “คุณไปนอนก่อน ฉันจะกลับก่อน” เธอยอมรับว่าเธอก็ไม่มีความสุขเล็กน้อย เขาควรที่จะมาปลอบโยนเธอไม่ใช่หรือ?

แขนถูกดึงและมู่เฉียวก็ตกลงไปที่เดิมอีกครั้ง

เขาถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ “ฉันไม่ได้โกรธเธอนะ…” เขากลืนน้ำลายลงคอ “ฉันโกรธตัวเอง ที่ ยอมปล่อยมือจากหม้อแตกทำให้คุณถูกทำร้ายมากขึ้น และก็โกรธตัวเองที่ก่อนหน้านั้นทำกับคุณแบบนั้น”

มู่เฉียวขมวดคิ้ว “จริงเหรอ?”

ชายคนนั้นจูบเธอที่หน้าผาก “ผมจะชดใช้ให้คุณทั้งชีวิต คุณว่า ดีไหม?”

มู่เฉียวนั้นยิ้มอย่างมีชัย

“โอเค ไปนอนเร็วเถอะ พรุ่งนี้ยังมีเรื่องยุ่งอีกมาก”

“ถ้าพรุ่งนี้คุณมีเวลา ส่งรูปเสี่ยวโยวไปที่โทรศัพท์ที่ผมโทรหาคุณวันนี้นะ”

นี่เป็นครั้งแรกที่ โม่หานพูดถึงเสี่ยวโยวเอง มู่เฉียวรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยและประทับใจ “ฉันคิดว่าคุณลืมไปแล้วว่ามีเด็กคนนี้อยู่?”

โม่หานหยุดและพูดว่า “ผมละอายใจกับเธอ ผมไม่คู่ควรที่จะเป็นพ่อเธอ”

มู่เฉียวหันกลับมากอดเขา ใช้มือข้างหนึ่งประคองร่างกายส่วนบนของเขา ค่อย ๆ จับคิ้วเรียบขึ้นด้วยมือข้างหนึ่ง “โม่หาน ในใจของเสี่ยวโยว คุณเป็นพ่อที่วิเศษมาก”

“ผมรู้ มันคือฝีมือของคุณ จนผมกลายเป็นอุลตร้าแมนในใจเธอ”

มู่เฉียวยิ้ม แล้วเธอก็มองไปที่โม่หาน “คุณ…คุณรู้ได้อย่างไร”

“ไม่ต้องถาม

ค่ำคืนนั้นสั้นเกินไป และเวลาที่จะอยู่ด้วยกันก็สั้นลง และในที่สุดพวกเขาก็ไม่อยากนอน

“โม่หาน”

“ว่า”

“คุณชอบผมตอนไหน”

“ในเยอรมนี เวลาทำอาหารให้ผมเหรอ”

“อ้อ แน่นอน การทำอาหารเป็นเรื่องสำคัญมาก”

เขาหัวเราะ

“แล้วคุณล่ะ?”

“เมื่อคุณกำลังจะตาย”

เขาไม่พูด จับเธอไว้ในอ้อมแขนของเขา “แล้วถ้าผมตายจริงล่ะ”

เธอตอบเพียง อืม” ก่อนที่จะลืมคุณก็ยังไม่แต่ง แต่ตอนนั้น แค่หัวใจเต้นแรง ยังคงไม่ใช่ความรัก” เธอบอกความจริง

“ถ้าตอนนี้ล่ะ?”

ที่เอวของหญิงสาวนั้นบีบมือเบา ๆ “ฉันจะแต่งงานทันทีและถ้าคุณคิดต้องการให้ฉันเป็นม่ายจริงๆ คุณมันก็โหดร้ายเกินไป”

“มู่เฉียว”

“ค่ะ”

“เหนื่อยไหม?”

“ไม่เหนื่อย.”

“แล้วอีกอย่าง…” เขาเอื้อมมือไปโอบเอวของหญิงสาว

“เหนื่อยจัง นอนเถอะ” หญิงสาวรีบหลับตา

เขาขยี้ผมของเธออย่างช่วยไม่ได้ “ได้”

มู่เฉียวอดไม่ได้ที่จะหลับไปด้วยความงุนงงเมื่อท้องฟ้าใกล้จะรุ่งสาง

เมื่อเธอตื่นขึ้น โม่หานไม่ได้อยู่ที่นั่นแล้ว เธอหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาและตรวจสอบเวลาอีกครั้ง เป็นเวลาสิบโมงแล้ว

เมื่อเธอรู้สึกตัวเธอก็รีบลุกขึ้นนั่งและพบว่าเธอไม่ได้สวมเสื้อผ้าเธอก็ตื่นตระหนกอยู่ครู่หนึ่ง แต่ใครล่ะที่ปิดนาฬิกาปลุกของเธอ? มันคือใคร? เธอ…เธอ…

โทรศัพท์ดังขึ้นและมู่เฉียวหยิบขึ้นมา

“ตื่นแล้วเหรอ ช่วงเช้าผมลางานให้คุณ ส่วนอาหารเช้าผมซื้อให้อาและน้าแล้ว และเปิดประตูด้วยกุญแจของคุณ ดังนั้น สบายใจได้ ลุกขึ้นไปกินข้าวแล้วค่อย ๆ มาที่บริษัท อย่ารีบร้อน”

เสียงที่ไพเราะของเขาดังก้องอยู่ในหูของเธอ

มู่เฉียวรู้ว่าเมื่อคืนไม่ใช่ความฝัน และมุมปากของเธอก็ยิ้มอย่างมีความสุข

อย่างไรก็ตาม โม่หานรู้ได้อย่างไรว่าเธอตื่นแล้ว เธออดไม่ได้ที่จะมองไปรอบๆ ห้องและส่งข้อความกลับไปหาเขาว่า “คุณมีกล้องอยู่ในห้องหรือ คุณไม่ใช่ว่าถ่ายอะไรที่ไม่สมควรถ่ายไว้หรือเปล่า?”

มีเสียงหัวเราะตื้นๆ จากเขา มู่เฉียวสามารถจินตนาการได้ว่าเขาเม้มปาก ยิ้มอย่างเขินอายและยับยั้งชั่งใจ “มีตัวจับความเคลื่อนไหวคู่กับมือถือของคุณอยู่บนโต๊ะ ถ้าคุณมีการเคลื่อนไหว จะมีการแจ้งเตือนมาที่นี่ .”

มู่เฉียว หันศีรษะและเห็นบางอย่างที่เหมือนนาฬิกา

“ได้ บาย”

หลังจากวางสาย มู่เฉียวก็เปิดกล่องจดหมายของโทรศัพท์มือถือและเห็นว่ามีข้อความฝากในกล่องข้อความของเธอ เธอรู้สึกไม่สบาย และขอลาในช่วงเช้า คำแนะนำนับพันเกี่ยวกับการดูแลสุขภาพส่งมาให้เธอคือหัวหน้าของเธอ .

ตอนเที่ยง เธอแกล้งโทรหาพ่อแม่ของเธอและพบว่าพวกเขากำลังพักหลับกลางวันอยู่ เธอค่อย ๆ เดินออกจากประตูบ้านของโม่หานอย่างเงียบ ๆ และยืนอยู่ในลิฟต์ ในที่สุดเธอก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก

แต่เมื่อเธอลงไปข้างล่าง เธอจำได้ว่าเธอสวมรองเท้าแตะและมีร้านรองเท้าอยู่ทางขวามือตอนที่เธอออกไป

เมื่อเธอมาถึง My กรุ๊ป เสี่ยวโหรวเกือบจะร้องไห้เมื่อเห็นเธอ

“เกิดอะไรขึ้น?”

“พี่เสี่ยวเฉียว ฉันทำเรื่องผิดพลาดครั้งใหญ่”

มู่เฉียววางกระเป๋าลงบนโต๊ะและเหลือบมองเธอ “อย่าร้องไห้ อธิบายปัญหาให้ชัดเจนก่อน เกิดอะไรขึ้น?”

“ดาราสาว นางแบบ คนดัง ว่ากันว่าประกบกันเป็นหนึ่งต่อสอง เท่านั้นยังไม่พอ” คำพูดที่เหมือนล้อเล่นแฝงไปด้วยคำประชดประชัน

ชายคนนั้นสูดหายใจเข้าและกระซิบข้างหูเธอ “รู้ไหม ด้านอารมณ์ความรัก ผมเป็นหมาป่า”

เมื่อหมาป่าทั้งสองกลายเป็นสามีภรรยากัน พวกเขาจะยึดสัมพันธ์นี้ไปตลอดชีวิต และทวีคูณนับแต่นั้น ไม่มีทางที่จะหาคู่ครองใหม่ได้อีก แม้ว่าหมาป่าตัวนั้นจะตายไป อีกตัวก็จะไม่มีวันหาคู่ใหม่ไปทั้งชีวิตได้.

โม่หานเรียกตัวเองว่าหมาป่า เขากำลังบอก มู่เฉียว ว่าเขาจะอยู่กับเธอตลอดชีวิตเท่านั้น

มู่เฉียวหันศีรษะและมองเขา “ไม่จำเป็น ถ้าวันหนึ่งฉันไม่อยู่ คุณสามารถหาใหม่ได้อีก”

เขาขยี้ผมของเธอ “ไม่” น้ำเสียงนั้นผ่อนคลาย แต่ดวงตาของเขามั่นคง

“มานี่สิ กลัวคนจะรู้เหรอ” เธอพิงอยู่ในอ้อมกอดเขาแต่ยังคงมองที่ไปประตู

โม่หานอุ้มเธอขึ้น หันหลังแล้วนั่งลงบนเก้าอี้คนเดียว แล้ววางเธอลงบนตักของเขา “เมื่อไม่กี่วันก่อนมารบกวนถึงรังของเขา คิดว่าคงจะปวดหัวไปได้สักระยะหนึ่ง”

“เขาคงไม่รู้ว่าคุณเป็นคงทำหรือเปล่า”

ชายคนนั้นโน้มตัวลงมาจุมพิตริมฝีปากของหญิงสาว “เป็นห่วงผมหรือ?”

เธอพยักหน้า

เขายิ้มอย่างพึงพอใจ “ไม่ต้องกังวล จะไม่มีใครสงสัยในตัวผมเหรอ คุณไม่เคยได้ยินหรือว่า คลื่นลูกใหม่พัดคลื่นลูกเก่าไหม?”

มู่เฉียวหยุดพูด ชายผู้นี้มีวิธีที่จะทำให้เธอรู้สึกสบายใจอยู่เสมอ เธอโอบคอของเขาและโน้มตัวเข้าไปในอ้อมแขนของชายผู้นั้น เก็บช่วงเวลาที่หายากนี้ไว้ให้นานที่สุด

“คืนนี้อย่าพึ่งกลับเลยได้ไหม”

เธอขมวดคิ้วรีบลุกจากตัวของเขา “ประธานโม่ โปรดให้เกียรติตัวเองด้วย”

ชายคนนั้นไม่พูด หายใจหอบ ลุกขึ้นเดินตรงไปที่ประตู คิดทบทวน หันกลับมามองเธอ

“งั้นก็รีบเลิกงาน อย่าขึ้นรถเมล์ ให้ขึ้นแท็กซี่แทน และคืนนี้อย่าปิดเสียงโทรศัพท์”

มู่เฉียวประหลาดใจมากที่เขาดูสดชื่น ไม่เหมือนสไตล์แบบโม่หาน แต่ก็รู้สึกผิดหวังเล็กน้อยภายในใจ คนเราทำไมถึงเป็นกันแบบนี้

เมื่อกลับถึงบ้าน ทั้งพ่อแม่และมู่เสี่ยวโยวก็หลับไปแล้ว สำหรับวันหยุดวันนี้ เธออยากกลับไปหาพวกเขา แต่มีงานทำมากเกินไป เธอรู้สึกผิดต่อครอบครัวของเธอ เธอจึงอาบน้ำให้รู้สึกสดชื่นหน่อยและนอนลงตามด้วยการมาส์กหน้า

ทันใดนั้นโทรศัพท์ก็ดังขึ้น เธอหยิบขึ้นมาแล้วมองดู มีหมายเลขแปลกโทรหา เธอขมวดคิ้ว

“สวัสดีค่ะ.”

“คนส่งอาหารครับ ที่ประตูหน้าบ้าน”

มู่เฉียวขมวดคิ้ว เธอจำไม่ได้ว่าเธอสั่งอาหารกลับบ้าน แต่เธอก็ยังสงสัยอยู่เล็กน้อย

เธอมองผ่านตาแมวไปที่ประตู ดูเหมือนเป็นเสื้อผ้าของร้านส่งอาหารบริษัทแห่งหนึ่ง เธอเปิดประตูหลังจากคิดเรื่องนี้ และเมื่อเห็นใบหน้าของผู้มาเยี่ยม เธอสูดลมหายใจและหัวเราะ

“คุณ…ดึกขนาดนี้คุณมาทำอะไร” แต่หัวใจมันช่างหวานเหลือเกิน

“ไปปิดไฟในห้อง เปลี่ยนเสื้อผ้า และปิดประตูแล้วออกไป”

มู่เฉียวถามว่าทำไม ชายคนนั้นไม่พูด และไม่รู้ว่ายาที่เขาต้องการจะขายอยู่ในคลังนั้นคืออะไร แต่มูเฉียวก็ยังทำตาม

เธอกลับไปที่ห้อง เขย่งเท้า ปิดไฟและปิดประตู และเมื่อเธอไปถึงประตู เธอพบว่าโม่หานไม่อยู่ที่นั่นแล้ว

เธอคิดว่าเขากำลังเล่นตลกกับเธอ รำคาญเล็กน้อย แต่ประตูฝั่งตรงข้ามก็เปิดออกทันที โม่หานก็ถอดชุดทำงานนั้นของเขาออกและยกกรามของเขาขึ้นเล็กน้อย “เข้ามา”

มู่เฉียวปิดปาก และแสดงใบหน้าที่น่าเหลือเชื่อ

เธอปิดประตูอย่างแผ่วเบา

หลังจากเข้าไปในบ้านของโม่หานเธอมองไปที่เขา “คุณกำลังทำอะไรอยู่”

โม่หานกอดเธอไว้ด้านข้างมู่เฉียวกรีดร้องและเข้าไปโอบรอบคอของเขาโดยไม่รู้ตัว

เมื่อราตรีล่วงไปเมื่อทุกอย่างราบรื่น ชายคนนั้นก็กอดเธอไว้ในอ้อมแขนแล้วพูดว่า “คืนนี้ไม่ต้องไปแล้ว พรุ่งนี้เช้า คุณก็บอกว่าไปซื้ออาหารเช้ากลับมา”

มู่เฉียวตัวแข็ง แล้วดึงริมฝีปากของเขาเป็นเส้นตรง และตบหน้าอกของเขาเบา ๆ สองครั้ง “พูดมาตรงๆ คุณเคยทำสิ่งนี้มาก่อนหรือไม่”

โม่หานเม้มริมฝีปากของเขา สัมผัสความเขินอายบนใบหน้าของเขา “เคยทำมาครั้งหนึ่ง”

มู่เฉียวนั่งตัวตรง “ถ้าอย่างนั้นคุณยังบอกว่าคุณ… คุณเป็นครั้งแรก โม่หานคุณมันคนชอบโกหก”

ชายคนนั้นขมวดคิ้วและสะบัดหน้าผากของเธอ “คุณคิดอะไรแบบอื่นไม่ได้หรือ ผมหมายถึงแอบออกไปท่องอินเทอร์เน็ต”

มู่เฉียวยิ้มแบบอาย และกอดอยู่ในอ้อมแขนของเขาอีกครั้ง

ตอนนั้น ตอนที่ฉันอยู่มัธยมต้น ปู่ของฉันเข้มงวดกับฉันมาก โดยพื้นฐานแล้ว เป็นไปไม่ได้เลยที่จะออกไปร้านอินเทอร์เน็ตและเล่นอินเทอร์เน็ต ในคืนหนึ่ง ฉันอดไม่ได้และไปที่ อินเทอร์เน็ตคาเฟ่กับอู๋เหิงทั้งคืน ”

“แล้วยังไง? คุณบอกว่าคุณไปซื้ออาหารเช้า?” มู่เฉียวดูเหมือนจะไม่ได้คาดหวังว่าเมื่อผู้ชายอย่างโม่หานมีช่วงเวลาที่ดื้อรั้น เธอหัวเราะเบาๆ

“บอกคุณปู่ว่าฉันออกไปวิ่งมา แต่ผลก็คือถูกตี”

มู่เฉียวมองดูโม่หาน “โชคดีที่ถูกตี ไม่อย่างนั้นฉันก็ยังคิดไม่ออกว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป?”

มู่เฉียวมีความสุขมากที่ได้แบ่งปันกระบวนการเติบโตของเขากับเขา

ทั้งสองคุยกัน และมู่เฉียวก็ตระหนักว่าโม่หานเคยเป็นเหมือนเด็กผู้ชายคนอื่น ๆที่มีเกเรบ้างและมีความฝัน…

“เคยแอบชอบใครมั้ย”

โม่หานก้มศีรษะลงและจูบหน้าผากของเธอ “ไม่”

หญิงสาวขมวดคิ้วเข้าหากัน “เป็นไปได้อย่างไร”

โม่หาน ดูเหมือนจะนึกถึงบางสิ่งที่ไม่น่าพอใจ ใบหน้าของเขาเปลี่ยนไปเล็กน้อย

“ตอนที่เรียนมัธยมต้น มีเด็กผู้หญิงคนหนึ่งชอบผม ผมปฏิเสธเธอไป เธอเลยกรีดข้อมือฆ่าตัวตาย แม้ว่าเธอจะได้รับการช่วยเหลือในภายหลัง มันก็เหมือนดังเงาติดตัวมาว่าผู้หญิงเป็นสิ่งที่แตะต้องไม่ได้”

มู่เฉียวปิดปากและหัวเราะเบาๆ ลูบหน้าเขาและที่อยู่ภายใต้อ้อมแขน “แล้วมู่หยิงล่ะ?”

โม่หานตกตะลึงและพูดว่า “ผมขี้เกียจเกินไปที่จะหา ดูแล้วพอไปกันได้ก็แต่งเลย และต่อมาเขาเกิดช่วยชีวิตพ่อผมไว้ ผมแค่คิดว่า แต่งงานกับอะไรก็ได้ที่ต้องการ?”

เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ มู่เฉียวจำคำถามที่ตู้เสี่ยวซินเคยพูดไว้ก่อนหน้านี้ และลุกขึ้นนั่งตัวตรง ผมสีดำยาวของเธอพลิ้วไสวไปบนหน้าอกของเธอ และผิวขาวของเธอก็ขาวขึ้น

สายตาของโม่หานจ้องมองไป และเขาไม่สามารถที่ขยับหนีได้

มู่เฉียวตอบสนอง ดึงผ้าห่มขึ้นและพูดขึ้น “คุณกำลังมองไปที่ไหน”

เขาโอบเอวเธอ “ผมเคยคิดว่าคนที่ติดหญิงพวกนั้นมีน้ำอยู่ในสมอง แต่ตอนนี้ผมรู้สึกว่ามันก็ไม่ได้รู้สึกแย่”

โม่หานไม่ใช่เป็นคนที่ชอบพูดเรื่องความรักได้ แต่ทุกครั้งที่เขาพูดมู่เฉียวก็เหมือนได้ดื่มน้ำผึ้งทุกครั้ง

“ตู้เสี่ยวซินบอกว่าคุณเป็นคนจัดการให้มู่หยิงแต่งงานกับสามีคนนี้ของเธอหรือ เธอมีบุญคุณกับคุณนะ คุณรู้ไหมว่าสามีของเธอชอบใช้ความรุนแรง ทำไมคุณถึงยังทำอย่างนั้น”

มู่เฉียวมองภาพด้านหลังของคนคนนั้น มุมปากมีรอยยิ้ม ได้เจอเขาบ่อยๆอย่างนี้ ก็พอแล้ว ไม่ต้องส่งข้อความ ไม่ต้องติดต่อกัน ไม่ต้องทักทายกัน แต่เป็นเช่นนี้ก็พอแล้ว เธอถือแฟ้มขึ้นแล้วตบไหล่ผู้ช่วยเบาๆ “เอาล่ะ อย่าบ้าผู้ชายเลย มีงานที่ต้องรับผิดชอบ”

“แต่ว่าคุณเคยได้ยินไหม เดิมทีก่อนหน้านี้บอกว่าจะแต่งงานกับลูกสาวของนายกเทศมนตรี มีข่าวว่าเขาพาดาราสาวคนหนึ่งกลับไปที่บ้าน ดังนั้นการแต่งงานจึงถูกเลื่อนกำหนดการออกไป”

ใช่สิเธอลืมไปได้อย่างไร โม่หานน่าจะแต่งงานเดือนนี้ไม่ใช่เหรอ?

เธอยิ้มนิดๆ “พอเถอะ อย่านินทาเลย ไปทำงาน”

เพราะว่าMYมีธุรกิจที่ต่างประเทศมากมาย ถึงแม้ว่าจะมีการแปลทางธุรกิจโดยเฉพาะ แต่ธุรกิจประเภทนี้ก็มีตามฤดูกาล ถึงแม้ว่าเดือนนี้จะมีมากเป็นพิเศษ แต่เดือนหน้าอาจจะไม่มีเลย เพื่อไม่ให้สิ้นเปลืองบุคลากร การแปลประเภทนี้ของMY ก็จ้างจากบริษัทภายนอกอย่างพวกเธอ

ดังนั้น เธอและผู้ช่วยจึงเทียบเท่ากับพนักงานของบริษัท MY ครึ่งหนึ่ง เพียงแต่ไม่ได้ถูกพวกเขาควบคุม ไปมาได้อย่างอิสระ พวกเขามีห้องทำงานเฉพาะ เพื่อจัดการกับธุรกิจที่เร่งด่วน

ช่วงนี้บริษัทมีธุรกิจมากมาย ดูเหมือนว่าธุรกิจในแต่ละประเทศของโม่หานได้ขยายกว้างออกไป

“พี่เสี่ยวเฉียว ได้เวลาทานอาหารพอดีเลย” ตอนเช้ามั้งสองคนไปที่บริษัท ช่วยกันทำงานด่วน

มู่เฉียวดูเวลา ที่โรงอาหารของMYอาหารอร่อยมาก ฉะนั้นพวกเธอจึงรีบไปทานข้าวกัน

การตกแต่งในโรงอาหารเป็นแบบยุโรป คล้ายกับบุฟเฟ่ต์ ผลไม้ ขนม เครื่องดื่ม ฟรีทั้งหมด แต่ถ้าพบว่ากินทิ้งขว้างเกิน 100 กรัม จะหักจากเงินเดือนโดยตรง ต้องบอกว่าโม่หานเป็นผู้นำที่เก่งมาก เขาให้สวัสดิการพนักงานดีจนหลายคนอยากจะเข้ามา

เพียงแต่เขามีระบบการจัดการและคัดเลือกบุคลากรที่เข้มงวด ทำให้คนเห็นก็ถอยหลังกลับ ทว่าเมื่อได้เข้ามาที่MYแล้วก็รู้สึกภูมิใจ เพราะเช่นนี้จึงมีคนน้อยมากที่อยากจะเปลี่ยนบริษัท ความกระตือรือร้นในการทำงานของทุกคนยิ่งเพิ่มขึ้นหลายเท่า

“พี่เสี่ยวเฉียว คุณว่าบริษัทใหญ่ขนาดนี้ จึงสามารถทำอาหารแบบนี้ได้ แล้วเมื่อไหร่บริษัทเราจะทำได้บ้างล่ะ? ท่านประธานคนนั้น เป็นเจ้านายที่ดีจริงๆเลย”

ได้ยินเธอชื่นชมโม่หาน ในใจมู่เฉียวก็มีความสุข เธอทานขนมหวานแล้วยิ้มไม่ได้พูดอะไร

เพราะตอนนี้ความคิดของเธออยู่ที่ผู้หญิงสองคนที่อยู่โต๊ะถัดไป

จากการแต่งตัว พวกเขาน่าจะเป็นคนที่ทำงานให้ประธาน

“เมื่อวานผู้หญิงคนนั้นมา คุณเห็นไหม? ครั้งที่แล้วก็กับดาราคนนั้น ทั้งสองคนเข้าไปในเวลาเดียวกัน ไอ๋หยา ตอนที่ฉันไปส่งน้ำนะ ประหม่าไปหมดเลย ต่อมาก็ได้ยินว่า พวกเขาอยู่ด้านใน……อะแฮ่ม……คุณก็เข้าใจได้”

ผู้หญิงผมสั้นอีกคนก้มหน้าลง “เป็นไปไม่ได้? ทำไมคุณถึงคิดว่าประธานของเราแข็งแกร่งมากขนาดนั้น ครั้งละสองคน ก็ไม่กลัวจะรับไม่ไหวเหรอ”

มู่เฉียวกำลังใส่มะเขือเทศลูกเล็กๆหนึ่งลูกเข้าปาก ได้ยินเธอพูดแบบนี้ ก็แทบสำลักตาย

“พี่เสี่ยวเฉียว คุณไม่เป็นไรใช่ไหม?”

มู่เฉียวดื่มน้ำเล็กน้อย แล้วลุกขึ้น “ไปกันเถอะ” คำพูดนินทาไม่น่าฟังเลยจริงๆ

เพิ่งจะหันกลับก็เห็นโม่หานกับกลุ่มคนอีกหกเจ็ดคนเข้ามาจากด้านนอก ทานอาหารที่นี่มาหลายมื้อ นี่เป็นครั้งแรกที่ได้เจอเขา

เป็นธรรมดาที่เขาจะเห็นเธอ แต่สายตาของเขาไม่ได้หยุดอยู่ที่เธอ ดูเหมือนกำลังปรึกษาอะไรบางอย่างกับคนในอาชีพเดียวกัน แล้วก็เลี้ยวซ้ายเข้าไปที่ที่นั่งด้านในโรงอาหาร

“ทำไมวันนี้ประธานมาทานข้าวที่นี่

“คาดว่าคงอยากมาสัมผัสประสบการณ์ความยากลำบากของคนทั่วไปมั้ง”

“พี่เสี่ยวเฉียว ไม่ไปเหรอ?” เห็นเธอยืนอยู่กับที่ ไม่มีการตอบสนอง ผู้ช่วยที่อยู่ข้างๆจึงเตือนเธอ

มู่เฉียวเก้อเขินเล็กน้อย เทียบกับหน้าตาที่นิ่งเฉยไม่สะทกสะท้านของโม่หานแล้ว เธอดูไม่ได้เรื่องเลยจริงๆ

“ไปกันเถอะ!”

แต่ไม่คาดคิด พอก้าวเท้าออกจากประตูโรงอาหาร ก็ได้พบกับเหอเจี๋ย เห็นท่าทางที่กระตือรือร้นของเธอแล้ว ก็ชัดเจนอย่างมากว่า เข้ามาหาโม่หาน

เพียงแต่ ที่แปลกก็คือ สายตาของเธอหยุดอยู่ที่เธอชั่วขณะ แล้วจึงมุ่งตรงเข้าไปด้านใน

“เสี่ยวโหรว คุณกลับไปก่อน ฉันจะไปห้องน้ำสักหน่อย” มู่เฉียวแยกผู้ช่วยออกไป

“โอเค”

ทางไปห้องน้ำ ต้องผ่านหน้าประตูห้องรับรองของโม่หาน

“โม่หาน คุณดูสิ ผู้หญิงคนนั้นทำฉันไว้จนเป็นแบบไหน?” หางตาเธอเหลือไปเห็นเหอเจี๋ยดึงคอเสื้อตัวเองออก

มู่เฉียวขมวดคิ้วเล็กน้อย ผู้หญิงคนนี้คงจะโมโหจนเป็นบ้าไปแล้วใช่ไหม? จึงไม่คำนึงถึงกาลเทศะ มาฟ้องถึงที่นี่โดยไม่คำนึงถึงภาพลักษณ์ของโม่หาน เพียงแต่ เข้าใจว่าเพราะเหตุใด จึงไม่ได้สนใจเธอ คาดว่า คิดว่าเธอเป็นคนที่ถูกทอดทิ้งคนหนึ่ง

“มีเรื่องอะไร ค่อยกลับไปคุยที่ห้องทำงาน” ท่าทีของโม่หานเย็นชาอย่างมาก น้ำเสียงไม่แสดงความตื่นตระหนก

“โม่หาน ทำไมคุณถึงเข้าข้างเธอแบบนี้ คุณไม่รู้หรอก เธอไปพูดข้างนอกว่า ตัวเองจะแต่งงานกับคุณ”

มู่เฉียวเม้มริมฝีปาก เอาล่ะ ดูเหมือนว่าจะไม่เกี่ยวอะไรกับเธอเลย “หญิงชู้”ของโม่หาน เธอฟังให้น้อยหน่อย เพราะกลัวจะระงับไม่อยู่ เธอเชื่ออย่างนั้น

วันเวลาที่เงียบสงบ ชั่วพริบตาก็มาถึงปลายปี

ระหว่างเธอและโม่หาน นอกจากพบหน้ากันเป็นครั้งคราวแล้ว จากนั้นก็แสร้งทำเป็นเดินเฉียดกันไปมาอย่างไม่รู้จักกัน ไม่มีการติดต่อกันแต่อย่างใด

ถ้าหากไม่ใช่หนึ่งปีนั้น ประคับประคองจิตใจตัวเองไว้ มู่เฉียวก็ยังสงสัยว่า ตนเองคงจะถูกโม่หานหลอกแล้วล่ะ

คริสต์มาส

“พี่เสี่ยวเฉียว ฉันเหมือนจะไม่สบายนิดหน่อยน่ะ สามารถ……”

มู่เฉียวมองเวลา สามทุ่มครึ่งแล้ว ถึงปลายปีแล้ว ทุกคนต่างเร่งรีบจัดการงานในมือให้เสร็จสิ้น ดังนั้น จึงยุ่งมาก เลยบอกว่าจะทำโอทีถึงห้าทุ่ม เธอเงยหน้า “ไปเถอะ”

ผู้ช่วยเข้ามากอดเธอเล็กน้อย “พี่เสี่ยวเฉียว คุณดีจริงๆเลย”

ตอนเป็นวัยรุ่นไม่มีใครไม่รู้ เธอเข้าใจอย่างมาก ที่เรียกว่าไม่สบายเป็นเพียงแค่ข้ออ้าง คาดว่าช่วงนี้สาวน้อยจะมีแฟนแล้ว ตอนทำงาน เห็นเธอแอบยิ้มน้อยยิ้มใหญ่

หลังจากผู้ช่วยไปแล้ว มู่เฉียวก็มุ่งความสนใจไปที่งาน เธอพยายามทำให้ตนเองยุ่งขึ้นมา จึงจะได้ไม่ต้องไปคิดถึงโม่หาน คิดถึงว่าวันนี้เขา ในวันเทศกาลแบบนี้ กำลังทำอะไรอยู่ แล้วไปอยู่กับหญิงสาวคนไหน

ไฟด้านนอกห้องทำงานค่อยๆมืดลงมา มู่เฉียววางแผนว่าทำงานในมือเสร็จแล้วจึงจะกลับไป

เธองานยุ่งอย่างมาก จนกระทั่ง ประตูเปิดปิด ชายหนุ่มเข้ามาในห้อง เธอก็ไม่รู้ จนกระทั่งมีมือโอบที่บริเวณเอว เธอจึงมีปฏิกิริยาตอบสนอง กลิ่นกายที่คุ้นเคยทำให้หัวใจเธอเต้นแรง

เธอวางปากกาในมือ นิ่งอึ้งไปเล็กน้อย จากนั้นก็หันตัวกลับ นำมือไปคล้องคอของชายหนุ่ม เพียงแค่ยิ้มเล็กน้อย ไม่พูดจา

ชายหนุ่มจับเอวเธอเบาๆ “คิดถึงคุณจัง” จากนั้น ก็คลำไปรอบเอวของเธอ แล้วขมวดคิ้ว “ผอมไปแล้ว”

“เห็นอยู่ทุกวัน ยังคิดถึงอีกเหรอ?”

“เห็นแต่ไม่ได้กิน ยิ่งคิดถึง”

มู่เฉียวสายตาเฉียบแหลมเห็นคำว่าเหอเจี๋ยสองคำ แววตาเธอหม่นหมองลงเล็กน้อย

ชายคนนั้นกดวางสายโดยไม่ต้องคิด หันไปมองมู่เฉียว “ฉันกับเธอเกี่ยวข้องกันแค่ผลประโยชน์ จดจ่ออยู่กับงาน”

ผู้หญิงคนนั้นยกยิ้มขึ้น “ทำไมก่อนหน้านี้คุณไม่อธิบาย?” มู่เฉียวมองเขาด้วยความเสียใจเล็กน้อย

ชายคนนั้นสูดลมหายใจเข้า ยื่นมือไปดึงเธอมาไว้ในอ้อมกอด “ถ้าไม่กลัวว่าคุณจะแต่งงานไป ฉันก็ยังคงไม่พูดหรอก ฉันเป็นผู้ชาย มู่เฉียวฉันไม่อยากให้คุณแบกรับภาระมากเกินไป อีกทั้งฉันต้องขอโทษด้วย ชีวิตคุณลุงต้องตกอยู่ในอันตรายก็เพราะฉัน”

ในที่สุดมู่เฉียวก็รู้สึกสบายใจขึ้น บรรยากาศก็ดูเหมือนจะสดชื่นขึ้น เห็นได้ชัดว่านี่คือในรถ และเป็นพื้นที่ที่คับแคบเช่นนี้

นิ้วของเธอวาดเป็นวงกลมบนฝ่ามือของชายคนนี้ “ไม่มีทางเลือกอื่นเลยเหรอ?”

“มู่เฉียว ให้เวลาฉันหนึ่งปีนะ ฉันจะทำให้ตัวเองแข็งแกร่งขึ้น จะได้สามารถปกป้องลูกสาวและคุณได้ โอเคไหม?” ชายคนนั้นพูดไม่กี่คำ แต่น้ำเสียงสั่นเทาเล็กน้อย

ผู้หญิงคนนั้นก็รู้สึกว่าใจอ่อนลงมา

“แต่วันนี้ฉันตอบรับเล่อเชี่ยงหย่วนแล้ว ฉัน……” ไม่สามารถพูดกลับคำเช่นนี้ได้ใช่ไหม?

“เขาคนนั้น ฉันจะไปบอกว่า ตลอดหนึ่งปีนี้ฉันไม่สามารถดูแลคุณได้ อาจจะดูเลวไปหน่อย คุณจะเชื่อฉันไหม?”

การวาดวงกลมในมือช้าลงไป “ไม่เป็นไร หลังจากหนึ่งปี คุณไม่แต่งงานกับฉัน ฉันก็จะแต่งแล้ว ก็ไม่ได้เสียหายอะไร”

“มู่เฉียว” น้ำเสียงชายคนนั้นเต็มไปด้วยการกล่าวเตือน “คุณก็รู้ว่าฉันมีวิธีแย่งคุณกลับมา”

ผู้หญิงคนนั้นเม้มปาก เงยหน้าขึ้นแล้วจูบลงบนหน้าชายคนนั้น “คนเลว”

ริมฝีปากบางๆตกลงมา จูบนี้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น จนกระทั่งคนทั้งสองหายใจถี่ขึ้น จึงได้หยุดลง

“ในสองวันนี้ จะส่งมอบงานของคุณและกลับไปที่เมือง A แม้ว่าจะไม่สามารถอยู่เคียงข้างคุณได้ แต่ฉันสามารถดูแลบางส่วนที่นั่นได้”

มู่เฉียวพยักหน้า “โม่หาน คุณอย่ากดดันสิ ฉันช่วยอะไรคุณไม่ได้หรอก แต่มีบางอย่างที่ฉันอยากบอกคุณ ว่าต่อให้คุณไม่มีอะไรเลย ฉันก็จะไม่ทิ้งคุณ ฉันมู่เฉียวมีความสามารถในการเลี้ยงดูตนเองได้”

ชายคนนั้นพูดเสียงทุ้มข้างๆหู “ฉันรู้อยู่แล้ว ทำงานหนักก็ไม่ปล่อย ไม่มีอะไรแย่ไปกว่านี้แล้ว”

“ใครไม่ปล่อย? หน้าไม่อาย”

“มู่เฉียว คุณจะไม่ทิ้งฉันไป ใช่ไหม? ไม่ว่าต่อไปคุณจะได้ยินอะไร เห็นอะไร คุณก็จะไม่ทิ้งไป ใช่ไหม?”

ผู้หญิงคนนั้นเห็นความกลัวในดวงตาของชายคนนั้นผ่านไฟข้างถนน เธอทำสีหน้าอวดดี “คุณขอร้องฉันสิ? ขอร้องฉัน แล้วฉันจะไม่ทิ้งคุณ” ชายคนนั้นมุดหัวเข้าไปที่ซอกคอของเธอ แล้วกัดเบาๆ ทำให้ผู้หญิงคนนั้นตัวสั่นทันที “เชื่อฉันเถอะ ฉันจะไม่ทำผิดต่อคุณ”

“โอเค!”

ในเวลาต่อมาเกี่ยวกับเพื่อนของเธอ ไม่รู้ว่าโม่หานสื่อสารกับเล่อเชี่ยงหย่วนอย่างไร มู่เฉียวรู้แค่ว่า เล่อเชี่ยงหย่วนมีโรงพยาบาลเอกชนของตนเอง ทำให้เขามีทั้งธุรกิจ และเป็นหมอด้วย ไม่ได้ละเลยทั้งสองอย่าง เธอรู้สึกว่านี่เหมือนเรื่องตลก จนกระทั่งเธอคิดเห็นแก่ตัวเล็กน้อย นี่นับว่าเป็นการใช้เงินซื้อความรู้สึกผิดของเธอ เธอเป็นหนี้บุญคุณผู้ชายคนนี้

เธอบอกกับแม่ว่าต้องการจะกลับเมืองA เธอสัญญาว่าหลังจากหนึ่งปีแล้ว จะให้ตนเองแต่งงานออกไปอย่างไรก็ได้  มู่หลิงบอกว่าเซี่ยหยูท้องแล้ว ทำให้ผู้อาวุโสทั้งสองมีรอยยิ้มบนใบหน้า

เพราะเซี่ยหยูตั้งท้อง เธอและมู่หลิงจึงต้องกลับไปอยู่ตระกูลเซี่ย ผู้อาวุโสทั้งสองกลับเมืองAครั้งนี้ ก็นับว่าเบาใจไปอย่างมาก พ่อแม่ตระกูลเซี่ยดีกับมู่หลิงอย่างมาก ไม่มีการดูถูกเหยียดหยามเหมือนตระกูลร่ำรวยทั่วไป บางทีอาจเป็นเพราะว่า รักลูกก็เลยรักคนที่ลูกรักด้วย

ส่วนหลิวฮั่วและตู้เสี่ยวซินเพราะเธอจะต้องจากไป จึงเศร้าใจอย่างมาก

“ถ้าอยู่เมืองAแล้วไม่ราบรื่น ที่นี่ยินดีต้อนรับคุณกลับมาทุกเมื่อเลยนะ” หลิวฮั่วไม่พูดมาก

ทางด้านตู้เสี่ยวซินก็โอบกอดเธอแล้วร้องไห้ตลอด “คุณไปแล้ว โอกาสที่พวกเราจะได้เจอกันก็มีน้อยแล้ว”

มู่เฉียวกอดเธอ “ยังไม่ตายสักหน่อย ร้องไห้อะไรขนาดนี้ คิดถึงฉัน ก็มาที่เมืองAได้ทุกเวลา จะปรนนิบัติให้กินอยู่อย่างดีเลย” มู่เฉียวไม่ได้บอกตู้เสี่ยวซินเรื่องที่เธอกับโม่หานสัญญากันไว้ แล้วเธอก็ไม่ได้บอกใครทั้งนั้น

เพราะว่า เธอไม่อยากทำให้โม่หานต้องหนักใจ

คนภายนอกมองมา ระหว่างพวกเขา ได้จบสิ้นกันไปแล้ว

ต่างก็คิดว่า เธอกลับเมืองA เพียงเพื่อพ่อแม่

ก่อนที่จะไป เธอได้ขายบ้านที่เมืองBแล้ว ราคาตลาดอยู่ที่5ล้านกว่าหยวน เมื่อตอนที่เธอซื้อมาใช้จ่ายไป1ล้านหยวน นี่จึงทำให้เธอประหลาดใจจริงๆ เวลานั้นเธอกับมู่หลิงออกค่าจดจำนองคนละ2แสนหยวน ดังนั้น เธอจึงนำเงิน5ล้านออกมาโดยตรง แล้วบอกกับมู่หลิงว่า พวกเขาแบ่งกันคนละ2ล้าน ส่วนที่เหลือ1ล้าน ให้พ่อแม่ไว้ใช้ในวัยเกษียน

มู่หลิงไม่รับ เซี่ยหยูบอกว่า บ้านของพวกเขามีไม่น้อยแล้ว ไม่ต้องการเงินนี้แล้ว

เมื่อถึงเมืองA มู่หลิงก็ตัดสินใจแน่วแน่ ซื้อบ้านใจกลางเมืองหลังหนึ่งราคา4ล้าน ลงชื่อเธอและมู่หลิง บ้านมีเนื้อที่ราวๆ170ตารางเมตร ชั้นบนสุด มีระเบียงห้องที่ยื่นออกไป ด้านหลังบ้านมีสวนดอกไม้ขนาด200ตารางเมตร ตอนที่พาพ่อแม่มาดู พวกเขาต่างก็ถูกในสถานที่นี้

พ่อบอกว่า “ที่ตรงนี้ดี สามารถปลูกผักกับแม่ได้ แล้วสามารถพาเสี่ยวโยวมาเล่นตรงนี้ได้ เพียงแต่ เฉียวเอ๋อ มันแพงเกินไป” เพราะเป็นห้องกระจกใส สามารถเห็นดวงอาทิตย์ได้ แต่ก็สามารถกันลมฝนได้

แพงมาก แต่คิดถึงเงินนี้แล้ว ก็นับว่าได้มาอย่างไม่คาดฝัน มู่เฉียวไม่เสียดาย พูดตามตรง แค่พวกคุณชอบก็พอแล้ว

ไม่รู้ว่าใครเป็นคนเปิดเผยเรื่องที่เธอเคยติดตามเป็นล่ามให้กับหานฉุน ชื่อเสียงของเธอในอาชีพนี้ จึงเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว อีกทั้ง มีคนแจ้งข่าวว่าการเปิดเผยข้อมูลทางธุรกิจของโม่หาน ไม่ได้เกิดจากเธอ ก็เพราะทำตามประวัติศาสตร์ด้านมืดมาหลายปี ในที่สุดจึงถูกบิดเบือน

บริษัทที่มีชื่อเสียงไม่น้อยต่างก็ยื่นโอกาสเข้ามาให้เธอ

ในจำนวนนั้นก็รวมถึงบริษัทเดิมด้วย ยิ่งเปิดด้วยค่าตอบแทนที่สูงลิ่ว ก็ยิ่งแสดงให้เห็นว่า ในปีนั้น ตระกูลกดดันทำให้จนปัญญาที่จะหลีกเลี่ยง

แต่สุดท้ายมู่เฉียวก็ไม่ได้กลับไปบริษัทเดิม ด้วยการพัวพันมากเกินไป รู้มากเกินไป เธอจึงไปอีกบริษัทหนึ่งที่ไม่ห่างชั้นจากบริษัทMYนัก

เมื่อเธอมองไปด้านนอกห้องทำงาน ก็จะได้เห็นตึกใหญ่ของบริษัทโม่หานพอดี นี่จึงทำให้เธอรู้สึกปลอดภัยอยู่ไม่น้อย

อีกทั้ง เท่าที่เธอรู้มา บริษัทนี้ ยังรับแปลเอกสารราชการของMYกรุ๊ปด้วย เหตุผลหนึ่งที่เธอมาก็คือ ต่อไปเอกสารราชการทั้งหมดของMYกรุ๊ปจะต้องถูกรับช่วงแปลโดยเธอ

ความสามารถของเธอ บริษัทรับรู้อย่างแจ่มแจ้ง กับความสามารถที่ยอดเยี่ยมนี้ การขอร้องเล็กๆน้อยๆนี้ จึงไม่มีใครคิดปฏิเสธ

ดังนั้น เมื่อมู่เฉียวปรากฏตัวต่อหน้าโม่หานในชุดทำงาน ในสายตาของชายหนุ่มจึงแสดงความประหลาดใจเล็กน้อย แต่ก็ระงับให้ผ่านไปได้ด้วยดี และผ่านเธอไปด้วยใบหน้าที่ไม่แสดงออก

“พี่เสี่ยวเฉียว เห็นไหม ท่านประธานของบริษัทMY”

มู่เฉียวหันตัวกลับ มองคนที่ยืนอยู่ข้างๆ เป็นผู้ช่วยที่เพิ่งจบจากมหาวิทยาลัย ฉีกยิ้มเล็กน้อย เธอควรจะขอบคุณที่ข่าวของตระกูลเหอถูกระงับได้ทันเวลา ต้องขอบคุณสำหรับการแพร่กระจายข่าวในปัจจุบันซึ่งเป็นสัดส่วนความเร็วที่ทำให้คนลืม ดังนั้น กลับมาเมืองAอีกครั้ง ก็แทบจะไม่มีใครเอ่ยถึงเธอกับโม่หานเลย นี่จึงทำให้เธอโล่งอก

“อืม” เธอตอบสนองอย่างเรียบเฉย

“ไม่รู้สึกว่าหล่อเป็นพิเศษเหรอ?”

“ฉินเอ๋อ คุณลุงคุณป้า พวกเขาชอบอะไร?”

มู่เฉียวยิ้มอย่างจำใจ ขยับกล่องไม้จิ้มฟันบนโต๊ะไปมา “พวกเขาในตอนนี้ ถ้าคุณสามารถไปหาได้ก็อาจจะเป็นของขวัญที่ดีที่สุด”

“อย่างนั้นเหรอ?” บนใบหน้าเล่อเชี่ยงหย่วนมีรอยยิ้มเล็กน้อย

มู่เฉียวยิ้มเล็กน้อย คิดๆแล้วก็พูดอีกว่า “เชี่ยงหยวน นี่เป็นการทำความชั่วตามคนอื่นนะ อันที่จริงถ้า……”

เธออยากจะบอกเล่อเชี่ยงหย่วนว่าการอยู่ด้วยกันกับเธอ บางทีชีวิตอาจจะไม่ได้สงบสุขนัก

“พูดกันดีแล้ว อย่าเอ่ยถึงเลย ทำไมยังพูดขึ้นมาอีกล่ะ?”

ทั้งสองคนทานอาหารเสร็จ ก็ไปเดินเล่นด้วยกัน เมื่อกลับมาถึงบ้าน ก็สี่ทุ่มกว่าแล้ว

“เชี่ยงหย่วน อย่างนั้นคุณกลับไปก่อนเถอะ”

ด้านนอกชุมชน มู่เฉียวก็หยุดฝีเท้า

“โอเค ไว้เจอกันพรุ่งนี้”

“เดี๋ยว” จู่ๆมู่หานก็เรียกขึ้นมา “คุณ……ตอนนี้พักอยู่ที่ไหน?”

ดูเหมือนคาดไม่ถึงว่าเธอจะถามคำถามนี้กับตนเอง เล่อเชี่ยงหย่วนหันกลับมามองเธอ “ฉันเช่าบ้านอยู่ไม่ไกลจากที่ทำงานของคุณ” พูดจบแล้วเขาก็พูดต่อว่า “มู่เฉียว ฉันกลับมาทำงานที่เดิมแล้ว คุณลุงไม่สบายตรงไหน คุณก็โทรหาฉันได้เลยนะ”

มู่เฉียวตกตะลึงเล็กน้อย จากนั้นจึงมีปฏิกิริยาตอบกลับ “คุณ……คุณกลับมาเป็นหมออีกแล้วเหรอ?” เล่อเชี่ยงหย่วนเรียนมหาวิทยาลัยทางการแพทย์ แม้ภายหลังจะไปทำธุรกิจ ว่ากันว่าเกิดเรื่องวุ่นวายทางการแพทย์ครั้งหนึ่ง พอดีว่าเขาอยู่ในแผนกหัวใจและหลอดเลือด และผู้ป่วยอยู่บนเตียงผ่าตัดหัวใจหยุดเต้น ตามหลักแล้วก็ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเขา แต่ครอบครัวของผู้ป่วยไม่ยอม นั้นทำให้เขารู้สึกหมดกำลังใจ

“ขอแสดงความยินดีด้วย”

“บังเอิญว่าอยู่ในโรงพยาบาลนั้นที่คุณลุงเข้ารักษา พูดได้ว่าหลังจากวันนั้นที่คุณลุงออกจากโรงพยาบาล ฉันก็เริ่มเข้าไปทำงานอย่างเป็นทางการเลย”

มู่เฉียวยื่นมือไปจับเขา แล้วยิ้ม “เชี่ยงหย่วน ดีใจกับคุณมากๆเลย คุณเป็นคนมีความสามารถ ไม่ควรจะสูญเปล่าไปกับโลกของเงินทอง”

เล่อเชี่ยงหย่วนพยักหน้า “เฉียวเอ๋อ ถ้ารู้จักประนีประนอมตั้งแต่แรก คุณก็ไม่ต้องเจ็บปวดแบบนี้ ฉันจะยอมเผชิญหน้าแล้วอยู่เคียงข้างคุณตลอดไปดีกว่า”

“คุณทำเพื่อฉัน” กลอุบายของมู่หยิง เธอรู้ดี บางครั้งคนจะบอกว่าเงินทองเป็นของนอกกาย แต่อย่างที่เล่อเชี่ยงหย่วนบอก เงินทองและอำนาจอยู่ตรงหน้า ไม่ว่าคุณจะเป็นชายชาตรี บางทีก็ต้องอับจนหมดหนทาง

“โอเค นอนเร็วๆหน่อยนะ ฉันไปก่อน”

“เดินทางปลอดภัยนะ”

เมื่อเห็นเล่อเชี่ยงหย่วนขึ้นรถสาธารณะไปแล้ว มู่เฉียวก็ค่อยๆหันกลับมา ทว่าก็ชนเข้ากับอ้อมกอดที่คุ้นเคย

ชายคนนั้นโอบเอวเธอ “เฉียวเอ๋อ? ที่รัก” เสียงผู้ชายที่ทุ้มๆและคุ้นเคยดังขึ้นในหู

“มู่เฉียว ฉันไม่อนุญาตให้คุณอยู่กับเขานะ”

ความโกรธปะทุขึ้นมา มู่เฉียวเงยหน้าขึ้น หัวเราะเยาะ “อย่างนั้นคุณก็แต่งงานกับฉัน? มีความสามารถ คุณก็แต่งงานกับฉันสิ?” เสียงเธอดังขึ้นอย่างฉับพลัน เมืองBในตอนสี่ทุ่มกว่า ยังมีคนผ่านไปผ่านมาอยู่มาก

ชายคนนั้นดึงเข้าไปตรงรถออฟโรดคันหนึ่ง “ฉันเคยบอกแล้วไง ว่าให้รอฉัน ทำไมคุณใจร้อนขนาดนั้น?”

เรื่องมาถึงจุดจุดนี้ มู่เฉียวก็ใจเย็นขึ้นมากแล้ว เธอเลิกดิ้นรนและสูดหายใจเข้าลึกๆ เธอหันไปมองโม่หาน สบสายตากัน แล้วเธอก็พูดว่า  เพราะเรื่องฉันกับคุณพ่อของฉัน ครั้งที่หนึ่งพ่อฉันก็ต้องทำการผ่าตัดบายพาสหัวใจ ครั้งนี้ก็แทบจะไม่ฟื้นขึ้นมา ฉันไม่อยากจะจินตนาการเลย ถ้าเขารู้ว่าเรายังอยู่ด้วยกัน เขาจะมีปฏิกิริยาอย่างไร”

ฉันสามารถอธิบายกับคุณลุงได้”

“คุณจะอธิบายอะไร? ให้เขารอที่ลูกสาวจะแต่งงานออกไปเหรอ? โม่หาน ไม่อย่างนั้นเอาแบบนี้ไหม? ต่างฝ่ายต่างให้เวลากันและกันหนึ่งปี หลังจากหนึ่งปีแล้ว คุณจะแต่งงาน ฉันก็ยังจะแต่งเหมือนเดิม หากผ่านไปหนึ่งปีแล้ว คุณยังแต่งไม่ได้ ก็ปล่อยมือซะ ได้ไหม?”

ผ่านไปหนึ่งปี เธอก็อายุ29ปีเต็ม ย่างเข้า30ปี เป็นช่วงเวลาที่งดงามที่สุดของผู้หญิง ก็นับตั้งแต่บัดนี้จนกระทั่งจบสิ้น

“ไม่ได้ คุณอยู่ด้วยกันกับเขาทั้งเช้าทั้งเย็น ถ้าหากว่า ผ่านไปหนึ่งปีแล้ว คุณเกิดเปลี่ยนใจขึ้นมาล่ะ?”

มู่เฉียวอ้าปากค้าง มองโม่หาน ทันทีก็รู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออก ท่านประธานโม่ที่สง่าผ่าเผย คาดไม่ถึงว่าจะกลัวเธอเปลี่ยนใจ?

“อย่างนั้นก็บอกฉันมาว่า สรุปมันคือสาเหตุอะไร ถึงไม่สามารถแต่งงานกับฉันได้ สรุปมาทั้งหมดได้ไหม? ถึงแม้จะรอ ก็ให้เหตุผลฉันสักหน่อย ได้ไหม?”

โม่หานส่ายหน้า ไม่พูดจา มู่เฉียวหลับตา แล้วลืมตา “อย่างนั้นคุณอยากจะทำอะไรก็เชิญเลย ลาก่อน” พูดจบ ก็ดึงเปิดที่จับประตูรถ เตรียมจะลงจากรถ แต่ถูกโม่หานดึงมือเอาไว้ “มู่เฉียว ให้เวลาฉันหน่อยนะ ฉันจะไม่ทำให้คุณผิดหวัง” น้ำเสียงที่เสียใจของเขาแฝงไปด้วยการอ้อนวอน ทำให้มู่เฉียวคิดว่าตนเองประสาทหลอน พอหันหน้ากลับมา ก็เห็นใบหน้าที่เศร้าเสียใจของชายหนุ่ม

เธอก้มหน้าเล็กน้อย เงาของขนตาทั้งสองข้างตกลง อึ้งอย่างมาก จริงๆเธอยอมที่จะให้ชายคนนี้ไร้ความเมตตาปรานีดีกว่า ไม่อยากให้เขาเสแสร้งทำตัวน่าสงสารเช่นนี้ ใจเธอมันอ่อนแอเกินไป

เธอปล่อยที่จับประตูออก “โม่หาน ถ้าคุณทำเพื่อเงิน อย่างนั้นพวกเราก็ไม่ต้องการเงินแล้ว ได้ไหม? ด้วยความสามารถของคุณไม่ว่าจะไปที่ไหน ก็สามารถหาเงินมาเลี้ยงดูฉันกับลูกได้อยู่แล้ว ฉันก็จะขยันให้มากๆ โอเคไหม?” เธอโน้มน้าวเขา สาวสวยหาได้ยากกว่าอำนาจเงินทอง

โม่หานยิ้ม นิ้วมือที่เรียวยาวลูบไปมาระหว่างเส้นผมของเธอ “เด็กโง่ เพื่อคุณ ไม่ว่าเงินทอง อำนาจบารมี ฉันก็ไม่เสียดายทั้งนั้น”

มู่เฉียวขมวดคิ้ว นั่งตัวตรง สายตาจ้องมองไปยังโม่หาน พูดตามตรง คำตอบนี้ทำให้เธอแปลกใจอย่างมาก “อย่างนั้น ทำไมล่ะ?”

“มู่เฉียว คุณต้องการฟังฉันอธิบายรายละเอียดเกี่ยวกับเรื่องนี้ให้คุณชัดเจนหรือไม่? แต่อาจต้องใช้เวลานานนะ”

“คุณพูดมาเถอะ!” เสี่ยวโยวน่าจะถูกพ่อแม่กล่อมนอนแล้ว เธอกลับไปดึกหน่อย ก็น่าจะไม่เป็นไร

……

ผ่านไปหนึ่งชั่วโมง

“มีพ่อแบบนี้บนโลกใบนี้ด้วยเหรอ?” มู่เฉียวตกตะลึงถึงขีดสุด คาดไม่ถึงว่าเพื่อธุรกิจของตนเอง จะสามารถเอาชีวิตของลูกชายมาล้อเล่นได้ เธอยังลืมไม่ลงกับท่าทีที่หายใจรวยรินของโม่หาน ราวกับว่าชีวิตสามารถจบสิ้นลงได้ภายในชั่วพริบตา

แต่ทุกสิ่งทุกอย่างนี้ คาดไม่ถึงว่าจะเป็นพ่อของเขาที่เป็นคนทำ จุดประสงค์ ก็เพียงเพื่อ จะบีบบังคับจนเขาอับจนหนทาง ความบ้าคลั่งแบบนี้ ทำให้คนต้องตกตะลึงจริงๆ

โม่หานขมวดคิ้วแน่น คนต่างก็บอกว่า เลือดข้นกว่าน้ำ ถึงอย่างไรก็เป็นผู้ให้กำเนิด โดยปกติมนุษย์ธรรมดา ไม่สามารถทำเรื่องแบบนี้ได้

เห็นเขาไม่พูดจา มู่เฉียวคิดๆแล้ว จึงเอ่ยปาก “หานฉุน เป็นน้องชายของคุณไม่ใช่เหรอ? ทำไมไม่เลือกเขาล่ะ?”

ดูเหมือนว่าแปลกใจอย่างมาก เธอรู้เรื่องนี้แล้ว โม่หานปลดกระดุมคอเสื้อ แล้วพ่นลมหายใจออก แล้วจึงมองมู่เฉียว “เขารู้ว่าหานฉุนไม่ได้ใส่ใจทางด้านธุรกิจมาแต่ไหนแต่ไร อำนาจบารมีที่เขายึดครองได้ เมื่อต้องตกอยู่ในมือของหานฉุน เกรงว่าจะสูญหายไปในชั่วพริบตา มู่เฉียว เขาทำเพื่อธุรกิจของตนเอง รู้ว่าแม่ของฉันกำลังตั้งท้องฉัน แต่พ่อเลี้ยงของฉันก็บีบบังคับให้เธอแต่งงานกับเขา สำหรับเขาแล้ว…….ฉันจนปัญญาที่จะประนีประนอม” ดวงตาทั้งคู่ของโม่หานแสดงความเด็ดเดี่ยวอย่างลึกซึ้ง

“อย่างนั้นก็ไม่ควรจะทำกับคุณแบบนี้นี่? เขาควรจะทำดีกับคุณสักหน่อย คุณไม่ยอมรับมันในทันทีเหรอ? ทำไมถึงต้องบีบบังคับคุณด้วยล่ะ?”

“เขาฆ่าพ่อของฉัน” โม่หานหยุดลงชั่วขณะ “พ่อเลี้ยงของฉัน มู่เฉียว คุณคิดว่าผู้ชายแบบนี้ ฉันจะสามารถสืบทอดกิจการของเขา และทำมันให้ยิ่งใหญ่แข็งแกร่งอย่างนั้นเหรอ?”

มู่เฉียวส่ายหน้า ถ้าเป็นเธอ เธอก็ไม่ยินยอม พ่อคนหนึ่งที่สามารถเอาชีวิตของตนเองไปเล่นเป็นเด็กๆ น่ากลัวเกินไปจริงๆ

“ดังนั้น ฉันจึงไม่สามารถยอมรับข้อตกลงของเขาได้ ด้วยเหตุนี้ คุณแล้วเสี่ยวโยวจึงกลายเป็นจุดอ่อนเพียงอย่างเดียวของฉัน ถ้าฉันแต่งงานกับคุณ ด้วยนิสัยของเขาแล้ว เกรงว่าอาจจะลงมือกับพวกคุณได้”

เวลานี้ จู่ๆโทรศัพท์ของโม่หานก็ดังขึ้น

ถึงจะบอกเธอก่อนที่จะไปแอฟริกาใต้ บางทีทุกๆอย่างก็อาจจะไม่เหมือนเดิม

“ฉันหาคุณไม่เจอ หลายปีก่อนหน้านี้ กลับมาหลังจากที่เจอกันที่เยอรมัน ฉันก็หย่ากับเธอแล้ว แต่ต่อมาฉันก็ไปตามหาที่เมืองA ก็ไม่มีข่าวคราวของคุณเลย ก่อนหน้านี้สองสามวันได้ดูข่าว ฉันจึงได้รู้ว่าคุณมาที่เมืองB แล้วบังเอิญว่าเช้านี้ก็ได้เจอกับตู้เสี่ยวซิน”

ฉะนั้นเดิมทีคนที่มานัดดูตัว ไม่ได้เป็นเขา

ที่เรียกว่าโชคชะตากลั่นแกล้ง ในที่สุดมู่เฉียวก็ได้เข้าใจ

เธอมองเล่อเชี่ยงหย่วน ดวงตาค่อยๆเปียกชื้นขึ้น ถ้าไม่ได้รักโม่หาน นี่อาจจะเป็นตอนจบที่สมบูรณ์แบบที่สุด

แต่ว่า……

“ฉันกับเขา……”

“ฉันไม่สนใจหรอก”

“เล่อเชี่ยงหย่วน คุณไม่กลัวว่าเขาจะมาแก้แค้นเหรอ?” ขนตาที่งอนของมู่เฉียวเปียกชื้นเล็กน้อย เธอกะพริบๆตา บังคับให้น้ำตาไหลกลับไป

“กลัวสิ แต่ฉันรู้ว่า ด้วยเหตุนี้เขาจึงไม่สามารถทำร้ายคุณได้ มู่เฉียว ฉันเป็นผู้ชาย จากคำพูดของตู้เสี่ยวซิน จริงๆแล้วฉันก็ฟังออกว่าโม่หานคนนั้นมีความรักใคร่ต่อคุณ”

โม่หานมีความรักใคร่ต่อคุณ

มู่เฉียวหัวเราะ “มีความรัก แล้วจะไม่ยอมแต่งงานกับฉันเหรอ?”

“บนโลกใบนี้มีคนมากมาย ที่ไม่ได้รักกันก็แต่งงานกันได้” เล่อเชี่ยงหย่วนเป็นคนที่มีเหตุผลมาโดยตลอด สำหรับเขาไม่ว่าจะเรื่องงาน ความรัก ก็ไม่ได้ใช้อารมณ์

ไม่ได้รักกันก็แต่งงานกันได้? มู่เฉียวส่ายหัว อย่างนั้นก็บอกได้ว่า ไม่มีความรักที่ดีที่สุด มิเช่นนั้นยังมีเหตุผลอะไรที่จะไม่แต่งงานล่ะ?

“คุณมาวันนี้เพื่อมาพูดเกลี้ยกล่อมเหรอ?”

เล่อเชี่ยงหย่วน “แต่งงานกับฉันเถอะ ฉันจะไม่แตะต้องคุณ รอวันหนึ่ง เมื่อเขาแต่งงานกับคุณได้ ฉันจะคืนคุณให้เขา อย่างนี้พ่อแม่คุณก็จะได้สบายใจ เป็นอย่างไร?”

มู่เฉียวตกตะลึง เงยหน้ามองเล่อเชี่ยงหย่วน “อย่างนั้นคุณต้องการอะไร?”

ท้ายที่สุดแล้วความคิดนี้ เขาก็ไม่ได้อะไรเลย

เธอมองเล่อเชี่ยงหย่วน เทียบกับเด็กวัยรุ่นในปีก่อนๆ สองสามปีนี้ เขาโตเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมาก ทรงผมการแต่งตัว ก็เปลี่ยนสไตล์ไป แต่ต้องบอกว่า ถึงแม้จะไม่ดูดีเท่าโม่หาน แต่เล่อเชี่ยงหย่วนก็ดูดีเป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นรูปร่างหน้าตา หรือความสามารถ ในสายตาของคนธรรมดาอย่างพวกเขา เขายังนับว่าเป็นคนที่หน้าตาดี

“อาศัยความรักที่ฉันมีต่อคุณ ฉันสามารถเอาคุณไปต่อรอง เพื่อแลกกับความมั่งคั่งตลอดชีวิตได้”

ประโยคแรกได้ฟังแล้ว ก็รู้สึกซาบซึ้งใจจริงๆ แต่ประโยคหลังนั้น มันเกินความคาดหมายของมู่เฉียว

“เล่อเชี่ยงหย่วน……” เธอโกรธเล็กน้อย สุดท้ายแล้ว คาดไม่ถึงว่าชายคนนี้ยังคงมาหาเธอก็เพื่อเงิน

“ถ้าคุณไม่อยากแต่งงานกับเขาอีกแล้ว ฉันก็เต็มใจ” ดูเหมือนจะรู้ว่าเธอต้องการจะพูดอะไร เล่อเชี่ยงหย่วนก็พูดตัดบทเธอ จากนั้นก็พูดต่อว่า : “ถ้าท้ายที่สุดแล้ว คุณยังปล่อยวางจากเขาไม่ได้ เช่นนั้น ก็จะใช้ความมั่งคั่งในชีวิตมาแลกเปลี่ยนความรู้สึกผิดของคุณ”

เมื่อมู่เฉียวได้ยินสิ่งนี้ ในที่สุดน้ำตาก็ไหลออกมา

เวลานี้เธอซาบซึ้งใจอย่างมาก ซาบซึ้งใจที่ผู้ชายคนนี้พูดอย่างตรงไปตรงมา ซาบซึ้งใจที่ในความทุ่มเทของชายคนนี้

อันที่เธอไม่ได้โง่ เงื่อนไขนี้ดูเหมือนจะยุติธรรม แต่เธอคือคนที่ได้ผลประโยชน์มากที่สุด ไม่ว่าจะสถานการณ์ไหน เธอก็ไม่ได้เสียเปรียบ บางทีเล่อเชี่ยงหย่วนอาจจะรักเธอจริงๆ จึงได้ปรากฏตัวข้างๆเธอในสถานการณ์อย่างนี้  อันที่จริงฉันก็ไม่ได้เสียเปรียบ ถ้าไม่ได้อำนาจ ก็ต้องได้สาวงาม คุณว่าไหม?”

เวลานี้มีคนสวมชุดทำงานของห้องสมุดเข้ามา หยิบผ้าขี้ริ้วมาเช็ดน้ำบนโต๊ะ มู่เฉียวจึงถอยไปสองก้าว

“ถ้าเขารักคุณ ก็เป็นธรรมดาที่เขาจะทุ่มเงินเพื่อคุณ ส่วนความมั่งคั่งในตลอดชีวิตของคนธรรมดาอย่างเรา ในสายตาโม่หานแล้ว มันไม่เท่าไหร่หรอก เขาไม่เสียดายอย่างแน่นอน แต่ถ้าเขาไม่รักคุณ มู่เฉียว คุณแต่งงานกับฉัน ฉันสัญญาว่าจะดูแลคุณไปตลอดชีวิต จะรักคุณไม่ทำผิดต่อคุณอย่างแน่นอน”

พูดถึงส่วนนี้ มู่เฉียวก็รู้สึกว่าตนเองคล้ายกับไม่มีเหตุผลที่จะปฏิเสธ

อันที่จริง ไม่ว่าอนาคต เธอและโม่หานจะได้ลงเอยกันหรือไม่ แต่ด้วยสถานการณ์ตอนนี้แล้ว เล่อเชี่ยงหย่วนก็เป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย

“เพียงแต่ ระยะเวลาที่กำหนดคือ สองปี” เล่อเชี่ยวหย่วนกล่าวเสริมอีกว่า “เฉียวเอ๋อ หลังจากสองปี ถ้าเขาไม่สามารถให้คำตอบใดๆกับคุณได้ อย่างนั้น ในอนาคต ถึงแม้เขาจะเอาอำนาจเงินทองมาแลกเปลี่ยน ฉันก็จะไม่ยอมปล่อยมือ คุณยินยอมไหม?”

สองปี? มู่เฉียวหรี่ตา หากสองปี เขายังไม่ยินยอมที่จะแต่งงาน ให้รอไปอีกหลายปีก็ไม่มีประโยชน์

“ได้ อย่างนั้นตอนเย็นไปบ้านฉันไหม?” เธอยอมรับว่าเธอรีบร้อนไปหน่อย รีบร้อนที่จะทำให้พ่อแม่สบายใจ

“ผ่านไปสักสองสามวันเถอะ รีบร้อนเกินไป ก็ไม่ใช่เรื่องที่ดี”

มู่เฉียวพยักหน้า มองฝ้าเพดาน รู้สึกโล่งอกอย่างอธิบายไม่ถูก

“คุณถึงเวลาทำงานแล้วใช่ไหม? ฉันจะไปส่งคุณที่บริษัท”

บอกว่าจะไปส่งเธอที่บริษัท แต่เล่อเชี่ยงหย่วนไม่มีรถ แค่ติดตามไปส่งเธอ คนทั้งสองนั่งรถสาธารณะไปที่บริษัท

นั่งรถสาธารณะสามสิบห้านาที คนทั้งสองเงียบมาโดยตลอด บางทีคำที่อยากจะพูดมีมากเกินไป หรือบางทีคำที่ไม่สามารถพูดได้มีมากเกินไป สุดท้าย ก็ได้แต่เงียบมาตลอดทาง

การพบกันอีกครั้ง ทั้งด้วยสภาพจิตใจที่เป็นแบบนี้ ด้วยวิธีการพบกันแบบนี้ คนทั้งสองก็ค่อนข้างอึดอัดและเก้อเขินเล็กน้อย

“ตอนเย็น คุณเลิกงานกี่โมง?”

“ห้าโมงครึ่ง”

“ตอนเย็นเลี้ยงข้าวคุณ จะได้ไหม?”

สายตาของมู่เฉียวมองไปยังที่อื่น ความสัมพันธ์ของคนทั้งสอง อีกทั้งสถานะในขณะนี้ เธอคล้ายกับว่าไม่มีคุณสมบัติที่จะปฏิเสธ คิดๆแล้ว จึงพยักหน้า “โอเค”

สถานที่ไม่ได้หรูหราราคาแพงเหมือนที่โม่หานพาเธอไป เล่อเชี่ยงหย่วนพาเธอไปยังร้านเล็กๆที่มุมหนึ่ง อาหารอร่อยมาก แถมยังถูกอีกด้วย พอคิดๆอย่างใจเย็นแล้ว ถ้าวันเวลาผ่านไปจริงๆ บางทีเล่อเชี่ยงหย่วนก็อาจจะเหมาะสมกว่า

“เฉียวเอ๋อ ก๋วยเตี๋ยวหลอดไส้หมูของโปรดคุณ”

ใจของมู่เฉียวสั่นไม่หยุด “ทำไมเมืองBถึงยังมีสถานที่แบบนี้อยู่อีกล่ะ?”

พูดจบ เธอก็มองเล่อเชี่ยงหย่วน “หลายปีมาแล้ว คุณยังจำที่ไปกินที่บ้านฉันได้ไหม?”

“คุณชอบกินก๋วยเตี๋ยวหลอดไส้หมู ชอบกินปลาเผา ชอบกินโจ๊กฟักทอง ชอบกินเกี๊ยวนึ่งจิ้มจิ๊กโฉ่ว…..” ของที่เธอชอบกิน ผู้ชายคนนี้จำได้อย่างแม่นยำ

ทุกคำที่เขาพูด ใจของมู่เฉียวก็ยิ่งเป็นทุกข์ ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ น่าจะดีมาก ไม่มีโม่หาน ไม่มีมู่หยิง…..

เชี่ยงหย่วน…”เธอเม้มริมฝีปาก จนกระทั่งริมฝีปากสั่นเล็กน้อย แต่เธอรู้ว่าการประทับใจไม่ใช่ความรัก

“เอาล่ะ หยุดแค่นี้ คุณก็รู้ว่า ฉันไม่ได้ต้องการให้คุณประทับใจแต่อย่างใด ฉันปรารถนาให้คุณมีความสุข ไม่ว่า ท้ายที่สุดแล้วคุณจะเลือกใคร ดังนั้น ปัญหานี้ ไม่ต้องพูดกับฉันอีก”

คนทั้งสองเข้าไปในร้าน เถ้าแก่คล้ายกับรู้จักเล่อเชี่ยงหย่วน “พ่อหนุ่ม คุณมาแล้วเหรอ?”

“คุณมาบ่อยเหรอ?”

“เปล่าหรอก ของที่คุณชอบ ฉันก็แค่ค่อนข้างใส่ใจก็เท่านั้น กินมาหลายร้าน ร้านนี้ รสชาติดั้งเดิมที่สุดแล้ว”

พูดพลาง สั่งให้มู่เฉียวนั่งลง แล้วก็รินน้ำจับเลี้ยงให้เธอแก้วหนึ่ง “ดื่มอันนี้สักหน่อยก่อน รสชาติเหมือนกับที่เมืองAเลยนะ”

มู่เฉียวสูดลมหายใจเข้า มองเล่อเชี่ยงหย่วน จิบน้ำตับเลี้ยงอึกหนึ่ง “อื้ม เหมือนกันเลย”

ทุกอย่างล้วนเหมือนเดิม ถ้าไม่มีความทรงจำเมื่อหลายปีมานี้ เวลานี้ พวกเขาก็ยังคงเป็นคนรักกันเหมือนในตอนนั้น

แต่บังเอิญ ในใจรู้อย่างชัดเจนว่า มันไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว

“ประธานโม่ คุณไปก่อนเถอะ สถานการณ์เธอในตอนนี้ ไม่ฟังคำพูดใดๆทั้งนั้น” ไม่รู้ว่าตู้เสี่ยวซินเข้ามาตั้งแต่เมื่อไหร่ มองโม่หานแล้วพูดอย่างช้าๆ

มองผู้หญิงตรงหน้า สองไหล่สั่นเทา โม่หานอยากจะยื่นมือไปกอด ท้ายที่สุดได้แต่แข็งทื่ออยู่กลางอากาศ นิ้วมือเรียวยาวค่อยๆกำจนกลายเป็นหมัด บนใบหน้าอันหล่อเหลา แสดงออกอย่างเจ็บปวด

อันที่จริงหลังจากวันนั้นที่เขารู้ เขาก็รู้ว่าทุกอย่างหลุดไปจากแผนการของเขา แต่เขาไม่คิดว่า มู่เฉียวจะเอ่ยขอแต่งงานกับเขา

รู้ดีว่าการปฏิเสธจะทำให้เธอสิ้นหวัง แต่เวลาแบบนี้ เขาจนปัญญาที่จะตอบรับ

ตาแก่คนนั้น เขายังคงไม่ยอมอ่อนข้อให้ แล้วทำไมพ่อถึงไม่ตาย ในตอนนั้นเกิดเรื่องอะไรขึ้น?

ยังไม่มีอะไรชัดเจน

เขาได้แต่ทำให้ตนเองมีอำนาจและแข็งแกร่งขึ้นมา เขาจึงสามารถปกป้องคนที่อยากปกป้องได้จริงๆ

มิเช่นนั้นแม้ว่าวันนี้เขาจะปกป้องเธอ วันหนึ่งข้างหน้า เธอยังคงอยู่ในตำแหน่งที่เป็นฝ่ายถูกกระทำ

ผู้ชายคนนั้นสามารถเอาชีวิตเขาเป็นเดิมพัน โดยอยู่ในสายตาเขา เดิมทีมู่เฉียวกับเสี่ยวโยวไม่ได้อยู่ในสายตาเขา

เมื่อพบเจอเรื่องที่ขัดผลประโยชน์กัน พวกเธอจะยังตกอยู่ในอันตรายเพราะตนเอง นี่คือสิ่งที่เขาไม่อยากเห็น

“ดูแลเธอให้ดีๆ” เขาพูดจบ ก็หันออกไป

เมื่อประตูปิดลง มู่เฉียวก็โผเข้าไปข้างเตียงของพ่อ ร้องไห้ออกมาจนตัวสั่นเทา

หลายวันมานี้โม่หานไม่ได้ติดต่อเธอเลย ความจริงก็อยากจะหลีกหนี แต่นี่ทำให้เธอยิ่งลำบากใจ

ตลอดคืนนี้ ตู้เสี่ยวซินไม่ได้ไปไหน เขายังคงอยู่ข้างๆมู่เฉียวตลอด

“มู่เฉียว ทานอะไรสักหน่อยก่อนเถอะ”

มู่เฉียวส่ายหน้าไม่พูดจา เรื่องครั้งนี้ไม่ได้น้อยไปกว่าการตายของโม่หานในปีนั้นเลย

เวลานั้น เพียงแค่จิตใจหวั่นไหว แต่ไม่ได้รัก

ตายไปแล้ว ก็เหมือนญาติห่างๆคนหนึ่งที่จากไป เศร้าเสียใจ แต่ไม่ถึงกับเจ็บจนซึ้งถึงหัวใจ

แต่ครั้งนี้ เขายังอยู่ ทว่าเธอเจ็บปวดจนแทบหยุดหายใจ

“เฉียวเอ๋อ เขาอาจจะมีความลำบากใจจริงๆ คุณอย่าหมดหวังขนาดนี้เลย”

มู่เฉียวมองตู้เสี่ยวซิน เธอไม่พูดอะไร บางทีเธอยังไม่รู้จักเขามากพอ บางทียังรักไม่ลึกซึ้งพอ ฉะนั้นจะทำเป็นยิ่งใหญ่ขนาดนั้นไม่ได้ เห็นแก่ตัวขนาดนั้นก็ไม่ได้

พ่อฟื้นขึ้นมาในวันที่สี่ของเหตุการณ์นี้ คนทั้งครอบครัวก็โล่งอก

หมดเน้นย้ำว่า อย่าให้ได้รับการกระทบกระเทือนใดๆทางจิตใจ

“พ่อ แม่ พวกคุณกลับไปบ้านย่าที่เมืองAเถอะ” หลังจากพ่อออกจากโรงพยาบาล มู่เฉียวก็พูดเสนอความคิดเห็น

พ่อไม่ได้พูดอะไร หลังจากฟื้นขึ้นมา เขาก็สงบนิ่งอย่างมาก ไม่ได้ตำหนิมู่เฉียว แล้วก็ไม่ได้ด่าเธอ

“เฉียวเอ๋อ หาคนมาแต่งงานด้วยเถอะ” จู่ๆพ่อก็พูดขึ้นมา การเข้าโรงพยาบาลอีกครั้ง ทำให้เขาดูอายุมากขึ้น

“หลีกหนีไปได้ก็จริง แต่จะหนีไปตลอดชีวิตเลยเหรอ? ไม่แต่งงาน คุณก็ต้องอยู่กับความไม่ชัดเจนกับโม่หานตลอดไป” พูดในประโยคเดียว

“พ่อ”

พ่อสูดลมหายใจเข้า “เราเป็นแค่ครอบครัวธรรมดาเท่านั้น เฉียวเอ๋อ”

คำไม่กี่คำดูเหมือนจะทำให้มู่เฉียวเข้าใจอะไรได้ในชั่วพริบตา

เธอเป็นผู้หญิงธรรมดาๆ ซินเดอเรลล่าไม่ได้มีคนคุ้มครองที่แข็งแกร่งอยู่เบื้องหลัง ถึงแม้ว่าจะเข้าไปในวังแล้ว ก็ไม่ได้แน่ว่าจะได้เป็นราชินี หรืออาจจะกลายเป็นซินเดอเรลล่าอีกครั้งก็ได้

เธอเม้มๆปาก  สามารถเลือกอย่างอื่นได้ไหม?

แต่หลังจากที่ทำให้พ่อตกอยู่ในอันตรายถึงสองครั้ง การร้องขอนี้ เธอจึงพูดไม่ออก

เธอไม่มีตัวเลือก

ดังนั้น สุดท้ายเธอก็ซื้ดจมูก “โอเค”

เธอเห็นพ่อแม่ถอนหายใจอย่างโล่งอก เธอเห็นอารมณ์ที่สับสนในสายตาของมู่หลิง

เช่นนี้ ก็ได้ ถ้าเธอต้องเจ็บปวดเพียงคนเดียว แล้วสามารถเปลี่ยนให้ครอบครัวสบายใจและปลอดภัยได้ เธอก็ยินยอม

“พรุ่งนี้ เริ่มดูตัวนะ”

มู่เฉียวพยักหน้า “โอเค”

บนระเบียงข้างบ้าน ชายหนุ่มถือบุหรี่ที่ไหม้มากกว่าครึ่งระหว่างนิ้วของเขา ก้นบุหรี่กระจัดกระจายไปทั่วพื้น

ตอนกลางวันของวันต่อมา นัดสถานที่พบกันแล้ว

มู่เฉียวพบเล่อเชี่ยงหย่วน

เธอรู้เหมือนว่าโชคชะตากำลังเล่นตลกกับเธอ วนเวียนไปมาอยู่ที่เดิม

เธอหันตัวกลับกำลังจะไป แต่แขนถูกดึงเอาไว้

“มู่เฉียว…..”

“คุณมาทำอะไร? เห็นเป็นเรื่องตลกเหรอ?”

เล่อเชี่ยงหย่วนส่ายหน้า “ฉันหย่ากับผู้หญิงคนนั้นแล้ว”

มู่เฉียวร้องเชอะอย่างเย็นชา หันหน้ากลับไปมองเขา “แล้วยังไงต่อ? คุณคงไม่ได้คิดจะแต่งงานกับฉันใช่ไหม?”

พูดจบ เธอก็เดินไปยังหน้าประตู เวลาทานข้าวตอนกลางวัน คนเดินไปมาจำนวนมาก ต่างก็มองมาที่คนทั้งสอง มู่เฉียวกดปีกหมวกลง เธอกลับมาเมืองBแล้ว เพิ่งจะรู้ว่า ในตอนที่เธอและโม่หานอยู่ที่แอฟริกาใต้ มีรูปภาพที่ท่าทางสนิทสนมกัน ได้เผยแพร่ไปทั่วอินเทอร์เน็ตภายในประเทศ

บอกว่าเป็นถ่านไฟเก่าของโม่หาน บอกว่าเธออ่อยโม่หาน ต่างๆนานา

ถึงแม้ว่าโม่หานจะได้ดำเนินมาตรการที่เกี่ยวข้องแล้ว ระงับการกระจายข่าวต่อแล้ว แต่คนจำนวนไม่น้อยก็ยังรู้จักเธอ

ดังนั้น จึงทำให้เหอเจี๋ยมาด่าประจานเธอถึงหน้าบ้าน

“มู่เฉียว คุณก็รู้ว่า สถานการณ์ขณะนี้ ไม่มีใครกล้าจะแต่งงานกับคุณ”

ประโยคนี้ทำให้มู่เฉียวที่ก้าวไปข้างหน้าต้องหยุดลง เธอตัวสั่นเล็กน้อย ไม่มีใครกล้าแต่งงานกับเธอ เพราะว่า เธอเป็นอดีตภรรยาของโม่หาน เมียน้อยในตอนนี้ ผู้ชายปกติที่ไหน จะรนหาที่ตายมาแต่งกับผู้หญิงของโม่หาน

ปัญหานี้ พวกเขาทั้งบ้านต่างก็รู้ดี แต่ก็ยังอยากจะเสี่ยงกับโชคชะตา

“คุณแน่ใจนะว่าจะยืนอยู่ตรงนี้? ไปหาสถานที่ นั่งลงแล้วพูดคุยกันเถอะ” เล่อเชี่ยงหย่วน

ในห้องสมุดที่เงียบสงบแห่งหนึ่งมีคนน้อยมาก เวลานั้น ตอนที่เธอและเป็นแฟนกัน นี่คือสถานที่ที่ชอบมากที่สุด

“เฉียวเอ๋อ ปีนั้น ฉันแต่งงานกับผู้หญิงคนนั้น ก็เพราะคุณ” พอนั่งลงประโยคแรกที่พูด ก็คือประโยคนี้

มือมู่เฉียวที่ยกแก้วน้ำอยู่สั่นอย่างรุนแรง น้ำครึ่งแก้วหกลงใส่ขา ความร้อนซึมลงผิวหนัง แต่เธอไม่ได้รู้ตัว

เล่อเชี่ยงหย่วนหยิบกระดาษทิชชูส่งให้เธอ “เช็ดก่อนเถอะ”

มู่เฉียวไม่ได้รับ เอาแต่มองเขา “เมื่อกี้ที่คุณพูด หมายความว่าอย่างไร?”

“มู่หยิงเอางานของคุณกับพ่อแม่มาใช้เป็นอำนาจคุกคาม ฉันไม่มีทางเลือกโดยสิ้นเชิง คุณก็รู้ว่า ชายอกสามศอก มีอำนาจเงินทองมากองอยู่ตรงหน้า ไม่มีกำลังที่จะต้านทานเลยแม้แต่น้อย” ความจนใจและเจ็บปวดในสายตาของเขา มันทิ่มแทงมู่เฉียวอย่างลึกซึ้ง

มู่เฉียวลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็ว ทำให้น้ำในแก้วหกออกมา

นี่คือสวรรค์กำลังล้อเล่นกับเธอเหรอ?

มือหนึ่งของเธอลูบที่หว่างคิ้ว บนโลกนี้ ยังมีเรื่องที่เหลวไหลไร้สาระกว่านี้อีกไหม? เธอคิดว่าชายคนนี้ชั่วมาโดยตลอด คาดไม่ถึงว่าเบื้องหลังจะทุ่มเทให้เธอมากมายขนาดนี้

“แล้วทำไมคุณถึงมาพูดตอนนี้ ทำไม? ทำไม?” เธอตะโกนเสียงดังใส่เขา

มู่เฉียวส่ายหัว หันไปจัดการของของตนเองก่อน

มองภาพด้านหลังของเธอ พี่เหมยหลับตา สูดลมหายใจเข้า “จริงแล้วเธอไม่ได้ทำผิดอะไร ครั้งนี้พ่อคุณทำเกินไปแล้วจริงๆ”

หานฉุนไม่พูดอะไร มีความกังวลลึกๆในแววตา

เมื่อมู่เฉียวกลับมาถึงเมืองB พอลงจากเครื่องก็เห็นตู้เสี่ยวซินอยู่ไกลๆ

“ทำไมคุณผอมไปขนาดนี้เลยล่ะ?” เธอเดินไปข้างหน้ามองตู้เสี่ยวซิน สีหน้าเธอดูอ่อนล้า ดูเหมือนว่าจะแน่เป็นพิเศษ อาจจะเกี่ยวกับว่าเธอไม่ได้แต่งหน้าด้วย

ตู้เสี่ยวซินเดินเข้าไปกอดเธอ “เฉียวเอ๋อ ไปกับฉันก่อน”

พูดจบก็ดึงมือมู่เฉียว รีบเดินไปข้างนอก ตู้เสี่ยวซินไม่ได้ขับรถมา จึงโบกรถกลับไป

เมื่อเห็นตรงหน้าเป็นโรงพยาบาล มู่เฉียวก็หันไปมองตู้เสี่ยวซิน แล้วหยุดฝีเท้า “มาที่นี่ทำไม?”

ตู้เสี่ยวซินหันไป แล้วเริ่มร้องไห้สะอึกสะอื้น “เฉียวเอ๋อ คุณลุงเขา……”

มู่เฉียวตกตะลึงเล็กน้อย จากนั้นเมื่อได้สติกลับมา ก็รู้สึกร้อนใจขึ้นมา เธอขมวดคิ้วถามว่า “พ่อฉันเขาเป็นอะไร?”

“เฉียวเอ๋อ……”

“สรุปพ่อฉันเป็นอะไร?” จู่ๆเสียงเธอก็ดังขึ้น

“โรคหัวใจคุณลุง……โรคหัวใจ……” ตู้เสี่ยวซินร้องไห้สะอึกสะอื้น มู่เฉียวเลยเดินผ่านเขาเข้าโรงพยาบาลไป

ตู้เสี่ยวซินเช็ดน้ำตา เดินตามหลังเธอไป

ในสมองมู่เฉียวยุ่งเหยิงไปหมด เธอไม่อยากจะร้อยเรียงหลายๆเรื่องเข้าด้วยกัน เธอกลัวว่าตนเองจะรับไม่ได้

แผนกหัวใจและหลอดเลือด

“ฉินเอ๋อ พ่อคุณเพิ่งจะทำการผ่าตัดไปเมื่อสักครู่นี้ กลัวว่าคุณจะกังวลใจ เลยไม่กล้าบอกคุณ” คำพูดของคุณลุงในตอนนั้นยังก้องอยู่ในหู

ครั้งนี้ล่ะ?

เข้าไปในห้องผู้ป่วย มู่หลิงกับแม่เฝ้าอยู่ข้างๆ เมื่อเห็นมู่เฉียวเข้ามา ทั้งสองคนก็ลุกขึ้นยืน

“เฉียวเอ๋อ……”

เสียงแม่แหบพร่ากว่าก่อนหน้านี้มาก มู่เฉียวรู้สึกว่าตนเองอกตัญญูจริงๆเลย คาดไม่ถึงว่าเธอจะเชื่อว่าแม่กำลังโกรธอยู่

“แม่……” หลังจากที่เธอเรียกแล้ว ก็เดินเข้าไปข้างๆเตียงพ่อมู่

“ทำไมจู่ๆพ่อถึงได้หมดสติไป?”

“คุณก็ถามโม่หานสิ? คุณไม่ได้มีความสัมพันธ์ที่ดีกับเขาไม่ใช่เหรอ?” น้ำเสียงมู่หลิงเย็นชาเล็กน้อย มู่เฉียวเงยหน้าขึ้นมอง ก็เห็นความเกลียดชังในแววตาของน้องชาย

“เสี่ยวหลิง คุณอย่าพูดกับพี่คุณแบบนี้”

“แม่ พ่อหมดสติไปเพราะสาเหตุอะไร คุณยังคิดจะปกปิดกับเธออีกเหรอ? ถ้าไม่ใช่เพราะผู้หญิงคนนั้นเข้ามา พูดคำพูดที่ไม่น่าฟังแบบนั้น พ่อจะได้รับการกระทบกระเทือนทางจิตใจเหรอ?”

“พี่ คุณรู้ว่าเขามีคู่หมั้นอยู่แล้ว ทำไมคุณถึงยังไปยุ่งกับเขาอีก? ในเมื่อคุณมีความสามารถที่จะก่อเรื่องวุ่นวาย คุณก็ต้องมีความสามารถที่จะให้เขามาแต่งงานกับคุณด้วยสิ?”

มู่เฉียวไม่พูดอะไร ไม่อยากที่จะอธิบาย เธอเม้มปากมองไปที่แม่ “แม่ หมอว่าอย่างไรบ้าง?”

แม่ถอนหายใจ “หมอบอกว่า กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเลยหมดสติไป หลายวันมาแล้วก็ยังไม่ฟื้นเลย”

มู่เฉียวมองพ่อ เธอตำหนิตนเองในใจ ไม่สามารถใช้คำพูดมาอธิบายได้ เธอไม่คิดว่าจะทำให้พ่อเธอเจ็บปวดอีกครั้ง  ฉันจะเฝ้าพ่ออยู่ที่นี่” เห็นท่าทีของพวกเขา คาดว่าหลายวันมานี้ คงไม่ได้หลับได้นอน

แม่ส่ายหน้า “เฉียวเอ๋อ คุณนั่งเครื่องบินมาเหนื่อยล้า คุณกลับไปเถอะ อีกเดี๋ยวเสี่ยวโยวก็น่าจะเลิกเรียนแล้ว ช่วงนี้เสี่ยวซินต้องไปรับเธอ”

มู่เฉียวมองตู้เสี่ยวซิน ฉีกยิ้มเล็กน้อย ระหว่างพวกเธอ พูดคำว่าขอบคุณ ก็จะดูห่างเหินเกินไป

แต่เธอยืนกราน ตู้เสี่ยวซินจึงต้องพาแม่และมู่หลิงไปส่ง

ในห้องผู้ป่วยเหลือเพียงเธอกับพ่อที่ไม่ได้สติ

เมื่อปิดประตู มู่เฉียวก็เริ่มร้องไห้สะอึกสะอื้น “พ่อขอโทษนะ ขอโทษ”

เธอไม่รู้ว่าตนเองร้องไห้ไปนานแค่ไหน รู้สึกว่าน้ำตาเริ่มแห้งแล้ว คนก็ร้องไห้จนเหนื่อยแล้ว จึงค่อยๆหยุดลง

เธอหยิบสำลีก้าน มาชุบน้ำ ช่วยให้ริมฝีปากของพ่อชุ่มชื้น

ตอนเด็ก ก็ยุ่งอยู่กับการอ่านหนังสือ ตอนโต ก็ยุ่งอยู่กับการทำงาน หลายปีมานี้ มู่เฉียวไม่เคยได้อยู่ด้วยกันกับพ่ออย่างสงบเงียบแบบนี้เลย

เธอกุมมือของพ่อ พูดถึงอดีตและปัจจุบันข้างหูของพ่อ

“พ่อ คุณจำได้ไหมว่าตอนเด็กๆ มีครั้งหนึ่งฉันป่วย แม่บอกว่า คุณแบกฉันไปหาหมอ แล้วตกลงไปในทะเลสาบน้ำแข็ง?”

“แล้วก็อีกครั้งหนึ่ง มีฝนตกหนัก เพื่อนนักเรียนคนอื่นๆ ล้วนไม่มีคนมารับ แต่คุณยืนถือร่มกลางฝนที่ตกหนัก เพื่อรอฉัน”

“ตอนเข้ามหาวิทยาลัย คุณไปส่งฉันที่มหาวิทยาลัย ซื้อของใช้ราคาแพงๆให้ฉัน แต่แม่บอกว่า เมื่อคุณกลับบ้าน ก็หิวจนเลือดออกในกระเพาะ”

“พ่อ ฉันชอบโม่หานจริงๆ ฉันไม่รู้ว่ามันจะเป็นการทำร้ายคุณ”

“พ่อ คุณจะต้องไม่เป็นไรนะ…..”

ชายหนุ่มที่ยืนพิงอยู่ด้านนอกประตูกลืนน้ำลายลงคอ เขาเห็นผู้หญิงที่ร้องไห้อยู่ด้านใน ใจก็เหมือนกับโดนมีดเฉือน เขาไม่อยากทำร้ายเธอ แต่ก็ทำร้ายเธอครั้งแล้วครั้งเล่า

เปิดประตูเข้าไป เขายืนอยู่ด้านหลังมู่เฉียว

กลิ่นกายที่คุ้นเคยลอยเข้ามาในจมูก มู่เฉียวตัวสั่น เช็ดน้ำตา แต่ไม่ได้หันกลับมา มองเงาดำที่สะท้อนบนผ้าห่มสีขาวหมดจด

เธอก้มหน้าลง ในใจสับสนถึงที่สุด

“มู่เฉียว ฉันขอโทษ เรื่องราวจะกลับกลายเป็นเช่นนี้ ฉันไม่นึกเลยว่า เธอจะไปหาคุณลุง”

มุมปากของมู่เฉียวฉีกยิ้มอย่างไม่น่าดู เธอหันหน้ากลับมา เงยหน้าขึ้น มองโม่หาน “โม่หาน คุณรักฉันไหม?”

โม่หานดึงเธอเข้ามาในอ้อมกอด พยักหน้า “รักสิ”

“อย่างนั้น ก็แต่งงานกับฉัน พวกเราแต่งงานกัน โอเคไหม? พ่อฉันคิดว่าฉันไปเป็นเมียน้อยคนอื่น เขาจึงโมโหจนกลายเป็นแบบนี้ ถ้าพวกเราแต่งงานกัน บางทีพ่อของฉันอาจจะดีใจ แล้วฟื้นขึ้นมา โม่หาน โอเคไหม?” เสียงช่วงสุดท้ายที่เธอพูดคล้ายกับการอ้อนวอน บนใบหน้าที่ขาวหมดจด ด้วยความตื่นเต้น จึงปรากฏสีแดงจางๆขึ้นมา

เธอรู้สึกว่าร่างกายของโม่หาน สั่นเล็กน้อย จึงผลักเขาออกเบาๆ แล้วก้มหน้า เธอไม่มีความกล้าแม้กระทั่งจะมองตาของโม่หาน

โม่หานโน้มตัวลงอย่างช้าๆ ยื่นมือเข้าไปเช็ดน้ำตาของเธอ “รอฉันอีกหน่อยนะ รอหน่อย…..”

มู่เฉียวนิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง จึงเม้มปาก ซื้ดจมูก แล้วเงยหน้าขึ้นอย่างรวดเร็ว มองโม่หาน เธอเม้มริมฝีปาก หัวเราะเยาะตัวเอง จากนั้น ก็ดึงมือทั้งคู่ออก ความเจ็บปวดในสายตา ปรากฏออกมาอย่างชัดเจน เธอกลืนน้ำลายเล็กน้อย แล้วเอ่ยปากอย่างช้าๆว่า: “รออีกแล้ว รอคุณมีชื่อเสียงเงินทอง แล้วค่อยแต่งงานกับฉัน? หรือว่ารอคุณหาเงินให้พอก่อน แล้วค่อยมาแต่งงานกับฉัน? ฉันไม่อยากรอแล้ว ฉันอยากแต่งงานตอนนี้ คุณต้องการอำนาจ หรือคุณต้องการฉัน คุณบอกมาสิ”

เธอบีบบังคับเขา

โม่หานคาดไม่ถึงว่ามู่เฉียวจะเอ่ยถึงข้อเรียกร้องนี้ และก็ยิ่งไม่คาดคิดว่าการตอบสนองของเธอจะมีแรงกระตุ้นขนาดนี้ เขาขมวดคิ้ว หลับตา แล้วลืมตาอีกครั้ง “มู่เฉียว คุณฟังฉันนะ ตอนนี้ฉันไม่สามารถแต่งงานกับคุณได้ ฉันมีความลำบากใจ แต่คุณต้องเชื่อฉัน รอฉัน…..”

“ไปให้พ้น”

“มู่เฉียว…..”

“ไป! ออกไป!” มู่เฉียวชี้นิ้วไปยังประตูที่อยู่ด้านหลัง เงยหน้าขึ้นเล็กน้อย น้ำตาไหลลงมาเป็นสาย ลำบากใจ? เธอคาดไม่ถึงว่า นอกจากผลประโยชน์แล้ว ยังมีเรื่องอะไรที่ทำให้โม่หานลำบากใจอีก พูดตรงๆ เธอคิดออกเพียงเท่านี้

เธอรู้ว่าถ้าถามคนอื่น พวกเขาก็จะกีดขวางความรู้สึกของเธอ ก็เลยไม่พูด แต่ว่าผู้ชายคนนี้จะไม่เมตตาอย่างแน่นอน

หานฉุนหยิบบุหรี่ขึ้นมาหนึ่งมวน คีบไว้ระหว่างนิ้วมือ คิดๆแล้วก็วางลง แล้วมองมู่เฉียว “คุณไม่รู้จริงๆเหรอ?”

“มีอะไรก็พูด……” มู่เฉียวยังไม่ทันพูดคำพูดสุดท้าย ในใจก็รู้สึกตื่นตระหนกเล็กน้อย

หานฉุนหยิบมือถือออกมากดเปิดเว็บเพจหนึ่งแล้วส่งให้มู่เฉียว

“ประกาศวันแต่งงานของประธานโม่กรุ๊ปกับลูกสาวของนายกเทศมนตรีเหอ วันที่ 18 เดือน 11”

ตอนนี้ปลายเดือน 9 อย่างนั้นยังมีเวลาเดือนกว่าก่อนถึงงานแต่ง!

“การหมั้นของฉันกับเหอเจี๋ยมีผลประโยชน์ในทางธุรกิจ ตอนนี้ยังยกเลิกไม่ได้” คำพูดก่อนหน้านี้ของโม่หานก้องอยู่ในหูของเธอ ในใจจึงสงบลงเล็กน้อย บางทีอาจเป็นเพียงความจำเป็นในการทำงาน

เธอยิ้มขึ้นมา “ไม่เป็นไร จริงๆก็จบกันไปแล้ว ฉันให้เขามีเมียน้อยได้” หยิบแก้วขึ้นมาแล้วดื่มน้ำหนึ่งที ในแสงไฟที่สลัว ปกปิดขนตาที่สั่นเล็กน้อยของเธอไว้ โม่หานคุณบอกแล้วนะ ว่าให้ฉันรอคุณ

เธอได้ยินคนบางคนถอนหายใจ แต่เธอไม่ได้สนใจ

เมื่อกลับไปที่โรงแรม เพิ่งจะเปิดประตู เท้าข้างหนึ่งก็ก้าวผ่านเธอแทรกเข้าช่องประตู ไม่รอให้มู่เฉียวมีปฏิกิริยาตอบกลับ ชายคนนั้นก็นำหน้าเข้าไปในห้องก่อนเลย

ประตูปิดลง

“คุณมาทำอะไร?”

ชายคนนั้นเดินไปข้างๆหน้าต่าง มองลงไป จากนั้นก็ดึงม่านขึ้น

หันกลับไปก็เห็นมู่เฉียวจัดเก็บเสื้อผ้าอยู่

เดินไปข้างๆเธอ แล้วมองเธออย่างดูถูก หยิบมือถือบนเตียงขึ้นมา ส่งไปตรงหน้าเธอ “โทรไปถามความจริงสิ? ทางด้านนั้นของเขา ตอนนี้น่าจะเป็นเวลาเลิกงานแล้ว”

มู่เฉียวไม่ต้องให้เขาเตือนหรอก เธอจดจำความต่างของเวลาทั้งสองสถานที่ได้ขึ้นใจแล้ว

เพียงแต่เธอไม่ได้อยากจะถาม โม่หานบอกว่าจะรับผิดชอบ บอกว่าให้เธอรอ เรื่องอื่นๆเธอก็ไม่ได้สนใจ

ก็เหมือนที่เขาพูดไว้ในตอนนั้น ถ้าเขาได้กลับมาอีก เขาก็เต็มใจที่จะทำความรู้จักเธอในอีกด้านหนึ่งเหมือนกัน

เธอเต็มใจที่จะเชื่อ เต็มใจที่จะรอเขา!

ชายคนนั้นนั่งลงที่เก้าอี้ข้างๆ หยิบมือถือออกมาดู จากนั้นก็พูดว่า : “เขาไม่ได้ล้อเล่นนะ เขาจะแต่งงานกับผู้หญิงคนนั้นจริงๆ”

น้ำเสียงเขาไม่ได้ดัง แต่ห้องก็ไม่ได้ใหญ่ ฉะนั้นมู่เฉียวจึงได้ยินอย่างชัดเจน

มือเธอที่พับเสื้อผ้าสั่นเทาเล็กน้อย เธอสังเกตว่าเสื้อผ้ายังพับไม่เรียบร้อย

เธอจึงหยิบเสื้อผ้าขึ้นมาพับใหม่ แล้วยัดเข้าตู้เสื้อผ้าไป

“คุณน่าจะยังไม่รู้ว่าในปีนั้นเขามีชีวิตรอดกลับมาได้อย่างไร? ต้องให้ฉันบอกคุณไหม?”

มู่เฉียวลุกขึ้นเดินตรงไปเปิดประตู แล้วชี้นิ้ว “รบกวนคุณหานดาราดังออกไปได้แล้ว ฉันจะนอน”

นิ้วที่จับประตูขาวซีดเล็กน้อย เขาเดินตรงไปข้างๆประตู เดินผ่านมู่เฉียวไป แล้วพูดอย่างสบายๆว่า : “คุณเขาไม่ได้บอกคุณ ว่าเขาเป็นพี่ชายของฉันใช่ไหม? พี่สะใภ้”

ร่างกายของมู่เฉียวสั่นเทาอย่างรุนแรง เธอเงยหน้าขึ้นมองโม่หานทันที ทำสีหน้าไม่อยากจะเชื่อ

ชายคนนั้นเห็นปฏิกิริยาตอบกลับของเธอ ก็หัวเราะอย่างเย็นชา “จริงๆที่ฉันยังไม่ได้บอกคุณ ฉันยังคิดว่าพี่สะใภ้จะเปลี่ยนคนไปแล้ว ที่แท้ก็ไม่ได้เป็นเช่นนั้น!”

มู่เฉียวไม่ได้พูดอะไร แต่มือที่จับขอบประตูจับแน่นยิ่งขึ้น

สมองเธอขาวโพลน “คุณไปเถอะ ฉันจะนอนแล้ว”

“เขาคือโม่หาน โม่หานที่เห็นแก่ผลประโยชน์ คุณคิดว่าเขาจะสามารถทิ้งผู้หญิงที่มีประโยชน์อย่างที่สุดกับเขา แล้วมาแต่งงานกับคุณเหรอ? ถ้าเขาอยากแต่งงานกับคุณจริงๆ แม้กระทั่งฉันเป็นน้องชายของเขาทำไมเขาถึงไม่บอกคุณล่ะ? เหอะๆ…..ผู้หญิงอะ ไร้เดียงสาจริงๆ ให้คำสัญญาสองสามคำ ก็ตายใจแล้ว”

มู่เฉียวกลืนน้ำลายลงคอไม่หยุด ปิดประตู เธอพิงข้างประตู แล้วเลื่อนตัวลงนั่งเบาๆ

เธอโอบศีรษะ บอกกับตนเองว่า ต้องใจเย็น อย่าฟังคนยุยง ถ้าโม่หานไม่ได้จริงใจกับคุณ ทำไมถึงสามารถทำแบบนั้นกับมู่หยิงได้ อีกอย่าง ลับหลังยังทำเรื่องราวอีกมากมาย เธอไม่เชื่อ

เข้าไปในห้องน้ำ อาบน้ำ เมื่อออกมาจากห้องน้ำ ก็ได้ยินเสียงเตือนข้อความ เธอแทบไม่ทันได้สวมรองเท้า ก็มุ่งตรงมายังข้างเตียง เปิดมือถือดู คาดไม่ถึงว่าจะเป็นข้อความโฆษณา

เธอเม้มริมฝีปาก หยิบหมอนขึ้นมาแล้วซุกหัวของตนเองเข้าไปอย่างหงุดหงิด เปลี่ยนผ้าปูที่นอนครั้งแล้วครั้งเล่า กลิ่นกายของเขาที่หลงเหลืออยู่ ก็เกือบจะหายไปหมดแล้ว เธอหงอยเหงาขึ้นมาทันที

เพียงแต่ สุดท้าย เธอก็ยังไม่ได้ส่งข้อความไปหาโม่หาน เธอยังคงยืนหยัดในความคิดว่า โม่หานจะไม่โกหกเธอ โม่หานจะต้องอธิบายกับเธอ

แต่ว่า เธอไม่ได้รับข้อความใดๆของโม่หานอีกเลย

จิตใจสับสนอย่างมาก แต่ก็บอกตัวเองมาโดยตลอดว่า กลับประเทศแล้วค่อยว่ากัน

จนกระทั่ง ตู้เสี่ยวซินโทรเข้ามา

“เฉียวเอ๋อ คุณสบายดีไหม?” คำกล่าวนำของตู้เสี่ยวซิน ทำให้มู่เฉียวเป็นทุกอย่างบอกไม่ถูก

“สบายดีมาก ทำไมเหรอ?”

ตู้เสี่ยวซินไม่พูดจา ผ่านไปครู่หนึ่ง จึงเอ่ยปากว่า: “ไม่มีอะไร คุณคาดว่าจะกลับมาเมื่อไรล่ะ?”

มู่เฉียวไม่คิดมาก กล่าวตอบกลับว่า: “คาดว่าอีกสามวันงานก็น่าจะเสร็จแล้ว”

อย่างนั้นคุณก็กลับมาเร็วหน่อยนะ ก่อนกลับมา ก็บอกสักหน่อย ฉันจะไปรับคุณ”

มู่เฉียวพยักหน้า “โอเค” เพียงแต่ ภายในใจไม่สบายใจเล็กน้อย

วางสายตู้เสี่ยวซินแล้ว เธอก็โทรไปหาแม่ “แม่ ทางบ้านสบายดีไหม!”

ได้ยินเสียงปิดประตู จากนั้น ก็ได้ยินเสียงของแม่แหบแห้งเล็กน้อย “ดีมาก ไม่ต้องเป็นห่วง ตั้งใจทำงานเถอะ”

“แม่ เสียงคุณเป็นอะไร?” มู่เฉียวเดินไปด้านนอกสองก้าว มือจับที่เสาไม้ นิ้วมือโค้งงอเล็กน้อย

แม่ไอเบาๆ “ไม่เป็นไร สองสามวันมานี้เป็นไข้ เจ็บคอ”

“พ่อล่ะ? ฉันขอคุยกับเขาหน่อยสิ”

“ค่าโทรศัพท์มันแพง คุณบอกว่าอีกสองวันจะกลับมาไม่ใช่เหรอ? รอกลับมาแล้วค่อยคุยเถอะ” แม่พูดจบ ก็ไออย่างรุนแรงสองที

มู่เฉียวขมวดคิ้ว “แม่ คุณไอรุนแรงขนาดนี้ ไปตรวจที่โรงพยาบาลเถอะ ฉันจะโทรไปหามู่หลิง ให้เขาพาคุณไป”

“ไม่ต้อง ไปตรวจมาแล้ว ได้ยามาแล้ว อาการดีขึ้นแล้ว ต้องเป็นไปตามขึ้นตอน เอาล่ะ คุณทำงานเถอะ ทางนี้ดึกมากแล้ว ต้องนอนแล้ว”

“โอเค แม่ แล้วเจอกัน”

มู่เฉียววางสายแล้ว ก็รู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย แต่เป็นปัญหาตรงไหน เธอก็บอกไม่ถูก ขายืนนาน ก็เมื่อยเล็กน้อย เธอจึงนั่งลงที่เก้าอี้ข้างๆ นวดๆสองสามที จึงทุเลาลง

จู่ๆก็มีเงาหนึ่งปกคลุมร่างของเธอ น้ำเสียงที่คุ้นเคยก็ดังเข้ามา: “คุณกลับประเทศไปก่อนเถอะ ละครตอนต่อไป โดยภาพรวมแล้วไม่ต้องใช้คุณ”

มู่เฉียวดันแว่นตากรอบดำที่ดั้งจมูก เธอสายตาสั้นเล็กน้อย เวลาทำงาน บางครั้งต้องสวมแว่นตา

“ไม่เป็นไร ถึงอย่างไรก็อีกแค่สองวัน”

“ไม่มีธุระแล้ว ก็ไปซะ เห็นแล้วหงุดหงิด พวกเราจะต้องคิดเงินให้คุณอย่างตรงเวลา แล้วก็ค่าห้อง ค่าอาหาร บริษัทของพวกคุณทำไมถึงไม่ได้มาตรฐานแบบนี้นะ?” พูดถึงสุดท้าย น้ำเสียงของหานฉุนก็ยิ่งเบาลง

มู่เฉียวมองค้อน ลุกขึ้น หยิบกระเป๋า มองพี่เหมย “อย่างนั้น พรุ่งนี้ตอนบ่ายฉันจะขึ้นเครื่อง กลับก่อนนะ”

พี่เหมยเห็นความคลุมเครือเล็กน้อยในสายตาของเธอ “โอเค พรุ่งนี้จะให้คนขับรถไปส่งคุณ”

“วันนี้งานคุณไม่ยุ่งเหรอ?” มู่เฉียวเห็นโม่หานพาเธอมาทานข้าว ก็เลยเอ่ยถาม

“ยุ่งสิ แต่ว่าอยากเจอคุณ” ชายคนนั้นตอบกลับอย่างไม่ปิดบังเลยแม้แต่น้อย มู่เฉียวหน้าแดงก่ำ เงยหน้าขึ้นมองโม่หานก็สบสายตากับเขาพอดี ตกอยู่ในภวังค์ เหมือนมีประกายไฟปะทุขึ้นมา

ทานอาหารไปได้สักพัก มู่เฉียวก็เห็นร่างที่คุ้นเคยจากหางตา เดินเข้ามาจากประตู เธอร้อนรนใจจนไม่ทันได้พูดอะไร ชี้ๆนิ้วไปที่ประตูทางเข้า

โม่หานขมวดคิ้วหันไปมอง ก็ตกตะลึง เพียงแต่ในฉับพลันก็กลับมาสงบนิ่งเหมือนเดิม

มู่เฉียวก้มหน้า สักพักเห็นโม่หานไม่มีปฏิกิริยาใดๆ จึงพูดขึ้นว่า “เขาเป็นคนที่รับผิดชอบสถานที่การถ่ายทำของหานฉุนทางด้านนั้น ฉันรู้สึกว่าเขา……”

“คนรูปร่างหน้าตาคล้ายกันเยอะแยะไป” โม่หานตัดบทคำพูดของเธอ “อยู่ทางด้านนั้นทานอาหารไม่ค่อยดีใช่ไหม ทานเยอะๆหน่อยนะ”

แม้ว่าจะมีชาวจีนที่อพยพมากมายในแอฟริกาใต้ที่เปิดร้านอาหารที่นี่ แต่สถานที่ที่ถ่ายทำก็มีไม่มาก โชคดีที่ได้การดูแลอาหารของหานฉุน พี่เหมยตั้งใจให้คนทำมาส่ง เธอก็เลยได้ทานไปด้วย ยังนับว่าโชคดี

แต่ถูกโม่หานเอาใจใส่แบบนี้ เธอยังคงมีความสุขอย่างมาก

บางครั้งรู้สึกว่าชีวิตคนก็เหมือนกับละคร ใครจะคิดว่าวันหนึ่งทั้งสองคนจะสงบสุขได้อย่างนี้ และยังคงไปมาหาสู่กันอย่างนี้

หลังจากทานอาหารเสร็จแล้ว มู่เฉียวก็บอกว่าอยู่ไปเดินรอบๆสักหน่อย แล้วค่อยกลับไป

โม่หานพยักหน้า กอดเอวเธอไว้แน่น

ถึงแม้ว่าทุกอย่างจะดูเหมือนเป็นปกติ แต่มู่เฉียวรู้สึกได้ถึงการเปลี่ยนแปลง หลังจากโม่หานเห็นคนคนนั้นเมื่อกี้นี้ อารมณ์เขาก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย

เพียงแต่ต่อให้เป็นสามีภรรยากันก็ต้องมีความเป็นส่วนตัว ยิ่งไปกว่านั้นตอนนี้พวกเขายังคงมีความสัมพันธ์แบบนี้ ฉะนั้นโม่หานไม่พูด เธอก็จะไม่ถาม

“คุณอยากถามถึงปีนั้นเหรอ ว่าทำไมฉันถึงไม่ตาย?” เดินไปสิบกว่านาทีแล้ว จู่ๆโม่หานก็เอ่ยถาม

มู่เฉียวเงยหน้ามองเขา ยกยิ้มเบาๆ “โหดร้ายเกินไป เขาก็เลยไม่อยากรับคุณไว้”

อันที่จริงครั้งนั้นคุณนายโม่บอกว่าเธอมีน้องชายน้องสาวอยู่ เธอจึงรู้ว่าในระหว่างนี้มันคงไม่ง่ายดายเกินไป

โม่หานลูบหัวเธอ ไม่ได้พูดอธิบายอะไร ในเมื่อเธอต้องการจะไร้เดียงสา เขาจะรักใคร่เอ็นดูก็ได้

“คุณจะกลับไปเมื่อไหร่?”

“อยากเร่งรัดให้ฉันกลับไปเหรอ?”

มู่เฉียวส่ายหัว “ไม่ใช่ ไม่อยากให้คุณกลับเลย” มีจุดเปลี่ยนในสองสามปีนี้ จึงได้อยู่ด้วยกัน มู่เฉียวก็หมดความเขินอายของหญิงสาวไปหมดแล้ว

ชายคนนี้หยุดฝีเท้าชั่วขณะ เอียงไปมอง สองมือโอบเอวของเธอ ก้มลงไปแตะหน้าผากเธอเบาๆ “อืม เดิมทีพรุ่งนี้ก็จะเสร็จสิ้นแล้ว ถ้าคุณทำใจไม่ได้ ก็น่าจะล่าช้าออกไปอีกสักสองวันดีไหม?”

“อืม ขอบคุณนะประธานโม่ผู้น่ารัก” ผู้หญิงคนนั้นพยักหน้า โค้งคำนับอย่างจริงจัง

โม่หานยิ้ม แล้วหัวเราะเบาๆ เดิมทีเขาก็ดูดีอยู่แล้ว ยิ้มแบบนี้ยิ่งทำให้มู่เฉียวตกตะลึง

“เป็นผู้หญิงไม่ควรจะสำรวมหน่อยเหรอ?” ชายคนนั้นถูกเธอจ้องมองจนไม่เป็นตัวของตัวเอง นิ้วเรียวยาวจับขากรรไกรของเธอให้เงยหน้าขึ้น แล้วจูบลงไปที่ริมฝีปากเธอ

“โม่หาน เสี่ยวโยวคิดถึงพ่อมากเลยนะ”

ฉันรู้แล้ว”

“คุณรู้แล้ว?”

ชายคนนั้นยิ้มเล็กน้อย ไม่อธิบายอะไร นำเธอเข้ามาไว้ในอ้อมกอดเขา “ฉันจะรับผิดชอบคุณให้เร็วที่สุด มู่เฉียวเชื่อฉันนะ ฉันจะไม่ทำผิดต่อคุณ”

“โอเค”

สองสามวันต่อมา ตอนกลางวันมู่เฉียวกับโม่หานก็ต่างทำงาน พอตอนกลางคืนทั้งสองคนก็มาทานข้าวด้วยกัน เดินเล่น แล้วก็นอน

มู่เฉียวคิดๆ ถ้าชีวิตต้องเป็นแบบนี้ไปตลอด นั่นก็น่าจะดีอย่างมาก

“อืม”

“ไม่อยากไปเลย”

“อ้อ”

“มู่เฉียว”

“หืม?”

ชายหนุ่มไม่เต็มใจเล็กน้อย หันหน้ากลับ แต่เห็นมู่เฉียวก็เบิกตาโต ในดวงตามีหยดน้ำบางๆ ใสแวววาว แต่ทำให้คนต้องใจสั่น ชายหนุ่มไม่สบายใจ ออกแรงดึงเธอมาไว้ในอ้อมกอด “เด็กโง่ ร้องไห้ทำไม?”

จำนวนครั้งที่โม่หานเห็นเธอร้องไห้ ถึงแม้จะไม่มาก แต่ก็รู้สึกจนใจไปชั่วขณะ

มู่เฉียวไม่อยากบอกโม่หาน ในใจเธอไม่สบายใจอย่างมาก รู้สึกว่าการแยกกันครั้งนี้ จะได้อยู่ด้วยกันอีก ก็คงไม่ค่อยราบรื่นมากนัก

เธอมีลางสังหรณ์มาโดยตลอด

แต่เธอไม่อยากพูดออกมาตรงๆ การโกหกด้วยเจตนาที่ดี น่าฟังกว่าการพูดความจริง: “เพราะว่า ไม่อยากให้คุณไป”

ชายหนุ่มใจอ่อนราวกับสายน้ำ “ฉันจะรอคุณกลับมา ระหว่างนั้นถ้ามีเวลา ฉันจะบินมาหาคุณ”

หญิงสาวส่ายหน้า กอบใบหน้าของเขา แล้วจูบลงไปบนใบหน้าของเขา “พี่เหมยบอกว่า การถ่ายทำเป็นไปอย่างราบรื่น อาจจะประมาณยี่สิบวัน ก็จะสามารถกลับไปได้แล้ว รอฉันกลับไปนะ”

“โอเค”

คนทั้งสองไม่ได้พูดอะไรอีก แต่ก็ไม่มีใครเอ่ยว่า กลับไปแล้ว เขามีคู่หมั้นอยู่ เธอจะจัดการกับตนเองอย่างไร?

หลังจากโม่หานไปได้สองวัน มู่เฉียวก็รู้สึกไม่สบายใจมาโดยตลอด ตอนกลางวันทำงานก็ยังดีอยู่ สามารถเบี่ยงเบนความสนใจไปได้บ้าง แต่ตอนกลางคืน กลับยิ่งคิดถึง

ด้วยเวลาที่แตกต่าง ตอนที่เธอว่าง โม่หานก็กำลังทำงาน ตอนที่เธอทำงาน โม่หานก็ต้องนอน

คนทั้งสองจึงทำได้เพียงคุยกันในวีแชต ทุกๆวัน เธอจะส่งข้อความจำนวนมากไปหาโม่หาน ผ่านไปหลายชั่วโมง เขาจึงตอบกลับ คำพูดไม่มากมาย เรียบง่าย แต่ทำให้เธออบอุ่นใจอย่างมาก

แต่การเฝ้ารอเป็นสิ่งที่ทรมานมากที่สุด มู่เฉียวหยิบมือถือออกมาดูเป็นร้อยๆครั้ง เปิดดูว่ามีข้อความตอบกลับไหม ทั้งหดหู่ ทั้งเป็นทุกข์

เธอคิดว่าหากเป็นแบบนี้ต่อไป ตนเองจะต้องเป็นบ้าอย่างแน่นอน

เธอจึงค่อยๆปรับสภาพของตนเอง เลิกงานก็เริ่มอยู่ด้วยกันกับพวกพี่เหมย

ทานข้าวด้วยกัน ไปเดินเล่นบริเวณรอบๆด้วยกัน ไปดูหนังด้วยกัน…….

ไม่ส่งข้อความไปหาโม่หานอีก เธอกลัวการเฝ้ารอแบบนั้นเป็นที่สุด

วันนี้ เธอก็ตามทุกคนไปทานมื้อดึกเหมือนเคย

“เห็นหน้าตาที่ขุ่นเคืองของคุณแล้ว เพราะชายคนนั้นใช่ไหม? เก่าไม่ไป ใหม่ไม่มา” หานฉุนมองมู่เฉียวที่นั่งอยู่ตรงข้าม แล้วกล่าวเยาะเย้ย

มู่เฉียวที่กำลังแกะถั่วพิสตาชิโอใส่ปาก มองค้อนเขาทีหนึ่ง แต่ไม่พูดจา คำพูดปากสุนัขของผู้ชายคนนี้ เธอไม่อยากไปพูดกับเขาให้มากความ

“เสี่ยวเฉียว คุณกับประธานโม่คนนั้น เลิกกันแล้วเหรอ?”

ครั้งนี้ มู่เฉียวขมวดคิ้วเล็กน้อย แล้วแกะถั่วเข้าปากต่อ จากนั้นก็ขมวดคิ้วที่งดงามขึ้น “เปล่านี่คะ”

ตอนกลางวัน โม่หานนังถามเธออยู่เลยว่า “ทานข้าวตรงเวลาไหม”

พี่เหมยร้อง”อ๋อ”คำหนึ่ง ยิ้มๆ แล้วไม่พูดถึงหัวข้อนี้ต่อ

มู่เฉียวจึงสังเกตเห็นว่าสายตาของทุกคนในคืนนี้ที่มองเธอคล้ายกับแปลกๆเล็กน้อย เห็นใจ? หัวเราะเยาะ? แล้วก็ความรู้สึกที่ซับซ้อน

หัวใจเธอเต้นระรัวไม่หยุด หันหน้าไปมองหานฉุน “หมายความว่าอะไร?”

พี่เหมยก็ลุกขึ้นตาม แล้วเก็บรอยยิ้ม “มู่เฉียว เราจะไปรอคุณข้างนอก คุณทานเสร็จก็ออกมานะ”

ถูกพวกเขามาก่อกวน มู่เฉียวก็ไม่อยากอาหารแล้ว หยิบมือถือในกระเป๋าแล้วตามออกไปเลย

หานฉุนสูบบุหรี่อยู่ เห็นเธอออกมา ก็โยนก้นบุหรี่ทิ้งแล้วขึ้นรถ

พี่เหมยขึ้นตามไป มู่เฉียวกำลังจะขึ้นรถ ประตูรถก็ถูกล็อกจากด้านใน

“ไปนั่งข้างหน้า”

มู่เฉียวสูดลมหายใจเข้า ขี้เกียจจะทะเลาะกับเขา จึงเปิดประตูข้างคนขับแล้วเข้าไปนั่ง

เป็นครั้งแรกที่ได้สัมผัสการถ่ายทำภาพยนตร์ มู่เฉียวตื่นเต้นเล็กน้อย

แต่เมื่อไปถึงที่ถ่ายทำได้คนคนที่อยู่รอบๆแล้ว เธอก็อึ้งไปเลย

หันไปมองพี่เหมย “ทั้งหมดเป็นแฟนคลับของเขาเหรอ?”

พี่เหมยมองออกไปทางนอกหน้าต่าง พยักหน้า จากนั้นก็ยื่นมือออกมา “หมวก แว่นกันแดด เอาออกมา”

มู่เฉียวเปิดประตูรถเดินลงไป จากนั้นบอดี้การ์ดสองสามคนก็ลงมาจากรถคันข้างหน้า มาห้อมล้อมที่ประตูรถ อารักขาหานฉุนลงจากรถ

เวลานั้นเธอเห็นหานฉุนไปที่ไหนบอดี้การ์ดเหล่านั้นก็ตามไปทุกที่ ยังรู้สึกตลกเขา ดูวางมาดใหญ่โตเหลือเกิน

“ก่อนหน้านี้ ดูเหมือนว่าคนจะไม่เยอะแยะขนาดนี้ใช่ไหม?” เธอเข้าไปใกล้ๆพี่เหมยแล้วเอ่ยถาม

“ตอนนั้นอยู่ในประเทศจีน คนในแวดวงการก็จะให้เกียรติเรา โดยปกติแล้วการเคลื่อนไหวของหานฉุน ไม่สามารถแพร่งพรายออกไปได้ แต่ทางด้านนี้ มันก็ยากที่จะควบคุม”

มู่เฉียวเข้าใจ

เวลานี้ไม่รู้ว่าถูกใครผลักอยู่ด้านหลัง มู่เฉียวเซจนแทบจะล้มลงไปกองกับพื้น

สองมือประคองแขนเธอไว้ น้ำเสียงที่อ่อนโยนดังขึ้นข้างๆหู “ระวังหน่อยสิ ไม่เป็นไรใช่ไหม?”

มู่เฉียวกลืนน้ำลาย ใจลอยไปในชั่วพริบตา

เธอเงยหน้าขึ้น เห็นเป็นหานฉุน หลังจากแน่ใจแล้วว่าเป็นเขา เธอก็คิ้วขมวดสงสัยว่าตนเองจะได้ยินผิดไป หลังจากที่ได้สติกลับมา ก็ทอดถอนหายใจ ช่างสมกับเป็นนักแสดงจริงๆเลย ความอ่อนโยนนี้ การแสดงนี้

“ฉันไม่เป็นอะไร” เธอตั้งใจยิ้มตอบกลับเขา

หลังจากยืนอย่างมั่นคงแล้ว เธอสะบัดแขนเขาออกโดยจิตใต้สำนึก แต่ชายคนนั้นไม่ได้ตั้งใจจะปล่อยเธอไป มือใหญ่กลับลื่นลงมาตกอยู่ที่เอวของเธอ แล้วนำผมเธอไปทัดหูอย่างดูใกล้ชิดสนิทสนม

มู่เฉียวได้ยินเสียงกรี๊ดรอบๆ ในชั่วพริบตาเธอก็สติกลับมา หันไปมองพี่เหมยเพื่อขอความช่วยเหลือ

พี่เหมยกระแอมเบาๆ เดินไปแนะนำกับทุกคนว่า “นี่คือล่ามผู้ติดตามคุณฉุนในครั้งนี้”

บางคนก็ร้อง”อ๋อ” สายตาบางคนก็ไม่อยากจะเชื่อ

โม่หานกำลังคุยเรื่องสัญญากับอีกฝ่ายอยู่ ก็รู้สึกได้ว่ามือถือสั่นเล็กน้อย  เขาจึงหยิบมือถือออกมา

แค่เห็นข้อความที่ส่งมาด้านบน กับรูปภาพที่แนบมา เป็นหานฉุนจับเอวของมู่เฉียวอยู่ สีหน้าเขาก็ไม่น่าดูอย่างมาก

แต่เขาไม่ได้โทรกลับไป เพราะคำพูดเมื่อคืนของมู่เฉียว เขาก็เลือกที่จะเชื่อ

เขาไม่ได้เชื่อใจน้องชายคนนี้ของเขา แต่ว่าเขาเชื่อใจมู่เฉียว

เห็นเขาจึงนำมือถือกลับเข้าไปในกระเป๋าเหมือนเดิม อู๋เหิงก็เลิกคิ้ว “ไอ๋หยา ใจเย็นจริงๆเลย ฉันยังคิดว่าคุณจะไปฆ่ามันซะแล้ว?”

โม่หานมองเขาแล้วยิ้มนิดๆ “คุณไม่เข้าใจหรอก”  อู๋เหิงกลอกตามองบน “เรื่องอื่นๆ ฉันไม่สามารถพูดได้ว่าตัวเองดีกว่าคุณ แต่เรื่องความรัก โม่หาน คุณต้องให้ความเคารพฉันในฐานะครู”

โม่หานขยับชุดเครื่องดื่มน้ำชาบนโต๊ะไปมา แล้วกล่าวอย่างไม่ใส่ใจว่า: “เคารพคุณในฐานะครู ตอนกลางคืน ฉันมีคนให้กอด คุณมีเหรอ?”

อู๋เหิงอ้าปากค้าง ชี้นิ้วไปยังเขา “นี่….นี่คุณอวดเหรอ”

มองนาฬิกาข้อมือ โม่หานลุกขึ้นยืน นำเอกสารในมือโยนให้อู๋เหิง “วันนี้คุยกันเท่านี้ก่อน ฉันมีธุระ ต้องไปก่อน”

“โม่หาน คุณ….คุณมันไม่มีความก้าวหน้า” อู๋เหิงตามออกจากประตู ชี้ว่ากล่าวเขา

โม่หานเปิดประตูรถ “ใช่ คุณก้าวหน้า ดังนั้น ตอนเย็นทำโอที นำเนื้อหาการเจรจาวันนี้จัดทำให้เรียบร้อย พรุ่งนี้เช้าฉันต้องการดู”

“คุณมันไม่ใช่เพื่อน”

รถขับออกไปอย่างรวดเร็ว

หานฉุนเป็นนักแสดงที่ตั้งใจทำงานอย่างเต็มที่คนหนึ่ง ปกติที่เห็นเขาเหมือนกับเอ้อระเหยลอยชาย แต่เวลาถ่ายหนัง เขาจะเข้าถึงบทบาทได้อย่างรวดเร็ว ฉากในภาพยนตร์จำนวนมาก ล้วนสามารถผ่านได้ในครั้งเดียว มู่เฉียวเพียงแค่ต้องรายงานความคิดเห็นหรือข้อเสนอแนะที่ดีกว่าของอีกฝ่ายให้หานฉุนฟัง ส่วนอื่นๆก็ไม่ต้องทำอะไรมากมาย

การถ่ายทำช่วงบ่ายเป็นไปได้อย่างราบรื่นอย่างมาก

“เริ่มงานวันแรก ตอนเย็น ฉันเลี้ยงเอง” หลังจากทำงานเสร็จ หานฉุนก็แจ้งกับทุกคน

ในทันทีก็มีเสียงโห่ร้องด้วยความดีใจเข้ามา

มู่เฉียวจัดเก็บเอกสารเล็กน้อย

“เสี่ยวเฉียว ไปกันเถอะ หานฉุนเลี้ยงข้าว” พี่เหมยเข้ามาแจ้งมู่เฉียว

มู่เฉียวคลึงๆเอว แล้วส่ายหน้า “พวกคุณไปเถอะ ฉันค่อนข้างเหนื่อยล้า อยากกลับห้องไปพักผ่อน”

“หมกมุ่นทางเพศเกินไปใช่ไหมล่ะ?” ชายคนนั้นพูดด้วยสีหน้าที่เหน็บแนม

เงยหน้าขึ้นมองหานฉุนที่ยืนพิงเสาไม้อยู่ข้างๆ มู่เฉียวก็หัวเราะเหอะๆสองที “คุณชื่นชมหรือว่าอิจฉาล่ะ?”

ชายหนุ่มยืดตัวขึ้นตรง มือทั้งคู่ล้วงกระเป๋า พิจารณามู่เฉียวตั้งแต่หัวจรดเท้า “ก็โม่หานมันรสนิยมต่ำ ถึงได้ลงมือกับคุณได้ คุณเป็นแบบนี้ จะมาเข้าใกล้ฉัน ฉันยังต้องไตร่ตรองดูก่อนเลย”

มู่เฉียวขมวดคิ้ว เมื่อเห็นชายหนุ่มที่อยู่ไกลๆกำลังเดินเข้ามาใกล้ เธอก็ดีใจ แต่บนใบหน้าไม่ได้แสดงความผิดปกติ “ใช่ คุณเป็นดาราดัง ฉันเป็นพนักงานตัวเล็กๆ จะกล้าหวังมากเกินไปได้อย่างไรล่ะ”

พูดจบ ก็ยกกระเป๋าขึ้น เดินผ่านหานฉุนไปสองก้าว “หานฉุน คุณมาได้อย่างไร?”

เห็นรอยยิ้มที่ราวกับดอกไม้นั้น จึงวิ่งไปยังผู้หญิงของตนเอง โม่หานรู้สึกว่ากระแสความอบอุ่นหลั่งไหลเข้ามาในทันที รู้สึกมีความสุขไม่เคยมีมาก่อน ดูเป็นธรรมชาติ ที่แท้ นี่ก็คือจุดหมายสุดท้ายของความรักที่ทุกคนเสาะหา อิ่มอกอิ่มใจอย่างมาก

เขาลูบผมของมู่เฉียว “เหนื่อยไหม?”

มู่เฉียวส่ายหน้า “ไม่เท่าไร แค่ยืนนาน เมื่อยเอวนิดหน่อย”

พูดจบ มือใหญ่ๆของชายหนุ่มก็เลื่อนลงไปที่เอวของเธอ แล้วนวดเบาๆ “ฉันจะพาคุณไปทานอาหารก่อน” จากนั้น ก็เข้าใกล้ข้างหูมู่เฉียว แล้วกระซิบเบาๆว่า: “ทานเสร็จแล้ว กลับห้อง ฉันจะช่วยนวดให้คุณ”

หางตาของมู่เฉียวเต็มไปด้วยรอยยิ้ม จูงโม่หาน ก้าวเท้าเดินกระโดดโลดเต้นราวกับเด็ก

เห็นคนทั้งสอง หานฉุนก็เบ้ปาก กล่าวกับพี่เหมยว่า: “คุณดูท่าทางนั้นสิ เหมือนกันคนปัญญาอ่อนไหมล่ะ?”

พี่เหมยมองภาพด้านหลังของคนทั้งสอง “ความแข็งกระด้าง กลับกลายเป็นนุ่มนวลลง!”

หานฉุนขมวดคิ้ว “พี่เหมย คุณไม่ได้ตกอยู่ในห้วงแห่งความรักใช่ไหม?”

พี่เหมยได้ยิน ก็ชำเลืองมองเขาอย่างสนใจ จากนั้น จากนั้นก็เอ่ยปากด้วยความเคารพว่า: “หานฉุน อาชีพของคุณมาถึงช่วงเวลาที่รุ่งเรืองที่สุดแล้ว ไม่มีความผิดพลาดใดๆ บางสิ่งที่คุณไม่ควรคิด ก็ละทิ้งความคิดก่อนหน้านี้ไปซะ”

พูดจบ ก็หยิบกระเป๋าอุปกรณ์ที่อยู่บนพื้น “ไปกันเถอะ”

หานฉุนไม่พูดจา ขณะที่พี่เหมยหันตัวเข้ามา ความหงอยเหงาก็ปรากฏในดวงตาของเขา เขาไม่ควรคิดเหรอ?

“มู่เฉียว!” จู่ๆโม่หานก็เรียกเธอจากปลายสายด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมจริงจัง หยุดชะงักเล็กน้อยแล้วพูดว่า : “งานหมั้นของฉันกับเหอเจี๋ย ยังไม่สามารถยกเลิกได้ในตอนนี้ เพราะฉันมีผลประโยชน์เกี่ยวกับธุรกิจอยู่เล็กน้อย แต่ฉันรับประกันว่า ฉันจะรับผิดชอบต่อคุณเอง”

หัวข้อสนทนาเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว เร็วจนมู่เฉียวปรับตัวไม่ทัน

มู่เฉียวเม้มๆปาก พูดตามความจริงแล้วปัญหานี้ เธอยังไม่รู้ว่าจะคุยกับโม่หานอย่างไร คาดไม่ถึงว่าเขาจะพูดออกมาเอง

เพียงแต่ว่า รับผิดชอบเหรอ? ลูกก็มีแล้ว ตอนนี้จะพูดคำว่ารับผิดชอบ เธออยากจะหัวเราะ

แต่ในใจมีความสุขอย่างมาก เธอคนนี้ไม่ได้ศรัทธาในเกียรติอันจอมปลอม เธอไม่ได้สนใจว่าคนอื่นจะมองเธออย่างไร โม่หานบอกว่าจะรับผิดชอบ เธอก็รู้สึกพอใจแล้ว เพียงแต่ยังคงถามว่า : “คุณเตรียมจะรับผิดชอบอย่างไรล่ะ?”

เป็นเวลาสักพักอีกฝ่ายก็ยังไม่พูดอะไร มู่เฉียวจึงพูดต่อว่า “โม่หาน คุณชอบฉันใช่ไหม?” นี่คือประเด็นสำคัญ

“อืม ชอบ” เสียงแหบเล็กน้อยของชายคนนั้นสัมผัสได้ถึงความเขินอาย มู่เฉียวสามารถจินตนาการท่าทางของเขาในเวลานี้ออกได้

เธอดีใจเหมือนเด็กๆ ม้วนกลิ้งไปมาอยู่บนเตียง

หัวใจเต้นระรัว

“อย่างนั้น รักด้วยหรือเปล่า?”

“รัก!” ชายคนนั้นพูดโดยไม่ต้องคิด แล้วเพิ่มอีกประโยคหนึ่งว่า “มากด้วย”

มู่เฉียวรู้สึกว่าตนเองต้องหน้าแดงอย่างแน่นอน เธอยิ้มแก้มปริอีกครั้ง “อย่างนั้นฉันก็จะรอคุณ รอคุณมารับผิดชอบฉัน”

เธอรู้สึกโล่งใจกับชายคนนี้ บางทีเขาอาจจะคิดว่าตนเองจะโวยวายทะเลาะกับเขา!

“อย่างนั้น ฉันทำงานก่อนนะ”

“เดี๋ยวสิ……” มู่เฉียวเรียกเขาไว้

เธออยากบอกกับโม่หาน ว่าตนเองไปเจอคนคนหนึ่งที่หน้าตาคล้ายคลึงกับพ่อของเขาที่ตายไปแล้ว

แต่ก็กลัวว่าจะเป็นแค่คนหน้าเหมือนกันก็เท่านั้น

“ทำไม? ตัดใจทิ้งฉันไม่ลงเหรอ?” โม่หานเอ่ยปาก

มู่เฉียวคิดๆดูแล้ว ก็กลัวว่าตนเองจะเข้าใจผิดไปจริงๆ “เปล่า ฉันอยากจะบอกคุณว่า” เธอหยุดไปชั่วขณะ สูดลมหายใจเข้า “โม่หาน ฉันก็ชอบคุณ”

ลมหายใจของชายคนนั้นถี่ขึ้นเล็กน้อย มู่เฉียวหัวเราะ เธอคิดว่าอย่างน้อยเขาจะแสดงความรู้สึกออกมา แต่ไม่คิดว่าโม่หานจะพูดว่า “ฉันรู้แล้ว”

โม่หานขมวดคิ้ว นี่มันอะไรกันเนี่ย?

“เรื่องทางด้านนี้ ยังอยู่ในขั้นตอนดำเนินการ ตอนเช้าฉันเลยต้องรีบมา ตอนกลางคืนจึงจะไปอยู่เป็นเพื่อนคุณได้”

นี่เขาบอกว่าจะมาพักอยู่กับเธอใช่ไหม? ความสุขเกิดขึ้นอย่างฉับพลัน จนทำให้มู่เฉียวทำตัวไม่ถูกเล็กน้อย จึงกระแอมเบาๆ “ใครขอให้คุณมาอยู่ด้วยล่ะ?”

“อืม โอเค ไม่ให้ฉันอยู่ด้วย ก็ให้ฉันนอนด้วยก็พอ”

จิตใจถลำลึกเข้าไปเล็กน้อย

ผู้หญิงเป็นสัตว์ที่เย้ายวนจริงๆ เธอก็เช่นกัน……

เมื่อได้ยินอีกด้านหนึ่งของโม่หานจากตู้เสี่ยวซิน อันที่จริงเธอยอมรับเลยว่าตั้งแต่นั้นมา เธอก็ถลำลึกเข้าไปโดยสิ้นเชิง

เธอรักโม่หานด้วยใจจริง!

ฉะนั้นเมื่อคืนจึงได้ยินยอมพร้อมใจ……

เสียงถอนหายใจดังออกมาจากในสาย มู่เฉียวพูดอย่างตกตะลึง “เป็นอะไรไป?”

“เรื่องการลดค่าตอบแทนในการแสดง ก็จัดการแก้ไขปัญหาแล้ว แต่ถ้าฉันรู้ว่าคุณกล้าใกล้ชิดสนิทสนมกับเขาจนเกินไปล่ะก็ ฉันจะทำเรื่องนี้อีกครั้งทันที” น้ำเสียงของโม่หานเคร่งขรึม แฝงไปด้วยความหงุดหงิดอย่างมาก

มู่เฉียวสูดลมหายใจเข้า รู้ว่าเขามองไม่เห็น แต่ก็ยังพยักหน้าซ้ำๆ “รับรองได้ว่าไม่มี”

คิดๆแล้ว ก็กล่าวอีกว่า: “อย่างนั้นก็ห้ามยุ่งกับผู้หญิงเหล่านั้น…..”

“ต่อไปไม่มีแล้ว เมื่อวานฉันก็ไม่ได้แตะต้อง” ชายหนุ่มคล้ายกับรู้ว่าเธอจะพูดอะไร จึงตัดบทคำพูดของเธอ

จากนั้นก็เงียบไม่พูดจา

“มู่เฉียว!” รออยู่นานไม่ได้คำตอบของเธอ โม่หานจึงขมวดคิ้วเล็กน้อย เรียกเบาๆด้วยน้ำเสียงที่เป็นกังวล

มู่เฉียวกัดริมฝีปาก กลิ้งบนเตียงเล็กน้อย บนผ้าคลุมหมอน ยังคงหลงเหลือกลิ่นที่เป็นเอกลักษณ์บนร่างกายของโม่หาน เธออดไม่ได้ที่จะสูดลมหายใจเข้าอีกสองครั้ง

“อืม!”

ท่าทีแบบขอไปทีของเธอทำให้โม่หานขุ่นเคืองเล็กน้อย ขมวดคิ้ว น้ำเสียงเยือกเย็นเล็กน้อย แต่แฝงไปด้วยอารมณ์ที่เง้างอน: “นอกจาก’อืม’แล้ว คุณพูดอย่างอื่นไม่เป็นเหรอ?”

พูดจบ โม่หานก็นิ่งเงียบไปชั่วขณะ คล้ายกับลังเลใจอะไรอยู่ ผ่านไปสองสามวินาที เสียงของเขาก็ดังขึ้นมาอีกครั้ง: “ลุกขึ้นทานอาหารเถอะ”

“โอเค” อันที่จริงมู่เฉียวไม่ได้ไม่อยากตอบกลับเขา แต่หิวจนไม่มีแรงต่างหาก

วางสายแล้ว ก็ลุกขึ้น เปลี่ยนเสื้อผ้า หลังจากล้างหน้าล้างตาแล้ว ก็เตรียมลงไปทานอาหารชั้นล่าง

พอเปิดประตูห้อง ก็พบหานฉุนยืนอยู่ข้างๆประตู กำลังสูบบุหรี่ บนพื้นที่ก้นบุหรี่หลายชิ้น ดูท่า น่าจะยืนอยู่พักหนึ่งแล้ว

“คุณ….ทำไมไม่เคาะประตู?”

หานฉุนดีดบุหรี่ที่อยู่ในมือ หันหน้ากลับมา มองมู่เฉียว ขมวดคิ้วแล้วกล่าวว่า “ฉันกลัวว่าจะเห็นสิ่งที่ฉันไม่อยากเห็น เดี๋ยวตาจะบอดเอาได้”

มู่เฉียวหลบเลี่ยงสายตาที่ร้อนแผดเผาของหานฉุน ก้มหน้า หดหู่ใจเล็กน้อย ก้าวถอยหลังไปสองก้าว ให้หานฉุนเดินเข้ามา

“คุณมีธุระอะไรเหรอ?”

หานฉุนไม่ตอบ เพียงแต่มองเธอ แล้วก็มองผ้าปูเตียงที่เป็นระเบียบเรียบร้อย ตากนั้นก็ดึงบุหรี่ออกมามวนหนึ่งแล้วจุดไฟ

เดินไปยังหน้าต่าง แล้วก็ดูดบุหรี่ในทันที “คุณบอกมาซิว่า ตกลงคุณมีอะไรดี? ที่สามารถทำให้โม่หานคนนั้นถูกคุณครอบงำได้”

มู่เฉียวเม้มปาก นำผมไปทัดที่หู ไม่สบายใจเล็กน้อย “ไม่เข้าใจว่าคุณพูดอะไร ฉันจะไปทานข้าว หิวแล้ว ถ้าคุณไม่ถือ คุณก็อยู่ที่นี่ไปก่อน”

ขณะมื้ออาหาร หานฉุนจ้องมองเธอโดยตลอด

มู่เฉียวตบช้อนที่อยู่ในมือลงบนโต๊ะ “คุณมองอะไรห๊ะ? ไม่เคยเห็นคนสวยเหรอ?”

หานฉุนพยักหน้า “ไม่เคยเห็น ถูกหมากัดแล้ว ยังจะกล้าออกมาโอ้อวดแบบนี้อีก”

มู่เฉียวนิ่งอึ้งไปเล็กน้อย “หมา?” เธอหันหน้ากลับไปมอง จากนั้นก็ตอบสนองโดยการเอามือปิดคอ “คุณพูดไร้สาระอะไร? ใครเป็นหมา? เขาเป็นหมา แล้วคุณเป็นคนงั้นเหรอ?”

สายตาของหานฉุนเคร่งขรึม เขาคิดว่ามู่เฉียวรู้ถึงความสัมพันธ์ของเขากับโม่หาน

ทันทีก็ได้ยินเสียงบ่นพึมพำของเธอ “การดูถูกคนอื่น ก็ไม่เท่ากับดูถูกตัวคุณเองเหรอ”

ผู้จัดการที่อยู่โต๊ะด้านหน้า ไหล่ทั้งคู่สั่นมาโดยตลอด คนทั้งสองนั่งใกล้กัน มู่เฉียวรับรู้ได้ จึงหันกลับไป มองพี่เหมย “พี่เหมย คุณเป็นอะไรหรือเปล่า?”

พี่เหมยเม้มปาก ส่ายหน้า เธอกลั้นหัวเราะ กล้ามเนื้อบนใบหน้ายับเยินไปหมด “ไม่เป็นไร…..ต้องขอโทษด้วย ฉันไม่ได้ตั้งใจแอบฟังนะ เพียงแต่ ฉุน คุณแน่ใจเหรอว่าหมากัดเธอ?”

“โครม”เสียงเก้าอี้ล้มลง หารฉุนลุกขึ้นยืน จ้องมองพวกเธอทีหนึ่ง แล้วหันเดินจากไป

พี่เหมยปิดปากอยู่ด้านหลัง หัวเราะจนตบโต๊ะ

มู่เฉียวแสดงสีหน้าไม่เข้าใจ “พี่เหมย คุณขำอะไร?”

มู่เฉียวมองหานฉุนแล้วขมวดคิ้ว ในใจก็ค่อยๆเข้าใจอะไรได้ การถูกลดค่าตัวเกี่ยวข้องกับโม่หานเหรอ

เธอหยิบมือถือออกมาทันที กดโทรไปหาโม่หาน

โทรศัพท์ถูกรับสาย

“โม่หาน เป็นกลอุบายของคุณใช่ไหม ที่ทำให้หานฉุนโดนลดค่าตัว?” เธอไม่ได้สนใจน้ำเสียงของเธอในตอนนี้ มีทั้งความโมโหแล้วก็ความสงสัย

“ฉันทำธุระอยู่ ตอนเย็นจะติดต่อคุณไปอีกที” ฉับพลันโทรศัพท์ก็ถูกวางสายไป

จนถึงสี่ทุ่มโม่หานก็ไม่ได้ติดต่อกลับมา ในใจมู่เฉียวมีแต่เรื่องนี้ จึงนอนไม่หลับพลิกไปพลิกมา

ถึงแม้ว่าหานฉุนจะไม่ค่อยพอใจนัก แต่การแสดงเป็นอาชีพของเขา เช่นเดียวกับการเป็นล่ามของตน ไม่ได้เอาเงินมาเป็นตัวพิจารณา ฉะนั้น เธอจึงไม่อยากรบกวนการทำงานของเขาด้วยเหตุผลของเธอเอง

คิดๆแล้วเธอยังคงอดไม่ได้ที่จะไปหยิบมือถือจากโต๊ะข้างๆ แล้วโทรออกไปยังหมายเลขที่คุ้นเคย เพียงแต่……คนที่รับสายเป็นอู๋เหิง “ฮัลโหล……!”

ปลายสายมีเสียงเพลงดังหนวกหู มู่เฉียวขมวดคิ้ว “โม่หานล่ะ? พวกคุณอยู่ที่ไหนกัน?” คิดแล้วเธอก็ถามออกมา

“ฮัลโหล……ฮัลโหล คุณพูดอะไรนะ ไม่ได้ยินเลย……” น้ำเสียงของอู๋เหิงดูค่อนข้างลำบาก

“พวกคุณอยู่ที่ไหน?” มู่เฉียวนำลำโพงมาข้างๆปาก แล้วพูดเสียงดังอีกครั้ง

อู๋เหิงตกตะลึง จากนั้นก็หยิบมือถือมาดู มู่เฉียว……

ในฉับพลันก็กลืนน้ำลาย หันไปมองในมุมนั้นมีผู้หญิงห้อมล้อมอยู่หลายคน แต่โม่หานกลับมีสีหน้าเย็นชา เขาก้าวถอยหลังไปสองก้าว โบกมือให้โม่หาน บอกใบ้ว่าให้เขามารับโทรศัพท์

“ประธานโม่ วันนี้แค่ออกมาคุยเรื่องส่วนตัวนะ ไม่ได้คุยงาน!”

เสียงผู้หญิงที่มีเสน่ห์พูดภาษาอังกฤษได้คล่อง ดังมาจากลำโพงของตน มู่เฉียวกัดริมฝีปาก อยากจะทุบมือถือทิ้งเลย

“ปีศาจจิ้งจอก”ของความรักนี่มีอยู่ทั่วโลกเลยใช่ไหม? ที่ไหนๆก็มี!

เธอกดวางสายไปอย่างรุนแรง จากนั้น……สูดลมหายใจเข้า ปิดเครื่อง ใส่ไว้ในลิ้นชักข้างเตียง

แล้วบอกว่าเป็นครั้งแรก ผีนะสิที่จะเชื่อ “เล่น”ในประเทศไม่พอใช่ไหม? ยังเล่นข้ามชาติด้วย?

ยิ่งคิดยิ่งโมโห

“โทรศัพท์ของใคร?” หลังจากโม่หานผลักผู้หญิงข้างๆออกไปแล้ว ก็เงยหน้าถามอู๋เหิง

อู๋เหิงตอบกลับอย่างใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว : “ของมู่เฉียว!”

“เพล้ง”! เสียงแก้วตกลงบนพื้น

อู๋เหิงเงยหน้าขึ้น เห็นโม่หานลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว แล้วเดินเข้ามาหาเขา

“เมื่อกี้เห็นคุณกำลังมีความสุขอยู่กับพวกเขาไม่ใช่เหรอ? ฉันเรียกคุณแล้ว แต่คุณไม่มีปฏิกิริยาตอบกลับ เธอก็เลยวางสายไป!”

ก่อนที่โม่หานจะเอ่ย อู๋เหิงก็รีบพูดออกมา

โม่หานสีหน้าเคร่งขรึม หยิบมือถือจากในมืออู๋เหิง “ตาข้างไหนของคุณที่เห็นว่าฉันมีความสุข? ต่อไปโอกาสประเภทนี้ คุณก็จัดการเองเถอะ”

กดโทรกลับไป

“เตรียมรถ” เขาพูดประโยคนี้ทิ้งไว้ แล้วก็เดินออกไป

มู่เฉียวกำลังหลับอยู่ ในความสะลึมสะลือก็ได้ยินเสียงกริ่งประตู

“ติ๊งต่อง!”

เมื่อแน่ใจว่าได้ยินไม่ผิด เธอก็ตกตะลึง มองนาฬิกาข้อมือ ดึกดื่นขนาดนี้ ใครจะยังมาหาเธออีกนะ?

เมื่อดึงประตูเปิดเธอยังไม่ทันได้ยืนอย่างมั่นคง ก็ตกเข้าไปอยู่ในอ้อมกอดและกลิ่นอายที่คุ้นเคย

โม่หานโน้มตัวลง มือใหญ่ๆคล้องที่คอของเธอ จูบลงไปที่ริมของเธออย่างโหดเหี้ยม ส่วนมืออีกข้างหนึ่งก็ดึงปิดประตูด้านหลัง

เพิ่งไม่ได้เจอกันไม่นานเท่าไร คาดไม่ถึงว่าเขาจะคิดถึงเธอจนเจ็บปวดใจ

จากนั้น ก็ไม่แน่ใจว่าใครเริ่มก่อน ตามเหตุผลแล้ว เรื่องที่เกิดขึ้นก็เคยเกิดขึ้นมาไม่น้อยแล้ว

หลังจากผ่านไปรอบหนึ่งแล้ว มู่เฉียวก็คิดอยากที่จะถามว่าทำไมจู่ๆโม่หานถึงมาที่นี่

แต่ด้วยความอ่อนเพลียที่ยากจะขัดขวาง ดังนั้น จึงเลือกที่จะละทิ้งไปในที่สุด

เช้าตรู่

ห้องที่เงียบสงัด ตำแหน่งข้างกายที่เย็นลงแล้ว ชัดเจนว่าเขาออกไปนานแล้ว มู่เฉียวสูดลมหายใจเข้า แต่ในใจหดหู่อย่างบอกไม่ถูก

ในทันใดโทรศัพท์ก็ดังขึ้น

เธอหยิบขึ้นมา มองดู คือโม่หาน!

กดรับ “มีธุระอะไร?” น้ำเสียงของเธอไม่ค่อยร่าเริงเล็กน้อย แม้กระทั่งตัวเธอเองก็ฟังออก

“ทำให้คุณตื่นเหรอ?” น้ำเสียงของเขาไม่สะทกสะท้าน

“วิ่งมาตั้งไกลขนาดนั้น นอนคืนเดียวก็ไป ประธานโม่ช่างมีกะจิตกะใจจริงๆ” หลังจากพูดจบ เธอก็รู้สึกว่าเวลานี้ตนเองเหมือนกับผู้หญิงขี้งอน

โทรศัพท์ของฝ่ายตรงข้ามเงียบไปชั่วขณะ หลังจากนั้นก็มีเสียงหัวเราะเบาๆดังเข้ามา “คุณดูซิว่ากี่โมงแล้ว?”

มู่เฉียวขมวดคิ้ว นำมือถือออกมาดู สิบเอ็ดโมงกว่าแล้ว?

คุณพระ คาดไม่ถึงว่าเธอจะนอนจนถึงตอนนี้

“ได้ยินอู๋เหิงบอกว่า เมื่อวานคุณโทรเข้ามาหาฉัน!” น้ำเสียงของโม่หานนุ่มนวลอ่อนโยน พยายามสุดความสามารถที่จะระงับความคิดที่อธิบายไม่ได้ภายในใจ พูดคุยอย่างเรียบเฉย ชัดเจนว่าเพิ่งจะแยกจากกัน

“อื้ม!” มู่เฉียวสูดลมหายใจเข้า เม้มปาก ลูบผมที่ข้างๆหู ตอบด้วยเสียงเบาๆ

พูดจบก็คิดๆ จึงกล่าวเสริมในทันที: “ฉันอยากจะถามคุณเรื่องที่หานฉุนถูกลดค่าตอบแทน คุณเป็นคนทำใช่ไหม?”

ได้ยินมู่เฉียวที่อยู่ในโทรศัพท์ถามถึงชายคนอื่น โม่หานก็รู้สึกไม่พอใจในทันที ขมวดคิ้วแน่นแล้วก็เบ้ปาก “คุณโทรมาเพื่อจะถามเรื่องนี้อย่างนั้นเหรอ?” น้ำเสียงของโม่หานฟังดูไม่ดีเลยแม้แต่น้อย เขายังคิดว่า เธอโทรมาเพราะ…..เพราะว่า…..

“ฉันไม่อยากให้เป็นเพราะฉัน จึงต้องไปรบกวนงานของคนอื่น” มู่เฉียวเอ่ยปากอธิบายด้วยจิตสำนึก พอพูดจบ ก็กระซิบถามด้วยเสียงเบาๆว่า: “ใช่คุณไหม?”

“ฉันไม่สบายใจ…..” โม่หานที่ปลายสายพูดด้วยเสียงที่เศร้าเสียใจถึงขีดสุด ขณะที่มู่เฉียวขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจ ก็กล่าวต่อด้วยน้ำเสียงที่เคร่งขรึมว่า: “ฉันคิดว่าเมื่อวานที่คุณโทรมาหาฉัน คือคิดถึงฉัน ฉันอุตส่าห์ลำบาก ดึกดื่นค่อนคืนต้องขับรถมาตั้งหลายชั่วโมง”

“…..ห๊ะ?” มู่เฉียวนิ่งอึ้งไปเล็กน้อย กัดริมฝีปากเบาๆ ไม่รู้จะพูดอะไร

สมองก็หวนกลับไปคิดถึงเรื่องราวเมื่อคืน ทันใดก็เขินอายขึ้นมา

ขมวดคิ้วเล็กน้อย “คุณยังทำอะไรอยู่? อยู่กับกิ๊กเหรอ”

“ไม่มีกิ๊กที่ไหน อยู่ห่างกันไกล เป็นงานเลี้ยงส่วนตัว ถ้าคุณไม่ชอบ ต่อไปก็จะไม่ไปแล้ว” โม่หานเอ่ยปาก พูดอย่างแฝงไปด้วยความหมายที่ลึกซึ้ง

“……”มู่เฉียวขมวดคิ้วเล็กน้อย ภายในใจหวานชื่น

โม่หานรออยู่ครู่หนึ่งเห็นเธอไม่พูดจา อดไม่ได้ที่จะกระตุ้นถามอย่างร้อนใจเล็กน้อยว่า “มู่เฉียว คุณยังอยู่ในสายไหม?”

“อืม!” มู่เฉียวดึงสติกลับมาทันที ภายในใจมีความกังวลเล็กน้อย เลียริมฝีปากสีแดงระเรื่อ แล้วกล่าวตอบกลับเบาๆ

บรรยากาศหยุดชะงักลงมาอย่างบอกไม่ถูก คล้ายกับไม่มีหัวข้อสนทนาระหว่างคู่สาย โม่หานเงียบไปหลายวินาที แล้วกล่าวอย่างคลุมเครือถึงขีดสุดว่า: “ตอนนี้คุณ ยังอยู่บนเตียงเหรอ?”

“ใช่แล้ว” มู่เฉียวตอบกลับอย่างไม่ได้หวาดระแวงแม้แต่น้อย เมื่อได้สติกลับมา ใบหน้าก็แดงระเรื่อ

เขินอาย ภายในใจก็รู้สึกมีรสชาติเล็กน้อย

“มู่เฉียว……”

จู่ๆน้ำเสียงของโม่หานก็แปลกไป ภายในใจของมู่เฉียวตื่นเต้นขึ้นมาอย่างอธิบายไม่ถูก น้ำเสียงเคร่งขรึมเล็กน้อยโดยไม่ได้ตั้งใจ ภายในใจรู้สึกไม่สงบเล็กน้อย “มีเรื่องอะไรเหรอ?”

“คุณ……เมื่อไหร่จะเสร็จจากทางด้านนั้น?” โม่หานก็ตระหนักได้ว่าตนเองพูดผิดไป ในน้ำเสียงดูไม่เป็นธรรมชาติ

“ไม่รู้เลย เรื่องนี้ต้องดูว่าการถ่ายทำของหานฉุนราบรื่นแค่ไหน!”

“หานฉุนหานฉุน คุณอย่าเอ่ยถึงเขาได้ไหม?” คนบางคนโกรธขึ้นมาอีกครั้ง

มู่เฉียวหยิบมือถือออกมามองอย่างประหลาดใจ มองๆดูผู้ชายคนนี้โกรธอะไร?

อารมณ์ฉุนเฉียวนี้มาได้อย่างไร? เขาไม่ได้ถามเธอว่าเสร็จงานเมื่อไหร่หรอกเหรอ? เธอมาเป็นล่ามส่วนตัว แน่นอนเธอต้องตามกำหนดการของคนอื่น

“โม่หาน ถ้าคุณจะโทรมาเพื่อชวนทะเลาะ อย่างนั้นฉันจะวางสายแล้วนะ!”

“จะวางก็วางสิ!”

จากนั้นก็ไม่รอให้มู่เฉียวมีปฏิกิริยาตอบกลับ ปลายสายก็เสียงดัง”ตู๊ดๆ”ออกมา

มู่เฉียวสูดลมหายใจเข้า นำมือถือโยนไปที่ผ้าห่ม ผู้ชายคนนี้มีความสามารถที่จะทำให้เธอโกรธได้เสมอ

ตอนเช้า 6:00 หานฉุนก็แจ้งให้เธอทราบว่ากำลังจะออกไป

ชื่อเสียงของหานฉุนยังเป็นที่รู้จักกันดีในท้องถิ่น ดังนั้นคณะของพวกเขาจึงได้รับการตอบรับจากเจ้าหน้าที่ระดับสูงในท้องที่เป็นอย่างดี

เพราะหนังเรื่องนี้จะฉายในจุดชมวิวหลายๆแห่ง จึงเป็นโอกาสที่ดีสำหรับอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวในขณะนั้น

บนเส้นทาง อีกฝ่ายพูดเป็นภาษาอังกฤษ หานฉุนมีวันนี้ได้ แน่นอนว่าเขามีศักยภาพ เขาเข้าใจได้เกือบทั้งหมด แต่เมื่ออีกฝ่ายพูดภาษาแอฟริกัน มู่เฉียวจะแปลให้

เมื่อถึงสถานที่ถ่ายทำ ผู้จัดการก็เดินมาบอกว่า “ฉุน เราไปเจอผู้กำกับกันก่อนเถอะ”

“คุณอยู่ดูที่นี่ได้ตามสบายเลยนะ แต่อย่าไปไกลมากล่ะ!” หานฉุนมองออกว่ามู่เฉียวสนใจ

“เดินดูได้ตามสบายเลยเหรอ?”

“คนอื่นไม่ได้ คุณ……ได้!” หานฉุนเข้าไปใกล้ๆมู่เฉียวแล้วยิ้ม เลิกคิ้วเล็กน้อย พูดอย่างมีเลศนัย

มู่เฉียวหันไปมองเขา ไม่ได้พูดอะไร

“มิเช่นนั้น คุณก็รอก่อน อีกสักพักผู้ดูแลจุดชมวิวก็จะมาถึงแล้ว ฉันจะให้เขาพาคุณไปเดินรอบๆก็ได้” หานฉุนพูดไปพลาง ก้มลงพิจารณาพืชที่หายากตรงหน้าเขา

มู่เฉียวมองหานฉุน จู่ๆเธอก็พบว่าอุปนิสัยของเขากับโม่หาน มีส่วนคล้ายคลึงกัน เดี๋ยวก็ดีเดี๋ยวก็ร้าย

พอพูดจบ “หานฉุน พวกคุณมาได้แล้ว!” ผู้ช่วยของหานฉุนวิ่งเหยาะๆเข้ามารายงาน

หานฉุนพยักหน้า แล้วดึงมู่เฉียว “เราไปกันเถอะ!”

มู่เฉียวไม่ได้พูดอะไร สำหรับหานฉุนแล้วเธอรู้สึกว่ายิ่งพูดน้อยก็ยิ่งดี และเดินตามหานฉุนไปที่ประตูทางเข้า

แต่เมื่อเธอเห็นคนที่ยืนอยู่ตรงประตูอย่างชัดเจนขาเธอก็อ่อนลงอย่างกะทันหัน

มู่เฉียวยกมือขึ้นขยี้ตา เมื่อแน่ใจว่าตนเองมองไม่ผิด ตัวเธอเอนไปทางด้านหลังอย่างไม่มั่นคง

นี่คือพ่อของโม่หาน

“คุณเห็นผีเหรอ?” หานฉุนพบว่ามู่เฉียวผิดปกติไป ฉะนั้นเมื่อเห็นเธอเซถอยหลังไป จึงยื่นแขนออกไปประคองเธอไว้

มู่เฉียวกลืนน้ำลาย ใช่ เห็น”ผี”

หันกลับไปมองหานฉุน ยืนขึ้นดึงเสื้อผ้าที่ยับเล็กน้อย “ฉัน……ฉันไม่เป็นไร!”

เพียงแต่…..

พ่อของโม่หานตายไปแล้วไม่ใช่เหรอ? เพราะเหตุใดถึงมาอยู่ที่แอฟริกาใต้ล่ะ?

เพราะเหตุใดถึงกลายเป็นคนรับผิดชอบจัดชมวิวนี้ได้ล่ะ? อีกทั้งเธออดไม่ได้ที่จะมองหานฉุนทีหนึ่ง เห็นสีหน้าของเขาไม่ผิดปกติ ก็เก็บความตื่นตระหนกบนใบหน้า

ชั่วขณะ เธอก็ไม่รู้ว่าจะรับมือกับสถานการณ์กะทันหันนี้ได้อย่างไร

“หานฉุน เขาเป็นคนรับผิดชอบจุดชมวิว ให้เขาพามู่เฉียวไปดูสักรอบหนึ่งสิ?”

คนพาชมพยักหน้าให้กับหานฉุน แล้วผายมือให้มู่เฉียว “คุณผู้หญิง เชิญตามฉันมาได้ครับ”

หานฉุนเงยหน้ามองเธอ หรี่ตามองเล็กน้อย ขมวดคิ้วแน่น โค้งริมฝีปากเล็กน้อย แฝงไปด้วยรอยยิ้มตื้นๆ “มู่เฉียว คุณรู้จักเหรอ?”

เธอควรจะตอบหานฉุนอย่างไร?

มู่เฉียวส่ายหน้า แล้วมองเขา “คุณนี่ชอบล้อเล่นจริงๆ”

พูดจบ ก็เดินตามคนไปยังจุดชมวิว

เดินตามหลังคนพาชม ในใจมู่เฉียวรู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อย

“คุณมู่ คุณรู้จักฉันเหรอ?” สุดท้ายผู้ชายที่อยู่ตรงหน้าก็ถูกมู่เฉียวมองจนรู้สึกขนลุกเล็กน้อย เขาจึงขมวดคิ้วแล้วกล่าวถาม

หัวใจมู่เฉียวเต้นแรงเล็กน้อย อย่างไม่สามารถอธิบายได้

สะดุ้งเล็กน้อย คิดๆแล้ว ก็หันไปมองผู้ชายที่อยู่ตรงหน้า: “สวัสดีค่ะ ฉันอยากถามคุณหน่อยว่า คุณ….รู้จักโม่หานไหม?”

ชายคนนั้นได้ยิน ก็หันหน้ากลับมา ชำเลืองมองมู่เฉียวอย่างเย็นชา แววตาเข้มขึ้น

เขายกมือขึ้น ลูบเบาๆที่ต้นไม้ใหญ่ข้างทาง “คุณมู่ คนที่คุณพูดถึง ฉันไม่รู้จัก”

ไม่รู้จัก? ในสายตาของมู่เฉียวหดหู่เล็กน้อย หรือว่าจะเป็นแค่คนหน้าคล้ายเท่านั้น

เธอพูดว่า”อ๋อ”คำหนึ่ง แล้วก็ยิ้มๆ

ทัศนียภาพที่นี่ไม่เหมือนกับในประเทศ นิเวศวิทยาในท้องถิ่นที่แทบจะเป็นแบบดั้งเดิม ถึงแม้จะเห็นภูเขาและลำน้ำภายในประเทศมาจนเคยชินแล้ว แต่พอได้เห็นที่นี่ ก็รู้สึกถึงกลิ่นอายความเป็นท้องถิ่นที่แตกต่างออกไป

เดินชมรอบหนึ่งแล้วกลับมา หานฉุนกำลังร่วมหารือเรื่องของเค้าโครงเรื่องละครกับผู้กำกับอยู่ ดูท่าจะไม่ค่อยราบรื่นเท่าไร สีหน้าของเขาไม่น่าดูเล็กน้อย

เพราะคู่ต่อสู้ทางละครคือคนแอฟริกา ดังนั้น งานที่สำคัญของมู่เฉียวก็คือตอนที่พวกเขาคุยกับฝ่ายตรงข้าม เธอถึงจะคอยเป็นล่ามอยู่ข้างๆ อื่นๆ ที่ใช้ภาษาอังกฤษในการสื่อสารได้ หานฉุนก็แทบจะไม่ต้องใช้เธอเลย

ดังนั้น เวลานี้ เธอจึงมีอิสระอย่างมาก

ผู้จัดการหยิบบทละครเข้ามา ส่งให้มู่เฉียว “นี่คือส่วนที่คุณต้องแปล คุณลองอ่านคร่าวๆก่อน”

มู่เฉียวพยักหน้า หลังจากแปลบทละครของหานฉุนรอบหนึ่งแล้ว เธอก็ขมวดคิ้ว “ค่าตอบแทน เหมือนกับว่าจะไม่มาก”

ถึงแม้จะเป็นภาพยนตร์ แต่หานฉุนเป็นนักแสดงนำ พูดตามเหตุผลแล้ว ไม่ควรที่จะได้ค่าตอบแทนที่น้อยขนาดนี้ มิน่าล่ะดูท่าทางไม่เต็มใจเลย

ผู้จัดการส่ายหน้า “ไม่เข้าใจ ดูเหมือนว่า จะถูกลดค่าตอบแทน เดิมทีฉันก็คิดที่จะไปเจรจา แต่ฉุนบอกว่า เขาจะไปเอง”

มู่เฉียวไม่พูดจา กับการดำเนินการนี้ เธอก็ไม่ได้เข้าใจมากมายนัก แต่เธอรู้ว่า ที่จู่ๆลดค่าตอบแทนลง จะต้องมีสาเหตุอย่างแน่นอน

เพราะตอนบ่ายไม่มีงาน เธอจึงเอ่ยที่จะกลับเข้าในเมืองก่อน จะไปเดินเที่ยวบริเวณใกล้ๆโรงแรมสักหน่อย

เมื่อหานฉุนกลับถึงโรงแรม เธอก็เพิ่งทานข้าวเสร็จ เห็นเขาเดินเข้ามายังตนเอง เธอก็ตกใจ เคี้ยวอาหารช้าลงเล็กน้อย

ชามเซรามิกสีขาวที่อยู่บนโต๊ะถูกคว้าขึ้น จากนั้น ก็ทุ่มลงพื้นอย่างแรง

มู่เฉียวตกใจ เธอกลืนน้ำลายลงคอ หยิบเครื่องดื่มบนโต๊ะ มาจิบเล็กน้อย “คุณเป็นบ้าอะไรเนี่ย?”

แต่หานฉุนเอาแต่จ้องมองเธอ มองอยู่ครู่หนึ่ง จึงเอ่ยปากว่า “คุณนี่มันมีเสน่ห์จริงๆเลยนะ มีเสน่ห์ถึงขั้นที่ เขาสามารถทำเพื่อคุณได้ โดยไม่เสียดายเงินทองเลย”

พูดจบ ก็ทำเสียงไม่พอใจ แล้วหันเดินจากไป

สักครู่หนึ่งจึงละสายตาออก แล้วพูดด้วยน้ำเสียงแหบพร่าว่า : “ในนี้ไม่มีที่ล็อก คุณคงไม่อยากให้คนอื่นพุ่งเข้ามาใช่ไหม!!”

มู่เฉียวตกตะลึง โอเค เหตุผลนี้มากเพียงพอ

แต่……แต่ว่า คุณไม่ใช่คนเหรอ?

“อย่างนั้นคุณก็หันไปก่อน คุณมองฉันอย่างนี้ ฉัน……ฉันไม่สบายใจ!” มู่เฉียวพูดจบ แล้วทำท่าจะลุกขึ้นนั่ง

โม่หานขมวดคิ้ว เดินเข้าไป ใช้แขนเรียวยาวไปประคองมู่เฉียว

เพียงแค่มือใหญ่สัมผัสถูกผิวที่เรียบเนียน โม่หานรู้สึกเหมือนมีกระแสน้ำอุ่นไหลผ่านร่างกายของตนเอง ความรู้สึกที่ไร้กำลังวังชานั้นทำให้เขาแทบบ้าคลั่ง

“มู่เฉียว ฉันต้องการ……” อดใจไว้ไม่ไหว โม่หานหอบเบาๆ ก้มตัวลงกระซิบข้างหูของมู่เฉียว

มู่เฉียวได้ยิน มู่เฉียวก็เกร็งทันที แก้มสองข้างแดงก่ำ

สมองก็เริ่มทำงานผิดปกติขึ้นมา จนปัญญาที่จะพิจารณาไตร่ตรอง

จากนั้นเธอก็รู้สึกว่าลมหายใจอุ่นๆแผ่ซ่านอยู่ระหว่างลำคอ

เธอกลืนน้ำลาย “โม่หาน คุณ……คุณอย่ามาวุ่นวาย ที่……ที่นี่……ที่นี่ คุณไม่ได้บอกว่า……มีคนเข้ามา……ได้ทุกเวลาเหรอ?” มู่เฉียวพูดอย่างตะกุกตะกัก เพียงแต่เพิ่งจะพูดจบ เธอก็อยากจะดึงตัวเองมาตบ ความหมายที่เธอจะบอกโม่หานคือ ที่นี่คนเยอะไม่สะดวก ให้เปลี่ยนสถานที่ก็ได้ใช่ไหม?

โม่หานหลุบตาลง จ้องมองไปที่หญิงสาวที่กระสับกระส่ายภายใต้ร่างกายอยู่ครู่หนึ่ง ลมหายใจของเขาก็เริ่มเปลี่ยนเป็นหนักหน่วงขึ้นเล็กน้อย……

แววตาลึกซึ้งยิ่งขึ้น ในตาแดงนิดๆ สายตาที่เร่าร้อนค่อยๆเลื่อนลงจากใบหน้าของเธอ เสียงแหบพร่าก็ดังขึ้นอย่างแผ่วเบา : “ในระหว่างที่ฉันไม่อยู่ด้วย ไม่อนุญาตให้คุณกับเขาใกล้ชิดสนิทสนมกัน!” น้ำเสียงเขาคล้ายกับเป็นคำสั่ง

“……” จิตใจของมู่เฉียวตึงเครียดทันที เงยหน้าขึ้นมองเขาโดยจิตใต้สำนึก เพียงแค่ชำเลืองมอง เธอก็หลุบตาลง กลืนน้ำลาย : “ได้ ได้ ฉันจะอยู่ห่างจากเขาอย่างแน่นอน โอเคไหม?”

เวลานี้เธอแค่อยากจะสลัดเขาทิ้งไปให้เร็วที่สุด

อยู่ในสถานที่อย่างนี้ ถ้าถูกคนมาเจอภาพนี้ของพวกเขา……

โม่หานหรี่ตาทั้งคู่เล็กน้อย มองดูเธออย่างลึกซึ้งเป็นเวลาสองวินาที แล้วก้มศีรษะลงช้าๆขยับเข้าไปใกล้ใบหน้าของเธอ จูบลงบนปากอมชมพูของเธอ

“มู่เฉียว คุณอย่าโกหกฉันเลยดีกว่า!”

หัวใจของมู่เฉียวยิ่งตึงเครียดมากขึ้น เธอกัดฟันแน่น เงยหน้าขึ้นทันที : “ไม่กล้า……”

ในฉับพลันท้ายทอยก็ถูกจับไว้ ยกให้หน้าเงยขึ้น เห็นริมฝีปากบางๆของเขากดลงมาอีกครั้ง

“อื้อ……”

มู่เฉียวเบิกตาโพลงทันที มองใบหน้าที่หล่อเหลาใกล้ๆอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตา ผู้ชายคนนี้บ้าไปแล้วเหรอ?

สถานที่อย่างนี้ ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้……  เธอยังจะมีชีวิตอยู่ต่อได้ไหม?

คิดพลาง รวบรวมกำลังที่มีทั้งหมด ผลักเขาออกไปอย่างโหดเหี้ยม

“โม่หาน คุณเป็นสัตว์หรือไง? ที่ไหนก็สามารถคลุ้มคลั่งได้เหรอ?” หลังจากออกจากการบังคับปิดปากของเขา เธอก็ส่งเสียงตวาด

ในทันทีก็นึกถึงที่ตู้เสี่ยวซินบอกว่าเป็นครั้งแรกของเขา ในใจก็อดไม่ได้ที่จะพิจารณาเขา อย่าง….นี้ อย่างนี้เอ่อ ที่ผ่านมาหลายปีนั้น เธอผ่านมาได้อย่างไรกัน?

โม่หานยืดตัวขึ้นอย่างช้าๆ ปล่อยมู่เฉียว ต้องใช้ความพยายามอย่างมากในการยับยั้งความหวั่นไหวภายในจิตใจ

กัดฟันอย่างเงียบๆ มองเธออย่างลึกซึ้ง แล้วหันตัวกลับอย่างช้าๆ

ช่วงนี้บ้าไปแล้วจริงๆ หลงใหลในกลิ่นของเธอ กระทั่งจนปัญญาที่จะยับยั้งตัวเอง

เห็นเขาหันตัวกลับไป มู่เฉียวจึงได้ถอนหายใจอย่างโล่งอก รีบลุกขึ้น ติดกระดุมที่หน้าอก ไม่ทันได้ระวัง ไปถูกบริเวณบาดแผลที่น้ำร้อนลวกเอาไว้

มองภาพด้านหลังของโม่หาน เธอก็เริ่มสับสนเล็กน้อย ผู้ชายคนนี้ สรุปแล้วรู้สึกอย่างไรกับตนเองกันแน่

ถ้าไม่รัก ทำไมเขาจะต้องมาแคร์ว่า ระหว่างเธอกับหานฉันจะเกิดอะไรขึ้น

แต่ถ้ารัก การบีบบังคับต่างๆ การไม่สนใจไยดีต่างๆของเขา จะอธิบายอย่างไรดี

“ออกไปก่อนเถอะ….” หันตัวกลับมา หลังจากเห็นว่าเธอสวมใส่เสื้อผ้าเสร็จแล้ว โม่หานก็กล่าวกระซิบกับเธอ

มู่เฉียวนิ่งอึ้งไปเล็กน้อย ก้มหน้า เดินอ้อผ่านไปยังหน้าประตู

แต่ทว่า ทันทีที่เธอก้าวออกนอกประตู จู่ๆเขาก็ร้องเรียกด้วยเสียงที่แหบพร่ามาจากด้านหลัง

“เดี๋ยวก่อน!”

มู่เฉียวหยุดชะงักฝีเท้า คนตัวแข็งทื่อไปในทันที นิ้วมือที่ลูกบิดประตู ก็ค่อยๆจับเอาไว้แน่น กัดฟันลังเลใจอยู่หลายวินาที สุดท้ายก็ค่อยๆหันตัวกลับมามองเขาอย่างช้าๆ

โม่หานพิงหลังที่ตู้อย่างเกียจคร้าน เมื่อเธอหันตัวกลับมา ก็นำยาที่อยู่ในมือยื่นให้ เปิดริมฝีปากบางๆกล่าวว่า: “คำพูดนั้นก่อนหน้านี้ ทางที่ดีคุณต้องจำใส่ใจเอาไว้!”

มู่เฉียวนิ่งอึ้งไปเล็กน้อย สูดลมหายใจเข้าลึกๆ คำพูดเหล่านั้นก่อนหน้านี้อย่างนั้นเหรอ?

คำพูดไหน?

เธอเบ้ปาก หันตัวกลับ ก้มหน้าแล้วรีบเดินไปข้างหน้า เพียงแต่ พอก้าวออกจากประตู ก็พบกับหานฉุนที่คล้ายกับรอมาสักครู่แล้ว

“คุณ…ทำไมคุณมาอยู่ที่นี่?”

มู่เฉียวใจเต้นในทันที หางตาเหลือบไปมองประตูที่อยู่ข้างๆอย่างขาดความเชื่อมั่น กล่าวถามอย่างไม่ให้สุ้มให้เสียง รู้สึกใจฝ่อเล็กน้อย

ได้ยินเธอกล่าวถาม ใบหน้าของหานฉุนที่ก้มอยู่ก็ค่อยๆเงยขึ้นมา มุมปากคล้ายกับกึ่งยิ้มกึ่งไม่ยิ้ม สายตาที่สับสนมองไปยังใบหน้าที่งดงามของเธอ เมื่อเห็นจุดที่เปียกบนหน้าอกของเธอ แสงอันเยือกเย็นก็ปรากฏในสายตา

ยกมือขึ้นดูนาฬิกาข้อมือ “ได้ยินมาว่า คุณถูกน้ำร้อนลวก ฉันเลยเข้ามาดุ ว่าจะส่งผลกระทบต่อโปรแกรมของฉันไหม” หานฉุนแสร้งทำเป็นยิ้มมุมปากเล็กน้อย มองเธออย่างกระตุ้นให้เกิดความสนใจ พูดทีเล่นทีจริงอย่างช้าๆ

เมื่อได้ยินคำพูด มู่เฉียวก็ตกตะลึงจนเหงื่อตกในทันที มองหานฉุนอย่างงุนงง ไม่อยากจะคิดว่าถ้าเขาเข้าไปหาเธอจริงๆ แล้วเห็นเธอกับโม่หาน……

ถึงแม้ โม่หานจะบอกว่าคนทั้งสองไม่ได้หย่ากัน แต่ถึงอย่างไรตอนนี้โม่หานก็มีคู่หมั้นแล้ว

ในทันทีสติก็สับสนวุ่นวายเล็กน้อย: “ฉัน….ไม่เป็นไร เพียงแค่โดนลวกเป็นรอยแดง ทายาสักหน่อย ก็ไม่เป็นไรแล้ว!”

“อ้อ งั้นเหรอ?” หานฉุนเหลือมองไปที่ห้องพักผ่อนด้านหลังของเธอ มุมปากก็แสดงรอยยิ้มอย่างแฝงไปด้วยความหมายที่ลึกซึ้ง

สักครู่หนึ่งจึงละสายตาออก แล้วพูดด้วยน้ำเสียงแหบพร่าว่า : “ในนี้ไม่มีที่ล็อก คุณคงไม่อยากให้คนอื่นพุ่งเข้ามาใช่ไหม!!”

มู่เฉียวตกตะลึง โอเค เหตุผลนี้มากเพียงพอ

แต่……แต่ว่า คุณไม่ใช่คนเหรอ?

“อย่างนั้นคุณก็หันไปก่อน คุณมองฉันอย่างนี้ ฉัน……ฉันไม่สบายใจ!” มู่เฉียวพูดจบ แล้วทำท่าจะลุกขึ้นนั่ง

โม่หานขมวดคิ้ว เดินเข้าไป ใช้แขนเรียวยาวไปประคองมู่เฉียว

เพียงแค่มือใหญ่สัมผัสถูกผิวที่เรียบเนียน โม่หานรู้สึกเหมือนมีกระแสน้ำอุ่นไหลผ่านร่างกายของตนเอง ความรู้สึกที่ไร้กำลังวังชานั้นทำให้เขาแทบบ้าคลั่ง

“มู่เฉียว ฉันต้องการ……” อดใจไว้ไม่ไหว โม่หานหอบเบาๆ ก้มตัวลงกระซิบข้างหูของมู่เฉียว

มู่เฉียวได้ยิน มู่เฉียวก็เกร็งทันที แก้มสองข้างแดงก่ำ

สมองก็เริ่มทำงานผิดปกติขึ้นมา จนปัญญาที่จะพิจารณาไตร่ตรอง

จากนั้นเธอก็รู้สึกว่าลมหายใจอุ่นๆแผ่ซ่านอยู่ระหว่างลำคอ

เธอกลืนน้ำลาย “โม่หาน คุณ……คุณอย่ามาวุ่นวาย ที่……ที่นี่……ที่นี่ คุณไม่ได้บอกว่า……มีคนเข้ามา……ได้ทุกเวลาเหรอ?” มู่เฉียวพูดอย่างตะกุกตะกัก เพียงแต่เพิ่งจะพูดจบ เธอก็อยากจะดึงตัวเองมาตบ ความหมายที่เธอจะบอกโม่หานคือ ที่นี่คนเยอะไม่สะดวก ให้เปลี่ยนสถานที่ก็ได้ใช่ไหม?

โม่หานหลุบตาลง จ้องมองไปที่หญิงสาวที่กระสับกระส่ายภายใต้ร่างกายอยู่ครู่หนึ่ง ลมหายใจของเขาก็เริ่มเปลี่ยนเป็นหนักหน่วงขึ้นเล็กน้อย……

แววตาลึกซึ้งยิ่งขึ้น ในตาแดงนิดๆ สายตาที่เร่าร้อนค่อยๆเลื่อนลงจากใบหน้าของเธอ เสียงแหบพร่าก็ดังขึ้นอย่างแผ่วเบา : “ในระหว่างที่ฉันไม่อยู่ด้วย ไม่อนุญาตให้คุณกับเขาใกล้ชิดสนิทสนมกัน!” น้ำเสียงเขาคล้ายกับเป็นคำสั่ง

“……” จิตใจของมู่เฉียวตึงเครียดทันที เงยหน้าขึ้นมองเขาโดยจิตใต้สำนึก เพียงแค่ชำเลืองมอง เธอก็หลุบตาลง กลืนน้ำลาย : “ได้ ได้ ฉันจะอยู่ห่างจากเขาอย่างแน่นอน โอเคไหม?”

เวลานี้เธอแค่อยากจะสลัดเขาทิ้งไปให้เร็วที่สุด

อยู่ในสถานที่อย่างนี้ ถ้าถูกคนมาเจอภาพนี้ของพวกเขา……

โม่หานหรี่ตาทั้งคู่เล็กน้อย มองดูเธออย่างลึกซึ้งเป็นเวลาสองวินาที แล้วก้มศีรษะลงช้าๆขยับเข้าไปใกล้ใบหน้าของเธอ จูบลงบนปากอมชมพูของเธอ

“มู่เฉียว คุณอย่าโกหกฉันเลยดีกว่า!”

หัวใจของมู่เฉียวยิ่งตึงเครียดมากขึ้น เธอกัดฟันแน่น เงยหน้าขึ้นทันที : “ไม่กล้า……”

ในฉับพลันท้ายทอยก็ถูกจับไว้ ยกให้หน้าเงยขึ้น เห็นริมฝีปากบางๆของเขากดลงมาอีกครั้ง

“อื้อ……”

มู่เฉียวเบิกตาโพลงทันที มองใบหน้าที่หล่อเหลาใกล้ๆอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตา ผู้ชายคนนี้บ้าไปแล้วเหรอ?

สถานที่อย่างนี้ ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้……  เธอยังจะมีชีวิตอยู่ต่อได้ไหม?

คิดพลาง รวบรวมกำลังที่มีทั้งหมด ผลักเขาออกไปอย่างโหดเหี้ยม

“โม่หาน คุณเป็นสัตว์หรือไง? ที่ไหนก็สามารถคลุ้มคลั่งได้เหรอ?” หลังจากออกจากการบังคับปิดปากของเขา เธอก็ส่งเสียงตวาด

ในทันทีก็นึกถึงที่ตู้เสี่ยวซินบอกว่าเป็นครั้งแรกของเขา ในใจก็อดไม่ได้ที่จะพิจารณาเขา อย่าง….นี้ อย่างนี้เอ่อ ที่ผ่านมาหลายปีนั้น เธอผ่านมาได้อย่างไรกัน?

โม่หานยืดตัวขึ้นอย่างช้าๆ ปล่อยมู่เฉียว ต้องใช้ความพยายามอย่างมากในการยับยั้งความหวั่นไหวภายในจิตใจ

กัดฟันอย่างเงียบๆ มองเธออย่างลึกซึ้ง แล้วหันตัวกลับอย่างช้าๆ

ช่วงนี้บ้าไปแล้วจริงๆ หลงใหลในกลิ่นของเธอ กระทั่งจนปัญญาที่จะยับยั้งตัวเอง

เห็นเขาหันตัวกลับไป มู่เฉียวจึงได้ถอนหายใจอย่างโล่งอก รีบลุกขึ้น ติดกระดุมที่หน้าอก ไม่ทันได้ระวัง ไปถูกบริเวณบาดแผลที่น้ำร้อนลวกเอาไว้

มองภาพด้านหลังของโม่หาน เธอก็เริ่มสับสนเล็กน้อย ผู้ชายคนนี้ สรุปแล้วรู้สึกอย่างไรกับตนเองกันแน่

ถ้าไม่รัก ทำไมเขาจะต้องมาแคร์ว่า ระหว่างเธอกับหานฉันจะเกิดอะไรขึ้น

แต่ถ้ารัก การบีบบังคับต่างๆ การไม่สนใจไยดีต่างๆของเขา จะอธิบายอย่างไรดี

“ออกไปก่อนเถอะ….” หันตัวกลับมา หลังจากเห็นว่าเธอสวมใส่เสื้อผ้าเสร็จแล้ว โม่หานก็กล่าวกระซิบกับเธอ

มู่เฉียวนิ่งอึ้งไปเล็กน้อย ก้มหน้า เดินอ้อผ่านไปยังหน้าประตู

แต่ทว่า ทันทีที่เธอก้าวออกนอกประตู จู่ๆเขาก็ร้องเรียกด้วยเสียงที่แหบพร่ามาจากด้านหลัง

“เดี๋ยวก่อน!”

มู่เฉียวหยุดชะงักฝีเท้า คนตัวแข็งทื่อไปในทันที นิ้วมือที่ลูกบิดประตู ก็ค่อยๆจับเอาไว้แน่น กัดฟันลังเลใจอยู่หลายวินาที สุดท้ายก็ค่อยๆหันตัวกลับมามองเขาอย่างช้าๆ

โม่หานพิงหลังที่ตู้อย่างเกียจคร้าน เมื่อเธอหันตัวกลับมา ก็นำยาที่อยู่ในมือยื่นให้ เปิดริมฝีปากบางๆกล่าวว่า: “คำพูดนั้นก่อนหน้านี้ ทางที่ดีคุณต้องจำใส่ใจเอาไว้!”

มู่เฉียวนิ่งอึ้งไปเล็กน้อย สูดลมหายใจเข้าลึกๆ คำพูดเหล่านั้นก่อนหน้านี้อย่างนั้นเหรอ?

คำพูดไหน?

เธอเบ้ปาก หันตัวกลับ ก้มหน้าแล้วรีบเดินไปข้างหน้า เพียงแต่ พอก้าวออกจากประตู ก็พบกับหานฉุนที่คล้ายกับรอมาสักครู่แล้ว

“คุณ…ทำไมคุณมาอยู่ที่นี่?”

มู่เฉียวใจเต้นในทันที หางตาเหลือบไปมองประตูที่อยู่ข้างๆอย่างขาดความเชื่อมั่น กล่าวถามอย่างไม่ให้สุ้มให้เสียง รู้สึกใจฝ่อเล็กน้อย

ได้ยินเธอกล่าวถาม ใบหน้าของหานฉุนที่ก้มอยู่ก็ค่อยๆเงยขึ้นมา มุมปากคล้ายกับกึ่งยิ้มกึ่งไม่ยิ้ม สายตาที่สับสนมองไปยังใบหน้าที่งดงามของเธอ เมื่อเห็นจุดที่เปียกบนหน้าอกของเธอ แสงอันเยือกเย็นก็ปรากฏในสายตา

ยกมือขึ้นดูนาฬิกาข้อมือ “ได้ยินมาว่า คุณถูกน้ำร้อนลวก ฉันเลยเข้ามาดุ ว่าจะส่งผลกระทบต่อโปรแกรมของฉันไหม” หานฉุนแสร้งทำเป็นยิ้มมุมปากเล็กน้อย มองเธออย่างกระตุ้นให้เกิดความสนใจ พูดทีเล่นทีจริงอย่างช้าๆ

เมื่อได้ยินคำพูด มู่เฉียวก็ตกตะลึงจนเหงื่อตกในทันที มองหานฉุนอย่างงุนงง ไม่อยากจะคิดว่าถ้าเขาเข้าไปหาเธอจริงๆ แล้วเห็นเธอกับโม่หาน……

ถึงแม้ โม่หานจะบอกว่าคนทั้งสองไม่ได้หย่ากัน แต่ถึงอย่างไรตอนนี้โม่หานก็มีคู่หมั้นแล้ว

ในทันทีสติก็สับสนวุ่นวายเล็กน้อย: “ฉัน….ไม่เป็นไร เพียงแค่โดนลวกเป็นรอยแดง ทายาสักหน่อย ก็ไม่เป็นไรแล้ว!”

“อ้อ งั้นเหรอ?” หานฉุนเหลือมองไปที่ห้องพักผ่อนด้านหลังของเธอ มุมปากก็แสดงรอยยิ้มอย่างแฝงไปด้วยความหมายที่ลึกซึ้ง

ตลอดคืนนี้ โม่หานใช้เอกสิทธิ์ของเขา ในการตรวจสอบแทบจะทุกโรงแรมเล็กใหญ่ในเมืองB แต่ยังคงไม่เจอแม้แต่เงาของมู่เฉียว

“โม่หาน คุณไปนอนสักพักเถอะ วันนี้สว่างแล้ว ฉันคาดว่าเธอจงใจจะหลบซ่อนจากคุณ!” อู๋เหิงหาวแล้วบิดขี้เกียจ ชั่วขณะก็รู้สึกเวียนหัวเล็กน้อย

โม่หานสีหน้าเคร่งขรึม ชำเลืองมองเขา “คุณง่วงก็ไปนอนเถอะ ฉันจะรออีกหน่อย!”

“ไม่ ไม่……ฉันจะอยู่เป็นเพื่อนคุณ!” อู๋เหิงโบกไม้โบกมือเขา เขารู้จักผู้ชายคนนี้ดี ถ้าเขาไปนอนอย่างเชื่อฟัง หลังจากตื่นขึ้นมา เขาจะต้องประสบกับอะไร

“เพียงแต่ว่าโม่หาน ถามคุณมาตลอดทั้งคืนแล้ว คุณพยายามจะตามหาเธอต้องการจะทำอะไร?” โม่หานเรียกมากลางดึก บอกว่ามีเรื่องด่วน เพียงแค่……ตามหาภรรยานี่คือเรื่องด่วนเหรอ?

“เธอต้องการจะไปแอฟริกาใต้!”

“อ๋อ! ห๊ะ……ไปแอฟริกาใต้? ไปทำอะไร?”

“ตามไปด้วยกันกับหานฉุน บอกว่าไปเป็นล่ามส่วนตัว” โม่หานแทบจะกัดฟันตอบกลับมา

“หานฉุน? น้องชายคนนั้นของคุณนะเหรอ?” อู๋เหิงหยุดไปชั่วขณะ “น้องชายกับพี่สะใภ้อยู่ด้วยกัน ตามหลักการและเหตุผลแล้วก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร แต่ว่าน้องชายของคุณคนนี้ดูจะ……โรคจิตเล็กน้อย” หลายปีมานี้ ขอเพียงแต่เป็นของที่โม่หานชอบ น้องชายของเขาคนนี้ก็ทำทุกวิถีทางที่จะยื้อแย่งเอาไป

“อืม ฉันเข้าใจแล้ว ชัดเจนว่าคุณไม่อยากให้เธอไป หลังจากนั้นเธอก็หนีไป ใช่ไหม?”

โม่หานมองเขาตาขวาง แล้วถามว่า : “ฟังความคิดเห็นนี้ของคุณแล้ว ฉันควรจะให้เธอไปไหมล่ะ?”

อู๋เหิงสองมือล้วงกระเป๋า เดินไปตรงหน้าโม่หาน เอียงมองโม่หานเล็กน้อย : “คุณบอกฉันมาก่อน ว่าคุณชอบเธอใช่ไหม?”

โม่หานถลึงตาใส่เขา “คุณไสหัวออกไปได้แล้ว!”

อู๋เหิงยืดตัวตรง ทำท่าทางอาลัยอาวรณ์ “เดิมทีนะ? ยังเตรียมจะบอกเรื่องดีๆกับคุณ ในเมื่อคุณให้ฉันไสหัวไป ฉันก็ไม่บอกแล้ว!” พูดจบก็ก้มหน้าถอนหายใจ ส่ายๆหัว แล้วก็เดินไปตรงหน้าประตู

โม่หานลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็รีบเดินอ้อมโต๊ะทำงานไปตรงหน้าอู๋เหิง “คุณรู้แล้วใช่ไหมว่าเธออยู่ที่ไหน?”

อู๋เหิงส่ายหัว โม่หานก็สีหน้าเคร่งขรึม

และก่อนที่เขาจะลงมืออะไร อู๋เหิงจึงพูดว่า : “ฉันไม่รู้หรอกว่าภรรยาคุณอยู่ไหน แต่จู่ๆเขาก็นึกขึ้นได้ว่า เมื่อเร็วๆนี้เรากำลังหารือเกี่ยวกับความร่วมมือกับบริษัทในแอฟริกาใต้ เดิมทีฉันเตรียมจะไปเอง……ถึงอย่างไรคุณก็ยุ่งขนาดนี้ อย่างไรก็……”

“ความร่วมมือ?” โม่หานตัดบทคำพูดของอู๋เหิง “เรื่องนี้ฉันไม่เคยได้ยินได้อย่างไร?”

“คุณลืมไปแล้วคุณบอกเอง แล้วเรื่องก็หายเข้ากลีบเมฆไป อย่ารายงานกับคุณตามอำเภอใจไม่ใช่เหรอ?” อู๋เหิงจงใจพูดถากถาง

โม่หานกระแอมเบาๆ “พูดสรุปมาตรงๆเลย!”

อู๋เหิงเบ้ปาก “ความคืบหน้าล่าสุดราบรื่นอย่างมาก กำลังเตรียมจะคุยกับคุณเร็วๆนี้  เราก็ตามไปด้วยเถอะ!”

จากนั้นก็เห็นโม่หานโล่งอก สีหน้าผ่อนคลายลงมามาก

แม้ว่าโม่หานจะผลักดันโม่กรุ๊ปให้สูงขึ้นไปอีกในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา อย่างไรเสียเขาก็ไม่กล้าหละหลวมเลยแม้แต่น้อย น้อยมากที่เขาจะแยกจากหน้าที่การงานของตนเอง ถ้าคุณไม่ให้เหตุผลกับเขา เขาจะไม่จากไปง่ายๆ

อู๋เหิงมองโม่หาน แล้วถอนหายใจอย่างโล่งอกภายในใจ เพียงแต่…..มีเรื่องหนึ่ง ที่เขาไม่ได้บอกกับโม่หาน!

อาจเพราะสภาพแวดล้อมที่ไม่คุ้นเคย ตอนกลางคืนมู่เฉียวจึงนอนดึกมาก ตอนเช้าท้องฟ้ายังไม่สว่าง ก็ตื่นแล้ว

ลุกขึ้น อาบน้ำ เห็นในห้องครัวมีบะหมี่ เธอก็เลยไปทำกินเอง

ที่น่าแปลกใจคือ โม่หานไม่ได้โทรเข้ามาอีกเลย เธอโทรศัพท์ไปหาพ่อแม่ บอกเรื่องที่ตนเองจะไปแอฟริกาใต้ พ่อแม่สนับสนุนเกี่ยวกับงานของเธอมาโดยตลอด

“เฉียวเอ๋อ ถึงที่นั่นแล้ว จำไว้ว่าต้องดูแลตัวเองดีๆนะ ส่วนเสี่ยวโยว คุณไม่ต้องกังวล มู่หลิงกับเสี่ยวหยูจะย้ายกลับมาวันนี้”

มู่เฉียวพยักหน้า “ลำบากคุณแล้ว แม่ พ่อ คุณก็ต้องดูแลตัวเองด้วยนะ”

เช่นนี้ มู่เฉียวอยู่แต่ในห้องมาสองวันแล้ว

ตู้เสี่ยวซินมาส่งอาหารให้เธอเล็กน้อย บอกว่าที่บริษัทยุ่งมาก แล้วก็ไป

เธอจึงใช้โอกาสในสองวันนี้ หาข้อมูลและภาษาแอฟริกาเสริมจากทางด้านภาพยนตร์และโทรทัศน์

ตอนเช้าวันจันทร์ เธอกำลังทานอาหารเช้า พอดีมีเสียงกริ่งที่ประตูดังขึ้น ดูเวลา เพิ่งจะเจ็ดโมง กล่าวในใจว่า ตู้เสี่ยวซินชอบนอนตื่นสาย กลับกลายเป็นขยันแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไร

เพียงแต่…..

พอเปิดประตู หานฉุน

“คุณหาที่นี่เจอได้อย่างไร?” ตู้เสี่ยวซินบอกว่าสถานที่นี้ นอกจากเธอและหลิวฮั่วแล้ว ไม่มีใครรู้ แต่หานฉุนรู้ได้อย่างไร?

หานฉุนเดินอ้อมเธอ เข้าไปในห้องรับแขก เดินไปพลางพิจารณาไปพลาง “จุ๊ๆ คุณอย่าบอกนะว่า รสนิยมของหลิวฮั่วนี่ ยังดีอยู่จริงๆ!” เพียงแค่ สายตาเห็นภาพเสวียนก้วนภาพนั้นที่แขวนอยู่ด้านบน สายตาของเขาก็เฉียบแหลมขึ้นมา

มู่เฉียวขมวดคิ้ว ปิดประตู หันตัวกลับ แล้วตามหานฉุนไป “คุณยังไม่ได้ตอบฉันเลยนะ ว่าคุณหาที่นี่เจอได้อย่างไร?”

หานฉุนระงับความงุนงงในสายตา แล้วแสดงออกเหมือนก่อนหน้านี้ “หลิวฮั่วโทรมาหาฉัน บอกว่าเขามาธุระนิดหน่อย มาไม่ได้แล้ว จึงให้ฉันมารับคุณ!”

พูดจบ ก็เม้มปาก หันกลับไปมองค้อนมู่เฉียวทีหนึ่ง แล้วกล่าวถากถางโดยตรงว่า “คุณมีไอคิวแบบนี้ โม่หานยังสนใจคุณอยู่ได้อย่างไรกัน?”

นี่คือชีวิตประจำวันของคนทั้งสอง โดยปกติโม่หานก็มักจะโจมตีและเหน็บแนมเธอ ดีก็โจมตี แย่ ก็ยิ่งไม่ปล่อยไปแน่นอน

หานฉุนเดินมุ่งตรงไปนั่งลงบนโซฟา กล่าวอย่างไม่ใส่ใจว่า “รีบไปเก็บข้าวของ คุณอยากจะโดนหักเงินเดือนอันน้อยนิดของคุณเหรอ?”

“คุณรู้จักโม่หานได้อย่างไร?” มู่เฉียวตกใจอย่างมาก

โม่หานมองต่ำลง “มีคนไม่รู้จักโม่หานด้วยเหรอ? นั่นคือบุคคลที่มีชื่อเสียง” พูดจบ มู่เฉียวก็ทำท่าทำทางอยากจะอ้วก

เห็นมู่เฉียวยืนอยู่ตรงนั้นไม่ขยับ “นี่ ตอนนี้คุณชายเป็นลูกค้าของคุณนะ คุณยังจะให้ฉันรอคุณอีกเหรอ? ทำอะไรให้มันฉับไวหน่อย OKไหม บื้อจริง!”

มู่เฉียวมองสายตาที่เย็นชาของหานฉุน มองเขาอย่างลึกซึ้ง ชั่วพริบตาทำไมถึงรู้สึกว่าโลกของเธอเริ่มสับสนอลหม่าน เธอเป็นปกติอย่างมาก แต่ทุกสิ่งทุกอย่างรอบๆตัวเธอคล้ายกับผิดปกติไป

พวกเขามักจะพูดในสิ่งที่เธอไม่เข้าใจ ทำในเรื่องที่เธอไม่อาจคาดเดาได้…..แต่ก็เป็นเรื่องที่แน่นอน….เป็นไปได้อย่างง่ายดาย

เช่นหานฉุนรู้จักโม่หาน เช่น อู๋เหิงและตู้เสี่ยวซิน

ตลอดคืนนี้ โม่หานใช้เอกสิทธิ์ของเขา ในการตรวจสอบแทบจะทุกโรงแรมเล็กใหญ่ในเมืองB แต่ยังคงไม่เจอแม้แต่เงาของมู่เฉียว

“โม่หาน คุณไปนอนสักพักเถอะ วันนี้สว่างแล้ว ฉันคาดว่าเธอจงใจจะหลบซ่อนจากคุณ!” อู๋เหิงหาวแล้วบิดขี้เกียจ ชั่วขณะก็รู้สึกเวียนหัวเล็กน้อย

โม่หานสีหน้าเคร่งขรึม ชำเลืองมองเขา “คุณง่วงก็ไปนอนเถอะ ฉันจะรออีกหน่อย!”

“ไม่ ไม่……ฉันจะอยู่เป็นเพื่อนคุณ!” อู๋เหิงโบกไม้โบกมือเขา เขารู้จักผู้ชายคนนี้ดี ถ้าเขาไปนอนอย่างเชื่อฟัง หลังจากตื่นขึ้นมา เขาจะต้องประสบกับอะไร

“เพียงแต่ว่าโม่หาน ถามคุณมาตลอดทั้งคืนแล้ว คุณพยายามจะตามหาเธอต้องการจะทำอะไร?” โม่หานเรียกมากลางดึก บอกว่ามีเรื่องด่วน เพียงแค่……ตามหาภรรยานี่คือเรื่องด่วนเหรอ?

“เธอต้องการจะไปแอฟริกาใต้!”

“อ๋อ! ห๊ะ……ไปแอฟริกาใต้? ไปทำอะไร?”

“ตามไปด้วยกันกับหานฉุน บอกว่าไปเป็นล่ามส่วนตัว” โม่หานแทบจะกัดฟันตอบกลับมา

“หานฉุน? น้องชายคนนั้นของคุณนะเหรอ?” อู๋เหิงหยุดไปชั่วขณะ “น้องชายกับพี่สะใภ้อยู่ด้วยกัน ตามหลักการและเหตุผลแล้วก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร แต่ว่าน้องชายของคุณคนนี้ดูจะ……โรคจิตเล็กน้อย” หลายปีมานี้ ขอเพียงแต่เป็นของที่โม่หานชอบ น้องชายของเขาคนนี้ก็ทำทุกวิถีทางที่จะยื้อแย่งเอาไป

“อืม ฉันเข้าใจแล้ว ชัดเจนว่าคุณไม่อยากให้เธอไป หลังจากนั้นเธอก็หนีไป ใช่ไหม?”

โม่หานมองเขาตาขวาง แล้วถามว่า : “ฟังความคิดเห็นนี้ของคุณแล้ว ฉันควรจะให้เธอไปไหมล่ะ?”

อู๋เหิงสองมือล้วงกระเป๋า เดินไปตรงหน้าโม่หาน เอียงมองโม่หานเล็กน้อย : “คุณบอกฉันมาก่อน ว่าคุณชอบเธอใช่ไหม?”

โม่หานถลึงตาใส่เขา “คุณไสหัวออกไปได้แล้ว!”

อู๋เหิงยืดตัวตรง ทำท่าทางอาลัยอาวรณ์ “เดิมทีนะ? ยังเตรียมจะบอกเรื่องดีๆกับคุณ ในเมื่อคุณให้ฉันไสหัวไป ฉันก็ไม่บอกแล้ว!” พูดจบก็ก้มหน้าถอนหายใจ ส่ายๆหัว แล้วก็เดินไปตรงหน้าประตู

โม่หานลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็รีบเดินอ้อมโต๊ะทำงานไปตรงหน้าอู๋เหิง “คุณรู้แล้วใช่ไหมว่าเธออยู่ที่ไหน?”

อู๋เหิงส่ายหัว โม่หานก็สีหน้าเคร่งขรึม

และก่อนที่เขาจะลงมืออะไร อู๋เหิงจึงพูดว่า : “ฉันไม่รู้หรอกว่าภรรยาคุณอยู่ไหน แต่จู่ๆเขาก็นึกขึ้นได้ว่า เมื่อเร็วๆนี้เรากำลังหารือเกี่ยวกับความร่วมมือกับบริษัทในแอฟริกาใต้ เดิมทีฉันเตรียมจะไปเอง……ถึงอย่างไรคุณก็ยุ่งขนาดนี้ อย่างไรก็……”

“ความร่วมมือ?” โม่หานตัดบทคำพูดของอู๋เหิง “เรื่องนี้ฉันไม่เคยได้ยินได้อย่างไร?”

“คุณลืมไปแล้วคุณบอกเอง แล้วเรื่องก็หายเข้ากลีบเมฆไป อย่ารายงานกับคุณตามอำเภอใจไม่ใช่เหรอ?” อู๋เหิงจงใจพูดถากถาง

โม่หานกระแอมเบาๆ “พูดสรุปมาตรงๆเลย!”

อู๋เหิงเบ้ปาก “ความคืบหน้าล่าสุดราบรื่นอย่างมาก กำลังเตรียมจะคุยกับคุณเร็วๆนี้ เราก็ตามไปด้วยเถอะ!”

จากนั้นก็เห็นโม่หานโล่งอก สีหน้าผ่อนคลายลงมามาก

แม้ว่าโม่หานจะผลักดันโม่กรุ๊ปให้สูงขึ้นไปอีกในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา อย่างไรเสียเขาก็ไม่กล้าหละหลวมเลยแม้แต่น้อย น้อยมากที่เขาจะแยกจากหน้าที่การงานของตนเอง ถ้าคุณไม่ให้เหตุผลกับเขา เขาจะไม่จากไปง่ายๆ

อู๋เหิงมองโม่หาน แล้วถอนหายใจอย่างโล่งอกภายในใจ เพียงแต่…..มีเรื่องหนึ่ง ที่เขาไม่ได้บอกกับโม่หาน!

อาจเพราะสภาพแวดล้อมที่ไม่คุ้นเคย ตอนกลางคืนมู่เฉียวจึงนอนดึกมาก ตอนเช้าท้องฟ้ายังไม่สว่าง ก็ตื่นแล้ว

ลุกขึ้น อาบน้ำ เห็นในห้องครัวมีบะหมี่ เธอก็เลยไปทำกินเอง

ที่น่าแปลกใจคือ โม่หานไม่ได้โทรเข้ามาอีกเลย เธอโทรศัพท์ไปหาพ่อแม่ บอกเรื่องที่ตนเองจะไปแอฟริกาใต้ พ่อแม่สนับสนุนเกี่ยวกับงานของเธอมาโดยตลอด

“เฉียวเอ๋อ ถึงที่นั่นแล้ว จำไว้ว่าต้องดูแลตัวเองดีๆนะ ส่วนเสี่ยวโยว คุณไม่ต้องกังวล มู่หลิงกับเสี่ยวหยูจะย้ายกลับมาวันนี้”

มู่เฉียวพยักหน้า “ลำบากคุณแล้ว แม่ พ่อ คุณก็ต้องดูแลตัวเองด้วยนะ”

เช่นนี้ มู่เฉียวอยู่แต่ในห้องมาสองวันแล้ว

ตู้เสี่ยวซินมาส่งอาหารให้เธอเล็กน้อย บอกว่าที่บริษัทยุ่งมาก แล้วก็ไป

เธอจึงใช้โอกาสในสองวันนี้ หาข้อมูลและภาษาแอฟริกาเสริมจากทางด้านภาพยนตร์และโทรทัศน์

ตอนเช้าวันจันทร์ เธอกำลังทานอาหารเช้า พอดีมีเสียงกริ่งที่ประตูดังขึ้น ดูเวลา เพิ่งจะเจ็ดโมง กล่าวในใจว่า ตู้เสี่ยวซินชอบนอนตื่นสาย กลับกลายเป็นขยันแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไร

เพียงแต่…..

พอเปิดประตู หานฉุน

“คุณหาที่นี่เจอได้อย่างไร?” ตู้เสี่ยวซินบอกว่าสถานที่นี้ นอกจากเธอและหลิวฮั่วแล้ว ไม่มีใครรู้ แต่หานฉุนรู้ได้อย่างไร?

หานฉุนเดินอ้อมเธอ เข้าไปในห้องรับแขก เดินไปพลางพิจารณาไปพลาง “จุ๊ๆ คุณอย่าบอกนะว่า รสนิยมของหลิวฮั่วนี่ ยังดีอยู่จริงๆ!” เพียงแค่ สายตาเห็นภาพเสวียนก้วนภาพนั้นที่แขวนอยู่ด้านบน สายตาของเขาก็เฉียบแหลมขึ้นมา

มู่เฉียวขมวดคิ้ว ปิดประตู หันตัวกลับ แล้วตามหานฉุนไป “คุณยังไม่ได้ตอบฉันเลยนะ ว่าคุณหาที่นี่เจอได้อย่างไร?”

หานฉุนระงับความงุนงงในสายตา แล้วแสดงออกเหมือนก่อนหน้านี้ “หลิวฮั่วโทรมาหาฉัน บอกว่าเขามาธุระนิดหน่อย มาไม่ได้แล้ว จึงให้ฉันมารับคุณ!”

พูดจบ ก็เม้มปาก หันกลับไปมองค้อนมู่เฉียวทีหนึ่ง แล้วกล่าวถากถางโดยตรงว่า “คุณมีไอคิวแบบนี้ โม่หานยังสนใจคุณอยู่ได้อย่างไรกัน?”

นี่คือชีวิตประจำวันของคนทั้งสอง โดยปกติโม่หานก็มักจะโจมตีและเหน็บแนมเธอ ดีก็โจมตี แย่ ก็ยิ่งไม่ปล่อยไปแน่นอน

หานฉุนเดินมุ่งตรงไปนั่งลงบนโซฟา กล่าวอย่างไม่ใส่ใจว่า “รีบไปเก็บข้าวของ คุณอยากจะโดนหักเงินเดือนอันน้อยนิดของคุณเหรอ?”

“คุณรู้จักโม่หานได้อย่างไร?” มู่เฉียวตกใจอย่างมาก

โม่หานมองต่ำลง “มีคนไม่รู้จักโม่หานด้วยเหรอ? นั่นคือบุคคลที่มีชื่อเสียง” พูดจบ มู่เฉียวก็ทำท่าทำทางอยากจะอ้วก

เห็นมู่เฉียวยืนอยู่ตรงนั้นไม่ขยับ “นี่ ตอนนี้คุณชายเป็นลูกค้าของคุณนะ คุณยังจะให้ฉันรอคุณอีกเหรอ? ทำอะไรให้มันฉับไวหน่อย OKไหม บื้อจริง!”

มู่เฉียวมองสายตาที่เย็นชาของหานฉุน มองเขาอย่างลึกซึ้ง ชั่วพริบตาทำไมถึงรู้สึกว่าโลกของเธอเริ่มสับสนอลหม่าน เธอเป็นปกติอย่างมาก แต่ทุกสิ่งทุกอย่างรอบๆตัวเธอคล้ายกับผิดปกติไป

พวกเขามักจะพูดในสิ่งที่เธอไม่เข้าใจ ทำในเรื่องที่เธอไม่อาจคาดเดาได้…..แต่ก็เป็นเรื่องที่แน่นอน….เป็นไปได้อย่างง่ายดาย

เช่นหานฉุนรู้จักโม่หาน เช่น อู๋เหิงและตู้เสี่ยวซิน

“พี่ คำถามนี้ของคุณน่าสนใจจริงๆ เธอเป็นใครเหรอ?” หานฉุนพูดจบก็มองไปที่แม่ที่จ้องมองพวกเขาอยู่ข้าง “แม่ ทำไมคุณไม่ไปพูดกับพี่ คุณดูเขาสิ……”

คุณนายโม่ส่ายๆหัว ลุกขึ้นเดินไปข้างหน้า นำมือของเขามาตี “คุณสองคนกำลังทำอะไรอยู่? ทำให้คนมาเห็นแล้วหัวเราะเยาะใช่ไหม?”

โม่หานมองแม่ แล้วก็มองหานฉุน แล้วสะบัดแขนออก “หานฉุน ถ้าคุณกล้าที่จะทำอะไรกับเธอ บัญชีใหม่และบัญชีเก่าของเรา ฉันจะคิดมันพร้อมกันเลย!” พูดจบก็ออกไปโดยไม่หันกลับมาเลย

มิงภาพด้านหลังของลูกชายคนโตไป คุณนายโม่ก็ถามอย่างสงสัย : “พี่คุณหมายความว่าอย่างไร?”

หานฉุนส่ายหัว ทว่ายกยิ้มมุมปาก ตั้งแต่รู้จักกันในช่วงหลายปีที่ผ่านมา พี่ชายคนนี้ก็เมินเฉยต่อเขามาตลอด นี่เป็นครั้งแรกจริงๆที่ได้พูดกับเขามากมายขนาดนี้

คาดไม่ถึงว่าเขาจะรู้สึกดีอย่างมาก

เพียงแต่นึกถึงผู้หญิงคนนั้นแล้ว เขาก็สนใจมากขึ้น

ไม่ผิดเขาคือน้องชายของโม่หาน ลูกชายคนหนึ่งที่”ไม่ได้เรื่อง”ในสายตาพ่อ ต่อให้ตอนนี้เขาจะอยู่ในระดับสูงแค่ไหน พ่อยังคงบอกว่า นี่เป็นเพียงแค่นักแสดง แต่ตรงกันข้ามกับพี่ชายที่อิจฉาริษยาคนนั้นตั้งแต่ได้เจอกัน พยายามทุกวิถีทางที่จะดึงมาเป็นพวก แต่น่าเสียดายที่เขาไม่แม้แต่จะชายตามองด้วยซ้ำ

หานฉุนวางสองมือบนไหล่ของแม่ ตบเบาๆ พูดเรียบๆว่า “แม่ พี่กับพี่สะใภ้ทะเลาะกันเหรอ?”

คุณนายโม่ตัวแข็งทื่อเล็กน้อย “พี่สะใภ้?”

“ใช่ ก็มู่เฉียวไง ฉันไม่ควรเรียกเธอว่าพี่สะใภ้เหรอ?” หานฉุนพูดแล้วก็มองไปที่คุณนายโม่แกล้งทำเป็นไม่รู้เรื่อง เกรงว่าจะพลาดการแสดงออกบางอย่างที่เขาอยากเห็นไป

คุณนายโม่ใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว แล้วจึงพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า : “หานฉุน มู่เฉียวคนนั้นหย่ากับพี่คุณไปนานแล้ว อย่าพูดให้วุ่นวายอีกเลย หลังจากนั้นพี่สะใภ้ของคุณจะไปที่ไหน……”

“แม่ ฉันรู้แล้ว จากนี้ไปฉันจะปฏิบัติต่อเธอเหมือนคนแปลกหน้า” หานฉุนตัดบทคำพูดของแม่ แล้วค่อยๆเงยหน้าขึ้นมองคุณนายโม่

“ก็ดี……ที่ครอบครัวของฉัน หานฉุนพูดน่าฟังที่สุดแล้ว” คุณนายโม่ยิ้มอย่างพึงพอใจ หยักหน้าเบาๆอย่างสง่างาม

พอดีกับเวลานี้ ด้านนอกมีเสียงฝีเท้าที่เร่งรีบดังขึ้นมา

จากนั้นประตูก็ถูกผลักออก คนรับใช้เดินเข้ามาด้วยสีหน้าตกใจ : “คุณนาย ด้านนอก……ด้านนอกมีคนมาหาคุณ!”

หานฉุนตัวแข็งทื่อ เก็บกดความตึงเครียดแล้วหันไปมองแม่โดยจิตใต้สำนึก “แม่ ดึกดื่นขนาดนี้แล้ว ใครยังมาหาคุณอีก?”

คุณนายโม่ค่อยๆลุกขึ้น ตกตะลึงเล็กน้อย หันกลับไปมองหานฉุน “เพื่อนนะ มีเรื่องด่วน บอกว่าจะขอยืมเงินฉันสักหน่อย อย่างนั้นหานฉุน คุณนอนเถอะ แม่จะไปก่อน ในนี้ก็ปล่อยให้พวกเขาเก็บกวาดไป!”

หานฉุนพยักหน้า ปล่อยมือที่ประคองแม่ “อย่างนั้นแม่ คุณก็เดินดีๆนะ!”

มองประตูห้องรับแขกค่อยๆปิดลง หานฉุนค่อยๆเข้าไป และใบหน้าที่หล่อเหลาก็ดูมืดมน เดินตรงไปที่ทางขึ้นบันไดด้วยสีหน้าเย็นชา แล้วยืนมองออกไปนอกหน้าต่างหลังห้อง

เป็นอย่างที่คาดไว้ เขาเห็นร่างหนึ่งแวบเข้ามาในห้องแม่ของเขา ฉันพลันมือก็บีบแน่นจนกระดูกเสียงดัง”กร๊อบ”

“พี่ชายรอง!” เสียงของหานเสว่ดังเข้ามาจากด้านนอก

หานฉุนดึงสายตากลับมา หลังจากนั้นก็หลับตา แล้วลืมตาขึ้น หันตัวกลับ แล้วส่งเสียงอย่างไม่รีบร้อนว่า “เสว่เอ๋อ ฉันอยู่ตรงนี้!”

หานเสว่หันมาอย่างช้าๆ เงยหน้ามองไปยังชั้นบน “พี่ชายรอง ได้ข่าวว่า คุณกับพี่ใหญ่ทะเลาะกันเหรอ?” หานเสว่และหานฉุนเป็นฝาแฝดชายหญิง คนทั้งสองห่างกันสองสามนาที

“เปลี่ยนไปเรียกพี่ใหญ่ตั้งแต่เมื่อไรกัน?” หานฉุนกวาดสายตามองหานเสว่ หลังจากนั้นก็พูดอย่างนิ่งๆ

หานเสว่ขมวดคิ้วเล็กน้อยมองหานฉุน “พี่ชายรอง คุณลืมที่พ่อโมโหครั้งนั้นไปแล้วเหรอ?” พูดจบ ก็กล่าวกระซิบว่า: “พ่อได้ยินฉันเรียกชื่อ จะต้องโกรธอีกแน่ๆเลย”

“หานเสว่!”

“พี่ชายรอง!” หานเสว่กล่าวอย่างเง้างอน เห็นหานฉุนจ้องมองมายังเธอ จึงทำได้เพียงเบ้ปากแล้วกล่าวว่า: “เอาล่ะ เอาล่ะ ถึงอย่างไรก็เป็นพี่ใหญ่จริงๆ คุณไม่ต้องมายุ่งเรื่องนี้อีก”

หานฉุนดึงสายตากลับแล้วมองไปนอกหน้าต่าง “คุณมาหาฉันมีธุระอะไร?”

“ก็คือ ก่อนหน้านี้ที่คุณให้ฉันถามการตรวจสอบของสิ่งนั้น ผลออกแล้วนะ!”

หานฉุนตัวสั่นเล็กน้อย หันไปมองหานเสว่อย่างรวดเร็ว เดินสองสามก้าวไปยังตรงหน้าหานเสว่ ยื่นมือออกมา”เอามาให้ฉันดูหน่อย!”

หานเสว่พยักหน้า หยิบเอกสารออกมาจากในกระเป๋าแล้วส่งให้หานฉุน “พี่ คุณตรวจสอบตรวจของสิ่งนี้ไปทำไมกัน?” หลายวันมานี้ จู่ๆโม่หานก็นำของเหลวฝากให้หานเสว่ไปช่วยเขาตรวจสอบหาความสัมพันธ์

“อะฟลาทอกซิน B1? นี่คืออะไรเหรอ?”

หานเสว่เดินเข้าไป หยิบใบรายงานจากในมือของหานฉุน หลังจากนั้นก็มองอยู่ชั่วขณะ กล่าวว่า: “เป็นยาชนิดหนึ่งที่ก่อให้เกิดมะเร็ง เมื่อรับประทานเป็นเวลานาน!”

หานเสว่ใจจดจ่ออยู่กับผลวิจัยยา

“ก่อให้เกิดมะเร็ง?” น้ำเสียงของหานฉุนแหบแห้งในชั่วพริบตา เขาอดไม่ได้ที่จะกลืนน้ำลาย นี่คือยาที่พ่อดื่มมาเป็นเวลานาน สองสามวันก่อนหน้านี้ เขาเห็นว่าพ่อดื่ม ถามว่าเขาเป็นอะไร พ่อบอกว่าเป็นอาหารเสริม เขาคิดแล้วก็ไม่วางใจ จึงแอบเอากลับมาเล็กน้อย

แต่คาดไม่ถึงว่า จะเป็นสารก่อมะเร็ง เขาหลับตา ไม่พูดจาเป็นเวลานาน

“ใช่แล้ว! นี่คือฉันฝากให้เพื่อนไปตรวจสอบ เขาเป็นผู้มีอำนาจในทางด้านนั้น โดยปกติแล้วไม่สามารถตรวจผิดพลาดได้!” หานเสว่กล่าวเน้น

เห็นหานฉุนไม่ตอบสนอง จึงเดินเข้าไปก้าวหนึ่ง ยื่นมือไปแตะเขาเล็กน้อย “พี่ชายรอง คุณเป็นอะไรหรือเปล่า?”

หานฉุนส่ายหน้า สูดลมหายใจเข้าลึกๆ แต่สีหน้าไม่น่าดูถึงขีดสุด “ไม่เป็นไร ฉันต้องไปช่วยงานเพื่อนคนหนึ่ง เอาล่ะ คุณไปนอนเถอะ!”

เขาพูดจบ ก็ลูบหัวหานเสว่เล็กน้อย “น้องสาวฉันเก่งจริงๆ อนาคต ใครได้แต่งงานกับคุณ คงเป็นความโชคดีของเขา”

หานเสว่สะบัดมือของเขาออก “พี่ ตกลงนี่มันคืออะไร?”

หานฉุนไม่พูดจา ส่ายหน้า

ความอารมณ์ดีที่เขาเสแสร้งแกล้งทำ ยิ่งทำให้หานเสว่คล้ายกับรู้สึกว่าเรื่องนี้ไม่ได้ง่ายดายอย่างที่หานฉุนพูด แต่ด้วยนิสัยของพี่ชายคนนี้ เธอก็ต้องเข้าใจ ถ้าอะไรที่เขาไม่อยากบอก ก็ไม่มีใครสามารถหลอกให้พูดได้แม้แต่ครึ่งคำ

“เรื่องนี้ ห้ามบอกกับใครทั้งนั้น!” เมื่อหานเสว่เดินไปถึงหน้าประตู หานฉุนก็พูดประโยคนี้เพิ่มขึ้นมา

ยิ่งเพิ่มความสงสัยให้หานเสว่มากขึ้น

“พี่ คำถามนี้ของคุณน่าสนใจจริงๆ เธอเป็นใครเหรอ?” หานฉุนพูดจบก็มองไปที่แม่ที่จ้องมองพวกเขาอยู่ข้าง “แม่ ทำไมคุณไม่ไปพูดกับพี่ คุณดูเขาสิ……”

คุณนายโม่ส่ายๆหัว ลุกขึ้นเดินไปข้างหน้า นำมือของเขามาตี “คุณสองคนกำลังทำอะไรอยู่? ทำให้คนมาเห็นแล้วหัวเราะเยาะใช่ไหม?”

โม่หานมองแม่ แล้วก็มองหานฉุน แล้วสะบัดแขนออก “หานฉุน ถ้าคุณกล้าที่จะทำอะไรกับเธอ บัญชีใหม่และบัญชีเก่าของเรา ฉันจะคิดมันพร้อมกันเลย!” พูดจบก็ออกไปโดยไม่หันกลับมาเลย

มิงภาพด้านหลังของลูกชายคนโตไป คุณนายโม่ก็ถามอย่างสงสัย : “พี่คุณหมายความว่าอย่างไร?”

หานฉุนส่ายหัว ทว่ายกยิ้มมุมปาก ตั้งแต่รู้จักกันในช่วงหลายปีที่ผ่านมา พี่ชายคนนี้ก็เมินเฉยต่อเขามาตลอด นี่เป็นครั้งแรกจริงๆที่ได้พูดกับเขามากมายขนาดนี้

คาดไม่ถึงว่าเขาจะรู้สึกดีอย่างมาก

เพียงแต่นึกถึงผู้หญิงคนนั้นแล้ว เขาก็สนใจมากขึ้น

ไม่ผิดเขาคือน้องชายของโม่หาน ลูกชายคนหนึ่งที่”ไม่ได้เรื่อง”ในสายตาพ่อ ต่อให้ตอนนี้เขาจะอยู่ในระดับสูงแค่ไหน พ่อยังคงบอกว่า นี่เป็นเพียงแค่นักแสดง แต่ตรงกันข้ามกับพี่ชายที่อิจฉาริษยาคนนั้นตั้งแต่ได้เจอกัน พยายามทุกวิถีทางที่จะดึงมาเป็นพวก แต่น่าเสียดายที่เขาไม่แม้แต่จะชายตามองด้วยซ้ำ

หานฉุนวางสองมือบนไหล่ของแม่ ตบเบาๆ พูดเรียบๆว่า “แม่ พี่กับพี่สะใภ้ทะเลาะกันเหรอ?”

คุณนายโม่ตัวแข็งทื่อเล็กน้อย “พี่สะใภ้?”

“ใช่ ก็มู่เฉียวไง ฉันไม่ควรเรียกเธอว่าพี่สะใภ้เหรอ?” หานฉุนพูดแล้วก็มองไปที่คุณนายโม่แกล้งทำเป็นไม่รู้เรื่อง เกรงว่าจะพลาดการแสดงออกบางอย่างที่เขาอยากเห็นไป

คุณนายโม่ใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว แล้วจึงพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า : “หานฉุน มู่เฉียวคนนั้นหย่ากับพี่คุณไปนานแล้ว อย่าพูดให้วุ่นวายอีกเลย หลังจากนั้นพี่สะใภ้ของคุณจะไปที่ไหน……”

“แม่ ฉันรู้แล้ว จากนี้ไปฉันจะปฏิบัติต่อเธอเหมือนคนแปลกหน้า” หานฉุนตัดบทคำพูดของแม่ แล้วค่อยๆเงยหน้าขึ้นมองคุณนายโม่

“ก็ดี……ที่ครอบครัวของฉัน หานฉุนพูดน่าฟังที่สุดแล้ว” คุณนายโม่ยิ้มอย่างพึงพอใจ หยักหน้าเบาๆอย่างสง่างาม

พอดีกับเวลานี้ ด้านนอกมีเสียงฝีเท้าที่เร่งรีบดังขึ้นมา

จากนั้นประตูก็ถูกผลักออก คนรับใช้เดินเข้ามาด้วยสีหน้าตกใจ : “คุณนาย ด้านนอก……ด้านนอกมีคนมาหาคุณ!”

หานฉุนตัวแข็งทื่อ เก็บกดความตึงเครียดแล้วหันไปมองแม่โดยจิตใต้สำนึก “แม่ ดึกดื่นขนาดนี้แล้ว ใครยังมาหาคุณอีก?”

คุณนายโม่ค่อยๆลุกขึ้น ตกตะลึงเล็กน้อย หันกลับไปมองหานฉุน “เพื่อนนะ มีเรื่องด่วน บอกว่าจะขอยืมเงินฉันสักหน่อย อย่างนั้นหานฉุน คุณนอนเถอะ แม่จะไปก่อน ในนี้ก็ปล่อยให้พวกเขาเก็บกวาดไป!”

หานฉุนพยักหน้า ปล่อยมือที่ประคองแม่ “อย่างนั้นแม่ คุณก็เดินดีๆนะ!”

มองประตูห้องรับแขกค่อยๆปิดลง หานฉุนค่อยๆเข้าไป และใบหน้าที่หล่อเหลาก็ดูมืดมน เดินตรงไปที่ทางขึ้นบันไดด้วยสีหน้าเย็นชา แล้วยืนมองออกไปนอกหน้าต่างหลังห้อง

เป็นอย่างที่คาดไว้ เขาเห็นร่างหนึ่งแวบเข้ามาในห้องแม่ของเขา ฉันพลันมือก็บีบแน่นจนกระดูกเสียงดัง”กร๊อบ”

“พี่ชายรอง!” เสียงของหานเสว่ดังเข้ามาจากด้านนอก

หานฉุนดึงสายตากลับมา หลังจากนั้นก็หลับตา แล้วลืมตาขึ้น หันตัวกลับ แล้วส่งเสียงอย่างไม่รีบร้อนว่า “เสว่เอ๋อ ฉันอยู่ตรงนี้!”

หานเสว่หันมาอย่างช้าๆ เงยหน้ามองไปยังชั้นบน “พี่ชายรอง ได้ข่าวว่า คุณกับพี่ใหญ่ทะเลาะกันเหรอ?” หานเสว่และหานฉุนเป็นฝาแฝดชายหญิง คนทั้งสองห่างกันสองสามนาที

“เปลี่ยนไปเรียกพี่ใหญ่ตั้งแต่เมื่อไรกัน?” หานฉุนกวาดสายตามองหานเสว่ หลังจากนั้นก็พูดอย่างนิ่งๆ

หานเสว่ขมวดคิ้วเล็กน้อยมองหานฉุน “พี่ชายรอง คุณลืมที่พ่อโมโหครั้งนั้นไปแล้วเหรอ?” พูดจบ ก็กล่าวกระซิบว่า: “พ่อได้ยินฉันเรียกชื่อ จะต้องโกรธอีกแน่ๆเลย”

“หานเสว่!”

“พี่ชายรอง!” หานเสว่กล่าวอย่างเง้างอน เห็นหานฉุนจ้องมองมายังเธอ จึงทำได้เพียงเบ้ปากแล้วกล่าวว่า: “เอาล่ะ เอาล่ะ ถึงอย่างไรก็เป็นพี่ใหญ่จริงๆ คุณไม่ต้องมายุ่งเรื่องนี้อีก”

หานฉุนดึงสายตากลับแล้วมองไปนอกหน้าต่าง “คุณมาหาฉันมีธุระอะไร?”

“ก็คือ ก่อนหน้านี้ที่คุณให้ฉันถามการตรวจสอบของสิ่งนั้น ผลออกแล้วนะ!”

หานฉุนตัวสั่นเล็กน้อย หันไปมองหานเสว่อย่างรวดเร็ว เดินสองสามก้าวไปยังตรงหน้าหานเสว่ ยื่นมือออกมา”เอามาให้ฉันดูหน่อย!”

หานเสว่พยักหน้า หยิบเอกสารออกมาจากในกระเป๋าแล้วส่งให้หานฉุน “พี่ คุณตรวจสอบตรวจของสิ่งนี้ไปทำไมกัน?” หลายวันมานี้ จู่ๆโม่หานก็นำของเหลวฝากให้หานเสว่ไปช่วยเขาตรวจสอบหาความสัมพันธ์

“อะฟลาทอกซิน B1? นี่คืออะไรเหรอ?”

หานเสว่เดินเข้าไป หยิบใบรายงานจากในมือของหานฉุน หลังจากนั้นก็มองอยู่ชั่วขณะ กล่าวว่า: “เป็นยาชนิดหนึ่งที่ก่อให้เกิดมะเร็ง เมื่อรับประทานเป็นเวลานาน!”

หานเสว่ใจจดจ่ออยู่กับผลวิจัยยา

“ก่อให้เกิดมะเร็ง?” น้ำเสียงของหานฉุนแหบแห้งในชั่วพริบตา เขาอดไม่ได้ที่จะกลืนน้ำลาย นี่คือยาที่พ่อดื่มมาเป็นเวลานาน สองสามวันก่อนหน้านี้ เขาเห็นว่าพ่อดื่ม ถามว่าเขาเป็นอะไร พ่อบอกว่าเป็นอาหารเสริม เขาคิดแล้วก็ไม่วางใจ จึงแอบเอากลับมาเล็กน้อย

แต่คาดไม่ถึงว่า จะเป็นสารก่อมะเร็ง เขาหลับตา ไม่พูดจาเป็นเวลานาน

“ใช่แล้ว! นี่คือฉันฝากให้เพื่อนไปตรวจสอบ เขาเป็นผู้มีอำนาจในทางด้านนั้น โดยปกติแล้วไม่สามารถตรวจผิดพลาดได้!” หานเสว่กล่าวเน้น

เห็นหานฉุนไม่ตอบสนอง จึงเดินเข้าไปก้าวหนึ่ง ยื่นมือไปแตะเขาเล็กน้อย “พี่ชายรอง คุณเป็นอะไรหรือเปล่า?”

หานฉุนส่ายหน้า สูดลมหายใจเข้าลึกๆ แต่สีหน้าไม่น่าดูถึงขีดสุด “ไม่เป็นไร ฉันต้องไปช่วยงานเพื่อนคนหนึ่ง เอาล่ะ คุณไปนอนเถอะ!”

เขาพูดจบ ก็ลูบหัวหานเสว่เล็กน้อย “น้องสาวฉันเก่งจริงๆ อนาคต ใครได้แต่งงานกับคุณ คงเป็นความโชคดีของเขา”

หานเสว่สะบัดมือของเขาออก “พี่ ตกลงนี่มันคืออะไร?”

หานฉุนไม่พูดจา ส่ายหน้า

ความอารมณ์ดีที่เขาเสแสร้งแกล้งทำ ยิ่งทำให้หานเสว่คล้ายกับรู้สึกว่าเรื่องนี้ไม่ได้ง่ายดายอย่างที่หานฉุนพูด แต่ด้วยนิสัยของพี่ชายคนนี้ เธอก็ต้องเข้าใจ ถ้าอะไรที่เขาไม่อยากบอก ก็ไม่มีใครสามารถหลอกให้พูดได้แม้แต่ครึ่งคำ

“เรื่องนี้ ห้ามบอกกับใครทั้งนั้น!” เมื่อหานเสว่เดินไปถึงหน้าประตู หานฉุนก็พูดประโยคนี้เพิ่มขึ้นมา

ยิ่งเพิ่มความสงสัยให้หานเสว่มากขึ้น

“โอ๊ย……”

ร่างกายซวนเซ จนมู่เฉียวร้องออกมาโดยจิตใต้สำนึก ชั่วพริบตาทั้งตัวก็อยู่บนร่างของโม่หาน หลังจากนั้นก็ไม่รอให้เธอมีปฏิกิริยาตอบกลับ เขากอดเอวเธอไว้แน่นแล้วพลิกตัวอย่างรวดเร็ว หมุนกลับในชั่วพริบตา เธอถูกกดไว้ใต้ร่าง……

บนพื้นเย็นจนเข้ากระดูก มู่เฉียวไม่สบายตัวอย่างมาก

“คุณอย่าดูถูกตนเองอย่างนี้!” เห็นการไม่สบายตัวของเธอ โม่หานก็รีบยื่นมือออกไปหนึ่งข้าง เข้าไปที่ด้านหลังของเธอ นำไปรองตัวเธอ น้ำเสียงที่แหบพร่ากระซิบที่ข้างๆหูเธอ

กลิ่นอายของความอบอุ่น กลิ่นเหล้าพ่นอยู่บริเวณหูของมู่เฉียว ชั่วขณะก็รู้สึกจั๊กจี้

“คุณ คุณลุกขึ้นก่อน!” ถูกเขามองก็รู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย มู่เฉียวจึงผลักเขา

แต่โม่หานไม่ได้มีการเคลื่อนไหว ดวงตาที่ราวกับน้ำหมึกคู่นั้นมองเธอด้วยอารมณ์ลึกซึ้ง น้ำเสียงทุ้มพูดสั่งการอย่างน่ากลัว : “คุณรับปากฉันมาก่อน ว่าจะไม่ไปแอฟริกาใต้กับเขา!”

มู่เฉียวหอบเล็กน้อย หัวใจที่เต้นแรงก็ยังไม่สงบดี เมื่อถูกจูบแก้มสองข้างก็แดงก่ำ ลมหายใจไม่คงที่ กัดริมฝีปากเบาๆไม่พูดอะไร

นิ้วที่เรียวยาวค่อยๆไล่ไปตามโครงหน้าที่งดงามของเธอ ปลายนิ้วลูบบริเวณคิ้วของเธอเบาๆ จากนั้นก็เลื่อนตรงไปที่จมูกแล้วไปที่ริมฝีปากแดงๆของเธอ ปลายนิ้วกดอยู่บนริมฝีปาก ลูบไล้ไปมาจนรู้สึกจั๊กจี้อย่างมาก

“ขอเพียงแค่คุณเห็นด้วย ฉันรับปากคุณว่า……ฉันจะจัดการเรื่องราวทางด้านนั้นให้เสร็จสิ้นโดยเร็วที่สุด เราจะได้คืนดีกันเร็วๆ” เขามองอย่างลึกซึ้งไปที่ดวงตาคู่นั้นที่หลบหนีเล็กน้อยของเธอ แล้วจู่ๆก็พูดประโยคนี้ออกมา

“อะไรนะ?” มู่เฉียวตกตะลึงทันที เหมือนได้ยินเรื่องที่มันเป็นไปไม่ได้ จึงเหลือบไปมองเขาอย่างเหยียดหยาม เขาบ้าไปแล้วเหรอ? เพียงเพื่อไม่ให้เธอไปแอฟริกาใต้ ถึงกับรับปากที่จะคืนดีกับเธอเลยเหรอ? ช่วงสองสามปีที่ผ่านมาก็ไม่ได้สนใจอะไร ฉับพลันก็เหมือนลมบ้าหมู สีหน้าท่าทางของเขาดูเอาใจใส่อย่างมาก มู่เฉียวจะไม่เชื่อได้อย่างไร

“ฉันไม่ต้องการแบ่งปันผู้หญิงของฉันกับคนอื่น คุณก็รู้……ฉันมักจะคัดเลือกผู้หญิงเสมอ!” เขามองเธอ พูดอย่างสบายๆเหมือนเป็นการอธิบาย

มู่เฉียวทำเสียงไม่พอใจ กลอกตากลับ พูดถากถางโดยจิตใต้สำนึก : “คุณเลือกที่จะปฏิบัติต่อผู้หญิงด้วยเหรอ? หึหึ……!”

“เลือกแน่นอน ทำไมล่ะ? คุณคิดว่าฉันหิวก็จะกินไม่เลือกเลยเหรอ?” เขาเลิกคิ้วอย่างไม่เห็นด้วย มองมู่เฉียวแล้วยิ้มเบาๆ

“ถึงอย่างไรฉันก็จะไป!” มู่เฉียวไม่มีวิธีรับมือกับความอันธพาลเช่นนี้ของโม่หาน จึงรู้สึกอารมณ์เสียขึ้นมา

ศอกของโม่หานค้ำอยู่ข้างๆศีรษะของมู่เฉียว มือของเขาจับแก้มอยู่ เขาเอียงศีรษะเล็กน้อยแล้วจ้องมองเธอด้วยสายตาแหลมคม

จู่ๆเขาก็เงียบไป  หลังจากที่เงียบไปสักพัก โม่หานก็ถอนหายใจแรงๆ จ้องมองเธอด้วยความขมขื่นอย่างมาก แล้วพูดว่า : “ฉันทำเพื่อคุณขนาดนี้ คุณก็จะไม่ยอมถอยใช่ไหม?” ในน้ำเสียงของโม่หานมีความน้อยใจและเสียใจ ฟังแล้วรู้สึกไม่ดีเลยจริงๆ

มู่เฉียวเม้มปาก กลืนน้ำลายแล้วเงยหน้าขึ้น

“ฉันแค่ไปทำงาน โอกาสแบบนี้ไม่ใช่ภายหลังจะสามารถมีได้!” น้ำเสียงของมู่เฉียวเบาลงเล็กน้อย จากนั้นก็กล่าวเสริมว่า: “จะว่าไป คุณก็บอกแล้วไม่ใช่เหรอ? ว่าคุณก็ไม่ชอบ….อื้อ….”

ริมฝีปากสีแดงถูกประกบลงอย่างโหดเหี้ยม เขากัดเธอคล้ายกับระบายอารมณ์อย่างเต็มที่ แล้วจ้องมองเธออย่างกัดเขี้ยวเคี้ยวฟัน: “มู่เฉียว ถ้าคุณยังดื้อดึงแบบนี้ต่อไป คุณเชื่อไหมว่า ฉันก็จะอยู่ที่นี่ แล้วคุกคามคุณ!!”

โม่หานพูดพลาง โน้มตัวลงเล็กน้อย หน้าผากชนที่หน้าผากของมู่เฉียว ตะคอกอย่างโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ มือทั้งสองเลื่อนลงมาที่เอวของเธอโดยตรง ทำท่าทางปลดเข็มขัดรอบเอวของเธอ

“โม่หาน คุณบ้าไปแล้วเหรอ?” มู่เฉียวตกใจ สีหน้าเคร่งขรึมลงในทันที พ่อแม่และมู่เสี่ยวโยวแล้วก็ตู้เสี่ยวซิน พวกเขาสามารถกลับมาได้ทุกเมื่อ

“อืม ถูกคุณทำให้โมโหจนเป็นบ้าไปแล้ว” เขาพรวดพราดกัดลงไปที่ริมฝีปากของเธอ กัดฟันกล่าวอย่างโกรธเคือง

พูดพลาง ลุกขึ้นนั่ง เริ่มถอดเสื้อผ้า

มู่เฉียวตื่นตกใจในทันที เห็นเขาคล้ายกับจะเข้ามาจริงๆ ก็จ้องมองเข้าอย่างโมโห แล้วกล่าวตวาดว่า: “คุณประสาทไปแล้วเหรอ คุณไม่เห็นเหรอว่าที่นี่ที่ไหน”

โม่หานชำเลืองมองเธอ ไม่พูดไม่จา ตรงไปอุ้มเธอขึ้นมาจากพื้น แล้ววางลงบนเตียง จากนั้นก็ยื่นมือตนเองเข้าไปในเสื้อผ้าของเธอ มู่เฉียวตกใจจนรีบผลักเขา ในทันทีใบหน้าก็ร้อนผ่าว รีบกล่าวว่า: “นี่ โม่หาน คุณอย่ามาวุ่นวาย…..อื้อ….”

“ตอนนี้ คุณรับรู้ความหวาดกลัวแล้ว ฉันจะบอกคุณให้ มู่เฉียว มันสายไปแล้ว!?” น้ำเสียงที่แหบพร่าดังขึ้นข้างหูของเธอ ทำให้มู่เฉียวแทบจะเป็นบ้า

สมองของเธอเริ่มว่างเปล่า เธอมองโม่หานอย่างขอร้องเล็กน้อย “โม่หาน คุณมันเลว คุณไปให้พ้นเลยนะ” พูดพลาง เธอออกแรงผลักเขา

ประสบการณ์แบบนั้นครั้งเดียวก็เพียงพอแล้ว หากมีครั้งที่สองอีก? เธอจะต้องเป็นบ้าแน่!

เพียงแต่ โม่หานยอมหยุดที่ไหนกัน มือหนึ่งเลื่อนลงมาอย่างรวดเร็ว เพิ่มความเร็วมากขึ้นกว่าก่อนหน้านี้!

“ก๊อกๆ….” เมื่อมู่เฉียวรู้สึกว่าตนเองกำลังจะคลุ้มคลั่ง ด้านนอกก็มีเสียงเคาะประตูเป็นจังหวะเข้ามา

จากนั้นก็มีเสียงของตู้เสี่ยวซินดังมาจากด้านนอก “มู่เฉียว คุณอยู่บ้านไหม?”

มู่เฉียวถอนหายใจอย่างโล่งอกทันที คนก็ผ่อนคลายลงมา หอบเหนื่อยเล็กน้อย แต่โม่หาน มองเธอด้วยใบหน้าแดงก่ำ กล่าวด้วยเสียงที่โหดร้ายถึงขีดสุดว่า: “อีกเดี๋ยว ค่อยมาจัดการคุณ!”

มู่เฉียวจัดการตนเองเล็กน้อย แล้วไปเปิดประตู เห็นตู้เสี่ยวซินพิงวงกบประตูอยู่อย่างสบายๆ

“คุณ….” มู่เฉียวกลืนน้ำลายเล็กน้อย จากนั้น ก็เห็นรอยยิ้มที่ปรากฏในสายตาของเธอได้อย่างว่องไว ทันทีก็เข้าใจ กล่าวด้วยเสียงเบาๆว่า: “คุณ….รู้ได้อย่างไรว่าเขาอยู่ที่นี่?”

ตู้เสี่ยวซินยืดตัวขึ้น เธอเข้าไปหาเธอสองก้าว กระซิบข้างหูของเธอว่า “ตอนที่ฉันลงไปชั้นล่าง เห็นเข้าเข้ามา ฉันจึงไม่ได้ไปซื้อของ เดิมที ก็อยากฟังละครดีๆ คิดๆแล้ว ก็ใจไม่แข็งพอ” พูดจบ ก็เชยคางของเธอขึ้น “ถ้าคุณยังไม่หนีไปอีก อีกสักครู่ ก็คงสายเกินไปจริงๆ!”

มู่เฉียวนิ่งอึ้งไป เดินเข้าไปในห้องอย่างรวดเร็ว หยิบกระเป๋าเดินทางบนพื้น ลากไปยังตู้เสี่ยวซิน: “ไปกันเถอะ เร็ว!”

เมื่อคนทั้งสองออกไป เงาดำเงาหนึ่งก็ปรากฏออกมาจากในห้องน้ำ

“เราจากไปอย่างนี้ เขาน่าจะโกรธจนอกแตกตายเลยแหละ!” มู่เฉียวรัดเข็มขัดนิรภัยไปพลางเงยหน้าขึ้นมองตู้เสี่ยวซินแล้วพูดอย่างตลกๆ

สองมือของตู้เสี่ยวซินจับอยู่ที่พวงมาลัย แล้วหันกลับไปมองมู่เฉียวด้วยสีหน้ามีความสุข : “คุณกลัวเขาเหรอ?”

มู่เฉียวส่ายหัว “เขามีอะไรน่ากลัวเหรอ ฉันแค่เกรงว่าจะไปพัวพันกับคุณด้วย!”

ตู้เสี่ยวซินตอบกลับด้วยรอยยิ้ม : “วางใจเถอะ ถ้าเขาต้องการตามคุณกลับมาจริงๆ ด้วยความสัมพันธ์ของฉันกับคุณแล้ว เขาไม่สามารถทำอะไรฉันได้หรอก อีกทั้งฉันคิดว่าโม่หานอาจไม่ใจร้ายอย่างที่คุณคิด”

อะไรที่เรียกว่าไม่ใจร้ายอย่างที่เธอคิดล่ะ?

“อย่างนั้นคุณก็บอกมา ว่าเขาอยู่ที่ไหน?” มู่เฉียวมิงไปที่ด้านหน้ารถแล้วก็เอ่ยถาม

ตู้เสี่ยวซินเงียบไปสักพัก จึงพูดว่า : “ยังจำมู่หยิงที่คุณเคยพูดถึงได้ไหม?”

มู่เฉียวทำเสียงไม่พอใจ เธอจะให้ตนเองลืม แต่ไม่สามารถลืมผู้หญิงคนนั้นได้

“เอ่ยถึงเธอทำไม?” เธอไม่อยากสนใจผู้หญิงที่เห็นแก่ตัวและเปลี่ยนชะตาชีวิตของเธอ นึกถึงเธอก็รู้สึกอึดอัดในใจ

ตู้เสี่ยวซินหันกลับไปมองเธอ พูดอย่างหลีกเลี่ยงประเด็นสำคัญ : “คุณรู้ไหม? สามีของเธอมีครอบครัวที่ใช้ความรุนแรง ในตอนนั้นโม่หานก็รู้เรื่องนี้ดี แต่ก็บีบบังคับให้ชายคนนั้นแต่งงานกับมู่หยิง”

มู่เฉียวตกใจ หันไปมองตู้เสี่ยวซินด้วยสีหน้าไม่อยากจะเชื่อ

“เรื่องนี้ โม่หานสั่งให้ผู้ช่วยของเขาไปทำก่อนที่จะเกิดเรื่อง เพียงแต่ชายคนนั้นเห็นว่าเขาตายแล้ว ก็เลยไม่ต้องการที่จะทำตามสัญญา จากนั้นเมื่อโม่หานมีชีวิตกลับมา จึงบีบบังคับให้ชายคนนั้นแต่งงานกับมู่หยิง เขารู้ดีว่าชายคนนั้นชอบทุบตีคน แล้วเขารู้ด้วยว่าผู้หญิงคนนั้นช่วยชีวิตพ่อของเขาไว้ แต่ว่าเขายังคงทำแบบนั้น มู่เฉียวฉันคิดว่าเขาทำเพื่อคุณนะ จริงๆแล้วเขาก็ไม่ได้แยกดีชั่วไม่ออกอย่างที่คุณว่า”

ตู้เสี่ยวซินพูดอย่างเรียบเฉยอย่างมาก แต่มู่เฉียวได้ฟังหัวใจก็สั่นสะท้าน

อันที่จริงเธอยุ่งเหยิงกับเรื่องนี้อยู่ในใจมาเป็นเวลานานมาก เธอคิดว่าโม่หานต้องมีความรักต่อมู่หยิงอย่างแน่นอน ไม่อย่างนั้นถ้าเธอได้รู้เรื่องเหล่านี้อย่างชัดเจน เพราะความเห็นแก่ตัวของเธอ ทำไมจึงไม่สนใจไม่รับฟัง

เธอก็โกรธอย่างมาก ถ้าเขาห่วงใยเธอจริงๆ เขาก็ไม่สามารถไม่สนใจไม่ไถ่ถามเลยหรอก

จนกระทั่งเธอมีปมอยู่ในใจตลอด

“อืม……อีกอย่าง……คุณคิดว่าเบื้องหลัง ทำไมเขาถึงไปที่ไซต์ก่อสร้าง และทำไมเขาถึงไปที่เมืองB เขาเพียงแค่จะให้คุณมองเห็น และสามารถใกล้ชิดคุณได้ เดิมทีเขาต้องการปกป้องคุณในวิธีของเขาเอง”

ปกป้องในวิธีของตนเอง ฉะนั้นเธอจึงได้รู้เรื่องของมู่หลิงกับเซี่ยหยู

เพียงแต่ภาพในหัวที่ผุดขึ้นมา ทำให้หัวใจที่ซาบซึ้งเย็นชาลงทันที

“ปกป้องบ้าอะไร คุณก็รู้ว่าที่ฉันไปหาเขา เนื่องจากเขาอยู่กับ……ผู้หญิงอื่น……เห็นได้ชัดว่าเขาดูไม่มีชีวิตชีวา ยังคิดจะเอาฉันมาเป็นข้ออ้างอีก”

ทุกๆครั้งที่นึกถึงฉากเหล่านี้ มู่เฉียวก็จะรู้สึกอึดอัดใจเป็นพิเศษ

ตู้เสี่ยวซินถอนหายใจ เลี้ยวรถมาเป็นไฟแดงพอดี เขาเลยจอดรถ แล้วมองมู่เฉียว “ครั้งนั้นที่หมั้นหมายกับคุณ มันคือครั้งแรกของเขา คุณเชื่อไหม? เพื่อให้เรื่องเหล่านั้นเกิดขึ้นมา”

คำพูดเหล่านี้ ทำให้มู่เฉียวตกใจจนพูดอะไรไม่ออก ตู้เสี่ยวซินบอกว่า ก่อนหน้านั้นเป็นการเสแสร้งแกล้งทำทั้งหมด นั่นคือครั้งแรกของโม่หานอย่างนั้นเหรอ?

ในหัวเธอสับสนอยู่กับภาพในความทรงจำ ตอนเริ่มแรกของโม่หานครั้งนั้น ตัวของเขาสั่นเล็กน้อย ในตอนนั้นเธอคิดว่าเขาหนาว ตอนเหมือนว่าจะเป็นความประหม่าหรือเปล่า? ฉะนั้นจึงใช้เวลาแค่ห้านาที? นึกถึงตรงนี้เธออดไม่ได้ที่จะกลืนน้ำลาย ความรู้สึกซาบซึ้งใจนั้นทำให้เธอพูดอะไรไม่ออก

เพียงแต่เธอมองตู้เสี่ยวซินอย่างไม่อยากจะเชื่อ “เรื่องเหล่านี้ คุณรู้ได้อย่างไร?”

ตู้เสี่ยวซินขมวดคิ้ว ก้มหน้าปิดบังความหวาดผวาในสายตาของเธอ “ผู้ชายคนนั้นที่วันก่อนโกหกฉันว่าหลิวฮั่วดื่มเหล้าเป็นคนบอกฉัน เหมือนกับจะเป็นเพื่อนของโม่หาน ชื่อว่าอู๋เหิง”

อู๋เหิง? มู่เฉียวขมวดคิ้ว เธอรู้จักคนนี้ ในทันทีก็รู้สึกสะเทือนใจ

เธอยอมรับว่า เวลานี้ ในใจรู้สึกตกตะลึง แล้วก็รู้สึกตื้นตันใจ

ที่แท้ ผู้ชายคนนี้ เบื้องหลังได้ทำหลายสิ่งหลายอย่างเพื่อตนเองอย่างมากมาย

กำลังเตรียมที่จะพูดอะไรเล็กน้อย

มือถือก็ดังขึ้น

“โม่หานเหรอ?” ตู้เสี่ยวซินเห็นมู่เฉียวแค่มองมือถือ แต่ไม่มีการตอบสนองใดๆ เลยส่งเสียงกล่าวถาม

“รับไหม?”

“แน่นอนว่าไม่สามารถรับได้ หากคุณรับแล้ว เกรงว่าคุณคงจะไปไม่ได้ ด้วยความที่เขาต้องการจะครอบครองคุณ หลายปีมานี้ หย่าก็ไม่ยอมหย่า เขาคงไม่สามารถยอมปล่อยคุณไปแอฟริกาใต้แน่!”

มู่เฉียวพยักหน้า หลังจากนั้นก็ตกตะลึง เงยหน้ามองตู้เสี่ยวซิน “ตู้เสี่ยวซิน คุณ….คุณรู้ได้อย่างไรว่าพวกเรายังไม่หย่ากัน?”

วันนี้ผู้หญิงคนนี้เปิดเผยความลับออกมามากเกินไปแล้วจริงๆ ทำให้เธอต้องตกตะลึง

ในสายตาของตู้เสี่ยวซินปรากฏความตื่นตระหนก เพียงแต่ ชั่วพริบตา ก็สงบนิ่งลงมา “วันนี้เมื่อตอนกลับมา คุณเอ่ยกับฉันไม่ใช่เหรอ?”

มู่เฉียวขมวดคิ้ว เธอได้พูดไปเหรอ?

“คุณน่ะ สองวันนี้ก็อยู่นี่ไปก่อน ฉันได้ยินหลิวฮั่วบอกว่า พวกคุณจะออกเดินทางวันจันทร์ ใช่ไหม? คุณวางใจได้ คุณอยู่ที่นี่ เขาหาคุณไม่เจอหรอก ที่นี่คือที่ที่ฉันกับหลิวฮั่วเพิ่งซื้อเอาไว้” พามู่เฉียวมาถึงด้านหน้าอพาร์ตเมนต์หลังหนึ่ง ตู้เสี่ยวซินหยิบกระเป๋าเดินทางเธอพลาง พูดไปพลาง

“เสี่ยวซิน ขอบคุณคุณนะ” สำหรับตู้เสี่ยวซิน เวลานี้ มู่เฉียวรู้สึกซาบซึ้งในบุญคุณอย่างมาก

“ไม่เป็นไร รีบเข้าไปเถอะ! พรุ่งนี้ตอนเช้า ฉันจะเอาของกินมาให้คุณ” พูดจบ ก็ไม่รอการตอบสนองของมู่เฉียว โยนกุญแจให้เธอ จากนั้น ก็ขับรถออกไป

ตระกูลโม่

“โม่หาน นี่คุณทำอะไรเนี่ย?” คุณนายโม่มองข้าวของที่กระจัดกระจายเต็มพื้น ขมวดคิ้วแล้วกล่าวอย่างไม่สบายใจเล็กน้อย

เธอถูกคนรับใช้เรียกมา บอกว่าโม่หานกำลังทำลายข้าวของของหานฉุน เดิมทีเธอก็ไม่เชื่อ ถึงอย่างไร นับตั้งแต่รู้จักกันมา ความผูกพันของสองพี่น้องนี้ถึงแม้จะไม่สามารถบอกได้ว่าดีมาก แต่ตั้งแต่ไหนแต่ไรมาก็ไม่เคยทะเลาะกันเพราะเรื่องอะไร

โม่หานออกแรงถีบเก้าอี้ที่อยู่ข้างๆจนกระเด็น เงยหน้าด้วยความโมโห มองไปยังแม่ “แม่ นี่เป็นเรื่องระหว่างฉันกับเขา คุณอย่ามายุ่ง!”

“โม่หาน คุณเป็นพี่ชายนะ เขาทำอะไรตรงไหนผิดไปบ้าง คุณก็ยอมให้เขาหน่อย ทำไม….ทำไมถึงทำลายที่ที่เขาอยู่ดีๆ จนกลายเป็นแบบนี้ล่ะ?” คุณนายโม่พูดพลางออกคำสั่งคนที่อยู่ด้านหลัง “พวกคุณรีบเก็บกวาดในนี้เร็วเข้า แล้วปิดปากให้แน่น ห้ามปริปากบอกคุณชายรอง ได้ยินไหม!”

“ค่ะ คุณนาย!” กลุ่มคนพยักหน้า

โม่หานร้องเชอะอย่างเย็นชา จากนั้นก็หันตัวกลับเตรียมจะเดินไปหน้าประตู

เพียงแต่ เขาเพิ่งจะยกเท้าขึ้น ก็เห็นหานฉุนเดินเข้ามาในห้องตนเองอย่างสบายใจ

ชั่วพริบตาตาทั้งคู่ก็เย็นชาลงมา เดินเข้าไป คว้าคอเสื้อของหานฉุน ออกแรงดึงเข้ามา “ฉันเคยบอกคุณแล้วไม่ใช่เหรอว่า อย่าไปยุ่งกับเธอ คุณเห็นว่าคำพูดของฉันมันไร้สาระใช่ไหม?”

มู่เฉียวหันไปมองโม่หาน โยนเสื้อผ้าชิ้นสุดท้ายใส่ในกระเป๋า จากนั้นก็บิดขี้เกียจ แล้วหันไปมองโม่หาน พูดด้วยน้ำเสียงเรียบๆว่า “โม่หาน ฉันจะต้องไปแอฟริกาใต้แล้ว!”

สีหน้าโม่หานมืดมนลงอย่างรวดเร็ว นิ้วเรียวยาวของเขายื่นออกมาดึงแขนมู่เฉียว : “ไปแอฟริกาใต้ คุณจะไปแอฟริกาใต้ทำไม?” เขายอมรับว่าตอนนี้เขาตื่นตระหนกเล็กน้อย

มู่หานกะพริบตาปริบๆ ยกมืออีกข้างแล้วผลักมือของโม่หานออกไป กล่าวด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม “ฉันทำงานเป็นล่าม ไปเป็นล่ามส่วนตัวของหานฉุน คุณน่าจะเคยดูหนังของเขานะ ดาราหนังระดับนานาชาติ ภาพยนตร์เรื่องนี้ทำเงินไปหลายร้อยล้านเหรียญ” อันที่จริงเธอก็ไม่ได้เต็มใจจะเอ่ยถึงหานฉุนหรอก คนคนนั้นทำให้เธอเกลียดยิ่งกว่าโม่หานในตอนแรกเสียอีก แต่เวลานี้ ยอมรับว่าเธอจงใจ

พูดจบก็นำกระเป๋าเดินทางมาไว้ข้างๆ เดินอย่างร่าเริงมีความสุข ถึงแม้ว่าคนมีปัญหา แต่การไปแอฟริกาใต้ทำให้เธอมีความสุขมาก

เห็นคนข้างหลังไม่มีปฏิกิริยาตอบกลับ เมื่อหันกลับไปมองก็เห็นโม่หานทำสีหน้าเย็นชา

“ทำไมเหรอ? คุณไม่ดีใจกับฉันเหรอ?” นึกถึงตรงนี้ เธอก็ผิดหวังเล็กน้อย

โม่หานชำเลืองมองเธอ เดินอ้อมเธอไป นำเสื้อคลุมโยนไปที่เก้าอี้ข้างๆ จากนั้นก็นอนลงบนเตียง พูดออกมาอย่างเย็นชา : “ไม่อนุญาตให้ไป!”

“ทำไมล่ะ?” มู่เฉียวร้อนใจเล็กน้อย พับเสื้อผ้าครึ่งหนึ่งแล้วโยนลงบนเก้าอี้ เดินเข้าไปข้างๆโม่หาน ก้มหน้าขมวดคิ้ว แล้วเอ่ยถาม

โม่หานพลิกตัวหันหลังให้เธอ พูดอย่างไม่สะทกสะท้าน : “หลิวฮั่วจัดการให้ใช่ไหม!”

มู่เฉียวตัวแข็งทื่อ ไม่ค่อยเข้าใจความหมายของโม่หาน แต่ยังคงตอบว่า : “ใช่!”

โม่หานลุกขึ้นนั่ง “ฉะนั้น จึงไม่สามารถให้คุณไปได้!”

หลิวฮั่วจัดการให้ ทำไมเธอถึงไม่สามารถไปได้? มู่เฉียวยิ่งไม่เข้าใจ

“คุณคิดว่าคุณเป็นใคร?” พลาดโอกาสอย่างนี้ไปแล้ว ในชีวิตนี้คงไม่มีอีกแล้ว

“มูเฉียว!” โม่หานตวาดใส่

มู่เฉียวหันกลับเดินไปสองก้าว นำเสื้อบนเก้าอี้ที่เขาวางไว้เมื่อกี้ หยิบขึ้นมาแล้วโยนไปข้างๆ

จากนั้นก็ตั้งสติแล้วมองโม่หาน : “ฉันแค่แบ่งปันความสุขกับคุณ ไม่ได้ต้องการความคิดเห็นจากคุณ ฉะนั้น……คุณจะเห็นด้วยหรือไม่ นั่นมันเรื่องของคุณ ไม่ได้เกี่ยวข้องกับฉัน”

ข้อมือของเธอถูกจับไว้แน่น “มู่เฉียว คุณฟังดีๆนะ เราเป็นสามีภรรยากัน ฉันมีอำนาจที่จะยุ่งเกี่ยวกับคุณ”

มู่เฉียวกลอกตา “สามีภรรยา? หึหึ โม่หาน คุณไม่รู้สึกว่ามันน่าตลกเหรอ? คุณหมั้นกับคนอื่น และกำลังจะแต่งงานกับคนอื่น แต่คุณกลับบอกว่า เราเป็นสามีภรรยากันอย่างนั้นเหรอ?” พูดจบ แล้วหยิบชุดนอนเข้าห้องน้ำไป

เพียงแต่กำลังจะปิดประตู แต่ก็ถูกผลักเปิดออกเหมือนเดิม

ขมวดคิ้วแน่น “หานฉุนคนนั้นปฏิบัติกับคุณเช่นนี้ แน่นอนว่าต้องมีแผนการอะไร!” พูดคำว่าหานฉุนสองคำ โม่หานก็แทบจะกัดฟันพูดออกมา

มู่เฉียวตกตะลึง เงยหน้าขึ้นมองโม่หาน แล้วพูดอย่างสบายๆว่า : “มีแผนการ ใช่ แน่นอนว่าฉันรู้ว่าเขามีแผนการ แต่แล้วยังไงล่ะ? ฉันไม่มีเงิน ไม่มีอำนาจ จะมีแผนการอะไร ก็ต้องใช้ร่างกายอันนี้อยู่ดี!” พูดจบก็จะดึงประตูปิด

โม่หานหลับตาระงับความโกรธในใจ ผลักประตูแล้วดึงมู่เฉียวไปด้านข้าง ตนเองก้าวเข้าไปข้างใน จากนั้นก็ปิดประตูลง  “คุณเป็นผู้หญิงไม่ใช่เหรอ? ร่างกายของคุณไม่มีค่าขนาดนั้นเลยเหรอ? หรือว่า ใครก็สามารถย่ำยีได้ตามใจ?!”

มู่เฉียวได้ยิน ก็ขมวดคิ้วแล้วเงยหน้าขึ้น จ้องมองโม่หาน จากนั้นก็ตะโกนว่า: “ใช่ ใครจะย่ำยีก็ได้!”

“มู่เฉียว…..!” โม่หานกำหมัดแน่น กลัวว่าตนเองจะอดทนไม่ไหว แล้วตบผู้หญิงคนนี้

จ้องมองเธออย่างโหดเหี้ยม ขมวดคิ้วแน่นแล้วพูดว่า: “ทำไมคุณถึงไม่เข้าใจ ทำไมอยู่ดีๆ เขาถึงได้ส่งเรื่องดีๆแบบนี้มาตรงหน้าของคุณ สมองคุณมีไหม?”

มู่เฉียวก้มหน้า

เธอไม่ใช่เด็กผู้หญิงอายุ18แล้ว เชื่อว่าบนโลกใบนี้มีคนดีอยู่มาก! แล้วก็เชื่อว่า สิ่งดีๆไม่สามารถตกลงมาจากฟากฟ้าได้

แน่นอนเธอรู้ว่าหานฉุนหาผลประโยชน์กับเธอ แต่แล้วยังไงล่ะ?

“ตอนแรกที่คุณแต่งงานกับฉัน หรือว่าคุณไม่ได้หาผลประโยชน์?” เธอมองโม่หานอย่างสงบนิ่ง แล้วกล่าว

ตอนแรกโม่หานรู้สึกว่ามีช่องว่างระหว่างวัยในการสื่อสารกับผู้หญิงคนนี้ เขาจ้องมองดวงตาทั้งคู่ของเธออย่างลึกซึ้ง พูดอย่างจริงจังว่า: “มู่เฉียว ฉันจะบอกคุณให้นะ ถ้าคุณไม่อยากให้ฉันทำเรื่องราวที่เกินพอดี ทางที่ดีคุณควรจะเชื่อฟังจะดีที่สุด”

มู่เฉียวร้องเชอะอย่างเย็นชา ทำเรื่องเกินพอดี? ยังมีเรื่องที่เกินพอดีกว่าเรื่องเมื่อคืนวานอีกเหรอ?

อันที่จริง ก่อนที่โม่หานจะมา เธอก็คิดมากแล้ว

ช่วงนี้กลุ้มใจอย่างมาก ชีวิตเพราะการเข้ามาพัวพันอย่างกะทันหันของโม่หาน ร่างกายและจิตใจต่างก็เหนื่อยล้าอย่างมาก เธอจึงอยากจะใช้โอกาสนี้ในการจัดการกับตัวเอง

อีกอย่าง เหมือนกับที่หลิวฮั่วพูด โอกาสแบบนี้ ยากมากจริงๆ ถึงแม้สองปีมานี้จะเป็นผู้จัดการ แต่ความรักในการเป็นล่ามของเธอ ไม่เคยลดลงเลย

กลับยิ่งเพิ่มขึ้น ประสบการณ์หลายปีมานี้ ยิ่งพิสูจน์ให้เห็นว่า บนโลกใบนี้ สามารถพึ่งพาตัวเองได้เท่านั้น ไม่สามารถพึ่งพาใครได้

ถ้าความสามารถของเธอเป็นเลิศ ผู้ชายแบบนั้นจะไปนับประสาอะไร? เธอไม่ได้ทำเพราะขาดเงิน ไม่ได้ทำเพราะอยากซื้อของที่ซื้อไม่ได้ ทำเรื่องที่อยากทำไม่ได้ แต่ไปน้อยใจในความสมบูรณ์แบบ

เธออยากให้พ่อแม่มีชีวิตที่ดียิ่งขึ้น เธออยากทำให้พวกเขาไม่มีความทุกข์ในวัยชรา และต้องการให้การสนับสนุนมู่เสี่ยวโยวอย่างแข็งแกร่งยิ่งขึ้น ดังนั้นเธอจำเป็นต้องทำให้ตัวเองแข็งแกร่งขึ้นมา

และไม่ใช่อยากจะอาศัยโม่หานหรือผู้ชายคนไหน ทำงานใกล้ชิดกับกันคนใหญ่คนโตย่อมมีความอันตราย ประมาทเพียงเล็กน้อย ก็อาจจะสูญเสียทุกอย่างได้ เธอไม่อยากนำโชคชะตาของตนเองฝากไว้ในมือคนอื่นอีกครั้ง

ดังนั้น การเดินทางไปแอฟริกาใต้ เธอจำเป็นต้องไป อีกทั้งต้องทำให้ได้ดีด้วย

ดงยหน้า เธอสบตากับเขาอย่างยั่วยุ สูดลมหายใจเข้าจมูก ยื่นปลายลิ้นออกมาเลียริมฝีปากสีแดงโดยไม่รู้ตัว “ฉัน จะไปหรือไม่ คุณไม่ต้องยุ่ง”

โม่หานจ้องไปที่ริมฝีปากสีแดงอิ่มเอิบของมู่เฉียว แทบจะไม่ลังเลใจเลยแม้แต่น้อย โน้มตัวดึงเธอเข้ามาในอ้อมกอด แล้วจูบลงไปอย่างโหดเหี้ยม

“อื้อ….”

มู่เฉียวตกใจ ผลักเขาด้วยจิตสำนึก แต่ยิ่งทำให้เขาโอบเธอไว้แน่นในอ้อมกอดอันอบอุ่นของเขา เขาโอบเอวของเธอเอาไว้แน่น มือข้างหนึ่งล็อกที่ท้ายทอยของเธอ แล้วจูบที่ริมฝีปากสีแดงของเธอ

นิ้วเรียวยาวขดม้วนผมของเธอเบาๆ แล้วออกแรงดึงไปด้านหลังเล็กน้อย บังคับให้ใบหน้าของเธอเงยขึ้นถึงที่สุด

เจ็บเล็กน้อย แต่ทำให้ใจเต้นและแขนขาอ่อนแรงอย่างมาก หลังจากมู่เฉียวมีปฏิกิริยาตอบสนอง จึงใช้กำลังผลักเขาทันที ผลักจนเขาถอยหลังไปก้าวหนึ่ง แต่ต่อจากนั้น เขาก็โอบเธอไว้แน่นแล้วล้มลงบนพื้นเย็นๆด้วยกัน

“โม่หาน คุณจะต้องแต่งงานแล้วนะ” เธอถือโอกาสเปลี่ยนลมหายใจ แล้วพูดกล่าวเตือน

“คุณลืมไปแล้วเหรอ ในตอนแรกที่เราแต่งงานกัน ฉันก็มีผู้หญิงหลายคนอยู่ข้างนอกไม่ใช่เหรอ?” เขาถอนหายใจเบาๆข้างๆหูเธอ พูดอย่างไม่เห็นด้วย

หมายความว่าเขาให้เธอกลายเป็นผู้หญิงเหล่านั้นเหรอ?มู่เฉียวทั้งโกรธทั้งเย็นชา

เห็นมู่เฉียวจ้องมองเขาอย่างโหดเหี้ยม

โม่หานขมวดคิ้วเล็กน้อย ยกมือขึ้นลูบผมเธออย่างอ่อนโยน จากนั้นก็โน้มตัวมาจูบหน้าผากเธอเบาๆ “อย่าดื้อสิ ฉันจะเบาๆมือหน่อย!”

ระหว่างที่พูดมือของเขา ก็เลื่อนลงไปด้านล่างแล้ว

มู่เฉียวได้สติทันที กดมือใหญ่ของเขาไว้

ขมวดคิ้วกัดปาก เธอพูดอย่างเจ็บปวดใจ : “อย่าแตะต้องฉันด้วยมือสกปรกของคุณ ไม่ว่าร่างกายของฉันจะแย่แค่ไหน ฉันก็ไม่ได้อยากจะเก็บมันไว้ให้คุณ”

โม่หาน “อย่างนั้นคุณอยากจะเก็บไว้ให้ใครล่ะ?”

จากนั้นมู่เฉียวก็เข้าใจว่ากับคนบางคนไม่สามารถถูกกระตุ้นได้ มิเช่นนั้นคนที่ต้องทุกข์ทรมานก็คือตนเอง

ผู้ชายคนนี้เมื่อโหดเหี้ยมขึ้นมา ก็ไม่ใช่มนุษย์แล้ว

นึกถึงการทำให้ทุกข์ทรมานเหล่านั้นของเขา

น้ำตาก็ไหลราวกับสายฝน!

มู่เฉียวเบือนหน้าไปด้านข้าง แววตาว่างเปล่าเหม่อลอย

โม่หาน คุณไม่ได้รัก แล้วจะมาทำร้ายเธออย่างนี้ทำไม!

เธอร้องไห้จนร้องไม่ออก!

เมื่อตื่นขึ้นมาอีกครั้ง

เจ็บปวด ทั้งร่างกายเจ็บปวดเมื่อยล้าไปทุกที่ กระดูกทุกชิ้นดูเหมือนถูกถอดแล้วนำมาประกอบใหม่ และความเจ็บปวดในบางจุดนั้นรุนแรงมาก ยิ่งเกี่ยวข้องกับเส้นประสาทด้วย ไม่ใช่บอกว่าหลังจากครั้งแรกแล้ว ก็จะไม่เจ็บไม่ใช่เหรอ?ทำไมเธอทำอย่างนี้มาหลายครั้งแล้ว ก็ยังเจ็บขนาดนี้ล่ะ?เธอสูดลมหายใจเข้า ก็รู้สึกเจ็บปวดรวดร้าว เมื่อครู่นี้ก็แสดงให้เห็นแล้วว่าเขาโหดร้ายป่าเถื่อนแค่ไหน……

ยิ่งพิสูจน์ได้ถึงความ”แข็งแกร่ง”ของเขา

น้ำตาไหลออกจากหางตา มู่เฉียวดึงผ้าห่มมาคลุมร่างกายโดยจิตใต้สำนึก

“เจ็บเหรอ?” น้ำเสียงอ่อนโยนดังมาจากด้านบนหัว

มู่เฉียวก้มหน้า

เจ็บเหรอ?หึหึ……

เธออยากจะด่าจริงๆเลย ไม่เจ็บมั้ง คุณมาลองไหม?บ้าจริงๆ

แม้แต่เธอหายใจก็ยังเจ็บ ก็ไม่มีเรี่ยวแรงเหลือที่จะไปด่า ฉะนั้นก็ได้แต่เงยหน้าขึ้นถลึงตาใส่เขา

“คุณไม่ควรมากระตุ้นฉัน คุณก็น่าจะรู้ อุปนิสัยนี้ของฉันไม่สามารถกระตุ้นได้!” เขามองเธอกลับ ค่อยๆพูดเหมือนเป็นการอธิบาย

มู่เฉียวจ้องมองโม่หานอย่างโกรธแค้น จากนั้นก็ละสายตามองไปทางอื่น แล้วไม่สนใจเขาอีกต่อไป

“เมื่อกี้อาจจะรุนแรงเกินไปหน่อย แต่ว่า……”

ร่างกายของมู่เฉียวค่อยๆผ่อนคลายลงมา จากนั้นก็ดึงผ้าห่มมาคลุมไว้ทั้งตัว

เธอไม่อยากได้ยินอะไรทั้งนั้น คำอธิบายอะไรก็ไม่อยากฟัง!

รุนแรงเกินไปหน่อย นั่นเรียกว่ารุนแรงเกินไปหน่อยเหรอ?

เธอก็ไม่ได้ฟังเข้าหูเลยสักคำ

จนกระทั่งได้ยินเสียงปิดประตูแรงๆ เธอจึงค่อยๆโผล่หน้าออกมานอกผ้าห่ม

สูดหายใจเข้าลึกๆ

ตลอดคืนนี้ โม่หานไม่ได้เข้ามาอีก

และตลอดคืนนี้ มู่เฉียวก็นอนไม่หลับเลยทั้งคืน

เธอกอดผ้าห่ม พิงหัวเตียง มองด้านนอกหน้าต่าง นั่งจนกระทั่งฟ้าสาง

จนกระทั่งนาฬิกาปลุกที่ตั้งไว้ดังขึ้น เธอลุกจากเตียงโดยอัตโนมัติ อาบน้ำล้างหน้า เปลี่ยนเสื้อผ้า

ทำทุกอย่างตามขั้นตอนตามลำดับ

แต่ก้นบึ้งของหัวใจ แต่เธอรู้ว่า เราทั้งสองจบแล้ว เธอหลับตา กัดริมฝีปาก จากนั้น คนก็เหมือนกับโลกแตก ปีนป่ายขึ้นเตียง ร้องไห้จนเสียงแหบแห้ง

จนกระทั่งน้ำตาแห้งเหือด เสียงร้องไห้แหบแห้ง เธอจึงค่อยๆลุกขึ้นนั่ง

หลังจากนั้นก็เดินเข้าไปในห้องน้ำ ใช้น้ำเย็นล้างหน้าครั้งแล้วครั้งเล่า

จากนั้น ก็สูดลมหายใจเข้าลึกๆ คว้ากระเป๋าที่อยู่ข้างๆเดินตรงไปยังหน้าประตู

ความเจ็บปวดบริเวณต้นขาทำให้ทุกย่างก้าวของเธอ รู้สึกเหมือนขาอ่อนแรง

เปิดประตูเบาๆ มู่เฉียวเหลือบตามองไป เห็นโม่หานนั่งอยู่บนขอบหน้าต่างห้องรับแขก

และข้างๆมือของเขา เต็มไปด้วยก้นบุหรี่

ที่แท้เขาก็ไม่ได้นอนทั้งคืน ที่แท้ เขาอยู่นอกบ้านทั้งคืน…..

ที่แท้จิตใจที่โหดเหี้ยมของเขา เวลานี้ ก็หงุดหงิดขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุ

เพียงแต่ ทันทีที่มีปฏิกิริยาตอบสนอง สีหน้าก็เย็นชา เธอเดินผ่านเขา มุ่งไปยังหน้าประตูโดยไม่หันหน้ากลับมามอง

“ขอโทษ!” น้ำเสียงที่ฟังแทบไม่ได้ยิน หลังจากมู่เฉียวเดินไปได้สองก้าว ก็ได้ยินเสียงดังเข้ามาจากด้านหลัง

ฝีเท้าก็หยุดชะงักลงทันที ครั้งที่แล้วที่พูดว่าขอโทษ คือตอนที่เขา”กำลังจะตาย”

เพียงแต่ ขอโทษจะมีประโยชน์อะไร ความเจ็บปวดบางอย่าง ขอโทษจะมีประโยชน์อะไร?เธอร้องตะโกนจากก้นบึ้งของหัวใจ

ก้มหน้า เธอก้าวเดินหน้าต่อไป

ไม่ได้สนใจ เพียงแต่เดินไปได้สองก้าว เธอก็รู้สึกว่าตรงหน้ามืดดำไป จากนั้น ก็สูญเสียการรู้สึกตัว

“มู่เฉียว….” เธอได้ยินเสียงเรียกของโม่หาน แต่…..ไร้เรี่ยวแรงที่จะตอบกลับเขา

เมื่อฟื้นขึ้นมาอีกครั้ง คนก็มาอยู่ที่โรงพยาบาลแล้ว

และข้างเตียง โม่หานนำศีรษะหนุนมือข้างหนึ่ง หลับตาทั้งสองแน่น บนใบหน้า มีหนวดเคราเล็กน้อย

เธอขยับมือเท้าเล็กน้อย

“คุณฟื้นแล้วเหรอ?” โม่หานลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็ว กล่าวถามด้วยความดีใจ

มู่เฉียวไม่สนใจความเป็นห่วงในสายตาของเขา หันหน้ามองไปยังนอกหน้าต่าง

“คุณหมอบอกว่า เมาเหล้า อีกทั้งไม่ได้นอนมาทั้งคืน ดังนั้น…..”

เมาเหล้า ไม่ได้นอนทั้งคืนอย่างนั้นเหรอ?โม่หาน คุณหน้าไม่อายเลยใช่ไหม?

สรุปเธอเป็นอะไรถึงหมดสติ คุณไม่รู้เลยเหรอ?

ก็ชัดเจนอยู่ว่าถูกคุณทรมานร่างกายจนเกินไปไม่ใช่เหรอ?

เธอบ่นพึมพำอยู่ภายในใจ: ปีศาจร้ายก็เทียบไม่ได้เลยจริงๆ!

“โม่หาน ฉันไม่อยากเห็นคุณ คุณไปให้พ้นหน้าฉันเดี๋ยวนี้!” มู่เฉียวตัดบทคำพูดของโม่หาน ชี้ไปที่หน้าประตูอย่างเย็นชา แล้วพูดตะโกน

เธอเกลียดชังท่าทีที่ตบหัวแล้วลูบหลังของเธอเป็นที่สุด

“ทีหลัง ฉันจะระมัดระวัง” ชายหนุ่มกล่าวอย่างง่ายดาย

มู่เฉียวขมวดคิ้ว หันหน้ากลับไปจ้องมองเขา “ทีหลัง?”

โม่หานเก้อเขินเล็กน้อย ลูบที่ศีรษะของเธอแล้วเข้าไปใกล้ “อย่าเอะอะโวยวายสิ อยากกินอะไร ฉันจะไปซื้อให้”

“กินหัวใจของคุณ ได้ไหมล่ะ?” เธอพูดสวนกลับเขา

ชายหนุ่มขมวดคิ้ว “ดิบ หรือสุกล่ะ?”

มู่เฉียวยกมุมปากขึ้น “โม่หาน คุณทำกับฉันแบบนี้ฉันไม่ยอมให้อภัยคุณหรอก”

ชายหนุ่มรินน้ำให้เธอ “ฉันทำคุณ?ฉันทำคุณอย่างไรเหรอ?มู่เฉียว ระหว่างสามีภรรยา ทำเรื่องแบบนี้ มันเป็นเรื่องปกติไม่ใช่เหรอ?”

หน้าประตู เสียงดัง”เพล้ง” เสียงของบางอย่างตกลงพื้นดังเข้ามา

 

สีหน้าของโม่หานเปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน เขาลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นยกมือขึ้น และยกผ้าห่มคลุมร่างกายของเธอ จากนั้นก็ยืดมือไปถอดเสื้อกั๊กของเธอออก

เมื่อเสื้อกั๊กถูกถอดออกไป ร่างกายอันวิจิตรงดงามของมู่เฉียวก็เริ่มปรากฏขึ้น เย้ายวนอย่างยิ่ง

โม่หานจ้องตรงไปที่มู่เฉียวที่เมาและไม่รู้สึกตัว ลุกขึ้นยืนอย่างยากลำบาก หายใจเข้าลึกๆ เขายกมือขึ้น ดึกเนกไทออกด้วยความร้อนเล็กน้อย แล้วโยนมันลงพื้นไป จากนั้น เขาก็อดไม่ได้ที่จะหลับตาลง มองลึกไปยังร่างที่สวยงามที่นอนอยู่บนเตียง ที่ขดตัวเป็นลูกบอล และทันใดนั้น เขาก็ก้มตัวลงและกอดเธอไว้จากด้านข้าง…..

“อืม……..”มือทั้งสองข้างของมู่เฉียวกอดคอเข้าแน่น และคร่ำครวญโดยสัญชาตญาณ

โม่หานอุ้มเธอไปที่ห้องน้ำ และค่อยค่อยวางเธอลงในอ่างอาบน้ำ

จากนั้น เขาก็ถอดชุดชั้นในทั้งหมดที่อยู่ในร่างกายของเธอออก

น้ำอุ่น ล้างผิวที่เรียบเนียนและขาวของเธอ

สติของมู่เฉียวค่อยค่อยกลับมา จากนั้นไม่ ตาทั้งสองข้างของเธอก็ลืมขึ้น สิ่งที่จับได้คือร่างกายของโม่หานที่กำลังอาบน้ำให้เธออย่างจริงจังด้วยฝักบัว

เธอกลืนน้ำลาย เธอค่อยค่อยก้มศีรษะลง เมื่อเห็นว่าร่างกายเธอเปลือยเปล่า เธอก็อ้าปากกว้าง ดวงตาเบิกกว้าง และมองไปยังใบหน้าด้านข้างที่สมบูรณ์แบบและไร้ที่ติของโม่หานด้วยท่าทางตกใจ เป็นเรื่องปกติที่จะไม่รู้จะตอบสนองยังไง

นี่ นี่มันเกิดอะไรขึ้น ? เธอกำลังดื่มอยู่กับตู้เสี่ยวซินไม่ใช่เหรอ ? แล้วมาอยู่กับโม่หานได้อย่างไร………

แล้วทำไม โม่หานถึงอาบน้ำให้เธอ……นี่………นี่………..

“อ๊ะ !”ในที่สุดเธอก็ฟื้นคืนสติ และลุกขึ้นยืนในอ่างอาบน้ำ จากนั้นหยิบผ้าเช็ดตัวมาพันรอบส่วนสำคัญในตัวเธอไว้อย่างแน่นหนา จากนั้นก็ยกมือขึ้นตบหน้าโม่หาน

“คุณมันโรคจิต !”เธอขมวดคิ้วตะโกน จริงจริงเลย กล้าอาบน้ำ…….อาบน้ำให้เธอ………

ผู้ชายคนนี้มีปัญหาทางสมองรึเปล่า ?

นิ้วเรียวยาวของโม่หานเลื่อนผ่านแก้มที่มู่เฉียวตบ ดวงตาทั้งสองข้างของเขาเบิกขึ้นเล็กน้อย และทันใดนั้น เขาไม่ให้เธอได้มีโอกาสฟื้นตัวอะไรทั้งนั้น เขาอุ้มเธออีกครั้ง จากนั้น ก้าวสองสามก้าวไปที่ข้างเตียง และโยนเธอลงบนเตียงใหญ่ จากนั้นก็เอาตัวเองกดทับเธอไว้

“อื้อ………”มู่เฉียวขมวดคิ้วแน่น กัดริมฝีปากและร้องด้วยความเจ็บปวด และความตื่นตระหนกในใจของเธอเริ่มเพิ่มขึ้นทีละน้อย

เธอสะบัดมือ พยายามหยุดการกระทำของโม่หาน แต่เธอ…..ไม่สามารถขยับเขาได้เลย ในขณะนี้ เธอเริ่มกังวลแล้ว !

“โม่หาน คุณ…..คุณไม่มีสิทธิ์แตะต้องฉัน !”เขาจะแต่งงานกับคนอื่นอยู่แล้ว ระหว่างพวกเขานี่มันอะไรกัน ?

ไม่มีความหวานเหมือนกับครั้งก่อน มีเพียงความอัปยศอดสู่ที่หยุดไม่ได้

ต่อให้เธอเลวแค่ไหน เธอก็ไม่อยากเป็นมือที่สามให้เขา โอ้ ไม่สิ เธอลืมไปได้อย่างไร พวกเรายังไม่ได้หย่ากันนี่ ? แต่ยังไงก็ไม่ได้

ผู้ชายที่ไม่ได้อยู่ในใจของเธอ โม่หานเพิกเฉยต่อเธอ เขาแค่โน้มตัวลง และจูบคิ้ว ดวงตา จมูก จากนั้นก็ริมฝีปากแดงของเธอเบาๆ การกระทำของเขานุ่มนวลมาก จนทำให้มือของมู่เฉียวค้างอยู่กลางอากาศ

เขาจูบที่หูของเธอเบาๆ

ลงคอ ลมหายใจร้อนค่อยค่อยรดเข้าที่คอของเธอ ทำให้เกิดอาการชา และจากนั้นเสียงที่คลุมเครือของเขาก็เข้ามาในหูของเธอ:“ มู่เฉียว ผมเคยบอกว่า ให้รอผม”

เสียงของเขาแหบและมีเสน่ห์ มู่เฉียวถูกเขาทำให้สับสน และใช้เวลาสักพักกว่าจะตอบสนองกลับมา รอเขาอีกแล้ว ” เธอถามกลับไปทั้งที่สติครึ่งๆกลางๆ

นิ้วเรียวยาวของโม่หานจับริมฝีปากบางที่ตกตะลึงของมู่เฉียว ริมฝีปากบางโน้มเข้ามาใกล้ริมฝีปากของเธอ เขาอยากจะอธิบาย ว่านี่มันเป็นเพียงการเข้าใจผิด แต่เขาก็รู้ดีว่า ตอนนี้เขาไม่สามารถปล่อยให้มู่เฉียวรู้มากเกินไป เขาไม่อยากดึงเธอลงไปในน้ำ

เมื่อมันมาถึงข้างริมฝีปาก จู่ๆเขาก็เปลี่ยนอย่างกะทันหัน “มู่เฉียว คุณรักผมแล้วใช่ไหม ?”

มู่เฉียวอยู่ตรงนั้น เป็นเวลานาน และยังสงสัยว่าคำพูดของโม่หานหมายความว่ายังไง ?

อย่างไรก็ตาม เมื่อคิดว่าเขาจะแต่งงานกับคนอื่นแล้ว งั้นมันก็ไม่สำคัญหรอก ว่ามันจะหมายถึงอะไร

เมื่อคิดได้เช่นนี้ เธอก็ใช้แรงผลักร่างกายที่กดทับเธออยู่ จากนั้นก็ลุกขึ้นนั่ง และหยิบเสื้อผ้าข้างๆขึ้นมาใส่ แล้วก็หันไปมองโม่หาน “คุณหลงตัวเองเกินไปแล้ว ฉันรักคุณ จะเป็นไปได้อย่างไร ?”

ชายหนุ่มยิ้ม และกัดริมฝีปากแดงของเธอ “ปากแข็ง”

มู่เฉียวมองเขา เพราะความโกรธความเมาก่อนหน้านี้ของเธอ ในตอนนี้มันหายไปเกือบหมดแล้ว

“ปากแข็ง เหอะเหอะ โม่หาน ถึงแม้ว่าฉันอยากจะแต่งงาน ฉันก็จะหาคนที่ดีกว่าคุณ” มู่เฉียวพูดไปพลางสวมใส่เสื้อผ้าไป และมองเขา “ท้ายที่สุดแล้ว ผู้ชายที่ทำเรื่องนั้นเสร็จภายใน 5 นาที ชาตินี้ทั้งชาติก็คงเศร้าไปตลอดชีวิต”

เมื่อพูดจบ เธอก็หันกลับมาอย่างเย็นชา

และโม่หานก็มองไปที่มู่เฉียวที่หันกลับมาแน่นอน และด้วยการโบกมือ เขาคว้าแขนของเธอ และออกแรงที่นิ้ว

มู่เฉียวเจ็บปวด เธอขมวดคิ้วและกลั้นไว้ ที่จริงแล้วหัวใจของเธอเจ็บปวดยิ่งกว่าร่างกายอีก

เธอเกลียดโม่หาน ที่ให้ความหวังกับตัวเอง ทำให้ตัวเธอเองสิ้นหวัง

เธอยิ่งเกลียดตัวเองมากขึ้นไปอีก ทั้งๆที่รู้ว่าเขาอาจจะแค่เล่นกับตัวเอง แต่เธอก็ถูกล่อลวงครั้งแล้วครั้งเล่า

เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ มู่เฉียวก็เหยียดหลังให้ตรง หันหลังกลับมามองโม่หานด้วยความโกรธ และพูดอย่างเย็นชาว่า:“ ปล่อยมือ !”

“คุณพูดสิ่งที่คุณเพิ่งพูดออกมาเมื่อครู่อีกครั้งซิ คุณอยากหาใคร ? ”ดวงตาของโม่หานหรี่ลง น้ำเสียงของเขาเย็นชามาก ริมฝีปากของเขาอยู่ใกล้กับริมฝีปากของเธอ และคำพูดพึมพำก็พ่นออกมา

“หาคนที่ดีกว่าคุณใช่ไหม ? ไม่รู้จริงๆว่าผู้หญิงพวกนั้น มองเห็นอะไรในตัวคุณ ในเมื่อหนึ่งครั้ง จริงจริงแล้วก็แค่…….”เธอโต้กลับเขาอย่างดื้อรั้น โดยรู้ว่าอาจจะมีเรื่องเพราะเรื่องนี้ แต่ในใจเธอกลับรู้สึกเศร้า และไม่สามารถเข้าใจได้ เธอจึงต้องพยายามอย่างที่สุดที่ทำให้ชายคนนี้ไม่มีความสุข

แต่ พูดไปได้เพียงครึ่งเดียว เธอก็ถูกโม่หานใช้แรงดึงเธอเข้ามาในอ้อมกอด หลังจากนั้นก็ประกบริมฝีปากบางๆ และปิดผนึกคำพูดทั้งหมดไว้

“มู่เฉียว คุณกระตุ้นผม คุณตายแน่ !”เสียงของเขาหนักแน่นด้วยความโกรธเล็กน้อย

“โม่หาน คุณจะทำกับฉันอย่างนี้ไม่ได้………”มู่เฉียวพูดอย่างคลุมเครือในขณะที่ผลักโม่หาน

มือของเขา ลูกไร้ไปรอบร่างกายของเธออย่างไร้ยางอาย และทุกสัมผัสของปลายนิ้วเขาทำให้เธอสั่นสะท้าน ผู้ชายคนนี้ จริงจัง !

นี่เป็นสิ่งเดียวที่มู่เฉียวสามารถรับรู้ได้ในขณะนี้

“ไม่…….”เธอขัดขืนโดยสัญชาตญาณ และเริ่มเข้าไปหาเขา

เธอพยายามดิ้นรน ดิ้นรนเพื่อหนีจากความยับยั้งชั่งใจจากเขา

แต่อย่างไรก็ตาม มือที่อยู่บนร่างกายนั้นไม่ได้หยุดเลย

“เฉียวเอ๋อ……” จากนั้นเสียงของแม่ก็ดังมาจากหน้าประตู

มู่เฉียวตกตะลึงมือไม้อ่อน เธอไม่กล้าจินตนาการว่าจะเกิดอะไรขึ้นถ้าแม่รู้ว่าเธอถูกโม่หานทำร้ายอย่างนี้?

โม่หานเห็นความตื่นตระหนกของเธอ จึงก้มลงไปจูบหน้าผากของเธอ “เดี๋ยวฉันค่อยกลับมาดูคุณนะ”

มู่เฉียวมองโม่หาน ความเหยียดหยามประกายในแววตา ส่ายหัว แสดงออกอย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาว

เมื่อโม่หานออกไป ประตูก็ถูกเปิดออก

“เฉียวเอ๋อ?”

แม่มองๆในห้อง “เมื่อกี้ใครอยู่ที่นี่เหรอ?”

มู่เฉียวขมวดคิ้ว “ไม่มีใครนี่?หมอ เขาเพิ่งออกไปเมื่อกี้” พูดจบ ก็ละสายตาไปทางอื่นอย่างขาดความมั่นใจ

แม่ดึงเก้าอี้มาลงนั่งข้างๆเตียง “นี่มันเกิดอะไรขึ้น?ทั้งคืนก็ไม่ได้กลับไป ทำไมตอนเช้าถึงได้มาอยู่ที่โรงพยาบาลได้?”

มู่เฉียวส่ายหัว ไม่ยอมพูด

“มู่เฉียว……” แม่ไม่สบายใจเล็กน้อย

“แม่ เขาจะแต่งงานแล้ว ในที่สุดฉันก็ยอมแพ้ได้แล้ว” มู่เฉียวยิ้มแต่น้ำตาไหลพรั่งพรูออกมา รอยยิ้มที่ทำให้คนตัวสั่นเทา : “แม่ ฉันต้องขอโทษคุณกับพ่อด้วย รู้ดีว่าเป็นเพราะตระกูลโม่ที่ทำน้าครอบครัวเราจนกลายเป็นอย่างนี้ แต่ฉันก็ยังอดไม่ได้ที่จะอยากอยู่ด้วยกันกับเขา ฉันมันไม่ได้เรื่องเลย”

แม่ขมวดคิ้วแน่น เห็นมู่เฉียวร้องไห้ปานจะขาดใจ ก็เงียบไปชั่วขณะ หลังจากนั้นก็ค่อยๆพูดว่า : “ลูกมันคือพรหมลิขิต”

“พรหมลิขิต พรหมลิขิตเรามันช่างเลวร้ายเหลือเกิน” มู่เฉียวยิ้มอย่างเย็นชาด้วยน้ำตาที่นองหน้า ก้มหน้าจากนั้นก็พูดอย่างช้าๆ : “ช่างเถอะ แม่หาคนมาแต่งงานกับฉันเถอะ ฉันเหนื่อย!”

“แต่แล้วไม่ดี จะไม่ยิ่งเหนื่อยเหรอ?ในเมื่อชอบก็รอหน่อยเถอะ ยังไม่ถึงตอนจบ จะยอมแพ้ได้อย่างไร?”

มู่เฉียวลืมตาขึ้นมาด้วยความตกใจ มองแม่อย่างไม่อยากจะเชื่อ ถามทั้งน้ำตา : “แม่ทำไมคุณยังสนับสนุนฉันอยู่ล่ะ?คุณไม่เกลียดครอบครัวของเขาเหรอ?”

“ความสุขของคุณสำคัญกว่าความเกลียดชังนะ” ดวงตาของแม่มองมู่เฉียวอย่างอ่อนโยน “ขอเพียงแค่คุณมีความสุข พ่อกับแม่ไม่สนใจอะไรทั้งนั้น”

“แต่ว่าฉันต้องขอโทษพวกคุณด้วยจริงๆ!” อารมณ์ของมู่เฉียวหมดอาลัยตายอยาก น้ำตาไหลออกมาราวกับน้ำหลาก ไหลออกมาอย่างบ้าคลั่ง

เพราะความสุขของเธอคนเดียว ก็เอาความสุขของพ่อแม่มาเป็นข้อแลกเปลี่ยน จู่ๆเธอรู้สึกว่าในฐานะที่เป็นลูก เธอเห็นแก่ตัวเกินไปจริงๆ

เธอสูดหายใจเข้าจากนั้นก็ร้องออกมาอย่างหนักหน่วง

แม่นั่งอยู่สักพัก เมื่อเหลือบไปมองนาฬิกาข้อมือบนโต๊ะ เธอก็ก้มหน้าถอนหายใจเล็กน้อย ลุกขึ้นยืน “เฉียวเอ๋อ พ่อของคุณทำการผ่าตัดหัวใจ ฉันไม่วางใจ เขาอยู่บ้านคนเดียว

“แม่ ฉันเพียงแค่ไม่สบายนิดหน่อย คุณจะให้มู่หลิงมาทำไม?ฉันไม่ได้เป็นอะไร นอนที่นี่แป๊บเดียว ตอนบ่ายก็ออกจากโรงพยาบาลแล้ว”

“โอเค อย่างนั้นแม่ไปก่อนนะ คุณก็ดูแลตัวเองด้วย”

หลังจากที่แม่ออกไป อีกสักพักโม่หานก็เข้ามา ถืออาหารเช้าในมือ

“กินอะไรก่อนนะ”

มองหีบห่อที่คุ้นเคยที่วางอยู่บนโต๊ะ มู่เฉียวก็ใจลอยไปในชั่วพริบตา บังเอิญเหรอ?ที่โม่หานซื้อมาคืออาหารที่ปกติเธอชอบทานมากที่สุด

“โม่หาน คุณปล่อยฉันไป ได้ไหม?” พูดจบ ก็เงยหน้ามองโม่หาน น้ำตาเอ่อคลอเบ้า “คุณก็รู้ว่า ฉันเป็นเพียงแค่คนธรรมดาคนหนึ่ง ฉันแค่อยากมีชีวิตที่เรียบง่าย”

โม่หานหยิบนาฬิกาจากบนโต๊ะขึ้นมา สวมใส่ที่ข้อมือ หมุนไปมา เงียบไม่พูดจาอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงเงยหน้ามองมู่เฉียว “เรื่องนั้นเมื่อคืนวาน หรือว่าฉันมีความสุขเพียงคนเดียว?คนที่เสียเปรียบคือฉันเหรอ?ถึงอย่างไร ฉันก็ต้องชดใช้”

“คุณ….” มู่เฉียวโมโห ชี้โม่หาน แต่พูดอะไรไม่ออกสักคำเดียว

“มู่เฉียว ห้ามคุณชอบผู้ชายคนอื่น”

มู่เฉียวงุนงง “หมายความว่าอะไร?”

“เพราะว่า ฉันไม่ชอบ ให้ของที่ฉันเคยใช้แล้ว ไปให้คนอื่นใช้” น้ำเสียงของโม่หานไม่สะทกสะท้าน

มู่เฉียวยกมือขึ้น ปิดหน้าอก เหลือบตาไปจ้องมองชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้า ครู่หนึ่ง เธอจึงเลิกคิ้ว พูดออกมาโดยไม่ได้ตั้งใจว่า: “อย่างนั้นพวกเราก็คืนดีกันเหมือนเดิม ได้ไหม?”

โม่หานช็อกด้วยความคาดไม่ถึง เบิกตาจ้องมองมู่เฉียว ผ่านไปหลายวินาที เขาจึงพูดด้วยเสียงที่เยือกเย็นว่า: “ไม่ได้ชั่วคราว”

“โม่หาน นี่ก็ไม่ได้ นั่นก็ไม่ได้ อย่างนั้นตกลงคุณจะให้ฉันคิดอย่างไร?” มู่เฉียวเกลียดท่าทีแบบนี้ของโม่หานเป็นที่สุด เงยหน้าขึ้นและตะโกนด้วยความขุ่นเคือง อันที่จริงพอเธอพูดประโยคนั้นออกมา เธอก็เริ่มรู้สึกเสียใจ แทบอยากจะกัดลิ้นของตนเอง แต่คำพูดที่พูดออกไปก็ราวกับน้ำที่สาดออกไป จะเก็บกลับมาก็สายเกินไปแล้ว

“คิดอย่างไร ไม่เกี่ยวกับฉัน ฉันรู้เพียงว่า ขณะนี้ ฉันไม่ได้วางแผนที่จะคืนดี!” สีหน้าของโม่หานราวกับความเยือกเย็นในช่วงฤดูหนาว ยืดตัวขึ้นแล้วจะเดินจากไป

มู่เฉียวหลับตา อยากจะตบหน้าของตัวเอง

“อย่างนั้นคุณบอกฉันมาสิว่า ที่คุณต้องการให้ฉันรอคุณ คือรออะไร?” มู่เฉียวคิดๆแล้ว จึงเอ่ยปากในทันที

มู่เฉียวพูดคำนี้ออกมา โม่หานก็ตกตะลึงทันที เพียงแต่ ขณะที่เขาไม่รู้ว่าจะตอบกลับมู่เฉียวอย่างไร

สายตาก็เหลือบไปมองด้านนอกหน้าต่างของประตู ปรากฏสายตาคู่หนึ่งที่ทำให้เขาแสดงสายตาที่หวาดกลัว

โม่หานตัวแข็งทื่อ ขมวดคิ้ว เบิกตาโตจ้องมองไปยังข้างหน้าอย่างไม่อยากจะเชื่อ เมื่อกี้เธอเหมือนกับเห็น……พ่อ พ่อที่ตายไปหลายปีแล้ว

หัวใจ เต้นตุบๆ ถึงแม้จะจากกันมาหลายปีแล้ว ถึงแม้ดวงตาคู่นั้น จะเต็มไปด้วยการผ่านโลกมาอย่างโชกโชน แต่เขาก็ยังจำได้ว่า นั่นคือพ่อ

เพียงแต่ ทำไมเขาถึงยังไม่ตาย?

โม่หานขมวดคิ้วเล็กน้อย

“โม่หาน!”

มู่เฉียวส่งเสียงเรียกเบาๆด้วยความสงสัย โม่หานที่สุขุมเยือกเย็นมาโดยตลอด มีเรื่องอะไรที่ทำให้เขาแสดงออกถึงความหวาดกลัวเช่นนี้ได้?

แต่โม่หานเหมือนกับว่าไม่ได้ยิน จู่ๆคนก็เหมือนกับยืนแข็งทื่อไป

ทำไม่พ่อถึงยังไม่ตาย?ถึงแม่ว่าในตอนนั้นที่พวกเขาไป กองทัพจะได้เผาศพไปแล้ว แต่กองทัพก็ไม่มีเหตุผลที่จะโกหกพวกเขา

ในทันที เขาก็ตัวสั่นเล็กน้อย

เรื่องราวในปีนั้น ตกลงมันเกิดความผิดพลาดอะไรกัน หรือว่ามีเรื่องอะไรที่ถูกพวกเขาประมาทเลินเล่อไป?

เดินเข้าไปสองสามก้าว เปิดประตู เห็นระเบียงทางเดินที่ว่างเปล่า เขาสูดลมหายใจเข้า หลับตา สงบความตื่นเต้นภายในจิตใจ หยิบโทรศัพท์มือถือออกจากในกระเป๋าตนเองอย่างรวดเร็ว นิ้วมือที่เรียวยาวกดบนหน้าจอแล้วส่งข้อความไปอย่างรวดเร็ว

ผู้ช่วยขมวดคิ้ว โชคดีที่เขาเตรียมพร้อมแล้ว

ตู้เสี่ยวซินมองไปที่หญิงสาวที่ดื่มเบียร์ตรงหน้าเขา แล้วคิ้วของเขาก็ขมวดเข้าหากัน

“ยังพูดอีกว่าไม่สนใจ ปากแข็งจริง เขาก็แค่โพสต์ข่าว คุณก็กลายเป็นแบบนี้ไปแล้ว ถ้าวันหนึ่งแต่งงานกันจริงๆขึ้นมา ฉันจะดูว่าคุณจะมีชีวิตอย่างไร?”

“ถ้างั้นฉันก็จะไปแย่งงานแต่งงาน”หญิงสาวเมานิดหน่อยแล้ว

“เฉียวเอ๋อ หยุดดื่มกันเถอะ คุณบอกว่าชายคนนั้น มีอะไรดี น่าขยะแขยงขนาดนั้น นอกจากมีเงิน หน้าตาดีหน่อย สูงนิดหน่อย แล้วยังมีดีอะไรอีก ?”

มู่เฉียวยิ้ม “สูง รวย หล่อ ตู้เสี่ยวซิน ตรงไหนที่ไม่ดี ?”

มันดีตรงไหน ? หลังจากพูดประโยคนี้จบ ทันใดนั้นโทรศัพท์ของตู้เสี่ยวซินก็ดังขึ้นมา เธอมองดู เป็นเบอร์แปลก เมื่อรับสาย “ฮัลโหล นั่นใครคะ ?”

“สามีของคุณดื่มเมาอยู่ทางนี้ คุณมารับเขาหน่อย”

“เอ๊ะ ? ที่ไหนเหรอ ”

โทรศัพท์ถูกพักสายไป และที่อยู่ก็ถูกส่งมา

ตู้เสี่ยวซินพยักหน้า “ตกลง ฉันจะรีบไปเดี๋ยวนี้” เธอหันศีรษะมองมู่เฉียว “วันอะไรเนี่ย ? คนสองคนที่ปกติไม่ค่อยจะดื่มเหล้า ทำไมวันนี้ถึงดื่มจนกลายเป็นแบบนี้ ?” เมื่อพูด เธอก็ลุกขึ้นและดึงมู่เฉียวมาพาดไหล่ “เฉียวเอ๋อ ฉันจะส่งคุณกลับบ้านก่อน หลิวฮั่วเมาแล้ว ฉันส่งคุณกลับบ้านแล้ว ค่อยไปรับเขา”

“ไม่ ฉันยังอยากดื่ม ฉันไม่ไป”มู่เฉียวสูงกว่าตู้เสี่ยวซินครึ่งหัว และยังอวบๆ ดังนั้น ตู้เสี่ยวซินผู้อ่อนแอจึงไม่สามารถช่วยเธอได้ ในขณะเดียวกันโทรศัพท์ก็ดังขึ้นมาอีกครั้ง เธอมองดู ก็คือเบอร์โทรศัพท์เมื่อครู่ เธอรู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อย “คุณให้เขารอก่อน ตอนนี้ฉันไปไม่ได้ อะไรนะ ? มีผู้หญิงมาพูดคุย ? จะไปเปิด…..เปิดห้อง ได้ ได้ คุณบอกให้เขารอ”

คนคนนี้ดูเหมือนจะรู้ข้อเสียของตู้เสี่ยวซิน เธอระเบิดออกมาทันที เธอหยิบโทรศัพท์และเตรียมจะโทรหามู่หลิง แต่เมื่อนึกถึงเซี่ยหยู เขาเพิ่งแต่งงานใหม่ เธอจึงคิดใหม่และพูดกับเจ้าของร้านแผงลอยว่า “เถ้าแก่ คุณช่วยฉันดูเธอหน่อยได้ไหม ฉันไปรับสามี แล้วเดี๋ยวจะรีบกลับมา”

เธอและมู่เฉียวมักจะมาทานอาหารที่นี่ จึงคุ้นเคยกันดี

เถ้าแก่เงยหน้าขึ้นมอง “โอเค คุณไม่ต้องห่วง ฉันจะช่วยดูเธอเอง”

ตู้เสี่ยวซินส่ายหัวให้มู่เฉียว “เฉียวเอ๋อ คุณอย่าโทษที่ฉันให้ความสำคัญแฟนมากกว่าเพื่อนเลยนะ อีกเดี๋ยวฉันจะกลับมา”

เมื่อเห็นตู้เสี่ยวซินขึ้นรถไป ก็มีชายคนหนึ่งเดินออกมาจากรถหรูสีดำ ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากริมถนน เขาพูดกับเถ้าแก่ว่า มู่เฉียวคือภรรยาของเขา

เถ้าแก่ยังไม่วางใจ จึงถามมู่เฉียวที่เมาอยู่ว่า “หญิงสาว ชายคนนี้ คุณรู้จักไหม ?”

มู่เฉียวมองไปที่โม่หานที่ยืนอยู่ข้างเธอ ด้วยใบหน้าเคร่งขรึม ทันใดนั้นเธอก็ลุกขึ้นและยืนแขนไปคล้องคอเขา “โม่หาน คุณมาได้อย่างไร ? คุณมาดูฉันเล่นตลกเหรอ ?”

เมื่อเห็นทั้งสองรู้จักกัน เถ้าแก่ก็จากไป

โม่หานหยิบเงินออกมากองหนึ่งและโยนไว้บนโต๊ะ จากนั้นก็อุ้มมู่เฉียวและยัดเธอเข้าไปในรถ

“กลับบ้าน” เมื่อขับรถไปได้สักพัก โม่หานก็เปลี่ยนใจอีกครั้ง เมื่อมาถึงโรงแรม มู่เฉียวก็ทรุดตัวลงบนเตียง และปากก็ยังด่าอย่างไม่หยุดหย่อน “โม่หาน คุณไอ้คนสารเลว ไอ้สวะ……”

ชายหนุ่มที่ถอดรองเท้าให้เธอ ขมวดคิ้ว

“คุณไม่ต้องการฉัน คุณไม่อยากรู้จักฉันอีก ทำไมก่อนคุณจะตาย จะต้องโลดโผนขนาดนี้ คุณไอ้สารเลว คุณรังแกให้ฉันใจอ่อน……..” หญิงสาวพูด พลางหยิบหมอนขึ้นมาและโยนทิ้งไปอย่างไม่เลือกหน้า และมันก็ไปโดนหัวของชายหนุ่มเข้าอย่างจัง

ชายหนุ่มหายใจเข้า ใบหน้าเขาไม่มีแม้แต่ความโกรธ เขาก้าวไปข้างหน้าและถอดเสื้อคลุมของหญิงสาวออก เธอสวมเสื้อซับไว้ข้างใน  และกลืนน้ำลายสองสามครั้ง แล้วดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมเธอ

อย่างไรก็ตาม เมื่อเขาหันหลังกลับ ก็เห็นมู่เฉียวยกเท้าขึ้นและถีบผ้าห่มออกหมด จากนั้น ก็ดึงเสื้อของตัวเองและ “เจ็บ !”เธอขมวดคิ้วและบ่น

โม่หานตกตะลึง และหันกลับมา “เจ็บตรงไหน ?” เขาถามด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนมาก

มู่เฉียวเลียริมฝีปากที่แห้ง จากนั้นก็เลื่อนมือลงไป

สายตาของโม่หานเลื่อนลงไปตามนิ้วมือของเธอ จากนั้นสีหน้าของเขาก็เคร่งขรึมขึ้น เพราะว่า มองไปทางใด ก็มีรอยฟกช้ำใหญ่ และเมื่อดูจากคราบเลือด เดาว่าคงได้รับบาดเจ็บ

และเมื่อครู่ที่เขาปล่อยมู่เฉียวลง เดาว่าน่าจะไปกดทับแผลเข้า ดังนั้น เธอถึงตะโกนว่าเจ็บ

เมื่อยกขอบผ้าขึ้น ต้นขาที่ขาว ก็เปื้อนเลือดอยู่แล้ว

เขาดึงทิชชูมาจากข้างเตียง จากนั้นก็เช็ดคราบเลือดที่ต้นขาของเธอเบาๆ แต่เมื่อเขาสัมผัสมัน ก็เห็นเธอขมวดคิ้ว

จู่ๆ ก็เกิดความโศกเศร้าขึ้นมาในใจ

เขาโทรศัพท์ไปหาคนที่อยู่กับเธอ “เกิดอะไรขึ้น ? บาดแผลบนร่างกายของเธอมาจากไหน ?”

อีกฝ่ายเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะตอบว่า “เมื่อออกมาตอนกลางคืน คุณมู่ ดูเหมือนเธออารมณ์ไม่ดี ข้ามถนนหลายครั้งก็ล้วนไม่มองไฟแดง ระยะห่างระหว่างพวกเราอยู่ไกลกันหน่อย ดังนั้น เธอจึงถูกรถชน เดาว่าตอนนั้นน่าจะถูกับพื้นถนน”

“แล้วทำไมไม่บอกก่อน”

“คุณไม่รับโทรศัพท์”

โม่หานมองดู และพบว่ามีสายที่ไม่ได้รับจริงๆ วันนี้โทรศัพท์มาเยอะมาก แล้วทั้งหมดล้วนโทรมาถามเรื่องการแต่งงานของเขากับเหอเจี๋ย

หลังจากวางสาย เขาก็มองไปที่หญิงสาวบนเตียง โม่หานนั่งลงข้างกายเธอ

มือแตะแก้มของเธอ แต่ในใจเขากลับมีความรู้สึกปีติยินดี

คนโง่ คนที่ไม่เคยมอบความอบอุ่นใดใดให้เธอเลยแบบนี้ คุณรักอะไรเขากันแน่นะ ?

“อือ………..”

เสียงที่เจ็บปวดราวกับใยแมงมุม ออกมาจากริมฝีปากที่แห้งของหญิงสาว และเรียกชายที่อยู่ในความคิดอันซับซ้อนในจิตใจกลับมา แต่ทันใดนั้นเขาก็ตกตะลึง แรงในมือของเธอที่บีบเขาเจ็บ

เขาดึงมือของเธอออกโดยไม่รู้ตัว แต่แล้วก็พบว่าเธอไม่ได้ตื่น แค่เพียงพึมพำอะไรในความฝัน และดูเหมือนเธอจะนอนหลับอย่างไม่สนิท ริมฝีปากของเธอบิดเบี้ยว ราวกับพึมพำอะไรบางอย่างด้วยความเจ็บปวด

ในเวลานี้ หัวใจของเขาก็เจ็บปวดมาก เพราะเขาทำให้เธอทุกข์ทรมานขนาดนี้

เมื่อจ้องมองลึกๆไปที่ริมฝีปากที่ค่อยค่อยกระเพื่อมของมู่เฉียวชั่วครู่ ริมฝีปากของเธอแห้งและไม่ชุ่มชื้นอ่อนโยนเหมือนเมื่อก่อน แต่แบบนี้ สำหรับเขาแล้วก็ยังคงเป็นแรงดึงดูดที่อันตราย…….

เขาค่อยค่อยโน้มตัวเข้าหาริมฝีปากของเธอทีละเล็กทีละน้อย และอดไม่ได้ที่จะจูบไปเบาๆ……..

ด้วยลิ้นอันอบอุ่นและชุ่มฉ่ำ เธอเลียริมฝีปากที่ขาดน้ำอย่างรุนแรงด้วยความสงสารอย่างยิ่ง เธอค่อยค่อยดูด จนกระทั่งริมฝีปากของเธอไม่แห้ง……….

มู่เฉียว มู่เฉียว……..ผมควรจะทำอย่างไรกับคุณดี ?

เขาเหน็ดเหนื่อยและถอนหายใจหนักมาก ในใจลึกๆ ยังเศร้าและเจ็บปวดจนอยากจะเรียกชื่อเธอ แต่สุดท้าย เขาก็ไม่ได้ตะโกนออกมา…….

“ร้อนมาก !”ในขณะนี้ มู่เฉียวพลิกตัวกลับมาและพูดพล่ามอีกครั้ง

“เรื่องเมื่อวาน เป็นผมที่ไม่ได้คิดให้รอบคอบ ผมควรจะพาคุณไปเจอพ่อแม่ของผมก่อน ขอโทษนะ”

มู่เฉียวเม้มริมฝีปาก ก้าวไปข้างหน้าและมองเฮ่อเทียน “เฮ่อเทียน ที่จริงแล้ว………”

“ผมรู้ ตอนนี้ในใจของคุณต้องกำลังโกรธผมแน่ แต่ว่า เสี่ยวเฉียว ผมจะพิสูจน์ให้คุณเห็นว่า ผมไม่เล่นสนุก ผมจริงจัง”

จากนั้น เขาก็เปิดประตูรถและผลักมู่เฉียวเข้าไปในรถ

“เฮ่อเทียน พ่อแม่คุณก็น่าจะรู้ว่าฉันเคยหย่า และเคยเกิดลูกใช่ไหม ?” มู่เฉียวถามหลังจากนั่งรถ เมื่อเธอเห็นเฮ่อเทียนคาดเข็มขัดนิรภัย ตัวเธอก็สั่น ในใจก็รู้ว่า เฮ่อเทียนรักเธอ เธอเชื่อ แต่ใครที่แต่งงาน จะแต่งงานกับแค่คนคนเดียวกันล่ะ ?

เฮ่อเทียนชอบเธออีกครั้ง แต่ว่า พ่อแม่ของเธอต้องไม่มีทางชอบเธอแน่นอน

ลูกชายที่แสนดีขนาดนี้ แต่กลับจะแต่งงานกับผู้หญิงที่เป็นตัวภาระ ผู้หญิงที่เคยหย่า และเธอก็เป็นแม่คนแล้ว ถึงแม้จะเป็นลูกสาว แต่เธอก็คิดว่าในอนาคตถ้ามู่เสี่ยวโยวแต่งงานกับชายที่เคยหย่าร้างและยังมีลูกอีก เป็นเธอก็คงจะไม่มีวันเห็นด้วยอย่างแน่นอน

เมื่อฟังดู มันอาจจะธรรมดาไปหน่อย แต่ในฐานะพ่อแม่ ใครบ้างไม่ต้องการให้ลูกชายลูกสาวของตัวเองมีคู่ที่เหมาะสม ?

ดังนั้น เธอจึงสามารถเข้าใจพ่อแม่ของเฮ่อเทียนได้เป็นอย่างดี

“พวกเขาจะต้องชอบคุณ”

เฮ่อเทียนยืนกราน แต่มู่เฉียวแค่ยิ้ม สำหรับบางสิ่งบางอย่าง บางทีก็คงต้องให้เขาหมดหวัง เขาถึงจะปล่อยมือไปเอง เธอไม่พูดอะไรอีก และรัดเข็มขัดนิรภัยอีกครั้ง

“ถ้างั้นก็ได้ ไปกันเถอะ”

เมื่อเฮ่อเทียนบอกว่าพ่อแม่ของเขาอยู่เมือง A มู่เฉียวก็รู้สึกงงเล็กน้อย เธอไม่เข้าใจว่าทำไมพ่อแม่เฮ่อที่อยู่ไกลถึงเมือง A ทำไมจู่ๆถึงไปร่วมงานแต่งงานของมู่หลิงเมื่อวานได้ ?

อย่างไรก็ตาม มีบางเรื่อง เธอก็ไม่อยากรู้มากเกินไป

เธอลากับหลิวฮั่วแล้ว ทั้งสองคนนั่งเครื่องบินมาถึงตระกูลเฮ่อ ก็ปาเข้าไปบ่ายสามโมงกว่าแล้ว

พ่อแม่เฮ่อได้ยินจากเฮ่อเทียนว่าทั้งสองคนจะมา พวกเขาเลยไม่แปลกใจ และพวกเขายินดีต้อนรับมู่เฉียวอย่างสุภาพ

“คุณชื่อมู่เฉียวใช่ไหม ? ดูสิ เคยเกิดลูกแล้ว แต่รูปร่างยังดูดีมากเลย”

แก้วน้ำในมือของมู่เฉียวสั่นกระเพื่อม แต่ในใจกลับสงบมาก

เธอยิ้มและพูดว่า “คุณน้า คุณชมเกินไปแล้ว ฉันเทียบกับสาวไม่ได้ด้วยซ้ำ”

เฮ่อเทียนกระแอมออกมาเล็กน้อย “แม่ คุณพูดเรื่องพวกนี้ทำไม ?”

แม่เฮ่อชำเลืองมองมู่เฉียว “มู่เฉียว วันนี้ฉันปวดหลัง ลูกสะใภ้คนอื่นอีกสองคนก็ต้องดูลูก วันนี้คุณมาพอดีเลย ไม่รู้ว่าคุณจะสามารถช่วยทำอาหารได้รึเปล่า ”

มู่เฉียวเหลือบมองเฮ่อเทียน “ถ้างั้น คุณน้า คุณนั่ง ฉันกับเฮ่อเทียนจะไปทำอาหาร ?”

ขณะที่พูด เธอก็ลุกขึ้น คุณไปที่ห้องหนังสือของพ่อคุณหน่อย”

มู่เฉียวยังยิ้มมุมปากของตัวเอง แต่ก็ไม่พูดอะไร

จากนั้น เธอก็ได้ยินสิ่งของบางอย่างตกลงมา แม้ว่าจะต้องผ่านมาอีกสองสามประตู แต่เสียงนั่นก็ยังอยู่ในหูของเธอ

เธอไม่ได้โง่ และเธอก็ไม่ใช่เด็กที่ประมาท เธอรู้หลักการทั้งหมด เธอรู้ดีถึงผลประโยชน์เล็กน้อยทั้งหมด และเธอเข้าใจเป็นอย่างดีว่า เธอกับเฮ่อเทียนมันเป็นไปไม่ได้ แต่ก็โชคดี โชคดีที่เธอไม่ได้คาดหวังอะไรเลย ไม่อย่างนั้น คงน่าอึดอัดน่าดู

แค่นึกถึงเฮ่อเทียน ทันใดนั้นเธอก็รู้สึกสงสารเขา เธอทำอาหารเหมือนกับทำงาน เป็นระเบียบและดูไม่รีบร้อน เธอล้างผัก หั่นผัก และทำอาหาร โดยไม่ล่าช้าเลย

แม่เฮ่อนั่งอยู่บนโซฟา และเห็นฉากนี้ต่อหน้าต่อตา สายตาของลูกชาย พวกเขาไม่เคยสงสัยเลย แต่ว่า คำพูดของคนก็น่ากลัว และอีกอย่าง เมื่อคิดถึงคำเตือนของชายคนนั้นเมื่อวาน พวกเขาก็ยิ่งไม่กล้าทำให้มันเป็นเรื่องเล่น

ลูกสะใภ้คนโตบอกเธอว่า ผู้ชายคนนั้นคืออดีตสามีของมู่เฉียว เขาร่ำรวย มีอำนาจ แต่โหดร้ายและไม่มีความรัก

“ถ้าหากพวกเขาอยู่ด้วยกันแล้ว ลูกชายของคุณก็จะอยู่ในความสิ้นหวัง”

เธอหลับตา ก้าวไปข้างหน้า และเปิดประตูกระจกของห้องครัว “มู่เฉียว…………”

มู่เฉียวหันกลับมามองแม่มู่ “คุณน้า คุณปวดเอว คุณควรจะไปนั่งก่อนนะ ดูสิ ฉันเกือบจะทำเสร็จแล้ว”

แม่เฮ่อมองดูจานหกเจ็ดจานที่มีสีสันสวยงาม และดวงตาของเธอก็อดไม่ได้ที่จะเป็นประกาย แต่เพื่อลูกชาย เธอทำได้เพียงขอโทษผู้หญิงคนนี้

ทันใดนั้นเธอหยิบจานหนึ่งขึ้นมาดม “แค่ดมก็รู้ว่าอร่อยมาก สมกับที่เป็นแม่คนแล้ว คนเป็นแม่จะทำได้ดีกว่าหญิงสาวธรรมดามาก”

เห็นได้ชัดว่ามันคือคำชม แต่มู่เฉียวกลับฟังอย่างแข็งกร้าว เธอดึงริมฝีปากของเธอด้วยความเขินอายและยิ้ม

ต่อมา ทันทีที่เธอทำอาหารเสร็จ เฮ่อเทียนและพ่อก็เดินออกมาจากห้องหนังสือ เมื่อมองไปที่โต๊ะที่เต็มไปด้วยอาหาร แววตาของเขาก็รู้สึกเศร้าอย่างเห็นได้ชัด

“วันนี้ ลำบากคุณแล้ว”

มู่เฉียวส่ายหัว “ไม่เป็นไรค่ะ แต่ไม่รู้จะถูกปากของพวกคุณรึเปล่า”

เดิมทีเธอคิดว่าตระกูลเฮ่อจะจู้จี้จุกจิก แต่ไม่คิดเลยว่า มื้ออาหารจะกลายเป็นคำชมที่หลากหลาย

สิ่งนี้ทำให้มู่เฉียวประหลาดใจมาก

หลังจากทานอาหารเสร็จ

สะใภ้ใหญ่และสะใภ้รองบอกว่าต้องดูแลลูก แม่เฮ่อก็บอกว่าตัวเองปวดเอว เฮ่อเทียนก็ถูกเรียกเข้าไปในห้องหนังสืออีกครั้ง บอกว่าจะพูดคุยเรื่องที่ยังพูดค้างอยู่

มู่เฉียวไม่ได้กวนหรือพูดคุยใดๆ และทำหน้าที่ล้างจานโดยอัตโนมัติ

เมื่อล้างไปได้ครึ่งหนึ่ง ประตูห้องหนังสือก็เปิดออก เฮ่อเทียนออกมา เดินเข้ามาในห้องครัว และจับมือของมู่เฉียว “ไม่ต้องล้างแล้ว มากับผมเถอะ”

มู่เฉียวไม่สนใจเขา และยังคงล้างจานที่เป็นฟองอยู่

เอ่อเทียนมองดูเธอ “คุณมองไม่ออกเหรอ พวกเขาจงใจทำกับคุณ ? มู่เฉียว”

ในที่สุดมู่เฉียวก็ล้างจานสองสามใบสะอาด และเช็ดเตาอีกครั้ง

จากนั้น เธอก็ผ่านเฮ่อเทียนเดินไปที่ห้องนั่งเล่น เปิดกระเป๋า และหยิบยาคุมกำเนิดฉุกเฉินที่กินช้าเกินไปจากข้างในออกมา แล้วกางออกบนฝ่ามือของเธอ “เฮ่อเทียน ถึงแม้ว่าจะไม่มีการจงใจของพวกเขา พวกเราก็เป็นไปไม่ได้หรอก”

เมื่อดวงตาของเฮ่อเทียนเพ่งมองคำว่ายาคุมกำเนิดฉุกเฉิน ใบหน้าของเขาก็ซีดลงทันที “นี่มันหมายความว่ายังไง ?”

“เมื่อคืนฉันอยู่กับเขา และพวกเราก็นอนด้วยกันแล้ว”เธอรู้ว่าบาดแผลนี้จะทำให้ชายคนหนึ่งบาดเจ็บจนตายได้ แต่มู่เฉียวก็คงจะยังทำต่อไป

เธอรู้ดีว่าถึงแม้ว่าจะไม่มีโม่หาน ถึงแม้ว่าเธอจะปล่อยโม่หานไป แต่ระหว่างเธอกลับเฮ่อเทียน มันก็ไม่มีทางเป็นไปได้ เธอ ไม่อยากทำร้ายผู้ชายคนนี้

“เพล้ง” แจกันดอกไม้บนโต๊ะถูกโยนขึ้นและกระแทกกับพื้นอย่างแรง มู่เฉียว คุณรู้ไหมว่าคุณกำลังพูดอะไรอยู่? ชายคนนี้คำราม

มู่เฉียวขมวดคิ้ว “ระหว่างผู้ใหญ่ เรื่องแบบนี้ มันก็เป็นเรื่องปกติไม่ใช่รึไง ? ”เธอพยายามทำให้น้ำเสียงของตัวเองฟังดูปกติ

“เพล้ง” ข้างหลัง ก็มีเสียงดังขึ้นอีก

นั่นเป็นเสียงแก้วในมือของแม่เฮ่อที่ตกลงสู่พื้น มู่เฉียวหลับตา เธอรู้ว่านี่คือจุดจบของเธอกับเฮ่อเทียน ถึงแม้ว่าตอนจบนี้มันจะโหดร้าย แต่มันก็ได้ผลที่สุด

เธอค่อยค่อยกำมือของตัวเองและเอายาคุมกำเนิดเก็บเข้าไปใส่ในกระเป๋า เงยหน้าขึ้นมองเฮ่อเทียน จากนั้นก็มองไปที่พ่อแม่เฮ่อที่ตกตะลึง เธอโค้งตัวเล็กน้อย “คุณน้า คุณลุง ขอโทษที่มารบกวนนะคะ”

เมื่อเธอจากไป เฮ่อเทียนไม่ได้เดินตามเธอมา เธอถอนหายใจด้วยความโล่งอก

เมื่อเธอไปถึงข้างถนน ก่อนที่เธอจะยื่นมือออกไป ก็มีรถคันหนึ่งจอดอยู่ข้างเธอ

กระจกเลื่อนลง

ใบหน้าที่คุ้นเคยของชายคนนั้นปรากฏ และเสียงที่เย็นชาก็ดังขึ้น “ขึ้นรถ”

มู่เฉียวลังเล และมีเสียงฝีเท้าดังขึ้นมาตามหลังเธอ

เธอเปิดประตูข้างคนขับอย่างเด็ดขาด และเข้าไปนั่ง จากนั้นก็คล้องคอของโม่หานมาจูบที่ริมฝีปากของเขา ชายคนนี้ตกใจ จากนั้นก็ยกมือใหญ่ของเขา คว้าเอวของเธอและใช้แรงยกหญิงสาวมานั่งอยู่บนตักของเขา

ท่านี้มันดูน่าอายมาก แต่ท่านี้มันก็คลุมเครือมากเช่นกัน

ชายคนนี้โน้มตัวลง และจูบให้ลึกซึ้งขึ้น

เวลาหยุดนิ่ง ณ เวลานี้ ชะตากรรมถูกเขียนใหม่อีกครั้ง

มู่เฉียว คุณได้ทำลายโอกาสหนีของคุณด้วยตัวเองอีกครั้ง

ผ่านไปครู่หนึ่ง หลังจากยืนยันว่าคนด้านนอกไปแล้ว โม่หานก็ปล่อยเธอ แต่สีหน้าของเขากลับดำคล้ำ

“มู่เฉียว คุณชอบเขาเหรอ ?” เขามองดูมู่เฉียวด้วยน้ำตาคลอเบ้า ดวงตาแสดงความหึงหวงอย่างเห็นได้ชัด

ชอบ ? ธรรมชาติก็ชอบคนสวย คนสวยใครจะไม่ชอบล่ะ ? เธอหันศีรษะไปมองโม่หาน “ความชอบจะมีประโยชน์อะไร ? ผู้หญิงที่เคยหย่าร้างและยังให้กำเนิดลูกอีก จะคู่ควรกับคนอื่นได้อย่างไรล่ะ ?”

พูดเสร็จ เธอก็หลับตาลง เธออดไม่ได้ที่จะพูดอยู่ในใจมันอึดอัดจริงๆ

คำพูดและการกระทำของพ่อแม่เฮ่อ ทำให้เธอตระหนักได้อย่างชัดเจนอีกครั้งว่าสถานการณ์ของเธอในตอนนี้ เหมือนกับคำพูดของแม่ของเธอ ที่โดนทำลายโดยตระกูลโม่

โม่หานคิดว่า เธอกำลังร้องไห้ให้กับเฮ่อเทียน เขายกมือขึ้นและเช็ดน้ำตาบนใบหน้าของเธอและพูดว่า “ไม่ต้องร้องไห้แล้ว”

สิ่งที่เขาสั่ง ในความเป็นจริง คือโกรธจนแทบจะเป็นบ้าแล้ว

ผู้หญิงที่เขารัก แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าเขา เธอกับหลั่งน้ำตาให้กับชายคนอื่น

มู่เฉียวสูดหายใจ “โม่หาน คุณเห็นฉันโดนรังเกียจขนาดนี้ คุณมีความสุขมากใช่ไหม ? ความรู้สึกของความสำเร็จที่ไม่เหมือนใคร ?”

พูดจบ เธอก็หันศีรษะมองออกไปข้างนอกถอนหายใจอย่างโล่งใจ จากนั้น เธอก็ต้องการดึงประตูและลงจากรถ แต่กลับถูกชายหนุ่มโน้มตัวลงมาและขาดเข็มขัดนิรภัยให้เธอ

มู่เฉียวขมวดคิ้วและหงุดหงิดเล็กน้อย แม้ว่าเธอจะไม่ได้รักเฮ่อเทียน แต่ว่าก็ยังมีมิตรภาพอยู่ การจบแบบนี้ ทำให้เธอรู้สึกแย่อยู่ภายในใจ “คุณจะทำอะไร ฉันจะลงรถ”

“ตึกชั้นบนสุดฝั่งตรงข้าม สามารถมองเห็นวิวมุมกว้างของทุกสิ่งที่อยู่ข้างถนน คุณแน่ใจเหรอว่าคุณจถลงจากรถตอนนี้ ?”

มู่เฉียวขาดเข็มขัดนิรภัย และมองไปที่โม่หาน มันเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะไม่มีธุระอะไรแล้วผ่านมาที่นี่ ถ้าอย่างนั้นก็มีความเป็นไปได้เพียงอย่างเดียวคือเลื่อนกระจกรถขึ้น เมื่อวานคุณไปหาพ่อแม่ของเฮ่อเทียน ? ไม่อย่างนั้น พวกเขาจะมาทันเวลาขนาดนั้นได้อย่างไร

ชายหนุ่มไม่พูดอะไร และสตาร์ทเครื่องยนต์

ทันทีที่เหยียบคันเร่ง รถก็แล่นออกไปไกล

ในที่สุดรถก็มาจอดที่หน้าคฤหาสน์ และชายหนุ่มก็พูดว่า “มื้อค่ำ คงทานไม่อื่มใช่ไหม ? ผมพาคุณไปหาอะไรทาน” ในขณะนี้รถก็แล่นออกไปไกลแล้ว

มู่เฉียวรู้จักที่นี่ ครั้งแรกที่พ่อแม่ทั้งสองฝ่ายได้พบกัน ดูเหมือนก็จะเป็นที่นี่

เธอหิวมากจริงๆ และเธอไม่อยากถูกตามใจ เธอลงจากรถและเดินเข้าไปคนละที่กับโม่หาน

ผู้คนข้างในต่างประหลาดใจอย่างเห็นได้ชัด เมื่อเห็นเขาเข้ามาพร้อมกับหน้าใหม่

โม่หานสั่งอาหารอย่างเชี่ยวชาญ

เดิมทีมู่เฉียวกำลังเล่นโทรศัพท์ เมื่อได้ยินเข้าสั่งอาหาร เธอก็อดไม่ได้ที่จะเงยหน้าขึ้นอย่างช้าๆ และบังเอิญสบตากับโม่หานพอดี

เขาสั่งอาหารที่เธอชอบทั้งนั้นเลย นี่เป็นเรื่องบังเอิญเหรอ ?

ชายหนุ่มถอนสายตาและมองออกไปข้างนอกหน้าต่าง “มู่เฉียว คุณเชื่อผมไหม ?”

เสียงสะท้อนก้องอยู่ในหู

มู่เฉียวอยากจะตอบว่า ไม่เชื่อ

เพราะคำพูดของคุณมันนับอะไรไม่ได้ แต่สุดท้ายเธอก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา

โม่หาน

แต่ก็ไม่ได้แกล้งอะไรเธอ อาหารเสิร์ฟเร็วมาก หลังจากเสิร์ฟอาหารแล้ว โม่หานก็หยิบจานมาแกะเปลือกกุ้งและดึงก้างปลาออก เขาทำทุกอย่างอย่างราบรื่น ถ้าหากไม่ใช่ว่าพวกเขารู้จักกันดี มู่เฉียวยังคิดว่า ทั้งหมดนี้เป็นความฝัน

“ต่อไปนี้ อย่าคิดไปแต่งงานกับคนอื่น พวกเรายังไม่ได้หย่ากัน”

ตะเกียบในมือของเธอหล่นลงไปที่พื้น มู่เฉียวเงยหน้ามองโม่หานอย่างตกตะลึง “คุณหมายความว่าอะไร ?”

ชายหนุ่มนำกุ้งมาใส่ในจานของเธอ แล้วตอบคำถามของเธอด้วยท่าทีที่สงบ “ความหมายตามคำพูดข้างบน”

มู่เฉียวปิดปากของเธอ บอกตามตรง นี่มันเกินความคาดหมายของเธอจริงๆ

“ทำไมถึงยังไม่หย่ากันล่ะ ? ตระกูลโม่ไม่ได้บอกว่า พวกเราหย่ากันแล้วเหรอ ?”

ชายหนุ่มทุบตะเกียบลงพื้น สีหน้าเคร่งขรึม “คุณอยากหย่าขนาดนั้นเลยเหรอ ?

มู่เฉียวสูดหายใจ เธอไม่อยาก แต่เธอสามารถพูดปฏิเสธได้ด้วยเหรอ ?

“ฉันก็ไม่อยากหย่า แต่ประเทศของพวกเรามีกฎหมาย ห้ามมีภรรยาหลายคนใช่ไหม ? คุณกับคุณเหอ คุณไม่ต้องการแล้วเหรอ ?”

โม่หานไม่พูดอะไร แต่หัวใจของมู่เฉียวกลับเย็นชา เธอเม้มปาก ในใจรู้สึกผิดหวังและขุ่นเคือง

“ในเมื่อยังไม่หย่า ถ้างั้นก็ไปหย่าปะ !โม่หาน ถ้าหากคุณให้อนาคตกับฉันไม่ได้ ถ้าอย่างนั้น ชีวิตของฉัน คุณช่วยเลิกยุ่งกับมันได้ไหม เมื่อก่อนนั้นคือความผิดพลาด ในเมื่อได้รับการแก้ไขแล้ว ก็อย่าทำผิดพลาดอีกเลย ตกลงไหม ? ฉันขอร้องคุณล่ะ อยู่ให้ห่างจากฉันหน่อย”

น้ำเสียงที่อ้อนวอนของเธอยิ่งน่ารำคาญ เธอพบว่า ตราบใดที่เธอยังได้พบกับผู้ชายคนนี้ ชีวิตของเธอก็จะยุ่งเหยิงแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ

ชายหนุ่มไม่พูดอะไร แววตาของเขามองไปข้างหน้า

อาหารมื้อนี้ ในที่สุดมันก็จบลงด้วยความเงียบ

หลังจากทานอาหารเสร็จ ท้องฟ้าก็มืดแล้ว

โม่หานพาเธอเข้าไปยังในเมือง

มู่เฉียวมองเขา ข้างหน้านั้นก็คือโรงแรม คุณปล่อยฉันไปเถอะ

ชายหนุ่มเชื่อฟัง เลี้ยวรถไปด้านขวา และหยุดลงที่ข้างถนนจริงๆ แต่ยังล็อกประตูไว้

“โม่หาน นี่คุณหมายความว่าอะไร ?”

“มู่เฉียว คุณรอผมสักครู่”

ประโยคนี้ทำให้สีหน้าของมู่เฉียวดูมีชีวิตชีวาขึ้น ผ่านไปครู่หนึ่ง เธอก็ถามออกไปว่า “คุณหมายความว่าอะไร ?”

ชายหนุ่มหันศีรษะมา ความอ่อนโยนในดวงตาของเขา ทำให้หูของมู่เฉียวแดงก่ำชั่วขณะ โม่หานที่เป็นแบบนี้ทำให้เธอนึกถึงเรื่องราวเมื่อสองสามปีก่อน

เธอก้มศีรษะลงด้วยความตื่นตระหนก

ในขณะนี้ เสียงคลายล็อกประตูก็ดังขึ้น “แกร็ก”

คุณลงรถไปเถอะ ?

เอ๊ะ ?

“ลงรถ !”

“เรื่องเมื่อวาน เป็นผมที่ไม่ได้คิดให้รอบคอบ ผมควรจะพาคุณไปเจอพ่อแม่ของผมก่อน ขอโทษนะ”

มู่เฉียวเม้มริมฝีปาก ก้าวไปข้างหน้าและมองเฮ่อเทียน “เฮ่อเทียน ที่จริงแล้ว………”

“ผมรู้ ตอนนี้ในใจของคุณต้องกำลังโกรธผมแน่ แต่ว่า เสี่ยวเฉียว ผมจะพิสูจน์ให้คุณเห็นว่า ผมไม่เล่นสนุก ผมจริงจัง”

จากนั้น เขาก็เปิดประตูรถและผลักมู่เฉียวเข้าไปในรถ

“เฮ่อเทียน พ่อแม่คุณก็น่าจะรู้ว่าฉันเคยหย่า และเคยเกิดลูกใช่ไหม ?” มู่เฉียวถามหลังจากนั่งรถ เมื่อเธอเห็นเฮ่อเทียนคาดเข็มขัดนิรภัย ตัวเธอก็สั่น ในใจก็รู้ว่า เฮ่อเทียนรักเธอ เธอเชื่อ แต่ใครที่แต่งงาน จะแต่งงานกับแค่คนคนเดียวกันล่ะ ?

เฮ่อเทียนชอบเธออีกครั้ง แต่ว่า พ่อแม่ของเธอต้องไม่มีทางชอบเธอแน่นอน

ลูกชายที่แสนดีขนาดนี้ แต่กลับจะแต่งงานกับผู้หญิงที่เป็นตัวภาระ ผู้หญิงที่เคยหย่า และเธอก็เป็นแม่คนแล้ว ถึงแม้จะเป็นลูกสาว แต่เธอก็คิดว่าในอนาคตถ้ามู่เสี่ยวโยวแต่งงานกับชายที่เคยหย่าร้างและยังมีลูกอีก เป็นเธอก็คงจะไม่มีวันเห็นด้วยอย่างแน่นอน

เมื่อฟังดู มันอาจจะธรรมดาไปหน่อย แต่ในฐานะพ่อแม่ ใครบ้างไม่ต้องการให้ลูกชายลูกสาวของตัวเองมีคู่ที่เหมาะสม ?

ดังนั้น เธอจึงสามารถเข้าใจพ่อแม่ของเฮ่อเทียนได้เป็นอย่างดี

“พวกเขาจะต้องชอบคุณ”

เฮ่อเทียนยืนกราน แต่มู่เฉียวแค่ยิ้ม สำหรับบางสิ่งบางอย่าง บางทีก็คงต้องให้เขาหมดหวัง เขาถึงจะปล่อยมือไปเอง เธอไม่พูดอะไรอีก และรัดเข็มขัดนิรภัยอีกครั้ง

“ถ้างั้นก็ได้ ไปกันเถอะ”

เมื่อเฮ่อเทียนบอกว่าพ่อแม่ของเขาอยู่เมือง A มู่เฉียวก็รู้สึกงงเล็กน้อย เธอไม่เข้าใจว่าทำไมพ่อแม่เฮ่อที่อยู่ไกลถึงเมือง A ทำไมจู่ๆถึงไปร่วมงานแต่งงานของมู่หลิงเมื่อวานได้ ?

อย่างไรก็ตาม มีบางเรื่อง เธอก็ไม่อยากรู้มากเกินไป

เธอลากับหลิวฮั่วแล้ว ทั้งสองคนนั่งเครื่องบินมาถึงตระกูลเฮ่อ ก็ปาเข้าไปบ่ายสามโมงกว่าแล้ว

พ่อแม่เฮ่อได้ยินจากเฮ่อเทียนว่าทั้งสองคนจะมา พวกเขาเลยไม่แปลกใจ และพวกเขายินดีต้อนรับมู่เฉียวอย่างสุภาพ

“คุณชื่อมู่เฉียวใช่ไหม ? ดูสิ เคยเกิดลูกแล้ว แต่รูปร่างยังดูดีมากเลย”

แก้วน้ำในมือของมู่เฉียวสั่นกระเพื่อม แต่ในใจกลับสงบมาก

เธอยิ้มและพูดว่า “คุณน้า คุณชมเกินไปแล้ว ฉันเทียบกับสาวไม่ได้ด้วยซ้ำ”

เฮ่อเทียนกระแอมออกมาเล็กน้อย “แม่ คุณพูดเรื่องพวกนี้ทำไม ?”

แม่เฮ่อชำเลืองมองมู่เฉียว “มู่เฉียว วันนี้ฉันปวดหลัง ลูกสะใภ้คนอื่นอีกสองคนก็ต้องดูลูก วันนี้คุณมาพอดีเลย ไม่รู้ว่าคุณจะสามารถช่วยทำอาหารได้รึเปล่า ”

มู่เฉียวเหลือบมองเฮ่อเทียน “ถ้างั้น คุณน้า คุณนั่ง ฉันกับเฮ่อเทียนจะไปทำอาหาร ?”

ขณะที่พูด เธอก็ลุกขึ้น  คุณไปที่ห้องหนังสือของพ่อคุณหน่อย”

มู่เฉียวยังยิ้มมุมปากของตัวเอง แต่ก็ไม่พูดอะไร

จากนั้น เธอก็ได้ยินสิ่งของบางอย่างตกลงมา แม้ว่าจะต้องผ่านมาอีกสองสามประตู แต่เสียงนั่นก็ยังอยู่ในหูของเธอ

เธอไม่ได้โง่ และเธอก็ไม่ใช่เด็กที่ประมาท เธอรู้หลักการทั้งหมด เธอรู้ดีถึงผลประโยชน์เล็กน้อยทั้งหมด และเธอเข้าใจเป็นอย่างดีว่า เธอกับเฮ่อเทียนมันเป็นไปไม่ได้ แต่ก็โชคดี โชคดีที่เธอไม่ได้คาดหวังอะไรเลย ไม่อย่างนั้น คงน่าอึดอัดน่าดู

แค่นึกถึงเฮ่อเทียน ทันใดนั้นเธอก็รู้สึกสงสารเขา เธอทำอาหารเหมือนกับทำงาน เป็นระเบียบและดูไม่รีบร้อน เธอล้างผัก หั่นผัก และทำอาหาร โดยไม่ล่าช้าเลย

แม่เฮ่อนั่งอยู่บนโซฟา และเห็นฉากนี้ต่อหน้าต่อตา สายตาของลูกชาย พวกเขาไม่เคยสงสัยเลย แต่ว่า คำพูดของคนก็น่ากลัว และอีกอย่าง เมื่อคิดถึงคำเตือนของชายคนนั้นเมื่อวาน พวกเขาก็ยิ่งไม่กล้าทำให้มันเป็นเรื่องเล่น

ลูกสะใภ้คนโตบอกเธอว่า ผู้ชายคนนั้นคืออดีตสามีของมู่เฉียว เขาร่ำรวย มีอำนาจ แต่โหดร้ายและไม่มีความรัก

“ถ้าหากพวกเขาอยู่ด้วยกันแล้ว ลูกชายของคุณก็จะอยู่ในความสิ้นหวัง”

เธอหลับตา ก้าวไปข้างหน้า และเปิดประตูกระจกของห้องครัว “มู่เฉียว…………”

มู่เฉียวหันกลับมามองแม่มู่ “คุณน้า คุณปวดเอว คุณควรจะไปนั่งก่อนนะ ดูสิ ฉันเกือบจะทำเสร็จแล้ว”

แม่เฮ่อมองดูจานหกเจ็ดจานที่มีสีสันสวยงาม และดวงตาของเธอก็อดไม่ได้ที่จะเป็นประกาย แต่เพื่อลูกชาย เธอทำได้เพียงขอโทษผู้หญิงคนนี้

ทันใดนั้นเธอหยิบจานหนึ่งขึ้นมาดม “แค่ดมก็รู้ว่าอร่อยมาก สมกับที่เป็นแม่คนแล้ว คนเป็นแม่จะทำได้ดีกว่าหญิงสาวธรรมดามาก”

เห็นได้ชัดว่ามันคือคำชม แต่มู่เฉียวกลับฟังอย่างแข็งกร้าว เธอดึงริมฝีปากของเธอด้วยความเขินอายและยิ้ม

ต่อมา ทันทีที่เธอทำอาหารเสร็จ เฮ่อเทียนและพ่อก็เดินออกมาจากห้องหนังสือ เมื่อมองไปที่โต๊ะที่เต็มไปด้วยอาหาร แววตาของเขาก็รู้สึกเศร้าอย่างเห็นได้ชัด

“วันนี้ ลำบากคุณแล้ว”

มู่เฉียวส่ายหัว “ไม่เป็นไรค่ะ แต่ไม่รู้จะถูกปากของพวกคุณรึเปล่า”

เดิมทีเธอคิดว่าตระกูลเฮ่อจะจู้จี้จุกจิก แต่ไม่คิดเลยว่า มื้ออาหารจะกลายเป็นคำชมที่หลากหลาย

สิ่งนี้ทำให้มู่เฉียวประหลาดใจมาก

หลังจากทานอาหารเสร็จ

สะใภ้ใหญ่และสะใภ้รองบอกว่าต้องดูแลลูก แม่เฮ่อก็บอกว่าตัวเองปวดเอว เฮ่อเทียนก็ถูกเรียกเข้าไปในห้องหนังสืออีกครั้ง บอกว่าจะพูดคุยเรื่องที่ยังพูดค้างอยู่

มู่เฉียวไม่ได้กวนหรือพูดคุยใดๆ และทำหน้าที่ล้างจานโดยอัตโนมัติ

เมื่อล้างไปได้ครึ่งหนึ่ง ประตูห้องหนังสือก็เปิดออก เฮ่อเทียนออกมา เดินเข้ามาในห้องครัว และจับมือของมู่เฉียว “ไม่ต้องล้างแล้ว มากับผมเถอะ”

มู่เฉียวไม่สนใจเขา และยังคงล้างจานที่เป็นฟองอยู่

เอ่อเทียนมองดูเธอ “คุณมองไม่ออกเหรอ พวกเขาจงใจทำกับคุณ ? มู่เฉียว”

ในที่สุดมู่เฉียวก็ล้างจานสองสามใบสะอาด และเช็ดเตาอีกครั้ง

จากนั้น เธอก็ผ่านเฮ่อเทียนเดินไปที่ห้องนั่งเล่น เปิดกระเป๋า และหยิบยาคุมกำเนิดฉุกเฉินที่กินช้าเกินไปจากข้างในออกมา แล้วกางออกบนฝ่ามือของเธอ “เฮ่อเทียน ถึงแม้ว่าจะไม่มีการจงใจของพวกเขา พวกเราก็เป็นไปไม่ได้หรอก”

เมื่อดวงตาของเฮ่อเทียนเพ่งมองคำว่ายาคุมกำเนิดฉุกเฉิน ใบหน้าของเขาก็ซีดลงทันที “นี่มันหมายความว่ายังไง ?”

“เมื่อคืนฉันอยู่กับเขา และพวกเราก็นอนด้วยกันแล้ว”เธอรู้ว่าบาดแผลนี้จะทำให้ชายคนหนึ่งบาดเจ็บจนตายได้ แต่มู่เฉียวก็คงจะยังทำต่อไป

เธอรู้ดีว่าถึงแม้ว่าจะไม่มีโม่หาน ถึงแม้ว่าเธอจะปล่อยโม่หานไป แต่ระหว่างเธอกลับเฮ่อเทียน มันก็ไม่มีทางเป็นไปได้ เธอ ไม่อยากทำร้ายผู้ชายคนนี้

“เพล้ง” แจกันดอกไม้บนโต๊ะถูกโยนขึ้นและกระแทกกับพื้นอย่างแรง มู่เฉียว คุณรู้ไหมว่าคุณกำลังพูดอะไรอยู่? ชายคนนี้คำราม

มู่เฉียวขมวดคิ้ว “ระหว่างผู้ใหญ่ เรื่องแบบนี้ มันก็เป็นเรื่องปกติไม่ใช่รึไง ? ”เธอพยายามทำให้น้ำเสียงของตัวเองฟังดูปกติ

“เพล้ง” ข้างหลัง ก็มีเสียงดังขึ้นอีก

นั่นเป็นเสียงแก้วในมือของแม่เฮ่อที่ตกลงสู่พื้น มู่เฉียวหลับตา เธอรู้ว่านี่คือจุดจบของเธอกับเฮ่อเทียน ถึงแม้ว่าตอนจบนี้มันจะโหดร้าย แต่มันก็ได้ผลที่สุด

เธอค่อยค่อยกำมือของตัวเองและเอายาคุมกำเนิดเก็บเข้าไปใส่ในกระเป๋า เงยหน้าขึ้นมองเฮ่อเทียน จากนั้นก็มองไปที่พ่อแม่เฮ่อที่ตกตะลึง เธอโค้งตัวเล็กน้อย “คุณน้า คุณลุง ขอโทษที่มารบกวนนะคะ”

เมื่อเธอจากไป เฮ่อเทียนไม่ได้เดินตามเธอมา เธอถอนหายใจด้วยความโล่งอก

เมื่อเธอไปถึงข้างถนน ก่อนที่เธอจะยื่นมือออกไป ก็มีรถคันหนึ่งจอดอยู่ข้างเธอ

กระจกเลื่อนลง

ใบหน้าที่คุ้นเคยของชายคนนั้นปรากฏ และเสียงที่เย็นชาก็ดังขึ้น “ขึ้นรถ”

มู่เฉียวลังเล และมีเสียงฝีเท้าดังขึ้นมาตามหลังเธอ

เธอเปิดประตูข้างคนขับอย่างเด็ดขาด และเข้าไปนั่ง จากนั้นก็คล้องคอของโม่หานมาจูบที่ริมฝีปากของเขา ชายคนนี้ตกใจ จากนั้นก็ยกมือใหญ่ของเขา คว้าเอวของเธอและใช้แรงยกหญิงสาวมานั่งอยู่บนตักของเขา

ท่านี้มันดูน่าอายมาก แต่ท่านี้มันก็คลุมเครือมากเช่นกัน

ชายคนนี้โน้มตัวลง และจูบให้ลึกซึ้งขึ้น

เวลาหยุดนิ่ง ณ เวลานี้ ชะตากรรมถูกเขียนใหม่อีกครั้ง

มู่เฉียว คุณได้ทำลายโอกาสหนีของคุณด้วยตัวเองอีกครั้ง

ผ่านไปครู่หนึ่ง หลังจากยืนยันว่าคนด้านนอกไปแล้ว โม่หานก็ปล่อยเธอ แต่สีหน้าของเขากลับดำคล้ำ

“มู่เฉียว คุณชอบเขาเหรอ ?” เขามองดูมู่เฉียวด้วยน้ำตาคลอเบ้า ดวงตาแสดงความหึงหวงอย่างเห็นได้ชัด

ชอบ ? ธรรมชาติก็ชอบคนสวย คนสวยใครจะไม่ชอบล่ะ ? เธอหันศีรษะไปมองโม่หาน “ความชอบจะมีประโยชน์อะไร ? ผู้หญิงที่เคยหย่าร้างและยังให้กำเนิดลูกอีก จะคู่ควรกับคนอื่นได้อย่างไรล่ะ ?”

พูดเสร็จ เธอก็หลับตาลง เธออดไม่ได้ที่จะพูดอยู่ในใจมันอึดอัดจริงๆ

คำพูดและการกระทำของพ่อแม่เฮ่อ ทำให้เธอตระหนักได้อย่างชัดเจนอีกครั้งว่าสถานการณ์ของเธอในตอนนี้ เหมือนกับคำพูดของแม่ของเธอ ที่โดนทำลายโดยตระกูลโม่

โม่หานคิดว่า เธอกำลังร้องไห้ให้กับเฮ่อเทียน เขายกมือขึ้นและเช็ดน้ำตาบนใบหน้าของเธอและพูดว่า “ไม่ต้องร้องไห้แล้ว”

สิ่งที่เขาสั่ง ในความเป็นจริง คือโกรธจนแทบจะเป็นบ้าแล้ว

ผู้หญิงที่เขารัก แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าเขา เธอกับหลั่งน้ำตาให้กับชายคนอื่น

มู่เฉียวสูดหายใจ “โม่หาน คุณเห็นฉันโดนรังเกียจขนาดนี้ คุณมีความสุขมากใช่ไหม ? ความรู้สึกของความสำเร็จที่ไม่เหมือนใคร ?”

พูดจบ เธอก็หันศีรษะมองออกไปข้างนอกถอนหายใจอย่างโล่งใจ จากนั้น เธอก็ต้องการดึงประตูและลงจากรถ แต่กลับถูกชายหนุ่มโน้มตัวลงมาและขาดเข็มขัดนิรภัยให้เธอ

มู่เฉียวขมวดคิ้วและหงุดหงิดเล็กน้อย แม้ว่าเธอจะไม่ได้รักเฮ่อเทียน แต่ว่าก็ยังมีมิตรภาพอยู่ การจบแบบนี้ ทำให้เธอรู้สึกแย่อยู่ภายในใจ “คุณจะทำอะไร ฉันจะลงรถ”

“ตึกชั้นบนสุดฝั่งตรงข้าม สามารถมองเห็นวิวมุมกว้างของทุกสิ่งที่อยู่ข้างถนน คุณแน่ใจเหรอว่าคุณจถลงจากรถตอนนี้ ?”

มู่เฉียวขาดเข็มขัดนิรภัย และมองไปที่โม่หาน มันเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะไม่มีธุระอะไรแล้วผ่านมาที่นี่ ถ้าอย่างนั้นก็มีความเป็นไปได้เพียงอย่างเดียวคือ  เลื่อนกระจกรถขึ้น เมื่อวานคุณไปหาพ่อแม่ของเฮ่อเทียน ? ไม่อย่างนั้น พวกเขาจะมาทันเวลาขนาดนั้นได้อย่างไร

ชายหนุ่มไม่พูดอะไร และสตาร์ทเครื่องยนต์

ทันทีที่เหยียบคันเร่ง รถก็แล่นออกไปไกล

ในที่สุดรถก็มาจอดที่หน้าคฤหาสน์ และชายหนุ่มก็พูดว่า “มื้อค่ำ คงทานไม่อื่มใช่ไหม ? ผมพาคุณไปหาอะไรทาน” ในขณะนี้รถก็แล่นออกไปไกลแล้ว

มู่เฉียวรู้จักที่นี่ ครั้งแรกที่พ่อแม่ทั้งสองฝ่ายได้พบกัน ดูเหมือนก็จะเป็นที่นี่

เธอหิวมากจริงๆ และเธอไม่อยากถูกตามใจ เธอลงจากรถและเดินเข้าไปคนละที่กับโม่หาน

ผู้คนข้างในต่างประหลาดใจอย่างเห็นได้ชัด เมื่อเห็นเขาเข้ามาพร้อมกับหน้าใหม่

โม่หานสั่งอาหารอย่างเชี่ยวชาญ

เดิมทีมู่เฉียวกำลังเล่นโทรศัพท์ เมื่อได้ยินเข้าสั่งอาหาร เธอก็อดไม่ได้ที่จะเงยหน้าขึ้นอย่างช้าๆ และบังเอิญสบตากับโม่หานพอดี

เขาสั่งอาหารที่เธอชอบทั้งนั้นเลย นี่เป็นเรื่องบังเอิญเหรอ ?

ชายหนุ่มถอนสายตาและมองออกไปข้างนอกหน้าต่าง “มู่เฉียว คุณเชื่อผมไหม ?”

เสียงสะท้อนก้องอยู่ในหู

มู่เฉียวอยากจะตอบว่า ไม่เชื่อ

เพราะคำพูดของคุณมันนับอะไรไม่ได้ แต่สุดท้ายเธอก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา

โม่หาน

แต่ก็ไม่ได้แกล้งอะไรเธอ อาหารเสิร์ฟเร็วมาก หลังจากเสิร์ฟอาหารแล้ว โม่หานก็หยิบจานมาแกะเปลือกกุ้งและดึงก้างปลาออก เขาทำทุกอย่างอย่างราบรื่น ถ้าหากไม่ใช่ว่าพวกเขารู้จักกันดี มู่เฉียวยังคิดว่า ทั้งหมดนี้เป็นความฝัน

“ต่อไปนี้ อย่าคิดไปแต่งงานกับคนอื่น พวกเรายังไม่ได้หย่ากัน”

ตะเกียบในมือของเธอหล่นลงไปที่พื้น มู่เฉียวเงยหน้ามองโม่หานอย่างตกตะลึง “คุณหมายความว่าอะไร ?”

ชายหนุ่มนำกุ้งมาใส่ในจานของเธอ แล้วตอบคำถามของเธอด้วยท่าทีที่สงบ “ความหมายตามคำพูดข้างบน”

มู่เฉียวปิดปากของเธอ บอกตามตรง นี่มันเกินความคาดหมายของเธอจริงๆ

“ทำไมถึงยังไม่หย่ากันล่ะ ? ตระกูลโม่ไม่ได้บอกว่า พวกเราหย่ากันแล้วเหรอ ?”

ชายหนุ่มทุบตะเกียบลงพื้น สีหน้าเคร่งขรึม “คุณอยากหย่าขนาดนั้นเลยเหรอ ?

มู่เฉียวสูดหายใจ เธอไม่อยาก แต่เธอสามารถพูดปฏิเสธได้ด้วยเหรอ ?

“ฉันก็ไม่อยากหย่า แต่ประเทศของพวกเรามีกฎหมาย ห้ามมีภรรยาหลายคนใช่ไหม ? คุณกับคุณเหอ คุณไม่ต้องการแล้วเหรอ ?”

โม่หานไม่พูดอะไร แต่หัวใจของมู่เฉียวกลับเย็นชา เธอเม้มปาก ในใจรู้สึกผิดหวังและขุ่นเคือง

“ในเมื่อยังไม่หย่า ถ้างั้นก็ไปหย่าปะ !โม่หาน ถ้าหากคุณให้อนาคตกับฉันไม่ได้ ถ้าอย่างนั้น ชีวิตของฉัน คุณช่วยเลิกยุ่งกับมันได้ไหม เมื่อก่อนนั้นคือความผิดพลาด ในเมื่อได้รับการแก้ไขแล้ว ก็อย่าทำผิดพลาดอีกเลย ตกลงไหม ? ฉันขอร้องคุณล่ะ อยู่ให้ห่างจากฉันหน่อย”

น้ำเสียงที่อ้อนวอนของเธอยิ่งน่ารำคาญ เธอพบว่า ตราบใดที่เธอยังได้พบกับผู้ชายคนนี้ ชีวิตของเธอก็จะยุ่งเหยิงแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ

ชายหนุ่มไม่พูดอะไร แววตาของเขามองไปข้างหน้า

อาหารมื้อนี้ ในที่สุดมันก็จบลงด้วยความเงียบ

หลังจากทานอาหารเสร็จ ท้องฟ้าก็มืดแล้ว

โม่หานพาเธอเข้าไปยังในเมือง

มู่เฉียวมองเขา ข้างหน้านั้นก็คือโรงแรม คุณปล่อยฉันไปเถอะ

ชายหนุ่มเชื่อฟัง เลี้ยวรถไปด้านขวา และหยุดลงที่ข้างถนนจริงๆ แต่ยังล็อกประตูไว้

“โม่หาน นี่คุณหมายความว่าอะไร ?”

“มู่เฉียว คุณรอผมสักครู่”

ประโยคนี้ทำให้สีหน้าของมู่เฉียวดูมีชีวิตชีวาขึ้น ผ่านไปครู่หนึ่ง เธอก็ถามออกไปว่า “คุณหมายความว่าอะไร ?”

ชายหนุ่มหันศีรษะมา ความอ่อนโยนในดวงตาของเขา ทำให้หูของมู่เฉียวแดงก่ำชั่วขณะ โม่หานที่เป็นแบบนี้ทำให้เธอนึกถึงเรื่องราวเมื่อสองสามปีก่อน

เธอก้มศีรษะลงด้วยความตื่นตระหนก

ในขณะนี้ เสียงคลายล็อกประตูก็ดังขึ้น “แกร็ก”

คุณลงรถไปเถอะ ?

เอ๊ะ ?

“ลงรถ !”

แม่ตักซุปถ้วยหนึ่งส่งมาให้เธอ “ถึงได้บอกไง ว่าเมืองใหญ่นี้มีอะไรดี พูดถึงเพื่อนบ้าน นี่เราย้ายมาตั้งครึ่งปีแล้ว ยังไม่เจอหน้ากันเลย เมื่อก่อนตอนอยู่เมืองa เพื่อนบ้านคนนั้น……”ทันใดนั้นแม่ก็รู้สึกว่าตัวเองพูดมากเกินไป

การเคลื่อนไหวของมู่เฉียวที่กัดซาลาเปา ชะงักไปเล็กน้อย ทำไมเธอจะไม่เข้าใจ ในเมืองbแห่งนี้ ไม่ว่าจะอยู่ดีกินดีแค่ไหน จะเป็นสวรรค์วิมานก็ไม่เหมือนอยู่บ้านตัวเอง พ่อกับแม่เป็นคนเมืองa อายุยิ่งมากก็ยิ่งคิดถึง

บางที เธออาจต้องพิจารณาที่จะกลับเมืองaแล้ว

“แล้วฤกษ์วันงานของมู่หลิงกับเซี่ยหยูกำหนดมาแล้วหรือยังคะ?”

พ่อเดินออกมาจากห้อง “เรื่องนี้ ตระกูลเซี่ยเป็นคนจัดการ เฮ้อ นี่ได้คู่ครองที่เหมาะสมกันอย่างกิ่งทองใบหยก ทั้งๆที่ลูกชายสู่ขอสะใภ้ แต่ทำไมถึงรู้สึกเหมือนว่าแต่งลูกสาวออกไปเลย?”

มู่เฉียวตักซุปไปให้พ่อ ลุกขึ้น เก็บกระเป๋าให้มู่เสี่ยวโยว “พวกคุณทั้งสองคนสบายดีก็พอแล้ว ให้พ่อได้กลุ้มใจน้อยลง พ่อกลับไม่ดีใจ ยังจะบ่นอยู่อีก”พูดจบ ก็เดินเข้าห้อง

เห็นว่ามู่เสี่ยวโยวตื่นแล้ว กำลังสวมชุดกระโปรงสีขาวเมื่อคืน เธอขมวดคิ้ว “เสี่ยวโยว ไปโรงเรียน ใส่ชุดนี้ไม่ได้ เวลาเข้าห้องน้ำจะไม่สะดวก”

มู่เสี่ยวโยวกอดชุดนั้นไว้ “แม่คะ หนูใส่แค่ครั้งนี้ครั้งเดียว นะคะ?”

มู่เฉียวแตะปลายจมูกที่เล็กกระทัดรัดของเธอ “เสี่ยวโยวของเรารักสวยรักงามแล้วเหรอ?”

พูดไป ก็ขยี้ผมเธอ

“แม่ หนูไม่ได้รักสวยรักงาม หนูแค่อยากให้เพื่อนเห็น ว่านี่เป็นของขวัญที่พ่อส่งมาให้จากบนฟ้า”

หัวของมู่เฉียว นิ่งไปเล็กน้อย “เสี่ยวโยว…..”

“แม่ ใส่แค่ครั้งเดียว ได้ไหมคะ? หนูจะไม่ทำมันสกปรกแน่นอน นี่เป็นชุดที่พ่อซื้อให้”

เมื่อเห็นแววตาที่อ้อนวอนของเธอ มู่เฉียวก็ไม่พูดอะไร

บางทีเธออาจประเมินความปรารถนาของลูกที่ต้องการพ่อต่ำเกินไป การหย่าร้าง ทั้งชายและหญิงสามารถอยู่ได้ด้วยตัวเอง แต่ กลับไม่สามารถหลีกเลี่ยงว่าเป็นการทำร้ายลูก เธอสามารถเพิ่งความขยันของเธอให้ของทุกชิ้นที่เธอต้องการกับเธอได้ แต่กลับไม่สามารถให้ความรักของพ่อได้

พอถึงโรงเรียน เธอเรียกครูสองคนออกไปนอกห้อง อธิบายสถานการณ์นี้กับครู

อย่างไรก็ตามผู้ใหญ่ทุกคนเข้าใจดี ว่าสวรรค์ หมายถึงอะไร?

“คุณแม่เสี่ยวโยว ฉันขอโทษจริงๆ ฉันไม่รู้ว่าที่จริงแล้วพ่อของเสี่ยวโยว….. ครั้งที่แล้วพูดถึงเรื่องฉันรักพ่อ ฉันยังให้เสี่ยวโยวบรรยายลักษณะพ่อของเธอ”พูดถึงตรงนี้ ครูท่านหนึ่งก้มหน้าลง รู้สึกอึดอัด

มู่เฉียวเม้มปาก “แล้วเธอ ตอบว่ายังไง?” จู่ๆเธอก็อยากรู้ว่าในสายตาของมู่เสี่ยวโยว โม่หานจะเป็นคนยังไง?

ครูสูดหายใจเข้า แล้วตอบกลับ “เธอบอกว่า พ่อของเธอหล่อมาก เหมือนอุลตร้าแมน”

ตอนนั้นครูรู้สึกหัวเราะไม่ออกร้องไห้​ไม่ได้กับคำตอบนี้ แต่พอตอนนี้มาคิดดูแล้ว ก็รู้สึกเศร้ามาก และอดไม่ได้ที่จะโค้งคำนับมู่เฉียว “ขอโทษจริงๆนะคะ ต่อไป ฉันจะระวัง เสี่ยวโยวเธอ……”

ที่จริงพ่อของเธอยังอยู่ เพียงแต่เราหย่ากันแล้ว” เธอหลีกเลี่ยงปัญหาสำคัญ แต่ในใจกลับหนักอึ้ง

พอถึงบริษัท ตู้เสี่ยวซินเห็นว่าอารมณ์เธอไม่ค่อยดี ก็เข้าไปถาม “นี่ใครมายั่วเทพธิดาของเรากัน?”

ตู้เสี่ยวซินมาทำงานที่บริษัทภายใต้การโน้มน้าวของมู่เฉียว หันเหความสนใจจากหลิวฮั่วแล้ว อาการหึงหวงก็เริ่มกลายเป็นปกติ

มู่เฉียวมองตู้เสี่ยวซิน “รอมู่หลิงแต่งงานแล้ว ฉันอยากพาเสี่ยวโยวกับพ่อแม่กลับเมืองa” ก่อนหน้านี้เธอมีความคิดแบบนี้ในใจเท่านั้น แต่ พอไปโรงเรียนของเสี่ยวโยว เธอจึงได้ตัดสินใจ

เธอตัดสินใจว่าแต่ลูกต้องการพ่อ มันเป็นความรับผิดชอบและภาระผูกพันของโม่หาน

ตู้เสี่ยวซินพูดอย่างตกใจ “มาๆ ขอเหตุผลหน่อย”

มู่เฉียวมองเธอ อ้าปากกำลังจะพูด

“เพราะโม่หานใช่ไหม ใช่ไหม?”

มู่เฉียวมองเธอ “อืม เพื่อเสี่ยวโยวและพ่อกับแม่ ใบไม้ที่ร่วงหล่นก็ควรหวนคืนสู่รากเหง้าไม่ใช่เหรอ?”

ตู้เสี่ยวซินนั่งลงบนโต๊ะทำงานของเธอโดยตรง เลื่อนโทรศัพท์ครั้งหนึ่ง และวางโทรศัพท์ไว้ข้างหน้ามู่เฉียว “เฉียวเอ๋อ เธอดูสิ ผู้ชายแบบนี้ เธอแน่ใจเหรอ ว่าเขาจะเป็นพ่อที่ดีได้ เธอไม่ได้ฟังที่หลิวฮั่วประเมินเขา เขาบอกว่าตอนนี้โม่หานอยู่เมืองa นั่นคือเพชฌฆาต มีหลายบริษัท และหลายคนที่ถูกระงับช่องทางทำมาหากินเพราะเขา เขาไม่มีหัวใจ เธอเฝ้ารอเขามาตั้งหลายปี แล้วเขาล่ะ? เคยถามถึงพวกเธอสองคนแม่ลูกไหม?”

มู่เฉียวไม่พูด สิ่งที่ตู้เสี่ยวซินพูดเป็นความจริง

“ฉันแค่อยากให้มู่เสี่ยวโยวรู้ว่าเขาเป็นใคร?”

“คนอื่นเขาอาจจะไม่รับก็ได้? สถานะตอนนี้ของเขา ผู้หญิงหยิ่งยโสที่อยู่เบื้องหลังพวกนั้น เรียงต่อแถวยาวเป็นมังกร เพียงแค่เขาชอบ มีเด็กแบบไหนที่จะคลอดออกมาไม่ได้? เขาไม่มีทางสนใจมู่เสี่ยวโยวหรอก”

ความเป็นจริงนั้นโหดร้าย แต่มันเป็นความจริงที่มู่เฉียวไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ ก็เหมือนกับที่บางครั้งสมองก็จะปรากฏให้เห็นภาพการกระทำเลวๆของผู้ชายคนนั้นที่เคยทำขึ้นมาให้เห็น

“เธอหาพ่อเลี้ยงสักคนให้มู่เสี่ยวโยวสิ เด็กคนนี้ยังเด็ก พอเวลานานเข้า มีความรู้สึกแล้ว เขาก็จะยอมรับได้เอง”

“เธอรู้อยู่แก่ใจ”

“เธอรู้อยู่แก่ใจ หรือเป็นเธอเองมู่เฉียวที่ไม่เคยลืมเขาเลยตั้งแต่แรก?เธอน่ะ เข้ากับคำว่าผู้ชายไม่เลว ผู้หญิงไม่รักจริงๆ โม่หานคนนี้ แย่มาก เธอ……”

มู่เฉียวไม่พูด พูดให้ถูก ก็คือพูดไม่ออก

งานแต่งของลูกสาวคนเล็กตระกูลเซี่ย เรียกความวุ่นวายที่เมืองbได้ไม่น้อย

ระหว่างนักธุรกิจ ต้องมีการติดต่อกันอยู่แล้ว

ตอนโม่หานซึ่งอยู่เมืองaที่ห่างไกลได้รับคำเชิญ สายตาก็นิ่งลง

“พี่คะ วันนั้น พี่เป็นเพื่อนเจ้าสาวให้ฉันได้ไหม?”จู่ๆเซี่ยหยูก็มาหามู่เฉียว

มู่เฉียวชอบเซี่ยหยูจากใจจริง ผู้หญิงคนนี้ ใสซื่อ ใจดี

เธอยิ้มบางๆ “อย่าพูดเหลวไหล ผู้หญิงที่หย่าร้างมาเป็นเพื่อนเจ้าสาวของคุณ คุณไม่กลัวจะโชคร้ายเหรอ”

เซี่ยหยูกลับขมวดคิ้ว “พี่ ฉันกับมู่หลิงใช้ชีวิตด้วยกัน ฉันไม่เคยเชื่อ พวกไสยศาสตร์ พี่เองก็ได้รับการศึกษาสูง ทำไมถึงได้เชื่อข้อบังคับพวกนี้กันนะ”

มู่เฉียวไม่มีเหตุผลขึ้นมาทันที

“คุณเป็นพี่สาวของมู่หลิง ก็เป็นพี่สาวของฉันด้วย ถ้าพี่ได้อยู่เป็นเพื่อนฉันตอนแต่งงาน ฉันกับมู่หลิงจะมีความสุขมาก”

เมื่อพูดถึงขนาดนี้ มู่เฉียวจะพูดอะไรได้อีก?

วันแต่งงาน มู่เฉียวตื่นแต่เช้า แต่งหน้าอยู่กับเซี่ยหยู ลองชุดออกงาน ปกติเซี่ยหยูจะเป็นคนที่พยายามทำตัวไม่โดดเด่น พอแต่งตัวแบบนี้ ก็สวยมากจนเทียบไม่ติด

“สายตาของน้องชายฉันไม่เลวจริงๆ” เธอพูด

เซี่ยหยูเขินอายเล็กน้อย “ถ้าอย่างนั้น มู่หลิงก็ดูดีกว่า”

พูดตามตรง คนนอกพูดแต่ว่าลูกสาวคนเล็กตระกูลเซี่ย โง่เล็กน้อย สมองไม่ชัดเจน มีผู้ชายตั้งมากให้เธอเลือก กลับไปเลือกชายยากจนคนหนึ่ง แต่ว่า มีแต่มู่เฉียวที่เข้าใจ ว่าเธอเป็นคนที่ฉลาดที่สุด เธอแต่งให้มู่หลิง ก็คือแต่งให้กับความรัก

นึกถึงเมื่อคืนที่น้องชายของเธอตื่นเต้นจนไม่ได้นอนทั้งคืน เธอก็รู้ว่า เซี่ยหยูเลือกไม่ผิด

แต่ เธอกลับไม่รู้มาก่อนว่างานเลี้ยงครั้งนี้จะทำให้ชีวิตที่สงบของเธอ กลับมาวุ่นวายอีกครั้ง

มู่เฉียว คุณลืมตาดูนี่สิ นี่คือผู้ชายคนที่ทำให้คุณใจเต้น และนี่คือผู้ชายคนที่ทำให้คุณเสียใจจนร้องไห้

มือของชายคนนี้เอื้อมไปด้านหลังของเสื้อคลุมมู่เฉียว ได้ยินเสียง “กึก” จากนั้นซิปด้านหลังก็ถูกคลายออก

มู่เฉียวเห็นลูกกระเดือกของชายคนนี้ขึ้นลงอย่างรวดเร็วสองสามครั้ง และความตื่นเต้นในตาของเขาก็ทำให้มู่เฉียวพ่ายแพ้

“ยังไงซะฉันก็อยู่คนเดียว แต่ว่า ประธานโม่มีคู่หมั้นอยู่แล้ว เธอจึงตบมือเสียงดัง ประธานโม่ไม่อยากคิดเหรอว่าคุณจะอธิบายคุณเหอยังไง ?”

ริมฝีปากของโม่หานเลื่อนลงมาที่คอและไหล่ของเธอ และหายใจหอบอยู่บนร่างของเธอ เขาหายใจหอบ ในเวลานี้ เขาควบคุมตัวเองไม่ได้และไม่สนจะคิดอะไรแล้ว เขาเพียงแค่ต้องการผู้หญิงคนนี้

“มู่เฉียว คุณเป็นห่วงผม ใช่ไหม ?”

มู่เฉียวไม่เข้าใจความคิดของผู้ชายคนนี้ เขาทั้งร้อนและเย็น ดังนั้น เธอจึงไม่กล้าตอบเขา เธอกลัวว่าคำตอบของเธอนั้นจะเป็นการเย้ยหยัน

“คุณผิดแล้ว คนที่ฉันเป็นห่วง อยู่ข้างนอก ”

อยู่ข้างนอก ? เฮ่อเทียน ?

ชายคนนี้กัดไปที่คอของเธอ “คุณลองพูดอีกครั้ง”

“ถ้าวันนี้คุณกล้าแตะต้องฉัน โม่หาน ฉันจะเกลียดคุณไปตลอดชีวิต ”เมื่อเธอเลื่อนมือไปที่เอวของชายคนนี้

เธอพูดด้วยน้ำเสียงสบายๆ แต่ในใจกลับประหม่ามาก เธอยังรู้จักโม่หานไม่ดีพอ เธอยิ่งไม่เข้าใจ ความเกลียดชังของตัวเอง จะสามารถระงับสัญชาตญาณดิบของชายคนนี้ได้รึเปล่า

หลังจากนั้นไม่นาน น้ำหนักบนร่างกายของเธอก็เบาลง ชายคนนี้ยืดตัวขึ้นจากร่างของเธอ มือทั้งสองข้างอยู่บนโต๊ะ ศีรษะของเขาห้อยลงมาเล็กน้อย มู่เฉียวไม่เห็นการแสดงออกของเขา แต่กลับได้ยินเสียงหายใจที่ถี่ขึ้นของเขา

“ออกไป”เสียงของชายคนนั้นแหบแห้ง มู่เฉียวก็ยื่นมือออกมาโดยไม่รู้ อยากถามเขาว่าไม่สบายตรงไหนรึเปล่า ? จากนั้น เมื่อนึกถึงบางอย่าง มือก็ค้างอยู่กลางอากาศ

เธอเดินไปทางประตูสองสามก้าว เมื่อเห็นชายคนนี้ไม่มีปฏิกิริยาตอบสนอง เธอก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก และเตรียมที่จะจากไป

แต่ไม่คิดเลยว่า มือเธอกลับถูกดึงไว้

เธอตกใจอุทาน “คุณ……คุณทำอะไร ?”

ชายคนนี้หลับตา เอียงศีรษะไปด้านข้าง และบังคับตัวเองไม่ให้ดูผิวขาวที่อ่อนโยน และมือทั้งสองข้างก็ดึงซิปที่ด้านหลังเธอออก

จากนั้น ก็หันหลังไปที่โต๊ะเครื่องแป้งข้างห้องน้ำ

“ก๊อกก๊อก……..”เสียงเคาะประตูดังขึ้นมา พี่สาว คุณอยู่ข้างในรึเปล่า ?

ในขณะที่มู่เฉียวกำลังจะตอบ ทันใดนั้นก็นึกถึงโม่หานที่อยู่ในห้องน้ำ และนึกถึงเหอเจี๋ยที่อยู่ในที่จัดงาน ถ้าหากให้เธอรู้ว่า เธออยู่กับคู่หมั้นของตัวเอง ถ้างั้น……….

เธอเม้มปาก กลับไปที่หน้าประตูห้องน้ำ และกระซิบเสียงเบาว่า “เอ่อ คุณ……..ยังโอเคไหม ?”

เวลาผ่านไปนานกว่าเสียงของชายคนนี้จะดังออกมา “คุณคิดว่ามันจะเร็วขนาดนั้นเลยเหรอ ?” หน้าเธอแดงก่ำ

“ฉัน……..จะพาเธอออกไปก่อน”

พูดจบ หัวใจก็เต้นเร็วขึ้นอย่างบอกไม่ถูก

เธอเดินไปที่กระจก ตรวจเช็กเครื่องสำอาง จากนั้นก็เปิดประตู ทันทีที่เปิดประตูเซี่ยหยูก็รีบเข้ามา “ฉันขอไปเข้าห้องน้ำก่อน กระโปรงนี้มันยาวเกินไป ยุ่งยากจริงๆ”

มู่เฉียวปิดปาก และคว้าเซี่ยหยูไว้ “เซี่ยหยู นั่นมัน………….”

“พี่สาว มีเรื่องอะไร เดี๋ยวค่อยพูดนะ ฉันขอไปเข้าห้องน้ำก่อน ?”

จากนั้นเธอก็นึกอะไรขึ้นได้ “พี่สาว คุณช่วยฉันถอดนี่ออกมา แล้วสวมใส่ใหม่ได้ไหม ?”

มู่เฉียวรู้ว่าเซี่ยหยูใส่ชุดเกาะอก เมื่อคิดถึง“ธรรมชาติของผู้ชาย“คนนั้นที่อยู่ข้างในยังไม่ดับ มู่เฉียวก็ยิ้มแห้งๆ มีเจ้าสาวที่ไหนถอดชุดแต่งงานออกมาครึ่งหนึ่ง ? มันไม่เป็นมงคล เธอมากับฉัน พวกเราไปห้องน้ำอื่นกันเถอะ ที่ใหญ่หน่อย เดี๋ยวฉันจะช่วยเธอ

ขณะที่พูด เธอก็ดึงเซี่ยหยูออกจากห้องเปลี่ยนเสื้อผ้า เมื่อประตูปิดลง เธอก็แอบถอนหายใจออกมา

หลังจากพาเซี่ยหยูไปที่ห้องน้ำแล้ว มู่เฉียวก็ไปที่ห้องรับรองนั่งพักสักครู่ และไม่ได้กลับไปที่ห้องเปลี่ยน

เสื้อผ้า เมื่อเธอเดินไปที่โถงด้านหน้า เธอก็เห็นโม่หานกลับมาเย่อหยิ่งเป็นปกติแล้ว และถูกล้อมไปด้วยผู้คน

เธอมองไม่เห็นเลยว่า เมื่อครู่เกิดอะไรขึ้นกันแน่ ถ้าหากว่าไม่ใช่เพราะความเจ็บปวดเล็กน้อยที่ริมฝีปากเธอ เธอก็คงยังคิดว่าตัวเองฝันไป

หลังจากงานแต่งงาน สายตาของชายคนนนั้นก็ไม่หยุดอยู่ที่เรือนร่างของมู่เฉียว

มู่เฉียวไม่อยากสนใจ แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่า เธอหลงทางแล้วในใจของเธอก็ว่างเปล่า แม้แต่เสียงเรียกของเฮ่อเทียนที่เรียกเธอ เธอก็ยังไม่ได้ยิน………..

จนกระทั่งเธอรู้สึกถึงความอบอุ่นบนไหล่ของเธอ สติของเธอถึงกลับมา เธอมองไปที่เฮ่อเทียน และเห็นว่าใบหน้าของเขาแดงเล็กน้อย “คุณ เมาแล้ว ?”

เฮ่อเทียนนั่งลงตรงหน้าเธอ “คุณ อารมณ์ไม่ดีเหรอ ?”

มู่เฉียวขมวดคิ้ว ส่ายศีรษะ และหยิบไวน์แดงบนโต๊ะขึ้นมาจิบ “เปล่า ก็แค่น้องชายแต่งงานแล้ว ฉันก็แค่รู้สึกทำใจไม่ได้นิดหน่อย ?”

มุมปากของเฮ่อเทียนกระตุกขึ้น และมองไปที่มู่เฉียว ด้วยสายตาที่สงสัย อันที่จริงในใจของเขารู้ดีว่า มู่เฉียวเป็นอะไร ?

“น้องชายก็แต่งงานแล้ว คุณเป็นพี่สาว ไม่อยากคิดพิจารณาหน่อยเหรอ ?”

“คิดพิจารณา ? คิดเรื่องอะไร ?”

ทันใดนั้นเฮ่อเทียนก็คว้ามือของมู่เฉียว “มู่เฉียว หนึ่งปีมานี้ คุณยังพิจารณาไม่พออีกเหรอ ?”

มู่เฉียวหายใจเข้า และอยากดึงมือออก แต่เฮ่อเทียนกลับไม่ปล่อย เห็นได้ชัดว่าคืนนี้เขาดื่มไปมาก มู่เฉียวรู้สึกว่าสถานการณ์แบบนี้ไม่เหมาะที่จะพูดเหตุผลกับเขา

“เฮ่อเทียน คุณเมาแล้ว”

เฮ่อเทียนส่ายศีรษะ “ไม่ ผมไม่ได้เมา ในใจของผมชัดเจนกว่าตอนไหน มู่เฉียว ผมสาบานได้ว่า ผมจะดีกับคุณชั่วชีวิต กับเสี่ยวโยวผมก็จะดีด้วย ทำไมคุณไม่ให้โอกาสผมอีกสักครั้งล่ะ ?”

อย่างที่เขาพูด ทันใดนั้นเขาก็นั่งลงข้างข้างมู่เฉียว เสี่ยวเฉียว ทุกคนล้วนมองเห็น ความรักที่ผมมีต่อคุณ

ทำไมมีแต่คุณที่มองไม่เห็นมัน คุณรู้ไหมว่าข้างในใจผมมันแย่แค่ไหน ผมเฮ่อเทียน หลายปีมานี้ ผมรู้สึกเสมอว่าถ้าผมอยากจะได้อะไร ผมก็ต้องพยายามไม่มีอะไรที่เอามาไม่ได้ แต่มีเพียงคุณ มีเพียงแค่ใจของคุณเท่านั้น ผมพยายามอย่างเต็มที่ ผมยินดีกับทุกทุกอย่าง แต่คุณกลับไม่เห็นมัน

มู่เฉียวลุกขึ้นแล้วพูดว่า “เฮ่อเทียน ฉัน……….ฉันจะไปรินน้ำมาให้คุณ” เมื่อเธอพูด ก็เตรียมจะลุกไป แต่ เฮ่อเทียนกลับดึงเธอไว้ “มู่เฉียว คุณบอกผมมา ผมควรจะทำอย่างไรดี คุณถึงจะตอบตกลงผม ?”

เสียงของเขาค่อนข้างดัง และรีบเร่งเล็กน้อย

วันนี้เป็นวันแต่งงานของเซี่ยหยูและมู่หลิง และคนที่มาที่นี่ล้วนเป็นคนชนชั้นสูง เนื่องจากลักษณะพิเศษของงานแปล จึงทำให้หลายคนรู้จักมู่เฉียว

เฮ่อเทียนไม่ต้องพูดแล้ว ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้เป็นที่รู้จักเหมือนกับโม่หาน แต่เขาก็ค่อนข้างมีชื่อเสียง ดังนั้น เมื่อมีการเคลื่อนไหวใหญ่โต ก็จะมีสายตาจับจ้องมองมาที่เขา

ในที่นั้นรวมถึงโม่หานด้วย ดูเหมือนเขาจะไม่สนใจกับคนที่พูดคุยอยู่ตรงหน้า แต่ระหว่างคิ้วของเขา กลับซ่อนความอึดอัดและความกังวลใจในดวงตาของเขา

นิ้วมือในกระเป๋ากางเกงของเขากำลังลั่น

“พี่สาว ฉันไม่เป็นไรแล้ว คุณมาเถอะ ?”

มู่เฉียวยิ้มเบาๆ แต่ก็ไม่สามารถดึงความสนใจได้มากนัก ยิ่งไปกว่านั้นเธอยังรู้สึกเหงาเล็กน้อย

จนกระทั่งตอนเช้า มู่เฉียวถึงรู้ว่า ที่แท้ เพื่อนเจ้าสาวก็มีเพียงคนเดียว ลูกสาวคนโตของตระกูลเซี่ยแต่งงาน แต่กลับมีเพื่อนเจ้าสาวเพียงคนเดียว

เธอไม่เข้าใจว่าสรุปแล้วเซี่ยหยูคิดอะไรอยู่กันแน่ ? ด้วยนิสัยของเธอ ความนิยมของเธอน่าจะดีเยี่ยม และการหาเพื่อนเจ้าสาวสักสองสามคนก็น่าจะเป็นเรื่องที่ง่าย

เธอไม่เข้าใจ จนกระทั่ง เธอเห็นเฮ่อเทียนในชุดเพื่อนเจ้าบ่าวที่ยืนอยู่บนเวทีข้างมู่หลิง เธอถึงเข้าใจ สถานการณ์นี้

เมื่อเฮ่อเทียนเห็นเธอ ดวงตาของเขาก็ตกตะลึงอย่างเห็นได้ชัด

“วันนี้ คุณสวยจริงๆ” เขาก้าวมาข้างหน้า และชมเชยเธออย่างไม่สะทกสะท้าน

มู่เฉียวปิดปาก “อย่าชมฉัน วันนี้คุณต้องชมเจ้าสาว”

เฮ่อเทียนมองไปที่เซี่ยหยู “ทุกคนล้วนสวยมาก”

ที่มุมห้องจัดเลี้ยง ชายคนหนึ่งหมุนแก้วไวน์แดงและหันไปมองบนเวที ผู้หญิงคนนี้ขมวดคิ้วและยิ้ม ดวงตาของเธอมืดมนลงเรื่อยๆ

“โม่หาน พวกเราไปทักทายตัวเอกของงานก่อนไหม ?” เหอเจี๋ยจับมือของโม่หาน แล้วพูดแนะนำอย่างอบอุ่น

โม่หานหันศีรษะ และชำเลืองมองเธออย่างมืดมน พร้อมคำเตือนในดวงตาของเขา มือของหญิงสาวสั่นเล็กน้อย

เธอคิดว่าความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองจบลงไปนานแล้ว อย่างไรก็ตามในการทะเลาะในครั้งนั้นไม่ใช่เรื่องเล็ก เธอจึงคิดว่า ความสัมพันธ์ของโม่หานและมู่เฉียวจบลงไปนานแล้ว แต่ว่า สายตาของเขาบอกเธอย่างชัดเจนว่า เรื่องไม่ได้เป็นแบบนั้น

และด้วยวิธีการของเหอเจี๋ย โม่หานรู้โดยธรรมชาติว่าเธอจะต้องไปตรวจสอบเขาอย่างแน่นอน ถ้างั้นสถานะของมู่เฉียว ไม่มีทางที่เธอจะไม่รู้

มู่เฉียวไม่ว่ายังไงก็คาดไม่ถึงเลยว่า จะมาพบกับโม่หานที่นี่ ครั้งที่แล้ว ก็รีบบอกลา ลาก่อน แต่จริงจริงมันก็ผ่านมาปีกว่าแล้ว

ถึงแม้ว่ามักจะเห็นเขาในสื่อหลักบ่อยบ่อย แต่ความรู้สึกนี้เมื่อเทียบกับการเจอคนเป็นเป็นแล้ว มันช่างแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง

เธอได้ยินเสียงหัวใจเต้นราวกับฟ้าร้อง

เธอหัวเราะตัวเองอายุ 28 ปีแล้ว แต่หัวใจของเธอก็ยังเต้นราวกับเด็กสาววัยรุ่น

ผู้หญิงที่อยู่ข้างเขามีบุคลิกที่สง่าสงาม และเหมาะสมกับเขา เธอหันศีรษะเล็กน้อย และปกปิดความโศกเศร้าของเธอ

เฮ่อเทียนก้าวขาไปที่มู่เฉียวสองก้าวและถามว่า “หนาวไหม ?”

มู่เฉียวเหลือบมองเขา “หนาว” หนาวที่หัวใจ !

เฮ่อเทียนถอดเสื้อคลุมนอกออก แล้วพาดไว้บนไหล่ของเธอ มู่เฉียวขมวดคิ้ว “คุณเป็นเพื่อนเจ้าบ่าว………นี่……….”

“ไม่มีปัญหา อีกเดี๋ยวค่อยใส่”

มู่เฉียวพยักหน้า

“ประธานโม่ ขออภัยที่ไม่ได้ไปต้อนรับ ?” พ่อเซี่ยเดินมาทางโม่หานจากที่ไกลไกลด้วยความเร็ว

เมื่อดูทัศนคติของพ่อเซี่ย มู่เฉียวก็รู้ว่า โม่หานในวันนี้ฉันเกรงว่าเขาจะไม่เหมือนเดิม แต่เขาก็อยู่ห่างจากเธอเกินไป

โมห่านยิ้มออกมาแบบปกติ “ยินดีด้วยประธานเซี่ย ได้ยินมาว่าลูกเขยเป็นคนที่มีพรสวรรค์ พรสวรรค์ทางด้านผู้จัดสรรงบประมาณ ?”

การแสดงออกของพ่อเซี่ยแข็งทื่อเล็กน้อย มู่เฉียวยิ่งเงยหน้าขึ้น และจ้องมองไปที่เขา

รู้ทั้งรู้ว่ามู่หลิงไม่ได้ทำธุรกิจ แต่เป็นผู้จัดสรรงบประมาณ แต่เขากลับจงใจจ้องจับผิด ดูก็รู้ว่าคิดจะทำให้เขาอับอายไม่ใช่รึไงกัน ?

โชคดีที่มู่หลิงเป็นคนอารมณ์ดีเสมอ ไม่หงุดหงิดและไม่โกรธ ก็แค่มองกลับไปที่โม่หานและพูดว่า ขอบคุณครับ….ประธานโม่ชมเกินไปแล้ว

จากนั้นก็เป็นพิธีการ และขึ้นตอนต่างๆ มู่เฉียวรู้สึกเหนื่อยเล็กน้อย ดังนั้นจึงอยากที่จะกลับไปพักผ่อนที่ห้อง

แต่เมื่อเดินไปได้ไม่กี่ก้าว ยังไม่ทันที่จะปิดประตู เธอก็เห็นร่างหนึ่งแวบเข้ามา จากนั้น เธอก็ได้ยินเสียงล็อคประตู เธอก็หันหลังกลับไปดู เมื่อเห็นคนที่เข้ามา เธอก็พยายามควบคุมตัวเอง “ประธานโม่ เกรงว่าคุณจะเข้าผิดห้องแล้วนะ ?”แล้วเธอก็ก้าวถอยออกมาสองก้าว และเว้นระยะห่างจากเขา

ชายคนนั้นมองมาที่เธอ “นานขนาดนี้แล้วก็ยังไม่แต่งงาน คุณมู่ คงไม่ใช่รอผมอยู่หรอกใช่ไหม ?”

ผ่านไปกว่าสองปี ได้ยินเสียงของเขา มู่เฉียวก็มึนงงเล็กน้อย เมื่อสองปีก่อน ก็เป็นเสียงนี้ที่พูดกับเธอว่า มู่เฉียว ถ้าหากว่าชีวิตคนเราสามารถเริ่มใหม่ได้ ผมก็หวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะได้รู้จักคุณใหม่อีกครั้ง

คำพูดเดียว ทำให้เธอพังพินาศตั้งแต่นั้นมา

เธอยิ้ม และสบตากับชายคนนั้นอย่างเป็นกลาง “ถ้าหากฉันบอกว่าใช่ล่ะ ?”

ดูเหมือนว่าชายคนนั้นไม่คิดว่าเธอจะตอบแบบนี้ จะเป็นคนที่เด็ดขาดกับเขาที่ห้าง แต่ตอนนี้หัวใจของเขากลับอ่อนลงทันที เขาก็กางแขนออก และอยากจะไปกอดมู่เฉียว

หญิงสาวก้าวถอยหลังอย่างกะทันหัน “ประธานโม่ไม่เข้าใจที่ฉันพูดว่าถ้าหากเหรอ ?”

“ถ้าหาก ก็หมายความว่ายังมีโอกาส ไม่ใช่เหรอ ?”มุมปากของชายคนนั้นยกขึ้น

“ใช่เหรอ ? ถ้างั้นคำว่าถ้าหากของประธานโม่ล่ะ ?” หมายความว่าอะไร ? ชายคนนั้นตกตะลึง และเข้าใจได้ในทันทีว่าที่เธพูดนั้นหมายความว่าอะไร เขาก้มศีรษะลง และไม่พูดอะไรเป็นเวลานาน

มู่เฉียวมองมาที่เขา ทันใดนั้นก็ก้าวไปข้างหน้า ใช้มือทั้งสองข้างเกี่ยวคอของเขาไว้ และเขย่งเท้าขึ้น ริมฝีปากแดงแตะปากริมฝีปากบางของชายคนนั้น รู้สึกเย็นและแปลกเล็กน้อย

เธอไม่รู้ว่าตัวเองบ้าไปแล้วรึเปล่า ถึงทำแบบนี้ แต่ว่า เธอก็แค่ต้องการจะทำแบบนี้ ต้องการมาก ต้องการมาก

เธอเห็นได้ชัดว่าการหายใจของชายคนนั้นถี่เล็กน้อย เธอค่อยค่อยยกมุมปากขึ้น มือของเธอลูกลงมาที่เอวของชายคนนั้น และสอดเข้าไปใต้เสื้อสูทของเขา เธอสัมผัสได้ถึงอุณหภูมิร่างกายที่สูงขึ้นผ่านเสื้อเชิ้ตตัวบางของชายคนนี้

โม่หานรู้ว่ามู่เฉียวจงใจยั่วยวนเขา แต่เขาก็อดไม่ได้ที่จะโลภต้องการร่างกายของเธอ

หลายปีมานี้ เขามั่นใจในร่างกายของตัวเองมากว่าสามารถควบคุมไว้ดีมาก แต่ในขณะนี้ เขากลับเสียการควบคุมของตัวเอง

เขากอดเธอกลับ และอยากที่จะเรียกร้องมากยิ่งขึ้น

แต่เธอไม่ต้องการ ทันใดนั้นหญิงสาวก็ผลักเขาออก “แน่นอนว่าคนที่มาไม่ปฎิเสธ ? ในสถานการณ์แบบนี้ ประธานโม่ก็ยังมีปฎิกิริยาตอบสนอง ?”

พูดเสร็จ เธอก็หยิบผ้าเช็ดปากบนโต๊ะ มาเช็ดปากของตัวเองอย่างแรง

โม่หานหลับตาลง ความรู้สึกไม่สบายที่เกิดจากร่างกายของเขา ทำให้เขารู้สึกแย่มาก ณ เวลานี้ ไม่ว่าจะเป็นร่างกายหรือหัวใจ ความปราถนาในผู้หญิงคนนี้ของเขาได้มาถึงจุดสูงสุดแล้ว

เขาก้าวไปข้างหน้า ไม่รอให้หญิงสาวมีปฎิกิริยาตอบสนอง เขากดเธอทับไว้ “คุณก็รู้ ผู้ชายจะแกล้งเล่นเล่นไม่ได้ ในเมื่อไฟมันติดแล้ว คุณก็มีหน้าที่รับผิดชอบดับไฟนั่น”

หญิงสาวตกตะลึง ลืมตาขึ้น และสบตากับดวงตาสีแดงเข้มของชายคนนี้

“คุณไม่กลัวฉันกรีดร้องเหรอ ?”

ชายคนนี้ขมวดคิ้ว “ถ้าหากคุณอยากให้คนอื่นเห็นพวกเราแบบนี้ คุณก็ร้องเรียกได้เลย ด้วยความไม่เท่าเทียมของฐานะเรา ผมว่าคงไม่มีใครเชื่อ ผมจะหลงรักผู้หญิงที่หย่าร้างและยังเคยให้กำเนิดลูกด้วย ทุกคนจะเชื่อเพียงว่า คุณเป็นคนมายั่วยวนผม”

เป็นเธอที่ยั่วยวนเขา สองสามคำนี้ คมราวกับใบมีด กรีดลึกเข้ากลางใจของมู่เฉียว เธอไม่เข้าใจจริงจริงว่าผู้ชายคนนี้จะชั่วร้ายได้ขนาดนี้ เธอหย่าร้าง เธอให้กำเนิดลูก คนอื่นไม่เข้าใจว่ามันเกิดเรื่องอะไรขึ้น หรือว่าในใจเขาก็ไม่เข้าใจเหมือนกันเหรอ ?

แม่ตักซุปถ้วยหนึ่งส่งมาให้เธอ “ถึงได้บอกไง ว่าเมืองใหญ่นี้มีอะไรดี พูดถึงเพื่อนบ้าน นี่เราย้ายมาตั้งครึ่งปีแล้ว ยังไม่เจอหน้ากันเลย เมื่อก่อนตอนอยู่เมืองa เพื่อนบ้านคนนั้น……”ทันใดนั้นแม่ก็รู้สึกว่าตัวเองพูดมากเกินไป

การเคลื่อนไหวของมู่เฉียวที่กัดซาลาเปา ชะงักไปเล็กน้อย ทำไมเธอจะไม่เข้าใจ ในเมืองbแห่งนี้ ไม่ว่าจะอยู่ดีกินดีแค่ไหน จะเป็นสวรรค์วิมานก็ไม่เหมือนอยู่บ้านตัวเอง พ่อกับแม่เป็นคนเมืองa อายุยิ่งมากก็ยิ่งคิดถึง

บางที เธออาจต้องพิจารณาที่จะกลับเมืองaแล้ว

“แล้วฤกษ์วันงานของมู่หลิงกับเซี่ยหยูกำหนดมาแล้วหรือยังคะ?”

พ่อเดินออกมาจากห้อง “เรื่องนี้ ตระกูลเซี่ยเป็นคนจัดการ เฮ้อ นี่ได้คู่ครองที่เหมาะสมกันอย่างกิ่งทองใบหยก ทั้งๆที่ลูกชายสู่ขอสะใภ้ แต่ทำไมถึงรู้สึกเหมือนว่าแต่งลูกสาวออกไปเลย?”

มู่เฉียวตักซุปไปให้พ่อ ลุกขึ้น เก็บกระเป๋าให้มู่เสี่ยวโยว “พวกคุณทั้งสองคนสบายดีก็พอแล้ว ให้พ่อได้กลุ้มใจน้อยลง พ่อกลับไม่ดีใจ ยังจะบ่นอยู่อีก”พูดจบ ก็เดินเข้าห้อง

เห็นว่ามู่เสี่ยวโยวตื่นแล้ว กำลังสวมชุดกระโปรงสีขาวเมื่อคืน เธอขมวดคิ้ว “เสี่ยวโยว ไปโรงเรียน ใส่ชุดนี้ไม่ได้ เวลาเข้าห้องน้ำจะไม่สะดวก”

มู่เสี่ยวโยวกอดชุดนั้นไว้ “แม่คะ หนูใส่แค่ครั้งนี้ครั้งเดียว นะคะ?”

มู่เฉียวแตะปลายจมูกที่เล็กกระทัดรัดของเธอ “เสี่ยวโยวของเรารักสวยรักงามแล้วเหรอ?”

พูดไป ก็ขยี้ผมเธอ

“แม่ หนูไม่ได้รักสวยรักงาม หนูแค่อยากให้เพื่อนเห็น ว่านี่เป็นของขวัญที่พ่อส่งมาให้จากบนฟ้า”

หัวของมู่เฉียว นิ่งไปเล็กน้อย “เสี่ยวโยว…..”

“แม่ ใส่แค่ครั้งเดียว ได้ไหมคะ? หนูจะไม่ทำมันสกปรกแน่นอน นี่เป็นชุดที่พ่อซื้อให้”

เมื่อเห็นแววตาที่อ้อนวอนของเธอ มู่เฉียวก็ไม่พูดอะไร

บางทีเธออาจประเมินความปรารถนาของลูกที่ต้องการพ่อต่ำเกินไป การหย่าร้าง ทั้งชายและหญิงสามารถอยู่ได้ด้วยตัวเอง แต่ กลับไม่สามารถหลีกเลี่ยงว่าเป็นการทำร้ายลูก เธอสามารถเพิ่งความขยันของเธอให้ของทุกชิ้นที่เธอต้องการกับเธอได้ แต่กลับไม่สามารถให้ความรักของพ่อได้

พอถึงโรงเรียน เธอเรียกครูสองคนออกไปนอกห้อง อธิบายสถานการณ์นี้กับครู

อย่างไรก็ตามผู้ใหญ่ทุกคนเข้าใจดี ว่าสวรรค์ หมายถึงอะไร?

“คุณแม่เสี่ยวโยว ฉันขอโทษจริงๆ ฉันไม่รู้ว่าที่จริงแล้วพ่อของเสี่ยวโยว….. ครั้งที่แล้วพูดถึงเรื่องฉันรักพ่อ ฉันยังให้เสี่ยวโยวบรรยายลักษณะพ่อของเธอ”พูดถึงตรงนี้ ครูท่านหนึ่งก้มหน้าลง รู้สึกอึดอัด

มู่เฉียวเม้มปาก “แล้วเธอ ตอบว่ายังไง?” จู่ๆเธอก็อยากรู้ว่าในสายตาของมู่เสี่ยวโยว โม่หานจะเป็นคนยังไง?

ครูสูดหายใจเข้า แล้วตอบกลับ “เธอบอกว่า พ่อของเธอหล่อมาก เหมือนอุลตร้าแมน”

ตอนนั้นครูรู้สึกหัวเราะไม่ออกร้องไห้​ไม่ได้กับคำตอบนี้ แต่พอตอนนี้มาคิดดูแล้ว ก็รู้สึกเศร้ามาก และอดไม่ได้ที่จะโค้งคำนับมู่เฉียว “ขอโทษจริงๆนะคะ ต่อไป ฉันจะระวัง เสี่ยวโยวเธอ……”

ที่จริงพ่อของเธอยังอยู่ เพียงแต่เราหย่ากันแล้ว” เธอหลีกเลี่ยงปัญหาสำคัญ แต่ในใจกลับหนักอึ้ง

พอถึงบริษัท ตู้เสี่ยวซินเห็นว่าอารมณ์เธอไม่ค่อยดี ก็เข้าไปถาม “นี่ใครมายั่วเทพธิดาของเรากัน?”

ตู้เสี่ยวซินมาทำงานที่บริษัทภายใต้การโน้มน้าวของมู่เฉียว หันเหความสนใจจากหลิวฮั่วแล้ว อาการหึงหวงก็เริ่มกลายเป็นปกติ

มู่เฉียวมองตู้เสี่ยวซิน “รอมู่หลิงแต่งงานแล้ว ฉันอยากพาเสี่ยวโยวกับพ่อแม่กลับเมืองa” ก่อนหน้านี้เธอมีความคิดแบบนี้ในใจเท่านั้น แต่ พอไปโรงเรียนของเสี่ยวโยว เธอจึงได้ตัดสินใจ

เธอตัดสินใจว่า แต่ลูกต้องการพ่อ มันเป็นความรับผิดชอบและภาระผูกพันของโม่หาน

ตู้เสี่ยวซินพูดอย่างตกใจ “มาๆ ขอเหตุผลหน่อย”

มู่เฉียวมองเธอ อ้าปากกำลังจะพูด

“เพราะโม่หานใช่ไหม ใช่ไหม?”

มู่เฉียวมองเธอ “อืม เพื่อเสี่ยวโยวและพ่อกับแม่ ใบไม้ที่ร่วงหล่นก็ควรหวนคืนสู่รากเหง้าไม่ใช่เหรอ?”

ตู้เสี่ยวซินนั่งลงบนโต๊ะทำงานของเธอโดยตรง เลื่อนโทรศัพท์ครั้งหนึ่ง และวางโทรศัพท์ไว้ข้างหน้ามู่เฉียว “เฉียวเอ๋อ เธอดูสิ ผู้ชายแบบนี้ เธอแน่ใจเหรอ ว่าเขาจะเป็นพ่อที่ดีได้ เธอไม่ได้ฟังที่หลิวฮั่วประเมินเขา เขาบอกว่าตอนนี้โม่หานอยู่เมืองa นั่นคือเพชฌฆาต มีหลายบริษัท และหลายคนที่ถูกระงับช่องทางทำมาหากินเพราะเขา เขาไม่มีหัวใจ เธอเฝ้ารอเขามาตั้งหลายปี แล้วเขาล่ะ? เคยถามถึงพวกเธอสองคนแม่ลูกไหม?”

มู่เฉียวไม่พูด สิ่งที่ตู้เสี่ยวซินพูดเป็นความจริง

“ฉันแค่อยากให้มู่เสี่ยวโยวรู้ว่าเขาเป็นใคร?”

“คนอื่นเขาอาจจะไม่รับก็ได้? สถานะตอนนี้ของเขา ผู้หญิงหยิ่งยโสที่อยู่เบื้องหลังพวกนั้น เรียงต่อแถวยาวเป็นมังกร เพียงแค่เขาชอบ มีเด็กแบบไหนที่จะคลอดออกมาไม่ได้? เขาไม่มีทางสนใจมู่เสี่ยวโยวหรอก”

ความเป็นจริงนั้นโหดร้าย แต่มันเป็นความจริงที่มู่เฉียวไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ ก็เหมือนกับที่บางครั้งสมองก็จะปรากฏให้เห็นภาพการกระทำเลวๆของผู้ชายคนนั้นที่เคยทำขึ้นมาให้เห็น

“เธอหาพ่อเลี้ยงสักคนให้มู่เสี่ยวโยวสิ เด็กคนนี้ยังเด็ก พอเวลานานเข้า มีความรู้สึกแล้ว เขาก็จะยอมรับได้เอง”

“เธอรู้อยู่แก่ใจ”

“เธอรู้อยู่แก่ใจ หรือเป็นเธอเองมู่เฉียวที่ไม่เคยลืมเขาเลยตั้งแต่แรก?เธอน่ะ เข้ากับคำว่าผู้ชายไม่เลว ผู้หญิงไม่รักจริงๆ โม่หานคนนี้ แย่มาก เธอ……”

มู่เฉียวไม่พูด พูดให้ถูก ก็คือพูดไม่ออก

งานแต่งของลูกสาวคนเล็กตระกูลเซี่ย เรียกความวุ่นวายที่เมืองbได้ไม่น้อย

ระหว่างนักธุรกิจ ต้องมีการติดต่อกันอยู่แล้ว

ตอนโม่หานซึ่งอยู่เมืองaที่ห่างไกลได้รับคำเชิญ สายตาก็นิ่งลง

“พี่คะ วันนั้น พี่เป็นเพื่อนเจ้าสาวให้ฉันได้ไหม?”จู่ๆเซี่ยหยูก็มาหามู่เฉียว

มู่เฉียวชอบเซี่ยหยูจากใจจริง ผู้หญิงคนนี้ ใสซื่อ ใจดี

เธอยิ้มบางๆ “อย่าพูดเหลวไหล ผู้หญิงที่หย่าร้างมาเป็นเพื่อนเจ้าสาวของคุณ คุณไม่กลัวจะโชคร้ายเหรอ”

เซี่ยหยูกลับขมวดคิ้ว “พี่ ฉันกับมู่หลิงใช้ชีวิตด้วยกัน ฉันไม่เคยเชื่อ พวกไสยศาสตร์ พี่เองก็ได้รับการศึกษาสูง ทำไมถึงได้เชื่อข้อบังคับพวกนี้กันนะ”

มู่เฉียวไม่มีเหตุผลขึ้นมาทันที

“คุณเป็นพี่สาวของมู่หลิง ก็เป็นพี่สาวของฉันด้วย ถ้าพี่ได้อยู่เป็นเพื่อนฉันตอนแต่งงาน ฉันกับมู่หลิงจะมีความสุขมาก”

เมื่อพูดถึงขนาดนี้ มู่เฉียวจะพูดอะไรได้อีก?

วันแต่งงาน มู่เฉียวตื่นแต่เช้า แต่งหน้าอยู่กับเซี่ยหยู ลองชุดออกงาน ปกติเซี่ยหยูจะเป็นคนที่พยายามทำตัวไม่โดดเด่น พอแต่งตัวแบบนี้ ก็สวยมากจนเทียบไม่ติด

“สายตาของน้องชายฉันไม่เลวจริงๆ” เธอพูด

เซี่ยหยูเขินอายเล็กน้อย “ถ้าอย่างนั้น มู่หลิงก็ดูดีกว่า”

พูดตามตรง คนนอกพูดแต่ว่าลูกสาวคนเล็กตระกูลเซี่ย โง่เล็กน้อย สมองไม่ชัดเจน มีผู้ชายตั้งมากให้เธอเลือก กลับไปเลือกชายยากจนคนหนึ่ง แต่ว่า มีแต่มู่เฉียวที่เข้าใจ ว่าเธอเป็นคนที่ฉลาดที่สุด เธอแต่งให้มู่หลิง ก็คือแต่งให้กับความรัก

นึกถึงเมื่อคืนที่น้องชายของเธอตื่นเต้นจนไม่ได้นอนทั้งคืน เธอก็รู้ว่า เซี่ยหยูเลือกไม่ผิด

แต่ เธอกลับไม่รู้มาก่อนว่างานเลี้ยงครั้งนี้จะทำให้ชีวิตที่สงบของเธอ กลับมาวุ่นวายอีกครั้ง

มู่เฉียว คุณลืมตาดูนี่สิ นี่คือผู้ชายคนที่ทำให้คุณใจเต้น และนี่คือผู้ชายคนที่ทำให้คุณเสียใจจนร้องไห้

มือของชายคนนี้เอื้อมไปด้านหลังของเสื้อคลุมมู่เฉียว ได้ยินเสียง “กึก” จากนั้นซิปด้านหลังก็ถูกคลายออก

มู่เฉียวเห็นลูกกระเดือกของชายคนนี้ขึ้นลงอย่างรวดเร็วสองสามครั้ง และความตื่นเต้นในตาของเขาก็ทำให้มู่เฉียวพ่ายแพ้

“ยังไงซะฉันก็อยู่คนเดียว แต่ว่า ประธานโม่มีคู่หมั้นอยู่แล้ว เธอจึงตบมือเสียงดัง ประธานโม่ไม่อยากคิดเหรอว่าคุณจะอธิบายคุณเหอยังไง ?”

ริมฝีปากของโม่หานเลื่อนลงมาที่คอและไหล่ของเธอ และหายใจหอบอยู่บนร่างของเธอ เขาหายใจหอบ ในเวลานี้ เขาควบคุมตัวเองไม่ได้และไม่สนจะคิดอะไรแล้ว เขาเพียงแค่ต้องการผู้หญิงคนนี้

“มู่เฉียว คุณเป็นห่วงผม ใช่ไหม ?”

มู่เฉียวไม่เข้าใจความคิดของผู้ชายคนนี้ เขาทั้งร้อนและเย็น ดังนั้น เธอจึงไม่กล้าตอบเขา เธอกลัวว่าคำตอบของเธอนั้นจะเป็นการเย้ยหยัน

“คุณผิดแล้ว คนที่ฉันเป็นห่วง อยู่ข้างนอก ”

อยู่ข้างนอก ? เฮ่อเทียน ?

ชายคนนี้กัดไปที่คอของเธอ “คุณลองพูดอีกครั้ง”

“ถ้าวันนี้คุณกล้าแตะต้องฉัน โม่หาน ฉันจะเกลียดคุณไปตลอดชีวิต ”เมื่อเธอเลื่อนมือไปที่เอวของชายคนนี้

เธอพูดด้วยน้ำเสียงสบายๆ แต่ในใจกลับประหม่ามาก เธอยังรู้จักโม่หานไม่ดีพอ เธอยิ่งไม่เข้าใจ ความเกลียดชังของตัวเอง จะสามารถระงับสัญชาตญาณดิบของชายคนนี้ได้รึเปล่า

หลังจากนั้นไม่นาน น้ำหนักบนร่างกายของเธอก็เบาลง ชายคนนี้ยืดตัวขึ้นจากร่างของเธอ มือทั้งสองข้างอยู่บนโต๊ะ ศีรษะของเขาห้อยลงมาเล็กน้อย มู่เฉียวไม่เห็นการแสดงออกของเขา แต่กลับได้ยินเสียงหายใจที่ถี่ขึ้นของเขา

“ออกไป”เสียงของชายคนนั้นแหบแห้ง มู่เฉียวก็ยื่นมือออกมาโดยไม่รู้ อยากถามเขาว่าไม่สบายตรงไหนรึเปล่า ? จากนั้น เมื่อนึกถึงบางอย่าง มือก็ค้างอยู่กลางอากาศ

เธอเดินไปทางประตูสองสามก้าว เมื่อเห็นชายคนนี้ไม่มีปฏิกิริยาตอบสนอง เธอก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก และเตรียมที่จะจากไป

แต่ไม่คิดเลยว่า มือเธอกลับถูกดึงไว้

เธอตกใจอุทาน “คุณ……คุณทำอะไร ?”

ชายคนนี้หลับตา เอียงศีรษะไปด้านข้าง และบังคับตัวเองไม่ให้ดูผิวขาวที่อ่อนโยน และมือทั้งสองข้างก็ดึงซิปที่ด้านหลังเธอออก

จากนั้น ก็หันหลังไปที่โต๊ะเครื่องแป้งข้างห้องน้ำ

“ก๊อกก๊อก……..”เสียงเคาะประตูดังขึ้นมา พี่สาว คุณอยู่ข้างในรึเปล่า ?

ในขณะที่มู่เฉียวกำลังจะตอบ ทันใดนั้นก็นึกถึงโม่หานที่อยู่ในห้องน้ำ และนึกถึงเหอเจี๋ยที่อยู่ในที่จัดงาน ถ้าหากให้เธอรู้ว่า เธออยู่กับคู่หมั้นของตัวเอง ถ้างั้น……….

เธอเม้มปาก กลับไปที่หน้าประตูห้องน้ำ และกระซิบเสียงเบาว่า “เอ่อ คุณ……..ยังโอเคไหม ?”

เวลาผ่านไปนานกว่าเสียงของชายคนนี้จะดังออกมา “คุณคิดว่ามันจะเร็วขนาดนั้นเลยเหรอ ?”  หน้าเธอแดงก่ำ

“ฉัน……..จะพาเธอออกไปก่อน”

พูดจบ หัวใจก็เต้นเร็วขึ้นอย่างบอกไม่ถูก

เธอเดินไปที่กระจก ตรวจเช็กเครื่องสำอาง จากนั้นก็เปิดประตู ทันทีที่เปิดประตูเซี่ยหยูก็รีบเข้ามา “ฉันขอไปเข้าห้องน้ำก่อน กระโปรงนี้มันยาวเกินไป ยุ่งยากจริงๆ”

มู่เฉียวปิดปาก และคว้าเซี่ยหยูไว้ “เซี่ยหยู นั่นมัน………….”

“พี่สาว มีเรื่องอะไร เดี๋ยวค่อยพูดนะ ฉันขอไปเข้าห้องน้ำก่อน ?”

จากนั้นเธอก็นึกอะไรขึ้นได้ “พี่สาว คุณช่วยฉันถอดนี่ออกมา แล้วสวมใส่ใหม่ได้ไหม ?”

มู่เฉียวรู้ว่าเซี่ยหยูใส่ชุดเกาะอก เมื่อคิดถึง“ธรรมชาติของผู้ชาย“คนนั้นที่อยู่ข้างในยังไม่ดับ มู่เฉียวก็ยิ้มแห้งๆ มีเจ้าสาวที่ไหนถอดชุดแต่งงานออกมาครึ่งหนึ่ง ? มันไม่เป็นมงคล เธอมากับฉัน พวกเราไปห้องน้ำอื่นกันเถอะ ที่ใหญ่หน่อย เดี๋ยวฉันจะช่วยเธอ

ขณะที่พูด เธอก็ดึงเซี่ยหยูออกจากห้องเปลี่ยนเสื้อผ้า เมื่อประตูปิดลง เธอก็แอบถอนหายใจออกมา

หลังจากพาเซี่ยหยูไปที่ห้องน้ำแล้ว มู่เฉียวก็ไปที่ห้องรับรองนั่งพักสักครู่ และไม่ได้กลับไปที่ห้องเปลี่ยน

เสื้อผ้า เมื่อเธอเดินไปที่โถงด้านหน้า เธอก็เห็นโม่หานกลับมาเย่อหยิ่งเป็นปกติแล้ว และถูกล้อมไปด้วยผู้คน

เธอมองไม่เห็นเลยว่า เมื่อครู่เกิดอะไรขึ้นกันแน่ ถ้าหากว่าไม่ใช่เพราะความเจ็บปวดเล็กน้อยที่ริมฝีปากเธอ เธอก็คงยังคิดว่าตัวเองฝันไป

หลังจากงานแต่งงาน สายตาของชายคนนนั้นก็ไม่หยุดอยู่ที่เรือนร่างของมู่เฉียว

มู่เฉียวไม่อยากสนใจ แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่า เธอหลงทางแล้วในใจของเธอก็ว่างเปล่า แม้แต่เสียงเรียกของเฮ่อเทียนที่เรียกเธอ เธอก็ยังไม่ได้ยิน………..

จนกระทั่งเธอรู้สึกถึงความอบอุ่นบนไหล่ของเธอ สติของเธอถึงกลับมา เธอมองไปที่เฮ่อเทียน และเห็นว่าใบหน้าของเขาแดงเล็กน้อย “คุณ เมาแล้ว ?”

เฮ่อเทียนนั่งลงตรงหน้าเธอ “คุณ อารมณ์ไม่ดีเหรอ ?”

มู่เฉียวขมวดคิ้ว ส่ายศีรษะ และหยิบไวน์แดงบนโต๊ะขึ้นมาจิบ “เปล่า ก็แค่น้องชายแต่งงานแล้ว ฉันก็แค่รู้สึกทำใจไม่ได้นิดหน่อย ?”

มุมปากของเฮ่อเทียนกระตุกขึ้น และมองไปที่มู่เฉียว ด้วยสายตาที่สงสัย อันที่จริงในใจของเขารู้ดีว่า มู่เฉียวเป็นอะไร ?

“น้องชายก็แต่งงานแล้ว คุณเป็นพี่สาว ไม่อยากคิดพิจารณาหน่อยเหรอ ?”

“คิดพิจารณา ? คิดเรื่องอะไร ?”

ทันใดนั้นเฮ่อเทียนก็คว้ามือของมู่เฉียว “มู่เฉียว หนึ่งปีมานี้ คุณยังพิจารณาไม่พออีกเหรอ ?”

มู่เฉียวหายใจเข้า และอยากดึงมือออก แต่เฮ่อเทียนกลับไม่ปล่อย เห็นได้ชัดว่าคืนนี้เขาดื่มไปมาก มู่เฉียวรู้สึกว่าสถานการณ์แบบนี้ไม่เหมาะที่จะพูดเหตุผลกับเขา

“เฮ่อเทียน คุณเมาแล้ว”

เฮ่อเทียนส่ายศีรษะ “ไม่ ผมไม่ได้เมา ในใจของผมชัดเจนกว่าตอนไหน มู่เฉียว ผมสาบานได้ว่า ผมจะดีกับคุณชั่วชีวิต กับเสี่ยวโยวผมก็จะดีด้วย ทำไมคุณไม่ให้โอกาสผมอีกสักครั้งล่ะ ?”

อย่างที่เขาพูด ทันใดนั้นเขาก็นั่งลงข้างข้างมู่เฉียว เสี่ยวเฉียว ทุกคนล้วนมองเห็น ความรักที่ผมมีต่อคุณ

ทำไมมีแต่คุณที่มองไม่เห็นมัน คุณรู้ไหมว่าข้างในใจผมมันแย่แค่ไหน ผมเฮ่อเทียน หลายปีมานี้ ผมรู้สึกเสมอว่าถ้าผมอยากจะได้อะไร ผมก็ต้องพยายามไม่มีอะไรที่เอามาไม่ได้ แต่มีเพียงคุณ มีเพียงแค่ใจของคุณเท่านั้น ผมพยายามอย่างเต็มที่ ผมยินดีกับทุกทุกอย่าง แต่คุณกลับไม่เห็นมัน

มู่เฉียวลุกขึ้นแล้วพูดว่า “เฮ่อเทียน ฉัน……….ฉันจะไปรินน้ำมาให้คุณ” เมื่อเธอพูด ก็เตรียมจะลุกไป แต่ เฮ่อเทียนกลับดึงเธอไว้ “มู่เฉียว คุณบอกผมมา ผมควรจะทำอย่างไรดี คุณถึงจะตอบตกลงผม ?”

เสียงของเขาค่อนข้างดัง และรีบเร่งเล็กน้อย

วันนี้เป็นวันแต่งงานของเซี่ยหยูและมู่หลิง และคนที่มาที่นี่ล้วนเป็นคนชนชั้นสูง เนื่องจากลักษณะพิเศษของงานแปล จึงทำให้หลายคนรู้จักมู่เฉียว

เฮ่อเทียนไม่ต้องพูดแล้ว ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้เป็นที่รู้จักเหมือนกับโม่หาน แต่เขาก็ค่อนข้างมีชื่อเสียง ดังนั้น เมื่อมีการเคลื่อนไหวใหญ่โต ก็จะมีสายตาจับจ้องมองมาที่เขา

ในที่นั้นรวมถึงโม่หานด้วย ดูเหมือนเขาจะไม่สนใจกับคนที่พูดคุยอยู่ตรงหน้า แต่ระหว่างคิ้วของเขา กลับซ่อนความอึดอัดและความกังวลใจในดวงตาของเขา

นิ้วมือในกระเป๋ากางเกงของเขากำลังลั่น

มู่เฉียวตกตะลึง ความสนใจทั้งหมดของเธออยู่ที่คำว่าหมั้น เขากลับตระกูลโม่สิ่งนี้เธอไม่แปลกใจ แต่ว่าโม่หานหมั้นแล้ว?

เธอเม้มปาก หัวใจที่สงบของเธอยังคงสั่นไหวอยู่บ้าง

“ฟังสิ คนอื่นเขาหันกลับไปก็หมั้นแล้ว มีแต่เธอเนี่ยแหละที่เหมือนคนโง่ ที่ยังยึดติดกับเขา…….”

“เสี่ยวซิน ฉันไม่ได้ยึดติด”เธอพูดขัดคำเธอ เธอไม่ได้ยึดติดอยู่กับเขา

“งั้นเธอก็แต่งงานสิ? ถ้าไม่ใช่เพราะใจของเธอยังมีเขา เธอก็ไม่มีเหตุผลที่จะต้องปฏิเสธเฮ่อเทียน”

มู่เฉียวไม่พูด

ตกดึก

“แม่ โม่หานหมั้นแล้ว”

“เฉียวเอ๋อ ลูกยังไม่ลืมเขาเหรอ?”

“แม่ เฮ่อเทียนบอกว่าเขาจะขอหนูแต่งงาน”

อีกด้านของผนัง ปลายนิ้วของชายคนนั้นจิกเข้าที่ฝ่ามือตัวเอง เลือดหยดลงบนพื้นอีกครั้ง

“เฉียวเอ๋อ ในชีวิตนี้ ผิดครั้งแรกสามารถพูดได้ว่ายังเด็กอยู่ไม่มีประสบการณ์ แต่ผิดครั้งที่สอง มันไม่ควรมากๆ”

“แม่ แม่คิดว่าหนูกับเฮ่อเทียนอยู่ด้วยกัน เป็นเรื่องที่ผิดเหรอคะ?”

นิ้วของแม่สอดเข้าไปในผมของเธอ ถอนหายใจ “ผิดไม่ผิด คนนอกไม่รู้ เฉียวเอ๋อ เรื่องการแต่งงานลูกต้องใช้ความรู้สึกตัวเอง ความสุขของลูก ไม่เคยอยู่ที่สายตาคนอื่น แต่มันอยู่ในใจลูก”

“อื้ม หนูรู้ แม่”

ต่อมา สื่อรายใหญ่ๆรายงานข่าวเรื่องการฟื้นคืนชีพของโม่หานอย่างบ้าคลั่ง เหตุการณ์ในอดีตของเขาบางส่วนก็ถูกดึงออกมาอีกครั้งเช่นกัน แต่ที่น่าแปลกใจ คือเรื่องการแต่งงานของเขากับมู่เฉียว กลับไม่ถูกพูดถึง

สิ่งนี้ทำให้มู่เฉียวโล่งใจ

ส่วนเฮ่อเทียน ก็ร่วมมือกับตู้เสี่ยวซิน พูดเล่าเรื่องงานกับพ่อแม่และน้องเธอ

พ่อกับแม่ ก็ค่อยๆเอียงไปทางเขา พูดถึงเฮ่อเทียนต่อหน้าเธอหลายครั้งมากขึ้นเรื่อยๆ

ขนาดเสี่ยวโยวก็ถูกเฮ่อเทียนซื้อใจได้สำเร็จ

ในความฝันทุกคืนจะละเมอเรียก “คุณอาเฮ่อ”

มู่เฉียวรู้ว่าถ้าเป็นแบบนี้ต่อไป ทุกคนในบ้านจะเคยชิน สถานการณ์ไม่ถูกต้อง ดังนั้นก็นัดเฮ่อเทียนออกไป อยากจะคุยด้วยดีๆ

“เฮ่อเทียน ฉันยังคงพูดคำเดิม พวกเราไม่มีทางเป็นไปได้”

เฮ่อเทียนแลกจานสเต็กที่หั่นเสร็จแล้วให้กับมู่เฉียว “มู่เฉียว ถ้าหากความสามารถและเงื่อนไขข้ออื่นๆของผม กลายเป็นภาระของคุณ ผมละทิ้งมันได้นะ”

คำพูดนี้ทำให้มู่เฉียวตกใจ ทันใดนั้นเธอก็รู้สึกว่าเธอไม่มีอะไรจะพูด ยิ่งกว่านั้นยังไม่สามารถหลบซ่อนที่ไหนได้อีก เฮ่อเทียนที่เป็นแบบนี้ ทำให้เธอกดดัน

ตกดึก

“แม่ แม่ว่าหนูแต่งให้เฮ่อเทียน มันผิดไหม?”

“เฉียวเอ๋อ

……

“เฉียวเอ๋อ โม่หานไม่ใช่คนที่เหมาะสม”

“หนูเองก็ไม่ใช่ ไม่ใช่เหรอคะ?”

อีกด้านของผนัง ชายคนหนึ่งยิ้มบางๆที่มุมปาก มู่เฉียว วินาทีนี้ ผมมีความคาดหวังที่เห็นแก่ตัวมากว่าคุณจะรอผม

“แต่ เขาหมั้นกับคนอื่นแล้ว”

“แล้วยังไงล่ะคะ หนูเองก็แต่งงานกับเขาแล้ว? ก็หย่ากันแล้วนี่ไงคะ?”

“โอเคค่ะ แม่ หนูพูดเล่นน่ะ ตอนนั้นเขาก็ไม่มองหนู ตอนนี้เขาจะมามองได้ยังไงจริงไหมคะ?”

“แล้วเฮ่อเทียน……”

“แม่ นอนเถอะ”

ปิดไฟแล้ว ชายในชุดสูทและรองเท้าหนังเดินออกมาจากบ้านข้างๆ บางทีเขาคงจะต้องเร่งความเร็วขึ้นแล้ว

ตระกูลโม่

“ลูก ไปไหนมา? ดึกขนาดนี้ยังไม่กลับ แม่มาหลายรอบแล้ว”แม่พูด แล้วดึงมือโม่หาน เห็นว่าเสื้อของเขาเปื้อนโคลน “ลูกล้มเหรอ?”

โม่หานดึงแม่เข้ามากอด “แม่ ผมไม่เป็นไร”

“ดี ถ้าอย่างนั้นก็ดี แม่แค่เป็นห่วงลูก ลูกไม่เป็นไร แม่ก็โอเค” โม่หาน‘ฟื้น’ขึ้นมาอีกครั้ง ความรู้สึกที่คุณนายโม่มีต่อเขาแม้แต่ลมพัดใบหญ้าไหวก็เป็นกังวลเอามากๆ

ในที่ไกลออกไป ร่างที่แข็งแกร่งของชายคนหนึ่ง มองมาทางนี้ ดวงตาของเขาเปล่งประกายด้วยความอ่อนโยนที่หายาก

แต่โม่หานกลับมองเขาอย่างซับซ้อน สิ่งที่เขาทำกับโม่หาน แม่ไม่รู้ แม้ว่าแม่จะไม่ได้เป็นคนดี แต่โม่หานก็ไม่อยากให้เธอมีภาระทางจิตใจมากเกินไป

“แม่ เข้านอนเร็วหน่อยนะครับ” นี่มันก็เช้าแล้ว

จากนั้น โม่หานไม่ได้เลือกที่จะไปโม่กรุ๊ป ยิ่งกว่านั้นไม่ได้ไปบริษัทไหนๆของตระกูลโม่

กลับเลือกที่จะยืนหยัดด้วยตนเอง เขาเริ่มกลายเป็นคนที่ร้ายมากขึ้น ไม่มีผลประโยชน์ไหนที่ไม่หวังผล นอกจากนี้ยังใช้ความสัมพันธ์ทางการเมืองของตระกูลเหอ กวาดซื้ออุตสาหกรรมที่ทำกำไรมากมายในเมืองa ตอนแรกเขาทำการแข่งขันอย่างเป็นทางการ เมื่อไม่ได้มาในสิ่งที่เขาอยากได้ เขาจะใช้วิธีที่ไม่ธรรมดา ยังไงซะ ขอเพียงเป็นสิ่งที่เขาสนใจ แม้ว่าต้องเจอกับเทพก็จะฆ่าเทพ เจอพระก็ฆ่าพระ เพียงชั่วครู่เดียว ที่เมืองa ทุกคนต่างพากันหวาดกลัว และไม่มีใครกล้ารุกรานเขา ไม่มีใครกล้ายั่วเขา เขาแทบจะทำทุกอย่างเพื่อหาเงินและขยายอุตสาหกรรมของตัวเอง พยายามทุกวิถีทาง เพื่อการบรรลุ​เป้าหมาย ในช่วงเวลาเพียงหนึ่งปี ทำให้MYกรุ๊ปที่อยู่ในมือเขา ได้พัฒนาเป็นบริษัทที่มีความสามารถเทียบเท่ากับบริษัทตระกูลโม่

ในร้านเสริมสวยแห่งนี้

“เหอเจี๋ย ฉันได้ยินมาว่าคู่หมั้นของเธอ ซื้อบริษัทหลายแห่งเลย”

เหอเจี๋ยจัดทรงผมของเธอ สไตล์หลากหลาย “เขากลัวว่าฉันจะรำคาญ จึงไม่เคยพูดถึงเรื่องธุรกิจต่อหน้าฉันเลย อีกอย่าง เรื่องของผู้ชาย ฉันก็ไม่ชอบยุ่งอยู่แล้ว”

ทุกคนประจบสอพลอ คางของผู้หญิงคนนั้นค่อยๆยกขึ้น ดวงตากลับดูกลวงขึ้นเล็กน้อย

ตอนนี้เอง มือถือที่อยู่ในกระเป๋าดังขึ้น เธอมองแวบหนึ่ง สายตาก็นิ่งลง ออกไปรับสายข้างนอก

“เดี๋ยวสักพักไปหาเหล่าผู้อำนวยการกับผม”

เหอเจี๋ยอดที่จะกลืนน้ำลายไม่ได้ “โม่หาน ฉัน……วันนี้ฉันไม่ค่อยสบาย”

“คนขับรถอยู่ห่างจากสถานที่ที่คุณอยู่ ยังมีเวลาอีกห้านาที คุณไม่ไปก็ได้ ผมไม่มีปัญหา งานเลี้ยงอาหารค่ำครอบครัววันเสาร์ ผมไม่มีทางร่วมงาน”

“โม่หาน คุณ……”เสียงโทรศัพท์ ‘ตึง’ เหมือนว่ามีข้อความเข้ามา

สายตาที่เย็นชาของโม่หาน รู้สึกอบอุ่นขึ้นทันที

“ยังเหลืออีกสี่นาที เตรียมตัวเถอะ”

วางสายไป เขามองที่หน้าจอโทรศัพท์ ผู้หญิงคนหนึ่งอุ้มเด็กคนหนึ่ง เข้าร่วมกิจกรรมพ่อแม่ลูก เพียงแต่ ใบหน้าของเขาก็นิ่งลงเมื่อเห็นผู้ชายที่อยู่ตรงมุมของภาพ

เหอเจี๋ยกลัวโม่หาน เพราะเธอต้องการสิ่งน่าหลงใหลที่ชายผู้นี้นำมาให้เธอ ยิ่งกว่านั้นยังปรารถนาตำแหน่งคุณนายรองตระกูลโม่

ถึงแม้ เธอจะรู้อยู่ในใจ ว่าโม่หานไม่มีความรู้สึกต่อเธอเลย เขากำลังใช้เธออย่างสมบูรณ์แบบ

แต่เธอก็ยังหยุดไม่ได้ ติดอยู่กับมัน

เมื่อเธอมาถึง โม่หานกำลังดูมือถืออยู่ ความอบอุ่นในดวงตาของเขา ทำให้เธอสงสัยว่าตัวเองตาฝาดไป

เธอพูดขึ้นอย่างระมัดระวัง “โม่หาน”

โม่หานได้ยินแบบนั้น ก็เก็บมือถือ มองเหอเจี๋ย งอแขนเล็กน้อย เหอเจี๋ยเองก็วางมือเรียวของเธอไว้ที่แขนของเขาอย่างเป็นธรรมชาติ ทั้งสองมองหน้ากันและยิ้ม แฟลชกล้องข้างๆก็ดังขึ้น

เหอเจี๋ยรู้ว่าวันรุ่งขึ้นหนังสือพิมพ์จะต้องลงข่าว โม่หานและลูกสาวของนายกเทศมนตรี รักกันมากขึ้น

แต่ว่า มีเพียงเธอเท่านั้นที่รู้ในใจ ว่าชายคนนี้เย็นชามากแค่ไหน เพื่อผลประโยชน์แล้ว เขาสามารถทำเป็นว่ารักเธอ ดีกับเธอ ต่อหน้าคนอื่น แต่แค่หันกลับไป ก็เป็นความสัมพันธ์ที่เย็นชา

แน่นอน เรื่องพวกนี้ไม่ใช่ว่าตระกูลเหอจะไม่รู้ แต่ใครบอกให้พ่อเธอก็เป็นผู้ชายที่แสวงหาผลกำไลด้วยล่ะ?

อีกฝ่ายดูงุนงงอยู่พักหนึ่ง จากนั้น ถึงตอบกลับมาว่า “อ้าว ฉันนึกว่าใคร? มู่เฉียวเองเหรอ ตระกูลโม่ของเรา อยากได้เด็กแบบไหนแล้วไม่ได้ ต้องไปลักพาตัวเด็กบ้านอื่นเลย?”

มู่เฉียวโกรธมาก เธออยากจะตอบกลับว่า ถ้าโม่หานตาย พวกคุณจะไปหาเด็กมาจากที่ไหน?

แต่รู้ว่าตอนนี้ จะชวนทะเลาะไม่ได้ สูดหายใจเข้า เหมือนว่ากำลังทำการตัดสินใจครั้งใหญ่ พูดเหมือนอ้อนวอน “เสี่ยวโยวเป็นลูกของโม่หาน เรื่องนี้ พวกคุณสามารถตรวจDNAได้ โม่หานไม่อยู่แล้ว คุณจะใจร้ายถึงขนาดที่จะให้ตระกูลโม่ไร้ผู้สืบสกุลเลยเหรอ?”เพราะไม่รู้ว่าตระกูลโม่รู้เรื่องที่โม่หานไม่ตายหรือเปล่า มู่เฉียวจึงไม่กล้าพูดสุ่มสี่สุ่มห้า

นี่เป็นครั้งแรก ที่เธอเอ่ยปากอธิบายตัวตนของมู่เสี่ยวโยว

เพิ่งจะพูดจบ คุณนายโม่ก็พูดขึ้นเสียงดัง “มู่เฉียว เธอพูดอะไรน่ะ? ไร้ผู้สืบสกุลอะไร? อ๋อ ใช่ ฉันลืมบอกเธอ โม่หานยังมีน้องชายกับน้องสาวอีกหนึ่งคน ตระกูลโม่ ไม่มีทางไร้ผู้สืบสกุล และพวกเราก็ยิ่งไม่สนใจลูกคนนั้นของเธอ”

พูดจบ ‘ตึ่ง’ วางสายไป

มู่เฉียวถือโทรศัพท์ไว้ ไม่ได้สติอยู่สักพัก คุณนายโม่บอกว่าโม่หานมีน้องชายกับน้องสาวหนึ่งคน

เป็นลูกที่เกิดจากสามีคนรักเหรอ? แต่ทำไม ย่าโม่ถึงไม่รู้ล่ะ?

“พี่ เป็นยังไงบ้าง?”มู่หลิงลงมาจากรถของเซี่ยหยู

“ทำไมพวกนายก็กลับมาแล้วล่ะ?”

“พ่อส่งข้อความเข้าไปในกลุ่มครอบครัว คุณอากับคุณลุงเองก็กำลังมา ยิ่งมีคนมากเท่าไหร่ก็ยิ่งมีแรงเพิ่มไม่ใช่เหรอ?”

เซี่ยหยูจอดรถเสร็จ ก็วิ่งเข้ามา“พี่คะ ให้ฉันบอกพ่อไหมคะ ให้คนที่บริษัท……”

มู่เฉียวส่ายหน้า “อย่าเพิ่ง ตอนนี้ยังไม่รู้ว่าอีกฝ่ายลักพาตัวเสี่ยวโยวไปมีจุดประสงค์อะไร พวกเรารอก่อน”

จากนั้นมู่เฉียวกับมู่หลิงก็ไปที่สถานีตำรวจ ตรวจสอบกล้องวงจรปิดข้างทาง แปลกมาก ในทางแยกที่ต้องเข้าออกประจำ ไม่มีวี่แววว่ามีใครอุ้มเด็กเข้าออกเลยสักคน

ไม่มีเบาะแสแม้แต่นิดเดียว ทำให้มู่เฉียวร้อนรน

เมื่อเธอออกมาจากสถานีตำรวจ เธอแทบจะยืนไม่ไหว มู่หลิงประคองเธอ ถึงได้ฝืนยืนอยู่ได้

ขึ้นรถ มือถือก็ดังขึ้น

“เฉียวเอ๋อ เสี่ยวโยวกลับมาแล้ว”

มู่เฉียวพิงเบาะรถไว้ สูดหายใจเข้าแรงๆ “มันเรื่องอะไรกัน? ใครเป็นคนส่งกลับมา?”

“ไม่รู้ เมื่อกี้พ่อกับแม่ลูกกำลังหาอยู่ข้างนอก กลับมาก็ได้ยินเสียงร้องไห้”

มู่เฉียวได้ยินแบบนั้น ก็ร้องไห้ตาม เธอไม่รู้ว่าใครกำลังเล่นตลกกับเธอ หรือว่าเป็นเรื่องอะไรกัน?

เมืองa

โรงจอดรถใต้ดินโม่กรุ๊ป จ่อมีดไว้ที่คอของเจ้าของรถ “ผมเคยบอกแล้วใช่ไหม ว่าห้ามยุ่งกับพวกเธอ คุณฟังไม่รู้เรื่องเหรอ?”

ชายที่นั่งอยู่ตรงที่นั่งคนขับผลักมีดออกโดยไม่เปลี่ยนสีหน้า “โม่หาน นายน่าจะรู้นะ นี่เป็นแค่การทดสอบเล็กๆ ฉันแค่จะให้นายรู้ว่า ถ้านายไม่แข็งแกร่งขึ้น ไม่มีใครสามารถปกป้องคนที่นายรักได้ ถ้าหาก นายยังหมดอาลัยตายอยากแบบนี้ นายอย่ามาโทษว่าฉันไม่เกรงใจ นายคงรู้ ลงมือกับนาย แม่ของนายจะเกลียดฉัน ส่วนฉันเอง ก็ทำไม่ลง แต่ว่า ลงมือกับพวกเขา ฉันคิดว่าบางทีแม่นายอาจจะขอบคุณฉันด้วยซ้ำ”

สายตาของโม่หานมืดลง “คุณดูเค้นสมองหาหนทางกับผมมากเลยเนาะ? ผมจะบอกคุณ ถ้าบังคับจนผมทนไม่ไหว ผมไม่ถือสาที่จะนำหยกที่เป็นของสูงค่าไปเผารวมกับหินที่เป็นของด้อยค่า จะดูซิ สิ่งยิ่งใหญ่ที่สวยงามของคุณ ถูกทำลายโดยลูกชายของคุณเอง สีหน้าของคุณจะเป็นยังไง?”

คำขู่ของชายนั้นที่ให้เขา เขาไม่ได้โกรธ แต่กลับหันไปมองเขา มุมปากยิ้มน้อยๆ “โม่หาน ไม่ว่านายจะปฏิเสธยังไง ฉันก็คือพ่อของนาย นายเปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้ ”

“คนที่สามารถเอาชีวิตของลูกชายมาปูทาง คนที่เป็นศัตรูฆ่าพ่อ ผมไม่มีทางยอมรับ คุณเลิกคิดไปเถอะ”

“ต้องมีสักวัน ที่ผมจะไล่คุณออกจากตระกูลโม่ ไม่ว่าต้องแลกกับอะไร ถ้าหากคุณกล้ายุ่งกับพวกเขาอีก ผมก็จะลงมือกับลูกชายและลูกสาวคุณ”

เหมือนจะคิดไม่ถึงว่าเขาจะพูดแบบนี้ ชายคนนั้นขมวดคิ้ว “นั่นเป็นน้องชายและน้องสาวแท้ๆของนาย”

“ใช่เหรอ? แต่คนที่คุณไปยุ่ง เป็นคนรักของผม ลูกของผม ถ้าหากสามารถละเลยคนรักและลูกได้ น้องชายกับน้องสาว ทำไมจะไม่ได้?”

พูดจบ เขาก็ชักมือกลับ ดึงหน้ากากขึ้น แล้วหันตัวจากไป

มองแผ่นหลังของเขา ใบหน้าที่คล้ายกันของชายคนนี้ ขมวดคิ้ว แต่ในสายตากลับมีความชื่นชม ความยิ่งใหญ่ที่เขาสร้างมา ต้องการคนสืบทอดแบบนี้

ตระกูลโม่ ก็เป็นเพียงแค่ส่วนปลายของภูเขาน้ำแข็ง นี่เป็นเพียงวิธีที่บังคับให้เขาสืบทอดเส้นทางนี้ก็เท่านั้นเอง

เขาโทรหาฉินฮ่าว “ครั้งที่แล้วที่ฉันพูดเรื่องแต่งงานกับตระกูลเหอ นายพูดถึงเรื่องนี้กับเขาได้แล้ว”

ฉินฮ่าวควงกุญแจรถเล่นในมือ “นายท่าน นิสัยแบบนั้นของโม่หาน คุณเดินทางนี้ อันตรายเกินไปหรือเปล่าครับ ในเมื่อเขามีใจให้มู่เฉียว เขาไม่มีทางไปรักผู้หญิงคนอื่นอีก เรื่องนี้ผมเข้าใจเขาดี”

ชายคนนั้นเปิดกระจกขึ้นมา จัดทรงผมนิดหน่อย “พูดเถอะ!เพื่อรักษาความปลอดภัยของผู้หญิงคนนั้นแล้ว เขาจะยอมรับแน่นอน ส่วนหญิงจากตระกูลเหอจะประสบความสำเร็จไหม เรื่องนี้ก็ต้องดูที่การกระทำของเธอแล้ว”

“นายท่าน ผมไม่ค่อยเข้าใจ ทำไมคุณต้องให้โม่หานทนทรมานขนาดนี้ ทำไมคุณถึงไม่……”

“มีใครที่จะกลายเป็นเทพเจ้าแล้วไม่ลำบากบ้าง? โม่หานเขายังเด็กเกินไป ยิ่งมีความทุกข์และลำบากตอนนี้มากเท่าไหร่ ต่อไป ถึงจะรู้จักหวงแหนมากกว่าคนอื่น ทางด้านการพิจารณา ถึงจะครบด้าน ที่สำคัญที่สุด นายคิดว่าถ้าฉันยกตำแหน่งให้เขาตอนนี้ เขาจะรับเหรอ? ไม่มีทาง เขาจะทำลายมันด้วยมือตัวเองด้วยซ้ำ”

“แต่ว่า เรื่องการตายของพ่อเขา ทำไมคุณถึงไม่อธิบายล่ะ?”

ชายคนนั้นไม่พูด เขาไม่ได้ฆ่าปั๋วเล่อ แต่ปั๋วเล่อกลับตายเพราะเขา เขาโกรธเขา เขาก็ไม่รู้จะพูดอะไร

ยิ่งกว่านั้นระหว่างเขากับโม่หาน ไม่ได้มีแค่ปมเรื่องนี้

ฉินฮ่าวรู้ว่าตัวเองถามสิ่งที่ไม่ควรถามออกไป จึงเปลี่ยนเรื่อง “แล้วมู่เฉียวล่ะครับ?”

“ไม่ต้องสนใจไปชั่วคราว เรื่องนี้ต้องดูพวกเขาเองแล้ว ถ้าหากผู้หญิงคนนั้นสามารถทนสิ่งที่คนธรรมดาไม่สามารถทนได้ ถ้าหากเธอรักโม่หานจริงๆ ฉันก็ไม่ถือสาที่พวกเขาอยู่ด้วยกัน เรื่องคู่ครอง เขาเป็นอิสระ เพียงแต่ตอนนี้ ยังไม่ถึงเวลาอิสระของเขา ถ้าหากผู้หญิงคนนั้นกลายเป็นตัวถ่วงของเขา ถ้าอย่างนั้นก็กำจัดทิ้งซะ ก็ไม่ใช่ว่าไม่มีหนทาง”

ฉินฮ่าวสูดหายใจ ไม่พูดอะไร ตั้งแต่วันแรกที่ส่งเขาไปอยู่ข้างตัวโม่หาน เขาก็รู้แล้ว ว่านายท่านไม่ได้แค่เพียงให้เขาคอยเป็นผู้ช่วยของโม่หานอย่างเดียว ก่อนจะมา เขาคิดว่า ที่บ้านยังมีคุณชายรองอยู่ นายท่านคงไม่มีทางลงมือกับโม่หาน แต่ว่า ต่อมาเขาถึงได้รู้ว่าความคิดของนายท่านอยู่ที่โม่หานมาตั้งแต่แรก เทียบกับคนที่ลุ่มหลงมัวเมาแต่เรื่องความรัก ปั้นไม่ขึ้นอย่างคุณชายรองแล้ว โม่หาน เด่นกว่ามากจริงๆ

เพียงแต่ เส้นทางที่ต้องสืบทอดนี้ มองแล้วดูยาวนาน และยากเย็นแสนเข็ญ

อีกฝ่ายดูงุนงงอยู่พักหนึ่ง จากนั้น ถึงตอบกลับมาว่า “อ้าว ฉันนึกว่าใคร? มู่เฉียวเองเหรอ ตระกูลโม่ของเรา อยากได้เด็กแบบไหนแล้วไม่ได้ ต้องไปลักพาตัวเด็กบ้านอื่นเลย?”

มู่เฉียวโกรธมาก เธออยากจะตอบกลับว่า ถ้าโม่หานตาย พวกคุณจะไปหาเด็กมาจากที่ไหน?

แต่รู้ว่าตอนนี้ จะชวนทะเลาะไม่ได้ สูดหายใจเข้า เหมือนว่ากำลังทำการตัดสินใจครั้งใหญ่ พูดเหมือนอ้อนวอน “เสี่ยวโยวเป็นลูกของโม่หาน เรื่องนี้ พวกคุณสามารถตรวจDNAได้ โม่หานไม่อยู่แล้ว คุณจะใจร้ายถึงขนาดที่จะให้ตระกูลโม่ไร้ผู้สืบสกุลเลยเหรอ?”เพราะไม่รู้ว่าตระกูลโม่รู้เรื่องที่โม่หานไม่ตายหรือเปล่า มู่เฉียวจึงไม่กล้าพูดสุ่มสี่สุ่มห้า

นี่เป็นครั้งแรก ที่เธอเอ่ยปากอธิบายตัวตนของมู่เสี่ยวโยว

เพิ่งจะพูดจบ คุณนายโม่ก็พูดขึ้นเสียงดัง “มู่เฉียว เธอพูดอะไรน่ะ? ไร้ผู้สืบสกุลอะไร? อ๋อ ใช่ ฉันลืมบอกเธอ โม่หานยังมีน้องชายกับน้องสาวอีกหนึ่งคน ตระกูลโม่ ไม่มีทางไร้ผู้สืบสกุล และพวกเราก็ยิ่งไม่สนใจลูกคนนั้นของเธอ”

พูดจบ ‘ตึ่ง’ วางสายไป

มู่เฉียวถือโทรศัพท์ไว้ ไม่ได้สติอยู่สักพัก คุณนายโม่บอกว่าโม่หานมีน้องชายกับน้องสาวหนึ่งคน

เป็นลูกที่เกิดจากสามีคนรักเหรอ? แต่ทำไม ย่าโม่ถึงไม่รู้ล่ะ?

“พี่ เป็นยังไงบ้าง?”มู่หลิงลงมาจากรถของเซี่ยหยู

“ทำไมพวกนายก็กลับมาแล้วล่ะ?”

“พ่อส่งข้อความเข้าไปในกลุ่มครอบครัว คุณอากับคุณลุงเองก็กำลังมา ยิ่งมีคนมากเท่าไหร่ก็ยิ่งมีแรงเพิ่มไม่ใช่เหรอ?”

เซี่ยหยูจอดรถเสร็จ ก็วิ่งเข้ามา“พี่คะ ให้ฉันบอกพ่อไหมคะ ให้คนที่บริษัท……”

มู่เฉียวส่ายหน้า “อย่าเพิ่ง ตอนนี้ยังไม่รู้ว่าอีกฝ่ายลักพาตัวเสี่ยวโยวไปมีจุดประสงค์อะไร พวกเรารอก่อน”

จากนั้นมู่เฉียวกับมู่หลิงก็ไปที่สถานีตำรวจ ตรวจสอบกล้องวงจรปิดข้างทาง แปลกมาก ในทางแยกที่ต้องเข้าออกประจำ ไม่มีวี่แววว่ามีใครอุ้มเด็กเข้าออกเลยสักคน

ไม่มีเบาะแสแม้แต่นิดเดียว ทำให้มู่เฉียวร้อนรน

เมื่อเธอออกมาจากสถานีตำรวจ เธอแทบจะยืนไม่ไหว มู่หลิงประคองเธอ ถึงได้ฝืนยืนอยู่ได้

ขึ้นรถ มือถือก็ดังขึ้น

“เฉียวเอ๋อ เสี่ยวโยวกลับมาแล้ว”

มู่เฉียวพิงเบาะรถไว้ สูดหายใจเข้าแรงๆ “มันเรื่องอะไรกัน? ใครเป็นคนส่งกลับมา?”

“ไม่รู้ เมื่อกี้พ่อกับแม่ลูกกำลังหาอยู่ข้างนอก กลับมาก็ได้ยินเสียงร้องไห้”

มู่เฉียวได้ยินแบบนั้น ก็ร้องไห้ตาม เธอไม่รู้ว่าใครกำลังเล่นตลกกับเธอ หรือว่าเป็นเรื่องอะไรกัน?

เมืองa

โรงจอดรถใต้ดินโม่กรุ๊ปจ่อมีดไว้ที่คอของเจ้าของรถ “ผมเคยบอกแล้วใช่ไหม ว่าห้ามยุ่งกับพวกเธอ คุณฟังไม่รู้เรื่องเหรอ?”

ชายที่นั่งอยู่ตรงที่นั่งคนขับผลักมีดออกโดยไม่เปลี่ยนสีหน้า “โม่หาน นายน่าจะรู้นะ นี่เป็นแค่การทดสอบเล็กๆ ฉันแค่จะให้นายรู้ว่า ถ้านายไม่แข็งแกร่งขึ้น ไม่มีใครสามารถปกป้องคนที่นายรักได้ ถ้าหาก นายยังหมดอาลัยตายอยากแบบนี้ นายอย่ามาโทษว่าฉันไม่เกรงใจ นายคงรู้ ลงมือกับนาย แม่ของนายจะเกลียดฉัน ส่วนฉันเอง ก็ทำไม่ลง แต่ว่า ลงมือกับพวกเขา ฉันคิดว่าบางทีแม่นายอาจจะขอบคุณฉันด้วยซ้ำ”

สายตาของโม่หานมืดลง “คุณดูเค้นสมองหาหนทางกับผมมากเลยเนาะ? ผมจะบอกคุณ ถ้าบังคับจนผมทนไม่ไหว ผมไม่ถือสาที่จะนำหยกที่เป็นของสูงค่าไปเผารวมกับหินที่เป็นของด้อยค่า จะดูซิ สิ่งยิ่งใหญ่ที่สวยงามของคุณ ถูกทำลายโดยลูกชายของคุณเอง สีหน้าของคุณจะเป็นยังไง?”

คำขู่ของชายนั้นที่ให้เขา เขาไม่ได้โกรธ แต่กลับหันไปมองเขา มุมปากยิ้มน้อยๆ “โม่หาน ไม่ว่านายจะปฏิเสธยังไง ฉันก็คือพ่อของนาย นายเปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้ ”

“คนที่สามารถเอาชีวิตของลูกชายมาปูทาง คนที่เป็นศัตรูฆ่าพ่อ ผมไม่มีทางยอมรับ คุณเลิกคิดไปเถอะ”

“ต้องมีสักวัน ที่ผมจะไล่คุณออกจากตระกูลโม่ ไม่ว่าต้องแลกกับอะไร ถ้าหากคุณกล้ายุ่งกับพวกเขาอีก ผมก็จะลงมือกับลูกชายและลูกสาวคุณ”

เหมือนจะคิดไม่ถึงว่าเขาจะพูดแบบนี้ ชายคนนั้นขมวดคิ้ว “นั่นเป็นน้องชายและน้องสาวแท้ๆของนาย”

“ใช่เหรอ? แต่คนที่คุณไปยุ่ง เป็นคนรักของผม ลูกของผม ถ้าหากสามารถละเลยคนรักและลูกได้ น้องชายกับน้องสาว ทำไมจะไม่ได้?”

พูดจบ เขาก็ชักมือกลับ ดึงหน้ากากขึ้น แล้วหันตัวจากไป

มองแผ่นหลังของเขา ใบหน้าที่คล้ายกันของชายคนนี้ ขมวดคิ้ว แต่ในสายตากลับมีความชื่นชม ความยิ่งใหญ่ที่เขาสร้างมา ต้องการคนสืบทอดแบบนี้

ตระกูลโม่ ก็เป็นเพียงแค่ส่วนปลายของภูเขาน้ำแข็ง นี่เป็นเพียงวิธีที่บังคับให้เขาสืบทอดเส้นทางนี้ก็เท่านั้นเอง

เขาโทรหาฉินฮ่าว “ครั้งที่แล้วที่ฉันพูดเรื่องแต่งงานกับตระกูลเหอ นายพูดถึงเรื่องนี้กับเขาได้แล้ว”

ฉินฮ่าวควงกุญแจรถเล่นในมือ “นายท่าน นิสัยแบบนั้นของโม่หาน คุณเดินทางนี้ อันตรายเกินไปหรือเปล่าครับ ในเมื่อเขามีใจให้มู่เฉียว เขาไม่มีทางไปรักผู้หญิงคนอื่นอีก เรื่องนี้ผมเข้าใจเขาดี”

ชายคนนั้นเปิดกระจกขึ้นมา จัดทรงผมนิดหน่อย “พูดเถอะ!เพื่อรักษาความปลอดภัยของผู้หญิงคนนั้นแล้ว เขาจะยอมรับแน่นอน ส่วนหญิงจากตระกูลเหอจะประสบความสำเร็จไหม เรื่องนี้ก็ต้องดูที่การกระทำของเธอแล้ว”

“นายท่าน ผมไม่ค่อยเข้าใจ ทำไมคุณต้องให้โม่หานทนทรมานขนาดนี้ ทำไมคุณถึงไม่……”

“มีใครที่จะกลายเป็นเทพเจ้าแล้วไม่ลำบากบ้าง? โม่หานเขายังเด็กเกินไป ยิ่งมีความทุกข์และลำบากตอนนี้มากเท่าไหร่ ต่อไป ถึงจะรู้จักหวงแหนมากกว่าคนอื่น ทางด้านการพิจารณา ถึงจะครบด้าน ที่สำคัญที่สุด นายคิดว่าถ้าฉันยกตำแหน่งให้เขาตอนนี้ เขาจะรับเหรอ? ไม่มีทาง เขาจะทำลายมันด้วยมือตัวเองด้วยซ้ำ”

“แต่ว่า เรื่องการตายของพ่อเขา ทำไมคุณถึงไม่อธิบายล่ะ?”

ชายคนนั้นไม่พูด เขาไม่ได้ฆ่าปั๋วเล่อ แต่ปั๋วเล่อกลับตายเพราะเขา เขาโกรธเขา เขาก็ไม่รู้จะพูดอะไร

ยิ่งกว่านั้นระหว่างเขากับโม่หาน ไม่ได้มีแค่ปมเรื่องนี้

ฉินฮ่าวรู้ว่าตัวเองถามสิ่งที่ไม่ควรถามออกไป จึงเปลี่ยนเรื่อง “แล้วมู่เฉียวล่ะครับ?”

“ไม่ต้องสนใจไปชั่วคราว เรื่องนี้ต้องดูพวกเขาเองแล้ว ถ้าหากผู้หญิงคนนั้นสามารถทนสิ่งที่คนธรรมดาไม่สามารถทนได้ ถ้าหากเธอรักโม่หานจริงๆ ฉันก็ไม่ถือสาที่พวกเขาอยู่ด้วยกัน เรื่องคู่ครอง เขาเป็นอิสระ เพียงแต่ตอนนี้ ยังไม่ถึงเวลาอิสระของเขา ถ้าหากผู้หญิงคนนั้นกลายเป็นตัวถ่วงของเขา ถ้าอย่างนั้นก็กำจัดทิ้งซะ ก็ไม่ใช่ว่าไม่มีหนทาง”

ฉินฮ่าวสูดหายใจ ไม่พูดอะไร ตั้งแต่วันแรกที่ส่งเขาไปอยู่ข้างตัวโม่หาน เขาก็รู้แล้ว ว่านายท่านไม่ได้แค่เพียงให้เขาคอยเป็นผู้ช่วยของโม่หานอย่างเดียว ก่อนจะมา เขาคิดว่า ที่บ้านยังมีคุณชายรองอยู่ นายท่านคงไม่มีทางลงมือกับโม่หาน แต่ว่า ต่อมาเขาถึงได้รู้ว่าความคิดของนายท่านอยู่ที่โม่หานมาตั้งแต่แรก เทียบกับคนที่ลุ่มหลงมัวเมาแต่เรื่องความรัก ปั้นไม่ขึ้นอย่างคุณชายรองแล้ว โม่หาน เด่นกว่ามากจริงๆ

เพียงแต่ เส้นทางที่ต้องสืบทอดนี้ มองแล้วดูยาวนาน และยากเย็นแสนเข็ญ

มู่เฉียวตกตะลึง ความสนใจทั้งหมดของเธออยู่ที่คำว่าหมั้น เขากลับตระกูลโม่สิ่งนี้เธอไม่แปลกใจ แต่ว่าโม่หานหมั้นแล้ว?

เธอเม้มปาก หัวใจที่สงบของเธอยังคงสั่นไหวอยู่บ้าง

“ฟังสิ คนอื่นเขาหันกลับไปก็หมั้นแล้ว มีแต่เธอเนี่ยแหละที่เหมือนคนโง่ ที่ยังยึดติดกับเขา…….”

“เสี่ยวซิน ฉันไม่ได้ยึดติด”เธอพูดขัดคำเธอ เธอไม่ได้ยึดติดอยู่กับเขา

“งั้นเธอก็แต่งงานสิ? ถ้าไม่ใช่เพราะใจของเธอยังมีเขา เธอก็ไม่มีเหตุผลที่จะต้องปฏิเสธเฮ่อเทียน”

มู่เฉียวไม่พูด

ตกดึก

“แม่ โม่หานหมั้นแล้ว”

“เฉียวเอ๋อ ลูกยังไม่ลืมเขาเหรอ?”

“แม่ เฮ่อเทียนบอกว่าเขาจะขอหนูแต่งงาน”

อีกด้านของผนัง ปลายนิ้วของชายคนนั้นจิกเข้าที่ฝ่ามือตัวเอง เลือดหยดลงบนพื้นอีกครั้ง

“เฉียวเอ๋อ ในชีวิตนี้ ผิดครั้งแรกสามารถพูดได้ว่ายังเด็กอยู่ไม่มีประสบการณ์ แต่ผิดครั้งที่สอง มันไม่ควรมากๆ”

“แม่ แม่คิดว่าหนูกับเฮ่อเทียนอยู่ด้วยกัน เป็นเรื่องที่ผิดเหรอคะ?”

นิ้วของแม่สอดเข้าไปในผมของเธอ ถอนหายใจ “ผิดไม่ผิด คนนอกไม่รู้ เฉียวเอ๋อ เรื่องการแต่งงานลูกต้องใช้ความรู้สึกตัวเอง ความสุขของลูก ไม่เคยอยู่ที่สายตาคนอื่น แต่มันอยู่ในใจลูก”

“อื้ม หนูรู้ แม่”

ต่อมา สื่อรายใหญ่ๆรายงานข่าวเรื่องการฟื้นคืนชีพของโม่หานอย่างบ้าคลั่ง เหตุการณ์ในอดีตของเขาบางส่วนก็ถูกดึงออกมาอีกครั้งเช่นกัน แต่ที่น่าแปลกใจ คือเรื่องการแต่งงานของเขากับมู่เฉียว กลับไม่ถูกพูดถึง

สิ่งนี้ทำให้มู่เฉียวโล่งใจ

ส่วนเฮ่อเทียน ก็ร่วมมือกับตู้เสี่ยวซิน พูดเล่าเรื่องงานกับพ่อแม่และน้องเธอ

พ่อกับแม่ ก็ค่อยๆเอียงไปทางเขา พูดถึงเฮ่อเทียนต่อหน้าเธอหลายครั้งมากขึ้นเรื่อยๆ

ขนาดเสี่ยวโยวก็ถูกเฮ่อเทียนซื้อใจได้สำเร็จ

ในความฝันทุกคืนจะละเมอเรียก “คุณอาเฮ่อ”

มู่เฉียวรู้ว่าถ้าเป็นแบบนี้ต่อไป ทุกคนในบ้านจะเคยชิน สถานการณ์ไม่ถูกต้อง ดังนั้นก็นัดเฮ่อเทียนออกไป อยากจะคุยด้วยดีๆ

“เฮ่อเทียน ฉันยังคงพูดคำเดิม พวกเราไม่มีทางเป็นไปได้”

เฮ่อเทียนแลกจานสเต็กที่หั่นเสร็จแล้วให้กับมู่เฉียว “มู่เฉียว ถ้าหากความสามารถและเงื่อนไขข้ออื่นๆของผม กลายเป็นภาระของคุณ ผมละทิ้งมันได้นะ”

คำพูดนี้ทำให้มู่เฉียวตกใจ ทันใดนั้นเธอก็รู้สึกว่าเธอไม่มีอะไรจะพูด ยิ่งกว่านั้นยังไม่สามารถหลบซ่อนที่ไหนได้อีก เฮ่อเทียนที่เป็นแบบนี้ ทำให้เธอกดดัน

ตกดึก

“แม่ แม่ว่าหนูแต่งให้เฮ่อเทียน มันผิดไหม?”

“เฉียวเอ๋อ

……

“เฉียวเอ๋อ โม่หานไม่ใช่คนที่เหมาะสม”

“หนูเองก็ไม่ใช่ ไม่ใช่เหรอคะ?”

อีกด้านของผนัง ชายคนหนึ่งยิ้มบางๆที่มุมปาก มู่เฉียว วินาทีนี้ ผมมีความคาดหวังที่เห็นแก่ตัวมากว่าคุณจะรอผม

“แต่ เขาหมั้นกับคนอื่นแล้ว”

“แล้วยังไงล่ะคะ หนูเองก็แต่งงานกับเขาแล้ว? ก็หย่ากันแล้วนี่ไงคะ?”

“โอเคค่ะ แม่ หนูพูดเล่นน่ะ ตอนนั้นเขาก็ไม่มองหนู ตอนนี้เขาจะมามองได้ยังไงจริงไหมคะ?”

“แล้วเฮ่อเทียน……”

“แม่ นอนเถอะ”

ปิดไฟแล้ว ชายในชุดสูทและรองเท้าหนังเดินออกมาจากบ้านข้างๆ บางทีเขาคงจะต้องเร่งความเร็วขึ้นแล้ว

ตระกูลโม่

“ลูก ไปไหนมา? ดึกขนาดนี้ยังไม่กลับ แม่มาหลายรอบแล้ว”แม่พูด แล้วดึงมือโม่หาน เห็นว่าเสื้อของเขาเปื้อนโคลน “ลูกล้มเหรอ?”

โม่หานดึงแม่เข้ามากอด “แม่ ผมไม่เป็นไร”

“ดี ถ้าอย่างนั้นก็ดี แม่แค่เป็นห่วงลูก ลูกไม่เป็นไร แม่ก็โอเค” โม่หาน‘ฟื้น’ขึ้นมาอีกครั้ง ความรู้สึกที่คุณนายโม่มีต่อเขาแม้แต่ลมพัดใบหญ้าไหวก็เป็นกังวลเอามากๆ

ในที่ไกลออกไป ร่างที่แข็งแกร่งของชายคนหนึ่ง มองมาทางนี้ ดวงตาของเขาเปล่งประกายด้วยความอ่อนโยนที่หายาก

แต่โม่หานกลับมองเขาอย่างซับซ้อน สิ่งที่เขาทำกับโม่หาน แม่ไม่รู้ แม้ว่าแม่จะไม่ได้เป็นคนดี แต่โม่หานก็ไม่อยากให้เธอมีภาระทางจิตใจมากเกินไป

“แม่ เข้านอนเร็วหน่อยนะครับ” นี่มันก็เช้าแล้ว

จากนั้น โม่หานไม่ได้เลือกที่จะไปโม่กรุ๊ป ยิ่งกว่านั้นไม่ได้ไปบริษัทไหนๆของตระกูลโม่

กลับเลือกที่จะยืนหยัดด้วยตนเอง เขาเริ่มกลายเป็นคนที่ร้ายมากขึ้น ไม่มีผลประโยชน์ไหนที่ไม่หวังผล นอกจากนี้ยังใช้ความสัมพันธ์ทางการเมืองของตระกูลเหอ กวาดซื้ออุตสาหกรรมที่ทำกำไรมากมายในเมืองa ตอนแรกเขาทำการแข่งขันอย่างเป็นทางการ เมื่อไม่ได้มาในสิ่งที่เขาอยากได้ เขาจะใช้วิธีที่ไม่ธรรมดา ยังไงซะ ขอเพียงเป็นสิ่งที่เขาสนใจ แม้ว่าต้องเจอกับเทพก็จะฆ่าเทพ เจอพระก็ฆ่าพระ เพียงชั่วครู่เดียว ที่เมืองa ทุกคนต่างพากันหวาดกลัว และไม่มีใครกล้ารุกรานเขา ไม่มีใครกล้ายั่วเขา เขาแทบจะทำทุกอย่างเพื่อหาเงินและขยายอุตสาหกรรมของตัวเอง พยายามทุกวิถีทาง เพื่อการบรรลุ​เป้าหมาย ในช่วงเวลาเพียงหนึ่งปี ทำให้MYกรุ๊ปที่อยู่ในมือเขา ได้พัฒนาเป็นบริษัทที่มีความสามารถเทียบเท่ากับบริษัทตระกูลโม่

ในร้านเสริมสวยแห่งนี้

“เหอเจี๋ย ฉันได้ยินมาว่าคู่หมั้นของเธอ ซื้อบริษัทหลายแห่งเลย”

เหอเจี๋ยจัดทรงผมของเธอ สไตล์หลากหลาย “เขากลัวว่าฉันจะรำคาญ จึงไม่เคยพูดถึงเรื่องธุรกิจต่อหน้าฉันเลย อีกอย่าง เรื่องของผู้ชาย ฉันก็ไม่ชอบยุ่งอยู่แล้ว”

ทุกคนประจบสอพลอ คางของผู้หญิงคนนั้นค่อยๆยกขึ้น ดวงตากลับดูกลวงขึ้นเล็กน้อย

ตอนนี้เอง มือถือที่อยู่ในกระเป๋าดังขึ้น เธอมองแวบหนึ่ง สายตาก็นิ่งลง ออกไปรับสายข้างนอก

“เดี๋ยวสักพักไปหาเหล่าผู้อำนวยการกับผม”

เหอเจี๋ยอดที่จะกลืนน้ำลายไม่ได้ “โม่หาน ฉัน……วันนี้ฉันไม่ค่อยสบาย”

“คนขับรถอยู่ห่างจากสถานที่ที่คุณอยู่ ยังมีเวลาอีกห้านาที คุณไม่ไปก็ได้ ผมไม่มีปัญหา งานเลี้ยงอาหารค่ำครอบครัววันเสาร์ ผมไม่มีทางร่วมงาน”

“โม่หาน คุณ……”เสียงโทรศัพท์ ‘ตึง’ เหมือนว่ามีข้อความเข้ามา

สายตาที่เย็นชาของโม่หาน รู้สึกอบอุ่นขึ้นทันที

“ยังเหลืออีกสี่นาที เตรียมตัวเถอะ”

วางสายไป เขามองที่หน้าจอโทรศัพท์ ผู้หญิงคนหนึ่งอุ้มเด็กคนหนึ่ง เข้าร่วมกิจกรรมพ่อแม่ลูก เพียงแต่ ใบหน้าของเขาก็นิ่งลงเมื่อเห็นผู้ชายที่อยู่ตรงมุมของภาพ

เหอเจี๋ยกลัวโม่หาน เพราะเธอต้องการสิ่งน่าหลงใหลที่ชายผู้นี้นำมาให้เธอ ยิ่งกว่านั้นยังปรารถนาตำแหน่งคุณนายรองตระกูลโม่

ถึงแม้ เธอจะรู้อยู่ในใจ ว่าโม่หานไม่มีความรู้สึกต่อเธอเลย เขากำลังใช้เธออย่างสมบูรณ์แบบ

แต่เธอก็ยังหยุดไม่ได้ ติดอยู่กับมัน

เมื่อเธอมาถึง โม่หานกำลังดูมือถืออยู่ ความอบอุ่นในดวงตาของเขา ทำให้เธอสงสัยว่าตัวเองตาฝาดไป

เธอพูดขึ้นอย่างระมัดระวัง “โม่หาน”

โม่หานได้ยินแบบนั้น ก็เก็บมือถือ มองเหอเจี๋ย งอแขนเล็กน้อย เหอเจี๋ยเองก็วางมือเรียวของเธอไว้ที่แขนของเขาอย่างเป็นธรรมชาติ ทั้งสองมองหน้ากันและยิ้ม แฟลชกล้องข้างๆก็ดังขึ้น

เหอเจี๋ยรู้ว่าวันรุ่งขึ้นหนังสือพิมพ์จะต้องลงข่าว โม่หานและลูกสาวของนายกเทศมนตรี รักกันมากขึ้น

แต่ว่า มีเพียงเธอเท่านั้นที่รู้ในใจ ว่าชายคนนี้เย็นชามากแค่ไหน เพื่อผลประโยชน์แล้ว เขาสามารถทำเป็นว่ารักเธอ ดีกับเธอ ต่อหน้าคนอื่น แต่แค่หันกลับไป ก็เป็นความสัมพันธ์ที่เย็นชา

แน่นอน เรื่องพวกนี้ไม่ใช่ว่าตระกูลเหอจะไม่รู้ แต่ใครบอกให้พ่อเธอก็เป็นผู้ชายที่แสวงหาผลกำไลด้วยล่ะ?

อีกฝ่ายดูงุนงงอยู่พักหนึ่ง จากนั้น ถึงตอบกลับมาว่า “อ้าว ฉันนึกว่าใคร? มู่เฉียวเองเหรอ ตระกูลโม่ของเรา อยากได้เด็กแบบไหนแล้วไม่ได้ ต้องไปลักพาตัวเด็กบ้านอื่นเลย?”

มู่เฉียวโกรธมาก เธออยากจะตอบกลับว่า ถ้าโม่หานตาย พวกคุณจะไปหาเด็กมาจากที่ไหน?

แต่รู้ว่าตอนนี้ จะชวนทะเลาะไม่ได้ สูดหายใจเข้า เหมือนว่ากำลังทำการตัดสินใจครั้งใหญ่ พูดเหมือนอ้อนวอน “เสี่ยวโยวเป็นลูกของโม่หาน เรื่องนี้ พวกคุณสามารถตรวจDNAได้ โม่หานไม่อยู่แล้ว คุณจะใจร้ายถึงขนาดที่จะให้ตระกูลโม่ไร้ผู้สืบสกุลเลยเหรอ?”เพราะไม่รู้ว่าตระกูลโม่รู้เรื่องที่โม่หานไม่ตายหรือเปล่า มู่เฉียวจึงไม่กล้าพูดสุ่มสี่สุ่มห้า

นี่เป็นครั้งแรก ที่เธอเอ่ยปากอธิบายตัวตนของมู่เสี่ยวโยว

เพิ่งจะพูดจบ คุณนายโม่ก็พูดขึ้นเสียงดัง “มู่เฉียว เธอพูดอะไรน่ะ? ไร้ผู้สืบสกุลอะไร? อ๋อ ใช่ ฉันลืมบอกเธอ โม่หานยังมีน้องชายกับน้องสาวอีกหนึ่งคน ตระกูลโม่ ไม่มีทางไร้ผู้สืบสกุล และพวกเราก็ยิ่งไม่สนใจลูกคนนั้นของเธอ”

พูดจบ ‘ตึ่ง’ วางสายไป

มู่เฉียวถือโทรศัพท์ไว้ ไม่ได้สติอยู่สักพัก คุณนายโม่บอกว่าโม่หานมีน้องชายกับน้องสาวหนึ่งคน

เป็นลูกที่เกิดจากสามีคนรักเหรอ? แต่ทำไม ย่าโม่ถึงไม่รู้ล่ะ?

“พี่ เป็นยังไงบ้าง?”มู่หลิงลงมาจากรถของเซี่ยหยู

“ทำไมพวกนายก็กลับมาแล้วล่ะ?”

“พ่อส่งข้อความเข้าไปในกลุ่มครอบครัว คุณอากับคุณลุงเองก็กำลังมา ยิ่งมีคนมากเท่าไหร่ก็ยิ่งมีแรงเพิ่มไม่ใช่เหรอ?”

เซี่ยหยูจอดรถเสร็จ ก็วิ่งเข้ามา“พี่คะ ให้ฉันบอกพ่อไหมคะ ให้คนที่บริษัท……”

มู่เฉียวส่ายหน้า “อย่าเพิ่ง ตอนนี้ยังไม่รู้ว่าอีกฝ่ายลักพาตัวเสี่ยวโยวไปมีจุดประสงค์อะไร พวกเรารอก่อน”

จากนั้นมู่เฉียวกับมู่หลิงก็ไปที่สถานีตำรวจ ตรวจสอบกล้องวงจรปิดข้างทาง แปลกมาก ในทางแยกที่ต้องเข้าออกประจำ ไม่มีวี่แววว่ามีใครอุ้มเด็กเข้าออกเลยสักคน

ไม่มีเบาะแสแม้แต่นิดเดียว ทำให้มู่เฉียวร้อนรน

เมื่อเธอออกมาจากสถานีตำรวจ เธอแทบจะยืนไม่ไหว มู่หลิงประคองเธอ ถึงได้ฝืนยืนอยู่ได้

ขึ้นรถ มือถือก็ดังขึ้น

“เฉียวเอ๋อ เสี่ยวโยวกลับมาแล้ว”

มู่เฉียวพิงเบาะรถไว้ สูดหายใจเข้าแรงๆ “มันเรื่องอะไรกัน? ใครเป็นคนส่งกลับมา?”

“ไม่รู้ เมื่อกี้พ่อกับแม่ลูกกำลังหาอยู่ข้างนอก กลับมาก็ได้ยินเสียงร้องไห้”

มู่เฉียวได้ยินแบบนั้น ก็ร้องไห้ตาม เธอไม่รู้ว่าใครกำลังเล่นตลกกับเธอ หรือว่าเป็นเรื่องอะไรกัน?

เมืองa

โรงจอดรถใต้ดินโม่กรุ๊ป  จ่อมีดไว้ที่คอของเจ้าของรถ “ผมเคยบอกแล้วใช่ไหม ว่าห้ามยุ่งกับพวกเธอ คุณฟังไม่รู้เรื่องเหรอ?”

ชายที่นั่งอยู่ตรงที่นั่งคนขับผลักมีดออกโดยไม่เปลี่ยนสีหน้า “โม่หาน นายน่าจะรู้นะ นี่เป็นแค่การทดสอบเล็กๆ ฉันแค่จะให้นายรู้ว่า ถ้านายไม่แข็งแกร่งขึ้น ไม่มีใครสามารถปกป้องคนที่นายรักได้ ถ้าหาก นายยังหมดอาลัยตายอยากแบบนี้ นายอย่ามาโทษว่าฉันไม่เกรงใจ นายคงรู้ ลงมือกับนาย แม่ของนายจะเกลียดฉัน ส่วนฉันเอง ก็ทำไม่ลง แต่ว่า ลงมือกับพวกเขา ฉันคิดว่าบางทีแม่นายอาจจะขอบคุณฉันด้วยซ้ำ”

สายตาของโม่หานมืดลง “คุณดูเค้นสมองหาหนทางกับผมมากเลยเนาะ? ผมจะบอกคุณ ถ้าบังคับจนผมทนไม่ไหว ผมไม่ถือสาที่จะนำหยกที่เป็นของสูงค่าไปเผารวมกับหินที่เป็นของด้อยค่า จะดูซิ สิ่งยิ่งใหญ่ที่สวยงามของคุณ ถูกทำลายโดยลูกชายของคุณเอง สีหน้าของคุณจะเป็นยังไง?”

คำขู่ของชายนั้นที่ให้เขา เขาไม่ได้โกรธ แต่กลับหันไปมองเขา มุมปากยิ้มน้อยๆ “โม่หาน ไม่ว่านายจะปฏิเสธยังไง ฉันก็คือพ่อของนาย นายเปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้ ”

“คนที่สามารถเอาชีวิตของลูกชายมาปูทาง คนที่เป็นศัตรูฆ่าพ่อ ผมไม่มีทางยอมรับ คุณเลิกคิดไปเถอะ”

“ต้องมีสักวัน ที่ผมจะไล่คุณออกจากตระกูลโม่ ไม่ว่าต้องแลกกับอะไร ถ้าหากคุณกล้ายุ่งกับพวกเขาอีก ผมก็จะลงมือกับลูกชายและลูกสาวคุณ”

เหมือนจะคิดไม่ถึงว่าเขาจะพูดแบบนี้ ชายคนนั้นขมวดคิ้ว “นั่นเป็นน้องชายและน้องสาวแท้ๆของนาย”

“ใช่เหรอ? แต่คนที่คุณไปยุ่ง เป็นคนรักของผม ลูกของผม ถ้าหากสามารถละเลยคนรักและลูกได้ น้องชายกับน้องสาว ทำไมจะไม่ได้?”

พูดจบ เขาก็ชักมือกลับ ดึงหน้ากากขึ้น แล้วหันตัวจากไป

มองแผ่นหลังของเขา ใบหน้าที่คล้ายกันของชายคนนี้ ขมวดคิ้ว แต่ในสายตากลับมีความชื่นชม ความยิ่งใหญ่ที่เขาสร้างมา ต้องการคนสืบทอดแบบนี้

ตระกูลโม่ ก็เป็นเพียงแค่ส่วนปลายของภูเขาน้ำแข็ง นี่เป็นเพียงวิธีที่บังคับให้เขาสืบทอดเส้นทางนี้ก็เท่านั้นเอง

เขาโทรหาฉินฮ่าว “ครั้งที่แล้วที่ฉันพูดเรื่องแต่งงานกับตระกูลเหอ นายพูดถึงเรื่องนี้กับเขาได้แล้ว”

ฉินฮ่าวควงกุญแจรถเล่นในมือ “นายท่าน นิสัยแบบนั้นของโม่หาน คุณเดินทางนี้ อันตรายเกินไปหรือเปล่าครับ ในเมื่อเขามีใจให้มู่เฉียว เขาไม่มีทางไปรักผู้หญิงคนอื่นอีก เรื่องนี้ผมเข้าใจเขาดี”

ชายคนนั้นเปิดกระจกขึ้นมา จัดทรงผมนิดหน่อย “พูดเถอะ!เพื่อรักษาความปลอดภัยของผู้หญิงคนนั้นแล้ว เขาจะยอมรับแน่นอน ส่วนหญิงจากตระกูลเหอจะประสบความสำเร็จไหม เรื่องนี้ก็ต้องดูที่การกระทำของเธอแล้ว”

“นายท่าน ผมไม่ค่อยเข้าใจ ทำไมคุณต้องให้โม่หานทนทรมานขนาดนี้ ทำไมคุณถึงไม่……”

“มีใครที่จะกลายเป็นเทพเจ้าแล้วไม่ลำบากบ้าง? โม่หานเขายังเด็กเกินไป ยิ่งมีความทุกข์และลำบากตอนนี้มากเท่าไหร่ ต่อไป ถึงจะรู้จักหวงแหนมากกว่าคนอื่น ทางด้านการพิจารณา ถึงจะครบด้าน ที่สำคัญที่สุด นายคิดว่าถ้าฉันยกตำแหน่งให้เขาตอนนี้ เขาจะรับเหรอ? ไม่มีทาง เขาจะทำลายมันด้วยมือตัวเองด้วยซ้ำ”

“แต่ว่า เรื่องการตายของพ่อเขา ทำไมคุณถึงไม่อธิบายล่ะ?”

ชายคนนั้นไม่พูด เขาไม่ได้ฆ่าปั๋วเล่อ แต่ปั๋วเล่อกลับตายเพราะเขา เขาโกรธเขา เขาก็ไม่รู้จะพูดอะไร

ยิ่งกว่านั้นระหว่างเขากับโม่หาน ไม่ได้มีแค่ปมเรื่องนี้

ฉินฮ่าวรู้ว่าตัวเองถามสิ่งที่ไม่ควรถามออกไป จึงเปลี่ยนเรื่อง “แล้วมู่เฉียวล่ะครับ?”

“ไม่ต้องสนใจไปชั่วคราว เรื่องนี้ต้องดูพวกเขาเองแล้ว ถ้าหากผู้หญิงคนนั้นสามารถทนสิ่งที่คนธรรมดาไม่สามารถทนได้ ถ้าหากเธอรักโม่หานจริงๆ ฉันก็ไม่ถือสาที่พวกเขาอยู่ด้วยกัน เรื่องคู่ครอง เขาเป็นอิสระ เพียงแต่ตอนนี้ ยังไม่ถึงเวลาอิสระของเขา ถ้าหากผู้หญิงคนนั้นกลายเป็นตัวถ่วงของเขา ถ้าอย่างนั้นก็กำจัดทิ้งซะ ก็ไม่ใช่ว่าไม่มีหนทาง”

ฉินฮ่าวสูดหายใจ ไม่พูดอะไร ตั้งแต่วันแรกที่ส่งเขาไปอยู่ข้างตัวโม่หาน เขาก็รู้แล้ว ว่านายท่านไม่ได้แค่เพียงให้เขาคอยเป็นผู้ช่วยของโม่หานอย่างเดียว ก่อนจะมา เขาคิดว่า ที่บ้านยังมีคุณชายรองอยู่ นายท่านคงไม่มีทางลงมือกับโม่หาน แต่ว่า ต่อมาเขาถึงได้รู้ว่าความคิดของนายท่านอยู่ที่โม่หานมาตั้งแต่แรก เทียบกับคนที่ลุ่มหลงมัวเมาแต่เรื่องความรัก ปั้นไม่ขึ้นอย่างคุณชายรองแล้ว โม่หาน เด่นกว่ามากจริงๆ

เพียงแต่ เส้นทางที่ต้องสืบทอดนี้ มองแล้วดูยาวนาน และยากเย็นแสนเข็ญ

 

มู่เฉียวพยักหน้าให้เธอ ได้ยินคำว่าแรงงานอีกครั้ง ใจของมู่เฉียว ก็นิ่งลงไป

ประธานบริษัทโม่ ชายที่มีความเฉียบแหลมทางธุรกิจที่คนธรรมดาไม่สามารถเทียบได้ ไม่ว่าจะไปบริษัทไหน ก็สามารถขึ้นนั่งตำแหน่งceoได้ง่ายๆ เทียบกับคำว่าแรงงานแล้ว ห่างชั้นกันมากจริงๆ

“เบอร์โทรศัพท์ของเขา คุณมีไหม?”

หญิงสาวส่ายหน้า “ไม่มี คนที่ต่อไปไม่ได้เจอหน้ากัน จะขอไว้ทำไม?”

พี่สาวเซี่ยหยูไม่ได้ปกปิดตัวตนของโม่หาน

มู่เฉียวพยักหน้า

ในคืนนี้ มู่เฉียวแทบจะไม่ได้นอน ในหัวของเธอเต็มไปด้วยชายคนที่หน้าเหมือน ชื่อเหมือนคนนั้น

เธอยอมรับ ถ้าจะบอกว่ารักโม่หานก็คงจะเกินความเป็นจริงมากไป ที่มากกว่านั้น อาจจะแค่รู้สึกปวดใจ และรู้สึกใจสั่นหน่อยๆ

เธอขอลากับหลิวฮั่ว นั่งแท็กซี่ไปยังสถานที่ตามที่อยู่ที่พี่สาวเซี่ยหยูให้มา

ที่นี่เป็นหมู่บ้านในเมืองที่กำลังจะถูกรื้อถอน

ป้ายรื้อถอนมีอยู่ทุกที่ โดยทั่วไปบ้านแบบนี้ ไม่มั่นคง ดังนั้น ราคาเช่าจะถูกมาก แรงงานต่างด้าวจำนวนมากจะมาเช่าที่นี่

โชคดี ที่บ้านเลขที่ยังเห็นได้ชัด

ไม่นาน เธอก็พบบ้านในที่อยู่ ที่นี่เป็นตึกเก่าสามชั้น สภาพทรุดโทรม

เธอเคาะประตูเหล็กที่ขึ้นสนิม ส่งเสียง‘ขึ่งขั่ง’

สักพัก ก็มีคนเปิดประตู

เป็นชายวัยกลางคน แต่งกายด้วยชุดทำงานเปื้อนฝุ่น ทำท่าทางหาว ระยะห่างขนาดนี้ มู่เฉียวยังได้กลิ่นบุหรี่และแอลกอฮอล์จากร่างกายของเขา

“คุณมาหาใคร?”ชายคนนั้นดูเหมือนจะถูกรบกวนเวลานอนของเขา น้ำเสียงของเขาจึงแย่มาก

“ฉันมาหา……โม่หาน” มู่เฉียวสูดหายใจ เมื่อพูดคำว่าโม่หาน

ชายคนนั้นขมวดคิ้ว “โม่หานอะไร ไม่มีๆ ”พูดจบ ก็ปิดประตูเหล็กอีกครั้ง

มู่เฉียวอยากเคาะประตู แต่สุดท้ายก็เอามือลง

ดูเวลา สิบโมงเช้าแล้ว ถ้าเขาทำงานก่อสร้างจริงๆ ตอนนี้คงไม่น่าจะอยู่บ้าน

คิดๆแล้ว ก็เคาะประตูอีกครั้ง ครั้งนี้เปิดเร็วมาก สายตาของชายคนนั้นดุหน่อยๆ แม้จะเจอกับมู่เฉียวที่หน้าตาสวยแบบนี้ ก็ไม่มีท่าทีว่าจะอ่อนโยนเลยสักนิด พูดเสียงดังว่า “ฉัน……”

ธนบัตรสีแดงสองสามใบถูกวางไว้ต่อหน้าของชายคนนั้น ทำให้คำด่าที่อยู่ข้างหลังของเขา หยุดลงทันที

“ฉันแค่อยากรู้ว่าคนที่อยู่ที่นี่มีใครบ้าง? ฉันเข้าไปดูได้ไหม”

ชายคนนั้นรับเงินอย่างกระฉับกระเฉง แตะน้ำลายแล้วนับ มีตั้งหกเจ็ดใบ ก็ดีใจ รีบถอยให้มู่เฉียวเข้ามา

“เชิญครับคุณ”

ที่นี่มองจากข้างนอกเหมือนตึกสามชั้น พอเดินเข้าไปข้างใน มู่เฉียวถึงได้เห็นว่า บันไดได้พังไปแล้ว มีแค่ชั้นหนึ่งที่สามารถอาศัยอยู่ได้

ทั้งบ้านเต็มไปด้วยกลิ่นเหงื่อรวมกับกลิ่นเหล้าบุหรี่ ทำให้เธอทนไม่ได้อยากปิดจมูก แต่มันดูไม่สุภาพ

“บ้านนี้มีคนอยู่สามคน ฉัน แล้วมีอีกสองคนที่ทำงานก่อสร้าง คนหนึ่งอาศัยอยู่ห้องนี้ และอีกคนหนึ่งอาศัยอยู่ในห้องนั้น คุณเข้าไปดูได้เลย”ชายวัยกลางคนพูด แล้วเดินหน้าขึ้นไปผลักประตูให้มู่เฉียว

มีเงินก็สามารถใช้ผีโม่แป้งได้จริงๆ ท่าทางที่ต่างกันราวฟ้ากับดินนี้

ทั้งสองห้องมีการวางผังห้องที่คล้ายกัน มีเตียง โต๊ะเรียบๆ ที่แตกต่างคือ ห้องหนึ่งสกปรก และอีกห้องสะอาด

เธอเลือกห้องที่สะอาดกว่าโดยสัญชาตญาณ

เพียงแต่เมื่อมองไปเห็นก้นบุหรี่ที่อยู่ในฝาเหล็กบนโต๊ะ และขวดเหล้าที่วางอยู่บนพื้น หัวใจของมู่เฉียวก็เย็นลงโม่หานไม่สูบบุหรี่ ไม่ดื่มเหล้า

“คนที่อาศัยอยู่ห้องนี้ ชื่อโม่หานหรือเปล่า?”

ชายวัยกลางคนจับหัว “อันนี้ ฉันไม่รู้จริงๆ เขาเหมือนพูดไม่เป็น เข้าๆออกๆไม่เคยพูดกับพวกเราเลย”

มู่เฉียวนึกถึงเมื่อวานตอนที่กินข้าว ชายคนนั้นตั้งแต่เดินเข้ามา ก็ไม่พูดเลยสักคำ

เห็นว่าเธอกำลังจะไป ชายวัยกลางคนก็ตามมาทันที “คือ ฉันรู้ว่าเขาทำงานที่ไหน”

มู่เฉียวหันไป มองสายตาที่มีแต่ความโลภของเขา เปิดกระเป๋า ยื่นให้เขาอีกสามร้อยหยวน

ชายผู้นั้นซ่อนความดีใจไว้ไม่อยู่ “ไป ฉันพาคุณไป อยู่ใกล้ๆนี่แหละ”

มู่เฉียวพยักหน้า เธอเองก็มีความทะเยอทะยานที่ไม่สิ้นสุด

ในใจก็กลัว แต่ก็หวัง กลัวว่าจะแค่หน้าตาเหมือนกัน และหวังว่ามันจะมีปาฏิหาริย์

ที่จริงไซต์งานก่อสร้างก็อยู่ไม่ไกล แต่เพราะทุกที่กำลังมีการก่อสร้าง ดังนั้น จึงรกมาก ตรงนี้มีหลุม ตรงนั้นมีกองเศษซาก ต้องเดินอ้อมไปมา เดินเป็นสิบนาที กว่าจะถึงไซต์งาน

“คุณลองไปถามคนทางนั้นดู บางทีอาจมีคนรู้จัก”

มู่เฉียวพยักหน้า ชายวัยกลางคนถอยหลัง “ครั้งหน้า คุณอยากรู้อะไรอีก บอกฉันนะ”

“อืม”

ชายวัยกลางคนก็จากไป

สาวสวยมาถึงสถานที่ก่อสร้างที่ที่ผู้ชายรวมตัวกัน คนที่คุณสมบัติดี ก็แค่แอบมอง คนที่มีคุณสมบัติแย่ ก็ผิวปากแซวมาแล้ว

“เฮ้ คุณเป็นใครน่ะ ไม่รู้เหรอว่าสถานที่ก่อสร้างอันตราย จะมาเดินเล่นตามใจไม่ได้? ถ้าเกิดโดนอะไรทับตาย ใครจะรับผิดชอบ”เสียงถามอย่างเฉียบขาดดังมาจากด้านหลัง

มู่เฉียวหันไป ก็เห็นผู้ชายที่สวมหมวกนิรภัยอยู่ มือชี้มาทางเธอ

เธอลังเลพักหนึ่ง เดินเข้าไปใกล้ ยิ้มบางๆให้ชายคนนั้น “สวัสดีค่ะ ฉันมาตามหาคน”

ชายคนนั้นอายุประมาณสามสิบปี ถูกมู่เฉียวยิ้มให้แบบนี้ อารมณ์โกรธก็หายไป น้ำเสียงอ่อนลง “คนสวย คุณไปที่ปลอดภัยกับผมก่อน ถ้าก้อนอิฐตกลงมากระแทกโดนหัว อันตรายถึงชีวิตเลยนะ”ชายคนนั้นชี้ไปที่ชั้นบน

พูดไป ก็เดินนำไป

มาถึงที่ปลอดภัย ชายจึงถามขึ้น “คุณตามหาใครครับ?”

“โม่หาน”

“โม่…..หาน?”ชายตะโกนถามคนข้างหลัง“พวกนาย ใครรู้จักโม่หาน?”

ทั้งหมดส่ายหัว ทันใดนั้นก็มีเสียงเล็กๆดังมาจากกลุ่มคน “คนที่เธอตามหาน่าจะเป็นมู่โถวหรือเปล่า? ฉันจำได้ว่าชื่อของเขาเหมือนจะชื่อหานอะไรสักอย่าง”

จากนั้นก็มีคนตามว่า “เหมือนจะใช่ แปลกจริง สองสามวันนี้ ทำไมถึงมีแต่สาวสวยมาหาเขา”

“ก็เขาน่าตาดี”

“นั่นมีประโยชน์อะไรล่ะ ยังไงก็ทำงานก่อสร้างเหมือนฉันไม่ใช่เหรอ? ถ้ามีความสามารถ ก็ไปเป็นโสเภณีชายสิ? ”

มู่เฉียวขมวดคิ้ว หันตัวไปยิ้มให้ชายที่อยู่ข้างหน้า “คือ ช่วยเรียกเขามาหน่อยได้ไหม ฉัน ฉันกลัวเดินไปไม่ปลอดภัย”

“นายคนนั้นน่ะ นายไปตามคนมาซิ”

ข้อดีของคนสวย ต่อหน้าคนที่ชอบเสน่ห์หญิงแล้ว แค่ยิ้มบางๆ ก็มีผลมากกว่าใช้เงิน

ตอนโม่หานมา คือครึ่งชั่วโมงให้หลัง

เขาเห็นมู่เฉียว แค่มองแวบเดียว ก็ก้มหน้าลง ยืนอยู่ข้างหน้าเธอ ไม่พูดอะไร

สวมชุดทำงาน บนตัวเต็มไปด้วยฝุ่นและโคลน ไม่เว้นแม่แต่ใบหน้าหรือมือ

เธอยังจำได้ว่าโม่หานมีนิสัยรักความสะอาดหน่อย เสื้อสูท แม้ว่าจะใส่แค่ครั้งเดียว หรือเวลาเพียงครึ่งชั่วโมงก็ตาม จะต้องเอาไปซัก

“โม่หาน ฉันคือมู่เฉียว คุณคือโม่หานที่ฉันรู้จักหรือเปล่า?”

ถึงแม้ความหวังในใจจะยิ่งอยู่ยิ่งน้อยลง แต่มู่เฉียวก็อดถามไม่ได้

“แม่ เจ็บ”มู่เสี่ยวโยวเงยหน้ามองมู่เฉียว

มู่เฉียวคลายมือออก หันไปมองหน้าพ่อกับแม่ สีหน้าของพวกเขาก็ดูแย่มากเหมือนกัน ถ้าอย่างนั้นก็แสดงว่า นี่ไม่ใช่ความฝัน ไม่ได้ตาฝาด เป็นเรื่องจริง

“พี่สาว คุณน้า คุณอา ขอแนะนำให้รู้จักนะคะ นี่คือพ่อกับแม่ของฉัน ส่วนนี่คือพี่สาวและพี่เขย”

มู่เฉียวลุกขึ้น ส่งมู่เสี่ยวโยวให้แม่ “ขอโทษนะคะ ฉัน……ไปห้องน้ำสักครู่”

มองดูในกระจก สีหน้าซีดแบบนั้น มู่เฉียวใช้ความพยายามอย่างมากในการเก็บความตื่นตกใจไว้ในใจ

คนคนนั้นเหมือนโม่หานอย่างกับแกะ เธออยากปลอบใจตัวเอง ว่าในโลกนี้อาจมีคนที่หน้าตาคล้ายกันอยู่ แต่ว่า กลับยังรู้สึกมีความหวังเล็กๆ โม่หาน คนนั้นใช่คุณหรือเปล่า? คุณยังไม่ตาย ใช่ไหม?

ตั้งนานแล้วเธอยังไม่ออกมา เซี่ยหยูไม่วางใจ จึงตามมาดู

พบว่ามู่เฉียวพิงอยู่ตรงผนัง หลับตาไว้ “พี่คะ คุณไม่สบายเหรอคะ?”

มู่เฉียวฝืนเก็บความไม่สบายใจเอาไว้ มองเซี่ยหยู ส่ายหน้า “ฉันไม่เป็นไร เพียงแต่……เมื่อกี้รู้สึกเวียนหัวนิดหน่อย”

“ถ้าอย่างนั้นฉันช่วยพยุงนะ?”เซี่ยหยูมอง แล้วเข้าใกล้ จับแขนมู่เฉียวไว้

“เสี่ยวหยู พี่เธอกับพี่เขยเธอ แต่งงานกันเมื่อไหร่?”

เซี่ยหยูขมวดคิ้ว ก้มหน้า หน้าแดงเล็กน้อย เธอลังเลสักพัก ก็เข้าไปกระซิบข้างหูมู่เฉียว “ที่จริง พี่สาวของฉันจ้างผู้ชายคนนั้นมา”

มู่เฉียวเบิกตากว้าง มองเซี่ยหยู เดินไปมองที่ประตูดูแล้วว่าข้างนอกไม่มีคน เธอจึงปิดประตู แล้วถามว่า“ที่ว่าจ้างมาคืออะไร?”

เซี่ยหยูถอนหายใจ “ก่อนหน้านี้พี่สาวฉันมีแฟนคนหนึ่ง โดนนอกใจ หลังจากนั้น พี่สาวฉันก็กลายเป็นคนประเภทที่แต่งงานไม่ได้ ไม่ว่าผู้ชายจะดีมากแค่ไหน พี่สาวฉันก็ไม่เชื่อ แล้วไม่นานมานี้พ่อกับแม่ก็บอกว่าฉันมีแฟนแล้ว เธอยังโสดอยู่มันดูไม่มีเหตุผลเลย ดังนั้น เพื่ออาหารมื้อนี้แล้ว พี่สาวฉันก็คิดว่าจะไปจ้างคนมาเป็นแฟน ผู้ชายคนนี้ ได้ยินมาจากพี่สาวว่า เขาเป็นแรงงาน ไปเจอตอนที่พี่สาวไปที่ไซต์ก่อสร้างของพ่อ พากลับมาแต่งตัว ก็พอดูดีขึ้นมา”

ความสนใจของมู่เฉียวทั้งหมดอยู่ที่คำว่า ‘แรงงาน’

เธอกลืนน้ำลาย ในใจรู้สึกยังไงอธิบายไม่ถูก

นี่ คงไม่ใช่โม่หานใช่ไหม?

เมื่อทั้งสองคนกลับไปที่โต๊ะ สีหน้าพ่อกับแม่สงบลงมาบ้างแล้ว พ่อเซี่ยแม่เซี่ย ดูเป็นคนสบายๆ ทำให้มู่เฉียวนึกถึง ย่าโม่

“คุณพ่อของมู่หลิง ต่อไป พวกเราก็เป็นครอบครัวเดียวกันแล้ว เสี่ยวหยูโดนพวกเราตามใจจนเคยชินแล้ว อีกหน่อยไปอยู่บ้านคุณ เธอทำไม่ถูกตรงไหน คุณด่าได้เลย”มองออกเลย ว่าพ่อเซี่ยเป็นคนตรงไปตรงมา

“พ่อ พูดอะไรน่ะ?

พ่อมู่ยิ้มบางๆ “เสี่ยวหยู อ่อนโยนและใจดีแบบนี้ ผมกับแม่ของลูก หวงแหนมากกว่า ด่าไม่ลงหรอก”

พูดคำนี้จบ มู่เฉียวรู้สึกว่าพ่อแม่ของเธอโล่งใจอย่างเห็นได้ชัด

จากนั้น มู่หลิงกลับลุกขึ้นยืนทันที มองพี่สาวของเซี่ยหยู “พี่ครับ คุณไม่แนะนำพี่เขยหน่อยเหรอ? เพิ่งเจอกันครั้งแรก”

มู่เฉียวเม้มปาก รู้สึกประหม่าเล็กน้อย มือของเธอที่วางอยู่ใต้โต๊ะ ประสานเข้าด้วยกัน อดไม่ได้ที่จะออกแรงมากขึ้น เธอรู้ เห็นเพียงแค่พี่สาวเซี่ยลุกขึ้น “มู่หลิง ขอโทษด้วยจริงๆนะ เขา ช่วงนี้คอของเขาอักเสบ พูดไม่ได้น่ะ”

มู่เฉียวเงยหน้าไปมอง ผู้ชายที่อยู่ตรงหน้า อวบและผิวคล้ำกว่าโม่หานนิดหน่อย แต่โม่หานมีรอยแผลเป็นบนดวงตา คนคนนี้กลับไม่มี

สายตาเธอลดลง ตรงข้อมือของโม่หาน มีรอยลวก ย่าโม่บอกว่า ตอนเด็กเขาซน เล่นประทัดแล้วโดน แต่ นอกจากผิวที่หยาบกร้านแล้วที่ตรงนั้นไม่มีอะไรเลย มองไม่เห็นว่ามีรอยแผลเป็น ไม่มีอะไรเลย

ดวงตาของเธอนิ่งลงไป

รู้สึกว่าตัวเองไร้สาระขึ้นมาทันที เธอเป็นคนฝังขี้เถ้าของโม่หานเองกับมือ ในโรงพยาบาล เธอเห็นกับตาว่าชีวิตของโม่หานตกอยู่ในอันตราย หมอบอกว่า เขาเสียแล้ว แต่ปู่โม่ยังไม่ยอมแพ้ จะส่งเขาไปลองรักษาที่เมืองนอก

ตอนฝังโม่หาน คุณนายโม่กับย่าโม่ร้องไห้จนสลบไปหลายรอบ

แต่ว่า ตอนนี้ เธอยังคงฝันลมๆแล้งๆ ว่าโม่หานยังไม่ตาย

ใช่สิ ถ้าโม่หานไม่ตาย จะมองเธอกับมู่เสี่ยวโยวด้วยสายตาสงบแบบนี้ได้ยังไง ไม่มีทางอยู่แล้ว

มู่เฉียว เธอตายใจเถอะ!

“แม่ เขาคือพ่อหรือเปล่า?”ทันใดนั้น มู่เสี่ยวโยวชี้ไปที่โม่หาน พูดคำพูดน่าตกใจออกมา

สายตาของทุกคนไปตกอยู่บนตัวของชายคนนั้นทันที

มู่เฉียวตื่นตระหนก กลืนน้ำลาย เธอลืมไป ในมือถือ เธอให้มู่เสี่ยวโยวดูรูปของโม่หานบ่อยๆ พูดขึ้นช้าๆว่า “เสี่ยวโยว เขาไม่ใช่พ่อ คุณพ่อ ไปอยู่บนสวรรค์แล้ว นี่คือคุณอา”

เธอบอกมู่เสี่ยวโยว และบอกกับตัวเองด้วย

มู่เสี่ยวโยวหยิบช้อนตักข้าวเข้าปาก “แม่ พ่อไปสวรรค์แล้ว เมื่อไหร่พ่อจะกลับมา?”

“เอาล่ะ เสี่ยวโยว กินข้าวก่อน”แม่เห็นว่าสีหน้าของมู่เฉียวแย่ รีบพูดเบี่ยงประเด็นขึ้น

“แม่ พ่อไม่ต้องการเราแล้วเหรอ? เขาไปสวรรค์ โทรหาเราไม่ได้เหรอ?”แต่นิสัยเสี่ยวโยวเหมือนมู่เฉียว ดื้อรั้น

“คุณหนูมู่ ฉันขอเสียมารยาทถามสักหน่อย พ่อของเสี่ยวโยว เหมือนโม่หานมากเลยเหรอคะ?”

ตะเกียบในมือมู่เฉียวตกลงบนพื้น และเธอก็ยืนขึ้นอย่างตื่นเต้น “พี่คะ คุณ……คุณเรียกเขาว่าอะไรนะ?”

ชายคนนั้นไม่ได้เงยหน้าขึ้นมอง ก้มหน้ากินอย่างเดียว

แต่เห็นได้ชัดว่าพี่สาวเซี่ยมีท่าทีสนใจ พูดอย่างไม่เร่งรีบว่า “เขา ชื่อโม่หาน”

ชายเสื้อของมู่เฉียวถูกแม่ดึงแรงๆ เธอถึงได้สติกลับมา

จริงด้วย วันนี้เป็นงานใหญ่ของเซี่ยหยูกับมู่หลิง จะทำลายมื้ออาหารมื้อนี้เพราะเรื่องของตัวเองไม่ได้

เธอพยายามปรับอารมณ์ตัวเอง ก่อนจะพูดว่า “อ๋อ ไม่มีอะไรค่ะ เมื่อก่อน รู้จักผู้ชายคนหนึ่งที่ชื่อนี้เหมือนกัน”

พี่สาวเซี่ยพยักหน้า หัวข้อนี้ก็ถือว่าผ่านไปแล้ว

มื้ออาหารนี้ มู่เฉียวรู้สึกเหมือนนั่งอยู่บนกองไฟ ในที่สุดก็ทานกันเสร็จ หลังจากมองพ่อเซี่ยแม่เซี่ยนั่งรถจากไป

เธอก็โล่งใจ

หันกลับไปก็ไม่เห็นผู้ชายคนนั้นแล้ว ก็ร้อนรนขึ้น “พี่คะ ผู้ชายคนนั้นล่ะ?”

พี่สาวเซี่ยดูเป็นคนประณีต เธอหยิบโน้ตออกจากกระเป๋า ในนั้นเขียนที่อยู่ยื่นให้มู่เฉียว “นี่คือที่ที่ฉันไปรับเขาวันนี้ ฉัน ไม่รู้จักเขาจริงๆ แต่ เห็นบอกว่า เขาเป็นแรงงาน คุณหนูมู่ ได้ยินว่าพ่อของเสี่ยวโยวเสียแล้ว ขอโทษจริงๆค่ะ ที่วันนี้ทำให้คุณนึกถึงเขา”

มู่เฉียวพยักหน้าให้เธอ ได้ยินคำว่าแรงงานอีกครั้ง ใจของมู่เฉียว ก็ทรุดนิ่งลงไปอีก

เห็นคนด้านในชัดเจน มู่เฉียวก็หันกลับเดินออกไป

แขนถูกดึงจากด้านหลัง

มู่เฉียวจึงหันไปมองผู้หญิงตรงหน้า “ปล่อย!”

“ทำไมละ?ไม่อยากได้งานแล้วเหรอ?”

มู่เฉียวไม่พูดอะไร ผู้หญิงคนนั้นก็ยิ้มขึ้นมา เดินไปรอบๆมู่เฉียวแล้วพิจารณาเธอ หัวเราะเยาะแล้วพูดว่า “ได้ยินว่าคุณมาที่เมืองB ฉันรู้ว่าคุณยังหาวิธีที่จะเข้าสู่อาชีพนี้ ฉันจึงตั้งใจให้คนเปิดรับสมัครออกไป แต่ไม่คิดว่าจะเร็วขนาดนี้”

มู่เฉียวหลับตา สำหรับผู้หญิงคนนี้ที่ทำลายชีวิตเธอ เวลาเธอแทบทนไม่ไหวที่จะบีบคอเธอให้ตายไปซะ

“อย่าบอกนะว่าบริษัทนี้เป็นของคุณ?” มู่เฉียวไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะได้พบกับมู่หยิงที่เมือง B

“บริษัทนี้เป็นของสามีฉัน ฉันอยู่บ้านเบื่อๆ ก็เลยมาดูหน่อย มู่เฉียวได้ยินมาว่า คุณยังอยู่คนเดียวเหรอ?เฮ้อ โม่หานคนนี้ตายไปหนึ่งปีแล้ว อีกทั้งคุณไม่ใช่ว่าไม่ชอบเขาหรอกเหรอ?ทำไมยังต้องไว้ทุกข์แก่เขาด้วยเหรอ?ไม่หาใครสักคนล่ะ?อืม ใช่สิ เฮ่อเทียนคนนั้นยังคงตามหาคุณอยู่ คุณหาพ่อเลี้ยงให้มู่เสี่ยวโยวคนนั้นน่าจะดีกว่านะ” มู่หยิงพูดจบ ก็หัวเราะเสียงดังขึ้นมา

เสียงหัวเราะนั้นแสบแก้วหูมาก

มู่เฉียวยกแก้วน้ำบนโต๊ะสาดใส่มู่หยิง

จากนั้นก็หันกลับออกไป

“ฉันแนะนำให้คุณยอมแพ้ซะเถอะ คุณอาจสงสัยว่าทำไมโม่กรุ๊ปถึงต้องการกำจัดคุณในตอนแรกใช่ไหม?ฉันจะบอกคุณให้ก็ได้ เป็นฉันเองที่ทำให้เป็นแบบนี้” มู่หยิงพูดจบก็ยื่นมือไปหยิบกระดาษทิชชูบนโต๊ะ เช็ดน้ำบนตัว แล้วเดินไปตรงหน้ามู่เฉียว “มู่เฉียว มีฉันอยู่ เส้นทางนี้คุณก็อย่าคิดที่จะได้เข้ามา ไม่ใช่ว่าคุณทะนงตัวเพื่องานนี้หรอกเหรอ?ฉันอยากดูว่าต่อไปคุณจะหยิ่งทะนงตัวได้อย่างไร?”

ความโกรธของมู่เฉียวปะทุขึ้นมา เธอมองมู่หยิง “ทำไมกัน?ทำไม?ฉันเคยทำให้คุณไม่พอใจหรือไง คุณถึงได้ลงโทษฉันอย่างนี้?โม่หานตายไปแล้ว ทำไมคุณถึงได้จับฉันไม่ปล่อยเลย?”

มู่หยิงนำทิชชูในมือโยนทิ้งลงถังขยะ “เพราะอะไรนะเหรอ?ก็เพราะว่าโม่หานชอบคุณไง!” พูดถึงตรงนี้ ดวงตาของมู่หยิงก็สัมผัสได้ถึงความเศร้าที่ปกปิดไว้ไม่อยู่ บางคนที่จากไป คุณจึงจะเข้าใจว่าเขาสำคัญกับตนเองมากแค่ไหน มู่หยิงคิดมาตลอดว่าเธอรักตัวเองมากกว่าโม่หาน แต่เมื่อโม่หานจากไปแล้ว เธอจึงรู้ว่าเธอรักเขา รักจนถึงขั้นว่าคนไหนมาสัมผัสเธอ เธอก็รู้สึกสะอิดสะเอียน

แต่ว่าโม่หานตายไปแล้ว

ในใจมู่เฉียวเต้นระรัว สีหน้าเธอผิดปกติไป “ฉันฟังไม่เข้าใจว่าคุณพูดเรื่องอะไร?”

มู่หยิงบิดๆนิ้ว “ฟังไม่เข้าใจเหรอ?มู่เฉียวฉันเกลียดคุณ ผู้ชายที่ฉันรักมาหลายปีขนาดนี้ คุณก็แย่งไปอย่างง่ายดาย ถึงแม้เขาจะตายไปแล้ว ฉันก็ยังรู้สึกเหมือนโดนหักหลัง”

โดนหักหลัง?มู่เฉียวหัวเราะเยาะ เงยหน้าขึ้นมองมู่หยิงด้วยสายตาเย็นชา

“มู่หยิงมีเรื่องหนึ่ง ที่เดิมทีฉันไม่ได้อยากจะบอกคุณหรอก แต่ในเมื่อคุณพูดอย่างนี้ ฉันก็จะบอกคุณให้ คุณรู้ไหม?เรื่องที่คุณทำให้ฉันท้องมู่เสี่ยวโยว โม่หานรู้มานานแล้ว คุณคิดว่าถึงแม้ว่าเขาจะไม่ชอบฉัน เขาก็จะมาชอบคุณใช่ไหม?คุณเพ้อฝันไปแล้ว ที่เขาปฏิบัติดีต่อคุณ ที่จริงแล้วมันไม่ใช่ความรักหรอก เป็นเพราะต้องการตอบแทนบุญคุณก็เท่านั้นเอง”

“มู่เฉียว คุณโกหก เป็นไปไม่ได้ที่โม่หานจะรู้”

“อ้อ ถ้าอย่างนั้นคุณก็ถือว่าเป็นไปไม่ได้แล้วกัน” เธอกลืนๆน้ำลาย “ถึงอย่างไรคุณก็ต้องละอายใจต่อเขาไปชั่วชีวิต”

มู่หยิงคว้าตัวมู่เฉียวเตรียมที่จะเข้าไปทำร้าย

มู่เฉียวหยิบที่เขี่ยบุหรี่เปล่าบนโต๊ะ แล้วคิดจะทุบไปที่หัวของมู่หยิง

“คุณกล้าเหรอ คุณอยากให้ลูกสาวของคุณกลายเป็นเด็กกำพร้าใช่ไหม?” ผู้หญิงคนนั้นประจันหน้าเข้ามา แล้วพูดยั่วยุ

“คุณ……ฉันไม่กล้าหรอก เพราะนั่นคือลูกสาวของโม่หาน ฉันต้องรักและทะนุถนอมเป็นอย่างดี”

นำที่เขี่ยบุหรี่ขว้างลงพื้น ที่เขี่ยบุหรี่ใช้วัสดุหนา เมื่อตกลงพื้น จึงไม่ส่งเสียงดังมาก

มู่เฉียวเดินอยู่บนถนนใหญ่ มองคนเดินผ่านไปมา เธอรู้สึกว่าภายในใจเป็นทุกข์ถึงขีดสุด

นึกถึงประโยคนั้นของมู่หยิง เขาชอบคุณ ประโยคนั้นก่อนที่ชายคนนั้นจะตาย ยังคงดังอยู่ในหู

“มู่เฉียว ถ้าหากมีชีวิตกลับมาได้อีกครั้ง ฉันอยากที่จะ ใช้ทุกวิถีทาง เพื่อที่จะรู้จักคุณใหม่อีกครั้ง”

เธอเงยหน้า มองท้องฟ้าสีฟ้าสดใส แสงอาทิตย์กระทบดวงตาเล็กน้อย ทำให้แสบตา แต่น้ำตาที่เอ่ออยู่รอบดวงตา ในที่สุดก็ไม่ได้ไหลออกมา โม่หาน ที่จริงแล้ว คุณไม่ได้เลวร้าย แต่ฉันค้นพบในวันที่สายเกินไป จะทำอย่างไรได้?

ถ้าหากมีชีวิตกลับมาอีกครั้ง ฉันอยากจะใช้ทัศนคติอื่น ในการปฏิบัติกับคุณ

แต่ไม่มีคำว่าถ้า

ไม่ได้งานนี้ งานด้านของล่าม ก็ต้องหยุดไปชั่วคราว

มู่เฉียวมองคนข้างถนนที่เดินผ่านไปมา ทันทีก็รู้สึกลังเลสับสน

เวลานี้ มือถือก็ดังขึ้น

“ฮัลโหล ใช่คุณมู่เฉียวไหมคะ?”

“สวัสดีค่ะ ฉันเองค่ะ”

“เมื่อวานคุณส่งเรซูเม่มา ใช่ไหม?อืม พอดีวันนี้ ทางพวกเราขาดคน คุณต้องการเข้ามาไหมคะ?

“อืม สถานที่อยู่ตรงไหนคะ?”

“ฉันจะส่งวีแชตให้คุณ พวกเราต้องการตอนบ่ายด่วน ถ้าคุณสามารถมาได้ อีกสักครู่ก็เข้ามาได้เลย พวกเราจะจัดอาหารกลางวันให้”

“อ้อ โอเคค่ะ”

มู่เฉียววางสาย ไม่นานก็มีข้อความส่งเข้า เธอไม่ค่อยคุ้นเคยกับเมืองB จึงใช้จีพีเอสนำทาง จึงพบว่าอยู่ใกล้ตรงนี้เอง

จึงรีบเดินตามจีพีเอสไป

เกินความคาดหมาย กับบริษัทของพ่อของเซี่ยหยูเมื่อวาน ที่ไม่ได้มีขนาดใหญ่ขนาดนั้น ที่มีมากกว่าสามสิบชั้น แต่บริษัทที่เธออยู่เป็นเพียงอาคารชั้นเดียว จึงเข้าไปตามคำบอกกล่าวได้เลย

“บริษัทล่ามซินหง” เป็นบริษัทขนาดเล็กที่เธอไม่เคยได้ยินชื่อ

พอเปิดประตูเข้าไป ที่บอกว่าเป็นบริษัท อันที่จริงก็คือห้องทำงานขนาดใหญ่ ที่เพิ่มห้องทำงานขนาดเล็กเข้าไป

ภายในห้องทำงานขนาดใหญ่ วัดด้วยสายตาแล้วก็มีคนอยู่ราวๆยี่สิบสามสิบคน ทุกคนก้มหน้าก้มตา ยุ่งอยู่กับงาน บนโต๊ะทำงานของทุกคนเต็มไปด้วยเอกสาร แม้แต่เธอเข้าไป ก็ไม่มีใครเห็น

“สวัสดีค่ะ ฉันคือล่ามเฉพาะกิจคนนั้นที่เพิ่งได้รับสายเมื่อกี้นี้ค่ะ”

เมื่อเธอเอ่ยปาก คนทั้งหมดต่างก็เงยหน้ามองมาที่เธอ

จากนั้น ทุกคนต่างก็ลุกขึ้นยืน “ประธานหลิว ฉันต้องการลาหยุด”

“ฉันบอกไว้ก่อนหน้านี้แล้วนะ”

“อะไร ก็เห็นๆอยู่ว่าฉันยื่นคำร้องก่อน”

“……”

มู่เฉียวอ้าปากค้าง ขมวดคิ้ว ฉากแบบนี้ตอนที่เธออยู่บริษัทก่อนหน้านี้ไม่เคยปรากฏ ทุกคนจะมีการจัดระเบียบการทำงานและการพักผ่อนของตัวเองเอาไว้อย่างเรียบร้อยแล้ว ฉากที่โกลาหล และยุ่งเหยิงแบบนี้ จะไม่มีปรากฏ

“แกร๊ก”ประตูถูกเปิดออก ชายคนหนึ่ง ปรากฏอยู่ด้านหน้ากลุ่มคน

เมื่อชายหนุ่มเห็นมู่เฉียว บนใบหน้าก็ปรากฏความประหลาดใจอย่างชัดเจน “เสี่ยวเฉียว?คุณจริงๆด้วย?”

มู่เฉียวนิ่งอึ้งไปเล็กน้อย จากนั้น ในสมองก็มีภาพหนึ่งปรากฏออกมา

“พวกคุณรอหน่อย ในอนาคตบริษัทล่ามพี่เปิดแล้ว พวกคุณก็มาให้พี่ช่วยได้”

“หลิวฮั่ว?” มู่เฉียวตกใจอย่างมาก คาดไม่ถึงว่าจะได้เจอเพื่อนร่วมชั้นที่มหาวิทยาลัย

หลิวฮั่วคนนี้ตกหลุมรักเพื่อนร่วมหอเดียวกันกับเธอคนหนึ่ง เวลานั้น พวกเขามักจะพยายาม ออกไปเที่ยวกันเป็นบางครั้งบางคราว ก็นับได้ว่าคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี

“มาๆๆ เข้ามานั่ง” หลิวฮั่วพูดจบ ก็ให้มู่เฉียวเข้าไปที่ห้องทำงาน

รินน้ำใส่แก้วส่งให้มู่เฉียว “หลายปีขนาดนี้แล้ว คุณยังไม่เปลี่ยนไปเลย ยังคงสวยปานนางฟ้าเหมือนเดิม”

มู่เฉียวกลืนน้ำลาย แล้วพิจารณาเขา “คุณ……ดูเป็นผู้ใหญ่ขึ้นเยอะเลย”

ผมที่ยาวในความทรงจำ ก็โกนเป็นสกินเฮด ชุดกีฬาที่เคยชินในความทรงจำ ก็เปลี่ยนกลายเป็นชุดสูทรองเท้าหนัง

เพียงแต่บนใบหน้าที่งดงาม ถ้ามองอย่างละเอียด ยังคงมีความเป็นเด็กอยู่บ้าง

“ได้ยินมาว่าคุณสามารถพัฒนาบริษัทใหญ่ได้ไม่เลว ทำไมถึง……” คำพูดที่เหลือ หลิวฮั่วไม่ได้พูด

มู่เฉียวสูดหายใจเข้า นำแก้วในมือวางลงบนโต๊ะ แล้วมองเขา “อย่าบอกนะว่าคุณไม่ได้อ่านประวัติย่อ?”

หลิวฮั่วเขินอายเล็กน้อย เอามือจับๆหน้าผาก “เดิมทีก็อยากจะกัดกันออกไป แต่ฉันเห็นว่าคนที่ชื่อแซ่เดียวกันก็ไม่ค่อยเยอะ อีกทั้งคุณวางตัวอย่างไร ฉันก็เข้าใจดี ฉะนั้นเลยอยากเรียกมาดูสักหน่อย คาดไม่ถึงว่าจะเป็นคุณจริงๆด้วย”

พอได้ยินอย่างนี้มู่เฉียวก็รู้สึกประทับใจเล็กน้อย หลังจากเกิดเรื่องมาได้หนึ่งปี นอกจากญาติพี่น้องแล้ว ก็มีคนนอกคนแรกที่บอกว่าเชื่อเธอ

เธอยิ้มเจื่อนๆ “ผิดใจกับคนที่มีอำนาจมีอิทธิพล ก็เลยโดนใส่ร้ายป้ายสี”

หลิวฮั่วพยักหน้า “โอเค ถ้าคุณไม่รังเกียจว่าสถานที่ฉันมันเล็กไปหน่อย ก็มาอยู่ด้วยกันเถอะ วางใจได้ คนกลัวอื่นกลัว แต่ฉันไม่กลัวหรอก”

มู่เฉียวอ้าปากค้าง อยากจะบอกเขาว่า ให้เธออยู่ต่ออาจจะเป็นหายนะได้ แต่เห็นหลิวฮั่วเชื่อใจแบบนี้แล้ว เธอก็เกรงใจไม่กล้าปฏิเสธไป ได้แต่พยักหน้า “ขอบคุณนะ”

จากนั้นก็พูดว่า : “ธุรกิจดูดีเลยทีเดียว แต่ดูเหมือนจะยุ่งวุ่นวายเล็กน้อย มันเกิดอะไรขึ้นเหรอ?”

ดูเหมือนว่าจะแปลกใจที่เธอมาที่นี่ได้สักพักก็พบกับปัญหา ในแววตาหลิวฮั่วเป็นประกาย เดินเข้าไปจับมือมู่เฉียว “คุณทำงานด้วยกันกับฉัน ได้ไหม?ฉันจะให้หุ้นส่วนคุณ คุณก็รู้ ฉันมุ่งมั่นที่จะเปิดบริษัท แล้วฉันจะทำธุรกิจกับภายนอก เช่นนั้นไม่ได้เปลี่ยนแปลง แต่ประสบการณ์การบริหารภายใน ยังคงขาดแคลน คุณเคยทำงานที่บริษัทใหญ่ๆมาก่อน ต้องมีประสบการณ์ในด้านนี้อย่างแน่นอน เป็นอย่างไร?มาทำด้วยกันไหม?”

มู่เฉียวดึงมือกลับ หน้าแดงเล็กน้อย ไม่ได้พูดอะไร เพียงแค่หันกลับออกจากห้องทำงานไป เดินไปที่โต๊ะทำงานโต๊ะหนึ่งที่ใกล้ที่สุด หยิบเอกสารหนึ่งปึกบนโต๊ะขึ้นมาอ่าน

เป็นงานกราฟิกดีไซน์ของบริษัทแห่งหนึ่ง แปลเกี่ยวกับที่ปรึกษาด้านธุรกิจ

อันต่อไป แปลคำโฆษณาทั้งหลายของเขตเมือง B

อีกอัน คาดไม่ถึงว่ายังมีการแปลภาพยนตร์และโทรทัศน์ด้วย

เธอหันไปมองหลิวฮั่ว “คุณมีความสามารถจริงๆ”

งานแปลเหล่านี้ ไม่มีความสัมพันธ์กันเลยสักนิด ทำงานหลากหลายเกินไปจริงๆ  ตอนเที่ยงจะเลี้ยงข้าวคุณ เราค่อยคุยรายละเอียดกัน”

มู่เฉียวไม่ได้หลีกเลี่ยง หยิบกระเป๋า แล้วทั้งสองคนก็ออกไปด้วยกัน

“ไม่ได้บอกว่าเป็นลูกจ้างชั่วคราวหรอกเหรอ?มองอย่างไร ก็ดูเหมือนไม่ธรรมดาเลยนะ?”

“อย่าพูดสุ่มสี่สุ่มห้า ความสัมพันธ์ของเจ้านายเรากับภรรยาเขา ก็ดีอยู่ไม่ใช่เหรอ?”

“ใครพูดสุ่มสี่สุ่มห้า คุณเห็นผู้หญิงคนนั้นไหม รูปร่างหน้าตาสวยขนาดนั้น นั่นคือคนที่จะทำธุรกิจด้วยเหรอ?”

……

แล้วทำไมไม่เชิญคนที่สามารถบริหารได้มาล่ะ?”

หลิวฮั่วนำเมนูอาหารส่งให้บริกร จึงพูดว่า “พนักงานเหล่านี้ทำงานกับฉันมาหลายปีแล้ว ผู้จัดการเหล่านั้น เดิมทีพวกเขาก็ไม่ค่อยเชื่อฟังฉัน ไม่สนใจไยดี ชักสีหน้าใส่ พวกเขาเคยชินจนกลายเป็นอย่างนี้ไปแล้ว ถึงแม้ว่าจะไม่มีระเบียบวินัย แต่ความสามารถในการทำงานนั้นยอดเยี่ยม”

มู่เฉียวพยักหน้า

เช่นนี้ มู่เฉียวจึงอยู่ที่บริษัทของหลิวฮั่ว

ส่วนหลิวฮั่ว บวกว่าเธอคือผู้จัดการคนใหม่ที่เชิญเข้ามา ตัวเองออกไปรับงาน สิบวันหรือครึ่งเดือนจึงกลับมาครั้งหนึ่ง

แรกๆ มู่เฉียวพูดอะไรไป พวกเขาก็ไม่สนใจเธอโดยสิ้นเชิง

ต่อมา ได้ไล่คนที่มีความสามารถแย่ และเถียงกับผู้ใหญ่ออกไปคนหนึ่ง ทุกคนจึงฟังคำพูดของเธอ แต่ในใจก็ไม่ได้ยินยอม

กลางวันนี้ มู่เฉียวทานข้าวเสร็จแล้วขึ้นมา เห็นทุกคนมองเธอด้วยสายตาแปลกๆ แล้วด้วยท่าทีที่มีความสุขบนความทุกข์ของคนอื่น

“ผู้จัดการมู่ ภรรยาของประธานหลิวมาแล้ว” ผู้ช่วยเข้ามา แล้วโยนสายตามายังเธอ

มู่เฉียวขมวดคิ้ว พอเปิดประตูห้องทำงานเข้าไป หนังสือเล่มหนาเล่มหนึ่งก็กระแทกเข้ามาใส่เธอ

“คาดไม่ถึงว่าคุณจะกล้ามายั่วสามีของฉัน วันนี้ฉัน……” หญิงที่เสียงเอะอะโวยวายเมื่อได้เห็นหน้าของคนที่เข้ามาชัดเจนแล้ว ก็หยุดอย่างกะทันหัน จากนั้นประตูก็ถูกปิด

เพื่อนตู้เสี่ยวซิน นิสัยขี้โมโหของคุณนี้ ไม่เปลี่ยนไปเลยสักนิด” มู่เฉียวรับหนังสือที่เธอโยนเข้ามาได้อย่างแม่นยำ

ตู้เสี่ยวซินเห็นมู่เฉียว ก็อยากจะร้องไห้ “เฉียวเอ๋อ ทำไมถึงเป็นคุณล่ะ?”

มู่เฉียวเดินเข้าไป โอบเธอเข้ามาไว้ในอ้อมกอด “หลายปีแล้วไม่เจอกันเลย คุณสบายดีไหม?”

เวลานั้นที่คนทั้งสองอยู่หอพัก ความสัมพันธ์ดีอย่างมาก แต่ตู้เสี่ยวซินผู้หญิงคนนี้ ชอบหึงหวง ตอนฝึกงาน เธอและหลิวฮั่วได้อยู่บริษัทเดียวกัน คนทั้งสองมักเข้างานเลิกงานด้วยกันเสมอ ตู้เสี่ยวซินจึงสงสัยว่าเธอและหลิวฮั่วจะเกิดปัญหา ต่อมาเพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตัวเอง มู่เฉียวจึงออกจากบริษัท โดยไม่ได้ใบรายงานการฝึกงานด้วยซ้ำ

ต่อมา ตู้เสี่ยวซินรู้สึกว่าตนเองทำผิด จึงตามหามู่เฉียวอยู่หลายครั้ง แต่ก็พลาดโอกาส จึงไม่ได้พบหน้ากัน โทรศัพท์ไปหา มู่เฉียวก็บ่ายเบี่ยงว่าตนเองยุ่งมาโดยตลอด เธอคิดว่ามู่เฉียวโกรธ เรื่องนี้ ติดค้างอยู่ในใจตู้เสี่ยวซินมาโดยตลอด ตอนนี้ได้พบมู่เฉียว เธอจึงรู้สึกสะเทือนใจอย่างมาก

อันที่จริงครั้งที่แล้ว มู่เฉียวก็เตรียมที่จะไถ่ถามถึงตู้เสี่ยวซินกับหลิวฮั่ว แต่พอนึกถึงในเวลานั้นคนทั้งสองเลิกรากันโดยไม่ดี พอเจอเขาจึงปิดปากเงียบ เธอยังคิดว่าคนทั้งสองเลิกกันแล้ว แต่ไม่นึกเลยว่า จะแต่งงานกันแล้ว

“ไม่นึกเลยว่าหลิวฮั่วคนนั้น จะไม่บอกฉันว่า คุณมาทำงานที่นี่ ฉันยังคิดว่าเป็นนังปีศาจจิ้งจอกที่ไหน?”

มู่เฉียวเม้มปาก “คุณนี่มันเจ้าแม่หึงหวงจริงๆ ฉันคิดว่าหลิวฮั่วคงมีงานมากมายคงไม่ได้สนใจเรื่องเล็กน้อยหรอก”

ตอนอยู่มหาวิทยาลัย เพื่อหลิวฮั่ว ตู้เสี่ยวซินนับว่าเป็นมือปราบปีศาจจริงๆ ไม่ว่าผู้หญิงคนไหนที่ดูมีแนวโน้ม เธอจะจัดการพวกเธอตั้งแต่เนิ่นๆ

เพียงแต่ กับมู่เฉียว เธอก็วางใจถึงที่สุด เหตุผลก็คือ เธอไม่ได้ชอบหลิวฮั่ว

แต่ไม่คาดคิดว่า ในที่สุดมู่เฉียวก็ยังไม่ได้หลีกหนีไป

“ทำไมกัน?ยังต้องการให้เข้าใจผิดอีกครั้งเหรอ?”

ตู้เสี่ยวซินซื้ดจมูก ส่ายหน้า อันที่จริงในภายหลังก็คิดแล้วว่า ด้วยความโดดเด่นของมู่เฉียว ถ้าเธออยากจะมีอะไรกับหลิวฮั่วจริงๆ ในตอนนั้นก็คงไม่มีโอกาสของตนเอง อีกทั้งถ้าหลิวฮั่วไม่ชอบเธอจริงๆ ก็คงไม่สามารถมาแต่งงานกับเธอได้หรอก ถึงอย่างไร เธอก็ไม่มีตรงไหนที่โดดเด่นเลยจริงๆ ข้อดีเพียงอย่างเดียว คาดว่าก็คือรักเขา รักยิ่งกว่าตัวเอง

“อันที่จริงหลายปีมานี้ ฉันไม่ได้เป็นแบบนั้นแล้ว” ตู้เสี่ยวซินก้มหน้า ม้วนชายเสื้อ เก้อเขินเล็กน้อย “ก็แค่ คนหลายคนส่งข้อความมาให้ฉัน บอกว่าบริษัทรับสาวสวยมาคนหนึ่ง สามารถของฉันปฏิบัติด้วยเป็นพิเศษ ฉันอดไม่ได้จริงๆ จึงเข้ามาดู คาดไม่ถึงว่า มาแล้วจะเห็นว่าสามีของฉันนำห้องทำงานของตัวเองให้กับคุณ ดังนั้น……….”

พูดถึงตรงนี้ เธอก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะ

“เฉียวเอ๋อ บริษัทเจ๊งๆแบบนี้ หลิวฮั่วสามารถเชิญคนที่มีฝีมือแบบคุณมาได้อย่างไร?”

ในตอนนั้นที่จบการศึกษา มู่เฉียวก็จบการศึกษาด้วยเกียรตินิยมอันดับหนึ่ง เวลานั้นได้เข้าไปเป็นล่ามที่บริษัทใหญ่ของเมืองAโดยตรง โดยไม่ต้องผ่านการคัดเลือก

มู่เฉียวมองตู้เสี่ยวซิน “บริษัทนี้ของสามีคุณ ไม่ได้เจ๊งสักหน่อย”

ช่วงเวลานี้ที่ได้รู้จัก มู่เฉียวจึงพบว่า บริษัทนี้ยอดเยี่ยมมากจริงๆ สามารถรับแปล ที่ในตอนแรกบริษัทใหญ่ของเมืองAนั้น ก็ไม่แน่ว่าจะรับแปลได้

จึงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกแปลกใจกับหลิวฮั่วคนนี้

เห็นคนด้านในชัดเจน มู่เฉียวก็หันกลับเดินออกไป

แขนถูกดึงจากด้านหลัง

มู่เฉียวจึงหันไปมองผู้หญิงตรงหน้า “ปล่อย!”

“ทำไมละ?ไม่อยากได้งานแล้วเหรอ?”

มู่เฉียวไม่พูดอะไร ผู้หญิงคนนั้นก็ยิ้มขึ้นมา เดินไปรอบๆมู่เฉียวแล้วพิจารณาเธอ หัวเราะเยาะแล้วพูดว่า “ได้ยินว่าคุณมาที่เมืองB ฉันรู้ว่าคุณยังหาวิธีที่จะเข้าสู่อาชีพนี้ ฉันจึงตั้งใจให้คนเปิดรับสมัครออกไป แต่ไม่คิดว่าจะเร็วขนาดนี้”

มู่เฉียวหลับตา สำหรับผู้หญิงคนนี้ที่ทำลายชีวิตเธอ เวลาเธอแทบทนไม่ไหวที่จะบีบคอเธอให้ตายไปซะ

“อย่าบอกนะว่าบริษัทนี้เป็นของคุณ?” มู่เฉียวไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะได้พบกับมู่หยิงที่เมือง B

“บริษัทนี้เป็นของสามีฉัน ฉันอยู่บ้านเบื่อๆ ก็เลยมาดูหน่อย มู่เฉียวได้ยินมาว่า คุณยังอยู่คนเดียวเหรอ?เฮ้อ โม่หานคนนี้ตายไปหนึ่งปีแล้ว อีกทั้งคุณไม่ใช่ว่าไม่ชอบเขาหรอกเหรอ?ทำไมยังต้องไว้ทุกข์แก่เขาด้วยเหรอ?ไม่หาใครสักคนล่ะ?อืม ใช่สิ เฮ่อเทียนคนนั้นยังคงตามหาคุณอยู่ คุณหาพ่อเลี้ยงให้มู่เสี่ยวโยวคนนั้นน่าจะดีกว่านะ” มู่หยิงพูดจบ ก็หัวเราะเสียงดังขึ้นมา

เสียงหัวเราะนั้นแสบแก้วหูมาก

มู่เฉียวยกแก้วน้ำบนโต๊ะสาดใส่มู่หยิง

จากนั้นก็หันกลับออกไป

“ฉันแนะนำให้คุณยอมแพ้ซะเถอะ คุณอาจสงสัยว่าทำไมโม่กรุ๊ปถึงต้องการกำจัดคุณในตอนแรกใช่ไหม?ฉันจะบอกคุณให้ก็ได้ เป็นฉันเองที่ทำให้เป็นแบบนี้” มู่หยิงพูดจบก็ยื่นมือไปหยิบกระดาษทิชชูบนโต๊ะ เช็ดน้ำบนตัว แล้วเดินไปตรงหน้ามู่เฉียว “มู่เฉียว มีฉันอยู่ เส้นทางนี้คุณก็อย่าคิดที่จะได้เข้ามา ไม่ใช่ว่าคุณทะนงตัวเพื่องานนี้หรอกเหรอ?ฉันอยากดูว่าต่อไปคุณจะหยิ่งทะนงตัวได้อย่างไร?”

ความโกรธของมู่เฉียวปะทุขึ้นมา เธอมองมู่หยิง “ทำไมกัน?ทำไม?ฉันเคยทำให้คุณไม่พอใจหรือไง คุณถึงได้ลงโทษฉันอย่างนี้?โม่หานตายไปแล้ว ทำไมคุณถึงได้จับฉันไม่ปล่อยเลย?”

มู่หยิงนำทิชชูในมือโยนทิ้งลงถังขยะ “เพราะอะไรนะเหรอ?ก็เพราะว่าโม่หานชอบคุณไง!” พูดถึงตรงนี้ ดวงตาของมู่หยิงก็สัมผัสได้ถึงความเศร้าที่ปกปิดไว้ไม่อยู่ บางคนที่จากไป คุณจึงจะเข้าใจว่าเขาสำคัญกับตนเองมากแค่ไหน มู่หยิงคิดมาตลอดว่าเธอรักตัวเองมากกว่าโม่หาน แต่เมื่อโม่หานจากไปแล้ว เธอจึงรู้ว่าเธอรักเขา รักจนถึงขั้นว่าคนไหนมาสัมผัสเธอ เธอก็รู้สึกสะอิดสะเอียน

แต่ว่าโม่หานตายไปแล้ว

ในใจมู่เฉียวเต้นระรัว สีหน้าเธอผิดปกติไป “ฉันฟังไม่เข้าใจว่าคุณพูดเรื่องอะไร?”

มู่หยิงบิดๆนิ้ว “ฟังไม่เข้าใจเหรอ?มู่เฉียวฉันเกลียดคุณ ผู้ชายที่ฉันรักมาหลายปีขนาดนี้ คุณก็แย่งไปอย่างง่ายดาย ถึงแม้เขาจะตายไปแล้ว ฉันก็ยังรู้สึกเหมือนโดนหักหลัง”

โดนหักหลัง?มู่เฉียวหัวเราะเยาะ เงยหน้าขึ้นมองมู่หยิงด้วยสายตาเย็นชา

“มู่หยิงมีเรื่องหนึ่ง ที่เดิมทีฉันไม่ได้อยากจะบอกคุณหรอก แต่ในเมื่อคุณพูดอย่างนี้ ฉันก็จะบอกคุณให้ คุณรู้ไหม?เรื่องที่คุณทำให้ฉันท้องมู่เสี่ยวโยว โม่หานรู้มานานแล้ว คุณคิดว่าถึงแม้ว่าเขาจะไม่ชอบฉัน เขาก็จะมาชอบคุณใช่ไหม?คุณเพ้อฝันไปแล้ว ที่เขาปฏิบัติดีต่อคุณ ที่จริงแล้วมันไม่ใช่ความรักหรอก เป็นเพราะต้องการตอบแทนบุญคุณก็เท่านั้นเอง”

“มู่เฉียว คุณโกหก เป็นไปไม่ได้ที่โม่หานจะรู้”

“อ้อ ถ้าอย่างนั้นคุณก็ถือว่าเป็นไปไม่ได้แล้วกัน” เธอกลืนๆน้ำลาย “ถึงอย่างไรคุณก็ต้องละอายใจต่อเขาไปชั่วชีวิต”

มู่หยิงคว้าตัวมู่เฉียวเตรียมที่จะเข้าไปทำร้าย

มู่เฉียวหยิบที่เขี่ยบุหรี่เปล่าบนโต๊ะ แล้วคิดจะทุบไปที่หัวของมู่หยิง

“คุณกล้าเหรอ

“คุณ……ฉันไม่กล้าหรอก เพราะนั่นคือลูกสาวของโม่หาน ฉันต้องรักและทะนุถนอมเป็นอย่างดี”

นำที่เขี่ยบุหรี่ขว้างลงพื้น ที่เขี่ยบุหรี่ใช้วัสดุหนา เมื่อตกลงพื้น จึงไม่ส่งเสียงดังมาก

มู่เฉียวเดินอยู่บนถนนใหญ่ มองคนเดินผ่านไปมา เธอรู้สึกว่าภายในใจเป็นทุกข์ถึงขีดสุด

นึกถึงประโยคนั้นของมู่หยิง เขาชอบคุณ ประโยคนั้นก่อนที่ชายคนนั้นจะตาย ยังคงดังอยู่ในหู

“มู่เฉียว ถ้าหากมีชีวิตกลับมาได้อีกครั้ง ฉันอยากที่จะ

เธอเงยหน้า มองท้องฟ้าสีฟ้าสดใส แสงอาทิตย์กระทบดวงตาเล็กน้อย ทำให้แสบตา แต่น้ำตาที่เอ่ออยู่รอบดวงตา ในที่สุดก็ไม่ได้ไหลออกมา โม่หาน ที่จริงแล้ว คุณไม่ได้เลวร้าย แต่ฉันค้นพบในวันที่สายเกินไป จะทำอย่างไรได้?

ถ้าหากมีชีวิตกลับมาอีกครั้ง ฉันอยากจะใช้ทัศนคติอื่น ในการปฏิบัติกับคุณ

แต่ไม่มีคำว่าถ้า

ไม่ได้งานนี้ งานด้านของล่าม ก็ต้องหยุดไปชั่วคราว

มู่เฉียวมองคนข้างถนนที่เดินผ่านไปมา ทันทีก็รู้สึกลังเลสับสน

เวลานี้ มือถือก็ดังขึ้น

“ฮัลโหล ใช่คุณมู่เฉียวไหมคะ?”

“สวัสดีค่ะ ฉันเองค่ะ”

“เมื่อวานคุณส่งเรซูเม่มา ใช่ไหม?อืม พอดีวันนี้ ทางพวกเราขาดคน คุณต้องการเข้ามาไหมคะ?

“อืม สถานที่อยู่ตรงไหนคะ?”

“ฉันจะส่งวีแชตให้คุณ พวกเราต้องการตอนบ่ายด่วน ถ้าคุณสามารถมาได้ อีกสักครู่ก็เข้ามาได้เลย พวกเราจะจัดอาหารกลางวันให้”

“อ้อ โอเคค่ะ”

มู่เฉียววางสาย ไม่นานก็มีข้อความส่งเข้า เธอไม่ค่อยคุ้นเคยกับเมืองB จึงใช้จีพีเอสนำทาง จึงพบว่าอยู่ใกล้ตรงนี้เอง

จึงรีบเดินตามจีพีเอสไป

เกินความคาดหมาย กับบริษัทของพ่อของเซี่ยหยูเมื่อวาน ที่ไม่ได้มีขนาดใหญ่ขนาดนั้น ที่มีมากกว่าสามสิบชั้น แต่บริษัทที่เธออยู่เป็นเพียงอาคารชั้นเดียว จึงเข้าไปตามคำบอกกล่าวได้เลย

“บริษัทล่ามซินหง” เป็นบริษัทขนาดเล็กที่เธอไม่เคยได้ยินชื่อ

พอเปิดประตูเข้าไป ที่บอกว่าเป็นบริษัท อันที่จริงก็คือห้องทำงานขนาดใหญ่ ที่เพิ่มห้องทำงานขนาดเล็กเข้าไป

ภายในห้องทำงานขนาดใหญ่ วัดด้วยสายตาแล้วก็มีคนอยู่ราวๆยี่สิบสามสิบคน ทุกคนก้มหน้าก้มตา ยุ่งอยู่กับงาน บนโต๊ะทำงานของทุกคนเต็มไปด้วยเอกสาร แม้แต่เธอเข้าไป ก็ไม่มีใครเห็น

“สวัสดีค่ะ ฉันคือล่ามเฉพาะกิจคนนั้นที่เพิ่งได้รับสายเมื่อกี้นี้ค่ะ”

เมื่อเธอเอ่ยปาก คนทั้งหมดต่างก็เงยหน้ามองมาที่เธอ

จากนั้น ทุกคนต่างก็ลุกขึ้นยืน “ประธานหลิว ฉันต้องการลาหยุด”

“ฉันบอกไว้ก่อนหน้านี้แล้วนะ”

“อะไร ก็เห็นๆอยู่ว่าฉันยื่นคำร้องก่อน”

“……”

มู่เฉียวอ้าปากค้าง ขมวดคิ้ว ฉากแบบนี้ตอนที่เธออยู่บริษัทก่อนหน้านี้ไม่เคยปรากฏ ทุกคนจะมีการจัดระเบียบการทำงานและการพักผ่อนของตัวเองเอาไว้อย่างเรียบร้อยแล้ว ฉากที่โกลาหล และยุ่งเหยิงแบบนี้ จะไม่มีปรากฏ

“แกร๊ก”ประตูถูกเปิดออก ชายคนหนึ่ง ปรากฏอยู่ด้านหน้ากลุ่มคน

เมื่อชายหนุ่มเห็นมู่เฉียว บนใบหน้าก็ปรากฏความประหลาดใจอย่างชัดเจน “เสี่ยวเฉียว?คุณจริงๆด้วย?”

มู่เฉียวนิ่งอึ้งไปเล็กน้อย จากนั้น ในสมองก็มีภาพหนึ่งปรากฏออกมา

“แม่ เจ็บ”มู่เสี่ยวโยวเงยหน้ามองมู่เฉียว

มู่เฉียวคลายมือออก หันไปมองหน้าพ่อกับแม่ สีหน้าของพวกเขาก็ดูแย่มากเหมือนกัน ถ้าอย่างนั้นก็แสดงว่า นี่ไม่ใช่ความฝัน ไม่ได้ตาฝาด เป็นเรื่องจริง

“พี่สาว คุณน้า คุณอา ขอแนะนำให้รู้จักนะคะ นี่คือพ่อกับแม่ของฉัน ส่วนนี่คือพี่สาวและพี่เขย”

มู่เฉียวลุกขึ้น ส่งมู่เสี่ยวโยวให้แม่ “ขอโทษนะคะ ฉัน……ไปห้องน้ำสักครู่”

มองดูในกระจก สีหน้าซีดแบบนั้น มู่เฉียวใช้ความพยายามอย่างมากในการเก็บความตื่นตกใจไว้ในใจ

คนคนนั้นเหมือนโม่หานอย่างกับแกะ เธออยากปลอบใจตัวเอง ว่าในโลกนี้อาจมีคนที่หน้าตาคล้ายกันอยู่ แต่ว่า กลับยังรู้สึกมีความหวังเล็กๆ โม่หาน คนนั้นใช่คุณหรือเปล่า? คุณยังไม่ตาย ใช่ไหม?

ตั้งนานแล้วเธอยังไม่ออกมา เซี่ยหยูไม่วางใจ จึงตามมาดู

พบว่ามู่เฉียวพิงอยู่ตรงผนัง หลับตาไว้ “พี่คะ คุณไม่สบายเหรอคะ?”

มู่เฉียวฝืนเก็บความไม่สบายใจเอาไว้ มองเซี่ยหยู ส่ายหน้า “ฉันไม่เป็นไร เพียงแต่……เมื่อกี้รู้สึกเวียนหัวนิดหน่อย”

“ถ้าอย่างนั้นฉันช่วยพยุงนะ?”เซี่ยหยูมอง แล้วเข้าใกล้ จับแขนมู่เฉียวไว้

“เสี่ยวหยู พี่เธอกับพี่เขยเธอ แต่งงานกันเมื่อไหร่?”

เซี่ยหยูขมวดคิ้ว ก้มหน้า หน้าแดงเล็กน้อย เธอลังเลสักพัก ก็เข้าไปกระซิบข้างหูมู่เฉียว “ที่จริง พี่สาวของฉันจ้างผู้ชายคนนั้นมา”

มู่เฉียวเบิกตากว้าง มองเซี่ยหยู เดินไปมองที่ประตูดูแล้วว่าข้างนอกไม่มีคน เธอจึงปิดประตู แล้วถามว่า“ที่ว่าจ้างมาคืออะไร?”

เซี่ยหยูถอนหายใจ “ก่อนหน้านี้พี่สาวฉันมีแฟนคนหนึ่ง โดนนอกใจ หลังจากนั้น พี่สาวฉันก็กลายเป็นคนประเภทที่แต่งงานไม่ได้ ไม่ว่าผู้ชายจะดีมากแค่ไหน พี่สาวฉันก็ไม่เชื่อ แล้วไม่นานมานี้พ่อกับแม่ก็บอกว่าฉันมีแฟนแล้ว เธอยังโสดอยู่มันดูไม่มีเหตุผลเลย ดังนั้น เพื่ออาหารมื้อนี้แล้ว พี่สาวฉันก็คิดว่าจะไปจ้างคนมาเป็นแฟน ผู้ชายคนนี้ ได้ยินมาจากพี่สาวว่า เขาเป็นแรงงาน ไปเจอตอนที่พี่สาวไปที่ไซต์ก่อสร้างของพ่อ พากลับมาแต่งตัว ก็พอดูดีขึ้นมา”

ความสนใจของมู่เฉียวทั้งหมดอยู่ที่คำว่า ‘แรงงาน’

เธอกลืนน้ำลาย ในใจรู้สึกยังไงอธิบายไม่ถูก

นี่ คงไม่ใช่โม่หานใช่ไหม?

เมื่อทั้งสองคนกลับไปที่โต๊ะ สีหน้าพ่อกับแม่สงบลงมาบ้างแล้ว พ่อเซี่ยแม่เซี่ย ดูเป็นคนสบายๆ ทำให้มู่เฉียวนึกถึง ย่าโม่

“คุณพ่อของมู่หลิง ต่อไป พวกเราก็เป็นครอบครัวเดียวกันแล้ว เสี่ยวหยูโดนพวกเราตามใจจนเคยชินแล้ว อีกหน่อยไปอยู่บ้านคุณ เธอทำไม่ถูกตรงไหน คุณด่าได้เลย”มองออกเลย ว่าพ่อเซี่ยเป็นคนตรงไปตรงมา

“พ่อ พูดอะไรน่ะ? คุณน้ากับคุณอาเป็นครูมาหลายปีแล้ว จะด่าคนเป็นได้ยังไงกัน?”

พ่อมู่ยิ้มบางๆ “เสี่ยวหยู อ่อนโยนและใจดีแบบนี้ ผมกับแม่ของลูก หวงแหนมากกว่า ด่าไม่ลงหรอก”

พูดคำนี้จบ มู่เฉียวรู้สึกว่าพ่อแม่ของเธอโล่งใจอย่างเห็นได้ชัด

จากนั้น มู่หลิงกลับลุกขึ้นยืนทันที มองพี่สาวของเซี่ยหยู “พี่ครับ คุณไม่แนะนำพี่เขยหน่อยเหรอ? เพิ่งเจอกันครั้งแรก”

มู่เฉียวเม้มปาก รู้สึกประหม่าเล็กน้อย มือของเธอที่วางอยู่ใต้โต๊ะ ประสานเข้าด้วยกัน อดไม่ได้ที่จะออกแรงมากขึ้น เธอรู้ ว่ามู่หลิงถามแทนเธอ

เห็นเพียงแค่พี่สาวเซี่ยลุกขึ้น “มู่หลิง ขอโทษด้วยจริงๆนะ เขา ช่วงนี้คอของเขาอักเสบ พูดไม่ได้น่ะ”

มู่เฉียวเงยหน้าไปมอง ผู้ชายที่อยู่ตรงหน้า อวบและผิวคล้ำกว่าโม่หานนิดหน่อย แต่โม่หานมีรอยแผลเป็นบนดวงตา คนคนนี้กลับไม่มี

สายตาเธอลดลง ตรงข้อมือของโม่หาน มีรอยลวก ย่าโม่บอกว่า ตอนเด็กเขาซน เล่นประทัดแล้วโดน แต่ นอกจากผิวที่หยาบกร้านแล้วที่ตรงนั้นไม่มีอะไรเลย มองไม่เห็นว่ามีรอยแผลเป็น ไม่มีอะไรเลย

ดวงตาของเธอนิ่งลงไป

รู้สึกว่าตัวเองไร้สาระขึ้นมาทันที เธอเป็นคนฝังขี้เถ้าของโม่หานเองกับมือ ในโรงพยาบาล เธอเห็นกับตาว่าชีวิตของโม่หานตกอยู่ในอันตราย หมอบอกว่า เขาเสียแล้ว แต่ปู่โม่ยังไม่ยอมแพ้ จะส่งเขาไปลองรักษาที่เมืองนอก

ตอนฝังโม่หาน คุณนายโม่กับย่าโม่ร้องไห้จนสลบไปหลายรอบ

แต่ว่า ตอนนี้ เธอยังคงฝันลมๆแล้งๆ ว่าโม่หานยังไม่ตาย

ใช่สิ ถ้าโม่หานไม่ตาย จะมองเธอกับมู่เสี่ยวโยวด้วยสายตาสงบแบบนี้ได้ยังไง ไม่มีทางอยู่แล้ว

มู่เฉียว เธอตายใจเถอะ!

“แม่ เขาคือพ่อหรือเปล่า?”ทันใดนั้น มู่เสี่ยวโยวชี้ไปที่โม่หาน พูดคำพูดน่าตกใจออกมา

สายตาของทุกคนไปตกอยู่บนตัวของชายคนนั้นทันที

มู่เฉียวตื่นตระหนก กลืนน้ำลาย เธอลืมไป ในมือถือ เธอให้มู่เสี่ยวโยวดูรูปของโม่หานบ่อยๆ พูดขึ้นช้าๆว่า “เสี่ยวโยว เขาไม่ใช่พ่อ คุณพ่อ ไปอยู่บนสวรรค์แล้ว นี่คือคุณอา”

เธอบอกมู่เสี่ยวโยว และบอกกับตัวเองด้วย

มู่เสี่ยวโยวหยิบช้อนตักข้าวเข้าปาก “แม่ พ่อไปสวรรค์แล้ว เมื่อไหร่พ่อจะกลับมา?”

“เอาล่ะ เสี่ยวโยว กินข้าวก่อน”แม่เห็นว่าสีหน้าของมู่เฉียวแย่ รีบพูดเบี่ยงประเด็นขึ้น

“แม่ พ่อไม่ต้องการเราแล้วเหรอ? เขาไปสวรรค์ โทรหาเราไม่ได้เหรอ?”แต่นิสัยเสี่ยวโยวเหมือนมู่เฉียว ดื้อรั้น

“คุณหนูมู่ ฉันขอเสียมารยาทถามสักหน่อย พ่อของเสี่ยวโยว เหมือนโม่หานมากเลยเหรอคะ?”

ตะเกียบในมือมู่เฉียวตกลงบนพื้น และเธอก็ยืนขึ้นอย่างตื่นเต้น “พี่คะ คุณ……คุณเรียกเขาว่าอะไรนะ?”

ชายคนนั้นไม่ได้เงยหน้าขึ้นมอง ก้มหน้ากินอย่างเดียว

แต่เห็นได้ชัดว่าพี่สาวเซี่ยมีท่าทีสนใจ พูดอย่างไม่เร่งรีบว่า “เขา ชื่อโม่หาน”

ชายเสื้อของมู่เฉียวถูกแม่ดึงแรงๆ เธอถึงได้สติกลับมา

จริงด้วย วันนี้เป็นงานใหญ่ของเซี่ยหยูกับมู่หลิง จะทำลายมื้ออาหารมื้อนี้เพราะเรื่องของตัวเองไม่ได้

เธอพยายามปรับอารมณ์ตัวเอง ก่อนจะพูดว่า “อ๋อ ไม่มีอะไรค่ะ เมื่อก่อน รู้จักผู้ชายคนหนึ่งที่ชื่อนี้เหมือนกัน”

พี่สาวเซี่ยพยักหน้า หัวข้อนี้ก็ถือว่าผ่านไปแล้ว

มื้ออาหารนี้ มู่เฉียวรู้สึกเหมือนนั่งอยู่บนกองไฟ ในที่สุดก็ทานกันเสร็จ หลังจากมองพ่อเซี่ยแม่เซี่ยนั่งรถจากไป

เธอก็โล่งใจ

หันกลับไปก็ไม่เห็นผู้ชายคนนั้นแล้ว ก็ร้อนรนขึ้น “พี่คะ ผู้ชายคนนั้นล่ะ?”

พี่สาวเซี่ยดูเป็นคนประณีต เธอหยิบโน้ตออกจากกระเป๋า ในนั้นเขียนที่อยู่ยื่นให้มู่เฉียว “นี่คือที่ที่ฉันไปรับเขาวันนี้ ฉัน ไม่รู้จักเขาจริงๆ แต่ เห็นบอกว่า เขาเป็นแรงงาน คุณหนูมู่ ได้ยินว่าพ่อของเสี่ยวโยวเสียแล้ว ขอโทษจริงๆค่ะ ที่วันนี้ทำให้คุณนึกถึงเขา”

มู่เฉียวพยักหน้าให้เธอ ได้ยินคำว่าแรงงานอีกครั้ง ใจของมู่เฉียว ก็ทรุดนิ่งลงไปอีก

เมื่อเงยหน้าขึ้นก็ชนเข้ากับใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มของโม่หาน เธอนำมือถือซ่อนไว้ข้างหลัง โดดลงมาจากเคาน์เตอร์ แต่ลืมไปว่าสวมส้นสูงอยู่ ร่างกายจึงซวนเซเข้าไปอยู่ในอ้อมกอดของโม่หาน

ต่อจากนั้นมีเสียงเข้ามาจากด้านนอก “ไม่เหมือนกับตอนวัยรุ่นแล้วจริงๆ ตอนนี้มีฝีมือชำนาญอย่างมาก”

มู่เฉียวสูดลมหายใจเข้า กกหูแดงไปหมด

เธอประคองเคาน์เตอร์ล้างหน้ายืนให้มั่นคง “ขอบคุณนะ”

“ไม่ชินเหรอ?

“ก็พอได้”

“อย่างนั้นก็ไปกันเถอะ พวกญาติๆยังคิดว่าคุณหนีไปแล้วหรือเปล่า?”

มู่เฉียวขมวดคิ้ว โม่หานวันนี้ดูไม่เหมือนเดิม ดูอ่อนโยนอย่างมาก ในขณะนี้มันดูอ่อนโยนอย่างมาก จนเธอถึงกับคิดว่า ถ้าเป็นอย่างนี้ตลอดไป ก็เป็นความคิดที่ไม่เลว อย่างน้อยเสี่ยวโยวก็สามารถมีบ้านที่สมบูรณ์แบบได้

เมื่อทั้งสองคนกลับไป งานเลี้ยงก็เกือบจะเลิกแล้ว ตระกูลใหญ่ก็เหลือกลุ่มเล็กๆ ทั้งคุยเล่นกัน ทั้งทักทายกัน

ฉันคิดว่า ณ จุดนี้ ภารกิจของวันนี้น่าจะเสร็จสิ้นแล้ว

ใครจะรู้ ว่าจู่ๆนายท่านโม่จะหยิบไมโครโฟนมาประกาศ ว่าจะโอนหุ้นครึ่งหนึ่งในมือของโม่หานไปอยู่ภายใต้ชื่อของมู่เฉียว

หุ้นครึ่งหนึ่งในมือของโม่หานหมายความว่าอย่างไร ทุกคนทำเสียงอื้ออึง พอพวกเขาทั้งหมดได้รู้ ก็คาดไม่ถึงว่าตระกูลโม่จะให้ความสำคัญกับลูกสะใภ้คนนี้อย่างมาก ก็อดไม่ได้ที่จะมองมู่เฉียวอย่างเคารพ

มู่เฉียวหันไปมองโม่หาน เขาเหมือนจะรู้มาก่อนแล้ว เลยไม่มีปฏิกิริยาตอบกลับใดๆ

“คุณปู่ไม่รู้เหรอว่าเราต้องหย่ากัน?”

หลังจากที่ชายคนนั้นเงียบไปครู่หนึ่ง ก็กล่าวด้วยเสียงทุ้ม : “หย่าแล้ว คุณก็เอาไปด้วย”

“ฉันไม่ต้องการ”

“มู่เฉียว ไม่ต้องคิดมากหรอก เพียงแต่เป็นค่าแทนคำขอบคุณ ต่อไปเสี่ยวโยวกับคุณจะได้ไม่ลำบาก”

มู่เฉียวมองเขา ทำไมรู้สึกว่าฟังคำพูดนี้แล้ว ราวกับคำบรรยายในงานศพ ทันทีหลังจากนั้นเธอก็รู้สึกไม่พอใจ

“ฉันมีความสามารถที่จะเลี้ยงดูเสี่ยวโยวได้”

ชายคนนั้นไม่ได้พูดอะไร เพียงหลุบตามองเธอ

จู่ๆเขาก็ยื่นมือออกมาลูบๆหัวของมู่เฉียว “ต่อไป อย่าใจดีมีเมตตาจนเกินไป บนโลกนี้ไม่ได้มีแต่คนดี ยังมีคนไม่ดีด้วย”

การกระทำที่ฉับพลันกะทันหันนี้ของเขา มู่เฉียวก็ทำอะไรไม่ถูกเล็กน้อย เธอเงยหน้าขึ้นมองโม่หาน แต่พบว่าในแววตาของเขามีน้ำตาคลออยู่

เธอเม้มๆปาก “คุณ ไม่สบายเหรอ?”

ชายคนนั้ส่ายหัว “มู่เฉียว เรื่องที่ฉันเคยทำร้ายคุณก่อนหน้านี้ หรือว่าพูดจาทำร้ายจิตใจ ก็ขอโทษด้วยนะ”

มู่เฉียวขมวดคิ้ว โม่หานทำอย่างนี้ เธอรู้สึกเศร้าสลด จึงพูดว่า : “คุณโหดเหี้ยมเหมือนเดิม ฉันจะเคยชินกว่านะ”

โม่หานยิ้มนิดๆ ทว่าไม่ได้พูดอะไร

คุณนายโม่มีปฏิกิริยาต่อเรื่องหุ้นอย่างมาก แต่ติดที่ว่าคนเยอะ ท้ายที่สุดก็ได้แค่ถลึงตาใส่เธอเท่านั้น

ระหว่างกลับบ้าน

เหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดนี้ทำให้ทุกคนลืมเรื่องสิทธิ์การถือหุ้นไป

หมอบอกว่า ต้องเตรียมตัวการผ่าตัดปลูกถ่ายไขกระดูกทันที

เมื่อถึงโรงพยาบาล ประมาณ 2 ชั่วโมง สักพักโม่หานฟื้นขึ้นมา เขาพูดคุยกับคู่สามีภรรยาตระกูลโม่ก่อน จากนั้นก็เรียกคุณนายโม่เข้าไป ไม่นานเสียงร้องไห้ก็ดังออกมาจากด้านใน

มู่เฉียวกับชายคนนี้ ไม่มีความรักความผูกพันกันมากนัก แต่เวลานี้เธอยังคงรู้สึกเศร้าใจอย่างมาก

เมื่อคุณนายโม่ออกมา สีหน้าซีดเผือด แววตาเหม่อลอย เธอมองมู่เฉียวอย่างลึกซึ้ง  มู่เฉียวตกตะลึง รู้สึกไม่สบายใจอย่างมาก

โม่หานนั่งพิงอยู่บนเตียง มองมู่หาน “หุ้นส่วนก่อนที่เสี่ยวโยวจะบรรลุนิติภาวะ อย่าโอนให้คนอื่นนะ จะมีการจ่ายเงินปันผลในบัตรของคุณทุกๆปี ถ้าคุณวางใจก็ให้ลูกอยู่ที่ตระกูลโม่ก็ได้ คุณสามารถมาหาเธอเมื่อไหร่ก็ได้ แต่ถ้าคุณไม่วางใจก็เอาเธอไปด้วยเถอะ”

ในห้องที่เงียบสงบ มู่เฉียวคิดอยากจะพูดอะไรสักหน่อย แต่รู้สึกว่ามันไม่เหมาะสมที่จะพูดอะไร

บอกเขาว่าไม่เป็นไร แต่ความเสี่ยงในการทำการผ่าตัดครั้งนี้ พวกเขาต่างก็รู้ดี บอกเขาว่าอย่ามองโลกในแง่ร้ายเกินไป โรคอยู่ที่ตัวเขา เขารู้ได้อย่างซาบซึ้งโดยไม่มีทางเลี่ยง

“เรื่องที่ท้อง มู่หยิงเป็นคนทำ ฉันรู้ว่าคุณไม่รู้อีโหน่อีเหน่อะไร ฉันต้องขอโทษอย่างมาก เพราะฉัน ที่ทำลายชีวิตของคุณ”

มู่เฉียวเบิกตาโพลง มองโม่หานอย่างคาดไม่ถึง “คุณ คุณรู้ได้อย่างไร?”

ชายหนุ่มยื่นมือออกมา นิ้วมือที่เรียวยาวเลื่อนไปที่แก้มของเธอแล้วลูบเบาๆ

“นี่ คุณจะสัมผัสอะไร?” หญิงสาวตกใจจนหลับตาปี๋ มีการตอบสนองค่อนข้างมาก

เป็นเวลานานยังไม่ได้คำตอบ จึงลืมตา ก็เห็นโม่หานหลับตาไปแล้ว มือที่อยู่บนใบหน้า ก็ค่อยๆหล่นลงไป แต่รู้ว่าเขายังมีสติอยู่ เพราะเห็นลูกกระเดือกที่กลิ้งขึ้นลงอย่างรวดเร็วของเขา

“มู่เฉียว ถ้าชีวิตยังมีชีวิตกลับมาได้อีกครั้ง ฉันหวังจริงๆว่า จะสามารถใช้ทุกวิธี เพื่อทำความรู้จักกับคุณใหม่อีกครั้ง” น้ำเสียงของเขาเรียบเฉยอย่างมาก มู่เฉียวนิ่งอึ้งไปเล็กน้อย นี่คือ ท่านประธานโม่กำลังสารภาพความรู้สึกอยู่เหรอ?

แต่ทำไมความรู้สึกของเธอ เหมือนจะร้องไห้ล่ะ?แสบจมูกเล็กน้อย รอบตาแดงก่ำ

เธอมองโม่หาน ก้มหน้าเล็กน้อย “อันที่จริง คุณก็ไม่ได้เลวร้ายขนาดนั้น”

ชายหนุ่มยิ้มมุมปาก ขนตาขยับเล็กน้อย ชัดเจนว่า เขาอยากจะลืมตา แต่ในที่สุดก็ลืมไม่ขึ้น

มู่เฉียวลุกขึ้นยืน สูดลมหายใจเข้า เรียกเขา ไม่มีการตอบสนอง เธอร้อนใจ รีบพูดว่า: “โม่หาน ถ้าคุณหายดีแล้ว พวกเราก็ไม่ต้องหย่ากัน แล้วเป็นครอบครัวที่อบอุ่นให้เสี่ยวโยว โอเคไหม?”

หางตาของชายหนุ่มมีน้ำตาไหลออกมา

มู่เฉียวรู้สึกเพียงว่าใจหวิวขึ้นมาอย่างฉับพลัน จากนั้น ก็จนปัญญาที่จะระงับความเจ็บปวดใจและความหวาดกลัว

“โม่หาร….คุณตื่นสิ”

“โม่หาน…..คุณตื่นขึ้นมา ได้ไหม?โม่หาน….”

ประตูถูกเปิดออก คนกลุ่มหนึ่งก็เข้ามาห้อมล้อม เธอถูกพยาบาลดึงออกไป หลังจากนั้นดวงตาของเธอก็เห็นโม่หานถูกเข็นเข้าห้องผ่าตัดไป

เธอนึกถึงฉากนี้นับครั้งไม่ถ้วน เธอคิดว่า ด้วยความเลวของผู้ชายคนนี้ เธอจะต้องยิ้มเมื่อเห็นเขาเข้าไป เธอคิดว่า เธอไม่สามารถที่จะเสียน้ำตาเพื่อผู้ชายแบบนี้ได้ เขาชั่วร้ายขนาดนั้น ยโสโอหังขนาดนั้น แต่น้ำตาที่หลั่งไหลอาบใบหน้าไม่หยุดมันคืออะไรกัน?

มู่เฉียว ทำไมคุณถึงหลอกง่ายแบบนี้?

เขาพูดดีด้วยไม่กี่คำ คุณก็ลืมแล้ว แล้วเรื่องชั่วร้ายเหล่านั้นที่เขาเคยทำล่ะ?

เธอนั่งลงบนเก้าอี้ เม้มปาก ส่งสายตามองห้องผ่าตัด น้ำตาไหลออกมาอย่างเงียบๆ

โม่หาน ถึงแม้คุณจะไม่รับปาก ถึงแม้จะไม่ได้เป็นสามีภรรยากันอีก ถึงแม้ประโยคนั้นที่คุณพูดจะเป็นการหลอกลวงฉัน ถึงอย่างนั้นคุณก็ต้องหาย โอเคไหม?

หนึ่งปีต่อมา

หน้าหลุมศพที่ชานเมือง

หญิงสาวคนหนึ่งจูงเด็กคนหนึ่งมายืนด้านหน้าหลุมศพ

“แม่ นั่นใคร?” เด็กน้อยพูดยังไม่ค่อยชัดเจน พูดได้เพียงแค่สองสามคำ มือน้อยๆที่อ่อนนุ่มของเธอชี้ไปที่ป้ายศิลาสีขาวดำ

หญิงสาวตอบกลับด้วยสีหน้าที่ไม่แสดงออก “พ่อของคุณ”

“แม่ ต้องการพ่อ”

หญิงสาวไม่พูดจา จูงเด็กน้อย ไปนั่งลงที่ขึ้นบันไดหน้าหลุมศพ

มิงใบหน้าที่หล่อเหลาบนรูปภาพขาวดำนั้นแล้ว เธอก็หลับตา

โม่หาน ฉันกับพ่อแม่ต้องย้ายไปอีกเมืองหนึ่ง ต่อไป คงไม่สามารถมาหาคุณได้บ่อยๆแล้วนะ

เมื่อออกจากสุสาน มู่เฉียวก็อุ้มโม่เสี่ยวโยว ดึงขอบหมวกให้ต่ำลง โบกรถคันหนึ่ง กลับไปยังบ้านพ่อแม่

“แม่ ฉันกลับมาแล้ว”

“คุณไปไหนมา?ออกไปแต่เช้า ตอนนี้เพิ่งกลับมา”

มู่เฉียวอุ้มเด็กอยู่ เม้มปากเล็กน้อย

“พ่อ” เสี่ยวโยวที่อยู่ในอ้อมกอดจู่ๆก็เอ่ยปากออกมา

สีหน้าของแม่เคร่งขรึมลงไปในทันที “คุณไปหาเขามาเหรอ?” นำผ้าที่อยู่ในมือโยนลงบนโต๊ะ น้ำที่อยู่บนผ้า กระเซ็นมายังบนมือของมู่เฉียว เย็นยะเยือก

“ทำไมคุณดื้อรั้นแบบนี้ โม่หานทำร้ายคุณ ทำร้ายเราจนย่อยยับยังไม่พอใช่ไหม?ยังเปิดเผยกับสื่อมวลชนว่าคุณหลอกล่อโม่หาน พวกเขายังพยายามแบ่งหุ้นของตระกูลโม่ และบอกว่าเสี่ยวโยวไม่ใช่ลูกของตระกูลโม่ ความอับอายขายหน้าเช่นนี้ หรือว่าคุณจำไม่ได้แล้ว?”

“การงานก็ไม่มี ผู้หญิงคนหนึ่งกับลูก ถูกวิพากษ์วิจารณ์ไปทุกหนทุกแห่ง มู่เฉียว คุณคิดว่าตนเองยังน่าเวทนาไม่พอใช่ไหม?”

มู่เฉียวนำเสี่ยวโยววางลง “เสี่ยวโยว ไปเล่นของเล่นทางนั้นก่อนนะ”

เสี่ยวโยวพยักหน้า เพิ่งจะหัดเดิน ยังคงเดินเตาะแตะๆ

มู่เฉียวพาแม่นั่งลงบนโซฟา “แม่ คุณอย่าโกรธไปก่อนเลย ฉันแค่พาเสี่ยวโยวไปดูเขา ถึงอย่างไรเขาก็เป็นพ่อของเสี่ยวโยว”

“พ่อของเสี่ยวโยวเหรอ?เสี่ยวเอ๋อ แม่ไม่อนุญาตให้คุณติดต่อกับคนตระกูลโม่อีก แม่ไม่อนุญาต” แม่พูดถึงประโยคสุดท้าย ก็นั่งเช็ดน้ำตาอยู่บนโซฟา

อารมณ์ของแม่ฮึกเหิมอย่างมาก มู่เฉียวรู้ว่า เธอกลัวและกังวลใจแทนเธอจริงๆ

ตลอดหนึ่งปีนี้ สำหรับครอบครัวหนึ่งมันเป็นเหมือนฝันร้าย

ความขยันหมั่นเพียรของพ่อแม่ทั้งชีวิต แต่เป็นเพราะเธอ ชื่อเสียงจึงได้พังทลายลง ยังถูกชี้หน้าว่าสั่งสอนคนอื่นได้ แต่สอนลูกสาวตนเองไม่ได้

หนึ่งปีก่อนหน้านี้ การผ่าตัดของโม่หานล้มเหลว ต่อมาถูกส่งตัวไปรักษาที่ต่างประเทศ จากนั้นคนตระกูลโม่ก็ได้นำเถ้ากระดูกของโม่หานกลับมา จากนั้นมีคนและสื่อมารายงานข่าว บอกว่าที่เธอบริจาคไขกระดูกในตอนแรก จงใจที่จะล่อหลอกโม่หาน ยังให้โม่หานเป็นพ่อของลูกในท้อง

อำนาจของสื่อ ทำให้เธอกลายเป็นคนที่น่าสมเพชเวทนา เธอพยายามอธิบายแล้ว เธอจึงพบว่าไม่สามารถปิดปากคนที่พูดไปเรื่อยเปื่อยได้

จากนั้น หลังจากที่บริษัทให้เงินเดือนเธอสามเท่า ก็ยกเลิกสัญญาการจ้างงานเธอ

หุ้นส่วนที่โม่หานให้เธอ ก็ถูกหลอกให้โอนคืนกลับไป

คู่สามีภรรยาตระกูลโม่ก็เปลี่ยนไปเป็นคนละคน ไม่ได้สนใจไถ่ถามเรื่องของตระกูลโม่อีก

และตอนนี้คนที่ควบคุมอำนาจของตระกูลโม่ คาดไม่ถึงว่าจะเป็นคนรักของแม่โม่หาน ซึ่งตอนที่พ่อของโม่หานยังมีชีวิตอยู่ คุณนายโม่ก็มีคนรักอยู่แล้ว

ตอนที่รู้ข่าวนี้ มู่เฉียวก็ตกตะลึง และยิ่งสงสารโม่หาน ฉับพลันเธอก็รู้ว่าเพราะอะไรเขาถึงได้ทุ่มเทขนาดนั้น แน่นอนว่าเขารู้ทุกอย่างหมดแล้ว รู้ว่าต้องจากไปจึงได้ทำทุกอย่างไว้มากมายไว้เพื่อโม่กรุ๊ป จากนั้นโม่กรุ๊ปก็ได้เปลี่ยนคนในองค์กรครั้งใหญ่ มู่หยิงในฐานะผู้ช่วยของโม่หาน เป็นธรรมดาที่จะถูกให้ออกเป็นคนแรก

เพราะตอนนั้นเป็นปัญหาใหญ่มาก ทำให้พ่อแม่ต้องตกงานมาหลายปี ในที่สุดมู่หลิงก็ได้รับการว่าจ้างจากบริษัท แต่ก็ถูกไล่ออกอีกครั้ง พวกเขาถูกบังคับให้อยู่บ้านของย่าที่ชนบท จนกระทั่งเมื่อไม่นานมานี้ เรื่องราวค่อยๆเพลาลง พวกเขาจึงกลับเข้าเมือง

แต่ในบางครั้ง มู่เฉียวยังคงถูกนินทาอยู่

พ่อรับไม่ได้ที่เธอถูกปฏิบัติเช่นนี้ ไม่กี่วันก่อน บ้านที่เคยอยู่อาศัยมาหลายปีก็ถูกขายทิ้งไป

มู่หลิงได้งานในเมืองB ซึ่งอยู่ห่างออกไปหลายพันไมล์ ตามที่บอกมาก็ค่อนข้างดีเลยทีเดียว เลยเสนอให้พวกเขาไปที่นั่น เมือง B กับเมือง Aไม่ต่างกัน เจริญรุ่งเรืองใหญ่โตมาก

เพียงแค่นึกถึงพ่อแม่ที่เป็นเพราะเธอ

มองออกว่าเธอเศร้าใจ แม่จึงนำเธอมาไว้ในอ้อมกอด “เอาล่ะ อย่าร้องไห้เลย เราต้องไปกันแล้ว ไปยิ่งไกลยิ่งดี พอถึงที่ของน้องชายคุณแล้ว เราจะได้เริ่มต้นกันใหม่อีกครั้ง”

มู่เฉียวพยักหน้า ถ้าไม่ใช่พ่อแม่ เธอคิดไม่ออกจริงๆว่าตนเองจะสามารถมีชีวิตที่ดีต่อไปได้อย่างไร

คำพูดกระทบกระเทียบที่ไม่น่าฟังของคนเหล่านั้น ความอาฆาตในใจ ทำให้ครึ่งปีมานี้ ฝันร้ายตลอด ยากที่จะนอนหลับได้ลง

น่าตลกที่ว่าตัวการที่ก่อหายนะในตอนแรกอย่างมู่หยิง ที่ได้ยกย่องว่า”จิตใจดีมีเมตตา” “นิสัยดี”  แม้จะเทียบไม่ได้กับโม่หานในตอนนั้นเลย แต่เมื่อเทียบกับความจนตรอกของเธอแล้ว มันดีกว่าอย่างมาก

เธอถามแม่ ไม่ใช่เคยบอกว่า คนทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่วหรอกเหรอ?แล้วทำไมเธอทำเรื่องดีๆ แต่กลับต้องตกอยู่สถานการณ์เช่นนี้ด้วยล่ะ

นั่งรถไฟไปเมืองB เสี่ยวโยวนั่งครั้งแรก ตื่นเต้นอย่างมาก ปากน้อยๆที่ยังพูดไม่คล่อง แต่ก็พูดเจื้อยแจ้วไม่หยุดหย่อน

นั่งไปเป็นเวลาเจ็ดชั่วโมงกว่า เมื่อถึงเมืองB มู่หลิงก็เข้ามารับพวกเขา เสื้อสูทรองเท้าหนัง ดูเป็นผู้ใหญ่อย่างมาก เมื่อเห็นเธอ ก็ยิ้มๆ รับมู่เสี่ยวโยวไปจากมือของเธอ ตระกูลโม่ไม่ยอมรับโม่เสี่ยวโยว ดังนั้น จึงตัดชื่อของพวกเขาออก ดังนั้น จึงตัดชื่อพวกเขาออก มู่เฉียวทำได้เพียงให้โม่เสี่ยวโยวใช้นามสกุลตามเธอ เปลี่ยนเป็นมู่เสี่ยวโยว

“คุณน้า” ขณะเดินทาง พ่อแม่พูดถึงมาตลอดทาง มีผลพวง ทำให้เอ่ยปากเรียก

มู่หลิงจูบลงบนใบหน้าของเธอ “เสี่ยวโยว ตอนเดินทางมาร้องไห้งอแงหรือเปล่า?”

เสี่ยวโยวส่ายหน้า

“พ่อ แม่ พี่ ไปกันเถอะ”

คนสามสี่คนเดินทางไปยังบ้านที่มู่หลิงเช่าอยู่ ที่ชานเมืองแห่งหนึ่ง บ้านสองชั้น มีสวนหย่อมเล็กๆอยู่ตรงกลาง

“พี่ คุณกับเสี่ยวโยว แล้วก็พ่อกับแม่พักที่ชั้นสองนะ ด้านหน้าห้องหนึ่งด้านหลังห้องหนึ่ง มีสองห้องพอดี”

“แล้วคุณล่ะ?”

“แล้วคุณล่ะ?”

พ่อแม่และมู่เฉียวเอ่ยปากพร้อมกัน

“ฉันนอนห้องรับแขก ฉันเป็นผู้ชาย นอนที่ไหนก็ได้”

มู่เฉียวเม้มปาก มองๆสถานที่ที่ยืนอยู่ บ้านนี้แบ่งหน้าหลังเป็นสองส่วน ตรงกลางมีบันไดเล็กๆ ด้านหลังเป็นห้องครัว ตรงกลางใต้บันได มีห้องน้ำเล็กๆห้องหนึ่ง ด้านหน้านี้ที่บอกว่าเป็นห้องรับแขก คาดว่าน่าจะมีพื้นที่ไม่ถึง10ตารางเมตร

มีโซฟาที่เรียบง่ายวางอยู่หนึ่งตัวแล้วก็ไม่มีพื้นที่พอสำหรับสิ่งอื่น

เห็นมู่เฉียวขมวดคิ้ว มู่หลังก็เดินเข้ามา ดึงโซฟาที่เรียบง่ายตัวนั้นมาด้านหน้า กลายเป็นเตียงใหญ่หนึ่งหลังขนาดประมาณ1.5เมตร

“เป็นอย่างไรบ้าง?ไม่เลวเลยใช่ไหมล่ะ?”

มู่เฉียวเจ็บแปล๊บที่หัวใจ น้องชายคนนี้ เมื่อไรกันที่ต้องเจอเรื่องลำบากแบบนี้ ถึงแม้ตระกูลมู่จะไม่ได้ร่ำรวย แต่ตั้งแต่เกิดมา พ่อแม่ต่างก็เป็นคนมีงานทำ เมื่อเทียบกับเด็กในครอบครัวที่ไม่ร่ำรวย พวกเขาก็ถือว่าเป็นครอบครัวที่มีอันจะกิน มีกินมีใช้มาจนโต

“เอาล่ะ รีบเก็บของ พักผ่อนสักครู่หนึ่ง แล้วทำอาหารสักหน่อย เสี่ยวโยวนั่งรถไฟมาไม่ได้ทานอะไรเลย เดี๋ยวจะหิวเอาได้”

มู่เฉียวพยักหน้า “พ่อแม่ พวกคุณนั่งพัก แล้วดูเสี่ยวโยว ฉันกับมู่หลิงจะไปเก็บของชั้นบนหน่อย”

พูดจบ คนทั้งสองก็ยกกระเป๋าขึ้นไปชั้นบน

ถึงแม้ว่าบ้านจะเล็ก แต่ก็สะอาด มู่เฉียวยกสัมภาระของพ่อแม่มาถึงด้านหน้า ด้านหน้านี้มีระเบียงเล็กๆระเบียงหนึ่ง บางครั้งมีแสงอาทิตย์ส่องมาเล็กน้อย ค่อนข้างดีต่อสุขภาพของพ่อแม่

“พี่ เสี่ยวโยวยังเล็ก ไม่อย่างนั้น…….”

“ไม่เป็นไร ฉันพาเธอไปรับแสงแดดด้านล่างบ่อยๆก็เหมือนกันแหละ” พูดจบ ก็จัดเก็บข้าวของ แต่เห็นมู่หลิงมองเธออยู่ ไม่พูดจา

“ทำไมเหรอ?”

“คือฉันที่ไม่มีความสามารถ ถ้า…..”

มู่เฉียวปิดปากมู่หลิง ส่ายหน้า “คุณรู้ไหมที่คุณเป็นแบบนี้ พี่ต้องเจ็บปวดใจมากแค่ไหน?คือฉันที่ทำร้ายคุณ ทำร้ายพ่อแม่” น้ำตาที่อดกลั้นมาตลอดหนึ่งปี ในที่สุดก็ไหลออกมา หนึ่งปีนี้ ไม่ว่าจะพบเจอเรื่องราวอะไรก็ตาม เธอจะบอกตัวเองเสมอว่าอย่าร้องไห้ อย่าแสดงความอ่อนแอให้คนเหล่านั้นเห็นเป็นตัวตลก

แต่เวลานี้ เธอร้องไห้ไม่หยุด

ทุกสิ่งทุกอย่างที่เธอปรารถนา ล้วนเป็นเพียงความฝัน

“ก่อนหน้านี้ ประวัติการโทรเมื่อสองสามวันก่อนคุณลบทิ้งไปใช่ไหม?”

เห็นได้ชัดว่าเลขาไม่คิดว่าโม่หานจะถามเรื่องนี้ เธอขมวดคิ้ว ตอบกลับเสียงสั่น “ปะ……เปล่าค่ะ”

“เปล่า?คือไม่มีคนโทรมา หรือไม่ได้ลบ?คุณรู้ไหม ว่าฉันเกลียดคนโกหกที่สุด ถ้าคุณยังอยากอยู่ที่โม่กรุ๊ปต่อไป คุณก็บอกความจริงมาจะดีที่สุด” เสียงของโม่หานเย็นชาลงจนทำให้คนฟังตัวสั่น

“ผู้จัดการมู่เป็นคนลบ เธอบอกว่าเป็นเบอร์โฆษณาให้ฉันไม่ต้องบอกคุณ”

“คุณคิดว่ามือถือของฉัน จะมีเบอร์โฆษณาโทรมาเหรอ?” โม่หานตวาดด้วยความโกรธ แล้ววางสายไป

คุณนายโม่ดึงแขนของเขา “ไม่เป็นไรหรอก เด็กเป็นไข้นั่นเพราะว่าร่างกายไม่ดี คุณอย่าร้อนใจไปเลย อีกอย่างถึงแม้ว่าคุณจะไปแล้ว ก็ช่วยอะไรไม่ได้ คุณ……”

“เพล้ง” เสียงถ้วยตกลงบนพื้น

คุณนายนายท่านโม่พูดด้วยเสียงเคร่งขรึม : “นี่คือสิ่งที่คุณพูดในฐานะคนเป็นย่าเหรอ?เด็กไม่กี่เดือนมีไข้สูงมาหลายวัน คนโตยังทนไม่ไหว แล้วนับประสาอะไรกับเด็ก เมื่อตอนเด็กๆโม่หานป่วย คุณลืมไปแล้วเหรอ เขาเป็นไข้จนเพ้อ คุณก็ทุกข์ใจจนเป็นลมหมดสติไป คุณลืมไปแล้วเหรอ?ทำไมพอถึงหลานถึงปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติล่ะ”

พูดจบก็หันไปมองโม่หาน “พาพี่เลี้ยงไป แล้วให้คนขับรถมารับพวกเราด้วย”

“แม่ คุณก็ไปด้วยเหรอ?” คุณนายโม่ลุกขึ้นตามมา แล้วพูดอย่างประหลาดใจ

“ถ้าไม่ไปอีก ลูกชายคุณก็ต้องเป็นโสดแล้ว”

“แม่ คุณล้อเล่นอะไรกัน ถ้าโม่หานเป็นโสด บนโลกใบนี้ก็ไม่มีผู้ชายคนไหนได้แต่งงานแล้ว”

คุณนายนายท่านโม่ถลึงตาใส่เธอ แล้วเคาะหน้าผากเธอ “คุณนะคุณ จะประพฤติปฏิบัติอะไรก็ต้องเปลี่ยนมุมมองด้วย ลูกสะใภ้นะมีเยอะแยะมากมาย แต่ลูกสะใภ้ที่ดี มันเป็นโชคชะตาพรหมลิขิต”

คุณนายโม่เลิกคิ้ว จับมือแม่ “แม่ คุณดูสิแม่ของมู่เฉียว พูดจาไม่น่าฟังเลย เหมือนครอบครัวเราไปทำอะไรลูกสาวเธอ คนอย่างนี้ จะสอนลูกสาวให้ดีได้อย่างไร ฉันเห็นมู่หยิงแล้วยังสบายใจกว่าเธอเลย ถึงอย่างไรก็มาจากครอบครัวที่มีฐานะทางสังคม ไม่เหมือนกับชาวบ้านเหล่านี้……”

“คุณย่าไปกันเถอะ รถมาแล้ว” ส่วนคำพูดของแม่ โม่หานไม่ได้ฟังต่อพูดตัดบทไปเลย

บนรถ

“ยัยเด็กมู่คนนั้นมีกลอุบายอะไรอยู่ใช่ไหม” หลังจากคุณนายนายท่านขึ้นรถ ก็เอ่ยถาม แต่ในน้ำเสียงมีความแน่ใจ

โม่หานทำเสียงอืมตอบกลับ

“นับวันยิ่งทำตัวแย่ลงจริงๆ โม่หาน ถ้าคุณยังปล่อยปละละเลยแบบนี้ต่อไป ครั้งหน้าเกิดเรื่องอะไรขึ้นอีก ย่าจะไม่นิ่งดูดายอีกแล้ว อีกอย่างคำพูดที่ฉันพูดวันนี้ ระหว่างคุณกับมู่หยิงฉันไม่สนใจว่าคุณจะรู้สึกอย่างไรกับเธอ แต่หลานสะใภ้อย่างนี้ ตระกูลโม่ของเราไม่ต้องการ”

“คุณย่า”

“คุณก็รู้ว่าปู่ของคุณรับฟังฉัน แม่คุณคนเดียว ตบมือข้างเดียวไม่ดังหรอก ถึงแม้ว่าคุณจะไม่ชอบเสี่ยวเฉียว หย่ากันแล้ว หลานสะใภ้ตระกูลโม่ก็ไม่สามารถเป็นมู่หยิงไปได้ คุณให้เธอล้มเลิกความคิดไปซะ หนี้บุญคุณของเธอ ยกเว้นการแต่งงาน ตระกูลโม่ก็สามารถให้ได้หมดทุกอย่าง”

พูดจบ คุณนายนายท่านโม่ก็หลับตา ไม่พูดอะไรอีก

ไม่รู้เพราะอะไร โม่หานถึงได้รู้กสึกโล่งอกสบายใจ  มู่เฉียวนั่งอยู่ข้างๆเตียง มือลูบๆอยู่ที่หน้าผากของโม่เสี่ยวโยว ไม่ได้เจอกันหลายวัน สีหน้าเธอหม่นหมอง ถุงใต้ตาชัดเจน คนดูเหี่ยวแห้งไร้เรี่ยวแรงอย่างมาก

ผลักประตูเข้าไป

มู่เฉียวเงยหน้าขึ้นเห็นเป็นโม่หานกับคุณนายนายท่านโม่ เธอก็ไม่ได้พูดอะไร แล้วก็มองกลับไปที่โม่เสี่ยวโยวอีกครั้ง

ไข้ขึ้นสูงมาหลายวันทำให้หน้าเธอแดงเป็นวงกลม คุณนายนายท่านโม่เห็น ก็สงสารจนน้ำตาไหล “เสี่ยวเฉียว หลายวันมานี้ต้องลำบากคุณเลย”

มู่เฉียวอยากจะยิ้ม แต่ยิ้มไม่ออก ไม่ได้หลับไม่ได้นอนมาหลายวัน ทำให้เธอไม่มีเรี่ยวแรงเลย  คุณไปพักผ่อนเถอะ ทางด้านเสี่ยวโยว ฉันจะดูแลเอง คุณวางใจได้ ฉันจะทำอย่างสุดความสามารถ” คนที่พูดคือพี่เลี้ยง

มู่เฉียวพยักหน้า ลุกขึ้นยืน จากนั้นก็หมดสติไป

เมื่อตื่นขึ้นมาอีกครั้ง ก็เป็นอีกวันหนึ่งแล้ว มู่เฉียวลืมตา แต่พบว่าอยู่ที่ตระกูลโม่

“เสี่ยวโยว” เธอลุกขึ้นนั่ง

“เธออยู่ที่ห้องของตัวเอง ไข้ลดแล้ว รับกลับมาแล้ว” คนที่พูดคือโม่หาน

มู่เฉียวจึงพบว่าโม่หานนั่งอยู่ที่หน้าต่างห้องของเธอกำลังดูเอกสารบางอย่าง อดไม่ได้ที่จะเขินอายเล็กน้อย

เปิดผ้าห่มออก เธอลุกขึ้น ไปห้องของโม่เสี่ยวโยว คุณป้ากำลังหยอกเย้าอยู่กับเธอ เธอก็ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ไม่หยุด ในใจจึงรู้สึกโล่งอก

กลับมาถึงห้อง ก็หยิบมือถือ โทรศัพท์ไปหาแม่

“แม่ เสี่ยวโยวไข้ลดแล้ว”

“ดีแล้วๆ คุณก็ดูแลสุขภาพนะ ลูกยังเด็กแบบนั้น คุณสุขภาพดี จึงจะมีกำลังในการดูแลเธอ”

มู่เฉียวตอบอืมคำหนึ่ง แล้วเดินไปยังห้องรับแขก “แม่ คุณโทรศัพท์มาหาครอบครัวของโม่หานเหรอ?”

“เมื่อวานแม่สามีของคุณโทรมา ฉันก็เลยได้โอกาสพูดไป เฉียวเอ๋อ คุณอยากจะหย่า ก็หย่าเถอะ ทางด้านของพ่อ รอให้คุณตัดสินใจแล้ว แม่จะค่อยๆพูดกับเขาเอง”

“แม่……”

“คุณเป็นคนหนึ่งที่แม่เป็นห่วงตั้งแต่เล็กจนโต คุณคือเลือดเนื้อบนร่างกายของแม่ แม่ทำใจไม่ได้ที่ลูกรักของตัวเอง จะถูกคนอื่นจงเกลียดจงชังแบบนี้

มู่เฉียวสะอื้นไห้

“เอาล่ะ พ่อของคุณกลับมาแล้ว ฉันวางสายแล้วนะ มีปัญหาอะไรก็โทรมา คิดถึงบ้าน ก็กลับมา”

“อื้ม”

วางสายโทรศัพท์แล้ว มู่เฉียวก็นั่งในลอยอยู่บนโซฟา

“ไปทานข้าวที่ห้องโถงด้านหน้าเถอะ” จู่ๆเสียงของโม่หานก็ดังเข้ามา

มู่เฉียวนิ่งอึ้งไป เธอไม่รู้ว่าเขาเข้ามาตั้งแต่เมื่อไร ได้ยินอะไรไหม เพียงแต่ เธอก็ไม่ได้สนใจ

ระหว่างคนทั้งสอง ก็ไม่ได้มีความรักความผูกพันอยู่แล้ว เรื่องแล้วเรื่องเล่า ยิ่งทำให้หัวใจของมู่เฉียว จมดิ่งลงไปจนถึงจุดต่ำสุด ตอนนี้เธอรอให้ถึงเวลา หลังจากหย่าแล้ว นับแต่นั้นเป็นต้นไป ก็ทางใคร ทางมัน

ลุกขึ้น เดินไปห้องโถงด้านหน้า โม่หานเดินไปได้ครึ่งทาง ก็รับโทรศัพท์ แล้วบอกว่าไม่ทานแล้ว ต้องไปบริษัทก่อน

บนโต๊ะอาหาร เธอยังคงเคยชินคีบอาหารให้คุณย่า ตักซุปให้คุณปู่ เลือกอาหารให้แม่สามี ทุกสิ่งทุกอย่าง ดูเหมือนจะกลับมาสงบเหมือนเดิม

แค่การเงียบสงบของเธอ ทำให้ทุกคนที่นั่งอยู่ ในใจทุกคนก็คิดไปต่างๆนานา

“มู่เฉียว ต่อไปคุณมีเรื่องอะไร โม่หานยุ่งอยู่ โทรศัพท์หาเขาไม่ได้ คุณก็โทรมาที่บ้านนะ คุณดูสิคุณทำแบบนี้ ทางบ้านพ่อแม่ของคุณก็ตำหนิครอบครัวของเราว่าปฏิบัติกับคุณไม่ดี คุณพูดความในใจออกมาสิ คุณแต่งเข้ามาในครอบครัวของพวกเรา เคยปฏิบัติไม่ดีกับคุณตั้งแต่เมื่อไร กินดี อยู่ดี อีกทั้ง…..”

“พูดให้น้อยๆหน่อย” นายท่านโม่นานทีจะเอ่ยปาก

คุณนายโม่จ้องมองมู่เฉียว “พ่อ หรือว่าฉันพูดผิด?คำพูดเหล่านั้นที่แม่ของเธอพูดเมื่อวาน ประโยคไหนที่ไม่เหมือนบอกว่าพวกเราทำให้เธอได้รับความทุกข์ทรมานมาตลอด เด็กเป็นไข้ โทรหามาหานไม่ได้ แล้วโทรมาที่บ้านไม่ได้เหรอ?ทำไมจะต้องหาเรื่องแบกรับไว้คนเดียวด้วย”

มู่เฉียวกลืนอาหารที่อยู่ในปาก เธอค่อยๆลุกขึ้นยืน อ้าปาก ทุกคนคิดว่าเธอจะตอบโต้สักสองสามคำ

แต่ผิดคาด เธอไม่พูดอะไรเลย เพียงแค่หันตัวกลับ พยักหน้ากับสองสามีภรรยาตระกูลโม่เล็กน้อย แล้วออกจากห้องอาหาร

อะไรที่เรียกว่าเรื่องที่น่าเศร้าที่สุดคือทีความคิดที่โง่เขลา?เธออธิบายได้ดีที่สุด

มู่เฉียวยังคงแปลกใจเล็กน้อยกับคำอธิบายของเขา เธอหันศีรษะมองดูโม่หานและยิ้มเล็กน้อย “ไม่เป็นไร ฉันไม่ได้โทษคุณ ความสัมพันธ์ระหว่างคุณทั้งสองอย่างที่เธอพูด ฉันเป็นคนนอกและไม่เข้าใจ”

เธอพูดไปอย่างไม่สนมันและดูเหมือนว่าคนที่เพิ่งถูกคุมขังไม่ใช่เธอ

โม่ฮานมองไปที่ประตูที่ปิดอยู่ ยืนนิ่ง ครุ่นคิด

วันที่สาม เซ็นสัญญาอย่างเป็นทางการ มู่เฉียว ตื่นแต่เช้าและไปทำอาหารเช้าให้โม่หานพอเสร็จก็ลงไปวิ่งชั้นล่าง

แต่เธอได้พบกับ เล่อเชี่ยงหย่วนซึ่งกำลังวิ่งอยู่เช่นกัน

“เฉียวเอ๋อ…”

มู่เฉียวผ่านเขาไปโดยไม่หรี่ตา

แขนเธอถูกดึง และเสียงของชายคนนั้นก็ดังขึ้นเล็กน้อย “เฉียวเอ๋อ ฟังผมอธิบายหน่อย”

เขาจับแขนและสะบัด มู่เฉียวถอดหูฟังออกและพูดอย่างเย็นชาว่า “อย่าเรียกฉันว่าเฉียวเอ๋อ ฉันอยากอ้วก”

“เฉียวเอ๋อ จริงๆแล้ว…”

มู่เฉียว มองไปที่ เล่อเชี่ยงหย่วนที่ลังเลที่จะพูด “ถ้าคุณแค่อยากจะแก้ตัวสำหรับการทรยศของคุณ ฉันขอโทษ ฉันไม่สนใจ” ขณะที่เขาพูดจะต่อ

“เฉียวเอ๋อ จริงไหมที่คุณให้กำเนิดลูกของโม่หาน?” มู่เฉียวรู้ว่าเล่อเชี่ยงหย่วนไม่เคยสนใจข่าวแปดชั้นนั้นเลย เขาใช้ชีวิตอย่างหนักและไม่มีเวลาสนใจเรื่องนี้ ไม่อย่างนั้นเขาคงจะได้รู้ข้าวเกี่ยวกับการตั้งครรภ์ของเธอ

บางทีอาจเป็นเพราะเพื่อนร่วมงานเมื่อวานนี้ที่ทำให้หัวใจของเธอเย็นลง เธอตอบอย่างเป็นกันเอง: “ใช่ ชื่อ โม่เสี่ยวโยว น่ารักมาก”

“เขา เขาดีกับคุณไหม” มีความกังวลอย่างเห็นได้ชัดในดวงตาของชายคนนั้น

“เมื่อวานคุณไม่เห็นหรือไง เขาทั้งรักและดูแลฉันดี” มู่เฉียวเลื่อนสายตาไปที่อื่น ไม่กล้ามองตาของเล่อเชี่ยงหย่วน

“เฉียวเอ๋อ คุณกำลังโกหกผม เขาไม่ดีกับคุณ ถ้าเขาดีกับคุณจริง ทำไมเขาไม่รู้ล่ะว่าคุณใส่รองเท้าส้นสูงแบบนั้นไม่ได้ทุกครั้งที่คุณใส่…”

“โอเค นั้นมันเมื่อก่อนแต่ตอนนี้ฉันชินกับมันแล้ว” เธอขัดเขา ตอนนั้นตอนที่เธอสวมรองเท้าส้นสูงและกลับมาตอนกลางคืน เท้าของเธอก็จะบวม แต่ถ้าทำหน้าที่แบบนี้ รองเท้าส้นสูงก็เป็นมาตรฐานเช่นกัน , อย่างไรก็ตาม ตอนนี้เธอคุ้นเคยกับมันมากจริงๆ แม้ว่ามันจะอึดอัดแต่ไม่บวม

เล่อเชี่ยงหย่วนเงียบไปครู่หนึ่ง ใบหน้าของเขาดูเสื่อมโทรม ซึ่งทำให้ มู่เฉียว แปลกใจเล็กน้อย เขามั่นใจอยู่เสมอและเต็มไปด้วยพลังบวกในความประทับใจของเขา บางครั้งเธอก็คิดในแง่ลบมาก โดยพื้นฐานแล้วเขาสนับสนุนเธอ ตอนนั้นเอง เวลาเธอมั่นใจและเต็มไปด้วยพลังบวก ฉันคิดว่าคงจะพอใจที่จะหาคนแบบนี้มาเป็นสามีภรรยากันตลอดชีวิต

“เฉียวเอ๋อ คนที่ผมรักมีแต่คุณเท่านั้น”

มู่เฉียวสวมหูฟังอีกครั้ง ดังนั้นเธอจึงไม่ได้ยินสิ่งที่ เล่อเชี่ยงหย่วนพูด ดังนั้นเธอจึงวิ่งไปทางโรงแรมต่อไป

เมื่อมองย้อนกลับไป ดวงตาของ เล่อเชี่ยงหย่วนก็ขุ่นเคืองอย่างสุดซึ้ง เฉียวเอ๋อ ถ้าวันหนึ่งคุณรู้จุดประสงค์ของผมในการทำเช่นนี้ คุณจะรู้สึกเป็นทุกข์หรือไม่?

เมื่อโม่หานตื่น เขาเห็นอาหารเช้าที่จัดเตรียมไว้บนโต๊ะ และเขาก็ตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง

สัญญาตอนเช้าดำเนินไปอย่างราบรื่นมาก เมื่อสัญญาสิ้นสุดลง มู่เฉียว ก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก การแปลภาษาเยอรมันครั้งแรกก็ถือว่าประสบความสำเร็จเช่นกัน

มีงานเลี้ยงฉลองในตอนเย็น มู่เฉียว ไม่ต้องการที่จะไป แต่ฉินฮ่าวบอกว่ามันอยู่ในความรับผิดชอบของเธอ

เสน่ห์ของโม่หานมีทั้งจีนและต่างประเทศ ทั้งคืนก็มีสาวๆที่อยู่ข้างๆเขายังไม่ถูกตัดออก แต่เขายินดีที่จะมาเต้นและพูดคุยเสมอ

แม้ว่าจะเป็นสามีของเขา เมื่อเทียบกับการพาผู้หญิงกลับ มู่เฉียวรู้สึกว่าสิ่งเหล่านี้ไม่มีพิษมีภัย และไม่แปลกใจเลย

แต่การปรากฏตัวของมู่หยิงทำให้เธอประหลาดใจ

ชุดกี่เพ้าจีนที่สง่างาม ดวงตาที่อ่อนโยน และผมมวยเรียบง่ายแสดงให้เห็นถึงความสง่างามและความมีเกียรติของผู้หญิงจีนอย่างเต็มที่ และทำให้ผู้ชมประหลาดใจทันทีที่เธอปรากฏตัว

เมื่อเห็นโม่หานในกลุ่มผู้หญิง ดวงตาของเธอก็หรี่ลงอย่างเห็นได้ชัด แต่เธอเห็นมู่เฉียวนั่งอยู่ตรงมุมห้องทันที และมุมปากของเธอก็สูงขึ้นเล็กน้อย

โม่หานก็มองเห็นเธอแล้วเช่นกัน แต่ไม่คาดคิด เขาไม่ได้ตอบสนองอะไรมากนัก แต่เขาเดินตรงไปยังมู่เฉียวจากฝูงชนและยื่นมือออกไปหามู่เฉียว”มาเต้นรำด้วยกันไหม”

มู่เฉียวอยู่เหนือเธอ มองข้ามมาที่มู่หยิงซึ่งมีดวงตาที่สามารถฆ่าผู้คนข้างหลังเธอได้ เธอรู้ว่าโม่หานโกรธมู่หยิงสำหรับสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อวานนี้ เขาเชื่อเธอ แต่ในสายตาของคนนอกอย่างเธอ เธอคิดอย่างไร? คุณรู้สึกอย่างไรที่ทั้งสองกำลังโต้เถียงกันในเรื่องความรัก แต่เธอซึ่งเป็นคนนอก

ยิ้มแต่ไม่ยื่นมือออกมา “ขอโทษค่ะ ประธานโม่ ฉันอยากเข้าห้องน้ำค่ะ”

หลังจากพูด เธอไม่สนใจใบหน้าที่มืดมนของโม่หานเดินผ่านเขาและตรงไปที่ห้องน้ำ

เมื่อเธอออกมาอีกครั้ง โม่หานและมู่หยิงก็ไม่อยู่ในสถานที่นั้นแล้ว เช็คเวลาก็ถึงเวลาที่จะออกไปได้แล้ว ทักทายเจ้าภาพและออกจากโรงแรม ที่ทางเข้าโรงแรม เธอเห็นโม่หานอยู่ในรถที่เขานั่งมา ร่างสองร่างกอดกัน และเธอก็ถอนหายใจ

หลังจากนั้นเธอก็นั่งแท็กซี่กลับมาแล้วเข้าไปที่พักอาบน้ำ คิดว่าจะขึ้นเครื่องบินในเช้าพรุ่งนี้ ซึ่งจะทำให้ใช้แรงกายมาก มู่เฉียวเลิกคิดที่จะอ่านหนังสือและผล็อยหลับไป

“โม่หาน คุณอย่าโกรธฉันเลย เมื่อวานฉันโกรธเธอมากเกินไป เธอยั่วยวนคุณมากเกินไป และฉันก็โกรธมาก”

ยั่วยวน? โม่หาน ขมวดคิ้ว มู่เฉียว จะ ยั่วยวนเขา?

“หยิงหยิง เรื่องนี้อาจจะใหญ่หรือเล็ก ถ้ามู่เฉียวเล่นจริงขึ้นมา คุณจะเจอปัญหาใหญ่ได้”

“เธอไม่ทำเหรอ” มู่หยิงตอบกลับ

“อืม?”

มู่หยิงเกี่ยวคอของโม่หาน “เพราะเธอรู้สึกว่าเธอเป็นหนี้ฉัน ที่เธอพาคุณไปจากฉัน”

โม่หานพยักหน้าบนหน้าผากของเธอ “ครั้งต่อไปคุณจะเอาแต่ใจอย่างนี้ไม่ได้นะ”

“ได้”

“ฉันขอให้ฉินฮ่าวเปิดห้องให้คุณ คุณไปนอนได้แล้ว”

“ไม่ ฉันอยากอยู่กับคุณคืนนี้ ฉันสัญญาว่าฉันจะไม่ทำอะไรเลย เหมือนตอนที่ฉันยังเป็นเด็ก” ตอนที่เธอยังเด็กมู่หยิงหน้าแดง

โม่หานกระแอมเบา ๆ “หยิงหยิง นั่นคือตอนที่คุณยังเด็ก ตอนนี้คุณโตแล้ว คุณทำไม่ได้…”

“คุณไม่ใช่บอกว่าคุณจะหย่ากับเธอ เมื่อเสี่ยวโยวเธออายุได้ 1 ขวบหรือ ถ้าเรานอนด้วยกันตอนนี้ ก็ไม่เห็นเป็นอะไรเลย?” ในตอนท้ายเสียงของมู่หยิงค่อย ๆ จางลง

“ถ้าเป็นอย่างนั้น เราก็ไม่ต้องรีบใช่ไหม” โม่หานพูดจบ ขยี้ผมของเธอ “เชื่อฟัง ไปเร็วเข้า”

“ฉันไม่ต้องการมัน งั้นฉันจะนอนบนโซฟา”

“มู่หยิง”

“โอเค ฉันจะไป” ปกติแล้วโม่หานจะไม่เรียกเธอด้วยชื่อและนามสกุล ซึ่งเห็นได้ชัดว่าโกรธ

ในตอนเช้า มู่เฉียวยังคงขึ้นไปชั้นบน แต่เช้า เธอไม่ต้องการที่จะทำ ในที่สุดรักแรกของเธอก็มาถึง อย่างไรก็ตาม คิดเกี่ยวกับการต้องนั่งเครื่องบินเป็นเวลาหนึ่งวัน และคาดว่าเขาจะกินอะไรไม่ได้ ดังนั้นเธอจึงต้องขึ้นไปชั้นบน

เธอยอมรับว่าคำพูดของ ฉินฮ่าวเมื่อวานนี้ทำให้เธอเปลี่ยนไปเล็กน้อยเกี่ยวกับ โม่หาน แม้จะเป็นสามีภรรยาวันเดียว พระคุณร้อยวัน แม้ว่าเธอจะไม่รักเขา อย่างน้อยก็รู้สึกสบายใจเขาเป็นพ่อของเสี่นวโยว

โม่หานตกใจมากเมื่อเขาได้ยินเสียงข้างนอก ลุกขึ้น เปิดประตู และเห็น มู่เฉียว ที่ยุ่งอยู่ในครัวแล้ว เธอดูอารมณ์ดีและยังคงฮัมเพลงที่มีเนื้อเพลงที่ไม่ได้ยิน

เมื่อวานตอนออกไปก็ไม่ได้ทักทายเธอเลย นึกว่าเธอจะโกรธ

แต่เมื่อมองดูเธอในตอนนี้ โม่หานก็เข้าใจในทันทีว่าผู้หญิงคนนี้ไม่สนใจเขาเลยจริงๆ ความคิดนี้ทำให้เขาอารมณ์เสียมาก ปิดประตูแล้วกลับไปที่ห้อง

จนมีเสียงกรี๊ดออกมาจากข้างนอก

เมื่อมู่เฉียวตื่นขึ้น เธอก็นอนอยู่ในโรงแรม มีผู้ชายสามคนยืนอยู่หนึ่งในนั้นถือโทรศัพท์มือถืออยู่ในมือ และกล้องก็หันหน้าเข้าหาเธอ “คุณมู่ ผมพาเธอมาที่นี่แล้ว .”

“ให้เธอคุยกับฉัน”

ในขณะนั้นมู่เฉียวนึกถึงแต่มู่หยิงที่ทำเรื่องแบบนี้ได้ ดังนั้นหลังจากยืนยันว่าเป็นเธอแน่ในตอนนี้ เธอค่อนข้างสงบ แต่ก็แปลกใจ คนมีเงินจะทำอะไรก็เป็นไปได้ทั้งนั้นแหละสบายจริงๆ

ในวิดีโอ มู่หยิงกำลังเช็ดผลิตภัณฑ์ดูแลผิว เธอน่าจะเพิ่งตื่น

“มู่เฉียว นานมากแล้วที่ไม่ได้เติมสีให้เธอ เธอคงจะลืมธรรมชาติของเธอไปแล้ว โม่หานไม่ใช่สิ่งที่เธอจับต้องได้ เธอเข้าใจใช่ไหม?” พี่สะใภ้ก็ไม่เรียกแล้ว น้ำเสียงของเธอเย่อหยิ่งและดูถูก .

มู่เฉียวนึกถึงตอนที่โม่หานรับสายตอนเที่ยงและขมวดคิ้ว “คุณส่งคนมาตามเราเหรอ?”

“เธอคิดว่าฉันอิ่มแล้วไม่มีอะไรทำหรือ โม่หานเป็นคนแบบไหนกอดคุณในที่สาธารณะ คุณคิดว่าสื่อจะปล่อยมันไปไหม”

คำอธิบายดูสมเหตุสมผล แต่มู่เฉียวเข้าใจดีว่าในฐานะโม่หานเขาไม่สามารถเปิดเผยแผนการเดินทางของเขากับสื่อและสิ่งที่เกิดขึ้นในตอนเช้าได้ มู่หยิงก็รู้ตอนเที่ยงเธอไม่เชื่อ เธอต้องส่งคนมาดูเราแน่ เธอคิด และโม่หานก็คงคิดได้ แต่เขาเลือกที่จะตามใจ

“คุณมัดฉันไว้ที่นี่ ถ้าเกิดอะไรขึ้น คุณรู้หรือไม่ว่าคุณกำลังทำผิดกฎหมาย”

ผู้หญิงคนนั้นตบแก้มของเธอด้วยมือของเธอ “พี่สะใภ้คุณกล้าบอกคนอื่นว่าฉันผูกคุณไว้ที่นี่หรือไม่”

ความเย่อหยิ่งและความมุ่งมั่นของเธอทำให้มู่เฉียวโกรธเล็กน้อย “โอเค ฉันไม่อยากคุยเรื่องไร้สาระกับคุณ ให้ฉันไปนอนได้แล้ว พรุ่งนี้ฉันต้องทำงาน!”

มู่หยิง เลิกคิ้วขึ้น “โอ้ พรุ่งนี้คุณต้องทำงานเหรอ คุณทุ่มเทมากไหม คุณพูดว่า ถ้าพรุ่งนี้คุณไม่อยู่ โม่หานจะคิดยังไงกับคุณ”

เมื่อมาถึงจุดนี้ มู่เฉียวก็เข้าใจจุดประสงค์ที่แท้จริงของมู่หยิง แต่เธอก็งงงวยเป็นพิเศษ “มู่หยิง คุณพูดซิว่า คุณเป็นคนแบบนี้โม่หานชอบอะไรเกี่ยวกับคุณ?”

การเคลื่อนไหวการตบหน้าเธอแบบนิ่งเล็กน้อย จากนั้นมู่ยิงก็ชำเลืองมองอย่างมีชัย “คนแบบนี้ ฮ่าฮ่า มู่เฉียว ความรู้สึกระหว่างฉันกับโม่หานนั้นไม่สามารถเข้าใจได้โดยบุคคลภายนอกเช่นคุณ ให้ฉันบอกคุณได้ไหม เชื่อไหม ต่อให้คุณกลับไปบอกโม่หานว่าฉันจับเธอวันนี้ เขาก็จะไม่ทำอะไรฉันเหรอ”

ความมั่นใจมากเกินไปของเธอทำให้ มู่เฉียวรังเกียจ เมื่อเธอได้ยินเธอพูดคำว่า “จิตใจ” เธอก็เยาะเย้ย

“จิตใจ? คุณเคยรักโม่หานหรือไม่ หรือคุณรักแต่ตัวเองเท่านั้น”

“โอเค ฉันไม่อยากคุยเรื่องไร้สาระกับเธอ แค่อยู่ที่นั่นสองวันนี้ วันมะรืนนี้ เมื่อโม่หานกลับมาที่จีน ฉันจะปล่อยเธอไปเอง”

“ไม่ต้องห่วง เขาจะมาหาฉันเอง เมื่อถึงเวลาฉันจะดูว่าคุณจะบอกเขาว่าอย่างไร”

ผู้หญิงหัวเราะคิกคัก “มู่เฉียว จากสิ่งที่ฉันรู้เกี่ยวกับโม่หาน เขาจะคิดว่าคุณมาที่นี่เพื่อแก้ไขเขา และคุณไม่สามารถพูดอะไรได้”

มู่เฉียวอยากจะเอาโทรศัพท์มาและฉีกหน้าหญิงสาวเป็นชิ้นๆ แต่เธอก็ช่วยไม่ได้มากเพราะว่ามันเป็นเรื่องจริง

เธอแอบเข้ามาทำหน้าที่เป็นล่ามให้ โม่หานโดยไม่บอกเขา เป็นเรื่องปกติที่โม่หานจะคิดกับเธอแบบนั้น

หลังจากวางสายแล้ว ผู้ชายในห้องก็เดินออกไป

แต่มู่เฉียวแตะหูขวาของเธออย่างไม่ระมัดระวัง มีต่างหูสตั๊ดที่สวยงาม ต่างหูสตั๊ดล้อมรอบด้วยสีมุกที่สวยงาม ส่วนเว้าเล็กน้อยที่อยู่ตรงกลางเป็นทับทิมใส เพราะมันมีขนาดเล็กและละเอียดอ่อน ให้ความสนใจ นี่เป็นเพียงต่างหูธรรมดาๆ แต่ในขณะที่แสงสลัว มีแสงสีแดงจางๆ อยู่ตรงกลางต่างหู ซึ่งกะพริบเป็นจังหวะเล็กน้อย

โดยปกติแม้ว่าจะค้นพบแล้วก็ตาม แต่จะถูกเข้าใจผิดว่าเป็นแสงสะท้อนจากทับทิมตรงกลาง

คุณนายโม่ให้สิ่งนี้แก่เธอหลังจากเธอตั้งท้อง ให้สามคู่แก่เธอ แต่ละคู่มีผมของมัน คุณนายโม่บอกว่าถ้ามีเหตุฉุกเฉินจะได้ติดต่อเธอได้ ท้องแล้วปลอดภัยไว้ก่อน.

เธอรู้ดีว่านี่คือสิ่งที่เธอต้องการติดตามตำแหน่งของเธอ และกลัวว่าเธอจะหนีไป

ตอนนั้นเธอโกรธมาก แต่ ณ เวลานี้เธอซาบซึ้งมากเพราะโม่หานรู้เรื่องนี้ดี แม้ว่าเธอกับโม่หานของเขาจะไม่เห็นด้วย แต่พรุ่งนี้เป็นวันเซ็นสัญญา โม่หานจะตามหาเธอและช่วยชีวิตเธออย่างแน่นอน เมื่อคิดถึงสิ่งนี้ หัวใจที่เต้นเร็วของเธอก็สงบลง

รถจอดอยู่ชั้นล่างในโรงแรม หน้าต่างลดต่ำลง และโม่หานจ้องมองไปที่จุดชั้นบนด้วยสายตาที่เย็นชาเล็กน้อย

“หาน คุณรู้ได้ยังไงว่าพี่สะใภ้อยู่ที่นี่”

โม่หานเพิ่งเอานิ้วเรียวถูหน้าต่าง “โทรแจ้งตำรวจ บอกตรงนี้ไม่สะอาด”

ชายคนนั้นสั่งเสียงต่ำ

มู่เฉียวได้ยินแต่เสียงรถตำรวจด้านนอก และหลังจากนั้นก็เกิดความโกลาหล จากนั้นฉินฮ่าวก็ปรากฏตัวต่อหน้าเธอและพูดด้วยความประหลาดใจ: “พี่สะใภ้ คุณอยู่ที่นี่จริงๆ”

หลังจากเธอและฉินฮ่าวออกจากโรงแรม ก่อนออกไปมู่เฉียวก็นำโทรศัพท์มือถือของเธอคืนจากกระเป๋าของชายที่ถูกจับกุม

ใบหน้าของโม่หานดูไม่น่าดูมากเมื่อเขาขึ้นรถมู่เฉียวไม่ได้พูดอะไร

จนกระทั่งเขาไปถึงโรงแรมในลิฟต์ โม่หานก็พูดขึ้นว่า “ใครกัน?”

มู่เฉียวเปิดปากและยิ้ม และยกถุงของขวัญในมือขึ้น “ไม่มีใคร ฉันแค่เหนื่อยจากการเดินไปรอบๆ และต้องการหา…”

“มู่เฉียว เธอคงไม่ต้องการให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นอีกครั้งนะ” เสียงของเขาดังขึ้นอย่างไร้ประโยชน์ และมู่เฉียว ก็อดไม่ได้ที่จะกลืนน้ำลายลงคอ วันนี้ชายผู้นี้สงบอยู่หนึ่งวัน และเธอลืมไปว่าเขามีอารมณ์โกรธถ้าไม่พอใจ

ลิฟต์หยุดอยู่ที่ชั้นที่เธออาศัยอยู่ มู่เฉียว ไม่ตอบโม่หานเดินออกจากลิฟต์และเดินตรงไป เธอไม่ต้องการตอบ แต่ไม่รู้จะตอบอย่างไร

มีเสียงฝีเท้าดังขึ้นข้างหลังเธอ เธอหยุด มองกลับมาที่ โม่หานด้วยมือของเธอในกระเป๋าของเธอ และมีสีหน้าเย็นชาบนใบหน้าของเขา หายใจเข้า “ถ้าฉันพูด คุณจะเชื่อไหม”

ชายคนนั้นมองเธอ “ลองพูดมาสิ”

“มู่หยิงหาคนมาจับฉัน” หลังจากพูด เธอมองดูโม่หานอย่างไม่ขยับเขยื้อน และเห็นว่าเขาเลิกคิ้วขึ้นก่อน แล้วจึงกำข้อมือแน่น “คุณก็รู้ว่าผมเกลียดการโกหก”

มู่เฉียวหลับตาลงและแสดงสีหน้าเย็นชา เธอรู้ว่ามันจะเป็นอย่างนั้น และยิ้มเล็กน้อย “ใช่ ฉันโกหก”

หันหลังแล้วเดินไปที่ห้องอย่างรวดเร็ว

เขาถอนหายใจในใจ ไม่แปลกใจเลยที่ผู้หญิงคนนั้นกล้าที่จะหยิ่งยโส โม่หานเธอสมควรที่จะถูกเธอเล่น

“ฉันเป็นหนี้ชีวิตเธอ และสัญญาว่าฉันจะยอมทนทุกอย่างเกี่ยวกับเธอในชีวิตนี้” เสียงของชายผู้นั้นดังมาจากข้างหลังเธอ และมู่เฉียวผลักประตูชะงักเล็กน้อย

โม่ฮานต้องการที่จะผลักเธอออกจากเสียงสะท้อนนั้น

“ช่วยฉันสักครั้งเถอะนะ” เสียงของหญิงสาวดังก้องอยู่ในหู

โม่หานมองดูเธอ มองไปที่ชายและหญิงที่ยืนอยู่ตรงข้ามเขา “ใคร?”

“แฟนเก่า หลังเจอคุณ เราก็แยกทางกัน”

“คุณนี้อยากตายใช่ไหม เอาผมเป็นเกราะกำบัง” น้ำเสียงของเขาเย็นชาไร้อารมณ์

“คุณจะไม่ช่วยใช่ไหม อย่าโทษฉันที่สวมเขาให้คุณ ผู้ชายบางคนเต็มใจช่วย”เธอพูดออกไป

ชายคนนั้นผลักเธอออกไปและนำความตื่นตระหนกในดวงตาของมู่เฉียว เขาเย้ยหยันเย็นชา จากนั้นยกมุมปากขึ้น มือใหญ่บนไหล่ของเขาค่อย ๆ เลื่อนลงมาที่เอวของเธอแล้วพูดเบา ๆ “ลงมารอทำไม?ไม่ใช่ว่าจะไปพร้อมกันหรือ

หลังจากพูดจบ อีกมือหนึ่งก็ยกผมหน้าม้าขึ้นและพูดนุ่มนวลราวกับน้ำ

มู่เฉียวผงะไปครู่หนึ่ง จากนั้นเขาก็จับแขนชี้ไปที่เล่อเชี่ยงหย่วนแล้วพูดเบา ๆ ว่า “สามี นี่คือแฟนเก่าของฉัน”

จากนั้นแม้ใบหน้าของผู้หญิงคนนั้นก็เปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด เธอก็ยังคงพูดต่อไป , “เชี่ยงหย่วนนี่คือสามีของฉัน โม่ฮาน”

โม่หานให้ความร่วมมือดีมาก เขาพยักหน้าให้เล่อเชี่ยงหย่วน และพูดคำที่ทำให้มู่เฉียวต้องก้มหน้าลง“ผมขอโทษจริงๆ ผมไม่รู้ว่าผมจะมีความสัมพันธ์แบบนี้กับคุณเล่อ ล่าสุดยังปฏิเสธที่คุณยื่นข้อเสนอมา เนื่องจากคุณเล่อเคยดูแลภรรยาของผมมาก่อนเป็นอย่างดี คุณวางใจได้ว่าหลังจากกลับจีนแล้ว ผมจะขอให้ผู้ช่วยตรวจสอบใหม่โดยเร็วที่สุด”

หลังจากที่เขาพูดจบ เขาก็เดินไปข้างหน้าพร้อมกับมู่เฉียว “เมื่อกี้ลูกสาววิดีโอคอลหาคุณ คุณมีเวลาก็โทรหาเธอหน่อย นี่เพิ่งจะขวบกว่าเอง บอกแม่ไม่อยู่ก็ยังไม่เชื่อ”

เมื่อเดินผ่านเล่อเชี่ยงหย่วนใบหน้าของเขาก็มืดมนลง มู่เฉียวมองเห็นจากหางตาของเธอ

เธอไม่ทันคิดได้ในตอนแรก โม่เสี่ยวโยวอายุได้เพียงไม่กี่เดือนเอง ทำไมเขาถึงอายุมากกว่าหนึ่งปี? จนกระทั่งเธอขึ้นรถเธอก็นึกขึ้นได้

โม่หานคนนี้ใช้สัญญาครั้งแรกเพื่อกีดกันเขาไม่ให้ด้อยกว่าเขาในอาชีพการงาน แล้วบอกว่าทั้งสองคนมีลูกแล้ว แล้วบอกว่าเด็กคนนั้นอายุเกิน 1 ขวบ บอกชัดเจนว่าเล่อเชี่ยงหย่วนตอนคบกับมู่เฉียวา ตอนนั้นก็นอกใจและอยู่กับเขาแล้ว

เมื่อนึกถึงคำพูดที่เล่อเชี่ยงหย่วนบอกว่า “เพื่อนร่วมงานเก่า” และคิดถึงปฏิกิริยาของทั้งสองคู่ในตอนนี้ มู่เฉียวก็ถอนหายใจออกมาอย่างหนัก ความหมองคล้ำก่อนหน้านี้ก็โล่งใจขึ้นมา

หันศีรษะมองดูโม่หานที่ฟื้นจากใบหน้าที่เย็นชาของเขา “ขอบคุณนะ”

โม่หานทำหน้าเย็นชา มองออกไปนอกหน้าต่าง และไม่พูดอะไร

มู่เฉียวเม้มริมฝีปากและถอนสายตาออกเล็กน้อยอย่างเขินอาย

โม่หานและคนอื่นๆ ส่วนใหญ่ทำงานเกี่ยวกับการขนส่งทางทะเล ครั้งนี้ พวกเขามาที่เยอรมนีเนื่องจากความร่วมมือที่ยาวนานกับที่นี่ ที่จริงในระดับโม่กรุ๊ปเขาไม่จำเป็นต้องมาด้วยตนเอง

“เขาไม่ไว้ใจ ทุกครั้งที่เขาเซ็นสัญญากับบริษัทใหญ่เขาจะมาด้วยตัวเอง พี่สะใภ้เขาไม่ใช่ทายาทในสายตาของคนนอก โม่กรุ๊ปมีทุกวันนี้สิ่งที่ขาดไม่ได้ก็คือเขา” กลายเป็นเรื่องธรรมดาไปแล้วและกลัวว่านายท่านโม่จะเป็นห่วง พวกเราทุกคนเลยเก็บเป็นความลับ”

เมื่อฉินฮ่าวพูดถึงนี้ เสียงของชายร่างสูงก็สำลักเล็กน้อย “เขาไม่ชอบอธิบายให้คนอื่นฟังว่าเขาทำอะไร เขาเพิ่งบอกผมว่าอธุรกิจที่นายท่านโม่มอบให้จะไม่สามารถถูกทำลายในมือของเขาได้ เขากล่าวว่าในวันที่เขาจากไปอย่างน้อยเขาก็จะได้ไม่รู้สึกละอายแก่ใจ น่าเสียดายที่คนนอกเห็นผลงานของเขาน้อยเกินไป”

มู่เฉียวหันศีรษะและมองไปที่ฉินฮ่าวแม้ว่าเขาจะไม่เข้าใจว่าทำไมจู่ๆฉินฮ่าว ถึงอยากจะพูดเรื่องนี้กับเธอ

นี่คือสามีตามกฎหมายของเธอ ซึ่งเป็นพ่อของลูกของเธอ แต่จนกระทั่งครู่หนึ่ง คำจำกัดความของเธอที่มีต่อเขาคือ “รวยสามชั่วอายุคน” “ขยะ” “ไร้การศึกษา” และคำอื่นๆ

ดังนั้น คนที่ ฉินฮ่าวพูดถึงจึงแปลกมากสำหรับเธอ

มู่เฉียวรับผิดชอบในการแปลผลิตภัณฑ์ของบริษัทอีกฝ่ายเป็นหลัก ข้อมูลจำเพาะด้านการขนส่ง ค่าใช้จ่าย ฯลฯ เธอประหม่าเล็กน้อยในตอนแรก แต่ค่อย ๆ สงบลงในช่วงต่อมา โม่หาน ไม่ได้พูดมาก แต่ทุกครั้ง เขาเปิดปากของเขา เขาสามารถตีประเด็นสำคัญได้โดยตรงจากการขนส่งผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับความปลอดภัยของคำถามติดตามที่เกี่ยวข้องแม้ว่าจะมีผู้ช่วยสองสามคนอยู่ข้างๆเขาเขาก็ไม่ให้โอกาสคนเหล่านั้น

ในคำพูดของฉินฮ่าวเขาไม่เพียงแต่สืบทอดธุรกิจของครอบครัวเท่านั้น เขายังสืบทอดและดำเนินกิจการของครอบครัวนี้ให้ก้าวหน้าต่อไป

เพราะเขากังวลเกี่ยวกับร่างกายของเขาจึงจัดเวลาเพียง 2 ชั่วโมงในตอนเช้า ในตอนเที่ยง บริษัท อื่น ๆ เป็นเจ้าภาพในร้านอาหารมาตรฐานสูงสุดในพื้นที่ แต่ มู่เฉียวเห็นว่าโม่หาน ไม่ได้กินอะไรเลยเธอมอง เหงื่อไหลที่หน้าผากของเขาเธอกำตะเกียบแน่น เธอเป็นคนปกติยังรู้สึกเหนื่อยเลยตลอดเช้า ไม่ต้องพูดถึงว่าเขาป่วย

หลังจากงานเลี้ยงสิ้นสุดลง เนื่องจากเวลาอันสั้น พวกเขาไม่ได้กลับไปที่โรงแรมที่พวกเขาเคยพักมาก่อน และในห้องอาหารก็เปิดห้องชั้นบนห้องหนึ่ง

หลังจากส่งบุคคลของอีกฝ่ายออกไป มู่เฉียวก็ตรงไปที่ห้องครัวของร้านอาหารและปรุงอาหารบางอย่างให้โม่หานด้วยส่วนผสมที่เรียบง่ายในครัว

ตอนเดินขึ้นไปโม่หานยังคงอธิบายข้อผิดพลาดก่อนหน้านี้บางอย่างกับ ฉินฮ่านและเขาก็ต้องตกใจเมื่อเห็นเธอเข้ามาพร้อมกับถาดอาหาร

“กินอะไรหน่อยแล้วค่อยคุยกันต่อ…”

ฉินฮ่าวมองมู่เฉียวอย่างมีความหมาย ยืนขึ้นและรวบรวมเอกสารบนโต๊ะทั้งหมด “หาน คุณกินก่อน ผมจะเตรียมเอกสารสำหรับตอนบ่าย”

เมื่อมองดูจานสองจานและซุปหนึ่ง1ถ้วยบนโต๊ะ โม่หานก็หรี่ตาลง “โลกนี้ไม่มีอาหารฟรี และไม่มีผลประโยชน์ให้โดยไม่มีเหตุผล”

มู่เฉียวจัดเครื่องใช้บนโต๊ะอาหารให้เขา นานๆครั้งเธอจะสงบมาก เธอมองขึ้นไปที่ โม่หานและนึกถึงประโยคของฉินฮ่านใน วันหนึ่งถ้าเขาจากไปและหัวใจของเธอก็รู้สึกไม่สบายใจท้ายที่สุดเขาก็ยังเป็นพ่อของโม่เสี่ยวโยว

“แม้ว่าคุณจะขอบคุณสำหรับความช่วยเหลือในตอนเช้า” มู่เฉียวกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ผ่อนคลายโดยตั้งใจ และนั่งลงข้างๆ หยิบเอกสารในกระเป๋าของเขาออกมา และรวบรวมคำศัพท์อุตสาหกรรมบางอย่างที่เขาจะใช้ในตอนบ่าย

ทั้งสองไม่พูดอะไร และห้องนั้นก็เงียบสงบ

เขาน่าจะหิวและในไม่ช้าอาหารก็หมดลง โม่เฉียวรู้สึกโล่งใจบ้าง

“คราวหน้าถ้าจะเดินทางไกลแล้วไม่ชินกับของกินนอกบ้าน ให้พาเชฟมาอยู่ข้างๆ จะดีที่สุด ถ้าหิวนานๆ จะไม่ดีต่อสุขภาพ ได้” เธอพูดขณะล้างจานแม้ว่าจะเป็นการประโคมมากเกินไป แต่ร่างกายเช่นนี้ไม่เหมาะกับการหิว

โม่หานมองมาที่เธอด้วยสายตาที่ซับซ้อน

ในเวลานี้ โทรศัพท์ก็ดังขึ้น

เมื่อคำว่า “หยิงหยิง” ปรากฏขึ้น มู่เฉียวก็นิ่งไปเล็กน้อย จากนั้นเธอก็ไม่พูดอะไร และไปที่ห้องครัวพร้อมกับชามเปล่าของเขา

“เฮ้ หยิงหยิง ใช่ อยู่เยอรมัน อย่าเข้าใจผิด เธอเป็นแค่ล่ามแปล กอดหน่อยได้ไหม นั่นเป็นแค่ความเข้าใจผิด เธอบอกว่าเธอจะมา?”

โม่ฮานต้องการที่จะผลักเธอออกจากเสียงสะท้อนนั้น

“ช่วยฉันสักครั้งเถอะนะ” เสียงของหญิงสาวดังก้องอยู่ในหู

โม่หานมองดูเธอ มองไปที่ชายและหญิงที่ยืนอยู่ตรงข้ามเขา “ใคร?”

“แฟนเก่า หลังเจอคุณ เราก็แยกทางกัน”

“คุณนี้อยากตายใช่ไหม เอาผมเป็นเกราะกำบัง” น้ำเสียงของเขาเย็นชาไร้อารมณ์

“คุณจะไม่ช่วยใช่ไหม อย่าโทษฉันที่สวมเขาให้คุณ ผู้ชายบางคนเต็มใจช่วย”เธอพูดออกไป

ชายคนนั้นผลักเธอออกไปและนำความตื่นตระหนกในดวงตาของมู่เฉียว เขาเย้ยหยันเย็นชา จากนั้นยกมุมปากขึ้น มือใหญ่บนไหล่ของเขาค่อย ๆ เลื่อนลงมาที่เอวของเธอแล้วพูดเบา ๆ “ลงมารอทำไม?ไม่ใช่ว่าจะไปพร้อมกันหรือ

หลังจากพูดจบ อีกมือหนึ่งก็ยกผมหน้าม้าขึ้นและพูดนุ่มนวลราวกับน้ำ

มู่เฉียวผงะไปครู่หนึ่ง จากนั้นเขาก็จับแขนชี้ไปที่เล่อเชี่ยงหย่วนแล้วพูดเบา ๆ ว่า “สามี นี่คือแฟนเก่าของฉัน”

จากนั้นแม้ใบหน้าของผู้หญิงคนนั้นก็เปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด เธอก็ยังคงพูดต่อไป , “เชี่ยงหย่วนนี่คือสามีของฉัน โม่ฮาน”

โม่หานให้ความร่วมมือดีมาก เขาพยักหน้าให้เล่อเชี่ยงหย่วน และพูดคำที่ทำให้มู่เฉียวต้องก้มหน้าลง“ผมขอโทษจริงๆ ผมไม่รู้ว่าผมจะมีความสัมพันธ์แบบนี้กับคุณเล่อ ล่าสุดยังปฏิเสธที่คุณยื่นข้อเสนอมา เนื่องจากคุณเล่อเคยดูแลภรรยาของผมมาก่อนเป็นอย่างดี คุณวางใจได้ว่าหลังจากกลับจีนแล้ว ผมจะขอให้ผู้ช่วยตรวจสอบใหม่โดยเร็วที่สุด”

หลังจากที่เขาพูดจบ เขาก็เดินไปข้างหน้าพร้อมกับมู่เฉียว “เมื่อกี้ลูกสาววิดีโอคอลหาคุณ คุณมีเวลาก็โทรหาเธอหน่อย นี่เพิ่งจะขวบกว่าเอง บอกแม่ไม่อยู่ก็ยังไม่เชื่อ”

เมื่อเดินผ่านเล่อเชี่ยงหย่วนใบหน้าของเขาก็มืดมนลง มู่เฉียวมองเห็นจากหางตาของเธอ

เธอไม่ทันคิดได้ในตอนแรก โม่เสี่ยวโยวอายุได้เพียงไม่กี่เดือนเอง ทำไมเขาถึงอายุมากกว่าหนึ่งปี? จนกระทั่งเธอขึ้นรถเธอก็นึกขึ้นได้

โม่หานคนนี้ใช้สัญญาครั้งแรกเพื่อกีดกันเขาไม่ให้ด้อยกว่าเขาในอาชีพการงาน แล้วบอกว่าทั้งสองคนมีลูกแล้ว แล้วบอกว่าเด็กคนนั้นอายุเกิน 1 ขวบ บอกชัดเจนว่าเล่อเชี่ยงหย่วนตอนคบกับมู่เฉียวา ตอนนั้นก็นอกใจและอยู่กับเขาแล้ว

เมื่อนึกถึงคำพูดที่เล่อเชี่ยงหย่วนบอกว่า “เพื่อนร่วมงานเก่า” และคิดถึงปฏิกิริยาของทั้งสองคู่ในตอนนี้ มู่เฉียวก็ถอนหายใจออกมาอย่างหนัก ความหมองคล้ำก่อนหน้านี้ก็โล่งใจขึ้นมา

หันศีรษะมองดูโม่หานที่ฟื้นจากใบหน้าที่เย็นชาของเขา “ขอบคุณนะ”

โม่หานทำหน้าเย็นชา มองออกไปนอกหน้าต่าง และไม่พูดอะไร

มู่เฉียวเม้มริมฝีปากและถอนสายตาออกเล็กน้อยอย่างเขินอาย

โม่หานและคนอื่นๆ ส่วนใหญ่ทำงานเกี่ยวกับการขนส่งทางทะเล ครั้งนี้ พวกเขามาที่เยอรมนีเนื่องจากความร่วมมือที่ยาวนานกับที่นี่ ที่จริงในระดับโม่กรุ๊ปเขาไม่จำเป็นต้องมาด้วยตนเอง

“เขาไม่ไว้ใจ ทุกครั้งที่เขาเซ็นสัญญากับบริษัทใหญ่เขาจะมาด้วยตัวเอง พี่สะใภ้เขาไม่ใช่ทายาทในสายตาของคนนอก โม่กรุ๊ปมีทุกวันนี้สิ่งที่ขาดไม่ได้ก็คือเขา” กลายเป็นเรื่องธรรมดาไปแล้วและกลัวว่านายท่านโม่จะเป็นห่วง พวกเราทุกคนเลยเก็บเป็นความลับ”

เมื่อฉินฮ่าวพูดถึงนี้ เสียงของชายร่างสูงก็สำลักเล็กน้อย “เขาไม่ชอบอธิบายให้คนอื่นฟังว่าเขาทำอะไร เขาเพิ่งบอกผมว่าอธุรกิจที่นายท่านโม่มอบให้จะไม่สามารถถูกทำลายในมือของเขาได้ เขากล่าวว่าในวันที่เขาจากไปอย่างน้อยเขาก็จะได้ไม่รู้สึกละอายแก่ใจ น่าเสียดายที่คนนอกเห็นผลงานของเขาน้อยเกินไป”

มู่เฉียวหันศีรษะและมองไปที่ฉินฮ่าวแม้ว่าเขาจะไม่เข้าใจว่าทำไมจู่ๆฉินฮ่าว ถึงอยากจะพูดเรื่องนี้กับเธอ

นี่คือสามีตามกฎหมายของเธอ ซึ่งเป็นพ่อของลูกของเธอ แต่จนกระทั่งครู่หนึ่ง คำจำกัดความของเธอที่มีต่อเขาคือ “รวยสามชั่วอายุคน” “ขยะ” “ไร้การศึกษา” และคำอื่นๆ

ดังนั้น คนที่ ฉินฮ่าวพูดถึงจึงแปลกมากสำหรับเธอ

มู่เฉียวรับผิดชอบในการแปลผลิตภัณฑ์ของบริษัทอีกฝ่ายเป็นหลัก ข้อมูลจำเพาะด้านการขนส่ง ค่าใช้จ่าย ฯลฯ เธอประหม่าเล็กน้อยในตอนแรก แต่ค่อย ๆ สงบลงในช่วงต่อมา โม่หาน ไม่ได้พูดมาก แต่ทุกครั้ง เขาเปิดปากของเขา เขาสามารถตีประเด็นสำคัญได้โดยตรงจากการขนส่งผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับความปลอดภัยของคำถามติดตามที่เกี่ยวข้องแม้ว่าจะมีผู้ช่วยสองสามคนอยู่ข้างๆเขาเขาก็ไม่ให้โอกาสคนเหล่านั้น

ในคำพูดของฉินฮ่าวเขาไม่เพียงแต่สืบทอดธุรกิจของครอบครัวเท่านั้น เขายังสืบทอดและดำเนินกิจการของครอบครัวนี้ให้ก้าวหน้าต่อไป

เพราะเขากังวลเกี่ยวกับร่างกายของเขาจึงจัดเวลาเพียง 2 ชั่วโมงในตอนเช้า ในตอนเที่ยง บริษัท อื่น ๆ เป็นเจ้าภาพในร้านอาหารมาตรฐานสูงสุดในพื้นที่ แต่ มู่เฉียวเห็นว่าโม่หาน ไม่ได้กินอะไรเลยเธอมอง เหงื่อไหลที่หน้าผากของเขาเธอกำตะเกียบแน่น เธอเป็นคนปกติยังรู้สึกเหนื่อยเลยตลอดเช้า ไม่ต้องพูดถึงว่าเขาป่วย

หลังจากงานเลี้ยงสิ้นสุดลง เนื่องจากเวลาอันสั้น พวกเขาไม่ได้กลับไปที่โรงแรมที่พวกเขาเคยพักมาก่อน และในห้องอาหารก็เปิดห้องชั้นบนห้องหนึ่ง

หลังจากส่งบุคคลของอีกฝ่ายออกไป มู่เฉียวก็ตรงไปที่ห้องครัวของร้านอาหารและปรุงอาหารบางอย่างให้โม่หานด้วยส่วนผสมที่เรียบง่ายในครัว

ตอนเดินขึ้นไปโม่หานยังคงอธิบายข้อผิดพลาดก่อนหน้านี้บางอย่างกับ ฉินฮ่านและเขาก็ต้องตกใจเมื่อเห็นเธอเข้ามาพร้อมกับถาดอาหาร

“กินอะไรหน่อยแล้วค่อยคุยกันต่อ…”

ฉินฮ่าวมองมู่เฉียวอย่างมีความหมาย ยืนขึ้นและรวบรวมเอกสารบนโต๊ะทั้งหมด “หาน คุณกินก่อน ผมจะเตรียมเอกสารสำหรับตอนบ่าย”

เมื่อมองดูจานสองจานและซุปหนึ่ง1ถ้วยบนโต๊ะ โม่หานก็หรี่ตาลง “โลกนี้ไม่มีอาหารฟรี และไม่มีผลประโยชน์ให้โดยไม่มีเหตุผล”

มู่เฉียวจัดเครื่องใช้บนโต๊ะอาหารให้เขา นานๆครั้งเธอจะสงบมาก เธอมองขึ้นไปที่ โม่หานและนึกถึงประโยคของฉินฮ่านใน วันหนึ่งถ้าเขาจากไปและหัวใจของเธอก็รู้สึกไม่สบายใจท้ายที่สุดเขาก็ยังเป็นพ่อของโม่เสี่ยวโยว

“แม้ว่าคุณจะขอบคุณสำหรับความช่วยเหลือในตอนเช้า” มู่เฉียวกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ผ่อนคลายโดยตั้งใจ และนั่งลงข้างๆ หยิบเอกสารในกระเป๋าของเขาออกมา และรวบรวมคำศัพท์อุตสาหกรรมบางอย่างที่เขาจะใช้ในตอนบ่าย

ทั้งสองไม่พูดอะไร และห้องนั้นก็เงียบสงบ

เขาน่าจะหิวและในไม่ช้าอาหารก็หมดลง โม่เฉียวรู้สึกโล่งใจบ้าง

“คราวหน้าถ้าจะเดินทางไกลแล้วไม่ชินกับของกินนอกบ้าน ให้พาเชฟมาอยู่ข้างๆ จะดีที่สุด ถ้าหิวนานๆ จะไม่ดีต่อสุขภาพ ได้” เธอพูดขณะล้างจานแม้ว่าจะเป็นการประโคมมากเกินไป แต่ร่างกายเช่นนี้ไม่เหมาะกับการหิว

โม่หานมองมาที่เธอด้วยสายตาที่ซับซ้อน

ในเวลานี้ โทรศัพท์ก็ดังขึ้น

เมื่อคำว่า “หยิงหยิง” ปรากฏขึ้น มู่เฉียวก็นิ่งไปเล็กน้อย จากนั้นเธอก็ไม่พูดอะไร และไปที่ห้องครัวพร้อมกับชามเปล่าของเขา

“เฮ้ หยิงหยิง ใช่ อยู่เยอรมัน อย่าเข้าใจผิด เธอเป็นแค่ล่ามแปล กอดหน่อยได้ไหม นั่นเป็นแค่ความเข้าใจผิด เธอบอกว่าเธอจะมา?”

โม่ฮานต้องการที่จะผลักเธอออกจากเสียงสะท้อนนั้น

“ช่วยฉันสักครั้งเถอะนะ” เสียงของหญิงสาวดังก้องอยู่ในหู

โม่หานมองดูเธอ มองไปที่ชายและหญิงที่ยืนอยู่ตรงข้ามเขา “ใคร?”

“แฟนเก่า หลังเจอคุณ เราก็แยกทางกัน”

“คุณนี้อยากตายใช่ไหม เอาผมเป็นเกราะกำบัง” น้ำเสียงของเขาเย็นชาไร้อารมณ์

“คุณจะไม่ช่วยใช่ไหม อย่าโทษฉันที่สวมเขาให้คุณ ผู้ชายบางคนเต็มใจช่วย”เธอพูดออกไป

ชายคนนั้นผลักเธอออกไปและนำความตื่นตระหนกในดวงตาของมู่เฉียว เขาเย้ยหยันเย็นชา จากนั้นยกมุมปากขึ้น มือใหญ่บนไหล่ของเขาค่อย ๆ เลื่อนลงมาที่เอวของเธอแล้วพูดเบา ๆ “ลงมารอทำไม?ไม่ใช่ว่าจะไปพร้อมกันหรือ

หลังจากพูดจบ อีกมือหนึ่งก็ยกผมหน้าม้าขึ้นและพูดนุ่มนวลราวกับน้ำ

มู่เฉียวผงะไปครู่หนึ่ง จากนั้นเขาก็จับแขนชี้ไปที่เล่อเชี่ยงหย่วนแล้วพูดเบา ๆ ว่า “สามี นี่คือแฟนเก่าของฉัน”

จากนั้นแม้ใบหน้าของผู้หญิงคนนั้นก็เปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด เธอก็ยังคงพูดต่อไป , “เชี่ยงหย่วนนี่คือสามีของฉัน โม่ฮาน”

โม่หานให้ความร่วมมือดีมาก เขาพยักหน้าให้เล่อเชี่ยงหย่วน และพูดคำที่ทำให้มู่เฉียวต้องก้มหน้าลง“ผมขอโทษจริงๆ ผมไม่รู้ว่าผมจะมีความสัมพันธ์แบบนี้กับคุณเล่อ ล่าสุดยังปฏิเสธที่คุณยื่นข้อเสนอมา เนื่องจากคุณเล่อเคยดูแลภรรยาของผมมาก่อนเป็นอย่างดี คุณวางใจได้ว่าหลังจากกลับจีนแล้ว ผมจะขอให้ผู้ช่วยตรวจสอบใหม่โดยเร็วที่สุด”

หลังจากที่เขาพูดจบ เขาก็เดินไปข้างหน้าพร้อมกับมู่เฉียว “เมื่อกี้ลูกสาววิดีโอคอลหาคุณ คุณมีเวลาก็โทรหาเธอหน่อย นี่เพิ่งจะขวบกว่าเอง บอกแม่ไม่อยู่ก็ยังไม่เชื่อ”

เมื่อเดินผ่านเล่อเชี่ยงหย่วนใบหน้าของเขาก็มืดมนลง มู่เฉียวมองเห็นจากหางตาของเธอ

เธอไม่ทันคิดได้ในตอนแรก โม่เสี่ยวโยวอายุได้เพียงไม่กี่เดือนเอง ทำไมเขาถึงอายุมากกว่าหนึ่งปี? จนกระทั่งเธอขึ้นรถเธอก็นึกขึ้นได้

โม่หานคนนี้ใช้สัญญาครั้งแรกเพื่อกีดกันเขาไม่ให้ด้อยกว่าเขาในอาชีพการงาน แล้วบอกว่าทั้งสองคนมีลูกแล้ว แล้วบอกว่าเด็กคนนั้นอายุเกิน 1 ขวบ บอกชัดเจนว่าเล่อเชี่ยงหย่วนตอนคบกับมู่เฉียวา ตอนนั้นก็นอกใจและอยู่กับเขาแล้ว

เมื่อนึกถึงคำพูดที่เล่อเชี่ยงหย่วนบอกว่า “เพื่อนร่วมงานเก่า” และคิดถึงปฏิกิริยาของทั้งสองคู่ในตอนนี้ มู่เฉียวก็ถอนหายใจออกมาอย่างหนัก ความหมองคล้ำก่อนหน้านี้ก็โล่งใจขึ้นมา

หันศีรษะมองดูโม่หานที่ฟื้นจากใบหน้าที่เย็นชาของเขา “ขอบคุณนะ”

โม่หานทำหน้าเย็นชา มองออกไปนอกหน้าต่าง และไม่พูดอะไร

มู่เฉียวเม้มริมฝีปากและถอนสายตาออกเล็กน้อยอย่างเขินอาย

โม่หานและคนอื่นๆ ส่วนใหญ่ทำงานเกี่ยวกับการขนส่งทางทะเล ครั้งนี้ พวกเขามาที่เยอรมนีเนื่องจากความร่วมมือที่ยาวนานกับที่นี่ ที่จริงในระดับโม่กรุ๊ปเขาไม่จำเป็นต้องมาด้วยตนเอง

“เขาไม่ไว้ใจ ทุกครั้งที่เขาเซ็นสัญญากับบริษัทใหญ่เขาจะมาด้วยตัวเอง พี่สะใภ้เขาไม่ใช่ทายาทในสายตาของคนนอก โม่กรุ๊ปมีทุกวันนี้สิ่งที่ขาดไม่ได้ก็คือเขา” กลายเป็นเรื่องธรรมดาไปแล้วและกลัวว่านายท่านโม่จะเป็นห่วง พวกเราทุกคนเลยเก็บเป็นความลับ”

เมื่อฉินฮ่าวพูดถึงนี้ เสียงของชายร่างสูงก็สำลักเล็กน้อย “เขาไม่ชอบอธิบายให้คนอื่นฟังว่าเขาทำอะไร เขาเพิ่งบอกผมว่าอธุรกิจที่นายท่านโม่มอบให้จะไม่สามารถถูกทำลายในมือของเขาได้ เขากล่าวว่าในวันที่เขาจากไปอย่างน้อยเขาก็จะได้ไม่รู้สึกละอายแก่ใจ น่าเสียดายที่คนนอกเห็นผลงานของเขาน้อยเกินไป”

มู่เฉียวหันศีรษะและมองไปที่ฉินฮ่าวแม้ว่าเขาจะไม่เข้าใจว่าทำไมจู่ๆฉินฮ่าว ถึงอยากจะพูดเรื่องนี้กับเธอ

นี่คือสามีตามกฎหมายของเธอ ซึ่งเป็นพ่อของลูกของเธอ แต่จนกระทั่งครู่หนึ่ง คำจำกัดความของเธอที่มีต่อเขาคือ “รวยสามชั่วอายุคน” “ขยะ” “ไร้การศึกษา” และคำอื่นๆ

ดังนั้น คนที่ ฉินฮ่าวพูดถึงจึงแปลกมากสำหรับเธอ

มู่เฉียวรับผิดชอบในการแปลผลิตภัณฑ์ของบริษัทอีกฝ่ายเป็นหลัก ข้อมูลจำเพาะด้านการขนส่ง ค่าใช้จ่าย ฯลฯ เธอประหม่าเล็กน้อยในตอนแรก แต่ค่อย ๆ สงบลงในช่วงต่อมา โม่หาน ไม่ได้พูดมาก แต่ทุกครั้ง เขาเปิดปากของเขา เขาสามารถตีประเด็นสำคัญได้โดยตรงจากการขนส่งผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับความปลอดภัยของคำถามติดตามที่เกี่ยวข้องแม้ว่าจะมีผู้ช่วยสองสามคนอยู่ข้างๆเขาเขาก็ไม่ให้โอกาสคนเหล่านั้น

ในคำพูดของฉินฮ่าวเขาไม่เพียงแต่สืบทอดธุรกิจของครอบครัวเท่านั้น เขายังสืบทอดและดำเนินกิจการของครอบครัวนี้ให้ก้าวหน้าต่อไป

เพราะเขากังวลเกี่ยวกับร่างกายของเขาจึงจัดเวลาเพียง 2 ชั่วโมงในตอนเช้า ในตอนเที่ยง บริษัท อื่น ๆ เป็นเจ้าภาพในร้านอาหารมาตรฐานสูงสุดในพื้นที่ แต่ มู่เฉียวเห็นว่าโม่หาน ไม่ได้กินอะไรเลยเธอมอง เหงื่อไหลที่หน้าผากของเขาเธอกำตะเกียบแน่น เธอเป็นคนปกติยังรู้สึกเหนื่อยเลยตลอดเช้า ไม่ต้องพูดถึงว่าเขาป่วย

หลังจากงานเลี้ยงสิ้นสุดลง เนื่องจากเวลาอันสั้น พวกเขาไม่ได้กลับไปที่โรงแรมที่พวกเขาเคยพักมาก่อน และในห้องอาหารก็เปิดห้องชั้นบนห้องหนึ่ง

หลังจากส่งบุคคลของอีกฝ่ายออกไป มู่เฉียวก็ตรงไปที่ห้องครัวของร้านอาหารและปรุงอาหารบางอย่างให้โม่หานด้วยส่วนผสมที่เรียบง่ายในครัว

ตอนเดินขึ้นไปโม่หานยังคงอธิบายข้อผิดพลาดก่อนหน้านี้บางอย่างกับ ฉินฮ่านและเขาก็ต้องตกใจเมื่อเห็นเธอเข้ามาพร้อมกับถาดอาหาร

“กินอะไรหน่อยแล้วค่อยคุยกันต่อ…”

ฉินฮ่าวมองมู่เฉียวอย่างมีความหมาย ยืนขึ้นและรวบรวมเอกสารบนโต๊ะทั้งหมด “หาน คุณกินก่อน ผมจะเตรียมเอกสารสำหรับตอนบ่าย”

เมื่อมองดูจานสองจานและซุปหนึ่ง1ถ้วยบนโต๊ะ โม่หานก็หรี่ตาลง “โลกนี้ไม่มีอาหารฟรี และไม่มีผลประโยชน์ให้โดยไม่มีเหตุผล”

มู่เฉียวจัดเครื่องใช้บนโต๊ะอาหารให้เขา นานๆครั้งเธอจะสงบมาก เธอมองขึ้นไปที่ โม่หานและนึกถึงประโยคของฉินฮ่านใน วันหนึ่งถ้าเขาจากไปและหัวใจของเธอก็รู้สึกไม่สบายใจท้ายที่สุดเขาก็ยังเป็นพ่อของโม่เสี่ยวโยว

“แม้ว่าคุณจะขอบคุณสำหรับความช่วยเหลือในตอนเช้า” มู่เฉียวกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ผ่อนคลายโดยตั้งใจ และนั่งลงข้างๆ หยิบเอกสารในกระเป๋าของเขาออกมา และรวบรวมคำศัพท์อุตสาหกรรมบางอย่างที่เขาจะใช้ในตอนบ่าย

ทั้งสองไม่พูดอะไร และห้องนั้นก็เงียบสงบ

เขาน่าจะหิวและในไม่ช้าอาหารก็หมดลง โม่เฉียวรู้สึกโล่งใจบ้าง

“คราวหน้าถ้าจะเดินทางไกลแล้วไม่ชินกับของกินนอกบ้าน ให้พาเชฟมาอยู่ข้างๆ จะดีที่สุด ถ้าหิวนานๆ จะไม่ดีต่อสุขภาพ ได้” เธอพูดขณะล้างจานแม้ว่าจะเป็นการประโคมมากเกินไป แต่ร่างกายเช่นนี้ไม่เหมาะกับการหิว

โม่หานมองมาที่เธอด้วยสายตาที่ซับซ้อน

ในเวลานี้ โทรศัพท์ก็ดังขึ้น

เมื่อคำว่า “หยิงหยิง” ปรากฏขึ้น มู่เฉียวก็นิ่งไปเล็กน้อย จากนั้นเธอก็ไม่พูดอะไร และไปที่ห้องครัวพร้อมกับชามเปล่าของเขา

“เฮ้ หยิงหยิง ใช่ อยู่เยอรมัน อย่าเข้าใจผิด เธอเป็นแค่ล่ามแปล กอดหน่อยได้ไหม นั่นเป็นแค่ความเข้าใจผิด เธอบอกว่าเธอจะมา?”

เขารีบลุกขึ้นจากเตียงอย่างรวดเร็ว และมีอาการวิงเวียนศีรษะทำให้เขาต้องยึดผนังก่อนที่จะเดินออกไป

หลังจากหายใจเข้า เปิดประตูเห็น มู่หยิงกำลังกระโดดไปมาที่หน้าประตูห้องครัว มู่เฉียวกำลังเช็ดตัวเธอด้วยผ้าในมือเธอ เมื่อมองจากระยะไกล มันเหมือนกับว่า มู่เฉียว กำลังทำร้ายเธอ

“ทำอะไรน่ะ” น้ำเสียงของเขาเย็นชาและเสียงดัง

มู่หยิง ได้ยินเสียงของโม่หาน ปากของเธอคว่ำลง หันกลับมามองเขา “โม่หาน ฉันเกือบโดนน้ำร้อนลวกตาย”

การแสดงออกที่เกินจริงของเธอทำให้มู่เฉียวพูดไม่ออก

ในขณะนั้น โม่หานได้เดินไปหาทั้งสองคน มองดูโจ๊กที่กระจายไปทั่วพื้น หรี่ตาและถามอีกครั้ง: “เกิดอะไรขึ้น?”

“ฉันจะวางโจ๊กลงบนโต๊ะให้เย็นลง ทันใดนั้นเธอก็ปรากฏตัวขึ้น ฉันตกใจมาก ข้าวต้มก็ตกลงมาที่เธอ” เสียงของมู่เฉียวเบามาก ไม่เหมือนกำลังอธิบาย แค่ต้องการพูดข้อเท็จจริง

โม่หานกดโทรศัพท์ข้างๆ เขา และบอกแผนกต้อนรับให้คนมาทำความสะอาด เขาจับไหล่มู่หยิง “ก็โตกันแล้ว ยังจะฟุ้งซ่านอยู่ ลวกโดนตรงไหนไหม”

น้ำเสียงของเขาดูสมเพชเล็กน้อยแต่เขาก็ดูเหมือนตามใจมากกว่า โม่หานคนนี้แปลกสำหรับมู่เฉียวมาโดยตลอด

เธอหันหลังกลับเข้าไปในครัว หยิบโจ๊กอีกชาม วางลงบนโต๊ะ เธอนำไข่ดาวกับเกี๊ยวนึ่งมารวมกัน

“ประธานโม่ คุณค่อยๆทานนะ” หลังจากพูดเสร็จ เขาก็ปลดผ้ากันเปื้อนออกจากห้องโดยไม่ได้มองทั้งสองคน

ในเวลานี้เธอเป็นเหมือนคนรับใช้มากขึ้น

โม่หานขมวดคิ้ว แต่ ดูมู่หยิงภูมิใจมาก และใช้สายตามองตามมู่เฉียวไป

มองย้อนกลับไปที่อาหารเช้าบนโต๊ะ “หาน เธอทำอาหารให้คุณทุกวันหรือเปล่า”

โม่หานไปที่ห้อง หยิบเสื้อแล้วยื่นให้มู่หยิง “ไปเปลี่ยนเสื้อก่อน”

เมื่อมู่หยิงเปลี่ยนเสื้อผ้าและออกมา โม่หานกินอาหารเช้าบนโต๊ะไปกว่าครึ่งแล้ว เธอขมวดคิ้ว “คุณบอกว่าเธอไม่ต้องการจะยั่วยวนคุณ เธอไม่ได้ยั่วยวนคุณและทำอาหารให้คุณทุกวัน มีคนบอกว่าถ้าอยากจับใจผู้ชายต้องทำให้ผู้ชายอิ่มท้อง มองดูคุณที่กินข้าวฝีมือเธอ เผื่อว่าวันข้างหน้า…”

“เอาล่ะ อย่าพูดเยอะ จะกินหรือไม่กิน ถ้าไม่กินก็ลงไปเก็บข้าวของแล้วเตรียมตัวกลับ” โม่หานขัดมู่หยิง เขาอยากจะบอกกับเธอว่า เป็นอาหารที่เขาขอให้ฉินฮ่าวไปขอให้เธอทำ เธอไม่ได้สนใจที่จะยั่วยวนเขาแม้แต่น้อย แต่เมื่อเขาคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้เขาคิดว่ามันไร้เดียงสาไปหน่อย

มู่หยิงขมวดคิ้ว “หาน คุณดุฉันเพราะเธอ!”

โม่หานหยิบเกี๊ยวขึ้นมาและนำมันเข้าปากของเธอ “โอเค ในสายตาของฉัน เธอเป็นแค่แม่บ้าน คุณแน่ใจนะว่าอยากจะอิจฉาแม่บ้าน เปิดปากแล้วลองชิมดู?”

เมื่อมู่เฉียวมาถึงประตูห้อง เธอพบว่าเธอลืมคีย์การ์ดห้องไว้ในห้องของโม่หาน เธอได้ยินคำเหล่านี้ทันทีที่เดินไปที่ประตู เห็นโม่หานกำลังป้อนเกี๊ยวให้เธอและเธอก็ใส่เสื้อของโม่หาน .

เธอยืนอยู่ที่ประตู หายใจเข้า แล้วยิ้มแห้ง แม่บ้าน?ใช่ไหม?

มู่เฉียว เธอประสาทหรือเปล่า เธอจะรู้สึกเป็นห่วงผู้ชายที่ปฏิบัติต่อเธอเหมือนแม่บ้านทำไม

“พี่สะใภ้ ทำไมคุณไม่เข้าไป” เสียงของฉินฮ่าวดังขึ้น และประตูก็ถูกผลักเปิดออก

มู่เฉียวตกใจและเดินเข้าไปในห้องด้วยสีหน้าที่ดูไม่ดี หยิบคีย์การ์ดที่วางอยู่บนเคาน์เตอร์ในครัว หันหลังและเดินออกไป ฉินฮ่าวอยากจะทักทายเธอ แต่เธอก็เพิกเฉยต่อเขา

“เป็นอะไรไป ผมพูดอะไรผิดไปหรือเปล่า เธอดูโกรธมากเลย” ฉินฮ่าวชี้ไปที่หลังของมู่เฉียว

ใบหน้าของโม่หานไม่แสดงอารมณ์ แต่คิ้วของเขาขยับสองสามครั้งติดต่อกัน แต่ดูมู่หยิงรู้สึกพอใจ “คุณจะสนใจเธอทำไมก็แค่แม่บ้าน?”

เมื่อชายทั้งสองได้ยินดังนั้นทั้งสองก็ขมวดคิ้ว

เมื่อมู่เฉียวกลับมาที่ห้อง เธอก็โกรธมากขึ้นเมื่อคิดถึงเรื่องนี้ แม้ว่าโม่หานจะไม่ชอบเธอ ก็ไม่ควรดูถูกเธอและให้เธออยู่ในฐานะแม่บ้าน เธอแค่รู้สึกสงสารเขา แม้ว่าในตอนแรกจะมีจุดประสงค์ก็ตาม แต่หลังจากนั้น เธอก็เต็มใจจริงๆ และคิดเสมอว่าถึงจะไม่เป็นสามีภรรยา อย่างน้อยก็เป็นพ่อของโม่เสี่ยวโยว ถึงไม่มีความรัก แต่ก็เป็นความรักในครอบครัวได้

จากเหตุการณ์นี้ มู่เฉียวจึงตัดสินใจไม่เดินทางไปกับพวกเขา เธอไม่ต้องการเห็นชายหญิงสองคนนั้น แม้ว่าเธออยู่บนเครื่องบินลำเดียวกัน แต่เธออยู่ในชั้นประหยัดและพวกเขาอยู่ในชั้นเฟิร์สคลาส .

ก่อนออกเดินทาง เธอส่งข้อความถึง ฉินฮ่าวโดยบอกว่าเธอขอออกไปก่อน

โม่หานลงไปข้างล่าง จนรถออกจากที่นั่น เขาไม่เห็นมู่เฉียว เขาอดไม่ได้ที่จะถามเสียงดังว่า “มู่เฉียวอยู่ที่ไหน”

ฉินฮ่าวเปิดโทรศัพท์แล้วยื่นให้โม่หานดูข้อความ “เธอบอกว่าแม่บ้านจะเดินทางพร้อมกับเจ้านายมันดูไม่ดี ดังนั้นเธอขอไปก่อนเรา”

โม่หานมองออกไปนอกหน้าต่าง ไม่พูดอะไร และขยับคิ้วสองสามครั้ง

เมื่อกลับถึงบ้านก็เป็นเวลาประมาณสี่ทุ่มแล้ว เธอเดินไปที่ห้องของโม่เสี่ยวโยวเพื่อดูเธอ เมื่อพี่เลี้ยงเห็นเธอกลับมา เธอบอกกับเธออย่างมีความสุขว่าเด็กสาวเป็นเด็กเลี้ยงง่าย เธอไม่ค่อยร้องไห้และไม่สร้างปัญหามากนัก

แต่มู่เฉียวเอนตัวมาและแตะปลายจมูกเล็กๆ ของเธอเบาๆ “ทำไม ไม่ขี้อ้อนบ้าง ในอนาคตอย่าเป็นเหมือนพ่อของเธอนะ คนที่มีจิตใจเหี้ยมโหดเยี่ยงหมาป่า

หลังการสนทนา ฉันรู้สึกว่าสีหน้าของพี่เลี้ยงดูแปลกๆ เล็กน้อย เมื่อหันหลังกลับ ก็เห็นโม่หานยืนอยู่ที่ประตู เธอเขินอายเล็กน้อย เธอคิดว่าคืนนี้เขาจะไม่กลับมาแล้ว?

ชายคนนั้นจ้องมองเธอแล้วเดินเข้าไปโดยไม่พูดอะไร เมื่อเขามองไปที่ โม่เสี่ยวโยวดวงตาของเขาดูอ่อนโยน

มู่เฉียวรู้สึกว่าอากาศหดหู่เล็กน้อย ดังนั้นเธอจึงก้าวออกไปและเข้าไปในห้อง

เมื่องานนี้สิ้นสุดลง บริษัทจึงให้มู่เฉียวหยุดพักสามวัน

มู่เฉียวต้องการพา โม่เสี่ยวโยว กลับไปที่บ้านของครอบครัวเธอ คุณนายโม่ไม่ได้ว่าอะไร

เมื่อรู้ว่าเธอจะกลับบ้าน แม่ของเธอเตรียมอาหารไว้มากมาย และเปลี่ยนกะกับเพื่อนร่วมงานของเธอ มู่หลิงที่ไม่คาดคิดก็มาถึงบ้านก่อนเธอ

เมื่อเขาเห็นเธอ มู่หลิงเหลือบมองเธอและไม่พูดอะไร เขายังคงโกรธเคืองมู่เฉียวที่เจอเรื่องใหญ่ขนาดนั้นไม่ยอมบอกเขา

“มู่หลิง การฝึกงานของเธอสิ้นสุดแล้วหรือ?”

มู่หลิงรับโม่เสี่ยวโยวจากเธอและมองดู “พี่เขยในตำนานอยู่ที่ไหน?ไม่ได้กลับมากับพี่เหรอ?”

มู่เฉียวอายเล็กน้อย “เขางานยุ่ง”

“งานยุ่งเหรอ พี่สาว เขาไม่ว่างและรักอยู่กับผู้หญิงคนอื่นหรือเปล่า ฉันไม่เข้าใจจริง ทำไมพี่ถึงรัก ความรักที่ไร้สาระนั้นมาก เธอรู้สึกมีความสุขจริงหรือ ที่แต่งงานกับผู้ชายที่มีแต่เงิน”

“ที่จริงแล้ว เขาไม่ได้เลวร้ายอย่างที่เธอพูด เขา…”

“ได้ ผมไม่มีสิทธิ์เข้ามายุ่งชีวิตของพี่” มู่หลิงและเธอมีความสัมพันธ์ที่ดีตั้งแต่ยังเด็ก มู่เฉียว รู้ว่าเขารู้สึกเสียใจกับเธอจริงๆ ดังนั้นเขาจึงโกรธมาก

เธอก้าวไปข้างหน้าแล้วดึงแขนของเขา “มู่หลิง…”

“อย่าไปสนใจเขา อีกไม่กี่วันเขาก็หายดีเอง” แม่เดินออกจากครัว “มา เฉียวเอ๋อ มาช่วยแม่ปอกกระเทียมและหัวหอม หน่อย”

เมื่อมองไปที่พวงกระเทียมและต้นหอมบนพื้น มู่เฉียวขมวดคิ้ว “แม่ จะเตรียมไว้กินมันทั้งเดือนเลยหรือ”

“แม่กระตุกริมฝีปากและหยุดพูด

“พ่อของเธอ เขาเพิ่งทำการผ่าตัดบายพาสหัวใจเมื่อไม่กี่เดือนก่อน ทั้งครอบครัวรู้เรื่องนี้ดี แต่ตอนนั้นเธอท้องอยู่ เขาไม่ให้เราพูด เฉียวเอ๋อ แม้ว่าอา จะไม่คัดค้านการหย่าของเธอ แต่อายังหวังว่าเธออย่าเพิ่มบอกให้พ่อทราบเพราะโรคนี้ไม่สามารถได้รับการกระตุ้นได้”

มู่เฉียว อึ้งไป หลังจากคิดได้ เธอก็รีบไปที่ห้องครัว “แม่ ทำไมแม่ไม่บอกฉันเกี่ยวกับการผ่าตัดของพ่อ”

แม่กำลังหั่นผัก พอได้ยินเสียงเธอ เสียงหั่นผักก็หยุด ผ่านไปครู่หนึ่ง เธอพูดว่า “ลูกท้องแล้ว พ่อกลัวจะกระทบกระเทือนเธอ เลยไม่พูดอะไร”

มู่เฉียวรู้สึกอึดอัดมากเพราะความสงบของแม่ของเธอ

“ทำไมจู่ๆ หัวใจของพ่อถึงผิดปกติ ? เขามักจะให้ความสนใจกับการออกกำลังกาย เป็นไปได้อย่างไร…” มู่เฉียวก็นึกถึงเรื่องนั้นขึ้นมา “แม่ค่ะ เป็นเพราะเรื่องของหนูหรือเปล่าทำให้พ่อเป็นแบบนี้” น้ำเสียงของเธอสั่น

“เรื่องมันจบแล้ว จะให้พูดอะไรล่ะ วันนี้เป็นวันที่มีความสุขมาก อย่าพูดถึงเรื่องไม่มีความสุขเลย” แม่พูด หยิบผักที่ล้างแล้วเอาออกมา ตอนนี้ไม่มีเรื่องใหญ่แล้ว ตราบใดที่มันไม่อยู่ภายใต้สิ่งเร้าใด ๆ ก็ไม่เป็นไรต่อชีวิตที่ยืนยาว ”

มู่เฉียวรู้ว่าแม่ของเธอต้องการปลอบโยนเธอ แต่เธอจะปลอบโยนมันได้อย่างไร?

พ่อโกรธมากจนเป็นโรคหัวใจ เธอไม่ได้โง่ถึงจะไม่เข้าใจเรื่องการรักษาแต่ยังมีสามัญสำนึก การผ่าตัดหัวใจ เทียบเท่ากับการดึงเชือกแห่งชีวิตความเป็นและความตาย ถ้าไม่รอด ก็จะเสียคนไปเลย

เธอเจ็บปวดมากจนหายใจไม่ออกและความเกลียดชังต่อ มู่หยิงเพิ่มขึ้น หากไม่ใช่เพราะเธอ เธอจะไม่เป็นแบบนี้ และเธอเกลียดตัวเองมากขึ้นไปอีก

อาก้าวไปข้างหน้าและลูบหัวของเธอ “เอาล่ะ เช็ดน้ำตาของเธอซะ พ่อของเธออยากดูเธอแต่งออกไปอย่างมีความสุข”

มู่เฉียว ทำจมูกฟุดฟิดและรีบวิ่งไปที่ห้องน้ำ ร้องไห้เสียงดังจนเธอพูดไม่ออก และอยู่ในนั้นเป็นเวลานาน

เมื่อได้ยินเสียงเปิดประตู และได้ยินมู่หลิงเรียกเธอออกไปข้างนอก เธอแต่งหน้าให้ตัวเอง เปิดประตูแล้วเดินออกมา และเมื่อเธอเห็นพ่อมู่ เธอก็กอดพ่อไว้ในอ้อมแขน

เธออยากจะขอโทษ แต่สุดท้ายเธอก็พูดว่า “ขอบคุณค่ะพ่อ”

พ่อมู่ผลักเธอออกไป “ขอบคุณอะไร ? ฉันอยากให้เธอแต่งออกเร็วกว่านี้”

มู่เฉียว ยิ้มและเช็ดน้ำตาออกจากใบหน้าของเธอ

จากนั้นอาหารและจำนวนคนหนึ่งโต๊ะ มีชีวิตชีวามากขึ้น อาไม่ได้พูดถึงครอบครัวตระกูลโม่อีกตั้งแต่ต้นจนจบ แต่เพียงแต่ชนแก้วและกล่าวอวยพรการแต่งงานนี้ให้มีความสุข เมื่อรับประทานอาหารได้ครึ่งทางคุณย่าก็จับมือเธอ “มู่เฉียวเธออารมณ์ร้อนเหมือนพ่อและมีความคิดเห็นเป็นของตัวเอง และบางครั้งเธอก็ดื้อรั้นเกินไป แต่ไม่ว่าการแต่งงานจะถูกหรือผิด มันเป็นเพียงเพราะพรหมลิขิตที่จะได้เป็นสามีภรรยากัน บำเพ็ญพันปีถึงได้นอนเคียงหมอนกันได้ ไม่ว่าจะทำอะไร เธอต้องคิดให้มากขึ้น”

อาเห็นด้วย มู่หลิงยังคงนิ่งเงียบ บำเพ็ญพันปีถึงได้นอนเคียงหมอนกันได้ แต่เธอและ โม่หานไม่เคยนอนด้วยกัน

เมื่อทานอาหารเสร็จ น้าต่างหยิบซองสีแดงใบใหญ่มายัดให้มู่เฉียว “เงินเหล่านี้เป็นเงินสำหรับงานแต่งงานของอาและฉัน เธอเก็บไว้นะ หากตระกูลโม่ปฏิบัติต่อเธอไม่ดี อย่าโทษตัวเองถ้ามีเรื่องอะไร อย่าลืมนะเฉียวเอ๋อ เธอไม่ได้อยู่คนเดียว”

มู่เฉียวปฏิเสธที่จะขอ แต่อาของเธอก็ทำสีหน้าไม่ดีใส่เธอ เธอไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องรับซองแดง อันใหญ่มาก อย่างน้อยก็หลายหมื่น

คุณย่าก็หยิบกล่องเครื่องประดับจากถุงผ้าเปิดออกและหยิบสร้อยข้อมือหยกจากด้านใน “นี่คือสิ่งที่ย่าขอให้อาสะใภ้ของคุณนำมาจากที่ไกล ฉันให้คนทดสอบแล้ว ว่าเป็นหยกดีมาก , หยกจะทำให้เราปลอดภัย

เฉียวเอ๋อ รับไว้ ในชีวิตนี้ ตราบใดที่คนยังปลอดภัย สิ่งอื่น ๆ ก็สามารถผ่านไปได้ ”

ขณะพูด เธอก็จับข้อมือของมู่เฉียวและสอดสร้อยข้อมือหยกเข้าไปในข้อมือของเธอ

มู่เฉียวรู้ดีว่าถึงแม้อาของเขาจะทำธุรกิจ แต่ก็เป็นธุรกิจเล็กๆ ทั้งหมด เขาได้ยินจากพ่อของเขาว่าในช่วงสองปีที่ผ่านมา เขาซื้อบ้านและจำนองบ้านให้ลูกชายได้แต่งงาน ปกติแล้วพวกเขาจะประหยัด แต่ พวกเขาทำสิ่งนี้เพื่อเธอ

เมื่อเทียบกับเงินก้อนโตที่ครอบครัวตระกูลโม่ใช้ เงินหลายหมื่นทำให้เธอรู้สึกเจ็บปวดมาก

ถ้าเป็นคุณย่าก็ไม่ต้องพูดถึง นับประสาเศษอาหารบอกกี่ครั้งแล้วอดไม่ได้ที่จะโยนทิ้ง เพื่อไม่ให้เป็นภาระแก่ลูก

คุณปู่ที่อาศัยอยู่ในชนบทก็จะเลี้ยงไก่เมื่อออกไข่ ไม่เคยเก็บไว้กินเองไม่ก็ขายเป็นเงินไม่ก็ส่งมาให้พวกเธอแต่ย่าก็พร้อมที่ทุ่มเงินมากเพื่อซื้อสร้อยข้อมือหยกให้เธอ

เธอไม่อยากร้องไห้ แต่น้ำตาก็ไม่หยุดไหล ความคับข้องใจและความรู้สึกผิดต่อพ่อของเธอมานานกว่าหนึ่งปีทำให้น้ำตาของเธอหยุดไหลไม่ได้

ทุกคนเงียบและแม่ของฉันเข้าไปในครัวร้องไห้สะอึกสะอื้นเป็นครั้งคราว

ร่ำไห้กันทั้งหมด จนประมาณบ่ายสาม อากับปู่ย่าก็กลับไปทีละคน

หลังจากส่งคุณอากับพวกเขาออกไป พ่อมู่ก็จ้องมาที่เธอ “โมหานยังใจร้ายกับลูกอยู่เหรอ?”

มู่เฉียวสูดลมหายใจและก้าวไปข้างหน้าและจับมือพ่อของเขา “พ่อค่ะ เขาปฏิบัติต่อหนูดีมาก จริงๆ ปากของเขาไม่ดี แต่หัวใจของเขาไม่ได้แย่”

“เธอนะ เป็นผีที่หลงไปกับจิตใจของตนเอง และก็มีความคิดเห็นของตัวเองมาตลอด ทำไมถึงทำผิดพลาดกับเรื่องการแต่งงาน?”

“เอาล่ะ พูดอะไรเยอะ ลูกยังเด็กอาจจะทำผิดพลาดอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ คุณต้องพักผ่อนและค่อย ๆ โน้มน้าวและอย่าใจร้อนนัก”

มู่เฉียวนั่งบนโซฟาโดยงอเข่าเล็กน้อย พิงไหล่ของแม่ “พ่อแม่ ฉันจะต้องมีความสุขแน่นอน สำหรับงานแต่งงานในอนาคตฉันจะให้โม่หานจัดให้แน่นอน”

พ่อมู่ไม่พูด แม่กับมู่หลิงก็เงียบ

มู่เฉียวรู้ว่าพวกเขาไม่เชื่อเธอ จริงๆ แล้วเธอก็ไม่เชื่อในตัวเองเหมือนกัน เธอกับโม่หานคงจะมีความสุข

โม่หาน กลับบ้านตอนกลางคืน บ้านเงียบมาก พี่เลี้ยงกำลังพับเสื้อผ้าของโม่เสี่ยวโยว เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้า เขาลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว “คุณชายน้อย คุณกลับมาแล้ว”

โม่หานโยนเสื้อโค้ตของเขาลงบนโซฟา “เสี่ยวโยวพวกเขาละ?”

“กลับไปที่บ้านครอบครัวฝ่ายหญิงสาวแล้ว ไปตอนเช้า น่าจะอยู่ต่ออีกสองวัน”

โม่หานตอบ อืม กำลังจะเข้าห้องสมุด เสียงของคุณย่าโม่ ดังมาจากด้านหลัง “โม่หาน”

“คุณย่า ดึกแล้วทำไมถึงยังไม่นอน”

คุณย่าโม่ ก้าวไปข้างหน้าและจับมือเขา “ฉันรอเธอกลับมา”

“รอผม?”

“มานั่งลงสิ”

โม่หานนั่งลง คุณย่าโม่ ยกมือ ก็มีคนส่งถาดมา ถาดนั้นถูกคลุมด้วยผ้าสีแดง เธอยกขึ้นเบา ๆ ข้างในมีแท่งทองคำหลายแท่ง และมีบัตรกดเงิน และแหวน

“คุณย่า นี่มันหมายความว่ายังไง”

คุณยายโบกมือ และทุกคนในห้องก็ก้าวออกไป เหลือสองคนอยู่ในห้องนั่งเล่น

มู่เฉียวมองเขาอย่างเย็นชา แต่ไม่ได้คิดที่จะอธิบาย กำลังจะหย่าแล้ว เธอไม่สนใจแล้วว่าเขาจะมองเธออย่างไร ถึงอย่างไรในสายตาของเขา ตนเองทำอะไรก็ผิด

“สองวันนี้ฉันจะย้ายออกไปอยู่ที่บ้านก่อนหน้านี้ ให้เสี่ยวโยวพักอยู่ที่บ้านชั่วคราว รอ……”

“ถ้าหย่าแล้ว ตั้งแต่นี้ต่อไป ก็ไม่อนุญาตให้คุณเจอโม่เสี่ยวโยวอีก” ชายคนนั้นมองเธอด้วยสายตาที่ราวกับคบเพลิง ในสายตาเขามีความโหดเหี้ยม มู่เฉียวรู้ว่าเขาไม่ได้ล้อเล่น

แต่ถึงอย่างไร เธอก็รู้สึกว่าผู้ชายคนนี้ไม่ต้องการจะหย่า

“คุณไม่ให้ฉันเจอโม่เสี่ยวโยว เราก็ต้องไปฟ้องศาล เธอเด็กขนาดนี้ ศาลจะต้องตัดสินให้ฉันอย่างแน่นอน” ก่อนหน้านี้เธอได้ค้นคว้าในอินเทอร์เน็ตมาแล้วจึงฮึกเหิมเล็กน้อย

“งั้นเหรอ?คนเร่ร่อนที่ไม่มีงานทำคนหนึ่ง ศาลจะตัดสินให้ใคร ก็พูดยากจริงๆ” ชายคนนั้นลุกขึ้นยืน เดินไปตรงหน้าเธอ ก้มตัวนิดๆ มู่เฉียวเห็นการแสดงออกที่โหดเหี้ยมของตนเองในสายตาของเขา

“คุณมันเลว” เธอรู้ดีว่าด้วยอำนาจและอิทธิพลของตระกูลโม่ เขามีความสามารถมากพอที่จะทำให้ตนเองตกงานได้

“โม่หาน คุณไม่ได้สับสนอะไรใช่ไหม คุณไม่หย่า คุณกับ……คุณกับหยิงหยิงจะแต่งงานกันได้อย่างไร?” น้ำเสียงของคุณนายโม่ร้อนรนเล็กน้อย ปกปิดไว้ไม่มิดเลยจริงๆ เธอรังเกียจมู่เฉียว เธอชอบมู่หยิง

แต่ว่าไม่ว่าจะรังเกียจหรือชอบ เธอก็ไม่ได้สนใจ พูดได้ว่าเธอไม่เคยสนใจเลยดีกว่า

เธอมองโม่หานด้วยสายตายั่วโมโห “ใช่สิ คุณไม่หย่า คู่รักในวัยเด็กของคุณจะทำอย่างไรล่ะ?”

จากนั้นก็ยกยิ้มขึ้นมาราวกับว่าได้ชัยชนะมาไว้ในมือ

โม่หานยอมรับว่าตนเองเกลียดสีหน้าท่าทางนี้ของเธอที่สุด เลิกคิ้วแล้วพูดว่า “จะแต่งงานก็จำเป็นต้องหย่า ส่วนเด็กก็ไม่อนุญาตให้เธอเจออีก”

“อย่างนั้นฉันก็ไม่หย่า ฉันจะรอดูสิว่า คุณมู่ยังจะทนรอไหวไหม” โม่หานแก่กว่าเธอหลายปี มู่หยิงอ่อนกว่าโม่หานไม่กี่เดือน ปีนี้ 27 แล้ว แต่เธอเพิ่งจะอายุ 25 ถึงแม้ว่าอายุห่างกันสองสามปีจะดูไม่มาก แต่สามปีของผู้หญิง มันแตกต่างกันมาก เธอไม่เชื่อว่า ผู้หญิงที่มีนิสัยเห็นแก่ตัวของมู่หยิงนั้น จะรอโม่หานได้

พูดจบประโยคนี้ มู่เฉียวก็รับโม่เสี่ยวโยวมาจากพี่เลี้ยง ก็หันกลับไปคำนับให้นายท่านทั้งสอง “ฉันกลับห้องก่อน”

ใกล้ถึงมื้อค่ำ มู่หยิงก็หาเหตุผลเพื่อมาทานข้าว พอถึงตระกูลโม่ ก็หาข้ออ้างมาดูเด็กแล้วก็พบมู่เฉียว

อารมณ์เธอสงบนิ่งอย่างมาก มองไม่ออกว่าเสียใจหรือว่าชอบ

อันที่จริงเธอก็อึดอัดใจอย่างมาก ตามแผนการของมู่หยิงแล้ว เธอต้องการนำเลือดจากสายสะดือไปใช้หลังจากที่เด็กเกิด และเธอก็ไม่มีค่าอะไรแล้ว แต่เธอไม่เข้าใจว่าทำไมเธอถึงบังคับให้เธอแต่งงานกับโม่หานตั้งแต่แรก

“พี่สะใภ้ เพราะอะไรคุณต้องหย่ากับพี่ชายฉันด้วย?”

มู่เฉียวคิดว่าตนเองได้ยินผิดไป เธอหันกลับมามองมู่หยิง “คุณไม่ได้อยากจะแต่งงานเข้ามาเหรอ?”

โม่เสี่ยวโยวหลับแล้ว มู่หยิงก็จัดระเบียบผ้าห่มให้เธออย่างนุ่มนวล “อยากสิ แต่ว่าพี่สะใภ้ เสี่ยวโยวยังเล็กขนาดนี้ รอให้เธอครบหนึ่งขวบก่อนดีไหม?มิเช่นนั้นเด็กจะน่าสงสารอย่างมาก”

ท่าทางเธอดูปรารถนาดีอย่างมาก แต่การกล่าวเตือนสติในสายตาเธอ ทำให้มู่เฉียวกลัวจนตัวสั่น ชั่วพริบตาเธอก็นึกขึ้นได้อีกครั้งว่าเธอประเมินความโหดร้ายของผู้หญิงคนนี้ต่ำไป

อาการป่วยของโม่หาน ตลอดสองปีนี้ได้รับเคมีบำบัดมาตลอด แล้วหมอก็บอกชัดเจนว่า ไม่ควรใช้การปลูกถ่ายไขกระดูกเป็นทางเลือกสุดท้าย การสร้างยีนที่ดื้อยาหลายชนิดด้วยเคมีบำบัดในที่สุดก็ไม่มียาอะไรที่ใช้ได้ อีกทั้งเคมีบำบัดจะฆ่าเซลล์มะเร็งเม็ดเลือดขาวไปแล้ว นอกจากนี้ยังฆ่าเซลล์ปกติจำนวนมากและทำให้เกิดผลข้างเคียงทางเดินอาหาร และเกิดภาวะแทรกซ้อนของตับไตทำให้ระบบต่างๆเสียหาย จนกระทั่งทำให้ภูมิคุ้มกันของร่างกายลดลง ฉะนั้น ความหมายของหมอก็คือ ภายในปีนี้ยังคงต้องได้รับการปลูกถ่ายไขกระดูกให้ได้

ฉะนั้นหลังจากที่มู่หยิงรอการปลูกถ่ายไขกระดูกแล้ว ตรวจสอบให้แน่ใจว่าโม่หานมีสุขภาพแข็งแรงค่อยแต่งงานกัน หากการปลูกถ่ายล้มเหลว เธอก็จะถอยออกไป

นึกถึงตรงนี้แล้ว เธอก็รู้สึกเวทนาโม่หานขึ้นมา ป่วยจนกลายเป็นอย่างนี้แล้ว ยังจะโง่ถูกผู้หญิงคนหนึ่งวางแผนการทำร้ายอีก

เพียงแต่ทันทีหลังจากนั้น แต่เมื่อเธอนึกถึงว่า อีกฝ่ายเต็มใจที่จะทำร้ายและอีกฝ่ายเต็มใจที่จะอดทน จิตใจก็สงบลงมา

“หนึ่งปีนี้ คุณสามารถออกไปหางานได้ แบบนี้ หลังจากหนึ่งปีคุณมีการงานที่มั่นคงแล้ว เสี่ยวโยวจึงสามารถอยู่โดยที่พวกคุณหย่ากันได้ ตัดสินให้คุณแบบนี้ คุณเห็นว่าอย่างไร?”

ความเฉลียวฉลาดของเธอ ความมีจิตใจเมตตาของเธอ แต่สำหรับมู่เฉียวแล้ว เป็นการใช้อำนาจคุกคาม ผู้หญิงคนนี้ใช้เสี่ยวโยวมาคุกคามเธอ

เธอหันหน้าไปมองมู่หยิง ริมฝีปากสั่นเล็กน้อย คุณมันเลวเกินไปจริงๆ ระวังเถอะ กรรมจะตามสนอง”

มู่หยิงมองเธออย่างไร้เดียงสา “พี่สะใภ้มีจิตใจที่ดี ดังนั้น คนดี….ก็ได้รับผลกรรมที่ดี”

เธอที่แอบใส่ความให้ร้ายอยู่ลับหลัง ทำให้มู่เฉียวโมโหถึงขีดสุด นึกถึงผู้หญิงคนนี้ที่เอาชีวิตของเธอไปเล่นอยู่ในฝ่ามือ จู่ๆในสมองของเธอก็ปรากฏความคิดตลกๆขึ้นมา หนึ่งปีใช่ไหม?

ถ้าหลังจากหนึ่งปี โม่หานหายดีแล้ว แข็งแรงแล้ว แล้วเปลี่ยนใจ มารักเธอล่ะ?

อย่างนั้น มู่หยิงยังอยากจะแต่งงานอยู่ไหม?โม่หานก็ไม่ต้องการแล้วใช่ไหม?

เธอถูกความคิดนี้ทำให้ตกใจ แต่ในทันที ก็ตอกย้ำในความคิดนี้ ชายหญิงคู่นี้น่ารังเกียจเกินไปจริงๆ เธอใช้ช่วงเวลาหนึ่งปี แก้แค้นพวกเขาอย่างโหดเหี้ยม

ถึงแม้ว่าหลังจากหนึ่งปีแล้ว โม่หานจะไม่รักเธอ เธอก็ไม่เสียหายใดๆ แต่ถ้ารักเธอล่ะ?

คิดแล้ว มู่หยิงก็พยายามคิดหาแผนการ ท้ายที่สุดแล้ว โม่หานหายดีแล้ว แต่การกระทำก็จะไร้ประโยชน์ ในใจเธอก็มีความสุขอย่างไม่มีอะไรมาเทียบได้

พ่อแม่สอนให้เธอมีจิตใจเมตตา ไม่คิดร้ายต่อผู้อื่น แต่พ่อแม่ก็สอนเธออีกว่า การมีเมตตาต้องแยกแยะ หากเมตตากับคนชั่ว นั่นก็การรู้เห็นที่น่ารังเกียจอย่างมาก

คิดถึงตรงนี้แล้ว เธอก็เงยหน้ามองซูหยิง “ได้ ฉันรับปากคุณ”

สุดท้าย ด้วยเหตุผลที่โม่เสี่ยวโยวยังเล็กเกินไป เธอจึงยังไม่หย่าชั่วคราว หลังจากโม่เสี่ยวโยวได้ขวบหนึ่งแล้ว ค่อยคิดวางแผนอีกที

โม่หานถากถางเธอ อยากจะเล่นละครขุดบ่อล่อปลา

แต่เธอดึงแขนของเขา แล้วกล่าวกระซิบว่า “ถ้าคุณไม่อยากหย่า หลังจากหนึ่งปีแล้ว ฉันก็ไม่หย่าก็ได้นะ”

โม่หานหลบเลี่ยงราวกับโรคระบาด กระทั่งเปลี่ยนเสื้อผ้าในทันที

เธอก็ไม่ได้โมโห เอ่ยถึงข้อเรียกร้องที่อยากจะไปทำงาน เหตุผลคือ หลังจากหนึ่งปี หย่ากันแล้ว จะได้มีอาชีพทำมาหากินไว้เลี้ยงชีพตัวเอง คุณนายโม่มองเธออย่างรังเกียจ พอคิดว่าหลังจากหนึ่งปี ก็จะได้หลุดพ้นแล้ว จึงเห็นด้วย

มู่เฉียวกลับไปบริษัทเดิมที่เคยทำมาก่อน ก่อนหน้านี้เธอแจ้งลาป่วยไว้กับบริษัท ดังนั้น จึงกลับไปได้ไม่ยาก

หลังจากเริ่มงานปกติ เธอก็ตื่นแต่เช้าวิ่งไปบริษัท การเดินทาง40กว่านาที พักกลางวันสองชั่วโมง เธอก็ไปศูนย์ฟื้นฟูหลังการคลอด ตอนเย็นก็วิ่งกลับมาอีกครั้ง ไม่กลัวลมฝน

หนึ่งเดือนนี้ เธอออกแต่เช้ากลับมามืด หลบเลี่ยงโม่หานอย่างสุดความสามารถ เธอยุ่ง โม่หานก็ยิ่งยุ่ง บวกกับเธอมีใจที่จะหลบเลี่ยง คนทั้งสองเลยไม่ได้เจอหน้ากันตลอดหนึ่งเดือน

“เสี่ยวเฉียว ฉันนับถือคุณจริงๆ เดือนเดียวคุณผอมลงไปได้ถึงขนาดนี้ คุณไม่ไปถ่ายโฆษณาลดน้ำหนักก็เสียดายแย่เลย” ทานข้าวตอนกลางวัน เพื่อนร่วมงานที่นั่งอยู่แถวหน้ากล่าวกระซิบ

มู่เฉียวยิ้มเล็กน้อย “จะทำอย่างไรได้ล่ะ ก็งานที่พวกเราทำนี้ ความสวยเป็นเรื่องสำคัญ” เพราะงานล่ามที่มักจะต้องติดตามลูกค้าอยู่เสมอ ถึงแม้ว่าความสัมพันธ์ทั้งสองนี้เป็นเรื่องปกติ แต่ในสังคมนี้ ใครก็เต็มใจที่จะให้คนสวยคนหนึ่งยืนข้างๆ ไม่ใช่คนที่อ้วนกลมใช่ไหมล่ะ?

“คุณพูดถูกอย่างมาก ถ้าไม่ใช่เพราะว่าคุณสวยนะ BOSSคงไม่เสียงอันตรายให้คุณทำงานใหญ่กับโม่กรุ๊ปแบบนี้หรอก ถึงอย่างไรก่อนหน้านี้คุณก็ไม่เคยเป็นล่ามภาษาเยอรมันใช่ไหมล่ะ?”

มู่เฉียวคีบอาหารอย่างช้าๆ แต่ในใจเธอก็โล่งอก ก่อนหน้านี้เธอได้ยินเพื่อนร่วมงานภายในแผนกพูดว่า บริษัทรับใบรายการใหญ่ใบหนึ่งมาจากโม่กรุ๊ป เธอจึงไปเสนอตัวเองกับเจ้านาย แล้วส่งหนังสือรับรองการสอบภาษาเยอรมันระดับC2 เจ้านายแปลกใจอย่างมาก ชมว่าเธอป่วยยังไม่ลืมที่จะร่ำเรียน ถึงอย่างไรนี่เป็นครั้งแรกที่รับเป็นล่ามภาษาเยอรมัน อีกทั้งเป็นใบรายการใหญ่ของโม่กรุ๊ป ในใจเธอก็ไม่ค่อยมีความมั่นใจ

เวลานี้ จึงพ่นลมหายใจออกมาอย่างแรง ยกยิ้มมุมปาก โม่หาน รอดูฉันแล้วกัน

มู่เฉียวมองเขาอย่างเย็นชา แต่ไม่ได้คิดที่จะอธิบาย กำลังจะหย่าแล้ว เธอไม่สนใจแล้วว่าเขาจะมองเธออย่างไร ถึงอย่างไรในสายตาของเขา ตนเองทำอะไรก็ผิด

“สองวันนี้ฉันจะย้ายออกไปอยู่ที่บ้านก่อนหน้านี้ ให้เสี่ยวโยวพักอยู่ที่บ้านชั่วคราว รอ……”

“ถ้าหย่าแล้ว ตั้งแต่นี้ต่อไป ก็ไม่อนุญาตให้คุณเจอโม่เสี่ยวโยวอีก” ชายคนนั้นมองเธอด้วยสายตาที่ราวกับคบเพลิง ในสายตาเขามีความโหดเหี้ยม มู่เฉียวรู้ว่าเขาไม่ได้ล้อเล่น

แต่ถึงอย่างไร เธอก็รู้สึกว่าผู้ชายคนนี้ไม่ต้องการจะหย่า

“คุณไม่ให้ฉันเจอโม่เสี่ยวโยว เราก็ต้องไปฟ้องศาล เธอเด็กขนาดนี้ ศาลจะต้องตัดสินให้ฉันอย่างแน่นอน” ก่อนหน้านี้เธอได้ค้นคว้าในอินเทอร์เน็ตมาแล้วจึงฮึกเหิมเล็กน้อย

“งั้นเหรอ?คนเร่ร่อนที่ไม่มีงานทำคนหนึ่ง ศาลจะตัดสินให้ใคร ก็พูดยากจริงๆ” ชายคนนั้นลุกขึ้นยืน เดินไปตรงหน้าเธอ ก้มตัวนิดๆ มู่เฉียวเห็นการแสดงออกที่โหดเหี้ยมของตนเองในสายตาของเขา

“คุณมันเลว” เธอรู้ดีว่าด้วยอำนาจและอิทธิพลของตระกูลโม่ เขามีความสามารถมากพอที่จะทำให้ตนเองตกงานได้

“โม่หาน คุณไม่ได้สับสนอะไรใช่ไหม คุณไม่หย่า คุณกับ……คุณกับหยิงหยิงจะแต่งงานกันได้อย่างไร?” น้ำเสียงของคุณนายโม่ร้อนรนเล็กน้อย ปกปิดไว้ไม่มิดเลยจริงๆ เธอรังเกียจมู่เฉียว เธอชอบมู่หยิง

แต่ว่าไม่ว่าจะรังเกียจหรือชอบ เธอก็ไม่ได้สนใจ พูดได้ว่าเธอไม่เคยสนใจเลยดีกว่า

เธอมองโม่หานด้วยสายตายั่วโมโห “ใช่สิ คุณไม่หย่า คู่รักในวัยเด็กของคุณจะทำอย่างไรล่ะ?”

จากนั้นก็ยกยิ้มขึ้นมาราวกับว่าได้ชัยชนะมาไว้ในมือ

โม่หานยอมรับว่าตนเองเกลียดสีหน้าท่าทางนี้ของเธอที่สุด เลิกคิ้วแล้วพูดว่า “จะแต่งงานก็จำเป็นต้องหย่า ส่วนเด็กก็ไม่อนุญาตให้เธอเจออีก”

“อย่างนั้นฉันก็ไม่หย่า ฉันจะรอดูสิว่า คุณมู่ยังจะทนรอไหวไหม” โม่หานแก่กว่าเธอหลายปี มู่หยิงอ่อนกว่าโม่หานไม่กี่เดือน ปีนี้ 27 แล้ว แต่เธอเพิ่งจะอายุ 25 ถึงแม้ว่าอายุห่างกันสองสามปีจะดูไม่มาก แต่สามปีของผู้หญิง มันแตกต่างกันมาก เธอไม่เชื่อว่า ผู้หญิงที่มีนิสัยเห็นแก่ตัวของมู่หยิงนั้น จะรอโม่หานได้

พูดจบประโยคนี้ มู่เฉียวก็รับโม่เสี่ยวโยวมาจากพี่เลี้ยง ก็หันกลับไปคำนับให้นายท่านทั้งสอง “ฉันกลับห้องก่อน”

ใกล้ถึงมื้อค่ำ มู่หยิงก็หาเหตุผลเพื่อมาทานข้าว พอถึงตระกูลโม่ ก็หาข้ออ้างมาดูเด็กแล้วก็พบมู่เฉียว

อารมณ์เธอสงบนิ่งอย่างมาก มองไม่ออกว่าเสียใจหรือว่าชอบ

อันที่จริงเธอก็อึดอัดใจอย่างมาก ตามแผนการของมู่หยิงแล้ว เธอต้องการนำเลือดจากสายสะดือไปใช้หลังจากที่เด็กเกิด และเธอก็ไม่มีค่าอะไรแล้ว แต่เธอไม่เข้าใจว่าทำไมเธอถึงบังคับให้เธอแต่งงานกับโม่หานตั้งแต่แรก

“พี่สะใภ้ เพราะอะไรคุณต้องหย่ากับพี่ชายฉันด้วย?”

มู่เฉียวคิดว่าตนเองได้ยินผิดไป เธอหันกลับมามองมู่หยิง “คุณไม่ได้อยากจะแต่งงานเข้ามาเหรอ?”

โม่เสี่ยวโยวหลับแล้ว มู่หยิงก็จัดระเบียบผ้าห่มให้เธออย่างนุ่มนวล “อยากสิ แต่ว่าพี่สะใภ้ เสี่ยวโยวยังเล็กขนาดนี้ รอให้เธอครบหนึ่งขวบก่อนดีไหม?มิเช่นนั้นเด็กจะน่าสงสารอย่างมาก”

ท่าทางเธอดูปรารถนาดีอย่างมาก แต่การกล่าวเตือนสติในสายตาเธอ ทำให้มู่เฉียวกลัวจนตัวสั่น ชั่วพริบตาเธอก็นึกขึ้นได้อีกครั้งว่าเธอประเมินความโหดร้ายของผู้หญิงคนนี้ต่ำไป

อาการป่วยของโม่หาน ตลอดสองปีนี้ได้รับเคมีบำบัดมาตลอด แล้วหมอก็บอกชัดเจนว่า ไม่ควรใช้การปลูกถ่ายไขกระดูกเป็นทางเลือกสุดท้าย การสร้างยีนที่ดื้อยาหลายชนิดด้วยเคมีบำบัดในที่สุดก็ไม่มียาอะไรที่ใช้ได้ อีกทั้งเคมีบำบัดจะฆ่าเซลล์มะเร็งเม็ดเลือดขาวไปแล้ว นอกจากนี้ยังฆ่าเซลล์ปกติจำนวนมากและทำให้เกิดผลข้างเคียงทางเดินอาหาร และเกิดภาวะแทรกซ้อนของตับไตทำให้ระบบต่างๆเสียหาย จนกระทั่งทำให้ภูมิคุ้มกันของร่างกายลดลง ฉะนั้น ความหมายของหมอก็คือ ภายในปีนี้ยังคงต้องได้รับการปลูกถ่ายไขกระดูกให้ได้

ฉะนั้นหลังจากที่มู่หยิงรอการปลูกถ่ายไขกระดูกแล้ว ตรวจสอบให้แน่ใจว่าโม่หานมีสุขภาพแข็งแรงค่อยแต่งงานกัน หากการปลูกถ่ายล้มเหลว เธอก็จะถอยออกไป

นึกถึงตรงนี้แล้ว เธอก็รู้สึกเวทนาโม่หานขึ้นมา ป่วยจนกลายเป็นอย่างนี้แล้ว ยังจะโง่ถูกผู้หญิงคนหนึ่งวางแผนการทำร้ายอีก

เพียงแต่ทันทีหลังจากนั้น แต่เมื่อเธอนึกถึงว่า อีกฝ่ายเต็มใจที่จะทำร้ายและอีกฝ่ายเต็มใจที่จะอดทน จิตใจก็สงบลงมา

“หนึ่งปีนี้ คุณสามารถออกไปหางานได้ แบบนี้ หลังจากหนึ่งปีคุณมีการงานที่มั่นคงแล้ว เสี่ยวโยวจึงสามารถอยู่โดยที่พวกคุณหย่ากันได้ ตัดสินให้คุณแบบนี้ คุณเห็นว่าอย่างไร?”

ความเฉลียวฉลาดของเธอ ความมีจิตใจเมตตาของเธอ แต่สำหรับมู่เฉียวแล้ว เป็นการใช้อำนาจคุกคาม ผู้หญิงคนนี้ใช้เสี่ยวโยวมาคุกคามเธอ

เธอหันหน้าไปมองมู่หยิง ริมฝีปากสั่นเล็กน้อย คุณมันเลวเกินไปจริงๆ ระวังเถอะ กรรมจะตามสนอง”

มู่หยิงมองเธออย่างไร้เดียงสา “พี่สะใภ้มีจิตใจที่ดี ดังนั้น คนดี….ก็ได้รับผลกรรมที่ดี”

เธอที่แอบใส่ความให้ร้ายอยู่ลับหลัง ทำให้มู่เฉียวโมโหถึงขีดสุด นึกถึงผู้หญิงคนนี้ที่เอาชีวิตของเธอไปเล่นอยู่ในฝ่ามือ จู่ๆในสมองของเธอก็ปรากฏความคิดตลกๆขึ้นมา หนึ่งปีใช่ไหม?

ถ้าหลังจากหนึ่งปี โม่หานหายดีแล้ว แข็งแรงแล้ว แล้วเปลี่ยนใจ มารักเธอล่ะ?

อย่างนั้น มู่หยิงยังอยากจะแต่งงานอยู่ไหม?โม่หานก็ไม่ต้องการแล้วใช่ไหม?

เธอถูกความคิดนี้ทำให้ตกใจ แต่ในทันที ก็ตอกย้ำในความคิดนี้ ชายหญิงคู่นี้น่ารังเกียจเกินไปจริงๆ เธอใช้ช่วงเวลาหนึ่งปี แก้แค้นพวกเขาอย่างโหดเหี้ยม

ถึงแม้ว่าหลังจากหนึ่งปีแล้ว โม่หานจะไม่รักเธอ เธอก็ไม่เสียหายใดๆ แต่ถ้ารักเธอล่ะ?

คิดแล้ว มู่หยิงก็พยายามคิดหาแผนการ ท้ายที่สุดแล้ว โม่หานหายดีแล้ว แต่การกระทำก็จะไร้ประโยชน์ ในใจเธอก็มีความสุขอย่างไม่มีอะไรมาเทียบได้

พ่อแม่สอนให้เธอมีจิตใจเมตตา ไม่คิดร้ายต่อผู้อื่น แต่พ่อแม่ก็สอนเธออีกว่า การมีเมตตาต้องแยกแยะ หากเมตตากับคนชั่ว นั่นก็การรู้เห็นที่น่ารังเกียจอย่างมาก

คิดถึงตรงนี้แล้ว เธอก็เงยหน้ามองซูหยิง “ได้ ฉันรับปากคุณ”

สุดท้าย ด้วยเหตุผลที่โม่เสี่ยวโยวยังเล็กเกินไป เธอจึงยังไม่หย่าชั่วคราว หลังจากโม่เสี่ยวโยวได้ขวบหนึ่งแล้ว ค่อยคิดวางแผนอีกที

โม่หานถากถางเธอ อยากจะเล่นละครขุดบ่อล่อปลา

แต่เธอดึงแขนของเขา แล้วกล่าวกระซิบว่า “ถ้าคุณไม่อยากหย่า หลังจากหนึ่งปีแล้ว ฉันก็ไม่หย่าก็ได้นะ”

โม่หานหลบเลี่ยงราวกับโรคระบาด กระทั่งเปลี่ยนเสื้อผ้าในทันที

เธอก็ไม่ได้โมโห เอ่ยถึงข้อเรียกร้องที่อยากจะไปทำงาน เหตุผลคือ หลังจากหนึ่งปี หย่ากันแล้ว จะได้มีอาชีพทำมาหากินไว้เลี้ยงชีพตัวเอง คุณนายโม่มองเธออย่างรังเกียจ พอคิดว่าหลังจากหนึ่งปี ก็จะได้หลุดพ้นแล้ว จึงเห็นด้วย

มู่เฉียวกลับไปบริษัทเดิมที่เคยทำมาก่อน ก่อนหน้านี้เธอแจ้งลาป่วยไว้กับบริษัท ดังนั้น จึงกลับไปได้ไม่ยาก

หลังจากเริ่มงานปกติ เธอก็ตื่นแต่เช้าวิ่งไปบริษัท การเดินทาง40กว่านาที พักกลางวันสองชั่วโมง เธอก็ไปศูนย์ฟื้นฟูหลังการคลอด ตอนเย็นก็วิ่งกลับมาอีกครั้ง ไม่กลัวลมฝน

หนึ่งเดือนนี้ เธอออกแต่เช้ากลับมามืด หลบเลี่ยงโม่หานอย่างสุดความสามารถ เธอยุ่ง โม่หานก็ยิ่งยุ่ง บวกกับเธอมีใจที่จะหลบเลี่ยง คนทั้งสองเลยไม่ได้เจอหน้ากันตลอดหนึ่งเดือน

“เสี่ยวเฉียว ฉันนับถือคุณจริงๆ เดือนเดียวคุณผอมลงไปได้ถึงขนาดนี้ คุณไม่ไปถ่ายโฆษณาลดน้ำหนักก็เสียดายแย่เลย” ทานข้าวตอนกลางวัน เพื่อนร่วมงานที่นั่งอยู่แถวหน้ากล่าวกระซิบ

มู่เฉียวยิ้มเล็กน้อย “จะทำอย่างไรได้ล่ะ ก็งานที่พวกเราทำนี้ ความสวยเป็นเรื่องสำคัญ” เพราะงานล่ามที่มักจะต้องติดตามลูกค้าอยู่เสมอ ถึงแม้ว่าความสัมพันธ์ทั้งสองนี้เป็นเรื่องปกติ แต่ในสังคมนี้ ใครก็เต็มใจที่จะให้คนสวยคนหนึ่งยืนข้างๆ ไม่ใช่คนที่อ้วนกลมใช่ไหมล่ะ?

“คุณพูดถูกอย่างมาก ถ้าไม่ใช่เพราะว่าคุณสวยนะ BOSSคงไม่เสียงอันตรายให้คุณทำงานใหญ่กับโม่กรุ๊ปแบบนี้หรอก ถึงอย่างไรก่อนหน้านี้คุณก็ไม่เคยเป็นล่ามภาษาเยอรมันใช่ไหมล่ะ?”

มู่เฉียวคีบอาหารอย่างช้าๆ แต่ในใจเธอก็โล่งอก ก่อนหน้านี้เธอได้ยินเพื่อนร่วมงานภายในแผนกพูดว่า บริษัทรับใบรายการใหญ่ใบหนึ่งมาจากโม่กรุ๊ป เธอจึงไปเสนอตัวเองกับเจ้านาย แล้วส่งหนังสือรับรองการสอบภาษาเยอรมันระดับC2 เจ้านายแปลกใจอย่างมาก ชมว่าเธอป่วยยังไม่ลืมที่จะร่ำเรียน ถึงอย่างไรนี่เป็นครั้งแรกที่รับเป็นล่ามภาษาเยอรมัน อีกทั้งเป็นใบรายการใหญ่ของโม่กรุ๊ป ในใจเธอก็ไม่ค่อยมีความมั่นใจ

เวลานี้ จึงพ่นลมหายใจออกมาอย่างแรง ยกยิ้มมุมปาก โม่หาน รอดูฉันแล้วกัน

หมอมองๆเขา แล้วมองโม่หานอีกครั้ง ถ้าไม่แน่ใจว่านี่คือพ่อของเด็ก เธอก็คงเข้าใจผิด อย่างไรเสียจากความกังวลใจในแววตาของชายคนนี้ เธอก็ยิ้มๆเล็กน้อย “มาส่งทันเวลาพอดี การคลอดเป็นไปอย่างราบรื่น สถานการณ์การคลอดธรรมชาติก็ดีมาก”

เฮ่อเทียนโล่งอก “ขอบคุณครับ”

โม่หานได้เห็นอารมณ์ความรู้สึกของเขาในสายตา มือที่ล้วงกระเป๋ากางเกงอยู่ก็กำแน่นขึ้น ถึงแม้ว่าเขากับผู้หญิงคนนั้นจะไม่ได้มีความรักความผูกพันต่อกัน แต่ไม่ได้หมายความว่า เขาจะให้คนเข้ามาแทรกแซงได้ตามอำเภอใจ

“ประธานเธอ วางใจแล้วก็ไปได้แล้ว”

เฮ่อเทียนจ้องมองโม่หาน แววตาเต็มไปด้วยความยั่วโมโห “ประธานโม่ ในเมื่อคุณได้สิ่งที่ต้องการแล้ว ส่วนสิ่งที่ไม่ต้องการ ก็ปล่อยมือซะเถอะ”

พูดจบ เขาก็ก้มหัวให้นายท่านโม่ แล้วหันกลับออกไป

สิ่งที่ไม่ต้องการเหรอ?โม่หานยิ้มเยาะ ไม่รู้จริงๆว่าผู้หญิงคนนั้นมีแผนการอยู่มากมายแค่ไหน เพิ่งจะคลอดลูก ก็ทำให้ผู้ชายกระตือรือร้นที่จะรับช่วงต่อเลย

เมื่อพ่อมู่มาถึง มู่เฉียวก็ถูกย้ายไปห้องผู้ป่วยแล้ว จุดจุดนี้คนตระกูลโม่ไม่ขี้เหนียวเลย หมอสองสามคน พยาบาลอีกสองสามคน ห้องชุดหนึ่งห้อง มาปรนนิบัติโดยเฉพาะ

เพราะต้องใช้ความพยายามอย่างมากในการคลอดลูก มู่เฉียวจึงหลับหมดสติตลอด เด็กเกิดมา 3.8 กิโลกรัม ไม่นับว่าอ้วน ไม่นับว่าผอม กำลังดี

เมื่อเธอตื่นขึ้นมา ก็เป็นตอนกลางคืนแล้ว

ในห้องมีแค่พ่อกับแม่แล้วก็พี่เลี้ยงอีกหนึ่งคน

คนตระกูลโม่สักคนก็ไม่เห็น เธอยิ้มเยาะตัวเอง

เห็นเธอฟื้นแล้ว แม่ก็เดินเข้ามา จูบที่หน้าผากเธอ “ฉินเอ๋อ ลำบากคุณเลย”

พ่อมู่ยืนอยู่ข้างๆ ไม่พูดอะไร

มู่เฉียวยื่นมือไปกอดคอแม่ “แม่ คิดถึงพวกคุณจังเลย”

“เอาล่ะ อย่าเอามือออกมาข้างนอก ผู้หญิงจะต้องอยู่เดือน (การดูแลแม่ลูกอ่อนแบบจีน) มิเช่นนั้นในอนาคตคุณจะลำบาก” พูดจบก็นำมือของมู่เฉียวใส่เข้าไปในผ้าห่ม

เวลานี้ หมอก็เข้ามาวัดอุณหภูมิเด็ก

มู่เฉียวหันไปมองเด็กทารกที่นอนหลับอยู่ข้างๆ แววตาก็อ่อนโยน “แม่ เป็นผู้หญิง”

“ใช่ น่ารักมากเลย”

“แม่ เรียกเธอว่าโม่เสี่ยวโยวเถอะ?หวังว่าตลอดชีวิตเธอจะไม่มีเรื่องทุกข์ใจ”

“เสี่ยวโยว อืม เพราะดี” แม่มู่เห็นด้วย

“เสียดายหน้าเหมือนพ่อของเธอ”

โม่หานที่เดินเข้ามาฝีเท้าก็หยุดชะงัก ในแววตาประกายความเย็นชา เหมือนเขา แล้วจะน่าเสียดายอย่างไร?

พ่อมู่เห็นเขาเข้ามา ก็กระแอมเบาๆ

มู่เฉียวยังคงมองดูเด็ก ไม่ได้สนใจโม่หานเลย นี่เป็นลูกของเธอ

เนื่องจากการมาของเขา บรรยากาศที่อบอุ่นในห้องก็เก็บกดอึดอัดขึ้นมา

พยาบาลเอ่ยขึ้นว่า : “คุณนายโม่ คุณจะให้นมลูกเอง หรือว่า……”

“นมผง” มู่เฉียวตัดบทคำพูดเธอ เธอไม่สามารถให้นมลูกได้ ถ้าหากเธอให้นมลูก ในช่วงเวลานี้ เธอไม่สามารถไปทำงานได้ และไม่สามารถออกจากตระกูลโม่ไปได้ด้วยซ้ำ

นึกถึงว่าจะออกจากตระกูลโม่ เธอก็หันไปมองโม่หาน “ผลตรวจเลือดจากสายสะดือออกมาแล้วหรือยัง?”

นึกถึงคำพูดมากมายที่ผู้หญิงคนนี้จะพูดตอนที่ตื่นขึ้นมา แต่อย่างไรก็คาดไม่ถึงว่า เธอจะถามถึงสิ่งนี้ ในทันที โม่หานก็โกรธอย่างมาก “เหมือนกับว่าคุณจะรีบร้อนกว่าฉันอีกนะ?”

แม่เห็นว่าคนทั้งสองคล้ายกับจะเรื่องคุยกัน จึงดึงพ่อมู่ออกมานอกห้องผู้ป่วย ก่อนหน้านี้พยาบาลกำชับมู่เฉียวเอาไว้ว่ากี่โมง ที่จะให้คุณป้าอุ้มเด็กตามเธอไปด้านข้างเพื่อว่ายน้ำ

ในห้องจึงเหลือเพียงมู่เฉียวกับโม่หาน สถานการณ์ดั่งคลื่นใต้น้ำ

“โม่หาน ผลของสายสะดือน่าจะออกแล้วใช่ไหม?” หลังจากเธอคลอดลูก ก็ถามถึงคำถามนี้ทันที คุณหมอบอกว่าอย่าเร็วที่สุดก็สามชั่วโมง ตอนนี้ก็น่าจะผ่านไปห้าหกชั่วโมงแล้ว

โม่หานนำมิล้วงกระเป๋าแล้วจ้องมองเธอ “ทำไม?กลัวเหรอ?กลัวว่าสายสะดือมีประโยชน์ ฉันก็จะไม่ต้องการคุณใช่ไหม?”

เขาตอบมู่เฉียวด้วยสีหน้าที่ลำพองใจและสายตาที่เหยียดหยาม เธอหลับตา ถอนหายใจอย่างแรง

เมื่อลืมตาอีกครั้ง โม่หานรู้สึกว่าสายตาของผู้หญิงคนนี้เป็นประกายอย่างมาก

“มีประโยชน์ ใช่ไหม?อย่างนั้นได้เลย หลังคลอดหนึ่งเดือน พวกเราไปหย่ากัน ส่วนเด็กถ้าตระกูลโม่เต็มใจก็จะให้ตระกูลโม่ แต่ฉันจำเป็นต้องมีสิทธิ์มาเยี่ยมได้ หากตระกูลโม่ไม่เต็มใจเอาไป ก็เอาเด็กมาให้ฉัน ให้ใช้แซ่มู่ ฉันก็ยินดี ทางที่ดีก็ควรให้ฉัน แบบนี้ จะได้ไม่ส่งผลต่อความรักความผูกพันของคุณและคุณมู่” เธอพูดคำจำนวนมากออกมาในรวดเดียว พูดจบ เธอก็เงยหน้า จ้องตาโม่หาน

แต่พบว่า สายตาของเขาเยือกเย็น สายตาส่งกระจายความโกรธที่ไม่สามารถละเลยได้

เขากัดฟัน จ้องมองมู่เฉียวแล้วกล่าวว่า: “คุณพูดใหม่อีกครั้งซิ?หย่าอย่างนั้นเหรอ?มู่เฉียว คุณเห็นว่าฉันหลอกง่ายใช่ไหม?”

ปฏิกิริยาของมู่เฉียวกับคำพูดนี้ของเขา รู้สึกเกินความคาดหมายอย่างมาก เธอคิดว่าโม่หานจะดีใจจนแทบเป็นบ้า ถึงอย่างไร เขาก็ยังสามารถอยู่กับคู่รักที่มีใจให้กันมาตั้งแต่เด็กของเขาได้ ถึงอย่างไร เขาก็เกลียดชังเธอขนาดนั้น

และตัวโม่หานเองก็คิดแบบนี้ ที่เขาเข้ามานี้ เดิมทีก็อยากจะพูดเรื่องการหย่ากับมู่เฉียว เขาอยากจะเห็นผู้หญิงคนนี้ร้องไห้ฟูมฟาย อยากจะเห็นเธอขอร้องเขา แต่คาดไม่ถึงว่า เธอจะชิงเขาพูดไปก่อน เหตุการณ์ไม่คาดคิดนี้ ทำให้โม่หานอึดอัดใจอย่างมาก

เรื่องบางเรื่อง การเปลี่ยนแปลงก่อนหลัง นั่นก็ทำให้รู้สึกไม่เหมือนกันโดยสิ้นเชิง

ถ้าเขาเอ่ยออกมาก่อน คนที่ถูกสลัดทิ้งก็คือมู่เฉียว แต่เวลานี้ เขารู้สึกว่าตนเองถูกสลัดทิ้ง สำหรับเขาที่หยิ่งผยองอวดดีมาโดยตลอด ต้องได้รับผลกระทบที่ไม่น้อยอย่างแน่นอน

มู่เฉียวไม่อยากพูดชี้แจงกับเขาอีก “คุณจะคิดอย่างไรก็แล้วแต่ ฉันไม่อยากทะเลาะกับคุณ คุณไปเถอะ” พูดจบ ก็หลับตา ไม่พูดอะไรอีก

โมหานโตมาจนขนาดนี้แล้ว ไม่เคยถูกคนไม่แยแสเช่นนี้

เป็นครั้งแรกที่ถูกคนคนหนึ่งทำลายศักดิ์ศรีแบบนี้ ท่าทีของผู้หญิงคนนี้ ทำให้เขารู้สึกว่าตนเองน่าเบื่อหน่ายอย่างมาก นึกถึงเขาที่เติบโตมาถูกคนรายล้อมราวกับดาวล้อมเดือน แต่เวลานี้ถูกเธอโยนทิ้งเหมือนกับรองเท้าเก่าๆ โม่หานที่สงบนิ่งมาโดยตลอดได้พูดประโยคที่ควบคุมอารมณ์ออกมา “อยากหย่าเหรอ?มู่เฉียว คุณอย่าคิดเพ้อฝันไปเลย?หย่า ก็ต้องรอให้ฉันเล่นให้พอก่อนแล้วค่อยหย่า”

พูดจบ ก็ไม่รอการตอบสนองของมู่เฉียว ประตูก็ถูกปิดดังปัง

โรคประสาท

มู่เฉียวตำหนิเบาๆ

ต่อมา นอนโรงพยาบาลมาห้าวันแล้ว คนตระกูลโม่มารวมทั้งหมดแล้วก็สองวัน เพียงแต่ ตัดสินใจที่จะหย่ากับโม่หานแล้ว มู่เฉียวก็ไม่ได้รู้สึกสำคัญอะไร แต่รู้สึกสงสารเด็กคนนี้ ที่พอเกิดมา พ่อก็ไม่เอ็นดู ปู่ก็ไม่รัก

“เฉียวเอ๋อ คุณตามพ่อแม่กลับไปอยู่เดือน (การดูแลแม่ลูกอ่อนแบบจีน) ที่บ้านเถอะนะ?” ก่อนจะเตรียมออกจากโรงพยาบาลคืนหนึ่ง จู่ๆแม่ก็กุมมือมู่เฉียว แล้วกล่าวข้อเสนอ

มู่เฉียวรู้ว่า แม่คงจะสงสารเธอ ที่ท่าทีของคนตระกูลโม่นี้ไม่ดีเลยจริงๆ คาดว่าเธอจะกลัวว่าเธอจะรู้สึกน้อยใจ

อันที่จริงมู่เฉียวก็เคยคิด ว่าจะกลับบ้านไปอยู่เดือน แต่ไม่ต้องพูดถึงการกลับไป ขับรถก็ต้องใช้เวลาหลายชั่วโมง คนตระกูลโม่ก็คงไม่เห็นด้วย ความสัมพันธ์ตอนนี้ของเธอและโม่หาน ถึงแม้คนนอกจะไม่รู้ แต่เพื่อนสนิทต่างก็รู้ นี่เธอคลอดลูก ก็จะต้องมีคนจำนวนไม่น้อยเข้ามาเยี่ยมแน่นอน ถ้าเธอไปบ้านพ่อแม่ ก็ต้องระแวงคนนินทาอีก ถึงแม้เธอจะไม่สนใจ แต่เธอก็ไม่อยากหาเรื่องให้คนตระกูลโม่โกรธ กลัวว่าหากพวกเขาโกรธแล้ว จะให้ยอมให้เธอได้เจอลูก

ในที่สุด มู่เฉียวก็กลับมาอยู่คฤหาสน์หลังนั้นที่เธออยู่ และเธอก็เริ่มวางแผนเรื่องการหย่ากับโม่หาน

มู่เฉียวมองเขาอย่างเย็นชา แต่ไม่ได้คิดที่จะอธิบาย กำลังจะหย่าแล้ว เธอไม่สนใจแล้วว่าเขาจะมองเธออย่างไร ถึงอย่างไรในสายตาของเขา ตนเองทำอะไรก็ผิด

“สองวันนี้ฉันจะย้ายออกไปอยู่ที่บ้านก่อนหน้านี้ ให้เสี่ยวโยวพักอยู่ที่บ้านชั่วคราว รอ……”

“ถ้าหย่าแล้ว ตั้งแต่นี้ต่อไป ก็ไม่อนุญาตให้คุณเจอโม่เสี่ยวโยวอีก” ชายคนนั้นมองเธอด้วยสายตาที่ราวกับคบเพลิง ในสายตาเขามีความโหดเหี้ยม มู่เฉียวรู้ว่าเขาไม่ได้ล้อเล่น

แต่ถึงอย่างไร เธอก็รู้สึกว่าผู้ชายคนนี้ไม่ต้องการจะหย่า

“คุณไม่ให้ฉันเจอโม่เสี่ยวโยว เราก็ต้องไปฟ้องศาล เธอเด็กขนาดนี้ ศาลจะต้องตัดสินให้ฉันอย่างแน่นอน” ก่อนหน้านี้เธอได้ค้นคว้าในอินเทอร์เน็ตมาแล้วจึงฮึกเหิมเล็กน้อย

“งั้นเหรอ?คนเร่ร่อนที่ไม่มีงานทำคนหนึ่ง ศาลจะตัดสินให้ใคร ก็พูดยากจริงๆ” ชายคนนั้นลุกขึ้นยืน เดินไปตรงหน้าเธอ ก้มตัวนิดๆ มู่เฉียวเห็นการแสดงออกที่โหดเหี้ยมของตนเองในสายตาของเขา

“คุณมันเลว” เธอรู้ดีว่าด้วยอำนาจและอิทธิพลของตระกูลโม่ เขามีความสามารถมากพอที่จะทำให้ตนเองตกงานได้

“โม่หาน คุณไม่ได้สับสนอะไรใช่ไหม คุณไม่หย่า คุณกับ……คุณกับหยิงหยิงจะแต่งงานกันได้อย่างไร?” น้ำเสียงของคุณนายโม่ร้อนรนเล็กน้อย ปกปิดไว้ไม่มิดเลยจริงๆ เธอรังเกียจมู่เฉียว เธอชอบมู่หยิง

แต่ว่าไม่ว่าจะรังเกียจหรือชอบ เธอก็ไม่ได้สนใจ พูดได้ว่าเธอไม่เคยสนใจเลยดีกว่า

เธอมองโม่หานด้วยสายตายั่วโมโห “ใช่สิ คุณไม่หย่า คู่รักในวัยเด็กของคุณจะทำอย่างไรล่ะ?”

จากนั้นก็ยกยิ้มขึ้นมาราวกับว่าได้ชัยชนะมาไว้ในมือ

โม่หานยอมรับว่าตนเองเกลียดสีหน้าท่าทางนี้ของเธอที่สุด เลิกคิ้วแล้วพูดว่า “จะแต่งงานก็จำเป็นต้องหย่า ส่วนเด็กก็ไม่อนุญาตให้เธอเจออีก”

“อย่างนั้นฉันก็ไม่หย่า ฉันจะรอดูสิว่า คุณมู่ยังจะทนรอไหวไหม” โม่หานแก่กว่าเธอหลายปี มู่หยิงอ่อนกว่าโม่หานไม่กี่เดือน ปีนี้ 27 แล้ว แต่เธอเพิ่งจะอายุ 25 ถึงแม้ว่าอายุห่างกันสองสามปีจะดูไม่มาก แต่สามปีของผู้หญิง มันแตกต่างกันมาก เธอไม่เชื่อว่า ผู้หญิงที่มีนิสัยเห็นแก่ตัวของมู่หยิงนั้น จะรอโม่หานได้

พูดจบประโยคนี้ มู่เฉียวก็รับโม่เสี่ยวโยวมาจากพี่เลี้ยง ก็หันกลับไปคำนับให้นายท่านทั้งสอง “ฉันกลับห้องก่อน”

ใกล้ถึงมื้อค่ำ มู่หยิงก็หาเหตุผลเพื่อมาทานข้าว พอถึงตระกูลโม่ ก็หาข้ออ้างมาดูเด็กแล้วก็พบมู่เฉียว

อารมณ์เธอสงบนิ่งอย่างมาก มองไม่ออกว่าเสียใจหรือว่าชอบ

อันที่จริงเธอก็อึดอัดใจอย่างมาก ตามแผนการของมู่หยิงแล้ว เธอต้องการนำเลือดจากสายสะดือไปใช้หลังจากที่เด็กเกิด และเธอก็ไม่มีค่าอะไรแล้ว แต่เธอไม่เข้าใจว่าทำไมเธอถึงบังคับให้เธอแต่งงานกับโม่หานตั้งแต่แรก

“พี่สะใภ้ เพราะอะไรคุณต้องหย่ากับพี่ชายฉันด้วย?”

มู่เฉียวคิดว่าตนเองได้ยินผิดไป เธอหันกลับมามองมู่หยิง “คุณไม่ได้อยากจะแต่งงานเข้ามาเหรอ?”

โม่เสี่ยวโยวหลับแล้ว มู่หยิงก็จัดระเบียบผ้าห่มให้เธออย่างนุ่มนวล “อยากสิ แต่ว่าพี่สะใภ้ เสี่ยวโยวยังเล็กขนาดนี้ รอให้เธอครบหนึ่งขวบก่อนดีไหม?มิเช่นนั้นเด็กจะน่าสงสารอย่างมาก”

ท่าทางเธอดูปรารถนาดีอย่างมาก แต่การกล่าวเตือนสติในสายตาเธอ ทำให้มู่เฉียวกลัวจนตัวสั่น ชั่วพริบตาเธอก็นึกขึ้นได้อีกครั้งว่าเธอประเมินความโหดร้ายของผู้หญิงคนนี้ต่ำไป

อาการป่วยของโม่หาน ตลอดสองปีนี้ได้รับเคมีบำบัดมาตลอด แล้วหมอก็บอกชัดเจนว่า ไม่ควรใช้การปลูกถ่ายไขกระดูกเป็นทางเลือกสุดท้าย การสร้างยีนที่ดื้อยาหลายชนิดด้วยเคมีบำบัดในที่สุดก็ไม่มียาอะไรที่ใช้ได้ อีกทั้งเคมีบำบัดจะฆ่าเซลล์มะเร็งเม็ดเลือดขาวไปแล้ว นอกจากนี้ยังฆ่าเซลล์ปกติจำนวนมากและทำให้เกิดผลข้างเคียงทางเดินอาหาร และเกิดภาวะแทรกซ้อนของตับไตทำให้ระบบต่างๆเสียหาย จนกระทั่งทำให้ภูมิคุ้มกันของร่างกายลดลง ฉะนั้น ความหมายของหมอก็คือ ภายในปีนี้ยังคงต้องได้รับการปลูกถ่ายไขกระดูกให้ได้

ฉะนั้นหลังจากที่มู่หยิงรอการปลูกถ่ายไขกระดูกแล้ว ตรวจสอบให้แน่ใจว่าโม่หานมีสุขภาพแข็งแรงค่อยแต่งงานกัน หากการปลูกถ่ายล้มเหลว เธอก็จะถอยออกไป

นึกถึงตรงนี้แล้ว เธอก็รู้สึกเวทนาโม่หานขึ้นมา ป่วยจนกลายเป็นอย่างนี้แล้ว ยังจะโง่ถูกผู้หญิงคนหนึ่งวางแผนการทำร้ายอีก

เพียงแต่ทันทีหลังจากนั้น แต่เมื่อเธอนึกถึงว่า อีกฝ่ายเต็มใจที่จะทำร้ายและอีกฝ่ายเต็มใจที่จะอดทน จิตใจก็สงบลงมา

“หนึ่งปีนี้ คุณสามารถออกไปหางานได้ แบบนี้ หลังจากหนึ่งปีคุณมีการงานที่มั่นคงแล้ว เสี่ยวโยวจึงสามารถอยู่โดยที่พวกคุณหย่ากันได้ ตัดสินให้คุณแบบนี้ คุณเห็นว่าอย่างไร?”

ความเฉลียวฉลาดของเธอ ความมีจิตใจเมตตาของเธอ แต่สำหรับมู่เฉียวแล้ว เป็นการใช้อำนาจคุกคาม ผู้หญิงคนนี้ใช้เสี่ยวโยวมาคุกคามเธอ

เธอหันหน้าไปมองมู่หยิง ริมฝีปากสั่นเล็กน้อย คุณมันเลวเกินไปจริงๆ ระวังเถอะ กรรมจะตามสนอง”

มู่หยิงมองเธออย่างไร้เดียงสา “พี่สะใภ้มีจิตใจที่ดี ดังนั้น คนดี….ก็ได้รับผลกรรมที่ดี”

เธอที่แอบใส่ความให้ร้ายอยู่ลับหลัง ทำให้มู่เฉียวโมโหถึงขีดสุด นึกถึงผู้หญิงคนนี้ที่เอาชีวิตของเธอไปเล่นอยู่ในฝ่ามือ จู่ๆในสมองของเธอก็ปรากฏความคิดตลกๆขึ้นมา หนึ่งปีใช่ไหม?

ถ้าหลังจากหนึ่งปี โม่หานหายดีแล้ว แข็งแรงแล้ว แล้วเปลี่ยนใจ มารักเธอล่ะ?

อย่างนั้น มู่หยิงยังอยากจะแต่งงานอยู่ไหม?โม่หานก็ไม่ต้องการแล้วใช่ไหม?

เธอถูกความคิดนี้ทำให้ตกใจ แต่ในทันที ก็ตอกย้ำในความคิดนี้ ชายหญิงคู่นี้น่ารังเกียจเกินไปจริงๆ เธอใช้ช่วงเวลาหนึ่งปี แก้แค้นพวกเขาอย่างโหดเหี้ยม

ถึงแม้ว่าหลังจากหนึ่งปีแล้ว โม่หานจะไม่รักเธอ เธอก็ไม่เสียหายใดๆ แต่ถ้ารักเธอล่ะ?

คิดแล้ว มู่หยิงก็พยายามคิดหาแผนการ ท้ายที่สุดแล้ว โม่หานหายดีแล้ว แต่การกระทำก็จะไร้ประโยชน์ ในใจเธอก็มีความสุขอย่างไม่มีอะไรมาเทียบได้

พ่อแม่สอนให้เธอมีจิตใจเมตตา ไม่คิดร้ายต่อผู้อื่น แต่พ่อแม่ก็สอนเธออีกว่า การมีเมตตาต้องแยกแยะ หากเมตตากับคนชั่ว นั่นก็การรู้เห็นที่น่ารังเกียจอย่างมาก

คิดถึงตรงนี้แล้ว เธอก็เงยหน้ามองซูหยิง “ได้ ฉันรับปากคุณ”

สุดท้าย ด้วยเหตุผลที่โม่เสี่ยวโยวยังเล็กเกินไป เธอจึงยังไม่หย่าชั่วคราว หลังจากโม่เสี่ยวโยวได้ขวบหนึ่งแล้ว ค่อยคิดวางแผนอีกที

โม่หานถากถางเธอ อยากจะเล่นละครขุดบ่อล่อปลา

แต่เธอดึงแขนของเขา แล้วกล่าวกระซิบว่า “ถ้าคุณไม่อยากหย่า หลังจากหนึ่งปีแล้ว ฉันก็ไม่หย่าก็ได้นะ”

โม่หานหลบเลี่ยงราวกับโรคระบาด กระทั่งเปลี่ยนเสื้อผ้าในทันที

เธอก็ไม่ได้โมโห เอ่ยถึงข้อเรียกร้องที่อยากจะไปทำงาน เหตุผลคือ หลังจากหนึ่งปี หย่ากันแล้ว จะได้มีอาชีพทำมาหากินไว้เลี้ยงชีพตัวเอง คุณนายโม่มองเธออย่างรังเกียจ พอคิดว่าหลังจากหนึ่งปี ก็จะได้หลุดพ้นแล้ว จึงเห็นด้วย

มู่เฉียวกลับไปบริษัทเดิมที่เคยทำมาก่อน ก่อนหน้านี้เธอแจ้งลาป่วยไว้กับบริษัท ดังนั้น จึงกลับไปได้ไม่ยาก

หลังจากเริ่มงานปกติ เธอก็ตื่นแต่เช้าวิ่งไปบริษัท การเดินทาง40กว่านาที พักกลางวันสองชั่วโมง เธอก็ไปศูนย์ฟื้นฟูหลังการคลอด ตอนเย็นก็วิ่งกลับมาอีกครั้ง ไม่กลัวลมฝน

หนึ่งเดือนนี้ เธอออกแต่เช้ากลับมามืด หลบเลี่ยงโม่หานอย่างสุดความสามารถ เธอยุ่ง โม่หานก็ยิ่งยุ่ง บวกกับเธอมีใจที่จะหลบเลี่ยง คนทั้งสองเลยไม่ได้เจอหน้ากันตลอดหนึ่งเดือน

“เสี่ยวเฉียว ฉันนับถือคุณจริงๆ เดือนเดียวคุณผอมลงไปได้ถึงขนาดนี้ คุณไม่ไปถ่ายโฆษณาลดน้ำหนักก็เสียดายแย่เลย” ทานข้าวตอนกลางวัน เพื่อนร่วมงานที่นั่งอยู่แถวหน้ากล่าวกระซิบ

มู่เฉียวยิ้มเล็กน้อย “จะทำอย่างไรได้ล่ะ ก็งานที่พวกเราทำนี้ ความสวยเป็นเรื่องสำคัญ” เพราะงานล่ามที่มักจะต้องติดตามลูกค้าอยู่เสมอ ถึงแม้ว่าความสัมพันธ์ทั้งสองนี้เป็นเรื่องปกติ แต่ในสังคมนี้ ใครก็เต็มใจที่จะให้คนสวยคนหนึ่งยืนข้างๆ ไม่ใช่คนที่อ้วนกลมใช่ไหมล่ะ?

“คุณพูดถูกอย่างมาก ถ้าไม่ใช่เพราะว่าคุณสวยนะ BOSSคงไม่เสียงอันตรายให้คุณทำงานใหญ่กับโม่กรุ๊ปแบบนี้หรอก ถึงอย่างไรก่อนหน้านี้คุณก็ไม่เคยเป็นล่ามภาษาเยอรมันใช่ไหมล่ะ?”

มู่เฉียวคีบอาหารอย่างช้าๆ แต่ในใจเธอก็โล่งอก ก่อนหน้านี้เธอได้ยินเพื่อนร่วมงานภายในแผนกพูดว่า บริษัทรับใบรายการใหญ่ใบหนึ่งมาจากโม่กรุ๊ป เธอจึงไปเสนอตัวเองกับเจ้านาย แล้วส่งหนังสือรับรองการสอบภาษาเยอรมันระดับC2 เจ้านายแปลกใจอย่างมาก ชมว่าเธอป่วยยังไม่ลืมที่จะร่ำเรียน ถึงอย่างไรนี่เป็นครั้งแรกที่รับเป็นล่ามภาษาเยอรมัน อีกทั้งเป็นใบรายการใหญ่ของโม่กรุ๊ป ในใจเธอก็ไม่ค่อยมีความมั่นใจ

เวลานี้ จึงพ่นลมหายใจออกมาอย่างแรง ยกยิ้มมุมปาก โม่หาน รอดูฉันแล้วกัน

มู่เฉียวมองเขาอย่างเย็นชา แต่ไม่ได้คิดที่จะอธิบาย กำลังจะหย่าแล้ว เธอไม่สนใจแล้วว่าเขาจะมองเธออย่างไร ถึงอย่างไรในสายตาของเขา ตนเองทำอะไรก็ผิด

“สองวันนี้ฉันจะย้ายออกไปอยู่ที่บ้านก่อนหน้านี้ ให้เสี่ยวโยวพักอยู่ที่บ้านชั่วคราว รอ……”

“ถ้าหย่าแล้ว ตั้งแต่นี้ต่อไป ก็ไม่อนุญาตให้คุณเจอโม่เสี่ยวโยวอีก” ชายคนนั้นมองเธอด้วยสายตาที่ราวกับคบเพลิง ในสายตาเขามีความโหดเหี้ยม มู่เฉียวรู้ว่าเขาไม่ได้ล้อเล่น

แต่ถึงอย่างไร เธอก็รู้สึกว่าผู้ชายคนนี้ไม่ต้องการจะหย่า

“คุณไม่ให้ฉันเจอโม่เสี่ยวโยว เราก็ต้องไปฟ้องศาล เธอเด็กขนาดนี้ ศาลจะต้องตัดสินให้ฉันอย่างแน่นอน” ก่อนหน้านี้เธอได้ค้นคว้าในอินเทอร์เน็ตมาแล้วจึงฮึกเหิมเล็กน้อย

“งั้นเหรอ?คนเร่ร่อนที่ไม่มีงานทำคนหนึ่ง ศาลจะตัดสินให้ใคร ก็พูดยากจริงๆ” ชายคนนั้นลุกขึ้นยืน เดินไปตรงหน้าเธอ ก้มตัวนิดๆ มู่เฉียวเห็นการแสดงออกที่โหดเหี้ยมของตนเองในสายตาของเขา

“คุณมันเลว” เธอรู้ดีว่าด้วยอำนาจและอิทธิพลของตระกูลโม่ เขามีความสามารถมากพอที่จะทำให้ตนเองตกงานได้

“โม่หาน คุณไม่ได้สับสนอะไรใช่ไหม คุณไม่หย่า คุณกับ……คุณกับหยิงหยิงจะแต่งงานกันได้อย่างไร?” น้ำเสียงของคุณนายโม่ร้อนรนเล็กน้อย ปกปิดไว้ไม่มิดเลยจริงๆ เธอรังเกียจมู่เฉียว เธอชอบมู่หยิง

แต่ว่าไม่ว่าจะรังเกียจหรือชอบ เธอก็ไม่ได้สนใจ พูดได้ว่าเธอไม่เคยสนใจเลยดีกว่า

เธอมองโม่หานด้วยสายตายั่วโมโห “ใช่สิ คุณไม่หย่า คู่รักในวัยเด็กของคุณจะทำอย่างไรล่ะ?”

จากนั้นก็ยกยิ้มขึ้นมาราวกับว่าได้ชัยชนะมาไว้ในมือ

โม่หานยอมรับว่าตนเองเกลียดสีหน้าท่าทางนี้ของเธอที่สุด เลิกคิ้วแล้วพูดว่า “จะแต่งงานก็จำเป็นต้องหย่า ส่วนเด็กก็ไม่อนุญาตให้เธอเจออีก”

“อย่างนั้นฉันก็ไม่หย่า ฉันจะรอดูสิว่า คุณมู่ยังจะทนรอไหวไหม” โม่หานแก่กว่าเธอหลายปี มู่หยิงอ่อนกว่าโม่หานไม่กี่เดือน ปีนี้ 27 แล้ว แต่เธอเพิ่งจะอายุ 25 ถึงแม้ว่าอายุห่างกันสองสามปีจะดูไม่มาก แต่สามปีของผู้หญิง มันแตกต่างกันมาก เธอไม่เชื่อว่า ผู้หญิงที่มีนิสัยเห็นแก่ตัวของมู่หยิงนั้น จะรอโม่หานได้

พูดจบประโยคนี้ มู่เฉียวก็รับโม่เสี่ยวโยวมาจากพี่เลี้ยง ก็หันกลับไปคำนับให้นายท่านทั้งสอง “ฉันกลับห้องก่อน”

ใกล้ถึงมื้อค่ำ มู่หยิงก็หาเหตุผลเพื่อมาทานข้าว พอถึงตระกูลโม่ ก็หาข้ออ้างมาดูเด็กแล้วก็พบมู่เฉียว

อารมณ์เธอสงบนิ่งอย่างมาก มองไม่ออกว่าเสียใจหรือว่าชอบ

อันที่จริงเธอก็อึดอัดใจอย่างมาก ตามแผนการของมู่หยิงแล้ว เธอต้องการนำเลือดจากสายสะดือไปใช้หลังจากที่เด็กเกิด และเธอก็ไม่มีค่าอะไรแล้ว แต่เธอไม่เข้าใจว่าทำไมเธอถึงบังคับให้เธอแต่งงานกับโม่หานตั้งแต่แรก

“พี่สะใภ้ เพราะอะไรคุณต้องหย่ากับพี่ชายฉันด้วย?”

มู่เฉียวคิดว่าตนเองได้ยินผิดไป เธอหันกลับมามองมู่หยิง “คุณไม่ได้อยากจะแต่งงานเข้ามาเหรอ?”

โม่เสี่ยวโยวหลับแล้ว มู่หยิงก็จัดระเบียบผ้าห่มให้เธออย่างนุ่มนวล “อยากสิ แต่ว่าพี่สะใภ้ เสี่ยวโยวยังเล็กขนาดนี้ รอให้เธอครบหนึ่งขวบก่อนดีไหม?มิเช่นนั้นเด็กจะน่าสงสารอย่างมาก”

ท่าทางเธอดูปรารถนาดีอย่างมาก แต่การกล่าวเตือนสติในสายตาเธอ ทำให้มู่เฉียวกลัวจนตัวสั่น ชั่วพริบตาเธอก็นึกขึ้นได้อีกครั้งว่าเธอประเมินความโหดร้ายของผู้หญิงคนนี้ต่ำไป

อาการป่วยของโม่หาน ตลอดสองปีนี้ได้รับเคมีบำบัดมาตลอด แล้วหมอก็บอกชัดเจนว่า ไม่ควรใช้การปลูกถ่ายไขกระดูกเป็นทางเลือกสุดท้าย การสร้างยีนที่ดื้อยาหลายชนิดด้วยเคมีบำบัดในที่สุดก็ไม่มียาอะไรที่ใช้ได้ อีกทั้งเคมีบำบัดจะฆ่าเซลล์มะเร็งเม็ดเลือดขาวไปแล้ว นอกจากนี้ยังฆ่าเซลล์ปกติจำนวนมากและทำให้เกิดผลข้างเคียงทางเดินอาหาร และเกิดภาวะแทรกซ้อนของตับไตทำให้ระบบต่างๆเสียหาย จนกระทั่งทำให้ภูมิคุ้มกันของร่างกายลดลง ฉะนั้น ความหมายของหมอก็คือ ภายในปีนี้ยังคงต้องได้รับการปลูกถ่ายไขกระดูกให้ได้

ฉะนั้นหลังจากที่มู่หยิงรอการปลูกถ่ายไขกระดูกแล้ว ตรวจสอบให้แน่ใจว่าโม่หานมีสุขภาพแข็งแรงค่อยแต่งงานกัน หากการปลูกถ่ายล้มเหลว เธอก็จะถอยออกไป

นึกถึงตรงนี้แล้ว เธอก็รู้สึกเวทนาโม่หานขึ้นมา ป่วยจนกลายเป็นอย่างนี้แล้ว ยังจะโง่ถูกผู้หญิงคนหนึ่งวางแผนการทำร้ายอีก

เพียงแต่ทันทีหลังจากนั้น แต่เมื่อเธอนึกถึงว่า อีกฝ่ายเต็มใจที่จะทำร้ายและอีกฝ่ายเต็มใจที่จะอดทน จิตใจก็สงบลงมา

“หนึ่งปีนี้ คุณสามารถออกไปหางานได้ แบบนี้ หลังจากหนึ่งปีคุณมีการงานที่มั่นคงแล้ว เสี่ยวโยวจึงสามารถอยู่โดยที่พวกคุณหย่ากันได้ ตัดสินให้คุณแบบนี้ คุณเห็นว่าอย่างไร?”

ความเฉลียวฉลาดของเธอ ความมีจิตใจเมตตาของเธอ แต่สำหรับมู่เฉียวแล้ว เป็นการใช้อำนาจคุกคาม ผู้หญิงคนนี้ใช้เสี่ยวโยวมาคุกคามเธอ

เธอหันหน้าไปมองมู่หยิง ริมฝีปากสั่นเล็กน้อย คุณมันเลวเกินไปจริงๆ ระวังเถอะ กรรมจะตามสนอง”

มู่หยิงมองเธออย่างไร้เดียงสา “พี่สะใภ้มีจิตใจที่ดี ดังนั้น คนดี….ก็ได้รับผลกรรมที่ดี”

เธอที่แอบใส่ความให้ร้ายอยู่ลับหลัง ทำให้มู่เฉียวโมโหถึงขีดสุด นึกถึงผู้หญิงคนนี้ที่เอาชีวิตของเธอไปเล่นอยู่ในฝ่ามือ จู่ๆในสมองของเธอก็ปรากฏความคิดตลกๆขึ้นมา หนึ่งปีใช่ไหม?

ถ้าหลังจากหนึ่งปี โม่หานหายดีแล้ว แข็งแรงแล้ว แล้วเปลี่ยนใจ มารักเธอล่ะ?

อย่างนั้น มู่หยิงยังอยากจะแต่งงานอยู่ไหม?โม่หานก็ไม่ต้องการแล้วใช่ไหม?

เธอถูกความคิดนี้ทำให้ตกใจ แต่ในทันที ก็ตอกย้ำในความคิดนี้ ชายหญิงคู่นี้น่ารังเกียจเกินไปจริงๆ เธอใช้ช่วงเวลาหนึ่งปี แก้แค้นพวกเขาอย่างโหดเหี้ยม

ถึงแม้ว่าหลังจากหนึ่งปีแล้ว โม่หานจะไม่รักเธอ เธอก็ไม่เสียหายใดๆ แต่ถ้ารักเธอล่ะ?

คิดแล้ว มู่หยิงก็พยายามคิดหาแผนการ ท้ายที่สุดแล้ว โม่หานหายดีแล้ว แต่การกระทำก็จะไร้ประโยชน์ ในใจเธอก็มีความสุขอย่างไม่มีอะไรมาเทียบได้

พ่อแม่สอนให้เธอมีจิตใจเมตตา ไม่คิดร้ายต่อผู้อื่น แต่พ่อแม่ก็สอนเธออีกว่า การมีเมตตาต้องแยกแยะ หากเมตตากับคนชั่ว นั่นก็การรู้เห็นที่น่ารังเกียจอย่างมาก

คิดถึงตรงนี้แล้ว เธอก็เงยหน้ามองซูหยิง “ได้ ฉันรับปากคุณ”

สุดท้าย ด้วยเหตุผลที่โม่เสี่ยวโยวยังเล็กเกินไป เธอจึงยังไม่หย่าชั่วคราว หลังจากโม่เสี่ยวโยวได้ขวบหนึ่งแล้ว ค่อยคิดวางแผนอีกที

โม่หานถากถางเธอ อยากจะเล่นละครขุดบ่อล่อปลา

แต่เธอดึงแขนของเขา แล้วกล่าวกระซิบว่า “ถ้าคุณไม่อยากหย่า หลังจากหนึ่งปีแล้ว ฉันก็ไม่หย่าก็ได้นะ”

โม่หานหลบเลี่ยงราวกับโรคระบาด กระทั่งเปลี่ยนเสื้อผ้าในทันที

เธอก็ไม่ได้โมโห เอ่ยถึงข้อเรียกร้องที่อยากจะไปทำงาน เหตุผลคือ หลังจากหนึ่งปี หย่ากันแล้ว จะได้มีอาชีพทำมาหากินไว้เลี้ยงชีพตัวเอง คุณนายโม่มองเธออย่างรังเกียจ พอคิดว่าหลังจากหนึ่งปี ก็จะได้หลุดพ้นแล้ว จึงเห็นด้วย

มู่เฉียวกลับไปบริษัทเดิมที่เคยทำมาก่อน ก่อนหน้านี้เธอแจ้งลาป่วยไว้กับบริษัท ดังนั้น จึงกลับไปได้ไม่ยาก

หลังจากเริ่มงานปกติ เธอก็ตื่นแต่เช้าวิ่งไปบริษัท การเดินทาง40กว่านาที พักกลางวันสองชั่วโมง เธอก็ไปศูนย์ฟื้นฟูหลังการคลอด ตอนเย็นก็วิ่งกลับมาอีกครั้ง ไม่กลัวลมฝน

หนึ่งเดือนนี้ เธอออกแต่เช้ากลับมามืด หลบเลี่ยงโม่หานอย่างสุดความสามารถ เธอยุ่ง โม่หานก็ยิ่งยุ่ง บวกกับเธอมีใจที่จะหลบเลี่ยง คนทั้งสองเลยไม่ได้เจอหน้ากันตลอดหนึ่งเดือน

“เสี่ยวเฉียว ฉันนับถือคุณจริงๆ เดือนเดียวคุณผอมลงไปได้ถึงขนาดนี้ คุณไม่ไปถ่ายโฆษณาลดน้ำหนักก็เสียดายแย่เลย” ทานข้าวตอนกลางวัน เพื่อนร่วมงานที่นั่งอยู่แถวหน้ากล่าวกระซิบ

มู่เฉียวยิ้มเล็กน้อย “จะทำอย่างไรได้ล่ะ ก็งานที่พวกเราทำนี้ ความสวยเป็นเรื่องสำคัญ” เพราะงานล่ามที่มักจะต้องติดตามลูกค้าอยู่เสมอ ถึงแม้ว่าความสัมพันธ์ทั้งสองนี้เป็นเรื่องปกติ แต่ในสังคมนี้ ใครก็เต็มใจที่จะให้คนสวยคนหนึ่งยืนข้างๆ ไม่ใช่คนที่อ้วนกลมใช่ไหมล่ะ?

“คุณพูดถูกอย่างมาก ถ้าไม่ใช่เพราะว่าคุณสวยนะ BOSSคงไม่เสียงอันตรายให้คุณทำงานใหญ่กับโม่กรุ๊ปแบบนี้หรอก ถึงอย่างไรก่อนหน้านี้คุณก็ไม่เคยเป็นล่ามภาษาเยอรมันใช่ไหมล่ะ?”

มู่เฉียวคีบอาหารอย่างช้าๆ แต่ในใจเธอก็โล่งอก ก่อนหน้านี้เธอได้ยินเพื่อนร่วมงานภายในแผนกพูดว่า บริษัทรับใบรายการใหญ่ใบหนึ่งมาจากโม่กรุ๊ป เธอจึงไปเสนอตัวเองกับเจ้านาย แล้วส่งหนังสือรับรองการสอบภาษาเยอรมันระดับC2 เจ้านายแปลกใจอย่างมาก ชมว่าเธอป่วยยังไม่ลืมที่จะร่ำเรียน ถึงอย่างไรนี่เป็นครั้งแรกที่รับเป็นล่ามภาษาเยอรมัน อีกทั้งเป็นใบรายการใหญ่ของโม่กรุ๊ป ในใจเธอก็ไม่ค่อยมีความมั่นใจ

เวลานี้ จึงพ่นลมหายใจออกมาอย่างแรง ยกยิ้มมุมปาก โม่หาน รอดูฉันแล้วกัน

มู่เฉียวหันกลับมา ก็เห็นลูกสาวของป้าหลิว จ้าวเชี่ยนเห็นเธอขานตอบ ก็รีบเข้ามาต้อนรับ พยุงแขนของเธอ “ฉันยังคิดว่าตนเองจำคนผิดหรือเปล่า?ครั้งที่แล้วฉันกลับบ้าน แม่ฉันบอกกับฉันว่า คุณแต่งงานแล้วใช่ไหม?ทำไมคุณไม่เห็นกลับบ้านไปจัดงานเลี้ยงเลย?อีกทั้งวันที่อากาศร้อนแบบนี้ คุณสวมหมวกทำไม?” พูดแล้วก็หยิบหมวกออกให้เธอ มู่เฉียวสูดลมหายใจ

จ้าวเชี่ยนคนนี้กับเธอเติบโตมาด้วยกัน เพราะพ่อแม่ทั้งสองฝ่ายมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน ตอนนั้นทั้งสองคนอยู่ด้วยกันเกือบทุกวัน อายุมากกว่าเธอหนึ่งปี อุปนิสัยเป็นคนพูดจาไร้สาระไปเรื่อย แล้วก็เป็นคนจิตใจดีเหมือนกันกับป้าหลิว บางครั้งก็มากเกินไปจนเธอตอบแทนไม่ไหว ฉะนั้นหลังจากโตขึ้นแล้ว มู่เฉียวก็ค่อยๆเหินห่างกับเธอ จนปีที่แล้วแม่บอกว่า เธอแต่งงานมีสามีแล้ว เป็นเพื่อนร่วมชั้นที่มหาวิทยาลัย ฐานะครอบครัวก็ค่อนข้างดี

มู่เฉียวไม่คิดว่าตนเองอ้วนจนกลายเป็นอย่างนี้ เธอก็จำได้ ไม่รู้ว่าควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี

“คุณ ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่?” เธอฉีกหัวข้อสนทนา

สีหน้าจ้าวเชี่ยนแข็งทื่อ มองย้อนกลับไปมองผู้หญิงแต่งตัวหรูหราที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ “ฉันแต่งงานมาปีกว่าแล้ว ยังไม่มีการเคลื่อนไหวเลย แม่สามีกลัวว่าฉันจะมีลูกไม่ได้ จึงตระหนกตกใจลากฉันมาตรวจ” จู่ๆเธอก็เดินเข้ามาใกล้มู่เฉียว “อันที่จริง ฉันปรึกษาหารือกับสามีแล้ว ว่าอยากให้เลื่อนไปก่อน หน้าที่การงานของเราสองคนก็เพิ่งจะดีขึ้น ไม่อยากมีลูกเร็วขนาดนี้”

มู่เฉียวพยักหน้า “อืม……อย่างนั้น……”

“คุณท้องเหรอ ท้องคุณใหญ่ขนาดนี้เลยเหรอ?” จู่ๆจ้าวเชี่ยนก็ร้องอย่างตกใจ สายตาของทุกคนก็จับจ้องมองมา มู่เฉียวกลืนน้ำลายเล็กน้อยทำตัวไม่ถูก ก้มมองท้องที่นูนใหญ่ของตนเอง ท้องใหญ่ขนาดนี้ จ้าวเชี่ยนเพิ่งจะเห็นเหรอ?เฮ้อ นิสัยนี้ไม่เปลี่ยนไปเลยจริงๆ

“สามีคุณเป็นใครล่ะ?ทำไมไม่มาเป็นเพื่อนคุณ?อีกอย่างเหมือนพวกคุณไม่ได้จัดงานแต่งด้วยใช่ไหม ฉันไม่เคยได้ยินแม่ฉัน……”

“พอดีท้องก่อนแต่ง คลอดลูกแล้วค่อยจัดงาน” มู่เฉียวพูดตัดบทจ้าวเชี่ยน

จ้าวเชี่ยนยังอยากจะถามอะไรอีก

“เสี่ยวเชี่ยน ถึงคิวคุณแล้ว” เสียงแม่สามีทอดออกมา

มู่เฉียวโล่งอก “คุณรีบไปเถอะ วันหลังเจอกันค่อยคุยกันใหม่”

แต่ลืมไปว่าหมวกยังอยู่ในมือของจ้าวเชี่ยน

เมื่อออกมาแล้ว คุณนายโม่ที่นั่งอยู่บนรถเห็นว่าเธอไม่สวมหมวก สีหน้าก็ไม่ค่อยดีเล็กน้อย

“บอกแล้วไงว่าให้สวมหมวก คนเหล่านั้นจะถ่ายรูปคุณเอาได้”

มู่เฉียวขี้เกียจจะอธิบาย อ้วนจนกลายเป็นอย่างนี้จะถ่ายก็ถ่ายไปเถอะ ต่อไปเมื่อผอมลงแล้ว ใครยังจะจำได้อีกล่ะ?

คุณนายโม่มองการณ์ไกลจริงๆ

วันต่อมา มู่เฉียวก็กลายเป็นคำค้นหายอดฮิต

มองเว็บเพจบนมือถือ หญิงคนนั้นที่อ้วนจนหน้าบีบกลายเป็นก้อนกลม เธอส่ายๆหัว มิน่าล่ะผู้ชายมากมาย จึงได้นอกใจตอนผู้หญิงท้อง น่าเวทนาจริงๆเลย

เพียงแต่เธอก็เข้าใจดี การนอกใจเหล่านั้น ทั้งหมดเป็นเพราะว่าไม่ได้มีความรัก อย่างเช่นเธอ

โชคดีที่เธอนี้ มีนิสัยที่เย็นชามาตลอด ไม่มีเพื่อนที่แสนดีเป็นพิเศษ เลยไม่มีใครโทรหาเธอ ถามโน่นถามนี่ และคนที่รู้จัก ก็ไม่ได้ติดต่อมาเพราะคาดไม่ถึงว่าจะเป็นเธอ ไม่ต้องพูดถึงว่าเปลี่ยนไปมากจนจำเธอไม่ได้หรอก แต่งงานเป็นลูกสะใภ้ตระกูลโม่อย่างลับๆ แล้วก็ท้องจนจะคลอดแล้ว คาดว่าก็คงไม่มีใครคิดว่าจะเป็นเธอ

ถึงตอนบ่าย มีโทรศัพท์เบอร์แปลกๆโทรเข้ามา เธอรับสาย

“ฮัลโหล เฉียวเอ๋อ ฉันเอง ที่แท้คุณแต่งงานกับโม่หานคนนั้นเหรอ?ไอ๋หยา คุณนี่จัดการได้เงียบจริงๆเลย แต่งงานกับผู้ชายหล่อรวยหน้าตาดี สักคำหนึ่งก็ไม่เปิดเผยออกมา จริงๆ……”

“เสี่ยวเชี่ยน เรื่องของฉันกับเขา ซับซ้อนเล็กน้อย คุณก็รู้ว่าพวกเขาเป็นคนรวย ไม่ค่อยชอบการโอ้อวด เรื่องนี้ คุณสามารถ……”

“ช่วยคุณปิดเป็นความลับ ใช่ไหม?วางใจได้ คุณอย่าลืมสิ ฉันเป็นสื่อมวลทำข่าว เรื่องนี้ ฉันเข้าใจ พวกเราทั้งสองโตมาด้วยกัน ฉันจะไม่หักหลังคุณเด็ดขาด ที่ฉันโทรศัพท์มาหา ก็เพราะเป็นห่วงคุณ ฉันเห็นว่าผู้ชายคนนั้นของคุณมีเรื่องราวค่อนข้างเยอะ เมื่อวานก็เห็นว่าคุณไปตรวจครรภ์เพียงคนเดียว เลยอยากจะถามว่า ที่ผ่านมาคุณเป็นอย่างไรบ้าง?”

มู่เฉียวยอมรับ ว่าจ้าวเชี่ยนเป็นคนมีน้ำใจ แต่ว่า บางครั้งความกระตือรือร้นที่มากเกินไป ก็อาจจะทำให้คนรู้สึกมีความกดดันมาก เธอสูดลมหายใจเข้า “ก็โอเค เดิมทีเขาก็จะมาเป็นเพื่อนฉัน เพียงแต่ เขาค่อนข้างยุ่งน่ะ”

“เขายุ่ง?ยุ่งที่จะต้องอยู่เป็นเพื่อนดาราที่มีชื่อเสียงเหล่านั้นน่ะเหรอ?เฉียวเอ๋อ ไม่ใช่ฉันตำหนิคุณนะ คุณอะ ตั้งแต่เด็กก็ฉลาดกว่าฉัน แต่นิสัยอ่อนแอเกินไป ในเมื่อคุณแต่งงานกับเขาแล้ว คุณก็ต้องกุมเขาไว้ในฝ่ามือ เขาประพฤติดีเลิศขนาดนี้ คุณยังไม่สนใจอีก จะเก่งเกินไปแล้วหรือเปล่า?”

มือถือของมู่เฉียวเปิดลำโพงอยู่ กำลังพับผ้า ได้ยินจ้าวเชี่ยนพูดแบบนี้ เธอก็นิ่งอึ้งไป “ผู้ชายที่ดี ไม่ต้องไปควบคุม ผู้ชายที่ต้องควบคุม ก็ปล่อยมันไปเถอะ”

“นั่นก็ไม่แน่หรอก คนคนนี้ของฉัน ก็ต้องควบคุม”

“นั่นก็ชัดเจนแล้วว่า เขารักคุณ ควบคุมร่างกายคนน่ะได้ แต่จะควบคุมหัวใจคนได้อย่างไร?”

“เฉียวเอ๋อ ฟังจากน้ำเสียงนี้ของคุณแล้ว โม่หานคนนั้น ไม่ชอบคุณเหรอ?”

มู่เฉียวเกาศีรษะ “เรื่องนี้ไม่สำคัญ เอาล่ะ ฉันมีธุระนิดหน่อย มีอะไรค่อยติดต่อมาอีกที เสี่ยวเชี่ยน ฝากคุณด้วยนะ”

“ได้ๆๆ คุณทำงานเถอะ ไว้เจอกัน”

วางสายแล้ว มู่เฉียวเม้มปาก แล้วหัวเราะเยาะ ควบคุม?เธอไม่ควรค่าแก่การทำ แล้วก็ไม่อยากทำ

“เรื่องนี้ไม่สำคัญ ในสายตาของคุณ เงินคือสำคัญที่สุดใช่ไหม?” เสียงของชายคนหนึ่งดังขึ้นมาจากด้านหลังทันที มู่เฉียวตกใจอย่างมาก

กุมหน้าอก “คุณไม่รู้เหรอว่าคนสามารถตกใจตายได้?” เงินสำคัญ เธออยากจะพูดอย่างมาก เธอแต่งงานเข้ามาตระกูลโม่ ให้กำเนิดลูกเพื่อตระกูลพวกเขา นอกจากจะทานอาหารเล็กน้อยจากบ้านของเขาแล้ว ค่าใช้จ่ายการตรวจครรภ์ตัวเองก็เป็นคนควักจ่าย เธอรักเงินตรงไหนกัน?

เพียงแต่ คำพูดเหล่านี้ เธอไม่อยากจะอธิบายกับผู้ชายคนนี้ รู้สึกว่าทำเรื่องเกินความจำเป็น คนที่รักคุณ จะเข้าใจด้วยตัวเอง คนที่ไม่รักคุณ อธิบายไปก็เหมือนเป็นข้ออ้าง

“คุณไม่ได้ทำเรื่องที่ไม่ชอบธรรม คุณจะกลัวอะไร?”

มู่เฉียวเงียบปาก คนทั้งสองสมคบคิดกัน เป็นแบบนี้มาโดยตลอด ทำให้เธอไม่มีความปรารถนาที่จะแก้ตัว เพียงแค่หวังว่าเวลาจะผ่านไปเร็วหน่อย เด็กจะได้คลอดออกมาโดยเร็ว

เห็นเธอไม่พูดจา ชายหนุ่มก็เดินตรงเข้ามา ห้องนี้ก่อนหน้าที่เธอจะมาอยู่ ว่างมาโดยตลอด มีเพื่อนมาพักบางครั้งบางคราว หลังจากนั้น ที่เธอเขามาพัก เขาก็ไม่เคยเข้ามาอีกเลย

พิจารณาเล็กน้อย โดยภาพรวมในห้องไม่มีการเปลี่ยนแปลง สีดำขาวเทา ตู้ที่เดิมที่วางเสื้อผ้าไว้ แถวหนึ่งวางเต็มไปด้วยหนังสือ ส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับการแปลล่าม

ก่อนหน้านี้ฉินฮ่าวเคยบอกกับเขาว่า ก่อนหน้านี้ผู้หญิงคนนี้เป็นล่าม เหมือนกับว่าความสามารถจะไม่เลวด้วย

เพียงแต่ พอตั้งครรภ์ก็หยุดอยู่บ้านทันที ไม่ออกไปไหนมาไหน ทุกวันผู้หญิงคนนี้ไม่กินก็นอน เขาจนปัญญาที่จะเชื่อมต่อคำว่าความสามารถกับเธอเข้าด้วยกันจริงๆ หนังสือเหล่านี้ อาจจะใช้เป็นการแสดงหรือเปล่า?

“เชิญออกไป ฉันต้องการนอนกลางวัน” มู่เฉียวเห็นเขาไม่ออกไป จึงกล่าวอย่างเย็นชา

“ออกไป?” โม่หานหันสายตากลับมา มองไปที่มู่เฉียว คนอ้วนกลม สวมชุดนอนสีชมพู ผมเผ้ายุ่งเหยิง จะมีเพียงอย่างเดียวที่เข้าตา ก็คงจะเป็นผิวที่ขาวหมดจด และใบหน้าที่แดงมีเลือดฝาด

“ได้ยินมาว่า ผู้หญิงท้อง ความต้องการในด้านนั้นจะค่อนข้างรุนแรง นี่คุณแต่งเข้ามา พวกเรายังไม่เคยเข้าหอด้วยกันเลย ต้องการไหม…..”

เมื่อมู่หยิงอาบน้ำออกมา โม่หานก็นอนอยู่บนเตียงแล้ว เธอเม้มๆปาก ราวกับว่าเป็นการตัดสินใจ สูดหายใจเข้าเปิดผ้าห่มออกแล้วขึ้นไปบนเตียง

โม่หานหลับตาเหมือนกำลังคิดอะไรอยู่ รู้สึกเหมือนมีการเคลื่อนไหวข้าง เขาจึงลืมตา แล้วก็เห็นฉากนี้

เขาตอบกลับโดยการพลิกตัวลงจากเตียง คิ้วขมวดพูดอย่างเคร่งขรึมว่า : “หยิงหยิง กลับห้องตัวเองไป”

มู่หยิงส่ายหัว มีน้ำตาคลอในดวงตา นั่งคุกเข่าอยู่บนเตียง “หาน ฉันอยากมอบตนเองให้คุณ ฉันไม่ให้คุณรับผิดชอบหรอก ดีไหม?ฉัน……”

“กลับห้องตัวเองไป” ชายคนนั้นกล่าวอย่างมุ่งมั่น หันกลับไปกลืนน้ำลาย ในแววตามีความเร่าร้อน “หยิงหยิง ฉันไม่อยากทำร้ายคุณ ครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้ายที่เราได้ออกมาเที่ยวด้วยกัน จากนี้ไป ฉันกับคุณเป็นแค่พี่น้องกัน”

เมื่อโม่หานพูดประโยคนี้ออกมา ส่วนลึกของหัวใจก็เหมือนถูกอะไรแทงเข้าไปครึ่งหนึ่ง ช่างเจ็บปวดรวดร้าว

แต่เนื่องจากเขาไม่สามารถให้สถานะของผู้หญิงคนนี้ได้ เขาก็เลยไม่อยากทำร้ายเธอ

“ไม่ โม่หาน ฉันไม่ต้องการเป็นพี่น้องกับคุณ ฉันไม่ต้องการ” มู่หยิงพูดจบก็ลงจากเตียง กอดโม่หานจากด้านหลัง

“คุณใสซื่อบริสุทธิ์แบบนี้ หยิงหยิง คุณสมควรได้รับการปฏิบัติที่ดี ตลอดชีวิตนี้ฉันทำให้คุณผิดหวัง ต่อไป ถ้าคุณมีความต้องการอะไร คุณแค่บอกมา ฉันจะพยายามทำให้คุณพึงพอใจ แต่ว่าความรักระหว่างชายหญิง ฉันให้ไม่ได้ แล้วก็ไม่สามารถให้ได้ด้วย”

“แต่คุณเพิ่งจะบอกว่าคุณจะไม่ทิ้งฉันไปไม่ใช่เหรอ?”

ในแววตาโม่หานมีความเจ็บปวด แล้วยังมีอารมณ์ความต้องการอย่างกระวนกระวายใจ

เขาหลับตาแล้วผลักมู่หยิงออกไป หยิบเสื้อผ้าและยาบนโต๊ะ “ฉันจะไปห้องข้างๆ คุณนอนพักผ่อนเถอะ”

“โม่หาน”

คำตอบรับเธอคือเสียงปิดประตู

มู่หยิงโมโหนำหมอนบนเตียงโยนลงบนพื้น เธอเสียดายจริงๆที่ตนเองเสียเวลาคิดให้มู่เฉียวมีอะไรกับโม่หาน เดิมทีเธอคิดว่า ขอเพียงแค่เธอเต็มใจ โม่หานจะไม่มีวันปฏิเสธเธอ

เมื่อโม่หานกลับไปที่ห้อง โทรศัพท์ก็ดังขึ้น เขาเหลือบมอง เห็นว่าเป็นแม่จึงรับสาย : “ฮัลโหล แม่”

“หาน คุณอยู่ที่ไหน?นี่กี่โมงแล้วคุณยังไม่กลับมา นี่คุณแต่งงานแล้วนะ ก็ทำให้เหมือนคนที่แต่งงานแล้ว……” พูดถึงตรงนี้ คุณนายโม่ก็หยุดไปชั่วขณะ “หาน สุขภาพของคุณไม่สามารถทำอะไรเกินไปได้ คุณ……”

“แม่ ฉันรู้แล้ว คุณนอนเถอะ!” โม่หานพูดจบ ก็วางสายไป เงยหน้าขึ้นหลับตา อดกลั้นความปวดหัวของเขาเอง

นึกถึงคำว่าแต่งงานสองคำ นึกถึงผู้หญิงคนนั้นในบ้าน เขาไม่เข้าใจจริงๆว่าผู้หญิงคนหนึ่งจะหน้าด้านได้ขนาดนี้ สามารถเห็นเขา”อยู่ด้วยกัน”กับหญิงอื่นได้ เธอไม่สะทกสะท้านเลย เงินทองความมั่งคั่งสำคัญขนาดนี้เลยเหรอ?

วันต่อมา มู่เฉียวยังไม่ตื่น ก็ได้ยินเสียงเคาะประตู

เธอขมวดคิ้ว ลุกขึ้นไปเปิดประตู

เห็นคุณนายโม่ยืนอยู่ที่หน้าประตูด้วยสีหน้าเคร่งขรึม ตั้งแต่รู้ว่าเธอกำลังจะแต่งงานกับโม่หาน คุณนายโม่คนนี้ก็ไม่เคยทำสีหน้าดีๆใส่เธอเลย ในสายตาเธอ ตนเองก็เป็นคนที่เจ้าเล่ห์มีแผนการคนหนึ่ง เป็นผู้หญิงใจร้ายละโมบโลภมาก

“เมื่อคืนวานโม่หานไม่กลับมาอีกแล้วเหรอ?มู่เฉียว คุณต้องการแต่งงานกับโม่หาน ฉันก็ว่าอะไรนะ ถึงอย่างไร เรื่องราวก็เป็นแบบนี้ไปแล้ว ครอบครัวพวกเราต้องการคุณ ก็เพราะติดหนี้บุญคุณเล็กๆน้อยๆ แต่ในเมื่อคุณแต่งงานกับเขาแล้ว คุณไม่ควรมีท่าทีของภรรยาคนหนึ่งบ้างเหรอ?หลายเดือนมานี้ เขามักจะนอกลู่นอกทางพาผู้หญิงเข้ามาในบ้าน แล้วกลางคืนยังไม่กลับบ้านอยู่บ่อยๆ ลูกชายของฉัน แต่ไหนแต่ไรไม่เคยเป็นแบบนี้ คุณควรจะพิจารณาตัวเองสักหน่อยไหม?ขืนคุณเป็นแบบนี้ต่อไป ถึงแม้ในอนาคตครอบครัวเราจะยินดีที่จะเก็บคุณไว้ แต่พอโม่หานหายดีแล้ว คุณคิดว่าเขายังจะเก็บคุณเอาไว้เหรอ?”

มู่เฉียวเงยหน้ามองคุณนายโม่ทันที นี่หมายความว่าได้รับประโยชน์แล้วก็ถีบหัวส่งอย่างนั้นเหรอ?

แต่วินาทีต่อมา ในชั่วพริบตา จู่ๆเธอก็มองเห็นความหวัง ความหมายก็คือ เธอยังสามารถหย่ากับโม่หานได้ใช่ไหม?ใช่แล้ว ทำไมถึงคิดถึงจุดจุดนี้ไม่ได้กันนะ?ต้องการแค่คลอดลูกคนนี้ เลือดจากสายสะดือสามารถใช้ได้อย่างแน่นอน เธอก็สามารถที่จะหย่ากับโม่หานได้ แล้วนำเขาคืนให้มู่หยิงไป ถึงเวลานั้น โม่หานหายดีแล้ว ด้วยนิสัยที่เห็นแก่ตัวของมู่หยิง จะต้องเต็มใจยอมรับอย่างแน่นอน เธอก็คงจะยอมถอยให้ยินดีไม่ใช่เหรอ?

แม้ว่าเด็กอาจจะอาศัยอยู่ในครอบครัวที่ไม่ค่อยสมบูรณ์ได้ แต่สถานการณ์เธอและโม่หานในตอนนี้ ไม่มีอะไรดีไปกว่านี้อีกแล้วใช่ไหม?

เช่นนี้ ชีวิตของเธอยังสามารถกลับมาเริ่มใหม่ได้อีกครั้ง คิดถึงตรงนี้แล้ว แสงสว่างในดวงตาของเธอค่อย ๆ มาบรรจบกัน เหมือนกับได้ฟื้นคืนมาใหม่อีกครั้ง

ก้มหน้า เธอปกปิดความดีใจที่อยู่ในสายตา “แม่ ฉันจะพยายาม”

ความโอนอ่อนผ่อนตามของเธอไม่ได้ทำให้คุณนายโม่ดีใจ แต่กลับยิ่งทำให้รู้สึกรังเกียจเล็กน้อย เธอรู้สึกว่ามู่เฉียวเหมือนกับปรสิตที่หาบ้านเกาะ โอบรัดตระกูลโม่อย่างไม่เจียมกะลาหัว ตะกละตะกลามในเรื่องกินแต่เกียจคร้านในการงาน จึงส่ายหน้า แล้วหันเดินจากไป

เพราะว่าตั้งครรภ์ นายท่านโม่จึงกลัวว่าจะไปรบกวนพักผ่อน ในที่สุดจึงไม่ได้เปิดเผยข่าวต่อสื่อมวลชนเรื่องการแต่งงานของเธอและโม่หาน ดังนั้น มู่เซียวจึงกลายเป็นราชินีที่ถูกซ่อนเอาไว้ในวัง

สำหรับจุดนี้ เธอเห็นด้วยอย่างมาก เช่นนี้ เมื่อในอนาคตเธอจากไป จึงไม่ต้องเป็นห่วงเป็นกังวล เธอไม่ต้องการแบกรับชื่อของคุณนายรองตระกูลโม่ไปตลอดชีวิต

เพียงแต่ แบบนี้เธอก็จนปัญญาที่จะกลับไปบ้านพ่อแม่ เธอกลัวว่าคนอื่นจะถามขึ้นมาว่า ในท้องเธอเป็นลูกของใคร พ่อก็ไม่ได้โกรธแล้ว ส่งสินค้าของท้องถิ่น และหนังสือที่เธอต้องการมาให้เธอบ้างเป็นครั้งคราว ใช้ประโยชน์จากในช่วงเวลาที่ตั้งครรภ์ เธอรื้อฟื้นภาษาเยอรมันที่ทิ้งไปนาน ซึ่งประสบผลสำเร็จค่อนข้างมาก แน่นอนว่า เรื่องเหล่านี้ เธอแอบๆทำ เธอไม่อยากให้คนตระกูลโม่รู้ว่าเธอต้องการจากตระกูลโม่ไป

ก่อนหน้านี้เธอเป็นล่าม รับผิดชอบงานแปลของบริษัทใหญ่เหล่านั้นเป็นหลักในการเจรจาธุรกิจในต่างประเทศ เธอกับแฟนเก่า รู้จักกันครั้งแรกในการเจรจาธุรกิจ เพราะเธอพูดภาษาได้คล่องแคล่ว การออกเสียงได้มาตรฐาน การทำงานหนึ่งปีกว่า เป็นความสำเร็จเล็กๆ อนาคตอาจสดใสมาก แต่ต้องเสียเวลาเพราะโม่หาน

อาจเป็นเพราะท้องที่เพิ่มขนาดอย่างรวดเร็ว ท้องของเธอเพิ่งจะหกเดือน ครรภ์ก็ยื่นออกมาเป็นพิเศษ คนก็อ้วนบวมอย่างมาก ใบหน้าที่ละเอียดงดงาม ด้วยเหตุนี้จึงผิดรูปผิดร่างไปเล็กน้อย

เรื่องเหล่านี้ทำให้เธอค่อนข้างเศร้าใจ เพียงแต่ ยังดี ที่ช่วงพักหลังมานี้ โม่หานกลับบ้าน เพียงแต่ออกเช้ากลับดึก คนทั้งสองแทบจะไม่เคยเจอหน้ากันเลย

ถึงจะไม่ทำให้ทรมาน ไม่มีผู้หญิงมายุ่งถึงหน้าประตู ไม่ได้หาเรื่องทะเลาะ เพียงแต่ มีข่าวบันเทิงที่คึกคักขึ้นมา เดี๋ยวบอกว่าเขานัดเจอกับดาราคนนี้ เดี๋ยวบอกว่าเขาเข้าออกโรงแรมอะไรบ้าง

เพราะไม่ได้สนใจ เพราะว่าตัดสินใจแล้วว่า ต้องการจะจากไป มู่เฉียวก็เลยถือโอกาสไม่เปิดดู

ฝึกกายใจให้ไม่คิดอะไรมาก ชั่วพริบตา ก็ตั้งครรภ์ได้แปดเดือนแล้ว หมอบอกว่าเด็กค่อนข้างตัวเล็ก เธอก็ต้องตกตะลึง “คุณหมอ จะตัวเล็กได้อย่างไร?ฉันอ้วนขึ้นมาตั้งยี่สิบกว่ากิโลกรัม”

ตรวจมาหลายเดือน หมอก็ค่อนข้างคุ้นเคยกับเธอแล้ว เม้มปากหัวเราะเบาๆ พิจารณาเธอรอบหนึ่ง “ที่อ้วนมันคือร่างกายของตัวคุณเองไม่ใช่เหรอ?”

มู่เฉียวเบะปาก อยากจะร้องไห้แต่ไม่มีน้ำตา

เมื่อออกมาจากโรงพยาบาล เธอก็พยายามลดหมวกให้ต่ำลง กลัวว่าจะถูกคนจำได้

“มู่เฉียว?” เสียงผู้หญิงคนหนึ่งดังเข้ามาจากด้านหลังตัวเอง

มู่เฉียวหันกลับมา ก็เห็นลูกสาวของป้าหลิว จ้าวเชี่ยนเห็นเธอขานตอบ ก็รีบเข้ามาต้อนรับ พยุงแขนของเธอ “ฉันยังคิดว่าตนเองจำคนผิดหรือเปล่า?ครั้งที่แล้วฉันกลับบ้าน แม่ฉันบอกกับฉันว่า คุณแต่งงานแล้วใช่ไหม?ทำไมคุณไม่เห็นกลับบ้านไปจัดงานเลี้ยงเลย?อีกทั้งวันที่อากาศร้อนแบบนี้ คุณสวมหมวกทำไม?” พูดแล้วก็หยิบหมวกออกให้เธอ มู่เฉียวสูดลมหายใจ

จ้าวเชี่ยนคนนี้กับเธอเติบโตมาด้วยกัน เพราะพ่อแม่ทั้งสองฝ่ายมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน ตอนนั้นทั้งสองคนอยู่ด้วยกันเกือบทุกวัน อายุมากกว่าเธอหนึ่งปี อุปนิสัยเป็นคนพูดจาไร้สาระไปเรื่อย แล้วก็เป็นคนจิตใจดีเหมือนกันกับป้าหลิว บางครั้งก็มากเกินไปจนเธอตอบแทนไม่ไหว ฉะนั้นหลังจากโตขึ้นแล้ว มู่เฉียวก็ค่อยๆเหินห่างกับเธอ จนปีที่แล้วแม่บอกว่า เธอแต่งงานมีสามีแล้ว เป็นเพื่อนร่วมชั้นที่มหาวิทยาลัย ฐานะครอบครัวก็ค่อนข้างดี

มู่เฉียวไม่คิดว่าตนเองอ้วนจนกลายเป็นอย่างนี้ เธอก็จำได้ ไม่รู้ว่าควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี

“คุณ ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่?” เธอฉีกหัวข้อสนทนา

สีหน้าจ้าวเชี่ยนแข็งทื่อ มองย้อนกลับไปมองผู้หญิงแต่งตัวหรูหราที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ “ฉันแต่งงานมาปีกว่าแล้ว ยังไม่มีการเคลื่อนไหวเลย แม่สามีกลัวว่าฉันจะมีลูกไม่ได้ จึงตระหนกตกใจลากฉันมาตรวจ” จู่ๆเธอก็เดินเข้ามาใกล้มู่เฉียว “อันที่จริง ฉันปรึกษาหารือกับสามีแล้ว ว่าอยากให้เลื่อนไปก่อน หน้าที่การงานของเราสองคนก็เพิ่งจะดีขึ้น ไม่อยากมีลูกเร็วขนาดนี้”

มู่เฉียวพยักหน้า “อืม……อย่างนั้น……”

“คุณท้องเหรอ ท้องคุณใหญ่ขนาดนี้เลยเหรอ?” จู่ๆจ้าวเชี่ยนก็ร้องอย่างตกใจ สายตาของทุกคนก็จับจ้องมองมา มู่เฉียวกลืนน้ำลายเล็กน้อยทำตัวไม่ถูก ก้มมองท้องที่นูนใหญ่ของตนเอง ท้องใหญ่ขนาดนี้ จ้าวเชี่ยนเพิ่งจะเห็นเหรอ?เฮ้อ นิสัยนี้ไม่เปลี่ยนไปเลยจริงๆ

“สามีคุณเป็นใครล่ะ?ทำไมไม่มาเป็นเพื่อนคุณ?อีกอย่างเหมือนพวกคุณไม่ได้จัดงานแต่งด้วยใช่ไหม ฉันไม่เคยได้ยินแม่ฉัน……”

“พอดีท้องก่อนแต่ง คลอดลูกแล้วค่อยจัดงาน” มู่เฉียวพูดตัดบทจ้าวเชี่ยน

จ้าวเชี่ยนยังอยากจะถามอะไรอีก

“เสี่ยวเชี่ยน ถึงคิวคุณแล้ว” เสียงแม่สามีทอดออกมา

มู่เฉียวโล่งอก “คุณรีบไปเถอะ วันหลังเจอกันค่อยคุยกันใหม่”

แต่ลืมไปว่าหมวกยังอยู่ในมือของจ้าวเชี่ยน

เมื่อออกมาแล้ว คุณนายโม่ที่นั่งอยู่บนรถเห็นว่าเธอไม่สวมหมวก สีหน้าก็ไม่ค่อยดีเล็กน้อย

“บอกแล้วไงว่าให้สวมหมวก คนเหล่านั้นจะถ่ายรูปคุณเอาได้”

มู่เฉียวขี้เกียจจะอธิบาย อ้วนจนกลายเป็นอย่างนี้จะถ่ายก็ถ่ายไปเถอะ ต่อไปเมื่อผอมลงแล้ว ใครยังจะจำได้อีกล่ะ?

คุณนายโม่มองการณ์ไกลจริงๆ

วันต่อมา มู่เฉียวก็กลายเป็นคำค้นหายอดฮิต

มองเว็บเพจบนมือถือ หญิงคนนั้นที่อ้วนจนหน้าบีบกลายเป็นก้อนกลม เธอส่ายๆหัว มิน่าล่ะผู้ชายมากมาย จึงได้นอกใจตอนผู้หญิงท้อง น่าเวทนาจริงๆเลย

เพียงแต่เธอก็เข้าใจดี การนอกใจเหล่านั้น ทั้งหมดเป็นเพราะว่าไม่ได้มีความรัก อย่างเช่นเธอ

โชคดีที่เธอนี้ มีนิสัยที่เย็นชามาตลอด ไม่มีเพื่อนที่แสนดีเป็นพิเศษ เลยไม่มีใครโทรหาเธอ ถามโน่นถามนี่ และคนที่รู้จัก ก็ไม่ได้ติดต่อมาเพราะคาดไม่ถึงว่าจะเป็นเธอ ไม่ต้องพูดถึงว่าเปลี่ยนไปมากจนจำเธอไม่ได้หรอก แต่งงานเป็นลูกสะใภ้ตระกูลโม่อย่างลับๆ แล้วก็ท้องจนจะคลอดแล้ว คาดว่าก็คงไม่มีใครคิดว่าจะเป็นเธอ

ถึงตอนบ่าย มีโทรศัพท์เบอร์แปลกๆโทรเข้ามา เธอรับสาย

“ฮัลโหล เฉียวเอ๋อ ฉันเอง ที่แท้คุณแต่งงานกับโม่หานคนนั้นเหรอ?ไอ๋หยา คุณนี่จัดการได้เงียบจริงๆเลย แต่งงานกับผู้ชายหล่อรวยหน้าตาดี สักคำหนึ่งก็ไม่เปิดเผยออกมา จริงๆ……”

“เสี่ยวเชี่ยน เรื่องของฉันกับเขา ซับซ้อนเล็กน้อย คุณก็รู้ว่าพวกเขาเป็นคนรวย ไม่ค่อยชอบการโอ้อวด เรื่องนี้ คุณสามารถ……”

“ช่วยคุณปิดเป็นความลับ ใช่ไหม?วางใจได้ คุณอย่าลืมสิ ฉันเป็นสื่อมวลทำข่าว เรื่องนี้ ฉันเข้าใจ พวกเราทั้งสองโตมาด้วยกัน ฉันจะไม่หักหลังคุณเด็ดขาด ที่ฉันโทรศัพท์มาหา ก็เพราะเป็นห่วงคุณ ฉันเห็นว่าผู้ชายคนนั้นของคุณมีเรื่องราวค่อนข้างเยอะ เมื่อวานก็เห็นว่าคุณไปตรวจครรภ์เพียงคนเดียว เลยอยากจะถามว่า ที่ผ่านมาคุณเป็นอย่างไรบ้าง?”

มู่เฉียวยอมรับ ว่าจ้าวเชี่ยนเป็นคนมีน้ำใจ แต่ว่า บางครั้งความกระตือรือร้นที่มากเกินไป ก็อาจจะทำให้คนรู้สึกมีความกดดันมาก เธอสูดลมหายใจเข้า “ก็โอเค เดิมทีเขาก็จะมาเป็นเพื่อนฉัน เพียงแต่ เขาค่อนข้างยุ่งน่ะ”

“เขายุ่ง?ยุ่งที่จะต้องอยู่เป็นเพื่อนดาราที่มีชื่อเสียงเหล่านั้นน่ะเหรอ?เฉียวเอ๋อ ไม่ใช่ฉันตำหนิคุณนะ คุณอะ ตั้งแต่เด็กก็ฉลาดกว่าฉัน แต่นิสัยอ่อนแอเกินไป ในเมื่อคุณแต่งงานกับเขาแล้ว คุณก็ต้องกุมเขาไว้ในฝ่ามือ เขาประพฤติดีเลิศขนาดนี้ คุณยังไม่สนใจอีก จะเก่งเกินไปแล้วหรือเปล่า?”

มือถือของมู่เฉียวเปิดลำโพงอยู่ กำลังพับผ้า ได้ยินจ้าวเชี่ยนพูดแบบนี้ เธอก็นิ่งอึ้งไป “ผู้ชายที่ดี ไม่ต้องไปควบคุม ผู้ชายที่ต้องควบคุม ก็ปล่อยมันไปเถอะ”

“นั่นก็ไม่แน่หรอก คนคนนี้ของฉัน ก็ต้องควบคุม”

“นั่นก็ชัดเจนแล้วว่า เขารักคุณ ควบคุมร่างกายคนน่ะได้ แต่จะควบคุมหัวใจคนได้อย่างไร?”

“เฉียวเอ๋อ ฟังจากน้ำเสียงนี้ของคุณแล้ว โม่หานคนนั้น ไม่ชอบคุณเหรอ?”

มู่เฉียวเกาศีรษะ “เรื่องนี้ไม่สำคัญ เอาล่ะ ฉันมีธุระนิดหน่อย มีอะไรค่อยติดต่อมาอีกที เสี่ยวเชี่ยน ฝากคุณด้วยนะ”

“ได้ๆๆ คุณทำงานเถอะ ไว้เจอกัน”

วางสายแล้ว มู่เฉียวเม้มปาก แล้วหัวเราะเยาะ ควบคุม?เธอไม่ควรค่าแก่การทำ แล้วก็ไม่อยากทำ

“เรื่องนี้ไม่สำคัญ ในสายตาของคุณ เงินคือสำคัญที่สุดใช่ไหม?” เสียงของชายคนหนึ่งดังขึ้นมาจากด้านหลังทันที มู่เฉียวตกใจอย่างมาก

กุมหน้าอก “คุณไม่รู้เหรอว่าคนสามารถตกใจตายได้?” เงินสำคัญ เธออยากจะพูดอย่างมาก เธอแต่งงานเข้ามาตระกูลโม่ ให้กำเนิดลูกเพื่อตระกูลพวกเขา นอกจากจะทานอาหารเล็กน้อยจากบ้านของเขาแล้ว ค่าใช้จ่ายการตรวจครรภ์ตัวเองก็เป็นคนควักจ่าย เธอรักเงินตรงไหนกัน?

เพียงแต่ คำพูดเหล่านี้ เธอไม่อยากจะอธิบายกับผู้ชายคนนี้ รู้สึกว่าทำเรื่องเกินความจำเป็น คนที่รักคุณ จะเข้าใจด้วยตัวเอง คนที่ไม่รักคุณ อธิบายไปก็เหมือนเป็นข้ออ้าง

“คุณไม่ได้ทำเรื่องที่ไม่ชอบธรรม คุณจะกลัวอะไร?”

มู่เฉียวเงียบปาก คนทั้งสองสมคบคิดกัน เป็นแบบนี้มาโดยตลอด ทำให้เธอไม่มีความปรารถนาที่จะแก้ตัว เพียงแค่หวังว่าเวลาจะผ่านไปเร็วหน่อย เด็กจะได้คลอดออกมาโดยเร็ว

เห็นเธอไม่พูดจา ชายหนุ่มก็เดินตรงเข้ามา ห้องนี้ก่อนหน้าที่เธอจะมาอยู่ ว่างมาโดยตลอด มีเพื่อนมาพักบางครั้งบางคราว หลังจากนั้น ที่เธอเขามาพัก เขาก็ไม่เคยเข้ามาอีกเลย

พิจารณาเล็กน้อย โดยภาพรวมในห้องไม่มีการเปลี่ยนแปลง สีดำขาวเทา ตู้ที่เดิมที่วางเสื้อผ้าไว้ แถวหนึ่งวางเต็มไปด้วยหนังสือ ส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับการแปลล่าม

ก่อนหน้านี้ฉินฮ่าวเคยบอกกับเขาว่า ก่อนหน้านี้ผู้หญิงคนนี้เป็นล่าม เหมือนกับว่าความสามารถจะไม่เลวด้วย

เพียงแต่ พอตั้งครรภ์ก็หยุดอยู่บ้านทันที ไม่ออกไปไหนมาไหน ทุกวันผู้หญิงคนนี้ไม่กินก็นอน เขาจนปัญญาที่จะเชื่อมต่อคำว่าความสามารถกับเธอเข้าด้วยกันจริงๆ หนังสือเหล่านี้ อาจจะใช้เป็นการแสดงหรือเปล่า?

“เชิญออกไป ฉันต้องการนอนกลางวัน” มู่เฉียวเห็นเขาไม่ออกไป จึงกล่าวอย่างเย็นชา

“ออกไป?” โม่หานหันสายตากลับมา มองไปที่มู่เฉียว คนอ้วนกลม สวมชุดนอนสีชมพู ผมเผ้ายุ่งเหยิง จะมีเพียงอย่างเดียวที่เข้าตา ก็คงจะเป็นผิวที่ขาวหมดจด และใบหน้าที่แดงมีเลือดฝาด

“ได้ยินมาว่า ผู้หญิงท้อง ความต้องการในด้านนั้นจะค่อนข้างรุนแรง นี่คุณแต่งเข้ามา พวกเรายังไม่เคยเข้าหอด้วยกันเลย ต้องการไหม…..”

“เฉียวเอ๋อ เกิดอะไรขึ้นใช่ไหม? เกิดอะไรกับลูก ลูกต้องบอกพ่อกับแม่ พวกเรายืนอยู่ข้างลูกเสมอนะ” คำว่าเฉียวเอ๋อ ทำให้น้ำตาของมู่เฉียวล่วงลงมา

นี่แหละคือพ่อของเธอ คนที่ห่วงใยเธออย่างแท้จริง สิ่งแรกที่เขาคิดได้ ไม่ใช่ว่าอีกฝ่ายดีมากแค่ไหน แต่กลับคิดว่ามีเรื่องอะไรเกิดขึ้นกับเธอหรือเปล่า

“พ่อ หนูท้อง ท้องลูกของเขา”

“เพล้ง”เธอได้ยินเสียงอะไรสักอย่างตกพื้น มู่เฉียวพูดอย่างกังวล “พ่อ……”

อีกฝ่ายเงียบไปครู่หนึ่งก่อนที่เสียงของพ่อมู่จะดังขึ้นเบาๆ “เฉียวเอ๋อ พ่อเชื่อว่าลูกไม่ใช่คนเหลวไหลแบบนั้น ถ้าเป็นเพราะเด็กคนนี้ลูกถึงได้แต่งงาน เฉียวเอ๋อ ลูกกลับมา คลอดเด็กออกมาแล้ว พ่อกับแม่จะช่วยลูกเลี้ยง อย่าเอาชีวิตตัวเองเข้าไปพัวพันเลย”

มู่เฉียวร้องไห้จนตัวสั่นโยกไปหมด เรื่องนี้ ดูเหมือนง่าย แต่มันกลับยุ่งยากมาก เธอไม่รู้จะเริ่มพูดจากตรงไหน

“เฉียวเอ๋อ ตอนนี้ลูกอยู่ไหน พ่อกับแม่แล้วก็น้องชาย จะไปรับลูกตอนนี้ พวกเรากลับบ้านกัน” ท่าทีของพ่อมู่หนักแน่นมาก

“พ่อ หนูอยู่เมืองa”

“ส่งที่อยู่มา พวกเราจะไปตอนนี้แหละ”

“ไม่ค่ะ พ่อ เดี๋ยวหนูกลับไป หนูกลับไปตอนนี้”มู่เฉียวพูดไป ก็ลุกขึ้นนั่ง หยิบกระเป๋า เดินออกไปข้างนอก “พ่อ หนูวางก่อนนะคะ อื้ม ดึกๆคงถึง น่าจะทันได้กินมื้อค่ำ”พูดจบก็วางสายไป

เพิ่งออกจากห้องโถง ก็เจอคุณนายโม่ควงแขนย่าโม่เดินเข้ามาจากข้างนอก เห็นเธอสะพายกระเป๋า ขมวดคิ้วถาม“นี่เธอจะไปไหนน่ะ?”

มู่เฉียวพยักหน้าให้เธอ “คุณนายโม่ ฉันอยากกลับบ้านรอบหนึ่ง เรื่องงานแต่งของฉันกับโม่หาน ฉันอยากจะไปคุยกับพ่อแม่ก่อน”

เห็นสีหน้าคุณนายโม่นิ่งไป จึงพูดขึ้นอีกว่า“ คุณวางใจเถอะค่ะ วันพรุ่งฉันจะไปโรงแรมตรงเวลาแน่นอน”

“ถ้าอย่างนั้นก็ให้คนขับรถไปส่งเธอ”เสียงของย่าโม่

“ไม่ต้องค่ะๆ ฉันนั่งรถไฟ เร็วกว่าค่ะ”

“เอาล่ะ ให้คนขับรถไปส่งเถอะ สถานะตอนนี้ของเธอไม่เหมือนเมื่อก่อนแล้ว ยังจะนั่งรถไฟอะไรอีก”

“แม่คะ เธอยังไม่ได้เป็นคุณนายรองตระกูลโม่นะคะ คุณตามใจเธอมากเกินไปแล้ว” คุณนายโม่ได้ยินคำพูดของย่าโม่ที่ว่าสถานะไม่เหมือนเดิม สีหน้าก็ดูแย่ลงทันที

มู่เฉียวได้ยินแบบนั้น สูดหายใจเข้า “ไม่เป็นไรค่ะ อีกหน่อยถึงจะเป็นคุณนายรองตระกูลโม่ ฉันก็เป็นแค่มู่เฉียว คนธรรมดาคนหนึ่งแค่นั้น”พูดจบ มู่เฉียวหยิบกระเป๋า ออกบ้านแบบไม่พูดอะไร

แต่ว่า คฤหาสน์โม่เป็นพื้นที่ของคฤหาสน์ หาแท็กซี่ไม่เจอด้วยซ้ำ อย่าพูดถึงว่าจะกลับบ้านเลย แค่จะไปสถานีรถไฟยังเป็นปัญหา

คนตระกูลโม่เองก็คงอยากให้เธอลำบาก เธอรอมาครึ่งวันแล้ว ก็ไม่เห็นมีคนมาดู เห็นได้ชัด พวกเขารู้อยู่แล้วว่าที่นี่หารถไม่ได้ง่ายๆ แต่ก็ไม่มีใครเตือนเธอเลย

คิดถึงตรงนี้ ใจเธอก็เย็นขึ้นมา

แต่ว่า จะกลับไปให้พวกเขาไปส่งตอนนี้ ก็รู้สึกเกรงใจเกินไป

คิดๆแล้ว ก็เดินต่อไปอีกช่วงถนน

อาจเป็นเพราะเดินนานไป ขาเริ่มชา คิดแล้วเธอก็เตรียมจะถอยไปนั่งเก้าอี้ที่ริมถนน

เพียงแต่ เพิ่งจะเดินไปได้แค่ก้าวเดียว คนทั้งคนก็ล้มลงตรงข้างถนน

หินแหลมคมแทงเข้าที่ฝ่ามือ ความเจ็บปวดแถวกระดูกสันหลังก็ตามมาติดๆ เธอกัดริมฝีปากและขมวดคิ้วเข้าหากัน

ในเวลาเดียวกัน รถสปอร์ตสีขาวหยุดอยู่ข้างหลังเธอพร้อมกับเสียงบีบแตรรถ ในขณะที่เธอตกใจจนถอยหลังไปแบบไม่รู้ตัว เสียงที่อ่อนโยนมีความดึงดูดก็ดังขึ้นข้างหู——

“คุณผู้หญิง คุณไม่เป็นอะไรใช่ไหม?”

มู่เฉียวเงยหน้าขึ้นด้วยความตื่นตระหนก ก็สบตาเข้ากับดวงตาสีดำสนิทที่แฝงไปด้วยรอยยิ้ม เธออึ้งไปเล็กน้อย ทำไมถึงเป็นประธานเฮ่อ รู้สึกประหลาดใจ จากนั้นดึงริมฝีปากที่แข็งทื่อ ฝืนยิ้มออกมา พูดเสียงต่ำ “อ๋อ ไม่เป็นไรค่ะ……”

เฮ่อเทียน เจ้านายของเธอ แต่ว่า เป็นเพียงแค่หนึ่งในผู้ถือหุ้น เธอรู้จักเขา แต่เขาไม่รู้จักเธอ

เธอเคยเห็นเฮ่อเทียนสองครั้ง แต่ ที่น่าแปลกใจคือ เธอเจอกับเขาที่นี่ ดูเหมือนว่า เขาก็คงจะอาศัยอยู่ทางด้านบนเหมือนกัน

“เตรียมจอดรถจะโทรศัพท์ ไม่คิดว่าจะชนคุณเข้า!”เฮ่อเทียนพูดไปก็รีบลงจากรถ แล้วพยุงเธอขึ้นมา

มู่เฉียวรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย กับความกระตือรือร้นที่อธิบายไม่ถูกของเฮ่อเทียน อย่างไรก็ตาม มีข่าวลือในบริษัทว่าเฮ่อเทียนไม่เคยสนใจผู้หญิง แล้วทำไมถึง?

เธอกัดปาก และครุ่นคิด ถ้าเป็นคนอื่น ตอนนี้เธอคงไม่สนใจ เธอเกลียดที่ต้องพูดคุยกับผู้ชายแปลกหน้า เกลียดการทักทายแบบนี้ และที่สำคัญกว่านั้น แม้ว่าตอนนี้ความสัมพันธ์ของเธอกับโม่หานยังไม่มีความชัดเจน แต่……เธอก็ยังจำได้ว่าตัวเองท้องลูกของเขาอยู่

อย่างไรก็ตาม เธออยากกลับบ้านจริงๆ อยากเจอพ่อกับแม่ เธอดึงริมฝีปาก ยิ้มน้อยๆ แล้วตอบว่า “คุณเข้าใจผิดแล้วค่ะ คุณไม่ได้ชนฉัน ฉันล้มไปเองไม่ทันได้ระวัง!”

“อ๋อ ฮ่าๆ!แล้ว นี่คุณกำลังรอใครอยู่หรือเปล่า?” เฮ่อเทียนยิ้มแล้วพูดถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

มู่เฉียวกลืนน้ำลาย เงยหน้า “ฉันอยากไปสถานีรถไฟ แถวนี้ เหมือนจะไม่มีรถ”

“อย่างนั้นเหรอ……”เฮ่อเทียนเม้มริมฝีปากอย่างสง่างาม เหมือนว่ากำลังคิดอะไรบางอย่าง หลังจากนั้นไม่กี่วิ เขาก็ยิ้มและมองขึ้นไปที่มู่เฉียวด้วยใบหน้านิ่งๆ แล้วพูดว่า “ผมกำลังจะไปแถวนั้นพอดี ถ้าไม่กลัวว่าผมจะลักพาตัวคน ก็ไปด้วยกันไหม?”

มู่เฉียวเผยริมฝีปากของเธอเล็กน้อย และในที่สุดก็ยิ้มอย่างใจกว้าง “ถ้าอย่างนั้น รบกวนคุณแล้ว” คิดๆแล้วก็เดินไปยังที่นั่งรอง เปิดประตูรถ รอเฮ่อเทียนขึ้นรถแล้ว เธอก็พูดขึ้นยิ้มๆ “ขอบคุณคุณจริงๆ!”

เฮ่อเทียนหันไป มองเธออย่างมีความหมายลึกซึ้ง แต่ไม่ได้พูดอะไร ขับเคลื่อนรถไปอย่างชำนาญ

ครึ่งชั่วโมงให้หลัง รถของเฮ่อเทียนจอดอยู่หน้าสถานีรถไฟ

“บ้านคุณอาศัยอยู่ทางนั้นเหรอ?” เขาถามขณะช่วยเธอปลดเข็มขัดนิรภัย ดูเหมือนไม่ใส่ใจ

“ฉัน……ไปทำธุระน่ะ”มู่เฉียวไม่ค่อยพูดโกหก ดังนั้น จึงพูดติดอ่างเล็กน้อย เธอพยักหน้า ขอบคุณเขา แล้วลงรถไป

เฮ่อเทียนมองแผ่นหลังของเธอ คิดว่า เธออาย จึงส่ายหน้า แล้วตามลงไป

“คุณชื่ออะไร?”จู่ๆเขาก็ถามขึ้น

มู่เฉียวชะงัก ก้มมองดูตัวเอง เสื้อฮู้ด กางเกงยีน รองเท้าผ้าใบ พูดตามตรง ด้วยสภาพตอนนี้ของเธอ เธอไม่มีความมั่นใจเลยจริงๆ ว่าสามารถทำให้ผู้ชายคนหนึ่ง ผู้ชายที่ดูไม่เลวคนหนึ่ง พูดแบบนี้กับเธอ เธอหันไป มองเฮ่อเทียน ยิ้มเฉยๆ “อืม ต้องมีสักวันที่จะได้รู้!”จากนั้นเธอก็เดินตรงไปที่สถานีรถไฟ

คฤหาสน์โม่

“เธอขึ้นรถของเฮ่อเทียน”

“หึ น่าทึ่งจริงๆ!”โม่หานเล่นหมากรุกในมือ “นายสั่งคนตามเธอไป ดูว่ามีโอกาสลงมือไหม”

ฉินเส้าขมวดคิ้ว “คุณชาย ถ้านายท่านโม่รู้ว่าคุณทำแบบนี้ ท่านจะโกรธมาก”

“เฉียวเอ๋อ เกิดอะไรขึ้นใช่ไหม? เกิดอะไรกับลูก ลูกต้องบอกพ่อกับแม่ พวกเรายืนอยู่ข้างลูกเสมอนะ” คำว่าเฉียวเอ๋อ ทำให้น้ำตาของมู่เฉียวล่วงลงมา

นี่แหละคือพ่อของเธอ คนที่ห่วงใยเธออย่างแท้จริง สิ่งแรกที่เขาคิดได้ ไม่ใช่ว่าอีกฝ่ายดีมากแค่ไหน แต่กลับคิดว่ามีเรื่องอะไรเกิดขึ้นกับเธอหรือเปล่า

“พ่อ หนูท้อง ท้องลูกของเขา”

“เพล้ง”เธอได้ยินเสียงอะไรสักอย่างตกพื้น มู่เฉียวพูดอย่างกังวล “พ่อ……”

อีกฝ่ายเงียบไปครู่หนึ่งก่อนที่เสียงของพ่อมู่จะดังขึ้นเบาๆ “เฉียวเอ๋อ พ่อเชื่อว่าลูกไม่ใช่คนเหลวไหลแบบนั้น ถ้าเป็นเพราะเด็กคนนี้ลูกถึงได้แต่งงาน เฉียวเอ๋อ ลูกกลับมา คลอดเด็กออกมาแล้ว พ่อกับแม่จะช่วยลูกเลี้ยง อย่าเอาชีวิตตัวเองเข้าไปพัวพันเลย”

มู่เฉียวร้องไห้จนตัวสั่นโยกไปหมด เรื่องนี้ ดูเหมือนง่าย แต่มันกลับยุ่งยากมาก เธอไม่รู้จะเริ่มพูดจากตรงไหน

“เฉียวเอ๋อ ตอนนี้ลูกอยู่ไหน พ่อกับแม่แล้วก็น้องชาย จะไปรับลูกตอนนี้ พวกเรากลับบ้านกัน” ท่าทีของพ่อมู่หนักแน่นมาก

“พ่อ หนูอยู่เมืองa”

“ส่งที่อยู่มา พวกเราจะไปตอนนี้แหละ”

“ไม่ค่ะ พ่อ เดี๋ยวหนูกลับไป หนูกลับไปตอนนี้”มู่เฉียวพูดไป ก็ลุกขึ้นนั่ง หยิบกระเป๋า เดินออกไปข้างนอก “พ่อ หนูวางก่อนนะคะ อื้ม ดึกๆคงถึง น่าจะทันได้กินมื้อค่ำ”พูดจบก็วางสายไป

เพิ่งออกจากห้องโถง ก็เจอคุณนายโม่ควงแขนย่าโม่เดินเข้ามาจากข้างนอก เห็นเธอสะพายกระเป๋า ขมวดคิ้วถาม“นี่เธอจะไปไหนน่ะ?”

มู่เฉียวพยักหน้าให้เธอ “คุณนายโม่ ฉันอยากกลับบ้านรอบหนึ่ง เรื่องงานแต่งของฉันกับโม่หาน ฉันอยากจะไปคุยกับพ่อแม่ก่อน”

เห็นสีหน้าคุณนายโม่นิ่งไป จึงพูดขึ้นอีกว่า“ คุณวางใจเถอะค่ะ วันพรุ่งฉันจะไปโรงแรมตรงเวลาแน่นอน”

“ถ้าอย่างนั้นก็ให้คนขับรถไปส่งเธอ”เสียงของย่าโม่

“ไม่ต้องค่ะๆ ฉันนั่งรถไฟ เร็วกว่าค่ะ”

“เอาล่ะ ให้คนขับรถไปส่งเถอะ สถานะตอนนี้ของเธอไม่เหมือนเมื่อก่อนแล้ว ยังจะนั่งรถไฟอะไรอีก”

“แม่คะ เธอยังไม่ได้เป็นคุณนายรองตระกูลโม่นะคะ คุณตามใจเธอมากเกินไปแล้ว” คุณนายโม่ได้ยินคำพูดของย่าโม่ที่ว่าสถานะไม่เหมือนเดิม สีหน้าก็ดูแย่ลงทันที

มู่เฉียวได้ยินแบบนั้น สูดหายใจเข้า “ไม่เป็นไรค่ะ อีกหน่อยถึงจะเป็นคุณนายรองตระกูลโม่ ฉันก็เป็นแค่มู่เฉียว คนธรรมดาคนหนึ่งแค่นั้น”พูดจบ มู่เฉียวหยิบกระเป๋า ออกบ้านแบบไม่พูดอะไร

แต่ว่า คฤหาสน์โม่เป็นพื้นที่ของคฤหาสน์ หาแท็กซี่ไม่เจอด้วยซ้ำ อย่าพูดถึงว่าจะกลับบ้านเลย แค่จะไปสถานีรถไฟยังเป็นปัญหา

คนตระกูลโม่เองก็คงอยากให้เธอลำบาก เธอรอมาครึ่งวันแล้ว ก็ไม่เห็นมีคนมาดู เห็นได้ชัด พวกเขารู้อยู่แล้วว่าที่นี่หารถไม่ได้ง่ายๆ แต่ก็ไม่มีใครเตือนเธอเลย

คิดถึงตรงนี้ ใจเธอก็เย็นขึ้นมา

แต่ว่า จะกลับไปให้พวกเขาไปส่งตอนนี้ ก็รู้สึกเกรงใจเกินไป

คิดๆแล้ว ก็เดินต่อไปอีกช่วงถนน

อาจเป็นเพราะเดินนานไป ขาเริ่มชา คิดแล้วเธอก็เตรียมจะถอยไปนั่งเก้าอี้ที่ริมถนน

เพียงแต่ เพิ่งจะเดินไปได้แค่ก้าวเดียว คนทั้งคนก็ล้มลงตรงข้างถนน

หินแหลมคมแทงเข้าที่ฝ่ามือ ความเจ็บปวดแถวกระดูกสันหลังก็ตามมาติดๆ เธอกัดริมฝีปากและขมวดคิ้วเข้าหากัน

ในเวลาเดียวกัน รถสปอร์ตสีขาวหยุดอยู่ข้างหลังเธอพร้อมกับเสียงบีบแตรรถ ในขณะที่เธอตกใจจนถอยหลังไปแบบไม่รู้ตัว เสียงที่อ่อนโยนมีความดึงดูดก็ดังขึ้นข้างหู——

“คุณผู้หญิง คุณไม่เป็นอะไรใช่ไหม?”

มู่เฉียวเงยหน้าขึ้นด้วยความตื่นตระหนก ก็สบตาเข้ากับดวงตาสีดำสนิทที่แฝงไปด้วยรอยยิ้ม เธออึ้งไปเล็กน้อย ทำไมถึงเป็นประธานเฮ่อ รู้สึกประหลาดใจ จากนั้นดึงริมฝีปากที่แข็งทื่อ ฝืนยิ้มออกมา พูดเสียงต่ำ “อ๋อ ไม่เป็นไรค่ะ……”

เฮ่อเทียน เจ้านายของเธอ แต่ว่า เป็นเพียงแค่หนึ่งในผู้ถือหุ้น เธอรู้จักเขา แต่เขาไม่รู้จักเธอ

เธอเคยเห็นเฮ่อเทียนสองครั้ง แต่ ที่น่าแปลกใจคือ เธอเจอกับเขาที่นี่ ดูเหมือนว่า เขาก็คงจะอาศัยอยู่ทางด้านบนเหมือนกัน

“เตรียมจอดรถจะโทรศัพท์ ไม่คิดว่าจะชนคุณเข้า!”เฮ่อเทียนพูดไปก็รีบลงจากรถ แล้วพยุงเธอขึ้นมา

มู่เฉียวรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย กับความกระตือรือร้นที่อธิบายไม่ถูกของเฮ่อเทียน อย่างไรก็ตาม มีข่าวลือในบริษัทว่าเฮ่อเทียนไม่เคยสนใจผู้หญิง แล้วทำไมถึง?

เธอกัดปาก และครุ่นคิด ถ้าเป็นคนอื่น ตอนนี้เธอคงไม่สนใจ เธอเกลียดที่ต้องพูดคุยกับผู้ชายแปลกหน้า เกลียดการทักทายแบบนี้ และที่สำคัญกว่านั้น แม้ว่าตอนนี้ความสัมพันธ์ของเธอกับโม่หานยังไม่มีความชัดเจน แต่……เธอก็ยังจำได้ว่าตัวเองท้องลูกของเขาอยู่

อย่างไรก็ตาม เธออยากกลับบ้านจริงๆ อยากเจอพ่อกับแม่ เธอดึงริมฝีปาก ยิ้มน้อยๆ แล้วตอบว่า “คุณเข้าใจผิดแล้วค่ะ คุณไม่ได้ชนฉัน ฉันล้มไปเองไม่ทันได้ระวัง!”

“อ๋อ ฮ่าๆ!แล้ว นี่คุณกำลังรอใครอยู่หรือเปล่า?” เฮ่อเทียนยิ้มแล้วพูดถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

มู่เฉียวกลืนน้ำลาย เงยหน้า “ฉันอยากไปสถานีรถไฟ แถวนี้ เหมือนจะไม่มีรถ”

“อย่างนั้นเหรอ……”เฮ่อเทียนเม้มริมฝีปากอย่างสง่างาม เหมือนว่ากำลังคิดอะไรบางอย่าง หลังจากนั้นไม่กี่วิ เขาก็ยิ้มและมองขึ้นไปที่มู่เฉียวด้วยใบหน้านิ่งๆ แล้วพูดว่า “ผมกำลังจะไปแถวนั้นพอดี ถ้าไม่กลัวว่าผมจะลักพาตัวคน ก็ไปด้วยกันไหม?”

มู่เฉียวเผยริมฝีปากของเธอเล็กน้อย และในที่สุดก็ยิ้มอย่างใจกว้าง “ถ้าอย่างนั้น รบกวนคุณแล้ว” คิดๆแล้วก็เดินไปยังที่นั่งรอง เปิดประตูรถ รอเฮ่อเทียนขึ้นรถแล้ว เธอก็พูดขึ้นยิ้มๆ “ขอบคุณคุณจริงๆ!”

เฮ่อเทียนหันไป มองเธออย่างมีความหมายลึกซึ้ง แต่ไม่ได้พูดอะไร ขับเคลื่อนรถไปอย่างชำนาญ

ครึ่งชั่วโมงให้หลัง รถของเฮ่อเทียนจอดอยู่หน้าสถานีรถไฟ

“บ้านคุณอาศัยอยู่ทางนั้นเหรอ?” เขาถามขณะช่วยเธอปลดเข็มขัดนิรภัย ดูเหมือนไม่ใส่ใจ

“ฉัน……ไปทำธุระน่ะ”มู่เฉียวไม่ค่อยพูดโกหก ดังนั้น จึงพูดติดอ่างเล็กน้อย เธอพยักหน้า ขอบคุณเขา แล้วลงรถไป

เฮ่อเทียนมองแผ่นหลังของเธอ คิดว่า เธออาย จึงส่ายหน้า แล้วตามลงไป

“คุณชื่ออะไร?”จู่ๆเขาก็ถามขึ้น

มู่เฉียวชะงัก ก้มมองดูตัวเอง เสื้อฮู้ด กางเกงยีน รองเท้าผ้าใบ พูดตามตรง ด้วยสภาพตอนนี้ของเธอ เธอไม่มีความมั่นใจเลยจริงๆ ว่าสามารถทำให้ผู้ชายคนหนึ่ง ผู้ชายที่ดูไม่เลวคนหนึ่ง พูดแบบนี้กับเธอ เธอหันไป มองเฮ่อเทียน ยิ้มเฉยๆ “อืม ต้องมีสักวันที่จะได้รู้!”จากนั้นเธอก็เดินตรงไปที่สถานีรถไฟ

คฤหาสน์โม่

“เธอขึ้นรถของเฮ่อเทียน”

“หึ น่าทึ่งจริงๆ!”โม่หานเล่นหมากรุกในมือ “นายสั่งคนตามเธอไป ดูว่ามีโอกาสลงมือไหม”

ฉินเส้าขมวดคิ้ว “คุณชาย ถ้านายท่านโม่รู้ว่าคุณทำแบบนี้ ท่านจะโกรธมาก”

จากนั้น ก็มีเสียงเดินลงบันได พร้อมกับเสียงดีใจ “ลูก? เป็นลูกของโม่หานเหรอ? อูย นี่เป็นเรื่องน่ายินดีมากเลย ตาแก่ รีบลงมาเร็ว เรามีเหลนแล้ว”ทันใดนั้นมือของมู่เฉียวถูกจับไว้อีกครั้ง

หญิงชราผมขาวปรากฏตัวต่อหน้ามู่เฉียว

ลิฟต์บ้านลงมาจากชั้นสอง ประตูลิฟต์เปิดออก คนใช้คนหนึ่งผลักรถเข็นออกมา ในรถเข็น มีชายสูงอายุผมขาวเหมือนกัน แม้อายุจะไม่น้อยแล้ว แต่ในตากลับมีชีวิตชีวา นี่ คงเป็นราชาเรือในตำนานใช่ไหม?

“ไปเชิญหมอมา”ปู่โม่เป็นคนทำการใหญ่ ไม่เหมือนกับคุณย่าที่เป็นกระต่ายตื่นตูม เขาโบกมือ ชี้จุดสำคัญ

ผ่านไปไม่นาน แพทย์สองคนในชุดสีขาวก็ปรากฏตัวต่อหน้ามู่เฉียว คนหนึ่งเป็นแพทย์แผนจีน และอีกคนเป็นแพทย์แผนตะวันตก

แพทย์แผนจีนจับชีพจร แพทย์แผนตะวันตกเจาะเลือด

ครึ่งชั่วโมงต่อมา

“เรียนนายท่านโม่ ท้องจริงๆครับ”แพทย์แผนจีนดูระมัดระวัง

“นี่มันดีมากเลย”แพทย์แผนตะวันตกกลับมีความยินดี

ปู่โม่พยักหน้า ริมฝีปากเม้มเป็นเส้นตรง ดูไม่ออกว่าดีใจหรือไม่ดีใจ ทำเพียงแค่จ้องมองมู่เฉียว“ทำไม ถึงต้องแต่งงาน?”

สิ่งที่ไม่คาดคิด คุณปู่ไม่ได้ถามว่าเด็กในท้องเป็นลูกของโม่หานหรือเปล่า ยิ่งไม่ได้ถาม ว่าท้องเด็กคนนี้ได้ยังไง แต่ถามถึงเหตุผลโดยตรง คาดว่าเขาคงแน่ใจ ว่ามู่เฉียวไม่มีความกล้าที่จะโกหกเขา เทียบกับโม่หาน เขาดูโอหังมากกว่า

“เพื่อให้เด็กมีครอบครัวที่สมบูรณ์แบบ และเพื่อ…..ตัวเองด้วย”

“เพื่อตัวเธอเอง?” ปู่โม่หันรถเข็ญและหมุนไปทางมู่เฉียว “ไหนลองพูด ทำไมถึงต้องทำเพื่อตัวเอง?”

มู่เฉียวเงยหน้ามองปู่โม่ “คุณปู่โม่ ฉันรู้ว่าร่างกายตอนนี้ของโม่หาน ยังไม่ถึงขั้นที่ต้องการการบริจาคไขกระดูก แต่ฉันก็รู้ดี ว่าชีวิตนี้ของฉัน จะสูญเสียอิสรภาพเพราะเหตุนี้ ฉันไม่มีทางหนีไปจากสายตาของพวกคุณได้ ยิ่งกว่านั้น ยังไม่สามารถมีลูกกับใคร หรือมีครอบครัวกับใครได้ ไม่ใช่เหรอคะ? ตระกูลโม่ไม่มีทางให้ฉันมีอันตรายแม้แต่นิดเดียว เพราะฉันต้องมีชีวิตอยู่เพื่อโม่หาน ฉันต้องเตรียมตัวที่จะสละไขกระดูกให้เขาเสมอ”

เรื่องนี้มู่หยิงบอกเธอในอีเมลวันนั้น เธอรู้ว่า มู่หยิงไม่ได้แค่บอกให้เธอตกใจอย่างแน่นอน

นี่ก็เป็นสาเหตุที่มู่หยิงไม่ยอมแต่งงานกับโม่หาน โรคนี้ โดยทั่วไปถ้าไม่อยู่ในขั้นที่กำหนด ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะเลือกปลูกถ่ายไขกระดูก เพราะมีความอันตรายสูงมาก ถ้าหากเกิดอาการต่อต้าน หรือเกิดมีเชื้อโรค แค่ข้อผิดพลาดนิดเดียว ชีวิตของโม่หานก็จบ

ถ้าแต่งงานกับเขา ก็ไม่ต่างอะไรจากมีชีวิตกับระเบิดเวลา ความกลัวแบบนี้ แค่คิดดู ก็น่ากลัวแล้ว

แต่ หลายปีมานี้ความรู้สึกและนิสัยของทั้งสองคนเป็นไปในทางเดียวกัน ทำให้มู่หยิงหาข้ออ้างไม่ได้ที่จะต้องปฏิเสธงานแต่ง หรือเลิกกับโม่หานในเวลานี้

ไม่ว่าจะทางความสัมพันธ์หรือเหตุผล ก็ไม่ได้

ดังนั้น เธอถึงบังคับให้เธอแต่งงาน ถ้าเป็นแบบนี้ เธอก็จะหนีได้ ตระกูลโม่และโม่หานยังรู้สึกผิดเพราะเรื่องนี้ แล้วจะปฏิบัติกับเธออย่างดี

ยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว

อีกอย่างสำหรับโม่หานและตระกูลโม่ มันไม่สำคัญว่ามู่เฉียวตัวเล็กๆคนนี้ จะมีความสุขหรือไม่ ตราบใดที่เธอยังมีชีวิตอยู่ ก็พอ

จุดนี้ เธอเข้าใจ

เมื่อคืน เธอก็คิดมามากเหมือนกัน การต่อต้านของตัวเอง ไม่ต่างจากตั๊กแตนห้ามรถ ถ้าอย่างนั้นในเมื่อเปลี่ยนแปลงไม่ได้ ก็ต่อสู้เพื่อผลประโยชน์ของตัวเองดีกว่า

แต่งงานกับโม่หาน เธอตัดสินใจแล้ว เพิกเฉยต่อเขา สิ่งที่เธอต้องการ ก็แค่การแต่งงานเท่านั้น ในเมื่อไม่มีอิสระแล้ว ถ้าอย่างนั้น แต่งให้เขายังดีกว่า คิดเพื่อลูกในท้องให้มากๆ

ปู่โม่ไขว้มือทั้งสองข้างไว้ที่อก เงยหน้ามองมู่เฉียว เห็นได้ยาก ที่มุมปากของเขายกขึ้น ในตามีความซาบซึ้ง

“ไม่เลว มีความหมายดี”

เห็นว่าตาโม่มีน้ำเสียงอ่อนลงเล็กน้อย คุณนายโม่ก็ร้อนรนขึ้นมา

“แต่ว่าพ่อคะ โม่หานกับมู่หยิงหมั้นกันตั้งนานแล้วนะคะ ความสัมพันธ์ของทั้งสองคนก็ดี อีกอย่าง ก่อนที่พ่อของลูกจะเสียก็พูดว่าให้ทั้งสองคนแต่งงานกัน”

ปู่โม่มองคุณนายโม่ แล้วหันไปมองมู่เฉียว“เธอลองพูดมาดู ว่าถ้าหากเราไม่ยอมรับข้อเสนอของเธอล่ะ”

มู่เฉียวนิ่งไปสักพัก แล้วสบสายตากับปู่โม่ พูดแบบไม่แข็งกร้าวจนดูเย่อหยิ่งและไม่ถ่อมตัวจนเกินไปว่า “ฉันไม่มีทางต่อต้านพวกคุณได้ แต่ว่า การควบคุมร่างกายของตัวเอง ฉันคิดว่า ฉันพอทำได้ อีกอย่าง ฉันกับโม่หานมีกรุ๊ปเลือดเดียวกัน ฉันคิดว่าคุณปู่เองไม่มีทางที่จะไม่รู้ ว่าถ้าเด็กคนนี้เกิดมา มันหมายถึงอะไร? ถ้าอย่างนั้น ในเมื่อจะคลอดเด็กคนนี้อยู่แล้ว ก็ต้องคลอดในฐานะหลานของตระกูลโม่ หรือว่า คุณหวังจะให้เขาไม่มีฐานะอะไรเลย เป็นแค่ลูกนอกสมรส?” มู่เฉียวบอกเหตุผลและข้อแก้ตัวที่เธอคิดไว้ก่อนหน้านี้

เมื่อเทียบกับการปลูกถ่ายไขกระดูก เลือดจากสายสะดือที่เป็นแหล่งสำคัญของสเต็มเซลล์เม็ดเลือดมีความดั้งเดิมและบริสุทธิ์กว่าการปลูกถ่ายไขกระดูก การปลูกถ่ายสเต็มเซลล์เม็ดเลือดก่อให้เกิดผลข้างเคียงน้อยกว่า อีกอย่างอัตราการต่อต้านของสเต็มเซลล์เม็ดเลือดก็มีน้อยกว่า และที่สำคัญที่สุด เลือดของเธอกับโม่หานเป็นกรุ๊ปเดียวกัน โอกาสของเด็กที่คลอดออกมาจะมีกรุ๊ปเลือดตรงกันมีมากกว่าการที่เขาไปมีลูกกับคนอื่น

จุดนี้ เธอเชื่อว่าคนตระกูลโม่ทำความเข้าใจมาก่อนแล้ว

เมื่อเทียบกัน ความรักของโม่หานกับมู่หยิงและความสัมพันธ์ของทั้งสองครอบครัว สุภาพร่างกายของโม่หานสำคัญที่สุดอยู่แล้ว

“แบบนี้ก็ดี เด็กสาวมู่คนนั้น ฉันไม่ค่อยชอบเท่าไหร่ ทำเป็นแค่ออดอ้อน แต่งไม่ได้ ยิ่งดี ฉันมองเด็กสาวคนนี้ยังเจริญตามากกว่า ”คุณย่าโม่พูดขึ้นข้างๆ แล้วเงยหน้า มองมู่เฉียว ยิ่งมองยิ่งชอบ รู้สึกถูกชะตาอย่างบอกไม่ถูก

ปู่โม่ไม่ได้พูดอะไร เข็ญรถเข็ญ มองไปยังกลางห้องโถง ที่มีป้ายวิญญาณประดิษฐานอยู่หลายป้าย นั่นเป็นบรรพบุรุษของตระกูลโม่ ตระกูลโม่ได้รับการสืบทอดจากรุ่นสู่รุ่น ในรุ่นของคุณนายโม่ มีลูกสาวเพียงแค่คนเดียว หลังจากนั้นคุณปู่โม่เกิดอุบัติเหตุทำให้ไม่สามารถคลอดบุตรได้อีก ดังนั้น โม่หานจึงเป็นเป็นชีวิตจิตใจของคุณปู่โม่ มีความผิดปกติไม่ได้แม้แต่น้อย ถ้าไม่อย่างนั้น เขาคงจะรู้สึกผิดต่อบรรพบุรุษ ผ่านไปนานพักหนึ่ง เอ่ยปากพูดว่า “สั่งคนไปเตรียมการเรื่องงานแต่ง ทางตระกูลมู่ ลูกไปคุยกับเขา พยายามพูดปลอบ”

พูดจบ กำลังจะจากไป

“คุณปู่ นี่เป็นงานแต่งของผม!”เสียงของโม่หาน

คุณปู่โม่หันรถเข็ญ มองโม่หาน พูดขึ้นน้ำเสียงราบเรียบ“นายแต่งงาน? ถ้าหากนายตาไป นายจะเอาอะไรมาแต่ง?”

โม่หานนิ่งไป พูดไม่ออกไปสักพัก หันตัว เขาสูดหายใจเข้า ชี้มือไปที่มู่เฉียว “คุณ คุณนี่มัน……”พูดได้ครึ่งหนี่ง เขาก็ใช้มือจับที่อกทันที จากนั้น ก็หอบหายใจแรงๆ

คุณนายโม่รีบกดกริ่งในมือ หมอสองคนก็วิ่งมาจากข้างนอก

หลังนอนกลิ้งไปกลิ้งมา

“คุณชาย โรคนี้ของคุณไม่ควรแตกตื่นมากเกินไป”

พูดจบ มองคุณปู่โม่ “คุณเตรียมตัวไว้จะดีกว่า แม้ว่าตอนนี้สถานการณ์ยังคงถือว่าดีอยู่ก็ตาม”

คุณปู่โม่พยักหน้า หันตัว มองโม่หาน “เตรียมงานแต่งเถอะ”

จากนั้น ก็มีเสียงเดินลงบันได พร้อมกับเสียงดีใจ “ลูก? เป็นลูกของโม่หานเหรอ? อูย นี่เป็นเรื่องน่ายินดีมากเลย ตาแก่ รีบลงมาเร็ว เรามีเหลนแล้ว”ทันใดนั้นมือของมู่เฉียวถูกจับไว้อีกครั้ง

หญิงชราผมขาวปรากฏตัวต่อหน้ามู่เฉียว

ลิฟต์บ้านลงมาจากชั้นสอง ประตูลิฟต์เปิดออก คนใช้คนหนึ่งผลักรถเข็นออกมา ในรถเข็น มีชายสูงอายุผมขาวเหมือนกัน แม้อายุจะไม่น้อยแล้ว แต่ในตากลับมีชีวิตชีวา นี่ คงเป็นราชาเรือในตำนานใช่ไหม?

“ไปเชิญหมอมา”ปู่โม่เป็นคนทำการใหญ่ ไม่เหมือนกับคุณย่าที่เป็นกระต่ายตื่นตูม เขาโบกมือ ชี้จุดสำคัญ

ผ่านไปไม่นาน แพทย์สองคนในชุดสีขาวก็ปรากฏตัวต่อหน้ามู่เฉียว คนหนึ่งเป็นแพทย์แผนจีน และอีกคนเป็นแพทย์แผนตะวันตก

แพทย์แผนจีนจับชีพจร แพทย์แผนตะวันตกเจาะเลือด

ครึ่งชั่วโมงต่อมา

“เรียนนายท่านโม่ ท้องจริงๆครับ”แพทย์แผนจีนดูระมัดระวัง

“นี่มันดีมากเลย”แพทย์แผนตะวันตกกลับมีความยินดี

ปู่โม่พยักหน้า ริมฝีปากเม้มเป็นเส้นตรง ดูไม่ออกว่าดีใจหรือไม่ดีใจ ทำเพียงแค่จ้องมองมู่เฉียว“ทำไม ถึงต้องแต่งงาน?”

สิ่งที่ไม่คาดคิด คุณปู่ไม่ได้ถามว่าเด็กในท้องเป็นลูกของโม่หานหรือเปล่า ยิ่งไม่ได้ถาม ว่าท้องเด็กคนนี้ได้ยังไง แต่ถามถึงเหตุผลโดยตรง คาดว่าเขาคงแน่ใจ ว่ามู่เฉียวไม่มีความกล้าที่จะโกหกเขา เทียบกับโม่หาน เขาดูโอหังมากกว่า

“เพื่อให้เด็กมีครอบครัวที่สมบูรณ์แบบ และเพื่อ…..ตัวเองด้วย”

“เพื่อตัวเธอเอง?” ปู่โม่หันรถเข็ญและหมุนไปทางมู่เฉียว “ไหนลองพูด ทำไมถึงต้องทำเพื่อตัวเอง?”

มู่เฉียวเงยหน้ามองปู่โม่ “คุณปู่โม่ ฉันรู้ว่าร่างกายตอนนี้ของโม่หาน ยังไม่ถึงขั้นที่ต้องการการบริจาคไขกระดูก แต่ฉันก็รู้ดี ว่าชีวิตนี้ของฉัน จะสูญเสียอิสรภาพเพราะเหตุนี้ ฉันไม่มีทางหนีไปจากสายตาของพวกคุณได้ ยิ่งกว่านั้น ยังไม่สามารถมีลูกกับใคร หรือมีครอบครัวกับใครได้ ไม่ใช่เหรอคะ? ตระกูลโม่ไม่มีทางให้ฉันมีอันตรายแม้แต่นิดเดียว เพราะฉันต้องมีชีวิตอยู่เพื่อโม่หาน ฉันต้องเตรียมตัวที่จะสละไขกระดูกให้เขาเสมอ”

เรื่องนี้มู่หยิงบอกเธอในอีเมลวันนั้น เธอรู้ว่า มู่หยิงไม่ได้แค่บอกให้เธอตกใจอย่างแน่นอน

นี่ก็เป็นสาเหตุที่มู่หยิงไม่ยอมแต่งงานกับโม่หาน โรคนี้ โดยทั่วไปถ้าไม่อยู่ในขั้นที่กำหนด ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะเลือกปลูกถ่ายไขกระดูก เพราะมีความอันตรายสูงมาก ถ้าหากเกิดอาการต่อต้าน หรือเกิดมีเชื้อโรค แค่ข้อผิดพลาดนิดเดียว ชีวิตของโม่หานก็จบ

ถ้าแต่งงานกับเขา ก็ไม่ต่างอะไรจากมีชีวิตกับระเบิดเวลา ความกลัวแบบนี้ แค่คิดดู ก็น่ากลัวแล้ว

แต่ หลายปีมานี้ความรู้สึกและนิสัยของทั้งสองคนเป็นไปในทางเดียวกัน ทำให้มู่หยิงหาข้ออ้างไม่ได้ที่จะต้องปฏิเสธงานแต่ง หรือเลิกกับโม่หานในเวลานี้

ไม่ว่าจะทางความสัมพันธ์หรือเหตุผล ก็ไม่ได้

ดังนั้น เธอถึงบังคับให้เธอแต่งงาน ถ้าเป็นแบบนี้ เธอก็จะหนีได้ ตระกูลโม่และโม่หานยังรู้สึกผิดเพราะเรื่องนี้ แล้วจะปฏิบัติกับเธออย่างดี

ยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว

อีกอย่างสำหรับโม่หานและตระกูลโม่ มันไม่สำคัญว่ามู่เฉียวตัวเล็กๆคนนี้ จะมีความสุขหรือไม่ ตราบใดที่เธอยังมีชีวิตอยู่ ก็พอ

จุดนี้ เธอเข้าใจ

เมื่อคืน เธอก็คิดมามากเหมือนกัน การต่อต้านของตัวเอง ไม่ต่างจากตั๊กแตนห้ามรถ ถ้าอย่างนั้นในเมื่อเปลี่ยนแปลงไม่ได้ ก็ต่อสู้เพื่อผลประโยชน์ของตัวเองดีกว่า

แต่งงานกับโม่หาน เธอตัดสินใจแล้ว เพิกเฉยต่อเขา สิ่งที่เธอต้องการ ก็แค่การแต่งงานเท่านั้น ในเมื่อไม่มีอิสระแล้ว ถ้าอย่างนั้น แต่งให้เขายังดีกว่า คิดเพื่อลูกในท้องให้มากๆ

ปู่โม่ไขว้มือทั้งสองข้างไว้ที่อก เงยหน้ามองมู่เฉียว เห็นได้ยาก ที่มุมปากของเขายกขึ้น ในตามีความซาบซึ้ง

“ไม่เลว มีความหมายดี”

เห็นว่าตาโม่มีน้ำเสียงอ่อนลงเล็กน้อย คุณนายโม่ก็ร้อนรนขึ้นมา

“แต่ว่าพ่อคะ โม่หานกับมู่หยิงหมั้นกันตั้งนานแล้วนะคะ ความสัมพันธ์ของทั้งสองคนก็ดี อีกอย่าง ก่อนที่พ่อของลูกจะเสียก็พูดว่าให้ทั้งสองคนแต่งงานกัน”

ปู่โม่มองคุณนายโม่ แล้วหันไปมองมู่เฉียว“เธอลองพูดมาดู ว่าถ้าหากเราไม่ยอมรับข้อเสนอของเธอล่ะ”

มู่เฉียวนิ่งไปสักพัก แล้วสบสายตากับปู่โม่ พูดแบบไม่แข็งกร้าวจนดูเย่อหยิ่งและไม่ถ่อมตัวจนเกินไปว่า “ฉันไม่มีทางต่อต้านพวกคุณได้ แต่ว่า การควบคุมร่างกายของตัวเอง ฉันคิดว่า ฉันพอทำได้ อีกอย่าง ฉันกับโม่หานมีกรุ๊ปเลือดเดียวกัน ฉันคิดว่าคุณปู่เองไม่มีทางที่จะไม่รู้ ว่าถ้าเด็กคนนี้เกิดมา มันหมายถึงอะไร? ถ้าอย่างนั้น ในเมื่อจะคลอดเด็กคนนี้อยู่แล้ว ก็ต้องคลอดในฐานะหลานของตระกูลโม่ หรือว่า คุณหวังจะให้เขาไม่มีฐานะอะไรเลย เป็นแค่ลูกนอกสมรส?” มู่เฉียวบอกเหตุผลและข้อแก้ตัวที่เธอคิดไว้ก่อนหน้านี้

เมื่อเทียบกับการปลูกถ่ายไขกระดูก เลือดจากสายสะดือที่เป็นแหล่งสำคัญของสเต็มเซลล์เม็ดเลือดมีความดั้งเดิมและบริสุทธิ์กว่าการปลูกถ่ายไขกระดูก การปลูกถ่ายสเต็มเซลล์เม็ดเลือดก่อให้เกิดผลข้างเคียงน้อยกว่า อีกอย่างอัตราการต่อต้านของสเต็มเซลล์เม็ดเลือดก็มีน้อยกว่า และที่สำคัญที่สุด เลือดของเธอกับโม่หานเป็นกรุ๊ปเดียวกัน โอกาสของเด็กที่คลอดออกมาจะมีกรุ๊ปเลือดตรงกันมีมากกว่าการที่เขาไปมีลูกกับคนอื่น

จุดนี้ เธอเชื่อว่าคนตระกูลโม่ทำความเข้าใจมาก่อนแล้ว

เมื่อเทียบกัน ความรักของโม่หานกับมู่หยิงและความสัมพันธ์ของทั้งสองครอบครัว สุภาพร่างกายของโม่หานสำคัญที่สุดอยู่แล้ว

“แบบนี้ก็ดี เด็กสาวมู่คนนั้น ฉันไม่ค่อยชอบเท่าไหร่ ทำเป็นแค่ออดอ้อน แต่งไม่ได้ ยิ่งดี ฉันมองเด็กสาวคนนี้ยังเจริญตามากกว่า ”คุณย่าโม่พูดขึ้นข้างๆ แล้วเงยหน้า มองมู่เฉียว ยิ่งมองยิ่งชอบ รู้สึกถูกชะตาอย่างบอกไม่ถูก

ปู่โม่ไม่ได้พูดอะไร เข็ญรถเข็ญ มองไปยังกลางห้องโถง ที่มีป้ายวิญญาณประดิษฐานอยู่หลายป้าย นั่นเป็นบรรพบุรุษของตระกูลโม่ ตระกูลโม่ได้รับการสืบทอดจากรุ่นสู่รุ่น ในรุ่นของคุณนายโม่ มีลูกสาวเพียงแค่คนเดียว หลังจากนั้นคุณปู่โม่เกิดอุบัติเหตุทำให้ไม่สามารถคลอดบุตรได้อีก ดังนั้น โม่หานจึงเป็นเป็นชีวิตจิตใจของคุณปู่โม่ มีความผิดปกติไม่ได้แม้แต่น้อย ถ้าไม่อย่างนั้น เขาคงจะรู้สึกผิดต่อบรรพบุรุษ ผ่านไปนานพักหนึ่ง เอ่ยปากพูดว่า “สั่งคนไปเตรียมการเรื่องงานแต่ง ทางตระกูลมู่ ลูกไปคุยกับเขา พยายามพูดปลอบ”

พูดจบ กำลังจะจากไป

“คุณปู่ นี่เป็นงานแต่งของผม!”เสียงของโม่หาน

คุณปู่โม่หันรถเข็ญ มองโม่หาน พูดขึ้นน้ำเสียงราบเรียบ“นายแต่งงาน? ถ้าหากนายตาไป นายจะเอาอะไรมาแต่ง?”

โม่หานนิ่งไป พูดไม่ออกไปสักพัก หันตัว เขาสูดหายใจเข้า ชี้มือไปที่มู่เฉียว “คุณ คุณนี่มัน……”พูดได้ครึ่งหนี่ง เขาก็ใช้มือจับที่อกทันที จากนั้น ก็หอบหายใจแรงๆ

คุณนายโม่รีบกดกริ่งในมือ หมอสองคนก็วิ่งมาจากข้างนอก

หลังนอนกลิ้งไปกลิ้งมา

“คุณชาย โรคนี้ของคุณไม่ควรแตกตื่นมากเกินไป”

พูดจบ มองคุณปู่โม่ “คุณเตรียมตัวไว้จะดีกว่า แม้ว่าตอนนี้สถานการณ์ยังคงถือว่าดีอยู่ก็ตาม”

คุณปู่โม่พยักหน้า หันตัว มองโม่หาน “เตรียมงานแต่งเถอะ”

จากนั้น ก็มีเสียงเดินลงบันได พร้อมกับเสียงดีใจ “ลูก? เป็นลูกของโม่หานเหรอ? อูย นี่เป็นเรื่องน่ายินดีมากเลย ตาแก่ รีบลงมาเร็ว เรามีเหลนแล้ว”ทันใดนั้นมือของมู่เฉียวถูกจับไว้อีกครั้ง

หญิงชราผมขาวปรากฏตัวต่อหน้ามู่เฉียว

ลิฟต์บ้านลงมาจากชั้นสอง ประตูลิฟต์เปิดออก คนใช้คนหนึ่งผลักรถเข็นออกมา ในรถเข็น มีชายสูงอายุผมขาวเหมือนกัน แม้อายุจะไม่น้อยแล้ว แต่ในตากลับมีชีวิตชีวา นี่ คงเป็นราชาเรือในตำนานใช่ไหม?

“ไปเชิญหมอมา”ปู่โม่เป็นคนทำการใหญ่ ไม่เหมือนกับคุณย่าที่เป็นกระต่ายตื่นตูม เขาโบกมือ ชี้จุดสำคัญ

ผ่านไปไม่นาน แพทย์สองคนในชุดสีขาวก็ปรากฏตัวต่อหน้ามู่เฉียว คนหนึ่งเป็นแพทย์แผนจีน และอีกคนเป็นแพทย์แผนตะวันตก

แพทย์แผนจีนจับชีพจร แพทย์แผนตะวันตกเจาะเลือด

ครึ่งชั่วโมงต่อมา

“เรียนนายท่านโม่ ท้องจริงๆครับ”แพทย์แผนจีนดูระมัดระวัง

“นี่มันดีมากเลย”แพทย์แผนตะวันตกกลับมีความยินดี

ปู่โม่พยักหน้า ริมฝีปากเม้มเป็นเส้นตรง ดูไม่ออกว่าดีใจหรือไม่ดีใจ ทำเพียงแค่จ้องมองมู่เฉียว“ทำไม ถึงต้องแต่งงาน?”

สิ่งที่ไม่คาดคิด คุณปู่ไม่ได้ถามว่าเด็กในท้องเป็นลูกของโม่หานหรือเปล่า ยิ่งไม่ได้ถาม ว่าท้องเด็กคนนี้ได้ยังไง แต่ถามถึงเหตุผลโดยตรง คาดว่าเขาคงแน่ใจ ว่ามู่เฉียวไม่มีความกล้าที่จะโกหกเขา เทียบกับโม่หาน เขาดูโอหังมากกว่า

“เพื่อให้เด็กมีครอบครัวที่สมบูรณ์แบบ และเพื่อ…..ตัวเองด้วย”

“เพื่อตัวเธอเอง?” ปู่โม่หันรถเข็ญและหมุนไปทางมู่เฉียว “ไหนลองพูด ทำไมถึงต้องทำเพื่อตัวเอง?”

มู่เฉียวเงยหน้ามองปู่โม่ “คุณปู่โม่ ฉันรู้ว่าร่างกายตอนนี้ของโม่หาน ยังไม่ถึงขั้นที่ต้องการการบริจาคไขกระดูก แต่ฉันก็รู้ดี ว่าชีวิตนี้ของฉัน จะสูญเสียอิสรภาพเพราะเหตุนี้ ฉันไม่มีทางหนีไปจากสายตาของพวกคุณได้ ยิ่งกว่านั้น ยังไม่สามารถมีลูกกับใคร หรือมีครอบครัวกับใครได้ ไม่ใช่เหรอคะ? ตระกูลโม่ไม่มีทางให้ฉันมีอันตรายแม้แต่นิดเดียว เพราะฉันต้องมีชีวิตอยู่เพื่อโม่หาน ฉันต้องเตรียมตัวที่จะสละไขกระดูกให้เขาเสมอ”

เรื่องนี้มู่หยิงบอกเธอในอีเมลวันนั้น เธอรู้ว่า มู่หยิงไม่ได้แค่บอกให้เธอตกใจอย่างแน่นอน

นี่ก็เป็นสาเหตุที่มู่หยิงไม่ยอมแต่งงานกับโม่หาน โรคนี้ โดยทั่วไปถ้าไม่อยู่ในขั้นที่กำหนด ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะเลือกปลูกถ่ายไขกระดูก เพราะมีความอันตรายสูงมาก ถ้าหากเกิดอาการต่อต้าน หรือเกิดมีเชื้อโรค แค่ข้อผิดพลาดนิดเดียว ชีวิตของโม่หานก็จบ

ถ้าแต่งงานกับเขา ก็ไม่ต่างอะไรจากมีชีวิตกับระเบิดเวลา ความกลัวแบบนี้ แค่คิดดู ก็น่ากลัวแล้ว

แต่ หลายปีมานี้ความรู้สึกและนิสัยของทั้งสองคนเป็นไปในทางเดียวกัน ทำให้มู่หยิงหาข้ออ้างไม่ได้ที่จะต้องปฏิเสธงานแต่ง หรือเลิกกับโม่หานในเวลานี้

ไม่ว่าจะทางความสัมพันธ์หรือเหตุผล ก็ไม่ได้

ดังนั้น เธอถึงบังคับให้เธอแต่งงาน ถ้าเป็นแบบนี้ เธอก็จะหนีได้ ตระกูลโม่และโม่หานยังรู้สึกผิดเพราะเรื่องนี้ แล้วจะปฏิบัติกับเธออย่างดี

ยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว

อีกอย่างสำหรับโม่หานและตระกูลโม่ มันไม่สำคัญว่ามู่เฉียวตัวเล็กๆคนนี้ จะมีความสุขหรือไม่ ตราบใดที่เธอยังมีชีวิตอยู่ ก็พอ

จุดนี้ เธอเข้าใจ

เมื่อคืน เธอก็คิดมามากเหมือนกัน การต่อต้านของตัวเอง ไม่ต่างจากตั๊กแตนห้ามรถ ถ้าอย่างนั้นในเมื่อเปลี่ยนแปลงไม่ได้ ก็ต่อสู้เพื่อผลประโยชน์ของตัวเองดีกว่า

แต่งงานกับโม่หาน เธอตัดสินใจแล้ว เพิกเฉยต่อเขา สิ่งที่เธอต้องการ ก็แค่การแต่งงานเท่านั้น ในเมื่อไม่มีอิสระแล้ว ถ้าอย่างนั้น แต่งให้เขายังดีกว่า คิดเพื่อลูกในท้องให้มากๆ

ปู่โม่ไขว้มือทั้งสองข้างไว้ที่อก เงยหน้ามองมู่เฉียว เห็นได้ยาก ที่มุมปากของเขายกขึ้น ในตามีความซาบซึ้ง

“ไม่เลว มีความหมายดี”

เห็นว่าตาโม่มีน้ำเสียงอ่อนลงเล็กน้อย คุณนายโม่ก็ร้อนรนขึ้นมา

“แต่ว่าพ่อคะ โม่หานกับมู่หยิงหมั้นกันตั้งนานแล้วนะคะ ความสัมพันธ์ของทั้งสองคนก็ดี อีกอย่าง ก่อนที่พ่อของลูกจะเสียก็พูดว่าให้ทั้งสองคนแต่งงานกัน”

ปู่โม่มองคุณนายโม่ แล้วหันไปมองมู่เฉียว“เธอลองพูดมาดู ว่าถ้าหากเราไม่ยอมรับข้อเสนอของเธอล่ะ”

มู่เฉียวนิ่งไปสักพัก แล้วสบสายตากับปู่โม่ พูดแบบไม่แข็งกร้าวจนดูเย่อหยิ่งและไม่ถ่อมตัวจนเกินไปว่า “ฉันไม่มีทางต่อต้านพวกคุณได้ แต่ว่า การควบคุมร่างกายของตัวเอง ฉันคิดว่า ฉันพอทำได้ อีกอย่าง ฉันกับโม่หานมีกรุ๊ปเลือดเดียวกัน ฉันคิดว่าคุณปู่เองไม่มีทางที่จะไม่รู้ ว่าถ้าเด็กคนนี้เกิดมา มันหมายถึงอะไร? ถ้าอย่างนั้น ในเมื่อจะคลอดเด็กคนนี้อยู่แล้ว ก็ต้องคลอดในฐานะหลานของตระกูลโม่ หรือว่า คุณหวังจะให้เขาไม่มีฐานะอะไรเลย เป็นแค่ลูกนอกสมรส?” มู่เฉียวบอกเหตุผลและข้อแก้ตัวที่เธอคิดไว้ก่อนหน้านี้

เมื่อเทียบกับการปลูกถ่ายไขกระดูก เลือดจากสายสะดือที่เป็นแหล่งสำคัญของสเต็มเซลล์เม็ดเลือดมีความดั้งเดิมและบริสุทธิ์กว่าการปลูกถ่ายไขกระดูก การปลูกถ่ายสเต็มเซลล์เม็ดเลือดก่อให้เกิดผลข้างเคียงน้อยกว่า อีกอย่างอัตราการต่อต้านของสเต็มเซลล์เม็ดเลือดก็มีน้อยกว่า และที่สำคัญที่สุด เลือดของเธอกับโม่หานเป็นกรุ๊ปเดียวกัน โอกาสของเด็กที่คลอดออกมาจะมีกรุ๊ปเลือดตรงกันมีมากกว่าการที่เขาไปมีลูกกับคนอื่น

จุดนี้ เธอเชื่อว่าคนตระกูลโม่ทำความเข้าใจมาก่อนแล้ว

เมื่อเทียบกัน ความรักของโม่หานกับมู่หยิงและความสัมพันธ์ของทั้งสองครอบครัว สุภาพร่างกายของโม่หานสำคัญที่สุดอยู่แล้ว

“แบบนี้ก็ดี เด็กสาวมู่คนนั้น ฉันไม่ค่อยชอบเท่าไหร่ ทำเป็นแค่ออดอ้อน แต่งไม่ได้ ยิ่งดี ฉันมองเด็กสาวคนนี้ยังเจริญตามากกว่า ”คุณย่าโม่พูดขึ้นข้างๆ แล้วเงยหน้า มองมู่เฉียว ยิ่งมองยิ่งชอบ รู้สึกถูกชะตาอย่างบอกไม่ถูก

ปู่โม่ไม่ได้พูดอะไร เข็ญรถเข็ญ มองไปยังกลางห้องโถง ที่มีป้ายวิญญาณประดิษฐานอยู่หลายป้าย นั่นเป็นบรรพบุรุษของตระกูลโม่ ตระกูลโม่ได้รับการสืบทอดจากรุ่นสู่รุ่น ในรุ่นของคุณนายโม่ มีลูกสาวเพียงแค่คนเดียว หลังจากนั้นคุณปู่โม่เกิดอุบัติเหตุทำให้ไม่สามารถคลอดบุตรได้อีก ดังนั้น โม่หานจึงเป็นเป็นชีวิตจิตใจของคุณปู่โม่ มีความผิดปกติไม่ได้แม้แต่น้อย ถ้าไม่อย่างนั้น เขาคงจะรู้สึกผิดต่อบรรพบุรุษ ผ่านไปนานพักหนึ่ง เอ่ยปากพูดว่า “สั่งคนไปเตรียมการเรื่องงานแต่ง ทางตระกูลมู่ ลูกไปคุยกับเขา พยายามพูดปลอบ”

พูดจบ กำลังจะจากไป

“คุณปู่ นี่เป็นงานแต่งของผม!”เสียงของโม่หาน

คุณปู่โม่หันรถเข็ญ มองโม่หาน พูดขึ้นน้ำเสียงราบเรียบ“นายแต่งงาน? ถ้าหากนายตาไป นายจะเอาอะไรมาแต่ง?”

โม่หานนิ่งไป พูดไม่ออกไปสักพัก หันตัว เขาสูดหายใจเข้า ชี้มือไปที่มู่เฉียว “คุณ คุณนี่มัน……”พูดได้ครึ่งหนี่ง เขาก็ใช้มือจับที่อกทันที จากนั้น ก็หอบหายใจแรงๆ

คุณนายโม่รีบกดกริ่งในมือ หมอสองคนก็วิ่งมาจากข้างนอก

หลังนอนกลิ้งไปกลิ้งมา

“คุณชาย โรคนี้ของคุณไม่ควรแตกตื่นมากเกินไป”

พูดจบ มองคุณปู่โม่ “คุณเตรียมตัวไว้จะดีกว่า แม้ว่าตอนนี้สถานการณ์ยังคงถือว่าดีอยู่ก็ตาม”

คุณปู่โม่พยักหน้า หันตัว มองโม่หาน “เตรียมงานแต่งเถอะ”

ในยามเช้า ผู้หญิงคนนั้นมองไปที่ชายที่นั่งข้างเตียง “เสี่ยวหวู่ ทำไมคุณถึงตื่นเช้าจัง”

ชายคนนั้นเหลือบมองหญิงสาวด้วยแววตาที่คลุมเครือ “ภรรยา ผมยังไม่ได้นอนทั้งคืน”

ซูหย่านึกอะไรบางอย่างได้ ไอออกมาเบาๆ และลุกขึ้น

เนื่องจากมู่เฉียวจะไปหาโม่หาน พวกเขาจึงต้องไปที่เมืองที่โม่หานอยู่ เมือง A

พวกเขาได้รับการต้อนรับจากผู้ดูแลบ้านตระกูลมู่ หรือผู้ช่วยของโม่หาน, ฉินเส้า

ซูหย่า ประทับใจเขาเล็กน้อย เธอเพิ่งพบเขาเมื่อไม่นานนี้ และเธอไม่มีความประทับใจที่ดีกับใครบางคนที่มีดวงตาที่หงายขึ้นแบบกับโม่หาน

“ผู้บัญชาการเซียว ประธานโม่บอกว่าให้ทานอาหารเที่ยงด้วยกัน ไม่ทราบว่าคุณมีเวลาไหม?” ซูหย่ารู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยกับคำว่า “คุณ” ที่เขาพูดกับเซียวอู๋

เซียวอู๋หันไปมองซูหย่า “ภรรยา คุณคิดว่าไง”

ฉินเส้าจำซูหย่าได้ และมองดู “ผู้บัญชาการเซียว นี่ใคร?”

“ภรรยาของผม ซูหย่า”

“โอ้ คุณหนูตระกูลซู ขอโทษด้วย คุณนายเซียว เราเคยเจอกันมาก่อนใช่ไหม?”

ซูหย่าขี้เกียจเกินกว่าที่จะคุยกับคนที่ชอบใช้ทางลัดในทางที่ไม่ถูกแบบพวกเขาแล้วเธอก็ยิ้มหันมองมู่เฉียว

“เสี่ยวเฉียว เที่ยงนี้คุณอยากกินอะไร”

มู่เฉียวคิดไม่ถึงว่าซูหย่าจะถามเธอ และส่ายหัว “คุณตัดสินใจเลย ฉันไม่มีความอยากอาหาร”

พูดเสร็จก็นั่งลงบนเก้าอี้ข้างเขา และสภาพจิตใจของเขาก็ดูแย่มาก

สายตาของฉินเส้า อยู่ที่ มู่เฉียวชั่วขณะหนึ่งก่อนจะมองกลับ

ระหว่างการสนทนา ประตูห้องประชุมก็เปิดออก ตามมาด้วยโม่หานที่ถูกล้อมด้วยคนไม่กี่คนและเดินเข้ามาด้วยท่ามือล้วงกระเป๋ากางเกง เขาสูง 1.87 เมตร หุ่นเพรียว ชุดสูทสีเทา กางเกงยีน ใส่หมวกไหมพรม ถึงจะไม่ได้แต่งตัวมา พอมันอยู่บนตัวเขาแล้วก็ดูดีมีรสนิยมที่ไม่ธรรมดา

แตกต่างจากความเย็นชาของการประชุมครั้งล่าสุด เมื่อเขาเห็นเซียวอู๋ มุมปากของเขาก็ยกขึ้น “พี่เซียว”

เซียวอู๋มองเขาขึ้นลง ตบไหล่เขา “ดูเหมือนว่าเขายังอยู่ในสภาพดี”

โม่ฮานหันมองไปทางขวาและก้มลงมองซูหย่า “นี่คือพี่สะใภ้ของฉันเหรอ?”

“พี่สะใภ้ของคุณมีความรู้สึกไม่ดีต่อคุณ โดยบอกว่าคุณหยิ่งเกินไป”

ซูหย่าไม่ได้คาดหวังให้เซียวพูดอย่างตรงไปตรงมา และดึงขอบเสื้อของเขา

โม่หานขมวดคิ้ว “พี่สะใภ้ คุณว่าอะไรนะ?”

“ประธานโม่ มันเป็นเรื่องที่ผ่านไปแล้วอย่าพูดถึงมันอีกเลย วันนี้เราพามู่เฉียวมา และเธอมีบางอย่างจะคุยกับคุณ” ทันทีที่โม่หานเข้าประตู เขาก็ไม่คิดที่จะใช้สายตามองไปนั่งอยู่ข้างๆของมู่เฉียวมันทำให้ซูหย่ารู้สึกไม่สบายใจ

ไม่ว่าในกรณีใด มู่เฉียวผู้นี้ก็เป็นคนที่จะช่วยชีวิตเขาการทำแบบนี้ไม่เป็นที่พอใจจริงๆ

ขณะที่เขาพูด เขาหันกลับมามองมู่เฉียว”เสี่ยวเฉียว, เสี่ยวหวู่และฉันรอคุณอยู่ข้างนอก คุณกับประธานโม่คุยกันก่อน”

หลังจากพูดเสร็จ เขาก็ดึงเซียวอู่ออกจากห้องประชุม เมื่อเห็นว่าฉินเส้าไม่ได้ตั้งใจจะออกไป เขาจึงไอเล็กน้อย “คุณผู้ดูแลฉิน คุณไม่พาเราไปเยี่ยมชมโม่กรุ๊ป หน่อยหรือ?”

โม่กรุ๊ป ตั้งอยู่ริมทะเล สร้างขึ้นในรูปทรงของเรือ และระดับความหรูหราของมันทำให้ผู้คนทึ่ง

มู่เฉียวนั่งบนเก้าอี้ เธอสัมผัสได้ถึงชายที่อยู่ฝั่งตรงข้าม ออร่าที่แข็งแกร่ง และเธอก็สามารถสัมผัสได้ถึงชายคนนั้นที่มองดูตัวเอง

เธอไม่ได้พูด เธอกำลังคิดว่า จะคุยกับผู้ชายคนนี้อย่างไรดี

และโม่หานมองไปยังผู้หญิงที่นั่งนิ่งอยู่ฝั่งตรงข้าม หรี่ตาลง ล้วงมือข้างหนึ่งใส่กระเป๋าของเขา “คุณมีเงื่อนไขอะไร ขอแค่คุณพูดมา ไม่มีอะไรที่คนแบบโมหานทำให้ไม่ได้”

ความเย่อหยิ่งของชายผู้นี้ทำให้มู่เฉียวรังเกียจในทันที

เธอเงยหน้าขึ้น มองดูโม่หาน เยาะเย้ยที่มุมปากของเธอ และพูดด้วยน้ำเสียงเยาะเย้ย: “จริงเหรอ คุณโม่เป็นคนเก่งกาจมาก ทำไมไม่สามารถรักษาโรคของตัวเองได้”

ใบหน้าของชายตรงหน้ากลายเป็นเย็นชาทันที ดวงตาของเขาจ้องไปที่มู่เฉียวอย่างเย็นชา เธอไม่สนใจ และจ้องมาที่เขา

“คุณกำลังเถียงกับผมเหรอ” สีหน้าของชายคนนั้นเย็นชาและไร้ร่องรอยอุณหภูมิ

มู่เฉียวยืนขึ้น หันหลังกลับ และมองไปยังทะเลกว้างใหญ่นอกหน้าต่าง เธอสูดลมหายใจ “ประธานโม่ขอให้ฉันบริจาคไขกระดูก ฉันไม่มีข้อโต้แย้ง แต่ฉันมีเงื่อนไข”

“พูดตรงๆ”

“แต่งงานกับฉัน.”

นิ้วเรียวของชายผู้นั้นเคาะเป็นจังหวะบนโต๊ะ เมื่อเขาได้ยินคำเหล่านี้ นิ้วของเขาก็งอเล็กน้อย แล้วรวบรวม จากนั้นก็ยิ้มล้นจากอกของเขา เขามองขึ้นไปที่มู่เฉียว “คุณพูดอีกครั้งซิ”

มู่เฉียวหันกลับมามองตรงมาที่ โม่หาน”แต่งงานกับฉัน”

ชายคนนั้นดูเหมือนจะได้ยินเรื่องตลก เลิกคิ้ว มองเธอขึ้นลง มู่หยิงบอกว่าผู้หญิงคนนี้หน้าเหมือนกับเธอเล็กน้อย มองใกล้ๆ ก็ดูเหมือนอยู่นิด แต่เขาเห็นว่ามู่หยิงเป็นคนสวย ,แต่ ผู้หญิงคนนี้หน้าตาน่าขยะแขยง ยังอยากแต่งงานกับเขา มันช่างพูดบ้าบอจริงๆ

“คุณต้องการข่มขู่ผมด้วยการบริจาคไขกระดูกหรือ คุณเชื่อไหม มีวิธีมากมายที่ผมสามารถทำให้คุณบริจาคอย่างเชื่อฟังได้” เมื่อเขากล่าวเช่นนี้ เขามองดูมู่เฉียวอย่างดูถูก

“ฉันเชื่อโดยธรรมชาติว่าพลังอำนาจของประธานโม่นั้นกว้างใหญ่จริง แต่ถ้าฉันไม่บริจาคไขกระดูกล่ะ?”

สีหน้าของชายคนนั้นกระชับขึ้น “ถ้าอย่างนั้นก็ไม่มีอะไรจะมาขู่ฉันได้”

ความมั่นใจในตัวเองของเขาทำให้ผู้หญิงขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน ฉันไม่เข้าใจจริงๆ ว่าผู้ชายแบบนั้น ผู้หญิงเหล่านั้นที่แห่กันต้องการเขา ตาบอดหรือ?นอกจากถุงหนังที่ดีและมีกลิ่นทองแดงทั่วร่างกายเธอไม่เข้าใจจริงๆ เขามีดีอะไร?

“แล้วเด็กคนนั้นล่ะ?” เธอยกมุมปากขึ้น และดวงตาของเธอดูมีชัยชนะเมื่อมองดูใบหน้าที่เปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัดของชายคนนั้น

ในเวลานี้เธอรู้สึกสดชื่นในหัวใจของเธอ

ดวงตาของชายผู้นั้นจ้องไปที่ท้องส่วนล่างของเธอ และเขาพูดทีละคำ: “คุณพูดให้ชัดเจนนะ เด็กอะไร”

มู่เฉียวสูดลมหายใจและยกมุมปากของเธอขึ้น “เขาเป็นลูกของประธานโม่” หลังจากพูดจบ เธอหันหลังและมองออกไปนอกหน้าต่าง รู้สึกดีขึ้น

ชายผู้นั้นนั่งบนเก้าอี้ ใช้มือใหญ่ถูแขนเก้าอี้ มองดูมู่เฉียวอย่างเฉยเมย “ลูกของผม คุณคิดว่าผมจะให้โอกาสคุณตั้งท้องลูกของผมไหม ผู้หญิงอย่างคุณถอดออกหมด ผมยังไม่ดูเลย”

การดูถูกของเขาทำให้ มู่เฉียวมีสีหน้าบูดบึ้งเล็กน้อย เธอมองไปที่โม่หานและบังคับความสงบของเธอ “ดูไม่ดู ฉันไม่รู้ แต่นี่เป็นลูกของคุณจริงๆ ถ้าคุณไม่เชื่อ” , ฉันไม่รังเกียจที่จะปล่อยเขาไป” เมื่อเธอพูดประโยคสุดท้าย มู่เฉียวก็ลูบท้องของเขาโดยไม่รู้ตัว ฝึกเงียบๆ ในใจ มันเป็นเพียงเศษเนื้อ และยังไม่ได้ยิน ยังไม่ได้ยิน

“ปัง” เสียงเก้าอี้ที่ร่วงลงสู่พื้น ตั้งแต่โม่หานโตมาเขาไม่เคยถูกขู่แบบนี้มาก่อน เขาหายใจเขาทรวงอกอย่างแรงยกมือใหญ่ขึ้น เขาต้องการตีมู่เฉียว และ วางลงอีกครั้ง

“เธอบอกมา มีเด็กคนนี้ได้ยังไงกันแน่”

เมื่อมองดูเขาเหมือนพายุฝนที่กระหน่ำลงมาอย่างรุนแรงนั้น มู่เฉียวก็สงบลง เธอรู้สึกว่าเธอไม่ใช่คนเดียวที่เปลี่ยนชะตากรรมอีกต่อไป

เธอเปิดปาก กำลังจะพูดอะไรบางอย่าง ประตูถูกผลักเปิดออก และใบหน้าของมู่หยิงก็ปรากฏขึ้นต่อหน้าพวกเขา

มู่เฉียว ตัวแข็งและมองไปที่โม่หาน

จากนั้น เธอรู้สึกว่ามีร่างหนึ่งกำลังเคลื่อนเข้ามาหาเธออย่างรวดเร็ว ก่อนที่เธอจะรู้สึกตัว เธอก็ ” เพียะ!” และเธอก็ถูกตบหน้าอย่างแรง

ในวิดีโอ ซูหย่ายืนอยู่ข้างถนนเพราะมีรถจักรยานยนต์ขับผ่านไปและบีบเธอเข้าไปในมอเตอร์เวย์ ในขณะนั้น มีรถยนต์คันหนึ่งขับผ่านไปเร็วมากและกำลังจะชนเธอ

ทันใดนั้น มีชายคนหนึ่งรีบผลักเธอไปที่ทางเท้า ด้วยเสียงเบรก ร่างของชายคนนั้นก็ล้มลงพร้อมกัน เมื่อเธอยืนขึ้น ผู้ชายคนนั้นก็จากไปอีกฝั่งแล้ว

ซูหย่ารู้สึกแน่นคอ และเธอสามารถจำร่างนั้นได้ ถ้าไม่ใช่เซียวอู๋จะเป็นใคร?

“เขาถูกชนจนขาหัก เกรงว่าเธอจะรู้เลยลากขาที่หักแล้ววิ่งหนีไป ได้ยินมาว่าเกือบพิการ”

ปี๋ไคพูดเสียงเบา ซูหย่าตกใจ

เธอคิดเสมอตลอดหลายปีที่ผ่านมามีเพียงเธอที่ยอมเสียสละ และคิดว่าเซียวอู๋ไม่เคยสนใจเธอ

ปรากฏว่าความห่วงใยและความรักของเธอช่างสดใส แต่เขากลับซ่อนเร้น

หัวใจถูกดึงเข้าอยู่ด้วยกัน คนโง่คนนี้!

เธอลุกขึ้นอย่างรวดเร็วและเดินไปที่ห้องครัว เซียวอู่กำลังทำอาหารอยู่ เธอกอดเขาจากด้านหลัง ชุบเข้าไปที่เสื้อด้วยความอบอุ่น เซียวอู๋รีบปิดไฟ หันศีรษะและมองที่ซูหย่า “เกิดอะไรขึ้น ทำไมถึงร้องไห้แบบนี้?”

ด้วยเหตุนี้ เขาต้องการที่จะหยิบทิชชู่ให้ซูหย่าแต่ซูหย่าก็กอดเขาและปฏิเสธที่จะเคลื่อนไหว

“เกิดอะไรขึ้น คุณบอกซิ?” เซียวอู๋กังวล และเสียงของเขาก็ดังขึ้น

“ขาคุณไม่ส่งผลกระทบต่อการบาดเจ็บครั้งนั้นนะ” เสียงที่มาพร้อมกับเสียงจมูกดังมาจากแขนของเขา

เซียวอู๋ตัวแข็งแต่แล้วก็คิดออก และกระซิบข้างหูของเธอว่า “ ดีหมดแล้ว ไปเถอะ ไปที่ห้องนั่งเล่น ที่นี้ควันมันเยอะ”

หลังจากทานอาหารเสร็จ ซูหย่าก็พามู่เฉียวขึ้นไปชั้นบน เหตุการณ์การตั้งครรภ์นั้นส่งผลกระทบร้ายแรงต่อเธออย่างไม่ต้องสงสัย เธอเคยหัวเราะ ตอนนี้เธอก็มีอารมณ์น้อยลง

ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เรื่องนี้มีสาเหตุมาจากเซียวอู๋ และซูหย่าก็รู้สึกผิดเล็กน้อยในใจ

“เสี่ยวเฉียว กินอะไรก่อน ถ้าคุณไม่คิดถึงตัวเองก็คิดถึงลูกในท้องของคุณหน่อย”

มู่เฉียวคุกเข่า ไม่พูด คิดเกี่ยวกับชีวิตของเธอ เมื่อมันพังทลาย เธอก็มีแต่ความเกลียดชังต่อมู่หยิงในใจ

ซูหย่าวางถาดลงแล้วจับมู่เฉียวไว้ในอ้อมแขนของเธอ “เสี่ยวเฉียว ฉันเล่าเรื่องหนึ่งให้คุณฟัง”

จากนั้น ซูหย่าได้บรรยายสั้นๆ เกี่ยวกับการตั้งครรภ์ของเธอ อุบัติเหตุของเซียวอู๋ และอื่นๆ กับเสี่ยวเฉียว

เสี่ยวเฉียวประหลาดใจเล็กน้อย “หมายความว่า คุณเพิ่งมาดีกันเมื่อวานนี้หรือ”

ซูหย่าพยักหน้า ผลักเธอออกมาหน่อยและจับใบหน้าของเธอ “ใช่ ฉันต้องขอบคุณคุณ ดังนั้น เสี่ยวเฉียว ยังมีสิ่งที่ไม่น่าพอใจอีกมากมายในชีวิต คุณยังเด็ก และจะมีหลายอย่างที่คุณจะทำ ประสบการณ์ในอนาคต , ฉันรู้ว่าฉันพยายามเกลี้ยกล่อมคุณแบบนี้ มันเหมือนกับการยืนพูดแต่คุณต้องเผชิญมันด้วยตัวเอง คุณบ่น คุณเกลียด และคุณเปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้มันเปล่าประโยชน์ เธอควรคิดว่าจะพยายามทำอย่างไรให้ตัวเองมีความสุขมากขึ้น”

มู่เฉียวยิ้มเล็กน้อย ความขมขื่นซ่อนอยู่ในรอยยิ้มของเขา

“พ่อบอกว่าลูกเป็นคนที่รักอิสระมาก ฉันรู้เสมอว่าตัวเองต้องการอะไร ตั้งแต่ฉันยังเป็นเด็ก ฉันได้ทำงานอย่างหนักในทิศทางที่ฉันต้องการ ชีวิตที่ฉันต้องการคือเรียนจบมหาวิทยาลัย หางานที่ รักและแต่งงานกับคนที่ฉันชอบ อยู่ด้วยกัน เดินผ่านชีวิตนี้อย่างชัดแจ้ง แต่ตอนนี้ ใจฉันว่างเปล่าและสูญเสีย ไม่รู้ว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร อะไรจะเจอกับฉันอีก พี่ซู , ชีวิตฉันยุ่งเหยิง “หลังจากนั้น เธอหลับตา คิ้วของเธอเต็มไปด้วยความเศร้าที่แก้ไขไม่ได้

“เสี่ยวเฉียว ฉันก็ขอโทษคุณแทนเซียวอู๋ด้วย”

มู่เฉียวส่ายหัวและลืมตาด้วยน้ำตาที่ส่องประกายในดวงตาของเขา “พี่ซู ฉันเป็นแค่คนธรรมดา ฉันเกิดในครอบครัวที่ธรรมดามาก แม่ของฉันปลูกฝังในตัวฉันตั้งแต่ฉันยังเป็นเด็ก ใน อนาคตเราต้องแต่งงานกับใครสักคน ฉันไม่เคยคิดที่จะแต่งงานกับคนอย่างโม่หานไม่เคยคิดเกี่ยวกับมันเลย” ในตอนท้ายเสียงของมู่เฉียวก็สำลัก

“พี่ซู น่าจะดูออก คุณเป็นคนรวย คนรวยอาจจะคิดว่าลูกคนยากจนแบบเรา คงคิดที่จะขึ้นไปในที่สูง แต่นั่นไม่ใช่ทั้งหมด” เธอสูดหายใจ “ฉันมีความสามารถในการใช้ชีวิตตามที่ฉันต้องการ แต่ตอนนี้ ทุกสิ่งว่างเปล่า”

ซูหย่ามองไปที่มู่เฉียวและเธอก็ไม่พูดอะไรออกมาชั่วขณะหนึ่ง พวกเขาเติบโตขึ้นมาในสภาพแวดล้อมที่แตกต่างกันและมีประสบการณ์ที่แตกต่างกัน มู่เฉียวและเล่อจยาต่างกัน แม้ว่าเล่อจยาจะมีภูมิหลังครอบครัวที่ยากจน แต่เธอก็สบายใจกับสถานการณ์มากขึ้น , ยกเว้นจะดื้อดึงกับเกาไห่ , เรื่องอื่นๆ เธอเป็นคนสบายๆ

ในที่สุด หลังจากที่โน้มน้าวมาเป็นเวลานาน มู่เฉียวก็กินบางอย่าง และซูหย่าขอให้เธอเข้านอนแต่เช้า และพรุ่งนี้ให้ตื่นแต่เช้าเพื่อขึ้นเครื่องบิน จากนั้นจึงกลับไปที่ห้องของเธอ

เธอขมวดคิ้วเมื่อเห็นผู้ชายนอนอยู่บนเตียง

“เสี่ยวอี้ ผมกล่อมนอนแล้ว”

ซูหย่าพยักหน้า เพราะเรื่องของมู่เฉียว ฟ้าหลังฝนอย่างเธอ ก็มีอารมณ์หดหู่เล็กน้อย

“เสี่ยวหวู่ อาการป่วยของโม่หาน มีแค่มู่เฉียวจริง ๆ เหรอ?”

เซียวอู๋มองไปที่ซูหย่า ดูเหมือนจะรู้ว่าเธอกำลังพยายามจะพูดอะไร และกล่าวว่า “อันที่จริง มู่เฉียวไม่รู้ แม้ว่าเธอจะไม่แต่งงานกับโม่หาน แต่ชีวิตของเธอก็ถูกกำหนด และตระกูลโม่ไม่มีทางปล่อยเธอไปแน่”

“ทำไม?”

“จะเกิดอะไรขึ้นถ้าโรคของโม่หานเกิดขึ้นอีก”

ซูหย่าหันกลับมามองเซียวอู่ด้วยแววตาไม่เชื่อ “แต่ทำไมชีวิตผู้หญิงถึงพังเพราะความเจ็บป่วยของเขา เขามีเงิน และชีวิตของเขาก็เป็นของเขา ตลอดชีวิตของคนอื่นก็ไม่สำคัญแล้วใช่ไหม ?” เธอรู้สึกแย่กับโม่หานอีกครั้ง

เซียวอู๋ไม่ได้พูดอะไร บางสิ่งก็ถูกกำหนดมาแล้ว

“ภรรยา หลังจากที่เรากลับไป คุณไปกองทัพกับผมไหม” เซียวอู๋ก็กอดซูหย่าและลูบหัวของเธอกับหน้าอก เห็นได้ชัดว่าเขาอยากลวนลามเธอ

ซูหย่าผลักเขา “ฉันจะไปทำไหม คราวที่แล้วคุณทำกับฉันแบบนั้น แล้วฉันก็วิ่งกลับไปอีกครั้ง คนจะไม่หัวเราะเยาะฉันเหรอ?”

เซียวอู๋เงยหน้าขึ้น ใบหน้าของเขาทรุดลง “ดูว่าใครกล้า!”

“ฉันไม่ไป ฉันจะอยู่ที่บ้านแม่กับเสี่ยวอี้ และฉันยังต้องทำงาน…”

“แล้วถ้าผมคิดถึงคุณต้องทำยังไง”

“ก่อนหน้านี้คุณอยู่อย่างไร ในอนาคตคุณก็อยู่อย่างนั้น” ซูหย่ายกมุมปากของเธอ จัดการเขา

“จะเหมือนกันได้ยังไง มีภรรยากับคนโสด มีคนกอดได้แต่ไม่ได้กอด แต่อีกคนกอดไม่ได้ก็ทำอะไรไม่ได้ เหมือนเดิมได้ไง?

ซูหย่าหยิบหมอนที่อยู่ข้างหลังเธอและตบหัวเขา “คุณคิดอย่างอื่นได้ไหม คิดเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่ได้ ถ้าอย่างนั้นเป็นการดีสำหรับคุณที่จะหาผู้หญิงที่น่าสังเวชเหล่านั้น คุณก็แค่เอาเงินแลกของแค่นี้ก็เรียบร้อย .”

ใบหน้าของเซียวอู๋เปลี่ยนเป็นสีเข้มและเขาก็ดึงหมอนออก “ซูหย่า คุณดูถูกฉันและคุณก็ดูถูกตัวเองด้วย” สีหน้าของเขาดูจริงจังมาก ซูหย่ากลืนน้ำลายนอนลงหันหลังให้เขา ฉัน ขี้เกียจคุยกับคุณ นอนได้แล้ว”

เซียวอู๋วางมือบนเอวของเธอ “ภรรยา ผมแค่กอดคุณนอน ผมจะไม่ทำอะไร”

“อืม.”

“ภรรยาผมนอนไม่หลับ”

“ไปวิ่ง 20 กิโลไป”

“ภรรยา คุณยังเจ็บอยู่หรือเปล่า ให้ผมช่วยทายาให้คุณไหม”

ใบหน้าของหญิงสาวแดงก่ำ ลืมตาขึ้น และยกผ้าห่มขึ้นบนร่างของชายคนนั้น “กลับไปที่ห้องของคุณ”

ในห้องของมู่เฉียว เธอทรุดตัวลงที่ข้างเตียง และโคมไฟบนโต๊ะข้างเตียงก็ถูกโยนลงกับพื้น

“เสี่ยวเฉียว…” ซูหย่าวิ่งเข้ามา พยายามช่วยเธอ

แต่มู่เฉียวส่ายหัว น้ำเสียงแหบ “พวกคุณออกไปให้หมด!” ขณะที่เขาพูด เขาก็โยนรองเท้าแตะ

เซียวอู๋จับซูหย่าและกอดไว้ในอ้อมแขนของเขา “คุณมู่ ในเมื่อคุณรู้เกี่ยวกับการตั้งครรภ์แล้ว เราจะไม่ปิดบังอีกต่อไป เราอยากรู้ว่าใครคือพ่อของเด็กในท้องของคุณ”

ดวงตาของมู่เฉียวมัวหมอง และเธอก็ยิ้มแบบแห้งเมื่อได้ยินคำถามของเซียวอู๋ “ผู้บัญชาการเซียว เป็นของใคร คุณไม่ใช่รู้เป็นอย่างดี เพื่อที่จะบรรลุเป้าหมายของพวกคุณถึงขั้นยอดทำทุกวิถีทางเพื่อได้มันมา”

ซูหย่าหันไปมองที่เสี่ยวหวู่ และพูดด้วยความประหลาดใจ: “เป็นคุณ…”

เซียวอู๋ส่ายหัว “คุณมู่ คุณอาจเข้าใจผิด ผมไม่รู้เรื่องนี้มาก่อน”

เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ เซียวอู๋หยุดชั่วคราว “พ่อและแม่ของคุณเป็นครูมัธยมต้นทั้งคู่ พวกเขาซื่อสัตย์ และคุณเป็นความภาคภูมิใจของพวกเขามาโดยตลอด…”

มู่เฉียวเงยหน้าขึ้น กระโดดขึ้นจากพื้น แล้วมาอยู่ต่อหน้าเซียวอู๋ “ถ้าคุณกล้าที่จะขยับมัน ฉันจะตายให้คุณดู ฉันคิดว่าฉันตายแล้ว โม่หานจะมีใครช่วยมันได้” ดวงตาของเธอเป็น สีแดงซูหย่าดึงตัวเซียวอู๋

เซียวอู๋ถอนหายใจแล้วเอามือออกจากปลอกคอ “คุณมู่ ผมหมายความว่าถ้าคนแบบพ่อแม่ของคุณรู้ว่าคุณท้อง พวกเขาจะรับไม่ได้อย่างแน่นอน .. .”

“ไม่ว่ายังไรก็ตาม พวกคุณต้องการ ให้เอาเด็กออกไหม” หลังจากพูดแบบนี้ เธอหยุดและมองที่เซียวอู๋ “ตั้งแต่เด็กพ่อกับแม่บอกว่าฉันควรจะซื่อสัตย์และใจดี ตั้งแต่ชั้นประถมถึงมหาวิทยาลัยแล้ว พอไปถึงที่ทำงานก็อยู่ตรงสายกลางมาโดยตลอด เดิมที แฟนเก่าเราวางแผนแต่งงานกันในปีหน้า แต่ทำไมตั้งแต่ฉันสัญญาว่าจะบริจาคไขกระดูกให้โม่หาน งานของฉันก็หายไป แฟนก็ไม่มีแล้วไป ร่างกายของฉันถูกทรมานจนมันเป็นแบบนี้ และตอนนี้อยู่ดีๆก็มีลูก ผู้บัญชากาเซียวคุณไม่ได้บอกว่าคนดีได้ดีไม่ใช่เหรอ?”

“โม่ฮานเขามีเงิน แต่เขาไม่ใช่ที่รักของฉัน ทำไมฉันต้องแต่งงานกับเขาด้วย เขาต้องการปลูกถ่ายไขกระดูก ฉันไม่ได้บอกว่าฉันไม่เห็นด้วย มันยังไม่พอเหรอ ทำไมฉันต้องท้องลูกของเขาด้วย?” มู่เฉียวพูดและเริ่มร้องไห้อย่างหนัก

ซูหย่าก้าวไปข้างหน้าและกอดเธอ “มู่เฉียว อย่าตื่นเต้น ฉันเชื่อว่าเซียวอู๋ไม่ทราบเรื่องนี้อย่างแน่นอน เซียวอู๋ไม่ใช่คนแบบนั้น”

มู่เฉียวเยาะเย้ย: “เขาไม่ใช่คนแบบนั้น เขาจะหย่ากับคุณหลังจากที่คุณให้กำเนิดลูกเพื่อเขาหรือ”

ซูหย่าขมวดคิ้ว เขินอาย แต่พูดไม่ออก

สีหน้าของเซียวอู๋ดูมืดมน “พ่อของมู่กับพ่อของโม่หานเป็นเพื่อนกันตั้งแต่ยังเด็ก ตอนนั้นพวกเขามีความสัมพันธ์ที่ดี พวกเขาเคยบอกว่าถ้ามีลูกชายและลูกสาวในอนาคต พวกเขาจะพิจารณาให้มีการแต่งงานกัน มู่ซือแก่กว่าโม่หานและเป็นไปไม่ได้ที่จะแต่งงาน ดังนั้น หลังจากที่มู่หยิงเกิด พ่อแม่ของทั้งสองฝ่ายจึงจงใจนำทั้งสองมารวมกัน ความสัมพันธ์ระหว่าง ทั้งสองคนดีเสมอมา โม่หานมีความประทับใจที่ดีต่อมู่หยิงเดิมทีวางแผนจะแต่งงานกันในช่วง2ปีที่ผ่านมา และอยู่ดีดีโม่หาน ก็หมดสติและพบว่าเป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาวเมื่อปีก่อน พวกเขาหากรุ๊ปเลือดพิเศษไปทั่วทั้งในและต่างประเทศ แต่มีแต่คุณเพียงคนเดียว คุณมู่ ที่มีไขกระดูกกลุ่มเดียวและกรุ๊ปเลือดที่ตรงกับเขา ”

มู่เฉียวไม่ได้พูด เห็นได้ชัดว่าเธอกำลังฟังอยู่ และซูหย่าพยุงเธอไว้ “เสี่ยวเฉียว เรามานั่งลงและจัดการเรื่องต่างๆ อย่างช้าๆ ตกลงไหม?”

เซียวอู๋กล่าวต่อ “อย่างไรก็ตาม เท่าที่ฉันรู้ มู่หยิงและโม่หานยังคงมีความสัมพันธ์ที่ดี คุณบอกว่ามู่หยิงบังคับให้คุณแต่งงานกับโมหาน คุณตั้งท้องเด็กได้อย่างไร”

เมื่อได้ยินเช่นนี้ มู่เฉียวก็ร้องไห้อย่างขมขื่นหลังจากปิดหน้า หลังจากร้องไห้เป็นเวลานาน เธอส่ายหัว แต่ไม่พูดอะไร

คิดถึงอีเมล์ที่มู่หยิงส่งมาให้

“มู่เฉียว ฉันบอกคุณแล้ว คุณควรกลับมาอย่างเชื่อฟังและหาวิธีให้โมหานแต่งงานกับคุณ ไม่เช่นนั้นพ่อแม่และน้องชายของคุณก็จะมีชีวิตที่ไม่สมบูรณ์ นอกจากนี้ยังมีบางสิ่งที่พระเจ้ารู้และโลกรู้ คุณรู้ฉันรู้ ฉันหวังว่าคุณคงมีสติสัมปชัญญะในการพูด โอ้ ใช่ แฟนของคุณ ฉันคิดว่าคุณน่าจะรู้ว่าตอนนี้เขากลับประเทศจีนแล้ว ใช่ไหม ภรรยาของเขา เป็นผู้หญิงที่สวยและเก่งมาก มีเงิน คุณก็แต่งงานได้อย่างสบายใจ”

เธอเงียบไม่พูด มือของเธอกำแน่น และเล็บที่แหลมคมของเธอก็จมลงไปในเนื้อเพื่อทำให้เธอสงบลง

ผ่านไปนาน เธอก็ลุกขึ้น หยิบโคมไฟตั้งโต๊ะขึ้นที่พื้น วางกลับกลับคืนที่โต๊ะข้างเตียง เช็ดน้ำตา และมองไปที่เสี่ยวหวู่ “พรุ่งนี้ฉันจะกลับบ้านกับคุณ และฉันต้องการพบโม่หาน”

ซูหย่าและเซียวอู๋สับสนเล็กน้อยเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหันของเธอ แต่พวกเขาก็ช่วยอะไรไม่ได้ถ้าเธอไม่พูด

“ดี.”

ตอนกลางคืน

“ซูหย่า เธอแค่ให้ความสําคัญแฟนมากกว่าเพื่อน ผมเพิ่งทำงานเสร็จ ไม่อยู่เป็นเพื่อนผมก่อนจะรีบกลับทำไม” ปี๋ไคเอาหัวซบไหล่ซูหย่า

เซียวอู๋ก้าวไปข้างหน้าและพูดอย่างเย็นชา: “ปี๋ไคโปรดอยู่ห่างจากภรรยาของผม”

ปี๋ไคพ่นลมอย่างเย็นชา จับใบหน้าซูหย่าและจูบเธอที่แก้มขวาของเธอ ซูหย่าไม่เพียงไม่ปฏิเสธ แต่กลับยิ้มเบิกบาน จับมือ ปี๋ไค ไว้ “รอให้คุณกลับไป ฉันอยู่กับคุณนานๆเลย.”

“คุณอยากแต่งงานกับเขาใหม่จริงๆหรือ เขาทั้งโยนทิ้งคุณคุณต้องทรมานเขา”

ซูหย่าหันศีรษะของเธอและมองไปที่ชายหน้าดำ เลิกคิ้วและมองเขาขึ้นและลง “ลืมไป เขาแก่แล้ว ฉันจะช่วยรับเขาอย่างไม่เต็มใจ!”

หลังจากพูดจบ เขาก็หยิกใบหน้าของปี๋ไค “ต่างจากคุณ พ่อหนุ่มน้อย ไม่ต้องกังวลเรื่องการแต่งงาน”

สิ่งที่เธอพูดคืออย่ากังวลเรื่องการแต่งงาน…

เซียวอู๋ขมวดคิ้วและสีหน้าของเขาดูน่าเกลียด และเธอก็ได้ยินเขาบีบนิ้วของเขา

“ผมบอกแล้ว ผมไม่ใช่แบบนั้น ผมไม่ใช่ฝ่ายรับ ไม่!” ปี๋ไคอารมณ์เสียมาก

“ไม่เป็นไร ต่างกันยังไง ฝ่ายรุกหรือฝ่ายรับ”

เซียวอู๋ตกใจในตอนแรก และทันใดนั้น เมื่อรู้ เขาอารมณ์ดีขึ้นมาในทันที “พวกคุณคุยกันไปก่อน ผมจะไปทำอาหาร”

ปี๋ไคจ้องไปที่ซูหย่า”คุณทำมันโดยเจตนา?”

ซูหย่าดึงคางของเธอ มองกลับมาที่เซียวอู๋ ด้วยท่าทางสงบ “อายุก็ 30 แล้วนะ ยังไม่หาคนเคียงข้างอีก”

ปี๋ไคจะไม่เข้าใจคำพูดของเธอได้อย่างไร ลูบหัวของเธอและมองไปที่เซียวอู๋ในห้องครัว “เสี่ยวหย่า เขาทำอย่างนั้นจริงๆหรือ”

“หมายความว่าไง” ซูหย่านั่งตัวตรง

ปี๋ไคเหล่ตามองไปมา หยิบโทรศัพท์ออกจากกระเป๋ากางเกงของเขา หันไปทางอินเทอร์เฟสวิดีโอ แล้วยื่นให้ซูหย่า”อันที่จริง ต้องการส่งให้เธอนานแล้ว แต่ไม่รู้ว่าเขาคิดอย่างไรกับเธอเลยไม่กล้าส่ง. .”

ในห้องของมู่เฉียว เธอทรุดตัวลงที่ข้างเตียง และโคมไฟบนโต๊ะข้างเตียงก็ถูกโยนลงกับพื้น

“เสี่ยวเฉียว…” ซูหย่าวิ่งเข้ามา พยายามช่วยเธอ

แต่มู่เฉียวส่ายหัว น้ำเสียงแหบ “พวกคุณออกไปให้หมด!” ขณะที่เขาพูด เขาก็โยนรองเท้าแตะ

เซียวอู๋จับซูหย่าและกอดไว้ในอ้อมแขนของเขา “คุณมู่ ในเมื่อคุณรู้เกี่ยวกับการตั้งครรภ์แล้ว เราจะไม่ปิดบังอีกต่อไป เราอยากรู้ว่าใครคือพ่อของเด็กในท้องของคุณ”

ดวงตาของมู่เฉียวมัวหมอง และเธอก็ยิ้มแบบแห้งเมื่อได้ยินคำถามของเซียวอู๋ “ผู้บัญชาการเซียว เป็นของใคร คุณไม่ใช่รู้เป็นอย่างดี เพื่อที่จะบรรลุเป้าหมายของพวกคุณถึงขั้นยอดทำทุกวิถีทางเพื่อได้มันมา”

ซูหย่าหันไปมองที่เสี่ยวหวู่ และพูดด้วยความประหลาดใจ: “เป็นคุณ…”

เซียวอู๋ส่ายหัว “คุณมู่ คุณอาจเข้าใจผิด ผมไม่รู้เรื่องนี้มาก่อน”

เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ เซียวอู๋หยุดชั่วคราว “พ่อและแม่ของคุณเป็นครูมัธยมต้นทั้งคู่ พวกเขาซื่อสัตย์ และคุณเป็นความภาคภูมิใจของพวกเขามาโดยตลอด…”

มู่เฉียวเงยหน้าขึ้น กระโดดขึ้นจากพื้น แล้วมาอยู่ต่อหน้าเซียวอู๋ “ถ้าคุณกล้าที่จะขยับมัน ฉันจะตายให้คุณดู ฉันคิดว่าฉันตายแล้ว โม่หานจะมีใครช่วยมันได้” ดวงตาของเธอเป็น สีแดงซูหย่าดึงตัวเซียวอู๋

เซียวอู๋ถอนหายใจแล้วเอามือออกจากปลอกคอ “คุณมู่ ผมหมายความว่าถ้าคนแบบพ่อแม่ของคุณรู้ว่าคุณท้อง พวกเขาจะรับไม่ได้อย่างแน่นอน .. .”

“ไม่ว่ายังไรก็ตาม พวกคุณต้องการ ให้เอาเด็กออกไหม” หลังจากพูดแบบนี้ เธอหยุดและมองที่เซียวอู๋ “ตั้งแต่เด็กพ่อกับแม่บอกว่าฉันควรจะซื่อสัตย์และใจดี ตั้งแต่ชั้นประถมถึงมหาวิทยาลัยแล้ว พอไปถึงที่ทำงานก็อยู่ตรงสายกลางมาโดยตลอด เดิมที แฟนเก่าเราวางแผนแต่งงานกันในปีหน้า แต่ทำไมตั้งแต่ฉันสัญญาว่าจะบริจาคไขกระดูกให้โม่หาน งานของฉันก็หายไป แฟนก็ไม่มีแล้วไป ร่างกายของฉันถูกทรมานจนมันเป็นแบบนี้ และตอนนี้อยู่ดีๆก็มีลูก ผู้บัญชากาเซียวคุณไม่ได้บอกว่าคนดีได้ดีไม่ใช่เหรอ?”

“โม่ฮานเขามีเงิน แต่เขาไม่ใช่ที่รักของฉัน ทำไมฉันต้องแต่งงานกับเขาด้วย เขาต้องการปลูกถ่ายไขกระดูก ฉันไม่ได้บอกว่าฉันไม่เห็นด้วย มันยังไม่พอเหรอ ทำไมฉันต้องท้องลูกของเขาด้วย?” มู่เฉียวพูดและเริ่มร้องไห้อย่างหนัก

ซูหย่าก้าวไปข้างหน้าและกอดเธอ “มู่เฉียว อย่าตื่นเต้น ฉันเชื่อว่าเซียวอู๋ไม่ทราบเรื่องนี้อย่างแน่นอน เซียวอู๋ไม่ใช่คนแบบนั้น”

มู่เฉียวเยาะเย้ย: “เขาไม่ใช่คนแบบนั้น เขาจะหย่ากับคุณหลังจากที่คุณให้กำเนิดลูกเพื่อเขาหรือ”

ซูหย่าขมวดคิ้ว เขินอาย แต่พูดไม่ออก

สีหน้าของเซียวอู๋ดูมืดมน “พ่อของมู่กับพ่อของโม่หานเป็นเพื่อนกันตั้งแต่ยังเด็ก ตอนนั้นพวกเขามีความสัมพันธ์ที่ดี พวกเขาเคยบอกว่าถ้ามีลูกชายและลูกสาวในอนาคต พวกเขาจะพิจารณาให้มีการแต่งงานกัน มู่ซือแก่กว่าโม่หานและเป็นไปไม่ได้ที่จะแต่งงาน ดังนั้น หลังจากที่มู่หยิงเกิด พ่อแม่ของทั้งสองฝ่ายจึงจงใจนำทั้งสองมารวมกัน ความสัมพันธ์ระหว่าง ทั้งสองคนดีเสมอมา โม่หานมีความประทับใจที่ดีต่อมู่หยิงเดิมทีวางแผนจะแต่งงานกันในช่วง2ปีที่ผ่านมา และอยู่ดีดีโม่หาน ก็หมดสติและพบว่าเป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาวเมื่อปีก่อน พวกเขาหากรุ๊ปเลือดพิเศษไปทั่วทั้งในและต่างประเทศ แต่มีแต่คุณเพียงคนเดียว คุณมู่ ที่มีไขกระดูกกลุ่มเดียวและกรุ๊ปเลือดที่ตรงกับเขา ”

มู่เฉียวไม่ได้พูด เห็นได้ชัดว่าเธอกำลังฟังอยู่ และซูหย่าพยุงเธอไว้ “เสี่ยวเฉียว เรามานั่งลงและจัดการเรื่องต่างๆ อย่างช้าๆ ตกลงไหม?”

เซียวอู๋กล่าวต่อ “อย่างไรก็ตาม เท่าที่ฉันรู้ มู่หยิงและโม่หานยังคงมีความสัมพันธ์ที่ดี คุณบอกว่ามู่หยิงบังคับให้คุณแต่งงานกับโมหาน คุณตั้งท้องเด็กได้อย่างไร”

เมื่อได้ยินเช่นนี้ มู่เฉียวก็ร้องไห้อย่างขมขื่นหลังจากปิดหน้า หลังจากร้องไห้เป็นเวลานาน เธอส่ายหัว แต่ไม่พูดอะไร

คิดถึงอีเมล์ที่มู่หยิงส่งมาให้

“มู่เฉียว ฉันบอกคุณแล้ว คุณควรกลับมาอย่างเชื่อฟังและหาวิธีให้โมหานแต่งงานกับคุณ ไม่เช่นนั้นพ่อแม่และน้องชายของคุณก็จะมีชีวิตที่ไม่สมบูรณ์ นอกจากนี้ยังมีบางสิ่งที่พระเจ้ารู้และโลกรู้ คุณรู้ฉันรู้ ฉันหวังว่าคุณคงมีสติสัมปชัญญะในการพูด โอ้ ใช่ แฟนของคุณ ฉันคิดว่าคุณน่าจะรู้ว่าตอนนี้เขากลับประเทศจีนแล้ว ใช่ไหม ภรรยาของเขา เป็นผู้หญิงที่สวยและเก่งมาก มีเงิน คุณก็แต่งงานได้อย่างสบายใจ”

เธอเงียบไม่พูด มือของเธอกำแน่น และเล็บที่แหลมคมของเธอก็จมลงไปในเนื้อเพื่อทำให้เธอสงบลง

ผ่านไปนาน เธอก็ลุกขึ้น หยิบโคมไฟตั้งโต๊ะขึ้นที่พื้น วางกลับกลับคืนที่โต๊ะข้างเตียง เช็ดน้ำตา และมองไปที่เสี่ยวหวู่ “พรุ่งนี้ฉันจะกลับบ้านกับคุณ และฉันต้องการพบโม่หาน”

ซูหย่าและเซียวอู๋สับสนเล็กน้อยเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหันของเธอ แต่พวกเขาก็ช่วยอะไรไม่ได้ถ้าเธอไม่พูด

“ดี.”

ตอนกลางคืน

“ซูหย่า เธอแค่ให้ความสําคัญแฟนมากกว่าเพื่อน ผมเพิ่งทำงานเสร็จ ไม่อยู่เป็นเพื่อนผมก่อนจะรีบกลับทำไม” ปี๋ไคเอาหัวซบไหล่ซูหย่า

เซียวอู๋ก้าวไปข้างหน้าและพูดอย่างเย็นชา: “ปี๋ไคโปรดอยู่ห่างจากภรรยาของผม”

ปี๋ไคพ่นลมอย่างเย็นชา จับใบหน้าซูหย่าและจูบเธอที่แก้มขวาของเธอ ซูหย่าไม่เพียงไม่ปฏิเสธ แต่กลับยิ้มเบิกบาน จับมือ ปี๋ไค ไว้ “รอให้คุณกลับไป ฉันอยู่กับคุณนานๆเลย.”

“คุณอยากแต่งงานกับเขาใหม่จริงๆหรือ เขาทั้งโยนทิ้งคุณคุณต้องทรมานเขา”

ซูหย่าหันศีรษะของเธอและมองไปที่ชายหน้าดำ เลิกคิ้วและมองเขาขึ้นและลง “ลืมไป เขาแก่แล้ว ฉันจะช่วยรับเขาอย่างไม่เต็มใจ!”

หลังจากพูดจบ เขาก็หยิกใบหน้าของปี๋ไค “ต่างจากคุณ พ่อหนุ่มน้อย ไม่ต้องกังวลเรื่องการแต่งงาน”

สิ่งที่เธอพูดคืออย่ากังวลเรื่องการแต่งงาน…

เซียวอู๋ขมวดคิ้วและสีหน้าของเขาดูน่าเกลียด และเธอก็ได้ยินเขาบีบนิ้วของเขา

“ผมบอกแล้ว ผมไม่ใช่แบบนั้น ผมไม่ใช่ฝ่ายรับ ไม่!” ปี๋ไคอารมณ์เสียมาก

“ไม่เป็นไร ต่างกันยังไง ฝ่ายรุกหรือฝ่ายรับ”

เซียวอู๋ตกใจในตอนแรก และทันใดนั้น เมื่อรู้ เขาอารมณ์ดีขึ้นมาในทันที “พวกคุณคุยกันไปก่อน ผมจะไปทำอาหาร”

ปี๋ไคจ้องไปที่ซูหย่า”คุณทำมันโดยเจตนา?”

ซูหย่าดึงคางของเธอ มองกลับมาที่เซียวอู๋ ด้วยท่าทางสงบ “อายุก็ 30 แล้วนะ ยังไม่หาคนเคียงข้างอีก”

ปี๋ไคจะไม่เข้าใจคำพูดของเธอได้อย่างไร ลูบหัวของเธอและมองไปที่เซียวอู๋ในห้องครัว “เสี่ยวหย่า เขาทำอย่างนั้นจริงๆหรือ”

“หมายความว่าไง” ซูหย่านั่งตัวตรง

ปี๋ไคเหล่ตามองไปมา หยิบโทรศัพท์ออกจากกระเป๋ากางเกงของเขา หันไปทางอินเทอร์เฟสวิดีโอ แล้วยื่นให้ซูหย่า”อันที่จริง ต้องการส่งให้เธอนานแล้ว แต่ไม่รู้ว่าเขาคิดอย่างไรกับเธอเลยไม่กล้าส่ง. .”

อย่างไรก็ตาม มีสิ่งหนึ่งที่เธอค่อนข้างแน่ใจตอนนี้เซียวอู๋ต้องการพามู่เฉียวกลับไป

เมื่อนึกถึงวันนั้นผู้หญิงที่ดูดุร้ายคนนั้นที่สนามบิน แล้วเธอก็หันกลับมามองที่เซียวอู๋ “คุณรู้จักผู้ชายคนนั้น ในเมื่อคุณรู้จัก คุณก็ต้องรู้ การบังคับผู้หญิงบริสุทธิ์ให้แต่งงานกับผู้ชายที่กำลังจะตาย มันไม่ใช่อะไรที่ทหารควรทำ” หลังจากพูดจบ แขนของเธอก็ยืดออกและขวางหน้ามู่เฉียวไว้

เซียวอู๋มองไปที่ซูหย่า วางเสี่ยวอี้น้อยลงบนพื้น ก้าวไปข้างหน้าแล้วดึงซูหย่า “เสี่ยวหย่า อย่าสร้างปัญหา มันเป็นเรื่องชีวิตและความตาย”

ครึ่งแรกน้ำเสียงของเขาอ่อนโยนมาก และอีกครึ่งหนึ่งเต็มไปด้วยเสียงดุ

ปี๋ไคเพิ่งกลับมาจากข้างนอก เมื่อเห็นเซียวอู๋ดวงตาของเขาเย็นชาเล็กน้อย และเขาก็รีบก้าวไปข้างหน้าซูหย่า”คุณมาที่นี่เพื่อทำอะไร ซูหย่าจะไม่ไปกับคุณ”

คำพูดของเขาทำให้ซูหย่ารู้สึกเขินอายจนอยากจะหายตัวไป และเธอก็เหลือบมองไปทางปี๋ไค “ทำไมวันนี้คุณกลับมาเร็วจัง”

ปี๋ไคยิ้มและมองที่ซูหย่า”การวิจัยจบลงแล้ว ผมสามารถพาคุณและเสี่ยวอี้ออกไปเที่ยวได้”

ซูหย่าโอบแขนของเธอรอบคอของปี๋ไค “จริงเหรอ เยี่ยมมาก ไคไค ฉันรู้ว่าคุณเก่งที่สุด”

เซียวอู๋มองไปที่สองคนที่พูดกันไปมา สายตาของเขาที่เหมือนกำลังจะฆ่าคน

“ให้เวลาคุณสามวัน หลังจากสามวัน ผมต้องพาคุณออกไปไม่ว่าจะด้วยวิธีใดก็ตาม” หลังจากพูด เขาก็เดินตรงไปที่บ้านของปี๋ไค

“เฮ้ คุณกำลังทำอะไรอยู่ ใครอนุญาตให้คุณอยู่บ้านผม”

เซียวอู๋มองกลับมาที่ซูหย่า จากนั้นจึงมองไปที่ปี๋ไค สุดท้ายก็มองตรงไปที่มู่เฉียว “หมายความว่า ผมจะพาเธอออกไปตอนนี้ได้เลยใช่ไหม”

ซูหย่าเหลือบมองเขา ก้าวไปข้างหน้าและจับแขนมู่เฉียวไว้ และเดินชนไหล่เซียวอู๋และพูดว่า ” เลว ทราม”

หลังจากเข้าไปในบ้าน มู่เฉียวไม่พูดอะไรมากกว่านี้ บุคลิกของเซียวอู๋ที่ไม่สามารถรั้งหนึ่ง สอง หรือสามเป็นเวลานานได้ ซูหย่าคิดและไม่สนใจ

การปรากฏตัวอย่างกะทันหันของเซียวอู๋ทำให้เธออารมณ์เสียเล็กน้อยและประหม่าเล็กน้อย

ในตอนเย็นเมื่อปี๋ไคเสร็จสิ้นการวิจัยของเขาและอารมณ์ดีมากเขาขอซูหย่าดูหนังเป็นเพื่อนเขา

มันเป็นหนังสยองขวัญเมื่อเธอเห็นตอนที่ตกใจซูหย่าก็กอดปี๋ไคแล้วทุบด้วยมือของเธอ

ปี๋ไคกระซิบข้างหูของซูหย่า “ไม่รู้ว่าอะไรดีหรือไม่ดี ดูหนังเรื่องนี้แล้วคลายเครียดได้”

ซูหย่ายิ้ม “ใครบอกว่าฉันเครียด?”

ปี๋ไคผลักศีรษะของเธอไปด้านข้าง “ให้ตายแค่ไหนยังไม่รู้จัดเธอดีหรือ”

จากหางตาของเขาปี๋ไคมองเห็นเซียวอู๋อยู่ไม่ไกลจากข้างหลังเขา

ทั้งสองเสียงนุ่มนวลและการกระทำคลุมเครือ ในสายตาของคนนอก นี่คือคนรักที่กำลังเกี้ยวพาราสีกันอยู่

เซียวอู๋ต้องการจะเดินจากไป แต่เท้าของเขายังคงร้องเรียก หัวใจของเขาหม่นหมองจนสามารถพ่นไฟได้

“อดีตสามีของคุณกำลังเฝ้าดูอยู่ข้างหลัง คิดว่าเราลองมาทำอะไรที่น่าตื่นเต้น ลองใจเขาดูไหม”

ซูหย่าตะลึงก่อน แล้วเธอก็ยิ้มและพูดว่า “ไปที่ห้องของคุณหรือห้องฉันดี”

ปี๋ไคขมวดคิ้ว “ของผม…”

ปิดทีวีและมีเงาดำซ่อนอยู่ในความมืด

มองดูทั้งสองเดินเข้าไปในห้องของปี๋ไค

ในขณะที่ประตูปิดเสียงมือของเซียวอู๋ที่กำหมัดก็ชัดเจนเป็นพิเศษในห้องอันเงียบนั้น

เขาเดินไปที่ประตูโดยไม่รู้ตัว และยกมือขึ้นโดยไม่ตั้งใจ พยายามจะเคาะประตู แต่แล้ว เขารู้สึกไม่ควรเพราะพวกเขาหย่ากันแล้วและเธอก็เป็นอิสระ

อย่างไรก็ตาม ความเจ็บปวดและภาวะซึมเศร้าในหัวใจของเขาเกือบจะทำให้เขาแทบสลาย

เมื่อเห็นเธออยู่กับคนอื่นเขารู้ว่าคนที่ไม่สามารถปล่อยตัวได้คือตัวเขาเองเสมอ บางทีอาจเป็นความรัก? เพราะการดูคนที่รักอยู่กับคนอื่นมีแต่จะอวยพรให้ ไม่โกรธหรือคลั่งไคล้

ทันใดนั้นประตูก็เปิดออก และซูหย่าก็เงยหน้าขึ้นและมองเขา

แต่เธอก็ยิ้มออกมา “ยังไม่นอนเหรอ?” เธออดทนกับความสุขในหัวใจ

เซียวอู๋ถอนหายใจด้วยความโล่งอกอย่างอธิบายไม่ถูก และชี้ไปที่ห้อง “คุณกับเขา…” เขากลืนน้ำลายลงคอ”ผมหมายถึง คุณ… อยู่ด้วยกันหรือ”

ซูหย่าขมวดคิ้ว เงยหน้าขึ้นมองเซียวอู๋ นิ้วเรียวยาวสัมผัสไปที่คิ้วเข้มของเขา “คุณไม่รักฉัน คุณจะสนใจทำไมว่าฉันอยู่กับใคร”

หลังจากพูดเสร็จเธอก็ปล่อยมือเธอแบบเนียนๆและเดินผ่านเซียวอู่ไป “มาขอยืมของ”

คำง่ายๆ สองสามคำดูเหมือนจะเป็นการตอบหรือการพูดกับตัวเอง

ไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตามเซียวอู๋ก็ดูมีความสุขในทันที

ดังนั้น เมื่อซูหย่าหันกลับมา เธอก็พบกับความสุขที่ไม่ได้เตรียมไว้

ความสุขบนใบหน้าของเซียวอู๋ถูกรวบรวมทีละเล็กทีละน้อยจนกระทั่งกลับสู่ความเย็นชา

ซูหย่ามองลึกไปยังชายตรงหน้าเขา ความหื่น คืออะไร เป็นแบบนี่ใช่ไหม

หันหลังและจากไป

เมื่อเซียวอู๋เห็นใบหน้าที่ไม่แยแสของเธอ เขารู้สึกราวกับว่ามีรูเจาะเข้าไปในหัวใจของเขา

กลับไปที่ห้อง อาบน้ำ เซียวอู๋นอนอยู่บนเตียง จิตใจของเขาเต็มไปด้วยรอยยิ้มของซูหย่า แต่ก็ไปไม่ได้ คิดถึงเธอเมื่อก่อน ไม่อยู่ใกล้ก็ยังไม่รู้สึกรุนแรงเท่านี้มาก่อน

ในห้องถัดไป ซูหย่ากำลังล้างหน้า ใช้น้ำนมทำความสะอาดใบหน้าและแปรงฟันและหลังจากใช้ครีมทาหน้า เธอหลับตา คว้าผ้าเช็ดตัวบนราวแขวนผ้าเช็ดตัว และขยับไปรอบๆ ตัวของเธอ

และออกไป

เธอบิดประตูห้องถัดไปโดยไม่คิด

ด้วยแสงสลัว ซูหย่าเดินตรงไปที่เตียง เปิดผ้าห่มแล้วเลื่อนตัวเข้าไป

วางมือบนเอวที่แข็งแรงของชายคนนั้น เธอรู้ว่าด้วยความตื่นตัวของเซียวอู๋มันเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะไม่รู้ว่าเธอเข้ามา

กลิ่นหอมของร่างกายที่คุ้นเคยทำให้เซียวอู๋ทรุดตัวลง

“ฉันต้องการมัน ถ้าคุณไม่ให้ ฉันก็ไม่รังเกียจที่จะไปหาปี๋ไค” คำพูดไร้ยางอายดังขึ้นข้างหลังเขา

ความโกรธพุ่งสูงขึ้น ชายคนนั้นหันกลับมาคว้าคอของซูหย่า “เธอเคยพูดเรื่องแบบนี้กับใครอีก?”

ผู้หญิงคนนั้นยิ้ม “ไม่เกี่ยวกับคุณพวกเขาเป็นผู้ใหญ่กันหมดแล้ว เป็นเรื่องปกติหรือไม่ที่มีความจำเป็น”

เซียวอู๋โกรธมาก โกรธความขี้เล่นของเธอ เขาค่อย ๆ คลายคอของเธอและฉีกผ้าเช็ดตัวบนหน้าอกของเธอออก

ดูเหมือนจะเป็นการแก้แค้น ดูเหมือนจะความรัก หรือว่าจะเป็นที่อารมณ์

อย่างไรก็ตาม เมื่อสัมผัสได้ถึงความแน่วแน่ ร่างกายของเซียวอู๋ก็นิ่งเล็กน้อย เมื่อเขามองดูน้ำตาที่มุมตาของผู้หญิงและความเจ็บปวดที่เห็นได้ชัด เขาก็หลับตาแล้วเริ่มใหม่อีกครั้ง ทำให้การเคลื่อนไหวของเขานุ่มนวลขึ้น

ครั้งแรกเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา ดังนั้นความเจ็บปวดของซูหย่าในขณะนี้จึงไม่น้อยไปกว่าครั้งแรก

เธออ่อนไหวต่อความเจ็บปวดมาก แม้ว่าผู้ชายจะตั้งใจผ่อนคลายการเคลื่อนไหว แต่ก็ยังมีเหงื่อหยดบนหน้าผากของเธอ

ชายคนนั้นรู้สึกลำบากใจและต้องการจะดึงออก แต่เอวของเขาถูกรั้งไว้ “ต้องการ!”

คำนี้มีความรักมากแค่ไหนคนอื่นไม่เข้าใจ แต่ทั้งคู่เข้าใจ

หลังจากนั้นผู้ชายก็พาผู้หญิงคนนั้นไปห้องน้ำและล้างร่างกายของเธอเบา ๆ จนกว่าพวกเขาจะนอนบนเตียงอีกครั้งโดยไม่มีใครพูดอะไรสักคำ

อาจจะเหนื่อยเกินไป อาจจะตื่นเต้นเกินไป หรืออาจจะประหม่าเกินไป…

ซูหย่าผล็อยหลับไป

เมื่อตื่นนอน เตียงว่างเปล่า เธอหันศีรษะมองไปยังห้องของตน

ความทรงจำนั้นลึกเกินไป เธอขยับขาโดยไม่รู้ตัว ความเจ็บปวดที่ระหว่างขาของเธอทำให้เธอหายใจเข้าอย่างกะทันหัน แต่เธอก็โล่งใจอีกครั้ง โชคดีที่มันไม่ใช่ความฝัน

ประตูเปิดออกและได้ยินเสียงเท้าที่คุ้นเคยเดินเข้ามา

เมื่อเห็นซูหย่าตื่น เขาก็หยุด

เขานั่งข้างเตียงยกผ้าห่มของซูหย่าออก

รอยยิ้มบนใบหน้าซูหย่าหายวับไปทันที เธอมองตรงไปข้างหน้า พอผ่านไปสักพักเธอก็หันไปมองเซียวอู๋ ” คุณพูดว่าอะไรนะ? ”

สีหน้าของชายหนุ่มเย็นชามาก ” คุณป้าบอกว่า คุณทุ่มเทและเสียสละเพื่อผมเยอะแยะมากมาย คุณเองก็ลำบากมาไม่น้อย ในส่วนนี้ ผมรู้สึกขอบคุณคุณมาก แต่คุณเคยบอกว่าคุณไม่ต้องการความซาบซึ้งหรือความรู้สึกขอบคุณ แต่ผมให้คุณได้เท่านี้จริงๆ ซูหย่า ผมไม่มีวันรักคุณ ในเมื่อเป็นแบบนั้น เราก็หย่ากันเถอะ สภาพของผมในตอนนี้ ผมเองก็ไม่รู้ว่าในอนาคตจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นอีก ผมไม่อยากลากคุณให้มาลำบาก ”

เขาพูดเร็วมาก เร็วมากถึงขั้นถ้าซูหย่าไม่ตั้งใจฟังดีดีเธอคงฟังไม่เข้าใจ

ซูหย่าส่ายหน้า ” เสี่ยวหวู่ ฉันไม่ได้หมายความว่าแบบนั้น ที่ฉันพูดฉันหมายความว่า……”

” ผมติดต่อคนเอาไว้แล้ว เย็นนี้จะมีคนส่งเครื่องบินพิเศษมารับพวกเรากลับไปยังเมือง C เมื่อกลับไปถึงเราก็ไปจัดการเรื่องหย่ากัน ”

ซูหย่าก้มหน้า เธอเดินเข้าไปแล้วเอื้อมมือไปกอดเซียวอู๋ ” เสี่ยวหวู่ ไม่หย่าได้ไหม? ฉัน…..ที่ฉันพูดไปก่อนหน้านี้เป็นเพราะความโมโห ฉันไม่ได้อยากหย่ากับคุณเลยสักนิด ไม่อยากเลยแม้แต่น้อย ”

เขาหรี่ดวงตาอันงดงามของเขาเล็กน้อย จากนั้นเขาก็ยื่นมือออกมาจับไหล่เธอไว้แล้วผลักมันออก ” ฉันไม่อยากติดค้างเธอมากเกินกว่านี้อีกแล้ว ”

ซูหย่าอึ้งไปเล็กน้อย หลังจากนั้น เธอก็ส่ายหน้าอย่างสุดชีวิต ” เสี่ยวหวู่ คุณไม่มีอะไรติดค้างฉันเลย ฉันเต็มใจ จริงๆนะ เสี่ยวหวู่ พวกเขาไม่รักคุณ ฉันจะรักคุณเอง พวกเขาทำร้ายคุณ แต่ฉันไม่มีวันทำร้ายคุณแน่นอน ไม่หย่าได้ไหม? ” พอพูดจบ เธอก็กอดเซียวอู๋ไว้แน่นๆอีกครั้ง

เซียวอู๋รู้สึกเพียงว่าภายในใจเขามีความรู้สึกอบอุ่นที่เขาไม่เคยได้สัมผัสมาก่อนพุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว เขาก้มมองผู้หญิงที่อยู่ในอ้อมแขนเขา เห็นได้อย่างชัดเจนว่าเธอผอมลงมาก สายตาของเขาแฝงไปด้วยความรู้สึกสงสัย

มือที่ถือผักอยู่ จู่ๆก็กำหมัดแน่น ในขณะเดียวกันแววตาที่แฝงไปด้วยความรู้สึกสงสัยนั้นก็หายวับไป และแววตาที่โหดเหี้ยมของเขาก็ปรากฏขึ้นทันที เขาออกแรงผลักซูหย่าออกจากอ้อมแขนตัวเอง เขาเดินออกจากประตูบ้านไปโดยไม่สนใจใยดีว่าซูหย่าจะล้มลงพื้นหรือไม่

ในตอนที่เซียวอู๋กลับมา คุณลุงกำลังเล่นกับเสี่ยวอี้อย่างสนุกสนานอยู่ พอเห็นเขาเดินเข้ามาคุณลุงก็ยิ้มให้เขา ในตอนที่เห็นซูหย่าที่อยู่ด้านหลังตาแดงก่ำ เขาก็อึ้งไปชั่วครู่ เขาอุ้มเสี่ยวอี้เดินเข้ามาต้อนรับพวกเขา ” นี่มันเรื่องอะไรกัน? ”

ซูหย่าขยี้ตาเล็กน้อย ” ไม่เป็นไรค่ะ ก็แค่ดีใจมากไปหน่อยน่ะ ”

ก่อนจะทานข้าวเสร็จ จู่ๆซูหย่าก็พูดขึ้น ” คุณลุงคะ คุณป้าคะ มีอยู่เรื่องหนึ่งที่ฉันอยากถามความคิดเห็นของพวกคุณหน่อยน่ะค่ะ ”

เมื่อคุณลุงและคุณป้าเห็นสีหน้าที่จริงจังของเธอ พวกเขาก็วางตะเกียบในมือลง พวกเขามองหน้ากันแวบหนึ่ง ” มีเรื่องอะไรทำไมต้องขอความคิดเห็นจากเราด้วย? ”

ซูหย่าลุกขึ้นแล้วเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าของทั้งสองคน หลังจากนั้น เธอก็คุกเข่าทั้งสองข้างลงกับพื้น

ทำให้คนชราทั้งสองต่างก็ตกใจ พวกเขารีบเข้ามาประคองเธอให้ลุกขึ้น ” นี่มันเรื่องอะไรกัน? รีบลุกขึ้นมาคุยกันก่อน ”

” ฉันอยากจะขอให้ท่านทั้งสองเป็นคุณตาคุณยายของเสี่ยวอี้ และเป็นพ่อแม่บุญธรรมของฉัน ไม่ทราบว่าท่านทั้งสองยินดีไหมคะ? ”

เมื่อทั้งสองคนได้ยินแบบนั้น ทั้งคู่ก็อึ้งไปสักพัก คุณป้าเอามือเช็ดน้ำตาและมองหน้าคุณลุง ” คุณคิดว่านี่เป็นความเมฆตาที่ฟ้าประทานให้กับเราใช่ไหมคะ แก่มากแล้วยังมอบลูกสาวให้กับเราอีก ” เธอพูดพร้อมกับสูดหายใจเข้าลึกๆ จากนั้นก็ประคองซูหย่าให้ลุกขึ้น ” ได้ ลุกขึ้น ลุกขึ้นเร็ว ”

” พวกลูกทั้งสองน่าจะเตรียมตัวจะไปจากที่นี่แล้วใช่ไหม? ” คุณป้าครุ่นคิดสักพัก จากนั้นก็ถามขึ้น

ซูหย่าค่อยๆนั่งลงบนเก้าอี้ จากนั้นก็เงยหน้ามองคุณลุงและคุณป้า ” พวกคุณกลับไปกับพวกเราเถอะค่ะ บ้านเราที่เมือง C นั้นมีฐานะร่ำรวยมาก ถ้าถึงเวลานั้น  ”

คุณป้าลุกขึ้น จากนั้นก็อุ้มเสี่ยวอี้ให้เข้ามาอยู่ในอ้อมแขนของเธอ ” ป้าและลุงเกิดและโตที่นี่ ทั้งชีวิตนี้ยังไม่เคยออกไปจากที่นี่เลย พวกเราคงไม่ได้ไปกับหนูนะ แต่ต่อจากนี้ ที่นี่ก็เปรียบเสมือนบ้านของผู้เป็นแม่ของหนู ถ้าคิดถึงพวกเราก็พาเสี่ยวอี้มาเยี่ยมพวกเรานะ ”

หลังจากนั้น ไม่ว่าซูหย่าจะโน้มน้าวพวกเขาอย่างไร ทั้งคู่ก็ไม่ยอมกลับไปกับเธอ

เธอทำได้เพียงเก็บบ้านหลังนี้ไว้ให้พวกเขา

“ คิดสะว่าพวกท่านช่วยดูแลบ้านหลังนี้ให้หนูก็แล้วกันนะคะ ถ้าพวกเราคิดถึงคุณแล้วเราจะกลับมาหานะ”  ประสบการณ์ครั้งนี้ ทั้งชีวิตนี้เธอก็คงลืมไม่ลง

หลังจากที่กลับมาถึงเมือง C เครื่องบินลงจอดบนลานจอดเครื่องบินส่วนตัวที่สถานที่หนึ่ง

ผู้ชายในเครื่องแบบทหารสองสามคนเดินเข้ามากอดเซียวอู๋ ซูหย่ารู้สึกคุ้นหน้าคุ้นตาพวกเขามาก ตอนนั้นครั้งที่เธอกินอาหารแห้งในค่ายทหาร พวกเขาอยู่ที่นั้น หลังจากนั้น ที่โรงพยาบาล ในตอนที่แพทย์แจ้งผลวินิจฉัยพวกเขาก็อยู่ที่นั่นเช่นกัน

ในตอนนี้ เธอมองดูแววตาที่เต็มไปด้วยความรู้สึกผิด และเต็มไปด้วยน้ำตาของพวกเขา

ไม่ใช่เรื่องง่ายที่ผู้ชายจะหลั่งน้ำตา คนคนนั้นต้องเป็นคนที่กล้าหาญมาก พวกเขาไม่สามารถกลั้นน้ำตาไว้ได้ ซูหย่าเองก็ไม่โทษพวกเขา เธอเลยไม่ได้พูดอะไรมาก

ไม่รู้ว่าเซียวอู๋เป็นคนบอกเรื่องนี้กับพ่อซูและแม่ซูใช่หรือไม่

พวกท่านกำลังวิ่งมาทางนี้ เมื่อเห็นหน้าพ่อแม่อีกครั้ง ซูหย่าก็กลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่อีกต่อไป

เมื่อเห็นว่าผู้เป็นแม่แก่ชราลงเยอะมาก ซูหย่าก็รู้สึกว่าตัวเองอกตัญญูจริงๆ

“ แค่มีชีวิตอยู่ก็ดีมากแล้ว ” ผู้เป็นแม่กอดเธอไว้ ประโยคสั้นๆนี้ทำให้เธอร้องไห้โฮ

ในตอนที่ทุกคนเดินออกมา ด้านนอกก็รายล้อมไปด้วยนักข่าว การฟื้นคืนชีพของทั้งคู่เป็นประเด็นที่น่าตื่นเต้นสำหรับผู้คนมากจริงๆ

เซียวอู๋ผู้ถือเป็นวีรบุรุษ และการที่เขาพักฟื้นจนร่างกายกลับสู่สภาวะปกติทำให้ผู้คนตกใจมาก ทำให้ผู้นำของสำนักข่าวหลายคนมาพบเขาด้วยตัวเอง

ในชั่ววินาที เขาก็ถูกผู้คนรายล้อมเป็นเสี้ยวพระจันทร์

ในตอนที่เขายิ้มให้กับทุกคน คงมีเพียงซูหย่าที่เข้าใจว่าในใจเขาตอนนี้นั้นเศร้าโศกมากเพียงใด

ทันใดนั้น ผู้คนก็พุ่งเข้าหาเธอ

หลังจากนั้นเซียวอู๋ก็เดินออกไป ท่ามกลางฝูงชน เขาก้มศีรษะลงทักทายพ่อซูและแม่ซู

ซูหย่ารู้สึกอุ่นใจ แต่หลังจากนั้น คำพูดของชายหนุ่มกลับทำให้เธอรู้สึกเหมือนตกเข้าไปในหลุมนรก

” พ่อครับ แม่ครับ ผมอยากจะหย่ากับซูหย่าครับ ”

“ บุ๋ม “แน่นอนว่าประโยคนั้นของเขามันเหมือนกับการโยนก้อนหินก้อนใหญ่ลงไปในแม่น้ำ จากนั้นมันก็ระเบิดทันที

ทุกคนต่างก็โต้เถียงและคาดเดาไปต่างต่างนานาว่าช่วงหลายเดือนที่ผ่านมานี้มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ถึงได้ทำให้เซียวอู๋ต้องการหย่าทันทีที่กลับมา

ซูหย่ามองหน้าชายตรงหน้า เธอดึงแขนเสื้อเขาและเอาแต่ก้มหน้าและเงียบ

แม่ซูเรียกเขา ” เสี่ยวหวู่ ”

ทันทีที่เซียวอู๋หันหน้ามา เธอก็ยื่นมือออกไปตบลงบนหน้าเขาเต็มฝ่ามือ การกระทำของเธอเร็วมากและมันกะทันหันมากๆ เมื่อซูหย่ารู้ตัวอีกที ทั้งหน้าและใบหูของเขาก็แดงไปหมดแล้ว

เธอเป็นกังวลมาก ” แม่ แม่ทำอะไร? ”

แม่ซูเหลือบมองเธอแวบหนึ่ง จากนั้นก็มองหน้าเซียวอู๋ ” เธอยอมตัดขาดกับพ่อแม่ได้เพื่อนาย แต่พอนายฟื้นขึ้นมาแล้วกลับมาบอกว่าจะหย่ากับเธอ เสี่ยวหวู่ เกิดเป็นคนจะทำแบบนี้ไม่ได้ ”

เซียวอู๋ตัวสั่นเล็กน้อย เขาหรี่ตาลง จากนั้นก็เงยหน้ามองแม่ซู ” ผมไม่เคยขอให้เธอทำแบบนั้น ทั้งหมดนั้นเธอเต็มใจที่จะทำเอง ” พอพูดจบ เขาก็หันหลังและตรงไปที่ประตูทางออก

แม่ซูโกรธจนแทบหายใจไม่ออก แต่ซูหย่ากลับมองร่างของคนที่เดินจากไปด้วยสายตาที่เป็นห่วง

” เอาเถอะ สุขภาพก็พึ่งจะดีขึ้น อย่าโกรธไปเลย กลับบ้านกันก่อนเถอะ ” พ่อซูพูดขึ้น

เมื่อแม่ซูได้ยิบแบบนั้น ก็จ้องหน้าเขา ” ลูกสาวคุณโดนรังแกถึงขนาดนี้แล้ว คุณจะไม่พูดอะไรหน่อยเลยเหรอ ”

พ่อซูและซูหย่ามองหน้ากันแวบหนึ่ง ทั้งคู่ต่างก็เงียบ

หลังจากกลับถึงบ้าน และจัดการพาแม่ซูให้ขึ้นไปพักผ่อนแล้ว พ่อซูก็ให้ซูหย่าไปเจอกันที่ห้องหนังสือ

” พูดมาเถอะ สรุปว่ากำลังแสดงละครเรื่องไหนกันอยู่ล่ะ? ”

ซูหย่ายักไหล่ และนั่งลงบนโซฟา เธอมองดูต้นบอนไซบนโต๊ะชา เธอใจลอยอยู่สักพัก จากนั้นซูหย่าก็เงยหน้ามองแววตาของผู้เป็นพ่อ หลังจากผ่านไปสักพัก เธอก็พูดขึ้นว่า ” พ่อคะ ในสายตาของพ่อ ตำแหน่งสำคัญกว่าลูกสาวงั้นหรือคะ? ”

พ่อซูชะงักไปเล็กน้อย หลังจากนั้นสีหน้าเขาก็เคร่งขรึม ” เสี่ยวหย่า ลูกรู้ตัวไหมว่ากำลังพูดอะไรออกมา? ”

” หนูรู้ตัวดีค่ะพ่อ หนูเชื่อว่าเป็นไปไม่ได้ที่พ่อจะไม่รู้เรื่องที่เสี่ยวหวู่เสียสติ สาเหตุมันคืออะไรกันคะ? ”

พ่อซูเงยหน้าขึ้นมองหน้าซูหย่าทันที ” ลูกไปรู้อะไรมางั้นเหรอ?”

ปฏิกิริยาการตอบสนองของเขาทำให้หัวใจซูหย่าร่วงดิ่งลงพื้นกับการคาดเดาของตัวเอง เธอลุกขึ้นจากโซฟาแล้วตะโกนเสียงต่ำว่า ” พ่อคะ พ่อเห็นหนูทุกข์ทรมานแบบนั้น พ่อทนได้ยังไงกัน? ”

” แล้วจะให้ทำยังไง หรือว่าต้องให้ทุกคนในตระกูลซูลำบากไปกับเขางั้นเหรอ? ” จู่ๆเสียงของพ่อก็ดังขึ้นอย่างกะทันหัน

หัวใจของซูหย่าดิ่งลงพื้นอย่างรุนแรง เธอหันหลังและเดินออกไปทางด้านนอก แต่แขนเธอกลับถูกคว้าเอาไว้ ” ในเมื่อรู้เรื่องแล้ว ทำไมยังจะกลับมาอีก? ”

ซูหย่าถอนหายใจเฮือกใหญ่ จากนั้นก็หันไปมองหน้าผู้เป็นพ่อ ” พ่อคะ พ่อบอกหนูได้ไหมคะว่าทำไม? ทำไมต้องทำกับเสี่ยวหวู่แบบนี้ด้วยคะ? ”

มือที่จับแขนเธอไว้ผ่อนแรงลง ” ก็แค่ความแค้นส่วนตัว เสี่ยวหย่า บอกเสี่ยวหวู่อย่าสืบเรื่องนี้ต่อเลย ครั้งนี้เขาเอาชีวิตรอดกลับมาได้ พ่อคิดว่าคนคนนั้นคงจะไม่เล่นงานเขาอีกแล้วล่ะ ”

ซูหย่าขมวดคิ้ว และมองหน้าผู้เป็นพ่ออย่างไม่อยากจะเชื่อ ” พ่อคะ อะไรคือการมาบอกว่าอย่าสืบเรื่องนี้ต่อกันคะ? เขาเป็นใครกันแน่? ถึงได้ทำให้คนอย่างพ่อต้องกลัวเขามากขนาดนี้? ”

สีหน้าของพ่อซูเคร่งขรึม สายตาของเขาเฉียบคม แต่สุดท้ายกลับไม่ได้พูดอะไรสักคำ

หลังจากที่ซูหย่าออกมาจากห้องหนังสือ เธอก็ตรงไปที่ห้องเสี่ยวอี้ ตอนนี้เสี่ยวอี้หลับไปแล้วและมีแม่นมเฝ้าอยู่ เธอเองก็รู้สึกวางใจ

ทันทีที่เธอกลับถึงห้อง เธอก็หยิบโทรศัพท์ออกมา จากนั้นก็ส่งข้อความหาเล่อจยา

ไม่นานก็มีสายโทรศัพท์เรียกเข้า ” เสี่ยวหย่า? ” น้ำเสียงมีความสั่นเล็กน้อย

ซูหย่าตอบแค่ ” อือ ”

หลังจากนั้น ความเงียบก็เข้าปกคลุม บางทีการที่มีเรื่องจะพูดเยอะเยอะมากมายนั้น มันก็กลับไม่รู้ว่าควรจะเริ่มพูดจากตรงไหน

” พรุ่งนี้ฉันไปหาเธอนะ ”

” อือ ”

” ฝันดีนะ ”

” ฝันดี ”

หลังจากที่วางสาย ซูหย่าก็ลองโทรไปที่เบอร์โทรศัพท์ก่อนหน้านี้ของเซียวอู๋ สิ่งที่ไม่คาดคิดก็คือ โทรออกได้ แต่ไม่มีคนรับสาย

เธอส่งข้อความให้เขาสั้นๆ ” พรุ่งนี้เก้าโมงเช้า เจอกันหน้าอำเภอนะ ”

ความอิสระที่เขาต้องการ เธอจะมอบให้เขาเอง

เสียงข้อความ ” ติ้งตึง ”

เปิดออก ” ได้ ” คำเดียวสั้นๆ

คืนนี้ ซูหย่านอนไม่สบายเลย ทั้งๆที่เตียงทั้งใหญ่ ทั้งนุ่ม แต่ เพราะว่าข้างๆมันว่างเกินไป ไม่ว่าจะพยายามนอนเท่าไหร่ก็นอนไม่หลับสักที

ในตอนที่ตื่นมาตอนเช้า แม่ซูกำชับแม่ครัวให้ทำอาหารที่เธอชอบไว้เยอะแยะมากมาย

” แม่คะ เล่มทะเบียนบ้านอยู่ไหนคะ? ”

ช้อนในมือแม่ซูตกลงบนโต๊ะ แม่ซูเงยหน้ามองเธอ ” เสี่ยวหย่า……”

สายตาของซูหย่ามองผ่านพ่อซูไป สุดท้ายก็หยุดมองแม่ซู และยิ้มให้เธอ ” ไม่เป็นไรหรอกค่ะ เดี๋ยวหย่าแล้ว หนูจะหาลูกเขยดีดีให้พวกท่านอีกคนนะคะ ”

พ่อซูไม่ได้พูดอะไร แต่แม่ซูกลับมองเธอด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความรัก

เสี่ยวอี้……”

” จะอยู่ในความดูแลของหนูค่ะ ” ซูหย่ารู้ความหมายของผู้เป็นแม่จึงตอบออกไปทันที

แม่ซูพยักหน้า

ณ หน้าอำเภอ เซียวอู๋มาในชุดเครื่องแบบทหาร เขาตัดผมสั้นแล้วดูแข็งแกร่งขึ้นมาก

เธอมองเขา ในแววตามีทั้งความรู้สึกเป็นห่วง รัก และอาลัยอาวรณ์……

” ค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันของเสี่ยวอี้ ผมจะโอนให้คุณอย่างตรงเวลาทุกครั้ง ”

ซูหย่ายิ้มพร้อมกับเดินขึ้นบันไดไปพลาง เห็นได้อย่างชัดเจนว่าเธอเดินช้าลงสองสามจังหวะ เธออยากปฏิเสธแต่สุดท้ายเธอก็พยักหน้า ” ค่ะ ”

ภาพตอนที่มารับทะเบียนสมรสยังคงวนเวียนอยู่ในความทรงจำเธอ ตอนนั้นเธอคิดว่าทั้งชีวิตนี้เธอจะไม่มีวันหย่ากับเซียวอู๋เด็ดขาด ตอนนั้น เธอดีใจมาก แต่……นี่พึ่งจะผ่านมาไม่นาน

ทหารมีสิทธิพิเศษได้รับการบริการก่อน การรับใบหย่าในครั้งนี้จึงดำเนินไปอย่างรวดเร็ว ใช้เวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมงด้วยซ้ำ

เธอมองเขาที่เดินออกไปอย่างเฉียบขาด เขาโน้มตัวลงและเข้าไปในรถทหารสีเขียวคันนั้น เธอมองดูรถคันนั้นค่อยๆขับเคลื่อนออกไปจนหายวับไปกับตา เธอกะพริบตาเล็กด้วย ในแววตาเธอเต็มไปด้วยความเป็นห่วง คิดถึง และความรัก

เซียวอู๋ ฉันจะรอคุณอยู่ตรงนี้นะ

ในตอนที่เล่อจยามาถึง เสี่ยวหย่ายังคงยืนนิ่งอยู่ที่เดิม ในมือเธอถือใบหย่าไว้

เล่อจยาวิ่งเข้ามากอดเธอ ท้องน้อยๆที่บวมออกมาคั้นกลางระหว่างทั้งสองคนไว้

ซูหย่าก้มหน้าลง และลูบไปที่ท้องเธอ จากนั้นก็เงยหน้ามองเล่อจยา ” เธอกลับมาอ้วนอีกแล้วนะ ”

เล่อจยายกมือขึ้นสัมผัสใบหน้าที่ผอมบางอย่างเห็นได้ชัดของซูหย่า ” ขอโทษด้วยนะ ที่ฉันไม่ได้อยู่ร่วมทุกข์ร่วมสุขกับเธอ ”

ทั้งสองกอดกันแล้วร้องไห้

ในชั่วพริบตา วันเวลาก็ได้ผ่านไปแล้วครึ่งปี เสี่ยวอี้เดินได้แล้ว พูดคำว่าพ่อได้ แต่กลับพูดคำว่าแม่ไม่ได้ พอคิดถึงชายคนนั้นที่ไม่เคยปรากฏตัวอีกเลยตั้งแต่วันที่หย่ากันไป นอกจากเงินจำนวนมากที่เขาโอนเข้าบัญชีเธอตรงตามเวลาแล้ว ก็ไม่มีการโทรศัพท์มา ไม่มีข้อความ ไม่มีการติดต่อใดใดกลับมา แววตาของซูหย่าในตอนนี้ลึกล้ำซับซ้อนมาก

ชีวิตหวนคืนเหมือนตอนเป็นโสดอีกครั้ง คุณน้าเป็นคนดูแลเสี่ยวอี้ ทันทีที่ซูหย่ากลับมาบ้านเธอก็ไม่ได้สนใจเสี่ยวอี้เท่าไหร่ ถ้าพูดให้ถูกก็คือเธอกำลังหลีกเลี่ยง หลีกเลี่ยงใบหน้าน้อยๆนั้นที่เหมือนกับหน้าของเซียวอู๋ หลีกเลี่ยงทุกสิ่งทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับเขา

เธอเริ่มทำงานเต็มตัวแล้ว เธอทำโอทีตั้งแต่เช้ายันค่ำ ก่อนหน้านี้เธอคิดว่าการทำโอทีนั้นลำบากมาก แต่พอผ่านประสบการณ์ช่วงนั้นมาได้ ในตอนนี้ เธอรู้สึกเพียงแค่การทำโอทีแค่นี้ไม่ได้เรียกว่าลำบากเลย

แน่นอนว่าคนทุกคนต้องลองเจอกับตัวเอง ผู้ที่ไม่เคยประสบความทุกข์ยากก็คงไม่รู้จักการรักษาความดีงามที่อยู่ตรงหน้า

ทุกคนต่างคิดว่า เธอปล่อยวางเรื่องเซียวอู๋ได้แล้ว

มีเพียงเล่อจยาที่รู้ว่าเธอเก็บเซียวอู๋ไว้ในใจเสมอมา

” ได้รับการขึ้นตำแหน่งติดต่อกันสองขั้น ตอนนี้เขาเป็นเจ้าหน้าที่ที่อายุน้อยที่สุดในปัจจุบัน ”

” ไปที่ชายแดนเพื่อปฏิบัติภารกิจที่อันตรายมาก ” มือที่ถือซ้อนอยู่เริ่มเปลี่ยนเป็นสีขาวซีด

“แต่เขากลับมาแล้วและไม่ได้รับบาดเจ็บใดใด อีกทั้งยังได้เลื่อนยศ อำนาจเหลือล้น ” ยกยิ้มมุมปาก

“ได้ยินมาว่ามีการรายงานถึงคนใหญ่คนโต ทำให้ผู้คนต่างก็ตื่นตกใจ……” จุกที่อก น้ำตาล่วงตกลงไปในแก้ว รวมตัวกันเป็นระลอกคลื่น

……

เมื่อเห็นว่าเธอกลับสู่สภาวะปกติแล้ว แม่ซูก็กระตือรือร้นในการจัดการเรื่องนัดดูตัวให้เธอเป็นอย่างมาก อย่างไรเสียเธอก็อายุสามสิบแล้ว หย่าแล้ว อีกทั้งยังมีลูกติดอีกหนึ่งคน…..

ผู้ชายทุกประเภท ทั้งไฮโซ ข้าราชการ ทหาร……ตามกันมาติดๆ

ตระกูลซูช่างเป็นตระกูลที่มีชื่อเสียงเลื่องลือจริงๆ ดังนั้นจึงไม่มีใครสนใจว่าเธอจะเคยแต่งงานหรือผ่านการมีลูกมา

เธอเองก็ไม่เคยปฏิเสธที่จะนัดเจอกัน นัดกินข้าวกัน แต่ทุกครั้งเธอก็แค่ไปเจอและไปกินข้าวให้เป็นพิธี เธอเอาแต่เงียบไม่ยอมพูดไม่ยอมจาเลย

หลังจากนั้น ก็มีคนลือกันว่าเธอมีปัญหาทางประสาท

หนึ่งคนสู่สิบคน สิบคนสู่ร้อยคน ยิ่งเล่าต่อๆกันผู้คนก็รู้มากขึ้น คนที่ประสงค์จะนัดดูตัวก็น้อยลงเรื่อยๆ

แม่ซูรู้สึกร้อนใจ ไม่ว่ายังไงก็จะพาตัวเธอไปที่แผนกประสาทให้ได้

เมื่อมองไปที่คุณหมอรูปหล่อตรงหน้า ซูหย่าก็ยิ้มสดใสมาก สายตาของเธอสะดุดมองไปที่ป้ายตรงหน้าอกของเขา ” ไป๋เสี่ยงเหิง ”

ผู้เป็นแม่ไม่เข้าใจ แต่พอเห็นเธอมองหน้าหมอคนนั้นอย่างใจลอยก็คิดว่าเธอสนใจในตัวชายคนนั้น แม่ซูดีใจมากก็เลยหาเหตุผลในการขอตัวออกมาจากที่นั่นก่อน

ชั้นล่างของโรงพยาบาล

” อย่าบอกนะว่านี่เป็นเรื่องบังเอิญ ” เธอเปิดประเด็นอย่างตรงไปตรงมา

รอยยิ้มบนใบหน้าซูหย่าหายวับไปทันที เธอมองตรงไปข้างหน้า พอผ่านไปสักพักเธอก็หันไปมองเซียวอู๋ ” คุณพูดว่าอะไรนะ? ”

สีหน้าของชายหนุ่มเย็นชามาก ” คุณป้าบอกว่า คุณทุ่มเทและเสียสละเพื่อผมเยอะแยะมากมาย คุณเองก็ลำบากมาไม่น้อย ในส่วนนี้ ผมรู้สึกขอบคุณคุณมาก แต่คุณเคยบอกว่าคุณไม่ต้องการความซาบซึ้งหรือความรู้สึกขอบคุณ แต่ผมให้คุณได้เท่านี้จริงๆ ซูหย่า ผมไม่มีวันรักคุณ ในเมื่อเป็นแบบนั้น เราก็หย่ากันเถอะ สภาพของผมในตอนนี้ ผมเองก็ไม่รู้ว่าในอนาคตจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นอีก ผมไม่อยากลากคุณให้มาลำบาก ”

เขาพูดเร็วมาก เร็วมากถึงขั้นถ้าซูหย่าไม่ตั้งใจฟังดีดีเธอคงฟังไม่เข้าใจ

ซูหย่าส่ายหน้า ” เสี่ยวหวู่ ฉันไม่ได้หมายความว่าแบบนั้น ที่ฉันพูดฉันหมายความว่า……”

” ผมติดต่อคนเอาไว้แล้ว เย็นนี้จะมีคนส่งเครื่องบินพิเศษมารับพวกเรากลับไปยังเมือง C เมื่อกลับไปถึงเราก็ไปจัดการเรื่องหย่ากัน ”

ซูหย่าก้มหน้า เธอเดินเข้าไปแล้วเอื้อมมือไปกอดเซียวอู๋ ” เสี่ยวหวู่ ไม่หย่าได้ไหม? ฉัน…..ที่ฉันพูดไปก่อนหน้านี้เป็นเพราะความโมโห ฉันไม่ได้อยากหย่ากับคุณเลยสักนิด ไม่อยากเลยแม้แต่น้อย ”

เขาหรี่ดวงตาอันงดงามของเขาเล็กน้อย จากนั้นเขาก็ยื่นมือออกมาจับไหล่เธอไว้แล้วผลักมันออก ” ฉันไม่อยากติดค้างเธอมากเกินกว่านี้อีกแล้ว ”

ซูหย่าอึ้งไปเล็กน้อย หลังจากนั้น เธอก็ส่ายหน้าอย่างสุดชีวิต ” เสี่ยวหวู่ คุณไม่มีอะไรติดค้างฉันเลย ฉันเต็มใจ จริงๆนะ เสี่ยวหวู่ พวกเขาไม่รักคุณ ฉันจะรักคุณเอง พวกเขาทำร้ายคุณ แต่ฉันไม่มีวันทำร้ายคุณแน่นอน ไม่หย่าได้ไหม? ” พอพูดจบ เธอก็กอดเซียวอู๋ไว้แน่นๆอีกครั้ง

เซียวอู๋รู้สึกเพียงว่าภายในใจเขามีความรู้สึกอบอุ่นที่เขาไม่เคยได้สัมผัสมาก่อนพุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว เขาก้มมองผู้หญิงที่อยู่ในอ้อมแขนเขา เห็นได้อย่างชัดเจนว่าเธอผอมลงมาก สายตาของเขาแฝงไปด้วยความรู้สึกสงสัย

มือที่ถือผักอยู่ จู่ๆก็กำหมัดแน่น ในขณะเดียวกันแววตาที่แฝงไปด้วยความรู้สึกสงสัยนั้นก็หายวับไป และแววตาที่โหดเหี้ยมของเขาก็ปรากฏขึ้นทันที เขาออกแรงผลักซูหย่าออกจากอ้อมแขนตัวเอง เขาเดินออกจากประตูบ้านไปโดยไม่สนใจใยดีว่าซูหย่าจะล้มลงพื้นหรือไม่

ในตอนที่เซียวอู๋กลับมา คุณลุงกำลังเล่นกับเสี่ยวอี้อย่างสนุกสนานอยู่ พอเห็นเขาเดินเข้ามาคุณลุงก็ยิ้มให้เขา ในตอนที่เห็นซูหย่าที่อยู่ด้านหลังตาแดงก่ำ เขาก็อึ้งไปชั่วครู่ เขาอุ้มเสี่ยวอี้เดินเข้ามาต้อนรับพวกเขา ” นี่มันเรื่องอะไรกัน? ”

ซูหย่าขยี้ตาเล็กน้อย ” ไม่เป็นไรค่ะ ก็แค่ดีใจมากไปหน่อยน่ะ ”

ก่อนจะทานข้าวเสร็จ จู่ๆซูหย่าก็พูดขึ้น ” คุณลุงคะ คุณป้าคะ มีอยู่เรื่องหนึ่งที่ฉันอยากถามความคิดเห็นของพวกคุณหน่อยน่ะค่ะ ”

เมื่อคุณลุงและคุณป้าเห็นสีหน้าที่จริงจังของเธอ พวกเขาก็วางตะเกียบในมือลง พวกเขามองหน้ากันแวบหนึ่ง ” มีเรื่องอะไรทำไมต้องขอความคิดเห็นจากเราด้วย? ”

ซูหย่าลุกขึ้นแล้วเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าของทั้งสองคน หลังจากนั้น เธอก็คุกเข่าทั้งสองข้างลงกับพื้น

ทำให้คนชราทั้งสองต่างก็ตกใจ พวกเขารีบเข้ามาประคองเธอให้ลุกขึ้น ” นี่มันเรื่องอะไรกัน? รีบลุกขึ้นมาคุยกันก่อน ”

” ฉันอยากจะขอให้ท่านทั้งสองเป็นคุณตาคุณยายของเสี่ยวอี้ และเป็นพ่อแม่บุญธรรมของฉัน ไม่ทราบว่าท่านทั้งสองยินดีไหมคะ? ”

เมื่อทั้งสองคนได้ยินแบบนั้น ทั้งคู่ก็อึ้งไปสักพัก คุณป้าเอามือเช็ดน้ำตาและมองหน้าคุณลุง ” คุณคิดว่านี่เป็นความเมฆตาที่ฟ้าประทานให้กับเราใช่ไหมคะ แก่มากแล้วยังมอบลูกสาวให้กับเราอีก ” เธอพูดพร้อมกับสูดหายใจเข้าลึกๆ จากนั้นก็ประคองซูหย่าให้ลุกขึ้น ” ได้ ลุกขึ้น ลุกขึ้นเร็ว ”

” พวกลูกทั้งสองน่าจะเตรียมตัวจะไปจากที่นี่แล้วใช่ไหม? ” คุณป้าครุ่นคิดสักพัก จากนั้นก็ถามขึ้น

ซูหย่าค่อยๆนั่งลงบนเก้าอี้ จากนั้นก็เงยหน้ามองคุณลุงและคุณป้า ” พวกคุณกลับไปกับพวกเราเถอะค่ะ บ้านเราที่เมือง C นั้นมีฐานะร่ำรวยมาก ถ้าถึงเวลานั้น ”

คุณป้าลุกขึ้น จากนั้นก็อุ้มเสี่ยวอี้ให้เข้ามาอยู่ในอ้อมแขนของเธอ ” ป้าและลุงเกิดและโตที่นี่ ทั้งชีวิตนี้ยังไม่เคยออกไปจากที่นี่เลย พวกเราคงไม่ได้ไปกับหนูนะ แต่ต่อจากนี้ ที่นี่ก็เปรียบเสมือนบ้านของผู้เป็นแม่ของหนู ถ้าคิดถึงพวกเราก็พาเสี่ยวอี้มาเยี่ยมพวกเรานะ ”

หลังจากนั้น ไม่ว่าซูหย่าจะโน้มน้าวพวกเขาอย่างไร ทั้งคู่ก็ไม่ยอมกลับไปกับเธอ

เธอทำได้เพียงเก็บบ้านหลังนี้ไว้ให้พวกเขา

“ คิดสะว่าพวกท่านช่วยดูแลบ้านหลังนี้ให้หนูก็แล้วกันนะคะ ถ้าพวกเราคิดถึงคุณแล้วเราจะกลับมาหานะ”  ประสบการณ์ครั้งนี้ ทั้งชีวิตนี้เธอก็คงลืมไม่ลง

หลังจากที่กลับมาถึงเมือง C เครื่องบินลงจอดบนลานจอดเครื่องบินส่วนตัวที่สถานที่หนึ่ง

ผู้ชายในเครื่องแบบทหารสองสามคนเดินเข้ามากอดเซียวอู๋ ซูหย่ารู้สึกคุ้นหน้าคุ้นตาพวกเขามาก ตอนนั้นครั้งที่เธอกินอาหารแห้งในค่ายทหาร พวกเขาอยู่ที่นั้น หลังจากนั้น ที่โรงพยาบาล ในตอนที่แพทย์แจ้งผลวินิจฉัยพวกเขาก็อยู่ที่นั่นเช่นกัน

ในตอนนี้ เธอมองดูแววตาที่เต็มไปด้วยความรู้สึกผิด และเต็มไปด้วยน้ำตาของพวกเขา

ไม่ใช่เรื่องง่ายที่ผู้ชายจะหลั่งน้ำตา คนคนนั้นต้องเป็นคนที่กล้าหาญมาก พวกเขาไม่สามารถกลั้นน้ำตาไว้ได้ ซูหย่าเองก็ไม่โทษพวกเขา เธอเลยไม่ได้พูดอะไรมาก

ไม่รู้ว่าเซียวอู๋เป็นคนบอกเรื่องนี้กับพ่อซูและแม่ซูใช่หรือไม่

พวกท่านกำลังวิ่งมาทางนี้ เมื่อเห็นหน้าพ่อแม่อีกครั้ง ซูหย่าก็กลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่อีกต่อไป

เมื่อเห็นว่าผู้เป็นแม่แก่ชราลงเยอะมาก ซูหย่าก็รู้สึกว่าตัวเองอกตัญญูจริงๆ

“ แค่มีชีวิตอยู่ก็ดีมากแล้ว ” ผู้เป็นแม่กอดเธอไว้ ประโยคสั้นๆนี้ทำให้เธอร้องไห้โฮ

ในตอนที่ทุกคนเดินออกมา ด้านนอกก็รายล้อมไปด้วยนักข่าว การฟื้นคืนชีพของทั้งคู่เป็นประเด็นที่น่าตื่นเต้นสำหรับผู้คนมากจริงๆ

เซียวอู๋ผู้ถือเป็นวีรบุรุษ และการที่เขาพักฟื้นจนร่างกายกลับสู่สภาวะปกติทำให้ผู้คนตกใจมาก ทำให้ผู้นำของสำนักข่าวหลายคนมาพบเขาด้วยตัวเอง

ในชั่ววินาที เขาก็ถูกผู้คนรายล้อมเป็นเสี้ยวพระจันทร์

ในตอนที่เขายิ้มให้กับทุกคน คงมีเพียงซูหย่าที่เข้าใจว่าในใจเขาตอนนี้นั้นเศร้าโศกมากเพียงใด

ทันใดนั้น ผู้คนก็พุ่งเข้าหาเธอ

หลังจากนั้นเซียวอู๋ก็เดินออกไป ท่ามกลางฝูงชน เขาก้มศีรษะลงทักทายพ่อซูและแม่ซู

ซูหย่ารู้สึกอุ่นใจ แต่หลังจากนั้น คำพูดของชายหนุ่มกลับทำให้เธอรู้สึกเหมือนตกเข้าไปในหลุมนรก

” พ่อครับ แม่ครับ ผมอยากจะหย่ากับซูหย่าครับ ”

“ บุ๋ม “แน่นอนว่าประโยคนั้นของเขามันเหมือนกับการโยนก้อนหินก้อนใหญ่ลงไปในแม่น้ำ จากนั้นมันก็ระเบิดทันที

ทุกคนต่างก็โต้เถียงและคาดเดาไปต่างต่างนานาว่าช่วงหลายเดือนที่ผ่านมานี้มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ถึงได้ทำให้เซียวอู๋ต้องการหย่าทันทีที่กลับมา

ซูหย่ามองหน้าชายตรงหน้า เธอดึงแขนเสื้อเขาและเอาแต่ก้มหน้าและเงียบ

แม่ซูเรียกเขา ” เสี่ยวหวู่ ”

ทันทีที่เซียวอู๋หันหน้ามา เธอก็ยื่นมือออกไปตบลงบนหน้าเขาเต็มฝ่ามือ การกระทำของเธอเร็วมากและมันกะทันหันมากๆ เมื่อซูหย่ารู้ตัวอีกที ทั้งหน้าและใบหูของเขาก็แดงไปหมดแล้ว

เธอเป็นกังวลมาก ” แม่ แม่ทำอะไร? ”

แม่ซูเหลือบมองเธอแวบหนึ่ง จากนั้นก็มองหน้าเซียวอู๋ ” เธอยอมตัดขาดกับพ่อแม่ได้เพื่อนาย แต่พอนายฟื้นขึ้นมาแล้วกลับมาบอกว่าจะหย่ากับเธอ เสี่ยวหวู่ เกิดเป็นคนจะทำแบบนี้ไม่ได้ ”

เซียวอู๋ตัวสั่นเล็กน้อย เขาหรี่ตาลง จากนั้นก็เงยหน้ามองแม่ซู ” ผมไม่เคยขอให้เธอทำแบบนั้น ทั้งหมดนั้นเธอเต็มใจที่จะทำเอง ” พอพูดจบ เขาก็หันหลังและตรงไปที่ประตูทางออก

แม่ซูโกรธจนแทบหายใจไม่ออก แต่ซูหย่ากลับมองร่างของคนที่เดินจากไปด้วยสายตาที่เป็นห่วง

” เอาเถอะ สุขภาพก็พึ่งจะดีขึ้น อย่าโกรธไปเลย กลับบ้านกันก่อนเถอะ ” พ่อซูพูดขึ้น

เมื่อแม่ซูได้ยิบแบบนั้น ก็จ้องหน้าเขา ” ลูกสาวคุณโดนรังแกถึงขนาดนี้แล้ว คุณจะไม่พูดอะไรหน่อยเลยเหรอ ”

พ่อซูและซูหย่ามองหน้ากันแวบหนึ่ง ทั้งคู่ต่างก็เงียบ

หลังจากกลับถึงบ้าน และจัดการพาแม่ซูให้ขึ้นไปพักผ่อนแล้ว พ่อซูก็ให้ซูหย่าไปเจอกันที่ห้องหนังสือ

” พูดมาเถอะ สรุปว่ากำลังแสดงละครเรื่องไหนกันอยู่ล่ะ? ”

ซูหย่ายักไหล่ และนั่งลงบนโซฟา เธอมองดูต้นบอนไซบนโต๊ะชา เธอใจลอยอยู่สักพัก จากนั้นซูหย่าก็เงยหน้ามองแววตาของผู้เป็นพ่อ หลังจากผ่านไปสักพัก เธอก็พูดขึ้นว่า ” พ่อคะ ในสายตาของพ่อ ตำแหน่งสำคัญกว่าลูกสาวงั้นหรือคะ? ”

ชายคนนั้นมองมาที่เธอ จากนั้นก็ยิ้มเล็กน้อย ” หมายความว่ายังไงครับ? ”

” คุณอย่าบอกฉันนะว่าการที่ฉันเจอคุณที่โรงพยาบาลเล็กๆแห่งนั้นมันเป็นเรื่องบังเอิญ? ” เธอไม่เชื่อ การพบกันด้วยระยะห่างหลายพันไมล์นั้นจะเป็นแค่เรื่องบังเอิญ

ไป๋เสี่ยงเหิงขมวดคิ้วก่อนจะย้ายไปนั่งลงข้างๆซูหย่า ” คุณนายเซียวเข้าใจอะไรในตัวผมผิดไปหรือเปล่าครับ? หลังจากที่ผมทำการผ่าตัดให้สามีคุณเสร็จเรียบร้อยแล้ว หลังจากนั้นไม่นานผมก็กลับมาที่บ้านของผม แต่สิ่งที่คาดไม่ถึงก็คือ คุณนายเซียวกลับเป็นคนในเมือง C เหมือนกัน

คุณใช้คำว่า ” เหมือนกันงั้นเหรอ? ”

ซูหย่าขมวดคิ้ว ” ไม่ได้มีคนส่งคุณมาจริงๆเหรอ? ”

” มีคนส่งผมไปงั้นเหรอ? คุณนายเซียวคงเข้าใจผิดไป อาจารย์ของผมเป็นคนที่นั่น เขาอุทิศทั้งชีวิตของตัวเองเพื่ออาชีพนี้ ที่ผมไปที่นั่นก็เพื่ออยู่เป็นเพื่อนเขาในช่วงสุดท้ายของชีวิต หลังจากที่เขาผ่าตัดให้สามีของคุณเสร็จไม่นาน เขาก็เสียชีวิตลงด้วยโรคมะเร็งกระเพาะอาหาร หลังจากนั้นไม่นานผมเองก็กลับมาที่นี่ ”

ในตอนท้ายที่เขาพูด เห็นได้อย่างชัดเจนว่าน้ำเสียงเขาสะอึกสะอื้น ซูหย่ายักคิ้ว เธอรู้ว่าคนคนหนึ่งคงไม่เอาเรื่องแบบนี้มาพูดเล่นแน่นอน เธอสูดหายใจเข้าลึกๆ และพูดขึ้นว่า ” ขอโทษด้วยนะคะ ”

อาจจะเป็นเพราะช่วงนี้เรื่องที่ผ่านเข้ามาในชีวิตเธอ ทำให้เธอกลายเป็นเหมือนนกที่ตื่นธนู พอเผชิญกับเรื่องนี้ก็เลยทำให้เธอคิดมากและคิดซับซ้อนจนเกินไป ไม่น่าล่ะเล่อจยาถึงได้บอกว่าเธอทำให้ชีวิตตัวเองวุ่นวายราวกับละครในวัง

ไป๋เสี่ยงเหิงมองหน้าเธอ ” ช่วงนี้สามีของคุณเป็นยังไงบ้าง? เขา……”

” เราหย่ากันแล้วค่ะ ” ซูหย่าพูดขัดจังหวะเขา และหยิบน้ำแร่ออกมาจากกระเป๋าจากนั้นก็ยกดื่ม

ดังนั้น เธอเลยพลาดที่จะเห็นแววตาที่เต็มไปด้วยความดีใจของไป๋เสี่ยงเหิง

บรรยากาศตกอยู่ในความเงียบสงบ หลังจากผ่านไปสักพัก ชายหนุ่มก็พูดพึมพำกับตัวเอง ” เขามันโง่ ”

ซูหย่ายิ้ม หลังจากนั้นเธอก็ลุกขึ้น ” งั้นไม่รบกวนคุณแล้วนะคะ เชิญคุณทำงานต่อเถอะค่ะ ” พอพูดจบเธอก็กำลังจะเดินออกไป

” เลี้ยงข้าวผมสักมื้อได้ไหมครับ? ”

ซูหย่าชะงักไป จากนั้นก็หันไปมองไป๋เสี่ยงเหิงด้วยความตกใจ ” ถ้าฉันได้ยินไม่ผิด คุณบอกว่าให้ฉันเลี้ยงข้าวคุณงั้นเหรอคะ? ”

ไป๋เสี่ยงเหิงพยักหน้า ” ถ้าผมเป็นคนเลี้ยงข้าวคุณซู คุณซูก็คงจะไม่ยอมตอบตกลง แต่ ตอนนั้นผมเองก็เคยช่วยเหลือคุณซูนะครับ ให้คุณซูเลี้ยงข้าวผมสักมื้อคงไม่เป็นการรบกวนเกินไปใช่ไหมครับ? “ สรรพนามที่เขาเรียกเธอเปลี่ยนจาก ” คุณนายซู ” เป็น ” คุณซู ”

เมื่อมองผู้ชายที่อยู่ตรงหน้า บนใบหน้าของซูหย่าก็มีรอยยิ้มที่หาได้ยากปรากฏขึ้น ” ก็ได้ อยากกินอะไรล่ะ ฉันเลี้ยง ”

ชายหนุ่มดีใจมากราวกับเด็กที่ได้อมยิ้ม เขาบอกกับเธอว่า ” รอผมสักครู่นะ ผมไปเปลี่ยนชุดก่อน ”

มองไปที่ภัตตาคารส่วนตัวตรงหน้า ซูหย่าก็ยกนิ้วโป้งให้ไป๋เสี่ยงเหิง  เธอเคยมาทานอาหารที่นี่กับพี่ชายใหญ่หนึ่งครั้ง แต่ไป๋เสี่ยงเหิงแค่โทรศัพท์มาสายเดียว ก็จองสำเร็จแล้ว ทำให้เธอรู้สึกสนใจในตัวตนของเขามาก

” คุณรู้จักกับเจ้าของร้านเหรอ? ”

ไป๋เสี่ยงเหิงมองหน้าเธอแล้วพยักหน้า ” ไปกันเถอะ ”

เมื่อเดินเข้าไป พนักงานทุกคนก้มคำนับเขาด้วยความเคารพ และเรียกเขาว่า ” สวัสดีค่ะ เจ้านาย ”

ซูหย่าเอามือปิดปาก  ”

ในตอนแรกที่ไป๋เสี่ยงเหิงเปิดร้านแห่งนี้ เขาก็แค่รู้สึกน่าสนใจดี แต่พอเปิดไปได้หลายปี ร้านแห่งนี้ก็กลายเป็นสถานที่ที่มีชื่อเสียงทางด้านอาหารระดับโลก แต่วันนี้ความตกใจของซูหย่ากลับทำให้เขาสามารถใช้ประโยชน์จากจุดนี้ได้ เขายกยิ้มมุมปาก

” แค่ทำล่วงเวลาน่ะ ”

แค่ทำล่วงเวลาแต่กลับสามารถทำให้คนต่อคิวรอกันนานเป็นเดือน แล้วแบบนี้จะให้พวกที่ตั้งใจเปิดร้านอาหารที่เป็นมืออาชีพรู้สึกยังไง?

ซูหย่ากวาดสายตามองไปรอบๆ การตกแต่งของที่นี่ให้ความรู้สึกที่ดีมาก นำเอาความเป็นยุโรปและความเป็นจีนมาผสมผสานกันได้อย่างลงตัว ไม่ทำให้คนที่มาเยือนรู้สึกหงุดหงิด ทันใดนั้น สายตาเธอก็ไปสะดุดเข้ากับสิ่งสิ่งหนึ่งจนไม่อาจละสายตาออกจากมันได้

มีชายและหญิงคู่หนึ่งนั่งอยู่ตรงนั้น ชายคนนั้นคือเซียวอู๋ ส่วนหญิงสาวคนนั้นคือมู่ซือ ผู้หญิงที่ไม่ได้เจอกันมาเป็นเวลานาน

เพราะว่าตำแหน่งที่นั่งตรงนั้นมันเป็นที่นั่งแบบเอียง ซูหย่าจึงเห็นเพียงหน้าด้านข้างของเซียวอู๋ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะแสงสลัวเกินไปหรือว่าผิวเขานั้นเข้มขึ้น เขาสวมชุดสูทที่เป็นทางการมาก เขานั่งตรงข้ามมู่ซือ ส่วนมู่ซือนั้นสวมเสื้อคลุมสีดำ ทั้งสองกำลังพูดคุยกัน แต่ไม่รู้ว่าคุยกันเรื่องอะไร รอยยิ้มอันสวยงามปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเซียวอู๋ ถึงระยะห่างจะไกลมาก แต่ซูหย่าก็สัมผัสได้ว่าเขาดีใจมาก

ไม่ได้เจอกันมานานครึ่งปี เธอเอาแต่คิดถึงเขาวันแล้ววันเล่า คืนแล้วคืนเล่า แต่กลับไม่กล้าติดต่อไปหาเขา ไม่กล้าแม้แต่จะส่งข้อความหาเขา เพราะเธอกลัวว่าจะทำให้แผนการที่เขาวางไว้ไม่เป็นไปตามเป้าหมาย เธอครุ่นคิดมานับครั้งไม่ถ้วนถึงฉากที่ทั้งคู่จะเจอกันอีกครั้ง ครุ่นคิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า อาจจะเป็นฉากที่กอดกัน อาจจะเป็นฉากที่เล่าถึงความรักและความคิดถึงกัน แย่ที่สุดก็เจอกันพร้อมหน้าพร้อมตาสามคนพ่อแม่ลูกแบบธรรมดาทั่วไป…..

สุดท้ายล่ะ? หลังจากการได้ชัยชนะกลับมาคนแรกที่เขาคิดถึงกลับไม่ใช่ตัวเอง

จริงด้วย ทำไมเธอถึงได้ลืม เขาเคยบอกแล้วเขาไม่มีวันรักเธอ

เธอเชื่ออย่างหมดใจมาโดยตลอดว่าที่เขาพูดแบบนั้นเพราะต้องการให้เธออกจากชีวิตเขาเท่านั้น อย่างน้อยในใจเขาก็ต้องรู้สึกกับเธอบ้างไม่มากก็น้อย ไม่ว่าอย่างไร เธอก็ทุ่มเทและเสียสละไปมากมาย แต่ตอนนี้เธอพึ่งจะรู้ตัวว่าเธอคิดไปเองคนเดียวทั้งหมด

เธอเองก็พึ่งจะเข้าใจ เธอกำลังหลอกตัวเอง ส่วนเขานั้นคิดจริงจัง

และยิ่งไปกว่านั้นเธอเข้าใจแล้วว่าความรักไม่ได้ได้มาเพราะความทุ่มเทและความเสียสละเพียงอย่างเดียว

หางตาเธอร้อนผ่าน เธอก้มหน้าและละสายตาจากตรงนั้น

ไป๋เสี่ยงเหิงเหยียดแขนออก ” ไปด้านบนกันเถอะ ด้านบนเงียบสงบกว่า ”

ซูหย่าเอาแต่ก้มหน้า เธอรู้สึกหมดอารมณ์

” เขาหย่ากับเธอหลังจากที่ฟื้นคืนสภาวะปกติใช่ไหม? ” หลังจากนั่งลง ไป๋เสี่ยงเหิงก็ถามขึ้น

เธออยากจะบอกว่าเดิมทีเธอคิดว่านั่นมันไม่ใช่เรื่องจริง แต่ตอนนี้ เธอกลับรู้สึกเหมือนมีบางอย่างปิดกลั้นคอเธอไว้ ทำให้เธอพูดอะไรไม่ออก

อาหารยังคงรสชาติเหมือนเดิม แต่ซูหย่ากลับทำเหมือนมันไร้รสชาติอย่างไรอย่างนั้น

ไป๋เสี่ยงเหิงมองเธออย่างอ่อนโยนและไม่ได้ถามอะไรต่อ เขาเพียงแนะนำเมนูอาหารให้เธอฟัง

” เธอลองชิมอันนี้ดู มันอาจจะทำให้เธออารมณ์ดีขึ้น ”

ซูหย่าไม่เข้าใจ ทันทีที่เธอลองชิม เธอถึงกับเอามือปิดปาก ” นี่……นี่คืออะไรเนี่ย? ทำไมเผ็ดขนาดนี้? ”

” ผมให้พ่อครัวเติมมัสตาร์ดลงไปในนี้ด้วย พอกินเข้าไปจะได้ทำให้คนร้องไห้ พอร้องไห้แล้ว อารมณ์ก็จะดีขึ้นเอง ”

เมื่อคุณรู้สึกเศร้า อย่าเติมความหวานมันลงไปเด็ดขาด แต่ไป๋เสี่ยงเหิงก็ช่างไม่เข้าใจความหมายที่แท้จริงของประโยคนี้เลยจริงๆ

เมื่อเห็นหญิงสาวร้องไห้ฟูมฟาย ภายในใจของไป๋เสี่ยงเหิงรู้สึกอึดอัดมาก แต่เขายังคงเป็นสุภาพบุรุษและคอยยื่นทิชชูให้เธออย่างต่อเนื่อง

พอกินเสร็จ ร้องไห้เสร็จ ตอนที่ลงมาชั้นล่าง ที่นั่งตรงนั้นก็ว่างเปล่าแล้ว

หัวใจของซูหย่าดิ่งลงเล็กน้อย

เมื่อวานได้ยินเล่อจยาบอกว่า เขาทำการใหญ่สำเร็จแล้ว แค้นก็ได้ชำระแล้ว เธอยังเพ้อฝันอยู่เลยว่า เร็วๆนี้คงจะได้เจอกันแล้วใช่ไหม?

แต่สุดท้ายเขากลับเลือกมาฉลองกับคนอื่น

ซูหย่า เธอเป็นแค่อดีตภรรยาเขาแล้วจริงๆ เธอประเมินค่าตัวเองสูงไปนะ เธอพูดกับตัวเองแบบนั้น

แต่ เธอรู้สึกเจ็บปวดใจมาก ความเข้มแข็ง และความประนีประนอมของเธอทำไมกลับทำให้คนอื่นประสบความสำเร็จล่ะ?

ทำไมโรงพยาบาลที่ด้อยพัฒนาที่นี่สามารถตรวจพบโรงทางจิตของเซียวอู๋ได้ว่าเกิดจากมีภาวะเลือดออกในสมองของเขา แต่ทำไมในเมือง H โรงพยาบาลใหญ่จำนวนมาก หมอทุกคนล้วนเห็นพ้องกันว่า การป่วยของเขาเกิดจากการใช้ยาเกิดขนาด โรงพยาบาลนั้นเต็มใจวินิจฉัยผิดพลาด ไม่มีทางที่ทุกโรงพยาบาลจะวินิจฉัยผิดพลาดเหมือนกันหมด

ถ้างั้น ก็มีเพียงเหตุผลเดียวที่วินิจฉัยผิดพลาด ก็คือมีคนอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้

เธอหลับตาและลืมตาอีกครั้ง พยายามสงบจิตใจที่ปั่นป่วนของตัวเอง

ใครกัน ที่จะกล้าทำสิ่งต่างต่างกับคนที่มีสถานะเป็นเซียวอู๋ และยังสามารถซ่อนตัวจากคนจำนวนมากได้อีกด้วย

ด้วยพลังของตระกูลเซียวและตระกูลซู คนธรรมดาไม่กล้าทำเช่นนี้แน่ ซึ่งแสดงให้เห็นได้ว่าพลังที่อยู่เบื้องหลังสิ่งนี้ จะมองข้ามไปไม่ได้เด็ดขาด

เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ ดวงตาของเธอก็มืดลงเล็กน้อย และเธอก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกกลัวเล็กน้อยภายในใจ

เมื่อกลับมาที่ห้องผู้ป่วย เซียวอู๋ยังไม่ฟื้น

เธอนั่งอยู่ข้างเซียวอู๋ จับมือของเขาถือไว้ในมือของเธอ ในใจเธอก็คิดไม่ออกจริงจริงว่า สรุปแล้วเป็นใครกันแน่ ที่คิดจะฆ่าเขา ?

ถ้าหากครั้งนี้ ฉันไม่ได้ช่วยชีวิตเขาไว้ละก็ ชีวิตของเขาคงจะพินาศไปแล้ว คิดคิดดูแล้ว ผู้ชายที่ดีแบบนี้ จริงจริงแล้วเขาก็ถูกคนอื่นออกแบบมาให้เป็นแบบนี้

หลังจากเหตุการณ์นั้น แม้แต่พ่อแม่ของเขาก็ยอมเสียสละตัวเองเพื่อปกป้องเขา ความทุกข์ใจของเธอก็สั่นสะท้าน น้ำตาในดวงตาของเธอก็ไหลออกมาเป็นสาย

ทันใดนั้น มือใหญ่ในมือของเธอก็ขยับ

เซียวอู๋ค่อยค่อยลืมตาขึ้น และผู้หญิงที่อยู่ในดวงตาของเขา ก็ร้องไห้ออกมา

เขาขมวดคิ้ว และเปิดปากของเขา ใช้เวลานานกว่าจะพูดออกมาสองคำ “อย่าร้องไห้”

ซูหย่าเม้มริมฝีปากและสูดหายใจ “คุณไม่สบายตรงไหนรึเปล่า ?”

เซียวอู๋กะพริบตา ยกมือขึ้น และปาดน้ำตาจากใบหน้าของเธอ “เสี่ยวหย่า…….อย่าร้องไห้”

นี่คือสิ่งที่เซียวอู๋พูดมานานที่สุดตั้งแต่เกิดอุบัติเหตุ ซูหย่าพยักหน้าซ้ำๆ “โอเค ไม่ร้อง”

“เสี่ยว……อี้”

เมื่อซูหย่าได้ยิน “เสี่ยวอี้อยู่กับคุณลุง คุณเป็นลมไป ฉันจึงพาคุณมาโรงพยาบาล จึงไม่มีคนดูเขา” เมื่อพูดถึงตรงนี้ เธอก็รู้สึกเศร้า เธอไม่กล้าแม้แต่จะคิด ถ้าหากว่าไม่ได้เจอพวกคุณลุงที่เป็นคนดีแบบนี้ เธอควรจะทำอย่างไรดี ?

เนื่องจากเสี่ยวอี้ยังเล็กเกินไป ไม่มีคนดู และซูหย่าก็ปล่อยเซียวอู๋ไม่ได้ หลังจากยืนยันกับหมอว่าตอนนี้เขาไม่เป็นอะไรแล้ว เธอก็ไปทำเรื่องพาเขาออกจากโรงพยาบาล

เมื่อออกประตูมา ก็พอดีกับที่หมอไป๋เดินเข้ามาจากข้างนอก “เรื่องการผ่าตัด คุณต้องคิดทบทวนอย่างรอบคอบนะ เขายังหนุ่มอยู่”

ซูหย่ามองมาที่เขา และมองไปที่เซียวอู๋ “ขอบคุณมากค่ะ ไม่รู้ว่าคุณสามารถให้เบอร์โทรศัพทัฉันได้ไหม ถ้าหากฉันมา ฉันจะติดต่อคุณ ได้ไหม ?”

หมอไป๋ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง หยิบโทรศัพท์ออกมา แล้วกดหมายเลขลงไป “คุณจดไว้”

ซูหย่ารีบใช้โทรศัพท์มือถือของเธอถ่ายรูปไว้สองสามรูป และดึงเซียวอู๋เดินไปสองก้าว แล้วหันศีรษะกลับมายิ้มและโค้งคำนับให้กับหมอไป๋ “ขอบคุณคุณหมอไป๋ที่ช่วยชีวิตสามีของฉัน”

ก็พยักหน้า และเดินผ่านเธอไป

เมื่อซูหย่ากลับไป ก็ตรงไปที่คุณลุงแล้วรับเสี่ยวอี้กลับมา

เมื่อคุณลุงเห็นว่าเซียวอู๋อยู่ในสภาพที่ดี เขาก็ไม่ได้ถามอะไร แค่พูดว่า ถ้าเธอมีเรื่องอะไรก็บอก พวกเขาทั้งสองคน ก็ไม่มีอะไรทำอยู่แล้ว

ซูหย่าพยักหน้าให้เขาอย่างซาบซึ้ง

เมื่อกลับถึงบ้าน เธอกระตุกเซียวอู๋ว่า “คุณไปอาบน้ำก่อน ฉันจะชงนมให้เสี่ยวอี้ แล้วจะไปทำอาหารให้คุณ”

เซียวอู๋จับมือของเธอ “มีอะไรรึเปล่า ?”

เซียวอู๋ไม่พูด แต่มองเธอด้วยสายตาตื่นตระหนก ซูหย่าก็เข้าใจทันที

“ไม่เป็นไร ฉันไม่ได้โกรธ คุณไม่เป็นไร ก็ดีแล้ว รีบไปอาบน้ำเถอะ”

ในขณะนี้ เซียวอู๋หันกลับไปอย่างเชื่อฟัง และเดินไปที่ห้องน้ำ

ในตอนกลางคืน ซูหย่านอนอยู่บนเตียง ใช้เวลานานกว่าจะนอนหลับ

เธอกำลังคิดถึงปัญหาเรื่องเลือดคลั่งในสมองของเซียวอู๋ เมื่อคิดไปคิดมา เธอหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา แล้วส่งข้อความถึงหมอไป๋คนนั้น

ในเมืองนี้ มีแต่เครือข่าย 2G ดังนั้น วีแชท QQ อะไรพวกนี้ก็แทบจะกลายเป็นแอปประดับเครื่องไปแล้ว เชื่อมต่อยากมาก

“หมอไป๋ สวัสดีค่ะ ฉันอยากจะสอบถามหน่อยค่ะ ถ้าสามีของฉันผ่าตัดเปิดกระโหลกศีรษะจะมีความเสี่ยงไหมคะ ?”

ข้อความตอบกลับมาเร็วมาก

“มี”

คำเพียงสั้นๆ ทำให้หัวใจของซูหย่ากระตุกขึ้นมาทันที

“ถ้างั้น มันจะมีความเสี่ยงมากขนาดไหน ?”

“อืม เรื่องนี้รับประกันอะไรให้คุณไม่ได้ ในฐานะหมอ ผมพูดได้เพียงว่า ผมจะพยายามทำให้ดีที่สุด”

คำตอบอย่างเป็นทางการนั้น ทำให้ซูหย่าใจเสีย

“งั้น ถ้าเกิดว่าล้มเหลว จะเป็นอย่างไร ?” เมื่อถามคถามนี้ หัวใจของเธอก็กระตุกขึ้นมาอีกครั้ง

“มันก็อาจจะแย่กว่าที่เป็นอยู่ในตอนนี้”

ซูหย่าหันกลับมามองเซียวอู๋ที่กำลังหลับใหลอยู่ โดยคิดว่าการตัดสินใจของเธอ อาจจะเปลี่ยนแปลงชะตากรรมของเขา เมื่อคิดถึงตรงนี้ เธอก็รู้สึกเครียดมาก

“ฉันควรทำอย่างไรกับคุณดี ?” เสี่ยวหวู่

เพราะปัญหานี้ ในตอนกลางคืน เธอยังต้องคิดเล็กน้อยอยู่บ้าง ซูหย่าแทบจะไม่ได้นอนทั้งคืน เมื่อตื่นมาตอนเช้า ก็เวียนหัว และปวดหัวจนแทบเดินไม่ได้

ป้าผ่านมาเห็นพอดี เมื่อเห็นสีหน้าของเธอดูแย่ ก็รีบอุ้มเสี่ยวอี้ออกไปจากมือของเธอ “เสี่ยวหย่า คุณไม่สบายตรงไหนรึเปล่า ? ฉันเห็นสีหน้าคุณดูแย่มาก”

ซูหย่าขมวดคิ้ว หลังจากชงนมผงเสร็จ ก็ส่งให้กับป้า “เมื่อคืนไม่ค่อยได้นอน”

“จริงเหรอ มีเรื่องอะไรรึเปล่า ?”

บางทีมันอาจจะจำเป็นต้องปรึกษาใครสักคนจริงๆ ซูหย่าอดไม่ได้ที่จะพูดเรื่องของเสี่ยวอู๋กับป้า

เมื่อป้าได้ยิน ก็ขมวดคิ้ว ผ่านไปครู่หนึ่ง เธอก็มองออกไปข้างนอกประตู “ตาแก่ คุณก็เข้ามาสิ มาออกความคิดเห็นหน่อย”

ซูหย่าเพิ่งพบว่า ที่แท้คุณลุงก็มาแล้ว เพียงแต่อยู่ที่หน้าประตู ไม่ได้เข้ามา

เธอลุกขึ้น เดินไปที่ประตู “คุณลุง คุณเข้ามานั่งสิคะ”

คุณลุงพยักหน้า เดินเข้ามาในห้อง มองไปที่เสี่ยวอี้ แล้วเอ่ยปกาพูดว่า “สาวน้อย ทำเถอะป่ะ เพียงแต่ โรงพยาบาลของพวกเราแถวนี้ไม่ค่อยจะดี คุณสามารถพาพ่อของเสี่ยวอี้ไปในสถานที่ที่ใหญ่กว่านี้”

ปัญหานี้ ที่จริงแล้วซูหย่าก็เคยคิด แต่ ถ้าหากกลับไปที่เมืองใหญ่ คนที่อยู่เบื้องหลังนั้นเป็นใครกันแน่ก็ยังไม่รู้เลย และยังสามารถควบคุมคนจำนวนมากได้ ภูมิหลังจะต้องน่ากลัวอย่างคาดไม่ถึงแน่นอน

เธอไม่กล้าพาเซียวอู๋ไปเสี่ยง

“เมืองใหญ่ พวกเราไม่กลับไปแล้ว” เธอคิดอยู่ครู่หนึ่ง และอุ้มเสี่ยวอี้มาจากอ้อมกอดของป้ามา และมองดูตาโตโตของเสี่ยวอี้ แล้วพูดกับตัวเองว่า: “ถ้าหากล้มเหลว ถ้างั้นจะทำอย่างไรกันดี ?”

“ตอนนี้เขามีชีวิตแบบนี้ มันก็เจ็บปวด”

ป้าเห็นด้วย “ใช่แล้ว เสี่ยวหย่า ที่คุณลุงพูด ถึงแม้มันจะตรงไปหน่อย แต่ คุณสามารถคิดให้ดีกว่านี้หน่อยไหม ถ้าเกิดว่ามันเป็นแบบนั้นล่ะ ?”

รอยยิ้มของซูหย่าแข็งทื่อเล็กน้อย เธอหายใจเข้าลึกๆ และก็พบว่าเซียวอู๋ยืนอยู่ที่ประตู เขาเอามือจับหน้าท้อง เม้มปาก และดูไม่พอใจ

ซูหย่าทักทายเขาด้วยสายตา แต่ทันใดนั้นก็พบว่า เซียวอู๋คนโง่ที่ทำให้คนชอบนั้น ไม่มีทางที่จะเย็นชาขนาดนี้

เธอถอนหายใจ “ลูกชายของคุณไง ? คุณไม่เห็นเหรอว่า เสี่ยวอี้เหมือนกับคุณมาก ?”

เมื่อเห็นดวงตาที่เหลือเชื่อของชายผู้นี้ เธอก็ยิ้มอย่างมีชัย และยัดเสี่ยวอี้ไว้ในอ้อมแขนของเขา “คุณอุ้มไว้ ฉันจะไปชงนมให้กับเขา”

หลังจากนั้นหนึ่งชั่วโมง

เซียวอู๋นั่งอยู่บนเก้าอี้ ซูหย่านอนอยู่บนเตียง กล่อมให้เสี่ยวอี้นอนหลับ

“คุณหมายความว่า ผมถูกคิดบัญชี เป็นคนโง่ เป็นบ้า คุณแกล้งตาย แล้วพาผมมาถึงที่นี่ ? เสี่ยวอี้ก็คือเด็กที่คุณบอกไปก่อนหน้านี้ว่าไม่มีแล้วคนนั้น ?”

ซูหย่าพยักหน้า “ใช่”

เซียวอู๋มองที่เขา จากนั้นก็มองไปที่เสี่ยวอี้ที่กำลังนอนหลับอยู แล้วขมวดคิ้ว “ทำไมล่ะ ?”

“อะไรทำไม ?”

“เห็นได้ชัดว่าคุณชอบหน้าขาวเล็กนั่น แล้วทำไมถึงยังทำเพื่อผมมากมายขนาดนี้ ?”

“ชอบปี๋ไค ?”ซูหย่าไม่เข้าใจแล้ว

“ในเมืองวันนั้น เขาบอกกับผมเองว่า ให้ผมปล่อยมือคุณ”

ซูหย่าจำฉากในวันนั้นได้ เห็นได้ชัดว่ามันเพิ่งผ่านมาปีกว่าเท่านั้น แต่เธอก็ยังรู้สึกเหมือนอยู่คนละโลก

เธอลุกขึ้น ลงจากเตียง และมองไปที่เซียวอู๋ “ในเมื่อคุณก็ฟื้นความทรงจำแล้ว รอให้พวกคนแก่กลับมาแล้ว พวกเราไปลาพวกเขากัน กลับเมือง C กันเถอะ เสี่ยวอี้ ฉันจะเลี้ยงเองคนเดียว คุณจะกลับไปที่กองทัพหรือว่ายังไง ก็แล้วแต่คุณเถอะ”

พูดจบ เธอก็ยิ้มอย่างเหงาเหงา คิดถึงประสบการณ์ของเธอในช่วงเวลานี้ มันราวกับฝัน แต่ตอนนี้ เธอตื่นจากฝันแล้ว

เซียวอู๋ก้มศีรษะลง โดยไม่เห็นความเจ็บปวดในดวงตาของซูหย่า

เขาไม่รู้ว่าช่วงเวลาที่ผ่านมาจะต้องประสบพบเจออะไรบ้าง แต่ เมื่อวานตอนที่เห็นชายคนนั้นกำลังจะทำอย่างนั้นกับซูหย่า เขาก็โกรธจนแทบบ้า

เขาเอื้อมมือออกไป คว้าแขนของซูหย่า “ในเมื่อเป็นสามีภรรยากันแล้ว ผมก็จะไม่ขาดความรับผิดชอบ”

คำทางการและคำพูดที่เย็นชา ?

ความเย็นชา นี่เป็นมาตราฐานของเซียวอู๋

รับผิดชอบ ? เธอยิ้มอย่างเย็นชา และสะบัดมือของเขาออก ความพยายามดังกล่าว คงจะดีเกินไป หากเป็นเพียงแค่คำพูดแสดงความรับผิดชอบของเขา

หลังจากออกไปล้างขวดนมแล้ว เธอก็เดินไปที่ข้างหน้าชายคนนั้น แล้วเอารองเท้าออกจากปากของชายคนนั้น

ชายคนนั้นสูดหายใจแล้วพูดว่า:“ คุณหนู ผมไม่ได้ทำอะไรคุณจริงจริงนะ ยังไม่ได้แตะต้อง เขาก็ฟื้นขึ้นมา แล้วทุบตีฉันแบบนี้  หลอกลวงความดีและกลัวความชั่ว น่าขยะแขยงจริงๆ

เธอไม่พูดอะไร หันหลังเดินตามเขา แก้มัดให้เขา จากนั้นพูดอย่างสีหน้าไร้อารมณ์ว่า:“ คุณไปเถอะ”

เมื่อเซียวอู๋ได้ยิน ก็กระซิบว่า “คุณบ้าไปแล้วเหรอ คนขี้ขลาดแบบนี้ คุณปล่อยเขาไปแบบบนี้ได้อย่างไร ?”

“คนขี้ขลาด ?”ซูหย่ามองไปทางด้านหลังที่หลบหนีไป “ถ้าหากว่าไม่ใช่คนขี้ขลาดนี้ บางทีตลอดชีวิตคุณอาจจะเป็นคนโง่อยู่แบบนั้นแล้ว” ดังนั้น นี่จึงเป็นเหตุผลที่เธอไม่สนใจ

ก่อนหน้านี้ เซียวอู๋หมดสติไป เสี่ยวอี้ก็ยังเล็ก ภายในห้องเงียบมาก แต่ว่า ในขณะนี้ เซียวอู๋ฟื้นแล้ว เสี่ยวอี้ก็โตแล้ว ภายในห้องที่เงียบสงัด กลับยิ่งหดหู่ขึ้นเรื่อยๆ

ช่องว่างระหว่างเขากับเซียวอู๋ มันไม่ได้ดีขึ้นเพราะเหตุการณ์นี้

เธอถามตัวเองว่า มันคุ้มไหม คำตอบก็คือเริ่มต้นใหม่ เธอก็ยังจะเลือกแบบนี้ บางทีถ้าคุณอาจจะรักใครสักคนจริงๆ คุณก็คงไม่อยากให้เขาตอบแทนกลับหรอก เมื่อคิดว่า เขาสบายดี ก็ไม่มีอะไรสำคัญแล้ว เขามีชีวิตอยู่ ก็ดีแล้ว

เธออุ้มเสี่ยวอี้มือเดียว และเริ่มทำงานบ้าน เซียวอู๋นั่งอยู่บนเก้าอี้ มองดูเธอทำสิ่งเหล่านี้อย่างชำนาญ และชิ้นส่วนบางอย่างก็แวบเข้ามาในหัวของเขา

“คุณ ดูผอมลงนะ ”คำพูดที่ไม่มีจุดเริ่มและจุดสิ้นสุดมาจากข้างหลัง

มือของซูหย่าที่เช็ดเก้าอี้ แข็งกระด้าง เธอเม้มปากและไม่ตอบกลับ

“เอาเขามาให้ผม ”ชายคนนั้นก้าวไปข้างหน้า และหยิบเสี่ยวอี้มาจากอ้อมแขนของเขา แต่เมื่อเขายื่นมือออกมา น้ำตาก็หยดลงบนที่หลังมือของเขา ซูหย่าหันศีรษะของเธอ และส่งเสี่ยวอี้ให้กับเซียวอู๋

ขณะถืออ่างกำลังเตรียมตัวจะหันหลังกลับ แต่ก็ถูกชายคนนั้นจับแขนไว้ “เพื่อผมเหรอ ?”

ซูหย่าต้องการที่จะปฎิเสธ แต่ว่า ความคับข้องใจในหัวใจของเธอทำให้เธอสำลัก

“เสี่ยวหวู่ ที่ฉันต้องการไม่ใช่ความเมตตา ไม่ใช่ความซาบซึ้ง ดังนั้น คุณไม่ต้องรู้สึกผิดกับฉันหรอก ฉันแค่ทำในสิ่งที่ควรทำเพื่อคนที่ตัวเองรัก ”พูดจบ เธอก็ดึงมือของเขาออก แล้วเดินออกไปที่ก๊อกน้ำข้างนอก และซักทำความสะอาดผ้าขี้ริ้ว

ทันใดนั้น ประตูก็ถูกผลักออก คุณลุงกับคุณป้าวิ่งมาจากข้างนอก เมื่อเห็นซูหย่า ป้าก็ขึ้นมาจับแขนของเธอมองดูขึ้นลง และถามอย่างกระตือรือร้นว่า:“ เสี่ยวหย่า คุณไม่เป็นอะไรใช่ไหม ?”

ซูหย่าขมวดคิ้ว “ป้า ทำไมพวกคุณถึงกลับมาแล้ว ไม่ได้บอกว่าจะต้องใช้เวลาช่วงหนึ่งไม่ใช่เหรอ ?”

“สาวน้อย หลานของชายชราข้างบ้านโทรศัพท์มาหาพวกเรา บอกว่า……..บอกว่าไอ้เจ้าสัตว์ร้ายนั่นมาหาคุณ ใช่ไหม ?”

ซูหย่ามือสั่นสะท้าน หลานชายข้างบ้าน ? วันนั้น เขาเห็นแล้ว ? เธอรู้สึกเย็นชาขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ เห็นแล้ว แต่เลือกที่จะโทรศัพท์หาคนแก่สองคน โดยไม่โทรแจ้งตำรวจ ไม่เห็นใจคนอื่นเลยจริงๆ

“ฉันไม่เป็นไร พ่อของเสี่ยวอี้ฟื้นแล้ว เขาช่วยฉันไว้ ”เธอพูดเบาเบา แต่กลับทำให้ป้ารู้สึกลำบากใจมากขึ้นไปอีก ป้าจับแขนของเธอไว้ “เจ้าสัตว์ร้ายนี้ เจ้าสัตว์ร้ายนี้……… ” ทันใดนั้นเธอก็ตอบสนอง

เมื่อหันกลับมามองคุณลุง “เมื่อครู่เสี่ยวหย่าบอกว่า พ่อของเสี่ยวอี้ฟื้นแล้ว ? ใช่ไหม ?”

ในขณะนี้ เสียงฝีเท้ามาจากประตู คนแก่ทั้งสองหันศีรษะไปมองที่ประตู

เซียวอู๋อุ้มเสี่ยวอี้ สีหน้าดูมืดมน

“เสี่ยวหวู่ นี่คือคุณลุงกับคุณป้าที่ฉันเคยบอกคุณ ในช่วงเวลานี้ถ้าไม่ใช่เพราะพวกเขา ฉันกับเสี่ยวอี้แล้วก็คุณ ก็คงจะไม่มีชีวิตรอด”

เซียวอู๋เดินออกไป และพยักหน้าให้กับคนแก่ทั้งสองคน “ขอบคุณพวกคุณที่ดูแลพวกเขาสองแม่ลูก”

คุณลุงกับคุณป้ามองตากัน “ฟื้นมาก็ดีแล้ว ฟื้นขึ้นมาก็ดีแล้ว ช่วงที่คุณอยู่ในอาการโคม่า คุณทำให้แม่ของลูกคุณลำบากมากเลย ตัวคนเดียว ต้องดูแลลูก และยังต้องดูแลคุณอีก มีครั้งหนึ่ง คุณกลับมาจากการทะเลาะวิวาทกับใครสักคน แล้วหมดสติไป เธอไปโรงพยาบาล เพียงไม่กี่วัน เธอก็ผอมจนไม่เหมือนคนแล้ว ทางนี้ ยังต้องดูแลเสี่ยวอี้ ชายหนุ่ม คุณโชคดีแค่ไหน !”

ป้าพูดไป พลางปาดน้ำตาไป “ในสมัยนี้ หาผู้หญิงแบบนี้ไม่ง่ายเลย”

ซูหย่าถูกพูดแบบนั้นก็รู้สึกเขินอายเล็กน้อย และพูดว่า:

“คุณลุง คุณป้า ตอนกลางวันพวกคุณอยู่ทานอาหารที่บ้านพวกเราเถอะ ฉันจะไปซื้อของ แล้วตอนเที่ยงวันนี้พวกเรามาฉลองกัน”ซูหย่าพูดพลางเข้าไปหยิบกระเป๋าเงินในบ้านแล้วเดินออกไป

ในขณะที่กลับมา ที่ปากทางเข้าซอย เธอมองเห็นเซียวอู๋ยืนอยู่ตรงนั้นจากที่ไกลไกล เมื่อเห็นเธอกลับมา เขาก็หยิบถุงไปจากมือของเธอ และหันหลัง กลับเข้าไปในบ้าน

ซูหย่าเม้มปาก ก้าวไปข้างหน้าสองสามก้าว และยืนอยู่เคียงข้างเขา “เสี่ยวหวู่ ซี่โครงที่คุณชอบทานที่สุด ฉันซื้อมาแล้ว ยังมีของที่คุณชอบทานอันนี้อีก…….”

ทันใดนั้นชายคนนั้นก็หยุดฝีเท้า และหันกลับไปมองซูหย่า “ซูหย่า พวกเราหย่ากันเถอะ”

อย่างไรก็ตาม ปาฏิหาริย์ก็ไม่เกิดขึ้น

เมื่อชายคนนั้นเห็นเธอตะโกน เขาก็ปล่อยเธอ และตบไปที่หน้าของเธอ รอยนิ้วมือปรากฎขึ้นบนใบหน้าขาวของเธอ

“ผมจะบอกคุณ วันนี้ผมต้องการคุณแล้ว สถานที่แห่งนี้ ไม่มีใครไม่รู้จักตาแก่ คุณตะโกนจนคอแหบแห้ง ก็ไม่มีใครกล้ามาช่วยคุณ” ขณะที่พูด เขาก็ดึงซูหย่าอย่างแรง ลากเธอ และผลักเธอลงบนเตียงในห้องนอน

บนเตียง มีผู้ชายของเธอและลูกของเธอนอนอยู่ ความอัปยศอดสู่เกือบทำให้ซูหย่าล้มลง

“ไม่………ไม่เอา”

เธอส่ายศีรษะ ถอยหลังอย่างสิ้นหวัง และกระชับเสื้อผ้าที่หน้าอกแน่น

ชายคนนั้นยิ้มอย่างเคร่งขรึม ดึงขาของซูหย่า แล้วลากไปข้างหน้า “ไม่เอา ? ผู้ชายของคุณเป็นแบบนี้แล้ว คุณยังบอกว่าไม่เอา ?”

ซูหย่าต้องการคว้าอะไรบางอย่าง แต่รอบข้างก็ไม่มีอะไรเลย เธอรีบกอดร่างของเซียวอู๋ และพูดขอร้องว่า:“ เสี่ยวหวู่ คุณตื่นสิ ช่วยช่วยฉัน……เสี่ยวหวู่…….”

อาจจะเป็นเพราะการเคลื่อนไหวค่อนข้างดัง จนทำให้เสี่ยวอี้ตกใจตื่น เขาพลิกตัวและคลานมาข้างหน้าซูหย่า

ชายคนนั้นใช้แรงดึงเสี่ยวอี้ และโยนออกไป โยนไปด้านข้าง

เสียงร้องไห้ของเด็ก และเสียงร้องของซูหย่าผสมปนกันไปหมด

ชายคนนั้นสาปแช่งอย่างฉุนเฉียว และตรงไปที่เตียง และเตะเสี่ยวหวู่ลงกับพื้นอย่างแรง “คนโง่คนหนึ่ง คุณขอร้องเขา ? คุณขอร้องผมยังจะดีกว่า บางทีคนแก่คนนี้อาจจะอ่อนโยนกับคุณมากกว่านี้ก็ได้”

เสียง “อู้อี้” ดังขึ้นมา ซูหย่ายังคิดว่าตัวเองได้ยินผิดไป

ตั้งแต่เซียวอู๋ผ่าตัด เขาก็ไม่มีการตอบสนองใดใด

เธอพลิกตัว ปีนขึ้นไป และอุ้มเสี่ยวอี้ที่กำลังร้องไห้อยู่ในอ้อมแขนของตัวเอง “เสี่ยวอี้ ไม่ร้อง แม่อยู่นี่ แม่อยู่นี่”

ความอดทนของชายคนนี้ชะงักอยู่ครู่หนึ่ง เขาถอดชุดทำงานออก แล้วโยนทิ้งลงพื้น ชี้ไปที่ซูหย่า “คุณจะปล่อยเขาไว้ด้านข้าง หรือว่าจะให้ผมโยนเขาออกไป คุณเลือกเอง”

ซูหย่ารู้ว่าชายคนนี้ไม่ได้พูดเล่น เธอส่ายศีรษธ ทันใดนั้น เธอก็คิดอะไรบางอย่างได้ “ฉันมีเงิน คุณปล่อยฉันไป ฉันให้เงินคุณ เงินจำนวนมาก ตกลงไหม ?”

ชายคนนั้นขมวดคิ้ว เยาะเย้ย และดึงเสื้อของเขา “เสื้อที่ผมใส่ตัวนี้ ตัวหนึ่งราคาหลายพันหยวน ผมดูเป็นคนไม่มีเงินเหรอ ?”

พูดจบ เขาก็ปีนขึ้นเตียง แล้วใช้มือใหญ่คว้าเสี่ยวอี้

เสี่ยวอี้ที่ไม่เคยกลัวมาโดยตลอด ในขณะนี้เขาอาจจะรู้สึกถึงความอาฆาตพยาบาทของชายคนนี้ และเสียงร้องไห้ของเขาก็ดังขึ้นเรื่อยๆ

เมื่อซูหย่าเห็นเจตนาฆ่าในดวงตาของชายคนนั้น เธอก็ตื่นตระหนกเล็กน้อย และรีบปลอบเสี่ยวอี้ “เสี่ยวอี้ ไม่ร้องไม่ร้อง”

เธอรีบพูดกับชายคนนั้นทันทีว่า:“ ให้ฉันปลอบเขาก่อน ได้ไหม ?”

ชายคนนั้นเหลือบมองเธออย่างหมดความอดทน “ผมไม่สนใจ ข้างกายมีเสียงประกอบ ผมจะบอกคุณให้ ถ้าคุณกล้าจะขัดขืน ผมจะบีบคอเด็กคนนี้ให้ตาย” พูดแล้ว เขาก็ดึงเสี่ยวอี้ออกจากแขนของเธอแล้วโยนไปด้านข้าง

เขาปลดกระดุมอออก และลดเสียงลง

ความกลัวความสิ้นหวังในใจ และความเป็นห่วงเสี่ยวอี้ของเธอ เกือบทำให้ซูหย่าล้มลง

เธอนอนอยู่ข้างตียง คว้าร่างของเซียวอู๋ไว้ “เสี่ยวหวู่ คุณรีบฟื้นสิ ช่วยช่วยฉัน ช่วยฉันด้วย……….”

ความเย็นของร่างกายทำให้เสียงของซูหย่าหยุดลงทันที

จากนั้น ร่างหนาก็กดทับร่างของเธอไว้ เธอหลับตา ใจของเธออ่อนล้าสิ้นหวัง………

เมื่อเธอตื่นขึ้นมาอีกครั้ง ซูหย่าลืมตาขึ้น สภาพแวดล้อมที่คุ้นเคย ทุกอย่างที่คุ้นเคย

เมื่อเธอคิดถึงทุกอย่างก่อนจะหมดสติไป น้ำตาก็ไหลออกมาจากหางตา ดูเหมือนว่า มีแค่ความตายเพียงทางเดียวเท่านั้น

แต่ เมื่อคิดถึงเสี่ยวอี้ ในใจเธอก็เป็นทุกข์

ใช่แล้ว เสี่ยวอี้ล่ะ ?

เธอหันกลับมา บนเตียงไม่มีใครอยู่ เธอนั่งตัวตรง และพบว่า ตัวเองถูกห่มผ้าห่มอยู่

เมื่อมองสะท้อนไปที่พื้น เซียวอู๋ก็ไม่อยู่แล้ว

เธอพลิกตัวลุกจากเตียงด้วยความตื่นตระหนก ร่างกายผ่อนคลาย และไม่รู้สึกอึดอัดเลย ถ้าหากเธอเคยประสบเรื่องอย่างนั้น………จะต้องไม่เป็นอย่างนี้แน่นอน

หรือว่า ตัวเองจะตายแล้ว ?

เธอใช้แรงบีบหน้าของตัวเองแน่น และรู้สึกเจ็บ ถ้างั้นก็แสดงว่ายังไม่ตาย เพียงแต่…….

“ตื่นแล้วเหรอ ? มาทานข้าวก่อน”

เสียงผู้ชายที่คุ้นเคย ทำให้ซูหย่าเงยหน้าขึ้นมองอย่างรวดเร็ว

สายตาที่เหมือนกับนกอินทรี และออร่าที่ไม่แย่แส เธอทั้งร้องไห้และหัวเราะออกมา “ฉันจะต้องตายแล้วแน่ๆ ดังนั้น ถึงได้เห็นไอ้บ้าอย่างคุณอีกครั้ง”

ใบหน้าของชายคนนั้นมืดมนลง เขาก้าวไปปข้างหน้า และวางถ้วยไว้บนโต๊ะ “ถ้าหากว่าคุณอยากตาย ก็ควรจะตายก่อนที่ชายคนนั้นจะทำลายคุณเมื่อวาน”

“ทำลาย……ก่อนหน้านี้”ซูหย่าเบิกตากว้าง และปิดปากของเธอ “เสี่ยวหวู่ คุณคือเสี่ยวหวู่ คุณฟื้นแล้ว คุณช่วยฉัน ใช่ไหม ? ใช่ไหม ?”

หลังจากพูดจบ เธอก้าวไปข้างหน้า คว้าคอของเซียวอู๋ เธอร้องตะโกนอย่างตื่นเต้น และร้องไห้………

“เสี่ยวหวู่ เจ้าคนบ้า ทำไมคุณถึงเพิ่งฟื้น ?”เธอพูดพลางตีไปที่ร่างกายของเซียวอู๋

เธอได้ยินเสียงของชายคนนั้นหายใจเข้า มือทั้งสองข้างถูกจับไว้ ชายคนนั้นมองเธออย่างไม่อดทน “จะยังไม่จบใช่ไหม ?”

ขณะที่พูด เขาก็พลักเธอลงบนเตียง “ทานข้าว”

เขาหันหลังกลับไปออกไปข้างนอก และในขณะเข้ามา มือข้างหนึ่งก็อุ้มเสี่ยวอี้ไว้ “สรุปแล้วที่นี่คือที่ไหน ? แล้วเธอไปเอาเด็กคนนี้มาจากไหน และ ทำไมผมกับคุณถึงอยู่ด้วยกัน ในที่แบบนี้ได้ยังไง ?”

เขาจำได้ว่าเขาไปปฎิบัติภารกิจ แล้วเขามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร

ซูหย่าตกตะลึง พระเจ้าช่วย หรือว่า ที่เธอทำไปเพื่อผู้ชายคนนี้ทั้งหมดนั้น ผู้ชายคนนี้ไม่มีความทรงจำอะไรเลย ?

อย่างไรก็ตาม เขาสามารถหายดีแล้ว ที่เธอออกแรงไปทั้งหมดนี้ เธอก็ไม่สนใจอีกแล้ว

หลังจากทานข้าวไปสองคำ เธอก็ยิ้มให้เซียวอู๋และพูดว่า “รอเดี๋ยวนะ ฉันทานเสร็จแล้ว ฉันจะบอกคุณ”

นี่เป็นครั้งแรกในรอบหลายเดือน ที่เธอรู้สึกว่าอาหารอร่อย

ขณะที่ทาน น้ำตาของเธอก็ตกลงไปในถ้วย

เซียวอู๋เห็นเธอเดี๋ยวก็ร้องไห้เดี๋ยวก็หัวเราะ เขาขมวดคิ้ว ไม่พูดอะไร

หลังจากซูหย่าทานข้าวเสร็จ เซียวอู๋ก็อุ้มเสี่ยวอี้อยู่ในสวน

เมื่อเธอออกมา เธอเห็นชายคนนั้นโดนมัดติดอยู่กับต้นไม้ในสวน เธอก็ตัวสั่นอย่างเห็นได้ชัด

เมื่อเห็นชายคนนั้นโดนมัดมือมัดเท้า ถูกรองเท้ายัดอยู่ในปาก และร่างกายก็มีเลือดปนอยู่ เมื่อเห็นเขา ในดวงตาก็เกิดความกลัว

เธอรับเสี่ยวอี้มาจากมือของเซียวอู๋ เมื่อเห็นเขาดูดนิ้วมือของตัวเอง เธอก็ถามไปว่า:“ คุณ ได้ป้อนนมเขารึเปล่า ?”

เซียวอู๋เหลือบมองเธอ“ ผมจะเอานมมาจากไหน ?”

ซูหย่าเม้มปาก กลืนไม่เข้าคายไม่ออก “ฉันถามว่าคุณได้ชงนมผมให้เขาไหม ?”

“เปล่า”น้ำเสียงเย็นชา และไร้อารมณ์

ชายคนนั้นพูดพลางเดินเข้าไปข้างใน ซูหย่ามองไปที่เสี่ยวอี้ในอ้อมกอด “เสี่ยวอี้ เดี๋ยวแม่ชงนมให้กินนะ เด็กน้อยที่น่าสงสาร ได้พบกับพ่อที่โหดร้ายเช่นนี้”

ชายคนนั้นชะงักฝีเท้าในทันที และหันศีรษะกลับมา มองซูหย่าด้วยสีหน้าที่เย็นชา “คุณพูดว่าอะไรนะ ?”

“หิวแล้วใช่ไหม ?”

เซียวอู๋พยักหน้า

“แต่ว่า ตอนเช้าฉันไม่ได้ทำอาหารอะไรเลย วันนี้รู้สึกไม่ค่อยสบาย”

“รอเดี๋ยว ฉันจะไปเอาอะไรที่บ้านมามาให้นะ ”บ้านที่ป้าเช่าอยู่แถวๆนั้น

ไม่กี่นาทีต่อมา ป้าก็เอาหมั่นโถวแดง และโจ๊กมาวางบนโต๊ะ และอุ้มเสี่ยวอี้มาจากมือของซูหย่า “คุณก็รีบทานหน่อย นี่ยังมีอีกสองคนที่คุณจะต้องดูแลนะ คุณอย่าทำให้ร่างกายของตัวเองแย่”

ซูหย่าพยักหน้า และมองป้าอย่างขอบคุณ “ขอบคุณค่ะคุณลุง ขอบคุณค่ะคุณป้า ถ้าหากช่วงเวลานี้ไม่มีพวกคุณละก็ ฉันก็ไม่รู้จริงจริงว่าจะผ่านมันไปได้ยังไง”

“อย่าพูดแบบนี้เลย ฉันกับคุณลุงของคุณหลังจากเกษียณ ก็ไม่มีอะไรทำ คนหนุ่มสาวอย่างคุณไม่ดูถูกพวกเรา พวกเราก็ดีใจมากแล้ว”

ต่อมา ซูหย่าก็ได้รู้ว่า ก่อนที่คุณลุงและป้าจะเกษียณ คนหนึ่งเป็นนักบัญชีในรัฐวิสาหกิจ อีกคนหนึ่งเป็นผู้บริหาร พวกเขาล้วนเป็นพนักงานที่จริงจัง ในตอนนั้นพวกเขามีลูกด้วยกันหนึ่งคน แต่ เพราะนโยบาลของรัฐบาล สามารถให้กำเนิดลูกได้เพียงหนึ่งคน แต่ปรากฎว่าในตอนที่ลูกอายุได้สิบกว่าขวบ ไม่ทันระวังตกน้ำไป

ทั้งสองคนทุกข์ทรมานมาเป็นเวลานาน หลังจากนั้นพวกเขาก็ได้รับความช่วยเหลือจากผู้คนมากมาย ก่อนจะเดินออกมาจากเงาความโศกเศร้า และอาศัยเงินช่วยเหลือของผู้อื่นมายังชีพของตัวเอง

หลังจากทานอาหารเช้า ป้าก็พูดว่า:“ เสี่ยวหย่า คุณเอาเสี่ยวอี้มาให้พวกเรา และคุณก็รีบไปนอนหลับพักผ่อนหน่อยเถอะ การอดนอนจะทำให้เสียสุขภาพ”

ซูหย่ารู้สึกเกรงใจเล็กน้อย มองเสี่ยวอี้และมองเซียวอู๋ คนโตกับคนเล็ก………

“ไปเถอะ พวกเราไม่ออกไป จะดูแลพวกเขาสองคน ไม่เกิดเรื่องอะไรหรอก”

ซูหย่าพยักหน้า

บางทีอาจจะเพราะเหนื่อยเกินไป เมื่อถึงเตียงก็หลับเลย

ในตอนที่ตื่นขึ้นมา ในห้องก็ตลบอบอวนไปด้วยกลิ่นอาหาร

บางครั้งในห้องนั่งเล่นก็มีเสียงพูดคุยของหลายคน และเสียงคุณลุงที่เล่นกับเสี่ยวอี้

เธอลุกจากเตียง เดินไปที่ประตูห้อง เห็นป้ากำลังทำอาหารในห้องครัว เซียวอู๋นั่งตรงข้ามคุณลุงและมองเสี่ยวอี้

อาจจะเป็นเพราะช่วงนี้เธอรู้สึกเหงาเกินไป เมื่อมองเห็นภาพนี้ ซูหย่าก็แสบจมูกและน้ำตาก็จะไหลลงมา

ในเวลานี้ เธอคิดถึงพ่อแม่และครอบครัวในเมือง C ยังมีพวกเล่อจยาอีก เธอขาดการติดต่อไปแบบนี้ บางทีพวกเขาคงโกรธน่าดู และบางทีเธออาจจะเห็นแก่ตัวเกินไป

เธอหันศีรษะของเธอและเช็ดน้ำตา

เธอก้าวไปข้างหน้า และรับเสี่ยวอี้มาจากมือของคุณลุง เด็กที่อายุเกือบสามเดือน เมื่อเล่นกับเขา เขาก็จะรู้วิธีหัวเราะ เมื่อหิว เขาก็จะรู้วิธีร้องไห้

ซูหย่ายินดีเป็นอย่างยิ่ง การนำเสี่ยวอี้มาด้วยทำให้ไร้ความกังวลมากขึ้น

เธออุ้มเสี่ยวอี้และเดินไปที่ประตูห้องครัว “ป้า ขอบคุณมากนะคะ”

“ตื่นแล้วเหรอ ? รีบไปนั่งเถอะ อีกเดี๋ยวจะทานข้าวแล้ว”

อาหารวันนี้อุดมสมบูรณ์มาก เซียวอู๋ดีใจราวกับเด็ก มุมปากของเขายกขึ้นเรื่อยๆ

หลังจากทานอาหารไปได้ครึ่งหนึ่ง ทันใดนั้นตะเกียบบนมือของเซียวอู๋ก็ตกลงบนโต๊ะ เขาเอามือทั้งสองข้างจับศีรษะและตะโกนออกมาเสียงดัง

“เสี่ยวหวู่ คุณเป็นอะไร ?”

“รีบส่งไปโรงพยาบาล” คุณลุงพูดเตือน

ซูหย่าหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมา กดโทร 120

ในตอนใกล้ถึงโรงพยาบาล เธอก็โทรศัพท์หาหมอไป๋คนนั้น

เมื่อโทรติด “ฮัลโหล หมอไป๋ จู่ๆเสี่ยวหวู่ก็ปวดหัว คุณอยู่โรงพยาบาลไหม ?”

“คุณส่งไปห้องฉุกเฉินก่อน ผมทานข้าวอยู่ใกล้ๆ ผมจะรีบไปเดี๋ยวนี้”

โรงพยาบาลเดียวกัน ห้องผ่าตัดเดียวกัน

เมื่อหมอไป๋ออกมา ซูหย่าพิงประตูห้องผ่าตัด ก้มศีรษะลง บีบนิ้ว ผมยาวของเธอยุ่งเหยิงบนไหล่เล็กน้อย ผิวขาว ใบหน้าของเธอหันไปทางท้องฟ้า แต่ก็ยังคงไม่สามารถซ่อนอารมณ์ที่สง่างามของเธอได้

เขาก้าวไปข้างหน้า และตบลงไหล่ของเธอ “คุณมากับผมหน่อย”

ซูหย่าหันศีรษะและมองไปที่ห้องผ่าตัด “หมอไป๋ สามีของฉันเป็นอย่างไรบ้าง ?”

หมอไป๋ถอดถุงมือแบบใช้แล้วทิ้งออก และโยนทิ้งลงถังขยะข้างๆ จากนั้นเขาก็หันศีรษะมา มองไปที่ซูหย่า “ตำแหน่งที่เลือดคลั่งของเขาขยับแล้ว ในกรณีนี้ ผมแนะนำให้ผ่าตัดทันที มิฉะนั้น เมื่อความดันเลือดคลั่งกดทับกับเส้นประสาทอื่นๆ ก็อาจจะมีอาการที่คาดเดาไม่ได้ เช่น ตาบอด โรคหลอดเลือดสมอง เป็นต้น”

เมื่อได้ยินที่เขาพูด ซูหย่าก็หยุดเดิน และเกิดกลัวขึ้นมา เธอก้าวไปข้างหน้า และคว้าแขนของหมอไป๋ “หมอ ฉันขอร้องคุณล่ะ คุณจะต้องช่วยเขา เขายังอายุน้อยอยู่”

หมอไป๋จ้องมองมือที่เรียวยาวของเธอ “คุณ คงรักสามีของคุณมากใช่ไหม ? ”ดังนั้น ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ก็ยังไม่ทอดทิ้งกัน

ในช่วงสองสามปีที่ผ่านมานี้ ในโรงพยาบาลเขาพบเห็นมามากมาย ในตอนแรกคู่สามีภรรยาก็ยังรักกันดีอยู่ แต่หลังจากพบว่าอีกฝ่ายเป็นโรคทางจิตประเภทหนึ่ง พวกเขาก็มักจะค่อยค่อยแยกจากกัน

ผู้หญิงคนนี้ทั้งสวยและนิสัยดี แต่ในสถานการณ์ของชายคนนี้ เธอก็ยังไม่ทอดทิ้ง มันทำให้ชายผู้นี้อดไม่ได้ที่จะมองดูเธอมากขึ้น

ซูหย่าเมื่อถูกเขามองแบบนี้ก็เขินอายเล็กน้อย และกระแอมออกมาเบาๆ

หมอไป๋ถอนสายตาออกไปและมองไปที่ข้างนอกหน้าต่าง และค่อยค่อยพูดขึ้นว่า “การผ่าตัด พวกเราจะพยายามอย่างเต็มที่ เพียงแต่ ค่าใช้จ่ายก่อนและหลัง ค่อนข้างสูง คุณ…………ต้องการเตรียมก่อนไหม ?”

“เท่าไหร่ ?”

“สองแสนหยวน”

ซูหย่าตกใจ สองแสนหยวน เงินที่เธอนำออกมา ไม่พอแน่นอน ดูเหมือนว่า ต้องใช้เงินของปี๋ไคนั่นแล้ว

อย่างไรก็ตาม ถ้าหากสามารถทำให้เซียวอู๋ดีขึ้น ในอนาคตเมื่อกลับไป เธอจะต้องคืนเขาแน่นอน

ถ้าหากกลับไปไม่ได้ เธอก็จะค่อยค่อยหาเงิน และคืนให้เขา

เมื่อคิดถึงตรงนี้ เธอพยักหน้า “ตกลง เงิน ฉันจะไปเตรียม การผ่าตัดนั้น ได้โปรดทำโดยเร็วที่สุด”

พูดจบ เขาก็หันหลังและเดินเข้าไปยังห้องผ่าตัด

เธอดูสงบกับเงินสองแสนหยวน นี่เกินความคาดหมายของหมอไป๋ ถ้าคนธรรมดาได้ยินตัวเลขนี้ ล้วนต้องตกใจ ดังนั้น เห็นได้ชัดว่า ผู้หญิงคนนี้ ไม่ใช้คนธรรมดาแน่นอน

เมื่อเซียวอู๋ฟื้นขึ้นมาอีกครั้ง ก็เกือบจะค่ำแล้ว การหมดสติในครั้งนี้ใช้เวลานานอย่างเห็นได้ชัด และ หลังจากฟื้นมาได้ไม่นาน ก็หมดสติไปอีกครั้ง ซึ่งสิ่งนี้มันทำให้ซูหย่าเชื่อคำพูดของหมอไป๋คนนั้น

เวลาในการผ่าตัด ในที่สุดก็ถูกกำหนดไว้ในวันพรุ่งนี้ตอนเช้า

ความหมายของโรงพยาบาลก็คือ การจัดทีมหมอที่มีอายุให้กับเซียวอู๋ ที่มีประสบการณ์ค่อนข้างเยอะ

อย่างไรก็ตาม ซูหย่าก็ยังยืนกรานที่จะให้หมอไป๋เป็นผู้นำ

ผู้ชายคนนี้ ทำให้เธอเต็มใจที่จะไว้วางใจอย่างบอกไม่ถูก

ด้วยความกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ของเซียวอู๋ในตอนกลางคืน ซูหย่าไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากฝากเสี่ยวอี้ให้กับพวกคุณลุงอีกครั้ง

เธอนั่งอยู่บนเก้าอี้ในห้องผู้ป่วย เธอใช้นิ้วมือบีบเคสโทรศัพท์สองสามครั้งโดยไม่รู้ตัว และในใจก็ประหม่าเกินกว่าจะพูดอะไรออกมา

ทันใดนั้นแก้วน้ำก็ปรากฎขึ้นต่อหน้าเธอ

เมื่อมองขึ้นไป ก็มองเห็นหมอไป๋สวมชุดกีฬาและสะพายกระเป๋า ท่าทางแบบนี้คือเตรียมพร้อมที่จะเลิกงานแล้ว

เธอรับน้ำมา และพูดกล่าวขอบคุณ

“ผู้อำนวยการบอกว่า คุณให้ผมเป็นผู้นำ เพราะอะไร ?”

ซูหย่ากลืนน้ำลาย เงยหน้าขึ้นมองเขา และยิ้ม “ก็ไม่เพราะอะไร ? ก็แค่เชื่อคุณ”

เป็นเวลานานที่หมอไป๋ไม่พูดอะไร และซูหย่าก็เกือบจะดื่มน้ำในแก้วจนหมดแล้ว เขาถึงเอ่ยปากพูดว่า “เชื่อผม ผมจะพยายามทำให้ดีที่สุด”

ซูหย่าพยักหน้า

ระหว่างการผ่าตัด หน้าห้องผ่าตัดของคนอื่นมีญาติและเพื่อนอยู่เต็มไปหมด แต่เธออยู่คนเดียว

หากไม่มีประสบการณ์ จะไม่มีใครเข้าใจว่า ความไร้อำนาจและความกลัวนี้มันเป็นอย่างไร

ผ่านไปครึ่งทางของการผ่าตัด ประตูห้องผ่าตัดเปิดออก และชายในเสื้อคลุมสีขาวถามว่า: “ครอบครัวของหลิวเสี่ยวหวู่อยู่รึเปล่า ?”

หลิวเสี่ยวหวู่ เป็นชื่อปลอมที่ซูหย่าเขียนบนใบรับรองให้เซียวอู๋

ซูหย่าลุกขึ้น ขาของเธออ่อนแรงเล็กน้อย

ทำไมโรงพยาบาลที่ด้อยพัฒนาที่นี่สามารถตรวจพบโรงทางจิตของเซียวอู๋ได้ว่าเกิดจากมีภาวะเลือดออกในสมองของเขา แต่ทำไมในเมือง H โรงพยาบาลใหญ่จำนวนมาก หมอทุกคนล้วนเห็นพ้องกันว่า การป่วยของเขาเกิดจากการใช้ยาเกิดขนาด โรงพยาบาลนั้นเต็มใจวินิจฉัยผิดพลาด ไม่มีทางที่ทุกโรงพยาบาลจะวินิจฉัยผิดพลาดเหมือนกันหมด

ถ้างั้น ก็มีเพียงเหตุผลเดียวที่วินิจฉัยผิดพลาด ก็คือมีคนอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้

เธอหลับตาและลืมตาอีกครั้ง พยายามสงบจิตใจที่ปั่นป่วนของตัวเอง

ใครกัน ที่จะกล้าทำสิ่งต่างต่างกับคนที่มีสถานะเป็นเซียวอู๋ และยังสามารถซ่อนตัวจากคนจำนวนมากได้อีกด้วย

ด้วยพลังของตระกูลเซียวและตระกูลซู คนธรรมดาไม่กล้าทำเช่นนี้แน่ ซึ่งแสดงให้เห็นได้ว่าพลังที่อยู่เบื้องหลังสิ่งนี้ จะมองข้ามไปไม่ได้เด็ดขาด

เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ ดวงตาของเธอก็มืดลงเล็กน้อย และเธอก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกกลัวเล็กน้อยภายในใจ

เมื่อกลับมาที่ห้องผู้ป่วย เซียวอู๋ยังไม่ฟื้น

เธอนั่งอยู่ข้างเซียวอู๋ จับมือของเขาถือไว้ในมือของเธอ ในใจเธอก็คิดไม่ออกจริงจริงว่า สรุปแล้วเป็นใครกันแน่ ที่คิดจะฆ่าเขา ?

ถ้าหากครั้งนี้ ฉันไม่ได้ช่วยชีวิตเขาไว้ละก็ ชีวิตของเขาคงจะพินาศไปแล้ว คิดคิดดูแล้ว ผู้ชายที่ดีแบบนี้ จริงจริงแล้วเขาก็ถูกคนอื่นออกแบบมาให้เป็นแบบนี้

หลังจากเหตุการณ์นั้น แม้แต่พ่อแม่ของเขาก็ยอมเสียสละตัวเองเพื่อปกป้องเขา ความทุกข์ใจของเธอก็สั่นสะท้าน น้ำตาในดวงตาของเธอก็ไหลออกมาเป็นสาย

ทันใดนั้น มือใหญ่ในมือของเธอก็ขยับ

เซียวอู๋ค่อยค่อยลืมตาขึ้น และผู้หญิงที่อยู่ในดวงตาของเขา ก็ร้องไห้ออกมา

เขาขมวดคิ้ว และเปิดปากของเขา ใช้เวลานานกว่าจะพูดออกมาสองคำ “อย่าร้องไห้”

ซูหย่าเม้มริมฝีปากและสูดหายใจ “คุณไม่สบายตรงไหนรึเปล่า ?”

เซียวอู๋กะพริบตา ยกมือขึ้น และปาดน้ำตาจากใบหน้าของเธอ “เสี่ยวหย่า…….อย่าร้องไห้”

นี่คือสิ่งที่เซียวอู๋พูดมานานที่สุดตั้งแต่เกิดอุบัติเหตุ ซูหย่าพยักหน้าซ้ำๆ “โอเค ไม่ร้อง”

“เสี่ยว……อี้”

เมื่อซูหย่าได้ยิน “เสี่ยวอี้อยู่กับคุณลุง คุณเป็นลมไป ฉันจึงพาคุณมาโรงพยาบาล จึงไม่มีคนดูเขา” เมื่อพูดถึงตรงนี้ เธอก็รู้สึกเศร้า เธอไม่กล้าแม้แต่จะคิด ถ้าหากว่าไม่ได้เจอพวกคุณลุงที่เป็นคนดีแบบนี้ เธอควรจะทำอย่างไรดี ?

เนื่องจากเสี่ยวอี้ยังเล็กเกินไป ไม่มีคนดู และซูหย่าก็ปล่อยเซียวอู๋ไม่ได้ หลังจากยืนยันกับหมอว่าตอนนี้เขาไม่เป็นอะไรแล้ว เธอก็ไปทำเรื่องพาเขาออกจากโรงพยาบาล

เมื่อออกประตูมา ก็พอดีกับที่หมอไป๋เดินเข้ามาจากข้างนอก “เรื่องการผ่าตัด คุณต้องคิดทบทวนอย่างรอบคอบนะ เขายังหนุ่มอยู่”

ซูหย่ามองมาที่เขา และมองไปที่เซียวอู๋ “ขอบคุณมากค่ะ ไม่รู้ว่าคุณสามารถให้เบอร์โทรศัพทัฉันได้ไหม ถ้าหากฉันมา ฉันจะติดต่อคุณ ได้ไหม ?”

หมอไป๋ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง หยิบโทรศัพท์ออกมา แล้วกดหมายเลขลงไป “คุณจดไว้”

ซูหย่ารีบใช้โทรศัพท์มือถือของเธอถ่ายรูปไว้สองสามรูป และดึงเซียวอู๋เดินไปสองก้าว แล้วหันศีรษะกลับมายิ้มและโค้งคำนับให้กับหมอไป๋ “ขอบคุณคุณหมอไป๋ที่ช่วยชีวิตสามีของฉัน”

ก็พยักหน้า และเดินผ่านเธอไป

เมื่อซูหย่ากลับไป ก็ตรงไปที่คุณลุงแล้วรับเสี่ยวอี้กลับมา

เมื่อคุณลุงเห็นว่าเซียวอู๋อยู่ในสภาพที่ดี เขาก็ไม่ได้ถามอะไร แค่พูดว่า ถ้าเธอมีเรื่องอะไรก็บอก พวกเขาทั้งสองคน ก็ไม่มีอะไรทำอยู่แล้ว

ซูหย่าพยักหน้าให้เขาอย่างซาบซึ้ง

เมื่อกลับถึงบ้าน เธอกระตุกเซียวอู๋ว่า “คุณไปอาบน้ำก่อน ฉันจะชงนมให้เสี่ยวอี้ แล้วจะไปทำอาหารให้คุณ”

เซียวอู๋จับมือของเธอ  “มีอะไรรึเปล่า ?”

เซียวอู๋ไม่พูด แต่มองเธอด้วยสายตาตื่นตระหนก ซูหย่าก็เข้าใจทันที

“ไม่เป็นไร ฉันไม่ได้โกรธ คุณไม่เป็นไร ก็ดีแล้ว รีบไปอาบน้ำเถอะ”

ในขณะนี้ เซียวอู๋หันกลับไปอย่างเชื่อฟัง และเดินไปที่ห้องน้ำ

ในตอนกลางคืน ซูหย่านอนอยู่บนเตียง ใช้เวลานานกว่าจะนอนหลับ

เธอกำลังคิดถึงปัญหาเรื่องเลือดคลั่งในสมองของเซียวอู๋ เมื่อคิดไปคิดมา เธอหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา แล้วส่งข้อความถึงหมอไป๋คนนั้น

ในเมืองนี้ มีแต่เครือข่าย 2G ดังนั้น วีแชท QQ อะไรพวกนี้ก็แทบจะกลายเป็นแอปประดับเครื่องไปแล้ว เชื่อมต่อยากมาก

“หมอไป๋ สวัสดีค่ะ ฉันอยากจะสอบถามหน่อยค่ะ ถ้าสามีของฉันผ่าตัดเปิดกระโหลกศีรษะจะมีความเสี่ยงไหมคะ ?”

ข้อความตอบกลับมาเร็วมาก

“มี”

คำเพียงสั้นๆ ทำให้หัวใจของซูหย่ากระตุกขึ้นมาทันที

“ถ้างั้น มันจะมีความเสี่ยงมากขนาดไหน ?”

“อืม เรื่องนี้รับประกันอะไรให้คุณไม่ได้ ในฐานะหมอ ผมพูดได้เพียงว่า ผมจะพยายามทำให้ดีที่สุด”

คำตอบอย่างเป็นทางการนั้น ทำให้ซูหย่าใจเสีย

“งั้น ถ้าเกิดว่าล้มเหลว จะเป็นอย่างไร ?” เมื่อถามคถามนี้ หัวใจของเธอก็กระตุกขึ้นมาอีกครั้ง

“มันก็อาจจะแย่กว่าที่เป็นอยู่ในตอนนี้”

ซูหย่าหันกลับมามองเซียวอู๋ที่กำลังหลับใหลอยู่ โดยคิดว่าการตัดสินใจของเธอ อาจจะเปลี่ยนแปลงชะตากรรมของเขา เมื่อคิดถึงตรงนี้ เธอก็รู้สึกเครียดมาก

“ฉันควรทำอย่างไรกับคุณดี ?” เสี่ยวหวู่

เพราะปัญหานี้ ในตอนกลางคืน เธอยังต้องคิดเล็กน้อยอยู่บ้าง ซูหย่าแทบจะไม่ได้นอนทั้งคืน เมื่อตื่นมาตอนเช้า ก็เวียนหัว และปวดหัวจนแทบเดินไม่ได้

ป้าผ่านมาเห็นพอดี เมื่อเห็นสีหน้าของเธอดูแย่ ก็รีบอุ้มเสี่ยวอี้ออกไปจากมือของเธอ “เสี่ยวหย่า คุณไม่สบายตรงไหนรึเปล่า ? ฉันเห็นสีหน้าคุณดูแย่มาก”

ซูหย่าขมวดคิ้ว หลังจากชงนมผงเสร็จ ก็ส่งให้กับป้า “เมื่อคืนไม่ค่อยได้นอน”

“จริงเหรอ มีเรื่องอะไรรึเปล่า ?”

บางทีมันอาจจะจำเป็นต้องปรึกษาใครสักคนจริงๆ ซูหย่าอดไม่ได้ที่จะพูดเรื่องของเสี่ยวอู๋กับป้า

เมื่อป้าได้ยิน ก็ขมวดคิ้ว ผ่านไปครู่หนึ่ง เธอก็มองออกไปข้างนอกประตู “ตาแก่ คุณก็เข้ามาสิ มาออกความคิดเห็นหน่อย”

ซูหย่าเพิ่งพบว่า ที่แท้คุณลุงก็มาแล้ว เพียงแต่อยู่ที่หน้าประตู ไม่ได้เข้ามา

เธอลุกขึ้น เดินไปที่ประตู “คุณลุง คุณเข้ามานั่งสิคะ”

คุณลุงพยักหน้า เดินเข้ามาในห้อง มองไปที่เสี่ยวอี้ แล้วเอ่ยปกาพูดว่า “สาวน้อย ทำเถอะป่ะ เพียงแต่ โรงพยาบาลของพวกเราแถวนี้ไม่ค่อยจะดี คุณสามารถพาพ่อของเสี่ยวอี้ไปในสถานที่ที่ใหญ่กว่านี้”

ปัญหานี้ ที่จริงแล้วซูหย่าก็เคยคิด แต่ ถ้าหากกลับไปที่เมืองใหญ่ คนที่อยู่เบื้องหลังนั้นเป็นใครกันแน่ก็ยังไม่รู้เลย และยังสามารถควบคุมคนจำนวนมากได้ ภูมิหลังจะต้องน่ากลัวอย่างคาดไม่ถึงแน่นอน

เธอไม่กล้าพาเซียวอู๋ไปเสี่ยง

“เมืองใหญ่ พวกเราไม่กลับไปแล้ว” เธอคิดอยู่ครู่หนึ่ง และอุ้มเสี่ยวอี้มาจากอ้อมกอดของป้ามา และมองดูตาโตโตของเสี่ยวอี้ แล้วพูดกับตัวเองว่า: “ถ้าหากล้มเหลว ถ้างั้นจะทำอย่างไรกันดี ?”

“ตอนนี้เขามีชีวิตแบบนี้ มันก็เจ็บปวด”

ป้าเห็นด้วย “ใช่แล้ว เสี่ยวหย่า ที่คุณลุงพูด ถึงแม้มันจะตรงไปหน่อย แต่ คุณสามารถคิดให้ดีกว่านี้หน่อยไหม ถ้าเกิดว่ามันเป็นแบบนั้นล่ะ ?”

รอยยิ้มของซูหย่าแข็งทื่อเล็กน้อย เธอหายใจเข้าลึกๆ และก็พบว่าเซียวอู๋ยืนอยู่ที่ประตู เขาเอามือจับหน้าท้อง เม้มปาก และดูไม่พอใจ

เสียงหัวใจของเธอดัง‘ตึกตัก’ วิ่งตามคนคนนั้นไป

เบียดเข้าไปในกลุ่มคน ที่เกิดเหตุวุ่นวายมาก ตอนนี้ผู้หญิงที่แต่งตัวทันสมัยคนนั้นใช้มือกุมหัวตัวเองไว้ เห็นได้ชัดเจนว่าเลือดยังคงไหลออกมาจากระหว่างนิ้วมือ เห็นเพียงเธอกำลังพูดกับชายสามคนในที่เกิดเหตุว่า “จัดการมัน เอาให้หนัก”

จากนั้นซูหย่าก็จ้องมองไปที่กลุ่มคน บุคคลที่คุ้นเคยนั่นไม่ใช่เซียวอู๋แล้วจะเป็นใครอีก

เธอร้อนรน เตรียมจะตะโกน แต่เมื่อเห็นเขารับมือกับสามคนนั้นได้อย่างเชี่ยวชาญ คำพูดที่ติดอยู่ที่ปาก ก็กลืนลงคอไป

การเคลื่อนไหวของเขาดูชำนาญ ทุกท่วงท่านั้นโหดเหี้ยมและรวดเร็ว แม้ว่าสามคนนั้นจะมีทักษะ แต่ เมื่ออยู่ต่อหน้าคนที่ฝึกฝนมาอย่างดีอย่างเซียวอู๋แล้ว กลับไม่สามารถสะกิดเขาได้เลยด้วยซ้ำ

ซูหย่ากล่อมเสี่ยวอี้ แล้วรู้สึกโล่งใจไปด้วย โชคดีที่ถึงเขาจะโง่ไปแล้ว แต่ยังคงมีความสามารถบางอย่างอยู่

ทันใดนั้น ในกลุ่มคนมีคนตะโกนขึ้น “ตำรวจมาแล้ว”

ซูหย่าขมวดคิ้ว รีบร้องขึ้น “เสี่ยวหวู่ พอได้แล้ว ตำรวจมาแล้ว”

เซียวอู๋ได้ยินเสียงของซูหย่า ความสนใจของเขาก็ถูกแยกประสาทออก ดังนั้น จึงหลบไม่พ้นการโจมตีจากข้างหลัง เขาถูกคนข้างหลังเตะเข้าอย่างแรง จนล้มลงไปกับพื้น หัวกระแทกกับพื้นอย่างแรง

ซูหย่าเห็นแบบนี้ก็รู้สึกกังวล รีบเดินเข้าไปใกล้ อุ้มเสี่ยวอี้ คุกเข่าอยู่บนพื้น “เสี่ยวหวู่ นายเป็นยังไงบ้าง?”

เซียวอู๋กุมหัวไว้ ลุกขึ้นช้าๆ มองซูหย่า ขมวดคิ้วพูด “เจ็บ”

เห็นว่าเขายังสามารถพูดได้ ซูหย่าก็โล่งใจ กำหมัดข้างหนึ่ง ทุบไปที่ตัวเขา “นายยังรู้จักเจ็บอีกเหรอ? ใครบอกให้นายหนีมาคนเดียวกัน? ถ้านายหลงขึ้นมา จะทำยังไง?”ยิ่งพูดยิ่งหงุดหงิด แรงในมือก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนเสี่ยวอี้ที่อยู่ในอ้อมแขนร้องไห้ เธอถึงได้คลายมือ แต่กลับมีน้ำตาคลอ

ตั้งแต่ต้นจนจบ เซียวอู๋ไม่ได้พูดอะไร แต่กลับมองย้อนกลับไปยังคนเหล่านั้น “คนเลว”

ซูหย่าพยักหน้า “คนเลวก็ต้องมีกรรมของเขาอยู่แล้ว ครั้งหน้า นายห้ามหนีไปไหนคนเดียวอีกนะ”เธอนิ่งไปสักพัก “ฉันเป็นห่วง”

เซียวอู๋มองไปที่เธอ ดูเหมือนจะเข้าใจ

สุดท้ายพวกเขาถูกพาไปที่สถานีตำรวจพร้อมกัน

ฝ่ายตรงข้ามได้รับบาดเจ็บหนักต่างไม่เท่ากัน เซียวอู๋นอกจากหัวกระแทกแล้ว ไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรเลย สิ่งนี้ทำให้ซูหย่ารู้สึกสบายใจขึ้นมา

ผู้หญิงคนนั้น เดิมทีคิดว่า วันนี้เซียวอู๋คงหนีความผิดไม่พ้นแน่นอน เพราะสุดท้าย ทางพวกเธอนั้นเจ็บหนักไม่เบา แต่กลับคาดไม่ถึง พวกเขาเพิ่งจะเข้าไปได้ไม่นาน ซูหย่าก็พาเซียวอู๋ออกไปทันที

ผู้หญิงคนนั้นพุ่งไปถามตำรวจ “ทำไมพวกเขาถึงกลับไปแล้วล่ะ?”

ตำรวจมองเธออย่างว่างเปล่า “ไม่อย่างนั้นจะทำยังไงล่ะ? จับเขาเหรอ? เขาเป็นบ้า พวกคุณก็มีปัญหาทางสมองเหรอ? ถึงได้ไปมีเรื่องกับคนที่มีปัญหาทางระบบประสาท พวกคุณเนี่ยนะ สมควรแล้วที่โดนเขาตี”

ออกจากที่นั่น โบกรถคันหนึ่งกลับบ้าน

ตลอดทาง ซูหย่าไม่สนใจเซียวอู๋ เซียวอู๋เห็นเธอไม่พอใจ จึงไม่กล้าพูด

พอถึงบ้าน ลงรถ เขาดึงเสื้อของซูหย่า

ซูหย่ากลับตบหัวตัวเอง“โอ้ย นมผงของฉัน”

หันหน้าไปมองเซียวอู๋ “นายอยู่บ้าน ห้ามไปไหนทั้งนั้น ฉันไปเอานมผงของเสี่ยวอี้ก่อน”

พูดไป ก็อุ้มเสี่ยวอี้ออกบ้านอย่างรีบร้อน

พอถึงที่นั่น เอานมผงเรียบร้อยแล้ว เธอก็ไม่วางใจที่เซียวอู๋อยู่บ้านคนเดียว จึงรีบกลับมา

พอกลับมาถึงบ้าน ประตูบ้านล้อมไปด้วยผู้คนมากมาย

คุณลุงอยู่นอกกลุ่มคน เดินไปเดินมา เห็นว่าเธอกลับมาแล้ว ก็รีบเข้าไปหา “สาวน้อย รีบไปดูเร็ว” เบียดผู้คนเข้าไป ก็เห็นเซียวอู๋นอนอยู่บนพื้น น้ำลายฟูมปาก

“นี่เป็นอะไรน่ะ?”

“เมื่อกี้ป้าของเธอขอให้ฉันเอาผักดองมาให้เธอ ฉันเห็นว่าประตูล็อคอยู่ กำลังจะกลับ แล้วก็ได้ยินคนทุบประตูอยู่ข้างใน ฉันคิดว่ามีเรื่องอะไร ก็เลยใช้หินพังประตูเข้าไป ก็เห็นเขานอนอยู่แบบนี้นี่แหละ”

ซูหย่านำเสี่ยวอี้ที่อยู่ในอ้อมแขนให้คุณลุง

“คุณลุงคะ คุณช่วยดูเสี่ยวอี้แทนฉันหน่อย ฉันพาเขาไปโรงพยาบาลก่อน”หันกลับไปมองผู้คนที่ล้อมรอบ “มีใครช่วยได้ไหมคะ?”

ผู้หญิงช่วยไม่ไหว ผู้ชายอยากจะช่วย แต่ถูกผู้หญิงจ้องเขม็ง ชายคนนั้นจึงสับสน ซูหย่าถอนหายใจ เกิดมาสวย ก็เป็นความผิดแบบหนึ่ง

“มาผมช่วย”ทันใดนั้นก็มีชายคนหนึ่งเบียดผู้คนเข้ามา

ดวงตาสว่างใส หน้าตาหล่อเหลา นี่ถือว่าเป็นผู้ชายที่ดูดีที่สุด ตั้งแต่ที่ซูหย่ามาที่เมืองนี้

ถึงโรงพยาบาล

ชายคนนั้นสั่งการปฐมพยาบาลกับคนอื่นๆอย่างคุ้นเคย ซูหย่าถึงได้รู้สึกตัวขึ้นมา ที่แท้ เขาเป็นหมอ

ตอนใกล้จะเข้าห้องฉุกเฉิน ชายคนนั้นหันมามองซูหย่า “รีบไปทำตามขั้นตอนการเข้ารับการรักษา เสร็จแล้ว มารอที่นี่”

ซูหย่าพยักหน้า จ่ายเงินเสร็จ เธอก็กลับมารอหน้าห้องฉุกเฉิน

เธอกังวลทั้งเรื่องของเซียวอู๋ กังวลทั้งเรื่องของเสี่ยวอี้ด้วย เธอรู้สึกว่าหัวจะระเบิดแล้ว เธอถูกเลี้ยงมาแบบตามใจตั้งแต่เด็ก เรื่องใหญ่มีครอบครัวคอยช่วยเหลือ เรื่องเล็ก เธอก็ไม่ต้องสนใจอะไรมาก แต่ช่วงนี้ ก็ถือว่าเป็นการฝึกของเธอแล้วกัน เธอกุมหัวใจตัวเอง แล้วหลับตา ซูหย่าพยายามพูดกับตัวเองว่าต้องใจเย็น ใจเย็น

ประตูห้องฉุกเฉินเปิดออกหลังจากนั้นหนึ่งชั่วโมง

ผู้ชายที่เข้าไปก่อนหน้านี้ เดินออกมาในชุดคลุมสีขาว

มองซูหย่า “ไม่ใช่เรื่องใหญ่ บางทีอาจจะเพราะหัวโดนฟาด แต่ มีเรื่องหนึ่ง ต้องบอกกับคุณ ในสมองของคนไข้มีเลือดคั่งอยู่ก้อนหนึ่ง ซึ่งน่าจะเป็นสาเหตุของความผิดปกติทางประสาทของเขาด้วย คุณลองคิดดู ว่าจะทำการผ่าตัดหรือเปล่า?”

ซูหย่าตกใจจนอึ้งอยู่กับที่ “คุณ……คุณว่าอะไรนะคะ?”

“เขามีเลือดคั่งในสมอง ไปกดทับเส้นประสาทของเขา ผมดูสถานการณ์โดยรวมแล้ว เพราะก่อนหน้านี้มีการกระทบการเทือน ดังนั้น จึงก่อให้เกิดปัญหาทางสมอง”นิ่งไปสักพัก แล้วมองซูหย่า “คุณอย่าบอกผมนะ ว่าสมองเขายังดีอยู่?”

ซูหย่าส่ายหน้า ก่อนที่ผู้ชายคนนี้จะเข้าไปในห้องฉุกเฉิน เธอยังคิดอยู่เลยว่ายังหนุ่มขนาดนี้เชื่อถือได้แน่เหรอ? แต่ในเวลานี้เมื่อไม่ได้ยินเขาถามคำถามเธอเลยสักคำ ก็สามารถบรรยายสรุปอาการของเซียวอู๋ได้ เธอจึงมั่นใจ

ชายคนนั้นมองซูหย่า หรี่ตา “ก่อนหน้านี้คุณไม่เคยพาเขาไปตรวจเหรอ?”

“เขา ไม่ใช่เพราะใช้ยาสลบเกินขนาดถึงได้ทำให้สมองเขาไม่ดีหรอกเหรอ?”ซูหย่าถามด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ

ชายคนนั้นขมวดคิ้ว “ใช้ยาสลบเกินขนาด?”เขาส่ายหน้า “ถ้ามองจากประสบการณ์ของผม เลือดคั่งก้อนนั้นเป็นสาเหตุที่สำคัญที่สุด”

พูดถึงตรงนี้ ผู้ช่วยคนหนึ่งก็เข้ามาและยื่นแฟ้มเอกสารให้เขา

เขาดูมันและลงนาม

“อืม คนไข้ถูกย้ายไปที่ห้องพักฟื้นแล้ว คุณตามไปดูได้ เรื่องการผ่าตัด ถ้าคุณมีเวลา คุณก็มาหาผม”

หลังจากพูดจบ ชายคนนั้นก็พยักหน้าให้เขาและหันหลังเดินจากไป

“ว้าว หมอไป๋หล่อมาก”

“ใช่ ทักษะทางการแพทย์ดี บุคลิกดี แถมยังหล่ออีก”

……

พยาบาลที่อยู่รอบตัวซูหย่าเกิดอาการบ้าผู้ชายขึ้นมา แต่ความคิดของซูหย่านั้นยังคงอยู่ที่คำว่า “ก้อนเลือดคั่ง”

เธอหายใจเข้าลึกๆ ใจของเธอสงบไม่ได้อยู่นาน เธอเข้าใจดี ถ้าหากหมอไม่ได้ดูอาการผิดพลาด ถ้าอย่างนั้น เรื่องนี้ ก็ซับซ้อนขึ้นมาแล้ว

เสียงหัวใจของเธอดัง‘ตึกตัก’ วิ่งตามคนคนนั้นไป

เบียดเข้าไปในกลุ่มคน ที่เกิดเหตุวุ่นวายมาก ตอนนี้ผู้หญิงที่แต่งตัวทันสมัยคนนั้นใช้มือกุมหัวตัวเองไว้ เห็นได้ชัดเจนว่าเลือดยังคงไหลออกมาจากระหว่างนิ้วมือ เห็นเพียงเธอกำลังพูดกับชายสามคนในที่เกิดเหตุว่า “จัดการมัน เอาให้หนัก”

จากนั้นซูหย่าก็จ้องมองไปที่กลุ่มคน บุคคลที่คุ้นเคยนั่นไม่ใช่เซียวอู๋แล้วจะเป็นใครอีก

เธอร้อนรน เตรียมจะตะโกน แต่เมื่อเห็นเขารับมือกับสามคนนั้นได้อย่างเชี่ยวชาญ คำพูดที่ติดอยู่ที่ปาก ก็กลืนลงคอไป

การเคลื่อนไหวของเขาดูชำนาญ ทุกท่วงท่านั้นโหดเหี้ยมและรวดเร็ว แม้ว่าสามคนนั้นจะมีทักษะ แต่ เมื่ออยู่ต่อหน้าคนที่ฝึกฝนมาอย่างดีอย่างเซียวอู๋แล้ว กลับไม่สามารถสะกิดเขาได้เลยด้วยซ้ำ

ซูหย่ากล่อมเสี่ยวอี้ แล้วรู้สึกโล่งใจไปด้วย โชคดีที่ถึงเขาจะโง่ไปแล้ว แต่ยังคงมีความสามารถบางอย่างอยู่

ทันใดนั้น ในกลุ่มคนมีคนตะโกนขึ้น “ตำรวจมาแล้ว”

ซูหย่าขมวดคิ้ว รีบร้องขึ้น “เสี่ยวหวู่ พอได้แล้ว ตำรวจมาแล้ว”

เซียวอู๋ได้ยินเสียงของซูหย่า ความสนใจของเขาก็ถูกแยกประสาทออก ดังนั้น จึงหลบไม่พ้นการโจมตีจากข้างหลัง เขาถูกคนข้างหลังเตะเข้าอย่างแรง จนล้มลงไปกับพื้น หัวกระแทกกับพื้นอย่างแรง

ซูหย่าเห็นแบบนี้ก็รู้สึกกังวล รีบเดินเข้าไปใกล้ อุ้มเสี่ยวอี้ คุกเข่าอยู่บนพื้น “เสี่ยวหวู่ นายเป็นยังไงบ้าง?”

เซียวอู๋กุมหัวไว้ ลุกขึ้นช้าๆ มองซูหย่า ขมวดคิ้วพูด “เจ็บ”

เห็นว่าเขายังสามารถพูดได้ ซูหย่าก็โล่งใจ กำหมัดข้างหนึ่ง ทุบไปที่ตัวเขา “นายยังรู้จักเจ็บอีกเหรอ? ใครบอกให้นายหนีมาคนเดียวกัน? ถ้านายหลงขึ้นมา จะทำยังไง?”ยิ่งพูดยิ่งหงุดหงิด แรงในมือก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนเสี่ยวอี้ที่อยู่ในอ้อมแขนร้องไห้ เธอถึงได้คลายมือ แต่กลับมีน้ำตาคลอ

ตั้งแต่ต้นจนจบ เซียวอู๋ไม่ได้พูดอะไร แต่กลับมองย้อนกลับไปยังคนเหล่านั้น “คนเลว”

ซูหย่าพยักหน้า “คนเลวก็ต้องมีกรรมของเขาอยู่แล้ว ครั้งหน้า นายห้ามหนีไปไหนคนเดียวอีกนะ”เธอนิ่งไปสักพัก “ฉันเป็นห่วง”

เซียวอู๋มองไปที่เธอ ดูเหมือนจะเข้าใจ

สุดท้ายพวกเขาถูกพาไปที่สถานีตำรวจพร้อมกัน

ฝ่ายตรงข้ามได้รับบาดเจ็บหนักต่างไม่เท่ากัน เซียวอู๋นอกจากหัวกระแทกแล้ว ไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรเลย สิ่งนี้ทำให้ซูหย่ารู้สึกสบายใจขึ้นมา

ผู้หญิงคนนั้น เดิมทีคิดว่า วันนี้เซียวอู๋คงหนีความผิดไม่พ้นแน่นอน เพราะสุดท้าย ทางพวกเธอนั้นเจ็บหนักไม่เบา แต่กลับคาดไม่ถึง พวกเขาเพิ่งจะเข้าไปได้ไม่นาน ซูหย่าก็พาเซียวอู๋ออกไปทันที

ผู้หญิงคนนั้นพุ่งไปถามตำรวจ “ทำไมพวกเขาถึงกลับไปแล้วล่ะ?”

ตำรวจมองเธออย่างว่างเปล่า “ไม่อย่างนั้นจะทำยังไงล่ะ? จับเขาเหรอ? เขาเป็นบ้า พวกคุณก็มีปัญหาทางสมองเหรอ? ถึงได้ไปมีเรื่องกับคนที่มีปัญหาทางระบบประสาท พวกคุณเนี่ยนะ สมควรแล้วที่โดนเขาตี”

ออกจากที่นั่น โบกรถคันหนึ่งกลับบ้าน

ตลอดทาง ซูหย่าไม่สนใจเซียวอู๋ เซียวอู๋เห็นเธอไม่พอใจ จึงไม่กล้าพูด

พอถึงบ้าน ลงรถ เขาดึงเสื้อของซูหย่า

ซูหย่ากลับตบหัวตัวเอง“โอ้ย นมผงของฉัน”

หันหน้าไปมองเซียวอู๋ “นายอยู่บ้าน ห้ามไปไหนทั้งนั้น ฉันไปเอานมผงของเสี่ยวอี้ก่อน”

พูดไป ก็อุ้มเสี่ยวอี้ออกบ้านอย่างรีบร้อน

พอถึงที่นั่น เอานมผงเรียบร้อยแล้ว เธอก็ไม่วางใจที่เซียวอู๋อยู่บ้านคนเดียว จึงรีบกลับมา

พอกลับมาถึงบ้าน ประตูบ้านล้อมไปด้วยผู้คนมากมาย

คุณลุงอยู่นอกกลุ่มคน เดินไปเดินมา เห็นว่าเธอกลับมาแล้ว ก็รีบเข้าไปหา “สาวน้อย รีบไปดูเร็ว”  เบียดผู้คนเข้าไป ก็เห็นเซียวอู๋นอนอยู่บนพื้น น้ำลายฟูมปาก

“นี่เป็นอะไรน่ะ?”

“เมื่อกี้ป้าของเธอขอให้ฉันเอาผักดองมาให้เธอ ฉันเห็นว่าประตูล็อคอยู่ กำลังจะกลับ แล้วก็ได้ยินคนทุบประตูอยู่ข้างใน ฉันคิดว่ามีเรื่องอะไร ก็เลยใช้หินพังประตูเข้าไป ก็เห็นเขานอนอยู่แบบนี้นี่แหละ”

ซูหย่านำเสี่ยวอี้ที่อยู่ในอ้อมแขนให้คุณลุง

“คุณลุงคะ คุณช่วยดูเสี่ยวอี้แทนฉันหน่อย ฉันพาเขาไปโรงพยาบาลก่อน”หันกลับไปมองผู้คนที่ล้อมรอบ “มีใครช่วยได้ไหมคะ?”

ผู้หญิงช่วยไม่ไหว ผู้ชายอยากจะช่วย แต่ถูกผู้หญิงจ้องเขม็ง ชายคนนั้นจึงสับสน ซูหย่าถอนหายใจ เกิดมาสวย ก็เป็นความผิดแบบหนึ่ง

“มาผมช่วย”ทันใดนั้นก็มีชายคนหนึ่งเบียดผู้คนเข้ามา

ดวงตาสว่างใส หน้าตาหล่อเหลา นี่ถือว่าเป็นผู้ชายที่ดูดีที่สุด ตั้งแต่ที่ซูหย่ามาที่เมืองนี้

ถึงโรงพยาบาล

ชายคนนั้นสั่งการปฐมพยาบาลกับคนอื่นๆอย่างคุ้นเคย ซูหย่าถึงได้รู้สึกตัวขึ้นมา ที่แท้ เขาเป็นหมอ

ตอนใกล้จะเข้าห้องฉุกเฉิน ชายคนนั้นหันมามองซูหย่า “รีบไปทำตามขั้นตอนการเข้ารับการรักษา เสร็จแล้ว มารอที่นี่”

ซูหย่าพยักหน้า จ่ายเงินเสร็จ เธอก็กลับมารอหน้าห้องฉุกเฉิน

เธอกังวลทั้งเรื่องของเซียวอู๋ กังวลทั้งเรื่องของเสี่ยวอี้ด้วย เธอรู้สึกว่าหัวจะระเบิดแล้ว เธอถูกเลี้ยงมาแบบตามใจตั้งแต่เด็ก เรื่องใหญ่มีครอบครัวคอยช่วยเหลือ เรื่องเล็ก เธอก็ไม่ต้องสนใจอะไรมาก แต่ช่วงนี้ ก็ถือว่าเป็นการฝึกของเธอแล้วกัน เธอกุมหัวใจตัวเอง แล้วหลับตา ซูหย่าพยายามพูดกับตัวเองว่าต้องใจเย็น ใจเย็น

ประตูห้องฉุกเฉินเปิดออกหลังจากนั้นหนึ่งชั่วโมง

ผู้ชายที่เข้าไปก่อนหน้านี้ เดินออกมาในชุดคลุมสีขาว

มองซูหย่า “ไม่ใช่เรื่องใหญ่ บางทีอาจจะเพราะหัวโดนฟาด แต่ มีเรื่องหนึ่ง ต้องบอกกับคุณ ในสมองของคนไข้มีเลือดคั่งอยู่ก้อนหนึ่ง ซึ่งน่าจะเป็นสาเหตุของความผิดปกติทางประสาทของเขาด้วย คุณลองคิดดู ว่าจะทำการผ่าตัดหรือเปล่า?”

ซูหย่าตกใจจนอึ้งอยู่กับที่ “คุณ……คุณว่าอะไรนะคะ?”

“เขามีเลือดคั่งในสมอง ไปกดทับเส้นประสาทของเขา ผมดูสถานการณ์โดยรวมแล้ว เพราะก่อนหน้านี้มีการกระทบการเทือน ดังนั้น จึงก่อให้เกิดปัญหาทางสมอง”นิ่งไปสักพัก แล้วมองซูหย่า “คุณอย่าบอกผมนะ ว่าสมองเขายังดีอยู่?”

ซูหย่าส่ายหน้า ก่อนที่ผู้ชายคนนี้จะเข้าไปในห้องฉุกเฉิน เธอยังคิดอยู่เลยว่ายังหนุ่มขนาดนี้เชื่อถือได้แน่เหรอ? แต่ในเวลานี้เมื่อไม่ได้ยินเขาถามคำถามเธอเลยสักคำ ก็สามารถบรรยายสรุปอาการของเซียวอู๋ได้ เธอจึงมั่นใจ

ชายคนนั้นมองซูหย่า หรี่ตา “ก่อนหน้านี้คุณไม่เคยพาเขาไปตรวจเหรอ?”

“เขา ไม่ใช่เพราะใช้ยาสลบเกินขนาดถึงได้ทำให้สมองเขาไม่ดีหรอกเหรอ?”ซูหย่าถามด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ

ชายคนนั้นขมวดคิ้ว “ใช้ยาสลบเกินขนาด?”เขาส่ายหน้า “ถ้ามองจากประสบการณ์ของผม เลือดคั่งก้อนนั้นเป็นสาเหตุที่สำคัญที่สุด”

พูดถึงตรงนี้ ผู้ช่วยคนหนึ่งก็เข้ามาและยื่นแฟ้มเอกสารให้เขา

เขาดูมันและลงนาม

“อืม คนไข้ถูกย้ายไปที่ห้องพักฟื้นแล้ว คุณตามไปดูได้ เรื่องการผ่าตัด ถ้าคุณมีเวลา คุณก็มาหาผม”

หลังจากพูดจบ ชายคนนั้นก็พยักหน้าให้เขาและหันหลังเดินจากไป

“ว้าว หมอไป๋หล่อมาก”

“ใช่ ทักษะทางการแพทย์ดี บุคลิกดี แถมยังหล่ออีก”

……

พยาบาลที่อยู่รอบตัวซูหย่าเกิดอาการบ้าผู้ชายขึ้นมา แต่ความคิดของซูหย่านั้นยังคงอยู่ที่คำว่า “ก้อนเลือดคั่ง”

เธอหายใจเข้าลึกๆ ใจของเธอสงบไม่ได้อยู่นาน เธอเข้าใจดี ถ้าหากหมอไม่ได้ดูอาการผิดพลาด ถ้าอย่างนั้น เรื่องนี้ ก็ซับซ้อนขึ้นมาแล้ว

เกาไห่ดึงเล่อจยาเข้าไปในห้อง ปิดประตู พูดเสียงเบา“คุณไม่คิดว่าเกิดเรื่องใหญ่ขนาดนี้ขึ้นกับซูหย่า ปฏิกิริยาของเพื่อนสนิทผู้ชายคนนั้นของเธอ แปลกเกินไปหรือเปล่า?”

เล่อจยาขมวดคิ้ว “ปี๋ไคเหรอ? เขาไม่ได้บอกว่าจะไปต่างประเทศในวันที่สองเหรอ?”

“แล้วยังไงต่อ?”

“แล้ว……”

“แล้วนานขนาดนี้ เขาได้โทรมาถามคุณเรื่องสถานการณ์ของซูหย่าหรือเปล่า?”

เล่อจยาส่ายหน้า หลังจากที่เกาไห่เตือนเธอ เธอรู้สึกว่ามีปัญหาจริงๆ ปี๋ไคกับซูหย่ารู้จักกันนานกว่าเธอ ความรู้สึกของทั้งสองคน ซูหย่าเคยบอกว่า ครั้งหนึ่งเธอเคยถามปี๋ไค ถ้าหากต้องเลือกใครสักคน ระหว่างเธอกับคนรัก เขาจะเลือกใคร? ปี๋ไคเลือกแบบไม่คิดเลยว่าเป็นซูหย่า

ภายใต้ความรู้สึกแบบนั้น ซูหย่าเกิดเรื่องใหญ่ขนาดนี้ ปฏิกิริยาของเขานิ่งมากจริงๆ

แม้ว่าความรู้สึกของผู้ชายจะมีความยับยั้งมากกว่า แต่ ไม่แยแสเลย มันเป็นไปไม่ได้

“แต่ว่า นี่จะหมายความว่าซูหย่ายังไม่ตายได้ยังไง?”

เกาไห่ตอบ“สัญชาตญาณ! ”พูดไป ก็กอดเล่อจยาไว้ แล้วพูดต่อว่า “สัญชาตญาณบอกผมว่าปี๋ไครู้เรื่องบางอย่างเกี่ยวกับซูหย่าอย่างแน่นอน”

“ถ้าอย่างนั้นฉันโทรถามเขา?”พูดไปก็หยิบมือถือขึ้นมา

เกาไห่จับมือเธอไว้ “คุณภรรยา คุณอย่าเพิ่งรีบร้อน คุณฟังผมพูดก่อน ต่อให้ซูหย่าไม่เป็นไรจริงๆ คุณทำได้เพียงแค่รู้ คุณจะเคลื่อนไหวอะไรไม่ได้ ไม่อย่างนั้น คุณอาจจะทำร้ายเธอได้”

เล่อจยายิ่งฟังยิ่งสับสน ขมวดคิ้วตลอดเวลา “ฉันไม่เข้าใจ”

เกาไห่คิดๆแล้ว ก็เล่าเรื่องที่เขารู้ให้เล่อจยาฟัง เรื่องพวกนี้ เย่หลินเคยได้ยินหนิงเส่าเฉินพูดถึง แล้วมาบอกเขา

“คุณหมายถึงมีคนต้องการทำร้ายเซียวอู๋ ซูหย่าทำแบบนี้ เพียงแค่แกล้งตาย เป้าหมายคือทำเพื่อช่วยเซียวอู๋?”

เกาไห่พยักหน้า “จะพูดแบบนั้นก็ได้ คุณคิดดูอีกที วันนั้นซูหย่าบอกกับคุณว่า ถ้าหากชาตินี้ยังมีวาสนาต่อกัน หวังว่าจะได้เป็นครอบครัวเดียวกัน คุณไม่คิดว่าคำพูดของเธอมีความนัยเหรอ? ชาตินี้? ทำไมก่อนที่เธอจะเกิดเรื่อง ก็พูดเรื่องชาตินี้กับคุณ?”

เล่อจยาพยักหน้า ลุกขึ้นนั่ง มองเกาไห่ “การวิเคราะห์ของคุณเหมือนจะไม่ผิด แต่ว่า คนที่อยู่ในรถ แล้วก็ภาพจากกล้องวงจรปิดนั่น จะอธิบายยังไง?”

เกาไห่ลุกขึ้น เทน้ำให้เธอแก้วหนึ่ง “มีเงินก็สามารถใช้ผีให้โม่​แป้งได้”

เมื่อฟังการวิเคราะห์ของเกาไห่ ใจที่สิ้นหวังของเล่อจยา ก็มีความหวังขึ้นมาอีกครั้ง เธอเม้มปาก “แล้ว แล้วฉันควรทำอะไร? ให้ฉันรอแบบนี้คงไม่ได้หรือเปล่า? ฉัน……”

เกาไห่กุมมือเธอไว้ “คุณภรรยา  ถ้าหากนี่เป็นแผนที่ซูหย่าวางไว้จริงๆ ถ้าหากเธอไม่เป็นอะไร ถ้าอย่างนั้น รอเซียวอู๋กลับมาเป็นปกติ เธอก็คงกลับมาเอง ในระหว่างนี้ไม่ว่าพวกเราจะทำเรื่องอะไร อาจกลายเป็นการทำร้ายเธอก็ได้”

เล่อจยาพยักหน้า “โอเค ฉันไม่ทำอะไร ขอแค่เธอยังอยู่ดีก็พอ”

อีกด้านหนึ่ง

“คุณลุง มีเรื่องอะไรเหรอคะ?” มีคนมาเคาะประตูแต่เช้า ซูหย่าเปิดประตู ก็เห็นชายชรานำชายวัยกลางคนคนหนึ่งยืนอยู่ที่ประตูบ้าน

“สาวน้อย นี่เป็นแพทย์แผนจีนที่บ้านเกิดของฉัน

ซูหย่าหันกลับไปมองในบ้าน คิดๆแล้ว เธอพยักหน้า “ขอบคุณค่ะคุณลุง ถ้าอย่างนั้น พวกคุณเข้ามานั่งก่อน ฉันไปพาเขาออกมา”

เซียวอู๋ปฏิบัติต่อคนแปลกหน้าเหมือนการรับรู้ของเด็ก การจัดการของเขานั้นสุดโต่ง ถ้าไม่เงียบตัวหดกลม ก็ลงมือโดยตรง

“เสี่ยวหวู่ นายดูสิ ผู้ชายคนข้างนอกนั่น เป็นหมอ นายให้เขาดูอาการสิ ดึกหน่อย ฉันจะซื้อของอร่อยให้นาย ดีไหม?”ซูหย่าเกลี้ยกล่อมเซียวอู๋เหมือนกล่อมเด็ก

เซียวอู๋ขมวดคิ้ว ส่ายหัวตลอดเวลา

“ฉันนั่งข้างนาย ไม่มีปัญหาแน่นอน”ซูหย่ายังคงเกลี้ยกล่อม

แต่ชายกลับส่ายหัวตลอดเวลา

คิดๆแล้ว ซูหย่าก็ถอนหายใจ พูดล่อข้างหูเขา“ถ้า ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวกลางคืนให้กอดฉันนอน?”

หลายวันมานี้ พอตกดึก ชายคนนี้จะชอบขยับมาใกล้เธอ แม้ว่า เธอจะชอบอ้อมกอดของเขา แต่ เธอกลัวการที่ได้รับแล้วเสียไปมากกว่า เธอไม่ต้องการสร้างนิสัยให้ตัวเอง หากวันหนึ่ง เขาได้สติกลับมา กลับไปเป็นคนดำมืดคนนั้น คนที่เจ็บปวดก็คือเธอเอง

ครั้งนี้ก็เพื่อให้เขาได้หาหมอ เธอจึงหมดหนทาง

ชายที่ส่ายหัวอยู่เมื่อกี้รีบลุกขึ้นทันที พยักหน้า ท่าทางดีใจ

ซูหย่ามองเขา ขมวดคิ้ว ถ้าไม่ใช่เพราะสายตาของเขาใสเหมือนเด็ก เธอคงสงสัย ว่าชายคนนี้กำลังแกล้งทำเป็นโง่อยู่หรือเปล่า? ไม่ว่ายังไง คิดๆแล้ว การกระทำของเขาก่อนหน้านี้ เธอคิดว่าคงไม่มีทาง

แพทย์แผนจีนสัมผัส มอง สำรวจ ดูร่างกายของเซียวอู๋แล้ว ก็เอ่ยขึ้นว่า “คนบ้าคลั่ง นอนน้อยไม่กิน ปัญญาที่ก่อเอง นับถือตัวเอง สถบด่า พักผ่อนน้อย อาการนี้ต้องใช้ยาขับเสมหะให้ฟื้นตัว ยาขับ​และสลายเลือดคั่ง ยาระงับประสาท ร่วมกับการรักษาทางจิต ก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้”

เขาพูดอย่างมีคารมคมคาย และซูหย่าก็พอจะฟังเข้าใจ เขาหมายถึงการทานยา และคอยให้คำปรึกษาทางด้านจิตใจ อาจจะกลับมาเป็นปกติ

“หมอคะ คุณหมายถึงว่า แฟนของฉันสามารถกลับไปเป็นเหมือนเดิม?”ซูหย่ารู้สึกว่าเสียงของตัวเองสั่นเล็กน้อย

แพทย์แผนจีนมองซูหย่า ส่ายหน้า “สามารถกลับไปเป็นเหมือนเดิมหรือเปล่า ฉันสรุปไม่ได้ ลองสั่งยาไปกินดูก่อน” คำพูดของเขาดูขอไปทีอย่างเห็นได้ชัด

ซูหย่ารู้สึกท้อแท้ในทันที เธอพยักหน้า รับใบสั่งยาที่แพทย์แผนจีนกำหนด และขอบคุณเขา

แพทย์แผนจีนอาจจะรู้สึกเกรงใจ ที่ดูอาการได้ไม่ชัดเจน จึงจากไปโดยไม่รับค่าตรวจเลยด้วยซ้ำ

ทำให้ซูหย่าสูญเสียความมั่นใจในที่สุด

ถึงแม้ ชีวิตสงบสุขแบบนี้ ไม่ได้มีอะไรไม่ดี แต่ เธอคิดว่า คนที่มีความสามารถอย่างเซียวอู๋ ถ้าหากว่าชาตินี้มีชีวิตแบบนี้ น่าเสียดายเกินไป ขนาดพ่อของเธอยังบอกว่าเขาเป็นแม่ทัพผู้ยิ่งใหญ่

ดังนั้น เธอจึงยังต้องการให้เขากลับไปเป็นปกติ

ในตอนกลางคืน หลังจากที่ซูหย่ากล่อมเสี่ยวอี้เข้านอน เธอก็นอนลง ทันใดนั้น ก็มีมือใหญ่พาดมาที่เอวของเธอ

ซูหย่าตัวกระตุก เธอหันไป มองเซียวอู๋ผ่านแสงไฟริบหรี่ ในสายตาของเขามีความคาดหวังอย่างเห็นได้ชัด

คิดๆแล้ว เธอลุกขึ้นนั่ง นำเสี่ยวอี้เข้าไปนอนข้างใน ตัวเองไปนอนตรงกลาง

กอดเซียวอู๋ “โอเค เด็กดี นอนได้แล้ว”

เซียวอู๋พยักหน้า หลับตา

เพียงแต่ ซูหย่ารู้สึกได้ชัดเจน อุณหภูมิบนมือของเขาค่อยๆสูงขึ้น อดที่จะกลืนน้ำลายไม่ได้ พูดขึ้น “เสี่ยวหวู่ นาย……ไม่เป็นไรใช่ไหม?”

ชายนิ่งไป ไม่พูดอะไร ทันใดนั้น เขาพลิกตัว คล่อมตัวซูหย่าไว้ หอบหายใจแรง

เกาไห่ดึงเล่อจยาเข้าไปในห้อง ปิดประตู พูดเสียงเบา“คุณไม่คิดว่าเกิดเรื่องใหญ่ขนาดนี้ขึ้นกับซูหย่า ปฏิกิริยาของเพื่อนสนิทผู้ชายคนนั้นของเธอ แปลกเกินไปหรือเปล่า?”

เล่อจยาขมวดคิ้ว “ปี๋ไคเหรอ? เขาไม่ได้บอกว่าจะไปต่างประเทศในวันที่สองเหรอ?”

“แล้วยังไงต่อ?”

“แล้ว……”

“แล้วนานขนาดนี้ เขาได้โทรมาถามคุณเรื่องสถานการณ์ของซูหย่าหรือเปล่า?”

เล่อจยาส่ายหน้า หลังจากที่เกาไห่เตือนเธอ เธอรู้สึกว่ามีปัญหาจริงๆ ปี๋ไคกับซูหย่ารู้จักกันนานกว่าเธอ ความรู้สึกของทั้งสองคน ซูหย่าเคยบอกว่า ครั้งหนึ่งเธอเคยถามปี๋ไค ถ้าหากต้องเลือกใครสักคน ระหว่างเธอกับคนรัก เขาจะเลือกใคร? ปี๋ไคเลือกแบบไม่คิดเลยว่าเป็นซูหย่า

ภายใต้ความรู้สึกแบบนั้น ซูหย่าเกิดเรื่องใหญ่ขนาดนี้ ปฏิกิริยาของเขานิ่งมากจริงๆ

แม้ว่าความรู้สึกของผู้ชายจะมีความยับยั้งมากกว่า แต่ ไม่แยแสเลย มันเป็นไปไม่ได้

“แต่ว่า นี่จะหมายความว่าซูหย่ายังไม่ตายได้ยังไง?”

เกาไห่ตอบ“สัญชาตญาณ! ”พูดไป ก็กอดเล่อจยาไว้ แล้วพูดต่อว่า “สัญชาตญาณบอกผมว่าปี๋ไครู้เรื่องบางอย่างเกี่ยวกับซูหย่าอย่างแน่นอน”

“ถ้าอย่างนั้นฉันโทรถามเขา?”พูดไปก็หยิบมือถือขึ้นมา

เกาไห่จับมือเธอไว้ “คุณภรรยา คุณอย่าเพิ่งรีบร้อน คุณฟังผมพูดก่อน ต่อให้ซูหย่าไม่เป็นไรจริงๆ คุณทำได้เพียงแค่รู้ คุณจะเคลื่อนไหวอะไรไม่ได้ ไม่อย่างนั้น คุณอาจจะทำร้ายเธอได้”

เล่อจยายิ่งฟังยิ่งสับสน ขมวดคิ้วตลอดเวลา “ฉันไม่เข้าใจ”

เกาไห่คิดๆแล้ว ก็เล่าเรื่องที่เขารู้ให้เล่อจยาฟัง เรื่องพวกนี้ เย่หลินเคยได้ยินหนิงเส่าเฉินพูดถึง แล้วมาบอกเขา

“คุณหมายถึงมีคนต้องการทำร้ายเซียวอู๋ ซูหย่าทำแบบนี้ เพียงแค่แกล้งตาย เป้าหมายคือทำเพื่อช่วยเซียวอู๋?”

เกาไห่พยักหน้า “จะพูดแบบนั้นก็ได้ คุณคิดดูอีกที วันนั้นซูหย่าบอกกับคุณว่า ถ้าหากชาตินี้ยังมีวาสนาต่อกัน หวังว่าจะได้เป็นครอบครัวเดียวกัน คุณไม่คิดว่าคำพูดของเธอมีความนัยเหรอ? ชาตินี้? ทำไมก่อนที่เธอจะเกิดเรื่อง ก็พูดเรื่องชาตินี้กับคุณ?”

เล่อจยาพยักหน้า ลุกขึ้นนั่ง มองเกาไห่ “การวิเคราะห์ของคุณเหมือนจะไม่ผิด แต่ว่า คนที่อยู่ในรถ แล้วก็ภาพจากกล้องวงจรปิดนั่น จะอธิบายยังไง?”

เกาไห่ลุกขึ้น เทน้ำให้เธอแก้วหนึ่ง “มีเงินก็สามารถใช้ผีให้โม่​แป้งได้”

เมื่อฟังการวิเคราะห์ของเกาไห่ ใจที่สิ้นหวังของเล่อจยา ก็มีความหวังขึ้นมาอีกครั้ง เธอเม้มปาก “แล้ว แล้วฉันควรทำอะไร? ให้ฉันรอแบบนี้คงไม่ได้หรือเปล่า? ฉัน……”

เกาไห่กุมมือเธอไว้ “คุณภรรยา ถ้าหากนี่เป็นแผนที่ซูหย่าวางไว้จริงๆ ถ้าหากเธอไม่เป็นอะไร ถ้าอย่างนั้น รอเซียวอู๋กลับมาเป็นปกติ เธอก็คงกลับมาเอง ในระหว่างนี้ไม่ว่าพวกเราจะทำเรื่องอะไร อาจกลายเป็นการทำร้ายเธอก็ได้”

เล่อจยาพยักหน้า “โอเค ฉันไม่ทำอะไร ขอแค่เธอยังอยู่ดีก็พอ”

อีกด้านหนึ่ง

“คุณลุง มีเรื่องอะไรเหรอคะ?” มีคนมาเคาะประตูแต่เช้า ซูหย่าเปิดประตู ก็เห็นชายชรานำชายวัยกลางคนคนหนึ่งยืนอยู่ที่ประตูบ้าน

“สาวน้อย นี่เป็นแพทย์แผนจีนที่บ้านเกิดของฉัน

ซูหย่าหันกลับไปมองในบ้าน คิดๆแล้ว เธอพยักหน้า “ขอบคุณค่ะคุณลุง ถ้าอย่างนั้น พวกคุณเข้ามานั่งก่อน ฉันไปพาเขาออกมา”

เซียวอู๋ปฏิบัติต่อคนแปลกหน้าเหมือนการรับรู้ของเด็ก การจัดการของเขานั้นสุดโต่ง ถ้าไม่เงียบตัวหดกลม ก็ลงมือโดยตรง

“เสี่ยวหวู่ นายดูสิ ผู้ชายคนข้างนอกนั่น เป็นหมอ นายให้เขาดูอาการสิ ดึกหน่อย ฉันจะซื้อของอร่อยให้นาย ดีไหม?”ซูหย่าเกลี้ยกล่อมเซียวอู๋เหมือนกล่อมเด็ก

เซียวอู๋ขมวดคิ้ว ส่ายหัวตลอดเวลา

“ฉันนั่งข้างนาย ไม่มีปัญหาแน่นอน”ซูหย่ายังคงเกลี้ยกล่อม

แต่ชายกลับส่ายหัวตลอดเวลา

คิดๆแล้ว ซูหย่าก็ถอนหายใจ พูดล่อข้างหูเขา“ถ้า ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวกลางคืนให้กอดฉันนอน?”

หลายวันมานี้ พอตกดึก ชายคนนี้จะชอบขยับมาใกล้เธอ แม้ว่า เธอจะชอบอ้อมกอดของเขา แต่ เธอกลัวการที่ได้รับแล้วเสียไปมากกว่า เธอไม่ต้องการสร้างนิสัยให้ตัวเอง หากวันหนึ่ง เขาได้สติกลับมา กลับไปเป็นคนดำมืดคนนั้น คนที่เจ็บปวดก็คือเธอเอง

ครั้งนี้ก็เพื่อให้เขาได้หาหมอ เธอจึงหมดหนทาง

ชายที่ส่ายหัวอยู่เมื่อกี้รีบลุกขึ้นทันที พยักหน้า ท่าทางดีใจ

ซูหย่ามองเขา ขมวดคิ้ว ถ้าไม่ใช่เพราะสายตาของเขาใสเหมือนเด็ก เธอคงสงสัย ว่าชายคนนี้กำลังแกล้งทำเป็นโง่อยู่หรือเปล่า? ไม่ว่ายังไง คิดๆแล้ว การกระทำของเขาก่อนหน้านี้ เธอคิดว่าคงไม่มีทาง

แพทย์แผนจีนสัมผัส มอง สำรวจ ดูร่างกายของเซียวอู๋แล้ว ก็เอ่ยขึ้นว่า “คนบ้าคลั่ง นอนน้อยไม่กิน ปัญญาที่ก่อเอง นับถือตัวเอง สถบด่า พักผ่อนน้อย อาการนี้ต้องใช้ยาขับเสมหะให้ฟื้นตัว ยาขับ​และสลายเลือดคั่ง ยาระงับประสาท ร่วมกับการรักษาทางจิต ก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้”

เขาพูดอย่างมีคารมคมคาย และซูหย่าก็พอจะฟังเข้าใจ เขาหมายถึงการทานยา และคอยให้คำปรึกษาทางด้านจิตใจ อาจจะกลับมาเป็นปกติ

“หมอคะ คุณหมายถึงว่า แฟนของฉันสามารถกลับไปเป็นเหมือนเดิม?”ซูหย่ารู้สึกว่าเสียงของตัวเองสั่นเล็กน้อย

แพทย์แผนจีนมองซูหย่า ส่ายหน้า “สามารถกลับไปเป็นเหมือนเดิมหรือเปล่า ฉันสรุปไม่ได้ ลองสั่งยาไปกินดูก่อน” คำพูดของเขาดูขอไปทีอย่างเห็นได้ชัด

ซูหย่ารู้สึกท้อแท้ในทันที เธอพยักหน้า รับใบสั่งยาที่แพทย์แผนจีนกำหนด และขอบคุณเขา

แพทย์แผนจีนอาจจะรู้สึกเกรงใจ ที่ดูอาการได้ไม่ชัดเจน จึงจากไปโดยไม่รับค่าตรวจเลยด้วยซ้ำ

ทำให้ซูหย่าสูญเสียความมั่นใจในที่สุด

ถึงแม้ ชีวิตสงบสุขแบบนี้ ไม่ได้มีอะไรไม่ดี แต่ เธอคิดว่า คนที่มีความสามารถอย่างเซียวอู๋ ถ้าหากว่าชาตินี้มีชีวิตแบบนี้ น่าเสียดายเกินไป ขนาดพ่อของเธอยังบอกว่าเขาเป็นแม่ทัพผู้ยิ่งใหญ่

ดังนั้น เธอจึงยังต้องการให้เขากลับไปเป็นปกติ

ในตอนกลางคืน หลังจากที่ซูหย่ากล่อมเสี่ยวอี้เข้านอน เธอก็นอนลง ทันใดนั้น ก็มีมือใหญ่พาดมาที่เอวของเธอ

ซูหย่าตัวกระตุก เธอหันไป มองเซียวอู๋ผ่านแสงไฟริบหรี่ ในสายตาของเขามีความคาดหวังอย่างเห็นได้ชัด

คิดๆแล้ว เธอลุกขึ้นนั่ง นำเสี่ยวอี้เข้าไปนอนข้างใน ตัวเองไปนอนตรงกลาง

กอดเซียวอู๋ “โอเค เด็กดี นอนได้แล้ว”

เซียวอู๋พยักหน้า หลับตา

เพียงแต่ ซูหย่ารู้สึกได้ชัดเจน อุณหภูมิบนมือของเขาค่อยๆสูงขึ้น อดที่จะกลืนน้ำลายไม่ได้ พูดขึ้น “เสี่ยวหวู่ นาย……ไม่เป็นไรใช่ไหม?”

ชายนิ่งไป ไม่พูดอะไร ทันใดนั้น เขาพลิกตัว คล่อมตัวซูหย่าไว้ หอบหายใจแรง

เกาไห่ดึงเล่อจยาเข้าไปในห้อง ปิดประตู พูดเสียงเบา“คุณไม่คิดว่าเกิดเรื่องใหญ่ขนาดนี้ขึ้นกับซูหย่า ปฏิกิริยาของเพื่อนสนิทผู้ชายคนนั้นของเธอ แปลกเกินไปหรือเปล่า?”

เล่อจยาขมวดคิ้ว “ปี๋ไคเหรอ? เขาไม่ได้บอกว่าจะไปต่างประเทศในวันที่สองเหรอ?”

“แล้วยังไงต่อ?”

“แล้ว……”

“แล้วนานขนาดนี้ เขาได้โทรมาถามคุณเรื่องสถานการณ์ของซูหย่าหรือเปล่า?”

เล่อจยาส่ายหน้า หลังจากที่เกาไห่เตือนเธอ เธอรู้สึกว่ามีปัญหาจริงๆ ปี๋ไคกับซูหย่ารู้จักกันนานกว่าเธอ ความรู้สึกของทั้งสองคน ซูหย่าเคยบอกว่า ครั้งหนึ่งเธอเคยถามปี๋ไค ถ้าหากต้องเลือกใครสักคน ระหว่างเธอกับคนรัก เขาจะเลือกใคร? ปี๋ไคเลือกแบบไม่คิดเลยว่าเป็นซูหย่า

ภายใต้ความรู้สึกแบบนั้น ซูหย่าเกิดเรื่องใหญ่ขนาดนี้ ปฏิกิริยาของเขานิ่งมากจริงๆ

แม้ว่าความรู้สึกของผู้ชายจะมีความยับยั้งมากกว่า แต่ ไม่แยแสเลย มันเป็นไปไม่ได้

“แต่ว่า นี่จะหมายความว่าซูหย่ายังไม่ตายได้ยังไง?”

เกาไห่ตอบ“สัญชาตญาณ! ”พูดไป ก็กอดเล่อจยาไว้ แล้วพูดต่อว่า “สัญชาตญาณบอกผมว่าปี๋ไครู้เรื่องบางอย่างเกี่ยวกับซูหย่าอย่างแน่นอน”

“ถ้าอย่างนั้นฉันโทรถามเขา?”พูดไปก็หยิบมือถือขึ้นมา

เกาไห่จับมือเธอไว้ “คุณภรรยา คุณอย่าเพิ่งรีบร้อน คุณฟังผมพูดก่อน ต่อให้ซูหย่าไม่เป็นไรจริงๆ คุณทำได้เพียงแค่รู้ คุณจะเคลื่อนไหวอะไรไม่ได้ ไม่อย่างนั้น คุณอาจจะทำร้ายเธอได้”

เล่อจยายิ่งฟังยิ่งสับสน ขมวดคิ้วตลอดเวลา “ฉันไม่เข้าใจ”

เกาไห่คิดๆแล้ว ก็เล่าเรื่องที่เขารู้ให้เล่อจยาฟัง เรื่องพวกนี้ เย่หลินเคยได้ยินหนิงเส่าเฉินพูดถึง แล้วมาบอกเขา

“คุณหมายถึงมีคนต้องการทำร้ายเซียวอู๋ ซูหย่าทำแบบนี้ เพียงแค่แกล้งตาย เป้าหมายคือทำเพื่อช่วยเซียวอู๋?”

เกาไห่พยักหน้า “จะพูดแบบนั้นก็ได้ คุณคิดดูอีกที วันนั้นซูหย่าบอกกับคุณว่า ถ้าหากชาตินี้ยังมีวาสนาต่อกัน หวังว่าจะได้เป็นครอบครัวเดียวกัน คุณไม่คิดว่าคำพูดของเธอมีความนัยเหรอ? ชาตินี้? ทำไมก่อนที่เธอจะเกิดเรื่อง ก็พูดเรื่องชาตินี้กับคุณ?”

เล่อจยาพยักหน้า ลุกขึ้นนั่ง มองเกาไห่ “การวิเคราะห์ของคุณเหมือนจะไม่ผิด แต่ว่า คนที่อยู่ในรถ แล้วก็ภาพจากกล้องวงจรปิดนั่น จะอธิบายยังไง?”

เกาไห่ลุกขึ้น เทน้ำให้เธอแก้วหนึ่ง “มีเงินก็สามารถใช้ผีให้โม่​แป้งได้”

เมื่อฟังการวิเคราะห์ของเกาไห่ ใจที่สิ้นหวังของเล่อจยา ก็มีความหวังขึ้นมาอีกครั้ง เธอเม้มปาก “แล้ว แล้วฉันควรทำอะไร? ให้ฉันรอแบบนี้คงไม่ได้หรือเปล่า? ฉัน……”

เกาไห่กุมมือเธอไว้ “คุณภรรยา  ถ้าหากนี่เป็นแผนที่ซูหย่าวางไว้จริงๆ ถ้าหากเธอไม่เป็นอะไร ถ้าอย่างนั้น รอเซียวอู๋กลับมาเป็นปกติ เธอก็คงกลับมาเอง ในระหว่างนี้ไม่ว่าพวกเราจะทำเรื่องอะไร อาจกลายเป็นการทำร้ายเธอก็ได้”

เล่อจยาพยักหน้า “โอเค ฉันไม่ทำอะไร ขอแค่เธอยังอยู่ดีก็พอ”

อีกด้านหนึ่ง

“คุณลุง มีเรื่องอะไรเหรอคะ?” มีคนมาเคาะประตูแต่เช้า ซูหย่าเปิดประตู ก็เห็นชายชรานำชายวัยกลางคนคนหนึ่งยืนอยู่ที่ประตูบ้าน

“สาวน้อย นี่เป็นแพทย์แผนจีนที่บ้านเกิดของฉัน

ซูหย่าหันกลับไปมองในบ้าน คิดๆแล้ว เธอพยักหน้า “ขอบคุณค่ะคุณลุง ถ้าอย่างนั้น พวกคุณเข้ามานั่งก่อน ฉันไปพาเขาออกมา”

เซียวอู๋ปฏิบัติต่อคนแปลกหน้าเหมือนการรับรู้ของเด็ก การจัดการของเขานั้นสุดโต่ง ถ้าไม่เงียบตัวหดกลม ก็ลงมือโดยตรง

“เสี่ยวหวู่ นายดูสิ ผู้ชายคนข้างนอกนั่น เป็นหมอ นายให้เขาดูอาการสิ ดึกหน่อย ฉันจะซื้อของอร่อยให้นาย ดีไหม?”ซูหย่าเกลี้ยกล่อมเซียวอู๋เหมือนกล่อมเด็ก

เซียวอู๋ขมวดคิ้ว ส่ายหัวตลอดเวลา

“ฉันนั่งข้างนาย ไม่มีปัญหาแน่นอน”ซูหย่ายังคงเกลี้ยกล่อม

แต่ชายกลับส่ายหัวตลอดเวลา

คิดๆแล้ว ซูหย่าก็ถอนหายใจ พูดล่อข้างหูเขา“ถ้า ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวกลางคืนให้กอดฉันนอน?”

หลายวันมานี้ พอตกดึก ชายคนนี้จะชอบขยับมาใกล้เธอ แม้ว่า เธอจะชอบอ้อมกอดของเขา แต่ เธอกลัวการที่ได้รับแล้วเสียไปมากกว่า เธอไม่ต้องการสร้างนิสัยให้ตัวเอง หากวันหนึ่ง เขาได้สติกลับมา กลับไปเป็นคนดำมืดคนนั้น คนที่เจ็บปวดก็คือเธอเอง

ครั้งนี้ก็เพื่อให้เขาได้หาหมอ เธอจึงหมดหนทาง

ชายที่ส่ายหัวอยู่เมื่อกี้รีบลุกขึ้นทันที พยักหน้า ท่าทางดีใจ

ซูหย่ามองเขา ขมวดคิ้ว ถ้าไม่ใช่เพราะสายตาของเขาใสเหมือนเด็ก เธอคงสงสัย ว่าชายคนนี้กำลังแกล้งทำเป็นโง่อยู่หรือเปล่า? ไม่ว่ายังไง คิดๆแล้ว การกระทำของเขาก่อนหน้านี้ เธอคิดว่าคงไม่มีทาง

แพทย์แผนจีนสัมผัส มอง สำรวจ ดูร่างกายของเซียวอู๋แล้ว ก็เอ่ยขึ้นว่า “คนบ้าคลั่ง นอนน้อยไม่กิน ปัญญาที่ก่อเอง นับถือตัวเอง สถบด่า พักผ่อนน้อย อาการนี้ต้องใช้ยาขับเสมหะให้ฟื้นตัว ยาขับ​และสลายเลือดคั่ง ยาระงับประสาท ร่วมกับการรักษาทางจิต ก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้”

เขาพูดอย่างมีคารมคมคาย และซูหย่าก็พอจะฟังเข้าใจ เขาหมายถึงการทานยา และคอยให้คำปรึกษาทางด้านจิตใจ อาจจะกลับมาเป็นปกติ

“หมอคะ คุณหมายถึงว่า แฟนของฉันสามารถกลับไปเป็นเหมือนเดิม?”ซูหย่ารู้สึกว่าเสียงของตัวเองสั่นเล็กน้อย

แพทย์แผนจีนมองซูหย่า ส่ายหน้า “สามารถกลับไปเป็นเหมือนเดิมหรือเปล่า ฉันสรุปไม่ได้ ลองสั่งยาไปกินดูก่อน” คำพูดของเขาดูขอไปทีอย่างเห็นได้ชัด

ซูหย่ารู้สึกท้อแท้ในทันที เธอพยักหน้า รับใบสั่งยาที่แพทย์แผนจีนกำหนด และขอบคุณเขา

แพทย์แผนจีนอาจจะรู้สึกเกรงใจ ที่ดูอาการได้ไม่ชัดเจน จึงจากไปโดยไม่รับค่าตรวจเลยด้วยซ้ำ

ทำให้ซูหย่าสูญเสียความมั่นใจในที่สุด

ถึงแม้ ชีวิตสงบสุขแบบนี้ ไม่ได้มีอะไรไม่ดี แต่ เธอคิดว่า คนที่มีความสามารถอย่างเซียวอู๋ ถ้าหากว่าชาตินี้มีชีวิตแบบนี้ น่าเสียดายเกินไป ขนาดพ่อของเธอยังบอกว่าเขาเป็นแม่ทัพผู้ยิ่งใหญ่

ดังนั้น เธอจึงยังต้องการให้เขากลับไปเป็นปกติ

ในตอนกลางคืน หลังจากที่ซูหย่ากล่อมเสี่ยวอี้เข้านอน เธอก็นอนลง ทันใดนั้น ก็มีมือใหญ่พาดมาที่เอวของเธอ

ซูหย่าตัวกระตุก เธอหันไป มองเซียวอู๋ผ่านแสงไฟริบหรี่ ในสายตาของเขามีความคาดหวังอย่างเห็นได้ชัด

คิดๆแล้ว เธอลุกขึ้นนั่ง นำเสี่ยวอี้เข้าไปนอนข้างใน ตัวเองไปนอนตรงกลาง

กอดเซียวอู๋ “โอเค เด็กดี นอนได้แล้ว”

เซียวอู๋พยักหน้า หลับตา

เพียงแต่ ซูหย่ารู้สึกได้ชัดเจน อุณหภูมิบนมือของเขาค่อยๆสูงขึ้น อดที่จะกลืนน้ำลายไม่ได้ พูดขึ้น “เสี่ยวหวู่ นาย……ไม่เป็นไรใช่ไหม?”

ชายนิ่งไป ไม่พูดอะไร ทันใดนั้น เขาพลิกตัว คล่อมตัวซูหย่าไว้ หอบหายใจแรง

หยุนชางขมวดคิ้ว จากนั้นก็เห็นเถ้าแก่ร้านวิ่งตามหลังมา แล้วโค้งคำนับหยุนชางและจิ้งอ๋องพร้อมกล่าว “ขอประทานโทษขอรับ มันเป็นความประมาทของทางร้านเองขอรับ ขอประทานโทษที่รบกวนแขกผู้มีเกียรติทั้งสองขอรับ ข้าน้อยจะจัดการประเดี๋ยวนี้ขอรับ”

“ยังไม่เร่งมืออีกหรือ อย่าได้รบกวนข้าและฮูเหรินเด็ดขาด” จิ้งอ๋องไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้น เขาเพียงแต่ขมวดคิ้วเล็กน้อย เขานิ้วมือเล็กน้อยและเคาะลงบนโต๊ะเบาๆ

หยุนชางจ้องมองไปที่มือของจิ้งอ๋องแล้วก็ผงะ นิสัยของจิ้งอ๋องนี้ค่อนข้างคล้ายกับตน เมื่อตนครุ่นคิดอย่างมีสมาธิ หรือเมื่อรู้หงุดหงิดเล็กน้อย ตนมักจะเคาะไปที่โต๊ะโดยไม่รู้ตัว

เมื่อหลิ่วหยินเฟิงเห็นว่าหยุนชางไม่มองตนเลย สีหน้าของเขาก็แย่ลงอย่างมาก และเมื่อมองไปที่ผมที่มวยอยู่ด้านหลัง (เป็นทรงผมสำหรับผู้หญิงที่ออกเรือนแล้ว) ของหยุนชาง เขาก็โกรธเคืองมากกว่าเดิม จึงเงยหน้ากล่าวต่อจิ้งอ๋องว่า ” เจ้าเป็นสามีประสาอะไร? ไม่คาดคิดว่าเจ้าจะปล่อยให้ภรรยาของตนไปในสถานที่ที่กองทัพทั้งสองกำลังทำสงครามอยู่ เพื่อเก็บยาสมุนไพรให้คนเฒ่าในบ้าน อีกทั้งยังถูกศัตรูจับตัวไปอีก…”

ขณะที่เขากำลังพูดอยู่ เขาก็เห็นจิ้งอ๋องเงยหน้าขึ้นมองเขาทันที หลิ่วหยินเฟิงรู้สึกมั่นใจในตัวเองมาเสมอ แม้จะอยู่ต่อหน้ากองทัพใหญ่พันหมื่นคน เขาก็ไม่สามารถสงบนิ่งได้ แต่ไม่คาดคิดว่า สายตาของชายที่อยู่ตรงหน้านั้น ทำให้เขารู้สึกหนาวเหน็บไปทั้งตัว และเย็นชาจนรู้สึกราวกับว่าตนตกลงไปอยู่ในห้องใต้ดินน้ำแข็ง ทันใดนั้นเขาก็ลืมสิ่งที่ตนต้องการจะพูดไป

“เถ้าแก่ โปรดเชิญชายหนุ่มคนนี้ออกไป” เสียงของหยุนชางเย็นชาเล็กน้อย จนทำให้หลิ่วหยินเฟิงอดที่จะหันมามองมิได้ เขาเงียบอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงหันหลังแล้วค่อยๆ เดินออกไป

“เหตุใดเขาจึงจำได้?” หยุนชางขมวดคิ้ว

แววตาของจิ้งอ๋องจ้องมองไปที่หยุนชาง เขาถอนหายใจด้วยรอยยิ้ม กลัวว่าผู้หญิงตรงหน้าคงจะไม่ทราบว่า แม้ว่านางสวมเสื้อผ้าผู้ชายแล้วจะเหมือนผู้ชายอย่างมากแล้ว แต่นิสัยหลายอย่างนั้นแค่เสื้อผ้าไม่สามารถปกปิดได้หรอก ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือ ในโลกนี้มีคนไม่มากนักที่มีรูปลักษณ์ที่โดดเด่นเช่นนี้ นับประสาอะไรกับคนสองคนที่เกือบจะเหมือนกันทุกประการ

เนื่องจากหลิ่วหยินเฟิงมารบกวนเช่นนี้ หยุนชางจึงไม่มีอารมณ์ที่จะกินอาหารต่อ ทั้งสองกินไปเพียงเล็กน้อย จากนั้นก็กลับไปที่จวนท่านอ๋อง

องค์รัชทายาทแห่งแคว้นเซี่ยมาถึงแล้ว หนิงหัวจิ้งก็มาถึงแล้ว และหลิ่วหยินเฟิงก็มาด้วยเช่นกัน เกรงว่าเมืองหลวงนี้คงจะคึกคักขึ้นเรื่อยๆ มีเหล่าขุนนางมาเข้าพบที่จวนท่านอ๋องอยู่บ้าง หยุนชางครุ่นคิด แม้ว่าตัวตนของท่านอ๋องนั้นยังไม่ถูกเปิดเผย แต่เสด็จพ่อนั้นยังคงคิดมากอยู่ในใจ พระองค์แทบจะให้ความสนใจกับการเคลื่อนไหวในจวนท่านอ๋องอยู่ตลอดเวลา หากว่าเชิญเหล่าขุนนางเหล่านี้เข้ามาในจวนท่านอ๋อง คงจะทำให้เกิดเรื่องอย่างแน่นอน ฉะนั้นก็ใช้เหตุผลว่าท่านอ๋องยังไม่หายดีจากอาการบาดเจ็บ จึงไม่เหมาะสมที่จะพบแขก เป็นข้ออ้างในการปิดจวนท่านอ๋องไว้ ไม่พบใครทั้งสิ้นเสียดีกว่า

แต่ทว่า งานเลี้ยงในวังนั้นจำเป็นต้องไปเข้าร่วม และด้วยพระราชพิธีการแต่งตั้งฮองเฮากำลังจะจัดขึ้นแล้ว จักรพรรดิหนิงจึงได้จัดงานเลี้ยงในพระราชวังขึ้นมา โดยกล่าวว่าเป็นการต้อนรับแขกผู้มีเกียรติ

จักรพรรดิเซี่ยมาถึงเมืองหลวงเป็นเวลาสามวันแล้ว หยุนชางทราบข่าวนี้ตั้งแต่วันที่เขาเข้ามาในเมืองหลวง เพียงแต่สามวันที่ผ่านมานี้ จักรพรรดิแห่งแคว้นเซี่ยอยู่แต่ในหออาศัย แทบจะมิได้ออกไปไหนเลย ซึ่งทำให้หยุนชางแปลกใจเป็นอย่างมาก นางคิดว่าจักรพรรดิแห่งแคว้นเซี่ยคงจะไม่รอช้าที่จะมาจวนท่านอ๋อง เพื่อตรวจสอบว่าจิ้งอ๋องนั้นเป็นบุตรชายของเขาหรือไม่ แต่เมื่อดูจากตอนนี้แล้ว ความอดทนของเขายอดเยี่ยมมากจริงๆ

งานเลี้ยงถูกจัดขึ้นที่ตำหนักจินหลวน หยุนชางและจิ้งอ๋องเดินทางไปถึงพระราชวังก่อนเวลา พวกเขาทั้งสองจึงไปที่วังจิ่นซิ่วเพื่อเยี่ยมเยือนจิ่นกุ้ยเฟยและองค์ชายน้อยเฉินซี แต่ไม่คาดคิดว่าฉินเมิ่งก็อยู่ที่นั่นเช่นกัน เมื่อเห็นว่าหยุนชางเข้ามาพร้อมจิ้งอ๋อง นางจึงเตรียมน้ำชามาถวาย ราวกับเป็นนางกำนัลของวังจิ่นซิ่ว

หยุนชางรู้สึกขบขัน ดูเหมือนว่านางจะลงมือกับตนมิได้ จึงมาเอาใจที่วังจิ่นซิ่วแล้ว หยุนชางครุ่นคิดแล้วหันไปมองเจิ้งมามาพร้อมกล่าวว่า “มามาเจ้าคะ  ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เมิ่งเจี๋ยยวี๋ก็เป็นนางสนมของเสด็จพ่อ งานแรงงานเช่นนี้ อย่าได้รบกวนเมิ่งเจี๋ยยวี๋จะดีกว่า หากมีคนอื่นมาพบเข้าจะไม่ดียิ่งนัก อาจจะคิดว่าเสด็จแม่นั้นสั่งนางสนมตามอำเภอใจโดยใช้อำนาจที่ตนนั้นเป็นกุ้ยเฟยหรอก”

สีหน้าของฉินเมิ่งขาวซีดเมื่อได้ยินเช่นนี้ นางจึงรีบกล่าวว่า ” หม่อมฉันต้องการทำเช่นนี้เองเพคะ เรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้อกับกุ้ยเฟยเหนียงเหนียงเพคะ”

แต่หยุนชางกลับทำเหมือนไม่ได้ยิน และยังคงยิ้มอย่างอ่อนโยนและกว่าวต่อเจิ้งมามาว่า “เหล่านางกำนัลและขันทีที่ปากพล่อยในพระราชวังนี้มีไม่น้อย หากว่าเสด็จพ่อทราบเรื่องนี้ เช่นนนั้นคงจะไม่ดีอย่างมาก”

เจิ้งมามามิได้ตอบกลับ แต่จิ่นกุ้ยเฟยที่นั่งอุ้มเฉินซีพร้อมกล่อมเบา พระชายาพูดถูก แต่ในวังข้านั้นมิได้ขาดแคลนนางกำนัลแต่อย่างใด ต่อไปนี้ระวังอย่างให้เมิ่งเจี๋ยยวี๋ลงมือทำเองอีกแล้วกัน”

ฉินเมิ่งนั่งลงที่เก้าอี้อย่างกังวล นางเงยหน้ามองดูทุกคนที่อยู่ในตำหนักนี้ จากนั้นก็ก้มหน้าลงโดยมิได้กล่าวกระไรอีก

หยุนชางแอบเยาะเย้ยในใจว่า ฉินเมิ่งเร่งเอาใจเสด็จแม่ของตนเช่นนี้ เพื่อการอันใดกันนะ?

สายตาของนางจ้องมองไปที่เครื่องประดับลูกปัดดอกไม้บนหัวของฉินเมิ่ง นางหยุดชะงักไปครู่เดียว ครั้งที่แล้วเฉี่ยนอินกล่าวว่าลูกปัดดอกไม้นั้นเป็นของจากนอกพระราชวัง หยุนชางมิได้ใส่ใจกระไรมาก เพียงแต่ว่า……………..

หยุนชางเห็นปิ่นพวงแก้วที่ฉินเมิ่งปักอยู่ในตอนนี้ ของสิ่งนี้เป็นของร้านเฉียนสุ่ยอี้เหรินอย่างเห็นได้ชัด ที่นางทราบก็เพราะว่านางได้เห็นมันอยู่ในร้านเมื่อไม่กี่วันก่อน เป็นปิ่นที่งดงามอย่างมาก เฉี่ยนสุ่ยบอกว่าจะมอบให้นาง แต่ก็นางไม่เคยชอบเครื่องประดับที่ซับซ้อนเกินไปมาแต่เดิมอยู่แล้ว ฉะนั้นนางจึงปฏิเสธ แต่ไม่คาดคิดว่าจะเห็นมันอยู่บนหัวของฉินเมิ่ง

หยุนชางค่อย ๆ ละสายตาออกไป จากนั้นก็อมยิ้ม วันก่อนสายลับได้สืบค้นการเคลื่อนไหวของฉินเมิ่ง แต่ไม่พบอะไรที่ผิดปกติ ดูเหมือนว่าสายลับจะประมาทอีกแล้ว

เมื่อใกล้ถึงเวลางานเลี้ยงในพระราชวัง ฉินเมิ่งไม่มีสิทธิ์เข้าร่วมงานเลี้ยงนี้ นางจึงรีบลุกขึ้นและน้อมลา หลังจากที่นางจากไป จิ้นกุ้ยเฟยจึงได้นั่งเสลี่ยงไปยังตำหนักจินหลวนพร้อมหยุนชางและจิ้งอ๋อง

งานเลี้ยงในพระราชวังแบบเป็นทางการแต่เดิมแม้แต่หยุนชางก็ไม่เหมาะที่จะเข้าร่วม แต่ด้วยเหตุที่หยุนชางเอาชนะทหารแคว้นเซี่ยได้เมื่อครั้งอยู่ที่เมืองจิ้งหยาง จักรพรรดิหนิงจึงอยากกดขี่ความหยิ่งยโสของแคว้นเซี่ยสักหน่อย ฉะนั้นจึงให้หยุนชางมาร่วม เพียงแต่หากมีผู้หญิงเพียงคนเดียวนั้นก็ดูจงใจเกินไป จักรพรรดิหนิงครุ่นคิด จึงได้ออกพระราชโองการว่าเป็นเพียงแค่งานเลี้ยงเล็กๆ ธรรมดาๆ ผู้หญิงตั้งแต่ขั้นหนึ่งขึ้นไปล้วนเข้าร่วมได้ ส่วนในวังนั้นให้จิ่นกุ้ยเฟยและหย่าผินที่กำลังจะเป็นฮองเฮานั้นมาร่วมด้วยกัน

แคว้นหนิงเป็นเจ้าภาพ ดังนั้นคนของแคว้นหนิงจึงเข้าประทับที่นั่งอยู่นานแล้ว ขันทีเจิ้งได้นำพาเหล่าแขกผู้มีเกียรติเข้ามาในงานด้วยตนเอง จากนั้นทุกคนที่เข้าไปนั่งที่นั่งของตน และเมื่อทุกคนนั่งลง จักรพรรดิหนิงจึงได้เดินเข้ามาท่ามกลางเสียงประสานอันไพเราะของขันที และทุกคนก็ลุกขึ้นและคำนับอย่างรวดเร็ว

ผ่านไปครู่หนึ่ง ก็ได้ยินเสียงเสื้อถูกับพื้นดังขึ้น และจากนั้นเสียงอันทรงพลังของจักรพรรดิหนิงก็ดังขึ้น “ไปนั่งเถิด”

การเปิดงานเลี้ยงแน่นอนต้องดื่มสามแก้ว จักรพรรดิหนิงเป็นคนต้อนรับแขกผู้มีเกียรติจากทั่วทุกมุมโลก หลังจากดื่มสุราไปสามแก้ว ทุกคนก็นั่งลง หยุนชางนั่งอยู่ข้างหลังจิ้งอ๋องแล้วกินอาหารอย่างสบายใจ

เมื่อตระหนักได้ว่ามีใครบางคนกำลังมองมาที่ตน หยุนชางจึงค่อย ๆ เงยหน้าขึ้นและมองไป หลิ่วหยินเฟิงนี่เอง ในช่วงสองสามวันที่ผ่านมาหลิ่วหยินเฟิงได้ส่งคนหลายคนไปตรวจสอบตัวตนของนาง เพียงแต่ที่นี่คือเมืองหลวงแห่งแคว้นหนิง เมื่อเขาคิดอยากจะทำกระไร หยุนชางก็ทราบในทันที หลิ่วหยินเฟิงถือว่าไม่มีความคืบหน้าใดๆ เลย

แต่ไม่คาดคิดว่าจะพบนางที่นี่ นางสวมชุดทางการของก้าวมิ่งฟูเหริน ชุดนั้นเป็นสีแดงสลับกับสีดำ ผู้หญิงคนอื่นๆ สวมแล้วอาจดูไม่มีชีวิตชีวา แต่เมื่อนางสวมกลับมีสดใสขึ้นอย่างมาก หลิ่วหยินเฟิงไม่ใช่คนแคว้นหนิง เขาจึงไม่ทราบเกี่ยวกับเครื่องแบบทางการของหญิงสาวนัก ฉะนั้นเขาจึงไม่ทราบว่าเสื้อผ้าที่หยุนชางสวมใส่นั้นแสดงถึงเอกลักษณ์อะไร เพียงแต่ว่าคนที่สามารถปรากฏตัวที่นี่ได้ในวันนี้จะต้องเป็นคนที่ทรงอำนาจอย่างมาก

เมื่อสักครู่นั้นเขาไม่ได้สังเกตเห็นนาง เขาเห็นเพียงชายที่นั่งอยู่ข้างหน้านาง เขาตกตะลึง และมองไปข้างหลังชายคนนั้นอย่างไม่รู้ตัวแล้วจบพบนาง

จักรพรรดิหนิงกำลังสนทนากับจักรพรรดิแคว้นเซี่ย หยุนชางอดไม่ได้ที่จะรู้สึกขบขันเล็กน้อยเมื่อได้ยินทั้งสองชมเชยกันและกัน พวกเขาเพิ่งจะสู้รบกันมาอย่างดุเดือด แต่ในชั่วพริบตาพวกเขากลับพูดคุยสนทนาในงานเลี้ยงนี้

เพียงแต่ว่าหยุนชางได้ยินจักรพรรดิหนิงพูดถึงนางด้วยน้ำเสียงที่ช่วยไม่ได้ “ช่วงก่อนพระธิดานั้นดื้อรั้น ได้เข้าไปป่วนในสนามรบ เป็นความผิดเจิ้งที่ควบคุมพระธิดามิได้ จึงขอให้พี่เซี่ยนั้นให้อภัยด้วยเถิด ”

หยุนชางเงยหน้าขึ้นและเห็นใบหน้าของจักรพรรดิแคว้นเซี่ย นางอดไม่ได้ที่จะตะลึง ไม่ใช่เพราะว่าจักรพรรดิแคว้นเซี่ยนั้นมีรูปลักษณ์ที่ดีเพียงใด ทางกลับกันรูปลักษณ์ของจักรพรรดิแคว้นเซี่ยนั้นน่าเกรงขามเล็กน้อย เป็นเพราะว่าใบหน้าของจักรพรรดิแคว้นเซี่ยนั้นมีรอยแผลเป็นที่มีรูปร่างคล้ายตะขาบ รอยนั้นพาดจากด้านขวาบนของหน้าไปเกือบทั่วทั้งใบหน้า ลากยาวไปถึงคาง โชคดีที่ดวงตาทั้งสองข้างนั้นมิได้รับผลกระทบกระไร แต่ค่อนข้างคล้ายกับจิ้งอ๋อง

สีหน้าของจักรพรรดิแคว้นเซี่ยตะลึง และเขาก็หันไปยิ้มขึ้นมา ” ไม่หรอก ลูกไม้ย่อมหล่นไม่ไกลต้น องค์หญิงทรงเก่งกาจอย่างมาก ข้าชื่นชมเป็นอย่างมาก”

เมื่อจักรพรรดิหนิงได้ยินเช่นนี้ก็หัวเราะลั่นออกมา หยุนชางไม่รู้ว่าในรอยยิ้มนี้มีความจริงใจอยู่เท่าไหร่ มีความเสแสร้งอยู่เท่าไหร่ ขณะที่นางกำลังเหม่อลอย ก็ได้ยินจักรพรรดิหนิงกล่าวว่า “ชางเอ๋อร์ รีบเข้ามาขอประทานอภัยจากจักรพรรดิแคว้นเซี่ยประเดี๋ยวนี้”

“แม่ แม่ต้องบอกฉัน ได้โปรด นี่คือลูกของตระกูลเซียว ทำไมพวกเขาไม่ต้องการมัน ทำไมพวกเขาถึงยอมแพ้เซียวอู๋โดยไม่ต่อสู้”

แม่ซูเดินไปที่ประตูและพูดกับคนสองคนที่ยืนอยู่ข้างประตูว่า “คุณทั้งสอง ไปที่ห้องนั่งเล่นชั้นล่างก่อน ตอนนี้ยังไม่จำเป็นต้องอยู่ที่นี่” บ้านหลังนี้เป็นห้องแบบเพล็กซ์สวีทสองชั้น .

หลังจากที่ทั้งสองออกไป แม่ซูก็ปิดประตูแล้วพูดกับซูหย่า

“พ่อของเซียวอู๋มีลูกชายสองคนข้างนอก ส่วนแม่ของเขาก็มีลูกชายแหนึ่งลูกสาวหนึ่ง ดังนั้น การดำรงอยู่ของเซียวอู๋จึงเป็นเพียงการปกปิดความสัมพันธ์ของคนสองคนที่อยู่เบื้องหลังกันและกัน”

ซูหย่าตกใจ เธอค่อย ๆ เงยหน้าขึ้นมองแม่ของเธอ หลังจากนั้นไม่นาน เธอกล่าวว่า “เซียวอู๋รู้เรื่องนี้หรือไม่”

เธอไม่สามารถที่จะขยับร่างกายได้ ความเจ็บปวดและความไร้หนทางที่เขามีตัวตนเช่นนี้เป็นเช่นไร?

แม่ซูส่ายหัว “เรื่องนี้ฉันไม่รู้ แต่มีหลายคนที่รู้เรื่องนี้ อย่างไรก็ตาม เนื่องจากความมั่งคั่งของตระกูลเซียว จึงไม่มีใครกล้าพูดถึงเรื่องนี้ ฉันเองก็เป็นพ่อของเธอที่บอกให้ฟัง.”

“แล้วทำไมพ่อรู้ทั้งรู้ว่าเซียวอู๋อยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ยังตกลงที่จะให้ฉันแต่งงานกับเขา”

“พ่อของเธอทำงานกับเซียวอู๋มาก่อนที่เธอจะพบเขา ฉันได้ยินเขาพูดชมเซียวอู๋หลายครั้งสำหรับงานของเขา เขาเป็นคนชี้ขาดและมีกลยุทธ์ เขามีพรสวรรค์ทั่วไปจริงๆ พ่อของเธอต้องการให้เธอแต่งงานกับเขา ไม่ใช่เพื่อครอบครัวเซียว พวกเราตระกูลซูไม่ต้องการตระกูลเซียว แต่พ่อของเธอจริงใจและชอบเซียวอู๋”

ซูหย่าตกใจเมื่อได้ยินสิ่งที่แม่พูดเป็นครั้งแรก ปรากฏว่าพ่อของเธอถือว่าการแต่งงานของเธอเป็นการแต่งงานจริง พ่อของเธอรักเขาจากก้นบึ้งของหัวใจ เขารู้สึกว่าเซียวเป็นผู้ชายที่สามารถเชื่อถือได้ตลอดชีวิต ดังนั้น เขาจึงตกลง เธอทำข้อเรียกร้องที่ไม่สมเหตุสมผลนั้น

เมื่อคิดถึงสิ่งนี้ เธอรู้สึกว่าชีวิตของเธอดีมาก เธอก็ยิ่งทุกข์ใจกับเซียวอู๋คนที่พ่อและแม่ไม่รัก เขาใช้ชีวิตแบบไหนกัน? เธอไม่สามารถจินตนาการได้

“แล้วในเมื่อพ่อก็ยอมรับเซียวอู๋ แม่ทำไมไม่ช่วยเขาในสถานการณ์เช่นนี้ล่ะ ถ้าสถานการณ์ของเขาเป็นเพียงชั่วคราว ถ้าเราส่งเขาไปโรงพยาบาลจิตเวชก็เท่ากับการส่งเขาไปทางตัน” เมื่อถึงจุดนี้ ซูหย่าก็ร้องไห้ออกมา

แม่ของซูถอนหายใจหนักเมื่อได้ยินคำพูด หยิบทิชชู่ขึ้นมาแล้วปาดน้ำตาบนใบหน้าของซูหย่า “เสี่ยวหย่า เธอคิดว่าเรื่องมันง่ายขนาดนั้นเลยหรือ เธอคิดไหมว่าทำไมตระกูลเซียวจึงตัดสินใจยอดแพ้กับเซียวอู๋แบบนั้น แม้ว่าพวกเขาจะอึดอัดใจ มีหรือที่พวกเขาจะไม่มีใจให้กับลูกชายคนนี้บ้างเลย” พูดถึงเรื่องนี้แม่ของซูหยุดและใบหน้าของเธอก็เคร่งขรึม

เธอจับมือของซูหย่าและถอนหายใจ “เซียวอู๋ ที่ถูกองค์กรก่อการร้ายที่ฆ่าครั้งนี้ มีอิทธิพลอย่างมากในต่างประเทศ ตอนนี้สำหรับเขายกเว้นภายในประเทศ ใครก็ตามที่รับช่วงมาก็เป็นเรื่องที่แก้ไขยาก รับมือยาก คนเหล่านั้น แน่นอนคือไม่กล้าที่จะต่อต้านกับประเทศโดยตรง แต่เป็นไปได้ที่จะต่อต้านกับบุคคล ถ้าเรายึดครองเซียวอู๋เราอาจทำให้ตระกูลซูถูกฆ่าได้ ”

ซูหย่าเปิดปากของเธอและไม่ได้ปิดเป็นเวลานาน บางทีชีวิตของเธออาจจะธรรมดาเกินไป เธอเติบโตขึ้นมาจากการที่พ่อแม่ของเธอปกป้องเธออย่างดี

สิ่งที่น่ารังเกียจที่สุดเกี่ยวกับสิ่งที่เรียกว่าความดีและความชั่วของเธอคือพวกอันธพาลที่เธอเห็นตอนที่เธอช่วยเล่อจยาที่แผงขายอาหาร นั่นคือด้านมืดที่สุดของสังคมที่เธอเคยเห็น

แต่ไม่เคยคิดเลยว่าได้ได้ยินคำนี้ ศัตรูของชาติความเกลียดชังของบ้าน จะถูกวางไว้ตรงหน้าเธอ

เธอรู้ความหมายที่แม่บอกเธอแล้ว เธอเข้าใจว่าแม่ของเธอต้องการจะบอกเธอว่าถ้าเธอยังไปยุ่งกับเซียวอู๋ก็เท่ากับนำ ครอบครัวตระกูลซูไปอยู่ในอันตรายด้วย

พ่อ แม่ พี่ชาย รักเธอมาตั้งแต่เด็ก ทำไมเธอถึงไร้ความรู้สึกเพียงเพื่อผู้ชายคนเดียวขนาดนี้?

อย่างไรก็ตามเซียวอู๋ก็เป็นพ่อของลูกของเธอ และเธอเป็นผู้ชายคนเดียวที่เธอรักในชีวิตของซูหย่า เธอยอมแพ้แล้วปล่อยมันไปได้อย่างไร?

เธอก้าวถอยหลัง นั่งบนโซฟา หยุดพูด แล้วเอามือปิดหน้าท้อง

ออกจากห้องไป เธอรู้สึกเจ็บปวดเล็กน้อย และคนอื่นๆ ก็ไม่สามารถปลอบโยนเธอได้

ภายในเวลาไม่กี่วันมานี้อาการของเซียวอู๋ก็ยังเหมือนเดิม อาจเป็นเพราะโรงพยาบาลไม่มีประสบการณ์ในด้านนี้หลังจากปรึกษากับทุกคนแล้วเขาก็ถูกส่งไปยังเมือง H โรงพยาบาลจิตเวชที่ดีที่สุดและเครื่องอำนวยความสะดวกด้านฮาร์ดแวร์พร้อมแพทย์ที่ครบครันมากที่สุด

พ่อได้พยายามติดต่อเชื่อความสัมพันธ์มากมายเพื่อหาคนช่วยเหลือขอให้โรงพยาบาลรักษาเซียวอู๋ทางจิตใจให้ได้มากที่สุด

เมื่อซูหย่าได้ยินเรื่องนี้ เธอก็ยังไม่พูดอะไร

เธอดื้อรั้นไม่กลับไปที่เมือง C แต่เธอก็ไม่ไปหาเซียวอู๋เช่นกัน

การกระทำของเธอทำให้ตระกูลซูเข้าใจยาก

“วันนี้เขาได้ทำร้ายคนข้างใน ชายที่แข็งแกร่งหลายคนก็ยังเอาไม่อยู่ จนทำให้ต้องฉีดยาให้เขา””

“เขาไม่ได้ร่วมมือกับจิตบำบัด และยังทุบโต๊ะของคนอื่น”

“อาการของเขารุนแรงมากคืน และเขาก็เริ่มพูดเรื่องไร้สาระด้วย”

“จิตบำบัดได้ทำการหยุดรักษาแล้ว”

“หมอบอกว่าไม่มีทางรักษาให้หายได้”

ข้อความที่แม่ของเธอนำกลับมานั้นรุนแรงขึ้นทุกครั้ง แต่ซูหย่าก็ก้มหัวทุกครั้ง ลูบท้องด้วยมือทั้งสองข้าง ไม่เศร้าหรือเจ็บปวด ไม่มีใครรู้ว่าเธอกำลังคิดอะไรอยู่?

เล่อจยามาที่นี่สองครั้ง และซูหย่าก็ได้แต่ยิ้มกับเธอและไม่ได้พูดอะไร

สถานการณ์เช่นนี้ทำให้แม่ซูกังวลมาก

ในที่สุด เมื่อถึงกำหนด ซูหยาบอกว่าเธอกลัวความเจ็บปวดและเลือกที่จะผ่าท้อง

ในวันคลอดครอบครัวซูได้มากันทุกคน เล่อจยาและปี๋ไคต่างก็มา แต่ไม่มีครอบครัวเซียว ไม่มีแม้แต่โทรศัพท์

ถ้าไม่ใช่เพราะวิดีโองานแต่งงานเธอยังเก็บมันไว้ เธอก็คงคิดว่าเธอไม่เคยแต่งงานกับครอบครัวเซียวมาก่อน

ผ่าคลอดต้องดมยาสลบ ฉีดยาชาไปเธอร้องไห้หนักมาก หมอตกใจ เลยถามเธอว่าเป็นอะไร? เจ็บมากไหม…

เธอส่ายหัว แต่เธอไม่สามารถพูดอะไรได้ในขณะนั้น

ปรากฏว่าโดนฉีดยาแบบนี้มันก็เป็นความรู้สึกเช่นนี้ เสี่ยวหวู่ของเธอคงรู้สึกมากว่านั้นหลายเท่า

เด็กน้อยเกิด เขาเป็นเด็กชาย น้ำหนัก 3.9 กิโล เขาดูเหมือนเซียวอู่ ไม่เหมือนเธอ เมื่อเห็น เธอทั้งร้องไห้และหัวเราะด้วยความปิติยินดี

ในการอยู่เดือน เธอดูแลตัวเองและกินเป็นอย่างดี ทำให้น้ำหนักขึ้น 5 กิโล ภายใน หนึ่งเดือน

แม่ซูมองมาที่เธอและมีความสุขมาก โดยคิดว่าเธอได้ปล่อยเซียวอู๋ไปหมดแล้ว และค่อยๆ หยุดนำข้อมูลของเซียวอู่กลับมา

เมื่อครบวันอยู่เดือน ซูหย่าบอกว่าเธอต้องการกลับไปที่เมืองC

ตอนนั่งบนเครื่องบินกลับไปที่เมือง C ไม่มีใครพูดถึงเซียวอู๋

กลับไปที่ เมืองC

ในเมืองซูหย่าค่อนข้างยุ่ง ไม่มีใครรู้ว่าเธอกำลังทำอะไร

อย่างไรก็ตาม เมื่อเห็นรูปลักษณ์ที่ปั่นป่วนของเธอ หัวใจของครอบครัวก็ผ่อนคลายลงเล็กน้อย

พวกเขาคิดไม่ออก อย่างไรก็ตาม หลังจากการผ่อนคลายนี้ พวกเขาก็นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่

“คุณนายเซียว ยินดีด้วย”

เพียงสามคำง่ายๆ ทำให้ซูหย่าเพิกเฉยต่อภาพลักษณ์ของเธอ เธอรีบไปที่เตียงร้องไห้เหมือนคนบ้าพร้อมกอดเซียวอู๋อยู่ในอ้อมแขน “คุณมันสารเลว คุณทำให้ฉันตกใจหมดเลย”

อย่างไรก็ตาม เมื่อเผชิญกับความกระตือรือร้นของซูหยา เซียวอู๋ดูแล้วไม่รู้สึกหนาวหรือร้อน เขากลอกตาครู่หนึ่ง ยกมือขึ้น และผลักซูหย่าออกไปด้วยความพยายาม เมื่อดวงตาของเขามองลงไปที่ท้องใหญ่ของเธอ เขาก็ตกใจอย่างเห็นได้ชัด “แม่” เสียงเขาแหบมากเมื่อไม่ได้พูดมานาน

ซูหย่าเม้มปาก เช็ดน้ำตา หันศีรษะและมองไปข้างหลัง จากนั้นมองย้อนกลับไปที่เสี่ยวหวู่ “เสี่ยวหวู่ คุณเรียกใคร”

เซียวอู๋เปิดปาก “แม่ แม่”

ซูหย่าเดินโซเซถอยหลังไปสองสามก้าว และเธอก็คว้าแขนของหมอ “เขา เกิดอะไรขึ้นกับเขา?”

หมอมองไปที่ซูหยา “ยาชาอาจทำให้เส้นประสาทของเขาเสียหายและส่งผลต่อสติปัญญาของเขา”

“สติปัญญา? คุณหมายถึงเขาอาจจะกลายเป็นคนปัญญาอ่อน?”

“มีความเป็นไปได้ ยังต้องติดตามตรวจสอบกันต่อไป”

เซียวอู๋ผู้บัญชาการกองทัพที่สง่างามกลายเป็นคนปัญญาอ่อน?

ซูหย่าไม่สามารถยอมรับได้ชั่วขณะหนึ่ง

เธอค่อย ๆ หันกลับมาและมองไปที่เซียวอู๋”เสี่ยวหวู่ฉันเป็นใคร?”

“แม่” เซียวอู๋ทวนสิ่งที่เขาพูดเมื่อครู่นี้

“แล้วคุณอายุเท่าไหร่ แล้วคุณชื่ออะไรคุณรู้ไหม”

เขาส่ายหัว ถือแก้วบนโต๊ะ ดื่มน้ำในแก้วจนหมด “ดื่ม…”

ซูหย่าเทน้ำให้เซียวอู๋และยื่นให้เขา

จากนั้นแพทย์ก็ตรวจสอบเซียวอู๋ในด้านอื่น ๆ และเขาก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกหลังจากพบว่าส่วนอื่น ๆ ของร่างกายของเขาเป็นปกติ

“เส้นประสาทได้รับบาดเจ็บ เราจะให้ยาเขาระยะหนึ่ง ครอบครัวอย่างพึ่งเสียกำลังใจและคิดอะไรมาก เขาตื่นขึ้นมาก็เป็นปาฏิหาริย์แล้ว บางทีปาฏิหาริย์อื่นก็คงเป็นไปไม่ได้เหมือนกัน ดังนั้นทุกอย่างจึงต้อง.. ” ก่อนที่หมอจะพูดจบ เซียวอู๋ก็ลุกขึ้นและเอื้อมมือไปบีบคอหมอ

หมอที่ยังไม่ทันตั้งตัวหน้าซีดหลังจากถูกเขาบีบคอ

หมอที่พุ่งเข้ามาจากด้านหลัง หลายคนใช้กำลังทั้งหมดก่อนที่จะแยกมือของเซียวอู๋ออก อย่างไรก็ตาม ตัวเขาเองก็ไม่ได้แย่เลย ขณะแพทย์หลายคนที่มายับยั้งเขายังไม่สามารถหยุดเขาได้

พยาบาลดึงตัวซูหย่าออกมา “คุณนายเซียว ออกมาก่อน”

ซูหย่าปิดปากของเธอ น้ำเสียงของเธอผสมกับการร้องไห้ “เป็นไปได้ยังไง?”

ต่อมา เธอเห็นคนเดินเข้ามาฉีดยาระงับประสาทแก่เซียวอู๋ก่อนที่เขาจะสงบลง

“หมอ  หมอถูกบีบคอ หอบหนัก ใช้เวลานานเพื่อผ่อนคลาย มองไปที่ซูหย่าแล้วขมวดคิ้ว “เขาอยู่ในสถานการณ์แบบนี้ คุณยังไม่สามารถพาเขากลับไปได้ ผมเกรงว่าเขาจะทำร้ายคุณ”

ซูหย่าขมวดคิ้ว “อาจจะเป็นครั้งคราว”

หมอเหลือบมองเธอ “เราขอตรวจดูสังเกตการณ์สักระยะก่อน”

เพราะกังวลเกี่ยวกับซูหย่าและลูกของเธอ หลังจากที่แม่ซูรู้เกี่ยวกับสถานการณ์ของเซียวอู๋ เธอจึงพาซูหย่าออกจากโรงพยาบาลและไม่ยอมให้เธอเข้าใกล้เซียวอู๋อีกต่อไป

พ่อเซียวและแม่เซียวมาถึงเมืองHในคืนถัดไปหลังจากได้รับการแจ้งเตือนจากโรงพยาบาล

ว่ากันว่าหลังจากอยู่ในโรงพยาบาลเพียงสองชั่วโมง เมื่อเห็นอาการป่วยของเซียวอู๋

ในฐานะผู้ปกครองของเซียวอู๋ โรงพยาบาลได้สอบถามความคิดเห็นจากพวกเขา พวกเขาควรพาเขากลับบ้านหรือควรทำอย่างไร?

หลังจากเห็นสถานการณ์ของเซียวอู๋ พวกเขาก็มอบสิทธิ์การตัดสินใจไปที่โรงพยาบาลและกลับไปที่เมืองCโดยไม่คาดคิด

หลังจากรู้เรื่องนี้ ซูหย่าร้องไห้และโว้ยวาย และรู้สึกเจ็บปวดใจแทนเซียวอู๋

เธอนึกไม่ถึงว่าจะมีพ่อแม่แบบนี้ในโลกได้อย่างไร จู่ๆ เธอก็เข้าใจว่าสิ่งที่เซียวอู๋พูดในเสียงบันทึกนั้นไม่ใช่เรื่องปลอม

“เสี่ยวหย่า พ่อแม่ของเสี่ยวหวู่ยอมแพ้แล้ว ไม่ต้องไปกังวลแทนแล้ว”

“พวกเขาทำแบบนี้ได้ยังไง พวกเขามีลูกแค่คนเดียวนะ? ทำไมถึงทำแบบนี้ได้ลงคอ”

มือของแม่ซูที่ช่วยมัดผมเธอสั่นและขมวดคิ้ว “มีบางอย่างที่เธอยังเด็กเกินไปที่จะเข้าใจ”

ซูหย่าหันกลับมามองแม่ของเธอ เห็นได้ชัดว่าบางอย่างพูดไม่ได้ “แม่ รู้อะไรมาใช่ไหม”

แม่ซูหวีผมแล้วหวีมันอีกหลายครั้ง “อย่าถามเลย หมอบอกว่าสถานการณ์ของเซียวอู๋อาจจะอยู่แบบนี้ไปตลอด เสี่ยวหย่า เธอก็ฟังหมอแล้วส่งเขาไปที่โรงพยาบาลจิตเวช …”

“โรงพยาบาลจิตเวช?” ซูหย่าลุกขึ้นจากโซฟาอย่างรวดเร็ว เธอมองแม่ของเธออย่างไม่เชื่อ “แม่ แม่จะปฏิบัติกับเสี่ยวหวู่ แบบนี้ได้อย่างไร เขาเป็นวีรบุรุษนะ”

แม่ซูเม้มปาก “แม่รู้ แต่ลูกก็เห็นหมอในโรงพยาบาลวันนั้น หมอทุกคนถูกเขาทุบตีจนฟกช้ำ ถ้าไม่มียาระงับประสาท อาจจะควบคุมไม่ได้” . ”

คำพูดของแม่ทำให้ซูหย่าขมวดคิ้ว ในฐานะของเซียวอู๋ถ้าไม่สุดๆจริงโรงพยาบาลคงไม่ใช่ทางเลือกสุดท้าย

แต่เขาก็ไม่ใช่คนธรรมดา

แต่เธอจะให้เซียวอู๋ถูกส่งตัวไปอยู่ที่โรงพยาบาลจิตเวชตลอดชีวิต นั่นคือพ่อของลูกของเธอนะ? คนอื่นสามารถเพิกเฉยและยอมแพ้ได้ เธอบอกกับตัวเองว่า ซูหย่า เธอทำไม่ได้

แม้ว่าวันหนึ่งเซียวอู๋จะตื่นขึ้นมาและต้องการหย่ากับเธอ แต่เธอก็ควรดูแลเขาแทนลูก ก่อนที่เขาจะตื่น

เธอส่ายหัวและพูดอย่างหนักแน่น: “ไม่แม่ฉันไม่สามารถส่งเขาไปที่โรงพยาบาลจิตเวชได้ ปัญหาแบบนี้ของเซียวอู๋เป็นเพียงชั่วคราวแม่เชื่อฉันเถอะเขาจะหายดี” สถานที่แบบนั้นแม้ว่าคนปกติจะไปที่นั่นก็ไม่สามารถออกมาได้อย่างไม่สมบูรณ์ได้หากพูดถึงสถานการณ์ของเซียวอู๋ ซึ่งคาดว่าน่าจะทำให้อาการแย่ลงเท่านั้น

เมื่อคิดถึงคนเหล่านั้นถูกมัดด้วยเชือกหยุดด้วยความรุนแรงและควบคุมด้วยยาเมื่อเขาล้มป่วย เธอแค่คิดก็ทุกข์ใจจนหายใจไม่ออก

ใบหน้าของแม่ซูทรุดลง “ไม่มีความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้ เสี่ยวหย่า เราไม่สามารถเห็นเธอกระโดดเข้ากองไฟได้” หลังจากนั้นเธอก็เดินออกไป

หลังจากนั้นไม่นาน มีผู้หญิงสองคนที่สวมเครื่องแบบสีดำเดินจากด้านนอกดูราวกับว่าพวกเขามีความสามารถ

“แม่ แบบนี้มันหมายความว่าอย่างไร”

“เสี่ยวหย่า อย่าโทษแม่ มีบางอย่างที่แก้ไม่ได้ด้วยตัวเอง ใช้ประโยชน์จากความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับเซียวอู๋ที่ยังไม่ลึกไปกว่านี้ ปล่อยวางเถอะ เด็กนี้บ้านตระกูลเซียวเขาไม่เอา เราจะเลี้ยงเอง แต่น้ำโคลนนี้ เธออย่าไปจมมันอีก”

“แม่คะ หมายความว่าอย่างไร ลูกคนนี้คืออะไร บ้านตระกูลเซียวเขาไม่เอา?” ซูหย่าคิดว่าแม่ของเธอรู้อะไรมา เซียวอู๋ เป็นลูกคนเดียวของตระกูลเซียว มีเหตุผลว่าเซียวอู๋ มีอาการเป็นเช่นนี้ ในฐานะผู้ปกครอง เขาควรจะกังวลมากเกี่ยวกับเด็กในท้องของเธอ

ทั้งหมดเป็นไปได้ว่าเป้นรากเหง้าของตระกูลเซียว

อย่างไรก็ตาม ความจริงก็คือเป็นเวลาหลายเดือนแล้วตั้งแต่เกิดอุบัติเหตุกับเซียวอู๋ หลายเดือนก็ไม่เคยมาดูเธอ เธอคิดว่าบางทีอาจต้องการปิดเรื่องเกี่ยวกับเซียวอู๋ กับตระกูลซู แต่คราวนี้เมื่อพวกเขารู้ว่าเธอรู้เรื่องแล้ว แต่พวกเขาก็ไม่เคยเห็นมาหาเธอ และไม่ได้โทรมาแม้แต่น้อย

มันไร้เหตุผลเกินไป

แม่ซูยื่นแขนออกมาและกอดซูหย่า “อย่าถามเลย เรื่องบางอย่างรู้มากไปก็ไม่ดีกับเรา”

ความตาย… จู่ๆ สองคำนี้ก็แวบเข้ามาในหัว

เธอลุกขึ้นนั่งอย่างรวดเร็ว "แม่ เสี่ยวหวู่…เขา…" เธอไม่กล้าพูดที่เหลือ

แม่ซูมองไปที่พ่อซู พ่อซูยืนขึ้นและพูดว่า "พูดสิ ช้าหรือเร็วก็ต้องรู้อยู่ดี"

หัวใจของซูหย่า"เต้น ตึกๆ" สองสามครั้ง และมือของเธอที่อยู่ภายใต้ผ้าห่มกำแน่นโดยไม่ตั้งใจ

“เสี่ยวหย่า ใครเป็นพ่อของลูกในท้องของเธอ?”

ซูหย่าคิดว่าแม่ซู กำลังจะพูดถึงเสี่ยวหวู่… แต่เธอกำลังพูดถึงเด็กที่อยู่ในท้องของเธอ เธอตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง

"หมายความว่าอย่างไร"

“เสี่ยวหวู่พูดว่า เด็กในท้องของเธออายุสองเดือนแล้ว แต่เขาบอกไม่ได้อยู่ด้วยกันมาสองเดือนแล้ว เขาบอกว่า… ลูกของเธอเป็นของปี๋ไค”

“เขา ไม่เป็นอะไรแล้วใช่ไหม”

แม่ซูพยักหน้า “ไม่เป็นไร ปล่อยเขาไปเถอะ ดูแลตัวเองก็พอ”

เมื่อได้ยินว่าเซียวอู๋ไม่เป็นไร ซูหย่าก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก “ไม่เป็นไร ถ้าเขาโอเค เขาจะรู้เองว่าเด็กคนนั้นเป็นลูกใครเมื่อเขาเกิด”

เธอใช้คำพูดที่เล่อจยาเคยพูดไว้มาพูด เธอคิดว่าสิ่งนี้แตกต่างจากคำพูดอื่น

“เธอบอกว่าเด็กคนนี้เป็นลูกของเสี่ยวหวู่?”

ซูหย่ายิ้ม “แน่นอนเป็นของเขา ไม่ใช่สองเดือน แต่เป็นสามเดือน” จากนั้นเธอก็มองหาโทรศัพท์ของเธอ และบนโต๊ะข้างเตียง เธอหยิบภาพที่ถ่ายด้วยโทรศัพท์ของเธอออกมาแล้วแสดงให้แม่ซูดู นี่คือการตรวจสอบที่จยาจยาและฉันทำร่วมกัน แสดงว่าเป็นเวลามากกว่าสามเดือนกับอีกสองสามวัน"

“แล้วการแท้งครั้งนั้น…”

“โกหกเสี่ยวหวู่ แม่ หนูหิวแล้ว ช่วยไปเอาอาหารมาให้หน่อย” เมื่อรู้ว่าเซียวอู๋ไม่เป็นไรแล้ว ซูหย่าก็รู้สึกว่าทุกอย่างโอเค แล้วรวมถึงความเข้าใจผิดนี้ด้วย

แม่ซูและพ่อซูมองหน้ากัน แล้วพวกเขาก็ออกไปทีละคน

เมื่อนึกถึงเซียวอู๋ ซูหย่าอดไม่ได้ที่จะกดโทรศัพท์หาเขา แต่ไม่มีใครรับสาย

โทรไปหลายครั้งก็เหมือนเดิม

ทุกครั้งที่โทรหา มันก็จะมีความไม่สบายใจขึ้นเล็กน้อยในหัวใจ

ในที่สุดเธอก็โทรหามู่ซือและไม่นานก็รับสาย

“เฮ้…” น้ำเสียงเย็นชา

“มู่ซือตอนนี้เสี่ยวหวู่อยู่แถวนั้นหรือเปล่า”

“เขาไม่ว่าง คุณมีเรื่องอะไร บอกผมได้ จะได้ช่วยบอกให้”

ซูหย่าถอนหายใจด้วยความโล่งอก เขายุ่งอยู่ใช่ไหม? งันไม่เป็นไร.

“ไม่เป็นไร เดี๋ยวโทรหาเขาใหม่ตอนที่เขาว่าง” พูดจบกำลังจะวางสาย

“คุณซู มีบางอย่าง ผมไม่รู้ว่าควรพูดหรือไม่”

เขาเรียกเธอว่าคุณซู ไม่ใช่พี่สะใภ้ ซูหย่าตกใจ “คุณพูด”

“คุณกับเสี่ยวหวู่ก็หย่ากันแล้ว และคุณกับคุณปี๋ก็มีลูกด้วยกัน งั้นก็เลิกยุ่งกับเสี่ยวหวู่เถอะ” พูดจบก็วางสาย

โทรศัพท์มือถือของซูหย่าหลุดจากมือของเธอและตกลงบนผ้าห่ม "แม่ แม่…" เธอตะโกน

แม่ซูคิดว่ามีบางอย่างผิดปกติ เธอจึงวิ่งออกจากครัว ผลักประตูไปเห็นเธอนอนอยู่บนเตียง และถอนหายใจด้วยความโล่งอก "เกิดอะไรขึ้น นี่มันอะไรกัน"

“แม่ ทำไหมหนูถึงหย่ากับเสี่ยวหวู่ เกิดอะไรขึ้น?”

แม่ซูจับมือเธอแล้วพูดว่า “เสี่ยวหย่า แม่รู้ว่าเธอกับเสี่ยวหวู่แต่งงานกันเพื่อต้องการเอาชนะ ในเมื่อเธอก็ไม่รักเขา หย่ากันดีแล้ว เมื่อวานตอนเราไปดึงตัวลูกกลับมา เสี่ยวหวู่ก็เซ็นใบหย่าไว้ให้แล้ว "

“ใครบอกว่าหนูไม่รักเขา ใครพูดอย่างนั้น” ซูหย่าเปิดผ้าห่มออก “ไม่ หนูจะไปหาเสี่ยวหวู่เพื่อถามให้ชัดเจน จะบอกเขาว่าเด็กคนนี้คือลูกของเขาและหนูจะบอกเขาว่าหนูรักเขา”

เมื่อเห็นเธอเช่นนี้ แม่ซูก็ร้องไห้ออกมา “เสี่ยวหย่า เขาอยู่กับผู้ช่วยของเขาแล้ว ทำไมเธอถึงทำเช่นนี้?”

ซูหย่าเริ่มเคลื่อนไหวช้าๆ เธอมองขึ้นไปที่แม่ซู “แม่ กำลังพูดถึงเรื่องอะไร”

“เธอมันไร้ยางอาย เขาไม่ต้องการเธอแล้ว ก็ยังอยากต่อสู้อีกมันจะมีความหมายอะไร ถ้าเด็กคนนี้เกิดมาและเราจะเลี้ยงดูเขาเอง และในอนาคตก็ห้ามพูดถึงชื่อเซียวอู๋อีก” เสียงของพ่อพูดอย่างเคร่งขรึมมาจากประตู ซูหย่ายังไม่ทันเห็นหน้าพ่อของเขา แต่รู้สึกได้ความเด็ดขาดนั้น

ตั้งแต่เกินเรื่องขึ้นในความทรงจำ ครั้งแรกที่พ่อของเธอจริงจังกับเธอ มันคือวันก่อนที่เขาจะเข้ากองทัพ นี่เป็นครั้งที่สอง ทั้งหมดเป็นเพราะเซียวอู๋

เธอเม้มปาก ก้าวถอยหลังขึ้นนอนบนเตียง แต่เธอรู้อยู่ในใจว่าสิ่งที่พ่อของเธอกำลังพูดถึงคือเรื่องจริงที่เธอต้องทำตาม

เมื่อเล่อจยาเข้ามาเห็นซูหย่าหลับอยู่ เธอจึงลงไปข้างล่าง

“แม่ทูนหัว เป็นยังไงบ้าง”

“พ่อของเธอพูดอะไรที่มันรุนแรง เป็นเวลาซักพักแล้ว น่าจะไม่มีอะไรน่าสงสัย สถานการณ์ของเสี่ยวหวู่เป็นอย่างไรบ้าง”

“หัวหน้าของพวกเขาให้ความสำคัญกับเขามาก พวกเขาย้ายเขาไปที่โรงพยาบาลที่ดีที่สุดแล้วและพวกเขายังหาแพทย์ที่เก่งที่สุด แต่ความหวังก็น้อยมาก”

แม่ซู่สูดหายใจเข้าเสียงของเธอสำลัก และเธอก็จับมือเล่อจยา "เธอก็เห็นสาวน้อยคนนี้ เธอมักจะไร้หัวใจ ฉันรู้ เธอเป็นคนอารมณ์ดี เธอจริงใจกับเซียวอู๋มาก จยาจยา ช่วงนี้ถ้ามีเวลาก็ช่วยมาอยู่เป็นเพื่อเธอหน่อย หากเซียวอู๋เป็นอะไรไปจริงๆ นั่นเป็นรากเดียวที่เขาทิ้งไว้ ครอบครัวซูของเราสามารถช่วยเขาได้ก็ถือได้ว่าเป็นการสั่งสมบุญ"

และถ้าเซียวอู๋ตายขึ้นมาจริงๆ ถือว่าเป็นการเสียสละเพื่อประเทศจริงๆ ว่ากันว่ากลุ่มคนเดิมมีกำหนดจะจัดการประชุมระดับนานาชาติ อีกฝ่ายก็จัดการอย่างระมัดระวัง ถ้าไม่ใช่เป็นเพราะเซียวอู๋ ผลที่ได้อาจหายนะกว่านี้

ดังนั้น หลังจากที่รู้เรื่องราวทั้งหมดแล้ว และรู้ว่าลูกของเซียวอู๋ อยู่ในท้องของเสี่ยวหย่า ทุกคนก็ต้องพร้อมใจกันเพื่อไม่ให้ซูหย่ารู้เรื่องนี้

เมื่อประตูห้องเปิดออก หลังจากได้ยินสิ่งที่เธอต้องการได้ยิน หัวใจของซูหย่าก็เหมือนมีดกรีด ริมฝีปากของเธอสั่นและดวงตาของเธอปิดจนเศร้าถึงขีดสุดเธอก็ไม่หลั่งน้ำตา เธอคลุมท้อง “ลูกเอ๋ย ลูกต้องสบายดี แม่ไม่ดีเองที่มักกวนใจพ่อตลอดเวลา คราวนี้ลูกต้องทำให้พ่อเขามีความสุขแทนแม่ เข้าใจไหม?”

เมื่อนอนอยู่บนเตียง เธอหันข้าง มองโทรศัพท์ เธอแอบถ่ายภาพหน้าด้านข้างของเขาเมื่อเขาผล็อยหลับไปตอนที่พวกเขาขดตัวเข้าด้วยกัน "เสี่ยวหวู่ ฉันผิดไปแล้วจริงๆ อย่าไปเลยได้ไหม ขอแค่เธอตื่น ฉันจะไม่กวนคุณอีกต่อไป เราเลิกกันเถอะ ฉันจะคืนชีวิตที่สมบูรณ์กับคุณ ได้ไหม ได้โปรด"

ในชั่วพริบตาช่วงปลายปี ซูหย่าตั้งครรภ์ได้ 7 เดือนและสิบสัปดาห์ก่อนถึงกำหนดคลอด เซียวอู๋ยังอยู่ในอาการโคม่า แพทย์ตอบว่าการดมยาสลบทำให้เส้นประสาทสมองเสียหาย . แม้ว่าเขาจะตื่นขึ้นบางทีสติปัญญาของเขาอาจเสียหายได้

“แม่คะ หนูอยู่บ้านทุกวัน ตัวหนูกำลังจะขึ้นราแล้ว หนูอยากไปเดินเล่น” ซูหย่าหยิบผลไม้ชิ้นสุดท้ายเข้าปาก กอดแม่ซูแล้วออดอ้อน

แม่ซูเห็นว่าช่วงนี้ซูหย่าไม่ค่อยแยแสกับเรื่องของเซียวอู๋ แม่ของซูจึงคิดว่าเธอโกรธเซียวอู๋ดังนั้นเธอจึงไม่คิดมากเกี่ยวกับเรื่องนี้

"อยากไปเดินเล่นแถวนั้น?"

“ไปเมืองH ได้ยินมาว่าวิวทะเลที่นั่นสวยและอุณหภูมิยังปานกลางไม่หนาวมาก”

เมือง H ซึ่งเป็นเมืองที่เซียวอู๋เคยอยู่ แม่ซูก็เงยหน้าขึ้นและมองไปที่ซูหย่าเมื่อเธอพบว่าสีหน้าของเธอไม่ผิดปกติเธอก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกและพูดอย่างใจเย็นว่า "ไปไกลขนาดนั้น ท้องออกจะใหญ่ มันไม่ปลอดภัย..”

เช้านี้ บ้านตระกูลซูที่ดูเงียบ จากนั้นก็มีเสียงตะโกนว่า "เด็ก….."

เสียงมาจากห้องของทารก ทุกคนคิดว่ามีบางอย่างผิดปกติกับทารกและทุกคนก็วิ่งขึ้นไปชั้นบนอย่างประหม่า

ห้องของพี่ใหญ่ซูอยู่ใกล้กันเขายังไม่ทันใส่เสื้อก็รีบวิ่งออกมาในชุดวอร์และเปิดประตู “มีอะไรเหรอป้า?”

คุณป้ายื่นจดหมายให้พี่ใหญ่ซู “เด็ก… เด็ก แม่ของเด็ก พาเด็กไปแล้ว”

เมื่อแม่ซูได้ยินคำพูดนั้น เธอก็เหมือนจะหมดสติ “พี่ใหญ่ รีบโทรหาเสี่ยวหย่าเร็ว เร็วเข้า”

พี่ใหญ่ซูไปที่ห้องเพื่อเอามือถือ พอโทรไป ก็เหมือนมือถือจะปิดอยู่

พ่อซูกล่าว "รีบโทรไปที่โรงพยาบาลที่เสี่ยวหวู่อยู่"

พี่ใหญ่ซูรีบติดต่อโทรถาม "สวัสดีครับ ผมเป็นคนในครอบครัวของเซียวอู๋ ผมต้องการสอบถามเกี่ยวกับสภาพร่างกายล่าสุดของเขา"

เขาได้ยินปลายสายคนรับโทรศัพท์ถามคนข้างหลังเขา สักพักคนๆ นั้นก็ตอบกลับมาว่า “สวัสดีครับ เมื่อเช้านี้ คุณนายเซียวมารับคุณเซียวออกไปแล้วนะครับ”

พี่ใหญ่ซูเปิดลำโพงคุย ทุกคนจึงได้ยินการสนทนา

พ่อซูจับหน้าผากของเขาและตบเบาๆ “เสี่ยวหย่า เด็กคนนี้…”

แม่ซูเป็นลมหมดสติ

หลังจากนั้นครึ่งชั่วโมง

“คุณชายครับ นี่คือข่าวของวันนี้ ลองดู” พ่อบ้านยื่นโทรศัพท์ให้พี่ใหญ่ซูที่อยู่บนเตียงของแม่ซูอารมณ์ของเขาดูไม่ดีทันทีเมื่อพ่อบ้านขอให้เขาดูข่าว เขาพูดอย่างหมดความอดทน"มันใช่เวลาที่จะดูข่าวตอนนี้ไหม"

พ่อบ้านถอนหายใจ “เป็นข่าวของคุณหนู”

พี่ใหญ่ซูเลิกคิ้วเล็กน้อยและรีบคว้าโทรศัพท์ คุณพ่อซูก็เดินไปที่เตียงด้วย ข่าวดังกล่าวว่า "ลูกสาวของตระกูลซูและคนรักของเขาผู้บังคับบัญชาเซียวกำลังเดินทางระหว่างกลับบ้าน รถก็พุ่งทะลุกำแพงกั้นตกลงไปในทะเลมีเด็กเด็กอยู่ในนั้นด้วย"

พ่อซูเดินโซเซกลับมาและล้มลงบนเก้าอี้ไม้ไผ่

“พ่อ” พี่ใหญ่ซูยืนขึ้นอย่างประหม่าและช่วยคุณพ่อซู “พ่อ รักษาสุขภาพด้วย”

“พี่ใหญ่…….เสี่ยวหย่า รีบไปตรวจสอบดู ว่าเกิดอะไรขึ้น”

ก่อนที่พี่ใหญ่ซูจะลงไปข้างล่าง ประตูชั้นล่างก็ถูกผลักเปิดออกอย่างแรง "ซูหย่า ซูหย่า…" เป็นเสียงของเล่อจยา

“จยาจยา…”

“พี่ใหญ่ ซูหย่าอยู่ที่ไหน” เล่อจยาอ้าปากค้างอย่างแรง ใบหน้าของเธอซีด พี่ใหญ่ซูก้มศีรษะลงและเห็นว่าเธอสวมชุดนอนที่มีผมกระเซิง เท้าข้างหนึ่งเปลือยเปล่า และเท้าอีกข้างสวมรองเท้าแตะ

เมื่อเห็นพี่ใหญ่ซูไม่พูด เล่อจยาก็ปิดปากและเริ่มร้องไห้ "ไม่ เธอจะไม่ตาย เธอจะต้องไม่ตาย…"

เกาไห่ไล่ตามมาจากด้านหลัง ถือเสื้อโค้ทและรองเท้าไว้ในมือ หอบมาเหมือนกัน สวมเสื้อคลุมให้เล่อจยา จากนั้นก็ก้มลงสวมรองเท้าให้เธอ "จยาจยา คุณจะวิ่งแบบนี้ไม่ได้แล้วนะ"

เล่อจยาปิดหน้าท้องส่วนล่างของเธอ เมื่อคืนนี้ เธอเพิ่งพบว่าเธอตั้งท้องด้วยที่วัดการตั้งครรภ์ เธอโทรหาซูหย่าและดูเหมือนว่าน้ำเสียงดูผิดไปเล็กน้อยในตอนนั้น เธอบอกกับเธอว่า “ถ้ามี โชคชะตาจริงฉันหวังว่าเราจะได้ดองญาติกัน "เธอตอบในเวลานั้นแล้วถ้าได้ลูกชายล่ะ?

เธอตื่นเต้นเกินไป เธอจึงไม่สนใจคำพูดของเธอเลย!

ทันใดนั้น เธอก็ยกมือขึ้นตบท้องอย่างแรง “โทษเธอเอง เมื่อคืนเธออารมณ์ไม่ดี เมื่อคืนฉัน…ฉันยังบอกเธอเรื่องการตั้งครรภ์อยู่ และฉันก็.. . ฉันมีความสุขมากฉันไม่ได้ … ฉันไม่ได้ยินความผิดปกติของเธอ ฉันขอโทษเสี่ยวหย่า … " เล่อจยาร้องไห้ออกมา

เกาไห่ กอดเธอไว้ในอ้อมแขนของเขา จับมือเธอ และไม่พูดอะไร เขารู้ความสัมพันธ์ระหว่างซูหย่าและเล่อจยา

ในเวลานี้ โทรศัพท์มือถือของพี่ใหญ่ซูก็ดังขึ้น เขาหยิบมันขึ้นมา และไม่รู้สิ่งที่พูดอยู่ข้างในโทรศัพท์นั้นคืออะไร โทรศัพท์ของเขาก็หลุดจากมือลอยขึ้นกลางอากาศแล้วล้มลงกับพื้น

สายที่ยังไม่ได้วาง และมีคำว่าสำนักงานความมั่นคงสาธารณะของเมือง H แสดงอยู่บนหน้าจอ เล่อจยาคุกเข่าลงบนพื้นด้วยขาของเธอ และกดเปิดลำโพง

“รถได้รับการกู้แล้ว แต่ฉันเสียใจด้วยตอนนี้ยังไม่มีข่าวคืบหน้าใด ๆ ถ้ามีเราจะแจ้งให้คุณทราบโดยเร็วที่สุด”

เกาไห่ถอนหายใจอย่างแผ่วเบา รับโทรศัพท์ กล่าวขอบคุณ แล้ววางสาย

เล่อจยา หยุดร้องไห้แล้วเธอนั่งลงบนพื้น คุกเข่าและไม่พูดอะไร

ซูหย่าและเธอไม่ได้มีความสัมพันธ์แค่เพื่อนเท่านนั้น หากมีอะไรเกิดขึ้นกับเธอเท่าที่ได้ฟังมาอาจอันตรายถึงชีวิตอย่างแน่นอน

แววตาของเกาไห่มีความทุกข์อย่างเห็นได้ชัด แต่เขาไม่สามารถพูดคำปลอบใจใดๆได้ ตอนนี้ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับชีวิตของซูหย่าว่าจะเป็นตายร้ายดีอย่างไร

กังวลว่าร่างกายของแม่ซูจะทนไม่ไหว เมื่อเรื่องทั้งหมดไม่ได้รับการยืนยัน ทุกคนจึงมีมติเป็นเอกฉันท์ปิดบังไว้ก่อน

พี่ใหญ่ซูรีบไปที่เมือง H ทันที และไปที่สถานที่ที่ทั้งสองคนประสบอุบัติเหตุก่อน

จอมอนิเตอร์ในสภาพรถเห็นว่าซูหยาเป็นคนขับ เมื่อเธอขับรถไปถึงที่เกิดเหตุ เราเห็นคนที่อยู่เบื้องหลังพยายามดึงพวงมาลัยของเธอ แล้วรถก็พุ่งทะลุรั้วกั้นเข้าไปอย่างควบคุมไม่ได้และตกลงไปในทะเล.

วินาทีที่เห็นวิดีโอก็เตรียมทำใจไว้แล้ว พี่ใหญ่ซูยังงุนงงก่อนจะเรียกคืนสติ น้องสาวคนนี้ทำตัวแปลกตั้งแต่ยังเป็นเด็ก แต่มีความสัมพันธ์ที่ดีกับเขามาโดยตลอด เธอประสบอุบัติเหตุเขาเองก็เจ็บไม่น้อยไปกว่าพ่อแม่

หลังจากสงบสติอารมณ์ เขายังคงถือความหวังและไปที่โรงพยาบาลที่เซียวอู๋เคยอยู่

แน่นอน โรงพยาบาลก็รู้เรื่องนี้เช่นกัน ทหารได้ส่งตัวแทนมาและโทษโรงพยาบาลที่ปล่อยให้ซูหย่าไปรับเซียวอู๋ไป วิดีโอนั้นแสดงให้เห็นชัดว่าในขณะนั้นเกิดจากอาการป่วยของเซียวอู๋ที่คว้าพวงมาลัย

“ในขณะนั้น คุณนายเซียวมากับทะเบียนสมรสและต้องการรับผู้บังคับบัญชาเซียวกลับ โรงพยาบาลของเราไม่มีเหตุผลที่จะปฏิเสธ” โรงพยาบาลร้องเรียก และนำคลิปวิดีโอตอนที่ซูหย่ามารับเซียวอู๋ และตอนนั้นพวกเขาก็ยังใส่เสื้อผ้าตัวเดียวกับตอนที่เกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์

“พวกคุณรู้แต่เพียงว่าเกิดเรื่องขึ้น จะมาหาคนรับผิดชอบ ในช่วงระยะหลังของผู้ป่วยแม้ว่าทหารของคุณจะส่งคนมาเยี่ยมแต่จะใครจริงๆที่ห่วงใยเขา เรายังเคารพเขาในฐานะวีรบุรุษ เมื่อตอนที่แม่และเด็กมารับ เราหวั่นไหวแล้วก็ปล่อยไป" คณบดีเป็นหญิงผู้สูงอายุวัยกลางคน นางก็ปาดน้ำตา

“ในฐานะตัวแทนของประเทศ คุณปฏิบัติต่อผู้ที่เสียสละเพื่อประเทศเช่นนี้ คุณไม่มีคุณสมบัติที่จะตำหนิเรา”

คณบดีคงบ่นเรื่องที่ติดอยู่ในใจออกมา ณ เวลานี้ ดูเหมือนเธอจะไม่สนใจเรื่องอื่น ยิ่งพูดก็ยิ่งเศร้าใจ

บางทีคำพูดของเธออาจใช้ได้ผล หรืออาจเป็นเพราะการเปิดเผยของสื่อที่สร้างแรงกดดัน สองชั่วโมงต่อมา กองทัพถูกส่งไปกอบกู้……

ปี๋ไคสตาร์ตรถ "ไม่รู้จัก"

ซูหย่าถามอีกครั้ง "อย่างนั้นคุณรู้จักชื่อเขาได้อย่างไร?อีกทั้ง แล้วคุณรู้ได้อย่างไรว่าฉันอยู่ในซูเปอร์มาร์เก็ตนี้?"

"บอกแล้ว คุณจะไม่โกรธใช่ไหม"

"คุณบอกมา……ไม่โกรธ"

"ฉันติดเครื่องดักฟังไว้ที่เคสมือถือของคุณ"

ซูหย่ายกมือขึ้นมาตีปี๋ไคอย่างแรง "ปี๋ไค คุณ……ทำไมคุณเลวทรามแบบนี้?"

เธอต่อว่า แต่ปี๋ไคยังคงเงียบนิ่งเฉย จนกระทั่งซูหย่าตั้งสติได้ เขาจึงพูดว่า "วันนั้นหลังจากทานอาหารแล้ว กลัวว่าเขาจะกลับไปทำอะไรแย่ๆกับคุณ คิดๆแล้ว ฉันเลยใส่อันนี้ไว้ในเคสมือถือของคุณ เมื่อวานได้ยินเรื่องระหว่างพวกคุณแล้ว ฉันก็เป็นห่วง วันนี้เลยตัดสินใจมาดูคุณสักหน่อย"

ความโกรธเกรี้ยวของซูหย่า หลังจากที่เห็นความเจ็บปวดใจในแววตาของเขา ใจก็อ่อนลง ความโกรธก็ลดลงมา เธอจ้องมองเขา เปิดเคสมือถือออก เป็นอย่างที่คาดไว้ ที่เคสมือถือมีของเล็กๆกลมๆติดอยู่ เพราะว่าบางมือจึงคลำไม่รู้

เธอฉีกมันออก พร้อมกับจะโยนมันออกไปนอกหน้าต่าง คิดๆแล้วก็เก็บกลับมา "มันเปิดปิดได้ไหม?"

ปี๋ไคพยักหน้า "มี ข้างๆมีปุ่มกด"

ซูหย่ากดลง ได้ยินเสียงดัง"คลิก"เบาๆ แล้วใส่มันกลับไปที่เคสมือถือเหมือนเดิม "เก็บไว้ เผื่อไว้ หลังจากนั้น คุณต้องชดใช้ โดยวิธีการส่งมือถือมาให้ฉัน"

"ไม่ใช่คุณต้องการจะเอาไว้ตรวจสอบสามีคุณใช่ไหม?ฉันขอเตือนคุณไว้เลยนะ คุณอย่าทำเรื่องให้วุ่นวาย ใช้เครื่องดักฟังกับทหาร ผลที่ตามมาอาจจะร้ายแรงมาก" ปี๋ไครู้จักซูหย่าดี เขากลอกตาไปมา เขารู้ว่าเธอคิดอะไรอยู่ในใจ

ซูหย่าตกตะลึง กระแอมไอเบาๆ "ฉัน……ฉันจะเก็บไว้ใช้เอง"

เธอมีนิสัยดื้อดัน ปี๋ไครู้ดีว่าพูดมากไปก็ไม่มีประโยชน์ ก็เลยไม่พูดแล้ว

รถขับไปยังที่ที่โอวหยางเฟิงเคยจอดไว้ก่อนหน้านี้ แต่รถทหารสีเขียวคันนั้น หายไปแล้ว "ดูเหมือนว่าเขาจะกลับไปแล้ว คุณส่งฉันกลับไปค่ายทหารหน่อยเถอะ"

นึกถึงว่าเซียวอู๋ต้องรู้ว่าเธอถูกทิ้งไว้คนเดียว เธอก็อดไม่ได้ที่จะตัวสั่น

พอถึงหน้าประตูทางเข้าค่ายทหาร ปี๋ไคก็นำของมาวางไว้หน้าป้อมทหาร "คุณให้คนช่วยยกไปส่งนะ อย่าถือเอง ในช่วงแรกๆของการตั้งครรภ์ ไม่สามารถยกของหนักได้ ได้ยินไหม?"

ซูหย่าพยักหน้า "อย่างนั้นคุณกลับไปก็ขับรถดีๆนะ" พูดจบ ก็ช่วยจัดระเบียบผ้าพันคอของเขา "มีธุระหรือไม่มี ก็โทรหาฉันได้นะ"

ปี๋ไคก็ลูบๆผมเธอ "เสี่ยวหย่าของฉันกลายเป็นผู้หญิงที่อ่อนโยนไปแล้ว"

"น่ารำคาญ คุณรีบกลับไปเถอะ"

แม้จะรู้ดีว่าการแยกจากกันนี้คงอีกไม่นาน แต่ว่าซูหย่าต้องอยู่ต่างบ้านต่างเมือง ก็ยังคงรู้สึกได้

หันกลับมาจนกระทั่งไม่ได้ยินเสียงรถแล้ว เธอจึงหันกลับไป ปากเบะขอบตาแดงก่ำ

"อาลัยอาวรณ์ขนาดนั้น จะกลับมาทำไม?" เสียงผู้ชายดังขึ้นจากด้านหลัง

ซูหย่าหันไป ตาทั้งคู่ก็ประสานกัน ในแววตาอีกคนหนึ่งมีน้ำตา ในแววตาอีกคนหนึ่งมีความโกรธ

"คุณ……คุณออกมาได้อย่างไร?"

ชายคนนั้นมองไปที่ถุงใหญ่สี่ใบบนพื้น ก็พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา : "คุณคิดว่ามาเที่ยวที่นี่เหรอ?"

"คุณไม่ใช่ แต่ฉันใช่" พูดจบก็คิดจะเดินไปหยิบของ มือใหญ่ของชายคนนั้นก็เข้าไปแย่งเธอถือขึ้นมา แล้วมองเธอตาขวาง

เพราะการอาศัยอยู่ที่นี่ต้องมีกฎระเบียบ ดังนั้น ตลอดทางนี้ พวกเขาต้องได้รับการตรวจสอบตลอดจนถึงหอพัก

หลังจากเซียวอู๋เอาของวางไว้ให้แล้ว ก็ออกไปทันที บอกว่ามีธุระ

ซูหย่าจัดของว่าง ของใช้ในชีวิตประจำวันต่างๆอย่างเรียบร้อย และในที่สุดก็รู้สึกสบายใจขึ้น เธอจะไม่อดตายแล้ว

อาจจะเพราะตอนเช้าทรมานเกินไป เพิ่งจัดของเสร็จ ซูหย่าก็รู้สึกทั้งเหนื่อยทั้งง่วง จึงเอนกายลงบนเตียง แล้วหลับไป

เมื่อตื่นขึ้นมา ท้องฟ้าก็จะมืดแล้ว เธอพลิกตัวลุกขึ้นนั่ง "จบเห่แล้ว เลยเวลาทานข้าวไปแล้ว"

"นอนไปตั้งสี่ชั่วโมงกว่า เชื่อเลยจริงๆ!" เสียงของเซียวอู๋ ประชดประชันอย่างนิ่งๆ

ซูหย่าจึงได้เห็นว่า เขายืนอยู่ข้างๆโต๊ะ หยิบปากกาแล้วดูแผนที่ที่อยู่บนโต๊ะ

เธอหัวเราะแหะๆ "คุณ….ทำไมคุณไม่เรียกฉัน?"

"ก๊อกๆ"

"เข้ามา"

"รายงานหัวหน้าทหาร อาหารที่ให้ฉันไปอุ่นร้อนเรียบร้อยแล้ว"

"ยกเข้ามาสิ"

เห็นอาหาร ซูหย่าก็นึกขึ้นได้ อาหารที่ห่อกลับมาก่อนหน้านี้อยู่บนรถของปี๋ไค

เธอลุกขึ้น มองเซียวอู๋ แล้วพูดเบาๆว่า" "ขอบคุณนะ"

หลังจากทานเสร็จ ซูหย่าก็มองเซียวอู๋ "ฉันซื้อของกิน แล้วก็ของใช้มาเล็กน้อย ทั้งหมดอยู่ในชั้นวางของใต้โต๊ะ คุณต้องการก็หยิบไป"

เซียวอู๋"อืม"เบาๆจนแทบไม่ได้ยิน

วันต่อมา ก็กลับมาสงบเหมือนเดิม เซียวอู๋ยุ่งอย่างมาก ออกไปแต่เช้ากลับมามืดค่ำทุกวัน เธอดำเนินชีวิตทุกวันเหมือนกับเลี้ยงหมูจริงๆ ทุกวันทานข้าว ดูละคร แล้วก็นอน

ตั้งแต่ครั้งแรกที่คนทั้งสองทะเลาะกันเอะอะโวยวาย ก็ไม่เคยสงบแบบนี้มาก่อนเลยจริงๆ ทีแรกซูหย่าก็ไม่เคยชินเล็กน้อย ต่อมา เห็นว่าเซียวอู๋ไม่หาเรื่องทะเลาะกับเธอ จึงค่อยๆไม่ก่อเรื่องทะเลาะ คุณไม่รุกรานฉัน ฉันก็ไม่รุกรานคุณ

อากาศเริ่มเย็น เปลี่ยนเป็นเข้าสู่ฤดูหนาว ก็ตั้งครรภ์ได้สามเดือนแล้ว หมอบอกว่าสามเดือนต้องมาตรวจครรภ์

แต่ความสัมพันธ์กับเซียวอู๋ ถึงแม้ว่าจะไม่ได้ทะเลาะกันใหญ่โต แต่ก็ไม่ได้มีการพัฒนาแม้แต่น้อย

เธอไม่แน่ใจว่า หลังจากบอกกับเซียวอู๋ไปแล้ว เขาจะมีปฏิกิริยาอย่างไร ดังนั้น สุดท้ายเธอทำได้เพียงพึ่งเล่อจยา

"เซียวอู๋ เอ่อคือ จยาจยาบอกว่า พรุ่งนี้จะเข้ามาเยี่ยมฉัน"

เซียวอู๋ที่กำลังศึกษาค้นคว้าอะไรอยู่ ขมวดคิ้วแน่น พอได้ยินคำพูด ก็หันไปมองเธออย่างมีความหมายแฝง "ตกลงคือเล่อจยาหรือว่าไอ้ละอ่อนนั่น คุณพูดความจริงมาก็ได้นะ"

ซูหย่าไม่คาดคิดว่า เซียวอู๋จะพูดกับเธอแบบนี้

เดิมทีเธอคิดว่า คนทั้งสองไม่สามารถรักใคร่ซึ่งกันและกันได้ แต่ก็สามารถใช้ชีวิตได้อย่างปกติสุข แต่ไม่นึกเลยว่า ภายในใจเขายังคงสงสัยในตัวเธอ

จึงโมโหเดือดดาลขึ้นมาอย่างไม่สามารถอธิบายได้ "คุณจะเชื่อหรือไม่ก็แล้วแต่ ฉันก็แค่บอกคุณเฉยๆ"

เซียวอู๋วางปากกาที่อยู่ในมือแล้วมองซูหย่า "ซูหย่า เรื่องบางเรื่อง ที่ฉันไม่พูด ไม่ใช่ว่าฉันไม่รู้ คุณกับไอ้ละอ่อนนั่น เรื่องที่ไปเจอกันลับหลังฉัน คุณคิดว่าฉันไม่รู้เหรอ?"

ซูหย่าขมวดคิ้วแล้วร้องเชอะอย่างเย็นชา "พวกเราก็เหมือนกันนั่นแหละ ทุกๆคืนคุณก็ไปเจอกับเมียน้อยคนนั้น คุณคิดว่าฉันไม่รู้เหรอ?"

ซูหย่าขมวดคิ้ว "เมียน้อยอะไรกัน?ไม่มีเหตุผล"

"อย่างนั้นต่างฝ่ายก็อย่ามายุ่งเรื่องของกันและกัน ฉันจะนัดเจอกับใคร ก็นัดไป คุณอยากจะไปเจอเมียน้อย ฉันก็ตามใจคุณ" พูดจบ ก็เอนตัวลงบนเตียงแล้วนำผ้าห่มมาพันตัวเอาไว้แน่น แต่ภายในใจกลับรู้สึกอึดอัดสับสนขึ้นมาทันที เธอก็ไม่รู้ว่าทำไมความสัมพันธ์ของคนทั้งสองถึงกลายเป็นแบบนี้

พอถึงนึก ถ้าต้องเป็นแบบนี้ไปชั่วชีวิต ในใจเธอก็ต้องเป็นทุกข์

เธออยากจะใช้ชีวิตเหมือนกับสามีภรรยา ถึงแม้จะไม่จำเป็นต้องเคารพนบนอบต่อกัน แต่อย่างน้อยก็ต้องให้เกียรติซึ่งกันและกันไม่ใช่เหรอ?ไม่มีคำพูดสองประโยคนี้ ชีวิตก็เหมือนกับกินดินระเบิด คิดแล้วก็เหนื่อยเหลือเกิน

"นี่คือคุณเล่นเป็นเด็กๆเหรอ?" น้ำเสียงที่เย็นชาไม่แฝงไปด้วยอารมณ์ความรู้สึกดังเข้ามาจากด้านบนศีรษะ

"เซียวอู๋ เราอย่าทะเลาะกันอย่างนี้ได้ไหม คุณบอกมา ว่าสรุปแล้วคุณคิดจะทำอะไร?คุณให้ฉันมาที่กองทัพ แต่วันๆเห็นฉันก็ขัดหูขัดตา ฉันบอกว่าปี๋ไคเป็นเพื่อนของฉัน คุณก็ไม่เชื่อ สรุปคุณจะเอายังไง?ฉันเหนื่อยมากเลยนะ" ซูหย่าตวาดใส่เซียวอู๋

"เหนื่อยเหรอ?หึหึ คุณไม่ไม่ได้บอกเหรอว่าต้องการใช้ชีวิตทั้งชีวิตกับฉัน?นี่เพิ่งเริ่มต้น ก็เหนื่อยแล้วเหรอ?" เขามองเธอแล้วพูดถากถาง

เธอจ้องมองเขาเป็นเวลานาน ท้ายที่สุดก็ประนีประนอม

ความกลัวที่ใหญ่ที่สุดของการแต่งงานคือการไม่มีความไว้วางใจ ไม่พูดภาษาเดียวกัน เขาไม่เข้าใจสิ่งที่คุณพูด และเขาจะไม่พูดในสิ่งที่คุณไม่เข้าใจ บางทีเธออาจจะคิดผิด เธอกับเซียวอู๋ไม่เหมาะสมกันจริงๆ

ประตูปิดเสียงดัง"ปัง"

จากนั้นจนกระทั่งนอนหลับ เซียวอู๋ก็ไม่กลับมาอีกเลย

เช้าวันต่อมา เมื่อเธอตื่นขึ้นมา เตียงข้างๆก็ว่างเปล่า เธอลูบๆผ้าปูเตียง ยังอุ่นๆเล็กน้อย แสดงว่าเขากลับมานอน

ตื่นขึ้นมาอาบน้ำล้างหน้าแล้ว เล่อจยาก็โทรเข้ามา

"ซูหย่า เราอยู่หน้าค่ายทหารของคุณ คุณเสร็จแล้วก็ออกมา อย่ารีบร้อนนะ ค่อยๆออกมา"

"เรา?"

"ฉันจะมาคนเดียวได้อย่างไร?สถานที่ลำบากลำบนของคุณอย่างนี้ ฉันเรียกให้ปี๋ไคพาฉันมา เดิมทีฉันอยากให้เกาไห่มาส่งฉันที่นี่ กลัวเขาจะมาซักถามเรื่องท้องของคุณ ฉะนั้น ฉันจึงไม่บอก"

"ปี๋ไคก็มาเหรอ?"

"น้ำเสียงคุณแหบๆเล็กน้อย คุณร้องไห้เหรอ?" เล่อจยาขมวดคิ้ว แล้วมองหน้ากันกับปี๋ไค

"เปล่า ฉันเพิ่งตื่น อย่างนั้นพวกคุณรอฉันก่อน สักพักฉันจะออกไป"

เมื่อซูหย่าลงมาจากตึก ก็เจอเข้ากับโอวหยางเฟิงที่เหมือนออกมาจากห้องครัวพอดี ตั้งแต่ครั้งสุดท้ายที่ฉันเห็นเขาไปในเมือง กลับมาแล้ว ก็ไม่ได้เจอเขาอีก เธออยากจะอธิบายเรื่องวันนั้นกับเขา ก็ไม่มีโอกาส

"โอวหยางเฟิง ครั้งที่แล้วฉัน……”

ลมพัดผ่านไปข้างๆเธอ เมื่อเธอได้สติกลับมา ชายคนนั้นเดินห่างออกไปสองสามเมตรแล้ว โดยที่ไม่สนใจเธอเลย

เธอขมวดคิ้ว "โอวหยางเฟิง ฉันพูดกับคุณอยู่นะ?"

โอวหยางเฟิงสูดลมหายใจเข้า หันกลับมามองเธอ "คุณหนูซู คนอย่างคุณนี่ ฉันไม่อาจเอื้อม ไม่มีคุณสมบัติที่จะพูดคุยด้วยหรอก"

ได้ยินน้ำเสียงที่เปลี่ยนไปของเขา ซูหย่าก็หรี่ตาขึ้น "ที่คุณพูดอย่างนี้หมายความว่าอย่างไร?ฉันมีอะไรที่ทำให้คุณไม่พอใจหรือเปล่า?"

โอวหยางเฟิงหัวเราะเยาะ "เปล่า ไปก่อนนะ"

พูดจบก็ขึ้นชั้นบนไป ไม่หันกลับมาเลย

เล่อจยายืนอยู่หน้าประตูทางเข้า เธอเห็นหน้าซูหย่าหน้าดำคร่ำเครียดมาแต่ไกล

"นี่เป็นอะไรไป ไม่ดีใจเหรอ?"

ปี๋ไคนั่งอยู่บนรถ ไม่ได้ลงมา ได้ยินทั้งสองคนคุยกัน ก็เอียงหน้าไปมองซูหย่า

"เปล่า ไปกันเถอะ"

"อยู่ที่นี่แล้วไม่มีความสุขแบบนี้ คุณก็บอกกับเสี่ยวอู๋ ว่ากลับเมือง C เถอะ"

ซูหย่าไม่พูดอะไร เมื่อคืนเธอก็ยังคิดเรื่องนี้อยู่นาน แต่สมองบอกเธอว่า ถ้าเธอกลับเมือง C ระหว่างเธอกับเซียวอู๋ บางทีอาจจะยิ่งยากมากขึ้น

เธอไม่อยากพูด เล่อจยากับปี๋ไคก็ไม่บังคับ ทั้งสามคนเงียบมาตลอดจนถึงโรงพยาบาล

"คุณว่าโรงพยาบาลเล็กขนาดนี้ ผลการตรวจจะใช้ได้ไหม?ไม่อย่างนั้นกลับเมืองCกันไหม?คุณโทรหาเซียวอู๋ บอกว่าจะกลับเมืองCไม่เยี่ยมพ่อกับแม่ เสร็จแล้ว พวกเราค่อยส่งคุณกลับมา"

ซูหย่ามองเล่อจยา "ไม่ต้องหรอก ตรวจที่โรงพยาบาลนี้แหละ คนตั้งมากมายในเมืองนี้ ก็ไม่ตรวจเหมือนกันเหรอ"

"เสี่ยวหย่า คุณไม่ได้เป็นคนแบบนี้นี่"

รู้จักซูหย่ามาตั้งหลายปี เธอคนนี้ ให้ความสำคัญกับคุณภาพชีวิตเป็นอย่างมาก ถึงแม้เวลานั้นเธอจะมาช่วยร้านอาหารริมทางของเธอ แต่ก็แต่งตัวเก่งอย่างมาก การกินดื่มปกติ ก็เลือกสิ่งที่ดีที่สุดภายในขอบเขตความสามารถ การคลอดลูกครั้งนี้เป็นเหตุการณ์สำคัญในชีวิต แต่เธอจะทำแบบขอไปที

ซูหย่ามองไปยังเล่อจยา "คุณไม่ไปได้ที่ค่ายทหาร คุณไม่รู้จักคำว่าขอไปทีคำนี้หรอก" กินข้าวแบบขอไปที อาบน้ำแบบขอไปที นอนหลับแบบขอไปที เธอรู้สึกว่าช่วงเวลานี้เปลี่ยนแปลงนิสัยที่มีมากว่า20ปีของเธอไปจริงๆ

พูดพลาง ลงจากรถ ดึงมือของเล่อจยาเดินไปยังโรงพยาบาล "เดี๋ยวก่อน"

จู่ๆ ปี๋ไคก็ร้องเรียกมาจากในรถ

"ทำไมเหรอ?" เล่อจยากล่าวถาม

"พวกคุณทั้งสองคนไปที่ร้านขายของเล็กๆข้างโรงพยาบาลซื้อน้ำขวดหนึ่ง หลังจากนั้นก็มาขึ้นรถ มีคนสะกดรอยตามมา"

คนทั้งสองนิ่งอึ้งไป เล่อจยายิ้มเล็กน้อย "โอเค" แล้วดึงซูหย่าไปที่ร้านขายของเล็กๆ

พอกลับมา ก็ส่งน้ำขวดหนึ่งให้ปี๋ไค "ตนที่สะกดรอยตามล่ะ?"

ปี๋ไคส่งมือถือไปยังที่นั่งด้านหลัง "คุณสองคนแกล้งทำเป็นถ่ายรูป มองมุมขวา60°จากกล้องโทรศัพท์มือถือของพวกคุณ"

คนทั้งสองทำตาม มองผ่านกระจกด้านหน้า รถทหารคันหนึ่งก็ปรากฏสู่สายตาของคนทั้งสอง

"นั่นคือรถของเซียวอู๋" ซูหย่าวางมือถือลง กุมหน้าอก "ยังดีนะ"

"เขาสะกดรอยตามคุณ หมายความว่าอะไร?"

"เขาสงสัยว่าฉันจะเป็นชู้กับไคไค ครั้งที่แล้วเราเดินหยอกล้อกันข้างถนน เขาก็เห็น เมื่อวานตอนเย็น ฉันบอกว่าต้องการออกมากับคุณ เขาก็สงสัยว่าฉันนัดพบกับไคไค" พูดถึงสุดท้าย ซูหย่ายิ่งพูดก็ยิ่งเศร้าใจ "คุณว่า พวกเราใช้ชีวิตกันไปแบบนี้ น่าจะเจ็บปวดทรมานมากไหม?"

เล่อจยาแล้วปี๋ไคไม่ตอบ เรื่องแบบนี้ พวกเขาจะโน้มน้าวให้อยู่ด้วยกันก็ไม่ใช่ จะโน้มน้าวให้แยกจากกันก็ไม่เชิง

"ทีหลัง ฉันจะรักษาระยะห่างกับคุณ" ปี๋ไคกล่าว

ซูหย่าตบเบาๆที่หลังของเขาเล็กน้อย "พูดอะไรไปเรื่อยเปื่อยห๊ะ?"

"อย่างนั้นจะทำอย่างไรล่ะ?ไม่อย่างนั้น ฉันจะไปเบี่ยงเบนความสนใจเขา คุณไปตรวจกับปี๋ไค?"

"ไม่ต้องหรอก ฉันไปเอง อีกเดี๋ยวพวกเราไปแล้ว พวกคุณสองคนก็เข้าไปนะ" ปี๋ไคพูดพลาง ปลดเข็มขัดนิรภัย

ซูหย่าดึงเขาเอาไว้ "ไคไค คุณอย่าไปลงมือกับเขานะ คุณไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา"

ปี๋ไคมองเธออย่างดูหมิ่น "ฉันเป็นสุภาพบุรุษ"

ไม่รู้ว่าปี๋ไคพูดอะไรกับเซียวอู๋ข้างหน้าต่างรถ แล้วเห็นเขาดึงเปิดประตูแล้วขึ้นรถไป

หลังจากรถขับออกไปพ้นสายตา เล่อจยาก็รีบดึงซูหย่าเข้าไปในโรงพยาบาล

โชคดีที่คนมาตรวจไม่มาก

"เด็กแข็งแรงมาก การพัฒนาการของร่างกายก็ไม่เลว ถึงแม้สามเดือนจะผ่านช่วงที่อันตรายมาแล้ว คุณแม่ก็ยังต้องระมัดระวังนะคะ"

พูดจบ ก็เซ็นชื่อบนใบอัลตราซาวนด์ แล้วส่งให้ซูหย่า

"จุดดำๆนี้ ก็คือลูกของฉันใช่ไหม?"

คุณหมอผู้หญิงวัยกลางคน ยิ้มเล็กน้อย "อื้ม อีกไม่นาน เด็กก็จะเคลื่อนไหวแล้ว มีเวลาก็พูดกับเขาให้มากๆ แล้วก็ต้องดูแลอารมณ์ของแม่ให้ดี"

"ได้ยินแล้วหรือยัง อารมณ์ต้องดี" เล่อจยาที่อยู่ข้างๆดึงชายเสื้อของซูหย่า

ซูหย่าพยักหน้า เซียวอู๋ทรมานเธอขนาดนี้ เขายังสามารถแข็งแรงได้ เป็นเรื่องประหลาด

เมื่อคนทั้งสองออกมาจากโรงพยาบาล ซูหย่าก็ถ่ายรูปผลการตรวจแล้ว จึงส่งให้เล่อจยา "สิ่งเหล่านี้เอาไว้ที่คุณ ต่อไปตอนคลอด คุณก็ค่อยเอามาให้ฉัน"

"เสี่ยวหย่า ทางนี้" คือปี๋ไค ซูหย่าหันตัวกลับ มองไปโดยรอบ ไม่พบรถคันสีเขียวคันนั้นแล้ว

"เสี่ยวอู๋ล่ะ?"

"เขามีธุระที่ค่ายทหาร กลับไปแล้ว"

"พวกคุณ….ไม่เป็นไรใช่ไหม?"

ปี๋ไคหันกลับมามอง "เห็นเหมือนคนมีปัญหาเหรอ?วางใจเถอะ พวกเราเป็นคนมีอารยธรรม ไม่ใช้กำลังตัดสินปัญหาหรอก"

"อย่างนั้นคุณ พูดอะไรกับเขาเหรอ?แล้วเขาฟังคำพูดของคุณด้วยเหรอ?"

ปี๋ไคยิ้มๆ แต่ไม่ได้ตอบกลับ

นำซูหย่าไปส่งค่ายทหารแล้ว คนทั้งสองก็จากไป

"เสี่ยวหย่า คุณจะต้องดูแลตัวเองให้ดีนะ ถ้าไม่มีความสุขจริงๆ ก็ไม่ต้องฝืนใจจนเกินไป เข้าใจไหม?"

ซูหย่าพยักหน้า

เมื่อกลับถึงห้องพัก ประตูยังล็อกกุญแจอยู่ มู่ซือยืนอยู่หน้าประตูห้องของพวกเขา เห็นเธอกลับมา จึงรีบเข้าไปหา "พี่สะใภ้ คุณรีบไปโน้มน้าวหัวหน้าเร็วเข้า"

ปี๋ไคสตาร์ตรถ "ไม่รู้จัก"

ซูหย่าถามอีกครั้ง "อย่างนั้นคุณรู้จักชื่อเขาได้อย่างไร?อีกทั้ง แล้วคุณรู้ได้อย่างไรว่าฉันอยู่ในซูเปอร์มาร์เก็ตนี้?"

"บอกแล้ว คุณจะไม่โกรธใช่ไหม"

"คุณบอกมา……ไม่โกรธ"

"ฉันติดเครื่องดักฟังไว้ที่เคสมือถือของคุณ"

ซูหย่ายกมือขึ้นมาตีปี๋ไคอย่างแรง "ปี๋ไค คุณ……ทำไมคุณเลวทรามแบบนี้?"

เธอต่อว่า แต่ปี๋ไคยังคงเงียบนิ่งเฉย จนกระทั่งซูหย่าตั้งสติได้ เขาจึงพูดว่า "วันนั้นหลังจากทานอาหารแล้ว กลัวว่าเขาจะกลับไปทำอะไรแย่ๆกับคุณ คิดๆแล้ว ฉันเลยใส่อันนี้ไว้ในเคสมือถือของคุณ เมื่อวานได้ยินเรื่องระหว่างพวกคุณแล้ว ฉันก็เป็นห่วง วันนี้เลยตัดสินใจมาดูคุณสักหน่อย"

ความโกรธเกรี้ยวของซูหย่า หลังจากที่เห็นความเจ็บปวดใจในแววตาของเขา ใจก็อ่อนลง ความโกรธก็ลดลงมา เธอจ้องมองเขา เปิดเคสมือถือออก เป็นอย่างที่คาดไว้ ที่เคสมือถือมีของเล็กๆกลมๆติดอยู่ เพราะว่าบางมือจึงคลำไม่รู้

เธอฉีกมันออก พร้อมกับจะโยนมันออกไปนอกหน้าต่าง คิดๆแล้วก็เก็บกลับมา "มันเปิดปิดได้ไหม?"

ปี๋ไคพยักหน้า "มี ข้างๆมีปุ่มกด"

ซูหย่ากดลง ได้ยินเสียงดัง"คลิก"เบาๆ แล้วใส่มันกลับไปที่เคสมือถือเหมือนเดิม "เก็บไว้ เผื่อไว้ หลังจากนั้น คุณต้องชดใช้ โดยวิธีการส่งมือถือมาให้ฉัน"

"ไม่ใช่คุณต้องการจะเอาไว้ตรวจสอบสามีคุณใช่ไหม?ฉันขอเตือนคุณไว้เลยนะ คุณอย่าทำเรื่องให้วุ่นวาย ใช้เครื่องดักฟังกับทหาร ผลที่ตามมาอาจจะร้ายแรงมาก" ปี๋ไครู้จักซูหย่าดี เขากลอกตาไปมา เขารู้ว่าเธอคิดอะไรอยู่ในใจ

ซูหย่าตกตะลึง กระแอมไอเบาๆ "ฉัน……ฉันจะเก็บไว้ใช้เอง"

เธอมีนิสัยดื้อดัน ปี๋ไครู้ดีว่าพูดมากไปก็ไม่มีประโยชน์ ก็เลยไม่พูดแล้ว

รถขับไปยังที่ที่โอวหยางเฟิงเคยจอดไว้ก่อนหน้านี้ แต่รถทหารสีเขียวคันนั้น หายไปแล้ว "ดูเหมือนว่าเขาจะกลับไปแล้ว คุณส่งฉันกลับไปค่ายทหารหน่อยเถอะ"

นึกถึงว่าเซียวอู๋ต้องรู้ว่าเธอถูกทิ้งไว้คนเดียว เธอก็อดไม่ได้ที่จะตัวสั่น

พอถึงหน้าประตูทางเข้าค่ายทหาร ปี๋ไคก็นำของมาวางไว้หน้าป้อมทหาร "คุณให้คนช่วยยกไปส่งนะ อย่าถือเอง ในช่วงแรกๆของการตั้งครรภ์ ไม่สามารถยกของหนักได้ ได้ยินไหม?"

ซูหย่าพยักหน้า "อย่างนั้นคุณกลับไปก็ขับรถดีๆนะ" พูดจบ ก็ช่วยจัดระเบียบผ้าพันคอของเขา "มีธุระหรือไม่มี ก็โทรหาฉันได้นะ"

ปี๋ไคก็ลูบๆผมเธอ "เสี่ยวหย่าของฉันกลายเป็นผู้หญิงที่อ่อนโยนไปแล้ว"

"น่ารำคาญ คุณรีบกลับไปเถอะ"

แม้จะรู้ดีว่าการแยกจากกันนี้คงอีกไม่นาน แต่ว่าซูหย่าต้องอยู่ต่างบ้านต่างเมือง ก็ยังคงรู้สึกได้

หันกลับมาจนกระทั่งไม่ได้ยินเสียงรถแล้ว เธอจึงหันกลับไป ปากเบะขอบตาแดงก่ำ

"อาลัยอาวรณ์ขนาดนั้น จะกลับมาทำไม?" เสียงผู้ชายดังขึ้นจากด้านหลัง

ซูหย่าหันไป ตาทั้งคู่ก็ประสานกัน ในแววตาอีกคนหนึ่งมีน้ำตา ในแววตาอีกคนหนึ่งมีความโกรธ

"คุณ……คุณออกมาได้อย่างไร?"

ชายคนนั้นมองไปที่ถุงใหญ่สี่ใบบนพื้น ก็พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา : "คุณคิดว่ามาเที่ยวที่นี่เหรอ?"

"คุณไม่ใช่ แต่ฉันใช่" พูดจบก็คิดจะเดินไปหยิบของ มือใหญ่ของชายคนนั้นก็เข้าไปแย่งเธอถือขึ้นมา แล้วมองเธอตาขวาง

เพราะการอาศัยอยู่ที่นี่ต้องมีกฎระเบียบ ดังนั้น ตลอดทางนี้ พวกเขาต้องได้รับการตรวจสอบตลอดจนถึงหอพัก

หลังจากเซียวอู๋เอาของวางไว้ให้แล้ว ก็ออกไปทันที บอกว่ามีธุระ

ซูหย่าจัดของว่าง ของใช้ในชีวิตประจำวันต่างๆอย่างเรียบร้อย และในที่สุดก็รู้สึกสบายใจขึ้น เธอจะไม่อดตายแล้ว

อาจจะเพราะตอนเช้าทรมานเกินไป เพิ่งจัดของเสร็จ ซูหย่าก็รู้สึกทั้งเหนื่อยทั้งง่วง จึงเอนกายลงบนเตียง แล้วหลับไป

เมื่อตื่นขึ้นมา ท้องฟ้าก็จะมืดแล้ว เธอพลิกตัวลุกขึ้นนั่ง "จบเห่แล้ว เลยเวลาทานข้าวไปแล้ว"

"นอนไปตั้งสี่ชั่วโมงกว่า เชื่อเลยจริงๆ!" เสียงของเซียวอู๋ ประชดประชันอย่างนิ่งๆ

ซูหย่าจึงได้เห็นว่า เขายืนอยู่ข้างๆโต๊ะ หยิบปากกาแล้วดูแผนที่ที่อยู่บนโต๊ะ

เธอหัวเราะแหะๆ "คุณ….ทำไมคุณไม่เรียกฉัน?"

"ก๊อกๆ"

"เข้ามา"

"รายงานหัวหน้าทหาร อาหารที่ให้ฉันไปอุ่นร้อนเรียบร้อยแล้ว"

"ยกเข้ามาสิ"

เห็นอาหาร ซูหย่าก็นึกขึ้นได้ อาหารที่ห่อกลับมาก่อนหน้านี้อยู่บนรถของปี๋ไค

เธอลุกขึ้น มองเซียวอู๋ แล้วพูดเบาๆว่า" "ขอบคุณนะ"

หลังจากทานเสร็จ ซูหย่าก็มองเซียวอู๋ "ฉันซื้อของกิน แล้วก็ของใช้มาเล็กน้อย ทั้งหมดอยู่ในชั้นวางของใต้โต๊ะ คุณต้องการก็หยิบไป"

เซียวอู๋"อืม"เบาๆจนแทบไม่ได้ยิน

วันต่อมา ก็กลับมาสงบเหมือนเดิม เซียวอู๋ยุ่งอย่างมาก ออกไปแต่เช้ากลับมามืดค่ำทุกวัน เธอดำเนินชีวิตทุกวันเหมือนกับเลี้ยงหมูจริงๆ ทุกวันทานข้าว ดูละคร แล้วก็นอน

ตั้งแต่ครั้งแรกที่คนทั้งสองทะเลาะกันเอะอะโวยวาย ก็ไม่เคยสงบแบบนี้มาก่อนเลยจริงๆ ทีแรกซูหย่าก็ไม่เคยชินเล็กน้อย ต่อมา เห็นว่าเซียวอู๋ไม่หาเรื่องทะเลาะกับเธอ จึงค่อยๆไม่ก่อเรื่องทะเลาะ คุณไม่รุกรานฉัน ฉันก็ไม่รุกรานคุณ

อากาศเริ่มเย็น เปลี่ยนเป็นเข้าสู่ฤดูหนาว ก็ตั้งครรภ์ได้สามเดือนแล้ว หมอบอกว่าสามเดือนต้องมาตรวจครรภ์

แต่ความสัมพันธ์กับเซียวอู๋ ถึงแม้ว่าจะไม่ได้ทะเลาะกันใหญ่โต แต่ก็ไม่ได้มีการพัฒนาแม้แต่น้อย

เธอไม่แน่ใจว่า หลังจากบอกกับเซียวอู๋ไปแล้ว เขาจะมีปฏิกิริยาอย่างไร ดังนั้น สุดท้ายเธอทำได้เพียงพึ่งเล่อจยา

"เซียวอู๋ เอ่อคือ จยาจยาบอกว่า พรุ่งนี้จะเข้ามาเยี่ยมฉัน"

เซียวอู๋ที่กำลังศึกษาค้นคว้าอะไรอยู่ ขมวดคิ้วแน่น พอได้ยินคำพูด ก็หันไปมองเธออย่างมีความหมายแฝง "ตกลงคือเล่อจยาหรือว่าไอ้ละอ่อนนั่น คุณพูดความจริงมาก็ได้นะ"

ซูหย่าไม่คาดคิดว่า เซียวอู๋จะพูดกับเธอแบบนี้

เดิมทีเธอคิดว่า คนทั้งสองไม่สามารถรักใคร่ซึ่งกันและกันได้ แต่ก็สามารถใช้ชีวิตได้อย่างปกติสุข แต่ไม่นึกเลยว่า ภายในใจเขายังคงสงสัยในตัวเธอ

จึงโมโหเดือดดาลขึ้นมาอย่างไม่สามารถอธิบายได้ "คุณจะเชื่อหรือไม่ก็แล้วแต่ ฉันก็แค่บอกคุณเฉยๆ"

เซียวอู๋วางปากกาที่อยู่ในมือแล้วมองซูหย่า "ซูหย่า เรื่องบางเรื่อง ที่ฉันไม่พูด ไม่ใช่ว่าฉันไม่รู้ คุณกับไอ้ละอ่อนนั่น เรื่องที่ไปเจอกันลับหลังฉัน คุณคิดว่าฉันไม่รู้เหรอ?"

ซูหย่าขมวดคิ้วแล้วร้องเชอะอย่างเย็นชา "พวกเราก็เหมือนกันนั่นแหละ ทุกๆคืนคุณก็ไปเจอกับเมียน้อยคนนั้น คุณคิดว่าฉันไม่รู้เหรอ?"

ซูหย่าขมวดคิ้ว "เมียน้อยอะไรกัน?ไม่มีเหตุผล"

"อย่างนั้นต่างฝ่ายก็อย่ามายุ่งเรื่องของกันและกัน ฉันจะนัดเจอกับใคร ก็นัดไป คุณอยากจะไปเจอเมียน้อย ฉันก็ตามใจคุณ" พูดจบ ก็เอนตัวลงบนเตียงแล้วนำผ้าห่มมาพันตัวเอาไว้แน่น แต่ภายในใจกลับรู้สึกอึดอัดสับสนขึ้นมาทันที เธอก็ไม่รู้ว่าทำไมความสัมพันธ์ของคนทั้งสองถึงกลายเป็นแบบนี้

พอถึงนึก ถ้าต้องเป็นแบบนี้ไปชั่วชีวิต ในใจเธอก็ต้องเป็นทุกข์

เธออยากจะใช้ชีวิตเหมือนกับสามีภรรยา ถึงแม้จะไม่จำเป็นต้องเคารพนบนอบต่อกัน แต่อย่างน้อยก็ต้องให้เกียรติซึ่งกันและกันไม่ใช่เหรอ?ไม่มีคำพูดสองประโยคนี้ ชีวิตก็เหมือนกับกินดินระเบิด คิดแล้วก็เหนื่อยเหลือเกิน

"นี่คือคุณเล่นเป็นเด็กๆเหรอ?" น้ำเสียงที่เย็นชาไม่แฝงไปด้วยอารมณ์ความรู้สึกดังเข้ามาจากด้านบนศีรษะ

ปี๋ไคสตาร์ตรถ "ไม่รู้จัก"

ซูหย่าถามอีกครั้ง "อย่างนั้นคุณรู้จักชื่อเขาได้อย่างไร?อีกทั้ง แล้วคุณรู้ได้อย่างไรว่าฉันอยู่ในซูเปอร์มาร์เก็ตนี้?"

"บอกแล้ว คุณจะไม่โกรธใช่ไหม"

"คุณบอกมา……ไม่โกรธ"

"ฉันติดเครื่องดักฟังไว้ที่เคสมือถือของคุณ"

ซูหย่ายกมือขึ้นมาตีปี๋ไคอย่างแรง "ปี๋ไค คุณ……ทำไมคุณเลวทรามแบบนี้?"

เธอต่อว่า แต่ปี๋ไคยังคงเงียบนิ่งเฉย จนกระทั่งซูหย่าตั้งสติได้ เขาจึงพูดว่า "วันนั้นหลังจากทานอาหารแล้ว กลัวว่าเขาจะกลับไปทำอะไรแย่ๆกับคุณ คิดๆแล้ว ฉันเลยใส่อันนี้ไว้ในเคสมือถือของคุณ เมื่อวานได้ยินเรื่องระหว่างพวกคุณแล้ว ฉันก็เป็นห่วง วันนี้เลยตัดสินใจมาดูคุณสักหน่อย"

ความโกรธเกรี้ยวของซูหย่า หลังจากที่เห็นความเจ็บปวดใจในแววตาของเขา ใจก็อ่อนลง ความโกรธก็ลดลงมา เธอจ้องมองเขา เปิดเคสมือถือออก เป็นอย่างที่คาดไว้ ที่เคสมือถือมีของเล็กๆกลมๆติดอยู่ เพราะว่าบางมือจึงคลำไม่รู้

เธอฉีกมันออก พร้อมกับจะโยนมันออกไปนอกหน้าต่าง คิดๆแล้วก็เก็บกลับมา "มันเปิดปิดได้ไหม?"

ปี๋ไคพยักหน้า "มี ข้างๆมีปุ่มกด"

ซูหย่ากดลง ได้ยินเสียงดัง"คลิก"เบาๆ แล้วใส่มันกลับไปที่เคสมือถือเหมือนเดิม "เก็บไว้ เผื่อไว้ หลังจากนั้น คุณต้องชดใช้ โดยวิธีการส่งมือถือมาให้ฉัน"

"ไม่ใช่คุณต้องการจะเอาไว้ตรวจสอบสามีคุณใช่ไหม?ฉันขอเตือนคุณไว้เลยนะ คุณอย่าทำเรื่องให้วุ่นวาย ใช้เครื่องดักฟังกับทหาร ผลที่ตามมาอาจจะร้ายแรงมาก" ปี๋ไครู้จักซูหย่าดี เขากลอกตาไปมา เขารู้ว่าเธอคิดอะไรอยู่ในใจ

ซูหย่าตกตะลึง กระแอมไอเบาๆ "ฉัน……ฉันจะเก็บไว้ใช้เอง"

เธอมีนิสัยดื้อดัน ปี๋ไครู้ดีว่าพูดมากไปก็ไม่มีประโยชน์ ก็เลยไม่พูดแล้ว

รถขับไปยังที่ที่โอวหยางเฟิงเคยจอดไว้ก่อนหน้านี้ แต่รถทหารสีเขียวคันนั้น หายไปแล้ว "ดูเหมือนว่าเขาจะกลับไปแล้ว คุณส่งฉันกลับไปค่ายทหารหน่อยเถอะ"

นึกถึงว่าเซียวอู๋ต้องรู้ว่าเธอถูกทิ้งไว้คนเดียว เธอก็อดไม่ได้ที่จะตัวสั่น

พอถึงหน้าประตูทางเข้าค่ายทหาร ปี๋ไคก็นำของมาวางไว้หน้าป้อมทหาร "คุณให้คนช่วยยกไปส่งนะ อย่าถือเอง ในช่วงแรกๆของการตั้งครรภ์ ไม่สามารถยกของหนักได้ ได้ยินไหม?"

ซูหย่าพยักหน้า "อย่างนั้นคุณกลับไปก็ขับรถดีๆนะ" พูดจบ ก็ช่วยจัดระเบียบผ้าพันคอของเขา "มีธุระหรือไม่มี ก็โทรหาฉันได้นะ"

ปี๋ไคก็ลูบๆผมเธอ "เสี่ยวหย่าของฉันกลายเป็นผู้หญิงที่อ่อนโยนไปแล้ว"

"น่ารำคาญ คุณรีบกลับไปเถอะ"

แม้จะรู้ดีว่าการแยกจากกันนี้คงอีกไม่นาน แต่ว่าซูหย่าต้องอยู่ต่างบ้านต่างเมือง ก็ยังคงรู้สึกได้

หันกลับมาจนกระทั่งไม่ได้ยินเสียงรถแล้ว เธอจึงหันกลับไป ปากเบะขอบตาแดงก่ำ

"อาลัยอาวรณ์ขนาดนั้น จะกลับมาทำไม?" เสียงผู้ชายดังขึ้นจากด้านหลัง

ซูหย่าหันไป ตาทั้งคู่ก็ประสานกัน ในแววตาอีกคนหนึ่งมีน้ำตา ในแววตาอีกคนหนึ่งมีความโกรธ

"คุณ……คุณออกมาได้อย่างไร?"

ชายคนนั้นมองไปที่ถุงใหญ่สี่ใบบนพื้น ก็พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา : "คุณคิดว่ามาเที่ยวที่นี่เหรอ?"

"คุณไม่ใช่ แต่ฉันใช่" พูดจบก็คิดจะเดินไปหยิบของ มือใหญ่ของชายคนนั้นก็เข้าไปแย่งเธอถือขึ้นมา แล้วมองเธอตาขวาง

เพราะการอาศัยอยู่ที่นี่ต้องมีกฎระเบียบ ดังนั้น ตลอดทางนี้ พวกเขาต้องได้รับการตรวจสอบตลอดจนถึงหอพัก

หลังจากเซียวอู๋เอาของวางไว้ให้แล้ว ก็ออกไปทันที บอกว่ามีธุระ

ซูหย่าจัดของว่าง ของใช้ในชีวิตประจำวันต่างๆอย่างเรียบร้อย และในที่สุดก็รู้สึกสบายใจขึ้น เธอจะไม่อดตายแล้ว

อาจจะเพราะตอนเช้าทรมานเกินไป เพิ่งจัดของเสร็จ ซูหย่าก็รู้สึกทั้งเหนื่อยทั้งง่วง จึงเอนกายลงบนเตียง แล้วหลับไป

เมื่อตื่นขึ้นมา ท้องฟ้าก็จะมืดแล้ว เธอพลิกตัวลุกขึ้นนั่ง "จบเห่แล้ว เลยเวลาทานข้าวไปแล้ว"

"นอนไปตั้งสี่ชั่วโมงกว่า เชื่อเลยจริงๆ!" เสียงของเซียวอู๋ ประชดประชันอย่างนิ่งๆ

ซูหย่าจึงได้เห็นว่า เขายืนอยู่ข้างๆโต๊ะ หยิบปากกาแล้วดูแผนที่ที่อยู่บนโต๊ะ

เธอหัวเราะแหะๆ "คุณ….ทำไมคุณไม่เรียกฉัน?"

"ก๊อกๆ"

"เข้ามา"

"รายงานหัวหน้าทหาร อาหารที่ให้ฉันไปอุ่นร้อนเรียบร้อยแล้ว"

"ยกเข้ามาสิ"

เห็นอาหาร ซูหย่าก็นึกขึ้นได้ อาหารที่ห่อกลับมาก่อนหน้านี้อยู่บนรถของปี๋ไค

เธอลุกขึ้น มองเซียวอู๋ แล้วพูดเบาๆว่า" "ขอบคุณนะ"

หลังจากทานเสร็จ ซูหย่าก็มองเซียวอู๋ "ฉันซื้อของกิน แล้วก็ของใช้มาเล็กน้อย ทั้งหมดอยู่ในชั้นวางของใต้โต๊ะ คุณต้องการก็หยิบไป"

เซียวอู๋"อืม"เบาๆจนแทบไม่ได้ยิน

วันต่อมา ก็กลับมาสงบเหมือนเดิม เซียวอู๋ยุ่งอย่างมาก ออกไปแต่เช้ากลับมามืดค่ำทุกวัน เธอดำเนินชีวิตทุกวันเหมือนกับเลี้ยงหมูจริงๆ ทุกวันทานข้าว ดูละคร แล้วก็นอน

ตั้งแต่ครั้งแรกที่คนทั้งสองทะเลาะกันเอะอะโวยวาย ก็ไม่เคยสงบแบบนี้มาก่อนเลยจริงๆ ทีแรกซูหย่าก็ไม่เคยชินเล็กน้อย ต่อมา เห็นว่าเซียวอู๋ไม่หาเรื่องทะเลาะกับเธอ จึงค่อยๆไม่ก่อเรื่องทะเลาะ คุณไม่รุกรานฉัน ฉันก็ไม่รุกรานคุณ

อากาศเริ่มเย็น เปลี่ยนเป็นเข้าสู่ฤดูหนาว ก็ตั้งครรภ์ได้สามเดือนแล้ว หมอบอกว่าสามเดือนต้องมาตรวจครรภ์

แต่ความสัมพันธ์กับเซียวอู๋ ถึงแม้ว่าจะไม่ได้ทะเลาะกันใหญ่โต แต่ก็ไม่ได้มีการพัฒนาแม้แต่น้อย

เธอไม่แน่ใจว่า หลังจากบอกกับเซียวอู๋ไปแล้ว เขาจะมีปฏิกิริยาอย่างไร ดังนั้น สุดท้ายเธอทำได้เพียงพึ่งเล่อจยา

"เซียวอู๋ เอ่อคือ จยาจยาบอกว่า พรุ่งนี้จะเข้ามาเยี่ยมฉัน"

เซียวอู๋ที่กำลังศึกษาค้นคว้าอะไรอยู่ ขมวดคิ้วแน่น พอได้ยินคำพูด ก็หันไปมองเธออย่างมีความหมายแฝง "ตกลงคือเล่อจยาหรือว่าไอ้ละอ่อนนั่น คุณพูดความจริงมาก็ได้นะ"

ซูหย่าไม่คาดคิดว่า เซียวอู๋จะพูดกับเธอแบบนี้

เดิมทีเธอคิดว่า คนทั้งสองไม่สามารถรักใคร่ซึ่งกันและกันได้ แต่ก็สามารถใช้ชีวิตได้อย่างปกติสุข แต่ไม่นึกเลยว่า ภายในใจเขายังคงสงสัยในตัวเธอ

จึงโมโหเดือดดาลขึ้นมาอย่างไม่สามารถอธิบายได้ "คุณจะเชื่อหรือไม่ก็แล้วแต่ ฉันก็แค่บอกคุณเฉยๆ"

เซียวอู๋วางปากกาที่อยู่ในมือแล้วมองซูหย่า "ซูหย่า เรื่องบางเรื่อง ที่ฉันไม่พูด ไม่ใช่ว่าฉันไม่รู้ คุณกับไอ้ละอ่อนนั่น เรื่องที่ไปเจอกันลับหลังฉัน คุณคิดว่าฉันไม่รู้เหรอ?"

ซูหย่าขมวดคิ้วแล้วร้องเชอะอย่างเย็นชา "พวกเราก็เหมือนกันนั่นแหละ ทุกๆคืนคุณก็ไปเจอกับเมียน้อยคนนั้น คุณคิดว่าฉันไม่รู้เหรอ?"

ซูหย่าขมวดคิ้ว "เมียน้อยอะไรกัน?ไม่มีเหตุผล"

"อย่างนั้นต่างฝ่ายก็อย่ามายุ่งเรื่องของกันและกัน ฉันจะนัดเจอกับใคร ก็นัดไป คุณอยากจะไปเจอเมียน้อย ฉันก็ตามใจคุณ" พูดจบ ก็เอนตัวลงบนเตียงแล้วนำผ้าห่มมาพันตัวเอาไว้แน่น แต่ภายในใจกลับรู้สึกอึดอัดสับสนขึ้นมาทันที เธอก็ไม่รู้ว่าทำไมความสัมพันธ์ของคนทั้งสองถึงกลายเป็นแบบนี้

พอถึงนึก ถ้าต้องเป็นแบบนี้ไปชั่วชีวิต ในใจเธอก็ต้องเป็นทุกข์

เธออยากจะใช้ชีวิตเหมือนกับสามีภรรยา ถึงแม้จะไม่จำเป็นต้องเคารพนบนอบต่อกัน แต่อย่างน้อยก็ต้องให้เกียรติซึ่งกันและกันไม่ใช่เหรอ?ไม่มีคำพูดสองประโยคนี้ ชีวิตก็เหมือนกับกินดินระเบิด คิดแล้วก็เหนื่อยเหลือเกิน

"นี่คือคุณเล่นเป็นเด็กๆเหรอ?" น้ำเสียงที่เย็นชาไม่แฝงไปด้วยอารมณ์ความรู้สึกดังเข้ามาจากด้านบนศีรษะ

ทันใดนั้น ภาพเงาที่สวยงามก็เดินเข้ามาในสายตาของซูหย่า เธอห่อด้วยผ้าเช็ดตัวสีขาว ผมเธอก็พันไว้ด้วยผ้าขนหนู เห็นได้ชัดว่าฝึกซ้อมทุกวัน แต่ภายนอกของผู้หญิงคนนี้ที่เปลือยเปล่า ดูขาวผ่องเป็นพิเศษ อีกทั้งรูปร่างที่วัดด้วยสายตายังดูดีอย่างมาก

เห็นมู่ซืออาบน้ำอยู่ที่นี่ ซูหย่ารู้สึกสบายใจอย่างบอกไม่ถูก แล้วก็รู้สึกแข็งแกร่งขึ้นมาเล็กน้อย มู่ซือสามารถผ่านไปได้ เธอก็ผ่านไปได้

คิดแล้วสีหน้าก็กลับมาเป็นปกติ "โอเค ขอบคุณนะ"

หลังจากมู่ซือไปแล้ว ซูหย่าก็เดินเข้าไป

"จุ๊ๆๆ คุณว่าไหม มิน่าล่ะหัวหน้าเซียวถึงได้ปฏิบัติดีต่อผู้หญิงคนนี้ขนาดนั้น เห็นไหมล่ะรูปร่างนั้นช่างดูดีจริงๆ"

"พอเถอะ อย่าพูดสุ่มสี่สุ่มห้าเลย คนช่างพูดกัน เดี๋ยวเล็ดลอดออกไป คนที่จะลำบาก ก็คือผู้ชายของคุณนะ"

"ใช่ๆๆ……ไม่พูดแล้วๆ…”

มือของซูหย่าที่จะถอดเสื้อผ้า แข็งทื่ออยู่อย่างนั้น เห็นได้ชัดว่าทั้งสองคนไม่รู้จักตัวตนของเธอ แล้วก็ไม่ได้จงใจจะพูดแบบนี้ แต่ไม่ได้ตั้งใจ ก็คือความจริง ไม่ใช่เหรอ?

เซียวอู๋ ไอ้คนเลว นี่คือคุณต้องการทั้งเมียหลวงเมียน้อยเลยใช่ไหม?

ตำแหน่งของมู่ซือ ค่อนข้างอยู่ด้านใน และมีหมอกปกคลุม แต่ดีอย่างมาก

เป็นครั้งแรกกับการเปลื้องผ้าอาบน้ำต่อหน้าคนมากมายแบบนี้ ในใจซูหย่ารู้สึกเขินอายเล็กน้อย ดังนั้นจึงอาบอย่างรีบร้อน แล้วพันผ้าเช็ดตัวออกจากโรงอาบน้ำมา

เมื่อเปลี่ยนเสื้อผ้าออกมาแล้ว ก็เห็นเซียวอู๋ยืนอยู่หน้าประตูทางเข้า ห้องอาบน้ำชายหญิงห่างกันไม่กี่ห้อง ชัดเจนว่าเซียวอู๋รอเธออยู่ ในใจรู้สึกมีความสุขเล็กน้อย

แต่เมื่อนึกถึงความไร้น้ำใจของเขาก่อนหน้านี้ เธอก็ไม่ได้ทำสีหน้าดีๆให้เขา

"คุณมาทำอะไร?"

เซียวอู๋มองมือเธอที่กอดเสื้อผ้าอยู่ ก็พูดด้วยสีหน้าเย็นชาว่า : "กลัวว่าคุณหนูตระกูลซูผู้สง่าผ่าเผย จะใช้สถานะในทางที่ผิด ขับไล่คนในห้องอาบน้ำออกมา แล้วใช้เฉพาะตนเอง ฉันกลัวว่าฉันจะเสียหน้าอีก ก็เลยมาดูสักหน่อย"

ซูหย่าได้ยินอย่างนั้น ความโกรธก็ปะทุขึ้นมา ทางเดินค่อนข้างคับแคบ ทั้งสองคนยืนเผชิญหน้ากัน เซียวอู๋สูงกว่า เขามองได้ตามอำเภอใจ ก็เห็นภาพที่ไม่ควรเห็น ในใจก็กระสับกระส่ายอย่างอธิบายไม่ถูก

จึงหันหลังกลับแล้วพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา : "คุณคิดว่าที่นี่คือที่ไหน ถึงได้ใส่ชุดนอน คุณไม่รังเกียจที่จะขายหน้า แต่ฉันรังเกียจ"

พูดจบก็เดินออกไป

ซูหย่าหลับตา แล้วลืมตาขึ้นอีกครั้ง จับที่ท้องน้อย เธอพูดเงียบๆในใจ : "ลูก นี่คือพ่อของคุณ พ่อ พ่อ"

เพราะพื้นที่ลื่น เธอจึงเดินค่อนข้างช้า เมื่อกลับมาถึงห้อง ก็ไม่เห็นเซียวอู๋แล้ว เห็นชุดทหารที่เขาถอดวางไว้บนโต๊ะ จึงเอามาพับให้เป็นระเบียบเรียบร้อย

คาดว่าเขาคงไปอาบน้ำแล้ว

มองไปยังเตียง 1.5 เมตรนั่น ซูหย่าก็ขมวดคิ้ว รู้สึกเจ็บปวดใจเล็กน้อย

นำผลิตภัณฑ์ดูแลผิวออกจากกล่องมาทาหน้า เป่าผมจนแห้ง เซียวอู๋ก็ยังไม่กลับมา ในห้องรู้สึกอึดอัดเกินไป เธอจึงเดินไปที่หน้าต่าง กำลังจะเปิดหน้าต่าง ก็เห็นคู่ที่เหมาะสมกันคู่นั้นอยู่ใต้เสาธงชั้นล่าง

ทั้งสองคนก้มหน้า ไม่รู้ว่าคุยอะไรกันอยู่

ชั่วขณะในใจก็เหมือนถูกยัดด้วยนุ่นในชั่วพริบตา รู้สึกอึดอัดใจและหงุดหงิด

ดึงผ้าม่านขึ้น ถอดเสื้อคลุมออก แล้วขึ้นเตียงนอน

เตียงแข็งมาก ผ้าห่มก็ไม่นุ่มเลย แต่ว่าในใจหนาวเหน็บอย่างมาก

เธอเชื่อมั่นในตนเองมาตลอด แต่ว่าต่อหน้ามู่ซือคนนั้น เธอก็รู้สึกว่าตนเองไม่มีอะไรดีเลยสักอย่าง

พลิกตัว เธอนำผ้าห่มคลุมศีรษะ

เมื่อเซียวอู๋เข้ามา เห็นซูหย่าที่ห่อตัวเองจนเป็นบ๊ะจ่าง

เขาลุกขึ้นแล้วเดินออกไป เมื่อกลับมาอีกครั้ง ในมือก็มีผ้านวมมาด้วย

อาจจะเพราะตอนกลางวันทรมานเกินไป แล้วก็อาจเพราะท้องอยู่เลยขี้เซา ถึงแม้ภายในใจจะไม่สบายใจก็ตาม เมื่อซูหย่าตื่นขึ้นมาอีกครั้ง ที่นอนข้างๆก็ว่างเปล่าแล้ว

มองเครื่องแบบทหารบนโต๊ะก็ไม่มีแล้ว มีหมั่นโถวสองสามชิ้นกับปาท่องโก๋หนึ่งชิ้น แล้วก็น้ำเต้าหู้หนึ่งถ้วย

เธอดูมือถือ 9โมงกว่าแล้ว

จึงลุกขึ้นไปอาบน้ำ กลับมานานอาหารเช้า แล้วก็วิดีโอคอลไปหาเล่อจยา

แต่อาจเพราะสัญญาณไม่ดี ภาพเลยค้าง ซูหย่าจึงวางสาย แล้วส่งวีแชตไปหาเธอ: จยาจยา คุณทำอะไรอยู่?"

เวลานี้เล่อจยานอนเอนกายอยู่บนโซฟาห้องทำงานเกาไห่ "กำลังรบเร้าผู้ชายของฉัน ให้อนุญาตให้ฉันไปทำงาน"

"ไปที่ไหน เกากรุ๊ปเหรอ?"

"ไม่อยากไปเกากรุ๊ป แล้วก็ไม่อยากไปบริษัทก่อนหน้านี้ของเธอ อยากไปทำอีกบริษัทหนึ่ง เขาไม่อนุญาต"

"นั่นก็แน่นอนล่ะ คุณเป็นคนมีความสามารถ เงินทองจะได้ไม่รั่วไหลออกข้างนอก เป็นฉัน ฉันก็ไม่อนุญาต"

เล่อจยาบุ้ยปาก "คุณเป็นอย่างไรบ้าง?ที่นั่นค่อนข้างลำบาก คุณจะต้องดูแลตัวเองให้ดีนะ"

ซูหย่าถอนหายใจยาว อดไม่ได้ที่จะเล่อาเรื่องอาบน้ำเมื่อคืนและที่เซียวอู๋ไปประชุมกับเมียน้อยตอนกลางคืนให้เล่อจยาฟัง

เล่อจยาจึงโทรศัพท์เข้ามาโดยตรง "เสี่ยวหย่า คุณฟังน้ำเสียงของคุณตอนนี้สิ?เหมือนภรรยาที่คับแค้นใจอย่างยิ่ง ความสัมพันธ์ของเสี่ยวอู๋และมู่ซืออะไรนั่น ที่ไปเจอกันเจอกันตอนกลางคืน ก็อาจจะมีเรื่องที่ต้องปรึกษาหารือกัน คุณอย่าคิดเรื่องอะไรเป็นเรื่องที่ไม่ชอบธรรมไปซะหมดสิ?"

ซูหย่าฟังเล่อจยาพูดกับตนเองแบบนี้ ก็บุ้ยปาก "คุณดูสิ แม้แต่คุณก็รังเกียจฉัน…."

"นี่ หยุดเลยนะ ฉันมีสิทธิ์อะไรที่จะรังเกียจคุณ นี่ฉันพูดเตือนด้วยความหวังดีแต่อาจจะขัดหู เรื่องนั้นเมื่อวาน คุณก็ผิดจริงๆ เสี่ยวหย่า เสี่ยวอู๋อยู่ในกองทหาร นั่นคือพลตรี นั่งคือผู้นำ คุณว่า คุณที่เป็นภรรยาผู้นำ มันไม่ควรจะเป็นผู้นำด้วยเหรอ?คาดไม่ถึงว่าจะได้สิทธิพิเศษ จุดจุดนี้ ฉันคิดว่าเสี่ยวอู๋ไม่ผิด ตอนนี้คุณไม่ใช่ตัวคนเดียวแล้ว คุณเป็นตัวแทนเสี่ยวอู๋ คุณลองดูภรรยาของผู้นำประเทศสิ เขา….."

"จยาจยา คุณเข้าประเด็นหน่อยได้ไหม?" อันที่จริง หลังจากนอนหลับมาคืนหนึ่งแล้วตื่นขึ้นมา ซูหย่าก็ไม่ได้โมโหแล้ว ถึงแม้เธอจะเป็นลูกสาวคนรวย แต่ก็ได้รับการศึกษาที่สูง เธอไม่ใช่ว่าไม่เข้าใจเหตุผล แต่อาจจะเป็นเพียงแค่ความรู้สึก

"เอาล่ะ คุณก็ลองคิดให้ดีๆ ผู้ชายของฉันจะต้องพาฉันไปทำธุระแล้ว บ๊ายบาย มีอะไรก็โทรมา ดูแล….สุขภาพด้วย"

"คุณมันเห็นสามีดีกว่าเพื่อน!" เห็นโทรศัพท์ถูกวางสายไป ซูหย่าก็บ่นพึมพำ

มองดูวีแชต ข้อความของแม่ซู คิดๆแล้วเธอก็ตอบกลับ เมื่อวานโกรธ เธอเลยไม่ได้ตอบกลับ

แล้วก็ตอบกลับข้อความของปี๋ไค

เวลานี้ ก็ได้ยินว่ามีคนเคาะประตู เธอเปิดประตู พบโอวหยางเฟิง ก็ตกใจเล็กน้อย "มีธุระอะไรเหรอ?"

โอวหยางเฟิงกล่าวว่า: "พี่สะใภ้ อีกสักครู่ฉันจะเข้าเมืองไปทำธุระเล็กน้อย คุณต้องการไปด้วยกันกับฉันไหม?เมื่อวาน ฉันได้ยินคนพูดว่า คุณมองหาซูเปอร์มาร์เก็ต"

ซูหย่าได้ยิน ก็ดีใจ "ดีๆ คุณรอฉันแป๊บนะ ฉันเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน"

โอวหยางเฟิงจึงมีปฏิกิริยาตอบสนองว่า ซูหย่ายังสวมชุดนอนอยู่ จึงเก้อเขินเล็กน้อย กระแอมเบาๆ "เอ่อ อย่างนั้นฉันไปรอคุณที่ชั้นล่างนะ"

ซูหย่าเปลี่ยนเสื้อผ้าไปได้ครึ่งหนึ่ง เธอก็หยุดชะงักลง นึกถึงคำพูดเมื่อกี้นี้ของเล่อจยา เธอจึงลังเลใจเล็กน้อย เธอไม่รู้ว่าตนเองตามโอวหยางเฟิงไปแบบนี้ นับว่าเป็นสิทธิพิเศษหรือไม่

หลังจากลงไปชั้นล่าง เธอคิดๆแล้วเลยเอ่ยปากถามว่า: "โอวหยางเฟิง คุณว่า ฉันตามคุณไปแบบนี้ ถือว่าเป็นสิทธิพิเศษไหม?หากหัวหน้าทหารของพวกคุณรู้เข้า จะโกรธไหม?"

“ตัวอยู่ที่นี่แต่ใจอยู่ที่อื่น ไปเถอะ ไม่ใช่จะชวนฉันไปทานมื้อดึกไม่ใช่เหรอ?” ซูหย่าพูดจบ ก็เปิดประตูรถแล้วเข้าไปนั่ง

“ไม่……” เล่อจยาอยากจะพูดว่าไม่ใช่ แต่ถูกเกาไห่ดึงไว้ “คาดว่าเธอน่าจะอารมณ์ไม่ค่อยดี ไปเถอะ ไปทานเป็นเพื่อนเธอ”

ทั้งสองคนขึ้นรถไป ซูหย่าก็แย่งมือถือเล่อจยามา โทรไปหาปี๋ไค หลังจากสายถูกกดรับ เธอก็สูดลมหายใจเข้า “ไคไค คุณอยู่ที่ไหน?”

“คุณเป็นอะไรไป?” เสียงปี๋ไคแหบเล็กน้อย น่าจะค้นคว้าวิจัยหลักสูตรของเขาอยู่

“ไคไค เขารังแกฉัน คุณต้องเลี้ยงอาหารมื้อค่ำฉัน”

สายทางด้านนั้น หยุดชะงักไปชั่วขณะ แล้วพูดว่า : “ส่งพิกัดมาให้ฉันด้วย”

เพราะซูหย่าท้องอยู่ เล่อจยาจึงเจาะจงเลือกร้านชาสไตล์ฮ่องกงมาเป็นพิเศษ

ดูออกว่าอารมณ์เธอไม่ดีจริง สีหน้าท่าทางดูไม่มีชีวิตชีวา

“เสี่ยวอู๋มีนิสัยแข็งกร้าว คุณนะก็เรื่องมากเรื่องเยอะ แต่ก็ต้องอยู่ด้วยกัน เสี่ยวหย่า ฉันว่า คุณจะกลุ้มอกกลุ้มใจไปทำไม?”

ซูหย่าไม่พูดอะไร นิ้วมือม้วนผมที่อยู่ด้านหน้า แววตาที่หดหู่มองเล่อจยาอย่างเจ็บปวดใจมาก

“มิเช่นนั้น ฉันจะอธิบายกับเสี่ยวอู๋ให้เข้าใจเลยดีไหม?” พูดจบก็หยิบมือถือออกมา

ซูหย่ายื่นมือออกไปแย่งมือถือเธอมา แล้วส่ายหัว “ปัญหาของเรา เดิมทีไม่ได้อยู่ที่ปี๋ไค คุณว่าฉันดูแย่มากเลยใช่ไหม?ทำไมเขาถึงได้รังเกียจฉันขนาดนั้น?”

“แบบคุณนี่ ผู้ชายปกติไม่มาชอบหรอก” เกาไห่จิบชา แล้วทำเสียงหัวเราะเยาะ

เล่อจยาเหยียบเท้าเกาไห่อยู่ใต้โต๊ะ “คุณอย่าได้ทีขี่แพะไล่ได้ไหม?คุณยังเห็นเธอทุกข์ใจไม่พอใช่ไหม?”

เกาไห่เงยหน้ามองซูหย่า “ไม่มีผู้ชายคนไหนชอบผู้หญิงแข็งกร้าวที่ทำให้ตนเองดูด้อยค่าไปทุกๆที่หรอกนะ ตั้งแต่หลังจากนัดดูตัวครั้งแรก ก็แทบจะเปลี่ยนชีวิตเซียวอู๋ไปเลย พวกคุณสามารถพิจารณาปัญหาจากอีกมุมหนึ่งได้ ถ้าเป็นพวกคุณ พวกคุณยังจะชอบเขาอยู่ไหม?” พูดจบ ก็ยื่นมือออก “บริกร สั่งอาหารหน่อย”

ซูหย่ากับเล่อจยามองหน้ากัน ไม่ได้พูดอะไร ถึงแม้เกาไห่จะพูดไม่ค่อยน่าฟัง แต่ไม่ใช่ว่าจะไม่เป็นความจริงๆ โชคชะตานี้ บางทีอาจจะผิดตั้งแต่แรก

เมื่อปี๋ไคมาถึง อาหารก็สั่งไว้บนโต๊ะแล้ว เขานั่งลงข้างๆซูหย่า ประคองหน้าของเธอ “เขาทำอะไรคุณ?”

ซูหย่าเห็นปี๋ไค ก็เบะปากกอดเขา แล้วร้องไห้น้ำตาไหลเผาะๆออกมา “เขาไปหาเมียน้อยแล้ว ไคไค เขาบอกว่าฉันสกปรก สะอิดสะเอียนฉัน ไม่อยากแตะต้องฉัน ฮือ……”

เล่อจยาได้ยินก็คิ้วขมวด นำตะเกียบในมือทุบลงบนโต๊ะอย่างแรง “อะไรนะ?เสี่ยวอู๋นี่  เกาไห่ดึงมือของเธอมาเป่าสองสามที “คุณอย่ารุนแรงอย่างนี้สิ มือทุบลงไปไม่เจ็บเหรอ?” พูดจบก็นวดเบาๆ “ดูสิ แดงหมดเลย”

ซูหย่าชำเลืองมองมาที่พวกเขาทั้งสอง เสียงร้องไห้ก็ยิ่งดังขึ้น

เล่อจยาดึงมือกลับมาอย่างเขินอาย “เอาล่ะ คุณอย่าไปยุแหย่เธอเลย”

ปี๋ไคสีหน้าเคร่งขรึมไม่พูดจา เล่อจยามองเห็นความเจ็บปวดใจในแววตาเขาได้อย่างชัดเจน ขณะนี้ของตาก็แดงเล็กน้อย

“ในเมื่อเป็นทุกข์ขนาดนี้ ก็หย่ากันเถอะ” หลังจากเงียบอยู่สักพัก ปี๋ไคก็พูดออกมาเธออยากจะพูดว่า หย่าไม่ได้ แล้วเธอก็ไม่อยากหย่าด้วย สุดท้ายก็ทำได้เพียงร้องไห้เสียงดังออกมา ชั่วพริบตา เสื้อแจ็กเกตสีเทาของไคก็เปียกชื้น

“เสี่ยวหย่า ตอนบ่ายคนตระกูลเซียวเรียกให้คุณกลับไป พูดอะไรกับคุณ?” เล่อจยาเห็นว่าเธอร้องไห้ต่อไปแบบนี้ ก็คงไม่ได้เรื่อง จึงเปลี่ยนหัวข้อสนทนา

ซูหย่าหยุดชะงักเล็กน้อย ยืดตัวออกมาจากร่างของปี๋ไค รับทิชชูที่เล่อจยาส่งให้ เช็ดน้ำตาเล็กน้อย พูดอย่างสะอึกสะอื้นว่า: “เซียวอู๋ให้ฉันตามไปที่กองทหารด้วย เขาต้องย้ายไปนอกสถานที่ชั่วคราว เป็นเวลาครึ่งปี

“เข้าร่วมในกองทัพ?” เล่อจยาตกใจ ทันที เธอก็คิดอะไรได้ “คุณ….แบบนี้คุณ คุณก็…คุณก็ไม่สามารถเข้าร่วมกองทัพได้”

“ทำไมจะไม่สามารถเข้าร่วมกองทัพได้ล่ะ?ขณะนี้คนทั้งสองก็มีความสัมพันธ์กัน ถ้าได้อยู่ด้วยกันนานๆ ไม่แน่ว่าได้เรียนรู้กันไปแล้วจะรักกันก็ได้?” เกาไห่กล่าว

“เธอ…..” เล่อจยาอยากจะบอกว่า ซูหย่าท้อง จะสามารถไปเข้าร่วมกองทัพได้อย่างไรล่ะ แล้วยังไม่พูดถึงว่าเซียวอู๋จะปฏิบัติกับเธออย่างไร สภาพแวดล้อมการอยู่อาศัยก็ไม่เหมาะสม ทางด้านนั้น ไร้ญาติขาดมิตร สภาพความเป็นอยู่เทียบไม่ได้เลยกับเมืองC อีกทั้งที่เซียวอู๋ไป คือไปทำงาน ไม่ได้ไปเที่ยว ซูหย่านั้นก็ต้องอยู่ตัวคนเดียว เธอเป็นห่วง หลังจากนั้นก็นึกออกว่า เกาไห่ไม่รู้เรื่องนี้ จึงได้แต่กลืนคำพูดที่เหลือกลับไป

“เขาเกลียดชังคุณ แล้วทำไมถึงต้องการให้คุณตามไปเข้าร่วมกองทัพด้วย ไม่ใช่ว่าไม่เห็นหน้าแล้ว จิตใจจะได้สงบหรอกเหรอ?” ปี๋ไคกล่าว พอเขาพูดจบ สายตาของคนสองสามคนก็มองไปยังซูหย่าในเวลาเดียวกัน

ซูหย่ายืดตัวขึ้นจากโต๊ะ กล่าวออกมาอย่างช้าๆว่า: “เขาต้องการที่จะกักขังฉัน อยากจะทรมานฉัน”

เล่อจยาและเกาไห่มองหน้ากัน “เสี่ยวหย่า อันที่จริง เสี่ยวอู๋ไม่ได้น่ากลัวแบบที่คุณคิดขนาดนั้นหรอก”

พอเธอพูดจบ สายตาของคนสองสามคนก็เคลื่อนไปยังเธอ

“เมื่อไรกัน ที่คุณคิดที่จะพูดเพื่อเขา ตกลงคุณเป็นเพื่อนของใครกันแน่?” ซูหย่ากล่าวตำหนิ

เกาไห่เหลือบมองเล่อจยาอย่างแฝงไปด้วยความหมายที่ลึกซึ้ง ปี๋ไครอคำพูดต่อไปอย่างเงียบๆ

เล่อจยากลืนน้ำลาย “อาจจะเพราะมองมุมมองของปัญหาแตกต่างกัน ฉันคิดว่า เซียวอู๋กลัวว่าคุณกับปี๋ใครจะมีอะไรกัน เลยตั้งใจที่จะแยกพวกคุณออกจากกัน เสี่ยวหย่า คนที่อยู่ในสถานการณ์มักจะมองอะไรไม่เห็น แต่คนที่อยู่นอกสถานการณ์มักจะมองออกนะ”

ปี๋ไคมองเล่อจยา ในสายตามีความเห็นด้วย

เกาไห่ดื่มน้ำต่อ ยังคงเงียบไม่พูดจา

ซูหย่าหัวเราะเยาะ “เขากลัวอย่างนั้นเหรอ?ถ้าเขากลัว ก็คงไม่ทำแบบนี้กับฉันซ้ำแล้วซ้ำเล่าหรอก”

พูดพลาง นั่งตัวตรง ศีรษะพิงไหล่ของปี๋ไค คล้ายกับกำลังคิดอะไรอยู่

ลักษณะของเธอเวลานี้ มีทิฐิสูงมาก คนสองสามคนก็ไม่ได้พูดโน้มน้าวอีก เรื่องราวแบบนี้ จำเป็นต้องคิดให้ได้ด้วยตนเอง

สุดท้าย ของหวานที่สั่งมา ทุกคนก็ไม่ค่อยได้ทานเท่าไรนัก เห็นสภาพของซูหย่าแล้ว เล่อจยาก็เป็นห่วงที่เธอต้องกลับตระกูลเซียวไปคนเดียว จึงส่งข้อความไปบอกเซียวอู๋ว่า เธอต้องการจะพาซูหย่ากลับไปยังบ้านของพวกเขา

ภายในห้องของโรงแรม ชายหนุ่มวางมือถือที่อยู่ในมือ สีหน้าเคร่งขรึม ส่ายแก้วไวน์ที่อยู่ในมือ เด็กผู้หญิงเสื้อขาวยืนอยู่ด้านหลังของเขาอย่างเชื่อฟัง คนทั้งสองไม่ได้พูดจา

เวลานี้ เสียงเคาะประตูก็ดังเข้ามา

เด็กผู้หญิงเปิดประตู ชายสวมชุดกีฬาสีดำคนหนึ่ง เดินเข้ามา นำซองจดหมายซองหนึ่งที่อยู่ในมือส่งให้เซียวอู๋ แล้วถอยออกไป

เซี่ยวอู๋โบกมือ กับเด็กผู้หญิงเสื้อขาวที่อยู่ด้านหลังให้ถอยห่างออกไปหลายเมตร

แล้วจึงเปิดซองจดหมาย เซียวอู๋ดึงรูปภาพสองสามใบจากด้านในออกมา ดูทีละรูปๆ สีหน้าของเขาก็มืดมนลงไป เมื่อดูรูปสุดท้าย เขาก็กัดเขี้ยวเคี้ยวฟันกวาดรูปทั้งหมดที่อยู่บนโต๊ะลงไปยังพื้น เงยหน้ากระดกไวน์ในแก้วรวดเดียวหมด จากนั้น ก็โยนแก้วไปยังกำแพง จนแตกละเอียด

รูปใบหนึ่งปลิวไปยังเท้าของเด็กผู้หญิงเสื้อขาว เธอโน้มตัวลงไปหยิบขึ้นมา เมื่อเห็นรูปภาพชัดเจนแล้ว สายตาก็มืดมนลงไป

พูดจบก็ลงไปชั้นล่าง แล้วผลักเซียวอู๋ที่ยืนอยู่ตรงทางขึ้นบันไดออกไป : “คุณหลีกไป”

เธอเดินไปที่โรงอาหาร

ได้ยินเสียงปรบมือดังขึ้นจากด้านหลัง ซูหย่าจึงหยุดฝีเท้าหันไปมอง ก็พบว่าทุกคนยังคงมีสีหน้าเคร่งขรึม วันนี้เหมือนโดนผีหลอกเลย ทำไมได้ยินเสียงแปลกๆบ่อยๆ คิดๆแล้ว หรือว่าจะหิวจนหลอน?

เห็นลูกศรชี้คำว่าโรงอาหารตรงหน้า ซูหย่าก็วิ่งเหยาะๆไป

หลังจากที่ภาพของเธอหายไป ก็มีคนกระแอมเบาๆ “ข้าวหมา??อะแฮ่ม คุณเซียว……”

“ฮ่าๆๆๆ……”

“หัวหน้าเซียว ครั้งที่แล้วใครบอกว่า ในอนาคตแต่งงานไป ต้องฝึกฝนเธอให้เหมือนเป็นทหารด้วยนะ?”

“ได้ ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงอย่างนี้ อยากออกไปรวมตัวกันวิ่งตอนกลางคืนอีกใช่ไหม?”

“ไม่อยาก…”

เซียวอู๋กับลูกน้องในที่ทำงานนี้ ก็เหมือนเป็นพี่เป็นน้องกัน แต่ตอนทำงานก็คำไหนคำนั้น ทุกๆคนก็เชื่อฟังเขา

“เสี่ยวอู๋ คุณรีบไปดูภรรยาคุณเถอะ เธอมาวันแรก อย่างไรคุณก็ตามไปเป็นเพื่อนหน่อยเถอะ” นายทหารที่อาวุโสตบๆไหล่เซียวอู๋

เซียวอู๋พยักหน้า เพียงแต่เมื่อเขาไปถึงหน้าประตูโรงอาหาร ตอนเห็นภาพด้านใน สีหน้าเรียกได้ว่าย่ำแย่อย่างมาก

เห็นซูหย่ายกถาดอาหารหนึ่งถาด นั่งบนเก้าอี้แล้วกินมัน

“ซูหย่า!”

น้ำเสียงที่คุ้นเคย เรียกเธอทั้งชื่อทั้งแซ่ เธอไม่เงยหน้าขึ้นแล้วก็ไม่ตอบกลับ เอาแต่ตักข้าวเข้าปาก ถึงแม้ว่าสีกลิ่นรสชาติจะไม่ได้เรื่องเลย แต่เธอกลับรู้สึกว่านี่คือมื้ออาหารที่ดีที่สุดในชีวิตเธอ

“ใครอนุญาตคุณให้เธอทานอาหารก่อน?”

ทหารชั้นผู้น้อยในช่องเคาน์เตอร์ ตกใจจนหน้าถอดสี เขาทำความเคารพเซียวอู๋ แล้วตอบกลับว่า : “รายงานท่านหัวหน้า สะใภ้บอกว่าตนเอง…ปวดท้อง ฉันเลย……”

“ทางด้านนี้เสร็จสิ้นแล้ว ไปวิ่งถ่วงน้ำหนัก 20 กิโลเมตร”

“ครับ!” ตอบกลับด้วยเสียงดังกังวาน แต่เห็นได้ชัดว่าตัวสั่นเทา

ตะเกียบในมือซูหย่าตกลงบนพื้น เธอหันกลับไปมองทหารคนนั้นที่กลืนน้ำลายไม่หยุด แม้เธอจะไม่เข้าใจว่าสิ่งที่เรียกว่าการวิ่งถ่วงน้ำหนัก 20 กิโลเมตรคืออะไร แต่เมื่อเห็นแววตาหวาดกลัวของทหารคนนั้นแล้ว เธอก็รู้เลยว่าบทลงโทษต้องไม่เบาอย่างแน่นอน

เธอรู้สึกผิดและตำหนิตัวเองในใจ เธอลุกขึ้นเดินไปข้างๆเซียวอู๋ “ทำไมคุณทำอย่างนี้?เขาเห็นเกียรติยศคุณจึง……”

“เป็นทหารก็ต้องมีกฎระเบียบ ตอนอยู่สนามรบ ถ้าทุกๆคนเป็นอย่างพวกคุณ “เข้าใจไหม?”

ทหารตอบอย่างเคารพ “เข้าใจครับ!”

ซูหย่าถลึงตาใส่เซียวอู๋ “ฉันไม่เข้าใจกฎของทหารหรอกนะ ฉันแค่รู้สึกว่าคุณมันเลว ไร้ความเมตตา แล้วก็ไม่สนใจไยดีใครเลย”

พูดจบ ข้าวก็ไม่กินแล้ว หันกลับห้องไป

นอนอยู่บนเตียง เธอเช็ดน้ำตาที่ไหลไม่ขาดสาย ใช่ เธอเข้าใจประเทศก็มีกฎหมายของประเทศ ครอบครัวก็มีกฎระเบียบของครอบครัว เป็นธรรมดาที่กองทัพย่อมมีกฎเกณฑ์ของตนเอง แต่แค่กินข้าวก็เท่านั้น เธอปวดท้องจริงๆ

นึกถึงนายทหารชั้นผู้น้อยที่ถูกเขาทำโทษแล้ว เธอก็ทั้งโมโหทั้งตำหนิตัวเอง

ถ้าจะบอกว่าเซียวอู๋ตอนอยู่บ้าน เป็นคนเลวแล้วล่ะก็ อย่างนั้นอยู่ที่นี่ก็โหดเหี้ยมไร้ความเมตตาจนเกินจะบรรยาย

ผ่านไปครู่หนึ่ง ก็ได้ยินเสียงเคาะประตู เธอพลิกตัว ไม่สนใจ เสียงเคาะประตูก็ดังเข้ามาอีกครั้ง เป็นเสียงที่นุ่มนวล เธอนิ่งอึ้งไป ด้วยนิสัยของเซียวอู๋แล้วจะไม่เคาะประตูแบบนี้

จึงพลิกตัวลงจากเตียง เปิดประตู มู่ซือยืนอยู่หน้าประตู ถือถาดอาหารอยู่ มองด้วยตา คือที่เธอเพิ่งทานเหลือเอาไว้ เดินเข้ามา นำอาหารวางไว้บนโต๊ะ “หัวหน้าทหารให้ฉันเอามาส่ง พี่สะใภ้รีบทานเถอะ อย่าให้หิวเลย”

ซูหย่าร้องเชอะอย่างเย็นชา “หิวจะตายอยู่แล้ว นี่ไม่ใช่สิ่งที่เขาต้องการหรอกเหรอ?”

หญิงสาวมองซูหย่า ในสายตาปรากฏความเหยียดหยามเล็กน้อย

พอดีซูหย่าเงยหน้าขึ้น แล้วพบกับสายตานั้น ความโกรธในก้นบึ้งของหัวใจก็ปรากฏขึ้นมา “คุณหมายความว่าอย่างไร?ดูถูกฉันเหรอ?”

มู่ซือมองเธออย่างลึกซึ้ง ยกมุมปากปรากฏรอยยิ้มที่มีความหมายแฝง “พี่สะใภ้ คุณค่อยๆทานนะ ฉันไปก่อน”

ซูหย่าคว้าแขนของเธอ ก็สัมผัสได้ถึงความประหลาดใจ ผู้หญิงคนนี้ดูเหมือนอ่อนแอ ผิวละเอียดเนื้อนุ่มนวล แต่แขนนี้ที่จับกลับแข็งแกร่ง รู้สึกคล้ายกันกับเซียวอู๋เลย

พอที่จะพิสูจน์ได้ว่าผู้หญิงคนนี้ผ่านการฝึกฝนมาอย่างเข้มงวด

เธอหรี่ตา ทันทีในใจก็มีความรู้สึกพ่ายแพ้ มิน่าล่ะเซียวอู๋ถึงได้ชอบเธอ รูปร่างหน้าตาสวย แล้วยังมีอาชีพเดียวกันอีก

“พี่สะใภ้ยังมีธุระอื่นอีกเหรอ?” มู่ซือนำการตอบสนองของซูหย่าเก็บเข้าไว้ในสายตา กล่าวถามอย่างเรียบเฉย

ซูหย่าปล่อยมือ ถอยหลังกลับไปยังด้านหน้าโต๊ะอย่างเศร้าสร้อย หยิบตะเกียบขึ้นมา ป้อนอาหารเข้าปากคำแล้วคำเล่า

อาหารเหมือนเดิม แต่ทำไมรู้สึกว่ารสชาติเปลี่ยนไป

แต่เพื่อลูกในท้อง เธอก็ยังทานจนหมดเกลี้ยง กลัวว่าดึกๆจะหิว แล้วจะคลุ้มคลั่ง

ทานข้าวแล้ว เธอก็เอนตัวลงนอนบนเตียง นึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้ ในใจก็รู้สึกถึงรสชาติของชีวิต

สะลึมสะลือ แล้วจึงหลับไป

เมื่อเธอตื่นขึ้นมาอีกครั้ง เซียวอู๋ยังไม่กลับมา ท้องฟ้าด้านนอกก็มืดลงแล้ว เธอมองดูมือถือ สามทุ่มกว่าแล้ว จู่ๆก็นึกถึงคำพูดก่อนหน้านี้ของเซียวอู๋ ห้องน้ำสาธารณะมีการจำกัดเวลา

เธอรีบจัดเสื้อผ้าสองสามชิ้นแล้วก็ผลิตภัณฑ์อาบน้ำ พอหาห้องน้ำเจอ เมื่อดึงเปิดผ้าม่านนั้น เธอยืนนิ่งอึ้งอยู่หน้าประตูทันที ดวงตาเธอเต็มไปด้วยเนื้อที่….เปลือยเปล่า!

เธอรีบปิดหน้าอกด้วยจิตสำนึก

เวลานี้ เธอสิ้นหวังจนอยากจะร้องไห้ ตั้งแต่เกิดมา จริงๆเธอเกิดมาพร้อมกับช้อนเงินช้อนทอง เพราะก่อนหน้านี้พ่อแม่มีพี่ชายสองคน จึงรักและเอ็นดูเธอมากกว่า เคยลำบากแบบนี้ซะที่ไหนกัน

เธอไม่ได้ทำตัวเหนือคนอื่น แต่ก็ไม่เคยพบเหตุการณ์ในสังคมแบบนี้ สองปีนั้นที่เล่อจยาเปิดร้านอาหารริมทาง เอช่วยยกถาด ล้างถ้วยชาม ก็นับว่าลำบากจะแย่แล้วนะ เหอะ เหอะ….

“โอ้ นี่เป็นภรรยาของบ้านไหนล่ะ รีบเข้ามาอาบสิ อีกสักครู่ ก็จะหยุดจ่ายน้ำแล้วนะ” สตรีวัยกลางคนคนหนึ่ง ร่างกายเปลือยเปล่า หยิบผ้าขนหนูกำลังเช็ดผม เห็นเธอยื่นอึ้งอยู่หน้าประตู กล่าวทักทายเพื่อนอย่างสุภาพ

ซูหย่ายิ้มอย่างเก้อเขิน สายตาไม่รู้จะมองไปที่ไหน ถึงจะเหมาะสม “ขอบคุณค่ะ พี่สาว”

“ฉันว่า เธอคงจะทำให้ตกใจ คุณลืมไปด้วยเหรอ ครั้งที่แล้วที่ภรรยาของผู้พันมา เด็กผู้หญิงตัวเล็กๆก็นั่งยองๆร้องไห้อยู่หน้าประตู สถานที่นี้ คนที่มีประสบการณ์เพียงเล็กน้อย ก็คงทนไม่ไหวจริงๆ” คนที่พูดคือ ผู้หญิงวัยเดียวกันกับพี่สาว

ด้านในมีคนอาบน้ำจำนวนมาก มีหมอกควันมากมาย ซูหย่ามองได้ไม่ชัดว่ายังมีใครอีก

“พี่สะใภ้ คุณมาตรงนี้เถอะ ฉันอาบเสร็จแล้ว” เสียงที่คุ้นเคยดังออกมาจากในหมอกควัน คือเสียงของมู่ซือ

พูดจบก็ลงไปชั้นล่าง แล้วผลักเซียวอู๋ที่ยืนอยู่ตรงทางขึ้นบันไดออกไป : “คุณหลีกไป”

เธอเดินไปที่โรงอาหาร

ได้ยินเสียงปรบมือดังขึ้นจากด้านหลัง ซูหย่าจึงหยุดฝีเท้าหันไปมอง ก็พบว่าทุกคนยังคงมีสีหน้าเคร่งขรึม วันนี้เหมือนโดนผีหลอกเลย ทำไมได้ยินเสียงแปลกๆบ่อยๆ คิดๆแล้ว หรือว่าจะหิวจนหลอน?

เห็นลูกศรชี้คำว่าโรงอาหารตรงหน้า ซูหย่าก็วิ่งเหยาะๆไป

หลังจากที่ภาพของเธอหายไป ก็มีคนกระแอมเบาๆ “ข้าวหมา??อะแฮ่ม คุณเซียว……”

“ฮ่าๆๆๆ……”

“หัวหน้าเซียว ครั้งที่แล้วใครบอกว่า ในอนาคตแต่งงานไป ต้องฝึกฝนเธอให้เหมือนเป็นทหารด้วยนะ?”

“ได้ ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงอย่างนี้ อยากออกไปรวมตัวกันวิ่งตอนกลางคืนอีกใช่ไหม?”

“ไม่อยาก…”

เซียวอู๋กับลูกน้องในที่ทำงานนี้ ก็เหมือนเป็นพี่เป็นน้องกัน แต่ตอนทำงานก็คำไหนคำนั้น ทุกๆคนก็เชื่อฟังเขา

“เสี่ยวอู๋ คุณรีบไปดูภรรยาคุณเถอะ เธอมาวันแรก อย่างไรคุณก็ตามไปเป็นเพื่อนหน่อยเถอะ” นายทหารที่อาวุโสตบๆไหล่เซียวอู๋

เซียวอู๋พยักหน้า เพียงแต่เมื่อเขาไปถึงหน้าประตูโรงอาหาร ตอนเห็นภาพด้านใน สีหน้าเรียกได้ว่าย่ำแย่อย่างมาก

เห็นซูหย่ายกถาดอาหารหนึ่งถาด นั่งบนเก้าอี้แล้วกินมัน

“ซูหย่า!”

น้ำเสียงที่คุ้นเคย เรียกเธอทั้งชื่อทั้งแซ่ เธอไม่เงยหน้าขึ้นแล้วก็ไม่ตอบกลับ เอาแต่ตักข้าวเข้าปาก ถึงแม้ว่าสีกลิ่นรสชาติจะไม่ได้เรื่องเลย แต่เธอกลับรู้สึกว่านี่คือมื้ออาหารที่ดีที่สุดในชีวิตเธอ

“ใครอนุญาตคุณให้เธอทานอาหารก่อน?”

ทหารชั้นผู้น้อยในช่องเคาน์เตอร์ ตกใจจนหน้าถอดสี เขาทำความเคารพเซียวอู๋ แล้วตอบกลับว่า : “รายงานท่านหัวหน้า สะใภ้บอกว่าตนเอง…ปวดท้อง ฉันเลย……”

“ทางด้านนี้เสร็จสิ้นแล้ว ไปวิ่งถ่วงน้ำหนัก 20 กิโลเมตร”

“ครับ!” ตอบกลับด้วยเสียงดังกังวาน แต่เห็นได้ชัดว่าตัวสั่นเทา

ตะเกียบในมือซูหย่าตกลงบนพื้น เธอหันกลับไปมองทหารคนนั้นที่กลืนน้ำลายไม่หยุด แม้เธอจะไม่เข้าใจว่าสิ่งที่เรียกว่าการวิ่งถ่วงน้ำหนัก 20 กิโลเมตรคืออะไร แต่เมื่อเห็นแววตาหวาดกลัวของทหารคนนั้นแล้ว เธอก็รู้เลยว่าบทลงโทษต้องไม่เบาอย่างแน่นอน

เธอรู้สึกผิดและตำหนิตัวเองในใจ เธอลุกขึ้นเดินไปข้างๆเซียวอู๋ “ทำไมคุณทำอย่างนี้?เขาเห็นเกียรติยศคุณจึง……”

“เป็นทหารก็ต้องมีกฎระเบียบ ตอนอยู่สนามรบ ถ้าทุกๆคนเป็นอย่างพวกคุณ “เข้าใจไหม?”

ทหารตอบอย่างเคารพ “เข้าใจครับ!”

ซูหย่าถลึงตาใส่เซียวอู๋ “ฉันไม่เข้าใจกฎของทหารหรอกนะ ฉันแค่รู้สึกว่าคุณมันเลว ไร้ความเมตตา แล้วก็ไม่สนใจไยดีใครเลย”

พูดจบ ข้าวก็ไม่กินแล้ว หันกลับห้องไป

นอนอยู่บนเตียง เธอเช็ดน้ำตาที่ไหลไม่ขาดสาย ใช่ เธอเข้าใจประเทศก็มีกฎหมายของประเทศ ครอบครัวก็มีกฎระเบียบของครอบครัว เป็นธรรมดาที่กองทัพย่อมมีกฎเกณฑ์ของตนเอง แต่แค่กินข้าวก็เท่านั้น เธอปวดท้องจริงๆ

นึกถึงนายทหารชั้นผู้น้อยที่ถูกเขาทำโทษแล้ว เธอก็ทั้งโมโหทั้งตำหนิตัวเอง

ถ้าจะบอกว่าเซียวอู๋ตอนอยู่บ้าน เป็นคนเลวแล้วล่ะก็ อย่างนั้นอยู่ที่นี่ก็โหดเหี้ยมไร้ความเมตตาจนเกินจะบรรยาย

ผ่านไปครู่หนึ่ง ก็ได้ยินเสียงเคาะประตู เธอพลิกตัว ไม่สนใจ เสียงเคาะประตูก็ดังเข้ามาอีกครั้ง เป็นเสียงที่นุ่มนวล เธอนิ่งอึ้งไป ด้วยนิสัยของเซียวอู๋แล้วจะไม่เคาะประตูแบบนี้

จึงพลิกตัวลงจากเตียง เปิดประตู มู่ซือยืนอยู่หน้าประตู ถือถาดอาหารอยู่ มองด้วยตา คือที่เธอเพิ่งทานเหลือเอาไว้ เดินเข้ามา นำอาหารวางไว้บนโต๊ะ “หัวหน้าทหารให้ฉันเอามาส่ง พี่สะใภ้รีบทานเถอะ อย่าให้หิวเลย”

ซูหย่าร้องเชอะอย่างเย็นชา “หิวจะตายอยู่แล้ว นี่ไม่ใช่สิ่งที่เขาต้องการหรอกเหรอ?”

หญิงสาวมองซูหย่า ในสายตาปรากฏความเหยียดหยามเล็กน้อย

พอดีซูหย่าเงยหน้าขึ้น แล้วพบกับสายตานั้น ความโกรธในก้นบึ้งของหัวใจก็ปรากฏขึ้นมา “คุณหมายความว่าอย่างไร?ดูถูกฉันเหรอ?”

มู่ซือมองเธออย่างลึกซึ้ง ยกมุมปากปรากฏรอยยิ้มที่มีความหมายแฝง “พี่สะใภ้ คุณค่อยๆทานนะ ฉันไปก่อน”

ซูหย่าคว้าแขนของเธอ ก็สัมผัสได้ถึงความประหลาดใจ ผู้หญิงคนนี้ดูเหมือนอ่อนแอ ผิวละเอียดเนื้อนุ่มนวล แต่แขนนี้ที่จับกลับแข็งแกร่ง รู้สึกคล้ายกันกับเซียวอู๋เลย

พอที่จะพิสูจน์ได้ว่าผู้หญิงคนนี้ผ่านการฝึกฝนมาอย่างเข้มงวด

เธอหรี่ตา ทันทีในใจก็มีความรู้สึกพ่ายแพ้ มิน่าล่ะเซียวอู๋ถึงได้ชอบเธอ รูปร่างหน้าตาสวย แล้วยังมีอาชีพเดียวกันอีก

“พี่สะใภ้ยังมีธุระอื่นอีกเหรอ?” มู่ซือนำการตอบสนองของซูหย่าเก็บเข้าไว้ในสายตา กล่าวถามอย่างเรียบเฉย

ซูหย่าปล่อยมือ ถอยหลังกลับไปยังด้านหน้าโต๊ะอย่างเศร้าสร้อย หยิบตะเกียบขึ้นมา ป้อนอาหารเข้าปากคำแล้วคำเล่า

อาหารเหมือนเดิม แต่ทำไมรู้สึกว่ารสชาติเปลี่ยนไป

แต่เพื่อลูกในท้อง เธอก็ยังทานจนหมดเกลี้ยง กลัวว่าดึกๆจะหิว แล้วจะคลุ้มคลั่ง

ทานข้าวแล้ว เธอก็เอนตัวลงนอนบนเตียง นึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้ ในใจก็รู้สึกถึงรสชาติของชีวิต

สะลึมสะลือ แล้วจึงหลับไป

เมื่อเธอตื่นขึ้นมาอีกครั้ง เซียวอู๋ยังไม่กลับมา ท้องฟ้าด้านนอกก็มืดลงแล้ว เธอมองดูมือถือ สามทุ่มกว่าแล้ว จู่ๆก็นึกถึงคำพูดก่อนหน้านี้ของเซียวอู๋ ห้องน้ำสาธารณะมีการจำกัดเวลา

เธอรีบจัดเสื้อผ้าสองสามชิ้นแล้วก็ผลิตภัณฑ์อาบน้ำ พอหาห้องน้ำเจอ เมื่อดึงเปิดผ้าม่านนั้น เธอยืนนิ่งอึ้งอยู่หน้าประตูทันที ดวงตาเธอเต็มไปด้วยเนื้อที่….เปลือยเปล่า!

เธอรีบปิดหน้าอกด้วยจิตสำนึก

เวลานี้ เธอสิ้นหวังจนอยากจะร้องไห้ ตั้งแต่เกิดมา จริงๆเธอเกิดมาพร้อมกับช้อนเงินช้อนทอง เพราะก่อนหน้านี้พ่อแม่มีพี่ชายสองคน จึงรักและเอ็นดูเธอมากกว่า เคยลำบากแบบนี้ซะที่ไหนกัน

เธอไม่ได้ทำตัวเหนือคนอื่น แต่ก็ไม่เคยพบเหตุการณ์ในสังคมแบบนี้ สองปีนั้นที่เล่อจยาเปิดร้านอาหารริมทาง เอช่วยยกถาด ล้างถ้วยชาม ก็นับว่าลำบากจะแย่แล้วนะ เหอะ เหอะ….

“โอ้ นี่เป็นภรรยาของบ้านไหนล่ะ รีบเข้ามาอาบสิ อีกสักครู่ ก็จะหยุดจ่ายน้ำแล้วนะ” สตรีวัยกลางคนคนหนึ่ง ร่างกายเปลือยเปล่า หยิบผ้าขนหนูกำลังเช็ดผม เห็นเธอยื่นอึ้งอยู่หน้าประตู กล่าวทักทายเพื่อนอย่างสุภาพ

ซูหย่ายิ้มอย่างเก้อเขิน สายตาไม่รู้จะมองไปที่ไหน ถึงจะเหมาะสม “ขอบคุณค่ะ พี่สาว”

“ฉันว่า เธอคงจะทำให้ตกใจ คุณลืมไปด้วยเหรอ ครั้งที่แล้วที่ภรรยาของผู้พันมา เด็กผู้หญิงตัวเล็กๆก็นั่งยองๆร้องไห้อยู่หน้าประตู สถานที่นี้ คนที่มีประสบการณ์เพียงเล็กน้อย ก็คงทนไม่ไหวจริงๆ” คนที่พูดคือ ผู้หญิงวัยเดียวกันกับพี่สาว

ด้านในมีคนอาบน้ำจำนวนมาก มีหมอกควันมากมาย ซูหย่ามองได้ไม่ชัดว่ายังมีใครอีก

“พี่สะใภ้ คุณมาตรงนี้เถอะ ฉันอาบเสร็จแล้ว” เสียงที่คุ้นเคยดังออกมาจากในหมอกควัน คือเสียงของมู่ซือ

“ตัวอยู่ที่นี่แต่ใจอยู่ที่อื่น ไปเถอะ ไม่ใช่จะชวนฉันไปทานมื้อดึกไม่ใช่เหรอ?” ซูหย่าพูดจบ ก็เปิดประตูรถแล้วเข้าไปนั่ง

“ไม่……” เล่อจยาอยากจะพูดว่าไม่ใช่ แต่ถูกเกาไห่ดึงไว้ “คาดว่าเธอน่าจะอารมณ์ไม่ค่อยดี ไปเถอะ ไปทานเป็นเพื่อนเธอ”

ทั้งสองคนขึ้นรถไป ซูหย่าก็แย่งมือถือเล่อจยามา โทรไปหาปี๋ไค หลังจากสายถูกกดรับ เธอก็สูดลมหายใจเข้า “ไคไค คุณอยู่ที่ไหน?”

“คุณเป็นอะไรไป?” เสียงปี๋ไคแหบเล็กน้อย น่าจะค้นคว้าวิจัยหลักสูตรของเขาอยู่

“ไคไค เขารังแกฉัน คุณต้องเลี้ยงอาหารมื้อค่ำฉัน”

สายทางด้านนั้น หยุดชะงักไปชั่วขณะ แล้วพูดว่า : “ส่งพิกัดมาให้ฉันด้วย”

เพราะซูหย่าท้องอยู่ เล่อจยาจึงเจาะจงเลือกร้านชาสไตล์ฮ่องกงมาเป็นพิเศษ

ดูออกว่าอารมณ์เธอไม่ดีจริง สีหน้าท่าทางดูไม่มีชีวิตชีวา

“เสี่ยวอู๋มีนิสัยแข็งกร้าว คุณนะก็เรื่องมากเรื่องเยอะ แต่ก็ต้องอยู่ด้วยกัน เสี่ยวหย่า ฉันว่า คุณจะกลุ้มอกกลุ้มใจไปทำไม?”

ซูหย่าไม่พูดอะไร นิ้วมือม้วนผมที่อยู่ด้านหน้า แววตาที่หดหู่มองเล่อจยาอย่างเจ็บปวดใจมาก

“มิเช่นนั้น ฉันจะอธิบายกับเสี่ยวอู๋ให้เข้าใจเลยดีไหม?” พูดจบก็หยิบมือถือออกมา

ซูหย่ายื่นมือออกไปแย่งมือถือเธอมา แล้วส่ายหัว “ปัญหาของเรา เดิมทีไม่ได้อยู่ที่ปี๋ไค คุณว่าฉันดูแย่มากเลยใช่ไหม?ทำไมเขาถึงได้รังเกียจฉันขนาดนั้น?”

“แบบคุณนี่ ผู้ชายปกติไม่มาชอบหรอก” เกาไห่จิบชา แล้วทำเสียงหัวเราะเยาะ

เล่อจยาเหยียบเท้าเกาไห่อยู่ใต้โต๊ะ “คุณอย่าได้ทีขี่แพะไล่ได้ไหม?คุณยังเห็นเธอทุกข์ใจไม่พอใช่ไหม?”

เกาไห่เงยหน้ามองซูหย่า “ไม่มีผู้ชายคนไหนชอบผู้หญิงแข็งกร้าวที่ทำให้ตนเองดูด้อยค่าไปทุกๆที่หรอกนะ ตั้งแต่หลังจากนัดดูตัวครั้งแรก ก็แทบจะเปลี่ยนชีวิตเซียวอู๋ไปเลย พวกคุณสามารถพิจารณาปัญหาจากอีกมุมหนึ่งได้ ถ้าเป็นพวกคุณ พวกคุณยังจะชอบเขาอยู่ไหม?” พูดจบ ก็ยื่นมือออก “บริกร สั่งอาหารหน่อย”

ซูหย่ากับเล่อจยามองหน้ากัน ไม่ได้พูดอะไร ถึงแม้เกาไห่จะพูดไม่ค่อยน่าฟัง แต่ไม่ใช่ว่าจะไม่เป็นความจริงๆ โชคชะตานี้ บางทีอาจจะผิดตั้งแต่แรก

เมื่อปี๋ไคมาถึง อาหารก็สั่งไว้บนโต๊ะแล้ว เขานั่งลงข้างๆซูหย่า ประคองหน้าของเธอ “เขาทำอะไรคุณ?”

ซูหย่าเห็นปี๋ไค ก็เบะปากกอดเขา แล้วร้องไห้น้ำตาไหลเผาะๆออกมา “เขาไปหาเมียน้อยแล้ว ไคไค เขาบอกว่าฉันสกปรก สะอิดสะเอียนฉัน ไม่อยากแตะต้องฉัน ฮือ……”

เล่อจยาได้ยินก็คิ้วขมวด นำตะเกียบในมือทุบลงบนโต๊ะอย่างแรง “อะไรนะ?เสี่ยวอู๋นี่  เกาไห่ดึงมือของเธอมาเป่าสองสามที “คุณอย่ารุนแรงอย่างนี้สิ มือทุบลงไปไม่เจ็บเหรอ?” พูดจบก็นวดเบาๆ “ดูสิ แดงหมดเลย”

ซูหย่าชำเลืองมองมาที่พวกเขาทั้งสอง เสียงร้องไห้ก็ยิ่งดังขึ้น

เล่อจยาดึงมือกลับมาอย่างเขินอาย “เอาล่ะ คุณอย่าไปยุแหย่เธอเลย”

ปี๋ไคสีหน้าเคร่งขรึมไม่พูดจา เล่อจยามองเห็นความเจ็บปวดใจในแววตาเขาได้อย่างชัดเจน ขณะนี้ของตาก็แดงเล็กน้อย

“ในเมื่อเป็นทุกข์ขนาดนี้ ก็หย่ากันเถอะ” หลังจากเงียบอยู่สักพัก ปี๋ไคก็พูดออกมา เธออยากจะพูดว่า หย่าไม่ได้ แล้วเธอก็ไม่อยากหย่าด้วย สุดท้ายก็ทำได้เพียงร้องไห้เสียงดังออกมา ชั่วพริบตา เสื้อแจ็กเกตสีเทาของไคก็เปียกชื้น

“เสี่ยวหย่า ตอนบ่ายคนตระกูลเซียวเรียกให้คุณกลับไป พูดอะไรกับคุณ?” เล่อจยาเห็นว่าเธอร้องไห้ต่อไปแบบนี้ ก็คงไม่ได้เรื่อง จึงเปลี่ยนหัวข้อสนทนา

ซูหย่าหยุดชะงักเล็กน้อย ยืดตัวออกมาจากร่างของปี๋ไค รับทิชชูที่เล่อจยาส่งให้ เช็ดน้ำตาเล็กน้อย พูดอย่างสะอึกสะอื้นว่า: “เซียวอู๋ให้ฉันตามไปที่กองทหารด้วย เขาต้องย้ายไปนอกสถานที่ชั่วคราว เป็นเวลาครึ่งปี

“เข้าร่วมในกองทัพ?” เล่อจยาตกใจ ทันที เธอก็คิดอะไรได้ “คุณ….แบบนี้คุณ คุณก็…คุณก็ไม่สามารถเข้าร่วมกองทัพได้”

“ทำไมจะไม่สามารถเข้าร่วมกองทัพได้ล่ะ?ขณะนี้คนทั้งสองก็มีความสัมพันธ์กัน ถ้าได้อยู่ด้วยกันนานๆ ไม่แน่ว่าได้เรียนรู้กันไปแล้วจะรักกันก็ได้?” เกาไห่กล่าว

“เธอ…..” เล่อจยาอยากจะบอกว่า ซูหย่าท้อง จะสามารถไปเข้าร่วมกองทัพได้อย่างไรล่ะ แล้วยังไม่พูดถึงว่าเซียวอู๋จะปฏิบัติกับเธออย่างไร สภาพแวดล้อมการอยู่อาศัยก็ไม่เหมาะสม ทางด้านนั้น ไร้ญาติขาดมิตร สภาพความเป็นอยู่เทียบไม่ได้เลยกับเมืองC อีกทั้งที่เซียวอู๋ไป คือไปทำงาน ไม่ได้ไปเที่ยว ซูหย่านั้นก็ต้องอยู่ตัวคนเดียว เธอเป็นห่วง หลังจากนั้นก็นึกออกว่า เกาไห่ไม่รู้เรื่องนี้ จึงได้แต่กลืนคำพูดที่เหลือกลับไป

“เขาเกลียดชังคุณ แล้วทำไมถึงต้องการให้คุณตามไปเข้าร่วมกองทัพด้วย ไม่ใช่ว่าไม่เห็นหน้าแล้ว จิตใจจะได้สงบหรอกเหรอ?” ปี๋ไคกล่าว พอเขาพูดจบ สายตาของคนสองสามคนก็มองไปยังซูหย่าในเวลาเดียวกัน

ซูหย่ายืดตัวขึ้นจากโต๊ะ กล่าวออกมาอย่างช้าๆว่า: “เขาต้องการที่จะกักขังฉัน อยากจะทรมานฉัน”

เล่อจยาและเกาไห่มองหน้ากัน “เสี่ยวหย่า อันที่จริง เสี่ยวอู๋ไม่ได้น่ากลัวแบบที่คุณคิดขนาดนั้นหรอก”

พอเธอพูดจบ สายตาของคนสองสามคนก็เคลื่อนไปยังเธอ

“เมื่อไรกัน ที่คุณคิดที่จะพูดเพื่อเขา ตกลงคุณเป็นเพื่อนของใครกันแน่?” ซูหย่ากล่าวตำหนิ

เกาไห่เหลือบมองเล่อจยาอย่างแฝงไปด้วยความหมายที่ลึกซึ้ง ปี๋ไครอคำพูดต่อไปอย่างเงียบๆ

เล่อจยากลืนน้ำลาย “อาจจะเพราะมองมุมมองของปัญหาแตกต่างกัน ฉันคิดว่า เซียวอู๋กลัวว่าคุณกับปี๋ใครจะมีอะไรกัน เลยตั้งใจที่จะแยกพวกคุณออกจากกัน เสี่ยวหย่า คนที่อยู่ในสถานการณ์มักจะมองอะไรไม่เห็น แต่คนที่อยู่นอกสถานการณ์มักจะมองออกนะ”

ปี๋ไคมองเล่อจยา ในสายตามีความเห็นด้วย

เกาไห่ดื่มน้ำต่อ ยังคงเงียบไม่พูดจา

ซูหย่าหัวเราะเยาะ “เขากลัวอย่างนั้นเหรอ?ถ้าเขากลัว ก็คงไม่ทำแบบนี้กับฉันซ้ำแล้วซ้ำเล่าหรอก”

พูดพลาง นั่งตัวตรง ศีรษะพิงไหล่ของปี๋ไค คล้ายกับกำลังคิดอะไรอยู่

ลักษณะของเธอเวลานี้ มีทิฐิสูงมาก คนสองสามคนก็ไม่ได้พูดโน้มน้าวอีก เรื่องราวแบบนี้ จำเป็นต้องคิดให้ได้ด้วยตนเอง

สุดท้าย ของหวานที่สั่งมา ทุกคนก็ไม่ค่อยได้ทานเท่าไรนัก เห็นสภาพของซูหย่าแล้ว เล่อจยาก็เป็นห่วงที่เธอต้องกลับตระกูลเซียวไปคนเดียว จึงส่งข้อความไปบอกเซียวอู๋ว่า เธอต้องการจะพาซูหย่ากลับไปยังบ้านของพวกเขา

ภายในห้องของโรงแรม ชายหนุ่มวางมือถือที่อยู่ในมือ สีหน้าเคร่งขรึม ส่ายแก้วไวน์ที่อยู่ในมือ เด็กผู้หญิงเสื้อขาวยืนอยู่ด้านหลังของเขาอย่างเชื่อฟัง คนทั้งสองไม่ได้พูดจา

เวลานี้ เสียงเคาะประตูก็ดังเข้ามา

เด็กผู้หญิงเปิดประตู ชายสวมชุดกีฬาสีดำคนหนึ่ง เดินเข้ามา นำซองจดหมายซองหนึ่งที่อยู่ในมือส่งให้เซียวอู๋ แล้วถอยออกไป

เซี่ยวอู๋โบกมือ กับเด็กผู้หญิงเสื้อขาวที่อยู่ด้านหลังให้ถอยห่างออกไปหลายเมตร

แล้วจึงเปิดซองจดหมาย เซียวอู๋ดึงรูปภาพสองสามใบจากด้านในออกมา ดูทีละรูปๆ สีหน้าของเขาก็มืดมนลงไป เมื่อดูรูปสุดท้าย เขาก็กัดเขี้ยวเคี้ยวฟันกวาดรูปทั้งหมดที่อยู่บนโต๊ะลงไปยังพื้น เงยหน้ากระดกไวน์ในแก้วรวดเดียวหมด จากนั้น ก็โยนแก้วไปยังกำแพง จนแตกละเอียด

รูปใบหนึ่งปลิวไปยังเท้าของเด็กผู้หญิงเสื้อขาว เธอโน้มตัวลงไปหยิบขึ้นมา เมื่อเห็นรูปภาพชัดเจนแล้ว สายตาก็มืดมนลงไป

เกาไห่หันกลับมา เล่อจยาก็โผล่หน้าออกมาจากในรถ แล้วเลิกคิ้ว

“คุณเกา มีบางเรื่อง เราพิจารณากันแล้ว เลยตัดสินใจว่าต้องบอกกับคุณ”

“เรื่องอะไร?” เกาไห่ถาม

“เกาเหวินเธอ……เธอเป็นมะเร็งเต้านมระยะสุดท้าย เธอไม่ให้เราบอกใคร แต่สถานการณ์อย่างนี้เธอสามารถยื่นคำร้องขอประกันตัวได้ ฉะนั้น พวกเราเลยลองถามดู……” คำที่เหลือ ตำรวจที่ดูแลเรือนจำไม่ได้พูดอะไรต่อ

ถึงแม้ว่าในใจจะเคียดแค้นเธออย่างมาก แต่ถึงอย่างไรก็เติบโตมาแด้วยกัน เกาไห่ก็อดไม่ได้ที่จะเดินซวนเซถอยหลังไปสองสามก้าว

เล่อจยารีบลงจากรถ ไปพยุงเขา “สามี คุณไม่เป็นอะไรใช่ไหม?”

เกาไห่เม้มปาก สูดลมหายใจเข้าลึกๆ ส่ายหัวกับเล่อจยา แล้วหันไปมองตำรวจ “พวกคุณถามความคิดเห็นของเธอเถอะ ถ้าเธอต้องการออกมา พวกคุณก็ติดต่อกับฉัน ถ้าไม่ต้องการ……” เขากลืนน้ำลาย เล่อจยาพบว่าในตาเขามีน้ำตาคลอ “ถ้าไม่ต้องการ ก็ปล่อยเธอไปเถอะ”

พูดจบ ทั้งสองคนก็ขึ้นรถไป

หลังจากทั้งสองคนนั่งลง เล่อจยาก็จับมือของเกาไห่ “มิเช่นนั้น เราก็ให้เธอออกมาเถอะ ถึงอย่างไรก็เป็นน้องสาวของคุณ”

เกาไห่มองเล่อจยา ตบเบาๆสองทีที่หลังมือของเธอ “คุณภรรยา ฉันไม่เชื่อเรื่องผีสางเทวดาหรอกนะ แต่ว่าฉันเชื่อเรื่องกงกรรมกงเกวียน เธอทำเรื่องเลวร้ายมามาก นี่คือกรรมที่ตามสนอง”

พูดจบก็เอนหลังพิงเบาะรถ หลับตาลง แล้วไม่พูดอะไรอีก

เล่อจยาเข้าใจ ว่าเขาจ้องไม่สบายใจอย่างแน่นอน ตลอดเส้นทางก็เลยไม่ได้พูดอะไร

เพราะเรื่องนี้ ในตอนกลางคืนทั้งสองคนจึงนอนไม่ค่อยหลับ

วันต่อมา เมื่อปรากฏตัวต่อหน้าซูหย่า เล่อจยาจึงอยู่ในสภาพที่แย่อย่างมาก

เพราะเกิดเรื่อง”แท้งลูก”อย่างนี้ พิธีแต่งงานระหว่างตระกูลซูกับตระกูลเซียว เลยเลือกที่จะจัดขึ้นอย่างเงียบๆ

เดิมทีที่วางแผนจะจัดงานเลี้ยงใหญ่โต ท้ายที่สุดในวันแต่งงานนี้ก็มีญาติพี่น้องเพื่อนฝูงทั้งสองฝ่ายมา สิ่งเดียวที่เรียกได้ว่าเอิกเกริก ก็คือการเคลื่อนไหวของสื่อมวลชนต่างๆ

นอกประตูของตระกูลซู ถูกล้อมรอบจนเรียกได้ว่าแน่นขนัด

“จยาจยา คุณทะเลาะกับเกาไห่เหรอ?ทำไมคุณตาบวมขนาดนี้?” เมื่อซูหย่าเห็นเล่อจยา เลยเอ่ยถาม

เล่อจยานั่งลงบนโซฟาอย่างอ่อนแรง สำหรับซูหย่าแล้ว เธอไม่เคยปิดบังอะไรได้เลย จึงเล่าเรื่องเมื่อวานนี้ที่แม่เล่อไปหาเธอที่เกากรุ๊ปบอกว่าต้องการซื้อบ้านอยู่กับเล่อเหวิน แล้วก็เล่าเรื่องเกาเหวิน ให้ซูหย่าฟังหมด

“อะไรกัน เธอต้องการสินสอดจากเกาไห่เหรอ?แม่คุณนี่ หน้าไม่อายจริงๆเลย เธอไม่เคยนึกถึงความรู้สึกของคุณเลยใช่ไหม?” พูดจบก็นั่งลงข้างๆเล่อจยา กอดคอเธอ แล้วตบหลังเธอเบาๆ “พอเถอะ สำหรับคนอย่างเธอแล้ว ต้องทุกข์ใจถึงขนาดนี้เชียวเหรอ?”

“ไม่ทุกข์ใจหรอก เกาไห่รับปากกับฉันแล้ว ว่าจะไม่ให้เธอ แต่ว่าเรื่องเกาเหวิน เสี่ยวหย่าคุณว่า ฉันจะบอกให้เกาไห่ไปรับเธอออกมาดีไหม?”

ซูหย่าคิ้วขมวด ผลักเล่อจยา แล้วเคาะไปที่หน้าผากเธอ “นี่คุณโง่หรือไง ไม่นานเธอก็ต้องตายอยู่แล้ว ยังจะให้คุณต้องมารับชะตากรรมร่วมด้วย ผู้หญิงอย่างนี้ฉันว่าน่ากลัวกว่าไห่ยุ่นอีกนะ”

เล่อจยาถูกซูหย่าอธิบายอย่างนี้ ความคิดในใจก็กำจัดทิ้งไปหมด เธอไม่ใช่คนเจ้าเล่ห์ สำหรับคนประเภทเกาเหวินนั้น จริงๆเธอก็กลัวอยู่

“คุณ……”

“ก๊อกๆ……” คำพูดของซูหย่าถูกตัดบทด้วยเสียงเคาะประตู

เล่อจยาบอกใบ้ว่าเธอไม่ต้องขยับ ลุกขึ้นไปเปิดประตู ก็เห็นเซียวอู๋ที่หน้าดำคร่ำเครียด

วันนี้เขาใส่ชุดสูทรองเท้าหนัง ดูเท่ดูมีสง่าอย่างมาก  พรุ่งนี้สื่อต้องเขียนข่าวให้วุ่นวายแน่” เล่อจยาอดต่อว่าไม่ได้

เซียวอู๋จ้องมองเธอด้วยสายตาที่เย็นชา เดินอ้อมเธอ ไปยังซูหย่า หยุดยืนนิ่งอยู่ตรงหน้าเธอ “วันนี้ออกจากประตูทางศาสนาแล้ว ชั่วชีวิตนี้ จะเป็นจะตาย พวกเราก็ต้องผูกพันอยู่ด้วยกัน”

ซูหย่าเหมือนจะรู้ว่าเซียวอู๋จะต้องพูดแบบนี้ เธอจึงลูบท้องน้อยด้วยจิตสำนึก “ต้องจ่ายไปมากขนาดนี้ คงไม่ทำให้ผิดหวังอย่างแน่นอน”

เซียงอู๋คิดว่าเธอพูดเรื่องการแท้งลูก สีหน้าก็ยิ่งเคร่งขรึมอย่างมาก แต่เล่อจยาเข้าใจความหมายที่แท้จริงของซูหย่า และแต่ละคนก็มีความคิดของตัวเอง

แม่ซูเป็นห่วงร่างกายของซูหย่า เดิมทีขั้นตอนการแต่งงานที่กำหนดไว้เรียบร้อยแล้ว ก็ต้องยกเลิกไปโดยตรง

คนตระกูลเซียวตำหนิเล็กๆน้อยๆ แต่ก็มีความเกรงใจ ในที่สุดก็ไม่ได้พูดอะไร

ดังนั้น สิ่งที่เขียนบนกระดาษแดงเมื่อวาน ก็แทบจะเป็นโมฆะไป

หลังจากพิธีแต่งงานจบสิ้น ในที่สุดซูหย่าก็ยังกลับไปที่ตระกูลเซียว

ฉากวันมงคลที่งดงาม แสงไฟในเรือนหอยามค่ำคืน

หลังจากซูหย่าอาบน้ำแล้ว ก็เข้าไปเอนตัวลงนอน

ในความสะลึมสะลือ เธอได้กลิ่นเหล้าฉุนเข้ามาในจมูก หลังจากนั้นก็ร่างกายที่หนักๆกดลงมาบนตัวเอง

เมื่อลืมตาขึ้น ก็พบกับสายตาที่เยือกเย็นคู่หนึ่ง “อ๊ะ ” ใช้กำลังผลักร่างกายผู้ชายออก “คุณ…คุณ จะทำอะไร?”

สายตาที่เยือกเย็นของชายหนุ่ม กวาดมายังบนเตียง มองหญิงสาวที่ตื่นตระหนก ส่งเสียงหัวเราะเยาะอย่างเย็นชา ลุกขึ้นยืน ปลดเข็มขัดออก ต่อจากนั้น ก็ถอดเสื้อผ้า

ซูหย่ากลืนน้ำลายเล็กน้อย แล้วเปิดผ้าห่มออก กระโดดลงจากเตียง “คุณ…คุณบ้าไปแล้ว ฉันเพิ่งจะแท้งลูก ไม่…ไม่สามารถทำเรื่องแบบนั้นได้”

ชายหนุ่มที่เปลือยกายอยู่ในขณะนี้ เขาเดินเข้ามายังซูหย่า เดินเข้ามาทีละก้าวๆ

ในอากาศอบอวลไปด้วยกลิ่นเหล้าและกลิ่นของชายหนุ่ม

ซูหย่าถอยหลังทีละก้าวๆ จนกระทั่งหลังติดกับกำแพงที่เย็นเฉียบ เสียงของเธอสั่นเล็กน้อย ในสายตามีความหวาดกลัว “คุณ คุณอย่ามาทำซี้ซั้วนะ”

ชายหนุ่มหยุดยืนห่างจากเธอหนึ่งก้าว ยืนแขนเรียวยาวออกมา ใช้กำลังจับขากรรไกรของเธอ “อยากเล่นเกมวางหลุมพรางไม่ใช่เหรอ?อยากให้ฉันแตะต้องตัวคุณเหรอ?ฉันจะบอกคุณให้นะ คุณ….ฝันไปเถอะ ชั่วชีวิตนี้ ฉันไม่มีวันแตะต้องคุณ อยากแต่งงานกับฉันไม่ใช่เหรอ?ได้ ฉันจะให้คุณ เป็นหม้ายไปตลอดชีวิต”

พูดจบ ก็สะบัดมือออกอย่างแรง ซูหย่าล้มลงบนพื้น เธอกุมท้องน้อยด้วยจิตสำนึก ถึงแม้คำพูดของซูหย่าจะทำให้ภายในใจของเธอเป็นทุกข์ แต่นึกถึงเด็กในท้อง ก็ยังโล่งอกอย่างบอกไม่ถูก

เสียงประตูปิดดัง”ปัง” ซูหย่าค้ำกับกำแพง ลุกขึ้นยืน แล้วเอนตัวลงนอนบนเตียงอีกครั้ง

เวลานี้ มือถือก็สว่างขึ้นเล็กน้อย หยิบมาดู คือเล่อจยาที่ส่งวีแชตเข้ามา “สบายดีไหม?”

สามคำง่ายๆที่ทำให้ซูหย่าขอบตาแดงก่ำ ด้วยความน้อยใจที่โจมตีอยู่ภายในใจ เม้มปาก แล้วตอบกลับว่า “พรุ่งนี้จะไปบ้านคุณ”

“คุณต้องลองถามความคิดเห็นของตระกูลเซียวนะ ถึงอย่างไรต่อไปคุณก็ยังต้องดำเนินชีวิตต่อ”

ซูหย่าตกตะลึงเล็กน้อย “อย่างนั้นพรุ่งนี้ค่อยพูด”

วันต่อมา ซูหย่าตื่นแต่เช้าตรู่ ถึงแม้เซียวอู๋จะไม่ต้องการพบหน้าเธอ แต่เธอก็ตัดสินใจแล้วที่จะใช้ชีวิตอยู่ที่บ้านหลังนี้ จึงไม่สามารถพูดเรื่องที่ไม่น่าพอใจกับคนอื่นได้ เมื่อลงมา บนโซฟาในห้องรับแขก ก็มีคนนั่งอยู่ไม่น้อย

“แม่ เสี่ยวหย่าลงมาแล้ว” คนที่พูดคือแม่เซียว

เดินเข้าไปดึงมือของซูหย่า “เสี่ยวหย่า มา มานั่งสิ”

“คุณปู่ คุณย่า คุณพ่อ อรุณสวัสดิ์ค่ะ” ถึงแม้ปกติของซูหย่า จะดูไม่สนใจไยดีอะไร แต่ตั้งแต่เด็ก เติบโตมาในครอบครัวใหญ่ เรื่องมารยาทเล็กๆน้อยๆ เธอก็ทำได้ดีมาโดยตลอด

“ยัยหนู มา มานั่งตรงย่านี่” คุณย่าตบลงตรงพื้นที่ว่างข้างๆตัว

ซูหย่าพยักหน้า “ขอบคุณค่ะคุณย่า”

“ยัยหนู…..” คุณย่าดึงมือของซูหย่า พูดอึกๆอักๆ

ซูหย่าเห็นสีหน้าปี๋ไคค่อยๆแดงขึ้น จึงร้อนใจ จับแขนเซียวอู๋มากัดลงไปอย่างแรง เธอใช้แรงอย่างมาก

ฉะนั้นเมื่อเซียวอู๋เจ็บปวดก็ปล่อยทันที ทว่าขณะเดียวกันที่ปล่อยมือ มือนั้นก็ยกขึ้น เล่อจยากลัวว่าเขาจะตบซูหย่า จึงรีบยื่นมือไปจับแขนของเขาไว้ มองส่งสัญญาณให้ซูหย่าออกไป

“คุณกล้ากัดฉันเพื่อเขาเหรอ ซูหย่า คุณกล้ามาก”

ซูหย่ามองค้อนเขา แล้วดึงปี๋ไคมา “เราไปกันเถอะ อย่าไปทะเลาะกับคนที่ไอคิวต่ำโรคประสาทคนนี้เลย”

พูดจบ รีบจูงมือปี๋ไคเดินไปทางประตูทางเข้า เมื่อเดินไปถึงนอกประตู ก็เห็นซูหย่าหันกลับมามองเล่อจยา “จยา มาเร็วเข้า”

เล่อจยาสูดลมหายใจ มองหน้าเซียวอู๋ หยิบกระเป๋าแล้ววิ่งออกไป

มองคนทั้งสามตรงหน้าตนเองหายไป เซียวอู๋โกรธจัดหันไปกวาดของบนโต๊ะอาหารกองลงมาอยู่กับพื้น

บนรถ

ซูหย่าเห็นรอยนิ้วมือบนคอของปี๋ไคอย่างชัดเจน “ทำไมคุณไม่รู้จักต่อต้านบ้าง?”

ปี๋ไคขมวดคิ้ว “ขณะนั้น ฉันรู้สึกว่าเขาหล่อมากเลย”

เล่อจยาที่นั่งอยู่ด้านหน้าหันไปมองปี๋ไค “คุณเป็นมาโซคิสม์จริงๆ”

ซูหย่าปล่อยมือเขา “คุณโรคจิตหรือไง”

“ฉันไม่ได้โรคจิต เพียงแต่ฉันรู้สึกว่ามันน่าสนใจอย่างมาก”

“อะไรนะ?”

“สามีของคุณ บางทีเขาอาจจะไม่ได้ไม่สนใจคุณหรือเปล่า?”

ซูหย่าขมวดคิ้ว จากนั้นก็มองปี๋ไคด้วยสีหน้าที่ดีใจทันที “ที่คุณพูดหมายความว่าอะไร?”

“เขาเห็นเราพูดคุยอยู่ด้วยกัน เขาก็มองคุณอย่างโกรธๆ ถ้าเขาไม่รู้สึกอะไรกับคุณจริงๆ เขาจะโกรธคุณอย่างนั้นทำไม?”

ซูหย่าดีใจขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ชั่วขณะก็หดหู่ลงมา ไหล่ของเธอตกลง “อย่างนั้นจะหมายความว่าอย่างไรได้?นั่นมันคนโง่ เห็นภรรยาของตนเองอยู่กับชายอื่นต่อหน้าก็ต้องโกรธอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ?คุณไอคิวต่ำจริงๆเลย”

ปี๋ไคชำเลืองมองเธอ “เหรอ?ฉันไม่คิดอย่างนั้น”

“พวกคุณอย่าเถียงกันเลย เสี่ยวอู๋คนนั้นฉันรู้จักดี ถ้าเขาเดือดดาลขึ้นมา เขาสามารถฆ่าคนได้เลย เสี่ยวหย่า ไม่ว่าอย่างไร คุณก็เป็นภรรยาของเขา เป็นใครก็โกรธ พวกคุณอย่าเสี่ยงอันตรายอย่างนี้เลย”

ซูหย่าคอตก เงียบไปสักครู่หนึ่ง เธอก็พูดว่า : “ไม่เห็นจะเป็นสาระสำคัญอะไรเลย เขาจะทำอะไรฉันได้?ฉันแค่ทำท่าทีดูมีเลศนัยกับผู้ชายนิดๆหน่อยๆ ก็เท่านั้นเอง”

เห็นรอยยิ้มที่มุมปากของเธอ เล่อจยาก็กลืนน้ำลาย

“เสี่ยวหย่า คุณยับยั้งชั่งใจหน่อย

ปี๋ไคมองๆท้องของซูหย่า “เด็กเป็นของเขาเหรอ?”

ซูหย่ามองค้อนเขา “หรือว่าจะเป็นของคุณล่ะ?”

“ฉันไม่ใช่ผู้ชาย คุณวางใจได้” ปี๋ไคตอบกลับอย่างรวดเร็ว แล้วคนทั้งรถก็หัวเราะกันออกมา

แต่ทว่า ความดีนั้นทำยากแต่ความชั่วนั้นทำง่าย พวกเขาเพิ่งจะมาถึงร้านอาหารร้านหนึ่ง ตระกูลเซียวก็โทรมาหา บอกว่าเซียวอู๋กลับมาแล้ว ให้ซูหย่ากลับไปทานข้าวด้วยกัน ยังบอกว่ามีเรื่องสำคัญที่ต้องปรึกษาหารือ

เมื่อวางสายไป สีหน้าซูหย่าก็ดูเป็นกังวลขึ้นมาเล็กน้อย

“พูดว่าอะไร?ทำไมสีหน้าคุณเป็นอย่างนี้?”

ซูหย่าส่ายหน้า “ฟังแล้วคุณแม่ดูดีใจมาก ฉันจะคิดว่าเป็นแผนการร้ายได้อย่างไรล่ะ?”

เมื่อพิสูจน์ข้อเท็จจริงแล้ว ซูหย่าเดาไว้ไม่ผิดจริงๆ

“ยัยหนู เซียวอู๋ถูกย้ายไปเมืองอื่นชั่วคราว ไปครั้งนี้ ก็ประมาณครึ่งปี เขาบอกกับพวกเราว่า ทิ้งเจ้าสาวไว้ในบ้านคนเดียว ก็ทำใจทิ้งไม่ลงจริงๆ สมัครเข้าเป็นทหารแล้ว สมาชิกในครอบครัวก็ต้องเข้าร่วมกองทัพ กองทัพจึงอนุญาต” สีหน้าของคุณย่าดีใจ ทางด้านซูหย่ากัดริมฝีปาก บังคับตัวเองให้ใจเย็นลง

ไม่ต้องพูดถึงว่าเธอท้อง ไปที่นั่นแล้ว การดำรงชีวิตก็ไม่คุ้นเคย แม้แต่เธอไม่ท้อง เธอก็ไม่กล้าตามเขาไปหรอก อยู่เมืองC ไม่ว่าอย่างไรก็มีพ่อแม่อยู่ที่นี่ เซียวอู๋ก็ไม่กล้าทำอะไร แต่ใครจะรู้ว่า ไปที่นั่น เขาจะปฏิบัติต่อตนเองอย่างไร

เอสูดลมหายใจเข้า ยิ้มเล็กน้อยแล้วเงยหน้าขึ้น ส่งสายตามองไปยังเซียวอู๋ อีกฝ่ายกำลังนำมันฝรั่งชิ้นหนึ่งใส่เข้าปาก ต่อมาก็รู้สึกได้ถึงสายตาของเธอ หันหน้ามามองเธอ ยิ้มเล็กน้อยอย่างอ่อนโยน แล้วกล่าวว่า: “คุณภรรยา ถึงแม้ทางด้านนั้น จะแตกต่างเล็กน้อย แต่ก็อยู่ด้วยกันเป็นกองทัพ แล้วก็ยังมีครอบครัวอื่นๆ ฉันก็จะได้มีเวลาว่างมาอยู่เป็นเพื่อนคุณ มีเวลา พวกเราก็กลับเมืองC คุณจะตามไปอยู่ด้วยกันกับฉันไหม?”

เขาเรียกเธอว่าภรรยา น้ำเสียงการพูดอ่อนโยน แฝงไปด้วยการขอร้องเล็กน้อย ท่าทีนั้น เหมือนกับคู่รักที่เพิ่งแต่งงานกันใหม่ ที่ตัดใจทิ้งไม่ลง แยกออกจากกันไม่ได้

แต่ซูหย่าก็กลืนน้ำลายของตัวเองไม่หยุด ไม่กลัวปีศาจชั่วร้ายที่บ้าคลั่ง แต่กลัวปีศาจที่แสร้งเป็นคนดี ในรอยยิ้มที่มีมีดซ่อนอยู่นี้ เธอก็สามารถทำได้ แต่ก็รู้สึกขนพองสยองเกล้า

“เอ่อคือ ตั้งแต่เล็กจนโต ฉันก็ไม่เคยออกห่างจากบ้านไปนานขนาดนี้ คุณย่า ฉันขอคิดดูสักเล็กน้อย”

คุณย่าพยักหน้า ตบเบาๆที่หลังมือของเธอ “ได้ เพียงแต่ ยัยหนู แต่งงานกับสามีแล้วก็ต้องปฏิบัติตามสามี นี่แต่งงานกับทหาร บางครั้ง ก็ต้องเข้ากองทัพ คุณก็ต้องค่อยๆเคยชินไป”

ซูหย่านิ่งอึ้งไป ก้มหน้า แล้วตอบ”อืม”คำหนึ่ง

เพราะเซียวอู๋อยู่บ้าน ซูหย่าก็ไม่มีเหตุผลที่จะไปอยู่กับเล่อจยา

ทานข้าวแล้ว ก็นั่งเป็นเพื่อนกับผู้อาวุโสเล็กน้อย แล้วจึงขึ้นชั้นบนไป

ซูหย่าอาบน้ำเสร็จออกมา ก็เห็นเซียวอู๋ที่สวมชุดนอน เอนตัวเล่นมือถืออยู่บนเตียง ใบหน้าของซูหย่าก็ร้อนผ่าวเล็กน้อย

เธอกระแอมเล็กน้อย “เอ่อ อย่างนั้นฉันไปนอนห้องพักแขกนะ?”

ชายหนุ่มนำมือถือวางบนหัวเตียง เงยหน้าขึ้น สายตามองมาอย่างลึกซึ้ง เขาตบเบาๆตรงที่ว่างด้านข้าง ยิ้มอย่างอ่อนโยนแล้วกล่าวว่า “มานี่สิ”

ซูหย่าส่ายหน้า อดไม่ได้ที่จะถอยหลังไปหนึ่งก้าว

เซียวอู๋รวบรวมความหวาดกลัวของเธอไว้ในสายตา ทันทีก็ก้มหน้าเล็กน้อย หลังจากนั้นก็พลิกตัวลงจากเตียง แล้วเดินเข้าไปหาซูหย่า

ออกแรงดึงแขนของเธอ แล้วโยนเธอลงบนเตียงโดยตรง จากนั้น คนก็กดลงไปบนร่างของซูหย่า “คุณหิวกระหายขนาดนั้น ฉันไม่ทำให้คุณอิ่มอกอิ่มใจ มันก็คงจะเป็นความผิดฉันใช่ไหมล่ะ?”

พูดพลาง นำมือใหญ่ๆคว้าไปที่ชุดนอนของซูหย่า ออกแรงฉีก “แคว่ก” เสียงผ้าฉีกขาด หน้าอกเย็นวาบอย่างคาดไม่ถึง

ถ้าจะบอกว่าก่อนหน้านี้ซูหย่าหวาดกลัวแล้ว ก็ยังเป็นเพียงความหวาดกลัว เวลานี้ เธอก็ขวัญผวาไปหมดแล้ว

เธอส่ายหน้า “ไม่….ไม่เอา”

“ไม่เอา?อย่างนั้นจะเอาใคร?เอาไอ้หน้าละอ่อนคนนั้นเหรอ?คุณซู คุณคิดว่าฉันตายไปแล้วใช่ไหม?” ในสายตาเขาแดงก่ำ พูดอย่างกัดเขี้ยวเคี้ยวฟัน ซูหย่ารู้ว่านี่คือหน้าตาของเขาจริงๆ

มือใหญ่ๆที่กุมลงบนผิวที่เย็นเยือกของซูหย่า ทันทีก็ร้อนผ่าวขึ้นมา

แต่ซูหย่าก็อดไม่ได้ที่จะตัวสั่นเล็กน้อย เอียงหน้าไปยังด้านข้าง หลับตา เธอรู้ว่าด้วยกำลังของร่างกาย ที่เธอปฏิบัติต่อเซียวอู๋ ก็เหมือนกับเอาไข่ไปกระทบหิน ดังนั้น เพื่อไม่ทำให้เขาโกรธ และก็เพื่อลูกที่อยู่ในท้อง เธอจึงตัดสินใจละทิ้งการต่อสู้ดิ้นรน ถึงอย่างไร ก็เป็นสามีภรรยากันแล้ว เรื่องแบบนี้ เธอก็ยอมรับได้ ถึงแม้ว่า ภายในใจจะเป็นทุกข์กับการกระทำของเซียวอู๋ก็ตาม

นี่ไม่ใช่ชีวิตของสามีภรรยาที่เธอต้องการ

เซียวอู๋ที่เดิมทีอยากจะลงโทษผู้หญิงคนนี้ แต่เมื่อฝ่ามือสัมผัสโดนผิวที่นุ่มลื่นของเธอ คาดไม่ถึงว่ามันจะกระตุ้นให้เขามีความปรารถนาและความลึกซึ้งต่อไปขนาดนี้

ซูหย่าเห็นสีหน้าปี๋ไคค่อยๆแดงขึ้น จึงร้อนใจ จับแขนเซียวอู๋มากัดลงไปอย่างแรง เธอใช้แรงอย่างมาก

ฉะนั้นเมื่อเซียวอู๋เจ็บปวดก็ปล่อยทันที ทว่าขณะเดียวกันที่ปล่อยมือ มือนั้นก็ยกขึ้น เล่อจยากลัวว่าเขาจะตบซูหย่า จึงรีบยื่นมือไปจับแขนของเขาไว้ มองส่งสัญญาณให้ซูหย่าออกไป

“คุณกล้ากัดฉันเพื่อเขาเหรอ ซูหย่า คุณกล้ามาก”

ซูหย่ามองค้อนเขา แล้วดึงปี๋ไคมา “เราไปกันเถอะ อย่าไปทะเลาะกับคนที่ไอคิวต่ำโรคประสาทคนนี้เลย”

พูดจบ รีบจูงมือปี๋ไคเดินไปทางประตูทางเข้า เมื่อเดินไปถึงนอกประตู ก็เห็นซูหย่าหันกลับมามองเล่อจยา “จยา มาเร็วเข้า”

เล่อจยาสูดลมหายใจ มองหน้าเซียวอู๋ หยิบกระเป๋าแล้ววิ่งออกไป

มองคนทั้งสามตรงหน้าตนเองหายไป เซียวอู๋โกรธจัดหันไปกวาดของบนโต๊ะอาหารกองลงมาอยู่กับพื้น

บนรถ

ซูหย่าเห็นรอยนิ้วมือบนคอของปี๋ไคอย่างชัดเจน “ทำไมคุณไม่รู้จักต่อต้านบ้าง?”

ปี๋ไคขมวดคิ้ว “ขณะนั้น ฉันรู้สึกว่าเขาหล่อมากเลย”

เล่อจยาที่นั่งอยู่ด้านหน้าหันไปมองปี๋ไค “คุณเป็นมาโซคิสม์จริงๆ”

ซูหย่าปล่อยมือเขา “คุณโรคจิตหรือไง”

“ฉันไม่ได้โรคจิต เพียงแต่ฉันรู้สึกว่ามันน่าสนใจอย่างมาก”

“อะไรนะ?”

“สามีของคุณ บางทีเขาอาจจะไม่ได้ไม่สนใจคุณหรือเปล่า?”

ซูหย่าขมวดคิ้ว จากนั้นก็มองปี๋ไคด้วยสีหน้าที่ดีใจทันที “ที่คุณพูดหมายความว่าอะไร?”

“เขาเห็นเราพูดคุยอยู่ด้วยกัน เขาก็มองคุณอย่างโกรธๆ ถ้าเขาไม่รู้สึกอะไรกับคุณจริงๆ เขาจะโกรธคุณอย่างนั้นทำไม?”

ซูหย่าดีใจขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ชั่วขณะก็หดหู่ลงมา ไหล่ของเธอตกลง “อย่างนั้นจะหมายความว่าอย่างไรได้?นั่นมันคนโง่ เห็นภรรยาของตนเองอยู่กับชายอื่นต่อหน้าก็ต้องโกรธอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ?คุณไอคิวต่ำจริงๆเลย”

ปี๋ไคชำเลืองมองเธอ “เหรอ?ฉันไม่คิดอย่างนั้น”

“พวกคุณอย่าเถียงกันเลย เสี่ยวอู๋คนนั้นฉันรู้จักดี ถ้าเขาเดือดดาลขึ้นมา เขาสามารถฆ่าคนได้เลย เสี่ยวหย่า ไม่ว่าอย่างไร คุณก็เป็นภรรยาของเขา เป็นใครก็โกรธ พวกคุณอย่าเสี่ยงอันตรายอย่างนี้เลย”

ซูหย่าคอตก เงียบไปสักครู่หนึ่ง เธอก็พูดว่า : “ไม่เห็นจะเป็นสาระสำคัญอะไรเลย เขาจะทำอะไรฉันได้?ฉันแค่ทำท่าทีดูมีเลศนัยกับผู้ชายนิดๆหน่อยๆ ก็เท่านั้นเอง”

เห็นรอยยิ้มที่มุมปากของเธอ เล่อจยาก็กลืนน้ำลาย

“เสี่ยวหย่า คุณยับยั้งชั่งใจหน่อย

ปี๋ไคมองๆท้องของซูหย่า “เด็กเป็นของเขาเหรอ?”

ซูหย่ามองค้อนเขา “หรือว่าจะเป็นของคุณล่ะ?”

“ฉันไม่ใช่ผู้ชาย คุณวางใจได้” ปี๋ไคตอบกลับอย่างรวดเร็ว แล้วคนทั้งรถก็หัวเราะกันออกมา

แต่ทว่า ความดีนั้นทำยากแต่ความชั่วนั้นทำง่าย พวกเขาเพิ่งจะมาถึงร้านอาหารร้านหนึ่ง ตระกูลเซียวก็โทรมาหา บอกว่าเซียวอู๋กลับมาแล้ว ให้ซูหย่ากลับไปทานข้าวด้วยกัน ยังบอกว่ามีเรื่องสำคัญที่ต้องปรึกษาหารือ

เมื่อวางสายไป สีหน้าซูหย่าก็ดูเป็นกังวลขึ้นมาเล็กน้อย

“พูดว่าอะไร?ทำไมสีหน้าคุณเป็นอย่างนี้?”

ซูหย่าส่ายหน้า “ฟังแล้วคุณแม่ดูดีใจมาก ฉันจะคิดว่าเป็นแผนการร้ายได้อย่างไรล่ะ?”

เมื่อพิสูจน์ข้อเท็จจริงแล้ว ซูหย่าเดาไว้ไม่ผิดจริงๆ

“ยัยหนู เซียวอู๋ถูกย้ายไปเมืองอื่นชั่วคราว ไปครั้งนี้ ก็ประมาณครึ่งปี เขาบอกกับพวกเราว่า ทิ้งเจ้าสาวไว้ในบ้านคนเดียว ก็ทำใจทิ้งไม่ลงจริงๆ สมัครเข้าเป็นทหารแล้ว สมาชิกในครอบครัวก็ต้องเข้าร่วมกองทัพ กองทัพจึงอนุญาต” สีหน้าของคุณย่าดีใจ ทางด้านซูหย่ากัดริมฝีปาก บังคับตัวเองให้ใจเย็นลง

ไม่ต้องพูดถึงว่าเธอท้อง ไปที่นั่นแล้ว การดำรงชีวิตก็ไม่คุ้นเคย แม้แต่เธอไม่ท้อง เธอก็ไม่กล้าตามเขาไปหรอก อยู่เมืองC ไม่ว่าอย่างไรก็มีพ่อแม่อยู่ที่นี่ เซียวอู๋ก็ไม่กล้าทำอะไร แต่ใครจะรู้ว่า ไปที่นั่น เขาจะปฏิบัติต่อตนเองอย่างไร

เอสูดลมหายใจเข้า ยิ้มเล็กน้อยแล้วเงยหน้าขึ้น ส่งสายตามองไปยังเซียวอู๋ อีกฝ่ายกำลังนำมันฝรั่งชิ้นหนึ่งใส่เข้าปาก ต่อมาก็รู้สึกได้ถึงสายตาของเธอ หันหน้ามามองเธอ ยิ้มเล็กน้อยอย่างอ่อนโยน แล้วกล่าวว่า: “คุณภรรยา ถึงแม้ทางด้านนั้น จะแตกต่างเล็กน้อย แต่ก็อยู่ด้วยกันเป็นกองทัพ แล้วก็ยังมีครอบครัวอื่นๆ ฉันก็จะได้มีเวลาว่างมาอยู่เป็นเพื่อนคุณ มีเวลา พวกเราก็กลับเมืองC คุณจะตามไปอยู่ด้วยกันกับฉันไหม?”

เขาเรียกเธอว่าภรรยา น้ำเสียงการพูดอ่อนโยน แฝงไปด้วยการขอร้องเล็กน้อย ท่าทีนั้น เหมือนกับคู่รักที่เพิ่งแต่งงานกันใหม่ ที่ตัดใจทิ้งไม่ลง แยกออกจากกันไม่ได้

แต่ซูหย่าก็กลืนน้ำลายของตัวเองไม่หยุด ไม่กลัวปีศาจชั่วร้ายที่บ้าคลั่ง แต่กลัวปีศาจที่แสร้งเป็นคนดี ในรอยยิ้มที่มีมีดซ่อนอยู่นี้ เธอก็สามารถทำได้ แต่ก็รู้สึกขนพองสยองเกล้า

“เอ่อคือ ตั้งแต่เล็กจนโต ฉันก็ไม่เคยออกห่างจากบ้านไปนานขนาดนี้ คุณย่า ฉันขอคิดดูสักเล็กน้อย”

คุณย่าพยักหน้า ตบเบาๆที่หลังมือของเธอ “ได้ เพียงแต่ ยัยหนู แต่งงานกับสามีแล้วก็ต้องปฏิบัติตามสามี นี่แต่งงานกับทหาร บางครั้ง ก็ต้องเข้ากองทัพ คุณก็ต้องค่อยๆเคยชินไป”

ซูหย่านิ่งอึ้งไป ก้มหน้า แล้วตอบ”อืม”คำหนึ่ง

เพราะเซียวอู๋อยู่บ้าน ซูหย่าก็ไม่มีเหตุผลที่จะไปอยู่กับเล่อจยา

ทานข้าวแล้ว ก็นั่งเป็นเพื่อนกับผู้อาวุโสเล็กน้อย แล้วจึงขึ้นชั้นบนไป

ซูหย่าอาบน้ำเสร็จออกมา ก็เห็นเซียวอู๋ที่สวมชุดนอน เอนตัวเล่นมือถืออยู่บนเตียง ใบหน้าของซูหย่าก็ร้อนผ่าวเล็กน้อย

เธอกระแอมเล็กน้อย “เอ่อ อย่างนั้นฉันไปนอนห้องพักแขกนะ?”

ชายหนุ่มนำมือถือวางบนหัวเตียง เงยหน้าขึ้น สายตามองมาอย่างลึกซึ้ง เขาตบเบาๆตรงที่ว่างด้านข้าง ยิ้มอย่างอ่อนโยนแล้วกล่าวว่า “มานี่สิ”

ซูหย่าส่ายหน้า อดไม่ได้ที่จะถอยหลังไปหนึ่งก้าว

เซียวอู๋รวบรวมความหวาดกลัวของเธอไว้ในสายตา ทันทีก็ก้มหน้าเล็กน้อย หลังจากนั้นก็พลิกตัวลงจากเตียง แล้วเดินเข้าไปหาซูหย่า

ออกแรงดึงแขนของเธอ แล้วโยนเธอลงบนเตียงโดยตรง จากนั้น คนก็กดลงไปบนร่างของซูหย่า “คุณหิวกระหายขนาดนั้น ฉันไม่ทำให้คุณอิ่มอกอิ่มใจ มันก็คงจะเป็นความผิดฉันใช่ไหมล่ะ?”

พูดพลาง นำมือใหญ่ๆคว้าไปที่ชุดนอนของซูหย่า ออกแรงฉีก “แคว่ก” เสียงผ้าฉีกขาด หน้าอกเย็นวาบอย่างคาดไม่ถึง

ถ้าจะบอกว่าก่อนหน้านี้ซูหย่าหวาดกลัวแล้ว ก็ยังเป็นเพียงความหวาดกลัว เวลานี้ เธอก็ขวัญผวาไปหมดแล้ว

เธอส่ายหน้า “ไม่….ไม่เอา”

“ไม่เอา?อย่างนั้นจะเอาใคร?เอาไอ้หน้าละอ่อนคนนั้นเหรอ?คุณซู คุณคิดว่าฉันตายไปแล้วใช่ไหม?” ในสายตาเขาแดงก่ำ พูดอย่างกัดเขี้ยวเคี้ยวฟัน ซูหย่ารู้ว่านี่คือหน้าตาของเขาจริงๆ

มือใหญ่ๆที่กุมลงบนผิวที่เย็นเยือกของซูหย่า ทันทีก็ร้อนผ่าวขึ้นมา

แต่ซูหย่าก็อดไม่ได้ที่จะตัวสั่นเล็กน้อย เอียงหน้าไปยังด้านข้าง หลับตา เธอรู้ว่าด้วยกำลังของร่างกาย ที่เธอปฏิบัติต่อเซียวอู๋ ก็เหมือนกับเอาไข่ไปกระทบหิน ดังนั้น เพื่อไม่ทำให้เขาโกรธ และก็เพื่อลูกที่อยู่ในท้อง เธอจึงตัดสินใจละทิ้งการต่อสู้ดิ้นรน ถึงอย่างไร ก็เป็นสามีภรรยากันแล้ว เรื่องแบบนี้ เธอก็ยอมรับได้ ถึงแม้ว่า ภายในใจจะเป็นทุกข์กับการกระทำของเซียวอู๋ก็ตาม

นี่ไม่ใช่ชีวิตของสามีภรรยาที่เธอต้องการ

เซียวอู๋ที่เดิมทีอยากจะลงโทษผู้หญิงคนนี้ แต่เมื่อฝ่ามือสัมผัสโดนผิวที่นุ่มลื่นของเธอ คาดไม่ถึงว่ามันจะกระตุ้นให้เขามีความปรารถนาและความลึกซึ้งต่อไปขนาดนี้

การแสดงออกของคุณย่า ทำให้ซูหย่ารู้สึกตื่นตระหนกเล็กน้อย “คุณย่า คุณมีเรื่องอะไร คุณพูดมาตรงๆได้เลยนะ ไม่เป็นไร”

“ยัยหนู ที่หน่วยของเสี่ยวอู๋มีภารกิจ จึงออกไปแต่เช้า มันไม่ยุติธรรมกับคุณเลย”

ซูหย่าตกตะลึง จากนั้นจึงโล่งอก เธอตกใจแทบตาย ยังคิดว่าเรื่องอะไร?เซียวอู๋ไปแล้วก็ดีนะสิ?ถ้าไม่ไป เธอยังกลัวว่าเขาจะพบเจออะไร

ก้มหน้าปกปิดความดีใจในแววตา แล้วเงยหน้ามองคุณย่า ยิ้มอย่างอ่อนโยน : “คุณย่า ไม่เป็นไร นั่นเป็นภาระหน้าที่ของเขา เป็นทหารครอบครัวใหญ่ต้องมาก่อนครอบครัวเล็ก เหตุผลนี้ ฉันเข้าใจได้”

ความอ่อนโยนและความปรารถนาดีของเธอ ทำให้ทุกคนในตระกูลเซียวโล่งใจ

“เสี่ยวอู๋ของเราแต่งงานกับคุณ ช่างโชคดีจริงๆเลย” คุณย่าพูดอย่างประทับใจ คุณปู่ก็พยักหน้า

พ่อเซียวแม่เซียวยิ้มไม่พูดอะไร

เมื่อนึกถึงคำพูดที่เซียวอู๋พูดในบันทึกเสียงก่อนหน้านี้ ซูหย่าก็อดไม่ได้ที่จะเงยหน้าขึ้นมองพิจารณาพ่อเซียวแม่เซียว พ่อเซียวดูสุขุมและน่าเกรงขาม แม่เซียวก็อยู่บ้านเป็นแบบอย่างที่ดี ดูเหมือนเป็นแม่ปกติทั่วไป มันยากมาที่จะเชื่อมโยงพ่อแม่กับคำพูดของเซียวอู๋เข้าด้วยกัน

หลังจากทานอาหารเที่ยงกับคนตระกูลเซียวเสร็จ ซูหย่าก็หาข้ออ้างว่าอยู่ที่ตระกูลเซียวคนเดียวรู้สึกเบื่อ อยากกลับตระกูลซู

แม้ว่าจะรู้สึกว่าเจ้าสาวจะกลับไปหาครอบครัวในวันรุ่งขึ้นหลังจากที่แต่งงานนี้ ตามมารยาทแล้วดูไม่เหมาะสมเล็กน้อย แต่ตระกูลเซียวพิจารณาแล้วว่าวันรุ่งขึ้นลูกชายตนเองก็กลับเข้ากองทัพ ซูหย่าก็เพิ่งแท้งไป อารมณ์และร่างกายต้องการการดูแล

ก็เลยไม่ได้ปฏิเสธ

เมื่อเล่อจยาเห็นซูหย่าปรากฏตัวพร้อมกับกระเป๋าเดินทาง ก็ตกใจอย่างมาก “คนตระกูลเซียวให้คุณย้ายออกมาจริงๆเหรอ?”

ซูหย่าทิ้งกระเป๋าไว้ที่หน้าประตู เดินเข้าไปนอนลงบนโซฟา “ลูกชายของพวกเขาหนีไปอย่างไร้ร่องรอย พวกเขาเลยละอายใจที่จะให้ฉันอยู่ต่อมั้ง?”

“เสี่ยวอู๋กลับกองทัพไปแล้วเหรอ?” เล่อจยาประหลาดใจ “นี่เขาทำเกินไปแล้วหรือเปล่า?หลังจากแต่งงานก็หนีไปเลย”

ซูหย่ากินกล้วยอยู่ ได้ยินเล่อจยาพูดแบบนี้ การกระทำของเธอก็ชะงักลง “ยังมีที่มากกว่านี้อีกนะ?เขาบอกว่า จะทำให้ฉันเป็นหม้ายไปตลอดชีวิต”

ชั่วขณะเล่อจยาก็พูดอะไรไม่ออก เธอจับมือของซูหย่า “เสี่ยวหย่า……”

เห็นท่าทางที่เห็นอกเห็นใจของเล่อจยา ซูหย่าก็หัวเราะ “ไม่เป็นไร เขากล้าทำให้ฉันเป็นหม้าย ฉันก็จะสวมเขาให้เขาเอง”

“แค่กๆ……” เกาไห่ที่เพิ่งออกมาจากห้องหนังสือ เพิ่งจะดื่มน้ำไป ได้ยินคำพูดของซูหย่า ก็สำลักทันที

ถอนหายใจแล้วชี้นิ้วไปที่ซูหย่า “ซูหย่า คุณอย่าพาภรรยาฉันไปทำเรื่องไม่ดีนะ”

ซูหย่าได้ยินก็มองเขาอย่างอารมณ์เสีย “ภรรยาคุณ?เธอมีความรักที่ลึกซึ้งต่อคุณ ฉันคิดจะพาไปก็ไม่มีประโยชน์หรอก ขอแค่คุณปฏิบัติต่อเธออย่างดี เธอก็ควักหัวใจออกมาให้คุณแล้ว”

คำพูดที่เกินจริงของเธอ ทำให้เล่อจยาตีๆขาของเธอ “ฉันโอเวอร์อย่างที่คุณพูดแบบนั้นเลยเหรอ?”

คำพูดบนโลกใบนี้บางทีก็แปลกๆ พูดดีกลับไม่ดี พูดแย่แต่กลับมั่นใจ ผ่านไปไม่กี่วันก็กลายเป็นจริง

วันนี้ตอนเช้า เล่อจยายังนอนหลับอยู่ เธอได้ยินเสียงเคาะประตูห้องอย่างรีบร้อน

“ซูหย่า คุณจะไม่ปล่อยให้คนนอนเลยใช่ไหม?” เปิดประตู เล่อจยาก็หาว เห็นสีหน้าตื่นเต้นดีใจของซูหย่าจึงถามว่า “นี่คุณเป็นอะไร?”

“จยาจยา เขากลับมาแล้ว!”

เล่อจยาขมวดคิ้ว “ใคร?เสี่ยวอู๋เหรอ?”

“เขากลับมาแล้ว ฉันอยากจะร้องไห้ ฉันดีใจอะไรเนี่ย คือเขา ปี๋ไค”

ดึงปิดประตู เล่อจยาก็จูงซูหย่าไปห้องรับแขก นั่งลงบนโซฟา “ใช่แล้ว ทำไมฉันถึงลืมเขาไปได้นะ?คุณแต่งงาน เขาจะไม่กลับมาได้อย่างไร?”

ซูหย่าถอนหายใจ “สองสามวันนั้นเขาไปไม่ได้”

ลุกขึ้นไปยังห้องครัว เปิดไฟต้มน้ำ เล่อจยากล่าวว่า “เพียงแต่ เขากลับมาแล้ว คุณดีใจขนาดนี้ เพราะอะไรล่ะ?” พูดจบ เธอก็ขมวดคิ้ว มองซูหย่า “คุณ….คุณต้องการจะสวมเขาให้เสี่ยวอู๋จริงๆเหรอ?”

สีหน้าซูหย่าแดงเป็นเลือดฝาด ชัดเจนว่าตื่นเต้นเล็กน้อย

“คุณรีบไปอาบน้ำเถอะ พวกเรานัดเจอกันสถานที่เดิม”

ซูหย่าส่ายหน้า “คุณอย่ามาทำซี้ซั้ว ตอนนี้คุณเป็นผู้หญิงที่แต่งงานแล้ว ในท้องก็ยังมีลูกอีกคนหนึ่ง คุณทำแบบนี้ มันผิดจารีตประเพณี เสี่ยวอู๋จะคิดกับคุณอย่างไร พวกเราไม่พูดคุยกันก่อน แต่คุณมาทำแบบนี้ ต่อไป คุณจะพูดกับเขาอีก ก็ไม่มีความหมายแล้ว”

พูดพลาง หยิบหวีที่อยู่ข้างๆขึ้นมา หวีผมที่ยาวให้กับซูหย่า ตั้งแต่ตั้งท้อง ผมของซูหย่า ก็ร่วงอย่างรุนแรง เล่อจยาหวีผมด้วยความเบามืออย่างมาก แต่ก็ยังคงร่วงเป็นจำนวนมาก

“คิดสกปรก ฉันบอกไปแล้ว ต้องทำอะไรอีกล่ะ?อีกอย่าง คุณก็ไม่ใช่ไม่รู้ว่า เขาสนใจผู้ชาย”

เล่อจยาเคยเจอปี๋ไคหลายครั้ง ผู้ชายคนหนึ่งที่สะอาดและบริสุทธิ์พอที่จะบรรยายถึงความไร้เดียงสาได้ ดวงตาใสสะอาด ดวงตาบริสุทธิ์ แต่ถูกซูหย่าบีบบังคับตั้งแต่เด็กจนโต

ตอนเด็กๆคนทั้งสองก็โตมาจากในลานบ้านเดียวกัน

เวลานั้น เธอไม่รู้รสนิยมทางเพศของปี๋ไค และมักจะล้อเล่นระหว่างกันอยู่บ่อยๆ ทุกครั้ง เพียงแค่เธอเอ่ยปาก ปี๋ไคก็จะแสดงท่าทีที่หวาดกลัว พอนึกถึงแล้ว เธอก็ยังอยากจะหัวเราะ

“คุณเพิ่งแต่งงาน เขาก็กลับมา ฉันคิดว่าเขาน่าจะรู้สึกว่าเป็นผู้รอดชีวิตจากภัยพิบัติใช่ไหม?” เล่อจยาหยอกเย้าซูหย่า

“หยุด เดิมทีฉันก็ไม่ได้ชอบเขาอยู่แล้ว ไม่อย่างนั้น เขาจะถูกเอาเปรียบมากขนาดนี้เหรอ”

เล่อจยาไม่โต้เถียงกับเธอ ตั้งท้องอยู่ ต้องเอ็นดูหน่อย

เพียงแต่ ไม่ว่าอย่างไรคนทั้งสอง ก็คาดไม่ถึงว่าจะได้พบกับเซียวอู๋ที่นั่น

“เสี่ยวหย่า ทางนี้” คนทั้งสองเพิ่งเข้าประตูไป ปี๋ไคก็ชูมือขึ้นมายังพวกเขา แล้วร้องเรียกเสียงดัง

“ไม่ยุติธรรมเลย?เรียกแต่เธอไม่เรียกฉัน” นั่งลงแล้ว เล่อจยาก็พูดหยอกล้อ

ซูหย่านั่งลงข้างๆปี๋ไค สวมกอดแขนของเขา แล้วนำศีรษะพิงที่ไหล่ของเขา “ไคไค ฉันแต่งงาน คุณก็ไม่กลับมา คุณใจร้ายเกินไปแล้ว”

เล่อจยารู้สึกขนลุกขึ้นมา ถึงแม้ฉากแบบนี้ เธอจะเคยเห็นมาเป็นร้อยเป็นพันครั้งแล้ว แต่ก็ยังรับรูปแบบการอยู่ร่วมกันของคนทั้งสองไม่ได้ ถึงปี๋ไคจะไม่ได้สนใจผู้หญิง แต่ถึงอย่างไรก็ยังเป็นผู้ชาย เธอนำน้ำแก้วหนึ่งดันไปยังตรงหน้าของซูหย่า “รับดื่มของอุ่นสักหน่อยเถอะ”

ซูหย่าเงยหน้ามองปี๋ไค “ไคไค คุณป้อนฉันหน่อยสิ”

ปี๋ไคก้มหน้า ทอดถอนใจอย่างจนปัญญา ยกแก้วที่อยู่บนโต๊ะขึ้น แล้วป้อนใส่ปากซูหย่า “แต่งงานแล้ว ยังมาทำตัวไร้เดียงสาแบบนี้ อยากจะเห็นจริงๆว่า ใครที่ยอมรับคุณได้ รับเอ่ยปากพูดมาเถอะ”

นี่ก็คือปี๋ไค ถึงแม้ว่าปากจะไม่แยแส แต่ก็ปฏิบัติต่อซูหยาเหมือนเด็กมาโดยตลอด เล่อจยาไม่เคยเห็นเลยว่า ปี๋ไคจะโมโหใส่ซูหย่า

ซูหย่าจิบอึกหนึ่ง แล้วก็เบะปาก “ไคไค ร้อนอะ เป่าให้หน่อย”

ปี๋ไคก็ว่าง่ายจริงๆนำเข้ามาใกล้ปากแล้วเป่าให้ จู่ๆ ก็มีเงาสูงใหญ่เงาหนึ่ง ปรากฏที่บนโต๊ะ เล่อจยาเงยหน้า รีบลุกขึ้นยืน “เสี่ยว….เสี่ยวอู๋”

สายตามองไปยังตรงกันข้าม ชายหญิงทั้งสองคนนั้นคลอเคลียกันอยู่ ทันใด สายตาก็มองไปอย่างเคร่งขรึม

ปี๋ไคเห็นการตอบสนองของเล่อจยา ก็มองตามสายตาเธอไป เมื่อมองขึ้นไปก็เห็นเซียวอู๋ในชุดทหาร เขาใช้มือดันหัวซูหย่าไป แล้วเชยคางเธอขึ้น

เมื่อซูหย่าหันไปเห็นเซียวอู๋ เธอก็ตกตะลึง ทันทีหลังจากนั้นการแสดงออกก็กลับมาเป็นปกติ “ไคไค เขาคือผู้ชายที่แต่งงานกับฉัน”

เล่อจยาขมวดคิ้ว คิดตำหนิอยู่ในใจ : เรื่องราววุ่นวายใหญ่โตแล้ว ถึงแม้ว่าเซียวอู๋คนนี้จะไม่ชอบซูหย่า แต่ผู้ชายคนไหนจะทนให้ภรรยาที่เพิ่งแต่งงานกันใกล้ชิดสนิทสนมกับชายอื่นได้ล่ะ

คิดๆแล้ว เธอรู้สึกอยากจะอธิบาย “เสี่ยวอู๋ อันที่จริงแล้วเรื่องราว……”

ฉับพลันกลิ่นหอมๆก็โชยแตะจมูก สาวสวยหุ่นดีคนหนึ่งเดินเข้ามาใกล้พวกเขา “เซียวอู๋ ขอโทษนะ บนถนนรถมันติด ฉันเลยมาช้า”

ผู้หญิงเสื้อเชิ้ตสีขาวกระโปรงสีดำ มวยผมไว้ด้านหลัง มองออกว่าเป็นมนุษย์เงินเดือน เพียงใบหน้าดูดีมีน้ำมีนวล

แต่ว่า……มือของผู้หญิงคนนั้น ควงแขนของเซียวอู๋อยู่ ความสัมพันธ์นี้มันผิดปกติตั้งแต่แรกเห็น

จนกระทั่งคำพูดต่อมาของเล่อจยา ก็กลืนกลับไป

“เธอเป็นใคร?” ซูหย่าเอ่ยถาม

เซียวอู๋ยกยิ้มขึ้น หันไปมองผู้หญิงคนนั้น “เธอถามคุณ ว่าคุณเป็นใคร?”

ผู้หญิงคนนี้จึงมองซูหย่าได้ชัดๆ เมื่อเห็นหน้าเธออย่าชัดเจนแล้ว เธอก็แข็งทื่อไปทั้งตัว หลังจากนั้นมือก็ตกลง

งานแต่งงานของซูหย่าและเซียวอู๋เพิ่งผ่านไป ผู้หญิงคนนั้นเป็นไปไม่ได้ที่จะไม่รู้จัก

“ฉัน……ฉัน……” หญิงสาวพูดติดอ่างขึ้นมา

เล่อจยาถอนหายใจ “เสี่ยวอู๋ นี่คุณทำไม่ถูกนะ คุณเพิ่งจะแต่งงาน ก็ไปมีความสัมพันธ์กับหญิงอื่นแล้วเหรอ?อีกทั้งคุณกลับมาแล้ว ทำไมไม่ไปดูเสี่ยวหย่าบ้าง?”

เซียวอู๋ทำเสียงไม่พอใจ “ฉันเห็นว่าชีวิตเธอก็ดูสุขสบายดี ฉันต้องไปดูด้วยเหรอ?”

“นั่นเธอ……” เล่อจยาพยายาม อยากจะอธิบาย

ซูหย่ามองเธอตาขวาง เล่อจยาจึงปิดปากเงียบ ซูหย่าควงแขนปี๋ไคอีกครั้ง “ไคไค ฉันจะดื่มน้ำ”

คนที่เงียบที่สุดก็คือปี๋ไค ตลอดเวลาสีหน้าของเขาไม่ค่อยเปลี่ยนไป ได้ยินซูหย่าบอกว่าจะดื่มน้ำ เขาก็ยกขึ้นมา เป่าให้เล็กน้อย แล้วส่งให้ซูหย่า “ดื่มเถอะ ไม่ร้อนแล้ว”

ซูหย่าหอมแก้มเขาโดยไม่สนใจใคร “ขอบคุณนะ ไคไค”

เล่อจยากุมขมับ ไม่กล้าจะมองสีหน้าของเซียวอู๋

จนกระทั่ง “เซียวอู๋ ฉันหิวแล้ว เราไปทานข้าวกันเถอะ?” ผู้หญิงคนนั้นพูดอย่างออดอ้อน

เล่อจยาเงยหน้าขึ้น มองผู้หญิงคนนั้นด้วยอารมณ์ลึกซึ้ง แล้วมองซูหย่าที่สีหน้าเรียบเฉย เริ่มสวดภาวนาให้ผู้หญิงคนนั้น นิสัยของซูหย่า แตกต่างจากเธอเล็กน้อย คือมีแค้นก็ต้องชำระ หญิงสาวคนนี้แย่งสามีเธออย่างโจ่งแจ้ง ซูหย่าไม่สามารถปล่อยเธอไปแน่

เซียวอู๋จ้องมองไปที่ซูหย่า หันไปโอบเอวเธอแล้วเดินจากไป

เวลานี้ บริกรเดินเข้ามา “คุณผู้ชาย คุณผู้หญิง ไม่ทราบจะสั่งอาหารอะไรดีครับ?”

เล่อจยาเตรียมจะรับเมนูอาหารทา ปี๋ไคก็เริ่มสั่ง : ต้มแซ่บปลาผักดอง กุ้งน้ำเกลือ………

สั่งอาหาร 8 อย่าง กับของหวาน 2 อย่าง มีของที่ซูหย่าชอบกิน แล้วก็ของที่เธอชอบกิน

“คุณยังจำได้ด้วยเหรอว่าฉันต้องการอะไร?”  ปี๋ไคเหยียดมือออกไปผลักหัวของซูหย่าออกจากแขน พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา : “สายตาแย่จริงๆเลย”

ซูหย่าทุบแขนเขา “จะโทษฉันไม่ได้นะ?ทำไมคุณไม่แต่งงานกับฉันตั้งแต่แรกล่ะ?”

“ปัง” ที่นั่งข้างๆ ทุบตะเกียบลงบนโต๊ะอย่างแรง

การแสดงออกของคนทั้งสาม ต่างก็แข็งทื่อ เล่อจยามองผ่านช่อกระจกเล็กๆเข้าไป แววตาสีเขียว ปรากฏเข้ามายังดวงตา

เธอทำท่าทีให้เงียบ ชี้ไปยังที่นั่งข้างๆ พูดกระซิบเบาๆว่า: “คือเสี่ยวอู๋”

ปี๋ไคลดสายตาลง มองไม่เห็นการแสดงออก ส่วนซูหย่ายกแก้น้ำจิบอึกหนึ่ง

“ไคไค คุณกลับมาแล้วจะไปอีกเมื่อไร?”

ปี๋ไคหยุดชะงักเล็กน้อย “อาจจะไม่ไปแล้ว”

“ไม่ไปแล้ว?จริงเหรอ?” ปี๋ไคคือคนที่ค้นคว้าวิจัยอุปกรณ์ทางการแพทย์ หลังจากไปเรียนที่ต่างประเทศ ก็อยู่ที่ต่างประเทศเลย หลายปีมานี้ จะกลับมาปีละครั้ง ซูหย่ามักจะพูดเสมอว่าเขาคือคนขายชาติ ประเทศชาติเลี้ยงดูเขามา แต่เข้าไปทำคุณงามความดีให้กับประเทศอื่น

“กลับมา ดูแลคุณได้สะดวกหน่อย”

ซูหย่ามองปี๋ไค “เชี่ย คำพูดนี้ทำไมไม่พูดให้เร็วกว่านี้?ถ้าพูดเร็วกว่านี้ ฉันก็ไม่แต่งงานแล้ว ไคไค”

เล่อจยาขมวดคิ้ว สองคนนี้จงใจแสดงละครให้เซียวอู๋ดูเหรอ?

“ไม่เป็นไร ถึงอย่างไร คนคนนั้นของคุณก็ไปเลี้ยงเมียน้อยนอกบ้านไม่ใช่เหรอ?หากปี๋ไคไม่ถือสาล่ะก็ คุณก็เลี้ยงดูเธอไปเถอะ” เล่อจยากล่าวร่วมด้วย

ซูหย่าทำการถ่ายรูปกับปี๋ไคเล็กน้อย “อืม ไม่เลว หน้าตาดูละอ่อนดี”

ผ่านไปครู่หนึ่ง ซูหย่าจึงเอ่ยปาก “ไคไค คุณใช้ชีวิตที่นั่น เป็นอย่างไรบ้าง?”

เล่อจยาได้ยิน ก็แทบจะสำลักน้ำ เธอกระแอมไออย่างรุนแรง มองๆคนโดยรอบ โชคดีที่ยังไม่มีใคร “เสี่ยวหย่า คุณไม่ต้อง….เปิดเผยขนาดนี้ได้ไหม?นี่มันที่สาธารณะนะ….”

ในทันทีก็มีเสียงกระแอมไอจากผู้หญิงที่นั่งอยู่โต๊ะข้างๆดังเข้ามา เล่อจยาเข้าใกล้เล็กน้อย จนกระทั่งสามารถฟังได้ชัดถึง เสียงหายใจที่รุนแรงของเซียวอู๋

ส่งสายตามองค้อนซูหย่าเล็กน้อย

“ทำไมล่ะ?ฉันก็ไม่ได้ถามอะไรผิดนี่?คุณบอกว่าทำหน้าละอ่อน หรือว่าเรื่องนั้นไม่สำคัญ?”

“เอาล่ะๆ ปัญหานี้ พอแค่นี้ ยิ่งพูดยิ่งไม่เข้าท่า”

ซูหย่าแลบลิ้นใส่เธอ แล้วก้มหน้า เล่นกล่องกระดาษทิชชูบนโต๊ะ

“ไม่ลองหน่อยเหรอ?” เพียงแค่ด้านนี้สงบลง จู่ๆปี๋ไคก็ส่งเสียงพูด

เล่อจยารู้สึกว่า อาหารมื้อนี้ คงทานไม่ได้แล้ว

จู่ๆ ก็มีเสียงเก้าอี้ดังขึ้น

พอคนสองสามคนมีปฏิกิริยาตอบสนอง เงาสีเขียว พุงเข้ามาจากที่นั่งข้างๆ รองเท้าทหารเหยียบขึ้นมาบนโต๊ะของพวกเขาโดยตรง ต่อจากนั้น เสื้อของปี๋ไคก็ถูกดึงขึ้น

“มึงแม่งเป็นเชี่ยอะไรเนี่ย ผู้หญิงของกู มึงก็กล้ามาแตะต้องเหรอ?”

คนทั้งหมดในห้องอาหาร ก็โกลาหลขึ้นมา บางคนก็แตกตื่น บางคนก็หนีออกจากสถานที่

เล่อจยาเห็นว่าหากทะเลาะกันต่อไป คาดว่าจะจัดการยาก จึงรีบเข้าไปดึงเซียวอู๋ “เสี่ยวอู๋ ก็แค่ล้อเล่นกัน คุณรีบปล่อยเถอะ”

แต่เซียวอู๋ไม่สะทกสะท้าน มือก็ยิ่งเพิ่มความแรงมากขึ้น สีหน้าของปี๋ไคก็ซีดเล็กน้อย

ซูหย่าร้องเชอะด้วยเสียงที่เย็นชา “คุณเซียวจะมายุ่งเรื่องของคนอื่น ช่วยเช็ดก้นของตัวเองให้สะอาดก่อนเถอะ” พูดจบ ก็หยุดชะงักลงเล็กน้อย แล้วกล่าวด้วยเสียงที่เย็นชาว่า: “ปล่อยมือ!”

เซียวอู๋มองไปยังเธอ “เจ็บปวดใจเหรอ?”

เกาไห่เอามือลูบหัว “แต่ก่อนหน้านั้นที่แม่คุณป่วย ดังนั้น…ภรรยา ผมคิดไม่รอบคอบเอง”

พอพูดเสร็จเล่อจยารู้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้นในใจเขา?

เขาหายใจขึ้นด้วยความโกรธ “เธอมาขอเงินคุณ 1 ล้านหรือเปล่า”

นิ้วเรียวแตะแก้มของเล่อจยาและมุมปากของเขานั้นโค้งงอเป็นแนวโค้งที่สวยงาม

“คุณมันล้ำค่า นับประสาอะไร1ล้าน ขอให้เป็นทุกอย่างเพื่อคุณผมก็คิดว่ามันคุ้มค่า”

“เธอทำกับฉันแบบนี้ได้ยังไง!” เล่อจยาคร่ำครวญและโยนกระเป๋าลงบนโต๊ะกับพื้น ยกแขนขึ้นเพื่อบังตา และน้ำตาก็ไหลลงมา

ในเวลานี้ เธอรู้สึกขอบคุณที่พ่อแม่ของเกาไห่จากไป ไม่เช่นนั้น เธอคงนึกไม่ออกว่าเธอจะยืนอยู่ในบ้านของพวกเขาอย่างไร และคนอื่นจะปฏิบัติต่อเธออย่างไร

เกาไห่ทำหน้าประหม่าและจับมือเธอ “ภรรยา…”

เล่อจยาสูดกลิ่น เงยหน้าขึ้น และมองเกาไห่อย่างแน่วแน่ “เกาไห่ ค่าสินสอด ถ้าจะต้องให้ก็ต้องให้พ่อของฉันเท่านั้น เธอไม่มีคุณสมบัติ”

เกาไห่กอดเธอไว้ในอ้อมแขนของเขาแล้วพูดว่า “โอเค หยุดร้องไห้ คุณจะเอาอย่างไร ผมก็ตามใจคุณ ผมก็เชื่อฟังคุณ แต่ จยาจยา ผมต้องการให้คุณรู้ไว้ว่า ขอแค่เงินมันแก้ปัญหาได้ แค่ปัญหาเล็กๆ น้อยๆ ที่แก้ไขได้ เราเป็นสามีภรรยากัน เงินที่ผมหามาได้ก็เป็นของคุณ คุณจะควบคุมมันหรือใช้ได้ตามต้องการ เข้าใจไหม”

หลังจากนั้น เขาก็เดินไปรอบๆ โต๊ะ เปิดลิ้นชักหยิบการ์ดออกมาแล้วยื่นให้เล่อจยา “การ์ดใบนี้ ถึงแม้ในอนาคตถึงคุณจะไม่ต้องการผม คุณก็ไม่ต้องการ คืนให้ผม ตกลงไหม”

เล่อจยาจ้องมองที่เขาทั้งร้องไห้และยิ้ม “ถ้าอย่างนั้นฉันสามารถใช้เงินนี้เพื่อเลี้ยงผู้ชายเหล่านั้น ได้หรือไม่?”

เกาไห่จูบเธอที่หน้าผาก “ถ้าอย่างนั้นผมจะเป็นผู้ชายเหล่านั้น แล้วคุณก็เลี้ยงดูมัน”

“เอาล่ะ คุณรีบนั่งพักสักครู่ หลังจากยืนเป็นเวลานาน แผลมันจะหาย” เธอพูดและช่วยให้เกาไห่นั่งลง

หลังจากที่เกาไห่นั่งลง เล่อจยาก็นั่งลงข้างๆ และจับมือเขา “ถ้าคุณไม่ได้รับอนุญาตจากฉันคุณห้ามเอาเงินให้ เธอมิฉะนั้น ฉันจะโกรธจริงๆ”

“ก็ต้องฟังคำสั่งภรรยาของผมซิ แต่แผนที่จะให้น้องชายของคุณซื้อบ้านคุณคิดว่าอย่างไร”

เล่อจยามวดคิ้ว “เธอเคยบอกเรื่องนี้กับคุณด้วยเหรอ?”

ในเวลานี้ โทรศัพท์มือถือของเล่อจยาก็ดังขึ้น เป็นเล่อเหวินที่โทรมา “พี่สาวครับ แม่ก็เป็นแบบนี้แหละ พี่ไม่ต้องสนใจเธอ แล้วผมก็ลืมบอกไปว่าพี่เขยช่วยหางานให้ผมทำด้วย ถึงผมไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นระหว่างพี่กับเขา แต่พี่เขยเป็นคนดีนะ เสี่ยวอวี่เอ๋อเกลี้ยกล่อมพ่อแม่ของเธอแล้วเรื่องบ้านขอให้ผมสัญญาว่าจะซื้อมันภายในสามปี ผมจะตั้งใจทำงานครับ .”

มุมปากของเล่อจยายิ้มและหันไปมองเกาไห่ “ขอบคุณนะค่ะ”

“หือ? ขอบคุณสำหรับอะไร?”

เล่อจยายื่นโทรศัพท์ให้เขาโน้มตัวจูบเขาไปทีหนึ่ง “สามี ฉันกำลังจะหย่ากับคุณแล้ว ทำไมคุณถึงยังช่วยน้องชายของฉันอีก”

เกาไห่เลิกคิ้ว “เพราะผมไม่เคยคิดที่จะหย่ากับคุณ”

“แต่คุณก็ไม่เชื่อฉันแล้ว ทำไมคุณถึงอยากอยู่กับฉันล่ะ คุณมันใจร้ายจัง” คำพูดในใจโพล่งออกมา

หลังจากนั้นไม่นาน เกาไห่ก็พูดว่า: “อันที่ไม่ใช่ผมไม่เชื่อคุณ ผมแค่กลัว”

“กลัว? กลัวอะไร?”

“กลัวจะเสียคุณไป”

“ไร้สาระ กลัวจะเสียฉันไป ถามฉันซ้ำแล้วซ้ำเล่า?”

เกาไห่จับเล่อจยาไว้ในอ้อมแขน มีเพียงเขาเท่านั้นที่รู้ในใจว่าตอนนั้นเขากลัวมากขึ้น “หลังจากทานข้าวเสร็จแล้วผมจะพาคุณไปพบใครคนหนึ่ง”

“พบใคร”

เกาไห่ไม่ตอบ

เมื่อมองไปที่เรือนจำที่อยู่ข้างหน้าเขา เล่อจยาดึงเสื้อของเกาไห่ “นี่…”

“ไปกันเถอะ” สีหน้าของเกาไห่ดูไม่ดีเล็กน้อย

เล่อจยาถามเกาไห่ “ใคร?”

“เกาเหวิน ลูกสาวของแม่เลี้ยงของผม ผมเคยเล่าให้คุณฟังแล้ว”

เล่อจยาดูเหมือนจะจำขึ้นมาได้ แต่เธอไม่เข้าใจว่าทำไม เกาไห่ถึงต้องการพาเธอมาที่นี่?

“ครั้งหนึ่งเธอเคยเป็นคนใจดีมากคนหนึ่ง แต่ต่อมาเพื่อความรัก เธอใช้ทุกวิถีทาง เธอผลักผมลงจากหน้าผา และปล่อยให้แม่ของเธอรับโทษแทนเธอ เธอทำผิดมามาก… แต่… “เกาไห่หันกลับมามองเล่อจยา “แต่ในตอนแรก เธอใจดีและเรียบง่ายเหมือนคุณ แต่เธอเปลี่ยนไปเพราะความรัก”

ผมจึงกลัวว่าคุณจะเป็นเหมือนเธอ กลัวที่จะเสียคุณไป

“เพราะผมห่วง ผมยิ่งกลัวเข้าไปใหญ่ ไหยุ่นไม่มีเจตนาและเธอไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับผมใดๆ แต่ ภรรยา คุณกับเขาแตกต่างกัน” เสียงของเขาที่ดังก้องอยู่ในหูของเธอ ในใจของเล่อจยา ณ เวลานี้ ปมทั้งหมดได้หายไป

ตั้งแต่เห็นเกาไห่เดินเข้ามาที่นี่ คิ้วของเธอก็ขมวด เธอรู้ว่าเขากำลังขับไล่อะไรในใจ เธอจับแขนเขาแล้วส่ายหัว หรือว่าเราไม่ต้องไปเจอแล้ว? ”

“ไปกันเถอะ.”

เกาเหวินได้ยินมาว่ามีใครบางคนต้องการพบเธอและคิดว่าเป็นการกลับมาของพ่อเกา หน้าของเธอจึงแดงด้วยความตื่นเต้น

อย่างไรก็ตาม เมื่อเธอเห็นเกาไห่ตรงที่คั่นด้วยกระจก หน้าของเธอก็ซีด

แล้วก้มศีรษะลงนั่งช้าๆ

“คุณมาทำ…อะไรเนี่ย”

เกาไห่ชี้ไปที่เล่อจยา “พาพี่สะใภ้มาให้เธอรู้จัก”

เธอขยับสายตาจากเกาไห่ไปยังเล่อจาย และหลังจากมองขึ้นและลงครู่หนึ่ง เธอก็เยาะเย้ย “เหอเหอ…ฮิฮิ?”

เล่อจยา ตกใจกับเสียงหัวเราะของเธอ เธอกลืนน้ำลายเข้าไป และคว้าแขนของเกาไห่”สามี เธอหัวเราะอะไร”

เกาไห่จับมือเธอ “ถ้ากลัว งั้นเราไปกันเถอะ”

เล่อจยาพยักหน้า และเมื่อทั้งสองหันกลับมา เกาเหวินก็พูดจากด้านหลังว่า “พี่สะใภ้ พี่ชายของฉันบอกคุณหรือเปล่าว่าเขาเคยรักน้องสาวของเขา”

เกาไห่ และเล่อจยา ไม่ได้มองย้อนกลับไป ทันใดนั้นเล่อจยาก็เข้าใจจุดประสงค์ของเกาไห่ที่พาเธอมาที่นี่ ผู้หญิงแบบนี้ทำให้คนรู้สึกกลัวจริงๆ พวกเขามาถึงจุดนี้แล้วและพวกเขาก็ไม่ลืมที่จะสร้างความบาดหมางกัน

ถ้าเธอกลายเป็นคนแบบนี้ล่ะก็ เป็นใครก็กลัวแน่ ๆ ใครจะยอมรับผู้หญิงคนนี้ที่นอนข้างหมอนของเธอได้?

เล่อจยาจับมือเกาไห่ ออกมาจากเรือนจำ ครุ่นคิด แล้วสุดท้ายก็พูดเบา ๆ พูดเป็นคำ: “ถ้ารัก แล้วเอามาไม่ได้ ก็จะพยายามทุกวิถีทางแต่ถ้าเอามาได้ คุณก็จะพยายามรักษามันให้ดีที่สุด สามีคุณยังไม่เข้าใจหรือไง”

หลังพูดจบเล่อจยาก็ปล่อยมือเกาไห่ ก้าวไปข้างหน้าและเปิดประตูให้เขา

เกาไห่มองไปที่แผ่นหลังของเล่อจยาและคำพูดของที่ก้องอยู่ในหูของเขา ถ้ารัก แล้วเอามาไม่ได้ ก็จะพยายามทุกวิถีทาง ดวงตาของเขาสว่างขึ้นทันทีดูเหมือนว่าเขาจะเข้าใจอะไรบางอย่าง มือของเขาก็กำแน่นในทันที

“เดี๋ยวก่อน” ขณะที่เกาไห่กำลังจะขึ้นรถ ประตูเรือนจำก็เปิดออกตามหลังเขา และชายในเครื่องแบบผู้คุมก็วิ่งตรงเข้ามาหาพวกเขา

“ฉันไม่มีเงินและช่วยอะไรไม่ได้ รบกวนช่วยออกไปด้วย” เล่อจยาพูด เหยียดแขนออกไปแล้วชี้ออกไปนอกประตู

“ในเมื่อเธอไม่ช่วย ก็ต้องรอให้ลูกเขยออกมา จะดูว่าท่านประธานเกาผู้สง่างามจะปฏิบัติต่อแม่สามีของเธออย่างไร!” จากนั้นแม่เล่อก็นั่งลงและจิบน้ำชาต่อ ”

ตั้งแต่นั้นมา ผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้าฉันก็ได้รวมเป็นหนึ่งในแม่อันธพาลในความทรงจำของฉัน

เล่อจยาหัวเราะเยาะในใจ ที่เธอทำในช่วงเวลานั้น ก็ยังคงเพ้อฝันอยู่ในใจ บางทีอาจเพราะว่าเธอแก่แล้วประสบการณ์มากหรือว่าเธอเปลี่ยนความเชื่อนั้นแล้ว

เดินไปข้างหน้า หยิบโทรศัพท์มือถือออกจากกระเป๋าแล้วกดโทรศัพท์หาเล่อเหวิน หลังจากโทรศัพท์ดังขึ้น 2 ครั้ง เสียงของ เล่อเหวินก็ดังขึ้น ” เฮ้ พี่สาว”

พี่สาว? โตขณะนี้แล้ว นี่น่าจะเป็นครั้งแรกที่เล่อเหวินเรียกเธอแบบนี้ เล่อจยาตกใจเล็กน้อยอยู่พักหนึ่ง

“พี่ครับ โทรหาผมมีเรื่องอะไรหรือเปล่า”

เล่อจยากลับมารู้สึกตัวและพูดว่า: “ฉันได้ยินมาว่าเธอกำลังจะแต่งงาน?”

อีกด้านหนึ่งของโทรศัพท์เงียบไปครู่หนึ่ง และหลังจากนั้นไม่นานก็ได้ยินเสียงของเล่อเหวิน “บางทีอาจจะไม่แต่งก็ได้”

“หมายความว่าไง?”

“พ่อแม่ของเสี่ยวอวี่เอ๋อต้องการให้พวกเราซื้อบ้านในเมืองซี”

เสี่ยวอวี่เอ๋อ? น่าจะเป็นสาวในวันนั้น

เล่อจยาหรี่ตา “สถานการณ์ของเธอเป็นอย่างไร แฟนไม่ใช่ไม่รู้ ถ้าเขารักเธอจริง เป็นไปไม่ได้ที่จะบังคับให้เธอทำสิ่งที่เธอทำไม่ได้”

“พี่ เสี่ยวอวี่เอ๋อรักผมจริง ๆ แต่พ่อแม่ของเธอปฏิเสธ นำทะเบียนบ้านไปซ่อนไว้และปฏิเสธที่จะมอบให้เธอ เราแค่อยากจะจดทะเบียน แต่เราก็ไม่สามารถทำได้…”

เล่อจยากำลังจะพูดอะไรบางอย่าง โทรศัพท์มือถือในมือของเธอก็ถูกกระชากออกไปในทันใด

เห็นแม่เล่อเปิดเสียงลำโพง “ลูกเอ๋ย ขอร้องพี่เธอซิ เขากับประธานเกาไม่ได้หย่ากันหรอก พวกเขาโกหกเธอ ตอนนี้ขอให้เธอช่วยเงินดาวน์บ้านจากนั้นเธอก็จ่ายเอง”

เล่อจยาขมวดคิ้วและเปิดปากของเธอ เธอพูดอะไรไม่ออกซักพัก ในโลกนี้มีแม่แบบนี้ด้วยหรือ?

เธอกำลังจะกรีดร้องใส่เธอ แต่ เล่อเหวินพูดอะไรบางอย่างที่ทำให้เล่อจยาประหลาดใจ

“แม่ครับ ผมบอกแล้วไงว่าอย่าไปหาพี่เขย ทำไมแม่ถึงไป”

เล่อจยาตัวสั่น เธอคิดว่าเธอหูหนวกเล่อเหวินพูดอีกครั้ง “แม่รีบกลับมาเร็ว ๆ พี่เขยช่วยหางานให้ผมแล้ว บ้านจะสามารถซื้อได้หรือไม่เป็นเรื่องของผมเอง อย่าทำให้พี่เขยและพี่ลำบาก”

ในเวลานี้เล่อจยามั่นใจว่าเธอได้ยินถูกต้อง นี่คือน้องชายของเธอ แต่เหมือนเป็นน้องชายที่เธอไม่เคยรู้จักมาก่อน

น้ำเสียงของเขาจริงใจมากและดูเหมือนเขาไม่ได้โกหก

“ธุระของนายเองเหรอ แกจะไปเอาเงินมาจากไหนเยอะแยะ” เสียงแม่เล่อดังขึ้นแล้ววางสายอย่างโกรธจัด

เล่อเหวินมาที่เกากรุ๊ปในเวลาประมาณครึ่งชั่วโมง เพราะเขาเคยมาที่นี้หาเกาไห่หลายครั้ง และเคยบอกว่าเกาไห่เป็นพี่เขยของเขา ดังนั้นแผนกต้อนรับก็ไม่ได้ถามอะไรเขามากก็ให้เขาเข้ามา

เมื่อแม่เล่อ  “เสี่ยวเหวิน มาเถอะ ขอร้องพี่สาวของเธอ ปล่อยให้เธอคุยกับพี่เขยเพื่อช่วยเธอ”

ในเวลานี้ เล่อจยานั่งบนเก้าอี้ของเกาไห่ มองดูโทรศัพท์

จากหางตามองเห็น การกระทำของทั้งสอง

เห็นเล่อเหวินขมวดคิ้ว “แม่ครับ ทำแบบนี้จะทำให้พี่เขยดูถูกพี่สาวได้นะ”

พูดได้คำเดียว เล่อจยารีบวางโทรศัพท์ลง และจ้องมองไปที่ใบหน้าของเล่อเหวิน เพื่อดูว่าเขาแสร้งทำหรือพูดจริง

ผมขอโทษจริงๆ .”

พูดเสร็จก็เอื้อมมือไปจับแม่เล่อ “แม่ ไปเถอะ ที่นี่คือบริษัทพี่เขย มันน่าอายเมื่อคนอื่นมาเห็น”

แม่เล่อสูดหายใจเข้าและหันไปมองเล่อจยา “จยาจยา เธอก็ช่วยน้องชายเธอหน่อย ดูเขาสิ ตอนนี้เขามีพฤติกรรมที่ดีแล้วเขามีเหตุผลขึ้น เธอคงไม่ใจดำมองดูน้องชายเธอไม่ได้แต่งงานนะ”

“แม่ครับ ถ้าทำแบบนี้อีก ผมโกรธจริงนะ”

ในเวลานั้น ทั้งสองได้มาถึงประตูแล้ว

เล่อจยามองและลุกขึ้นยืน “เดี๋ยวก่อน”

“เธอต้องการเงินเท่าไหร่? ฉัน…จะไปยืมคนอื่นมาให้ ในอนาคตถ้าเธอมีเงินค่อยมาจ่ายคืน”

แม่เล่อยิ้มด้วยความปิติ เล่อเหวินขมวดคิ้ว “พี่สาว ฉัน…”

“พูดมา เท่าไหร่”

เล่อเหวินก้มศีรษะลง และแม่เล่อก็ดึงชายเสื้อของเขา “พี่สาวของเธอบอกให้เธอบอก เร็วเข้า เธอต้องการเท่าไหร่?”

“หนึ่งล้าน.”

เล่อจยาวางมือบนโต๊ะ และเมื่อเธอได้ยินคำว่า “หนึ่งล้าน” แขนของเธองอและเธอเกือบจะคลานลงบนโต๊ะ

“เธอซื้อบ้านแบบไหน ดาวน์เงินตั้งหนึ่งล้าน”

เล่อเหวินก้มศีรษะลง “พ่อแม่ของเสี่ยวอวี่เอ๋อขอห้องลิฟต์ส่วนตัวและห้องนอน 3 ห้อง ห้องนั่งเล่น 2 ห้องและห้องน้ำ 2 ห้อง พวกเขาบอกว่าตอนพวกเขามาจะได้มีที่นอน” เสียงของเขาเล็กลงและเล็กลง

เล่อจยาพูดไม่ออกเมื่อฟังพวกเขาปล่อยให้ชายคนหนึ่งที่ไม่มีอะไรมาซื้อบ้านมูลค่าหลายล้าน คนชราสองคนนี้คงบ้าไปแล้ว

เธอหันกลับมา “ไปเถอะ สองหรือสามแสน ฉันพอสามารถช่วยเธอหาทางออกได้ หนึ่งล้าน ขอโทษ ฉันทำอะไรไม่ได้เลย”

“ทำอะไรไม่ได้ เธอก็ขอสามีได้ เขาดูแลบริษัทใหญ่ขนาดนี้ ล้านหนึ่งไม่มีหรือ?” เสียงของแม่เล่อดังขึ้น

“เขาบริหารบริษัทใหญ่ขนาดนี้ ทำไมเธอไม่ถามเขาล่ะ เขามีหนี้บนหลังเขาเท่าไหร่ มันคือความเมตตาที่เขาช่วย ไม่ใช่ความรับผิดชอบที่จะช่วย หนึ่งล้านเราไม่มี นับประสาอะไร ถึงเราจะมีและมันเป็นไปไม่ได้ที่จะยืมให้เธอ เธอมีเงินดาวน์หนึ่งล้าน ส่วนที่เหลือหลายล้าน เธอต้องจ่ายให้สินเชื่อไหนจะเงินเลี้ยงดูครอบครัวละ เคยคิดเรื่องนี้ไหม เธอจ่ายได้หรือเปล่า”

เล่อเหวินมองไปที่เล่อจยาและหายใจอย่างแรง “พี่สาว ผมจะพาแม่กลับบ้านก่อน พี่…พี่แค่แสร้งทำเป็นไม่เคยรู้เรื่องนี้”

“เล่อจยา คนเราไม่ควรเป็นคนที่ใจร้ายถ้าเธอไม่ช่วยน้องชายของตัวเองเธอไม่กลัวผลกรรมหรือ?”

คำพูดของแม่เล่อดังมาจากข้างหลัง เล่อจยานิ่งเงียบ มโนธรรม? ผู้หญิงคนนี้พูดกับฉันเกี่ยวกับมโนธรรมจริงๆ เหรอ? ไม่กี่ปีที่ผ่านมาเพื่อชำระหนี้ให้เธอเราต้องทนทุกข์มากแค่ไหน ยังกล้ามาพูดถึงมโนธรรม เธอหันกลับมามองแม่ “เธอมีจิตใจที่ดี และขอให้เธออายุยืน”

เมื่อเกาไห่กลับมาจากการประชุม เล่อจยา ก็นอนอยู่บนโต๊ะโดยให้ศีรษะอยู่ในแขนของเธอ

“จยาจยา”

เล่อจยาเงยหน้าขึ้น เห็นเกาไห่ และตกใจ “คุณ ประชุมกันเสร็จแล้วหรือ งั้นกลับบ้านกันเถอะ” หลังจากพูดเสร็จ เธอก็ลุกขึ้นยืนอย่างเร่งรีบ

เกาไห่ยื่นมือและยกคางเธอขึ้น “ตาแดง เธอร้องไห้หรือ?”

“ไม่ แค่ขยี้ตา” เล่อจยากลอกหน้า

“แม่เขา…”

“อย่าเรียกเธอว่าแม่ เธอไม่คู่ควร” เล่อจยาขัดเกาไห่ “เธอไม่เคยมองว่าฉันเป็นลูกสาวเลย”

เกาไห่พยักหน้าดึงเล่อจยาไว้ในอ้อมแขนของเขา ตบหลังเธอด้วยมือใหญ่ “ค่าสินสอด ผมจะเตรียมให้ภายในไม่กี่วันนี้ คุณไม่ต้องกังวลเรื่องนี้นะ”

เล่อจยาเงยหน้าขึ้นมอง “สินสอด สินสอดอะไร?”

“คุณ…” เล่อจยามองไปยังผู้หญิงที่สวมชุดกี่เพ้าตรงหน้า เสน่ห์ของเธอยังคงมีอยู่ แต่การแสดงออกของเธอดูปกติ เธอประหลาดใจมากจนพูดไม่ออก

“ขึ้นไปก่อนแล้วค่อยพูด” เกาไห่กล่าว

ในห้องทำงานของเกาไห่

“พูดคุยกันไปก่อน ผมขอไปประชุมก่อน” เกาไห่พูดพร้อมพยักหน้าให้แม่เล่อ

“ดูแลตัวเองด้วย” เล่อจยาจับมือเขาและแนะนำ

เกาไห่หยิกใบหน้าของเธอ “ได้”

แม่เล่อจับภาพปฏิสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดระหว่างดวงตาทั้งสองของเธอ และดวงตาของเธอเต็มไปด้วยความสุข

“คุณ… ดีขึ้นหรือยัง” เล่อจยาถามหลังจากวางถ้วยชาไว้หน้าแม่เล่อ

แม่เล่อหยิบมันขึ้นมาจิบ วางถ้วยน้ำชาลงบนโต๊ะและเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดอย่างช้าๆ “จยาจยา เธอยังโกรธแม่อยู่หรือเปล่า”

จากความประทับใจในความคิดของเธอ นี่เป็นครั้งแรกที่แม่ของเธอใช้น้ำเสียงนี้เพื่อพูดกับเธอ เล่อจยารู้สึกยังไม่เคยชิน ต่อหน้าเธอทุกครั้งแม่ก็มีไม่เคยมีสีหน้าที่ดีกับเธอ

สีหน้าที่น่ารื่นรมย์เช่นนี้ทำให้เธอรู้สึกปลาบปลื้ม

ปัญหาของเธอจัดการเรียบแล้ว ตอนนี้เธอสบายดี และกลับมาเป็นปกติแล้ว

เล่อจยานั่งตรงข้ามกับเธอ ก้มหัวบิดนิ้ว? เธอจะไม่รู้สึกอย่างไร?

อย่างไรก็ตาม คนที่อายุเกือบ 30 ปี แนวคิดเรื่องแม่ไม่เหมือนเดิมแล้ว เธอยกปากขึ้นแล้วยิ้มเบาๆ “ดีใจมากที่ลูกกลับมาเป็นปกติได้”

แม่เล่อจับหัวเข่าของเธอ “ฉันได้ยินเสี่ยวเหวินบอกว่าเธอแต่งงานกับเจ้านายที่นี่ และฉันรออยู่ที่นี่มาหลายวันแล้ว”

“รอฉัน?” เล่อจยาขมวดคิ้ว “ทำไมไม่โทรหา เสี่ยวเหวินมีเบอร์นี่”

“เสี่ยวเหวินบอกว่าเธอหย่ากับเขาแล้ว แต่ฉันเห็นว่าเมื่อกี้…ดีมาก”

เล่อจยาเอาผมที่บังหน้ามาไว้ข้างหูเธอ แล้วหยิบถ้วยชาขึ้นแล้วดื่ม “คุณมาที่นี่ ไม่ใช่ว่าสนใจว่าแต่งงานได้ดีหรือเปล่า”

สันดอนขุดได้ สันดานขุดยาก ความเกลียดชังเธอของแม่คนนี้คงมากจากก้นบึ้งของเธอ ดังนั้น เล่อจยาจะไม่หลงใหลและคิดว่าเธอกำลังมองหาเธอเพื่อเป็นห่วงเรื่องสมรสของเธอ

คิดอย่างนี้ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกเศร้า

ดวงตาของแม่เล่อเศร้าลงเล็กน้อย “จยาจยา ในใจเธอ แม่เธอเป็นคนแบบนี้หรือเปล่า”

คนแบบนี้? ดูหมิ่น ไร้ยางอาย และทิ้งหนี้ทั้งหมดให้พ่อกับเธอหลังจากการหย่าร้าง หลังจากที่รู้ว่าพ่อของเขาป่วยหนัก นานหลายปีไม่เคยมาดูพ่อเลย?

เธอเม้มริมฝีปากและมองออกไป “ถ้าคุณมีบางอย่างจะพูดก็พูดมา” สำหรับผู้หญิงคนนี้ เล่อจยาได้ถือว่าเธอว่าเป็นคนแปลกหน้าในหัวใจของเธอแล้ว

อาจเป็นความตรงไปตรงมาของเล่อจยาหรืออาจเป็นเพราะแม่เล่อรู้สึกถึงข้อบกพร่องของเธอเองในเวลานี้ หูและริมฝีปากของเธอก็แดงเล็กน้อย

“น้องชายของเธอกำลังจะเป็นพ่อคน”

เล่อจยาได้แตพยักหน้า “รู้แล้ว”

แม่เล่อปรับท่านั่งของเธอ ไอเบาๆ แล้วพูดว่า “จยาจยา แม่มานี่ ต้องการให้เธอช่วยน้องชายของเธอ”

หัวใจของเธอแตกสลายในที่สุด และดวงตาของเล่อจยาก็เย็นชา เธอรู้ และเธอก็รู้ว่ามันจะเป็นเช่นนี้

หันศีรษะของเธอมองดูแม่เล่อ “ช่วยเขา ฉันจะช่วยเขาได้อย่างไร”

“ฉันต้องการให้เธอยืมเงินเพื่อซื้อบ้านให้เขา ผู้หญิงคนนี้บอกว่าถ้าน้องชายของเธอไม่มีบ้าน เขาจะไม่แต่งงาน และยังบอกอีกว่าเขาจะทุบตีเด็ก จยาจยาตอนนี้ก็มีเธอเท่านั้นที่สามารถช่วยเขาได้ … ”

เล่อจยาลุกจากที่นั่งอย่างรวดเร็ว เธอเดินไปที่หน้าต่าง มองลงไปข้างล่าง แล้วกระซิบว่า “ราคาบ้านในเมืองCเริ่มต้นที่ 21,000 ต่อ 1 ตารางเมตร ซื้อบ้านเหรอ คุณคิดว่ากำลังซื้อกะหล่ำปลีอยู่หรือ”

แม่เล่อก็ลุกขึ้นยืนและพูดอย่างกระตือรือร้นว่า “จยาจยาตอนนี้น้องชายของเธอกำลังช่วยคนอื่นถ่ายรูป หลังจากผ่านไปหนึ่งเดือน เขามีรายได้มากมาย เธอสามารถยืมให้เขาแค่พอดาวน์บ้านก็พอแล้ว แล้วปล่อยให้เขาจัดการตัวเอง เธอก็รู้ว่ามันไม่ง่ายเลยที่เขาคิดจะมีครอบครัวด้วยหัวใจ เธอว่า…”

“ฉันไม่มีเงิน” เล่อจยาขัดจังหวะเธอโดยไม่รอให้เธอพูดจบ

เงินดาวน์บ้านที่น้อยที่สุดในเมือง C สำหรับ 100 ตรม. ก็มีมูลค่าถึง 2 ล้านหยวน เงินดาวน์อยู่ที่ 20-30% ซึ่งจะมีราคาหลายแสน เมื่อดูยอดในกระเป๋าของเธอ สองถึงสามร้อยน่าจะมี.

เมื่อแม่เล่อ ได้ยินการปฏิเสธของเธออย่างง่ายๆ ใบหน้าของเธอก็แข็งขึ้นเล็กน้อย และเธอก็เดินไปตรงหน้าเล่อจยา “จยาจยา เมื่อตอนเด็กมันคืนความผิดของแม่เอง ที่ไม่ดีต่อเธอ แต่เสี่ยวเหวินเป็นน้องชายของเธอเอง เธอคงไม่อยากดูเขาไม่ได้แต่งงานเหรอ?”

เสียงของเธอเหมือร้องไห้ และเล่อจยาก็อารมณ์เสียอย่างอธิบายไม่ถูก “เงินค่ารื้อของพ่อหลายล้าน ถ้าเขาไม่เอาไป พ่อจะตายไหม เขาไม่มีบ้านด้วยซ้ำ ตอนนี้เขารู้แล้วว่าเขาต้องการบ้าน” .เพื่อที่จะแต่งงานและมีภรรยา?”

“จะมีใครที่เคยไม่เป็นเด็กและโง่เขลา จยาจยาช่วยน้องชายได้ไหม แม่ขอร้อนนะ…” แม่เล่อพูด หันหน้าไปทางเล่อจยา คุกแล้วคุกเข่าลง

แม้ว่าสำหรับผู้หญิงคนนี้ เล่อจยาได้ปฏิบัติต่อเธอเหมือนไม่มีแม่ในหัวใจ แต่ถึงอย่างไร ก็เป็นคนที่ให้กำเนิดเธอเมื่อเห็นเธอคุกเข่าลงกับตัวเอง เล่อจยารำคาญก็เอื้อมมือไปดึงเธอ “ทำอะไร ลุกก่อน”

ในใจแม่ก็ได้แต่โทษเล่อเหวินเด็กที่ไม่รู้เรื่องอะไร? ชายในวัยยี่สิบของเขายังเด็กและโง่เขลา? เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ เธอก็ยิ่งรู้สึกพูดไม่ออก

แม่เล่อส่ายหัว “ถ้าเธอไม่ตกลง ฉันจะไม่ลุกขึ้น”

นี่ควรเป็นสิ่งที่เรียกว่าการประหัตประหารใช่ไหม?

“จะคุกเข่ายังไงฉันก็ไม่มี ตอนนี้งานยังไม่มีจะทำ ในตัวฉันมีแค่สองร้อยกว่า ถ้าต้องการจะให้ ” เงินดาวน์บ้านตั้งหลักแสนจะไปหาได้ที่ไหน?”

เมื่อ แม่เล่อได้ยินดังนั้น เธอก็แสดงท่าที “จยาจยา แม่รู้ว่าเธอไม่มี แต่สามีของเธอมี เกาไห่ ผู้บริหารบริษัทใหญ่ขนาดนี้แค่เงินหลักแสนไม่มีคงจะไม่ใช่?”

เมื่อได้ยินเช่นนี้ เล่อจยาก็ดูเหมือนจะเข้าใจอะไรบางอย่าง เธอสูดลมหายใจแล้วหันไปมองแม่เล่อ “แม่มารอที่นี่สองถึงสามวัน ไม่ได้มารอฉัน แต่มารอเกาไห่? ”

พอคิด เธอขมวดคิ้วอีกครั้ง “แต่เสี่ยวเหวินบอกว่าเราหย่ากันแล้ว ทำไมเธอถึงยังตามหาเขาอยู่ล่ะ?”

“เขา…เขาหย่ากับเธอและขอให้เขาให้เงินสองสามแสนไม่ได้เหรอ?” แม่เล่อตอบเรียบๆ

เล่อจยามองไปที่ผู้หญิงตรงหน้าเธออย่างไม่น่าเชื่อ สายตาที่โลภของเธอทำให้เธอรู้สึกท้อแท้ และพูดอย่างเย็นชาว่า “ลูกสาวของคุณ ใครบอกไว้ในวันที่หย่ากับพ่อ คุณจะมีแต่ลูกชายและไม่มีลูกสาวอีกต่อไป?”

แม่เล่อเม้มปาก เงยหน้าขึ้นและเหล่มองดูเล่อจยา เธอค่อยๆ ลุกขึ้นจากพื้น ยกปากขึ้น แล้วพูดอย่างเย็นชาว่า “เธอหมายความว่าอย่างไร เธอตัดสินใจแล้วใช่ไหมว่าจะไม่ช่วย”

“คุณ…” เล่อจยามองไปยังผู้หญิงที่สวมชุดกี่เพ้าตรงหน้า เสน่ห์ของเธอยังคงมีอยู่ แต่การแสดงออกของเธอดูปกติ เธอประหลาดใจมากจนพูดไม่ออก

“ขึ้นไปก่อนแล้วค่อยพูด” เกาไห่กล่าว

ในห้องทำงานของเกาไห่

“พูดคุยกันไปก่อน ผมขอไปประชุมก่อน” เกาไห่พูดพร้อมพยักหน้าให้แม่เล่อ

“ดูแลตัวเองด้วย” เล่อจยาจับมือเขาและแนะนำ

เกาไห่หยิกใบหน้าของเธอ “ได้”

แม่เล่อจับภาพปฏิสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดระหว่างดวงตาทั้งสองของเธอ และดวงตาของเธอเต็มไปด้วยความสุข

“คุณ… ดีขึ้นหรือยัง” เล่อจยาถามหลังจากวางถ้วยชาไว้หน้าแม่เล่อ

แม่เล่อหยิบมันขึ้นมาจิบ วางถ้วยน้ำชาลงบนโต๊ะและเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดอย่างช้าๆ “จยาจยา เธอยังโกรธแม่อยู่หรือเปล่า”

จากความประทับใจในความคิดของเธอ นี่เป็นครั้งแรกที่แม่ของเธอใช้น้ำเสียงนี้เพื่อพูดกับเธอ เล่อจยารู้สึกยังไม่เคยชิน ต่อหน้าเธอทุกครั้งแม่ก็มีไม่เคยมีสีหน้าที่ดีกับเธอ

สีหน้าที่น่ารื่นรมย์เช่นนี้ทำให้เธอรู้สึกปลาบปลื้ม

ปัญหาของเธอจัดการเรียบแล้ว ตอนนี้เธอสบายดี และกลับมาเป็นปกติแล้ว

เล่อจยานั่งตรงข้ามกับเธอ ก้มหัวบิดนิ้ว? เธอจะไม่รู้สึกอย่างไร?

อย่างไรก็ตาม คนที่อายุเกือบ 30 ปี แนวคิดเรื่องแม่ไม่เหมือนเดิมแล้ว เธอยกปากขึ้นแล้วยิ้มเบาๆ “ดีใจมากที่ลูกกลับมาเป็นปกติได้”

แม่เล่อจับหัวเข่าของเธอ “ฉันได้ยินเสี่ยวเหวินบอกว่าเธอแต่งงานกับเจ้านายที่นี่ และฉันรออยู่ที่นี่มาหลายวันแล้ว”

“รอฉัน?” เล่อจยาขมวดคิ้ว “ทำไมไม่โทรหา เสี่ยวเหวินมีเบอร์นี่”

“เสี่ยวเหวินบอกว่าเธอหย่ากับเขาแล้ว แต่ฉันเห็นว่าเมื่อกี้…ดีมาก”

เล่อจยาเอาผมที่บังหน้ามาไว้ข้างหูเธอ แล้วหยิบถ้วยชาขึ้นแล้วดื่ม “คุณมาที่นี่ ไม่ใช่ว่าสนใจว่าแต่งงานได้ดีหรือเปล่า”

สันดอนขุดได้ สันดานขุดยาก ความเกลียดชังเธอของแม่คนนี้คงมากจากก้นบึ้งของเธอ ดังนั้น เล่อจยาจะไม่หลงใหลและคิดว่าเธอกำลังมองหาเธอเพื่อเป็นห่วงเรื่องสมรสของเธอ

คิดอย่างนี้ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกเศร้า

ดวงตาของแม่เล่อเศร้าลงเล็กน้อย “จยาจยา ในใจเธอ แม่เธอเป็นคนแบบนี้หรือเปล่า”

คนแบบนี้? ดูหมิ่น ไร้ยางอาย และทิ้งหนี้ทั้งหมดให้พ่อกับเธอหลังจากการหย่าร้าง หลังจากที่รู้ว่าพ่อของเขาป่วยหนัก นานหลายปีไม่เคยมาดูพ่อเลย?

เธอเม้มริมฝีปากและมองออกไป “ถ้าคุณมีบางอย่างจะพูดก็พูดมา” สำหรับผู้หญิงคนนี้ เล่อจยาได้ถือว่าเธอว่าเป็นคนแปลกหน้าในหัวใจของเธอแล้ว

อาจเป็นความตรงไปตรงมาของเล่อจยาหรืออาจเป็นเพราะแม่เล่อรู้สึกถึงข้อบกพร่องของเธอเองในเวลานี้ หูและริมฝีปากของเธอก็แดงเล็กน้อย

“น้องชายของเธอกำลังจะเป็นพ่อคน”

เล่อจยาได้แตพยักหน้า “รู้แล้ว”

แม่เล่อปรับท่านั่งของเธอ ไอเบาๆ แล้วพูดว่า “จยาจยา แม่มานี่ ต้องการให้เธอช่วยน้องชายของเธอ”

หัวใจของเธอแตกสลายในที่สุด และดวงตาของเล่อจยาก็เย็นชา เธอรู้ และเธอก็รู้ว่ามันจะเป็นเช่นนี้

หันศีรษะของเธอมองดูแม่เล่อ “ช่วยเขา ฉันจะช่วยเขาได้อย่างไร”

“ฉันต้องการให้เธอยืมเงินเพื่อซื้อบ้านให้เขา ผู้หญิงคนนี้บอกว่าถ้าน้องชายของเธอไม่มีบ้าน เขาจะไม่แต่งงาน และยังบอกอีกว่าเขาจะทุบตีเด็ก จยาจยาตอนนี้ก็มีเธอเท่านั้นที่สามารถช่วยเขาได้ … ”

เล่อจยาลุกจากที่นั่งอย่างรวดเร็ว เธอเดินไปที่หน้าต่าง มองลงไปข้างล่าง แล้วกระซิบว่า “ราคาบ้านในเมืองCเริ่มต้นที่ 21,000 ต่อ 1 ตารางเมตร ซื้อบ้านเหรอ คุณคิดว่ากำลังซื้อกะหล่ำปลีอยู่หรือ”

แม่เล่อก็ลุกขึ้นยืนและพูดอย่างกระตือรือร้นว่า “จยาจยาตอนนี้น้องชายของเธอกำลังช่วยคนอื่นถ่ายรูป หลังจากผ่านไปหนึ่งเดือน เขามีรายได้มากมาย เธอสามารถยืมให้เขาแค่พอดาวน์บ้านก็พอแล้ว แล้วปล่อยให้เขาจัดการตัวเอง เธอก็รู้ว่ามันไม่ง่ายเลยที่เขาคิดจะมีครอบครัวด้วยหัวใจ เธอว่า…”

“ฉันไม่มีเงิน” เล่อจยาขัดจังหวะเธอโดยไม่รอให้เธอพูดจบ

เงินดาวน์บ้านที่น้อยที่สุดในเมือง C สำหรับ 100 ตรม. ก็มีมูลค่าถึง 2 ล้านหยวน เงินดาวน์อยู่ที่ 20-30% ซึ่งจะมีราคาหลายแสน เมื่อดูยอดในกระเป๋าของเธอ สองถึงสามร้อยน่าจะมี.

เมื่อแม่เล่อ ได้ยินการปฏิเสธของเธออย่างง่ายๆ ใบหน้าของเธอก็แข็งขึ้นเล็กน้อย และเธอก็เดินไปตรงหน้าเล่อจยา “จยาจยา เมื่อตอนเด็กมันคืนความผิดของแม่เอง ที่ไม่ดีต่อเธอ แต่เสี่ยวเหวินเป็นน้องชายของเธอเอง เธอคงไม่อยากดูเขาไม่ได้แต่งงานเหรอ?”

เสียงของเธอเหมือร้องไห้ และเล่อจยาก็อารมณ์เสียอย่างอธิบายไม่ถูก “เงินค่ารื้อของพ่อหลายล้าน ถ้าเขาไม่เอาไป พ่อจะตายไหม เขาไม่มีบ้านด้วยซ้ำ ตอนนี้เขารู้แล้วว่าเขาต้องการบ้าน” .เพื่อที่จะแต่งงานและมีภรรยา?”

“จะมีใครที่เคยไม่เป็นเด็กและโง่เขลา จยาจยาช่วยน้องชายได้ไหม แม่ขอร้อนนะ…” แม่เล่อพูด หันหน้าไปทางเล่อจยา คุกแล้วคุกเข่าลง

แม้ว่าสำหรับผู้หญิงคนนี้ เล่อจยาได้ปฏิบัติต่อเธอเหมือนไม่มีแม่ในหัวใจ แต่ถึงอย่างไร ก็เป็นคนที่ให้กำเนิดเธอเมื่อเห็นเธอคุกเข่าลงกับตัวเอง เล่อจยารำคาญก็เอื้อมมือไปดึงเธอ “ทำอะไร ลุกก่อน”

ในใจแม่ก็ได้แต่โทษเล่อเหวินเด็กที่ไม่รู้เรื่องอะไร? ชายในวัยยี่สิบของเขายังเด็กและโง่เขลา? เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ เธอก็ยิ่งรู้สึกพูดไม่ออก

แม่เล่อส่ายหัว “ถ้าเธอไม่ตกลง ฉันจะไม่ลุกขึ้น”

นี่ควรเป็นสิ่งที่เรียกว่าการประหัตประหารใช่ไหม?

“จะคุกเข่ายังไงฉันก็ไม่มี ตอนนี้งานยังไม่มีจะทำ ในตัวฉันมีแค่สองร้อยกว่า ถ้าต้องการจะให้ ” เงินดาวน์บ้านตั้งหลักแสนจะไปหาได้ที่ไหน?”

เมื่อ แม่เล่อได้ยินดังนั้น เธอก็แสดงท่าที “จยาจยา แม่รู้ว่าเธอไม่มี แต่สามีของเธอมี เกาไห่ ผู้บริหารบริษัทใหญ่ขนาดนี้แค่เงินหลักแสนไม่มีคงจะไม่ใช่?”

เมื่อได้ยินเช่นนี้ เล่อจยาก็ดูเหมือนจะเข้าใจอะไรบางอย่าง เธอสูดลมหายใจแล้วหันไปมองแม่เล่อ “แม่มารอที่นี่สองถึงสามวัน ไม่ได้มารอฉัน แต่มารอเกาไห่? ”

พอคิด เธอขมวดคิ้วอีกครั้ง “แต่เสี่ยวเหวินบอกว่าเราหย่ากันแล้ว ทำไมเธอถึงยังตามหาเขาอยู่ล่ะ?”

“เขา…เขาหย่ากับเธอและขอให้เขาให้เงินสองสามแสนไม่ได้เหรอ?” แม่เล่อตอบเรียบๆ

เล่อจยามองไปที่ผู้หญิงตรงหน้าเธออย่างไม่น่าเชื่อ สายตาที่โลภของเธอทำให้เธอรู้สึกท้อแท้ และพูดอย่างเย็นชาว่า “ลูกสาวของคุณ ใครบอกไว้ในวันที่หย่ากับพ่อ คุณจะมีแต่ลูกชายและไม่มีลูกสาวอีกต่อไป?”

แม่เล่อเม้มปาก เงยหน้าขึ้นและเหล่มองดูเล่อจยา เธอค่อยๆ ลุกขึ้นจากพื้น ยกปากขึ้น แล้วพูดอย่างเย็นชาว่า “เธอหมายความว่าอย่างไร เธอตัดสินใจแล้วใช่ไหมว่าจะไม่ช่วย”

เล่อจยาเหลือบมองที่ซูหย่าแล้วพยายามยิ้ม ตอนที่จับลูกบิดประตูของเธอไว้นิ้วของเธอดูซีดมาก

เลอจยามองไปที่ซูหย่า จับลูกบิดประตู และปล่อยลงอีกครั้ง เธอสูดลมหายใจและมองที่ซูหย่า “ให้ฉันทำใจสักครู่ ”

ซูจิงหยาง มองไปที่ เล่อจยาแล้วถอนหายใจอย่างแผ่วเบา ก้าวไปข้างหน้า และทำการเปิด ประตูก็เปิดออก

เกาไห่ปรากฏตัวต่อหน้าเล่อจยาและเขานอนอยู่บนเตียง ดวงตาของเขาปิดสนิท

เล่อจยาปิดปากของเธอ จมูกของเธอเริ่มเจ็บ และน้ำตาก็ไหลลงมาอีกครั้ง

ซูจิงหยางเหลือบมองเธอ “ยังไม่ตาย ร้องไห้ทำไม”

ถ้าไม่ใช่เพราะผู้ใหญ่สองคนที่บ้าน บังคับให้เขามาดูแลซูหย่า เขาจะไม่ยอมอยู่ที่นี่แม้สักนาทีเดียว

มองไปผู้หญิงที่เขาชอบที่กำลังทำตัวเหมือนกำลังจะตายเพื่อผู้ชายคนอื่น มันรู้สึกเหมือนกินแมลงวัน

ซูหย่าจ้องมองเขา “พี่รอง พี่กลับไปก่อนเถอะ ฉันกลัวว่าพี่จะเสียใจไปมากกว่านี้”

ในเวลานี้เล่อจยาได้เดินเข้าไปหาเกาไห่และนั่งลงข้างเตียงของเขา จับมือ เกาไห่ไว้ทั้งสองข้าง แล้วดมกลิ่น หากพูดถึงความรักที่มีต่อชายผู้นี้ก่อนหน้านั้น ก็ยังมีความไม่แน่นอนและสงสัยความรักของเขาที่มีให้เธอ แต่เมื่อเขาปกป้องเธออย่างเต็มที่ ความสงสัยทั้งหมดก็หายไป

เมื่อเผชิญกับความตาย ทุกสิ่งก็กลายเป็นก้อนเมฆ ไม่ว่าจะเป็นความเข้าใจผิดหรืออะไรก็ตาม

“จยาจยา เอ็นไขสันหลังของเกาไห่ถูกตัด คาดว่าเวลาไม่กี่เดือนนี้ เขาไม่สามารถใช้กำลังส่วนนี้มากได้”

เสียงของซูหย่าดังขึ้นในหูของเธอ เล่อจยา ก็พูดว่า “อืม” ตราบใดที่ไม่มีปัญหาที่คุกคามชีวิต นี่เป็นปัญหาเล็กน้อย

ในเวลานี้ คุณหมอก็เข้ามา

ดวงตาของเขาหันไปมองพวกเขาสองสามคน “ใครเป็นภรรยาของผู้ป่วย”

เล่อจยาชะงัก คิดดู ลุกขึ้นยืน “หมอ ฉันเองค่ะ”

ความสนใจของเธอมุ่งไปที่แพทย์ ดังนั้นเธอจึงไม่ได้สังเกตว่าเมื่อเธอยืนขึ้น ใบหน้าของชายบนเตียงก็ยกขึ้นเล็กน้อย

“คุณหมอคะ นี่คือสามีของฉัน เขาเป็นอย่างไรบ้าง”

แพทย์พลิกดูเวชระเบียนและมองขึ้นไปที่เล่อจยา “เอ็นหลังของผู้ป่วยถูกตัดและดำเนินการผ่าตัดเรียบร้อยแล้ว หลังจากพักฟื้นในช่วงเวลาสั้น ๆ แม้ว่าจะไม่ส่งผลกระทบต่อชีวิตปกติ แต่ก็ไม่สามารถมีชีวิตอยู่แบบคู่สามีภรรยาเป็นเวลาหกเดือน”

เลอจยาไม่ได้คาดหวังว่าหมอจะถามใครเป็นภรรยาของเกาไห่เพื่อพูดคุยเกี่ยวกับปัญหานี้ และใบหน้าของเธอก็แดงขึ้นครู่หนึ่ง

เธอหรี่ตา ปิดปาก พยักหน้า หูของเธอแดง

ซูหย่าพูดกับเล่อเจียจากด้านข้างอย่างติดตลกว่า “เธอไม่ใช่หย่ากับเขาแล้วหรือ ไหนตอนนี้ยังเป็นภรรยา?”

“ไอ…” ขณะนั้น คนข้างหลังก็สำลักด้วยความตื่นเต้น

เล่อจยาหันกลับมาอย่างกะทันหัน เอนตัวลงต่อหน้าเกาไห่ มองไปที่เกาไห่ “คุณ…เป็นอย่างไรบ้าง?”

ผู้ชายคนนั้นรีบตอบกลับมา “ภรรยาของผม ผมสบายดี”

ซูจิงหยางมองดูทั้งสองคนและพ่นลมหายใจอย่างเย็นชา “ไร้ยางอาย” หลังจากพูดเสร็จ  ซูหย่าตบไหล่เล่อจยา “คุยกันไปก่อนนะ ฉันจะไปพี่รองของฉัน”

ออกไปและช่วยทั้งสองปิดประตู

“ภรรยาของผม…” เกาไห่จับมือเล่อจยา ลูบแก้มแล้วร้องออกมาอีกครั้ง

เล่อจยาจ้องมองเขาแล้วดึงมือออกจากมือ “กล้าดียังไร กล้าใช้เนื้อมาขวางรถ” เธอพูดพร้อมกับหยิบแก้วน้ำขึ้นมาเทน้ำแล้วยื่นเข้าปากให้เกาไห่“ดื่มน้ำก่อน”

“ขอบคุณครับภรรยาของผม”

“อย่าเรียกไปเอง” เล่อจยาเม้มริมฝีปากของเธอ

เกาไห่หุบปาก ขมวดคิ้ว “โอ๊ย” เล่อจยารู้สึกประหม่า “เกิดอะไรขึ้น?”

“เจ็บ เจ็บมากเลย”

“เจ็บตรงไหนหรือเปล่า” เล่อจยายกผ้าห่มขึ้นบนตัวของเขา ร่างกายท่อนบนที่เปลือยเปล่าจากรักแร้ถึงเอวเพราะเขาถูกพันด้วยผ้าพันแผลสีขาวทั้งตัว

เธอยกมือขึ้นและใช้ปลายนิ้วแตะเบา ๆ “เจ็บตรงไหนไหม” เธอถามอีกครั้ง

ชายคนนั้นเอียงศีรษะเล็กน้อย นำความทุกข์จากดวงตาของผู้หญิงมาที่ดวงตาของเขา และมุมปากของเขายกขึ้น “ใจผมเจ็บ ภรรยาของผมไม่ต้องการผมอีกต่อไป”

เล่อจยาหยุดอยู่ที่ปลายนิ้ว มองไปที่ชายดึงผ้าห่มและคลุมให้เขา

“คราวหน้าอย่าทำอะไรโง่ๆ แบบนั้นอีก” ถ้าคุณตายเพราะฉัน ฉันจะอยู่คนเดียวและใช้ชีวิตที่เหลือของฉันได้อย่างไร

“ภรรยาของผม ผมผิดไปแล้วจริง” เขาดูจริงจังเมื่อพูดแบบนี้

เล่อจยาจำได้ว่าก่อนที่เขาสลบไป เขาก็ยังคงพูดเหมือนเดิม

ก้าวไปข้างหน้า นิ้วเรียวของธอเลื่อนผ่านแก้มของเขา “มันผิดตรงไหนหรือ” รู้ดีว่าในเวลานี้ ไม่ควรถามว่าถูกหรือผิด แต่ เล่อจยาก็อดไม่ได้

เขาผิด แสดงว่าเขาเชื่อเธอ?

เกาไห่ มองไปที่เล่อจยา ดวงตาของเขาเป็นประกาย เขาบีบมือที่อ่อนแอและไม่มีกระดูกของเล่อจยา และเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย “ภรรยาของผมใจดีขนาดนี้ จะเป็นอันตรายต่อคนอื่นได้อย่างไร ผมกลับไม่เชื่อคนที่ผมรัก”

เล่อจยาอ้าปากและมองดูใบหน้าที่หล่อเหลาของเขา เธออยากจะถามเขาว่าเขาเชื่อสิ่งที่เธอพูดก่อนหน้านี้หรือไม่?

คิดดูแล้ว หุบปากอีกครั้ง และดูใจผู้คนเมื่อเวลาผ่านไปจิ้งจอกมันจะเปิดเผยหางของมันเองไม่ช้าก็เร็ว

“คุณนอนพักเถอะฉันจะไปหาเสี่ยวหย่า” ขณะที่พูดและหันหลังกลับ

เขาจับมือเธอไว้ และชายที่อยู่บนเตียงดูเศร้าใจ

“ฉันเป็นห่วงเธอ ร่างกายของเธอตอนนี้… ยังไม่สะดวก และเธอยังมาเจอเรื่องแบบนี้” เธออธิบายอย่างอดทน และทำไมเธอถึงรู้สึกว่าผู้ชายคนนี้เปลี่ยนไป

ประตู

ซูหย่ากำลังนั่งบนเก้าอี้และเล่นโทรศัพท์มือถือของเธอและไม่เห็นพี่รองอีกต่อไป

เมื่อได้ยินเสียงเปิดประตู ซูหย่าก็รีบก้าวไปข้างหน้า ดึงเล่อจยามานั่งลงข้าง ๆ “เป็นยังไงบ้าง”

เล่อจยากระพริบตาแสร้งทำเป็นโง่ “แล้วยังไงล่ะ”

แขนเธอโดนบิดเล็กน้อย “อย่างมาทำเป็นเสแสร้ง ใครเป็นภรรยาของผู้ป่วย ฉันเองค่ะ…” ซูหย่าเลียนแบบ

เล่อจยามองตรงไปข้างหน้าและพูดช้าๆ: “ในขณะที่เขาช่วยฉันจากรถนั้น ฉันก็ยกโทษให้เขาแล้ว เสี่ยวหย่า ฉันได้พบกับชายคนหนึ่งที่เต็มใจจะสละชีวิตของเขาเพื่อฉันแล้วมันไม่ง่ายเลย”

ผู้หญิงอาจเป็นคนทั่วไปที่รักษารอยแผลเป็นและลืมความเจ็บปวด

ซูหย่ามองไปที่เล่อจยาและไม่พูดอะไร

“อันที่จริงเขาเข้าใจฉันผิดไปฉันก็เข้าใจเขานะ เราเพิ่งรู้จักกันได้ไม่นานเธอว่าไหม?”

“แต่ไห่ยุ่นรู้จัดเขาตั้งแต่ยังเด็ก ถึงแม้ว่ามันจะแค่เป็นการหลอกลวงหรือแค่ถูกปิดตาก็ตาม”

“เธอ…พูดอะไรหน่อยซิ”

เล่อจยายังกังวล เธอยังคงสนใจความคิดเห็นของซูหย่า

“เธอก็บอกให้ไห่ยุ่นมาที่นี่ซิ ถ้าจำเป็นสำหรับการให้อภัย รอผู้หญิงคนนั้นมาแล้วค่อยทำการตัดสินใจ”

 

ในเวลาเดียวกัน ประตูดังเอี๊ยด และถูกเปิดออก

ซูหย่าและเล่อจยารู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยกับคนที่เข้ามา

“เกาไห่?”

ซูหย่ากล่าวว่า “คุณรู้เรื่องนี้ได้อย่างไร” ขณะที่เธอพูด เธอดึงเล่อจยาและขยิบตาให้เธอ

เล่อจยาหันกลับมาทันที และเมื่อเธอหันศีรษะ รอยยิ้มบนใบหน้าของเธอก็หายไป

เกาไห่ถือช่อดอกไม้อยู่ในมือ และเมื่อเขาเห็นซูหย่า เขาก็เม้มปาก “อย่าเศร้าเกินไปนะอายุคุณยังน้อยยังสามารถมีลูกได้”

ฉันต้องบอกว่าเกาไห่มีความรอบรู้ในห้างสรรพสินค้า แต่ความฉลาดทางอารมณ์ของเขาไม่สูงนักเมื่อพูดถึงการมีปฏิสัมพันธ์กับผู้คน

เล่อจยาสูดลมหายใจ ก้าวไปข้างหน้า หยิบช่อดอกไม้จากมือของเขา และวางลงบนเก้าอี้ข้างๆเขา แต่ไม่ได้มองเกาไห่อีกต่อไป

ซูหย่าเห็นทั้งสองคนทำเช่นนี้ หรี่ตา “เกาไห่ คุณอยู่ที่นี่ คุณขับรถมาหรือเปล่า”

เกาไห่พยักหน้า “ใช่ รถจอดอยู่ข้างล่าง”

“ถ้าอย่างนั้น ฉันกำลังจะออกจากโรงพยาบาล คุณช่วยไปส่งพวกเราหน่อย”

เล่อจยาตกตะลึงและขมวดคิ้ว เธอเข้าใจเจตนาของซูหย่าดี แล้วก็บีบไปที่เอวของเธอซูหย่ากลอกตามาที่เธอ

เนื่องจากสถานะพิเศษของซูหย่าเธอจึงไม่ต้องผ่านขั้นตอนใดๆในโรงพยาบาล เธอเพียงแค่เก็บของและออกมา

เล่อจยาเปิดประตูให้ซูหย่าเธอกำลังจะนั่ง แต่จู่ๆ เธอก็เห็นว่ามีรถวิ่งมาอย่างเร็วและไม่ใช้เบรกเลยกำลังตรงมาที่รถของพวกเขา

ในเวลานี้ เล่อจยากำลังจะขึ้นรถและมันก็สายเกินไป

เมื่อเห็นว่ากำลังจะชน ชายคนนั้นก็กระแทกพวงมาลัย จากนั้นรถก็ขับไปทางเล่อจยา

ความเร็วนั้นมันเร็วมากจนเล่อจยาไม่มีเวลาตอบสนอง

ขณะที่เธอหลับตาและกำลังถูกชน ทันใดนั้นร่างกายของเธอก็ได้รับการปกป้องจากคนที่ล้มลง หน้าอกของเธอชิดกับร่างของเกาไห่ และคนที่อยู่ข้างหลังเธอกำลังปกป้องเธอ

เธอได้กลิ่นตัวที่คุ้นเคย และร่างกายของเธอก็แข็งทื่อเล็กน้อย

“อืม…” มีเสียงอู้อี้ในหูของเธอ แต่ชายคนนั้นยังไม่ขยับ กางแขนเหยียดออก และเธอถูกตรึงไว้อย่างแน่นหนากับรถ

พื้นที่นี้ปลอดภัยมาก

จนกระทั่งรถแล่นไปที่แปลงดอกไม้ริมถนน วิ่งข้ามแปลงดอกไม้ไปชนกับผนังลานด้านนอกของโรงพยาบาล และได้ยินเสียง “ปัง”

คนข้างหลังเขาตะโกนว่า “หยุด หยุด”

แล้วมีคนตะโกนว่า “เลือด…เลือด…”

ในขณะนี้ เล่อจยาก็ได้คิดถึงฉากการตายของพ่อของเขา

เธอกลืนน้ำลายอย่างสิ้นหวัง ในขณะนี้ ผู้ที่อยู่ข้างหลังเธอรู้สึกว่าร่างกายกำลังเคลื่อนตัวออกห่างจากเธอ

เธอหันศีรษะช้าๆ ใบหน้าของเธอซีดหลังจากตกใจ

อย่างไรก็ตาม เมื่อเธอเห็นเกาไห่นอนอยู่บนพื้น เธอเอามือปิดปาก มือของเธอสั่น และความรู้สึกหนาวแผ่ไปที่แขนขาของเธอในทันที

“เกาไห่…” เธอคุกเข่าลงข้างเขา มองดูหลังของเขาเต็มไปด้วยเลือด

เล่อจยายื่นมือขึ้นไปในอากาศ แต่เธอไม่สามารถวางมันลงได้เป็นเวลานาน มีเลือดอยู่ทุกหนทุกแห่ง เธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะวางมือไว้ที่ใดเพื่อที่จะได้ไม่ทำร้ายเขา

“เกาไห่…” เธอเรียกชื่อชายตรงหน้าอีกครั้ง

ในเวลานี้ มีคนข้างๆ พูดว่า “ประตูรถนั้นดูเสียหายเป็นอย่างมาก และประตูรถที่แหลมคมถูกเสียบจากด้านหลังชายคนนั้น ถ้าลึกเข้าไปก็ผ่าครึ่งเขาได้”

“ใช่ ฉันก็เห็นมันด้วย เขาเป็นลูกผู้ชายตัวจริง เขาปกป้องผู้หญิงคนนั้นและยังไม่เคลื่อนไหวเลย”

… ไปที่ https://th.readeraz.com เพื่ออ่านเนื้อหาใหม่ล่าสุดทุกคน! เธอกัดริมฝีปากและใช้ความพยายามอย่างมากเพื่อไม่ให้ตัวเองเป็นลม

เธอเป็นลมไม่ได้ เธออยากเห็นเกาไห่ไม่เป็นไร เธอจะเป็นลมไม่ได้…

“เกาไห่…” เธอร้องไห้หนักกว่าเดิม

ชายที่ไม่ตอบสนองครู่หนึ่งกะพริบตา เล่อจยาเห็นริมฝีปากของเขาขยับและดีใจมาก เธอคลานไปบนพื้น เธอได้ยินเกาไห่พูดกับเธอว่า: “ภรรยา ผมผิดไปแล้ว”

น้ำตาของเล่อจยาไหลมาเป็นทาง และเธอก็ส่ายหัวจนขาดสติ แต่เธอไม่สามารถพูดอะไรได้ ในตอนนี้ ความเข้าใจผิดและความไม่ไว้วางใจเหล่านั้นดูเหมือนจะไม่มีนัยสำคัญ เธอแค่อยากให้เขามีชีวิตอยู่

“ภรรยา ผมรักคุณจริงๆ ผมผิด…” เสียงของเขาเบาลงจนหายไป

หัวใจของเล่อจยาก็ดูเหมือนจะหยุดลง ริมฝีปากของเธอซีดจนไม่เห็นเลือด และดวงตาของเธอก็หมองลง

ในเวลานี้ มีมือพยุงไหล่ของเธอจากด้านหลัง “จยาจยา เขายังไม่ตาย เขาแค่สลบไป” เป็นเสียงของซูหย่า

เลอจยาหันศีรษะช้าๆ มองไปที่ซูหย่า และพยักหน้าอย่างแรง “ใช่ เขายังตายไม่ได้” เธอยังไม่ได้สั่งสอนเขาดีๆ และเธอก็ยังไม่ได้ให้อภัยเขา เขาถึงตายตอนนี้ไม่ได้

นอกห้องผ่าตัด

เลอจยาเอนพิงประตู ริมฝีปากของเธอยังคงซีดเซียว และสีหน้าเธอดูไม่ดี

ในเวลานี้ หนิงเส่าเฉินรีบวิ่งเข้ามา

“เย่หลินกำลังตั้งครรภ์และลมหายใจของทารกในครรภ์ไม่คงที่ ฉันไม่กล้าบอกเธอ” หนิงเส่าเฉินกล่าวกับซูหย่า เพราะตอนนี้เล่อจยาไม่ได้อยู่ในสภาพที่คุยได้

ทุกคนรอเป็นเวลานาน

เมื่อประตูห้องผ่าตัดเปิดออก เล่อจยาเกือบจะรีบวิ่งเข้ามา “หมอ เขา… เขาเป็นยังไงบ้าง?”

หมอถอดหน้ากากแล้วส่ายหัว

ก่อนที่หมอจะพูดต่อจนจบ ผู้หญิงตรงหน้าเหมือนขาของเธออ่อนแรงและเป็นลมไป

เมื่อเล่อจยาตื่นขึ้นอีกครั้ง

อยู่ในห้องผู้ป่วย

เธอมองไปรอบๆ จู่ๆ ก็นึกอะไรบางอย่างได้ แล้วกระโดดลงจากเตียง

พุ่งออกไปโดยตรง

เขาจับนางพยาบาลในชุดขาวแล้วถามว่า “เกาไห่อยู่ที่ไหน เกาไห่เป็นอย่างไรบ้าง”

ในเวลานี้ มีคนดึงเธอจากด้านหลัง

เลอจยาหันกลับมาและเห็นว่าเป็นซูหย่า หายใจเข้าลึกๆแล้วถาม “เสี่ยวหย่า เกาไห่อยู่ที่ไหน”

ซูหย่าและซูจิงหยางคนที่พร้อมกัน เขาเหลือบมองเล่อจยาดวงตาของเธอมืดลงเล็กน้อย

“เขาตายแล้ว” ซูจิงหยางพูดด้วยน้ำเสียงที่สงบ

ซูหย่ากังวล “พี่รอง”

เมื่อเห็นปฏิกิริยาของเล่อจยาเธอรีบพูดต่อ: “เล่อจยา ไม่ต้องกังวล”

เล่อจยามองไปที่ ซูจิงหยางจากนั้นมองไปที่ ซูหย่าและส่ายหัว “เธอโกหกเธอต้องโกหกฉันแน่”

หันกลับมา เธอรีบไปที่โต๊ะพยาบาลและดึงพยาบาลอีกคน “เกาไห่อยู่ที่ไหน คุณรู้หรือไม่ว่าเกาไห่อยู่ที่ไหน”

ซูหย่ายกเท้าขึ้นและกระทืบเท้าของซูจิงหยาง “พี่รอง พี่กลัวว่าโลกจะไม่วุ่นวายไม่พอใช่ไหม”

หลังจากพูดจบ ก็ก้าวไปข้างหน้าและดึงเล่อจยา “จยาจยา ฉันจะพาเธอไปหาเกาไห่ ไม่ต้องกังวล”

เล่อจยาตกใจและพยักหน้าอย่างเร่งรีบ “โอเค…ฉันไม่รีบ ฉันไม่รีบ”

ตอนพูดพวกเธอก็ชนคนถึงสองคน

ซูหย่ามองดูเธอและรู้สึกมีอารมณ์ชั่วขณะหนึ่ง ไม่ว่าจะมีความบาดหมางกันมากแค่ไหนในชีวิต บางทีมันไม่คุ้มกับคำว่าชีวิตและความตาย

เมื่อเผชิญกับความตาย ความไว้เนื้อเชื่อใจและความเข้าใจที่ไม่สำคัญเหล่านั้นดูเหมือนจะไม่มีนัยสำคัญ

หลายคนเดินวนไปมาตามทางเดินยาว

“จยาจยา เธอต้องเตรียมทำใจนะ” ในที่สุดซูหยาก็หยุดอยู่หน้าห้องผู้ป่วย เธอพูดสิ่งนี้กับเล่อจยา

จากนั้น เธอเห็นซูหย่ามองออกไปนอกหน้าต่างเป็นเวลานาน แต่เล่อจยาไม่กล้าเรียกเธอ วางมือถือไว้และรอข้างๆ

“เสี่ยวหย่าเสี่ยวหวู่บอกว่าไม่เข้าใจ เขาบอกว่าเขาต้องรับผิดชอบซึ่งกันและกัน เธอเข้าใจไหม” เล่อจยาอดไม่ได้ที่จะพูดออกมาดังๆ

ซูหย่ากระพริบตา และเล่อจยาเห็นน้ำตาออกมาจากดวงตาของเธอ นี่เป็นครั้งแรกที่ซูหย่าหลั่งน้ำตาหลังจากที่เด็กจากไป เล่อจยาก็ทำอะไรไม่ถูกเล็กน้อย

เธออยากที่จะปลอบโยนเธอ แต่ความเจ็บปวดจากการสูญเสียลูกของเธอ เธอรู้ว่าคนธรรมดาไม่สามารถเห็นอกเห็นใจเธอได้ ดังนั้นเธอจึงกลืนคำพูดกของเธอในที่สุด

ยืนขึ้นดึงทิชชู่ออกมาเช็ดน้ำตาจากใบหน้าของเธอ “ร้องไห้ออกมาแล้วจะรู้สึกดีขึ้นเอง”

อย่างไรก็ตาม อย่างน้อยปล่อยให้เธอระบายออกมาได้ก็ดี แต่ไม่คาดคิด ซูหยาหลั่งน้ำตาเพียงไม่กี่หยด จากนั้นก็ฟื้นคืนความสงบ เธอมองดูเล่อจยาและพูดคำต่อคำ: “จยา” รู้ไหม หลังจากที่เราแต่งงานกัน ชีวิตนี้อาจจะไม่มีทางหย่ากันก็ได้!”

ถ้าซูหย่ากล่าวคำพวกนี้ออกมาก็น่าจะไม่เศร้ามาก สิ่งที่เล่อจยาเห็นคือความปีติยินดีและความภูมิใจ…

นี่ยิ่งทำให้เธอสับสนมากขึ้นไปอีก

ขมวดคิ้ว “ทำไมถึงหย่าไม่ได้” เดิมทีเธออยากจะถามว่าทำไมเธอดูมีความสุขมาก แต่เธอกลัวว่าเธอจะคิดมากเกินไป

ซูหย่ามองดูและยิ้มออกมา “เพราะภูมิหลังทางครอบครัวของเรา ไม่ได้รับอนุญาตให้หย่าร้าง”

ไม่อนุญาตให้หย่า? เล่อจยามีความรู้เพียงเล็กน้อยเกี่ยวกับครอบครัวที่มั่งคั่ง การทหาร และการเมือง และเธอไม่เข้าใจว่าทำไมการหย่าร้างจึงไม่อนุญาต ลองคิดดู คาดว่าทุกด้านคงจะเกี่ยวข้องกันมากเกินไป

“แล้วทำไมถึงยังแต่งงานอยู่? คงจะไม่รอที่จะผูกตัวเองกับเสี่ยวหวู่ ไปตลอดชีวิตของเธอเหรอ?”

เมื่อซูหย่าได้ยินคำพูดนั้น เธอดึงริมฝีปากของเธอและยิ้มอย่างมีความสุขมากขึ้น แววตาสดใส จากนั้นเธอก็ยกผ้าห่มขึ้นและขยับเบา ๆ เพื่อลุกจากเตียง

เล่อจยาไม่เข้าใจซูหย่าจริงๆ เมื่อเห็นเธอลุกจากเตียงเล่อจยาก็ถามอย่างเร่งรีบ “เธอจะไปเข้าห้องน้ำหรือ”

ซูหย่าส่ายหัว น้ำเสียงของเธอสูงขึ้น “ไม่ ฉันต้องการออกจากโรงพยาบาล”

“ออกจากโรงพยาบาล?” เล่อจยากังวลและคว้าแขนของเธอไว้ “เสี่ยวหย่า เธอกำลังทำอะไรอยู่ แม้ว่าเธอจะไม่ได้คลอดลูก เธอรู้หรือไม่ว่าถ้าไม่ดูแลอย่างดี เธอจะเสียใจกับมันตลอดไป ? ”

เมื่อเธอพูดซูหย่าได้โบกมือและสวมเสื้อผ้าทั้งหมดจนเรียบร้อย เมื่อเห็นเล่อจยาดูเหมือนว่าเธอจะกังวลแทบตายหลังจากคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้เธอก็ตัดสินใจและเอนตัวไปที่เล่อจยาและพูดคำหนึ่ง

ด้วยคำพูดง่ายๆไม่กี่คำในหูของเธอ มุมปากของเล่อจยา ก็แยกออกทันทีดึงตัวซูหย่าเข้ามา”จริงเหรอ…

ซูหย่าชำเลืองมองเธอ “ก็จริงซิ”

“ถ้าอย่างนั้นคุณหมอ…และเลือด…” เล่อจยามีความสุข เลยพูดติดๆขัดๆ เด็กที่ทำให้เธอหลั่งน้ำตามากมาย จริง ๆ แล้วอยู่ในท้องของ ซูหย่าอย่างปลอดภัย

ซูหย่าขมวดคิ้ว “ถ้าเธอไม่ทำให้มันสมจริง จะทำให้ไอ้บ้านั่นเชื่อได้ไหม”

เขากอดเล่อจยา: “จยาจยา ฉันขอโทษ ฉันทำให้เธอเสียใจ ฉันอยากจะบอกเธอ แต่ฉันกลัวว่าเธอจะไม่ร้องไห้ ดังนั้น… อย่าโกรธฉัน .”

เล่อจยา ส่ายหัว “ไม่โกรธ ไม่โกรธ” เด็กยังคงอยู่มันก็แค่น้ำตาแค่นั้น

อย่างไรก็ตามเล่อจยาไม่เข้าใจ เสี่ยวหย่า ทำไมคุณถึงทำเช่นนี้?”

“เพราะเสี่ยวหวู่ต้องการจะฆ่าเด็กคนนี้จริงๆ แต่ฉันรู้ตั้งแต่เนิ่นๆ ฉันต้องการทดสอบเขา แล้วฉันก็กลัวว่าถ้าเขารู้ เขาจะโจมตีลูกของฉันอีกในอนาคต ดังนั้นถ้าคิดคิดก็เริ่มมันเลย”

ถ้าพูดถึงซูหย่าก็รู้สึกขอบคุณผู้ชายที่มาส่งสตูว์ในวันนั้น ตอนนั้น เธอบอกว่าเธอปล่อยให้เขาวางสตูว์ไว้บนโต๊ะแล้วจะกินทีหลังตอนที่เธอหิว แต่ผู้ชายคนนั้นน่าจะเป็นมือของเซียวอู๋ที่ยืนตรงนั้นไม่ไปไหนยืนในท่าทหาร เขากล่าวว่าเซียวอู๋ได้สั่งให้เขาดูเธอกินก่อนที่เขาจากไป

ตั้งแต่ซูหย่าเป็นสาว แม่ซูกลัวว่าเธอจะเหนื่อยจากการเรียนและการทำงาน ก็เลยให้เธอทานอาหารโภชนาการเสริมทุกชนิดจริงๆ

ดังนั้น เมื่อเธอเปิดฝา ปฏิกิริยาแรกของเธอก็คือมีกลิ่นบางอย่างผิดปกติ

อย่างไรก็ตาม ในขณะนั้น เธอไม่สงสัยเลยท้ายที่สุดนี่คือลูกของเสี่ยวหวู่

เมื่อตอนที่เธอดื่มจนถ้วยสุดท้าย เธอเห็นร่องรอยของความทนไม่ได้ในดวงตาของผู้ชายคนนั้น เมื่อเธอยื่นชามให้ชายคนนั้น มือของชายคนนั้นก็สั่นเล็กน้อย

อยากรู้ว่าคนที่สามารถทำสิ่งต่าง ๆ ภายใต้ เซียวอู๋คงจะเคยเห็นฉากชีวิตและการตายมามากมายด้วยการแสดงออกดังกล่าว ซูหย่ารู้สึกยิ่งคิดยิ่งเหมือนมีอะไรผิดปกติ ในความคิดของเธอเซียวอู๋ไม่น่าจะเป็นห่วงเธอขนาดนั้น ดูเธอกินอาหารเสริมหมดก่อนแล้วค่อยไป เมื่อผู้ชายนั้นเดินจากไป เธอรีบเดินเข้าไปในครัวแต่ช่วงนี้เธอแพ้กลิ่นควันแค่ได้กลิ่นก็จะอาเจียน

เป็นผลให้เธอรีบวิ่งเข้าไปในห้องน้ำเพื่ออาเจียนสิ่งที่เธอเพิ่งกินเข้าไป

ต่อมา เธอต้องการทดสอบว่าการเดาของเธอถูกต้องหรือไม่ผ่านเพื่อนคนหนึ่ง เธอขอให้เช่วยซื้อพลาสม่าที่นำเข้ามาและส่งมาให้เธอ

เธอรู้ว่าเล่อจยาจริงใจเกินไป เธอแค่โกหกขณะที่เธอพูดเธอก็สั่นแล้ว เธอจึงไม่บอกเธอ บางทีปฏิกิริยาและน้ำตาของเล่อจยา บวกกับแสงสลัวในคืนนั้นเซียวอู๋คงคาดไม่ถึง ไม่ต้องสงสัยเลย

หลังจากมาถึงโรงพยาบาล เธอมอบบัตรธนาคารที่เธอเตรียมไว้ให้แพทย์ และเธอก็ปกปิดมันจากพ่อแม่ของเธอ

หลังจากเหตุการณ์นั้น เธอเกลียด เซียวอู๋จริงๆ แต่หลังจากที่เล่อจยานำบันทึกเสียงเหล่านั้นกลับมา เธอก็รู้สึกเป็นทุกข์อีกครั้ง

หากก่อนหน้านั้นซูหย่าทำกับเซียวอู๋มาก่อน เพียงแค่ไม่พอใจและต้องการเอาคืน บางทีในขณะนั้นเธออาจตกหลุมรักจริงๆ

ตกหลุมรักผู้ชายที่ “น่าสงสาร” คนนั้น

“จยาเธอต้องช่วยปิดบังมันไว้? หลังจากที่ฉันแต่งงานกับเซียวอู๋แล้ว ฉันจะใช้ความบาดหมางเป็นเหตุผลแล้วย้ายมาอยู่กับเธอ เมื่อลูกเกิดมา เขาก็ไม่สามารถทำอะไรกับฉันได้ถึงตอนนั้นฉันจะค่อยๆจัดการเขา”

“แล้วถ้าเขารู้ล่ะ” เล่อถามกลับอย่างกระตือรือร้น เธอไม่อยากทำอีกจริงๆ

ซูหย่าคิดอยู่ครู่หนึ่งและมองดูเล่อจยา ” ในระหว่างนี้ เธอก็ไม่ต้องไปทำงาน ฉันจะเลี้ยงเธอเอง ยังไง? เธอแค่ปกป้องฉันก็พอ”

เลอจยาอยากจะปฏิเสธ แต่ก้มหัวลง จ้องมองไปที่ท้องของซูหย่า คิดถึงสิ่งที่เธอทำเพื่อเธอมาหลายปี เธอกัดฟันและพยักหน้า “ตกลง ฉันสัญญาว่าจะไม่ไปจากไหน ตลอด 24 ชม.”

เมื่อรู้ว่าลูกของซูหย่ายังอยู่ เลอจยาก็มีความสุข ทั้งร้องไห้และหัวเราะ

ในเวลานี้ประตูดังเอี๊ยดถูกผลักเปิดออก

ซูหย่าหัวเราะออกมา “ถ้าไม่แต่งงาน เขาก็ได้สิ่งที่เขาต้องการ เขาโทษฉันที่ทำลายชีวิตของเขาทำให้ฉันเสียลูกไป ถ้าฉันไม่แต่งงาน ลูกของฉันเสียชีวิตฟรีซิ?”

“เสี่ยวหย่า ฟังฉันนะ เด็กจากไปแล้ว เธอยังสาว ยังมีอีกได้ เธอเห็นคนหนุ่มสาวจำนวนมากตอนนี้หากมีแล้วก็ยังเอาออกใช่ไหม แต่ถ้าเธอแต่งงานกับเสี่ยวหวู่ จะไม่เพียงแต่ทำลายชีวิตของเขาและของเธอ เธอเคยคิดบ้างไหม?”

เมื่อคำพูดของเธอทำให้ซูหย่าไม่แยแส เล่อจยาก็หันกลับมาอย่างรวดเร็ว

“เราจะโทรแจ้งตำรวจดีไหม คิดว่าไง”

“ไม่!” ซูหย่าตอบอย่างรวดเร็ว เห็นได้ชัดว่าในจิตสำนึกของเธอ เธอไม่เคยคิดที่จะโทรหาตำรวจ

แปลว่า “ซูหย่า ยังชอบเขาอยู่ใช่หรือไม่” เพราะชอบเขา จึงลังเลที่จะส่งเขาเข้าคุก เพราะชอบ แม้ว่าเซียวอู๋จะทำร้ายเธอแบบนี้ ก็ยังคงยืนยันที่จะแต่งงานกับเขา

ซูหย่าเลื่อนนั่งลง “จยาจยาฉันเหนื่อยนิดหน่อย ฉันจะนอนสักพัก”

เธอไม่ตอบ มันเป็นโดยปริยายที่การรับรู้นี้ทำให้เล่อจยากลัวว่าซูหย่าจะคล้ายกับตัวเองมากในบางประเด็น แต่ในตอนนี้ เธอหวังจริงๆ ว่าเธอจะแตกต่างไปจากตัวเอง เธอหวังว่าซูหย่าจะรักตัวเองบ้าง

ในเวลานี้ ประตูเปิดออก และแม่ซูเดินเข้ามาพร้อมกับหญิงวัยกลางคน

“แม่ทูนหัว”

“คนที่ฉันพามาจะมาดูแลเสี่ยวหย่า”

เลอจยาพยักหน้าและมองย้อนกลับไปที่ซูหย่า “ถ้าอย่างนั้น แม่ทูนหัว ขอออกไปซื้อของก่อน ส่วนเสี่ยวหย่า คุณอยู่กับเธอไปก่อน แล้วจะกลับมาทีหลัง”

พูดเสร็จก็ออกไปพร้อมกับมือถือและกระเป๋า

“จยาจยา” ซูหย่าพยุงร่างกายส่วนบนของเธอ มองดูเล่อจยา และส่ายหัว

เล่อจยายิ้มกลับ หันกลับมา และจากไป

ในห้องโถงของโรงพยาบาลเล่อจยาเดินแบบรีบ แต่จู่ๆ ก็หยุดแล้วหันกลับมา เธอขยี้ตา มองผิดคนหรือเปล่า?

คนที่กำลังป้อนอาหารให้ผู้หญิงคนนั้นคือน้องชายที่สุรุ่ยสุร่ายของเธอ?

เธอเดินเข้าไปอีกสองก้าวเธอมองไม่ผิดจริงๆ

ชั่วขณะหนึ่ง เขาเอามือปิดปากและเดินไปข้างหน้าสองคนภายในสามก้าว

“เล่อเหวิน?”

หญิงสาวลุกขึ้นยืนเมื่อได้ยินเสียง วางมือไว้ข้างหน้า บิดนิ้วทำหน้าเขินอาย

เล่อเหวินหยิบโจ๊กขึ้นมาและมองดูเล่อจยา “ทำไมเธอถึงอยู่ที่นี่?”

เลอจยาขมวดคิ้วและเห็นว่ามีสมุดบันทึกทางการแพทย์และกล่องยาสองสามกล่องในถุงใสที่เลอเหวินถืออยู่

“เกิดอะไรขึ้น?” ที่นี่คือโรงพยาบาลสูตินรีเวชวิทยา เป็นไปไม่ได้ที่จะเป็นเล่อหวินที่มาที่นี่ได้ แต่เป็นไปได้อย่างเดียวคือผู้หญิงที่อยู่ข้างหน้าเธอ

“เธอ เล่อจยา ยกมือขึ้น เขย่าห้านิ้วครึ่ง แตะหน้าผากแล้วมองไปที่เล่อเหวิน “ของเธอ?”

หญิงสาวหันกลับมามองเล่อเหวิน และเล่อเหวินก็มองไปที่หญิงสาวแล้วรีบก้มหน้าลง “ใช่ ของฉัน”

“เธอเป็นใคร?” เสียงของหญิงสาวดูอ่อนแอมาก แต่เล่อจยาเห็นชัดเจนว่าร่างกายของเล่อเหวินสั่นเทาและขมวดคิ้วดูออกว่าเล่อเหวินกลัวผู้หญิงคนนี้?

“พี่สาวของฉัน พี่สาวของฉันจริงๆ ฉันไม่ได้โกหกเธอ” หลังจากที่เล่อเหวินพูดแบบนี้ เขาไม่กล้ามองตาของหญิงสาวและก้มหน้าลงด้วยความตื่นตระหนก

คำพูดของเขาทำให้เล่อจยาสับสนเล็กน้อย

เล่อจยามองดูหญิงสาวที่อยู่ข้างหน้าเธอ รู้สึกเหมือนเคยเห็นที่ไหนสักแห่ง ทันใดนั้นเธอก็คิดออกและจ้องไปที่หญิงสาวอีกครั้ง “เธอ…เรามาจากบริษัทเดียวกัน ลูกสาวของจวงจูจือใช่ไหม? ”

หลังจากที่หญิงสาวรู้ว่าเล่อจยาเป็นพี่สาวเธอก็พูดด้วยน้ำเสียงที่ไพเราะว่า “ค่ะพี่สาว”

เล่อจยาหลับตาแล้วเปิดมันอีกครั้ง กระโดดขึ้นและตบหัวของเล่อเหวิน “เธอทำไมทำเรื่องอุกอาจขนาดนี้ ไม่นานเท่าไหร่ก็ทำคนอื่นท้องแล้ว?”

เมื่อถูกเล่อจยาทุบตีในที่สาธารณะ เล่อเหวินรู้สึกอายมาก ปิดหัวของเขา “พี่นะดีกว่าผมตรงไหน? แต่งงานและหย่า มีสิทธิ์อะไรที่จะพูดกับผม? แต่งตัวแบบนี้มาโรงพยาบาลไม่ใช่ว่าจะท้องนะ”

เล่อจยาตกใจ กลืนน้ำลาย แล้วชี้นิ้วไปที่เล่อเหวิน “ตอนนี้ฉันไม่มีเวลาคุยกับแก แล้วฉันจะหาเวลามาชำระบัญชีในภายหลัง” จากนั้นเขาก็หยิบกระดาษโน้ตออกมาจากกระเป๋า และเขียนหมายเลขโทรศัพท์ให้ไว้ในมือหญิงสาว

“ถ้าเขากล้ารังแกเธอ โทรหาฉันแล้วจะจัดการเขาให้”

หันกลับมาตบแขนของเล่อเหวินเบาๆ “ในเมื่อฉันสามารถปลูกเมล็ดพันธุ์ได้ ฉันก็หาวิธีรับผิดชอบเองได้”

หลังจากพูดเสร็จ เธอก็รีบเดินออกไปนอกทางออก

หญิงสาวมองดูเล่อจยาที่กำลังจากไปอย่างรวดเร็วและบันทึกหมายเลขโทรศัพท์ไว้ในมือถือ “เธอคือพี่สาวคุณหรือ พี่เขยของคุณแนะนำคุณให้งานนี้จริงๆ เหรอ?”

เล่อเหวินพยักหน้า “จริง ๆ ผมไม่ได้โกหกคุณ”

“เอาล่ะ ไปเอาเลขคิวกัน เมื่อเด็กคนนี้ออก และความสัมพันธ์ของเราก็จะจบลง” สีหน้าของหญิงสาวไม่อายและอดกลั้นอีกต่อไป แววตามุ่งมั่นและแน่วแน่

“ไม่ ให้เด็กคนนี้อยู่ได้ไหม ผมสัญญาว่าผมจะไม่ทำไอ้เรื่องพวกนี้อีก คุณบอกว่าคุณสามารถคุกเข่าเพื่อผม หมายความว่าคุณรักผม ทำไมคุณถึงไม่ให้กำเนิดลูกล่ะ?” เสียงนั้นเบาลงเมื่อหันไปทางด้านหลัง

หญิงสาวสูดหายใจ ยืนขึ้น มองขึ้นไปเล่อเหวิน และพูดด้วยใบหน้าไร้เดียงสาและสดใส: “คุกเข่าลงและขอความช่วยเหลือ นั่นเป็นความยินดีของฉัน ถ้าเด็กคนนี้ไม่ได้เกิด ฉันก็ยินดี คุณมีความคิดเห็นอะไรไหม?”

เล่อเหวินอยู่ในภวังค์ครู่หนึ่งแล้วส่ายหัว “ผมไม่กล้าแสดงความคิดเห็นใดๆ แต่ผมมีความคิด คุณจะทุบตีผมและดุผม ตราบใดที่คุณเต็มใจที่จะเก็บเด็กคนนี้ไว้ คุณขอให้ผมทำอะไรผมก็จะทำทั้งหมดตกลงไหม

เมื่อหญิงสาวได้ยินคำพูดนั้น มุมปากของเธอก็ยกขึ้น และเธอชี้ให้เล่อเหวินก้มศีรษะลง แล้วกระซิบที่ข้างหูของเล่อเหวิน “อะไรก็ได้ใช่ไหม”

หญิงสาวมองดูใบหน้าของเล่อเหวินเปลี่ยนไปและพูดว่า

เล่อเหวินมองไปที่ผู้หญิงที่อยู่ข้างหน้าเขา สีหน้าของเธอ ใบหน้าของเธอดูอ่อนแอ แต่หัวใจของเธอแข็งแกร่งกว่าที่เขาจะจินตนาการได้

อันที่จริง ตั้งแต่ครั้งแรกที่เขาเห็นผู้หญิงคนนี้เขาก็ถูกใจเธอแล้วแต่ยิ่งเขามีความสัมพันธ์มากขึ้น เล่อเหวินก็พบว่ายิ่งมองไม่เห็นเธอก็ยิ่งคิดถึงเธอ พอนานไปเขาถึงกับกลัวเล็กน้อย เธอว่าอย่างไรก็ตามนั้น ช่วงเวลาดื้อรั้นทำให้เขาไม่เต็มใจที่จะยอมรับว่าเขาถูกผู้หญิงคนนี้ควบคุม เขาจึงเริ่มทำเป็นนอกใจเธอและแสร้งทำเป็นเกลียดเธอ

แต่เมื่อได้ยินว่าเธอคุกเข่าเพื่อเขาก็พบว่าความทุกข์ของเขาไม่มีแล้ว ขณะนั้นเองเขาก็เข้าใจ ปรากฏว่าผู้ชายไม่ได้กลัวผู้หญิงจริงๆ แต่เพราะรู้สึกสะเทือนใจ ความจริงใจ กลัวการสูญเสีย ใส่ใจ จะฟังผู้หญิงคนนั้นด้วยความเต็มใจ เขาก็เข้าใจ ผู้หญิงคนนี้ไม่มีอุบายเป็นคนตรงไปตรงมา แต่ภายนอกอ่อนโยน ข้างในแข็งแรง สามารถงอและยืดตัวได้ .

เล่อเหวินสูดหายใจเข้าและพยักหน้าอย่างหนัก “ใช่”

หญิงสาวเขย่งเท้าขึ้นและจูบที่แก้มของเล่อเหวิน”ถ้าอย่างนั้นโทรหาพี่สาวคุณ”

 

ในเวลาเดียวกัน ประตูดังเอี๊ยด และถูกเปิดออก

ซูหย่าและเล่อจยารู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยกับคนที่เข้ามา

“เกาไห่?”

ซูหย่ากล่าวว่า “คุณรู้เรื่องนี้ได้อย่างไร” ขณะที่เธอพูด เธอดึงเล่อจยาและขยิบตาให้เธอ

เล่อจยาหันกลับมาทันที และเมื่อเธอหันศีรษะ รอยยิ้มบนใบหน้าของเธอก็หายไป

เกาไห่ถือช่อดอกไม้อยู่ในมือ และเมื่อเขาเห็นซูหย่า เขาก็เม้มปาก “อย่าเศร้าเกินไปนะอายุคุณยังน้อยยังสามารถมีลูกได้”

ฉันต้องบอกว่าเกาไห่มีความรอบรู้ในห้างสรรพสินค้า แต่ความฉลาดทางอารมณ์ของเขาไม่สูงนักเมื่อพูดถึงการมีปฏิสัมพันธ์กับผู้คน

เล่อจยาสูดลมหายใจ ก้าวไปข้างหน้า หยิบช่อดอกไม้จากมือของเขา และวางลงบนเก้าอี้ข้างๆเขา แต่ไม่ได้มองเกาไห่อีกต่อไป

ซูหย่าเห็นทั้งสองคนทำเช่นนี้ หรี่ตา “เกาไห่ คุณอยู่ที่นี่ คุณขับรถมาหรือเปล่า”

เกาไห่พยักหน้า “ใช่ รถจอดอยู่ข้างล่าง”

“ถ้าอย่างนั้น ฉันกำลังจะออกจากโรงพยาบาล คุณช่วยไปส่งพวกเราหน่อย”

เล่อจยาตกตะลึงและขมวดคิ้ว เธอเข้าใจเจตนาของซูหย่าดี แล้วก็บีบไปที่เอวของเธอซูหย่ากลอกตามาที่เธอ

เนื่องจากสถานะพิเศษของซูหย่าเธอจึงไม่ต้องผ่านขั้นตอนใดๆในโรงพยาบาล เธอเพียงแค่เก็บของและออกมา

เล่อจยาเปิดประตูให้ซูหย่าเธอกำลังจะนั่ง แต่จู่ๆ เธอก็เห็นว่ามีรถวิ่งมาอย่างเร็วและไม่ใช้เบรกเลยกำลังตรงมาที่รถของพวกเขา

ในเวลานี้ เล่อจยากำลังจะขึ้นรถและมันก็สายเกินไป

เมื่อเห็นว่ากำลังจะชน ชายคนนั้นก็กระแทกพวงมาลัย จากนั้นรถก็ขับไปทางเล่อจยา

ความเร็วนั้นมันเร็วมากจนเล่อจยาไม่มีเวลาตอบสนอง

ขณะที่เธอหลับตาและกำลังถูกชน ทันใดนั้นร่างกายของเธอก็ได้รับการปกป้องจากคนที่ล้มลง หน้าอกของเธอชิดกับร่างของเกาไห่ และคนที่อยู่ข้างหลังเธอกำลังปกป้องเธอ

เธอได้กลิ่นตัวที่คุ้นเคย และร่างกายของเธอก็แข็งทื่อเล็กน้อย

“อืม…” มีเสียงอู้อี้ในหูของเธอ แต่ชายคนนั้นยังไม่ขยับ กางแขนเหยียดออก และเธอถูกตรึงไว้อย่างแน่นหนากับรถ

พื้นที่นี้ปลอดภัยมาก

จนกระทั่งรถแล่นไปที่แปลงดอกไม้ริมถนน วิ่งข้ามแปลงดอกไม้ไปชนกับผนังลานด้านนอกของโรงพยาบาล และได้ยินเสียง “ปัง”

คนข้างหลังเขาตะโกนว่า “หยุด หยุด”

แล้วมีคนตะโกนว่า “เลือด…เลือด…”

ในขณะนี้ เล่อจยาก็ได้คิดถึงฉากการตายของพ่อของเขา

เธอกลืนน้ำลายอย่างสิ้นหวัง ในขณะนี้ ผู้ที่อยู่ข้างหลังเธอรู้สึกว่าร่างกายกำลังเคลื่อนตัวออกห่างจากเธอ

เธอหันศีรษะช้าๆ ใบหน้าของเธอซีดหลังจากตกใจ

อย่างไรก็ตาม เมื่อเธอเห็นเกาไห่นอนอยู่บนพื้น เธอเอามือปิดปาก มือของเธอสั่น และความรู้สึกหนาวแผ่ไปที่แขนขาของเธอในทันที

“เกาไห่…” เธอคุกเข่าลงข้างเขา มองดูหลังของเขาเต็มไปด้วยเลือด

เล่อจยายื่นมือขึ้นไปในอากาศ แต่เธอไม่สามารถวางมันลงได้เป็นเวลานาน มีเลือดอยู่ทุกหนทุกแห่ง เธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะวางมือไว้ที่ใดเพื่อที่จะได้ไม่ทำร้ายเขา

“เกาไห่…” เธอเรียกชื่อชายตรงหน้าอีกครั้ง

ในเวลานี้ มีคนข้างๆ พูดว่า “ประตูรถนั้นดูเสียหายเป็นอย่างมาก และประตูรถที่แหลมคมถูกเสียบจากด้านหลังชายคนนั้น ถ้าลึกเข้าไปก็ผ่าครึ่งเขาได้”

“ใช่ ฉันก็เห็นมันด้วย เขาเป็นลูกผู้ชายตัวจริง เขาปกป้องผู้หญิงคนนั้นและยังไม่เคลื่อนไหวเลย”

…  เธอกัดริมฝีปากและใช้ความพยายามอย่างมากเพื่อไม่ให้ตัวเองเป็นลม

เธอเป็นลมไม่ได้ เธออยากเห็นเกาไห่ไม่เป็นไร เธอจะเป็นลมไม่ได้…

“เกาไห่…” เธอร้องไห้หนักกว่าเดิม

ชายที่ไม่ตอบสนองครู่หนึ่งกะพริบตา เล่อจยาเห็นริมฝีปากของเขาขยับและดีใจมาก เธอคลานไปบนพื้น เธอได้ยินเกาไห่พูดกับเธอว่า: “ภรรยา ผมผิดไปแล้ว”

น้ำตาของเล่อจยาไหลมาเป็นทาง และเธอก็ส่ายหัวจนขาดสติ แต่เธอไม่สามารถพูดอะไรได้ ในตอนนี้ ความเข้าใจผิดและความไม่ไว้วางใจเหล่านั้นดูเหมือนจะไม่มีนัยสำคัญ เธอแค่อยากให้เขามีชีวิตอยู่

“ภรรยา ผมรักคุณจริงๆ ผมผิด…” เสียงของเขาเบาลงจนหายไป

หัวใจของเล่อจยาก็ดูเหมือนจะหยุดลง ริมฝีปากของเธอซีดจนไม่เห็นเลือด และดวงตาของเธอก็หมองลง

ในเวลานี้ มีมือพยุงไหล่ของเธอจากด้านหลัง “จยาจยา เขายังไม่ตาย เขาแค่สลบไป” เป็นเสียงของซูหย่า

เลอจยาหันศีรษะช้าๆ มองไปที่ซูหย่า และพยักหน้าอย่างแรง “ใช่ เขายังตายไม่ได้” เธอยังไม่ได้สั่งสอนเขาดีๆ และเธอก็ยังไม่ได้ให้อภัยเขา เขาถึงตายตอนนี้ไม่ได้

นอกห้องผ่าตัด

เลอจยาเอนพิงประตู ริมฝีปากของเธอยังคงซีดเซียว และสีหน้าเธอดูไม่ดี

ในเวลานี้ หนิงเส่าเฉินรีบวิ่งเข้ามา

“เย่หลินกำลังตั้งครรภ์และลมหายใจของทารกในครรภ์ไม่คงที่ ฉันไม่กล้าบอกเธอ” หนิงเส่าเฉินกล่าวกับซูหย่า เพราะตอนนี้เล่อจยาไม่ได้อยู่ในสภาพที่คุยได้

ทุกคนรอเป็นเวลานาน

เมื่อประตูห้องผ่าตัดเปิดออก เล่อจยาเกือบจะรีบวิ่งเข้ามา “หมอ เขา… เขาเป็นยังไงบ้าง?”

หมอถอดหน้ากากแล้วส่ายหัว

ก่อนที่หมอจะพูดต่อจนจบ ผู้หญิงตรงหน้าเหมือนขาของเธออ่อนแรงและเป็นลมไป

เมื่อเล่อจยาตื่นขึ้นอีกครั้ง

อยู่ในห้องผู้ป่วย

เธอมองไปรอบๆ จู่ๆ ก็นึกอะไรบางอย่างได้ แล้วกระโดดลงจากเตียง

พุ่งออกไปโดยตรง

เขาจับนางพยาบาลในชุดขาวแล้วถามว่า “เกาไห่อยู่ที่ไหน เกาไห่เป็นอย่างไรบ้าง”

ในเวลานี้ มีคนดึงเธอจากด้านหลัง

เลอจยาหันกลับมาและเห็นว่าเป็นซูหย่า หายใจเข้าลึกๆแล้วถาม “เสี่ยวหย่า เกาไห่อยู่ที่ไหน”

ซูหย่าและซูจิงหยางคนที่พร้อมกัน เขาเหลือบมองเล่อจยาดวงตาของเธอมืดลงเล็กน้อย

“เขาตายแล้ว” ซูจิงหยางพูดด้วยน้ำเสียงที่สงบ

ซูหย่ากังวล “พี่รอง”

เมื่อเห็นปฏิกิริยาของเล่อจยาเธอรีบพูดต่อ: “เล่อจยา ไม่ต้องกังวล”

เล่อจยามองไปที่ ซูจิงหยางจากนั้นมองไปที่ ซูหย่าและส่ายหัว “เธอโกหกเธอต้องโกหกฉันแน่”

หันกลับมา เธอรีบไปที่โต๊ะพยาบาลและดึงพยาบาลอีกคน “เกาไห่อยู่ที่ไหน คุณรู้หรือไม่ว่าเกาไห่อยู่ที่ไหน”

ซูหย่ายกเท้าขึ้นและกระทืบเท้าของซูจิงหยาง “พี่รอง พี่กลัวว่าโลกจะไม่วุ่นวายไม่พอใช่ไหม”

หลังจากพูดจบ ก็ก้าวไปข้างหน้าและดึงเล่อจยา “จยาจยา ฉันจะพาเธอไปหาเกาไห่ ไม่ต้องกังวล”

เล่อจยาตกใจและพยักหน้าอย่างเร่งรีบ “โอเค…ฉันไม่รีบ ฉันไม่รีบ”

ตอนพูดพวกเธอก็ชนคนถึงสองคน

ซูหย่ามองดูเธอและรู้สึกมีอารมณ์ชั่วขณะหนึ่ง ไม่ว่าจะมีความบาดหมางกันมากแค่ไหนในชีวิต บางทีมันไม่คุ้มกับคำว่าชีวิตและความตาย

เมื่อเผชิญกับความตาย ความไว้เนื้อเชื่อใจและความเข้าใจที่ไม่สำคัญเหล่านั้นดูเหมือนจะไม่มีนัยสำคัญ

หลายคนเดินวนไปมาตามทางเดินยาว

“จยาจยา เธอต้องเตรียมทำใจนะ” ในที่สุดซูหยาก็หยุดอยู่หน้าห้องผู้ป่วย เธอพูดสิ่งนี้กับเล่อจยา

เมื่อเล่อจยาได้ยินแบบนั้น เธอก็ตื่นตกใจทันที

เธอหยิบโทรศัพท์ที่วางอยู่บนหัวเตียงอย่างมือสั่น ” ฉัน……ฉันจะโทรขอความช่วยเหลือจากเบอร์120 เสี่ยวหย่า เธอ……เธอใจเย็นๆนะ ” นี่เป็นประสบการณ์ครั้งแรกที่เจอเรื่องแบบนี้กับตัวเอง เล่อจยาพยายามอย่างมากเพื่อควบคุมมือตัวเองให้ไม่สั่น

ซูหย่าหลับตาเอาไว้ เธอสูดหายใจเข้าลึกๆ และพูดขึ้นอย่างไร้เรี่ยวแรง “จยา โทรหา……เซียวอู๋”

เล่อจยาชะงักไปเล็กน้อย เธอคิดว่าซูหย่าในตอนนี้คงอยากให้เซียวอู๋มาอยู่ข้างๆเธอ ดังนั้นเล่อจยาจึงรีบค้นหาเบอร์โทรศัพท์ของเซียวอู๋ และกดโทรออก สักพักปลายสายก็กดรับสาย

” ฮัลโหล……” น้ำเสียงเสียงดังฟังชัดมากไม่เหมือนกับคนที่พึ่งตื่นนอนเลย เล่อจยาอึ้งไปชั่วครู่ เธอตกใจว่าทำไมเซียวอู๋ถึงไม่หลับไม่นอนกันนะ?

” เซียวอู๋ คุณรีบมาเร็ว เสี่ยวหย่าเธอบอกว่าปวดท้องมาก ” หลังจากนั้นก็แจ้งที่อยู่ให้กับเขา

เล่อจยาได้ยินเสียงถอนหายใจของเซียวอู๋ดังขึ้นอย่างชัดเจน ” ได้ ให้เธอรอฉันก่อนนะ ” เธอไม่รู้ว่าเธอรู้สึกผิดไปหรือเปล่า เล่อจยารู้สึกว่าในตอนที่เซียวอู๋พูดแบบนั้นเหมือนเขากำลังพึงพอใจอย่างมาก

ในตอนที่เซียวอู๋มาถึง มันก็ได้ผ่านไปสี่สิบนาทีแล้ว

บริเวณต้นขาของซูหย่ามีเลือดไหลออกมาเต็มไปหมด พอเล่อจยาจะโทร ขอความช่วยเหลือจากเบอร์120 ซูหย่าก็ไม่ยอม

” นี่บ้านคุณอยู่แถวไหนกันเนี่ย ทำไมถึงมาป่านนี้? “เล่อจยาพูดพร้อมกับกลืนน้ำลาย “ เสี่ยวหย่ามีเลือดออก ฮือฮือ……”

เซียวอู๋รีบขึ้นไปที่ห้องนอนโดยไม่มีเวลาแม้แต่จะถอดรองเท้า ผ้าปูที่นอนสีครีมในตอนนี้เต็มไปด้วยสีแดงของเลือด ผมเธอยุ่งเหยิงพันกันและอดบังใบหน้าเธอไว้ครึ่งหน้า ผมเธอเปียกโชกไปด้วยเหงื่อ ทำให้มองไม่เห็นการแสดงออกทางสีหน้าของเธอ

” เสี่ยวหย่า เซียวอู๋มาแล้วนะ เราไปโรงพยาบาลกันเถอะ ” เล่อจยาเช็ดน้ำตา และเดินเข้าไปพยุงซูหย่า แต่ซูหย่ากลับผลักเธอออก ” จยาจยา เธอออกไปก่อน ฉัน……มีเรื่องอยากจะ……คุยกับเซียวอู๋ ”

เล่อจยาจมวดคิ้ว เธอรู้สึกเป็นกังวลมาก ” มาถึงขนาดนี้แล้ว ในสถานการณ์แบบนี้ยังจะคุยอะไรกันอีก ถ้าเธอจะยื้อเวลาออกไปแบบนี้เรื่อยๆ จะเป็นอันตรายต่อเด็กในท้องนะ เราไปโรงพยาบาลกันก่อนได้ไหม?ขอร้องล่ะ…… ” จากนั้นสายตาของเล่อจยาก็จ้องมองไปที่เลือดที่กำลังไหลลงบนต้นขาเธออย่างไม่หยุด เธอร้องไห้ออกมาเสียงดัง “ เซียวอู๋ คุณยืนนิ่งอยู่ทำไม รีบไปอุ้มซูหย่าไปโรงพยาบาลสิ “

แต่ สิ่งที่ไม่คาดคิดก็คือ เซียวอู๋กลับยืนนิ่งอยู่ที่เดิม ไม่ขยับเขยื้อน เขาเม้มปากและพูดขึ้นว่า ” เล่อจยา เธอออกไปก่อน ”

เล่อจยาถึงกับงง ไม่เข้าใจเลยว่าเกิดอะไรขึ้นกับสองคนนี้กันแน่? ในสถานการณ์แบบนี้การช่วยชีวิตเด็กในท้องต้องมาเป็นอันดับแรกไม่ใช่เหรอ? จะคุยอะไรกันทำไมไม่เก็บเอาไว้คุยกันในภายหลัง

แต่น้ำเสียงของทั้งสองคนน่าสงสัยจริงๆ เล่อจยาขมวดคิ้ว จากนั้นก็ดึงผ้าห่มมาคลุมตัวซูหย่าไว้ และเธอก็หันหลังเดินออกจากห้องไป

ทันทีที่ประตูถูกปิดลง ซูหย่าก็หลับตาลงและลืมตาขึ้นอีกครั้ง จากนั้นเธอก็มองหน้าผู้ชายที่กำลังทำหน้านิ่งเฉยและเย็นชาคนนั้น เธอยิ้มมุมปาก เป็นไปอย่างที่เธอคาดไว้ไม่มีผิด

” เซียวอู๋ คุณมันร้ายความปรานี!”

เซียวอู๋เดินเข้าไปหาเธอ เขาหยุดลงข้างเตียงเธอ โน้มตัวเข้าไปใกล้เธอเล็กน้อย ” ไร้ความปรานีงั้นเหรอ? คุณซูเองก็ใช่ย่อยนะ สามารถทำลายชีวิตของคนคนหนึ่งในชั่วพริบตา ที่ฉันทำมันก็แค่ตัดก้อนเนื้อทิ้งไปก้อนเดียวก็แค่นั้นเอง ”

หลังจากเขาพูดจบ ซูหย่าก็ปัดผ้าห่มที่คลุมอยู่ออกและมองหน้าเขา “ใช้ได้เลยทีเดียว ผลลัพธ์ไม่ได้โอ้อวดเกินจริง “  คิดไม่ถึงเลยว่าเขาจะกล้ายอมรับออกมาอย่างเปิดเผยแบบนี้ อีกทั้งยังทำท่าทีราวกับพอใจมากด้วย เธอรู้สึกโกรธมาก สักพักเธอก็รู้สึกได้ถึงกลิ่นคาวในปาก จากนั้นก็มีของเหลวบางอย่างพุ่งออกมาจากปากเธอ

” นายคิดว่านายทำแบบนี้แล้วฉันจะยอมปล่อยนายไปงั้นเหรอ ฉันจะบอกให้นะ ฉันจะทำลายชีวิตของนายให้ย่อยยับเป็นแน่” ซูหย่าใช้แรงทั้งหมดที่มีอยู่ในตอนนั้นในการพูดประโยคนี้

สายตาของเซียวอู๋จ้องไปที่หน้าของซูหย่า เขาใช้นิ้วที่เรียวยาวของตัวเองปัดผมที่บดบังใบหน้าของเธอไปไว้ข้างใบหน้า จากนั้นก็ยิ้มอย่างได้ใจ “ งั้นเราก็มารอดูกัน”

พอพูดจบ เขาก็เดินเข้าไป และกระชากผ้าห่มออก จากนั้นก็อุ้มซูหย่าขึ้น

” คุณหมอคะ เมื่อวานลูกสาวฉันยังกินข้าวที่บ้านฉันอยู่เลย ทำไมอยู่ดีดีถึงแท้งคะ? ” แม่ซูดึงตัวคุณหมอไว้ถามและไม่มีทีท่าจะยอมปล่อย

พ่อซูยืนอยู่ข้างๆด้วยสีหน้าที่เคร่งเครียด

” คุณนายซู การอยู่รอดของตัวอ่อนในระยะนี้ก็ย่อมมีความเสี่ยงอยู่แล้ว สถานการณ์แบบนี้เป็นเรื่องปกติมากๆ คุณซูเองก็ยังสาว บำรุงดูแลร่างกายตัวเองให้ดี ถ้าในอนาคตจะท้องอีกก็คงไม่ใช่เรื่องยาก ”

เมื่อพูดจบ คุณหมอก็เอามือแม่ซูออกและเดินจากไป

เล่อจยายืนอยู่ตรงมุม เมื่อเธอได้ยินในสิ่งที่คุณหมอพูด เธอก็เอามือปิดปากและร้องไห้ออกมาอย่างเจ็บปวด ซูหย่าให้ความสำคัญกับเด็กคนนี้มาก เธอไม่อยากจะคิดเลยถ้าซูหย่ารู้เรื่องนี้เธอจะผ่านมันไปได้ยังไง?

แต่สิ่งที่ทำให้เธอไม่คาดคิดก็คือ ทันทีที่ซูหย่าฟื้นขึ้นมาเธอดูไม่ได้เป็นกังวลมากเท่าไหร่เลย เธอไม่เอ่ยถึงเด็กในท้องด้วยซ้ำ

ในตอนแรก เธอคิดว่าอาจจะเป็นเพราะคนเยอะเธอเลยพยายามข่มอารมณ์ตัวเองไว้ แต่จนถึงตอนที่ภายในห้องมีเพียงพวกเธอสองคน ซูหย่าก็ไม่ได้มีท่าทีผิดปกติใดใดเลย

ในตอนนั้นเอง พยาบาลก็เข้ามาเปลี่ยนน้ำเกลือให้เธอ และมีคุณหมอท่านหนึ่งตามเข้ามาด้วย

” ช่วงนี้ คนไข้ต้องระมัดระวังนะ อย่าให้สัมผัสน้ำเย็น และอย่ายกของหนัก ต้องดูแลและบำรุงร่างกายให้ดีอย่างน้อยครึ่งเดือน ”

เล่อจยาพยักหน้า ” ค่ะ ขอบคุณมากค่ะ ”

เธอหันไปหยิบโจ๊กที่วางอยู่บนโต๊ะขึ้นมาและเป่าเล็กน้อย ” เสี่ยวหย่า กินโจ๊กหน่อยนะ ”

ซูหย่ากลับไม่ยอมให้เล่อจยาป้อนให้ แต่เธอรับโจ๊กจากเล่อจยาไปและยกซดหมดถ้อย นั่นมันไม่ใช่การกินหมดถ้วย แต่เป็นการยกซดจนหมดถ้วยต่างหาก หลังจากที่เธอกินจนหมด เธอก็เอาถ้วยวางลงบนโต๊ะข้างๆ

เล่อจยาหยิบทิชชูมาเช็ดปากให้เธอ ” เสี่ยวหย่า เธอบอกฉันมาว่ามีเรื่องบางอย่างเกิดขึ้นใช่ไหม? ที่เธอต้องแท้งลูก เซียวอู๋มีส่วน……” คำพูดต่อจากนั้น เล่อจยาไม่กล้าพูดออกมา

แต่ ณ ตอนนั้น ปฏิกิริยาของทั้งสองคนมันมีพิรุธมากจริงๆ

ซูหย่าเงยหน้ามองเล่อจยา เธอตาแดงก่ำ แต่กลับไม่ตอบคำถามเธอ

เล่อจยากำหมัดแน่น จากนั้นก็ลุกขึ้น “ ฉันจะไปฆ่าเขาให้ได้ “

แต่แขนเธอโดนกระชากไว้ เล่อจยาจึงหันกลับไปมอง ” หรือว่าเธอยังอาลัยอาวรณ์เขาอยู่? ”

ซูหย่าส่ายหน้า ” ฆ่าเขาเธอเองก็จะติดคุก ” น้ำเสียงเธอแหบแห้งมาก ทั้งๆที่เธอก็ไม่ได้ร้องไห้มากเท่าไหร่

เล่อจยาหันไปกอดซูหย่าไว้ ” ฉันว่าแล้วเชียวว่าทำไมเมื่อวานเธอถึงต้องรอให้เซียวอู๋มาถึงก่อน ฉันก็ว่าทำไมเขาถึงได้มาช้าขนาดนั้น เสี่ยวหย่าเธอบ้าไปแล้วหรือเปล่า ทั้งๆที่เธอก็รู้ว่าเขา……แล้วทำไมเธอถึงไม่ยอมให้ฉันโทรขอความช่วยเหลือจาก 120ล่ะ? หรือว่า……”

” เด็กคนหนึ่งที่ถูกผู้เป็นพ่อวางแผนฆ่า ถ้าคลอดเขาออกมาเธอคิดว่าเขาจะมีความสุขงั้นเหรอ? ”

เล่อจยาสูดจมูก ดวงตาเธอแดงก่ำ ” ไอ้สัตว์เดรัจฉาน ”

เธอคิดเพียงว่าเซียวอู๋ไม่ชอบซูหย่า แต่เขาเองก็ต้องยอมจำนน เธอยังคิดอีกว่าหลังจากที่ทั้งคู่แต่งงานกันไปแล้ว หวังว่าพวกเขาจะอยู่กันไปอย่างยาวนาน แต่ไม่คิดเลยว่า เขาจะโหดเหี้ยมได้มากขนาดนี้ แม้แต่ลูกตัวเองก็ลงมือกระทำได้

” นั่นเป็นลูกของเขานะ ทำไมถึงลงมือทำแบบนั้นได้? ”

” สำหรับเขาแล้ว นั่นเป็นแค่ก้อนเนื้อก้อนเดียวเท่านั้น ” ในขณะที่ซูหย่าพูด เธอก็ยิ้ม

เล่อจยามองหน้าซูหย่า ” แล้วทำไมเธอไม่บอกแม่บุญธรรมล่ะ หากพวกเขารู้ พวกเขาไม่มีทางให้อภัยเขาแน่ๆ เธอ……”

” เพราะว่า ฉันยังจะต้องแต่งงานกับเขาไง! ” ซูหย่าพูดออกมาอย่างสบายๆ

แต่สีหน้าเล่อจยากลับเปลี่ยนไป เธอเอามือจับไปที่ไหล่ทั้งสองข้างของซูหย่า ” เสี่ยวหย่า เธอบ้าไปแล้วใช่ไหม? ”

เกาไห่จ้องดูหน้าจอโทรศัพท์โดยไม่ได้พูดอะไร

ตั้งแต่ที่เล่อจยาออกจากบริษัทไปเขาก็ไม่กล้ากดดันเธอมากนัก พอคิดๆดูครั้งล่าสุดที่เจอเธอก็ผ่านมาเกือบครึ่งเดือนแล้ว

เขาลุกขึ้นพร้อมกับตบไหล่เสี่ยวตง ” สิ้นเดือนนี้โบนัสจะเพิ่มเป็นสองเท่านะ ”

ในตอนเย็น ณ ฟิตเนสไฮเอนด์ที่หนึ่ง

เล่อจยาใส่สปอร์ทบราและกางเกงออกกำลังกายสีเทา เธอมัดผมทรงหางม้าผูกสูง ดูรวมๆแล้วทั้งสดใสและมีชีวิตชีวา ที่สำคัญที่สุดคือเธอยังคงสวยเหมือนเดิม

พึ่งจะมาถึงห้องกำลังกาย ก็มีสายตาของผู้คนหลายคู่จับจ้องมาที่เธอ

” จยาจยา……” ทันใดนั้น เสียงของผู้ชายคนหนึ่งก็ดังขึ้นจากด้านหลังของเธอ

เล่อจยาหันไปดู เธอหรี่ตาลงเล็กน้อย ” พี่ชายรองงั้นเหรอ? เธอเม้มปากเล็กน้อย พี่ชายรองใส่เสื้อบางๆ และกางเกงสบายๆ ดูแล้วมันสะดุดตามาก แต่เมื่อนึกถึงคำพูดพวกนั้นของซูหย่า เล่อจยาก็รู้สึกกังวลเล็กน้อย แม้ว่าคุณสมบัติของพี่ชายรองจะดีมาก แต่ เธอก็ไม่อยากเป็นตัวแทนของใคร

” พอดีผ่านมาแถวนี้ แล้วเห็นเธอเข้ามาในนี้พอดี เลยเข้ามาดูสักหน่อยน่ะ ” พี่ชายรองพูดพร้อมกับเดินมายืนตรงข้ามลู่วิ่งของเล่อจยา

ในตอนนั้นเอง โค้ชส่วนตัวของเล่อจยาก็เดินเข้ามา ” จยาจยา วันนี้มาสายนะ! ”

เขาพูดพร้อมกับโยนผ้าเช็ดหน้าให้เธอหนึ่งผืน ” เตรียมตัวสักครู่ เดี๋ยวเรามาเริ่มกัน ”

เล่อจยาพยักหน้า หลังจากนั้นเธอก็นอนลง เธอยกร่างกายส่วนบนและแขนขึ้นพร้อมๆกัน สะบัดแขนและขาสลับกัน ราวกับว่ากำลังว่ายน้ำ

อาจจะเป็นเพราะเธอเคยฝึกเทควันโดมาก่อน พอครั้งแรกที่เธอฝึกพิลาทิส โค้ชถึงกับตกใจและพูดชมเธอไม่หยุดเลย

ทันใดนั้น ก็มีรองเท้าออกกำลังกายคู่หนึ่งปรากฏขึ้นตรงหน้าเธอ เล่อจยาเงยหน้าขึ้นมอง

เมื่อเห็นคนที่เดินเข้ามา เธอก็ถึงกับมือไม้อ่อน และล้มลงกับพื้น

เมื่อพี่ชายรองเห็นเข้า เขาก็รีบพุ่งตัวเข้ามาทันที

หลังจากนั้น ทั้งแขนซ้ายและแขนขวาของเล่อจยามีมือคู่หนึ่งพยุงอยู่

ส่วนโค้ชที่วิ่งตามมาทีหลังได้แต่เอามือขยี้จมูกและเดินถอยไปข้างหลัง

” จยาจยา ไม่เป็นไรใช่ไหม? ” พี่ชายรองถามขึ้นก่อน

เล่อจยาส่ายหน้า และยิ้มให้เขา ” ไม่เป็นไรค่ะ ”

เพราะการกระทำของทั้งสองคน เกาไห่ถึงกับออกแรงบีบรัดที่แขนของเธอแรงขึ้น

” โอ๊ย คุณกำลังทำฉันเจ็บอยู่นะ ” เล่อจยาพูดขึ้นเสียงเบา

เมื่อพี่ชายรองได้ยินแบบนั้น ก็รีบปัดแขนเกาไห่ออกทันที ” คุณเป็นใคร? มาแตะเนื้อต้องตัวเธอแบบนี้ได้ไง ” พอพูดจบ เขาก็โน้มตัวลงเป่าตรงบริเวณแขนที่เจ็บและแดงของเล่อจยา

” แล้วคุณล่ะเป็นใคร? ” เก่าไห่พูดขึ้น สายตาเขาน่ากลัวมากและน้ำเสียงเขาก็เย็นชามาก

เล่อจยาจับเครื่องออกกำลังกายข้างๆเพื่อพยุงตัวเองให้ลุกขึ้น เธอหันหลังไปบอกกับโค้ชว่า ” เพื่ออ่านเนื้อหาใหม่ล่าสุดทุกคน! ”

เมื่อเกาไห่เห็นว่าเธอกำลังจะเดินออกไป เขาก็กำลังจะรีบตามเธอไป แต่พี่ชายรองกลับมาขวางเขาไว้ข้างหน้า

เล่อจยาไม่ได้หันกลับมามอง ตั้งแต่ต้นจนจบเธอไม่ชายตามองเกาไห่เลยแม้แต่แวบเดียว เธอหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมา แล้วหันหลังเดินออกไปเลย

” จยาจยา อยู่คุยกันก่อนนะ ” เสียงของชายหนุ่มที่คุ้นเคยดังขึ้นจากด้านหลังเธอ

เล่อจยาคิดอยู่สักพัก จากนั้น เธอก็หันหลังกลับไป แต่สายตาเธอมองผ่านเกาไห่ไป และมองไปที่พี่ชายรอง  ไม่เจอกันแค่ไม่กี่วัน ผู้หญิงคนนี้เปลี่ยนไปจนแทบจำไม่ได้เลย

การเปลี่ยนไปของรูปลักษณ์ภายนอกไม่ได้ทำให้เขาตกใจมากนะ แต่เขาสัมผัสได้ว่าเล่อจยาในตอนนี้ไม่เหมือนกับเมื่อก่อนเลยแม้แต่น้อย

กำมือทั้งสองข้างแน่น

“จิ้งหยาง คุณช่วยส่งฉันกลับหน่อยได้ไหม? ” ซูจิ้งหยาง เป็นชื่อของพี่ชายรอง

เมื่อได้ยินเล่อจยาเรียกชื่อตัวเอง ซูจิ้งหยางก็ตกใจ แต่หลังจากนั้นก็ตั้งสติได้ เขาหันไปมองเกาไห่แวบหนึ่ง

” จยาจยา เราไปทานมื้อค่ำกันก่อนดีไหม? ” เสียงของซูจิ้งหยางนั้นไม่เบาเลยทีเดียว คนที่อยู่ห่างเป็นเมตรก็ได้ยิน

แน่นอนว่าเกาไห่เองก็ได้ยิน

ทันทีที่เขาร้อนใจ เขาก็เดินเข้ามาจับแขนเล่อจยาไว้ ” ที่รัก…….”

สองคำนี้ทำให้เล่อจยาและซูจิ้งหยางหันกลับมาจ้องหน้าเขาพร้อมกัน

” คุณเกาคะ อย่าเรียกมั่วๆแบบนี้นะคะ ” สีหน้าเธอไร้ความรู้สึกและน้ำเสียงเย็นชามาก

สายตาของเขามองไปที่มือของซูจิ้งหยาง ” ปล่อยมือ ”

” จยาจยา อดีตสามีเธองั้นเหรอ? ” ซูจิ้งหยางพูดขึ้นพร้อมกับมองเกาไห่ตั้งแต่หัวจรดเท้า

ไม่ว่าจะเป็นรูปร่าง หน้าตา และเสน่ห์ แทบไม่ต่างกันเลย

” คุณผู้ชายท่านนี้ อย่าพูดอะไรมั่วๆนะครับ พวกเราเป็นสามีภรรยากันอย่างถูกต้องตามกฎหมาย อดีตสามีอะไรกัน? ”

เล่อจยาตกใจมาก เธอพูดขึ้นว่า ” คุณยังไม่ได้จัดการเรื่องการหย่างั้นหรอ? ”

เกาไห่เดินเข้าไปจับแขนเธอไว้ ” ที่รัก เราดีกันนะ ไม่ทะเลาะกันแล้วได้ไหม? คุณคิดว่าผมมีข้อเสียตรงไหน ผมจะแก้ไข ดีไหมครับ? ”

เกาไห่ในลักษณะนี้ทำให้เล่อจยามองตาค้าง เธอขมวดคิ้ว ” ถ้าอย่างนั้นคงต้องรอเจอกันที่ศาลแล้วล่ะ ”

พอพูดจบเธอก็ปัดมือเกาไห่ออก และเดินตรงเข้าไปที่ห้องเปลี่ยนเสื้อสำหรับสุภาพสตรี

แต่ว่าเล่อจยายังไม่ทันจะเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จ ก็มีคนวิ่งเข้ามา ” คุณผู้หญิงคะ คุณรีบไปดูเร็ว ผู้ชายข้างนอกสองคนนั้นพวกเขาต่อยกันแล้ว ”

เล่อจยายังคงเปลี่ยนเสื้อผ้าต่ออย่างนิ่งเฉย เธอยกยิ้มมุมปากเล็กน้อย

หลังจากที่เดินออกมา ก็เห็นสีสันที่แตกต่างไปบนใบหน้าของผู้ชายทั้งสองคน เล่อจยากอดอกมองพวกเขาอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็หันหลังเดินไปที่ประตูทางออก

เมื่อเกาไห่เห็นว่าเล่อจยาหันหลังเดินออกไปแบบนั้น เขาก็ไม่มีเวลาสนใจซูจิ้งหยางอีก เขารีบลุกไปหยิบเสื้อสูทของเขาและตามเธอไปทันที

ลมปลายฤดูใบไม้ร่วงพัดผ่านมา อากาศเริ่มหนาวแล้ว เล่อจยาสูดหายใจเข้าลึกๆ เธอโบกมือเรียกรถ จากนั้นแท็กซี่คันหนึ่งก็จอดลงตรงหน้าเธอ

เมื่อกลับไปถึง ก็เห็นซูหย่านั่งดูทีวีอยู่ที่โซฟา ตรงหน้าเธอมีถ้วยเปล่าวางอยู่หนึ่งใบ ดูแล้วอารมณ์ดีเชียว

” จยา เมื่อกี้เซียวอู๋ส่งสมุนไพรมา ฉันเก็บไว้ให้เธอด้วยหนึ่งชุด รีบกินเร็ว ”

เล่อจยาส่ายหน้า ” ดึกแล้วฉันไม่กิน แช่ไว้ในตู้เย็นก่อน พรุ่งนี้เช้าฉันค่อยตื่นมากิน ”

ซูหย่าชูนิ้วโป้งให้เธอ จากนั้นก็คิดขึ้นได้ เธอนั่งยืดตัวตรง ” ทำไมวันนี้ถึงกลับมาไวจัง? ”

เล่อจยาเปลี่ยนรองเท้า พอเธอล้างมือเสร็จก็ไปนั่งลงข้างๆซูหย่า เธอกอดแขนเขาไว้ และพิงไปที่ไหล่เธอ จากนั้นก็เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อสักครู่ให้ซูหย่าฟัง

” พี่ชายรองของฉันก็ไปงั้นหรอ? เหอะๆ นิสัยเขาไม่เปลี่ยนไปเลย เฉียบขาดจริงๆ! ”

เล่อจยาสะกิดแขนเธอ ” เธอช่วยบอกกับพี่ชายรองของเธอหน่อยได้ไหม บอกว่าฉันยังรักเกาไห่อยู่ อย่าเสียเวลากับฉันเลย ”

ซูหย่าหันไปมองเธอ ” เธอรู้ไหม? ตอนนั้น ตอนที่เขาต้องการจะไว้ผมยาว พ่อฉันจับเขาขังไว้ในห้องมืดๆคนเดียวเพื่อบีบบังคับให้เขาตัดผม แต่ เขายอมให้หัวหลุดออกจากหัว แต่จะไม่ยอมตัดผมเด็ดขาด ”

” เธอคิดว่านิสัยแบบนั้นของเขา คนอย่างฉันจะห้ามปรามเขาได้งั้นเหรอ? อีกอย่างอีกไม่กี่วันพี่ชายรองก็ไปต่างจังหวัดแล้ว ช่วงนี้ เธอก็พยายามอย่าออกจากบ้านก็พอแล้ว แล้วเรื่องเกาไห่ เธอจะฟ้องหย่าเขาจริงๆงั้นเหรอ? ”

เล่อจยาก้มหน้าลง เธอเงียบ ผ่านไปสักพักเธอก็พูดขึ้นว่า ” ค่อยว่ากันอีกที! ”

ในเช้าวันถัดมา ซูหย่าปลุกเล่อจยาให้ตื่น

ทันทีที่ลืมตา เล่อจยาก็เห็นซูหย่าหดตัวกลมเป็นลูกบอล ความง่วงนอนของเธอหายไปในชั่วพริบตา เธอลุกขึ้นนั่งตัวตรง ” เสี่ยวหย่า เธอเป็นอะไร? ”

ซูหย่าเอามือจับที่หน้าท้องส่วนล่างของตัวเอง เธอขมวดคิ้วและสีหน้าเธอนั้นเคร่งเครียดมาก ” จยาจยา ฉัน……ฉัน……ฉันปวดท้องมากเลย ”

เมื่อเล่อจยาได้ยินแบบนั้น เธอก็ตื่นตกใจทันที

เธอหยิบโทรศัพท์ที่วางอยู่บนหัวเตียงอย่างมือสั่น ” ฉัน……ฉันจะโทรขอความช่วยเหลือจากเบอร์120 เสี่ยวหย่า เธอ……เธอใจเย็นๆนะ ” นี่เป็นประสบการณ์ครั้งแรกที่เจอเรื่องแบบนี้กับตัวเอง เล่อจยาพยายามอย่างมากเพื่อควบคุมมือตัวเองให้ไม่สั่น

ซูหย่าหลับตาเอาไว้ เธอสูดหายใจเข้าลึกๆ และพูดขึ้นอย่างไร้เรี่ยวแรง “จยา โทรหา……เซียวอู๋”

เล่อจยาชะงักไปเล็กน้อย เธอคิดว่าซูหย่าในตอนนี้คงอยากให้เซียวอู๋มาอยู่ข้างๆเธอ ดังนั้นเล่อจยาจึงรีบค้นหาเบอร์โทรศัพท์ของเซียวอู๋ และกดโทรออก สักพักปลายสายก็กดรับสาย

” ฮัลโหล……” น้ำเสียงเสียงดังฟังชัดมากไม่เหมือนกับคนที่พึ่งตื่นนอนเลย เล่อจยาอึ้งไปชั่วครู่ เธอตกใจว่าทำไมเซียวอู๋ถึงไม่หลับไม่นอนกันนะ?

” เซียวอู๋ คุณรีบมาเร็ว เสี่ยวหย่าเธอบอกว่าปวดท้องมาก ” หลังจากนั้นก็แจ้งที่อยู่ให้กับเขา

เล่อจยาได้ยินเสียงถอนหายใจของเซียวอู๋ดังขึ้นอย่างชัดเจน ” ได้ ให้เธอรอฉันก่อนนะ ” เธอไม่รู้ว่าเธอรู้สึกผิดไปหรือเปล่า เล่อจยารู้สึกว่าในตอนที่เซียวอู๋พูดแบบนั้นเหมือนเขากำลังพึงพอใจอย่างมาก

ในตอนที่เซียวอู๋มาถึง มันก็ได้ผ่านไปสี่สิบนาทีแล้ว

บริเวณต้นขาของซูหย่ามีเลือดไหลออกมาเต็มไปหมด พอเล่อจยาจะโทร ขอความช่วยเหลือจากเบอร์120 ซูหย่าก็ไม่ยอม

” นี่บ้านคุณอยู่แถวไหนกันเนี่ย ทำไมถึงมาป่านนี้? “เล่อจยาพูดพร้อมกับกลืนน้ำลาย “ เสี่ยวหย่ามีเลือดออก ฮือฮือ……”

เซียวอู๋รีบขึ้นไปที่ห้องนอนโดยไม่มีเวลาแม้แต่จะถอดรองเท้า ผ้าปูที่นอนสีครีมในตอนนี้เต็มไปด้วยสีแดงของเลือด ผมเธอยุ่งเหยิงพันกันและอดบังใบหน้าเธอไว้ครึ่งหน้า ผมเธอเปียกโชกไปด้วยเหงื่อ ทำให้มองไม่เห็นการแสดงออกทางสีหน้าของเธอ

” เสี่ยวหย่า เซียวอู๋มาแล้วนะ เราไปโรงพยาบาลกันเถอะ ” เล่อจยาเช็ดน้ำตา และเดินเข้าไปพยุงซูหย่า แต่ซูหย่ากลับผลักเธอออก ” จยาจยา เธอออกไปก่อน ฉัน……มีเรื่องอยากจะ……คุยกับเซียวอู๋ ”

เล่อจยาจมวดคิ้ว เธอรู้สึกเป็นกังวลมาก ” มาถึงขนาดนี้แล้ว ในสถานการณ์แบบนี้ยังจะคุยอะไรกันอีก ถ้าเธอจะยื้อเวลาออกไปแบบนี้เรื่อยๆ จะเป็นอันตรายต่อเด็กในท้องนะ เราไปโรงพยาบาลกันก่อนได้ไหม?ขอร้องล่ะ…… ” จากนั้นสายตาของเล่อจยาก็จ้องมองไปที่เลือดที่กำลังไหลลงบนต้นขาเธออย่างไม่หยุด เธอร้องไห้ออกมาเสียงดัง “ เซียวอู๋ คุณยืนนิ่งอยู่ทำไม รีบไปอุ้มซูหย่าไปโรงพยาบาลสิ “

แต่ สิ่งที่ไม่คาดคิดก็คือ เซียวอู๋กลับยืนนิ่งอยู่ที่เดิม ไม่ขยับเขยื้อน เขาเม้มปากและพูดขึ้นว่า ” เล่อจยา เธอออกไปก่อน ”

เล่อจยาถึงกับงง ไม่เข้าใจเลยว่าเกิดอะไรขึ้นกับสองคนนี้กันแน่? ในสถานการณ์แบบนี้การช่วยชีวิตเด็กในท้องต้องมาเป็นอันดับแรกไม่ใช่เหรอ? จะคุยอะไรกันทำไมไม่เก็บเอาไว้คุยกันในภายหลัง

แต่น้ำเสียงของทั้งสองคนน่าสงสัยจริงๆ เล่อจยาขมวดคิ้ว จากนั้นก็ดึงผ้าห่มมาคลุมตัวซูหย่าไว้ และเธอก็หันหลังเดินออกจากห้องไป

ทันทีที่ประตูถูกปิดลง ซูหย่าก็หลับตาลงและลืมตาขึ้นอีกครั้ง จากนั้นเธอก็มองหน้าผู้ชายที่กำลังทำหน้านิ่งเฉยและเย็นชาคนนั้น เธอยิ้มมุมปาก เป็นไปอย่างที่เธอคาดไว้ไม่มีผิด

” เซียวอู๋ คุณมันร้ายความปรานี!”

เซียวอู๋เดินเข้าไปหาเธอ เขาหยุดลงข้างเตียงเธอ โน้มตัวเข้าไปใกล้เธอเล็กน้อย ” ไร้ความปรานีงั้นเหรอ? คุณซูเองก็ใช่ย่อยนะ สามารถทำลายชีวิตของคนคนหนึ่งในชั่วพริบตา ที่ฉันทำมันก็แค่ตัดก้อนเนื้อทิ้งไปก้อนเดียวก็แค่นั้นเอง ”

หลังจากเขาพูดจบ ซูหย่าก็ปัดผ้าห่มที่คลุมอยู่ออกและมองหน้าเขา “ใช้ได้เลยทีเดียว ผลลัพธ์ไม่ได้โอ้อวดเกินจริง “ คิดไม่ถึงเลยว่าเขาจะกล้ายอมรับออกมาอย่างเปิดเผยแบบนี้ อีกทั้งยังทำท่าทีราวกับพอใจมากด้วย เธอรู้สึกโกรธมาก สักพักเธอก็รู้สึกได้ถึงกลิ่นคาวในปาก จากนั้นก็มีของเหลวบางอย่างพุ่งออกมาจากปากเธอ

” นายคิดว่านายทำแบบนี้แล้วฉันจะยอมปล่อยนายไปงั้นเหรอ ฉันจะบอกให้นะ ฉันจะทำลายชีวิตของนายให้ย่อยยับเป็นแน่” ซูหย่าใช้แรงทั้งหมดที่มีอยู่ในตอนนั้นในการพูดประโยคนี้

สายตาของเซียวอู๋จ้องไปที่หน้าของซูหย่า เขาใช้นิ้วที่เรียวยาวของตัวเองปัดผมที่บดบังใบหน้าของเธอไปไว้ข้างใบหน้า จากนั้นก็ยิ้มอย่างได้ใจ “ งั้นเราก็มารอดูกัน”

พอพูดจบ เขาก็เดินเข้าไป และกระชากผ้าห่มออก จากนั้นก็อุ้มซูหย่าขึ้น

” คุณหมอคะ เมื่อวานลูกสาวฉันยังกินข้าวที่บ้านฉันอยู่เลย ทำไมอยู่ดีดีถึงแท้งคะ? ” แม่ซูดึงตัวคุณหมอไว้ถามและไม่มีทีท่าจะยอมปล่อย

พ่อซูยืนอยู่ข้างๆด้วยสีหน้าที่เคร่งเครียด

” คุณนายซู การอยู่รอดของตัวอ่อนในระยะนี้ก็ย่อมมีความเสี่ยงอยู่แล้ว สถานการณ์แบบนี้เป็นเรื่องปกติมากๆ คุณซูเองก็ยังสาว บำรุงดูแลร่างกายตัวเองให้ดี ถ้าในอนาคตจะท้องอีกก็คงไม่ใช่เรื่องยาก ”

เมื่อพูดจบ คุณหมอก็เอามือแม่ซูออกและเดินจากไป

เล่อจยายืนอยู่ตรงมุม เมื่อเธอได้ยินในสิ่งที่คุณหมอพูด เธอก็เอามือปิดปากและร้องไห้ออกมาอย่างเจ็บปวด ซูหย่าให้ความสำคัญกับเด็กคนนี้มาก เธอไม่อยากจะคิดเลยถ้าซูหย่ารู้เรื่องนี้เธอจะผ่านมันไปได้ยังไง?

แต่สิ่งที่ทำให้เธอไม่คาดคิดก็คือ ทันทีที่ซูหย่าฟื้นขึ้นมาเธอดูไม่ได้เป็นกังวลมากเท่าไหร่เลย เธอไม่เอ่ยถึงเด็กในท้องด้วยซ้ำ

ในตอนแรก เธอคิดว่าอาจจะเป็นเพราะคนเยอะเธอเลยพยายามข่มอารมณ์ตัวเองไว้ แต่จนถึงตอนที่ภายในห้องมีเพียงพวกเธอสองคน ซูหย่าก็ไม่ได้มีท่าทีผิดปกติใดใดเลย

ในตอนนั้นเอง พยาบาลก็เข้ามาเปลี่ยนน้ำเกลือให้เธอ และมีคุณหมอท่านหนึ่งตามเข้ามาด้วย

” ช่วงนี้ คนไข้ต้องระมัดระวังนะ อย่าให้สัมผัสน้ำเย็น และอย่ายกของหนัก ต้องดูแลและบำรุงร่างกายให้ดีอย่างน้อยครึ่งเดือน ”

เล่อจยาพยักหน้า ” ค่ะ ขอบคุณมากค่ะ ”

เธอหันไปหยิบโจ๊กที่วางอยู่บนโต๊ะขึ้นมาและเป่าเล็กน้อย ” เสี่ยวหย่า กินโจ๊กหน่อยนะ ”

ซูหย่ากลับไม่ยอมให้เล่อจยาป้อนให้ แต่เธอรับโจ๊กจากเล่อจยาไปและยกซดหมดถ้อย นั่นมันไม่ใช่การกินหมดถ้วย แต่เป็นการยกซดจนหมดถ้วยต่างหาก หลังจากที่เธอกินจนหมด เธอก็เอาถ้วยวางลงบนโต๊ะข้างๆ

เล่อจยาหยิบทิชชูมาเช็ดปากให้เธอ ” เสี่ยวหย่า เธอบอกฉันมาว่ามีเรื่องบางอย่างเกิดขึ้นใช่ไหม? ที่เธอต้องแท้งลูก เซียวอู๋มีส่วน……” คำพูดต่อจากนั้น เล่อจยาไม่กล้าพูดออกมา

แต่ ณ ตอนนั้น ปฏิกิริยาของทั้งสองคนมันมีพิรุธมากจริงๆ

ซูหย่าเงยหน้ามองเล่อจยา เธอตาแดงก่ำ แต่กลับไม่ตอบคำถามเธอ

เล่อจยากำหมัดแน่น จากนั้นก็ลุกขึ้น “ ฉันจะไปฆ่าเขาให้ได้ “

แต่แขนเธอโดนกระชากไว้ เล่อจยาจึงหันกลับไปมอง ” หรือว่าเธอยังอาลัยอาวรณ์เขาอยู่? ”

ซูหย่าส่ายหน้า ” ฆ่าเขาเธอเองก็จะติดคุก ” น้ำเสียงเธอแหบแห้งมาก ทั้งๆที่เธอก็ไม่ได้ร้องไห้มากเท่าไหร่

เล่อจยาหันไปกอดซูหย่าไว้ ” ฉันว่าแล้วเชียวว่าทำไมเมื่อวานเธอถึงต้องรอให้เซียวอู๋มาถึงก่อน ฉันก็ว่าทำไมเขาถึงได้มาช้าขนาดนั้น เสี่ยวหย่าเธอบ้าไปแล้วหรือเปล่า ทั้งๆที่เธอก็รู้ว่าเขา……แล้วทำไมเธอถึงไม่ยอมให้ฉันโทรขอความช่วยเหลือจาก 120ล่ะ? หรือว่า……”

” เด็กคนหนึ่งที่ถูกผู้เป็นพ่อวางแผนฆ่า ถ้าคลอดเขาออกมาเธอคิดว่าเขาจะมีความสุขงั้นเหรอ? ”

เล่อจยาสูดจมูก ดวงตาเธอแดงก่ำ ” ไอ้สัตว์เดรัจฉาน ”

เธอคิดเพียงว่าเซียวอู๋ไม่ชอบซูหย่า แต่เขาเองก็ต้องยอมจำนน เธอยังคิดอีกว่าหลังจากที่ทั้งคู่แต่งงานกันไปแล้ว หวังว่าพวกเขาจะอยู่กันไปอย่างยาวนาน แต่ไม่คิดเลยว่า เขาจะโหดเหี้ยมได้มากขนาดนี้ แม้แต่ลูกตัวเองก็ลงมือกระทำได้

” นั่นเป็นลูกของเขานะ ทำไมถึงลงมือทำแบบนั้นได้? ”

” สำหรับเขาแล้ว นั่นเป็นแค่ก้อนเนื้อก้อนเดียวเท่านั้น ” ในขณะที่ซูหย่าพูด เธอก็ยิ้ม

เล่อจยามองหน้าซูหย่า ” แล้วทำไมเธอไม่บอกแม่บุญธรรมล่ะ หากพวกเขารู้ พวกเขาไม่มีทางให้อภัยเขาแน่ๆ เธอ……”

” เพราะว่า ฉันยังจะต้องแต่งงานกับเขาไง! ” ซูหย่าพูดออกมาอย่างสบายๆ

แต่สีหน้าเล่อจยากลับเปลี่ยนไป เธอเอามือจับไปที่ไหล่ทั้งสองข้างของซูหย่า ” เสี่ยวหย่า เธอบ้าไปแล้วใช่ไหม? ”

ซูหย่าเป็นห่วงเธอ จึงโทรไปหาที่บ้าน บอกว่าช่วงนี้อยากอยู่เป็นเพื่อนเล่อจยา

ในตอนแรกคนตระกูลซู ก็คัดค้านการติดต่อของเธอกับเล่อจยา แต่ต่อมาในภายหลัง หลังจากที่รู้ว่าเล่อจยาช่วยชีวิตซูหย่าไว้ แม่ซูเลยยอมรับเล่อจยาเป็นลูกสาวอีกคน

หลายปีมานี้ ปฏิบัติต่อเล่อจยาดีมาก ก่อนหน้านี้ที่รู้ว่าพ่อของเธอป่วย ก็ให้ซูหย่าส่งเงินมาให้เธอ นิสัยเล่อจยาเป็นคนที่เด็ดเดี่ยว ไม่ยอมที่จะเพิ่มปัญหาให้ตระกูลซู ฉะนั้นจึงปฏิเสธไป

ตลอดคืนนี้ ทั้งสองคนก็นั่งจับเข่าคุยกัน เล่อจยาขอบคุณพระเจ้ามากกว่าหนึ่งครั้ง ถึงแม้ว่าครอบครัว ความรัก จะไม่ได้ดังใจปรารถนา แต่ทำให้เธอได้รับมิตรภาพที่หาได้ยากที่สุดบนโลกใบนี้

เธอไม่กล้าจินตนาการเลยว่าถ้าวันนี้ไม่มีซูหย่าอยู่ เธอจะเป็นอย่างไร?

ไม่ว่าเล่อจยาจะนอนดึกแค่ไหน นาฬิกาชีวิตก็จะตื่นมาตอน 7:30 เธอบิดขี้เกียจ “สามี ตื่น……” ได้แล้ว คำที่เหลือ เมื่อหันไปเห็นเป็นซูหย่ากำลังหลับใหลอยู่ ก็กลืนกลับไป

เล่อจยา คุณหย่าแล้ว

เธอพูดกับตนเองในใจ จากนั้นก็ลุกขึ้น

ดึงประตูเปิดออก ก็ได้กลิ่นโจ๊ก

ในห้องครัว มีหญิงวัยกลางคนที่กำลังยุ่งวุ่นวายอยู่ พอได้ยินเสียง หันไปเห็นเป็นเล่อจยา “คุณเล่อ คุณตื่นแล้ว อาหารกำลังจะเสร็จแล้ว คุณรอเดี๋ยวนะ”

เล่อจยามองออกว่า นี่คือคนรับใช้ในบ้านซูหย่า “คุณป้าเป่า คุณมาได้อย่างไร? ”

“คุณนายบอกว่าไปทานข้างนอกมันไม่สะอาด คุณหนูค่อนข้างเลือก ก็เลยสั่งฉันให้มาทำอาหารให้พวกคุณ” พูดจบ ก็นำไข่ดาวกับแพนเค้กวางลงบนโต๊ะ

“คุณเล่อ คุณทานก่อนเลย เดี๋ยวคุณหนูตื่นแล้ว ฉันจะทำให้เธอใหม่”

เล่อจยาพยักหน้า เวลานี้ เธออิจฉาซูหย่ามากจริงๆ ตระกูลซูมีลูกชายสองคน ลูกสาวหนึ่งคน แม่ซูพ่อซูรักใคร่เอ็นดูเธอ หาได้ยากจริงๆ อาจจะถือได้ว่ารักเขาก็จะรักคนของเขาได้ หลายปีมานี้ เธอยังได้รับการปฏิบัติอย่างดีไปด้วย

“เสี่ยวหย่ามีความสุขมากแน่ๆ มีพวกคุณรักใคร่เอ็นดูมากมายขนาดนี้” อดไม่ได้ที่จะพูดออกมาอย่างซึ้งใจ

“จุ๊ๆ แต่คุณเป็นยอดรักของคุณหนูมากหลายปีขนาดนี้ หรือว่าไม่มีความสุขเลยใช่ไหม? ”

เล่อจยาได้ยินเสียงก็หันกลับไปมอง เห็นซูหย่ายืนพิงกำแพงด้วยเท้าเปล่า ผมยาวยุ่งเหยิง ดึงเก้าอี้ออก ไปที่ประตูแล้วหยิบรองเท้าแตะมาวางบนพื้น “ใช่ ต้องมีความสุขแน่ คุณหนู รีบสวมรองเท้าก่อน นี่เป็นแม่แล้วนะ ทำไมถึงไม่รู้จักรักตัวเอง”

ซูหย่ายื่นสองมือไปกอดเล่อจยา “ทำไมคุณตื่นเช้าขนาดนี้? ตาฉันยังไม่ลืมเลย” เมื่อคืนทั้งสองคนคุยกันจนตีสามจึงหลับไป

เล่อจยาปล่อยเธอ แล้วจูงมือเธอเข้าไปที่ห้องน้ำ บีบยาสีฟันแล้วส่งให้เธอ “รีบแปรงฟัน แล้วออกมาทานอาหารเช้า”

“ฉันยังอยากนอนอีก”

“คุณทานอาหารก่อน แล้วค่อยกลับมานอน”

“อย่างนั้นคุณล่ะ? วันนี้วันเสาร์ คุณไม่ได้หยุดเหรอ? ”

เล่อจยายิ้มขึ้นมา “ลืมไปเลยหลังจากทานข้าวเสร็จ เล่อจยาก็ออกไป ชุมชนที่ซูหย่าอาศัยอยู่ถึงแม้จะเป็นแบบอพาร์ตเมนต์ แต่เนื่องจากอยู่ในทำเลที่ดีเยี่ยม สภาพแวดล้อมของชุมชนจึงดีและมีขนาดใหญ่เป็นพิเศษ เหมาะอย่างยิ่งสำหรับการวิ่ง

เล่อจยาไม่ใช่คนกลัวความลำบาก สองสามปีก่อนหน้านี้ เธอรำพันกับการลดน้ำหนักอยู่ตลอด แต่ก็ไม่เคบสำเร็จ เป็นเพราะความเสื่อมทางจิตใจของเธอเอง

บางทีเบื้องหลังของคนที่ลดน้ำหนักได้สำเร็จ ก็ล้วนมีเรื่องราว อย่างเช่นในปีนั้น เพื่อเกาไห่ เธอจึงลดน้ำหนักสำเร็จ

ดังเช่นครั้งนี้ ก็เพื่อเกาไห่

เพราะงานแต่งงานของซูหย่าคือปลายเดือน  บางครั้งก็เป็นถังขยะระบายอารมณ์ของซูหย่า

ช่วงสองสามวันแรก เพราะเกี่ยวข้องกับการออกแบบ ทุกวันที่เล่อจยาไปบริษัท เกาไห่ก็มายืนดักรอเธออยู่หน้าประตู ต่อมาจึงเชื่อฟังซูแคลอรี เธอจึงนำงานส่งมอบให้เพื่อนร่วมงานโดยตรง เงินเดือนก็ไม่ต้องการ ลาออกไปโดยตรง

ตั้งใจมาอยู่เป็นเพื่อนซูหย่า วางแผนที่จะดูแลจนงานแต่งของเธอจบสิ้น แล้วค่อยไปหางาน

“จยาจยา วันนี้พี่ชายรองของฉันกลับมา แม่ฉันให้ฉันกับคุณกลับบ้านไปทานข้าวด้วยกัน” ตอนเช้าเล่อจยาไปวิ่งกลับมา ซูหย่าส่งผ้าขนหนูผืนหนึ่งให้เธอ แล้วจึงเอ่ยปาก

ช่วงเวลานี้ ซูหย่าเห็นเล่อจยาบ้าคลั่งเล็กน้อย นอกจากตอนเช้าออกไปวิ่งแล้ว บ่ายก็ไปฟิตเนส บางครั้งก็ยังไปว่ายน้ำอีก อาหารขยะ อาหารแคลอรีสูง ไม่เข้าปากเลยสักคำ

เธอไม่ได้นับว่าอ้วนมาก การทรมานแบบนี้ ที่ทรมานทั้งจิตใจ ทรมานทั้งร่างกาย นี่เพิ่งผ่านมาไม่ถึงยี่สิบวัน ก็เห็นปลายคางแหลมออกมาอย่างชัดเจน

เล่อจยาเห็นซูหย่าจ้องมองเธอ จึงชำเลืองมองเธอแล้วพูดว่า “มองฉันแบบนี้ทำไม? ”

“อยากจะชมคุณว่า เปลี่ยนเป็นสวยแล้ว นี่คุณแต่งตัวอีกสักหน่อย คาดว่าผู้ชายจะต้องต่อแถวยาวเหยียดแน่นอน”

เล่อจยาสูดลมหายใจเข้า “เอาล่ะ คุณประจบฉันให้น้อยหน่อย ฉันจะไปอาบน้ำ เปลี่ยนเสื้อผ้า อีกสักครู่ จะไปส่งคุณกลับบ้าน”

พูดพลาง เข้าห้องน้ำไป

ซูหย่าหันกลับมายังตู้เสื้อผ้า นำชุดเดรสคอปกสีน้ำเงินกรมท่า มาถือไว้ในมือ หลังจากนั้นก็ยืนอยู่หน้าประตูห้องน้ำ ฟังว่าไม่มีเสียงน้ำแล้ว เธอจึงเคาะประตู

“ทำไมเหรอ? ”

“จยาจยา ฉันซื้อเดรสมาให้คุณชุดหนึ่ง คุณจะไม่ลองใส่ดูหน่อยเหรอ? ”

เล่อจยาที่กำลังเช็ดตัวอยู่ ก็นิ่งอึ้งไปเล็กน้อย “ฉันไม่ใช่ไม่มีเสื้อผ้าใส่ คุณจะซื้อมาให้ฉันทำไม? ไม่ใส่ เอาออกไปเลย”

มาตรฐานการใช้เงินของซูหย่า เล่อจยาเข้าใจดี เดรสชุดนั้นอย่างต่ำๆ ก็เป็นหมื่นหยวน

“จยาจยา เดรสชุดนี้ ฉันซื้อมาเมื่อหลายปีก่อน”

ประตูถูกเปิดออก เล่อจยาก็สวมผ้าเช็ดตัวออกมา “หมายความว่าอะไร? หลายปีก่อน? ”

ซูหย่ารับผ้าขนหนูในมือเธอ แล้วเช็ดหยดน้ำที่ปลายผมแทนเธอ “ก็ปีนั้น คุณลดน้ำหนักได้สำเร็จไม่ใช่เหรอ? ต่อมา คุณจะไปสารภาพรักกับเกาไห่ ฉัน…ฉันคิดว่าเพื่อให้ประสบความสำเร็จ ดังนั้น จึงซื้อเดรสชุดนี้มาให้คุณ ใครจะไปรู้ว่าต่อมาเกาไห่จะเกิดอุบัติเหตุ เดรสชุดนี้เลยไม่ได้มอบให้ไป”

เล่อจยาขมวดคิ้ว ลดสายตาลง มองชุดเดรสในมือเล่อจยาที่รอดชีวิตมา “จริงเหรอ? ”

“แน่นอน คุณลองดูป้ายยี่ห้อสิ ค่อนข้างเหลืองแล้ว ด้วยเอวห่วงยางหลายปีมานี้ของคุณ ฉันจึงไม่กล้าหยิบออกมาทำให้คุณสะเทือนใจ”

หยิบผ้าขนหนูจากในมือเธอ แล้วถือโอกาสหยิบชุดเดรสนั้นด้วย จากนั้นเล่อจยาก็ไปยังห้องน้ำ

มองเอวที่เรียวเล็กนั้น เล่อจยาจึงเข้าใจความหมายของซูหย่า เดรสชุดนี้ออกแบบแบบเอวเว้าสูง เป็นการเน้นให้เห็นช่วงเอว หากใส่ไม่ดี ก็อาจจะกลายเป็นทำให้ตัวเองดูแย่ได้

เธอสูดลมหายใจเข้า เก็บท้องน้อยเล็กน้อย จึงพอฝืนๆ ดูได้

เมื่อเดินออกมา เธอหมุนครึ่งรอบตรงหน้าซูหย่า “พอดูได้ไหม? ”

ซูหย่าพยักหน้า “ถ้าเกาไห่ได้เห็นรูปร่างของคุณตอนนี้นะ เขาจะต้องเสียดายอย่างสุดๆ ”

ได้ยินคำว่า”เกาไห่”สองคำ สีหน้าของเล่อจยาก็เศร้าลงอย่างมาก

รวมผมทั้งหมดขึ้น แล้วมัดทรงหางม้า

ขณะนี้เป็นปลายฤดูใบไม้ร่วงแล้ว ด้านนอกค่อนข้างหนาวเย็นเล็กน้อย ซูหย่าหยิบเสื้อกันลมสีเบจจากในตู้เสื้อผ้าออกมาให้เธอ “คุณเอาเสื้อนี้คลุมไปหน่อย พอถึงในบ้านแล้ว ค่อยถอดออกก็ได้”

เล่อจยามองเสื้อที่อยู่ในมือซูหย่า “ทำไมรู้สึกว่า คุณค่อนข้างจะผิดปกติ? ฉันแค่ไปส่งคุณกลับบ้านก็เท่านั้น จะใส่อลังการขนาดนี้ไปทำไม? ”

เย่หลินหรี่ตามอง แล้วบอกกับหนิงเสี่ยวซีว่า : “เสี่ยวซี คุณเข้าไปก่อน บอกกับพ่อว่า อีกสักครู่ฉันจะไป”

วันนี้ลูกของหลิวซูกับหนิงเชี่ยนอายุได้หนึ่งเดือนแล้ว

พูดจบ แล้วดึงเล่อจยาไปที่ร้านน้ำชาที่ใกล้ที่สุด

หลังจากทั้งสองคนนั่งลง เย่หลินก็ดึงกระดาษทิชชูออกมา ส่งให้เล่อจยาเช็ดน้ำตา แล้วพูดว่า “พี่สะใภ้ คุณทะเลาะกับพี่ชายฉันใช่ไหม? ”

เล่อจยาส่ายหัว

เย่หลินจับมือของเธอ แล้วขมวดคิ้วเบาๆ “มือของคุณ ทำไมเย็นแบบนี้? หนาวเหรอ? ”

หนาว? ไม่หรอก เธอไม่ได้หนาว เพียงแต่หัวใจเธอค่อนข้างหนาวเหน็บก็เท่านั้น

“เย่หลิน ระหว่างคุณกับหนิงเส่าเฉิน ก็เคยมีมือที่สามใช่ไหม? ”

“มือที่สาม? พี่ชายฉัน……นอกใจเหรอ? ” เย่หลินพูดอย่างตกใจ

นอกใจ? เล่อจยาถอนหายใจ ชั่วขณะเธอก็ไม่รู้ว่าควรพูดเรื่องไห่ยุ่นกับเย่หลินไหม เธอกลัวว่า เย่หลินจะคิดกับเธอแบบนั้นเหมือนกันกับเกาไห่

“พี่สะใภ้ คุณบอกฉันมาเถอะ บางที ฉันอาจจะช่วยคุณได้” เย่หลินมองเล่อจยาอย่างสงสัย แล้วพูดโน้มน้าวอยู่ข้างๆ

เล่อจยาเงยหน้ามองเย่หลิน เตรียมที่จะพูด ทว่าก็เห็นภาพบุคคลที่คุ้นเคย ชั่วขณะคำพูดที่มาถึงปากก็กลืนลงไป เธอค่อยๆ ลุกขึ้นยืน มองชายคนนั้นที่เดินเข้ามา

“พี่” เย่หลินเอ่ยพูด

เกาไห่มองเธอ “คุณมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร? ”

“ลูกของน้องสาวสามีอายุครบหนึ่งเดือน ก็เลยมาทานข้าวกัน แล้วก็เจอพี่สะใภ้เข้าพอดี” พูดจบ เธอก็ดึงเกาไห่มาข้างๆ “พี่ วันนี้พี่สะใภ้มางานแต่งลูกพี่ลูกน้อง คุณในฐานะสามีของเธอ จะยุ่งแค่ไหนก็ต้องมากับเธอ มิเช่นนั้น คนอื่นจะมองเธออย่างไรล่ะ? ”

แววตาเกาไห่หม่นหมองลง ชำเลืองมองเล่อจยา “พอดีวันนี้มีเรื่องด้วยนิดหน่อยนะ”

“เรื่องอะไรจะด่วนกว่าเรื่องนี้? เธอเพิ่งจะแต่งงานกับคุณ คุณก็ปล่อยให้เธอมาคนเดียวอย่างนี้ เมื่อกี้ตอนที่ฉันเจอพี่สะใภ้ เธอสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ไม่ต้องพูดเลย แน่นอนว่าเธอต้องได้รับความไม่ยุติธรรมมาไม่น้อย พี่ เรื่องนี้ คุณทำผิดจริงๆ นะ” เย่หลินพูดจบ ก็ดึงเสื้อสูทเกาไห่จนยับเล็กน้อย

สายตาเกาไห่มองข้ามเย่หลินไปหยุดที่เล่อจยา ในแววตามีความเจ็บปวดใจ “โอเค ฉันรู้แล้ว คุณเข้าไปก่อนเถอะ ให้พวกเขารอนานๆ ก็จะไม่ดีนะ เรื่องของเรา ฉันจะจัดการเอง”

เย่หลินรู้ดีว่าคนนอกยากที่จะตัดสินเรื่องในบ้านได้ เธอจึงพยักหน้ากับเล่อจยา “พี่สะใภ้ เช่นนั้นฉันไปก่อนนะ คุณมีธุระอะไรก็โทรหาฉัน”

เล่อจยาตอบกลับ “อืม”

เห็นเย่หลินเดินเข้ามุมไปแล้ว เล่อจยาก้มหน้าลงบิดๆ นิ้ว ทำให้จิตใจสงบลง จึงพูดว่า : “การผ่าตัดสำเร็จไหม? ”

เกาไห่ตอบกลับ “อืม”

“ฉันจะส่งคุณกลับบ้าน”

เล่อจยาไม่พูดอะไร เธอไม่มีอารมณ์จะให้เกาไห่ขึ้นไปทักทาย เพราะคนดูสภาพก็ไม่ค่อยดีอย่างมาก

เมื่อถึงบ้าน เกาไห่ก็ไม่ได้ลงจากรถ

เล่อจยามองเขา “คุณ ไม่กลับบ้านเหรอ? ” สักพักจึงพูดเสริมว่า : “ฉันยังต้องไปโรงพยาบาล เธออยู่ในนั้น ขาดคนไม่ได้”

เล่อจยาตอบกลับว่า”อ๋อ” ดึงประตูเปิด ลงจากรถ ปิดประตู เดินไปที่ลิฟต์ ตลอดทางไม่ได้หยุดหันมามองเลย

ตลอดจนเสียงรถค่อยๆ ห่างออกไป เธอจึงเดินออกมาจากมุมกำแพง มองที่จอดรถนั้น แล้วเหมือนครุ่นคิดอะไรอยู่

ตลอดคืนนี้ เกาไห่ไม่ได้กลับบ้าน ตลอดคืนนี้ เล่อจยาไม่ได้หลับตาลงเลย  เพื่อไปตลาดสด ไปซื้อกระดูกหมูมาต้มซุป

เมื่อวานเธอดูวิดีโอนั่นของเล่อเสี่ยวอวี๋ ก็เห็นโรงพยาบาลเขียนว่าแผนกโรคกระดูก

เมื่อไปถึงที่นั่น เธอก็แค่สอบถามเล็กน้อย ก็รู้ห้องผู้ป่วยของไห่ยุ่น ยืนอยู่นอกห้องผู้ป่วย เธอมองเข้าไปข้างใน

มือใหญ่ๆ ของเกาไห่วางลงบนหน้าผากของไห่ยุ่น คล้ายกับลองตรวจสอบอุณหภูมิของร่างกาย

หลังจากนั้น เกาไห่ก็พูดอะไรเล็กน้อย คนทั้งสองก็สบตาแล้วยิ้มให้กัน

“คุณผู้หญิง คุณมาเยี่ยมคนไข้เหรอ? ทำไมถึงไม่เข้าไปล่ะ? ” คุณป้าวัยสี่ห้าสิบคนหนึ่งถือกล่องข้าวมายืนอยู่หน้าประตู

“คุณ….มาดูแลเธอเหรอ? ”

คุณป้ามองไปยังด้านใน ยิ้มมุมปาก “คุณเกาช่างละเอียดรอบคอบจริงๆ คาดว่าคงจะไม่ได้นอนทั้งคืน”

เสียงที่ดูซาบซึ้งใจของเธอ ทำให้บาดแผลที่หัวใจของเล่อจยาฉีกขาดอีกครั้ง

“มา เข้ามาเถอะ” คุณป้าเปิดประตู แล้วเรียกให้เล่อจยาเข้ามา

เล่อจยานิ่งอึ้งไปเล็กน้อย แล้วจึงก้าวเท้าเดินเข้าไปด้านใน เกาไห่และไห่ยุ่นเห็นเธอเข้ามา ก็ประหลาดใจเล็กน้อย

เกาไห่เดินเข้ามา “จยาจยา คุณมาได้อย่างไร? ”

ซูยุ่นก็เอ่ยปาก: “พี่สะใภ้ คุณมาแล้ว เอ่อ เอ่ออาไห่ คุณเอาเก้าอี้มาให้พี่สะใภ้นั่งสิ”

เธอเรียกเธอว่าพี่สะใภ้ แต่เรียกเกาไห่ว่าอาไห่ หากคนนอกได้ยิน ก็ต้องคิดว่า เธอเป็นพี่สะใภ้ของพวกเขาทั้งสองใช่ไหม?

เพียงแต่ สีหน้าของเล่อจยาไม่ได้แสดงออกมา “ไห่ยุ่น ฉันตุ๋นซุปกระดูกหมูมาให้คุณ เดี๋ยวจะเย็นหมด คุณรีบทานสิ”

พูดจบ ก็นำซุปในมือส่งให้คุณป้า “อย่างนั้น ไห่ยุ่น คุณก็พักผ่อนเถอะนะ ฉัน ฉันต้องไปทำงานแล้ว ไปก่อนนะ”

พยักหน้ากับเกาไห่เล็กน้อย แล้วเล่อจยาก็หันตัวออกไปจากห้องผู้ป่วย

เมื่อเล่อจยามาถึงชั้นล่าง เกาไห่ก็ตามลงมา

เขาดึงเล่อจยา “ลำบากคุณแล้ว ต้องตื่นมาตุ๋นซุปให้เธอแต่เช้าแบบนี้”

สายตามองไปบนมือของเขา ในใจของเล่อจยาขมขื่นเล็กน้อย รู้สึกน้อยใจเล็กน้อย เงยหน้ามองเกาไห่ “คำพูดเมื่อวานของฉัน ต้องขอโทษด้วย ฉันไม่ควรสงสัยเธอโดยไม่มีหลักฐาน”

เกาไห่ยิ้มมุมปาก หยิกใบหน้าของเล่อจยาเบาๆ “ฉันรู้อยู่แล้วว่าเล่อจยาของฉัน เอาใจใส่คนเป็นพิเศษ เป็นผู้หญิงที่มีจิตใจที่ดีงามคนหนึ่ง” พูดจบ ก็โน้มตัวไป จูบที่หน้าผากของเธอเล็กน้อย

จิตใจดีงาม? ความหมายก็คือ เมื่อวานเธอจิตใจไม่ดีงาม? คือความหมายนี้ใช่ไหม?

ข้างหน้าต่างชั้นสาม

“คุณไห่ยุ่น คุณหมอบอกว่า ขาของคุณตอนนี้ยังไม่เหมาะที่ลงจากเตียงมาเดิน คุณรีบขึ้นไปนอนบนเตียงเถอะ……”

ไห่ยุ่นดึงสายตากลับจากคู่ชายหญิงคู่นั้นที่อยู่ชั้นล่างนอกหน้าต่าง เธอมองไปยังซุปที่อยู่บนโต๊ะนั้น

“คุณป้า คุณไปที่เคาท์เตอร์พยาบาล ช่วยบอกให้ฉันทีว่า เปลี่ยนผ้าปูเตียงให้หน่อย ด้านบนมันเลอะเล็กน้อย”

“อ้อ โอเค คุณไห่ยุ่น”

ชั้นล่าง

“คุณไม่นอนมาทั้งคืน ตอนกลางวันคุณป้าอยู่ คุณกลับไปพักผ่อนสักหน่อยสิ” เล่อจยาลูบหน้าของเกาไห่ ที่คางมีหนวดเคราเล็กน้อย

“รอหมอมาตรวจแล้ว ฉันก็จะไปบริษัท นอนกลางวันสักครู่ ก็พอแล้ว”

“อย่างนั้น ฉันไปก่อนนะ ไปบริษัท บ๊ายบาย” เล่อจยาพยายามยิ้ม เห็นลักยิ้มได้ไม่ชัดเจน

เกาไห่รู้สึกว่าอารมณ์ของเล่อจยาคล้ายกับผิดปกติเล็กน้อย แต่ก็บอกไม่ถูกว่า ผิดปกติอย่างไร

ออกจากโรงพยาบาล เล่อจยาก็ไม่ได้นั่งรถสาธารณะ เธอกลัวว่า พอขึ้นรถสาธารณะ เธอจะเหม่อลอยแล้วขึ้นรถต่อไปเรื่อยๆ

เมื่อเธอไปถึงบริษัท ก็พยายามทำภาพการออกแบบนั้นในมือให้เสร็จโดยเร็วที่สุด พยายามทำโดยเร็วที่สุด……

เวลาเกือบสิบโมง มือถือก็ดังขึ้น เล่อจยามองไป คือเกาไห่ ยิ้มมุมปากโดยไม่รู้ตัว ถึงแม้เขาจะไม่เชื่อใจเธออย่างไร ถึงแม้เขาจะทำร้ายเธออย่างไร ในใจของเล่อจยาก็ไม่เคยคิดที่จะทำร้ายเขาเลย แม้แต่คำพูดที่ทำร้ายจิตใจสักประโยค เธอก็ทำเขาไม่ลง

กดรับสาย…..

“เล่อจยา ตกลงคุณเอาอะไรให้ไห่ยุ่นกิน? ” เสียงคำรามจากอีกด้านของมือถือดังเข้ามาในหู

เป็นเสียงของเกาไห่ แต่ความโกรธแบบนั้นดูไม่คุ้นเคยเลย

ซูหย่าเป็นห่วงเธอ จึงโทรไปหาที่บ้าน บอกว่าช่วงนี้อยากอยู่เป็นเพื่อนเล่อจยา

ในตอนแรกคนตระกูลซู ก็คัดค้านการติดต่อของเธอกับเล่อจยา แต่ต่อมาในภายหลัง หลังจากที่รู้ว่าเล่อจยาช่วยชีวิตซูหย่าไว้ แม่ซูเลยยอมรับเล่อจยาเป็นลูกสาวอีกคน

หลายปีมานี้ ปฏิบัติต่อเล่อจยาดีมาก ก่อนหน้านี้ที่รู้ว่าพ่อของเธอป่วย ก็ให้ซูหย่าส่งเงินมาให้เธอ นิสัยเล่อจยาเป็นคนที่เด็ดเดี่ยว ไม่ยอมที่จะเพิ่มปัญหาให้ตระกูลซู ฉะนั้นจึงปฏิเสธไป

ตลอดคืนนี้ ทั้งสองคนก็นั่งจับเข่าคุยกัน เล่อจยาขอบคุณพระเจ้ามากกว่าหนึ่งครั้ง ถึงแม้ว่าครอบครัว ความรัก จะไม่ได้ดังใจปรารถนา แต่ทำให้เธอได้รับมิตรภาพที่หาได้ยากที่สุดบนโลกใบนี้

เธอไม่กล้าจินตนาการเลยว่าถ้าวันนี้ไม่มีซูหย่าอยู่ เธอจะเป็นอย่างไร?

ไม่ว่าเล่อจยาจะนอนดึกแค่ไหน นาฬิกาชีวิตก็จะตื่นมาตอน 7:30 เธอบิดขี้เกียจ “สามี ตื่น……” ได้แล้ว คำที่เหลือ เมื่อหันไปเห็นเป็นซูหย่ากำลังหลับใหลอยู่ ก็กลืนกลับไป

เล่อจยา คุณหย่าแล้ว

เธอพูดกับตนเองในใจ จากนั้นก็ลุกขึ้น

ดึงประตูเปิดออก ก็ได้กลิ่นโจ๊ก

ในห้องครัว มีหญิงวัยกลางคนที่กำลังยุ่งวุ่นวายอยู่ พอได้ยินเสียง หันไปเห็นเป็นเล่อจยา “คุณเล่อ คุณตื่นแล้ว อาหารกำลังจะเสร็จแล้ว คุณรอเดี๋ยวนะ”

เล่อจยามองออกว่า นี่คือคนรับใช้ในบ้านซูหย่า “คุณป้าเป่า คุณมาได้อย่างไร? ”

“คุณนายบอกว่าไปทานข้างนอกมันไม่สะอาด คุณหนูค่อนข้างเลือก ก็เลยสั่งฉันให้มาทำอาหารให้พวกคุณ” พูดจบ ก็นำไข่ดาวกับแพนเค้กวางลงบนโต๊ะ

“คุณเล่อ คุณทานก่อนเลย เดี๋ยวคุณหนูตื่นแล้ว ฉันจะทำให้เธอใหม่”

เล่อจยาพยักหน้า เวลานี้ เธออิจฉาซูหย่ามากจริงๆ ตระกูลซูมีลูกชายสองคน ลูกสาวหนึ่งคน แม่ซูพ่อซูรักใคร่เอ็นดูเธอ หาได้ยากจริงๆ อาจจะถือได้ว่ารักเขาก็จะรักคนของเขาได้ หลายปีมานี้ เธอยังได้รับการปฏิบัติอย่างดีไปด้วย

“เสี่ยวหย่ามีความสุขมากแน่ๆ มีพวกคุณรักใคร่เอ็นดูมากมายขนาดนี้” อดไม่ได้ที่จะพูดออกมาอย่างซึ้งใจ

“จุ๊ๆ แต่คุณเป็นยอดรักของคุณหนูมากหลายปีขนาดนี้ หรือว่าไม่มีความสุขเลยใช่ไหม? ”

เล่อจยาได้ยินเสียงก็หันกลับไปมอง เห็นซูหย่ายืนพิงกำแพงด้วยเท้าเปล่า ผมยาวยุ่งเหยิง ดึงเก้าอี้ออก ไปที่ประตูแล้วหยิบรองเท้าแตะมาวางบนพื้น “ใช่ ต้องมีความสุขแน่ คุณหนู รีบสวมรองเท้าก่อน นี่เป็นแม่แล้วนะ ทำไมถึงไม่รู้จักรักตัวเอง”

ซูหย่ายื่นสองมือไปกอดเล่อจยา “ทำไมคุณตื่นเช้าขนาดนี้? ตาฉันยังไม่ลืมเลย” เมื่อคืนทั้งสองคนคุยกันจนตีสามจึงหลับไป

เล่อจยาปล่อยเธอ แล้วจูงมือเธอเข้าไปที่ห้องน้ำ บีบยาสีฟันแล้วส่งให้เธอ “รีบแปรงฟัน แล้วออกมาทานอาหารเช้า”

“ฉันยังอยากนอนอีก”

“คุณทานอาหารก่อน แล้วค่อยกลับมานอน”

“อย่างนั้นคุณล่ะ? วันนี้วันเสาร์ คุณไม่ได้หยุดเหรอ? ”

เล่อจยายิ้มขึ้นมา “ลืมไปเลย  หลังจากทานข้าวเสร็จ เล่อจยาก็ออกไป ชุมชนที่ซูหย่าอาศัยอยู่ถึงแม้จะเป็นแบบอพาร์ตเมนต์ แต่เนื่องจากอยู่ในทำเลที่ดีเยี่ยม สภาพแวดล้อมของชุมชนจึงดีและมีขนาดใหญ่เป็นพิเศษ เหมาะอย่างยิ่งสำหรับการวิ่ง

เล่อจยาไม่ใช่คนกลัวความลำบาก สองสามปีก่อนหน้านี้ เธอรำพันกับการลดน้ำหนักอยู่ตลอด แต่ก็ไม่เคบสำเร็จ เป็นเพราะความเสื่อมทางจิตใจของเธอเอง

บางทีเบื้องหลังของคนที่ลดน้ำหนักได้สำเร็จ ก็ล้วนมีเรื่องราว อย่างเช่นในปีนั้น เพื่อเกาไห่ เธอจึงลดน้ำหนักสำเร็จ

ดังเช่นครั้งนี้ ก็เพื่อเกาไห่

เพราะงานแต่งงานของซูหย่าคือปลายเดือน  บางครั้งก็เป็นถังขยะระบายอารมณ์ของซูหย่า

ช่วงสองสามวันแรก เพราะเกี่ยวข้องกับการออกแบบ ทุกวันที่เล่อจยาไปบริษัท เกาไห่ก็มายืนดักรอเธออยู่หน้าประตู ต่อมาจึงเชื่อฟังซูแคลอรี เธอจึงนำงานส่งมอบให้เพื่อนร่วมงานโดยตรง เงินเดือนก็ไม่ต้องการ ลาออกไปโดยตรง

ตั้งใจมาอยู่เป็นเพื่อนซูหย่า วางแผนที่จะดูแลจนงานแต่งของเธอจบสิ้น แล้วค่อยไปหางาน

“จยาจยา วันนี้พี่ชายรองของฉันกลับมา แม่ฉันให้ฉันกับคุณกลับบ้านไปทานข้าวด้วยกัน” ตอนเช้าเล่อจยาไปวิ่งกลับมา ซูหย่าส่งผ้าขนหนูผืนหนึ่งให้เธอ แล้วจึงเอ่ยปาก

ช่วงเวลานี้ ซูหย่าเห็นเล่อจยาบ้าคลั่งเล็กน้อย นอกจากตอนเช้าออกไปวิ่งแล้ว บ่ายก็ไปฟิตเนส บางครั้งก็ยังไปว่ายน้ำอีก อาหารขยะ อาหารแคลอรีสูง ไม่เข้าปากเลยสักคำ

เธอไม่ได้นับว่าอ้วนมาก การทรมานแบบนี้ ที่ทรมานทั้งจิตใจ ทรมานทั้งร่างกาย นี่เพิ่งผ่านมาไม่ถึงยี่สิบวัน ก็เห็นปลายคางแหลมออกมาอย่างชัดเจน

เล่อจยาเห็นซูหย่าจ้องมองเธอ จึงชำเลืองมองเธอแล้วพูดว่า “มองฉันแบบนี้ทำไม? ”

“อยากจะชมคุณว่า เปลี่ยนเป็นสวยแล้ว นี่คุณแต่งตัวอีกสักหน่อย คาดว่าผู้ชายจะต้องต่อแถวยาวเหยียดแน่นอน”

เล่อจยาสูดลมหายใจเข้า “เอาล่ะ คุณประจบฉันให้น้อยหน่อย ฉันจะไปอาบน้ำ เปลี่ยนเสื้อผ้า อีกสักครู่ จะไปส่งคุณกลับบ้าน”

พูดพลาง เข้าห้องน้ำไป

ซูหย่าหันกลับมายังตู้เสื้อผ้า นำชุดเดรสคอปกสีน้ำเงินกรมท่า มาถือไว้ในมือ หลังจากนั้นก็ยืนอยู่หน้าประตูห้องน้ำ ฟังว่าไม่มีเสียงน้ำแล้ว เธอจึงเคาะประตู

“ทำไมเหรอ? ”

“จยาจยา ฉันซื้อเดรสมาให้คุณชุดหนึ่ง คุณจะไม่ลองใส่ดูหน่อยเหรอ? ”

เล่อจยาที่กำลังเช็ดตัวอยู่ ก็นิ่งอึ้งไปเล็กน้อย “ฉันไม่ใช่ไม่มีเสื้อผ้าใส่ คุณจะซื้อมาให้ฉันทำไม? ไม่ใส่ เอาออกไปเลย”

มาตรฐานการใช้เงินของซูหย่า เล่อจยาเข้าใจดี เดรสชุดนั้นอย่างต่ำๆ ก็เป็นหมื่นหยวน

“จยาจยา เดรสชุดนี้ ฉันซื้อมาเมื่อหลายปีก่อน”

ประตูถูกเปิดออก เล่อจยาก็สวมผ้าเช็ดตัวออกมา “หมายความว่าอะไร? หลายปีก่อน? ”

ซูหย่ารับผ้าขนหนูในมือเธอ แล้วเช็ดหยดน้ำที่ปลายผมแทนเธอ “ก็ปีนั้น คุณลดน้ำหนักได้สำเร็จไม่ใช่เหรอ? ต่อมา คุณจะไปสารภาพรักกับเกาไห่ ฉัน…ฉันคิดว่าเพื่อให้ประสบความสำเร็จ ดังนั้น จึงซื้อเดรสชุดนี้มาให้คุณ ใครจะไปรู้ว่าต่อมาเกาไห่จะเกิดอุบัติเหตุ เดรสชุดนี้เลยไม่ได้มอบให้ไป”

เล่อจยาขมวดคิ้ว ลดสายตาลง มองชุดเดรสในมือเล่อจยาที่รอดชีวิตมา “จริงเหรอ? ”

“แน่นอน คุณลองดูป้ายยี่ห้อสิ ค่อนข้างเหลืองแล้ว ด้วยเอวห่วงยางหลายปีมานี้ของคุณ ฉันจึงไม่กล้าหยิบออกมาทำให้คุณสะเทือนใจ”

หยิบผ้าขนหนูจากในมือเธอ แล้วถือโอกาสหยิบชุดเดรสนั้นด้วย จากนั้นเล่อจยาก็ไปยังห้องน้ำ

มองเอวที่เรียวเล็กนั้น เล่อจยาจึงเข้าใจความหมายของซูหย่า เดรสชุดนี้ออกแบบแบบเอวเว้าสูง เป็นการเน้นให้เห็นช่วงเอว หากใส่ไม่ดี ก็อาจจะกลายเป็นทำให้ตัวเองดูแย่ได้

เธอสูดลมหายใจเข้า เก็บท้องน้อยเล็กน้อย จึงพอฝืนๆ ดูได้

เมื่อเดินออกมา เธอหมุนครึ่งรอบตรงหน้าซูหย่า “พอดูได้ไหม? ”

ซูหย่าพยักหน้า “ถ้าเกาไห่ได้เห็นรูปร่างของคุณตอนนี้นะ เขาจะต้องเสียดายอย่างสุดๆ ”

ได้ยินคำว่า”เกาไห่”สองคำ สีหน้าของเล่อจยาก็เศร้าลงอย่างมาก

รวมผมทั้งหมดขึ้น แล้วมัดทรงหางม้า

ขณะนี้เป็นปลายฤดูใบไม้ร่วงแล้ว ด้านนอกค่อนข้างหนาวเย็นเล็กน้อย ซูหย่าหยิบเสื้อกันลมสีเบจจากในตู้เสื้อผ้าออกมาให้เธอ “คุณเอาเสื้อนี้คลุมไปหน่อย พอถึงในบ้านแล้ว ค่อยถอดออกก็ได้”

เล่อจยามองเสื้อที่อยู่ในมือซูหย่า “ทำไมรู้สึกว่า คุณค่อนข้างจะผิดปกติ? ฉันแค่ไปส่งคุณกลับบ้านก็เท่านั้น จะใส่อลังการขนาดนี้ไปทำไม? ”

เย่หลินหรี่ตามอง แล้วบอกกับหนิงเสี่ยวซีว่า : “เสี่ยวซี คุณเข้าไปก่อน บอกกับพ่อว่า อีกสักครู่ฉันจะไป”

วันนี้ลูกของหลิวซูกับหนิงเชี่ยนอายุได้หนึ่งเดือนแล้ว

พูดจบ แล้วดึงเล่อจยาไปที่ร้านน้ำชาที่ใกล้ที่สุด

หลังจากทั้งสองคนนั่งลง เย่หลินก็ดึงกระดาษทิชชูออกมา ส่งให้เล่อจยาเช็ดน้ำตา แล้วพูดว่า “พี่สะใภ้ คุณทะเลาะกับพี่ชายฉันใช่ไหม? ”

เล่อจยาส่ายหัว

เย่หลินจับมือของเธอ แล้วขมวดคิ้วเบาๆ “มือของคุณ ทำไมเย็นแบบนี้? หนาวเหรอ? ”

หนาว? ไม่หรอก เธอไม่ได้หนาว เพียงแต่หัวใจเธอค่อนข้างหนาวเหน็บก็เท่านั้น

“เย่หลิน ระหว่างคุณกับหนิงเส่าเฉิน ก็เคยมีมือที่สามใช่ไหม? ”

“มือที่สาม? พี่ชายฉัน……นอกใจเหรอ? ” เย่หลินพูดอย่างตกใจ

นอกใจ? เล่อจยาถอนหายใจ ชั่วขณะเธอก็ไม่รู้ว่าควรพูดเรื่องไห่ยุ่นกับเย่หลินไหม เธอกลัวว่า เย่หลินจะคิดกับเธอแบบนั้นเหมือนกันกับเกาไห่

“พี่สะใภ้ คุณบอกฉันมาเถอะ บางที ฉันอาจจะช่วยคุณได้” เย่หลินมองเล่อจยาอย่างสงสัย แล้วพูดโน้มน้าวอยู่ข้างๆ

เล่อจยาเงยหน้ามองเย่หลิน เตรียมที่จะพูด ทว่าก็เห็นภาพบุคคลที่คุ้นเคย ชั่วขณะคำพูดที่มาถึงปากก็กลืนลงไป เธอค่อยๆ ลุกขึ้นยืน มองชายคนนั้นที่เดินเข้ามา

“พี่” เย่หลินเอ่ยพูด

เกาไห่มองเธอ “คุณมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร? ”

“ลูกของน้องสาวสามีอายุครบหนึ่งเดือน ก็เลยมาทานข้าวกัน แล้วก็เจอพี่สะใภ้เข้าพอดี” พูดจบ เธอก็ดึงเกาไห่มาข้างๆ “พี่ วันนี้พี่สะใภ้มางานแต่งลูกพี่ลูกน้อง คุณในฐานะสามีของเธอ จะยุ่งแค่ไหนก็ต้องมากับเธอ มิเช่นนั้น คนอื่นจะมองเธออย่างไรล่ะ? ”

แววตาเกาไห่หม่นหมองลง ชำเลืองมองเล่อจยา “พอดีวันนี้มีเรื่องด้วยนิดหน่อยนะ”

“เรื่องอะไรจะด่วนกว่าเรื่องนี้? เธอเพิ่งจะแต่งงานกับคุณ คุณก็ปล่อยให้เธอมาคนเดียวอย่างนี้ เมื่อกี้ตอนที่ฉันเจอพี่สะใภ้ เธอสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ไม่ต้องพูดเลย แน่นอนว่าเธอต้องได้รับความไม่ยุติธรรมมาไม่น้อย พี่ เรื่องนี้ คุณทำผิดจริงๆ นะ” เย่หลินพูดจบ ก็ดึงเสื้อสูทเกาไห่จนยับเล็กน้อย

สายตาเกาไห่มองข้ามเย่หลินไปหยุดที่เล่อจยา ในแววตามีความเจ็บปวดใจ “โอเค ฉันรู้แล้ว คุณเข้าไปก่อนเถอะ ให้พวกเขารอนานๆ ก็จะไม่ดีนะ เรื่องของเรา ฉันจะจัดการเอง”

เย่หลินรู้ดีว่าคนนอกยากที่จะตัดสินเรื่องในบ้านได้ เธอจึงพยักหน้ากับเล่อจยา “พี่สะใภ้ เช่นนั้นฉันไปก่อนนะ คุณมีธุระอะไรก็โทรหาฉัน”

เล่อจยาตอบกลับ “อืม”

เห็นเย่หลินเดินเข้ามุมไปแล้ว เล่อจยาก้มหน้าลงบิดๆ นิ้ว ทำให้จิตใจสงบลง จึงพูดว่า : “การผ่าตัดสำเร็จไหม? ”

เกาไห่ตอบกลับ “อืม”

“ฉันจะส่งคุณกลับบ้าน”

เล่อจยาไม่พูดอะไร เธอไม่มีอารมณ์จะให้เกาไห่ขึ้นไปทักทาย เพราะคนดูสภาพก็ไม่ค่อยดีอย่างมาก

เมื่อถึงบ้าน เกาไห่ก็ไม่ได้ลงจากรถ

เล่อจยามองเขา “คุณ ไม่กลับบ้านเหรอ? ”  สักพักจึงพูดเสริมว่า : “ฉันยังต้องไปโรงพยาบาล เธออยู่ในนั้น ขาดคนไม่ได้”

เล่อจยาตอบกลับว่า”อ๋อ” ดึงประตูเปิด ลงจากรถ ปิดประตู เดินไปที่ลิฟต์ ตลอดทางไม่ได้หยุดหันมามองเลย

ตลอดจนเสียงรถค่อยๆ ห่างออกไป เธอจึงเดินออกมาจากมุมกำแพง มองที่จอดรถนั้น แล้วเหมือนครุ่นคิดอะไรอยู่

ตลอดคืนนี้ เกาไห่ไม่ได้กลับบ้าน ตลอดคืนนี้ เล่อจยาไม่ได้หลับตาลงเลย  เพื่อไปตลาดสด ไปซื้อกระดูกหมูมาต้มซุป

เมื่อวานเธอดูวิดีโอนั่นของเล่อเสี่ยวอวี๋ ก็เห็นโรงพยาบาลเขียนว่าแผนกโรคกระดูก

เมื่อไปถึงที่นั่น เธอก็แค่สอบถามเล็กน้อย ก็รู้ห้องผู้ป่วยของไห่ยุ่น ยืนอยู่นอกห้องผู้ป่วย เธอมองเข้าไปข้างใน

มือใหญ่ๆ ของเกาไห่วางลงบนหน้าผากของไห่ยุ่น คล้ายกับลองตรวจสอบอุณหภูมิของร่างกาย

หลังจากนั้น เกาไห่ก็พูดอะไรเล็กน้อย คนทั้งสองก็สบตาแล้วยิ้มให้กัน

“คุณผู้หญิง คุณมาเยี่ยมคนไข้เหรอ? ทำไมถึงไม่เข้าไปล่ะ? ” คุณป้าวัยสี่ห้าสิบคนหนึ่งถือกล่องข้าวมายืนอยู่หน้าประตู

“คุณ….มาดูแลเธอเหรอ? ”

คุณป้ามองไปยังด้านใน ยิ้มมุมปาก “คุณเกาช่างละเอียดรอบคอบจริงๆ คาดว่าคงจะไม่ได้นอนทั้งคืน”

เสียงที่ดูซาบซึ้งใจของเธอ ทำให้บาดแผลที่หัวใจของเล่อจยาฉีกขาดอีกครั้ง

“มา เข้ามาเถอะ” คุณป้าเปิดประตู แล้วเรียกให้เล่อจยาเข้ามา

เล่อจยานิ่งอึ้งไปเล็กน้อย แล้วจึงก้าวเท้าเดินเข้าไปด้านใน เกาไห่และไห่ยุ่นเห็นเธอเข้ามา ก็ประหลาดใจเล็กน้อย

เกาไห่เดินเข้ามา “จยาจยา คุณมาได้อย่างไร? ”

ซูยุ่นก็เอ่ยปาก: “พี่สะใภ้ คุณมาแล้ว เอ่อ เอ่ออาไห่ คุณเอาเก้าอี้มาให้พี่สะใภ้นั่งสิ”

เธอเรียกเธอว่าพี่สะใภ้ แต่เรียกเกาไห่ว่าอาไห่ หากคนนอกได้ยิน ก็ต้องคิดว่า เธอเป็นพี่สะใภ้ของพวกเขาทั้งสองใช่ไหม?

เพียงแต่ สีหน้าของเล่อจยาไม่ได้แสดงออกมา “ไห่ยุ่น ฉันตุ๋นซุปกระดูกหมูมาให้คุณ เดี๋ยวจะเย็นหมด คุณรีบทานสิ”

พูดจบ ก็นำซุปในมือส่งให้คุณป้า “อย่างนั้น ไห่ยุ่น คุณก็พักผ่อนเถอะนะ ฉัน ฉันต้องไปทำงานแล้ว ไปก่อนนะ”

พยักหน้ากับเกาไห่เล็กน้อย แล้วเล่อจยาก็หันตัวออกไปจากห้องผู้ป่วย

เมื่อเล่อจยามาถึงชั้นล่าง เกาไห่ก็ตามลงมา

เขาดึงเล่อจยา “ลำบากคุณแล้ว ต้องตื่นมาตุ๋นซุปให้เธอแต่เช้าแบบนี้”

สายตามองไปบนมือของเขา ในใจของเล่อจยาขมขื่นเล็กน้อย รู้สึกน้อยใจเล็กน้อย เงยหน้ามองเกาไห่ “คำพูดเมื่อวานของฉัน ต้องขอโทษด้วย ฉันไม่ควรสงสัยเธอโดยไม่มีหลักฐาน”

เกาไห่ยิ้มมุมปาก หยิกใบหน้าของเล่อจยาเบาๆ “ฉันรู้อยู่แล้วว่าเล่อจยาของฉัน เอาใจใส่คนเป็นพิเศษ เป็นผู้หญิงที่มีจิตใจที่ดีงามคนหนึ่ง” พูดจบ ก็โน้มตัวไป จูบที่หน้าผากของเธอเล็กน้อย

จิตใจดีงาม? ความหมายก็คือ เมื่อวานเธอจิตใจไม่ดีงาม? คือความหมายนี้ใช่ไหม?

ข้างหน้าต่างชั้นสาม

“คุณไห่ยุ่น คุณหมอบอกว่า ขาของคุณตอนนี้ยังไม่เหมาะที่ลงจากเตียงมาเดิน คุณรีบขึ้นไปนอนบนเตียงเถอะ……”

ไห่ยุ่นดึงสายตากลับจากคู่ชายหญิงคู่นั้นที่อยู่ชั้นล่างนอกหน้าต่าง เธอมองไปยังซุปที่อยู่บนโต๊ะนั้น

“คุณป้า คุณไปที่เคาท์เตอร์พยาบาล ช่วยบอกให้ฉันทีว่า เปลี่ยนผ้าปูเตียงให้หน่อย ด้านบนมันเลอะเล็กน้อย”

“อ้อ โอเค คุณไห่ยุ่น”

ชั้นล่าง

“คุณไม่นอนมาทั้งคืน ตอนกลางวันคุณป้าอยู่ คุณกลับไปพักผ่อนสักหน่อยสิ” เล่อจยาลูบหน้าของเกาไห่ ที่คางมีหนวดเคราเล็กน้อย

“รอหมอมาตรวจแล้ว ฉันก็จะไปบริษัท นอนกลางวันสักครู่ ก็พอแล้ว”

“อย่างนั้น ฉันไปก่อนนะ ไปบริษัท บ๊ายบาย” เล่อจยาพยายามยิ้ม เห็นลักยิ้มได้ไม่ชัดเจน

เกาไห่รู้สึกว่าอารมณ์ของเล่อจยาคล้ายกับผิดปกติเล็กน้อย แต่ก็บอกไม่ถูกว่า ผิดปกติอย่างไร

ออกจากโรงพยาบาล เล่อจยาก็ไม่ได้นั่งรถสาธารณะ เธอกลัวว่า พอขึ้นรถสาธารณะ เธอจะเหม่อลอยแล้วขึ้นรถต่อไปเรื่อยๆ

เมื่อเธอไปถึงบริษัท ก็พยายามทำภาพการออกแบบนั้นในมือให้เสร็จโดยเร็วที่สุด พยายามทำโดยเร็วที่สุด……

เวลาเกือบสิบโมง มือถือก็ดังขึ้น เล่อจยามองไป คือเกาไห่ ยิ้มมุมปากโดยไม่รู้ตัว ถึงแม้เขาจะไม่เชื่อใจเธออย่างไร ถึงแม้เขาจะทำร้ายเธออย่างไร ในใจของเล่อจยาก็ไม่เคยคิดที่จะทำร้ายเขาเลย แม้แต่คำพูดที่ทำร้ายจิตใจสักประโยค เธอก็ทำเขาไม่ลง

กดรับสาย…..

“เล่อจยา ตกลงคุณเอาอะไรให้ไห่ยุ่นกิน? ” เสียงคำรามจากอีกด้านของมือถือดังเข้ามาในหู

เป็นเสียงของเกาไห่ แต่ความโกรธแบบนั้นดูไม่คุ้นเคยเลย

ในวิดีโอ ตอนแรกเป็นภาพเล่อจยาไล่ตามพวกเขาลงไปชั้นล่าง เท้าเธอแดง ในมือถือรองเท้าส้นสูง แล้ววิ่งลงมาจากบันได

เปลี่ยนไปอีกภาพหนึ่ง เป็นที่ชั้นใต้ดิน เธอเห็นรถเขาออกไปแล้ว แววตาที่สิ้นหวังนั้น ฉับพลันก็ทำให้เกาไห่รู้สึกเจ็บปวดใจ

หลังจากนั้น ซูหย่าเข้ามา ทั้งสองคนพูดอะไรกัน จากนั้นเล่อจยากับซูหย่าก็ออกไป

“มิฉะนั้น คุณก็ไปเถอะ? ฉันจะอยู่เฝ้าที่นี่เอง มีปัญหาอะไรฉันจะโทรหาคุณเลยดีไหม? ”

เสี่ยวตงติดตามเกาไห่มาหลายปี แม้ว่าทั้งคู่จะมีฐานะที่ต่างกัน แต่เพราะว่าด้วยเวลาที่ยาวนาน เสี่ยวตงจึงรู้จักเกาไห่เป็นอย่างดี เห็นการแสดงออกทางสีหน้าของเขา ชัดเจนว่าใจของเขาไม่ได้ปล่อยวางจากเล่อจยาเลย

เกาไห่มองประตูห้องผ่าตัด กลืนน้ำลาย “ไม่ต้องหรอก” พูดจบ ไปข้างๆ กำแพงแล้วหาที่นั่ง

งานแต่งดำเนินมาได้ครึ่งทาง เดิมทีเล่อจยาคิดว่าหายนะของวันนี้จบลงแล้ว

แต่ไม่คิดว่าจู่ๆ เล่อเสี่ยวอวี๋จะเดินมาข้างๆ เธอ “พี่ คุณปู่ให้คุณไปหาท่านทางด้านนั้น บอกว่ามีเรื่องจะคุยกับคุณ” เล่อเสี่ยวอวี๋ชี้ไปที่ทิศตะวันตกเฉียงใต้ของงาน

เล่อจยาขมวดคิ้ว เดินไปทางปู่เล่อ

“คุณปู่ คุณตามหาฉันเหรอ? ” ถึงแม้ว่าคุณปู่คนนี้จะให้ความสำคัญลูกชายมากกว่าลูกสาว แต่เล่อจยาไม่ได้ถือสาคนอายุมากอย่างเขา ยังคงไถ่ถามอย่างสุภาพ

“เสี่ยวเหวินล่ะ? ทำไมวันนี้ไม่มา? ” ปู่มองเธอ ถามด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม

เล่อจยาเม้มๆ ปาก “ฉันไม่รู้”

“พี่สาวคนโต คุณก็เคยเห็นคุณทำอย่างนี้ก็เหมือนกับแม่ของคุณไม่ใช่เหรอ? ” เล่อจยามองปู่เล่อ นี่เป็นครั้งที่สอง ที่เขาพูดกับเธอสี่คำนี้ว่าพี่สาวคนโต

“ฉันแก่กว่าเขาไม่เท่าไหร่? เหมือนกับแม่เหรอ? คุณให้ความสำคัญฉันเกินไปแล้ว” วันนี้เล่อจยาอารมณ์ไม่ดี ยังถูกปู่เล่อมาซักถามอย่างนี้อีก เธอรู้สึกน้อยใจอย่างมาก แต่ไหนแต่ไรทำไมไม่มีใครสนใจเธอเลย

“อีกอย่าง ทำไมคุณไม่พาผู้ชายของคุณมาที่นี่ในวันนี้? คุณอารองกับอาสะใภ้รองของคุณบอกว่า เขาดูถูกตระกูลเรา เป็นอย่างนี้ใช่ไหม? ” ท่าทางอำนาจบาตรใหญ่ของเขา ทำให้เล่อจยารู้สึกไม่สบายใจ

“คุณปู่ เขามีธุระ” เล่อจยาตอบกลับอย่างอดทน

“มีธุระ หรือว่างานแต่งของเสี่ยวอวี๋ ไม่นับว่าเป็นธุระใหญ่เหรอ? ” ฉับพลันน้ำเสียงของปู่เล่อก็ดังขึ้น

เล่อจยาก้มหน้าบ่นพึมพำ : “งานแต่งเธอนับว่าเป็นธุระใหญ่ เช่นนั้นตอนที่พ่อฉันตาย พวกคุณไปอยู่ที่ไหนกันล่ะ? ” น้ำเสียงเธอเบามาก แต่คนที่อยู่ในที่นั้น ยังคงได้ยิน

“เล่อจยา คุณหมายความว่าอย่างไร? วันนี้เสี่ยวอวี๋แต่งงาน คุณพูดเรื่องไม่เป็นมงคลอย่างนี้ คุณอยากให้เกิดโชคร้ายหรือไง? ” อาสะใภ้รองเห็นว่าเกาไห่ไม่มา จึงอารมณ์เสียอย่างมาก สักครู่นี้ก็จับผิดเล่อจยา แล้วเริ่มเอามาเป็นประเด็น

คุณอารองดึงเล่อจยามา “จยาจยา ตั้งแต่คุณเข้าประตูมา ฉันก็เห็นคุณชักสีหน้า หน้าตาไม่มีความสุข ถ้าคุณก็ดูถูกเรา คุณก็ออกไปเลย

จากนั้นคนก็ยิ่งมากขึ้น เล่อจยาถูกล้อมรอบโดยพวกเขา และถูกชี้นิ้วใส่

เธอหรี่ตามอง นำกระเป๋าสะพายบนไหล่ “วันนี้เป็นวันมงคล ฉันไม่อยากทะเลาะกับพวกคุณ ฉันไปก่อน” พูดจบ ก็หันกลับเตรียมจะออกไป

แขนก็ถูกจับไว้ เล่อจยาหันกลับไป เห็นเป็นเล่อเสี่ยวอวี๋ “ปล่อย”

“พี่ คำพูดของพ่อแม่ฉัน คุณก็ไม่ใช่ว่าจะไม่รู้ เช่นนั้นคุณก็อย่าเอามาใส่ใจเลย อันที่จริง

พูดความจริง? เล่อจยาไม่เข้าใจ หันกลับไปมองเล่อเสี่ยวอวี๋

“คุณหมายความว่าอะไร? ”

เล่อเสี่ยวอวี๋หัวเราะเล็กน้อย “ไม่……ไม่ได้หมายความว่าอะไร ฉันก็แค่พูดไปเรื่อยเปื่อย แล้วความสัมพันธ์ขอวคุณกับเกาไห่คืออะไร อันที่จริง เราเป็นคนที่สายตาเฉียบแหลม แค่มองก็เข้าใจ ไม่เป็นไรหรอก เสี่ยเลี้ยงมีอยู่ทุกหนทุกแห่ง คุณว่าถูกไหม? ”

เสี่ยเลี้ยง?

เล่อจยายิ่งฟังยิ่งสับสน “เสี่ยงเลี้ยงอะไรกัน? เล่อเสี่ยวอวี๋ คุณมีอะไรก็พูดมาตรงๆ ไม่ต้องปิดบังอ้อมค้อม” พอพูดคำนี้ สีหน้าของเล่อจยาก็เคร่งขรึม

เล่อเสี่ยวอวี๋ยกกระโปรงยาวๆ ขึ้น เดินสองก้าวมายังเล่อจยา แบมือไปยังด้านหลัง ก็มีบางคนหยิบกระเป๋าของเธอเข้ามาให้

เล่อเสี่ยวอวี๋หยิบมือถือออกมาจากในกระเป๋าอย่างไม่รีบร้อน จากนั้น นิ้วมือที่เรียวยาว ก็เลื่อนบนหน้าจอมือถืออยู่ครู่หนึ่ง แล้วส่งให้เล่อจยา

ในวิดีโอ คือเกาไห่และไห่ยุ่น คนทั้งสองไม่รู้ว่าคุยอะไรกัน เกาไห่นำผมยาวของไห่ยุ่นไปทัดหูให้ สบตาแล้วยิ้มให้กัน

“บังเอิญจริงๆ ฉันดันไปมีเพื่อนที่เป็นพยาบาลอยู่ที่นั่น ครั้งสุดท้ายฉันบอกกับเธอว่าลูกพี่ลูกน้องของฉันแต่งงานกับประธานของเกากรุ๊ป แล้วนี่ เธอก็เพิ่งส่งมาให้ฉันจากโรงพยาบาล ได้ยินมาว่า….” เล่อเสี่ยวอวี๋หยุดลงเล็กน้อย แล้วจึงเอ่ยปากอย่างช้าๆ ว่า “ได้ยินมาว่า แท้จริงความสัมพันธ์ในครอบครัวนั้น เกาไห่ก็คือสามีของเธอ เขาคือสามีของผู้หญิงคนนี้ อย่างนั้นแล้ว คุณเป็นอะไรล่ะ? ”

เล่อจยาที่ก่อนหน้านี้ไม่ได้รู้สึกอะไร ได้ฟังประโยคสุดท้ายนี้ สีหน้าก็เคร่งขรึมอย่างมาก กวาดสายตามองเล่อเสี่ยวอวี๋ “นั่นคือลูกพี่ลูกน้องของเขา พูดไร้สาระอะไร? ”

“ลูกพี่ลูกน้อง? จยาจยา คุณนี่ไร้เดียงสาจริงๆ เลยนะ ได้ยินมาว่าผู้หญิงคนนี้จะต้องทำการผ่าตัด แต่ประธานเกาเป็นคนเซ็นชื่อรับรองให้ พี่ชายคนหนึ่ง เซ็นชื่อรับรองให้ลูกพี่ลูกน้องทำการผ่าตัด นี่ดูไม่พูดเกินไปหน่อยเหรอ? ”

เล่อจยามองเล่อเสี่ยวอวี๋ อ้าปาก แต่ก็เลือกที่จะเงียบ ในวันนี้ เกาไห่ไม่ได้มา เธอจะอธิบายอย่างไร ก็เหมือนยิ่งพูดปกปิดยิ่งเห็นได้ชัดก็เท่านั้น

“ไม่รบกวนคุณแล้ว ฉันไปก่อนล่ะ”

“เห็นไหมล่ะ ฉันเคยบอกคุณแล้ว เถ้าแก่ใหญ่แบบนั้น จะมาชอบคุณได้อย่างไร”

“ก็คือ ไปเกี้ยวพาราสีอยู่กับคนที่โรงพยาบาล เลยไม่ได้มาเป็นเพื่อเธอเข้าร่วมงานแต่งงานน้องสาว ถ้าเป็นสามีจริงๆ รักเธอจริงๆ มันจะเป็นไปได้เหรอ? ”

เล่อจยาไม่อยากฟัง แต่เสียงวิพากษ์วิจารณ์นี้ ก็เข้ามาในหูไม่หยุด

เมื่อเดินมาถึงห้องโถงของโรงแรม เธอก็ก้มหน้า ในสมองเต็มไปด้วยฉากนั้นที่อยู่ในวิดีโอเมื่อกี้

“โอ๊ะ….” ในทันใด เธอก็ชนเข้ากับคนคนหนึ่ง

เมื่อเงยหน้าขึ้น ก็เห็นเป็นเย่หลิน “เย่หลิน….”

เย่หลินพิจารณาเธออยู่ครู่หนึ่ง ปิดปาก แล้วกล่าวอย่างประหลาดใจว่า: “พี่สะใภ้? ”

เล่อจยาพยักหน้า จำได้ว่าครั้งที่แล้วก็เจอกับเย่หลินที่นี่

“พี่สะใภ้ คุณแต่งตัวแบบนี้ สวยมากจริงๆ ”

เย่หลินจูงมือหนิงเสี่ยวซีอยู่ “เสี่ยวซี คุณป้าสะใภ้ ทักทายสิ! ”

หนิงเสี่ยวซีพยักหน้ากับเล่อจยาเล็กน้อย “คุณป้าสวัสดีครับ”

เล่อจยาตบเบาๆ ที่ไหล่ของหนิงเสี่ยวซี “ช่วงนี้ไม่ได้เจอกันเลย เสี่ยวซียิ่งโตยิ่งหล่อนะ”

หนิงเสี่ยวซีฉีกยิ้มอย่างสุภาพเล็กน้อย

“พี่สะใภ้ นี่คุณ….” เย่หลินชี้ๆ ไปที่การแต่งตัวของเธอ

เล่อจยาเม้มปาก “วันนี้ ลูกพี่ลูกน้องของฉันแต่งงาน”

“ลูกพี่ลูกน้องแต่งงาน อย่างนั้น…..ทำไมคุณถึงมาคนเดียวล่ะ? พี่ชายฉันล่ะ? ”

เย่หลินไม่ถาม เล่อจยาก็ยังโอเคอยู่ พอเธอถามคำถามนี้ เล่อจยาก็ยากที่จะระงับอารมณ์ไม่ให้ออกมา ขอบตาแดงก่ำ ก้มหน้าลง “เขา…..เขามีธุระ มาไม่ได้”

อันที่จริงเล่อจยาไม่ใช่คนที่ชอบพูดนินทาคนอื่นลับหลัง ก่อนหน้านี้ที่เธอพูดกับเกาไห่ไปแบบนั้น ก็เพราะกลัวว่าจะสูญเสียเขาไป

มือของเธอออกแรงจับกระเป๋าถือเอาไว้แน่น ชัดเจนอย่างมากว่า ความรู้สึกของเธอไม่ค่อยปกติ

“คุณไม่สมควรที่จะเรียกสองคำนี้” น้ำเสียงเย็นชาส่งออกมา

เล่อจยาหมุนถ้วยในมือ ชั่วขณะสีหน้าก็อึดอัดใจ “คุณพูดจาให้มันปกติได้ไหม”

เซียวอู๋ได้ยินก็เงยหน้ามองเล่อจยา “ปกติ คุณคิดว่าคนคนหนึ่งที่ถูกบังคับให้แต่งงาน จะถือว่าเป็นเรื่องปกติได้อย่างไร? ‘

“เธอมีศักดิ์ศรีขนาดนั้น เธอก็ไม่กลัวจะเอาพิมเสนมาแลกกับเกลืออย่างฉันเหรอ? ”

แววตาที่โหดเหี้ยมของเขาเล่อจยาอดไม่ได้ที่จะตัวสั่น เซียวอู๋ทำอย่างนี้เธอไม่คุ้นเคยอย่างมาก

“เสี่ยวอู๋ ซูหย่าเธอกำลังตั้งท้องลูกของคุณ คุณไม่เห็นแก่เด็ก……”

“ไม่เห็น” เซียวอู๋ไม่รอให้เธอพูดจบ พูดตัดบทเธอเลย

เล่อจยาสูดลมหายใจ “อันที่จริงคุณยังไม่เคยรู้จักเธออย่างถ่องแท้เลย คุณก็ตัดสินชี้ขาดว่าไม่ชอบเธอแล้วเหรอ? ”

“เช่นนั้นคุณก็ไม่ได้รู้จักฉันอย่างถ่องแท้เหมือนกัน แล้วคุณจะตัดสินได้อย่างไรว่าคุณไม่ได้รักฉัน? ” เซียวอู๋พูดจบก็ยื่นมือออกมาจับมือของเล่อจยาไว้ “จยาจยา ฉันมีวันนี้ ทั้งหมดนี้ก็เพราะคุณ เพราะคุณบอกว่าชอบทหาร ฉันเลยเดินเส้นทางนี้ แต่คุณล่ะ? ”

เล่อจยาอยากจะดึงมือตัวเองกลับ แต่เซียวอู๋ไม่ยอมปล่อย

“คุณไม่ได้อยากให้ฉันลงมือใช่ไหม? ” สีหน้าเธอเคร่งขรึมลง

“ตอนนี้คุณอาจจะไม่สามารถเอาชนะฉันได้” ชายคนนั้นยกยิ้มขึ้น

เล่อจยากัดริมฝีปากล่าง ผ่านไปสักพัก เธอก็มองชายตรงหน้า “คุณบอกว่าคุณชอบฉัน? เซียวอู๋ ท้ายที่สุดแล้วคุณโกหกฉันหรือโกหกตัวเองกันแน่? ” หลายปีมานี้ถ้าคุณชอบฉันจริงๆ ตั้งแต่จบมัธยมปลายมาจนถึงปัจจุบัน ก็สิบปีแล้ว แต่คุณไม่เคยตามหาฉันเลย คุณอย่าบอกนะว่าหาไม่เจอ ด้วยอำนาจและอิทธิพลของครอบครัวพวกคุณแล้ว คิดอยากจะหาใครสักคนนั้นมันเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่คุณก็ไม่ตามหา มันพิสูจน์ว่าอะไร? พิสูจน์ว่าคุณก็แค่หาข้ออ้างให้ไปในที่ที่เป็นอยู่ทุกวันนี้เท่านั้น”

เธอพูดจบ เธอก็สังเกตเห็นสีหน้าของเซียวอู๋เปลี่ยนไปเล็กน้อย ในใจก็ใจ ดูเหมือนว่าเธอจะเดาถูก

อันที่จริง ตั้งแต่หลังจากเซียวอู๋บอกว่าชอบเธอ เธอก็คิดว่ามันไร้สาระมาตลอด รักคนคนหนึ่งมาสิบปี ก็ไม่ได้เกินจริงหรอก แต่ว่าสิบปีนี้ไม่เคยถามไถ่เลย แล้วจะมาบอกว่าตนเองชอบมาเป็นสิบปีแล้ว ก็ไม่สมเหตุสมผล

“อีกอย่าง คุณอาจจะไม่รู้ ที่ฉันแต่งงานกับเกาไห่ ก็เพียงแต่เป็นเรื่องของช่วงเวลานี้ ถ้าคุณมีใจให้ฉันจริงๆ คุณจะไม่ปล่อยให้ผู้หญิงที่ชอบเดียวดายมาสิบปีหรอก ฉะนั้น เซียวอู๋ คุณอย่าโกหกตัวเอง อย่าใช้ฉันเป็นข้ออ้างอีกต่อไปเลย ซูหย่าอาจจะไม่สมบูรณ์แบบ แต่หงส์เข้าฝูงหงส์ ถ้าคุณยอมรับฉันได้ เธอคือเพื่อนที่ดีที่สุดของฉัน แน่นอนว่าจะไม่ทำให้คุณผิดหวัง ยิ่งไปกว่านั้น เธอเก่งกว่าฉันในทุกๆ ด้าน” พูดถึงตรงนี้ เล่อจยาก็จิบกาแฟหนึ่งอึก

“ฉันขอร้องคุณล่ะ ให้โอกาสเธอสักครั้ง ถ้าเธอต้องเสียใจเพราะคุณ เซียวอู๋ ฉันจะเกลียดคุณ”

“เอาล่ะ คุณคิดเอาเองแล้วกัน ฉันไปก่อน” ครั้งนี้ เล่อจยาดึงแขนกลับมาได้อย่างสบาย

เธอไม่รอให้เซียวอู๋ตอบกลับ แล้วก็ไม่อยากรอด้วย

ออกจากร้านกาแฟไป เธอก็หยิบมือถือออกมาโทร เขาไม่ได้รักฉัน รักคนคนหนึ่ง ไม่สามารถทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้มาเป็นสิบปีได้ เหมือนฉันกับเกาไห่ แต่ไหนแต่ไรฉันไม่เคยดูข่าวการเงิน ไม่เคยชอบซุบซิบนินทา แต่ว่าไม่เคยปล่อยให้เขาหายไปเลย ในสองสามปีนั้นที่เขาหายไป ฉันใช้ชีวิตอย่างเจ็บปวดทรมานมาก คุณก็เห็น แต่เซียวอู๋บอกว่าเขารักฉันมาสิบปี หลายปีมานี้คุณก็เห็นแล้ว ว่าเขาเคยตามหาฉันไหม? ถ้าไม่ใช่เกาไห่ ฉันคงแต่งงานกับชายอ้วนคนนั้นไปแล้ว นี่คือความรักเหรอ? เขาไร้สาระ”

สายทางด้านนั้น เงียบตลอด

“ซูหย่า คุณฟังฉันอยู่ไหม? ”

“ขอบคุณนะ จยาจยา” ซูหย่าพูดออกมา เล่อจยาก็ฟังออก เธอร้องไห้

นิสัยที่ไม่สนใจไยดีของซูหย่า ยังสามารถทำให้เธออารมณ์แปรปรวนได้ขนาดนี้ จริงก็เพราะเซียวอู๋ “เอาล่ะ อย่าร้องไห้เลย หมอไม่ได้บอกเหรอ ว่าสามเดือนแรก อารมณ์เป็นสิ่งสำคัญมาก”

“ตื๊ดๆ …..” มีอีกสายหนึ่งโทรเข้ามา

เล่อจยาดู คือคุณอารอง

“เสี่ยวหย่า ฉันต้องวางสายก่อน คุณดูแลตัวเองให้ดีๆนะ เดี๋ยวเราค่อยติดต่อกันอีกที”

“ฮัลโหล คุณอารอง”

“จยาจยา พรุ่งนี้ คุณและเสี่ยวไห่ เข้ามาเช้าๆ หน่อยนะ เดี๋ยวจะให้เสี่ยวอวี๋ส่งที่อยู่ไปให้คุณ”

เล่อจยานิ่งอึ้งไปเล็กน้อย ใช่แล้ว พรุ่งนี้เล่อเสี่ยวอวี๋แต่งงาน เธอลืมไปเลย “อื้ม โอเคค่ะ คุณอารอง”

มือถือเพิ่งจะวางสาย ข้อความก็ส่งเข้ามา เล่อจยากดเปิดดู เป็นแถวบ้านของเซียวอู๋ เป็นสถานที่ที่ไปเป็นเพื่อนซูหย่านัดดูตัวครั้งที่แล้ว

ค่าใช้จ่ายของโรงแรมนั้นนับว่าไม่ถูกเลย มิน่าล่ะวันนั้นอาสะใภ้รองถึงได้อวดดีแบบนั้น ดูท่า อีกฝ่ายจะชาติตระกูลไม่เลวจริงๆ

โทรศัพท์ไปหาเกาไห่ พอรับสาย เธอก็เอ่ยปากถามโดยตรงเลยว่า: “คุณยังทำงานอยู่หรือเปล่า? ”

“สวัสดีค่ะ ประธานเกากำลังประชุมอยู่ อีกสักครู่รบกวนคุณโทรมาใหม่นะคะ” เสียงพูดนั้นเป็นเสียงผู้หญิง เล่อจยานิ่งอึ้งไป แล้วจึงพยักหน้า “โอเคค่ะ”

พอวางสาย เล่อจยาก็เดินทางไปยังบริษัทของเกาไห่ ที่อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล เดินทางประมาณสี่สิบกว่านาที

เมื่อมาถึงชั้นล่างของบริษัท เล่อจยาหาเก้าอี้ข้างๆ ทางเพื่อนั่งลง

แต่รอจนคนเดินไปเดินมาน้อยลงแล้ว ก็ยังไม่เห็นเกาไห่ออกมา คิดๆแล้ว เธอก็โทรศัพท์ไปหาเขา

พอสัญญาณโทรศัพท์ดังก็ถูกกดรับ

“ฮัลโหล….” เสียงของเกาไห่

“สามี คุณยังประชุมไม่เสร็จเหรอ? ”

เกาไห่ขมวดคิ้ว กดปลดล็อกลายนิ้วมือ “ฉันอยู่บ้านแล้ว…..” เปิดประตู เห็นว่าไม่มีรองเท้าแตะคู่นั้น “คุณไม่อยู่บ้านเหรอ? ”

เล่อจยาน้อยใจเล็กน้อย “ฉันมารอคุณอยู่ที่หน้าทางเข้าบริษัทคุณ ทำไมถึงไม่เห็นคุณออกมาล่ะ? ”

เกาไห่นิ่งอึ้งไปเล็กน้อย “คุณรอฉันอยู่ที่นั่นนะ ฉันจะไปรับคุณ” พูดพลาง ปิดประตู

“คุณได้ใช่กำลังประชุมอยู่เหรอ? ทำไมไม่เห็นคุณออกมาเลยล่ะ? ”

เกาเดินเข้าไป โอบกอดเธอ “ฉันขับรถออกมาจากที่จอดรถโดยตรง อาจจะไม่ได้สังเกตเห็นคุณ”

“แล้วผู้หญิงที่รับสายคนนั้น เป็นใคร? ” เล่อจยาจ้องมองใบหน้าเกาไห่ ไม่ทิ้งร่องรอยการแสดงออกแม้แต่น้อย

“เลขาฯ ”

“จริงเหรอ? ”

เกาไห่หันหน้าไปมอง ยิ้มมุมปาก หยิกที่บนแก้มของเล่อจยาเล็กน้อย “อย่าคิดมากสิ”

เปิดประตูรถให้เธอ “ทำไมวันนี้ถึงอยากมารอฉันที่บริษัทล่ะ? ” ขณะที่พูดจบ เกาไห่ก็เดินอ้อมรถไปยังอีกด้านหนึ่ง แล้วก็เข้ามานั่งในที่นั่งคนขับ

“พรุ่งนี้ ลูกสาวคุณอารองแต่งงาน ต้องการให้พวกเราไปเข้าร่วมงานแต่ง ก่อนหน้านี้ฉันเคยบอกคุณไปแล้ว”

คิดๆแล้ว ก็รีบกล่าวเพิ่มเติมว่า “ถ้าคุณไม่อยากไป ก็ไม่เป็นไร”

เกาไห่ขมวดคิ้ว “อย่ากังวลไปเลย ธาตุแท้ของพวกเขา ฉันเคยเห็นมาแล้ว ญาติพี่น้องของคุณ ฉันไม่หลบหนีหรอก”

วันต่อมา เมื่อเกาไห่ตื่นขึ้นมา ก็ไม่เห็นเงาของเล่อจยาแล้ว ออกมาจากในห้องก็ไม่เจอ

“คุณผู้ชาย คุณเล่อบอกว่า อีกสักครู่จะกลับมา ให้คุณทานอาหารเช้าก่อน”

เกาไห่โทรไปหาเล่อจยา “ไปไหน? ”

เสี่ยวตงมองเกาไห่โดยจิตใต้สำนึก แล้วจึงตอบกลับว่า : “โรงพยาบาลเพิ่งโทรมาบอกว่า ขาของคุณไห่ยุ่นเกิดการอักเสบ ต้องได้รับการผ่าตัดทันที ประธานเกาต้องไปเซ็นชื่อ”

ขาของไห่ยุ่น อักเสบ? ต้องผ่าตัดเหรอ?

เล่อจยาเงยหน้าขึ้นมองเกาไห่ ในแววตาเขาดูสับสนเล็กน้อย ในชั่วพริบตาในใจเล่อจยาก็หม่นหมองลง

ชั่วขณะ ก็นั่งลงบนโซฟา “พูดมาให้ชัดเจนก่อน มิเช่นนั้น ก็ไม่อนุญาตให้ไป”

เกาไห่กัดฟันถลึงตาใส่เสี่ยวตง สูดหายใจเข้าลึกๆ เสี่ยวตงก้มหน้าลง เขารู้ว่าวันนี้ตนเองสร้างเรื่องวุ่นวายชึ้นแล้ว

“จยาจยา มิเช่นนั้น ฉันจะให้เสี่ยวตงไปส่งคุณก่อน รอเรื่องทางด้านนี้เสร็จแล้ว ฉันจะรีบไปทันที คุณว่าอย่างไร? ” เกาไห่เดินไปสองสามก้าวนั่งลงตรงหน้าเล่อจยา จับมือเธอ แล้วปรึกษาหารือกับเธอ

เล่อจยาขมวดคิ้ว “ท้ายที่สุดแล้วมันเกิดอะไรขึ้น? ”

“ขาเธอไม่ค่อยดีนิดหน่อย”

“เห็นได้ชัดว่าขาเธอไม่มีปัญหาไม่ใช่เหรอ? ” เล่อจยาพูดย้อนกลับ

“เมื่อวานตอนเย็นมาช่วยฉัน ก็เลยหกล้ม! ”

“เมื่อวานตอนเย็น? ช่วยคุณ? แต่เมื่อวานตอนเย็นคุณบอกว่าประชุมอยู่ไม่ใช่เหรอ? ” เล่อจยาพบว่าปากของตัวเองสั่นเทาเล็กน้อย

“เธอไปหาฉันเพื่อลาออก ตอนที่ออกมา พอดีมีน้ำอยู่ตรงบันไดในห้องโถงใหญ่ เท้าฉันเลยลื่น เธอจึงช่วยฉัน เลยหกล้มลงไป ต่อมา ฉันจึงส่งเธอไปโรงพยาบาล ก็กลัวว่าคุณจะคิดมาก ฉะนั้นเลย……”

ฉะนั้น เลยให้คนบอกเธอว่า เขาประชุมอยู่ใช่ไหม? ดังนั้น เดิมทีเธอไม่ได้มองรถพลาดไป แต่ที่แท้เป็นเขาไม่ได้อยู่ที่บริษัทใช่ไหม?

เล่อจยาสัมผัสได้ถึงความสุขเมื่อครู่นี้ ในตอนนี้ มันหายไปอย่างสิ้นเชิง เธอพยายามทำให้หัวใจที่ระรัวราวกับกลองของเธอสงบลง แล้วมองเกาไห่ “เกาไห่ พื้นดีๆ จะมีน้ำได้อย่างไรล่ะ? คุณไม่สงสัยเลยเหรอ น่าจะไม่ใช่เรื่องบังเอิญหรือเปล่า? ”

“เล่อจยา……” เกาไห่พูดทั้งชื่อแซ่เล่อจยา ในน้ำเสียงมีการตำหนิ

เล่อจยากะพริบตาปริบๆ คิดว่าตนเองฟังผิด

เธอขยี้ๆ ตาที่ขมขื่น “ก่อนหน้านี้ คุณเห็นชัดแล้วไม่ใช่เหรอว่าเธอเดินได้แล้ว? สามี น้องสาวของคุณ เป็นผู้หญิงที่เจ้าเล่ห์มากจริงๆ ที่เธอทำสิ่งเหล่านี้ ก็แค่ต้องการแย่งคุณไปจากฉัน”

เกาไห่มองเธอด้วยสายตาเย็นชาอย่างมาก “คุณคิดว่ามันคุ้มค่าเหรอที่เธอจะใช้สองขาของตัวเองเพื่อมาแย่งฉันไป? ” พูดจบ ก็ลุกขึ้นยืน สองมือล้วงกระเป๋า มองออกไปอีกด้านหนึ่ง

เกาไห่ทำอย่างนี้ ทำให้เล่อจยานิ่งไปชั่วขณะหนึ่ง เธอตกตะลึงไปครู่หนึ่ง แล้วจึงคว้ากระเป๋าข้างๆ ลุกขึ้นยืน “โอเค เช่นนั้นคุณก็ไปดูเธอเถอะ ฉันจะไปเองคนเดียว”

เราเข้าใจเธอผิดแล้ว ก่อนหน้านี้ขาเธอสามารถเดินได้ก็จริง แต่นั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นในไม่กี่วัน เรื่องนี้ ฉันยังตั้งใจไปโรงพยาบาลเพื่อถามหมอโดยเฉพาะ เธอต้องการจะไปเที่ยว ฉะนั้นเลยไม่ทันได้อธิบายกับเรา อีกอย่าง เมื่อวานตอนเย็น เธอไปหาฉันเพื่อลาออก บอกว่าไม่อยากให้คุณเข้าใจเธอผิด สรุปคือตอนที่ออกมา พื้นมันลื่น จนฉันเกือบจะตกลงไป เธอเลยผลักฉันออก แล้วเป็นเธอตกลงไปเอง เธอล้มลงไปทำให้ขาหักอีกครั้ง” พูดถึงตรงนี้ในแววตาเกาไห่ก็มีความเสียใจ

เล่อจยาได้ยิน ก็หัวเราะ “หึหึ บังเอิญจริงๆ เลย ก่อนหน้านี้เธอเพิ่งจะย้ายออกจากบ้านเราไป หลังจากหายสาบสูญไป  ดังนั้น จึงจงใจไปลาออก และจงใจ……”

“เล่อจยา คุณเข้าใจเธอผิดเกินไปแล้วหรือเปล่า คุณคิดว่าเธอทำให้ขาหักเพื่อฉันเหรอ? ” เสียงของเกาไห่สูงขึ้นเล็กน้อย

เล่อจยามองเขา เหมือนกับมองคนแปลกหน้าคนหนึ่ง เธอค่อยๆ พูดว่า *เพื่อคนที่ตัวเองชอบแล้ว จะล้มจนขาหักอย่างไร แม้ว่าฉันจะต้องเอาชีวิตเข้าแลก ไม่แน่ว่าฉันก็อาจจะเต็มใจ”

เกาไห่ลูบหน้าผาก “จยาจยา คุณคิดว่าความคิดของคุณมันไม่เกินไปหน่อยเหรอ? ”

คิดเหมือนกันเหรอ? เล่อจยามองเกาไห่ “คุณคิดว่าฉันคิดอะไร? ”

สีหน้าของเกาไห่ไม่น่าดูเล็กน้อย “จยาจยา เรื่องบางเรื่อง เดิมทีฉันไม่ได้อยากที่จะพูดอยู่แล้ว แต่ในเมื่อคุณดึงดันแบบนี้ ฉันก็จำเป็นที่จะต้องบอกคุณ”

“คุณรู้ไหมว่าทำไมจู่ๆ ไห่ยุ่นถึงย้ายออกไปจากบ้านของพวกเรา? ”

เล่อจยาชำเลืองมองเขา “ฉันจะรู้ได้อย่างไร? ”

“ก็เพราะเพื่อนที่แสนดีของคุณมาบอกกับเธอถึงบ้าน ไห่ยุ่นกลัวว่าคุณจะเข้าใจผิด จึงย้ายออกไปอย่างไม่มีทางเลี่ยง” พูดถึงตรงนี้ เกาไห่ก็กุมหน้าผาก เข้าไปดึงมือของเล่อจยา “ฉันรู้ว่า เธอทำไปเพราะหวังดีต่อคุณ ดังนั้น ฉันจึงไม่ได้โกรธเธอ แต่จยาจยา ฉันไม่ปรารถนา ให้คุณเข้าใจไห่ยุ่นผิดอีก แบบนี้ มันช่างไม่ยุติธรรมกับเธอเลย”

ความร้อนผ่าวของฝ่ามือ ส่งกระจายไปยังหัวใจ แต่กลับกลายเป็นความเจ็บปวด เล่อจยาแปลกใจอย่างมาก คาดไม่ถึงว่าซูหย่าจะมาหาไห่ยุ่นเพื่อเธอ แต่เธอก็ไม่ได้โกรธ เพราะเธอรู้ดีว่า ที่ซูหย่าทำแบบนี้ ล้วนหวังดีต่อเธอ

“เธอก็แค่ทำในเรื่องที่ฉันอยากจะทำก็เท่านั้น ฉันต้องขอบคุณเธอ” เธอมองเกาไห่ พูดออกมาทีละคำๆ

เธอเห็นชัดเจนว่าใบหน้าของเกาไห่มืดมนลงโดยสิ้นเชิง

ห้องทำงานที่โล่งกว้าง.เงียบสงัดลงในทันที

ขณะที่เล่อจยาคิดว่าเกาไห่คงไม่พูดอะไร ก็มีเสียงที่เคร่งขรึมของผู้ชายดังขึ้นข้างหู

“เล่อจยา ฉันคงรู้จักคุณน้อยเกินไปจริงๆ ”

พูดจบ ก็หยิบเสื้อโค้ตที่อยู่ข้างตัวขึ้นมา แล้วเดินออกจากห้องทำงานไป

รู้จักเธอน้อยเกินไปจริงๆ? ประโยคนี้หมายความว่าอะไร? เกาไห่ คุณไม่ต้องการฉันแล้วใช่ไหม?

เล่อจยายืนทึ่มทื่ออยู่กับที่ นึกถึงว่าเกาไห่ไม่ต้องการเธอแล้ว ในทันที ก็หวาดผวา เธอรีบไล่ตามออกไป พอดีเห็นเกาไห่กับเสี่ยวตงเดินเข้าลิฟต์ไป

เธอก็รีบไปกดลิฟต์ แต่ทำได้เพียงมองตัวเลขของลิฟต์ที่ลดลง

ทันที เธอก็ร้อนใจ เปิดประตูทางออกฉุกเฉินที่อยู่ด้านข้าง วิ่งลงมาทางบันได เมื่อลงมาถึงชั้นใต้ดิน รองเท้าส้นสูงก็ถืออยู่ในมือ ผมเผ้ายุ่งเหยิง เพราะร้องไห้ หน้าตาที่แต่งไว้ก็เลอะเทอะ

แต่เพียงแค่เห็นไฟท้ายรถคันนั้น

เกาไห่ไปแล้ว….เขาไม่ต้องการเธอแล้ว เล่อจยานั่งยองๆ ลงกับพื้น มือทั้งสองกุมศีรษะ

เมื่อซูหย่ารีบเข้ามา เล่อจยาก็นั่งอยู่บนพื้นที่ชั้นใต้ดิน

“เกิดอะไรขึ้น? ”

เล่อจยามองซูหย่า “คุณ…คุณมาได้อย่างไร? ”

ซูหย่าขมวดคิ้ว “ก็คุณโทรหาฉันไม่ใช่เหรอ? ”

“ฉัน….ฉันคงจะเป็นบ้าไปแล้ว คุณตั้งท้องลูกอยู่ ฉันจะให้คุณมาได้อย่างไร? ”

ซูหย่านั่งยองๆ ลงตรงหน้าของเธอ จับใบหน้าของเธอ “บอกฉันซิ ตกลงมันเกิดอะไรขึ้น? ”

ตกลงมันเกิดอะไรขึ้น? เล่อจยาก็ต้องถามตนเอง ชัดเจนว่าก่อนหน้านี้ก็ยังดีอยู่ ชั่วพริบตา ก็กลายเป็นแบบนี้ไปแล้ว

“คุณรีบลุกขึ้นยืนเถอะ อย่านั่งยองๆ แบบนี้เลย” พูดพลาง เล่อจยาก็ลุกขึ้น แล้วประคองซูหย่าลุกขึ้น

แต่ซูหย่าสะบัดมือของเธอออก “คุณบอกมาก่อน ว่าตกลงมันเกิดอะไรขึ้น? ” เสียงที่สูงขึ้นในทันใด ดึงดูดให้คนจำนวนไม่น้อยหันกลับมามอง

“คุณไม่สมควรที่จะเรียกสองคำนี้” น้ำเสียงเย็นชาส่งออกมา

เล่อจยาหมุนถ้วยในมือ ชั่วขณะสีหน้าก็อึดอัดใจ “คุณพูดจาให้มันปกติได้ไหม”

เซียวอู๋ได้ยินก็เงยหน้ามองเล่อจยา “ปกติ คุณคิดว่าคนคนหนึ่งที่ถูกบังคับให้แต่งงาน จะถือว่าเป็นเรื่องปกติได้อย่างไร? ‘

“เธอมีศักดิ์ศรีขนาดนั้น เธอก็ไม่กลัวจะเอาพิมเสนมาแลกกับเกลืออย่างฉันเหรอ? ”

แววตาที่โหดเหี้ยมของเขาเล่อจยาอดไม่ได้ที่จะตัวสั่น เซียวอู๋ทำอย่างนี้เธอไม่คุ้นเคยอย่างมาก

“เสี่ยวอู๋ ซูหย่าเธอกำลังตั้งท้องลูกของคุณ คุณไม่เห็นแก่เด็ก……”

“ไม่เห็น” เซียวอู๋ไม่รอให้เธอพูดจบ พูดตัดบทเธอเลย

เล่อจยาสูดลมหายใจ “อันที่จริงคุณยังไม่เคยรู้จักเธออย่างถ่องแท้เลย คุณก็ตัดสินชี้ขาดว่าไม่ชอบเธอแล้วเหรอ? ”

“เช่นนั้นคุณก็ไม่ได้รู้จักฉันอย่างถ่องแท้เหมือนกัน แล้วคุณจะตัดสินได้อย่างไรว่าคุณไม่ได้รักฉัน? ” เซียวอู๋พูดจบก็ยื่นมือออกมาจับมือของเล่อจยาไว้ “จยาจยา ฉันมีวันนี้ ทั้งหมดนี้ก็เพราะคุณ เพราะคุณบอกว่าชอบทหาร ฉันเลยเดินเส้นทางนี้ แต่คุณล่ะ? ”

เล่อจยาอยากจะดึงมือตัวเองกลับ แต่เซียวอู๋ไม่ยอมปล่อย

“คุณไม่ได้อยากให้ฉันลงมือใช่ไหม? ” สีหน้าเธอเคร่งขรึมลง

“ตอนนี้คุณอาจจะไม่สามารถเอาชนะฉันได้” ชายคนนั้นยกยิ้มขึ้น

เล่อจยากัดริมฝีปากล่าง ผ่านไปสักพัก เธอก็มองชายตรงหน้า “คุณบอกว่าคุณชอบฉัน? เซียวอู๋ ท้ายที่สุดแล้วคุณโกหกฉันหรือโกหกตัวเองกันแน่? ” หลายปีมานี้ถ้าคุณชอบฉันจริงๆ ตั้งแต่จบมัธยมปลายมาจนถึงปัจจุบัน ก็สิบปีแล้ว แต่คุณไม่เคยตามหาฉันเลย คุณอย่าบอกนะว่าหาไม่เจอ ด้วยอำนาจและอิทธิพลของครอบครัวพวกคุณแล้ว คิดอยากจะหาใครสักคนนั้นมันเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่คุณก็ไม่ตามหา มันพิสูจน์ว่าอะไร? พิสูจน์ว่าคุณก็แค่หาข้ออ้างให้ไปในที่ที่เป็นอยู่ทุกวันนี้เท่านั้น”

เธอพูดจบ เธอก็สังเกตเห็นสีหน้าของเซียวอู๋เปลี่ยนไปเล็กน้อย ในใจก็ใจ ดูเหมือนว่าเธอจะเดาถูก

อันที่จริง ตั้งแต่หลังจากเซียวอู๋บอกว่าชอบเธอ เธอก็คิดว่ามันไร้สาระมาตลอด รักคนคนหนึ่งมาสิบปี ก็ไม่ได้เกินจริงหรอก แต่ว่าสิบปีนี้ไม่เคยถามไถ่เลย แล้วจะมาบอกว่าตนเองชอบมาเป็นสิบปีแล้ว ก็ไม่สมเหตุสมผล

“อีกอย่าง คุณอาจจะไม่รู้ ที่ฉันแต่งงานกับเกาไห่ ก็เพียงแต่เป็นเรื่องของช่วงเวลานี้ ถ้าคุณมีใจให้ฉันจริงๆ คุณจะไม่ปล่อยให้ผู้หญิงที่ชอบเดียวดายมาสิบปีหรอก ฉะนั้น เซียวอู๋ คุณอย่าโกหกตัวเอง อย่าใช้ฉันเป็นข้ออ้างอีกต่อไปเลย ซูหย่าอาจจะไม่สมบูรณ์แบบ แต่หงส์เข้าฝูงหงส์ ถ้าคุณยอมรับฉันได้ เธอคือเพื่อนที่ดีที่สุดของฉัน แน่นอนว่าจะไม่ทำให้คุณผิดหวัง ยิ่งไปกว่านั้น เธอเก่งกว่าฉันในทุกๆ ด้าน” พูดถึงตรงนี้ เล่อจยาก็จิบกาแฟหนึ่งอึก

“ฉันขอร้องคุณล่ะ ให้โอกาสเธอสักครั้ง ถ้าเธอต้องเสียใจเพราะคุณ เซียวอู๋ ฉันจะเกลียดคุณ”

“เอาล่ะ คุณคิดเอาเองแล้วกัน ฉันไปก่อน” ครั้งนี้ เล่อจยาดึงแขนกลับมาได้อย่างสบาย

เธอไม่รอให้เซียวอู๋ตอบกลับ แล้วก็ไม่อยากรอด้วย

ออกจากร้านกาแฟไป เธอก็หยิบมือถือออกมาโทร เขาไม่ได้รักฉัน รักคนคนหนึ่ง ไม่สามารถทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้มาเป็นสิบปีได้ เหมือนฉันกับเกาไห่ แต่ไหนแต่ไรฉันไม่เคยดูข่าวการเงิน ไม่เคยชอบซุบซิบนินทา แต่ว่าไม่เคยปล่อยให้เขาหายไปเลย ในสองสามปีนั้นที่เขาหายไป ฉันใช้ชีวิตอย่างเจ็บปวดทรมานมาก คุณก็เห็น แต่เซียวอู๋บอกว่าเขารักฉันมาสิบปี หลายปีมานี้คุณก็เห็นแล้ว ว่าเขาเคยตามหาฉันไหม? ถ้าไม่ใช่เกาไห่ ฉันคงแต่งงานกับชายอ้วนคนนั้นไปแล้ว นี่คือความรักเหรอ? เขาไร้สาระ”

สายทางด้านนั้น เงียบตลอด

“ซูหย่า คุณฟังฉันอยู่ไหม? ”

“ขอบคุณนะ จยาจยา” ซูหย่าพูดออกมา เล่อจยาก็ฟังออก เธอร้องไห้

นิสัยที่ไม่สนใจไยดีของซูหย่า ยังสามารถทำให้เธออารมณ์แปรปรวนได้ขนาดนี้ จริงก็เพราะเซียวอู๋ “เอาล่ะ อย่าร้องไห้เลย หมอไม่ได้บอกเหรอ ว่าสามเดือนแรก อารมณ์เป็นสิ่งสำคัญมาก”

“ตื๊ดๆ …..” มีอีกสายหนึ่งโทรเข้ามา

เล่อจยาดู คือคุณอารอง

“เสี่ยวหย่า ฉันต้องวางสายก่อน คุณดูแลตัวเองให้ดีๆนะ เดี๋ยวเราค่อยติดต่อกันอีกที”

“ฮัลโหล คุณอารอง”

“จยาจยา พรุ่งนี้ คุณและเสี่ยวไห่ เข้ามาเช้าๆ หน่อยนะ เดี๋ยวจะให้เสี่ยวอวี๋ส่งที่อยู่ไปให้คุณ”

เล่อจยานิ่งอึ้งไปเล็กน้อย ใช่แล้ว พรุ่งนี้เล่อเสี่ยวอวี๋แต่งงาน เธอลืมไปเลย “อื้ม โอเคค่ะ คุณอารอง”

มือถือเพิ่งจะวางสาย ข้อความก็ส่งเข้ามา เล่อจยากดเปิดดู เป็นแถวบ้านของเซียวอู๋ เป็นสถานที่ที่ไปเป็นเพื่อนซูหย่านัดดูตัวครั้งที่แล้ว

ค่าใช้จ่ายของโรงแรมนั้นนับว่าไม่ถูกเลย มิน่าล่ะวันนั้นอาสะใภ้รองถึงได้อวดดีแบบนั้น ดูท่า อีกฝ่ายจะชาติตระกูลไม่เลวจริงๆ

โทรศัพท์ไปหาเกาไห่ พอรับสาย เธอก็เอ่ยปากถามโดยตรงเลยว่า: “คุณยังทำงานอยู่หรือเปล่า? ”

“สวัสดีค่ะ ประธานเกากำลังประชุมอยู่ อีกสักครู่รบกวนคุณโทรมาใหม่นะคะ” เสียงพูดนั้นเป็นเสียงผู้หญิง เล่อจยานิ่งอึ้งไป แล้วจึงพยักหน้า “โอเคค่ะ”

พอวางสาย เล่อจยาก็เดินทางไปยังบริษัทของเกาไห่ ที่อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล เดินทางประมาณสี่สิบกว่านาที

เมื่อมาถึงชั้นล่างของบริษัท เล่อจยาหาเก้าอี้ข้างๆ ทางเพื่อนั่งลง

แต่รอจนคนเดินไปเดินมาน้อยลงแล้ว ก็ยังไม่เห็นเกาไห่ออกมา คิดๆแล้ว เธอก็โทรศัพท์ไปหาเขา

พอสัญญาณโทรศัพท์ดังก็ถูกกดรับ

“ฮัลโหล….” เสียงของเกาไห่

“สามี คุณยังประชุมไม่เสร็จเหรอ? ”

เกาไห่ขมวดคิ้ว กดปลดล็อกลายนิ้วมือ “ฉันอยู่บ้านแล้ว…..” เปิดประตู เห็นว่าไม่มีรองเท้าแตะคู่นั้น “คุณไม่อยู่บ้านเหรอ? ”

เล่อจยาน้อยใจเล็กน้อย “ฉันมารอคุณอยู่ที่หน้าทางเข้าบริษัทคุณ ทำไมถึงไม่เห็นคุณออกมาล่ะ? ”

เกาไห่นิ่งอึ้งไปเล็กน้อย “คุณรอฉันอยู่ที่นั่นนะ ฉันจะไปรับคุณ” พูดพลาง ปิดประตู

“คุณได้ใช่กำลังประชุมอยู่เหรอ? ทำไมไม่เห็นคุณออกมาเลยล่ะ? ”

เกาเดินเข้าไป โอบกอดเธอ “ฉันขับรถออกมาจากที่จอดรถโดยตรง อาจจะไม่ได้สังเกตเห็นคุณ”

“แล้วผู้หญิงที่รับสายคนนั้น เป็นใคร? ” เล่อจยาจ้องมองใบหน้าเกาไห่ ไม่ทิ้งร่องรอยการแสดงออกแม้แต่น้อย

“เลขาฯ ”

“จริงเหรอ? ”

เกาไห่หันหน้าไปมอง ยิ้มมุมปาก หยิกที่บนแก้มของเล่อจยาเล็กน้อย “อย่าคิดมากสิ”

เปิดประตูรถให้เธอ “ทำไมวันนี้ถึงอยากมารอฉันที่บริษัทล่ะ? ” ขณะที่พูดจบ เกาไห่ก็เดินอ้อมรถไปยังอีกด้านหนึ่ง แล้วก็เข้ามานั่งในที่นั่งคนขับ

“พรุ่งนี้ ลูกสาวคุณอารองแต่งงาน ต้องการให้พวกเราไปเข้าร่วมงานแต่ง ก่อนหน้านี้ฉันเคยบอกคุณไปแล้ว”

คิดๆแล้ว ก็รีบกล่าวเพิ่มเติมว่า “ถ้าคุณไม่อยากไป ก็ไม่เป็นไร”

เกาไห่ขมวดคิ้ว “อย่ากังวลไปเลย ธาตุแท้ของพวกเขา ฉันเคยเห็นมาแล้ว ญาติพี่น้องของคุณ ฉันไม่หลบหนีหรอก”

วันต่อมา เมื่อเกาไห่ตื่นขึ้นมา ก็ไม่เห็นเงาของเล่อจยาแล้ว ออกมาจากในห้องก็ไม่เจอ

“คุณผู้ชาย คุณเล่อบอกว่า อีกสักครู่จะกลับมา ให้คุณทานอาหารเช้าก่อน”

เกาไห่โทรไปหาเล่อจยา “ไปไหน? ”

เสี่ยวตงมองเกาไห่โดยจิตใต้สำนึก แล้วจึงตอบกลับว่า : “โรงพยาบาลเพิ่งโทรมาบอกว่า ขาของคุณไห่ยุ่นเกิดการอักเสบ ต้องได้รับการผ่าตัดทันที ประธานเกาต้องไปเซ็นชื่อ”

ขาของไห่ยุ่น อักเสบ? ต้องผ่าตัดเหรอ?

เล่อจยาเงยหน้าขึ้นมองเกาไห่ ในแววตาเขาดูสับสนเล็กน้อย ในชั่วพริบตาในใจเล่อจยาก็หม่นหมองลง

ชั่วขณะ ก็นั่งลงบนโซฟา “พูดมาให้ชัดเจนก่อน มิเช่นนั้น ก็ไม่อนุญาตให้ไป”

เกาไห่กัดฟันถลึงตาใส่เสี่ยวตง สูดหายใจเข้าลึกๆ เสี่ยวตงก้มหน้าลง เขารู้ว่าวันนี้ตนเองสร้างเรื่องวุ่นวายชึ้นแล้ว

“จยาจยา มิเช่นนั้น ฉันจะให้เสี่ยวตงไปส่งคุณก่อน รอเรื่องทางด้านนี้เสร็จแล้ว ฉันจะรีบไปทันที คุณว่าอย่างไร? ” เกาไห่เดินไปสองสามก้าวนั่งลงตรงหน้าเล่อจยา จับมือเธอ แล้วปรึกษาหารือกับเธอ

เล่อจยาขมวดคิ้ว “ท้ายที่สุดแล้วมันเกิดอะไรขึ้น? ”

“ขาเธอไม่ค่อยดีนิดหน่อย”

“เห็นได้ชัดว่าขาเธอไม่มีปัญหาไม่ใช่เหรอ? ” เล่อจยาพูดย้อนกลับ

“เมื่อวานตอนเย็นมาช่วยฉัน ก็เลยหกล้ม! ”

“เมื่อวานตอนเย็น? ช่วยคุณ? แต่เมื่อวานตอนเย็นคุณบอกว่าประชุมอยู่ไม่ใช่เหรอ? ” เล่อจยาพบว่าปากของตัวเองสั่นเทาเล็กน้อย

“เธอไปหาฉันเพื่อลาออก ตอนที่ออกมา พอดีมีน้ำอยู่ตรงบันไดในห้องโถงใหญ่ เท้าฉันเลยลื่น เธอจึงช่วยฉัน เลยหกล้มลงไป ต่อมา ฉันจึงส่งเธอไปโรงพยาบาล ก็กลัวว่าคุณจะคิดมาก ฉะนั้นเลย……”

ฉะนั้น เลยให้คนบอกเธอว่า เขาประชุมอยู่ใช่ไหม? ดังนั้น เดิมทีเธอไม่ได้มองรถพลาดไป แต่ที่แท้เป็นเขาไม่ได้อยู่ที่บริษัทใช่ไหม?

เล่อจยาสัมผัสได้ถึงความสุขเมื่อครู่นี้ ในตอนนี้ มันหายไปอย่างสิ้นเชิง เธอพยายามทำให้หัวใจที่ระรัวราวกับกลองของเธอสงบลง แล้วมองเกาไห่ “เกาไห่ พื้นดีๆ จะมีน้ำได้อย่างไรล่ะ? คุณไม่สงสัยเลยเหรอ น่าจะไม่ใช่เรื่องบังเอิญหรือเปล่า? ”

“เล่อจยา……” เกาไห่พูดทั้งชื่อแซ่เล่อจยา ในน้ำเสียงมีการตำหนิ

เล่อจยากะพริบตาปริบๆ คิดว่าตนเองฟังผิด

เธอขยี้ๆ ตาที่ขมขื่น “ก่อนหน้านี้ คุณเห็นชัดแล้วไม่ใช่เหรอว่าเธอเดินได้แล้ว? สามี น้องสาวของคุณ เป็นผู้หญิงที่เจ้าเล่ห์มากจริงๆ ที่เธอทำสิ่งเหล่านี้ ก็แค่ต้องการแย่งคุณไปจากฉัน”

เกาไห่มองเธอด้วยสายตาเย็นชาอย่างมาก “คุณคิดว่ามันคุ้มค่าเหรอที่เธอจะใช้สองขาของตัวเองเพื่อมาแย่งฉันไป? ” พูดจบ ก็ลุกขึ้นยืน สองมือล้วงกระเป๋า มองออกไปอีกด้านหนึ่ง

เกาไห่ทำอย่างนี้ ทำให้เล่อจยานิ่งไปชั่วขณะหนึ่ง เธอตกตะลึงไปครู่หนึ่ง แล้วจึงคว้ากระเป๋าข้างๆ ลุกขึ้นยืน “โอเค เช่นนั้นคุณก็ไปดูเธอเถอะ ฉันจะไปเองคนเดียว”

เราเข้าใจเธอผิดแล้ว ก่อนหน้านี้ขาเธอสามารถเดินได้ก็จริง แต่นั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นในไม่กี่วัน เรื่องนี้ ฉันยังตั้งใจไปโรงพยาบาลเพื่อถามหมอโดยเฉพาะ เธอต้องการจะไปเที่ยว ฉะนั้นเลยไม่ทันได้อธิบายกับเรา อีกอย่าง เมื่อวานตอนเย็น เธอไปหาฉันเพื่อลาออก บอกว่าไม่อยากให้คุณเข้าใจเธอผิด สรุปคือตอนที่ออกมา พื้นมันลื่น จนฉันเกือบจะตกลงไป เธอเลยผลักฉันออก แล้วเป็นเธอตกลงไปเอง เธอล้มลงไปทำให้ขาหักอีกครั้ง” พูดถึงตรงนี้ในแววตาเกาไห่ก็มีความเสียใจ

เล่อจยาได้ยิน ก็หัวเราะ “หึหึ บังเอิญจริงๆ เลย ก่อนหน้านี้เธอเพิ่งจะย้ายออกจากบ้านเราไป หลังจากหายสาบสูญไป ดังนั้น จึงจงใจไปลาออก และจงใจ……”

“เล่อจยา คุณเข้าใจเธอผิดเกินไปแล้วหรือเปล่า คุณคิดว่าเธอทำให้ขาหักเพื่อฉันเหรอ? ” เสียงของเกาไห่สูงขึ้นเล็กน้อย

เล่อจยามองเขา เหมือนกับมองคนแปลกหน้าคนหนึ่ง เธอค่อยๆ พูดว่า *เพื่อคนที่ตัวเองชอบแล้ว จะล้มจนขาหักอย่างไร แม้ว่าฉันจะต้องเอาชีวิตเข้าแลก ไม่แน่ว่าฉันก็อาจจะเต็มใจ”

เกาไห่ลูบหน้าผาก “จยาจยา คุณคิดว่าความคิดของคุณมันไม่เกินไปหน่อยเหรอ? ”

คิดเหมือนกันเหรอ? เล่อจยามองเกาไห่ “คุณคิดว่าฉันคิดอะไร? ”

สีหน้าของเกาไห่ไม่น่าดูเล็กน้อย “จยาจยา เรื่องบางเรื่อง เดิมทีฉันไม่ได้อยากที่จะพูดอยู่แล้ว แต่ในเมื่อคุณดึงดันแบบนี้ ฉันก็จำเป็นที่จะต้องบอกคุณ”

“คุณรู้ไหมว่าทำไมจู่ๆ ไห่ยุ่นถึงย้ายออกไปจากบ้านของพวกเรา? ”

เล่อจยาชำเลืองมองเขา “ฉันจะรู้ได้อย่างไร? ”

“ก็เพราะเพื่อนที่แสนดีของคุณมาบอกกับเธอถึงบ้าน ไห่ยุ่นกลัวว่าคุณจะเข้าใจผิด จึงย้ายออกไปอย่างไม่มีทางเลี่ยง” พูดถึงตรงนี้ เกาไห่ก็กุมหน้าผาก เข้าไปดึงมือของเล่อจยา “ฉันรู้ว่า เธอทำไปเพราะหวังดีต่อคุณ ดังนั้น ฉันจึงไม่ได้โกรธเธอ แต่จยาจยา ฉันไม่ปรารถนา ให้คุณเข้าใจไห่ยุ่นผิดอีก แบบนี้ มันช่างไม่ยุติธรรมกับเธอเลย”

ความร้อนผ่าวของฝ่ามือ ส่งกระจายไปยังหัวใจ แต่กลับกลายเป็นความเจ็บปวด เล่อจยาแปลกใจอย่างมาก คาดไม่ถึงว่าซูหย่าจะมาหาไห่ยุ่นเพื่อเธอ แต่เธอก็ไม่ได้โกรธ เพราะเธอรู้ดีว่า ที่ซูหย่าทำแบบนี้ ล้วนหวังดีต่อเธอ

“เธอก็แค่ทำในเรื่องที่ฉันอยากจะทำก็เท่านั้น ฉันต้องขอบคุณเธอ” เธอมองเกาไห่ พูดออกมาทีละคำๆ

เธอเห็นชัดเจนว่าใบหน้าของเกาไห่มืดมนลงโดยสิ้นเชิง

ห้องทำงานที่โล่งกว้าง.เงียบสงัดลงในทันที

ขณะที่เล่อจยาคิดว่าเกาไห่คงไม่พูดอะไร ก็มีเสียงที่เคร่งขรึมของผู้ชายดังขึ้นข้างหู

“เล่อจยา ฉันคงรู้จักคุณน้อยเกินไปจริงๆ ”

พูดจบ ก็หยิบเสื้อโค้ตที่อยู่ข้างตัวขึ้นมา แล้วเดินออกจากห้องทำงานไป

รู้จักเธอน้อยเกินไปจริงๆ? ประโยคนี้หมายความว่าอะไร? เกาไห่ คุณไม่ต้องการฉันแล้วใช่ไหม?

เล่อจยายืนทึ่มทื่ออยู่กับที่ นึกถึงว่าเกาไห่ไม่ต้องการเธอแล้ว ในทันที ก็หวาดผวา เธอรีบไล่ตามออกไป พอดีเห็นเกาไห่กับเสี่ยวตงเดินเข้าลิฟต์ไป

เธอก็รีบไปกดลิฟต์ แต่ทำได้เพียงมองตัวเลขของลิฟต์ที่ลดลง

ทันที เธอก็ร้อนใจ เปิดประตูทางออกฉุกเฉินที่อยู่ด้านข้าง วิ่งลงมาทางบันได เมื่อลงมาถึงชั้นใต้ดิน รองเท้าส้นสูงก็ถืออยู่ในมือ ผมเผ้ายุ่งเหยิง เพราะร้องไห้ หน้าตาที่แต่งไว้ก็เลอะเทอะ

แต่เพียงแค่เห็นไฟท้ายรถคันนั้น

เกาไห่ไปแล้ว….เขาไม่ต้องการเธอแล้ว เล่อจยานั่งยองๆ ลงกับพื้น มือทั้งสองกุมศีรษะ

เมื่อซูหย่ารีบเข้ามา เล่อจยาก็นั่งอยู่บนพื้นที่ชั้นใต้ดิน

“เกิดอะไรขึ้น? ”

เล่อจยามองซูหย่า “คุณ…คุณมาได้อย่างไร? ”

ซูหย่าขมวดคิ้ว “ก็คุณโทรหาฉันไม่ใช่เหรอ? ”

“ฉัน….ฉันคงจะเป็นบ้าไปแล้ว คุณตั้งท้องลูกอยู่ ฉันจะให้คุณมาได้อย่างไร? ”

ซูหย่านั่งยองๆ ลงตรงหน้าของเธอ จับใบหน้าของเธอ “บอกฉันซิ ตกลงมันเกิดอะไรขึ้น? ”

ตกลงมันเกิดอะไรขึ้น? เล่อจยาก็ต้องถามตนเอง ชัดเจนว่าก่อนหน้านี้ก็ยังดีอยู่ ชั่วพริบตา ก็กลายเป็นแบบนี้ไปแล้ว

“คุณรีบลุกขึ้นยืนเถอะ อย่านั่งยองๆ แบบนี้เลย” พูดพลาง เล่อจยาก็ลุกขึ้น แล้วประคองซูหย่าลุกขึ้น

แต่ซูหย่าสะบัดมือของเธอออก “คุณบอกมาก่อน ว่าตกลงมันเกิดอะไรขึ้น? ” เสียงที่สูงขึ้นในทันใด ดึงดูดให้คนจำนวนไม่น้อยหันกลับมามอง

“ไม่ได้มีอะไร ฉันจะชวนเขามาทานข้าว เขาเลยถามว่าคุณอยู่ไหม ถ้าอยู่เขาจะมา ไม่อยู่ก็ไม่มา” ซูหย่าขยับชุดน้ำชาบนโต๊ะไปมา แล้วตอบกลับอย่างตรงๆ

เล่อจยาขมวดคิ้ว เงยหน้าขึ้นมองเซียวอู๋ พอดีกับที่เขามองเธอพอดี สายตาประสานกัน คนหนึ่งอ่อนโยน คนหนึ่งค้อนตาหลับตาเหลือก

“ในสมองคุณเป็นโพรงหรือไง? คุณดูเราสองคนสิ ยังจะตาบอดเลือกฉันอีกเหรอ? ” เห็นเซียวอู๋ยังคงดื่มชาอย่างไม่ใส่ใจ ก็โกรธอย่างมาก โค้งตัวไปแย่งถ้วยชาจากในมือเขา “ชาไม่ต้องดื่มแล้ว พูดมา”

เซียวอู๋มองมือที่ว่างเปล่า ดึงกระดาษทิชชูเช็ดน้ำที่หกใส่หลังมือ สองมือประสานกัน ก้มหน้าลง สายตามองระหว่างคนทั้งสองไปมา

“เธอ อันที่จริงสวยกว่าคุณ”

ซูหย่าเงยหน้าขึ้นมองเซียวอู๋ทันที

“แต่ว่าสวยกว่าคุณมีเกลื่อนกลาดไป เกาไห่คนนั้นก็เลือกคุณ? คุณหมายความว่าสายตาฉันแย่กว่าเขาใช่ไหม? ”

เล่อจยาอ้าปากค้าง นี่มันอะไรกัน? พูดไปพูดมา ทำไมถึงพูดถึงเกาไห่ได้? ”

คิดๆ แล้วเธอก็ลุกขึ้นยืน ดึงซูหย่า “ไปๆๆ กับเขาคนนี้จนปัญญาที่จะพูดแล้ว สูญเสียคุณไป ก็ให้เขารอความเสียใจได้เลย”

เพียงแต่เธอดึงอยู่นาน ซูหย่าก็ไม่ไหวติง

หันกลับมาก็เห็นซูหย่ามองเซียวอู๋ทั้งน้ำตา “ไม่ว่าฉันจะทำอะไร ฉันจะพยายามอย่างไร คุณก็จะไม่สามารถชอบฉันได้ใช่ไหม? ”

“รู้แล้ว คุณก็ยังจะถาม! ”

เมื่อเห็นสีหน้าท่าทางเฉยเมยของเซียวอู๋ เล่อจยาก็โกรธถึงขีดสุด หยิบแก้วน้ำบนโต๊ะขึ้นมา คิดจะสาดไปที่เขา แต่ถูกซูหย่ารับมาดื่มรวดเดียวหมด

“เหรอ? เช่นนั้นก็แต่งงานกันเถอะ ในเมื่อไม่ได้ใจคุณ ได้ตัวคุณก็ไม่เลว” พูดจบ ก็ดึงเล่อจยาออกไป

เล่อจยาเห็นการแสดงออกของซูหย่าไม่เหมือนการล้อเล่น จึงดึงเธอไว้ “เสี่ยวหย่า ที่คุณพูดเมื่อกี้ ล้อเล่นใช่ไหม? ”

ซูหย่ามองเธอ หยิบมือถือออกมา กดโทรออกไป

“พ่อ ฉันท้อง ท้องกับเซียวอู๋ ฉันต้องการแต่งงาน” เธอพูดอย่างรวดเร็วมาก พูดจบก็วางสายไป

เล่อจยาตกตะลึง แย่งมือถือในมือเธอมา ตะคอกเสียงดังว่า : “ซูหย่า คุณประสาทหรือเปล่า คุณเป็นบ้าไปแล้วเหรอ? ”

ซูหย่าหันกลับไปมองร้านอาหารด้านหลัง พูดพึมพำกับตนเอง : “ถ้าต้องอยู่คนเดียวไปจนแก่ เลี้ยงเขาไว้ให้เป็นบุญตาข้างๆ จะดีกว่า”

“ก่อนหน้านี้ เราไม่ได้คุณกันไว้ดีแล้วเหรอ? คุณ……ทำไมคุณถึงเปลี่ยนไป? ”

ซูหย่าสูดลมหายใจเข้า “ไปกันเถอะ ไปเป็นเพื่อนฉันดุของสำหรับเด็กเถอะ บางทีพรุ่งนี้อาจจะไม่สะดวกออกมา”

เล่อจยาไม่เข้าใจ เธอจึงเข้าใจความหมายของซูหย่า

ตระกูลซูกับตระกูลเซียว ในเมืองCทั้งหมดเป็นวงศ์ตระกูลที่มีชื่อเสียง มีอิทธิพลมีอำนาจแล้วก็ร่ำรวย การเกี่ยวดองกันของสองตระกูลนี้ ทำให้หลายๆ คนตื่นเต้นอย่างมาก ซึ่งหมายความว่าทั้งสองอยู่ที่เมืองC ในอนาคต อำนาจและอิทธิพลที่มีจะไม่สามารถสั่นคลอนได้

เธอเห็นข่าว ก็โทรหาซูหย่า แต่ว่าปิดเครื่อง ส่งวีแชตไปหาเธอ เธอก็ไม่ได้ตอบกลับ

จึงกังวลใจกับสถานการณ์ของเธอเล็กน้อย เธอให้เกาไห่พาเธอไปส่งที่ตระกูลซู เพียงแค่เห็นประตูใหญ่ที่แน่นหนา เธอก็ไม่กล้าลงจากรถ

ซูหย่าน่าจะลำบากใจ” เธอถามเกาไห่

“ในครอบครัวอย่างพวกเขานี้ ถึงท้ายที่สุดแล้ว ได้แต่ประนีประนอม อำนาจและชื่อเสียงทางการเมืองของตระกูลซูมีค่อนข้างมาก ถึงแม้ว่าตระกูลเซียวจะมีอำนาจทางทหารที่แข็งแกร่ง แต่ว่าใครๆ ก็รู้ ว่าทหารกับการเมืองแยกกันไม่ได้ ต่างคนต่างอยากพัฒนาอาณาจักรของตนเองให้ดียิ่งขึ้น การเกี่ยวดองกันเช่นนี้จึงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย แม้ว่าเซียวอู๋จะต่อต้าน แต่ไม่ซีกจะไปงัดไม้ซุงได้อย่างไร”

เล่อจยามองเกาไห่ แล้วเคลื่อนสายตาไปที่กลุ่มคนเหล่านั้น ขมวดคิ้วแน่น จะเอาไม้ซีกไปงัดไม้ซุกได้อย่างไร?

แต่ว่า ถึงแม้จะงัดไม้ซุงไม่ได้ เซียวอู๋ก็ยังงัดซูหย่าไม่ได้เหรอ?

เกรงว่าการบังคับให้แต่งงานครั้งนี้ ที่ซูหย่ารอคอยมา จะได้รับการปฏิบัติอย่างไร้น้ำใจจากเซียวอู๋

“เรื่องราวมาถึงสถานภาพนี้แล้ว ก็ไม่มีทางหนีทีไล่แล้ว ปัญหาตอนนี้ไม่ได้มีเพียงแค่เรื่องของพวกเขาทั้งสองคนแล้ว” เกาไห่มองออกถึงความกังวลใจของเล่อจยา จึงเอ่ยปาก

เพราะเรื่องของซูหย่าและเซียวอู๋ ตลอดทั้งวัน เล่อจยาก็สภาพไม่ค่อยดีเล็กน้อย

หลายปีมานี้ ที่ซูหย่าปฏิบัติต่อตนเอง ไม่ว่าจะช่วยเหลือทางอารมณ์ความรู้สึกหรือทางการเงิน จะใช้เพียงเพียงคำว่าเพื่อนมาอธิบาย ก็คงจะน้อยเกินไป ควรใช้คำว่าพี่สาวน้องสาวจะดีกว่า

แต่เซียวอู๋ ความทรงจำเมื่อสามปีนั้น ถึงแม้จะค่อยๆ เลือนราง แต่เธอก็ยังคงหวังว่า เขาจะสามารถมีความสุข และไม่ต้องฝืน

เพียงแต่สองวันต่อมา ยังคงไม่มีข่าวคราวของคนทั้งสอง จนกระทั่งวันที่สาม หน้าจอมือถือแสดงข้อความ มือถือของซูหย่าอยู่ในสภาพปกติแล้ว

เธอจึงรีบต่อสายไป สัญญาณมือถือดังขึ้นสองครั้งก็ถูกกดรับสาย

“เสี่ยวหย่า” เธอเรียกอย่างระมัดระวัง

หลังจากที่อีกฝั่งสายนั้นเงียบอยู่ชั่วขณะ เสียงของซูหย่าก็ดังเข้ามา “จยา งานแต่งกำหนดไว้เดือนหน้า” น้ำเสียงของเธอแหบพร่าจนผิดปกติ

เล่อจยากัดริมฝีปากเล็กน้อย ขอบตาแดง “ฉันสามารถช่วยอะไรคุณได้บ้างไหม? ” เธอรู้ว่าคำปลอบใจมันไร้ประโยชน์ไปแล้ว

“รอตอนฉันหย่าแล้ว ให้ฉันอยู่บ้านคุณแล้วกัน! ”

“ห๊ะ? ” เล่อจยานิ่งอึ้ง ทันทีก็ตอบสนอง “พูดอะไรไร้สาระ ยังไม่ทันแต่งงานเลย ก็คิดจะหย่าแล้วเหรอ ทำไมคุณถึงไม่คิดบ้างว่า เซียวอู๋จะตกหลุมรักคุณ? ”

ซูหย่าถอนหายใจเบาๆ “คุณคิดว่า ผู้ชายบนโลกใบนี้เหมือนเกาไห่ทั้งหมดเหรอ? ”

เล่อจยาไม่พูดจา

“คุณเสียใจเหรอ? ถ้าเสียใจ ก็ลองพูดกับพ่อแม่ดูอีกทีสิ พ่อแม่คุณรักคุณ จะต้อง…..”

“ไม่เสียใจ” ซูหย่าตัดบทคำพูดของเล่อจยาอย่างไม่ลังเล “คนอย่างฉันต้องสู้จนหลังชนฝา”

ใช่ ซูหย่ามีนิสัยแบบนี้จริงๆ ในตอนนั้น เธอไม่ยอมเป็นเพื่อนกับเธอ ในหนึ่งปีนั้น เธอก็พยายามใช้ทุกวิถีทาง ในที่สุดก็ทำให้เธอประทับใจ

แต่ก็ไม่รู้ว่านิสัยแบบนี้ จะใช้ได้ผลกับเซียวอู๋หรือไม่

“อย่างนั้น คุณเอาเบอร์มือถือของเซียวอู๋ มาให้ฉันหน่อยสิ”

“จะทำอะไร? อยากจะเกลี้ยกล่อมเหรอ? ”

“คุณรีบเอามาให้ฉันเถอะ”

ร้านกาแฟชั้นล่างของบริษัท

เซียวอู๋สวมเครื่องแบบทหาร เมื่อเห็นดินที่อยู่บนรองเท้าของเขาแล้ว เขาก็น่าจะเพิ่งกลับมาจากภารกิจ

บุคลิกองอาจห้าวหาญ หน้าตาหล่อเหลาดีเลิศ แม้แต่เล่อจยาที่เห็นใบหน้าของเกาไห่จนชินแล้ว เวลานี้ก็ยังจ้องมองอยู่หลายครั้ง

หยิบมือถือออกมา ถ่ายรูปเขาจากด้านข้าง แล้วส่งไปให้ซูหย่า “มิน่าล่ะถึงสามารถทำให้คุณหนูซูใจเต้นได้ ลองดูพ่อของลูกคุณคนนี้สิ ช่างหล่อเหลาจริงๆ …..”

ข้อความตอบกลับมาอย่างรวดเร็ว “อย่างนั้น พวกเราเปลี่ยนกันไหม? ”

“หยุดเลย! ”

นำกระเป๋าวางบนที่นั่งด้านข้าง เล่อจยามองเซียวอู๋ “เสี่ยวอู๋…..”

เล่อจยาหันกลับมา “ยังมีอะไรอีกเหรอ ?”

ไห่ยุ่นประหลาดใจ “พี่สะใภ้ คุณ………ไม่ได้ทำงานที่บริษัทของลูกพี่ลูกน้องชายแล้ว ?”

เมื่อเธอได้ยิน เธอก็เหลือบมองไปที่เกาไห่และขมวดคิ้ว “ไม่ล่ะ สามีภรรยาทำงานอยู่ที่เดียวกันมันไม่ค่อยดี ความห่างไกลทำให้เกิดความสวยงาม”

อันที่จริงเล่อจยารู้ว่าเกาไห่ไม่อยากให้เธอไปเกากรุ๊ป แน่นอนว่าเขาไม่อยากให้เธอถูกคนนินทา และไม่อยากให้เธอติดต่อกับไห่ยุ่นมากเกินไป

ในบางครั้ง ผู้ชายคนนี้ดูเหมือนจะพูดน้อย แต่ต้องบอกว่า เขาอบอุ่นหัวใจมาก

เมื่อมองดูด้านหลังร่างนั้น ไห่ยุ่นก็ดีใจอยู่ในใจ เกาไห่ไม่อยากให้เล่อจยาทำงานที่บริษัทเดียวกับเขา นี่มันหมายความว่า ตัวเธอเองก็ยังมีโอกาสอีกสักสองสามครั้ง ?

เมื่อมาถึงสำนักงาน ในสำนักงานมีคนเพียงแค่สองสามคน หญิงสาวสวมแว่นตาที่นั่งอยู่ข้างหน้าเธอ เมื่อเห็นเธอเดินมาก็พยักหน้าให้เธอ และกล่าวทักทาย

เล่อจยาไม่ใช่คนที่ชอบดึงคนมาเป็นพวก ดังนั้น สำหรับความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนร่วมงาน เธอจึงสามารถแสดงออกมาแบบพื้นพื้นได้

เธอหยิบภาพวาดในแฟ้มออกมา เธอนั่งบนเก้าอี้ แล้วก็ปรับเปลี่ยน วาดต่อ

“เล่อจยา ข้างนอกมีคนมาหาคุณ”สาวแว่นที่เพิ่งออกไปพร้อมแก้วน้ำชาเรียกเธอ

เธอสงสัยเล็กน้อย เธอมาทำงานที่นี่ ก็มีแค่เกาไห่และซูหย่าเท่านั้นที่รู้

“ผู้ชายหรือว่าผู้หญิง ?” เธอถามออกไป

“ไอดอลหนุ่ม”

ไอดอลหนุ่ม ? เมื่อเธอออกไปเห็นแผ่นหลังนั้น เล่อจยาก็ลูบหน้าผาก

เล่อเหวิน ?

ก้าวไปข้างหน้าอยู่ต่อหน้าเล่อเหวิน เธอกอดอกแล้วถามว่า “คุณมาที่นี่ได้อย่างไร ?”

เล่อเหวินมองมาที่เธอ เธอถอยหนึ่งก้าว เล่อเหวินเข้ามาหนึ่งก้าว จนกระทั่งเธอชนไปที่กำแพง มือทั้งสองเขาจับกำแพง และล้อมเธออยู่ในอ้อมแขน มองดูท่าทางนั้นโดยไม่คลุมเครือ

เล่อจยาขมวดคิ้ว ยกมือขึ้น “คุณกล้าลงมือ อย่าโทษผมที่มารบกวนคุณทุกวัน”

“คุณอยากทำอะไรล่ะ ?”

ชายคนนั้นโน้มตัวลงมา กระซิบที่ข้างหูเธอ “พี่สาว ขอเงินหน่อยสิ”

ในเวลานี้ คนมาทำงานมากขึ้นเรื่อยๆ เล่อเหวินไม่ว่าจะร่างกายหรือความสูง ก็เหมือนกับดาราเกาหลี ดังนั้น การกระทำของเขากับเล่อเหวิน ในขณะนั้น มีหลายคนหันมามอง และชี้พูดคุย

มีสาววัยรุ่นอยู่ไม่น้อย ที่กรีดร้องเรียกอยู่ข้างๆ

เล่อจยากลอกตาขึ้นบน “หมาป่าในคราบแกะ”

“พี่สาว พวกเรเป็นพี่น้องกัน คุณไม่ควรพูดแบบนี้กับผมนะ ?”เล่อเหวินพูดพลางยืดตัวขึ้น จัดระเบียบเสื้อผ้า และหันไปพยักหน้ายิ้มให้กับหญิงสาวที่กรีดร้อง

ซึ่งย่อมมีเสียงกรีดร้องซ้ำแล้วซ้ำเล่า

เล่อจยาสูดลมหายใจ และดึงเล่อเหวินไปที่ห้องพักด้านหลังสำนักงาน “เอาล่ะ คุณรีบพูดมา สรุปแล้วมาทำอะไร ถ้าไม่มีเรื่องอะไรก็ออกไป”

“ให้เงินผมหน่อย”

“ไม่มี”

“ถ้างั้นผมจะไปหาพี่เขย”พูดจบ ก็เดินออกไป

“คุณอยากโดนรุมเหรอ ?”

เล่อเหวินส่ายศีรษะ “ผมไม่อยากโดนรุม แต่ ผมก็ไม่อยากอดอาหาร”

ในขณะนั้นหญิงสาวหน้าหวานก็เดินเข้ามา และเล่อเหวินก็โบกมือให้กับคนคนนั้น

หญิงสาวคนนั้นเอียงศีรษะ มองที่เขา จากนั้นก็กระแทกเข้ากับเสา เล่อจยาอดไม่ได้ที่จะยิ้มหัวเราะออกมา

เล่อเหวินรีบก้าวไปข้างหน้า และหยิบหนังสือที่เด็กสาวคนนั้นทำตกพื้น วางกลับเข้าอ้อมแขนเธอ แล้วลูบศีรษะของเธอ “ไม่เจ็บใช่ไหม ?”

หญิงสาวตกตะลึงอย่างสมบูรณ์ สายตาจับจ้องไปที่เล่อเหวิน

“คุณหยุดทำลายคนอื่นได้ไหม” เล่อจยาเดินเข้ามา

เล่อเหวินมองไปที่หญิงสาว “อย่าเข้าใจผิด นี่คือพี่สาวผม”

“สาวน้อย เขาเป็นหมาป่าในชุดแกะ คุณอย่าหลงกลเขา”เมื่อเล่อจยาพูดจบ ก็หันหลังกลับ โดยไม่สนใจเล่อเหวิน และเดินกลับมาที่สำนักงาน

เป็นเรื่องที่น่าประหลาด เล่อเหวินไม่ได้เดินตามเข้ามา

เธออยู่ในสำนักงาน นั่งอยู่ครู่หนึ่ง เธอกังวลใจ ลุกขึ้น และไปที่ห้องพักผ่อนนั้น แต่ ข้างในนั้นก็ยังมีร่างของเล่อเหวินอยู่

ลองคิดดูแล้ว เธอเลยส่งข้อความหาเล่อเหวิน “ถ้าหากว่าคุณกล้าไปที่บริษัทของพี่เขย ฉันจะไม่เกรงใจคุณแล้ว”

ไม่มีข้อความตอบกลับมา ดังนั้นเล่อจยาเลยโทรศัพท์ไปหาเกาไห่

“โอเค ผมเข้าใจแล้ว คุณตั้งใจทำงานเถอะ เรื่องนี้ปล่อยให้เป็นหน้าที่ผมเอง”

ต่อมา เป็นเวลานานแล้วที่เล่อจยาไม่ได้พบกับเล่อเหวิน เธอเพิ่งรู้ว่า หลังจากวันนั้น เกาไห่ก็ได้แนะนำงานให้กับเล่อเหวิน

“เล่อจยา เมื่อครู่นั้นนั่นคือแฟนของคุณเหรอ ?” ในห้องชา เพื่อนร่วมงานมาล้อมถามเธอ

“ไม่ใช่ น้องชายฉัน”เธอบอกสถานะไปสั้นๆ

หลังจากพูดจบ เสียงวีแชทจากโทรศัพท์ก็ดังขึ้น เป็นเกาไห่ เขาบอกว่าตอนกลางวันมีลูกค้ามาหา และไม่สามารถมาทานข้าวกับเธอได้แล้ว

เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ เธอก็ลงไปร้านอาหารใกล้ใกล้แล้วหาอะไรทาน

เมื่อเธอกลับมา บนโต๊ะก็เต็มไปด้วยกล่องของขวัญ ทำให้เล่อจยาเวียนหัว

“นี่คือ ?”

“ให้คุณเอาไปให้น้องชายของคุณ”

“ห๊ะ ?”

เล่อจยาไม่เคยคิดเลยว่า คำพูดนี้ของเธอ และทำให้เธอลำบากขนาดนี้

และเธอก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่า รูปลักษณ์ที่ดี จะมีประโยขน์มากมายอย่างคาดไม่ถึง

“เล่อจยา ไม่คิดเลยว่า คุณจะมีน้องชายที่หล่อขนาดนี้” เสียงของเฉิงหยวน

เล่อจยาไม่ได้เงยหน้าขึ้น “ทำไม คุณเองก็มีความคิดที่จะเป็นน้องสะใภ้ฉันเหรอ ?”

“คุณก็รู้ ชั่วชีวิตของฉันนี้ จะแต่งงานกับเกาไห่เท่านั้น”

แต่งงานกับเกาไห่ ? ถ้างั้นก็แสดงว่าแต่งงานกับสามีของเธอ ? คำพูดนี้มันฟังแล้วน่าอึดอัดจริงๆ

เล่อจยาเกือบสำลักน้ำลายตัวเองตาย เธอเงยหน้าขึ้น มองไปที่เฉิงหยวน “เขาแต่งงานแล้ว”

เฉิงหยวนมองไปที่เล่อจยา “แต่งกับใคร ?” หลังจากพูดจบ รอยยิ้มก็ปรากฎขึ้นที่มุมปากของเธอ “แต่งกับลูกพี่ลูกน้องหญิงที่พิการของเขา ?”

เล่อจยาหรี่ตา “แต่งกับฉัน”

“เหอะเหอะ…….”เฉิงหยวนหัวเราะเยาะเย้ย “มีแต่คนบอกว่าฉันบ้า ฉันเห็นคุณ คุณบ้าไปแล้วเหรอ ?” เมื่อพูดจบ สีหน้าของเธอก็มืดมนลง “แบบร่างออกแบบแรกส่งให้ฉันภายในสองสามวันนี้ วันวันอย่าคิดแต่อะไรไร้สาระ”

หลังจากพูดจบ ก็หันหลังกลับอย่างเย่อหยิ่ง และเดินกลับไปสำนักงานของตัวเอง

เล่อจยากัดปากและขมวดคิ้ว นี่มันอะไรกัน ? เธอพูดความจริง กลับไม่มีใครเชื่อ………..

เมื่อกำลังจะเลิกงานในตอนเย็น เธอก็ได้ข้อความวีแชทจากซูหย่า ให้เธอไปทานอาหารเย็นที่เดิม

เมื่อคิดว่าเกาไห่ต้องทำงานล่วงเวลา เธอก็ไม่อยากกลับเร็วนัก ดังนั้นเธอจึงตรงไปยังที่ที่ซูหย่านัด

นี่เป็นร้านอาหารที่เป็นจุดเด่นของเมือง C ไม่ใหญ่โต แต่กลับถูกตกแต่งในสไตล์ที่ครบครัน

เมื่อผลักบานประตูเลื่อนออกไป เธอก็มองเห็นเสี่ยวอู๋นั่งอยู่ และเธอก็อยากจะถอยกลับไป

“จยาจยา เข้ามาสิ”

เล่อจยาเพิ่งสังเกตเห็นว่า ซูหย่านั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับโต๊ะ แต่แค่มันอยู่ข้างใน เมื่อครู่เธอเลยไม่ทันสังเกต

อย่างไรก็ตาม เธอไม่เข้าใจซูหย่าเล็กน้อยว่านี่มันหมายความว่าอะไร ?

“เสี่ยวหวู่ คุณยังไม่กลับกองทัพอีกเหรอ ?”

เสี่ยวอู๋เหลือบมองเธอ ก้มศีรษะ จิบชา และไม่ตอบสนองเธอ

นับตั้งแต่นัดบอดครั้งนั้น เสี่ยวอู๋ก็ปฎิบัติกับเธอแบบนี้ตลอด

“มีเรื่องอะไรเหรอ ?” เธอนั่งข้างซูหน่า ดึงข้อมือของเธอ และกระซิบถามเบาๆ

เล่อจยาเม้มปาก นั่งตัวตรง และจุ๊บที่แก้มและริมฝีปากของเกาไห่ โอเค “คุณก็สามารถให้คำแนะนำฉันได้หลายอย่างแล้ว”

เธอก้าวถอย และมองไปที่เกาไห่ด้วยรอยยิ้ม แต่ก็พบว่าดวงตาของชายคนนั้นแดงลงเรื่อยๆ และอดไม่ได้ที่จะกลืนน้ำลาย “หรือไม่ ฉันคิดเองดีกว่าป่ะ ?”

เธอค่อยค่อยดึงกระดาษออกจากมือของเกาไห่ แต่มือของเธอก็ถูกมือใหญ่จับไว้ จากนั้น เขาก็ใช้แรงและเล่อจยาก็ตกลงไปสู่อ้อมกอดของเขา

น้ำเสียงที่แผ่วเบากระซิบข้างหูว่า:“ การพักผ่อนอย่างเหมาะสมนั้น ดีต่อการสร้างแรงบันดาลใจ”

พูดไป มือของเขาก็เข้าไปข้างในเสื้อของหญิงสาว

หนึ่งชั่วโมงต่อมา หญิงสาวสูดลมหายใจ เบ้ปากบ่นว่า “เกาไห่ เจ้าคนบ้า นี่มันผ่อนคลายบ้าอะไรกันเนี่ย ?”

เกาไห่ไม่รำคาญ เขาหยิบเสื้อผ้าของเธอจากพื้นมาช่วยเธอสวม และหลังจากช่วยเธอจัดระเบียบอย่างเรียบง่ายแล้ว เขาก็กอดเล่อจยาไว้ในอ้อมแขนของเขา ถือปากกาและวาดลงบนกระดาษ

นิ้วเรียวของเขาสวยงามมาก และปากกาก็ดูมีจิตวิญญาณ ไม่ว่าเขาจะอยู่ที่ไหน ดอกไม้ก็บานบนกระดาษ

จมูกโด่งสูง ริมฝีปากบาง คิ้วเหมือนดาบปลิวไปในแนวเฉียงของเส้นผมที่หักลงใต้ขมับ ใบหน้าที่หล่อเหลา และโครงหน้าที่ไร้ที่ติ

ผู้ชายที่สมบูรณ์แบบเช่นนี้ ได้กลายเป็นสามีของตัวเองไปแล้ว ความงามที่อยู่ในใจของเล่อจยานั้น เกินคำบรรยาย

ทันใดนั้นชายคนนั้นก็ขมวดคิ้ว หันศีรษะมาจูบที่หน้าผากของเธอ และตำหนิเบาๆ “ถ้ายังไม่ใส่ใจแบบนี้ ผมก็จะไม่สนใจคุณแล้ว”

“ตกลงตกลง ฉันไม่ดูแล้ว คุณต่อเลย”

ขณะที่พูด เขาก็ถอนสายตาและมองไปบนกระดาษแผ่นนั้น จากนั้นเขาก็ประหลาดใจจนหัวเราะกว้างออกมา

ภาพที่เละเทะเมื่อครู่ ในขณะนี้ มันกลายเป็นรูปร่างแล้ว

ความสนุกของเธอ มีประโยชน์มากสำหรับชายคนนี้ เขายกริมฝีปากขึ้น “การจัดภูมิทัศน์ต้นไม้ตามหลักการคือ ลมพัดไป แล้วต้นไม้ก็กันลมไว้ อันก่อนของคุณนั้น มีหลากหลายรูปแบบ ดังนั้น มันจะทำให้คนรู้สึกว่ารก เลอะเทอะ คุณสามารถ จัดเรียงต้นไม้ดอกไม้ตามฤดูกาล และพยายามทำให้มันเย็นในฤดูร้อนและกันลมในฤดูหนาว”

เล่อจยาพยักหน้าซ้ำซ้ำ และยิ่งชื่นชมเกาไห่มากขึ้นไปอีก

เธอหยิบกระดาษภาพวาดมาจากมือของเขา และดูอย่างละเอียด จากนั้น ก็พึมพำกับตัวเองว่า “สามารถใช้ความแตกต่างของระดับความสูงและพื้นที่กระจัดกระจาย เพื่อให้ตรงกับพื้นที่ใช้สอยของพื้นที่คฤหาสน์ และในขณะเดียวกันก็รวมเอาแนวคิดความสงบและธรรมชาติรวมเข้าด้วยกัน คุณคิดว่าความคิดนี้เป็นอย่างไรบ้าง ?”

เกาไห่กำลังลูบหัวของเธอ “อืม ฟังดูไม่เลวเลย ภรรยาของผมนี่เยี่ยมมากจริงๆ”

คำชมของเขา ทำให้เล่อจยาเขินอายเล็กน้อย “เพราอาจารย์ สอนดี”

เช้าวันรุ่งขึ้น

เล่อจยาตื่นจากการเคาะประตู

เมื่อมองไปที่เกาไห่ที่ยังนอนอยู่ข้างข้าง เมื่อคืนเขาทำงานจนดึก

เธอหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูเวลา ยังไม่เจ็ดโมงเช้าเลย เธอมึนงงเล็กน้อย คุณป้ารู้นิสัยของพวกเขาทั้งสองคน ปกติจะไม่เคาะประตู

ด้วยความที่กลัวว่าจะดังจนเกาไห่ตื่น เธอค่อยค่อยยกผ้าห่ม ลุกขึ้น และเดินออกไป

เมื่อมองเห็นไห่ยุ่นที่นั่งอยู่บนรถเข็น เล่อจยาก็หรี่ตาลง และปิดประตูเบาๆ

“ไห่ยุ่น ทำไมคุณถึงมาที่นี่ เช้าขนาดนี้ ? มีเรื่องอะไรรึเปล่า ?” เธอพยายามทำให้อารมณ์ของตัวเองดูสงบ

“ลูกพี่ลูกน้องชายยังไม่ตื่นเหรอ ?”

สายตาของเล่อจยาลดลง แกล้งทำเป็นเขิน “เอ่อ……….เขา เมื่อคืน………..เขาอาจจะเหนื่อยไปหน่อย”

เมื่อพูดจบ เธอก็เห็นสีหน้าของเกาไห่เปลี่ยนไปจากหางตาของเธอ

มุมปากเธอยกขึ้นเล็กน้อย หรือไม่ ฉันช่วยเรียกเขาให้คุณ ?

ไห่ยุ่นส่ายศีรษะ “ไม่ล่ะ ฉันได้ยินมาว่าลูกพี่ลูกน้องชายของฉันตามหาฉันไปทั่ว ฉันออกไปเที่ยวมาสองสามวัน แล้วโทรศัพท์มือถือก็หาย ดังนั้น เลยไม่ได้ติดต่อเขา กลัวว่าเขาจะกังวล ดังนั้น ก็เลยรีบมาหาแต่เช้าเลย”

เล่อจยามองดูเธอด้วยท่าทางที่เกรงใจ และรู้สึกได้ทันทีว่าหายใจไม่ออกและตื่นตะหนก และก็ไม่สะดวกที่จะเปิดเผยตรงๆ

“คุณยังไม่ได้ทานอาหารเช้าใช่ไหม ? ฉันจะให้คุณป้าทำเยอะหน่อย ทานข้าวแล้ว คุณก็ให้ลูกพี่ลูกน้องชายของคุณพาคุณไปบริษัท”

เมื่อไห่ยุ่นเห็นเล่อจยายังคงเหมือนเดิม ปฎิบัติต่อเธอโดยไม่บ่น ปฎิบัติต่อเธอเหมือนเดิม

และคิดว่า เรื่องที่ตัวเองทำก่อนหน้านี้ราบรื่น ใบหน้าของเธอก็ยิ้มแย้มอีกครั้ง

“ขอบคุณค่ะพี่สะใภ้”

“งั้นคุณนั่งก่อน ฉันจะไปเรียกพี่ชายคุณตื่น” พูดจบ เธอก็หันหลัง และเดินเข้าไปในห้อง

จากนั้นไม่นาน ก็มีเสียงหัวเราะดังขึ้นมาจากภายในห้อง ถ้วยชาในมือของไห่ยุ่นสั่นเล็กน้อย

เมื่อเกาไห่ออกมา และเห็นไห่ยุ่น สายตาเขาก็หยุดอยู่ที่ขาของเธอครู่หนึ่ง “ไห่ยุ่น…….”เขาอุทานออกมา

“พี่ชาย”

เกาไห่เดินไปหยิบรีโมทคอนโทรลจากด้านหน้าของไห่ยุ่น แล้วเปิดทีวี

“สองสามวันนี้ไปไหนมา ?”

“ออกไปท่องเที่ยวมา แล้วโทรศัพท์หาย และก็จำเบอร์โทรศัพท์ของคุณไม่ได้ ดังนั้น จึงไม่ได้ติดต่อ กลับมาก็ได้ยินว่า คุณตามหาฉัน ดังนั้น ฉันจึงรีบมาหาแต่เช้าเลย”เธอมองไปที่เกาไห่ ด้วยดวงตาที่สดใส ท่าทางนั้น ถ้าหากว่าเกาไห่ไม่เห็นเธอเดินอยู่ในกล้องวงจรปิดด้วยตัวเอง เขาก็คงจะเชื่อไปแล้ว

แต่……น่าเสียดาย เขาถูกหลอกแล้ว เมื่อคิด เมื่อก่อน เป็นเพราะเธอ เล่อจยาถึงกับต้องนอนที่ถนน และทันใดนั้น สีหน้าของเธอก็ดูแย่ลงเล็กน้อย

“คุณสามี อาหารพร้อมแล้ว มาทานข้าวก่อนเถอะ เมื่อวานคุณบอกว่าวันนี้มีประชุมไม่ใช่เหรอ ? ”เมื่อเห็นสีหน้าของเกาไห่ เล่อจยาก็รู้ได้ว่า ต่อไป เขาจะต้องโกรธแน่ จึงรีบเร่งก้าวไปข้างหน้าและดึงมือของเขา

สีหน้าของเกาไห่ออกโยนลงเล็กน้อยเมื่อมือใหญ่ของเขาสัมผัสกับมือของเล่อจยา

“ทานข้าวแถอะ”

หลังจากทานอาหารเสร็จ เล่อจยาก็เปลี่ยนเสื้อผ้า หลังจากล้างตัว ก็ผลักไห่ยุ่นออกไปนอกประตู

เมื่อขึ้นรถ ไห่ยุ่นก็นั่งที่ข้างรถ และรอให้เกาไห่อุ้มเธอเหมือนเมื่อก่อน

สีหน้าของเกาไห่มืดมนลง เล่อจยาผลักเขาขึ้นรถ

และหันกลับมามองที่ไห่ยุ่น

“น้องสาว ขอโทษนะ พี่ชายของคุณเมือคืน เอวเคล็ด อาจจะอุ้มคุณไม่ไหว ถ้าคุณไม่ว่าอะไร ฉันอุ้มคุณขึ้น ? ”เล่อจยาก้าวไปข้างหน้าเพื่ออุ้มไห่ยุ่น

เกาไห่เหล่ตามอง เอวเคล็ด ? นี่เป็นคำอธิบายที่ไม่เลวเลย

“เอ่อ ไม่ต้องหรอก ที่จริง คุณพยุงฉันหน่อย ฉันจะพยายาม”

เล่อจยาขมวดคิ้ว “แบบนี้ใช่ไหม ? ได้ได้ ”

ขณะที่เธอพูด เธอไปช่วยพยุงไห่ยุ่นลุกขึ้น “ไห่ยุ่น คุณพิงร่างกายฉัน และฉันจะช่วยคุณยกเท้าขึ้น”

ขณะที่เธอกำลังพูด เธอก็ยกเท้าของไห่ยุ่นขึ้นไป เธอใช้แรงบนมือเล็กน้อย และได้ยินเสียง “ฟู่” ดังที่ข้างหู

รอยยิ้มปรากฎขึ้นในดวงตา ไม่ใช่ว่าขาทั้งสองไร้ความรู้สึกหรอกเหรอ ? แกล้งทำได้เหมือนจริงๆ

อย่างไรก็ตาม เธอก็ไม่อยากเปิดเผยเธอ สำหรับผู้หญิงที่มีจิตใจลึกซึ้งเช่นนี้ เธอก็กลัวว่าตัวเองจะถูกเปิดเผยแบบนี้ และเธอก็อาจจะมีกลอุบายอื่นอีก

อย่างนั้น ก็เล่นไปตามที่เธอต้องการป่ะ อย่างไรซะ ตอนนี้เกาไห่ก็เข้าใจแล้ว

เมื่อถึงข้างล่างบริษัทของเล่อจยา เกาไห่ก็หยุดรถ และจุ๊บที่หน้าของเล่อจยา “ตอนกลางวันผมมารับคุณออกไปทานอาหาร ?”

“ไม่……..งั้นตกลงค่ะ จะรอโทรศัพท์คุณนะ”

เธอหันกลับมามองที่ไห่ยุ่น สีหน้าของเธอดูแย่เล็กน้อย

“น้องสาว ถ้างั้นฉันไปก่อนนะ คุณเองก็ระวังด้วย”

“พี่สะใภ้…….”ทันใดนั้นไห่ยุ่นก็เรียกเธอ

เมื่อได้รับผลการตรวจเลือด เล่อจยาก็พบว่ามือของซูหย่ากำลังสั่น

มองออกว่า เธอประหม่ากับเด็กคนนี้มาก แค่คิดถึงความสัมพันธ์ในอนาคตของเธอกับเซียวอู๋ เล่อจยาก็อดไม่ได้ที่จะกังวล

เธอหยิบแผ่นตรวจเลือดจากมือของเธอ และเหลือบมองและกระซิบว่า “ตั้งครรภ์ปกติ”

ทั้งสองคนถอนหายใจอย่างโล่งอก

หมอบอกว่าในช่วงสามเดือนให้ระมัดระวังให้มาก และในระหว่างทางกลับบ้าน ทั้งคู่ก็ดูประหม่าเล็กน้อย

“ของเย็น ของเผ็ด และอาหารขยะพวกนั้น คุณต้องทานให้น้อยลง ยังมีรองเท้าส้นสูงไม่ต้องใส่แล้ว และอย่าทำงานเหนื่อยเกินไป จำได้ไหม ?”

“ฉันหวังว่าคุณก็จะท้องเร็วๆนะ เมื่อเธอจากไป ซูหย่าก็ดึงเล่อจยา สีหน้าเต็มไปด้วยความคาดหวัง”

“อย่าอย่าอย่า ฉันกับเกาไห่ตกลงกันแล้ว ภายในปีนี้ยังไม่เอาลูก โลกของเราสองคนยังไม่ได้ผ่านกันเลย”

หลังจากส่งซูหย่ากลับบ้าน เล่อจยาก็เอาแผ่นทดสอบทั้งหมดใส่ในกระเป๋าตัวเอง “ถ้าคุณมีเรื่องอะไร หรือว่าไม่สบายตรงไหน จะต้องรีบโทรหาฉันนะ ได้ยินไหม ? และ……คุณยังสามารถพิจารณาการตัดสินใจครั้งก่อนอีกครั้งได้นะ”

ซูหย่าพยักหน้า รู้แล้ว คุณเองก็ระวังตัวด้วย เธอชะงักชั่วคราว และดึงเล่อจยาอีกครั้ง “จำไว้ว่าอย่าลืมพูดเรื่องที่คุณจะไปทำงานกับเกาไห่เข้าใจไหม คุณมีพรสวรรค์ในด้านนี้ ต้องทำมันให้ดี อย่าทุ่มเทแรงกายทั้งหมดให้กับผู้ชาย รู้ไหม ?”

ตอนกลางคืน

“คุณสามี คุณให้ฉันทำงานเถอะนะ ฉันเบื่อจะตายอยู่แล้ว ”ตกกลางคืน ในที่สุดเล่อจยาก็อดไม่ได้ที่จะขอร้องอ้อนวอนเกาไห่

“ได้ ถ้าคุณไม่รู้สึกเหนื่อย พรุ่งนี้ก็ไปทำเถอะ” เกาไห่ปล่อยเธอไป เพียงแต่แค่กังวล ว่าเธอต้องพักผ่อนหลังจากถูกตีศีรษะ

วันรุ่งขึ้น เกาไห่ไม่ได้พาเธอไปที่เกากรุ๊ป

แต่ปล่อยให้เธอไปที่ใหม่อีกที่หนึ่ง

เมื่อมองไปที่อาคารที่แปลกตาข้างหน้า เล่อจยาก็งงงวย

“นี่คือบริษัทใหม่ที่ผมเพิ่งก่อตั้งขึ้นเมื่อไม่นานมานี้ รอให้บริษัทเข้าที่เข้าทางแล้ว ผมจะมอบบริษัทนี้ให้คุณ เป็นยังไง ?”

เล่อจยาอ้าปากค้าง และโบกมือปัด “อย่างนั้นไม่ได้หรอก คุณยกย่องฉันมากเกินไปแล้ว ยังมีบริษัทอีก ฉันยังจัดการงานของตัวเองได้ไม่ดี คุณดูกำลังร่างกายนี้ด้วย และอีกอย่าง ฉันก็ไม่ได้สนใจ ฉันก็แค่อยากทำงานออกแบบเล็กเล็กน้อยน้อยเท่านั้น”

เกาไห่มองดูเธอ “มีความทะเยอทะยานแค่นี้เองเหรอ ?”

“ไม่ ฉันมีความทะเยอทะยานสูงมาก”

“พูดมาสิ”

“ในชีวิตนี้ สามารถแต่งงานกับคุณ แปดปีเหมือนหนึ่งวัน เมื่อคิดแล้ว” นี่คือความทะเยอทะยานสูงสุดในชีวิตของเธอแล้ว

มุมปากของเกาไห่โค้งงออย่างสวยงาม เขายื่นมือใหญ่ออกมา จับเล่อจยา และจุมพิษที่ริมฝีปากของเธอ “คุณภรรยา ผมทำให้คุณรอนานแล้ว”

เล่อจยาไม่เข้าใจว่าทำไมเกาไห่จะต้องจัดตั้งบริษัทใหม่

อย่างไรก็ตาม เมื่อเกาไห่ตัดสินใจแล้ว เธอก็ไม่ควรถามอะไรมากนัก เขาทำอะไร เธอล้วนสนับสนุนเขา ดังนั้น จึงไม่ถามและไม่พูด

“หัวหน้าของบริษัทเป็นคนที่ผมเพิ่งว่าจ้างมาใหม่ อีกสักครู่เดี๋ยวผมจะไปทักทายกับเขาหน่อย…….”

“ไม่ต้องหรอก ฉันอยากจะพยายามด้วยความสามารถของตัวเอง ที่จะยืนหยัดอยู่ตรงนี้” มิฉะนั้น ตัวเธอเองก็ไม่รู้ว่าตัวเองมีกำลังเท่าใด

เกาไห่มองดูเธอ “ได้ คุณพูดจะทำยังไง ฉันก็ล้วนหฟังคุณ เพียงแต่ ถ้าคุณถูกรังแกอีกล่ะ ?”

เล่อจยารู้ว่าที่เขาพูดก็คือเรื่องของเสี่ยวหยูในตอนนั้น

“ไม่ต้องห่วง ข้างหลังฉันยังมีคุณ คุณทำให้ฉันเป็นกังวล ไล่เธอออก คุณจะแก้แค้นในแค้นส่วนตัวของฉัน ใช่ไหม ?”

เกาไห่พยักหน้า แล้วไม่รู้ว่าจะโทรหาใครดี

หลังจากให้เกาไห่ไปแล้ว เล่อจยาก็เดินตรงขึ้นตึกไป แล้วไปที่แผนกบุคคลก่อน จากนั้นค่อยไปแผนกออกแบบ

ถึงแม้ว่าจะเป็นบริษัทที่ถูกจัดตั้งขึ้นมาใหม่ แต่ ต้องพูดเลยว่า เกาไห่เตรียมพร้อมทั้งหมด

เมื่อเธอมาถึงแผนกออกแบบ เกือบทุกคนในแผนกออกแบบก้มศีรษะ โดยแทบไม่มีใครสังเกตเห็นการปรากฏตัวของเธอเลย

สิ่งนี้ทำให้เธอรู้สึกเคอะเขินเล็กน้อย ในขณะนี้ ประตูห้องของผู้จัดการเปิดออก มีผู้หญิงเดินออกมาจากข้างในห้องนั้น

เมื่อเล่อจยาเห็นใบหน้าของผู้หญิงคนนี้อย่างชัดเจน สีหน้าของเธอก็มืดมนลง

“เฉิงหยวน ?”

“เล่อจยา ?”

ทั้งสองคนเป็นเพื่อนร่วมมหาลัยกัน และในตอนนั้นเฉิงหยวนก็ชอบเกาไห่ด้วย ได้ยินว่าพ่อเฉิงและพ่อเกามีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันมาก เฉิงหยวนกับเกาไห่ก็อยู่โรงเรียนมัธยมเดียวกัน อายุน้อยกว่าเกาไห่สองปี ในตอนนั้น ที่โรงเรียน เจิงหยวนมักจะเรียกตัวเองว่าคู่รักวัยเด็กของเกาไห่

เธอไม่รู้ว่าเกาไห่ความรู้สึกช้าจริงจริงหรือเปล่า เขาจัดเธอและเจิงหยวนมาไว้ด้วยกัน ต่อจากนี้ มันจะเป็นปัญหาใหญ่แล้วจริงๆ

อย่างไรก็ตาม ลองคิดดู ก่อนการแก้แค้นของเกาไห่ เธอก็ได้กลายเป็นภรรยาของเขาแล้ว ดังนั้นเธอจึงไม่สนใจผู้หญิงคนนี้

แค่เมื่อคิดถึงเรื่องของไห่ยุ่น ก็ยังไม่เข้าใจ และศัตรูรักก็มาอีกคนแล้ว เล่อจยาค่อนข้างหดหู่

“เล่อจยา ได้ยินเพื่อนร่วมชั้นบอกว่า คุณไปเปิดแผงขายอาหารแล้วเหรอ ? แล้วทำไมถึงกลับมาทำงานอีกแล้วล่ะ ?”

เล่อเจียเหอะเหอะสองครั้ง “ถูกสาวงามติดตาม ช่างเป็นเกียรติยิ่งนัก”

พูดจบ เธอก็มองไปทั่วทั้งสำนักงาน มีที่ว่างตรงสุดมุมห้องอยู่ที่หนึ่ง เธอขมวดคิ้ว ทำไมต้องรักษาไว้แบบนี้ทุกครั้งนะ ?

“ได้ยินมาว่าเมือง W นั้นเป็นการออกแบบของคุณ ?”

เล่อจยาไม่คาดคิดว่าเฉิงหยวนจะตามมา และเธอก็จัดโต๊ะ พลางพยักหน้าว่า “ใช่ โชคดี ที่เข้าตาของประธานเกา”

“ในเมื่อประธานเกาชอบคุณมากขนาดนี้ แล้วทำไมคุณอยากเปลี่ยนงานล่ะ ?”

เปลี่ยนงาน ? ที่แท้….ก็ปรากฎว่า เฉิงหยวนก็ไม่รู้ว่าเจ้านายเบื้องหลังก็คือเกาไห่ ดังนั้น เธอจึงอารมณ์ดีขึ้นมา “ก็ เป็นพนักงาน แน่นอนว่าที่ไหนให้เงินเดือนสูง ก็ไปทำที่นั่น ? ”

เฉิงหยวนเหลือบมองเธอ “คุณนี่ตรงไปตรงมาจริงๆ”

หลังจากพูดเสร็จ เธอวางเอกสารบนมือลงบนโต๊ะของเล่อจยา “งั้น คุณดูนี่”

เมื่อมองดูเอกสารที่อยู่ตรงหน้า เล่อจบาก็ประหลาดใจมาก เมื่อมอง มันเป็นโครงการใหญ่ เดิมทีคิดว่าเฉิงหยวนจะบีบเธอออก และให้สิ่งที่ไม่ดีแก่เธอทำ

แต่ไม่คิดเลยว่า จะให้ความสำคัญกับเธอขนาดนี้

งานที่ท้าทายทำให้คนมีแรงจูงใจมากขึ้น

ในอีกสามหรือสี่วันข้างหน้า เล่อจยานอกจากเวลานาน อยู่ที่บริษัทและที่บ้าน ก็ล้วนอยู่กับการออกแบบนี้

อย่างไรก็ตาม นี่มันก็สอดคล้องกับงานและการพักผ่อนของเกาไห่

ไม่มีใครพูดถึงเรื่องของไห่ยุ่น เห็นได้ชัดว่าเล่อจยาไม่ค่อยพอใจกับวิธีการของไห่ยุ่น เมื่อรู้ว่าพวกเขาแต่งงานกันแล้ว ยังใช้วิธีแบบนี้มาเพื่อได้รับความเห็นใจจากเกาไห่

เธอไม่อยากถามเกาไห่ ว่าหาเธอพบหรือไม่ และกลับมาหรือเปล่า สำหรับผู้หญิงที่โลภผู้ชายอย่างเธอ เธอไม่อยากทำตัวเป็นแม่พระ

ในห้องหนังสือ เล่อจยานอนอยู่บนโซฟา เกาไห่อยู่หน้าโต๊ะหนังสือ มันเงียบมาก แต่เมื่อเงยหน้าขึ้นมา ดวงตาทั้งสี่สบตากันและยิ้ม บรรยากาศรอบข้างดีมากจนทำให้คนอิจฉา

แม้ว่าตอนนี้เกาไห่จะเป็นผู้จัดการ แต่ เล่อจยารู้ว่าในตอนที่เขาอยู่ในโรงเรียน พรสวรรค์การออกแบบของเขา ได้รับการยกย่องจากครูมากกว่าหนึ่งคน

ดังนั้น เมื่อเธอปัญหาที่แก้ไขไม่ได้ เธอก็จะถามเกาไห่

สามีภรรยาทั้งสองสามารถมีหัวข้อร่วมกันได้ สิ่งนี้ทำให้เล่อจยาภูมิใจเป็นอย่างยิ่ง

วันนี้ เมื่อเกาไห่เห็นเล่อจยาเขียนวาดลบลบอยู่ทั้งคืน เขาก็หงุดหงิดมาก

เขาวางงานบนมือลง และก้าวไปข้างหน้า เอาขายาวก่ายบนเก้าอี้โซฟา เอื้อมมือออกไป “เอาให้ผมดูหน่อย“

เล่อจยายื่นกระดาษในมือให้เกาไห่ ขมวดคิ้ว ทำปากมุ้ย “จุดชมวิวนี้ ฉันคิดยังไง ก็ยังรู้สึกว่ายังขาดอะไรอีกนิดหน่อยก็จะกลายเป็นอาณาจักรแล้ว”

เกาไห่ชี้ไปที่แก้มข้างขวาของเขา “ให้รางวัลผมหน่อย แล้วผมจะให้คำชี้แนะกับคุณ”

เมื่อได้รับผลการตรวจเลือด เล่อจยาก็พบว่ามือของซูหย่ากำลังสั่น

มองออกว่า เธอประหม่ากับเด็กคนนี้มาก แค่คิดถึงความสัมพันธ์ในอนาคตของเธอกับเซียวอู๋ เล่อจยาก็อดไม่ได้ที่จะกังวล

เธอหยิบแผ่นตรวจเลือดจากมือของเธอ และเหลือบมองและกระซิบว่า “ตั้งครรภ์ปกติ”

ทั้งสองคนถอนหายใจอย่างโล่งอก

หมอบอกว่าในช่วงสามเดือนให้ระมัดระวังให้มาก และในระหว่างทางกลับบ้าน ทั้งคู่ก็ดูประหม่าเล็กน้อย

“ของเย็น ของเผ็ด และอาหารขยะพวกนั้น คุณต้องทานให้น้อยลง ยังมีรองเท้าส้นสูงไม่ต้องใส่แล้ว และอย่าทำงานเหนื่อยเกินไป จำได้ไหม ?”

“ฉันหวังว่าคุณก็จะท้องเร็วๆนะ เมื่อเธอจากไป ซูหย่าก็ดึงเล่อจยา สีหน้าเต็มไปด้วยความคาดหวัง”

“อย่าอย่าอย่า ฉันกับเกาไห่ตกลงกันแล้ว ภายในปีนี้ยังไม่เอาลูก โลกของเราสองคนยังไม่ได้ผ่านกันเลย”

หลังจากส่งซูหย่ากลับบ้าน เล่อจยาก็เอาแผ่นทดสอบทั้งหมดใส่ในกระเป๋าตัวเอง “ถ้าคุณมีเรื่องอะไร หรือว่าไม่สบายตรงไหน จะต้องรีบโทรหาฉันนะ ได้ยินไหม ? และ……คุณยังสามารถพิจารณาการตัดสินใจครั้งก่อนอีกครั้งได้นะ”

ซูหย่าพยักหน้า รู้แล้ว คุณเองก็ระวังตัวด้วย เธอชะงักชั่วคราว และดึงเล่อจยาอีกครั้ง “จำไว้ว่าอย่าลืมพูดเรื่องที่คุณจะไปทำงานกับเกาไห่เข้าใจไหม คุณมีพรสวรรค์ในด้านนี้ ต้องทำมันให้ดี อย่าทุ่มเทแรงกายทั้งหมดให้กับผู้ชาย รู้ไหม ?”

ตอนกลางคืน

“คุณสามี คุณให้ฉันทำงานเถอะนะ ฉันเบื่อจะตายอยู่แล้ว ”ตกกลางคืน ในที่สุดเล่อจยาก็อดไม่ได้ที่จะขอร้องอ้อนวอนเกาไห่

“ได้ ถ้าคุณไม่รู้สึกเหนื่อย พรุ่งนี้ก็ไปทำเถอะ” เกาไห่ปล่อยเธอไป เพียงแต่แค่กังวล ว่าเธอต้องพักผ่อนหลังจากถูกตีศีรษะ

วันรุ่งขึ้น เกาไห่ไม่ได้พาเธอไปที่เกากรุ๊ป

แต่ปล่อยให้เธอไปที่ใหม่อีกที่หนึ่ง

เมื่อมองไปที่อาคารที่แปลกตาข้างหน้า เล่อจยาก็งงงวย

“นี่คือบริษัทใหม่ที่ผมเพิ่งก่อตั้งขึ้นเมื่อไม่นานมานี้ รอให้บริษัทเข้าที่เข้าทางแล้ว ผมจะมอบบริษัทนี้ให้คุณ เป็นยังไง ?”

เล่อจยาอ้าปากค้าง และโบกมือปัด “อย่างนั้นไม่ได้หรอก คุณยกย่องฉันมากเกินไปแล้ว ยังมีบริษัทอีก ฉันยังจัดการงานของตัวเองได้ไม่ดี คุณดูกำลังร่างกายนี้ด้วย และอีกอย่าง ฉันก็ไม่ได้สนใจ ฉันก็แค่อยากทำงานออกแบบเล็กเล็กน้อยน้อยเท่านั้น”

เกาไห่มองดูเธอ “มีความทะเยอทะยานแค่นี้เองเหรอ ?”

“ไม่ ฉันมีความทะเยอทะยานสูงมาก”

“พูดมาสิ”

“ในชีวิตนี้ สามารถแต่งงานกับคุณ แปดปีเหมือนหนึ่งวัน เมื่อคิดแล้ว” นี่คือความทะเยอทะยานสูงสุดในชีวิตของเธอแล้ว

มุมปากของเกาไห่โค้งงออย่างสวยงาม เขายื่นมือใหญ่ออกมา จับเล่อจยา และจุมพิษที่ริมฝีปากของเธอ “คุณภรรยา ผมทำให้คุณรอนานแล้ว”

เล่อจยาไม่เข้าใจว่าทำไมเกาไห่จะต้องจัดตั้งบริษัทใหม่

อย่างไรก็ตาม เมื่อเกาไห่ตัดสินใจแล้ว เธอก็ไม่ควรถามอะไรมากนัก เขาทำอะไร เธอล้วนสนับสนุนเขา ดังนั้น จึงไม่ถามและไม่พูด

“หัวหน้าของบริษัทเป็นคนที่ผมเพิ่งว่าจ้างมาใหม่ อีกสักครู่เดี๋ยวผมจะไปทักทายกับเขาหน่อย…….”

“ไม่ต้องหรอก ฉันอยากจะพยายามด้วยความสามารถของตัวเอง ที่จะยืนหยัดอยู่ตรงนี้” มิฉะนั้น ตัวเธอเองก็ไม่รู้ว่าตัวเองมีกำลังเท่าใด

เกาไห่มองดูเธอ “ได้ คุณพูดจะทำยังไง ฉันก็ล้วนหฟังคุณ เพียงแต่ ถ้าคุณถูกรังแกอีกล่ะ ?”

เล่อจยารู้ว่าที่เขาพูดก็คือเรื่องของเสี่ยวหยูในตอนนั้น

“ไม่ต้องห่วง ข้างหลังฉันยังมีคุณ คุณทำให้ฉันเป็นกังวล ไล่เธอออก คุณจะแก้แค้นในแค้นส่วนตัวของฉัน ใช่ไหม ?”

เกาไห่พยักหน้า แล้วไม่รู้ว่าจะโทรหาใครดี

หลังจากให้เกาไห่ไปแล้ว เล่อจยาก็เดินตรงขึ้นตึกไป แล้วไปที่แผนกบุคคลก่อน จากนั้นค่อยไปแผนกออกแบบ

ถึงแม้ว่าจะเป็นบริษัทที่ถูกจัดตั้งขึ้นมาใหม่ แต่ ต้องพูดเลยว่า เกาไห่เตรียมพร้อมทั้งหมด

เมื่อเธอมาถึงแผนกออกแบบ เกือบทุกคนในแผนกออกแบบก้มศีรษะ โดยแทบไม่มีใครสังเกตเห็นการปรากฏตัวของเธอเลย

สิ่งนี้ทำให้เธอรู้สึกเคอะเขินเล็กน้อย ในขณะนี้ ประตูห้องของผู้จัดการเปิดออก มีผู้หญิงเดินออกมาจากข้างในห้องนั้น

เมื่อเล่อจยาเห็นใบหน้าของผู้หญิงคนนี้อย่างชัดเจน สีหน้าของเธอก็มืดมนลง

“เฉิงหยวน ?”

“เล่อจยา ?”

ทั้งสองคนเป็นเพื่อนร่วมมหาลัยกัน และในตอนนั้นเฉิงหยวนก็ชอบเกาไห่ด้วย ได้ยินว่าพ่อเฉิงและพ่อเกามีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันมาก เฉิงหยวนกับเกาไห่ก็อยู่โรงเรียนมัธยมเดียวกัน อายุน้อยกว่าเกาไห่สองปี ในตอนนั้น ที่โรงเรียน เจิงหยวนมักจะเรียกตัวเองว่าคู่รักวัยเด็กของเกาไห่

เธอไม่รู้ว่าเกาไห่ความรู้สึกช้าจริงจริงหรือเปล่า เขาจัดเธอและเจิงหยวนมาไว้ด้วยกัน ต่อจากนี้ มันจะเป็นปัญหาใหญ่แล้วจริงๆ

อย่างไรก็ตาม ลองคิดดู ก่อนการแก้แค้นของเกาไห่ เธอก็ได้กลายเป็นภรรยาของเขาแล้ว ดังนั้นเธอจึงไม่สนใจผู้หญิงคนนี้

แค่เมื่อคิดถึงเรื่องของไห่ยุ่น ก็ยังไม่เข้าใจ และศัตรูรักก็มาอีกคนแล้ว เล่อจยาค่อนข้างหดหู่

“เล่อจยา ได้ยินเพื่อนร่วมชั้นบอกว่า คุณไปเปิดแผงขายอาหารแล้วเหรอ ? แล้วทำไมถึงกลับมาทำงานอีกแล้วล่ะ ?”

เล่อเจียเหอะเหอะสองครั้ง “ถูกสาวงามติดตาม ช่างเป็นเกียรติยิ่งนัก”

พูดจบ เธอก็มองไปทั่วทั้งสำนักงาน มีที่ว่างตรงสุดมุมห้องอยู่ที่หนึ่ง เธอขมวดคิ้ว ทำไมต้องรักษาไว้แบบนี้ทุกครั้งนะ ?

“ได้ยินมาว่าเมือง W นั้นเป็นการออกแบบของคุณ ?”

เล่อจยาไม่คาดคิดว่าเฉิงหยวนจะตามมา และเธอก็จัดโต๊ะ พลางพยักหน้าว่า “ใช่ โชคดี ที่เข้าตาของประธานเกา”

“ในเมื่อประธานเกาชอบคุณมากขนาดนี้ แล้วทำไมคุณอยากเปลี่ยนงานล่ะ ?”

เปลี่ยนงาน ? ที่แท้….ก็ปรากฎว่า เฉิงหยวนก็ไม่รู้ว่าเจ้านายเบื้องหลังก็คือเกาไห่ ดังนั้น เธอจึงอารมณ์ดีขึ้นมา “ก็ เป็นพนักงาน แน่นอนว่าที่ไหนให้เงินเดือนสูง ก็ไปทำที่นั่น ? ”

เฉิงหยวนเหลือบมองเธอ “คุณนี่ตรงไปตรงมาจริงๆ”

หลังจากพูดเสร็จ เธอวางเอกสารบนมือลงบนโต๊ะของเล่อจยา “งั้น คุณดูนี่”

เมื่อมองดูเอกสารที่อยู่ตรงหน้า เล่อจบาก็ประหลาดใจมาก เมื่อมอง มันเป็นโครงการใหญ่ เดิมทีคิดว่าเฉิงหยวนจะบีบเธอออก และให้สิ่งที่ไม่ดีแก่เธอทำ

แต่ไม่คิดเลยว่า จะให้ความสำคัญกับเธอขนาดนี้

งานที่ท้าทายทำให้คนมีแรงจูงใจมากขึ้น

ในอีกสามหรือสี่วันข้างหน้า เล่อจยานอกจากเวลานาน อยู่ที่บริษัทและที่บ้าน ก็ล้วนอยู่กับการออกแบบนี้

อย่างไรก็ตาม นี่มันก็สอดคล้องกับงานและการพักผ่อนของเกาไห่

ไม่มีใครพูดถึงเรื่องของไห่ยุ่น เห็นได้ชัดว่าเล่อจยาไม่ค่อยพอใจกับวิธีการของไห่ยุ่น เมื่อรู้ว่าพวกเขาแต่งงานกันแล้ว ยังใช้วิธีแบบนี้มาเพื่อได้รับความเห็นใจจากเกาไห่

เธอไม่อยากถามเกาไห่ ว่าหาเธอพบหรือไม่ และกลับมาหรือเปล่า สำหรับผู้หญิงที่โลภผู้ชายอย่างเธอ เธอไม่อยากทำตัวเป็นแม่พระ

ในห้องหนังสือ เล่อจยานอนอยู่บนโซฟา เกาไห่อยู่หน้าโต๊ะหนังสือ มันเงียบมาก แต่เมื่อเงยหน้าขึ้นมา ดวงตาทั้งสี่สบตากันและยิ้ม บรรยากาศรอบข้างดีมากจนทำให้คนอิจฉา

แม้ว่าตอนนี้เกาไห่จะเป็นผู้จัดการ แต่ เล่อจยารู้ว่าในตอนที่เขาอยู่ในโรงเรียน พรสวรรค์การออกแบบของเขา ได้รับการยกย่องจากครูมากกว่าหนึ่งคน

ดังนั้น เมื่อเธอปัญหาที่แก้ไขไม่ได้ เธอก็จะถามเกาไห่

สามีภรรยาทั้งสองสามารถมีหัวข้อร่วมกันได้ สิ่งนี้ทำให้เล่อจยาภูมิใจเป็นอย่างยิ่ง

วันนี้ เมื่อเกาไห่เห็นเล่อจยาเขียนวาดลบลบอยู่ทั้งคืน เขาก็หงุดหงิดมาก

เขาวางงานบนมือลง และก้าวไปข้างหน้า เอาขายาวก่ายบนเก้าอี้โซฟา เอื้อมมือออกไป “เอาให้ผมดูหน่อย“

เล่อจยายื่นกระดาษในมือให้เกาไห่ ขมวดคิ้ว ทำปากมุ้ย “จุดชมวิวนี้ ฉันคิดยังไง ก็ยังรู้สึกว่ายังขาดอะไรอีกนิดหน่อยก็จะกลายเป็นอาณาจักรแล้ว”

เกาไห่ชี้ไปที่แก้มข้างขวาของเขา “ให้รางวัลผมหน่อย แล้วผมจะให้คำชี้แนะกับคุณ”

เมื่อได้รับผลการตรวจเลือด เล่อจยาก็พบว่ามือของซูหย่ากำลังสั่น

มองออกว่า เธอประหม่ากับเด็กคนนี้มาก แค่คิดถึงความสัมพันธ์ในอนาคตของเธอกับเซียวอู๋ เล่อจยาก็อดไม่ได้ที่จะกังวล

เธอหยิบแผ่นตรวจเลือดจากมือของเธอ และเหลือบมองและกระซิบว่า “ตั้งครรภ์ปกติ”

ทั้งสองคนถอนหายใจอย่างโล่งอก

หมอบอกว่าในช่วงสามเดือนให้ระมัดระวังให้มาก และในระหว่างทางกลับบ้าน ทั้งคู่ก็ดูประหม่าเล็กน้อย

“ของเย็น ของเผ็ด และอาหารขยะพวกนั้น คุณต้องทานให้น้อยลง ยังมีรองเท้าส้นสูงไม่ต้องใส่แล้ว และอย่าทำงานเหนื่อยเกินไป จำได้ไหม ?”

“ฉันหวังว่าคุณก็จะท้องเร็วๆนะ เมื่อเธอจากไป ซูหย่าก็ดึงเล่อจยา สีหน้าเต็มไปด้วยความคาดหวัง”

“อย่าอย่าอย่า ฉันกับเกาไห่ตกลงกันแล้ว ภายในปีนี้ยังไม่เอาลูก โลกของเราสองคนยังไม่ได้ผ่านกันเลย”

หลังจากส่งซูหย่ากลับบ้าน เล่อจยาก็เอาแผ่นทดสอบทั้งหมดใส่ในกระเป๋าตัวเอง “ถ้าคุณมีเรื่องอะไร หรือว่าไม่สบายตรงไหน จะต้องรีบโทรหาฉันนะ ได้ยินไหม ? และ……คุณยังสามารถพิจารณาการตัดสินใจครั้งก่อนอีกครั้งได้นะ”

ซูหย่าพยักหน้า รู้แล้ว คุณเองก็ระวังตัวด้วย เธอชะงักชั่วคราว และดึงเล่อจยาอีกครั้ง “จำไว้ว่าอย่าลืมพูดเรื่องที่คุณจะไปทำงานกับเกาไห่เข้าใจไหม คุณมีพรสวรรค์ในด้านนี้ ต้องทำมันให้ดี อย่าทุ่มเทแรงกายทั้งหมดให้กับผู้ชาย รู้ไหม ?”

ตอนกลางคืน

“คุณสามี คุณให้ฉันทำงานเถอะนะ ฉันเบื่อจะตายอยู่แล้ว ”ตกกลางคืน ในที่สุดเล่อจยาก็อดไม่ได้ที่จะขอร้องอ้อนวอนเกาไห่

“ได้ ถ้าคุณไม่รู้สึกเหนื่อย พรุ่งนี้ก็ไปทำเถอะ” เกาไห่ปล่อยเธอไป เพียงแต่แค่กังวล ว่าเธอต้องพักผ่อนหลังจากถูกตีศีรษะ

วันรุ่งขึ้น เกาไห่ไม่ได้พาเธอไปที่เกากรุ๊ป

แต่ปล่อยให้เธอไปที่ใหม่อีกที่หนึ่ง

เมื่อมองไปที่อาคารที่แปลกตาข้างหน้า เล่อจยาก็งงงวย

“นี่คือบริษัทใหม่ที่ผมเพิ่งก่อตั้งขึ้นเมื่อไม่นานมานี้ รอให้บริษัทเข้าที่เข้าทางแล้ว ผมจะมอบบริษัทนี้ให้คุณ เป็นยังไง ?”

เล่อจยาอ้าปากค้าง และโบกมือปัด “อย่างนั้นไม่ได้หรอก คุณยกย่องฉันมากเกินไปแล้ว ยังมีบริษัทอีก ฉันยังจัดการงานของตัวเองได้ไม่ดี คุณดูกำลังร่างกายนี้ด้วย และอีกอย่าง ฉันก็ไม่ได้สนใจ ฉันก็แค่อยากทำงานออกแบบเล็กเล็กน้อยน้อยเท่านั้น”

เกาไห่มองดูเธอ “มีความทะเยอทะยานแค่นี้เองเหรอ ?”

“ไม่ ฉันมีความทะเยอทะยานสูงมาก”

“พูดมาสิ”

“ในชีวิตนี้ สามารถแต่งงานกับคุณ แปดปีเหมือนหนึ่งวัน เมื่อคิดแล้ว” นี่คือความทะเยอทะยานสูงสุดในชีวิตของเธอแล้ว

มุมปากของเกาไห่โค้งงออย่างสวยงาม เขายื่นมือใหญ่ออกมา จับเล่อจยา และจุมพิษที่ริมฝีปากของเธอ “คุณภรรยา ผมทำให้คุณรอนานแล้ว”

เล่อจยาไม่เข้าใจว่าทำไมเกาไห่จะต้องจัดตั้งบริษัทใหม่

อย่างไรก็ตาม เมื่อเกาไห่ตัดสินใจแล้ว เธอก็ไม่ควรถามอะไรมากนัก เขาทำอะไร เธอล้วนสนับสนุนเขา ดังนั้น จึงไม่ถามและไม่พูด

“หัวหน้าของบริษัทเป็นคนที่ผมเพิ่งว่าจ้างมาใหม่ อีกสักครู่เดี๋ยวผมจะไปทักทายกับเขาหน่อย…….”

“ไม่ต้องหรอก ฉันอยากจะพยายามด้วยความสามารถของตัวเอง ที่จะยืนหยัดอยู่ตรงนี้” มิฉะนั้น ตัวเธอเองก็ไม่รู้ว่าตัวเองมีกำลังเท่าใด

เกาไห่มองดูเธอ “ได้ คุณพูดจะทำยังไง ฉันก็ล้วนหฟังคุณ เพียงแต่ ถ้าคุณถูกรังแกอีกล่ะ ?”

เล่อจยารู้ว่าที่เขาพูดก็คือเรื่องของเสี่ยวหยูในตอนนั้น

“ไม่ต้องห่วง ข้างหลังฉันยังมีคุณ คุณทำให้ฉันเป็นกังวล ไล่เธอออก คุณจะแก้แค้นในแค้นส่วนตัวของฉัน ใช่ไหม ?”

เกาไห่พยักหน้า แล้วไม่รู้ว่าจะโทรหาใครดี

หลังจากให้เกาไห่ไปแล้ว เล่อจยาก็เดินตรงขึ้นตึกไป แล้วไปที่แผนกบุคคลก่อน จากนั้นค่อยไปแผนกออกแบบ

ถึงแม้ว่าจะเป็นบริษัทที่ถูกจัดตั้งขึ้นมาใหม่ แต่ ต้องพูดเลยว่า เกาไห่เตรียมพร้อมทั้งหมด

เมื่อเธอมาถึงแผนกออกแบบ เกือบทุกคนในแผนกออกแบบก้มศีรษะ โดยแทบไม่มีใครสังเกตเห็นการปรากฏตัวของเธอเลย

สิ่งนี้ทำให้เธอรู้สึกเคอะเขินเล็กน้อย ในขณะนี้ ประตูห้องของผู้จัดการเปิดออก มีผู้หญิงเดินออกมาจากข้างในห้องนั้น

เมื่อเล่อจยาเห็นใบหน้าของผู้หญิงคนนี้อย่างชัดเจน สีหน้าของเธอก็มืดมนลง

“เฉิงหยวน ?”

“เล่อจยา ?”

ทั้งสองคนเป็นเพื่อนร่วมมหาลัยกัน และในตอนนั้นเฉิงหยวนก็ชอบเกาไห่ด้วย ได้ยินว่าพ่อเฉิงและพ่อเกามีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันมาก เฉิงหยวนกับเกาไห่ก็อยู่โรงเรียนมัธยมเดียวกัน อายุน้อยกว่าเกาไห่สองปี ในตอนนั้น ที่โรงเรียน เจิงหยวนมักจะเรียกตัวเองว่าคู่รักวัยเด็กของเกาไห่

เธอไม่รู้ว่าเกาไห่ความรู้สึกช้าจริงจริงหรือเปล่า เขาจัดเธอและเจิงหยวนมาไว้ด้วยกัน ต่อจากนี้ มันจะเป็นปัญหาใหญ่แล้วจริงๆ

อย่างไรก็ตาม ลองคิดดู ก่อนการแก้แค้นของเกาไห่ เธอก็ได้กลายเป็นภรรยาของเขาแล้ว ดังนั้นเธอจึงไม่สนใจผู้หญิงคนนี้

แค่เมื่อคิดถึงเรื่องของไห่ยุ่น ก็ยังไม่เข้าใจ และศัตรูรักก็มาอีกคนแล้ว เล่อจยาค่อนข้างหดหู่

“เล่อจยา ได้ยินเพื่อนร่วมชั้นบอกว่า คุณไปเปิดแผงขายอาหารแล้วเหรอ ? แล้วทำไมถึงกลับมาทำงานอีกแล้วล่ะ ?”

เล่อเจียเหอะเหอะสองครั้ง “ถูกสาวงามติดตาม ช่างเป็นเกียรติยิ่งนัก”

พูดจบ เธอก็มองไปทั่วทั้งสำนักงาน มีที่ว่างตรงสุดมุมห้องอยู่ที่หนึ่ง เธอขมวดคิ้ว ทำไมต้องรักษาไว้แบบนี้ทุกครั้งนะ ?

“ได้ยินมาว่าเมือง W นั้นเป็นการออกแบบของคุณ ?”

เล่อจยาไม่คาดคิดว่าเฉิงหยวนจะตามมา และเธอก็จัดโต๊ะ พลางพยักหน้าว่า “ใช่ โชคดี ที่เข้าตาของประธานเกา”

“ในเมื่อประธานเกาชอบคุณมากขนาดนี้ แล้วทำไมคุณอยากเปลี่ยนงานล่ะ ?”

เปลี่ยนงาน ? ที่แท้….ก็ปรากฎว่า เฉิงหยวนก็ไม่รู้ว่าเจ้านายเบื้องหลังก็คือเกาไห่ ดังนั้น เธอจึงอารมณ์ดีขึ้นมา “ก็ เป็นพนักงาน แน่นอนว่าที่ไหนให้เงินเดือนสูง ก็ไปทำที่นั่น ? ”

เฉิงหยวนเหลือบมองเธอ “คุณนี่ตรงไปตรงมาจริงๆ”

หลังจากพูดเสร็จ เธอวางเอกสารบนมือลงบนโต๊ะของเล่อจยา “งั้น คุณดูนี่”

เมื่อมองดูเอกสารที่อยู่ตรงหน้า เล่อจบาก็ประหลาดใจมาก เมื่อมอง มันเป็นโครงการใหญ่ เดิมทีคิดว่าเฉิงหยวนจะบีบเธอออก และให้สิ่งที่ไม่ดีแก่เธอทำ

แต่ไม่คิดเลยว่า จะให้ความสำคัญกับเธอขนาดนี้

งานที่ท้าทายทำให้คนมีแรงจูงใจมากขึ้น

ในอีกสามหรือสี่วันข้างหน้า เล่อจยานอกจากเวลานาน อยู่ที่บริษัทและที่บ้าน ก็ล้วนอยู่กับการออกแบบนี้

อย่างไรก็ตาม นี่มันก็สอดคล้องกับงานและการพักผ่อนของเกาไห่

ไม่มีใครพูดถึงเรื่องของไห่ยุ่น เห็นได้ชัดว่าเล่อจยาไม่ค่อยพอใจกับวิธีการของไห่ยุ่น เมื่อรู้ว่าพวกเขาแต่งงานกันแล้ว ยังใช้วิธีแบบนี้มาเพื่อได้รับความเห็นใจจากเกาไห่

เธอไม่อยากถามเกาไห่ ว่าหาเธอพบหรือไม่ และกลับมาหรือเปล่า สำหรับผู้หญิงที่โลภผู้ชายอย่างเธอ เธอไม่อยากทำตัวเป็นแม่พระ

ในห้องหนังสือ เล่อจยานอนอยู่บนโซฟา เกาไห่อยู่หน้าโต๊ะหนังสือ มันเงียบมาก แต่เมื่อเงยหน้าขึ้นมา ดวงตาทั้งสี่สบตากันและยิ้ม บรรยากาศรอบข้างดีมากจนทำให้คนอิจฉา

แม้ว่าตอนนี้เกาไห่จะเป็นผู้จัดการ แต่ เล่อจยารู้ว่าในตอนที่เขาอยู่ในโรงเรียน พรสวรรค์การออกแบบของเขา ได้รับการยกย่องจากครูมากกว่าหนึ่งคน

ดังนั้น เมื่อเธอปัญหาที่แก้ไขไม่ได้ เธอก็จะถามเกาไห่

สามีภรรยาทั้งสองสามารถมีหัวข้อร่วมกันได้ สิ่งนี้ทำให้เล่อจยาภูมิใจเป็นอย่างยิ่ง

วันนี้ เมื่อเกาไห่เห็นเล่อจยาเขียนวาดลบลบอยู่ทั้งคืน เขาก็หงุดหงิดมาก

เขาวางงานบนมือลง และก้าวไปข้างหน้า เอาขายาวก่ายบนเก้าอี้โซฟา เอื้อมมือออกไป “เอาให้ผมดูหน่อย“

เล่อจยายื่นกระดาษในมือให้เกาไห่ ขมวดคิ้ว ทำปากมุ้ย “จุดชมวิวนี้ ฉันคิดยังไง ก็ยังรู้สึกว่ายังขาดอะไรอีกนิดหน่อยก็จะกลายเป็นอาณาจักรแล้ว”

เกาไห่ชี้ไปที่แก้มข้างขวาของเขา “ให้รางวัลผมหน่อย แล้วผมจะให้คำชี้แนะกับคุณ”

เมื่อได้รับผลการตรวจเลือด เล่อจยาก็พบว่ามือของซูหย่ากำลังสั่น

มองออกว่า เธอประหม่ากับเด็กคนนี้มาก แค่คิดถึงความสัมพันธ์ในอนาคตของเธอกับเซียวอู๋ เล่อจยาก็อดไม่ได้ที่จะกังวล

เธอหยิบแผ่นตรวจเลือดจากมือของเธอ และเหลือบมองและกระซิบว่า “ตั้งครรภ์ปกติ”

ทั้งสองคนถอนหายใจอย่างโล่งอก

หมอบอกว่าในช่วงสามเดือนให้ระมัดระวังให้มาก และในระหว่างทางกลับบ้าน ทั้งคู่ก็ดูประหม่าเล็กน้อย

“ของเย็น ของเผ็ด และอาหารขยะพวกนั้น คุณต้องทานให้น้อยลง ยังมีรองเท้าส้นสูงไม่ต้องใส่แล้ว และอย่าทำงานเหนื่อยเกินไป จำได้ไหม ?”

“ฉันหวังว่าคุณก็จะท้องเร็วๆนะ เมื่อเธอจากไป ซูหย่าก็ดึงเล่อจยา สีหน้าเต็มไปด้วยความคาดหวัง”

“อย่าอย่าอย่า ฉันกับเกาไห่ตกลงกันแล้ว ภายในปีนี้ยังไม่เอาลูก โลกของเราสองคนยังไม่ได้ผ่านกันเลย”

หลังจากส่งซูหย่ากลับบ้าน เล่อจยาก็เอาแผ่นทดสอบทั้งหมดใส่ในกระเป๋าตัวเอง “ถ้าคุณมีเรื่องอะไร หรือว่าไม่สบายตรงไหน จะต้องรีบโทรหาฉันนะ ได้ยินไหม ? และ……คุณยังสามารถพิจารณาการตัดสินใจครั้งก่อนอีกครั้งได้นะ”

ซูหย่าพยักหน้า รู้แล้ว คุณเองก็ระวังตัวด้วย เธอชะงักชั่วคราว และดึงเล่อจยาอีกครั้ง “จำไว้ว่าอย่าลืมพูดเรื่องที่คุณจะไปทำงานกับเกาไห่เข้าใจไหม คุณมีพรสวรรค์ในด้านนี้ ต้องทำมันให้ดี อย่าทุ่มเทแรงกายทั้งหมดให้กับผู้ชาย รู้ไหม ?”

ตอนกลางคืน

“คุณสามี คุณให้ฉันทำงานเถอะนะ ฉันเบื่อจะตายอยู่แล้ว ”ตกกลางคืน ในที่สุดเล่อจยาก็อดไม่ได้ที่จะขอร้องอ้อนวอนเกาไห่

“ได้ ถ้าคุณไม่รู้สึกเหนื่อย พรุ่งนี้ก็ไปทำเถอะ” เกาไห่ปล่อยเธอไป เพียงแต่แค่กังวล ว่าเธอต้องพักผ่อนหลังจากถูกตีศีรษะ

วันรุ่งขึ้น เกาไห่ไม่ได้พาเธอไปที่เกากรุ๊ป

แต่ปล่อยให้เธอไปที่ใหม่อีกที่หนึ่ง

เมื่อมองไปที่อาคารที่แปลกตาข้างหน้า เล่อจยาก็งงงวย

“นี่คือบริษัทใหม่ที่ผมเพิ่งก่อตั้งขึ้นเมื่อไม่นานมานี้ รอให้บริษัทเข้าที่เข้าทางแล้ว ผมจะมอบบริษัทนี้ให้คุณ เป็นยังไง ?”

เล่อจยาอ้าปากค้าง และโบกมือปัด “อย่างนั้นไม่ได้หรอก คุณยกย่องฉันมากเกินไปแล้ว ยังมีบริษัทอีก ฉันยังจัดการงานของตัวเองได้ไม่ดี คุณดูกำลังร่างกายนี้ด้วย และอีกอย่าง ฉันก็ไม่ได้สนใจ ฉันก็แค่อยากทำงานออกแบบเล็กเล็กน้อยน้อยเท่านั้น”

เกาไห่มองดูเธอ “มีความทะเยอทะยานแค่นี้เองเหรอ ?”

“ไม่ ฉันมีความทะเยอทะยานสูงมาก”

“พูดมาสิ”

“ในชีวิตนี้ สามารถแต่งงานกับคุณ แปดปีเหมือนหนึ่งวัน เมื่อคิดแล้ว” นี่คือความทะเยอทะยานสูงสุดในชีวิตของเธอแล้ว

มุมปากของเกาไห่โค้งงออย่างสวยงาม เขายื่นมือใหญ่ออกมา จับเล่อจยา และจุมพิษที่ริมฝีปากของเธอ “คุณภรรยา ผมทำให้คุณรอนานแล้ว”

เล่อจยาไม่เข้าใจว่าทำไมเกาไห่จะต้องจัดตั้งบริษัทใหม่

อย่างไรก็ตาม เมื่อเกาไห่ตัดสินใจแล้ว เธอก็ไม่ควรถามอะไรมากนัก เขาทำอะไร เธอล้วนสนับสนุนเขา ดังนั้น จึงไม่ถามและไม่พูด

“หัวหน้าของบริษัทเป็นคนที่ผมเพิ่งว่าจ้างมาใหม่ อีกสักครู่เดี๋ยวผมจะไปทักทายกับเขาหน่อย…….”

“ไม่ต้องหรอก ฉันอยากจะพยายามด้วยความสามารถของตัวเอง ที่จะยืนหยัดอยู่ตรงนี้” มิฉะนั้น ตัวเธอเองก็ไม่รู้ว่าตัวเองมีกำลังเท่าใด

เกาไห่มองดูเธอ “ได้ คุณพูดจะทำยังไง ฉันก็ล้วนหฟังคุณ เพียงแต่ ถ้าคุณถูกรังแกอีกล่ะ ?”

เล่อจยารู้ว่าที่เขาพูดก็คือเรื่องของเสี่ยวหยูในตอนนั้น

“ไม่ต้องห่วง ข้างหลังฉันยังมีคุณ คุณทำให้ฉันเป็นกังวล ไล่เธอออก คุณจะแก้แค้นในแค้นส่วนตัวของฉัน ใช่ไหม ?”

เกาไห่พยักหน้า แล้วไม่รู้ว่าจะโทรหาใครดี

หลังจากให้เกาไห่ไปแล้ว เล่อจยาก็เดินตรงขึ้นตึกไป แล้วไปที่แผนกบุคคลก่อน จากนั้นค่อยไปแผนกออกแบบ

ถึงแม้ว่าจะเป็นบริษัทที่ถูกจัดตั้งขึ้นมาใหม่ แต่ ต้องพูดเลยว่า เกาไห่เตรียมพร้อมทั้งหมด

เมื่อเธอมาถึงแผนกออกแบบ เกือบทุกคนในแผนกออกแบบก้มศีรษะ โดยแทบไม่มีใครสังเกตเห็นการปรากฏตัวของเธอเลย

สิ่งนี้ทำให้เธอรู้สึกเคอะเขินเล็กน้อย ในขณะนี้ ประตูห้องของผู้จัดการเปิดออก มีผู้หญิงเดินออกมาจากข้างในห้องนั้น

เมื่อเล่อจยาเห็นใบหน้าของผู้หญิงคนนี้อย่างชัดเจน สีหน้าของเธอก็มืดมนลง

“เฉิงหยวน ?”

“เล่อจยา ?”

ทั้งสองคนเป็นเพื่อนร่วมมหาลัยกัน และในตอนนั้นเฉิงหยวนก็ชอบเกาไห่ด้วย ได้ยินว่าพ่อเฉิงและพ่อเกามีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันมาก เฉิงหยวนกับเกาไห่ก็อยู่โรงเรียนมัธยมเดียวกัน อายุน้อยกว่าเกาไห่สองปี ในตอนนั้น ที่โรงเรียน เจิงหยวนมักจะเรียกตัวเองว่าคู่รักวัยเด็กของเกาไห่

เธอไม่รู้ว่าเกาไห่ความรู้สึกช้าจริงจริงหรือเปล่า เขาจัดเธอและเจิงหยวนมาไว้ด้วยกัน ต่อจากนี้ มันจะเป็นปัญหาใหญ่แล้วจริงๆ

อย่างไรก็ตาม ลองคิดดู ก่อนการแก้แค้นของเกาไห่ เธอก็ได้กลายเป็นภรรยาของเขาแล้ว ดังนั้นเธอจึงไม่สนใจผู้หญิงคนนี้

แค่เมื่อคิดถึงเรื่องของไห่ยุ่น ก็ยังไม่เข้าใจ และศัตรูรักก็มาอีกคนแล้ว เล่อจยาค่อนข้างหดหู่

“เล่อจยา ได้ยินเพื่อนร่วมชั้นบอกว่า คุณไปเปิดแผงขายอาหารแล้วเหรอ ? แล้วทำไมถึงกลับมาทำงานอีกแล้วล่ะ ?”

เล่อเจียเหอะเหอะสองครั้ง “ถูกสาวงามติดตาม ช่างเป็นเกียรติยิ่งนัก”

พูดจบ เธอก็มองไปทั่วทั้งสำนักงาน มีที่ว่างตรงสุดมุมห้องอยู่ที่หนึ่ง เธอขมวดคิ้ว ทำไมต้องรักษาไว้แบบนี้ทุกครั้งนะ ?

“ได้ยินมาว่าเมือง W นั้นเป็นการออกแบบของคุณ ?”

เล่อจยาไม่คาดคิดว่าเฉิงหยวนจะตามมา และเธอก็จัดโต๊ะ พลางพยักหน้าว่า “ใช่ โชคดี ที่เข้าตาของประธานเกา”

“ในเมื่อประธานเกาชอบคุณมากขนาดนี้ แล้วทำไมคุณอยากเปลี่ยนงานล่ะ ?”

เปลี่ยนงาน ? ที่แท้….ก็ปรากฎว่า เฉิงหยวนก็ไม่รู้ว่าเจ้านายเบื้องหลังก็คือเกาไห่ ดังนั้น เธอจึงอารมณ์ดีขึ้นมา “ก็ เป็นพนักงาน แน่นอนว่าที่ไหนให้เงินเดือนสูง ก็ไปทำที่นั่น ? ”

เฉิงหยวนเหลือบมองเธอ “คุณนี่ตรงไปตรงมาจริงๆ”

หลังจากพูดเสร็จ เธอวางเอกสารบนมือลงบนโต๊ะของเล่อจยา “งั้น คุณดูนี่”

เมื่อมองดูเอกสารที่อยู่ตรงหน้า เล่อจบาก็ประหลาดใจมาก เมื่อมอง มันเป็นโครงการใหญ่ เดิมทีคิดว่าเฉิงหยวนจะบีบเธอออก และให้สิ่งที่ไม่ดีแก่เธอทำ

แต่ไม่คิดเลยว่า จะให้ความสำคัญกับเธอขนาดนี้

งานที่ท้าทายทำให้คนมีแรงจูงใจมากขึ้น

ในอีกสามหรือสี่วันข้างหน้า เล่อจยานอกจากเวลานาน อยู่ที่บริษัทและที่บ้าน ก็ล้วนอยู่กับการออกแบบนี้

อย่างไรก็ตาม นี่มันก็สอดคล้องกับงานและการพักผ่อนของเกาไห่

ไม่มีใครพูดถึงเรื่องของไห่ยุ่น เห็นได้ชัดว่าเล่อจยาไม่ค่อยพอใจกับวิธีการของไห่ยุ่น เมื่อรู้ว่าพวกเขาแต่งงานกันแล้ว ยังใช้วิธีแบบนี้มาเพื่อได้รับความเห็นใจจากเกาไห่

เธอไม่อยากถามเกาไห่ ว่าหาเธอพบหรือไม่ และกลับมาหรือเปล่า สำหรับผู้หญิงที่โลภผู้ชายอย่างเธอ เธอไม่อยากทำตัวเป็นแม่พระ

ในห้องหนังสือ เล่อจยานอนอยู่บนโซฟา เกาไห่อยู่หน้าโต๊ะหนังสือ มันเงียบมาก แต่เมื่อเงยหน้าขึ้นมา ดวงตาทั้งสี่สบตากันและยิ้ม บรรยากาศรอบข้างดีมากจนทำให้คนอิจฉา

แม้ว่าตอนนี้เกาไห่จะเป็นผู้จัดการ แต่ เล่อจยารู้ว่าในตอนที่เขาอยู่ในโรงเรียน พรสวรรค์การออกแบบของเขา ได้รับการยกย่องจากครูมากกว่าหนึ่งคน

ดังนั้น เมื่อเธอปัญหาที่แก้ไขไม่ได้ เธอก็จะถามเกาไห่

สามีภรรยาทั้งสองสามารถมีหัวข้อร่วมกันได้ สิ่งนี้ทำให้เล่อจยาภูมิใจเป็นอย่างยิ่ง

วันนี้ เมื่อเกาไห่เห็นเล่อจยาเขียนวาดลบลบอยู่ทั้งคืน เขาก็หงุดหงิดมาก

เขาวางงานบนมือลง และก้าวไปข้างหน้า เอาขายาวก่ายบนเก้าอี้โซฟา เอื้อมมือออกไป “เอาให้ผมดูหน่อย“

เล่อจยายื่นกระดาษในมือให้เกาไห่ ขมวดคิ้ว ทำปากมุ้ย “จุดชมวิวนี้ ฉันคิดยังไง ก็ยังรู้สึกว่ายังขาดอะไรอีกนิดหน่อยก็จะกลายเป็นอาณาจักรแล้ว”

เกาไห่ชี้ไปที่แก้มข้างขวาของเขา “ให้รางวัลผมหน่อย แล้วผมจะให้คำชี้แนะกับคุณ”

“ฉัน…ฉันแค่…” เลอจยารู้สึกว่าเธอกำลังจะเป็นบ้า นี่ฉันกำลังพูดเรื่องบ้าอะไรอยู่

เกาไห่ยกขายาวของเขาขึ้นไปนอน “เสียงดังเอี๊ยด…”

ใบหน้าของเล่อจยาแดงยิ่งขึ้น

“คือฉันหมายถึง…”

“ถ้าไม่อยากให้ผมทำอะไรกับคุณที่นี่ หยุดพูดหัวข้อนี้” เกาไห่ขัดจังหวะเธอ อุ้มเธอไว้ในอ้อมแขนของเขา

ดึงผ้าห่มขึ้นและคลุมเล่อจยา

จากนั้นห้องก็ตกอยู่ในสภาวะเงียบสงบ

“เล่อจยา วันนี้ผมขอโทษนะ”

เมื่อเล่อจยากำลังจะหลับคำพูดเหล่านี้ก็เข้าหูของเธอ เธอลืมตาขึ้นและพบกับดวงตาที่ขอโทษของเกาไห่แล้วเธออมยิ้ม เผยให้เห็นลักยิ้มคู่นั้น

“อ้อ ไม่เป็นไรแล้วคุณก็มาหาฉันแล้วนี่ เรื่องก่อนหน้านั้นมันจบแล้ว นอนเถอะ” ขณะที่เธอพูดแขนของเขาก็ยังพยุงร่างกายของเธอไว้ เธอจูบเขาที่หน้าและกำลังจะหันกลับไปแต่โดนเกาไห่พลิกกลับและกดไว้

จากนั้นพวกเขาก็จูบกันจนเล่อจยารู้สึกว่าเธอหายใจไม่ออกเกาไห่ก็ปล่อยเธอไป

มือใหญ่นั้นลูบใบหน้าของเธอเบา ๆ “ พอดีวันก่อนหลังจากไห่ยุ่นถูกรับไปจากโรงแรมก็ไม่ได้รับข่าวใดๆจากเธอเลย ผมรอข่าวจากเธอนั่งรออยู่ที่โรงแรมตอนกลางคืนและตอนที่วางสายจากคุณก็เพราะมีสายเข้า เกรงว่าไห่หยุนจะมีข่าว เลยไม่มีเวลาอธิบายให้ฟัง ขอโทษทีนะ เพราะกังวลใจเรื่องนั้นเกินไปจนลืมที่นัดไว้กับคุณและเพิกเฉยต่อความรู้สึกของคุณผมควรให้ความสำคัญกับคุณก่อน ผมขอโทษ ต่อไปผมจะแก้ไขมันอย่างแน่นอน”

เล่อจยาคิดไม่ถึงว่าเกาไห่จะอธิบายให้เธอฟัง และเธอไม่ได้คาดคิดว่าเขาจะพูดคำพูดแบบนั้นจนทำให้หมอกควันในหัวใจของเธอที่เคยมีหายไปในทันที

เธอเม้มปากและหายใจเข้าลึก ๆ นิ้วเรียวของเธอจับใบหน้าเขาไว้ ทันใดนั้นเธอก็จำบางสิ่งได้และนั่งตัวตรง “อีกอย่าง เมื่อวานฉันดูเหมือนเห็นไห่หยุนที่ห้างสรรพสินค้าเวลาเดียวกันกับที่ฉันวิ่งตามคุณไป”

พูดจบเธอก็ขมวดคิ้วและหยุดชั่วคราว “ก็คือ…”

เกาไห่ก็นั่งตัวตรง “มันคืออะไร?”

“แค่ขาของไห่หยุนปกติไม่มีความพิการ ตอนนั้นฉันไม่แน่ใจ เลยไม่ได้บอกคุณ”

“ปกติ? คุณหมายถึง เธอกำลังยืน?”

เล่อจยาพยักหน้า “ไม่ใช่แค่ยืน แต่เดิน”

เมื่อเห็นปฏิกิริยาของเกาไห่ เล่อจยาก็ไม่พูดอะไรอีกและล้มตัวลงนอน “นอนซะ พรุ่งนี้ผมก็กลับแล้วอาจมีข่าวเกี่ยวกับเธอ ถ้ามีคำถามอะไรคอยถามก็ไม่สาย”

หลังจากพูด เธอยื่นมือออกและดึงแขนของเกาไห่

ไม่รู้ว่าเหนื่อยเกินจากการนั่งรถในตอนกลางวัน หรือเพราะว่าเกาไห่อยู่เคียงข้างเธอ เล่อจยาพลิกตัวและผล็อยหลับไป

เกาไห่หยิบโทรศัพท์มือถือที่วางอยู่บนโต๊ะข้างเตียงส่งข้อความถึงเสี่ยวตง

จากนั้นเขาก็นอนลงแต่เขาก็ไม่รู้สึกง่วงเลย

เขารู้นิสัยของเล่อจยาถ้าเธอมองไม่เห็นจริงเธอก็จะไม่พูด

อย่างไรก็ตาม ถ้าคนๆ นั้นคือไห่หยุนจริง ๆ แล้วทำไมเธอถึงต้องหลอกตัวเองอย่างนั้น?

“ลูกพี่ลูกน้องของคุณชอบคุณ” เขามองใบหน้าที่หลับใหลของเล่อจยาและนึกถึงสิ่งที่เธอพูดในวันนั้น

ใบหน้าของเขาทรุดลงเล็กน้อย ดวงตาของเขาเย็นชา และใบหน้าของเกาเหวินก็ฉายแววต่อหน้าเขา

มันคงแย่มากถ้ามันเป็นอุบายในความรักมันคงดูน่ากลัว

เกาเหวินในตอนนั้นเป็นตัวอย่างที่ดีที่สุด หากเธอรักที่จะยุติธรรมและซื่อสัตย์ เป็นไปไม่ได้เลยที่จะทำสิ่งที่เป็นอยู่ทุกวันนี้

ในวันรุ่งขึ้น เมื่อเลอจยาตื่นขึ้น เกาไห่ก็ไม่ได้อยู่เคียงข้างเธอแล้ว เธอขมวดคิ้วและพลิกตัวลุกขึ้นจากเตียงอย่างรวดเร็ว เมื่อเธอออกไป เธอไม่เห็นเกาไห่

เมื่อเห็นว่าเธอตื่นแล้ว ป้าเล็กก็รีบนำอาหารเช้าออกจากครัว “จยาจยา ไปล้างหน้าเร็ว แล้วมาทานอาหารเช้ากันเถอะ”

เล่อจยารู้สึกประทับใจกับป้าเล็กคนนี้เสมอ แม้ว่าเธอจะไม่ค่อยติดต่อกับเธอ แต่เธอก็รู้สึกว่าเธอเป็นคนฉลาดและโง่เขลา ได้ยินจากพ่อของเธอบอกว่าครอบครัวของลุงเล็กสามารถทำเงินได้ก็มาจากที่ป้าเล็กจัดการทั้งนั้น

“ป้าเล็กค่ะ ลุงเล็กของฉันกับเกาไห่อยู่ที่ไหนค่ะ”

“พวกเขาไปตกปลาข้างหน้า” ซูหย่าหาวและเดินออกจากห้อง

ป้าเล็กพยักหน้าและเดินไปที่ครัวอีกครั้ง

เมื่อเล่อจยาล้างหน้าเรียบร้อยเธอนั่งลง ซูหย่า ก็นั่งลงข้างๆเธอ มองดูเธอขึ้นลง

“มองอะไร” เล่อจยาหยิบหมั่นโถวข้าวโพดมากิน

“เล่อจยา เธอกับเกาไห่ยังไม่แบบนั้นกันอีกเหรอ?”

เลอจยาตกตะลึงและมองไปรอบ ๆ ใบหน้าของเขาแดงเล็กน้อย “อยู่ดีๆถามเรื่องนี้ทำไม?”

ซูหย่าหยิกใบหน้าของเธอ “พูดว่า เธอโง่เหรอ ผู้ชายดีๆ แบบนี้ รออะไร กลัวลูกพี่ลูกน้องของเธอจะจับได้เหรอ”

“โอ้ ช่วยเบาเสียงลงหน่อยได้ไหม เดี๋ยวก็ได้ยินกันหมดเหรอ อายจริงๆ” เขาพูด แล้วเอาหมั่นโถวเข้าปากแล้วกัด

“ฉันบอกใบ้ไปหลายครั้งแล้ว แต่เรื่องแบบนั้น ถ้าผู้ชายไม่ริเริ่ม เป็นไปได้ไหมที่ฉันจะกระโดดลงไป?

ก่อนหน้านี้ ตอนที่ยังไม่ฟื้นความทรงจำของเธอ เกาไห่บอกว่าเขาไม่ต้องการเธอตอนที่เธอยังไม่หายดี อย่างไรก็ตาม สิ่งนี้ทำนั้นทำให้ความทรงจำของเธอกลับคืนมา ยิ่งกว่านั้น เธอพูดเป็นนัยหลายครั้ง แต่เกาไห่ก็ยังไม่รู้ ไม่รู้ต้องทำอย่างไรแล้ว

เธอไม่ได้หมายความว่าเธอมีความคิดเกี่ยวกับแง่มุมนั้น เธอแค่รู้สึกว่านั่นคือความรักสูงสุด ถึงแม้ว่าทั้งสองคนจะแต่งงานกันแล้ว…

ซูหย่ามองมาที่เธอ แล้วคิดถึงเซียวอู๋ และหยุดพูด เธอแตะท้องของเธอ ยังมีเวลาอีก 1 สัปดาห์ก่อนมีประจำเดือน เธอจะท้องหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับสองสามวันนี้

“คิดถึงเสี่ยวหวู่ของเธออีกแล้วเหรอ?” เล่อจยาหยอกล้อ

“คิดถึงแล้วจะทำอะไรได้ พวกเขาต่างปฏิบัติกับฉันเหมือนเป็นโรคระบาดและหลีกเลี่ยงมัน” หลังจากพูดจบ เธอก็ลุกขึ้นและตะโกนขึ้นไปบนฟ้า

เรื่องของความรักช่างมหัศจรรย์จริงๆ ด้วยคนระดับแบบซูหย่าคนที่ไล่ตามเธอในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาสามารถจัดอันดับเมือง C ได้ครึ่งวงกลม ก็ไม่เห็นว่าเธอจะถูกใจใคร

ถึงแม้จะมีคนวิ่งตามเธอจำนวนมากด แต่เธอกลับตกหลุมรัก เซียวอู๋ผู้ชายที่ไม่แม้แต่จะมองเธอและเธอก็รักอย่างมากมาย

“ในตอนที่เธอชอบเกาไห่ ฉันหัวเราะเยาะเธอและบอกเธอว่า ยอมปลูกต้นไม้เพื่อทิ้งป่าและหัวเราะเยาะเธออย่างโง่เขลาเลยเล่อจยา ตอนนี้เธอกำลังหัวเราะเยาะฉันในใจอยู่หรือเปล่า?”

เลอจยาส่ายหัว ก้าวไปข้างหน้าสองสามก้าว กอดซูหย่า ตบหลังเธอสองสามครั้ง “เธอต้องเอาฉันเป็นตัวอย่างเพื่อทำให้สิ่งที่เป็นไปไม่ได้เป็นไปได้ คนแบบเซียวอู๋ไม่ได้แย่ ฉันเชื่ออย่างนั้น เวลานานไปเขาก็จะเห็นสิ่งที่เธอทำเอง”

ซูหย่ามองไปที่เล่อจยาและพยักหน้า

เมื่อมาถึงเมือง C ประมาณบ่ายสอง เกาไห่ ส่งเธอและซูหย่าไปที่ประตูหน้าบ้านของเขาแล้วรีบไปที่บริษัท

ทันทีที่กลับถึงบ้าน ลุงสองก็โทรมา “นี่ ลุงสองนะ”

“จยาจยา คุณปู่ขอให้ฉันถามว่าเห็นเล่อเหวินไหม”

เล่อจยาตกใจ “เล่อเหวิน?”

“พี่สาว เก่งมากจริงๆ ไม่มีความจริงใจกับน้องเลย พี่กำลังปีนขึ้นไปบนยอดกิ่งไม้ แต่ก็ยังโกหกและบอกว่าเลิกกัน ห๊ะ ห๊ะ…”

เล่อจยาไม่ต้องการพูดเรื่องไร้สาระกับเขา “ในเมื่อรู้ว่าพี่เขยอยู่ที่นี่ ยังไม่รีบมาเปิดประตูให้ฉันออกไป”

เล่อเหวินยิ้ม “ปล่อยออกมาได้ไม่ใช่ปัญหา แต่ต้องสัญญากันก่อนว่าพี่เขยจะให้เงินสามล้าน แล้วก็ห้ามพูดอะไรไร้สาระต่อหน้าปู่”

สามล้าน? เล่อจยารู้สึกว่าน้องชายคนนี้คงจะคลั่งไคล้เรื่องเงินมาก มือที่เธอที่เคาะประตูก็ห้อยลง “อยากปล่อยก็ปล่อยสามล้านเหรอ กล้าคิดเรื่องนี้จริงๆ! ฉันจะรอดู ถ้าพี่เขยไม่เห็นคงโทรเรียกตำรวจมาเอง การกักขังโดยผิดกฎหมายไม่รู้ว่าจะติดคุกนานแค่ไหน”

พูดเสร็จก็ถอยออกมานั่งที่พื้น

เล่อเหวินตื่นตกใจ เขาพูดอย่างรวดเร็ว: “งั้นก็สองล้าน”

ไม่มีการตอบสนอง

ตรงนี้กำลังจัดการส่วนอีกด้านของบ้านกลับคึกคัก

ไม่เกินสิบนาที บ้านของปู่เล่อก็เต็มไปด้วยผู้คน

ป้าสองได้ยินว่าเล่อจยาแต่งงานกับเถ้าแก่ใหญ่ และเธอก็ไม่เชื่อ “สาวน้อยคนนั้นเล่อจยาแย่กว่าเสี่ยวอวินของฉันมาก ถ้าเธอแต่งงานกับเถ้าแก่ใหญ่ ฉันเดาว่าคงไม่ใช่ คนดี?”

ปากพูดอย่างนั้น แต่เธอเป็นคนแรกที่มาถึงคิดว่าคงจะเป็นชายแก่ แต่ที่ไหนได้ออกจะหล่อและดูดีขนาดนั้น ทันใดนั้นการเยาะเย้ยก็เหมือนกระทบหน้าตัวเอง เขาแค่ยืนอยู่เฉยๆไม่ต้องทำอะไรเลยก็ยังดูดีกว่าลูกเขยของเธอไม่รู้กี่เท่า

เมื่อคิดถึงสาวน้อยเลอจยาเมื่อก่อนเธอบอกว่าไม่มีแฟน เธอยังโกรธและรำคาญ

เกาไห่มองไปที่ห้องที่เต็มไปด้วยผู้คน แต่ก็ยังไม่เห็นเล่อจยาใบหน้าของเขาก็ดูไม่ดีเล็กน้อย

กำลังจะถามอีกครั้ง ซูหย่าก็เดินเข้ามาจากข้างนอกและบีบฝูงชนมากระซิบที่หูของเกาไห่

การแสดงออกของใบหน้าเกาไห่ที่ทรุดลงและเขารีบลุกขึ้นยืน

มองไปที่ปู่เล่อ “คุณปู่ เล่อจยาถูกคุณขังไว้หรือ?”

ความโผงผางของเขาทำให้ปู่เล่อไม่สามารถโต้ตอบได้ในทันที และเขาก็ไอเล็กน้อย “คือ…”

“สามี…”

เสียงที่คุ้นเคยดังมาจากด้านหลัง ขัดจังหวะคำพูดของปู่เล่อ

เกาไห่ ดีใจมาก เขาเงยหน้าขึ้นและเห็นเล่อจยาที่เหมือนล้มลุกคลุกคลานอะไรมาจนใบหน้าเธอเหมือนแมวตัวหนึ่ง หัวใจเขาเหมือนโดนกระตุกและก้าวไปข้างหน้าและค่อยๆ เช็ดใบหน้าของเธอด้วยมือใหญ่ของเขา “เกิดอะไรขึ้นกับคุณ ทำไมตัวคุณถึงเป็นแบบนี้”

เลอจยาส่ายหัว โอบแขนรอบเอว ลูบแขน ก้มศีรษะลงในอ้อมแขนของเขาแล้วพูดว่า “ฉันตื้นตันใจจังที่คุณมาหาฉันถึงที่นี่”

ซูหย่าสูดหายใจอย่างเย็นชาและพูดประชดประชันว่า “โอ้ ดูเหมือนฉันพูดถูก เธอคือสมบัติล้ำค่าในสายตาเธอ” ดังนั้นเธอไม่เคยคิดว่าคุณไม่ดี ไม่เคยละเลยเธอ จำได้แต่ความดีของคุณ , ความทุ่มเทของคุณ

เมื่อได้ยินเช่นนี้ เกาไห่ก็รู้สึกผิดและทุกข์ใจมากขึ้นในสายตาของเขา และอ้อมแขนของเขาที่โอบรอบเล่อจยาก็รัดแน่นขึ้น

“จยาจยา ดูเธอสิ ทำไมแต่งงานแล้ว ไม่ยอมบอกปู่กับย่า หลานเขยที่เพิ่งมาเรายังไม่รู้จักเลย”

ปู่เล่อที่อยู่ด้านข้างเปิดปากขัดจังหวะความคิดของพวกเขา

เมื่อได้ยินเช่นนี้ เล่อจยาก็ยืดตัวออกจากอ้อมแขนของเกาไห่และมองดูปู่เล่อที่อยู่เหนือเขา “คุณปู่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าฉันหน้าตาเป็นอย่างไร ฉันคิดว่าคุณปู่ไม่สนใจว่าฉันจะแต่งงานหรือไม่”

เมื่อปู่เล่อได้ยินเช่นนี้ หน้าเขาก็อายเล็กน้อย “เจ้าเด็กนี่ ปู่แก่แล้ว ความจำไม่ค่อยดี มันก็เรื่องปกติไหม?”

มีความจำที่ไม่ดี? แต่พอเป็นเล่อเหวิน ความจำดีขึ้นมาทันทีเลย?

อย่างไรก็ตาม เธอไม่ต้องการให้เกาไห่อยู่ที่นี่นาน ดังนั้นเธอจึงไม่กลัวที่จะโต้เถียงกับเขา

หันกลับมามองเกาไห่ “สามี เราไปกันเถอะ”

ทั้งสองเพิ่งก้าวออกจากประตูด้วยเท้าหน้า เล่อจยารู้สึกเพียงลมพัดมาจากด้านข้างของเขา และเมื่อเขาตอบสนอง ลุงสองก็ยืนอยู่ข้างหน้าพวกเขาแล้ว โดยเหยียดแขนออกไปด้านข้าง

“จยาจยา ตอนนี้ก็ดึกแล้ว ขับรถบนถนนสายนี้มันไม่ปลอดภัย นอนที่นี่หนึ่งคืน ไปบ้านลุงสองบ้านใหม่ที่เพิ่งสร้าง ยังไม่เคยไปใช่ไหม.”

ในความทรงจำขอเล่อจยาลุงสองและป้าสองเหล่านี้เป็นคนประเภทเดียวกัน ซึ่งปกติแล้วจะรู้จักแค่เงินแต่ไม่รู้จักคน

เธอไม่มีความรู้สึกที่ดี ดังนั้นน้ำเสียงของเธอจึงดูไม่สุภาพโดยธรรมชาติ “คุณลุงสองค่ะ ฉันได้ยินมาว่าลูกพี่ลูกน้องของฉันจะแต่งงาน ดังนั้น ให้พวกเขาอยู่ในบ้านใหม่เถอะ”

หลังจากพูดจบเธอก็พาเกาไห่ออกไป

“งั้นก็ไปที่เตียงของลุง เตียงของลุงเพิ่งเปลี่ยนที่นอนใหม่”

เลอจยาเหล่ตามองไปที่ชายหนุ่มที่มาจากที่ไหนไม่รู้ที่เรียกว่าลุงเล็ก ถึงแม้ว่าลุงเล็กคนนี้จะไม่แข็งแกร่งเท่าลุงสองเขามักจะเฉยเมยต่อสิ่งที่ไม่เกี่ยวข้องกับเขา

ในความประทับใจที่ได้ติดต่อกับครอบครัวน้อยมากตั้งแต่ยังเป็นเด็ก แม้ว่าเขาจะเป็นคนไม่สุภาพแต่ปกติเมื่อพบเจอก็ไม่พูดอะไรมากนัก ดังนั้น เมื่อเห็นทัศนคติของเขาในตอนนี้ เล่อจยาก็รู้สึก ประหลาดใจ

ได้แต่ถอนหายใจและคิดในใจว่าเงินนี้เป็นของดีจริงๆ เงินไม่ได้อยู่แนวความคิดเธอ เธอรู้สึกแค่ว่าเงินพอใช้ก็พอ แม้ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาที่พ่อของเธอป่วย เธอก็มีเงินเพียงพอสำหรับพ่อของเธอด้วย และตราบเท่าที่พ่อของเธอมีสุขภาพแข็งแรง เธอกับพ่อก็มีเงินใช้มากพอ และเธอไม่สนใจเรื่องอื่น ๆ ซูหย่าบอกว่าเธอไม่มีความปรารถนาใดๆอีกหรือ แต่เธอรู้สึกพึงพอใจแค่นี้

“จยาจยา งั้นเราก็นอนที่นี่คืนหนึ่งนะ ตอนฉันนั่งรถมากับสามีเธอใจฉันมันกลัวมาก” ซูหย่ารู้สึกกลัวหน้าผานั้นมากดังนั้นเลยรีบพูดและชักชวนก่อน

ในที่สุด เล่อจยาตัดสินใจไปบ้านลุงเล็ก

เมื่อลุงสองได้ยินเรื่องนี้ ใบหน้าดูไม่ดีขึ้นมาทันที

“คุณลุงสอง ห้องนั้นเป็นห้องแต่งงานของเสี่ยวอวินเรานอนคงจะไม่เหมาะสม” เล่อจยาอธิบาย

บ้านของลุงเล็กเป็นอาคาร 2 ชั้นแบบเก่า สร้างมานานแล้วไม่ใหม่แล้ว แต่ป้าของเธอชอบทำความสะอาดมันจึงยังดูดี

ป้าเล็กเป็นคนเก็บตัว ไม่พูดมาก เธอมองดูคนสองสามคนเดินมา ยิ้ม และเทน้ำที่ด้านข้าง วิ่งเข้าวิ่งออกเพื่อช่วยงาน

“จยาจยา เธอและคุณเกา นอนในห้องนี้ ปกติห้องนี้ลูกพี่ลูกน้องของเธอกลับมานอนเป็นครั้งคราว ทำความสะอาดแล้ว ส่วนผู้หญิงคนนี้ คุณนอนในห้องนี้ ห้องนี้เป็นห้องสาวน้อยของฉัน สาวน้อย เธออยู่ในโรงเรียน แม้ว่าห้องจะแคบไปหน่อย แต่ก็สะดวกสบาย”

แม้ว่าบ้านตระกูลเล่อจะดูเจริญรุ่งเรือง ลูกชายทุกคนก็มีลูกหลายคน มีเพียงพ่อเท่านั้นที่มีเล่อเหวินเป็นลูกชาย และคนอื่นๆเป็นลูกสาวทั้งหมด อย่างไรก็ตามแต่เมื่อลูกสาวที่แต่งงานแล้วก็มีลูกชายทั้นนั้น

นี่คือเหตุผลที่ปู่เล่อชอบเล่อเหวินเป็นพิเศษ

“ได้ค่ะ ขอบคุณค่ะลุง”

“ขอบคุณครับลุง”

หลังจากอาบน้ำซักครู่ ป้าเล็กก็ปรุงเกี๊ยวให้พวกเขา และหลังจากรับประทานอาหารเสร็จ พวกเขาก็แยกย้ายกันเข้าไปในห้องต่างๆ

“คุณไม่ชินกับการนอนเหรอ?” เล่อจยาถามเกาไห่ด้วยความกังวล

เกาไห่ถอดเสื้อคลุมของเขาออก หันกลับมามองที่ใบหน้าของเล่อจยาและส่ายหัว “ผมเคยอยู่ในที่ที่ยากกว่านี้เป็นร้อยเท่า”

“หือ? ที่ไหนล่ะ”

เกาไห่ส่ายหัว “ไปนอนซะ”

พอนอนลงบนเตียงไม้ก็จะมีเสียงดังเอี๊ยด

“เตียงนี้มันจริงๆ ถ้าจะทำอะไร มีหวังได้ยินกันทั้งบ้านแน่” เล่อจยาพูดออกมาอย่างที่ใจคิด

หลังจากที่เธอพูดจบเธอก็ตกตะลึงหันศีรษะมองไปที่เกาไห่ ด้วยรอยยิ้มที่มุมปากของเขา เลิกคิ้ว และมองตัวเองด้วยสายตาแปลก ๆ ในดวงตาของเขา

เมื่อร่างนั้นเดินเข้ามาใกล้ ซูหย่าก็มองเห็นได้ชัดเจน

เขาเป็นชายชราหลังค่อมคนหนึ่งเดินไปที่รถของเกาไห่และเคาะหน้าต่างด้านข้างของเขา

หน้าต่างม้วนลง

“พวกคุณมาทำอะไรที่นี่ นี่มันก็ดึกมากแล้ว”

เกาไห่เปิดที่เก็บของข้างๆ เขาหยิบบุหรี่สองสามซองออกจากรถฉีกซองออก ส่งให้ชายชราคนนั้น แล้วจุดไฟด้วยไฟแช็ค

ชายชราดูดอย่างแรง ดวงตาที่เปื้อนโคลนของเขาดูเหมือนจะสว่างขึ้นเล็กน้อยภายใต้ไฟรถ

เขาถอนหายใจอีกเล็กน้อยก่อนจะพูดว่า “หนุ่มน้อย พวกคุณมาหาคนอยู่หรือเปล่า”

สำเนียงบ้านเกิดของเขาค่อนข้างแรง ซูหย่าฟังดูลำบากมาก แต่เกาไห่ไม่ได้แสดงสีหน้าอะไรออกมา เขายัดบุหรี่สามซองลงในกระเป๋าของชายชรา

ชายชราผลักกลับ เขายกมือขึ้น “คุณปู่ ปกติผมไม่สูบบุหรี่ บุหรี่มันอยู่กับผมก็เหมือนไร่ค่า คุณชอบสูบ คุณเอามันไปเถอะ”

ความเป็นกันเองและความสุภาพของเขาทำให้ชายชรายิ้มได้อย่างชัดเจน

เมื่อเห็นสีหน้าของเขาเริ่มผ่อนคลาย เกาไห่ก็พูดขึ้นทันที: “คุณปู่ ฉันมาที่นี่เพื่อตามหาภรรยาของผม เธอมีเรื่องกับผมนิดหน่อย ดังนั้นเธอจึงกลับมาบ้านพ่อแม่ของเธอ ผมก็เลยตามเธอมา แต่ มันก็มืดเกินไป ผมเคยมาที่นี่แล้วครั้งหนึ่งลืมไปว่าต้องไปยังไง”

ชายชรามองดูเขาขึ้นๆ ลงๆ และเห็นว่าเขามีนิสัยดี หน้าเขาจริงใจ และเขาก็พยักหน้าอย่างชื่นชม “ภรรยาของคุณมาจากหมู่บ้านของเราหรือ แซ่อะไรและชื่ออะไร ?”

เกาไห่ถอนหายใจด้วยความโล่งอก “นามสกุลของเธอคือเล่อ และชื่อของเธอคือเล่อจยา”

ชายชราตะลึงก่อนแล้วจึงยิ้มและพูดว่า “โอ้ สาวน้อยที่รู้วิชากังฟูต่อสู้นั้นใช่ไหม”

เกาไห่พยักหน้าซ้ำๆ

“ได้ ไปกับฉัน ฉันจะพาเธอไปเอง สาวน้อยคนนี้ตั้งแต่เธอยังเด็กเธอเป็นคนอารมณ์แข็ง แต่งงานไปแล้วยังทำตัวเป็นเด็กไปได้”

ชายชรากล่าวขณะนำทางเกาไห่และคนอื่น ๆ เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าข้างหลัง ชายชราก็หันศีรษะและเห็นซูหย่า

“แล้วผู้หญิงคนนี้เป็นใคร?”

“โอ้ เธอเป็นเพื่อนสนิทของเล่อจยา และเธอต้องการมาช่วยอีกแรง”

“ดีดี เดินต่อ”

เมื่อมองดูด้านหลังทั้งสองคน ซูหย่าก็ค่อนข้างมีความสุขกับเล่อจยา อย่างน้อย เกาไห่เขาก็เป็นคนสุภาพ มีมารยาทดี และมีกลยุทธ์

หลังจากเดินไปได้ประมาณ 5 นาที ทั้งสามคนก็มาถึงข้างในหมู่บ้าน

“ถ้าอย่างนั้น นี่บ้านคุณปู่ของเธอ เธออาจจะอยู่ที่นี่เมื่อเธอกลับมา ฉันจะขึ้นไปเคาะประตูให้คุณ”

ขณะที่เขาพูด เขาก้าวไปข้างหน้าบ้านแล้วเคาะประตู

ประมาณสี่หรือห้าก๊อก ก็มีเสียงมาจากข้างใน “นั่นใคร?”

“พี่ใหญ่ นี่ฉันเอง” ชายชราตอบข้างนอก

ผ่านไปครู่หนึ่ง ประตูก็เปิดออก ปู่เล่อ มองไปที่ชายชรา “เหล่าซูจีนั้นเอง นี่มันดึกมากแล้ว มีเรื่องอะไรหรือ…” คำพูดหยุดกะทันหันเมื่อพวกเขาเห็นเกาไห่และซูหยา

“พวกคุณคือ?”

ชายชรามองไปที่เกาไห่ ในขณะนี้ เขาตระหนักว่าเขาอาจถูกหลอกโดยชายหนุ่มคนนี้ หากเป็นภรรยาของเขาที่เคยมาที่บ้านตระกูลเล่อ จริง ๆ แล้ว ปู่เล่อทำไมจะไม่รู้จักเขา

“นี่คือปู่ของจยาจยา” ซูหย่าก้าวไปข้างหน้าและเตือนเขาต่อหน้าเกาไห่

เกาไห่ตอบโต้และพูดว่า “คุณปู่ ผมเป็นสามีของจยาจยา ผมมาที่นี่เพื่อรับเล่อจยากลับ”

ไฟฉายในมือของปู่เล่อตกลงไปที่พื้นหลังจากได้ยินเสียงแนะนำของเกาไห่

เกาไห่เห็นการเปลี่ยนแปลงสีหน้าของ ปู่เล่อผ่านแสงสลัวและรู้สึกงงงวยอยู่ครู่หนึ่ง

“คุณปู่ จยาจยาบอกว่าจะมาหาคุณย่าและปู่วันนี้ ตอนแรกก็อยากมาด้วยกันแต่ผมติดงาน เมื่อกี้โทรไปมือถือเธอ

แล้วติดต่อไม่ได้ ผมกลัวว่าเธอจะเกิดเรื่องอะไรกับเธอก็เลยรีบมารับเธอ”

หลังจากพูดจบ เกาไห่ก็หันศีรษะและมองไปที่ชายชรา “คุณปู่ ที่ผมโกหก หวังว่าจะยกโทษให้ผม”

ชายชราเหลือบมองเขา ไม่มีอะไรจะพูด หันหลังเดินจากไป

ปู่เล่อมองไปที่เกาไห่ และ ซูหย่า และถอยหลังสองก้าว “เข้ามา”

หลังจากพูดเสร็จ เขาก็เข้าไปในห้องและเปิดไฟ

จากนั้นไม่นาน หลายคนก็ออกมาจากห้องต่างๆ ทั้งชายและหญิง

ในเวลานี้คนหนุ่มสาวเหล่านี้ยังไม่นอน

เล่อเหวินก็ลุกขึ้นมาเช่นกันเมื่อได้ยินเสียงข้างนอกเขาก้มหน้าเล่นเกมมือถืออยู่ตลอดเวลา เมื่อเห็นพวกเขาสองคนจากสายตา เขาก็ตกใจอย่างเห็นได้ชัดและค่อยๆวางโทรศัพท์แล้วออกไป.

.

ตอนเดินเข้ามา “พวกคุณเป็นใคร” ทันใดนั้น ดูเหมือนเขาจะคิดอะไรบางอย่าง “ดูเหมือนเราจะเคยเจอกันแล้ว”

เกาไห่เหลือบมองเล่อเหวิน แปลกใจเล็กน้อยว่าทำไมเขาถึงมาที่นี่ด้วย พยักหน้าและถามว่า “พี่สาวของคุณอยู่ที่ไหน”

เล่อเหวินขมวดคิ้ว “มีเรื่องอะไรที่ต้องการหาเธอ”

“ผมจะพาเธอกลับบ้าน”

“กลับบ้าน คุณเป็นอะไรกับเธอ” เล่อเหวินจำได้ว่าในขณะนั้นเล่อจยาเรียกคนนี้ว่าประธานเกา

“เธอเป็นภรรยาผม เธอว่าไงละ”

เกาไห่ไม่ชอบเล่อเหวินถ้าไม่ใช่เพราะเห็นแก่เล่อจยาเขาจะไม่คุยกับคนแบบนี้คนที่สามารถหลอกค่ายาของพ่อได้ไม่มีจิตสำนึกและไม่คู่ควรที่จะเป็นคน.

เล่อหวินอ้าปากออกและมองไปมาหลายครั้ง และมองเกาไห่ด้วยแววตายินดี “คุณ…คุณเป็นคนช่วยพ่อฉันจัดงานศพ ซื้อสุสานให้เขา และจ่ายค่าดูแลแม่ ใช่หรือไม่”

น้ำเสียงของเขาดูกระตือรือร้นเล็กน้อย เกาไห่มองมาที่เขาอย่างไม่ชัดและพยักหน้า “พี่สาวของคุณอยู่ที่ไหน”

ด้วยรอยยิ้มที่ไม่สามารถปกปิดบนใบหน้าของเล่อเหวินเขาพยักหน้าให้เกาไห่และโค้งเอวของเขา: “พี่เขย

ฉัน…ฉันจะไปรับพี่สาวของฉันเดี๋ยวนี้”

หลังจากพูดจบ เขาหันกลับมามองปู่เล่อว่า “คุณปู่ นี่คือสามีของพี่สาว ที่มีบริษัทใหญ่อยู่ในเมืองC”

ขณะที่เขาพูดก็ก้าวถอยหลัง “พี่เขย เดี๋ยวก่อน กำลังไปเรียกพี่สาวให้”

เกาไห่ต้องการไปกับเขา แต่ถูกลูกพี่ลูกน้องและพี่เขยบางคนรั้งไว้จนเขาพยายามอย่างสิ้นหวัง

แม้แต่ผู้ปู่เล่อที่ตอนนั้นเย็นชาก็ยังตะโกนเสียงดังว่า “แม่ของลูก ลุกขึ้นเร็วๆ บ้านเรา แขกคนสำคัญมานี่”

เมื่อมองดูฉากนี้ เกาไห่ก็เข้าใจเหตุผลที่เล่อจยาไม่ยอมให้เขาติดตามมา

ครอบครัวใหญ่ขนาดนี้ แต่เขาไม่เข้าใจว่าทำไมเล่อจยาซึ่งเติบโตขึ้นมาในสภาพแวดล้อมเช่นนี้แต่กลับแตกต่างอย่างสิ้นเชิงจากพวกเขา

คิดถึงครั้งนั้นเพราะเธอไม่มีเงินจึงนอนในตู้กดเงินสด สักพักเขารู้สึกได้ถึงความรู้สึกมากมายในหัวใจของเธอและชื่นชมเล่อจยามากขึ้น

เมื่อเปื้อนจากตะกอนก็ควรจะเป็นอย่างนี้

เล่อจยา นั่งลงบนพื้นครึ่งหนึ่ง หิวและเหนื่อยมาก และต้องการไปห้องน้ำ จนจะกลายเป็นบ้าแล้ว

“ดงดง…” เสียงเคาะประตู

“ใคร?”

“พี่สาว นี่ฉันเอง เสี่ยวเหวิน”

เล่อจยาถอนหายใจ เสี่ยวเหวิน? เธอเกือบจะอ้วกละ

“ทำไม” น้ำเสียงไม่ค่อยดี

“พี่เขยมารับพี่แล้วนะ”

“พี่เขยคนไหน ก็…” เลอจยาไม่พูดอะไรมากไปกว่านั้น เธอยืนขึ้นพร้อมกับคลำหาและเดินไปที่ประตู “กำลังพูดถึงใคร”

เธอบิดคอ ศีรษะของเธอยังคงเจ็บปวดเล็กน้อยและดวงตาของเธอก็มืดลงเล็กน้อยหากไม่ใช่เพราะเธอขาดสติคงไม่มีทางทำให้เธอสลบได้

เธอลุกขึ้น งุ่มง่าม และเดินไปทางแสงอันแผ่วเบา เธอสะดุดอะไรบางอย่าง หันหน้าไปทางพื้น หน้าเธอรู้สึกเจ็บปวด ปากของเธอรู้สึกเต็มไปด้วยฝุ่น เธออาเจียนสองสามครั้ง เอื้อมมือออกไปดึงประตู แต่พบว่า ว่าประตูถูกล็อค ลองจับดูกระเป๋าและโทรศัพท์ก็หายไป

ทันใดนั้นเธอตื่นตระหนกคิดว่าเกาไห่ไม่เห็นเธอกลับบ้าน และไม่สามารถแจ้งเขาได้ เขาคงจะกังวลตายเลย

จากนั้นเขาก็นึกถึงดวงตาที่อ้างว้างในตอนเช้าบางทีตอนกลางคืนเขาอาจจะไม่กลับบ้านเลยก็ได้ เขาจะพบว่าเธอไม่อยู่แล้วได้อย่างไร

ชั่วขณะนั้นความเจ็บปวดก็พุ่งเข้าใส่หัวใจของเธอ

ในเวลานี้มีเสียงจากภายนอกดึงความคิดของเธอกลับคืนมา

“ปู่ เปิดประตูไม่ได้ เธอรู้วิชากังฟู ถ้าปู่ปล่อยเธอออกมา มีหวังเธอได้ฆ่าผมแน่”

เสียงของเล่อเหวิน เล่อจยาได้ยินคำพูดนั้น หมัดกำแน่นด้วยความโกรธ นี่คือน้องชายที่ดีของเธอจริงๆ จิตใจดำอำมหิตนี้

“เสี่ยวเหวิน นั่นคือพี่สาวนะ ไม่ว่าเขาจะทำผิดพลาดครั้งใหญ่เพียงใด เธอคงไม่ใช่อยากขังเธอไปตลอดชีวิต ในสังคมนี้ยังมีกฎหมายอยู่นะ”

เล่อจยาอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจด้วยความโล่งอกด้วยเสียงของคุณปู่ ดูเหมือนว่า แม้ว่าคุณปู่คนนี้จะไม่ใช่คนดี แต่เขาเป็นเจ้าคณะในหมู่บ้านมาสองสามปีแล้วและรู้กฎหมายดี

แค่……

จากนั้นเสียงค่อยๆเบาลง ฉันไม่รู้ว่าเล่อเหวินและคุณปู่พูดอะไร เสียงฝีเท้าไม่ได้เข้าใกล้เธอ แต่ล่องลอยไป

เล่อจยาหายใจเข้าแล้วคายออกมา ไม่ต้องพูด มันคงเป็นความคิดที่แย่ของเล่อเหวินอีกแล้ว เธอรู้สึกว่าเธอโชคร้ายมาแปดชั่วอายุคนและกลายเป็นพี่น้องกับคนแบบนี้

เธอดึงประตูไม้อย่างแรง หลายครั้ง ประตูไม่ขยับเลยยกเว้นก็แต่ฝุ่นละอองที่กระจ่ายไปทั่ว

เธอมองออกไปผ่านรอยแตกที่ประตูมีแสงสลัวเล็กน้อย และคาดว่าน่าจะดึกแล้ว

ทันใดนั้น ดวงตาคู่หนึ่งก็ปรากฏขึ้นต่อหน้าเธอ และเล่อจยาก็พูดว่า “อ่า” และเธอก็ตกตะลึงในทันทีด้วยเหงื่อที่เย็นยะเยือก

“พี่สาว ข้างในมันอึดอัดคงไม่น่าอยู่ใช่มั้ย?

“เสียงของเล่อเหวิน?

เล่อจยาหายใจเข้าและบังคับตัวเองเพื่อจัดการกับอารมณ์ของเธอก่อนที่จะพูดช้าๆ “เล่อเหวิน เปิดประตู”

“เฮ้ เปิดประตูทำไม ให้เธอออกมา ตีฉัน ดุฉัน หรือเปิดโปงฉัน” เล่อ หวินพิงกำแพง เอามือโอบหน้าอกของเขา สำหรับพี่สาวคนนี้ที่ทั้งด่าและลงมือกับเขาตอนเด็ก เล่อเหวินไม่เคยมีความรู้สึกดีๆ มาก่อน และตอนนี้ เมื่อเก็บเธอไว้ข้างใน หัวใจของเขาก็รู้สึกสดชื่น

เล่อจยาได้ยินเขาพูดคำพูดเหล่านี้ กำหมัดจนได้ยินเสียงแต่เธอรู้นิสัยของเล่อเหวินดีจิตใจที่ดื้อรั้นของเขาแข็งแกร่งเป็นพิเศษ และเขาคงจะไม่เปิดประตูให้เธอแน่ถ้ายังเถียงกับเขา

ลองคิดดู เธอหรี่ตา “เสี่ยวเหวิน ต้องการเงินไหม” สำหรับคนประเภทนี้ที่หมดสิ้นเหตุผล เล่อจยารู้ดีว่าการพูดคุยกับเขาเรื่องเงินมีประสิทธิภาพมากกว่าการพูดคุยกับเขาเกี่ยวกับความรู้สึก

“เงิน? หมายถึงอะไร”

น้ำเสียงของเขาชัดเจนขึ้นเล็กน้อย เล่อจยากลอกตาขึ้นข้างบน เป็นที่คาดคิดจริงๆ

“โทรหาเพื่อนของฉันและขอให้เธอส่งเงินให้ แล้วปล่อยฉันไปได้ไหม”

สักพักไม่มีเสียงตอบรับ เล่อเหวินก็เคาะประตู “เล่อจยาอย่ามาล้อเล่นนะ เพื่อน? เพื่อนเธอมีเงินเท่าไหร่?”

เล่อจยารู้สึกว่าความอดทนของเธอกำลังถึงขีดจำกัด เธออดทนต่อความโกรธของเขาและพูดคำต่อคำ:

“ครอบครัวของเธอรวยมากเชื่อฉันเถอะว่าต้องการสามถึงห้าแสนเธอมีให้เธออย่างแน่นอน”

ไม่มีทาง ในเวลานี้ ซูหย่าไม่สามารถเอาออกมาได้

เป็นเรื่องแปลกที่เล่อจยาไม่คิดจะหาเกาไห่ตั้งแต่แรก เธอไม่ต้องการให้ เกาไห่ปวดหัวกับเธอ ประการที่สอง เธอต้องการที่จะอยู่กับเขาด้วยความนับถือตนเองเล็กน้อย เธอรู้สึกจริงๆ อายเกินกว่าจะมีน้องแบบนี้

“สามถึงห้าแสน สามถึงห้าแสน เอามาทำอะไรได้บ้าง คิดว่าพี่ค่อยๆอยู่ในนั้นไปเลยดีกว่า”

จากนั้นเล่อจยาก็ได้ยินเสียงฝีเท้าของเล่อเหวินจากไป

เธอโกรธมากจนเตะประตูหน้าเธอสองสามครั้ง ฝุ่นตกลงมา ตาและจมูกของเธอเต็มไปด้วยฝุ่น และเธอไม่หยุดที่จะไอสองสามครั้ง

หลังจากก้าวถอยหลังไปสองสามก้าว เธอสัมผัสได้ถึงเครื่องมือการเกษตรบางอย่าง เมื่อนึกถึงบ้านของคุณปู่ ดูเหมือนว่ามีห้องแบบนี้อยู่

ครุ่นคิด นั่งลงกับพื้น แล้วนึกอะไรบางอย่างได้ ถอดเสื้อออก พับสองสามครั้ง แล้วสวมกอดไว้

เมื่อเกาไห่และซูหย่ามาถึงในเมืองก็เป็นเวลาสองชั่วโมงแล้ว

ท้องฟ้ามืดครึ้ม ความจำทางด้านทิศทางของซูหย่าไม่ค่อยดีนัก ทันใดนั้นเธอจำบางอย่างได้ และวิ่งไปที่ร้านถัดไปเพื่อซื้อของเล็กน้อย จากนั้นเธอก็ถามเจ้าของร้าน “สวัสดีค่ะ เจ้าของร้าน ขอถามหน่อย มีหมู่บ้านหนึ่งที่มีถ้ำอยู่หลังหมู่บ้านมีโคมไฟสวยงามมากมายและมีพระใหญ่องค์หนึ่ง”

เล่อจยาพาเธอมาที่นี่ในครั้งนั้นและเธอก็จำได้อยู่ลึก ๆ ถ้าเธอสามารถหามันได้ก็เท่ากับหาหมู่บ้านของปู่ของเธอได้

จากนั้นค่อยถามหานามสกุล เล่อ น่าจะหาง่าย

“โอ้ เธอคงจะพูดถึงหมู่บ้านจิ่วเฟิงไหม ที่นั้นมีถ้ำและมีพระใหญ่อยู่ในถ้ำ อย่างไรก็ตาม มันค่อนข้างไกลจากที่นี่และเป็นถนนบนภูเขาไปพรุ่งนี้เช้าปลอดภัยกว่า”

ซูหย่ากล่าวขอบคุณ ออกมาและทวนคำพูดของเจ้าของร้านให้กับเกาไห่

“ทำไมคุณไม่ไปพรุ่งนี้ล่ะ มันมืดแล้ว” ซูหย่าคิด เล่อจยานอนที่บ้านคุณปู่ของเธอหนึ่งคืนคงไม่เป็นอะไร

“คุณหาที่พักที่นี่ก่อน ผมจะไปคนเดียว” เกาไห่ตอบอย่างเย็นชา เขาต้องพบเธอคืนนี้ ไม่เช่นนั้น เขาจะรู้สึกไม่สบายใจ

ซูหย่าจ้องไปที่เขา “ฉันไม่รู้จริงๆ ว่าเล่อจยาชอบอะไรคุณ?”

เมื่อพูดจบเขาก็เปิดประตูรถและพูดว่า “ไปต่อได้แล้ว”

จากนั้นพวกเขานำรถไว้ที่นี่แล้วไปที่รถอีกคัน ดูถนนที่คดเคี้ยวบนการนำทาง ซูหย่ายังคงประหม่าเล็กน้อย และเมื่อพวกเขาไปถึงภูเขาก็มีหน้าผาด้านล่าง

อย่างไรก็ตาม เกาไห่ขับรถอย่างใจเย็น และในที่สุด ทั้งสองก็มาถึง

ดูตอนนี้ก็ 2 ทุ่ม แล้ว อยู่ในเมืองช่วงนี้ สถานบันเทิงเพิ่งเริ่มขึ้น

อย่างไรก็ตาม ในหมู่บ้านบนภูเขาเล็กๆ แห่งนี้ ในเวลานี้ บ้านถูกปิดหมดแล้ว ยกเว้นแสงไฟสลัวๆ เล็กน้อย ทั้งหมู่บ้านถูกปกคลุมไปด้วยความมืดในคืนที่มืดมิดทำให้ผู้คนรู้สึกตื่นตระหนกเล็กน้อย

ซูหย่าเห็นต้นไม้ใหญ่ที่หัวหมู่บ้าน “ใช่ นี่คือหมู่บ้าน ตอนนั้นฉันถ่ายรูปกับจยาจยาที่นี่” เธอถอนหายใจด้วยความโล่งอก ยังไงก็ตาม ไม่ผิด

เมื่อทั้งสองพูดคุยกัน ร่างหนึ่งก็ปรากฏตัวขึ้นในที่ที่มีแสงสว่างส่องถึง

“ถ้าอย่างนั้นลองเช็คดู ใช้โทรศัพท์ของฉันเช็ค”

เล่อจยาไม่สงสัยในตัวเขาหยิบโทรศัพท์มือถือของเล่อเหวิน เพราะมักจะต้องใช้เงินนั้นเพื่อซื้อยาให้พ่อ ดังนั้นเล่อจยาจึงสับสนกับชุดตัวเลขที่มันวุ่นวายนี้มานานแล้ว เขาเปิดมือถือแล้วเข้าระบบธนาคารหลังจากเข้าสู่ระบบ เธอคลิกอย่างรวดเร็วที่คำว่า “โอน” แต่ก่อนที่เนื้อหาจะปรากฏ เล่อเหวินก็คว้าโทรศัพท์จากมือของเธอแล้วคลิก

“คุณปู่ ดูซิ ชื่อนี้ของใคร”

เล่อจยาเอนศีรษะดูข้างบนเขียนชื่อผู้รับเงิน:เล่อจยา

การถ่ายโอนเงินหลายๆยอด ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเป็นเล่อจยา

จากนั้นสายตาของทุกคนก็จับจ้องไปที่เล่อจยาและสายตานั้นทำให้เห็นชัดเจนว่าเธอเป็นฆาตกรที่ฆ่าพ่อของเธอ

“เธอกังวลว่าผมต้องขอเงินจำนวนนี้กับเธอ ดังนั้นเธอจึงโอนเงินทั้งหมดในบัตรของพ่อไปที่บัญชีของเธอล่วงหน้า เธอยังโทษผม เล่อจยา ไม่นึกเลยว่าพ่อจะดีกับเธอขนาดนี้สุดท้ายเธอปฏิบัติต่อเขาแบบนั้น”

ดวงตาของเล่อจยามืดลงครู่หนึ่ง และเธอก็จำได้ว่าไม่นานก่อนที่พ่อของเขาจะเสียชีวิต พ่อได้ขอบัตรธนาคารจากเธอ คนที่รื้อถอนบอกว่าเขาต้องการเก็บหมายเลขบัตรไว้เป็นข้อมูลสำรองตอนนั้นเธอก็ไม่ได้คิดมากอะไร เธอเลยบอกรหัสผ่านให้พ่อ แล้วให้การ์ดใบนั้นแก่เขา

แต่คิดไม่ถึง… มันถูกใช้เพื่อจุดประสงค์นี้จริงๆ

หัวใจของเธอก็เจ็บราวกับเหมือนเลือดออก เธอไม่เชื่อว่าพ่อของเธอจะไม่รู้เจตนาของเล่อเหวินแต่พ่อก็ยังทำตามเขา

ในเวลานี้ เธอมองไปที่ “ญาติ” ในบ้าน หลับตาแล้วดูพวกเขาอีกครั้ง “เอาล่ะ ถ้าคุณจะเชื่อเขา ก็แค่เชื่อ ฉันแค่อยากจะบอกว่าพ่อของฉันจากไปแล้ว ”

หลังจากพูดจบเธอก็หันหลังกลับและต้องการจะจากไป

เธอแค่รู้สึกปวดที่หลังศีรษะจากนั้นก็จะหมดสติไป

ในอีกด้านหนึ่ง

ใกล้ถึงเวลาอาหารเย็นแล้วเกาไห่ยังคงไม่ได้รับข้อความใดๆจากไห่ยุ่น เขาทั้งโทรแจ้งตำรวจและส่งคนไปตามหาและใช้วิธีการต่างๆมากมาย แต่ทั้งหมดนั้นไร้ผล ในที่สุดเขาก็โทรหาลุงของเขา

มื่อพ่อของไห่ยุ่นได้รับโทรศัพท์ เขาได้ยินเกาไห่พูดว่าไห่ยุ่นหายตัวไป เขาประหลาดใจมากเพราะทางนั้นไม่มีปฏิกิริยาอะไรมาก เขาแค่พูดอย่างใจเย็นว่า “เสี่ยวไห่ รบกวนคุณแล้วจริงๆ ไม่ต้องไปสนใจเธอให้เธออยู่คนเดียวสักพักเดี๋ยวก็กลับเอง” พูดเสร็จก็วางสายไป

เกาไห่แค่คิดว่าเขาได้ยินผิด เพราะเขาเปิดลำโพงเพื่อพูด เขามองย้อนไปที่เสี่ยวตง “คุณได้ยินที่ลุงของฉันพูดไหม”

เสี่ยวตงพยักหน้า “ผมได้ยิน เขาบอกว่าไม่ต้องสนใจเธอ”

จากนั้นเขาก็พูดขึ้นว่า: “ประธานเกา ทำไมคุณไม่กลับไปก่อน เกิดอะไรขึ้น ผมจะโทรหาคุณเองและฟังจากพ่อของไห่ยุ่น มันอาจจะไม่ใช่ครั้งแรกที่เธอเป็นแบบนี้ บางทีเธออาจเจอเรื่องที่ไม่สบายใจ เลยอยากอยู่คนเดียว”

เกาไห่ คิดเกี่ยวกับมัน เขารู้สึกว่าปฏิกิริยาของลุงของเขามีความหมายแบบนั้น ถ้าเขาถูกลักพาตัวจากคนเลวจริงๆ คงไม่เงียบไปแบบนี้และเขาก็เหมือนรู้สึกผ่อนคลายขึ้นเล็กน้อย

“งั้นผมกลับก่อนนะ ถ้าคุณทราบข่าวก็โทรหาผมได้เลย”

เมื่อ เกาไห่ กลับถึงบ้าน เขานึกถึงอะไรบางอย่างโดยไม่รู้ตัวเมื่อเห็นรองเท้าแตะคู่หนึ่งที่ประตู เขารีบหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาแล้วกดหมายเลขของเล่อจยา

“ขออภัยค่ะหมายเลขที่ท่านเรียกปิดให้บริการชั่วคราว”

เขาหลับตา หายใจเข้าลึกๆ โทรหาซูหย่าแล้วถามหาเล่อจยา ซูหย่าขมวดคิ้ว “จยาจยาได้บอกไว้ว่า วันนี้คุณจะพาเธอไปหาย่าของเธอไม่ใช่หรือ เกิดอะไรขึ้นหรือเปล่า ไม่ไปกับเธอเหรอ?”

เกาไห่ตัวแข็งทื่อ และในวินาทีถัดมา เขาเข้าไปในห้องและตะโกนว่า “คุณป้า…คุณป้า”

คุณป้ารีบเดินออกมาจากระเบียง “คุณเกา เกินเรื่องอะไรขึ้นหรือ”

“จยาจยาออกไปเมื่อไหร่? ตอนออกไปพกอะไรไปด้วยไหม?”

คุณป้ารู้สึกประหม่าเล็กน้อยกับเสียงที่ดังของเขา “ออกไปตอนเช้า ตอนออกไปก็เอากระเป๋าสัมภาระไปด้วย”

เกาไห่เอาห้านิ้วเข้าหากัน ตบแก้มขวาตัวเองด้วยความเสียใจ

เขาลืมสิ่งนี้ไปได้อย่างไร ไม่น่าแปลกใจที่เล่อจยาโทรหาเขาสองครั้งในตอนเช้าและเมื่อคืนนี้เขาก็ไม่ได้กลับและไม่ได้บอกเธอด้วย

เมื่อนึกถึงญาติที่มีพลังปากของเธอในวันนั้น คิดว่าเธอจะต้องเผชิญหน้าคนเหล่านั้นเพียงลำพัง เขาจึงโกรธและวิตกกังวล โกรธที่ความประมาทเลินเล่อของเขาที่มีต่อเธอ

“เฮ้ เกาไห่ นายไม่ได้กลับกับจยาจยาเหรอ?”

เสียงของซูหย่ามาจากโทรศัพท์ และเกาไห่เพิ่มจำได้ว่าเขาไม่ได้วางสาย

หยิบขึ้นมา “คุณรู้ไหมว่าบ้านเกิดของเธออยู่ที่ไหน”

ซูหยาและเล่อจยาเคยไปที่นั่นมาแล้วครั้งหนึ่ง แต่เป็นเวลาสองหรือสามปีแล้ว เธอไม่แน่ใจนัก “แต่พอจะรู้ที่ตั้ง แต่ไม่แน่ใจที่อยู่แถวนั้น”

หลังจากหยุดไปชั่วครู่ เธอก็พูดต่อ “ว่าแต่ทำไมคุณไม่ไปกับเธอล่ะ ฟังจยาจยาพูด ความคิดเห็นนี้ก็มาจากคุณ”

เกาไห่หยิบเสื้อโค้ตและเปลี่ยนรองเท้า “จะพูดถึงเรื่องนี้ให้ฟังภายหลัง ส่งที่อยู่คุณมาผมจะไปรับคุณ”

ภายในรถ

“คุณกำลังพูดเรื่องอะไร เมื่อคืนคุณไม่ได้กลับบ้านเพื่อตามหาลูกพี่ลูกน้องของคุณ คุณยังวางสายเล่อจยาถึงสองสายเมื่อเช้านี้” ซูหย่าก็ขึ้นเสียงของเธอทันทีหลังจากได้ยินคำอธิบายของเกาไห่

“ฉันบอกว่าคุณทำได้จริงๆ เรื่องนี้เล่อจยา ถ้าเป็นฉัน ฉันคงไม่ต้องการคุณอย่างแน่นอน เพื่อผู้หญิงคนอื่น ไม่ได้กลับมาทั้งคืนไม่พอแล้วยังวางสายใส่อีก”

“เสียงเอี๊ยด…” เสียงล้อกระทบพื้นดังขึ้น และซูหย่าโชคดีที่ได้คาดเข็มขัดนิรภัย ไม่เช่นนั้น ในตอนนี้ เธออาจจะกระแทกกระจกหน้ารถโดยตรง

เธอคลุมหน้าอกของเธอด้วยความตื่นตระหนก: “คุณบ้าแล้วเหรอ คุณไม่กลัวรถพลิกถ้าเบรกแบบนี้เหรอ” หลังจากพูดจบ เธอพบว่าเกาไห่จ้องมาที่เธอและกลืนน้ำลายลงคอ

“คุณพูดว่า เธอไม่ต้องการผมแล้วเหรอ?” ใบหน้าของเขาดูไม่ดีและดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก และซูหย่าก็พยายามจะย้อนคำพูดสองสามคำเหล่านั้นในตอนนี้

สุดท้ายเธอก็พยักหน้าแล้วพูดว่า “แน่นอน ถ้าเธอเจอแบบนี้ ผู้ชายที่ลืมเมียตัวเองได้หมดจด เป็นฉัน ฉันก็ไม่ต้องการอย่างแน่นอน” เธอต้องทำให้ผู้ชายคนนี้ทนทุกข์ทรมานและไม่รู้ว่าในอนาคตจะทำกับเล่อจยาอย่างไร

“นั่นเป็นเพราะว่าไห่ยุ่นหายตัวไป เท้าและขาของเธอมันไม่สะดวก ฉัน…”

“มันเป็นข้อแก้ตัว เมื่อคืนนี้คุณไม่กลับบ้าน คุณเคยคิดถึงความรู้สึกของเล่อจยาไหม วันนี้ที่คุณวางสาย คุณคิดถึงความรู้สึกของเธอไหม คุณพลาดการนัดหมาย คุณคิดถึงความรู้สึกของเธอบ้างไหม ทั้งหมดนี้ในหัวใจของคุณเล่อจยาคงไม่ใช่สิ่งที่สำคัญที่สุดเพาะว่าเธอไม่สามารถเทียบกับลูกพี่ลูกน้องของคุณได้” ซูหย่าขัดจังหวะการโทรของเกาไห่ จากนั้นก็จัดการด่าเขามากมายไปรอบหนึ่ง

การแสดงออกของเกาไห่เปลี่ยนไปครั้งแล้วครั้งเล่า ในขณะนั้นเสียงแตรที่อยู่ข้างหลังก็ดังขึ้น

“โอเค ไปขับรถก่อน นี่เป็นแค่ความคิดของฉัน แต่คุณในสายตาของจยาจยาของเราคือของมีค่าสำหรับเธอเธออาจจะยินดีที่จะทำทุกอย่างเพื่อคุณและเป็นไปได้ที่จะไม่โกรธคุณ.”

คำพูดของเธอไม่เพียงแต่ทำให้สีหน้าของเกาไห่ดูดีขึ้นเล็กน้อย และกลับมามืดลงอีกครั้ง

หัวใจของเขาก็รู้สึกเจ็บจี๊ดขึ้นมา

เขาไม่เคยคิดว่าเล่อจยาจะรักเขาอย่างถ่อมตนขนาดนี้

เมื่อเล่อจยาตื่นขึ้น เธอก็ถูกขังอยู่ในห้องมืด และกลิ่นฝุ่นหนาทึบบอกเธอว่าห้องนี้น่าจะไม่มีคนอยู่เป็นเวลานานแล้ว

เล่อจยาเหลือบมองเล่อเหวิน เขาหันศีรษะไปอย่างรู้สึกผิด แล้วรีบเดินไปที่หมู่บ้านทิศทางบ้านของคุณปู่

“เขาเสียชีวิตด้วยอาการป่วย”เล่อจยามองแผ่นหลังนั้น พูดเสียงเบา ถึงแม้จะไม่มีความรู้สึกกับเขาแล้ว แต่ เขาเป็นลูกชายของพ่อ เธอทนไม่ได้ที่จะพูดอย่างนั้นต่อหน้าคนนอก คิดๆแล้ว เรื่องภายในครอบครัวไม่ควรสาวไส้ให้กากิน

เห็นได้ชัดว่าอาสะใภ้รองยังไม่หายจากอาการตกใจที่พ่อเสียชีวิต และตกตะลึงอยู่กับที่

ความรู้สึกที่เล่อจยามีต่ออาสะใภ้คนนี้ไม่ได้ดีตั้งแต่เด็ก ดังนั้น จึงไม่มีความจำเป็นต้องพูดคุยให้ยืดเยื้อ เธอหันตัว เดินไปทางบ้านของคุณปู่

พอถึงหน้าบ้านคุณปู่ เล่อจยาก็ได้ยินเสียงหัวเราะจากข้างใน ทั้งชายและหญิง เด็กและผู้ใหญ่ เห็นได้ชัดว่าเฮฮามาก เทียบกับวันตายของพ่อที่เงียบสงบแล้วแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด

บ้านของคุณปู่ ยังคงเป็นเหมือนเมื่อก่อน อิฐสีน้ำเงินและกระเบื้องหิน มองจากภายนอกห้องจะมืดไปหน่อย เล่อจยายืนอยู่หน้าประตู มองเข้าไปข้างใน มีเด็กและผู้ใหญ่หลายคนนั่งอยู่ในบ้าน เฮฮากันมาก

เล่อเหวินนั่งอยู่ข้างคุณยาย คุณยายจับมือเขา มองขึ้นและลง มองไปทางซ้ายและขวา ในตาแฝงไปด้วยรอยยิ้ม

เธอยืนหน้าประตูอยู่นาน แต่กลับไม่มีใครทักเธอเลยสักคน

“เหวินเหวิน นี่นานเท่าไหร่แล้วที่นายไม่มาหาปู่กับย่าเลย นายรู้ว่าพรุ่งนี้เป็นวันเกิดของปู่ ถึงได้ตั้งใจกลับมาใช่ไหม?”

เสียงของชายชราค่อนข้างแหบ เล่อจยาใจกระตุกไปที พรุ่งนี้เป็นวันเกิดของคุณปู่?

ถ้าอย่างนั้น ดูเหมือนว่า ข่าวที่พ่อเสียชีวิต คงพูดวันนี้ไม่ได้แล้ว

แต่ว่า……

“พ่อ พี่ใหญ่เสียแล้ว”เสียงตะโกนต่ำดังมาจากทางประตู

‘ตึกตัก’เสียงหัวใจของเล่อจยา จบแล้ว เธอลืมไปได้ยังไง ว่าเมื่อกี้บอกอาสะใภ้รองไป ด้วยนิสัยปากมากของเธอ ถึงเธออยากจะปิดบังก็เก็บไว้ไม่อยู่

เธอเข้ามาในบ้าน มองทุกคนในนั้น พยักหน้า และทักทีละคน

สุดท้ายสายตาไปตกอยู่ที่คุณปู่และคุณย่า “คุณปู่คะ ที่ฉันและเสี่ยวเหวินกลับมาวันนี้ ก็เพื่อจะมาบอกข่าวการตายของพ่อ”

พูดไป เธอก็หันไปมองเล่อเหวิน

เล่อเหวินมองเธอ แล้วก้มหน้าลงไปซุบซิบข้างหูคุณปู่ ระยะห่างไกลเกินไป เล่อจยาไม่ได้ยิน แต่ ดูจากสายตาที่คุณปู่มองเธอแล้ว อีกอย่าง นิสัยของเล่อเหวินไม่เคยพูดถึงเรื่องดีของเธอตั้งแต่เด็กแล้ว เธอรู้ว่า เขาไม่มีทางพูดเรื่องดีๆแน่นอน

“โฮ…….”เธอเพิ่งพูดจบ คุณยายก็นั่งลงกับพื้น ตบขาตัวเอง ร้องไห้ขึ้นมาเสียงดัง “โธ่ลูกของฉัน……ทำไมนายถึงให้คนผมขาวส่งศพคนผมดำล่ะ?”เสียงร้องไห้ที่โศกเศร้านั้น ทำให้เย่หลินรู้สึกสงสัย ว่าก่อนหน้านี้ไม่ใช่เพราะคนที่อยู่ข้างหน้าเธอคนนี้หรอกเหรอที่ไม่สนใจพ่อ

เธอก้มหน้าลง รู้สึกเศร้าเล็กน้อย

“เธอคงจะเป็นจยาจยาสินะ มานี่สิ เข้ามาใกล้หน่อย ไหนลองพูดซิ ว่าพ่อเธอเสียได้ยังไง? เสียเมื่อไหร่?”คนที่พูด คือปู่ของเล่อจยา สีหน้าเขาดูแย่มาก กวักมือเรียกเล่อจยา

เธอคงจะเป็นจยาจยาสินะ? เล่อจยาคิดว่ามันตลกมาก

ปู่แท้ๆของเธอไม่สามารถยืนยันตัวตนของเธอได้

แต่ก็เอาเถอะ เธอรู้ว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ต้องมาโกรธ เธอเดินเข้าใกล้สองก้าว เพียงแต่ ยังไม่ทันได้ยืนนิ่ง เธอก็โดนตบหน้า

เล่อจยากุมหน้าตัวเองไว้ มองคุณปู่ที่อยู่ข้างหน้าเธออย่างไม่เชื่อ “ทำไมถึงตบฉัน?”

“เธอพูดมาซิ ว่าเธอทำพ่อเธอตายยังไง?”

ทำพ่อตาย? เล่อจยาขมวดคิ้ว “คุณปู่ ฉันฟังที่ปู่พูดไม่รู้เรื่อง?”

“ฟังไม่รู้เรื่อง? เธอยักยอกเงินค่ารื้อถอนของพ่อเธอทั้งหมดและไม่ได้ซื้อยาให้พ่อของเธอ เขาป่วยและเสียชีวิตไป เธอบอกว่า เธอไม่ได้ทำให้เขาตาย แล้วเธอทำอะไร?”

เล่อจยาตกตะลึง เธอหันไปมองเล่อเหวินด้วยสายตาเฉียบขาด ชี้นิ้วขึ้น “เล่อเหวิน นายพูดเหรอ?”

เล่อเหวินไปหลบหลังคุณปู่ “คุณปู่ คุณดูสิ ผมบอกคุณแล้ว ถ้าเธอรู้เข้า เธอตีผมตายแน่”

พูดไป ก็ทำท่าทางเหมือนกลัว

การแสดงที่เหมือนจริงมากของเขา ทำให้เล่อจยาเปิดหูเปิดตา “เล่อเหวิน นายไม่ไปเป็นนักแสดงคงน่าเสียดาย”

เธอพูด และเหยียดแขนออกไป ต้องการจะดึงเล่อเหวิน “เอาแต่พูดโกหกคำโต วันนี้ถ้าฉันไม่สามารถฉีกปากนาย ถือว่านายเก่งมาก”

เพียงแต่ ปู่เล่อกลับเร็วกว่า ลุกขึ้นยืนบังตัวเล่อเหวินไว้ “ในสายตาเธอยังเห็นฉันที่เป็นผู้หลักผู้ใหญ่คนนี้อยู่ไหม?”

เล่อจยาสูดหายใจเข้าลึกๆ พยายามให้อารมณ์ของตัวเองนิ่งลง เอ่ยปากพูด“คุณปู่ เล่อเหวินมันเล่นการพนัน และเป็นหนี้ก้อนโต เพื่อที่จะชำระหนี้ให้เขา พ่อของฉันเอาเงินค่ารื้อถอนทั้งหมดให้กับเขา นั่นมันตั้งหลายล้านเลยนะ แถมยังแอบเอาเงินค่ายาให้เขาลับหลังฉันอีก ต่อมา เพราะไม่ได้กินยาเป็นเวลานาน พ่อก็สลบไป พวกเราไปถึงโรงพยาบาล ก็เพิ่งจะมารู้เรื่องของเล่อเหวิน และพอพ่อของฉันมารู้ธาตุแท้ของเล่อเหวิน ก็ไปหาเขา สุดท้ายเขาก็พูดจาไร้มารยาทกับพ่อ พ่อฉันโกรธ จึงวิ่งไปกลางถนน โดนรถชน พ่อถึงได้เสีย”

เล่อจยาพูดจบในเฮือกเดียว จากนั้น ยื่นมือออกจะจับเล่อเหวินที่อยู่หลังปู่เล่อ “เล่อเหวิน นายออกมานะ”

แต่ใครจะคิดว่าเล่อเหวินกลับหัวเราะเสียงเย็น“เล่อจยา เธอใส่ร้ายฉัน เงินรื้อถอนของพ่อ เป็นเธอต่างหากที่เอาไปคืนหนี้”

พูดจบ ก็เข้าไปดึงเสื้อกันหนาวของเล่อจยา “พวกคุณดูสิ เสื้อที่พี่สาวผมใส่ เป็นแบรนด์ดังระดับประเทศ ตัวละหมื่นกว่า แค่งานที่เธอทำ จะมีเงินที่ไหน มาซื้อเสื้อแพงขนาดนี้”

ลูกพี่ลูกน้องสองสามคนที่อายุน้อยกว่าเล่อจยา เมื่อได้ยินคำพูดของเล่อเหวิน พวกเขาทั้งหมดก็ยืนขึ้นมามอง จากนั้น เสียงถอนหายใจดังขึ้นเป็นแถบ

เล่อจยาอ้าปากค้าง แต่หาเหตุผลที่จะเถียงไม่ได้ เสื้อตัวนี้ ซูหย่าเป็นคนเลือกให้เธอเมื่อวาน เธอซื้อมันไม่ลง ถึงขนาดเดินออกจากร้าน ซูหย่าก็ดึงเธอกลับเข้าไปอีก บอกว่าไม่ซื้อของแพงสักสองสามชุด จะทำให้เกาไห่เสียหน้า

แต่ว่า วินาทีนี้ เธอกลับไม่สามารถอธิบายได้ว่าเกาไห่เป็นคนซื้อ เพราะก่อนหน้านี้ได้พูดโกหกเล่อเหวินไปแล้ว

อีกอย่าง เกาไห่ก็ไม่อยู่ ถึงเธอจะบอกว่าตัวเองแต่งให้กับเศรษฐี ก็คงไม่มีใครเชื่อ เมื่อกี้อาสะใภ้รองอยู่หน้าหมู่บ้าน คงเห็นว่าเธอลงจากรถบัสแล้ว มีคนรวยที่ไหน นั่งรถบัสกัน

พิจารณารอบด้าน เธอก็ก้มหน้า ไม่พูดอะไร แต่กลับโกรธหายใจแรงจนหน้าอกกระเพื่อมขึ้นลง

น้องชายของเธอคนนี้ไม่ได้แค่เลวธรรมดา แต่กลับเลวเข้ากระดูกเลยด้วยซ้ำ เสียดายที่เมื่อกี้เธออุส่าห์คิดว่าจะไม่เปิดเผยความจริง

เธอไม่รู้ว่าเมื่อกี้เขาพูดอะไรกับคุณปู่ แต่ เธอรู้ดี ว่าวันนี้ ต่อให้ตัวเองไปกระโดดลงแม่น้ำเหลืองก็คงอธิบายไม่ได้

ทันใดนั้น เธอก็นึกอะไรขึ้นได้ “นายบอกว่าฉันยักยอกเงินรื้อถอนของพ่อ นายมีหลักฐานอะไรไหม? ตอนนั้นเงินค่ารื้อก็โอนเข้าบัญชีของพ่อ ถ้านายไม่มีเลสนัย พวกเราก็ตรวจสอบบันทึกการโอนของพ่อเลย”แบบนี้ คงสามารถพิสูจน์ได้แล้ว

แต่ว่า สิ่งที่ไม่คาดคิด เล่อเหวินรีบหยิบมือถือออกมาโดยเร็ว “ได้ นี่เธอพูดเองนะ เธอบอกว่าพ่อโอนเงินให้ใคร ก็แสดงว่าใครเป็นคนใช้เงินนี้ใช่ไหม?”

เล่อจยาได้ยินแบบนี้ รู้สึกว่าไม่มีอะไรผิด จึงพยักหน้า

ขณะที่นั่งอยู่บนรถบัสเดินทางกลับ เล่อจยารู้สึกผิดหวังมาก เธอเอนหลังพิงเก้าอี้ หันตัว มองออกไปนอกหน้าต่างอย่างไร้จุดหมาย และขณะที่เธอกำลังจะละสายตา เธอก็เห็นร่างที่คุ้นเคยของใครบางคน

เล่อเหวิน?

ดูเวลา ลงจากรถตอนนี้ยังคงมีเวลา จึงลุกขึ้น รีบลงจากรถ แต่พอลงจากรถแล้ว ก็ไม่เห็นเงาของเล่อเหวินเลย เธอวิตก จึงร้องขึ้นเสียงดัง “เล่อเหวิน นายอยู่ไหน?”

สิ่งที่ตอบกลับมามีเพียงอากาศ

เธอก้าวถอยหลังอย่างหมดสภาพ เอนตัวพิงรถบัส ทรุดตัวลงช้าๆ นั่งยองๆกับพื้น กุมศีรษะไว้ด้วยความหงุดหงิด

ทันใดนั้นเงาของร่างเพรียวบางก็บังเธอไว้

เธอเงยหน้าโดยอัตโนมัติ ลุกขึ้นยืน “เล่อเหวิน……”

เล่อเหวินมองเธอ แล้วมองไปที่รถบัสข้างหลังเธอ สายตาเยาะเย้ย เม้มปาก เดินวนรอบเธอสีหน้าเฉยๆ นั่งลงบนขอบแปลงดอกไม้ด้านหลัง หยิบบุหรี่ออกมาจุด ทันใดนั้นก็เต็มไปด้วยควันหุ้มล้อมใบหน้าที่หล่อเหลาสมบูรณ์แบบของเขา

“ไม่ใช่ว่าแต่งให้กับเศรษฐีเหรอ? ทำไมถึงมานั่งรถบัสกระเซอะกระเซิงแบบนี้ล่ะ? ให้เขานั่งรถหรู……”

“เพี๊ยะ”เล่อเหวินยังพูดไม่ทันจบ ก็โดนตบหน้าไปหนึ่งที

“เล่อเหวิน นายรู้ไหม พ่อตายเพราะนาย?”เสียงเธอเย็นมาก สองมือกำหมัด

เล่อเหวินยกมือขึ้นจับหน้า ปล่อยออก เงยหน้าขึ้นมองเล่อจยาแล้วพูดว่า

“พี่ อย่ามาพูดมั่วแบบนี้นะ พ่อตายเพราะอุบัติเหตุทางรถยนต์ต่างหาก” เล่อจยาพูด แล้วเข้าไปใกล้ และลากเขา “นายกลับบ้านเกิดกับฉัน ไปคุกเข่ายอมรับผิดต่อหน้าคุณปู่คุณย่า”

พูดไป ก็ดึงเล่อเหวินไปที่ตู้ขายตั๋วเพื่อซื้อตั๋ว

เล่อเหวินดิ้นเพื่อให้หลุดจากการควบคุมของเล่อจยา ตัวเขาสูง กินแรงเล่อจยาไปมาก

เธอตัดสินใจ หันตัวกลับไป จ้องเขา “ฉันขอบอกนายไว้ก่อนนะ นายมีทางเลือกแค่สองทาง คือ กลับไปกับฉัน หรือไม่อย่างนั้น วันนี้ฉันจะหักขานายทิ้ง”

แววตาของเธอมีความมุ่งมั่น เล่อเหวินรู้ว่าพี่สาวคนนี้เก่ง และรู้ด้วยว่าพี่สาวคนนี้ไม่ได้พูดเล่น ตั้งแต่เด็กพ่อกับแม่ไม่กล้าตีเขาเลย แต่เขากลับโดนผู้หญิงคนนี้ทุบตีมาไม่น้อย เขาจึงหยุดนิ่งไปชั่วขณะ

“ไปซื้อตั๋วเอง”

“ฉันไม่มีตังค์ ตอนนี้แค่กินข้าวก็เป็นปัญหาแล้ว”

“ใช่เหรอ? แล้วเมื่อกี้มาทำอะไรที่นี่? นายเตรียมตัวจะไปไหน?”

สายตาของเล่อเหลินวูบวาบ “เธอไม่ต้องยุ่ง……”

“ฉันก็ไม่ได้อยากจะยุ่ง”ตั้งแต่เด็กความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองคนก็ไม่ค่อยจะดี เล่อเหวินถูกที่บ้านตามใจ จึงเห็นแก่ตัวมาตั้งแต่เด็ก ความรู้สึกที่เล่อจยามีต่อเล่อเหวิน มันหายไปตั้งแต่วินาทีที่พ่อเขาเสียแล้ว

“อีกอย่าง ฉันถามหน่อย แม่เป็นบ้าได้ยังไง?”

เล่อเหวินตัวกระตุกไปที ปิดหูไว้ “ฉันไม่รู้ เธอไม่ต้องมาถามฉัน”

“ฉันไม่ถามนาย แล้วจะให้ฉันไปถามใคร? นายอยู่กับเธอตลอด เธอบ้าได้ยังไง นายไม่รู้เหรอ?”

เล่อเหวินเอามือลง หลับตา ไม่ได้พูดอะไร มีท่าทางแบบอยากทำอะไรก็เชิญ

เมื่อพวกเขามาถึงในเมือง ทั้งสองก็ลงจากรถทีละคน และยืนอยู่หน้าป้ายรอรถเพื่อรอรถบัส หมู่บ้านของพวกเขา อยู่แถวตีนดอย มีรอบรถน้อยมาก

บนป้ายรอรถไม่มีที่นั่ง เล่อจยาพิงอยู่บนป้าย ขณะที่เล่อเหวินนั่งยองๆอยู่บนพื้น สูบบุหรี่ไปทีละม้วน

“ขอพูดหน่อยเหอะ พี่ เธอแต่งงานกับคนรวยไม่ใช่เหรอ? ทำไมถึงไม่มีรถพิเศษให้เธอล่ะ? นี่ต้องรอไปถึงเมื่อไหร่?”

เล่อจยามองเขา “ใครบอกนาย ว่าฉันแต่งงานกับคนรวย?”เรื่องระหว่างเธอกับเกาไห่ เพราะความดึงดันของเธอ จึงเป็นความลับมาตลอด

“วันสุดท้ายของงานศพพ่อ ฉันแอบตามไปดู ถามคนงานแถวนั้น ว่าใครเป็นคนจัดงานศพ เขาบอกเป็นลูกเขย ฉันยังถามทีหลังอีกว่าสุสานของพ่อมีราคาตั้งหลายแสนแหนะ ค่ารักษาพยาบาลของแม่ ได้ยินว่าเขาก็จ่ายให้หนึ่งปี นี่ก็ต้องใช้หลายแสนเลยเหมือนกัน ถ้าไม่มีเงิน จะช่วยแบบฟุ่มเฟือยขนาดนี้เหรอ? ”

ฟังเขาพูดจบ เล่อจยาก็ขมวดคิ้ว ที่แท้เกาไห่ช่วยเธอทำธุระหลายอย่างเลย เธอเคยคิดว่าค่าใช้จ่ายพวกนี้ต้องไม่น้อยแน่ๆ แต่กลับคิดไม่ถึง ว่าจะแพงขนาดนี้ แล้วก็โล่งใจ ดูเหมือนว่า เล่อเหวินจะยังไม่รู้จักเกาไห่

ทันใดนั้นก็คิดถึงแผนของเขาที่จะเพิ่งเธอ “อ๋อ นายหมายถึงผู้ชายคนนั้นเหรอ เราเลิกกันแล้ว”

เธอสังเกตว่าในสายตาของเล่อเหวินผิดหวังเล็กน้อย ทันใดนั้นใจก็เย็นชื้นขึ้นมา

“คนอื่นเขาเล่นเธอจนเบื่อแล้ว? เพราะอย่างนั้น ถึงไม่เอาแล้ว?”เล่อเหวินพูดจบ ในตาก็แฝงไปด้วยความเหยียดหยาม

เล่อจยาตบเข้าแรงๆที่หัวของเขา “ถ้ายังพูดไปเรื่อยอีก ฉันฉีกปากนายทิ้งแน่”

ตอนนี้เอง รถบัสก็มาพอดี

เมื่อเราไปถึงปากทางเข้าหมู่บ้านของเธอ ก็เป็นเวลาบ่ายโมงแล้ว ในตอนเช้าเธออารมณ์ไม่ดี และเล่อจยาไม่ได้กินอะไรมามาก ตอนนี้จึงหิวจนท้องร้อง

บ้านของคุณย่าอยู่กลางหมู่บ้าน เดินเข้าไปข้างในไม่กี่ก้าว เล่อจยาก็ได้ยินมีคนเรียกตัวเอง “จยาจยา?”

เธอหันกลับไป ก็เห็นผู้หญิงที่แต่งตัวดีคนหนึ่ง เดินมาทางเธอ นี่เป็นภรรยาน้องชายคนที่สองของพ่อเล่อ หรือก็คืออาสะใภ้รอง

เล่อจยาดึงริมฝีปาก เรียกแบบหน้ายิ้มใจไม่ยิ้มว่า“อาสะใภ้รอง”

“อาสะใภ้รอง ยังสาวยังสวยเลยนะเนี่ย”เสียงเล่อเหวินดังขึ้นข้างหลังเล่อจยา

เล่อจยามองไปที่ผู้หญิงที่อยู่ข้างหน้าเธอ อายุประมาณห้าสิบปี เอวถังน้ำ ขาช้าง หน้าค่อนข้างอ้วน ใบหน้าของเธอดูเป็นก้อนกลมๆ เหมือนจะทาแป้งหนาๆไว้ด้วย ยังสาว? ยังสวย?

เล่อเหวินนี่ลืมตาพูดคำบอดเก่งจริง

“อ้าว นี่ไม่ใช่เสี่ยวเหวินเหวินของเราเหรอ? ปากหวานตั้งแต่เด็ก พูดดี รูปร่างหน้าตาแบบนี้ ได้ข้อดีของพ่อกับแม่มาหมดเลยนะเนี่ย หล่อจริงๆ”เธอจับมือเล่อเหวิน ชมเขาจนแทบจะขึ้นสวรรค์

เล่อจยาขี้เกียจทนดูความเสแสร้งของพวกเขา หันตัวเดินไปทิศทางที่อยู่ของคุณปู่กับคุณย่า

“จยาจยา เธอมีแฟนหรือยัง?”

เล่อจยานึกถึงเกาไห่ อยากจะพยักหน้า แต่นึกได้ว่าเล่อเหวินอยู่ข้างๆ เธอจึงส่ายหน้า

“อ๋อ ยังไม่มีเหรอ? แต่เธอโตกว่าเสี่ยวอวี๋สามปีใช่ไหม?”เสี่ยวอวี๋ เล่อเสี่ยวอวี๋ ลูกพี่ลูกน้องของเล่อจยา ลูกสาวของอาสะใภ้รอง เด็กที่ทำตัวแรด ร่านตั้งแต่เด็ก เล่อจยาเม้มปาก พยักหน้า

“เธออ่ะนะ จะแต่งงานแล้ว แต่งวันที่แปดเดือนหน้า ที่จริงสองสามวันนี้ว่าจะโทรหาพ่อเธอ เธอกลับมาแล้ว ฉันก็ไม่โทรละ ฝากเธอกลับไปบอกที”

แต่งวันที่แปดเดือนหน้า? วันนี้ก็วันที่ยี่สิบห้าของเดือนนี้แล้ว ถ้าอย่างนั้นก็อีกแค่สิบวันไม่ใช่เหรอ?

เล่อจยาไม่มีอะไรจะพูด นี่แสดงว่าเธอตั้งใจจะดูถูกคน ตามธรรมเนียมของพวกเขา ถ้าวันที่ถูกกำหนดมาแล้ว บางคนจะส่งคำเชิญไปยังญาติและเพื่อนล่วงหน้าหกเดือน อีกอย่างส่วนมากจะไปเชิญด้วยตัวเอง เธอนี่ดีเลย ทำแค่ให้เธอฝากกลับไปบอก นี่มันช่าง……

“อ๋อ แบบนี้เองเหรอ? แต่ พ่อฉันไม่อยู่แล้ว เขาอาจจะดื่มเหล้ามงคลของลูกสาวคุณไม่ได้แล้ว” เธอไม่อยากพูดถึงพ่อของเธอตอนที่พวกเธอกำลังพูดถึงเรื่องงานแต่งงาน แต่เธอนึกถึงการที่เธอไม่เคารพพ่อของเธอ จึงไม่ได้คิดอะไรมาก

จากนั้น เธอก็เห็นสีหน้าของอาสะใภ้รองเปลี่ยนไป “เธอพูดว่าอะไรนะ ไม่อยู่แล้ว?”

“ทำไมเหรอ?”เกาไห่ถามเล่อจยา

“ฉัน……ไม่มีอะไร จำคนผิดน่ะ”เมื่อกี้เธอเห็นไห่ยุ่น ไห่ยุ่นที่เดินได้ แต่เมื่อเผชิญหน้ากับเกาไห่ เธอก็เปลี่ยนคำพูด

ขมวดคิ้ว ดูเหมือนน่าสงสัยมาก

เธอมั่นใจ ว่าตัวเองดูไม่ผิด ไห่ยุ่นหน้าตาสวย ความสวยของเธอเป็นเอกลักษณ์มาก คนธรรมดาเทียบไม่ได้เลยจริงๆ เพียงแต่ เธอไม่เข้าใจ เธอเดินได้แล้ว ทำไมต้องโกหกเกาไห่และทุกคน?

“ทำไมเหรอ?”เกาไห่เห็นว่าท่าทางของเล่อจยาแปลกๆ ก็อดที่จะถามขึ้นไม่ได้

เล่อจยาเม้มปาก แล้วสูดหายใจเข้า เงยหน้ามองไปที่ห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่แห่งนี้ “ไม่มีอะไร กลับก่อนเถอะ เดี๋ยวคืนนี้ค่อยให้ซูหย่ามากับฉัน”

กลัวว่าเกาไห่จะไม่พอใจ เธอจึงหยิบบัตรสำรองออกจากกระเป๋าของเธอ “วางใจเถอะ รูดบัตรของคุณ”

ตอนนี้เอง ไม่รู้ว่าใครโทรหาเขา ได้ยินเกาไห่แค่ตอบรับกลับไป สีหน้าก็นิ่งลงไป “อืม โอเค ฉันจะไปเดี๋ยวนี้แหละ”

พูดจบ ก็วางสาย ส่งกระเป๋าในมือให้เล่อจยา “จยา คุณนั่งแท็กซี่กลับไปก่อนนะ ผมมีเรื่องด่วนต้องไปทำ”

เล่อจยาเห็นว่าเขาร้อนใจขนาดนี้ คิดว่าเป็นเรื่องที่บริษัท จึงรีบตอบกลับว่า “ไปเถอะๆ ไม่ต้องห่วง ฉันกลับเองได้”

พอเกาไห่ถึงโรงแรม เจ้าของโรงแรมก็พาเขาขึ้นมา “กล้องวงจรปิดจับภาพได้ว่า เมื่อคืนเวลาตีสอง มีผู้ชายหลายคนเข้าห้องคุณหนูไห่ยุ่น แล้วพาเธอออกไป”

ในวันที่เล่อจยาออกจากโรงพยาบาล ไห่ยุ่นก็บอกเองว่าจะย้ายมาอยู่โรงแรมที่อยู่ใกล้บริษัท สะดวกกว่า ตอนนั้นเกาไห่คิดว่า เธอก็เป็นผู้ใหญ่แล้ว จึงจ้างพยาบาลคนหนึ่งดูแลเธอ แต่กลับคิดไม่ถึงว่า แค่ไม่กี่วันก็เกิดเรื่องแล้ว

นิ้วทั้งห้าติดกัน จับที่คางเบาๆ เกาไห่ขมวดคิ้วจนเป็นปม

“ประธานเกา ลูกพี่ลูกน้องของคุณก็ไม่ใช่เด็กๆแล้ว บางทีอาจจะเป็นเพื่อนเธอพาเธอออกไปเที่ยวก็ได้ คุณก็ไม่ต้องกังวลเกินไป!”เสี่ยวตงเกลี้ยกล่อมด้วยน้ำเสียงหนักแน่น

“ฉันรู้ว่าเธอดูแลตัวเองได้ แต่ ขาของเธอไม่สะดวก อีกอย่าง ทั้งคืนก็ยังไม่กลับ!” เสียงแหบของเกาไห่ และเสียงของเขาเต็มไปด้วยความกังวลที่ไม่สามารถละเลยได้

ฟ้าเริ่มมืด แต่ก็ยังไม่มีข่าวคราวของไห่ยุ่น เกาไห่มองดูห้องว่างตรงหน้าเขาอย่างเคร่งขรึม สีหน้าของเขานิ่ง และอารมณ์ก็เป็นกังวลมาก ถ้าหากมีอะไรเกิดขึ้นกับไห่ยุ่นที่นี่ เขาก็ไม่รู้จะอธิบายกับน้าชายยังไง

“ถ้าอย่างนั้นแจ้งตำราจเถอะ……”

เสียงของผู้จัดการโรงแรม ดังขึ้นจากหน้าประตู

“ยังไม่รู้เลยว่าคนที่รับเธอไปเป็นใคร แจ้งตำรวจอะไรกัน……”อีกเสียงหนึ่งพูดตะโกนขึ้น

เกาไห่เงยหน้ามองไปนิ่งๆ คนที่มุงดูกันก็ตื่นตระหนกและแยกย้ายกันไป

ไห่ยุ่นในความทรงจำ ถึงแม้ขาเธอจะพิการ แต่ความเป็นอิสระของเธอนั้นแข็งแกร่งมาก อีกอย่าง เธอก็ดูเป็นคนมีเหตุผล ถ้าเธอออกไปแบบปกติ ดึกขนาดนี้แล้ว เธอจะต้องบอกเขาอย่างแน่นอน และจะไม่ปิดเครื่องโทรศัพท์ด้วย

แต่ถ้าไม่ปกติ เวลาผ่านไปนานขนาดนี้แล้ว หากคนพวกนั้นลักพาตัวเธอไปจริงๆ ทำไมถึงไม่มีสายโทรเข้ามาเลย?

เที่ยงคืนกว่าแล้ว คนที่ส่งออกไปตามหา ก็บอกแต่ว่าไม่มีข่าวคราว

เกาไห่มองไปยังด้านหน้าด้วยดวงตาที่แดงก่ำ ร่างสูงของเขาแข็งเหมือนรูปปั้น ในหัวของเขาว่างเปล่า……

ตอนนี้เอง โทรศัพท์ดังขึ้น เขามองมัน เป็นสายจากเล่อจยา กระแอมไปที รับสาย“ฮัลโหล จยาจยา”

“กี่โมงแล้ว ทำไมคุณถึงยังไม่กลับ? งานที่บริษัทยุ่งมากเหรอ?”

“อืม”เกาไห่ตอบกลับเสียงแทบไม่ได้ยิน ตอนนี้เอง หมายเลขที่ไม่รู้จักโทรมา เกาไห่กลัวว่าจะเกี่ยวข้องกับไห่ยุ่น จึงรีบวางสายเล่อจยา แล้วรับ

ไห่ยุ่นนอนอยู่บนผ้าปูที่นอนสีขาวเหมือนหิมะ และเปิดวีแชตขึ้นมาดู

หลายร้อยข้อความ เสียงดังขึ้นไม่มีที่สิ้นสุด เธอเปิดทีละข้อความ ไม่มีข้อยกเว้น และข้อความทั้งหมดถามเธอว่าเธออยู่ที่ไหน

มุมปากยิ้มขึ้น เข้าไปในการตั้งค่าแล้วคลิกเพื่อออกจากระบบ

จากนั้น โยนโทรศัพท์ไปข้างๆ ถอดอุปกรณ์บนเข่าออก ลุกขึ้น เทน้ำให้ตัวเอง จิบเบาๆคำหนึ่ง อารมณ์ดีเป็นพิเศษ

“พี่ยุ่น ทำไมพี่ต้องโกหกลูกพี่ลูกน้องพี่ด้วยล่ะ?”

“โกหก? นายหมายถึงเรื่องไหน?”หลายปีมานี้ พูดโกหกเยอะมากไป ไห่ยุ่นรู้สึกชาเล็กน้อย

เล่อจยามองสายที่ถูกวางไป เธออึ้งไปชั่วขณะหนึ่ง ตั้งแต่รู้จักเกาไห่มา เขาไม่เคยทำแบบนี้กับเธอเลย

แต่อย่างไรก็ตาม เธอยังคงปลอบตัวเองในใจ บางทีเขาอาจจะกำลังยุ่งอยู่จริงๆ

คืนนี้ เกาไห่ไม่ได้กลับบ้าน ตอนเช้าเมื่อเล่อจยาเห็นว่าหมอนข้างๆเธอยังคงเรียบเช่นเดิม และผ้าห่มผืนเย็นข้างๆเตียง เธอมั่นใจว่าสามีเธอ ไม่ได้กลับมาเมื่อคืน

เปิดตู้เสื้อผ้า หยิบเสื้อผ้าใหม่สองตัวที่ซูหย่าไปซื้อเป็นเพื่อนเธอเมื่อคืนออกมา แล้วเปลี่ยนให้ตัวเอง ดูอ้วนนิดหน่อย ไม่ได้ดูสวยขนาดนั้น แต่ ดูสาวขึ้นไม่น้อย เธอล้างหน้า ทานอาหารเช้า ดูเวลาก็เก้าโมงเช้าแล้ว กลับไม่เห็นเงาของเกาไห่เลย

เขาบอกว่าวันนี้จะกลับบ้านเกิดกับเธอ

คิดๆแล้ว ก็แชตหาเกาไห่ “เมื่อคืนไม่กลับบ้าน?”

“ติ๊งต่อง”ข้อความตอบกลับเร็วมาก

“อืม มีเรื่องน่ะ”

“เรื่องอะไร? ยุ่งถึงขนาดไม่กลับบ้านทั้งคืน?”หลังคำพูดนี้ เล่อจยาเติมเครื่องหมาย!ไปด้วย

จากนั้น ข้อความนี้ของเธอก็เหมือนก้อนหินที่จมลงไปในทะเล จนหนึ่งชั่วโมงต่อมา ก็ยังไม่มีข้อความตอบกลับ?

แรกๆเล่อจยายังมีท่าที่ไม่สนใจ จากนั้น สีหน้าก็ค่อยๆเปลี่ยนไปช้าๆ

เพราะเมื่อคืนโทรไปบอกคุณปู่กับคนอื่นๆ ว่าวันนี้จะกลับไป ถ้าหากไม่ไป เธอกลัวจะส่งผลที่ไม่ดีกับพ่อ

เล่อจยาปากกระตุกไปที ช่างมันเถอะ เธอไปเองก็ได้ บางทีเขาอาจจะยุ่งมากจริงๆ บางทีอาจจะมีเรื่องอะไรเกิดขึ้น?

พอคิดว่าเขาจะมีเรื่องอะไร เล่อจยาก็กังวลขึ้นมา

รีบหยิบมือถือขึ้นมา โทรหาเกาไห่

พอรับสายแล้ว ก็ได้ยินเสียงเกาไห่ “มีอะไรหรือเปล่า?”แม้จะแหบเล็กน้อย

เล่อจยาโล่งใจ เขาไม่เป็นอะไรก็ดี

เธอกำลังคิดอยู่เลยว่า จะถามเขาเรื่องที่จะกลับบ้านเกิดกับเธออยู่ไหม

เขาก็พูดขึ้นว่า “โอเค ไม่มีอะไรก็วางก่อนนะ ผมกำลังรอสายอยู่”

มองดูโทรศัพท์ที่ถูกวางสายไป เล่อจยาขมวดคิ้ว งงเล็กน้อย มือสั่นเบาๆแล้วเก็บมือถือกลับเข้าไปในกระเป๋า เอาสัมภาระแล้วออกไป

นิ้วที่เรียวยาวของซูหย่าเลื่อนผ่านหน้าผากเธอ “ท้อง? มันไร้เหตุผลเกินไปหรือเปล่า? แค่ครั้งเดียวเอง”

เล่อจยาขมวดคิ้ว “แล้วถ้ามีล่ะ?”

มีแสงสว่างวาบผ่านดวงตาของซูหย่า หากมีโอกาส เธอจะคลอดเด็กคนนี้ออกมาอย่างแน่นอน ไม่ว่าพ่อของเด็กจะต้องการหรือไม่ก็ตาม…

ผ่านไปประมาณสองวัน เล่อจยาก็ออกจากโรงพยาบาล เนื่องจากการออกแบบวิศวกรรมในเมืองw พื้นฐานได้มาถึงจุดสิ้นสุดแล้ว เกาไห่จึงลาป่วยให้เธอครึ่งเดือน

“พรุ่งนี้ ผมจะพาคุณไปที่สุสานของพ่อ จากนั้นวันเสาร์นี้ผมจะไปเยี่ยมคุณปู่กับคุณย่าเป็นเพื่อนคุณ”ในคืนนี้ เล่อจยาเพิ่งอาบน้ำเสร็จ ออกมาจากห้องน้ำ เกาไห่วางหนังสือในมือลงและพูดกับเธอ

เลอจยาวางผลิตภัณฑ์ดูแลผิวในมือลงบนโต๊ะ “ไม่ต้องๆ ฉันกลับเอง คุณทำธุระของคุณเถอะ”

คนพวกนั้น มีอำนาจมากแค่ไหน เธอรู้ดีในใจ เธอไม่ต้องการให้เกาไห่ตามเธอไปลำบาก

ทันใดนั้น มือก็ถูกจับไว้ เกาไห่จ้องเล่อจยา สีหน้าจริงจัง “คุณภรรยา คุณไม่ต้องการผมแล้วใช่ไหม?”

เล่อจยาได้ยินเขาเรียกภรรยา ใจละลายจนจะกลายเป็นน้ำแล้ว รีบส่ายหัว “ไม่ใช่ๆ แต่เป็นเพราะปู่กับย่า และอากับอาสะใภ้พวกเขา…ค่อนข้างหยาบคาย ฉันไม่อยากให้คุณไปเป็นคำนินทาของพวกเขา”

บ้านเกิดของเธอไม่ได้อยู่ในตัวเมืองc แต่ตอนที่พ่อและแม่ยังเป็นหนุ่มสาว พวกเขาตั้งรกรากอยู่ในเมืองc บ้านเกิดของพวกเขาคือหมู่บ้านเล็กๆที่เป็นชนบทในเมืองc ก่อนที่พ่อจะล้มป่วย พวกเขามักจะกลับไปขึ้นปีใหม่ที่นั่นบ่อยๆ

ต่อมา พ่อป่วย สุขภาพร่างกายทรุดโทรม ฐานะทางการเงินก็แย่ลงเรื่อยๆ จำนวนครั้งที่กลับไปก็น้อยลง

พ่อกับแม่มีพี่น้องห้าคน เธอมีอาสองคน มีน้าสองคน พ่อเป็นลูกคนโต

ความห่วงใยของปู่ย่าที่มีต่อพ่อ เทียบกันแล้วจึงน้อยกว่ามาก หลายปีที่ผ่านมานี้ ร่างกายของพ่อไม่สามารถขับรถไปได้ เพราะฉะนั้นในปีนี้ พวกเขาจึงไม่ได้กลับไป และสิ่งที่ทำให้ผิดหวังก็คือไม่มีใครมาหาพ่อเลย

คุณปู่คุณย่าอายุมากแล้ว อันนี้เธอเข้าใจ แต่พวกคุณอากับคุณน้า กลับไม่มีใครมาหาพ่อเลยเหมือนกัน คิดแล้วก็ทำให้เธอรู้สึกปวดใจ!

อีกอย่าง บรรดาญาติๆพวกนั้นไม่ค่อยชอบเธอ กลับไปคงไม่พ้นโดนคำ​พูดเหน็บแนม

เกาไห่จำการเปลี่ยนแปลงของสีหน้าเธอ “ญาติๆของคุณ ไม่ว่าจะดีหรือร้าย ผมก็ควรจะเผชิญหน้าพร้อมกับคุณ ยิ่งกว่านั้น พ่อคุณเสียแล้ว คุณกลับไปเจอพวกเขาคนเดียว ผมไม่วางใจ”

“แต่ว่า……”

“ไม่มีแต่ เรื่องนี้เอาเป็นว่าตกลงกันแล้ว รีบเข้านอนเถอะ!”

เกาไห่พูดจบ ก็เริ่มถอดชุดคลุมนอนด้านนอกออก เล่อจยามองเขาอย่าอึ้งๆ ใจกระสับกระส่ายเล็กน้อย ในใจเอาแต่ท่องว่า ใจเย็น……ใจเย็น……

แต่ สายตากลับไม่สามารถหันไปไหนได้

“คุณภรรยา คุณแน่ใจว่าจะดูต่อไปเรื่อยๆ?”

เล่อจยาหน้าแดง “ทำไม ฉันดูสามีของตัวเอง ไม่ได้เหรอ!”พูดเสียงแข็ง พอพูดจบ ก็ก้มหน้าลง หูแดงไปหมด

เกาไห่เดินไปใกล้ กอดเล่อจยาจากข้างหลัง จุ๊บหน้าผากเธอ “รีบเข้านอนเถอะ!”

เล่อจยาเอาตัวเองไปนอนขดตัวอยู่ตรงขอบเตียง เกาไห่มองเธอ กลัวเธอตกลงไป ก็ลุกขึ้นอุ้มเธอเข้ามา

เล่อจยาตกใจมากจนล้มตกเตียง

เกาไห่เดินไปสองสามก้าว เอื้อมมือออกไปช่วยพยุงเธอ

“คุณ……คุณอย่าแตะฉัน”เธอพูด ลุกขึ้น แล้วถอยหลังไปนิดหนึ่ง

มองมือที่หยุดอยู่กลางอากาศนั้น เกาไห่นิ่งไป สีหน้าเริ่มนิ่งขึ้น ในใจรู้สึกผิดหวังขึ้นมาเล็กน้อย

ในตอนนี้เอง เล่อจยาก็พึมพำขึ้น “ถ้ายังแตะตัวฉัน ฉันกลัวจะควบคุมตัวเองไม่ให้ใช้ความรุนแรงกับคุณไม่ได้”

ตอนเธอพูดคำนี้สีหน้าดูจริงจังมาก เกาไห่มองเธออย่างมึนงง

นี่ ทำให้เธอทนไม่ได้?

เขาเดินเข้าไปหาเธอ เธอก็ถอยหลัง จนล้มลงบนเตียง

ต่อมา ไม่รอให้เธอรู้สึกตัว ก็มีเงาของผู้ชายร่างใหญ่ขึ้นคล่อมตัวเธอไว้

เล่อจยาประหม่าจนพูดไม่ออก จากนั้น เธอหลับตาไปโดยอัตโนมัติ แต่น่าเสียดายที่ชายคนนั้นเพียงแค่บีบหน้าเธอเบาๆ จูบริมฝีปากของเธอ แล้วพลิกตัวนอนลงที่อีกด้านหนึ่ง

“หมอบอกว่า คุณต้องพักผ่อน เรื่องนี้ ยังไม่ต้องรีบ”เสียงที่มีความดึงดูดของชายคนนี้ดังขึ้นข้างหูเล่อจยา

เล่อจยารู้สึกอบอุ่นใจ และรู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออกไปพร้อมกัน

วันต่อมา ณ สุสาน

เมื่อต้นปีนี้ หมอบอกเล่อจยาว่า อาการของพ่อคงอยู่ได้แค่ไม่กี่ปี ให้เธอเตรียมใจไว้ ตอนที่ได้ยินคำนี้ เธอคิดว่าหมอแค่พูดให้เธอตกใจ

แต่กลับคิดไม่ถึงเลยว่า จะจากกันโดยวิธีแบบนี้

คุกเข่าตรงหน้าหลุมฝังศพของเขา ผิดจากที่คาดไว้ เล่อจยาไม่มีน้ำตา เธอไม่ได้ร้องไห้ แค่ดูรูปถ่ายไม่กี่นิ้วใบนั้น นั่นเป็นรูปในบัตรประชาชนของพ่อ ตอนนั้นดูหนุ่มและหล่อมาก

เธอเพิ่งรู้ว่า แท้จริงแล้วพ่อเองก็ให้ความสำคัญกับลูกชายมากกว่าลูกสาว ถ้าไม่ใช่เพราะหน้าตาเธอมีความคล้ายคลึงกับเล่อเหวิน เธออาจจะสงสัยว่า ตัวเองไม่ใช่ลูกแท้ๆของเขา

หลายปีมานี้เธอเสียสละมามากมายทำทุกอย่างเพื่อรักษาอาการป่วยของพ่อ แต่สุดท้ายแล้ว สิ่งที่ได้กลับมาคือแบบนี้

“พ่อ ในสายตาของคุณ ลูกสาวมีตัวตนแบบไหนกัน? ทำไม พวกคุณถึงไม่มีใครคิดถึงความรู้สึกของฉันเลยสักคน?” บ้าก็บ้าไป ตายก็ตายไป แล้วเธอล่ะ เป็นอะไร?

เธอนั่งบนม้านั่งหินตัวนั้น นึกย้อนกลับไป หลายปีมานี้ทุกๆอย่างที่เกี่ยวกับพ่อ ตาเธอแดงก่ำ แต่กลับไม่มีน้ำตา กับความสัมพันธ์ในครอบครัวบางทีนี่อาจจะเป็นเรื่องที่น่าเศร้าที่สุดที่ทำให้ใจเธอตายด้านไปแล้ว

กว่าจะไป ก็เกือบจะเที่ยงแล้ว ตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้เกาไห่แค่อยู่เป็นเพื่อนเธอเงียบๆ ไม่ได้พูดอะไร

เมื่อเห็นว่าสภาพถนนรอบตัวเริ่มไม่คุ้นเคยมากขึ้นเรื่อยๆ เลอจยาก็อดไม่ได้ที่จะพูดว่า “คุณจะพาฉันไปไหน?”

“พาคุณไปซื้อเสื้อ”

“ซื้อเสื้อ ซื้อทำไม?”

“คุณบอกว่าญาติๆของคุณมีอำนาจไม่ใช่เหรอ? ถ้าอย่างนั้นแต่งตัวให้ดีหน่อย ก็ไม่ผิดอะไร”

เล่อจยามองเขา “ดูไม่ออก ว่าคุณจะเป็นคนผิวเผินแบบนี้?”

เกาไห่ลูบหัวเธออย่างหลงใหล “ใช่แล้วครับ คุณภรรยา ผมเป็นคนผิวเผิน คุณ รังเกียจที่จะเป็นแบบผม พอใจยัง?”

เล่อจยาพยักหน้ารัวๆ

“คุณน่ารักจัง!”

ไปซื้อชุดกับเกาไห่ เล่อจยารู้สึกกดดันมาก พนักงานพวกนั้นมองเกาไห่ อย่างกับจะกลืนกิน

เดินเข้าสามร้านติดกัน ก็เป็นแบบนี้

จนสุดท้ายเล่อจยาก็ยอมแพ้ “ไปเถอะ ไม่ซื้อแล้ว มากับคุณมีแรงกดดันมากเกินไป กลางคืนฉันรอเสี่ยวหย่าเลิกงาน ค่อยมากับเธอดีกว่า”

“กดดัน?”

เล่อจยากรอกตามองบน “คุณอย่าบอกว่าคุณไม่รู้สึกนะ? ผู้หญิงพวกนั้นอดใจที่จะเข้ามากอดคุณไม่ไหวอยู่แล้ว ยังมีกะจิตกะใจที่ไหนมาเลือกเสื้อผ้าให้ฉัน”

เกาไห่ขมวดคิ้ว “ผมไม่รู้สึกนะ เพราะในสายตาผมเห็นแค่คุณมาตั้งแต่แรก”

ปกติเกาไห่ดูเป็นคนที่สุภาพเรียบร้อย และขี้อายบ้างเป็นบางครั้ง คิดไม่ถึงว่าพอพูดคำหวานแล้วจะพูดออกมาง่ายๆแบบนี้

เมื่อทั้งสองกำลังจะเดินไปถึงประตู ทันใดนั้นเล่อจยาก็เห็นเงาคนคนหนึ่ง เธอดึงเกาไห่ วิ่งเหยาะๆตามเข้าไป

เล่อจยาเห็นว่าเธอไม่ตอบ ชะโงกหน้าออกไป ก็เห็นเซียวอู๋เดินเลี่ยงซูหย่า เดินตรงมาที่เธอ

สีหน้าที่มองเล่อจยา นิ่งมาก……นิ่งมากๆ

เล่อจยากะพริบตา “เหอะๆ นาย มาได้ยังไง?”

“เธอเก่งมากเลย เป็นฮีโร่เหรอ……”

คำพูดของเขาเป็นคำชม แต่น้ำเสียงกลับประชดประชัน

เล่อจยาเข้าใจดี เขาอาจจะแค่เป็นห่วงตัวเอง ดังนั้นเธอจึงไม่โกรธ

“นายกลับไปที่กองทัพแล้วไม่ใช่เหรอ? ทำไม……”

“ไม่มีอะไรเป็นทางผ่าน โอเคไหม?”เซียวอู๋พูดขัดเธออย่างหงุดหงิด

“นายเป็นหมาหรือไง? ไม่มีอะไรก็มากัดคนอื่นไปทั่ว…..”ซูหย่าพูดจบ ตั้งใจชนเขาแล้วเดินผ่านไป

“เสี่ยวหย่า!”เล่อจยาดึงแขนของซูหย่า

ซูหย่านั่งลงข้างเธอแล้วปอกแอปเปิ้ลยื่นให้กับเธอ ตั้งแต่ต้นจนจบไม่มองเซียวอู๋เลย

เล่อจยากัดไปคำหนึ่ง สายตามองไปที่ทั้งสองคนสลับกัน รู้สึกเหมือนกับว่ามีบางอย่างเกิดขึ้นระหว่างพวกเขาทั้งสองคน ดูจากปฏิกิริยาที่ซูหย่าเจอกับเซียวอู๋ครั้งที่แล้ว จากความเข้าใจของเธอที่มีต่อซูหย่า เธอชอบเซียวอู๋ มันไม่ควรเป็นสถานการณ์แบบนี้

“ระหว่างพวกเธอ มีเรื่องอะไรที่ฉันไม่รู้เกิดขึ้นหรือเปล่า?”

“ไม่!”

“ไม่!”

ทั้งสองคนตอบพร้อมกัน

เล่อจยาปิดปาก ชี้ไปที่ทั้งสองคน แล้วพยักหน้า“ยังกล้าพูดว่าไม่มีอีก? รีบพูดมา ว่าพวกเธอสองคนทำอะไรกันแน่?”

ซูหย่าลุกขึ้น หยิบกาต้มน้ำที่อยู่ข้างๆ “พูดมากขนาดนี้ ไม่หิวน้ำเหรอ? ฉันจะไปต้มน้ำให้เธอ”

ตาของเซียวอู๋วูบวาบ “ถึงขนาดสามารถยุ่งเรื่องของคนอื่นได้ ดูแล้วคงไม่ได้เป็นอะไร ในเมื่อเป็นแบบนี้ ฉันก็ไปก่อนละ เธอดูแลตัวเองด้วย”

หันหลังจากไป……

ซูหย่าเข้ามาจากทางประตู พอดีกับที่เซียวอู๋กำลังจะออกไปหยุดอยู่หน้าประตู เธอจ้องเขาเขม็ง เชิดหน้าขึ้น ไม่มีท่าทีว่าจะหลีกทาง

“หลีกไป หมาที่ดีไม่ขวางทาง!”

เสียงทุ้มต่ำของผู้ชายหลุดออกมาจากริมฝีปากบาง

ซูหย่าจ้องเขา ดวงตาแดงก่ำ มือใหญ่ของเซียวอู๋ยื่นออกไปดึงเธอเข้ามา แล้วตัวเองก็ออกไป

ความเย็นชาไม่แยแสของเขาทำให้ซูหย่าทนกำหมัดไม่ได้

เล่อจยากัดแอปเปิ้ล มองดูการกระทำของทั้งสองคน หรี่ตามอง

“เสี่ยวหย่า ตกลงเกิดเรื่องอะไรขึ้น?”

ซูหย่าส่ายหน้า “ไม่มีอะไร”

เล่อจยารับกาต้มน้ำจากมือเธอ ว่างเปล่า ยังจะบอกว่าไปต้มน้ำ เธอวางมันไว้บนโต๊ะแรงๆ

“โอเค เธอทนไว้ ไม่ต้องพูด!ต่อไป เธอก็ไม่ต้องพูดกับฉัน!”พูดจบ ขึ้นไปบนเตียง ดึงผ้าห่มห่มตัวไว้ ถือโทรศัพท์ไว้แสร้งทำเป็นไม่แยแส

หางตาของเธอเห็นซูหย่าบีบนิ้ว กัดปากล่างไว้ เธอทำท่าทางแบบนี้ ก็คือเตรียมพร้อมจะอธิบายแล้ว

และในวินาทีต่อมา เธอยืนอยู่ข้างเตียงของเธอจริงๆ

หลับตาแล้วลืมขึ้นมาอีกครั้ง สูดหายใจเข้าแล้วพูดว่า“ฉันกับเขามีอะไรกันแล้ว”

เล่อจยามือกระตุก แอปเปิ้ลในมือกลิ้งตกไปบนเตียง แล้วกลิ้งลงไปที่พื้น เธอนั่งคุกเข่าอยู่บนเตียง มองซูหย่า “พวก……พวกเธอ……ตกลงมันเรื่องอะไรกัน?”

ซูหย่าถอนหายใจเสียงต่ำ“คนที่บ้านเมากันหมดแล้ว”

เล่อจยาปิดปาก มองเธออย่างตกใจ “ครั้งแรก?”

ซูหย่ากรอกตาใส่เธอ “แน่นอนสิ!”

“แล้วทำไมเธอถึงมีท่าทีน้อยใจกล้ำกลืนฝืนทนแบบนั้น?”

“เธอหมายความว่าไง?”

เล่อจยาจ้องเธอ “เธอเลิกแสร้งได้แล้ว เธอชอบเขา ฉันรู้ ในเมื่อเป็นแบบนี้ พวกเธอมีอะไรกันแล้ว ก็สมหวังเธอแล้วไม่ใช่เหรอ? เธอควรดีใจถึงจะถูก……”

ซูหย่าขมวดคิ้ว “ตอนแรก ฉันก็คิดแบบนี้ แต่ เธอรู้ไหมสัตว์เดียรัจฉานนั่น เขาพูดต่อหน้าครอบครัวทั้งสองฝ่ายที่มีคนเยอะขนาดนั้นว่า จะไม่รับผิดชอบ บอกว่าฉันเป็นคนเข้าหาเอง เขาก็เป็นผู้ถูกกระทำ”

เล่อจยาอึ้งไป ก่อนจะหัวเราะออกมา

ซูหย่ากำหมัดหลวมๆ และต่อยไปที่ตัวเธอเบาๆ “เธอยังหัวเราะอีก? เธอหัวเราะออกมาได้ยังไง ฉันถูกเขากินจนหมดเปลือกแล้ว…..”

พูดถึงตรงนี้ เธอมองเล่อจยา “ฉันรู้ว่าทำไมเขาถึงโกรธขนาดนี้ เพราะเธอ!”

“ฉัน?”

ซูหย่าพยักหน้า “เขาคิดว่าพวกเราเป็นแบบนี้แล้ว เขาก็ไม่มีสิทธิชอบเธออีกแล้ว เล่อจยา เธอว่า ทำไมเราถึงกลายเป็นศัตรูความรักกัน?”

เล่อจยาโบกมือ ลงจากเตียง หยิบแอปเปิ้ลที่อยู่บนพื้นโยนลงถังขยะ มองซูหย่า “เธออย่าเอาฉันเข้าไปเกี่ยว ฉันมีสามีแล้ว”

ซูหย่าเกาผมด้วยท่าทางหงุดหงิด “เธอว่าทำไมถึงได้มีผู้ชายแบบนี้ หลายวันมานี้ฉันจะเป็นบ้าตายแล้ว!”

จากนั้น เธอลุกขึ้นยืน“เธอดูท่าทีของเขาเมื่อกี้นี้สิ เขาทำเหมือนกับว่า เป็นฉันที่เอาเปรียบเขา แล้วคนที่เสียเปรียบคือเขาอย่างนั้นแหละ ครั้งแรกของฉันให้เขาไป วันนั้นฉันเจ็บมาก แต่เขากลับดูเหมือนฟินนะ ยัง……”ซูหย่าพูดไปได้ครึ่งหนึ่ง มองเล่อจยาจ้องเธอ

หน้าก็เริ่มแดงขึ้นมา“เธอมองฉันแบบนั้นทำไม?”

เล่อจยาขมวดคิ้ว “เธอบอกว่าเธอเมาไม่ใช่เหรอ? แล้วเธอรู้ได้ยังไงว่าเขาดูฟิน? เมาแล้ว ไม่ใช่ว่าภาพตัดเหรอ?”

พูดจบ เธอก็กระแอมเบาๆ “ฉันว่าเธอตั้งใจล่ะสิ?”

ซูหย่าหันไปมองเล่อจยาทันที “เล่อจยา สรุปเธออยู่ข้างใครกันแน่ กำลังพูดแก้ต่างให้ใครน่ะ?”

“เหอะๆ”เล่อจยาสงสัย“ไหนพูดมาซิ วันนั้นดื่มไปเท่าไหร่ ดื่มไวน์อะไร?”

“ไวน์แดง ดื่มตั้งหลายแก้วแหนะ……”ซูหย่าตอบกลับอย่างรวดเร็ว ขณะพูด ก็เอาปอยผมไปทัดหู เผยให้เห็นใบหน้าสวยงามมีเสน่ห์ของผู้หญิง

“ไวน์แดงกี่แก้ว? ความสามารถในการดื่มของเธอซูหย่า คนอื่นไม่รู้ แต่ฉันรู้ดี เธอดื่มไวน์แดงสองขวด ก็คงไม่มีปัญหาใช่ไหม? ถ้าอย่างนั้น คืนนั้น จะบอกว่าเธอไม่เมา ก็ไม่ผิดใช่ไหม?”พูดจบ เธอแตะไหล่ซูหย่าทั้งสองข้างจากข้างหลัง เข้าใกล้กระซิบข้างหูเธอเบาๆ “วางใจเถอะ ความสัมพันธ์ของพวกเราขนาดนี้แล้ว ฉันจะช่วยเธอเก็บความลับเอง แต่ว่า สาวน้อย เธอทำอะไรเร็วมาก!”

ซูหย่ามองเธอ ท่าทางเหมือนไม่รู้จัก “เล่อจยา ฉันพบว่าเธอความจำเสื่อมแล้ว ไอคิวดูสูงขึ้นนะ?”

เล่อจยาไม่ได้โกรธอะไรเธอ แค่จับมือเธอไว้ และพูดอย่างตั้งใจว่า “เสี่ยวหย่า เธอรู้มาตลอดว่าเธอต้องการอะไร เธอเต็มใจที่จะทำแบบนี้ ฉันเชื่อว่าเธอไม่ได้หุนหันพลันแล่น ในเมื่อเป็นแบบนี้ เธอก็อย่ามัวโกรธเซียวอู๋อยู่เลย ลองเริ่มไล่ตามเขา ดูฉันนี่สิ ทนมาหลายปี สุดท้ายก็ได้มา?”

ซูหย่ามองเล่อจยา พูดอย่างยอมแพ้ว่า“พวกเราไม่เหมือนกัน เกาไห่เขารู้สึกดีกับเธอ เธอดูที่เซียวอู๋ทำกับฉันสิ เหมือนเป็นศัตรู……”พูดจบ เธอก็อดที่จะถอนหายใจไม่ได้

ทันใดนั้น เหมือนเล่อจยาจะนึกอะไรขึ้นได้ ถามซูหย่า “แล้วถ้าเธอท้องล่ะ?”

ทั้งสองเงยหน้าขึ้นมองไปที่แหล่งกำเนิดเสียง เย่หลินสวมสูทสีเทา จับจีบรอบเอว มัดผมหางม้าสูง หน้าขาวนวลแต่งหน้าอ่อนๆ ทำให้คนดูโดดเด่นอย่างเห็นได้ชัด

“เย่หลินดูดีจริงๆ เลย” เล่อจยาชื่นชมจากใจจริง

เกาไห่ยิ้ม ลุกขึ้นรับผลไม้ในมือเย่หลิน

“พี่สะใภ้ ฉันต้มซุปมาให้คุณ คุณดื่มเลยกำลังร้อนๆ ” พูดจบ ก็วางกระเป๋า แล้วเริ่มจัดโต๊ะอาหาร

เล่อจยาจะพลิกตัวลงจากเตียง ก็ถูกเกาไห่ห้ามไว้ “คุณทำอะไร? ”

“ฉันจะลงจากเตียงไปทานข้าว ฉันบาดเจ็บที่หัว ไม่ได้พิการนะ” พูดจบก็ลงมา สวมรองเท้าแตะ รับซุปจากในมือเย่หลิน ยกถ้วยดื่ม “อืม! อร่อยมาก เย่หลิน ขอบคุณนะ”

เห็นท่าทางที่ตรงไปตรงมาของเธอ เย่หลินหัวเราะ “คุณค่อยๆ ดื่ม ระวังร้อน”

เห็นได้ชัดว่าซุปจืด แต่เล่อจยาดื่มแล้วรู้สึกเค็ม

เธอรู้สึกตัวอีกทีตนเองก็ร้องไห้แล้ว…

“ร้องไห้ทำไม? ” เย่หลินตกตะลึงเล็กน้อย “ไม่อร่อยเหรอ? หรือว่า……”

เล่อจยาส่ายหัว วางถ้วยในมือลง มองเย่หลิน “มิน่าล่ะ คุณชายหนิงถึงได้รักคุณขนาดนี้ เย่หลิน คุณเป็นคนดีจริงๆ เลย”

คนมักจะบอกว่ากับน้องสาวสามีนั้นเข้ากันได้ยาก แต่น้องสาวสามีของเธอ ทว่าดีกว่าแม่ของตนเองอีก

เย่หลินหัวเราะเบาๆ “คนก็พึ่งพาอาศัยกัน เขาดี ฉันก็ปฏิบัติดีต่อเขา อีกอย่างแม่ฉันไม่อยู่แล้ว ฉันก็อยากเป็นตัวแทนแม่ ดูแลคุณให้ดี”

พูดจบเธอก็หยิบทิชชู เช็ดน้ำตาบนใบหน้าเล่อจยา “เมื่อกี้ฉันมาถึงหน้าประตู ได้ยินคุณบอกว่าความทรงจำกลับมาแล้ว พี่สะใภ้ คุณไม่เลิกรักพี่ชายฉันได้ไหม? ”

เล่อจยายิ้มๆ หันไปมองเกาไห่อย่างมีความหมายลึกซึ้ง “พี่ชายคุณไม่รังเกียจฉัน ฉันจะไม่ต้องการต้นทุนของเขาได้ยังไง”

เย่หลินจ้องมองเล่อจยา แล้วยิ้ม “ภายนอกดูเหมือนหยกที่ไม่ได้เจียระไน ภายในแกะสลักไว้อย่างวิจิตรประณีต พี่สะใภ้ พี่ชายฉันแต่งงานกับคุณ อันที่จริงแล้วเป็นเขาที่ได้กำไร”

ภายนอกดูเหมือนหยกที่ไม่ได้เจียระไน ภายในแกะสลักไว้อย่างวิจิตรประณีต เธอรู้ว่าเย่หลินจะชมเธอว่าสวยจากภายใน

คนสองสามคนพูดคุยหัวเราะกัน ซุปที่เย่หลินนำมา เล่อจยาก็ดื่มจนหมด…

เย่หลินออกไปได้สักพัก ซูหย่าก็เข้ามา

ซูหย่ามองสองมือเธอที่ว่างเปล่า ก็พูดขึ้นว่า : “คุณผู้หญิงซู ฉันเป็นผู้ป่วย คุณมาเยี่ยมผู้ป่วยด้วยมือเปล่าได้อย่างไร? ”

ซูหย่าพูดตอบกลับ : “ฉันคิดว่าคุณหมดสติอยู่ รู้ว่าคุณฟื้นแล้ว แน่นอนว่า……” พูดยังไม่ทันจบ เธอก็หยุดไปชั่วขณะ เงยหน้าขึ้นมองเล่อจยา เห็นไหวพริบที่คุ้นเคยในดวงตาของเธอ

“คุณ………คุณจำได้แล้วเหรอ? ” เล่อจยาคนที่อายุ 21 ปี จะไม่สามารถพูดหยอกล้อกับเธอได้

เล่อจยาเดินไปข้างหน้า แล้วโอบกอดซูหย่า “ช่วงนี้ คิดถึงฉันไหม? ”

ซูหย่าจะร้องไห้ “คุณคิดว่าไงล่ะ? ” ไม่ใช่แค่ระหว่างชายหญิงจึงจะมีความรู้สึกผูกพัน ความรักระหว่างผู้หญิงก็ลึกซึ้ง ถ้าจู่ๆ เสียมันไป ก็จะหดหู่ จะเสียใจ จะเป็นทุกข์

เจอคนที่รู้ใจในชีวิตมันยาก ซูหย่าเห็นคุณค่าของเล่อจยาอย่างมาก หลายปีมานี้มีเพื่อนมากมาย แต่เธอเต็มใจที่จะเป็นเพื่อนกับเล่อจยา ดังนั้นหลายวันมานี้ จะบอกว่าไม่หดหู่ ก็โกหกแล้ว

เกาไห่เห็นว่าซูหย่ามา รู้ว่าทั้งสองคนต้องมีเรื่องที่จะคุยกันอย่างแน่นอน ก็เลยกลับบริษัทไป

หลังจากประตูถูกปิดลง เล่อจยาก็ถอนหายใจ

ซูหย่าขมวดคิ้ว “หมายความว่าอะไร? ”

มือทั้งสองของเล่อจยาปิดหน้า “เครียด! ”

“เครียด? คุณปล่อยวางเถอะ อยู่ก็อยู่ด้วยกันแล้ว ยังจะเครียดอีกเหรอ? ” ซูหย่าได้ยิน ก็จงใจหยอกเย้าเธอ

เล่อจยาวางมือลง เก็บรอยยิ้มบนใบหน้า ดึงซูหย่า แล้วกล่าวอย่างจริงจังว่า: “เรื่องงานศพของพ่อฉัน โชคดีที่มีคุณอยู่”

ซูหย่าจงใจสะบัดมือเล็กน้อย “ไม่ต้องมาซาบซึ้งใจกับฉันหรอก ถ้าคุณอยากจะดีกับฉันจริงๆ ครั้งหน้าความจำเสื่อมอีก รบกวนจำฉันให้ได้ด้วย”

หยุดชะงักไปเล็กน้อย เธอก็ดึงเก้าอี้มานั่งลงตรงหน้าเล่อจยา “อีกอย่าง คนที่คุณต้องขอบคุณคือประธานเกา ที่เป็นสามีของคุณ เรื่องราวในเวลานั้น คือเขาที่ลงมือทำด้วยตนเอง”

เล่อจยานิ่งอึ้งเล็กน้อย แล้วจึงพยักหน้า “อย่างนั้นตอนบ่ายคุณมีเวลาไหม ฉันอยากให้คุณไปเป็นเพื่อนที่สุสานของพ่อหน่อยน่ะ”

ซูหย่าตกใจเล็กน้อย ลุกขึ้นยืน เดินไปที่หน้าต่างแล้วเปิดม่าน “นี่คุณเพิ่งจะฟื้น ก็อยากจะออกไปแล้วเหรอ? คุณไม่กลัวว่า จะมีการพลาดพลั้ง ความจำเสื่อมไปอีกครั้ง แล้วลืมสามีคุณไปเหรอ? ”

“แต่ว่า…” แต่ว่า เธออยากไปเยี่ยมพ่อ

“เอาล่ะ อย่ามาแต่ว่าเลย พักผ่อนก่อนเถอะ ต่อไป ยังมีงานของคุณอีก เรื่องที่พ่อคุณเสียชีวิต คุณยังต้องไปบ้านเกิดของคุณ แจ้งให้พวกคุณปู่คุณย่าของคุณทราบอีกนี่? ……หลังจากนั้น แม่ของคุณ น้องชายของคุณ คุณคิดว่าจะทำอย่างไร? ”

ทำอย่างไร?

เล่อจยาหัวเราะเยาะอย่างเย็นชา หรือว่ายังต้องให้เธอรับผิดชอบอีก?

ในจิตใต้สำนึกของแม่ไม่มีลูกสาวคนนี้ และสัตว์ร้ายตัวหนึ่งที่สามารถผลาญเงินที่ต้องใช้เป็นค่ารักษาพยาบาลของพ่อได้ เธอยังต้องสนใจพวกเขาอีกเหรอ?

ไม่ เธอได้จิตใจดีงามขนาดนั้น!

“พวกเขา ฉันไม่สนใจหรอก” เธอพูดด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา

ซูหย่ามองเธอ แล้วก็หัวเราะเหอะๆ “คุณไม่ต้องสนใจหรอก ผู้ชายของคุณสนใจให้แล้ว ค่าใช้จ่ายคนดูแลแม่คุณ แล้วก็ค่าใช้จ่ายโรงพยาบาล ทั้งหมดผู้ชายของคุณล้วนเป็นคนจ่าย”

เล่อจยาหรี่ตามอง แล้วตะโกนเสียงดังว่า: “เหตุผลอะไร? ด้วยเหตุผลอะไร?

ซูหย่าเดินเข้าไป โอบกอดเธอ “ก็เพราะความสัมพันธ์ของพวกคุณยังไงล่ะ คุณเพิ่งจะฟื้นขึ้นมา อย่าตะโกนเสียงดังแบบนี้สิ”

เล่อจยาซุกศีรษะไว้ที่คอของเธอ “ใจจิตสำนึกของเธอ คือไม่มีลูกสาว”

“เล่อจยา สมองของเธอผิดปกติไปแล้ว….”

“เฮ้อ ไม่พูดแล้วไม่พูดแล้ว ถึงอย่างไรฉันก็จะไม่ก้าวก่ายเธอ” เอ่ยถึงผู้หญิงคนนั้นเล่อจยาก็หงุดหงิดอย่างไม่ทราบสาเหตุ

เวลานี้ มีคนเคาะประตู เล่อจยามองผ่านซูหย่าไป เป็นชายคนหนึ่งหญิงคนหนึ่ง ในมือของผู้ชายอุ้มเด็ก ส่วนในมือของผู้หญิงก็หอบช่อดอกไม่สดช่อหนึ่ง ด้านหลังของพวกเขามีตำรวจสองสามนายที่อยู่ในเครื่องแบบ

หญิงสาวมองเล่อจยา แล้วคุกเข่าลงบนพื้นด้วยความตื่นเต้น

“ขอบคุณฮีโร่สาวที่ช่วยชีวิตลูกสาวฉันเอาไว้ หลังจากวันนั้นที่เกิดเรื่อง พวกเราหาคุณไม่พบ……”

เล่อจยาปล่อยซูหย่า แล้วเข้าไปประคองหญิงสาวที่คุกเข่าอยู่บนพื้น “รีบลุกขึ้นเถอะ เรื่องเล็กน้อยแค่นี้เอง”

เวลานี้ ตำรวจนายหนึ่งที่อยู่ด้านหลังก็เดินเข้ามา มองเล่อจยา “พวกคนที่ทำร้ายคุณ พวกเราจับตัวได้หมดแล้ว พวกเขาสมรู้ร่วมคิดกับผู้ชายคนนั้น ต้องการทำร้ายคุณเพื่อแก้แค้น”

เล่อจยาพยักหน้า ทันทีก็รู้สึกอย่างลึกซึ้ง มิน่าล่ะคนส่วนใหญ่ในสังคมนี้ถึงไม่กล้ายืนหยัดเพื่อความถูกต้อง มันส่งผลมากเกินไปหลังการกระทำ แต่เธอก็ไม่เสียใจเลยที่ได้ช่วยเด็กคนนี้

ถึงอย่างไร มีได้ก็ย่อมมีเสีย ถ้าไม่ได้ไม่ตะบองอันนั้น ยังไม่แน่ว่าเธอจะสามารถฟื้นความทรงจำกลับมาได้ไหม?

หลังจากส่งแขกไปแล้ว เล่อจยาก็มองซูหย่า ถอนหายใจเล็กน้อย

จู่ๆ ก็มีเสียงเคาะประตูอีกครั้ง ซูหย่ามองเล่อจยา กล่าวหยอกล้อว่า: “ตอนนี้คุณกลายเป็นคนมีชื่อเสียงแล้ว งานจะรัดตัวอย่างมาก…..”

จากนั้นก็ไปเปิดประตู เพียงแค่เปิดประตูออก หลังจากที่ซูหย่าเห็นหน้าคนอย่างชัดเจน สีหน้าก็เปลี่ยนไป

เล่อจยาปิดปาก ริมฝีปากสั่นเทาเล็กน้อย “ข่ม……ข่มขืน? ”

คนดูแลพยักหน้า “เฮ้อ น่าสงสารจริงๆ ”

เกาไห่ตบไหล่เธอเบาๆ เป็นการปลอบใจ

เล่อจยาฝืนยิ้มออกมา เดินไปข้างหน้า นั่งยองๆ ตรงหน้าแม่เล่อ “แม่ ฉันจยาจยานะ”

แววตาหญิงคนนั้นที่มองไปข้างหน้า สักครู่เธอก็มองเล่อจยา จู่ๆ สีหน้าก็หม่นหมองลง : “คุณ คุณคืนลูกมาให้ฉัน คุณคืนลูกฉันมาให้ฉัน”

พูดจบ ฉับพลันก็ยกมือขึ้นตบเล่อจยา เธอใช้เรี่ยวแรงทั้งหมดในการตบ ดังนั้นในชั่วพริบตาบนใบหน้าของเล่อจยาจึงเต็มไปด้วยนิ้วมือทั้งห้า

เกาไห่รีบเดินเข้าไปนำเล่อจยามาไว้ในอ้อมกอด “เป็นอะไรหรือเปล่า? ”

พูดจบ ก็ดึงเธอถอยหลังมาสองสามก้าว

คนดูแลเห็นเช่นนี้ ก็เดินเข้าไป “พี่สาว นี่คือลูกสาวของคุณ เธอมาดูคุณนะ”

แม่เล่อมองเล่อจยาแล้วคิดๆ เล็กน้อย ในปากบ่นพึมพำ : “ลูก…ลูกสาว? ฉัน ไม่มีลูกสาว ฉันมีแค่เหวินเหวิน”

เหวินเหวิน เล่อเหวิน น้องชายของเล่อจยา

ใจที่เตรียมพร้อมไว้แล้ว เล่อจยาเวลานี้ ก็ถูกทำให้เจ็บปวดใจ

หัวปวดขึ้นอย่างรุนแรง ทำให้เธออดไม่ได้ที่จะจับหน้าผาก

เกาไห่ถามอย่างห่วงใย : “ไม่สบายเหรอ? ”

เธอส่ายหัว อันที่จริงแม่ก็ชอบลูกชายมากกว่าลูกสาว เธอแทบจะให้ความสนใจและให้ความสำคัญกับเล่อเหวินทั้งหมด โชคดีที่พ่อดูแลเธออย่างดีมาตลอด เธอจึงไม่ได้รู้สึกโศกเศร้าเสียใจ

แต่เธอไม่เข้าใจว่า ในจิตใต้สำนึกของแม่เธอ จะไม่มีลูกสาวของเธออยู่เลย นี่ทำให้เธอยากที่จะรับได้

“แม่ ฉันจยาจยา ฉันเป็นลูกสาวของคุณ” เธอไม่ยอมแพ้ยังคงพูดเหมือนเดิมอีกครั้ง

แม่เล่อส่ายหัวซ้ำๆ “คุณไปเลย ฉันไม่รู้จักคุณ ฉันไม่มีลูกสาว ฉันไม่มี” จากนั้นก็ขึ้นเตียงเอาผ้าห่มมาคลุมศีรษะ

เล่อจยาอยากจะเดินเข้าไป แต่ถูกเกาไห่ดึงไว้ “วันนี้พอแค่นี้ก่อน อีกสองวันรอให้อารมณ์สงบลง เราค่อยมากันใหม่”

ตลอดทางจนถึงรถ เล่อจยายังคงหมกมุ่นอยู่กับความคิดของตนเอง ยากที่จะปล่อยวาง

เกาไห่เห็นท่าทีของเธอ ก็รู้จักกังวลใจ คิดๆ ดูแล้ว ก็หันรถกลับไปที่โรงหนังใกล้ๆ

ตลอดทางเข้าเล่อจยาเห็นโปสเตอร์หนังเต็มไปหมด จึงได้สติกลับมา มองเกาไห่ “คุณนี่คือ? ”

“อยากดูหนังเรื่องอะไร? ”

“ไม่ต้องหรอก บริษัทคุณงานยุ่งขนาดนั้น ไปบริษัทเถอะ” พูดจบ ก็จูงมือเกาไห่ ทำท่าทางดึงเขาออกไป

เกาไห่ส่ายหัว กระซิบข้างๆ หูเธอ : “อันที่จริงมันมากกว่าจะทำให้คุณฟื้นความทรงจำ คือฉันหวังว่าคุณจะตกหลุมรักฉันอีกครั้ง”

เล่อจยามองคนซ้ายขวา ดึงๆ เสื้อเขา แล้วเขินอายเล็กน้อย

ท้ายที่สุด ทั้งสองก็เลือกหนังโรแมนติกคอมมาดี้

หนังไม่ได้ดี จนถึงขั้นเรียกได้ว่าแย่ แต่หลังจากที่ทั้งสองคนดูจบแล้ว แต่เห็นได้ชัดว่าอารมณ์ผ่อนคลายอย่างมาก

“เราเคยดูหนังด้วยกันมาก่อนหรือเปล่า? ” ตอนที่ออกมาเล่อจยาก็ถามเกาไห่

เวลานี้ ทั้งสองมาถึงที่จอดรถใต้ดินแล้ว เนื่องจากคุยเล่นกันมาตลอดทาง จึงไม่ได้สนใจว่ามีชายคนหนึ่งตามมา

เล่อจยารู้สึกเพียงว่ามีเงาดำปกคลุมใบหน้าของเธอ จากนั้น เธอเห็นแท่งเหล็กแกว่งไปทางเกาไห่ เธอคิดจะเตะมือผู้ชายคนนั้น แต่ด้านหลังก็มีคนมาประชิดอีกสองคน ทำให้เธอไม่มีเวลาคำนึงถึง

มองเกาไห่ถูกเหล็กตีหัวอย่างตกตะลึงทำอะไรไม่ถูก

ความบ้าเลือดของเล่อจยาพลุ่งพล่าน เวลานี้ อารมณ์ร้ายที่ซ่อนอยู่ในตัวของเธอมาเป็นเวลานาน ได้ถูกปลุกเร้าอย่างสมบูรณ์ เธอกำหมัดเตะต่อยชายทั้งสี่คน แต่หาใช่คู่ต่อสู้ของเล่อจยาไม่

หลังจากจัดการคนเหล่านั้นล้มลงไปกอง เธอก็รีบมุ่งหน้าไปหาเกาไห่ ประคองศีรษะของเขาที่เต็มไปด้วยเลือด “เกาไห่….”

เกาไห่กุมมือของเธอ มือใหญ่ๆ ที่เดิมทีอบอุ่น เวลานี้ เย็นเยือกจนเข้ากระดูก “คุณไม่เป็นไรใช่ไหม? ”

เล่อจยาขมวดคิ้ว จ้องมองเขา “คุณห่วงตัวเองก่อนเถอะ” จากนั้นก็กดต่อสายไปยังเบอร์120

เธอเพิ่งระบุที่อยู่อย่างชัดเจน เธอก็เห็นเกาไห่เบิกตาโพลง “ระวัง…..”

ต่อจากนั้น เธอรู้สึกเหมือนโดนกระแทกอย่างแรงที่ท้ายทอย

เล่อจยารู้สึกว่าตนเองอยู่บนถนนเส้นหนึ่งซึ่งไร้ผู้คน เดินทางอย่างยาวนาน เธออยากจะร้องขอความช่วยเหลือ เธออยากจะร้องตะโกน แต่ก็ส่งเสียงไม่ออก

จากนั้น เธอก็เห็นพ่อ แก่กว่าในความทรงจำมาก มีชายคนวัยรุ่นคนหนึ่งยืนอยู่ข้างๆ พ่อ เธอเดินเข้าไปดูใกล้ๆ คือเล่อเหวิน น้องชายของเธอ ไถผมสกินเฮด ใส่ตุ้มหู ไม่มีความเป็นเด็ก หล่อเท่อย่างมาก แต่กำลังการแสดงออกโหดเหี้ยมเหมือนกับทะเลาะอะไรกับพ่ออยู่

จากนั้น เธอก็เห็นตัวเอง แล้วก็เห็นซูหย่า เกาไห่

คนรายล้อมอยู่จำนวนมาก เธอฟังได้ไม่ชัดว่าพวกเขากำลังพูดอะไรอยู่

เธอเห็นเพียงว่าพ่อเดินโซเซออกมาจากในฝูงชน เดินไปยังถนน รถคันสีดำคันนั้น ชนเข้ากับเขา เขาลอยขึ้นในอากาศแล้วจึงตกลงมาบนพื้นอีกครั้ง

เธอเห็นตัวเองแทรกฝูงชนเข้าไป ร่างพ่อที่นอนอยู่ มีเลือดสีสดนองเต็มพื้น

เธอได้ยินบางคนพูดว่า: “คนตายแล้ว”

คนตายแล้ว….พ่อของเธอตายแล้ว…..

เล่อจยากรีดร้องเสียงดัง “ไม่ พ่อ! ”

จากนั้น เธอก็ลืมตา แสงสีขาวที่แสบตาทำให้เธออดไม่ได้ที่จะหลับตา แล้วค่อยๆ ลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง

เกาไห่ที่กำลังพูดคุยกับคุณหมออยู่ด้านนอก ได้ยินเสียงร้องของเล่อจยา ก็พุ่งพรวดเข้าไป

เห็นศีรษะของเกาไห่ที่พันผ้าพันแผลสีขาวเอาไว้ ความทรงจำในสมองของเล่อจยา ก็ทะลักออกมาราวกับกระแสน้ำ

เธอน้ำตาไหลพราก แยกไม่ออกว่าเพราะจำได้ว่าพ่อเสียชีวิต หรือเพราะความอบอุ่นที่เกาไห่มีให้เธออย่างไม่เคยมีให้ใคร

“คุณภรรยา ในที่สุดคุณก็ฟื้นแล้ว คุณหมดสติไป2วัน หมอบอกว่า ถ้าวันนี้คุณยังไม่ฟื้นขึ้นมาอีก ก็จะต้องผ่าตัดแล้ว”

ในสายตาของเขามีความดีใจ ปากของเขาก็เรียกเธอว่า”คุณภรรยา”…..

เล่อจยาลดสายตาลง คล้ายกับครุ่นคิดอะไรอยู่?

แล้วจึงลืมตาขึ้นอีกครั้ง ในดวงตาทิ้งคราบน้ำตาตาเอาไว้เล็กน้อย มองเกาไห่ เอ่ยปากอย่างช้าๆ ว่า: “สามี คุณเป็นอะไรไหม? ”

เกาไห่รู้สึกโล่งอก ส่ายหน้า “ฉันไม่เป็นอะไร คุณเป็นอย่างไรบ้าง เจ็บปวดตรงไหนบ้างไหม? ” ความร้อนใจและเป็นกังวลในสายตาของเขา ทำให้เล่อจยาสะอื้นไห้อีกครั้ง

ยกมือขึ้นไป ลูบเบาๆ ที่หน้าผากของเขาอยู่นาน เล่อจยาจึงเอ่ยปากว่า “เกาไห่ ความทรงจำของฉันกลับมาแล้ว”

ถ้าก่อนหน้านี้เธอยังคิดที่จะปิดบังเขา เวลานี้ เธอก็ทำไม่ลงแล้ว

เกาไห่ตัวสั่นอย่างชัดเจน เล่อจยาเห็นความสับสนและตึงเครียดในสายตาของเขา

หลังจากคนทั้งสองสบตากันอยู่นาน เกาไห่จึงเอ่ยปากว่า: “แล้วคุณ…..โกรธฉันไหม? อยากที่จะจากฉันไปไหม? ”

ในที่สุดน้ำตาของเล่อจยาก็ไหลอีกครั้ง เธอซื้ดจมูก

นั่งตัวตรง ยื่นมือทั้งสองไปโอบกอดเกาไห่ “ฉันชอบคุณมาตั้งหลายปีขนาดนี้ ยากมากที่ความฝันจะกลายเป็นความจริง ฉันจะจากคุณไปได้อย่างไร นอกเสียจาก คุณไม่ต้องการฉันแล้ว ไม่อย่างนั้น ฉันก็จะอยู่กวนคุณไปตลอดชีวิต”

เขาคือความฝันของเธออย่างนั้นเหรอ?

จากความลุ่มหลงในตอนแรก เป็นความชอบ เป็นความคลั่งไคล้ จนเป็นความเคยชิน และรักจนเข้ากระดูก นี่ยากมากที่จะมีโอกาสจับพลัดจับผลูได้มาเป็นครอบครัว จะให้จากไป ไม่มีทาง ชั่วชีวิตนี้ก็เป็นไปไม่ได้

“อย่างนั้น ก็เตรียมตัวมีลูกได้แล้วใช่ไหม? ” เสียงผู้หญิงคนหนึ่งดังเข้ามาจากหน้าประตู

“ซูหย่าบอกว่า หลังจากที่พ่อกับแม่ของฉันหย่าร้างกัน ก็พาน้องชายฉันไปจากครอบครัวฉันด้วย จริงไหม? ”

เกาไห่พยักหน้า “รายละเอียดฉันก็ไม่ค่อยแน่ใจ แต่ฉันก็เคยได้ยินซูหย่าพูด ก็น่าจะไม่ผิดนะ”

“เช่นนั้นเธอก็ไม่ต้องการฉันแล้ว ทำไมฉันยังต้องไปดูเธอด้วย? ” เธอตอบกลับอย่างโกรธเคืองเล็กน้อย ไม่ว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น ในฐานะแม่คนหนึ่ง สามารถทอดทิ้งลูกของตนเองได้ จุดจุดนี้ เธอไม่มีเหตุผล เธอก็ไม่อยากให้อภัย

เกาไห่จับมือเธอ “คุณภรรยา หมอบอกว่า คุณอยากฟื้นความทรงจำ ก็จำเป็นต้องติดต่อกับคนใกล้ชิดให้มากๆ ”

เล่อจยาหันไปมองเกาไห่ หรี่ตามอง “ในฐานะที่คุณเป็นสามีของฉัน หรือว่าความสัมพันธ์นี้ ยังใกล้ชิดไม่พอเหรอ? ”

เมื่อเกาไห่เห็นปฏิกิริยาตอบกลับของเธอ รู้ดีว่าในเวลาอันสั้น เธอไม่สามารถยอมรับได้อย่างแน่นอน

เวลานี้ ก็มีโทรศัพท์โทรเข้ามา เป็นเย่หลิน

รับสายแล้ว ก็ส่งให้เล่อจยา “เย่หลินโทรหาคุณ”

เย่หลินโทรหาเธอ? เล่อจยารู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย นับมือถือของเกาไห่มา “ฮัลโหล…”

“พี่สะใภ้ ฉันเห็นวิดีโอการช่วยชีวิตคนของคุณเมื่อวานนี้ คุณเก่งจริงๆ เลย”

เล่อจยายิ้มขึ้นมา ชั่วขณะก็เขินอายเล็กน้อย “อันที่จริง แค่เรื่องเล็กน้อยนะ” คำนี้เธอพูดจริงๆ ไม่ได้เสแสร้ง ซึ่งในกรณีนี้ก็เป็นเรื่องปกติที่จะช่วยเหลือกัน

“เด็กทั้งสองคนดูวิดีโอ ก็อยากจะเจอคุณ ถ้าคุณมีเวลา ก็ให้พี่ชายฉันพามาเที่ยวที่บ้านนะ”

เล่อจยาตกตะลึง มองเกาไห่ “เช่นนั้น เดี๋ยวตอนบ่ายฉันจะไปนะ”

“อย่างนี้เหรอ? ได้เลย เช่นนั้นฉันไม่ไปที่บริษัทแล้ว คุณอยู่ที่ไหน ฉันจะไปรับ”

เกาไห่หยิบมือถือจากเล่อจยา “ฉันจะไปส่งเธอเอง”

หลังจากเกาไห่มาส่งเล่อจยาที่คฤหาสน์หนิง เล่อจยาก็บอกให้รีบกลับไปที่บริษัทเลย

“ป้าสะใภ้ คุณเก่งมากๆ เลย คุณสามารถสอนฉันได้ไหม? ฉันก็อยากเรียนรู้บ้าง…” สีหน้าเย่เสี่ยวโม่ชื่นชมเล่อจยาอย่างมาก

หนิงเสี่ยวซีเหลือบมองเธออย่างดูถูก “เดินไปสามก้าว ก็ทั้งร้องไห้ทั้งกระโดดโลดเต้น ยังคิดจะเรียนเทควันโด ทำได้ไม่นานก็ล้มเลิกแล้ว”

เย่เสี่ยวโม่ลุกขึ้นยืน สองมือเท้าเอว “หนิงเสี่ยวซี คุณเหยียดหยามฉัน”

“เหยียดหยาม? จุ๊ๆ ……ไหนๆๆ คุณอธิบายมาสิ เหยียดหยามมีความหมายว่าอะไร? ” พูดจบ ก็หันเดินไปใกล้ๆ เล่อจยา “ป้าสะใภ้ เรียนจนได้แบบคุณนี้ นานแค่ไหนสำหรับคนทั่วไป? ”

เล่อจยานึกๆ ดู “อืม ตอนฉัน 5 ขวบก็เริ่มเรียนกับพ่อแล้ว พ่อบอกว่าฉันมีพรสวรรค์ เพราะโดยทั่วไปขั้นที่ 6 อย่างน้อยก็ต้องอายุ 30 ปี ในตอนนั้นฉันอายุ 20 ปีก็ทำได้สำเร็จแล้ว พ่อบอกว่าค่อนข้างมีน้อย”

หนิงเสี่ยวซีพยักหน้า ครุ่นคิด หลังจากพิจารณาเล่อจยาแล้ว ถอนหายใจพูดว่า : “ป้าสะใภ้ คุณใช้เวลาสิบกว่าปีเท่านั้น ดูเหมือนว่า ก่อนที่ฉันจะบรรลุนิติภาวะก็น่าจะไม่มีปัญหาอะไร”

พูดจบ ก็ลุกขึ้น เดินไปที่ห้อง เหมือนกำลังคิดอะไรอยู่

เล่อจยาไม่เข้าใจความหมายของหนิงเส่าเฉิน ก็ตกตะลึงไปชั่วขณะ

เย่เสี่ยวโม่จึงพูดว่า “ป้าสะใภ้ พี่ชายฉันหมายความว่า คุณดูไม่ได้ฉลาดเกินไป ก่อนอายุ 20 ปียังสามารถทำสำเร็จได้ เขาก็ทำได้อย่างแน่นอน” พูดจบก็วิ่งจากไป แล้วตะโกนพูดว่า : “พี่ คุณพาฉันไปเรียนด้วยได้ไหม? ”

เล่อจยาขมวดคิ้ว ยกมือขึ้นชี้ไปที่เด็กทั้งสองคน พูดอะไรไม่ออกไปชั่วขณะ

ยกหลินยกน้ำกับขนมมาให้เล่อจยา วางไว้บนโต๊ะน้ำชาตรงหน้าเธอ “พี่สะใภ้ เด็กสองคนไม่รู้เรื่องรู้ราว ชอบพูดหยอกล้อ คุณอย่าไปสนใจพวกเขาเลย”

เล่อจยาส่ายหัว ในแววตาเผยความอิจฉาออกมา “เย่หลิน อิจฉาคุณจริงๆ เลย ลูกสองคนโตขนาดนี้แล้ว น่ารักมากเลย”

เย่หลินลุกขึ้นมานั่งข้างๆ เล่อจยา จับมือเล่อจยา “พี่สะใภ้ อันที่จริงที่ฉันเรียกคุณมาในวันนี้ ก็เพราะเรื่องนี้แหละ”

เล่อจยายิ้ม อันที่จริงเธอก็รู้อยู่ในใจ เย่หลินงานยุ่งมาก ไม่ใช่แค่ความอยากรู้อยากเห็นของเด็กทั้งสองจึงได้เรียกเธอมา

“คุณก็รู้ว่า พ่อแม่ฉันไม่อยู่แล้ว ดังนั้น เรื่องของพี่ชายฉัน ก็มีเพียงฉัน ที่สามารถบอกได้”

เล่อจยาพยักหน้า แต่ไม่พูดจา รอให้เย่หลินพูดต่อ

“อืม ฉันมองออกว่า พี่ชายของฉันชอบคุณจริงๆ ในเมื่อเป็นแบบนี้ อายุของพวกคุณก็ไม่น้อยแล้ว ควรคิดที่จะมีลูกได้แล้ว”

เล่อจยาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ มองเย่หลิน “เย่หลิน อันที่จริง…..พวกเรา ยังไม่มีความสัมพันธ์ระหว่างกัน”

พูดจบ ก็ก้มหน้าลงอย่างเขินอายเล็กน้อย

มือที่เย่หลินถือถ้วยชาอยู่ ก็สั่นเล็กน้อย “อะไรนะ? นี่….เพราะอะไร? พวกคุณ แต่งงานกันแล้วนะ? ”

“เกาไห่บอกว่า ตอนนี้ฉันความจำเสื่อม เขาไม่อยากให้ฉันตามเขาไปแบบสับสนงุนงง”

เย่หลินเข้าใจได้ในทันที “อ๋อ ที่แท้ก็แบบนี้ คาดไม่ถึงว่า พี่ชายฉันจะละเอียดรอบคอบขนาดนี้…..”

ต่อจากนั้น เย่หลินก็ไม่ได้พูดคุยถึงหัวข้อนี้กับเธออีก

ทานอาหารเย็นแล้ว เกาไห่ก็เข้ามารับเธอ เธอคิดๆ แล้วก็เอ่ยปากว่า: “เกาไห่ อย่างนั้น ก็ไปเยี่ยมเธอไหม? ”

ถึงแม้ว่าเบื้องหลังเย่หลินจะไม่ได้กดดันเธอ แต่ในใจเธอก็รู้ดี บางทีการหลบหนี ก็ไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้ อย่างนั้นก็เผชิญหน้าซะเถอะ

เกาไห่นิ่งอึ้งไปเล็กน้อย “น้องสาวฉันพูดอะไรกับคุณ? ”

เล่อจยาส่ายหน้า “ไม่ได้พูดอะไร ฉันเห็นว่าลูกทั้งสองของน้องสาวคุณน่ารักมาก คิดแล้วก็อยากมีลูก แต่คิดถึงการฟื้นความทรงจำแล้ว บางทีก็อาจจะเสียเวลา”

ความประนีประนอมของเธอทำให้เกาไห่ตื่นเต้นเล็กน้อย แล้วก็เป็นกังวลเล็กน้อย ถ้าเธอฟื้นความทรงจำกลับมา ถ้าหาก เธอรู้ว่าตนเองโกหกเธอ เธอจะเลือกอย่างไร?

“เรื่องราวในอินเทอร์เน็ต ฉันให้เสี่ยวตงจัดการให้เรียบร้อยแล้ว คุณไม่ต้องเป็นกังวลแล้วนะ”

เล่อจยาพยักหน้า “โอเค”

วันต่อมา

เมื่อรถยนต์มาจอดที่หน้าประตูโรงพยาบาลบ้า สายตาของเล่อจยาก็งุนงง “นี่คือ……..”

“แม่ของคุณ มีปัญหาทางระบบประสาท”

เล่อจยาอดไม่ได้ที่จะกลืนน้ำลาย เธอเม้มริมฝีปาก ในทันทีก็จนปัญญาที่จะรับได้เล็กน้อย “คือ เกิดเรื่องอะไรขึ้นใช่ไหม? ”

เกาไห่ส่ายหน้า “อาการโดยละเอียด ฉันก็ไม่ค่อยรู้หรอก เข้าไปดูอาการก่อนเถอะ….”

แม่ในความทรงจำของเล่อจยา ถึงแม้ว่าจะไม่ได้เป็นสาวสวย ก็ยังดูมีเสน่ห์ แต่ผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้า ใบหน้าเหลืองซูบผอม ตาลอย มุมปากยังมีน้ำลายไหลออกมาอีกด้วย

“เธอเป็นอะไรถึงได้เข้าโรงพยาบาล? ”

เล่อจยากล่าวถาม ด้วยน้ำเสียงที่สั่นเล็กน้อย

คนดูแลลังเลใจเล็กน้อย แล้วกล่าวว่า: “ฉันได้ยินมาว่า ลูกของเธอเสียชีวิต”

เล่อจยาขมวดคิ้ว “ละ….ลูกเสียชีวิต? ”

หรือว่าจะเป็นน้องชายของเธอ?

“ไม่ใช่น้องชายคุณหรอก” เกาไห่คล้ายกับจะรู้ว่าเธอคิดอะไร จึงเอ่ยปากพูด

“คุณรู้ได้อย่างไร? ”

“ที่คุณต้องสูญเสียความทรงจำส่วนหนึ่งก็เพราะน้องชายคุณ ดังนั้นตอนนี้เขามีชีวิตที่ดีมาก คุณไม่ต้องเป็นห่วง! ”

เล่อจยามองคนดูแล “คุณป้า คุณเข้าใจผิดแล้วหรือเปล่า แม่…แม่ของฉันอายุก็ไม่น้อยแล้ว ลูก…..”

ในความทรงจำ เมื่อตอนอายุ21ปี แม่และน้องชายของเธอยังใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน เวลานั้นก็อายุ40กว่าปีแล้ว

“เธอ เหมือนกับ…..เหมือนกับว่า….จะถูกคนข่มขืน…”

เวลานี้ เงาคนคนหนึ่งวิ่งผ่านเล่อจยาไป เธอรีบปล่อยมือเกาไห่ แล้ววิ่งตามไป

เธอรวดเร็วมาก ฉะนั้น เพียงไม่นานก็ตามทัน

ยื่นขาไปสกัดเท้าชายคนนั้น จนคนคนนั้นล้มลงอยู่กับพื้น แต่ในระหว่างล้มลงเล่อจยาก็อุ้มเด็กทารกมาจากในมือเขา

นำเด็กส่งคนคนที่ยืนอยู่ข้างๆ เธอเดินไปข้างหน้าเตรียมจะจัดการชายคนนั้น คาดไม่ถึงว่าชายคนนั้นจะมีวิชามวยเล็กน้อยยกเท้าขึ้นจะเตะเธอ โชคดีที่เล่อจยามีการตอบสนองที่ไว จึงถอยหลังกลับ หลังจากที่เขาโต้ตอบกลับมา เล่อจยาก็มีสมาธิจดจ่อ ชายคนนั้นสูงมาก เมื่อเทียบกันแล้วเธอไม่มีอะไรได้เปรียบเลย

ดังนั้นเธอจึงถอยหลังอย่างรวดเร็วแล้วเลือกเตะตวัดหลังกลางอากาศ เดิมทีชายคนนั้นไม่ทันได้เตรียมป้องกันตัว ก็ถูกเตะจนโซเซไปหลายก้าว หลังจากนั้นเล่อจยาก็ถีบลงกองอยู่กับพื้น สองมือยกตั้งขึ้นบริเวณหน้าอก ขาข้างหนึ่งยกขึ้น ขาส่วนล่างตั้งตรงเหยียบอยู่บนหน้าอกของชายคนนั้น

ในทันทีที่ชายคนนั้นล้มลงอยู่บนพื้น คนรอบข้างก็พูดว่า : “ทุกคน จับไอ้เลวนี้ไว้มันลักพาตัวเด็ก ใครก็ได้ แจ้งตำรวจเร็วเข้า”

เมื่อตำรวจมา ก็ไม่เห็นเล่อจยาในที่เกิดเหตุอีกแล้ว

เวลานี้ เล่อจยากำลังดึงเกาไห่วิ่งเข้าไปในซอยข้างหน้า เอามือปิดหน้าอกหายใจเหนื่อยหอบ

รู้สึกได้ถึงสายตาของเกาไห่ เธอจึงพูดว่า : “ฉัน…ฉันกลัวมีปัญหา แหะแหะ…”

ในชั่วพริบตา เธอก็ถูกดึงเข้าไปไว้ในอ้อมกอด “เมื่อกี้ที่เขาหยิบมีดออกมา รู้ไหมว่าฉันเป็นห่วงมาก? ”

เล่อจยากะพริบตาปริบๆ คลอเคลียอยู่ในอ้อมกอดของเกาไห่ “ไม่เป็นไรแล้ว พ่อฉันบอกว่า ทักษะสายดำขั้นที่ 6 ของฉันนี้ อย่าพูดว่าหนึ่งคนเลย มีอย่างนี้อีกสองสามคน ก็ไม่ใช่ปัญหา”

“คุณไม่เคยได้ยินเหรอ ศัตรูที่เปิดเผยไม่น่ากลัวเท่าศัตรูซ่อนเร้นอยู่? กลัวว่าพวกเขาจะมาเอาคืนนะสิ” น้ำเสียงเกาไห่เย็นชาลง

เล่อจยามองหน้าเขา ในแววตาเขามีความกังวลใจ จึงยิ้มพูดว่า “โอเค ต่อไป ฉันจะระมัดระวังอย่างแน่นอน”

เพราะที่ทานข้าวอยู่ไม่ไกล ทั้งสองคนจึงเดินกลับ เมื่อถึงบ้าน ไห่ยุ่นที่นั่งดูทีวีอยู่บนโซฟา เห็นทั้งสองคนกลับมา แววตาก็คลุมเครือเล็กน้อย “พี่ พี่สะใภ้ พวกคุณกลับมาแล้วเหรอ? ”

เล่อจยายิ้มๆ เกาไห่พูดว่า “ทำไมยังไม่นอน? ”

“ก็เตรียมจะนอนแล้ว”

“อย่างนั้นพวกคุณคุยกันไป ฉัน…ไปอาบน้ำก่อน” เล่อจยาพูดจบ ก็เข้าห้องนอนไป

“พี่ ตอนนี้พี่สาวเป็นอย่างไรบ้าง? ”

ได้ยินเสียงปิดประตูแล้ว ไห่ยุ่นก็เอ่ยถาม

สีหน้าเกาไห่เคร่งขรึมลงทันที “คุณจะถามถึงเธอทำไม? ”

เล่อจยาดึงประตู เตรียมจะออกไปหยิบผ้าเช็ดตัวที่ระเบียง เท้าเพิ่งจะก้าวออกมา เธอก็ได้ยินน้ำเสียงไห่ยุ่น ก็ถอยหลังกลับ

“พี่ คุณ…ไม่รักเธอแล้วเหรอ? ”

“คุณพูดไร้สาระอะไร? ” น้ำเสียงเกาไห่เย็นชาลงทันที ลุกขึ้นยืน “คุณก็นอนเร็วหน่อยนะ”

“พี่ เธอมีดีตรงไหน? ”

เธอชี้นิ้วไปที่เล่อจยา ทั้งสามคนก็เข้าใจได้

เล่อจยาจับที่เปิดประตู จนปลายนิ้วค่อยๆ ซีดเป็นสีขาว

“ฉันไม่จำเป็นต้องให้คนอื่นรู้ว่าเธอมีดีตรงไหน ภรรยาของฉัน ในใจฉันรู้ว่าเธอมีดีตรงไหนก็พอแล้ว”

ประโยคเดียวกัน อีกคนหนึ่งยิ้มๆ อีกคนหนึ่งกลับไม่สบายใจ

เล่อจยาสูดหายใจเข้าลึกๆ ดึงประตูเปิดออก ก็เห็นเกาไห่เดินมาทางห้องนอนพอดี

“คุณภรรยา…”

“ฉันจะไปหยิบผ้าเช็ดตัว คุณไปอาบก่อนเถอะ”

เมื่อผ่านเกาไห่ไป เธอรู้สึกได้ถึงลมหายใจที่ถี่เล็กน้อยของเขา

จึงหยุดเท้าลงชั่วขณะ เอียงหน้า เขย่งปลายเท้าขึ้น จูบบนใบหน้าของเขาเล็กน้อย

จากนั้น ก็เดินจากไป

เมื่อเล่อจยาอาบน้ำเสร็จ เกาไห่ก็นอนเอนกายลงไปแล้ว

เธอมองเขา หลังจากคิดหน้าคิดหลังแล้ว ก็นำศีรษะหนุนไปบนตัวของเกาไห่ “น้องสาวคุณชอบคุณ” เธอนำความคิดที่อยู่ในใจพูดออกมาอย่างสั้นๆ ง่ายๆ

มือที่เกาไห่ลูบบนใบหน้าของเธอ หยุดชะงักเล็กน้อย “แค่น้องสาว อย่าเดาไปเรื่อย”

เล่อจยาหยิบมือของเขา เล่นที่ปลายนิ้วมือ “ดูเหมือนว่าบุปผาร่วงหล่นมีใจ สายธารหลั่งไหลกลับไร้รัก”

“แม่เลี้ยงปฏิบัติต่อฉันอย่างดีมาตั้งแต่เด็ก ฉันดูแลเธอ ก็เป็นเพียงแค่ครอบครัว ไม่มีความหมายอื่น”

เล่อจยาพยักหน้า จุดนี้ เธอไม่ได้สงสัย

“เธอพูดว่าพี่สาว คือใครเหรอ? ” ด้วยนิสัยของเล่อจยา ที่มีนิสัยไม่เก็บซ่อนปิดบังมาโดยตลอด ดังนั้น หลังจากได้ยินคำพูดของไห่ยุ่น เธอก็รู้สึกว่าถ้าไม่ถามให้ชัดเจน ในใจก็จะติดค้าง

เกาไห่ลุกขึ้นนั่ง โอบเธอเข้ามาไว้ในอ้อมกอด “เธอเป็นลูกสาวของแม่เลี้ยง ความจริงคือเป็นน้องสาวของฉัน เวลานั้นยังเด็กและโง่เขลา ฉันคิดว่านั่นคือความรักมาโดยตลอด จนกระทั่งได้พบคุณ ฉันจึงได้เข้าใจอย่างแท้จริง ว่านั่นคือความลุ่มหลง ไม่ใช่ความรัก”

ถึงแม้เล่อจยาจะสับสนกับความสัมพันธ์ชั่วคราวนี้เล็กน้อย แล้วก็รู้สึกว่า ค่อนข้างแปลกประหลาด แต่ภายในใจ เธอก็เชื่อผู้ชายคนนี้โดยไม่มีเหตุผล

หันกลับไปมองเกาไห่ พูดอย่างจริงจังว่า: “ฉันไม่ค่อยเข้าใจอดีตที่ผ่านมาของคุณเท่าไรหรอก แต่จะพยายามเข้าใจปัจจุบันและอนาคตของคุณ เกาไห่ โชคดีแค่ไหนแล้วที่ได้พบคุณในชีวิตนี้”

ความรู้สึกของเล่อจยาที่มีต่อเกาไห่นั้นกระตือรือร้นอยู่เสมอ ดังนั้น เธอจึงไม่เคยปิดบังความรู้สึกภายในใจ

คืนนี้ ยาวนานอย่างมาก แต่ก็อบอุ่นอย่างมาก

ตอนเช้า เมื่อเล่อจยาตื่นขึ้นมา เกาไห่ก็กำลังมองเธออยู่ ด้วยใบหน้าเปื้อนรอยยิ้ม

“คุณ….คุณอย่ามามองฉันแล้วยิ้มอย่างนี้สิ ฉันรู้สึกขนลุก”

เกาไห่ปิดปาก นำมือถือยื่นให้เธอ “ดูสิ เมื่อกี้เสี่ยวตงส่งมาให้ฉัน”

เล่อจยาไม่เข้าใจ รับมือถือมา กดเปิด เป็นวิดีโอสั้นๆ ไม่ใช่เธอ แล้วจะใครล่ะ?

“คุณพระ นี่ใครเป็นคนถ่ายกันเนี่ย? ”

“ภรรยาของฉัน! เยี่ยมมาก” ชายหนุ่มมองเธอ แล้วกล่าวชมเชยเธออย่างจริงใจ

เล่อจยาชำเลืองมองเขา “เมื่อวานมีบางคนไม่พอใจอย่างมาก”

ชายหนุ่มหยิกบนใบหน้าของเธอเล็กน้อย “ลุกขึ้นเถอะ”

ขณะเดินทาง เกาไห่ได้รับโทรศัพท์ มองเล่อจยาด้วยใบหน้าที่สับสนงุนงงเล็กน้อย “ด้านหน้าบริษัทมีนักข่าว”

เล่อจยาที่เล่นเกมบนมือถืออยู่ ได้ยินเกาไห่พูดแบบนี้ ก็ไม่ได้เงยหน้า พูดอย่างไม่ใส่ใจว่า: “อย่างนั้นคุณก็ระวังหน่อยแล้วกัน”

ไห่ยุ่นที่นั่งอยู่ข้างหน้า จึงกล่าวว่า: “พี่สะใภ้ คนอื่นมาหาคุณ พี่ชายฉันจะต้องระวังอะไร? ” อันที่จริง ไห่ยุ่นก็รู้สึกเกินความคาดหมายเล็กน้อย เล่อจยาเป็นแบบนั้นคาดไม่ถึงว่าจะมีฝีมือ

มาหาเธอ?? เล่อจยาหันหน้าอย่างรวดเร็ว มองเกาไห่: “คือเรื่องเมื่อคืนวานเหรอ? ”

เกาไห่พยักหน้า “ตอนนี้คุณกำลังดังในอินเทอร์เน็ต เดิมทีเสี่ยวตงก็อยากช่วยคุณควบคุม แต่ด้านนอกของบริษัทเต็มไปด้วยแฟนคลับของคุณ จึงจนปัญญา” พูดจบ ก็บอกให้คนขับรถจอดข้างทาง กำชับให้เขาเข้าไปส่งไห่ยุ่นที่บริษัทก่อน จึงพาเล่อจยาลงจากรถ….

“ไปกันเถอะ พอดี ฉันอยากพาคุณไปสถานที่ที่หนึ่ง”

เล่อจยาถูกเขาจูงมือ “ไปไหน? ”

“ไปหาแม่ของคุณ”

“มะ…แม่? ” ในใจเล่อจยาตกใจเล็กน้อย ส่ายหัวด้วยจิตสำนึก หลังจากนั้นก็หยุดฝีเท้า

เกาไห่หรี่ตา มองเธอ “ทำไมล่ะ? ”

เวลานี้ เงาคนคนหนึ่งวิ่งผ่านเล่อจยาไป เธอรีบปล่อยมือเกาไห่ แล้ววิ่งตามไป

เธอรวดเร็วมาก ฉะนั้น เพียงไม่นานก็ตามทัน

ยื่นขาไปสกัดเท้าชายคนนั้น จนคนคนนั้นล้มลงอยู่กับพื้น แต่ในระหว่างล้มลงเล่อจยาก็อุ้มเด็กทารกมาจากในมือเขา

นำเด็กส่งคนคนที่ยืนอยู่ข้างๆ เธอเดินไปข้างหน้าเตรียมจะจัดการชายคนนั้น คาดไม่ถึงว่าชายคนนั้นจะมีวิชามวยเล็กน้อยยกเท้าขึ้นจะเตะเธอ โชคดีที่เล่อจยามีการตอบสนองที่ไว จึงถอยหลังกลับ หลังจากที่เขาโต้ตอบกลับมา เล่อจยาก็มีสมาธิจดจ่อ ชายคนนั้นสูงมาก เมื่อเทียบกันแล้วเธอไม่มีอะไรได้เปรียบเลย

ดังนั้นเธอจึงถอยหลังอย่างรวดเร็วแล้วเลือกเตะตวัดหลังกลางอากาศ เดิมทีชายคนนั้นไม่ทันได้เตรียมป้องกันตัว ก็ถูกเตะจนโซเซไปหลายก้าว หลังจากนั้นเล่อจยาก็ถีบลงกองอยู่กับพื้น สองมือยกตั้งขึ้นบริเวณหน้าอก ขาข้างหนึ่งยกขึ้น ขาส่วนล่างตั้งตรงเหยียบอยู่บนหน้าอกของชายคนนั้น

ในทันทีที่ชายคนนั้นล้มลงอยู่บนพื้น คนรอบข้างก็พูดว่า : “ทุกคน จับไอ้เลวนี้ไว้มันลักพาตัวเด็ก ใครก็ได้ แจ้งตำรวจเร็วเข้า”

เมื่อตำรวจมา ก็ไม่เห็นเล่อจยาในที่เกิดเหตุอีกแล้ว

เวลานี้ เล่อจยากำลังดึงเกาไห่วิ่งเข้าไปในซอยข้างหน้า เอามือปิดหน้าอกหายใจเหนื่อยหอบ

รู้สึกได้ถึงสายตาของเกาไห่ เธอจึงพูดว่า : “ฉัน…ฉันกลัวมีปัญหา แหะแหะ…”

ในชั่วพริบตา เธอก็ถูกดึงเข้าไปไว้ในอ้อมกอด “เมื่อกี้ที่เขาหยิบมีดออกมา รู้ไหมว่าฉันเป็นห่วงมาก? ”

เล่อจยากะพริบตาปริบๆ คลอเคลียอยู่ในอ้อมกอดของเกาไห่ “ไม่เป็นไรแล้ว พ่อฉันบอกว่า ทักษะสายดำขั้นที่ 6 ของฉันนี้ อย่าพูดว่าหนึ่งคนเลย มีอย่างนี้อีกสองสามคน ก็ไม่ใช่ปัญหา”

“คุณไม่เคยได้ยินเหรอ ศัตรูที่เปิดเผยไม่น่ากลัวเท่าศัตรูซ่อนเร้นอยู่? กลัวว่าพวกเขาจะมาเอาคืนนะสิ” น้ำเสียงเกาไห่เย็นชาลง

เล่อจยามองหน้าเขา ในแววตาเขามีความกังวลใจ จึงยิ้มพูดว่า “โอเค ต่อไป ฉันจะระมัดระวังอย่างแน่นอน”

เพราะที่ทานข้าวอยู่ไม่ไกล ทั้งสองคนจึงเดินกลับ เมื่อถึงบ้าน ไห่ยุ่นที่นั่งดูทีวีอยู่บนโซฟา เห็นทั้งสองคนกลับมา แววตาก็คลุมเครือเล็กน้อย “พี่ พี่สะใภ้ พวกคุณกลับมาแล้วเหรอ? ”

เล่อจยายิ้มๆ เกาไห่พูดว่า “ทำไมยังไม่นอน? ”

“ก็เตรียมจะนอนแล้ว”

“อย่างนั้นพวกคุณคุยกันไป ฉัน…ไปอาบน้ำก่อน” เล่อจยาพูดจบ ก็เข้าห้องนอนไป

“พี่ ตอนนี้พี่สาวเป็นอย่างไรบ้าง? ”

ได้ยินเสียงปิดประตูแล้ว ไห่ยุ่นก็เอ่ยถาม

สีหน้าเกาไห่เคร่งขรึมลงทันที “คุณจะถามถึงเธอทำไม? ”

เล่อจยาดึงประตู เตรียมจะออกไปหยิบผ้าเช็ดตัวที่ระเบียง เท้าเพิ่งจะก้าวออกมา เธอก็ได้ยินน้ำเสียงไห่ยุ่น ก็ถอยหลังกลับ

“พี่ คุณ…ไม่รักเธอแล้วเหรอ? ”

“คุณพูดไร้สาระอะไร? ” น้ำเสียงเกาไห่เย็นชาลงทันที ลุกขึ้นยืน “คุณก็นอนเร็วหน่อยนะ”

“พี่ เธอมีดีตรงไหน? ”

เธอชี้นิ้วไปที่เล่อจยา ทั้งสามคนก็เข้าใจได้

เล่อจยาจับที่เปิดประตู จนปลายนิ้วค่อยๆ ซีดเป็นสีขาว

“ฉันไม่จำเป็นต้องให้คนอื่นรู้ว่าเธอมีดีตรงไหน ภรรยาของฉัน ในใจฉันรู้ว่าเธอมีดีตรงไหนก็พอแล้ว”

ประโยคเดียวกัน อีกคนหนึ่งยิ้มๆ อีกคนหนึ่งกลับไม่สบายใจ

เล่อจยาสูดหายใจเข้าลึกๆ ดึงประตูเปิดออก ก็เห็นเกาไห่เดินมาทางห้องนอนพอดี

“คุณภรรยา…”

“ฉันจะไปหยิบผ้าเช็ดตัว คุณไปอาบก่อนเถอะ”

เมื่อผ่านเกาไห่ไป เธอรู้สึกได้ถึงลมหายใจที่ถี่เล็กน้อยของเขา

จึงหยุดเท้าลงชั่วขณะ เอียงหน้า เขย่งปลายเท้าขึ้น จูบบนใบหน้าของเขาเล็กน้อย

จากนั้น ก็เดินจากไป

เมื่อเล่อจยาอาบน้ำเสร็จ เกาไห่ก็นอนเอนกายลงไปแล้ว

เธอมองเขา หลังจากคิดหน้าคิดหลังแล้ว ก็นำศีรษะหนุนไปบนตัวของเกาไห่ “น้องสาวคุณชอบคุณ” เธอนำความคิดที่อยู่ในใจพูดออกมาอย่างสั้นๆ ง่ายๆ

มือที่เกาไห่ลูบบนใบหน้าของเธอ หยุดชะงักเล็กน้อย “แค่น้องสาว อย่าเดาไปเรื่อย”

เล่อจยาหยิบมือของเขา เล่นที่ปลายนิ้วมือ “ดูเหมือนว่าบุปผาร่วงหล่นมีใจ สายธารหลั่งไหลกลับไร้รัก”

“แม่เลี้ยงปฏิบัติต่อฉันอย่างดีมาตั้งแต่เด็ก ฉันดูแลเธอ ก็เป็นเพียงแค่ครอบครัว ไม่มีความหมายอื่น”

เล่อจยาพยักหน้า จุดนี้ เธอไม่ได้สงสัย

“เธอพูดว่าพี่สาว คือใครเหรอ? ” ด้วยนิสัยของเล่อจยา ที่มีนิสัยไม่เก็บซ่อนปิดบังมาโดยตลอด ดังนั้น หลังจากได้ยินคำพูดของไห่ยุ่น เธอก็รู้สึกว่าถ้าไม่ถามให้ชัดเจน ในใจก็จะติดค้าง

เกาไห่ลุกขึ้นนั่ง โอบเธอเข้ามาไว้ในอ้อมกอด “เธอเป็นลูกสาวของแม่เลี้ยง ความจริงคือเป็นน้องสาวของฉัน เวลานั้นยังเด็กและโง่เขลา ฉันคิดว่านั่นคือความรักมาโดยตลอด จนกระทั่งได้พบคุณ ฉันจึงได้เข้าใจอย่างแท้จริง ว่านั่นคือความลุ่มหลง ไม่ใช่ความรัก”

ถึงแม้เล่อจยาจะสับสนกับความสัมพันธ์ชั่วคราวนี้เล็กน้อย แล้วก็รู้สึกว่า ค่อนข้างแปลกประหลาด แต่ภายในใจ เธอก็เชื่อผู้ชายคนนี้โดยไม่มีเหตุผล

หันกลับไปมองเกาไห่ พูดอย่างจริงจังว่า: “ฉันไม่ค่อยเข้าใจอดีตที่ผ่านมาของคุณเท่าไรหรอก แต่จะพยายามเข้าใจปัจจุบันและอนาคตของคุณ เกาไห่ โชคดีแค่ไหนแล้วที่ได้พบคุณในชีวิตนี้”

ความรู้สึกของเล่อจยาที่มีต่อเกาไห่นั้นกระตือรือร้นอยู่เสมอ ดังนั้น เธอจึงไม่เคยปิดบังความรู้สึกภายในใจ

คืนนี้ ยาวนานอย่างมาก แต่ก็อบอุ่นอย่างมาก

ตอนเช้า เมื่อเล่อจยาตื่นขึ้นมา เกาไห่ก็กำลังมองเธออยู่ ด้วยใบหน้าเปื้อนรอยยิ้ม

“คุณ….คุณอย่ามามองฉันแล้วยิ้มอย่างนี้สิ ฉันรู้สึกขนลุก”

เกาไห่ปิดปาก นำมือถือยื่นให้เธอ “ดูสิ เมื่อกี้เสี่ยวตงส่งมาให้ฉัน”

เล่อจยาไม่เข้าใจ รับมือถือมา กดเปิด เป็นวิดีโอสั้นๆ ไม่ใช่เธอ แล้วจะใครล่ะ?

“คุณพระ นี่ใครเป็นคนถ่ายกันเนี่ย? ”

“ภรรยาของฉัน! เยี่ยมมาก” ชายหนุ่มมองเธอ แล้วกล่าวชมเชยเธออย่างจริงใจ

เล่อจยาชำเลืองมองเขา “เมื่อวานมีบางคนไม่พอใจอย่างมาก”

ชายหนุ่มหยิกบนใบหน้าของเธอเล็กน้อย “ลุกขึ้นเถอะ”

ขณะเดินทาง เกาไห่ได้รับโทรศัพท์ มองเล่อจยาด้วยใบหน้าที่สับสนงุนงงเล็กน้อย “ด้านหน้าบริษัทมีนักข่าว”

เล่อจยาที่เล่นเกมบนมือถืออยู่ ได้ยินเกาไห่พูดแบบนี้ ก็ไม่ได้เงยหน้า พูดอย่างไม่ใส่ใจว่า: “อย่างนั้นคุณก็ระวังหน่อยแล้วกัน”

ไห่ยุ่นที่นั่งอยู่ข้างหน้า จึงกล่าวว่า: “พี่สะใภ้ คนอื่นมาหาคุณ พี่ชายฉันจะต้องระวังอะไร? ” อันที่จริง ไห่ยุ่นก็รู้สึกเกินความคาดหมายเล็กน้อย เล่อจยาเป็นแบบนั้นคาดไม่ถึงว่าจะมีฝีมือ

มาหาเธอ?? เล่อจยาหันหน้าอย่างรวดเร็ว มองเกาไห่: “คือเรื่องเมื่อคืนวานเหรอ? ”

เกาไห่พยักหน้า “ตอนนี้คุณกำลังดังในอินเทอร์เน็ต เดิมทีเสี่ยวตงก็อยากช่วยคุณควบคุม แต่ด้านนอกของบริษัทเต็มไปด้วยแฟนคลับของคุณ จึงจนปัญญา” พูดจบ ก็บอกให้คนขับรถจอดข้างทาง กำชับให้เขาเข้าไปส่งไห่ยุ่นที่บริษัทก่อน จึงพาเล่อจยาลงจากรถ….

“ไปกันเถอะ พอดี ฉันอยากพาคุณไปสถานที่ที่หนึ่ง”

เล่อจยาถูกเขาจูงมือ “ไปไหน? ”

“ไปหาแม่ของคุณ”

“มะ…แม่? ” ในใจเล่อจยาตกใจเล็กน้อย ส่ายหัวด้วยจิตสำนึก หลังจากนั้นก็หยุดฝีเท้า

เกาไห่หรี่ตา มองเธอ “ทำไมล่ะ? ”

“ไห่ยุ่น คุณอย่าใสซื่อเกินไปเลย เราก็ไม่ได้ว่าเล่อจยาแย่ขนาดนั้น แต่ว่าก่อนที่คุณจะมาเธอมักจะติดต่อกับประธานเกาบ่อยมาก”

ไห่ยุ่นปิดปาก แล้วหัวเราะ “ถึงแม้ว่าเธอจะคิดอะไรกับพี่ชายฉัน ฉันเป็นแค่ลูกพี่ลูกน้องของเขา ฉันจะทำอะไรได้? ” พูดถึงตรงนี้ไห่ยุ่นก็ก้มหน้า ปิดบังความหดหู่ในแววตา

“อันที่จริงก็พูดแบบนี้ไม่ได้นะ ไห่ยุ่น เรามองออกว่าประธานเกาปฏิบัติต่อคุณดีมาก พวกคุณ……ก็ไม่ใช่พี่น้องแท้ๆ คุณก็สวยขนาดนี้ เรื่องบางเรื่อง ก็ไม่ใช่จะไม่สามารถเป็นไปได้? ” บางคนเลือกที่พูดออกมาอย่างชัดเจน

“ใช่สิ ฉันก็คิดแบบนี้ เล่อจยาคนนั้น ไม่ดูความสามารถของตนเลย คุณดูสิ รูปร่างก็ไม่ได้ดี หน้าตาก็ไม่ได้สวย คาดไม่ถึงยังจะกล้าหมายปองประธานเกา”

“ขอบคุณพวกพี่ๆ ที่ชอบไห่ยุ่น เพียงแต่ฉันรู้ว่า ฉันเป็นคนพิการคนหนึ่ง จะคู่ควรกับคนดีๆ แบบเขาได้อย่างไร”

เธอพูดประโยคนี้จบ ทุกๆ คนก็ถอนหายใจ

……

คำพูดของคนนั้นน่ากลัว เรื่องราวที่ไม่ได้มีอยู่จริง ถูกพูดกันมากๆ ก็กลายเป็นจริงขึ้นมา

ด้วยเหตุนี้ เล่อจยาจากไม่เป็นที่รู้จัก ก็เป็นที่รู้จักของคนในบริษัทภายในไม่กี่วัน

บางคนก็บอกว่า เธอเป็นพวกคางคกขึ้นวอ บางคนก็บอกว่า ที่เธอมาชวนไห่ยุ่นคุยก็เพื่ออยากจะคบกับเกาไห่ ต่างๆ นานา

สรุปได้ว่า เธอไม่ดีไปซะทุกๆ อย่าง ด้วยเหตุนี้ไห่ยุ่นจึงได้รับความชื่นชอบ ทุกๆ คนปฏิบัติดีต่อเธอ สงสาร สรรเสริญเยินยอ ให้ความช่วยเหลือ แต่กับเธอแล้ว นอกจากจะได้คำพูดที่ไม่น่าฟังแล้วก็ไม่มีอะไรอื่นอีก

ในตอนแรกเล่อจยาก็ไม่ได้สนใจ แต่นานๆ ไป เธอถูกคนเมินเฉยแบบนี้ ท้ายที่สุดก็ได้รับผลกระทบ

เกาไห่บอกให้เธอขึ้นไปทานอาหารเย็นตอนเที่ยง หลังจากเธอคิดๆ ดูแล้ว ก็พูดตรงๆ ว่า : “สองสามวันนี้ฉันจะไม่ขึ้นไปกินข้าวด้วยนะ คนในบริษัทพูดไม่ค่อยน่าฟังเลย คุณให้คนมาเข็นไห่ยุ่นขึ้นไปเถอะ ตอนเย็นฉันก็จะกลับบ้านเอง สองสามวันนี้ไม่ทำตัวเป็นจุดสนใจน่าจะดีกว่า”

“คุณภรรยา เราเปิดเผยกันเลยเถอะ ฉันไม่อยากให้คนอื่นมาว่าคุณ” เกาไห่ตอบข้อความกลับอย่างรวดเร็ว

เล่อจยายิ้มมุมปาก “อืม อย่าเลย แค่สถานการณ์ในตอนนี้ ฉันเกรงว่าตอนเองจะจมน้ำลายตาย รอให้พวกเธอพูดจนพอแล้ว ก็เลิกพูดไปเองนั่นแหละ”

เพราะไม่สามารถไปทานข้าวที่โรงอาหารได้ เล่อจยาได้แค่ออกไปซื้อบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป แม้ว่าเธอจะรับบัตรจากเกาไห่มา แต่ในใจ เธอยังรู้สึกละอายที่จะใช้เงินของเขา

รอหลังจากเธอกลับมา บรรยากาศที่บริษัทก็เปลี่ยนไปมาก เดิมทีคนที่ชี้นิ้วใส่เธอ ก็ไม่มีแล้ว ทุกๆ คนเห็นเธอ ก็กลายเป็นมิตรมากขึ้น บางคนถึงกับเริ่มทักทายเธอ

เมื่อถึงสำนักงาน ก็เป็นเช่นนี้ ในที่สุดเธอก็อดไม่ได้ที่จะถามเพื่อนร่วมงานข้างๆ

“เมื่อครึ่งชั่วโมงที่แล้ว ประธานเกาไล่คนสองคนที่เคยส่งอีเมลมาโจมตีคุณก่อนหน้านี้ออกไปแล้ว”

เล่อจยาขมวดคิ้ว ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้

ประธานเกาปกป้องอย่างเปิดเผยเช่นนี้ แม้ว่าทุกคนจะมีความคิดเห็นอยู่ในใจ ก็ไม่มีใครเต็มใจที่จะตกงานเพื่อคำนินทาหรอก

รู้สึกอบอุ่นในใจ เลยส่งข้อความไปให้เกาไห่ “ขอบคุณเจ้านาย”

“เช่นนั้นตอนเย็นได้โปรดเป็นเกียรติ ให้ฉันเลี้ยงข้าวคุณด้วย ได้ไหม? ”

“อย่างนั้น น้องสาวคุณล่ะ? ”

“ฉันจะให้เสี่ยวตงส่งเธอกลับไป”

“โอเค”

ผลักเปิดประตูหนักๆ ของร้านอาหารออก เบื้องหน้าคือพื้นที่กว้างขวางหรูหรา โคมไฟระย้าคริสทัลอันงดงามบนเพดาน สะท้อนแสงทุกๆ มุมด้วยสีสันสดใสราวกับความฝัน

โต๊ะและเก้าอี้สไตล์ยุโรป เคาน์เตอร์บาร์ขนาดเล็กที่งดงาม ล้วนทาด้วยสีขาวล้วน ทำให้ทุกหนทุกแห่งส่งกลิ่นอายของความเป็นผู้ดี

มองดูร้านอาหารระดับไฮเอนด์ที่ตกแต่งอย่างหรูหราตรงหน้า เล่อจยาก็หันกลับไปมองเกาไห่ “ระดับสูงขนาดนี้ แพงมากเลยใช่ไหม? ”

เกาไห่เอียงหน้าเล็กน้อย กระซิบข้างหูของเธอ “กลางวันทานบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปไปแล้ว ตอนเย็น ชดเชยหน่อยไม่ได้เหรอ? ”

“คุณ รู้ได้อย่างไร? ” เล่อจยามองเกาไห่อย่างประหลาดใจ

เกาไห่เพียงแค่ยิ้มๆ ไม่พูดจา จูงมือของเธอ เดินเข้าไปยังด้านหน้า เสื้อสูทรองเท้าหนัง ภาพด้านหนังที่สูงสง่าหุ่นดี เล่อจยามองนิ้วมือที่จับเอาไว้แน่น เวลานี้ เธอรู้สึกว่าตนเองเป็นผู้หญิงที่มีความสุขที่สุดในโลก

ดังนั้น จึงเป็นภาพที่ดึงดูดสายตาของผู้คนในห้องอาหาร

ชายที่รูปร่างสูงใหญ่ ใบหน้าหล่อเหลา เสื้อสูทที่สั่งทำเองกับมือ เสื้อเชิ้ตสีขาว รองเท้าหนังทำด้วยมือ บุคลิกดีเลิศ แต่ผู้หญิง ไม่ค่อยสูงเท่าไร รูปร่างก็ไม่ค่อยดี หน้าตาก็ไม่ค่อยโดดเด่น สวมเสื้อกันหนาวมีฮู้ด กางเกงยีนสีซีดๆ คนทั้งสองมองอย่างไรก็ไม่เหมาะสมกัน

ถ้าต้องบอกว่าจุดไหนที่หญิงสาวโดดเด่น ก็คาดว่าจะเป็นรอยยิ้มที่บริสุทธิ์ กับแก้มลูกสาลี่นั้น

บริกรเข้ามาต้อนรับ “คุณเกา เชิญตามมาได้เลยครับ”

ตามบริกรไป พวกเขาเข้าไปยังห้องวีไอพีที่งดงามห้องหนึ่ง ไวน์แดง เทียนหอม ดอกไม้สด….เล่อจยามองเกาไห่ ในสายตาเต็มไปด้วยรอยยิ้ม

“ยิ้มอะไร? ไม่พอใจเหรอ? ”

เล่อจยาส่ายหน้า “แค่รู้สึกว่า มันเกินความเป็นจริง กลัวว่าจะฝันไป แล้วก็ตื่นขึ้นมา” เสียงของเธอยิ่งพูดก็ยิ่งเบาลง

เมื่อตอนอายุ21ปี ผู้ชายที่อยู่ตรงหน้าคือเทพบุตรในฝันของเธอ ไกลเกินจะเอื้อมถึง

เธอไม่กล้าหวังแม้แต่จะได้ทานข้าวด้วยกันกับเขา ไม่ต้องพูดถึงดินเนอร์ใต้แสงเทียนสุดโรแมนติกเลย

“เล่อจยา บางที่ที่คุณรักอาจจะเป็นเพียงภายนอกของฉัน แต่คุณรู้ไหม? ถึงรูปร่างหน้าตาที่ดีหายไป ความรักความผูกพันที่แท้จริงจะไม่จางหาย ภายในจิตใจ แล้วความรักของฉัน ล้วนเป็นคุณที่อยู่ข้างใน” เขามองเธออย่างลึกซึ้ง พูดคำพลอดรักที่มีเพียงคนสองคนที่สามารถได้ยินได้

เล่อจยานิ่งอึ้งไป ความรักของเธอ เป็นเพียงแค่ภายนอกของเกาไห่เหรอ?

ตอนอายุ21ปี บางทีก็อาจจะใช่? ถึงอย่างไร เวลานั้นเธอก็ไม่มีโอกาสที่จะได้รู้จักภายในใจของเขา

ตอนเธออายุ28ปี ตกลงเธอรักภายในจิตใจของเขาหรือไม่ เธอก็จำไม่ได้

การแสดงออกของเธอหักหลังภายในจิตใจของเธอ ในสายตาเกาไห่ ปรากฏความหดหู่เล็กน้อย

เล่อจยาที่เติบโตมาท่ามกลางเด็กผู้ชาย ดังนั้น กับความสงบเสงี่ยมและสง่างามของเด็กผู้หญิง เธอไม่ค่อยถนัด ดังนั้น มื้ออาหารนี้ จึงกลายเป็นมื้อที่น่าจดจำที่สุดในชีวิตของเธอ

ที่อบอุ่นใจก็คือ การรู้ใจของเกาไห่ ที่ไม่ได้ทำให้เธอรู้สึกอึดอัดและเก้อเขิน

เมื่อคนทั้งสองออกมาจากภัตตาคาร ภายใต้โคมไฟที่วาววับจับตา ในเมืองที่งดงาม ตึกที่สูงเสียดฟ้า เล่อจยามองผู้ชายที่อยู่ข้างๆ ทันทีก็รู้สึกซาบซึ้งใจเป็นพิเศษ

เมืองที่คึกคักแบบนี้ แต่เธอกลับรู้สึกว่าชีวิตโดดเดี่ยวเดียวดาย

ซูหย่าบอกว่า หลังจากพ่อและแม่หย่าร้าง พ่อก็หายไป ไม่รู้ว่าไปไหน? แม่ก็พาน้องชายไปด้วย….

เธอไม่รู้ว่าก่อนหน้านี้สองสามปี เธอผ่านอะไรมา แต่ซูหย่าคงไม่โกหกเธอ คิดแล้ว คาดไม่ถึงว่าเธอจะกลายเป็นเด็กคนหนึ่งที่ถูกทอดทิ้ง หลายวันมานี้ เธอพยายามที่จะไม่คิดถึงปัญหานี้ แต่เวลานี้ เธอก็อดขอบตาตาแดงไม่ได้

ยังดีที่ สวรรค์ไม่ใจจืดกับเธอ ส่งให้เกาไห่มาอยู่ข้างๆ เธอ เพียงแต่ ไม่รู้ว่าเกาไห่ดีเลิศจนเกินไปหรือเปล่า จึงทำให้เธอหาความรู้สึกที่ปลอดภัยจากเขาไม่ได้เลยสักนิด

“จับเขาไว้….มีคนลักเด็กไป…” จู่ๆ ก็มีเสียงตะโกนเสียงดังจากใครบางคนที่อยู่ด้านหลัง

เล่อจยาหันกลับไปถลึงตาเกาไห่ “บอกว่าฉันรู้สึกไม่ปลอดภัยกับคุณ แล้วทำไมถึงสายเกินแก้แล้วล่ะ? อย่างนี้ ถ้าฉันรู้สึกปลอดภัย? คุณมีอะไรเสียหายเหรอ? ”

ถึงแม้เธอจะไม่มีความประทับใจเกี่ยวกับความสัมพันธ์ชายหญิงในความทรงจำของเธอ แต่ถ้าไม่เคยสัมผัส จะรู้ได้อย่างไร?

ชายหญิงเกิดความสัมพันธ์กัน อย่างไรก็นับว่า เป็นฝ่ายหญิงที่เสียเปรียบไม่ใช่เหรอ?

เกาไห่เลิกคิ้ว กระแอมเบาๆ : “ฉัน ฉันยัง…ยังเป็นครั้งแรกนะ” ผู้ชายที่เด็ดเดี่ยวขนาดนั้น เวลานี้มีใบหน้าเขินอาย

ครั้งแรก……ครั้งแรก? ครั้งแรก!!!

หลังจากเล่อจยาสติกลับมา เธอก็หันกลับมา มองเกาไห่ด้วยสายตาที่ไม่อยากจะเชื่อ “คุณ……คุณยัง……บริสุทธิ์เหรอ???”

เกาไห่มองออกไปทางอื่น แล้วพยักหน้า สีหน้าเขินอายยิ่งกว่าเดิม

เล่อจยาปิดปาก “พระเจ้า เช่นนั้น ฉันก็เก็บของล้ำค่าได้ใช่ไหม? ” พูดจบก็หัวเราะ สีหน้าภาคภูมิใจ

“เล่อจยา! ” เกาไห่ตำหนิเบาๆ

“จบเห่! ” จู่ๆ เล่อจยาก็พูดออกมาด้วยความตกใจ

“เป็นอะไร? ”

เล่อจยาหันกลับมาโอบกอดคอของเกาไห่ “ฉันลืมไปแล้วว่าช่วงสองสามปีมานี้ฉันเคยมีแฟนหรือเปล่า คุณว่า ถ้าหากว่าฉัน ถ้าหากว่า ไม่บริสุทธิ์ คุณ คุณไม่เสียเปรียบเหรอ? ”

เกาไห่โล่งอก มองเล่อจยาอย่างทำอะไรไม่ถูกเล็กน้อย หลังจากคิดดูแล้ว มือทั้งสองข้างของเขาก็จับแก้มของเล่อจยา “ไม่เป็นไร ฉันไม่ได้คิดว่าสำคัญขนาดนั้น”

เล่อจยาส่ายหัว พูดทั้งน้ำตา : “ทำไมจะไม่เป็นอะไร? ฉันก็อยากให้สิ่งที่ดีที่สุดแก่คุณ” พูดจบ ก็ผิดหวังเล็กน้อย

“ใช่สิ ซูหย่าต้องรู้แน่นอน ฉันจะไปถามเธอก่อน” เล่อจยาพูดจบ ก็หยิบมือถือขึ้นมา

เกาไห่หยิบมือถือออกจากมือเธอ “อย่าถามเลย ฉันจะรอคุณ รอคุณฟื้นความทรงจำขึ้นมาแล้ว หรือหลังจากฉันเข้าใจได้อย่างถ่องแท้ เราก็มาลองดู ก็ไม่รู้แล้วเหรอ? ”

พูดจบ เขาก็สูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วลุกขึ้น “โอเค ลุกขึ้นเถอะ ในบ้านยังมีแขก”

เล่อจยาขมวดคิ้ว “แขกเหรอ? ”

“ก็คือยัยเด็กคนนั้น! ”

เล่อจยาทำเสียง”อ๋อ” อารมณ์ในแววตาดูสับสนเล็กน้อย

เกาไห่มองออก จึงเดินไปข้างๆ เธอ “ไม่เต็มใจให้เธออยู่ที่นี่เหรอ? เช่นนั้นฉันจะพาเธอไปส่งที่โรงแรม…”

พูดจบ ก็ทำท่าทางจะเดินออกไปด้านนอก เล่อจยาคว้าตัวเขาไว้ ก็พบกับดวงตาเขาที่แดงก่ำ ก็รู้ได้ว่าเมื่อคืนเขาต้องนอนหลับได้ไม่ดีแน่ๆ คิดๆ แล้วก็รู้สึกว่าตนเองไร้เหตุผลเกินไป ผู้ชายคนนี้ ถ้าใจอยู่ที่ตนเองจริงๆ ใครมายื้อแย่งก็ไม่ไป ถ้าใจไปอยู่กับคนอื่น คนคนนั้นจะอยู่ที่ไหน ก็ไม่มีประโยชน์

นึกถึงตรงนี้ สีหน้าที่หม่นหมองของเธอก็สดใสขึ้น “เอาเถอะ ให้เธออยู่เถอะ อยากมากก็แค่คุณนอกใจ ฉันก็จะหาใหม่”

เธอแค่ล้อเล่น แต่สีหน้าของเกาไห่กลับน่ากลัวอย่างมาก ในสมองเขาปรากฏภาพเซียวอู๋ ไม่ เขาจะไม่ให้โอกาสชายคนนั้นเข้ามา

เขาโอบกอดเล่อจยาอย่างแน่นๆ

“คุณภรรยา ฉันรับปากว่าตลอดชีวิตจะไม่นอกใจ คุณก็ต้องรับปากว่าจะไม่ทิ้งฉัน”

เดิมทีเล่อจยาอยากจะหัวเราะ แต่เห็นท่าทางที่จริงจังของเขา ก็กระแอมเบาๆ “รู้แล้ว”

เมื่อทั้งสองคนออกมา คุณป้าก็ทำอาหารเช้าไว้เสร็จแล้ว

ไห่ยุ่นเห็นเล่อจยา ก็ยิ้มหวานแล้วเอ่ยทักทาย : “สวัสดีพี่สะใภ้”

รอยยิ้มนั้นทำให้เล่อจยามีชีวิตชีวาเล็กน้อย เธออดไม่ได้ที่จะเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย มองเกาไห่ สีหน้าเขาปกติ

“สวัสดี น้องสาว” เล่อจยาดึงเก้าอี้ทานอาหาร คิดถึงเรื่องเมื่อวาน ก็ทำอะไรไม่ถูกเล็กน้อย

ไห่ยุ่นเห็นการแสดงออกของเธอ ก็พูดว่า : “พี่สะใภ้ เมื่อวานคุณไปไหนเหรอ? ทำให้พี่ชายฉันต้องร้อนใจ”

เล่อจยามองผู้หญิงตรงหน้า เธอยิ้มสดใสแบบนั้น เป็นกันเองขนาดนั้น แต่เธอก็ไม่ได้รู้สึกชอบพอเลย

“เมื่อวาน…”

เมื่อวานพี่สะใภ้คุณไปเที่ยวบ้านเพื่อนของเธอน่ะ มือถือปิดเครื่อง ฉันเลยคิดว่าเธอหาทางกลับบ้านไม่ได้” เกาไห่ส่งเสียงตัดบทคำพูดของเล่อจยาพูดจบ ก็ตักซุปให้เล่อจยาถ้วยหนึ่ง “คุณภรรยา นี่ที่คุณชอบดื่ม ดื่มเยอะๆ หน่อยนะ”

เล่อจยาขมวดคิ้ว มองซุปหูฉลามในถ้วย บอกตามตรง เธอไม่ชอบทานอันนี้เลย แต่เพราะคำพูดนี้ของเกาไห่ ซุปถ้วยนี้ เธอก็ต้องดื่มมัน

เมื่อทานข้าวไปได้สักพัก จู่ๆ ไห่ยุ่นก็เอ่ยปากว่า “พี่ชาย ต่อไป ฉันต้องฝึกงานแผนกเดียวกับพี่สะใภ้ใช่ไหม? ”

เล่อจยาที่ดื่มซุปอยู่ตกใจเล็กน้อย แผนกเดียวกันกับเธอ?

“ใช่ พี่สะใภ้คุณอยู่ฝ่ายการออกแบบ มีพรสวรรค์มาก คุณสามารถฝึกฝนกับเธอได้” เกาไห่ยกย่องเล่อจยาโดยไม่ปิดบัง

“ช่วงทดลองงานของฉันยังไม่เต็มเลยนะ? คุณยังจะมาคุยโม้แทนฉันอีก” จุดนี้ เล่อจยา เงียบเฉยไม่ได้จริงๆ

“ช่วงทดลองงานภรรยาของฉันสามารถได้PKจากนักออกแบบอาวุโสที่ทำงานมากว่าเจ็ดแปดปีได้ หรือว่าไม่ใช่พรสวรรค์? ”

เขาเดี๋ยวก็เรียกภรรยา เดี๋ยวก็เรียกภรรยา เล่อจยายังหน้าแดงไม่ทันหาย ใบหูก็แดงขึ้นมาอีก อดไม่ได้ที่จะหันไปถลึงตาใส่เขา

ปฏิสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองทำให้แนวต้านทานที่ไห่ยุ่นสร้างมาตลอดคืน พังทลายลงโดยสิ้นเชิง สีหน้าของเธอก็ควบคุมไว้ไม่อยู่ จึงวางช้อนในมือลง ยิ้มกับคนทั้งสองเล็กน้อยแล้วกล่าวว่า: “พี่ พี่สะใภ้ พวกคุณทานไปก่อนนะ ฉันไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน”

เล่อจยาเห็นเธอต้องใช้แรงมากในการหมุนล้อรถเข็น ใจก็อ่อนลงในทันที ลุกขึ้นยืน “น้องสาว ต้องการให้ช่วยไหม? ”

สีหน้าของไห่ยุ่นแข็งทื่อเล็กน้อย ส่ายหน้า ยิ้มเล็กน้อย “ไม่ต้องหรอก ขอบคุณพี่สะใภ้ หลายปีมาแล้ว ฉันชินแล้วล่ะ”

มองภาพด้านหลังเธอจากไป ในใจของเล่อจยาก็พูดไม่ออกบอกไม่ถูกอย่างมาก คิดว่าตนเองจะประลองฝีมือกับผู้หญิงคนแบบนี้ มันดูแย่เกินไปจริงๆ เธอจึงตัดสินใจภายในใจว่า ต้องดูแลไห่ยุ่นให้มากหน่อย

เพียงแต่เล่อจยาไม่เข้าใจว่า บางครั้งการเห็นใจผู้พิการทางร่างกาย แต่กลับได้ผลที่ตรงกันข้าม

ต่างจากเล่อจยาที่เข้าเกากรุ๊ปมาอย่างไม่เป็นที่รู้จัก ไห่ยุ่นคือคนที่เกาไห่นำเข้ามายังแผนกออกแบบด้วยตัวเอง

ดังนั้น ถึงแม้จะเป็นแค่สถานะนักศึกษาฝึกงาน

แต่นั่นก็คือน้องสาวของท่านประธานเกา สถานะนี้ มีความหมายว่าอะไร ทุกคนต่างรับรู้ แล้วก็เข้าใจ

จนกระทั่ง ทุกคนประจบประแจง ทุกคนดูแลเอาใจใส่เป็นอย่างยิ่ง

แต่เพราะเกาไห่สั่งเอาไว้ว่า ห้ามนำเรื่องความสัมพันธ์ของเขากับเล่อจยาไปบอกคนอื่น ดังนั้น ที่เล่อจยาดูแลเอาใจใส่ไห่ยุ่นเป็นอย่างดี ก็มักถูกเข้าใจว่าประจบสอพลอ

เช่น: ตอนกลางวัน เกาไห่โทรเข้ามา ให้เธอและไห่ยุ่นขึ้นไปทานข้าว

เล่อจยาจึงหาข้ออ้าง บอกว่าจะเข็นไห่ยุ่นขึ้นไปให้

ตอนบ่าย ข่าวที่เล่อจยาขึ้นไปทานข้าวด้านบนก็ถูกเผยแพร่ว่ามาจากผลพวงของการขยันประจบสอพลอ

เช่น: เกาไห่ซื้อของทานเล่นให้เธอและไห่ยุ่น เพราะอยากเจอเล่อจยา จึงให้เธอเข้าไปหยิบ

ตอนบ่าย จากการที่เล่อจยาอาศัยชื่อของไห่ยุ่น คาดไม่ถึงว่าจะทานของว่างที่เจ้านายส่งมาให้จริงๆ ข่าวนี้จึงถูกกระจายออกไป

………

จนกระทั่ง ผ่านไปหลายวัน เล่อจยาก็กลายเป็นสุนัขรับใช้ของไห่ยุ่น ที่ใครๆ ก็ไม่ชอบ ที่ใครๆ ก็รังเกียจ!

เพราะไม่อยากให้เรื่องจุกจิกเหล่านี้มารบกวนเกาไห่ ดังนั้น เล่อจยาจึงไม่ได้บอกเรื่องเหล่านี้กับเกาไห่

และไห่ยุ่น ก็ไม่เอ่ยถึงเลยสักคำ

วันนี้ ที่ห้องน้ำชา

“ไห่ยุ่น ต่อไปคุณต้องให้เล่อจยาคนนั้นเข้าใกล้พี่ชายคุณให้น้อยหน่อยนะ เธออยากจะเป็นซินเดอเรลล่าอย่างนั้นเหรอ? ” ไม่รู้ว่าใครเอ่ยถึงหัวข้อนี้

จากนั้น ก็มีเสียงระเบิดอารมณ์ออกมาจากในห้องน้ำชาที่คับแคบ

พูดถึงเล่อจยาทุกสิ่งอย่าง

แต่พวกเขาไม่รู้เลยว่าตัวหลักของเรื่อง อยู่ข้างกำแพงอีกด้านหนึ่ง

“พวกคุณเข้าใจพี่จยาจยาผิดแล้ว อันที่จริง เธอไม่ได้คิดอะไรกับพี่ชายของฉันเลย เธอเป็นคนดีมากจริงๆ เห็นว่าฉันขาไม่ค่อยสะดวก ดังนั้นจึงดูแลฉันอย่างดีมาก” เสียงของไห่ยุ่น อ่อนโยนอย่างมาก

เล่อจยาได้ยิน ก็ยิ้มมุมปาก มิน่าล่ะเกาไห่ถึงได้ดูแลน้องสาวคนนี้ดีขนาดนี้ นิสัยดีมากจริงๆ

จึงหันตัวออก แล้วกลับไปยังห้องทำงาน ดังนั้น เธอจึงไม่ได้ยินข้อความต่อไปที่สำคัญ

“ตรวจสอบกล้องวงจรปิดแล้ว เธอมาลงรถที่นี่ แต่ส่งคนออกไปดู ตามค้นหาโรงแรมและที่พักที่นี่หมดแล้ว ก็ไม่เจอเธอเลย” เกาไห่พูดจบ ก็ต่อยต้นไม้ข้างๆ อย่างแรง

“พี่ พี่สะใภ้มีศิลปะการป้องกันตัว ปลอดภัยไม่น่าจะมีปัญหา อาจจะมีที่ที่ยังหาไม่เจอก็ได้? ” เย่หลินพูดโน้มน้าว

ซูหย่าได้ยิน ก็หัวเราะเยาะออกมา : “โรงแรม? ที่พัก? เกาไห่ คุณกำลังหลอกตัวเองอยู่เหรอ? เธอมีเงินติดตัวไม่ถึงสิบหยวน จะพักโรงแรมที่ไหนได้ ฉันคิดว่าคุณส่งคนไปดูตามใต้สะพาน บางทีอาจมีโอกาสเป็นไปได้สูงกว่า”

ซูหย่าพูดจบก็จ้องมองเกาไห่ ตอนนี้เธอไม่พอใจเกาไห่อย่างมาก ดังนั้นคำพูดที่พูดออกมา จึงฟังดูประชดประชันเล็กน้อย อันที่จริงก็โกรธตัวเองด้วย เรื่องนี้เกาไห่ไม่รู้ แม้ว่าจะไม่สมควร แต่เธอก็ไม่รู้สถานการณ์ของเล่อจยาเลย แต่ตัวเธอเองคิดว่าเกาไห่ดูแลได้ดีแล้ว เมื่อกี้ที่เธอก้าวก่ายไป คิดๆ แล้วก็อยากตำหนิตนเอง

เย่หลินมองซูหย่า แล้วพยักๆ หน้ากับเธอ หันไปมองเกาไห่ “พี่ ที่คุณซูพูด มันเกิดขึ้นได้อย่างไร? พี่สะใภ้ไม่มีเงินติดตัวเลยเหรอ? ”

เกาไห่พยักหน้า ในสายตาก็เผยความละอายใจออกมา “ต้องโทษฉันเอง ฉันมันสะเพร่า”

“เธอไม่มีเงินติดตัว ในAlipayวีแชตก็ไม่มีเหรอ? ”

“เงินของเธอก่อนหน้านี้ ก็เอาไปรักษาพ่อที่ป่วย เดิมทีที่บอกว่าบ้านถูกรื้อถอน สรุปคือเงินชดเชยค่ารื้อถอนถูกพ่อแอบเอาไปให้น้องชายของเธอที่มาหลอกว่าจะเอาไปใช้หนี้จนหมด ก่อนความจำเสื่อมเธอบอกกับฉันว่า จะรอเงินเดือนจากเกากรุ๊ป ทั้งตัวเธอเลยมีเงินสิบกว่าหยวน หลายปีมานี้ เธอใช้ชีวิตอย่างไร พวกคุณไม่จินตนาการได้แล้วกัน…” พูดถึงตรงนี้ ซูหย่าก็เช็ดน้ำตา แล้วสะอื้นไห้

ตอนนี้ ทุกคนต่างไม่พูดไม่จา

ในใจก็เป็นทุกข์เล็กน้อย…

จู่ๆ มือถือเกาไห่ก็ดังขึ้น ในค่ำคืนที่เงียบสงัด เสียงริงโทนก็ดังอย่างมาก กดรับสาย “ฮัลโหล อืม……เจอแล้วเหรอ? โอเค ส่งพิกัดมา ฉันจะไปเดี๋ยวนี้เลย”

สองสามนาทีต่อมา…

“คนล่ะ? ”

“อยู่หน้าตู้เอทีเอ็ม นอนหลับอยู่” คนที่ตามหาพูดจบ ก็ก้มหน้า

ซูหย่าได้ยิน ก็ปิดปากแล้วสะอื้นไห้

เย่หลินขอบตาแดงเล็กน้อย แล้วเข้าไปในอ้อมกอดหนิงเส่าเฉิน

เกาไห่รู้สึกว่าในใจเหมือนมีอะไรฉีกขาด เจ็บปวดจนเขายากที่จะหายใจ

ระยะทางที่ใกล้ขนาดนั้น แต่เขารู้สึกเหมือนมีตะกั่วฝังอยู่ใต้ฝ่าเท้า ทำให้เคลื่อนไหวลำบาก

เล่อจยานั่งอยู่บนพื้น สองมือกอดเข่า เห็นใบหน้าด้านข้างเล็กน้อย ภายใต้แสงไฟ เห็นได้ชัดว่าตาของเธอบวมแดง

เกาไห่นั่งยองๆ ลงตรงหน้าเธอ มือใหญ่ลูบๆ แก้มของเธอ ปลายนิ้วรู้สึกได้ถึงความเปียกชื้น เขาจึงรู้สึกตกใจ ที่แท้เธอก็ร้องไห้จนหลับไป

ปลายนิ้วมือของเขาอดไม่ได้ที่จะสั่นเทาเล็กน้อย ลูกกระเดือกกลิ้งขึ้นลงอย่างรวดเร็ว เขาพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือว่า : “เล่อจยา…”

เล่อจยาสูดลมหายใจเข้า ขมวดคิ้ว ทว่าไม่ได้ตื่นขึ้นมา

“เล่อจยา เรากลับบ้านกันเถอะ” เกาไห่พูดจบก็ก้มลงไปโอบเล่อจยาให้ลุกขึ้น

“กิ๊ง…” เสียงเหรียญสองสามเหรียญกลิ้งลงบนพื้น ส่งเสียงดังบาดใจอย่างมาก

ทางด้านนี้ ที่บ้านเกา

ไห่ยุ่นนอนพิงอยู่บนโซฟา มือทั้งสองหนุนอยู่ข้างหู นอนหลับไม่สงบ

ได้ยินเสียงเปิดประตู เธอก็แทบจะลุกพรวดขึ้นมานั่งตัวตรง ภายใต้แสงไฟที่สลัว เธอเห็นเกาไห่อุ้มผู้หญิงคนหนึ่งเข้ามาจากด้านนอก

การอุ้มที่เหมือนกัน แต่ไห่ยุ่นเห็นได้ชัดเจนว่าความรู้สึกไม่เหมือนกัน

“พี่” เธอส่งเสียงเรียก

สีหน้าของเกาไห่ไม่ดีอย่างมาก เมื่อเดินมาถึงตรงหน้าเธอ ก็หยุดลงเล็กน้อย “นอนได้แล้ว! ”

พูดจบ ก็อุ้มเล่อจยาเข้าห้องไป พร้อมกับประตูห้องที่ปิดลง ไห่ยุ่นก็รู้สึกว่าประตูหัวใจของเธอนั้นก็เหมือนกับปิดลงไปด้วย

ผู้หญิงคนหนึ่งที่ธรรมดาแบบนั้น จะแต่งกับอาไห่พี่ชายของเธอได้อย่างไร?

เมื่อเล่อจยาตื่น ก็พบว่าดวงตาทั้งคู่แดงก่ำ

เธอคิดว่าตนเองกำลังฝันอยู่ ยื่นมือไปคลำใบหน้าที่คุ้นเคยนั้น แต่ถูกมือใหญ่ๆ ทั้งคู่คว้าเอาไว้ในกำมือ อุณหภูมิของฝ่ามือ ดึงให้ความรู้สึกของเล่อจยากลับมา แล้วก็ความทรงจำก่อนที่จะหลับไปด้วย

อุณหภูมิในสายตาของเธอ ลดลงอย่างรวดเร็ว เยือกเย็น…….

เธออยากจะดึงมือกลับมา แต่ถูกเกาไห่ดึงเข้ามาไว้ในอ้อมกอด น้ำเสียงที่แหบพร่าดังขึ้นข้างๆ หูของเธอ: “เด็กโง่ นั่นคือลูกสาวของคุณลุง ขาทั้งคู่ของเธอพิการ พอดีอยากเข้ามาฝึกงานที่เกากรุ๊ป ตอนเธอมา นั่งรถมานาน จึงไปพักผ่อนที่ห้องของฉันเล็กน้อย ดังนั้น ที่คุณเห็น ฉันก็แค่อุ้มเธอไปทานข้าวที่โต๊ะอาหารเท่านั้น ในสายตาของฉัน เธอก็เป็นแค่เด็กคนหนึ่ง”

เล่อจยาเงยหน้า มองเกาไห่ ในดวงตามีน้ำตาเล็กน้อย “คุณไม่ได้โกหกฉันใช่ไหม? ”

เกาไห่พยักหน้า หลังจากนั้นก็เอนหลังไป หยิบกระเป๋าบัตรใบหนึ่งออกมาจากชั้นวางหัวเตียง ดึงบัตรใบหนึ่งออกมา ส่งให้เล่อจยา “คุณภรรยา นี่คือทรัพย์สินทั้งหมดในครอบครัว ฉันมอบให้คุณ”

เล่อจยาขมวดคิ้ว “ทรัพย์สินทั้งหมดในครอบครัว? ”

“เพราะหุ้นส่วนของบริษัท คือสามีของเย่หลินช่วยเอากลับมา ดังนั้นสองปีมานี้ ผลกำไรของบริษัทต้องคืนให้เขาไปก่อน บัตรใบนี้ คือส่วนที่ฉันสามารถใช้ได้ในขณะนี้……”

เล่อจยารู้ว่า เกาไห่ต้องรู้แน่นอนว่าเธอไม่มีเงิน ทันทีก็รู้สึกละอายใจเล็กน้อย รู้สึกว่าก่อนหน้านี้ตนเองน่าจะถามเรื่องราวให้ชัดเจน แล้วค่อยตัดสินใจว่าจะโมโหไหม

แล้วก็ประหลาดใจว่าหุ้นส่วนบริษัทของเกาไห่คาดไม่ถึงว่าจะเป็นหนิงเส่าเฉินที่ช่วยเขา

ผลักมือของเขาออก “ฉันไม่ต้องการ อีกสิบกว่าวัน ก็เงินเดือนออกแล้ว…..”

เอาไปเถอะ นี่คือบัตรรอง บัตรหลักอยู่ที่ฉัน เงินนี้ ถึงแม้ว่าจะไม่มาก แต่ก็เพียงพอสำหรับรายจ่ายประจำวันของเราได้……”

คำพูดของเขา ทำให้เล่อจยาจะร้องไห้ เธอเคยคิดว่าตนเองรักเกาไห่มาก แต่เวลานี้เธอจึงรู้สึกว่าตนเองเห็นแก่ตัวอย่างมากจริงๆ

เธอคิดมาโดยตลอดว่า เกากรุ๊ปก็คือตระกูลเกา เป็นของเกาไห่ ไม่เคยคิดเลยว่า หลายปีมานี้เกิดอะไรขึ้นหรือเปล่า?

เขาไม่พูด เธอก็ไม่ถาม เวลานี้เธอจึงเข้าใจว่า กับผู้ชายคนนี้ที่เรียกว่าสามี อันที่จริงแล้ว เธอแทบจะไม่รู้จักเลย

“สามี เดิมทีฉันไม่เคยรู้เลยว่าคุณลำบากมากขนาดนี้ อย่างนั้น พวกเราเปลี่ยนห้องให้เล็กลงหน่อย แม่บ้านก็ไม่ต้องมี ดีไหม? ฉันไม่ถือสาหรอก ขอแค่อยู่ด้วยกันกับคุณ อยู่ที่ไหนก็ได้ทั้งนั้น เสื้อผ้า งานบ้านฉันทำเองได้ แบบนี้ คุณก็จะได้กดดันน้อยลง โอเคไหม? ”

เกาไห่โอบเธอมาไว้ในอ้อมกอด “เด็กโง่ ฉันบอกคุณเรื่องเหล่านี้ ก็เพราะไม่อยากปิดบังอะไรคุณอีก เมื่อวานที่ฉันไปรับยัยเด็กนั่น ฉันก็ให้เสี่ยวตงบอกกับคุณแล้ว แต่เขาลืม เวลานั้นมือถือก็แบตเตอรี่หมด ไม่นึกเลยว่าจะทำให้คุณเข้าใจผิด” นำบัตรใบนั้นยัดใส่มือของเธออีกครั้ง “ขอโทษนะ ที่ทำให้คุณรู้สึกน้อยใจ! ต่อไป ฉันจะเอาใจใส่ บัตรใบนี้คุณเอาไปนะ อยากซื้ออะไร ก็ซื้อเลย แค่เลี้ยงคุณ ฉันมีความสามารถเพียงพอ….”

พูดจบ เกาไห่ก็เอ่ยปากอีกว่า: “ต่อไปคุณมีเรื่องอะไร คุณก็ต้องบอกฉันนะ เราเป็นสามีภรรยากัน ต้องร่วมทุกข์ร่วมสุขด้วยกัน ภรรยาของตนเอง นอนอยู่บนถนนไม่มีเงินติดตัวสักหยวน คุณภรรยา ช่วงเวลานั้น ฉันรู้สึกว่าตนเองไม่ได้เรื่อง ไม่สามารถดูแลคุณให้ดีได้”

เล่อจยาจะร้องไห้ ทุบเบาๆ ที่หน้าอกของเขา “พูดไร้สาระ นั่นคือฉันทำตัวเอง ถ้าเวลานั้นฉันเปิดประตูไปถามให้รู้เรื่อง ก็คงไม่เกิดเรื่องนี้หรอก” พูดถึงตรงนี้ เล่อจยาก็ก้มหน้า เหมือนกับเด็กน้อยที่ทำผิด บิดนิ้วมือไปพลาง

“อย่างนั้น พวกเราก็สายเกินแก้แล้วใช่ไหม? คุณรู้สึกไม่ปลอดภัยกับฉันขนาดนี้” จู่ๆ ชายหนุ่มก็กระซิบข้างหูเล่อจยา

ไห่ยุ่นคนนี้ เป็นลูกสาวของพี่ชายของแม่เกาไห่ ก็คือลูกสาวของลุงเกาไห่ อ่อนกว่าเกาไห่ 6 ปี รูปร่างหน้าตาคล้ายกับเกาเหวินอย่างมาก เพียงแต่ตอนอายุ 10 กว่าขวบ เกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์ ขาก็เลยสูญเสียความรู้สึกไป

อย่างไรก็ตาม ความพิการที่ขาไม่ได้ทำให้เธอต้องดูถูกตนเอง แต่กลับมีความขยันหมั่นเพียรอย่างมาก หลายปีมานี้ ไม่เพียงแต่เรียนได้เกรดที่ดี แต่ยังเรียนเปียโนด้วยตนเอง ได้รับรางวัลมากมายทั้งในและต่างประเทศ

เก่าไห่จึงชื่นชมน้องสาวคนนี้มาก แล้วก็รักเอ็นดูอย่างมาก

“ใช่ พี่สะใภ้คุณ”

“แต่พ่อฉันไม่เคยบอกกับฉันเลยนะว่าคุณแต่งงาน? ” น้ำเสียงไห่ยุ่นดูร้อนรนเล็กน้อย

เกาไห่พยักหน้า “เพราะด้วยสถานการณ์พิเศษบางอย่าง ผู้หญิงคนนั้นอาจจะยังไม่แน่ใจว่าต้องการพี่ชายของคุณจริงๆ หรือเปล่า ฉะนั้นอยากรอให้เธอแน่ใจ แล้วค่อยแจ้งให้ทุกคนทราบ” ถึงแม้จะไม่ค่อยพอใจกับเรื่องของเกาเหวินมากนัก แต่ตั้งแต่เล็กจนโตแม่เกาก็ปฏิบัติต่อเกาไห่อย่างดีมากๆ มาตลอด ดังนั้น เกาไห่จึงเป็นห่วงเป็นใยแม่เลี้ยงกับครอบครัวของเธออย่างมาก

“พี่ดีขนาดนี้ ยังมีผู้หญิงคนไหนที่จะรังเกียจคุณ? ” น้ำเสียงของไห่ยุ่นเบามาก แต่อยู่ในห้องที่เงียบสงบ เกาไห่ยังคงได้ยิน

เกาไห่มองเธอแล้วหัวเราะ “คุณยังเด็ก ไม่เข้าใจหรอก รอคุณโตแล้ว คุณก็จะเข้าใจเอง คนกับความรักมันไม่เกี่ยวข้องกัน”

พูดจบ ก็เก็บเอกสารในมือ “ไปเถอะ เรากลับบ้านกัน” พูดจบก็มองหามือถือ เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าโทรศัพท์กำลังชาร์จอยู่ จึงหยิบขึ้นมาเปิดดู เป็นข้อความของเล่อจยา เขาขมวดคิ้ว หรือว่าเสี่ยวตงไม่ได้บอกเล่อจยา ว่าวันนี้เขาไปรับไห่ยุ่น? ไม่สามารถไปทานข้าวด้วยกันกับเธอได้ ทำให้เธอกลับไปก่อน?

เมื่อโทรไปหาเล่อจยา ก็เห็นได้ชัดว่าปิดเครื่อง

คิดแล้วก็หยิบเสื้อโค้ตจากเก้าอี้ขึ้นมา จากนั้นก็เดินไปเข็นไห่ยุ่น

“พี่ นั่นเหมือนมีเอกสารอยู่บนพื้นนะ”

เกาไห่ก็เห็น เขาก้มลงหยิบกระเป๋าหนังวัวขึ้นมา เปิดออก เป็นภาพวาดการออกแบบของเล่อจยา

ในฉับพลัน ก็มีลางสังหรณ์ในใจไม่ค่อยดี เล่อจยามาแล้ว แต่เธอทิ้งเอกสารไว้แล้วก็ออกไป ด้วยนิสัยเธอแล้ว เธอไม่สามารถเป็นเช่นนี้ นอกจาก……หางตาก็เหลือบไปมองไห่ยุ่นบนรถเข็น ลูกกระเดือกก็กลิ้งขึ้นลงอยู่หลายครั้ง

เขาโทรหาเสี่ยวตง

“ฮัลโหล เสี่ยวตง วันนี้ให้คุณไปบอกเล่อจยาว่าฉันไปรับไห่ยุ่น คุณบอกแล้วใช่ไหม? อะไรนะ……คุณ……สมองคุณอยู่ไหนห้ะ? ” เกาไห่วางสายด้วยความโกรธสุดขีด

“พี่ เป็นอะไรไป? เกิดอะไรขึ้น? ”

เกาไห่ฝืนยิ้มให้ไห่ยุ่น “ไม่มีอะไร เรากลับบ้านกันเถอะ” ในใจก็หวังว่า เล่อจยาจะกลับถึงบ้านแล้ว

จนกระทั่ง ระหว่างทางกลับบ้าน ความเร็วในการขับรถของเกาไห่ก็ใช้เวลาไปไม่กี่นาที เมื่อเห็นรองเท้าแตะของเล่อจยาบนชั้นวางรองเท้า หัวใจของเขาก็หม่นหมองลงทันที

“ไห่ยุ่น คุณป้าอยู่ที่บ้าน คุณมีอะไรที่ต้องการ คุณก็ให้คุณป้าช่วยคุณนะ พี่จะออกไปก่อน” เกาไห่พูดจบ ก็เรียกคุณป้ามาสั่งการ ไม่ได้พูดคุยกับไห่ยุ่น เขาวิ่งตรงไปยังลิฟต์อย่างรวดเร็ว

เดินไปพลาง ติดต่อซูหย่าไปด้วย

“ซูหย่า เล่อจยาโทรหาคุณไหม……อืม……อ๋อ แค่นี้นะ? ”

“เล่อจยาไม่อยู่บ้านเหรอ? จะสี่ทุ่มแล้วนะ”

เกาไห่มีขีดจำกัดอย่างมากที่จะเข้าใจเล่อจยา ดังนั้น เวลานี้ เขาจึงคิดว่าซูหย่าต้องช่วยได้แน่นอน ทำได้เพียงเล่าเรื่องที่เล่อจยาไปห้องทำงานเขาและเข้าใจผิดเรื่องของเขากับไห่ยุ่นให้ซูหย่าฟัง

เมื่อซูหย่าเข้ามา ยังสวมชุดนอนอยู่ เกาไห่มองแล้วก็ขมวดคิ้ว แต่ในใจก็เบาใจลงมาก ที่เล่อจยามีเพื่อนแบบเธอคนนี้

“ตกลงมันเกิดอะไรขึ้น? ผู้หญิงคนนั้นเป็นใคร? พวกคุณทำอะไร? ทำให้เล่อจยาเห็นอะไร? ”

“ไม่ใช่ผู้หญิงคนนั้น นั่นคือลูกสาวของคุณลุง เป็นเด็กคนหนึ่ง ขาของเธอไม่ดี เมื่อตอนมา เธอบอกว่าเหนื่อยนิดหน่อย จึงไปพักผ่อนที่ห้องในห้องทำงานของฉัน ต่อมา เธอตื่นขึ้นมา ฉันจึงอุ้มเธอออกมาทานข้าว ฉันไม่รู้ว่าเล่อจยาเห็นฉากนี้หรือเปล่า” ในระหว่างนี้ เขาพยายามกลับไปคิดถึงรายละเอียดปลีกย่อยในเวลานั้น ถ้าสามารถทำให้เล่อจยาเข้าใจผิดได้ก็น่าจะเป็นฉากนี้

“คุณอุ้มเธอออกมาจากห้อง? คุณ….คุณ…..” ด้วยความตื่นเต้นซูหย่าจึงพูดจาติดอ่างขึ้นมา

“คุณ…คุณก็สมควรที่จะถูกเล่อจยาเข้าใจผิด เธออยู่ต่อหน้าคุณ เดิมทีก็น้อยเนื้อต่ำใจในตัวเองอยู่แล้ว หลังจากนั้นก็ความจำเสื่อม ก็ไม่ค่อยเชื่อใจคุณอยู่แล้ว เวลานี้ยังมาเห็นคุณโอบกอดอยู่กับผู้หญิงคนอื่นอีก เธอไม่เข้าใจผิดก็พิลึกไปหน่อยไหม? ”

“ผู้หญิงคนอื่นอะไรกัน นั่นคือเด็กคนหนึ่งนะ” เกาไห่เน้นอีกครั้ง

“เด็กอย่างนั้นเหรอ? เอาล่ะ ตอนนี้ฉันจะไม่เถียงเรื่องเหล่านี้กับคุณแล้ว คุณว่ามาเถอะ พวกเราจะไปหาเธอที่ไหน? ”

“ปกติเธอมีสถานที่ไหนที่ชอบไปไหม? อย่างเช่นไม่สบายใจก็ไปสถานที่นั้น”

ซูหย่าคิดๆ “ก็มีนะ มีอยู่สองสามที่ แต่ว่า เธอความจำเสื่อม สถานที่เหล่านั้น เธอก็ไม่น่าจะจำได้หรอก เพียงแต่ เล่อจยามีงานอดิเรก เมื่อเธอไม่สบายใจ ก็จะนั่งรถสาธารณะไปมั่วๆ นั่งจากจุดนี้ไปถึงจุดนั้น…..”

จู่ๆ ซูหย่าก็นึกถึงอะไรได้ หันหน้ากลับ มองเกาไห่อย่างเคร่งขรึม “ใช่แล้ว ยังมีอีกเรื่องหนึ่ง คุณได้ให้เงินเล่อจยาบ้างไหม? ”

เกาไห่ไม่เข้าใจ หรี่ตามอง “หมายความว่าอะไร? ”

“ฉันหมายความว่า หลายวันมานี้หลังจากที่คุณพาเธอกลับไป คุณได้ให้เงินติดกระเป๋าเธอไว้บ้างไหม? ”

เห็นปฏิกิริยาการตอบสนองของเกาไห่ ซูหย่าก็รู้ว่าไม่ได้ให้อย่างแน่นอน ทันที เธอก็โมโหจนเดินวนอยู่กับที่ สุดท้าย เธอก็มองเกาไห่ แล้วพูดออกมาว่า: “คุณรู้ไหม? เธอไม่มีเงินเก็บเลย เงินของเธอเอาไปรักษาพ่อจนหมด เงินเดือนจากบริษัทของพวกคุณก็ยังไม่ออก ฉันสงสัยว่า ตอนนี้ที่ตัวของเธอมีรวมๆแล้ว คงจะไม่ถึงสิบหยวน เพราะก่อนหน้าที่จะเกิดเรื่อง เล่อจยาบ่นกับเธอว่าทั้งตัวมีเงินรวมแล้วไม่กี่สิบหยวน ถ้าเงินเดือนยังไม่ออกอีกก็จะต้องอดตายแล้ว”

พูดถึงตรงนี้ ซูหย่าก็สับสันในทันที นั่งยองๆ ลงกับพื้น มือทั้งสองกอดเข่าร้องไห้โฮ “คุณบอกว่าจะปฏิบัติกับเธออย่างดี นี่คือการปฏิบัติกับเธออย่างดีเหรอ? ”

เกาไห่หัวใจเต้นอย่างรุนแรง เขาเอ่ยปากบอกว่าจะปฏิบัติต่อผู้หญิงคนนี้อย่างดี แต่ว่า แม้แต่ปัจจัยพื้นฐานเขาก็ไม่สามารถเติมเต็มเธอได้

ภรรยาของเขาเกาไห่ คาดไม่ถึงว่าจะไม่มีเงินติดตัวสักหยวนเดียว คิดถึงตรงนี้แล้ว ก็กำมือทั้งคู่แน่น ทันทีเล็บที่แหลมคมก็แทงทะลุผ่านผิวหนังของฝ่ามือ

เมื่อเย่หลินได้รับสายของเกาไห่ เธอและหนิงเส่าเฉินกำลังเตรียมจะนอน

“อะไรนะ? พี่สะใภ้หายไป? อ้อ….โอเค คุณอย่าเพิ่งร้อนใจไป พวกเราจะเข้าไปเดี๋ยวนี้ ไม่เป็นไร ยังไม่นอน” พอวางสาย เย่หลินก็ลุกขึ้นนั่ง ผลักมือใหญ่ๆ ของชายหนุ่มที่โอบเอวเธออยู่ “หนิงเส่าเฉิน พี่สะใภ้ฉันหายไป”

“พี่สะใภ้คุณได้เทควันโดสายดำ ปลอดภัยน่าจะไม่มีปัญหา ดังนั้น คุณไม่ต้องร้อนใจไปหรอก” หนิงเส่าเฉินขับรถไปพลาง เห็นเย่หลินที่นั่งอย่างไม่สงบสุข จึงกล่าวปลอบใจไปด้วย

เย่หลินพยักหน้า ไม่พูดจา

สถานที่ที่เกาไห่บอกกับพวกเขาค่อนข้างอยู่ห่างไกลจากตัวเมือง คนทั้งสองขับรถมาถึง ก็ผ่านไปหนึ่งชั่วโมงแล้ว เวลานี้ก็เป็นเวลาตี1แล้ว

“พี่ เป็นอย่างไรบ้าง? ”

“ไม่ต้องขอร้องหรอก คุณแค่บอกมาก็พอ” เล่อจยาพูดจบ ก็หันกลับไปมองเขา

“ไม่ว่าในอนาคต หลังจากที่คุณฟื้นความทรงจำแล้ว คุณจะจำอะไรได้ คุณจะตีฉันจะด่าฉันจะโกรธฉันได้หมดทุกอย่าง แต่อย่าจากฉันไปได้ไหม? ”

เล่อจยาขมวดคิ้ว “คุณพูดอย่างนี้ ทำไมฉันรู้สึกว่าก่อนหน้านี้คุณทำเรื่องอะไรที่ผิดต่อฉันมาก่อนใช่ไหม? พอดีฉันความจำเสื่อม เลยลืมใช่ไหม? ” ชั่วขณะเธอก็ตาโต “หรือว่าคุณเคยนอกใจ? ”

เกาไห่หยิกแก้มเธอเบาๆ “คุณไม่คิดว่าฉันจะดีกว่านี้หน่อยเหรอ? ”

“ไม่ได้นอกใจ? ถ้าไม่ได้นอกใจ ปัญหาอื่น ก็น่าจะเป็นปัญหาเล็กน้อยแล้ว”

เห็นเธอยิ้มอย่างไม่คิดอะไรมาก ชั่วขณะเกาไห่ก็พูดไม่ออก จริงๆ ก็ไม่รู้ว่านิสัยอย่างนี้ของเธอดีหรือไม่ดี?

แต่มีสิ่งที่ยืนยันได้ เล่อจยาของเขา ไม่เพียงแต่เขาชื่นชมอยู่คนเดียว คนอื่นๆ ก็อยากจะได้ด้วย นึกถึงตรงนี้ เขากลัวว่าวันหนึ่งเธอฟื้นความทรงจำขึ้นมา ก็จะจากเขาไป

“ภาพวาดการออกแบบเตรียมส่งไปให้ตรวจสอบแล้ว สองสามวันนี้ทางด้านคุณนั้นอาจจะต้องทำงานหนักหน่อย” เมื่อถึงชั้นล่างของบริษัท เกาไห่ก็บอกกับเล่อจยา

“อืม ช่วงบ่ายฉันจะตรวจสอบรายละเอียดอีกครั้งหนึ่ง ถ้าไม่มีปัญหา ก่อนเลิกงานจะส่งให้คุณ”

เกาไห่พยักหน้า “โอเค”

ถึงบริษัทแล้ว เล่อจยาก็ได้ทำการปรับปรุงแก้ไขภาพวาดการออกแบบก่อนหน้า เธอใช้สมองอย่างหนัก พยายามทำให้ดีที่สุด นี่เป็นผลงานชิ้นแรกของเธอ ถึงแม้เธอจะไม่ได้อยากอาศัยสิ่งนี้เพื่อมีชื่อเสียง แต่เธอก็ไม่อยากทำให้เกาไห่ผิดหวัง

งานยุ่งจนเวลาผ่านไปเร็วมาก หลังจากเล่อจยาแก้ไขปรับปรุงเสร็จ ก็เห็นว่าคนในสำนักงานหายไปตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้

“เกาไห่ ฉันมีธุระนิดหน่อย ตอนเย็นไม่ได้ไปทานข้าวกับคุณ” เธอส่งข้อความถึงเกาไห่ หลังจากพูดประโยคสุดท้ายว่าไว้ค่อยไปทานกันใหม่ ข้อความก็ไม่ได้ตอบกลับอีกเลย เธองานยุ่งมากก็เลยไม่ได้สนใจ

“จยาจยา ทำไมวันนี้ยังไม่กลับอีก? ” ผู้จัดการเป็นคนบ้างาน โดยปกติทุกๆ ครั้งจะออกจากสำนักงานเป็นคนสุดท้าย วันนี้เห็นเล่อจยายังอยู่ จึงแปลกใจเล็กน้อย

เล่อจยาเคารพเธออย่างมาก ลุกขึ้นยืน “อยากจะเร่งทำภาพวาดการออกแบบอันนั้นสักหน่อย อีกสักครู่ทำเสร็จก็จะไปแล้ว”

แล้วนั่งลงมา หลังจากตรวจสอบภาพวาดการออกแบบอย่างละเอียด เวลาก็สองทุ่มกว่าแล้ว

มองดูมือถือ เกาไห่ก็ยังคงไม่ได้ตอบข้อความกลับ

คิดๆ แล้วก็ลุกขึ้นยืน หยิบกระเป๋าและซองเอกสารที่ใส่ภาพวาดการออกแบบไว้ แล้วตรงไปที่ลิฟต์

เพราะช่วงนี้ไปห้องประธานเป็นประจำ ฉะนั้น เล่อจยาเลยไม่ได้เคาะประตู

เธออยากเซอร์ไพรส์เกาไห่ ฉะนั้นจึงเปิดประตูอย่างเบามากๆ เพียงแต่ภาพที่ปรากฏอยู่ในสายตาทำให้เลือดของเล่อจยาไหลจากด้านล่างทะลักขึ้นด้านบน

ในภาพนั้น เกาไห่อุ้มผู้หญิงคนหนึ่งออกมาจากห้องนอนด้านใน แขนเรียวเล็กของหญิงสาวคนนั้นโอบรอบคอของเขา ทั้งสองคนไม่รู้ว่าพูดอะไรกัน ศีรษะของหญิงคนนั้นก็มุดอยู่ในอ้อมแขนของเกาไห่ แล้วหัวเราะคิกคักออกมา

เล่อจยาปล่อยมือจากที่จับประตู แล้วถอยออกมาเบาๆ บังเอิญว่าตนเองสะดุดล้มลงกับพื้น เธอเอาแต่บอกกับตนเองว่า บางทีอาจจะเพียงแค่เข้าใจผิด เพียงแค่เข้าใจผิดเท่านั้น……

แต่ผู้ชายที่เธอเรียกว่าสามีนี้อุ้มผู้หญิงอื่นอยู่ ไม่ว่าจะด้วยสาเหตุอะไร เธอก็รับไม่ได้

เธอค้ำพยุงพื้นที่เย็นยะเยือก ค่อยลุกขึ้นมา ยืนอยู่ตรงประตูด้านนอกนั้น ชั่วขณะเธอก็อยากเข้าไปจู่โจมพวกเขา เธออยากเข้าไปถามเกาไห่ว่า ผู้หญิงคนนั้นเป็นใคร? ออกมาจากห้องนอนเขาได้อย่างไร ทำไมเขาต้องอุ้มเธออย่างนั้นด้วย?

แต่ในท้ายที่สุด เธอก็ขี้ขลาด เธอได้แค่ก้มลงและยัดภาพวาดการออกแบบเข้าไปในห้องทำงานจากใต้ประตู

แล้วก็หันกลับวิ่งเข้าลิฟต์ไป

เธอไม่ได้กลับบ้าน เธอยืนอยู่บนถนนที่คนผ่านไปผ่านมา ทันใด ในสมองก็ว่างเปล่า

เธอไม่รู้ว่าตกลงจะทำอะไร? เธอคิดมาตลอดว่ากล้ารักก็กล้าเกลียดได้ แต่ว่า วันนี้เธอไม่กล้าถามเกาเหวินว่าผู้หญิงคนนั้นคือใคร?

มองเพียงด้านข้างก็สวยจนทำให้คนหยุดหายใจได้ รูปร่างหน้าตานั้น ถึงจะถูกเกาไห่โอบกอด ก็สามารถมองออกว่า เป็นสาวสวยที่มีเสน่ห์อย่างแน่นอน

แล้วเธอล่ะ มีความสำคัญอะไร?

เธอไม่รู้ว่า ทำไมเกาไห่ถึงมาแต่งงานกับตนเอง ในสมองของเธอว่างเปล่าเกี่ยวกับอดีตของคนทั้งสอง

เธอนั่งอยู่ที่ป้ายรถสาธารณะ พร้อมกับฝูงชนที่ขึ้นรถสาธารณะ แล้วก็ลงรถสาธารณะ ต่อจากนั้น ก็ขึ้นๆ ลงๆ …..

เห็นสิ่งปลูกสร้างที่ไม่คุ้นเคยตรงหน้า เล่อจยาจึงรู้สึกตกใจ ว่าตนเองมาถึงสถานที่หนึ่งที่ไม่รู้จักแล้ว

สิ่งปลูกสร้างนี้ล้วนเป็นศิลปะอย่างมาก แต่ละอาคารล้วนมีลักษณะพิเศษ ในความทรงจำของเธอ ไม่มีสถานที่แห่งนี้

“คุณผู้หญิง พักโรงแรมไหม? ” หญิงสูงอายุที่อยู่ข้างถนน กล่าวถามเธอด้วยอัธยาศัยที่ดี

เธอคลำๆ กระเป๋าที่ว่างเปล่าด้วยจิตสำนึก…..แล้วก็ส่ายหน้า

เธอไม่มีเงิน ไม่ใช่แค่ไม่มีเงินเวลานี้ แต่แรกเริ่มเดิมทีก็ไม่มีเงินอยู่แล้ว เรื่องนี้ พูดออกมา ใครก็ไม่เชื่อ ตั้งแต่วันนั้นที่ความทรงจำเธอกลับมา เธอก็รู้ตัวว่า เธอไม่มีเงิน นอกจากเหรียญในกระเป๋าที่นั่งรถสาธารณะได้ไม่กี่ครั้งแล้ว เธอก็ไม่มีเงินเลย

เพียงแต่ว่า เพราะรู้สึกว่ากินอยู่กับเกาไห่ทุกวัน ดังนั้น เธอจึงไม่เคยคิดถึงเรื่องความต้องการเงินนี้ ก็เลยไม่เคยพูดกับเกาไห่ แล้วก็ไม่เคยพูดกับซูหย่า

และคาดว่าพวกเขาก็ไม่เคยคิดถึงปัญหานี้ ก็เลยไม่มีใครเคยถามเธอ

ต่อมา เล่อจยาได้เรียนรู้Alipay วีแชตจากเพื่อนร่วมงาน เธอจึงศึกษาเป็นพิเศษ จึงได้พบว่า ในAlipayและวีแชตของเธอมีเงินเพียงไม่กี่หยวน

เธออายุเท่านี้แล้ว ด้วยเหตุผลแล้ว งานก็ทำมาหลายปีแล้ว เธอไม่เข้าใจ ว่าเพราะอะไรเธอถึงไม่มีเงิน

หยิบมือถือออกมา เปิดเครื่อง เธออยากโทรไปหาซูหย่า มองแบตเตอรี่มือถือแล้ว เหลือเพียงแค่1% เธอยังไม่ทันได้กดต่อสายไป มือถือก็ปิดไปเอง ชั่วพริบตา เธอก็ยิ่งรู้สึกว่า เรื่องราวคล้ายกับจะร้ายแรงเล็กน้อย

ที่นี่น่าจะเป็นชานเมือง อุณหภูมิในช่วงกลางคืนค่อนข้างต่ำ เธอสวมเสื้อยีน ด้านในสวมเสื้อTเชิ้ตสีขาวและกางเกงลำลอง ก่อนหน้าในสมองเต็มไปด้วยเรื่องของเกาไห่กับผู้หญิงคนนั้น เลยไม่ได้สังเกตว่าอากาศเย็นแค่ไหน เวลานี้พอมาสังเกตแล้ว ก็รู้สึกว่าความหนาวจู่โจมขึ้นมา

มองๆ บนถนน คนเดินเท้ามีน้อยมากแล้ว

เธอขมวดคิ้ว ครุ่นคิด ต่อไปควรจะทำอย่างไรดี?

อีกด้านหนึ่ง

“พี่ คุณอุ้มฉันขึ้นบนรถเข็นได้ไหม? ฉันจะไปอ่านหนังสือข้างๆ รอคุณทำงานเสร็จแล้ว ค่อยกลับไปด้วยกันกับคุณ” ไห่ยุ่นเก็บถ้วยชามบนโต๊ะเล็กน้อย มองเกาไห่แล้วกล่าว

เกาไห่พยักหน้า เดินเข้าไป อุ้มไห่ยุ่นนั่งบนรถเข็น แล้วก็นำหนังสือบนโต๊ะน้ำชาส่งให้เธอ

“พี่ ต้องขอโทษด้วยจริงๆนะ รู้ว่าคุณยุ่ง ฉันก็ยังจะเข้ามารบกวนคุณอีก” ไห่ยุ่นพูดพลาง ก้มหน้าลง

“เด็กโง่ ยังจะมาพูดแบบนี้กับพี่ชายของคุณอีก คุณรอให้ฉันทำงานเสร็จก่อน ฉันจะพาคุณกลับบ้าน ได้ยินพ่อคุณบอกว่า คุณมาครั้งนี้ เพื่อฝึกงานใช่ไหม? ช่วงนี้คุณก็พักอยู่ที่บ้านของพี่ ทักษะการทำอาหารของพี่สะใภ้คุณน่าทึ่งมาก ถึงเวลา……”

“พี่สะใภ้? ” หนังสือในมือของไห่ยุ่นตกลงบนพื้น

“พี่สะใภ้ นี่พวกคุณเป็น? ”

“พี่สะใภ้? ”

“พี่สะใภ้? ”

หนิงเส่าเฉินกับเซียวอู๋พูดเป็นเสียงเดียวกัน

“ภรรยาของพี่ชายฉัน คราวที่แล้วเคยเล่าให้คุณฟัง? ” เย่หลินอธิบายกับหนิงเส่าเฉิน เพิ่มโทนเสียงเล็กน้อย จากหางตา เธอเห็นมือใหญ่บนแขนเล่อจยาเลื่อนลงมา

“เล่อจยา คุณแต่งงานแล้วเหรอ? เมื่อกี้คุณเพิ่งบอกว่าตนเองไม่มีแฟนไม่ใช่เหรอ? ”

เล่อจยาพยักหน้า กลอกตาใส่เขา หยิบกระเป๋าขึ้นจากพื้น “ที่จริงแล้วฉันไม่ได้มีแฟน แต่ฉันไม่ได้บอกว่าฉันไม่มีสามี”

พูดจบ เธอก้าวไปข้างหน้าสองสามก้าว แล้วดึงแขนของเย่หลิน “ฉันจะแนะนำให้คุณรู้จัก ท่านนี้ คือน้องสาวสามีของฉัน”

“เย่หลิน เพื่อนร่วมห้องเดียวกันกับฉันตอนมัธยมปลาย เมื่อกี้มาเป็นเพื่อนเพื่อนนัดดูตัว คาดไม่ถึงว่าจะเป็นเขา”

คำพูดสองสามคำ อธิบายสถานการณ์ขณะนี้

เย่หลินโล่งอก “ที่แท้เป็นเช่นนี้เอง พอดีเลย ฉันกับน้องเขยของคุณมาทานข้าวกัน เช่นนั้นพวกเรา ไปด้วยกันเลยไหม? ”

เวลานี้ หนิงเส่าเฉินก็พูดว่า “หัวหน้าเซียว ไม่ได้เจอกันนานเลย”

“พวกคุณรู้จักกันเหรอ? ” เย่หลินเอ่ยถาม

“เป็นคนในสังกัดของพ่อหลิวซู เคยทานข้าวด้วยกันหลายครั้ง”

เซียวอู๋มองหนิงเส่าเฉิน แล้วก็มองเล่อจยากับเย่หลิน สีหน้าก็ไม่ค่อยดีเล็กน้อย

แต่สายตาของเล่อจยาก็ตกลงที่มือคู่นั้นของเซียวอู๋ ไม่แปลกที่กลายเป็นแบบนั้น ก็ไม่แปลกที่ผอมได้อย่างนี้

เธอไม่รู้ว่า ในตอนนั้นเซียวอู๋สมัครเป็นทหาร เพียงเพราะคำพูดของเธอ

“เล่อจยา คุณชอบผู้ชายแบบไหน? ”

“ฉัน? ฉันชอบทหาร หล่อเท่จริงๆ เลย”

ตอนนี้ เซียวอู๋ทำได้แล้ว แต่ว่าผู้หญิงคนนี้ไม่รักษาคำมั่นสัญญา

“พี่สะใภ้ หรือว่าให้ฉันโทรหาพี่ชาย ให้เขามาทานข้าวด้วยกันไหม? ” ฉับพลันเย่หลินก็พูดออกมา

เล่อจยามาได้โง่ เธอรู้ว่าที่เย่หลินทำแบบนี้ เพราะต้องการทำให้เซียวอู๋เห็น แต่ว่านึกถึงเมื่อวานที่เกาไห่ทำสีหน้าอย่างนั้น เมื่อวานเธอยังไม่ได้ทำอะไร เขาก็ทำอย่างนั้นแล้ว ตอนนี้จะให้เขาเห็นตนเองอยู่ด้วยกันกับเซียวอู๋อีกเหรอ

ชั่วขณะสีหน้าก็ซีดลง แต่ไม่มีเหตุผลเหมาะสมที่จะปฏิเสธ ได้แต่พยักหน้า “ได้สิ”

ผลปรากฏว่าเป็นไปอย่างที่ตนเองคิด เมื่อเกาไห่เห็นเซียวอู๋ สีหน้าก็ย่ำแย่จนเกินจะบรรยาย “ไม่ใช่บอกว่าจะมาเป็นเพื่อนซูหย่านัดดูตัวเหรอ? ”

เล่อจยาก้มหน้า “ใช่ เขาคือคนที่นัดดูตัวของซูหย่า”

เกาไห่ดีดหน้าผากของเธอ “จะลองเชื่อคุณดู”

การกระทำที่สนิทสนมของคนทั้งสอง มันบอกทุกอย่างได้ชัดเจนมาก

“เพื่อนเก่า นี่หมายความว่าอย่างไร เมื่อวานยังบอกว่าเป็นเจ้านาย ทำไมวันนี้บอกว่าเป็นสามีแล้วล่ะ? ” เมื่อเซียวอู๋พูดคำนี้ ทว่าสายตาไปตกอยู่ที่เกาไห่

เล่อจยาหัวเราะอย่างเขินอาย “เอ่อ ก็ไม่ผิดหรอก อันที่จริงก็เป็นเจ้านาย แต่ก็เป็นสามีด้วย”

เซียวอู๋ยื่นมือออกไปตบๆ ไหล่ของเธอ “ไม่เลว สิบปีมานี้มีความก้าวหน้า เวลาพูดโกหกหน้าก็ไม่แดงแล้ว จำได้ว่าเมื่อสิบปีก่อนคุณไม่เป็นอย่างนี้”

เห็นได้ชัดว่าเกาไห่อารมณ์เสียมากกับการกระทำของเขา กลิ่นความดุเดือดเลือดพล่านตลบอบอวลไปทั่วทั้งห้อง

เย่หลินเห็นเช่นนั้น ก็รีบเข้าไปดึงเกาไห่ “เอาล่ะ พวกคุณหยุดคุยกันก่อน แล้วรีบมาทานข้าวกันเถอะ”

เพราะว่าหนิงเส่าเฉินกับเซียวอู๋รู้จักกัน ฉะนั้น การทานข้าวครั้งนี้บรรยากาศจึงไม่น่าอึดอัด

ทานข้าวไปได้สักครู่ เล่อจยาก็คิดๆ แล้วส่งข้อความให้ซูหย่า “ซูหย่า เซียวอู๋คนนี้ การพูดการจาก่อนหน้านี้ดูไม่มีสมอง คุณอย่าเอามาใส่ใจเลยนะ”

ข้อความไม่ได้ตอบกลับมา อารมณ์ของเล่อจยาก็แย่ลงไปเล็กน้อย

เกาไห่เห็นเธอมีท่าทีที่กลุ้มใจ จึงคีบอาหารให้เธอเล็กน้อย “เดี๋ยวอาหารจะเย็นหมด รีบทานเถอะ”

“ซูหย่าต้องโกรธแน่เลย”

“ทำไมล่ะ? ”

“ก็เขาน่ะสิ เขาบอกกับฉันว่า ไม่ได้รู้สึกอะไรกับซูหย่า แต่สุดท้ายเธอมาได้ยิน” เธอก้มหน้า เขี่ยๆ ข้าวที่อยู่ในชาม แต่ไม่ได้สังเกตเห็นสีหน้าที่ไม่ดีของเกาไห่

“พี่สะใภ้ คุณได้เตรียมไว้หรือยังว่าจะมีลูกกับพี่ชายฉันเมื่อไร? ”

เล่อจยาเพิ่งนำเผือกเข้าปากไปได้ครึ่งชิ้น ได้ยินเย่หลินถามว่าเมื่อไรจะมีลูก เธอกับเกาไห่ยังไม่ได้อะไรกันเลย เรื่องลูก? ก็มองไม่เห็นหนทางเลย?

พอตื่นเต้น เผือกก็ลื่นลงคอไป ติดอยู่ในลำคอจนหน้าแดง

“รีบดื่มซุปเร็ว” เกาไห่พูดพลางนำซุปในถ้วยของตนเองส่งให้เล่อจยา

เล่อจยาดื่มสองสามอึก จึงดีขึ้น มองเย่หลินแล้วพูดว่า: “จะมีลูกตอนนี้ก็จะเร็วไปหน่อย”

แน่นอนว่าเย่หลินไม่รู้ว่าสถานการณ์ของพวกเขาทั้งสองคนคืออะไร จึงอดไม่ได้ที่จะยิ้มเล็กน้อย “พี่สะใภ้ ฉันและพี่ชายอายุพอๆ กัน ลูกคนโตของฉันอายุ12ขวบแล้ว จะเร็วเกินไปได้อย่างไรล่ะ? ”

เล่อจยาเม้มปากหน้าแดงเล็กน้อย เธอมองเกาไห่ แอบดึงมุมเสื้อเล็กน้อย

“เอาล่ะ เชื่อน้องสาวฉันเถอะ ตอนเย็นกลับไป พวกเราเริ่มเพาะพันธุ์กันก่อน”

“พรวด” ทางด้านเซียวอู๋ที่เพิ่งซดซุปเข้าไปในปากก็พ่นออกมา เขาไอ”แค่กๆ “อยู่หลายที

เล่อจยาหยิกที่ขาของเกาไห่เล็กน้อย แต่ถูกเกาไห่กุมมือเอาไว้

อาหารมื้อนี้ นับว่าทานได้อย่างเอร็ดอร่อยจริงๆ

เวลานี้ ไม่รู้ว่าใครโทรศัพท์มาหาเซียวอู๋ เห็นเพียงสีหน้าที่เคร่งขรึมของเขา พูดว่า “ครับ จะกลับไปเดี๋ยวนี้”

จากนั้น ก็กล่าวลาพวกเขา แล้วจึงออกไป

พอออกไป หนิงเส่าเฉินก็ตบไหล่ของเกาไห่เบาๆ “พี่ จะรอคุณเก็บเกี่ยวผลนะ”

เย่หลินยิ้มอยู่ข้างๆ อย่างเก้อเขินเล็กน้อย

ส่วนเล่อจยา หน้าแดงจนแทบจะหยดเป็นเลือด ถึงแม้ว่าเล่อจยาจะมีนิสัยเปิดเผย แต่ในความทรงจำ อย่างไรเธอก็ยังเป็นนักศึกษาคนหนึ่ง ดังนั้น จึงทั้งวางตัวไม่ถูก ทั้งเขินอาย

พอขึ้นรถ นั่งดีแล้ว ซูหย่าก็ส่งข้อความออกไป “เล่อจยา ฉันรู้สึกดีกับเขา แต่เขาเหมือนกับว่าจะรู้สึกดีกับคุณ”

เล่อจยาหยิบมือถือขึ้นมา สายตามองไปข้างหน้า แววตานิ่งอึ้งไป

เซียวอู๋รู้สึกดีกับเธอ? นั่งโต๊ะติดกันมาหลายปี เขาไม่เคยมองเธอว่าเป็นผู้หญิงเลย

คิดแล้ว เธอก็ส่ายหน้า แล้วตอบกลับซูหย่าว่า: “พวกเรานั่งโต๊ะข้างกันมาสามปี ถ้ามีความรู้สึกดีๆ ความรักของฉันก็คงจะไม่สามารถไม่เริ่มขึ้นจนกระทั่งมหาวิทยาลัยหรอก พอเกาไห่เข้ามา ได้พบน้องสาวกับน้องเขยของเขา ฉันถึงได้รู้ว่า ตอนนี้เซียวอู๋เป็นหัวหน้าทหาร ซูหย่าคุณก็มองออกว่าเขาเป็นคนที่มีความสามารถคนหนึ่ง อีกอย่าง เขาก็รู้ความสัมพันธ์ของฉันกับเกาไห่แล้ว ดังนั้น ถ้าคุณมีความรู้สึกดีกับเขา ก็ใจกล้าเขาหาเลย ส่วนฉัน คุณก็รู้ว่า ตั้งแต่ในสายตาฉันได้พบกับเกาไห่ครั้งแรก ก็ไม่ยอมมองผู้ชายคนไหนอีก”

ส่งไปเสร็จ เธอก็ยิ้มมุมปาก

เกาไห่เห็นเมื่อกี้เธอนิ่งอึ้ง แล้วก็ยิ้มขึ้นมา จึงหยิบมือถือของเธอมาดู หลังจากนั้น ก็ยิ้มหน้าบาน

เล่อจยาเห็นท่าทางนั้นของเขา ก็มองค้อนเขาเล็กน้อย

“เกาไห่ ทำไมฉันต้องไล่ไขว่คว้าคุณ? ฉันดูพยายามมากเกินไปหรือเปล่า? ”

ชายหนุ่มที่ยิ้มอยู่ตลอด ไม่พูดจา ผ่านไปครู่หนึ่ง ก็มองเธออย่างจริงจัง แล้วพูดว่า: “เล่อจยา ฉันขอร้องคุณสักเรื่องหนึ่งก่อนได้ไหม? ”

“พี่สะใภ้ นี่พวกคุณเป็น? ”

“พี่สะใภ้? ”

“พี่สะใภ้? ”

หนิงเส่าเฉินกับเซียวอู๋พูดเป็นเสียงเดียวกัน

“ภรรยาของพี่ชายฉัน คราวที่แล้วเคยเล่าให้คุณฟัง? ” เย่หลินอธิบายกับหนิงเส่าเฉิน เพิ่มโทนเสียงเล็กน้อย จากหางตา เธอเห็นมือใหญ่บนแขนเล่อจยาเลื่อนลงมา

“เล่อจยา คุณแต่งงานแล้วเหรอ? เมื่อกี้คุณเพิ่งบอกว่าตนเองไม่มีแฟนไม่ใช่เหรอ? ”

เล่อจยาพยักหน้า กลอกตาใส่เขา หยิบกระเป๋าขึ้นจากพื้น “ที่จริงแล้วฉันไม่ได้มีแฟน แต่ฉันไม่ได้บอกว่าฉันไม่มีสามี”

พูดจบ เธอก้าวไปข้างหน้าสองสามก้าว แล้วดึงแขนของเย่หลิน “ฉันจะแนะนำให้คุณรู้จัก ท่านนี้ คือน้องสาวสามีของฉัน”

“เย่หลิน เพื่อนร่วมห้องเดียวกันกับฉันตอนมัธยมปลาย เมื่อกี้มาเป็นเพื่อนเพื่อนนัดดูตัว คาดไม่ถึงว่าจะเป็นเขา”

คำพูดสองสามคำ อธิบายสถานการณ์ขณะนี้

เย่หลินโล่งอก “ที่แท้เป็นเช่นนี้เอง พอดีเลย ฉันกับน้องเขยของคุณมาทานข้าวกัน เช่นนั้นพวกเรา ไปด้วยกันเลยไหม? ”

เวลานี้ หนิงเส่าเฉินก็พูดว่า “หัวหน้าเซียว ไม่ได้เจอกันนานเลย”

“พวกคุณรู้จักกันเหรอ? ” เย่หลินเอ่ยถาม

“เป็นคนในสังกัดของพ่อหลิวซู เคยทานข้าวด้วยกันหลายครั้ง”

เซียวอู๋มองหนิงเส่าเฉิน แล้วก็มองเล่อจยากับเย่หลิน สีหน้าก็ไม่ค่อยดีเล็กน้อย

แต่สายตาของเล่อจยาก็ตกลงที่มือคู่นั้นของเซียวอู๋ ไม่แปลกที่กลายเป็นแบบนั้น ก็ไม่แปลกที่ผอมได้อย่างนี้

เธอไม่รู้ว่า ในตอนนั้นเซียวอู๋สมัครเป็นทหาร เพียงเพราะคำพูดของเธอ

“เล่อจยา คุณชอบผู้ชายแบบไหน? ”

“ฉัน? ฉันชอบทหาร หล่อเท่จริงๆ เลย”

ตอนนี้ เซียวอู๋ทำได้แล้ว แต่ว่าผู้หญิงคนนี้ไม่รักษาคำมั่นสัญญา

“พี่สะใภ้ หรือว่าให้ฉันโทรหาพี่ชาย ให้เขามาทานข้าวด้วยกันไหม? ” ฉับพลันเย่หลินก็พูดออกมา

เล่อจยามาได้โง่ เธอรู้ว่าที่เย่หลินทำแบบนี้ เพราะต้องการทำให้เซียวอู๋เห็น แต่ว่านึกถึงเมื่อวานที่เกาไห่ทำสีหน้าอย่างนั้น เมื่อวานเธอยังไม่ได้ทำอะไร เขาก็ทำอย่างนั้นแล้ว ตอนนี้จะให้เขาเห็นตนเองอยู่ด้วยกันกับเซียวอู๋อีกเหรอ

ชั่วขณะสีหน้าก็ซีดลง แต่ไม่มีเหตุผลเหมาะสมที่จะปฏิเสธ ได้แต่พยักหน้า “ได้สิ”

ผลปรากฏว่าเป็นไปอย่างที่ตนเองคิด เมื่อเกาไห่เห็นเซียวอู๋ สีหน้าก็ย่ำแย่จนเกินจะบรรยาย “ไม่ใช่บอกว่าจะมาเป็นเพื่อนซูหย่านัดดูตัวเหรอ? ”

เล่อจยาก้มหน้า “ใช่ เขาคือคนที่นัดดูตัวของซูหย่า”

เกาไห่ดีดหน้าผากของเธอ “จะลองเชื่อคุณดู”

การกระทำที่สนิทสนมของคนทั้งสอง มันบอกทุกอย่างได้ชัดเจนมาก

“เพื่อนเก่า นี่หมายความว่าอย่างไร เมื่อวานยังบอกว่าเป็นเจ้านาย ทำไมวันนี้บอกว่าเป็นสามีแล้วล่ะ? ” เมื่อเซียวอู๋พูดคำนี้ ทว่าสายตาไปตกอยู่ที่เกาไห่

เล่อจยาหัวเราะอย่างเขินอาย “เอ่อ ก็ไม่ผิดหรอก อันที่จริงก็เป็นเจ้านาย แต่ก็เป็นสามีด้วย”

เซียวอู๋ยื่นมือออกไปตบๆ ไหล่ของเธอ “ไม่เลว สิบปีมานี้มีความก้าวหน้า เวลาพูดโกหกหน้าก็ไม่แดงแล้ว จำได้ว่าเมื่อสิบปีก่อนคุณไม่เป็นอย่างนี้”

เห็นได้ชัดว่าเกาไห่อารมณ์เสียมากกับการกระทำของเขา กลิ่นความดุเดือดเลือดพล่านตลบอบอวลไปทั่วทั้งห้อง

เย่หลินเห็นเช่นนั้น ก็รีบเข้าไปดึงเกาไห่ “เอาล่ะ พวกคุณหยุดคุยกันก่อน แล้วรีบมาทานข้าวกันเถอะ”

เพราะว่าหนิงเส่าเฉินกับเซียวอู๋รู้จักกัน ฉะนั้น การทานข้าวครั้งนี้บรรยากาศจึงไม่น่าอึดอัด

ทานข้าวไปได้สักครู่ เล่อจยาก็คิดๆ แล้วส่งข้อความให้ซูหย่า “ซูหย่า เซียวอู๋คนนี้ การพูดการจาก่อนหน้านี้ดูไม่มีสมอง คุณอย่าเอามาใส่ใจเลยนะ”

ข้อความไม่ได้ตอบกลับมา อารมณ์ของเล่อจยาก็แย่ลงไปเล็กน้อย

เกาไห่เห็นเธอมีท่าทีที่กลุ้มใจ จึงคีบอาหารให้เธอเล็กน้อย “เดี๋ยวอาหารจะเย็นหมด รีบทานเถอะ”

“ซูหย่าต้องโกรธแน่เลย”

“ทำไมล่ะ? ”

“ก็เขาน่ะสิ เขาบอกกับฉันว่า ไม่ได้รู้สึกอะไรกับซูหย่า แต่สุดท้ายเธอมาได้ยิน” เธอก้มหน้า เขี่ยๆ ข้าวที่อยู่ในชาม แต่ไม่ได้สังเกตเห็นสีหน้าที่ไม่ดีของเกาไห่

“พี่สะใภ้ คุณได้เตรียมไว้หรือยังว่าจะมีลูกกับพี่ชายฉันเมื่อไร? ”

เล่อจยาเพิ่งนำเผือกเข้าปากไปได้ครึ่งชิ้น ได้ยินเย่หลินถามว่าเมื่อไรจะมีลูก เธอกับเกาไห่ยังไม่ได้อะไรกันเลย เรื่องลูก? ก็มองไม่เห็นหนทางเลย?

พอตื่นเต้น เผือกก็ลื่นลงคอไป ติดอยู่ในลำคอจนหน้าแดง

“รีบดื่มซุปเร็ว” เกาไห่พูดพลางนำซุปในถ้วยของตนเองส่งให้เล่อจยา

เล่อจยาดื่มสองสามอึก จึงดีขึ้น มองเย่หลินแล้วพูดว่า: “จะมีลูกตอนนี้ก็จะเร็วไปหน่อย”

แน่นอนว่าเย่หลินไม่รู้ว่าสถานการณ์ของพวกเขาทั้งสองคนคืออะไร จึงอดไม่ได้ที่จะยิ้มเล็กน้อย “พี่สะใภ้ ฉันและพี่ชายอายุพอๆ กัน ลูกคนโตของฉันอายุ12ขวบแล้ว จะเร็วเกินไปได้อย่างไรล่ะ? ”

เล่อจยาเม้มปากหน้าแดงเล็กน้อย เธอมองเกาไห่ แอบดึงมุมเสื้อเล็กน้อย

“เอาล่ะ เชื่อน้องสาวฉันเถอะ ตอนเย็นกลับไป พวกเราเริ่มเพาะพันธุ์กันก่อน”

“พรวด” ทางด้านเซียวอู๋ที่เพิ่งซดซุปเข้าไปในปากก็พ่นออกมา เขาไอ”แค่กๆ “อยู่หลายที

เล่อจยาหยิกที่ขาของเกาไห่เล็กน้อย แต่ถูกเกาไห่กุมมือเอาไว้

อาหารมื้อนี้ นับว่าทานได้อย่างเอร็ดอร่อยจริงๆ

เวลานี้ ไม่รู้ว่าใครโทรศัพท์มาหาเซียวอู๋ เห็นเพียงสีหน้าที่เคร่งขรึมของเขา พูดว่า “ครับ จะกลับไปเดี๋ยวนี้”

จากนั้น ก็กล่าวลาพวกเขา แล้วจึงออกไป

พอออกไป หนิงเส่าเฉินก็ตบไหล่ของเกาไห่เบาๆ “พี่ จะรอคุณเก็บเกี่ยวผลนะ”

เย่หลินยิ้มอยู่ข้างๆ อย่างเก้อเขินเล็กน้อย

ส่วนเล่อจยา หน้าแดงจนแทบจะหยดเป็นเลือด ถึงแม้ว่าเล่อจยาจะมีนิสัยเปิดเผย แต่ในความทรงจำ อย่างไรเธอก็ยังเป็นนักศึกษาคนหนึ่ง ดังนั้น จึงทั้งวางตัวไม่ถูก ทั้งเขินอาย

พอขึ้นรถ นั่งดีแล้ว ซูหย่าก็ส่งข้อความออกไป “เล่อจยา ฉันรู้สึกดีกับเขา แต่เขาเหมือนกับว่าจะรู้สึกดีกับคุณ”

เล่อจยาหยิบมือถือขึ้นมา สายตามองไปข้างหน้า แววตานิ่งอึ้งไป

เซียวอู๋รู้สึกดีกับเธอ? นั่งโต๊ะติดกันมาหลายปี เขาไม่เคยมองเธอว่าเป็นผู้หญิงเลย

คิดแล้ว เธอก็ส่ายหน้า แล้วตอบกลับซูหย่าว่า: “พวกเรานั่งโต๊ะข้างกันมาสามปี ถ้ามีความรู้สึกดีๆ ความรักของฉันก็คงจะไม่สามารถไม่เริ่มขึ้นจนกระทั่งมหาวิทยาลัยหรอก พอเกาไห่เข้ามา ได้พบน้องสาวกับน้องเขยของเขา ฉันถึงได้รู้ว่า ตอนนี้เซียวอู๋เป็นหัวหน้าทหาร ซูหย่าคุณก็มองออกว่าเขาเป็นคนที่มีความสามารถคนหนึ่ง อีกอย่าง เขาก็รู้ความสัมพันธ์ของฉันกับเกาไห่แล้ว ดังนั้น ถ้าคุณมีความรู้สึกดีกับเขา ก็ใจกล้าเขาหาเลย ส่วนฉัน คุณก็รู้ว่า ตั้งแต่ในสายตาฉันได้พบกับเกาไห่ครั้งแรก ก็ไม่ยอมมองผู้ชายคนไหนอีก”

ส่งไปเสร็จ เธอก็ยิ้มมุมปาก

เกาไห่เห็นเมื่อกี้เธอนิ่งอึ้ง แล้วก็ยิ้มขึ้นมา จึงหยิบมือถือของเธอมาดู หลังจากนั้น ก็ยิ้มหน้าบาน

เล่อจยาเห็นท่าทางนั้นของเขา ก็มองค้อนเขาเล็กน้อย

“เกาไห่ ทำไมฉันต้องไล่ไขว่คว้าคุณ? ฉันดูพยายามมากเกินไปหรือเปล่า? ”

ชายหนุ่มที่ยิ้มอยู่ตลอด ไม่พูดจา ผ่านไปครู่หนึ่ง ก็มองเธออย่างจริงจัง แล้วพูดว่า: “เล่อจยา ฉันขอร้องคุณสักเรื่องหนึ่งก่อนได้ไหม? ”

“เสี่ยวหวู่”นี่……

“จยาจยา เธอเม่ออะไรอยู่ รีบเข้ามาสิ?” ซูหย่าไม่ได้สังเกตเห็นว่าอาการเธอผิดปกติ แค่คิดว่าเธอเก้ๆกังๆ จึงเดินเข้าไปดึงเธอ“มา เธอนั่งตรงนี้”

เงยหน้าขึ้น กลับพบว่า สายตาของผู้ชายตรงข้ามตกอยู่ที่เล่อจยา

ซูหย่าอึ้งไป “พวกเธอสองคนรู้จักกันเหรอ?”

เล่อจยาพยักหน้าแบบอึดอัดเล็กน้อย “เพื่อนร่วมโต๊ะสมัยมัธยม”

“ไม่เจอกันสิบปีแล้ว เมื่อคืนเพิ่งได้เจอกัน ไม่คิดว่าจะได้เจอกันเร็วขนาดนี้”ระหว่างคิ้วของชายคนนี้ ดูมีรอยยิ้ม เห็นได้ชัดว่าอารมณ์ดี

“อ๋อๆ ที่แท้แบบนี้นี่เอง” หันกลับมามองเล่อจยา “ทำไมหลายปีมานี้ไม่เคยได้ยินเธอพูดถึงคนคนนี้เลย?”

เล่อจยาตอบกลับเสียงเบา“ไม่เคยพูดถึง? ฉันคงคิดว่าไม่ได้ติดต่อกันมาหลายปีแล้ว ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องพูดถึงล่ะมั้ง”

เสียงเธอเบามาก แต่ภายในห้องนั้นเงียบมาก ดังนั้น ผู้ชายที่อยู่ตรงข้ามยังคงได้ยิน

ท่าทางการดื่มน้ำของเขา นิ่งไปเล็กน้อย

“พวกเธอเป็นเพื่อนกันเหรอ?”

“เพื่อนมหาลัย”ซูหย่าอธิบาย

“ดูเหมือนจะมีวาสนานะ สวัสดีครับ ขอแนะนำตัวหน่อยนะ ผมชื่อเซียวอู๋”

“เซียวอู๋ เสี่ยวหวู่? ที่แท้เป็นแบบนี้นี่เอง”ซูหย่าถือแก้วชาไว้ต่อหน้าเล่อจยา “ไม่ต้องเล่นมือถือแล้ว ดื่มน้ำหน่อยเถอะ”

เล่อจยาพยักหน้า ที่จริง เธอรู้สึกอึดอัดเล็กน้อย ที่คู่นัดบอทของซูหย่าคือเซียวอู๋

จากนั้น ทุกคนก็หาคำพูดมาคุยเล่นกัน เห็นได้ชัด ว่าซูหย่าเหมือนจะมีความประทับใจเซียวอู๋ พยายามหาหัวข้อมาสนทนาด้วยตลอด

แต่เซียวอู๋กลับถามคำตอบคำ เห็นได้ชัดว่าเขาไม่ได้มีความสนใจซูหย่า

พูดตามตรงว่า เล่อจยาไม่ได้รู้จักพวกเขาดีพอขนาดนั้น แม้จะบอกว่าเป็นเพื่อนร่วมโต๊ะกับเซียวอู๋ แต่นั่นก็เป็นเรื่องเมื่อสิบกว่าปีก่อนแล้ว การเปลี่ยนแปลงของมนุษย์ในช่วงเวลาสิบปีเป็นเรื่องน่าตกใจมาก เพราะฉะนั้น เธอจึงไม่เข้าใจเขา

และซูหย่า ความสัมพันธ์ของพวกเขาเกิดขึ้นในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ แต่เธอกลับความจำเสื่อม จึงทำให้ความเข้าใจที่มีต่อซูหย่านั้นว่างเปล่า

ดังนั้น ถ้าไม่ใช่ว่าพวกเขาคุยกับเธอ เธอก็จะไม่เอ่ยปากพูดอะไรเลย

เมื่อเห็นว่าบรรยากาศดูหดหู่ขึ้นเรื่อยๆ เล่อจยาจึงลุกขึ้น“พวกเธอคุยกันไปก่อนนะ ฉัน ไปห้องน้ำแป๊บหนึ่ง”

เธอรู้สึกว่าถ้ายังนั่งอยู่ตรงนั้น พวกเขาไม่เป็นอะไรหรอก แต่เธอจะกดดันจนเป็นบ้าไปก่อน

เล่อจยาอยู่ในห้องน้ำสักพักถึงได้ออกมา เพิ่งจะเดินมาถึงหน้าประตู ก็ถูกคนดึงไว้

เธอต้องการจะโต้กลับ “เล่อจยา นี่ฉันเอง”

มือที่ยกขึ้นก็ต้องเอาลง “เสี่ยวหวู่ ทำไมนายถึงออกมาด้วยล่ะ?”

“จยาจยา เธอมีแฟนหรือยัง?”

เล่อจยาส่ายหน้า แต่พูดในใจว่า “เธอมีสามี”

เซียวอู๋อดที่จะโล่งใจไม่ได้ “ฉันกับเพื่อนเธอไม่เหมาะสมกัน” เขาพูดตรงๆ เหมือนกับตอนนั้น ที่เขาทำร้ายเธอ ไม่อ้อมค้อมเลยสักนิด “เธอดูสิ ทั้งห้องมีแฟนกันหมดแล้ว นั่นหมายความว่าอะไรล่ะ มันหมายความว่าคนอื่นไม่เห็นเธอเป็นผู้หญิงไง”

เธอจำได้ ตอนนั้น เธอตอบกลับเขาไปว่า “นายมีสิทธิอะไรมาว่าฉัน นายเองก็ไม่มีแฟนไม่ใช่เหรอ?”

“ฉันน่ะมีทางเลือกเยอะ ไม่ชอบให้มันยุ่งยาก”

เซียวอู๋ในตอนนั้นถึงจะพูดไม่ได้ว่าหล่อ แต่ เห็นบอกว่าฐานะทางบ้านดี บุคลิกดี เพราะฉะนั้น ผู้หญิงที่ชอบเขาจึงมีไม่น้อย

“นายยังไม่ได้รู้จักเธอจริงๆเลย ทำไมถึงบอกว่าไม่เหมาะสมกันแล้วล่ะ?นายดูซูหย่าสิ สวย บุคลิกดี ฐานะทางบ้านก็ไม่เลว นายลองทำความรู้จักก่อนค่อยตัดสินใจก็……”

“ฉันจำได้ว่าเมื่อก่อนเธอไม่ได้เป็นคนเสแสร้ง ทำไมแค่สิบปี เธอถึงได้เปลี่ยนไปแบบนี้”เสียงที่มีความดึงดูดของชายคนนี้พูดขัดเล่อจยาขึ้นมา

เล่อจยาก้มหน้าลง กุมขมับ ไม่รู้ว่าควรจะต่อคำพูดของเซียวอู๋ยังไง เสแสร้ง?ไม่ เธอแค่คิดว่า เป็นคำโกหกที่หวังดี ดีกับคนอื่น และดีกับตัวเองด้วย

“ทุกคนเปลี่ยนไปตลอดนั่นแหละ” สักพัก เธอก็พูดคำเหล่านี้ออกมา

“ใช่เหรอ?”

“ใช่สิ นายดูตัวเองสิ เมื่อก่อนอ้วนขนาดนั้น เตี้ยอีก ตอนนี้ล่ะ? ทั้งสูงทั้งหล่อ”เธอเปลี่ยนประเด็น

“อืม แต่เธอไม่เปลี่ยนไปเลย ยังคงเตี้ยและอ้วน”

เล่อจยาได้ยินแบบนั้น สูดหายใจเข้า หลับตา แล้วลืมตาอีกครั้ง “เสี่ยวหวู่ สิบปีแล้วอยากโดนสั่งสอนอีกใช่ไหม นายว่าใครเตี้ย ใครอ้วนกัน?”

พูดไป ก็ชูหมัดขึ้นมาต่อหน้าเซียวอู๋ ยู่ปาก

มือใหญ่ของเซียวอู๋แตะที่กลางริมฝีปาก แล้วยิ้มมุมปาก“ใช่…..อยากมาก ชอบคิดถึงมันบ่อยๆ”

เล่อจยากรอกตาใส่เขา “ขี้เกียจเถียงกับนายละ ไป เข้าไปกันเถอะ ซูหย่าอยู่คนเดียว……”

หันหลัง เล่อจยาก็เห็นซูหย่าเดินออกมาจากมุมข้างๆ สีหน้าดูแย่ เห็นได้ชัด ว่าเธอได้ยินบทสนทนาของพวกเธอ รวมถึงคำพูดนั้น คำพูดที่ว่าไม่เหมาะสม

เธอบีบนิ้ว “ซูหย่า ทำไมเธอถึงออกมาด้วยล่ะ?”

ซูหย่ามองเล่อจยาแล้วมองเซียวอู๋ “จยาจยา ฉันไม่ค่อยสบาย กลับก่อนนะ เธอให้คุณเซียวไปส่งเธอละกัน”

พูดจบ ก็หันหลังจากไป

เล่อจยาไล่ตามไปสองสามก้าว แล้วก็หยุดลง ทิ้งมือทั้งสองข้างไว้ข้างตัว หันกลับมามองเซียวอู๋ “นายเนี่ยนะ ผ่านไปสิบปีแล้ว ทำไมปากยังร้ายขนาดนี้ นายนัดบอทแบบนี้ ผู้หญิงที่ไหนจะอยู่กับนาย?”

เซียวอู๋เผชิญกับคำพูดเสียดสีของเธอ ไม่ได้โกรธแต่กลับหัวเราะ “ไม่เลว ยังคงจำได้แม่นแบบนี้”

“สื่อสารกันไม่ได้แล้ว”เล่อจยาพูดจบ หันหลังกำลังจะไป ส่วนของแขนก็อุ่นขึ้น

“กินข้าวก่อนค่อยไปไหม?”

เล่อจยาก้มหน้ามองมือใหญ่นั่น แอบประหลาดใจเล็กน้อย หลังมือนั้น มีแต่รอยแผลเป็น เธอจำได้ว่าเมื่อก่อนมือของนายคนนี้ ทั้งนิ่มทั้งขาวกว่าของเธอ สิบปี……มานี้ เขาไปทำอะไรมา?

คิดๆแล้ว ก็รู้สึกว่าตัวเองไม่ควรมีความรู้สึกแบบนี้กับผู้ชายคนอื่น จึงดึงความคิดของตัวเองกลับมา “ตัวเอกเขากลับไปแล้ว ฉันยังจะกินข้าวอะไรอีก?”

“จยาจยา……อย่างน้อยเราก็เป็นเพื่อนร่วมโต๊ะกันมาหลายปี…….”

“ปล่อยมือก่อน”

“ไม่ เธอตอบตกลงกินข้าวกับฉันก่อน ฉันถึงจะปล่อย”คนบางคนเบะปาก ทำท่าปลิ้นปล้อน ท่าทางแบบนั้น ทำให้เล่อจยาประหลาดใจมาก สิบปีก่อน หลังจากที่โดนเธอสั่งสอน หากเขามีเรื่องขอร้องเธอ ก็จะมีท่าทางแบบนี้ สันดอนขุดได้ สันดานขุด​ยาก อืม ไม่ผิดเลย!

แต่เซียวอู๋กลับมองเล่อจยา เขาจะไม่บอกเธอ ว่าสิบปีมานี้เขาไม่เคยทำแบบนี้กับใครเลย

“ดูเหมือนว่า วันนี้ไม่ให้นายเห็นดี นายคงไม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ”เล่อจยาพูดไป ก็โยนกระเป๋าบนไหล่ไปไว้ที่พื้น เธอยกแขนขึ้น ยังไม่ทันได้ขยับ

“เล่อจยา?”เสียงผู้หญิงดังขึ้นทางด้านขวา

เล่อจยาหันไป ก็เห็นเย่หลินที่จับมือหนิงเส่าเฉิน ยืนอยู่ในตำแหน่งที่ซูหย่ายืนเมื่อกี้ สายตาตกอยู่ที่แขนของเธอ

“เย่หลิน?”น้องสาวของเกาไห่ เล่อจยาร้องในใจ จบแล้วทีนี้ ผู้หญิงที่แต่งงานแล้วมาฉุดกระชากลากดึงกับผู้ชายที่โรงแรม เย่หลินต้องเข้าใจเธอผิดแล้วแน่ๆ

ออกจากคุก แสงแดดที่ร้อนระอุ ทำให้เย่หลินยกมือขึ้นบังตา เธอหายใจเข้าลึกๆ “หนิงเส่าเฉิน ต่อไประหว่างเราก็ไม่มีเกาเหวินแล้ว และหวังว่าคงจะไม่มีเกาเหวินอีกคนโผล่มา” เธอพูดสิ่งที่คิดออกมา

ทุกคนบอกว่าการแต่งงานคือหลุมฝังศพของความรัก แม้ว่าหลายปีมานี้ทั้งสองคนจะเผชิญเรื่องต่างๆมามากมาย แต่ เวลาที่อยู่ด้วยกันน้อยกว่าเวลาที่ห่างกัน เธอกลัวว่าพอกลับไปเป็นปกติแล้ว ความรักจะค่อยๆหายไปเพราะขาดความกระตือรือร้น

นิ้วของหนิงเส่าเฉินสอดเข้าไปในผมของเธอ จากนั้นก้มหน้า กระซิบข้างหูเย่หลิน “อายุช่วงที่ผู้ชายแข็งแรงที่สุด ได้มอบให้คุณหมดแล้ว ถึงแม้ต่อไปใจจะอยากมี แต่ร่างกายคงไม่ไหว คุณยังจะกังวลอะไรอีก?”

เย่หลินขมวดคิ้ว หันไปมองรอบๆ “หนิงเส่าเฉิน แถวนี้คนไปๆมาๆเยอะขนาดนี้ คุณไม่กลัวคนอื่นได้ยินหรือไง?”

“ได้ยินแล้วยังไง? ผมพูดกับภรรยาผม ใครจะมายุ่ง?”

เย่หลินจ้องเขาเขม็ง

ตอนนี้เอง มือถือของหนิงเส่าเฉินก็ดังขึ้น เขามอง เป็นหลิวซู จึงรับสาย “ฮัลโหล อืม โอเค ฉันไปตอนนี้แหละ”

“ไปเถอะ ผมไปส่งคุณที่บริษัทของคุณก่อน”

เย่หลินเอาผมยาวของเธอไปทัดไว้หลังหู ตามหนิงเส่าเฉินขึ้นรถไป

ในขณะเดียวกัน เกากรุ๊ป

“จยาจยา เมื่อคืน ประธานเกาพาเธอไปไหนเหรอ?”

ทันทีที่เล่อจยาเข้ามาในสำนักงาน คนกลุ่มใหญ่ก็ล้อมเข้ามารวมกัน

ไปไหน? ไปกินปิ้งย่างร้านอาหารริมทาง? ไม่ เธอไม่มีความกล้าพอจะตอบแบบนั้น

“เปล่า ก็แค่คุยเรื่องภาพที่ออกแบบ จากนั้น ก็กลับบ้าน”

“แบบนี้เองเหรอ? ประธานเกานี่น่าสนใจจริงๆ โครงการที่บริษัทนี้รับ ทั่วทั้งประเทศ คงนับได้เป็นพันๆที่ โครงการที่เมืองw แม้จะบอกว่าไม่ใช่โครงการเล็กๆ แต่ ก็ไม่ถือว่าใหญ่ ทำไมประธานเกาดูให้ความสำคัญกับการออกแบบนี้มาก?”

เล่อจยาส่ายหน้า “ฉันเพิ่งมาใหม่ ฉันไม่รู้”

พอเดินมาถึงที่นั่ง เธอเห็นที่นั่งของเสี่ยวหยูที่อยู่ข้างๆนั้นว่าง มองดูเวลา เลยเวลาเข้างานมาสิบกว่านาทีแล้ว

“เสี่ยวหยู ยังไม่มาเหรอ?”เธอแกล้งถามเพื่อนร่วมงานข้างๆแบบไม่ตั้งใจ

“ได้ยินว่าเธอลาออกแล้ว?”ไม่รู้ว่าใครเป็นคนพูดขึ้น

“อะไรคือลาออกแล้ว? โดนบริษัทไล่ออกต่างหาก”

“เธอรู้ได้ยังไง?”

“แฟนฉันบอกน่ะ เขาเห็นเสี่ยวหยูไปทำเรื่องที่แผนกบุคคลเมื่อเช้า คิดว่าคงกลัวพวกเราเห็น ถึงได้มาตั้งแต่เช้า”

จากนั้น ในสำนักงาน ก็ซุบซิบกันขึ้น ทุกคนต่างก็พากันเดาเหตุผลที่เสี่ยวหยูโดนไล่ออก

“พวกเธอคิดว่า เป็นเพราะเรื่องที่เธอขังเล่อจยาไว้ในห้องน้ำหรือเปล่า?”มีคนพูดขึ้น

จากนั้น ในสำนักงานก็มีเสียงหัวเราะขึ้น “จะเป็นไปได้ยังไง เสี่ยวหยูเป็นพนักงานของบริษัทมาแปดปีแล้ว หลายปีมานี้ แม้จะไม่ได้สร้างผลงานให้บริษัท แต่ก็ทำงานหนักเหมือนกัน อีกอย่าง ระหว่างเธอกับจยาจยาจะเป็นยังไง ก็เป็นแค่ความขัดแย้งส่วนตัวเล็กน้อยของผู้หญิง คงไม่ถึงขนาดที่จะทำให้บริษัทเก็บไปคิด?”

เล่อจยามองไปยังคนคนนั้นที่กำลังวิเคราะห์อย่างละเอียด พยักหน้า พูดไม่ผิด เรื่องเมื่อวาน ถ้าหากเป็นคนอื่น ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร

แต่ หากสามีของเล่อจยาเป็นเกาไห่แล้ว เรื่องนี้ อาจจะไม่เหมือนเดิม

คิดๆแล้ว เธอก็แอบหยิบมือถือขึ้นมา ส่งข้อความไปหาเกาไห่ “คุณไล่เสี่ยวหยูออกเหรอ?”

ข้อความผ่านไปแล้วสิบนาทีจึงตอบกลับ “หรือจะเก็บไว้ให้รังแกคุณต่อล่ะ?”

“ที่จริงไม่เป็นไร คนแบบฉัน คุณก็รู้ ถ้าคนธรรมดาต้องการรังแกฉันจริงๆ ก็ทำไม่ได้หรอก”

เกาไห่ตอบกลับด้วยสติ๊กเกอร์หน้ายิ้ม แนบด้วย“แบบนั้นก็ไม่ได้”

พอใกล้จะเลิกงาน ซูหย่าโทรหาเล่อจยา บอกว่าวันนี้ตัวเองจะไปนัดบอท จะให้เธอไปเป็นเพื่อน

แม้ว่าเล่อจยายังคงรู้สึกแปลกๆเล็กน้อยกับผู้หญิงคนนี้ที่อ้างว่าเป็นเพื่อนสนิท แต่ เธอก็ปฏิเสธไม่ได้ “โอเค เจอกันตอนเที่ยง”

“ฉันจะถึงบริษัทเธออีกประมาณสิบนาที เธอเลิกงานแล้วก็รีบออกมานะ”

เล่อจยาตอบกลับ “อื้ม”

จากนั้นเธอก็ส่งข้อความหาเกาไห่ว่า “ตอนเที่ยงจะไปนัดบอทเป็นเพื่อนซูหย่า ไปทานมื้อเที่ยงกับคุณไม่ได้แล้ว”

หลังจากส่งข้อความ เห็นว่าใกล้เลิกงานแล้ว เธอจึงเริ่มเก็บของ

พอลงไปถึงชั้นล่าง ก็เห็นซูหย่าและรถสปอร์ตสีแดงแวววาวของเธออยู่ไกลๆ

“หลายปีมานี้ เธอกับคนคนนั้น ความสัมพันธ์เป็นยังไงบ้าง?”ซูหย่าถามหลังจากขับเคลื่อนรถแล้ว

เล่อจยาเผลอยิ้มขึ้นอย่างไม่รู้ตัว “อื้ม ก็โอเค!”

“พวกเธอ……มีอันนั้นกันหรือยังอันนั้นน่ะ?”

“ไม่มี”

ในตอนนี้เอง ก็อยู่ช่วงไฟแดงพอดี ซูหย่าหยุดรถ แล้วหันไปมองเล่อจยา ถอดแว่นกันแดดออก มองเล่อจยาด้วยสีหน้าประหลาดใจ “เขาไม่ทำอะไรเธอเหรอ?”

เล่อจยาส่ายหน้า “ไม่ เธอว่าผู้หญิงที่ไม่มีแฟนสักคนอย่างเธอ ทำไมถึงถามคนอื่นเรื่องนี้? ก็ไม่อายบ้างเลย?”เล่อจยาพูด แล้วก็หันไปมองนอกหน้าต่าง ซ่อนความน้อยใจไว้

ที่จริง ซูหย่าจะประหลาดใจก็ไม่แปลก นี่มันยุคไหนแล้ว อย่าเพิ่งพูดถึงเรื่องอยู่ก่อนแต่งเลย แค่เป็นแฟนกัน ตกลงความสัมพันธ์กันได้ จะมีสักกี่คนที่ยังคงรักษาความบริสุทธิ์อยู่อีก

“ดูแล้ว เขาคงจะหวงแหนเธอมาก”เพราะหวงแหน จึงอดไม่ได้ที่จะนำความบริสุทธิ์ของเธอไปแบบไม่ชัดเจน และอดไม่ได้ที่จะฉวยโอกาส

“เธอพูดว่าอะไรนะ?”เล่อจยาหันไปมองซูหย่า

ไฟเขียวแล้ว ซูหย่าออกรถ ส่ายหน้า “ไม่มีอะไร”

ในใจ อดที่จะอิจฉาเล่อจยาไม่ได้ สมัยนี้ หายากจริงๆที่จะพบกับผู้ชายที่รักและทะนุถนอมอย่างรู้ค่าของตัวเอง

สถานที่นัดบอทของซูหย่า เป็นโรงแรมที่ตกแต่งอย่างหรูหรา

“นี่เป็นโรงแรมของตระกูลเขา ”ซูหย่านำกุญแจรถให้กับยามหน้าประตู ชี้ไปยังตึกที่อยู่ตรงหน้าพร้อมแนะนำให้เล่อจยา

“ไม่เลว ค่อนข้างรวย”

“นี่เป็นแค่หนึ่งในร้อย”

“โอ้ แต่ว่า ซูหย่า ไม่ว่าจะมีเงินมากหรือน้อย เธอก็ต้องทำตามหัวใจของเธอ ไม่สามารถนำเรื่องเงินมาเป็นตัวตัดสินเรื่องความรักได้” คำๆนี้ เล่อจยาพูดออกมาแบบไม่รู้ตัว

จากนั้น เธอก็เห็นสีหน้าของซูหย่าเปลี่ยนไป “จยาจยา นี่ความจำเธอกลับมาแล้วเหรอ?”

เล่อจยาส่ายหน้า

“เอาเถอะ ครั้งแรกที่เธอมานัดบอทกับฉัน เธอก็พูดแบบนี้กับฉัน”พูดไป ซูหย่าก็กอดเล่อจยาอยู่หน้าประตูโรงแรม “หลายวันมานี้ เธอไม่สนใจฉันเลย จยาจยา เธอรู้ไหมว่าฉันหดหู่ใจมากแค่ไหน เมื่อก่อน ก่อนที่เธอจะความจำเสื่อม พวกเราคุยกันแทบจะทุกวัน แต่…….”

เล่อจยารู้สึกทำตัวไม่ถูกขึ้นมา “ขอโทษนะ ฉัน……”

“เอาล่ะ ไม่เป็นไร ไม่ใช่เรื่องใหญ่ ฉันแค่ต้องใช้เวลาอีกหนึ่งปีมาพัวพันอยู่กับเธอ สร้างสัมพันธ์ความเป็นเพื่อนระหว่างเราขึ้นมาอีกครั้ง”พูดจบ ซูหย่าปล่อยเล่อจยา จับมือเธอแล้วเข้าโรงแรมไป

ถึงห้องอาหาร พอประตูห้องอาหารเปิดออก ผู้ชายที่อยู่ข้างในปรากฏต่อหน้าพวกเขาทั้งสองคน เล่อจยาก็ยืนแข็งทื่ออยู่หน้าประตู

หนิงเส่าเฉินจับมือเธอไว้ ไม่ได้พูดอะไร

แบบนี้ เย่หลินก็เข้าใจแล้ว ว่านี่เป็นสิ่งที่หนิงเส่าเฉินยินยอม

“งานแต่ง คุณมีความคิดเห็นอะไรไหม? อย่างเช่นสไตล์จีนหรือสไตล์ตะวันตก?”ระหว่างที่รอเวลา หนิงเส่าเฉินก็ถามความคิดเห็นของเย่หลิน

สไตล์จีนหรือสไตล์ตะวันตก?

“อืม สไตล์จีนและสไตล์ตะวันตกต่างก็มีข้อดีของมัน ไม่เป็นไร ฉันได้หมด ขอแค่เจ้าบ่าวคือคุณ ก็โอเค” พูดจบ เธอพิงไหล่หนิงเส่าเฉิน “เส่าเฉิน หลังจากจัดงานแต่งแล้ว ฉันจะลองไปตรวจร่างกายดู”

“เป็นอะไร? ไม่สบายตรงไหนหรือเปล่า?”

“โธ่ ฉัน……ฉันเคยบอกคุณแล้วไม่ใช่เหรอ ว่าอยากคลอดอีกคน คลอดลูกให้คุณตั้งสองคนแล้ว เสียเปรียบให้คุณตลอดเลย ยังไงก็ตาม ฉันจะต้องให้คุณดูแลฉันบ้าง”

หนิงเส่าเฉินกอดเอวเธอไว้ และรัดแน่นขึ้น เขาฝืนเก็บความเจ็บปวดไว้ในใจ “เย่หลิน เราไปตรวจร่างกายกันก็ได้ แต่ลูกไม่คลอดแล้วได้ไหม พวกเราก็ปล่อยให้มันเป็นไปตามนั้นเลยได้ไหม?”

พูดจบ เขาก็มองเย่หลินอย่างเป็นกังวล

เย่หลินสูดหายใจเข้า “ดูคุณกังวลเข้าสิ คุณกลัวจะต้องดูแลฉันขนาดนั้นเลย? ที่จริงฉันก็คิดแบบนั้น ยังไงซะ ก็มีเสี่ยวซีกับเสียวโม่แล้ว ถ้าหากว่าสามารถคลอดได้ ก็มีอีกคน ไม่ได้ ก็ไม่ได้เสียใจอะไร”

ขณะนั้นเอง ก็มีเจ้าหน้าที่ในเครื่องแบบเดินเข้ามา “หนิงเส่า ถึงคิวของคุณกับนายหญิงแล้ว ตามผมมาเลยครับ”

กรอกแบบฟอร์ม ถ่ายรูป ลงทะเบียน……

ขณะที่ถือหนังสือสีแดงสองเล่มนั้น เย่หลินอดไม่ได้ที่จะหลั่งน้ำตา สิ่งที่พวกเขาพบเจอตลอดทางที่เดินมา มีแต่พวกเขาเท่านั้นที่เข้าใจ ว่ามันไม่ง่ายเลย

“ไม่ต้องร้องแล้ว คนอื่นที่ไม่รู้ คงคิดว่าผมบังคับคุณมา”หาได้ยากที่หนิงเส่าเฉินจะพูดเล่น เย่หลินบีบที่เอวเขา “ตาบ้า”

ออกจากสำนักงานฝ่ายพลเรือนแล้ว เย่หลินก็หยุดเดินกะทันหัน มองหนิงเส่าเฉิน “คุณ……พาฉันไปที่ที่หนึ่งได้ไหม?”

หนิงเส่าเฉินพยักหน้า “ที่ไหน?”

“ฉันอยากไปดูเกาเหวิน”

กับผู้หญิงคนนี้ ลูกสาวของลุงตัวเองคนนี้ เย่หลินมีความรู้สึกที่ซับซ้อนมาก

“คุณจะไปดูเธอทำไม?”สีหน้าของหนิงเส่าเฉินไม่ค่อยดี เห็นได้ชัด ว่าเขาไม่มีความรู้สึกอะไรต่อเกาเหวินอีกแล้ว

“ไม่ว่าจะยังไง ที่เราสามารถอยู่ด้วยกันได้ ก็เป็นเพราะเธอ นี่ก็จดทะเบียนสมรสกันแล้ว ไม่ควรจะไปขอบคุณกันหน่อยเหรอ? อีกอย่าง ยังมีเรื่องบางเรื่อง ที่ฉันอยากให้เธอเข้าใจ”

หนิงเส่าเฉินเข้าใจแล้วว่าในใจเธอกำลังคิดอะไรอยู่ “โอเค ผมไปเป็นเพื่อนคุณ”

เย่หลินเคยคิดภาพเหตุการณ์หลายอย่างที่จะเจอกับเกาเหวินอีกครั้ง แต่กลับไม่เคยคิดว่าจะเป็นอย่างภาพที่อยู่ตรงหน้า

ผมที่แต่เดิมยาวถูกตัดเป็นทรงslick back และมีแผลเป็นน่าเกลียดอยู่ทางด้านขวาของใบหน้า รอยคล้ำใต้ตา ผิวคล้ำเหลือง และสวมใส่ชุดนักโทษ ถ้าไม่ใช่เพราะใบหน้านั้นยังเห็นลักษณะของเธอได้เลือนลาง เย่หลินก็คงไม่เชื่อว่านี่จะเป็นเกาเหวินที่ยโสโอหังคนนั้น

เกาเหวินมองผู้หญิงตรงหน้า ลุกขึ้นยืนจากเก้าอี้ด้วยความประหลาดใจ

“เธอ……เฉินเป้ยอี?”

ก่อนจะมาที่นี่ เย่หลินตั้งใจกลับบ้านไปเปลี่ยนโฉมให้กลายเป็นเฉินเป้ยอี ความทุกข์ทรมานที่ได้รับตอนนั้น ยังไงวันนี้ก็ต้องได้เห็นผลกัน

ระหว่างทาง หนิงเส่าเฉินบอกกับเธอว่าเกาเหวินถูกตัดสินให้จำคุกตลอดชีวิต ในข้อหาฆาตกรรมโดยเจตนาและอาชญากรรมอื่นๆอีกมากมาย

ตอนเข้าคุกแรกๆ เธอเคยจะใช้ช้อนฆ่าตัวตาย และเคยจะแขวนคอตาย แต่สุดท้ายก็ล้มเหลว หลังจากนั้น เธอคงยอมรับชะตากรรม ไม่ได้พยายามอีก

อย่างไรก็ตาม หลังจากที่รู้ว่าคนที่เธอเจตนาจะฆ่าคือเกาไห่ เย่หลินก็โกรธมาก เธอคิดไม่ถึงเลยว่า ตอนนั้นที่เกาไห่ตกหน้าผาจะเป็นผีมือของเกาเหวิน ถึงทั้งสองคนจะไม่ได้เป็นพี่น้องแท้ๆ แต่ยังไงก็อยู่ด้วยกันมาตั้งหลายปี เธอไม่รู้จริงๆว่าใจของผู้หญิงคนนี้ทำจากอะไร ถึงได้ใจร้ายขนาดนี้ คิดถึงตรงนี้ เธอรู้สึกสงสารพี่ชายของตัวเอง อีกอย่าง ผู้หญิงคนนี้สติฟั่นเฟือนจะให้แม่ของตัวเองรับโทษแทน ทำให้แม่ของเธอต้องฆ่าตัวตายในคุก

คิดถึงตรงนี้ เธอยิ่งเห็นว่าควรพิพากษาให้รับโทษทัณฑ์ทรมานด้วยซ้ำ

“สวัสดี คุณหนูเกา ไม่เจอกันนานเลยนะ”

เกาเหวินมองหนิงเส่าเฉินโอบเอวเธอ ก็หัวเราะขึ้นมาเสียงดัง “ดูเหมือนว่าทั้งฉันและคนนามสกุลเย่คนนั้นจะเป็นผู้แพ้นะ หนิงเส่าเฉิน คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าคุณจะหลายใจขนาดนี้ ”

เย่หลินยิ้ม หยิบหนังสือเล่มสีแดงออกมาจากกระเป๋า คลี่ออก ให้เกาเหวินดู

“คุณหนูเกา ดูสิ ว่านี่คืออะไร?”

เกาเหวินพึมพำเสียงเย็น “ทะเบียนสมรส?”

“คุณหนูเกาไม่ลองดูดีๆล่ะ ว่านี่เป็นทะเบียนสมรสของใคร”

เมื่อเธอพูดจบ สีหน้าของเกาเหวินก็เปลี่ยนไป เอาหน้าเข้ามาใกล้ เห็นว่าข้างบนนั้นคือเย่หลินกับหนิงเส่าเฉิน ก็อดที่จะขมวดคิ้วไม่ได้ “นี่มันหมายความว่าอะไร?”

เย่หลินเก็บทะเบียนสมรส จากนั้น เธอก็ถามเกาเหวิน “คุณหนูเกา ไม่รู้ว่าคุณเคยสงสัยไหม ว่าทำไมตอนนั้น หน้ากากปลอมๆของคุณ ถูกเกาไห่มองทะลุปรุโปร่งแล้ว แต่ทำไมหลังจากที่เกาไห่มองออก ก็ยังคงพาคุณเข้าตระกูลหนิงเหมือนเดิม เรื่องนี้ คุณอยากรู้ไหม?”

เกาเหวินพูดด้วยความโกรธอย่างหยุดไม่อยู่ “หรือว่าเป็นเธอ? เธออยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ใช่ไหม?”

เย่หลินยิ้ม “ไม่ ไม่ใช่ฉัน แต่เป็นเพราะโลกนี้ไม่มีเฉินเป้ยอีจริงๆ แล้วจะไปมีน้องสาวเฉินอีอีของเธอได้ยังไงล่ะ? ”

“หมายความว่ายังไง?”

เย่หลินหยิบที่เช็ดเครื่องสำอางที่เตรียมไว้ออกมา ใช้สำลีเช็ดใบหน้าสักพัก แล้วใช้ทิชชูซับน้ำบนหน้าให้แห้ง จากนั้น ก็เผยให้เห็นใบหน้าที่สง่างาม

เกาเหวินอ้าปากค้างอยู่นาน จากนั้น เธอก็หัวเราะดังขึ้น หัวเราะจนสุดท้ายกลายเป็นเสียงร้องไห้ “ที่แท้มันเป็นแบบนี้นี่เอง เป็นแบบนี้นี่เอง……ที่แท้ ฉันเป็นคนโง่มาตั้งแต่แรก คนโง่”

“หนิงเส่าเฉิน คนเนรคุณ ต่อให้คุณไม่ได้ชอบฉันก็เถอะ แต่ทำไมคุณถึงทำกับฉันแบบนี้ ไม่ว่าฉันจะเลวกับใครก็ตาม แต่ฉันสาบานได้ ว่ากับคุณ ฉันทำเพราะรักทั้งนั้น แต่คุณกลับร่วมมือกับคนอื่นมาหลอกฉัน ”เธอตะโกนใส่หนิงเส่าเฉิน

หนิงเส่าเฉินที่ไม่ได้เอ่ยปากพูดเลยก้มหน้าลงสบสายตากับเย่หลิน ถึงเงยหน้าขึ้นมองเกาเหวิน “ไม่เคยโกหกผม? เรื่องอื่นผมจะไม่พูดแล้ว เกาเหวิน สิบปีก่อน ใครเป็นคนช่วยผมไว้? ในใจคุณไม่รู้เหรอ? ผมจะบอกให้ ว่าเย่หลินเป็นคนที่ช่วยผม อีกอย่างเรื่องที่มีลูกไม่ได้ คุณเห็นผมเป็นคนโง่เหรอ?”

สีหน้าเกาเหวินซีดลง ตอนแรกเธอคิดว่าสามารถพึ่งพาเรื่องเก่าๆให้หนิงเส่าเฉินช่วยเธอ ตอนนี้ถึงได้รู้ว่า คนที่ส่งตัวเองเข้าคุกจริงๆแล้วก็คือผู้ชายคนนี้

“พวกแก……พวกแกรอก่อนเถอะ รอพ่อฉันกลับมา ฉันไม่ปล่อยพวกแกไปแน่ แม้ว่าฉันจะตาย ก็จะดึงพวกแกไปด้วย”ทันใดนั้น เกาเหวินก็นึกถึงพ่อที่หายตัวไป ในตาก็มีความหวังขึ้นมาอีกครั้ง

เย่หลินดึงให้หนิงเส่าเฉินลุกขึ้น “ไปเถอะ ”เรื่องที่อยู่ของพ่อเกา พวกเขารู้อยู่ในใจ ถูกคุณตาพาตัวไป คาดว่าชีวิตนี้คงไม่ได้ออกมาอีกแล้ว

“อย่าไปนะ……พวกแกได้ยินไหม……”

ผู้หญิงที่อยู่ข้างหลังยังคงร้อง แต่ทั้งสองคนก็ไม่ได้หยุด

หนิงเส่าเฉินจับมือเธอไว้ ไม่ได้พูดอะไร

แบบนี้ เย่หลินก็เข้าใจแล้ว ว่านี่เป็นสิ่งที่หนิงเส่าเฉินยินยอม

“งานแต่ง คุณมีความคิดเห็นอะไรไหม? อย่างเช่นสไตล์จีนหรือสไตล์ตะวันตก?”ระหว่างที่รอเวลา หนิงเส่าเฉินก็ถามความคิดเห็นของเย่หลิน

สไตล์จีนหรือสไตล์ตะวันตก?

“อืม สไตล์จีนและสไตล์ตะวันตกต่างก็มีข้อดีของมัน ไม่เป็นไร ฉันได้หมด ขอแค่เจ้าบ่าวคือคุณ ก็โอเค” พูดจบ เธอพิงไหล่หนิงเส่าเฉิน “เส่าเฉิน หลังจากจัดงานแต่งแล้ว ฉันจะลองไปตรวจร่างกายดู”

“เป็นอะไร? ไม่สบายตรงไหนหรือเปล่า?”

“โธ่ ฉัน……ฉันเคยบอกคุณแล้วไม่ใช่เหรอ ว่าอยากคลอดอีกคน คลอดลูกให้คุณตั้งสองคนแล้ว เสียเปรียบให้คุณตลอดเลย ยังไงก็ตาม ฉันจะต้องให้คุณดูแลฉันบ้าง”

หนิงเส่าเฉินกอดเอวเธอไว้ และรัดแน่นขึ้น เขาฝืนเก็บความเจ็บปวดไว้ในใจ “เย่หลิน เราไปตรวจร่างกายกันก็ได้ แต่ลูกไม่คลอดแล้วได้ไหม พวกเราก็ปล่อยให้มันเป็นไปตามนั้นเลยได้ไหม?”

พูดจบ เขาก็มองเย่หลินอย่างเป็นกังวล

เย่หลินสูดหายใจเข้า “ดูคุณกังวลเข้าสิ คุณกลัวจะต้องดูแลฉันขนาดนั้นเลย? ที่จริงฉันก็คิดแบบนั้น ยังไงซะ ก็มีเสี่ยวซีกับเสียวโม่แล้ว ถ้าหากว่าสามารถคลอดได้ ก็มีอีกคน ไม่ได้ ก็ไม่ได้เสียใจอะไร”

ขณะนั้นเอง ก็มีเจ้าหน้าที่ในเครื่องแบบเดินเข้ามา “หนิงเส่า ถึงคิวของคุณกับนายหญิงแล้ว ตามผมมาเลยครับ”

กรอกแบบฟอร์ม ถ่ายรูป ลงทะเบียน……

ขณะที่ถือหนังสือสีแดงสองเล่มนั้น เย่หลินอดไม่ได้ที่จะหลั่งน้ำตา สิ่งที่พวกเขาพบเจอตลอดทางที่เดินมา มีแต่พวกเขาเท่านั้นที่เข้าใจ ว่ามันไม่ง่ายเลย

“ไม่ต้องร้องแล้ว คนอื่นที่ไม่รู้ คงคิดว่าผมบังคับคุณมา”หาได้ยากที่หนิงเส่าเฉินจะพูดเล่น เย่หลินบีบที่เอวเขา “ตาบ้า”

ออกจากสำนักงานฝ่ายพลเรือนแล้ว เย่หลินก็หยุดเดินกะทันหัน มองหนิงเส่าเฉิน “คุณ……พาฉันไปที่ที่หนึ่งได้ไหม?”

หนิงเส่าเฉินพยักหน้า “ที่ไหน?”

“ฉันอยากไปดูเกาเหวิน”

กับผู้หญิงคนนี้ ลูกสาวของลุงตัวเองคนนี้ เย่หลินมีความรู้สึกที่ซับซ้อนมาก

“คุณจะไปดูเธอทำไม?”สีหน้าของหนิงเส่าเฉินไม่ค่อยดี เห็นได้ชัด ว่าเขาไม่มีความรู้สึกอะไรต่อเกาเหวินอีกแล้ว

“ไม่ว่าจะยังไง ที่เราสามารถอยู่ด้วยกันได้ ก็เป็นเพราะเธอ นี่ก็จดทะเบียนสมรสกันแล้ว ไม่ควรจะไปขอบคุณกันหน่อยเหรอ? อีกอย่าง ยังมีเรื่องบางเรื่อง ที่ฉันอยากให้เธอเข้าใจ”

หนิงเส่าเฉินเข้าใจแล้วว่าในใจเธอกำลังคิดอะไรอยู่ “โอเค ผมไปเป็นเพื่อนคุณ”

เย่หลินเคยคิดภาพเหตุการณ์หลายอย่างที่จะเจอกับเกาเหวินอีกครั้ง แต่กลับไม่เคยคิดว่าจะเป็นอย่างภาพที่อยู่ตรงหน้า

ผมที่แต่เดิมยาวถูกตัดเป็นทรงslick back และมีแผลเป็นน่าเกลียดอยู่ทางด้านขวาของใบหน้า รอยคล้ำใต้ตา ผิวคล้ำเหลือง และสวมใส่ชุดนักโทษ ถ้าไม่ใช่เพราะใบหน้านั้นยังเห็นลักษณะของเธอได้เลือนลาง เย่หลินก็คงไม่เชื่อว่านี่จะเป็นเกาเหวินที่ยโสโอหังคนนั้น

เกาเหวินมองผู้หญิงตรงหน้า ลุกขึ้นยืนจากเก้าอี้ด้วยความประหลาดใจ

“เธอ……เฉินเป้ยอี?”

ก่อนจะมาที่นี่ เย่หลินตั้งใจกลับบ้านไปเปลี่ยนโฉมให้กลายเป็นเฉินเป้ยอี ความทุกข์ทรมานที่ได้รับตอนนั้น ยังไงวันนี้ก็ต้องได้เห็นผลกัน

ระหว่างทาง หนิงเส่าเฉินบอกกับเธอว่าเกาเหวินถูกตัดสินให้จำคุกตลอดชีวิต ในข้อหาฆาตกรรมโดยเจตนาและอาชญากรรมอื่นๆอีกมากมาย

ตอนเข้าคุกแรกๆ เธอเคยจะใช้ช้อนฆ่าตัวตาย และเคยจะแขวนคอตาย แต่สุดท้ายก็ล้มเหลว หลังจากนั้น เธอคงยอมรับชะตากรรม ไม่ได้พยายามอีก

อย่างไรก็ตาม หลังจากที่รู้ว่าคนที่เธอเจตนาจะฆ่าคือเกาไห่ เย่หลินก็โกรธมาก เธอคิดไม่ถึงเลยว่า ตอนนั้นที่เกาไห่ตกหน้าผาจะเป็นผีมือของเกาเหวิน ถึงทั้งสองคนจะไม่ได้เป็นพี่น้องแท้ๆ แต่ยังไงก็อยู่ด้วยกันมาตั้งหลายปี เธอไม่รู้จริงๆว่าใจของผู้หญิงคนนี้ทำจากอะไร ถึงได้ใจร้ายขนาดนี้ คิดถึงตรงนี้ เธอรู้สึกสงสารพี่ชายของตัวเอง อีกอย่าง ผู้หญิงคนนี้สติฟั่นเฟือนจะให้แม่ของตัวเองรับโทษแทน ทำให้แม่ของเธอต้องฆ่าตัวตายในคุก

คิดถึงตรงนี้ เธอยิ่งเห็นว่าควรพิพากษาให้รับโทษทัณฑ์ทรมานด้วยซ้ำ

“สวัสดี คุณหนูเกา ไม่เจอกันนานเลยนะ”

เกาเหวินมองหนิงเส่าเฉินโอบเอวเธอ ก็หัวเราะขึ้นมาเสียงดัง “ดูเหมือนว่าทั้งฉันและคนนามสกุลเย่คนนั้นจะเป็นผู้แพ้นะ หนิงเส่าเฉิน คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าคุณจะหลายใจขนาดนี้ ”

เย่หลินยิ้ม หยิบหนังสือเล่มสีแดงออกมาจากกระเป๋า คลี่ออก ให้เกาเหวินดู

“คุณหนูเกา ดูสิ ว่านี่คืออะไร?”

เกาเหวินพึมพำเสียงเย็น “ทะเบียนสมรส?”

“คุณหนูเกาไม่ลองดูดีๆล่ะ ว่านี่เป็นทะเบียนสมรสของใคร”

เมื่อเธอพูดจบ สีหน้าของเกาเหวินก็เปลี่ยนไป เอาหน้าเข้ามาใกล้ เห็นว่าข้างบนนั้นคือเย่หลินกับหนิงเส่าเฉิน ก็อดที่จะขมวดคิ้วไม่ได้ “นี่มันหมายความว่าอะไร?”

เย่หลินเก็บทะเบียนสมรส จากนั้น เธอก็ถามเกาเหวิน “คุณหนูเกา ไม่รู้ว่าคุณเคยสงสัยไหม ว่าทำไมตอนนั้น หน้ากากปลอมๆของคุณ ถูกเกาไห่มองทะลุปรุโปร่งแล้ว แต่ทำไมหลังจากที่เกาไห่มองออก ก็ยังคงพาคุณเข้าตระกูลหนิงเหมือนเดิม เรื่องนี้ คุณอยากรู้ไหม?”

เกาเหวินพูดด้วยความโกรธอย่างหยุดไม่อยู่ “หรือว่าเป็นเธอ? เธออยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ใช่ไหม?”

เย่หลินยิ้ม “ไม่ ไม่ใช่ฉัน แต่เป็นเพราะโลกนี้ไม่มีเฉินเป้ยอีจริงๆ แล้วจะไปมีน้องสาวเฉินอีอีของเธอได้ยังไงล่ะ? ”

“หมายความว่ายังไง?”

เย่หลินหยิบที่เช็ดเครื่องสำอางที่เตรียมไว้ออกมา ใช้สำลีเช็ดใบหน้าสักพัก แล้วใช้ทิชชูซับน้ำบนหน้าให้แห้ง จากนั้น ก็เผยให้เห็นใบหน้าที่สง่างาม

เกาเหวินอ้าปากค้างอยู่นาน จากนั้น เธอก็หัวเราะดังขึ้น หัวเราะจนสุดท้ายกลายเป็นเสียงร้องไห้ “ที่แท้มันเป็นแบบนี้นี่เอง เป็นแบบนี้นี่เอง……ที่แท้ ฉันเป็นคนโง่มาตั้งแต่แรก คนโง่”

“หนิงเส่าเฉิน คนเนรคุณ ต่อให้คุณไม่ได้ชอบฉันก็เถอะ แต่ทำไมคุณถึงทำกับฉันแบบนี้ ไม่ว่าฉันจะเลวกับใครก็ตาม แต่ฉันสาบานได้ ว่ากับคุณ ฉันทำเพราะรักทั้งนั้น แต่คุณกลับร่วมมือกับคนอื่นมาหลอกฉัน ”เธอตะโกนใส่หนิงเส่าเฉิน

หนิงเส่าเฉินที่ไม่ได้เอ่ยปากพูดเลยก้มหน้าลงสบสายตากับเย่หลิน ถึงเงยหน้าขึ้นมองเกาเหวิน “ไม่เคยโกหกผม? เรื่องอื่นผมจะไม่พูดแล้ว เกาเหวิน สิบปีก่อน ใครเป็นคนช่วยผมไว้? ในใจคุณไม่รู้เหรอ? ผมจะบอกให้ ว่าเย่หลินเป็นคนที่ช่วยผม อีกอย่างเรื่องที่มีลูกไม่ได้ คุณเห็นผมเป็นคนโง่เหรอ?”

สีหน้าเกาเหวินซีดลง ตอนแรกเธอคิดว่าสามารถพึ่งพาเรื่องเก่าๆให้หนิงเส่าเฉินช่วยเธอ ตอนนี้ถึงได้รู้ว่า คนที่ส่งตัวเองเข้าคุกจริงๆแล้วก็คือผู้ชายคนนี้

“พวกแก……พวกแกรอก่อนเถอะ รอพ่อฉันกลับมา ฉันไม่ปล่อยพวกแกไปแน่ แม้ว่าฉันจะตาย ก็จะดึงพวกแกไปด้วย”ทันใดนั้น เกาเหวินก็นึกถึงพ่อที่หายตัวไป ในตาก็มีความหวังขึ้นมาอีกครั้ง

เย่หลินดึงให้หนิงเส่าเฉินลุกขึ้น “ไปเถอะ ”เรื่องที่อยู่ของพ่อเกา พวกเขารู้อยู่ในใจ ถูกคุณตาพาตัวไป คาดว่าชีวิตนี้คงไม่ได้ออกมาอีกแล้ว

“อย่าไปนะ……พวกแกได้ยินไหม……”

ผู้หญิงที่อยู่ข้างหลังยังคงร้อง แต่ทั้งสองคนก็ไม่ได้หยุด

เล่อจยามองไปที่ชายตรงหน้า รูปร่างหน้าตาหล่อ เธอจำได้ว่าในบรรดาผู้ชายที่เธอรู้จัก มีคนแค่ไม่กี่คนที่รูปร่างดูดี แต่เธอกลับไม่รู้จักผู้ชายคนนี้ หรือว่า เราจะรู้จักกันก่อนที่เธอจะสูญเสียความทรงจำ?

เธอไม่กล้าพูดไปช่วงหนึ่ง “สวัสดีค่ะ คุณคือ?”

ชายที่อยู่ตรงหน้า เห็นได้ชัดว่าสีหน้านิ่งลงไป จากนั้น เขาก็พูดกับเล่อจยาอย่างตื่นเต้นว่า“เพื่อนร่วมโต๊ะของเธอ ยังจำได้ไหม คนที่ตอนนั้นถูกเธอตีจนไม่กล้าไปเรียนสองวัน?”

ตอนแรกเล่อจยายังจำไม่ได้ สักพัก เธอก็ชี้ไปที่เขา พูดอย่างประหลาดใจ“เสี่ยวหวู่?”

“ถูกต้อง ยังถือว่าใจดี นึกว่าเธอจะลืมฉันซะแล้ว หลังจากเรียนจบ ก็ไม่เจอเธอเลย ตอนนี้เป็นยังไงบ้าง?”เซียวหวู่ดึงเก้าอี้ของเขามานั่งที่โต๊ะของเล่อเจีย ท่าทางดูเป็นกันเองมาก

เล่อจยารู้สึกอึดอัดเล็กน้อย หันไปมองเกาไห่โดยอัตโนมัติ ก็เห็นว่า สีหน้าของเขาดำมืดจนน่ากลัว

“คนนี้คือ?”เสี่ยวหวู่มองเกาไห่แล้วถามขึ้น

“ฉัน……หัวหน้าของฉัน ออกมาคุยเรื่องงานด้วยกัน”เล่อจยายังไม่ได้เตรียมใจที่จะเปิดเผยความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับเกาไห่ ดังนั้น บอกว่าเขาเป็นเจ้านาย จึงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด

“อ๋อๆ……งั้นโอเค งั้นไม่รบกวนพวกเธอคุยเรื่องงานล่ะ เธอเอาเบอร์มือถือให้ฉัน แล้วเราค่อยติดต่อกันทีหลัง”

จากนั้นทั้งสองคนก็แลกเบอร์โทรกัน เสี่ยวหวู่ถึงได้กลับไปนั่งที่โต๊ะของตัวเอง

เกาไห่ทำหน้านิ่งขรึม ไม่ได้พูดอะไรตั้งแต่ต้น

“สมัยมัธยมปลาย เรานั่งด้วยกัน ช่วงแรกๆเขาชอบแกล้งฉัน มีครั้งหนึ่งฉันตอบโต้กลับไปแรงๆ เขาก็ไม่กล้าอีกเลย ตอนนั้น เขาอ้วนกว่าฉันอีก คิดไม่ถึงว่าตอนนี้จะหล่อขนาดนี้”เธอพูดไปแล้วคีบดอกกะหล่ำ แต่ถูกเกาไห่เคาะตะเกียบ ดอกกะหล่ำจึงตกลงไปบนจาน “คุณคิดถึงขนาดนั้น ทำไมไม่ไปนั่งคุยกันต่อล่ะ?”

“ไม่ต้องหรอก วันหลัง……”คำว่า‘ก็ได้’ยังไม่ทันได้พูดออกมา ผู้ชายบางคนก็ได้ทุบตะเกียบลงโต๊ะอย่างแรง

เล่อจยาเม้มปาก รีบเปลี่ยนคำพูด “วันหลังพวกเราค่อยนัดเขากินข้าวพร้อมกัน”

จากนั้น จนถึงกลับบ้าน เกาไห่ก็ยังคงมีสีหน้านิ่งขรึมตลอดเวลา เล่อจยารู้สึกว่าเขาคิดมากเกินไป ในที่สุด วินาทีที่ปิดประตูบ้าน เล่อจยาทนไม่ไหว “ทำไมคุณถึงหึงฉันได้เนี่ย? คุณก็ไม่ดูสภาพของเขาตอนนี้เลย คนอื่นเขาจะมามองฉันได้ยังไง? ก็แค่เพื่อนเก่าเจอกัน ทักทายกันเฉยๆ คุณก็ทำเรื่องเล็กให้กลายเป็นเรื่องใหญ่ไปได้?”

เกาไห่ที่เปลี่ยนรองเท้าอยู่นิ่งไป “นี่คุณหมายถึง คนที่มองคุณ คือคนตาบอด? หน้าตาอัปลักษณ์ไม่หล่อ?”

เอ่อ…… เล่อจยาไม่กล้าพูด ใช่แล้ว เธอลืมไปได้ยังไง สามีเธอ เป็นถึงมังกรในหมู่ผู้คน ขนาดเกาไห่ยังสามารถแต่งงานกับเธอได้ ถ้าอย่างนั้นผู้ชายคนอื่นจะมองเธอ ก็เป็นเรื่องธรรมดาไม่ใช่เหรอ?

เห็นเขาหงุดหงิดจนหูแดง ก็ใจอ่อน เดินเข้าไปกอดเอวเขาไว้ เขย่งเท้าและจุ๊บริมฝีปากบางของเกาไห่เบาๆ

เธออยากละริมฝีปากออก แต่กลับถูกเกาไห่ดึงไว้ มือใหญ่กดอยู่ด้านหลังศีรษะของเธอ จูบต่ออย่างลึกซึ้ง

คฤหาสน์หนิง

“พ่อคะ ดูนี่สิ?” หลังกลับจากทานอาหารค่ำ หนิงเสี่ยวซีกับเสี่ยวโม่ก็ไปนอน หนิงเชี่ยนจะคุยเรื่องงานหมั้นกับหลิวซู จึงกลับไปก่อน ในห้องรับแขกจึงเหลือแค่เธอกับหนิงเส่าเฉิน และพ่อหนิงกับแม่หนิง จู่ๆเย่หลินก็นึกถึงภาพนี้ขึ้น จึงตัดสินใจนำออกมา ถามพ่อหนิง

พ่อหนิงรับโทรศัพท์ไป สายตาไปตกอยู่ที่รูปนั้น เห็นวันที่ที่อยู่ฝั่งตรงข้าม เขาดูเหลือเชื่อ “รูปนี้คือพ่อเธอจริงๆ แต่……วันที่นี้ ไม่ถูก เขาตายไปก่อนหน้านั้นแล้วสามปี”

“ถ้าอย่างนั้นคนที่อยู่ในรูป คือพ่อเกา?”เย่หลินถามขึ้น

พ่อหนิงขมวดคิ้วเข้าหากัน ส่ายหน้า “นี่ไม่ใช่พ่อเกา แม้ว่าพวกเขาสองคนจะเป็นแฝดกัน หน้าตาคล้ายกันมาก แต่จริงๆแล้วพ่อเธอจะดูโดดเด่นกว่ามาก ถ้าหากทั้งสองคนอยู่ด้วยกัน ก็แยกแยะกันออกง่ายมาก”

“ฝาแฝด?”

“เธอไม่รู้เหรอ?”

“ฉันก็เคยคิดค่ะ แต่ ก็ปฏิเสธในใจ ไม่อยากจะเชื่อ ว่าลุงของตัวเองจะเป็นคนแบบนี้” อย่างไรก็ตาม สิ่งนี้ก็สามารถอธิบายได้แล้ว ว่าทำไมพ่อเกาถึงเต็มใจเลี้ยงเกาไห่ และทำไมถึงยอมให้เธอคลอดหนิงเสี่ยวซี

“แต่ว่าพ่อคะ ถ้าหากคนในรูป ไม่ใช่พ่อเกา แต่เป็นพ่อฉัน แล้ววันที่นี้จะอธิบายยังไง?”

สมัยนั้น ไม่น่าจะมีโปรแกรมps ยิ่งกว่านั้นแม่คงไม่ได้ตั้งใจขนาดนั้น

“รูปนี้ เธอได้มาจากไหน?”

“หลังจากที่ฉันให้กำเนิดเสี่ยวซี และเพื่อที่จะดูแลแม่ของฉัน จึงได้เช่าห้องในเมืองw นั่นเป็นสิ่งที่ลุงห้องข้างๆวานคนเอามาให้ฉัน”

พูดถึงเรื่องนี้ เย่หลินก็รู้สึกสงสัยมาก ลุงคนนั้นมีรูปนี้ แสดงว่าเขาต้องรู้จักกับแม่ แต่ดูจากปฏิกิริยาของแม่ตอนนั้น ไม่เหมือนว่าเคยรู้จักกันเลย

“เรื่องนี้ ให้เส่าเฉินส่งคนไปสืบดู!หากสืบได้ จะเป็นเรื่องน่าดีใจ……”พูดถึงตรงนี้ พ่อหนิงก็นิ่งไป “ถ้าหากสืบไม่ได้ สาวน้อย อย่าไปคิดมันอีกเลยนะ มันผ่านไปแล้ว ตอนนี้ แค่เธอกับเส่าเฉิน และเด็กๆมีชีวิตที่ดี เรื่องพวกนี้ ก็เป็นแค่อดีต”

เย่หลินพยักหน้า ลุกขึ้นยืน “ค่ะ ถ้าอย่างนั้นพ่อกับแม่เข้านอนเร็วๆนะคะ พวกเราขอขึ้นห้องก่อน”

ในห้องนอน หนิงเส่าเฉินกอดเย่หลินจากข้างหลัง ถอนหายใจแรงๆ “ฟ้าหลังฝนสักที”

หนิงเส่าเฉินไม่ใช่คนที่มีอารมณ์อ่อนไหว เขาแสดงอารมณ์แบบนี้ออกมาได้ นั่นคงแสดงว่า ช่วงนี้ทำให้เขารู้สึกเหนื่อยจริงๆ

เย่หลินหันกลับไป นิ้วเรียวสวยนั้น วาดวงกลมอยู่บนหน้าอกของเขา “หนิงเส่าเฉิน ในเมื่อตอนนี้เรื่องทุกอย่างก็คลี่คลายแล้ว คุณก็ควรให้คำอธิบายกับฉันได้แล้วใช่ไหม?”

หนิงเส่าเฉินจับมือเธอไว้ แน่นอนว่ารู้ในสิ่งที่เธอต้องการจะสื่อ “พรุ่งนี้ เราไปที่สำนักงานฝ่ายพลเรือนกัน จากนั้น เตรียมการถ่ายภาพพรีเวดดิ้ง ต่อจากนั้นอีก ผมจะจัดงานแต่งงานที่ยิ่งใหญ่ให้กับคุณ……พวกนี้ เป็นสิ่งที่ผมติดคุณอยู่”

เย่หลินส่ายหน้า “ลูกสองคนแล้ว หรือว่างานแต่งเราจะจัดให้มันเรียบง่ายหน่อย อายุก็สามสิบกันแล้ว ยังจะยิ่งใหญ่ ไม่เอาๆ มันน่าอาย……”

เธอพูดจบ ก็ไม่ได้ยินเสียงตอบกลับจากหนิงเส่าเฉิน เงยหน้าขึ้นก็เห็นหนิงเส่าเฉินน้ำตาคลอ…

เอื้อมมือขึ้นไปจับแก้มเขา “คุณเป็นอะไร?”

“คุณภรรยา ให้คุณรอมานานขนาดนี้ ยังให้การแต่งงานครั้งแรกของคุณ กลายเป็นการแต่งครั้งที่สอง ผมรู้สึกผิดมาก เพราะฉะนั้น อย่าปฏิเสธผมเลยนะ บางที คุณอาจจะคิดว่าของพวกนี้มันเกินความเป็นจริงไป แต่ ผมกลับอยากให้สิ่งที่ดีที่สุดที่ผมสามารถทำได้กับคุณ”

คำพูดของเขา ทำให้เย่หลินรู้สึกไม่สบายใจ ที่จริง เธอคิดว่า งานแต่งจะใหญ่โตแค่ไหน ภายนอกดูสวยงามเท่าไหร่ จริงๆก็แค่ทำให้คนอื่นดู

ในการแต่งงาน ผู้หญิงคนหนึ่งจะมีความสุขหรือไม่มีความสุข ก็เหมือนกับการที่คนดื่มน้ำ รู้อยู่กับตัวว่าน้ำนั้นเย็นหรืออุ่น

แต่ เธอทนเห็นหนิงเส่าเฉินต้องโทษตัวเองไม่ได้ ดังนั้น เธอจึงพยักหน้า “โอเค ฟังที่คุณว่า”

วันถัดมา ทั้งสองมาถึงสำนักงานฝ่ายพลเรือน ในห้องรับรอง มีคนนั่งรออยู่ไม่น้อย การกระทำของหนิงเส่าเฉินดูน่าประหลาดใจ เขาไม่ได้ทำอะไรเป็นพิเศษ แต่กลับหยิบบัตรคิว นั่งรอคิวกับเย่หลินพร้อมหลายๆคน

วันนี้ทั้งสองคนตั้งใจแต่งตัวมา ดังนั้น ยิ่งเป็นที่สะดุดตามากขึ้น

ทันใดนั้น เย่หลินดึงชายเสื้อของหนิงเส่าเฉิน “มีคนกำลังถ่ายรูป”

หลังจากได้ยินสิ่งที่เขาพูดเขาก็มองไปที่หนิงเส่าเฉิน “ทันทีที่พ่อตื่นขึ้นก็ถามว่ามีอะไรผิดปกติกับสาวน้อยคนนั้นหรือไม่”

หนิงเส่าเฉินรู้สึกว่าลมหายใจที่ค้างอยู่ในใจมาหลายวันจู่ๆก็ได้ปลดปล่อย“พ่อ เธออยู่ในรถชั้นล่าง ผมจะบอกให้เธอขึ้นมา”

พ่อหนิงกระพริบตา

หนิงเส่าเฉิน ไม่ได้โทรหาเย่หลิน แต่ลงไปข้างล่างด้วยตัวเอง มองดูร่างที่วิ่งเหยาะๆ ของเขา แม่หนิงหันไปมองที่พ่อหนิง “ตาแก่เราคิดว่าหญิงน้อยคนนั้นผลักคุณลง เกือบ… … เกือบ ส่งเธอเข้าคุกแล้ว”

เสียงแม่หนิงลดลง เขาเห็นหน้าพ่อหนิงหน้าแดงทันที เขายกมือขึ้นอย่างลำบากและชี้ไปที่แม่หนิง “พวกเธอ.เธอ……”

“พ่อคะ หนู… หนูก็คิดไม่ถึงว่าพ่อจะต้องการช่วยเธอ หนูคิดว่าเธอเป็นคนผลักพ่อลงมา”

เมื่อเห็นหนิงเส่าเฉินดึงประตูรถเย่หลินก็รีบลุกขึ้นอย่างตื่นเต้นลืมว่าตัวเองยังอยู่ในรถ ทำให้ศีรษะโขกโดนหลังคารถจนมีเสียงดัง “โอ๊ย”

หนิงเส่าเฉินนั่งเข้าไปในรถและดึงเธอเข้ามา “เจ็บไหม ขอฉันดูหน่อย…”

เย่หลินโบกมือ “ช่างมันเหอะ รีบพูดให้ฉันฟังหน่อยคุณพ่อเป็นอย่างไรบ้าง? ตื่นหรือยัง”

ความวิตกกังวลของเธอทำให้หนิงเส่าเฉินเป็นทุกข์ เขาเอื้อมมือออกไปจับเธอไว้ในอ้อมแขนของเขาและกดมือใหญ่ของเขาที่ด้านหลังศีรษะของเธอ “โธ่ ภรรยา ผมผิดต่อคุณจริงๆ”

นี่เป็นครั้งแรกที่หนิงเส่าเฉินเรียกเย่หลินแบบนี้เย่หลินตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่เขาจะฟื้นคืนสติ “หมายความว่าพ่อตื่นแล้วใช่มั้ย”

มือใหญ่ตบหลังเธอ “ตื่นแล้ว เขาต้องการพบคุณ ขึ้นไปกันเถอะ”

หยาดน้ำตาหยดลงบนหลังมือของหนิงเส่าเฉิน เย่หลินผลักหนิงเส่าเฉินออกไปและปาดน้ำตา “ไปกันเถอะ”

เมื่อทั้งสองเปิดประตูรถเห็นแม่หนิงและหนิงเชี่ยนยืนอยู่ไม่ไกลจากรถ เมื่อเห็นทั้งสองคนลงจากรถแม่หนิงก็ผลักหนิงเชี่ยน

เย่หลินและหนิงเส่าเฉินมองหน้ากันและก้าวไปข้างหน้า

ขณะที่หนิงเชี่ยนเพิ่งเดินไปข้างหน้าของทั้งสอง หนิงเชี่ยนมองไปที่เย่หลินและคุกเข่าลง “พี่สะใภ้ฉันผิดไปแล้ว ฉันทำผิดต่อคุณและเกือบจะส่งคุณเข้าคุก ฉันขอโทษ ฉันไม่ควรสรุปเกี่ยวกับคุณจากการคาดเดาของฉันเอง ฉันขอโทษ…”

เย่หลินรีบก้าวไปข้างหน้าหนิงเชี่ยนแล้วจับมือทั้งสองข้าง “เสี่ยวเชี่ยนเธอกำลังทำอะไร เด็กโง่นั่นคือธรรมชาติของมนุษย์ ถ้าเปลี่ยนเป็นฉัน ฉันก็จะทำอย่างนั้นเช่นกัน คุณไม่ผิด ฉันไม่โทษคุณ จริงๆนะ” เขาพูดพร้อมปาดน้ำตาบนใบหน้าของหนิงเชี่ยน“อย่าร้องไห้เลย ฉันได้ยินเส่าเฉินบอกว่าคุณกับหลิวซูจะแต่งงานกันเร็ว ๆ นี้ ถ้าไม่ใช่เพราะเรื่องนี้ของฉัน บางทีคุณ ก็อาจได้แต่งงานแล้ว.”

การเปลี่ยนหัวข้อของเย่หลินที่มีความห่วงใยและความเอื้ออาทรของเธอทำให้หนิงเชี่ยนอับอายมากขึ้น เธอโทษตัวเองที่ปฏิเสธผู้หญิง ที่อยู่ข้างหน้าเธอ

ผู้หญิงคนหนึ่งที่ทุ่มเททุกอย่างที่เธอมีเพื่อช่วยพี่ชายของเธอ ทำไมเธอถึงไม่เต็มใจที่จะให้อภัยเธอ?

ในเวลาเดียวกันแม่หนิงก็เข้ามาจับมือเย่หลิน “ลูกเอ๋ย พวกเราไม่ดีเอง ที่เข้าใจผิดทำให้เธอน้อยใจ…”

“แม่ พวกคุณลงมาหมดแบบนี้ พ่ออยู่คนเดียวคงเหงาน่าดูเรารีบขึ้นไปดูเขากัน” เย่หลินขัดคำพูดของแม่หนิง แต่“แม่” คำเดียวก็อธิบายได้ทุกอย่าง

พ่อหนิงเห็นเย่หลินก็ลุกขึ้นนั่งอย่างลำบาก เมื่อเห็นเช่นนี้ แม่หนิงก็ยกเตียงขึ้นวางหมอนไว้ข้างหลัง

เย่หลินก้าวไปข้างหน้าและโค้งคำนับพ่อหนิงอย่างสุดซึ้ง “พ่อคะ ขอบพระคุณอย่างสุดซึ้งที่ช่วยชีวิตหนูไว้ในวันนั้น”

แม่หนิงมองไปที่เย่หลินข้างเตียง แล้วมองดูความเจ็บปวดในดวงตาของลูกชาย เธอรู้สึกสะเทือนใจอยู่ครู่หนึ่ง ไม่น่าแปลกใจที่ลูกชายของเขายังคงเชื่อใจผู้หญิงคนนี้ได้มากหลังจากเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น

ตัวของเธอน่ายกย่องจริงๆ เธอไม่ถือโทษสิ่งที่คนอื่นทำกับเธอไว้มาใส่ใจแต่กลับขยายความมีน้ำใจให้กับผู้อื่นที่มีต่อเธอแทน

“ลูก เป็นโชคของเส่าเฉินจริงๆ ที่ได้แต่งงานกับเธอ” เสียงของพ่อหนิงแหบเล็กน้อย

เย่หลินจับแขนของหนิงเส่าเฉิน “พ่อ เป็นโชคของหนูต่างหากที่ได้แต่งงานกับเขา”

ณ จุดนี้ถือได้ว่าเป็นฟ้าหลังฝนจริงๆ

พ่อหนิงออกจากโรงพยาบาลอีกทีในวันรุ่งขึ้นเพื่อให้แน่ใจว่าสารพิษทั้งหมดในร่างกายของเขาถูกล้างออกไป หนิงเส่าเฉินปล่อยให้พวกเขาอยู่ในประเทศต่อไป

บ้านของตระกูลหนิงที่ถูกทิ้งร้างมาเป็นเวลานาน กลับมีชีวิตชีวาขึ้นมาทันที

อาจจะเป็นเพราะรอดชีวิตมาแล้วหรืออาจจะเป็นเพราะปมในใจของเขาที่ถูกปล่อยและอาจเป็นไปได้ว่าสารพิษในร่างกายหายไปแล้วบุคลิกของพ่อหนิงก็เปลี่ยนไปมากเช่นกัน

ในตอนเย็นวันนี่หนิงเส่าเฉินไม่ได้ทำงานล่วงเวลา

เมื่อเย่หลินเกลี้ยกล่อมให้เย่เสี่ยวโม่ไปที่ห้องเขาบังเอิญเห็นหนิงเส่าเฉินเปลื้องผ้าและเธอรีบหันหน้ากลับมาอย่างไว

ผ่านไปครู่หนึ่ง มือเรียวคู่หนึ่งก็ปรากฏขึ้นที่เอว “บอกมา คุณไม่เคยเห็นตรงไหนบ้าง?”

ประโยคหนึ่งทำให้เย่หลินหน้าแดง “แล้วบอกฉันทีว่าตอนฉันไม่อยู่บ้านมากกว่าหนึ่งเดือนคุณกลับบ้านมาสายทุกวัน คุณไปทำอะไร? เย่เสี่ยวโม่กล่าวว่าคุณไปหาแม่เลี้ยงมาให้เขา ?”

หนิงเส่าเฉินเอามือแตะที่เอวของเย่หลินแน่น “เคยหาแม่เลี้ยงหรือไม่ ก็ต้องลองดูสิ คุณจะได้รู้เอง?” เขากระซิบที่หูของเย่หลิน

“หนิงเส่าเฉิน คุณนี่ น่าไม่อายจริงๆ ฉันไม่ต้องการ”

เขาไอเล็กน้อย “ฉันพูดอะไร ? น่าไม่อายหรือ?”

เย่หลินจับมือใหญ่ของเขาออกอย่างแรง “ฉันจะไปอาบน้ำก่อน”

“พร้อมกัน!”

“คุณไม่ใช่อาบแล้วเหรอ?”

“ผมไปช่วยคุณ.”

“หนิงเส่าเฉิน คุณนี่มันน่าไม่อายจริงๆ?”

เช้าวันรุ่งขึ้น

เมื่อรับประทานอาหารเช้าไปได้ครึ่งทาง หนิงเชี่ยนก็แนะนำให้ทุกคนทานอาหารเย็นร่วมกัน

พ่อหนิงซึ่งไม่ได้พูดอะไรเลยกล่าวว่า “เย่หลินเธอก็เรียกพี่ชายเธอมาด้วยนะ”

เย่หลินชะงักเมื่อครุ่นคิดแล้วพูดว่า “พ่อ เรียกพี่ชายแล้วเรียกพี่สะใภ้มาด้วยได้ไหม”

“พี่สะใภ้?” หนิงเส่าเฉินมองที่เย่หลิน “พี่ชายเธอแต่งงานมีพี่สะใภ้เมื่อไหร่”

เย่หลินยิ้ม ไม่พูด และขึ้นไปชั้นบนเพื่อเรียกเกาไห่ “พี่ ต้องพาพี่สะใภ้ของฉันมาที่นี่” หลังจากที่เธอเน้นอีกครั้ง ก่อนที่เธอวางสาย

หลังเลิกงานเกาไห่เห็นว่าเล่อจยาไม่ได้ส่งข้อความถึงเขาเป็นเวลานาน เขาโทรหาเธอหลายครั้งแต่เธอไม่รับสายจึงโทรหาเธอทางโทรศัพท์อีกครั้งไม่มีใครรับสาย เขาอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว

เมื่อมาถึงแผนกออกแบบ มีเพียงพนักงานคนเดียวที่อยู่ที่นั้น เมื่อเห็นเขาเดินมาเขารีบลุกขึ้นและพูดว่า “ประธานเกามาที่นี่ทำไมครับ”

“เล่อจยาอยู่ไหน”

ชายคนนั้นก้มศีรษะลงและไม่กล้าพูด

“ถามคุณอยู่? ว่าเล่อจยาไปไหน” เสียงของเกาไห่ลดลงเล็กน้อย

“พี่เสี่ยวหยูขอให้ทุกคนไปทานอาหารเย็นในวันเกิดของเธอวันนี้ เล่อจยาน่าจะไปกับเธอ”

“ถ้าอย่างนั้นทำไมคุณไม่ไปล่ะ”

ผลักแว่นที่สันจมูกของเขาลง “ผมปวดท้อง เลยไม่ได้ไป”

เกาไห่มองมาที่เขา และพบว่าหลังจากนั้นไม่นาน เหงื่อของเขาก็ไหลออกมาจำนวนมากบนหน้าผากของเขา”คุณมีอะไรผิดปกติไหม ต้องพาคุณไปโรงพยาบาลหรือไม่”

หลังจากได้ยินสิ่งที่เขาพูดเขาก็มองไปที่หนิงเส่าเฉิน “ทันทีที่พ่อตื่นขึ้นก็ถามว่ามีอะไรผิดปกติกับสาวน้อยคนนั้นหรือไม่”

หนิงเส่าเฉินรู้สึกว่าลมหายใจที่ค้างอยู่ในใจมาหลายวันจู่ๆก็ได้ปลดปล่อย“พ่อ เธออยู่ในรถชั้นล่าง ผมจะบอกให้เธอขึ้นมา”

พ่อหนิงกระพริบตา

หนิงเส่าเฉิน ไม่ได้โทรหาเย่หลิน แต่ลงไปข้างล่างด้วยตัวเอง มองดูร่างที่วิ่งเหยาะๆ ของเขา แม่หนิงหันไปมองที่พ่อหนิง “ตาแก่เราคิดว่าหญิงน้อยคนนั้นผลักคุณลง เกือบ… … เกือบ ส่งเธอเข้าคุกแล้ว”

เสียงแม่หนิงลดลง เขาเห็นหน้าพ่อหนิงหน้าแดงทันที เขายกมือขึ้นอย่างลำบากและชี้ไปที่แม่หนิง “พวกเธอ.เธอ……”

“พ่อคะ หนู… หนูก็คิดไม่ถึงว่าพ่อจะต้องการช่วยเธอ หนูคิดว่าเธอเป็นคนผลักพ่อลงมา”

เมื่อเห็นหนิงเส่าเฉินดึงประตูรถเย่หลินก็รีบลุกขึ้นอย่างตื่นเต้นลืมว่าตัวเองยังอยู่ในรถ ทำให้ศีรษะโขกโดนหลังคารถจนมีเสียงดัง “โอ๊ย”

หนิงเส่าเฉินนั่งเข้าไปในรถและดึงเธอเข้ามา “เจ็บไหม ขอฉันดูหน่อย…”

เย่หลินโบกมือ “ช่างมันเหอะ รีบพูดให้ฉันฟังหน่อยคุณพ่อเป็นอย่างไรบ้าง? ตื่นหรือยัง”

ความวิตกกังวลของเธอทำให้หนิงเส่าเฉินเป็นทุกข์ เขาเอื้อมมือออกไปจับเธอไว้ในอ้อมแขนของเขาและกดมือใหญ่ของเขาที่ด้านหลังศีรษะของเธอ “โธ่ ภรรยา ผมผิดต่อคุณจริงๆ”

นี่เป็นครั้งแรกที่หนิงเส่าเฉินเรียกเย่หลินแบบนี้เย่หลินตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่เขาจะฟื้นคืนสติ “หมายความว่าพ่อตื่นแล้วใช่มั้ย”

มือใหญ่ตบหลังเธอ “ตื่นแล้ว เขาต้องการพบคุณ ขึ้นไปกันเถอะ”

หยาดน้ำตาหยดลงบนหลังมือของหนิงเส่าเฉิน เย่หลินผลักหนิงเส่าเฉินออกไปและปาดน้ำตา “ไปกันเถอะ”

เมื่อทั้งสองเปิดประตูรถเห็นแม่หนิงและหนิงเชี่ยนยืนอยู่ไม่ไกลจากรถ เมื่อเห็นทั้งสองคนลงจากรถแม่หนิงก็ผลักหนิงเชี่ยน

เย่หลินและหนิงเส่าเฉินมองหน้ากันและก้าวไปข้างหน้า

ขณะที่หนิงเชี่ยนเพิ่งเดินไปข้างหน้าของทั้งสอง หนิงเชี่ยนมองไปที่เย่หลินและคุกเข่าลง “พี่สะใภ้ฉันผิดไปแล้ว ฉันทำผิดต่อคุณและเกือบจะส่งคุณเข้าคุก ฉันขอโทษ ฉันไม่ควรสรุปเกี่ยวกับคุณจากการคาดเดาของฉันเอง ฉันขอโทษ…”

เย่หลินรีบก้าวไปข้างหน้าหนิงเชี่ยนแล้วจับมือทั้งสองข้าง “เสี่ยวเชี่ยนเธอกำลังทำอะไร เด็กโง่นั่นคือธรรมชาติของมนุษย์ ถ้าเปลี่ยนเป็นฉัน ฉันก็จะทำอย่างนั้นเช่นกัน คุณไม่ผิด ฉันไม่โทษคุณ จริงๆนะ” เขาพูดพร้อมปาดน้ำตาบนใบหน้าของหนิงเชี่ยน“อย่าร้องไห้เลย ฉันได้ยินเส่าเฉินบอกว่าคุณกับหลิวซูจะแต่งงานกันเร็ว ๆ นี้ ถ้าไม่ใช่เพราะเรื่องนี้ของฉัน บางทีคุณ ก็อาจได้แต่งงานแล้ว.”

การเปลี่ยนหัวข้อของเย่หลินที่มีความห่วงใยและความเอื้ออาทรของเธอทำให้หนิงเชี่ยนอับอายมากขึ้น เธอโทษตัวเองที่ปฏิเสธผู้หญิง ที่อยู่ข้างหน้าเธอ

ผู้หญิงคนหนึ่งที่ทุ่มเททุกอย่างที่เธอมีเพื่อช่วยพี่ชายของเธอ ทำไมเธอถึงไม่เต็มใจที่จะให้อภัยเธอ?

ในเวลาเดียวกันแม่หนิงก็เข้ามาจับมือเย่หลิน “ลูกเอ๋ย พวกเราไม่ดีเอง ที่เข้าใจผิดทำให้เธอน้อยใจ…”

“แม่ พวกคุณลงมาหมดแบบนี้ พ่ออยู่คนเดียวคงเหงาน่าดูเรารีบขึ้นไปดูเขากัน” เย่หลินขัดคำพูดของแม่หนิง แต่“แม่” คำเดียวก็อธิบายได้ทุกอย่าง

พ่อหนิงเห็นเย่หลินก็ลุกขึ้นนั่งอย่างลำบาก เมื่อเห็นเช่นนี้ แม่หนิงก็ยกเตียงขึ้นวางหมอนไว้ข้างหลัง

เย่หลินก้าวไปข้างหน้าและโค้งคำนับพ่อหนิงอย่างสุดซึ้ง “พ่อคะ ขอบพระคุณอย่างสุดซึ้งที่ช่วยชีวิตหนูไว้ในวันนั้น”

แม่หนิงมองไปที่เย่หลินข้างเตียง แล้วมองดูความเจ็บปวดในดวงตาของลูกชาย เธอรู้สึกสะเทือนใจอยู่ครู่หนึ่ง ไม่น่าแปลกใจที่ลูกชายของเขายังคงเชื่อใจผู้หญิงคนนี้ได้มากหลังจากเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น

ตัวของเธอน่ายกย่องจริงๆ เธอไม่ถือโทษสิ่งที่คนอื่นทำกับเธอไว้มาใส่ใจแต่กลับขยายความมีน้ำใจให้กับผู้อื่นที่มีต่อเธอแทน

“ลูก เป็นโชคของเส่าเฉินจริงๆ ที่ได้แต่งงานกับเธอ” เสียงของพ่อหนิงแหบเล็กน้อย

เย่หลินจับแขนของหนิงเส่าเฉิน “พ่อ เป็นโชคของหนูต่างหากที่ได้แต่งงานกับเขา”

ณ จุดนี้ถือได้ว่าเป็นฟ้าหลังฝนจริงๆ

พ่อหนิงออกจากโรงพยาบาลอีกทีในวันรุ่งขึ้นเพื่อให้แน่ใจว่าสารพิษทั้งหมดในร่างกายของเขาถูกล้างออกไป หนิงเส่าเฉินปล่อยให้พวกเขาอยู่ในประเทศต่อไป

บ้านของตระกูลหนิงที่ถูกทิ้งร้างมาเป็นเวลานาน กลับมีชีวิตชีวาขึ้นมาทันที

อาจจะเป็นเพราะรอดชีวิตมาแล้วหรืออาจจะเป็นเพราะปมในใจของเขาที่ถูกปล่อยและอาจเป็นไปได้ว่าสารพิษในร่างกายหายไปแล้วบุคลิกของพ่อหนิงก็เปลี่ยนไปมากเช่นกัน

ในตอนเย็นวันนี่หนิงเส่าเฉินไม่ได้ทำงานล่วงเวลา

เมื่อเย่หลินเกลี้ยกล่อมให้เย่เสี่ยวโม่ไปที่ห้องเขาบังเอิญเห็นหนิงเส่าเฉินเปลื้องผ้าและเธอรีบหันหน้ากลับมาอย่างไว

ผ่านไปครู่หนึ่ง มือเรียวคู่หนึ่งก็ปรากฏขึ้นที่เอว “บอกมา คุณไม่เคยเห็นตรงไหนบ้าง?”

ประโยคหนึ่งทำให้เย่หลินหน้าแดง “แล้วบอกฉันทีว่าตอนฉันไม่อยู่บ้านมากกว่าหนึ่งเดือนคุณกลับบ้านมาสายทุกวัน คุณไปทำอะไร? เย่เสี่ยวโม่กล่าวว่าคุณไปหาแม่เลี้ยงมาให้เขา ?”

หนิงเส่าเฉินเอามือแตะที่เอวของเย่หลินแน่น “เคยหาแม่เลี้ยงหรือไม่ ก็ต้องลองดูสิ คุณจะได้รู้เอง?” เขากระซิบที่หูของเย่หลิน

“หนิงเส่าเฉิน คุณนี่ น่าไม่อายจริงๆ ฉันไม่ต้องการ”

เขาไอเล็กน้อย “ฉันพูดอะไร ? น่าไม่อายหรือ?”

เย่หลินจับมือใหญ่ของเขาออกอย่างแรง “ฉันจะไปอาบน้ำก่อน”

“พร้อมกัน!”

“คุณไม่ใช่อาบแล้วเหรอ?”

“ผมไปช่วยคุณ.”

“หนิงเส่าเฉิน คุณนี่มันน่าไม่อายจริงๆ?”

เช้าวันรุ่งขึ้น

เมื่อรับประทานอาหารเช้าไปได้ครึ่งทาง หนิงเชี่ยนก็แนะนำให้ทุกคนทานอาหารเย็นร่วมกัน

พ่อหนิงซึ่งไม่ได้พูดอะไรเลยกล่าวว่า “เย่หลินเธอก็เรียกพี่ชายเธอมาด้วยนะ”

เย่หลินชะงักเมื่อครุ่นคิดแล้วพูดว่า “พ่อ เรียกพี่ชายแล้วเรียกพี่สะใภ้มาด้วยได้ไหม”

“พี่สะใภ้?” หนิงเส่าเฉินมองที่เย่หลิน “พี่ชายเธอแต่งงานมีพี่สะใภ้เมื่อไหร่”

เย่หลินยิ้ม ไม่พูด และขึ้นไปชั้นบนเพื่อเรียกเกาไห่ “พี่ ต้องพาพี่สะใภ้ของฉันมาที่นี่” หลังจากที่เธอเน้นอีกครั้ง ก่อนที่เธอวางสาย

หลังเลิกงานเกาไห่เห็นว่าเล่อจยาไม่ได้ส่งข้อความถึงเขาเป็นเวลานาน เขาโทรหาเธอหลายครั้งแต่เธอไม่รับสายจึงโทรหาเธอทางโทรศัพท์อีกครั้งไม่มีใครรับสาย เขาอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว

เมื่อมาถึงแผนกออกแบบ มีเพียงพนักงานคนเดียวที่อยู่ที่นั้น เมื่อเห็นเขาเดินมาเขารีบลุกขึ้นและพูดว่า “ประธานเกามาที่นี่ทำไมครับ”

“เล่อจยาอยู่ไหน”

ชายคนนั้นก้มศีรษะลงและไม่กล้าพูด

“ถามคุณอยู่? ว่าเล่อจยาไปไหน” เสียงของเกาไห่ลดลงเล็กน้อย

“พี่เสี่ยวหยูขอให้ทุกคนไปทานอาหารเย็นในวันเกิดของเธอวันนี้ เล่อจยาน่าจะไปกับเธอ”

“ถ้าอย่างนั้นทำไมคุณไม่ไปล่ะ”

ผลักแว่นที่สันจมูกของเขาลง “ผมปวดท้อง เลยไม่ได้ไป”

เกาไห่มองมาที่เขา และพบว่าหลังจากนั้นไม่นาน เหงื่อของเขาก็ไหลออกมาจำนวนมากบนหน้าผากของเขา”คุณมีอะไรผิดปกติไหม ต้องพาคุณไปโรงพยาบาลหรือไม่”

หนิงเส่าเฉินพยุงไหล่ของเธอ “อย่ารีบตื่นเต้น นั่งลงก่อน ผมจะเล่าให้คุณฟัง”

เย่หลินขมวดคิ้ว “จะไม่ให้รีบได้อย่างไร นั้นมันชีวิตของพ่อนะ” เพราะมันเกี่ยวข้องกับชีวิตของพวกเขาว่าจะมีความสุขได้หรือไม่

“ได้รับยาถอนพิษแล้วแต่เขาบอกว่าเขาไม่รู้ว่าพ่อใช้มันนานมากแค่ไหนแล้ว เพราะเขากลัวว่าจะไม่ได้ผล” หนิงเส่าเฉินกล่าว สีหน้าของเขาดูเคร่งขรึมเล็กน้อย อันที่จริง คำพูดเดิมของอดีตสามีของแม่นมหลิวคือ: “พิษนี้อยู่ในร่างกายนานเกินไปฉันไม่สามารถรับประกันได้ว่ายาแก้พิษจะขจัดสารพิษออกทั้งหมดหรือไม่และผลกระทบจะมากน้อยเพียงใด”

หนิงเส่าเฉินกลัวว่าเย่หลินจะเป็นกังวลดังนั้นเขาจึงพูดไปแบบนั้น

“ไปกันเถอะ มาลองดูกัน บางทีคนดีๆจะได้รับการช่วยเหลือจากสววรค์เบื้องบน?” เย่หลินหยิบเสื้อผ้า กระเป๋า และโทรศัพท์มือถือของเธอขึ้นมา แล้วคว้าแขนของหนิงเส่าเฉิน “ไป”ไปที่โรงพยาบาลก่อน” ขณะสวดภาวนาในใจอย่างเงียบๆ ทุกอย่างก็จะผ่านไปด้วยดี

เมื่อมาถึงทางเข้าโรงพยาบาล เย่หลินวางมือบนที่จับของรถแล้ววางลงอีกครั้ง “เส่าเฉิน คุณขึ้นไปเองดีกว่า ฉัน…ฉันจะรออยู่ในรถ คุณค่อยแจ้งผลลัพธ์มาให้ฉัน!” เธอกลัวเธอหวังมากเกินไปและกลัวผิดหวังเกินกว่าที่เธอจะทนได้

หากพ่อหนิงยังอยู่ในอาการโคม่าเช่นนี้ แม้ว่าเธอกับหนิงเส่าเฉินจะไม่สนใจเรื่องนี้ก็ได้ แต่หัวใจของเธอก็จะรู้สึกผิดไปชั่วชีวิต

หนิงเส่าเฉินรู้ว่าเธอคิดอย่างไรและพยักหน้า “เอาล่ะ รอผมก่อนเย่หลินไม่ว่าผลลัพธ์จะเป็นอย่างไรอย่าคิดว่ามันเป็นภาระของคุณ พ่อช่วยคุณในตอนนั้น คิดว่าเขาไม่ได้เจตนาให้คุณใช้ชีวิตด้วยความรู้สึกผิด”

ดวงตาของเย่หลินแดงเล็กน้อย แต่ใบหน้ายังเหมือนเดิม และเขาพยักหน้าให้หนิงเส่าเฉิน”ตกลง คุณรีบไปได้แล้ว”

เมื่อมองดูร่างเพรียวจากด้านหลังผ่านหน้าต่าง เย่หลินตัดสินใจว่าไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในชีวิตนี้เธอจะไม่ทิ้งชายคนนี้ แม้ว่าจะรู้สึกผิดก็ตาม

การรอคอยเป็นเวลาที่ยาวนานเหลือเกิน…

แม่หนิงรู้ว่าหนิงเส่าเฉินไปรับยาถอนพิษ เมื่อเห็นเขากลับมา เธอก็ลุกขึ้นยืนอย่างตื่นเต้นเมื่อเก้าอี้ข้างหลังล้มตีเท้าเธอก็ไม่ได้รู้สึกอะไร

“เส่าเฉิน เป็นไงบ้าง ได้ยามาหรือยัง?”

หนิงเส่าเฉินพยักหน้า “ผมเพิ่งให้หมอไป พวกเขาจะทดสอบส่วนผสมของยาถอนพิษโดยเร็วที่สุด และหลังจากยืนยันว่าไม่เป็นไร พวกเขาจะมอบมันให้พ่อ แม่ พ่อต้องดีขึ้นแน่”

แม่หนิงพยักหน้า ราวๆ หนึ่งเดือนที่ผ่านมา เธอดูซีดเซียวมากและใบหน้าที่กลมแต่เดิมของเธอก็ผอมลงมามาก

หนิงเชี่ยนรีบมาแต่มันผ่านไปหนึ่งชั่วโมงแล้วเมื่อเธอเข้ามา เธอมองไปที่หนิงเส่าเฉินและพูดว่า “พี่ชาย คุณพาเธอกลับมาหรือเปล่า”

ได้ยินเช่นนี้ หนิงเส่าเฉินก็หรี่ตาลงและไม่ตอบ

ทุกอย่างเงียบสงัด ไม่มีใครพูดอะไร รู้สึกเหมือนนานเกินไปแล้วแม่หนิงพูดขึ้นว่า “ถ้ากลับมาแล้วทำไมไม่รู้จักมาหาพ่อบ้าง”

หนิงเชี่ยนและหนิงเส่าเฉินต่างประหลาดใจ ความหมายของคำพูดของแม่หนิงคือการให้อภัยเย่หลินอย่างชัดเจน

“แม่ครับ ผมไม่อยากอธิบายอะไรแทนเธอ เพราะพ่อไม่ตื่นพูดอะไรไปก็เหมือนกตัญญูต่อสิ่งที่พูด แต่ถ้าพ่อตื่นขึ้นมาเพื่อยืนยันว่าพ่อล้มลงเพื่อช่วยเธอไว้ ที่ใต้หน้าผา เย่หลินไม่ได้ผลักเขา แต่เธอรู้สึกผิดมากที่พ่อเป็นแบบนี้”

หลังจากพูดจบหนิงเส่าเฉินก็พบว่าทั้งหนิงเชี่ยนและแม่หนิงสีหน้าไม่ได้เปลี่ยนไปมากนัก ดูเหมือนว่าเขาจะไม่รู้สึกแปลกใจกับเรื่องนี้และเขาก็ขมวดคิ้ว

“พี่ชายค่ะ ปู่และอาของพี่สะใภ้มาเมื่อวาน พวกเขาบอกเราเรื่องนี้แล้ว”

หนิงเส่าเฉินเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย “พวกเขามาที่นี่ ทำไมไม่บอก”

“เห็นรีบไปหาลูกสะใภ้เราจะกล้ารบกวนได้ที่ไหน” หลังจากที่แม่หนิงพูดจบก็เหลือบมองหนิงเส่าเฉิน “อย่างไรก็ตามทำไมรู้เรื่องนี้แล้วไม่บอกพวกเรา?”

“เป็นเพราะเรื่องนี้ทุกคนก็มีอคติต่อเธออยู่แล้วผมเกรงว่าทุกคุณคิดว่าผมจะพูดแทนเธอทำให้ทุกคนเกลียดเธอมากขึ้นไปอีก”

ก็รู้อยู่แก่ใจไม่แปลกเลยที่ปู่กับอาไม่ได้ดำเนินการใดๆ เพิ่มเติมเกี่ยวกับการหายตัวไปของเย่หลิน ปรากฏว่าพวกเขารู้ว่าเขาพาเธอกลับมาแล้ว คิดถึงช่วงเวลา 10 วันก่อนของปู่ พวกเขาแค่อยากทดสอบเย่หลินกับเขา

แม่หนิงเดินไปที่เตียงของพ่อหนิงและเอื้อมมือจัดทรงผมที่หน้าผากของเขา “ถ้าพ่อของลูกคิดจะช่วยชีวิตลูกสะใภ้คนนี้ แม่เชื่อว่าลูกต้องถูก”

หนิงเชี่ยนได้ยินคำพูดของแม่หนิงสีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปทางไม่ดี บอกว่าพ่อของเธอกำลังพยายามช่วย เย่หลินในวันนั้นสามารถอธิบายได้ว่าพ่อเห็นเย่หลินกำลังจะตกจากหน้าผาพ่อเลยดึงตัวเธอทำให้พ่อตกลงมาจากหน้าผาแทน

เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ ดวงตาของเธอก็รู้สึกเสียใจ

เมื่อเธอมาถึง เธอก็เห็นรถของพี่ชายของเธอที่ห้องใต้ดิน และเห็นเย่หลินนั่งขมวดคิ้วในรถจากด้านหลัง และเธอก็เห็นว่าเธอประหม่ามาก

ในเวลานั้นประตูห้องผู้ป่วยถูกผลักเปิดออก และแพทย์ที่ดูแลในชุดขาวเดินเข้ามาจากด้านนอก “คุณหนิงเส่า ส่วนผสมของยาได้แล้ว และพร้อมนำไปใช้แล้ว”

ทุกคนต่างพากันดีใจ จากนั้นแพทย์หลายคนก็เดินเข้ามาจากข้างนอกเพื่อรอให้พ่อหนิงกินยา

เวลาผ่านไป พ่อหนิงยังคงเหมือนเดิม ไม่เคลื่อนไหวเลย เมื่อเวลาผ่านไป หัวใจของทุกคนก็ค่อยๆ จมลงอีกครั้ง

ความสุขบนใบหน้าของเขาค่อยๆ ถูกแทนที่ด้วยความสูญเสีย

เพราะทุกคนเข้าใจดีว่าถ้ายาแก้พิษนี้ไม่มีประโยชน์ พ่อหนิงก็ไม่รู้จะตื่นเมื่อไหร่ เดือนไหน

เมื่อทุกคนคิดว่านี้เป็นข้อสรุปแล้ว แม่หนิงจับมือพ่อหนิงรู้สึกว่าปลายนิ้วขยับ ตอนแรกคิดว่าคงตื่นเต้นมากเกินไปอาจมีอาการประสาทหลอนไม่กล้าพูด จนกระทั่งเธอรู้สึกถึงการเคลื่อนไหวของนิ้วเหล่านั้น เธอร้องไห้ด้วยความดีใจ “เส่าเฉิน เสี่ยวเชี่ยนพ่อของพวกเธอ…พ่อมีปฏิกิริยาตอบสนองแล้ว”

เธอวางมือของพ่อหนิงไว้ที่เตียง และหลังจากนั้นไม่นาน หลังจากที่ยืนยันว่านิ้วของเขาขยับอีกครั้ง ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นก็โล่งใจ

“พ่อคะ พ่อ นี่คือเสี่ยวเชี่ยนนะพ่อมีสติอยู่ ใช่ไหม พ่อ…” เสี่ยวเชี่ยนเรียกเขาที่เตียงของพ่อหนิง

พ่อหนิงตื่นขึ้นอย่างสมบูรณ์ หลังจากสี่สิบนาทีต่อมา เมื่อมองตาของเขาเปิด ทุกคนก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก และแม่หนิงก็พาตัวเองเข้าไปในอ้อมแขนของเขาและร้องไห้อย่างหนัก

“พ่อคะ ทำไมพ่อโง่จัง ทำไมพ่อถึงวางยาพิษให้ตัวเองล่ะ” หนิงเชี่ยนถาม และแม่หนิงก็ร้องไห้ยิ่งกว่าเดิม “ไอ้แก่บ้าไหนบอกว่าจะดีกับฉันไปตลอดชีวิตไง คุณยังปิดบังฉันทำกับตัวเองอย่างนั้น ไม่กลัวว่าฉันจะเกลียดคุณตลอดไปหรือ”

คุณพ่อหนิงเปิดปากและต้องการจะพูด เขาอาจอยู่ในอาการโคม่านานเกินไปทำให้คำที่พูดออกมานั้นไม่ค่อยมีเสียง

“คุณกำลังพูดถึงเรื่องอะไร” แม่หนิงขยับหูเข้าไปใกล้เขา

เล่อจยาเงยหน้าขึ้นมองผู้หญิงผมยาวที่อยู่ข้างหน้าเธอ เธอจำการแนะนำชื่อจากเสี่ยวตงก่อนหน้านี้ได้ ลุกขึ้นยืนและยิ้ม “สวัสดี เสี่ยวหยู”

ผู้หญิงที่ชื่อเสี่ยวหยูเงยหน้าขึ้นและพูดอย่างเย็นชา “ฉันถามเธอ เธอรู้ไหมว่าฉันรับผิดชอบงานนี้อยู่ ทำไมถึงขโมยงานออกแบบนี้ เธอเตรียมตัวที่จะแทนที่ฉันเมานานมาแล้วใช่ไหม?”

เล่อจยากระพริบตา เธอขมวดคิ้ว เมื่อนึกถึงสิ่งที่เสี่ยวตงพูดเกี่ยวกับงานนี้ระหว่างทางกลับ เธอยิ้ม: “คุณเข้าใจผิดแล้ว ตอนนั้นฉันไม่มีอะไรทำและต้องการที่จะพิสูจน์ตัวเอง แต่คิดไม่ถึงว่ามันจะเข้าตาประธานเกา”

“หึ ไม่มีอะไรทำ มีความสามารถมาก เป็นผู้มาใหม่ และสามารถชนะใจประธานเกาด้วยสิ่งที่คุณออกแบบ มันเกิดขึ้นทั้งๆที่เราทำงานกันมาหลายปี แต่ประธานเกาก็ไม่ชอบมัน “ด้วยคำพูดแค่คำเดียวของเธอ เหมือนผลักเล่อจยาไปอยู่บนพายุ

“เสี่ยวหยู อย่าพูดอะไรเยอะ เธอมันก็เหมือนคลื่นหลังของแม่น้ำแยงซีผลักคลื่นหน้า นี่ก็เป็นเรื่องปกติ อย่าเสียใจไป” ใครบางคนกล่าว

บรรยากาศในขั้นต้นก็เปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน ในเวลาเดียวกันนั้นได้ยินเสียงผู้จัดการเรียกมาจากหน้าประตูสำนักงาน: “จยาจยา คุณเกาขอให้คุณไปที่สำนักงานของเขา”

เล่อจยา ถอนหายใจด้วยความโล่งอก เก็บข้าวของแล้วเดินออกจากประตูไป หลังจากเดินไปสองก้าวก็พบว่าเธอลืมโทรศัพท์ และเมื่อเธอเดินกลับมา กำลังจะผลักประตู ได้ยินใครคนหนึ่งพูดขึ้น “พวกเธอคิดไหมว่า เธอได้ทำอะไรบางอย่างกับประธานเกาของเราหรือเปล่า”

“เธอจะทำอะไรได้ ถามว่าสวยไหม เธอก็มองดูเอง แค่รูปร่างและหน้าตาของเธอ ก็แค่คนถือรองเท้าให้ประธานเกาเท่านั้น หรือไม่เธอก็อาจมีความสามารถจริง”

มือของเล่อจยาจับประตูไว้ และหลังจากนั้นไม่นาน เธอก็ผลักประตูเข้ามา ก้มหัวลง หยิบโทรศัพท์มือถือของเธอแล้วออกไป

คิดว่ามันจะถูกพูดถึง แต่คิดไม่ถึงมันจะฟังดูน่าเกลียดขนาดนี้

โชคดีที่เธอยังคงมองการณ์ไกล ไม่เช่นนั้น ถ้าความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับเกาไห่รับรู้โดยทั่ว เธอคงจะถูกพนักงานหญิงทั้งบริษัททำสงครามน้ำลายจนตาย

เมื่อเธอไปห้องน้ำ เธอหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาและพบบัญชี WeChat ของ ซูหย่าเธอดูบันทึกการแชทในนั้น ประมาณหนึ่งเดือนหรือยาวกว่านั้นที่ยังไม่ถูกลบ พวกเขาคุยกันทุกวัน และบันทึกก็ยาวมาก ดูออกว่าเธอมีความสัมพันธ์ที่ดีกับซูหย่ามากและไม่มีเรื่องไหนที่จะไม่พูดกัน

เมื่อเห็นความสำเร็จในการสัมภาษณ์ในวันนั้น เธอก็เช็คเวลา 1 เดือนก่อนหน้านั้น ปรากฏว่าเธอเข้ามาในเกากรุ๊ปได้เพียงแค่เดือนกว่าเท่านั้น

และเวลานั้นโทรศัพท์ได้ดังขึ้นและมองว่าเป็นเกาไห่ เธอไม่รับสาย เปิดประตูห้องน้ำแล้วเดินออกไป

เมื่อเดินขึ้นชั้นบนบังเอิญเห็นเกาไห่ผลักประตูออกมาเมื่อเห็นเธอเขารีบจับมือเธอแต่เล่อจยาก็รีบโยนมือนั้นทิ้ง “คุณอย่ามือไว คนอื่นจะเห็นได้” หลังจากพูดเธอก็เดินเข้าไปในห้อง..

เกาไห่มองไปที่มือที่ถูกโยนทิ้ง เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยแล้วเดินเข้ามา “เกิดอะไรขึ้นกับคุณ ดูเหมือนว่าคุณจะอารมณ์ไม่ดี?”

เล่อจยาหันศีรษะและจ้องไปที่เกาไห่สายตาของเธอกวาดจากบนลงล่าง ใบหน้าของเขาสมบูรณ์แบบ รูปร่างสมบูรณ์แบบ เขามีความสามารถ หาเงินเก่ง ไม่น่าแปลกใจที่ผู้คนบอกว่าเขาไร้ที่ติจริงๆ แล้วไง ล่ะ นี่สามีของเธอเอง พอคิดถึงตรงนี้ เธอยกมุมปากขึ้น รู้สึกว่าเล่อจยาคนนี้จะเจ๋งได้ภายใน 7 ปี สามารถมีความสามารถในการทำงานที่ดีเช่นนี้ และยังไล่ตามชายในฝันของเธอได้

เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ คนถือรองเท้าหรือไม่ถือรองเท้า เธอไม่คิดสนใจมันอีกต่อไป

“คุณเรียกฉันมาทำไม”

เกาไห่ได้เปิดหน้าต่างไว้ก่อนหน้านั้นแล้วเล่อจยาพบว่าด้านนอกห้องทำงานของเกาไห่เดิมเป็นห้องกระจกที่มีแสงแดดส่องถึง แต่ตอนนี้ได้รับการออกแบบใหม่ให้เป็นหนึ่งห้องทำงานและหนึ่งห้องนั่งเล่น

มีอาหารหลายจานที่ทำเสร็จใหม่ๆวางอยู่บนโต๊ะไม้ในห้องนั่งเล่นแล้ว เธอดีใจเล็กน้อยเมื่อเปิดประตู

“ชวนฉันกินข้าวเหรอ”

เกาไห่พยักหน้า “เป็นไปได้?”

“สามี ฉันสามารถแต่งงานกับคุณได้ มันคงเป็นพรและโชคจากชาติที่แล้วของฉันจริงๆ” เล่อจยามักจะพูดกับคนคุ้นเคยได้ดีกว่า ไม่ว่าตอนมีความสุข หัวเราะ เศร้า เธอก็จะแสดงมันออกมา

ประโยคของคำว่า “สามี” ทำให้ เกาไห่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม แม้ว่าเขาจะไม่ใช่คนที่หนิงเส่าเฉินเคยพูดไว้ว่าเย็นชาจนไม่มีใครเข้าใกล้ แต่เขาเป็นของเขา เขาไม่พูดมากแม้อยู่ต่อหน้าหญิงสาวที่เขาชอบจะมีขี้อายอยู่บ้าง แต่เมื่อเผชิญหน้ากับบุคลิกที่กระตือรือร้นแบบเล่อจยา เขาเหมือนเสียศูนย์เล็กน้อย แตะด้านหลังศีรษะแล้วยิ้ม “นั่งลงกินได้แล้ว เมื่อถึงเวลาเที่ยงก็ขึ้นมาเอง รู้ไหม ฉันเรียกป้ามา อยากกินอะไร บอกเธอล่วงหน้าหนึ่งวัน”

เล่อจยาตักซุปหนึ่งช้อนเข้าปาก พยักหน้าก่อน แล้วส่ายหัว “ไม่ได้ ฉันจะวิ่งมาหาคุณทุกวันแบบนี้ไม่ได้ เวลาผ่านไป มันจะไม่เป็นการเปิดเผยเหรอ?”

ใบหน้าของเกาไห่เปลี่ยสีหนัาขึ้นมาทันที “งั้นก็ประกาศให้เป็นทางการ”

เมื่อเห็นใบหน้าที่เย็นชาของเขา เล่อจยาก็ต้องประนีประนอม “ก็ได้” เมื่อมองดูจานบนโต๊ะ “มีอาหารอร่อยๆ มากมายให้ฉันทุกวัน และคุณก็ไม่กลัวที่จะเลี้ยงฉันให้เป็นหมู”

คำพูดของเธอทำให้สีหน้าของเกาไห่นุ่มนวลขึ้น และตักหมูสามชั้นลงในชามของเล่อจยา “กินเลย กินให้มันเหมือนหมู จะได้ไม่มีใครเอาไปได้”

เล่อจยาเกือบจะคายข้าวออกมาและทำหน้ามุ่ย “คุณไม่กลัวคนอื่นเอาไป แต่ฉันกลัว!”

ถ้าเธอยิ่งอ้วนขึ้นกว่านี้เธอเองคงจะทนดูมันไม่ได้ เธอไม่เชื่อว่า เกาไห่คนนี้เมื่ออยู่นานไปจะไม่มีทางเบื่อเธอเธอเลยเอาเนื้อใส่ชามให้เกาไห่ “คุณกินเถอะ คุณดูดีกว่าฉัน ฉันกลัวคนแย่งคุณไปจากฉัน”

หลังจากพูดจบทั้งสองก็มองหน้ากันแล้วยิ้ม

และอีกด้านหนึ่ง

เย่หลินโน้มตัวในอ้อมแขนของหนิงเส่าเฉิน “เส่าเฉิน คุณบอกว่าถ้าอดีตสามีของแม่นมหลิวมียาแก้พิษ แต่เขาสัญญากับพ่อว่าเขาจะไม่บอกเรื่องนี้กับใคร ถ้าเขาปฏิเสธเราต้องทำอย่างไรต่อ ?”

หนิงเส่าเฉินจับมือเย่หลินกำไว้ “ฉันได้ตรวจสอบแล้ว เขาแทบจะหมกมุ่นอยู่กับเภสัชวิทยานี้ แต่ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ทางสถานีตำรวจได้ตรวจเขาอย่างเคร่งครัด ดังนั้น แม้แต่การใช้ชีวิตพื้นฐานของเขาก็เป็นปัญหาผมคิดว่า ด้วยความรักในเภสัชวิทยา ความต้องการเงินของเขานั้นเกินคำมั่นสัญญาที่เขามีต่อพ่อของผมมาก ดังนั้น เรามาลองดู”

“อืม หวังว่าจะเป็นแบบนั้น” เย่หลินพูดจบ เอามือโอบเอวของหนิงเส่าเฉิน ควงแขนแล้วหลับตา เมื่อคืนนอนไม่ค่อยสบาย ตอนนี้เพิ่งจะมาชดเชยการนอน

เมื่อเย่หลินตื่นขึ้นมา เธอก็นอนอยู่บนเตียง หันศีรษะ และมองดูการตกแต่งห้อง เห็นได้ชัดว่าเธออยู่ในโรงแรม

ไม่ได้ไปหาอดีตสามีของแม่นมหลิวเหรอ?

จู่ๆ เธอลุกขึ้นนั่ง ยกผ้าห่มขึ้นและลุกจากเตียง เมื่อได้ยินเสียงเปิดประตู

หนิงเส่าเฉินและหลิวซูเดินเข้ามาทีละคน เมื่อเห็นเย่หลินลุกขึ้นหนิงเส่าเฉินก็รีบเดินเข้ามา “ตื่นแล้วเหรอ”

“ เป็นยังไงบ้าง? คุณไปหาเขามาหรือยัง? ได้ยาแก้พิษมาไหม?” เย่หลินถามอย่างกระตือรือร้น

ในเวลาเดียวกันพนักงานเสิร์ฟก็นำน้ำชามาแม่นมหลิวรู้สึกตื่นเต้นและลุกขึ้นยืนทำให้น้ำหกใส่ตัวเธอมันร้อนเล็กน้อยแต่เธอก็ไม่ได้ตอบสนองอะไรมาก

เย่หลินรีบลุกขึ้นหยิบทิชชู่ขึ้นมาเช็ดน้ำบนร่างกายของเธอ และพูดขณะเช็ด: “แม่นมหลิวฉันรู้ว่าคุณยังมีความรู้สึกดีๆที่มีต่อตระกูลหนิงอยู่ คุณรู้ว่าพ่อสามีฉันได้รับสารพิษอะไรแต่คุณก็ไม่ยอมบอก ต้องมีเหตุผลอะไรแน่ๆ”

เมื่อมองลงไป เย่หลินเห็นมือของแม่นมหลิวสั่น เธอขมวดคิ้วและพูดต่อว่า “แม่นมหลิว หรือว่าพ่อสามีไม่ให้พูด?”

เธอสังเกตว่ามือของแม่นมหลิวสั่นหัวใจของเธอก็เหมือนจมลงไปทันที ขณะที่พนักงานเสิร์ฟเอาผ้าขนหนูแห้งมาเช็ดแม่นมหลิวโชคดีที่มีเสื้อกั้นไว้น้ำเลยไม่ซึมเข้าสู่ผิวหนัง

หลังจากที่พนักงานเสิร์ฟจากไป แม่นมหลิวก็ล้มลงบนโซฟาหลับตาลงเหมือนภายในหัวใจกำลังต่อสู้ เมื่อลืมตาขึ้นขอบตาของเธอก็แดง เธอมองที่เย่หลินแล้วพูดว่า: “ยาพิษของพ่อหนิงอดีตสามีฉันเป็นคนให้มา”

มือของเย่หลินที่ถือถ้วยน้ำชาสั่น อดีตสามี? เธอคิดว่าแม่นมหลิว ไม่เคยแต่งงานกับใครเลยในชีวิต? ปรากฏว่าเลิกกันแล้ว

“อดีตสามีของฉันเป็นแพทย์แผนจีนพื้นบ้าน เมื่อตอนที่เขายังเด็ก เขาทำงานเป็นแพทย์ประจำครอบครัวของตระกูลหนิงมาสองสามปี ต่อมาเขาหมกมุ่นอยู่กับยาพิษและเริ่มสนใจค้นคว้าเรื่องพิษ ฉัน… ฉัน…ฉันได้รับบาดเจ็บจากพิษของมัน จนไม่สามารถมีลูกได้ ฉันก็เลยหย่าขาดจากเขา

หลังจากที่เธอพูดจบ เย่หลินก็ยิ่งตกใจมากขึ้นไปอีก ปรากฏว่า มีหลายสิ่งหลายอย่างเกิดขึ้นกับแม่นมหลิว เธอรู้เพียงว่าแม่นมหลิวไม่เคยแต่งงานหรือมีลูกมาก่อน คิดไม่ถึงว่าจะมีเรื่องแบบนี้มาก่อน”

“วันที่ฉันได้ยินคุณชายพูดว่าพ่อหนิงถูกวางยาพิษ ฉันคิดถึงเขาเป็นคนแรก ต่อมาฉันโทรหาเขาเพื่อยืนยัน บังเอิญมันเป็นสัตว์ร้ายตัวนั้นจริงๆ…” พูดถึงเรื่องนี้น้ำตาแม่นมหลิวก็ไหลออกมา “ฉันทะเลาะกับเขาโดยบอกว่าจะไปแจ้งตำรวจดังนั้นเขาจึงบอกฉันว่าพ่อหนิงเป็นคนที่ขอกับเขาเองและห้ามบอกกับคนอื่น ตอนนั้นฉันก็ไม่เข้าใจพ่อหนิงว่ามีจุดประสงค์อะไร”

เมื่อพูดถึงตอนนี้ เธอมองขึ้นไปเย่หลิน “แต่ เย่หลิน คุณรู้เรื่องนี้ได้อย่างไร”

เย่หลินเหลือบมองเธอ “เสี่ยวซีได้ยินการโทรคุยระหว่างคุณกับเขาและบอกฉันเมื่อคืนนี้”

เธอรีบถามกลับทันที “แล้วแม่นมหลิว ตอนนี้อดีตสามีของคุณอยู่ที่ไหน คุณรู้ไหม ฉันคิดว่า…”

“แต่พ่อหนิงไม่อยากให้ใครทราบเรื่องนี้ ถ้าคุณช่วยเขาแบบนี้ เป็นไปได้ว่า” แม่นมหลิวพูดขัดจังหวะเย่หลิว

เย่หลินครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “แม่นมหลิว พ่อสามีของฉันน่าจะหาอดีตสามีของคุณมาเมื่อปีกว่านั้น ตอนนั้นที่เขาทำแบบนี้คิดว่าเขาน่าจะกลัวว่าฉันจะรู้ว่าอดีตเขาทำอะไรไว้กับพ่อแม่ของฉัน เรื่องนี้จะส่งผลต่อความสัมพันธ์ของฉันกับเส่าเฉิน” จากนั้นเธอเล่าเรื่องระหว่างพ่อหนิงกับพ่อแม่ของเธอให้แม่นมหลิวฟัง

เห็นได้ชัดว่าเหตุการณ์ในอดีตนั้นทำให้แม่นมหลิวเสียใจกับชะตากรรมนั้น

“งั้นแสดงว่าตอนนี้คุณไม่เกลียดเขาแล้ว?”

เย่หลินส่ายหัว “เขาเป็นปู่ของเสี่ยวซีและเสี่ยวโม่นอกจากนี้พ่อแม่ของฉันก็ได้ล่วงลับไปแล้วและฉันเชื่อว่าพ่อสามีของฉันเขาจะไม่ทำอย่างนั้น ดังนั้นฉันไม่เกลียดเขา นอกจากนี้ความสัมพันธ์ของฉันกับเส่าเฉินมันคุ้มค่าที่จะไว้วางใจในตัวเขา”

แม่นมหลิวได้ยินเย่หลิวพูดแล้วโล่งใจ “ก็ดีแล้ว เส่าเฉินเด็กคนนี้มองคนเป็นเย่หลินสาวน้อยคนนี้เธอเป็นคนดูมีเหตุมีผล”

จากนั้นเธอก็หยิบโทรศัพท์มือถือออกจากกระเป๋าและกดโทรศัพท์ของอดีตสามีต่อหน้าเย่หลิน “เฮ้ ฉันมีเรื่องจะคุยกับคุณ ตอนนี้คุณอยู่ที่ไหน ได้ เจอกันตอนบ่ายนี้”

หลังจากวางสาย แม่นมหลิวก็พูดว่า “เขาติดธุระในตอนเช้าตอนนี้อยู่ข้างนอก ในตอนบ่ายฉันจะพาคุณไป”

หลังจากแยกจากแม่นมหลิวแล้วเย่หลินก็โทรหาหนิงเส่าเฉินและบอกเขาเกี่ยวกับเรื่องนี้ “ได้ ฉันจะรอคุณที่นี่”

จากนั้นเธอก็บอกเกาไห่เกี่ยวกับเรื่องนี้อีกครั้ง เพื่อที่เขาจะได้ไม่ต้องมารับเธอ เธอจะกลับเอง

เล่อจยาถูกเกาไห่พาไปที่ออฟฟิศของเขาโดยตรง เมื่อเสี่ยวตงดูทั้งสองเข้ามาพร้อมกันทำให้เสี่ยวตงมีรอยยิ้มในดวงตาของเขา

ช่วยนำภาพการออกแบบของโครงการในเมือง W มาให้หน่อย “เกาไห่สั่ง

เล่อจยาหยิบภาพการออกแบบจากเกาไห่ขึ้นมาเปิดออก และเธอก็ตกตะลึง เห็นได้ชัดว่าลายมือเป็นของเธอ จากนั้นเก็มองเข้าไปใกล้ๆที่การออกแบบภายใน

เมื่อพลิกหน้าไปทีละหน้า เมื่อเธอเห็นหน้าสุดท้าย เธออุทานว่า “ฉันมีความสามารถมากขนาดนี้เลยเหรอ?”

เสี่ยวตงตกตะลึงและมองไปที่เกาไห่ “เธอกำลังอวดตัวเองอยู่เหรอ?”

มุมปากของ เกาไห่ ยกขึ้น หลังจากที่เขาตระหนักว่า เมื่อเล่อจยาสูญเสียความทรงจำไปแล้วบุคลิกของเธอก็น่าสนใจยิ่งขึ้น

“ยังไง คุณยังดูเข้าใจอยู่หรือเปล่า”

เล่อจยาพยักหน้า “อืม ฉันเข้าใจ”

เกาไห่มีความสุขมาก และทันใดนั้นก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก “ยังดี”

เมื่อเห็นการแสดงออกของเขาเล่อจยาก็รู้สึกภาคภูมิใจเล็กน้อย ปรากฎว่า 7 ปีที่ผ่านมา เธอเก่งมากขึ้นจนเธอสามารถช่วยเทพชายของเธอได้

“เสี่ยวตงช่วยจัดห้องให้เล่อจยาหน่อยเพื่อจะได้ทำงานที่ชั้นบนจะได้ใช้สมาธิได้ในการออกแบบโครงการในเมือง W”

เล่อจยาโบกมือไปมา “อย่าเลย คุณอยากทำอะไรเพื่อฉัน ฉันเคยทำงานที่ไหนก็ให้ฉันทำงานที่นั้น อย่าให้คนอื่นพูดว่าคุณ เข้าข้างฉัน”

พูดจบเธอคิดและพูดอีกครั้งว่า “นอกจากนี้ คุณไม่ต้องเปิดเผยความสัมพันธ์ของเราต่อสาธารณะในตอนนี้ ตกลงไหม” แม้ว่าเธอไม่รู้ว่าเธอเคยคบกับเกาไห่อย่างไร แต่ตอนนี้เธอกลับก้มมองตัวเธอเอง จากนั้นมองไปที่เกาไห่ และสูดลมหายใจสักครู่ ช่องว่างระหว่างเรานั้นไกลเกินไปจริงๆ

การแสดงออกของเกาไห่นิ่งและมองไปเล่อจยา “คุณหมายความว่ายังไง รู้สึกอับอายหรือ?”

เลอจยาจ้องเขาแล้วหยิบกระเป๋าและแฟ้มบนโซฟาขึ้นมา “เธอไม่คิดว่าการพูดโกหกไม่ใช่เรื่องดี?” เธอกลัวเขาอับอาย โอเคไหม?

ที่นี่ เธอมองไปที่เสี่ยวตง “หนุ่มหล่อคนนี้ ช่วยบอกฉันทีว่าก่อนหน้านี้ฉันทำงานที่ไหน คุณพาฉันไปที่นั่นได้ไหม”

เสี่ยวตงกลั้นยิ้มขณะฟัง ไอเบาๆ และมองไปที่เกาไห่ “ประธานเกา ผมขอพาคุณนายลงไปก่อนนะ”

เพราะเล่อจยาเป็นคนที่ชอบช่วยเหลือผู้คน ความนิยมของเธอในแผนกออกแบบค่อนข้างดี ทุกคนทักทายเธอเมื่อเธอมาถึง ผู้จัดการได้ยินมานานแล้วว่าเกาไห่พอใจกับการออกแบบของเลอจยามาก เมื่อพบกับเธอ ยิ่งให้การต้อนรับ “จยาจยา ทำงานได้ดีมาก”

เล่อจยามองไปที่ผู้หญิงที่อยู่ข้างหน้าเขาและมองไปที่เสี่ยวตง

“ผู้จัดการแผนกของคุณ” เสี่ยวตงกระซิบข้างหูของเธอ

เล่อจยาพยักหน้าอย่างเร่งรีบ “ขอบคุณสำหรับคำชมค่ะ ผู้จัดการ”

จากนั้นเสี่ยวตงก็แนะนำคนในแผนกออกแบบแบบสั้นๆ เช่น ผมยาวชื่ออะไร ผมสั้นชื่ออะไร คนอ้วนหน่อยคนนั้นคือใคร…

เล่อจยาจำในใจอย่างเงียบ ๆ ก่อนที่จะปล่อยให้เสี่ยวตงจากไป

เมื่อมองดูการออกแบบที่อยู่ตรงหน้าเธอ เล่อจยารู้สึกขอบคุณมากสำหรับความเมตตาของพระเจ้า ที่ไม่ปล่อยให้เธอลืมสิ่งที่ได้เรียนรู้มา

เมื่อมองดูภาพการออกแบบอีกครั้งในฐานะผู้ยืนดู เธอค้นพบว่ามีข้อบกพร่องหลายประการ หลังจากดัดแปลงและแก้ไข ภาพการออกแบบก็สมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น

“เล่อจยา ฉันไม่นึกเลยว่าเธอจะเป็นคนเจ้าเล่ห์ขนาดนี้” ทันใดนั้น เสียงผู้หญิงก็ดังขึ้นเหนือหัวของเธอ

เกาไห่มองด้วยดวงตาที่หรี่ลงเล็กน้อย เขาไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี เขายกมือขึ้นและชี้ไปที่ เล่อจยา“คุณ…คุณเป็นผู้หญิง คุณช่วยสงวนตัวมากกว่านี้หน่อยได้ไหม? …คุณ…คุณจะเป็นฝ่ายรุกผู้ชายก่อนไม่ได้”

เล่อจยามองดูเกาไห่พูดเหมือนติดอ่าง เธอรู้สึกมีความสุข เธอพลิกตัวและลุกจากเตียง เอามือแตะที่คอของเกาไห่และทำปากมุ่ย“ฉันไม่ได้ทำกับผู้ชายคนอื่น ฉันทำกับสามีของฉัน และเป็นเรื่องปกติที่ฉันจะทำกับคุณหรือเปล่า” ขณะที่เธอพูดทำหน้าบึ้งและเขย่งเท้าขึ้นริเริ่มจูบเกาไห่

เมื่อริมฝีปากของเธอกำลังจะสัมผัสเกาไห่ คนทั้งตัวของเธอก็ถูกเขาโอบกอด

เล่อจยามีความสุขมากในช่วงเวลาก่อนหน้านี้ แต่ครู่ต่อมา เธออยากจะร้องไห้เพราะเกาไห่วางเธอลงบนเตียงแล้วนอนบนที่ของเธออีกครั้ง

เมื่อมองไปบนท้องฟ้า หัวใจของเล่อจยาก็เหมือนตกลงไปและสูญเสียไปทันที

“คุณอย่าเข้าใจผิด ผมไม่ได้มีปัญหาในเรื่องแบบนั้นและไม่ใช่ว่าจะไม่รู้สึกอะไรกับคุณ แค่ตอนนี้คุณความจำเสื่อมอยู่ และผมไม่ต้องการที่จะเอาเปรียบคุณ” เกาไห่รู้ว่าการถ้าทำเช่นนี้อาจทำให้เล่อจยาคิดเป็นอย่างอื่นได้ เขาจึงตัดสินใจที่จะอธิบายก่อน

เล่อจยาเมื่อได้ยินแบบนั้น ร่างกายเธอหยุดนิ่งและรู้สึกสับสนเล็กน้อยเธอหันกลับมามองเกาไห่ “แล้วถ้าฉันจำไม่ได้ตลอดชีวิตที่เหลือล่ะ?”

เกาไห่จ้องมองเธอแล้วยิ้มเล็กน้อย “งั้นรอคุณทำความรู้จักกับผมให้ดีก่อนอย่างน้อยคุณต้องรู้ว่าผมเป็นคนยังไงใช่ไหม” จยาจยา ผมไม่หวังว่าคุณต้องรีบร้อนกับตัวเอง บางทีผมอาจไม่ได้ดีอย่างที่คุณคิด รอให้คุณรู้จักผมมากขึ้นอีกนิด”

เล่อจยาจ้องไปที่ เกาไห่ เป็นเวลานาน ดวงตาของเธอค่อยๆ กลายเป็นหมอก จากนั้นเธอก็พยักหน้า “ตกลง”

คืนนี้ต่างคนก็มีความคิดของตัวเอง ดูเหมือนเวลาจะยาวนานมากกว่าเดิม…

วันรุ่งขึ้นเล่อจยาตื่นแต่เช้าและทำอาหารเช้าให้เย่หลินเกาไห่และลูกสองคนของพวกเขา บางครั้งเธอโชคดีมากที่แม่ของเธอถูกเลี้ยงมาแบบให้ความสำคัญผู้ชายมากกว่าผู้หญิงทำให้ด้านการทำอาหารของเธอไม่แพ้ใคร

เย่หลินนอนดึกมากเมื่อคืนนี้ แต่ก็ถูกเย่เสี่ยวโม่ปลุกขึ้นในตอนเช้า

พอออกมาก็เห็นโต๊ะที่เต็มไปด้วยอาหารเช้ามากมาย ทั้งสีสันและรสชาติก็อร่อยจนเธออดไม่ได้ที่จะมองเล่อจยาในมุมที่ต่างไปจากเดิม ทุกวันนี้หญิงสาวสมัยนี้ไม่ค่อยรู้เรื่องการทำอาหารมากนัก แต่เธอสามารถปรุงอาหารอร่อย ๆ มากมาย ขนาดนี้ถือว่าหาตัวยาก

“พี่สะใภ้ค่ะ ขอบคุณสำหรับการทำงานหนักของคุณ” เธอยิ้มและพูดกับเล่อจยา

เลอจยาเม้มปาก “นั่น…” เธอหันไปมองเกาไห่ “ฉันก็ต้องเรียกเธอว่าเย่หลินใช่ไหม

เกาไห่ลูบหัวของเธอ “แล้วจะเป็นไปได้ไหม ที่คุณจะเรียกเธอว่าพี่สาว” หลังจากพูดจบ เขาก็เอาเก้าอี้ให้เล่อเจีย “นั่งลงกินข้าวด้วยกันคุณยุ่งมาทั้งเช้าแล้ว”

“เย่หลิน นั่งลงชิมมันด้วยกัน ไม่รู้ว่ามันจะถูกปากของคุณหรือไม่”

ในเวลานี้ หนิงเสี่ยวซีและเย่เสี่ยวโม่ได้เอาอาหารเข้าไปในปากของพวกเขาแล้ว เย่หลิน มองดูพวกเขา “พี่สะใภ้ เด็กสองคนนี้เลือกกิน ถ้าพวกเขาสามารถกินได้ แปลว่าต้องดีมากแน่ๆ”

หลังจากพูดจบ ก็เอาแพนเค้กเข้าปาก มันกรอบและอร่อย เธอพยักหน้า “อร่อยจริงๆ ชีวิตนี้พี่มีแต่ลาภปากแน่”

เกาไห่เหลือบมองเล่อจยา อันที่จริงเขาไม่แปลกใจที่เล่อจยทำเช่นนี้ได้ เขาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกโล่งใจมากขึ้นในการตัดสินใจครั้งแรก

อาหารมื้อนี้ของเล่อจยาก็ผ่านไปได้ด้วยการยอดรับของทุกคน

หลังจากกินเสร็จ เย่หลินและเกาไห่ต้องการที่จะช่วยเธอล้างจาน แต่เธอปฏิเสธ “เมื่อวานพวกคุณบอกว่ามีเรื่องที่ต้องทำไม่ใช่หรือ? รีบไปทำก่อน ส่วนทางนี้เดียวฉันจัดการเองส่วนเด็กสองคนนี้ทิ้งพวกเขาไว้ที่บ้าน ฉันจะดูแลพวกเขาเอง”

เกาไห่แขนพาดไปที่หน้าอกแล้วมองไปที่ เล่อจย่า “คุณเล่อจยา คุณหมายถึงคุณไม่จำเป็นต้องไปทำงานหรือ วันนี้วันจันทร์นะ”

มือของเล่อจยาที่ล้างจานสั่น “ไปทำงานหรือ” เธอขมวดคิ้ว ใช่ซิ เมื่อวานซูหย่าบอกเธอว่าเธอทำงานที่เกากรุ๊ปอยู่ แต่เธอความจำเสื่อม เธอยังไปทำงานได้หรือ

“พี่สะใภ้ คุณไปทำงานได้แล้ว เสี่ยวซีและเสี่ยวโม่ ให้พี่ชายของฉันส่งพวกเขากลับไปบ้านของตระกูลหนิง”

พูดเสร็จก็ก้าวไปข้างหน้าและช่วยเล่อจยาทำความสะอาด “พี่ควรจะหาแม่บ้านมาคนหนึ่งนะ? ถ้าพี่สะใภ้และพี่ทั้งคู่ไปทำงาน บ้านหลังออกจะใหญ่โตขนาดนี้ เธอทำความสะอาดคนเดียวมันเหนื่อยมากนะ?”

เกาไห่ออกมาจากการห้องสมุด ” ป้าแม่บ้านจะมาตอนบ่าย เล่อจยา คุณวางทุกอย่างไว้ที่นั่น แล้วป้าแม่บ้านจะเข้ามาทำความสะอาดแทนคุณ คุณไปกับเรา ฉันจะส่งเย่หลินไปที่นั่นก่อน” แล้วส่งคุณไปที่บริษัท

เล่อจยามองเวลาก็เกือบ 8 โมงแล้ว กลัวว่าพวกเขาจะรอนานรีบถอดผ้ากันเปื้อนออกแล้วไปที่ห้องเพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วออกไป

“แม่นมหลิวอยู่ข้างใน ไปคุยกับเธอก่อนพี่จะส่งพี่สะใภ้ไปที่บริษัท และหลังจากจัดการเรียบร้อย จะมารับ” หลังจากส่งหนิงเสี่ยวซีและเย่เสี่ยวโม่เกาไห่ก็ส่งเย่หลินไปยังที่อยู่ที่นัดไว้กับแม่นมหลิว

เล่อจยาอยากจะบอกว่าเธอไปที่บริษัทเองได้ แต่ลองคิดดู ตอนนี้เธอความจำเสื่อม ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรเมื่อไปถึงที่บริษัท เธอก็ได้แต่เงียบไม่พูดอะไรดีกว่า

“ได้ พวกนายขับรถช้าๆหน่อย”

ในร้านน้ำชาตำแหน่งอยู่ตรงหัวมุมถนนไม่เด่นมาก แต่การตกแต่งภายในโดดเด่นมาก เมื่อ เย่หลินเดินเข้าไป แม่นมหลิวก็นั่งรออยู่ในห้องชั้นในสุดแล้วเมื่อเธอเห็นเธอเดินเข้ามา เธอก็รีบยืนขึ้น “เย่หลิน คุณกลับมาแล้วหรือ” ดวงตาของเธอมีความสุขอย่างเห็นได้ชัด

สำหรับแม่นมหลิวตั้งแต่ตอนที่เธอเป็นเฉินเป้ยอี เย่หลินก็รู้สึกว่าคนคนนี้เป็นคนดี ใจดี และดูแลเธอ ลูกๆและหนิงเส่าเฉิน เป็นอย่างดี แม้ว่าหนิงเส่าเฉินจะรู้สึกว่าเธออายุเยอะไปและไม่ให้เธอทำอะไรไปมากกว่านี้แต่เธอไม่สามารถอยู่เฉยๆ ได้ และมักจะช่วยให้พวกเขาทำในสิ่งที่เธอทำได้

และเธอก็รักเสี่ยวซีและ เสี่ยวโม่ มาก

ระหว่างทางมาที่นี่ เธอยังคิดถึงเหตุผลมากมายว่าทำไมเธอถึงปกปิดมัน เธอมักจะรู้สึกว่าถ้าเธอจะต้องตายจริงๆมีหรือที่เธอจะไม่ช่วย

“แม่นมหลิวไม่ต้องลุก นั่งลงเร็ว”

หลังจากนั่งลง เย่หลินวางกระเป๋าของเธอไว้บนเก้าอี้ข้างเธอ และถามแม่นมหลิวว่า “แม่นมหลิว คุณจะดื่มอะไรหน่อยไหม จำได้ว่าคุณชอบดื่มชารสขมใช่ไหม”

รอยยิ้มบนใบหน้าของ แม่นมหลิว หยุดนิ่ง เธอรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยที่เย่หลินจำสิ่งที่เธอชอบดื่มได้จริง ๆ “ใช่” จากนั้นเขาก็ลังเลและพูดว่า: “เย่หลิว ได้ยินมาว่าคุณมีเรื่องต้องการพบฉัน?”

เย่หลินเรียกพนักงานเสิร์ฟเพื่อสั่งชาให้แม่นมหลิว และสั่งน้ำอุ่นให้ตัวเอง

เมื่อนึกถึงเรื่องนี้ เธอจึงถามอย่างตรงไปตรงมาว่า “แม่นมหลิว พ่อตาของฉันถูกวางยาพิษใช่ไหม เคยได้ยินหรือไม่?”

เย่หลินเห็นใบหน้าที่เคร่งขรึมของหนิงเสี่ยวซี ก็อดไม่ได้ที่จะตึงเครียด สูดลมหายใจเข้าแล้วพูดว่า : “คุณบอกมาเถอะ”

“แม่นมหลิวเหมือนรู้ว่าคุณปู่ถูกวางยาอะไร”

แม่นมหลิว? เย่หลินกลืนน้ำลาย แววตาที่งดงามค่อยๆ หรี่ขึ้น แล้วมองหนิงเสี่ยวซีทันที “เสี่ยวซี คำพูดนี้ พูดเรื่อยเปื่อยไม่ได้นะ คุณมีหลักฐานอะไร? ”

เกาไห่รินน้ำให้เย่หลินและเด็กสองคน ได้ยินหนิงเสี่ยวซีพูดแบบนี้ สีหน้าเขาก็เคร่งขรึมเล็กน้อย วางแก้วลงบนโต๊ะน้ำชา “เสี่ยวซี คุณเห็นอะไร? หรือได้ยินอะไรมา? ”

หนิงเสี่ยวซีมองเกาไห่แล้วพยักหน้า “คุณลุง นั่น……” เขาหยุดไปชั่วขณะ ต่อจากนั้น ก็มองไปที่เล่อจยากับซูหย่า “พวกเธอเป็นใคร? ” เห็นได้ชัดว่าคำพูดต่อไปของเขา มีความกังวลนิดๆ

เล่อจยาก็มองออก สีหน้าแข็งทื่อเล็กน้อย รีบลุกขึ้น “อย่างนั้น เราเข้าห้องไปดูทีวีกันก่อน พวกคุณคุยกันไปเถอะ”

เย่หลินยื่นมือไปดึงเล่อจยา “ไม่ต้องหรอก ตอนนี้คุณก็เป็นครอบครัวเดียวกันแล้ว คุณซูก็เป็นเพื่อนสนิทของคุณ เป็นคนกันเองทั้งหมด เสี่ยวซี นี่คือป้าสะใภ้กับป้าของคุณ ทุกคนไม่ใช่คนนอก คุณบอกมาเถอะ”

เล่อจยากับซูหย่ามองหน้ากัน แล้วนั่งกลับไปที่เดิม

หนิงเสี่ยวซีขมวดคิ้ว ป้าสะใภ้? เขามองๆ เกาไห่ “คุณลุง คุณทำเรื่องนี้อย่างรวดเร็วจริงๆ ……” จากนั้นเขาก็ทักทายเล่อจยากับซูหย่าทันที : “ป้าสะใภ้ คุณป้าสวัสดีครับ”

ทั้งสองคนยิ้มตอบกลับ

ต่อจากนั้น หนิงเสี่ยวซีเก็บรอยยิ้ม พูดด้วยสีหน้าเคร่งขรึม : “ฉันได้ยินแม่นมหลิวโทรหาคนคนหนึ่ง ถามว่าบุคคลนั้นให้ยามาใช่ไหม เดิมทีคิดที่จะบอกพ่อ แต่ว่า……” เขาหยุดไปชั่วขณะ “ฉันคิดว่าถ้าคุณบอกพ่อ น่าจะเหมาะสมกว่า”

เย่หลินเข้าใจ ลูกชายเธอคนนี้ อยากให้โอกาสตนเองได้ทำคุณงามความดี แต่ว่าเขาไม่รู้หรอก ว่าเรื่องบางเรื่องไม่ง่ายดายขนาดนั้น

คิดแล้วเธอก็หยิบมือถือออกมา เตรียมจะโทรหาหนิงเส่าเฉิน เรื่องนี้ต้องทำให้ชัดเจนโดยเร็วที่สุด พ่อหนิงอาจจะฟื้นขึ้นมาได้อย่างรวดเร็ว

เกาไห่ก้าวขายาวๆ มาข้างๆ เย่หลิน แล้วหยิบมือถือจากในมือไป แล้วมองไปที่เย่หลิน “พรุ่งนี้ ฉันจะไปนัดแม่นมหลิวออกมา แล้วคุณก็คุยกับเธอให้ชัดเจนก่อน แล้วค่อยบอกเส่าเฉินอีกที”

เย่หลินไม่เข้าใจ “ก็ให้เส่าเฉินถามตรงๆ เลย ไม่เหมือนกันเหรอ? ”

เกาไห่ส่ายหัว “อย่าดึงคนที่ไม่เกี่ยวข้องเข้ามา แม่นมหลิวอยู่ตระกูลหนิงมาทั้งชีวิต ถ้ารู้ว่าพ่อหนิงถูกพิษอะไรจริงๆ ทำไมเธอไม่บอกหนิงเส่าเฉินล่ะ? คุณอย่าลืมสิ ความรักของเธอที่มีต่อหนิงเส่าเฉิน ยากมากที่เธอจะไม่บอก เป็นธรรมดาที่เธอต้องมีความลำบากใจอย่างนอน”

เย่หลินได้ยินสีหน้าก็เปลี่ยนไปอย่างเล็กน้อย การวิเคราะห์ของเกาไห่นั้นถูกต้อง “อย่างนั้นก็ได้ พรุ่งนี้ฉันจะลองคุยกับแม่นมหลิวดูก่อน” พูดจบก็ลุกขึ้นยืน “เช่นนั้นฉันไปอาบน้ำนอนก่อน พวกคุณคุยเล่นกันไปเถอะ”

ซูหย่าเห็นเช่นนั้น ก็ลุกขึ้นตาม “อย่างนั้น ฉันก็กลับก่อนแล้ว ดึกมากกว่านี้ แม่ฉันจะบ่นเอา พวกคุณสองคน คุย……เล่นกันไปแล้วกัน”

พูดจบ เธอมองเกาไห่อย่างมีความหมายลึกซึ้ง “ประธานเกา จยาจยาก็รบกวนคุณแล้ว”

ต่อจากนั้นห้องรับแขกที่คึกคักเมื่อกี้นี้ ชั่วพริบตาก็เหลือแค่เกาไห่กับเล่อจยา ทั้งสองคนมองหน้ากัน ชั่วขณะก็หาหัวข้อสนทนาไม่ได้ ด้วยเหตุนี้บรรยากาศจึงดูกลืนไม่เข้าคายไม่ออกเล็กน้อย เล่อจยาเม้มๆ ปาก “เอ่อ ฉะนั้นเรา……ก็อาบน้ำนอนกันไหม? ”

เกาไห่พยักหน้าด้วยจิตสำนึก ทันทีหลังจากนั้น เขาก็เงยหน้า มองเล่อจยา สายตาเป็นประกาย กำมือแน่น ลูกกระเดือกกลิ้งขึ้นลง “โอเค คุณไปอาบก่อน เดี๋ยวฉันตามไป”

เมื่อเกาไห่เข้าไปในห้อง ก็เห็นเล่อจยาที่สวมชุดนอนออกมาจากห้องน้ำพอดี เธอสวมชุดนอนแบบยาวสีดำ ผมยาวพาดลงมาบริเวณอก ชัดเจนว่า ไม่ได้ใส่ชุดชั้นใน เกาไห่หน้าแดงระเรื่อ ในทันทีก็ไม่รู้จะทำอย่างไร หายใจเข้าออกล้วนติดขัดเล็กน้อย

รีบพาตัวเองเข้าห้องน้ำไป “คุณหลับไปก่อน ฉันไปอาบน้ำก่อน”

อาบน้ำเย็นอยู่นาน เกาไห่จึงระงับความกระสับกระส่ายภายในใจลงได้ เมื่อออกมา ก็เห็นเล่อจยายืนอยู่ข้างเตียง เดินไปเดินมา จึงไม่เข้าใจเล็กน้อย “เป็นอะไรเหรอ? ทำไมยังไม่นอนอีก? ”

เล่อจยาเครียดจนมือไม้สั่น ฝ่ามือมีเหงื่อออก เธอเงยหน้าขึ้น มองเกาไห่ พูดอย่างยากลำบากเล็กน้อยว่า: “ฉัน…..ฉันอยากถามหน่อยว่า ก่อนหน้านี้ที่ฉันนอนกับคุณ ฉัน…..ฉัน….ฉัน….ใส่เสื้อผ้าไหม? ”

เมื่อตอนที่เธอนอนคนเดียว เธอชอบเปลือยนอน แต่ว่า ตอนนี้เธอความจำเสื่อม แล้วยังต้องเผชิญหน้ากับ”สามี”ที่แปลกหน้า เธอจึงทำตัวไม่ถูกจริงๆ

ชัดเจนว่า เกาไห่ก็คาดไม่ถึงว่า เล่อจยาจะถามคำถามแบบนี้กับเขา การกระทำที่เช็ดผมอยู่ก็แข็งทื่อ หูแดงไปหมดแล้ว

คิดๆแล้ว เขาก็พยายามเอ่ยปากออกไปอย่างนิ่งๆ ว่า: “อืม จยาจยา เป็นแบบนี้นะ ถึงแม้พวกเราจะแต่งงานกันแล้ว แต่ว่า คุณบอกให้ฉันให้เวลาคุณได้ปรับตัวก่อน ดังนั้น จนกระทั่งถึงตอนนี้ ระหว่างพวกเรา ยังไม่เคยมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นเลย…….”

เล่อจยาเบิกตาโพลง อ้าปากค้าง เธอยกมือทั้งสองขึ้นปิดหน้า ต่อจากนั้น ก็เปิดผ้าห่มออกแล้วซุกตัวเข้าไป ซุกหัวเอาไว้ในผ้าห่ม รู้สึกขายหน้าอย่างมาก

เกาไห่กระแอมเบาๆ แล้วพ่นลมหายใจออกมา เปิดผ้าห่มออกเบาๆ เอนกายลงไปอีกด้านหนึ่ง ด้วยเตียงที่กว้างประมาณสองเมตร ดังนั้น คนทั้งสองพยายามนอนกันคนละด้าน จนกระทั่งตรงการมีตำแหน่งว่างหนึ่งที่

หลังจากเล่อจยารู้สึกว่าคนที่อยู่ข้างๆ ไม่มีการเคลื่อนไหวแล้ว เธอจึงผงกหัวขึ้น หันกลับไป มองภาพด้านหลังของเกาไห่ ทันทีก็กลัดกลุ้มใจเล็กน้อย

เทพบุตรที่อยู่ข้างๆ เธอคาดไม่ถึงว่าจะต้องการให้เธอปรับตัว เล่อจยานะเล่อจยา นี่คุณเล่นตลกหรือเปล่า? คุณไม่กลัวว่ายังไม่ทันได้ทานเข้าปาก ชายเทพบุตรก็สลัดคุณทิ้งไปเหรอ?

ไม่รู้จริงๆ ว่า หลายปีมานี้ คุณผ่านเรื่องราวอะไรมา? กับสถานการณ์แบบนี้ ไม่ควรจะเริ่มแผนการที่ดีด้วยตัวเองเหรอ?

หรือว่าพออายุมากขึ้นแล้ว หน้าก็บางอย่างนั้นเหรอ?

คิดถึงตรงหน้า เธอก็สูดลมหายใจเข้าลึกๆ ไม่ได้ เวลานี้ เธอไม่สามารถนอนแข็งทื่อแบบนี้ได้ ตามกฎหมายแล้วคนเป็นของเธอ นี่…..นี่มันไม่มีเหตุผลที่จะทำได้เพียงแค่มองแต่ไม่กิน?

ในใจคิกแล้ว เธอก็เคลื่อนย้ายไปยังทางด้านของเกาไห่

เพียงแต่ พอเธอรู้สึกถึงความอบอุ่นของร่างกายชายหนุ่ม ชายหนุ่มก็พลิกตัวจากบนเตียง ต่อจากนั้น ก็ลุกขึ้นยืน ลืมตามองสายตาที่ไม่มีความผิดคู่นั้นของเล่อจยา ครู่ใหญ่ๆ จึงเอ่ยปากว่า: “คุณ…คุณ…มีอะไรเหรอ? ”

เล่อจยาใบหน้าคร่ำเครียด เธอมองค้อนเล็กน้อย การแสดงออกของเธอยังไม่ชัดเจนอีกเหรอ? หรือว่าผู้ชายคนนี้……

ในทันที เธอก็ลุกขึ้นนั่ง จ้องตาโต สายตาเคลื่อนย้ายเล็กน้อย แล้วตกไปที่เอวกางเกงของเกาไห่ ปิดปาก พูดเบาๆ ว่า: “คุณ….มีปัญหา….ทางด้านนั้นหรือเปล่า? ” ดังนั้น จึงแต่งงานกับเธอ? ดังนั้น จึงเอนกายอยู่ข้างเธอโดยไม่ตอบสนองอะไร? คิดถึงตรงนี้แล้ว เล่อจยาก็ขมวดคิ้วแน่น

เล่อจยาเห็นซูหย่ามองตนเองอย่างนั้น ก็ลูบๆ หัว อธิบายอย่างหน้าแดงๆ เล็กน้อย “เอ่อ……เอ่อคือ ไม่ใช่บอกว่าแต่งงานกันแล้วเหรอ? เช่นนั้น ก็รอคุณ ไม่ใช่ว่าสมควรแล้วเหรอ? ”

ซูหย่าจ้องมองเล่อจยา เธอปกปิดความสุขบนใบหน้าไว้ไม่อยู่ ทำให้เธออยากจะบอกความจริงกับเธอ ให้หมดในทีเดียว……

ก็เอาอย่างนี้แล้วกัน แค่เธอมีความสุข ทุกอย่างก็ดีหมด!

แม้ว่าเธอไม่เข้าใจว่าเกาไห่ทำเช่นนี้เพราะอะไร แต่เธอก็เชื่อว่าเขาจะไม่ทำร้ายเล่อจยา เพราะว่าเล่อจยาไม่มีอะไรเลย ไม่มีสิ่งที่เกาไห่ต้องการ นอกจากเธอคนนี้ ให้เล่อจยาได้พบกับความสุข เธอก็ไม่มีอะไรที่จะคัดค้าน

“ใช่ ใช่สมควร เพียงแต่จยาจยา ตอนนี้คุณความจำเสื่อมอยู่ คุณแน่ใจเหรอว่าจะอยู่ด้วยกันกับเขา? ถ้าหากว่า วันไหนคุณฟื้นความทรงจำกลับมา แล้วพบว่าเรื่องราวไม่ได้เป็นเช่นนี้ คุณ……”

“ถึงอย่างไรฉันก็ไม่เสียใจหรอก อีกอย่าง……” เธอยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ “อีกอย่าง นอนกับเขา คนที่เสียเปรียบ ก็ไม่ใช่ฉัน ถูกไหม? ” พูดจบ เธอหยิบตะเกียบจากถ้วยบนโต๊ะขึ้นมา มุมปากก็ยิ้มค้างไว้ตลอด ดูออกว่า ความสุขของเธอในตอนนี้ มันส่งออกมาจากใจ

ซูหย่าพบว่า ความหลงใหลของเล่อจยาตอนอายุ 21 ปีต่อเกาไห่ ทำลายจินตนาการของเธอไปโดยสิ้นเชิง จริงๆ ก็ไม่มีอะไรต้องพูดแล้ว……

“พี่” เย่หลินลงจากเครื่องบิน ก็เห็นยืนมือล้วงกระเป๋าทั้งสองข้างอยู่

เกาไห่เดินเข้าไป ดึงเย่หลินจากในอ้อมกอดของหนิงเส่าเฉิน “ฉันจะพาเธอไปอยู่กับฉัน คุณจัดการทางด้านนั้นของคุณให้ดี แล้วแจ้งให้ฉันทราบ ฉันค่อยส่งเธอไปที่นั่นอีกที”

หนิงเส่าเฉินหันกลับไปดึงเย่หลินมาไว้ในอ้อมกอด “แล้วฉันจะส่งเสี่ยวซีกับเสี่ยวโม่ไปนะ”

ในแววตาเย่หลินเห็นได้ชัดว่ามีความผิดหวัง เธอรู้ว่าที่หนิงเส่าเฉินทำแบบนี้ แน่นอนว่าทางด้านตระกูลหนิงนั้นจะไม่ปล่อยเธอไป

“โอเค เช่นนั้นฉันไปก่อนนะ คุณเองก็ขับรถดีๆ นะ”

ตลอดเส้นทาง เห็นเธออารมณ์ไม่ค่อยดี เกาไห่ก็ไม่ได้พูดอะไรมาก เมื่อถึงลานจอดรถชั้นใต้ดิน เขาจึงพูดว่า “เย่หลิน พี่แต่งงานแล้วนะ”

เย่หลินขมวดคิ้ว หันไปมองเกาไห่อย่างประหลาดใจ “พี่ คุณพูดอะไรนะ? คุณแต่งงานแล้วเหรอ? กับใคร? เมื่อไหร่……”

“ลงรถก่อน เราค่อยเดินไปเล่าไป! ” เกาไห่พูดจบก็จอดรถ

อารมณ์หดหู่ของเย่หลินผ่อนคลายลงเพราะเรื่องนี้ เธอตกใจมาก เธอจากไปนานแค่ไหนกัน……

เกาไห่เดินนำหน้า เย่หลินเดินตามหลัง เดินไปไม่กี่ก้าว เย่หลินก็วิ่งเหยาะๆ ไปข้างหน้า แล้วดึงเกาไห่ไว้ : “พี่ คุณไม่สามารถแต่งงานได้ตามอำเภอใจแบบนี้นะ คนคนนั้นต้องใช้ชีวิตด้วยทั้งชีวิต! อย่างน้อยคุณต้องเข้าใจว่าอีกฝ่ายเป็นอย่างไร ภูมิหลังของครอบครัวต่างๆ นานา……”

เกาไห่หันไปมองเธอ “อันที่จริง เธอชอบฉันมา 7 ปีแล้ว เธอเคยช่วยชีวิตฉันไว้ พ่อก็เพิ่งตายไป แม่กับน้องชายก็ทิ้งเธอไปก่อนแล้ว……”

จากนั้นทั้งสองก็ยืนอยู่ที่ทางเดิน เกาไห่เล่าเรื่องเล่อจยากับเขา อย่างคร่าวๆ ให้เย่หลินฟังอีกรอบ

“คุณ คุณบอกว่าเธอความจำเสื่อม? พี่ เธอความจำเสื่อมแล้ว คุณใช้สถานการณ์นี้แต่งงานกับเธอ จะไม่ดูหลอกลวงไปหน่อยเหรอ? ” เย่หลินมองเกาไห่ แล้วขมวดคิ้วแน่น

เกาไห่ใช้นิ้วเรียวยาวลูบๆ หน้าผาก หาได้ยากที่เย่หลินจะเห็นเขาแสดงท่าทีเขินอาย อดไม่ได้ที่จะหัวเราะ “พี่ คุณชอบเธอใช่ไหมล่ะ? ” ฉะนั้น จึงได้”ฉวยโอกาส” ใช้วิธีนี้ในการครอบครองเธอ

ในแววตาของเกาไห่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม ตั้งแต่เย่หลินรู้จักเขาจนถึงตอนนี้ เย่หลินรู้สึกว่าวันนี้ เป็นวันที่เธอเห็นสีหน้าของพี่ชายเปลี่ยนไปมากที่สุด อดไม่ได้ที่จะรู้สึกใจอ่อน “ไปเถอะ ให้ฉันเห็นหน่อยว่าพี่สะใภ้ของฉันเป็นคนแบบไหน? ”

เมื่อเล่อจยาและซูหย่าปรากฏตัวต่อหน้าเย่หลิน เย่หลินชี้ไปที่เล่อจยา “พี่ พี่สะใภ้ที่คุณบอก คือเธอใช่ไหม? ”

เกาไห่ขมวดคิ้ว แล้วหัวเราะเล็กน้อย “ทำไมคุณถึงแน่ใจขนาดนั้น? ”

เล่อจยาเวลานี้สวมชุดกีฬา ผมเปียหางม้า รูปร่างอวบเล็กน้อย ดูติดดินอย่างมาก แต่ซูหย่าที่อยู่ข้างๆ เห็นได้ชัดว่าต่างกันราวฟ้ากับดิน ตามความคิดของคนปกติทั่วไป เกาไห่ก็นับว่าเป็นคนที่มีความสามารถโดดเด่น อย่างไรก็ต้องเลือกคนแบบซูหย่า……

แต่เพียงเย่หลินมองก็มองออกถึงความดีใจ ความศรัทธา ความชื่นชม ความรักที่ผสมรวมเข้าด้วยกันในสายตาของเล่อจยา การแสดงออกที่คุ้นเคยแบบนั้น เหมือนกับมองตัวเองในกระจก ตอนที่ตนเองคิดถึงหนิงเส่าเฉิน ก็เป็นเช่นนี้ไม่ใช่เหรอ? เธอเข้าใจอย่างมาก

ในใจก็รู้สึกดีใจกับพี่ชายอีกครั้ง นี่เข้าเจอรักแท้แล้วจริงๆ

เล่อจยามองสาวสวยที่อยู่ตรงหน้า ได้ยินเธอเรียกตนเองว่าพี่สะใภ้ ใบหน้าก็แดงระเรื่อ ก้มหน้าลง มือไม้อ่อนไปหมด

ซูหย่ารู้จักเย่หลิน “สวัสดีค่ะ คุณนายหนิง ฉันเป็นเพื่อนซี้ของจยาจยา ซูหย่า คุณสวยกว่าในรูปมากเลย” เธอชื่นชมด้วยความจริงใจ

ทันทีก็หันไปมองเล่อจยา “อึ้งอะไรอยู่ล่ะ น้องสาวสามีมา เอารองเท้าแตะมาให้เปลี่ยนสิ…..”

เล่อจยาพูดอีกครั้งว่า: “น้องสาวสามีเหรอ? ”

เย่หลินเม้มปาก ยิ้มๆ “ไม่ต้องๆ ฉันทำเอง พี่ ภรรยาของคุณเนี่ย น่ารักจริงๆ เลยนะ”

เธอพูดพลาง หยิบรองเท้าแตะที่ชั้นวางรองเท้ามาสวมเอง เห็นเล่อจยายังเขินอยู่ จึงเดินเข้าไป ดึงมือของซูหย่าและเล่อจยาขึ้น “ฉันชื่อเย่หลิน เป็นน้องสาวแท้ๆ ของพี่เกาไห่ ดีใจอย่างมาก ที่ได้รู้จักกับพวกคุณ”

ความเรียบง่ายเป็นกันเองของเธอ ทำให้เล่อจยาประหลาดใจเล็กน้อย เห็นการแต่งตัวและนิสัยของเย่หลิน ก็รู้ว่า เธอจะต้องไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน รู้สึกว่าคนแบบพวกเขานี้ โดยทั่วไปจะต้องเย่อหยิ่ง

“พี่สะใภ้ พี่ชายของฉันพูดไม่ค่อยเก่ง ต่อไป ถ้าคุณมีเรื่องน้อยใจอะไร คุณก็มาบอกกับฉันได้ ฉันจะช่วยสั่งสอนเขาแทนคุณเอง”

“ไม่ต้องค่ะๆ เขาดีกับฉันมาก” คำพูดของเย่หลินเพิ่งจบ เล่อจยาก็รีบโบกไม้โบกมือ

เกาไห่มองเล่อจยา กระแอมเบาๆ กำลังเตรียมจะเอ่ยปาก เสียงกริ่งประตูก็ดังขึ้น

พอเปิดประตู ภาพเงาของตนทั้งสองก็โผเข้ามา เมื่อเห็นเย่หลินในห้องรับแขก เย่เสี่ยวโม่ก็ร้องไห้เสียงดังขึ้นมา

หนิงเสี่ยวซีมองเย่หลินอยู่ไกลๆ เย่หลินเห็น หนิงเสี่ยวซีที่น่ารักในวัยเด็ก ยิ่งโตขึ้น ก็ยิ่งเย็นชา

เย่หลินเดินเข้าไป โน้มตัวลง อุ้มเย่เสี่ยวโม่มาไว้ในอ้อมกอด “เสี่ยวโม่ คิดถึงแม่ไหม? ”

เย่เสี่ยวโม่เบ้ปากไม่พูดจา ผ่านไปครู่หนึ่ง จึงส่งเสียงพูดว่า “คุณเย่หลิน ถ้าครั้งหน้าคุณทิ้งฉันเอาไว้คนเดียวโดยไม่สนใจอีก ฉันจะไม่ขัดขวางพ่อที่จะหาแม่เลี้ยงให้พวกเราอีกแล้ว”

“แม่เลี้ยง? ” เย่หลินขมวดคิ้ว

“แม่ คุณไม่อยู่ พ่อกลับบ้านดึกทุกวันเลย ฉันบอกกับพี่ว่า พ่อต้องไปหาแม่เลี้ยงให้พวกเราแน่ๆ หนิงเสี่ยวซีก็มาตีฉันอีก” เย่เสี่ยวโม่พูดพลาง จ้องมองหนิงเสี่ยวซีอย่างโหดเหี้ยม

หนิงเสี่ยวซีมองเธอด้วยใบหน้าทึ่มทื่อ “แม่ คุณอย่าไปฟังเธอพูดเหลวไหล คุณไม่อยู่บ้าน ช่วงนี้พ่ออารมณ์ไม่ค่อย เขาไปหาอาหลิวซูเพื่อดื่มเหล้า อีกอย่าง ฉันไม่ได้ตีเธอ…….”

“คุณตี คุณใช้มือตีก้นฉัน”

หนิงเสี่ยวหน้าแดง “ในเมื่อคุณบอกว่าฉันตี ต่อไป ฉันก็จะทำให้คุณได้เห็นว่า อะไรที่เรียกว่าตีจริงๆ ….”

“แง๊…..แม่ คุณดูเขาสิ…..”

ในบ้านมีเด็กเพิ่งมาอีกสองคน ก็รู้สึกครึกครื้นขึ้นมาอย่างอยาก เย่หลินลุกขึ้นยืน ลูบหัวหนิงเสี่ยวซีสองครั้ง “เสี่ยวซี ช่วงนี้แม่ไม่อยู่บ้าน ลำบากคุณแล้วที่ต้องดูแลน้อง”

เย่หลินเข้าใจหนิงเสี่ยวซี เขาและหนิงเส่าเฉินนิสัยคล้ายกัน หลายสิ่งหลายอย่าง มักไม่แสดงออกมาทางคำพูด แต่จะแสดงผ่านการกระทำ

ช่วงนี้ คาดว่าเย่เสี่ยวโม่คงทำให้เขาปวดหัวอยู่ไม่น้อย

หนิงเสี่ยวซีส่ายหน้า ทันที เขาก็อ้าปาก ลังเลใจอยู่ชั่วขณะ แล้วจึงเอ่ยปากว่า “แม่ มีเรื่องหนึ่ง ที่ฉันอยากจะบอกกับคุณ”

“นี่คือที่อยู่ของเธอ ข้าวของทั้งหมดฉันย้ายไปให้แล้ว จัดการทุกอย่างตามความคุ้นชินที่คุณบอกแล้ว”

เห็นข้อความนี้ ซูหย่าก็มองเล่อจยา อดไม่ได้ที่จะเบาใจ นี่คือมีเสียก็ต้องมีได้จริงๆ ถึงแม้เธอจะไม่มีพ่อแล้ว แต่เธอก็ได้เกาไห่มา

คิดถึงตรงนี้ ความหนักใจก็เบาลงไปเยอะ เธอเม้มๆ ปาก มองเล่อจยา “ไปเถอะ ฉันจะไปส่งคุณ” พูดจบ ก็ดึงแขนเล่อจยาขึ้นมาอย่างเป็นปกติ

ถึงแม้การกระทำที่สนิทสนมของเธอนี้ เล่อจยาจะไม่คุ้นเคย แต่ความรู้สึกที่ซูหย่ามีให้เธอ เห็นได้ชัดว่าต่างจากในความทรงจำของเธอ

คิดๆ ดูแล้วก็ตามเธอไป

ขึ้นไปนั่งบนรถสปอร์ตสีแดงของซูหย่า เล่อจยาสัมผัสไปทุกๆที่ “คุณเป็นสาวฟุ่มเฟือยจริงๆ ”

คุณเป็นสาวฟุ่มเฟือยจริงๆ! ซูหย่าพูดไม่ออก ในตอนนั้นที่เล่อจยาขึ้นรถคันนี้ครั้งแรก ก็พูดประโยคนี้ นี่……

เห็นอพาร์ตเมนต์โอ่อ่าหรูหราตรงหน้า เล่อจยาก็หันไปมองซูหย่า “คุณ……แน่ใจเหรอ ว่าก่อนหน้านี้ฉันอยู่ที่นี่? ”

เธอเกาหัว พูดกับตัวเองว่า : “หรือว่าหลายปีมานี้ เก็บเงินได้เยอะ จึงได้ร่ำรวยใช่ไหม? ”

ซูหย่ากระแอมเบาๆ ในใจยังแอบบ่นเกาไห่ที่เชื่อถือไม่ได้ แอบส่งข้อความหาเขา “เช่าบ้านแพงขนาดนี้ ประธานเกา กรุณาขึ้นเงินเดือนให้จยาจยาด้วย! ”

ข้อความก็ส่งกลับมาอย่างรวดเร็ว “ถึงแล้วเหรอ? ขึ้นมาก่อนสิ”

ขึ้นมาก่อน? หรือว่า……เกาไห่ยังอยู่เหรอ?

ตอนนี้ซูหย่าตึงเครียดเล็กน้อย เพียงแต่แปลกใจมาก ว่าเกาไห่จะอธิบายกับเล่อจยาอย่างไร

ลิฟต์หยุดที่ชั้น 20 ออกจากลิฟต์ไป เล่อจยาก็ถูกการตกแต่งระดับไฮเอนด์ตรงหน้าทำให้ตกตะลึง พระเจ้า บ้านหลังนี้อยู่ใจกลางเมือง ยังมีการตกแต่งที่สวยงามแบบนี้ ในที่แบบนี้ เช่าอพาร์ตเมนต์ดีๆ อย่างนี้ เธอสงสัยจริงๆ เลยว่า ก่อนหน้านี้ตนเองถูกลอตเตอรี่ใช่ไหม?

ซูหย่าดึงๆ เล่อจยา “รีบไปเถอะ คุณอยู่202……ทางนี้! ”

ประตูไม่ได้ล็อก ซูหย่าผลักประตูเข้าไป ถึงแม้เธอจะเคยผ่านโลกมามาก แต่ในเวลานี้ก็ถูกการตกตรงหน้าทำให้ตะลึง ไม่ใช่แค่ดูหรูหราเท่านั้น ยังดูสิ้นเปลืองฟุ่มเฟือยอย่างมาก โซฟาชุดนั้น เธอเคยดูในนิตยสาร น่าจะหลายล้าน……

อีกอย่างทีวีเครื่องนั้น อย่างน้อยก็หนึ่งล้าน แล้วก็……

ถึงแม้เล่อจยาจะไม่เข้าใจสิ่งเหล่านี้ แต่ยืนจับขอบประตู แล้วส่ายหัวตลอด “เสี่ยวหย่า เรามาผิดที่หรือเปล่า? ”

ซูหย่าสติกลับมา กำลังจะพูด

เสียงชายคนหนึ่งก็ดังออกมาจากในครัว “จยาจยา คุณกลับมาแล้วเหรอ? รีบเข้ามาสิ ฉันทำปลาที่คุณชอบกินไว้ให้คุณด้วยนะ”

น้ำเสียงนั้น การเรียกชื่อนั้น ทำให้ซูหย่าคิดว่าตนเองหูฝาด เธอหันไปมองเล่อจยา ก็เห็นได้ชัดว่าการแสดงออกของเธอไม่ได้ดีไปกว่าตนเองเลย

“จยา คุณยังตกตะลึงอะไรอยู่ เพื่อนคุณมาเป็นแขกที่บ้านเรา คุณยังไม่รีบเชิญแขกเข้ามาอีกเหรอ? ”

“บ้านเรา? ”

“บ้านเรา? ”

ผู้หญิงสองคน ตกใจตะโกนขึ้นพร้อมกัน……

เล่อจยาแปลกใจ เธอกลายเป็นครอบครัวเดียวกันกับเกาไห่ตั้งแต่เมื่อไหร่?

ซูหย่ามองเกาไห่ ใช่……เธอรับปากกับเขา ว่าจะเล่นละครด้วยกันกับเขา แต่ว่า ในบทไม่มีแบบนี้ไม่ใช่เหรอ? บ้านของเรา?

เกาไห่เข้าไปหยิบรองเท้าแตะที่ชั้นวางรองเท้ามาให้เล่อจยา รองเท้าแตะคู่นั้นค่อนข้างเก่าแล้ว แต่เล่อจยาเพียงแค่เห็นก็สามารถจำได้ทันที รองเท้าแตะคู่นี้ เธอเป็นคนถักเองตอนอยู่ปีสาม ถึงแม้ฝีมือจะไม่ละเอียดงดงาม แต่ก็ทนใส่ได้ ใส่จนชินแล้ว หลายปีมานี้ เธอตัดใจทิ้งมันไปไม่ได้เลย

ขณะที่เล่อจยาโน้มตัวลงไปสวมรองเท้า เก่าไห่ก็ส่งสัญญาณให้ซูหย่า ความหมายคือ ให้เธอร่วมมือ

ซูหย่าขมวดคิ้ว เธอควรจะร่วมมืออย่างไร ในฐานะที่เล่อจยาเล่าว่าเป็นพี่น้องที่ดีที่สุดต่อกัน แต่คาดไม่ถึงว่าจะไม่รู้ว่าเธออยู่ด้วยกันกับผู้ชายคนอื่น นี่ก็…….

จู่ๆ สายตาเธอก็เป็นประกาย ผลักเล่อจยาเล็กน้อย “จยาจยา คุณนี่เป็นเพื่อนที่ไม่ได้เรื่องจริงๆ ฉันเพิ่งพูดว่าคุณจะมาอยู่บ้านที่ราคาแพงขนาดนี้ได้อย่างไร ที่แท้ ที่แท้ก็……” ซูหย่าโน้มตัวเข้าไปกระซิบข้างหูของเล่อจยา: “ที่แท้ คาดไม่ถึงเลยว่าคุณจะอยู่ด้วยกันกับเกาไห่แล้ว? คุณโกหก ไม่นึกเลยว่าจะไม่ยอมบอกฉัน”

“อยู่ด้วยกัน? ฉัน…..” เล่อจยาอยากจะพูดว่าเธอมาอยู่ด้วยกันกับเกาไห่ได้อย่างไร แต่คิดๆแล้ว ว่าตนเองความจำเสื่อม จำเรื่องราวก่อนหน้านี้ไม่ได้ ถ้าหากว่า เธออยู่ด้วยกันกับเกาไห่จริงๆ ตอนนี้ ตนเองจะปฏิเสธ ก็ค่อนข้างกลืนไม่เข้าคายไม่ออกจนเกินไป คิดๆแล้ว จึงไม่พูด เพียงแต่นี่ก็สามารถอธิบายได้ว่า ทำไมก่อนที่จะสูญเสียความทรงจำถึงมาอยู่ที่นี่ได้ ที่แท้ ก็เพราะเกาะคนรวย

คิดถึงตรงนี้แล้ว เธอสวมรองเท้าแตะแล้วเดินไปยังห้องครัว มองเกาไห่ แล้วพูดว่า: “คุณแต่งงานแล้วใช่ไหม? ” ความหมายของเธอคือ ต้องการจะรู้ว่าตนเองเป็นเมียน้อยใช่ไหม?

เกาไห่ผัดผักเสร็จแล้วจึงยกมาวางบนโต๊ะ แล้วก็ปลาหลีฮื้อน้ำแดง คืออาหารที่เล่อจยาชอบทาน

“อืม แต่งแล้ว เราสองคนแต่งงานกันแล้ว”

“แต่งงานแล้ว? ”

“แต่งงานแล้ว? ”

คราวนี้หญิงสาวทั้งสองพูดคำเดียวกันโดยไม่ได้นัดหมาย

อย่าว่าแต่เล่อจยาเลย ซูหย่าก็ถูกทำให้ตกตะลึง เธอยืนเบิกตาโพลงอยู่ด้านหลังเกาไห่ ชัดเจนว่าเธอก็เป็นนักแสดงนำในละครนี้ แต่ทำไม เธอถึงไม่รู้อะไรเลย?

เพียงแต่คิดแล้ว ถ้าเกาไห่แต่งงานกับเล่อจยาจริงๆ ความฝันของเล่อจยาก็จะกลายเป็นความจริง คิดๆแล้ว เธอก็เลยออกเสียงให้ความร่วมมือ: “ดีจริงๆ เล่อจยา คาดไม่ถึงว่าแม้กระทั่งเรื่องแต่งงานของพวกคุณที่สำคัญขนาดนี้ คุณก็ยังไม่บอกฉัน”

คำตำหนิของซูหย่า ทำให้ใบหน้าของเล่อจยาสับสนงุนงง เธอไม่มีภาพความทรงจำเลยแม้แต่นิดเดียว เพียงแต่ ในใจก็รู้สึกดีอย่างมาก 7ปีมานี้ของเธอ ตกลงมันเกิดอะไรขึ้น? คาดไม่ถึงว่าจะแต่งงานกับเกาไห่เทพบุตรคนนี้

คิดถึงตรงนี้ เธอก็ปิดหน้า ยิ้มแหยๆ ขึ้นมา เรื่องนี้ทำให้เธอดีใจจนเกินไปจริงๆ อดยิ้มไม่ได้เลยจริงๆ

ความเพ้อฝันในเวลานั้นของเธอ ที่อนาคตต้องการแต่งงานกับเกาไห่ผู้ชายคนนี้ ไม่นึกเลยว่า เธอจะสมหวัง

ซูหย่าเดินไปยังตรงหน้าเกาไห่ พูดอย่างจริงจังแฝงไปด้วยการกล่าวเตือนเล็กน้อยว่า: “ในเมื่อคุณแต่งงานกับเล่อจยาแล้ว ฉันก็หวังว่า ต่อไป คุณจะสามารถรับผิดชอบต่อเธอ ทำดีกับเธอไปจนชั่วชีวิต”

เกาไห่ถอดผ้ากันเปื้อนออก เดินเข้าไปโอบเล่อจยา โน้มตัวเข้าใกล้ จูบที่หน้าผากของเล่อจยาเล็กน้อย “โอเค ฉันรับปากคุณ”

เล่อจยาอดไม่ได้ที่จะดีใจ

ซูหย่าส่ายหน้า ผู้ชายคนนี้ฉวยโอกาสจริงๆ ใช้ประโยชน์ง่ายๆ จากเล่อจยาอย่างยุติธรรม!

โชคดีที่เธอรู้ว่าเล่อจยาชอบผู้ชายคนนี้ ถ้าไม่เช่นนั้น เธอก็คงระเบิดอารมณ์เข้าไปต่อยเข้าแล้ว

เมื่อทานอาหารได้พักหนึ่ง มือถือของเกาไห่ก็ดังขึ้น มองไปยังหน้าจอ เกาไห่ลุกขึ้นยืนอย่างตึงเครียดเล็กน้อย กดรับโทรศัพท์ “ฮัลโหล….อืม….โอเค ฉันจะเข้าไปเดี๋ยวนี้”

ต่อจากนั้น หยิบเสื้อโค้ตที่พาดไว้บนโซฟา มองเล่อจยาแล้วกล่าวว่า: จยาจยา คุณทานไปก่อนนะ ฉันมีธุระเร่งด่วนนิดหน่อย ต้องไปรับคนคนหนึ่ง ตอนกลางคืน…..นอนเร็วหน่อยนะ ไม่ต้องรอฉัน”

พูดจบ ก็พูดกับซูหย่าว่า: “คุณซู ตอนกลางคืน ถ้าคุณไม่มีธุระอะไรล่ะก็ อยู่เป็นเพื่อนจยาจยาที่นี่หน่อยนะ”

ซูหย่าพยักหน้า

แต่ซูหย่าลุกขึ้นจากเก้าอี้ มองเกาไห่ พูดโพล่งออกมาว่า: “คืนนี้ฉัน….ฉันจะรอคุณกลับมา”

ซูหย่าแทบจะสำลักข้าว ทางด้านเกาไห่ที่สวมรองเท้าอยู่ก็หยุดชะงัก หันกลับไปมองเล่อจยา ตะลึงงันไปชั่วขณะ ยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย พยักหน้าแล้วกล่าวว่า: “โอเค”

จนกระทั่งทั้งสองหมดแรง จึงปล่อยออกจากกัน

เพียงแต่ตลอดระยะเวลาทั้งสองคนไม่ได้พูดอะไรออกมา

ร้อยพันคำพูด บางทีไม่พูดจะดีกว่า

ไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหน เย่หลินจึงพูดออกมา : “วันนั้น ฉันนั่งอยู่บนหินก้อนใหญ่ริมหน้าผา พ่อยืนห่างจากฉันประมาณสองเมตร เขาบอกฉันว่าเขาทุกข์ใจมาก แต่ว่าเขาไม่อยากให้เรื่องของเขา มากระทบอารมณ์ความรู้สึกของเธอ ต่อมา เมื่อฉันยืนขึ้นเท้าก็ลื่น ในทันทีที่กำลังจะตกลงไป พ่อก็ยื่นมือมาดึงฉันไว้ หลังจากนั้น เขาใช้แรงสะบัดฉันขึ้นฝั่ง แล้วตนเองก็ตกลงไป”

หนิงเส่าเฉินจูบที่หน้าผากของเธอ ไม่ได้พูดอะไร

“ช่วงนี้ฉันคิดหนักมาก พ่อช่วยชีวิตฉันจนกลายเป็นอย่างนี้ ฉันกลับหลบหนีไม่เพียงแต่แก้ปัญหาไม่ได้ ยังต้องทำให้คุณลำบากใจ ฉะนั้น เมื่อคิดอยู่นาน ฉันจึงตัดสินใจที่จะเผชิญหน้า เส่าเฉิน คุณพาฉันกลับไปเถอะ ไม่ว่าแม่กับเสี่ยวเชี่ยนและครอบครัวของคุณ จะปฏิบัติอย่างไรกับฉัน ฉันก็จะยอมรับทั้งหมด ต่อให้ต้องไปติดคุกจริงๆ ฉันก็ยอม”

หลังจากเย่หลินพูดคำพูดเหล่านี้ ก็มุดเข้าไปในอ้อมกอดหนิงเส่าเฉิน “ความเจ็บปวดเหล่านี้ มันเทียบไม่ได้กับการที่ต้องแยกจากคุณไปเลย”

หนิงเส่าเฉินเงียบไปครู่หนึ่ง น้ำเสียงแหบทุ้มก็ดังขึ้นข้างๆหูเย่หลิน : “พี่ชายคุณไม่ได้บอกคุณเหรอ ว่าที่พ่อไม่ได้สติ มันเกิดจากการถูกวางยาพิษ? ”

เย่หลินตัวสั่น เธอลุกขึ้นนั่ง ก้มมองหนิงเส่าเฉิน “คุณว่าอะไรนะ? ถูกพิษเหรอ? ”

หนิงเส่าเฉินพยักหน้า สองสามวันมานี้ผู้เชี่ยวจำนวนมากทั้งในและต่างประเทศถูกส่งตัวไปที่โรงพยาบาลทางด้านนั้น แต่การตรวจสอบทั้งหมดก็ไม่เป็นผล”

พูดจบ หนิงเส่าเฉินก็ลุกขึ้นนั่ง “ดังนั้น คุณอย่าหนักใจเกินไปอีกเลย หมอบอกว่า ถึงแม้จะไม่ตกหน้าผา ถ้าพิษนี้ค่อยซึมเข้าสู่ร่างกาย เขาก็ต้องหมดสติไปอยู่ดี”

เย่หลินตกใจมาก สมัยนี้การถูกวางยาพิษ ฟังดูแล้วก็น่าเหลือเชื่อ “เช่นนั้น……มีการตรวจสอบออกมาไหม ว่าใครที่วางยาพิษพ่อ? ”

หนิงเส่าเฉินที่ลูบมือเย่หลินอยู่ก็หยุดชะงัก แล้วค่อยๆ พูดว่า : “ไม่ใช่ใคร เป็นตัวเขาเอง”

“เขา……เอง? ” เย่หลินขมวดคิ้ว สองมือกำผ้าห่มแน่น เธอไม่ได้โง่ เธอรู้ว่า เหตุผลเดียวที่พ่อหนิงทำอย่างนี้ก็เพื่อตนเอง เพื่อเรื่องราวในตอนนั้น แน่นอนว่าเขาคิดจะใช้วิธีนี้ลงโทษตัวเอง

นึกถึงตรงนี้ เธอรู้สึกหายใจไม่ออกเล็กน้อย “อันที่จริง เขาไม่จำเป็นต้องทำขนาดนี้เลย จริงแล้ว……ฉัน……เมื่อเทียบกับความรักของคุณ บุญคุณความแค้นก่อนหน้านี้ ก็ไม่ได้มีค่าอะไร อีกทั้งเราก็มีเสี่ยวซีกับเสี่ยวโม่แล้ว”

หนิงเส่าเฉินขมวดคิ้ว ดีใจเล็กน้อย จับมือของเย่หลิน “คุณ……คุณคิดแบบนี้จริงๆ เหรอ? ”

เย่หลินดึงผ้าห่มขึ้นมาปิดหน้าอกของตนเอง แล้วจึงพูดว่า : “ตอนที่รู้ครั้งแรก บอกตามตรงว่าในใจฉันรับไม่ได้ แต่เดือนนี้ ฉันคิดให้มากขึ้น ไม่ว่าพ่อแม่ฉันจะเป็นอย่างไร พวกเขาก็ไม่อยู่แล้ว อีกทั้งฉันเชื่อคำพูดของพ่อ ฉันเชื่อเขา ว่าเขาไม่ได้ฆ่าพ่อของฉัน เพราะว่า คุณยังจำได้ไหม? รูปแม่ฉันกับพ่อฉันใบนั้น ตอนที่ถ่าย ฉันเกิดมาได้ปีกว่าๆ ฉันรู้สึกมาตลอดว่าพ่อถูกคนใส่ร้าย ผู้ชายคนนั้น ฉันกำลังคิดว่าเป็นพ่อเกาหรือเปล่า แล้วคุณอาคนนั้นในรูปมาจากไหน? ”

หนิงเส่าเฉินโล่งอก เขาโอบเย่หลินมาไว้ในอ้อมกอด โอบกอดกันแน่น “คุณรู้ไหม? ฉันคิดว่า…..คุณจะจากฉันไปด้วยเหตุผลนี้ซะแล้ว เย่หลิน ฉันยังไม่ค่อยเข้าใจคุณดีพอ คาดไม่ถึงว่าเย่หลินของฉันจะเป็นคนใจกว้างเช่นนี้”

เย่หลินของฉัน…..

เย่หลินกระซิบที่ข้างหูของหนิงเส่าเฉิน “เส่าเฉิน พรุ่งนี้คุณพาฉันไปเยี่ยมพ่อหน่อย โอเคไหม? ”

หนิงเส่าเฉินปล่อยเธอ จ้องมองเธอ แล้วขมวดคิ้ว “ฉันเกรงว่า……”

“พาฉันไปเถอะ พ่อช่วยชีวิตฉันจนตกลงไป ด้วยเหตุผลแล้ว ฉันควรที่จะไปเยี่ยมเขา….”

เมืองC ภายในประเทศ

เล่อจยานั่งอยู่ที่ชั้นล่างของห้างสรรพสินค้า มองคนเดินไปเดินมา แต่เธอตกใจจนดึงสติกลับมาไม่ได้ เธอความจำเสื่อมเหรอ? ความทรงจำหายไป7ปี เรื่องราวที่เกินกว่าจะยอมรับได้แบบนี้คาดไม่ถึงว่าจะเกิดขึ้นกับเธอ

“คุณบอกว่า พวกเราคือพี่น้องที่ดีที่สุดอย่างนั้นเหรอ? ” เล่อจยาพิจารณาซูหย่าอย่างละเอียด แล้วส่ายหน้า เธอจะกลายเป็นพี่น้องที่ดีกับซูหย่าได้อย่างไร เธอไม่เข้าใจตนเองเลย

ซูหย่ามองเล่อจยาด้วยท่าทีที่ร้องไห้ไม่ออก “ปีนั้น คุณก็ปฏิบัติต่อฉันแบบนี้แหละ เล่อจยา คุณรู้ไหม? ว่าฉันใช้เวลาเป็นปี คุณถึงจะยอมคุยกับฉัน ยากกว่าที่จะได้ใจของคุณ คุณกลับมาตอนนี้อีกครั้ง คุณยังให้คนมีชีวิตต่อไปได้ไหม? ” ซูหย่าพูดจบ ก็คิดๆ แล้วโน้มตัวเข้าใกล้ กระซิบข้างหูเล่อจยาว่า: “คุณน่ะ ก่อนนอนจะต้องเข้าห้องน้ำ หลังจากตื่นนอนสิ่งแรกที่ทำคือ มองหน้าต่าง แล้วก็ยืดเอวบิดขี้เกียจ เวลาคุณใส่รองเท้าแตะ มักชอบใส่กลับข้าง คุณนอนตอนกลางคืน ไม่ชอบใส่เสื้อผ้า สัดส่วนของคุณคือ……”

เล่อจยาปิดปากซูหย่า ขมวดคิ้วจนเป็นรอยย่น มองซูหย่าอย่างไม่อยากจะเชื่อ สามารถรู้กิจวัตรประจำวันของเธอมากขนาดนี้ ไม่ใช่แค่เรื่องบังเอิญอย่างแน่นอน อื่นๆ ยิ่งไม่ต้องพูด ใส่รองเท้าแตะมักชอบใส่สลับข้าง จุดนี้ ถ้าไม่ใช่มิตรภาพที่ลึกซึ้ง ก็คงไม่สามารถที่จะรู้ได้โดยเด็ดขาด

ถึงแม้ภายในใจจะยังไม่แน่ใจ เห็นได้ชัดว่าไม่กีดกันแบบนั้นอีก เธอมองไปยังซูหย่าแล้วยิ้มๆ “อย่างนั้นก็…..โอเค ฉันเชื่อคุณ อย่างนั้นคุณบอกฉันได้ไหม ว่าระหว่างฉันและเกาไห่ตกลงมันเกิดอะไรขึ้น? ทำไมฉันถึงหมดสติอยู่ในบ้านของเขา? ”

ซูหย่าคิดๆ แล้วจึงเอ่ยปาก “เรื่องนี้ ฉันไม่ใช่ว่าไม่รู้ เพียงแต่ ตอนนี้คุณทำงานอยู่ที่บริษัทของเกาไห่ ก่อนที่จะหมดสติไป ฉันได้ยินคุณบอกว่า จะไปเมืองWด้วยกันกับเขา คล้ายกับมีภาพการออกแบบชุมชนหนึ่ง ฉันคาดว่า คุณน่าจะหมดสติไปขณะทำงาน เขาจึงพาคุณกลับมา! ” ซูหย่าพูดพลาง จิบเครื่องดื่ม ปิดบังความหดหู่ภายในใจ

ที่แท้ เธอก็ไปทำงานที่บริษัทเกาไห่แล้วเหรอ? ดูท่า เจ็ดปีที่ผ่านมา เธอก็ยังคงรักเกาไห่เหมือนเดิม จุดนี้เธอพึงพอใจเป็นอย่างมาก

“คุณบอกว่าพ่อแม่ของฉันหย่ากัน แล้วพ่อของฉันหายสาบสูญไป อย่างนั้นฉันไม่ตามหาพ่อของฉันเหรอ? ”

ซูหย่าส่ายหน้า “แน่นอนว่าหาแล้ว แต่ว่า หาได้ง่ายขนาดนั้นที่ไหนกันล่ะ ประเทศกว้างใหญ่ขนาดนี้”

สุดท้ายซูหย่าก็ไม่ได้พูดตามที่เกาไห่ให้พูด ที่ให้บอกว่าเล่อจยาว่า พ่อเล่อไปเที่ยวต่างประเทศ เพราะถึงอย่างไรไปเที่ยวก็ยังต้องกลับมา

“เอาล่ะ อย่างนั้นฉันกลับก่อนนะ” เล่อจยาพูดพลางลุกขึ้นยืน ท่าทางซึมๆ เล็กน้อย เพียงแต่เดินไปสองก้าว เธอก็หันหน้ากลับมามองซูหย่า กล่าวถามอย่างเก้อเขินเล็กน้อย: “เออใช่ คุณรู้ไหมว่า ฉันพักอยู่ที่ไหน? ”

ซูหย่ากุมหน้าผาก มองเล่อจยา ไม่พูดจา เรื่องนี้ เธอนึกไม่ออกเลยจริงๆ ถ้าพาเธอกลับไปในบ้านหลังนั้น เธอก็จะต้องสงสัย อีกอย่าง คาดว่าช่วงนี้บ้านหลังนั้นก็จะต้องรื้อถอนอยู่แน่ๆ อย่างนั้น……ทำอย่างไรดีล่ะ?

เวลานี้ ข้อความก็ดังขึ้น เธอหยิบออกมา มองไปแล้ว ก็อดไม่ได้ที่จะปิดปากด้วยความประหลาดใจ

“ฉันคิดว่าตอนนี้เธอเป็นอย่างนี้ก็ดีมากแล้ว” เวลานี้ คาดไม่ถึงว่าเขาจะเห็นแก่ตัวเล็กน้อย หวังให้ความงามของเธอจะเป็นตนเองที่ได้ชื่นชมเท่านั้น

ซูหย่าตกใจเล็กน้อย ที่เกาไห่มีปฏิกิริยาตอบกลับมาอย่างนี้ เพียงแต่เธอก็เข้าใจ นี่เป็นเรื่องที่ดี ในใจรู้สึกดีใจกับเล่อจยาด้วย บางที มีเสียก็ย่อมมีได้!

“โอเค พูดได้ว่า คุณชอบเธอจริงๆ สามารถมองเห็นความงามจากภายในของเธอได้……”

จากนั้นทั้งสองก็ปรึกษากันว่าจะอธิบายกับเล่อจยาเรื่องความจำเสื่อมของเธออย่างไร พวกเขาคิดเสมอว่า จะดีกว่าที่จะไม่ให้เล่อจยารู้เรื่องพ่อแม่ แม้ว่าเธอจะจำได้ในภายหลัง ให้เวลาผ่านไป อย่างไรก็ตามเธออาจจะดีขึ้น

“ก็ได้ เช่นนั้นคุณไปอยู่เป็นเพื่อนเธอก่อน ฉันจะไปจัดการงานศพของคุณลุง” เกาไห่พูดจบก็หันหลังกลับไป คิดๆ แล้วก็หยุดเดิน หันกลับมาพูดกับซูหย่าว่า : “อืม เรื่องที่พ่อเล่อตาย ญาติและเพื่อนของเขาน่าจะไม่รู้ รวมทั้ง……รวมทั้งน้องชายของเธอด้วย ไม่น่าจะแน่ชัดขนาดนั้น ในเมื่อเป็นอย่างนี้ เช่นนั้นเราก็บอกกับคนภายนอกว่า เขาออกไปท่องเที่ยว”

ซูหย่ามองเกาไห่ ครุ่นคิดเล็กน้อย แล้วพูดว่า : “ประธานเกา ขอบคุณนะที่คุณทำเล่อจยาขนาดนี้ ต่อไป ถ้าเธอซักไซ้ไล่เลียงขึ้นมา คุณก็วางใจเถอะ ฉันจะช่วยคุณอธิบายเอง”

เกาไห่ไม่ได้พูดอะไร หันกลับออกไป ไม่สำคัญว่าจะอธิบายหรือไม่อธิบาย ขอเพียงแต่ดีต่อเธอ เขาก็ไม่ถือสา

เมื่อซูหย่าเข้าไปในห้องอีกครั้ง เล่อจยาที่นอนหลับเพิ่งตื่น เห็นเธอเข้ามา ก็ทำตัวไม่ถูกเล็กน้อย

ส่งถุงในมือไปให้เล่อจยา “มา เปลี่ยนเสื้อผ้าเถอะ ฉันจะออกไปเดินเล่นเป็นเพื่อนคุณ” เล่อจยา ฉันจะไปกับคุณเพื่อยอมรับสิ่งนี้อีกครั้ง โลกของ”คนแปลกหน้า”ของคุณ

เวลานี้ อีกด้านหนึ่งของโลก ประเทศB

“คุณหลิน คุณรีบมาเถอะ คุณเย่หายไปแล้ว” พี่เลี้ยงที่ดูแลเย่หลินได้รับการคัดเลือกจากนายท่านหลินจากเกาะเหลียนอู้ ตอนหนุ่มๆ เป็นทหารรับจ้างบนเกาะ มีทักษะดี ถึงแม้อายุจะมากแล้ว แต่ก็เหลือเฟือที่จะรับมือกับเย่หลินที่อ่อนแอไร้เรี่ยวแรง

“เกิดขึ้นได้อย่างไร? ไม่ใช่ให้คุณดูเธอไว้ให้ดีๆ ไม่ใช่เหรอ? ”

พี่เลี้ยงคนนี้ขมวดคิ้ว “ตอนเช้าวันนี้ คุณเย่บอกว่าอยากไปซื้อเสื้อผ้า เธอให้ฉันเรียกคนในห้างส่งเสื้อผ้าหลายสิบชุดมาให้เธอเลือก ในตอนนั้นมีผู้หญิงสามคนมาด้วย จากนั้นคุณเย่ก็ไปลองเสื้อผ้า แต่ว่า……แต่ว่าหลังจากที่ทั้งสามคนนั้นไป หนึ่งในคนแนะนำสินค้าในห้องถูกขังไว้ในห้องน้ำ คุณเย่ เธอ……เธอเอาชุดคนคนนั้นมาเปลี่ยนให้เหมือนกับตนเอง แล้วก็ออกไป”

คุณน้าลูบๆ หน้าผาก ถอนหายใจเบาๆ “โอเค ฉันเข้าใจแล้ว”

และในขณะนี้บนถนน หลังจากเย่หลินถือมือถือเดินไปมาเป็นเวลานาน เธอกดหมายเลขที่ห่างหายไปนาน โทรศัพท์ดังอยู่นานจึงถูกรับสาย “ฮัลโหล สวัสดีครับ ประธานหนิงประชุมอยู่ คุณกรุณา……”

“หลิวซู ฉันเมือง V ประเทศ B…… คุณให้เขามารับฉัน ได้ไหม? อีกสักครู่ฉันจะส่งที่อยู่ไปที่มือถือ”

หลิวซูรู้สึกปั่นป่วน มองหมายเลขที่แสดงบนหน้าจอมือถือ เป็นของต่างประเทศ แต่ชื่อนั้นเป็น”ภรรยา” ชั่วขณะ เขาก็กลุ้มใจ ชัดเจนหนิงเส่าเฉินรู้ว่าเย่หลินอยู่ที่ไหนใช่ไหม? แล้วก็รู้วิธีการติดต่อเธอด้วย?

“หลิวซู คุณได้ยืนไหม? ฉันแอบหนีออกมา คุณให้เส่าเฉินช่วยฉันคิดหาวิธีหน่อย ฉันกลัวว่าคุณน้าจะส่งคนมาตามหาฉันเจอ”

“โอเค ฉันจะไปบอกเส่าเฉินเดี๋ยวนี้”

หลังจากหลิวซูวางสาย ก็พยายามระงับความตื่นตระหนกในใจ แล้วไปยังห้องประชุม เขาโน้มเข้าไปข้างหูของหนิงเส่าเฉิน ทันทีที่กระซิบ หลังจากนั้น ทุกคนยังไม่ทันได้เห็นการเปลี่ยนแปลงสีหน้าของหนิงเส่าเฉิน เขาก็พุ่งออกจากห้องประชุมไปแล้ว หลิวซูตามไปด้านหลังเขา “ทางด้านนั้น พวกเราไม่มีคนที่รู้จัก เพียงแต่ประเทศใกล้เคียง มีสำนักงานของพวกเรา ต้องให้พวกเขาไปรับพี่สะใภ้ก่อนไหม? ”

หนิงเส่าเฉินที่ก้าวฝีเท้าอย่างรวดเร็วก็หยุดชะงัก เขาคิดๆแล้ว ก็หันหน้ากลับไปมองหลิวซู คิดๆ แล้วเขาจึงพูดว่า: “ให้คนทางด้านนั้นเข้าไปช่วยจัดอาหารและที่พักให้เธอก่อน จำไว้ว่า หาสถานที่ที่มิดชิดสักหน่อย ฉันจะบินไปเดี๋ยวนี้”

หลิวซูตกตะลึง ชี้ไปยังห้องประชุมที่อยู่ด้านหลัง ในนั้นกำลังอภิปรายเกี่ยวกับแผนโครงการครึ่งหลังของบริษัทนะ ประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาบริษัท ชายคนนี้ต้องการหญิงงาม ไม่ต้องการแผ่นดินจริงๆ!

เพียงแต่ เขารู้ถึงความทรมานในช่วงเวลานี้ของหนิงเส่าเฉิน อ้าปาก แต่ในที่สุดก็ไม่ได้พูดอะไร เสียแผ่นดินไป อย่างมากก็แค่โจมตีกลับคืนมา เสียสาวสวยไป ก็เป็นเรื่องยาก…..

เย่หลินนั่งพักอยู่บนเก้าอี้ ตามเวลาที่เปลี่ยนแปลงไป ในใจก็ยิ่งรู้สึกเป็นกังวล เวลานี้ คาดไม่ถึงว่าเธอจะกลัวว่าหนิงเส่าเฉินจะไม่สนใจเธอ

จนกระทั่ง “คุณนายหนิงใช่ไหมครับ? ฉันคือคนที่ท่านประธานหนิงส่งให้มารับคุณ” เสียงดังมาจากด้านบนศีรษะ

เย่หลินหันไปมองคนแปลกหน้าที่อยู่ตรงหน้า เธอถอยหลังไปเล็กน้อย “คุณ….คุณจะสามารถพิสูจน์ได้ยังไงว่าคือหนิงเส่าเฉินส่งมา? ” เธอกลัวว่าคุณน้าจะส่งคนเข้ามา

คนคนนั้น เอาวีแชตส่งให้เย่หลิน

พอมือสัมผัสมือถือ ก็มีเสียงของหนิงเส่าเฉินดังมาจากด้านใน: “เชื่อฟัง คุณตามเข้าไปก่อน เย็นๆ ฉันจะไปถึง”

คำพูดง่ายๆ ประโยคหนึ่ง น้ำเสียงที่คุ้นเคย ทำให้ความน้อยใจภายในใจของเย่หลินขยายตัวในชั่วพริบตา เธอสะอื้นไห้เล็กน้อย “อืม โอเค! ”

ต่อจากนั้น คนนี้ก็พาเธอไปในคฤหาสน์ที่ชานเมืองแห่งหนึ่ง คฤหาสน์ไม่ใหญ่ แต่มีข้าวของครบครัน พอเธอมาถึง ก็มีคนเข้ามาต้อนรับ “คุณนาย คุณทานอาหารก่อนไหม? ”

เย่หลินนิ่งอึ้งไปเล็กน้อย แต่ก็หิวแล้วจริงๆ คุณน้ากลัวว่าเธอจะหนี จึงไม่ให้มีเงินติดตัวเลย ดังนั้น ตั้งแต่เช้าที่ออกมาจนถึงตอนนี้ 7-8ชั่วโมงแล้ว เธอก็หิวจริงๆ

เมื่อเห็นอาหารที่อยู่บนโต๊ะ เย่หลินก็ขอบตาแดงก่ำ อาหารทุกอย่าง ล้วนเป็นอาหารที่เธอชอบที่สุด

เธอทานข้าวเสร็จ คนเหล่านั้นก็นำเสื้อผ้ามาให้เธอ “คุณนาย คุณไปอาบน้ำก่อนเถอะ จะได้พักผ่อนสักครู่ ห้องอยู่ชั้นบน ทางด้านขวามือ”

เย่หลินพยักหน้า รับเสื้อผ้ามา แล้วขึ้นไปชั้นบน โทนสีดำขาวเทา เธอชื่นชอบ พอเข้าไปในห้องน้ำ แชมพูและเจลอาบน้ำก็เป็นแบรนด์ที่คุ้นเคย ชุดผลิตภัณฑ์ดูแลผิวหน้า ก็เป็นแบรนด์ที่เธอใช้ประจำ แม้กระทั่งยาสีฟันก็เป็นตัวที่เธอชื่นชอบ

เธอยืนอยู่ข้างประตู ไม่ขยับตัวอยู่นาน เธอไม่เคยรู้เลยว่า ที่แท้ ผู้ชายคนนี้จะเข้าใจเธอดีขนาดนี้ เธอไม่เคยรู้เลยว่า เขาจะโปรดปรานตนเองขนาดนี้

โปรดปรานถึงขั้นที่รายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ เขาก็สามารถจดจำได้อย่างชัดเจน

อาบน้ำสักเล็กน้อย แล้วก็เอนกายลงบนเตียง ใจที่เป็นกังวล จึงค่อยๆ ผ่อนคลายลงมา

ผ่านไปไม่นาน เย่หลินก็สะลึมสะลือแล้วหลับไป จนกระทั่ง ข้างๆ ที่นอนจมลง กลิ่นร่างกายที่คุ้นเคย เข้ามาสู่จมูก เธอไม่ได้ลืมตา แต่ยื่นมือทั้งสองออกไป โอบเอวของอีกฝ่ายไว้แน่น สูดดมกลิ่นอายที่เป็นของเขาอย่างตะกละตะกลาม

ทุกสิ่งทุกอย่างต่อจากนั้น ก็เป็นขั้นเป็นตอน ไม่มีความอ่อนช้อย ไม่มีความสงบเสงี่ยม…….

สีหน้าเกาไห่ไม่ค่อยดี “คุณเข้าไปเถอะ เพียงแต่ว่า ถ้า……” เขาหยุดไปชั่วขณะ “ถ้าหาก เธอความจำเสื่อมจริงๆ ……ฉันหวังว่า คุณจะไม่บอกความจริงกับเธอนะ”

ซูหย่าจ้องมองเกาไห่อยู่ชั่วครู่ บนใบหน้าของเขาไม่ปรากฏท่าทีโกหก เธอกลับไปเกือบจะวิ่งเหยาะๆ เข้าไปในห้องผู้ป่วย

เล่อจยาเห็นซูหย่า ก็คิ้วขมวด “คุณ……คุณมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร? ” ความแปลกหน้าในดวงตาคู่นั้นทำให้หัวใจของซูหย่าจมลง

ซูหย่าเดินเข้าไปนั่งข้างๆ เตียง ดึงมือเธอมา “เล่อจยา คุณจำฉันได้ไหม? ฉันเสี่ยวหย่าไง”

เล่อจยาดึงมือกลับ มองซูหย่า แม้เธอจะรู้สึกว่าผู้หญิงคนนี้โตเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมาก แต่ว่าเธอยังคงจำได้ ผู้หญิงคนนี้เป็นเพื่อนร่วมชั้นเรียนของเธอ แต่เป็นคนคนละโลกกับเธอ ได้ยินว่าตระกูลเธอเป็นคนมีเงิน มีอำนาจ ด้วยเหตุนี้ เธอเป็นคนเย่อหยิ่ง ยโสโอหังอย่างมาก สัญชาตญาณของเล่อจยาบอกว่าไม่ค่อยชอบเธอ

เพียงแต่ว่าก็แปลกมาก เธอรู้สนิทสนมกับเธออย่างบอกไม่ถูก

ซูหย่ามองสองมือที่ว่างเปล่า โค้งตัวลงไปกอดเล่อจยา “ยัยบ๊อง คุณลืมฉันได้อย่างไร คุณทำอย่างนี้ได้อย่างไร……” เธอร้องไห้โฮออกมา

เล่อจยารู้สึกว่าเสื้อด้านหลังเธอค่อยๆ เปียกชื้นขึ้นมา เธอสูดลมหายใจ “ซูหย่า เรา……คุ้นเคยกันมากเลยเหรอ? ”

เธอคิดๆ ดูเล็กน้อย ถึงแม้ว่าเราจะเป็นเพื่อนร่วมฉันเดียวกัน แต่ว่าเคยพูดคุยกันก็นับครั้งได้เลยไม่ใช่เหรอ?

กอดเธอร้องไห้อย่างนี้ อารมณ์ความรู้สึกนี้……

ซูหย่าทำอะไรไม่ถูก นี่ต้องเริ่มทำให้”ได้รับ”ความชื่นชอบจากเธออีกครั้งใช่ไหม?

คิดๆแล้ว เธอก็ปล่อย “เอ่อ คุณรอเดี๋ยวนะ ฉันจะออกไป แล้วเดี๋ยวจะเข้ามา”

มองซูหย่าวิ่งออกไปข้างนอก เล่อจยาก็ดึงผ้าห่มมาคลุมหัว สับสนเล็กน้อย นี่มันอะไรกัน ตื่นขึ้นมา เกาไห่ชายในฝันของเธอ จู่ๆ ก็สวมชุดนอนมาปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าเธอ ผู้หญิงที่เธอไม่ชอบ ก็มากอดเธอ ร้องไห้ปานจะขาดใจ เพียงแต่หัวที่ปวดขึ้นมา ทำให้เธอคิดไม่ออก ก็เลยได้แต่หลับตาลงหลับไปอีกครั้ง บางทีตื่นขึ้นมาอีกครั้ง ทุกๆ อย่างอาจจะกลับมาเป็นปกติ

เกาไห่ไม่ได้ไปไหน เขาเห็นซูหย่าออกมาเหมือนอย่างที่คาดไว้ ก็เลยไม่ได้ตกใจ มือเขาล้วงกระเป๋ากางเกงข้างหนึ่ง เดินเข้าไปหาเธอ รูปร่างสูงใหญ่ ดูสง่าและสุขุม ต้องยอมรับว่า ผู้ชายตรงหน้า ดีที่สุดแล้วจริงๆ มิเช่นนั้น เล่อจยาจะรอเขามานานขนาดนั้นเหรอ

เธอสูดลมหายใจเข้า ยืนอยู่ตรงหน้าเกาไห่ “ประธานเกา ฉันมีเรื่องจะขอร้องคุณ”

เกาไห่พยักหน้า

“ที่เล่อจยาความจำเสื่อม ฉันคิดว่า เธอคงสะเทือนใจจนรับไม่ไหวอย่างแน่นอน หลายปีมานี้ เธอกับพ่อต่างพึ่งพาอาศัยกัน เพื่อพ่อของเธอแล้ว เธอยอมทิ้งหลายๆ สิ่งหลายๆ อย่าง แน่นอนในใจเธอก็รับไม่ได้ที่คุณลุงเป็นอย่างนี้ จึงได้เกิดการสูญเสียความทรงจำไป” ชั่วขณะ เธอก็บอกใบ้ให้เกาไห่นั่งลงที่โซฟาข้างๆ แล้วจึงเล่าเรื่องราวที่เธอได้รู้จักเล่อจยาในหลายปีที่ผ่านมา ค่อยๆ เล่าออกมา……

เกาไห่ก็ประหลาดใจตลอด แล้วก็รู้สึกสงสาร……

“คุณคงจะแปลกใจมากสินะ ที่ถูกผู้หญิงคนหนึ่งชอบมาหลายปีแบบนี้ ประธานเกา ฉันไม่สนใจว่าคุณจะมีทัศนคติอย่างไรต่อเล่อจยา แต่ว่า เธอ….เป็นผู้หญิงที่ดีมากคนหนึ่งจริงๆ ฉันหวังว่า ถึงแม้คุณจะไม่ชอบเธอ คุณก็อย่าทำร้ายเธอเลย แม่เธอเป็นบ้า พ่อเธอก็ตายไปแล้ว น้องชายคนนั้นคุณก็เห็น เป็นพวกเดนมนุษย์ไปแล้ว หลายปีก่อน ที่เปิดร้านอาหารริมทาง เพื่อนร่วมรุ่นดีๆ หลายคน ก็ค่อยๆ ห่างเหินกับเธอ ข้างกายเธอ น่าจะเหลือเพียงแค่ฉัน ดังนั้น จึงอยากขอร้องคุณว่า อย่าโหดร้ายกับเธอจนเกินไป”

ซูหย่าพูดพลาง ลุกขึ้นยืน โค้งคำนับกับเกาไห่

เกาไห่พิจารณาผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้า สวย นิสัยดี มองดูการแต่งตัวแล้ว ชัดเจนว่าเหมือนกับคนละโลกกับซูหย่าเลย อีกทั้งเมื่อวานที่เขาจะไปจ่ายค่ารักษาพยาบาลให้พ่อเกา คนทางด้านนั้นก็บอกเขาว่า ซูหย่าจ่ายให้แล้ว

แล้วก็ ครั้งที่แล้วที่ไปร้านอาหาร เรื่องที่ซูหย่าช่วยเล่อจยาเก็บทำความสะอาดร้าน ความคล่องแคล่วนั้น สามารถมองออกว่า เธอเข้ามาช่วยที่นั่นอยู่บ่อยๆ คนสองคนต่างกันโดยสิ้นเชิง เขาแปลกใจจริงๆ ว่า เพราะอะไรที่ทำให้พวกเธอ โอบกอดความรักความผูกพันแบบนี้เอาไว้ได้

“คุณซู รู้จักกับเล่อจยาได้อย่างไร? ” ในที่สุด เกาไห่ก็กล่าวถามออกมา

ซูหย่าตกตะลึงเล็กน้อย ผ่านไปครู่หนึ่ง เธอจึงตอบกลับว่า: “เธอช่วยชีวิตเอาไว้ เธอทำให้ซาบซึ้งใจ จึงคิดว่าจะทำดีกับเธอไปชั่วชีวิต” เธอพูดอย่างเรียบๆ สองสามคำ แต่ทำให้ภายในใจของเกาไห่อดไม่ได้ที่จะชื่นชมซูหย่าอย่างมาก

“ในยุคสมัยนี้ คนที่รู้จักบุญคุณคนมีไม่มาก คุณซูเป็นคนที่หาได้ยากจริงๆ ” เขาชื่นชมจากใจจริง แต่สีหน้าของซูหย่าเปลี่ยนไปในทันที เธอขมวดคิ้ว จ้องมองเกาไห่ “คุณ….คุณจะมาชอบฉันไม่ได้นะ ฉัน…..ฉันไม่มีทางหักหลังเล่อจยาเด็ดขาด”

เกาไห่ยิ้มมุมปาก ลุกขึ้นยืน เขาส่ายหน้ากับซูหย่า “คุณซู มั่นใจตัวเองเกินไปหน่อยแล้ว ประโยคต่อไปของฉันยังไม่ทันพูดจบ ถึงแม่ว่าคนที่รู้บุญคุณคนจะหาได้ยาก แต่คนที่สละชีวิตเพื่อช่วยเหลือคน ก็ยิ่งน่าสรรเสริญ”

พูดจบ เขาก็หันหน้ากลับ มองไปยังห้องที่ปิดอยู่ คล้ายกับพูดพึมพำกับตัวเองว่า: “บางที ฉันก็ควรจะเรียนรู้จากคุณ ที่จะดีต่อเธอไปชั่วชีวิต”

ตอนแรกซูหย่าก็ไม่เข้าใจ ต่อมาได้สติ เธอก็ปิดปาก มองเกาไห่ ชี้ไปที่เขา แล้วเดินวนรอบ “เกา…..คุณ…คุณชอบเล่อจยาเหรอ? ”

ใบหน้าเกาไห่แดงระเรื่อ กระแอมเบาๆ “ก็อาจจะ”

ก่อนหน้านี้เกาไห่ก็รู้สึกว่าตนเองรู้สึกดีกับผู้หญิงคนนี้เล็กน้อย แต่ก็ไม่แน่ใจว่า นั่นคือชอบหรือไม่ แต่ว่า หลังจากได้ยินซูหย่าเล่าเรื่องของเล่อจยาเมื่อหลายปีมานี้ น้ำแข็งก้อนนั้นที่ปกคลุมภายในใจของเขา ก็ละลายไปโดยสิ้นเชิง เขาประหลาดใจอย่างมาก เขาไม่เคยคิดเลยว่า คนคนหนึ่งที่ไม่ได้มีชื่อเสียง จะมีผู้หญิงคนหนึ่ง จะเคยพยายามเพื่อเขา มุ่งมั่นยืนหยัดเพื่อเขาขนาดนั้น

นึกถึงเวลานั้น ที่ตนเองทำเพื่อเกาเหวิน ผู้หญิงที่ใจดำอำมหิตแบบนั้น และช่วงเวลาแห่งความทุกข์ผ่านพ้นไป เขาก็อยากได้ชีวิตกลับคืนมาใหม่อีกครั้ง

จู่ๆ ซูหย่าก็คล้ายกับว่านึกอะไรได้ หยิบมือถือจากในกระเป๋าออกมา เลื่อนเปิดในทันที หลังจากนั้นก็ส่งให้เก่าไห่ “คุณดู……”

เกาไห่มองซูหย่า แล้วลดสายตาลง ใบหน้าที่สวยงามปรากฏขึ้นตรงหน้า ผู้หญิงที่อยู่ในรูปเอามือเท้าคางจ้องมองตาแป๋ว ขมวดคิ้วที่งดงาม เหมือนกำลังครุ่นคิดอะไรอยู่ มีความกังวลเล็กน้อยบนใบหน้ารูปไข่ที่ละเอียดงดงามของเธอ ผมที่ยาวราวกับน้ำตก สวมใส่ชุดกระโปรงสีไม่ฉูดฉาด ใบหน้าได้มาตรฐาน สวยงามอย่างมาก เพียงแต่ เห็นได้อย่างชัดเจนว่า เธอไม่ค่อยมีความสุข

“นี่คือ…..? ” ซูหย่าอวดอย่างภูมิใจ “สวยไหมล่ะ? สวยกว่าฉันไหม? ”

เกาไห่ขมวดคิ้ว “หมายความว่าอะไร? ”

“หมายความว่า ถ้าคุณชอบเธอนะ คุณก็ได้รับของที่ล้ำค่าแล้ว เพราะว่าเล่อจยา เธอเป็นคนที่มีศักยภาพ คุณดูสิ ในปีนั้น เธอทำเพื่อคุณ นี่คือรูปร่างหน้าตาหลังจากลดน้ำหนักแล้ว แต่ว่า….ปีนั้น คุณเกิดเรื่อง”

เกาไห่อ้าปากค้าง กลิ้งลูกกระเดือกขึ้นลง ในใจแปลกใจจริงๆ สีหน้าของเขาจึงงุนงงในทันที

เมื่อเล่อจยาได้ยินเสียงนี้ ก็หันกลับไปอย่างเชื่องช้า มองหาที่มาของเสียง จากนั้นก็ปิดปาก กรีดร้องออกมา”พ่อ……” แล้วรีบวิ่งไปที่ถนน

เมื่อเห็นรถคันหนึ่งวิ่งเข้าหาเธอ เธอยังไม่ทันได้มีปฏิกิริยาตอบกลับ ชั่วพริบตาก็ถูกคนคนหนึ่งนำมาไว้ในอ้อมกอด

“คุณอยากตายเหรอ? ไม่เห็นรถหรือไง? ” เกาไห่แผดเสียงอยู่ข้างๆ หูเธอ

เล่อจยาเงยหน้ามองเขา จะร้องไห้ ทว่าไม่ได้พูดอะไรมาก หันกลับไป เดินเบียดเสียดฝูงชน เลือดแดงฉาน มันบาดตาจนเล่อจยาไม่สามารถลืมตาได้ เธอคุกเข่าลงตรงหน้าพ่อเล่อ เธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่าควรจะวางมือไว้ที่ไหน

“พ่อ……พ่อ……” เธอตะโกนเรียกเบาๆ น่าเสียดายที่เขาไม่ได้ตอบกลับอีกแล้ว

เกาไห่คุกเข่าข้างหนึ่งลง เอามือแตะที่จมูกพ่อเล่อ จากนั้นก็ส่ายๆ หัวกับเล่อจยา “เสียใจด้วย”

ฉับพลันโดยรอบก็มีเสียงอื้ออึงขึ้น

ได้ยินเสียงวัยรุ่นคนหนึ่ง ล้มลงบนพื้น ในปากบ่นพึมพำว่า “เขาวิ่งออกมาได้อย่างไร ไม่เกี่ยวกับฉันนะ ฉันไม่ได้ตั้งใจชนเขานะ”

เล่อจยามองไปที่พ่อของเขาที่ยังพูดคุยกันอยู่เมื่อกี้ แต่เวลานี้ต้องพรากจากกันอย่างไม่มีวันได้เจอกันอีกแล้ว เธอแปลกใจมากที่ไม่มีน้ำตาเลย เธอกัดริมฝีปาก ค่อยๆ ลุกขึ้นยืน จากนั้นก็หันกลับฝ่าฝูงชนออกไป แต่ว่าไม่เห็นเล่อเหวินแล้ว เธอหลับตาแล้วลืมตาอีกครั้ง มีความเกลียดชังและความเสียใจอยู่ในแววตา

ถ้ารู้อย่างนี้ เมื่อกี้เธอจะไม่ทะเลาะกับพ่อเลย แล้วก็จะไม่บังคับให้เขาโทรหาเล่อเหวิน บางทีอาจจะไม่เกิดเรื่องอย่างนี้ขึ้น

ต่อจากนั้นเล่อจยาก็หมดสติไป

เมื่อเธอตื่นขึ้นมาอีกครั้ง ก็อยู่ในสภาพแวดล้อมที่ไม่คุ้นเคย ฝ้าเพดานที่สวยงาม โคมไฟระย้าที่สวยหรู นี่มัน……ที่ไหนกัน?

เสียงเปิดประตูดังขึ้น จากนั้นก็มีร่างสูงใหญ่ร่างหนึ่งเดินมาหาเธอ

มุมปากเล่อจยายกยิ้มขึ้นอย่างสวยงาม เธอต้องฝันไปแน่ๆ มิเช่นนั้น จะเห็นเกาไห่ในชุดนอนได้อย่างไร?

จนกระทั่งบนหน้าผากมีมืออุ่นๆ มาปกคลุม เธอจึงตกใจ นี่ไม่ใช่ความฝัน

ใบหน้าที่ขาวผ่องของเธอแดงขึ้นมาทันที กลืนน้ำลายแล้วพูดว่า “เกา……เกาไห่? คุณ……ฉัน……ที่นี่ที่ไหนเหรอ? ”

เกาไห่มองเธอ “ตัวไม่ร้อนแล้ว ดูเหมือนว่าสมองก็ไม่เป็นอะไรแล้ว”

พูดจบ เขาก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก

“หิวไหม? ”

เล่อจยาพยักหน้า “หิว”

ต่อจากนั้นเกาไห่ก็ยกโจ๊กกับเครื่องเคียงมาให้เล่อจยา “ทานอาหารอ่อนๆ ไปก่อน เพื่อรองกระเพาะ หมอบอกว่า คุณเพิ่งฟื้นจากหมดสติ ไม่สามารถให้ทานอะไรมากมายได้”

เล่อจยาพยักหน้า จากนั้นก็ขมวดคิ้ว “คุณ……คุณบอกว่าฉันหมดสติเหรอ? ”

เกาไห่ตกตะลึง หรี่ตามองเธอ “อย่าบอกฉันนะว่า คุณไม่รู้ว่าทำไมตนเองถึงหมดสติไป? ”

เล่อจยาเงยหน้าขึ้นมองเขา จู่ๆ เธอก็หัวเราะออกมา “เมื่อวานฉันช่วยคุณที่ถูกพวกอันธพาลนั้นหาเรื่อง ก็เลยถูกตีใช่ไหม? ฉะนั้น ฉันเลยหมดสติไป”

มือของเกาไห่ที่กำลังจัดโต๊ะอยู่ชะงัก เขาหันกลับไปมองเล่อจยาทันที “พวกอันธพาลอะไร? ”

เล่อจยาตักโจ๊กข้าวฟ่างบนโต๊ะมาเป่าให้เย็น แล้วป้อนเข้าปาก “ไอ๋หยา ไม่ต้องเกรงใจหรอก ถึงอย่างไรคนอื่นก็ไม่รู้ อีกอย่าง……ก็ไม่ต้องอายหรอก” พูดจบ ก็ตักโจ๊กเข้าปาก แล้วพูดพึมพำว่า : “เพียงแต่ว่า ฉันจำได้ว่าฉันจัดการจนพวกเขาวิ่งหนีไปแล้วไม่ใช่เหรอ? ทำไมถึงหมดสติไปได้ล่ะ? น่าจะไม่ได้ออกกำลังกายนาน ดังนั้นความแข็งแรงของร่างกายจึงไม่ค่อยดี”

พูดจบ ก็กินโจ๊กที่ก้นชาม แล้ววางชามลง ดึงกระดาษทิชชูมาเช็ดปาก เงยหน้าขึ้น พบว่าเกาไห่กำลังจ้องมองเธออยู่ ใบหน้าแดงก่ำ “คุณ…..ทำไมคุณมองฉันอย่างนั้นล่ะ? ”

ความจริงคือเกาไห่ตกตะลึง ช็อกกับเรื่องสองเรื่อง เรื่องหนึ่งคือ ผู้หญิงคนนี้ คล้ายกับจะลืมเรื่องที่สลบไปก่อนหน้านี้ และเรื่องการตายของพ่อเธอ

แล้วอีกเรื่องหนึ่ง คือ….เรื่องที่เธอบอกว่าจัดการกับอันธพาลเหล่านั้น ใน…..ความทรงจำของเขา เหมือนกับว่าจะมีช่วงเวลานี้ ตอนนั้นเขาอยู่ปีสี่ เวลานั้น เขาถูกอันธพาลล้อมเอาไว้ แล้วเหมือนกับว่ามีผู้หญิงคนหนึ่ง มาช่วยเขา เพียงแต่เวลานั้น เพราะเกาเหวินเกิดเรื่องเล็กน้อย เขาจึงจากไปโดยไม่ทันได้กล่าวขอบคุณเธอสักคำ

หรือว่า….คือเธอ?

“คุณบอกฉันมาซิว่า วันนี้ คือวันอะไร? วันที่เท่าไรเดือนอะไร? ”

เล่อจยากะพริบๆ ตา คิดๆแล้ว เธอมองไปยังนอกหน้าต่าง กล่าวตอบกลับว่า: “อืม ถ้าเมื่อคืนนอนอยู่ที่นี่กับคุณทั้งคืน อย่างนั้น ตอนนี้ก็คือวันที่23 เดือนกันยายน วันพุธ เมื่อวานคือวันอังคาร ฉันทำงานพาร์ตไทม์ ตอนที่ไปทำงานพาร์ตไทม์ จึงได้พบกับคุณ” เธอพูดอย่างมั่นใจ

เกาไห่มองนาฬิกาข้อมือ ขมวดคิ้ว วันที่23 เดือนกันยายนจริงๆ แต่….เป็นวันเสาร์ เขาจึงกล่าวถามต่อไปว่า: “ปีนี้คุณอายุเท่าไรแล้ว คุณทำงานอะไร? ”

เล่อจยาหัวเราะเยาะ”คิกคัก” “ฉันเป็นนักศึกษา อายุเท่าไร? อันนี้ คุณถามมากไปหน่อยหรือเปล่า? อายุของผู้หญิงล้วนเป็นความลับ” หยุดชะงักเล็กน้อย เธอจึงกล่าวต่อไปว่า: “เพียงแต่ ยกเว้นคุณ ฉันสามารถบอกคุณได้ ฉัน…..ปีนี้ฉันอายุ20เต็ม ย่างเข้า21แล้ว เป็นนักศึกษาชั้นปีที่สอง สาขาการออกแบบสถาปัตยกรรม”

นิ้วมือที่เรียวยาวของเกาไห่ลูบที่หน้าผาก เขาสูดลมหายใจเข้า แล้วก็ถอนหายใจออกอย่างแรง “คุณ….พักผ่อนเถอะนะ ฉันจะไปถามหมอให้มาดูคุณ ว่าคุณจะมีอาการอะไรอีกไหม? ” พูดจบ เกาไห่ก็รีบก้าวเท้าเดินออกไป

การตอบสนองนี้ของเล่อจยา ไม่เหมือนกับการเสแสร้งโดยสิ้นเชิง พ่อก็เพิ่งตายไป เรื่องราวแบบนี้ การตอบสนองแบบนี้ คนปกติไม่สามารถเสแสร้งได้

อย่างนั้น….มันเกิดอะไรขึ้น?

เวลานี้ ซูหย่าเห็นเขาออกมา จึงเดินเข้าไปหา “ประ….ประธานเกา จยาจยาฟื้นแล้วเหรอ? ทางด้านหอฌาปนกิจโทรมา ถามเธอว่าเมื่อไร จะจัดการเรื่องงานศพของคุณลุง”

เกาไห่พยักหน้า “ฟื้นน่ะฟื้นแล้ว”

“อ้อ โอเค อย่างนั้นฉันเข้าไปหาเธอก่อนนะ” ซูหย่าพูดพลาง จะเดินเข้าไปยังด้านใน

“เดี๋ยวก่อน” เกาไห่เรียกให้เธอหยุด

ซูหย่าขมวดคิ้ว หันกลับไปมองเกาไห่ “ประ…..ประธานเกา มีเรื่องอะไรเหรอ? ”

เกาไห่มองซูหย่า ในทันทีก็ไม่รู้ว่าจะอธิบายกับเธออย่างไร คิดๆแล้ว เขาก็เอ่ยปากถามว่า: “คุณซู คุณรู้จักกับเล่อจยาตั้งแต่เมื่อไร? ”

ซูหย่างุนงงเล็กน้อย ไม่เข้าใจความหมายของเกาไห่ แต่ก็ยังตอบกลับตามความเป็นจริง “อืม พวกเราเป็นเพื่อนร่วมรุ่นกันตอนมหาวิทยาลัย”

“อย่างนั้น คุณก็ต้องรู้จักเขาตั้งแต่มหาวิทยาลัยใช่ไหม? ”

ซูหย่าพยักหน้า ถึงแม้เริ่มแรกจะไม่ค่อยสนิทกับเล่อจยา แต่ก็เป็นเพื่อนร่วมชั้น ไม่ผิด!

“อย่างนั้น ที่เธอ….เธอเคยช่วยชีวิตฉัน เรื่องนี้คุณรู้ไหม? ”

ซูหย่าได้ยิน สีหน้าก็ดีใจ “จยาจยา เธอบอกคุณเองเหรอ? ”

เกาไห่หันกลับ สูดลมหายใจ แล้วหันตัวกลับ มองซูหย่า กล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมว่า “คุณซู ฉันสงสัยว่า เล่อจยา เธอความจำเสื่อม”

ซูหย่านิ่งอึ้งไป ต่อจากนั้น เธอก็อดปากกลั้นหัวเราะ “ประธานเกา คุณรู้ไหมว่าคุณกำลังพูดอะไรอยู่? ความจำเสื่อมเหรอ? คุณคิดว่าเป็นละครทีวี หรือนิยายเหรอ? ”

เล่อเหวินตกตะลึงอย่างเห็นได้ชัด “เดิมทีเขาก็ป่วยอยู่ เล่อจยา คุณอย่ามาโทษฉันได้ไหม? ”

“คุณ……” เล่อจยาโกรธจนแทบกระอักเลือด เพียงแต่ว่าไม่รอให้เธอตอบกลับ สายทางด้านนั้นก็ตัดไป

เล่อจยาหลับตาแล้วลืมตาอีกครั้ง เธอหันกลับไป นำมือถือส่งให้พ่อเล่อ “พ่อ ลูกชายของคุณ” เธอจงใจเพิ่มน้ำเสียงคำว่า”ลูกชายของคุณ”

เห็นได้ชัดว่าพ่อเล่อได้ยินบทสนทนาของพวกเขาแล้ว สีหน้าไม่ได้ดูดีไปกว่าเล่อจยาเลย ดูย่ำแย่อย่างมาก

จู่ๆ พ่อเล่อก็พูดว่า “จยา พ่อหิวแล้ว คุณไปซื้อของข้างนอกมาให้พ่อกินหน่อยสิ”

เล่อจยามองเขาอ้าปากเล็กน้อย ท้ายที่สุด ก็ไม่ได้พูดอะไร ได้แต่พยักหน้า

ซูหย่าตบๆ ไหล่ของเธอ “คุณไปเถอะ ฉันจะอยู่ที่นี่เอง! ”

เล่อจยากอดซูหย่า ระหว่างพวกเธอ พูดขอบคุณมันยังน้อยเกินไป……

หลังจากเล่อจยาไป ไม่ถึงสองนาที พ่อเล่อก็เอ่ยกับซูหย่าว่า : “เสี่ยวหย่า คุณไปซื้อไพ่ให้ลุงหน่อยได้ไหม ฉันอยู่โรงพยาบาลรู้สึกเบื่อๆ ฉันอยากจะเล่นไพ่กับเตียงข้างๆ หาอะไรทำฆ่าเวลาสักหน่อย”

ซูหย่าเลิกๆ คิ้ว ไม่ค่อยเต็มใจเท่าไหร่ เล่อจยาโกรธขนาดนั้น คาดไม่ถึงว่าพ่อเล่อคนนี้ยังคิดจะเล่นไพ่อีกเหรอ?

เพียงแต่คิดดูแล้ว ก็ยังคงพยักหน้า “อย่างนั้นก็ได้ พอดียาอันนี้ก็ฉีดเสร็จแล้ว เช่นนั้นคุณเองก็อย่าเดินไปไหนนะ ฉันจะรีบกลับมา”

เล่อจยาออกจากประตูโรงพยาบาลไป เดินหาของกินที่ปกติพ่อเล่อชอบกินได้สองสามอย่าง เธอกำลังเตรียมจ่ายเงิน มือถือก็ดังขึ้น จึงรับสาย : “ฮัลโหล ซูหย่า……อะ……อะไรนะ? ”

เมื่อเล่อจยาเดินมาถึงโรงพยาบาล ซูหย่าก็ยืนอยู่หน้าประตูทางเข้าโรงพยาบาล เห็นเธอเช็ดๆ น้ำตา “คุณลุงห็ฉันไปซื้อไพ่ให้เขา ฉัน…… ฉันกลับมา เขาก็ไม่อยู่แล้ว เมื่อกี้ฉันถามร.ป.ภ. ร.ป.ภ.บอกว่า เห็นเขาโบกรถแท็กซี่ออกไปแล้ว”

เล่อจยามองไปข้างนอก สูดลมหายใจ “เขาไปหาลูกชายของเขาแล้ว”

เธอเข้าใจพ่อเล่อ ก่อนหน้านั้นเล่อเหวิน คงใช้คำพูดสวยหรูมาหลอกเอาเงินของพ่อเล่อ ตอนนี้พ่อเล่อรู้แล้วว่าลูกชายตนเองมีคุณธรรมขนาดนี้ จะไม่ยกโทษให้เขาอย่างแน่นอน

“ห้ะ? เช่นนั้น จะมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นหรือเปล่า? คุณรู้ไหมว่าน้องชายคุณอยู่ที่ไหน? เรารีบตามไปกับเลยไหม? ”

เล่อจยานั่งยองบนพื้น สองมือกุมหัว “ฉันไม่รู้ หลายปีมาแล้ว ไม่ได้เจอเขาเลย”

“เล่อจยา คุณทำใจดีๆ หน่อย ตอนนี้ร่างกายของคุณลุงเป็นอย่างนั้น คุณต้องตามเขากลับมา โทรหาเขาไหม? มีเรื่องอะไร หาเขาเจอแล้ว ค่อยว่ากัน”

เล่อจยาได้ยิน ก็หันมองซูหย่า หยิบมือถือออกมา กดโทรหาพ่อเล่อ แต่ว่า……ปิดเครื่อง

“ขึ้นรถฉัน ฉันจะพาพวกคุณไป”

จู่ๆ ก็มีเสียงชายคนหนึ่งดังขึ้น เล่อจยาเงยหน้าขึ้น เห็นเกาไห่นั่งอยู่ในรถ เธอลุกยืนขึ้น มองเขา “คุณ……ทำไมคุณยังไม่ไปอีก? ”

“ขึ้นรถ ไม่ได้ต้องการตามหาพ่อของคุณเหรอ? ”

ถึงแม้ว่าซูหย่าจะแปลกใจกับการกระทำของเกาไห่คนนี้ แต่เธอรู้ดีว่าไม่ใช่เวลามาคิดเรื่องเหล่านี้ จึงดึงเล่อจยาที่ตกตะลึงอยู่ขึ้นรถไป

“ประธานเกา คุณรู้ได้ยังไงว่าพ่อฉันอยู่ที่ไหน? ”

เกาไห่มองข้างหน้า เอ่ยปากช้าๆ ว่า “เมื่อกี้ฉันอยู่ที่หน้าประตู พอดีเห็นเขาออกมาจากโรงพยาบาล สีหน้าผิดปกติ ฉันก็เลยให้เสี่ยวตงตามไป”

เวลานี้ มือถือของเกาไห่ก็ดังขึ้น จึงหยิบออกมาดู “ส่งตำแหน่งให้แล้ว ไม่ไกล ไม่ต้องกังวล”

เล่อจยามองภาพด้านหลังนั้น ความสับสนอลหม่านก่อนหน้านี้ เวลานี้ จิตใจก็สงบลงไปไม่น้อย

พอได้เห็นจุดหมาย ใจเธอที่เคยหดหู่ ก็มีหวังขึ้นมา

ตอนนี้มีคนรายล้อมอยู่จำนวนมาก เธอไม่ทันรอให้รถจอดสนิท ก็เปิดประตูลงจากรถ แหวกฝูงชนเข้าไป จากนั้น เมื่อเห็นฉากที่อยู่ตรงหน้า เธอก็แทบจะกระอักเลือด

พ่อเล่อคุกเข่าอยู่บนพื้น ดึงชายเสื้อของเล่อเหวิน ไม่รู้ว่ากำลังพูดอะไรอยู่

“พ่อ คุณกำลังทำอะไร? ” เล่อจยาเดินเข้าไป ต้องการจะดึงพ่อเล่อขึ้น เพียงแต่ พ่อเล่อสะบัดมือของเธอออก แล้วยังคงดึงเล่อเหวินเอาไว้: “เสี่ยวเหวิน คุณบอกพ่อสิว่า เงินก่อนหน้านี้ของคุณ ใช้หนี้ไปหมดแล้วหรือยัง? ”

เล่อเหวินที่ถูกพ่อเล่อดึงเอาไว้ สายตาที่มองไปข้างหน้า ก็เอียงหน้าหนี ใบหน้าหงุดหงิดรำคาญ “ตาแก่ ฉันล่ะเบื่อจริงๆ ให้เงินฉันมาแค่นิดหน่อยแค่นี้? คุณต้องเอ่ยถึงมันไปตลอดเลยเหรอ? ”

เล่อจยาฟังถึงตรงนี้ ก็ขมวดคิ้ว ดึงเล่อเหวินกลับมา “เงินเล็กน้อย? เล่อเหวิน คุณคิดว่าเงินตั้งหลายล้านเป็นเงินเพียงเล็กน้อยอย่างนั้นเหรอ? ”

เล่อเหวินมองเล่อจยาตั้งแต่หัวจรดเท้า กล่าวถามอย่างไม่เกรงใจว่า: “ป้า คุณโผล่มาจากไหนเนี่ย? เรื่องของครอบครัวเรา คุณมายุ่งอะไร? ”

คำว่า”ป้า”คำนั้นแทบจะทำให้เล่อจยาเลือดพุ่ง เธอมองๆ ตัวเอง ถอนหายใจอย่างแรง ยืดตัวขึ้นแล้วตบลงไปบนหัวของเล่อเหวินอย่างแรง “ป้าใช่ไหม? ได้เลย วันนี้ฉันจะเป็นป้าของคุณสักครั้งหนึ่ง”

เล่อจยาพูดจบ งอเข่าขวา แล้วก็ยืดออก ใช้กำลังเตะเล่อเหวิน เกาเหวินที่อยู่ห่างออกไปเล็กน้อย ต้องใช้ความพยายามที่จะยืนให้มั่นคง ไม่เช่นนั้นก็จะล้มลง

เขาชี้หน้าเล่อจยา “มึง….คาดไม่ถึงว่ามึงจะกล้าเตะกู? ตั้งแต่เล็กจนโตแม่กูยังไม่กล้าตีกูเลย มึง…..”

เล่อจยาเดินเข้าไป ดึงคอเสื้อของเขา “ก็เพราะแกมีแม่เลวๆ ยังไงล่ะ ถึงได้สั่งสอนให้แกเป็นพวกเดนมนุษย์แบบนี้” เล่อเหวินสูงร้อยแปดสิบกว่า เล่อจยาต้องเขย่งเท้าถึงจะสามารถดึงคอเสื้อของเขาได้

ดังนั้น ในเรื่องของความแข็งแรง ก็ยังแตกต่างกันอย่างมาก

“มึงด่าแม่กูเหรอ? กู…..กูจะจัดการมึง” ถึงแม้เล่อเหวินจะไม่ได้เรื่อง แต่ก็กตัญญูกับแม่ของตัวเองอย่างมาก เวลานี้ ได้ยินเล่อจยาด่าแม่ของเขา ก็โมโหเดือดดาล ยกมือขึ้น จะตบเล่อจยา

เพียงแต่ ช่วงเวลาสั้นๆ มือของเขา ก็ถูกมือใหญ่มือหนึ่งจับเอาไว้แน่น

เล่อจยาเงยหน้า พอดีกับที่เกาเหวินมองมาพอดี เธอสั่นสะท้านเล็กน้อย หลังจากนั้นก็ปล่อยเล่อเหวิน ถอยหลังไปสองก้าว “ประธานเกา…..”

“ตบผู้หญิง คุณเป็นผู้ชายหรือเปล่า? ” เกาไห่ไม่ตอบรับเล่อจยา แต่เอ่ยปากสั่งสอนเล่อเหวิน

เล่อเหวินเห็นอารมณ์ที่ไม่ดีของเกาไห่ แล้วเมื่อกี้ก็ได้ยินเล่อจยาเรียกเขาว่าประธานเกา ทันใด ในใจก็หวาดกลัวเล็กน้อย “คุณ…..คุณเป็นใคร? ” พูดจาติดอ่างเล็กน้อย

คนหลายคนพุ่งความสนใจไปยังจุดจุดเดียว ขณะเดียวกัน ไม่มีใครได้ทันสังเกตว่าพ่อเล่อลุกขึ้นยืนแล้ว เดินไปยังกลางถนน

ซูหย่าที่อยู่ในรถได้รับโทรศัพท์ เธอรู้สึกว่าคนที่อยู่ตรงหน้าคุ้นๆ ต่อจากนั้น ก็ได้ยินเสียงจากข้างๆ ที่อยู่ไม่ไกล เบรกรถเสียงดัง”เอี๊ยด”

เธอเงยหน้ามองพ่อเล่อ ปากสั่นด้วยความโกรธ “พ่อ คุณบอกว่าเสี่ยวเล่อเอาไปเหรอ? เงินมากมายขนาดนั้น เอาไปหมดเลยเหรอ? ”

พ่อเล่อเงียบ เพียงแต่สองมือจับผ้าห่มไว้แน่นแล้วพูดว่า “จยาจยา เสี่ยวเล่อเป็นลูกแท้ๆ ของฉัน เราไปตรวจดีเอ็นเอกันมาแล้ว”

“ตรวจดีเอ็นเอแล้ว? เป็นลูกแท้ๆ ของคุณ ฉะนั้น คุณก็ต้องให้เงินเขาหมดเลยใช่ไหม? ” เล่อจยาตะคอกเสร็จ ก็เงยหน้าขึ้น อดไม่ได้ที่จะน้อยใจจนน้ำตาไหลออกมา

“อย่างนั้นฉันล่ะ? หลายปีมานี้ความทุ่มเทของฉัน มันคืออะไร? ในตอนนั้นเสี่ยวเล่อถูกแม่พาไปด้วย ฉันก็ต้องใช้หนี้ให้พวกเขา หลายปีมานี้ ฉันมีชีวิตความเป็นอยู่อย่างไร ก็ไม่มีใครเข้าใจ หรือว่า พ่อก็ไม่เห็น? หลายปีมานี้ พวกเขาไม่ปรากฏตัวเลย พอรู้ว่าบ้านต้องถูกรื้อถอน พวกเขาก็กลับมายอมรับคุณ ได้ เขาเป็นลูกชายของคุณใช่ไหม? อย่างนั้นคุณก็ให้เขามาดูแลคุณเถอะ! ” เมื่อเล่อจยาตะโกนออกมาอย่างเจ็บปวดแล้ว ก็หันกลับออกจากห้องผู้ป่วยไป

ซูหย่าเป็นห่วงสุขภาพพ่อเล่อ คิดอยากจะตามเธอไป แต่นึกดูแล้ว ก็ยังคงอยู่ต่อ

“คุณลุง คุณก็ไม่ยุติธรรมกับเล่อจยาจริงๆนะ คุณรู้ไหม? เพื่อคุณแล้ว ในตอนนั้นเธอยอมทิ้งงานที่ชอบ ทิ้งอนาคตดีๆ แบบนั้นไป คุณทำกับเธออย่างนี้ได้อย่างไร? ” ในฐานะที่เป็นเพื่อนเล่อจยามาหลายปี ซูหย่ารู้ว่าเล่อจยามีชีวิตความเป็นอยู่อย่างไรในหลายปีมานี้

พ่อเล่อนอนอยู่บนเตียงร้องไห้ไม่หยุด เป็นเวลานาน จึงเงยขึ้นพูดว่า : “แต่ฉันไม่สามารถเห็นเสี่ยวเล่อถูกคนไล่ฆ่าได้! ”

ซูหย่าสูดลมหายใจเข้า “เช่นนั้นคุณก็เลยทำอย่างนี้กับเล่อจยาเหรอ? ”

เล่อจยาไม่ได้ออกจากโรงพยาบาล แค่นั่งอยู่ที่เก้าอี้ตัวยาวใต้ทางเดินโรงพยาบาล กอดเสาร้องไห้โฮออกมา แม้แต่คนที่เดินผ่านไปมาก็มองมาที่เธอ แต่เธอไม่ได้สนใจ

เธอไม่เคยรู้เลยว่า พ่อที่แสนดีกับเธอขนาดนั้น เดิมทีก็ให้ความสำคัญกับลูกชายมากกว่าลูกสาว จนถึงขั้น ในใจของเขาไม่มีลูกสาวอย่าเธอคนนี้อยู่เลย

นึกถึงตรงนี้ เธอก็ยิ่งเสียใจร้องไห้หนักขึ้น

นั่งอยู่ข้างนอกตลอดจนเกือบจะมืด เธอร้องไห้จนไม่มีน้ำตาแล้ว

ได้ยินเสียงเรียก”เล่อจยา” เล่อจยาจึงเงยหน้าขึ้น เห็นเกาไห่ยืนพิงอยู่ข้างรถ เสื้อคลุมสีควันบุหรี่ รูปร่างที่สูงใหญ่ ทำให้เขาดูสะดุดตาแม้ในตอนกลางคืน คนที่เดินผ่านไปมา ก็ต้องมีคนหยุดชำเลืองมอง

เธอใจลอยเล็กน้อย คิดว่าตนเองเห็นภาพหลอน จึงขยี้ๆ ตา เธอค่อยลุกขึ้นยืน เดินไปข้างหน้า เห็นว่าเป็นเกาไห่ จึงก้มหน้าพูดเบาๆ ว่า : “ประ……ประธานเกา คุณมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร? ”

เกาไห่หรี่ตามอง เดินไปข้างหน้า ภาพเงานั้นก็แผ่คลุมร่างของเล่อจยา “เงยหน้าขึ้น”

เล่อจยาส่ายหัว เดิมทีก็น่าเกลียดพอแล้ว เมื่อสักครู่นี้ร้องไห้ขนาดนี้ แค่คิดก็รู้แล้ว ว่าจะน่าเกลียดขนาดไหน เธอให้เกาไห่มาเห็นตนเองน่าเกลียดแบบนี้ได้อย่างไร

“บอกฉันมา ท้ายที่สุดแล้วเกิดอะไรขึ้น? จึงทำให้คุณร้องไห้นานขนาดนั้น? ”

รอยยิ้มลูกสาลี่นั้นปรากฏตรงหน้าเกาไห่ เขาไม่ชอบให้เธอร้องไห้ แล้วก็ไม่ชอบการแสดงออกที่หมดหวังในชีวิตของเธอ เขาเห็นแล้วหงุดหงิดอย่างอธิบายไม่ถูก

เลิ่จยาขมวดคิ้ว ถามกลับไปว่า : “คุณ……คุณรู้ได้อย่างไร? ”

“คุณตอบมาก่อน ว่าเกิดอะไรขึ้น? ”

เล่อจยาส่ายหัว เรื่องน่าอับอายขายหน้าในบ้านไม่สามารถแพร่งพรายออกไป ไม่ว่าพ่อจะไม่ยุติธรรมกับเธออย่างไร ก็เป็นพ่อของเธอ เธอไม่อยากบ่นว่าต่อหน้าคนอื่น อีกอย่าง ยังเป็นต่อหน้าเกาไห่คนที่หมายปองด้วย

“ขอบคุณประธานเกาที่เป็นห่วง ไม่มีธุระอะไร ฉันไปก่อนนะ” เล่อจยากลัวว่าขืนอยู่ต่อไป ตนเองจะร้องไห้อีก เพราะรู้สึกน้อยใจเหลือเกินที่ไม่ได้รับความเป็นธรรม จนกระทั่งเธออยากจะระบายความในใจกับใครสักคน

เล่อจยาถูกดึงแขนเอาไว้ “โครงการนั้นที่เมืองW คุณเป็นกุญแจสำคัญอย่างมาก ดังนั้น ฉันไม่ยอมให้ปัญหาส่วนตัวของตัวคุณเองมาส่งผลกระทบต่องาน ดังนั้น ฉันมีสิทธิ์ที่จะรู้ว่าตอนนี้คุณเจอปัญหาอะไร? ”

เล่อจยาหยุดชะงักฝีเท้าลง ความอบอุ่นที่เหลืออยู่ในใจก่อนหน้านี้ เวลานี้ ก็ได้หายไปจนหมดสิ้น “ประธานเกาวางใจได้ ฉันแยกแยะงานกับเรื่องส่วนตัวได้ชัดเจน ฉันจะจัดการปัญหาส่วนตัวให้ได้โดยเร็วที่สุด”

น้ำเสียงของเธอโมโหอย่างมาก พูดจบ ก็แทบไม่ให้โอกาสเกาไห่ได้ตอบกลับ เดินไปยังแผนกผู้ป่วย แต่ขณะหันตัวกลับ น้ำตาก็ไหลออกมาอีกครั้ง

เห็นเงาด้านหลังที่สะบัดไปนั้น เกาไห่อดไม่ได้ที่จะหันหลังกลับ แล้วทุบไปที่เสาที่อยู่ข้างๆ เขาสาบานได้ เขาเพียงแค่เป็นห่วงเธอ เท่านั้น!

มิน่าล่ะ เสี่ยวตงถึงบอกว่าเขาอีคิวต่ำ

เขาอยากจะไล่ตามไป แต่ก็กลัวว่าเธอจะเข้าใจผิด คิดๆ แล้ว จึงตามเธอไปห่างๆ เห็นเธอขึ้นไปชั้นบน พอเห็นเธอเข้าห้องผู้ป่วยไปแล้ว เขาที่อยู่นอกห้องผู้ป่วย จึงมองไปยังด้านใน แล้วก็มองด้านนอกห้องผู้ป่วย ดูชื่อหมอที่รับผิดชอบที่ติดที่ผนัง หลังจากนั้นก็ไปที่ฝ่ายพยาบาล

“รบกวนคุณช่วยหาหน่อยได้ไหม……” เกาไห่รายงานชื่อของหมอ

มาถึงห้องทำงานของหมอ หมอคนนั้นเห็นอารมณ์ที่ไม่ธรรมดาของเกาไห่ ก็อดไม่ได้ที่จะลุกขึ้นยืน “คุณผู้ชาย คุณมีธุระอะไรเหรอ? ”

“ฉันอยากทราบว่าผู้ป่วยคนนั้นที่อยู่เตียง32 ป่วยเป็นอะไรเหรอครับ? ”

ผ่านไปสิบนาที…..

“คุณหมายถึง เขามีชีวิตอยู่ได้ไม่นานอย่างนั้นเหรอ? ”

สีหน้าคุณหมอเคร่งขรึม “จากประสบการณ์ทางคลินิกหลายปีของฉัน ผู้ป่วยที่มีอาการแบบนี้ ที่มีชีวิตอยู่ได้นานแค่ไหน ก็ขึ้นอยู่กับตัวเขาเองนี่แหละ”

เกาไห่พยักหน้า กำลังจะออกไป หมอที่อยู่ด้านหลังก็เรียกให้เขาหยุด “คุณเป็นคนในครอบครัวของเขาเหรอ? ”

เกาไห่ไม่ได้พยักหน้า แล้วก็ไม่ได้ส่ายหน้า มองเขา หมอหยิบใบรายการแสดงค่าใช้จ่ายออกมา “อย่างนั้นคุณช่วยนำใบรายการค่าใช้จ่ายนี้ ไปชำระให้เขาด้วย”

หลังจากเล่อจยากลับถึงห้องผู้ป่วย พ่อเล่อก็แทบไม่กล้าจะสบตากับเธอ

“จยา คุณไม่เป็นไรใช่ไหม? เมื่อกี้ฉันลงไปหาคุณ ก็ไม่พบคุณ คุณไปไหนมา? ”

เล่อจยาตบเบาๆ ที่มือของซูหย่า “ซูหย่า คุณมีธุระ คุณก็กลับไปก่อนเถอะ วันนี้ทำให้คุณเสียเวลามามากแล้ว” ท่าทีของเล่อจยาแย่อย่างมาก แต่เธอก็รู้ว่าซูหย่าก็มีธุระ

เวลานี้ พ่อเล่อหยิบมือถือออกมาจากหัวเตียง ต่อส่ายไปยังเสี่ยวเล่อ ต่อหน้าของเล่อจยา

รอสายอยู่นานมาก จึงรับสาย “ฮัลโหล มีเรื่องอะไร? ” ในสายโทรศัพท์มีเสียงการเล่นไพ่นกกระจอกดังแทรกเข้ามา เล่อจยากัดริมฝีปาก แย่งมือถือมา “เล่อเหวิน คุณมาที่โรงพยาบาลเดี๋ยวนี้เลย พ่อเข้าโรงพยาบาล”

อีกฝ่ายคล้ายกับลุกขึ้น เสียงการเล่นไพ่นกกระจอกนั้น ก็เบาลงไปไม่น้อย “เขาเป็นอะไร? ”

“เล่อเหวิน เขาคือใคร? ”

เล่อเหวินมองมือถือ “เล่อจยา คุณอย่ามาแสดงท่าทีเหมือนกับเป็นผู้ปกครอง จะได้ไหม? คุณก็อายุมากกว่าฉันแค่สองปี”

“ฉันถามคุณว่า เขาคือใคร? ” เล่อจยาพูดซ้ำอีกครั้ง

“คุณว่ามาเถอะ ว่าตกลงคิดอะไร? ” เล่อเหวินหงุดหงิดอย่างมาก

“คุณเอาเงินค่ารื้อถอนของพ่อไปใช้หนี้ใช่ไหม? เล่อเหวิน คุณรู้ไหมว่า เพราะพ่อเอาเงินไปให้คุณจนหมด เขาจึงต้องหยุดยาของตัวเอง ตอนนี้ เพราะคุณ เขาจึงต้องเข้าโรงพยาบาล คุณยังเป็นคนอยู่ไหม? ” เล่อจยาพูดถึงตรงนี้ ก็แทบจะร้องตะโกนออกมา

หนิงเส่าเฉินแก่กว่าเกาไห่สองสามปี ฉะนั้น แม้ว่าเขากับเย่หลินจะมีความสัมพันธ์แบบนี้ก็ตาม ระหว่างทั้งสองคน ได้เรียกชื่อซึ่งกันและกันมาตลอด นี่เป็นครั้งแรกที่หนิงเส่าเฉินเรียกเขาว่าพี่ ชั่วขณะเกาไห่ก็รับไม่ได้

“คุณตาให้เวลาฉันสิบวันในการให้คำตอบเขา เขาบอกว่าถ้าฉันจัดการไม่ได้ เขาอาจจะมีวิธีการบางอย่างของเขา……” หนิงเส่าเฉินหลับตา ลูกกระเดือกกลิ้งขึ้นลง “ฉันกังวลว่า ถ้าสิบวันแล้ว ฉัน……”

หนิงเส่าเฉินรู้ว่า ถ้าพ่อไม่ฟื้นขึ้นมา ด้านหนึ่งก็เป็นแม่กับน้องสาวแล้วยังมีคนของตระกูลหนิง อีกด้านหนึ่งก็เป็นคนที่เขารัก เขาจนปัญญาที่จะบอกได้ว่าจะทิ้งสิ่งไหน เลือกสิ่งไหน?

“นิสัยเย่หลินเราก็รู้ดี มิตรภาพที่เธอมีต่อคุณ ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงไปง่ายๆ ขนาดนั้น คุณวางใจเถอะ” เกาไห่เข้าใจคำพูดของหนิงเส่าเฉินผิด

มุมปากของหนิงเส่าเฉินยิ้มขึ้นมาอย่างขมขื่น “ฉันไม่ได้กังวลว่าเธอจะเปลี่ยนไป ฉันอยากฝากคุณไปบอกคุณตาให้หน่อย ว่าถ้าสิบวันแล้ว ฉันไม่สามารถให้คำตอบที่เขาต้องการได้ ไม่ว่าเขาจะทำอะไร ฉันหวังว่าเขาจะทำให้เย่หลินมีความสุขได้”

สายตาเกาไห่มองออกไปนอกหน้าต่าง ก้นบึ้งของหัวใจเหมือนถูกอะไรทิ่มแทง รูม่านตาหดลง คิ้วเลิกขึ้น “คุณไม่ยอมเสียเธอไป ฉันก็จะช่วยคุณหาทางออก”

พูดจบ เกาไห่ก็วางสาย ในใจเป็นทุกข์อย่างมาก

เวลานี้ เสี่ยวตงผลักประตูเข้ามา บอกเกาไห่ว่าเล่อจยามีธุระด่วนส่วนตัว ต้องกลับเมืองCก่อน

“บอกไหมว่าธุระอะไร? ” เกาไห่สอบถาม

เสี่ยวตงลูบๆ จมูก “เหมือนว่าฉันจะได้ยินเธอพูดอะไรเกี่ยวกับโรงพยาบาล……คาดว่าใครน่าจะป่วย? ”

เกาไห่นึกๆ ดู “เอาเบอร์เธอมาให้ฉัน”

เสี่ยวตงไม่รู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่ แต่ก็ยังคงรีบเปิดสมุดรายชื่อ

ต่อสายไปสักพัก เล่อจยาจึงรับสาย “ฮัลโหล สวัสดีค่ะ”

“อยู่ไหน? ”

เล่อจยาตกตะลึงอย่างเห็นได้ชัด มองสิ่งก่อสร้างข้างๆ “ตลาดซินตง”

“รอฉันอยู่ที่นั่น”

เล่อจยาไม่รู้ว่าเกาไห่คิดจะทำอะไร แต่ซูหย่าเพิ่งโทรหาเธอเมื่อกี้บอกว่าพ่อเข้าโรงพยาบาล แม้ว่าซูหย่าจะไม่บอกสถานการณ์เธออย่างละเอียด แต่ด้วยนิสัยของซูหย่า ถ้าพ่อไม่อาการหนัก เธอจะโทรมาหาเธอในเวลานี้เหรอ

ชั่วขณะก็รู้สึกร้อนใจ

โบกรถเดินขึ้นไปหาที่นั่งข้างหน้าต่าง หยิบโทรศัพท์ส่งข้อความไปหาเกาไห่ “ประธานเกา พ่อของฉันเข้าโรงพยาบาล เรื่องภาพวาดการออกแบบ ฉันจะส่งให้คุณโดยเร็วที่สุด ขอโทษนะ ฉันจำเป็นต้องกลับไปก่อน”

เธอคิดว่าเกาไห่มาหาเธอ เพราะเรื่องภาพวาดการออกแบบ

“พ่อคุณป่วยเป็นอะไร? ‘

เล่อจยาใจลอยไปชั่วขณะ นี่เกาไห่เป็นห่วงตนเหรอ? ฉับพลันใจก็อบอุ่นขึ้นมา ถึงแม้จะรู้ว่า เขาอาจจะถามเป็นมารยาทก็เท่านั้น

“พ่อฉันเป็นเบาหวาน เมื่อกี้เพื่อนฉันโทรมาบอกว่า เขาหมดสติไป รายละเอียดเป็นอย่างไร เธอก็บอกได้ไม่แน่ชัด”

หลังจากส่งข้อความเสร็จ เกาไห่ก็ไม่ได้ตอบกลับ หลังจากเล่อจยาดูมือถืออยู่หลายครั้ง ในที่สุดก็กัดฟันนำมือถือใส่กระเป๋าไป ไม่ว่าเธอจะไม่อยากยอมรับมากแค่ไหน แต่ความผิดหวังในใจก็ยังคงมีอยู่

เมื่อถึงโรงพยาบาล ซูหย่าเห็นเธอ สีหน้าก็ไม่ค่อยดีเล็กน้อย

“พ่อของฉันล่ะ? ”

ซูหย่าชี้ไปที่ห้องผู้ป่วยที่อยู่ข้างๆ เล่อจยาพยักหน้า หันตัวกลับกำลังจะเข้าไป แต่ถูกซูหย่าดึงเอาไว้

“จยาจยา คุณลุง……มีภาวะที่ร่างกายเป็นกรด โดยมีระดับนํ้าตาลและคีโตนในเลือดสูง ทำให้หมดสติ คุณหมอบอกว่า ต้องทำการฟอกเลือด”

เล่อจยาตัวสั่นในทันที “หมายความว่ายังไง? ”

ซูหย่าสูดลมหายใจเข้า “หมอบอกว่า ร้ายแรงมาก”

เล่อจยาจับศีรษะยืนอึ้งอยู่กับที่ มือของเธอกำแน่น เม้มริมฝีปากเบาๆ แต่ในสายตาปรากฏน้ำตาที่เอ่อคลอเบ้า “ซูหย่า ทำไมจู่ๆ อาการพ่อของฉันถึงได้รุนแรงขนาดนี้ล่ะ? สภาพก่อนหน้านี้ของเขาก็ชัดเจนว่าดูมีชีวิตชีวาดีมาก คุณก็เห็นนี่”

ซูหย่าเห็นท่าทีที่ร้อนใจของเล่อจยา คิดๆแล้ว จึงเอ่ยปากบอกความจริงกับเธอ “พ่อปิดบังความจริงคุณ “เขาโกหกคุณ ขาดการฉีดยาอินซูลิน! ”

เล่อจยาอ้าปากค้าง ร่างกายของเธอสั่นอย่างรุนแรง ตื่นตระหนกในชั่วพริบตา ต่อจากนั้นก็หันไปเปิดประตู เข้าไปในห้องผู้ป่วย ในห้องมีคนอยู่สองคน พ่อเล่อกำลังคุยกับคนที่อยู่เตียงข้างๆ เห็นเล่อจยาเดินเข้ามา ก็ชี้เธอแล้วพูดว่า: “คุณดู นี่คือลูกสาวของฉัน เก่งมากเลยนะ ตอนนี้เป็นนักออกแบบของเกากรุ๊ป……”

“พ่อ ทำไมคุณถึงขาดการฉีดอินซูลิน? ทำไม? ” เล่อจยาตะโกนเสียงดังไปยังพ่อเล่อ หลายปีมานี้ ต่อให้พวกเขามีความยากลำบากขนาดไหน เธอก็ไม่เคยขาดยาของพ่อ

แต่ว่า ตอนนี้รื้อถอนบ้าน วันเวลาก็ดีขึ้นมากแล้ว เธอไม่เข้าใจจริงๆ ถึงสาเหตุที่พ่อเธอทำแบบนี้

พ่อเล่อเม้มปาก “จยาจยา คุณดูเหมือนว่า ยังคิดว่าฉันเกิดเรื่องใหญ่อะไร? ไม่เป็นไร ของพวกนั้น ฉีดมาหลายปีแล้ว ก็ไม่เห็นว่าฉันจะดีขึ้น ไม่จำเป็นต้อง…….”

“คุณไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วเหรอ? ” เล่อจยาตัดบทคำพูดของพ่อเล่อ เช็ดน้ำตา “คุณอยากทิ้งฉันให้อยู่คนเดียวใช่ไหม? ”

คนที่อยู่ข้างๆ เห็นว่าเป็นเรื่องในครอบครัว จึงลงจากเตียง “ฉันไปเอาน้ำต้มก่อนนะ”

“จยาจยา คุณนั่งก่อน”

เล่อจยาซื้ดจมูก “คุณไม่ต้องมาสนใจฉัน คุณบอกฉันมา ทำไมคุณถึงทำแบบนี้? ”

“ฉัน…..ฉันรู้สึกว่ามันไม่จำเป็น คุณ….”

“จยาจยา หลังจากเกิดเรื่องครั้งนั้น คุณลุงบอกกับฉันว่า เขาไม่อยากต้องเป็นภาระคุณ ถึงแม้จะเป็นคนตลกขบขันคนหนึ่ง แต่ในใจของคุณลุงก็รู้สึกขอโทษคุณ รู้สึกเป็นหนี้บุญคุณกับคุณ คุณลองถามสิ ว่าเพราะสาเหตุนี้ใช่ไหม ถึงได้แอบขาดยา? ” ซูหย่ากระซิบเบาๆ อยู่ข้างๆ เล่อจยา

เล่อจยาจะร้องไห้ เดินเข้าไป เธอลูบไปบนผ้าห่มของพ่อ “พ่อ คุณเคยคิดบ้างไหมว่า ถ้าคุณตายไป ฉันก็จะต้องอยู่คนเดียว คุณไม่ใช่ภาระของฉัน คุณดูสิ พวกเราผ่านมาถึงวันเวลาที่ดีแล้ว ทำไมคุณถึงยังมีความคิดแบบนี้อีกล่ะ? เงินรื้อถอนนั้นก็จะได้ในเร็ววันนี้ คุณก็จะได้ไปซื้อบ้านที่มีลิฟต์อย่างที่คุณคาดหวังไว้ พวกเราสองคนพ่อลูกก็จะได้มีวันเวลาที่ดี ดีไหม? ต่อไป ฉันก็จะหาลูกเขยเข้ามาให้คุณสักคนหนึ่ง พวกเราจะเคารพคุณด้วยกัน ดีไหม? ”

เรื่องเหล่านี้ เวลานั้น เป็นความใฝ่ฝันที่ออกมาจากพ่อบ่อยๆ

พ่อเล่อก้มหน้าลง น้ำตาไหล หยดลงบนหลังมือ ผ่านไปนานมาก เขาจึงเอ่ยปาก “จยาจยา เงินรื้อถอนนี้ ได้มาแล้ว”

เล่อจยานิ่งอึ้งไป “ได้มาแล้ว? พ่อ คุณบอกว่า ยังต้องใช้เวลาระยะหนึ่งไม่ใช่เหรอ? ทำไมถึงเร็วขนาดนี้ล่ะ? อย่างนั้น…..อย่างนั้นก็ดีเลย รอคุณออกจากโรงพยาบาล พวกเราก็ไม่ดูบ้านกัน ดีไหม? ”

เธอพูดพลาง รินน้ำให้พ่อเล่อ “พ่อ ทีหลังคุณอย่าทำอะไรไร้เดียงสาแบบนี้อีกนะ คุณทำให้ร่างกายของตนเองไม่สบายแบบนี้ได้ยังไงกัน? ”

พ่อเล่อดื่มน้ำที่เล่อจยารินมาให้อึกหนึ่ง แต่ไม่ได้ตอบรับเธอ ผ่านไปเป็นเวลานาน เขาจึงเอ่ยปากว่า: “เงินค่ารื้อถอน เสี่ยวเล่อเอาไปใช้หนี้หมดแล้ว”

เมื่อได้ยิน แก้วในมือของเล่อจยาก็ร่วงลงพื้น ปรากฏเสียงดัง”เพล้ง”

“คุณอา เขาไม่เคยโทรหาฉัน แต่ เขาจะต้องโทรหาคุณแน่เลยใช่ไหม ?” เย่หลินมองคุณอา และพูดอย่างมั่นใจ

ในช่วงนี้ หลังจากสงบสติลงแล้ว เย่หลินก็ค่อยค่อยเข้าใจสิ่งต่างต่างมากขึ้น

อย่างเช่นทำไมหนิงเส่าเฉินถึงไม่เก็บเธอไว้ในตอนนั้น

ทำไมเขาถึงไม่อธิบาย และก็ไม่ตอบคำถามเธอ ?

ในกรณีนั้น ถ้าเขาบอกว่า เขาเชื่อเธอ ถ้าอย่างนั้นเย่หลินจะไม่ยอมออกไปแน่นอน เธอไม่สามารถทำให้เขารู้สึกแย่ เพียงเพราะตัวเธอเองได้หรอก

ถ้าเขาบอกว่า เขาไม่เชื่อเธอ เขาก็เกรงว่าเขาจะทำร้ายเธอ

อันที่จริงแล้วในตอนนั้นเกิดอะไรขึ้นกับพ่อหนิง พระเจ้ารับรู้ เธอและพ่อหนิงรู้ แต่หนิงเชี่ยนเห็นเพียงความพัวพันระหว่างเธอกับพ่อหนิง จากนั้นพ่อหนิงก็ตกลงมาจากหน้าผา เธอไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ดังนั้น ก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์ก่อนหน้านั้น เธอจึงมีเหตุผลให้เข้าใจผิดตัวเธอ และไม่เชื่อเธอ

และถ้าพ่อหนิงหมดสติและไม่ฟื้น อย่างที่หนิงเส่าเฉินบอก แม้ว่าเขาจะเชื่อเธอ เธอกลับไปกับเขา และสิ่งที่เธอจะต้องเผชิญอาจจะเป็นความโกรธระหว่างหนิงเชี่ยนและแม่หนิง และยังมีพวกญาติของตระกูลหนิงที่ไม่ยอมให้อภัยอีก และยิ่งมีแนวโน้มที่จะถูกบังคับให้อยู่ในห้องขัง

เธอก็ไม่ใช่แม่พระ ในสถานการณ์แบบนั้น เธอเกลียดหนิงเส่าเฉินจริงๆ เกลียดความไม่ไว้วางใจของเขา เกลียดที่เขาไม่รักษาเธอเอาไว้

อย่างไรก็ตาม หลังจากที่เธอสงบลง เธอก็เข้าใจแล้ว พวกเขาสองคนได้ผ่านหลายสิ่งหลายอย่างมาหลายปีแล้ว ร่วมทั้งชีวิตและความตาย !

ผู้ชายที่สามารถเพิกเฉยต่อชีวิตเพื่อตนเอง เขาทำลายเธอขนาดนั้น ดังนั้นมันเป็นไปไม่ได้เลยที่เขาจะปฎิบัติกับเธอแบบนี้

เธอเชื่อมั่น !

ดังนั้น เธอจึงรอ รอให้พ่อหนิงฟื้น รอความเมตตาจากพระเจ้า

คุณอากระแอมเบาๆ แต่แล้วจะยังไงล่ะ ถ้าหากว่าเขาเชื่อคุณ ทำไมเขาถึงไม่มารับคุณกลับไป ?

เย่หลินหยิบขนมขึ้นมาชิ้นหนึ่งแล้วเอาใส่เข้าปาก ขนมค่อยค่อยละลายในปาก “เธอยกมุมปากขึ้น เขาแค่กลัวว่าถ้าฉันกลับไปแล้ว จะทำให้ฉันถูกทำร้าย และฉันจะตกอยู่ในอันตราย และ ตอนนี้พ่อของเขายังอาการโคม่าอยู่ มันจึงยังไม่เหมาะสมให้ฉันแสดงตัว ไม่ว่าอย่างไร ที่เขาล้มก็เป็นเพราะฉันจริงๆ คุณอา ที่จริงแล้วฉันรู้สึกผิดมาก ลองค่อยค่อยคิดดู ฉันไม่คิดว่าตัวเองจะมีคุณสมบัติพอที่จะตำหนิพวกเขาได้ ดังนั้น ฉันจึงเต็มใจที่จะรอ”

คุณอาเลิกคิ้วขึ้น และจ้องมองเธออย่างเย็นชา แล้วจู่ๆก็พูดขึ้นมาว่า:“ ถ้าหากว่าชั่วชีวิตนี้พ่อหนิงไม่ฟื้นขึ้นมาล่ะ ? หรือว่าคุณก็จะรอแบบนี้ไปชั่วชีวิต ?”

เมื่อได้ยินเช่นนี้ เย่หลินก็รู้สึกว่าริมฝีปากและลำคอของเธอแห้ง เธอไม่เคยคิดเกี่ยวกับปัญหานี้มาก่อน

ถ้าหากว่าชั่วชีวิตนี้ไม่ฟื้นขึ้นมา เธอจะทำอย่างไรดีล่ะ ?

“มีบางเรื่อง ผมอยากคุยกับคุณก่อน คุณปู่ให้เวลาเขาสิบวัน บอกว่าภายในสิบวันนี้ถ้าหากเขาคิดแก้ปัญหาไม่ได้ ชายชราจะเป็นผู้ตัดสินใจแทนคุณเอง ใบหน้าของคุณอาไม่มีการแสดงออกเหมือนรูปปั้น ด้วยบุคลิกของคุณปู่ เขาไม่พูดเล่นอย่างแน่นอน”

เมื่อเย่หลินได้ยิน เธอก็ลุกขึ้นยืนอย่างกังวลใจ “ตัดสินใจ ? ตัดสินใจอะไร ?”

“ตัดสินใจอะไร ผมบอกคุณไม่ได้ แต่ เย่หลิน คุณปู่หวังดีกับคุณ ไม่ว่าเขาจะตัดสินใจอะไร เขาไม่อยากเห็นคุณเป็นเหมือนกับแม่ของคุณ ที่ติดอยู่กับความรักตลอดชีวิต” เขาก้มศีรษะลงมองเธอ ด้วยสายตาที่ล้ำลึก สีหน้าของเขาดูไม่ดีนัก มันดูเย็นชาไปหมดเลย

เย่หลินได้ยินเขาพูดแบบนี้ จู่ๆก็รู้สึกขนลุกเล็กน้อย คุณปู่คนนั้น ถึงแม้ว่าเธอไม่ค่อยได้ติดต่อกับเขามากนัก แต่สถานที่เช่นเกาะเหลียนอู้ เขาจัดการมาหลายปีแล้ว การจัดการมีระเบียบดี ความสามารถและวิธีของเขาจะต้องไม่ประมาท “คุณอา เส่าเฉินดีกับฉันมาก จริงๆนะ !และ ฉันก็มีหนิงเสี่ยวซีและเย่เสี่ยวโม่แล้ว คนตระกูลหนิงไม่เห็นแก่หน้าพระภิกษุสงฆ์ก็ควรเห็นแก่หน้าพระพุทธรูปใช่ไหมคะ ? คุณเชื่อฉัน เมื่อผ่านช่วงเวลานี้ไป พวกเขาให้ฉันกลับไปแน่นอน ฉันไม่เหมือนกับแม่ และเรื่องในครั้งงนี้ ฉันเชื่อว่า ในตอนนี้เส่าเฉินจะต้องอึดอัดมากกว่าฉันแน่”

เพราะว่ารีบร้อนของเธอ ทำให้คำพูดของเธอไม่ค่อยต่อเนื่องกัน

เย่หลินบิดมือทั้งสองข้างด้วยความกังวล แม้ว่าเธอจะไม่รู้ว่าคุณปู่คนนั้นจะตัดสินใจอะไร แต่ว่า เธอก็รู้ดีว่า ผลการตัดสินนั้น จะต้องเป็นการให้เธอกับหนิงเส่าเฉินแยกจากกัน อย่างแน่นอนโดยไม่ต้องสงสัย

คุณอายิ้ม และลูบริมฝีปากที่ยาวของเธอ ปัดผมที่กระจัดกระจายอยู่บนใบหน้าของเธอไปที่หลังหู จากนั้นก็ยิ้มเยาะอย่างใจเย็น:“เขาไม่มีแม้แต่ความสามารถจะปกป้องคุณ เขามีอะไรดีกัน ?”

ร่างกายของเย่หลินชา ตัวเธอแข็งทื่อด้วยความมึนงง:“ คุณอา นั่นเป็นพ่อของเขา ไม่ว่าจะใช่ฉันผลักหรือไม่ ตอนนี้เขาก็ยังอยู่ในอาการโคม่า นั่นก็เป็นเพราะฉันจริงๆ เขาต้องการเผชิญหน้ากับครอบครัวเขา ในกรณีนี้ ถ้าหากว่าเขาปกป้องฉันแบบสุ่มสี่สุ่มห้า มันก็จะยิ่งทำให้ครอบครัวของเขาโกรธเขามากขึ้นไปอีก”

เมื่อได้ยินเช่นนั้น ความอ่อนโยนในดวงตาของเขาก็หายไปทันที และเขาก็กระตุกริมฝีปากบางของเขา และพูดว่า:“ เขาต้องการปกป้องญาติของเขา พวกเราไม่คัดค้าน แต่ ใครจะปกป้องญาตของเขาล่ะ ?”

ญาติของพวกเรา ? เย่หลินตกสะดุ้งตามสัญชาติญาณ เธอมองไปที่ชายที่อยู่ข้างๆเธอ และสำลักออกมา

ดวงตาของคุณอาก้มลงมองบนร่างกายของเย่หลินที่คลุมเคลือและเต็มไปด้วยความหมายที่ลึกซึ้ง รวบรวมปฎิกิริยาทั้งหมดของเธอไว้ที่ด้านล่างของดวงตาอย่างใจเย็น จากนั้นแสงวาบที่ตาก็ผ่านไปอย่างรวดเร็ว เร็วเกินกว่าจะจับภาพได้

“โอเค พูดจบแล้ว ผมยังมีธุระอื่นอีก ไปก่อนนะ”

“อา……..คุณอา คุณบอกฉันหน่อยได้ไหมว่าคุณปู่กำลังคิดจะทำอะไร ? ”เย่หลินรู้สึกไม่สบายใจอย่างบอกไม่ถูก หน้าอกของเธอยกขึ้นลงอย่างต่อเนื่อง “คุณให้คุณปู่ทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นได้ไหม ?”

คุณอาส่ายศีรษะ “เย่หลิน คุณให้กำเนิดลูกสองคนให้กับเส่าเฉิน ถ้าอย่างนั้น ครอบครัวของเขา ก็คือครอบครัวของคุณ คำพูดนี้ ถูกต้องใช่ไหม ?”

เย่หลินไม่เข้าใจว่าเขาหมายถึงอะไร แต่ เธอก็ยังพยักหน้า

“ถ้าอย่างงั้น ในหมู่สมาชิกใสครอบครัว สิ่งพื้นฐานที่สุด ก็คือควรไว้วางใจก่อนไม่ใช่เหรอ ? ใช่ เรื่องนี้ทำให้คนเข้าใจผิดได้อย่างง่ายดาย แต่ ในเมื่อเป็นครอบครัวของคุณ พวกเขาก็ควรจะเชื่อคุณ หรือว่าพวกเขาไม่เข้าใจ ? เมื่อเกิดเรื่อง พวกเขาไม่มีใครแม้แต่คนเดียวที่เชื่อคุณ ครอบครัวแบบนี้ แม้ว่าคุณจะกลับไปวันนี้ ขอร้องให้พวกเขาให้อภัย ในอนาคต ถ้าหากมีเรื่องที่คล้ายกันเกิดขึ้นอีก เย่หลิน คุณก็ยังจะเป็นคนแรกที่ถูกทอดทิ้ง”

ขณะที่เธอถือโทรศัพท์ มือของเย่หลินก็ยังสั่นเล็กน้อย ที่คุณอาพูดมามันไม่ผิดเลย

หัวใจเธอของเริ่มรู้สึกเจ็บปวดอย่างบอกไม่ถูก

แม่หนิงและหนิงเชี่ยน เธอรู้ดีเสมอว่าพวกเขาปฎิบัติต่อเธอดีมาเสมอ แต่ หลังจากเกิดเรื่องนี้ บุคคลที่เกี่ยวข้องคือพ่อหลิน ในตอนนั้น พวกเขามีปฎิกิริยาที่สามารถเข้าใจได้ดี แต่หลังจากนั้นไม่นาน พวกเขายังคงรู้สึกอยู่ภายในใจว่าเธอ นี่แตกต่างออกไป

อย่างน้อยก็หมายความว่า ในใจของพวกเขา ไม่เชื่อเธอเลยจริงๆ

เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ เธอขมวดคิ้วและรู้สึกเจ็บปวดภายในใจ มือทั้งสองข้างกำแน่น และจ้องมองไปที่ด้านหลังของคุณอา อย่างตกใจ

“เส่าเฉิน พ่อเป็นอย่างไรบ้าง ?” น้ำเสียงของเธอสั่นเคลือและแหบแห้งเล็กน้อย

“ยังไม่ฟื้น”เขาพูดออกมาแค่สามคำ โดยไม่มีอามรณ์ใดๆ

ฝนที่เย็นยะเยือกกระทบเข้าที่ใบหน้าของเธอ เย่หลินหยุดชั่วคราวก่อนจะเอ่ยปากพูดว่า “ฉันไม่ได้ผลักเขา เส่าเฉิน ”ด้วยคำพูดเหล่านี้เธอเกือบจะหมดเรี่ยวแรง

ชายคนนั้นไม่ได้มองมาที่เธอ แต่มองไกลออกไป จากนั้นไม่นาน เสียงที่คุ้นเคนก็ดังขึ้นที่ข้างหู “เรื่องนี้ ในตอนที่เจอเกาไห่ ผมก็รู้แล้ว เย่หลิน เมื่อตอนคุณรู้ แล้วผมรู้ ในตอนนั้นผมกล้วมากแค่ไหน ? ผมกังวลว่าคุณจะได้รับบาดเจ็บ ผมกลัวว่าคุณจะทิ้งผมไป ผมเป็นกังวลจนแทบบ้า”

เย่หลินขมวดคิ้ว ไม่ตอบอะไร แต่ประหลาดใจมาก เดิมที หนิงเส่าเฉินรู้มานานแล้ว

เมื่อคิดถึงช่วงเวลานั้น ความเจ็บปวดที่หลังคอของเธอก็เกิดขึ้น ภายหลัง หนิงเส่าเฉินบอกกับเธอว่าเกิดจากน้ำตาลในเลือดต่ำ ในตอนนั้นเธอรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ เธอนี่ช่างไร้เดียงสาจริงๆ

“พ่อผมบอกกับผมว่า หลายปีมานี้ เขาเอาแต่โทษตัวเอง เขารู้สึกว่าในตอนนั้น ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้ฆ่าพ่อของคุณ แต่พ่อของคุณก็ตายเพราะเขา ดังนั้น พอรู้ว่าพวกเราอยู่ด้วยกัน เขาก็เอาแต่โทษตัวเองทุกวัน เขาก็เป็นกังวล ว่าถ้าคุณรู้เข้า คุณจะรับไม่ได้”

เย่หลินก้มศีรษะลงและยังคงไม่พูดอะไร เธอเพิ่งตะหนักได้ว่า หนิงเส่าเฉินรู้อยู่แล้วเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงของพ่อหลินในหนึ่งปีที่ผ่านมา

“ผมรู้ว่าเรื่องแบบนี้ จะทำให้คุณรับไม่ได้ไปซักพัก แต่ เย่หลิน ยังไงเขาก็คือพ่อของผม เป็นคุณปู่ของเสี่ยวซีและเสี่ยวโม่………”

ดังนั้น คุณก็คิดว่าฉันเป็นคนผลักเขาลงไป ใช่ไหม ? ทันใดนั้นเย่หลินก็ขัดคำพูดของหนิงเส่าเฉิน และกำมือทั้งสองข้างแน่น

หนิงเส่าเฉินไม่พูดอะไร เพียงเอื้อมมือไปจับมือของเธอ แต่ถูกเย่หลินสะบัดออก “คุณบอกมา คุณก็ไม่เชื่อฉันใช่ไหม ? ใช่ไหม ?”

หนิงเส่าเฉินยืนอยู่ที่เดิม ภายใต้แสงที่สลัว เย่หลินไม่เห็นแววตาของเขาไม่ชัด

เย่หลิน คุณยังไม่เข้าใจความหมายของคำถามนี้เหรอ ? ตอนนี้ไม่ใช่ว่าผมไม่เชื่อคุณ ? แต่เป็นคนอื่นจะเชื่อหรือไม่ ?

เย่หลินส่ายศีรษะ “ไม่ ฉันไม่สนใจมุมมองของคนอื่น หนิงเส่าเฉิน ฉันสนใจก็แค่คุณ มุมมองของคุณหนิงเส่าเฉิน”

คนหนึ่งยากที่จะเติมเต็มจิตใจคนร้อยคน เหมือนกับเรื่องที่คนหนึ่งร้อยเห็น ก็มักจะมีหนึ่งร้อยความคิด เธอไม่ได้ขอให้ทุกคนเข้าใจเธอ และเชื่อใจเธอ แต่ เธอกลับใส่ใจความคิดของหนิงเส่าเฉิน

อย่างไรก็ตาม รอบๆมีเพียงแต่เสียงฝน เสียงลม เย่หลินรออยู่นานมาก ก็ไม่ได้รับคำตอบของหนิงเส่าเฉิน

ใจของเธอ เมื่อผ่านช่วงเวลานี้ไป จากที่ร้อนระอุ มันก็ค่อยค่อยเย็นลง

หนิงเส่าเฉิน นี่เป็นตุดเริ่มต้นของคุณใช่ไหม ? คุณก็ไม่เชื่อเธอ ใช่ไหม ?

คุณจะเชื่อได้อย่างไร แม้แต่ผู้หญิงที่ยอมสละชีวิตเพื่อคุณ เธอจะทำร้ายพ่อของคุณได้อย่างไร ? คุณเชื่อได้อย่างไร ?

ในขณะนี้ คุณอาเดินเข้ามา และมาดึงแขนของเย่หลิน “ในเมื่อเขาไม่เชื่อคุณ คุณจะยังอยู่ที่นี่ทำไม ? ไปสิ……….”

เย่หลินถูกคุณอาลากออกไป เธอเกือบจะถูกลากไป เธอเดินไปหันกลับไปมองไป มองไปที่หนิงเส่าเฉิน เธอเดินช้ามากๆ

เธอคิดว่า ตราบใดที่เขาพูดออกมาว่า เขาเชื่อเธอ ให้เธอกลับไปอยู่ด้วยกัน แม้ว่าเธอจะเผชิญหน้ากับความยากลำบากขนาดไหน เธอก็จะไม่มีวันถอยกลับ

แต่ ไม่มีเลย เมื่อระยะห่างของพวกเขากว่างขึ้น สีหน้าของเย่หลินก็แทบแยกไม่ออกว่าเป็นฝนหรือน้ำตา

หลุมในใจของเธอก็เห็นร่างของเขาเลือนราง แล้วค่อยค่อยกว้างขึ้นเรื่อยๆ

หนิงเส่าเฉิน คุณเคยบอกว่า คุณจะเชื่อฉันตลอด ไม่ใช่เหรอ ?

ชายคนนั้นยืนตัวตรงในคืนที่ฝนตก ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าใด นานจนกระทั่งร่างรียวหายลับออกไปจากสายตาของเขา เขาค่อยค่อยเงยหน้าขึ้น หลับตาลง ที่มุมตานั้น แยกไม่ออกเลยว่าเป็นน้ำฝนหรือน้ำตา

สิ่งที่เย่หลินประหลาดใจก็คือ คุณอาไม่ได้พาเธอไปที่เกาะเหลียนอู้ แต่พาเธอมายังอีกประเทศหนึ่ง ประเทศ B

“คุณอา ทำไมคุณถึงไม่พาฉันกลับไปที่เกาะเหลียนอู้ ? ”เมื่อมองดูสถานทที่ที่ไม่คุ้นนี้ เย่หลินก็พูดออกมาเป็นประโยคแรก

คุณอาไม่สนใจเธอ เพียงแค่เดินไปที่โต๊ะ และเอาโทรศัพท์มือถือของเธอ บัตรประจำตัว ทั้งหมดเก็บใว้ในกระเป๋าเธอ

จากนั้นเขาก็หยิบโทรศัพท์มือถือเครื่องใหม่ออกมา ส่งให้เย่หลิน

“แล้ว นี่เป็นโทรศัพท์เครื่องใหม่ของคุณ โทรศัพท์มือถือเครื่องก่อน เอาไว้ที่ผมนี่ ส่วนคุณ อยู่ที่นี่ใช้ชีวิตให้ดี ในเมื่อเขาไม่เชื่อคุณ ผู้ชายแบบนั้น คุณไม่จำเป็นต้องไปคิดถึงอีกแล้ว”

เย่หลินขมวดคิ้ว “คุณอา เรื่องมันไม่ได้ง่ายอย่างที่คุณคิด คุณลืมไปแล้วเหรอ ฉันยังมีลูกอีกสองคน ถึงแม้ว่าฉันจะไม่ต้องการเขา แต่ลูกล่ะ ? ฉัน………..”

ดวงตาของเย่หลินเป็นสีแดงเมื่อคิดถึงเย่เสี่ยวโม่กับหนิงเสี่ยวซี

คุณอาดึงเก้าอี้ไม่ไผ่ข้างหน้าเธอแล้วนั่งลง “นั่นเป็นลูกของพวกเขาตระกูลหนิง คุณคิดว่าหนิงเส่าเฉินจะปฎิบัติต่อพวกเขาแย่ๆเหรอ คุณวางใจเถอะ”

เย่หลินก้มศีรษะลงหายไปในทันที

“คุณรู้ไหม ? คุณถูกจับมาสามวัน ตระกูลหนิงไม่มีใครมาดูคุณเลย ถ้าไม่ใช่เพราะเด็กผู้ชายแซ่ชู

โทรศัพท์หาพี่ชายคุณ และพี่คุณก็บอกกับฉัน คุณนี่นะ กลัวว่าจะรอรับโทษ” เมื่อคุณอาพูดถึงตรงนี้ เขาก็ทุบโต๊ะด้วยความโกรธ

“มีคนบอกว่า เมื่อนานวันจะเห็นใจคน คุณกับเขาอยู่กันมากี่ปีแล้ว ? เด็กผู้ชายแซ่ชูคนนั้นเชื่อคุณ แต่ผู้ชายของคุณ กลับไม่เชื่อคุณ คุณนี่นะ เหมือนกับแม่ของคุณเลย กลายเป็นคนตาบอด………”

เย่หลินไม่รู้ว่าคุณอายังพูดอะไรกับเธออีก แต่หัวใจของเธอกระตุกซ้ำแล้วซ้ำเล่า

ใช่แล้ว ชูหยูจี้เชื่อเธอ แต่เขากลับไม่เชื่อ

หนิงเส่าเฉิน ถ้าหากวันหนึ่ง คุณรู้ว่าคุณทำผิดต่อฉัน คุณจะเสียใจกับการตัดสินใจไหม ?

แล้วเธอก็ถามกับตัวเองอีกครั้ง

เย่หลิน ถ้าวันหนึ่ง พวกเขารู้ว่าทำผิดต่อคุณแล้ว ขอร้องให้คุณให้อภัย คุณจะกลับไปกับพวกเขาไหม ?

หนึ่งเดือนต่อมา

พ่อหนิงยังอยู่ในอาการโคม่า แม่หนิงร้องไห้ทั้งวันทั้งคืน หนิงเชี่ยนปล่อยพวกเขาไม่ได้ ก็เลยลา และอยู่กับพวกเขาเป็นเวลานาน

หนิงเส่าเฉินเนื่องจากความต้องการของบริษัทในประเทศ เขาจึงต้องพาหนิงเสี่ยวซีและเย่เสี่ยวโม่กลับประเทศ

ทุกอย่าง ดูเหมือนจะกลับเข้าสู่เส้นทางปกติของชีวิต

แต่ในใจของทุกคน กลับไปเป็นแบบเดิมไม่ได้อีกแล้ว

หนิงเสี่ยวซีที่เดิมทีพูดน้อยอยู่แล้ว หลังจากเรื่องนี้ ก็ยิ่งพูดน้อยเข้าไปอีก

เย่เสี่ยวโม่เปลี่ยนไปมากจากการทะเลาะครั้งก่อน ตอนนี้เขารู้ข้อเท็จจริงแล้ว จึงเปลี่ยนไปมาก เขาไม่ยึดติดพี่ชวี่ และก็ไม่เรียกหนิงเส่าเฉิน

ไม่มีใครพูดถึงเย่หลิน ทุกคนล้วนยึดมั่น

“เธอเป็นคนยังไง คุณรู้ดีกว่าผมมาก หนิงเส่าเฉิน คุณจะปล่อยให้เธออยู่ข้างนอกอย่างเดียวดาย และจะไม่ยุ่งไม่ถามเลยเหรอ ? ”เมื่อเกาไห่เห็นหนิงเส่าเฉินกลับมา และไม่เห็นเขาพูดถึงเย่หลินเลย ในที่สุดก็อดไม่ได้ คว้าคอเสื้อของเขามา และถามอย่างเย็นชา

หนิงเส่าเฉินปล่อยเขาไว้นานก่อนจะค่อยค่อยพูดขึ้นว่า “พ่อของผมยังไม่ฟื้น ภายในวันเดียวเธอถูกต้องสงสัยว่าเป็นฆาตกร ตอนนี้คนในตระกูลหนิงมามายกำลังตามหาเธอ ถ้าเธอกลับมา เธอก็จะตกอยู่ในอันตราย คุณคิดถึงเรื่องนี้ไหม ?”

หน้าอกของเกาไห่ยกขึ้นลงด้วยความโกรธ

“เหอะเหอะ ใช่ เหตุผลนี้ไม่ผิดเลย แต่ ผมจะบอกคุณ หนิงเส่าเฉิน ถ้าหากว่าวันหนึ่ง พ่อของคุณฟื้นขึ้นมา บอกกับพวกคุณว่า เย่หลินเธอบริสุทธิ์ เมื่อถึงเวลานั้น คุณคิดว่า เธอยังจะสามารถกลับมาได้อีกเหรอ ?” พูดจบ เขาก็คลายเนคไท จากนั้น เขาก็เห็นใบหน้าที่ซีดเซียวของหนิงเส่าเฉิน

“ถ้าหากเป็นผม ถึงแม้ว่าพวกคุณจะมาคุกเข่าขอร้องผม ผมก็ไม่มีทางกลับมาแล้ว ”เมื่อเกาไห่พูดจบ เขาก็ลากกระเป๋าเดินทาง ออกจากบ้านหนิง

“เล่อจยา มาที่ห้องทำงานของผมหน่อย”

เล่อจยารู้สึกสับสนเล็กน้อย แต่ก็ยังเข้าไปในห้องของผู้จัดการอย่างรวดเร็ว

“ผู้จัดการ คุณเรียกฉันมีธุระอะไร ?”

ผู้จัดการยื่นแฟ้มเอกสารให้เธอ “คุณหยุดงานของเธอไว้ก่อน แล้วตอนบ่ายลงไปสถานที่หน้างานกับประธานเกา”

เล่อจยารับเอกสารแล้วพลิกดู นี่……….นี่เป็นสิ่งที่เสี่ยวอวี่ทำไม่ใช่เหรอ ?

ผู้จัดการถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้และพูดว่า:“ ถูกไล่ออกแล้ว”

“ถูกไล่ออก ? ทำไมล่ะ ?”คนที่ชื่อเสี่ยวอวี่ เท่าที่เธอรู้ เธอทำงานอยู่ในแผนกออกแบบของพวกเขามาหลายปีแล้ว เมื่อวานเธอยังเห็นเธออยู่เลย แล้วเธอจะถูกไล่ออกในพริบตาได้ยังไง ?

ยิ่งกว่านั้นออกแบบของเสี่ยวอวี่ยังได้รับการยอมรับ และก็อยู่ในขั้นสูงด้วย โดยปกติผู้ที่มาใหม่เช่นพวกเขา จะไม่โดนยอมรับ

หรือว่าบริษัทใช้งานเธอหนัก ? เมื่อคิดถึงตรงนี้ เธอก็อดที่จะดีใจไม่ได้

เมื่อผู้จัดการเห็นเธอแบบนี้ เขาก็เบ้ปาก คิดเกี่ยวกับมันและพูดว่า:“ ผมกับคุณวางรากฐานกันก่อน เพื่อการออกแบบที่มีอยู่ในมือของคุณตอนนี้ ปัจจุบันบริษัทได้ไล่ออกไปสามคน และตอนนี้ใครใครก็เลี่ยงไม่ได้ คุณคิดดูว่า ถ้าหากคุณเองก็ถูกไล่ออก………..”

“ไม่เป็นไร ฉันไม่กลัว ”เล่อจยารีบขัดจังหวะผู้จัดการ

แม้ว่าในใจจะรู้สึกผิดเล็กน้อย แต่ผู้จัดการก็มองหาเธอเพราะว่าไม่มีใครกล้ารับ แต่ เธอก็ยังดีใจมาก มาที่นี่เดือนกว่าแล้ว อย่าว่าแต่เข้าใกล้เกาไห่เลย แม้แต่หน้าของเขา เธอยังไม่เคยเห็นเลย

ตอนนี้ มีโอกาสได้อยู่ด้วยกันกับเขา แม้ว่าจะถูกไล่ออก เธอก็มีความสุข ท้ายที่สุดแล้ว จุดประสงค์ของเธอในการเข้ามาเกากรุ๊ป ไม่ใช่เพียงแค่เขาแค่นั้นเหรอ ?

ผู้จัดการส่ายศีรษะ “ตกลง ถ้างั้นก็เตรียมตัว ตอนบ่ายออกเดินทาง”

เล่อจยาพยักหน้า หันหลังเดินไปสองก้าว เธอหยุดอีกครั้งและถามว่า:“ ผู้จัดการ คุณช่วยบอกฉันหน่อยได้ไหมว่า ทำไมพวกเขาสองสามคนนั้นถึงถูกไล่ออก ?”

ผู้จัดการไม่คิดว่าเธอจะถามคำถามนี้ “อืม ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรหรอก ผมก็แค่ได้ยินมาว่า บ้านของประธานเกาเกิดเรื่องขึ้นนิดหน่อย เดือนนี้เลยอารมณ์ไม่ดี”

ที่แท้ก็อารมณ์ไม่ดี ? เล่อจยารู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย

ตอนบ่ายไปเมือง W อาจจะต้องนอนอยู่ที่นั่นหนึ่งคืน ตอนนี้คุณกลับไปเก็บของก่อน มาตอนบ่ายก็ได้ ไปดูจัดการใบหน้าของคุณหน่อย ผู้จัดการมองดูเธออึ้งๆ ในใจก็อดไม่ได้ที่จะเตือน

เล่อจยายิ้มให้ผู้จัดการ

ตอนบ่าย เล่อจยามารอที่หน้าประตูบริษัทเร็วมาก เมื่อเสี่ยวตงเห็นเธอ ก็รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย “คุณเล่อ นี่คุณ ?”

เสี่ยวตงเป็นคนสนิทของประธานเกา นี่เป็นสิ่งที่ทุกคนในบริษัทรู้ดี เล่อจยาก็รู้โดยธรรมชาติเช่นกัน

บ่ายนี้ไม่ใช่ไปที่หน้างานเหรอ ?

เสี่ยวตงมองไปที่แฟ้มในมือของเธอ และกระเป๋าเดินทางเล็กๆ “คุณเป็นคนที่แผนกออกแบบส่งมา ?”

เล่อจยาพยักหน้า เสี่ยวตงลูบหน้าผาก เดาว่าผู้จัดการฝ่ายออกแบบคงไม่อยากทำแล้ว ที่จริงเขาจ้างคนใหม่มาคุมโปรเจ็กต์สำคัญขนาดนี้ อีกเดี๋ยวถ้าประธานเกามาเห็น ไม่แน่เขาอาจจะโกรธอีกครั้งก็เป็นได้

คิดแล้ว เขาก็โบกมือ “คุณเป็นคนใหม่ ไปสนุกเถอะ และรีบกลับมาเร็วๆ ให้เจ้านายของพวกคุณส่งคนมาอีก”

เล่อจยามองไปที่เขาด้วยท่าทางรังเกียจ และจู่ๆก็รู้สึกไม่มีความสุขในใจเล็กน้อย

“คนใหม่แล้วทำไม คนเก่าที่ไหนไม่เคยเป็นมือใหม่มาก่อน ? ฉันรู้ชุมชนเล็กเล็กนั่น ประธานเกามักเน้นสไตล์ที่เป็นแบบสเปน และคุณลักษณะที่ใหญ่ที่สุดของสไตล์สเปนก็คืออาคารที่มักถูกจัดวางในลักษณะลำดับชั้นทั้งสูงและต่ำ ซึ่งสอดคล้องกับความรู้สึกของผู้คนในพื้นที่ และคุณลักษณะนี้ต้องใช้การออกแบบซุ้มเพื่อเน้นความรู้สึก โดยรวมของลำดับชั้นเชิงของพื้นที่ เพื่อทำลายความซ้ำซากจำเจและความ

แข็งแกร่งของซุ้มแบบดั้งเดิมผ่านการเปลี่ยนแปลงลำดับชั้นเชิง พื้นที่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือจังหวะสัดส่วนและสัดส่วนต้องสอดคล้องกับองกับความงามของคณิตศาสตร์ ฉันพูดถูกไหม ?”

เสี่ยวตงไม่เข้าใจวิธีการออกแบบ แต่ หลังจากใช้เวลาหลายปีในเกากรุ๊ป ยังไม่ทันได้มีประสบการณ์ แค่เพียงได้ยินมา ? เมื่อได้ยินสิ่งที่เธอพูด เธอก็เข้มงวดมากขึ้น และทันใดนั้น เธอก็ไม่พูดอะไรออกมาอีก

เขาหันศีรษะไป และพบว่าเกาไห่ยืนอยู่ไม่ไกลจากพวกเขา เห็นได้ชัดว่า เขาก็ได้ยินสิ่งที่เธอเพิ่งพูดไปเมื่อครู่

“พูดต่อสิ !” เสียงผู้ชายตะโกนดังมาจากข้างหลัง

เล่อจยาตัวสั่น หันกลับมา และเห็นเกาไห่กำลังเดินตรงมาทางพวกเขา

เธอดึงริมฝีปากของเธอยิ้มและพูดว่า “สวัสดีค่ะ ประธานเกา”

เกาไห่ขมวดคิ้วและหรี่ตาลง เห็นได้ชัดว่าแปลกใจเล็กน้อย “คุณเล่อ คุณ…….ไม่ใช่ว่า…….คุณมาทำอะไรที่นี่ ?”

เล่อจยาก้าวไปข้างหน้าสองสามก้าม ยิ้มและพูดว่า “ฉัน……….ตอนนี้ฉันทำงานอยู่ที่เกากรุ๊ปแผนก

ออกแบบ ไม่เจอกันนานเลย ไม่คิดเลยว่า ที่แท้คุณก็คือประธานของเกากรุ๊ป”

เธอฉีกยิ้มอีกครั้ง เกาไห่ตกตะลึงไปชั่วขณะ ทันใดนั้นก็คิดได้ว่า ตอนนี้เธอมีลูกแล้ว “อืม ”“ขึ้นรถก่อนเถอะ”

เล่อจยากำลังจะไปนั่งข้างหน้า แต่เกาไห่ก็พูดขึ้นว่า “มานั่งข้างหลัง และพูดเรื่องแนวคิดเมื่อครู่ใหม่อีกครั้งหนึ่ง”

เล่อจยากัดริมฝีปากล่าง แอบถอนหายใจ และรู้สึกประหม่าเล็กน้อย

หลังจากที่ทั้งสองนั่งลงแล้ว เกาไห่ก็หลับตาลง “เอาความคิดของคุณเมื่อครู่ พูดต่อไป”

มือของเล่อจยาประสานกัน “พวกเราใช้ระบบอนุรักษ์น้ำเป็นสื่อกลางในการแบ่งพื้นที่ในร่มและกลางแจ้ง ด้วยวิธีนี้ ทั้งในร่มและกลางแจ้งก็สามารถเพลิดเพลินกับบรรยากาศได้ และยังช่วยให้น้ำกระจัดกระจายไปทั่วทุกมุมของบ้าน สำหรับสถาปัตยกรรม เราสามารถใช้กระเบื้องดินเผาสีแดงหลายแบบ มีส่วนโค้งเว้า หลังคาลาดสีแดง ผนังด้านนอกทำจากหิน หน้าต่างเกือกม้า ผนังโค้ง และระเบียง และอื่นๆ ใช้ประโยชน์จากองค์ประกอบเหล่านี้”

เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ เล่อจยาก็คิดเกี่ยวกับมัน เธอหยิบเอกสารออกมาจากกระเป๋า “ประธานเกา นี่คือ……ภาพออกแบบที่ฉันทำเอง คุณดูหน่อยว่าจะสามารถใช้ได้ไหม ”

เกาไห่ลืมตาขึ้น หยิบเอกสารจากมือเล่อจยา และมองดู จากนั้น เขาก็นั่งตัวตรง สีหน้าประหลาดใจ ดวงตาของเขาจับจ้องไปที่เธอ และจ้องมองเธออยู่ครู่หนึ่ง

“ถ้าหากผมจำไม่ผิด คุณน่าจะได้รับข้อความจากผู้จัดการเมื่อเช้านี้ และรับเอกสารนี้มา เมื่อพิจารณาจากความซับซ้อนของภาพวาดของการออกแบบนี้ คุณต้องมีการเตรียมการอย่างน้อยครึ่งเดือน คุณจะอธิบายว่าอย่างไร ?”

“เส่าเฉิน พ่อเป็นอย่างไรบ้าง ?” น้ำเสียงของเธอสั่นเคลือและแหบแห้งเล็กน้อย

“ยังไม่ฟื้น”เขาพูดออกมาแค่สามคำ โดยไม่มีอามรณ์ใดๆ

ฝนที่เย็นยะเยือกกระทบเข้าที่ใบหน้าของเธอ เย่หลินหยุดชั่วคราวก่อนจะเอ่ยปากพูดว่า “ฉันไม่ได้ผลักเขา เส่าเฉิน ”ด้วยคำพูดเหล่านี้เธอเกือบจะหมดเรี่ยวแรง

ชายคนนั้นไม่ได้มองมาที่เธอ แต่มองไกลออกไป จากนั้นไม่นาน เสียงที่คุ้นเคนก็ดังขึ้นที่ข้างหู “เรื่องนี้ ในตอนที่เจอเกาไห่ ผมก็รู้แล้ว เย่หลิน เมื่อตอนคุณรู้ แล้วผมรู้ ในตอนนั้นผมกล้วมากแค่ไหน ? ผมกังวลว่าคุณจะได้รับบาดเจ็บ ผมกลัวว่าคุณจะทิ้งผมไป ผมเป็นกังวลจนแทบบ้า”

เย่หลินขมวดคิ้ว ไม่ตอบอะไร แต่ประหลาดใจมาก เดิมที หนิงเส่าเฉินรู้มานานแล้ว

เมื่อคิดถึงช่วงเวลานั้น ความเจ็บปวดที่หลังคอของเธอก็เกิดขึ้น ภายหลัง หนิงเส่าเฉินบอกกับเธอว่าเกิดจากน้ำตาลในเลือดต่ำ ในตอนนั้นเธอรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ เธอนี่ช่างไร้เดียงสาจริงๆ

“พ่อผมบอกกับผมว่า หลายปีมานี้ เขาเอาแต่โทษตัวเอง เขารู้สึกว่าในตอนนั้น ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้ฆ่าพ่อของคุณ แต่พ่อของคุณก็ตายเพราะเขา ดังนั้น พอรู้ว่าพวกเราอยู่ด้วยกัน เขาก็เอาแต่โทษตัวเองทุกวัน เขาก็เป็นกังวล ว่าถ้าคุณรู้เข้า คุณจะรับไม่ได้”

เย่หลินก้มศีรษะลงและยังคงไม่พูดอะไร เธอเพิ่งตะหนักได้ว่า หนิงเส่าเฉินรู้อยู่แล้วเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงของพ่อหลินในหนึ่งปีที่ผ่านมา

“ผมรู้ว่าเรื่องแบบนี้ จะทำให้คุณรับไม่ได้ไปซักพัก แต่ เย่หลิน ยังไงเขาก็คือพ่อของผม เป็นคุณปู่ของเสี่ยวซีและเสี่ยวโม่………”

ดังนั้น คุณก็คิดว่าฉันเป็นคนผลักเขาลงไป ใช่ไหม ? ทันใดนั้นเย่หลินก็ขัดคำพูดของหนิงเส่าเฉิน และกำมือทั้งสองข้างแน่น

หนิงเส่าเฉินไม่พูดอะไร เพียงเอื้อมมือไปจับมือของเธอ แต่ถูกเย่หลินสะบัดออก “คุณบอกมา คุณก็ไม่เชื่อฉันใช่ไหม ? ใช่ไหม ?”

หนิงเส่าเฉินยืนอยู่ที่เดิม ภายใต้แสงที่สลัว เย่หลินไม่เห็นแววตาของเขาไม่ชัด

เย่หลิน คุณยังไม่เข้าใจความหมายของคำถามนี้เหรอ ? ตอนนี้ไม่ใช่ว่าผมไม่เชื่อคุณ ? แต่เป็นคนอื่นจะเชื่อหรือไม่ ?

เย่หลินส่ายศีรษะ “ไม่ ฉันไม่สนใจมุมมองของคนอื่น หนิงเส่าเฉิน ฉันสนใจก็แค่คุณ มุมมองของคุณหนิงเส่าเฉิน”

คนหนึ่งยากที่จะเติมเต็มจิตใจคนร้อยคน เหมือนกับเรื่องที่คนหนึ่งร้อยเห็น ก็มักจะมีหนึ่งร้อยความคิด เธอไม่ได้ขอให้ทุกคนเข้าใจเธอ และเชื่อใจเธอ แต่ เธอกลับใส่ใจความคิดของหนิงเส่าเฉิน

อย่างไรก็ตาม รอบๆมีเพียงแต่เสียงฝน เสียงลม เย่หลินรออยู่นานมาก ก็ไม่ได้รับคำตอบของหนิงเส่าเฉิน

ใจของเธอ เมื่อผ่านช่วงเวลานี้ไป จากที่ร้อนระอุ มันก็ค่อยค่อยเย็นลง

หนิงเส่าเฉิน นี่เป็นตุดเริ่มต้นของคุณใช่ไหม ? คุณก็ไม่เชื่อเธอ ใช่ไหม ?

คุณจะเชื่อได้อย่างไร แม้แต่ผู้หญิงที่ยอมสละชีวิตเพื่อคุณ เธอจะทำร้ายพ่อของคุณได้อย่างไร ? คุณเชื่อได้อย่างไร ?

ในขณะนี้ คุณอาเดินเข้ามา และมาดึงแขนของเย่หลิน “ในเมื่อเขาไม่เชื่อคุณ คุณจะยังอยู่ที่นี่ทำไม ? ไปสิ……….”

เย่หลินถูกคุณอาลากออกไป เธอเกือบจะถูกลากไป เธอเดินไปหันกลับไปมองไป มองไปที่หนิงเส่าเฉิน เธอเดินช้ามากๆ

เธอคิดว่า ตราบใดที่เขาพูดออกมาว่า เขาเชื่อเธอ ให้เธอกลับไปอยู่ด้วยกัน แม้ว่าเธอจะเผชิญหน้ากับความยากลำบากขนาดไหน เธอก็จะไม่มีวันถอยกลับ

แต่ ไม่มีเลย เมื่อระยะห่างของพวกเขากว่างขึ้น สีหน้าของเย่หลินก็แทบแยกไม่ออกว่าเป็นฝนหรือน้ำตา

หลุมในใจของเธอก็เห็นร่างของเขาเลือนราง แล้วค่อยค่อยกว้างขึ้นเรื่อยๆ

หนิงเส่าเฉิน คุณเคยบอกว่า คุณจะเชื่อฉันตลอด ไม่ใช่เหรอ ?

ชายคนนั้นยืนตัวตรงในคืนที่ฝนตก ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าใด นานจนกระทั่งร่างรียวหายลับออกไปจากสายตาของเขา เขาค่อยค่อยเงยหน้าขึ้น หลับตาลง ที่มุมตานั้น แยกไม่ออกเลยว่าเป็นน้ำฝนหรือน้ำตา

สิ่งที่เย่หลินประหลาดใจก็คือ คุณอาไม่ได้พาเธอไปที่เกาะเหลียนอู้ แต่พาเธอมายังอีกประเทศหนึ่ง ประเทศ B

“คุณอา ทำไมคุณถึงไม่พาฉันกลับไปที่เกาะเหลียนอู้ ? ”เมื่อมองดูสถานทที่ที่ไม่คุ้นนี้ เย่หลินก็พูดออกมาเป็นประโยคแรก

คุณอาไม่สนใจเธอ เพียงแค่เดินไปที่โต๊ะ และเอาโทรศัพท์มือถือของเธอ บัตรประจำตัว ทั้งหมดเก็บใว้ในกระเป๋าเธอ

จากนั้นเขาก็หยิบโทรศัพท์มือถือเครื่องใหม่ออกมา ส่งให้เย่หลิน

“แล้ว นี่เป็นโทรศัพท์เครื่องใหม่ของคุณ โทรศัพท์มือถือเครื่องก่อน เอาไว้ที่ผมนี่ ส่วนคุณ อยู่ที่นี่ใช้ชีวิตให้ดี ในเมื่อเขาไม่เชื่อคุณ ผู้ชายแบบนั้น คุณไม่จำเป็นต้องไปคิดถึงอีกแล้ว”

เย่หลินขมวดคิ้ว “คุณอา เรื่องมันไม่ได้ง่ายอย่างที่คุณคิด คุณลืมไปแล้วเหรอ ฉันยังมีลูกอีกสองคน ถึงแม้ว่าฉันจะไม่ต้องการเขา แต่ลูกล่ะ ? ฉัน………..”

ดวงตาของเย่หลินเป็นสีแดงเมื่อคิดถึงเย่เสี่ยวโม่กับหนิงเสี่ยวซี

คุณอาดึงเก้าอี้ไม่ไผ่ข้างหน้าเธอแล้วนั่งลง “นั่นเป็นลูกของพวกเขาตระกูลหนิง คุณคิดว่าหนิงเส่าเฉินจะปฎิบัติต่อพวกเขาแย่ๆเหรอ คุณวางใจเถอะ”

เย่หลินก้มศีรษะลงหายไปในทันที

“คุณรู้ไหม ? คุณถูกจับมาสามวัน ตระกูลหนิงไม่มีใครมาดูคุณเลย ถ้าไม่ใช่เพราะเด็กผู้ชายแซ่ชู

โทรศัพท์หาพี่ชายคุณ และพี่คุณก็บอกกับฉัน คุณนี่นะ กลัวว่าจะรอรับโทษ” เมื่อคุณอาพูดถึงตรงนี้ เขาก็ทุบโต๊ะด้วยความโกรธ

“มีคนบอกว่า เมื่อนานวันจะเห็นใจคน คุณกับเขาอยู่กันมากี่ปีแล้ว ? เด็กผู้ชายแซ่ชูคนนั้นเชื่อคุณ แต่ผู้ชายของคุณ กลับไม่เชื่อคุณ คุณนี่นะ เหมือนกับแม่ของคุณเลย กลายเป็นคนตาบอด………”

เย่หลินไม่รู้ว่าคุณอายังพูดอะไรกับเธออีก แต่หัวใจของเธอกระตุกซ้ำแล้วซ้ำเล่า

ใช่แล้ว ชูหยูจี้เชื่อเธอ แต่เขากลับไม่เชื่อ

หนิงเส่าเฉิน ถ้าหากวันหนึ่ง คุณรู้ว่าคุณทำผิดต่อฉัน คุณจะเสียใจกับการตัดสินใจไหม ?

แล้วเธอก็ถามกับตัวเองอีกครั้ง

เย่หลิน ถ้าวันหนึ่ง พวกเขารู้ว่าทำผิดต่อคุณแล้ว ขอร้องให้คุณให้อภัย คุณจะกลับไปกับพวกเขาไหม ?

หนึ่งเดือนต่อมา

พ่อหนิงยังอยู่ในอาการโคม่า แม่หนิงร้องไห้ทั้งวันทั้งคืน หนิงเชี่ยนปล่อยพวกเขาไม่ได้ ก็เลยลา และอยู่กับพวกเขาเป็นเวลานาน

หนิงเส่าเฉินเนื่องจากความต้องการของบริษัทในประเทศ เขาจึงต้องพาหนิงเสี่ยวซีและเย่เสี่ยวโม่กลับประเทศ

ทุกอย่าง ดูเหมือนจะกลับเข้าสู่เส้นทางปกติของชีวิต

แต่ในใจของทุกคน กลับไปเป็นแบบเดิมไม่ได้อีกแล้ว

หนิงเสี่ยวซีที่เดิมทีพูดน้อยอยู่แล้ว หลังจากเรื่องนี้ ก็ยิ่งพูดน้อยเข้าไปอีก

เย่เสี่ยวโม่เปลี่ยนไปมากจากการทะเลาะครั้งก่อน ตอนนี้เขารู้ข้อเท็จจริงแล้ว จึงเปลี่ยนไปมาก เขาไม่ยึดติดพี่ชวี่ และก็ไม่เรียกหนิงเส่าเฉิน

ไม่มีใครพูดถึงเย่หลิน ทุกคนล้วนยึดมั่น

“เธอเป็นคนยังไง คุณรู้ดีกว่าผมมาก หนิงเส่าเฉิน คุณจะปล่อยให้เธออยู่ข้างนอกอย่างเดียวดาย และจะไม่ยุ่งไม่ถามเลยเหรอ ? ”เมื่อเกาไห่เห็นหนิงเส่าเฉินกลับมา และไม่เห็นเขาพูดถึงเย่หลินเลย ในที่สุดก็อดไม่ได้ คว้าคอเสื้อของเขามา และถามอย่างเย็นชา

" พ่อครับ แม่โดนตำรวจควบคุมตัวไปแล้ว พ่อ พ่อจะมาถึงเมื่อไหร่? " ปลายสายเป็นเสียงของหนิงเสี่ยวซีที่ถามหนิงเส่าเฉินด้วยความกังวล

หนิงเส่าเฉินเงียบ สีหน้าเขาเศร้าหมองมาก เขาเคยคิดถึงสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้นหลังจากที่เย่หลินรู้ความจริงไว้เยอะแยะมากมาย แต่กลับไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น

เสียงดังของฝนดังขึ้นปะปนกับเสียงลม แต่ก็ไม่สามารถกลบเสียงร้องไห้ที่บีบหัวใจที่ดังขึ้นจากปลายสายได้

" แม่คะ ขอโทษจริงๆค่ะ หนูควรจะออกไปหยุดทุกอย่างตั้งแต่ตอนที่เห็นเธอและพ่อกำลังคุยกันแล้ว เป็นความผิดของหนูเอง ความผิดของหนูเอง "

หน้าห้องผ่าผัด เสี่ยวเชี่ยนร้องไห้และกอดแม่หนิงไว้

แม่หนิงเปลี่ยนไปราวกับคนละคน ไม่ร้องไห้และไม่โวยวาย เธอนั่งนิ่งอยู่กับพื้นโดยไม่พูดอะไรสักคำ

ในตอนที่เหอเฟยได้รับโทรศัพท์นั้น บังเอิญว่าเธอมาทำงานแถวนี้พอดี เธอจึงรีบเดินทางมาทันที เธอเดินเข้าไปพยุงตัวพวกเขาขึ้น " พื้นมันเย็น พี่ลุกมานั่งบนเก้าอี้ดีกว่า "

เหอหลิงเหมือนคนที่สูญเสียสติ ในตอนที่เหอเฟยพยุงตัวเธอขึ้นนั้นเธอก็ลุกขึ้นเดินตามเหอเฟยไปแต่โดยดี แม้กระทั่งหนิงเชี่ยนล้มลงกับพื้น เธอก็ไม่แม้แต่จะชายตามอง

" พี่….." เมื่อมองไปตามเสียงเรียกนั้น ก็เห็นชูหยูจี้กำลังพยุงผู้หญิงวัยกลางคนคนหนึ่งไว้

เหอเฟยหันมองเธอแวบหนึ่ง จากนั้นก็พยักหน้า

" พี่ มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่? " ทำไมเย่หลินถึงได้ผลักคุณอาตกหน้าผา? เธอไม่ใช่คนแบบนั้นนะ! "

หนิงเชี่ยนลุกขึ้นจากพื้น เธอมองชูหยูจี้ด้วยสีหน้าเย็นชา " ฉันเห็นกับตาว่าเธอผลักพ่อตกลงไป "

" เฮ้ย ทำไมถึงใจร้ายใจดำขนาดนี้นะ นั่นเป็นพ่อของเส่าเฉินเชียวนะ? เธอแค้นเรื่องอะไรกัน? ทำไมถึงได้ทำรุนแรงเช่นนี้? "

" แม่คะ เย่หลินไม่ได้เป็นคนแบบที่แม่พูด "

" เธอ…..เธอหยุดพูดเดี๋ยวนี้เลย ถ้ามันไม่ได้เป็นคนแบบนั้นแล้วทำไมตอนนี้อาของเธอถึงได้มีสภาพแบบนี้? พูดออกมาสิ พูดสิ " แม่ชูพูดพร้อมกับตีไปที่แขนของชูหยูจี้

ชูหยูจี้รู้สึกหดหู่ใจมาก เย่หลินเป็นคนแบบไหน เขารู้ดี เขาไม่เชื่อว่าเธอจะทำเรื่องแบบนี้ได้ลงคอ

" แม่คะ…..เรื่องทั้งหมดยังไม่ได้รู้แน่ชัด แม่อย่าพึ่งด่วนสรุปสิ " ทันทีที่พูดจบ ก็เห็นหนิงเส่าเฉินกำลังเดินมาทางนี้พอดี

เขามองไปที่หนิงเส่าเฉิน

" พี่ชาย เย่……"

" ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว ฉันรู้หมดแล้ว "หนิงเส่าเฉินพูดแทรกขึ้น สายตาของเขาจ้องมองไปที่ห้องผ่าตัดฉุกเฉิน

หลังจากนั้น ก็ไม่มีใครพูดอะไรอีกเลย

จนกระทั่งประตูห้องผ่าตัดเปิดออก

" ผู้ป่วยได้รับการช่วยชีวิตกลับมาได้ แต่ขอให้คนในครอบครัวเตรียมใจไว้ เพราะโอกาสที่ผู้ป่วยจะฟื้นนั้นน้อยมาก "

มือทั้งสองข้างของเย่หลินถูกใส่กุญแจมือที่เย็นเฉียบไว้ โดยเธอเอามือวางอยู่บนโต๊ะ เธอเอาแต่กลืนน้ำลายอยู่ตลอดเวลา ฝ่ามือของเธอเต็มไปด้วยเหงื่อ เปียกชุ่มจนแห้ง แห้งแล้วก็กลับมาเปียกชุ่มอีกครั้ง

เธอได้แต่ภาวนาในใจ ขอให้มีปาฏิหาริย์เกิดขึ้น

เธอเข้ามาที่นี่น่าจะเป็นเวลาสามวันแล้ว เธอได้แต่มองดูท้องฟ้านอกหน้าต่างบานเล็กๆ มองตั้งแต่ฟ้ามืดจนฟ้าสว่าง และฟ้าสว่างจนฟ้ามืดลงอีกครั้ง……

ไม่มีใครถามไถ่เธอสักคำ และไม่มีใครสนใจเธอด้วย

จนกระทั่งใบหน้าของคุณอาปรากฏขึ้นตรงหน้า

" อาคะ อามาได้ยังไง? "

คุณอาไม่ได้ตอบอะไร เขาส่งสายตาให้คนข้างๆ จากนั้นก็มีคนปลดกุญแจมือออกให้เย่หลิน

หลังจากนั้นก็รีบดึงตัวเธอมุ่งตรงออกไปข้างนอก

แต่เย่หลินกลับจับประตูบานนั้นไว้ และเอาแต่ส่ายหน้า

คุณอาหันมาขมวดคิ้วใส่เธอ " ถ้าเธอไม่ออกไปตอนนี้ เธอก็จะออกไปไม่ได้อีก "

เย่หลินรู้สึกอึดอัดใจมาก ผ่านไปสักพักเธอถึงได้รู้ตัว ที่แท้ คุณอาไม่ได้มารับตัวเธอออกไปอย่างเปิดเผย

นั่นมันหมายความว่ายังไงกันล่ะ? มันหมายความว่าเธอมีความผิดไง

" เขาเป็นยังไงบ้าง? " เธอถามขึ้นอีกครั้ง

" ได้ยินมาว่ายังไม่ตาย แต่อยู่ในอาการโคม่า "เย่หลินกลืนน้ำลายลงคอ " งั้น……งั้นเส่าเฉิน……" เขาจะเสียใจมากขนาดไหน? แล้วเขาจะจัดการกับเรื่องนี้ยังไงกันนะ?

" ยังจะไปเป็นห่วงคนอื่นอีก เย่หลิน เธอเหมือนแม่เธอไม่ผิด เป็นคนไม่มีความคิดอะไรเลยใช่ไหม? ในเวลานี้เป็นห่วงตัวเองก่อนเถอะ! " ในความทรงจำของเย่หลิน คุณอาเป็นคนที่อ่อนโยน เขาแสดงความโกรธเกรี้ยวออกมาแบบนี้ เธอรู้ว่ามันต้องบางอย่างที่ทำให้เขาโกรธ

" อาคะ เส่าเฉินเขา……รู้ไหมว่าหนูอยู่ที่นี่? "

ชายหนุ่มหันหลังให้เธออยู่ เมื่อได้ยินเธอถามแบบนั้นก็รีบหันมามองเย่หลินทันที มือที่อยู่ข้างลำตัวเขากำหมัดไว้แน่น เขาหลับตาลง " ถ้าเธอยังไม่ยอมออกจากที่นี่ คนที่จะส่งเธอเข้าคุกก็คือเขา! "

เย่หลินยิ้ม เธอเงยหน้าขึ้นสบตาคุณอาแล้วส่ายหน้า " อา โกหก เป็นไปไม่ได้ เส่าเฉินเขาต้องรู้สิว่าหนูไม่มีวันทำเรื่องแบบนั้น "

ตอนนั้น ตอนที่เกาเหวินวางแผนเล่นงานเธอ เขายังเชื่อเธอหมดใจอย่างไม่มีข้อแม้ ผ่านความเป็นความตายด้วยกันมาเยอะแยะมากมายนับไม่ถ้วน เธอไม่เชื่อว่าหนิงเส่าเฉินจะไม่เชื่อมั่นในตัวเธอ

เธอหัวเราะออกมา จากนั้นก็สะบัดมือของคุณอาที่จับแขนเธอไว้ออก เธอหันหลังและเดินกลับไปนั่งในตำแหน่งเดิม " คุณอา อาไปเถอะ ฉันจะรอเส่าเฉินมารับฉัน "

คุณอายืนนิ่งอยู่ที่เดิม มือทั้งสองข้างของเขากำหมัดแน่น เขามองดูเธอเงียบๆ ในที่สุด เขาก็เดินเข้าไปหาเธอและนั่งลงตรงหน้าเธอ " หนิงเชี่ยนเห็นกับตาว่าหลานเป็นคนผลักพ่อของเธอตกหน้าผา และก่อนหน้านี้ เธอและแม่หนิงก็ได้ยินเรื่องที่หลานและพ่อหนิงคุยกัน เย่หลิน ไปกับอาเถอะ แม้ว่าหนิงเส่าเฉินจะเชื่อเธอ ไม่ว่ายังไงญาติพี่น้องของตระกูลหนิงก็ต้องไม่ยอมให้เธอก้าวขาเข้าไปในบ้านตระกูลหนิงแม้แต่ก้าวเดียวแน่นอน "

รอยยิ้มบนใบหน้าเธอค่อยๆจางหายไป เย่หลินก้มหน้าก้มตา " แต่ว่า หนูไม่ได้ผลักเขานะคะ ถ้าหนูหนีไปแบบนี้ อาคะ เขาต้องคิดว่าหนูผลักพ่อของเขาให้ตกหน้าผาจริงๆแน่ หนูไม่ไป ไม่ไปเด็ดขาด "

" หนูไม่สนใจว่าคนอื่นจะมองหนูยังไง แต่ หนูอยากรู้ว่าหนิงเส่าเฉินคิดยังไง "

" ปั๊ง "

ประตูห้องขังถูกเปิดออกอีกครั้ง เย่หลินเงยหน้าขึ้นมองก็พบกับดวงตาที่เย็นชาของคนคนหนึ่ง

" เส่าเฉิน……" เย่หลินวิ่งเข้าไปกอดเขาด้วยความตื่นเต้น

เพียงแต่ว่าสิ่งที่ไม่คาดคิดก็คือเธอไม่รับการสวมกอดที่อบอุ่นเหมือนเมื่อก่อน เขาเป็นเหมือนกำแผงที่เย็นเฉียบ ไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองใดๆต่อเย่หลินเลย

ผ่านไปสักพัก ชายคนนั้นก็ลากเธอเดินออกไป

เย่หลินเดินตามเขาไม่ทัน ในระหว่างทางเธอเกือบจะล้มอยู่หลายครั้ง

พอมาถึงด้านนอก ตอนนี้ฝนกำลังตกอยู่ ลมกระโชกแรงพัดผ่านมา เย่หลินหนาวสั่น

ในวินาทีถัดมา เธอรู้สึกได้ถึงแรงที่ดึงแขนของเธออยู่นั้นมันหายไปอย่างกะทันหัน เธอจึงก้มมอง ทันใดนั้นหัวใจเธอก็รู้สึกได้ถึงความว่างเปล่า

ด้านนอกประตู แม่หนิงมองหนิงเชี่ยนและเอามือปิดปากตัวเอง เธอตัวสั่นไปทั้งตัว

เธอและพ่อหนิงนั้นหมั้นหมายกันตั้งแต่เด็ก ต่อมา ก็เข้าสู่ช่วงความรักในวันใสด้วยกัน เรียนรู้และเติบโตมาด้วยกัน ทั้งคู่มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันมาโดยตลอด

พ่อหนิงทะนุถนอมเธออย่างมาก

จนกระทั่งเกิดเรื่องของหนิงเสี่ยวซีขึ้น จู่ๆพ่อหนิงก็พาเธอไปต่างประเทศอย่างกะทันหัน

แม้ว่าเธอจะไม่เข้าใจจุดประสงค์ในการทำเช่นนี้ของพ่อหนิง แต่เธอก็เชื่อใจสามีตัวเอง

แต่ วินาทีนี้เธอพึ่งรู้ว่าผู้ชายที่เธอเชื่อใจมากที่สุดกลับมีความลับอันใหญ่หลวงเช่นนี้ซ่อนอยู่ภายในใจ

เธออยากจะผลักประตูเข้าไปในห้อง แต่หนิงเชี่ยนก็ดึงมือเธอไว้พร้อมกับส่ายหน้าให้เธอ

" ต่อมา ฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเรื่องนี้ไปเข้าหูพ่อของเธอได้ยังไง มีคนบอกเขาว่าฉันย่ำยีแม่ของหนู พ่อของหนูจึงรีบกลับมาทันที เขาเอาปืนจ่อหัวฉัน ฉันอธิบายกับเขาว่าฉันโดนคนใส่ร้าย แต่เธอกลับปฏิเสธ เธอบอกว่าฉันยั่วยวนและ จากนั้นก็บังคับฝืนใจเธอ "

เย่หลินรู้สึกเพียงแค่ปวดหัวจนแทบระเบิด เธอหายใจเข้าออกเฮือกใหญ่

" ในวันนั้นตอนที่พ่อของหนูเอาปืนจ่อหัวฉันอยู่ จู่ๆไฟในห้องก็ดับจนมืดสนิท ฉันได้ยินเพียงเสียงปืนดังลั่น " เมื่อพูดถึงตรงนี้พ่อหนิงก็ถึงกับมือสั่น " หลังจากนั้น เขาก็ไม่หายใจแล้ว ส่วนปืนนั้นก็มาอยู่ในมือฉัน หนูน้อย ฉันเองก็ไม่รู้ว่าปัญหามันเกิดขึ้นตรงไหน ฉันเองก็ยากที่จะอธิบายให้ทุกคนเข้าใจ และทุกคนต่างก็ไม่เชื่อฉันเลยแม้แต่คนเดียว "

" ไม่ มันไม่ใช่เรื่องจริง " เย่หลินส่ายหน้า เธอเดินถอยหลังจนชิดกำแพง

เธอควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้อีกต่อไป

" เย่หลิน ลูกต้องเชื่อพ่อนะ พ่อไม่ได้ทำอะไรแม่หนูจริงๆ และก็ไม่มีความจำเป็นต้องฆ่าพ่อของหนูด้วย และแน่นอนว่าพ่อรู้ว่าเรื่องนี้มันเกิดขึ้นเพราะพ่อ แต่…….ลูกต้องเชื่อพ่อนะ พ่อ พ่อไม่ได้……"

พ่อหนิงพูดพร้อมกับเดินเข้ามาจับไหล่เย่หลินไว้ " ลูก ลูกต้องเชื่อพ่อนะ ตั้งแต่รู้เรื่องว่าหนูและเส่าเฉินเป็นแฟนกัน พ่อก็อยู่กับความทุกข์ทรมานมาตลอด พ่อเอาแต่คิดว่าควรบอกความจริงกับลูกดีไหม พ่อ……"

" พ่อต้องการจะบอกว่า พ่อเการู้เรื่องนี้ก็เลยเอาเรื่องนี้มาบีบบังคับพ่อใช่ไหมคะ? แสดงว่าครั้งที่แล้วที่พ่อไม่เห็นด้วยที่หนูบีบบังคับให้เส่าเฉินและเกาเหวินหย่าร้างกันก็เพราะเรื่องนี้ใช่ไหมคะ? "

พ่อหนิงพยักหน้า

เย่หลินขมวดคิ้ว เธอไม่ได้พูดอะไร เธอถอนหายใจเฮือกใหญ่ จากนั้นก็ใช้สายตาที่เย็นชามองหน้าพ่อหนิง " หนูเองก็ไม่รู้ว่าควรจะเชื่อใครดี? " พอเธอพูดจบเธอก็สะบัดมือคู่นั้นของพ่อหนิงออก เธอหันหลังไปเปิดประตู ทันทีที่เห็นแม่หนิงและหนิงเชี่ยนยืนอยู่นอกประตูเธอชะงักไปชั่วครู่ จากนั้นก็รีบวิ่งไปที่สวนหลังบ้าน

พ่อหนิงรีบวิ่งตามเธอไป

แม่หนิงพยายามจะลุกขึ้น แต่จู่ๆก็มึนหัวและเป็นลมไป

สวนหลังบ้านของคฤหาสน์ตระกูลหนิงตั้งอยู่ในตำแหน่งที่เป็นเนินเขา ตอนที่พ่อหนิงตามไปถึง เย่หลินก็ยืนอยู่ที่ก้อนหินก้อนใหญ่บริเวณหน้าผาแล้ว

ทั้งสองอยู่ในตำแหน่งที่ห่างกันโดยเว้นระยะห่างกันไกลพอสมควร คนหนึ่งยืนอยู่ส่วนอีกคนนั่งอยู่

ทั้งคู่ต่างก็ไม่มีใครพูดอะไร

เวลาล่วงเลยไปอย่างยาวนาน

พ่อหนิงเปล่งเสียงขึ้น " ลูกมาตรงนี้ก่อนเร็ว ตรงนั้นมันอันตราย "

เมื่อเย่หลินได้ยินแบบนั้น เธอก็เบี่ยงเบนสายตาไปทางอื่น เธอเม้มปากโดยไม่ได้พูดอะไร

อันที่จริงในช่วงเวลานี้ เธอคิดเรื่องต่างๆมากมายในหัว

นี่คือพ่อของหนิงเส่าเฉิน และยังเป็นคุณปู่ของหนิงเสี่ยวซีและเย่เสี่ยวโม่อีกด้วย

แม้ว่าเธอจะไม่ได้เข้าใจอย่างโจ่งแจ้งว่าตอนนั้นมันเกิดเรื่องอะไรขึ้น แต่ส่วนลึกในใจของเธอ เธอก็เชื่อใจชายชราที่อยู่ตรงหน้าคนนี้

ถ้าเขาต้องการฆ่าพ่อของเธอจริงๆ เขาคงไม่ยอมให้เธอคลอดหนิงเสี่ยวซี และไม่ยอมให้เธอใช้ชีวิตร่วมกับหนิงเส่าเฉินแน่ ทั้งๆที่เขาก็รู้ชาติกำเนิดของเธออย่างดี

" ลูก พ่อรู้นะว่าหนูยากที่จะทำใจยอมรับในตอนนี้ พ่อเองก็คิดพิจารณาเรื่องนี้อยู่นานมากว่าจะบอกหนูดีหรือไม่ แต่ พ่อขอพูดกับหนูหนึ่งอย่างนะ ไม่ว่าหนูจะเกลียดพ่อมากขนาดไหน แต่ขออย่าให้เรื่องนี้ส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ของหนูและเส่าเฉินเลยนะ พ่อดูออกว่าว่าเขารักหนูด้วยใจจริง ก่อนหน้านี้ที่พ่อไม่กล้าบอกหนูก็เพราะพ่อกลัวและกังวล "

" พ่อเห็นลูกทั้งสองรักกันมาก พ่อเองก็กลัวว่าจะทำให้ลูกทั้งสองคนต้องแยกจากกันเพราะเรื่องนี้ ถ้าเป็นแบบนั้นจริงๆ ในชีวิตนี้พ่อคงจะให้อภัยตัวเองไม่ได้ แต่ลูกต้องเชื่อพ่อนะ เรื่องตอนนั้นพ่อไม่ได้ทำจริงๆ พ่อของหนูเป็นคนที่กล้าหาญมาก พ่อเองก็รู้เรื่องราวในชีวิตที่ผ่านมาของพ่อและแม่ของหนู พ่อไม่มีทางทำเรื่องเลวๆพวกนั้นได้ลงแน่นอน "

" อีกทั้งในตอนนั้นแม่ของหนูตั้งครรภ์ได้สองเดือนแล้ว ถึงจะเลวแค่ไหนพ่อก็คงไม่ทำเรื่องต่ำช้าแบบนั้นอย่างแน่นอน……"

เย่หลินตกใจมาก? ตั้งครรภ์? เธอยกมือเช็ดน้ำตา " พ่อหมายความว่า ตอนนั้นหนูยังไม่เกิดงั้นหรอ? "

พ่อหนิงพยักหน้า " ใช่ ยัง "

" แล้วพ่อของหนูเสียชีวิตเมื่อไหร่? "

พ่อหนิงครุ่นคิดอยู่สักพัก " น่าจะเป็นตอนที่แม่ของหนูท้องได้หกถึงเจ็ดเดือน ตอนนั้น พ่อของหนูเอาแต่คิดว่าเด็กที่อยู่ในท้องแม่ของหนูนั้นเป็นลูกของฉัน ก็เลยบุกมาหาฉันด้วยอารมณ์โกรธ แต่ไม่คิดเลยว่า……"

เย่หลินขมวดคิ้วแน่น ทันใดนั้น เธอก็จำรูปถ่ายในโทรศัพท์รูปนั้นได้ หากผู้ชายในรูปนั้นเป็นพ่อของเธอจริง หากนับตามระยะเวลาตอนนั้นเธอเองก็อายุสองขวบแล้ว

ถ้าตอนนั้นพ่อของเธอตายแล้วจริงๆแล้วผู้ชายคนนั้นเป็นใคร? หรือว่าจะเป็นพ่อเกาจริงๆ?

แม่ของเธอและพ่อเกามีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งต่อกันงั้นหรอ? ก็เลยจัดฉากให้พ่อหนิงเป็นคนฆ่าพ่อแท้ๆของเธอ

เธอถึงกับตกใจกับความคิดเช่นนี้ของตัวเอง

ในตอนนั้นเองเธอก็ลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็ว แต่เมื่อกี้ฝนพึ่งตกพื้นจึงลื่น เธอออกแรงในการลุกขึ้นยืนมากเกินไปเลยทำให้เธอลื่นจนตัวเอนไปด้านหลัง เธอมองไปก็เห็นว่าเธอกำลังจะตกหน้าผาแล้ว

เมื่อเห็นแบบนั้น พ่อหนิงก็รีบเข้าไปดึงตัวเย่หลินให้ขึ้นมา

เย่หลินรู้สึกเพียงว่าตัวเองลอยอยู่ในอากาศ จากนั้นก็กระแทกลงบนพื้นหญ้า เธอยังไม่ทันได้ดึงสติกลับมา เธอก็เห็นร่างของพ่อหนิงตกหน้าผาไปแล้ว

เธอเบิกตากว้าง เธอสติเตลิดเปิดเปิง อึ้งอยู่กับที่

" พ่อ……." ทันใดนั้น ลมกระโชกพัดผ่านเธออย่างแรง เป็นเสียงของหนิงเชี่ยน

ทันทีที่เย่หลินดึงสติกลับมาได้ เธอก็รีบคลานไปที่ริมหน้าผาก และตะโกนเรียกตามหนิงเชี่ยน " พ่อ……พ่อ……"

หน้าผาที่นี่ไม่ได้ลึกมาก แต่ก็สูงไม่ต่ำกว่าสิบเมตร……ถ้าตกลงไปจากตรงนี้ เย่หลินไม่กล้าจินตนาการเลย หัวสมองเธอว่างเปล่า

หนิงเชี่ยนรีบลุกขึ้นและวิ่งตรงไปที่คฤหาสน์ เธอตะโกนและร้องไห้ไปด้วย " ช่วยด้วย ใครก็ได้…… ช่วยพ่อฉันด้วย……"

เย่หลินที่คลานอยู่บนพื้น เธอรู้สึกเพียงว่าเสียงของผู้คนรอบข้างมากขึ้นเรื่อยๆ หลังจากนั้น เธอก็ได้ยินเสียงของหนิงเสี่ยวซีพูดขึ้น " แม่ แม่ไม่ได้เป็นคนผลักคุณปู่ตกลงไปใช่ไหม? อาตาฝาดไปใช่ไหมครับ? "

เย่หลินเงยหน้าขึ้น เธอเห็นใบหน้าของหนิงเสี่ยวซีเต็มไปด้วยความสงสัย เธอส่ายหน้าและเอื้อมมือไปจับมือน้อยๆของหนิงเสี่ยวซี " เสี่ยวซี ไม่ใช่แม่นะ แม่ไม่ได้ทำจริงๆ คือ……คือว่าคุณปู่ต้องการจะช่วยแม่ หลังจากนั้น หลังจากนั้นเขาก็ตกลงไป "

หนิงเสี่ยวซีขมวดคิ้ว และไม่ได้พูดอะไรแต่กลับสะบัดเธอออก

โลกของเย่หลินพังทลายลงนับบัดนั้น

เก่าไห่หรี่ตาลงเล็กน้อย " เรื่องนี้ไม่อาจจะบอกได้ " พอพูดจบเขาก็โบกมือไปมา

จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจที่อยู่ด้านหลังก็เข้าควบคุมตัวเกาเหวิน

เย่หลินได้รับข้อความจากหนิงเส่าเฉินในตอนกลางคืน เธอดูวิดีโอที่เกาเหวินเผยใบหน้าที่แท้จริงของเธอออกมาให้เห็น เธอรู้สึกโล่งอก ในที่สุดโลกของเธอจะได้สงบสุขสักที

" ที่รัก พรุ่งนี้ผมจะไปรับพวกคุณกลับบ้านนะ หลังจากกลับมาบ้านผมจะมอบของขวัญชิ้นใหญ่ให้คุณนะ "

" เรื่องพิธีแต่งงานไม่ต้องจัดนะ ขอแค่สถานะตามกฎหมายก็พอแล้ว "

จากนั้นทั้งสองก็พูดคุยกันอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะวางสายไปด้วยความอาลัยอาวรณ์

เดิมทีเพราะเวลาตามสถานที่ที่เปลี่ยนไป เย่หลินมักจะมีอาการนอนไม่หลับอยู่แล้ว พอตอนนี้รู้ว่าเกาเหวินโดนจับแล้ว เรื่องราวที่อยู่ในใจมานานหลายปีก็จบลงสักที ตอนนี้เธอรู้สึกตื่นเต้นมากเลยทำให้เธอไม่รู้สึกง่วงเลยสักนิด

เพราะว่าแม่หนิงสั่งเอาไว้ เธอจึงไม่ได้บอกเรื่องนิสัยที่เปลี่ยนไปของพ่อหนิงให้หนิงเส่าเฉินทราบ

ต่อมา เธอก็เริ่มรู้สึกง่วงนอนอย่างสะลืมสะลือ ทันใดนั้น เธอก็ได้ยินเหมือนมีคนกำลังพูดอะไรบางอย่าง เธอจึงลุกขึ้นนั่งและตั้งใจฟัง นั่นเป็นเสียงของแม่หนิง

เมื่อมองดูเวลา ตอนนี้เวลาตีสามแล้ว

เธอลังเลอยู่ชั่วครู่ก่อนจะลุกออกจากเตียง

เธอลงมาจากชั้นบน เธอก็ได้ยินเสียงพ่อหนิงกำลังอาละวาดอยู่ ไม่รู้ว่าเขาพูดอะไร ส่วนแม่หนิงนั้นร้องไห้สะอึกสะอื้น

ทันใดนั้น เธอก็หยุดฝีเท้าลง เหมือนว่าพ่อตาแม่ยายจะกำลังทะเลาะกัน

" ฉันก็ไม่ได้ว่าอะไรคุณ ฉันก็แค่บอกให้คุณนอนเช้าๆ แล้วคุณก็ดุฉัน ที่รัก ทำไมคุณถึงกลายเป็นคนแบบนี้ไปได้ " เป็นเสียงของแม่หนิง

เวลาผ่านไปนานมากก็ไม่มีเสียงตอบกลับ ในตอนที่เย่หลินกำลังคิดว่าพ่อหนิงคงไม่ตอบแล้ว จู่ๆเขาก็พูดขึ้น " ผมบอกคุณหลายครั้งแล้ว เรื่องของผมคุณไม่ต้องมายุ่ง " เสียงไม่ได้ดังมาก ถ้าไม่ใช่เพราะในยามดึกที่ภายในบ้านค่อนข้างเงียบ เย่หลินเองก็คงไม่ได้ยินอย่างแน่นอน น้ำเสียงของพ่อหนิงราวกับว่าหมดความอดทนแล้วจริงๆ

เมื่อคิดถึงครั้งที่แล้วที่มาที่นี่แม่หนิงและพ่อหนิงที่ออดอ้วนแสดงความรักต่อกัน ภาพนั้นมันยังคงอยู่ตรงหน้าเธอ ในตอนนั้น เธอคิดว่ารอให้เธอและหนิงเส่าเฉินแก่ตัวลง เธอก็อยากทำแบบนี้เช่นกัน

แต่ เวลาผ่านไปไม่นาน……

" คุณเป็นสามีของฉัน ถ้าฉันไม่สนใจคุณแล้วใครจะมาสนใจ? " เสียงของแม่หนิงยังคงนุ่มนวลอย่างเดิมแม้ว่าจะมีเสียงสะอึกสะอื้นปะปะอยู่บ้าง

บรรยากาศตกอยู่ในความเงียบสงัดเป็นเวลานานอีกครั้ง

ทันใดนั้น " โอ๊ย……" เสียงกรีดร้องของแม่หนิงดังขึ้น เสียงดังขึ้นอย่างชัดเจนท่ามกลางความเงียบสงัด

เย่หลินสะดุ้งเล็กน้อย เธอยังไม่ทันจะดึงสติกลับมาได้ ก็ได้ยินเสียงปิดประตูดังมาจากด้านหลัง จากนั้น ก็มีร่างของคนคนหนึ่งวิ่งผ่านเธอไป

เย่หลินเองก็พึ่งจะดึงสติกลับมาได้ จึงรีบวิ่งตามหนิงเชี่ยนไปที่ห้องหนังสือ

แม่หนิงล้มลงอยู่บนพื้นในห้องหนังสือ และหัวของเธอมีเลือดออก " แม่คะ……แม่เป็นอะไรหรือเปล่าคะ? "

หนิงเชี่ยนรีบพุ่งตัวไปพยุงแม่หนิง

" หนิงเชี่ยน กล่องยาของที่บ้านวางอยู่ตรงไหน? "

" เดินออกไปเลี้ยวขวา กล่องยาจะวางอยู่ที่ตู้วางของชั้นล่างสุดของห้อง "

หลังจากที่เย่หลิงนำกล่องยามาก็รีบฆ่าเชื้อบริเวณที่ได้รับบาดเจ็บให้แม่หนิง จากนั้นก็ทำแผลให้เสร็จ โชคดีที่แผลไม่ได้ใหญ่มาก

" พ่อคะ นี่มันเรื่องอะไรกันคะ? พ่อเป็นคนผลักแม่ใช่ไหมคะ? " หนิงเชี่ยนฝากแม่หนิงไว้กับเย่หลิน ส่วนเธอลุกขึ้นยืนหลังตรง สีหน้าของเธอเต็มไปด้วยความรู้สึกโกรธที่ไม่สามารถข่มเอาไว้ได้

" เสี่ยวเชี่ยน พ่อของลูกเขาไม่ได้ตั้งใจหรอก " แม่หนิงใช้มือปิดบริเวณที่ได้รับบาดเจ็บพร้อมกับพูดกับหนิงเชี่ยน

ในตอนนั้นเย่หลินไม่ได้พูดอะไร เรื่องของพ่อตาแม่ยาย ลูกสะใภ้อย่างเธอก็ไม่กล้าพูดอะไรมาก

" เย่หลิน เธอตามฉันออกมาหน่อย "

เย่หลินชะงักไปเล็กน้อย จากนั้นก็รีบพยักหน้า " ค่ะ " จากนั้นก็ฝากแม่หนิงไว้กับหนิงเชี่ยน ส่วนเธอก็เดินตามพ่อหนิงออกไป

ห้องหนังสืออีกห้องหนึ่ง

" หลินผิงเป็นแม่ของเธอใช่ไหม? " นี่เป็นคำพูดแรกของพ่อหนิงที่พูดออกมา

เย่หลินพยักหน้า หัวใจเธอเต้นแรงมาก เธอกำมือตัวเองแน่นด้วยความกังวล

" พ่อของเธอชื่อเกาเฉวียน "

เย่หลินขมวดคิ้ว เกาเฉวียน? " คุณลุง ท่านรู้จักพ่อหนูหรือคะ? "

พ่อหนิงทำมือไขว้หลัง และยืนหันหลังให้เย่หลิง เย่หลิงมองไม่เห็นอารมณ์ทางสีหน้าของเขา แต่กลับเห็นมือที่กำหมัดแน่นของเขา

พ่อหนิงไม่ได้ตอบคำถามเธอ ผ่านไปสักพัก เขาถึงได้หันมามองเย่หลิน " เย่หลิน เธออยากรู้ไม่ใช่เหรอว่าตอนนั้นทำไมฉันถึงยอมเห็นด้วยกับพ่อเกาให้เธอคลอดหนิงเสี่ยวซี? "

เย่หลินเงยหน้ามองพ่อหนิงด้วยความตกใจ ตอนนั้นพ่อหนิงบอกว่าตัวเองไม่รู้ แต่หลังจากที่ไปหาเศรษฐีเกาเธอก็รู้ว่าพ่อหนิงโกหกเธอ

เดิมทีเธอก็ลังเลว่าจะเอ่ยปากถามพ่อหนิงยังไงดี ถึงแม้ว่าแม่ของเธอจะจากโลกนี้ไปแล้ว แต่เธอก็ยังอยากรู้ชาติกำเนิดของตัวเอง เธออยากรู้ให้แน่ชัด

แต่ คาดไม่ถึง วันนี้เขาจะเป็นคนพูดขึ้นเอง

" เพราะว่าในมือของพ่อเกาเขามีความลับของฉันอยู่ ฉันเองก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากเชื่อฟังเขา "

เย่หลินขมวดคิ้ว คนอย่างพ่อหนิงทำไมถึงยอมให้ความลับตกไปอยู่ในมือพ่อเกาได้?

" ฉันไม่เคยคิดมาก่อนว่าวันหนึ่ง เธอจะมาใช้ชีวิตร่วมกับลูกชายฉัน แล้วเขาจะรักเธอได้มากขนาดนี้ " พ่อหนิงพูดถึงตรงนี้เขาก็สูดหายใจเข้าลึกๆ " ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นโชคชะตา "

เย่หลินมองเขาโดยไม่พูดอะไร เธอรู้ว่าเขายังพูดไม่จบ

แต่ว่า โชคชะตา……ก็อาจจะเป็นไปได้สินะ?

" ตอนนั้น หลังจากที่พ่อของเธอพาแม่ของเธอออกจากเกาะเหลียนอู้ก็กลับเข้ามาในประเทศทันที เพื่อเลี้ยงดูแม่ของเธอ พ่อของเธอเลยมาทำงานที่หนิงกรุ๊ป เขาเป็นผู้คุ้มกันส่วนตัวของฉัน เขาเป็นคนมี่มีคุณธรรม และปฏิบัติต่อแม่เธอดีมาก ฉันเองก็ให้ความสำคัญกับเขามาก "

เมื่อพูดถึงตรงนี้ เย่หลินก็เห็นการแสดงออกทางสีหน้าของเขาเจ็บปวดมาก

แต่ว่า น่าตกใจมากที่พ่อหนิงเองก็รู้เรื่องเกาะเหลียนอู้ด้วย แสดงว่าเขาคงรู้ความจริงอยู่ไม่น้อย

" ต่อมา มีอยู่ครั้งหนึ่ง เขาจำเป็นต้องไปทำธุระให้ฉันที่พื้นที่ห่างไกล เขาจึงฝากฉันให้ดูแลแม่ของเธอแทน "

ราวกับว่าพ่อหนิงจะคิดอะไรบางอย่างขึ้นได้ เขาทรุดตัวลงกับพื้นและเอามือกุมขมับ

" วันนั้น ฉันดื่มแอลกอฮอล์เข้าไปเยอะมาก แล้วแม่ของเธอก็โทรหาฉันและบอกว่ารู้สึกไม่ค่อยสบาย ฉันเลยไปหา ทันทีที่ไปถึง ฉันยังไม่ทันได้พูดอะไรแล้วภาพทุกอย่างก็ตัดไป หลังจากนั้นเกิดเรื่องอะไรขึ้น ฉันเองก็ไม่รู้ พอตื่นมาในเช้าอีกวัน ฉันก็นอนอยู่บนเตียงของแม่เธอแล้ว "

บรรยากาศที่ตึงเตรียดอยู่แล้วก็ตึงเครียดขึ้นไปอีก เย่หลินรู้สึกเพียงว่าหนังศีรษะของตัวเองชาไปหมด ปากของเธอก็เริ่มสั่น หน้าก็ซีดเซียวขึ้นทันที และรู้สึกหายใจไม่ทั่วท้อง และเธอไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่ได้ยินเลยจริงๆ

ครั้งที่แล้วที่ไปเจอเศรษฐีเกา ผู้หญิงคนนั้นพูดว่าตอนนั้นแม่ของเธอโดนข่มขืน ส่วนคนที่ข่มขืนยังหาตัวไม่เจอ หรือว่าคนนั้นเป็นพ่อหนิง?

เพราะว่าพ่อเการู้เรื่องนี้ของเขา ดังนั้นก็เลยกลายเป็นความลับที่อยู่ในมือพ่อเกางั้นหรอ?

ถ้าเป็นแบบนี้จริงๆ งั้น……งั้นเธอ หรือว่า……

เมื่อคิดถึงความเป็นไปได้นี้ เธอก็เดินโซเซถอยหลังไปสองสามก้าว เธอต้องเอามือจับกำแพงไว้เธอถึงจะยืนได้อย่างมั่งคง

ไม่สิ เกาไห่เขาหน้าตาเหมือนพ่อเกามาก เธอและเกาไห่เป็นฝาแฝดกัน……

ปวดหัวจนแทบระเบิดอยู่แล้ว

จากนั้น ก็เห็นเพียงแม่หนิงและหนิงเชี่ยนวางตะเกียบในมือลงและรีบวิ่งตรงไปที่ห้องหนังสือ

เย่หลินเองก็รู้สึกเป็นกังวล เธอจึงกำชับหนิงเสี่ยวซีและเย่เสี่ยวโม่ให้นั่งบนเก้าอี้อย่าขยับไปไหน ส่วนเธอก็วิ่งตามขึ้นไปชั้นบน

เธอยังไม่ทันได้ได้ตั้งตัว จู่ๆพ่อหนิงก็พุ่งตัวออกมาจากห้องหนังสืออย่างกะทันหัน อีกทั้งยังชนเย่หลินจนล้มลงพื้น

แต่เขากลับไม่มีทีท่าจะหยุดเลย เขารีบก้าวเดินออกไปทางนอกประตูบ้าน

หนิงเชี่ยนพยุงเย่หลินให้ลุกขึ้น " พี่สะใภ้ พี่ไม่เป็นไรใช่ไหมคะ? "

เย่หลินที่ยังคงตกอยู่ในอาการตกใจรีบส่ายหน้า " ฉันไม่เป็นไร พ่อจะไปไหนกันเนี่ย? "

แม่หนิงเดินเข้าไปลูบแขนเย่หลิน " ลูก อย่าเอาเรื่องนี้ไปบอกเส่าเฉินนะ "

" ทำไมล่ะคะ? "

แม่หนิงได้แต่ยิ้ม " เอาเถอะ อย่าไปสนใจคุณพ่อเลย เราไปกินข้าวกันก่อนดีกว่า "

อาหารมื้อนี้ทำให้เย่หลินรู้สึกหดหู่มาก สัญชาตญาณของเธอมันบอกว่าถ้านับจากระยะเวลาของนิสัยที่เปลี่ยนไปของพ่อหนิงนั้นมันต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกับเธอแน่ๆ งั้นก็แสดงว่าคำพูดของเศรษฐีเกาในวันนั้นเป็นความจริง พ่อหนิงดันไปรู้เรื่องบางอย่างเข้าจริงๆ แต่ว่า เขาเป็นพ่อของหนิงเส่าเฉิน เธอจะสามารถทำอะไรได้?

จะเค้นถามเขาก็ไม่เหมาะสมสินะ

ภายในประเทศ

ในขณะที่เล่อจยายืนอยู่ใต้ตึกเกากรุ๊ป เธอรู้สึกว่าเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นมันเป็นดั่งความฝัน ช่วงเช้าเธอรู้สึกเหมือนตัวเองตกนรก พอตอนนี้ กลับรู้สึกเหมือนอยู่บนสวรรค์

ดังนั้น เธอจึงยิ้มแย้มอยู่ตลอดเวลา เธอทักทายทุกคนอย่างยิ้มแย้ม

แต่ในตอนท้าย รอยยิ้มของเธอก็ค่อยๆจางหายไป

เห็นได้อย่างชัดเจนว่าทุกคนมองเธอราวกับเป็นตัวตลก

" เล่อจยา? "

" ใช่ค่ะผู้จัดการ ตอนเช้า น้องสาวฉัน……น้องสาวฉันเป็นคนโทร……โทรหาพวกคุณ เธอยังไม่รู้ประสีประสาเท่าไหร่ ขอโทษด้วยนะคะ " เธอจำใจโกหกด้วยความรู้สึกผิด ก่อนที่จะมาซูหย่าให้เธอคิดคำแก้ตัวไว้ ทั้งๆที่ตลอดทางเธอลองพูดในใจอยู่หลายรอบ แต่พอพูดขึ้นจริงๆเธอก็ยังพูดตะกุกตะกัก

เธอช่างไม่เหมาะกับการพูดโกหกเลยจริงๆ

ผู้จัดการเป็นผู้หญิงอายุประมาณสี่สิบปี เธอมองเล่อจยา " เธอเคยทำงานด้านการออกแบบที่เจิ้งไท่มาก่อนงั้นหรอ? "

เล่อจยาพยักหน้า " ใช่ค่ะ……" แม้ว่าจะผ่านมาหลายปีแล้ว แต่นี่คือเรื่องจริง

" สามารถเข้าทำงานที่เจิ้งไท่ได้ แสดงว่าเธอก็เป็นคนมีความสามารถคนหนึ่ง นั่นเป็นที่นั่งของเธอไปนั่งก่อนสิ "

เล่อจยามองตามนิ้วที่เธอชี้ไปตรงที่นั่งบริเวณหัวมุมของห้อง เธอรู้สึกดีใจมาก " ค่ะ ขอบคุณค่ะผู้จัดการ "

ในที่สุดเธอก็สามารถเข้าทำงานที่เกากรุ๊ปได้สำเร็จ เกาไห่ แม้ว่าระหว่างเราจะมีช่องว่างที่กว้างใหญ่และยาวไกลเหมือนมหาสมุทรแปซิฟิก แต่ฉันก็อยากพยายามอย่างสุดความสามารถที่ฉันจะทำได้

เล่อจยาที่รอคุณมานานเจ็ดปี เธอกลับมามีชีวิตขึ้นอีกครั้งแล้ว

" ท่านประธานเกา คนเมื่อเช้าคนนั้น……"

" ติ๊ง……" เสี่ยงกริ่งโทรศัพท์ดังขึ้นขัดจังหวะคำพูดของเสี่ยวตง เกาไห่รับสาย " ฮัลโหล เส่าเฉิน……อะไรนะ ได้ภาพถ่ายมาแล้วงั้นหรอ? ได้……ได้ งั้นลงมือทำตามแผนได้เลย ได้ ระวังตัวด้วยนะ "

หลังจากวางสาย เกาไห่โล่งอกอย่างเห็นได้ชัด เขายักคิ้วเล็กน้อยพร้อมกับมองไปที่เสี่ยวตง " เมื่อกี้นายว่าไงนะ "

เสี่ยวตงรีบตอบว่า " ไม่ได้มีเรื่องใหญ่อะไรหรอกครับ เพียงแต่ว่านักออกแบบคนนั้นที่เธอบอกว่าจะอยู่บ้านดูแลลูก เธอ……"

" ต่อจากนี้เรื่องที่เกี่ยวกับเธอไม่ต้องมารายงานฉันอีก " เกาไห่พูดพร้อมกับลุกขึ้น " ไปกันเถอะ ไปที่ไซต์งานก่อสร้างที่เราคุยกันไว้เมื่อหลายวันก่อนกัน "

เสี่ยวตงตอบรับสั้นๆ ภายในใจเขาจดชื่อเล่อจยาเข้าสู่บัญชีดำของเขาทันที

ในช่วงเช้าของวันต่อมา เก่าไห่ได้รับวิดีคอลจากเฉินอีอี

ในวิดีโอคอล สติสัมปชัญญะของเกาเหวินก็ไม่มีอะไรผิดปกติ เธอพูดผ่านวิดีโอคอลว่า " พี่ชาย พี่เป็นเหมือนผู้ปกครองของฉัน พี่ยอมให้ฉันและเส่าเฉินหย่ากันเถอะ ตอนนี้ฉันหายป่วยแล้ว แต่ ระหว่างฉันกับเขามันเป็นไปไม่ได้อีกต่อไปแล้ว ในเมื่ออีอีและเส่าเฉินต่างก็รักใคร่ชอบคอกัน งั้นเราก็ทำให้พวกเขาสมปรารถนาเถอะ "

เมื่อมองดูใบหน้าที่คุ้นเคยในวิดีโอคอล เกาไห่ไม่ได้มีความรู้สึกเสียใจและไม่พอใจในสายตาของเขาอีกต่อไป มีเพียงความเกลียดชังเท่านั้น

หลังจากที่เขาส่งต่อวิดีโอให้กับเส่าเฉิน เขาก็ให้คนส่งเอกสารรับรองสำหรับผู้ปกครองที่เขาลงนามอย่างเสร็จสมบูรณ์แล้วให้กับหนิงเส่าเฉิน

เพราะว่าทุกสิ่งทุกอย่างเตรียมพร้อมไว้แล้ว ขาดเพียงสิ่งนี้เท่านั้น หลังจากที่เอกสารรับรองฉบับนี้ถึงมือเขา หนิงเส่าเฉินก็จะให้คนไปจัดการเรื่องหย่าทันที

หลังจากได้รับเอกสารรับรองฉบับนี้แล้ว เขาก็กดโทรออกและพูดขึ้นเสียงต่ำ " จบเรื่องทุกอย่างได้ "

ทางฝ่ายนี้โทรหาเฉินอีอีเพื่อบอกกับเธอว่าตัวเขาและเกาเหวินได้รับเอกสารการหย่าแล้ว ให้เธอรออยู่ที่บ้านเขาจะไปหาเธอเดี๋ยวนี้

เฉินอีอีไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าเรื่องทั้งหมดมันจะราบรื่นมากขนาดนี้ เธอตั้งใจเปลี่ยนชุดนอนที่เธอพึ่งซื้อมาใหม่ หลังจากนั้นไม่นาน เธอก็ได้ยินเสียงกริ่งประตูดังขึ้น

เธอนึกว่าคนที่มาคือหนิงเส่าเฉิน เธอจึงเปิดประตูออกอย่างรวดเร็วโดยไม่คิด

แต่กลับมีเจ้าหน้าที่ตำรวจเจ็ดแปดนายบุกเข้ามา จากนั้นก็มีผู้ชายสวมชุดสูทและรองเท้าหนังเดินตามเข้ามา หนิงเส่าเฉินแล้วก็……เกาไห่

" เส่าเฉิน นี่มันเรื่องอะไรกัน? " ในใจเธอรู้สึกกังวลเล็กน้อย แต่สีหน้าเธอยังคงยิ้มแย้ม

หนิงเส่าเฉินสะบัดมือเธอออกอย่างไร้ความปราณี

เขาเดินไปนั่งลงบนโซฟาข้างๆ พร้อมกับทำท่ากอดอก

เฉินอีอีอยากจะตามไป แต่กลับโดนตำรวจในเครื่องแบบสองคนขวางเอาไว้

" สวัสดี คุณเกา คุณเป็นผู้ต้องสงสัยในคดีฆาตกรรมโดยเจตนา ตอนนี้เราจะทำการจับกุมตัวคุณเดี๋ยวนี้ "

เฉินอีอีพูดย้อนไปว่า " เจตนาฆ่าอะไรกัน ฉัน……" หลังจากนั้นเธอก็ไอออกมาเล็กน้อย " พวกคุณจับคนผิดรึเปล่า ฉันไม่ใช่คุณเกา "

ตำรวจหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาให้เธอดู

ภาพในโทรศัพท์คือภาพที่เธอถอดหน้ากากเมื่อวาน เผยให้เห็นใบหน้าของเกาเหวิน

สีหน้าเธอซีดเซียวขึ้นทันที

" ทำไมถึงเป็นแบบนี้ไปได้? " เธอหันไปมองหนิงเส่าเฉินและเกาไห่ ทันใดนั้นเธอก็คิดขึ้นได้ " พวกคุณ……พวกคุณร่วมมือกันหลอกฉันงั้นหรอ? "

หนิงเส่าเฉินและเกาไห่มองหน้ากันครู่หนึ่ง จากนั้นก็ไม่ได้พูดอะไร แต่กลับมีรอยยิ้มปรากฏขึ้นตรงมุมปากของพวกเขาแทน

" ไปเถอะ คุณเกา "

เกาเหวินส่ายหน้า และรีบหันหลังวิ่งไปหาเกาไห่ จากนั้นก็จับคอเสื้อของเขาไว้แน่น " พี่ชาย ช่วยฉันด้วย พี่ชาย……"

เก่าไห่ออกแรงดึงมือเธอออกและสะบัดไปข้างๆ " เกาเหวิน เธอเริ่มจากผลักฉันให้ตกหน้าผา จากนั้นก็ให้แม่รับโทษแทนเธอ และทำให้แม่ตาย ต่อมาก็ขังฉันไว้ในเมือง S ทำให้ฉันใช้ชีวิตอย่างไม่เป็นผู้ไม่เป็นคนมานานหลายปี แล้วยังมาหลอกฉันอีกว่าทั้งหมดนี้เป็นความตั้งใจของพ่อ เกาเหวิน เธอรู้อะไรไหม? ตั้งแต่วันแรกที่เธอช่วยฉัน ฉันก็เห็นธาตุแท้ของเธอแล้ว ฉันอยากจะบีบคอเธอให้ตายตั้งแต่ตอนนั้นเลยด้วยซ้ำ แต่…….ฉันคิดว่าถ้าเธอตายแบบนั้นมันจะง่ายเกินไป "

เมื่อพูดถึงตรงนี้ เก่าไห่ชะงักไปชั่วครู่ " คนอย่างเธอควรไปใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ในคุก และทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่เธอสมควรได้รับ เธออย่าโทษใครเลย "

เมื่อเกาเหวินได้ยินแบบนั้น แขนเธอก็อ่อนแรงและรู้ว่าทุกอย่างจบลงแล้ว

สิ่งที่แปลกก็คือเธอสงบกว่าที่คิดไว้มาก ผ่านไปสักพัก เธอก็ยกมือฉีกหน้ากากหนังมนุษย์นั้นออก พร้อมกับเผยให้เห็นใบหน้าของเกาเหวิน หน้ากากนี้เธอได้ว่าจ้างให้ปรมาจารย์ท่านหนึ่งทำให้เธอ แม้แต่ตัวเธอเองก็ดูไม่ออกว่ามีส่วนไหนที่ผิดสังเกต แต่เกาไห่กลับบอกว่าเขารู้ตั้งแต่วันแรกแล้ว " คุณรู้ได้ยังไง? "

เมื่อชายคนนั้นเห็นว่าเด็กปลอดภัยดี เขาก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกและเดินเข้าไปเพื่อกอดเด็กคนนั้น

อีกฝ่ายมองหน้าเล่อจยาด้วยสีหน้าเคร่งขรึม " คุณผู้หญิงท่านนี้คะ รบกวนคุณดูแลคุณแม่ของคุณดีดีหน่อยนะคะ ถ้าครั้งหน้ายังกล้ามายุ่งวุ่นวายกับลูกชายฉันอีก ฉันจะทำให้เธอออกจากคุกไม่ได้ตลอดไป "

เมื่อพูดจบ ผู้หญิงคนนั้นก็เตรียมจะอุ้มเสี่ยวเจ๋อออกไป เล่อจยารีบยื่นมือออกไปขวางไว้ " เธอเป็นใครกันแน่ เด็กคนนี้เป็นหลานชายของฉัน พวกคุณห้ามอุ้มเขาไปเด็ดขาด "

ชายคนนั้นเหลือบมองเธอแวบหนึ่ง จากนั้นก็หันหลังเดินเข้าไปหานายตำรวจสองคนที่ยืนอยู่ด้านหลังพร้อมกับขยิบตาให้เขา

" คุณเล่อครับ คุณแม่ของคุณวิ่งหนีออกมาจากโรงพยาบาลจิตเวชแล้วบอกว่าตัวเองมาสมัครเป็นแม่บ้าน เธอเข้าไปในบ้านของคุณผู้ชายท่านนี้แล้วอุ้มลูกของพวกเขาออกมาจากบ้าน ถ้าไม่ใช่เพราะแม่ของคุณมีปัญหาทางสุขภาพจิต การกระทำแบบนี้ของเขาถือว่าเป็นการละเมิดกฎหมายนะครับ "

เล่อจยาสูดหายใจเข้า เธอเอามือเกาหัวพร้อมกับเม้มปาก " พวกคุณพูดเรื่องอะไรกัน ทำไมฉันถึงฟังไม่รู้เรื่องเลย? เด็กคนนี้ไม่ใช่ลูกของน้องชายฉันงั้นหรอ? "

เธอหันหลังเพื่อเตรียมจะกลับไปหยิบเอกสารนั่นที่ห้อง แต่ทันทีที่หันไปก็เห็นพ่อเล่อทำหน้าเคร่งขรึมและยื่นเอกสารนั่นที่เขาถือไว้ในมือให้เธอ

" คุณดูสิ นี่เป็นเอกสารรับรองการตรวจ DNA ที่แม่ฉันให้มาเมื่อวานนี้ อีกทั้งยังมีใบสูจิบัตรอีกด้วย "

ตำรวจรับเอกสารมาและทำการตรวจดู จากนั้นก็ยื่นให้ชายคนนั้นที่ทำหน้าตาเย็นชา

หลังจากที่ชายคนนั้นดูเสร็จ ก็หัวเราะออกมาเบาๆ " นี่แม่ของคุณบ้าจริงหรือแกล้งบ้ากันแน่? แม้กระทั่งความคิดพวกนี้ก็คิดออกมาได้! "

พอพูดจบ เขาก็พูดกับผู้หญิงที่อุ้มเด็กอยู่ด้วยน้ำเสียงเย็นชา " เธอยังยืนนิ่งอยู่ทำไมอีก? ยังไม่ไปอีก? "

เล่อจยาเหมือนจะอยากพูดอะไรบางอย่าง แต่พอเห็นมือของเด็กคนนั้นกอดคอผู้หญิงคนนั้นไว้และหัวเราะอย่างสนุกสนาน

เธอก็กลืนคำพูดที่ต้องการจะพูดลงไป

" แม่ของคุณ มีปัญหาด้านสุขภาพจิต เธอมักจะตกอยู่ในโลกจินตนาการของตัวเองอยู่ตลอดเวลา พวกคุณเป็นคนในครอบครัวควรจะดูแลเอาใจใส่เขามากๆ "

พอพูดจบ ทุกคนก็ต่างแยกย้ายกันไปอย่างรวดเร็ว

เล่อจยายืนนิ่งอยู่ที่เดิม ผ่านไปสักพักกว่าเขาจะดึงสติกลับมาได้

ผู้หญิงคนนั้นเธอเป็นบ้า ก็เลยไปขโมยลูกของคนอื่นมาที่บ้านของพวกเธอ

แต่ว่าถึงเขาจะบ้าก็ยังจำตำแหน่งที่ตั้งของบ้านตัวเองได้ ช่างเป็นเรื่องยากสำหรับเธอจริงๆ

เธอครุ่นคิดอยู่สักพัก จากนั้นก็รีบตามไป

เธอดึงคุณตำรวจไว้ " สวัสดีสหาย ฉันขอถามอะไรหน่อยสิ ตอนนี้แม่ของฉันอยู่ที่ไหน? "

ตำรวจพูดว่า " เหมือนว่าเธอจะมีลูกชายอีกคนสินะ? ที่ชื่อเล่ออะไรสักอย่าง……เขาไปรับตัวเธอออกจากสถานีตำรวจไปแล้ว "

เล่อจยาเม้มปากและหลับตา จากนั้นเธอก็หันไปหาผู้เป็นพ่อ " พ่อคะ ได้ยินไหมคะว่าเสี่ยวเล่อยังไม่ตาย "

พ่อเล่อพยักหน้า

อีกด้านหนึ่งเย่หลินร้องไห้อย่างข่มขื่นด้วยความเจ็บปวดเมื่อมองดูรถเด็กเล่นที่อยู่ภายในบ้านและสิ่งของเครื่องใช้ของเด็กที่เก็บไว้ในกระเป๋า

ซูหย่ากอดปลอบเธออย่างอ่อนโยน " เล่อจยา เป็นแบบนี้ก็ดีเหมือนกันนะ เธอกลับไปทำงานที่เกากรุ๊ปได้อีกครั้งแล้ว "

เล่อจยาสะอึกสะอื้น เธออดไม่ได้ที่จะหันหลังไปมองผู้เป็นพ่อ สีหน้าของเขายิ้มแย้ม แต่แววตาของเขาเต็มไปด้วยความผิดหวังอย่างเห็นได้ชัด

พอครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ เธอก็คลายกอดซูหย่าและเดินเข้าไปกอดผู้เป็นพ่อไว้พร้อมกับพูดว่า " พ่อคะ อย่าผิดหวังไปเลยค่ะ หนูจะพยายามและทำให้พ่อได้อุ้มหลายชายให้เร็วที่สุด "

พ่อเล่อลูบหลังเธอเบาๆ " ได้ พ่อจะรอนะ "

เล่อจยารู้สึกว่าเรื่องวุ่นวายที่เกิดขึ้นนี้มันเหมือนกับทำให้เธอได้เกิดใหม่อีกครั้ง เธอถอนหายใจเฮือกใหญ่ จากนั้นก็หันไปมองรถเด็กเล่น และผ้าอ้อมที่ยังเปียกชื้นที่วางอยู่ข้างๆโต๊ะ เธอถึงกับยิ้มทั้งน้ำตา

ซูหย่าแย่งผ้าอ้อมจากมือเธอไปทิ้ง " จยาจยา เธออย่ามัวยืนนิ่งอยู่เลย เธอรีบโทรหาเกากรุ๊ปและบอกไปว่าช่วงเช้าเธอมีธุระ ตอนนี้จะรีบไปทำงานเดี๋ยวนี้ รีบเร็ว"

เล่อจยาชะงักอยู่ชั่วครู่ " แบบนี้ก็ได้เหรอ? "

" เธอลองโทรดูสิ "

ทันทีที่เย่หลินมาถึงสนามบิน ก็เห็นหนิงเชี่ยนที่ยืนรออยู่ที่ไกลๆ

" พี่สะใภ้ เสี่ยวซี เสี่ยวโม่ ยินดีต้อนรับนะ "

" เสี่ยวเชี่ยน รอกวนด้วยนะ " หลังจากเรื่องครั้งที่แล้ว ความสัมพันธ์ของเย่หลินและหนิงเชี่ยนก็ดีขึ้นมาก

" พี่สะใภ้พูดอะไรแบบนั้นคะ ไปกันเถอะ ที่บ้านทำอาหารอร่อยๆเตรียมไว้เยอะแยะแล้ว แม่รู้ว่าพี่ชอบกินอาหารทะเล ครั้งนี้แม่ยอมจ่ายเงินก้อนโตเพื่อให้คนเอามาส่งที่บ้านไม่น้อยเลยทีเดียวนะ " หนิงเชี่ยนพูดพร้อมกับรับกระเป๋าเดินทางในมือเธอมาด้วย

ก่อนหน้านี้ที่คุณแม่นอนพักฟื้นอยู่ที่โรงพยาบาล เย่หลินได้ยินเตียงข้างๆพูดกันว่าปัญหาแม่สามีและน้องสามีนั้นเป็นปัญหาของความสัมพันธ์ที่จัดการได้ยากที่สุดในชีวิต

แต่ว่า วินาทีนี้ เย่หลินรู้สึกว่าเธอมีความสุขมากๆ เธอไม่เคยกังวลกับเรื่องนี้เลย

" เออ…..พ่อกับแม่ สุขภาพแข็งแรงดีใช่ไหม? " เมื่อนึกถึงครั้งที่แล้วในวีดีโอคอลที่เธอเรียกพ่อหนิงและแม่หนิงว่าคุณลุงคุณป้า สีหน้าของหนิงเส่าเฉินนั้นดูอารมณ์เสียมาก เธอเลยรีบเปลี่ยนสรรพนามในการเรียกทันที

แววตาของหนิงเชี่ยนเศร้าหมองทันที " แม่สุขภาพแข็งแรงดี แต่พ่อ……"

" คุณพ่อเป็นอะไร? "

หนิงเชี่ยนส่ายหน้า " ที่จริงก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรหรอกค่ะ ก็แค่ตอนนี้เหมือนท่านเปลี่ยนไปราวกับคนละคน ตอนนี้นิสัยของท่านหัวรุนแรงมาก และยิ่งอยู่ก็ยิ่งไม่พูดไม่จากับใครเลย "

เย่หลินขมวดคิ้ว " ทำไมไม่เคยได้ยินคุณแม่พูดขึ้นเลยล่ะ? เรื่องเกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่? "

หนิงเชี่ยนอุ้มเย่เสี่ยวโม่ขึ้นรถ " อือ เหมือนว่าจะเริ่มตั้งแต่ปีที่แล้วว แต่ก็ไม่ได้ชัดเจนมาก ทุกคนก็ไม่ค่อยได้สนใจ แต่ช่วงนี้ ยิ่งอยู่ก็ยิ่งชัดเจนมากขึ้น "

แว่นกันแดดในมือเย่หลินตกลงพื้น จู่ๆเธอก็รู้สึกไม่สบายใจขึ้นอย่างบอกไม่ถูก

ทันใดนั้นเธอก็คิดถึงเรื่องครั้งที่แล้วที่เธอไปพบกับมหาเศรษฐีเกา คำพูดพวกนั้นของเขาเมื่อปีที่แล้ว ซึ่งตอนนั้นก็เป็นตอนที่เขาไปบ้านตระกูลหนิงพอดีไม่ใช่หรอ?

หรือว่าพ่อหนิงไปรู้เรื่องที่ไม่สามารถบอกกับใครได้?

เมื่อถึงคฤหาสน์ตระกูลหนิง ก็เห็นแม่หนิงยืนต้อนรับพวกเขาจากที่ไกลๆ

เย่หลินรอให้เด็กน้อยทั้งสองลงจากรถ จากนั้นก็จูงมือเด็กน้อยคนละข้างพร้อมกับเดินเข้าไปหาแม่หนิง " แม่คะ รบกวนด้วยนะคะ "

แม่หนิงชะงักไปอย่างเห็นได้ชัด หลังจากนั้นก็ยิ้มแย้มราวกับดอกไม้บาน " ลูกคนนี้นี่ คนบ้านเดียวกัน รบกงรบกวนอะไรกัน "

แม่หนิงยังดูสาวและสวย แต่ว่าเย่หลินกลับรู้สึกว่าแววตาคู่นั้นของเขาไม่สดใสเหมือนเมื่อก่อน ตอนนี้แววตาของเธอแฝงไปด้วยความวิตกกังวล

เมื่อนึกถึงเรื่องที่หนิงเชี่ยนพูดเมื่อสักครู่ เธอก็ยิ่งรู้สึกไม่สบายใจมากขึ้น

ในขณะที่เดินเข้าบ้านก็ไม่เห็นพ่อหนิงเลย

จนกระทั่งตอนถึงเวลากินข้าว เย่หลินก็ไม่เห็นเขาเดินออกมา เธอครุ่นคิดอยู่สักพัก จากนั้นก็ถามขึ้นว่า " แม่คะ พ่อล่ะคะ? "

แววตาของแม่หนิงเศร้าหมองขึ้นเล็กน้อยอย่างเห็นได้ชัด " เขา อีกสักพักเขาค่อยกิน พวกเรากินกันก่อนเลย ไม่ต้องรอ "

เย่หลินและหนิงเชี่ยนต่างก็มองหน้ากัน

หนิงเชี่ยนพยักหน้า " แม่คะ เดี๋ยวหนูไปตามพ่อมากินข้าวด้วยกัน " เธอพูดพร้อมกับวิ่งตรงไปที่ห้องหนังสือ

เธอเคาะประตูอยู่สักพัก แต่กลับไม่มีเสียงตอบรับใดๆ

ในตอนที่หนิงเชี่ยนเตรียมจะเคาะประตูอีกครั้ง จู่ๆประตูก็ถูกเปิดออกจากด้านใน

" พ่อคะ กินข้าวค่ะ "

พ่อหนิงมองเธอด้วยสีหน้าที่ไร้ความรู้สึก " ได้ เดี๋ยวอีกสักพักพ่อค่อยกิน "

" พ่อคะ ลงมากินพร้อมกับเถอะค่ะ วันนี้พี่สะใภ้พาเสี่ยวซีและเสี่ยวโม่มาที่บ้านด้วย พ่อรีบ……"

" ปั๊ง " หนิงเชี่ยนยังไม่ทันพูดจบ ประตูก็ถูกปิดลงอย่างแรง

หนิงเชี่ยนลำบากใจมาก " แม่คะ พ่อเป็นอะไรไปกันแน่? "

แม่หนิงหยิบแพนเค้กเข้าปากอย่างช้าๆ จากนั้นเธอก็ฝืนยิ้ม " ไม่ต้องสนใจเขา พวกเรากินกันก่อนเถอะ "

" เพล้ง " เสียงกระจกแตกดังมาจากห้องหนังสือ เย่หลินสังเกตเห็นสีหน้าของแม่หนิงเปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน

เกาไห่ไม่เงยหน้าขึ้น "คุณพูดเถอะ! "

"ฉันคิดว่าคุณในฐานะเป็นผู้ปกครองของเกาเหวิน น่าจะเห็นด้วยกับการหย่าของเธอกับหนิงเส่าเฉินนะ"

ปากกาที่หมุนอยู่ในมือเกาไห่ก็ตกลงบนโต๊ะ เขาเงยหน้าขึ้นมองเฉินอีอี แล้วหัวเราะ "เกาเหวิน ผู้ปกครอง? " เขามองดูเธอครู่หนึ่ง จากนั้นก็ขยับนิ้วเรียวยาวของเขาไปที่ข้างหูของเธอ แล้วลูบไล้เล็กน้อย เขายิ้มพูดว่า : "ฉันฟังไม่ค่อยเข้าใจ น้องสาวฉัน เธอหายไปก่อนแล้ว เรื่องยุ่งยากอย่างนี้ ฉันจะสามารถช่วยอะไรได้"

"เกาไห่ คุณเพียงแค่เขียนหนังสือรับรองก็พอแล้ว"

เกาไห่ส่ายหัว "เช่นนั้นไม่ได้อย่างแน่นอน เสี่ยวเหวินเป็นผู้ใหญ่แล้ว ฉันไม่สามารถตัดสินใจแทนเธอได้ ในอนาคตถ้าเธอกลับมา จะไม่มาคิดบัญชีกับฉันเหรอ? "

แววตาเฉินอีอีเป็นประกาย คิดๆ ดูเล็กน้อย "อืม แล้วถ้าฉันได้รับวิดีโอที่ถ่ายโดยน้องสาวของคุณ ว่าเธอไหว้วานคุณล่ะ? ใช่ไหม อย่างนี้ก็ได้แล้ว? "

ในแววตาเกาไห่มีความอาฆาต เขาระงับอารมณ์ที่แปรปรวนในใจ เงยหน้ามองเฉินอีอี "เช่นนั้นก็ได้อย่างแน่นอน แต่ทำไมฉันต้องช่วยคุณด้วย? คุณอย่าลืมสิ คุณต้องการแย่งผู้ชายของเย่หลิน น้องสาวของฉัน! "

ดูเหมือนว่าเป็นไปตามคาดที่เขาจะมีปัญหาเช่นนี้ สีหน้าของเฉินอีอีไม่เปลี่ยนแปลง เพียงแค่ยิ้มกว้างขึ้น

"อันที่จริง อาไห่ คุณให้พวกเขาแยกกันแบบนี้ก็เป็นทางเลือกที่ดีที่สุดแล้ว ถ้า……” เธอเดินวนไปรอบๆ เกาไห่ "ถ้าวันหนึ่ง เย่หลินรู้ว่า พ่อของหนิงเส่าเฉินฆ่าพ่อของพวกคุณ คุณคิดว่าพวกเขายังจะอยู่ด้วยกันได้เหรอ? "

"ถ้าถึงเวลานั้น วิธีที่แยกจากกันอย่างแสนเจ็บปวดนี้ จะไม่ดีกว่าเหรอ? "

เกาไห่ตกตะลึง เขาเข้าไปบีบคอเฉินอีอี "คุณไปรู้สิ่งเหล่านี้มาจากไหน? "

เฉินอีอีหัวเราะเยาะ สะบัดแขนเกาไห่ออก "ฉันรู้มากกว่านี้อีก ถ้าคุณอยากรู้ รอให้เรื่องจบแล้ว ฉันจะค่อยๆ บอกคุณ"

ในใจเกาไห่ปั่นป่วนไปหมด เขาพยายามระงับอารมณ์ตนเองที่อยากบีบคอผู้หญิงคนนี้ให้ตายไปซะ แล้วยิ้มพูดว่า : "เธอกับหนิงเส่าเฉินมีลูกด้วยกันสองคน ฉันเชื่อว่า เย่หลินจะมองออกว่าระหว่างลูกกับเรื่องของบุญคุณความแค้นอะไรที่สำคัญ ในเวลานั้น พ่อของเรา เราก็ไม่เคยเห็นเลย เธอจะไม่เลิกกับหนิงเส่าเฉินเพราะคนที่ไม่มีความผูกพันด้วยหรอก"

"คุณแน่ใจเหรอ? " เฉินอีอีอมยิ้ม "คุณก็ไม่กล้าแน่ใจใช่ไหมล่ะ? " เธอสูดลมหายใจเข้า และพูดกระซิบข้างๆ หูเกาไห่ "อย่างนั้นคุณก็ช่วยฉัน ขอเพียงแค่ฉันได้หนิงเส่าเฉินมา ฉันรับประกันว่าเรื่องเหล่านี้ ฉันจะไม่แพร่งพรายออกมาเลย"

เกาไห่สูดลมหายใจ หันกลับดึงเธอออกไปห่างๆ "เฉินอีอี วันๆ คุณทำแต่เรื่องเหล่านี้ คุณไม่กลัวว่าวันหนึ่งจะถูกกรรมตามสนองเหรอ? "

"โอเค ฉันจะส่งวิดีโอไปให้คุณทางอีเมล"

เห็นเธอกำลังจะไป เกาไห่ก็ชำเลืองมอง "คุณรู้ใช่ไหมว่าเกาเหวินอยู่ที่ไหน? "

เฉินอีอีมองเกาไห่ เงียบอยู่นาน "คุณอยากรู้เหรอ? รอให้ฉันได้หนิงเส่าเฉินก่อน แล้วฉันจะบอกคุณ"

พูดจบ ก็หันกลับออกไป

พร้อมกับประตูที่ปิดลง เกาไห่ก็รีบโทรไปหาหนิงเส่าเฉิน "คุณส่งคนตามเธอไป เธอต้องการจะให้วิดีโอเกาเหวินแก่ฉัน ต้องมีพิรุธอย่างแน่นอน อืม โอเค ฉันจะไปเดี๋ยวนี้"

หลังจากวางสาย เกาไห่จึงหยิบกุญแจรถบนโต๊ะแล้วเดินออกไป

เสี่ยวตงเห็นเช่นนี้จึงพูดว่า "ประธานเกา ไม่ใช่บอกว่าตอนบ่ายต้องไปสถานที่ก่อสร้างในเขตชานเมืองเหรอ? "

เกาไห่หยุดฝีเท้า "อืม ถึงเวลา ฉันจะเข้าไป"

บริษัทซีเอกซ์

"พี่ ทำไมเส่าเฉินต้องส่งฉันไปด้วย? ตกลงพวกคุณคิดจะทำอะไร? บอกว่าให้ทุกคนร่วมแสดงละครด้วยกันไม่ใช่เหรอ? ทำไมต้องให้ฉันออกไปก่อนด้วยล่ะ? " ก่อนหน้าที่เกาไห่จะมา เย่หลินก็เก็บข้าวของเรียบร้อยแล้ว

"เธอสามารถลงมือได้ เส่าเฉินจึงให้ฉันพาคุณและพวกเด็กๆ ส่งไปที่บ้านของแม่สามีคุณ รอเรื่องราวจบสิ้นแล้ว พวกคุณค่อยกลับมา"

เย่หลินสูดลมหายใจเข้า "พี่ เธอคนเพียงเดียว จะพลิกฟ้าได้เลยเหรอ อีกอย่าง พวกคุณ……"

เกาไห่หันตัวกลับ มองเย่หลินด้วยสีหน้าเคร่งขรึม "คุณไม่เป็นห่วงตัวเอง คุณไม่เป็นห่วงลูกทั้งสองคนเหรอ? เธอคนนี้ เป็นบ้าเสียสติมานานแล้ว หากกดดันให้เธอเป็นกังวล ไม่ว่าเรื่องอะไร เธอก็สามารถทำได้ทั้งนั้น"

ความเป็นห่วงของเขา ทำให้เย่หลินกลืนคำพูดที่อยู่ในคอกลับคืนไป "อืม อย่างนั้นก็ได้ ฉันเชื่อพวกคุณ"

กลับไปเก็บของอีกเล็กน้อย เย่หลินจึงพาหนิงเสี่ยวซีและเย่เสี่ยวโม่ตามเกาไห่ไป ขณะเดินทางไปสนามบิน

หนิงเส่าเฉินที่นั่งอยู่ในรถ เห็นเย่หลินและพวกเขาเข้าไปในสนามบิน ก็ส่งข้อความหนึ่งให้เธอ "ไม่อยากให้คุณไปเลย"

เย่หลินก้มหน้า ปิดบังรอยยิ้มในสายตา "อย่างนั้นก็รีบทำเรื่องราวให้จบสิ้น แล้วก็มารับพวกเรากลับไป"

"โอเค! "

หนิงเส่าเฉินไม่เคยคิดเลยว่า พอเย่หลินไป โชคชะตาของพวกเขา จะมาถึงที่สุดด้วยเหตุผลนี้

หลังจากเกาไห่ส่งเย่หลินและพวกเขาไปแล้ว ก็ขับรถออก โดยไม่รู้ตัว ช่วงนี้ในสมองก็ปรากฏสถานที่นั้นอยู่บ่อยๆ นั่งอยู่ในรถ มองไปนอกหน้าต่าง ความคึกคักในอดีตนั้น เวลานี้ไม่มีแล้ว บังกะโลสามหลังในพื้นที่เปิดโล่ง เงียบสงัดไปอย่างชัดเจน

ในประตูกระจก คนที่อุ้มเด็กอยู่นั้น คือเล่อจยา สายตาก็มืดมนลงไปในชั่วพริบตา

เท้าเหยียบลงที่คันเร่ง รถก็พุ่งออกไปราวกับธนูพุ่งออกจากสาย

ในก้นบึ้งของหัวใจ ตามระยะทางที่ห่างออกไป ก็เหมือนกับพื้นที่ที่ว่างเปล่า ที่แท้ เธอมีลูกแล้ว

คิดถึงตรงนี้ เขาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกตลกตัวเอง ช่วงหลายวันมานี้ ในสมองปรากฏรอยยิ้มนั้นไม่หยุด สลัดทิ้งไม่ออกเลย

เห็นไฟท้ายรถนั้นที่หายไปจากสายตา ซูหย่าก็ไม่เข้าใจเล็กน้อย เมื่อกี้เธอมองพลาดไปเหรอ? ทำไมถึงรู้สึกว่าคนนั้น คล้ายกับเกาไห่ล่ะ?

""เอี๊ยด" เสียงล้อรถเสียดสีกับพื้น ดังมาจากด้านหลังซูหย่า ดึงความรู้สึกนึกคิดของเธอกลับมา

ซูหย่าหันกลับ เห็นในรถตำรวจคันหนึ่ง มีตำรวจสองนายลงมา แล้วก็วัยรุ่นสองคน

เธอขมวดคิ้ว เข้าไปหา "พวกคุณคือ? "

คนสองสามคนมองเธอเป็นตาเดียว ตำรวจเดินมายังตรงหน้า แล้วเอ่ยปากว่า "ฉันอยากสอบถามว่า เล่อจยาอยู่ที่นี่ใช่ไหม? "

ซูหย่าพยักหน้า "ใช่ค่ะ! "

แล้วจึงเดินไปยังด้านหน้าสองสามก้าว "จยา มีคนมาหา"

เล่อจยากำลังเปลี่ยนผ้าอ้อมให้เสี่ยวเจ๋ออยู่ ได้ยินเธอพูดแบบนี้ จึงไม่ได้เงยหน้ามอง กล่าวถามไปอย่างไม่สนใจว่า: "ใครเหรอ? "

"เสี่ยวเอินเอิน….." ด้วยเสียงร้องที่ดัง ซูหย่ารู้สึกเพียงว่ามีกลิ่นหอมลอยมาจากในอากาศ

หันกลับไป ก็เห็นผู้หญิงคนนั้น แย่งเด็กไปจากในมือของเล่อจยาแล้ว กอดเอาไว้ในอ้อมกอด จูบไม่หยุด บนใบหน้าเต็มไปด้วยน้ำตา ทันใด เธอก็เห็นเล่อจยาทึ่มทื่อไป

เล่อจยาหันกลับไปมองพ่อเล่อ ถึงแม้พ่อเล่อจะไม่ได้พูดอะไร แต่เธอก็เข้าใจ ว่าพ่อยังอยากจะเก็บเด็กคนนี้ไว้

เสี่ยวเล่อเป็นพ่อของเขา เช่นนั้นเสี่ยวเล่อไม่อยู่แล้ว เด็กคนนี้ก็เป็นรากเหง้าของตระกูลเล่อ

แต่เธอก็เข้าใจได้ว่า ถ้าตนเองเห็นด้วยที่จะเก็บเด็กคนนี้ไว้ มันหมายความว่าอะไร มันจะหมายความว่า ตลอดชีวิตนี้ของเธอ ก็ต้องพังทลายไป

ถึงแม้ว่าพ่อจะอายุยังไม่มากนัก แต่สองสามปีมานี้ น้ำตาลในเลือดขึ้นตลอด สภาพร่างกายทรุดโทรมลง อย่าพูดถึงดูแลเด็กเลย ให้ดูแลตัวเขาเองยังยาก

เสียงประตูเปิดออก"แกร๊ก"

"คุณลุง" ซูหย่าเอ่ยปากเรียก

เล่อจยาไม่ได้หันกลับไปมอง ในใจกำลังว้าวุ่นอย่างมาก

จู่ๆ พ่อเล่อก็คุกเข่าลงตรงหน้าเธอ

เล่อจยาขอบตาแดง "พ่อ นี่คุณทำอะไรนะ? "

"จยาจยา ชั่วชีวิตนี้พ่อต้องขอโทษคุณด้วยนะ แต่ว่า เสี่ยวเล่อเขาก็เป็น……”

เชือกที่ตึงอยู่ในใจ ท้ายที่สุดก็ขาดออก ต่อให้เล่อจยาเตรียมใจไว้แล้ว ชั่วขณะนี้ ยังตกตะลึงจนไม่มีปฏิกิริยาตอบกลับ

"พ่อ……” เธอเอามือปิดหน้า ปล่อยออกอีกครั้ง แล้วสูดลมหายใจ "พ่อ คุณจะทำแบบนี้กับฉันได้อย่างไร? "

พ่อเล่อยกมือขึ้นค้างไว้กลางอากาศ สั่นเทาเล็กน้อย เขามองเล่อจยา น้ำตาไหลพราก "จยาจยา เขาก็เป็นรากเหง้าของตระกูลเล่อของเรา"

รากเหง้า? อย่างนั้น แล้วเธอล่ะ? เธอสมควรที่จะตกเป็นเหยื่อของตระกูลเล่อใช่ไหม?

ในตอนนั้นเพราะว่าเธอต้องดูแลพ่อ จึงลาออกจากงานที่รัก หลายปีมานี้ ก็ขายอาหารริมทาง ดูแลพ่อ แล้วยังต้องใช้หนี้ผู้หญิงคนนั้นอีก

ในที่สุดก็โชคดีอย่างหาได้ยาก ต้องถูกรื้อถอน ใช้หนี้หมดแล้ว แต่ก็มีเด็กเข้ามา

"พ่อ อย่างนั้นฉันล่ะ? ฉันมีลูกแล้ว แล้วใครจะต้องการฉันล่ะ? " เธอพูดถึงตรงนี้ ก็ร้องไห้โฮ เหมือนกับทุกความน้อยใจในช่วงหลายปีที่ผ่านมาแสดงออกมาเป็นน้ำตา

ซูหย่าเห็นท่าทีของเธอ ก็ร้องไห้ตาม "คุณลุง คุณลุง พวกคุณทำกับเล่อจยาอย่างนี้ จริงๆ มันก็ไม่ยุติธรรมนะ เธออายุ 27แล้ว เดิมทีแฟนก็ไม่มี พวกคุณยังจะเอาเด็กมาให้เธออีก ผู้ชายคนไหนจะต้องการเธอล่ะ? "

พ่อเล่อยังคงคุกเข่าอยู่บนพื้น สองแขนค้ำต้นขาไว้ ก้มหน้าลงร้องไห้ เปียกชื้นกางเกงสีเทาที่ใส่อยู่ ดูเหมือนว่าเขาก็ลำบากใจ

สักพักก็เห็นเขาลุกยืนขึ้นมา "จยา……จยา คุณอย่าร้องเลยนะ เป็นพ่อที่เห็นแก่ตัวเกินไป" พูดจบ เขาก็ก้มลงไปอุ้มเด็ก

"ฉันส่งเขาไปที่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้า"

เด็กคนนั้นเหมือนกับว่าได้ยิน เล่อจยาเพิ่งจะพูดจบ เขาก็ร้องไห้ออกมา

แต่เล่อจยาเหมือนไม่ได้ยิน เข้าห้องไปหยิบกระเป๋าเสื้อผ้า แล้วเดินออกไปข้างนอก

ในที่สุดซูหย่าก็โล่งอก

จู่ๆ เล่อเจียก็พูดขึ้นว่า : "อยู่ต่อเถอะ อย่างมากก็แค่ ไม่ได้แต่งงานตลอดชีวิต"

น้ำเสียงเธอเบามาก แต่ก็เพียงพอที่จะปกปิดเสียงร้องไห้ของลูกได้ แล้วพ่อเล่อก็ได้ยิน

ความประหลาดใจประกายทั่วใบหน้าของพ่อเล่อ จากนั้น เขาก็หันไปมองเล่อจยา "จยาจยา……”

"คุณบ้าไปแล้วเหรอ เล่อจยา คุณให้เขาอยู่ต่อ ชั่วชีวิตนี้ของคุณก็จบสิ้นแล้วนะ"

เล่อจยามองซูหย่า "ถ้าไม่เก็บเขาเอาไว้ ชีวิตนี้ของชายชราก็คงจบสิ้น" พูดจบ เธอก็คล้ายกับนึกอะไรได้ในชั่วพริบตา ยิ้มเล็กน้อย แล้วลุกขึ้นยืน รับเด็กที่ร้องไห้ไม่หยุดจากในมือของพ่อเล่อ "มา มาหาป้า…..อื้ม ช่างเถอะ คุณเรียกฉันว่าแม่แล้วกัน ต่อไป ฉัน คุณ แล้วก็ปู่ของคุณ เราสามคนจะใช้ชีวิตด้วยกัน"

"เล่อจยา คุณบ้าไปแล้วเหรอ? แม่อะไรกัน เรียกป้าสิ ถึงเวลา คุณก็สามารถอธิบายกับคนอื่นได้ บอกว่า……"

"ซูหย่า รับปากฉัน นี่คือความลับระหว่างพวกเรา อย่าพูดออกไป ในเมื่อฉันรับผิดชอบชีวิตของเขาแล้ว ฉันก็ควรจะปฏิบัติต่อเขาอย่างยุติธรรม ฉันไม่อยากให้เขาอยู่อย่างไม่มีความสุขไปตลอดชีวิต" พูดจบ เธอก็หยิกที่แก้มของเด็กเล็กน้อย "อืม ต่อไปนี้ คุณชื่อเล่อเสี่ยวเจ๋อ เจ๋อที่แปลว่าจุดเปลี่ยน โอเคไหม? คุณคือ……จุดเปลี่ยนของชีวิตแม่"

น้ำตาไหลริน

พูดจบ จู่ๆ มือถือที่วางอยู่บนโต๊ะก็ดังขึ้น

เล่อจยาอุ้มเด็กอยู่ จึงแสดงเจตนาให้ซูหย่าช่วยกดรับสายให้เธอ "ฮัลโหล….."

"สวัสดีค่ะ พวกเราคือแผนกออกแบบเกากรุ๊ป ฉันต้องการสอบถามว่า คุณเล่อ คุณต้องการสละสิทธิ์งานนี้จริงๆ เหรอคะ? "

เพราะเปิดลำโพง เล่อจยาจึงได้ยินชัดเจนอย่างมาก

แน่นอนว่าพ่อเล่อก็ได้ยิน เขามองลูกสาวของตนเองอย่างไม่อยากจะเชื่อ ในสายตาปรากฏความทุกข์ใจอย่างแสนสาหัส เขาจึงเอ่ยปากว่า: "จยาจยา คุณไปทำงานเถอะ ส่วนเด็ก จะเรียกพี่เลี้ยงมา แล้วฉันจะช่วยดูให้คุณเอง"

เล่อจยามองเล่อเสี่ยวเจ๋อที่อยู่ในอ้อมกอด ลังเลใจเล็กน้อย "แต่ว่า พ่อ เสี่ยวเจ๋อยังเด็กขนาดนี้ ร่างกายของคุณก็ไม่ดี ฉันเป็นห่วง"

คิดๆแล้ว ก็พูดกับในมือถือว่า: "ต้องขอโทษด้วยนะคะ ฉัน…..ลูกชายฉันไม่มีคนดูแล พ่อฉันก็ร่างกายไม่ค่อยดี คิดๆแล้ว ก็ช่างเถอะ ต้องขอโทษอย่างมากจริงๆ "

พูดจบ เธอก็อุ้มเล่อเสี่ยวเจ๋อเดินออกไป

ด้านนอกร้อนมาก ลมพัดเข้ามา ไม่มีความเย็นแม้แต่น้อย แต่หัวใจของเล่อจยา กลับเย็นเฉียบ เธอเงยหน้า มองท้องฟ้า ฉีกริมฝีปากยิ้ม แก้มลูกสาลี่ปรากฏชัดเจน เธอยิ้มเล็กน้อย "เกาไห่ ลาก่อนนะ"

เวลานี้ที่เกากรุ๊ป

"คนคนนี้แปลกประหลาดจริงๆ ในเมื่อรู้ว่าตนเองมีคนแก่ แล้วก็มีเด็ก เมื่อวานยังจะมาสอบสัมภาษณ์ทำไมอีก? "

คนรับผิดชอบกำลังบ่นตำหนิ แต่เกาไห่ขมวดคิ้ว ลูกชายของเธอ?

วันนั้น เธอไม่ใช่ไปหาคู่เหรอ? แล้วจะมีลูกชายได้ยังไง? ใบหน้ามืดมนลงไปทันที

หัวตัวออกจากแผนกออกแบบ

พอลิฟต์เปิด ก็มีผู้ช่วยอีกคนหนึ่งเข้ามา "ประธานเกาครับ คุณเฉินท่านนั้น อยู่ที่ห้องทำงานของคุณ บอกว่ามีธุระกับคุณครับ"

เกาไห่สายตาเคร่งขรึม สูดลมหายใจเข้า พยักหน้า แล้วเปิดประตูเข้าไปในห้องทำงาน

เฉินอีอีเห็นเขากลับมา ก็ลุกขึ้นจากโซฟา เดินอ้อมเขา ไปล็อกประตูที่ด้านหลังของเขา

เกาไห่ชำเลืองมองเธอ "คุณมาทำไม? "

ผู้ชายคนนี้เวลานี้อารมณ์ไม่ดีอย่างมาก ที่คือลางสังหรณ์ของเฉินอีอี เธอขมวดคิ้ว "อาไห่ คุณโกรธฉันเหรอ? "

เดาไห่ไม่พอใจ "กล้าดียังไง? " น้ำเสียงกลับตาลปัตร

"แต่นี่ก็ชัดเจนว่าคุณโกรธ อาไห่ ขอโทษ ที่ฉันไม่อาจหักห้ามใจได้…..อีกอย่าง เดิมทีคุณก็เพียงแค่ให้ฉันแกล้งเป็นแฟนของคุณเท่านั้น เพื่อทำให้น้องสาวคุณไม่ต้องกังวลจนเกินไป ตอนนี้ ฉันก็แค่ยุติความร่วมมือของพวกเราก่อนกำหนดก็เท่านั้น"

"พูดมาตรงๆ เถอะ คุณมามีธุระอะไร? " เกาไห่มองผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้า ทันใดก็หมดความอดทน แม้แต่ความปรารถนาเดิมที่จะแสดงละคร ก็ไม่เหลือ รู้สึกอารมณ์หงุดหงิดอย่างบอกไม่ถูก

เฉินอีอีดึงชายเสื้อของเกาไห่ พูดกระซิบว่า: "อาไห่ มีเรื่องหนึ่ง ที่ฉันอยากจะให้คุณช่วยเหลือ"

"เล่อจยา คุณว่าสวรรค์เริ่มจะเอาใจใส่คุณแล้วใช่ไหม? ช่วงนี้เหมือนจะมีแต่โชคดี"

เล่อจยาสูดลมหายใจเข้า ใช่ มันเป็นที่สุดของชีวิตที่ทำให้เธอรู้สึกมีชีวิตชีวา รู้สึกดีอย่างมาก

วันนี้เธอคิดว่าตนเองแสดงออกมาได้ธรรมดามาก คาดไม่ถึงว่าจะได้รับเลือก

นำบาร์บีคิวชิ้นสุดท้ายให้ซูหย่า "คุณทานเยอะๆ หลายปีมานี้ที่อยู่ด้วยกันกับฉัน ก็ได้รับความทุกข์มาไม่น้อย"

ซูหย่าเป็นข้าราชการรุ่นที่สาม และเป็นลูกคนรวย ก่อนที่จะรู้จักเล่อจยา ความโกรธเกรี้ยวของเธอเป็นที่รู้จักกันในโรงเรียน ดื้อรั้นไม่เชื่อฟังจนครูก็ปวดหัว

จนกระทั่งครั้งหนึ่ง ไปแย่งแฟนของดาวโรงเรียน เลยถูกแก้แค้นจนเกือบถูกทำร้ายร่างกาย โชคดีที่เล่อจยาช่วยไว้ได้ทัน

ในตอนนั้นเธอได้ตัดสินใจ ว่าตลอดชีวิตนี้จะปฏิบัติต่อดีต่อเล่อจยา น่าเสียดายที่เล่อจยาไม่คิดว่าเป็นคนประเภทเดียวกัน จึงได้ปฏิเสธเธอตลอด หลังจากถูกเธอพัวพันมาหนึ่งปี จึงได้มีวันนี้ ตลอดปีนี้เอปรับเปลี่ยนนิสัย เปลี่ยนความเกรี้ยวโกรธ ถูกเล่อจยาเปลี่ยนจากสาวอ่อนโยน เป็นสาวห้าว

เสิร์ฟจาน ถูพื้น เรื่องอะไรที่ก่อนหน้านี้ไม่เคยทำ เธอก็ทำหมด

ทั้งสองคนกลับมาถึงบ้านของเล่อจยา หน้าบ้านก็มีรถเข็นเด็กวางอยู่

เล่อจยาขมวดคิ้วแล้วมองหน้าซูหย่า รถเข็นเด็กเหรอ?

เธอยังไม่ทันได้ผลักประตูออก ก็ได้ยินเสียงเด็กร้องไห้ออกมา

อดไม่ได้ที่จะตกตะลึง ผลักประตูเปิดออก ก็เห็นในมือพ่อเล่ออุ้มเด็กชายคนหนึ่งอยู่

"พ่อ นี่คือ……”

พ่อเล่อสีหน้าไม่ค่อยดี แววตาเหม่อลอย "คุณดูเองเถอะ"

บนโต๊ะมีซองเอกสารหนึ่งอัน หลังจากเล่อจยาหยิบออกมาอ่านๆ ดู สีหน้าก็ซีดเผือด

"พ่อ นี่หมายความว่าอะไร? " น้ำเสียงเธอสั่นเครือเล็กน้อย

เด็กน้อยในมือร้องไห้งอแงอยู่ แต่ไม่มีใครมีอารมณ์จะไปสนใจเขาเลย

"ทำไมต้องใช้ชื่อฉัน? ทำไม? เธอยังทำร้ายฉันไม่พอใช่ไหม? " บนสูติบัตรของเด็กคนนั้น ตรงชื่อมารดา เขียนไว้ว่าเล่อจยา

ผู้หญิงคนนี้บ้าไปแล้วใช่ไหม แฟนเธอยังไม่มีสักคน เธอจะมีลูกมาคนหนึ่งได้อย่างไรล่ะ?

พ่อเล่อน้ำตาไหล "ขอโทษนะ จยาจยา"

เล่อจยาสูดลมหายใจเข้าแล้วส่ายหัว "พ่อ นี่มันไม่ใช่เรื่องที่ต้องกตัญญูนะ นี่คือเธอต้องการจะทำร้ายฉันให้ตายเลยใช่ไหม? แฟนฉันยังไม่เคยมีเลย แล้วฉันจะมีลูกได้อย่างไร? อีกทั้งก่อนหน้านี้เธอบอกเองไม่ใช่เหรอ ว่าเสี่ยวเล่อกับคุณไม่มีความสัมพันธ์อะไรกัน? แล้วตอนนี้ ต้องการให้เราเลี้ยงเด็ก แล้วนำหนังสือรับรองมาด้วย พ่อ เธอทำอย่างนี้กับเราได้อย่างไร? "

ในแฟ้มเอกสารนั้น ยังมีหนังสือรับรองของเด็กคนนี้กับพ่อเล่อ แล้วก็มีสูติบัตรของเด็กด้วย

พูดจบ เธอก็เดินไปข้างหน้ารับเด็กจากในมือพ่อเล่อ "ไป เราจะไปหาเธอ เอาเด็กคืนเธอไป"

เด็กคนนี้ก็แปลก อยู่ในมือพ่อเล่อร้องไห้งอแง แต่พออยู่ในมือเล่อจยา กลับสงบนิ่ง จ้องมองเล่อจยาตาแป๋ว ใบหน้าขาวๆ เล็กๆ ดูน่ารักน่าชัง

"จยาจยา คุณอย่าใจอ่อนนะ เด็กคนนี้ คุณต้องส่งกลับไป มิเช่นนั้นตลอดชีวิตคุณต้องพังเป็นแน่" ซูหย่ามองเด็กที่อยู่ในมือของเล่อจยา แล้วก็รีบพูดเตือนสติ

"อีกอย่าง พรุ่งนี้คุณต้องไปทำงานที่เกากรุ๊ปแล้ว ในบ้านมีเด็ก สุขภาพคุณลุงก็เป็นอย่างนี้ คุณไปไม่ได้แน่"

ซูหย่ารู้ว่า ก่อนหน้านี้ที่เล่อจยาลาออก ก็เพราะอาการของพ่อที่ไม่ดี อีกทั้งหนี้ที่ค้างชำระ เงินเดือนที่ทำงานของเธอก็ไม่สามารถแบกรับภาระค่าใช้จ่ายได้โดยสิ้นเชิง การเปิดร้านขายอาหารถึงแม้จะลำบาก แต่ก็มีรายได้ที่ไม่เลวเลย

เดิมทีที่คิดว่า หนี้สินกำลังจะหมดแล้ว อย่างนั้นเธอก็สามารถไปทำงานได้แล้ว แต่นี่……

เล่อจยาดึงสติกลับมา ใช่แล้ว เธอไม่ควรจะใจอ่อนแบบนี้ ขืนเธอใจอ่อนต่อไป ชั่วชีวิตนี้ของเธอก็ต้องถูกทำลายไปจริงๆ

หลับตาลงแล้วลืมตา "พ่อ พวกเราต้องเอาเด็กคืนให้เธอไป พวกเรามีเหตุผลอะไรที่จะต้องเลี้ยงดูเด็กแทนเธอ เธอก็รู้ว่าพวกเราจะต้องย้ายบ้านแล้ว ดังนั้น เธอจึงจงใจที่จะทำแบบนี้"

แต่พ่อเล่อถอนหายใจอย่างแรง ดึงมือของเล่อจยา ในสายตาล้วนเจ็บปวด "จยาจยา ครั้งนี้ คุณเข้าใจเธอผิดแล้วจริงๆ "

เขาเงยหน้ามองไปยังเด็ก สายตาอ่อนโยนอย่างมาก "เสี่ยวเล่อกับแม่ของเด็กคนนี้ เกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์เสียชีวิต หลังจากแม่เสียชีวิตก็ต้องผ่าคลอดเด็กออกมา คาดว่าเธอกลัวว่าเด็กจะมีปมด้อย จึงเขียนชื่อของคุณ ต่อมา เธอก็เลี้ยงเด็กคนนี้มาโดยตลอด ใครจะคาดคิดว่า ก่อนหน้านี้ไม่นาน เธอเพิ่งตรวจพบว่าเป็นโรคที่ไม่มีทางรักษาหายได้ มีชีวิตอยู่ได้ไม่เกินสองเดือน จึงได้มาหาฉัน"

เล่อจยาที่อุ้มเด็กอยู่ อดไม่ได้ที่จะโซเซถอยหลังไปสองสามก้าว เสี่ยวเล่อ…..ตายแล้ว? น้องชายของเธอตายแล้ว? เมื่อตอนนั้นที่ไป น้องชายที่โอบกอดเธอไม่ยอมปล่อยมือ ตายแล้วเหรอ?

ถึงเธอจะเป็นผู้หญิงที่เด็ดเดี่ยว แต่กับเสี่ยวเล่อ ที่อยู่ด้วยกันตั้งแต่เล็กจนโต ความรักความผูกพันของพวกเขา ก็ดีมาโดยตลอด เวลานั้นที่รู้ว่าไม่ใช่น้องชายแท้ๆ เธอก็เสียใจอยู่นานมาก แต่เวลานี้เข้าใจชัดเจนแล้ว แต่เขาก็ตายไปแล้ว ถึงแม้จะได้ยินว่าเธอก็ป่วยเป็นโรคที่รักษาไม่หาย แต่ก็เทียบไม่ได้กับการตายของเสี่ยวเล่อ ที่ทำให้เธอช็อกอย่างที่สุด

วันต่อมา เกาไห่ไปบริษัทแต่เช้า

หลังจากที่ทุกคนเข้าทำงาน เขาก็ไปยังแผนกออกแบบเป็นครั้งแรกของประวัติการณ์

คนรับผิดชอบของแผนกออกแบบเห็นเขาเข้ามา ก็แปลกใจอย่างมาก เสี่ยวตงที่ยืนอยู่ข้างๆ จึงเอ่ยปากว่า "ประธานเกาเข้ามาดู พนักงานใหม่สามคนที่สอบสัมภาษณ์ผ่านเมื่อวาน"

คนรับผิดชอบตะโกนเรียกไปยังด้านหลัง สองคนเดินเข้ามา แต่ไม่มีเล่อจยา

เกาไห่หันหน้ากลับ มองเสี่ยวตง "เมื่อวานบอกกับคุณไปแล้วไม่ใช่เหรอ? "

เสี่ยวตงถามคนรับผิดชอบ "เอ่อ ทำไมมีแค่สองคน แล้วอีกคนหนึ่งล่ะ? "

คนรับผิดชอบนิ่งอึ้ง แล้วจึงตอบสนองกลับมา "อ๋อ อีกคนหนึ่งชื่อเล่อจยา เมื่อเช้าโทรศัพท์เข้ามา บอกว่าไม่มาแล้ว มีปัญหาในครอบครัวเล็กน้อย"

เล่อจยาร้องไห้ทั้งคืน ซูหย่าเป็นห่วงเธอ กลางคืนเลยไม่ได้กลับไป

ตอนเช้าตื่นขึ้นมา ตาของเล่อจยาบวมอย่างมาก

"จยาจยา ไม่อย่างนั้น ก็เอาเด็กให้คนอื่นไปไหม? หรือให้สถานสงเคราะห์ไป แล้วพวกเราก็ส่งเงินไปให้บ้าง เป็นยังไง? "

เล่อจยาทานโจ๊กไม่พูดจา พ่อเล่อตั้งแต่เมื่อวานตอนเย็น ก็นอนอยู่บนเตียง วันนี้ข้าวเช้าก็ยังไม่ได้ทาน

เล่อจยาหันกลับ เด็กคนนี้ไม่รู้ว่ารู้เรื่องอะไรหรือเปล่า เมื่อคืนวานนอนด้วยกันกับพวกเธอ ก็นอนหลับไปจนถึงเช้า

ข้อมูลที่เขียนนั้น เด็กคนนี้เพิ่งอายุได้9เดือนกว่าๆ

"จยาจยา คุณอย่าใจอ่อนนะ คุณก็บอกว่าคุณอายุ27แล้ว ถ้าคุณพาภาระไปด้วยแบบนี้ ผู้ชายคนไหนยังจะกล้าต้องการคุณอีก? ฉันว่าหญิงแก่ตายยากคนนั้นของพวกคุณ ชาติก่อน คุณคงติดหนี้เธอไว้แน่ๆ ชาตินี้เธอถึงได้ฆ่าคุณทั้งเป็นแบบนี้"

ซูหย่าอารมณ์ฮึกเหิมเล็กน้อย จึงเลือกคำพูดมาบรรยายไม่ถูก

เล่อจยารู้ว่า หญิงแก่ตายยากจากปากของเธอนั้น คือแม่ของเธอ แต่เธอก็ไม่ได้โกรธ

เธอก็เกลียดเธอจริงๆ

เห็นเธอไม่พูดจามาโดยตลอด ซูหย่าก็ร้อนใจ

ผลักไหล่ของเธอ "คุณพูดอะไรบ้างสิ? "

"เธอลาออกแล้ว" หนิงเส่าเฉินพูดจบ ก็บีบๆ หน้าเย่หลิน

เย่หลินดื่มน้ำเต้าหู้อยู่ ก็ขมวดคิ้ว "ลาออก หน้าที่การงานดีแบบนี้ เธอไม่เสียดายเหรอ? ดูเหมือนว่า คุณจะยังแพรวพราวไม่พอ? "

เกาไห่กระแอมเบาๆ "พวกคุณค่อยๆ ทานกันไป ฉันจะไปบริษัทก่อน" เดินไปสองก้าวก็หยุดลง มองเย่หลิน "เย่หลิน ฉันว่าฉันอยากจะย้ายออก"

ตะเกียบในมือเย่หลินตกลงบนพื้น เธอขมวดคิ้ว "พี่ คุณทำอย่างนี้ได้อย่างไร? หนิงเส่าเฉินมีเมียน้อย คุณก็ไม่ต้องการฉันแล้วเหรอ? ไม่ใช่ว่าคุณก็มีผู้หญิงคนอื่นแล้วใช่ไหม? "

พูดจบก็ก้มหน้า ทำท่าทางท้อแท้ใจ

หนิงเส่าเฉินกับเกาไห่มองหน้ากัน "อยู่ไปก่อนเถอะ รอให้จบเรื่องนี้แล้ว ถ้ายังอยากจะย้ายออก ฉันจะไม่โต้แย้งเลย"

เกาไห่ได้แต่ทำเสียง"อืม"

"เล่อจยา คุณอยู่ไหนแล้ว? การสัมภาษณ์จะเริ่มแล้วนะ" ซูหย่าดูเวลา คิ้วขมวดแน่น

เล่อเจียยืนอยู่ที่ป้ายรถเมล์ กระทืบเท้าด้วยความโกรธ สายนี้มีรถประจำทางน้อยมาก อีกทั้งไม่มีรถแท็กซี่ มองรถคันหนึ่งที่เพิ่งขับออกไปตาปริบๆ

เกาไห่มองภาพบุคคลนั้นจนสุดป้ายชานชาลา เขาจงใจชะลอรถ เป็นเล่อจยาจริงๆ ด้วย วันนี้เธอรวบผมหางม้าสูง เดรสแขนกุดสีฟ้าคราม รองเท้าส้นสูง ไม่ได้เจอกันนาน เธอดูมีชีวิตชีวามาก

คิดๆ ดูแล้ว ก็ขับไปตรงหน้าเธอ หยุดรถแล้วลดกระจกลง "ไปไหน ฉันจะพาคุณไป"

เล่อจยากะพริบตาปริบๆ คาดไม่ถึงว่าจะเจอกับเกาไห่ ใจเต้นตุบๆ กัดฟันสูดหายใจเข้าลึกๆ หลังจากที่พยายามสงบอารมณ์ตนเองลงแล้ว ก็ยิ้มให้เกาไห่เล็กน้อย แก้มสาลี่น้อยๆ สองข้างก็โดดเด่นขึ้นมา

"อืม สวัสดีค่ะ……ฉัน……ฉัน……” เล่อจยาไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรดี คิดๆแล้ว ก็สูดลมหายใจเข้า "เอ่อ ฉันจะไปสัมภาษณ์ที่เกากรุ๊ป ไม่ทราบว่าคุณจะผ่านทางนั้นหรือเปล่า? " เวลานี้ ได้แต่แกล้งทำเป็นไม่รู้จักว่าเขาเป็นใคร จึงจะดูฉลาดที่สุด

มิเช่นนั้น เขาจะรู้ว่า เพราะว่าเขาตนเองจึงไปที่เกากรุ๊ป เธอเกรงว่าเขาจะตกใจกลัว

เกาไห่ขมวดคิ้ว อดไม่ได้ที่จะตกตะลึง แล้วกวาดสายตาลึกซึ้งมองเล่อจยา

มองดูเวลา "อย่างนั้นก็ขึ้นรถเถอะ! "

รถขับไปอย่างรวดเร็ว วิวทิวทัศน์นอกหน้าต่างถอยหลังไปอย่างเร็ว

อารมณ์เล่อเจียยังไม่สงบลงมา คนนั่งข้างๆ เธอคือเกาไห่ จิตใจก็ไม่สงบ เธอกลืนๆ น้ำลาย ก็พูดออกมาเบาๆ ว่า : "เอ่อ รบกวนคุณเลย"

เวลานี้ไฟแดงพอดี เกาไห่เลิกคิ้วหันไปมองเธอ "คุณไปสัมภาษณ์ตำแหน่งอะไร? "

เล่อจยาถูกน้ำเสียงของเขาทำให้ใจสั่น พูดตอบกลับเบาๆ ว่า : "ออกแบบ" คิดๆ แล้วก็พูดเสริมว่า "ออกแบบสถาปัตยกรรม"

"ร้านอาหารของคุณไม่เปิดแล้วเหรอ? " เกาไห่พยายามทำให้ตนเองแสดงออกอย่างอ่อนโยนลงเล็กน้อย

เมื่อได้สติกลับมา เล่อจยาจึงพยักหน้า "อืม บ้านฉันโดนรื้อถอน เปิดไม่ได้แล้ว! "

เกาไห่มองเธอ "รื้อถอน? เช่นนั้นก็เป็นเรื่องดีนะสิ เพียงทำไมคุณดูไม่มีความสุขเลยล่ะ? "

พอดีกับเวลานี้มือถือสั่นขึ้นมา นิ้วเรียวยาวของเกาไห่หยิบมือถือขึ้นมา เห็นว่าเป็นเฉินอีอีเลยไม่ได้รับสาย กดวางสายไป แล้วหันไปมองเล่อจยาเหมือนรอคำตอบของเธอ

เล่อจยาส่ายหัว "ดีใจ ดีใจอย่างแน่นอน นี่ก็เหมือนถูกลอตเตอรี่เลย วันนี้ฉันไปสัมภาษณ์เลยประหม่าเล็กน้อย"

เกาไห่เม้มปาก ยกยิ้มขึ้นมา

ต่อจากนั้นทั้งสองคนก็ไม่ได้พูดอะไร เมื่อถึงบริษัท รถยังไม่ทันหยุดดี เล่อจยาก็เปิดประตูลงไปเลย

เกาไห่เห็นท่าทีที่รีบร้อนออกไปของเธอ จึงขมวดคิ้ว ก้มหน้ามองตัวเอง เขาน่ากลัวขนาดนี้เลยเหรอ?

ซูหย่ายืนอยู่ด้านใน ดังนั้น จึงไม่เห็นว่าเล่อจยาลงมาจากในรถของเกาไห่ เพียงแค่เห็นเธอเข้ามา ก็โล่งอก "จยา คุณมาแล้วเหรอ? ยังดี ยังทันเวลา"

เล่อจยาสับสนงุนงง สูดลมหายใจเข้าลึกๆ ฉีกริมฝีปากยิ้ม "ใช่ ยังดี"

ต่อจากนั้น เธอจึงเห็นว่า ในสถานที่นี้มีคนเป็นร้อยคน จึงตะลึงงัน "ซูหย่า คนเหล่านี้ ล้วนมาสัมภาษณ์ทั้งหมดเลยเหรอ? "

ซูหย่าดึงมุมเสื้อของเล่อจยา "ฉันก็เพิ่งจะรู้เหมือนกัน คุณบอกว่า รับสมัครทั้งหมดสามคนเท่านั้น นี่….มันเกินจากที่จินตนาการไปเยอะเลยนะ"

ในใจของเล่อจยาก็ยิ่งสับสนอลหม่าน ความรู้สึกเลื่อนลอย จิตใจไม่สงบ

คุณพระ คนเยอะแยะขนาดนี้ ประกาศรับสมัครสามคน ดูท่า วันนี้เธอไม่มีหวังโดยสิ้นเชิง

ห้องทำงานท่านประธาน เกาไห่ชี้ไปที่ภาพบนหน้าจอคอมพิวเตอร์ "เสี่ยวตง คนคนนี้ ตกลงกันเป็นการภายใน"

เสี่ยวตกฟังแล้วไม่เข้าใจ บนใบหน้าเต็มไปด้วยความงุนงง "ตกลง….ตกลงกันเป็นการภายใน? "

โค้งริมปากบางๆ ก้นบึ้งของหัวใจมีความรักความอ่อนโยนปรากฏเป็นระลอก เกาไห่ชำเลืองมองใบหน้าของเล่อจยาที่ตึงเครียด ความอ่อนโยนในสายตา คล้ายกับสามารถหยดลงมาเป็นหยดน้ำได้

คนอย่างเขานี้ไม่เคยลำเอียงในการทำงาน แต่ว่า หลังจากได้พบเล่อจยา เขาก็เริ่มทำเป็นกรณีพิเศษ

ไม่รู้ว่าด้วยสาเหตุใด แต่เขารู้สึกเพียงว่าการทำแบบนี้ เขามีความสุขมาก

เห็นเธอมีความสุข เขาก็มีความสุข

บางทีอาจจะเพราะเป็นก่อนหน้านี้หลายปี ทุกข์ทรมานมามากเกินไป จนกระทั่ง ได้พบกับเล่อจยา มันทำให้เขาเหมือนกับคว้าฟางเส้นหนึ่งที่ช่วยชีวิตเอาไว้ จึงตัดใจทิ้งไม่ลง

"จยาจยา คุณไม่ต้องกังวลไป คุณต้องเชื่อมั่นตัวเอง คุณจบการออกแบบมาด้วยคะแนนที่สูงที่สุดนะ" ซูหย่ามองออกถึงความกังวลของเล่อจยา จึงพูดโน้มน้าวเธออยู่ข้างๆ ไม่หยุด

เล่อจยาหันกลับไปมองเธอ หายใจหอบถี่ ทรวงอกขึ้นลง ที่ปรากฏในสมองอย่างฉับพลัน คือคำพูดสองสามคำที่เกาไห่พูดกับเธอตอนลงจากรถ "ทัศนคติคือทุกสิ่งทุกอย่าง"

หยิบทิชชูออกมาจากในกระเป๋า เช็ดเหงื่อที่อยู่ในมือ สูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วผ่อนออกมาช้าๆ มองซูหย่า อารมณ์สงบลงอย่างมาก "ไม่เป็นไร ถ้าไม่ได้จริงๆ ปีหน้าฉันค่อยมาสอบใหม่ แต่ถ้าฉันสอบสัมภาษณ์ผ่าน คุณต้องเลี้ยงข้าวฉันนะ! "

ซูหย่าโน้มตัวเข้ามาโอบกอดเธอเบาๆ "ได้สิ ฉันจะรอ วันนี้เอาบัตรเอทีเอ็มมาด้วย อยากทานอะไร คุณว่ามาได้เลย"

"คนต่อไป เล่อจยา เชิญเตรียมตัว"

เล่อจยามองซูหย่า ยิ้มเล็กน้อย แล้วหันตัวกลับ

ผ่านไปสามสิบนาที

"เล่อจยา พรุ่งนี้8โมงเช้า เจอกันที่บริษัท"

รอยยิ้มเล็กน้อยบนใบหน้าของเล่อจยาหายไป เธอคว้าเสื้อไว้แน่น ใจลอยไปครู่หนึ่ง แล้วจึงตอบสนองกลับมา มองเจ้าหน้าที่สอบสัมภาษณ์สองสามคน ฉีกยิ้ม กล่าวถามอย่างเสียงสั่นว่า: "หมายความว่า ฉันสอบสัมภาษณ์ผ่านแล้วเหรอคะ? "

เสี่ยวตงยืนกอดอกอยู่ด้านข้าง พอผู้หญิงคนนี้เดินเข้ามา เขาก็เริ่มพิจารณาเธอ มองซ้ายมองขวา ก็มองไม่เห็นถึงความพิเศษอะไรของเธอ นอกจากความรู้ทางวิชาชีพที่ทำให้เขาต้องประหลาดใจอย่างมากแล้ว ทางด้านอื่นๆ ก็ธรรมดาๆ

ชั่วขณะหนึ่งก็ยิ่งไม่เข้าใจว่า เกาไห่ต้องการจะทำอะไรกันแน่

เขาติดตามเกาไห่มาหลายปี เขาไม่เคยปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ด้วยนิสัยนี้ ในตอนนั้น จึงเกิดความเห็นต่างกับพ่อเกาอยู่หลายครั้ง

แต่ทำไมกับผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้า ถึงทำลายกฎเกณฑ์ไปได้ล่ะ?

ภาพเงาของชายรูปร่างสูงใหญ่ที่สังเกตการณ์อยู่ก่อนหน้า หลังจากเห็นภาพเงานั้นออกไปแล้ว ก็ยิ้มมุมปาก

หนิงเส่าเฉินโบกๆ มือให้หลิวซู หลังจากประตูปิดลง ชูหยูจี้เดินไปสองสามก้าว อยู่ตรงหน้าหนิงเส่าเฉิน "ได้รับแล้วไม่ใช่เหรอ? ไม่เห็นคุณค่าแล้วใช่ไหม? หนิงเส่าเฉิน คุณลืมไปแล้วเหรอ ในตอนนั้นคุณทำอย่างไรจึงจะได้เธอมาในครอบครอง? "

พูดแล้ว ก็ยกมือขึ้นจะต่อยหนิงเส่าเฉิน

แต่หนิงเส่าเฉินคว้ามือเขาไว้ "อย่าเพิ่งต่อย ก่อนจะต่อยฉัน คุณฟังฉันพูดสักสองสามคำก่อน"

สิบกว่านาทีต่อมา ชูหยูจี้ก็ขมวดคิ้ว พูดอย่างเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง : "ที่คุณพูด มันจริงเหรอ"

หนิงเส่าเฉินสูดลมหายใจ แล้วนำมือถือโยนไปตรงหน้าเขา "คุณมาทันเวลาพอดี คุณกับอ้ายหมี่ไปเถอะ ฉันเกรงว่านักข่าวเหล่านั้นจะทำร้ายเธอได้"

ชูหยูจี้ชี้ไปตรงหน้าเขา "คุณพูดความจริงมาดีกว่า มิเช่นนั้น แม้ว่าคุณจะเป็นพี่ชายลูกพี่ลูกน้องของฉัน ฉันก็จะปฏิบัติต่อคุณอย่างไม่เกรงใจเลย"

พูดจบ ก็สะบัดแขนเดินออกไป

"คุณเย่ คุณชายหนิงมีรักใหม่ คุณมีอะไรอยากจะพูดไหม? "

"แล้วก็พ่ายแพ้ต่อคนที่มีปัจจัยที่เทียบไม่ได้เลยกับตนเอง คุณเย่ ในใจรู้สึกอย่างไรบ้าง? "

“……”

คำถามของนักข่าวตรงไปตรงมาอย่างมาก

ใบหน้าเย่หลินมีรอยยิ้มโดยตลอด เธอมองกล้องอยู่นาน จึงค่อยๆ พูดออกมาสองสามคำว่า : "กาลเวลาพิสูจน์คน! "

นักข่าวพวกนั้นงุนงงกับคำพูดของเธอ ยังอยากจะถามอะไร ชายคนหนึ่งสวมผ้าปิดปากเดินฝ่ากลุ่มคนมา ยื่นแขนยาวๆ มาดึงเย่หลิน "ไป ขึ้นรถก่อน"

"หยูจี้ คุณกลับมาทางด้านนี้ได้อย่างไร? " นั่งอยู่บนรถ เย่หลินจัดแต่งผมของตนเอง เห็นว่าเป็นชูหยูจี้ก็โล่งอก

เห็นการแสดงออกของเธอไม่ได้เจ็บปวดทุกข์ทรมาน ชูหยูจี้ก็โล่งใจ นำผ้าปิดปากลง แล้วพยักๆ หน้ากับเธอ "ไม่เข้าใจคุณทั้งสองคนเลยจริงๆ ว่าท้ายที่สุดแล้วกำลังทรมานอะไรกันอยู่? "

เย่หลินยิ้ม ไม่พูดอะไร

ถ้าความเจ็บปวดชั่วคราวสามารถแลกกับความสงบสุขชั่วชีวิตได้ เธอคิดว่ามันคุ้มค่ามาก

เมื่อชูหยูจี้ส่งเธอกลับไป หนิงเสี่ยวซีกับเย่เสี่ยวโม่ก็ยืนอยู่หน้าประตู

เห็นเธอลงจากรถ ทั้งสองคนก็วิ่งเข้ามา

เย่เสี่ยวโม่กอดเธอร้องไห้ไม่หยุด หนิงเสี่ยวซีก็สีหน้าหม่นหมอง กัดฟันแน่น ชั่วขณะก็พูดว่า : "แม่ พ่อทำแบบนี้กับคุณจริงๆ เหรอ? "

เย่หลินไม่รู้จะอธิบายอย่างไร โอบกอดเย่เสี่ยวโม่ "เสี่ยวโม่ เสี่ยวซี เราเข้าไปก่อนแล้วค่อยคุยกันนะ"

ถึงอย่างไรหนิงเสี่ยวซีก็โตแล้ว ความเกี่ยวข้องของเธอกับเฉินเป้ยอีก็รู้แล้ว เธอแค่ให้ชูหยูจี้อธิบายกับเขาก็จะเข้าใจเอง

แต่เย่เสี่ยวโม่ทำได้ยาก เธอจะพูดอย่างไร เธอก็ฟังไม่เข้าใจ

ตอนกลางคืนหนิงเส่าเฉินกลับมา เย่เสี่ยวโม่ถือไม้กวาดเข้าไปตีหนิงเส่าเฉิน "คุณเป็นคนไม่ดี คุณเป็นคนเลว ฉันจะไม่เรียกคุณว่าพ่ออีก"

เห็นเย่หลินนั่งทานผลไม้ดูทีวีอยู่บนโซฟา ไม่ได้คิดจะช่วยเขาเลยแม้แต่น้อย หนิงเส่าเฉินอดไม่ได้ที่จะร้อนใจ "เสี่ยวโม่ คุณฟังพ่ออธิบายก่อน"

"ฉันไม่ฟัง ฉันไม่ฟัง ฉันจะบอกคุณไว้เลย หนิงเส่าเฉิน ถ้าคุณกล้ารังแกแม่ฉันอีก ฉันจะตัดขาดความสัมพันธ์พ่อลูกกับคุณ" พูดจบ ก็เดินไปข้างๆ เย่หลิน ถ้าหนิงเส่าเฉินกล้าเข้าใกล้ก็จะหยิบไม้กวาดตีเขา

หนิงเส่าเฉินกลัวว่าจะทำให้เธอเจ็บ ก็เลยไม่กล้าตอบโต้ ท่าทางนั้นที่ทั้งจนปัญญาทั้งน้อยใจ เย่หลินอดไม่ได้ที่จะปิดปากหัวเราะ

ตอนกลางคืน จนกระทั่งเย่เสี่ยวโม่หลับไป หนิงเส่าเฉินจึงเข้าไปในห้อง

ชี้ไปที่ใบหน้าที่หลับใหลของเย่เสี่ยวโม่ พูดอย่างเอาจริงเอาจัง : "หลังจากเลี้ยงดูแลจนถึงอายุ 18 ปีแล้ว ก็ให้เธอแต่งงานทันทีเลย ยัยหนูไร้เดียงสานี่ เวลาโมโหก็ไม่ไว้หน้าใครทั้งนั้น"

เย่หลินปิดปากหัวเราะตัวโยน แล้วพูดถากถางว่า : "ทำไมคืนนี้ ไม่ต้องอยู่กับเมียน้อยเหรอ? "

หนิงเส่าเฉินโค้งตัวลง มือสองข้างประคองเธออยู่ "วันนี้ จะอยู่เป็นเพื่อนเมียหลวง"

เย่หลินชำเลืองมองเขา "หนิงเส่าเฉิน ถ้าหากอนาคตวันหนึ่งมันกลายเป็นเรื่องจริง ฉัน……"

สีหน้าชายหนุ่มเคร่งขรึม กล่าวอย่างจริงจังมากว่า: "ถ้ามีวันนั้น คุณตัดอวัยวะเพศของฉันทิ้งไปได้เลย ไม่ต้องสงสาร"

"ถ้ามีวันนั้นจริงๆ ฉันยังจะสงสารอีกเหรอ? ฉันจะสับให้เป็นชิ้นๆ เลย" เย่หลินมองค้อน

ชายหนุ่มพลิกตัวกดลงมาที่ร่างของเธอ ดึงมือของเธอลง "มา ลองสาธิตก่อน วิธีการตัดทำอย่างไร? "

"คุณบ้าไปแล้วเหรอ เสี่ยวโม่ยังอยู่ข้างๆ นะ" เย่หลินหน้าแดง

หนิงเส่าเฉินถอนหายใจ จูบเบาๆ ที่บนหน้าผากของเธอ คิดๆ แล้วกล่าวว่า "สองสามวันนี้ คุณก็อย่าเพิ่งไปบริษัท"

เย่หลินกระแอมเบาๆ "ไปเถอะ ฉันยิ่งน่าเวทนา เธอก็ยิ่งเชื่อ ไม่ใช่เหรอ? "

ชายหนุ่มถูไถอยู่ในอ้อมกอดของเธอ "แต่ว่า ฉันเจ็บปวดใจ"

"อย่างนั้นคุณก็หาผู้ชายมาให้ฉันคนหนึ่งสิ? เย่หลินสายตาเป็นประกาย ในสายตาแสดงออกถึงความคาดหวัง

หนิงเส่าเฉินลุกขึ้นด้วยสีหน้าที่เย็นชา ไม่พูดจา หลังจากอุ้มเสี่ยวโม่กลับไปยังห้องของตนเอง พอกลับมา ก็เริ่มถอดเสื้อผ้าของตนเอง

แต่ก็ยังไม่พูดอะไร

ทำให้เย่หลินสับสนเล็กน้อย "เอ่อ คุณ….."

ยังไม่ทันได้พูดจบ ร่างกายก็หนักอึ้ง "ดูท่า ฉันไม่ได้ทำให้คุณอิ่มอกอิ่มใจ คุณถึงได้คิดจะหาผู้ชายคนอื่น ใช่ไหม? "

แสงในยามราตรีที่ค่อยๆ มืดมิด ความคลุมเครือก็ยิ่งเข้มขึ้น

ในที่สุดเมื่อเย่หลินสามารถหายใจได้ เธอจึงตวาดเบาๆ ว่า: "หนิงเส่าเฉิน ตัวคุณเองก็ไปมีความสัมพันธ์ลับๆ กับคนอื่นไม่ใช่เหรอ? แล้วทำไม ฉันถึงจะทำไม่ได้? "

ชายหนุ่มกล่าวกระซิบข้างๆ หูของเธอว่า: "อย่างนั้นคุณก็ลองดู ฉันก็อยากจะเห็นว่าผู้ชายคนไหนจะกล้า? "

เช้าตรู่ เมื่อเย่หลินตื่น เย่เสี่ยวโม่ก็นอนเอนกายอยู่ข้างๆ เธอ เห็นเธอตื่นขึ้นมา ก็ทำหน้าตาดีใจ "แม่ คุณดูสิว่า ฉันปกป้องคุณได้ไหม? แค่มีฉันอยู่ พ่อฉันก็ไม่กล้ามานอนแล้ว"

เย่หลินขยับร่างกายที่อ่อนเพลียของตนเอง หัวเราะเหอะๆ เด็กน้อยเอ๊ย คุณไม่เคยได้ยินเหรอว่า ขิงยิ่งแก่ยิ่งเผ็ด?

จู่ๆ เย่หลินก็นึกอะไรขึ้นได้ ดันๆ เย่เสี่ยวโม่ "เสี่ยวโม่ คุณไปดูซิว่า คุณลุงไปแล้วหรือยัง? แม่มีเรื่องจะคุยกับเขา"

"เย่จึ นี่คุณจะทำอะไร? " เกาไห่มองรูปภาพสิบกว่ารูปที่อยู่ตรงหน้า แล้วขมวดคิ้ว

เย่หลินลุกขึ้น เดินไปยังข้างๆ เขา "เหล่านี้ ล้วนเป็นผู้ที่ร่วมงานกับฉัน ฉันสืบถามมาแล้ว ล้วนไม่มีแฟน พี่ คุณลองดูสิว่า ชอบคนไหน? ฉันจะจัดการมาให้คุณ"

เย่เสี่ยวโม่ตาเป็นประกาย "ใช่แล้ว คุณลุง ที่บริษัทคุณมีคนหล่อๆ บ้างไหม หรือพวกคุณอาที่รวยๆ อะ แนะนำให้แม่ฉันสักคนหนึ่งได้ไหม? "

หนิงเส่าเฉินกำลังลงบันได ได้ยินคำพูดของเย่เสี่ยวโม่ เท้าที่ก้าวเดินอยู่ก็ชะงัก ยังดีที่ไม่ล้มลงมา

เย่หลินและเกาไห่สบตากันแล้วหัวเราะ

เกาไห่หอมแก้มเย่เสี่ยวโม่เล็กน้อย "ได้ ลุงจะดูให้"

"พี่ คุณอย่าเปลี่ยนประเด็นสิ คุณรีบดูเร็วเข้า คนไหนดูแล้วเข้าตาบ้าง? "

เกาไห่ยังไม่ทันดู หนิงเส่าเฉินก็กวาดสายตา ขมวดคิ้วเล็กน้อย "สาวที่เป็นที่นิยม! "

เย่หลินเลิกคิ้วเล็กน้อย "ใช่ คุณชายหนิงคุณมีรสนิยม"

ชายหนุ่มฉีกยิ้ม โน้มตัวเข้าไปใกล้ กระซิบข้างหูเย่หลินว่า "เทียบกับคุณไม่ได้เลย"

เย่หลินทุบหน้าอกของเขาเล็กน้อย "รีบทานข้าวเช้าเถอะ เดี๋ยวต้องไปรับเมียน้อยของคุณไม่ใช่เหรอ? "

แม่นมหลิวและลุงจางมองตากัน ไม่เข้าใจโดยสิ้นเชิงว่าตกลงนี่มันเกิดอะไรขึ้น

ตอนกลางคืน หนิงเส่าเฉินก็ไปดูเธอที่บ้าน เธอเอ่ยเรื่องนี้ให้หนิงเส่าเฉินฟัง

หนิงเส่าเฉินสีหน้าเรียบเฉย เพียงแค่ขมวดคิ้ว ในน้ำเสียงมีความจนปัญญาเล็กน้อย "ก่อนที่เกาเหวินจะหายตัวไป ก็ถูกระบุว่าเป็นผู้ป่วยทางจิตแล้ว ดังนั้น จึงไม่สามารถปฏิบัติตามขั้นตอนปกติได้" หนิงเส่าเฉินรู้เรื่องนี้เมื่อไม่นานมานี้เช่นกัน ถึงแม้ว่าทนายจะบอกกับเขา ว่าสามารถช่วยให้เขาแยกขาดจากความสัมพันธ์ได้ แต่ในอนาคต เมื่อเกาเหวินปรากฏตัว ที่นี่ก็อาจจะเกิดความยุ่งยาก

เฉินอีอีทำเสียง"อืม" เหมือนว่ากำลังคิดอะไรอยู่

ขณะนี้ ทั้งดีใจ ทั้งเศร้าใจ

"จยาจยา วันนี้ผู้ใหญ่บ้านมาหาพ่อ บอกว่าบ้านเรานี้ก็ต้องถูกรื้อถอน ร้านนี้ต่อไปก็ไม่ต้องเปิดแล้ว รอเงินชดเชย เราก็เอาไปใช้หนี้ ส่วนที่เหลือ ก็เก็บไว้เป็นสินสอดของคุณ เราสองคนพ่อลูกไปหาซื้ออพาร์ตเมนต์เล็กๆ คุณก็จะได้หางานดีๆ ทำ เช่นนี้ ในอนาคตหากคุณแต่งงานก็จะยิ่งดี"

เล่อจยาทานอาหารอยู่ ได้ฟังคำพูดแบบนี้ของพ่อ เธอก็สูดหายใจเข้า น่าแปลกมากที่ไม่ได้รู้สึกมีความสุขเลย มองโต๊ะเก้าอี้นอกประตู ยิ่งอาลัยอาวรณ์

"พ่อ ไม่ได้บอกว่าบ้านเราจะไม่โดนรื้อถอนเหรอ? แล้วเป็นไปได้อย่างไร……”

พ่อเล่อดื่มน้ำ ใบหน้าดีใจจนปกปิดไว้ไม่อยู่ เขาก็ไม่คิดไม่ฝัน เรื่องดีๆ อย่างนี้ คาดไม่ถึงว่าจะเวียนมาถึงเขา ก่อนหน้าจะรื้อถอน เขาก็สอบถามหลายครั้งแล้ว จนกระทั่งเมื่อสักครู่นี้ ผู้ใหญ่บ้านก็มาบอกเขาว่า บ้านของเขาไม่อยู่ในขอบเขตของการรื้อถอน

เพราะเรื่องนี้ เขาจึงเป็นทุกข์มานานมาก เขาเองก็อายุมากแล้ว ไม่ได้สนใจอะไรแล้ว แต่ว่าเขารู้สึกผิดต่อเล่อจยา เขารู้ว่าหลายปีมานี้ เขาทำให้ลูกสาวคนนี้เดือดร้อน

"สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่ว่าชาวบ้านอย่างเราจะควบคุมได้ ถึงอย่างไร ครั้งนี้บรรพบุรุษก็สาปแช่งเรื่องดีๆ ให้เรา ฮ่าๆ ……”

การลงนามเซ็นสัญญารื้อถอนในวันนั้น พ่อเล่อก็ขายของเหล่านั้นในร้านไปหมด ตัดความคิดทั้งหมดของเธอ

"คุณนะ เชื่อฟังเถอะไปหางานทำสักที่หนึ่ง ต่อไป ก็ไม่ต้องเอ่ยถึงร้านอาหารอีก" พูดจบก็สูดหายใจเข้า แล้วพูดต่อว่า : "จยาจยา บ้านถูกรื้อถอนแล้ว ความสุขที่สุดของพ่อไม่ใช่ว่าได้เงินมาเท่าไหร่ ความสุขของพ่อคือ ลูกสาวของฉันจะไม่ถูกฉันทำให้เดือดร้อนอีกแล้ว"

พ่อเล่อพูดถึงตรงนี้ ชายที่ดูดีสง่างาม ก็อดยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาไม่ได้

พ่อเล่อพูดอย่างนี้ เล่อจยาก็รู้ว่าความฝันเกี่ยวกับร้านอาหารของเธอถูกทำลายไปหมดแล้ว เดิมทีสองสามวันมานี้เธอยังวางแผนที่จะเปลี่ยนสถานที่ขายอาหารอีกครั้ง แต่ว่า……

เธอไม่อยากให้เป็นเพราะเธอเลยทำให้พ่อต้องหนักใจ

เช่นนี้ เล่อจยาก็กลายเป็นคนตกงานไปชั่วพริบตา

หลายปีมานี้ เธอเปิดร้านของตนเองทุกวัน ก็คุณเคยกับอาชีพอิสระ จะให้เธอไปหางานทำ เธอก็รู้สึกว่ามาเหมาะ อีกทั้งเธอจะทำอะไรล่ะ?

ในตอนนั้นเธอเรียนการออกแบบ แม้ว่าตอนจบจะมีผลการเรียนยอดเยี่ยม แต่ผ่านมาหลายปีขนาดนี้ น่าจะคืนครูไปแล้ว พื้นฐานต่างก็คืนไปหมดแล้ว

"จยาจยา คุณอย่าหมดอาลัยตายอยากขนาดนี้เลย โดยพื้นฐานของคุณ เพียงแค่ฝึกฝนอีกสักหน่อย ก็ไม่ได้แย่อย่างแน่นอน" หลังจากที่ซูหย่ารู้ จึงมาที่นี่เพื่อให้กำลังใจเธอโดยเฉพาะ

เล่อจยาบิดขี้เกียจ หดหู่หงอยเหงาไม่มีชีวิตชีวา

ก่อนหน้านี้ที่มีงานให้ทำ เธอรู้สึกว่าชีวิตดีขึ้น ช่วงนี้ วันๆ ซ่อนตัวอยู่แต่ในบ้าน เธอรู้สึกว่าตนเองใกล้จะไร้ประโยชน์แล้วจริงๆ

"คุณพูดง่ายนี่ มือของฉันตอนนี้จับปากกายังสั่นเลย ยังคิดจะออกแบบ จะเป็นไปได้อย่างไร? " เล่อจยายิ่งพูดยิ่งเป็นทุกข์ เวลานี้เธอหวังแม้กระทั่งบ้านจะไม่ถูกรื้อถอน อย่างน้อย เธอจะได้ไม่รู้สึกว่าตนเองไร้ค่าแบบนี้

"คุณไม่ลอง แล้วจะรู้ได้ยังไง? " เมื่อเล่อจยาจบการศึกษา เธอเป็นอันดับหนึ่งของชั้นเรียน ดังนั้น จึงสามารถเข้าสู่500อันดับแรกได้อย่างราบรื่น จุดนี้ซูหย่ารู้ดีกว่าใครๆ

เธอก็รู้ว่า ที่เล่อจยาทอดทิ้งไปแบบนี้ ก็เพราะอยากที่จะอยู่ใกล้เกาไห่สักเล็กน้อย

เล่อจยาไม่ตอบกลับเธอ คนก็จิตใจอ่อนล้า ไม่มีชีวิตชีวา

ซูหย่าเม้มปาก ครู่หนึ่งจึงส่งเสียงว่า: "อย่างนั้นถ้าจะบอกว่า บริษัทเกาไห่รับสมัครนักออกแบบล่ะ? คุณจะสนใจบ้างไหม? "

ในสายตาเล่อจยาเป็นประกาย ต่อจากนั้น ก็มืดมนลงอย่างรวดเร็ว "บอกแล้วว่า อย่าเอ่ยถึงเขาให้ฉันได้ยิน" ผู้ชายที่มีลูกแล้ว เธอไม่สนใจหรอก

"อย่างนั้น ถ้าฉันบอกคุณอีกว่า ผู้หญิงคนนั้นที่พวกเราเห็นในกระเป๋าสตางค์ของเขาวันนั้น เป็นเพียงน้องสาวแท้ๆ ของเขาล่ะ? และเด็กเหล่านั้นก็เป็นลูกของน้องสาวเขา คุณจะว่าอย่างไรอีก? "

หลังจากเล่อจยาเงียบไปชั่วขณะ ก็นั่งตัวตรงในทันที "คุณว่าอะไรนะ? "

ซูหย่าหยิบมือถือจากในกระเป๋าส่งให้เล่อจยาดู "คุณดู ช่วงนี้ในเมืองมีเรื่องราวมากมาย"

เล่อจยาขมวดคิ้ว เธอไม่สนใจสนใจข่าวซุบซิบนินทามาโดยตลอด ยกเว้นว่าข่าวนั้นจะเกี่ยวข้องกับเก่าไห่

"เห็นแล้วหรือยัง นี่คือน้องสาวของเกาไห่และลูกของเธอทั้งสองคน พ่อของเด็กคือประธานหนิงกรุ๊ป ช่วงนี้ ได้ยินมาว่า ผู้ชายคนนั้นไปชอบพอผู้หญิงคนอื่น อยากจะทิ้งน้องสาวของเขา จึงเกิดเป็นข่าวครึกโครม"

"ผู้หญิงสวยขนาดนี้ ผู้ชายคนนี้ตาบอดหรือไง? " เล่อจยานึกถึงผู้หญิงที่รับโทรศัพท์เธอวันนั้น ในใจก็รู้สึกเห็นใจอย่างบอกไม่ถูก ถึงแม้จะไม่เคยเจอหน้า แต่ลางสังหรณ์บอกเธอว่า ผู้หญิงคนนั้นไม่ใช่คนเลวอย่างแน่นอน

"คุณดูสิ นังเมียน้อยรูปร่างหน้าตาแบบนี้ ดังนั้น จยาจยา คุณไม่ต้องน้อยเนื้อต่ำใจไป สภาพของคนอื่นไม่ได้ดีไปกว่าคุณเลย คุณดูหนิงเส่าเฉินยังชอบเลย? แล้วก็….."

เห็นเล่อจยาจ้องมองตนเองตาโต ซูหย่าจึงรีบเปลี่ยนคำพูด "เอ่อ ฉันหมายความว่า การรักคนคนหนึ่งนี้ ไม่จำเป็นต้องรูปร่างหน้าตาสวยเสมอไป จิตใจที่ดีงามในก้นบึ้งของหัวใจคุณนี้ หากเขาแต่งงานกับคุณแล้ว เขาจะไม่เสียดาย อีกอย่าง จยาจยาของพวกเราก็มีศักยภาพ ถ้าหากลดน้ำหนักลงมาหน่อยนะ เขาก็เหมือนได้ของล้ำค่า"

เล่อจยาหัวเราะเหอะๆ สองสามที ถึงแม้ทุกคนจะเชิดชูความสวยจากภายใน แต่ในยุคสมัยนี้ จะมีผู้ชายสักกี่คนที่สามารถมองเห็นความสวยที่อยู่ภายใน?

"ประธานเย่ หน้าประตูรายล้อมไปด้วยนักข่าว คุณว่า ต้องชี้แจงกับพวกเธอสักหน่อยไหม? " อู่เล่อเล่อมองเย่หลินอย่างลำบากใจ ในสายตาเห็นใจอย่างชัดเจน

"มากันแล้วเหรอ? อืม ได้สิ ฉันจะไปชี้แจงสักหน่อย" ลุกขึ้นยืน เย่หลินเดินไปยังด้านนอกประตู

เมื่อใกล้ถึงหน้าประตู อู่เล่อเล่อก็ดึงเธอจากด้านหลัง "ไม่เช่นนั้น ให้ฉันเป็นไปชี้แจงแทนคุณไหม? คุณบอกฉันมาว่าจะต้องพูดอย่างไรก็พอ"

เย่หลินมองเห็นความเห็นใจในสายตาของอู่เล่อเล่อ ก็จะร้องไห้ หลังจากเกิดเรื่อง เธอก็ได้รู้จักคนจำนวนไม่น้อย แม้กระทั่งเมื่อวานไปซื้อรองเท้าคู่หนึ่ง ท่าทีของพนักงานขายคนนั้นก็เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง

"ไม่ต้องหรอก เรื่องนี้ ฉันต้องออกหน้าเอง จะหลบหนีอย่างไร ก็หนีไปไม่พ้น"

หนิงเส่าเฉินมองมือถือ เย่หลินถูกนักข่าวปิดล้อม ใบหน้าก็มืดมน มือทั้งสองอดไม่ได้ที่จะกำหมัด

"โครม" ประตูถูกคนเปิดอย่างรุนแรง

หลิวซูมองหนิงเส่าเฉินอย่างลำบากใจ "ฉันขัดขวางเขาไม่อยู่"

ในแววตาเฉินอีอีก็ประกายความเข้าใจอย่างน่าประหลาด ที่แท้ ก็เป็นเช่นนี้!

"หมายความว่า แม้ว่าจะให้เย่หลินเลิกกับคุณตอนนี้ คุณ……ก็ไม่สนใจใช่ไหม? "

หนิงเส่าเฉินพยักหน้า ยิ้มแล้วมองเธอ "ให้เวลาฉันหน่อยนะ ฉันจะจัดการความสัมพันธ์ของฉันกับเธอโดยเร็วที่สุด"

เฉินอีอีก้มหน้า "เช่นนั้น……ที่คุณปฏิบัติต่อฉัน……เพียงแค่คิดว่าฉันเป็นเงาของพี่สาวฉันเท่านั้นใช่ไหม? "

หนิงเส่าเฉินตอบกลับอย่างรวดเร็ว "ใช่ ฉันไม่ปฏิเสธ อีอี ถ้าคุณรู้สึกว่ารับไม่ได้ ฉันก็ไม่บังคับนะ" หยุดไปชั่วขณะ เขาก็พูดต่อว่า : "แต่ฉันรับปากคุณ ถ้าหากคุณให้โอกาสฉัน ฉันจะลองลืมพี่สาวของคุณดูก็ได้"

หลังจากพูดจบ เขาก็มองเฉินอีอีด้วยสายตาเร่าร้อน

เฉินอีอีรู้สึกตลอดว่าเรื่องราวพัฒนาเร็วเกินไป ทำให้เธอรับไม่ไหวเล็กน้อย จนเปลี่ยนความคิดไม่ได้

"เอาล่ะ คุณไปพักผ่อนก่อนเถอะ ต้องการอะไร ก็มาบอกฉัน เรื่องนี้……เรา ไม่ต้องรีบ คุณไม่ต้องหนักใจไป" พูดจบหนิงเส่าเฉินก็ลุกขึ้นยืน

เฉินอีอีเห็นว่าเขาจะไป ก็ร้อนใจเล็กน้อย รีบเดินเข้าไป กอดหนิงเส่าเฉินจากด้านหลัง "เส่าเฉิน ฉันเพียงแค่ไม่อยากให้คุณหนักใจเกินไป ทำให้คุณกับเย่หลิน……”

"เธอเป็นเพียงแม่ของลูกทั้งสองคน เธอกับฉัน ก็แค่เพื่อเงินเท่านั้น อย่างมากฉันก็แค่แบ่งหุ้นให้เธอไปสักหน่อย" พูดจบ ก็ตบๆ มือของเฉินอีอี "โอเค คุณนอนเถอะ"

เมื่อหนิงเส่าเฉินกลับมา เพิ่งจะเข้าห้องไป เย่หลินก็ชี้นิ้วไปที่เขา พูดอย่างรังเกียจว่า : "ยืนอยู่ตรงนั้นอย่าขยับ ถอดเสื้อผ้าทิ้งไว้ข้างนอก จากนั้นก็ไปอาบน้ำ อย่าใช้มือที่กอดเธอ มาแตะต้องฉัน"

อ้าปากค้าง หนิงเส่าเฉินถอนหายใจ ชี้ๆ ไปที่เธอ "แล้งน้ำใจ"

เย่หลินนอนอยู่ในอ้อมกอดหนิงเส่าเฉิน "สารภาพมา วันนี้คุณไปทำอะไรลับๆ ล่อๆ มาบ้าง? "

หรี่ตาขึ้น หนิงเส่าเฉินเม้มปากจนเป็นเส้นตรง ขมวดคิ้ว ในใจเคร่งเครียด แล้วนำเย่หลินมากอดไว้แน่น พูดข้างๆ หูเธออย่างไม่สบายใจ "คุณรู้ไหม? นอกจากฉันจะตอบสนองกับคุณแล้ว กับผู้หญิงอื่น ฉันก็ไม่รู้สึกอะไร"

เย่หลินถอนหายใจเบาๆ นั่งตัวตรง โอบกอดคอของเขา "ฉันจะลองดู……”

วันต่อมา ตอนเที่ยง เย่หลินไปที่ห้องเลขาของหนิงกรุ๊ปด้วยความโกรธ

"ประธานเย่ คุณมาแล้ว ประธานน่าจะอยู่ที่ห้องทำงาน ฉันจะพาคุณไป" คนของห้องเลขา ใครจะไม่รู้ความสัมพันธ์ของเย่หลินกับหนิงเส่าเฉิน ทุกคนที่เห็นเธอมา ก็รีบเข้าไปใกล้ชิด

เย่หลินชี้ไปที่เฉินอีอี "ไม่ต้อง ฉันมาหาเธอ"

พูดจบ หยิบซองออกมาจากในกระเป๋า ส่งให้ผู้รับผิดชอบของห้องเลขา "รบกวนคุณ ช่วยแบ่งให้ทุกคนดูด้วย"

เฉินอีอีรู้สึกกลัวเย่หลินเล็กน้อย

เธอลุกขึ้นจากเก้าอี้ ก้มหน้าลง ทำท่าทางเคารพ "เย่……หลิน! "

"จุ๊ๆ พระเจ้า นี่ไม่ใช่ว่าอีอีกับประธานหนิง? พวกเขาเป็น……” ในกลุ่มมีคนพูดออกมา

เฉินอีอีสีหน้าเคร่งขรึม ขมวดคิ้ว คว้ารูปจากผู้หญิงที่นั่งข้างๆ ขึ้นมาดู

ทั้งหมดเป็นภาพการกระทำของเธอกับหนิงเส่าเฉิน

มีหลายภาพที่หนิงเส่าเฉินกับเธอจูบกัน แต่เธอรับรองได้ หนิงเส่าเฉินไม่เคยจูบเธอเลย อย่างมากก็แค่จับมือ เห็นได้ชัดว่านี่น่าจะเป็นมุมกล้อง

เพียงแต่นึกถึงคำพูดของหนิงเส่าเฉินแล้ว เธอก็ไม่กล้าแก้ตัว

"นี่พวกคุณทำอะไรกัน? " จู่ๆ เสียงทุ้มๆ ของหนิงเส่าเฉินก็ดังขึ้นข้างๆ หูของทุกคน

เย่หลินยังไม่ทันได้เริ่มพูด เฉินอีอีก็ซื้ดจมูก น้ำตาหยดติ๋งๆ ลงมา

หนิงเส่าเฉินเห็นเช่นนี้ ก็แทบจะเดินไปยังตรงหน้าเธอในทันที หยิบทิชชูสองสามแผ่นที่อยู่บนโต๊ะส่งให้เธอ กล่าวถามอย่างอ่อนโยนว่า: "อีอี เกิดอะไรขึ้น? "

เฉินอีอีเงยหน้ามองเขา ด้วยท่าทีที่ดูน่าสงสารนั้น กระตุ้นให้คนอยากจะโอบมาไว้ในอ้อมกอด

ตรงกันข้ามกับผู้เคราะห์ร้ายอย่างเย่หลิน ใบหน้าที่งดงาม เพราะความโกรธ จึงเคร่งขรึมจนทำให้คนตื่นตกใจ

คนที่ไม่เข้าใจล้วนต้องคิดว่า เย่หลินรังแกเฉินอีอี

"คุณตามฉันมา" เสียงที่โหดเหี้ยม ความเยือกเย็นซึมผ่านทุกคน คนที่อยู่ในสถานที่ต่างเหงื่อตกไม่เว้นแต่เย่หลิน

เฉินอีอีก้มหน้า ปกปิดความลำพองใจในสายตา

"เส่าเฉิน คุณกับเธอ ชัดเจนว่าพวกคุณ……"

"ตามฉันมา"

ในทันทีที่ประตูห้องประธานปิดลง ทุกคนก็โล่งอก แต่ไม่กล้าวิพากษ์วิจารณ์ว่าเฉินอีอีไม่ดีอีก ท่าทีนี้ของประธานหนิง ชัดเจนว่าเอนเอียงไปทางด้านเฉินอีอี พวกเธอไม่กล้าตำหนิคนที่ได้รับความรักใคร่นี้

ในห้อง

เย่หลินนั่งลงบนโซฟา ขาทั้งสองพาดบนโต๊ะน้ำชา ชายหนุ่มนั่งลงข้างๆ เธอ โอบเธอมาไว้ในอ้อมกอด นำมือนวดเบาๆ ที่ไหล่ของเธอ "เหนื่อยไหม? "

เย่หลินพยักหน้า "เหนื่อย ดูแล้วการเป็นศิลปินไม่ง่ายเลย" มือเล็กๆ ที่ละเอียดนุ่มนวลชี้ไปที่ไหล่ขวา "ตรงนี้ ตรงนี้เมื่อยมากเลย ช่วยนวดให้ฉันสักสองที"

"ได้….."

ผ่านไปครู่หนึ่ง

"นี่ มือของคุณวางอยู่ตรงไหน? " เย่หลินปัดมือของชายหนุ่มที่วางไว้ที่เอวของเธอออก แล้วลุกพรวดขึ้นมาจากโซฟา "เอาล่ะ เอาล่ะ ฉันต้องกลับบริษัท ขืนอยู่ที่นี่ต่อไป คงจะผิดปกติเกินไป"

ชายหนุ่มลุกขึ้นตาม โอบกอดเธอ จูบสองที จึงปล่อยเธอ ต่อจากนั้น ก็โน้มตัว หยิบแจกันดอกไม้บนโต๊ะน้ำชาส่งให้เย่หลิน แล้วขยิบตาให้เธอ

"เพล้ง….." เสียงแก้วแตกจากในห้องทำงานดังออกมานอกห้องทำงาน สีหน้าที่คนเปลี่ยนไป

เย่หลินเปิดประตู หันหน้ากลับไป "หนิงเส่าเฉิน คุณทำแบบนี้กับฉันได้อย่างไร? "

เมื่อเดินไปถึงตรงหน้าเฉินอีอี เย่หลินก็หยุด หยิบเอกสารที่อยู่บนโต๊ะขึ้นมา เขวี้ยงไปบนตัวเฉินอีอี หลับตา น้ำตาไหลลงมา "คุณอย่าคิดนะว่า วันนี้คุณชนะ ฉันจะบอกคุณให้ ถ้าหากมีความสามารถ คุณก็ทำให้เขาหย่ากับเกาเหวินให้ได้ แล้วมาแต่งงานกับคุณสิ ไม่เช่นนั้น วันนี้ของฉัน ก็คือวันพรุ่งนี้ของคุณ"

พูดจบ ก็จากไปทันที

ด้วยเหตุนี้ วันต่อมา ข่าวรักครั้งใหม่ของหนิงเส่าเฉิน ก็เผยแพร่ไปทั่วทุกซอกทุกมุมของหนิงกรุ๊ปอย่างรวดเร็ว

และข่าวที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วราวกับสายฟ้านี้ เฉินอีอีก็ทั้งดีใจทั้งเศร้าใจ

ความดีใจของเธอก็คือสามารถทำให้หนิงเส่าเฉินยอมรับเธอได้ภายในระยะเวลาอันสั้น แต่ความเศร้าใจคือ การสมรสของเกาเหวินและหนิงเส่าเฉิน

คิดๆแล้ว เธอก็ใช้โอกาสเวลากลางวัน ไปสำนักกฎหมาย

คุณผู้หญิง สถานการณ์นี้ที่คุณกล่าวมา หากฝ่ายตรงข้ามที่อยู่หายไป หรือหายสาบสูญไปสองปีเต็ม ศาลจะตัดสินให้หย่าได้ ยกเว้นแต่ว่ามีสาเหตุอื่นๆ? "

สาเหตุอื่น?

ในสายตาของเฉินอีอีปรากฏความงุนงงเล็กน้อย

เกาไห่เห็นหนิงเส่าเฉินจูงเฉินอีอีเข้ามา สายตาก็ตกอยู่ที่มือของคนทั้งสอง "พวกคุณ นี่หมายความว่าอะไร? "

หนิงเส่าเฉินปล่อยเฉินอีอี พูดอย่างสบายๆ ว่า : "ไม่ได้หมายความว่าอะไร ก็คือ……”

พี่ แฟนคุณยั่วเส่าเฉินของฉัน" เสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นของเย่หลินดังมาจากด้านหลัง

เกาไห่ตกตะลึงหันไปมองเย่หลิน จากนั้นเขาก็หันกลับเดินไปข้างหน้า จ้องมองเฉินอีอี "เธอบอกมาสิ ว่ามันจริงไหม? "

เฉินอีอีไม่พูดอะไร

หนิงเส่าเฉินตบไหล่เกาไห่สองครั้ง "ฉันกับน้องสาวคุณไม่มีความสัมพันธ์กันทางกฎหมาย คุณกับเธอก็เป็นแค่แฟนกัน เช่นนั้น เราจะอยู่ด้วยกัน ทำไมจะไม่ได้ล่ะ? "

พูดจบ ไม่รอให้เกาไห่พูด หนิงเส่าเฉินไม่ได้มองเย่หลินที่นั่งร้องไห้อยู่ด้านหลัง เดินตรงกลับห้องไปเลย

เกาไห่ยืนอยู่ตรงหน้าเฉินอีอี จ้องมองเธออยู่สักพัก ก็เงื้อมือขึ้นตบเธอหนึ่งที แล้วผลักออกไป "คุณยังเป็นคนอยู่ไหม? เก็บข้าวของ แล้วย้ายออกไปเดี๋ยวนี้เลย"

พูดจบ ก็ลากเฉินอีอีเข้าห้องเธอไป

ปิดประตู เฉินอีอีมองเกาไห่อย่างไม่อยากจะเชื่อ "เกาไห่ คุณ……คุณกล้าตบฉันเหรอ? "

ความสะอิดสะเอียนฉายในแววตาของเกาไห่ "คุณไปซะ เราเลิกกันแล้ว! "

เฉินอีอีสีหน้าเคร่งขรึม พูดอย่างฮึกเหิม : "เกาไห่ คุณเสแสร้งอะไร ฉันต้องการอะไร คุณไม่รู้เลยเหรอ? "

เกาไห่หัวเราะเยาะ "คุณไปซะ หลังจากนี้ก็ทำตัวเองให้ดีๆ ฉันจะไม่ช่วยคุณอีกแล้ว"

เฉินอีอีขมวดคิ้ว "คุณ……คุณพูดอะไร? "

"คุณไม่อยากทำร้ายความสัมพันธ์กับเย่หลินเพราะคุณ"

"เย่หลิน? หึหึ คุณพูดว่าน้องสาวคุณเหรอ? เกาไห่ ไม่ใช่ว่าคุณชอบ……”

"ก๊อกๆ ……”

ด้านนอกมีเสียงเคาะประตู

"ใคร? "

"คุณเกา คุณรีบออกมาดูเร็ว คุณชายกับคุณนายทะเลาะกันใหญ่แล้ว คุณออกไปช่วยพูดหน่อย" ที่นอกประตู น้ำเสียงร้อนรนของพี่ซวี่ดังเข้ามา

เกาไห่ตกตะลึง เปิดประตู ที่ห้องนอนชั้นสองก็ได้ยินเสียงทุบข้าวของดังลงมา

เขากับเฉินอีอี เดินขึ้นไปชั้นสอง เพียงแต่ประตูห้องนอนชั้นสองล็อกอยู่

เสียงถูกปิดกั้นดีมาก ด้านในจึงไม่ได้ยินเสียงพูด ได้ยินแต่เสียงทุบของ

สีหน้าเฉินอีอีดีใจเล็กน้อย ยกมือขึ้นเคาะประตู

ไม่นาน ประตูก็ถูกเปิดออก เนกไทหนิงเส่าเฉินถูกดึงไว้ใต้อก ผมเผ้ายุ่งเหยิง "มีธุระอะไร? "

เกาไห่อยากจะเข้าไป ก็เห็นหนิงเส่าเฉินขวางไว้ พูดอย่างไม่สบายใจ : "คุณทำอะไรกับเธอ? "

หนิงเส่าเฉินสีหน้าเย็นชา ไม่พูดอะไร จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงเย่หลินดังออกมา "พี่ คุณปล่อยเขาไปเถอะ ผู้ชายอย่างนี้ อย่าไปสนใจเลย"

แม้จะรู้ว่าเป็นแค่การแสดง แต่สีหน้าของหนิงเส่าเฉินก็เปลี่ยนไปอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เขาอดไม่ได้ที่จะสูดลมหายใจ หันกลับไป หันหลังให้คนทั้งสอง มองเย่หลินที่นั่งดูละครอยู่บนพื้น "ในเมื่อคุณเย่รับไม่ได้แล้ว ก็ทำให้ฉันประหยัดน้ำลายไปได้เยอะ"

พูดจบก็ออกมา แล้วปิดประตู

"อีอี ไปเถอะ ฉันจะส่งคุณไปที่พัก"

เฉินอีอีปิดปากด้วยความประหลาดใจ ก้มหน้าก้มตา "ขอโทษนะ ประธานหนิง เป็นฉันเองที่ไม่ดี ฉัน……”

"ไปกันเถอะ เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับคุณ"

ยืนอยู่ที่ระเบียง เห็นคนทั้งสองขึ้นรถไปแล้ว

เย่หลินก็โล่งอก จิบกาแฟอึกหนึ่ง

"พี่ คุณว่า ลับหลังเธอจะทำด้วยความสมัครใจแบบนั้นจริงๆ ไหม? "

หลังจากเกาไห่เงียบไม่พูดจาไปชั่วขณะ ก็เอ่ยปาก "อืม ด้วยนิสัยของเธอ มีความเป็นไปได้สูงมาก"

เย่หลินสูดลมหายใจเข้าลึก หันตัวกลับทันที เธอมองไปยังใบหน้าเกาไห่ "ในเมื่อเธอไม่มีใจต่อคุณ คุณก็รีบมองหาคนข้างกายว่ามีคนที่เหมาะสมหรือไม่ ฉัน……."

เกาไห่จ้องเธอเขม็ง ยิ้มมุมปากเบาๆ "น้องสาว คุณว่ารูปร่างหน้าตาของคนคนหนึ่งนั้น สำคัญหรือไม่? "

ได้ยินเกาไห่ที่จู่ๆ ก็พูดถึงประเด็นนี้ เย่หลินก็ตกตะลึง เก็บความรู้สึกนึกคิด โค้งริมฝีปากแดงๆ เล็กน้อย "คุณหมายถึงเฉินอีอีเหรอ? "

พอได้ยิน นึกถึงเฉินอีอี เกาไห่ก็หัวเราะเยาะ แต่ในใจไม่ได้เจ็บปวดเลย

ในสมองปรากฏใบหน้าที่ยิ้มแย้มหวานชื่นราวกับสาลี่ "ไม่ใช่"

เวลานี้ บนรถยนต์คันสีดำของหนิงเส่าเฉิน

เฉินอีอีมองหนิงเส่าเฉิน ก้มหน้าเล็กน้อย บนใบหน้าแดงระเรื่อ "ประธานหนิง คุณไปแบบนี้ เย่หลินจะเสียใจหรือเปล่า? "

"เสียใจ? คุณคิดว่าฉันยังต้องดูสีหน้าของผู้หญิงคนหนึ่งอีกเหรอ? " หนิงเส่าเฉินยิ้มเยาะ เหยียบคันเร่ง รถก็ราวกับลูกศรที่ออกจากเชือก พุ่งไปอย่างรวดเร็ว

บริเวณไฟเขียวไฟแดง หนิงเส่าเฉินหยิบกล่องบรรจุภัณฑ์ที่งดงามออกกล่องหนึ่งออกมาจากในกระเป๋ากางเกงสูท ส่งให้เฉินอีอี "รับไปสิ"

"นี่คืออะไรเหรอ? " เฉินอีอี แปลกในเล็กน้อย

หนิงเส่าเฉินไม่พูดจา กลิ้งลูกกระเดือกขึ้นลงอย่างเซ็กซี่เล็กน้อย เฉินอีอีมองดวงตานั้น หรี่ดวงตา ก้มหน้าลง เปิดกล่องออก ดวงตาแสดงความเซอร์ไพรส์ "นี่….นี่คือสร้อยคอเส้นนั้นที่งานประมูลเมื่อวานไม่ใช่เหรอ? " เดิมทีเธอคิดว่าหนิงเส่าเฉินจะมอบให้เย่หลิน แต่ไม่นึกเลยว่า จะมามอบให้เธอ

สะเทือนใจไม่หยุด

เวลานี้ รถได้มาจอดลงที่ตรงหน้าคฤหาสน์ที่ตกแต่งสไตล์ยุโรปหลังหนึ่ง เดินไปยังข้างที่นั่งคนขับ เปิดประตูรถให้เฉินอีอี ประคองเธอลงมา

สวัสดิการที่ไม่คาดคิดนี้ ทำให้เฉินอีอีตื่นเต้นในชั่วพริบตา สะบัดหน้า รู้สึกเหมือนว่าฝันไป

"เป็นอะไรไป ปวดหัวเหรอ? " น้ำเสียงที่อ่อนโยนดังขึ้นข้างหูของเธอ

ส่ายหน้า "เปล่าค่ะ"

หนิงเส่าเฉินยิ้มเล็กน้อย "อย่างนั้นก็ดี ไปกันเถอะ" พูดพลาง จูงมือเฉินอีอีอย่างเป็นธรรมชาติ "บ้านนี้ มอบให้คุณ ต่อไป พวกเรา…..ก็จะอยู่กันที่นี่ ชอบไหม? "

เฉินอีอีอดกลืนน้ำลายลงคอไม่ได้ กล่าวถามอย่างไม่อยากจะเชื่อว่า: "มอบ….มอบให้ฉัน? " อีกทั้งเขายังพูดว่า"พวกเรา? "

ตื่นเต้นดีใจจนทำให้เฉินอีอีสมองเลอะเลือน รอยยิ้มที่มุมปากของเธอก็เก็บไว้ไม่อยู่

"อืม ใช่ รอหลังจากฉันชี้แจงเรื่องราวกับเธอให้ชัดเจนแล้ว พวกเราก็จะมาอยู่ด้วยกัน"

"ไม่ ไม่ได้ บ้านหลังนี้ ฉันไม่สามารถรับไว้ได้ พวกเรา…..ความสัมพันธ์นี้ของพวกเรา มันไม่เหมาะสม"

หนิงเส่าเฉินคิ้วตก ลืมตาขึ้นอีกครั้ง ในสายตาปรากฏความชื่นชม ลูบที่ผมยาวๆ ของเฉินอีอี "คุณกับพี่สาวของคุณ เหมือนกันมากจริงๆ เวลานั้น ฉันมอบคฤหาสน์ให้เธอ เธอก็ยืนกรานที่จะไม่รับ"

พูดถึงตรงนี้ สีหน้าของหนิงเส่าเฉินเศร้าโศกอย่างชัดเจน

เข้าไปในบ้าน เฉินอีอีนำกระเป๋าในมือวางลงบนโซฟา เห็นหนิงเส่าเฉินเดินเข้ามา เธอคิดๆ แล้วก็เอ่ยปากว่า: "ฉันคิดว่าคุณจะลืมพี่สาวฉันไปนานแล้ว ถึงอย่างไรฉันก็เห็นว่าความสัมพันธ์ของคุณกับเย่หลินค่อนข้างดี"

หนิงเส่าเฉินฝืนฉีกยิ้มมุมปากเล็กน้อย "ฉันกับเธอ เป็นเพียงแค่ความรับผิดชอบ"

เขาพูดจบ ก็สูดลมหายใจเข้าลึกๆ "พี่สาวคุณไม่อยู่แล้ว ฉันไม่สนใจใครทั้งนั้น จะอยู่ด้วยกันกับใคร ฉันล้วนไม่สนใจ แต่เธอเป็นแม่ของลูก ไม่มีทางเลือกที่ดี"

"อย่างนั้น….ในเมื่อ คุณไม่สนใจ อย่างนั้นเพราะเหตุใด ฉันได้ยินมาว่า เพื่อเย่หลิน คุณถึงสามารถแยกจากเกาเหวินที่เป็นรักในวัยเด็กของคุณได้ล่ะ? "

ปลายนิ้วของหนิงเส่าเฉินลูบบนโซฟาเบาๆ ยกมุมปากของเขาขึ้น ปรากฏรอยยิ้มที่เย็นชา แล้วหันหน้ากลับ เขาจ้องมองเฉินอีอี "ใครก็ได้ แต่เธอไม่ได้ เธอคือฆาตกรที่ฆ่าพี่สาวของคุณ"

และเวลานี้ในห้องหนังสือ "ประธานหนิง ความรู้สึกที่ได้โอบกอดแนบชิดเป็นอย่างไรบ้าง? "

หนิงเส่าเฉินเงยหน้าขึ้น ตอบกลับด้วยสีหน้าจริงจัง : "ชั่วชีวิตนี้ นอกจากคุณแล้ว ไม่มีใครทำให้ฉันมีความรู้สึกได้แล้ว"

เย่หลินแลบลิ้นให้เขา นำอาหารบำรุงในมือวางลงบนโต๊ะ "อันนี้อีกสักครู่จะเย็นแล้ว รีบดื่มเถอะ ฉันจะกลับห้องก่อน"

หนิงเส่าเฉินยิ้มมุมปากใส่เธอ "ชำระล้างให้สะอาดแล้วรอฉันเลย"

"ออกไปเลย! "

ตลอดคืนนี้เหมือนจะเงียบสงบ โดยความเป็นจริง ภายใต้ความเงียบสงบ มีคลื่นพัดโหมกระหน่ำอยู่ก่อนแล้ว

เฉินอีอีนอนอยู่บนเตียง เธอไม่เคยคิดมาก่อน ว่าวันหนึ่ง เธอจะสามารถได้ใกล้ชิดกับหนิงเส่าเฉินขนาดนี้ อีกทั้งเห็นได้ชัดว่าหนิงเส่าเฉินมีความรู้สึกต่อเธอ

คิดว่าวันหนึ่ง ผู้ชายจะต้องเป็นของเธออย่างแน่นอน ในใจเธอสั่นไหวจนนอนพลิกไปพลิกมาทั้งคืน

และเกาไห่นั้น ในหัวเขาเต็มไปด้วยผู้หญิงคนนั้นที่ซ่อนตัวอยู่ในมุมแล้วกำลังร้องไห้ และรอยยิ้มอันสดใสของเธอในวันนั้น สลับกันเล่นอยู่ในหัวของเขา จนยากที่จะหลับใหล

ส่วนอีกห้องหนึ่ง

บรรยากาศหวานซึ้งหยดย้อยตลบอบอวลไปทั่วทั้งห้อง ฝ่ายชายพูดคำหวานข้างๆ หูฝ่ายหญิงจนเขินอาย ฝ่ายหญิงทั้งทุบทั้งตี จากนั้นก็โอบกอดกันแล้วนอนหลับไป

"ประธานเกา แผนที่เส้นทางรื้อถอนที่ดินด้านทิศตะวันตกของเมือง ออกมาแล้ว อืม คุณดูก่อน" เกาไห่เลิกคิ้ว รับกระดาษแผ่นนั้นมาดู

เป็นเวลานาน ที่สายตาเขาตกอยู่หลังจุดสีแดงอันหนึ่ง "ที่นี่ มีร้านอาหารริมทางเปิดอยู่ร้านหนึ่งไม่ใช่เหรอ? "

คนที่มาก็พยักหน้า "ใช่ แต่ว่าน่าจะย้ายไม่ทันกำหนดรื้อถอน น่าเสียดาย บ้านที่ต้องถูกทำลายเหล่านั้น ได้ค่าชดใช้ความเสียหายน้อยมาก"

นิ้วเรียวยาวของเกาไห่ลูบเบาๆ ที่ถ้วยชา ฉับพลันก็เงียบไป ใบหน้าก็ลึกซึ้ง หลังจากนั้นเป็นเวลานาน จึงเอ่ยขึ้นว่า : "มีวิธีไหนไหม ที่จะให้ระยะเวลายืดออกไปหน่อย? "

คนที่มาก็ตกใจ ชั่วขณะก็เข้าใจความหมายของเขา "อันนี้ อาจจะไม่ง่าย"

เกาไห่แววตาเคร่งขรึม คนที่มาก็รีบพูดว่า : "ก็ไม่ใช่จะหาทางออกไม่ได้"

"รอก่อน ฉันขอตัดสินใจก่อน" เกาไห่พูดจบ ก็โบกๆ มือให้เธอ แล้วเรียกผู้ช่วยเข้ามา

"เสี่ยวตง อีกสักครู่ ส่งคนไปที่นี่ ที่นั่นมีร้านขายอาหารริมทางอยู่ คุณลองไปถามเจ้าของร้านพวกนั้นดูว่า ทัศนคติต่อการรื้อถอนนี้เป็นอย่างไร แล้วให้คำตอบฉันทันที"

เสี่ยวตงมองเกาไห่ หลายปีก่อน ตอนที่เกาไห่เกิดเรื่อง เขาก็ตามเขาไป ต่อมา เขาประสบอุบัติเหตุ ผู้นำคนใหม่ก็ไม่ได้นำเขากลับมารับตำแหน่งเดิม ตลอดมาเขาได้ทำงานเบ็ดเตล็ดในตระกูลเกา หลังจากที่เกาไห่กลับมา ก็ให้เขาปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่งสำคัญทันที ฉะนั้น เขาจึงประทับใจต่อเกาไห่มาก ดังนั้น ต่อให้เขาไม่เข้าใจว่าเจ้านายคิดอะไรอยู่ ก็ยังคงตอบรับอย่างเต็มใจ

ในตอนบ่ายก็ได้ข่าวกลับมา

"อืม หญิงสาวคนนั้นเงียบไม่พูดจา ส่วนผู้สูงอายุคนนั้นบอกว่า ไม่มีชีวิตนั้นก็ไม่กล้าที่จะคิดเลย"

เกาไห่พยักหน้า "โอเค ฉันเข้าใจแล้ว"

เวลานี้ที่ซีเอกซ์

"ประธานเย่ เลยเวลาเลิกงานไปแล้ว ทำไมคุณยังไม่กลับอีก? " อู่เล่อเล่อเดินผ่านห้องทำงานของเย่หลิน เห็นไฟเปิดอยู่ ก็เลยเข้ามาถาม

เย่หลินหัวเราะกับเธอ "ยังเหลืออีกนิดหน่อย ทำเสร็จแล้วจะไป คุณกลับก่อนเถอะ"

แล้วก้มหน้าก้มตาเริ่มอ่านเอกสารในมือต่อ

ดังนั้น เธอไม่เคยเห็นอู่เล่อเล่อเข้ามาในห้องทำงานเธอ แล้วเดินมาตรงหน้าเธอ ตลอดเวลามีเงาอยู่บนเอกสารของเธอ เธอจึงเงยหน้าขึ้น เห็นอู่เล่อเล่อมองเธออยู่ ท่าทางลังเลเหมือนจะพูดไม่พูด "มีอะไรจะพูดเหรอ? "

อู่เล่อเล่อพยักหน้า ต่อจากนั้นก็นำมือถือที่อยู่ในมือ ส่งให้เย่หลิน "ประธานเย่ เดิมทีฉันก็ไม่อยากจะพูด แต่ว่า คุณดูเอาเองเถอะ"

เย่หลินมองเธอ รับมือถือมาดู ก็เห็นหนิงเส่าเฉินและเฉินอีอี กำลังทานข้าวอยู่ด้วยกัน ทานอาหารฟาสต์ฟู้ด มองจากฉากหลังนี้ น่าจะเป็นห้องทำงานของหนิงเส่าเฉิน

"แล้วก็คุณเลื่อนไปดู"

รู้ต่อไป

หนิงเส่าเฉินช่วยจัดผมให้เฉินอีอี สายตานั้น อ่อนโยนเป็นที่สุด

รูปต่อไป เฉินอีอีและหนิงเส่าเฉินอยู่ที่หน้าประตูห้องน้ำ มือทั้งสองของหนิงเส่าเฉินดันอยู่ที่กำแพง ล็อกให้เฉินอีอีอยู่ในวงล้อมนั้น ไม่รู้ว่าพูดอะไร เฉินอีอีจึงมีใบหน้าที่เขินอาย

เย่หลินหลับตา มือของอู่เล่อเล่อกุมบนมือของเธอ กล่าวปลอบโยนว่า: "บางทีอาจจะเป็นเพียงความเข้าใจผิด ถึงอย่างไร ผู้หญิงคนนี้ก็เทียบไม่ได้กับประธานเย่"

เย่หลินนำมือปิดปากเบาๆ โบกมือกับอู่เล่อเล่อ

หลังจากอู่เล่อเล่อเดินออกไป เธอจึงคลายมือออก หัวเราะขึ้นมา

หยิบมือถือ ให้อู่เล่อเล่อนำรูปภาพสองสามรูปนั้นส่งมาให้เธอ

หลังจากส่งรูปมาแล้ว เย่หลินก็ทำการบันทึก ต่อจากนั้น จึงส่งไปให้หนิงเส่าเฉินโดยตรง "พูดมา เย็นนี้กลับไป จะคุกเข่า หรือว่าจะนอนข้างนอก"

หนิงเส่าเฉินกำลังประชุมอยู่ เปิดดูมือถือ "ยกเว้นนอนข้างนอก อื่นๆ ลงโทษได้ตามใจ"

"ได้ นอนที่ห้องหนังสือแล้วกัน"

"ไม่ได้! " คำสองคำนี้ หนิงเส่าเฉินพูดออกเสียง เงยหน้าไปมองสายตาที่งุนงงของทุกคน เขาก็ก้มหน้าอย่างเขินอาย "ต่อเลย"

"ตอนเย็นพาเธอกลับมาเร็วหน่อย ละครฉากนี้ของพวกเรา หากคุณแสดงได้ไม่เลว ค่อยพิจารณาอีกที"

"โอเค! " ชายหนุ่มถอนหายใจด้วยความโล่งอก

เฉินอีอีไม่เคยคาดคิดเลยว่า การพัฒนาของเธอกับหนิงเส่าเฉินจะรวดเร็วขนาดนี้

แต่ที่ยิ่งทำให้เธอคาดไม่ถึงเลยก็คือ การแสดงออกของเย่หลิน

พอตอนเย็นเลิกงาน ก็ยังคงเป็นหนิงเส่าเฉินที่พาเธอกลับมา

ยังไม่ทันได้เข้าบ้าน ก็เห็นเย่หลินเอามือกอดอก ยืนอยู่หน้าประตู เห็นเธอลงจากรถ หลังจากคนทั้งสองเดินเข้ามาใกล้ เธอก็ไม่พูดพล่าม ตบไปที่หน้าของเฉินอีอี "เฉินอีอี คุณมีสิทธิ์อะไรมายั่วยวนเส่าเฉิน คุณเป็นแฟนของพี่ชายฉัน ทำไมคุณต้องมายั่วเส่าเฉินด้วย"

เธอสีหน้าหม่นหมอง หนิงเส่าเฉินอดไม่ได้ที่จะสูดลมหายใจ

เฉินอีอีปิดหน้าของเธอ หันหน้ากลับ มองหนิงเส่าเฉิน แล้วก็มองเย่หลิน "น้องสาว คุณเข้าใจผิดแล้ว ฉันกับเส่า…..ระหว่างฉันกับประธานหนิง ไม่มีอะไรเลย"

เย่หลินส่งรูปในมือถือให้เฉินอีอีดู "คุณดู นี่ยังเรียกว่าไม่มีอะไรอีกเหรอ? "

พูดจบ เธอก็แย่งมือถือกลับ หันหน้ากลับไป จ้องมองหนิงเส่าเฉิน "หนิงเส่าเฉิน ปีนั้นคุณรับปากฉันไว้ว่ายังไง? บอกว่าจะอยู่เคียงคู่กันไปตลอดชีวิตไม่ใช่เหรอ? " ยังพูดไม่ทันจบ น้ำตาของเย่หลินก็ไหลพราก

หนิงเส่าเฉินเจ็บปวดใจถึงที่สุด เขายื่นมือออกไปโดยไม่รู้ตัวเพื่อต้องการที่จะไปเช็ดน้ำตาบนใบหน้าของเธอ แต่นึกอะไรขึ้นได้ จึงเอามือลง "เย่หลิน ฉันเห็นอีอีเป็นเพียงแค่น้องสาว คุณอย่ามาสร้างเรื่องวุ่นวาย"

พูดจบ ก็ดึงเฉินอีอี "ไป ไม่ต้องสนใจเธอ"

มองคนทั้งสองเดินตามกันเข้าไป ถึงเย่หลินจะรู้ชัดเจนว่า นั่นเป็นเพียงแค่การแสดง แต่ในใจก็ยังรู้สึกหดหู่จริงๆ

เธอไม่อยากจะคิดว่า เวลานี้เป็นเพียงการหลอกลวง ในใจของเธอยังอดไม่ได้ที่จะเจ็บปวดขนาดนี้ ในอนาคต ถ้ามีวันหนึ่ง เรื่องแบบนี้ กลายเป็นความจริงขึ้นมา เธอจะเป็นอย่างไร?

หนิงเส่าเฉินคว้าเธอไว้ "อย่าเพิ่งตื่นตูมไป เรื่องนี้เราควรปรึกษากันให้ดีก่อน แล้วคุณล่ะ? ดูสิว่าครั้งหน้าคุณยังจะกล้าส่งผู้หญิงคนไหนมาให้ฉันอย่างตามอำเภอใจอีกไหม"

เย่หลินประคองใบหน้าของหนิงเส่าเฉิน แล้วยิ้มอย่างภูมิใจ แต่ฉับพลันในใจก็รู้สึกหวาดกลัวขึ้นมา

เช้าตรู่วันต่อมา

"อีอี คุณรีบทานข้าวนะ ทานเสร็จแล้ว ให้เส่าเฉินพาคุณไปที่บริษัทด้วย มิเช่นนั้น ที่นี่มันจะขึ้นรถไม่สะดวก" เย่หลินพูดพลาง วางเกี๊ยวครึ่งจานไว้ตรงหน้าเฉินอีอี

เกาไห่หยุดตะเกียบในมือค้างอยู่กลางอากาศ เขามองเย่หลิน "เย่หลิน ไม่ต้องรบกวนเส่าเฉินหรอก ให้อีอีเรียกรถไปเองก็ได้"

เฉินอีอีพยักหน้าคล้อยตาม "ใช่ ฉันนั่งรถไปเองได้ ไม่เป็นไร"

"รีบทานข้าวเถอะ ทานเสร็จแล้วฉันจะพาคุณไปด้วยกัน" ครั้งนี้ หนิงเส่าเฉินเป็นคนพูดเอง ทุกๆ คนก็ไม่ได้พูดอะไรอีก

บนรถ "ประธานหนิง คุณปฏิบัติกับฉันดีแบบนี้ เย่หลิน จะไม่พอใจหรือเปล่า? "

หนิงเส่าเฉินเม้มปาก "ไม่หรอก เมื่อกี้เธอให้ฉันพาคุณไปไม่ใช่เหรอ? "

หลังจากถึงบริษัท หนิงเส่าเฉินก็ไม่หลีกเลี่ยงที่จะให้เฉินอีอีตามเขาเข้าบริษัทไปในเวลาเดียวกัน

อีกทั้งตลอดเส้นทาง ก็พูดคุยกันดีมาก

เฉินอีอีเห็นว่าหนิงเส่าเฉินคนนั้นถามอะไรก็ตอบหมด ก็ยิ่งลำพองใจ

ตอนที่จะแยกกัน หนิงเส่าเฉินก็ดึงเฉินอีอีมาข้างๆ "อีอี รบกวนคุณเรื่องหนึ่งได้ไหม อย่าให้เย่หลินรู้ว่าคุณคือน้องสาวของเฉินเป้ยอี"

"ห้ะ? อืม……โอเค ฉันเข้าใจแล้ว" เฉินอีอีมองตามหลังหนิงเส่าเฉินไป ก็ยกยิ้มขึ้นมา "หนิงเส่าเฉิน ในที่สุดคุณก็มีจุดออ่อนที่อยู่ในกำมือฉัน"

หลังจากเฉินอีอีกับหนิงเส่าเฉินออกไปแล้ว เย่หลินก็ดึงเกาไห่ไปที่ห้อง

ทั้งสองคุยกันอยู่ข้างในสองชั่วโมงกว่า จึงออกมา

"พี่ เธอไม่คู่ควรกับคุณเลย อย่าไปคิดอะไรมากกับเธอ"

เกาไห่ลูบหัวเย่หลิน "โอเค ฉันเข้าใจแล้ว คุณก็เช่นกัน ระวัง……สภาพจิตใจด้วย"

หลังจากเกาไห่ออกไปไม่นาน เย่หลินก็รับโทรศัพท์สายหนึ่ง "ฮัลโหล สวัสดีค่ะ ใครคะ? "

"สวัสดีค่ะ คุณเย่ใช่ไหม? อืม เอ่อ ฉันเก็บกระเป๋าตังค์ได้ เป็นของคุณเกาไห่ ฉันเห็นว่าเขามีนามบัตรของคุณอยู่ในนั้น ดังนั้น ฉันก็เลยโทรมาถาม"

เย่หลินอึ้งไปเล็กน้อย กระเป๋าตังค์ของเกาไห่ "อ้อ เป็นเช่นนี้ใช่ไหม? คุณอยู่ที่ไหน ให้ฉันไปรับที่ร้านอาหารเล่อจยาเหรอ? ……คุณบอกว่าเขาไปทานที่ร้านอาหารนั้นของคุณแล้วทำกระเป๋าตังค์ตกไว้เหรอ? อ้อได้ เพียงแต่ว่า เขาเพิ่งออกจากบ้านไป อีกสักครู่ฉันจะโทรให้เขาไปรับนะ" นี่ทำให้เย่หลินรู้สึกเหลือเชื่อเล็กน้อย เกาไห่สามารถไปกินที่ร้านอาหารข้างทางได้ด้วยเหรอ?

"อืม โอเค ขอบคุณค่ะ! "

วางสายไปแล้ว เย่หลินก็โทรหาเกาไห่

"ได้ ฉันรู้แล้ว ตอนเย็นฉันจะไปรับเอง" มุมปากของเกาไห่ก็ยกยิ้มขึ้นอย่างสวยงาม กระเป๋าตังค์ใบนั้น ไม่มีอะไร มีเพียงเงินไม่กี่พันและนามบัตรของเย่หลิน และรูปที่เขาถ่ายร่วมกับเย่หลินหนิงเสี่ยวซีแล้วก็เย่เสี่ยวโม่หนึ่งใบ

ไม่ได้รับโทรศัพท์ของเธอตลอดทั้งคืน เขายังคิดว่า เธอไม่สามารถโทรเข้ามาได้

เย่หลินนิ่งอึ้งไป เมื่อคืนวานเกาไห่กลับมา แล้วตอนเช้าก็ออกไป สภาพจิตใจไม่ดี แต่น้ำเสียงในโทรศัพท์เมื่อกี้นี้ ชัดเจนว่าดีขึ้นมาก

อดไม่ได้ที่จะไม่สบายใจ ตกลงในโทรศัพท์นี้คือใครกัน?

เล่อจยายิ้ม เมื่อวานเธอจึงตัดสินใจที่จะไม่ติดต่อเขา แต่ตอนที่เก็บโต๊ะ เห็นกระเป๋าสตางค์ของเขา อาการกระสับกระส่ายภายในใจ ก็ปะทุขึ้นอีกครั้ง

เพียงแต่ เมื่อเห็นรูปภาพใบนั้น ในใจของเธอก็หมดหวัง เด็กผู้หญิงคนนั้นจูงแขนของเขา เด็กชายหญิงที่อยู่ตรงหน้า ชัดเจนว่าเป็นครอบครัวเดียวกัน

ดูจากน้ำเสียงของผู้หญิงคนนั้นที่พูดแล้ว พวกเขาอยู่ด้วยกัน ใจของเธอ ก็ตายไปโดยสิ้นเชิงแล้วจริงๆ

"ซูหย่า คืนนี้ ฉันไม่ค่อยสบาย คุณมาดูร้านให้หน่อยได้ไหม? "

"โอเค กินข้าวแล้วฉันจะเข้าไป"

พอเกาไห่เลิกงานตอนเย็น ก็ไม่ได้ไปงานเลี้ยงส่วนตัว มุ่งตรงไปยังร้านอาหาร

"เอ่อ เมื่อคืนวานฉันลืมกระเป๋าสตางค์เอาไว้ที่นี่ครับ วันนี้…."

เกาไห่มองไปรอบๆ ก็ไม่เห็นเล่อจยา จึงทำได้เพียงกล่าวถามซูหย่า เพียงแต่ยังพูดไม่ทันจบ ซูหย่าก็ตัดบทคำพูดของเขา หยิบกระเป๋าสตางค์ใบหนึ่งออกมาจากในกระเป๋าใต้โต๊ะ "คุณหมายถึง อันนี้ใช่ไหม อย่างนั้นก็คืนให้คุณ"

คิดๆแล้ว ก็พูดเพิ่มอีกประโยคหนึ่งว่า "เมื่อวาน ฉันเก็บโต๊ะแล้วเห็น ด้านในมีเงินเยอะมาก ครั้งหน้าก็เก็บให้ดีๆ หน่อย! "

ในใจเกาไห่หดหู่เล็กน้อย แต่ก็ยังยิ้มแล้วกล่าวว่า: "อ้อ อย่างนั้นก็รบกวนคุณแล้ว"

เห็นเกาไห่จะจากไป ซูหย่าก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยปากว่า: "คุณผู้ชาย เอ่อ คือ…..เด็กสองคนนั้น น่ารักมากเลย"

นึกถึงหนิงเสี่ยวซีและเย่เสี่ยวโม่ เกาไห่ก็นิ่งอึ้งไป แล้วจึงพยักหน้า "ครับ น่ารักมาก"

เกาไห่คาดไม่ถึงว่าคนที่เก็บกระเป๋าได้จะเป็นซูหย่า ในใจก็ผิดหวังเล็กน้อย แล้วก็หงุดหงิดเล็กน้อย

เมื่อกลับถึงบ้าน ก็เห็นเฉินอีอีอยู่ไกลๆ พูดคุยอย่างสนุกสนานกับหนิงเส่าเฉิน สีหน้าก็ยิ่งเคร่งขรึมอย่างมาก

หลังจากหนิงเส่าเฉินเข้าบ้านมา ก็ไม่ได้เข้าห้องหนังสือไปเหมือนเมื่อก่อนแต่นั่งบนโซฟาด้านนอก ดูทีวีอยู่ครู่หนึ่ง คนสามคนนั่งอยู่บนโซฟา เฉินอีอีนั่งอยู่ด้านซ้าย หนิงเส่าเฉินนั่งอยู่ด้านขวา

เมื่อเย่หลินเดินออกมาจากในห้อง ก็เห็นฉากนี้พอดี สายตาก็เปลี่ยนไป พูดเสียงดังว่า: "เส่าเฉิน คุณมาช่วยดูตรงนี้หน่อย"

หนิงเส่าเฉินลุกขึ้น แต่ชั่วพริบตาสายตาก็หยุดอยู่ที่บนใบหน้าของเฉินอีอี

เฉินอีอี หน้าแดงระเรื่อ ก้มหน้าลง แต่ฉากนี้ตกอยู่ในสายตาของเกาไห่พอดี

จึงดึงเฉินอีอีกลับห้อง "อีอี หรือพวกเราจะย้ายออกไปดี ตอนนี้ฉันมีเงินแล้ว พวกเราออกไปข้างนอก……"

"อืม เอ่อ รอให้บริษัทของคุณมั่นคงอีกสักหน่อยเถอะ ฉันเห็นว่า คุณเพิ่งจะได้รับช่วงต่อเกากรุ๊ป อีกอย่าง เส่า….คุณชายหนิงจ่ายเงินเพื่อคุณไปมากขนาดนี้ พอมีเงิน เราก็ควรจะมัธยัสถ์สักหน่อยก่อน อยู่ที่นี่ไปก่อนเถอะ? รอให้เงินของคุณชายหนิงได้พอสมควรแล้ว พวกเราค่อยออกไปเช่าบ้านข้างนอกอยู่" เฉินอีอีอธิบายอย่างสะเปะสะปะเล็กน้อย เกาไห่มองผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้า แต่แปลกใจมาก คาดไม่ถึงว่าภายในใจจะไม่มีความรู้สึกเจ็บปวดเลย

พยักหน้า "โอเค ตามใจคุณ"

"อย่างนั้น คุณไม่มีธุระแล้ว ก็กลับห้องของคุณไปเถอะ ฉัน…..ทำงานมาค่อนข้างเหนื่อย ฉันอยากพักผ่อนสักหน่อย" เฉินอีอีรีบไล่เขา เกาไห่ดึงมือของเธอ อยากจูบสักเล็กน้อย แต่ถูกเฉินอีอีดันกลับไปอย่างรังเกียจ "เอ่อ ฉันไม่สบาย ฉันต้องการนอนเร็วหน่อย"

"อ้อ ดีๆ อย่างนั้นคุณก็นอนเร็วหน่อยนะ" เกาไห่พูดพลางเดินถอยออกไปนอกประตู เมื่อประตูปิด รอยยิ้มบนใบหน้าของเขา ก็ค่อยๆ จางหายไป

ซูหย่าตกใจเล็กน้อย แล้วเธอก็ตอบกลับไปว่า “เจ้านายผู้หญิงของเราตอนนี้ยังไม่ว่างกำลังย่างของอยู่ ขอโทษด้วยค่ะ!”

เกาไห่หันศีรษะและมองไปยังเล่อจยาและไม่ได้พูดอะไร แต่จู่ๆ เขาก็รู้สึกไม่อยากอาหาร หลังจากกินอะไรไปสองสามคำเขาก็โยนเงินสองร้อยหยวนจากไปโดยไม่ทักทายใดๆ

เมื่อเห็นเขาจากไป ซูหย่ารีบดึงเล่อจยาและกล่าวว่า "เล่อจยา เขาไปแล้ว เลิกเสแสร้งได้แล้ว"

เล่อจยา ถอนหายใจด้วยความโล่งอก อันที่จริง เธอไม่ค่อยได้ช่วยย่างอะไรเพราะพ่อของเธอบอกว่าควันจะทำให้ผิวของเธอดำคล้ำและแห้ง

เธอแค่รับผิดชอบ สั่งอาหาร เสิร์ฟ และปิดบิล

แต่เธอจะช่วยตอนที่งานยุ่งเกินไปในบางครั้งเท่านั้น

เมื่อเห็นเงินวางอยู่บนโต๊ะอยู่ดีๆก็รู้สึกเหมือนไม่มีสติ"เขาน่าจะไม่กลับมาอีกแล้ว" เมื่อมาถึงจุดนี้ เธอกัดริมฝีปากของเธอ จ้องไปที่ที่เดิม และไม่พูดอะไร

เขาคงไม่มีทางรู้ว่าแผงขายอาหารที่เขาไปในตอนนั้น เธออยู่ที่นั่นเพื่อช่วยทำงานพาร์ทไทม์เพื่อจะได้เจอเขาบ่อยๆ ดังนั้นเธอจึงรู้รสนิยมของเขาดี

ทุกครั้งที่เขามาเธอก็จะรีบแย่งไปรับออเดอร์อาหารจากเขา

อย่างไรก็ตาม หลังจากสั่งไปหลายสิบครั้ง เขาก็ไม่เคยมองผ่านเธอเลยสักครั้ง และจำไม่ได้ว่าเธอเป็นใคร?

เมื่อคิดเช่นนี้ เธอก็ยิ่งรู้สึกเศร้า

“จยาจยา ถ้าพูดถึงเรื่องของเธอ ชีวิตเธอนั้นช่างโชคไม่ดีจริงๆ ฉันได้ยินพ่อของฉันบอกว่าแถวนี้จะถูกรื้อทำลายและจะเริ่มรื้อถอนที่หน้าบ้านเธอก่อน เป็นเพราะพ่อของเธอติดหนี้มัน และเธอเพียงคนเดียวต้องชำระหนี้เหล่านั้นไปนานแค่ไหน”ซูหย่าถอนหายใจ

ใบหน้าของเล่อจยาทรุดลง “ฉันพูดไปหลายครั้งแล้วว่า ผู้หญิงคนนั้นเป็นหนี้ ผู้หญิงคนนั้นเป็นหนี้” เมื่อนึกถึงผู้หญิงคนนั้น หลังจากที่เธอติดหนี้การพนันมากมายและหย่ากับพ่อของเธอแต่ที่ยิ่งน่าเจ็บใจไปกว่านั้นคือเมื่อหย่าร้างกับพ่อของเธอ เธอยังบอกว่าน้องชายของเธอไม่ใช่ลูกของพ่อเธอ

หลังจากที่เธอจากไปก็ไม่ได้จ่ายอะไรเพิ่มและพวกทวงหนี้ก็ตามมาถึงที่บ้าน ตอนนั้นพ่อเครียดจนทำงานไม่เป็นปกติจนทำให้เป็นโรคเบาหวาน

อย่างไรก็ตาม ชีวิตของเธอในขณะนั้นก็พังทลายลง

ซูหย่าพยักหน้า “เอาละ เอาละ”ไม่ต้องตื่นตัว

เมื่อเกาไห่กลับมาที่บ้านตระกูลหนิง เขาบังเอิญเห็นเฉินอีอีออกจากรถของหนิงเส่าเฉิน

เขามองไปและเดินเข้าไปโดยไม่ทักทาย

เย่หลินสระผมและเป่าผมด้วยไดร์เป่าผม เมื่อเห็นทั้งสามคนเข้ามาพร้อมกัน เขาก็ยิ้มและพูดว่า "วันนี้คุณสามคน ทำไมถึงกลับมาพร้อมกัน"

เกาไห่พูดว่า "อืม" และดูเหมือนว่าเขาจะอารมณ์ไม่ดี ดังนั้นเขาจึงเดินตรงเข้าไปในห้อง

เฉินอีอีใบหน้าเบิกบาน เย่หลินรู้ว่าวันนี้เป็นวันแรกที่เธอทำงาน เย่หลินเลยถามอย่างสุภาพว่า "อีอี วันนี้ทำงานเป็นอย่างไรบ้าง"

หนิงเส่าเฉินหันศีรษะ เหลือบมอง เฉินอีอีและไม่พูดอะไร และเดินเข้าไปที่ห้องสมุด

เฉินอีอีเหมือนกำลังดึงเย่หลินไว้"วันนี้ดีมาก ประธานหนิงดูแลฉันอย่างดี กลางวันพาฉันไปทานอาหารเที่ยงและเย็นๆยังมาส่งฉันกลับบ้านอีก"

เย่หลินตกใจเล็กน้อย นี่คือ หนิงเส่าเฉินหรือ?

หนิงเส่าเฉินไม่เคยทำอะไรแบบนี้กับใครเลยนอกจากเธอ

"อืม ดีแล้วละ"

คิดเสร็จก็เดินเขากลับไปที่ห้องมัดผมขึ้นและเดินไปที่ห้องสมุด หนิงเส่าเฉินกำลังมีการประชุมทางวิดีโอคอลอยู่และเมื่อเขาเห็นเย่หลินกำลังเดินเข้ามา เขาก็ชี้ไปที่โซฟาด้านหน้าของเขาและโบกมือให้ ให้เธอรอ

เมื่อเธอมองไปที่ชายรูปงามและฉลาดที่อยู่ข้างหน้าเธอเย่หลินก็อมยิ้ม

หนิงเส่าเฉินเกรงว่าเธอจะรอนาน จึงขอสรุปสั้นๆและมอบหมายงานให้เรียบร้อย เขาก็ปิดวิดีโอคอล เดินไปหาเย่หลินและโน้มตัว “คุณนาย มีคำแนะนำอะไรดีๆไหม?”

เย่หลินยืนขึ้น เดินไปรอบๆ ตัวเขา และยืนนิ่งอยู่ตรงหน้าเขา “หนิงเส่าเฉิน คุณเปลี่ยนไปมากจริงๆ ?”

"ช่วยเล่าให้ฟังหน่อยว่าเกิดอะไรขึ้น"

“หนิงเส่าเฉิน เริ่มมีความกระตือรือร้นในการเทคแคร์คนเป็น พาไปทานข้าว และยังมีการรับส่งอีก ช่วยอธิบายให้ฟังหน่อย การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้คืออะไร?” เธอยิ้มอ่อนโยนมาก แต่หนิงเส่าเฉิน กลับรู้สึกขนลุกไปทั้งตัว

หนิงเส่าเฉินขมวดคิ้ว นั่งลงข้างๆ เย่หลิน แล้วโอบเอวของเธอ “ผมคิดว่าถ้าผมทำแบบนี้คุณจะมีความสุข เมื่อวานคุณยังไปที่สำนักงานเพื่อให้ผมช่วยดูแลเธอไม่ใช่หรือ?”

เย่หลินเปิดปากของเขา “จริงเหรอ? ถ้าอย่างนั้นความสามารถในการเข้าใจของคุณก็ไม่ครอบคลุม ถ้าฉันพูดมากกว่านี้ พรุ่งนี้คงจะต้องดูแลกันไปถึงบนเตียงเลยหรือ”

หนิงเส่าเฉินส่ายหัวอย่างรวดเร็ว “แบบนี่ ไม่กล้าจริงๆ”

“อย่าพูดมาก คุณก็พูดมาตรงๆว่าเกิดอะไรขึ้น ถ้าวันนี้คุณไม่อธิบายให้ชัดเจน คุณก็เลือกเองว่าจะนอนในห้องสมุดหรือนอนข้างนอก!”

พูดจบก็ทำหน้าเย็นชาอย่างไม่พอใจ

แม้ว่าจะเป็นแฟนของพี่ชายของเธอ ก็ต้องระวังไว้ก่อน

“จริงเหรอที่ต้องรู้?ต่อรองไม่ได้หรือ?”

เย่หลินเหลือบมองเขาและลุกขึ้น "ได้ สรุปคืนนี้คุณไปนอนข้างนอก"

หนิงเส่าเฉินเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย หมดหนทางแล้วก้าวไปข้างหน้าและกอดเย่หลินจากด้านหลัง "เอาล่ะ ผมก็ไม่มีทาง เธอบอกว่าเป็นน้องสาวคุณ คุณคิดว่าผมไม่ควรดูแลเธอหรือ"

“น้องสาวฉัน?” เย่หลินหันศีรษะและจ้องไปที่หนิงเส่าเฉิน อย่างสงสัย: “น้องสาวของใคร?”

หนิงเส่าเฉินถอนหายใจอย่างแผ่วเบา “เย่หลิน ผมก็บอกคุณเมื่อวานแล้ว คนเรารู้หน้าไม่รู้ใจ คุณไม่เชื่อเอง!

คุณรู้ไหมว่าวันนี้เธอพูดอะไรกับผม”

เย่หลินมองไปที่หนิงเส่าเฉินมีท่าทางประหม่าเล็กน้อย "เธอพูดอะไร"

"เธอบอกว่าเธอเป็นน้องสาวของเฉินเป้ยอีชื่อ เฉินอีอี"

ร่างกายของเย่หลินสั่นและไม่ตอบสนอง อะไรคือน้องสาวของเฉินเป้ยอี? เธอเองก็คือเฉินเป้ยอีไม่ใช่หรือ?

ทันใดนั้นเธอก็ปิดปากและหัวเราะอย่างเยือกเย็น “น้องสาวของเฉินเป้ยอี?”

เธอเหล่ตาอย่างไม่น่าแปลกใจ เธอรู้สึกคุ้นเคยกับผู้หญิงคนนี้ มันเป็นอย่างนี้นี่เอง

“เธอจงใจเข้าหาพี่ชายของฉันแล้วเข้าหาคุณ แต่เธอเป็นใครและทำไมเธอถึงรู้จักเฉินเป้ยอี?”

“แล้วเรื่องนี้ได้บอกกับพี่ฉันรึยัง”

หนิงเส่าเฉินส่ายหัว "อย่าเพิ่มบอกดีกว่าและผมคิดว่าจะยังไม่บอกคุณปล่อยให้คุณอิจฉาริษยาให้พอแล้วค่อยบอก" จากนั้นเขาก็เงยหน้าขึ้นก้มหน้าลงแล้วจูบลงบนคางเธอ. "แต่เมื่อผมเห็นคุณอารมณ์เสียและขมวดคิ้ว ผมก็ทนไม่ได้ คุณเย่ เพราะผมกลัวพิษของคุณ"

เย่หลินเอาแขนคล้องคอด้วยใบหน้าที่จริงจัง “สารภาพมาเร็วๆ คุณรู้อะไรมากกว่านี้ใช่ไหม?”

หนิงเส่าเฉินก้มศีรษะลงและกระซิบที่หูเย่หลิน จากนั้นเขาก็เห็นเย่หลินยืนขึ้นอย่างตื่นเต้น หายใจขึ้นลงอย่างแรง

"โอ้พระเจ้า ทำไม… เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นได้ยังไง?"

ใบหน้าของหนิงเส่าเฉินยิ่งดูยิ่งเย็นชา

เขาก้าวไปข้างหน้าโน้มตัวเข้าแล้วสัมผัสตัวเฉินอีอีและพูดด้วยความตื่นเต้น: "คิดไม่ถึงว่าคุณจะเป็นน้องสาวของเธอ"

เฉินอีอียืนขึ้นและมองไปที่หนิงเส่าเฉิน “ประธานหนิง คุณ…รู้จักพี่สาวฉันได้อย่างไร”

หนิงเส่าเฉินดูเศร้า “เพราะพี่สาวของคุณเป็นผู้หญิงคนเดียวที่ฉันเคยรักในชีวิตของฉัน และเธอเสียชีวิตเพราะฉัน” เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ หนิงเส่าเฉินก็นึกถึงปีที่ชีวิตเลวร้ายยิ่งกว่าตายทั้งเป็นและกำหมัดแน่น

เฉินอีอีดีใจแล้วรีบยืนขึ้น และโยนตัวเองเข้าไปในอ้อมแขนของหนิงเส่าเฉิน“พี่เขย ผู้ชายที่พี่สาวเคยเขียนจดหมายทิ้งไว้ บอกว่าผู้ชายที่เธอตกหลุมรักก็คือคุณ”.

หนิงเส่าเฉินผลักเธอออกไป ขดริมฝีปากแล้วลูบหัวสองครั้ง “ดูตอนนี้ คุณกับพี่สาวของคุณคล้ายกันจริงๆ”

“ก็จริงน่ะค่ะ ตั้งแต่เรายังเด็ก ทุกคนบอกว่าเราหน้าเหมือนกันและบุคลิกของเรา…ก็คล้ายกันด้วย”

หนิงเส่าเฉินพยักหน้าด้วยท่าทางโล่งใจ "คุณทานข้าวเที่ยงหรือยัง ถ้ายัง ผมจะพาคุณออกไปทาน"

“ค่ะ? ถ้าอย่างนั้น ก็ขอบคุณพี่เขยค่ะ”

“อย่าเรียกผมว่าพี่เขยเลยดีกว่า ถ้าเย่หลินได้ยิน…เกรงว่าเธอจะไม่มีความสุข”

เฉินอีอีพยักหน้า "ได้ค่ะ ประธานหนิง" จากนั้นเธอก็แกล้งถามอย่างไม่เป็นทางการว่า "ประธานหนิงค่ะ คุณไม่รักพี่สาวฉันแล้วใช่ไหม ตอนนี้ดูเหมือนคุณจะรักเย่หลินมากกว่า"

หนิงเส่าเฉินหันศีรษะและเหลือบมองเธออย่างมีความหมาย “บางอย่าง เก็บไว้ในใจดีกว่า”

เขาตอบคำตอบที่ดูคลุมเครือ แต่เฉินอีอีมีความสุขมาก

จากนั้นหนิงเส่าเฉินตั้งใจพาเฉินอีอีไปที่ตั้งของห้องอาหาร เมื่อเธอเห็นว่าเธอกำลังจะล้มลงเขาก็เอื้อมมือออกไปและช่วยเธอขึ้นมา

“อีอี ผมขอโทษสำหรับพี่สาวของคุณ ในอนาคตถ้าคุณมีความต้องการใด ๆ บอกผมผมจะดูแลคุณอย่างดี และพ่อแม่ของคุณก็จากไปแล้ว” ระหว่างทานอาหาร หนิงเส่าเฉิน หยุดตะเกียบของเขาและพูด

เฉินอีอีฟังด้วยหัวใจที่เบิกบาน แสร้งทำเป็นอิจฉาและกล่าวว่า “ขอบคุณประธานหนิง ฉันละอิจฉาพี่สาวของฉันจริงๆ ที่ได้พบกับคนดีอย่าง หนิงเส่าเฉิน ในชีวิตนี้”

หนิงเส่าเฉินหยิบอาหารมาให้เธอ "จริงๆ แล้ว อาไห่ คนคนนี้ก็เป็นคนดีมากคนหนึ่ง คุณควรให้ความสำคัญเขาด้วย"

เมื่อเฉินอีอีได้ยินหนิงเส่าเฉินพูดถึงเกาไห่ เขาพยักหน้าด้วยความสนใจ “จริงๆ แล้วเขากับฉันไม่ได้รักกัน ตอนนั้นเราต่างอยู่ต่างแดนและค่อนข้างเหงาเราก็เลยตงลงอยู่ด้วยกัน ”

หนิงเส่าเฉินพยักหน้า “เป็นอย่างนี่เอง”

หลังจากรับประทานอาหารแล้วหนิงเส่าเฉินก็พูดกับเฉินอีอีว่า "รอผมหลังเลิกงานนะแล้วผมจะส่งคุณกลับบ้านเอง"

"ได้ค่ะ ขอบคุณมากเลยค่ะ"

บ่ายนี้เฉินอีอีใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวและค่อนข้างภาคภูมิใจกับการตัดสินใจของเธอ

เล่อจยาไม่เคยคาดคิดว่าเกาไห่จะมาหาเธออีก

เมื่อมองดูร่างด้านหลังนั้น และนึกถึงฉากที่น่าละอายในตอนบ่ายนั้น ใจนี้มันอยากให้ตายๆไปให้สิ้นเรื่อง

ดีหน่อยที่ซูหย่าเพื่อนสาวของเธอมาช่วย ขอเธอให้รับหน้าเกาไห่แทนเธอ

“คุณลูกค้าค่ะ คุณอยากกินอะไรค่ะ นี่คือเมนู” ซูหย่าคิดว่าแขกคนนี้คงจะโกรธเล่อจยา เธอจึงปฏิเสธที่เขา ดังนั้นเธอจึงเงยหน้าขึ้นโดยไม่มองชายตรงหน้าเขาแล้ววางเมนูลงบนโต๊ะโดยตรง.

เกาไห่ดูงงเล็กน้อยเขาหันกลับมามองเลอจยาที่รับลูกค้าโต๊ะอื่นอยู่ รู้สึกไม่พอใจเล็กน้อย"เอาล่ะ ทำตามจานที่ฉันเคยสั่งครั้งที่แล้วมาชุดหนึ่ง"

ซูหย่าสูดหายใจเข้าอย่างเย็นชา “ฉันจะรู้ได้อย่างไรว่าคราวที่แล้วคุณสั่งอะไร…” ก่อนที่คำพูดจะออกจากปาก เธอรีบปิดปากและร้องออกมาอย่างเหลือเชื่อ “เกาไห่ คุณคือเกาไห่ จยา… “ เธอต้องการบอกเล่อจยาว่านี่คือเกาไห่ แต่แล้วเธอก็คิดว่าเล่อจยาขอให้เธอมาเธอก็ต้องรู้แล้วว่าทำไม

ก็เพียงแต่งงเล็กน้อย

เธอดึงเมนูบนโต๊ะกลับและพยักหน้า: “คุณเกา กรุณารอสักครู่”

เกาไห่ขมวดคิ้วและแปลกใจเล็กน้อย ผู้หญิงคนนี้รู้ได้อย่างไรว่าเขาชื่อเกาไห่ ยิ่งกว่านั้น เธอดูเหมือนตื่นเต้นมาก ในความทรงจำของเขาจำไม่ได้ว่าเคยเจอคนนี้มาก่อน

“อ้วนจยา นั่นคือเกาไห่จริงๆ หรือ เขาไม่ใช่…”

“ใช่เขา เขากลับมาแล้ว” เล่อจยามองไปข้างหน้าอย่างไม่สบอารมณ์ ใช่เขาแล้วจะทำอะไรได้ละ?จะกลัวตัวเองไปทำไม แค่ผู้ชายคนเดียว หรือว่าต้องอยู่ห่างๆ ใช่ไหม?

“ในเมื่อเป็นเขา ทำไมเธอ… ไม่ใช่ว่ารอเขามาหลายปีแล้วเหรอ ลุยเลย…” เมื่อเธอพูดตอนนี้ ซูหย่าตื่นเต้นแทนเธอ

เล่อจยาถอนหายใจ เหอเหอ 2 ครั้ง เห็นข่าวของเขาเมื่อไม่นานนี้ และเขากลับมาเป็นแบบเดิมของเขาแล้ว ผู้ที่มีทั้งฐานะหน้าตาดีและเงิน ช่องว่างระหว่างเขากับเธอที่ต่างกันราวฟ้ากับดินก็กลับคืนมาอีกครั้ง

“มองดูไปที่เขา แล้วมองมาที่ฉัน ซูหย่า เธอคิดว่าอย่างที่ฉันเป็นอยู่ตอนนี้ ฉันยังสามารถเป็นแม่บ้านให้กับคนอื่นได้ใช่ไหม” หลังจากพูด เธอก้มศีรษะและพลิกต้นหอมไปมา

ในอดีตที่เธอจบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยและในขณะนั้นเธอยังทำงานเป็นพนักงานเล็กๆ ในบริษัทที่ติดอันดับ1ใน 500 ในเวลานั้น เขาก็ได้เป็นรองประธานของเกากรุ๊ปแล้ว

เธอกำลังคิดว่า อย่างน้อยเธอก็ยังเป็นซินเดอเรลล่าได้

แต่ตอนนี้? ความเยาว์วัยไม่อยู่ ความสวย ความงาม ไม่มี ร่างกายไม่มี แม้แต่งานเดียวที่ภาคภูมิใจในตอนนั้น และตอนนี้ก็ไม่มีมันแล้ว เธอก้มศีรษะลงและมองดูผ้ากันเปื้อนที่มันเยิ้มของเธอก็ยังเป็นแบบนี้

ไม่มีอะไรดีเลย

เธอต้องมีสติสัมปชัญญะเล็กน้อยเกี่ยวกับสิ่งที่เธอทำ

ซูหย่ามองดูเธอ ด้วยท่าทางที่เธอต้องเอาชนะตัวเอง และกังวลเล็กน้อย “เล่อจยา เป็นอะไร ใครจะกล้าทำอะไรคนที่ตีไม่ตายอย่างเธอได้”

“หยุดพูดเถอะ ซูหย่า ขอบคุณที่หลายปีมานี้ที่คอยอยู่ข้างฉันและไม่หัวเราะเยาะฉัน” เธอก็ขยับตัวไม่ไหวจริงๆ

“เธอก็ไปดูแลแทนฉันแล้วกัน ขอบคุณนะ”

ซูหย่าพยักหน้า “เขาเพิ่งบอกว่าเขาต้องการอาหารแบบเดียวกันกับเมื่อวันก่อน”

เล่อจยา ตกใจและดึงริมฝีปากของเธอ "ได้ ฉันจัดการให้"

หลังจากจัดอาหารเรียบร้อยแล้ว เลอจยาก็บอกให้ซูหย่าพาเขาขึ้นไป และเมื่อเห็นเธอกำลังจะจากไป เธอก็ดึงเธอกลับมาและบอก“อย่าบอกเขา ว่าฉันรู้จักเขา ได้โปรด ฉันไม่ต้องการ ทำให้มันอับอาย”

“ได้ได้ ฉันรู้ อีกไม่กี่วันฉันจะแนะนำผู้ชายหล่อๆให้”

เล่อจยาตบไหล่เธอ “ดีมาก”

“คุณผู้ชายค่ะ ดูว่าเป็นอาหารพวกนี้หรือเปล่า”

เกาไห่มองดูจานสองสามจานบนโต๊ะ สมัยเรียน วิทยาลัยมีแผงขายอาหารขึ้นชื่ออยู่ด้านหลังโรงเรียน เขาไปกินกับเพื่อนๆ บ่อยๆ.

อาหารเหล่านี้เป็นสิ่งที่เขาชอบกินบ่อยๆ

หลังจากเรียนจบมหาวิทยาลัย เขาก็กลับไปเมืองCอีกครั้ง เพราะตัวตนของเขา เขาก็ไม่เคยได้กินมันอีกเลย

วันนั้นเขามาที่นี่โดยบังเอิญเพียงเพราะเขาหิว เขาต้องการจะกินอะไรง่ายๆ

คิดไม่ถึงว่าแค่เจ้าของร้านเห็นเขาเท่านั้นก็แนะนำอาหารเหล่านี้ให้เขาโดยตรงและทุกจานก็เป็นอาหารจานโปรดของเขา

“ช่วยเรียกเจ้าของร้านที่เป็นผู้หญิงมานี่หน่อย”

ก่อนที่เขาจะพูดจบ เห็นผู้หญิงคนนั้นดึงแขนชายอ้วนแล้วดึงเขาขึ้นมาก่อน แล้วค่อยตบอย่างแรง แล้วโยนคนทั้งร่างจนกระโดดขึ้น โดยมีขาข้างหนึ่งอยู่ตรงกลาง เท้าข้างหนึ่ง เล็งไปที่หน้าอกของผู้ชาย หันหลังกลับแล้วเตะหนักอย่างแรงจนร่างชาย ล้มลงกับพื้นอีกข้างหนึ่งจนกระเด็นไปหลายเมตรแล้วหยุดตรงที่ที่เขานั่ง แล้วเธอก็ตบมือเบาๆสองสามทีแล้วเดิน ก้าวไปข้างหน้า หยิบกาแฟที่เธอไม่ได้ดื่มแล้วเทใส่ปากของชายคนนั้น

“ปากคุณมันเหม็นมาก เอากาแฟไปชิมซะ และฉันก็บันทึกคำพูดที่คุณเพิ่งพูดเอาไว้ด้วย ฉันจะเอากลับไปให้ป้าดูว่าคุณเป็นสัตว์ประเภทไหน”

หลังจากพูดจบ เธอก็เหยียบหน้าท้องส่วนล่างของชายคนนั้น ออกแรง และหมุนตัวไปมาจนเห็นชายคนนั้นตะโกนว่า "โอ้ โอ๊ย "

เธอพูดด้วยสีหน้าอย่างเย็นชาว่า: "คุณไม่ใช่สงสัยหรือว่าทำไมผู้หญิงอย่างฉันถึงขายของที่นั่นหลายปี? คุณรู้คำตอบแล้วหรือยัง" หลังจากนั้นเธอก็หยิบกระเป๋าและโทรศัพท์มือถือ และหันกลับออกจากประตู

เกาไห่มองไปที่ชายที่ล้มลงกับพื้น ถอนหายใจด้วยความโล่งอกและตกตะลึง หยิบกระเป๋าขึ้นมาทันที แจ้งหมายเลขบัตรสมาชิกไปที่แผนกต้อนรับ แล้วเดินตามออกไป

เล่อจยาจำไม่ได้ว่าเธอวิ่งไปได้ไกลแค่ไหน เธอรู้เพียงว่าไม่มีเสียงใดๆ อยู่เบื้องหลัง และไม่มีเสียงรถใดๆ ดังนั้นเธอจึงหยุดและยืนตรงมุมหนึ่งร้องไห้อย่างเจ็บปวด

เนื่องจากเธอหันหลังให้ถนน เธอจึงไม่สังเกตเห็นชายที่ยืนอยู่ข้างหลังเธอ

เกาไห่มองไปที่ร่างด้านหลังกลับมีความเจ็บปวดแทนที่อธิบายไม่ได้ภายในหัวใจของเขา

กลับกลายเป็นว่าเบื้องหน้าที่มีรอยยิ้มที่สดใสนั้นเบื้องหลังมีสิ่งที่ไม่สามารถทนได้เหมือนกัน

อย่างไรก็ตาม เขาคาดไม่ถึงจริงๆ ว่าผู้หญิงที่ดูอ่อนโยนจะรู้ว่าต้องทำยังไง คนอ้วนคนนั้น อย่างน้อย 90 กก. แต่ต่อหน้าผู้หญิงไม่มีทางโต้กลับแน่นอน ไม่น่าแปลกใจเลยที่เธอพูด ฉันไม่กลัวมันและไม่ใช่เธอคนนี้ คนธรรมดา ๆคงไม่กล้ายุ่งกับมันจริงๆ

“เล่อจยา” เขาเรียกเธอออกมาดัง ๆ เธอจำได้ว่าเธอพูดเมื่อวานนี้ว่าเธอชื่อเล่อจยา เล่อที่แปลว่าแฮปปี้ จยาที่แปลว่า ดีงาม ยกย่อง

เล่อจยาได้ยินเสียง ได้แต่ร้อง "ว้าว" กลับร้องไห้หนักกว่าเดิม

ทำไมเธอถึงไร้ประโยชน์ขนาดนี้ เธอยังคิดถึงผู้ชายคนนั้น และยังมีอาการประสาทหลอนในการได้ยินอีกด้วย

เกาไห่สูดหายใจ ก้าวไปข้างหน้าสองก้าว วางมือบนไหล่ของเล่อจยา ก่อนที่จะส่งเสียง เล่อจยาก็หันไปอีก

ด้านแล้วรีบเดินไปข้างหน้า เกาไห่ก็ตามเธอไปอย่างรวดเร็ว พลิกตัว ปรากฏตัวต่อหน้า เล่อจยา

“อย่า นี่ฉันเอง” เขาตะโกนอย่างเร่งรีบ มองดูเล่อจยาปล่อยเขาไป แอบโล่งใจ ถ้าเขาตอบสนองช้ากว่านี้ แขนของเขาอาจจะหักได้

เขาพยายามสงบสติอารมณ์และมองดูเล่อจยาและพูดว่า: "ขอโทษนะสาวน้อย คุณคือเล่อผู้มีความสุข จยาที่แปลว่า ดีงาม ยกย่อง คนที่ชื่อเล่อจยาใช่หรือไม่"

เล่อจยามองมาที่เขา เธอตกใจเล็กน้อย ขยี้ตา จากนั้นหน้าของเธอก็เย็นชา และเธอก็ตอบว่า “คุณเป็นใคร ฉันไม่รู้จัก”

หันกลับแล้วจะเดินจากไป

เมื่อเห็นว่าเธอกำลังจะจากไป เกาไห่ก็กังวล และเขาก็ยื่นมือออกไปจับมือเธอ "ฉันไม่ได้หมายความอย่างอื่น ฉัน…ฉันแค่อยากจะปลอบเธอ"

เล่อจยายิ้มแบบเยือกเย็นและมองขึ้นไปที่เกาไห่ "คุณผู้ชายค่ะ คุณมีแฟนแล้ว คุณคิดว่าการปลอบฉันเช่นนี้มันควรหรือไม่" หลังจากพูดแล้ว ดวงตาของเขาก็ตกต่ำลงและหลับตาลงมองมือของเขา

"ปล่อยมือ"

เกาไห่ขมวดคิ้ว หายใจเข้า และปล่อยมือ เห็นได้ชัดว่าเขินอายเล็กน้อย เขาเม้มปาก "ผม ผมเพิ่งจะอยู่ที่นั่น ดังนั้น… แค่…"

เล่อจยา อ้าปาก หน้ามืดลง กัดริมฝีปาก หลับตา หายใจเข้า หันหลังรีบหนี

โชคแบบนี้คือโชคอะไร? สิ่งที่น่าอายมากที่สุดทำไมต้องเป็นเขาที่เห็นมัน

แขนของเกาไห่แข็งค้างกลางอากาศเป็นเวลานานก่อนที่เขาจะหดกลับ

ในเวลานี้ โทรศัพท์ก็ดังขึ้นและมองไปว่าเป็นเฉินอีอี ตาของเขาทรุดลง แล้วเขาก็หยิบขึ้นมา "ฮัลโหล อีอี "

“อาไห่ พรุ่งนี้ฉันจะไปทำงานที่หนิงกรุ๊ปนะ ฉันจะไปเป็นเลขาของพี่เขยคุณ”

เกาไห่ตกใจ “เป็นเลขาของหนิงเส่าเฉิน?”

“ใช่แล้ว น้องสาวของคุณเพิ่งกลับมาบอกฉัน ว่าแต่ว่า น้องสาวของคุณนี้… เป็นคนดีจริง” น้ำเสียงของเธอถูกยืดออกไปโดยเจตนา และเกาไห่แสดงปฏิกิริยาและยิ้มอย่างมีความหมาย สองสามครั้ง “งันก็, ขอแสดงความยินดีด้วยนะ”

หลังจากพูดจบก็วางสาย โดยรู้สึกหงุดหงิดอย่างอธิบายไม่ถูก

หนิงกรุ๊ป

“ทำไมถึงอยากให้เธอเป็นเลขาของคุณ”

หนิงเส่าเฉินนั่งบนเก้าอี้ ร่างยาวของเขาขยับ ดวงตาของเขาจ้องมองไปที่เกาไห่ และตอบอย่างใจเย็น “น้องสาวของคุณขอให้ฉันช่วย เธอก็รู้ว่าฉันรักเธอและไม่มีทางปฏิเสธได้”

เกาไห่ตกตะลึง แล้วหรี่ตาลง “ดูเหมือนว่าคุณตั้งใจ?”

หนิงเส่าเฉินเลิกคิ้ว “บางครั้งการที่จะปกป้องคนๆ หนึ่งโดย การสอนวิธีให้ป้องกันตัวเธอเองจะดีกว่า”

เกาไห่เลิกคิ้วและรออย่างเงียบ ๆ

“จุดอ่อนของ เย่หลิน คือการที่เธอใจดีเกินไป และชอบเชื่อใจคนอื่น และการปล่อยให้เธอประสบกับความสูญเสียอีกเล็กน้อยนั้นไม่ใช่เรื่องเลวร้าย แต่สำหรับผู้หญิงคนนั้นตัดสินใจจริงๆแล้วหรือ”

หลังจากพูดจบ รอยยิ้มบางๆ ก็ปรากฏขึ้นที่มุมปากของเขา

เกาไห่เงียบอยู่นานก่อนที่เขาจะพูดว่า: "เธอทำตัวของเธอเอง" หลังจากพูดเขาก็หันหลังกลับและออกจากสำนักงาน

ในวันแรก เฉินอีอีไปทำงาน เธอได้รับการดูแลตลอดทาง ครั้งแรกที่แผนกต้อนรับ หลังจากได้ยินชื่อของเธอ เธอได้รับการปฏิบัติเป็นพิเศษ จากนั้นฝ่ายบุคคลก็เปิดประตูหลังให้เธอ ห้องเลขาให้การต้อนรับอย่างอบอุ่น

แม้ว่าเธอจะทำหน้าสงบตลอดทาง แต่ในความเป็นจริงใจเธอนั้นยิ้มแทบจะละลายออกมา

“อีอี คุณส่งแฟ้มนี้ไปให้ประธานเซ็นหน่อย” ผู้รับผิดชอบสำนักงานเลขานุการยื่นแฟ้มในมือให้เฉินอีอี

“ฉันหรือ?” เฉินอีอีประหลาดใจเล็กน้อย

"ใช่ ไปเถอะ"

เฉินอีอีสูดลมหายใจ ยืนอยู่หน้าประตูประธาน เงยศีรษะขึ้น ถูประตูข้างหน้าเขาด้วยนิ้วเรียว มุมปากของเขาม้วนงอ หนิงเส่าเฉิน ไม่เจอกันนานเลย

เคาะประตู.

"เข้ามา!"

“ท่านประธานหนิงค่ะ เอกสารนี้ต้องการลายเซ็นของคุณค่ะเฉินอีอีพูดพร้อมยื่นแฟ้มให้

หนิงเส่าเฉินเงยหน้าขึ้นมองเธอ เป็นเวลานาน เขาไอแล้วพูดว่า " ขอถามอะไรหน่อย คุณมีพี่น้องคนอื่นไหม"

เฉินอีอีเลิกคิ้ว ปกปิดความภาคภูมิใจของเขา และตอบอย่างนุ่มนวลว่า “ใช่ค่ะ มีพี่สาวอีกคนชื่อ…เฉินเป้ยอี”

จู่ๆ หนิงเส่าเฉินก็ลุกจากเก้าอี้และมองเฉินอีอีอย่างไม่เชื่อสายตา “เธอ…พูดถึงใครนะ? เฉินเป้ยอี?”

“ใช่ค่ะ แต่… พี่สาวของฉันหายตัวไปเมื่อสองสามปีก่อน เราหาเธอไม่พบทุกที่เลย และไม่รู้ ตอนนี้เธออยู่ที่ไหน” เฉินอีอีพูด ปิดปากและเริ่มสะอื้นไห้

“ได้ ตงลงพรุ่งนี้ให้เธอมา พอดีเลยจะได้ดูเกาไห่แทนผมด้วย”

เย่หลิน ไม่คิดว่าหนิงเส่าเฉินจะเห็นด้วยอย่างเร็วและอดไม่ได้ที่จะดีใจ เมื่อวานเธอเห็นเฉินอีอีกลับมาจากข้างนอกสีหน้าดูไม่ดี ดังนั้นเธอจึงลากเธอไปพูดคุย

เธอพูดถึงเรื่องของเธอเกี่ยวกับการหางานทำมาหลายวันแล้ว แต่ก็ยังหางานไม่ได้ บ้างก็บอกเธอไม่มีอะไรโดดเด่นหรือเธอไม่มีประสบการณ์

ขณะพูด เธอก็เริ่มร้องไห้

เย่หลินก็เสนอให้เธอลองไปสมัครที่หนิงกรุ๊ปดู เธอก้มหน้าลงและพูดว่า "ฉันไม่ต้องการใช้เส้นสายเพราะดูเหมือนว่าไม่มีความสามารถ"

ท่าทีนั้นทำให้เย่หลินเงยหน้าขึ้นมองหน้าเธอสักพัก

และลองชักชวนเธอโดยปล่อยให้เธอไปสัมภาษณ์โดยใช้เส้นทางปกติ และไม่ให้หนิงเส่าเฉินช่วยอะไร

เธอแค่อยากบอกกับหนิงเส่าเฉินแบบทีเล่นทีจริง แต่คิดไม่ถึงเขากลับตกลงจริงๆ

ด้วยวิธีนี้ทำให้เฉินอีอีได้เข้าร่วมทำงานกับหนิงกรุ๊ปอย่างเป็นทางการ

“ประธานเกา ตอนบ่ายสองโมง ได้นัดกับคุณหวังหารือเรื่องต่างๆ ที่ Linyun Cafe ต้องการให้ฉันไปกับคุณไหม”

เกาไห่โบกมือ

“เล่อจยา ป้าเธอนัดไว้ที่ Linyun Cafe ตอนบ่ายสองนะ ไปเช้าหน่อยนะอย่าให้คนเขารอนาน”

เล่อจยาพยักหน้า Linyun Cafe ที่นี้ขึ้นชื่อเรื่องกาแฟเคยได้ยินมาว่าราคากาแฟที่ต่ำที่สุดคือหลายร้อยหยวนต่อแก้วและกาแฟที่ดีคือหลายพันหยวนซึ่งสามารถเป็นรายได้ของเธอได้หลายวันเลยทีเดียว

ป้าบอกว่าถ้าแต่งงานกับเขาได้ อนาคตไม่ต้องเปิดแผงขายอาหารอีกต่อไป เธอหัวเราะดังๆ ถ้าไม่ใช่เพราะทำให้พ่อสบายใจ จะเปิดแผงขายอาหารไปตลอดชีวิตคนเดียวยังดีกว่า

เธอไม่ได้ตั้งใจแต่งตัวสักเท่าไหร่ เธอสูง 1.63 เมตร แต่เธอหนักกว่า 60 กว่ากิโล เพื่อนซี้บอกว่าเธออวบหรืออ้วน แต่เธอรู้ตัวเองว่าเธออ้วน และใส่อะไรก็มีค่าเท่ากัน

ที่สำคัญที่สุด คือเธอขี้เกียจเกินไปที่จะแต่งตัว

เสื้อยืดสีดำ กางเกงยีนส์สีเข้ม มัดผมหางม้าแบบสบายๆ ก็ผ่าน

เมื่อถึงสถานที่นัดไว้ เธอจงใจรอจนถึง 2 โมงเย็นพอดีก่อน ถึงจะเดินเข้าไป

เกาไห่รู้สึกเหมือนว่าคนที่อยู่ข้างหน้า ดูเหมือนจะเคยเห็นที่ไหนสักแห่งมาก่อน แต่เขาจำไม่ได้

“สวัสดีค่ะ คุณเล่อน่ะค่ะ กรุณาตามฉันมาค่ะ”

บริกรที่อยู่ข้างหน้าทักทายเล่อจยาและนำเล่อจยาไปยังตำแหน่งที่กำหนด เธออดไม่ได้ที่จะรู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อยที่ชายคนนั้นยังไม่มา

มองดูแบบสุ่มผ่านตะแกรงตรงกลางและร่างที่คุ้นเคยก็เดินผ่านมาและปรากฏว่าเป็นเจ้าของร้านแผงลอยนั้นเอง.

แต่ ที่แห่งนี้ เธอมาทำอะไรที่นี่?

“อาไห่ ลุงดีใจมากที่เธอกลับมาได้ เกากรุ๊ปอยู่ในมือเธอจะทำให้แข็งแกร่งขึ้นและใหญ่ขึ้นอย่างแน่นอน แต่อาไห่แล้วพ่อของเธอไปไหนแล้วตอนไปก็ไม่เห็นร่ำลาสักคำ”

เกาไห่มองไปที่ชายวัยกลางคนที่อยู่ตรงข้าม ผู้ช่วยของพ่อของเกา ซึ่งติดตามพ่อของเกาตั้งแต่ก่อตั้งเกากรุ๊ปเขาถือว่าเป็นคนสนิทของพ่อเกา

หลังจากที่พ่อเกาหายตัวไป เขาก็เริ่มเปิดเตาทำอาหารใหม่และทำได้ไม่ถึงสองปีก็ได้ลูกค้าเก่าที่ทำมาหลายปีกลับมา จนประสบความสำเร็จ

เกาไห่ใส่น้ำตาลลงในกาแฟต่อหน้าประธานหวัง “ลุงหวัง เคยได้ยินพ่อพูดว่าลุงเกลียดความขมมากที่สุด ผมเติมน้ำตาลลงไปให้ ลองชิมดู”

ประธานหวังเหลือบมองเกาไห่และจิบกาแฟ มันช่างขมจริงๆ เขาขมวดคิ้ว เงยหน้าขึ้นและจ้องไปที่เกาไห่ “อาไห่ มีอะไรจะถามก็ถามตรงๆมาเถอะ”

เกาไห่หยิบถุงน้ำตาล เทลงในถ้วยของเขา หยิบช้อนคนขึ้นแล้วพูดว่า "ฉันแค่อยากรู้ว่าน้องสาวได้บอกอะไรลุงก่อนที่เธอจะจากไปไว้ไหมหรือว่าพูดว่าเธอจะไปไหน”

ประธานหวังไม่เคยคาดคิดว่าเกาไห่จะตามหาเขาเพื่อคุยเรื่องส่วนตัวในวันนี้ เขาขมวดคิ้ว “อาไห่ ถามเรื่องนี้ทำไหม?น้องสาวเธอ… ”

“ลุงหวัง น้องสาวและพ่อหายตัวไป ผมต้องการทราบว่าเป็นไปได้หรือไม่ น้องสาวกำลังไปหาพ่อ ดังนั้น หากรู้อะไรหวังว่าลุงจะบอกผมได้”

ขณะที่พูดอยู่ เขาก็หยิบน้ำตาลอีกถุงหนึ่งเทลงในถ้วยของประธานหวัง

จากนั้นประธานหวังก็มองไปรอบๆ สูดหายใจเข้า ก้มศีรษะและพูดกับเกาไห่ว่า “ก็ ก่อนที่น้องสาวของคุณจะจากไป เธอขอให้ผมขายหุ้นของเธอแล้วให้ช่วยหาคนทำเอกสารประจำตัวให้ จากนั้นไม่รู้จริงๆว่าเธอไปที่ไหน”

หลังจากพูดเสร็จ เขาก็ลุกขึ้นและพูดว่า "เอาละ ถ้าไม่มีอะไรแล้ว บริษัทยังมีงานที่ต้องทำขอไปก่อนนะและถ้ามีอะไรก็โทรหาฉันทีหลัง"

เกาไห่สังเกต เมื่อมองไปที่ประธานหวังดูอย่างรีบๆร้อนและผิดสังเกตดูไม่เหมือนไม่รู้อะไรเลย

และอีกด้านหนึ่ง

“คุณป้าคุณบอกว่าปีนี้คุณอายุยี่สิบแปด คุณคิดว่ารูปร่างหน้าตาของคุณเกี่ยวข้องกับอายุยี่สิบแปดหรือไม่?” เลอจยารู้สึกว่าเธอกำลังจะบ้า

ดูเหมือนว่าอย่างน้อยก็น่าจะมี 48 ?

“หนุ่มน้อยคุณใช้สมองด้วยถ้าฉันอายุ 28 จริงๆ ฉันยังมองคุณได้อยู่ไหม ดูเอวถังและหน้าจานของคุณสิ แม่บอกว่าคุณเป็นคนดีมากถึงยอมมา ดูสิ คุณยังไม่ชอบฉันอยู่ไหม” พูดจบเขาก็จิบกาแฟ

เธอไม่สามารถนั่งอยู่เฉยๆได้อีกต่อไป

“ลองพูดแบบเมื่อกี้ทีอีกทีสิ”

คนอ้วนส่งเสียงอย่างเย็นชา “เกิดอะไรขึ้น? พูดผิดหรือ? คนธรรมดาก็คิดได้ คนที่ทำแผงขายอาหาร ไม่มีภูมิหลังเลย ใครสามารถขายมันได้ คนพาลบนบกพวกนั้นมาหาเรื่องทุกวัน แต่เธอล่ะ เปิดมาหลายปีแล้ว ไม่มีอะไรเสียหาย กลางคืนมืดมิด ลมแรง ใครจะไปรู้ ทำอะไรมาบ้าง ถึงไม่มีใครกล้าหาเรื่อง .."

เมื่อเกาไห่ได้ยินเรื่องนี้ เขาโกรธมาก แม้ว่าเขาจะติดต่อผู้หญิงคนนี้เพียงครั้งเดียว แต่เขาคิดว่าเธอไม่สามารถเป็นคนแบบนั้นได้ ด้วยรอยยิ้มที่ดูสะอาดและบริสุทธิ์เช่นนี้

อย่างไรก็ตาม ก่อนที่เขาจะขยับตัวเล่อจยาก็ดึงชายอ้วนคนนั้นแล้ววงเวียนเตะ ชายร่างอ้วนนั้นมีน้ำหนักกว่าร้อยกว่ากิโลคนนั้นถูกเตะห่างออกไปสองสามเมตรจนถูกกำแพงขวางกั้นไว้จึงหยุด

เขาอดไม่ได้ที่จะอ้วกน้ำออกมาจากนั้นชายคนนั้นก็พิงกำแพงยืนขึ้น แล้วชี้นิ้วไปที่เล่อจยา "นังตัวแสบ มึงกล้าทำร้ายกูหรือ วันนี้กู……….."

เย่หลินตกใจ เมื่อวานเกาไห่ยังพูดอยู่เลยว่าไม่ต้องให้เธอช่วย แล้ววันนี้เกิดอะไรขึ้น?

“ก็มีแค่นี้ นอกจากนั้นไม่มีอะไรแล้ว”

หนิงเส่าเฉินพยักหน้า “ใช่ แล้วเธอคิดว่า”

เย่หลินหันหลังกลับ ใส่เสื้อ ลุกจากเตียงแล้วเข้าห้องน้ำไป ภายในใจรู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย

ถ้าสามารถพูดคุยกับหนิงเส่าเฉินนานเป็นชั่วโมง เป็นไปไม่ได้เลยที่จะพูดถึงแต่เรื่องนี้ หนิงเส่าเฉินเป็นคนที่ไม่ค่อยเรื่องยาวถ้ามันเกี่ยวกับเรื่องนี้ ถึงแม้ว่าจะตกลงหรือหรือไม่ตกลงก็ตาม เป็นไปได้ที่จะพูดคุยกันนานเป็นชั่วโมงอย่างนี้

เป็นไปได้ว่าจะพูดถึงการแย่งชิงกลับของเกากรุ๊ปก็เป็นได้? เย่หลินเริ่มปวดหัว

หนิงเส่าเฉินเคยบอกเขาก่อนหน้านี้เกี่ยวกับ เกาไห่ในช่วงหลายปีที่ศึกษาต่างประเทศ เขาเน้นการเรียนไปที่การจัดการ หลังจากกลับมาที่ประเทศพ่อของเขาก็ให้เขาไปที่เกากรุ๊ปเพื่อทำงานในตำแหน่งที่สูงกว่าคนเป็นหมื่นๆคน

ในช่วงหลายปีที่ผ่านมานั้น เขาทุ่มเทอย่างมากให้กับเกากรุ๊ป

แต่สิ่งที่เธอคิดไม่ออกก็คือ ทั้งๆที่รู้ว่าเกาไห่ไม่ใช่ลูกแท้ๆ ของพ่อของเกา แล้วทำไมยังยืนกรานที่จะรับกลับเกากรุ๊ป?

หนิงเส่าเฉินเคยยกย่องเขาและเห็นว่าเกาไห่เป็นต้นกล้าที่ดีในด้านธุรกิจ แต่เขากลับถูกพ่อของเขานำทางไปทางที่ผิด

หากได้รับการยอมรับจากหนิงเส่าเฉิน เธอเชื่อว่าขอให้แค่เกาไห่มีใจสามารถปล่อยให้ หนิงเส่าเฉิน ลงทุนและสร้างสิ่งใหม่ๆได้ทั้งหมดอย่างสมบูรณ์และมีส่วนร่วมกับเกากรุ๊ปจริงๆมันก็ไม่ใช่งานที่ยาก

แต่…ทำไมเขาถึงต้องการเอาเกากรุ๊ปกลับมา?

อย่างไรก็ตาม พวกเขาปฏิเสธที่จะบอกเธอและก็ทำอะไรไม่ได้เช่นกัน ดังนั้นเธอจึงตัดสินใจรอดูการเปลี่ยนแปลง

“จยาจยา แขกที่โต๊ะตรงนั้นขอให้คิดบิล กำลังคิดอะไรอยู่หรือ” พ่อเล่อ จ้องที่ เล่อจยาด้วยสายตาที่เศร้าของเขา

เป็นเวลาเกือบหนึ่งสัปดาห์แล้วตั้งแต่ชายคนนั้นมาถึง และเล่อจยาก็อยู่ในสภาพที่สูญเสียจิตวิญญาณ

วันนี้เป็นโต๊ะสุดท้าย หลังจากคิดบิลเรียบร้อยแล้ว เล่อจยาและพ่อก็เริ่มปิดร้าน ในช่วงเวลานั้น เขาอดไม่ได้ที่จะมองดูถนนที่มันว่างเปล่า

อดขำตัวเองไม่ได้: “อ้วนจยาเอ้ย เธอโตมาแบบนี้แล้วยังหวังให้คนอื่นตกหลุมรักเธอตั้งแต่แรกเห็นเหรอ”

ลองคิดดู หันกลับไปมองที่พ่อเล่อ"พ่อ คนที่ป้าพูดถึงครั้งก่อน เขาแต่งงานแล้วหรือยัง?"

พ่อเลอรู้สึกประหลาดใจอย่างเห็นได้ชัด "จยาจยา หมายถึงลูกจะไปนัดบอดหรือ"

เล่อจยาพยักหน้า ปีนี้เธออายุ 27 ปี และสาวๆ รอบตัวเธออายุประมาณนี้พวกเขามีลูกกันหลายคนถึงยังไม่มีลูกแต่อย่างน้อยก็ยังมีแฟน

ตัวเธอล่ะ? เป็นเวลาหลายปีที่เธอไม่เคยแตะต้องมือของผู้ชายเลย

เพื่อนสนิทขอให้เธอลดน้ำหนักก่อนไปนัดบอด โดยบอกว่าไม่ใช่ปัญหาหลังจากลดน้ำหนักและรูปร่างหน้าตาของเธอดูสวยสามารถดึงดูดฝ่ายตรงข้ามได้

พวกเขาจะเข้าใจได้อย่างไรว่าในปีนั้นเธอต้องทนทุกข์ทรมานจากการลดน้ำหนักมากแค่ไหน นอกจากนี้ ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เธอยังได้รู้อีกว่า ถ้าผู้ชายชอบเธอเพียงเพราะรูปร่างหน้าตาภายนอกของเธอ เธอก็ไม่ต้องการ

มัน

แค่หาคนที่จะต้องแต่งงานด้วย นั่นคือสิ่งที่เธอคิดในตอนนี้

ได้ยินจากป้าบอกว่าผู้ชายคนนี้เป็นเจ้าของบริษัทเล็กๆ แห่งหนึ่ง และครอบครัวของเขาก็ค่อนข้างดี เขาเพิ่งหย่าร้างเพียงครั้งเดียว และไม่มีลูก

“เล่อจยา แม้ว่าเขาจะเคยหย่ามาก่อนมันก็แค่เป็นรอยนิดหน่อย เธอก็อย่าเรื่องมาก หายากนะที่จะมีคนพูดว่าชอบสาวอ้วนคิดว่าดีแค่ไหนแล้ว” คำพูดที่ป้าพูดยังคงก้องอยู่ในหู

ในเวลานั้น เธอรู้สึกว่าเธอเป็นคนที่ไม่เคยผ่านมือชายใดมาก่อน เธอกลับต้องแต่งงานกับผู้ชายมือสอง ในใจกลับรู้สึกเหมือนจะยอดรับไม่ได้

ยิ่งไปกว่านั้น ในใจเธอก็ยังมีแต่เกาไห่

ทุกวันนี้ใจเธอก็เหมือนตายไปแล้ว ไม่ว่าเขาจะอยู่สูงหรือต่ำแค่ไหนเขาก็ไม่เคยมองเธอ

เมื่อคิดถึงตอนตอนนี้ เธอมองพ่อของเธอ “พ่อคะ นัดกับเขามาเลยยิ่งเร็วยิ่งดี”

หลังจากนั้นหนิงเส่าเฉินก็เข้าซื้อหุ้นของเกากรุ๊ป 41% ในนามชื่อขอเกาไห่โดยอย่างง่ายดาย ภายในไม่ถึงครึ่งเดือนเกาไห่ขึ้นเป็น ประธานของเกากรุ๊ป

เมื่อ เย่หลินได้ยินข่าวนี้ เขาตกใจเป็นอย่างมาก รีบโทรหาหนิงเส่าเฉิน"เส่าเฉิน พี่ชายฉันได้เป็นประธานของเกากรุ๊ปจริงๆหรือ ครั้งสุดท้ายที่พูดถึงเรื่องนี้พึงจะหลายวันก่อนไม่ใช่หรือ?"

หนิงเส่าเฉิน"อืม" พูดตอบเธอ"มาที่บริษัทก่อนแล้วจะบอกรายละเอียดให้ฟัง"

เย่หลินไม่สงสัย คิดว่าน่าจะมีบางอย่างจากเบื้องใน และมาแบบอย่างรวดเร็ว

เมื่อเปิดประตู ก็ถูกหนิงเส่าเฉินดึงเข้าไปในอ้อมแขนของเขา "พูดซิ ทีเรื่องของคนอื่นคุณดูเดือนร้อนจัง? ทีขอให้คุณมา กลับมีข้อแก้ตัวอยู่ประจำ?"

เย่หลินหันกลับมา ดึงมือใหญ่ที่เขาวางไว้ในอ้อมแขนออก หันกลับมาและหยิกใบหน้าของเขา "หนิงเส่าเฉิน ในใจคุณรู้ดี เรียกฉันมา มีธุระจริงหรือ? "

หนิงเส่าเฉินพูดไม่ออก ไอเล็กน้อย และระงับความปรารถนาเล็กน้อยในดวงตาของเขา หยิบกระดาษบนโต๊ะแล้วกางออกต่อหน้าเย่หลิน

“มา ยื่นมือมา”

ก่อนที่เย่หลินจะตอบสนอง หนิงเส่าเฉินก็ปั้มลายนิ้วมือของเย่หลินลงในกระดาษบนแฟ้มหลายชุดติดต่อกัน

“เรียบร้อยแล้วครับ หากคุณนายไม่อยากอยู่ที่นี้กับผมก็ไปได้เลยครับ”

เย่หลินตะลึง “หนิงเส่าเฉิน ในกระดาษแฟ้มเมื่อกี้มีข้อความอะไรบ้าง? ช่วยแสดงให้ดูหน่อยได้ไหม?”

หนิงเส่าเฉินเก็บแฟ้ม จับมือใหญ่ไว้ด้านหลังศีรษะของเธอ และจูบมันจนเย่หลินหายใจไม่ออกก่อนจะปล่อยเธอ

“อย่ากังวลไป มันไม่ใช่หนังสือสัญญาซื้อขายคุณ คุณมีลูกสองคนแล้ว ไม่มีใครเอาแล้ว?” เมื่อเห็นเย่หลินขมวดคิ้ว เขาเสริมว่า “ยกเว้นสำหรับฉัน มันเป็นสมบัติล้ำค่า”

เย่หลินทุบตีเขาสองครั้งและทันใดนั้นก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นได้ "เส่าเฉิน คุณคิดว่าให้อีอีมาทำงานที่หนิงกรุ๊ปได้ไหม"

หนิงเส่าเฉินเลิกคิ้วและมองไปที่ เย่หลิน"คุณคงจะไม่บอกว่าวิชาเอกของเธอคือเลขาอาวุโสจากนั้นมาทำงานที่ห้องเลขา"

เย่หลินผงะและลุกขึ้นนั่งตัวตรง “คุณรู้ได้อย่างไร เกาไห่พูดให่คุณฟังหรือ ยังแปลกใจที่เห็นเธอเป็นคนเก็บตัว แต่เธอก็ยังได้เรียนรู้วิชาเอกนี้ อย่างไรก็ตาม ดูบริษัทใหญ่ๆ ในเมืองC มีเพียงไม่กี่บ้านเท่านั้น สภาพของเธอเองไม่ค่อยดีนักและเธอไม่มีประสบการณ์มากนัก หรือ คุณจะให้เธอมาทดลองงานฝึกงานเป็นเวลา 1 เดือน ก่อนถ้าไม่ผ่านค่อยว่ากันอีกที

หนิงเส่าเฉินมองไปที่ผู้หญิงที่อยู่ข้างหน้าเขา อารมณ์คนเปลี่ยนง่ายแต่นิสัยเปลี่ยนยาก เมื่อกี้ยังดูเหมือนเสียเปรียบและตอนนี้เขาเริ่มกลับมาเป็นคนดีอีกครั้งแล้ว

โอเค เขาไม่ว่าอะไรปล่อยให้เธอเสียเปรียบอีกครั้งและถูกหลอกอีกครั้ง เพื่อบางทีในอนาคตเธอจะจำความหมายของคำว่า คนเราไม่อาจตัดสินกันด้วยหน้าตาได้

เงยหน้าขึ้น "อาไห่ เพื่อนคุณ……มารับแล้ว"

เกาไห่หันกลับไปมอง ก็เห็นเฉินอีอียืนอยู่ไม่ไกล จ้องมองเขาด้วยสีหน้าสงบ แต่ในใจกลับมีคลื่นโหมกระหน่ำ

เฉินอีอีเห็นว่าเขาหันมา ก็เดินเข้าไป หยิบขวดเหล้าตรงหน้าเขาขึ้นมา แล้วทุบลงบนพื้น "เกาไห่ นี่คุณหมายความว่าอย่างไร? ดึกดื่นขนาดนี้ถึงไม่กลับบ้าน"

เกาไห่เงยหน้าขึ้น มองเฉินอีอีตรงหน้า มีความสงสัยอย่างมาก "อีอี คุณมาได้อย่างไร? "

เฉินอีอีเดินไปข้างหน้า ดึงมือเขาลุกขึ้น "กลับไปกับฉัน"

เกาไห่ยิ้มขึ้นมา มองไปที่เล่อจยา "เล่อจยา เธอคือแฟนของฉัน เธอชื่อเฉินอีอี"

เล่อจยาพยักหน้า แล้วยิ้ม "อ้อ! " คำพูดที่เหลือ เพราะกลัวจะสะอึกสะอื้นออกมา เล่อจยาก็ไม่ได้พูดอะไรอีก

เห็นภาพคนทั้งสองเดินประคองกันไป ท้ายที่สุดน้ำตาเล่อจยาก็ไหลออกมา

เกาไห่เป็นศิษย์เก่ามหาวิทยาลัยเดียวกันกับเธอ แก่กว่าเธอ 2 รุ่น เป็นคนที่มีชื่อเสียงในโรงเรียน วงศ์ตระกูลดี หน้าตาหล่อเหลา นิสัยก็ดี มีคนหลงรักเขามากมาย ในตอนนั้นเธอก็เป็นหนึ่งในนั้น

เธอรู้จักเกาไห่ ไม่ได้รู้จักตามกระแส แต่หลังจากที่เธอช่วยเขาไว้ เขาก็ยิ้มแล้วพูดว่า"ขอบคุณ"

รอยยิ้มที่อ่อนโยนนั้น ยังคงอยู่ในหัว

เพียงแต่ เพราะเธอฝึกเทควันโดตั้งแต่ยังเด็ก อีกทั้งยังกินมาก ฉะนั้น เธอจึงกลายเป็นผู้หญิงที่รูปร่างสูงใหญ่ เธอเข้าใจ ว่ารูปร่างเธอเช่นนั้นเกาไห่ไม่เต็มใจที่จะมองอย่างแน่นอน

ฉะนั้น หลังจากนี้ พวกเขายังคงเป็นคนแปลกหน้ากัน

ต่อมา เธอแอบรักเขามาตลอด ให้ความสนใจกับเขา หลังจากเรียนจบ เพื่อนสนิทก็ให้เธอลดน้ำหนัก บอกว่าเธอเป็นคนที่มีศักยภาพในหมู่คนอ้วน และเป็นผู้หญิงที่สวย เธอก็เลยตัดสินใจลดน้ำหนักเพื่อเกาไห่ ต่อมา ความจริงแล้วคำพูดของเพื่อนสนิทไม่ผิดเลย เธอได้กลายเป็นสาวสวยอย่างเต็มตัว แต่เมื่อเธอเตรียมทุกอย่างไว้ดีแล้ว เตรียมจะสารภาพรักกับเขา แต่ได้รู้ว่ามีบางอย่างเกิดขึ้นกับเขา

หลังจากนั้น เธอก็เลยหมดอาลัยตายอยาก ทำให้ตนเองกลับมากินจนอ้วนอีกครั้ง

แต่โชคชะตาก็ช่างกลั่นแกล้ง ตอนที่เธออัปลักษณ์ที่สุด เธอก็ได้พบกับเกาไห่อีกครั้ง

ในตอนนั้น เธอยังคิดว่าตนเองตาฝาด จึงลองเรียกชื่อดู แล้วก็แน่ใจว่าคนตรงหน้าไม่ผิดคนจริงๆ

เพียงแต่ว่า เกาไห่ในตอนนี้กับในตอนนั้น ต่างกันราวฟ้ากับดิน เขาดื่มเข้าไปมาก เขาเลยจำเธอไม่ได้

ดังนั้น เธอจึงหาข้ออ้างที่จะมาดื่มกับเขาสักสองสามแก้ว ได้ฟังเขาพูดความในใจมากมาย

ได้รู้สถานการณ์ของเขาไม่น้อยเลย

เธอบอกกับเขา ว่าตนเองชื่อเล่อจยา แต่ไม่ได้บอกว่าเธอคือเล่อจยาที่แอบรักเขามา 7ปี

เมื่อเกาไห่กลับมา เย่หลินนอนหลับพิงอยู่บนไหล่ของหนิงเส่าเฉินอยู่

ได้ยินเสียงเปิดประตู เธอก็ตื่นขึ้นมา เมื่อลืมตาก็เห็นเฉินอีอีพยุงเกาไห่ที่เดินขาลากเข้ามา

จึงรีบลุกขึ้นไปช่วยประคองเกาไห่ เพิ่งเดินเข้าไปใกล้ก็ได้กลิ่นเหล้าคละคลุ้ง "พี่ นี่เกิดอะไรขึ้นกับคุณ ถึงได้ดื่มเหล้ามากมายขนาดนี้? "

เกาไห่ได้ยินก็หันไปมองเย่หลิน สะบัดออกจากเฉินอีอีแล้วไปดึงแขนเธอ นำเย่หลินเข้ามากอด "น้องสาว พี่ไม่ใช่คนใช่ไหม? พี่มันโง่ พี่มันโง่เหลือเกิน"

เย่หลินขมวดคิ้ว ข้ามเกาไห่ไปมองเฉินอีอี "พี่ฉัน……เป็นอะไรไป? "

เฉินอีอีส่ายหัว "ไม่รู้เหมือนกัน"

"เอาล่ะ พี่ หยุดพูดเรื่องเล่านี้ก่อน รีบไปอาบน้ำนอนก่อน" พูดจบ ก็อยากจะผลักเกาไห่ออก แต่ว่าเขาแทบจะกดอยู่บนตัวเธอทั้งตัว เธอผลักเขาไม่ออกเลย

เธอหลับตา แล้วก็ลืมตาอีกครั้ง ร่างกายก็ผ่อนคลายลง เห็นเพียงใบหน้าที่คร่ำเครียดของหนิงเส่าเฉิน นำเขาไปส่งถึงห้องของเขา โยนเขาลงบนเตียง พูดกับเฉินอีอีอย่างเย็นชาว่า: "ดูแลเขาให้ดี"

ออกมาก็ดึงเย่หลิน เข้าไปในห้อง

"นี่คุณเป็นอะไรไป? ถึงได้หน้าดำคร่ำเครียด"

"เมื่อกี้เขากอดคุณ"

เย่หลินหมดอาลัยตายอยาก…. "หนิงเส่าเฉิน นั่นคือพี่ชายฉัน พี่ชายแท้ๆ "

ชายหนุ่มสีหน้าผ่อนคลาย แต่ยังคงกล่าวอย่างเย็นชาว่า: "อย่างนั้นก็ไม่ได้ เป็นเพศชายล้วนไม่ได้ทั้งนั้น"

หญิงสาวไม่พูดจา ไม่สนใจเขา

ทางด้านนี้ เฉินอีอีถอดรองเท้าให้เกาไห่แล้ว กำลังจะเดินไป แต่ถูกเกาไห่ดึงแขน ใช้กำลังดึงอย่างแรง จนคนเอนล้มลงไปบนเตียง เกาไห่พลิกตัว กดลงบนร่างของเธอ โน้มตัวเข้าใกล้ ต้องการที่จะจูบเธอ

แต่ถูกเฉินอีอีเอียงหน้าหลบ "เกาไห่ คุณบ้าไปแล้วเหรอ? "

เกาไห่คว้ามือของเธอ สายตาเคร่งขรึม "ใช่ คุณทำเหมือนฉันเป็นคนบ้า" พูดพลาง ก้มลงไปเตรียมที่จะจูบเธอ แต่มือของผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้ายื่นออกไป หยิบรองเท้าหนังของเขาที่เพิ่งถอดออกเมื่อกี้ ทุบไปที่ศีรษะของเขา เมื่อเขาตื่นตกใจอยู่ ก็ผลักเขาออก และรีบออกมาจากภายใต้ร่างกายของเขา

เสียงประตูปิดดัง"ปัง" สายตาของเกาไห่ ก็มืดมนลงไปอย่างมาก

เช้าวันต่อมา เย่หลินไปที่ห้องของเกาไห่ ไม่เห็นคน เมื่อหันตัวกลับ ก็เห็นเกาไห่เดินเข้ามาจากสระว่ายน้ำด้านนอก เดินเข้าไปสองสามก้าว "พี่ ทำไมเมื่อวานถึงดื่มเยอะแบบนั้นล่ะ แล้วยังกลับดึกขนาดนั้นอีก เกิดเรื่องอะไรใช่ไหม? "

เกาไห่เช็ดหยดน้ำที่ผม มองเย่หลิน คิดๆ แล้วเอ่ยปากว่า: "เย่จึ เส่าเฉินล่ะ? "

เย่หลินนิ่งอึ้งไป เกาไห่และหนิงเส่าเฉิน ในความทรงจำของเธอ เมื่อคนทั้งสองเจอหน้ากัน แต่ไหนแต่ไรก็พูดคุยกันน้อยมาก แล้วนี่เกาไห่ถามหาหนิงเส่าเฉินก็ยิ่งแปลก

นิ้วมือชี้ไปยังตำแหน่งห้องหนังสือ "เขาน่าจะอยู่ที่ห้องหนังสือ"

เห็นเกาไห่หันตัวเตรียมจะไปที่นั่น ก็ดึงเขาเอาไว้อย่างไม่สบายใจ "พี่ คุณถามหาเส่าเฉินทำไมเหรอ? "

เกาไห่หยิกบนใบหน้าของเธอเล็กน้อย "วางใจเถอะ ไม่ได้ไปชกต่อยกับเขาหรอก"

เย่หลินเช็ดคราบน้ำที่แก้ม มองภาพด้านหลังของเกาไห่ ความรู้สึกไม่ชัดเจน เกาไห่คล้ายกับแปลกๆ ไป

แต่แปลกไปยังไง เธอก็พูดไม่ออกบอกไม่ถูก

เกาไห่และหนิงเส่าเฉินอยู่ในห้องหนังสือ เป็นเวลาชั่วโมงกว่า จึงออกมา เย่หลินถามเขา ว่าพูดคุยอะไร เขาก็เพียงแค่ยิ้มๆ กับเธอ บอกว่าอยากขอให้หนิงเส่าเฉินช่วยเหลือ

เธอดึงหนิงเส่าเฉินกลับไปยังห้อง ถามเขาว่า "เส่าเฉิน พี่ชายฉัน พูดอะไรกับคุณเหรอ? "

หนิงเส่าเฉินเอนตัวลงบนเตียง พลิกตัวคว่ำ "ปวดไหล่จังเลย เอวก็เมื่อยเล็กน้อย อยากจะขอให้คุณภรรยานวดให้สักหน่อย"

เย่หลินขมวดคิ้ว จ้องมองเขา "หนิงเส่าเฉิน คุณยังรักฉันอยู่ไหม? ถามคุณหนึ่งคำถาม ก็ต้องทรมานฉันแบบนี้ด้วยเหรอ" ถึงแม้ปากจะบ่น แต่มือก็ยังทำ

เธอรู้ว่าหนิงเส่าเฉินทำงานหนักมาก เธอก็สงสารเขาจริงๆ

เพียงแค่คนบางคนชัดเจนว่าจงใจ

หลังจากที่เธอนวดให้เขา ชายหนุ่มก็เอ่ยถึงข้อเรียกร้องหนึ่งออกมา

ถึงอย่างไร คำถามหนึ่ง กระทั่งดวงอาทิตย์ขึ้นสูงแล้ว จึงเอ่ยปากตอบกลับ: "พี่ของคุณให้ฉันช่วยเขา ชิงเกากรุ๊ปกลับมา"

เฉินอีอีเห็นเธอกลับมา ลุกขึ้นยืนจากโซฟา เผชิญหน้าเธอ แล้วยิ้มแบบเขินอาย

"น้องสาว คุณกลับมาแล้วเหรอ? "

สายตาเย่หลินมองอย่างเจาะลึก พยักหน้ากับเธอ "เอ่อ พี่ชายฉันล่ะ? "

เฉินอีอีตกตะลึง แล้วตอบกลับว่า : "ตอนบ่ายเขาโทรมาบอกว่า ตนเองมีธุระอาจจะกลับมาดึกหน่อย"

"อ้อ อย่างนี้นี่เอง" ก็โล่งอก เธอเป็นห่วงจริงๆ ว่าเรื่องตอนเช้านั้น จะไปกระทบจิตใจเกาไห่ หลังจากที่ไม่ได้คิดอะไรมาก ก็กลับเข้าห้องไป

หลังจากเปลี่ยนเป็นชุดอยู่บ้าน เธอคิดๆ แล้วยังคงโทรไปหาเกาไห่ มือถือดังอยู่นาน แต่ไม่มีคนรับสาย

หลังจากนั้น จนกระทั่งหนิงเส่าเฉินกลับบ้าน เกาไห่ก็ยังคงไม่กลับมา

เย่หลินกระวนกระวายใจเล็กน้อย "เส่าเฉิน ดึกขนาดนี้แล้วพี่ชายฉันยังไม่กลับมาเลย คุณว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นไหม? " จากนั้นเย่หลินก็เล่าเรื่องเมื่อตอนเช้าให้หนิงเส่าเฉินฟัง

เมื่อเห็นปฏิกิริยาของหนิงเส่าเฉิน เห็นได้ชัดว่าเขาก็ประหลาดใจเล็กน้อย

"แฟนของพี่ชายคุณล่ะ? " หนิงเส่าเฉินดึงเนกไทออกพลาง ถามไปด้วย

"น่าจะอยู่ที่ห้องนะ ฉันจะไปถามเธออีกครั้ง" พูดจบ ก็ออกจากห้องไปที่ชั้นหนึ่ง เคาะประตูห้องเฉินอีอี ทว่าเป็นเวลานานก็ไม่มีการตอบกลับ

เย่หลินจึงเปิดประตู เพียงแต่ในห้องว่างเปล่า มีเฉินอีอีซะที่ไหน?

เธอตกตะลึง หันกลับออกมา ก็เห็นหนิงเส่าเฉินลงมาชั้นล่าง เธอจึงร้อนรนเข้าไปที่หนิงเส่าเฉิน "เส่าเฉิน เฉินอีอีคนนั้นก็ไม่อยู่"

หนิงเสี่ยวซีลุกขึ้นมาดื่มน้ำพอดี เห็นเย่หลินหลินเอ่ยถึงเฉินอีอี ก็ชี้ไปที่ประตู "แม่ ก่อนหน้านี้ฉันเห็นเธอลนลานออกไป เมื่อประมาณ 40 นาทีก่อน"

เย่หลินขมวดคิ้ว "เสี่ยวซี คุณไม่ได้ถามเหรอว่าเธอจะไปไหน? "

หนิงเสี่ยวซีส่ายหัว "เธอยังไม่ได้เป็นป้าของฉันนะ? ก็ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับฉัน ฉันจะถามให้มากความไปทำไม? " พูดจบ แล้วก็หันกลับเข้าห้องไป เมื่อประตูกำลังจะปิดลง ก็หันกลับมามองเย่หลินอีกครั้ง : "แม่ คุณอย่าทุกข์ใจเช่นนี้ทุกๆ วันได้ไหม? พวกเขาโตกันแล้ว มีความเป็นส่วนตัวของตนเอง"

แม้ว่าหนิงเสี่ยวซีจะรูปร่างหน้าตาเหมือนเย่หลิน แต่นิสัยยิ่งโตยิ่งเหมือนหนิงเส่าเฉินมาก สำหรับคนที่เขาไม่สนใจ เรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องกับตนเอง ก็จะไม่เข้าไปยุ่ง

เพียงแต่โชคดีว่า เขาปฏิบัติต่อเธอดีมาก กตัญญูอย่างมาก

ฉะนั้น ไม่ว่าจะสอนเขากี่ครั้ง แต่รู้สึกว่าเขาเป็นอย่างนี้ ก็อาจจะไม่ใช่เรื่องไม่ดี

การเห็นอกเห็นใจจนเกินไป ก็ทำให้ชีวิตเหน็ดเหนื่อย

เพียงแต่ ยังหันกลับไปมองหนิงเส่าเฉิน "คุณดูสิ ลูกชายคุณทำไมเหมือนคุณขนาดนั้น? "

หนิงเส่าเฉินถูกต่อว่าก็ทำอะไรไม่ถูก นิ้วเรียวยาวลูบๆ หน้าผาก "ฉันรู้สึกว่าดีมากเลย ถ้าเขาเหมือนคุณ อนาคตของหนิงกรุ๊ปก็น่าเป็นห่วงมาก"

เย่หลินตกตะลึงเล็กน้อย จากนั้นก็หยิกเอวเขาทันที "หนิงเส่าเฉิน วันนี้คุณอยากนอนข้างนอกใช่ไหม? "

เขากอดเธอจากด้านหลังทันที "ฉันผิดไปแล้ว"

ท่าทีนี้ทำให้เย่หลินทำอะไรไม่ถูก "คุณว่าดึกดื่นแบบนี้พี่ชายฉันจะไปไหน? เฉินอีอีคนนี้ก็ออกไปอีก คุณว่าเธอจะไปหาพี่ชายฉันไหม เราต้องให้คนออกไปตามหาไหม? "

"ไม่ต้อง เสี่ยวซีพูดไม่ผิด แล้วอีกอย่างก็ไม่ใช่เด็กแล้ว คุณจะกังวลอะไร พวกเรารออีกสักหน่อย ถ้าผ่านไป12ชั่วโมงแล้วยังไม่กลับมา ฉันค่อยส่งคนออกไปตามหา"

พูดจบ ก็โอบเย่หลินมานั่งลงบนโซฟา เปิดทีวี "คุณอยากดูช่องนี้ไหม? "

เย่หลินพยักหน้า หนิงเส่าเฉินยื่นแขนออกมา โอบเธอเข้ามาไว้ในอ้อมกอด ทางด้านนี้ก็หยิบหนังสือที่อยู่บนโต๊ะ แล้วก้มหน้าอ่าน

เวลานี้ ที่แผงลอยขายอาหารด้านนอก

"คุณรู้ไหม? ฉันโดนเธอหลอก โดนหลอกอย่างน่าสมเพชมาก ฉันรู้สึกว่าตนเองเหมือนกับคนโง่ ตอนนี้ฉันไม่เหลืออะไรเลย ตลอดชั่วชีวิตของฉันต้องถูกเธอทำลาย" ชายหนุ่มพูดซ้ำประโยคเดิมไปมาไม่หยุด

"คุณยังหนุ่มยังแน่นแบบนี้ พูดว่าตลอดทั้งชีวิต ก็จะเร็วเกินไปมั้ง? คุณดีเลิศขนาดนี้ เพียงแค่คุณสมัครใจ คุณจะต้องมีอนาคตที่ดีอย่างแน่นอน" หญิงสาวที่อยู่ข้างๆ พูดโน้มน้าวเขา แล้วแอบเปลี่ยนเบียร์ที่อยู่ตรงหน้าชายหนุ่มให้กลายเป็นน้ำชา

"คุณเป็นใคร? คุณไม่เข้าใจฉันหรอก แล้วคุณก็ไม่รู้ว่าฉันคือใคร? คุณมีสิทธิ์อะไรมาบอกว่าฉันมีอนาคต? " ชายหนุ่มหัวเราะเยาะเหอะๆ ยกแก้วเบียร์ตรงหน้าขึ้น แล้วดื่มในรวดเดียว

"หลังจากที่คุณเกิดเรื่อง ฉันเคยไปบ้านของคุณ น้องสาวของคุณบอกว่าคุณกลายเป็นผักไปแล้ว ต่อมาฉันก็ไม่สืบถามทุกที่ แต่ก็ไม่ได้ข่าวของคุณอีกเลย เกาไห่ 7ปีแล้วนะ ที่ฉันเปลี่ยนตัวเองจากคนอ้วนจนกลายเป็นสาวสวย แต่คุณก็มองไม่เห็น ฉันจึงเปลี่ยนตัวเองจากสาวสวยกลายเป็นคนอ้วนอีกครั้ง แต่จู่ๆ คุณก็มาปรากฏอยู่ตรงหน้าฉัน เกาไห่ คุณมันโง่" หญิงสาวก้มหน้า น้ำตาไหลเป็นสายราวกับสร้อยไข่มุก แต่เพียงแค่ก้มหน้าพูดกับตัวเอง

"เพราะว่า ฉันดูโหงวเฮ้งแล้ว ชั่วชีวิตนี้ของคุณผู้ชาย จะต้องร่ำรวยและมั่งคั่งอย่างแน่นอน" ใบหน้ารูปไข่ที่ค่อนข้างมีเนื้อมีหนังของหญิงสาว ภายใต้แสงไฟอันสลัว ก็ปรากฏเลือดฝาดเล็กน้อย

ร่ำรวยและมั่งคั่งอย่างนั้นเหรอ? ชายหนุ่มหัวเราะเยาะเหอะๆ อีกครั้ง คล้ายกับว่าสร่างเมาเล็กน้อย เงยหน้ามองเธอ "คุณชื่ออะไร? "

หญิงสาวเงยหน้า ตอบกลับด้วยสีหน้าจริงจังอย่างมากว่า: "ฉันชื่อเล่อจยา เล่อที่แปลว่าความสุข เจียที่แปลว่างานเทศกาล แล้วคุณล่ะ? "

ชายหนุ่มเงียบอยู่นาน แล้วจึงเอ่ยปากว่า: "เรียกฉันว่าอาไห่"

หญิงสาวยิ้มเล็กน้อย พยักหน้า ในสายตาปรากฏหมอกจางๆ ฉากแนะนำตัวเองนี้ รอมา7ปีแล้ว!

"ร้านนี้คุณเป็นคนเปิดกิจการเหรอ? " เมื่อตอนชายหนุ่มเข้ามา ก็ได้ยินคนจำนวนมากเรียกเธอว่าเถ้าแก่เนี้ย

เล่อจยาพยักหน้า

ชายหนุ่มมองหญิงสาวหน้ากลมๆ ที่อยู่ตรงหน้า เมื่อเธอยิ้มขึ้นมา แก้มทั้งสองที่อ้วนกลม ก็เหมือนกับสาลี่ที่หวานฉ่ำสองลูก ไม่สวย แต่น่ารักมาก มองแล้วทำให้คนอารมณ์ดีไม่น้อย

ลมที่พัดผ่านเล็กน้อย ความเมาของชายหนุ่ม ก็สร่างไปมาก

เล่อเจียชี้ไปที่แผงลอยขายอาหารด้านหลัง "พ่อฉันป่วย เป็นเบาหวาน ส่วนแม่ของฉันน่ะเหรอ? หย่ากับพ่อของฉันแล้ว ก็พาน้องชายของฉันไปด้วย เพื่อที่จะสามารถดูแลพ่อของฉันได้ ก็ต้องมีเวลาที่ค่อนข้างอิสระ คิดแล้ว ก็เลยยึดอาชีพทำร้านนี้ โชคดีที่การค้าขายก็ไม่เลว"

แต่ก็กล่าวเสริมในใจว่า ปีที่สองที่คุณจากไป ชีวิตของฉันก็มีการเปลี่ยนแปลงพลิกผันไป

เกาไห่นิ่งอึ้งไป "สถานที่นี้ มีคนเลวและคนดีอยู่ปะปนกัน คุณ….คุณเป็นเด็กผู้หญิงคนเดียว ไม่กลัวเหรอ? "

เล่อจยาสีหน้าตกตะลึงเล็กน้อย ในทันทีก็ปิดปากเผลอยิ้มออกมา "มีคนเลวและคนดีอยู่ปะปนกันแล้วยังไง? ฉันหน้าตาขี้เหร่แบบนี้ ใครจะสามารถมาทำอะไรฉันได้อีก? " แต่กล่าวเสริมในใจว่า เกาไห่ คุณคงจะลืมไปแล้ว ปีนั้น ในโรงเรียนมีอันธพาลสองสามคนที่อิจฉาคุณ ไม่ชอบคุณ ดักขวางคุณไว้ที่หลังประตูโรงเรียน อยากที่จะสั่งสอนคุณ คือฉันที่ช่วยคุณเอาไว้ เวลานั้นฉันเคยบอกกับคุณว่า พ่อฉันเป็นครูเทควันโด ฉันฝึกฝนเทควันโดมาตั้งแต่เด็ก ฉันได้สายดำ คุณคงลืมไปแล้วแน่เลย

เกาไห่มองดวงตาของเธอที่ยิ้มจนกลายเป็นพระจันทร์เสี้ยว กำลังเตรียมจะเอ่ยปากว่า คุณไม่ได้ขี้เหร่

จู่ๆ ผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้าก็ลุกขึ้นยืน สายตามองไปที่ด้านหลังของเกาไห่

"โอ๊ย……” หนิงเส่าเฉินได้ยินเสียงของเฉินอีอี สีหน้าก็เคร่งขรึม ได้เพียงแค่คว้าแขนเธอไว้ ไม่ให้เธอล้มลงไป

ไฟที่ควบคุมด้วยเสียงในทางเดินก็เปิดขึ้น เฉินอีอีคนนั้นก็ยืนได้อย่างมั่นคง แล้วก็ก้มหน้าก้มตาตลอด "ขอโทษนะคะขอโทษ ฉัน……ฉันรู้สึกว่าในบ้านมันอึดอัดนิดหน่อย เลยอยากออกไปข้างนอกสักหน่อย ขอโทษนะคะ ที่ชนคุณ"

พูดจบ ก็โค้งๆ ตัวให้หนิงเส่าเฉิน แล้วเดินออกไป

หนิงเส่าเฉินหันกลับไปมองภาพเบื้องหลังของเธอด้วยแววตาลึกซึ้ง แล้วเดินกลับห้องไป

เห็นเย่หลินพิงอยู่กับหัวเตียงเหมือนกำลังเหม่อลอย

เขาเลยรีบไปอาบน้ำ แล้วออกมานอนข้างๆ ดึงเธอมาไว้ในอ้อมกอด "พูดมาเถอะว่าเรื่องอะไร แล้วใคร มันคุ้มค่าไหมที่จะทำให้ภรรยาของฉันเก็บมาครุ่นคิด? "

เย่หลินตีหน้าอกเขาเบาๆ แล้วก็พูดเรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้กับหนิงเส่าเฉิน

"คุณว่า พี่ฉันเจอของที่ล้ำค่าแล้วใช่ไหม? " คนคนหนึ่งสามารถไปรับมีดเพื่อคนแปลกหน้าได้ เห็นได้ว่าจิตใจของผู้หญิงคนนี้งดงามขนาดไหน?

"เจอของที่ล้ำค่าหรือเปล่า ตอนนี้มันยังเร็วเกินไปที่จะบอกได้ เพียงแต่เย่จึ ไม่ว่าระหว่างพวกเขา หลังจากนี้จะเป็นอย่างไร คุณอย่าเป็นทุกข์กับพวกเขามากจนเกินไป"

เย่หลินเป็นผู้หญิงที่เขารักมากและอยากปกป้องดูแล เขาจึงไม่อยากให้มีเรื่องมากวนใจเธอ

"มิเช่นนั้นวันพรุ่งนี้ ฉันจะซื้อบ้านในชื่อพี่ชายของคุณ แล้วให้พวกเขาย้ายออกไปเลยดีไหม? ฉันเห็นว่าพวกเขาอยู่ที่นี่ วันๆ คุณก็เอาแต่ทุกข์ใจ

"หนิงเส่าเฉิน นั่นคือพี่ชายฉัน เขาเพิ่งกลับมาจากต่างประเทศ งานก็ไม่มี คุณจะให้พวกเขาออกไป ทำไมคุณใจร้ายแบบนี้ล่ะ? " แม้ในใจจะรู้ว่าหนิงเส่าเฉินทำเพื่อเธอ แต่ไม่มีเหตุผลที่จะขับไล่คนออกไป อีกทั้งสิ่งที่เฉินอีอีพูดออกมาในวันนี้ ถ้าพรุ่งนี้บอกว่าจะมอบบ้านให้แก่พวกเขา ก็คาดว่าเธอไม่น่าจะไปอยู่

หนิงเส่าเฉินชำเลืองมอง ใจร้ายเหรอ? ใช่ ใจร้าย นอกจากคนที่เขารักแล้ว กับคนอื่นเข้าก็ไม่ได้เห็นอกเห็นใจเลยแม้แต่น้อย

เย่หลินนั่งตัวตรง สองมือประคองหน้าของเขา "ยังไงคุณก็อย่าให้พวกเขาย้ายออกไปเลยนะ มิเช่นนั้น ฉันจะโกรธคุณ ฉันมองออกว่าพี่ชายฉันชอบเธอมาก คุณอย่าทำมันพังสิ! "

หนิงเส่าเฉินพยักหน้า "ได้ ฉันจะไม่ยุ่ง"

คิดๆแล้วก็แตะปลายจมูกของเธอ "แต่ว่าคุณต้องจำไว้นะ มองคนจะมองด้านเดียวไม่ได้ ระวังคนอื่นจะคิดร้ายกับเราด้วย ในตอนนั้นเกาเหวินก็อ่อนโยน จิตใจดี มีเมตตา คุณลืมไปแล้วเหรอ? "

เย่หลินมองหนิงเส่าเฉิน กะพริบตาปริบๆ แม้ว่าที่หนิงเส่าเฉินพูดจะไม่ค่อยน่าฟัง แต่เธอรู้ว่าที่เขาพูดก็ไม่ผิด ในตอนนั้นเกาเหวินก็ทำให้เธอประทับใจไม่ใช่เหรอ? แต่หลังจากนั้นล่ะ?

นึกถึงตรงนี้ เธอก็พยักหน้า "โอเค ต่อไปฉันจะพยายามเรียนรู้จากประธานหนิง ว่าจะมองทะลุจิตใจของคนอื่นได้อย่างไร และจะโหดเหี้ยมได้อย่างไร ตอนนี้ คุณวางใจแล้วใช่ไหม? " เธอวนๆ ที่หน้าอกของเขา แล้วพูดหยอกล้อ

ชายคนนั้นจับมือของเธอ "กล้าบอกว่าฉัน……โหดเหี้ยมเหรอ? แล้วก็ไม่มีน้ำใจอีก ได้คืนนี้ฉันจะให้คุณได้ลองลิ้มชิมรสว่าอะไรที่เรียกว่าโหดเหี้ยม"

เย่หลินตกตะลึง ถอยออกมาจากในอ้อมกอดเขา มุดเข้าไปในผ้าห่ม "นอนเถอะ ฉันง่วงแล้ว"

หลังจากนั้น บริษัทเย่หลินเพราะว่าได้รับออเดอร์ใหญ่ จึงยุ่งมาก ออกเช้ากลับดึก ได้ใกล้ชิดกับเฉินอีอีไม่มาก

เช้าวันนี้ เธอตื่นขึ้นมา ก็เห็นเกาไห่กำลังจะออกไป จึงถามว่า : "พี่ คุณจะไปไหน? ฉันจะถือโอกาสให้คนขับรถไปส่งคุณด้วยดีไหม? "

เกาไห่ยิ้มๆ ลูบๆ หัว "เอ่อ มีงานหนึ่ง ต้องไปสัมภาษณ์วันนี้ คุณจะไปทางเดียวกันก็ได้นะ"

ต่อจากนั้น คนทั้งสองก็เดินตามกันออกจากบ้านไป

เมื่อคนขับรถเข้ามารอที่หน้าประตู เย่หลินคิดๆแล้วเอ่ยปากว่า:

"พี่ ต้องการให้ฉันหรือเส่าเฉินช่วยคุณไหม….."

"อย่าเลย ฉันเป็นชายชาตรี ถ้าแม้แต่หางานยังพึ่งพาตนเองไม่ได้ ฉันยังควรมีชีวิตอยู่ไหม? คุณวางใจได้ ฉันเป็นเด็กนอกกลับมา การหางานก็ไม่ยากหรอก เพียงแค่อยากมองหางานที่มั่นคงก็เท่านั้น ดังนั้น จึงเสียเวลามาถึงตอนนี้ พวกคุณอย่าเข้าร่วมเลย ไม่เช่นนั้น ฉันจะเป็นกังวลกับคุณ"

เย่หลินพยักหน้า อันที่จริงที่ก็เป็นสาเหตุว่าทำไมเธอถึงไม่กล้าช่วยเหลือเขา บางครั้ง เธอก็ดีใจอย่างมาก ที่เกาไห่เกิดในตระกูลเกา แต่ไม่เหมือนกับคนตระกูลเกา

"พี่ คุณ…..ได้กลับตระกูลเกาไหม? "

เกาไห่นิ่งอึ้งเล็กน้อย ในสายตาปรากฏอารมณ์ที่สับสน "เคยไปดู บ้านขายไปแล้ว ยังมีตระกูลกู้ที่ไหนกันเล่า ได้ยินมาว่าเขาและเกาเหวินได้หายตัวไป เออใช่ เย่หลิน คุณรู้ไหมว่าแม่เลี้ยงของฉันไปไหน? ฉันถามพี่เลี้ยงสองสามคนที่เคยอยู่ตระกูลเกาก่อนหน้านั้น ต่างก็ไม่ยอมบอก

เน่หลินนิ่งอึ้งไป ชัดเจนว่าแปลกใจเล็กน้อย คาดไม่ถึงว่าเกาไห่จะไม่รู้เรื่องของแม่เกา

คิดๆแล้ว เธอก็ดึงเขาเดินไปข้างกำแพง สีหน้าเคร่งขรึม พูดกระซิบว่า: "ปีนั้น หลังจากเรื่องนั้นของคุณ มีผู้เห็นเหตุการณ์บอกว่า แม่เกาคือคนที่ผลักคุณตกหน้าผา ดังนั้น หลังจากเกิดเรื่อง เธอก็ถูกตำรวจจับไป ต่อจากนั้นไม่กี่วัน ก็ฆ่าตัวตายในคุก ฉันคิดว่า คุณจะรู้เรื่องนี้ซะอีก? "

เกาไห่ตัวสั่นเล็กน้อย หลังจากนั้น ก็เดินเซถอยหลังไปหลายก้าว แล้วจึงไปพิงกับกำแพง จากนั้นก็เลื่อนตัวลงนั่งกับพื้น หายใจติดขัด

เย่หลินเดินเข้าไปอย่างเป็นกังวลเล็กน้อย ดึงมือของเขา "พี่ คุณไม่เป็นอะไรใช่ไหม? "

ก่อนหน้านี้เธอคิดมาตลอดว่า เกาเหวินจะต้องบอกเกาไห่เกี่ยวกับเรื่องนี้ ดังนั้น จึงไม่ได้พูดมาก แต่ไม่นึกเลยว่า เขาจะไม่รู้

เห็นเกาไห่ไม่ตอบสนอง เธอก็ถอนหายใจเบาๆ ทีหนึ่ง แล้วคุกเข่าลงข้างๆ เขา "พี่ เธอปฏิบัติต่อคุณไม่ดีเลยใช่ไหม? ทำไมถึงโหดเหี้ยมอำมหิตขนาดนี้? ผลักคุณลงมาจากสถานที่ที่สูงขนาดนั้นได้ยังไง? "

เกาไห่หัวเราะเยาะเล็กน้อย หลับตาแล้วก็ลืมตา มองเย่หลินแล้วก็ส่ายหน้า พูดบ่นพึมพำว่า "ฉันมันโง่ ฉันมันโง่เง่า"

ต่อจากนั้น ก็ลุกขึ้นยืน ตัวสั่นเล็กน้อยเดินไปยังข้างสระว่ายน้ำ ไม่ได้ถอดเสื้อ กระโดดลงไปโดยตรง

เย่หลินเห็นเขา ค่อยๆ จมดิ่งลงไปยังก้นสระ เป็นเวลานานไม่ยอมขึ้นมา ในใจก็กระวนกระวาย กำลังเตรียมจะถอดเสื้อผ้า ต้องการจะไปดึงเขาขึ้นมา แต่จู่ๆ เกาไห่ก็ขึ้นมาจากก้นสระ

ขึ้นมาจากสระ มองเย่หลิน เขาฉีกมุมปาก ฝืนยิ้มเล็กน้อย "คุณไปก่อนเถอะ ฉัน….ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน อีกสักครู่ ฉันค่อยไปเอง"

พูดจบ ก็หันเข้าไปในบ้าน

เย่หลินเห็นท่าทีเขาผิดปกติ แต่ตอนเช้ามีงานด่วน คิดๆแล้ว ก็วางแผนว่าตอนเย็นกลับมาค่อยปลอบโยนเขา

แต่เมื่อกลับมาตอนเย็น หนิงเสี่ยวซีก็มารอเธอที่หน้าประตู บอกว่าเกาไห่ไม่ได้กลับมาเลยทั้งวัน

เย่หลินนิ่งอึ้งไป เดินเข้าไปในบ้าน เห็นเฉินอีอีนั่งอยู่บนโซฟาดูการ์ตูนกับเย่เสี่ยวโม่ ไม่รู้ว่าเห็นอะไร จึงปิดปากหัวเราะหัวเราะต่อกระซิก

ในใจรู้สึกกลัดกลุ้มเล็กน้อย เกาไห่ไม่กลับมาทั้งวัน ในฐานะที่เป็นแฟนสาว เวลานี้ก็ไม่ควรจะต้องเป็นกังวลเหรอ?

"พี่ แฟนของคุณ ชอบการตกแต่งสไตล์ไหน? ชอบทานผลไม้อะไร หรืออาหารที่ชอบคืออะไร? ฉันจะได้เตรียมไว้ล่วงหน้า มิเช่นนั้นพรุ่งนี้พวกคุณกลับมา มันจะรีบร้อนเกินไป"

สายทางด้านนั้น หยุดพูดไปนาน จึงเอ่ยว่า "เย่จึ ไม่ต้องรบกวนขนาดนี้หรอก เธอ……เป็นคนง่ายๆ "

วันต่อมา เย่หลินก็ตื่นแต่เช้าตรู่ แล้วลากหนิงเส่าเฉินไปที่สนามบินก่อนล่วงหน้า

เห็นเกาไห่จูงมือผู้หญิงคนนั้นเดินมาทางพวกเขา เย่หลินก็ตื่นเต้นไม่หยุด

เกาไห่เดินออกมาจากเงามืดนั้น ก็รู้สึกได้ว่า เธอดีใจมากจริงๆ

"เย่จึ น้องเขย……หนิง นี่คือเฉินอีอี อีอี นี่คือน้องสาวฉัน แล้วก็น้องเขย"

เฉินอีอีตรงหน้า ผมดำยาว ไม่นับว่าใบหน้าประณีตงดงาม แต่ก็นับว่าสวย

แซ่เฉิน? เย่หลินยิ้มเล็กน้อย ช่างบังเอิญจริงๆ แซ่เดียวกันกับเธอก่อนหน้านี้

"สวัสดีค่ะ" น้ำเสียงของเฉินเป้ยอี มีความพิเศษ ในความอ่อนโยนมีความแหบนิดๆ

"โอเค อย่างนั้นไปกันเถอะ พวกแม่นมหลิวเตรียมอาหารไว้ให้พวกคุณมากมายเลย เรารีบกลับไปกันเถอะ"

ตลอดเส้นทางนี้ บรรยากาศในรถค่อนข้างอึดอัด หลังจากเย่หลินหาหัวข้อสนทนาอยู่สองสามครั้ง เฉินอีอีคนนั้นน่าจะมีนิสัยเก็บตัวเล็กน้อย เพียงแค่ตอบกลับมาสั้นๆ หรือไม่ก็แค่ยิ้มๆ เช่นนี้ เธอก็เลยเงียบไป

เมื่อถึงตระกูลหนิง เฉินอีอีก็ทานน้อยมาก รู้ว่าเธอเติบโตมากับทะเล เย่หลินจึงตั้งใจให้รีสอร์ตนำอาหารทะเลสดๆ มาส่งให้เป็นพิเศษในตอนเช้า

แต่เฉินอีอีก็กินไปไม่เท่าไหร่

หลังจากทานอาหารเสร็จ ก็ยิ้มแล้วบอกกับเธอว่า นั่งเครื่องบินมารู้สึกล้านิดหน่อย ขอกลับไปที่ห้องก่อน

เกาไห่ก็ตามเข้าไป

เย่หลินมองอาหารที่เตรียมไว้เต็มโต๊ะ แทบจะไม่มีอะไรพร่องไป เลยรู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย

หนิงเส่าเฉินจับมือเธอไว้แน่น

"คุณว่า เธอมีนิสัยเหนียมอาย หรือว่าไม่ชอบเรา? ' หลังจากเย่หลินกับหนิงเส่าเฉินกลับมาที่ห้อง นั่งอยู่บนเตียง ก็รู้สึกหดหู่อย่างมาก

หนิงเส่าเฉินจับไหล่เธอ "คนโง่ ทำไมคุณถึงอยากให้เธอชอบเรา? เธอชอบพี่ชายคุณ ก็พอแล้วไม่ใช่เหรอ? "

พูดจบ แววตาก็หม่นหมองลงไปอีก

"นั่นก็ใช่ พอแม่ไม่อยู่แล้ว พี่ก็เท่ากับคนในครอบครัวฉัน ฉะนั้น จะยิ่งดีมากถ้าทำให้เธอชอบได้" เย่หลินพูดจบ ก็เริ่มคิดว่าตนเองพูดหรือแสดงอะไรผิดไปหรือเปล่า แต่นึกอยู่นาน ก็นึกสาเหตุไม่ออก

เธอได้รู้จากเกาไห่ ว่าเธอชอบกินอาหารทะเล เธอตั้งใจให้ร้านอาหารของรีสอร์ต มาส่งอาหารทะเลแต่เช้า รู้ว่าเธอชอบทุเรียน แม้ว่าเธอกับหนิงเส่าเฉินจะไม่ชอบกลิ่นนี้ เธอก็ยังคงซื้อมา

เธอก็ไม่ค่อยเก่งกับการหาหัวข้อสนทนากับคนแปลกหน้ามากนัก แต่ว่าเธอยังพยายามทำให้บรรยากาศไม่น่าอึดอัด

เพราะเธอรู้สึกว่าแม้จะไม่ได้โตมาด้วยกันกับเกาไห่ แต่แม่ไม่อยู่แล้ว บนโลกใบนี้เขาก็เป็นญาติสนิทที่สุดของเธอ สำหรับครอบครัวนี้ เธอรักและหวงแหนอย่างมาก

แต่เฉินอีอีคนนั้น นอกจากจะพูดทักทาย"สวัสดี"แล้ว คำอื่นๆ ก็เป็นประเภทอืม อา……

"โอเค อย่าคิดมากเลย ในอนาคตเธอก็ไม่ได้อยู่กับเรา คุณไม่ต้องทำให้ตนเองเสียใจเพราะเธอหรอก" หนิงเส่าเฉินปลอบใจเธอ

เย่หลินสูดหายใจเข้า พยักๆ หน้า แต่ในใจยังคงรู้สึกอึดอัดใจ

ตอนบ่าย บริษัทมีปัญหาเล็กน้อย เธอจึงบอกกับเกาไห่ว่า จะไปบริษัท

หนิงเส่าเฉินออกจากบ้านไปด้วยกันกับเธอ

สุดท้าย ยังไม่ถึงเวลาเลิกงาน หนิงเสี่ยวซีก็โทรไปหาเธอ บอกว่าคุณลุงคุณป้าอยากจะย้ายออกไป ให้เธอรีบกลับมา

เย่หลินจึงรีบกลับไปอีกครั้ง

ยังไม่ทันได้เข้าบ้าน ก็ได้ยินเสียงของเกาไห่ "นี่คือบ้านของน้องสาวฉัน อีอี ตอนนี้พวกเรายังไม่มีงานเป็นหลักแหล่ง รอให้หางานได้แล้ว พวกเราค่อยย้ายออกไป โอเคไหม? น้องสาวฉันเธอเป็นคนจิตใจดี แล้วก็ดีกับคนอื่น ไม่คิดเล็กคิดน้อยแบบนั้นหรอก"

เท้าที่เย่หลินยกก็วางลง คิดว่าตนเองเข้าไปเวลานี้ ก็จะทำให้อึดอัดวางตัวไม่ถูกเล็กน้อย

ดังนั้น จึงถอยหลังไปเบาๆ สองก้าว

ต่อจากนั้น ก็ได้ยินเสียงของเฉินอีอีที่สะอื้นไห้ดังออกมา: "อาไห่ ตั้งแต่เด็กฉันเติบโตมาในชนบท ไม่เคยเห็นโลกที่กว้างใหญ่ภายนอก หลังจากถูกส่งไปเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยน ฉันก็อาศัยการล้างถ้วยชาม ทำงานยกถ้วยชามให้คนอื่นเพื่อเลี้ยงชีพตนเอง รวมทั้งค่าใช้จ่ายในการดำรงชีวิตของตนเอง ดังนั้น เดิมทีฉันจึงคิดว่า คุณก็เหมือนฉัน แต่ไม่คิดเลยว่า……ครอบครัวของพวกคุณจะร่ำรวยขนาดนี้….ฉันไม่อยากให้คนอื่นรู้สึกว่าฉันมาเกาะคนรวย"

เย่หลินนิ่งอึ้งไปเล็กน้อย ที่แท้นี่คือสาเหตุที่เธอพูดไม่เก่งใช่ไหม?

เธอรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจเหรอ?

ทำให้เธอนึกขึ้นได้ว่า เมื่อตอนที่มาเป็นพี่เลี้ยงที่คฤหาสน์ตระกูลหนิงนั้น ถึงแม้เธอไม่ต้องการอะไรจากเขา แต่เธอก็มีความคิดเหล่านี้อยู่บ้าง

คิดถึงตรงนี้แล้ว ก็อดไม่ได้ที่จะประทับใจคุณผู้หญิงคนนี้อย่างมาก คนคนหนึ่งที่หยิ่งในศักดิ์ศรีของตนเอง มันไม่ได้ผิดตรงไหนเลย!

เธอหรี่ตา สูดลมหายใจเข้า แล้วเดินเข้าไป

เฉินอีอีเห็นสีหน้าของเย่หลิน รู้ว่าเธอต้องได้ยินคำพูดของตนเองแน่ๆ สีหน้าจึงไม่สบายใจเล็กน้อย

ด้านเกาไห่ก็เดินเข้ามา "เย่จึ ทำไมวันนี้คุณถึงกลับมาเร็วขนาดนี้ล่ะ? "

เย่หลินมองเกาไห่ แล้วสายตาก็ตกไปที่บนใบหน้าของเฉินอีอี เดินเข้าไปสองสามก้าว จูงมือของเธอขึ้น "อีอี อันที่จริง ฉันก็เกิดมาในตำบลเล็กๆ เหมือนกันกับคุณ ดังนั้น คุณไม่ต้องอึดอัดหรอก รอคุณกับอาไห่มีงานที่มั่นคงแล้ว พวกคุณมีรายได้เป็นของตนเองแล้ว ถ้าหากยังอยากจะย้ายออกไปอยู่ด้วยกันสองคน ฉันก็จะไม่ขัดขวางคุณ แต่ว่าตอนนี้ ฉันคิดว่า คุณอยู่ที่นี่ไปก่อนเถอะนะ"

มือที่เธอกุมอยู่ สั่นเทาเล็กน้อย

เฉินอีอีพยักหน้า "ขอบคุณนะ เพิ่มความลำบากให้คุณแล้ว"

เย่หลินตบเบาๆ ที่ไหล่เล็กน้อย หลังจากนั้นก็เรียกเกาไห่ "พี่ คุณตามฉันมาที่ห้องหนังสือหน่อยสิ ช่วยฉันหยิบหนังสือเล่มหนึ่ง หนังสือเล่มนั้นสูงมาก ฉันหยิบไม่ถึง"

เมื่อประตูห้องหนังสือถูกปิด

เกาไห่ไม่เข้าใจ "เย่จึ หนังสือเล่มไหน? "

เย่หลินยิ้มเล็กน้อย มองเกาไห่ "พี่ คุณรู้จักกับเธอได้ยังไง? คุณเคยเตรียมพร้อมที่จะใช้ชีวิตด้วยไหม? "

เกาไห่ก้มหน้า ผ่านไปครู่หนึ่ง จึงพยักหน้า "ที่ต่างประเทศ มีครั้งหนึ่ง ฉันถูกอันธพาลในพื้นที่ทำร้าย คือเธอที่ช่วยชีวิตฉัน เพราะว่าช่วยชีวิตฉัน เธอยังถูกมีดจากคนเหล่านั้น จนต้องเข้าโรงพยาบาล ต่อมา ฉันรู้ว่าเธอก็อยู่ต่างประเทศเพียงลำพังเหมือนกัน บางทีอาจจะโดดเดี่ยวเดียวดายเกินไปหรือเปล่า? จึงค่อยๆ คบหากัน"

เย่หลินนิ่งอึ้งไป ตกตะลึงอย่างมาก เพื่อคนแปลกหน้าคนหนึ่ง มาขวางมีดเอาไว้ ความกล้าหาญนี้ ช่างเหนือความคาดหมายจริงๆ

ตอนกลางคืน เพราะว่าหนิงเส่าเฉินมีงานเลี้ยง จึงกลับมาค่อนข้างดึก

พอเขาเปิดประตู ก็มีเงาของคนคนหนึ่งโผเข้ามาหาตนเอง

"เห็นไหม ยังจะบอกว่าผู้จัดการหยูกับประธานของเรามีอะไรกัน? พวกคุณดูเขาทำท่าทางรักใคร่เอ็นดูกับประธานเย่คนนั้น พวกคุณอะ……มองพลาดแล้ว! "

"เฮ้อ ประธานเย่คนนี้ดวงดีจริงๆ เลย"

ตลอดจนเดินไปถึงรถ หนิงเส่าเฉินก็ไม่ปล่อยมือเย่หลินเลย

แต่ต่อจากนั้น เย่หลินก็ดึงเปิดประตูด้านหลัง แต่หนิงเส่าเฉินเปิดประตูด้านคนขับ

"ในรถมีกลิ่นหึงหวงนะ" หลังจากหนิงเส่าเฉินสตาร์ต ก็พูดประโยคนี้

เย่หลินทำเสียงไม่พอใจ หันไปมองนอกรถ

ในทันทีหลังจากนั้น รถก็เลี้ยวขวา แล้วจอดที่ข้างทาง

หนิงเส่าเฉินลงจากรถ ดึงประตูด้านหลังเปิดออก แล้วเข้าไปนั่ง

จับไหล่ของเย่หลิน เผชิญหน้ามองเธอ "พูดมา มีเรื่องอะไรไม่สบายใจ อย่าเก็บกดเอาไว้"

ประโยคนี้ของเขา ทำให้เย่หลินน้ำตาไหล เดิมทีอยากจะเก็บไว้ไม่พูดออกไป แต่อดกลั้นไว้ไม่ไหว พูดออกมา : "หนิงเส่าเฉิน คุณรังเกียจฉันใช่ไหม? "

หนิงเส่าเฉินเลิกคิ้ว สีหน้าเคร่งขรึมลงมา "รังเกียจคุณ รักคุณมากขนาดนี้ จะรังเกียจคุณได้อย่างไร? "

"คุณโกหก ทั้งวันมีผู้หญิงสวยๆ รายล้อมคุณมากมายขนาดนี้ ฉะนั้น คุณดูจนพอแล้ว ตอนกลางคืนจึงไม่อยากแตะต้องฉัน"

แต่ว่า เธออัดอั้นมาหลายวันแล้ว ถ้าไม่พูดออกไป เธอรู้สึกว่าตนเองจะเป็นบ้าแล้ว

มือของหนิงเส่าเฉินบนไหล่ของเธอ เห็นได้ชัดว่าสั่นเล็กน้อย

ยกแขนขึ้น แล้วตรวจดูวันที่บนนาฬิกาข้อมือ หนิงเชี่ยนบอกว่า ภายในสองเดือนเป็นอย่างต่ำ ไม่สามารถมีเพศสัมพันธ์ได้ นี่ยังขาดอีกหนึ่งวัน ไม่น่าจะเป็นปัญหาใหญ่ใช่ไหม?

เขาไม่อยากรีบร้อนแบบนี้ เพื่อเย่หลินแล้วอย่าพูดว่าสองเดือนเลย สองปีเขาก็อดทนได้

แต่ว่า เขาทำให้เย่หลินเสียใจขนาดนี้ ถ้าเขาไม่ทำอะไรสักอย่าง กลัวเธอจะระแวงจนจิตใจว้าวุ่น

คิดๆ แล้วก็ก้มลงไป จูบริมฝีปากเธอ แล้วกระซิบข้างหูเธอ : "หมอบอกว่า ร่างกายของคุณต้องพักผ่อนอย่างสงบ ฉันกลัวว่าคุณจะอ่อนเหนื่อยเกินไป ฉันจึงอดทนไว้ ไม่กล้าแตะต้องคุณ เพราะว่า……มีอะไรกันหนึ่งครั้ง ก็จะไม่ได้นอน แล้วก็ต้องอาบน้ำเย็น คุณไม่มีน้ำใจเลย คาดไม่ถึงว่าคุณจะสงสัยฉัน"

พูดจบ ก็ลงโทษอยู่บนริมฝีปากเธอ กัดเบาๆ แล้วพูดกระซิบกระซาบอีกครั้งว่า : "คุณ……ต้องการ? "

เย่หลินตกตะลึง แต่รู้สึกดีใจ เธอคาดไม่ถึงว่าที่หนิงเส่าเฉินทำอย่างนี้ก็เพื่อเธอ

ดีใจจนพยักหน้า จากนั้นก็ส่ายหัวทันที ผลักหนิงเส่าเฉินออก "คุณ……คุณทำไมไม่พูดออกมาล่ะ? คุณไม่รู้หรอก ว่าหนึ่งเดือนนี้ของฉัน เป็นทุกข์แค่ไหน"

ทว่าในใจก็เกลียดตัวเอง น่าจะถามออกมาเร็วกว่านี้

หนิงเส่าเฉินสูดลมหายใจ "ฉันคิดว่าคุณไม่ได้สนใจ ปกติ……ปกติเวลาอยู่กับคุณ…… คุณหลีกเลี่ยงทุกวิถีทางมาใช่เหรอ? " พูดจบ ก็ก้มลงไปพูดว่า : "ใครจะคิดว่าคุณ แอบมีความสุขล่ะ? "

เย่หลินเห็นใบหน้าที่น้อยใจของเขา ก็หัวเราะออกมา นำมือไปคล้องคอหนิงเส่าเฉิน "ร่างกายของฉันเอง ฉันไม่ใช่ว่าจะไม่รู้ คุณไม่ถามฉันหน่อยเหรอ? ฉัน……ฉันบอกว่าได้ ก็ได้สิ! "

หลังจากนั้น เธอก็เห็นดวงตาของชายคนนั้นแดงก่ำ ชั่วขณะก็อดไม่ได้ที่จะกลืนน้ำลาย แล้วปล่อยเขา "เอ่อ ฉันหิวแล้ว"

หนิงเส่าเฉินหลับตา ดึงมือของเย่หลิน "รู้สึกได้ด้วยตนเอง? คุณสนใจไหม? "

มือของเย่หลินสัมผัสวัตถุที่แข็ง ใบหน้าก็แดงก่ำ "คุณ……คุณหน้าไม่อาย! "

พูดจบ ก็เปิดประตูลงจากรถ ไปนั่งข้างคนขับ แต่มุมปากยกขึ้นสูง แล้วก็เสียใจเล็กน้อยที่เมื่อกี้ตนเองใจแคบ

สองสามนาทีต่อมาหนิงเส่าเฉิน จึงกลับไปนั่งที่นั่งคนขับ มองเย่หลิน ขมวดคิ้วแน่น แต่มุมปากมีรอยยิ้มเล็กน้อย มองดูแล้วอารมณ์ดีอย่างมาก

ตอนเย็น เลิกงานมาเร็ว เย่หลินกำลังเล่นเป็นเพื่อนเย่เสี่ยวโม่และหนิงเสี่ยวซี เห็นเขากลับมา ก็แปลกใจ "วันนี้กลับมาเร็วจัง? "

หนิงเส่าเฉินชำเลืองมองเธอ พูดอย่างเอาจริงเอาจังว่า: "อืม มาชำระบัญชี"

เย่หลินตอบ"อ้อ"คำหนึ่ง แล้วก็ไม่ได้ตอบสนอง เล่นเป็นเพื่อนกับลูกต่อไป

"แม่ อะไรคือชำระบัญชี? "

เย่หลินส่ายหน้า "ฉัน….ก็ไม่รู้เหมือนกัน"

เธอคล้ายกับค่อยๆ มีปฏิกิริยาตอบสนอง บนใบหน้าก็แดงระเรื่อ "เอ่อ แม่จะลองไปถามพ่อให้นะ"

พอเข้าห้อง คนยังไม่ทันยืนได้อย่างมั่นคง ก็ถูกดึงเข้าไปในอ้อมกอดหนึ่ง

"หนิงเส่าเฉิน ต่อไปคุณห้ามพูดส่งเดชต่อหน้าลูกแบบนี้นะ พวกเขารู้เข้า มันจะน่าอายขนาดไหน"

หนิงเส่าเฉินหรี่ตา "นี่เรียกว่าเป็นการอบรมสั่งสอนล่วงหน้า ไม่มีอะไรน่าอายเลย"

เย่หลินพูดไปออก เห็นท่อนบนที่เปลือยเปล่า ใบหูก็แดงระเรื่อ ผลักเขาออกไป

"เอ่อ ฉัน…..ฉันลงไปดูทีวีก่อน"

มือร้อนผ่าว จากนั้น เธอก็ถูกชายหนุ่มโอบเอวเอาไว้

"ขาของคุณ……"

"ไม่มีปัญหาอะไรมาก"

"คุณ…..รีบร้อนเกินไปหรือเปล่า? นี่….."

"ไม่รีบร้อน ก็ผิด รีบร้อน ก็ผิด คุณบอกมาซิว่า เมื่อไรถึงจะเหมาะสม? "

เย่หลินลูบหน้าผาก "เอ่อ…..ฉัน….." พูดไม่ออกบอกไม่ถูกเล็กน้อย

ทั้งคืนนี้ หนิงเส่าเฉินปฏิบัติต่อเธออย่างนุ่มนวลที่สุดเท่าที่จะทำได้ เอาใจใส่ดูแล ทำให้หัวใจที่ว่างเปล่าของเย่หลินในช่วงนี้ ในที่สุดก็เติมเต็ม

แล้วก็ทำให้เธอเข้าใจ วันเวลาที่คนทั้งสองผ่านมา ถ้าในใจมีเรื่องอะไร ก็ต้องพูดออกมา บางครั้ง ก็อาจจะเป็นความหวังดีของอีกฝ่าย แต่เพราะความหวาดระแวงของตนเอง อาจจะทำลายความสัมพันธ์ระหว่างคนทั้งสอง

หลังจากเรื่องนี้ เธอก็ไว้วางใจหนิงเส่าเฉินยิ่งขึ้นไปอีก

วันเวลาก็กลับมาสงบอีกครั้ง จนกระทั่งเกาไห่โทรศัพท์มาหาเธอ บอกว่าอยากจะพาแฟนสาวกลับมา

เธอดีใจอย่างมาก ถึงอย่างไรพ่อแม่ก็ไม่อยู่แล้ว เธอก็คือครอบครัวของเกาไห่ เขาพาแฟนสาวกลับมา เธอจึงดีใจกับเขาเป็นพิเศษ

"คุณดูพี่สะใภ้ในอนาคตสิ? "

หนังจากพี่สะใภ้กลับมา เย่หลินก็นำรูปภาพในมือถือให้เขาดู หนิงเส่าเฉินรับมือถือมา มองคร่าวๆ เล็กน้อย แล้วก็ส่งให้เย่หลิน ทันใดก็คล้ายกับนึกอะไรขึ้นได้ หยิบมือถือของเย่หลินมา มองดูอีกครั้ง ต่อจากนั้น ในสายตาก็ปรากฏความงุนงง

จึงแสร้งทำเป็นถามเย่หลินว่า "แฟนสาวคนนี้ของพี่ชายคุณ ทำงานอะไร? ชื่ออะไร? "

"อืม เขาไม่ได้พูดรายละเอียดนะ พูดแต่ว่า เป็นนางแบบคนหนึ่ง" เธอมองรูปภาพอีกสองครั้ง "ถึงแม้จะไม่สวยมาก ไม่เหมาะกับเกาไห่เล็กน้อย เพียงแต่ แค่พี่ชายฉันชอบ พวกเขาดีต่อกัน ก็พอแล้ว คุณว่าไหม? "

หนิงเส่าเฉินหรี่ตา "ตอนนี้เขาไม่มีครอบครัว คุณในฐานะที่เป็นน้องสาวของเขา ก็ต้องตรวจสอบให้สักหน่อย ถึงอย่างไร ที่ก็เป็นเรื่องที่อยู่ไปชั่วชีวิต'

หนิงเส่าเฉินเอาใจใส่กับเรื่องของคนอื่นน้อยมาก เย่หลินคิดว่าที่เขาเตือนสติเธอแบบนี้ ก็เพื่อตนเอง จึงอบอุ่นใจเล็กน้อย แล้วก็ไม่ได้คิดมาก

ต่อมา เย่หลินออกจากบ้านได้แล้ว เธอก็เริ่มไปบริษัท เพียงแต่หนิงเส่าเฉินไม่อนุญาตให้เธอทำงาน ฉะนั้นเธอเลยได้แต่ทำงานซ้ำไปซ้ำมา

แต่หนิงเส่าเฉินเองหลังจากที่กลับมา ก็ยังทำงานจนดึกดื่น

ตอนแรกเย่หลินคิดว่าเขายุ่งกับงาน ต่อมามีอยู่ครั้งหนึ่งเธอพบว่า เขานอนหลับอยู่ในห้องหนังสือ ไม่ได้ทำงาน แต่เขาก็ไม่ได้กลับห้องเช่นกัน

สิ่งนี้ทำให้เย่หลินรู้สึกมีปมในใจ

หนิงเส่าเฉินยังคงปฏิบัติกับเธอดีมาก รักใคร่เอ็นดู เอาใจใส่ยิ่งกว่าเมื่อก่อน แต่……

ครึ่งเดือนมานี้ เมื่อถึงเวลาที่เขาจะพักผ่อน ก็เหมือนหลีกหนีจากเธอ รอให้เธอหลับแล้ว เขาจึงจะเข้ามานอน เมื่อเธอตื่น เขาก็ลุกขึ้นไปนานแล้ว

คืนนี้ เย่หลินเลยแกล้งหลับเร็วมาก เป็นอย่างที่คิดไว้ เห็นได้ชัดว่าหนิงเส่าเฉินก็กลับมาที่ห้องเร็วกว่าเดิม

เย่หลินรู้สึกว่าเขานอนลงข้างๆ ตน

ต่อมา ก็จูบลงที่หน้าของตน จากนั้นก็นอนลงอย่างสงบ เย่หลินเลยแกล้งทำเป็นพลิกตัว จงใจขยับเข้าไปใกล้ๆ เขาเล็กน้อย แล้วเอามือไปแตะบนเอวของเขา

ไม่นาน เธอก็ได้ยินเสียงลมหายใจของหนิงเส่าเฉินถี่ขึ้นเล็กน้อย เมื่อเธอกำลังแอบดีใจ มือก็ถูกยกขึ้น จากนั้นเธอก็รู้สึกได้ว่าหนิงเส่าเฉินพลิกตัวลงจากเตียง จากนั้นก็ได้ยินเสียงน้ำในสระว่ายน้ำ

น้ำตาเธอก็ไหลออกมา

ถึงแม้ว่าเธอจะไม่เคยคิดมาก่อน ว่าชีวิตคู่เป็นสิ่งที่ยอดเยี่ยม แต่ในเมื่อทั้งสองคนอยู่ด้วยกันแล้ว นี่ก็เป็นรูปแบบหนึ่งที่จะรักษาความรักไว้ อีกทั้งเธอรู้จักหนิงเส่าเฉิน เขาแทบจะติดลบในการควบคุมพละกำลังของตนเอง เมื่อก่อน เธอแทบจะไม่ต้องไปกระตุ้นเขา เขาก็เร่าร้อนอย่างมาก

แต่ว่า……หลังจากครั้งที่แล้วที่เธอได้รับบาดเจ็บ เขาก็ไม่เคยแตะต้องเธอเลย

ในตอนแรก เธอคิดว่าขาของเขายังไม่หายดี แต่ว่าตอนนี้เห็นเขาเดินได้คล่องแล้ว ก็เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่สาเหตุนี้ เธอจึงอดไม่ได้ที่จะคิดมาก

หรือเป็นเพราะในตอนนั้นตนเองดูหน้าตาน่าเกลียดเกินไป จึงทำให้เขามีสิ่งกีดขวางทางใจกับเธอ?

ยิ่งคิดก็ยิ่งน้อยใจ แล้วก็ยิ่งโกรธ เธอก็เลยหันกลับไป ไม่สนใจเขาอีก

หลายวันต่อมา เธอก็นอนหันหลังให้เขา ความโกรธในใจที่สะสมไว้เป็นวันเป็นเดือน ก็ยิ่งมากขึ้นเรื่อยๆ

แต่เธอก็ไม่ได้โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ ถึงอย่างไรนอกเสียจากด้านนี้แล้ว เรื่องอื่นที่หนิงเส่าเฉินปฏิบัติต่อเธอ ยังคงไร้ที่ติ

วันนี้อู่เล่อเล่อนำเอกสารสัญญามาให้เธอ "ประธานเย่ เอกสารสัญญาของเรากับหนิงกรุ๊ป ใกล้หมดอายุแล้ว ถ้าคุณมีเวลาก็นำกลับไปให้ประธานหนิงเซ็นหน่อยนะ"

เย่หลินพยักหน้า คิดๆ ดูก็ไม่ได้ไปที่บริษัทของหนิงเส่าเฉินนานแล้ว อยากจะไปดูเขาสักหน่อย แล้วถือโอกาสทานอาหารกลางวันกับเขา

เมื่อเย่หลินมาถึง คนในบริษัทก็เลิกงานพอดี

"สวัสดีคุณนาย……”

"สวัสดีคุณนาย! "

เพราะฐานะของเธอ เป็นความลับที่เปิดเผยแล้ว ดังนั้นทุกคนจึงเรียกเธอว่าคุณนายโดยจิตใต้สำนึก

ในตอนแรกเย่หลินก็รู้สึกเขินอาย หลังๆ ก็เริ่มชินไปแล้ว

เมื่อเดินไปถึงลิฟต์ จู่ๆ เธอก็ปวดท้องขึ้นมา เลยหันกลับไปเข้าห้องน้ำ

ประตูเพิ่งจะปิดลง ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าเข้ามา

"เมื่อกี้คุณเห็นไหม? เย่หลินคนนั้นมาแล้ว"

"เห็นสิ มีลูกสองคนแล้ว ยังเหมือนกับสาววัยรุ่นเลย ผิวพรรณอ่อนเยาว์กว่าเมื่อก่อนอีก"

"ดูอ่อนเยาว์ แล้วจะมีประโยชน์อะไร ส่วนคนคนนั้น มองมานานแล้ว ก็ไม่รู้สึกสวยเลยสักนิด"

"จริง ช่วงนี้ฉันเห็นท่านประธานของพวกเรากับหยูซื่อหนานคนนั้นเข้าๆ ออกๆ กันบ่อยครั้ง ดูแล้วความสัมพันธ์คงไม่เลวเลย"

"ใช่ๆๆ คุณก็เห็นใช่ไหม? มีครั้งหนึ่ง ฉันเข้ากะตอนกลางคืน เกือบสี่ทุ่มแล้ว คนทั้งสองเพิ่งจะออกมาจากห้องทำงาน"

"คุณพระ พวกเขาคงไม่…..ในห้องทำงาน….."

"พอๆ นี่ไม่ใช่เรื่องที่พวกเราควรจะยุ่ง ไปเถอะ"

หลังจากเย่หลินออกมาจากห้องน้ำ คนทั้งหมดก็ต้องทึ่มทื่อไป

หนิงเส่าเฉินกับหยูซื่อหนาน? ผู้หญิงคนที่เท่สง่าคนนั้นน่ะเหรอ?

ไม่ ถึงผู้ชายทุกคนบนโลกจะเจ้าชู้ เธอก็ไม่เชื่อว่า หนิงเส่าเฉินจะนอกใจ สี่ปีนั้น คือเครื่องพิสูจน์ที่ดีที่สุด

คิดถึงตรงนี้ ก็พ่นลมหายใจ ขึ้นลิฟต์ มาถึงชั้นที่เป็นห้องทำงานท่านประธาน

คนของห้องเลขาฯ เห็นเธอมา แต่ละคนก็มีใบหน้าตกใจอย่างเห็นได้ชัด

เห็นเธอเดินไปยังห้องท่านประธาน ก็มีคนหนึ่งออกมา ดึงเธอเอาไว้ "คุณนาย ช่วงนี้ดูคุณสวยเป็นพิเศษเลยนะ มีเคล็ดลับอะไรเหรอ? "

คนอื่นๆ เห็นเช่นนี้ ก็เข้ามารายล้อม

เย่หลินนับว่าเป็นแขกประจำที่มาที่นี่ เลขาฯ ของที่นี่ เธอก็รู้จัก แล้วก็รู้ดีอยากมากว่า ปกติหนิงเส่าเฉินไม่อนุญาตให้พวกเขาซุบซิบนินทากันในเวลางาน

การกระทำในวันนี้ ดูผิดปกติเกินไปจริงๆ

คิดถึงตรงนี้ ในสมองของเธอก็กลับไปนึกถึงคำพูดเหล่านั้นที่ได้ยินในห้องน้ำเมื่อกี้นี้ สีหน้าจึงเคร่งขรึม แต่ยังอดกลั้นยิ้มเล็กน้อยแล้วกล่าวว่า: "ฉันมาหาหนิงเส่าเฉินมีธุระเล็กน้อย อีกสักครู่ออกมา ค่อยมาคุยกับพวกคุณ"

ต่อจากนั้น เธอก็ผ่านฝูงชน เดินไปยังห้องทำงานของหนิงเส่าเฉินอย่างรวดเร็ว แต่ในใจกลับเป็นกังวลไม่หยุด

เมื่อเปิดประตู ก็เห็นหนิงเส่าเฉินและหยูซื่อหนานสองคนนั่งอยู่ที่โต๊ะทำงานตรงข้ามกัน ตรงกลางมีแบบแปลนแผ่นใหญ่แผ่นหนึ่ง คนทั้งสองคล้ายกับกำลังหารือเรื่องอะไรกันอยู่

หนิงเส่าเฉินเห็นเย่หลินเข้ามา ก็รีบลุกขึ้น "เย่จึ คุณมาได้ยังไง? "

เย่หลินยิ้มให้เขาเล็กน้อย "คิดถึงคุณ ก็เลยมาหาคุณ อยากจะนัดคุณทานข้าวกลางวันด้วยกัน"

หนิงเส่าเฉินจูบที่บนแก้มขวาของเธอเล็กน้อย "ได้ คุณนั่งรอที่นั่นสักครู่ก่อน ทางด้านของพวกเราก็จะเสร็จแล้ว" พูดพลาง ก็เข้าไปประคองเย่หลินให้นั่งลงบนโซฟา

เย่หลินก็ส่งยิ้มให้เธอเล็กน้อย

ต่อจากนั้นหนิงเส่าเฉินและหยูซื่อหนานก็พูดคุยกันอีกราวๆ สิบกว่านาที เย่หลินไม่ได้ฟังให้ละเอียดว่าพวกเขาพูดอะไรกัน ได้ยินเพียงหนิงเส่าเฉินที่อยู่ด้านหลังลุกขึ้น พูดอย่างเย็นชาว่า: "ประธานหยู นี่คือส่วนประกอบที่สำคัญของฉัน ถ้าคุณยึดมั่นที่จะไม่เห็นด้วย เช่นนั้น ระหว่างพวกเราก็ไม่มีอะไรต้องปรึกษาหารือกันอีก คุณไปเถอะ! "

พูดจบ ก็เดินอ้อมโต๊ะทำงาน มายังตรงหน้าเย่หลิน "ไปกันเถอะ คุณอยากทานอะไร ฉันจะพาคุณไปทาน"

"อาหารเผ็ด! "

"ไม่ได้ ร่างกายของคุณเพิ่งจะดีขึ้น คุณหมอกำชับว่า จะต้องงดอาหารบางอย่าง" เห็นเย่หลินเบะปาก เขาก็ลูบๆ ที่หัวของเธอ "เชื่อฟังสิ นอกจากของเผ็ดแล้ว อย่างอื่นก็ตามใจคุณเลย โอเคไหม? "

เย่หลินพยักหน้า ดึงแขนของเขา ลุกขึ้นยืน

เมื่อคนทั้งสองเดินผ่านหยูซื่อหนาน เย่หลินก็เอ่ยปากว่า: "ประธานหยู ไปทานข้าวด้วยกันไหมคะ? "

หยูซื่อหนานกำลังเก็บแบบแปลน เมื่อได้ยิน ก็พยักหน้าเล็กน้อย "ตอนกลางวันมีนัด ต้องขอโทษด้วยค่ะ"

ต่อจากนั้นเย่หลินก็โอบเย่หลินออกไปจากห้องประธาน ระหว่างทาง ก็จัดผมให้เธอ และก็พูดคุยเรื่อยเปื่อยกับเธอ

ท่าทีที่หวานชื่นนั้น ทำให้กลุ่มผู้หญิงกลุ่มหนึ่งอิจฉาตาร้อน แล้วก็นำการคาดเดาทั้งหมดก่อนหน้านี้ ตีกลับไปอย่างเดิม

เย่หลินที่พยายามแสดงออกถึงท่าทีที่มีความสุขตั้งแต่ต้นจนจบ แต่มือทั้งสองที่อยู่ข้างตัวอดไม่ได้ที่จะกำไว้แน่น

หนิงเส่าเฉินไม่ได้ตอบกลับเธอ จับมือเธอ จ้องมองเธอตลอด เย่หลินเขินอายเลยพูดหยอกล้อว่า : "ทำไมฉันสวยเกินไปเหรอ? "

ชายคนนั้นพยักหน้า จูบลงบนริมฝีปากแดงๆ ของเธอ "ใช่ สวยมาก! นอนเถอะ! เรื่องของพวกเขา พรุ่งนี้ค่อยว่ากัน"

เย่หลินยกยิ้มอย่างสวยงาม เป็นครั้งแรกที่รู้สึกว่า หน้าตาดีก็เป็นเรื่องที่ไม่เลว

วันต่อมา แผลบนร่างกายดีขึ้นมากแล้ว เย่หลินจึงสามารถลุกจากเตียงได้ เมื่อเธอเห็นตัวเองในกระจกที่มีใบหน้าเขียวช้ำ เธอก็แทบจะร้องไห้เลย ความงดงามนี้มันไม่สำคัญแล้วใช่ไหม?

จากนั้นเธอก็ปิดใบหน้า ประคองกำแพงหันหลังให้หนิงเส่าเฉิน เดินไปที่เตียงของตนเอง นอนลงแล้วใช้ผ้าห่มคลุมใบหน้า

นึกถึงเมื่อวานที่หนิงเส่าเฉินจ้องมองเธอนานขนาดนั้น เธอก็รู้สึกอยากจะบ้า

"หนิงเส่าเฉิน คุณโกหก! "

หนิงเส่าเฉินกำลังอ่านหนังสืออยู่ ได้ยินเธอพูดแบบนี้ ก็หันมองไปที่เธอ ถามอย่างตึงเครียดเล็กน้อย : "โกหก? โกหกอะไรคุณ? "

"เมื่อวานคุณบอกว่าสวยมาก นี่……นี่มันเหมือนกับหัวหมูเลยใช่ไหม? "

เขาโล่งอก ยิ้มมุมปาก สายตาก็กลับไปที่หนังสือ "คุณไม่เคยได้ยินความงามในสายตาคนรักเหรอ? สำหรับฉัน คุณเป็นหัวหมูก็สวยมาก"

เธอได้ยิน ก็มีความสุข ผ่านไปสักพัก ก็ได้สติกลับมา "หนิงเส่าเฉิน คุณพูดว่าใครเป็นหัวหมู? "

เวลานี้ประตูห้องก็ถูกเปิดออก

มีเสียงฝีเท้าเข้ามา เย่หลินกลับไปปิดหน้าเหมือนเดิม แล้วเห็นหนิงเสี่ยวซีกับเย่เสี่ยวโม่ผ่านซอกนิ้ว ก็ดีใจ "เสี่ยวซีเสี่ยวโม่ พวกคุณมาได้อย่างไร? "

"แม่ คุณอย่าปกปิดสิ เราเคยเห็นมาก่อนแล้ว"

"แม่ คุณดีขึ้นแล้วหรือยัง? "

เย่หลินพยักหน้า วางมือทั้งสองลง พยุงตัวนั่งขึ้นมา ดึงเสี่ยวซีกับเสี่ยวโม่มากอด "ทำให้พวกคุณต้องเป็นห่วงเลย แม่ไม่เป็นอะไรแล้ว"

เย่เสี่ยวโม่ยื่นสองมือออกไปให้เย่หลิน หนิงเสี่ยวซีก็กระแอมเบาๆ กกหูก็แดงไปหมด

หมอบอกว่ามีเชื้อโรคมากมาย ดังนั้นเย่หลินจึงไม่ให้พวกเขาอยู่นานจึงให้คนส่งพวกเขากลับที่พักไป

พวกเขาเพิ่งจะเดินออกไป หลังจากนั้นหนิงเส่าเฉินก็พูดขึ้นว่า "อาหลีคนนั้น ตายแล้ว"

น้ำเสียงของเขาสงบอย่างมาก เย่หลินขมวดคิ้ว ไม่ได้เคลื่อนไหวเป็นเวลานาน แม้ว่าจะเป็นคนที่ไม่ค่อยคุ้นเคย แต่อย่างไรก็เป็นเพื่อนร่วมชั้นกัน อีกอย่าง ถ้าไม่ใช่เพราะพวกเขา เขาก็อาจจะ……

หนิงเส่าเฉินมองออก ว่าเธอเริ่มจะโทษตัวเองอีกครั้ง "ถึงแม้ว่าจะไม่ใช่เรื่องนี้ เขาก็มีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นาน เขาก็เป็นมะเร็งตับระยะสุดท้ายอยู่แล้ว อีกทั้งตอนที่เกิดเรื่องขึ้น เห็นได้ชัดว่าเขาจะนอนอยู่กับพวกเขาก็ได้ ทว่ายังคงรนหาที่ตาย"

"มะเร็งตับระยะสุดท้าย? คุณ……คุณรู้ได้อย่างไร? "

"เมื่อวานฉันให้หลิวซูส่งเงินไปให้ครอบครัวเขา อยากจะชดเชยให้ แต่ครอบครัวเขาไม่รับ บอกว่าเขาฆ่าตัวตาย ไม่ได้โทษพวกเขา" เมื่อคืนเขาไม่ได้บอกเย่หลิน กลัวจะมีผลกระทบต่อการนอนหลับของเธอ

เย่หลินเม้มๆ ปาก น่าแปลกใจมาก ผู้ชายที่ร่าเริงแบบนั้น คาดไม่ถึงว่าคิดจะหายไปก็หายไป คิดๆ แล้วเธอก็เสียใจที่พูดแบบนั้นกับเขาเมื่อวานนี้

เพราะสถานการณ์เหล่านี้เกิดขึ้นอย่างฉับพลัน เดิมทีก็คิดว่าจะเที่ยวอยู่เมือง S สัก 5-6 วัน ต่อมาก็พักอยู่ที่นี่มา 10 วันแล้ว จนกระทั่งเย่หลินลงจากเตียงได้ พวกเขาจึงกลับไป และครั้งนี้เที่ยวก็ไม่ได้เที่ยว ยังต้องกลับไปอย่างทุพพลภาพอีก

ทุกคนนัดกันดีแล้ว ว่าจะหาเวลามาเจอกันใหม่อีก

หลังจากกลับไป เย่หลินก็ไม่อนุญาตให้หนิงเส่าเฉินไปบริษัท หลิวซูจึงต้องวิ่งไปมาทุกวัน นำงานที่บริษัทย้ายมาที่บ้าน

เพียงแต่หนิงเชี่ยนอยู่ที่นี่ เขาก็เต็มใจอย่างมากที่จะวิ่งมาทุกวี่ทุกวัน

พอถึงบ้าน เยีหลินก็ได้รับวีแชตของซู่ซู่ กล่าวขอโทษต่อเธอ บอกว่าวันนั้นไม่ควรนัดพวกเขาให้ไปปีนภูเขาที่ปกคลุมไปด้วยน้ำแข็งด้วยกันเลย

เธอก็บอกไปว่าไม่เป็นไร หลังจากนั้นก็ออกจากกลุ่มเพื่อนร่วมชั้น แล้วลบวีแชตของซู่ซู่ทิ้ง

เธอรู้ว่าการทำแบบนี้ มันดูเกินไปเล็กน้อย แต่เธอก็รู้สึกว่าไม่ใช่คนที่รู้จัก ไม่ควรสนิทสนมกันอีก

ต่อจากนั้น วันเวลาก็กลับมาสงบลงอีกครั้ง เพียงแต่มีบางเรื่อง ที่เธอกลุ้มใจอย่างมาก คาดไม่ถึงว่าหนิงเชี่ยนจะบอกว่าจะไม่กลับต่างประเทศชั่วคราว อยู่แต่บ้านเธอทุกวัน ตุ๋นอาหารบำรุงทุกอย่างให้เธอกิน และคุณป้าที่โรงพยาบาลคนนั้น ก็กลับมาที่คฤหาสน์ตระกูลหนิงด้วย ถึงแม้การได้รับบาดเจ็บบนร่างกายของเธอจะหายดีจนหมดแล้ว วันๆเธอก็ไม่ยอมให้เธอทำอันนั้น ไม่ยอมให้เธอทำอันนั้น บอกว่าหนิงเส่าเฉินให้ค่าจ้างเธอหนึ่งเดือน เธอจะต้องทำหน้าที่ให้ดี

เพียงแค่เธอต่อต้าน หนิงเส่าเฉินจะลงมาดูแลด้วยตัวเอง ทำให้เธอปฏิเสธไม่ได้โดยสิ้นเชิง

อีกทั้งยังห้ามให้เธอออกจากบ้าน ไม่ต้องพูดถึงไปบริษัท

วันนี้ ห่างจากวันที่เธอเกิดเรื่อง 30วันแล้ว เหมือนเช่นเคย คุณป้าช่วยปรนนิบัติอาบน้ำให้เธอเสร็จแล้ว ก็เร่งรัดให้เธอขึ้นเตียงนอน

เย่หลินกระแอมเบาๆ "คุณป้า นี่เป็นวันสุดท้ายแล้วใช่ไหม" ป้าคนนี้อยู่กับเย่หลินมาหลายวัน รู้ว่าเธอดี นิสัยดี จึงยิ้มแล้วกล่าวว่า: "ใช่ค่ะ คุณนาย คุณลองดูสิ ตอนนี้น่ะ ร่างกายของคุณก็ดูมีเนื้อมีหนังขึ้นมาหน่อยแล้ว สีหน้าก็ดูดีขึ้นมากเลย"

เย่หลินหน้าดำคร่ำเครียด ก้มหน้า นี่มีเนื้อมีหนังขึ้นมาหน่อยที่ไหนกันล่ะ? เธอรู้สึกว่าตนเองอ้วนขึ้นมาอย่างมากเลย อีกทั้งยาบำรุงลมปราณบำรุงเลือดของหนิงเชี่ยนนั้น ก็ทำให้เธอกลัวเลยจริงๆ

"คุณป้า ขอบคุณ คุณนะ ที่ดูแลในช่วงนี้"

คุณป้าคนนั้นพยักหน้ากับเย่หลิน "นี่คือสิ่งที่ควรจะทำ"

หลังจากคุณป้าไปแล้ว เย่หลินมองเวลาแล้วยังไม่ดึก จึงไปห้องหนังสือ เปิดประตูเบาๆ หนิงเส่าเฉินกำลังก้มหน้าจัดการงานอยู่ ความสามารถในการฟื้นตัวของเขาน่าทึ่งมาก ในเวลานั้น เพียงแค่กระดูกร้าวเล็กน้อย ไม่ได้กระดูกหัก ดังนั้น ตอนนี้นอกจากไม่สามารถเคลื่อนไหวรุนแรงได้แล้ว การเดินปกติก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร

เพียงแต่ เย่หลินเป็นห่วงเขา ดังนั้น จึงให้เขาอยู่ทำงานที่บ้าน

หลังจากผ่านไปนาน เย่หลินจึงรู้ว่า ที่แท้หนิงเส่าเฉินเป็นห่วงเธอ กลัวว่าเธอจะไม่ยอมอยู่ในบ้าน ดังนั้น จึงจงใจหาข้ออ้างที่จะไม่ไปบริษัท

ระหว่างที่ใจลอย ก็มีเงาสูงใหญ่เงาหนึ่งเดินมายังตรงหน้าเธอ จับเอวของเธอ "ไปนอนเร็วๆ หน่อยสิ อีกสักครู่ทางด้านนี้เสร็จแล้ว ฉันก็จะไปนอน"

เย่หลินโอบกอดหนิงเส่าเฉินกลับ นำหัวถูไถอยู่ในอ้อมกอดของเขา "ฉันไม่นอนเป็นเพื่อนฉัน ฉันก็นอนไม่หลับหรอก"

หนิงเส่าเฉินจูบลงบนใบหน้าของเธอ "อย่างนั้นก็ได้ อย่างนั้นคุณนั่งรอฉันตรงนั้นครู่หนึ่ง ฉันจะรีบทำให้เร็วหน่อย"

เย่หลินพยักหน้า หันหน้าไปสังเกตห้องหนังสือนี้อย่างละเอียด เต็มไปด้วยหนังสือที่อยู่ในตู้ เธอเลยดึงออกมาเล่มหนึ่ง พลิกอ่านไปสองหน้า อ่านแล้วไม่เข้าใจ ก็วางเก็บกลับไป แล้วเอนตัวลงนอนบนโซฟาที่อยู่ข้างๆ จ้องมองหนิงเส่าเฉิน ไม่เคลื่อนย้ายสายตา

ต่อมา ก็สะลึมสะลือแล้วหลับไป เมื่อตื่นขึ้นมา คนก็มานอนอยู่บนเตียงแล้ว

เธอลุกขึ้นนั่ง เห็นหนิงเส่าเฉินไม่ได้อยู่ข้างๆ ก็เลยดูมือถือ เป็นเวลาตีสองแล้ว จึงขมวดคิ้ว หันลงจากเตียง

คิดว่าเขาอยู่ในห้องหนังสือ ดูแล้วก็ไม่มี จึงไปดูที่ห้องรับแขก ห้องครัว ก็ล้วนไม่มี

กลับมาถึงห้องนอน เธอได้ยินเสียงน้ำจากด้านนอก จึงตกใจ เปิดผ้าม่าน ก็เห็นหนิงเส่าเฉินเพิ่งขึ้นมาจากสระว่ายน้ำ เห็นเธอยืนอยู่ที่หน้าประตู ก็เลยเปิดประตูกระจก "เป็นอะไรเหรอ? ฝันร้ายเหรอ? "

เย่หลินส่ายหน้าน้ำตาก็ไหลออกมา "ทำไมดึกขนาดนี้แล้ว คุณยังมาว่ายน้ำอีก? ไม่นอนเหรอ? "

หนิงเส่าเฉินก้มหน้า เช็ดหยดน้ำบนร่างกาย "ไม่เป็นไร คุณนอนก่อนเถอะ ฉันอยู่ที่นี่"

เย่หลินพยักหน้า กลับไปเอนตัวลงบนเตียง ผ่านไปครู่หนึ่งหนิงเส่าเฉินก็เดินเข้ามา เปิดผ้าห่มแล้วเอนกายลงข้างเธอ เอียงตัวมาจูบที่ริมฝีปากเธอ "นอนเถอะ ฝันดี"

ต่อจากนั้น เย่หลินก็เห็นเขาหลับตาจริงๆ ผ่านไปครู่หนึ่ง ก็มีเสียงหายใจที่เสมอกันดังออกมา

ในใจก็โหรงเหรงในทันที คล้ายกับว่าหนิงเส่าเฉินเปลี่ยนไป!

"พี่สะใภ้ คุณหมดสติไปสองสามวันแล้ว คุณยังบอกว่าไม่เป็นอะไรอีก" หนิงเชี่ยนพูดจบ ก็เปิดกล่องข้าว "ฉันตุ๋นซุปมาให้คุณ คุณดื่มสักหน่อยเพื่อบำรุงร่างกาย"

เย่หลินแปลกใจ "ฉันหมดสติไปนานขนาดนี้เลยเหรอ? ในตอนนั้นน่าจะเหนื่อยล้ามากจริงๆ เลยนอนไปนาน" หลังจากนั้นก็เห็นซุปที่หนิงเชี่ยนยกมาให้เธอ "แค่หกล้มก็เท่านั้น เสี่ยวเชี่ยน คุณดูแลฉันดีเกินไปแล้ว ยังตุ๋นซุปบำรุงมาให้อีก"

คอหนิงเชี่ยนก็เริ่มฝืด หัวเราะแห้งๆ สองที เธอจะกล้าบอกได้อย่างไร ว่านี่คือยาบำรุงร่างกายของเธอหลังจากแท้งลูก

เวลานี้ มีคุณป้าคนหนึ่งเดินเข้ามาจากด้านนอก "คุณนาย ให้ฉันหวีผมล้างหน้าให้คุณสักหน่อย แล้วค่อยกินนะ" พูดจบ ก็บิดผ้าขนหนู ทำท่าจะเช็ดหน้าให้เย่หลิน

เย่หลินก็รับผ้าขนหนูของเธอด้วยความแปลกใจเล็กน้อย "เอ่อ คุณป้า นี่คุณจะทำอะไร? " แล้วเตรียมเปิดผ้าห่มลุกจากเตียง

หนิงเชี่ยนกดเธอไว้ "พี่สะใภ้ คุณดูขาคุณสิ แล้วก็บนร่างกาย ไม่มีที่ไหนดีเลย พี่ชายฉันเห็นก็เจ็บปวดใจ เลยให้คุณป้ามาดูแลคุณสักพัก คุณก็เชื่อฟังดีๆ เถอะ"

หนิงเชี่ยนพูดจบ ก้มหน้าปกปิดความหวาดกลัวในแววตา

พี่ชายเธอไม่ให้เธอบอกเย่หลิน เรื่องที่เธอแท้งลูก กลัวว่าจะไปสะเทือนจิตใจเธอ ฉะนั้นทุกคนก็เลือกที่จะปกปิดมาตลอด

การแท้งลูกในครั้งนี้ของเธอ ถ้าไม่ฟื้นฟูร่างกายให้ดี ก็เกรงว่าจะทิ้งโรคเรื้อรังไว้ให้ในอนาคต ดังนั้น เธอเลยขอลาจากโรงพยาบาลที่ต่างประเทศหนึ่งเดือน เลยตัดสินใจที่จะอยู่และใช้ความรู้ทั้งหมดที่ได้ร่ำเรียนมา บำรุงรักษาร่างกายของเธอด้วยตัวเอง ก็หวังอย่างยิ่งว่าจะมีปาฏิหาริย์เกิดขึ้น

"ไม่ต้องหรอก ฉันไม่ใช่เด็ก ที่ยังจะให้คนมาล้างหน้าให้ เสี่ยวเชี่ยน พี่ชายคุณก็เกินไปแล้ว" เย่หลินทำอะไรไม่ถูก

"คุณไม่ให้เธอล้าง เช่นนั้นฉันเอง! " ทันใดนั้นเสียงของหนิงเส่าเฉินก็ดังขึ้น จากนั้นก็เห็นเขาใช้มือไปดึงขาข้างที่บาดเจ็บของเขาจริงๆ

เย่หลินรีบร้อน "คุณ……คุณอย่าขยับ ฉันจะให้เธอล้าง ให้ฉันทำเองก็ไม่ได้ใช่ไหม? "

หนิงเส่าเฉินไม่เคลื่อนไหว มองดูเย่หลินถูกคุณปรนนิบัติให้จนเสร็จ จากนั้นจึงนำขากลับไปวางที่ตำแหน่งเดิม

หลังจากทานอาหารเสร็จ คุณป้ากับหนิงเชี่ยนก็ออกไป

ในห้องก็เหลือเพียงหนิงเส่าเฉินกับเย่หลิน

เย่หลินหันไปก็เผชิญหน้ากับหนิงเส่าเฉิน เห็นว่าเขาลืมตาตื่นอยู่ แต่ไม่ได้พูดอะไรกับตน

ในใจก็แปลกใจเล็กน้อย เวลานี้ไม่ถามเกี่ยวกับอาการของเธอหน่อยเหรอ?

เธออ้าปากคิดอยากจะพูดอะไร ก็กลัวว่าเขาจะคิดเรื่องอะไรอยู่ คิดๆ แล้วก็หุบปากไป

รู้สึกได้ว่าเวลาผ่านไปนาน ข้างนอกหน้าต่าง จากกลางวันก็เปลี่ยนเป็นกลางคืน

แต่หนิงเส่าเฉินก็ยังคงไม่พูดอะไร

ตั้งแต่ทั้งสองคนอยู่ด้วยกันมาจนถึงตอนนี้ เย่หลินก็ไม่เคยเจอสถานการณ์แบบนี้เลย ชั่วขณะก็รู้สึกน้อยใจ เธอพยายามช่วยเขาอย่างสุดชีวิต แต่ท่าทีนี้ของเขาคืออะไร?

จู่ๆ เธอก็ทนไม่ไหว เตรียมที่จะพูดอะไรออกมาสักหน่อย

หนิงเส่าเฉินก็พูดขึ้นว่า "คุณเคยคิดไหม ถ้าวันนั้นคุณกลับมาไม่ได้ ฉันควรจะทำอย่างไรดี? "

เย่หลินตกตะลึง พูดเบาๆ ว่า : "นี่ไม่ใช่ว่ากลับมาได้แล้วเหรอ? "

"คุณคิดว่า คุณใช้ชีวิตตัวเองมาช่วยชีวิตฉัน ฉันก็จะประทับใจใช่ไหม? " เสียงเขาไม่มีโทนเสียงเลยสักนิด ทำให้เย่หลินฟังแล้วรู้สึกผิดปกติเล็กน้อย

นี่เขาหมายความว่าอะไร? เธอช่วยชีวิตเขา เธอไม่ได้ต้องการให้เขาประทับใจนะ?

เขาได้รับบาดเจ็บเพื่อเธอ อีกอย่าง ภายในใจของเธอ เขาคือผู้ชายที่เธอรัก คือพ่อของลูกทั้งสองของเธอ ด้วยความรู้สึกด้วยเหตุผล เป็นไปไม่ได้ที่เธอจะไม่ช่วยชีวิต

ในทันใด น้ำตาก็ไหลพราก ค้ำร่างกายส่วนบนแล้วพูดเสียงดังว่า: "หนิงเส่าเฉิน ฉันไม่เคยคิดที่จะทำให้คุณซาบซึ้งใจ ฉันทำด้วยความเต็มใจของตนเอง ถึงฉันต้องตายไป ฉันก็เต็มใจ โอเคไหม? "

เธอยิ่งพูดยิ่งเสียใจ สวรรค์รู้ดี เวลานั้น เธอตกลงไปในหลุมกี่ครั้งต่อกี่ครั้ง หกล้มไปกี่ครั้ง ก้อนหินที่เคลื่อนที่เหล่านั้น กระแทกเธอไปกี่ครั้ง? แต่ว่า เวลานั้นในใจของเธอร้อนรนที่จะช่วยชีวิตเขา ดังนั้น มีหลายครั้ง เธอรู้สึกว่าตนเองแทบจะลุกขึ้นมาไม่ไหว พอนึกถึงเขา เธอก็ยังประคองมาจนสุดทาง แต่ผลสุดท้าย คาดไม่ถึงว่าเขายังตำหนิเธอ

"ฉันยอมที่จะตัดขาข้างนี้ ดีกว่าต้องยอมให้คุณไปเสี่ยงอันตราย คุณรู้บ้างไหม? ถ้าคุณต้องตายไปแบบนี้ ฉันหนิงเส่าเฉินก็จะไม่ยอมมีชีวิตอยู่ไปวันๆ อย่างแน่นอน" เขาหันตัวกลับ สบตากับเธอ เย่หลินมองเห็นถึงหมอกในดวงตาของเขา

ในใจก็เข้าใจได้ถึงอะไรบางอย่าง "หนิงเส่าเฉิน คุณร้องไห้เหรอ? "

ไม่สนใจเธอ

"หนิงเส่าเฉิน ฉันผิดไปแล้ว ครั้งต่อไปฉันไม่ทำแล้ว"

เขาจ้องมองเธอ

"หนิงเส่าเฉิน…..ถ้าคุณยังไม่สนใจฉันอีก ฉันก็จะร้องไห้ให้คุณดู! "

เห็นชายหนุ่มวางขาลง เย่หลินก็ร้อนใจ "คุณ คุณทำอะไร? "

หนิงเส่าเฉินนำน้ำเกลือที่แขวนอยู่ มาแขวนไว้ข้างๆ เย่หลิน หลังจากนั้นก็เดินขาเดียวค้ำกำแพงเดินเข้ามา ขึ้นเตียง เอนกายลงข้างๆ เย่หลิน เปิดผ้าห่มของเธอออก

ถึงแม้เตียงของห้องVIPนี้จะค่อนข้างกว้าง แต่เมื่อสองคนนี้อยู่ด้วยกัน ก็แคบลงอย่างเห็นได้ชัด รับรู้ถึงความอบอุ่นที่แพร่ออกมาจากร่างกาย ในใจเย่หลินก็อบอุ่น แต่เวลานี้เห็นหนิงเส่าเฉินจะเปิดเสื้อของเธอออก ก็ต้องตกใจ "หนิงเส่าเฉิน คุณทำอะไร? ฉัน…..ฉันได้รับบาดเจ็บ คุณคงไม่คิดที่จะ…….."

ถูกดีดหน้าผากเล็กน้อย หนิงเส่าเฉินจ้องมองเธอ

ต่อจากนั้นร่างกายช่วงบนก็เย็นวาบ เย่หลินหน้ามอง เย่หลินก็เห็นว่าหนิงเส่าเฉินเปิดเสื้อของเธอออก "คุณดูเอาเองว่า คุณทำตัวเองจนเป็นถึงขนาดไหน? "

ด้านบนนั้น รวมทั้งตำแหน่งหน้าอก ล้วนได้รับบาดเจ็บ เพียงแค่มอง ก็ต้องตกตะลึงจริงๆ เธอดึงผ้าห่มขึ้น ปิดเอาไว้ หันหน้าไปมอง เห็นหนิงเส่าเฉินตาแดงก่ำ จึงค่อยๆ พลิกตัว โน้มลำคอของเขา แล้วจูบลงไปบนริมฝีปากเขา

"ถ้าเวลานั้นเปลี่ยนเป็นคุณ ฉันเชื่อว่า คุณก็ต้องทำแบบนี้" พูดจบ ก็ยิ้มเล็กน้อย เห็นเขาไม่พูดจา มือน้อยๆ ก็เกาะที่เอวของเขา ลูบเบาๆ สองที

ก็พบว่าการแสดงออกบนใบหน้าของชายหนุ่ม ชัดเจนว่าผ่อนคลายลงอย่างมาก

"ครั้งต่อไป ถ้าคุณยังทำแบบนี้อีก ฉันไม่ยกโทษให้คุณแน่" ถึงแม้ในใจเขาจะซาบซึ้งกับความทุ่มเทของเธอ แต่เขาก็ยิ่งหวาดกลัว ในความทุ่มเทของเธอ

เย้หลินเบ้ปาก พยักหน้า "โอเคๆ รับทราบ"

ทางด้านนี้ กำลังจะจูบลงบนใบหน้าของหนิงเส่าเฉินอีกครั้ง แต่กลับถูกดึงมาไว้ในอ้อมกอดที่อบอุ่น "ถ้าเกิดเรื่องกับคุณ ถึงฉันจะได้รับการช่วยเหลือแล้ว ฉันก็ไม่สามารถมีชีวิตอยู่ต่อไปได้ คุณเข้าใจไหม? "

"ไม่ได้สิ แล้วอย่างนั้นใครจะเลี้ยงลูกชายลูกสาวของพวกเราล่ะ? "

"ให้คนอื่นเลี้ยง! "

"หนิงเส่าเฉิน! "

"ฉันอยากให้คุณเข้าใจว่า ความตายไม่น่ากลัว แต่ที่น่ากลัวคือ คนที่มีชีวิตอยู่ จะอยู่อย่างไร? เย่หลิน ฉันแยกจากคุณไปไม่ได้! "

เย่หลินตัวสั่นเล็กน้อย ยกมือไปตีเขา "แย่จริง ฉันทำให้คุณร้องไห้อีกแล้ว"

"เออใช่ คุณรู้ไหมว่าเกิดอะไรขึ้นกับคนเหล่านั้นของซู่ซู่? วันนั้น ที่พวกเราเห็นว่ามีคนคนหนึ่งตกลงไป ใช่…..เป็นหนึ่งในนั้นของพวกเขาไหม? "

เธออยู่แผนกสูตินรีเวช เธอรู้ว่าสถานการณ์การแท้งบุตรอย่างนี้ของเย่หลิน หมายถึงอะไร

เธอรู้ดีว่าคำพูดของหมอจะไม่ทำให้คนอื่นๆ ตกใจ

ปิดวิดีโอคอลแล้ว หนิงเส่าเฉินก็โทรเข้ามา "หนิงเชี่ยน ฉันต้องการเห็นพี่สะใภ้คุณ ทำไมคุณไม่รับสายวิดีโอคอล? "

เสียงที่คำรามและวิตกกังวลดังออกมาจากด้านใน

หนิงเชี่ยนสูดหายใจเข้า หลังจากปรับอารมณ์ให้คงที่แล้ว สักพักจึงพูดออกมา : "พี่……พี่สะใภ้หลับแล้ว พรุ่งนี้ค่อยดูใหม่เถอะนะ? "

"คุณไม่รับสายฉันใช่ไหม อย่างนั้นฉันจะไปเดี๋ยวนี้เลย"

เส่าเฉิน คุณบ้าไปแล้วเหรอ ขาของคุณไม่ต้องการแล้วใช่ไหม? " หนิงเชี่ยนได้ยินโทรศัพท์ทางด้านนั้น หลิวซูกำลังดูดตวาดเสียงดังอยู่

เธอปิดปาก รีบพูดว่า "โอเค พี่ ฉันจะให้คุณดู"

วางสายไป ก็วิดีโอคอลมาทันที หนิงเชี่ยนรับสาย เปลี่ยนเป็นกล้องหลัง ยืนห่างจากหัวเตียงออกไป "พี่ คุณดูสิ พี่สะใภ้หลับแล้ว ฉันบอกแล้วไง"

"คุณเดินเข้าไปใกล้ๆ หน่อย"

"พี่ คุณทำอย่างนี้ จะทำให้พี่สะใภ้ตื่นนะ"

"ฉันให้คุณเข้าไปใกล้ๆ ก็เข้าไปใกล้ๆ สิ! "

หนิงเชี่ยนฟังถึงตรงนี้ ก็ร้องไห้โฮออกมา "พี่ ไม่ดูได้ไหม ขอร้องล่ะ……”

เธอเป็นคนนอก เห็นอย่างนี้ก็ยังรับไม่ได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงหนิงเส่าเฉิน

วิดีโอถูกตัดไป

ผ่านไปไม่นาน ประตูก็ถูกผลักออกอย่างแรง หลิวซูกับหมอหนึ่งคนประคองหนิงเส่าเฉินเข้ามา

หนิงเชี่ยนลุกขึ้น วิ่งเข้าไป "พี่ คุณบ้าไปแล้วเหรอ หมอบอกว่าไม่ให้คุณขยับ"

หนิงเส่าเฉินกวาดสายตามองเธออย่างเย็นชา มือใหญ่ผลักเธอออกไป

บนเตียงผู้ป่วย เย่หลินนอนหลับตาอยู่ ใบหน้าของเธอ ใหญ่กว่าปกติครึ่งหนึ่ง ถ้าไม่ใช่ว่าอวัยวะบนใบหน้าไม่เปลี่ยนแปลง เขายังคิดว่ามาผิดห้อง

หน้าผากของเธอ แก้มสองข้าง มุมปาก คาง ทั้งใบหน้าที่เดิมทีขาวหมดจด ก็เป็นรอยขีดข่วนฟกช้ำไปหมด เมื่อมองลงมา คอของเธอ แขนของเธอ มองไม่เห็นสีเดิมเลย ด้านบนนั้นเต็มไปด้วยรอยแผลที่นับไม่ถ้วน

หนิงเส่าเฉินประคองเตียง ค่อยยกผ้าห่มเปิดออก ในฉับพลันหนิงเชี่ยนก็ยกมือมากดเขาไว้ "พี่ คุณทำอย่างนี้จะไปรบกวนพี่สะใภ้ให้ตื่นนะ"

เวลานี้ มีพยาบาลเดินเข้ามา พูดว่า "พวกคุณอย่ามาอยู่ที่นี่กันเยอะ ให้คนไข้พักผ่อนดีๆ เธอเพิ่งจะแท้งลูกไป อีกทั้งร่างกายทรุดโทรมขนาดนี้ ถ้าฟื้นฟูไม่ดี ก็อาจจะเสียชีวิตได้" พูดจบ ก็เปลี่ยนน้ำเกลือขวดใหม่ให้เย่หลิน ทันทีที่ยกผ้าห่มขึ้น หนิงเส่าเฉินก็เห็นว่าบนท้องน้อยของเย่หลินมีผ้าพันแผลสีขาวขนาดใหญ่พันไว้ และบริเวณนอกเสื้อผ้าทุกๆที่มีรอยแผลเต็มไปหมด

แท้งลูก? หนิงเส่าเฉินยิ่งเจ็บปวดอย่างที่สุด

มือของหนิงเชี่ยนยังกดอยู่บนหลังมือของหนิงเส่าเฉิน ฉะนั้น ในตอนนี้มีของเหลวหยดลงมาที่หลังมือ เธอจึงเงยหน้าขึ้นอย่างประหลาดใจ ก็เห็นน้ำตาบนใบหน้าของหนิงเส่าเฉิน

"พี่……”

"ออกไปให้หมด"

"เส่าเฉิน"

"พวกคุณออกไปให้หมด" น้ำเสียงของเขาเบามาก ทว่าเย็นชาจนทำให้คนกลัวจนตัวสั่น เดิมทีพยาบาลคนนั้นคิดอยากจะพูดอะไร หลังจากที่เห็นการแสดงออกของเขาแล้ว ก็เงียบไปเลย

รีบหยิบขวดน้ำเกลือเปล่าที่เปลี่ยนแล้วออกไปอย่างตะลีตะลาน

หมอคนนั้นจึงนำที่ประคองมาให้หนิงเส่าเฉิน แล้วนำขาข้างที่ได้รับบาดเจ็บนั้นวางไว้บนที่ประคอง แล้วจึงออกไป

หลิวซูโอบกอดหนิงเชี่ยนที่ยังคงตัวสั่นเทา ตบไหล่เขาเล็กน้อย จึงค่อยๆ เดินออกไป

ในห้องผู้ป่วยที่กว้างขวาง มีหนิงเส่าเฉินและเย่หลินที่ยังหมดสติอยู่

หนิงเส่าเฉินมองเธออยู่นานมาก

ขยับลูกกระเดือกครั้งแล้วครั้งเล่า หนิงเส่าเฉินกุมมือนั้นที่บวมจนไม่เห็นรูปร่างเดิม เล็บของเธอถูกตัดจนได้ระดับ แต่รอยบริเวณขอบเล็บนั้น มีคราบเลือดที่แห้งกรัง เตือนสติให้รู้ว่า เวลานั้นผู้หญิงคนนี้ได้รับความทุกข์ตรมแค่ไหน

"เส่าเฉิน พวกเราไม่คุมกำเนิดแล้วดีไหม? ถือโอกาสตอนที่ยังหนุ่มสาว พวกเราก็ให้กำเนิดลูกอีกสักคน ต่อไป จะได้เป็นเพื่อนกับเสี่ยวซีและเสี่ยวโม่"

"เส่าเฉิน เดือนนี้ทำไมยังไม่ท้องอีกนะ? "

"เส่าเฉิน คุณว่าฉันออกกำลังกายไม่เพียงพอหรือเปล่า ดังนั้น จึงค่อนข้างติดลูกยาก? "

"เส่าเฉิน คุณว่า ฉันคลอดลูกไม่ได้แล้วหรือเปล่า? ครั้งที่แล้วคลอดเสี่ยวโม่ มันทำให้ร่างกายเสียหายไปแล้วหรือเปล่า? "

"เส่าเฉิน ตอนคลอดลูกทั้งสองคน คุณล้วนไม่ได้อยู่ข้างๆ ฉัน ฉันเลยอยากคลอดอีกคนหนึ่ง ให้คุณปรนนิบัติฉันให้ดีๆ คนอื่นบอกว่าตอนท้อง ผู้หญิงก็คือเจ้าหญิง คลอดแล้วก็ยังเป็นราชินี แต่ฉันคลอดลูกสองคน ล้วนเป็นเหมือนสาวใช้"

"เส่าเฉิน ถ้าคลอดลูกไม่ได้ ไม่เช่นนั้นก็ช่างมันไปได้ไหม? เสี่ยวซีและเสี่ยวโม่สิงคนก็พอแล้ว"

"เส่าเฉิน แต่ฉันยังอยากมีลูกอีกสักคนหนึ่ง"

หนิงเส่าเฉินรู้ว่า เธอชอบเด็ก รักหนิงเสี่ยวซี รักเย่เสี่ยวโม่ เธออยากที่จะให้กำเนิดลูกอีกคนหนึ่ง เธอต้องการอย่างมาก…..

แต่แล้ว?

เธอก็ไม่สามารถให้กำเนิดได้อีกแล้ว? เพื่อช่วยเหลือขาข้างนี้ของเขา

เธอเดินลงจากเขาในเส้นทางที่เพิ่งเกิดหิมะถล่มเพียงคนเดียว

จะต้องหวาดกลัวและไม่สบายใจขนาดไหนกัน?

เธอหกล้มที่ตรงไหน ตกลงไปในหลุมไหน ถูกอะไรกระแทกบ้าง เวลานั้น เธอจะหมดหนทางและหวาดกลัวเพียงใด?

เขาจนปัญญาที่จะจินตนาการได้!

เธอยังนำอาหารและน้ำทิ้งไว้ให้เขาอีก เย่หลิน นั่นคือคุณกำลังเล่นกับชีวิตอยู่นะ?

ถ้าหากคุณตายไป เขามีชีวิตอยู่คนเดียว จะไปมีความหมายอะไร?

แต่ไหนแต่ไรเขาไม่ใช่คนที่อ่อนไหว แต่ว่าเวลานี้ เขากลับสะอึกสะอื้นอย่างมาก

เย่หลินฟื้นขึ้นมาวันที่สาม

เธอตื่นขึ้นมา ลืมตาก็เห็นว่า เธอนอนอยู่ในห้องห้องหนึ่ง หนิงเส่าเฉินนอนอยู่บนเตียงผู้ป่วยอีกเตียงหนึ่ง เห็นขาของเขาถูกพยุงขึ้น ก็อดไม่ได้ที่จะโล่งอก

เธอพลิกตัวเบาๆ สองสามวันก่อน ร่างกายที่บอบช้ำนั้น ก็คล้ายกับดีขึ้นมาก

เธอมองผู้ชายที่อยู่ตรงหน้า ยิ้มมุมปาก ดีจริงๆ เขาก็กลับมาแล้ว

ประตูห้องถูกเปิดออก คือหนิงเชี่ยน เห็นว่าเธอฟื้นแล้ว หนิงเชี่ยนกำลังเตรียมจะส่งเสียงร้องตะโกน เย่หลินก็ส่งสัญญาณบ่งบอกให้เธอเงียบเสียง แล้วชี้ไปยังหนิงเส่าเฉินที่หลับสนิทอยู่ข้างๆ

"เสี่ยวเชี่ยน ขานั้นของพี่ชายคุณ หมอบอกว่ายังไง ไม่เป็นอะไรใช่ไหม? " เธอกล่าวถามเบาๆ เป็นกังวลเล็กน้อย

หนิงเชี่ยนนำซุปในมือวางลงบนโต๊ะ แล้วโค้งคำนับต่อเย่หลิน "พี่สะใภ้ ฉันเป็นตัวแทนของครอบครัวพวกเรา ขอขอบคุณคุณมาก ขอบคุณที่คุณใช้ชีวิตเพื่อช่วยเหลือพี่ชายของฉัน"

เย่หลินนิ่งอึ้งไปเล็กน้อย ต่อจากนั้น ก็ปิดปากที่เผลอยิ้มออกมา "เสี่ยวเชี่ยน คุณทำอะไรเนี่ย? เรื่องใหญ่ขนาดนั้นเลยเหรอ? ถ้าพี่ชายคุณไม่ไปเป็นเพื่อนฉัน เขาก็คงไม่ต้องประสบกับเคราะห์ร้ายอบบนี้หรอก อีกอย่างเขาเป็นผู้ชายของฉัน มันเป็นสิ่งที่ฉันควรจะทำ"

หลายคำพูดของเธอที่พูดอย่างหลีกเลี่ยงปัญหาสำคัญ ทำให้หนิงเชี่ยนเข้าใจในชั่วพริบตาว่า เพราะเหตุใดพี่ชายของเธอ ที่เคยพบเจอผู้หญิงมามากมาย แต่สุดท้ายกลับรักเดียวใจเดียวต่อผู้หญิงคนนี้

จิตใจที่ดีงามของเธอ ความทุ่มเทของเธอ ไม่ใช่ว่าผู้หญิงคนไหน ก็จะสามารถทำได้

ชัดเจนว่าต้องทุกข์ทรมานขนาดนั้น ได้รับบาดเจ็บขนาดนั้น ถึงตอนนี้ เธอก็พูดเรื่องราวที่ผ่านมาเพียงแค่สั้นๆ

ด้วยความล่าช้าของเวลา หนิงเส่าเฉินที่ยังพูดคุยหัวเราะกับเธอได้เมื่อกี้นี้ หลังจากนั้นเย่หลินก็พบว่า การแสดงออกของเขาก็ผิดปกติอย่างเห็นได้ชัด

คิดอยากจะพูดคุยกับเธอ ก็ดูลำบากเล็กน้อย

"เส่าเฉิน……” เธอคุกเข่าลงข้างๆ เขา แล้วเรียกเขา หนิงเส่าเฉินหรี่ตามอง ยกมือขึ้นมาลูบๆ หน้าเธอ ฉีกยิ้มเล็กน้อย "อืม ฉันอยู่นี่"

เย่หลินเห็นหน้าผากเขาเต็มไปด้วยเหงื่อ จึงหยิบทิชชูมาซับเหงื่อให้เขา เมื่อมือไปสัมผัสหน้าผากของเขาเย่หลินก็ต้องตกตะลึง วันที่อากาศหนาวเย็นแบบนี้ ทว่าหน้าผากของเขากลับร้อนผ่าว

ชัดเจนมากว่าเขามีไข้

"หนิงเส่าเฉิน คุณเป็นไข้อยู่ ทำไมคุณไม่บอก? " เย่หลินพูดจบ ก็หยิบทิชชูเปียกออกมาจากในกระเป๋า หลังจากพับสองสามครั้งก็วางคลุมไว้บนหน้าผากของเขา

หนิงเส่าเฉินยังคงยิ้มเล็กน้อย "ไม่ได้เป็นไข้ ฉันก็แค่ร้อนนิดหน่อย"

"เย่จึ ฉันจะหลับตาสักพัก อีกสักครู่หิมะไม่ตกแล้ว เราค่อยมาหาวิธีลงจากเขากันใหม่นะ"

เย่หลินก็ยังยิ้มให้เขา "โอเค คุณนอนสักพัก" อันที่จริงแล้วก็กระวนกระวายใจ การทำงานและการพักผ่อนของหนิงเส่าเฉิน เธอรู้ดี การนอนตอนกลางวันหาได้น้อยมาก

อีกทั้งในสถานการณ์แบบนี้ ถ้าเขารักษาตัวให้รอดมาได้ เขาจะไม่ทิ้งเธอไว้ตามลำพัง ในสถานที่แปลกๆ แบบนี้

เธอวิ่งออกไปนอกถ้ำ เสียงหิมะถล่มก่อนหน้านี้ที่น่ากลัวมาก เวลานี้หยุดลงแล้ว หิมะก็ไม่ได้ตกแล้ว ถนนในตอนแรกก็ถูกปกคลุมไปหมด เย่หลินชะโงกไปมองรอบๆ ไม่เห็นใคร และก็ไม่เห็นพวกซู่ซู่เลย

มองเวลาในมือถือ ก็บ่ายสามโมงกว่าแล้ว หิมะถล่มเพิ่งเกิดขึ้น ที่นี่ในขณะนี้ ไม่มีคนกล้าขึ้นมาอย่างแน่นอน ถ้าเวลานี้เธอไม่ลงไปตามหาคนมา เช่นนั้นพวกเขาก็ต้องค้างคืนอยู่ที่นี่ ไม่ต้องพูดถึงไม่มีอะไรกิน ตอนนี้หนิงเส่าเฉินก็เป็นไข้ ถ้าหากว่าแผลเกิดติดเชื้อ รอให้ถึงวันพรุ่งนี้ เธอกังวลใจเล็กน้อย……

ตอนที่พวกเขาออกมา หนิงเส่าเฉินบอกหลิวซูว่านัดรวมตัวกับเพื่อเท่านั้น แต่ไม่ได้บอกว่าจะมาปีนเขา ถึงแม้ว่าสักครู่นี้พวกเขาจะรู้แล้วว่าเกิดเรื่องขึ้นที่นี่ แต่ไม่คาดคิดว่าพวกเขาจะติดอยู่ที่นี่

รอให้เจ้าหน้าที่กู้ภัยมา ในสถานที่กว้างใหญ่แบบนี้ โอกาสที่จะหาพวกเขาพบยิ่งน้อยมาก

นึกถึงตรงนี้ เธอเดินวนอยู่ที่เดิม ตอนที่ขึ้นมาทั้งสองคนก็พูดคุยกันมาตลอดทาง ตลอดทางที่หยอกล้อกันก็ไม่ได้รู้สึกว่ามันสูงมาก แต่เวลานี้มองลงไป ระดับความสูงนี้น่ากลัวเล็กน้อย

อีกทั้งถนนก็ไม่มีแล้ว ทุกหนทุกแห่งถูกหิมะปกคลุมจนราบเรียบไปหมด แต่เธอก็รู้ดีว่า ภายใต้หิมะนี้ บางทีอาจจะมีต้นไม้ที่ล้มลงมา บางทีอาจจะมีหลุมใหญ่ถูกปกคลุมอยู่ บางทีอาจจะมีสิ่งกีดขวางที่น่ากลัว ต่างเป็นไปได้ทั้งหมด

แต่ตอนนี้หนิงเส่าเฉินเป็นไข้อยู่ เห็นได้ชัดว่าเกิดจากขา เธอไม่มีทางที่จะนั่งมองตาปริบๆ อยู่ที่นี่ได้

เธอสูดลมหายใจแล้วลุกขึ้นยืน นำน้ำและอาหารทั้งหมดในกระเป๋าวางไว้ ดึงมือของหนิงเส่าเฉินมาวางไว้บนหน้า "เส่าเฉิน ถ้าคุณหิว ก็กินอาหารและน้ำก่อนเลยนะ ฉันจะไปตามคนมาช่วย"

ถึงแม้ว่าหนิงเส่าเฉินจะไข้ขึ้นสูง ก็ยังมีจิตใต้สำนึกอยู่ เขาดึงมือเย่หลินไว้ ค่อยๆ ลืมตา แล้วส่ายหัว "อย่าไป ถ้าหิมะถล่มอีก คุณไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วเหรอ? "

เย่หลินยิ้มเล็กน้อย "ไม่หรอก คุณฟังนะ ลมด้านนอกเงียบลงแล้ว หิมะก็หยุดแล้วด้วย"

"ไม่ได้ เย่หลิน คุณอย่าทิ้งฉันไว้คนเดียว" บนใบหน้าที่งดงามของเขา เวลานี้ไม่มีสีเลือดสักนิด เย่หลินรู้ว่า บาดแผลบนขาของเขาต้องไม่เบาแน่ๆ เขาไม่บอกความจริงกับเธอ เพราะกลัวเธอจะเป็นห่วง

หินก้อนใหญ่ขนาดนั้น……

เธอก้มลงไปจูบลงบนหน้าของหนิงเส่าเฉิน "ไม่เป็นไรหรอก คุณลืมไปแล้วเหรอ ฉันปีนเขาได้สูงมากเลยนะ เส่าเฉิน คุณหิวก็อย่าลืมกินซาลาเปาอันนี้นะ กระหายก็ดื่มน้ำ ข้างๆ นี้ยังมีทิชชูเปียก พอรู้สึกไม่สบายก็หยิบมาแปะที่หน้าผาก จะได้รู้สึกดีขึ้นหน่อย เข้าใจไหม? "

"เย่หลิน อย่าไป! " หนิงเส่าเฉินกัดฟัน อยากจะลุกขึ้นนั่ง ทว่าลองทำอยู่หลายครั้งก็ล้มกลับลงไป

เย่หลินขอบตาแดงก่ำ กล่องเสียงติดขัด แต่ใบหน้าแฝงไปด้วยรอยยิ้มเล็กน้อย "ฉันจะกลับมาโดยเร็ว"

เธอกำลังจะออกจากปากถ้ำที่อยู่ตรงหน้า หนิงเส่าเฉินก็ยื่นแขนออกมา แล้วพูดเบาๆ ว่า: "เย่หลิน ฉันขอร้องคุณล่ะ อย่าไป" ถึงแม้ว่าเขาจะไม่เคยประสบกับเหตุการณ์หิมะถล่มก็ตาม แต่เขารู้ว่าหลังจากหิมะถล่มรุนแรงแบบนี้ เป็นไปได้อย่างมากว่า ยังจะเกิดขึ้นอีกครั้ง เขาไม่สามารถส่งเธอไปตายได้

เย่หลินหันกลับมา ยิ้มอย่างงดงาม "เส่าเฉิน ฉันจะต้องหาคนมาช่วยคุณ อย่างแน่นอน! "

พูดจบ เธอก็ยิ้มกับเขาเล็กน้อย แล้วหันกลับไปอย่างเด็ดเดี่ยว

เย็นวันเดียวกัน

เฮลิคอปเตอร์จำนวนมากบินอยู่บนท้องฟ้าเหนือภูเขาที่ปกคลุมด้วยหิมะ ในที่สุดก็บางคนกล่าวว่า: "หลิวซู คุณดูสิ นั่นคือเครื่องหมายสีแดงที่พี่สะใภ้ทิ้งเอาไว้ใช่ไหม"

เมื่อหนิงเส่าเฉินตื่นขึ้นมาอีกครั้ง ก็อยู่บนเตียงผู้ป่วยแล้ว

ข้างกายรายล้อมไปด้วยหลิวซู หนิงเชี่ยน เย่เสี่ยวโม่แล้วก็หนิงเสี่ยวซี….

ทุกคนเห็นว่าเขาฟื้นแล้ว ก็โล่งอก

"พี่สะใภ้คุณล่ะ? " นี่เป็นคำแรกที่เขาเอ่ยปากออกมา

หนิงเชี่ยนเอียงหน้าไปข้างๆ รอบตาแดงก่ำในชั่วพริบตา หลิวซูขยับลำคอ "เธออยู่ห้องผู้ป่วยข้างๆ หลับอยู่ รอเธอตื่นแล้ว ฉันจะให้เธอมาเยี่ยมคุณ"

หนิงเส่าเฉินเปิดผ้าห่มออก อยากจะลงจากเตียงด้วยจิตสำนึก แต่ถูกหลิวซูระงับเอาไว้ "คุณบ้าไปแล้วเหรอ ขานี้ของคุณ โชคดีที่ช่วยไว้ได้ทันเวลา ขืนช้าอีกหน่อย คุณคงต้องตัดเท้าไปแล้ว"

เห็นขาที่ถูกพยุงไว้ในอากาศ หนิงเส่าเฉินจึงนึกขึ้นได้ว่า ก่อนหน้านี้ขาของตัวเองได้รับบาดเจ็บ

เขาจึงเอนตัวลงไปอีกครั้ง "มือถือของฉันล่ะ? "

หลินซูไม่รู้ว่าเขาจะทำอะไร จึงหยิบมือถือออกมาจากในลิ้นชักแล้วส่งให้เขา

หนิงเส่าเฉินชี้หนิงเชี่ยน "คุณไปที่พี่สะใภ้ของคุณ พวกเราจะวิดีโอคอลกัน ฉันต้องการเห็นเธอ"

หนิงเชี่ยนอ้าปากค้าง แต่สีหน้าของหนิงเส่าเฉิน เธอก็รู้ว่าตนเองไม่มีเหตุผลที่จะไม่ไป ทำได้เพียงพยักหน้า

พอมาถึงห้องของเย่หลิน วิดีโอคอลของหนิงเส่าเฉินก็โทรเข้ามา

หนิงเชี่ยนมองคนที่เอนกายอยู่บนเตียง เย่หลินที่หมดสติอยู่ กัดริมฝีปากเล็กน้อย อดกลั้นน้ำตาที่คลอเบ้า

เธอลืมไม่ได้จริงๆ เมื่อตอนที่ได้พบพี่สะใภ้

ประมาณหนึ่งทุ่มกว่า พวกเขาได้รับโทรศัพท์จากตำรวจ

เมื่อรีบเข้าไปดู เย่หลินหยิบมือถืออยู่ บนใบหน้า บนลำคอ บนมือ แขน ไม่มีตรงไหนดูดีเลยสักที่

มีรอยบาด รอยช้ำ ถูกอะไรทำให้เป็นบาดแผล…..ก็ยังไม่ชัดเจน

"เฮ้อ ผู้หญิงคนนี้ไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วหรือไง หลังจากหิมะถล่มนั่น ทุกๆ ที่ล้วนเป็นหลุมเป็นบ่อ มีหินโผล่ขึ้นมา มีกิ่งไม้ที่ฝังอยู่ใต้หิมะ หากไม่ระมัดระวังสักหน่อย ก็จะสามารถถูกกลบฝังลงไปได้ ยัยเด็กคนนี้ ตอนที่ฉันพบเธอ เธอก็ลงมาอยู่ตีนเขาแล้ว เวลานั้นฉันได้ยินบางคนร้องเรียกขอให้ช่วยชีวิต พอเข้าไป ฉันก็เห็นเธอตกอยู่ในหลุมขนาดใหญ่หลุมหนึ่ง พอดีเธอกำลังป่ายปีนขึ้น พอช่วยเธอขึ้นมา ทั้งตัวเธอก็เต็มไปด้วยเลือด แต่ตัวเธอเองคล้ายกับจะไม่รู้ ฉันตกใจอย่างมาก แต่เธอหยิบมือถือแล้วชี้ไปยังรูปบนหน้าจอ บอกกับพวกเราว่า พ่อของลูกเธออยู่ตรงตำแหน่งนั้น จึงให้พวกเขาเข้าไปช่วยเขา…….พวกเราจะพาเธอไปโรงพยาบาล แต่ยังไงเธอก็ไม่ยอม….."

เวลานี้ตำรวจอาวุโสคนหนึ่งกำลังลาดตระเวนไปตามภูเขา

แล้วก็มีคำพูดของหมอพูดว่า

"เธอแท้งแล้ว เด็กอายุได้ครึ่งเดือนแล้ว เสียเลือดอย่างมาก ได้รับความเย็น มดลูกได้รับความเสียหายอย่างรุนแรง ต่อไป โอกาสที่จะตั้งครรภ์ได้อีกมีน้อยมาก อีกทั้งร่างกายก็ได้รับบาดเจ็บอย่างรุนแรง พวกคุณจะต้องดูแลเธอให้ดีๆ ไม่เช่นนั้น ไม่เช่นนั้นจะเกิดโรคเรื้อรังได้"

ทางลงเขาค่อนข้างลื่น ทั้งเธอและหนิงเส่าเฉินตั้งใจชะลอความเร็วลง หนิงเส่าเฉินมักจะเดินอยู่ข้างหน้าเธอเสมอ จับมือเธอ ซึ่งนั่นทำให้เธอโล่งใจจากความไม่สบายใจที่เธอมีอยู่

กระทั่งเริ่มไม่ได้ยินเสียงจากคนข้างหลัง เย่หลินถึงได้สูดหายใจเข้า น้ำตาเริ่มไหลออกมา

หนิงเส่าเฉินนิ่งไปสักพัก หันหลังไปเห็นเธอร้องไห้ คิดว่าเธอรู้สึกน้อยใจ เขาถึงได้ปวดใจ กอดเธอไว้ เอาคางวางไว้บนศีรษะเธอ “เย่หลิน……”

เย่หลินเงยหน้าขึ้นมองเขาจากอ้อมกอดของเขา “เส่าเฉิน ขอโทษนะ ที่ทำให้คุณลำบาก ฉันไม่รู้ว่าเขาจะรู้เยอะขนาดนี้ ทำให้คุณต้องขายหน้า ขอโทษนะ……ขอโทษ…….ตั้งแต่เล็กจนโต คุณคงไม่เคยถูกใครพูดแบบนี้ใส่เลยใช่ไหม?”

อาเฉินของเธอ คนที่ยโสโอหังอย่างเขา วันนี้กลับต้องขายหน้าเพราะเธอ

เธอยิ่งคิดก็ยิ่งเศร้า

หนิงเส่าเฉินก้มหน้า สายตาไปตกอยู่ที่ใบหน้าของเย่หลินที่เต็มไปด้วยน้ำตา ซับซ้อนและหลงใหล

เขาโตมาตั้งขนาดนี้ ไม่เคยถูกใครปฏิบัติแบบนี้มาก่อน

และตั้งแต่เล็กจนโต นี่เป็นครั้งแรก ที่นอกจากแม่แล้ว ถูกผู้หญิงคนหนึ่งปกป้อง ไม่สิ ครั้งที่สอง ครั้งแรกคือตอนนั้นที่เขาบาดเจ็บ

ดวงตาสีดำสนิท มีแสงสว่างวาบผ่าน

เขายื่นมือไปจับแก้มเธอไว้ เอ็นตัวเข้าใกล้ จูบซับน้ำตาที่อยู่ใต้ดวงตาของเธอเบาๆ ริมฝีปากบางเผยออก ลูกกระเดือกขยับเบาๆ ถึงได้ส่งเสียงกระซิบว่า

“เย่หลิน ชีวิตนี้ ผมจะไม่มีทางผิดต่อคุณ”

เย่หลินนิ่งไป เงยหน้ามองเขา “อื้ม ฉันจะจำไว้ ถ้าอย่างนั้น ให้พวกเราคิดว่าเรื่องนี้ผ่านไปแล้วดีไหม? อีกอย่าง ต่อไป ไม่ว่าใครจะพูดอะไร ก็ไม่สำคัญ ขอแค่ตัวเราเองเข้าใจก็พอ พวกเราห้ามเอากลับไปใส่ใจ ดีไหม?”เธอพูดทีละคำจนจบ ยิ้มมุมปาก ใบหน้าแสดงให้เห็นถึงรอยยิ้ม

หนิงเส่าเฉินไม่ได้ตอบเธอ แต่กลับกอดเธอไว้

และตอนนี้ ลมยิ่งอยู่ยิ่งแรงขึ้นเรื่อยๆ เกร็ดหิมะขนาดใหญ่ตกลงมา

ทันใดนั้น เสียงแปลกๆดังขึ้น เสียงดังมาก พื้นดินก็กำลังสั่นสะเทือนเล็กน้อย……

เย่หลินตัวแข็งทื่อ หนิงเส่าเฉินเองก็ได้ยิน หรี่ตาลงคิด คิ้วของเขาก็ยกขึ้น พูดเสียงต่ำว่า “นี่มันภูเขาหิมะถล่ม?”

หน้าเย่หลินซีดลง เธอเคยได้ยินคนแก่ข้างบ้านพูดถึง ว่าภูเขาลูกนี้เคยมีหิมะถล่ม คนตายไปไม่น้อยเลย แต่ กลับไม่มีใครเคยเห็นมันจริงๆ หรือมีประสบการณ์เคยพบเจอ พอคิดถึงตรงนี้ เธอก็อดฝืนยิ้มขึ้นมาไม่ได้ “ไม่น่าใช่มั้ง?”เรื่องที่ไม่ได้เกิดมาหลายสิบปีแล้ว ไม่มีทางมาเกิดขึ้นกับพวกเขา?

แต่ เสียงก็เริ่มสั่นขึ้นมาแล้ว

“วิ่งเร็ว”หนิงเส่าเฉินพูดคำนี้ พร้อมกับจับมือเย่หลินวิ่งลงภูเขา

ถนนลื่นมาก วิ่งแบบนี้ มีโอกาสที่จะล้มลงไปได้ทุกเมื่อ แต่ เทียบกับความตายแล้ว ไม่นับเป็นเรื่องอะไร

แต่ พวกเขาวิ่งไปได้แค่ไม่กี่ก้าว พื้นใต้ฝ่าเท้าของพวกเขาก็เริ่มสั่นอย่างรุนแรง ต้นไม้ใหญ่ที่อยู่ข้างหลังถูกถอนออกมาทั้งราก ทุกๆที่มีแต่เสียงอึกทึกครึกโครม และก้อนหินที่กลิ้งตกลงมา

เย่หลินยืนอยู่กับที่ สูญเสียการตอบสนองตามสัญชาตญาณของเธอ สายตาเธอเหม่อลอย ในหัวมีแต่ความว่างเปล่า

ขนาดมีก้อนหินก้อนหนึ่งกลิ้งมาทางเธอ เธอก็ไม่มีปฏิกิริยาอะไรเลย

สิ่งที่เธอรู้สึกได้คือเงาของคนคนหนึ่งพุ่งเข้าหาเธอ จากนั้น “อึก”เสียงดังขึ้นข้างหู

เธอกระตุกไป ถึงได้รู้สึกตัวขึ้นมา เธอหันไปมองหนิงเส่าเฉิน สีหน้าเจ็บปวด มองไปข้างหลัง ก็พบว่าทั้งตัวเขาคล่อมตัวเธอไว้ และขาของเขา ถูกทับด้วยก้อนหินที่ไม่ใหญ่ไม่เล็กเกินไป

อดที่จะตกใจไม่ได้ “เส่าเฉิน……”เธอออกแรงคลานออกมาจากตัวเขา ลุกขึ้น นั่งยองๆอยู่ตรงหน้าเขา อยากจะไปดันหินก้อนนั้นออก แต่หนิงเส่าเฉินกลับจับแขนเธอไว้

“คุณดันไม่ไหว ไปหาท่อนไม้มาท่อนหนึ่ง”เสียงเขาสั่นเล็กน้อยเพราะความเจ็บปวด แต่เขายังคงความสงบนิ่งไว้

เย่หลินพยักหน้า กำลังจะหันหลังไปหาท่อนไม้ พื้นก็สั่นขึ้นมาอีกครั้ง แรงสั่นสะเทือนมากกว่าเมื่อกี้ ไม่รู้ว่ามันเป็นเรื่องน่ายินดีหรือน่าเศร้า ด้วยการสั่นสะเทือนนั้น หินก้อนใหญ่บนขาของหนิงเส่าเฉินก็กลิ้งออกไป

“อย่ามัวแต่อึ้ง ที่ตรงนั้นมีถ้ำอยู่ คุณรีบเข้าไป”พูดแล้วก็ผลักเย่หลินเข้าไป

เย่หลินกลับสะบัดมือเขาออก จ้องเขาเขม็ง “คุณคิดจะทำอะไร?”จากนั้น นั่งลงตรงหน้าเขา “คุณรีบเกาะไหล่ฉันไว้ พวกเราเข้าไปด้วยกัน”

ขาทั้งสองข้างของหนิงเส่าเฉินเจ็บไม่เท่ากัน มีขาข้างหนึ่งเสียความรู้สึกไปทั้งข้าง ไม่สามารถออกแรงได้เลย

เย่หลินตาแดงก่ำ แต่ เธอรู้ว่าสถานการณ์ตอนนี้ ไม่ใช่เวลาที่จะมาร้องไห้ เธอหลับตา ใช้แรงทั้งหมดโอบเอวของหนิงเส่าเฉินแล้วออกแรงดึงให้เขาลุกขึ้นยืน

จากนั้้น เธอทั้งดึงทั้งลากจนสามารถพาเขาเข้าไปในถ้ำได้

ทั้งสองคนเพิ่งจะนั่งลงตรงหน้าถ้ำ ก็ได้ยินเสียงดินถล่มมาจากข้างนอก น่ากลัวมาก

ถ้ำนี้อยู่ใต้หินก้อนใหญ่ ดังนั้น เย่หลินจึงมองดูดินและหินที่ผสมกับหิมะสีขาว ตกลงมาจากด้านหน้า

ในภาพนั้น เหมือนว่าเธอจะเห็นเงาคนคนหนึ่ง ตกลงมาพร้อมกัน

ในตามีแต่ความตื่นตกใจ หรือว่าจะเป็น……หนึ่งในพวกเขา?

หนิงเส่าเฉินตบไหล่เธอ “ไม่มีใครคาดเดาได้หรอก”

เย่หลินสูดหายใจเข้า พยักหน้า ทันใดนั้นเธอก็นึกถึงขาที่บาดเจ็บของหนิงเส่าเฉิน รีบลุกขึ้นนั่ง คุกเข่าลงตรงหน้าขาของเขา “คุณ ขาของคุณ เป็นยังไงบ้าง?”

หนิงเส่าเฉินเม้มปาก หน้าผากมีเหงื่อออกเล็กน้อย ลองขยับขาดู ขาที่เมื่อกี้ไม่มีความรู้สึก ตอนนี้ รู้สึกได้ถึงความเจ็บปวด เขาแอบถอนหายใจด้วยความโล่งอก ลองใช้มือยกขาไปข้างหน้า……

“ซี๊ด……”เขาทนไม่ไหว ซี๊ดไปหนึ่งที

ปากเย่หลินสั่น ลุกไปอุ้มขาของเขามาวางไว้บนตัวของตัวเองเบาๆ มือที่สั่นเทาของเธอแก้เชือกผูกรองเท้า ถอดรองเท้าเดินป่าหนักๆออก พับขากางเกงเขาขึ้นเบาๆ วันนี้พวกเขาตั้งใจไปซื้อชุดที่กันลมกันหิมะมาโดยเฉพาะ มันหนามาก แต่ ถึงแม้จะเป็นกางเกงที่หนาแบบนี้ ตอนนี้ก็ยังขาดจนเป็นรู เธอไม่กล้าจะคิดว่าข้างในจะมีสภาพเป็นยังไง

กางเกงข้างนอกถูกเธอพับขึ้นอย่างระมัดระวัง ตอนที่แผลเปื้อนเลือดปรากฏตรงหน้าเย่หลิน แม้จะเตรียมใจไว้แล้ว เย่หลินก็ยังทนไม่ได้ เธอปวดใจจนร้องไห้

“ไม่เป็นไร หินก้อนนั้นกลิ้งลงมา ไม่ได้กระแทกลงมา ยังขยับได้ ก็แสดงว่า ขายังไม่หัก ไม่ต้องกังวล”

“หนิงเส่าเฉิน!”เธอจ้องเขา จากนั้นหยิบมือถือจากกระเป๋า เตรียมจะโทรออก กลับพบว่าโทรศัพท์ไม่มีสัญญาณ ใจเธอนิ่งไป ในตาแสดงอาการตื่นตกใจ

ในที่แบบนี้ อาการบาดเจ็บที่ขาของหนิงเส่าเฉินร้ายแรงขนาดนี้ ถ้าหากไม่มีคนหาพวกเขาเจอให้ทันเวลา ผลที่ตามมาก็คือ……

เธอกัดปาก ปากเธอกำลังสั่น

เนื่องจากมีเป้าหมาย ความเร็วของทั้งสองคนก็เพิ่มขึ้น ไม่นาน ก็ถึงที่ที่หนิงเส่าเฉินบอก

ที่แห่งนี้เป็นพื้นที่ราบกลางภูเขา หนิงเส่าเฉินเอื้อมมือไปหักกิ่งไม้ แล้วเขย่าหิมะหนาๆที่เกาะอยู่บนนั้น วางมันไว้บนพื้น ส่งสัญญาณให้เย่หลินนั่งลงพักผ่อนสักครู่หนึ่ง

เย่หลินดึงเขาไว้ “พวกเรานั่งด้วยกันเถอะ”

กิ่งไม้สั้นไปหน่อย ทั้งสองจึงนั่งใกล้กันมาก

หลังจากที่ซู่ซู่กับอาหลีขึ้นมา เห็นลักษณะของทั้งสองคนแล้ว ก็อดที่จะมองด้วยสีหน้าที่แย่ไม่ได้

“ซู่ซู่ หิมะตกหนักมากแล้ว หรือพวกเราจะไม่ปีนต่อแล้วดีกว่า?”

เย่หลินเห็นพวกเขามา ก็ลุกยืน เอ่ยถามขึ้น

ซู่ซู่ไม่ได้พูดอะไร มองไปที่อาหลี

อาหลีมองเย่หลิน แล้วหันไปมองหนิงเส่าเฉิน “ทำไมเหรอ ร่างกายประธานหนิงมีค่า ปีนต่อไม่ไหวแล้ว?”

ปกติหนิงเส่าเฉินก็ไม่ใช่คนที่ชอบพูดมากอยู่แล้ว พอมาเจอกับคนที่ตัวเองไม่ชอบ เขาก็ยิ่งเงียบเข้าไปใหญ่ ในขณะที่ต้องเผชิญกับการยั่วยุที่ชัดเจนของอาหลี สีหน้าเขากลับไม่เปลี่ยนเลยสักนิด

ความเย่อหยิ่งของเขากระตุ้นอาหลีที่มีการพัฒนาธุรกิจอันน้อยนิดในไม่กี่ปีที่ผ่านมา

เย่หลินเห็นสีหน้าของอาหลีไม่ค่อยดี ก็ดึงหนิงเส่าเฉิน “เส่าเฉิน ไหนๆก็ปีนได้ครึ่งหนึ่งแล้ว เราปีนต่ออีกสักหน่อยไหม?”

เธอไม่ได้อยากจะพยายาม แต่แค่ไม่อยากให้หนิงเส่าเฉินถูกถามแบบนี้

หนิงเส่าเฉินมองดูสภาพอากาศ ลุกขึ้น มือใหญ่โอบเย่หลินไว้ ขมวดคิ้วพูดว่า “ไม่ต้องปีนแล้ว สภาพอากาศแบบนี้ ยิ่งปีนสูงเท่าไหร่ ก็ยิ่งอันตรายมากเท่านั้น พวกเราพักสักหน่อย แล้วค่อยลงเขากัน”

พูดจบ ก็ดึงเย่หลินมานั่งที่เดิม ตั้งแต่ต้นจนจบไม่หันไปมองคนสองคนที่อยู่ข้างหน้าเลย

หนิงเส่าเฉินไม่ใช่คนกล้าบ้าบิ่น ที่จะถูกคนอื่นกระตุ้นได้ง่ายขนาดนั้น ตรงกันข้าม เขาเป็นคนที่มีเหตุผลมาก รู้จักมองปัญหาอย่างมีเหตุมีผล ในสภาพอากาศแบบนี้ ถ้าปีนขึ้นไปอีก เกรงว่าตอนขึ้นจะง่าย แต่ตอนลงคงยาก

ถ้าหากลากยาวไปถึงกลางคืน อุณหภูมิลดลง ถนนกลายเป็นน้ำแข็ง คาดว่าพวกเขาคงจะติดอยู่ในภูเขาและถูกแช่แข็งตายทั้งเป็น

เย่หลินนิ่งไปเล็กน้อย แต่เธอเข้าใจเขา ดังนั้น จึงพยักหน้าแบบไม่ลังเลเลย นั่งลงข้างๆเขา และตอนนี้ หลายๆทีมก็ตามมาถึงตำแหน่งที่พวกเขาอยู่ เมื่อเห็นพวกเขาหยุดปีน ก็เข้ามาร่วมวงด้วย

“เย่หลิน ทำไมเธอถึงไม่มีความคิดเป็นของตัวเองเลย? เชื่อฟังเขาขนาดนั้น? ฉันจำได้ว่าตอนที่เรียนอยู่ เธอไม่ใช่แบบนี้” เมื่อเห็นเย่หลินเชื่อฟังคำพูดของหนิงเส่าเฉิน อาหลีก็โกรธเล็กน้อย

เย่หลินรู้สึกว่าอาหลีคนนี้ ยุ่งมากเกินไป ถึงแม้จะเป็นเพื่อนร่วมชั้น ถึงแม้เรื่องที่ลือกันจะเป็นความจริง ที่ว่าเขาชอบเธอ แต่หลายปีมานี้ พวกเขาไม่ได้เจอกัน ไม่ต่างอะไรจากคนแปลกหน้าเลย คนแปลกหน้า มายุ่งเรื่องของเธอ มันเกินไปหรือเปล่า?

สีหน้านิ่งไปสักพัก มองไปที่เขาแล้วยิ้ม “เขาเป็นผู้ชายของฉัน ฉันไม่ฟังเขา ให้ไปฟังนายเหรอ?”

พูดจบ เย่หลินเงยหน้าขึ้นอัตโนมัติ ก็เห็นใบหน้าของหนิงเส่าเฉินมีรอยยิ้มบางๆ และอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเขินเล็กน้อย

อาหลีมองทั้งสองคนส่งสายตาให้กัน จึงโพล่งออกมาด้วยความตื่นตัว “เย่หลิน เขาเป็นแค่ผู้ชายของเธอ ไม่ใช่สามีเธอสักหน่อย เธอไม่จำเป็นต้องฟังเขาขนาดนั้นก็ได้มั้ง?”

‘วืด’เสียงดังขึ้นในหัวของเย่หลินเหมือนจะระเบิดออกมา ใจกระตุกอย่างแรงไปหนึ่งที

เธออยากจะเถียงกลับ แต่พบว่ามันไม่มีแรง

เสียงของอาหลีไม่ได้เบา ดังนั้น ทุกคนที่อยู่ตรงนี้ก็ได้ยิน เย่หลินรู้สึกแค่ว่าสายตาหลายคู่ตกมาอยู่ที่เธอ

สีหน้าของหนิงเส่าเฉินเย็นลงทันที เส้นเลือดบนหลังมือของเขาปูดขึ้น ใบหน้าแข็งทื่อ พูดเสียงต่ำว่า “ไหนนายลองพูดอีกที?”

อาหลีนิ่งอึ้งไปกับบรรยากาศที่หนิงเส่าเฉินแผ่ออกมา เห็นเพียงการแสดงสีหน้าของเขานั้นผิดปกติ แต่ก็ยังคงพูดว่า “หึ หนิงเส่า คุณให้เย่หลินมีลูกให้คุณตั้งสองคน แต่ คุณกลับไม่ได้ให้สถานะที่ถูกต้องตามกฎหมายกับเธอ คุณอย่าคิดนะว่า คุณมีเงิน คุณจะทำอะไรก็ได้ที่อยากทำ พวกเขากลัวคุณ แต่ผมไม่กลัว”

อาหลีพูดจบ ทุกคนก็เริ่มนินทากันมากขึ้น

“ที่แท้ เย่หลินเป็นเมียน้อยเหรอ? ถึงว่าเมื่อวานเธอไม่กล้าแนะนำว่าเขาเป็นสามีเธอ บอกแค่ว่าเป็นพ่อของลูก หึหึ ที่แท้ก็เป็นความสัมพันธ์แบบนี้นี่เอง……”

“นั่นสิ ลูกตั้งสองคนแล้ว เขาก็ไม่ได้แต่งตั้งเธอ ถึงจะยังไง ก็เป็นเมียน้อยอยู่ดีไม่ใช่เหรอ?”

“เมื่อวาน พวกเธอยังอิจฉาเธออยู่เลย ฉันว่า นี่ไม่ใช่ว่าใครๆก็จะทำได้……”

เย่หลินอยู่ติดกับหนิงเส่าเฉิน ดังนั้น เธอจึงได้ยินเสียงกำหมัดของเขาอย่างชัดเจน เสียงที่ดังขึ้นระหว่างข้อต่อกระดูก เธอรู้ ว่าเขาโมโหแล้ว เธอดึงแขนเสื้อของเขาแบบไม่รู้ตัว มองไปที่หนิงเส่าเฉิน ยิ้มปลอบใจเขา

แต่ในใจกลับรู้สึกอึดอัดเป็นอย่างมาก คนที่สูงส่งอย่างหนิงเส่าเฉิน ถูกคนอื่นถามแบบนี้ก็เพราะมาเป็นเพื่อนเธอวันนี้ รู้สึกปวดใจจริงๆ

จากนั้น เธอก็ก้าวเดินขึ้นไป จ้องอาหลีแล้วพูดว่า “เพื่อนร่วมชั้นคนนี้ นายรู้สึกภาคภูมิใจมากใช่ไหมที่รู้เรื่องภายในครอบครัวคนอื่นที่คนนอกไม่ควรรู้?”

อาหลีเห็นสีหน้าที่เย็นชาของเย่หลิน ในตาก็แสดงความโกรธออกมาอย่างชัดเจน เย่หลินที่เป็นแบบนี้ ไม่เคยปรากฏในความทรงจำของเขา ดังนั้นเขาจึงอดไม่ได้ที่จะกลืนน้ำลาย

ถอยหลังไปหนึ่งก้าว ยืนนิ่งแล้วพูดว่า “เย่หลิน เธอไม่ต้องอยู่กับเขาแล้ว ได้ไหม เธอมาอยู่กับฉัน ฉันจะขอเธอแต่งงาน ให้สถานะเป็นตัวเป็นตน……”

“นายหุบปาก!”เย่หลินพูดขัดเขา

หันไปมองทุกคนรอบหนึ่ง “ใช่ เรายังไม่ได้แต่งงานกัน แต่แล้วยังไงล่ะ ผู้ชายคนนี้ เขาสามารถไม่แตะต้องผู้หญิงคนไหนเลย ในช่วงที่ฉันหายตัวไปเป็นเวลาสี่ปี และดื่มเหล้าจนอ้วกเป็นเลือดทุกวันเพราะฉัน ยอมใช้เงินมหาศาลเพียงเพราะคำพูดคำเดียวของฉัน และวันนี้ยอมฝืนใจตัวเองมาหาพวกเธอ เพียงเพราะต้องการให้ฉันยิ้ม ยิ่งกว่านั้นเขายังสามารถสละชีวิตเพื่อฉันได้……ฉันอยากจะถามหน่อย พวกเธอคิดว่าความรู้สึกนี้มันเทียบกับสามีพวกเธอไม่ได้หรือเทียบกับคู่รักพวกเธอไม่ได้กัน? และเพราะเหตุผลบางอย่าง ตอนนี้เขาถึงยังให้สถานะกับฉันไม่ได้ แต่ แล้วยังไงล่ะ? พวกเธอมีสิทธิอะไรมาว่าพวกเรา?”

พูดถึงตรงนี้ เธอก็สูดหายใจเข้า หันไปมองอาหลีอีกรอบ “นายคิดว่าหลายปีมานี้ที่นายตามหาฉัน คือนายรักฉันเหรอ? ถ้านายรักฉัน นายไม่มีวันพูดเรื่องแบบนี้ในสถานการณ์ตอนนี้แน่ แต่งให้นาย? เหอะๆ ฉันจะบอกให้นะ ถึงฉันจะต้องอยู่กับเขาแบบไม่มีสถานะไปทั้งชีวิต ฉันก็ไม่มีวันสนใจนาย เพราะ เขาเหนือกว่านายร้อยเท่า พันเท่า”

พูดจบ หันหลังไปจับมือหนิงเส่าเฉิน “เส่าเฉิน ไปกันเถอะ”

ท่าทางที่เธอแสดงออกมาทำให้คนที่อยู่ในสถานการณ์นั้นเงียบไปทันที

ทั้งสองจับมือกัน เดินลงจากภูเขา เมื่อเดินมาถึงตรงหน้าของซู่ซู่ เย่หลินมองเธอ “ซู่ซู่ สภาพอากาศแบบนี้ ฉันขอแนะนำให้เธอลงจากเขาเร็วๆ”

คนอื่นๆ เธอไม่แม้แต่จะมอง

แต่ เธอคิดไม่ถึงว่า นี่จะเป็นการพบกันครั้งสุดท้ายระหว่างเธอกับอาหลี

เธอรับสาย “ฮัลโหล ซู่ซู่……อืม อยู่บ้าน ปีนเขาหิมะ? มีเพื่อนไปกันกี่คน?เรื่องนี้……ไม่ไปได้ไหม? อ๋า……โอเค เธอรอเดี๋ยว ฉันลองถามดูก่อน……”

เธอเอามือบังโทรศัพท์ไว้ ถามหนิงเส่าเฉินเสียงเบา “เส่าเฉิน พวก……พวกเพื่อนๆของฉัน จะนัดพวกเราสองคนไปปีนเขาหิมะ คุณ……ว่าไปดีไหม?”

หนิงเส่าเฉินพับหนังสือ เหมือนว่ากำลังคิดอะไรอยู่ “คุณตัดสินใจเองเลย ผมให้ความร่วมมืออยู่แล้ว” คิดสักพัก ก็พูดขึ้นว่า“ไปสิ!”

แม้ว่า เขาจะไม่ชอบโอกาสแบบนี้มากนัก เมื่อวานก็เห็นได้ชัด ว่าเพื่อนร่วมชั้นเหล่านั้นคงรู้จักตัวตนที่แท้จริงของเย่หลินกับเขาแล้ว วันนี้ที่ไป ก็คงไม่มีอะไรมากไปกว่าการประจบหรือตีสนิท แต่ รอยยิ้มที่เย่หลินมีให้กับมื้ออาหารค่ำเมื่อวาน มันคือสิ่งที่เขาเห็นได้ยาก

ปีนี้ที่กลับมาเมืองc หนิงเส่าเฉินพบว่า ในชีวิตเธอนอกจากลูกๆ และงานก็มีแต่เขา ถึงแม้เธอจะพูดตลอดว่าตัวเองมีความสุข แต่ เสียงหัวเราะแบบเมื่อวานเขากลับไม่เคยเห็นมาก่อนเลย

คนพวกนั้น เย่อหยิ่งเกินไป แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า พวกเขาสามารถนำความสุขมาให้เย่หลินได้

เย่หลินประหลาดใจเล็กน้อย จากความเข้าใจที่เธอมีต่อหนิงเส่าเฉิน เขาไม่ใช่คนที่ชอบเข้าร่วมการพบปะแบบนี้อย่างแน่นอน

เธอนั่งลงข้างหนิงเส่าเฉิน “ไม่ไปดีกว่า คุณคงไม่มีความสุขแน่ๆ”เธอสามารถจินตนาการออกเลยว่าจะเกิดอะไรขึ้น

“อืม ตอบกลับก่อนสิ”

เย่หลินถึงได้รับสาย ซู่ซู่ยังรอสายจากเธออยู่ เธอเอามือออก “ฮัลโหล ซู่ซู่ ถ้าอย่างนั้นเธอส่งที่อยู่กับเวลามาให้ฉัน เดี๋ยวพวกฉันไป อืม โอเค”

วางสายจากซู่ซู่ เย่หลินจับแขนของหนิงเส่าเฉิน พิงไหล่ของเขา “เส่าเฉิน คุณไม่ต้องดีกับฉันขนาดนี้ได้ไหม?”

หนิงเส่าเฉินตบมือเธอ “ไปเตรียมตัวเถอะ พวกเราต้องไปแล้ว เดี๋ยวจะทำให้เพื่อนคุณรอ มันไม่ดี”

ที่ที่ซู่ซู่บอก เป็นภูเขาที่มีชื่อเสียงภายในประเทศ ในฤดูหนาว ภูเขาแห่งนี้มีสีที่สวยมาก น้ำแข็งยาวหลายพันไมล์ มีหิมะโปรยปรายในระยะทางหลายหมื่นไมล์ ทั้งภูเขาถูกปกคลุมไปด้วยสีเงิน สวยงามมาก

เย่หลินมองดูทิวทัศน์ตรงหน้า อดไม่ได้ที่จะหลงไปกับมัน ที่แห่งนี้ เธอเคยมาที่นี่หลายครั้งแล้ว แต่ในฤดูหนาว นี่เป็นครั้งแรก

กลัวถนนบนภูเขาลื่น จึงใช้เวลานานกว่าจะถึงที่ที่ซู่ซู่บอก เมื่อพวกเขามาถึง ก็เห็นคนหลายสิบคนรออยู่ที่นั่นแล้ว

นอกจากคนเมื่อวานแล้ว คนอื่นๆ เย่หลินก็ไม่ค่อยรู้จัก ชายๆหญิงๆ เปลี่ยนแปลงไปไม่ใช่น้อยๆเลย

“เย่หลิน……หนิง……หนิงเส่า พวกคุณมาแล้ว?”ซู่ซู่นับว่าเป็นคนที่สนิทกับพวกเขาอยู่บ้าง ดังนั้น พอพวกเขามาถึง ซู่ซู่ก็ถูกผลักให้มาต้อนรับ

เย่หลินพยักหน้า “ซู่ซู่”

คนอื่นๆ ยืนห่างออกไป เห็นได้ชัดว่า ต่อหน้าหนิงเส่าเฉิน ทุกคนยังคงเกร็งเล็กน้อย รู้สึกว่า ทำอะไรไม่ถูก

เวลานี้ มีเสียงรถดังขึ้นทางด้านหลัง

เย่หลินหันกลับไป เห็นรถเบนซ์คันหนึ่งจอดอยู่ห่างจากพวกเขาไม่กี่ก้าว จากนั้นชายคนหนึ่งก็เดินลงจากรถ เย่หลินหันไปมองซู่ซู่ “นี่คือ?” เพื่อนร่วมชั้นในความทรงจำของเธอดูเหมือนว่าจะไม่มีคนคนนี้

ก่อนที่ซู่ซู่จะตอบคำถามของเธอ ผู้ชายคนนั้นรีบก้าวเดินแทบจะพุ่งเข้าไปหาเย่หลิน แล้วกอดเธอไว้ในอ้อมแขน ความเร็วและการเคลื่อนไหวนั้นรวดเร็วมาก จนทำให้ทุกคนที่อยู่ในสถานการณ์ตอบสนองแทบจะไม่ทัน รวมทั้งหนิงเส่าเฉินเองก็ด้วย

ณ ตอนนี้เห็นผู้หญิงของตัวเองถูกผู้ชายคนอื่นกอดไว้ สีหน้านั้นมืดมนจนน่ากลัว

ซู่ซู่รีบเข้าไปดึงผู้ชายคนนั้นออก “อาหลี รีบปล่อยเร็ว นายทำเย่หลินตกใจแล้ว”

ผู้ชายที่ชื่ออาหลีได้ยินคำพูดนี้ ก็รีบปล่อยเย่หลิน สองมือวางไว้ที่ไหล่ของเธอ “เย่หลิน หลายปีมานี้ คุณไปไหนมา ทำไมถึงไม่มีข่าวคราวของคุณเลย?”เขาตื่นเต้น เขาดีใจ แต่ที่เย่หลินรู้สึกได้กลับมีแต่ความตกใจ

เธอหันไปมองหนิงเส่าเฉินโดยอัตโนมัติ เดาไม่ผิด สีหน้าของชายคนนี้ไม่สามารถใช้คำว่าแย่มาบรรยายได้แล้ว

รีบยกมือขึ้น ปัดมือคู่นั้นของเขาออก ขยับไปทางขวาสองสามก้าว จับแขนของหนิงเส่าเฉินไว้ เงยหน้า มองอาหลีแล้วพูดว่า “อาหลี นายเปลี่ยนไปมาก เมื่อกี้จำไม่ได้เลย” เธอพูดขึ้นเพื่อทำลายความอึดอัด

จากนั้น ก็ยกมือขึ้นช้าๆ ชี้ไปที่หนิงเส่าเฉิน “แนะนำให้นายรู้จัก นี่คือ……พ่อของลูกฉัน หนิงเส่าเฉิน”

เดิมทีเธอคิดว่าเมื่ออาลีได้ยินชื่อหนิงเส่าเฉิน และรู้ตัวตนของหนิงเส่าเฉิน เขาจะรู้ตัวแล้วก็ถอยออกห่างไปเอง

แต่คาดไม่ถึงว่า เขาแค่ยกยิ้มมุมปาก ไม่ทักทายเลยด้วยซ้ำ แล้วมองไปที่ซู่ซู่พูดว่า “ซู่ซู่ หิมะตกหนักขนาดนี้ ยังจะมาปีนภูเขาหิมะอะไรอีก? เธอไม่คิดเลยเหรอ ว่าคนสูงส่งอย่างประธานหนิง จะไม่สามารถเสี่ยงอันตรายแบบนี้ได้?”

ซู่ซู่รู้สึกลำบากใจขึ้นมา

เย่หลินไม่ได้พูดอะไร แต่แค่ยิ้มให้หนิงเส่าเฉิน คนนอกคงคิดว่าคนใหญ่คนโตอย่างหนิงเส่าเฉิน มีเสื้อผ้ามาให้แค่ต้องยื่นมือ มีข้าวมาป้อนแค่ต้องอ้าปาก แต่เธอก็รู้ดี ว่าคนพวกนั้นคิดผิด

“ถ้าอย่างนั้นพวกเราลองมาแข่งกันไหม? ดูซิ ว่าใครจะปีนไปถึงที่ตรงนั้นได้ก่อน?” ซู่ซู่ชี้ไปยังตำแหน่งของศาลาที่อยู่เหนือศีรษะ

เย่หลินมองหนิงเส่าเฉิน เขาพยักหน้าเบาๆ ถือว่าตกลงแล้ว

ทุกคนจึงปรึกษากัน เพื่อให้ระหว่างทางมีคนดูแล ทุกคนจึงแบ่งกลุ่มออกเป็นสองคนหนึ่งกลุ่ม

แน่นอนเย่หลินอยู่กลุ่มเดียวกับหนิงเส่าเฉิน

แม้ว่าตอนนี้จะไม่ได้มีหิมะตกหนัก แต่ ใต้เท้าก็เต็มไปด้วยหิมะ ลื่นมาก เย่หลินกังวลว่าหนิงเส่าเฉินจะไม่ชิน ยังไงซะ เธอก็เป็นเด็กที่โตมากับที่นี่ เมื่อตอนเด็กๆ ก็ปีนเขาในฤดูหนาวบ่อยๆ ถึงแม้จะเทียบกันไม่ได้ แต่ ก็ยังคุ้นเคยมากกว่า

แต่ หนิงเส่าเฉินโตมากับทางใต้ ไม่ต้องพูดถึงภูเขาหิมะหรอก คาดว่าแค่หิมะตกหนักก็เคยเห็นแค่ไม่กี่ครั้ง

แต่ว่า……เมื่อหนิงเส่าเฉินจับมือเธอและเดินนำอยู่ข้างหน้าเธอ เธอก็รู้แล้วว่าตัวเองประเมินชายคนนี้ต่ำไป

ปีนมาได้ครึ่งทาง ท้องฟ้าเริ่มมีหิมะตก และมีแนวโน้มว่าจะหนักขึ้นเรื่อยๆ เย่หลินขมวดคิ้ว ดึงแขนเสื้อของหนิงเส่าเฉิน “เส่าเฉิน หรือเราจะล้มเลิก หิมะตกหนักขนาดนี้ ฉันกลัวว่า……”

หนิงเส่าเฉินเงยหน้าขึ้น ตอนนี้พวกเขาอยู่ในอันดับที่สอง ที่อยู่ข้างหน้าพวกเขาคือคู่สามีภรรยาคู่หนึ่ง มองออกเลยว่ามีประสบการณ์มาก และคนที่อยู่ข้างหลังพวกเขาคืออาหลีและซู่ซู่ “ อืม เราปีนขึ้นไปรอที่ตำแหน่งด้านหน้านั้นสักพัก ถ้าหิมะยังตกอยู่ เราก็ล้มเลิก คุณคิดว่าไง?”

เย่หลินเงยหน้ามองตามทิศทางที่มือของเขาชี้ ดูเหมือนไม่ค่อยไกล ระยะทางประมาณสิบกว่าเมตร

พยักหน้า จับมือใหญ่ของหนิงเส่าเฉินอีกครั้ง ในใจกลับกังวลเป็นอย่างมาก

วินาทีนี้ พวกเขารู้สึกว่าก่อนหน้านี้เหมือนตัวเองเป็นตัวตลก

และเป็นซู่ซู่ที่ได้สติขึ้นมาก่อน

ดึงเย่หลินมา กลืนน้ำลายแล้วถามว่า“เย่หลิน สะ……สรุปว่าสามีเธอทำงานอะไรน่ะ? ถึงขนาดซื้อร้านอาหารขนาดใหญ่แบบนี้ให้เธอเป็นของขวัญ?”

ร้านอาหารแบบนี้ ในเมืองs ถือเป็นร้านชั้นยอด ยังไม่ต้องพูดถึงว่าราคาเท่าไหร่ แต่ถ้าไม่มีเบื้องหลังที่ใหญ่โต ถึงมีเงินก็คงไม่สามารถซื้อได้

เย่หลินคิดๆแล้ว ให้โกหกต่อไปก็คงจะเกินไปหน่อย

ลุกเข้าไปใกล้ทั้งสามคน “ขอโทษจริงๆนะ ฉัน……เมื่อกี้ฉันแค่กลัวว่าพวกเธอจะเกร็ง ก็เลยปิดบังตัวตนของเขาน่ะ เขา ชื่อหนิงเส่าเฉิน เป็นประธานบริษัทหนิงกรุ๊ป พวกเธอ……คงเคยได้ยินใช่ไหม?”

ตาของซู่ซู่เบิกกว้าง รีบหยิบมือถือขึ้นมา เข้าไปค้นหาในไป่ตู้ มองรูปในมือถือ แล้วหันไปมองหนิงเส่าเฉิน ยิ้มเม้มปาก “เย่หลิน……เธอ……สามีเธอคือ……คือหนิงเส่าเฉินคนนั้นเหรอ? คนที่ถูกเรียกว่าเป็นสามีแห่งชาติเมื่อตอนนั้น?”

เย่หลินไม่รู้เรื่องสามีแห่งชาติอะไรนั่นหรอก แต่ เธอรู้ว่าคนที่สามารถทำให้คนอื่นตกใจที่รู้ตัวตนของเขามีแค่คนเดียว หนิงเส่าเฉิน

เธอพยักหน้า ใช้ข้อศอกสะกิดหนิงเส่าเฉิน “คือ หนิงเส่าเฉิน นี่เป็นเพื่อนสมัยมัธยมของฉัน”

หนิงเส่าเฉินมองไปที่พวกเธอ พยักหน้า ยิ้มบางๆที่มุมปาก

ลุกขึ้น โอบเอวเย่หลิน “คุณภรรยา พวกเราควรกลับได้แล้วนะ เดี๋ยวลูกชายกับลูกสาวจะตามหาเราเอา”

ใจเย่หลินกระตุกไปหนึ่งที คุณภรรยา? คำนี้……หนิงเส่าเฉินเรียกเธอเป็นครั้งแรก

พอคิดได้ก็ลุกขึ้น “จริงด้วย พวกเธอนั่งกินกันอีกสักพักนะ เดี๋ยววันนี้ถือว่าฉันเลี้ยงก็แล้วกัน ลูกชายกับลูกสาวฉันยังรออยู่ที่บ้าน กลัวว่ากลับดึกๆพวกเขาจะตามหาฉัน ขอโทษทีนะ!”

“เย่หลิน เธอมีลูกสองคนแล้วเหรอ?”ผู้หญิงที่ใส่แว่นสำรวจเย่หลิน“ดูไม่ออกเลยจริงๆ เธอยังดูเป็นสาวๆอยู่เลย”

เย่หลินหยิบกระเป๋า นิ่งไปสักพัก ก็ยิ้ม “ใช่ ลูกสองคนแล้ว”

พูดจบ ก็พยักหน้าให้พวกเธอ “ถ้ามีเวลาไว้ค่อยเจอกันใหม่นะ ไปก่อนล่ะ”

หนิงเส่าเฉินก็พยักหน้าให้พวกเธอเล็กน้อย แล้วโอบเอวเย่หลินเดินออกไป

ชายวัยกลางคนเดินตามหลังพวกเขาสองคนไป “ประธานหนิง คุณนาย เดินทางดีๆนะครับ”

เย่หลินมองหนิงเส่าเฉิน “ทำไมคุณถึงซื้อร้านอาหารตามใจแบบนี้ล่ะ คุณ……หนิงเส่าเฉิน ครั้งที่แล้วก็เคยบอกแล้วไม่ใช่เหรอ? เรื่องใหญ่ขนาดนี้ อย่างน้อยคุณก็ปรึกษาฉันก่อนสิ!”

หลังจากพูดจบก็หยิกที่เอวเขา

หนิงเส่าเฉินจับมือเธอไว้ จูงมือเธอ “ก็คุณสนใจแต่เรื่องของกิน อีกอย่าง เมืองsก็เป็นที่ที่คุณโตมาตั้งแต่เด็ก ผมคิดว่ามันต้องมีความหมายพิเศษกับคุณ ดังนั้น ถึงแพงแค่ไหนก็จะซื้อ แต่ว่า ที่แห่งนี้ ผมให้หลิวซูตรวจสอบดูแล้ว มีชื่อเสียงดี ธุรกิจก็ไปได้ดี แบบนี้ ก็สามารถเอาใจคุณและสร้างรายได้ไปด้วย ได้ประโยชน์ทั้งสองทาง คุณว่ามันไม่ดีตรงไหน?”

“คุณก็แค่หาข้ออ้าง เราตกลงกันแล้ว เรื่องทุกอย่างที่เกี่ยวกับบ้านขึ้นอยู่กับฉัน นี่คุณกำลังละเมิดกฎของครอบครัวนะ”

“ผมผิดไปแล้ว แล้วแต่คุณจะลงโทษเลย”

ทั้งสองเถียงกันตลอดทางเดินลงบันได

และผู้หญิงพวกนั้น เพิ่งจะได้สติจากอาการตกใจ

“พระเจ้า คาดไม่ถึงว่าเย่หลินจะแต่งงานกับชายในตำนานคนนั้น ”

“จริงด้วย อีกอย่าง ดูผู้ชายคนนั้นสิ เหมือนจะดีกับเธอด้วยนะ”

“อะไรคือเหมือนจะดี นั่นมันตามใจเธอชัดๆเลยโอเคไหม? เธอไม่เห็นเหรอ สายตาที่เขามองเธอ จึ๊จึ๊……เธอว่าเทียบกับเย่หลินแล้ว เรื่องเมื่อกี้ของพวกเราก็กลายเป็นเรื่องตลกไปเลยสิ?”

ผู้หญิงพวกนั้นพยักหน้าพร้อมกัน

หลังจากที่ทั้งสองคนมาถึงชั้นล่าง หิมะข้างนอกก็ไม่รู้ว่าเริ่มตกอีกครั้งตั้งแต่เมื่อไหร่

“เส่าเฉิน หิมะตกอีกแล้ว”เธอดึงเขาวิ่งเข้าไปในหิมะ

หนิงเส่าเฉินกอดเอวเธอไว้ “คุณช้าหน่อย”

ทั้งสองมองหน้ากันแล้วยิ้ม ใบหน้าของหนิงเส่าเฉินก็นิ่งลง จับแก้มของเย่หลินแล้วพูดอย่างเคร่งขรึมว่า “เย่หลิน ผมส่งคนไปตามหาเธอแล้ว ถ้าในปีหน้ายังไม่มีข่าวคราวเธออีก ผมจะฟ้องหย่า และให้ความยุติธรรมแก่คุณ”

เย่หลินเม้มปาก “ไม่เป็นไรหรอก คุณพูดเรื่องพวกนี้ทำไม?”

เดินไปได้สักพัก ผู้ชายก็เอ่ยขึ้นทันที “เด็กอ้วนอะไรนั่นในชั้นเรียนคุณ ที่ให้รางวัลหนึ่งแสนเพื่อตามหาคุณ แล้วยังผู้ชายห้องข้างๆพวกนั้นอีก เย่หลิน ทำไมผมไม่รู้ ว่าที่แท้ดอกท้อของคุณจะบานสะพรั่งขนาดนี้?”

เย่หลินมองหนิงเส่าเฉิน ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม ยากที่จะได้ยินหนิงเส่าเฉินพูดคำพูดแบบนี้

ที่แท้ เมื่อกี้เขาได้ยิน คิดถึงตรงนี้ เธอก็เขย่งเท้าจุ๊บที่ปากหนิงเส่าเฉิน แล้วผละออก “คุณดูสถานการณ์วันนี้ของคุณสิ คาดว่าต่อไปคนอื่นคงไม่กล้าติดต่อฉันแล้วล่ะ?”

ชายคว้าแขนของหญิงสาวไว้ “ฟังจากน้ำเสียงแล้ว นี่คุณยังรู้สึกเสียดายเหรอ?”

เย่หลินส่ายหน้า “ไม่เสียดาย!”แต่ภายในใจของเธอกลับดีใจมาก

คนที่สูงส่งอย่างหนิงเส่าเฉิน คืนนี้กลับเสียเวลาหลายชั่วโมง เพื่อมาร่วมแสดงละครแบบนี้กับเธอ

เขาเข้าใจเธอ ถึงได้ถ่อมตัวเป็นเพื่อนเธอตั้งแต่แรก เขาเข้าใจเธอ ถึงได้ร่วมแสดงละครกับเธอ

เธอเชื่อว่า ถ้าไม่ใช่เพราะเห็นเธอถูกคนพวกนั้นดูหมิ่น คิดว่า เขาคงจะไม่ใช้วิธีแบบนี้ โต้กลับคนพวกนั้นในวินาทีสุดท้าย

เธอรู้สึกได้ ถึงการตามใจของผู้ชายคนนี้ การปกป้องดูแลของชายคนนี้ และยังมีความเคารพอีก

มีสามีแบบนี้ ผู้หญิงยังจะขออะไรอีก!

ความรู้สึกรักในใจ เพิ่มขึ้นอีกขั้นเพราะเหตุนี้

หลังจากกลับไป หนิงเส่าเฉินบอกเรื่องที่เย่หลินคือเด็กผู้หญิงคนนั้นกับหลิวซู บ้านก็ระเบิดขึ้นมาสักพัก

หนิงเชี่ยนกอดเย่หลินไว้ “พี่สะใภ้ คุณเป็นนางฟ้าของที่ชายฉันจริงๆ ถึงว่า หลังจากที่พี่เจอคุณ ก็ไม่มีอาการนอนไม่หลับเลย เขาต้องได้รับความรู้สึกปลอดภัยจากคุณแน่ๆ”

เย่หลินก้มหน้า รู้สึกเขินอายนิดๆ

วันถัดมา วันสิ้นปี ที่จริงเย่หลินอยากพาทุกคนไปเดินตลาด แต่ ไม่รู้ว่าหนิงเชี่ยนไปกินอะไรผิดมา ท้องเสีย จึงต้องเปลี่ยนไปเป็นวันพรุ่งนี้

เย่หลินสวมชุดนอน นอนดูละครอยู่ในอ้อมกอดของหนิงเส่าเฉิน ขณะที่หนิงเส่าเฉินนั้นกำลังอ่านหนังสือ

เย่หลินพบว่า หนิงเส่าเฉินไปไหนก็จะพกหนังสือไปด้วยสองสามเล่ม เขามีเวลาว่างเมื่อไหร่ ถ้าไม่อยู่กับเธอและลูกๆ หรือออกกำลังกาย ก็มีแต่จะอ่านหนังสือ

แต่ก็ว่าไม่ได้ เพราะเบื้องหลังของทุกความสำเร็จ ต้องมีความเสียสละที่คนอื่นมองไม่เห็นอยู่แล้ว

เขาอายุแค่นี้ ก็มีความรู้ขนาดนี้ สามารถสร้างอาณาจักรธุรกิจที่ใหญ่ขนาดนี้ได้ เย่หลินรู้สึกว่า มันต้องไม่ใช่เรื่องบังเอิญแน่นอน

ในสายตาของเธอจึงอดที่จะชื่นชมผู้ชายคนนี้เพิ่มขึ้นไม่ได้

“แม่ครับ โทรศัพท์ของแม่ดัง”หนิงเสี่ยวซีหยิบมือถือของเย่หลินมาจากโต๊ะอาหาร ส่งให้เธอ

มองชื่อที่ถูกบันทึกไว้ ซู่ซู่? เย่หลินขมวดคิ้ว

อย่างไรก็ตาม เธอไม่ได้ตั้งใจจะโกหกพวกเขา

เธอแค่กลัวว่า รูปร่างหน้าตาของหนิงเส่าเฉินและฐานะภูมิหลังของเขา พูดออกมา แล้วกลัวว่าพวกเขาจะกินข้าวมื้อนี้ไม่ลง

ณ ตอนนี้ เธอเข้าใจแล้ว ว่านี่ไม่ใช่การพบปะกัน แต่เห็นได้ชัดว่าเป็นการโอ้อวด อวดสามี อวดความมั่งคั่ง

เพราะไม่ได้เจอหน้ากันนานหลายปี เธอกับพวกเขาก็ไม่ได้เข้าใจกันขนาดนั้น ดังนั้น ถ้าบอกตัวตนของหนิงเส่าเฉินออกไปตอนนี้ รู้สึกว่ามันเป็นการโอ้อวดเกินไป คิดแล้ว ก็พูดคำโกหกที่ปรารถนาดีออกไปจะดีกว่า

สุดท้ายแล้วถ่อมตนในเวลาแบบนี้ก็ไม่ได้ผิดอะไร

เธอต้องการถ่อมตน แต่คนอื่นกลับไม่คิดแบบนั้น

“อ๋อ ธุรกิจเล็กๆเหรอ? ฮ่าฮ่า เย่หลิน เด็กอ้วนที่นั่งโต๊ะหลังเธอตอนนั้น เธอยังจำได้ไหม?”ผู้หญิงอวบคนนั้นพูดถามขึ้น

เย่หลินขมวดคิ้ว หรี่ตา จำได้ว่ามีคนแบบนี้อยู่ จึงพยักหน้า “อื้ม ที่พ่อเขาเป็นครูใหญ่ของโรงเรียนเราคนนั้นเหรอ?”ที่จริงเธออยากจะพูดว่า คนที่รังแกเธอบ่อยๆคนนั้นเหรอ?

“ใช่ เขานั่นแหละ เธอรู้ไหม? ปีที่แล้ว ตอนที่เพื่อนร่วมชั้นมารวมตัวกันอีกครั้ง เขาเสนอรางวัลหนึ่งแสน ให้เพื่อนคนไหนที่สามารถบอกข้อมูลติดต่อของเธอได้ เขาก็จะให้หนึ่งแสนกับคนนั้น”ในตอนนั้น ก็ถามในกลุ่มอยู่ช่วงหนึ่ง

ตอนนั้นเย่หลินก็รีบไป ไม่ได้พูดอธิบายอะไรเลย ทุกคนก็วุ่นวายกันพักหนึ่ง หลังจากนั้นถึงได้เงียบลงไป

เย่หลินนิ่งไปเล็กน้อย คีบชิ้นปลานำเข้าปากอย่างช้าๆ “เขาตามหาฉันทำไม?”

“เขาแอบชอบเธอมาหลายปีแล้ว เธอนี่ความรู้สึกช้าจริงๆ ตอนนั้น ผู้ชายห้องเรา แล้วก็พวกผู้ชายที่อยู่ห้องข้างๆ ยืนอยู่หน้าประตูห้องเราทุกวัน เธอคิดว่าพวกเขาว่างเหรอ? พวกเขามาส่องเธอนั่นแหละ ”เพื่อนร่วมโต๊ะคนนั้นพูดเป็นต่อยหอย ส่วนเย่หลินก็กลืนน้ำลายไม่หยุด

เมื่อพูดถึงเรื่องพวกนี้ ทำไมเธอถึงไม่รู้ว่าเด็กโต๊ะข้างหลังแอบชอบเธอมาหลายปีแล้ว? เขามักจะรังแกเธอบ่อยๆ? แล้วห้องข้างๆอีก? คนไหนบ้าง?

เธอสูดหายใจเข้า “เหอะๆ เรื่องพวกนี้ก็ผ่านไปแล้ว พูดขึ้นทำไม?”

“นั่นสิ สามีเขานั่งอยู่นี่ เธอพูดเรื่องพวกนี้ทำไม?”ถึงแม้ซู่ซู่จะไม่เห็นสีหน้าของหนิงเส่าเฉิน แต่พอคิดๆดูแล้ว ผู้ชายคนไหนอยากฟังเรื่องแบบนี้กัน? จึงอดพูดขึ้นมาไม่ได้

“ฉันก็แค่หาเรื่องคุยไปเรื่อย เย่หลิน เด็กอ้วนคนนั้น ตอนนี้ไม่อ้วนแล้วนะ หน้าตาหล่อมากเลย อีกอย่าง เห็นบอกว่าบริษัทที่กำลังทำจะเข้าสู่ตลาด เธอว่า ถ้าตอนนั้นเธอ……”

“เธอเป็นอะไรเนี่ย? บอกว่าไม่ให้พูด ทำไมเธอยังพูดอยู่อีก?”เห็นได้ชัดว่าซู่ซู่ทนฟังต่อไม่ไหว ก็ชนไหล่ผู้หญิงคนนั้นไปที

“ซู่ซู่ เธอจะกังวลอะไร? เย่หลินเขายังยิ้มอยู่เลย เธอจะตื่นตัวไปทำไม? หรือเพราะเด็กอ้วนคนนั้นไม่ชอบเธอ ถึงได้แค้นเขาอยู่?”พูดไปก็หัวเราะไป

เย่หลินขมวดคิ้วแน่นขึ้นเรื่อยๆ อดไม่ได้ที่จะหันศีรษะ สงสัยว่าทำไมหนิงเส่าเฉินถึงไม่มีปฏิกิริยากับเรื่องพวกนี้เลย ถึงได้เห็นว่า เขาใส่หูฟังตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ มองดูโทรศัพท์ในมือของเขา เหมือนกำลังฟังการบรรยายอะไรสักอย่าง ก็อดที่จะถอนหายใจไม่ได้ โชคดี ที่เขาไม่ได้ยิน

รีบพูดขึ้นยิ้มๆ “เอาล่ะ พวกเราไม่พูดเรื่องพวกนี้แล้วดีกว่า มันผ่านไปแล้ว”

จากนั้น ทุกคนก็พูดถึงเรื่องสมัยเป็นนักเรียนกัน กลับทำให้เย่หลินรู้สึกเจ็บปวด เธอเพิ่งมาเข้าใจ ที่จริงตอนนั้น ไม่ใช่ว่าเธอไม่มีเพื่อนที่ดี แต่เป็นเพราะไม่มีใครทนได้ที่ตัวเองต้องรู้สึกเหมือนเป็นแค่ตัวประกอบของเธอ ถึงได้ค่อยๆออกห่าง

เมื่อรู้ความจริงเรื่องนี้ ก็ทำเธอหัวเราะไม่ได้​ร้องไห้ไม่ออก

จากนั้น ก็พูดเรื่องตลกๆสมัยเรียน เธอหัวเราะจนน้ำตาไหลออกมาเลย

ในระหว่างนี้ ไม่มีการเปรียบเทียบ ไม่มีความทะนงตัว มีแต่ความสุข

หลังจากนั้นทุกคนก็แลกช่องทางการติดต่อกัน พวกเขาเพิ่มวีแชตส่วนตัวของเย่หลิน จากนั้นซู่ซู่ก็ดึงเธอเข้ากลุ่มห้อง ซึ่งมีหลายคนอยู่ในนั้น

เด็กอ้วนคนนั้น ให้เขานำเงินหนึ่งแสนมา

คุยไปหัวเราะไป ก็ผ่านไปแล้วหนึ่งชั่วโมง

ระหว่างนั้น ผู้หญิงอวบคนนั้นปากบอกไม่รู้จักอาหารทะเลพวกนั้น แต่เย่หลินก็ไม่เห็นเธอกินน้อยลงเลย ถึงขนาด กินหลายจาน กินหมดก็ให้คนเสิร์ฟมาเพิ่มอีก เห็นว่าอาหารบนโต๊ะกินใกล้จะหมดแล้ว ผู้หญิงอวบคนนั้นก็เรียกพนักงานมา บอกให้เช็คบิล

เย่หลิ่นก้มหน้าลงต่ำไปอีก เธอบีบมือใหญ่ของหนิงเส่าเฉินใต้โต๊ะ

ผู้ชายจึงได้ถอดหูฟัง พอดีกับที่พนักงานพูดว่า“สวัสดีค่ะ คุณผู้หญิง ทั้งหมด70,888 คุณจะรูดบัตรหรือ…… ”

เจ็ดหมื่นกว่า เย่หลินสูดหายใจเข้า นี่มันกินทองชัดๆเลย แต่ในปีนี้ ตามหนิงเส่าเฉิน ก็ถือว่าเธอได้เปิดโลกทัศน์มามาก พูดตามตรง ในค่านิยมของหนิงเส่าเฉิน ที่สั่งอาหารวันนี้ ถือว่าเขาเบามือให้มากแล้ว แม้ว่าเธอจะไม่เห็นด้วยกับทัศนคติในการบริโภคของเขา แต่ หลังจากได้รู้จักเขามากขึ้น เย่หลินก็เลือกที่จะเคารพเขา

ผู้หญิงอวบคนนั้น ก่อนหน้านี้ยังมีสีหน้าพอใจ พอตอนนี้ สีหน้าก็นิ่งลง อ้าปากไว้เล็กน้อย การเปลี่ยนของสีหน้าทั้งก่อนและหลัง อย่าให้พูดถึงเลยว่ามันตลกมากแค่ไหน

เย่หลินค่อนข้างอึดอัด เห็นได้ชัด ว่าตอนนั้นหนิงเส่าเฉินตั้งใจจริงๆ

คิดๆแล้ว ก็ปิดปาก ผลักหนิงเส่าเฉินเบาๆ

หนิงเส่าเฉินถึงได้เงยหน้าขึ้น หันสายตาไปทางเย่หลิน “กินเสร็จแล้วเหรอ?”

มุมปากของเขายังคงมีรอยยิ้มบางๆ ในตามีความอ่อนโยน ขนาดเย่หลินที่เห็นมันทุกวัน ในวินาทีนี้ ก็อดไม่ได้ที่จะมองจนเหม่อ ผู้หญิงพวกนั้น ยิ่งไม่ต้องพูดถึง

พวกเขาคงคิดไม่ถึง ว่าผู้ชายที่นั่งอยู่ข้างเย่หลิน ที่จริงแล้ว จะเป็นเทพบุตรแบบนี้

ยิ่งกว่านั้น รัศมีความรวยที่แผ่ออกมาจากตัวเขา เห็นได้ชัด ว่าไม่ใช่คนที่อยู่ในโลกเดียวกันกับพวกเขา

หลังจากพนักงานคนนั้นเห็นหน้าตาของหนิงเส่าเฉิน ก็ตกใจ จากนั้น ถอยหลังไปสองก้าว วิ่งเข้าไปทางด้านหลังร้าน

ไม่นาน ก็มีชายวัยกลางคนอายุราวๆสี่สิบรีบเดินออกมา “ประธานหนิง คุณมาตั้งแต่เมื่อไหร่ ทำไมถึงไม่บอกกล่าวเลย พวกผมจะได้ไปรับคุณ?”

ทุกคนตกตะลึงไปเลย รวมถึงเย่หลินด้วย

นี่มันสถานการณ์อะไร เห็นได้ชัดว่าผู้ชายคนนี้รู้จักกับหนิงเส่าเฉิน

หนิงเส่าเฉินหรี่ตา หันไปมองเย่หลิน พูดแบบไม่เร่งรีบว่า “ครั้งที่แล้ว คุณบอกว่าอะหารทะเลที่นี่ สดที่สุดที่คุณเคยกินในเมืองs หลังจากกลับไป ผมก็ให้หลิวซูซื้อมันในนามของคุณ ที่จริง ผมเตรียมไว้เป็นของขวัญให้คุณในวันที่บริษัทคุณเปิดกิจการ แต่หลังจากนั้นก็เกิดเรื่องขึ้นกับคุณ ก็เลยลืมไป”

เย่หลินกำมุมเสื้อไว้แน่น กำลังครุ่นคิด เธอรู้สึกว่าต่อไปตัวเองจะไม่กล้าพูดไปเรื่อยอีก ผู้ชายคนนี้ซื้อร้านอาหารใหญ่โตขนาดนี้เพียงเพราะคำพูดของเธอที่พูดไปเรื่อย ในหัวก็ผุดคำคำหนึ่งขึ้นมา เห็นม้าเร็วพระสนมเอกพลันแย้มสรวล และถอนหายใจเป็นล้านๆครั้ง

และอีกสามคนที่นั่งอยู่ ตอนนี้ไม่สามารถใช้คำว่าตกตะลึงมาบรรยายพวกเขาได้แล้ว

เมื่อเห็นว่าเธอพูดถึงขนาดนี้ ก็หาเหตุผลที่จะปฏิเสธไม่ได้

ก็พูดกับหนิงเส่าเฉินว่า “งั้นเราไปนั่งด้วยกันไหม?”

หนิงเส่าเฉินพยักหน้า

จากนั้นทั้งสามก็ไปที่ร้านน้ำชาสไตล์จีนตะวันตกที่อยู่ในเมือง

ตอนเย่หลินพวกเธอมา ให้คนขับรถชั่วคราวที่หนิงเส่าเฉินหามาเป็นคนมาส่ง เพราะพวกเขาไม่รู้ว่าจะกลับเมื่อไร เย่หลินจึงบอกให้พวกเขากลับไปก่อน ในตอนนี้ ถึงได้นั่งรถของซู่ซู่กลับไป

เมืองsเป็นเมืองท่องเที่ยวชื่อดัง ในทุกปีนอกจากจะมีนักท่องเที่ยวภายในประเทศแล้ว ยังมีนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศอีกด้วย ดังนั้น ที่นี่ถึงได้มีร้านอาหารที่ผสมความเป็นจีนและตะวันตกอยู่มาก

และร้านนี้ ครั้งที่แล้วที่มาตามหาเกาไห่ หนิงเส่าเฉินก็เคยพาเธอมาแล้ว ถึงแม้จะเทียบกับเมืองcไม่ได้ แต่ก็ถือว่าหรูหรามาก ที่จำได้ดีเลยคือ อาหารแพงมาก

เมื่อเห็นเย่หลินที่ถูกผู้ชายโอบเอวไว้ ผู้หญิงสามคนที่นั่งอยู่บนที่ ก็มองหน้ากัน แล้วพูดพร้อมกันว่า “เย่หลิน?”

เนื่องจากหนิงเส่าเฉินก้มหน้าลง หลายคนจึงมองไม่เห็นรูปร่างหน้าตาของเขา เมื่อเห็นเขาไม่ได้มีท่าทีว่าจะทักทาย ทุกคนก็หุบปาก

เย่หลินพยักหน้าและยิ้ม เธอควรยิ้มไหม? คนที่ไม่ได้เจอกันมากกว่าสิบปียังสามารถจำเธอได้ทันทีแบบนี้

เมื่อมองย้อนกลับไปยังเหล่าผู้หญิงที่อยู่ข้างหน้าเธอ เธอกลับจำได้แค่เลือนราง ถึงขนาดเรียกชื่อไม่ออกเลยด้วยซ้ำ จึงอดที่จะขมวดคิ้วไม่ได้ รู้สึกเสียใจที่ตามซู่ซู่มาทันที

“นั่งคุยกันก่อน นั่งก่อน” จากนั้นทุกคนก็นั่งล้อมโต๊ะครึ่งวงกลม

หนิงเส่าเฉินนั่งลงข้างเย่หลิน ในตำแหน่งที่อยู่นอกสุด

ตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้ ไม่เงยหน้า หรือพูดอะไรสักคำ

ถ้าไม่ใช่เพราะเย่หลิน เขาไม่มีทางมาที่แบบนี้ นั่งกับ……ผู้หญิงพวกนี้

หลังจากนั้น ทุกคนก็ทักทายกัน และเย่หลินก็ได้รู้ว่า ผู้หญิงที่อยู่ข้างหน้าเธอหลังจากจบมัธยมปลายแล้ว ทุกคนก็ไปเรียนต่อที่มหาวิทยาลัย หลังจากจบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยแล้ว บางคนก็เรียนต่อโท และบางคนก็เริ่มทำธุรกิจของตัวเอง หนึ่งในนั้นเห็นบอกว่าเป็นเจ้าของบริษัทเล็กๆที่หนึ่งแล้ว

เธออดไม่ได้ที่จะรู้สึกอิจฉา ในชีวิตนี้ เรื่องที่เธอไม่ได้เรียนต่อมหาวิทยาลัยถือเป็นเรื่องที่น่าเสียใจเรื่องหนึ่ง

“เย่หลิน ตอนนั้นที่เรียนจบ ฉันได้ยินจากซู่ซู่ว่า พวกเธอย้ายบ้านกันไปทั้งครอบครัว ผลสอบตอนนั้นของเธอดีขนาดนั้น ตอนนี้เธอคงมีชีวิตที่ดีใช่ไหม?”หนึ่งในนั้นผู้หญิงอวบคนหนึ่งพูดขึ้น

เย่หลินทำสีหน้าไม่ถูก เธอควรตอบยังไง? หรือจะให้บอกคนอื่นว่าตัวเองไม่ได้เรียนมหาวิทยาลัย แต่ไปคลอดลูก?

คิดๆแล้ว เธอก็พูดขึ้นว่า “อืม หลังจากนั้น แม่ฉันอาการไม่ค่อยดี พาเธอไปรักษาในเมืองใหญ่ เพราะแบบนั้น ฉันจึงไม่ได้เรียนต่อมหาวิทยาลัย”

พูดจบ เธอก็รู้สึกว่าฝ่ามืออุ่นขึ้น ก้มหน้า ก็เห็นหนิงเส่าเฉินกุมมือเธอไว้ กุมไว้แน่น ทำให้เธอรู้สึกสบายใจขึ้นมาก ถึงแม้จะไม่ได้เรียนมหาวิทยาลัย แต่ เธอก็ถือเป็นคนที่ประสบความสำเร็จในชีวิต เธอชนะใจหนิงเส่าเฉิน

“อ๋อ งั้นคงน่าเสียดาย แล้วตอนนี้ล่ะ ตอนนี้เธอกำลังทำอะไรอยู่?”

เย่หลินกัดปาก ในเวลาแบบนี้ ถ้าพูดถึงเรื่องหนิงเส่าเฉิน หรือเรื่องของบริษัทซีเอกซ์ในตอนนี้ ก็คงจะโอ้อวดเกินไป จึงเปลี่ยนประเด็น“เอ่อคือ เราสั่งอาหารมาก่อนไหม?”

คนที่ถามเธอ คือคนที่เป็นเจ้าของบริษัทเล็กๆคนนั้น เห็นเธอเปลี่ยนประเด็น จึงมองมาด้วยสายตาดูถูก

“โอเค พวกเธอสั่งเลย อาหารมื้อนี้ ฉันเลี้ยงเอง พวกเธอสั่งมาก็พอ”

หนิงเส่าเฉินขมวดคิ้ว ในขณะนั้น พนักงานเสิร์ฟก็เข้ามาพร้อมกับเมนูอาหารพอดี

พนักงานเสิร์ฟเป็นคนต่างประเทศ หนิงเส่าเฉินรับเมนูอาหารมา ยังคงก้มหน้า พูดรายการอาหารจำนวนมากโดยใช้ภาษาอังกฤษ ช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาที่เย่หลินไปอยู่ต่างประเทศ เธอก็ได้ศึกษาเรื่องอาหารมาบ้าง ดังนั้น เธอจึงคุ้นเคยกับชื่ออาหารที่เป็นภาษาอังกฤษ ตอนนี้อาหารที่หนิงเส่าเฉินสั่งถือเป็นอาหารยอดนิยมทั้งหมด

เธอสูดหายใจเข้า อดที่จะกระตุกชายเสื้อของเขาไม่ได้

หนิงเส่าเฉินก็ยังไม่หยุด ยังคงพูดสั่งต่ออีกสองสามรายการ จากนั้นถึงได้ก้มหน้ามามองเย่หลิน “มีแต่ของที่คุณชอบทาน ใช่ไหม?”

เย่หลินพยักหน้าแบบรู้สึกผิด

หันไปมองคนที่บอกว่าจะเลี้ยง “เอ่อคือ พวกเธอลองดูว่ายังอยากกินอะไรอีก มื้อนี้ เดี๋ยวฉันเลี้ยงเอง!”

พูดเล่นหรือไง สั่งอาหารมาเยอะขนาดนี้ ให้คนอื่นเลี้ยง เธอทำไม่ได้หรอก

กินอาหารทะเลชั้นหนึ่งในเมืองs แพงกว่าในเมืองcมาก แค่ค่าขนส่งเหล่านั้นก็ทำให้คนตะลึงตาค้างได้เลย

แล้วหนิงเส่ายังสั่งมาเยอะขนาดนั้นอีก

“ไม่ต้อง เย่หลิน เธอชอบกินอะไร สั่งมาก็พอ วางใจเถอะ เงินแค่นี้ฉันมีปัญญาจ่าย”ผู้หญิงคนนั้นคิดว่าเย่หลินดูถูกเธอ ขณะที่พูด จึงมีอารมณ์เย่อหยิ่งมากขึ้น

เย่หลินอ้าปากต้องการจะพูดอะไรบางอย่าง แต่หนิงเส่าเฉินบีบมือของเธอที่อยู่ใต้โต๊ะไว้ เธอจึงเลือกที่จะหุบปาก

สวดภาวนาในใจเบาๆ อีกเดี๋ยวผู้หญิงคนนี้ ใจแข็งให้ได้แบบนี้ล่ะ

“ซู่ซู่ ได้ยินว่าคู่หมั้นของเธอ บ้านเขาทำวาล์วใช่ไหม?”ผู้หญิงอวบคนนั้นถามซู่ซู่

ซู่ซู่ยักไหล่ “ใช่ หากำไรเล็กน้อย ไม่มีอะไรให้พูดถึงหรอก”

“ไม่ต้อง ฉันได้ยินคนพูดมาแล้ว ว่ามูลค่าผลผลิตต่อปีหลายร้อยล้าน ยังจะบอกว่าหากำไรเล็กน้อยอีก เธอเจียมตัวเกินไปหรือเปล่า?”ผู้หญิงอวบพูดจบ ประเด็นสนทนาก็ไปตกอยู่ที่ผู้หญิงที่ใส่แว่นอยู่ข้างๆ “เธอล่ะ? ได้ยินมาว่าสองสามปีมานี้สามีเธอพัฒนาได้ไม่เลว?”

ผู้หญิงที่สวมแว่นปิดปากของเธอ แล้วพยักหน้า "ใช่ ยังถือว่าโอเค เขาโชคดีน่ะ ในช่วงสองปีที่ผ่านมา เขาซื้อรถยนต์หลายสิบคันเพื่อการขนส่ง และดีกับฉันมาก"

“เฮ้อ ดูเหมือนว่าฉันคงจะแย่ที่สุด สามีฉันอยู่บ้านไม่มีสิทธิในการพูดเลย อยู่บ้านก็ฟังแต่พ่อแม่เขา เฮ้อ……”พูดจบ ก็จิบชาไปสองสามคำ สมัยยังเรียนอยู่ ผู้หญิงคนนี้เป็นเพื่อนร่วมโต๊ะของเธอ

“เธออย่ามาได้ประโยชน์แล้วแสร้งทำเป็นร้องทุกข์ ใครไม่รู้บ้างว่าสามีเธอเป็นลูกคนรวย”

ผู้หญิงเมื่ออยู่ด้วยกัน มักพูดคุยถึงสามีหรือลูกๆ เท่าที่ดูแล้ว พวกเขาน่าจะยังไม่มีลูก เพราะฉะนั้นถึงได้คุยเรื่องผู้ชายเป็นส่วนใหญ่ ไม่ได้มีอะไรมากแค่เทียบกันว่าผู้ชายของใครดีกว่ากัน และบ่นข้อเสียของผู้ชายบ้านตัวเอง

เนื่องจากหนิงเส่าเฉินนั้นไร้ที่ติ เย่หลินจึงนิ่งเงียบตลอดเวลา ฟังพวกเขา ร่วมพูดคุยเป็นครั้งคราวหรือหัวเราะกับพวกเขาบ้าง

รู้สึกเสียใจที่พาหนิงเส่าเฉินมาดูละครที่น่าอึดอัดแบบนี้

อาหารมาเสิร์ฟเร็วมาก หนิงเส่าเฉินสั่งอาหารทะเลเป็นส่วนใหญ่ และเย่หลินก็ดูออกเลยว่าความสดของอาหารทะเลนั้นถือว่าดี ในสถานที่อย่างเมืองs

“โห ดูเหมือนว่าเย่หลินจะไปอาศัยอยู่แถวริมทะเลนะ อาหารนี่ มีแต่อาหารทะเลทั้งนั้น นี่ก็มีหลายอย่างที่พวกเราไม่เคยเห็นมาก่อนเลย”ผู้หญิงอวบคนนั้นมองไปบนโต๊ะอาหาร หนึ่งจานมีอาหารทะเลหนึ่งส่วน รวมๆแล้วมีเป็นสิบจาน แต่ก็มีที่ตัวเองเคยเห็นแค่ไม่กี่อย่าง จึงอดพูดเสียดสีขึ้นมาไม่ได้

เย่หลินกัดปากล่าง “เอ่อ พวกเธอลองชิมดู อร่อยๆทั้งนั้นเลย”พูดไป ก็คีบ‘กุ้งเมา’หนึ่งตัวไปไว้ในถ้วยของหนิงเส่าเฉิน “คุณลองชิมดู รสชาติไม่เลวเลย”

หนิงเส่าเฉินพยักหน้า

“เย่หลิน สามีเธอทำงานอะไรเหรอ? ทำไมถึงเอาแต่ก้มหน้า พูดก็ไม่พูด?”ผู้หญิงอวบคีบหมูหนึ่งชิ้นเข้าปาก พูดขึ้น

เย่หลินนิ่งไปเล็กน้อย เงยหน้ามองเธอ แล้วหันไปมองหนิงเส่าเฉิน เธอกัดปาก “เอ่อ เขา ทำธุระกิจเล็กๆน่ะ ไม่เคยเจอสังคมใหญ่ๆ ดังนั้น เจอผู้หญิงสวยๆแบบพวกเธอแล้ว เขาค่อนข้างอายน่ะ”

พูดจบ ก็ก้มหน้า กลั้นยิ้ม จากนั้น ช่วงเอวก็เหมือนถูกใครบีบเบาๆ

เย่หลินพยักหน้า “ใช่ คุณรู้ได้ยังไง? คูน้ำสายนั้น ไหลมาจากบ่อน้ำแร่ ในน้ำยังมีปลาตัวเล็กมากมาย และแม่ฉันก็ไม่ยอมให้จับ เส่าเฉิน คุณรู้ได้ยังไง?”

ลูกกระเดือกหนิงเส่าเฉินขยับ เขากลืนน้ำลายลงคอ มองเย่หลิน “คุณพาผมไปดูได้ไหม?”

เย่หลินไม่เข้าใจหนิงเส่าเฉิน แต่ก็จับมือเขาไว้ เดินเข้าไปข้างหลังจากตรอกข้างบ้าน

คูน้ำสายนั้น ตอนนี้ได้แข็งตัวกลายเป็นน้ำแข็งแล้ว และรอบๆคูน้ำก็ถูกปกคลุมไปด้วยหิมะสีขาว

“คุณดูสิ คูน้ำสายนี้แหละ เสียดายที่ตอนนี้แข็งไปแล้ว” เธอพูด แล้วก็ก้มไปใช้นิ้วมือกดลง “น้ำแข็งหนาเกินไป คาดว่าคงทำลายได้ยากหน่อย ไม่อย่างนั้นคุณคงจะเห็นว่าใต้น้ำมีปลาตัวเล็กมากมาย”

“เย่หลิน ตอนเด็กคุณคงไม่เคยได้ช่วยเด็กผู้ชายคนหนึ่งที่นี่ใช่ไหม?”

เย่หลินดึงหญ้าที่เหี่ยวขึ้นมา เขียนชื่อเธอกับหนิงเส่าเฉินไว้บนหิมะ เมื่อได้ยินหนิงเส่าเฉินถามเธอ เธอก็ตอบโดยไม่เงยหน้าขึ้น “อืม ดูเหมือนว่าตอนนั้นฉันยังเด็กมาก ฉันจำไม่ค่อยได้เท่าไหร่ จำได้แต่ว่าพี่ชายคนนั้นเหมือนจะได้รับบาดเจ็บ เลยเอาร่มบังฝนให้เขา ต่อมา…ต่อมา ฉันก็จำไม่ได้แล้ว ยังไงก็แล้วแต่ตอนนั้นแม่ตีฉัน โตมาขนาดนี้แล้ว นั่นเป็นครั้งแรกที่แม่ตีฉัน เรื่องนี้ ฉันจำได้แม่น”

เธอพูดจบ ก็เห็นหนิงเส่าเฉินไม่ตอบสนองไปพักหนึ่ง จึงเงยหน้าขึ้นไปดู กลับเห็นว่า ใบหน้าเขามีแต่น้ำตา ก็อดไม่ได้ที่จะตื่นตระหนก มีแต่คนบอกว่าผู้ชายไม่ร้องไห้ง่ายๆ แล้วนี่ยิ่งเป็นหนิงเส่าเฉิน ก็ยิ่งหาได้ยากเข้าไปอีก

“เส่าเฉิน คุณเป็น……”เธอยังพูดไม่ทันจบ ก็ถูกชายที่อยู่ข้างหน้ากอดเธอไว้แน่น สวมเสื้อผ้าที่หนาขนาดนี้ไว้ แต่เย่หลินก็ยังรู้สึกได้ถึงเสียงหัวใจที่เต้นรัวของเขา

“เกิด……อะไรขึ้นหรือเปล่า?”ฉันถามขึ้นอีกครั้ง

หนิงเส่าเฉินหลับตา “หึหึ” เขาว่าแล้ว คนคนหนึ่งจะเปลี่ยนไปมากขนาดนั้นได้ยังไง เด็กที่ใจดีแบบนั้น จะกลายเป็นคนแบบนั้นได้ยังไง?

ที่แท้ ก็ผิดตั้งแต่แรก ผิดมหันต์เลย

แต่ก็ต้องขอบคุณความเมตตาของสวรรค์ ไปๆมาๆ สุดท้ายเธอก็แต่งงานกับเด็กผู้หญิงเมื่อตอนนั้น

“เย่หลิน เด็กผู้ชายที่คุณช่วยไว้ตอนนั้น ก็คือผม”เขาพูดคำเหล่านี้ทีละคำ

เย่หลินผลักเขาออก “หมายความ……ว่ายังไง?”

หนิงเส่าเฉินสูดหายใจเข้า“หมายความว่า พวกเราคิดว่าเกาเหวินเป็นคนช่วยผม แต่ที่จริงแล้ว เย่หลิน เป็นคุณที่ช่วยผมไว้……”พูดจบ เขาก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก และในที่สุดเขาก็ไม่ต้องมีความรู้สึกผิดกับผู้หญิงคนนั้นอีกแล้ว

เย่หลินกลับนิ่งอึ้งไป นี่หรือว่า เธอกับหนิงเส่าเฉินรู้จักกันตั้งแต่สิบปีก่อนแล้ว? นี่ทำให้เธอตกใจจนอึ้งไปเลย

เธอก็เพิ่งจะเข้าใจ ว่าบุญคุณที่เกาเหวินช่วยชีวิตเขาไว้หมายความว่าอะไร? ที่แท้ แม้แต่เรื่องนี้เกาเหวินก็แทนที่เธอ

เพียงแต่……

เธอแทนที่เย่หลินได้ยังไง?

เธอผลักหนิงเส่าเฉินออกเบาๆ “แต่ทำไมตอนนั้น พวกคุณถึงคิดว่าเกาเหวินเป็นคนช่วยคุณไว้?”

หนิงเส่าเฉินขมวดคิ้ว ส่ายหน้า “เรื่องนี้ ก็คงมีแต่แม่ของคุณที่อธิบายได้แล้วล่ะ”

ร่างกายของเย่หลินสั่นอย่างควบคุมไม่ได้ หรือว่า ตั้งแต่วันนั้นแม่ของเธอก็ได้ตัดสินใจที่จะเสียสละเธอแล้ว? หนิงเส่าเฉินกับพ่อหนิงเหมือนกันทุกอย่าง แม่ของเธอคงจำหนิงเส่าเฉินได้ตั้งแต่ตอนนั้น? ถึงได้ให้เกาเหวินแทนที่เธอ เพื่อปูทางให้เกาไห่พี่ชายของเธอมีอนาคตที่ดี?

นี่คือคำอธิบายที่ดีที่สุดที่เธอคิดได้ตอนนี้

แต่พอคิดถึงความเป็นไปได้เรื่องนี้ หัวใจของเธอก็ยิ่งรู้สึกเย็นขึ้น

“คุณคิดว่าเป็นเพราะเรื่องนี้หรือเปล่า ที่ทำให้หลังจากที่คุณเจอกับฉัน คุณถึงได้นอนหลับอย่างสนิท?”

หนิงเส่าเฉินจ้องเธอ มุมปากก็ยิ้ม “เย่หลิน ขอบคุณนะ ที่ทำให้ผมเจอกับคุณอีกครั้ง”

เย่หลินกระแอมเบาๆ มองไปทางอื่นอย่างเขินอาย

“เย่หลิน……”ทันใดนั้นเย่หลินก็ได้ยินว่ามีคนเรียกเธอจากข้างหลัง

เธอหันไปก็เจอกับผู้หญิงคนหนึ่ง สวมเสื้อขนมิงค์สั้นทันสมัย ​​กระโปรงสีดำ รองเท้าบูทยาวถึงหัวเข่า ผมยาวถึงเอว ตรงและดำสนิท

แม้ว่าจะไม่ได้เจอกันหลายปี แต่เย่หลินก็สามารถจำเธอได้อย่างรวดเร็ว “ซู่ซู่?”

“พระเจ้า เป็นเธอจริงๆด้วย เมื่อกี้ฉันมองเธอจากบ้านของฉันอยู่นาน นึกว่าตัวเองตาฝาดไปซะอีก เย่หลิน สิบกว่าปีมานี้ เธอไปไหนมา?”

ซู่ซู่เป็นเพื่อนบ้านของเธอ ถูกแม่ของเธอจับแต่งตัวมาตั้งแต่เด็กๆ ถึงแม้หน้าตาจะธรรมดา แต่แต่งตัวเป็น ตอนเด็กๆจึงมีผู้ชายมาชอบเธอเยอะมาก

ส่วนเธอนั้น ถึงหน้าตาจะดี แต่มีนิสัยเหมือนผู้ชาย กับคนแปลกหน้า ก็จะเย็นชาหน่อยๆ ถึงทำให้พวกเด็กผู้ชายได้แต่มองแต่ไม่มีโอกาสได้เข้าใกล้

แม่ไม่ค่อยชอบเธอ สั่งเธอห้ามเล่นกับซู่ซู่ทุกวัน แต่ทั้งสองคนอายุเท่ากัน แล้วยังอยู่โรงเรียนเดียวกัน ห้องเดียวกันอีก ไม่เล่นด้วยกันก็คงไม่ได้

เย่หลินย้อนกลับไปคิด ถ้าจะถามหาเพื่อนที่ดีในเมืองs ถ้าอย่างนั้นซู่ซู่คงเป็นหนึ่งในนั้นแล้วล่ะ

เพราะฉะนั้นตอนนี้ถึงทำให้เธอรู้สึกตื่นเต้นที่ได้เจอกัน

เธอเหลือบมองหนิงเส่าเฉิน ปล่อยมือของเขา แล้วเดินหน้าขึ้นไปไม่กี่ก้าว ก่อนที่จะหยุดมองซู่ซู่แล้วยิ้ม: "เธอยังไม่เปลี่ยนไปเลย ผมตรงสีดำสนิทนี้เหมือนกับตอนที่เธอยังเป็นเด็ก”

ซู่ซู่จับมือเธอไว้“เธอเปลี่ยนไปนะ สวยขึ้น”พูดไปก็เหลือบไปมองข้างหลัง “เธอแต่งงานแล้วเหรอ? นั่นสามีเธอ?”

เย่หลินสูดหายใจเข้า กัดปากล่างไว้ คิดพักหนึ่ง “อืม พ่อของลูก”

ในเวลานี้ เธอถึงได้ค้นพบว่า เธอไม่สามารถบอกใครๆได้ว่าเธอแต่งงานแล้ว และเธอก็ไม่สามารถยอมรับได้ว่าหนิงเส่าเฉินเป็นสามีของเธอ

เพราะว่า ระหว่างพวกเธอ ยังมีเกาเหวินอีกคน

คิดถึงตรงนี้ ก็ผิดหวังขึ้นมาเล็กน้อย

“นี่เธอมีลูกแล้ว?”ซู่ซู่ปิดปาก พูดขึ้นอย่างตกใจ “ไปๆๆ วันนี้ฉันนัดพวกเขาไว้พอดี เธอไปกับฉันเถอะ ถ้าพวกเขารู้ว่าเธอกลับมา คงจะดีใจจนเป็นบ้าแน่ๆ”

“หืม พวกเขา?”เสียงเย่หลิน

“พวกเขาที่นั่งโต๊ะด้านหน้าและด้านหลังของเธอตอนอยู่ในชั้นเรียนไง จำได้ไหม?”

เย่หลินนึกขึ้นได้ แต่เธอไม่คิดว่าพวกเขาจะดีใจที่ได้พบเธอ ในความความทรงจำของเธอ ความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับคนที่นั่งโต๊ะด้านหน้าและด้านหลังนั้นไม่ค่อยดี พวกเขามักจะแยกออกห่างจากเธอ เพียงเพราะออร่าของเธอแรง

“คือว่า……หรือ ฉันไม่ไปแล้วดีกว่า? พ่อของลูก……”เธออยากเอาหนิงเส่าเฉินมาเป็นข้ออ้าง

แต่…….ไหล่ก็อุ่นขึ้น หนิงเส่าเฉินยืนอยู่ข้างเธอ ก้มศีรษะลง แล้วพูดขึ้นเบาๆว่า “อยากไปก็ไปเถอะ ผมไม่เป็นไร”

พูดจบ ก็ถอดถุงมือ มือเรียวนั้นปัดผมเธอที่ถูกลมพัดเข้าปากไปทัดไว้ที่หู

เดิมทีซู่ซู่มองจากระยะไกล หนิงเส่าเฉินใส่เสื้อสีดำตัวใหญ่ พันผ้าพันคอ และสวมหมวกถักนิตติ้งสีดำแบบเดียวกับเย่หลิน ไม่ได้สะดุดตาขนาดนั้น แต่ตอนนี้ ได้มองใกล้ๆ ใจของเธอก็เต้นแรงดังตึกตักๆเหมือนจะทะลุออกมา

ผู้ชายคนนี้ หล่อมาก หาได้ยากนะเนี่ย!

“คือ คุณผู้ชายคนนี้หากไม่รังเกียจ ก็เชิญไปด้วยกันสิคะ”เธอพบว่าเสียงของตัวเองสั่นเล็กน้อย

สายตาของเย่หลินตกมาที่หนิงเส่าเฉิน ไม่ได้สังเกตเห็นความผิดปกติของซู่ซู่

หนิงเส่าเฉินไม่ตอบเธอ เขากำลังปลดกระดุม เย่หลินคิดๆแล้ว ก็พูดขึ้นว่า “คุณเองก็สืบได้แล้วใช่ไหมว่าสายนั้นโทรออกจากบ้านหลังนี้?”

เย่หลินเห็นมือของหนิงเส่าเฉินนิ่งไป ก็พูดต่อว่า “ฉันคิดว่าน่าจะเป็นน้าทำความสะอาดที่เพิ่งมาใหม่ ที่จริงตอนเย็นอยากจะถามเธอตรงๆ แต่พอคิดดูแล้ว ก็รอคุณกลับมาก่อนดีกว่า”

หนิงเส่าเฉินหันมา ลูบหัวเธอ แล้วก้มหน้ามองดูเธอ “ที่จริง คุณเองก็น่าจะเดาออก ว่าคนที่อยู่เบื้องหลังคือใคร ไม่ใช่เหรอ?”

เย่หลินทิ้งน้ำหนักลงที่เท้าข้างหนึ่ง เตะพื้นเบาๆ ใช่ เรื่องนี้ ที่จริงจะว่าเป็นเรื่องใหญ่ก็ไม่ใช่ เป็นเรื่องเล็กก็ไม่ได้ ถ้ามองในมุมเล็กๆ คนคนนั้นอาจจะแค่อยากหลอกให้เธอตกใจ มองในมุมใหญ่ๆ วันนี้เป็นวันเปิดตัวของบริษัทซีเอกซ์ เธอเชิญผู้คนมามากมายขนาดนั้น แต่ตัวเองกลับไม่ออกงาน ถ้าหากมีคนใช้โอกาสนี้บอกว่าเธอดูถูกทุกคน หลอกทุกคนมางาน ถ้าเป็นแบบนั้นอาจจะมีผลกระทบต่อการพัฒนาของบริษัทซีเอกซ์ในอนาคต

และคนที่ทำเรื่องแบบนี้ได้ นอกจากเกาเหวิน เธอก็นึกไม่ออกแล้วว่าจะมีใครอีก

แต่ว่าหนิงเส่าเฉินบอกว่าเกาเหวินบ้าไปแล้ว

เธอจึงไม่กล้าพูดไปเรื่อย

หนิงเส่าเฉินกอดเธอไว้ “คุณน่ะ ยังคิดว่าผมเป็นคนนอกใช่ไหม?”

เย่หลินส่ายหัว แน่นอนว่าเธอไม่ได้คิดแบบนั้น เพียงแต่ ตอนนั้นเคยรับปากกับพ่อหนิงว่าจะไม่บังคับให้หนิงเส่าเฉินหย่ากับเกาเหวิน

อีกอย่าง เธอก็ไม่อยากเพิ่มความกดดันให้หนิงเส่าเฉินจริงๆ

“เธอไม่ได้บ้า ที่จริงผมรู้มาตลอด แต่ผมต้องการหาหลักฐานเพื่อพิสูจน์ว่าเธอไม่ได้บ้า และมีสติสัมปชัญญะครบถ้วน เดิมที ผมยังคงคิดอยู่เลยว่าจะพิสูจน์ยังไง แต่เธอกลับส่งตัวเองมาซะแล้ว”

เย่หลินดีใจ “คุณหมายความว่า แค่มีคนเป็นพยานเรื่องนี้ว่าเกาเหวินเป็นคนสั่ง ก็จะสามารถพิสูจน์ได้ว่าแท้จริงแล้วเธอไม่ได้บ้า ใช่ไหม?”

หนิงเส่าเฉินพยักหน้า

ต่อมา เย่หลินเดาไม่ผิดเลย ว่าเป็นน้าคนทำความสะอาดบ้านจริงๆ เธอยอมรับว่าเกาเหวินให้เงินกับเธอก้อนหนึ่ง ให้เธอแอบเปลี่ยนเบอร์มือถือในโทรศัพท์ แล้วโทรหาเย่หลิน

จากที่คิดว่าเรื่องมาถึงตรงนี้ พวกเขาก็จะทำสำเร็จแล้ว

แต่ว่าตอนที่หนิงเส่าเฉินเตรียมทนายไว้จะไปหาเกาเหวิน เกาเหวินก็ได้หายตัวไป

เธอขายหุ้นทั้งหมดของเธอให้กับบริษัทตระกูลเกาในราคาที่ต่ำ เอาเงินเล็กน้อยเหล่านั้น แล้วหายตัวไป

เธอเหมือนระเหยหายไปจากโลกมนุษย์ หายไปอย่างไร้ร่องรอย

หนิงเส่าเฉินส่งคนไปค้นหาที่สนามบิน สถานีรถไฟ และสถานีขนส่ง แต่ก็ไม่พบบันทึกการเดินทางของเธอเลย เห็นได้ชัดว่าเธอได้หลบหนีออกจากเมืองc ด้วยตัวตนของบุคคลอื่น

เรื่องนี้ ทำให้เย่หลินรู้สึกกลัวเล็กน้อย กังวลว่าระเบิดเวลาลูกนี้ อาจจะระเบิดได้ทุกเมื่อ

เห็นได้ชัด ว่ากับสถานการณ์ตอนนี้หนิงเส่าเฉินเองก็คาดไม่ถึงเหมือนกัน

“โทษฉันคนเดียวเลย ที่ต้องการอยากจะเล่นเกมกับเธอช้าๆ ฉันควรทำให้เธอเผยตัวตนที่แท้จริงออกมาตั้งแต่ฉันกลับมาแล้ว ตอนนี้ยุ่งเลย ไม่รู้ว่าเธอหนีไปอยู่ที่ไหน ต่อไป เธออยู่ในที่มืด ฉันอยู่ในที่สว่าง คิดๆแล้วก็รู้สึกกลัว”คืนที่รู้ว่าเกาเหวินหายตัวไป เย่หลินนอนบ่นอยู่ในอ้อมกอดของหนิงเส่าเฉิน

รู้สึกเสียใจกับการตัดสินใจเมื่อตอนนั้น

มือใหญ่ของหนิงเส่าเฉินสอดไว้ระหว่างผมของเธอ“ อย่าโทษตัวเองมากไป ผมจะส่งคนไปหาเธอเอง”

“เธอมีเจตนาที่จะซ่อน ตราบใดที่เธอไม่ออกมา โลกกว้างใหญ่ขนาดนี้ พวกเราคงหาตัวเธอยาก”

ตั้งแต่เกาเหวินจากไป หนิงเส่าเฉินก็พาแม่นมหลิวกับลุงจางและคนอื่นๆที่ดูเชื่อถือได้มาพักยังที่ที่พวกเขาอยู่ และเพิ่มการรักษาความปลอดภัยรอบๆบ้าน

ไม่มีเกาเหวิน ชีวิตของพวกเธอ ก็กลับไปเป็นปกติ

พัฒนาการของบริษัทซีเอกซ์ดีเกินคาด หนิงเส่าเฉินเองก็ดีต่อเธอและครอบครัวนี้มาก นอกจากสถานะคุณนายหนิงที่เขาไม่ได้ให้ เขามอบทุกสิ่งที่ผู้หญิงทุกคนใฝ่ฝันกับเธอ เขารักเธอ ความมั่งคง ความเข้าใจ ความอดทน การสนับสนุน…

ระหว่างนี้ เธอก็โทรหาคุณตาหลายครั้ง แต่กลับไม่มีใครเอ่ยถึงเรื่องพ่อเกาเลยสักคน

เกาไห่เองก็ได้ส่งโพสต์การ์ดมาให้เธอจากหลายๆประเทศ เห็นได้ชัดว่าเขากลับมามีชีวิตปกติแล้ว เธอดีใจแทนเขามาก

ชีวิตที่เป็นขั้นเป็นตอนแบบนี้ ผ่านไปเร็วมาก แค่กะพริบตาก็จะสิ้นปีแล้ว

เย่หลินได้รับโทรศัพท์จากแม่หนิง บอกว่าปีนี้พวกเขาจะไม่กลับมาฉลองปีใหม่ อยากไปเที่ยวประเทศอื่นๆ

นึกถึงท่องเที่ยว เย่หลินก็นึกถึงเมืองs จึงเสนอความคิดเห็นกับหนิงเส่าเฉินว่า สิ้นปีนี้ กลับเมืองsไหม เพราะเมืองcเป็นเมืองที่ติดทะเล จึงแทบจะไม่เคยเห็นหิมะเลย เธออยากพาเย่เสี่ยวโม่กับหนิงเสี่ยวซีไปดูวิวหิมะ

และก็อยากให้พวกเขาเห็นที่ที่เธอโตมาตั้งแต่เด็ก

หนิงเส่าเฉินตามใจเธอ และบอกเธอว่าปีนี้จะจัดการงานให้เสร็จโดยเร็ว จากนั้นจะใช้เวลาอยู่กับเธอและลูกๆ

วันที่ถึงเมืองs หิมะตกหนักมาก เด็กทั้งสองคนดีใจมากจนกระโดดโลดเต้น มุมปากของหนิงเส่าเฉินเองก็ยิ้ม

ตอนที่ตื่นขึ้นมา ก็มีหนิงเชี่ยนกับหลิวซู พี่ซวี่ แม่นมหลิว ลุงจาง เจอกับคนกลุ่มใหญ่

ตอนที่รู้เรื่องของหนิงเชี่ยนกับหลิวซู เย่หลินตกใจมาก แต่ก็คิดว่าทั้งสองคนเหมาะสมกันดี

เดิมทีเธอต้องการเช่าบ้านพักตากอากาศที่นี่ เพื่อให้ทุกคนได้อยู่ด้วยกันในช่วงปีใหม่ ให้มันมีชีวิตชีวาหน่อยๆ

แต่ใครจะรู้ ว่าหนิงเส่าเฉินจะรวยถึงขนาดให้หลิวซูซื้อบ้านพักตากอากาศหลังนี้ในนามของเธอ

เมืองsไม่ถือว่าเป็นเมืองใหญ่ บ้านพักตากอากาศหลังนี้อยู่ในเมืองใหม่ ดูเงียบสงบ สภาพแวดล้อมดี

มีพื้นที่เปิดโล่งกว้างใหญ่ด้านหน้าของบ้านพัก และในบ้านพักมีเครื่องทำความร้อน ทุกคนเองก็คิดว่ามันไม่เลว หนิงเสี่ยวซีเอาแต่พูดว่าจะมาฉลองปีใหม่กันที่นี่ทุกปี

“คุณดูสิ นี่เป็นโรงเรียนมัธยมต้นกับมัธยมปลายของฉัน ฉันกับหยูจี้ก็รู้จักกันที่นี่แหละ ” เย่หลินชี้ไปยังโรงเรียนที่ถูกหิมะปกคลุมข้างหน้า พูดขึ้นอย่างดีใจ

หนิงเส่าเฉินขมวดคิ้ว “ถ้ารู้จักกับคุณเร็วกว่านี้ก็ดี เราจะได้เป็นคู่รักที่มีใจให้กันตั้งแต่เด็กๆ”

เย่หลินปิดปากหัวเราะ “ไป ฉันจะพาคุณไปดูบ้านที่ฉันเติบโตมายี่สิบปี”

เป็นเรื่องที่หาได้ยากที่จะมีคนมาช่วยดูแลเด็ก และหาได้ยากที่จะมีโอกาสพาเขาไปดูเส้นทางชีวิตของเธอที่ผ่านมา

เย่หลินมีความสุขมากจนเหมือนเด็กๆ

เนื่องจากหิมะตกหนักมาก หลังคาบ้านเก่าที่เย่หลินเคยอาศัยอยู่ จึงถูกปกคลุมไปด้วยหิมะ

“คุณดูสิ ตอนเด็กฉันเติบโตมาในที่แห่งนี้ นี่คือบ้านของฉัน มีทางรถไฟอยู่หลังบ้าน ทางรถไฟมีเนินเล็กน้อย ตอนเด็กๆ มีหิมะตกหนักเมื่อไหร่ ฉันกับเพื่อนบ้านข้างๆก็จะเอาถุงผ้าไปเล่นสไลด์ที่นั่น และในฤดูใบไม้ผลิ เดินผ่านเส้นทางรถไฟนั้นขึ้นไป บนภูเขาจะมีบ่อน้ำแร่ น้ำแร่ที่นั่นหวานมากเลย พอถึงฤดูร้อน ทั้งภูเขา……”

เย่หลินหยุดพูดไป เพราะเห็นสีหน้าของหนิงเส่าเฉินผิดปกติ

“เส่าเฉิน คุณ เป็นอะไรหรือเปล่า?”

เห็นเพียงหนิงเส่าเฉินหลับตาไว้ ขมวดคิ้ว สักพัก เขาก็ถามเย่หลินอย่างตื่นเต้นว่า“หลังบ้านหลังนี้มีคูน้ำเล็กๆใช่ไหม?”

“……”เสียงเรียกเข้าที่คุ้นเคยดังขึ้นทางด้านหลังของเธอ เธอเคยได้ยินเสียงเรียกเข้าของหลิวซูหลายครั้ง มันมีเอกลักษณ์ น่าฟังและจำได้ง่าย

เธอค่อยๆหันหลัง ก็เห็นหลิวซูที่ในมือถือแก้วไวน์แล้วเดินมาทางเธอ เห็นเธอหมดสภาพแบบนี้ เขาก็ตกตะลึง พูดพร้อมกับมีสายตายิ้มๆว่า“พี่สะใภ้ นี่คุณไปทำอะไรมาน่ะ? ถึงมีสภาพแบบนี้?”เขาเรียกเย่หลินว่าพี่สะใภ้ตามหนิงเชี่ยน

เพราะในใจเย่หลินห่วงแต่หนิงเส่าเฉิน จึงไม่เห็นรอยยิ้มในสายตาของเขา คว้ามือของเขามาเขย่าอย่างแรง “หลิวซู เส่าเฉินล่ะ?เส่าเฉินเป็นยังไงบ้าง?เขาอยู่ที่ไหน?”

เสียงที่เธอพูดออกมานั้นสะอึกสะอื้น ทำให้หลิวซูต้องปรับสีหน้า

เขาเชยคางเย่หลิน มือชี้ไปทางด้านหลังของเธอ “นู่น นั่นไม่ใช่เขาเหรอ?”

เย่หลินเช็ดน้ำตา กลั้นหายใจแล้วหันหลังกลับไป ไม่ไกลจากนี้ เธอเห็นหนิงเส่าเฉินยืนอยู่ข้างใน ถึงแม้จะหันหลัง แต่เธอก็สามารถยืนยันได้ว่านั่นคือเขา “โฮ”เธอนั่งลงกับพื้น แล้วร้องไห้ออกมาเสียงดัง

หนิงเส่าเฉินเมื่อได้ยินเสียงเธอ ก็รีบวางแก้วไวน์ในมือแล้วเดินมาหาเธอ พยุงให้เธอลุกขึ้น เห็นเธอหมดสภาพแบบนี้ ขมวดคิ้วถามว่า“เกิดอะไรขึ้นกับคุณ? มีเรื่องอะไรหรือเปล่า? ทำไมสภาพเป็นแบบนี้?”

“จริงด้วยประธานเย่ งานทางนี้ก็เลิกแล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะหนิงเส่าพวกเขามาช่วย วันนี้คุณคงต้องกลายเป็นเรื่องตลกของคนอื่นไปแล้วล่ะ”

เย่หลินดูเวลา โรงพยาบาลนั้นเป็นโรงพยาบาลที่ห่างไกลที่สุดในเมืองc ใช้เวลาประมาณสามถึงสี่ชั่วโมงในการเดินทางไปกลับ

เธอสูดจมูก หันไปมองหลิวซู ขมวดคิ้ว“ไม่ใช่ว่านายเป็นคนให้คนอื่นบอกฉันว่าหนิงเส่าเฉินเกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์หรอกเหรอ? ฉันรีบตามไป แต่ไม่เจอใครในโรงพยาบาลเลย แล้วฉันก็ไม่ได้เอามือถือไปด้วย ดังนั้นถึงได้กลับมาอีกรอบ กำลังจะเอามือถือโทรหานายเนี่ยแหละ”

เธอยิ่งพูดยิ่งน่าสงสาร น้ำตาที่เพิ่งหยุดไหล ก็ร่วงลงมาอีกครั้ง

หลิวซูขมวดคิ้ว ชี้มาที่ตัวเอง แล้วชี้ไปที่หนิงเส่าเฉิน “ผม ผมโทรหาคุณ ไม่นะ!เมื่อเช้าผมไปรับหนิงเส่าเฉิน แล้วพวกเราก็มาหาคุณที่นี่ อุบัติเหตุอะไร? ทำไมผมฟังที่คุณพูดไม่รู้เรื่อง?”

เย่หลินอึ้งไปสักพัก หยิบมือถือขึ้นมา เปิดเข้าไปในประวัติการโทร ส่งให้หลิวซูดู “นายดูสิ ตอนเจ็ดโมงกว่า นายโทรหาฉันไม่ใช่เหรอ?”

หลิวซูรับไปดู บนนั้นปรากฏชื่อของหลิวซูจริงๆ ทำให้เขาตะลึงไปเล็กน้อย

หนิงเส่าเฉินได้ยินแบบนั้น หยิบมือถือจากมือของหลิวซู คลิกเข้าไปในชื่อนั้น ก็ปรากฏตัวเลขขึ้นมา สายตาเขานิ่งไป“มีคนมายุ่งกับโทรศัพท์มือถือของคุณ ที่บันทึกไว้เป็นชื่อของหลิวซูแต่กลับไม่ใช่เบอร์มือถือของเขา”

เย่หลินผงะ รับมันมาดู ในบันทึกการโทรมีชื่อหลิวซูขึ้นสองชื่อจริงๆ ก่อนหน้านี้ที่เธอโทรออกไป เธอโทรมันจากสมุดรายชื่อ ตอนนั้นก็ไม่ได้สังเกตว่ามีชื่อหลิวซูกี่ชื่อ แล้วก็กดเข้าไปในบันทึกการโทรหนึ่งปี มันมีสองเบอร์จริงๆ รู้ว่าตัวเองโดนหลอก สีหน้าก็นิ่งลง มีเงาคนคนหนึ่งผ่านหน้าไป

พอคิดถึงตรงนี้ ก็ร้องไห้และหัวเราะออกมาพร้อมกัน ยื่นแขนออกไปกอดหนิงเส่าเฉินและฝังใบหน้าไว้บนหน้าอกของเขา “ไม่เป็นไรก็ดีแล้ว ฉันตกใจมากเลย”

หนิงเส่าเฉินขมวดคิ้ว กอดเธอกลับ มือใหญ่ตบที่หลังเธอเบาๆ “ทีหลังเจอเรื่องอะไร อย่าเพิ่งรีบร้อนจนเกินไป นี่ยังไม่ได้มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นกับผมนะ คุณก็เป็นถึงขนาดนี้ แล้วถ้าหาก……”

เย่หลินเงยหน้า ปิดปากเขาไว้ “ไม่มีถ้าหาก!”สายตาเธอแน่วแน่

มุมปากของหนิงเส่าเฉินยกขึ้น ใกล้เข้ามาพูดข้างหูเธอ “แต่ยังไงผมก็ดีใจนะ ที่เห็นคุณหนูเย่กลายเป็นแบบนี้เพราะห่วงผม”

เขากำลังหยอกล้อเธอ แต่ในมุมที่เย่หลินไม่เห็น หนิงเส่าเฉินกลับทำหน้าเย็นชาส่งสายตามองไปที่หลิวซู

เพราะเรื่องเมื่อเช้าที่ทำให้เกิดการเข้าใจผิด ทำให้เย่หลินรู้สึกเหนื่อยมากๆ พอตอนเย็นจัดการเรื่องต่างๆเสร็จแล้ว เธอก็กลับบ้านเลย

หนิงเสี่ยวซีเห็นอาการของเธอไม่ค่อยดีนัก ก็ใกล้เข้ามาถามว่า“แม่ครับ เป็นอะไรหรือเปล่า?”

เย่หลินอุ้มหนิงเสี่ยวซี นาทีนี้ เธอรู้สึกว่าขอแค่พวกเธอสี่คนพ่อแม่ลูกปลอดภัย เรื่องอื่น เธอก็ไม่สนใจแล้ว

ถึงแม้หนิงเสี่ยวซีจะอายุสิบขวบ แต่ เขามีไอคิวสูง เพราะฉะนั้น จึงดูเป็นผู้ใหญ่มากกว่าเพื่อนวัยเดียวกัน

เย่หลินคิดแล้ว ก็เล่าเรื่องที่เจอเมื่อเช้าให้หนิงเสี่ยวซีฟัง

“แม่ แม่บอกเบอร์มือถือนั้นกับผม เดี๋ยวผมตรวจสอบดูหน่อย ดูข้อมูลของคนคนนั้นและตำแหน่งของเขาตอนคุยกับแม่”

เย่หลินตกใจ“ลูก นี่ก็ตรวจสอบได้เหรอ?”

หนิงเสี่ยวซีพยักหน้า รับมือถือจากเย่หลินมา แล้วป้อนหมายเลขนั้นลงไป ไม่นาน ก็ได้ยินเขาพูดว่า“คนที่ลงทะเบียน เป็นผู้ชายอายุสิบแปดปี สถานที่ที่โทรออกคือบ้านของพวกเรา?”

เย่หลินตกใจ ลุกยืนขึ้น “ลูก ลูกบอกว่าบ้านไหนนะ?”

หนิงเสี่ยวซีชี้ลงพื้น “ที่นี่”

ตอนนี้เย่หลินอึ้งไปแล้ว ในบ้านนี้นอกจากพวกเธอสี่คนแล้ว ก็มีคนทำความสะอาดบ้านหนึ่งคน คนซักผ้าทำกับข้าวหนึ่งคน คนขับรถอีกสองคน แล้วก็คนที่ดูแลน้ำกับไฟฟ้าและเรื่องอื่นๆอีกหนึ่งคน และสุดท้ายก็คือพี่ซวี่ที่ตามมาจากต่างประเทศ

คนที่โทรหาเธอเมื่อเช้าเป็นเสียงของผู้หญิง

พี่ซวี่ ตัดออกไปได้เลย เธออยู่กับพวกเรามาหลายปี เธอรู้จักเธอดี

ส่วนคุณน้าที่ทำอาหาร เพราะหนิงเส่าเฉินเป็นคนเลือกทาน คนคนนี้จึงถูกเรียกมาจากคฤหาสน์หนิง ก็ตัดออกไปได้เลยเหมือนกัน

งั้นก็คงเป็นน้าที่ทำความสะอาดบ้านแล้วล่ะ คิดถึงตรงนี้ เธอก็ลุกขึ้นอยากจะไปถามเธอ แต่พอคิดๆดูแล้ว ก็กลับมานั่งที่เดิม มองหนิงเสี่ยวซี “รอพ่อลูกกลับมาก่อนดีกว่า ปรึกษาเขาก่อน แล้วค่อยดูอีกทีว่าจะจัดการยังไง”

พอตกกลางคืนหนิงเส่าเฉินคิดว่าเย่หลินอาจจะเสียขวัญจากเรื่องเมื่อเช้าอยู่ อยากจะกลับมาอยู่เป็นเพื่อนเธอ หนึ่งทุ่มก็กลับถึงบ้าน

ตอนเขากลับมาถึง ก็เห็นเย่หลินกำลังเล่นเกมตั้งเตกับเย่เสี่ยวโม่อยู่ ทั้งๆที่เป็นแม่ลูกสองแล้ว แต่กลับยิ้มเหมือนเด็กผู้หญิง เขายืนอยู่หน้าประตู หยิบมือถือขึ้นมาถ่ายไว้ จากนั้น ก็เหม่อมองดูพวกเขา

ถือว่าเป็นโอกาสที่หาได้ยาก ที่หนิงเสี่ยวซีจะไม่เล่นแท็บเล็ตของเขา นั่งพิงอยู่หลังโซฟามองดูพวกเขาสองคน แล้วคอยตำหนิเย่เสี่ยวโม่เป็นครั้งคราว

“เย่เสี่ยวโม่ สมองเธอล่ะ? ที่ตรงนั้นเธอเคยโดดแล้ว ยังจะโดดอีก?”

“เย่เสี่ยวโม่ เธอเป็นหมูเหรอ? เธอควรโดดตรงนี้ก่อน……”

หนิงเสี่ยวซียิ่งดูก็ยิ่งหงุดหงิด เขาจึงอุ้มเย่เสี่ยวโม่ออกจากช่องตาราง “เธอมานี่ พี่โดดหนึ่งรอบ เธอดูไว้!จริงๆเลย คลอดน้องสาวโง่ๆแบบเธอออกมาได้ยังไง?”

เย่หลินที่อยู่ข้างๆหัวเราะจนท้องแข็ง “หนิงเสี่ยวซี ลูกกำลังว่าแม่ทางอ้อมอยู่หรือเปล่า?”

หนิงเสี่ยวซีมองเย่หลิน เกาศีรษะตัวเองอย่างเขินๆ

เย่เสี่ยวโม่แปลกมาก เธอจะมีอารมณ์โกรธกับคนทุกคน ยกเว้นแค่กับหนิงเสี่ยวซี ไม่ว่าเขาจะด่า จะรังแกเธอยังไง เธอก็ยิ้มรับตลอด

บ้านอื่นมีแต่พี่ชายที่หลงน้องสาว แต่บ้านนี้ กลับกัน น้องสาวหลงพี่ชาย หลงแบบห้ามไม่อยู่

“เสี่ยวซี ต่อไปอย่าว่าน้องแบบนี้อีก รู้ไหม?”

เสียงของหนิงเส่าเฉิน

สายตาของทุกคนไปตกอยู่ที่เขา

เย่เสี่ยวโม่กระตือรือร้นมาก วิ่งเหยาะๆเข้าไปในอ้อมกอดของหนิงเส่าเฉิน “ปะป๋า กลับมาแล้วเหรอคะ?”

เย่หลินกอดหนิงเสี่ยวซีเอาไว้ มองดูหนิงเส่าเฉินเดินมาทางพวกเธออย่างยิ้มๆ

หนิงเส่าเฉินอุ้มเย่เสี่ยวโม่ไว้สักพัก ถึงได้ให้หนิงเสี่ยวซีพาเธอไปอาบน้ำกับพี่ซวี่

แล้วตัวเองก็ไปดึงเย่หลินตรงเข้าไปที่ห้อง

“ทำไมเหรอ?มีเรื่องอะไรถึงต้องเข้าไปคุยในห้อง?”

“หนิงเส่าเฉิน คุณมีเรื่องอะไรปิดบังฉันใช่ไหม?” เย่หลินหรี่ตามอง พูดถามขึ้น ถึงแม้หนิงเส่าเฉินจะอธิบายเรื่องที่เธอสลบไปวันนั้นแล้ว แต่ เธอก็ยังคิดว่ามันแปลก

หนิงเส่าเฉินเลิกคิ้วขึ้น พูดเสียงต่ำ“หมายความว่าอะไร?”

“เมื่อกี้คุณเพิ่งบอกว่าพ่อเกายังอยู่กับตาของฉัน เพราะอะไร? ในเมื่อเขาไม่ใช่พ่อแท้ๆของฉัน ทำไมคุณตาไม่ปล่อยเขาไป?”

ความรู้สึกผิดปรากฏขึ้นภายใต้สายตาของหนิงเส่าเฉิน เอ่ยปากพูดเบาๆ“คุณตา คงจะคิดว่าเขารู้เรื่องของแม่คุณ เขาปากแข็งไม่ยอมพูด ก็เลยขังเขาไว้ที่นั่น”

เย่หลินตะลึง พยักหน้า และไม่สงสัยเขาอีก

“พระราชวังความงามของคุณจะเปิดตัวเมื่อไหร่? เลือกวันหรือยัง?”หนิงเส่าเฉินเปลี่ยนประเด็น

“อืม ไม่เลือกวัน ฉันไม่เชื่อเรื่องพวกนั้น เตรียมเปิดตัววันเสาร์นี้ เหลืออีกสามวัน”พูดถึงตรงนี้ เย่หลินเงยหน้ามองหนิงเส่าเฉิน “ฟังจากคำถามของประธานหนิง แสดงว่าวันนั้นเตรียมตัวจะมางานด้วยใช่ไหม?”

หนิงเส่าเฉินขมวดคิ้วเล็กน้อย ตอบกลับไป“พยายามจัดการให้ดี”ก็หันหลังไปปิดไฟ

เย่หลินมองอาการของเขาไม่ออก แต่ในใจก็มีความคาดหวังอยู่บ้าง

ระยะเวลาสามวัน แป๊บเดียวก็ถึงแล้ว

เพราะต้องไปดูเค้าโครงของสถานที่ ดังนั้น นี่เป็นครั้งแรกที่เย่หลินตื่นก่อนหนิงเส่าเฉิน

ตั้งใจแต่งหน้าให้ตัวเองอย่างละเอียดอ่อน แล้วเปลี่ยนไปใส่ฮั่นฝูที่อู่เล่อเล่อเตรียมไว้ให้เธอเมื่อวาน เธอมัดผมจุกเรียบๆ ก็ออกบ้านไป

เพราะขับรถไม่เป็น หนิงเส่าเฉินจึงหาคนขับรถให้เธอเพื่อความสะดวกในการเดินทาง

แต่ว่า เธอมักจะออกไปข้างนอกช้า เวลาเข้างานของคนขับรถจึงถูกเลื่อนไปสายหน่อย แต่ตอนนี้ใกล้จะได้เวลาแล้ว คิดพักหนึ่ง เธอก็ให้คนขับรถของหนิงเส่าเฉินไปส่งเธอก่อน และเพราะคนขับรถจะรับผิดชอบรถหนึ่งคันต่อหนึ่งคน ดังนั้น สุดท้ายเย่หลินก็นั่งรถคันของหนิงเส่าเฉิน

พอถึงบริษัท อู่เล่อเล่อก็เตรียมงานเกือบจะเสร็จแล้ว ไม่รู้ว่าเธอหาชุดโต๊ะโบราณและฉากกั้นที่เตรียมไว้รับแขกเหล่านั้นมาจากไหน ยังมีชุดน้ำชาอีก มองโดยภาพรวมแล้ว ดูโบราณ โดดเด่นมีเอกลักษณ์มาก สอดคล้องกับคำว่าพระราชวังความงามพอดี

ผู้คนมากมายที่เดินผ่าน ก็หยุดแวะมาถ่ายรูปกัน

ทุกอย่างดำเนินไปอย่างเป็นระเบียบราบรื่น ไปได้ดีมาก แต่กลับไม่สามารถระงับความวิตกภายในใจของเย่หลินได้เลย

“ประธานเย่ วันนี้ หนิงเส่าก็จะมาเข้าร่วมด้วยใช่ไหมคะ?”อู่เล่อเล่อเห็นเธอขมวดคิ้ว นึกว่าเธอตื่นเต้นเกินไป จึงตั้งใจหาหัวข้อมาสนทนากับเธอ

เย่หลินพยักหน้า เมื่อวาน ก่อนนอนเขาบอกไว้ว่า วันนี้จะให้ของขวัญชิ้นใหญ่กับเธอ นั่นคงหมายถึงว่าเขาจะมา

คิดถึงตรงนี้ สีหน้าก็ดีขึ้น “อืม มาสิ”

จากนั้น แขกก็เข้าร่วมงาน เดิมทีวันนี้เธอไม่ได้อยากเชิญคนมากเกินไป นอกจากชูหยูจี้พวกเขาแล้ว ก็คือคนที่เป็นหุ้นส่วนใหญ่ไม่กี่คน และช่างแต่งหน้าที่จำเป็นบางคน แต่เมื่อวานอู่เล่อเล่อบอกเธอว่า มีคนอยากมาแสดงความยินดีด้วยไม่น้อย เธอจึงปฏิเสธน้ำใจคนอื่นยาก

ผู้คนตรงหน้ามากันเกือบจะครบแล้ว

แต่ก็ยังไม่เห็นแม้แต่เงาของหนิงเส่าเฉินเลย เย่หลินอดไม่ได้ที่จะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา เตรียมจะส่งข้อความ ก็เห็นเบอร์ของหลิวซูโทรเข้ามาพอดี เธอรับสายอย่างดีใจ

จากนั้น อู่เล่อเล่อก็เห็นสีหน้าของเย่หลินซีดลงอย่างกระทันหัน โทรศัพท์ที่อยู่ในมือตกลงบนพื้น

เธอช่วยเก็บมันขึ้นมา จะส่งคืนให้เย่หลิน แต่เย่หลินกลับไม่อยู่ตรงหน้าเธอแล้ว เงยหน้าขึ้น ก็เห็นเพียงแค่แผ่นหลังของเธอที่กำลังเดินโซเซออกไปไม่ไกล

เย่หลินจำได้ว่าครั้งที่แล้วที่เกิดเหตุการณ์แบบนี้ คือตอนที่หนิงเสี่ยวซีประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ ถึงแม้สุดท้ายจะเป็นแค่การเข้าใจผิด แต่อารมณ์ในขณะนั้นก็เหมือนกับในตอนนี้ วิตกกังวล และหมดหนทาง

เธอก็ว่า สองสามวันมานี้ตัวเองรู้สึกใจไม่ดี จะต้องมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นแน่ๆ แต่คิดไม่ถึงว่า คนที่เกิดเรื่องจะเป็นหนิงเส่าเฉิน

พอมาถึงโรงพยาบาลที่หลิวซูบอก มันเงียบผิดปกติ เดิมทีเธอคิดว่าเกิดเรื่องขึ้นกับหนิงเส่าเฉิน มันจะต้องวุ่นวาย แต่กลับไม่เห็นใครที่เกี่ยวข้องเลยสักคน

เธอดึงพยาบาลคนหนึ่งมาถาม“คุณรู้ไหมว่าหนิงเส่าเฉินพักอยู่ห้องไหน?”

พยาบาลส่ายหน้า……คนที่สอง ก็ยังคงส่ายหน้าเหมือนกัน……

เย่หลินวิ่งขึ้นลงทุกชั้น วิ่งหาห้องฉุกเฉินเกือบทุกห้อง ก็ยังไม่เจอกับหลิวซู ถามใครก็ไม่มีคนรู้

“หนิงเส่าเฉิน คุณอยู่ไหน?”ตอนเธอออกมา ก็ไม่ได้หยิบโทรศัพท์มาด้วย ตอนนี้หาใครไม่เจอ ก็ร้อนรนจนทรุดตัวลงไปนั่งกับพื้น

แต่ไม่มีใครตอบกลับเธอ

เธอเป็นคนไม่จำเบอร์มือถือคนอื่น เพราะฉะนั้น ตอนนี้เธอจึงเหมือนกับแมลงวันที่ไร้หัว

“คุณผู้หญิงคะ คุณจำโรงพยาบาลผิดหรือเปล่าคะ? หนิงเส่าที่คุณหมายถึงคือประธานบริษัทตระกูลหนิงคนนั้นใช่ไหมคะ? คนใหญ่คนโตแบบนั้น เกิดเรื่องขึ้นกับเขา ไม่มีทางที่จะเงียบขนาดนี้ ทุกคนเองก็กระจายข่าวไปนานแล้ว”แพทย์หญิงที่มีอายุเยอะหน่อยแล้ว เห็นเธอเดินขึ้นลงหลายรอบ ก็อดไม่ได้ที่จะพูดกับเธอ

เย่หลินมองไปที่เธอ สูดจมูก “ก็คนคนนั้นบอกว่าเป็นโรงพยาบาลนี้ ฉันฟังไม่ผิดแน่”เธอจะฟังเรื่องที่สำคัญขนาดนี้ผิดได้ยังไง ไม่มีทาง

แต่ ก็อธิบายไม่ได้ว่าทำไมถึงไม่เจอหนิงเส่าเฉิน อีกอย่าง ไม่เจอใครที่รู้จักหน้าห้องฉุกเฉินเลยสักคน

คิดได้ดังนั้น เธอก็ออกจากโรงพยาบาล โบกรถคันหนึ่ง จะกลับไปเอาโทรศัพท์ที่พระราชวังความงามอีกครั้ง

แต่ว่า เพิ่งจะลงรถ ก็ถูกคนดึงไว้ เห็นเธอใส่ชุดแปลกๆทั้งตัว ก็อดพูดขึ้นไม่ได้ “คุณผู้หญิง คุณทะลุมิติมาหรือไง? คุณไม่รู้เหรอว่านั่งรถต้องจ่ายค่าโดยสาร?”

เย่หลินสะบัดมือคนนั้นออก ตะโกนเสียงดังว่า“สามีฉันเกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์ คุณจะให้ฉันหยิบมือถือโทรสายก่อนไม่ได้หรือไง? ฮือ……..”พูดถึงตรงนี้ เธอก็ร้องไห้ออกมา เศร้ายิ่งกว่าเดิม

คนขับรถโดยสารคนนั้นได้ยินเธอพูดแบบนี้ ก็ขมวดคิ้ว หันหลังกลับเข้าไปในรถ แล้วเหยียบคันเร่งออกไปทันที

เพราะฉะนั้น ตอนเย่หลินมาถึงสถานที่จัดงาน เครื่องสำอางเธอก็หลุดหมดแล้ว เสื้อผ้าก็ถูกดึงจนหลุดลุ่ย ขนาดผมที่มัดไว้ข้างหลังก็หลวมตกลงมาปรกแก้มทั้งสองข้างของเธอ มองดูแล้วก็คือหมดสภาพ

อีกอย่าง น้ำตาเธอยังคงไหลไม่หยุด

ในใจเธอห่วงแต่หนิงเส่าเฉิน เธอไม่สนใจว่าคนอื่นจะมองเธอยังไง เห็นอู่เล่อเล่อยืนอยู่หน้าประตู เธอจึงวิ่งเหยาะๆเข้าไปหา คว้าเธอเอาไว้ “เล่อเล่อ มือถือของฉันล่ะ?”

อู่เล่อเล่อเห็นเธอสภาพนี้ก็ตกใจลืมตอบสนองไปชั่วขณะ หยิบมือถือออกมาจากกระเป๋าส่งให้เธอ“นี่คุณไปฉุดงานแต่งที่ไหนมาเหรอ? หรือว่าไปถูกใครตีมา?”

เย่หลินไม่มีอารมณ์มาอธิบายให้เธอฟัง หยิบมือถือขึ้นมา เข้าไปในรายชื่อ แล้วโทรหาหลิวซู

แต่ว่า……

“……”เสียงเรียกเข้าที่คุ้นเคยดังขึ้นทางด้านหลังเธอ เธอเคยได้ยินเสียงเรียกเข้าของหลิวซูหลายครั้ง มันมีเอกลักษณ์ มันน่าฟัง

ผ่านไปสองชั่วโมง ชายคนนั้นติดกระดุมเสื้ออย่างสบายๆ ยิ้มมุมปาก ใบหน้าแสดงความพึงพอใจ

แต่ผู้หญิงที่เอนกายอยู่บนเตียง ไม่มีแม้แต่เรี่ยวแรงจะขยับตัวสักเล็กน้อย

"หนิงเส่าเฉิน ฉันต้องการแยกเตียงนอนกับคุณ! " พูดพลาง หญิงสาวก็ใช้แรงทั้งหมดของร่างกายที่เหลือเพียงน้อยนิด โยนหมอนที่อยู่ข้างๆ ไปยังชายหนุ่ม

ชายหนุ่มรับหมอนเอาไว้ วางไว้ตำแหน่งเดิมอีกครั้ง คุกเข่าข้างหนึ่งบนเตียงแล้วจ้องมองผู้หญิงของเขา หยิกบนแก้มของเธอเล็กน้อย "ยังมีแรงขว้างหมอนได้ ดูท่า ครั้งนี้ ฉันยังทำได้ไม่สุดกำลัง ตอนกลางคืนค่อยกลับมาต่อ"

หญิงสาวต้องการจะพลิกตัวไม่สนใจเขา แต่ก็เหนื่อยล้าไปทั้งตัว ขยับเล็กน้อยก็ปวดเมื่อยไม่มีแรง ขมวดคิ้วแน่น การแสดงออกแบบนี้ทำให้หนิงเส่าเฉินเจ็บปวดใจเล็กน้อย "ทรมานขนาดนี้เลยเหรอ? "

เย่หลินมองค้อนเขาทีหนึ่ง

หนิงเส่าเฉินสูดลมหายใจ ยืนตัวตรง "โอเค ต่อไปฉันจะควบคุมอารมณ์"

เย่หลินยิ้มมุมปาก

"คุณนอนพักสักครู่หนึ่งก่อน ตอนกลางวัน ฉันจะให้คนไปรับอู่เล่อเล่อมาส่งที่บ้าน พวกคุณมีธุระอะไร ก็ปรึกษาหารือกันที่บ้าน"

เย่หลินแสร้งทำเป็นโกรธไม่สนใจเขา หลับตาแน่น

เมื่อใกล้ถึงตอนกลางวัน เย่เสี่ยวโม่ก็เข้ามาปลุกให้เธอตื่น บอกว่าอู่เล่อเล่อมาแล้ว เธอจึงลุกขึ้นจากเตียง

นอนหลับไปพักหนึ่ง ร่างกายก็ฟื้นตัวกลับมาอย่างมาก เธอลุกขึ้น ลงจากเตียง ล้างหน้าหวีผมเล็กน้อย แล้วจึงลงไปชั้นล่าง

อู่เล่อเล่อเห็นเธอลงมา ก็รีบลุกขึ้นมาจากโซฟา

"ประธานเย่ ไม่นึกเลยจริงๆ ว่า ความสัมพันธ์ของคุณและหนิงเส่าเฉินจะพิเศษขนาดนี้? " อู่เล่อเล่อไม่ใช่คนที่ซุบซิบนินทาเก่ง สามารถทำให้เธออุทานสองสามประโยคนี้ได้ เย่หลินก็รู้สึกได้ว่าข่าวครั้งนี้ส่งผลที่ดีจริงๆ

เธอยิ้มกลับให้อู่เล่อเล่อ ยกมือขึ้น "นั่ง"

แต่ไม่ได้อธิบายเรื่องของเธอกับหนิงเส่าเฉิน เรื่องบางเรื่อง ก็นานาจิตตัง ความคิดของแต่ละคนไม่เหมือนกัน ทัศนคติก็ไม่เหมือน เรื่องนี้ของเธอและหนิงเส่าเฉิน ปล่อยให้พวกเขาเงียบไปอย่างนี้ก็คงจะเป็นการดีที่สุด

อู่เล่อเล่อเห็นเธออยากพูดถึงหัวข้อสนทนานี้ต่อ ก็รู้จักวางตัวหยิบเอกสารออกมาจากในกระเป๋าที่อยู่ข้างๆ หยิบเอกสารสี่แผ่นส่งมอบให้เย่หลิน "ประธานเย่ คุณลองดู นี่คือการออกแบบของสี่บริษัทออกแบบที่ค่อนข้างมีชื่อเสียงในเมืองC"

เย่หลินตกตะลึง "รวดเร็วขนาดนี้เลยเหรอ? "

"จะว่าไปก็เป็นเรื่องบังเอิญนะ เดิมทีฉันรับปากกับพวกเขาว่าจะให้ค่าใช้จ่ายการออกแบบก่อน ถ้าหากถูกเลือก การตกแต่งและปรับปรุงต่อจากนั้นก็ให้พวกเขาเป็นคนทำ พอดี ข่าวนั้นของคุณออกมาเมื่อวาน พวกเขาต่างก็พูดตามกันว่า ไม่ต้องการค่าใช้จ่ายการออกแบบ ต้องการเพียงค่าตกแต่งและปรับปรุงก็พอ บริษัทซีเอกซ์นี้ก็นับว่ามีชื่อเสียง ทุกคนก็อยากจะเป็นกระแส ทำการโฆษณาฟรีไม่มีค่าใช้จ่าย"

เย่หลินนิ่งอึ้งไปเล็กน้อย อดไม่ได้ที่จะรู้สึกดี นี่คือการได้ทั้งชื่อเสียงและผลประโยชน์คู่กันจริงๆ!

ก้มหน้า ดูลักษณะการออกแบบทั้งสี่ชิ้นงาน แต่ละแบบล้วนมีจุดเด่นจริงๆ รูปแบบยุโรป รูปแบบจีน รูปแบบเกาหลี รูปแบบร่วมสมัย….

"ไม่เช่นนั้นก็เลือกรูปแบบจีนอันนี้ไหม? " เธอยิ้มแล้วชี้ไปยังเอกสารนั้นที่อยู่ตรงกลาง

อู่เล่อเล่อมองตามนิ้วของเธอไป ห้าห้อง ที่ถูกตกแต่งและปรับปรุงให้กลายเป็นลักษณะพระราชวัง ทุกบานประตู เขียนว่าพระราชวังอะไรบ้าง ภายในห้องก็เป็นแบบโบราณ ใหญ่จนถึงเสาระเบียงทางเดิน เล็กจนเท่าถ้วยชา สะท้อนระบบการปกครองที่ใช้ในราชวงศ์ถังออกมา มองออกว่านักออกแบบใช้เวลาไม่น้อยที่จะเข้าไปในความคิด

"ถึงแม้พวกเราจะเป็นบริษัท อันที่จริงจะว่าไป ก็คือห้องทำงานขนาดใหญ่ห้องหนึ่ง พนักงานที่แต่งหน้า ไม่จำเป็นต้องอยู่ที่นี่ทุกวัน หากมีงาน ก็จะนัดล่วงหน้า พวกเขาสามารถกำหนดสถานที่และตรงเวลาก็พอ สถานที่นี้ ก็สามารถเพียงพอต่อการใช้งานแล้ว"

"ถึงแม้รูปแบบและการแต่งหน้าจะไม่ค่อยสัมพันธ์กัน แต่ก็ยอดเยี่ยมไม่เหมือนใคร ทำให้คนแปลกตา ยากที่จะลืมเลือน ไม่เลว ตกลงเอารูปแบบนี้ คุณไปจัดการได้"

เรื่องต่อจากนั้น เย่หลินก็แทบจะไม่ได้เข้าร่วมทำด้วย ความสามารถของอู่เล่อเล่อ เธอก็เคยมีประสบการณ์มาแล้ว การตกแต่งอยู่ภายใต้การเร่งรัดและการจัดเตรียมของเธอ เดิมทีที่กำหนดไว้สามเดือน ก็ถูกเธอลดลงให้เหลือเพียงสองเดือน

เพื่อให้สอดคล้องกับรูปแบบการตกแต่ง เย่หลินก็เลยนำชื่อของบริษัท มาเปลี่ยนใหม่เป็น"พระราชวังความงามซีเอกซ์"

และช่วงสองเดือนนี้ ลูกค้าของSMแทบทั้งหมดก็หันหลังให้SMแล้วมาเซ็นสัญญากับเธอ นี่จึงทำให้เย่หลินคาดไม่ถึง

เดิมทีเธอคิดเอาไว้ว่า ค่อยๆ โจมตีเกาเหวินทีละน้อย แต่ไม่คาดคิดว่า เพียงหนิงเส่าเฉินเดินหมาก ก็ทำให้เธอแทบจะเหนื่อยเพียงครั้งเดียวก็สบายไปทั้งชาติแล้ว

ส่วนเกาเหวิน ก็น่าประหลาดใจอย่างมาก ด้วยเหตุผลแล้ว จากนิสัยของเธอ หลังจากเกิดเรื่องนี้ อย่างน้อยเธอก็ต้องออกมากระโดดโลดเต้นสักเล็กน้อย ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องออกมาอธิบายกับสื่อมวลชน หรือหาเรื่องทะเลาะกับหนิงเส่าเฉิน แต่เท่าที่เธอรู้ เวลานี้ไม่มีเลย

เธอเคยถามกับหนิงเส่าเฉินแล้ว เขาบอกว่า หลังจากเรื่องนั้น วันต่อมาเกาเหวินก็กลับตระกูลเกาไป หมกตัวอยู่แต่ในบ้าน แม้กระทั่งบริษัทก็ไม่เคยไปอีกเลย

นี่จึงทำให้เย่หลิน ยิ่งรู้สึกแปลกใจ

เพียงแต่ ตามที่เคยรับปากพ่อหนิงเอาไว้ เรื่องที่หนิงเส่าเฉินและเกาเหวินหย่ากัน เธอก็เลือกที่จะปิดปากเงียบ

เช่นนั้น วันเวลาคล้ายกับเงียบสงบอย่างมาก แต่เย่หลินรู้สึกเสมอว่ามีการสมรู้ร่วมคิดที่ยิ่งใหญ่รอตนเองอยู่ ยิ่งเวลาผ่านไปนาน ความกระวนกระวายใจนี้ก็ยิ่งรุนแรงขึ้น

ผ่านไปไม่นานมาก SMก็ปิดกิจการอย่างเป็นทางการ เย่หลินยังไม่ทันได้กระทำการทั้งหมดกับมัน มันก็ได้หายไปแล้ว

แต่เกาเหวิน ยังคงไม่ปรากฏตัว

รายชื่อของSM ก็ถูกลบออกไปในเย็นวันนั้น หลังจากหนิงเส่าเฉินกลับมา ในที่สุดเย่หลินก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยปากถามเขา:

"คุณว่าเกาเหวินกำลังทำอะไรอยู่? ซ่อนอยู่แต่ในบ้านทุกวัน ไม่ยอมออกไปไหนเลย แม้กระทั่งSMปิดกิจการ เธอก็ไม่สนใจไม่กล่าวถาม ไม่เห็นแม้แต่เงา" วันนี้ ในที่สุดเธอก็อดกลั้นไม่ไหว ดึงหนิงเส่าเฉินมากล่าวถาม

"ฉันคิดว่าเธอเหมือนกับจะเตรียมแผนการใหญ่อะไรอยู่ มันทำให้ฉันไม่สบายใจอย่างมาก" เธอพูดพลาง โผเข้าไปในอ้อมกอดของหนิงเส่าเฉิน

หนิงเส่าเฉินโอบเธอเอาไว้ในอ้อมกอด จูบที่บนใบหน้าของเธอเล็กน้อย เป็นเวลานาน จึงเอ่ยปากอย่างช้าๆ ว่า: "เย่หลิน เธอเป็นบ้าไปแล้ว เมื่อวานโรงพยาบาลตรวจวินิจฉัยแล้วรายงานออกมา"

พูดถึงตรงนี้ หนิงเส่าเฉินก็หยุดชะงักเล็กน้อย แล้วกล่าวต่อไปว่า: "เธอป่วยทางจิต ตอนนี้ พ่อเกาที่เป็นผู้ปกครองเธอแต่เพียงผู้เดียว แต่ถูกคุณตาของคุณพาไป ดังนั้น จึงทำให้เสียเวลาในการหย่าของฉัน"

เย่หลินยืดตัวตรงจากอ้อมกอดของหนิงเส่าเฉิน ช็อกถึงขีดสุด เกาเหวินเป็นบ้าไปแล้ว? ผู้หญิงที่ไม่สามารถให้กำเนิดลูกได้คนนั้น คาดไม่ถึงว่าจะเป็นบ้าไปแล้ว?

เพราะข่าวนั้นเหรอ? เรื่องนี้ ฟังยังไง ก็ไม่อยากจะเชื่อเลย?

"ฉันมีวิธีที่ทำให้เธอเซ็นยินยอมที่จะหย่า เพียงแต่ตอนนี้เธอเป็นคนที่มีหุ้นมากที่สุดในเกากรุ๊ป เกากรุ๊ปทำเพื่อรักษาผลประโยชน์ของตัวเอง จึงเชิญทนายเข้าไปเกี่ยวข้อง เรื่องนี้ ไม่สามารถฝืนได้ ดังนั้น จึงค่อนข้างยุ่งยากเล็กน้อย"

หนิงเส่าเฉินพูดต่อไป

แต่เย่หลินส่ายหน้า อันที่จริงเธอก็ไม่ได้สนใจฐานะคุณนายหนิงนี้ ตอนนี้ข้างกายเธอล้วนมีหนิงเส่าเฉิน หนิงเสี่ยวซี เย่เสี่ยวโม่อยู่เป็นเพื่อนเธอ เธอก็พึงพอใจมากแล้ว อีกอย่าง ถึงแม้จะไม่มีฐานะและชื่อเสียง เวลานี้เธอออกจากบ้าน ในสายตาของทุกคน เธอก็เป็นคุณนายหนิงที่สง่าน่าเกรงขามไปแล้ว ดังนั้น เธอจึงไม่ตกใจกับเรื่องนี้

เธอเพียงแค่รู้สึกว่าคนอย่างเกาเหวินนี้ เป็นบ้าไปแล้ว ก็รู้สึกไม่อยากจะเชื่อเล็กน้อย

สำหรับผู้หญิงคนหนึ่งที่สามารถยอมรับความจริงที่ไม่สามารถให้กำเนิดลูกได้แบบนี้ เธอก็ไม่เชื่อ เธอจะแบกรับข่าวเล็กน้อยนี้ไม่ได้

เธออยากจะบอกกับหนิงเส่าเฉิน นี่เป็นการชะลอการโจมตีของเกาเหวินใช่ไหม แต่เธอก็กลัวว่าหนิงเส่าเฉินจะคิดมาก กดดัน คิดๆแล้ว ก็เงียบปาก แล้วกลืนคำกลับไป

ต่อหน้านักข่าว เกาเหวินดึงรูปถ่ายของเฉินเป้ยอีและหนิงเส่าเฉินออกมามากมาย

"พวกคุณดู ผู้หญิงคนนี้ จึงจะเป็นผู้หญิงที่หนิงเส่าเฉินรักอย่างแท้จริง แต่เธอได้ตายไปแล้ว ดังนั้น พวกคุณอย่าไปเชื่อคำพูดโกหกหลอกลวงของผู้หญิงคนนั้นนะ เธอเป็นเมียน้อย เมื่อตอนหนิงเส่าเฉินไปทำงานที่ต่างประเทศ เธอก็เข้ามายั่วเขา ส่วนทำไมถึงกลายมาเป็นแม่ของหนิงเสี่ยวซี ฉันก็ไม่แน่ใจ บางที….บางทีผู้หญิงคนนั้น ก็แค่ศัลยกรรมให้เหมือนหนิงเสี่ยวซี ดังนั้น พวกคุณอย่าไปหลงกลพวกเขา"

เกาเหวินคิดแล้ว เธอก็ไม่เชื่อ หลังจากผู้หญิงคนนั้นได้เห็นรูปของหนิงเสี่ยวซีกับเฉินเป้ยอีแล้ว ในใจของเธอก็ยังรู้สึกดีใจขึ้นมา

เธอไม่ได้ผู้ชายคนนี้ เธอก็จะไม่ให้คนอื่นได้ไปง่ายๆ แบบนั้นแน่นอน

คิดถึงตรงนี้ รอยยิ้มที่สังเกตเห็นได้ยากก็ปรากฏขึ้นที่มุมปากของเธอ

เพียงแต่ เวลานี้ ท่ามกลางฝูงชน ไม่รู้ว่าใครพูดขึ้นมาประโยคหนึ่ง

"คุณอย่าโกหก ทางด้านหนิงกรุ๊ป เพิ่งแสดงรายงานการตรวจสอบดีเอ็นเอของประธานเย่และหนิงเสี่ยวซี ยอมรับความสัมพันธ์ระหว่างแม่ลูกของพวกเธอ นั่นก็พูดได้ชัดเจนแล้วว่า คุณชายหนิงและประธานเย่ รู้จักกันมาก่อนหน้านี้นานแล้ว

"ใช่ คนอย่างคุณชายเย่ ถ้าไม่ชอบจริงๆ จะสามารถให้อีกฝ่ายให้กำเนิดลูกของตัวเองได้เหรอ? คุณเกา จุดนี้ คุณจะอธิบายว่าอย่างไร? ไม่น่าเป็นไปได้ รูปเหล่านั้นในมือของคุณเป็นรูปปลอมใช่ไหม? ผู้หญิงคนนั้นดูแล้ว ธรรมดาแบบนั้น หนิงเส่าเฉินจะชอบเธอไปได้อย่างไร? "

สองคนนี้พูดประโยคนี้จบ ต่อจากนั้น ฝูงชนต่างพูดตามกันเซ็งแซ่

สถานการณ์ของเกาเหวิน ก็ยิ่งอึดอัดอย่างมาก

แต่ตัวเธอ ก็จมดิ่งอยู่ในเนื้อหาการรายงานผลการตรวจดีเอ็นเอแผ่นนั้น เรื่องนี้ เธอเคยถามผู้หญิงคนนั้นแล้ว แล้วก็เคยถามหนิงเส่าเฉินแล้ว เวลานั้นคนทั้งสองต่างปฏิเสธ มันเป็นไปได้อย่างไร?

ในทันใด เธอก็เบิกตาโพลง ดูท่า พวกเขาทั้งสองคนจะร่วมมือกัน เมื่อเธอคิดถึงตรงนี้แล้ว มือของเธอก็สั่นระริก หยิบมือถือออกมา ต่อสายไปยังหนิงเส่าเฉิน ต้องการถามว่าเขาทำแบบนี้กับเธอได้อย่างไร

เพียงแต่ หลังจากเสียงสัญญาณดังสองสามครั้ง โทรศัพท์ก็ถูกตัดสายไป

เย่หลินที่นั่งอยู่ข้างๆ หนิงเส่าเฉิน มือถือของเขาอยู่บนพนักพิงโซฟา ดังนั้น เย่หลินจึงสามารถได้ยินเสียงสั่นที่ดังเข้ามาได้อย่างชัดเจน

เธอหยิบเอามาดู เกาเหวิน?

ไม่ได้พูดจา นำมือถือวางกลับไปยังตำแหน่งเดิม

"สถานการณ์แบบนี้ ต้องต่อเนื่องไปอีกี่วัน? " เย่หลินหยิบกล้วยหอมหนึ่งลูก ปอกเปลือก แล้วส่งให้หนิงเส่าเฉิน

เวลานี้ เย่เสี่ยวโม่ไม่ได้นั่งตักหนิงเส่าเฉิน พี่ซวี่พาทั้งสองคนออกไปว่ายน้ำแล้ว

ดังนั้น ในห้องรับแขกจึงเหลือเพียงคนสองคน ฝ่ามือใหญ่ๆ ดึงเกาเหวินเข้ามา นำเธอมาไว้ข้างกาย แล้วหนิงเส่าเฉินก็เอ่ยปากว่า: "พรุ่งนี้"

"จะสามารถส่งผลกระทบอะไรต่อหนิงกรุ๊ปไหม? " นี่คือความกังวลของเย่หลิน ดูข่าวเหล่านั้นแล้ว จู่ๆ บริษัทใหญ่ก็มีข่าวของคนคุมหางเสือ เรื่องที่ยุ่งเหยิงก็อาจจะส่งผลกระทบต่อหุ้น

ลูกกระเดือกกลิ้งขึ้นลง หนิงเส่าเฉินจับคางที่สวยงามของเธอ น้ำเสียงอบอุ่น "สำหรับฉันสำหรับคุณ ต่างก็มีผลประโยชน์ที่ดี มีเพียงเธอที่ไม่เอื้อผล"

เย่หลินพยักหน้า หยิบองุ่นสองสามลูกที่อยู่บนโต๊ะน้ำชา ยิ้มมุมปากอย่างนิ่งๆ อารมณ์ดีไม่เบา

"ฉันอะ ต่อไปฉันคงทำให้คุณไม่พอใจไม่ได้แน่ ไม่เช่นนั้น ฉันคาดว่าตนเองคงต้องตายกระทั่งเศษซากก็ไม่เหลือ"

หนิงเส่าเฉินสายตาลึกซึ้ง จ้องมองเธอ กล่าวทีละคำๆ ว่า: "อยู่กับฉัน คุณทำได้เพียงถูกกินจนไม่เหลือเศษซาก ส่วนเรื่องตาย ไม่ต้องไปนึกถึง"

เย่หลินสูดลมหายใจ แสร้งทำเป็นไม่เข้าใจว่าเขาพูดอะไร

ตลอดทั้งวันนี้ หนิงเส่าเฉินไม่ได้ออกจากบ้านตลอดทั้งวัน อยู่เป็นแม่กับบรรดาลูกๆ ตลอดวัน อารมณ์ของทุกคนไม่เพียงแต่ไม่ได้รับผลกระทบจากเรื่องนี้ ตรงกันข้ามด้วยเหตุนี้ความสุขกลับเพิ่มสูงขึ้น

แต่ทางด้านของเกาเหวิน เธอนำสิ่งของในคฤหาสน์ตระกูลหนิงทั้งหมดทุบตีจนแตก คนคล้ายกับเป็นบ้า เพราะการชี้แนะของหนิงเส่าเฉิน คนของคฤหาสน์ตระกูลหนิงต่างเลือกที่จะมองข้าม

ตั้งแต่ต้นจนจบ เธอทำคนเดียวทั้งหมด

วันต่อมา เรื่องแรกตั้งแต่เย่หลินลืมตาขึ้นมา ก็คือดูข่าว แต่พบว่า การเสนอข่าวที่โปรยปรายราวกับหิมะตกเมื่อวาน วันนี้ได้สูญหายไปจนหมดแล้ว ที่หลงเหลืออยู่ ก็คือการเสนอข่าวทางด้านดีของเธอกับซีเอกซ์ เช่นแนวทางการโจมตีล่วงหน้าของเธอ เช่นการวางตัวต่อการจัดการเรื่องราวของเธอ

คาดไม่ถึงเธอยังพบว่าประธานหวังแล้วก็คนอื่นๆ อีกสองสามบริษัท แสดงการเปรียบเทียบสัญญาสองสามข้อที่เธอให้พวกเขาไว้ ทุกคนยกย่องในความซื่อสัตย์และมีสัจจะของเธอ

นี่จึงทำให้ซีเอกซ์ที่ยังไม่ได้ลงหลักปักฐานอยู่ที่เมืองC ก็มีผู้ที่ให้การสนับสนุนจำนวนมากแล้ว

อู่เล่อเล่อส่งวีแชตมาให้เธอไม่น้อย บอกตั้งแต่เช้าตรู่ว่า มีคนจำนวนมากที่โทรเข้ามาหาเธอ หวังที่จะได้รับความร่วมมือ

และเธอเย่หลินก็หลุดจากการเป็นเมียน้อยไปโดยสิ้นเชิง ถึงแม้จะไม่ได้แต่งงานกับหนิงเส่าเฉินอย่างเป็นทางการ ทุกคนก็พูดว่าเธอกลายเป็นคนที่เปราะบาง บอกว่าเธอทำเพื่อความรัก เพื่อลูก จึงเลือกที่จะอยู่กับหนิงเส่าเฉินอย่างไร้ชื่อไร้ตำแหน่ง

ส่วนเกาเหวิน อดีตบางอย่างของSMของเธอ ไม่รู้ว่าถูกใครแฉออกมา ไม่เพียงแต่ความคิดสกปรกที่ทำให้คนตื่นตกใจ นิสัยที่ชอบติดสินบนเอย ชอบใช้อำนาจคุกคามเอย จับคุณชายหนิงมาเป็นสามีเอย โกหกหลอกลวงทุกอย่าง

ที่เรียกว่ากำแพงถูกผลักโดยทุกคน ผู้มีอำนาจล้มลงผู้ที่พึ่งพาอาศัยก็แยกย้าย ทุกคนเห็นท่าทีที่หนิงเส่าเฉินไม่แคร์ไม่สน รู้ว่าสถานการณ์โดยรวมของเกาเหวินล้มเหลว คนเหล่านั้นที่เคยถูกดูแลในอดีต คนที่เคยถูกเธอเอาเปรียบ ทุกคนลุกขึ้นออกมา เปิดเผยอดีตอันร้ายกาจของเธอ

การกระทำเหล่านั้น ทำให้เย่มองตาค้าง

จากนั้นผู้คนจำนวนมากบนอินเทอร์เน็ต ก็เริ่มยุยงให้คุณชายหนิงหย่า คืนความยุติธรรมให้เย่หลิน คืนฐานะและชื่อเสียงให้แก่เธอ

เย่หลินยิ่งอ่านก็ยิ่งนับถือผู้ชายที่อยู่ข้างๆ

พวกเขาคล้ายกับไม่ได้ทำอะไร พาหนิงเสี่ยวซีเดินเข้าไปรอบหนึ่ง คาดไม่ถึงว่าเรื่องราวต่างๆ จะพลิกผันเปลี่ยนแปลงในทันที

นึกถึงในปีนั้น เกาเหวินทำเพื่อผลประโยชน์ส่วนตน จึงให้เธอตั้งครรภ์หนิงเสี่ยวซี

เธอก็นึกถึงว่าไม่ว่าจะยังไง สำเร็จก็เป็นหนิงเสี่ยวซี ล้มเหลวก็เป็นหนิงเสี่ยวซี

เดิมทีเธอก็อยากจะเข้าไปล้างแค้นเกาเหวิน ทำให้กิจการและครอบครัวของเธอได้รับความเสียหาย แต่ในระหว่างขั้นตอนนี้ ตนเองและหนิงเส่าเฉินอยู่ด้วยกัน หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะถูกทุกคนวิพากษ์วิจารณ์ว่าเป็นเมียน้อย

หนิงเส่าเฉินดีอย่างมาก ช่วยเธอแก้ไขปัญหาทั้งหมดได้ในรวดเดียว

เธอเห็นถึงความตั้งอกตั้งใจ ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม เดิมทีเธอก็ไม่ได้สนใจ ว่ามีใครบางคน จ้องมองเธอมาโดยตลอด

กระทั่งมือถือในมือถูกคนดึงลง ในทันทีบริเวณเอวก็เกิดความอบอุ่น เธอจึงมีปฏิกิริยาตอบสนองขึ้น

"คุณว่า ถ้าไม่มีหนิงเสี่ยวซี พวกเราทั้งสองคนจะสามารถรู้จักกันได้ไหม? อย่างนั้นฉัน ต้องขอบคุณเกาเหวินหรือเปล่า? "

"คุณคิดว่าจะขอบคุณอย่างไรล่ะ? " น้ำเสียงของผู้ชายแหบพร่าเล็กน้อย

"เอาคุณกลับคืนให้เธอ? "

"ขาดการสั่งสอน" น้ำเสียงของผู้ชายสงบนิ่งอย่างมาก แต่พลิกตัวอย่างคล่องแคล่วไปกดทับที่ร่างของฝ่ายหญิง

เย่หลินผลักเขา "ไม่ได้ อีกสักครู่ฉันยังต้องไปหาอู่เล่อเล่ออีก ปรึกษาหารือเรื่องการตกแต่งและปรับปรุง คุณลุกขึ้นเลย"

"ทำเสร็จแล้วค่อยไป"

"ไม่ได้….หนิงเส่าเฉิน คุณหยุดนะ…."

"มีชื่อเสียงอะไร? โอเค ฉันวางสายก่อนนะ! " เย่หลินวางสายแล้ว แล้วเปิดเบราว์เซอร์บนมือถืออย่างรวดเร็ว

เธอ หนิงเส่าเฉิน หนิงเสี่ยวซีภาพถ่ายที่หนิงกรุ๊ปเมื่อวาน อย่างล้นหลาม

"อดีตคนรักของประธานหนิงกรุ๊ปโผล่ออกมา ภรรยาเกาเหวินถูกสงสัยว่าจะเป็นมือที่สาม"

"เรื่องราวความรักที่ซับซ้อนของคุณชายหนิงและประธานบริษัทซีเอกซ์เมคอัพ"

"คลอดลูกเสร็จแล้ว ซินเดอเรลล่าก็ถูกบีบบังคับให้ออกไป ก่อนจะกลายเป็นประธานบริษัทซีเอกซ์เมคอัพ เก็บเกี่ยวได้ทั้งความรักและอาชีพ

“……”

ทุกหัวข้อข่าวมีสิ่งดีๆ ให้เห็น แต่กลับเอนเอียงไปข้างหนึ่งอย่างไม่ได้นัดหมายกันมาก่อน

เย่หลินหันไปมองข้างๆ เตียง ตำแหน่งของหนิงเส่าเฉินก็ว่างเปล่า

เธอลุกขึ้นเตรียมจะไปตามหาเขา แต่มองผ่านผ้าม่านบางๆ ก็เห็นร่างคนที่เคลื่อนไหวอยู่นอกประตูกระจก

นี่เป็นห้องนอนหลักชั้นสอง ด้านนอกห้องนอน มีสระว่ายน้ำในร่ม ระหว่างทั้งสองนี้มีบานประตูเลื่อนกั้นไว้

เธอเดินเข้าไปใกล้ๆ แล้วเปิดม่านออก พอดีเห็นหนิงเส่าเฉินที่ร่างกายท่อนบนเปลือยเปล่า กำลังกระโดดลงสระว่ายน้ำ มองเขาว่ายน้ำไปอย่างคล่องแคล่วรวดเร็ว

อดไม่ได้ที่จะทอดถอนใจ ผู้ชายคนนี้สมบูรณ์แบบจริงๆ เลย ดูเหมือนว่าจะทำอะไร ก็ดูไร้ที่ติ ทำให้ใจลอยไปชั่วขณะ แม้กระทั่งชายคนนั้นขึ้นฝั่งจนเดินมาข้างๆ เธอก็ไม่ทันได้สังเกต

"มองผู้ชาย ก็ต้องสงวนท่าทีหน่อย เข้าใจไหม? " น้ำเสียทุ้มๆ ดังขึ้นข้างหูของเธอ ดึงผู้หญิงที่จิตใจล่องลอยกลับมา

เย่หลินเม้มปาก "ไม่เข้าใจ ข่าวของคุณชายหนิง ยังมีอะไรที่คุณไม่รู้เกี่ยวกับเรื่องนี้ไหม? "

ชายตรงหน้าเก็บรอยยิ้ม แล้วเหมือนกำลังคิดอะไรอยู่ จากนั้นก็ตอบกลับด้วยท่าทางจริงจัง "มี! "

เย่หลินพึงพอใจ "พูดมา"

"คลอดลูก! "

"ฮ่าๆ ……” เย่หลินหัวเราะตัวโยน ใครจะจินตนาการได้ว่าหนิงเส่าเฉินจะพูดล้อเล่นเป็น

ชายคนนั้นใช้ผ้าขนหนูซับน้ำให้แห้ง แล้วยื่นมือหนึ่งออกไป จับเอวเย่หลินดึงมาไว้ในอ้อมกอด แล้วก็ก้มลงไปจูบ

เย่หลินผลักเขา "คุณ……คุณปล่อย ฉัน ฉันมีเรื่องจะถามคุณ"

"พูด! "

"เป็นคุณใช่ไหมที่ให้เขียนข่าวบนอินเทอร์เน็ตแบบนี้? "

ชายคนนั้นหยิบน้ำบนโต๊ะมาดื่ม ลูกกระเดือกขึ้นลงอย่างรวดเร็ว เย่หลินมองขวดน้ำนั้น ก็อดไม่ได้ที่จะกลืนน้ำลาย แค่ดื่มน้ำ ยังหล่อขนาดนี้เลย!

"อืม เพียงแค่เห็นด้วยกับการเขียนแบบนี้ของพวกเขา ส่วนเขียนอย่างไร ไม่ใช่เรื่องที่เราจะไปควบคุม"

พูดจบ ก็ยื่นมือดึงเย่หลินเข้าไปในห้อง แล้วผลักเธอไปชิดกำแพง "บริษัทซีเอกซ์ของคุณ ต่อจากนี้ไปก็อาจจะโด่งดัง คุณเย่ คุณควรจะแสดงความคิดเห็นอะไรไหม? "

ใบหน้าเย่หลินแดงก่ำ กดมือใหญ่ที่เคลื่อนไหวไปมาระหว่างเอวของเธอ "เอ่อ ฉันหิวแล้ว ไปกินข้าวก่อนนะ"

เช้าตรู่แบบนี้ ถ้าถูกทรมานอีก วันนี้เธอก็จะเสียเวลาไปทั้งวันแน่ ฉะนั้นเย่หลินจึงแทบวิ่งหนีออกจากห้องไป

หนิงเส่าเฉินมองแขนที่แข็งทื่ออยู่กลางอากาศ มุมปากที่สวยงามก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มขึ้นมา

หลังจากกินอาหารเช้าแล้ว เย่หลินยังคงเห็นหนิงเส่าเฉินสวมชุดนอนนั่งอยู่ที่โซฟา อุ้มเย่เสี่ยวโม่เล่นเกม จึงแปลกใจเล็กน้อย "วันนี้คุณไม่ต้องไปทำงานเหรอ? "

"คุณทำให้สองอันนี้กลายเป็นหนึ่งอัน ใช่! " หลังจากหนิงเส่าเฉินพูดประโยคนี้กับเย่เสี่ยวโม่ ก็เงยหน้าขึ้นมองเย่หลิน "วันนี้คุณก็ไม่ต้องออกไปนะ ข้างนอกมีนักข่าว"

เย่หลินหันกลับไปมองนอกบ้านผ่านกระจกใส ด้านหน้าเป็นทะเลที่มองสุดลูกหูลูกตา มีคฤหาสน์ที่คล้ายๆ กันอยู่ทางซ้ายและขวาห่างไม่กี่ร้อยเมตร ด้านหลังเป็นสนามกอล์ฟขนาดใหญ่ ทุกๆ แห่งไม่มีที่ที่จะหลบซ่อนได้ แล้วจะมีนักข่าวได้อย่างไร?

"คุณลองมองกระจกตรงหน้าคุณ ประมาณ 45 องศา มีคนสวมชุดดำสวมหมวกสีขาว เห็นไหม นั่นคือนักข่าว ยังมีทางด้านขวาอีก คนที่ถือไม้กวาด นั่นก็นักข่าว……” จากนั้นหนิงเส่าเฉินก็รายงานต่อไม่ขาดช่วง

เย่หลินสูดหายใจเข้า หยุดพูดไปชั่วขณะ

"เพียงแต่ว่าคุณไม่ได้อยากให้พวกเขาถ่ายรูปเราเหรอ? ทำไมไม่ให้พวกเราออกไปล่ะ? " เย่หลินไม่มีประสบการณ์เหล่านี้ ฉะนั้นเมื่อเทียบกับความสงบนิ่งของหนิงเส่าเฉินแล้ว เธอก็ประหลาดใจเล็กน้อย

"เพราะพวกเขาเป็นเพียงคนทำงานด่านหน้า ฉันกล้าพูดเลย คุณแค่ก้าวออกไป คุณก็จะถูกนักข่าวรุมล้อมจนแน่นขนัด" หนิงเส่าเฉินพูดจบ ก็เล่นเกมกับเย่เสี่ยวโม่ต่อ

เย่หลินก็ไม่กล้าถามอีก จึงเข้าไปในครัวและนำผลไม้มาให้ "เสี่ยวซี มาทานผลไม้หน่อย"

ในเมื่อออกไปไม่ได้ เช่นนั้นก็เสพสุขกับช่วงเวลาหาได้ยากที่จะอยู่ด้วยกันสี่คน

เปิดทีวี เธอเปลี่ยนไปช่องละครเกาหลี แล้วเริ่มดูละครเกาหลี หนิงเสี่ยวซีกำลังเล่นอะไรบนแท็บเล็ตของเขาอยู่ หนิงเส่าเฉินก็อุ้มเย่เสี่ยวโม่เล่นเกม

เย่หลินคิดว่า ถ้าชีวิตสามารถเป็นไปอย่างนี้ตลอด ก็จะดีมาก ดูสงบ แต่มีความสุขมาก

เพียงแต่พวกเขาที่มีความสุขอยู่

ทางด้านเกาเหวินนั้นก็น่าเวทนา

คฤหาสน์ตระกูลหนิงถูกปิดล้อมจากด้านในสู่ด้านนอก ด้านในสามชั้นด้านนอกอีกสามชั้น

เป็นเรื่องยากสำหรับหนิงเส่าเฉินที่จะยอมให้สื่อทำลายข่าว และทุกคนต่างก็ดิ้นรนเพื่อให้ได้พาดหัวข้อข่าว

แม่นมหลิวและลุงจางตื่นขึ้นมาตอนเช้า ก็พบกับเรื่องราวผิดปกติ จึงโทรหาหนิงเส่าเฉิน หนิงเส่าเฉินก็บอกให้พวกเขาเพิกเฉยไปซะ เมื่อนักข่าวถามคำถามก็ตอบไปว่าไม่แน่ใจก็ได้

เกาเหวินโทรหาหนิงเส่าเฉินอยู่หลายครั้ง แต่หนิงเส่าเฉินก็ไม่รับ

เธอโทรไปหาพ่อเกา ทว่าปิดเครื่อง กลุ้มใจเล็กน้อยว่าทำไมช่วงนี้พ่อปิดมือถือบ่อยๆ

"ประธานเกา ประตูด้านหน้าด้านหลังของSMมีนักข่าวมาล้อมรอบเต็มเลย เราจะออกไปยังไม่ได้" ผู้ช่วยโทรหาเกาเหวิน

เกาเหวินกระวนกระวายใจ แต่ไม่กล้าออกไปจากบ้านแม้แต่ครึ่งก้าว

มองบนหน้าจอมือถือ ปรากฏคนสามคนอยู่ที่หนิงกรุ๊ป เกาเหวินก็กัดเล็บไม่หยุด หวาดกลัว ไม่รู้จะจัดการอย่างไร ตื่นตระหนก พลังด้านลบท่วมท้นพุ่งมาใส่เธอ

"คุณเกา กรุณาออกมาอธิบายกับเราหน่อย ว่าท้ายที่สุดแล้วคุณเป็นมือที่สามใช่ไหม? " ในฉับพลัน เสียงก็ดังขึ้นราวกับว่าอยู่ข้างๆ หู

เกาเหวินยืนอยู่บนชั้นสองและเปิดผ้าม่านเพื่อมองไปที่ชั้นล่าง นักข่าวพวกนี้บ้าไปแล้วเหรอ คาดไม่ถึงว่าจะเอาโทรโข่งมาพูดอยู่ที่นั่น

เธออดไม่ได้ที่จะมองไปรอบๆ ที่พักอาศัยตรงนี้มีแต่คนมีหน้ามีตา นักข่าวมาพูดอย่างนี้ ถึงแม้เรื่องราวจะไม่ได้เป็นแบบนี้ พอพูดมากๆ ก็ทำให้คนเกิดความสงสัยได้

"คุณอย่าพูดไร้สาระ ฉันกับคุณชายหนิงเป็นคู่รักกันมาตั้งแต่เด็กๆ ผู้หญิงคนนั้นเป็นมือที่สาม" ท้ายที่สุด เกาเหวินอดไม่ได้ที่จะเปิดหน้าต่างแล้วตะโกนกลับไป

ไฟแฟลชเริ่มถ่ายภาพเกาเหวินอย่างบ้าคลั่ง

"ถ้าคุณไม่ใช่มือที่สาม แล้วทำไม คุณชายหนิงถึงได้ไปมีลูกชายกับผู้หญิงคนอื่นได้ แล้วหลังจากนั้นไม่กี่ปีคุณถึงได้แต่งงานกับเขา? อีกอย่างเด็กคนนั้นก็อยู่ด้วยกันกับประธานเย่ แล้วก็คุณชายหนิง ทำไมคุณยังเลือกที่จะอยู่ด้วยกันกับเขา คุณจะอธิบายว่าอย่างไร? "

เกาเหวินฟังถึงตรงนี้ สีหน้าก็เปลี่ยนไป หัวใจเย็นชา ไม่กี่ปีก่อนหน้านี้ ถึงแม้ทั้งสองคนจะไม่ได้อยู่ด้วยกัน แต่หนิงเส่าเฉินก็นับว่าดูแลเธออย่างดี

แต่ครั้งนี้ เห็นได้ชัดมากว่าคุณชายหนิงแจ้งให้คนอื่นมาทำ มิเช่นนั้นนักข่าวเหล่านี้จะกล้าถือดีแบบนี้เหรอ

เพียงแต่เธอก็สงสัย หลายปีมานี้ของตนเอง ก็นับว่าทำตัวเหมาะสมสงบเสงี่ยมเจียมตัว เธอไม่เข้าใจจริงๆ ว่าเกิดปัญหาอะไรขึ้น จู่ๆ จึงทำให้หนิงเส่าเฉินทำกับเธออย่างนี้

หรือว่าจะเป็นเพราะผู้หญิงคนนั้น?

นึกถึงตรงนี้ แววตาก็เยือกเย็น ได้ คุณไม่ทำดีกับฉัน ฉันก็จะทำให้คุณไม่สบายใจเช่นกัน

นึกถึงตรงนี้แล้วจู่ๆ เธอก็หันกลับ หยิบมือถือบนเตียงของตนเอง แล้ววิ่งลงชั้นล่างไป

ลุกขึ้นยืน เรียวแขนยาวของหนิงเส่าเฉินยื่นไปหยิบมือถือบนโต๊ะมา นิ้วเรียวยาวเลื่อนบนจอไปมาสองสามครั้ง จากนั้นก็นำมาไว้ข้างๆ หูของเย่หลิน "ฟัง"

"ประธานหนิง……” เป็นเสียงของประธานหวังคนนั้น

"วันนี้คุณเย่คนนั้นนำเอกสารสัญญามาหาฉัน ประธานหนิง พูดกับคุณอย่างไม่ปิดบังเลยนะ เธอมีความจริงใจมาก ราคาที่เสนอก็ต่ำเช่นกัน ประสบการณ์ในบริษัทของเธอก็มากมาย และฉันยังโทรหาเพื่อนร่วมงานอีกสองสามคน ก็ประเมินค่าให้บริษัทเธอสูงมาก พูดตามความจริง ตามหลักการและเหตุผล ประธานหนิง ฉันอยากร่วมงานกับเธอ แต่ว่าภรรยาคุณทางด้านนั้น ไม่เป็นไรจริงๆ ใช่ไหม? "

วางมือถือลง เย่หลินก็ยิ้มขึ้นมา "ประธานหวังคนนั้น พูดอย่างนี้จริงๆ เหรอ? " เย่หลินตั้งใจลากประโยคสุดท้ายให้ยาวขึ้น แต่ก็มองออก อารมณ์ดีขึ้นมากอย่างเห็นได้ชัด

"ทั้งสามคนโทรหาฉัน ประหลาดใจมาก กับความจริงใจของคุณ" หนิงเส่าเฉินพูดจบ ก็เดินอ้อมโซฟา นั่งลงข้างๆ เย่หลิน ต่อจากนั้น ก็ดึงเข้ามาในอ้อมกอดของเขา แล้วก้มลงมาจูบที่หน้าของเธอ "บอกฉันสิ ว่าทำไมต้องร่างสัญญาใหม่อีก? ราคาก่อนหน้า พวกเขาก็เห็นด้วยแล้ว ฉันก็แปลกใจมากว่าทำไมคุณต้องลดราคาลงด้วย"

ได้ยินเขาถามแบบนี้ ใบหน้าของเย่หลินก็ภาคภูมิใจอย่างมาก "คุณคิดว่า ฉันแค่ต้องการแก้แค้นเกาเหวินเท่านั้นใช่ไหม? ถ้าแค่ต้องการจะแก้แค้นเธอ ให้คุณลงมือก็พอ ฉันรักอาชีพนี้จริงๆ ฉันอยากทำด้วยใจ ถึงแม้ว่าราคาที่พวกเขาให้มาก่อนหน้านั้น เห็นได้ชัดว่าผลกำไรมากกว่า แต่ว่าเงินประเภทนั้นได้กำไร เพียงแค่ชั่วคราว แต่ฉันอยากจะร่วมมืออย่างถาวร หลังจากนั้นค่อยจัดการแก้แค้นเธอก็เท่านั้น! "

มือใหญ่ลูบลงบนหน้าของเย่หลิน เย่หลินได้ยินชายคนนั้นถอนหายใจ : "เย่หลินของฉัน ดีมากๆ เลย! "

เขากล่าวชื่นชมจากใจจริง

เขาทำธุรกิจมา ถึงแม้จะมีกลอุบายที่เลวร้าย แต่ก็ไม่เคยเลือกปฏิบัติกับใคร

ขอเพียงแต่ไม่ทำผิดต่อเขา เขาก็ไม่เคยทำเลวทรามกับใคร แต่ไหนแต่ไรเงินกำไรของตนเอง ก็เป็นผลกำไรที่เขาควรจะได้รับ และความซื่อสัตย์ ยืนหยัดมุ่งมั่นเช่นนี้ จึงได้มีหนิงกรุ๊ปในวันนี้

แต่สำหรับบริษัทSM นับตั้งแต่ส่งมอบให้เกาเหวิน เขาก็เลิกยุ่งเกี่ยวกับกิจการทั้งหมดของเธอ สองสามปีนี้ SMอยู่ในมือเธอ ตลอดมาก็ไม่มีการปรับปรุง ถ้าไม่ใช่ว่าเขาปูทางอยู่ด้านหลังเธอ เกรงว่าSMก็จบสิ้นไปแล้ว

ก่อนหน้านี้ เขาไม่ได้ให้ความสนใจกับเธอมากนัก ไม่ได้สนใจว่าSMจะทำกำไรได้หรือไม่ จนกระทั่งเกิดเรื่องราวของเย่หลิน เขาก็ให้หลิวซูตรวจสอบบางเรื่องของSM เขาจึงพบว่าเกาเหวินคนนี้ จิตใจไม่ได้บริสุทธิ์จริงๆ เธอทำธุรกิจจะพูดถึงแค่ผลลัพธ์ ไม่พูดถึงขั้นตอน ธุรกิจมากมายของเธอก็ได้มาด้วยกลอุบาย

เป็นเวลานานแล้วที่ธุรกิจย่ำแย่ลง จนถึงขั้นที่หลายปีมานี้SM ไม่ได้ปรับปรุงอะไรเลย

เวลานี้ก็มองไปที่ผู้หญิงคนนี้ที่อยู่ข้างๆ เขาก็เข้าใจมันได้ในชั่วพริบตา ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจหรือคน การมีน้ำใจ จริงๆ ก็ไม่ได้แย่เกินไป มิเช่นนั้น บริษัทซีเอกซ์ในมือเธอ จะไม่เพียงแค่ผ่านไปสองสามปีแล้วประสบความสำเร็จจนมีวันนี้ได้

อดไม่ได้ที่จะประทับใจเย่หลินในใจเขาอีกครั้ง

"เช่นนั้นคุณเย่ ไม่ควรจะให้รางวัลหน่อยเหรอ? "

"รางวัล? " เย่หลินหันกลับไปมองหนิงเส่าเฉิน คิดเล็กน้อย ก็หอมแก้มเขา แล้วลุกขึ้น "เอาล่ะ ตอนนี้คุณก็บอกได้แล้ว ว่าตอนนี้คุณให้ฉันมาทำอะไ? "

หนิงเส่าเฉินเล่นๆ มือที่อ่อนนุ่มของเธอ "เดี๋ยวสิ เสี่ยวซีกำลังมา"

"ห้ะ เสี่ยวซี? คุณให้เขามาที่นี่ทำไม? " เย่หลินไม่เข้าใจ ตามที่เธอรู้ หนิงเส่าเฉินไม่เคยให้หนิงเสี่ยวซีมาที่บริษัทเลย

ที่สำคัญสถานะและรูปลักษณ์ภายนอกของหนิงเสี่ยวซีก็มีการปกป้องคุ้มครอง

ถ้าไม่ได้รับอนุญาตจากเขา ไม่มีสื่อใดกล้าตีพิมพ์ภาพของเสี่ยวซีได้ตามอำเภอใจ

จนถึงขั้นที่ทุกคนรู้ว่า เขามีลูกชาย แต่ไม่มีแม่ของลูก แต่ไม่มีคนรู้ว่า เด็กคนนี้หน้าตาเป็นอย่างไร?

แต่วันนี้คืออะไร?

เป็นอย่างที่คาดไว้ หนิงเสี่ยวซีในเวลาไม่ถึง 10 นาที ก็มาปรากฏตัวตรงหน้าเย่หลิน

"พ่อ แม่"

วันนี้หนิงเสี่ยวซีสวมชุดเหมือนกันกับเย่หลินในวันนี้ เสื้อสูทสีเทาและกางเกงสูท ดูเป็นทางการ เดิมทีหนิงเสี่ยวซีก็รูปร่างหน้าตาดีมากอยู่แล้ว พอแต่งตัวแบบนี้ก็ยิ่งดูดีขึ้นไปอีก

ชุดนี้ เป็นชุดที่เธอซื้อให้เขาตอนอยู่ต่างประเทศ ในตอนนั้นเขาไม่ยอมใส่ บอกว่ามันเป็นทางการเกินไป แล้ววันนี้คืออะไร?

"เอาล่ะ เราไปกันเถอะ" หนิงเส่าเฉินมองไปที่คนทั้งสองสักพัก ก็เอ่ยพูด

ลุกขึ้นไปเก็บของบนโต๊ะเล็กน้อย แล้วเดินไปตรงหน้าเย่หลิน โอบเอวของเธออย่างเป็นปกติอย่างมาก

เย่หลินกัดริมฝีปาก แล้วเดินออกจากอ้อมแขนเขา "คุณบ้าไปแล้ว นี่อยู่ที่บริษัทคุณนะ"

หนิงเส่าเฉินออกแรงดึงเธอกลับมา "ไม่ใช่ว่าคุณต้องการจะแก้แค้นเหรอ? คุณสำรวมแบบนี้ แล้วปีไหนเดือนไหนเธอจะถูกทำให้หัวเสียได้ล่ะ? "

น้ำเสียงทุ้มๆ พูดข้างๆ หูอย่างไร้ความปรานี

เย่หลินอดไม่ได้ที่จะกลืนน้ำลาย ไม่เข้าใจว่าหนิงเส่าเฉินต้องการจะทำอะไรในวันนี้ แต่ก็ไม่ได้ขัดขืนอีก

เวลานี้เป็นเวลาเลิกงานในตอนเย็น หนิงเส่าเฉินน่าจะจงใจให้รถจอดอยู่ที่ชั้นใต้ดิน เขาพาเธอและหนิงเสี่ยวซีเดินเข้าไปในห้องโถงใหญ่

อีกทั้งยังจงใจที่จะก้าวเดินอย่างช้าๆ

"หนิงเส่าเฉิน คุณสารภาพมาตรงๆ นี่คือคุณกำลังจะทำอะไร? "

"ไม่ต้องพูดหรอก อีกสักครู่คุณก็จะเข้าใจ"

ตลอดทางไม่ว่าจะไปที่ไหน ก็จะมีเสียงประหลาดใจและเสียงวิพากษ์วิจารณ์

"พวกคุณดูเร็ว นั่นคือลูกของประธานหนิงใช่ไหม? ว้าว หน้าตาดีจริงๆ "

"แต่ว่าผู้หญิงคนข้างๆ คือใครอะ? สวมชุดเหมือนกับลูกชายของประธานหนิงเลย หน้าตาก็เหมือนกันด้วย……เป็นแม่ของหนิงเสี่ยวซีใช่ไหม? ฉันได้ยินมาว่า ตอนหนิงเสี่ยวซีเกิด แม่ก็ไม่อยู่แล้ว"

"คุณอย่าบอกนะว่าเป็นอย่างนั้นจริงๆ "

"คุณว่า ผู้หญิงคนนี้เป็นคนแรกของประธานหนิง? เช่นนั้นประธานเกาก็เป็นมือที่สามเหรอ? ถึงอย่างไรหนิงเสี่ยวซีก็เกิดมาก่อน หลังจากพวกเขาก็มาแต่งงานกัน"

ก่อนหน้านี้ที่เย่หลินไม่เข้าใจความหมายของหนิงเส่าเฉิน แต่หลังจากที่ผู้คนพูดประโยคเหล่านี้ เธอก็เข้าใจได้ทันที

มองหนิงเส่าเฉินอย่างเหลือเชื่อ

อดไม่ได้ที่จะนับถือไอคิวที่สูงของเขา

เขาใช้ความแตกต่างระหว่างอายุของหนิงเสี่ยวซีกับช่วงเวลาที่เขาแต่งงานกับเกาเหวิน มาเพื่อให้ทุกคนมีช่องว่างในการจินตนาการ คนเหล่านั้นก็จะแต่งเรื่องราวความรักที่สวยงามขึ้นมาทุกรูปแบบอย่างแน่นอน

เช่นคลอดลูกแล้วก็ถูกบีบบังคับให้ออกไปเป็นต้น……

และหนิงเสี่ยวซีเป็นเกาเหวินเองที่ให้"สร้างขึ้นมา" แม้ว่าเธอจะเข้าใจความสัมพันธ์ของพวกเขาในตอนนี้ ก็น้ำท่วมปากพูดไม่ออก แม้แต่จะอธิบายเธอก็ไม่กล้า

หนิงเส่าเฉินต้องการใช้ประโยชน์จากอายุของหนิงเสี่ยวซี เพื่อปิดปากทุกคน

แล้วเปิดเผยตัวตนให้เธออย่างตรงไปตรงมา

ถึงอย่างไรถ้าเธอให้กำเนิดหนิงเสี่ยวซีก่อน แล้วหนิงเส่าเฉินกับเกาเหวินมาแต่งงานกันทีหลัง เช่นนั้นชะตากรรมของเธอกับเกาเหวิน มันแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง

เธอไม่เพียงแต่ไม่ได้เป็นเมียน้อย บางทีอาจจะพลิกเบี้ยล่างกลายเป็นเบี้ยบน

นึกถึงตรงนี้ เธอก็อดไม่ได้ที่จะมองไปที่หนิงเส่าเฉิน ไอคิวนี้ของเขา !!!!

เช้าวันรุ่งขึ้น เย่หลินถูกปลุกโดยสายของชูหยูจี้

"ฮัลโหล คุณเย่คนดัง นี่คุณต้องการพาบริษัทของคุณ ไปดังชั่วข้ามคืนเลยเหรอ? "

เย่หลินนวดๆ ตา "คุณพูดอะไร? "

"คุณมีชื่อเสียงแล้ว คุณหยิบมือถือมาดูพาดหัวข้อข่าวเว็บไซต์หลักสิ เพียงแต่คนที่ออกความคิดนี้ แน่นอน……ยิงปืนนัดเดียวได้นกสามตัวเลย! "

มองไปอาคารที่คุ้นเคยตรงหน้าคุณ มองเด็กโตคนหนึ่งเด็กเล็กคนหนึ่งข้างๆ ใจของเย่หลิน ก็เด็ดเดี่ยวมั่นคงอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน สถานที่ที่เคยทำให้เธอลังเลทำอะไรไม่ถูก หลังจากนี้ไปเธอต้องหยั่งรากลึกอยู่ที่นี่ โดยไม่สนใจว่าเธอจะเผชิญหน้ากับอะไร

"พ่อ……” พร้อมกับเสียงเรียกของเย่เสี่ยวโม่ เย่หลินก็เงยหน้าขึ้น ก็เห็นหนิงเส่าเฉินเดินมาทางพวกเขา

ใบหน้าที่องอาจผึ่งผาย ชัดเจนและเป็นสามมิติ แววตาลึกซึ้ง ระหว่างท่าทางนั้นมีการแสดงออกอย่างเป็นธรรมชาติ ในสนามบินมีคนมากมาย เพียงแค่เหลือบมองก็สามารถจำเขาได้

เห็นเขาก้มลง นำเย่เสี่ยวโม่ที่วิ่งอยู่มาไว้ในอ้อมกอด ตบๆ ไหล่หนิงเสี่ยวซี แล้วเดินไปข้างๆ เย่หลิน โอบเอวของเธอ "เหนื่อยไหม? "

เย่หลินส่ายหัว กลัวว่าเขาจะเหนื่อยล้าเกินไป จึงบ่นพึมพำว่า : "บอกแล้วไง ว่าคุณไม่ต้องมารับ ทำไมคุณยังมาอีก? "

"ฉันอดทนไม่ไหว โอเคไหม? "

เย่หลินเม้มปาก แล้วยิ้มพยักหน้า "โอเค"

หลังจากขึ้นรถ เห็นหลิวซูไม่ได้ขับไปตำแหน่งที่ตั้งครั้งที่แล้ว เย่หลินจึงหันไปมองหนิงเส่าเฉิน

"ต่อไปนี้เสี่ยวซีกับเสี่ยวโม่จะอยู่ด้วยกันกับคุณ ฉันจึงเปลี่ยนบ้านให้ใหญ่ขึ้นสักหน่อย" น้ำเสียงแหบทุ้มของเขาดังขึ้นข้างๆ หูขอเย่หลิน

เธอเบียดไปข้างๆ เขา ยิ้มตาหยีมองเขา "แล้วคุณล่ะ? เตรียมจะมาอยู่ด้วยกันกับครอบครัว หรืออยู่กับเมียน้อย? "

หนิงเส่าเฉินขมวดคิ้วแน่น "อย่าพูดเรื่องไร้สาระ! "

เห็นคฤหาสน์ที่โอ่อ่าหรูหราตรงหน้า เย่หลินก็สงสัยว่าความสามารถในการเข้าใจของตนเองมีปัญหาหรือเปล่า?

หนิงเส่าเฉินบอกว่าใหญ่ขึ้นสักหน่อย แต่นี่มันใหญ่กว่าตั้งกี่เท่า?

วิวทะเลที่สุดลูกหูลูกตา สระว่ายน้ำติดกับคฤหาสน์ ทิวทัศน์ข้างนอกที่สวยงาม เพียงแค่ดูรูปลักษณ์ภายนอกก็หรูหราและงดงามซึ่งทำให้ผู้คนรู้สึกเหมือนฝันไป

หลังจากเดินหนึ่งรอบ เย่หลินก็นับได้คร่าวๆ คฤหาสน์นี้มี 7 ห้องนอน ห้องน้ำ 8 ห้อง หิ้งเหล้าใต้ดิน ห้องอาหาร ห้องดูหนัง ห้องออกกำลังกาย……

ไม่เพียงแต่ทอดถอนหายใจกับความมั่งคั่งของหนิงเส่าเฉินที่ทำให้ตกใจ ยังประทับใจกับความใส่ใจของเขาด้วย

"ต่อจากนี้ไป นี่คือบ้านของเรา ชอบไหม? "

พร้อมกับสองแขนของหนิงเส่าเฉินที่โอบเอวเธอไว้ฉับพลันความอบอุ่นก็แพร่กระจายตามมา

เย่หลินยิ้มอย่างอ่อนโยน "ขอเพียงแค่มีพวกคุณสามคนอยู่ ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน ฉันก็ชอบหมดแหละ"

หลังจากกำหนดสถานที่อยู่อาศัยแน่นอนแล้ว

ต่อมาก็เป็นเรื่องของบริษัท

"ประธานเย่ คุณแน่ใจนะว่าต้องการเลือกให้บริษัทอยู่ถัดจากSM? "

อู่เล่อเล่อบ่นพึมพำ "จะสู้ไหวเหรอ? "

เย่หลินมองคำว่าSMสองคำนั้น ความทรงจำมากมายก็เอ่อล้นเข้ามาในสมอง

"อาคารหลังนั้นฉันเคยไปสอบถามมาแล้ว ค่าเช่าเมื่อเทียบกับอาคารขนาดใหญ่ข้างๆ แล้วเป็นเพียงแค่เศษเสี้ยว เราปรับปรุงตกแต่งเล็กน้อย หลังจากที่ลดค่าเช่าได้แล้ว สำหรับลูกค้าเราก็สามารถลดราคาได้อย่างเหมาะสม" เธอชี้ไปที่อาคารใหญ่สามชั้นห้าห้องข้างๆ SMนั่น

อู่เล่อเล่อมองตามเธอไปที่อาคารหลังนั้น สภาพภายนอกดูเหมือนว่าผ่านมาหลายปีแล้ว อีกทั้งยังทรุดโทรมอย่างเห็นได้ชัด เมื่อเทียบกับบริษัทSMที่ตั้งเด่นสูงตระหง่านอยู่ข้างๆ

เพียงแต่ขอแค่มีฝีมือในการตกแต่งและปรับปรุง ก็สามารถทำให้คนรู้สึกได้ว่าไม่แตกต่างกัน

และค่าเช่าเมื่อเทียบกับSMแล้ว ก็แตกต่างกันราวกับฟ้าและดิน

นึกถึงตรงนี้ เธอก็อดไม่ได้ที่จะมองไปที่เย่หลิน

"ได้ เช่นนั้นฉันจะไปหาบริษัทออกแบบตกแต่งมาสักสองสามแห่ง รอให้จัดวางแบบแผนออกมา แล้วจะส่งให้คุณดู"

อู่เล่อเล่อพูดจบ ก็กำลังจะออกไป เย่หลินก็เรียกเธอไว้ "นอกจากเราจะเตรียมดึงดูดคนทางด้านนั้นมาแล้ว คุณก็ไปค้นหาบริษัทที่มีความสามารถจากSMมาด้วย แล้วฉันจะส่งใบรายชื่อให้คุณในภายหลัง"

อู่เล่อเล่อมองเย่หลิน เห็นได้ชัดว่าเป็นคนที่คุ้นเคย แต่เธอกลับรู้สึกเหมือนเป็นคนแปลกหน้า

ในภาพความทรงจำ เย่หลินไม่เคยเหยียดหยามทำเรื่องเหล่านี้ แต่เรื่องนี้ เธอก็แค่เก็บไว้ในใจเท่านั้น

"สองสามวันนี้คุณก็ตามฉันไปที่บริษัทเหล่านั้นก่อน ทยอยวิ่งไปเพื่อที่จะพยายามดำเนินการเซ็นสัญญาข้อตกลงก่อน"

อู่เล่อเล่อไม่เข้าใจ : "แผนความร่วมมือนั้น กำหนดไว้แล้วไม่ใช่เหรอ? ทำไมคุณยังต้องวิ่งไปอีก? "

เย่หลินเพียงแค่ยิ้มแต่ไม่พูดอะไร!

เย่หลินมาที่บริษัทโมเดลลิ่งเป็นคนแรก แตกต่างจากการจับจดของบริษัทSM บริษัทโมเดลลิ่งแห่งนี้ อยู่ในและต่างประเทศ มีชื่อเสียงอย่างมาก โมเดลลิ่งภายใต้การบริหารของบริษัท มักจะปรากฏในการแข่งขันใหญ่ๆ ระดับนานาชาติ

"สวัสดีค่ะ ประธานหวัง ฉันคือเย่หลินจากบริษัทซีเอกซ์ ก่อนหน้านี้ที่บริษัทคุณเคยส่งเอกสารสัญญาข้อตกลงมาให้ฉัน……” เย่หลินพูดแล้ว ก็นำสัญญาออกจากในแฟ้ม

ประธานหวังคนนั้น อายุประมาณสี่สิบ สูง 180 กว่า ดูแลร่างกายดีมาก ก่อนหน้าที่เย่หลินจะมา ก็ได้ดูข้อมูลของเขาแล้ว ก่อนหน้านี้เขาก็เป็นนายแบบมาก่อน

ประธานหวังไม่ได้รับเอกสารสัญญาในมือของเย่หลิน เพียงแค่มองพิจารณาเธออย่างมาใส่ใจ ผลักเอกสารสัญญานั้นแล้วพูดว่า : "ไม่ต้องดูหรอก คุณเป็น……เพื่อนของคุณชายหนิง ใช่ไหม? คุณมีความเกี่ยวข้องกับหนิงเส่าเฉิน เราก็ไว้ใจแล้ว"

เย่หลินขมวดคิ้ว พยักหน้า ในคำพูดของประธานหวังคนนี้ ทำให้เธอรู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย

"เช่นนั้นก็โอเคแล้ว กลับไปเถอะ เอกสารสัญญารอให้คุณร่างให้เสร็จ แล้วเอามาให้ฉันเซ็นก็ได้"

พูดจบก็ลุกขึ้น จะกลับโต๊ะทำงานตรงหน้า โดยไม่สนใจเย่หลินอีก

เย่หลินคิดจะพูดอะไร เขาก็โบกไม้โบกมือ "เอาล่ะๆ คุณชายหนิงพูดแล้ว เราก็เข้าใจแล้ว คุณวางใจแล้วกลับไปเถอะ"

สิ่งที่เขาหมายถึงก็คือ ในเมื่อทำให้คุณหมดแล้ว คุณยังจะมาเสแสร้งแกล้งทำอะไรอีก?

การทำแบบขอไปทีของเขา ทำให้การหยิ่งในศักดิ์ศรีของเย่หลินได้รับผลกระทบอย่างมาก

เธอคิดๆแล้ว ก็นำเอกสารนั้นผลักไปตรงหน้าประธานหวังอีกครั้ง "ถ้าประธานหวัง รู้จักคุณชายหนิง เช่นนั้นประธานหวังก็น่าจะลองไปที่บริษัทSM เพราะนั่นคือบริษัทของเขา"

พูดจบ ก็นำเอาสัญญาอีกฉบับออกจากแฟ้ม ส่งให้เขา "อีกอย่างหนึ่ง นี่คือความบริสุทธิ์ใจในความสัญญาข้อตกลงของบริษัทเราและเป็นศักยภาพของบริษัทเรา ประธานหวังไม่ต้องเห็นแก่หน้าตาของคุณชายหนิง จนต้องร่วมมืออย่างไม่เต็มใจ สามารถดูเอกสารสัญญาก่อนได้ ถ้าพอใจ ก็ติดต่อกับเรา ถ้าไม่พอใจ ก็กรุณาอย่าฝืนใจ บริษัทซีเอกซ์ของเรา ไม่ใช่ต้องการความสัมพันธ์เพื่อให้บริษัทอยู่รอด"

พูดจบ เธอก็หันกลับออกจากประตูบานนั้นไป

เห็นได้ชัดว่าประธานหวังคนนั้นรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย กับปฏิกิริยาของเย่หลิน กลืนๆ น้ำลาย แล้วนำเอกสารสัญญานั้นบนโต๊ะออกมา หลังจากที่อ่านแล้ว ก็อดไม่ได้ที่จะเข้าใจในทันที

เย่หลินไปบริษัทอีกสองแห่ง ผลลัพธ์ก็เป็นเหมือนกันอย่างไม่ต้องสงสัย เธอก็ทำกลับไปเหมือนเดิม

แม้จะมีหนิงเส่าเฉินชักใยอยู่เบื้องหลัง เรื่องราวจึงได้ง่ายดายอย่างมาก แต่เย่หลินก็ไม่อยากใช้วิธีนี้เพื่อก่อตั้งบริษัทซีเอกซ์ขึ้นมา

ฉะนั้นหลังจากที่วิ่งไปสองสามบริษัท เธอก็อารมณ์เสียอย่างมาก

"กริ๊ง……” เสียงมือถือดังขึ้น เธอมองดูแล้ว เป็นโทรศัพท์ของหนิงเส่าเฉินจึงรับสาย

"ถ้าจัดการเรื่องราวดีแล้ว ก็มาที่สำนักงานฉัน"

เย่หลินทำเสียง"อืม" แล้วโบกรถไปที่หนิงกรุ๊ป

"ดูเหมือนว่า จะไม่ค่อยดีใจเลยนะ ใครทำให้คุณขุ่นเคืองล่ะ? " เย่หลินนั่งอยู่บนโซฟา ชายคนนั้นใช้สองมือค้ำพนักพิงโซฟา แล้วก้มลงถามอย่างอ่อนโยน

"คนเหล่านั้น เดิมทีก็เป็นเพราะคุณ พวกเขาจึงได้ร่วมมือกับบริษัทซีเอกซ์ หนิงเส่าเฉิน ถ้าเป็นอย่างนี้ ฉันจะต้องลำบากแบบนี้ไปทำไมกัน? ฉันก็อยู่บ้านให้คุณเลี้ยงดูไม่ดีกว่าเหรอ"

ใบหน้าเล็กๆ ของเธอเป็นเพราะว่าโกรธ จึงได้แดงขึ้นมา

หนิงเส่าเฉินขมวดคิ้ว หรี่ตาลงเล็กน้อย แล้วพูดออกมาว่า : "จะให้คุณฟังบางสิ่งบางอย่าง แล้วคุณค่อยตัดสินใจว่าจะยังโกรธอยู่ไหม"

วางมือถือลง เย่หลินขมวดคิ้วแน่น นึกถึงเกาไห่ รู้สึกกังวลใจเล็กน้อย

ไม่รู้ว่า การกลับเมืองC เขาจะเต็มใจหรือไม่

เพราะในใจมีปัญหา ใจเธอจึงไม่ค่อยอยู่กับงาน บังเอิญตอนบ่ายงานไม่เยอะมาก เธอจึงกลับบ้านก่อนเวลา

ยังไม่ทันเข้าบ้าน ก็ได้ยินเสียงหัวเราะอย่างมีความสุขของเย่เสี่ยวโม่และเสียงตำหนิของหนิงเสี่ยวซี

นี่คล้ายกับ"หัวใจสำคัญ"ของบ้านพวกเขาในช่วงนี้

ผลักประตูเข้าไป

"แม่ ทำไมคุณถึงกลับมาเร็วแบบนี้ล่ะ? " เย่เสี่ยวโม่เห็นเธอเป็นคนแรก

การแสดงออกของหนิงเสี่ยวซีไม่ค่อยชัดเจน "แม่"

"เย่เสี่ยวโม่ คุณดื้ออีกแล้วใช่ไหม เมื่อกี้ฉันอยู่ข้างนอกได้ยินพี่ชายคุณอบรมคุณ" เย่หลินพูดพลางเดินไปยังห้องน้ำเพื่อล้างมือ เมื่อออกมา

ก็เห็นเย่เสี่ยวโม่ก้มหน้า ยืนเรียงแถวกับหนิงเสี่ยวซี

"มันเกิดอะไรขึ้น? "

"แม่ คุณดูผลงานชิ้นเยี่ยมของเย่เสี่ยวโม่สิ! " หนิงเสี่ยวซีชี้ไปทางด้านขวามือ

เย่หลินหันหน้าไป ก็เห็นใบหน้าของเกาไห่ที่เต็มไปด้วยรอยปากกาสีดำสีแดง วาดจนเละเทะไปหมด เห็นเธอมองเขา ก็ก้มหน้าอย่างรู้สึกอายเล็กน้อย

เย่หลินปิดปาก อยากจะหัวเราะ ในทันทีก็ต้องอดกลั้นเอาไว้ ทำสีหน้าเย็นชา มองไปยังเย่เสี่ยวโม่ "เสี่ยวโม่ ทำไมคุณถึงเอาปากกาไปวาดบนใบหน้าของคุณลุงจนเละเทะขนาดนั้นล่ะ? "

เย่เสี่ยวโม่เบ้ปาก "คุณลุงก็ไม่ได้บอกว่าวาดไม่ได้นี่? "

เย่หลินเคาะที่บนหน้าผากของเธอเล็กน้อย "คุณนี่นะ รู้จักแกล้งคุณลุงของคุณด้วย"

พูดพลาง เดินไปยังห้องน้ำ นำผ้าขนหนูชุบน้ำ แล้วเดินไปข้างโซฟา โน้มตัวลง เตรียมจะเช็ดหน้าให้เกาไห่

บนขนหนูที่อยู่ในมือก็ถูกดึงไป

"ฉันทำเอง"

เย่หลินนิ่งอึ้งไป มือค้างอยู่กลางอากาศ แล้วค่อยๆ ดึงกลับ

พอหลังจากเกาไห่เช็ดหน้าจนสะอาดแล้ว เห็นเย่หลินยังจ้องมองเขาอยู่ จึงอดไม่ได้ที่จะหยิบหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งขึ้นมา ปิดบังใบหน้าของตนเอง

เย่หลินเห็นเช่นนี้ จึงยื่นมือไปดึงหนังสือพิมพ์ในมือของเขาลง แล้วเอ่ยปากว่า: "พี่ เรากลับเมืองC ไปด้วยกัน ดีไหม? "

พูดจบ เธอก็มองเกาไห่อย่างเป็นกังวล กลัวอย่างมากว่า เขาจะปฏิเสธ

ถึงแม้การกลับไปเมืองC จะเป็นความต้องการของเธอก็ตาม แต่เธอคิดว่า หากเกาไห่ได้กลับไป อย่างน้อยก็แสดงให้เห็นว่า เขาสามารถเผชิญหน้ากับอดีตได้

คนที่กล้าเผชิญหน้ากับอดีตเท่านั้น ถึงจะสามารถมีอนาคตที่ดีได้ เขายังหนุ่มยังแน่นแบบนี้ เธอหวังว่าเขาจะมีชีวิตที่ดี

สีหน้าของเกาไห่ เปลี่ยนไปเล็กน้อย ตอนแรกกดดัน แล้วก็ผ่อนคลาย แล้วก็กดดัน ในความคิดของเย่หลิน เขาจะต้องปฏิเสธอย่างแน่นอน

แต่เขากลับเอ่ยปากว่า "โอเค"

เย่หลินโล่งอก ยกมุมปากยิ้ม ยืดตัวขึ้นเตรียมจะเดินไป เกาไห่ดึงมือเธอเอาไว้ "คุณเกลียดเธอใช่ไหม? "

ร่างกายเย่หลินสั่นเล็กน้อย เธอถอยหลังไปสองก้าว แล้วนั่งลง มองเกาไห่ "เธอที่คุณพูด คือเกาเหวินเหรอ? "

เกาไห่พยักหน้า

เย่หลินแปลกใจเล็กน้อย เกาไห่เริ่มพูดกับเธอ คาดไม่ถึงว่าจะพูดถึงเกาเหวิน

สีหน้าของเธอก็เคร่งขรึมในทันที แล้วเอ่ยปากว่า:

"ใช่ เกลียด! อีกอย่าง พี่ชายในเมื่อวันนี้คุณเอ่ยประเด็นสนทนานี้กับฉัน ฉันก็จะบอกคุณว่า ฉัน….ไม่มีทางปล่อยเธอไปแน่ เธอทำร้ายฉัน แล้วก็ทำร้ายคุณ…." เย่หลินพูดถึงเกาเหวินก็โมโหจนเจ็บปวดหัวใจ

นึกถึงพ่อของหนิงเส่าเฉินที่บอกให้เธออย่าบังคับให้หนิงเส่าและเกาเหวินหย่ากันแล้ว เธอก็ยิ่งอึดอัดใจจนสับสนอลหม่าน ใช่ เธอไม่สามารถบังคับได้ แต่ไม่ได้หมายความว่า เธอจะปล่อยเธอไป

แต่ไม่ว่าอย่างไรเธอก็คาดไม่ถึง กับประโยคต่อไปของเกาไห่

"ช่างมันไปได้ไหม? " เกาไห่ยังคงดึงมือของเธอไม่ปล่อย เย่หลินได้ยินประโยคนี้ ก็มองเกาไห่อย่างไม่อยากจะเชื่อ สลัดแขนของเขาออกด้วยความโมโห "พี่ คุณรู้ไหมว่าคุณกำลังพูดอะไรอยู่? มีสิทธิ์อะไรมาบอกว่าช่างมัน? "

ในทันที สีหน้าของเธอก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย "พี่ คุณอย่าคิดว่าคุณไม่บอกฉัน แล้วฉันจะไม่รู้อะไรเลยนะ"

เธอหันหน้ากลับ มองหนิงเสี่ยวซี "เสี่ยวซี คุณพาน้องไปเล่นข้างนอกก่อน ฉันกับคุณลุงจะคุยกันสักหน่อย"

หนิงเสี่ยวซีมองพวกเขาทั้งสอง พยักหน้า แล้วดึงเสี่ยวโม่ออกไปข้างนอก

เมื่อประตูถูกปิด

เย่หลินมองเกาไห่ "พี่ ทำไมเกาเหวินต้องขังคุณเอาไว้ในสถานที่นั้นด้วย? เพราะคุณรู้เรื่องราวอะไรของเธอใช่ไหม? "

วินาทีต่อมา เย่หลินก็มองเห็นถึงความหวาดกลัวที่ปรากฏภายในสายตา

เธอรู้ว่า ถ้าหากตนเองเดาถูก หลังจากรู้ว่าเกาเหวินขังเขาไว้ในสถานที่นั้น เธอก็เคยพูดคุยเรื่องราวเหล่านี้กับหนิงเส่าเฉินแล้ว

เกาไห่เป็นพี่ชายของเกาเหวิน คนทั้งสองอายุต่างกันไม่มาก ถึงแม้จะไม่ใช่พี่ชายและน้องสาวร่วมสายเลือด แต่ก็ใช้ชีวิตร่วมกันมาหลายปี คงเป็นไปไม่ได้ที่จะไม่มีความรักความผูกพัน แต่เกาเหวินปฏิบัติต่อเกาไห่แบบนี้ ต้องมีอะไรบ้างอย่างที่เกาเหวินกุมไว้ในมืออย่างแน่นอน

กลัวว่าหลังจากเขากลับไป หลังจากเขาฟื้นแล้ว จะทำอย่างไรกับเธอ?

"พี่ คุณบอกฉันมา ตกลงคุณรู้เรื่องอะไรของเธอ? เธอทำร้ายคุณจนกลายเป็นแบบทุกวันนี้ หรือว่าคุณยังต้องการที่จะปิดบังแทนเธอ? ผู้หญิงคนนั้นคือปีศาจร้าย เธอไม่มีหัวใจโดยสิ้นเชิง" เย่หลินยิ่งพูดก็ยิ่งโมโห นึกถึงเกาเหวินที่นำความเจ็บปวดมาให้คนที่อยู่ข้างกายเธอ เธอก็แทบอยากจะหยิบมีดมาฆ่าเธอ

จู่ๆ เกาไห่ก็ลุกขึ้นยืน มองเย่หลิน "ฉัน….ฉันไม่สบาย ฉันอยากจะไปนอนพักสักหน่อย" พูดจบ ก็รีบเดินขึ้นชั้นบนไปอย่างรวดเร็ว

"พี่ เธอเคยคิดที่จะฆ่าฉัน คนแบบเธอนี้ ถึงแม้ฉันจะเต็มใจปล่อยเธอไป เธอก็คงจะไม่ปล่อยฉันเอาไว้แน่ คุณเข้าใจไหม? " เธอตะโกนเสียงดังไปยังภาพด้านหลังนั้น

เกาไห่หยุดหยุดชะงักเล็กน้อย แต่ในที่สุดก็ไม่ได้หยุดเดิน

เมื่อกำหนดเรื่องการกลับประเทศเรียบร้อยแล้ว เย่หลินก็เริ่มรับช่วงต่อเรื่องราวนี้

อู่เล่อเล่อติดตามเธอมาหลายปี ระหว่างคนทั้งสองก็รู้จักกันดีอย่างมาก ครุ่นคิดครั้งแล้วครั้งเล่า เธอก็ยังตัดใจทิ้งให้เธออยู่ที่นี่ไม่ได้ หลังจากการขอร้องด้วยความคิดเห็นของเธอแล้ว เธอก็ตัดสินใจพาอู่เล่อเล่อกลับประเทศ

และที่นี่ ก็เหลือผู้อาวุโสระดับสูงสองสามคน เธอนำหุ้นหนึ่งในสามของตนเอง ให้กับรองประธานคนหนึ่งของทางด้านนี้ รองประธานคนนี้อายุราวๆ สี่สิบปี มีความซื่อสัตย์อย่างมาก เห็นเธอปฏิบัติด้วยความซื่อสัตย์ ก็ให้สัญญากับเธอว่า จะปฏิบัติตามปณิธานในตอนแรกของเธอ ทำธุรกิจของซีเอกซ์ในต่างประเทศให้ดี

ส่วนเกาไห่ หลังจากวันนั้นที่คนทั้งสองพูดคุยกัน เขาก็หลบเลี่ยงเธอทั้งเจตนาและไม่เจตนา หลายวันมานี้ ไม่ได้เห็นแม้แต่เงาของเขา

ในที่สุดก็มาถึงวันนี้ที่ต้องกลับประเทศ

ตอนเช้า เย่หลินยังหลับอยู่ หนิงเสี่ยวซีก็ปลุกเธอให้ตื่น นำจดหมายฉบับหนึ่งในมือส่งใส่ในมือของเธอ การแสดงออกดูเคร่งขรึมเล็กน้อย

"นี่คืออะไร? " เย่หลินขมวดคิ้ว

"คุณลุงไปแล้ว นี่คือสิ่งที่เขาให้ฉันเอามาให้คุณ"

การแสดงออกของเย่หลินแข็งทื่อไปในชั่วพริบตา เกาไห่ไปแล้ว? อาการป่วยของเขายังไม่หายดี เขาจะสามารถไปที่ไหนได้?

เธอเปิดจดหมายที่อยู่ในมือด้วยอาการสั่นเล็กน้อย หยิบกระดาษด้านในออกมา

ในจดหมายมีไม่กี่บรรทัด ใจความสำคัญคือ ที่จริงแล้วอาการป่วยของเขาหายดีตั้งนานแล้ว เพียงแค่อยากจะหาเหตุผลเพื่ออยู่ข้างๆ เธอ อยู่เป็นเพื่อนเธอในช่วงเวลาหนึ่ง เพื่อทำการฟื้นฟูสภาพจิตใจให้กลับมาเหมือนเดิม หลังจากเขาให้เธอกลับเมืองCแล้ว ไม่ต้องเป็นห่วงว่าเกาเหวินจะปฏิบัติต่อเขาอย่างไร เขาก็ไม่เต็มใจที่จะหลับเมืองC แค่อยากไปดูโลกที่กว้างใหญ่ใบนี้ด้วยตนเองอีกครั้ง รอให้คิดได้แจ่มแจ้งแล้ว เข้าใจแล้ว เขาจะกลับเมืองCไปหาเธอ ขอให้เธอรักษาสุขภาพด้วย

เย่หลินซื้ดจมูก ขอบตาแดงเล็กน้อย

เย่หลินได้ยิน ก็รู้สึกเหมือนตนเองถูกฟ้าผ่ากลางวันแสกๆ ในฉับพลันความคิดในหัวก็พรั่งพรูออกมามากมาย

เธอกัดๆ ฟัน พยายามควบคุมอารมณ์ตนเองให้คงที่ เม้มริมฝีปากโดยไม่รู้ตัว "คุณลุงหมายความว่า ตระกูลหนิงไม่ยอมรับฉันใช่ไหม? "

พ่อหนิงก้มหน้า ถือถ้วยน้ำชาในมือแข็งทื่ออยู่กลางอากาศ สักพักจึงพูดว่า : "ไม่ใช่หรอก ในใจลุงคุณคือลูกสะใภ้ของตระกูลหนิงแล้ว เป็นแม่ของหลานทั้งสองคนของฉัน ลุงไม่ยอมรับไม่ได้หรอก"

เย่หลินก้มหน้า ไม่มีปฏิกิริยาตอบกลับ เธอรอให้พ่อหนิงพูดต่อ

"เพียงแต่ คุณก็รู้ว่าถ้าเส่าเฉินหย่า เขาอาจจะต้องออกจากตำแหน่งนั้น คุณเข้าใจใช่ไหม? "

เขาพูดอย่างช้าๆ ฉะนั้นเย่หลินจึงได้ยินอย่างชัดเจน เพียงแต่เธอยังคงไม่เข้าใจ

"ทำไมเหรอคะ? "

"เพราะตอนนี้เขาถือหุ้นของหนิงกรุ๊ป 41% ถ้าเขาหย่า เขาก็ต้องทำตามสัญญาในตอนแรก ให้หุ้นส่วนเกาเหวิน 10% เช่นนั้น เขาก็ไม่นับว่าเป็นคนที่ถือหุ้นส่วนหนิงกรุ๊ปมากที่สุด และเรื่องระหว่างคุณกับเขา ถ้าคนตั้งใจเอามาใช้หาผลประโยชน์ ก็เป็นไปได้อย่างมาก เขาจะต้องสูญเสียทุกสิ่งที่อยู่ในมืออย่างแน่นอน"

เย่หลินตกตะลึงอย่างเห็นได้ชัด แต่พูดตามความจริง เธอนึกถึงปัจจัยที่สะท้อนกลับแล้ว ถ้าหนิงเส่าเฉินไม่ได้เป็นประธานหนิงแล้ว เธอก็ไม่ได้ถือสาอะไร ขอเพียงแต่พวกเขาได้อยู่ด้วยกัน สิ่งเหล่านี้ก็ไม่ใช่ปัญหา

แต่สำหรับผู้อาวุโสตรงหน้าแล้ว เธอก็ไม่กล้าพูดแบบนี้ หนิงกรุ๊ปเป็นกำลังกายและกำลังสมองของเขา เธอก็จนปัญญาที่จะตอบกลับอย่างเห็นแก่ตัวอย่างนี้

เห็นว่าเธอไม่พูดจา พ่อหนิงก็ยิ้มขึ้นมา ในแววตาประกายความดูถูกเหยียดหยาม ในท้ายที่สุดยังคงเป็นสสาร

แต่คำพูดต่อมาของเย่หลิน ทำให้เขาลบล้างมุมมองในใจที่มีต่อเธออย่างสิ้นเชิง

"คุณลุง ไม่ว่าเส่าเฉินจะเป็นประธานของหนิงกรุ๊ปหรือไม่ก็ตาม สำหรับฉันแล้ว ฉันรู้สึกว่ามันไม่สำคัญ ฉันแค่อยากอยู่ด้วยกันกับเขา ไม่ว่าเขาจะจนหรือรวย แต่วันนี้ฉันยังคงจะรับปากกับคุณ ฉันจะไม่เอ่ยคำว่าหย่าร้างสองคำนี้กับเส่าเฉินเด็ดขาด แต่ว่า ถ้าหนิงเส่าเฉินต้องการจะหย่า ก็จะไม่คัดค้าน เขามีความคิดและการพิจารณาของตัวเขาเอง……” พูดถึงตรงนี้ เธอก็เม้มๆ ปาก

"ถ้าเอาฉันไปแลกกับตำแหน่งประธานของเขา แล้วเขารู้สึกคุ้มค่า รู้สึกเต็มใจ ฉันก็ไม่สามารถคัดค้านได้ เพราะว่าฉันก็หวังจะให้เขามีความสุข"

เวลานี้ เย่หลินเชื่อมั่นมาก หนิงเส่าเฉินจะไม่มีวันเอาเธอไปแลกกับอนาคตของเขาอย่างแน่นอน

มิเช่นนั้น จะสามารถดื่มจนอาเจียนเป็นเลือด ดื่มจนไม่สนใจชีวิตได้อย่างไร

อีกทั้งเธอก็เชื่อมั่นว่า ขอเพียงแต่เขามีความตั้งใจ แม้ว่าหนิงกรุ๊ปจะจบสิ้นไป แล้วจะมีหนิงกรุ๊ปขึ้นมาใหม่ สำหรับเขาก็ไม่ได้ยากเกินไป

ไม่ว่าจะเลวร้ายแค่ไหน พวกเขาจะจับมือครอบครัวนี้แล้วแบกรับไปด้วยกัน

พ่อหนิงมองผู้หญิงตรงหน้า โดยไม่ได้เคลื่อนไหวเป็นเวลานาน

สีหน้าของเขาสงบนิ่งอย่างมาก ทว่าในใจมีคลื่นลมโหมกระหน่ำ ก่อนหน้าที่เขาจะมา ก็ได้ครุ่นคิดถึงคำตอบมากมายจากผู้หญิงคนนี้ ไม่มีอะไรมากไปกว่าการยืนหยัดที่จะประนีประนอม

แต่เธอกลับส่งมอบตัวเลิกนี้ให้ลูกชายของเขา เพียงเพื่อให้เขาได้มีความสุข จุดนี้ทำให้เขาเปลี่ยนมุมมองใหม่

ลุกขึ้นยืน เขาพยักๆ หน้ากับเย่หลิน "ลูกชายของฉัน วิสัยทัศน์ไม่เลว"

เย่หลินได้ยินก็แอบโล่งอก เลิกคิ้วเบาๆ แสดงรอยยิ้มขี้เล่นออกมา "ไม่ใช่สิ วิสัยทัศน์ของฉันดียิ่งกว่าเขาอีก"

จากนั้น เย่หลินจึงรู้ว่า วันนี้ที่พ่อหนิงมา เดิมทีเพียงแค่ตั้งใจจะหยั่งเชิงความรักของเธอที่มีต่อหนิงเส่าเฉิน

หลังจากนั้น เย่หลินจึงรู้ว่า หลังจากวันนี้พ่อหนิงก็ได้ตัดสินใจแล้ว

หลังจากวันนั้น ก็กลับมาสงบสุขเหมือนในอดีต หนิงเส่าเฉินอยู่ในประเทศ เธออยู่ต่างประเทศ วิดีโอคอลโทรคุยกันทุกวัน แต่ก็หวานชื่นอย่างมาก

เพียงแต่หนิงเส่าเฉินแปลกๆ ไปมาก เมื่อวันก่อนพูดกับเธอว่า ให้เธอรีบย้ายธุรกิจของบริษัทไปที่ประเทศจีน

หลังจากครั้งนี้ที่กลับไป ทว่าไม่เคยเอ่ยถึงเลย

เช่นนี้ จึงทำให้เธอผิดหวังเล็กน้อย

วันนี้ ก็วิดีโอคอลก่อนนอนตามปกติ

"พวกลูกๆ หลับแล้วเหรอ? "

เย่หลินนำมือถือวางไว้บนโต๊ะทำงาน ทาสกินแคร์ไปพลาง พูดไปพลาง : "หลับหมดแล้ว คุณล่ะ? ยังทำงานอยู่เหรอ? "

"อืม ฉันยังดูเอกสารไม่หมด ดูหมดแล้วก็จะไปนอนทันที"

"อ๋อ……”

ต่อจากนั้น ก็เงียบไป แต่ไม่ได้อึดอัดใจ

หนิงเส่าเฉินน่าจะตั้งมือถือไว้บนโต๊ะ ดังนั้น ในวิดีโอ พอดีกับเห็นว่าเขาก้มหน้าลงทำงาน

หลังจากที่เย่หลินทาหน้าเสร็จแล้ว ก็ใช้สองมือเท้าคาง จ้องมองมือถืออย่างไม่กะพริบตา

จู่ๆ เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น

เธอมองหนิงเส่าเฉินแล้วขมวดคิ้ว "ใคร? "

"เส่าเฉิน ฉันเอง ฉันต้มซุปมาให้คุณ" เป็นเสียงของเกาเหวิน

หนิงเส่าเฉินก้มมามองผู้หญิงตัวเล็กๆ ที่อยู่ปลายสาย เธอเบะปาก ทำแก้มป่อง ในสายตามีความโกรธ

เขาสูดลมหายใจ พยักหน้าอย่างเงียบๆ

"ไม่ต้อง ฉันไม่อยากดื่ม" น้ำเสียงเย็นชาแข็งกระด้าง

"โอ๊ย……” เสียงร้องดังออกมาจากด้านนอก

หนิงเส่าเฉินขมวดคิ้ว ทว่ายังมองวิดีโอโดยจิตใต้สำนึก

"ไปดูเถอะ" เย่หลินพูดกับเขา

หนิงเส่าเฉินพยักหน้า ลุกขึ้น แต่ไม่ได้ปิดวิดีโอ ฉะนั้นเย่หลินจึงได้ยินเสียงฝีเท้า……เสียงเปิดประตู

"เป็นอะไรไป? "

"เส่าเฉิน ซุปมันลวกเท้าฉัน คุณอุ้มฉันไปที่ห้องได้ไหม แล้วทายาให้หน่อย? "

ได้ยินคำนี้ เย่หลินหูผึ่งขึ้นทันที แล้วดูหมิ่นเกาเหวินคนนี้

"ช่วงนี้เอวฉันไม่ค่อยดี คุณเรียกคนอื่นมาประคองคุณกลับไปเถอะ"

สักพัก "คุณนาย เราจะประคองคุณกลับห้องเอง"

ต่อจากนั้นเสียงปิดประตูก็ดังออกมา

หลังจากที่หนิงเส่าเฉินนั่งลง เย่หลินถามอย่างกระตือรือร้น : "เอวคุณไม่ดี? เกิดอะไรขึ้น? "

หนิงเส่าเฉินเงยหน้าขึ้น แล้วมองเย่หลินอย่างความหมายลึกซึ้ง "ตลกเหรอ? "

เย่หลินนิ่งไป ต่อจากนั้น ก็พยักๆ หน้า ชี้นิ้วไปที่กล้อง "ประธานหนิง เอวไม่ดี! ฮ่าๆ ……”

วันอย่างนี้ เป็นต่อเนื่องอีกครึ่งเดือน

เย่หลินก็ไม่ได้เอ่ยที่จะกลับประเทศ หนิงเส่าเฉินก็ไม่ได้เอ่ยให้เธอกลับประเทศ

จนกระทั่ง……

"ประธานเย่ เป็นแผนความร่วมมือที่ส่งโดยบริษัทในประเทศหลายแห่ง คุณลองดูหน่อย"

เย่หลินประหลาดใจ หยิบเอกสารสัญญาจำนวนหนึ่งจากในมือของอู่เล่อเล่อ

"เป็นไปได้อย่างไร? " ไปร่วมงานเลี้ยงครั้งที่แล้ว แม้เธอจะอยู่กับบริษัทหลายแห่ง แล้วแสดงวัตถุประสงค์ในความร่วมมือ แต่คำตอบของคนเหล่านั้นก็คลุมเครือมาก อย่างไรเสียบริษัทซีเอกซ์แม้จะมีชื่อเสียง แต่คนที่อยู่ในประเทศรู้จักน้อยมาก เธอคิดว่าไม่มีหวังแล้ว หลังจากที่มาต่างประเทศ เรื่องมากมายก็ไม่ได้สนใจอีก

มองดูรายชื่อความร่วมมือในเอกสารไม่หลายฉบับในมือ ก็ไม่ใช่บริษัทที่เธอเคยพูดคุยก่อนหน้านี้

พลิกดูเนื้อหาเอกสารสัญญา เธอก็ยิ่งประหลาดใจ

โดยเป็นความร่วมมือ 3-5 ปี เปิดดูเงื่อนไข ก็ยิ่งน่าดึงดูดใจ

เธอขมวดคิ้ว นึกถึงเงื่อนไขของหนิงเส่าเฉิน หยิบมือถือออกมาถ่ายรูป แล้วส่งไปในวีแชต

"นี่คือผลงานชิ้นเยี่ยมของคุณใช่ไหม? "

ตอบกลับอย่างรวดเร็ว

"ฉันแค่เสนอไปสองประโยค ซึ่งผลนั้นมาจากการพิจารณาของพวกเขาเอง"

เย่หลินคิ้วขมวด ถูกประธานหนิงเสนอ พวกเขาจะกล้าไม่พิจารณาเลยเหรอ?

"ฉันคิดถึงคุณแล้ว"

"ฉะนั้นกลับมาเถอะ ตอนกลางคืนฉันนอนไม่ค่อยหลับ"

ส่งสองข้อความอย่างติดต่อกัน ความอึดอัดใจของเย่หลินที่มีอยู่เป็นเวลานาน ก็หายไปในชั่วพริบตา เดิมทีเขาไม่ได้ไม่อยากให้เธอกลับไป เพียงแต่เขาปูทางแทนเธออยู่ก็เท่านั้น

เธอจับมือถือพิมพ์ข้อความหนึ่งอย่างรวดเร็ว จากนั้นเมื่อคิดๆ ดูแล้วก็ลบทิ้งไป แล้วตอบกลับไปว่า "โอเค รอฉันนะ"

เพราะตอนกลางวันหลังจากที่หมดสติไป ก็นับว่าหลับสนิทตลอด ฉะนั้น ตอนกลางคืนเย่หลินจึงกระปรี้กระเปร่าอย่างมาก จึงลากหนิงเส่าเฉินมาคุยเล่นจนเกือบเช้า

เธอจึงผล็อยหลับไป

เมื่อตื่นขึ้นมาอีกที หนิงเส่าเฉินก็ไม่ได้อยู่ข้างๆ แล้ว

หนิงเสี่ยวซีกับเย่เสี่ยวโม่ ยกถ้วยอาหารมายืนข้างๆ เธอ

เห็นว่าเธอตื่นแล้ว หนิงเสี่ยวซีวางถ้วยลงบนโต๊ะข้างๆ เธอ เย่เสี่ยวโม่ก็ทำตาม

"พ่อบอกว่า คุณตื่นแล้วก็ให้ทานอาหารเหล่านี้"

เย่หลินตกตะลึง "แล้วพ่อหนูล่ะ? "

"พ่อตื่นแต่เช้า กลับประเทศไปแล้ว คาดว่าน่าจะถึงแล้ว" หนิงเสี่ยวซีมองนาฬิกาข้อมือ

"อืม! " ถึงแม้ว่าจะเตรียมใจไว้บ้างแล้ว แต่เย่หลินยังคงรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย

เปิดผ้าห่มออกแล้วลุกขึ้น น้ำอุ่นๆ ก็ทะลักออกมาจากร่างกายส่วนล่าง เธอหยิบผ้าอนามัยจากลิ้นชักแล้วหันกลับไปทางห้องน้ำ

เย่เสี่ยวโม่ดึงหนิงเสี่ยวซี "พี่ คุณดู……”

หนิงเสี่ยวซีมองตามสายตาของเย่เสี่ยวโม่ไป บนผ้าปูเตียง มีคราบเลือดอยู่ จึงตกตะลึงเล็กน้อย ใบหน้าน้อยๆ ก็แดงขึ้นมา กระแอมเบาๆ แล้วดึงเย่เสี่ยวโม่ "ไปเถอะ เราออกไปก่อน"

"ฉันไม่ไป แม่เลือดออก ฉันจะรอให้แม่ออกมาแล้วดูว่าเธอบาดเจ็บตรงไหน"

หนิงเสี่ยวซีขมวดคิ้ว มองๆ ไปที่ห้องน้ำ "โอเค อย่างนั้นฉันจะออกไปก่อน"

เขา 10 ขวบแล้ว ความรู้ทั่วไปเหล่านี้ก็มีบ้างแล้ว

แต่ว่าเย่เสี่ยวโม่เป็นเด็กผู้หญิง เขาก็เขินอายเล็กน้อยที่จะอธิบายให้เธอฟัง

เย่เสี่ยวโม่เห็นหนิงเสี่ยวซีไม่สนใจเย่หลิน ปากน้อยๆ ก็เบ้ขึ้นมา หันไปเห็นมือถือของเย่หลิน จึงหยิบขึ้นมา แล้วเปิดวีแชต หารูปภาพของพ่อ แล้วส่งข้อความเสียงให้หนิงเส่าเฉิน ใจความว่า : พ่อ แม่เลือดออกเยอะมากเลย คุณรีบมาช่วยเธอหน่อย

เมื่อสักครู่นี้หนิงเส่าเฉินเพิ่งจะลงจากเครื่องบิน ฟังหลิวซูรายงานเกี่ยวกับการทำงานล่าสุด เมื่อได้ยินเสียงข้อความ เขาก็เปิดมือถือ ก็เห็นวีแชตของเย่หลิน จึงยิ้มขึ้นมา เพียงแต่หลังจากได้ฟังเสียงของเสี่ยวโม่แล้ว สีหน้าเขาก็เคร่งขรึมลงมา

หลิวซูได้ยินแล้ว สีหน้าก็เคร่งขรึมเช่นกัน

เมื่อเย่หลินออกมาจากห้องน้ำ เห็นมือถือดังอยู่ เด็กสองคนในก็ห้องหายไปแล้ว หยิบมือถือขึ้นมาแล้วรับสาย

"ฮัลโหล เส่าเฉิน คุณถึงแล้วเหรอ? " เพิ่งจะตื่นขึ้นมา น้ำเสียงที่พูดจึงดูแหบแห้ง

"เกิดอะไรขึ้น? เสี่ยวโม่บอกว่าคุณเลือดออกมาก เกิดเรื่องอะไรขึ้น? " น้ำเสียงของหนิงเส่าเฉิน ดังออกมาจากอีกด้านหนึ่งอย่างรวดเร็ว

เย่หลินตกตะลึง หางตาก็หันไปเห็นคราบเลือดบนผ้าปูที่นอน จึงกุมหน้าผากทันที "ก็……ก็เป็นอันนั้นนั่นแหละ ผ้าปูเตียงมันเลอะ เธอไม่เข้าใจ เอ่อ คุณทำงานอย่างสบายใจเถอะ"

เพราะว่าหนิงเส่าเฉินเปิดสปีกเกอร์โฟน ฉะนั้นเมื่อหลิวซูได้ยินคำพูดนี้ ก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะอยู่ข้างๆ

เย่หลินได้ยินก็หน้าแดง "ไอ๋หยา ไม่พูดแล้ว วางสายก่อนนะ ฉันจะไปทำความสะอาดผ้าปูเตียงก่อน"

"โอเค ดูแลสุขภาพตนเองด้วย"

"อืม คุณก็เช่นกันนะ! "

วางสายไปแล้ว มือเย่หลินยังไม่ทันได้สัมผัสผ้าปูเตียง ร่างหนึ่งก็ตรงดิ่งเข้ามาจากด้านนอก ประคองไหล่ของเธอ "ตรงไหน……ที่บาดเจ็บ? "

เย่หลินก้มหน้า ได้ยินน้ำเสียงนี้ ก็ตกตะลึง ความดีใจแสดงออกบนใบหน้า เงยหน้าขึ้นมือข้างหนึ่งก็จับแขนของเกาไห่ไว้ "พี่ คุณเป็นห่วงฉันเหรอ? "

สีหน้าเกาไห่เคร่งขรึมลงมา "สรุปแล้วบาดเจ็บตรงไหน เสี่ยวโม่บอกว่าคุณ……” สายตาที่มองลงมา เขาก็เห็นผ้าปูที่นอนที่เย่หลินถืออยู่ จึงกลืนคำที่เหลือกลับไป

เก็บมือกลับมา เกาหัวอย่างเขินอาย "เอ่อ ฉัน……ฉันขอตัวก่อน"

เย่หลินได้สติกลับมา จึงนำผ้าปูที่นอนมาซ่อนไว้ด้านหลัง แล้วพูดเบาๆ ว่า : "อืม"

เกาไห่ยังไม่ทันเดินไปถึงหน้าประตู เย่เสี่ยวโม่ก็ถือกล่องพยาบาลเข้ามา ขาเล็กๆ สั้นๆ วิ่งเข้ามา เห็นเกาไห่กำลังจะไป ก็ดึงเขาไว้ "คุณลุง คุณช่วยพันแผลให้แม่หนูหน่อยได้ไหม? "

เย่หลินก้าวไปข้างหน้า นำเย่เสี่ยวโม่มาอุ้มไว้ในอ้อมกอด แล้วหอมแก้มเธอ แต่ทำอะไรไม่ถูก

เกาไห่หยุดฝีเท้าเล็กน้อย ต่อจากนั้น จึงรีบเดินออกไป

เย่หลินมองภาพด้านหลังของเขา ในใจก็อบอุ่น มองเย่เสี่ยวโม่ "เสี่ยวโม่ แม่ไม่ได้บาดเจ็บ เอ่อ……เป็นเพียงปรากฏการณ์ปกติของทางสรีระร่างกาย รอให้หนูโตขึ้น เสี่ยวโม่ก็จะเป็นอย่างนี้"

เย่เสี่ยวโม่หน้าซีดไปในชั่วพริบตา แล้วจับมือของเย่หลิน "แม่ คนที่โตแล้ว ต้องเลือดออกหมดเลยเหรอ? อย่างนั้นพ่อกับพี่ล่ะ? "

เย่หลินส่ายหัว "พ่อกับพี่เป็นผู้ชาย พวกเขาจะไม่เป็นอย่างนี้"

เย่หลินพูดจบ เย่เสี่ยวโม่ก็ร้องไห้โฮออกมา "ฉันก็อยากเป็นผู้ชาย แม่ คุณเปลี่ยนฉันเป็นผู้ชายได้ไหม? "

เย่หลินอ้าปากเล็กน้อย กอดเย่เสี่ยวโม่ พูดไม่ออกไปชั่วขณะ

เมื่ออุ้มเย่เสี่ยวโม่ออกมา ในห้องรับแขก เกาไห่และหนิงเสี่ยวซียังคงเล่นหมากรุกกันอยู่ เห็นเธอออกมาก็ลุกขึ้น เดินไปข้างหน้า รับเย่เสี่ยวโม่จากในมือเธอ วางลงบนพื้น "วันนี้แม่ไม่สบาย เย่เสี่ยวโม่ อย่าให้แม่อุ้มเลยนะ"

เย่เสี่ยวโม่ไม่ใช่เด็กที่เจรจาต่อรองดีๆได้ บางครั้งก็มีนิสัยดื้อรั้นมาก แต่กลับยอมทำตามหนิงเสี่ยวซี ได้ยินเขาพูดแบบนี้ก็พยักหน้าอย่างเชื่อฟัง

เย่หลินยิ้มอย่างอ่อนโยนกับความคิดของหนิงเสี่ยวซี

"อีกสักครู่ฉันจะไปดูที่บริษัทสักหน่อย พี่ คุณช่วยฉันดูเด็กสองคนหน่อยนะ" เธอพูดกับเกาไห่ที่ห่างออกไปไม่กี่เมตร

เกาไห่ไม่ได้เงยหน้าขึ้นมาเธอ แต่ก็พยักๆ หน้า

เย่หลินดีใจ รู้สึกว่าวันนี้เกาไห่เปลี่ยนไปมากอย่างเห็นได้ชัด เธอจึงเดาว่าไม่รู้คุณตากับคุณน้าพูดอะไรกับเขาหรือเปล่า?

เพียงแต่ไม่ได้สนใจว่าสาเหตุจะคืออะไร ตอนนี้เขาเป็นอย่างนี้ เธอก็ดีใจมากแล้ว

เก็บของสักเล็กน้อย แล้วเธอก็ไปที่บริษัท

เธอยังไม่ทันวางกระเป๋า อู่เล่อเล่อก็ผลักประตูเข้ามาแล้วพูดว่า : "ประธานเย่ มีคนมาหา"

เย่หลินหันกลับไป ก็เห็นอู่เล่อเล่อ ถอยไปข้างๆ แล้วภาพบุคคลหนึ่งก็ปรากฏ เมื่อเห็นคนที่มาเยือนอย่างชัดเจนแล้ว เย่หลินก็ประหลาดใจอย่างเห็นได้ชัด

"คุณลุง…… คนที่มานั้นไม่ใช่ใครอื่น เป็นพ่อหนิงนี่เอง

สีหน้าพ่อหนิงไม่ค่อยดีนัก จนถึงขั้นซีดเซียวเลยก็ว่าได้

เย่หลินสั่งให้อู่เล่อเล่อเอาน้ำชาเข้ามา วางลงตรงหน้าพ่อหนิง "คุณลุง เมื่อเช้าเส่าเฉินเพิ่งจะกลับประเทศไป ถ้ารู้ว่าคุณมา จะได้ให้เขารอ……”

"ฉันมาหาคุณ" พ่อหนิงจิบน้ำชาแล้วมองเย่หลิน

เย่หลินตกตะลึง "มาหาฉัน? "

พ่อหนิงพยักหน้า สายตาพินิจพิเคราะห์เย่หลิน แล้วค่อยๆ พูดว่า "เสี่ยวเย่ วันนี้ที่ลุงมา มีเรื่องที่อยากจะขอร้องคุณ"

เขาใช้คำว่า"ขอร้อง" เย่หลินจึงประหลาดใจเล็กน้อย ลุกขึ้นยืน "คุณลุง คุณมีเรื่องอะไร คุณเพียงแค่พูดมา อย่าพูดว่าขอร้องเลย" ถึงแม้ว่าความสัมพันธ์กับหนิงเส่าเฉินยังไม่ได้เปิดเผยออกมาอย่างชัดเจนก็ตาม

แต่ผู้ชายตรงหน้าก็เป็นคุณปู่ของหนิงเสี่ยวซีและเย่เสี่ยวโม่ และพ่อของหนิงเส่าเฉิน ในจิตใต้สำนึกของเธอ เขาก็กลายเป็นพ่อไปแล้ว

เพียงแต่จะมีเรื่องอะไร ที่ทำให้พ่อหนิงมาขอร้องเธอ?

ชั่วขณะในใจก็ไม่สบายใจเล็กน้อย

"อืม ดี เช่นนั้นก็จะพูดตรงเลย ลุงอยากจะขอร้องคุณว่า อย่าให้เกาเหวินกับเส่าเฉินหย่ากันเลยนะ"

"พ่อหนุ่ม ฉันมองออก ว่าคุณชอบเสี่ยวหลินของเราจริงๆ " พูดถึงตรงนี้ เขาก็ลูบๆ หน้าผากตนเอง หยุดไปชั่วขณะ แล้วพูดต่อว่า "แต่ถ้าวันใดวันหนึ่ง ระหว่างพ่อของคุณกับเย่หลิน ถ้าต้องเลือก ไม่รู้ว่า คุณจะเลือกอะไร? "

"คุณตาอยากพูดอะไร ก็น่าจะพูดมาตรงๆ " หนิงเส่าเฉินพูดได้ว่า อันที่จริงในตอนที่ได้รู้จักกับเย่หลิน อยู่ในห้องหนังสือของพ่อ เขาก็พอจะเดาได้ ว่าในระหว่างนี้ ต้องมีเรื่องอะไรอย่างแน่นอน แต่พ่อไม่พูดอะไร เขาก็ไม่รู้จะทำอย่างไร?

"คุณตอบฉันมาก่อนว่า ถ้ามีวันนี้ คุณจะทำอย่างไร? " นายท่านหลินยังคงดื้อรั้น

หนิงเส่าเฉินควบคุมความกระวนกระวายในใจ ชายหน้ามองชายอาวุโสตรงหน้า "เธอคือแม่ของลูกฉัน แล้วก็เป็นคนรักของฉัน สำคัญพอๆ กับพ่อของฉัน"

นายท่านหลินได้ยิน สีหน้าค่อยๆ คลายลง แล้วหยุดมองหน้าเขาเล็กน้อย

"พ่อคุณฆ่าพ่อของเสี่ยวหลิน" นายท่านหลินสงบอย่างมาก ทว่าในแววตามีความจนใจและเสียใจ

แม้ว่าหนิงเส่าเฉินจะเตรียมใจไว้พร้อมแล้ว แต่ก็ยังคงตื่นตระหนกตกใจ เขามองนายท่านหลิน หลังจากนั้นไม่กี่นาที สมองเขาก็ว่างเปล่าขาวโพลน

ลูกกระเดือกของเขากลิ้งขึ้นลงอย่างรวดเร็ว มือทั้งสองกำจนกลายเป็นหมัด ข้อต่อถูกออกแรงจนเสียงดังกร๊อบ

ในที่สุดเขาก็รู้ เหตุผลที่พ่อเกากำเริบเสิบสาน เพราะเขาคิดว่านายท่านหลินไม่กล้าทำอะไรเขาใช่ไหม?

เพราะว่าเรื่องนี้ หลังจากที่ให้เย่หลินรับรู้แล้ว ระหว่างพวกเขา ก็เป็นอันว่าจบสิ้น

นึกถึงว่าหากวันหนึ่ง เขาจะต้องสูญเสียเย่หลินไป หัวใจของเขาเหมือนถูกแทงด้วยลูกธนูนับพัน ก็เจ็บจนหายใจไม่ออก

ไม่น่าแปลกใจที่พ่อจะเห็นด้วยกับคำขอที่ไม่มีเหตุผลของพ่อเกา……มิน่าล่ะ เกาเหวินถึงได้กล้าโกหกเขาได้อย่างไม่ต้องเกรงกลัวใคร ที่แท้พวกเขาก็กุมจุดอ่อนของพ่อไว้ในมือนี่เอง

"คุณตา……ให้เสี่ยวหลินรู้ไม่ได้นะ" ในขณะนี้ เขารู้สึกว่าการพูดจากลายเป็นเรื่องยากเล็กน้อย

นายท่านหลินถอนหายใจเบาๆ แล้วลุกขึ้นยืน มองหน้ากันกับลูกชาย เดินเข้าไปตบๆ ไหล่ของหนิงเส่าเฉิน "ทำให้คุณต้องลำบากใจเลย หากมีเวลา คุณก็ลองพูดคุยเกี่ยวกับเหตุการณ์ในตอนนั้นกับพ่อคุณก็ได้ บางทีอาจจะไม่เลวร้ายขนาดนั้นก็ได้"

เมื่อเย่หลินฟื้นขึ้นมา ก็ชัดเจนว่าความเจ็บปวดที่ท้ายทอย ทำให้นึกถึงเรื่องเมื่อตอนบ่าย ว่าไม่ได้เข้าใจผิดไปเอง

เธอลืมตาขึ้น ก็เห็นหนิงเส่าเฉินยืนอยู่ข้างเตียง จ้องมองเธออย่างไม่เคลื่อนไหวเลยแม้แต่น้อย

"คุณ……คุณมองฉันอย่างนี้ทำไม? " เย่หลินถูกเขามองก็รู้สึกเขินอายเล็กน้อย

หนิงเส่าเฉินสูดลมหายใจ จึงได้สติกลับมา "หิวหรือยัง? ฉันจะไปยกอะไรมาให้คุณทาน"

เห็นเขาจะไป เย่หลินก็เลยร้อนใจ "คุณตากับคุณน้าฉันล่ะ? "

"พวกเขาไปแล้ว"

"พี่ชายฉัน แล้วก็พ่อของเกาเหวินล่ะ? อีกอย่าง ในตอนบ่ายฉันหมดสติไปได้อย่างไร? " เธอลูบๆ ท้ายทอย "เหมือนมีคนตีให้ฉันหมดสติ ปวดหัวไปหมดเลย"

หนิงเส่าเฉินตกตะลึง ใจฝ่อเล็กน้อย คิดๆ แล้วก็ก้มตัวลงไป พูดกระซิบข้างๆ หูเธอ "ฉันจะให้หมอมาดูให้แล้ว บอกว่าน้ำตาลในเลือดคุณตก อันนั้นคุณ……มาแล้ว คุณไม่รู้เหรอ? "

หลังจากนั้นก็พูดต่อว่า : "คุณตากับคุณน้าของคุณพาเขาไปแล้ว แต่พี่ชายคุณยังอยู่บ้านของเรา วางใจเถอะ"

เย่หลินพยักหน้า จู่ๆ ก็ได้สติกลับมา เธอดึงผ้าห่มขึ้น มองลงไปด้วยใบหน้าแดงก่ำ "ใคร……ใครใส่อันนั้น……ให้ฉัน? "

น้ำเสียงอ่อนโยนดังขึ้นที่เหนือหัว "คุณคิดว่าใครจะช่วยคุณล่ะ? "

เย่หลินอดไม่ได้ที่จะหน้าแดง แล้วมุดหน้าเข้าไปในผ้าห่มอีกครั้ง พูดเบาๆ ว่า : "คุณ……คุณจะมาช่วยฉันทำอันนี้ได้อย่างไร? "

ด้านนอกไม่มีเสียงตอบกลับ เย่หลินจึงตกตะลึง จึงแอบๆ ยื่นหน้าออกมานอกผ้าห่ม ไม่นานก็เห็นหนิงเส่าเฉินยกถ้วยอาหารเดินเข้ามา

"รีบลุกขึ้นมากินนี่หน่อย ร่างกายกำลังอ่อนแออยู่" เย่หลินหันไป มองของดำๆ ในถ้วยที่วางอยู่บนโต๊ะ ก็คิ้วขมวด "นั่นคืออะไรอะ? "

"เชื่อฟังเถอะ ลุกขึ้นมากินแล้วก็นอนพักผ่อนไป"

เย่หลินไม่รู้ว่าตนเองเข้าใจผิดไปหรือเปล่า เธอรู้สึกว่าน้ำเสียงของหนิงเส่าเฉินแปลกๆ ไป ดูเหมือนจะอ่อนโยนขึ้นกว่าเมื่อก่อน

กินไปได้สักพัก เธอก็นึกอะไรขึ้นได้ "ใช่สิ คุณตาของฉันถามอะไรเหรอ? ท้ายที่สุดแล้วเกิดอะไรขึ้น? "

หนิงเส่าเฉินหยิบช้อนในมือเธอ แล้วตักอาหารขึ้นมา ตอบกลับด้วยสีหน้าสงบว่า : "ไม่ได้ถามอะไร ฉะนั้น ก็เลยพาเขากลับไป มา อ้าปาก……”

"ฉันกินเองได้ คุณไม่ต้องป้อนหรอก" เย่หลินแย่งช้อนในมือของหนิงเส่าเฉิน แต่พบว่าสองนิ้วเขาหนีบไว้แน่น แน่นจนระหว่างนิ้วเป็นสีขาว

"ปฏิบัติดีกับคุณไว้หน่อย ถึงวันหนึ่ง คุณจะได้เสียดายที่จะจากฉันไป" คำพูดในใจ เอ่อล้นออกมาจากปากโดยไม่ตั้งใจ

หนิงเส่าเฉินนิ่งอึ้งไป แล้วมองเย่หลินอย่างประหม่า

เย่หลินปิดปากหัวเราะ "ฉันจะได้เสียดายที่จะจากไป? คุณดูสิ คุณมีเงิน มีหน้ามีตา ยังปฏิบัติดีกับฉัน จะหาได้จากไหนอีก? " พูดจบ เธอทำปากเบ้ เอียงหน้าเข้าไปจูบริมฝีปากของหนิงเส่าเฉินเล็กน้อย

ชายคนนั้นมีปฏิกิริยาตอบกลับมา มือหนึ่งถือถ้วย มือหนึ่งกดท้ายทอยของเธอไว้ แล้วจูบกลับไป

เย่หลิน ถ้าถึงวันนั้นจริงๆ ได้โปรดนึกถึงความดีของฉันด้วย

การคุยโทรศัพท์กับพ่อหนิงในหนึ่งชั่วโมงก่อนผุดขึ้นมาในหัว

"พ่อ คุณฆ่าพ่อของเย่หลินเหรอ? "

สายทางด้านนั้น นานมากไม่ได้ตอบกลับ หนิงเส่าเฉินมีความหวังอยู่ในใจ อยากได้ยินพ่อบอกว่า มันเป็นเรื่องเข้าใจผิด แต่พ่อพูดว่า "ใช่ คุณจะคิดอย่างนี้ก็ได้"

"เส่าเฉิน คุณลังเลที่จะกลับประเทศเหรอ? " เย่หลินพูดจบ ก็คิดจะนำถ้วยในมือหนิงเส่าเฉินวางบนโต๊ะ แต่พบว่าเขาจับมันไว้แน่นมาก

อดไม่ได้ที่จะสงสัย หนิงเส่าเฉินวันนี้ ดูจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว

อดไม่ได้ที่จะผลักๆ เขา "หนิงเส่าเฉิน คุณปิดบังเรื่องอะไรกับฉันหรือเปล่า? ทำไมถึงดูสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัว? "

หนิงเส่าเฉินสติกลับมา มือใหญ่ก็ลูบหัวเธอ หัวเราะเบาๆ "ฉันคิดอยู่ว่า ฉันกลับไปโดยไม่มีคุณ ถ้าตอนกลางฉันนอนไม่หลับ จะทำอย่างไร? "

เย่หลินยิ้มขึ้นมา ลุกขึ้นนั่งคุกเข่าบนเตียง กอดคอของหนิงเส่าเฉิน "มิฉะนั้น ฉันก็ไม่ทำงานแล้ว กลับไปเป็นคุณนายหนิงของคุณ อยู่บ้านดูแลลูกดูแลสามี ดีไหม? "

ถ้าในขณะนี้ เธอไม่มีอนาคตที่อันกว้างไกล ในใจก็คิดแบบนี้จริงๆ

หนิงเส่าเฉินได้ยินก็ส่ายหัว สองมือประคองแก้มของเย่หลิน พูดอย่างจริงจังว่า : "เย่หลิน ฉันไม่ได้หวังให้คุณมาให้ความสนใจทั้งหมดกับฉันและลูกหรอกนะ คุณสามารถแสวงหาความสมบูรณ์แบบในกิจการของตนเองได้" เช่นนี้ในอนาคต หากคุณไม่ต้องการฉันแล้ว ฉันไม่ได้อยู่ข้างๆ คุณแล้ว ไม่ใช่ว่าสูญเสียฉันไป ก็จะต้องสร้างความลำบากให้คุณ หนิงเส่าเฉินพูดเสริมในใจ

เย่หลินตกตะลึง "หนิงเส่าเฉิน คุณว่าไหมว่าชาติที่แล้วฉันเคยขอร้องทางช้างเผือกเอาไว้แน่ๆ เลย? มิเช่นนั้นจะเจอผู้ชายดีๆ แบบนี้ได้อย่างไร? " เธอหยอกล้อเขาเล่น

ทว่าหนิงเส่าเฉินหัวเราะไม่ออก เย่หลิน ถ้าสักวันหนึ่งคุณรู้ว่า ผู้ชายคนนี้ที่คุณคิดว่าดี ทว่าเป็นลูกชายของศัตรูที่ฆ่าพ่อคุณ คุณยังจะคิดว่าได้ขอร้องทางช้างเผือกไว้อีกไหม?

ในใจช่างแสนเจ็บปวด!

"พูด ตกลงคุณคือใคร? ทำไมต้องสวมรอยเป็นอาฉวนด้วย? " คนที่พูดคือคุณตา ในทันใดเสียงของเขาก็ดังขึ้นอย่างมาก

เย่หลินเคยเห็นฉากแบบนี้ซะที่ไหนกัน ปืนนั้นของคุณน้า ทำให้เธอตกใจกลัวจนส่งเสียงไม่ออก

หนิงเส่าเฉินมองออกถึงความหวาดกลัวของเธอ จึงอ้อมโซฟา เดินไปยังข้างๆ เธอ โอบเอวของเธอ แล้วพาถอยหลังไปสองก้าว

"เส่าเฉิน คุณน้าของฉัน….." เสียงของเธอสั่นเล็กน้อย และรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย คุณน้าที่อ่อนโยนแบบนั้น คาดไม่ถึงว่าจะมีสีหน้าการแสดงออกแบบนี้

มือใหญ่ๆ ของหนิงเส่าเฉินจับที่เอวของเธอแน่น "ไม่เป็นไร คุณตาและคุณน้าพวกเขามีขอบเขตของตัวเอง" เสียงที่ไม่ดังไม่เบา พอดีที่สามารถทำให้คนที่อยู่ในสถานที่ได้ยิน

เมื่อพ่อเกาได้ยินหนิงเส่าเฉินเรียกนายท่านที่อยู่ตรงหน้าว่าคุณตา ดวงตาก็ปรากฏความตกตะลึง ต่อจากนั้นก็สั่นไปทั้งตัว

แต่ก็กลับมาสงบได้อย่างรวดเร็ว

เห็นเขายกมือขึ้นปัดมือของคุณน้าที่ถือปืนอยู่ หันหน้าไปทางนายท่านแล้วโค้งคำนับ "นายเกาะ หลายสิบปีแล้วไม่ได้พบกัน คุณน่าจะสบายดี"

เมื่อนายท่านหลิน ได้ยินเขาเรียกว่านายเกาะ ในใจก็เต้นตุบๆ ร่างโซเซถอยหลังไปสองสามก้าว รู้สึกแปลกใจเล็กน้อย คิดว่าผู้ชายที่อยู่ตรงหน้าคนนั้นคือคนที่พาลูกสาวของเขาหนีไปจริงๆ

แต่ว่าเมื่อผู้ชายคนนั้นโค้งตัวลง ด้านบนของศีรษะหันเข้าหาเขา สีหน้าของเขาก็เคร่งขรึม สายตาราวกับคบเพลิง "คุณไม่ใช่อาเฉิน ตกลงคุณเป็นใคร? "

พ่อเกาได้ยิน ก็หลุบสายตาลง เห็นการแสดงออกของเขาได้ไม่ชัดเจน แต่สามารถเห็นได้ถึงรอยยิ้มมุมปากเล็กน้อย

"นายเกาะ คุณแก่แล้ว ความจำก็คงไม่ค่อยดีใช่ไหม? ถ้าฉันไม่ใช่อาเฉิน อย่างนั้นคุณว่า ฉันคือใครล่ะ? " พูดจบ เขาก็ชี้ไปที่เกาไห่ "นายเกาะ คุณดูสิ นี่คือลูกที่ฉันกับเสี่ยวผิงให้กำเนิด ชื่ออาไห่ มา อาไห่ นี่คือคุณตาของคุณ"

เย่หลินประหลาดใจอย่างมาก เดิมทีเธอคิดว่า อย่างน้อยพ่อเกาก็จะต้องต่อต้านกับสถานะของเกาไห่ แต่คาดไม่ถึงว่า เขาจะยอมรับง่ายๆ แบบนี้

ตอนนี้ ก็ยิ่งมองไม่ออกถึงความคิดที่แท้จริงของผู้ชายคนนี้

แม้แต่หนิงเส่าเฉินก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วขึ้นมา

"คุณเลิกพูดจาซี้ซั้วได้แล้ว อย่าคิดว่าฉันแก่แล้ว จะแยกแยะสิ่งต่างๆ ไม่ได้ ศีรษะของอาฉวนมีสองขวัญ ด้านซ้ายหนึ่งขวัญด้านขวาหนึ่งขวัญ ได้สัดส่วนสมดุลกัน เมื่อกี้ที่คุณก้มหัว ฉันเห็นชัดเจนว่าคุณมีเพียงขวัญเดียว อีกทั้งตำแหน่งก็อยู่ตรงกลาง" พูดจบ ก็แย่งปืนในมือของคุณน้าเล็งไปยังพ่อเกา

เค้าโครงของเรื่องราวนี้เปลี่ยนค่อนข้างเร็ว ชัดเจนว่าเย่หลินตอบสนองไม่ทัน

เพียงแต่ ประหลาดใจกับความทรงจำของนายท่านหลินคนนี้ เรื่องเล็กน้อยแบบนี้ คาดไม่ถึงว่ายังสามารถจำได้อย่างชัดเจน

พ่อเกานิ่งอึ้งไปเล็กน้อย แต่ไม่ได้มีปฏิกิริยามากจนเกินไป

เพียงแค่ยิ้มแล้วมองไปยังนายท่าน

"คุณพูดมา ว่าตกลงมันเกิดอะไรขึ้น? อาเฉินล่ะ? เพราะเหตุใดสุดท้ายแล้วลูกสาวฉันต้องไปเมืองS เพียงคนเดียว? แล้วก็ทำไมอาไห่ถึงเรียกคุณว่าพ่อ? "

ชัดเจนว่าอารมณ์ของคุณตาไม่ได้อ่อนโยนเหมือนคุณน้า เวลานี้ก็ยิ่งหงุดหงิด เย่หลินเป็นกังวลว่าหากเขาหงุดหงิดจนไม่ระมัดระวัง จนฆ่าพ่อเกาตายไป ก็อาจจะไม่คุ้มค่า กับชีวิตของตนเอง

เธออยากจะยกมือขึ้น ผ่อนคลายบรรยากาศ แต่หนิงเส่าเฉินระงับเอาไว้ ไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ หันหน้าไปมอง หนิงเส่าเฉินแสดงการกระทำส่ายหน้ากับเธอ

เห็นพ่อเกาเอียงตัวเล็กน้อย ไปยังของนายท่านหลิน กระซิบอยู่พักหนึ่ง เย่หลินก็เห็นว่าคุณตาที่โมโหจนกระหืดกระหอบ ในช่วงเวลาสั้นๆ มือที่ถือปืนอยู่ ก็ลดลงข้างตัว

ต่อจากนั้น เย่หลินก็ได้ยินคุณตาสนทนาอย่างต่อเนื่อง คำพูดที่แลกเปลี่ยนกับคุณน้าเธอฟังไม่รู้เรื่อง

เธอเห็นสายตาคุณน้ามองมาที่ตนเอง สักครู่หนึ่ง แล้วดึงสายตากลับไปอย่างรวดเร็ว

สายตาของเย่หลินมองอยู่ที่คุณน้า ดังนั้น เธอจึงไม่เห็นว่า ส่งสัญญาณมือกับหนิงเส่าเฉิน

วินาทีต่อมา จู่ก็รู้สึกเจ็บที่ท้ายทอย แล้วเย่หลินก็ไม่รู้สึกตัว

ผู้ชายสองสามคนที่อยู่ในที่เกิดเหตุก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก มีเพียงสายตาของเกาเหวินปรากฏความลำพองใจ

เป็นอย่างที่คิดไว้จริงๆ เย่หลินคนนี้เป็นจุดอ่อนของผู้ชายสองสามคนนี้ คิดแล้ว ในตอนแรก ที่เขาให้ผู้หญิงคนนี้ให้กำเนิดหนิงเสี่ยวซีช่างเป็นเรื่องที่ฉลาดหลักแหลมจริงๆ

"คุณเชื่อไหมว่า ฉันจะฆ่าคุณเดี๋ยวนี้" หลังจากนายท่านหลินเห็นหนิงเส่าเฉินอุ้มเย่หลินไปยังห้องแล้ว สีหน้าก็เปลี่ยนไป แล้วยกปืนที่อยู่ในมือเล็งไปยังพ่อเกา

พ่อเกาพยักหน้า สายตาเคลื่อนย้ายไปยังหนิงเส่าเฉินที่ออกมาจากห้อง พูดทีละคำๆ : "มา อาเฉิน คุณอยากรู้มากไม่ใช่เหรอ ว่าทำไมในตอนนั้นพ่อของคุณถึงเห็นด้วยกับฉันที่จะให้กำเนิดหนิงเสี่ยวซี? ตอนนี้ฉันจะบอกคุณว่าความจริงแล้ว…..ฉัน….."

"ขืนคุณพูดอีกคำเดียว ฉันจะส่งคุณไปสู่สุคติทันที คุณเชื่อไหมล่ะ? " สีหน้าคุณน้าเปลี่ยนไป ไม่รอให้พ่อเกาพูดจบ ก็ถีบไปยังเข่าของเขาอย่างโหดเหี้ยม เสียงดัง"โครม"โดยที่พ่อเกาไม่ได้เตรียมป้องกันเลยแม้แต่น้อย คุกเข่าทั้งคู่อยู่บนพื้น แต่บนใบหน้าไม่มีความโกรธเลยแม้แต่น้อย แต่บนใบหน้ากลับแสดงรอยยิ้มที่ลึกซึ้งอย่างมาก

หลังจากหนิงเส่าเฉินกวาดสายตามองไปมาระหว่างคนทั้งสาม ก็ขมวดคิ้ว เดินเข้าไป มองคุณน้าแล้วกล่าวว่า: "หรือว่าคุณน้ารู้เรื่องอะไร? "

คุณน้ากับนายท่านหลินมาหน้ากัน แล้วจึงมองไปที่ใบหน้าของหนิงเส่าเฉิน "คุณอย่าไปฟังคำโกหกของเขา เขารู้อะไรซะที่ไหน……”

"ฉันโกหกเหรอ? ได้พวกคุณไม่เชื่อใช่ไหม? เช่นนั้นก็ฆ่าฉันเลยสิ? ฆ่าฉันเลย พรุ่งนี้ก็จะมีคนส่งจดหมายฉบับนั้นมาให้หลานสาวของคุณ เมื่อถึงเวลานั้น ฉันอยากจะดูสิว่า จะเป็นฉันที่ตายไปอย่างเจ็บปวด หรือเธอจะมีชีวิตอยู่อย่างเจ็บปวดกันแน่" พ่อเกาพูดจบก็เงยหน้า หัวเราะออกมาเสียงดัง

"ปัง" ขาขวาของพ่อเกาถูกยิง คนที่อ่อนโยนอย่างคุณน้า เวลานี้ถูกทำให้โกรธจนหน้าซีดเซียว

พร้อมกับเสียงปืน ชายชุดดำกลุ่มหนึ่งก็วิ่งเข้ามา หัวหน้าเห็นท่าทางการส่งสัญญาณของคุณน้า ก็โบกๆ มือให้กับคนด้านหลัง ต่อจากนั้น ชายชุดดำสองสามคนก็มาหามพ่อเกาที่ขาได้รับบาดเจ็บออกไป

"ส่งฉันไปโรงพยาบาล ฉันต้องการโรงพยาบาลที่ดีที่สุด ต้องการ สวัสดิการที่ดีที่สุด ฮ่าๆ ……” พ่อเกาถูกลากออกไป เลือดที่ขาไหลนองตลอดทาง เขาไม่เจ็บแต่กลับหัวเราะเสียงดัง

นายท่านหลินมองลูกชายของตนเอง แล้วพ่อเกาที่สีหน้าเย่อหยิ่งอีกครั้ง ความปรารถนาที่อยากจะฆ่าในแววตาของเขาค่อยๆ ลดลง คว้าถ้วยน้ำชาบนโต๊ะ แล้วโยนลงบนพื้นอย่างแรง ส่งเสียงแตกดังเพล้ง

หนิงเส่าเฉินสีหน้าเคร่งขรึม มองนายท่านหลินและคุณน้า เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า : "คุณตา ท้ายที่สุดแล้วเขาจะพูดอะไรกับคุณ? "

เมื่อกี้ลับหลังเย่หลินคุณตาก็ส่งสัญญาณให้เขาทำให้เย่หลินหมดสติ เขาไม่ได้คิดมากจึงได้ทำลงไป เพราะเขาเข้าใจว่า ผู้ชายสองคนนี้ที่อยู่ตรงหน้าเป็นเหมือนกันกับเขา คือไม่สามารถที่จะทำร้ายเย่หลินได้

แต่เข้าก็ยิ่งเข้าใจ ว่าที่พ่อเกาพูดเรื่องเหล่านั้นกับนายท่านหลิน มันต้องเกี่ยวข้องกับเย่หลินอย่างแน่นอน

แน่นอนว่านายท่านหลินกลัวจะไปทำร้ายเย่หลิน จึงให้เขาทำแบบนั้น

นายท่านหลินมองชายตรงหน้าด้วยสายตาลึกซึ้ง แล้วบอกใบ้ให้เขานั่งลงก่อน

“ปัญหาใหม่ ?” เย่หลินไม่เข้าใจ และรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย สิ่งสามารถให้หนิงเส่าเฉินเรียกว่าปัญหาได้ จะเป็นเรื่องอะไรกันนะ ?

“ถ้าคนตระกูลเกามาหาคุณเพื่อต้องการคน คุณเตรียมที่จะทำยังไง ?”หนิงเส่าเฉินจ้องมาที่เธอ ตั้งสมาธิมากโดยไม่กะพริบตา

“คนของตระกูลเกา ?”เย่หลินไม่คิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ เธอทานโจ๊กและตอบกลับไปอย่างเป็นธรรมชาติ:“หรือว่าคุณช่วยแก้ปัญหานี้ไม่ได้เหรอ ?”

เธอเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ หนิงเส่าเฉินกอดอก ดึงริมฝีปากบางของเธอยกชึ้นเล็กน้อย ด้วยความดีใจกับความไว้วางใจ และมองไปที่เย่หลิน “คุณนิ่งสงบ”

เย่หลินเลิกคิ้ว “คุณจะไม่มีผลที่ตามมาจริงๆเหรอ ?”ถ้าหากเกาเหวินรู้ว่าเธอพาเกาไห่ออกมา ด้วยจิตใจที่โหดร้ายของผู้หญิงคนนั้น และยังไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นอีก ?

หนิงเส่าเฉินไม่ตอบคำถามเธอ เขาขมวดคิ้วหรี่ตา พยักหน้า และตอบโต้อย่างเป็นกันเอง:“ไม่มี ดังนั้น คนตระกูลเกามาหาแล้ว”เขามองนาฬิกาข้อมือ “ถ้าไม่เกิดอุบัติเหตุ ประมาณสองชั่วโมง พวกเขาก็น่าจะถึงที่นี่”

เย่หลินลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็ว กัดริมฝีปากล่างและขมวดคิ้ว และเปิดปากของเขา ชั่วขณะหนึ่งเขาไม่เข้าใจความหมายของหนิงเส่าเฉิน

ทำไมถึงเจอที่นี่ได้เร็วนัก และอีกอย่างหนิงเส่าเฉินก็รู้ แต่กลับไม่หยุดมัน

“มาก็มาแล้ว ฉันอยากถามให้ชัดเจนว่า พี่ชายฉันมาอยู่ตระกูลเกาได้อย่างไร ยังมี สรุปแล้วความสัมพันธ์ของพ่อเกาและแม่ฉันเป็นอย่างไรกันแน่ ?” ทันใดนั้นเย่หลินก็โล่งใจ อย่างไรก็ตาม แม้ว่าเรื่องจะจบลงวันนี้ และหลังจากที่อารมณ์ของเกาไห่สงบ เธอก็จะใช้โอกาสนี้ไปถามพ่อเกา

ถามถาม ทำไมพี่ชายของเธอเติบโตมาจากตระกูลเกา ทำไม เขากับเกาไห่ถึงหน้าเหมือนกันมาก แต่กลับไม่ใช่พ่อของพวกเขา……….

หนิงเส่าเฉินไม่พูดอะไรมาก แค่ดึงมือของเธอ และโบกให้เธอนั่งลง

อย่างที่หนิงเส่าเฉินทาย สองชั่วโมงต่อมา ด้านนอกก็มีเสียงกริ่งดังขึ้น เดิมทีหนิงเส่าเฉินอยากไปดู แต่เย่หลินร้อนรน จึงวิ่งไปที่ประตูก่อน เธอดึงประตู และสิ่งที่ดึงดูดก็คือชายวัยกลางคนและชายชรา

เย่หลินตกตะลึง และมองไปเข้าไปใกล้ๆ และก็ตระหนักได้ว่า นี่คือพ่อเกา

พ่อเกามองเธอด้วยความตกตะลึง เขามองเธอเป็นเวลานานแล้วค่อยค่อยดึงสายตากลับ “คุณคือเย่จึ ?”

เย่หลินจินตนาการว่าพ่อเกามองเห็นเธอ และจะไม่มีวันมองเธอด้วยสีหน้าที่ดี แต่ไม่คิดเลยว่า เขาจะกรุณาเรียกเธอว่าเย่จึ

“อืม เกา….ลุงเกา”สุภาพเหรอ ถ้าหากเขาไม่สุภาพกับเธอ เย่หลินก็ไม่คิดจะสุภาพกับเขา แต่ในขณะนี้ เขาไม่เป็นอันตราย เธอก็ใจร้ายไม่ออก ดังนั้นเธอจึงเรียกเกาไห่พร้อมกับเขา

ถอยหลังไปสองก้าว ให้พ่อเกาเข้ามา

โดยไม่คาดคิด ที่มาคือพ่อเกาคนเดียว และไม่เห็นเกาเหวิน

พ่อเกาเข้าประตูมา เมื่อเห็นหนิงเส่าเฉินที่ห้องนั่งเล่น สีหน้าก็เรียบเฉยมาก ทำให้เย่หลินสับสนเล็กน้อย

ถ้าพูดตามหลักคือ เมื่อเห็นลูกเลยอยู่กับผู้หญิงคนอื่น ในฐานะพ่อตา เขาก็ควรจะโกรธไม่ใช่เหรอ ?

ถึงแม้ว่าจะคุมสติขนาดไหน แต่ถ้าโกรธก็เป็นเรื่องปกติ

“เส่าเฉิน” พอ่เกาทักทายหนิงเส่าเฉินก่อน

หนิงเส่าเฉินเหลือบมองเขา และลุกขึ้นยืนจากโซฟาเดินมาที่ข้างกายเย่หลิน “คุณให้พี่ชายคุณออกไปก่อน พูดจบ เขาก็บอกให้พ่อเกานั่งลง”

เย่หลินไม่รู้ว่ากระดูกของหนิงเส่าเฉินขายยาอะไร เขาแค่เดินไปข้างหลังสวนดอกไม้อย่างเชื่อฟัง และเรียกเกาไห่กลับไปห้องนั่งเล่น

“พี่ชาย อีกไม่นานคุณก็ได้เห็นคนรู้จักแล้ว คุณไม่ต้องตื่นเต้นนะ ”เมื่อเข้าใกล้ห้องนั่งเล่น เย่หลินกลัวว่าเมื่อเกาไห่เจอพ่อเกา ถ้าเขาตื่นตระหนกมากจนเกินไป ก็ฉีดยาให้เขาก่อน

เกาไห่เหลือบมองเธอ แต่ก็ไม่พูดอะไร

แต่ฝีเท้ากลับไม่หยุด เขาสูงและขายาว เย่หลินใช้แรงอย่างมาก ในการตามเขา

“อาไห่…….”เสียงของพ่อเกา ชะงักเล็กน้อย

เย่หลินตกตะลึง มองหนิงเส่าเฉิน และเดินไปหาเขา

เธอหันศีรษะมองเกาไห่ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเธอเพิ่งเตือนเขาไปหรือเปล่า หรือว่าเกาไห่จำพ่อเกาได้ เกาไห่อยู่ในอารมณ์ที่สงบ

เขามองไปที่พ่อเกา แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร

เมื่อเย่หลินกำลังจะพูดอะไรบางอย่าง ด้านนอกก็มีเสียงกริ่งดังขึ้นอีกครั้ง เย่หลินขมวดคิ้ว หนิงเส่าเฉินพยักหน้าให้เธอ ส่งสัญญาณว่าให้เธอเปิดประตู

พวกเขาเพิ่งย้ายมาที่นี่ ยังไม่ทันจะได้แจ้งให้ใครทราบ ดังนั้น เย่หลินจึงสงสัยเล็กน้อย ตอนนี้จะเป็นใคร เมื่อเปิดประตู เธอก็รู้สึกสับสน คุณปู่ และยังมีคุณอา ยังมี มาตราฐานการเดินทางของพวกเขา บอดี้การ์ดหลายสิบคนในชุดดำ

เธอทั้งประหลาดใจและดีใจ “คุณปู่ คุณอา พวกคุณมาได้ยังไง ?”

“เด็กคนนี้นี่ เจอเรื่องมากมายขนาดนี้ ทำไมไม่เล่าให้พวกเราฟัง ถ้าหากไม่ใช่เพราะพ่อของลูกคุณบอก พวกเราก็ไม่รู้เรื่องะไรเลย คุณอายุเท่านี้ ต้องมาพบเจอเรื่องมากมายขนาดนี้” คุณอาเป็นคนอบอุ่น รอยยิ้มเขาดูอบอุ่นมาก

เย่หลินเข้าใจแล้วว่าทำไมหนิงเส่าเฉินถึงไม่ช่วยเธอ แล้วทำไมถึงพาพ่อเกามา เธอต้องการทำให้ทุกอย่างชัดเจนกับเธอเอง

“คุณปู่ สุขภาพของคุณยายยังโอเคไหมคะ ? เย่หลินยิ้มให้กับคุณปู่ที่จ้องเธออย่างโหดร้าย ทันทีที่เขาปรากฎตัว และชาบชราก็มองเธอ ลูกหลานของพวกเราตระกูลหลิน ถูกคนภายนอกรังแกแบบนี้ คุณก็เหมือนแม่ของคุณ ช่วยชีวิตนี้เพื่อผู้ชายแล้ว ก็ไม่สนใจชีวิตของตัวเอง ?”

หลังจากพูดจบ เขาก็ตะคอกอย่างเย็นชา และเดินเข้าไปในห้อง เย่หลินสูดลมหายใจ มองไปที่คุณอา คุณอาก็ขยิบตาให้เธอ “คุณปู่เป็นห่วงเธอ อย่าใส่ใจเลย”

เย่หลินพยักหน้า และคุณอาก็เดินเขาไปอย่างรวดเร็ว

ในห้องนั่งเล่นพ่อเกาและเกาไห่กำลังพูดคุยกัน หนิงเส่าเฉินเอนหลังพิงโซฟา สองมือใส่ในกระเป๋าเสื้อ และไม่ได้ร่วมกับพวกเขา

เมื่อเห็นพวกเย่หลินเข้ามา เขาก็ลุกขึ้นและทักทายพวกเขา

“คุณปู่ คุณอา พวกคุณมาแล้ว ”สีหน้าของพวกเขาสงบ ยิ่งบอกเย่หลินว่า ทุกอย่างเป็นสิ่งที่เขาวางแผน

“อาเฉิน ครั้งนี้ลำบากคุณแล้ว !”คุณปู่ก้าวไปข้างหน้า และตบไหล่ของหนิงเส่าเฉินเล็กน้อย ซึ่งแตกต่างจากความเย็นชาที่มีต่อเย่หลิน และเขาก็ยกมุมปากให้กับหนิงเส่าเฉิน

ความแตกต่างนี้ ทำให้เย่หลินพูดไม่ออกไปชั่วขณะหนึ่ง

เมื่อได้ยินเสียงเกาไห่ หันศีรษะมา เย่หลินพบว่า เขาไม่ได้แสดงออกทางใบหน้ามากนัก เธอแปลกใจเล็กน้อย การแสดงออกของเขานั้นชัดเจนมาก เขาไม่รู้จักปู่และคุณอาของเขาเลย

ใช่ !หน้าตาคนจะเปลี่ยนไป แต่จะเปลี่ยนไปยังไง มากสุดก็แค่แก่ขึ้นเล็กน้อย เขาไม่อยากจะเชื่อ พ่อเกาจะไม่มีความประทับใจกับคุณปู่

ดูเหมือนว่ามันเป็นทัศนคติที่มีต่อคนแปลกหน้า หรือก็คือ เดิมทีก็เป็นคนแปลกหน้า ? เธอตกใจกับความคิดของตัวเอง

ในทางตรงกันข้ามคุณปู่ ในดวงตาเต็มไปด้วยโคลน ความรู้สึกที่ไม่สามารถสามารถระบุได้ปรากฎขึ้น เขารีบเดินไปหาเกาไห่ และพูดคำสองคำที่เย่หลินไม่เคยได้ยินมาก่อน “อาฉวน”

เกาไห่ไม่มีปฎิกิริยาตอบสนอง แต่พ่อเกาที่ไม่แยแสมาตลอด กลับลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว สายตามองไปที่คุณปู่และคุณลง และมองหนิงเส่าเฉินและพูดว่า “ทั้งสองคนคือ………”

ก่อนที่เขาจะพูดจบ ลุกที่ยืนห่างออกไปไม่กี่เมตรก็รีบพุ่งไปที่ด้านข้างของเย่หลินอย่างรวดเร็ว เธอหันศีรษะ ก็มองเห็นในมือของคุณอากำลังถือปืน และชี้ต่ำไปทางพ่อเกา

“อ่า…….คุณไป คุณไป ผมไม่อยากไปเมือง C ผมไม่ไป !”คนมาถึงที่ข้างเครื่องบินแล้ว เย่หลินคิดว่าเกาไห่จะมีความสุข ดังนั้น ถึงพูดกับเขาแบบนี้ แต่ไม่คาดคิดว่า ปฎิกิริยาของเขาจะรุนแรงเช่นนี้

จากนั้น เขาก็ปฎิเสธที่จะขึ้นเครื่องบินอีกครั้ง

ไม่ว่าเย่หลินจะเกลี้ยงกล่อมมยังไง หรือชักชวนยังไง ก็ไม่ได้ผล

ในท้ายที่สุดเย่หลินก็พาเธอไปต่างประเทศ หนิงเส่าเฉินก็อดเป็นห่วงเธอไม่ได้ จะตามไปทุกกระบวนการ

เนื่องจากบ้านเช่าเดิมมีขนาดเล็กเกินไป เมื่อหนิงเส่ามาถึง ก็ให้พวกเขาเปลี่ยนคฤหาสน์ขนาดใหญ่แยกต่างหากแทน

“เส่าเฉิน อย่าเอาเสี่ยวซีและเสี่ยวโม่มาได้ไหม พี่ชายฉันรู้สึกระแวดระวังพวกเรา ดังนั้น เขาคงไม่ปล่อยเสี่ยวซีและเสี่ยวโม่เด็กสองคนนี้หรอก ใช่ไหม ?”

“ตกลง ผมจะจัดการ”

เย่หลินดีใจมาก พูดตามตรง เมื่อเธอถามประโยคนี้ เธอไม่ได้มีความคาดหวังในใจมากนัก อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ของเกาไห่ไม่ค่อยมั่นคง เขามักจะอารมณ์เสีย บางครั้งก็ยังทำร้ายคน เสี่ยวซีและเสี่ยวโม่ยังเป็นเด็ก ที่จริงแล้วเธอยังกังวลเล็กน้อย เกาไห่จะทำร้ายพวกเขาไหม ไม่คิดเลยว่าหนิงเส่าเฉินจะตอบตกลงอย่างไม่ลังเลเลย

“เส่าเฉิน คุณดีกับฉันมากเลย !”สองสามวันนี้ เพื่อเกาไห่ พวกเขาอยู่ในเมือง S มาเป็นเวลาสี่วันแล้ว เธอกลัวว่าจะเสียเวลาทำงานของหนิงเส่าเฉิน เธอขอให้เขากลับไปทำงานที่เมือง S ก่อน แต่เขาก็ปฎิเสธ และในตอนกลางวันยังไปโรงพยาบาลเป็นเพื่อนเธอ

ในตอนกลางคืน เธอเผลอหลับไป และตื่นตอนกลางดึก เธอพบว่าเขายังคุยโทรศัพท์กับหลิวซูอยู่ โดยพูดถึงเรื่องงานบางอย่างอยู่

ด้วยแบบนี้ เป็นเวลาหลายคืน ในตอนเช้า เมื่อเธอตื่นขึ้นมา เขาก็มีการประชุมที่ข้างนอกอีกครั้ง

ในตอนกลางวันก็ไม่ได้ทำอะไร ก็แค่อยู่เป็นเพื่อนเธอ เขาเป็นแบบนี้ ทำให้เย่หลินรู้สึกเป็นทุกข์

“คุณบอกว่าจะไม่มีวันหนีจากไป คุณลืมไปแล้ว ?” ชายคนนั้นตอบเย่หลินเบาๆ เขารู้สึกว่านี่เป็นเรื่องที่แน่นอน และไม่ควรเป็นกรณีระหว่างสามีภรรยา

เมื่อเห็นเย่หลินเงยหน้าขึ้นมองเขา เขาก็โน้มตัวลงจูบไปที่ริมฝีปากของเย่หลิน แค่เพียงลิ้มรสมัน จากนั้นก็ปล่อยเธอ “ตกลง อย่าคิดอะไรเยอะ คุณก็รีบนอน”

หลังจากพูดแบบนี้ ก็ลุกขึ้นและลงเตียงไป

เย่หลินรู้ว่าเขากำลังจะไปทำงานอีกแล้ว ในใจก็กระวนกระวาย ดึงเขาไว้ “หรือว่า คืนนี้อย่าทำงานเลย รีบนอนหน่อย”

ชายคนนั้นงง “ไม่เป็นไร คุณก็รีบพักผ่อน?”

หลังจากพูดจบ เขาก็ผลักมือของเย่หลินที่แขนออก และหันหลังเดินไปทางประตู

เย่หลินคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ ถอนหายใจ และลุกขึ้น เดินไปกอดหนิงเส่าเฉิน “คุณ………หรือว่าคุณเกลียดฉันแล้ว ?”หญิงสาวหน้ามุ้ยและสีหน้าก็ดูมืดมนลง

“เป็นไปได้ยังไง ?”ชายคนนั้นพูดจบ หันหลังมองเย่หลิน ด้วยสีหน้าประหม่าเล็กน้อย

แววตาของหญิงสาวมีความสุข แต่เธอก็แสดงออกว่ารู้สึกผิดหวังมาก “แต่ว่า คุณไม่ได้แตะต้อง

ฉัน………มาหลายวันแล้ว ?”

หลังจากพูดเสร็จ เธอก็ยื่นมือออกไป และเริ่มปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตของชายคนนั้นที่ละเม็ด จากข้างบนไปข้างลง

เธอได้ยินเสียงหายใจของชายคนนั้น จากตื้นไปถึงหนัก

จนกระทั่งมือไปจนถึงกระดุมเม็ดสุดท้าย เย่หลินไม่ขยับ เพียงแค่เงยหน้าขึ้น มองหนิงเส่าเฉิน และเลียริมฝีปากแดงโดยไม่รู้ตัว “เส่าเฉิน……….. เธอพึมพำ”

หนิงเส่าเฉินจับมือทั้งสองข้างของเธอด้วยมือใหญ่ หน้าอกที่เปลือยเปล่า ทำให้คุณสามารถเห็นการกระเพื่อมขึ้นลง น้ำเสียงของเขาแหบแห้งเล็กน้อยที่ข้างหู “สองสามวันนี้ เพื่อเรื่องของพี่ชายคุณ เหนื่อยมาก ผมกลัวว่าคุณจะเหนื่อยเกินไป ดังนั้น จึงอดทนไว้ตลอด”

เมื่อพูดถึงตรงนี้ เขาก็ถอนหายใจ จับมือเธออย่างร้อนรน “คุณแน่ใจหรือว่าต้องการไปต่อ ? ผมกลัว…….”

เย่หลินวางเท้าของเธอ ดึงมือมาคล้องคอของหนิงเส่าเฉิน ริมฝีปากแดงขยับขึ้นลง ขัดจังหวะการพูดที่เหลือของหนิงเส่าเฉิน

“เย่หลิน……….”ความแข็งแกร่งบนมือของชายคนนั้นก็เพิ่มขึ้น ทันใดนั้นก็เคลื่อนตัวลงและใช้แรงอุ้มเย่หลินขึ้นมา

ไม่รู้ว่าคืนนี้เย่หลินจู่โจมเกินไปรึเปล่า หรือว่าเป็นอาการซึมเศร้าของหนิงเส่าเฉิน ยังไงก็ตาม เย่หลินถูกปลุกโดยเด็กทั้งสอง

“พี่ชาย คุณบอกว่าแม่ของพวกเราเป็นลมไปแล้ว ? เรียกเธอ เธอไม่มีปฎิกิริยาตอบสนอง ?”เสียงของเย่เสี่ยวโม่ ค่อนข้างอ่อนโยน และเป็นผู้ใหญ่

หลังจากนั้นไม่นาน เสียงของหนิงเสี่ยวซีก็ดังขึ้นมา

“ไม่ได้เป็นลม แต่ออกกำลังกายเกินไป เลยเหนื่อย ”เสียงนั้นดังขึ้นเรื่อยๆคล้ายกับหนิงเส่าเฉิน เย็นชาและสั้น แต่ชัดเจน

ก็แค่……..เด็กนะ คุณ………การออกกำลังกายของคุณ ? แน่ใจว่าเป็นการออกกำลังแบบนั้นไหม ?

ออกกำลังกายมากเกินไป ? แค่กแค่ก……..

ยังโชคดีที่ผ้าม่านมีผลในการบังแดดได้ดี และโชคดีที่ยังสามารถปกปิดใบหน้าแดงของเธอได้

“พวกคุณมาทำอะไรกันที่นี่ ? ออกไป ไปเยี่ยมคุณลุง” น้ำเสียงของหนิงเส่าเฉิน ลดระดับอย่างจงใจ

“พ่อครับ แม่ผมบอกว่า……….”

เย่หลินลุกขึ้นนั่งในทันที “เสี่ยวโม่ คุณกำลังเรียกพ่อ ?”

ทั้งสามคนในห้องต่างตกตะลึง

เย่หลินมีปฎิกิริยาตอบโต้ เธอควรจะนอนได้แล้ว แต่นี่…………

“เสี่ยวโม่เสี่ยวซีออกไป ”หนิงเส่าเฉินเอ่ยปาก เด็กทั้งสองแสดงออกที่ต่างกันไปทางเย่หลิน ไม่พูดอะไร และเดินออกไปด้วยความเข้าใจไปโดยปริยาย

เมื่อประตูถูกปิดไป เขาก็รู้สึกโล่งใจขึ้น

ไฟในห้องเปิดขึ้น เย่หลินเงยหน้าขึ้น และพบกับแววตาที่ยิ้มแย้มของหนิงเส่าเฉิน

เขาจ้องมอง “ล้วนโทษคุณ ทำให้ฉันกลายเป็นตัวตลกต่อหน้าลูก”

หนิงเส่าเฉินนั่งอยู่ข้างเตียง และกอดเธอไว้ในอ้อมแขน “เมื่อคืน ใครเป็นคนจู่โจม ?”

เย่หลินพุ่งเข้ามาในอ้อมแขน “แต่ หลังจากนั้น คุณก็มากเกินไป”

“แค่ก……”หนิงเส่าเฉินกระแอม

“ไม่เกลียดคำถามนี้ ไม่อย่างนั้น วันนี้คุณก็ไม่ต้องลุกจากเตียง จากนั้นเขาก็เงยหน้าขึ้น ”คุณไม่อยากไปดูพี่ชายคุณกับเด็กทั้งสองว่าเข้ากันยังไงเหรอ ?

เย่หลินลุกขึ้นจากอ้อมกอดของเขา และสีหน้าดูมีความสุข และรีบวิ่งออกไปข้างนอกโดยไม่ทันสวมรองเท้า

หนิงเส่าเฉินถอนหายใจอย่างแผ่วเบา ก้มตัว และถอดรองเท้าถือไว้ในมือและเดินออกไป

ในห้องนั่งเล่น

“คุณอา แม่ทัพไม่ออกจากพระราชวัง นักปราชญ์ก็จะไม่ออกวัง ดูว่าคุณจะสอนเย่เสี่ยวโม่ยังไง เธอเอาขุนพลวิ่งไปไหนแล้ว ?” หนิงเสี่ยวซีพูดจบ เขาก็มองไปที่เด็กผู้ชายและหญิงตรงหน้าด้วยความรังเกียจ

เย่เสี่ยวโม่ทำปากมุ้ย และมือเล็กๆของเขาก็ดันหมากรุกต่อหน้าเขา “เกมนี้ไม่นับ เริ่มใหม่ แค่คุณพูด มันก็ขัดความคิดผมหมดแล้ว”

หนิงเสี่ยวซีอ้าปากเล็กน้อย ขมวดคิ้ว ท่าทางแบบนั้น ดูเหมือนหนิงเส่าเฉินมาก

เขายกมือขึ้นและชี้ไปที่เย่เสี่ยวโม่ และสุดท้ายก็ถอนหายใจเบาๆ มีหลายสิ่งที่ไม่อาจช่วยและหยุดยั้งไว้ได้

“คุณอา ยังจะเล่นกัยบพวกเราอีกสองเกมใช่ไหม ?”

ชายคนนั้นสะดุ้ง และลูบหัวของเขา ไม่พูดอะไร แต่ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม เขาอุ้มเย่เสี่ยวโม่และนั่งไขว่ห้างตรงข้ามหนิงเสี่ยวซี เย่เสี่ยวโม่ไม่ปล่อยให้อารมณ์ของเขาโกหก และนั่งอยู่ในอ้อมแขนของเกาไห่อย่างเชื่อฟัง

เย่หลินเม้มริมฝีปาก ในใจก็รู้สึกอบอุ่นขึ้น เธอหันหลังวิ่งไปที่ห้อง หยิบโทรศัพท์และโฟกัส “กดแชะ” ถ่ายรูปไปหลายรูป

หนิงเส่าเฉินโอบเอวของเธอ และถอนหายใจเบาๆ “ตกลง คุณไปทานอะไรก่อน”

เย่หลินพยักหน้า ในที่สุดก้อนหินในใจก็ตกลงบนพื้น

ไม่ว่าเกาไห่จะใช้เวลายอมรับเธอนานแค่ไหน เขาก็สามารถใจดีกับหนิงเสี่ยวซีและเย่เสี่ยวโม่ได้ขนาดนี้ ก็ถือว่าปรับปรุงมาได้มากแล้ว

“อืม พี่ชายฉันทางนี้มั่นคงแล้ว คุณ จะกลับประเทศแล้วหรือยัง ?” เมื่อทานอาหารได้ครึ่งหนึ่ง เย่หลินก็ถามออกมา

หนิงเส่าเฉินนั่งอ่านหนังสืออยู่ข้างข้างเธอ ได้ยินเธอพูดแบบนี้ เขาก็ปิดหนังสือและหันไปมองที่เย่หลิน “บางทีปัญหาใหม่อาจจะมาอีกแล้ว ?”

เธอหลับตาลง และเดิมพันอยู่ภายในใจ

พี่ชาย ถ้าหากพวกเรามีโทรจิตกันจริง ตอนนี้ฉันใกล้ตายแล้ว คุณจะรู้สึกอึดอัด รู้สึกเสียใจไหม ?

“อ่า…………”เย่หลินได้ยินเสียงร้อง จากนั้น เธอก็ถูกโยนออกไป ร่างกายของเธอไปกระแทกเข้ากับขาของโต๊ะหนังสือนั้น

โต๊ะหนังสือที่เดิมทีพังยับเยินอยู่แล้ว มันจะทนแรงชนของเธอได้อย่างไร มันจึงพลิกคว่ำลงมาทางเธอ

“อ๊ะ………..”เธอตะโกนออกมา

จากนั้น เธอก็ได้ยินเสียงเคาะประตู และเธอก็รู้สึกว่าร่างกายหนักอึ้ง จากนั้นก็มีเสียง“อู้อี้”ดังขึ้นมา

“เกิดอะไรขึ้น ?”เสียงของหนิงเส่าเฉินดังมาจากเหนือศีรษะ

เย่หลินสูดลมหายใจ และเงยหน้าขึ้นมองใบหน้าของหนิงเส่าเฉิน และหันศีรษะของเขาไปโดยไม่รู้ตัว มองไปที่ชายคนที่กำลังกดทับเธออยู่

เขาหลับตาลง และเลือดก็ไหลออกมาจากหูของเขา

ในใจก็ตกใจมาก “เร็ว เขาได้รับบาดเจ็บ”

ทางเข้าห้องผ่าตัด

เย่หลินเดินไปเดินมา สีหน้านิ่งสงบมาก แต่ในใจกลับร้อนรน

หนึ่งชั่วโงก่อน เธอและเกาไห่ได้สร้างความสัมพันธ์แบบพี่น้อง

มานั่งเถอะ อาจจะต้องใช้เวลาอีกสักพักกว่าเขาจะฟื้น หนิงเส่าเฉินลากเธอมานั่งลงบนเก้าอี้ข้างหลัง

เมื่อสายตามองลงมาที่คอของเธอ รอยนิ้วสีแดงที่อยู่บนนั้น สายตาเขาก็มืดมนลง สีหน้าก็ไม่ค่อยดีเล็กน้อย

เย่หลินเม้มริมฝีปาก คล้องแขนของหนิงเส่าเฉิน และเอนศีรษะพิงเขา ในตอนท้าย เขาปล่อยมือ เขากำ

หน้าอกไว้และตะโกนออกมา จากนั้นก็โยนฉันออกไป จากนั้น เมื่อเห็นโต๊ะจะทับใส่ฉัน เขาก็มาบังโต๊ะแทน

ฉันไว้ เส่าเฉิน คุณว่า “ความสัมพันธ์ทางสายเลือดมันน่าอัศจรรย์จริงๆ” เมื่อพูดถึงตรงนี้ เธอก็ยกมุมปากขึ้น

คำตำหนิของหนิงเส่าเฉินมาถึงที่ริมฝีปาก และกลืนมันกลับไป เขาควรจะทำยังไงกับเธอดี เห็นได้ชัดว่าเกาไห่ต้องการที่จะบีบคอเธอก่อน และเห็นได้ชัดว่าเขาผลักเธอออกไปก่อน ดังนั้นถึงไปโดนกับโต๊ะ แต่เธอกลับคิดถึงแต่ความดีของเขา

“คุณว่าถ้าพี่ชายของฉันรู้ว่าฉันคือน้องสาว เขาจะดีใจไหม ?”

หนิงเส่าเฉินถอนหายใจเบาๆ และตบหลังมือของเธอ “อย่ากังวลเลย อีกเดี๋ยวรอเขาตื่นแล้วค่อยพูด”

“ครอบครัวสามารถลงไปที่ห้องผู้ป่วยได้แล้ว คนป่วยถูกพาออกไปแล้ว” ประตูห้องผ่าตัดเปิดออก และหมอก็โผล่หัวออกมา

เย่หนิงยิ้มอย่างมีความสุข และดึงหนิงเส่าเฉินเดินลงไป

ในห้องผู้ป่วย เกาไห่นอนอยู่ครึ่งหนึ่ง หน้าผากของเขาพันผ้าพันแผลสีขาวไว้ และบนมือของเขามีขวดอยู่ ประโยคของหมอก้องอยู่ภายในใจของเขา:“ด้านนอกคนนั้น เป็นน้องสาวคุณเหรอ ? พวกคุณพี่น้องมีความสัมพันธ์ที่ดีจริงๆ”

คนที่อยู่ข้างนอก น้องสาว ? เขาไม่คิดว่าเป็นเกาเหวินอยู่แล้ว

เธอกับเขา ควาสัมพันธ์จะไม่มีวันดีขึ้น

ประตูเปิดออก และมีเสียงดังขึ้นอย่างรวดเร็ว เกาไห่รีบหลับตาลง

“พี่ชาย” เสียงผู้หญิงที่สดใสและมีความสุขดังเข้ามาในหู

เกาไห่ลืมตา ผมของเขาสกปรกเกินไป หมอกลัวว่าจะสร้างแผล ดังนั้น จึงขอร้องให้เขายินยอมและโกนผม แต่ ก็ไม่ได้ดูแย่ แต่กลับรู้สึกสดชื่นขึ้น

“พี่ชาย” เย่หลินพูดย้ำอีกครั้ง

ผู้หญิงที่อยู่ข้างหน้า เกาไห่เคยเจอมาก่อน เมื่อหลายปีก่อน ผู้หญิงที่เดินพรมแดงกับชูหยูจี้คนนั้น เขาจำได้ว่าเขายังโทรหาเกาเหวิน เพื่อเตือนเธอ

แต่……..พี่ชาย ?

คุณจำคนผิดแล้ว เสียงของเกาไห่แหบเล็กน้อย หลังจากไม่ได้พูดปกติมานานหลายปี

ในใจของเย่หลินดีใจมาก น้ำตาไหลลงมา เธอสูดหายใจเขา และหยิบใบรับรองการตรวจ DNA ออกมาจากกระเป๋าและส่งให้กับเกาไห่

“คุณดูสิ พวกเราเป็นพี่น้องกัน”

เกาไห่ตกตะลึง และไม่ได้หยิบกระดาษแผ่นนั้นมา แต่เพียงลดสายตาลงมองลงไปบนพื้น และเมื่อเห็นผลการตรวจ เขาก็ยิ้มอย่างเย็นชา:“ สรุปแล้วพวกคุณต้องการให้ผมทำอะไร ? พูดมาตรงตรงเถอะ ?”

เย่หลินตัวสั่น เกาไห่ไม่เชื่อเธอ ?

“พี่ชาย ตอนที่พี่ตกหน้าผาในตอนนั้น พวกเราก็ไม่เคยเจอกัน ไม่รู้จักกันเลย แต่ ฉันโศกเศร้าเสียใจ ในใจรู้สึกเจ็บปวด ดังนั้น ฉันจึงไปยังสถานที่เกิดเหตุ ด้วยกระแสจิตของพวกเรา ฉันไปเจอร่างที่คุณเจ็บปวด ”เธอหยุดชะงักแล้วหายใจเข้า และนั่งลงตรงขอบเตียงของเขา จ้องมองตรงไปที่เกาไห่

“เมื่อสามปีก่อน ทำไมคุณถึงตื่นขึ้นมา เป็นเพราะว่าฉันเกิดลูก และพบเจอกับอันตราย และพยายามหนีจากความตาย คุณรู้สึกได้ ไม่ใช่เหรอ ? พี่ชาย เกาเหวินไม่ใช่น้องสาวของคุณ ฉันนี่สิ พวกเรามีสายเลือดเดียวกัน พวกเราเป็นพี่น้องพ่อแม่เดียวกัน พี่ชาย……..”เมื่อพูดถึงตรงนี้ เธอก็ร้องไห้ไม่ออก

นิ้วเรียวยาวของเกาไห่ค่อยค่อยยกขึ้นมาที่ตำแหน่งหัวใจของตัวเอง ผู้หญิงคนนี้พูดไม่ผิด เมื่อวานเขาโหดร้ายและอยากบีบคอเธอให้ตาย แต่ เมื่อเธอน้ำตาไหล และใบหน้าของเธอเป็นสีดำ ในใจเขาก็เกิดความโศกเศร้าลและอาการจุดเสียดที่อธิบายไม่ได้ จนทำให้เขาทนไม่ได้จนต้องปล่อยมือ เมื่อเขาเห็นโต๊ะล้มลง เขาก็เอาตัวเองไปกันโต๊ะไว้ให้เธอโดยไม่รู้ตัว

เมื่อคิดถึงตรงนี้…….

ริมฝีปากของเขาก็สั่นเล็กน้อย

เมื่อเขาเงยหน้าไปมองเย่หลิน ดวงตาที่พล่ามัวของเขา ก็มีความโฟกัสขึ้นแต่ก็ยังมีหมอกเลือนลาง

“พี่ชาย ทำไมคุณไม่ยอมออกไปจากที่นี่ ใครเป็นคนขังคุณเอาไว้ที่นี่ ? เกาเหวินรึเปล่า………..”

“ไปให้พ้น ผมไม่สนใจคุณ”ทันทีที่สิ้นเสียงของเธอ เกาไห่ก็ยื่นมือออกไป และผลักเธอลงพื้น

หนิงเส่าเฉินที่เดิมทีอยู่ข้างนอก เมื่อได้ยินเสียงก็วิ่งเข้ามา และเห็นแย่หลินครึ่งหนึ่งนอนอยู่บนพื้น

“ใครอนุญาติให้คุณปฎิบัติกับเธอแบบนี้ ?” น้ำเสียงของหนิงเส่าเฉินเย็นชา ดวงตาของเขากวาดไปที่เกาไห่ และมองไปที่เย่หลิน “มีความสัมพันธ์หรือไม่? ลุกขึ้นมาก่อน”

เย่หลินส่ายศีรษะ และยิ้ม

เกาไห่เลื่อนตัวลง แล้วห่อตัวเองไว้ในผ้าห่ม

“พี่ชาย……….”

“คุณออกไปคุณออกไป…….ผมไม่อยากได้ยินเสียงของคุณ”

ในเวลาต่อมา เกาไห่ตื่นเต้นขึ้นมาก ไม่ว่าเย่หลินจะพูดอะไร เขาก็ไม่ฟัง เขาตะโกนใส่เธอตลอดทาง และบอกให้เธอออกไป

หนิงเส่าเฉินรู้สึกเสียใจต่อเย่หลิน และขัดขวางไม่ให้เธอเข้าไปในห้องผู้ป่วยอีก

“ผู้ป่วยได้รับการปฎิบัติอย่างผิดมาตลอด และเขาก็ได้รับความบอบช้ำทางจิตใจ จิตใต้สำนึกของเขาคิดว่าตัวเองจะได้รับการปฎิบัติแบบนั้น ดังนั้น เมื่อเผชิญการดูแลและการรักษาแบบปกติ ถึงแม้ในใจของเขาจะเข้าใจ แต่ก็ต่อต้านมาก เขาไม่รู้วิธีที่ถูกต้องในกานตอบสนองพวกคุณ

ดังนั้นเขาจึงเลือกวิธีการด่าโดยไม่รู้ตัว”

เย่หลินขมวดคิ้ว และมองหมอที่อยู่ข้างหน้า เป็นหมอที่หนิงเส่าเฉินเชิญมาจากเมือง C เขาเป็นนัก

จิตวิทยาระดับประเทศ

แล้ว เขาจะเป็นแบบนี้ตลอดไปรึเปล่า ? เมื่อเย่หลินถามคำถามนี้ออกไป มือทั้งสองข้างก็เกร็งขึ้นอย่างไม่รู้ตัว

“สิ่งนี้ต้องใช้เวลานการแปลี่ยนแปลง ผมแนะนำ พวกคุณพาเขาไปอยู่ข้างกายของพวกคุณ และให้เขา

ค่อยๆทำความคุ้นเคยกับคุณ เมื่อผ่านไปนานแล้ว ไม่แน่เขาอาจจะกลับมาเป็นปกติได้ และก็ไม่แน่ว่า บางทีก็จะมีช่วงเวลาที่ดีและแย่ พวกคุณต้องเตรียมใจให้พร้อม”

เช้าวันรุ่งขึ้นที่สนามบิน

“พี่ชาย ฉันจะพาคุณกลับไปเมือง C ตกลงไหม ? คุณจำเมือง C ได้ไหม ? สถานที่ที่คุณเติบโต ?”

จากนั้น เธอก็เห็นว่าในสนามที่เมื่อครู่ยังว่างอยู่ เพียงครู่เดียวก็มีชายสวมชุดสูทและรองเท้าหนังหลายสิบคน มาล้อมพวกหมอสองสามคนมาไว้รอบๆ

เมื่อครู่เธอเห็นขาของนักเลงคนนั้นงออย่างชัดเจน และเขาก็คุกเข่าอยู่บนพื้น

คนรอบข้างช่วยพยุงเขาขึ้นมา

หันหลัง และเดินกลับไปหาพวกเย่หลินข้างหน้า ใบหน้าที่อ้วนอยู่แล้ว เมื่อยิ้มออกมา ใบหน้าก็เบียดแน่นกันไปหมด

“คุณผู้ชายมีเรื่องอะไรพูดกันดีดีก็ได้ เมื่อครู่ไม่ใช่ว่าคุณต้องการผู้ชายคนนั้นเหรอ ?" อันที่จริงก็ไม่ใช่ผมไม่ให้พวกคุณ….. ”ไอ้นักเลงนั่นพูดถึงตรงนี้ก็ก้มศีรษะส่ายหน้า และพูดอีกครั้ง

“อันที่จริง มีคนสั่งเอาไว้ว่า ไม่ให้เขาออกไป”

“คนที่คุณพูดถึงนั้น ใช่แซ่เกา เป็นผู้หญิงที่ชื่อเกาเหวินรึเปล่า ?”เมื่อเย่หลินถามคำถามนี้ เธอก็ยังมีความหวังอยู่เล็กน้อย

แต่เมื่อนางเห็นใบหน้าที่ประหลาดใจของชายคนนั้นอย่างชัดเจน เธอก็หลับตาลงและมองหนิงเส่าเฉิน “คุณคิดได้หรือยังว่า ตอนนั้นเป็นเธอที่ช่วยคุณจริงๆ ?” เธอพูดอย่างประชดประชัน

ผู้หญิงที่โหดร้ายเช่นนี้ จะช่วยชีวิตคน ?

เอาเถอะ เธอทำได้เพียงอธิบายกับตัวเองว่า ในช่วงเริ่มต้นของมนุษย์มักจะใจดี

หนิงเส่าเฉินเหลือบมองไปที่เธอ แต่ไม่ได้รู้สึกรำคาญ และหันไปพูดกับไอ้นักเลงนั่นว่า:“ คุณตอบผมมาก่อน เขา แกล้งเป็นบ้าหรือเป็นบ้าจริงๆ ?”

เย่หลินปิดปากของตัวเอง และมองไปที่หนิงเส่าเฉินอย่างเหลือเชื่อ บ้าจริงหรือแกล้งบ้า นี่มันหมายความว่ายังไง ?

ชายคนนั้นเดินถอยหลังโซเซ และหันศีรษะไปมองหมอที่ยืนอยู่ข้างกายและตบศีรษะของเขาอย่างแรง “เขาถามคุณ ? คุณก็พูดสิ ?”

คนที่โดนตีคนนั้น ก็คือคนที่เพิ่งลากเกาไห่ออกไปคนนั้น

เขาก้มศีรษะลง และกระชับแฟ้มไว้ในอ้อมแขนเล็กอย่างแน่น

“บอส แต่ว่าคุณหนูเกา………..”

“แม่เจ้าคุณยังดูสถานการณ์นี้ไม่ออกเหรอ ยังจะคุณหนูเกาอะไรอีก ? รีบบอกมา คุณเขาอยากรู้อะไร คุณก็พูดไป ”ไอ้นักเลงคนนั้นตะคอกและทุบตีใส่หมอคนนั้น

เย่หลินเหลือบมองไปที่หนิงเส่าเฉิน ในสายตาไม่เพียงแต่ชื่นชมมากเท่านั้น

เห็นได้ชัดว่าพวกนักเลงนี้ ไม่ใช่แค่เงินก็สามารถทำอะไรได้ ถ้าหากว่าให้แค่เงินพวกเขา แต่ด้วยลักษณะของพวกเขาแล้ว อาจจะเป็นเพียงการขู่กรรโชกหรือความโลภที่มุ่งร้าย จ่ายเงินไปแล้ว ยังไม่แน่เลยว่าวันนี้จะพาเกาไห่ออกไปได้

ดังนั้น หนิงเส่าเฉินที่เพิ่งมาถึงเมือง S ก็เลยไปจ้างคนกลุ่มนี้มาก่อน

และผลที่ได้ ก็สองเท่าจากความพยายามเพียงครึ่งเดียว

“ถึงแม้เขาจะดูงงๆ แต่ จากการสังเกตของฉัน อาการป่วยของเขา อันที่จริงเขามาที่นี่ได้ไม่นานก็หายดีแล้ว เพียงแต่ เขาเป็นคนที่แปลกมาก เห็นได้ชัดว่าอาการป่วยหายเป็นปกติแล้ว แต่ทุกครั้งเมื่อมีคนมา เขาก็จะแกล้งป่วย”

เมื่อหมอพูดถึงตรงนี้ เขาก็เหลือบมองไปที่หนิงเส่าเฉินโดยไม่รู้ตัว “ถึงแม้ว่าพวกคุณอยากจะพาเขาออกไป ผมว่าเขาก็คงไม่เต็มใจที่จะไปกับพวกคุณ เห็นได้ชัดว่าเขาไม่ต้องการออกไปจากที่นี่ ”

เมื่อเย่หลินได้ยินอย่างนี้ก็ตกใจ สถานที่นี้ อย่าพูดถึงคนมีปัญหาทางจิตเลย แม้แต่คนปกติ เมื่อมาถึงที่นี่ ก็เดาได้ว่าในสภาพแวดล้อมแบบนี้ ไม่เป็นบ้าก็บ้าแล้ว

เพียงแต่ ทำไมเกาไห่ถึงไม่อยากออกไปจากที่นี่ ?

ในเมื่อเขาสบายดีแล้ว ก็หมายความว่าเขายังสามารถกลับไปที่ตระกูลเกาได้ กลับไปเป็นคุณชายใหญ่ของตระกูลเกา

เขาไม่อยากไปจากที่นี่ นี่มันน่าเหลือเชื่อเกินไปแล้ว

ต่อมา ก็พิสูจน์ได้ว่าหมอคนนั้นไม่ได้พูดโกหก

ทันทีที่เกาไห่ได้ยินว่าพวกเขามารับเขาออกไป เขาก็แทบคลั่งและทุบศีรษะของตัวเอง บังคับให้ตาย

เย่หลินกลัวว่าจะทำร้ายเขา จึงทำได้เพียงประนีประนอมเขาครั้งแล้วครั้งเล่า

เดิมทีเธอต้องการที่จะแข็งแล้วค่อยอ่อน แต่ เธอยังไม่ทันได้พูดอะไร เกาไห่คนนั้นก็ตะโกนเสียงดัง ทำให้เธอไม่มีโอกาสที่จะพูด

เขา เขากำลังผลักตัวเองไปยังเส้นทางที่เด็ดขาด

“ให้ฉันคุยกับเขาคนเดียวหน่อนได้ไหม”เย่หลินมองหนิงเส่าเฉิน และถามอย่างนุ่มนวล

หนิงเส่าเฉินเลิกคิ้วมองเธอ และส่ายหัวอย่างมุ่งมั่น :“เขาอันตรายมาก”

“ได้โปรด พวกคุณก็รออยู่ข้างนอก ถ้าหากได้ยินเสียงดังอะไร พวกคุณก็รีบเข้ามา ตกลงไหม ?”เธอพนมมือสองข้าง ขอร้องหนิงเส่าเฉิน

หนิงเส่าเฉินหันศีรษะ ก้มศีรษะลงอ่านหนังสือ ไม่สนใจเธอ

เย่หลินครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้น เธอก็บีบต้นขาด้ายในของตัวเอง ความเจ็บปวดทำให้รอยยิ้มบนหน้าของเธอ ในขณะนี้ ได้มีน้ำตาไหลลงมา

“เขาอาจจะเป็นญาติคนเดียวของฉันบนโลกนี้ คุณอยากจะให้ฉันไม่มีความสุขไปตลอดชีวิตจริงๆเหรอ ?”

ถ้าหากเย่หลินรู้ว่า คำวิงวอนของเธอในตอนนี้ แปรเปลี่ยนมาเป็นความเมตตาและการแก้แค้นของใครบางคน เธอคิดว่า ตัวเองจะต้องรู้สึกเสียใจ

เมื่อยืนอยู่ที่หน้าประตูห้องของเกาไห่ เย่หลินก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ สำหรับหนิงเส่าเฉิน น้ำตาเป็นสิ่งที่ใช้ได้ผล

เมื่อผลักประตูเข้าไป กลิ่นฉุนก็ลอยออกมา

เธอขมวดคิ้ว และมองไปที่ห้องนี้

ทั้งห้องมีแสงไฟสลัว ห้องไม่ใหญ่ ประมาณสิบกว่าตารางเมตร ภายในห้องมีกลิ่นอับ และผนังก็เลอะไปด้วยปากกาสีดำแดง

ตกแต่งห้องได้เรียบง่ายมาก เตียงหนึ่งตัว โซฟาที่ขาดอย่างเห็นได้ชัดหนึ่งตัว และโต๊ะธรรมดาหนึ่งตัว

สิ่งเดียวในห้องนี้ที่สามารถนับได้ว่าสมบูรณ์ ก็คือเตียงไม้ที่เขานอนเตียงนั้น

ด้านบนเตียงมีผ้าห่มหนึ่งผืนวางอยู่

ใกล้กับเพดาน มีหน้าต่างแคบๆหนึ่งอัน

สถานที่พักฟื้น เหอะเหอะ สภาพนี้ พักฟื้น พูดฟังยากหน่อย คุกยังดีกว่าสภาพแวดล้อมที่นี่อีก ?

อย่างไรก็ตาม สภาพแวดล้อมแบบนี้ เกาไห่อยู่มานานถึงสองปีกว่า และไม่ยอมออกไป ทำไมกันล่ะ ?

เมื่อมองย้อนกลับไป ตั้งแต่ที่เธอเปิดประตูเขามา เกาไห่ก็กระโดดลงจากเตียงมาที่พื้น เท้าเปล่า จับแขนและนั่งหมอบอยู่ที่มุมกำแพง

ผมยาวที่ยุ่งเหยิงร่วงลงมาปิดตาครึ่งหนึ่งของเขา ดังนั้น แม้ว่าเขาจะจ้องมองตัวเองอยู่ในขณะนั้น แต่เย่หลินก็ไม่สามารถมองเห็นแววตาของเขาได้อย่างชัดเจน

เธอก้าวไปหาเขาสองก้าว

เกาไห่ไม่มีปฎิกิริยาอะไร เธอรู้สึกดีใจ และเข้าไปใกล้อีกสองก้าว เกาไห่ก็ยังคงสงบมาก

เธอไม่ลืมคำแนะนำของหนิงเส่าเฉิน อย่าเข้าใกล้เกาไห่มากเกินไป

ในขณะนี้ ผู้ชายที่อยู่ตรงหน้าเธอคือคนที่มีสายเลือดเดียวกับเธอ เป็นพี่ชายของเย่หลิน และเป็นผู้ชายคนที่โทรจิตกับเธอ

เธออดไม่ได้ที่จะรู้สึกตื่นเต้น เธอเดินไปข้างหน้าของเกาไห่ นั่งยองยองและวางมือสองข้างที่บนไหล่ของเขา

เธออ้าปาก อยากเรียกเขาว่าพี่ชาย แต่ยังไม่ทันได้เอ่ยเสียง ก็ถูกผู้ชายตรงหน้าคว้าคอไว้ และบีบแน่นทันที……..

มันเร็วมาก จนเธอไม่ทันที่จะได้ส่งเสียงออกมา

มือ กำลังต่อสู้ แต่ก็ขัดกับความแข็งแกร่งของชายคนนั้น

เย่หลินรู้สึกว่าเขาอยากจะฆ่าเธอให้ตาย ดังนั้น เธอลมหายใจของตัวเธอก็แทบถูกตัดขาดในทันที

ในขณะที่การมองเห็นเริ่มพล่ามัว

เธอก็ยอมแพ้ และน้ำตาก็ไหลลงมาจากตาทั้งสองข้างที่ละหยด ติ๋ง !ติ๋ง !

เมื่อตอนที่เย่หลินตื่นขึ้นมา ตัวเองก็อยู่บนรถ

ความรู้สึกที่เป็นหลุมเป็นบ่อ ทำให้เธอตกตะลึง

เธอขยี้ตาที่ง่วงนอน และใช้มือยันให้ลุกขึ้น แต่ไม่ว่ามือจะไปที่ไหน ก็ล้วนอบอุ่น

เธอยังไม่ทันได้ตอบสนอง ก็มีเสียงที่อบอุ่นดังขึ้นที่ข้างหูของเธอ “ตื่นแล้วเหรอ ?”

“พี่สะใภ้ พี่ชายผม เมื่อคืนเขารังแกคุณอีกแล้วใช่ไหม ?”เสียงของหนิงเชี่ยน ? เย่หลินตกใจ ลุกขึ้นนั่ง หันศีรษะไปมองเห็นหนิงเส่าเฉินกำลังถือโทรศัพท์วิดิโอคอลอยู่กับหนิงเชี่ยน

เธอกัดริมฝีปาก ก้มศีรษะลง หน้าแดง

ครั้งนี้ไม่มีทางที่จะบ่นหนิงเส่าเฉินได้จริงๆ เพราะว่า เมื่อคืน คนที่รังแก ก็คือตัวเอง เมื่อคิดถึงตรงนี้ หน้าก็ยิ่งแดงมากขึ้นเรื่อยๆ

“พวกเรา จะไปไหนกันเหรอ ?” เธอเปลี่ยนเรื่องคุย และในขณะเดียวกัน เธอก็ก้มศีรษะลงมองดูร่างกายตัวเอง

เธอรู้สึกคุ้นเคยกับชุดกีฬาสีเทา

ทันใดนั้นก็จำได้ว่าหนิงเส่าเฉินก็เคยสวมเสื้อผ้าแบบเดียวกัน เธออดไม่ได้ที่ดวงตาจะสว่างขึ้น และยกมุมปากขึ้น

“เมือง S ใกล้จะถึงแล้ว”

เย่หลินขมวดคิ้ว ปีนมองหน้าต่าง มองออกไปที่ทิวทัศน์ข้างนอก รูปแบบสถาปัตยกรรมของเมือง S และ เมือง C แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง และที่นี่ ก็คือสถานที่ที่เธอเกิด ดังนั้น แค่มองดู เธอก็รู้ว่าหนิงเส่าเฉินไม่ได้โกหกเธอ เธอประหลาดใจ หันศีรษะไปมองหนิงเส่าเฉิน “ทำไมถึงมาที่เมือง S ล่ะ ?”

หนิงเส่าเฉินมองมาที่เธอและหยุดพูด ในที่สุด หลังจากปรับท่านั่งแล้ว เขาจึงตอบกลับไปว่า:“ คุณจะไปหาเกาไห่ไม่ใช่เหรอ ?”

“เกาไห่อยู่ต่างประเทศไม่ใช่เหรอ ?”เธองงงวยเล็กน้อย

หนิงเส่าเฉินส่ายหัว “สามปีก่อน วันที่คุณคลอดลูก ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกตัว หลังจากนั้น คนของตระกูลเกาก็ไปรับเขากลับมาและส่งมาที่เมือง S โดยบอกว่าที่นี่อากาศดีและเหมาะกับการรักษาตัว”

เย่หลินขมวดคิ้ว วันที่เธอคลอดลูก เกาไห่รู้สึกตัว ?

วันนั้น เธอพยายามเอาชีวิตรอด ดังนั้น เกาไห่ก็รู้สึกเช่นกัน ?

ก็เหมือนกับ ครั้งที่แล้วที่เขาตกหน้าผา เธอก็รับรู้ได้เช่นกัน ?

เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ ก็อดไม่ได้ที่จะมีความหวังและความตื่นเต้นในใจเล็กน้อย

แต่ทำไม ถึงกลับมาที่เมือง S อีกแล้ว ?

เพียงแต่……..

“คุณรู้เรื่องพวกนี้ได้อย่างไร ?”

หนิงเส่าเฉินวางสายโทรศัพท์ของหนิงเชี่ยน และมองไปที่เย่หลิน เขาไม่อยากพูดกับเธอ เขาไม่ต้องการที่จะบอกว่าในวันที่เธอให้กำเนิดเย่เสี่ยวโม่ คำสัญญาที่จะให้เธอรอดพ้นจากความตาย โรงพยาบาล

โทรศัพท์มาหาเธอ แต่เขาไม่ได้จริงจังอะไร ในตอนนั้น เขาเอาโทรศัพท์ให้เกาเหวิน

ลองคิดดูวันนี้ เมื่อใดก็ตามที่เย่หลินมีความรู้สึกเช่นนั้นกับเกาไห่ เขาควรจะใส่ใจหน่อย และมันก็ไม่ได้เป็นเช่นนั้นในตลอดสี่ปีนี้

“เมื่อวานผมขอให้หลิวซูจัดการ เขาตรวจสอบออกมาแล้ว เกาไห่มาที่เมือง S เมื่อสามปีที่แล้ว” เขาตอบไปอย่างรวบรัด

เย่หลินพยักหน้า และถามไปอีกว่า “ถ้างั้น ฉันมาที่เมือง S ได้อย่างไร ?”

เธอจำได้ชัดเจนว่าตัวเองอยู่บนเตียง……..

ดวงตาของหนิงเส่าเฉินค่อยๆหรี่ลง และสัมผัสมือใหญ่ของเธอ และกระซิบที่ข้างหูเธอว่า:“เมื่อคืนทำได้ดีเลย วันนี้ เลยทนไม่ได้ที่จะเรียกเธอตื่น เลยอุ้มเธอขึ้นเครื่องบิน และอุ้มเธอลงมา”

เย่หลินกลืนน้ำลายและแสร้งทำเป็นไม่เข้าใจ และเปลี่ยนเรื่อง “ถ้างั้น ยังอีกนานเท่าไหร่ ?”

เย่หลินคิดหลายวิธีในการจดจำเกาไห่ แต่วิธีเดียวที่ไม่เคยคิดก็คือวิธีนี้

เมื่อพวกเธอมาถึงที่โรงพยาบาล เกาไห่ก็ถูกชายฉกรรจ์สี่ห้าคนกดไว้ที่พื้น และคุกเข่าอยู่ตรงหน้าเธอ

ในคืนนั้นเมื่อสองสามปีก่อน ในตอนที่เธออยู่บนรถพยาบาลเธอเห็นเขา เพราะว่าใบหน้าเต็มไปด้วยเลือด เธอจึงเห็นไม่ค่อยชัดเจน แต่โครงหน้าของเขาดูอ้วนขึ้น เห็นได้ชัดว่าเมื่อเทียบกับตอนนี้ เขาอ้วนกว่ามาก

“นี่คือทำอะไร ? ”หนิงเส่าเฉินสวมกอดเธอ และถอยหลังไปสองสามก้าว

เย่หลินสะบัดมือของหนิงเส่าเฉิน เธอเดินไปข้างหน้าสองสามก้าว และคุกเข่าที่ข้างหน้าของเกาไห่ ถึงแม้ว่าตอนนี้เขาจะยังไม่ฟิ้นตัว และผอมจนหน้ากลัว แต่ ก็ยังเห็นใบหน้าของเขา มองเห็นรูปภาพบนนั้น ภาพลักษณ์ของชายคนนั้น

เธอกัดริมฝีปาก หายใจเข้าและยื่นมือออกไปลูบที่ใจของชายคนนั้น เธอหลับตา และรู้สึกถึงการเต้นของหัวใจของเขาและของตัวเอง ราวกับในขณะนี้ มันหลอมรวมกันเป็นหนึ่งเดียว

อย่างไรก็ตาม กลับกลายเป็นว่าผู้ชายที่โกรธอยู่เมื่อครู่ ตอนนี้เขามองเธออย่างเงียบ

“พี่ชาย”เย่หลินดึงริมฝีปากของเขาเบาๆ และเสียงที่ต่ำก็ดังออกมาจากริมฝีปากแดง

เธอรู้สึกได้ว่าผู้ชายคนนั้นตัวสั่นอย่างเห็นได้ชัด

“เสี่ยวเหวิน คุณมาหาผมแล้ว ? ผมไม่โทษคุณ จริงๆ……..”แต่ วินาทีต่อมา สิ่งที่เขาพูด มันทำให้มือของเย่หลินห้อยลงมา

“พาเขาเข้าไปก่อน”ชายที่สวมเสื้อคลุมสีขาวที่ยืนอยู่ใกล้ๆพูดขัดจังหวะของเขา

จากนั้น เย่หลินก็ยังไม่ทันที่จะได้ตอบสนอง ผู้ชายคนนั้นก็ถูกชายฉกรรจ์หลายคน พาเข้าไปในห้อง

เธอหันศีรษะไปด้วยความตื่นตระหนกเล็กน้อยและมองไปที่หนิงเส่าเฉิน “พวกเขา……”

หนิงเส่าเฉินทำท่าทางเงียบๆที่ริมฝีปากของเขา

เขาช่วยเธอ แล้วมองไปที่หมอตรงข้างหน้าของเขา “พวกเราอยากพาเขาไป” หนิงเส่าเฉินพูดตรงประเด็น

หมอคนนั้นไม่รู้จักหนิงเส่าเฉิน แต่ ออร่าที่ทรงพลังของเขาดูไม่ธรรมดา สถานะของเขาจะต้องไม่ธรรมดาแน่นอน

เขาพยักหน้า “ผมจะไปเรียกผู้อำนวยการโรงพยาบาลของพวกเรา” โปรดรอสักครู่

หลังจากที่หมอจากไป เย่หลินก็เหลือบมองไปรอบรอบโรงพยาบาล

มีวัชพืชขึ้นรก ผนังด้านนอกสีถลอกออกเยอะมาก และเห็นขยะอยู่ทั่วทุกที่ ยืนห่างออกไปไม่กี่เมตร ก็จะได้ยินเสียงตะโกนเสียงดัง ที่นี่ ที่ไหนคือบ้านพักคนชรา ที่นี่ถ้าหากไม่ดูใกล้ๆ สภาพแวดล้อมแบบนี้ แม้แต่โรงงานยังดีกว่า

เธอเม้มปาก และรู้สึกโกรธอยู่ครู่หนึ่ง “เธอจะเอาเขามาอยู่ในสถานที่แบบนี้ได้ยังไง ?”

เธอหันศีรษะไปมองหนิงเส่าเฉิน สีหน้าของเขาไม่ดีอย่างชัดเจน

เย่หลินคิดว่า เกาเหวินทำกับเธอ ก็เพียงเพราะว่ารักหนิงเส่าเฉิน จึงคลั่งไคล้ในความรัก

อย่างไรก็ตาม ในเวลานี้ เธอสงสัยเหลือเกินว่าจิตใจของผู้หญิงคนนี้จะโหดร้ายได้ขนาดไหน

ในขณะนี้ มีหมอเดินผ่านไปสามสี่คน คนหนึ่งสวมเสื้อแล็บสีขาว แต่เนื่องจากอ้วนลงพุง เสื้อคลุมสีขาวเลยไม่ได้ติดกระดุม

หัวเกรียน ที่บนหลังมือของเขา มีรอยสักที่เจาะลึก

ลักษณะแบบนั้น คนที่ไหนจะให้หมอแบบนี้มาพูดกับพ่อแม่ได้ ในหัวของเย่หลินเต็มไปด้วยความคิดที่ว่า ที่นี่เต็มไปด้วยพวกนักเลงใช่ไหมนะ ?

“ได้ยินมาว่าพวกคุณมาหาผม มีธุระอะไร ?” นักเลงคนนั้นหยุดห่างจากพวกเขาสองสามก้าว และมองพวกเขาขึ้นลง แต่น้ำเสียงของเขาดูใจดี

หนิงเส่าเฉินไม่พูดอะไร และชายคนหนึ่งที่ยืนอยู่ข้างหลังเขาก็ก้าวไปข้างหน้า “พวกเราต้องการพาเกาไห่ออกไป เท่าไหร่ คุณบอกราคามา”

ความประหลาดใจปรากฎขึ้นบนแววตาของนักเลงคนนั้น แล้วก็จมหายไป

“เกาไห่อะไร ? ผมไม่รู้จัก”

เย่หลินจับแขนของหนิงเส่าเฉินไว้แน่น และพูดว่า:“ ก็เป็นชายคนที่พวกคุณเพิ่งลากเขาเข้าไปคนนั้น”

“เขาไม่ได้ชื่อเกาไห่ พวกคุณจำคนผิดแล้ว ไปไปไปไป……….”พูดจบ ก็หันหลังและเดินเข้าไป

เมื่อเห็นว่า พวกเขากำลังจะจากไป เย่หลินก็ตื่นตระหนก

ทันใดนั้น เธอก็สัมผัสได้ถึงเงาดำหลายเงาที่เคลื่อนผ่านตัวเธอไป

ทันใดนั้นก็เกิดเสียงดังรอบตัวเขา เย่หลินได้ยินคนพูดว่า สวิทช์ไฟช็อต

เธอตกตะลึง แต่ก็ยังค่อยๆกลืนอาหารเข้าไปในปาก

เธอยืนอยู่ที่เดิม ไม่ขยับไปไหน

ในใจเธอไม่ได้ตกใจ จากนั้น เธอก็ได้กลิ่นกายที่คุ้นเคย

มุมปากกระตุกขึ้น

“ห่างตั้งไกลขนาดนี้ คุณรู้ได้ยังไงว่าฉันอยู่ที่นี่ ?”

ในเวลานี้ไฟได้สว่างขึ้นอีกครั้ง แต่เธอเห็นใครบางคนกำลังเอียงศีรษะโน้มเข้าใกล้ใบหน้าของเธอ และเห็นได้ชัดว่ากำลังจะทำอะไร ในเวลานี้ ไฟสว่างขึ้น เขาตัวแข็งทื่ออยู่ตรงนั้น พร้อมกับใบหน้าที่ลำบากใจ

เย่หลินฉีกยิ้มออกมา และหันศีรษะไปด้านหนึ่ง

“โอเค ไม่ต้องห่วงฉัน คุณไปทำธุระเถอะ ?” จากสายตาด้านของเธอเห็นว่าอวี๋ย่าหนานคนนั้นกำลังมองมาทางนี้

"โดยทั่วไปก็พูดเกือบหมดแล้ว ผมไปทักทายสักครู่ เดี๋ยวกลับมา รอผมนะ "พูดจบ หนิงเส่าเฉินก็ขมวดคิ้ว และดึงสายที่จ้องมองเย่หลินกลับมา เขายกริมฝีปากขึ้น ตบที่มือของเธอ จากนั้นก็หันหลังเดินไปทางอวี๋ย่าหนาน

เย่หลินมองไปที่แผ่นหลังนั้น หลังจากสติกลับมา เธอก็เริ่มก้มหน้าทานอาหารตรงหน้าอีกครั้ง

หลังจากทานปลิงทะเลเข้าไปในปากแล้ว เธอก็ยื่นมือไปที่จานอื่นอีก

“คนสนิทของหนิงเส่าคนนี้ รู้จักการทานจริง” หลังจากที่หนิงเส่าเฉินมาถึง อวี๋ย่าหนานก็เฝ้ามองเธออย่างตลก

ผู้หญิงคนนี้ไร้ความกังวลจริงๆ วันนี้เธอเป็นผู้หญิงของหนิงเส่าเฉิน ดังนั้น จึงเป็นเรื่องง่ายที่เธอจะกลายเป็นจุดสนใจ

ยิ่งไปกว่านั้น ผู้หญิงทุกคนล้วนสวมชุดเดรส แต่เธอใส่ชุดลำลอง ถ้าหากไม่ใช่เพราะหนิงเส่าเฉินพาเข้ามา เธอจะไม่สามารถเข้ามาในสถานที่แห่งนี้ได้

ตอนนี้ดูเธอทานและดื่มอย่างไม่สนใจอะไร ผู้คนจำนวนมากหลายคนเริ่มพูดถึงที่มาของเธอ

“ใช่ เธอทานได้น่าสนใจมาก” หนิงเส่าเฉินกลับไม่รู้ความหมายที่แท้จริงของอวี๋ย่าหนาน สายตาเขาหยุดมองไปที่เย่หลิน มุมปากยกขึ้น แววตาเขาเต็มไปด้วยความเอาแต่ใจ

แล้วเขาก็ลุกขึ้น “คุณนั่งไปก่อนนะ ผมไปดูเธอหน่อย”

อวี๋ย่าหนานพยักหน้า เธอคิดว่าหนิงเส่าเฉินจะต้องรู้สึกว่าอาย และไปหยุดเธอ

แต่ไม่คิดเลยว่า………

เมื่อหนิงเส่าเฉินมาถึงข้างเธอ เขาก็แค่ยืนอยู่ข้างหลังของผู้หญิงคนนั้น ช่วยเธอถือจาน เขายังช่วยเธอดึงของที่เธอเอื้อมไม่ถึงด้วย

ขณะนี้เธอเต็มไปด้วยอารมณ์ เมื่อครู่ที่ไฟดับ เธอรู้สึกถึงลมกระโชกแรงที่ข้างกาย เมื่อลืมตาขึ้นมา หนิงเส่าเฉินก็ไปอยู่ข้างกายผู้หญิงคนนั้นแล้ว

เขารักผู้หญิงคนนั้นจริงๆเหรอ ? เขาถึงมีการกระทำของจิตใต้สำนึกแบบนั้น ?

อย่างไรก็ตาม เธอไม่เต็มใจที่จะแพ้ให้กับผู้หญิงคนนี้

“หนิงเส่าเฉิน อีกเดี๋ยว พวกเขาจะขับไล่ฉันออกไปไหม ?” เย่หลินกลืนอาหารในปากของเธอ จากนั้นหันศีรษะไปมองหนิงเส่าเฉินแล้วถาม

หนิงเส่าเฉินมองมาที่เธอแล้วยิ้ม “ไล่ ที่นี่ไม่มีใครมีคุณสมบัติที่จะไล่คุณ ผมกลัวว่าคุณจะมีชื่อเสียงจากการทานอาหารที่นี่ ”

การรวมตัวของชนชั้นสูงที่นี่ ล้วนเต็มเปี่ยมไปด้วยการแสแสร้ง

ไม่ต้องพูดถึงการทานอย่างตะกละ คาดว่ามีน้อยคนที่จะยื่นมือออกไปที่จานสองครั้ง

หลังจากนี้ จะรู้สึกเสียดาย ถ้าใครยังไม่ได้ทานอะไรดีดีพวกนี้ ?

เหมือนกับวิธีการทานของเย่หลิน เดาว่าทำให้พวกเขาได้เปิดตา

“คุณไม่รู้สึกอายเหรอ ?”

หนิงเส่าเฉินส่ายศีรษะ และลูบหัวของเธอ “ไม่อาย คุณทานอาหารของตัวเอง จะมีอะไรน่าอาย”หลังจากหยุดไปชั่วครู่เขาก็พูดต่อว่า:“ เพียงแต่ คุณต้องพักหน่อย คุณทานเย็นขนาดนี้เขาไปรวดเดียว กระเพาะจะรับได้เหรอ ? ”

เย่หลินขมวดคิ้ว มองหนิงเส่าเฉิน ประโยคข้างหน้าของคุณ หมายความว่ายังไง ? อะไรเรียกว่าฉันทานตัวเอง ? หรือว่านี่ก็เป็นทรัพย์สินของหนิงกรุ๊ปด้วย ?

ริมฝีปากของหนิงเส่าเฉินยกขึ้น เขาเพียงยิ้มและไม่พูดอะไร

ในขณะนี้ ไฟในสถานที่จัดงานก็หรี่ลง แต่ไม่เหมือนกับความมืดเมื่อครู่ มันแค่สลัวลงไปหน่อย

เมื่อพิธีกรขึ้นมาบนเวที ความสนใจของเย่หลินก็ยังคงอยู่ที่อาหาร และแสงไฟสลัวก็ไม่ส่งผลกับการทานของเธอ

ดังนั้น เธอจึงไม่ได้ยินว่าพิธีกรกำลังพูดอะไร

ได้ยินพียงเสียงปรบมือที่หนาหู

แสงไฟบนเวทีค่อยค่อยเคลื่อนมาที่เธอ

เธอตกตะลึงไปชั่วขณะ จากนั้น ทุกคนก็เห็นคุณชายใหญ่หนิงของพวกเรา หยิบกระดาษทิชชู่ข้างจาน เพื่อเช็ดปากของผู้หญิงที่ยังทานอาหารอยู่

ทุกคนถอนหายใจ

“มาเถอะ พวกเรามาเชิญอีกครั้ง เจ้าของคนใหม่รีสอร์ทของพวกเรา ขึ้นมาบนเวทีเพื่อพูดอะไรหน่อย”

จากนั้นก็มีเสียงปรบมืออีกครั้ง

ครั้งนี้เย่หลินได้ยินอย่างชัดเจน เธอมองหนิงเส่าเฉิน และพูดไปว่า “คุณขึ้นไปสิ ? ไม่แปลกใจเลยที่เมื่อครู่เขาบอกว่าเป็นของตัวเอง ในใจเธอก็มีความสุขมาก อีกเดี๋ยวเธอจะได้ทานอย่างสบายใจ”

แต่ หนิงเส่าเฉินก็มองไปที่เธอ “เขาเรียกคุณขึ้นไป”

เย่หลินตกตะลึง และขยับเข้าไปใกล้หนิงเส่าเฉินอีกหน่อย “นี่มันอะไรกัน ? พวกเราผิดพลาดอะไรรึเปล่า ?”

“ผมให้ของขวัญวันเกิดคุณ”

คุณให้ของขวัญวันเกิดฉัน……….

ประโยคนี้ก้องอยู่ในหูของเย่หลินซ้ำแล้วซ้ำเล่า

วันเกิดของเธอ เดือน 11 ไม่ใช่เหรอ ? เห็นได้ชัดว่าตอนนี้ยังเป็นฤดูใบไม้ผลิ ?

พ่อของคุณบอกว่า ที่จริงแล้วนี่เป็นวันเกิดที่แท้จริงของคุณ หนิงเส่าเฉินมองความสงสัยของเธอออก จึงกระซิบที่ข้างหูของเธอ

เย่หลินเม้มริมฝีปาก ส่ายศีรษะ ไม่เอา นี่มันแพงเกินไปแล้ว มีใครที่ไหนเขาให้รีสอร์ทเป็นของขวัญกัน ?

“ที่จริงแล้วรีสอร์ทเป็นเพียงของเสริม เหตุผลหลักคือด้านหลังที่นี่มีพื้นที่ขนาดใหญ่ สามารถจอด

เฮลิคอปเตอร์ได้ อาหารทะเลที่นี่ ส่งตรงมาทางเครื่องบินภายในหนึ่งชั่วโมง และไม่มีการเปลี่ยนมือบ่อย ไม่อย่างนั้นจะสดขนาดนี้ได้อย่างไร ? ผมคิดของขวัญไว้เยอะมาก และสัญชาติญาณบอกว่า คุณจะต้องชอบที่นี่ ”

เย่หลินรู้สึกแสบจมูก ความตั้งใจของหนิงเส่าเฉินซาบซึ้งถึงจิตใจเธอ แต่เห็นได้ชัดว่าสองวันที่เขาอยู่กับเธอมา ทำไมเขาถึงทำอะไรมากมายเพื่อเอขนาดนี้ล่ะ ?

“อย่าร้องไห้ ผู้คนมากมายกำลังมองอยู่นะ ?”

จากนั้น เย่หลินก็ขึ้นไปพูดอะไร แล้วจะลงมาอย่างไร แล้วจะกลับบ้านอย่างไร ความทรงจำของเธอคลุมเครือไปหมด

เธอแค่จำได้ว่าตัวเองหัวเราะตลอดเวลา ยิ้มร้องไห้ ยิ้มน้ำตาไหล

อันที่จริง เธอไม่สนใจรีสอร์ทนี้เลย เธอไม่เคยคิดถึงเงินด้วยซ้ำ

และ หนิงเส่าเฉินก็ใจดีมากแล้ว

เขายุ่งมาก แต่เพียงเพื่อเพราะเธอ เขาเต็มใจที่ใช้เวลาขนาดนี้

“คุณว่า คุณดีกับฉันขนาดนี้ ฉันควรจะตอบแทนคุณยังไงดี ?” เธอโอบแขนคล้องคอของเขา และฝังศีรษะลงในอ้อมแขนของเขา เธอสูดดมเบาๆและกระซิบ

หนิงเส่าเฉินจ้องมองดวงตาสีแดงที่กำลังร้องไห้ แล้วค่อยๆขมวดคิ้ว “เมื่อเทียบกับคุณสามารถให้กำเนิดลูกได้ สิ่งที่ผมทำก็ไม่มีอะไรเลย !”

เย่หลินกระแอมเบาๆ เดิมทีฉันต้องการให้รางวัลกับคุณ ในเมื่อคุณพูดแบบนี้ งั้นก็นับไปด้วยเลยละกัน !

ชายคนหนึ่งก้มศีรษะลงมองเธอด้วยความประหลาดใจ “ให้ผม ? รางวัลอะไร ?”

“ก็คือ……ก็คือสิ่งที่คุณคิดมาตลอด……”เมื่อพูดถึงตรงนี้ หญิงสาวเงยหน้าขึ้นและมองออกไป ใบหน้าของเธอแดง

หนิงเส่าเฉินตกตะลึงในตอนแรก จากนั้นก็มีปฎิกิริยาตอบสนอง มองไปที่ผู้หญิงตรงหน้าอย่างคาดหวัง

เขาหายใจอย่างหนัก จนตะโกนออกมาโดยไม่รู้ตัว:“ เย่หลิน……….”

เธอเงยหน้า และเอาแซลมอนเข้าไปในปาก เธอถึงเงยหน้ามองขึ้นไปเห็นผู้หญิงที่อยู่ข้างหน้า ซึ่งเป็นผู้หญิงที่เจอที่จุดชมวิวในตอนบ่าย

เธอเปลี่ยนเสื้อผ้า เป็นชุดรัดรูปสีดำแบบเปิดเอว ที่ทำมาจากหนัง

พูดตามตรง ผู้หญิงทั่วไปสวมชุดแบบนี้ จะทำให้คนอื่นรู้สึกหยาบคาย แต่ผู้หญิงคนนี้สวมใส่แล้ว กลับรู้สึกดูหล่อมาก

ดูดีมาก เธอยกนิ้วให้เธอภายในใจ

อย่างไรก็ตาม ถ้าหากลบล้างสายตาดูถูกในแววตานั้นได้ ก็จะยิ่งดีขึ้น

“สวัสดีค่ะ”เธอยิ้มให้อย่างไม่รำคาญ แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อมองจากมุมมองของผู้คน เธอก็คือเมียน้อย ดังนั้นการที่เธอมาปรากฎตัวกับหนิงเส่าเฉินในที่สาธารณะแบบนี้ มันจึงไร้ยางอายเล็กน้อย และก็ควรถูกดูหมิ่น

แต่ว่า คุณผู้หญิง !คุณไม่ใช่ฉัน และคุณก็ไม่ใช่หนิงเส่าเฉิน คุณยุ่งมากเกินไปหน่อยรึเปล่า ?

“คุณไม่คู่ควรกับเขา !”หญิงสาวนั่งลงตรงหน้าเธอ และพูดอย่างตรงประเด็น

ในใจของเย่หลินมีความสุข และรู้สึกชอบลักษณะนิสัยของเธอแบบนี้ อย่างน้อยก็เป็นที่ชื่นชอบมากกว่าเกาเหวินทั้งต่อหน้าและลับหลัง

เธอคีบปลาแซลมอนอีกชิ้นเข้าไปในปาก แล้วเงยหน้าขึ้นมองผู้หญิงตรงหน้าและพูดขึ้นว่า:“ ฉันชื่อเย่หลิน คุณผู้หญิง ชื่ออะไร นามสกุลอะไร ?”

“อวี๋ย่าหนาน”

เรียบง่ายและตรงไปตรงมา

เย่หลินพยักหน้า วางช้อนส้อมในมือลง และเม้มริมฝีปากแดงของเธอ “คุณอวี๋บอกว่าฉันไม่คู่ควรกับเขา เขาคนนี้ หมายถึง อาเฉินของครอบครัวเรา ?”

หลังจากพูดแบบนี้ เย่หลินก็รู้สึกว่าขนแขนของตัวเองลุกชันขึ้น

อาเฉินของครอบครัวเรา ? ไม่รู้ว่าถ้าผู้ชายคนนั้นได้ยินแล้ว จะรู้สึกอย่างไรบ้าง ?

คิดว่า เขาน่าจะเม้มริมฝีปาก กอดเอวของเธอ แล้วเรียกเธอว่าเสี่ยวหลินใช่ไหมนะ ?

มุมปากกระตุก โดยไม่ได้ตั้งใจ

ในความเป็นจริงอวี๋ย่าหนานมองผู้หญิงคนนี้มาระยะหนึ่งแล้ว นอกจากความสวยแล้ว เธอมองไม่ออกจริงๆว่าผู้หญิงคนนี้โดนเด่นตรงไหน ที่สามารถจะคู่ควงกับหนิงเส่าเฉินได้

และก็คิดไม่ออกว่าหนิงเส่าเฉิน มองเห็นจุดเด่นอะไรในตัวผู้หญิงคนนี้ ?

ในตอนนี้ เมื่อเห็นเธอพูดแบบนี้ ในใจก็ยิ่งรังเกียจเธอ

“คุณเย่ คุณไม่คิดว่าในฐานะเมียน้อย คุณพูดโอ้อวดแบบนี้ มันดูเกินไปหน่อยรึเปล่า ?”

เย่หลินพยักหน้า และยกแก้วน้ำส้มบนโต๊ะขึ้นมาจิบ แล้วพยักหน้าซ้ำแล้วซ้ำเล่า เมียน้อย ? อืม ใช่ เกินไปหน่อย ฉันก็ไม่ได้พูดโอ้อวดขนาดนั้น แต่……อาเฉินของเราต้องการให้ฉันมาให้ได้ ทำยังไงดีล่ะ ?

เธอพูดอาเฉินของเราออกมาอีกครั้ง และครั้งนี้รู้สึกว่าเธอพูดได้อย่างราบรื่น

การแสดงออกของอวี๋ย่าหนานจริงจังมาก เธอลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็ว แววตาของเธอเหี่ยวเฉาจ้องมองไปที่เย่หลิน “หลอกล่อผู้อื่นด้วยความงาม คุณเย่ คุณคิดว่าความภาคภูมิใจของตัวเองคืออะไร ?”

เย่หลินกำลังพูดคำพูดนั้นของเธอซ้ำอยู่ภายในใจ หลอกล่อผู้อื่นด้วยความงาม

อืม คำพูดนี้ ไม่มีอะไรผิด !แต่ว่า คุณผู้หญิง อาเฉินของพวกเรา ไม่ใช่ตกหลุมรักเธอเพราะว่า“ความงาม”หรอกนะ คุณดูผิดแล้ว !

เมื่อคิดถึงสิ่งนี้ ใบหน้าของเธอก็แสดงความภาคภูมิใจเล็กน้อย และก็รู้สึกอารมณ์ดีมาก

ในขณะนี้ ก็มองเห็นหนิงเส่าเฉินเดินมาทางเธอพอดี

เธอกระตุกคางไปทางอวี๋ย่าหนาน เพื่อเตือนเธอว่า หนิงเส่าเฉินมาแล้ว

แน่นอนว่า เมื่อเธอมองเห็นผู้หญิงที่อยู่ตรงข้ามเธอ สีหน้าของเธอก็ซีดลงมาก

“พวกคุณกำลังพูดอะไรกัน ?” หลังจากที่หนิงเส่าเฉินเดินมา เขาก็เดินไปอยู่ข้างกายของเย่หลินอย่างเป็นธรรมชาติ เขามองไปที่เธอและถามอย่างอบอุ่น

“ฉัน………”อวี๋ย่าหนานกำลังจะพูด

แต่ก็ถูกเย่หลินชิงพูดก่อน:“ ไม่มีอะไร แค่คุณอวี๋กำลังชมฉันว่ามีความสามารถในการหลอกล่อผู้ชายที่ดีอย่างคุณมาไว้ได้ พูดจบ เธอก็จงใจหยิบแก้วน้ำส้มที่จิบไปแล้วขึ้นมา และส่งให้กับหนิงเส่าเฉน ดื่มหน่อยไหม คั้นสด มันสดมาก”

ริมฝีปากของหนิงเส่าเฉินกระตุก เขารับมันมาอย่างเป็นธรรมชาติ เขาจิบพลางขมวดคิ้ว “คุณดื่มน้อยหน่อย มันค่อนข้างเย็น”

“คุณก็ด้วย ครั้งที่แล้วกระเพาะยังมีเลือดออกไม่ใช่เหรอ ?”เธอพูดพร้อมกับหยิบแก้วจากมือของหนิงเส่าเฉินออดไป “ไวน์แดงมีฤทธิ์แรง ต่อไปคุณห้ามดื่มเยอะ” น้ำเสียงของเธอมีความอ่อนหวานและห่วงใย

หนิงเส่าเฉินพยักหน้า และลูบหัวของเย่หลิน “ตกลง ผมฟังคุณ ต่อไปจะดื่มให้น้อยลง”

พวกเขาทั้งสองคนแสดงคสามรักที่ไม่เหมือนใคร ยิ่งกว่านั้นตั้งแต่หนิงเส่าเฉินมา ก็ไม่ได้มองเธออีกเลย ทำให้รอยยิ้มที่แข็งแกร่งบนใบหน้าของอวี๋ย่าหนานทนไม่ได้

“ประธานหนิง ที่ดินทางตอนใต้ ฉันได้ยินว่า คุณมีความคิดที่จะต้องการ ?”

เมื่อหนิงเส่าเฉินได้ยินคำนั้น เขาก็หันศีรษะมามองอวี๋ย่าหนาน ขมวดคิ้วแล้วพยักหน้า “ใช่ ที่ดินตรงนั้น หนิงกรุ๊ปจะต้องได้”

อวี๋ย่าหนานเม้มริมฝีปาก ก้มศรีษะลง ราวกับคิดอะไรอยู่ จากนั้นเธอก็เงยหน้าขึ้นมองหนิงเส่าเฉิน “ไม่รู้ว่าหนิงเส่า สนใจที่จะเสนอราคาหรือไม่ ?”

หลังจากพูดจบ เธอก็มองไปที่เย่หลินอย่างไม่เจตนา ความหมายนั้นก็คือ นี่คงทำให้คุณงงสินะ ? พวกเขากำลังพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องงาน คุณคงรับคำต่อไม่ได้แล้วสินะ ?

เย่หลินได้รับการจ้องมองของอวี๋ย่าหนาน และทันใดนั้นก็รู้สึกว่าผู้หญิงคนนี้ น่ารักเล็กน้อย

หนิงเส่าเฉินเป็นคนในแวดวงธุรกิจ ดังนั้นการติดต่อกับผู้หญิง จึงเป็นเรื่องที่ปกติมาก และการพูดคุยเรื่องานก็เป็นเรื่องปกติเช่นกัน

ถ้าหากว่าเขาพูดไม่กี่คำกับผู้หญิงคนไหน แล้วจะต้องโกรธ ถ้าอย่างนั้น เขาก็ไม่มีค่าอะไรมากมายกับเธอ

เมื่อคิดแบบนี้ เธอก็หัวเราะเยาะในใจ ตกลง ในเมื่อคุณอยากจะพูดคุยกับอาเฉินของเราขนาดนั้น เธอก็จะเว้นที่ให้

เมื่อคิดได้แล้ว เธอก็ลุกขึ้นยืน และจับแขนของหนิงเส่าเฉิน “ในเมื่อพูดคุยกันเรื่องงาน ถ้างั้นก็มานั่งพูดกัน”

หลังจากหนิงเส่าเฉินนั่งลง เย่หลินก็มองไปที่อวี๋ย่าหนานก่อน และสุดท้ายก็มองใบหน้าของหนิงเส่าเฉิน “เส่าเฉิน ฉันไปหาอะไรทานหน่อยนะ พวกคุณพูดกันไปก่อน เดี๋ยวอีกสักพักฉันกลับมาหาคุณ”

พูดจบ เธอก็หันหลัง จากไปโดยไม่คิดถึง

อวี๋ย่าหนานอดไม่ได้ที่จะเปิดริมฝีปากแดงของเธอ พฤติกรรมของผู้หญิงคนนี้ทำให้เธอประหลาดใจ

เธอยังคิดว่า เธอจะหึงหรือไม่ก็ไม่น่าจะให้อภัย……….

เย่หลินรู้สึกว่ารีสอร์ทนี้วันนี้จะต้องใช้เงินเป็นจำนวนมาก อาหารทะเลพวกนี้สดมาก สดจนทำให้เธอประหลาดใจ

เธอไม่สนใจที่จะไปเที่ยวหรือแต่งตัวเป็นพิเศษ กระเป๋าแบรนด์เนมที่ผู้หญิงทั้งหลายโปรดปราน เธอมักจะรู้สึกว่าของพวกนั้นมันดูฉูดฉาด

ซึ่งมันขัดกับค่านิยมของเธอ แต่ว่าสำหรับเรื่องกิน เธอกลับสนใจมากเป็นพิเศษ

ช่วงสองสามปีที่อยู่ต่างประเทศ หลังจากสภาพความเป็นอยู่ดีขึ้นเล็กน้อย เธอก็จะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อจะลองอาหารมากมาย และทำงานวิจัยบางอย่างกับอาหาร แต่ด้วยจำนวนเงินที่จำกัด และในหลายๆครั้ง ก็ทำได้เพียงเฝ้าดูและไม่สามารถทานได้

ดังนั้น ? ในช่วงเวลานี้มีอาหารอร่อยอยู่ตรงหน้า เธอก็ลืมเรื่องที่หนิงเส่าเฉินและอวี๋ย่าหนานพูดคุยกันไปนานแล้ว

และแน่นอนว่า เธอก็เชื่อมั่นในหนิงเส่าเฉิน

ถ้าหากเขาเปลี่ยนใจง่ายขนาดนั้น ถ้างั้นตลอดสี่ปี เขาก็คงเปลี่ยนไปหลายครั้งแล้ว ใครจะยังรอเธออยู่ตั้งหลายปี ?

เธอเชื่อมั่นว่า อาเฉินของเธอ ไม่ใช่คนผิวเผิน

และเธอก็เชื่อว่า พวกเขาจะเป็นคู่ชีวิตกัน

ทันใดนั้น ไฟ ก็ดับลง

สถานที่จัดงานก็ตกอยู่ในความมืด มองไม่เห็นแม้กระทั่งนิ้วมือทั้งห้านิ้ว

ความจริงแล้วผู้หญิงคนนี้สวยมาก แต่ สิ่งที่ทำให้คนรู้สึกได้ในแวบแรก ไม่ใช่ความงามของเธอ แต่เป็นออร่าของเธอ

แตกต่างจากความงามของเกาเหวิน ความบริสุทธิ์ของเธอ ผู้หญิงตรงหน้าทั้งหล่อและสวย

ชุดสูทสีเทาควันบุหรี่ เสื้อเชิ้ตสีขาว ผมสั้นดูมีความสามารถและมีใบหน้าที่งดงาม

เย่หลินรู้สึกว่า ผู้หญิงคนนี้จะหล่อเหลา แบบผู้ชายไม่มีผิดเลย ?

ผู้หญิงแบบนี้ สามารถทำให้คนคิดถึงประเด็นเรื่องรสนิยมทางเพศได้อย่างง่ายดาย

แต่ เห็นได้ชัดว่า ผู้หญิงคนนี้มองหนิงเส่าเฉินด้วยความเสน่ห์หา ?

เมื่อคิดถึงสิ่งนี้ เธอก็อดไม่ได้ที่จะหันศีรษะไปดูปฎิกิริยาของหนิงเส่าเฉิน

เธอเห็นดวงตาของหนิงเส่าเฉินฉายอารมณ์ที่เธอไม่สามารถเข้าใจได้ จากนั้นก็พูดว่า “ไม่เจอกันนานนะ !”

ผู้หญิงที่เป็นประธานอวี๋กระตุกมุมปาก และเดินเข้าไปใกล้สองคนนั้นสองสามก้าว และสบสายตาเข้าที่บนร่างกายของเย่หลิน “ใช่สิ ครั้งสุดท้ายที่ร่ำลากันที่เมืองปิง มันก็ผ่านมาสักพักแล้ว หนิงเส่า คนนี้คือภรรยาคุณ ?”

เย่หลินได้ยินหนิงเส่าเฉินสูดหายใจเข้าเล็กน้อย

“ไม่ใช่ คุณเข้าใจผิดแล้ว ใช่ เพื่อน ”เย่หลินไม่ต้องการทำให้หนิงเส่าเฉินลำบากใจ จึงแย่งตอบไป หลังจากพูดจบ หนิงเส่าเฉินก็บีบเอวของเธอ

จากนั้น เย่หลินสังเกตเห็นสีหน้าของผู้หญิงคนนั้นเปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน

หลังจากมองไปที่หลินเฉินอยู่สองสามนาที และค่อยๆพูดว่า:“ข่าวลือภายนอกที่ว่าหนิงเส่าไม่ดีเรื่องนี้ ฉันยังคิดว่ามันจะเป็นเรื่องจริง ดูเหมือนว่า ข่าวลือจะไม่น่าเชื่อถือเลยนะ ?”

คำพูดของเธอหมายความว่าอย่างไร ทำไมเย่หลินฟังแล้วมันดูเหมือนอิจฉา หมายความว่าถ้าหนิงเส่าเฉินสามารถแอบลักกินข้างนอกได้ ถ้างั้นทำไมคนคนนั้นถึงไม่ใช่เธอ ?

ใช่ ความหมายมันประมาณนี้

เธอก้มศีรษะ และรู้สึกขบขันอยู่ภายในใจ

เธอเม้มปาก ขมวดคิ้ว ไม่พูดอะไร และรอดูว่าหนิงเส่าเฉินจะตอบเธอไปยังไง

“ใช่ ผมมันไม่ดี ข่าวลือถูกแล้ว”หนิงเส่าเฉินพูดพลางจับมือของเย่หลินยกขึ้นมา “ประธานเย่จะไปช้อปปิ้งต่อ พวกเรากลับโรงแรมก่อน”

ใช่ หนิงเส่าเฉินไม่เก่งเรื่องนี้ ไม่เก่งเรื่องผู้หญิง เขาบอกว่า ตลอดชีวิตนี้ของเขา เขาเคยรักผู้หญิงหนึ่ง และจะรักผู้หญิงคนนั้นคนเดียวเท่านั้น

นี่คือสิ่งที่เขาพูดกับเธอตอนอยู่บนเตียง

ผู้คนต่างบอกว่า สิ่งที่ผู้ชายพูดตอนอยู่บนเตียงนั้น ล้วนไม่น่าเชื่อถือ

อย่างไรก็ตาม เย่หลินเชื่อ เย่หลินเชื่อมันมาก เพราะว่า สี่ปีมานี้เพียงเพื่อเธอ หนิงเส่าไม่เคยสัมผัสผู้หญิงคนไหนเลย จึงไม่มีเหตุผลที่เธอจะไม่เชื่อ

เมื่อหันหลังให้กับเธอแล้ว ทั้งสองก็เดินไปทางโรงแรม

“คุณทำแบบนี้ จะทำร้ายหญิงงามเกินไปรึเปล่า ? ดูเหมือนว่า มันค่อนข้างจะพิเศษนะ” หลังจากเดินออกไปไม่กี่ก้าว เย่หลินก็เงยหน้าขึ้นมองหนิงเส่าเฉิน

“อย่าพูดอะไรไร้สาระ อย่ามองว่าเธอเป็นผู้หญิง เธอทำสิ่งต่างๆอย่างเด็ดขาดและดุเดือด แม้แต่ผู้ชายธรรมดาก็เทียบไม่ได้ ”หนิงเส่าเฉินบีบใบหน้าของเธอ

เย่หลินเห็นความชื่นชมในสายตาของเขา ถึงแม้จะรู้ว่าใจของเขาอยู่กับเธอ แต่เธอก็เข้าใจได้ในทันทีว่าความรู้สึกในสายตาของหนิงเส่าเฉินก่อนหน้านี้เป็นอย่างไร นั่นเป็นการชื่นชม เธอมองความหมายมันออก ถึงแม้ จะรู้ว่าความรักนี้ไม่ได้เกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ของชายหญิง แต่ ประธานอวี๋คนนั้นจะมีความ

สามารถขนาดไหน เธอก็เป็นผู้หญิง ? เมื่อคิดเช่นนี้ ในใจก็ไม่ค่อยมีความสุข

“รู้จักกันมากี่ปีแล้ว ?”เย่หลินถามอย่างไม่พอใจ

หนิงเส่าเฉินฟังไม่ออกถึงคำพูดที่เสียใจของเธอ เขาปล่อยมือเธอและเปลี่ยนมาโอบเอวของเธอ “อืม น่าจะประมาณสามปีครึ่ง”

สามปีครึ่ง ? เย่หลินขมวดคิ้ว สามปี……..ครึ่ง !!!เหอะเหอะ จำได้อย่างแม่นยำเชียวนะ……….

“คุณหิวไหม ?”หนิงเส่าเฉินไม่มีจิตวิญญาณอยู่ในใจ ดังนั้น เขาจึงไม่รู้ว่าที่ตัวเองพูดออกไปเมื่อครู่ จะทำให้ผู้หญิงที่อยู่ข้างๆเขาโกรธ

“ไม่หิว !”เย่หลินทำปากมุ้ย ตอบกลับไป

อวี๋ย่าหนานมองไปที่หนิงเส่าเฉินที่กำลังจู๋จี๋กับผู้หญิงตรงหน้า ในแววตาของเธอเต็มไปด้วยความสูญเสียที่ไม่จางหายไป ความโกรธ และความไม่พอใจ

ครั้งแรกที่เจอผู้ชายคนนี้ก็คือเมื่อสามปีก่อน เธอถูกพ่อพาไปเซ็นสัญญาที่หนิงกรุ๊ป เธอแค่เหลือบมอง ตั้งแต่หลังจากนั้นเป็นต้นมา เธอก็ไม่เคยมองเห็นผู้ชายคนอื่นอีกเลย

เธอรู้สึกว่า ผู้ชายในชีวิตของอวี๋ย่าหนาน มีเพียงผู้ชายคนนี้เท่านั้นที่จะสามารถคู่ควรกับเธอ

ต่อมาเธอก็พูดกับพ่อของเธออย่างมีชั้นเชิง แต่ไม่คิดเลยว่า พ่อจะบอกว่า เขาแต่งงานแล้ว และเธอก็รู้สึกหมดหวังกับชีวิต

นี่เป็นครั้งแรกในชีวติ ที่เธอมีความรู้สึกกับผู้ชาย แต่เขากลับแต่งงานแล้ว

ในตอนนั้นเธอคิดว่า ในโลกนี้ จะมีผู้หญิงแบบไหนที่จะเหมาะสมกับผู้ชายคนนี้

ต่อมา เธอก็เห็นเกาเหวิน ผู้หญิงที่เหลือบมองไปครั้งแรกและไม่อยากมองอีกเป็นครั้งที่สอง และเธอก็มีความคิดอื่นๆ

ไม่มีใครรู้จักเธอดีไปกว่าพ่อของเธอ พ่อพูดกับเธอว่า หนิงเส่าและภรรยา เป็นคู่รักในวัยเด็ก มีความสัมพันธ์ที่ดีมาก และให้เธออย่าคิดอะไรที่มันไม่เหมาะสม

ต่อมา ก็มีการสรุปจากช่องต่างๆ เป็นเรื่องจริง หนิงเส่าไม่ใกล้ชิดกับผู้หญิง ไม่ใกล้ชิดกับผู้หญิงภายนอก

ด้วยความสิ้นหวัง เธอจึงตัดผมสั้น รับช่วงต่อธุรกิจที่พี่ชายคนโตและพี่ชายคนรองไม่เต็มใจรับช่วงต่อจากพ่อ เธอบอกกับตัวเองว่า ในเมื่อไม่มีทางเป็นผู้หญิงของเขา ถ้าอย่างนั้น เธอก็จะเป็นเพื่อนที่ยืนเคียงบ่าเคียงไหล่กับเขาได้

แต่……….ในขณะนี้ เธอเพิ่งตระหนักได้ว่า ตัวเองคิดผิดไป

ภรรยาของเขา เธอรู้สึกว่าไม่คู๋ควรกับเขา แต่ เธอก็ไม่มีข้อตำหนิใดๆกับความรักช่วงวัยเด็กของเธอ

เมื่อเธอเห็นเขากับผู้หญิงคนนั้นอยู่ด้วยกัน เธอก็จงใจถามแบบนั้นออกไป

แต่ไม่คิดเลยว่า ผู้หญิงคนนั้น จะไร้ยางอายขนาดนั้น เมื่อคิดถึงท่าทางที่หยิ่งพยองของเธอ เธอก็เกลียดตัวเองแทบตาย ในความลังเลของตัวเองในตอนนั้น

พ่อบอกว่านิสัยของเธอ เหมือนกับเด็กผู้ชายที่เรียบง่ายและเรียบร้อย

ครั้งเดียวในชีวิตของเธอที่พิถีพิถัน นั่นก็คือเธอจะสามารถคว้าหนิงเส่าเฉินมาได้หรือไม่

ในวันนี้ เธอเสียใจมาก

เย่หลินอยากกินอะไรแบบที่ไม่เป็นทางการในห้องพักของโรงแรมในตอนกลางคืน เรื่องของหนิงเส่าเฉินและเกาเหวิน ก็ยังไม่ได้แก้ไข

ตัวเธอเองยังคงมีสถานะเป็นเมียน้อยอยู่

อย่างไรก็ตาม หนิงเส่าเฉินปฎิเสธ โดยให้เธอไปที่จัดงานเลี้ยง

ในสังคงชนชั้นสูง มันเป็นเรื่องปกติสำหรับเจ้านายที่จะมีเมียน้อย และหาคนรัก แม้ว่าจะมีข่าวลือว่าหนิงเส่าเฉินไม่แตะต้องผู้หญิง แต่เมื่อทุกคนเห็นเขาพาเย่หลินไปร่วมงานในครั้งนี้อย่างเปิดเผย ใบหน้าของเขาก็ยังคงนิ่งไม่เปลี่ยนแปลง

อย่างไรก็ตาม เมื่อมองไปทางเย่หลิน ในแววตาก็มีความหมายลำอาอยู่

นี่มันดูถูก หรือว่าชื่นชมอะไร ? อย่างไรก็ตามหนิงเส่าเฉินไม่เข้าใกล้ชิดกับเพศหญิงมาหลายปี แต่ในวันนี้สามารถถูกเธอจับไว้ได้ แน่นอนว่ามีบางคนสงสัยเกี่ยวกับความยอดเยี่ยมของเธอ และสายตาพวกนี้ เย่หลินก็ไม่ต้องการที่จะสนใจ

ในใจเธอเข้าใจดีว่า ความสัมพันธ์ของเธอและหนิงเส่าเฉิน ในฐานะคนคนหนึ่ง เธอไม่เคยยุ่งเกี่ยวกันเป็นพิเศษ และเรื่องที่คิดอ่อน เธอก็จะจัดการอย่างใจเย็น

เกาเหวิน เธอสามารถเผชิญหน้าได้ และเธอไม่สนใจคนพวกนี้ ที่เธอไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับพวกเขา

ดังนั้น เมื่อเผชิญกับแววตาที่แปลกๆของทุกคน เธอจึงไม่มีสีหน้าที่ต่างกัน

เมื่อทานข้าวไปได้ครึ่งหนึ่ง หนิงเส่าเฉินดูเหมือนจะเห็นใครบางคน เขาลุกขึ้นและพูดกับเธอว่า“คุณค่อยๆทานนะ มีผู้อาวุโส ผมไปทักทายเขาก่อน เดี๋ยวกลับมา”

เย่หลินพยักหน้าพลางถอนหายใจ วันนี้ปลาแซลมอนสดจริงๆ

“คุณผู้หญิง ดูสงบจริงๆ”

มีเสียงผู้หญิงดังขึ้นบนศีรษะของเธอ เย่หลินหันไปมองรอบๆ ล้วนเป็นผู้ชาย มีเพียงเธอคนเดียว คุณผู้หญิง…….

เธออดได้ที่จะกระแอม จะฟังยังไง สองคำนี้มันน่าอึดอัดแค่ไหน

“มีใครใช้วิธีนี้ปลอบให้คนมีความสุขกัน ?”

เธอได้ยินเพียงเสียงทุ้มต่ำของชายคนนั้นกระซิบ:“ผมค้นพบว่าจะสามารถทำให้คุณลืมปัญหานี้ได้อย่างสมบูรณ์ วิธีนี้เป็นวิธีที่ดีที่สุด”

จากนั้น ก็ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่ รู้สึกเพียงแค่คืนนี้มันมืดขึ้นเรื่อยๆ เย่หลินนอนอยู่ในอ้อมแขนของเขาอย่างแผ่วเบาและหอบ และวางมือข้างหนึ่งไว้บนแก้มของเขา

“ยังอยาก…….อีกรอบ ?”แววตาของเขาหนักอึ้งและในคำพูดน้ำเสียงของเขานั้นก็มีความหื่นกระหายอยู่

เย่หลินรีบส่ายหัวด้วยความหวาดกลัว:“ ไม่เอา ฉันเหนื่อยมาก !”

“พรุ่งนี้ตอนเช้าตื่นขึ้นมาออกกำลังกายกับผม แรงกายของคุณ ไม่ค่อยโอเค………”หนิงเส่าเฉินพูดอย่างเคร่งขรึม

เย่หลินเม้มริมฝีปาก กลอกตาให้เขา จากนั้นก็พลิกตัวหันหลังให้กับเขา

หนิงเส่าเฉินใช้แรงกอดเธอเอาไว้ในอ้อมแขนใหม่อีกครั้ง ด้วยแรงและความแข็งแกร่งอย่างนั้น เห็นได้ชัดเลยว่าเขายังมีแรงอีกมาก !

ความคิดนี้ทำให้เย่หลินอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว ความแตกต่างนี้มันเยอะเกินไปแล้ว

วันพรุ่งนี้เป้นวันเสาร์ หนิงเส่าเฉินถึงแม้ว่าจะเป็นเจ้านาย แต่เขาก็ทุ่มเทกว่าคนธรรมดาเยอะมาก วันเสาร์วันอาทิตย์สำหรับเขาแล้วมันดูหรูหรามาก เขาแต่งตัวอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย

เธอสูดลมหายใจเข้าลึกๆและพูดว่า:“ ฉันอยากไปพบเกาไห่”

หนิงเส่าเฉินบีบมือที่ติดกระดุมอยู่ครู่หนึ่ง เขาคิดสักพักและพูดว่า “ตกลง ผมจะจัดการให้ คุณรีบตื่นเถอะ”

“ไปไหนเหรอ ?”

“วันนี้ผมต้องไปเซ็นสัญญากับรีสอร์ทใกล้ๆนี้ คุณไปกับผม” เขาพูดอย่างเป็นธรรมชาติ

เย่หลินส่ายศีรษะ ตอนนี้สถานะของเธอยังคงเป็นเมียน้อยอยู่ ? ถ้าไปเข้าออกกับเขาอย่างเปิดเผยแบบนี้ ถึงแม้ว่าเกาเหวินจะไม่มีท่าทีรังเกียจ แต่เธอก็ไม่อยากให้คนอื่นมองเธอด้วยสายตาแปลกๆ

“ไปกับผม คุณไปเดินเล่นรอบๆ ที่นั่นทิวทัศน์ไม่เลวเลย ตอนกลางคืนผมจะพาคุณไปช้อปปิ้ง เป็นยังไง ? ”หนิงเส่าเฉินจัดคอเสื้อของเขา และขยิบตาให้กับเย่หลิน

ช้อปปิ้งกับหนิงเส่าเฉิน ? สิ่งนี่มันค่อนข้างดึงดูดเธอ

เหตุการณ์ไม่กี่วันมานี้ ทำให้เธอวุ่นวายมากจริงๆ เมื่อคิดเช่นนี้ ออกไปเดินเล่นหน่อยก็ดี เธออยู่ที่บ้านนี้คนเดียวไม่แปลกเลยถ้าเธอจะบ้า

เมื่อมองไปที่ทิวทัศน์อันงดงามเบื้องหน้า เย่หลินก็ตกตะลึง

ที่นี่ ล้อมรอบด้วยภูเขาและแม่น้ำ ภูเขาสูง สายน้ำ ลำธาร ป่าหิน ทุกอย่างของรีสอร์ทมีครบอยู่ที่นี่หมด

ถ้าหากหนิงเส่าเฉินไม่พาเธอมา เธอก็ไม่คิดเลยว่า ในเมือง C ที่เต็มไปด้วยความรวดเร็ว จะยังมีสถานที่เป็นเหมือนสวรรค์แบบนี้

พื้นที่ของรีสอร์ทนี้มีขนาดใหญ่มาก

“ด้านหลัง มีน้ำพุร้อน ตอนกลางคืนช้อปปิ้งเสร็จแล้ว พวกเราไปแช่น้ำพุร้อนกัน หนิงเส่าเฉินพูดที่ข้างหูของเย่หลิน พูดจบ เขาก็เห็นหูของเย่หลินแดง ดวงตาก็หรี่ลง คุณเย่ อย่าบอกนะว่า คุณกำลังจินตนาการภาพที่ไม่เหมาะสมอยู่ ?”

เย่หลินมองไปที่คนกลุ่มใหญ่ที่ตามมาข้างหลัง และจ้องไปที่หนิงเส่าเฉินอย่างดุร้าย

“ฉัน…….ฉันไม่ ฉัน……….”เธอก็แค่คิดว่า ไม่ได้เอาเสื้อผ้ามาเปลี่ยนด้วยก็เท่านั้น

“เอ่อ ฉันไปเดินเล่นรอบๆนะ คุณทำธุระเสร็จแล้ว ก็โทรศัพท์หาฉันนะ ?” ถูกคนมากมายจ้องมองแบบนี้ เธอรู้สึกไม่สบายใจ ถึงแม้ว่าในใจจะไม่มีความวิตกกังวล แต่ ด้วยสถานะของพวกเขา เธอก็ยังรู้สึกอึดอัดอยู่เล็กน้อย

“รอเดี๋ยว ”หนิงเส่าเฉินหันกลับมาและยื่นเอกสารให้กับเธอ

“ข้างบนนี้ คุณเซ็นชื่อก่อน”

เย่หลินขมวดคิ้ว “เซ็นชื่อ ทำอะไร ?”

หนิงเส่าเฉินกระซิบที่ข้างหูเธอว่า “คืนนี้พักที่นี่ ถ้าจะเปิดห้องก็จะต้องเซ็นชื่อ”

เย่หลินพูดด้วยไม่คิดอะไรมาก และรีบเซ็นชื่อลงข้างบนอย่างรวดเร็ว

“อย่าเดินไปไหนไกลล่ะ อีกสักพักเดี๋ยวผมโทรหา”

เย่หลินตอบอืมกลับไป

เมื่อเธอเดินไปข้างหน้า หนิงเส่าเฉินก็หยิบบัตรประชาชนของเย่หลินออกมาจากกระเป๋าเสื้อและส่งให้กับหลิวซู “ไปจัดการ แต่ทำเร็วหน่อยนะ”

เย่หลินเดินตามกลุ่มคนไปยังภูเขา ที่นี่ถึงแม้ว่าจะเป็นรีสอร์ท แต่ก็เป็นสถานที่ท่องเที่ยวด้วยเช่นกัน

แต่ว่า ตั๋วเข้ามีราคาค่อนข้างแพง คนที่มาจึงไม่เยอะมาก

หลังจากเดินไปได้สักพัก เธอก็รู้สึกเหนื่อย เธอหาหินก้อนใหญ่และนั่งลงพัก หนิงเส่าเฉินพูดถูกแล้ว ความแข็งแรงทางกายภาพของเธอ ไม่ค่อยดีนัก

นี่ใช้เวลาเดินเพียงสิบกว่านาทีเท่านั้น เธอก็เหนื่อยจนหมดแรงแล้ว

เธอนั่งลงและคิดจะพักครู่หนึ่ง แต่เธอก็ไม่อยากเห็นฉากตรงนี้ ที่มันไม่ค่อยเหมาะสมสำหรับเด็กเท่าไหร่

เธอลุกขึ้นยืนอย่างเขินอาย แต่ก็ตกไปอยู่ในอ้อมกอดอันอบอุ่น

กลิ่นกายที่คุ้นเคย ทำให้สองมือของเธอที่จะผลักคนชะงักอยู่กลางอากาศ

ชายคนนั้นโน้มตัวมาและกระซิบที่ข้างหูเธอว่า:“หน้าแดงแบบนี้ กำลังคิดอะไรอยู่ ?”

เย่หลินเม้มริมฝีปาก ไม่อยากบอกว่าเธอกำลังคิดอะไรอยู่ เธอจึงดึงเขาออกไปข้างนอกอย่างรวดเร็ว

“ฉัน……..เมื่อครู่ฉันเห็นผู้ชายสองคน กำลัง……กำลังจูบกัน”เธอก้มศีรษะของเธอไปที่หน้าอกของเขา และพูดเบาๆว่า นี่เป็นครั้งแรกของเธอ ที่ในชีวิตจริงเห็น “รักร่วมเพศ”

จึงอดไม่ได้ที่จะอยากรู้อยากเห็น

หนิงเส่าเฉินจับเอวของเธอ ยิ้มและพูดว่า “ไปกันเถอะ ผมพาคุณไปช้อปปิ้ง แล้วค่อยไปทานข้าว”

“คุณทำธุระเสร็จแล้ว ?”

“อืม ที่เหลือ มีคนไปจัดการแล้ว ”เมื่อเห็นได้ชัดว่าฝีเท้าเธอช้าลงเล็กน้อย เขาก็หยุดนิ่ง “แรงกายของคุณ แย่มากจริงๆ”

เย่หลินพยักหน้า “ใช่สิ ฉันรู้สึกแก่แล้ว”

เมื่อเห็นชายตรงหน้าไม่ตอบอะไร เธอก็เม้มริมฝีปากและยิ้ม “เห็นได้ชัดว่าคุณอายุมากกว่าฉัน ทำไมรู้สึกว่าแรงกายของคุณดีกว่าฉันมาก ?”

“คุณลองพยายาม 365 วัน และวิ่งสองสามกิโลเมตรในตอนเช้าทุกวัน คุณก็จะรู้ว่าแรงกายจะยังดีไม่ว่าจะอายุเท่าไหร่ก็ตาม ”

“ถ้างั้นก็ช่างมันเถอะ งานอดิเรกเดียวของฉันก็คือการขี้เกียจอยู่บนเตียง ไม่เอาไม่เอา”เธอพูดพลางส่ายศีรษะ

หนิงเส่าเฉินมองไปที่ท่าทางของเธอ และก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา

เย่หลินมองไปที่เขา รอยยิ้มที่เขายิ้มออกมามันช่างสวยงามจริงๆ คิ้วของเขากระตุก มุมปากยกขึ้นเล็กน้อย เมื่อมองไป มันทำให้คนละสายตาไม่ได้เลย

เธอมองไปรอบๆ ไม่มีคนเลย

เมื่อคิดไปคิดมา ทันใดนั้นเธอก็หันกลับมา เอาแขนคล้องคอของเขาไว้ เขย่งเท้าขึ้นมา และแตะไปที่ริมฝีปากของเขาเบาๆ

เมื่อคิดจะถอย ก็มีแรงมาโอบเอวของเธอมากขึ้น “คุณเย่ คุณกำลังจุดไฟ”

เย่หลินเม้มริมฝีปากเล็กน้อยอย่างเขินอาย “ฉัน….ฉันก็แค่อยากจะจูบ ก็เพราะคุณหนิงดูดี”

หลังจากนั้นเย่หลินก็ได้ยินชายตรงหน้าสูดลมหายใจเข้าและออก และกอดเธอไว้ในอ้อมกอด “ครั้งหน้าถ้ามาข้างนอก อย่าจู่โจม”

จู่โจม ? เย่หลินกะพริบตา เธอก็แค่อยากจะจูบเขา เธอจู่โจมตรงไหน ? จากนั้น เธอก็รู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงบนร่างกายของชายคนนั้น เธอเบิกตากว้าง และในใจก็เข้าใจทันที

เธอปิดปากและแอบยิ้ม

หนิงเส่าเฉินมองไปข้างหน้า และกัดริมฝีปากไว้ เขาขมวดคิ้วเล็กน้อย และเห็นได้ชัดว่ากำลังอดทนอะไรอยู่ ท่าทางแบบนั้น ทำให้เย่หลินมองและอดไม่ได้ที่จะกลืนน้ำลาย และรู้สึว่าหนิงเส่าเฉินคนนี้น่าดึงดูดเป็นพิเศษ

“อย่ามองผมด้วยสายตาแบบนี้อีก ระวังผมจะจัดการคุณที่นี่”

เมื่อเขาพูดจบ ก็เห็นเย่หลินใช้สายตามองไปรอบๆด้วย เขาก็พูดอย่างเคร่งขรึมว่า:“ ที่นี่มีหินอยู่ที่หนทุกแห่ง ถ้านอนลงจะตื่นเต้นขนาดไหนกันนะ”

พูดจบ เธอก็ส่งเสียง เอ่อ ออกมา และหน้าแดง

ชายคนหนึ่งกอดเธอไว้แน่นในอ้อมแขน มือใหญ่ของเขาลูบหลังเธอสองครั้ง ทำให้ผมเจอสมบัติที่ล้ำค่าแบบคุณอย่างนี้เจอได้อย่างไร ?”

จากนั้นทั้งคู่ก็ไม่ได้พูดคุยกัน และสวมกอดกัน

จนกระทั่ง……..

“แค่กแค่ก………”มีเสียงไอเบาๆที่อบอุ่นดังขึ้นมา

เย่หลินก้มศีรษะลงและปล่อยหนิงเส่าเฉิน เมื่อหันกลับไป ก็เห็นมีคนมา เป็นผู้หญิง เป็นผู้หญิงที่มีออร่าที่แข็งแกร่ง

“เกาไห่เหมือนกับพ่อเกาตอนสมัยหนุ่มมาก บางทีพวกเราอาจจะสามารถลงเริ่มลงมือจากเกาไห่”หลังออกมาจากหมู่บ้านหนิงเส่าเฉินก็แนะนำ

เย่หลินมองไปที่หนิงเส่าเฉิน “เมื่อครู่ที่ชายชราพูด พ่อของคุณรู้อะไร ?”

หนิงเส่าเฉินขมวดคิ้ว มือทั้งสองจับแก้มของเย่หลิน และอธิบายด้วยความอดทนว่า“ผมเดาว่าเขารู้อะไรไม่มาก แต่คงจะรู้อะไรมาบ้าง แต่ครั้งที่แล้วที่อยู่ที่นั่น ผมบังคับเขา แต่เขาก็ไม่ยอมพูด”

เมื่อเย่หลินได้ยิน ไหล่ทั้งสองข้างก็ตกลงด้วยความอ่อนแรง

มันยิ่งยากที่จะยอมรับว่า แม่ของเธอถูกคนแบบนั้นทำลาย

ลองคิดดูว่า ถ้าหากว่าตัวเองเกิดออกมาแบบนั้น เธอก็คงจะรับไม่ได้จริงๆ

“อย่าคิดมาก ผมว่าที่เธอพูดบางทีมันอาจจะไม่จริง คุณไม่ได้ฟังเหรอว่าหลังๆน้ำเสียงของเธอก็ดูคาดเดาเช่นกัน ? อย่างที่คุณพูด แม่ของคุณหยิ่งยโสขนาดนั้น ถ้าหากว่าเกิดเรื่องอย่างนั้นจริงๆ คุณคิดเหรอว่าเธอจะถ่ายรูปกับคนที่ข่มขืนเธอ ? คุณอย่าลืมนะ เกาไห่ก็เหมือนกับผู้ชายคนนั้น ซึ่งก็หมายความว่า

สิ่งที่เธอพูดไม่ใช่ความจริง”

หลังจากหนิงเส่าเฉินอธิบาย เย่หลินก็ตระหนักได้

ใช่แล้ว ถ้าหากว่าด้วยบุคลิกของแม่ ถ้าหากเรื่องเป็นเช่นนั้นจริงๆ เธอไม่มีทางให้กำเนิดพวกเขา

“หรือว่า ฉันจะส่งรูปให้คุณอา ? ให้คุณอาถามคุณปู่กับคุณย่าฉัน ว่าผู้ชายคนนั้นเป็นทหารรับจ้างรึเปล่า ?”

หนิงเส่าเฉินส่ายศีรษะ “อย่าเพิ่งถาม รอให้เกาไห่ทางนั้นยืนยันมาก่อนค่อยว่ากัน คุณปู่คุณย่าของคุณอายุมากแล้ว บางเรื่อง พวกเราอย่าไปทำให้พวกเขาตกใจเลย ถ้าหากหลังจากนี้ยังหาข้อมูลไม่ได้ ค่อยถาม”

เย่หลินคิดว่าที่หนิงเส่าเฉินพูดมาก็มีเหตุผล

และก็ไม่คิดจะติดต่อกับคุณอาอีกแล้ว

อย่างไรก็ตาม ในใจก็รู้สึกโล่งใจเล็กน้อย อย่างน้อยการกำเนิดเธอก็ไม่ได้เลวร้ายขนาดนั้น

แต่เมื่อคิดถึงชีวิตของแม่ เธอก็รู้สึกอึดอัดใจเป็นพิเศษ

“คุณรู้ไหมว่าทำไมคนในหมู่บ้านถึงร่ำรวยขนาดนี้ ? และยังหยิ่งพยองอีก ? ”เมื่อหนิงเส่าเฉินเห็นสภาพจิตใจของเย่หลินย่ำแย่มาก เขาจึงเริ่มเบนความสนใจของเธอ

เย่หลินส่ายศีรษะ และถามอย่างงงงวยว่า:“ ทำไมล่ะ ?”

หนิงเส่าเฉินยืนอยู่ที่เดิม และใช้นิ้วมือวาวงกลมในอากาศและพูดว่า ที่ดินผืนนี้ ยังมีห้องทั้งหมดในหมู่บ้านนี้ ที่สร้างมาทั้งหมดนี้ล้วนเป็นเงินของแม่

เย่หลินประหลาดใจ “แม่ฉัน ? จะเป็นไปได้อย่างไร ถ้าหากว่าแม่ฉันมีเงินขนาดนี้ ในตอนนั้น ฉันจะให้กำเนิดหนิงเสี่ยวซีเพียงเพราะเงินไปทำไม ?” หลังจากพูดจบ เธอก็ถอนหายใจด้วยเสียงต่ำ

หลังจากนั้น เธอก็เงยหน้าขึ้นมามองไปที่หนิงเส่าเฉินและทำหน้ามุ้ย “หนิงเส่าเฉิน คุณรู้อะไรมากันแน่ ? คุณบอกฉันได้ไหม ? จุดประสงค์ของแม่ฉัน มันคืออะไรกันแน่ ?”

น้ำเสียงของเธอดูหงุดหงิดอย่างเห็นได้ชัด หนิงเส่าเฉินรู้มากขนาดนั้น แต่กลับปิดบังเธอไว้

หนิงเส่าเฉินหันกลับมา ยืดแขนมาจับเอวของเธอไว้ ขมวดคิ้วแล้วพูดว่า:“เย่จึของพวกเรา พอโกรธขึ้นมาแล้ว น่ารักขนาดนี้เลยเหรอ ?”หลังจากพูดจบ เขาก็บีบเอวของเธอแล้วโน้มตัวลงไปจูบบนริมฝีปากแดง ถึงเป็นอันเสร็จสิ้น

เย่หลินปัดสองมือของเขาออก “หนิงเส่าเฉิน ฉันกำลังพูดกับคุณนะ”

หนิงเส่าเฉินเห็นเธอหงุดหงิดจริงๆ จึงพยักหน้าและพูดว่า “ที่จริงแล้ว ผมก็ไม่พบอะไรเลย เรื่องพวกนี้ เหลียงกั้วอันเป็นคนบอกผมก่อนที่คุณจะมา”

เขาจับเอวของเย่หลิน และขยับพาเธอไปยังที่จอดรถ “เขาบอกผมว่า บ้านที่เกาอาศัยอยู่ ที่จริงแล้วหลังจากที่แม่คุณออกจากเกาะเหลียนอู้ เงินที่คุณแอบใส่ไว้ในเสื้อโค้ทของเธอ เธอเอามาซื้อ หลังจากนั้นก็ด้วยเหตุผลบางอย่าง แม่ของคุณถึงไปจากที่นี่ และบ้านหลังนี้ก็กลายเป็นของตระกูลเกา !”

หนิงเส่าเฉินชะงักไปชั่วขณะ “คนที่ถูกขับไล่ออกมายังมีพ่อเกาด้วย ดังนั้นพ่อเกาและแม่ของคุณจึงไปเมือง S ด้วยกัน ส่วนพ่อเกา เกาเหวินช่วยชีวิตผมแล้ว พ่อของผมก็ให้เขากลับไปที่เมือง C ระหว่างพวกเขาเกิดเรื่องอะไรขึ้น เพราะอะไรนั้น เหลียงกั้วอันไม่ยอมพูด ผมก็ไม่รู้จริงๆ แต่บ้านของตระกูลเกา อาจจะยังคงมีชื่อของแม่คุณเขียนอยู่ เมื่อครู่ผมก็ลองทดสอบชายชรานั้นดูแล้ว”

ระหว่างทางกลับ เย่หลินเอนกายพิงหนิงเส่าเฉิน ระหว่างทางไม่พูดอะไร และสรุปเรื่องราวพวกนี้อยู่ตลอด

ทำให้บรรยากาศภายในรถอึดอัดมาก

หลิวซูถูกหนิงเส่าเฉินทิ้งไว้ในรถ ดังนั้น เขาจึงไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เมื่อมองไปที่สีหน้าของเย่หลิน เขาก็ไม่สะดวกที่จะถาม

เมื่อกลับถึงบ้าน ฟ้าก็มืดแล้ว เย่หลินที่อารมณ์ไม่ดี เลยลืมนัดที่นัดไว้กับโม่หานคนนั้น เธอล้างหน้าล้างตาแล้วขึ้นเตียงเลย

เธอรู้สึกว่าเตียงมันจมลงไป และในเวลาต่อมา เธอก็ถูกดึงเข้าไปสู่อ้อมกอดที่อบอุ่น

เย่หลินตัวแข็งทื่อ ไม่พูดอะไร และยังคงเงียบต่อไป

จากนั้นไม่นาน หนิงเส่าเฉินก็ลุกขึ้น เย่หลินคว้าข้อมือของเขาด้วยความตกใจแล้วถามว่า “คุณจะไปไหน ?”

หนิงเส่าเฉินมองไปที่เธอที่จับมือของเขา เขาดึงออกและบีบใบหน้าที่งัวเงียของเธอ “ผมให้คนทำอาหาร ผมจะไปเอามาให้คุณ” พูดจบ เขาก็ลุกขึ้นและเดินออกไป

เมื่อหนิงเส่าเฉินเข้ามาอีกครั้ง เย่หลินก็ยังคงอยู่ในท่าเดิม เขาวางถาดที่อยู่ในมือลง เดินไปที่หัวเตียง และนั่งลงข้างเธอ

อาหารง่ายๆสองอย่างและซุปหนึ่งถ้วย ล้วนเป็นสิ่งที่เธอชอบทาน

อันที่จริงเย่หลินไม่ค่อยหิว แต่ หนิงเส่าเฉินจ้อมมองเธอ เธอไม่อยากให้เขาเป็นห่วง ดังนั้น เธอจึงหยิบตะเกียบขึ้นมาและตักอาหารเข้าไปในปาก เธอเงยหน้าขึ้นมองเขา:“ คุณ……….ไม่ทานข้าวกลางวันและตอนเย็นเหรอ ?”

แววตาของหนิงเส่าเฉินลึกซึ้งขึ้น มือใหญ่ลูบศีรษะของเธอ ก้มศีรษะมองเธอ “เย่จึ เรื่องพวกนี้ ล้วนไม่เกี่ยวข้องอะไรกับพวกคุณ พวกเราไม่ต้องไปคิดถึงแล้ว โอเคไหม ?”

ขณะที่พูด เขาจับมือของเธอที่อยู่บนผ้านวมนั้น และค่อยๆลูบเบาๆ ทันใดนั้น อุณหภูมิในมือก็แผ่ซ่านไปถึงหัวใจอย่างรวดเร็ว

เย่หลินวางถ้วยและตะเกียบบนมือลงบนโต๊ะหัวเตียง และยื่นมือไปโอบรอบเอวที่แข็งแกร่งของหนิงเส่าเฉิน จากนั้นก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย เส่าเฉิน ไม่ว่าฉันจะมีภูมิหลังยังไง พ่อของฉันเป็นใคร คุณก็จะไม่รังเกียจฉันใช่ไหม ?

“ไม่มีทาง !”

เย่หลินขยับสายตามองลงไปที่เขา หรือว่าคุณรู้มานานแล้ว ดังนั้น คุณถึงคัดค้านให้ฉันไปหาพวกเขา ? ในตอนนี้ เธอเข้าใจแล้ว ว่าทำไมตอนบ่ายเขาถึงพูดกับเธอแบบนั้น แต่ที่น่าตลกก็คือ เธอยังเข้าใจความหมายของเขาผิดอีก

หนิงเส่าเฉินไม่มีปฎิกิริยาตอบสนองเธอ ดวงตาของเขาลดลงและค่อยๆจูบที่ริมฝีปากแดงของเธอ

“เหลียงกั้วอันไม่อยากให้คุณรู้เรื่องพวกนี้ เขาบอกว่า พ่อของคุณเป็นใคร หลายปีมานี้ แม่ของคุณไม่เคยบอกกับเขาเลย”

ดวงตาเฉื่อยชาของเย่หลินกะพริบ แต่ก็ไม่พูดอะไร

ด้วยเหตุนี้ ในห้องนอนจึงตกอยู่ในความเงียบที่น่าหดหู่

หนิงเส่าเฉินยืนมือออกมา และใช้มือใหญ่ลูบไล้ไปมาระหว่างเส้นผมของเธออย่างนุ่มนวลเป็นเวลานาน เขาใช้มือทั้งสองข้างจับหน้าของเธอเงยหน้าขึ้น และมองไปที่ดวงตาของเธอ ดวงตาสีดำเข้มคู่นั้นเต็มไปด้วยความจริงจัง “เย่จึ ลืมเรื่องพวกนี้ไปเถอะ ที่ผมสนใจ ก็มีเพียงเย่หลิน คุณเท่านั้น !”น้ำเสียงของหนิงเส่าเฉินหนักแน่นขึ้น พูดจบเขาก็เม้มริมฝีปากแน่น และจ้องไปที่เธออย่างหนักแน่น “อย่าให้ผมพูดอีกเป็นครั้งที่สอง”

เย่หลินยังอยากจะพูดอะไรอีก หนิงเส่าเฉินลุกขึ้นยืน และเริ่มเปลื้องผ้าต่อหน้าเธอโดยที่ไม่มีการเตือนล่วงหน้า

เธออดไม่ได้ที่จะขยี้ตา เพื่อที่จะให้แน่ใจว่าตัวเองไม่ได้มองผิดไป จนกระทั่งหนิงเส่าเฉินกดเธอไว้ใต้ร่าง เธอถึงตกใจมาก เลือดสูบฉีดขึ้น และอดไม่ได้ที่จะกลืนน้ำลาย

“คุณจะทำอะไร”

“ทำให้คุณมีความสุข!”

อย่างไรก็ตาม เธอรู้ดีว่า หนิงเส่าเฉินพูดแบบนี้ ไม่มีทางที่จะไม่มีหลักฐาน ดังนั้นเธอจึงไม่ได้พูดอะไร ยืนอยู่อย่างเงียบๆ

ชายชราเกาที่เพิ่งหันไปอย่างไม่ลังเล ตัวกระตุกไปที หันหลังกลับมามองทางหนิงเส่าเฉินแบบไม่อยากจะเชื่อแล้วหันไปมองเย่หลิน

หญิงชราที่อยู่ข้างๆ ที่เมื่อกี้มีท่าทางเหมือนกำลังดูการแสดงเรื่องหนึ่ง แต่ตอนนี้กลับร้อนรน

“คุณคะ ที่เขาพูดเป็นเรื่องจริงเหรอคะ? นี่……ทรัพท์สินพวกนี้ กลายเป็นของเธอตั้งแต่เมื่อไหร่?”

“นั่นสิ พ่อ เรื่องพวกนี้จะพูดเล่นกันไม่ได้นะครับ คุณเอาหลักฐานพวกนั้นมาให้เขาดูสิ ทำไมถึงได้พูดไปเรื่อยแบบนี้”ชายวัยกลางคนก็เอ่ยปาก

“……”

แค่แป๊บเดียว สีหน้าของทุกคนก็ตื่นตระหนก

“เส่าเฉิน นี่นายได้เสี่ยวเหวินแล้วจะทิ้งเหรอ?”ชายชราคนนั้น พูดขึ้นเสียงเย็นทันที

หนิงเส่าเฉินเม้มปาก สีหน้าไม่ได้มีอะไรแตกต่างไปจากเดิม แต่เย่หลินกลับรู้สึกละอาย เห็นเพียงแค่เขามองชายชราคนนั้น พูดตอบว่า“ไม่รู้ว่าคุณปู่จะให้พวกเราเข้าไปนั่งได้ไหม?”

เขากำลังไว้หน้าชายชราคนนี้อยู่

ชายชราเกานั้นมีชีวิตอยู่มานานแล้ว แน่นอนว่าเข้าใจความหมายที่เขาจะสื่อ กระแอมไปครั้งหนึ่ง “พวกเธอตามฉันมา”

เขาหันหลังไปพึมพำกับคนข้างหลัง

ภายนอกของบ้านหลังนี้ดูงดงามมาก เข้ามาข้างใน ก็ยิ่งทำให้เย่หลินประหลาดใจมากกว่าเดิม เฟอร์นิเจอร์ไม้มะฮอกกานีเหล่านั้น งานแกะสลักที่สวยงาม และหินอ่อนที่ใช้สำหรับบันไดวน ทำให้คนถึงกับต้องถอนหายใจต่อความมั่งคั่งของตระกูลหลิน

เพียงแต่ มันน่าสงสัยมาก ของพวกนี้ดูแล้ว เห็นได้ชัดว่ามีอายุมาบ้างแล้ว ไม่เหมือนของใหม่ ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบหรือวัสดุ

ชายชราสั่งคนรินน้ำชาให้กับทั้งสองคน ท่าทีแบบนั้น เห็นได้ชัดว่าอ่อนลงมากกว่าตอนอยู่ข้างนอก

“สาวน้อย พินัยกรรมของแม่เธอล่ะ?”ชายชรายังไม่ทันนั่งลง ก็ถามขึ้นอย่างตรงไปตรงมา

เย่หลินอดรู้สึกละอายไม่ได้ มองไปที่หนิงเส่าเฉินแบบไม่รู้ตัว หนิงเส่าเฉินยิ้มบางๆ กุมมือเธอไว้ เอ่ยปากพูดสีหน้านิ่งๆว่า“คุณปู่ ถามคำถามแบบนี้มันเกินไปหรือเปล่า?”

“นาย……”เผชิญหน้ากับการตอบกลับของหนิงเส่าเฉินอย่างตรงไปตรงมา ชายชราเกาคนนั้นชี้ไปที่หนิงเส่าเฉิน ตั้งนานแล้วก็พูดไม่ออก

หนิงเส่าเฉินเหล่ตา นานพักหนึ่ง ถึงได้พูดขึ้นช้าๆว่า“แน่นอน ถ้าหากคุณปู่สามารถบอกสิ่งที่เย่หลินอยากรู้กับเธอ……”เขาพูดไปก็กุมมือเย่หลินไป ลูบฝ่ามือเธอ สักพักก็พูดขึ้น “แต่เรื่องบางเรื่องที่ไม่ควรรู้ พวกเราก็จะแกล้งทำเป็นไม่รู้”

พูดจบ สายตาที่เคร่งขรึมมองไปที่ชายชรา

ชายชราเกาคนนั้นนิ่งไปนาน ถึงเอ่ยปากพูดช้าๆว่า“เธออยากรู้อะไร เธอก็ถามมาเถอะ”

เย่หลินดีใจ มองหนิงเส่าเฉินอย่างขอบคุณ “ฉันอยากรู้ ว่าพ่อฉันเป็นใครกันแน่?”

ชายชราเกาอึ้งไปพักหนึ่ง หึ พูดขึ้นเสียงเย็น “เธอถามคำถามนี้ ฉันตอบไม่ได้จริงๆ!”

เย่หลินไม่เข้าใจ ชายชราเกาคนนี้ เห็นได้ชัดว่ารู้จักกับแม่ของเธอ อีกอย่าง ความสัมพันธ์ก็ไม่ใช่ธรรมดา เมื่อกี้หนิงเส่าเฉินบอกกับเขาว่าบ้านหลังนี้เป็นของแม่เธอที่ทิ้งไว้ให้เธอ เห็นได้ชัดว่าเขายอมรับมัน ถึงขนาดที่สามารถให้แม่เหลือทรัพย์สินทิ้งไว้ให้มากขนาดนี้ ก็ไม่มีทางที่ทั้งสองจะไม่เกี่ยวข้องกัน

“คุณจะไม่รู้ได้ยังไง?”เขารู้จักกับแม่ เหลียงกั้วอันก็ชี้นำเธอให้มาที่นี่ ไม่มีทางที่เขาจะไม่รู้อะไรเลย?

อีกอย่าง เมื่อกี้หนิงเส่าเฉินก็บอกแล้วว่าบ้านหลังนี้เป็นของแม่

ชายชราเกาเงยหน้ามองเธอ สุดท้ายสายตาก็ไปตกอยู่ที่หนิงเส่าเฉิน“เส่าเฉิน ในเมื่อนายมีความสามารถ สืบเรื่องราวได้มากขนาดนี้ คงไม่มีทางที่จะไม่สามารถสืบเรื่องที่นายอยากรู้ได้หรอกใช่ไหม?”

สายตาเขาหันไปมองเย่หลิน

เย่หลินขมวดคิ้ว หันไปมองหนิงเส่าเฉิน “คุณรู้?”

หนิงเส่าเฉินส่ายหน้า “คุณปู่อยากจะพูดอะไรก็พูดตรงๆเถอะครับ ผมยอมรับ เพื่อเย่จึแล้ว ผมสืบเรื่องมาบ้างก็จริง แต่บางเรื่อง ไม่ใช่ว่าอยากสืบก็จะสืบได้!”

คำพูดนี้ เห็นได้ชัดว่าหนิงเส่าเฉินพูดสิ่งที่คิดออกมา สีหน้าของชายชราเกา มืดมนขึ้นทันที

“ฉันแค่อยากรู้ว่าพ่อของฉันคือใคร? มันยากขนาดนั้นเลยเหรอ?”

“พ่อเธอคือใคร? อย่าพูดอะไรเลย เขาไม่สามารถบอกเธอจริงๆ……”เสียงผู้หญิงดังขึ้นห้วนๆ ขัดความคิดของหลายๆคน

ผู้หญิงที่ใส่กี่เพ้าคนเมื่อกี้ เดินมาจากทางประตู ยืนนิ่งห่างจากเย่หลินไปสองก้าว แล้วสำรวจเธอ สายตาก็รีบหันไปทางหนิงเส่าเฉิน ทันใดนั้น เหมือนเธอจะรู้อะไรบางอย่าง สีหน้าที่แสดงออกก็มืดลง หันหลังรีบเดินไปทางคุณปู่เกา

จากนั้นเข้าไปกระซิบกับปู่เกา

ทันใดนั้น ก็เห็นคุณปู่เกาลุกขึ้นยืน เดินมาข้างหน้าหนิงเส่าเฉิน แล้วเดินวนเขารอบหนึ่ง “เธอเป็นแม่ของหนิงเสี่ยวซี?”

หนิงเส่าเฉินขมวดคิ้ว หรี่ตาลง พยักหน้า “ครับ!”

“มิน่าล่ะ”

เย่หลินอึ้งไปพักหนึ่ง มองไปที่ปู่เกาอย่างไม่เข้าใจ รอยขมวดคิ้วของเธอก็ยิ่งลึกขึ้น

“แล้วทำไมนายถึงไม่ไปถามพ่อนายดูล่ะ? บางที สิ่งที่เขารู้ อาจจะไม่น้อยไปกว่าฉัน!”

ตอนนี้คนที่ประหลาดใจก็คือเย่หลิน เธอหันไปมองหนิงเส่าเฉิน ในตามีแต่ความสงสัย เธอยังไม่ลืม ตอนที่อยู่ต่างประเทศ พ่อหนิงบอกเธอว่าตัวเองไม่รู้เรื่องอะไรเลย

หนิงเส่าเฉินยื่นมือไปจับมือเรียวของเธอไว้ มือใหญ่ตบที่หลังมือของเธอเบาๆ เงยหน้าขึ้นไปมอง“คุณปู่จะไม่ยอมพูดอะไรเลยใช่ไหมครับ? ถ้าอย่างนั้นอีกหน่อยมาเก็บบ้านหลังนี้เมื่อไหร่ ก็ขอให้คุณปู่เงียบได้แบบนี้นะครับ”

“ตอนนั้นเธอถูกข่มขืน จากนั้น คนคนนั้นจนถึงตอนนี้ก็ยังหาไม่เจอ หลังจากนั้นอีก ก็ท้อง เธอกลัวคำนินทาของคนอื่น ถึงได้หนีไปอยู่ที่อื่น……” นายหญิงคนนั้นเห็นว่าทั้งสองคนจะไป ก็ร้อนรน จึงได้พูดออกมา

สีหน้าของเย่หลินซีดลงกระทันหัน ตัวเธอเดินเซถอยหลังไปหลายก้าว เก้าอี้ตกไปอยู่บนพื้นเพราะแรงจากน้ำหนักของเธอ พร้อมกับเสียงที่ดังขึ้น ดังจนเธอปวดใจ

“ดังนั้น เธอเป็นลูกของใคร ฉันว่า ขนาดแม่เธอเองก็คงไม่รู้……”นายหญิงคนนั้นเห็นแบบนี้ สายตาก็แฝงไปด้วยรอยยิ้มและเหยียดหยาม

“ไม่มีทาง……คุณโกหก!”เย่หลินพูดขึ้นเสียงดัง

“โกหกหรือไม่ ฉันก็ไม่รู้ แต่……ฉันพูดเรื่องจริง ถ้าไม่อย่างนั้น แม่เธอมีหน้าตาสวยขนาดนั้น เธอว่า เขามีเหตุผลอะไรที่ต้องไปหลบอยู่ในที่ห่างไกลแบบนั้น?”มือของนายหญิงไขว้ไว้ที่หลัง สายตามองเย่หลินทั่วตัว ทุกคำที่เธอพูด มันทำลายความอดทนทางจิตใจของเย่หลิน

“พอแล้ว……”ชายชราเกาที่เงียบอยู่นานพูดขึ้น ณ เวลานี้ สีหน้าเขาเขียวคล้ำ หันหลังไป “ในเมื่อพวกเธอรู้ในสิ่งที่อยากรู้แล้ว ก็เชิญกลับไปเถอะ……”

พูดจบ ก็ก้าวเข้าไปยังภายในของบ้าน

เย่หลินยังอยากถาม ถ้าหากเรื่องเป็นแบบนั้นจริงๆ แล้วแม่อยู่บ้านหลังนี้ในสถานะอะไร ทหารรับจ้างคนนั้นเกี่ยวข้องอะไรกับบ้านนี้?แล้วยังพ่อเกาอีก?

เธอกับเกาไห่เห็นได้ชัดว่าเป็นฝาแฝดกัน ถ้าเป็นเรื่องจริง พ่อเกาไม่ใช่พ่อที่แท้จริงของพวกเธอ แล้วทำไมถึงต้องเลี้ยงดูเกาไห่? อีกอย่าง หน้าตาของพวกเขาคล้ายกันขนาดนั้น

อย่างไรก็ตาม ดูจากการแสดงออกของเขาที่เหมือนรู้ทุกอย่าง พอคิดถึงตรงนี้ ใจของเย่หลินก็โล่งขึ้นมาก ขอแค่มีผู้ชายคนนี้อยู่ด้วย ดูเหมือนว่าเธอแทบจะไม่ต้องกังวลเลยก็ว่าได้

หนิงเส่าเฉินของเธอ ก็เหมือนกับคนที่สามารถทำได้ทุกอย่าง และคนที่สามารถทำได้ทุกอย่างคนนี้ เป็นของเธอ

คิดถึงตรงนี้ มุมปากก็ยกยิ้มขึ้น

ณ ตอนนี้ความโกรธก่อนหน้านั้น หายไปเป็นปลิดทิ้ง!

ผู้หญิงทุกคนมักจะง้อง่าย ไม่ว่าเธอจะโกรธมากแค่ไหน แค่ผู้ชายให้ความอบอุ่นกับเธอ ใจที่เย็นชา ก็อบอุ่นขึ้นได้

“นี่ครับ ถึงแล้วครับ!”

เด็กชายชี้ไปทางบ้านที่อยู่ข้างหลัง

เดินไปต่อไม่กี่นาที ทั้งสามก็มาหยุดอยู่ตรงหน้าบ้านพักตากอากาศที่ตกแต่งแบบสไตล์ยุโรป

ประตูห้องโถงที่สูง ประตูทำจากทองสัมฤทธิ์อย่างงดงาม หน้าต่างโค้งกลมและการก่ออิฐที่เข้ามุม ล้วนแสดงให้เห็นว่าสง่างามและหรูหรา….. ความหรูหราระดับนี้ ไม่น้อยหน้าไปกว่าคฤหาสน์ตระกูลหนิงเลย

มองไปรอบๆบ้านหลังนี้อีกครั้ง สวนแรงงานคนขนาดใหญ่นี้……

ถ้าไม่ใช่ว่ามาตามหาคน คนนอกคงคิดไม่ถึงว่า ในหมู่บ้านชนบทแบบนี้ กลับมีที่อยู่อาศัยหรูหราแบบนี้ซ่อนอยู่!

เธอก้าวขึ้นไปกดกริ่งที่ประตู ประตูเปิดเร็วมาก

คนที่มาเปิดประตูเป็นชายชราคนหนึ่ง ในมือถือถังน้ำที่จะรดน้ำต้นไม้ ปากถังยังคงมีน้ำหยดลง พอเงยหน้าเห็นเย่หลิน ถังน้ำในมือเขาก็ตกลงบนพื้น จากนั้นก็อ้าปากกว้าง“คุณท่าน คุณนาย…..”เขาตะโกนไปด้วย วิ่งเข้าบ้านไปด้วย ดูออกเลยว่าร่างกายเขายังคงแข็งแรง

หนิงเส่าเฉินไม่ได้พูดอะไร โอบเย่หลินเข้ามาภายในรั้วบ้าน

ตัวบ้านกว้างใหญ่มาก แต่กลับรู้สึกวังเวงแปลกๆ……

สามีภรรยาคู่หนึ่งเดินออกมาจากในบ้าน

เย่หลินจับมือหนิงเส่าเฉินไว้

“สองคนนั้นคือปู่กับย่าของเกาเหวิน”นิ่งไปพักหนึ่ง ก็พูดต่อว่า“เป็นคนที่เรื่องมาก!”

หลังจากพูดประโยคสุดท้าย หนิงเส่าเฉินก็ถอนหายใจ เย่หลินประหลาดใจมาก ดูจากสีหน้าหนิงเส่าเฉินแล้ว เขาน่าจะเคยเจอกับพวกเขามาก่อน

“อาเฉิน ผู้หญิงคนนี้เป็นใคร? นี่พวกเธอสองคนจะทำอะไรกัน?”เสียงของชายชรา

ดังขึ้น โยนไม้เท้ามาทางพวกเธอ

หนิงเส่าเฉินกอดเย่หลินไว้แล้วถอยหลังไปหนึ่งก้าว หลบเลี่ยงไม้เท้าเล่มนั้น

ชายชราคนนี้ดูเหมือนอายุจะราวๆเจ็ดสิบปี แต่งตัวด้วยเสื้อคลุมยาวสีกรมท่าแบบจีนสมัยก่อน ในมือกำไม้เท้ารูปหัวมังกร ตาสว่างใสดูมีชีวิตชีวา สุขภาพจิตใจดูเหมือนจะดีมาก หญิงชราที่ยืนอยู่ข้างเขา อายุใกล้เคียงกัน ใส่ชุดกี่เพ้าสีเดียวกัน ผมสีเทา มัดจุก ถ้าไม่มีอาคารรอบๆ เย่หลินคงคิดว่าตัวเองเดินหลงยุคไปแล้ว

“คุณปู่ คุณรู้สึกว่าเธอหน้าคุ้นๆไหม?”หนิงเส่าเฉินไม่ได้ตอบกลับชายชรา แต่กลับถามอีกคำถามหนึ่ง

ชายชราได้ยินแบบนั้น สายตาก็ตกไปที่เย่หลินอีกครั้ง จ้องเธอสักพัก เย่หลินก็สังเกตเห็นว่ามือของเขากำลังสั่น

“เธอ……เธอเกี่ยวข้องอะไรกับหลินผิง?”

เย่หลินประหลาดใจเล็กน้อย ชายชราคนนี้รู้จักกับแม่ เธอจับแขนของหนิงเส่าเฉินไว้ สูดหายใจเข้าแล้วเอ่ยปากตอบกลับไปว่า“เธอเป็นแม่ของฉัน”

“พ่อ เธอกับพี่สะใภ้หน้าตาเหมือนกันมากจริงๆ”ผู้ชายวัยกลางคนเดินออกมาจากบ้าน ส่งเสียงพูด สายตามองที่เย่หลินสลับกับหนิงเส่าเฉินไปมา

“แล้วแม่เธอล่ะ?”ชายชรารู้ว่าเธอเป็นใครก็รู้สึกแปลกใจ สีหน้าของเขาไม่มีอะไรเปลี่ยน แต่กลับมีความรู้สึกรังเกียจแทน

“เธอเสียแล้ว!”เย่หลินตอบกลับนิ่งๆ แต่สายตาเธอกลับมองไปที่ชายชรา ไม่ขยับไปไหน

“เสียแล้ว?”

“ควรตายได้ตั้งนานแล้ว!”จู่ๆหญิงชราที่ยืนอยู่ข้างๆชายชราก็เอ่ยขึ้น ในสายตาคู่นั้นยังมีรอยยิ้มบางๆซ่อนอยู่ด้วย

แม้ว่าแม่ของเธอจะไม่ได้ดีกับเธอมากนัก แต่ก็เป็นคนที่ให้กำเนิดและเลี้ยงดูเธอมา พอตอนนี้ได้ยินคนอื่นพูดเธอแบบนี้ อารมณ์ของเย่หลินก็ร้อนลุกเป็นไฟ“

คุณเป็นใคร มีสิทธิ์อะไรมาว่าแม่ฉันแบบนี้?”

“เส่าเฉิน นายกับเธอมันเรื่องอะไรกัน?เสี่ยวเหวินล่ะ?”ชายวัยกลางคนเมื่อกี้ก็พูดขึ้นอีกครั้ง สายตามองไปที่มือของทั้งสองคนที่ประสานกันอยู่

เย่หลินถึงได้รู้สึกตัวขึ้นมา นี่เป็นปู่กับย่าของเกาเหวิน แต่เธอกลับจับมือหนิงเส่าเฉินอย่างเปิดเผยแบบนี้ มันคงมากเกินไปหน่อย

พอคิดแบบนั้น ก็อยากจะเอามือของตัวเองออก แต่กลับถูกหนิงเส่าเฉินกำไว้แน่นกว่าเดิม

“คุณลุง ผมกับเขามีความสัมพันธ์แบบไหน คุณไม่ลองไปถาม‘พ่อ’ดูล่ะ”เขาพูดเน้นคำว่าพ่อ

พ่อ นั่นหมายถึงพ่อของเกาเหวิน

ตอนนี้เย่หลินงงไปแล้ว ไม่เข้าใจที่หนิงเส่าเฉินพูดแบบนี้ ทำแบบนี้ไปเพื่ออะไร?

ไม่ใช่บอกว่าให้ทำตัวถ่อมตนหรอกเหรอ?

ตอนนี้กลับพูดทุกอย่างจนชัดเจน แล้วละครที่จะเล่นกับเกาเหวินต่อจากนี้ล่ะ?

“คุณคะ คุณดูสิ เขา…..เขาพูดอะไรน่ะ?”หญิงชราคนนั้นจับแขนชายชราเขย่าไปมา

เย่หลินอดไม่ได้ที่จะหันไปมองหนิงเส่าเฉิน และเห็นว่า ตั้งแต่เขาเข้ามาจนถึงตอนนี้สีหน้าก็ไม่ค่อยดีนัก

หนิงเส่าเฉินตบหลังมือเธอเบาๆ แล้วพูดขึ้น“ที่พวกเรามาครั้งนี้ แค่อยากจะมาถามเรื่องบางอย่าง ถ้าได้คำตอบแล้วพวกเราก็จะไป”

“เส่าเฉิน นี่คือกิริยาที่นายมีต่อผู้ใหญ่เหรอ?”หนิงเส่าเฉินเพิ่งจะพูดจบ ชายชราคนนั้นก็ทุ่มไม้เท้ากับพื้นอย่างแรง

เย่หลินขมวดคิ้ว อยากจะพูดแก้ตัวให้หนิงเส่าเฉิน มือที่โอบอยู่บนเอวก็แน่นขึ้น หนิงเส่าเฉินก้มหน้ามองหน้าเล็กๆของเย่หลินที่กำลังโกรธอยู่ รอยยิ้มบนใบหน้าก็ค่อยๆเกิดขึ้น

“นังจิ้งจอกคนนั้นเป็นแบบไหน ลูกสาวที่คลอดออกมาก็เป็นแบบนั้น ดีแต่อ่อยคนไปทั่ว”หญิงชราคนนั้นเอ่ยปากพูดอีกครั้ง

เย่หลินสูดหายใจเข้า กำลังจะด่ากลับไป ทันใดนั้นหนิงเส่าเฉินก็ใกล้เข้ามา กระซิบที่หูของเธอ“ถามเรื่องที่เธออยากรู้ก่อน”

เย่หลินนิ่งไป คิดดูแล้ว ก็เอ่ยปาก“ที่ฉันมาแค่อยากจะถามว่า พวกคุณรู้จักพ่อแท้ๆของฉันไหม?”

ชายชราคนนั้นสองมือกำไม้เท้าไว้ สายตามองมาที่เย่หลิน เหมือนว่ากำลังคิดอยู่ว่าจะตอบเธอยังไง สุดท้าย เขาก็หายใจเข้าลึกๆ “เรื่องนี้ไม่สามารถบอกได้ พวกเธอรีบไปเถอะ ที่นี่ไม่ต้อนรับพวกเธอ”

พูดจบ เขาก็หันหลัง กำลังจะจากไป

“เย่จึ ในเมื่อพวกเขาไม่พูดอะไรเลย ถ้าอย่างนั้น บ้านพักตากอากาศหลังนี้ ที่ดินผืนนี้ คือสิ่งที่ยายของคุณมอบให้แก่แม่คุณเมื่อตอนนั้น ตอนแม่คุณเสีย คงระบุไว้ในพินัยกรรมว่า ถ้าไม่มีลายเซ็นของคุณ ก็ไม่มีใครสามารถยุ่งกับของพวกนี้ได้ ผมพูดถูกไหม?”หนิงเส่าเฉินกล่าวเสียงแข็ง

ตอนนี้เย่หลินงงไปหมดแล้ว……พินัยกรรมอะไร? บ้านและที่ดินอะไร? หนิงเส่าเฉินกำลังพูดเรื่องอะไรอยู่? ทำไมเธอถึงไม่รู้เรื่อง?

ถ้าแม่มีทรัพย์สินมากมายขนาดนี้ แล้วเธอจะคลอดหนิงเสี่ยวซีเพื่อหาเงินมารักษาเธอทำไม?

“ขอร้องเถอะครับ คุณต้องทำความเข้าใจนะ บางทีเขาอาจจะไม่รู้ก็ได้ว่าเย่หลินเป็นผู้หญิงของคุณ? คนที่มีภรรยาแล้วอย่างคุณ ใครเขา……”

“หลิวซู ตกลงนายอยู่ข้างใคร?”หนิงเส่าเฉินมองหลิวซูตาขวาง

“ครับๆ ผมไม่พูดแล้ว พอใจแล้วนะครับ?”

จากนั้น ก็ตามมาตลอดทาง

เย่หลินตื่นขึ้นมา รถยังคงแล่นอยู่ ข้างทางคือทุ่งหญ้าผืนใหญ่ เธอตกใจ ลุกนั่งตัวตรงหันไปมองโม่หาน“นี่ถึงไหนแล้ว?”

“อืม เมื่อกี้คุณพูดว่า คุณจะไปเกาจยาวาน ใช่ไหม?”

เย่หลินพยักหน้า “ใช่……”

“งั้นข้างหน้าน่าจะใกล้ถึงแล้ว”มือขวาโม่หานชี้ไปที่มุมข้างหน้า

เย่หลินมองไปทางนั้นตามมือของเขา เห็นหมู่บ้านหนึ่งรางๆ เธอขมวดคิ้ว รู้สึกแปลกใจ คนที่เขาตามหา เป็นชาวนา?

ตอนแม่เป็นสาว เธอโดดเด่นมาก และเพราะไม่ค่อยมีปฏิสัมพันธ์กับเพื่อนบ้าน ทุกคนจึงพากันนินทาว่าเธอต้องเป็นคุณหนูตกกระป๋องของตระกูลไหนสักที่แน่ๆ ถึงได้เย็นชาขนาดนี้

ความจริงถูกพิสูจน์แล้วว่า คนพวกนั้นเดาไม่ผิด

อย่างไรก็ตาม แม่ของเธอเป็นคนที่หยิ่งยโส คนที่ถูกเธอมองหรือมีปฏิสัมพันธ์ด้วย เย่หลินรู้สึกว่าเขาคนนั้นจะต้องไม่ธรรมดาแน่ๆ

แต่……หมู่บ้านชนบทนี้!

รถสีควันบุหรี่หยุดอยู่หน้าทางเข้าหมู่บ้าน “ต้องการให้ผมไปเป็นเพื่อนคุณไหม?”

เย่หลินนิ่งไปพักหนึ่ง ก็ส่ายหัว “ไม่ต้องๆ ฉัน……มาทำธุระส่วนตัวนิดหน่อย”เธอบอกเขาทางอ้อมว่าไม่ค่อยสะดวก

โม่หานคนนี้ก็เป็นคนที่ดูสีหน้าคนเป็น “งั้นโอเค ถ้าอย่างนั้นผมไปทำธุระก่อนนะ ถ้าคุณทำธุระเสร็จ คุณก็โทรหาผม ผมจะได้พาคุณกลับ”

เย่หลินพยักหน้า มองเขาอย่างขอบคุณ

เปิดประตูลงรถ

เมื่อรถสปอร์ตกลับรถและขับผ่านรถสีดำ เย่หลินคิดว่าตัวเองตาฝาดไป ก็ลองมองป้ายทะเบียนอีกครั้ง หัวใจของเธอกระตุก ใบหน้าขาวนั้นก็เปลี่ยนไป

ไม่นานนัก เย่หลินก็เห็นหนิงเส่าเฉินที่ใส่ชุดสูทเรียบร้อย มือข้างหนึ่งถือโทรศัพท์ ส่วนอีกข้างซุกไว้ในกระเป๋ากางเกง ขายาวนั้นรีบก้าวเดินมาทางเธอ

ไม่ช้า เขาก็มายืนอยู่ข้างตัวเย่หลิน สายตาเขามองไปทั่วหน้าของเธอ “คุยกันสนุกตลอดทางเลยนะ คุณหนูเย่”

เย่หลินขมวดคิ้ว ไม่ได้พูดอะไร หันหลังเดินเข้าไปในหมู่บ้าน

หนิงเส่าเฉินตามเธอไปข้างๆ ไม่ได้พูดอะไรเหมือนกัน

เย่หลินแอบมองสีหน้าของเขา เห็นได้ชัดว่าเขาเห็นเธออยู่กับโม่หาน

และตอนที่เธอกำลังจะละสายตา ผู้ชายก็หันมาทันที ดวงตาสีเข้มคู่นั้นจ้องมาที่เธอ

“คุณรู้ได้ยังไงว่าฉันมาที่นี่?”เย่หลินไม่รู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่ รู้แค่ว่าสายตาของเขาทำให้เธอรู้สึกผิด

“ทำไมถึงไม่รับสาย ไม่ตอบกลับข้อความ?”เสียงของชายคนนี้ทุ้มและมีแรงดึงดูด

เย่หลินเม้มปาก พูดความจริงว่า“เพราะว่าโกรธคุณ”

“แล้วอะไรอีก?”ชายคนนี้จ้องมาที่เธอ สายตานั้นแฝงไปด้วยการสำรวจ

อะไรอีก? เย่หลินเริ่มไม่เข้าใจ เธอแค่โกรธที่เขาไม่เข้าใจเธอ ยังมีอะไรอีก?

วินาทีต่อมา ศีรษะด้านหลังของเธอก็ถูกมือใหญ่จับไว้ ทันใดนั้นหน้าของเขาก็ใกล้เข้ามา โน้มตัวลงและจูบเธออย่างดุเดือด

เย่หลินเบิกตากว้าง ผู้ชายคนนี้บ้าไปแล้วเหรอ?หางตาเธอเห็นว่ามีคนเริ่มมองมาที่พวกเธอแล้ว

มือทั้งสองข้างดันอกเขา ออกแรงดันเขาออกไป

ใช้ประโยชน์จากช่วงที่กำลังหายใจ เธอหันหน้าไปอีกทาง “หนิงเส่าเฉิน คุณเป็นบ้าอะไร?”

สีหน้าของหนิงเส่าเฉินมืดมนจนน่ากลัว

“ต่อไปห้ามใกล้ชิดกับผู้ชายคนไหนอีก”

เย่หลินขมวดคิ้ว รู้สึกตัวทันที เธอยกมือขึ้นจะตีมือที่จับอยู่หลังศีรษะตัวเองของชายคนนี้ แต่กลับถูกเขาจับไว้กลางอากาศ

“หนิงเส่าเฉิน เขาแค่มาถ่ายหนังที่เมืองwพอดี เลยพาฉันมาด้วย”เมื่อคิดว่าหนิงเส่าเฉินไม่ไว้ใจเธอ อารมณ์ก็ร้อนลุกเป็นไฟทันที

หนิงเส่าเฉินดึงเธอเข้ามากอด พูดแบบไม่พอใจว่า“คุณไม่ได้คิดอะไร ก็ไม่ได้แปลว่าคนอื่นจะไม่คิด?”

เย่หลินเลิกคิ้ว ลดสายตาลง จะบอกเขาตรงๆว่าผู้ชายคนนั้นมีคนในใจแล้ว เช่นผู้หญิงคนนั้นที่เจอระหว่างทางกลับมา? แต่ เธอเห็นอาการเครียดของหนิงเส่าเฉิน

ก็อดเม้มปากไม่ได้ ความโกรธในใจ ก็ลดลงเพราะเขาตามมา พูดขึ้นนิ่งๆว่า“ต่อไปไม่แล้ว”

ชายคนนี้ขยี้ศีรษะเธอ “ยังกล้ามีครั้งต่อไป?”

เย่หลินไม่ได้พูดอะไร เวลานี้ หางตาเธอสังเกตเห็นว่า ไม่ไกลจากทั้งสองคน ได้มีผู้คนล้อมเข้ามาดูแล้ว

นึกถึงเมื่อกี้ที่ทั้งสองคนเพิ่งจูบไป แก้มเธอก็แดงระเรื่อ อยากออกห่างจากหนิงเส่าเฉิน แต่เขากลับกอดเอวเธอไว้

แตกต่างจากเมืองhที่เจอตอนนั้น ที่มีแต่หมู่บ้านร้างไม่มีคน ที่เกาจยาวานแห่งนี้มีผู้คนเยอะมาก มีทั้งคนหนุ่มสาว คนชรา และเด็ก มีชีวิตชีวามาก แบบอาคารทั้งหมู่บ้านคล้ายกันออกแนวบ้านพักตากอากาศขนาดเล็ก สะท้อนให้เห็นถึงความเจริญรุ่งเรืองของหมู่บ้านนี้

“พวกคุณมาตามหาคนเหรอ?”ป้าอายุห้าสิบปีคนหนึ่ง ถักเสื้อไหมพรมสีแดงไปด้วย เอ่ยปากถามพวกเขาสองคนไปด้วย

“คุณป้าสวัสดีค่ะ ฉันอยากจะถามหาเกาฟู่กุ้ย คุณรู้ไหมคะว่าอาศัยอยู่ที่ไหน?”

ความเร็วในการถักเสื้อไหมพรมของป้าคนนั้นช้าลงอย่างเห็นได้ชัด เธออ้วน และปกติตาเธอก็เล็กอยู่แล้ว ตอนนี้ยิ่งหรี่จนกลายเป็นเส้น สังเกตคนทั้งสองอย่างละเอียด

“พวกคุณตามหาคุณท่านเกาทำไม?”

น้ำเสียงของเธอแฝงไปด้วยความสงสัย ทำให้เย่หลินนิ่งไปอย่างเห็นได้ชัด เธอเงยหน้ามองหนิงเส่าเฉิน เห็นว่าการแสดงสีหน้าของเขาไม่ได้เปลี่ยนมากเท่าไหร่

“ฉัน……”

“พวกเรามาถามทำธุรกิจกับเขา”หนิงเส่าเฉินพูดขัดคำของเย่หลิน มือใหญ่ของเขาโอบที่เอวเธอแบบให้สัญญาณ

พอตอนนี้ สีหน้าของป้าคนนั้นก็คลายลงมาก “อ๋อ……ที่แท้มาคุยธุรกิจนี่เอง พวกคุณตามมาทางนี้……”เธอหันกลับไปแล้วตะโกนหาคนข้างหลัง “เสี่ยวโต้วจึ มานี่ พาคนไปที่บ้านคุณท่านเกา”

จากนั้นเด็กชายตัวเล็ก ๆ อายุสิบห้าสิบหกปีก็เดินออกมาจากกลุ่มคน เขาตัวลีบผอม ก้มหัวให้ป้าแล้วพูดว่า“คุณป้า ผมรับคำสั่งครับ”

หันมาทางพวกเขา ยืนหลังตัวตรง “พวกคุณตามผมมาครับ”

“พวกเขาทุกคนมีความเย่อหยิ่ง คุณรู้สึกได้ไหม?”เย่หลินเดินไปได้ครึ่งหนึ่ง ก็เงยหน้าถามหนิงเส่าเฉิน

ไม่ต้องพูดถึงเธอหรอก แต่คนแบบหนิงเส่าเฉิน ถ้าคนธรรมดามาเจอ คงมีอาการขาอ่อนแรงไปแล้ว แต่ว่า เด็กตรงหน้าคนนี้ กลับสามารถทำตัวหยิ่งต่อหน้าพวกเขาได้

ไม่รู้ควรพูดว่าไม่รู้จักฟ้าดิน หรือว่ามีอะไรบางอย่างที่ทำให้เขามั่นใจมากกันแน่

หนิงเส่าเฉินไม่ได้ตอบเธอ แค่โอบเอวเธอไว้ ดึงเข้าหาตัวเอง

เย่หลินนิ่งไปพักหนึ่ง หันหลัง ก็เจอเข้ากับผู้ชายคนหนึ่ง ตอนแรกเธองง โม่หาน?

นึกถึงครั้งที่แล้วที่ฉันใช้เขามาทำให้หลิงเส่าเฉินโกรธ ก็รู้สึกละอายขึ้นมา

“โม่หาน คุณกลับประเทศมาตั้งแต่เมื่อไหร่? คุณก็อาศัยอยู่ที่นี่เหรอ?”

“เมื่อกี้ผมมองจากข้างหลังก็คิดอยู่ว่าเหมือน นึกว่าจะดูผิดไป พ่อผมอยู่ที่นี่น่ะ ผมกลับมาไม่กี่วัน มีหนังเรื่องหนึ่งที่ถ่ายทางนี้ ผมก็เลยมาเยี่ยมเขา ”เย่หลินพยักหน้า เธอเคยได้ยินชูหยูจี้พูดถึง ว่าความสัมพันธ์ของพ่อแม่โม่หานไม่ค่อยดี แยกกันอยู่มาตลอด

“อ๋อ แบบนี้นี่เอง”เธอยิ้มให้เขาแบบเป็นพิธี

รอยยิ้มนั้น ราวกับสายลมในฤดูใบไม้ผลิ ทำให้โม่หานอึ้งจนเหม่อไปพักหนึ่ง ถึงได้สติกลับมา

“คุณจะไปไหนเหรอ?”

ริมฝีปากเย่หลินขยับ “เอ่อคือ ตอนบ่ายฉันจะไปทำธุระที่เมืองw”

“ไปเมืองw? พอดีเลย ผมก็ถ่ายหนังที่นั่นเหมือนกัน ถ้าไม่รังเกียจ นั่งรถไปด้วยกันกับผมไหม?”โม่หานพูดจบ ก็หยิบมือถือขึ้นมา หน้าจอขึ้นบนหน้าการนำทางพอดี ที่หมายที่ตั้งไว้ คือเมืองwจริงๆ

เย่หลินกัดริมฝีปากล่าง อยากบอกว่าตัวเองซื้อตั๋วรถไฟแล้ว ไม่รบกวนเขาดีกว่า แต่ว่า เธอไม่ใช่คนที่ปฏิเสธคนเก่ง แล้วยังรู้สึกว่าเรื่องคราวก่อน ตัวเองทำไม่ถูกต้องจริงๆ ไม่รู้ว่าชูหยูจี้ได้อธิบายให้เขาฟังหรือยัง หลังจากวันนั้น เขาก็ไม่ได้ตามตื้อเธออีกเลย แต่ในใจเธอยังรู้สึกมีความละอายอยู่บ้าง พอเป็นแบบนี้ก็ยิ่งปฏิเสธยากเข้าไปอีก

“ผมแค่กำลังจะไปที่นั่นพอดี คุณไม่ต้องกดดันขนาดนั้นก็ได้”โม่หานคงจะดูออกว่าเธอลังเล คิดแล้วก็พูดต่อว่า“ผมฟังจากหยูจี้มาแล้วเรื่องคุณกับลูกพี่ลูกน้องเขา ที่จริงคืนนั้น ผมก็ดูออกแล้ว ว่าพวกคุณรักกัน เพราะฉะนั้น ไม่ต้องกดดัน ตอนนี้ผมคิดว่าคุณเป็นเพื่อนคนหนึ่ง”

เขาพูดขนาดนี้แล้ว ถ้าเย่หลินยังปฏิเสธอีก คงจะดูเหมือนเป็นคนใจแคบ จึงพยักหน้าไป

“ถ้าอย่างนั้นพวกเราไปชั้นใต้ดินไหม หาอะไรกินสักหน่อย ก็รีบไปเลย คุณคิดว่าไง?”สีหน้าโม่หานมีความพอใจ ที่เห็นเย่หลินเริ่มผ่อนคลาย ก็รีบชี้ไปที่ลิฟต์ นำให้เธอทำการตัดสินใจ

เย่หลินคิดถึงที่ที่ตัวเองจะไป มันก็ค่อนข้างไกลจากสถานีรถไฟ แล้วโม่หานเองก็เป็นเพื่อนของชูหยูจี้ คิดๆแล้ว ก็พยักหน้า “คงต้องรบกวนคุณแล้ว”

จากนั้น ทั้งสองคนก็หันหลังจากสวนของหมู่บ้านไปยังลิฟต์ที่อยู่ทางขวา

เพราะฉะนั้น ตั้งแต่ต้นจนจบ เย่หลินไม่เห็นผู้ชายที่รอเธออยู่นอกประตูที่อยู่ไม่ไกลเลย

ก่อนหน้านี้หนิงเส่าเฉินนัดเย่หลินกินข้าวเที่ยงด้วยกัน เห็นเธอยังไม่ออกมา หันหลังกำลังจะขึ้นรถ แนวสายตาก็ไปเห็นรถสปอร์ตสีเทาควันบุหรี่ขับขึ้นมาจากชั้นใต้ดินที่ห่างออกไปไม่กี่เมตรพอดี ผู้หญิงที่นั่งอยู่ในรถถ้าไม่ใช่เย่หลินแล้วจะเป็นใคร?

ไม่รู้ว่าผู้ชายที่เป็นคนขับรถพูดอะไรกับเธอ เธอถึงได้ยิ้มอย่างมีความสุขแบบนั้น

หลิวซูที่นั่งวิดีโอคอลกับหนิงเชี่ยนอยู่ในรถ ก็เห็นรถที่กำลังแล่นมาอยู่ตรงข้ามเหมือนกัน และเห็นเย่หลินที่นั่งอยู่ข้างคนขับ

แทบไม่สนใจว่าหนิงเชี่ยนกำลังพูดอยู่กับเขา ผลักประตูออกไป รีบร้อนอยากบอกหนิงเส่าเฉิน แต่กลับเห็นว่าสีหน้าเขามืดมนจนน่ากลัว เห็นได้ชัดว่าเขาเองก็เห็นแล้วเหมือนกัน

เขาเม้มปาก ชี้ไปที่รถสปอร์ตที่ตอนนี้เห็นแค่ไฟท้าย “ยังไงครับ?จะตามไปไหม?”

หนิงเส่าเฉินไม่พูดอะไร แค่เข้าไปนั่งในรถ แล้วปิดประตูรถแรงๆ

เขาโทรหาเธอไม่รับ ส่งข้อความ ส่งวีแชตไปก็ไม่ตอบ รู้ว่าคำพูดของตัวเองคำนั้น อาจจะทำร้ายใจเธอ แต่ ที่จริงเขาแค่อยากให้เธอใช้ชีวิตที่ง่ายขึ้น มีความสุขมากขึ้น

ต่อมาก็ไปพูดกับหลิวซู หลิวซูโทษเขาที่พูดตรงเกินไป เพราะฉะนั้น เขาถึงได้ไม่สนว่าบริษัทยังมีงานที่ต้องสะสางอีกมากแค่ไหน ก็รีบมาที่นี่ตั้งแต่เช้า อยากจะเซอร์ไพรส์เธอ

แต่เธอกลับนั่งหัวเราะอย่างมีความสุขอยู่ในรถกับผู้ชายคนอื่น

“คนคนนั้น เหมือนจะเป็นคนที่ชื่อโม่หานเมื่อตอนนั้นหรือเปล่า? คนที่อยู่ต่างประเทศ ที่พวกเขานัดบอดกัน หน้าตาก็ถือว่าดี เห็นว่ามีชื่อเสียงโด่งดังอยู่ภายในประเทศ……”หลิวซูยังพูดไม่ทันจบ ก็เห็นหนิงเส่าเฉินมองมาตาขวาง ก็รีบเปลี่ยนคำพูดอย่างรวดเร็ว “แน่นอน เทียบกับประธานหนิงคุณแล้ว นั่นมันแตกต่างกันราวฟ้ากับเหวเลย”

“พอๆ นายรีบตามไป……”

จากนั้น ทั้งสองก็ตามรถสปอร์ตไปตลอดทาง มองทั้งสองคนคุยกันหัวเราะกันแล้วไปที่ร้านก๋วยเตี๋ยวก่อน สั่งกันคนละถ้วย กินเสร็จแล้วก็รีบขึ้นรถไป

“คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าเมื่อตอนนั้นคุณก็เคยไปเมืองs?”

“ผมก็แค่ฟังหยูจี้พูดถึงหลายครั้ง จากนั้น ก็ลองไปดู ภูมิทัศน์ที่นั่นสวยมากจริงๆ”เย่หลินพบว่าโม่หานคนนี้ แม้ว่าเขาจะดูเด็ก แต่กลับผ่านประสบการณ์มามากมาย

“อืม ทางนั้นสวย แต่กลับไม่มีเสน่ห์เท่าเมืองหลวง”

“ผู้หญิงสมัยนี้ โดยเฉพาะผู้หญิงที่สวยๆ ก็ต่างโหยหาที่จะมาใช้ชีวิตในเมืองหลวง หาได้ยากที่เย่หลินเธอจะคิดถึงบ้านขนาดนี้ หาได้ยาก……”คำชมของเขาไม่ได้พูดตรงๆ แต่กลับทำให้เธอรู้สึกว่าได้รับมัน

ดวงตาของเย่หลินนิ่งไป สักพัก เธอก็พูดยิ้มๆว่า“ฉันกลับคิดว่า หากได้ใช้ชีวิตในเมืองs ก็เป็นตัวเลือกที่ไม่เลว เมืองหลวงเป็นที่ที่ดี แต่กลับไม่มีความรู้สึกและความเรียบง่ายเหมือนเมืองเล็กๆ”

โม่หานยิ้ม “ตอนที่ผมกลับมา ก็ได้รู้จักกับผู้หญิงคนหนึ่ง เธอก็พูดคำพูดแบบนี้เหมือนคุณ”

เย่หลินยิ้ม“จริงเหรอ? ผู้หญิงสมัยนี้ ที่ยังโหยหาจะใช้ชีวิตอยู่ในเมืองเล็กๆ มีไม่เยอะจริงๆ”

โม่หานพยักหน้า เหมือนว่านึกถึงใครสักคนหรือเรื่องบางเรื่อง มุมปากสวยๆนั้นยกยิ้มขึ้น พวงมาลัยหมุนไปทางซ้าย เข้าสู่ทางไฮเวย์

“เหมือนพวกเขาจะไปเมืองw ยังจะตามไปไหมครับ?”หลิวซูมองรถสปอร์ตเข้าไปทางไฮเวย์ หันไปถามหนิงเส่าเฉิน หนิงเส่าเฉินไม่ได้พูดอะไร หลิวซูจึงพยักหน้า ตามขึ้นไปเอง

เพราะตามติดแบบใกล้มาก พวกเขาถึงเห็นได้ชัดเจนว่าคนสองคนที่อยู่ในรถคันข้างหน้าคุยกันตลอดทาง และคุยอย่างสนุกสนานด้วย หนิงเส่าเฉินรู้สึกเหมือนมีอะไรจุกอยู่ในอก ขมวดคิ้วไว้แน่นตั้งแต่ขึ้นรถจนถึงตอนนี้

“ยังมีระยะทางอีกช่วงหนึ่ง คุณจะนอนก่อนไหม?”โม่หานเห็นว่าสีหน้าเย่หลินไม่ค่อยดี จึงพูดแนะนำขึ้นมา

เย่หลินประหลาดใจกับความใส่ใจรายละเอียดของผู้ชายคนนี้ เธอแค่ขยี้ตาเท่านั้นเอง ยิ้มกลับไป“โอเค……”

พูดจบ โม่หานก็เอียงไปด้านข้าง แขนยาวนั้นยื่นไปยังเบาะหลัง หยิบเสื้อคลุมบางๆตัวหนึ่ง ส่งไปให้เย่หลิน “คลุมไว้หน่อยเถอะ อยู่ข้างนอก ร่างกายเป็นของตัวเอง ต้องดูแลดีๆ”

เย่หลินรับเสื้อคลุมไหมพรมบางๆตัวนั้นมา สีดำสนิท มีกลิ่นหอมจางๆ ตรงอกเสื้อ ปักดอกกุหลาบไว้ดอกหนึ่ง ไม่เหมือนเสื้อของผู้ชาย เธอยิ้มขึ้น คลี่เสื้อออกคลุมตัวของตัวเองไว้ แล้วหลับตา

หลายวันมานี้ อารมณ์ของเธอตึงเครียดมาก เพราะแบบนั้น จึงนอนไม่ค่อยหลับ พอตอนนี้รู้สึกโล่งขึ้นมาหน่อย เธอก็หลับลึกไปเลย

“จิ๊จิ๊ ดูเหมือนทั้งสองคนจะเข้ากันได้ดีนะครับ?”หลิวซูแกล้งทำเป็นมองไม่เห็นสีหน้าของหนิงเส่าเฉิน พูดขึ้น

ผู้ชายที่อยู่ข้างๆ ทั้งตัวกำลังลุกเป็นไฟ สายตาก็เย็นชาขึ้น พูดขึ้นเสียงเย็นว่า“กล้าแย่งผู้หญิงกับฉัน กล้ามาก! ”

แก้วในมือของเย่หลินตกลงบนพื้น “เพล้ง”

ประตูถูกเปิดอย่างรวดเร็ว หนิงเส่าเฉินวิ่งเข้ามา เห็นน้ำหกอยู่บนพื้นตรงหน้าเธอ ก็รีบจับมือเธออย่างร้อนรน แล้วถามว่า “โดนลวกตรงไหนหรือเปล่า?”

เย่หลินส่ายหน้า มองไปที่หนิงเส่าเฉินแบบไม่ได้ใส่ใจมัน “เส่าเฉิน คนนามสกุลเกาคนนั้น ไม่ใช่พ่อของฉัน ฉันกับเกาเหวินไม่ได้มีพ่อคนเดียวกัน……”พูดจบ เธอก็ปิดหน้าตัวเองไว้ หัวเราะขึ้นมา

ความจริงเรื่องนี้ทำให้เธอดีใจ

ไม่ว่าคนนั้นจะเป็นใคร แค่ไม่ได้เป็นพี่น้องกับเกาเหวิน จะเป็นใครก็ได้ ตอนนี้เธอมีความรู้สึกโล่งใจมาก

เหลียงกั้วอันมองไปที่หนิงเส่าเฉิน แล้วหันไปมองเย่หลินอีกครั้ง สายตาที่ทั้งสองคนสื่อถึงกันนั้น บ่งบอกเรื่องหนึ่งได้ชัดเจน พอนึกถึงตรงนี้ เขาก็ถอนหายใจออกมา

หรือมันคือพรหมลิขิต?

เขาหันหลัง และเดินไปทางประตู

“เธอเสียแล้ว……คุณรู้หรือเปล่า?”เมื่อเห็นแผ่นหลังนั้น เย่หลินก็ลุกขึ้นตาม สูดหายใจเข้าลึกๆ แม้ว่าผู้ชายคนนี้จะไม่ใช่พ่อของเธอ แต่ความรู้สึกของเธอที่มีต่อเขา มันคือเรื่องจริง

“รู้!”นิ่งไปพักหนึ่ง “เย่จื่อ เธอเป็นเด็กดี ที่จริงเธอไม่ควรต้องมาเจอเรื่องแบบนี้”

เย่หลินตัวสั่นเล็กน้อย ที่จริงไม่ควร? ใช่ ที่จริงมันไม่ควร ปัญหาของคนรุ่นก่อน ท้ายที่สุด เธอก็ต้องเป็นคนแบกรับมัน

เดินมาถึงหน้าประตู ทันใดนั้นเหลียงกั้วอันก็หันหลังมามองเย่หลิน แล้วมองไปที่หนิงเส่าเฉิน “เย่จื่อ หากเธอกับหนิงเส่าเฉินรักกันจริง ในอนาคตไม่ว่าจะเจอกับเรื่องอะไร จำไว้ อย่าถอดใจกันง่ายๆ อย่ายึดติดกับอดีตมากเกินไป ปัญหาของคนรุ่นก่อน ไม่เกี่ยวกับพวกเธอ โอเคไหม?”

เย่หลินมองไปที่หนิงเส่าเฉินแบบไม่เข้าใจ “นี่มันหมายความว่าอะไร? หรือว่า เรื่องนี้ เกี่ยวข้องกับหนิงเส่าเฉิน? คุณพูดแบบนี้หมายความว่าอะไร??” เห็นได้ชัดว่าเธอสามารถให้หนิงเส่าเฉินไปสืบเรื่องเขา แน่นอนว่าเขาก็คงสืบเรื่องของเธอมาแล้วเหมือนกัน ความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับหนิงเส่าเฉิน เขาคงรู้อยู่ในใจ ไม่อย่างนั้น วันนี้เขาคงไม่มีทางมาหาที่นี่

เหลียงกั้วอันจ้องมองเธออยู่นาน นิ่งไปสักพัก ก็ส่ายหัว “ช่างมันเถอะ ยิ่งเธอรู้น้อยเท่าไหร่ก็ยิ่งดี”

จากนั้น ไม่ว่าเย่หลินจะถามอะไร เหลียงกั้วอันก็ไม่ได้ตอบเธอ แค่ก่อนจะไปเขาหยิบกระดาษโน๊ตออกมายื่นให้เธอ “หวังว่าทั้งชีวิตนี้เธอจะไม่เปิดอ่านกระดาษแผ่นนี้ เด็กน้อย หากเธอดูมัน เธออาจจะไม่มีความสุข”

เขาพูดต่ออีกว่า“ถึงเป็นพ่อแค่หนึ่งวัน แต่ก็ยังคงเป็นพ่อตลอดไป ถ้าหากเจอเรื่องลำบาก จำไว้ว่าฉันยังคงเป็นพ่อของเธอ”

หลังจากที่เขาไป เย่หลินก็ทรุดตัวนั่งลงที่โซฟาอีกครั้ง กอดขาตัวเองไว้ รู้สึกหดหู่ขึ้นอีกครั้ง

เมื่อวานคิดว่าเข้าใจเรื่องทุกอย่างหมดแล้ว แต่วันนี้ ทุกอย่างกลับว่างเปล่าอีกครั้ง

แต่ ถ้าเธอไม่ใช่ลูกสาวของพ่อเกา แล้วที่เธอกับเกาไห่สื่อถึงกัน มันจะอธิบายว่ายังไง?

ถ้าหากเธอไม่มีความเกี่ยวข้องกับตระกูลเกา ทำไมเธอต้องคลอดลูกแทนเกาเหวิน แล้วทำไมแม่ถึงต้องให้เธอปิดบังใบหน้าที่แท้จริงของเธอ

ทั้งหมดนี้ กลายเป็นปริศนาอีกครั้ง

เนื่องจากเธออารมณ์ไม่ดี หากนั่งอยู่ในออฟฟิศของหนิงเส่าเฉินต่อ ก็จะส่งผลกระทบต่อการทำงานของเขา

เย่หลินจึงกลับบ้าน

พอถึงบ้าน เย่หลินก็ครุ่นคิดเรื่องต่างๆ สุดท้าย เธอก็เลือกที่จะดูสิ่งที่กระดาษโน๊ตแผ่นนั้นเขียนไว้ ดังนั้นเธอจึงต้องใช้ความกล้ามากๆ ถึงเปิดดูกระดาษแผ่นนั้น ลายมือบนกระดาษ เป็นลายมือของพ่อ รอยของตัวหนังสือทะลุไปถึงข้างหลัง เห็นได้ชัดว่าตอนเขียนตัวหนังสือเหล่านี้ อารมณ์เขาหนักแน่นแค่ไหน……

เพียงแต่บนกระดาษ นอกจากที่อยู่กับชื่อคนคนหนึ่งแล้ว ก็ไม่มีอะไรเลย เธอไม่รู้ว่าเหลียงกั้วอันหมายถึงอะไร แต่เหมือนว่าจะมีความเกี่ยวข้องกับเธอ

เธอส่งรูปให้หนิงเส่าเฉินไปทางวีแชต……

ไม่มีข้อความตอบกลับ คาดว่าเขาคงจะยุ่งอยู่……

เกือบจะเที่ยง หนิงเส่าเฉินถึงได้โทรหาเธอ “ที่อยู่ที่เหลียงกั้วอันให้คุณ?”

มือเย่หลินกระตุก ปากกาที่อยู่ในมือตกลงบนโต๊ะ “คุณรู้ได้ยังไง?”

เสียงทุ้มต่ำดังมาจากมือถือ “เย่จื่อ ไม่สืบเรื่องพวกนี้แล้วได้ไหม? เรื่องบางอย่างมันก็ผ่านไปแล้ว……คุณว่า ตอนนี้พวกเราก็อยู่ด้วยกัน มีเสี่ยวซี เสี่ยวโม่ ไม่ดีเหรอ?”

“เย่จื่อ”เป็นชื่อเล่นที่พ่อแม่เรียกเธอก่อนอายุสิบเจ็ด เห็นได้ชัดว่าหนิงเส่าเฉินก็สังเกตถึงรายละเอียดตรงส่วนนี้……

แต่ นี่เป็นชีวิตของเธอ เธอไม่ได้จะสืบว่าใครเป็นคนถูกหรือผิด แต่เธอแค่อยากใช้ชีวิตอยู่แบบเข้าใจทุกอย่าง อย่างน้อยก็ไม่ต้องรู้สึกว่าตัวเองเป็นความลับ……

เธออยากรู้ว่าตอนนั้นแม่ผ่านอะไรมาบ้าง!และอยากรู้ตัวตนที่แท้จริงของตัวเอง ว่ามันคืออะไร…….

ดังนั้น ได้ยินหนิงเส่าเฉินพูดแบบนี้ ก็รู้สึกผิดหวัง วินาทีนี้ เธอรู้สึกว่า เขาไม่เข้าใจเธอ!

เธอวางสายโทรศัพท์หนิงเส่าเฉินด้วยความไม่พอใจเล็กน้อย

จากนั้น เธอก็เหม่อลอย เดิมทีเธอวางแผนจะกลับต่างประเทศพรุ่งนี้

พอมาคิดดูสภาพของตัวเอง ถึงจะกลับไป ก็ไม่มีกะจิตกะใจจะทำอะไร

ก็โทรหาอู่เล่อเล่อ โชคดีที่อู่เล่อเล่อบอกเธอว่า พื้นฐานของบริษัทคงที่ กำลังดำเนินงานตามปกติ บอกให้เธอไม่ต้องกังวล เธอจึงได้รู้สึกสบายใจขึ้น

แล้วก็โทรหาแม่หนิงอีกคน

หลังจากที่เธอไป เธอปล่อยเย่เสี่ยวโม่กับหนิงเสี่ยวซีไว้ที่คฤหาสน์หนิง

“สาวน้อย เธอไม่ต้องกังวล ห่วงแค่หาเวลาอยู่กับอาเฉินสักพักหนึ่ง เด็กสองคนนี้อยู่กับฉัน เธอวางใจได้เลย พวกเขาเป็นเด็กดี เชื่อฟัง ให้ยายแก่คนนี้ได้ลิ้มรสความสุขของครอบครัวที่ได้อยู่ด้วยกันสักหน่อย ”

คำพูดของแม่หนิง ทำให้เย่หลินวางใจ คุยกับเด็กทั้งสองคนสองสามคำ ก็วางสายไป

หลังจากนั้นหนิงเส่าเฉินก็โทรหาเธอหลายสาย และส่งข้อความหาเธอด้วย แต่เธอกำลังโกรธอยู่ จึงไม่ได้ตอบกลับ

ที่จริงเธอไม่ใช่คนที่ชอบดันทุรังขนาดนั้น

แต่เป็นใครก็คงไม่สามารถทนได้หรอก ที่ชีวิตของตัวเองเป็นเหมือนระเบิดเวลา ที่แป๊บๆก็มีเรื่องน่าตกใจโผล่ขึ้นมา

อีกอย่าง จนถึงตอนนี้ เธอยังไม่เข้าใจเลยว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง?

สิ่งนี้ทำให้เธอวางใจไม่ได้ กลัวแต่ว่า วันหนึ่งจะมีเรื่องที่รับไม่ได้โผล่ขึ้นมาอีก

จากที่คิดว่า หนิงเส่าเฉินจะให้คำแนะนำเธอ หรือสนับสนุนเธอในเรื่องนี้อย่างแน่นอน

แต่ คิดไม่ถึงว่าเขาจะบอกให้เธอล้มเลิก

คิดมาถึงตรงนี้ ก็อดรู้สึกผิดหวังไม่ได้

ท้ายที่สุดเธอได้ตัดสินใจ เธอจะไปสืบให้ได้ว่าเรื่องพวกนี้มันคือเรื่องอะไรกัน คิดๆแล้วก็ไม่ได้บอกหนิงเส่าเฉิน ซื้อตั๋วรถไฟที่จะไปเมืองwในตอนบ่าย

หากเธอไม่เข้าใจเรื่องพวกนี้ เธอก็ไม่มีกะจิตกะใจในการทำงานหรือใช้ชีวิต

หน้าประตูหมู่บ้าน มีรถหรูสีดำคุ้นตา ข้างๆรถ คือชายรูปร่างสูงใหญ่ หน้าตาหล่อเหลา ใส่เสื้อเชิ้ตธรรมดา กางเกงสูท มือทั้งสองข้างซุกอยู่ในกระเป๋า ประตูรถเปิดไว้เล็กน้อย หลังของชายคนนั้นพิงอยู่ข้างประตูรถ ก้มหน้าลง เหมือนว่ากำลังคิดเรื่องอะไรอยู่

แม้จะเห็นแค่ตาข้างเดียว แต่ก็เพียงพอให้คนอื่นหันมามอง

“เย่หลิน……”ขณะที่กำลังจะเดินไปถึงหน้าประตูหมู่บ้าน ก็ได้ยินเสียงคนเรียกตัวเองจากข้างหลัง

ลุกขึ้น ก็เห็นหนิงเส่าเฉินใส่เสื้อโปโลสีขาวกับกางเกงสีดำเจ็ดส่วน มีผ้าแขวนอยู่บนคอ ผมเปียกโชกไปด้วยเหงื่อ เดินเข้ามาจากข้างนอก

เขาเห็นเธอตื่นแล้ว ก็ยิ้ม เดินเข้าไปใกล้ แล้วจูบตรงหน้าผากเธอ

เย่หลินไม่ได้กลิ่นเหงื่อแบบที่คิด แต่กลับได้กลิ่นของผู้ชายที่มีเอกลักษณ์ เธออดไม่ได้ กลืนน้ำลายไปหนึ่งอึก

เมื่อเขาละจูบออกไป ตัวก็แทบจะไร้เรี่ยวแรง

“ถ้ายังมองอีก ผมจะกินคุณ”ผู้ชายพูดขึ้นเสียงแหบข้างหูเธอ

เฉินเป้ยอีดึงผ้าห่มขึ้น คลุมหัวไว้

“โอ้ย รีบไปล้างไป”

ไม่นานนัก ก็ได้ยินเสียงน้ำไหลจากห้องน้ำ ต่อมา เสียงเปิดประตู……

แล้วก็ เสียงฝีเท้าของหนิงเส่าเฉิน

เย่หลินกำลังเล่นโทรศัพท์อยู่ ได้ยินเสียง เธอก็หันไปมองโดยไม่รู้ตัว จากนั้น ก็นิ่งอึ้งไปเลย

“คุณ……ทำไมคุณถึงไม่ใส่เสื้อผ้า?”

ต่อหน้าอาการเขินอายของเธอ หนิงเส่าเฉินทำหน้านิ่งๆ “ก็ออกมาหาเสื้อผ้านี่ไง?”

เย่หลินรีบหันไปอีกทาง เอาผ้าห่มออก ลงเตียง ไม่หันไปมองหนิงเส่าเฉิน เพียงแต่ ยังไม่ทันจะเดินออกไป ก็ถูกหนิงเส่าเฉินเอื้อมแขนไปดึงกลับมา

“หนิงเส่าเฉิน บอกไว้ก่อนนะ ว่าฉันไม่เอา เดี๋ยวฉันต้องไปหาคุณน้า”หัวเธอมุดอยู่ที่อก มองขึ้นไปก็ไม่ใช่ จะมองลงไปก็ไม่ได้อีก

ที่จริงหนิงเส่าเฉินแค่อยากจะกอดเธอ พอเธอพูดขึ้นแบบนี้ สัมผัสบนมือก็เกิดความรู้สึกขึ้น ทำให้มีความคิดที่ลึกไปมากกว่านั้น

แต่ว่า พอมองดูเวลา เช้าวันนี้ยังมีประชุมอีก ไม่มีทางเลือก จึงจูบไปครั้งหนึ่ง แล้วปล่อยเธอไป

เย่หลินจัดการตัวเองแบบง่ายๆ แล้วออกบ้านพร้อมกับหนิงเส่าเฉิน

ตอนเที่ยง เย่หลินเพิ่งแยกกับเหอเฟย หนิงเส่าเฉินก็โทรมาพอดี

“หาที่กินข้าวกัน มีเรื่องจะคุยกับคุณ”

“เกี่ยวกับเขาหรอ?”เย่หลินรีบถามขึ้น

“มาเจอกันก่อน!”

หนิงเส่าเฉินนัดเธอที่ร้านน้ำชา

ในห้องพิเศษ

สีหน้าหนิงเส่าเฉินดูนิ่งขรึม เห็นเธอเดินเข้ามา ก็เข้าไปรับกระเป๋าในมือเธอ ให้เธอไปนั่งลงตรงโซฟา “เย่หลิน ไม่ว่าเรื่องที่คุณจะได้ยินต่อจากนี้จะน่าตกใจแค่ไหน แต่อย่าตื่นเต้นมากเกินไป โอเคไหม?”

การแสดงออกของเขาทำให้เย่หลินรู้สึกกระวนกระวายเล็กน้อย

“พ่อของคุณเป็นประธานบริษัทอันเหนิง มีภรรยา มีลูกชายสองคน และลูกสาวอีกหนึ่งคน และลูกสาวของเขา ก็คือภรรยาของเซี่ยอวี่ตอนนี้ นามสกุลเดียวกับแม่ชื่อโอวหยางมินมิน”

เย่หลินเบิกตากว้าง มองไปที่หนิงเส่าเฉินอย่างไม่เชื่อ

เธอนั่งตัวตรง มือทั้งสองข้างเริ่มสั่น ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอุณหภูมิของเครื่องปรับอากาศที่ต่ำไปหรือเป็นเพราะใจของเธอเย็นยะเยือก ฟันเธอกระทบกันไปมา

“ดื่มอะไรสักหน่อยเถอะ……”

หนิงเส่าเฉินพูดแล้วหยิบชาที่มีไอร้อนอยู่บนโต๊ะขึ้นมาถือไปไว้หน้าเธอ

เย่หลินรับมันไว้ จิบคำหนึ่ง ความอุ่นค่อยๆไหลเข้ามากลางใจ แต่ก็ยังไม่สามารถทำลายความเย็นนั้นได้

เธอหันไปมองหนิงเส่าเฉิน สายตาดูสับสน

เรื่องที่ผ่านมาก็เหมือนกับละคร ที่แสดงอยู่ในหัวของเธอเป็นฉากฉาก

“เขา เขามีลูกชายและลูกสาวได้ยังไง อีกอย่าง……ภรรยาของเขา ก็คือแม่ของ……ฉัน”เธอพูดจบ ก็เอามือปิดหน้า บังคับให้ตัวเองใจเย็นลง

“ลูกชายทั้งสองคนของเขา อายุมากกว่าคุณหลายปี ส่วนลูกสาว อายุเท่าคุณ”หนิงเส่าเฉินลูบหัวเธอ นั่งลงข้างๆเธอ กอดเธอไว้ในอ้อมแขน แล้วพูดต่อ

เย่หลินเงยหน้าออกจากอ้อมกอดของหนิงเส่าเฉิน กัดปากไว้ พยายามควบคุมอารมณ์ตัวเอง ถามขึ้นเสียงเบา“เส่าเฉิน คุณ……คุณโกหกฉัน ใช่ไหม?”

เขามีลูกชายสองคน อายุมากกว่าเธอ?

นั่นก็แสดงว่า เขาแต่งงาน มีลูกแล้ว แล้วมาอยู่กับแม่ของเธอ? จากนั้นตอนอยู่กับแม่ ก็อยู่กับผู้หญิงคนอื่นไปด้วย แล้วยังมีลูกกันอีก?

แล้ว……แล้วแม่……

ทันใดนั้นเธอก็นึกถึงภาพนั้นขึ้นมา และแม่ของเธอก็มีผู้ชายคนอื่น……

“ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับแม่ของคุณไม่ได้ถูกต้องตามกฎหมาย”ถึงแม้จะรู้สึกว่าความจริงมันน่าอาย แต่ หนิงเส่าเฉินคิดว่า เย่หลินเป็นลูกของเขา มีสิทธิที่จะรู้เรื่องพวกนี้

ไม่ได้ถูกต้องตามกฎหมาย? งั้น ก็แสดงว่า……แม่ของเธอ เป็นเมียน้อยคนอื่น?และเธอ เป็นลูกสาวลับๆของพ่อ?

“เป็นไปได้ยังไง?เขา……หลายปีมานี้ ความสัมพันธ์ของเขากับแม่ดีมาตลอด เขา……เขารักแม่ฉันมาก?”เธอไม่อยากยอมรับ ไม่อยากแม้แต่นิดเดียว

“เขาเดินทางไปทำธุรกิจบ่อย คุณคิดว่าเขาเดินทางเพราะอะไร?เป็นเพราะเขากลับไปบ้านของเขาที่เมืองc”

“คุณรู้ได้ยังไงว่าเขาเดินทางบ่อย?”เย่หลินประหลาดใจ

“คุณลืมแล้วเหรอ เมื่อคืนคุณบอกผม อีกอย่าง เย่หลิน ที่จริงเขาไม่ได้ชื่อสวี่กั้วอัน เขาชื่อเหลียงกั้วอัน คุณน่าจะคิดได้ ที่เขาต้องเปลี่ยนนามสกุล เพราะเขาไม่ต้องการให้ใครรู้ตัวตนที่แท้จริงของเขา”

เหลียง? เหลียง? ฮ่าฮ่า……เย่หลินรู้สึกว่าตัวเองจะบ้าแล้ว อยู่มาตั้งนานขนาดนี้ ขนาดนามสกุลก็ปลอม?

“แล้ว……แม่ฉันจะไม่รู้ได้ยังไง? เขามีบ้าน มีลูก แม่ฉันจะไม่รู้ได้ยังไง?”เย่หลินยังคงดิ้นรน

หลิงเส่าเฉินลังเลขึ้นมา เขามองท่าทางที่เจ็บปวดของเย่หลิน เขารู้สึกเสียใจกับการตัดสินใจที่เขาเพิ่งทำไปทันที บางทีเขาไม่ควรให้เธอแบกรับเรื่องราวทั้งหมดในเวลาสั้นๆ

“แม่คุณ ไม่มีทางที่จะไม่รู้ ถ้าไม่รู้ ตอนนั้นที่จู่ๆพ่อคุณก็หายตัวไป มันเป็นไปได้เหรอที่เธอจะนิ่งขนาดนั้น? คุณคิดว่าไง?”

หนิงเส่าเฉินถามเธอ คุณคิดว่าไง?

เย่หลินอ้าปาก พูดไม่ออก เรื่องเหล่านี้หนักเกินไปสำหรับเธอ

ที่แท้ตัวตนของเธอมันน่าอับอายแบบนี้

สวรรค์ยังรู้ ว่าเมื่อก่อนเธออิจฉาแม่มากแค่ไหน คิดว่าอนาคตหากจะหาใครสักคนเป็นคู่ชีวิต ก็จะหาผู้ชายที่เหมือนกับพ่อ ที่ต่อให้คนบนโลกมีมากแค่ไหน ก็รักเพียงคนคนเดียว

ถึงสุดท้ายพ่อจะทิ้งพวกเราไป เธอก็ยังคอยปลอบตัวเองหลายครั้ง ว่าพ่ออาจจะน้ำท่วมปากค่า

แต่ผลสุดท้าย……

เธอนึกออกแล้ว ตอนนั้นที่พ่อไม่กลับมาหลายวัน แต่แม่ของเธอกลับนิ่งมาก ตอนนั้นเธอคิดว่าแม่เสียใจจนจิตใจตายด้านไปแล้ว ถึงได้เป็นแบบนี้

ตอนนี้ เธอเหมือนจะเข้าใจอะไรบางอย่าง?

ถึงว่าหลายปีมานี้ แม่ไม่เคยพูดต่อหน้าเธอเลยสักครั้งว่าจะตามหาพ่อ ที่แท้ แม่เป็นเมียน้อย คนที่อยู่ในสถานะที่ไม่มีสิทธิไปร้องขอคนรักให้กลับคืนมา……

และเธอ เป็นแค่ลูกเมียน้อย

ไม่แปลก ที่พ่อกับแม่เฉยๆกับเธอตั้งแต่เด็ก ที่แท้……ที่แท้เธอมีตัวตนแบบนี้นี่เอง

ดังนั้น ก็สามารถอธิบายได้ว่า ทำไมพ่อถึงทิ้งแม่ไปหลังจากที่แม่ป่วย เพราะเป็นแค่คนรัก ไม่ใช่คู่สามีภรรยา ยิ่งไม่ใช่คู่รักหนุ่มสาวหรือเพื่อนร่วมทาง บางครั้งมันก็แค่ความรู้สึกแปลกใหม่ กับความหลงใหล……

ดังนั้น พอลักษณะของแม่เปลี่ยนไป ไม่มีความสวย สุขภาพไม่ดี ก็สามารถไปได้ตลอด ไม่มีภาระ……

แล้วเธอล่ะ เธอเป็นอะไร?ตัวตนแบบนี้ของเธอ มันคืออะไร?

“เย่หลิน ยังมีอีกเรื่องหนึ่ง ผมไม่รู้ว่าควรจะพูดหรือเปล่า……”

เย่หลินพูดเสียงเย็นว่า “คุณพูดเถอะ……”ยังมีเรื่องอะไรที่เธอทนไม่ได้อีก

อีกอย่าง ประธานเหลียง?

แม่บอกว่าพ่อทำธุรกิจเล็กๆไม่ใช่เหรอ?

แต่ คนที่สามารถมาที่นี่ในวันนี้ ถ้าไม่ใช่ว่ามีชื่อเสียง ก็ต้องร่ำรวย พวกเขาปฏิบัติตัวแบบนี้กับเขา ทำธุรกิจเล็กๆ? ไม่ ไม่มีทาง……

เธอก้มหน้า ปกปิดความรู้สึกที่ซับซ้อนในสายตา แล้วเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง ในตามีแต่ความสงบ มองไม่เห็นสิ่งอื่น

“ประธานเหลียง คุณมาก็ดีแล้ว งานเลี้ยงวันนี้คุณเป็นคนจัดใช่ไหม? แขกคนนี้ของคุณ อ่อยฉันอย่างเปิดเผย พอทำไม่สำเร็จ กลับกลายเป็นว่าคนผิดคิดจะฟ้องก่อน คุณต้องทวงความเป็นธรรมให้ฉัน” ผู้กำกับวังคนนั้นเห็นเหลียงกั้วอัน สีหน้าที่แต่เดิมมีความชัดเจนก็ยิ่งชัดเจนเข้าไปอีก

เหลียงกั้วอันมองตามสายตาของเขา มองมาทางเย่หลิน

จากนั้น สีหน้าเขาก็เปลี่ยน ในตามีความประหลาดใจอย่างเห็นได้ชัด เดินหน้าเข้าใกล้ เขาเอ่ยปาก กำลังเตรียมจะพูดอะไรสักอย่าง

แต่เห็นเย่หลินเดินใกล้เข้ามาอย่างช้าๆ พูดอย่างมีน้ำเสียงที่นิ่งว่า“สวัสดีค่ะ ประธานเหลียง……ฉันชื่อเย่หลิน”ทั้งๆที่เป็นคำพูดแค่ไม่กี่คำ แต่เย่หลินกลับรู้สึกว่าตัวเองใช้พลังงานทั้งหมดไป

เธอกับเขาอยู่ใกล้กันมาก ดังนั้น เธอเห็นมือของเหลียงกั้วอันกระตุกได้ชัด ก้มหน้าลง และเมื่อเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง สีหน้าก็กลับไปเป็นเหมือนเดิม

“เย่หลิน ใช่ไหม? คือ นี่มันเรื่องอะไรกัน?”

เย่หลินมองผู้ชายตรงหน้า ผู้ชายคนที่ตัวเองเรียกว่าพ่อมาสิบกว่าปี ตอนนี้ ถ้าไม่ใช่เพราะหน้าตาแบบนั้น เธอจะไม่มีทางเอาเขาไปเชื่อมโยงกับคนที่เธอรู้จัก

“ประธานเหลียงอยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เปิดดูภาพจากกล้องวงจรปิด ก็รู้แล้วไม่ใช่เหรอคะ?”เธออยากจะรู้นัก พ่อของเธอ จะให้ความเป็นธรรมหรือเปล่า

“พ่อ พ่อจะลังเลอะไรอีก ไล่เธอออกไป ก็พอแล้วไม่ใช่เหรอ?”เสียงของผู้หญิงดังขึ้นข้างหูของเย่หลิน

เธอหันไปมองผู้หญิงคนนั้นทันที

ผู้หญิงคนนี้เหมือนเธอเคยเจอที่ไหนมาก่อน? เธอหลับตาตั้งใจคิด อ้ออ้อ ใช่ ผู้หญิงที่มากับเซี่ยอวี่ในวันหมั้นของหนิงเส่าเฉิน แต่ว่า เธอเรียกเหลียงกั้วอันว่าพ่อ?

คิดมาถึงตรงนี้ ก็ยิ่งช็อกเข้าไปใหญ่

พ่อยังมีลูกคนอื่น?

“ผู้กำกับวัง คุณคิดว่าต้องการเปิดมันไหม?”เหลียงกั้วอันมองผู้กำกับวังคนนั้น พูดขึ้นเสียงเย็น

ผู้กำกับวังคนนั้นดูตกใจกับการกระทำของเหลียงกั้วอันมาก เขารู้อยู่แล้วว่าที่นี่มีกล้องวงจรปิด

แต่ว่า เขาอยู่ในวงการนี้มานาน ชื่อเสียงก็ไม่ใช่น้อยๆ

ขอแค่มีความเกี่ยวข้องกับวงการนี้ ไม่ว่าใครก็ต้องไว้หน้าเขา ไม่มากก็น้อย แต่เหลียงกั้วอันคนนี้ กลับเข้าข้างผู้หญิงคนนั้น

พอได้ยินว่าจะเปิดภาพจากกล้องวงจรปิด ก็รีบกุมท้องไว้ทันที“โอ้ย ฉันปวดท้อง ฉัน……ฉันไปห้องน้ำแป๊บหนึ่ง ไว้กลับมาค่อยมาหาเธอ”

การที่เขาหนีไปแบบนี้ ก็ถือว่าเป็นการบอกความจริงเรื่องนี้กับทุกคนแล้ว

เขาหันไปมองเย่หลินอีกครั้ง คนนามสกุลวังนั่นยังกล้าท้าทายเธออย่างเปิดเผย

เย่หลิน บริษัทซีเอกซ์เมคอัพ นี่คงเป็นครั้งแรกในวงการภายในประเทศ ที่มีคนจดจำเธอ

เหอเฟยที่เพิ่งเดินเข้ามาจากข้างนอก เจอเข้ากับเย่หลินที่เดินออกมาจากกลุ่มคนพอดี ก็เดินเข้าไปแตะที่หน้าผากเธอ “เกิดอะไรขึ้น? ทำไมมีคนรุมเยอะขนาดนี้?”

เย่หลินยิ้มน้อยๆ“ไม่มีอะไร แค่หมาที่กัดคนอื่นไปทั่ว”

“ประธานเหอ ฉันไม่ค่อยสบาย ฉันอยากกลับก่อน”

เหมือนกับมองอารมณ์ของเธอออก ว่าไม่โอเค เหอเฟยจึงพยักหน้า เดินเข้าไปจับแขนเธอไว้ “เดี๋ยวฉันไปเป็นเพื่อน”

“คุณหนูเย่ ดื่มด้วยกันสักแก้วได้ไหม?”เหลียงกั้วอันเดินเข้าไป ยืนอยู่ตรงหน้าเย่หลิน

เย่หลินกลืนน้ำลาย ในตาพร่าเลือน

เธอคิดว่าหากตัวเองเจอกับเขาอีกครั้ง จะเกลียด จะด่า จะใจร้าย แต่ว่า……วินาทีนั้น เธอกลับอยากร้องไห้

เรียกว่าพ่อมาสิบปี มันมีความรู้สึก!

“ขอโทษค่ะ ฉันไม่ค่อยสบาย”เธอพูดปฏิเสธเขาเสียงเย็น

เหอเฟยสัมผัสได้ถึงความผิดปกติของเธอ แต่ไม่ได้ถามอะไรมาก พาเธอไปส่งที่ชั้นล่าง แล้วจึงแยกออกไป

ตอนที่แยกไป เธอได้โทรหาหนิงเส่าเฉิน พูดถึงสถานการณ์ตอนนี้ให้เขาฟัง

ดังนั้น พอเย่หลินถึงบ้าน หนิงเส่าเฉินก็หน้านิ่ง ดึงเธอไปเช็คอาการ“คุณเป็นอะไรหรือเปล่า?”

เย่หลินยื่นมือออกไป กอดหนิงเส่าเฉินไว้แน่น เวลาผ่านไปนาน เธอถึงเอ่ยปากพูดขึ้นเบาๆ“เส่าเฉิน……”

หนิงเส่าเฉินดึงเธอออกจากอ้อมกอด เห็นหน้าของเธอเต็มไปด้วยน้ำตา สายตาเขามืดลงทันที “เขาทำอะไรกับคุณใช่ไหม?”

เย่หลินส่ายหน้า ดึงหนิงเส่าเฉินไปนั่งลงตรงโซฟา เธอเม้มปาก “เส่าเฉิน คุณรู้จักเหลียงกั้วอันไหม?”

หนิงเส่าเฉินใช้ทิชชูเช็ดน้ำตาให้เธอ ได้ยินเธอพูดถึงเหลียงกั้วอัน มือก็กระตุกไปทีอย่างเห็นได้ชัด

“ประธานอันเหนิงกรุ๊ป ทำไมหรอ?”

ประธานอันเหนิงกรุ๊ป? ถึงแม้ความรู้ของเย่หลินจะน้อย แต่เธอก็เคยได้ยินชื่ออันเหนิง เป็นบริษัทที่ทำผลิตภัณฑ์ที่ใช้ในชีวิตประจำวัน พื้นฐานเป็นผู้นำผลิตภัณฑ์ด้านการดูแลและใช้งาน ตอนเธอขึ้นมัธยมต้นก็ได้ยินชื่อเสียงมาบ้าง ถือว่าเป็นที่รู้จักกันดีของคนภายในประเทศ

เธอกุมหน้าผากไว้ ผ่านไปนานถึงเอามือออก มองไปที่หนิงเส่าเฉิน “เส่าเฉิน เขาเป็นพ่อของฉัน”

หนิงเส่าเฉินที่ปกติเป็นคนนิ่งๆ แต่ในเวลานี้กลับประหลาดใจจนเห็นได้ชัด “คุณ……ไม่ใช่ว่าพ่อแม่เสียแล้วเหรอ?”

เย่หลินได้ยินแบบนั้น เงยหน้าขึ้นยิ้มบางๆให้หนิงเส่าเฉิน ผู้ชายคนนี้ทั้งโหดและฉลาด แต่พอเป็นเรื่องเธอ เขากลับเลือกที่จะเชื่อแบบไม่มีข้อแม้ ตอนนั้นหลิวซูก็คงจะดูประวัติของเธอแบบคร่าวๆ ไม่ได้ตรวจสอบอะไรที่ลึกมากกว่านั้น ไม่อย่างนั้น หนิงเสี่ยวซีกับชูหยูจี้ก็สามารถตรวจสอบข้อมูลปลอมแปลงก่อนอายุสิบแปดของเธอได้แล้ว ด้วยฝีมือของผู้ชายคนนี้ ไม่มีทางที่จะสืบไม่ได้

แต่ เขากลับเลือกที่จะเชื่อ พอคิดถึงตรงนี้ เธอก็รู้สึกสบายใจ

“ฉันโกหกคุณ……เส่าเฉิน ทำไมคุณไม่เคยถามฉันเลย ว่าทำไมฉันต้องคลอดหนิงเสี่ยวซี?”

หนิงเส่าเฉินจ้องหน้าเธอ นิ้วเรียวยาวนั้นลูบแก้มเธอ“ถ้าคุณเต็มใจจะพูด ผมก็จะฟัง ถ้าไม่เต็มใจ ผมก็เคารพการตัดสินใจของคุณ”

เย่หลินดึงมือเขามาวางไว้ที่หัวของตัวเอง ขมวดคิ้ว เอ่ยปากเล่าเรื่องเมื่อตอนอายุสิบแปดปีอย่างช้าๆ

อาจเป็นเพราะข้างกายตอนนี้มีหนิงเส่าเฉิน หนิงเสี่ยวซีกับหนิงเสี่ยวโม่ พอพูดถึงเรื่องราวที่ผ่านมาอีกครั้ง เธอดูสงบ ไม่มีความทุกข์เหมือนก่อนหน้านี้

แต่มือของหนิงเส่าเฉินที่กอดเอวเธออยู่ รัดบ้าง คลายบ้าง เย่หลินรู้ว่านั่นเป็นการแสดงความรู้สึกของเขาอีกแบบหนึ่ง

ในที่สุดก็เล่าเรื่องหลายปีที่ผ่านมานี้ เล่าเป็นระยะๆจนจบ เงยหน้าขึ้น เธอก็เห็นตาของหนิงเส่าเฉินนั้นแดง

“ต่อไป ผมจะไม่ให้คุณลำบากอีก ผมสัญญา”เขาจูบเบาๆที่หน้าผากของเธอ พูดสัญญาเสียงต่ำ

พูดจบ ก็หยิบมือถือข้างๆขึ้นมาโทรหาหลิวซู “นายไปตรวจสอบเรื่องของเหลียงกั้วอัน พรุ่งนี้เอามาให้ฉัน” นิ่งไปพักหนึ่ง แล้วพูดต่อว่า “คนนามสกุลวังนั่น มีละครหลายเรื่องที่หนิงกรุ๊ปเป็นคนสนับสนุนใช่ไหม? รีบยกเลิกให้หมด”

ไม่รู้ว่าหลิวซูพูดอะไร หนิงเส่าเฉินถึงพูดขึ้นเสียงเย็นว่า“ไม่ต้องไปคิดถึงผลที่ตามมา”

พูดจบก็วางสาย

ในคืนนี้ หายากที่หนิงเส่าเฉินจะเงียบ ไม่ทำอะไรเลย กอดเธอไว้อย่างเดียวแล้วหลับไป

ตื่นขึ้นมาตอนเช้า ข้างกายว่างเปล่า เย่หลินขมวดคิ้ว

เกาเหวินเห็นว่าเธอไม่ได้สนใจตัวเอง รู้สึกเหมือนหาเรื่องให้ตัวเองลำบากใจ จึงลุกขึ้น มองเธออีกครั้ง แล้วเดินเข้าไปในกลุ่มคน

สายตาเธอมองตามแผ่นหลังที่เดินออกไป กลับเห็นเหอเฟยที่เดินเข้ามาจากข้างนอก

เห็นได้ชัดว่าเกาเหวินเองก็เห็นเธอเหมือนกัน

เพียงแต่สายตาของเหอเฟยอยู่ที่เย่หลินตลอดเวลา ดังนั้นเธอจึงไม่เห็นเกาเหวิน

เย่หลินมองมือของเกาเหวินที่ยกขึ้นแล้วเอาลง เย่หลินก้มหน้า กลั้นยิ้มเอาไว้

เกาเหวินมองเหอเฟยนั่งลงตรงที่นั่งตรงข้ามกับเย่หลิน ในตาแฝงไปด้วยความประหลาดใจ

น้าของหนิงเส่าเฉินกับเย่หลินอยู่ด้วยกัน?

“ประธานเหอ คุณกำลังหลบคุณอวี๋อยู่เหรอ?”

เหอเฟยเพิ่งดื่มเครื่องดื่มเข้าไป ได้ยินเย่หลินถามเธอแบบนี้ แทบสำลัก เธอไอสองสามครั้ง จ้องไปที่เธอ“เธอรู้จักเขาได้ยังไง?”แล้วนึกอะไรขึ้นได้ “อ๋อ วันนั้นพี่สาวฉันเคยพูดถึง”

นิ่งไปสักพัก ก็ยิ้มขึ้นที่มุมปาก หัวเราะเยาะตัวเองแล้วพูดขึ้นว่า“เธอคงคิดว่าฉันน่าตลกสินะ บางทีเขาอาจจะจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าฉันเป็นใคร?”

พอนึกถึงการกระทำของชายคนนั้น เย่หลินก็ขมวดคิ้ว“อาจจะไม่ใช่แบบนั้น!หลังจากที่คุณไป เขาก็ถอยออกจากผู้หญิงกลุ่มนั้น แล้วเหม่อมองดูแผ่นหลังของคุณ”

มือของเหอเฟยกำแก้วไว้แน่น เธอมองไปที่เย่หลิน มีความประหลาดใจ จากนั้นจึงหายใจเข้าลึกๆ เม้มปาก ก้มหน้าลง แล้วไม่ได้พูดอะไร

แต่เย่หลินกลับเห็นว่าเบ้าตาเธอเริ่มแดง

บนโลกนี้ สิ่งที่มนุษย์ควบคุมยากมากที่สุด ดูเหมือนจะเป็นความรัก คนที่ทั้งเก่งและฉลาดอย่างเหอเฟยเองก็หนีไม่พ้น

หางตาเธอเห็นว่ามีเงาคนคนหนึ่งเดินมางทางพวกเธอ

เฉินเป้ยอีเงยหน้าขึ้น ก็เห็นคุณอวี๋คนนั้น

จึงรีบลุกขึ้น“ประธานเหอ ฉันไปห้องน้ำแป๊บหนึ่งนะ”

เธอยืนอยู่ตรงมุมห้องน้ำ แล้วยื่นหน้าออกไปมองทางทิศทางนั้น แล้วก็เห็นคุณอวี๋นั่งลงตรงที่นั่งของเธอจริงๆ

ความสนใจทั้งหมดของเธอตกอยู่ที่ผู้ชายคนนั้น ดังนั้นจึงไม่ได้สังเกตว่ามีคนกำลังเข้าใกล้เธอจากด้านหลัง

“คนสวย……”

เธอได้ยินใครบางคนเรียกเธอจากข้างหลัง เย่หลินตบหน้าอกเบาๆ เห็นได้ชัดว่าตกใจ จากนั้นก็ได้กลิ่นฉุนของเหล้าลอยมา เธอขมวดคิ้วขึ้น

ถอยหลังไปสองก้าว อยากจะเดินหนี

แต่นึกไม่ถึงว่าแขนจะถูกดึงไว้จากคนข้างหลัง

“นายทำอะไร?”เธอร้องขึ้นเสียงดัง สะบัดแขนออกจากมือผู้ชายคนนั้นอย่างแรง

“คุณหนู พวกเรามาคุยเรื่องราคากัน……”

“นายกำลังพูดเรื่องอะไรอยู่?”เย่หลินได้ยินคำพูดที่เหลือทนเหล่านั้น ก็พูดขึ้นเสียงดัง ขัดคำพูดที่ไร้สาระของชายคนนั้น

ใต้แสงไฟสลัวนี้ เธอเห็นผู้ชายตรงหน้า มีเครา เห็นได้ชัดว่ารูปร่างอ้วนเล็กน้อยทำให้เธอนึกถึงผู้จัดการหลินคนนั้น ในใจก็เริ่มกลัวขึ้นมา

คิดได้แบบนั้น ก็ถอยหลังไปสองก้าว หันหลัง รีบเดินไปที่ห้องจัดงานเลี้ยงอย่างรวดเร็ว

แต่ว่า……

แขนก็ถูกคนดึงไว้อีกครั้ง

“เธอคิดว่าฉันเป็นใคร?”เสียงหยาบของชายคนนั้นตะโกนขึ้น สักพัก สายตาของทุกคนก็มองมาทางนี้

“อ้าว ผู้กำกับวัง เกิดเรื่องอะไรขึ้นกับคุณ?”มีคนทักเขา

“เปิดไฟให้ฉัน”เขาตะโกน

ไม่นานนัก ไฟเหนือศีรษะก็สว่างขึ้น

รอบข้างล้อมไปด้วยผู้คน งานเลี้ยงน่าเบื่อ ถ้ามีเรื่องอะไรให้คั่นเวลา ทุกคนคงจะไม่พลาดอยู่แล้ว

ผู้กำกับคนนั้นมองเย่หลินตั้งแต่หัวจรดเท้า พอได้เห็นหน้าตาเธอชัดเจนแล้ว เห็นได้ชัดว่าสายตาเขาเปลี่ยนไปแว็บหนึ่ง

“มามามา พวกเธอทุกคนดู ผู้หญิงคนนี้เป็นผู้ก่อตั้งบริษัทซีเอกซ์เมคอัพ เธออ่อยฉัน ขอให้ฉันช่วยปูทางให้เธอ พอฉันไม่เห็นด้วย เธอกลับอายจนโกรธ จะแว้งมากัดฉัน”เขาชี้ไปที่เย่หลิน พูดอย่างเข้มขรึมจริงจัง

ทุกคนหันไปมองเย่หลิน แล้วหันไปมองคนนามสกุลวังคนนั้น จากนั้นก็ซุบซิบขึ้น

“ใช่บริษัทซีเอกซ์เมคอัพต่างประเทศนั่นหรือเปล่า?ถึงว่าทำไมเด็กขนาดนี้ ก็มีอะไรเป็นของตัวเอง……ที่แท้ ก็เพิ่งผู้ชายนี่เอง……”ไม่รู้ว่าใครพูดแบบนี้ในกลุ่มคน

จากนั้น ทุกคนก็เริ่มนินทาขึ้น

ในขณะที่สายตาของเย่หลินมองไปที่ทุกคน เธอเห็นเกาเหวินที่กำลังยืนดื่มไวน์แดงอยู่นอกกลุ่มคน สายตาก็นิ่งไป เหมือนว่าเข้าใจอะไรบางอย่าง

เธอชื่นชมความฉลาดของผู้หญิงคนนี้ ในช่วงเวลาสั้นๆแค่นี้ ก็สามารถคิดแผนที่ปาหินก้อนเดียวได้นกสองตัวแบบนี้ ที่สามารถทำให้เธอเสียทั้งชื่อเสียง และทำให้ทุกคนมีความข้องใจเกี่ยวกับประสิทธิภาพที่แท้จริงของบริษัทซีเอกซ์

“เธอคิดว่าวิถีชีวิตของพวกเราจะเหมือนกับของพวกเธอในต่างประเทศหรอ ถ้าหากอยากจะยืนอยู่ในประเทศนี้ให้ได้ มันต้องเพิ่งความสามารถของตัวเอง”ผู้กำกับวังคนนั้นทำหน้านิ่ง พูดในสิ่งที่เย่หลินฟังไม่รู้เรื่องอย่างนิ่งขรึม

เย่หลินบังคับตัวเองให้ใจเย็นลง หางตาก็เหลือบไปเห็นกล้องวงจรปิดที่อยู่ข้างบนศีรษะ

ยิ้มมุมปาก เงยหน้าขึ้น มองไปยังผู้ชายที่มีอายุปาไปแล้วครึ่งชีวิตตรงหน้า พูดขึ้นว่า“ลุง ฉันถามแค่คำเดียว ในเมื่อคุณรู้ว่าฉันเป็นผู้ก่อตั้งบริษัทซีเอกซ์ ถ้าอย่างนั้นฉันอยากจะถามคุณหน่อย ฉันชื่ออะไร นามสกุลอะไร? แล้วฉันอ่อยคุณยังไง? ที่ไหน เมื่อไหร่? ขั้นตอนมันเป็นยังไง?”

ผู้กำกับวังคนนั้นประหลาดใจกับความนิ่งของเธอเล็กน้อย เขากลืนน้ำลาย ชี้มือไปที่เธอ“เธอชื่ออะไร ฉันจะรู้ได้ยังไง เธอเป็นคนพูดเองว่าเป็นคนของบริษัทซีเอกซ์ ที่ตรงนั้นแหละ พูดว่าแค่ฉันสามารถตอบสนองความต้องการของเธอ ไม่ว่าจะทำยังไง เธอก็ยอม”

เย่หลินยิ้มเย็น“ใช่เหรอ?”ถามกลับ

สีหน้าของผู้กำกับวังตอนนี้ดูนิ่งขรึมจนน่ากลัว แต่เพราะเห็นหน้าของหนิงเส่าเฉินจนชิน เย่หลินก็ไม่มีความกลัวเลย แค่รู้สึกปวดหัวที่มาเจอกับคนประสาทแบบนี้

“คุณผู้หญิง เขา เธอหาเรื่องไม่ได้”ในเวลานี้ ก็มีคนพูดขึ้นเบาๆข้างๆเย่หลิน

หาเรื่องไม่ได้? เย่หลินนึกถึงหนิงเส่าเฉินอีกครั้ง เขา เธอยังกล้าแหย่ เธอไม่เชื่อว่าผู้ชายคนนี้ เธอจะหาเรื่องไม่ได้?

“ขอถามหน่อยค่ะ งานเลี้ยงวันนี้ ใครเป็นคนรับผิดชอบคะ?”เธอหันไปถามผู้คนรอบข้างเสียงดัง

“นี่มันเรื่องอะไรกัน?”เสียงเข้มๆของผู้ชายดังขึ้นในหมู่ผู้คน

จากนั้น ทุกคนก็หลีกทาง ในหมู่ผู้คนมีผู้ชายคนหนึ่งเดินออกมาช้าๆ

ผู้ชายคนนั้น อายุราวๆหกสิบ หน้าเหลี่ยม คิ้วหนาตาโต อ้วนเล็กน้อย แต่ก็ดูเป็นการเสริมความมั่งคั่งให้กับเขา

“ประธานเหลียง”

“สวัสดีครับประธานเหลียง……”

ทุกคนกำลังทักทายผู้ชายคนนั้น และบางคนถึงกับยื่นมือออกไป อยากทำความรู้จักคนใหญ่คนโตคนนี้ แต่ว่าประธานเหลียงกลับมองข้ามไปเหมือนไม่มีตัวตน

เย่หลินนิ่งอึ้งอยู่กับที่ มือข้างที่ถือกระเป๋าของเธอ กำไว้แน่นแล้วแน่นอีก พ่อของเธอ……

คนที่เก้า……ไม่สิ สิบปีไม่ได้เจอเลย

แต่ว่า เมื่อกี้คนพวกนี้เรียกเขาว่าอะไรนะ? ประธานเหลียง? ไม่ใช่เย่กั้วอัน?

เหลียง มันคือเรื่องอะไรกัน?

“คุณชาย คุณหญิงให้ผมมาถามคุณว่าจะกลับมาทานมื้อค่ำไหมครับ?”เป็นเสียงของลุงจาง

แม้ว่าหนิงเส่าเฉินจะไม่ได้เปิดลำโพง แต่เย่หลินอยู่ใกล้เขา จึงได้ยิน เธอเงยหน้าขึ้นมองหนิงเส่าเฉิน แล้วพยักหน้าแรงๆ

หนิงเส่าเฉินเม้มปาก หรี่ตามองเธอนิ่งๆ “อืม ไม่กลับแล้ว”

วางสายแล้ว เขาจ้องเย่หลินที่อยู่ในอ้อมกอด “วันนี้อารมณ์ของคุณเป็นแบบนี้ ผมจะปล่อยให้คุณอยู่ที่นี่คนเดียวได้ยังไง”

เย่หลินนิ่งไป “แต่ว่า เธอจะไม่มาทะเลาะกับคุณเหรอ?”

“ยัยบื้อ ผมหมายถึงให้ความร่วมมือกับการแสดงของคุณ แต่ว่า ก่อนอื่นเลยก็คือ ผมจะไม่ปล่อยให้คุณลำบาก สำหรับคนอย่างเธอ ผมยังต้องกลัวทะเลาะกันอีกเหรอ? หากคุณจะยอมถอยให้เธอเพื่อแลกกับความสำเร็จ ผมไปพูดกับเธอตรงๆเลยไม่ดีกว่า……”

เย่หลินปิดปากเขาไว้ “ไม่ว่าเธอจะทำเรื่องเลวร้ายมากแค่ไหน ใจจริงของเธอก็ยังดีกับคุณเสมอ เพราะฉะนั้น ผู้ร้ายคนนี้ ให้ฉันเป็นเอง ฉันไม่อยากให้ชาตินี้ คุณเก็บเธอไว้ในใจไปทั้งชีวิตเพียงเพราะคุณมีสิ่งที่ติดค้างเธอ ”

พูดจบ ก็ลุกขึ้นนั่ง “เอาล่ะ รีบกลับไปเถอะ เจอกันพรุ่งนี้”

หนิงเส่าเฉินส่ายหัว กอดไหล่เธอไว้ ไม่อยากไป เธอจ้องเขม็งไปที่เขา “วันนี้เจอเรื่องมากมายขนาดนี้ เส่าเฉิน ฉันก็อยากสงบสติอารมณ์เหมือนกัน คุณวางใจเถอะ หากฉันรู้สึกไม่สบายใจ กลางดึกฉันก็จะเรียกให้คุณมา โอเคไหม?” เธอพูดเรื่องจริง เธอต้องการสงบสติอารมณ์ไตร่ตรองเรื่องราวทั้งหมดจริงๆ

“ถ้าอย่างนั้นคืนนี้คุณเข้านอนเร็วๆ อย่าคิดมาก”

เพียงแต่ หนิงเส่าเฉินเพิ่งเดินไปได้สองก้าว เย่หลินกลับลุกจากเตียงทันที เข้าไปในห้องน้ำแป๊บหนึ่ง ออกมาแล้ว ก็วิ่งไปข้างหน้าเขา กอดเขาไว้

จากนั้นก็ยิ้ม

รอจนแผ่นหลังของหนิงเส่าเฉินหายไป เธอถึงได้โล่งใจ ดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมหัวไว้ อยากจะคิดทบทวนเรียบเรียงเรื่องราวทั้งหมดใหม่ แต่กลับยิ่งคิดยิ่งวุ่นวาย……

สุดท้ายก็หลับตา ไม่คิดอะไรเลย

คฤหาสน์หนิง

หนิงเส่าเฉินกลับมาถึง เกาเหวินก็นั่งอยู่ตรงโซฟา อาหารบนโต๊ะเตรียมไว้พร้อมแล้ว เห็นได้ชัดว่าเธอกำลังรอเขากลับมา

เขานิ่งไปสักพัก เขาไม่ค่อยกลับมากินข้าวที่บ้าน เรื่องนี้เกาเหวินรู้มาโดยตลอด

“กินข้าวเถอะ!”นิ้วเรียวยาวของหนิงเส่าเฉินวางอยู่บนเนคไท ออกแรงดึง จนเนคไทหลุดออกมาทั้งเส้น เขาโยนมันลงที่โซฟา เห็นสายตาของเกาเหวินจ้องอยู่ที่ตัวเอง สีหน้าดูแย่ เขาขมวดคิ้ว

เขาหันไปมองเธอ “มีเรื่องอยากจะพูดกับฉัน?”

เกาเหวินนิ่งไป จากนั้นก็รีบส่ายหน้า“ไม่มี รีบไปล้างมือกินข้าวเถอะ……”

หนิงเส่าเฉินเหล่ตา มองไปที่เธอนิ่งๆ พูดขึ้นทันทีว่า“ทีหลังไม่ต้องรอฉันกลับมากินข้าวเย็น”

บนโต๊ะอาหาร

เกาเหวินตักซุปถ้วยหนึ่งให้หนิงเส่าเฉิน วางไว้ตรงหน้าเขา“เส่าเฉิน คุณหนูเย่คนนั้น ได้พูดอะไรกับคุณไหม?”

หนิงเส่าเฉินส่ายหน้า เขาเข้าใจสิ่งที่เกาเหวินจะสื่อ ในงานเลี้ยง ผู้กำกับวังคนนั้นไม่เคยมีความขุ่นเคืองกับเย่หลินเลย และไม่มีทางที่เขาจะหาเรื่องเธอแบบไม่มีเหตุผล อีกอย่างเธอเพิ่งกลับจากต่างประเทศ คนที่รู้ว่าเธอคลอดลูกกับที่เธอเป็นประธานบริษัทซีเอกซ์ และยังยั่วยุเก่งอีก ก็มีแต่เกาเหวินคนเดียว

ยังไงก็ตาม เขารับปากเย่หลินแล้ว ว่าจะให้เธอจัดการเอง เพราะฉะนั้น ตอนนี้เขาถึงได้รู้สึกทรมานเพราะเก็บความโกรธไว้ในใจ

ทานข้าวเสร็จ หนิงเส่าเฉินก็เข้าไปในห้องทำงานตามปกติ เกาเหวินเองก็กลับเข้าไปในห้องของตัวเอง ใช่ ฟังไม่ผิด ห้องของตัวเอง ถ้ามีใครรู้เข้า คงถูกหัวเราะเยาะแน่ๆ เธอแต่งเข้าตระกูลหนิงมาสามปีกว่าแล้ว ยังคงนอนห้องรับแขก ส่วนห้องใหญ่ เธอแทบจะไม่เคยเข้าใกล้เตียงเลยด้วยซ้ำ

แรกๆ เธอเคยจะลองแอบเข้าไปห้องของหนิงเส่าเฉินตอนกลางดึก แต่ประตูกลับถูกล็อคจากข้างใน ต่อมา เธอเคยทักเรื่องนี้กับหนิงเส่าเฉิน หนิงเส่าเฉินปฏิเสธเธอโดยให้เหตุผลว่านอนไม่หลับ อาจจะรบกวนเธอ……

พอคิดถึงตรงนี้ เธอก็อดรู้สึกเศร้าไม่ได้ เธอเสียสละไปมากขนาดนั้น แต่สิ่งที่ได้กลับมา คือการที่ถูกปฏิบัติเฉยๆแบบนี้ ใช้ชีวิตคนเดียว โดดเดี่ยวไปทั้งชาติแบบนี้เหรอ?

ทันใดนั้น เธอก็นึกถึงรอยลิปสติกเมื่อกี้บนคอเสื้อของหนิงเส่าเฉิน……

มันเป็นของใคร? เย่หลินเหรอ? หรือว่า……

เพราะเหตุนี้เธอจึงตกอยู่ในความคิดที่เจ็บปวดของตัวเอง ไม่สามารถช่วยตัวเองได้

“หลับแล้ว?”หนิงเส่าเฉินนั่งมองมือถืออยู่หน้าโต๊ะทำงาน ในตามีแต่รอยยิ้ม

“คุณหนิง คิดถึงคุณจัง”ข้อความตอบกลับเร็วมาก

หนิงเส่าเฉินขมวดคิ้ว“ผมไปตอนนี้เลยไหม?”

“ฉันไม่ได้บอกให้คุณมา แค่บอกว่าคิดถึง”

“อารมณ์ดีขึ้นบ้างหรือยัง?”

“อืม……ดีขึ้นแล้ว นอนละ คุณก็นอนเช้าๆ ราตรีสวัสดิ์”

“ราตรีสวัสดิ์”

จากนั้น ก็ไม่มีข้อความตอบกลับอีก

วันต่อมา เธอเพิ่งจะลุกไม่นาน ก็ถูกหนิงเส่าเฉินเรียกไปที่ออฟฟิศของเขา

เปิดประตู ก็เจอผู้ชายนั่งอยู่ตรงโซฟาหน้าโต๊ะทำงานของหลิงเส่าเฉิน

เหลียงกั้วอันนั่งอยู่ตรงโซฟา เห็นเธอมองเขา ก็รีบลุกขึ้นยืน

หนิงเส่าเฉินสั่งให้คนมาเสริฟน้ำชาให้กับทั้งสองคน แล้วเดินออกไป ปล่อยห้องว่างนี้เหลือไว้แค่คนสองคน

“เย่จื่อ……”เสียงที่คุ้นเคย ชื่อเรียกที่สนิทสนม ความทรงจำเมื่อสิบปีก่อน ไหลเข้ามาในหัวเหมือนกระแสน้ำ

แม้ว่าเย่หลินจะเตรียมใจมาพร้อมแล้ว แต่ลึกๆในใจของเธอยังคงสั่นไหว เธอก้มหน้า ปิดบังดวงตาที่คลอไปด้วยน้ำตา “ประธานเหลียง……คุณมีธุระอะไรกับฉันเหรอคะ?”

เหลียงกั้วอันจ้องเธอ มองอยู่นาน ถึงเอ่ยปากพูดขึ้นว่า“เย่จื่อ ตอนนั้นพ่อเองก็มีเรื่องลำบากใจ”

หึ มีเรื่องลำบากใจ เป็นข้อแก้ตัวที่ดี

เธอลุกขึ้น “หากประธานเหลียงไม่มีเรื่องอื่นจะพูดอีก ฉันก็ขอตัว”พูดจบ หันหลังเตรียมจะเดินออกไปข้างนอก

“แม่เธอบังคับให้ฉันไป โดยขู่ว่าจะตาย” เย่หลินฟังออกว่าน้ำเสียงที่พูดนั้นเปลี่ยนไป

เธอหันกลับมาทันที เห็นเหลียงกั้วอันเอามือจับหน้าผากไว้ ท่าทางเจ็บปวด

แม่ของเธอบังคับให้เหลียงกั้วอันไป? ว่าแล้ว เธอเดาไม่ผิดจริงๆ หัวใจของเธอยิ่งเย็นลงกว่าเดิม

“ทำไมเธอต้องทำแบบนี้?”

แม้ว่าในใจเธอจะรู้คำตอบอยู่แล้ว แต่เย่หลินก็อดไม่ได้ที่จะถามเพื่อความแน่ใจ

เหลียงกั้วอันลุกขึ้น เดินไปหาเธอ มือทั้งสองข้างวางอยู่บนไหล่เธอ “เย่จื่อ เรื่องพวกนั้น มันผ่านไปแล้ว พวกเราลืมมันไปดีไหม? ต่อไป ฉันก็ยังเป็นพ่อของเธอ……”

“มันเพราะอะไรกัน?”เย่หลินอดที่จะพูดขัดเขาไม่ได้ สายตาที่มุ่งมั่น ทำให้เหลียงกั้วอันต้องถอยหลังไปสองสามก้าว สายตาแบบนั้น เหมือนกับเธอมาก

“เพื่อผู้ชายคนนั้น ใช่ไหม?”เย่หลินพูดขึ้นเสียงเย็น

เหลียงกั้วอันบอกให้เธอนั่งลง

ครั้งนี้เย่หลินไม่ได้ขัดขืน ยอมนั่งลงตรงโซฟาแต่โดยดี เธอรู้สึกคอแห้ง ดื่มน้ำไปหลายแก้ว ถึงได้ดีขึ้นมาหน่อย

“เย่จื่อ ในชาตินี้แม่เธอไม่ได้มีชีวิตที่ดี อย่าโทษเธอเลย!”

เย่หลินคิดว่าเหลียงกั้วอันจะแก้ตัวให้ตัวเอง แต่เธอคิดไม่ถึงว่า คำแรกที่เขาเอ่ยปาก จะเป็นการแก้ตัวให้แม่ที่ตายไปแล้วคนนั้น!

เขาต้องรักแม่ของเธอมากขนาดไหน? จนถึงตอนนี้แล้ว เขายังคงพูดแก้ต่างให้เธอ……

“แล้วฉันต้องโทษใคร? ชีวิตของฉันถูกเธอทำให้มันยุ่งเหยิงวุ่นวายไปหมด คุณว่า ฉันต้องโทษใคร? โทษใคร?”นิ้วเรียวยาวของเธอปิดหน้าตัวเองไว้ ทั้งตัวกำลังสั่นเพราะความโกรธ……

“ถ้าอย่างนั้นคุณบอกฉัน พ่อของฉันคือพ่อของเกาเหวินใช่ไหม?”ทันใดนั้น เย่หลินเงยหน้าขึ้นมามองเหลียงกั้วอันแล้วถามขึ้น

เหลียงกั้วอันมองเย่หลิน ส่ายหน้า “เมื่อก่อนฉันก็คิดแบบนั้น แต่ พวกเราทุกคนคิดผิด พ่อของเธอไม่ใช่พ่อของเกาเหวิน”

สีหน้าของหนิงเส่าเฉินนิ่งขรึม

“เธอไม่ใช่ลูกสาวของเหลียงกั้วอัน”

วืด……ในหัวมีเสียงดังหึ่งๆ เย่หลินแทบจะลุกขึ้นยืนทันที เบิกตากว้างมองไปที่หนิงเส่าเฉิน “คุณ……พูดว่าอะไรนะ?”

“จากที่ข้อมูลระบุว่า เหลียงกั้วอันไปเที่ยวที่นั่น ถึงได้ไปรู้จักกับแม่ของคุณ และตอนที่เจอกัน คุณก็อายุได้หนึ่งขวบแล้ว……”

เมืองsเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่ขึ้นชื่อจริงๆ เพราะฉะนั้น เหลียงกั้วอันไปที่นั่น ชูหยูจี้ก็ไปที่นั่นเหมือนกัน……

แต่……

เธอไม่ใช่ลูกของเหลียงกั้วอัน แล้วเธอ เป็นลูกของใคร?

ทันใดนั้น เธอก็นึกอะไรขึ้นได้ หยิบมือถือออกจากกระเป๋า เปิดแอปพลิเคชันรูปภาพ……

ค้นรูปภาพขาวดำที่ถูกบันทึกไว้ขึ้นมา……

หนิงเส่าเฉินมองไปที่เธอแบบไม่เข้าใจ จนกระทั่งสายตาไปตกอยู่ที่มือของเธอ แววตาเขานิ่งไป แล้วรีบหยิบรูปจากมือเธอมาดู

“คือ ฉันคิดว่าพ่อของฉันอาจจะเป็นผู้ชายคนนี้?”

ใจของเย่หลินดิ่งลง ถ้าเธอเดาไม่ผิด พ่อของเธอน่าจะเป็นผู้ชายที่อยู่ในรูป……

“คุณบอกว่าผู้ชายในรูปเป็นพ่อของคุณ?”เย่หลินพยักหน้า ไม่ได้พูดอะไรสักคำ แก้มที่แต่เดิมมีเลือดฝาด ตอนนี้ ขาวจนหน้าซีดไปแล้ว

หนิงเส่าเฉินกอดเธอไว้ในอ้อมแขน แล้วกดมือถือเธอออกไปหน้าจอโฮม แม้ว่าเขาจะเคยผ่านอุปสรรคมามากมาย แต่ในสถานการณ์ตอนนี้ก็อดไม่ได้ที่จะตกใจ

ผู้ชายคนนั้น ดูยังไงก็คือพ่อเกา……ถึงแม้อายุจะมากขึ้น รูปร่างหน้าตาเปลี่ยนไปมากแค่ไหน แต่ ผู้ชายในรูปนี้ กลับเหมือนเกาไห่ในตอนนี้มาก……

ทันใดนั้น เขาก็นึกขึ้นได้ คืนที่เกาไห่เกิดเรื่อง ไม่แปลกใจเลยที่เย่หลินรู้สึกปวดใจ กระแสจิตของพวกเขาน่าจะเชื่อมกัน……

พวกเขาเป็นฝาแฝดกัน……

“เส่าเฉิน คุณรู้จักผู้ชายคนนี้ใช่ไหม?”เห็นเขาไม่พูดอะไร สีหน้าดูแย่ ถึงแม้เย่หลินจะอยากหนีความจริงมากแค่ไหน แต่ก็อดถามไม่ได้

หลิงเส่าเฉินจ้องมองเธอด้วยสายตาที่ลึกซึ้งสักพัก ก็ดึงเธอไปกอดไว้แน่น “เย่หลิน ถ้าไม่บอกคุณ คุณจะรู้สึกดีกว่านี้ไหม?”

เห็นได้ชัด หนิงเส่าเฉินรู้ว่าผู้ชายคนนั้นเป็นใคร……

เย่หลินลุกขึ้นนั่งตัวตรงจากอ้อมกอดของเขา มือเรียวสวยนั้นเชยคางของเขาขึ้น จ้องตากับเขา “เส่าเฉิน คุณรู้ว่าเขาเป็นใคร? ใช่ไหม?”

“อืม”เส่าเฉินตอบกลับเสียงเบา เหมือนเขากำลังตัดสินใจครั้งใหญ่ เอ่ยปากพูดว่า“ผู้ชายคนนี้เป็นพ่อของเกาเหวิน”

“อ๋า……”เย่หลินอ้าปากกว้าง สายตาของเธอจ้องไปยังผนังสีขาวที่อยู่ตรงหน้า เหม่อมองอยู่แบบนั้นจนนิ่งไป

หนิงเส่าเฉินเรียกเธอหลายครั้ง เธอก็ยังไม่ได้สติ

จากนั้น เย่หลินเอียงศีรษะ แล้วเป็นลมไป……

เรื่องนี้มีผลกระทบต่อเธอไม่น้อย ถ้าหากพ่อของเกาเหวินเป็นพ่อของเธอ ถ้าอย่างนั้น เธอกับเกาเหวิน ก็เป็นพี่น้องกันสิ?

ตอนเธอตื่นขึ้นมา หนิงเส่าเฉินนั่งอยู่ข้างเตียง คิ้วขมวดเข้าหากัน

เย่หลินหันไปมองเขา อยากจะยิ้มให้เขา แต่รอยยิ้มของเธอตอนนี้ดูแย่มากกว่าตอนเธอร้องไห้อีก

เธอใช้มือพยุงตัวเองให้ลุกขึ้น “ฉัน……ฉันมาอยู่บนเตียงได้ยังไง?”

“คุณเป็นลมไป ผมอุ้มคุณกลับมา รู้สึกไม่สบายตรงไหนหรือเปล่า?”

เย่หลินส่ายหน้า รวบผมไปทัดไว้หลังหู ท่าทางเหมือนไม่ได้สนใจ

หนิงเส่าเฉินกอดเธอไว้แน่น วางคางไว้บนศีรษะของเธอ มือใหญ่นั้นตบหลังเธอเบาๆ “เย่หลิน อยากร้อง คุณก็ร้องออกมาเถอะ!”เกิดเรื่องใหญ่ขนาดนี้ ไม่มีใครรับได้ในช่วงเวลาสั้นๆหรอก

เสียงของเขาทำให้ความรู้สึกที่เย่หลินเก็บมานานถูกปล่อยออกมา น้ำตาไหลออกมาราวกับเชือกของลูกปัดที่ขาดไป

หากพ่อเกาเป็นพ่อแท้ๆของเธอ ถ้าอย่างนั้น เรื่องทุกอย่างในตอนนี้ ก็สามารถอธิบายได้แล้ว……

ทำไมเมืองsกับเมืองcห่างกันเป็นพันไมล์ แต่เธอก็ยังสามารถกำเนิดบุตรให้กับหลิงเส่าเฉินที่ยืนอยู่เหนือกว่าใครๆได้

ทำไมเกาเหวินถึงเลือกเธอ

แล้วทำไมแม่ถึงไม่ให้เธอเปิดเผยใบหน้าที่แท้จริงของเธอ

เขาคงกลัวว่า ถ้าเธอมาถึงเมืองc ใบหน้าของเธอที่คล้ายกับเขา จะทำให้พ่อเกาจำเธอได้

แต่ว่า……สิ่งที่ทำให้เธอรับไม่ได้เลยคือ จุดประสงค์ที่แม่ให้เธอกำเนิดหนิงเสี่ยวซี ไม่ใช่เพื่อจะแลกเป็นเงินมารักษาอาการป่วยของตัวเอง

แต่เป็นเพราะ เกาเหวินมีลูกไม่ได้ ถ้าอย่างนั้นหากหนิงเสี่ยวซีเป็นลูกของพี่น้องเธอ ความสัมพันธ์ทางสายเลือดนี้ก็คงจะดีกว่าคนนอกมาก……

และถึงแม้ว่าสักวันหนึ่ง ความลับนี้จะถูกเปิดเผย สถานะของตระกูลเกา ก็จะไม่มีผลกระทบจากเรื่องนี้……

แม่คนนี้ รักผู้ชายคนนั้นมากแค่ไหนกัน? ถึงกับยอมสละลูกสาวไปเป็นตัวรับกระสุนแทน

ดูเหมือนว่า พ่อของเกาเหวินคงจะเป็นทหารรับจ้างคนนั้น เพราะแบบนั้น ถึงได้คุ้มค่าที่แม่จะเอาทั้งชีวิตไปรัก

แล้วยังมีเกาไห่? เธอนึกไม่ถึงจริงๆ ว่าเธอจะมีพี่ชายที่เป็นพี่น้องท้องเดียวกัน เพราะแบบนั้น เมื่อมีเรื่องเกิดขึ้นกับเขา เธอถึงได้เจ็บปวดและเสียใจมากขนาดนั้น

เธอเหมือนจะเข้าใจแล้วว่าทำไมเหลียงกั้วอันถึงได้จากไปด้วยดี คงเพราะรู้เรื่องระหว่างแม่กับพ่อเกา และที่เธอป่วย ก็คงเป็นเรื่องบังเอิญที่ทำให้เธอใช้มาเป็นข้ออ้างเรื่องพวกนี้ก็เท่านั้นเอง……

พอมาคิดๆดูชีวิตของตัวเอง ท้ายที่สุดแล้ว มันไม่ได้สำคัญเท่ากับความรักของแม่เลย ใจของเย่หลินมันว่างเปล่า ไม่มีอะไรเลย……

ความรักของแม่ ความรักของพ่อ…… วินาทีนี้ มันกลายเป็นเรื่องตลก

ไม่รู้ว่าร้องไปนานแค่ไหน เย่หลินถึงค่อยๆหยุดลง เสื้อของหลิงเส่าเฉินเองก็เปียกชุ่มไปด้วยน้ำตา

“เย่หลิน……”หนิงเส่าเฉินยื่นมือไปเชยคางเธอขึ้นมา ใกล้เข้าไป จูบซับน้ำตาที่อยู่ตรงหางตาเธอเบาๆ

เย่หลินยื่นมือออกไป กอดหนิงเส่าเฉินไว้แน่น ตัวยังคงสะอื้นไม่หยุดเพราะร้องไห้……

“ฉันไม่อยากยอมรับพ่อคนนี้……”หลังจากเย่หลินพยายามควบคุมอารมณ์ของตัวเอง ก็พูดกับหนิงเส่าเฉิน

ผู้ชายที่สามารถเอาชีวิตของลูกสาวมาแลกเพื่ออนาคตของตัวเอง

ผู้ชายที่บังคับให้เธอจากไป เพื่อให้ลูกสาวอีกคนได้แต่งงาน

ผู้ชายที่เกือบจะทำลายชีวิตของเธอ ให้เรียกเขาว่าพ่อ ไม่ เธอยอมตายดีกว่าต้องยอมรับว่าผู้ชายแบบนี้เป็นพ่อของเธอ

และความแค้นกับเกาเหวิน ถึงแม้ว่าจะเป็นพี่น้องกัน ชีวิตนี้ เธอก็ไม่มีทางปล่อยเธอไป

มือใหญ่ของหนิงเส่าเฉินยังคงตบเบาๆที่หลังของเธอ ปลอบเธอ แววตาเต็มไปด้วยความทุกข์ใจ เขาพยักหน้า “ไม่ต้องกังวล แม่ของคุณจงใจเปลี่ยนวันเกิดให้คุณ คุณเป็นลูกสาวของเหลียงกั้วอัน”

เย่หลินสูดจมูก พุ่งเข้าไปซุกอกเขา ไม่ได้พูดอะไรอีก

แต่ในใจกลับอึดอัดมากๆ มากจนจะขาดใจ

เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นทำลายความเงียบภายในบ้าน

หนิงเส่าเฉินมอง เป็นหมายเลขโทรศัพท์ของบ้านหนิง อดทำหน้านิ่งไม่ได้ รับสายว่า“ฮัลโหล……”

หนิงเส่าเฉินเตรียมเหยียบคันเร่งจะออกไป ได้ยินปฏิกิริยาตอบกลับของเย่หลินนี้ ก็ดันเกียร์ของรถไปที่ตำแหน่ง P อีกครั้งแล้วดึงเบรกมือขึ้น หันกลับไปมองเธอ "อย่าร้อนใจไปก่อนเลย อีกสักครู่คุณก็จะรู้เอง"

เย่หลินขยับคิ้วเล็กน้อย ยิ้มแล้วพูดตอบกลับไปว่า : "หนิงเส่าเฉิน คุณกำลังจะทำอะไรกันแน่?"

"คนก็เป็นของฉัน ยังกลัวว่าจะทำอะไรอีกเหรอ?" มุมปากของเขายกยิ้มขึ้น ในน้ำเสียงเต็มไปด้วยการหยอกล้อ

รถของหนิงเส่าเฉินขับตรงเข้าไปในเขตระดับไฮเอนด์เขตหนึ่งในเมือง

กดลิฟต์ขึ้นไปชั้นบน หลังจากที่ลิฟท์เปิดออกหนิงเส่าเฉินนำกุญแจมาให้เธอ "หลังจากกลับมาแล้วก็มาอยู่ที่นี่ รอให้คุณเล่นสนุกจนพอแล้ว เราก็ค่อยย้ายบ้านกัน"

เล่นสนุกจนพอ? เย่หลินหัวเราะ รู้ว่าเล่นสนุกที่เขาพูดหมายถึงเกาเหวิน จึงรับกุญแจมา

"นี่คือข้อมูลบางส่วนของคนที่ต้องไปเข้าร่วมงานเลี้ยง คุณน่าจะดูๆหน่อยอาจจะมีประโยชน์ หรือว่าจำเป็นก็ลองติดต่อเพิ่มเติมได้" นำแฟ้มเอกสารในมือส่งให้เธอ

ริมฝีปากแดงๆของเย่หลินเผยอขึ้นเล็กน้อย มองหนิงเส่าเฉินอย่างไม่อยากจะเชื่อ ประสิทธิภาพในการทำงานนี้มีมานานแค่ไหนแล้ว คาดไม่ถึงว่าเขาจะทำงานได้หลายอย่างแบบนี้

ในความประหลาดใจของเธอ หนิงเส่าเฉินก็รู้สึกพึงพอใจ ชี้นิ้วไปที่ในบ้าน "ดูว่ายังมีอะไรที่จำเป็นก็เรียกคนให้เอามาให้ หรือจะออกไปซื้อเองก็ได้" พูดจบก็นำบัตรใบหนึ่งออกมาจากในกระเป๋าแล้วส่งให้เธอ "รหัสคือวันเกิดของเสี่ยวซี"

เย่หลินรับมาแล้วเงยหน้ามองห้องตรงหน้า น่าจะกว้างประมาณ 300-400 ตารางเมตร ชั้นสองตกแต่งหรูหราในสไตล์ยุโรป

"อย่างนี้ไม่สิ้นเปลืองเกินไปเหรอ? เพียงแค่กลับมาพักอาศัยเป็นครั้งคราว" เธออดไม่ได้ที่จะกลืนน้ำลาย ที่ดินนี้ บ้านดีๆขนาดนี้ ต้องว่างเปล่าเพราะมาพักปีละสองสามครั้ง คิดแล้วก็น่าเสียดาย

หนิงเส่าเฉินเลิกคิ้ว "พักอาศัย?"

เดินก้าวไปข้างหน้า นิ้วเรียวยาวเชยคางเธอขึ้น แล้วจูบลงบนริมฝีปากของเธอ "คุณเย่ ให้เวลาคุณครึ่งปี คุณต้องย้ายบริษัทมาในประเทศจีน มิเช่นนั้นฉันจะไม่ช่วยเหลือคุณอีก"

เขาพูดจบก็หยิบน้ำแร่บนโต๊ะขึ้นมาดื่ม ผมที่ตกลงมาบนหน้าผาก แขนเสื้อสองข้างของเสื้อเชิ้ตสีเทาถูกดึงไปที่ข้อศอก กระดุมสองเม็ดที่คอเสื้อถูกเขาปลดออกอย่างดูสบายๆ แต่สามารถทำให้คนตกตะลึงจนไม่สามารถละสายตาได้

เธอจ้องมองเขา แล้วก็อดไม่ได้ที่จะกลืนน้ำลาย มิน่าล่ะนิสัยแย่ขนาดนี้ ยังสามารถทำให้ผู้หญิงหลายๆคนแย่งชิงกัน รูปร่างหน้าตาหล่อเหลาขนาดนี้ มีเงินขนาดนั้น ช่างเป็นต้นทุนที่น่าดึงดูดจริงๆ

"ดูดีไหม?" เสียงเอ่ยถามดังขึ้นข้างๆหู

เย่หลินตอบกลับโดยไม่รู้ตัว "ดูดีสิ" ในเวลาเดียวกันมุมปากก็ยกยิ้มขึ้น เพียงแค่สิ้นเสียงลง ร่างนั้นก็กดลงมา

จูบลงบนใบหน้าของเธอ "เย่หลินของฉันก็ดูดีมาก"

เวลานี้เย่หลินจึงได้สติกลับมา ใบหน้าก็แดงไปหมด

เวลานี้มีคนมาเคาะประตู หนิงเส่าเฉินลูบๆผมเธอแล้วเดินไปเปิดประตู

เมื่อกลับมาก็เห็นว่าเธอยังคงใจลอยอยู่ จึงบีบแก้มเธอเบาๆแล้วจูงมือเธอมา "ชุดมาส่งแล้ว คุณไปลองดูสิ"

เปิดกล่องของขวัญออก เป็นชุดเดรสสีแชมเปญคล้องคอแขนกุด ดูเรียบง่ายไม่มีอะไรซับซ้อน ความยาวจากเอวจนถึงข้อเท้า ทำให้เธอที่สูง 165 cm.ดูเหมือนคนสูง 170 cm. ขึ้นมาทันที

นอกจากนี้ยังมีรองเท้าส้นสูงสีเดียวกันคู่หนึ่งอยู่ใต้กล่องของขวัญ

คิดๆดูแล้ว เธอจึงนำมันมาใส่ด้วย

เปิดประตูห้องแล้วเดินออกไป

หนิงเส่าเฉินเอนหลังพิงอยู่บนโซฟา เมื่อได้ยินเสียงจึงหันกลับไปมอง แววตาก็ตกตะลึงอย่างควบคุมไม่ได้

หลังจากที่ล้างเครื่องสำอางออกแล้วเธอสวยอย่างมาก แต่เวลานี้ยิ่งสวยจนละสายตาไม่ได้เลย

เมื่อเห็นว่าสายตาที่ผิดปกติของเขา เย่หลินจึงหันกลับไปที่ห้องอาหารมองกระจกตู้เก็บของตรงหน้า แล้วมองสำรวจตนเองเล็กน้อย

อันที่จริงก็สวยมาก เพียงแต่เสื้อผ้าที่สวยหรู ทำให้เธอรู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย

เธออดไม่ได้ที่จะดึงๆชายกระโปรง แล้วบ่นพึมพำกับหนิงเส่าเฉิน : "ดูเหมือนว่าเสื้อผ้าจะไม่ธรรมดาเลยนะ……”

หนิงเส่าเฉินเดินไปถึงด้านหลังของเธอ มือทั้งสองโอบเอวของเธอจากด้านหลัง จูบที่บริเวณคอของเธอเล็กน้อย "ชุดธรรมดาอย่างมาก แต่คุณเจิดจรัสเกินไปแล้ว"

การสัมผัสของเขา การชมเชยของเขา ทำให้เย่หลินชาไปทั้งตัว ชั่วพริบตาใบหน้าก็แดงระเรื่อ

หัวค่ำ

งานเลี้ยงจัดบนเรือสำราญขนาดใหญ่ แสงไฟแวววับจับตา

เย่หลินมีประสบการณ์จากการเดินพรมแดงกับชูหยูจี้ครั้งที่แล้ว ครั้งนี้จะเข้าสู่สถานที่คนจำนวนมากกับเหอเฟย

ถึงแม้ว่าจะแต่งตัวอย่างเรียบง่าย แต่รูปลักษณ์ภายนอกที่โดดเด่นของเย่หลิน ก็ยังดึงดูดความสนใจของคนจำนวนไม่น้อย

ต่างคนต่างก็กระซิบพูดคุยกัน ถึงความเป็นมาของเธอ

กับงานเลี้ยงที่มีคนแปลกหน้ารวมกลุ่มกันแบบนี้ พูดเรื่องที่ไม่เป็นความจริง หัวข้อสนทนาที่ไม่เกี่ยวข้องกับงานเลี้ยง เย่หลินไม่ชอบเลยสักนิด แต่ว่าเธอเข้าใจ การทำธุรกิจ หลายๆครั้ง ก็ล้วนไม่ได้ดั่งใจไปซะทุกอย่าง

เรื่องบางเรื่อง ไม่ใช่ไม่ชอบก็จะสามารถไม่ทำได้

อันที่จริง หลังจากได้รู้ว่าคุณตายังมีชีวิตอยู่ ตอนนี้ฉันก็มีหัวใจของหนิงเส่าเฉินอีก เธอรู้ว่าตนเองไม่จำเป็นต้องเหนื่อยยากขนาดนั้นอีกแล้ว

แต่ลึกลงไปภายในใจ เธอยังคิดที่จะหาความรู้สึกที่มีอยู่

เธอไม่อยากเป็นเครื่องประดับของใคร ไม่ต้องการให้วันหนึ่งคนอื่นเห็นเธอแล้ว จะพูดเพียงว่า นี่คือภรรยาของใครบางคน หรือเป็นหลานสาวของ…….

ขีวิตหนึ่งของคน มันสั้นมาก เธอไม่ได้อยากจะประสบความสำเร็จในกิจการขนาดใหญ่ แต่ก็อยากจะพยายามจนถึงที่สุด

"เย่หลิน คุณอยู่ที่นี่ทานอาหารไปก่อนนะ ฉันจะไปห้องน้ำหน่อย เดี๋ยวจะกลับมา" งานเลี้ยงดำเนินมาราวๆยี่สิบนาที หลังจากพาเธอไปแนะนำกับบุคคลสำคัญหลายคนแล้ว ในทันใดเหอเฟยก็เอ่ยปาก

มองตามสายตาของเธอไป เย่หลินเห็นชายคนหนึ่งอายุสามสิบสี่สิบปี ท่าทางงดงามมีสง่า ข้างกายมีสาวสวยรายล้อมอยู่หลายคน

นึกถึงคุณอวี๋ท่านนั้นที่เหอหลิงเอ่ยถึงวันนั้น ในใจก็เข้าใจแจ่มแจ้ง

"โอเค คุณไปเถอะ"

"ยังไงก็อย่าเดินไปไกลนะ ที่นี่มีคนเยอะ" เมื่อเหอเฟยหันตัวกลับ ก็กำชับอีกสองสามคำ

เย่หลินพยักหน้า แล้วก็มองไปทางด้านนั้นด้วยจิตสำนึก ก็พบว่าผู้ชายคนนั้นเดินไปด้านหลังเหอเฟย ถอยออกไปจากกลุ่มสาวสวยจำนวนมาก นั่งลงบนโซฟาข้างๆ ครุ่นคิดอะไรบางอย่าง

ในใจก็คล้ายกับเข้าใจอะไรบางอย่าง แล้วก็ยิ้มอยู่ในใจ

หาสถานที่ที่ห่างไกลจากผู้คน เย่หลินหยิบมือถือออกมา เปิดดูหนังสือแต่งหน้าที่ดาวน์โหลดมาก่อนหน้านี้ในมือถือ

"คาดไม่ถึงจริงๆว่า พวกเราจะได้เจอกันอีกแล้ว?" เสียงผู้หญิงดังเข้ามาจากด้านบนหัวของตนเอง

เย่หลินนิ่งอึ้งไปเล็กน้อย นำมือถือในมือวางลง เงยหน้าขึ้น ก็เห็นเกาเหวินที่สวยงดงามอย่างยิ่ง ไม่ยอมรับไม่ได้ว่า ผู้หญิงคนนี้รูปร่างหน้าตาสวยอย่างมาก แต่ตามความคิด มองๆแล้ว ก็ดูเข้มงวดเล็กน้อย

"คุณเย่บอกว่าแหล่งทรัพยากรในประเทศไม่น่าสนใจไม่ใช่เหรอ? อย่างนั้นคืนนี้มาทำไมล่ะ?" เกาเหวินนั่งลงตรงหน้าของเธอ แล้วเอ่ยปาก

เย่หลินฉีกยิ้ม รอยยิ้มปกปิดในสายตา

"ผู้หญิงก็แปรปรวนแบบนี่แหละ เมื่อวานไม่สนใจ วันนี้ บางทีก็อาจจะสนใจก็ได้นะ?" เย่หลินส่ายแก้วไวน์ที่อยู่ตรงหน้า เงยหน้ามองเกาเหวิน กล่าวตอบกลับเบาๆ

เธอเห็นสีหน้าที่แข็งทื่อของเกาเหวินได้อย่างชัดเจน ในทันทีก็กลับสู่สภาพปกติ ในใจก็อดไม่ได้ที่จะทอดถอนใจกับคุณภาพทางจิตใจของผู้หญิงคนนี้

เกาเหวินยกแก้วไวน์ จิบอึกหนึ่ง แสร้งทำเป็นกล่าวถามอย่างไม่ใส่ใจว่า: "คุณเย่ก็สามารถหาผู้ชายมาช่วยเหลือได้ แล้วทำไมต้องลำบากขนาดนี้ด้วยล่ะ?"

เย่หลินมองไปยังเธอแล้วยิ้มๆ จงใจพูดบ่นว่า: "ผู้ชายของคุณกลัวความขัดแย้งภายในน่ะสิ จึงไม่ช่วยเหลือ ก็เลยจนปัญญา!"

เธอพูดจบ จากนั้น ก็เห็นรอยยิ้มบนใบหน้าของเกาเหวินได้อย่างชัดเจน ทอดถอนใจภายในใจ ผู้หญิงคนหนึ่งที่ทำเรื่องแบบนี้ ช่างน่าเศร้าจริงๆ

ถ้าเป็นเธอ วันข้างหน้าหนิงเส่าเฉินกล้าไปมีผู้หญิงคนอื่นข้างนอก ถ้าเธอไม่ตัดใจ ก็ต้องตัดทิ้งไปเลย

ผู้หญิงสองคนต้องการสามีคนเดียวกัน

สำหรับเธอเย่หลิน ไม่ต้องพูดถึงเลย!

วันต่อมาเมื่อเย่หลินตื่นขึ้นมา ผู้ชายคนข้างๆยังคงไม่ตื่น โดยใบหน้าแนบชิดหลังของเธออยู่ เธอควานหามือถือแล้วดูเวลา 9 โมงแล้วเธอจำได้ว่าเวลาทำงานของหนิงเส่าเฉินคือ 8 โมง

"คุณไม่ต้องไปทำงานเหรอ?" เธอผลักเขาเบาๆ

หนิงเส่าเฉินหลับตาแต่อันที่จริงเขาตื่นนานแล้ว เพียงแต่ร่างกายที่นุ่มนวลอ่อนโยนในอ้อมแขนเลยไม่เต็มใจที่จะตื่นขึ้นมาก็เท่านั้น

เหยียดแขนที่ยาวออกไปนำเย่หลินมาไว้ในอ้อมกอด "ตั้งแต่วันนั้นที่คุณจากไป ฉันก็ไม่เคยได้นอนหลับอย่างสนิทเลยสักครั้ง คุณมันร้ายกาจ"

เย่หลินนำแขนของเขาออกแล้วยิ้มมุมปาก "พูดไร้สาระ ก่อนหน้านี้คุณไม่เคยได้นอนหลับสนิทเลยเหรอ? แล้วจะมาโทษฉันได้อย่างไร……”พอพูดถึงประโยคสุดท้ายน้ำเสียงก็แผ่วเบาลง ในฉับพลันก็รู้สึกเจ็บปวดอยู่ในใจ

เดิมทีที่กำลังจะลุกขึ้นก็กลับลงไปอีกครั้ง มุดเข้าไปในอ้อมกอดของเขาแล้วพูดกระซิบเบาๆว่า : "ต่อจากนี้ไปฉันจะพยายามนอนเป็นเพื่อนคุณนะ"

ทั้งสองคนนอนอยู่สักพัก

โทรศัพท์หนิงเส่าเฉินก็ดังขึ้น

เขาลุกขึ้นนั่งหรี่ตามอง แล้วรับสายด้วยน้ำเสียงทุ้ม : "มีธุระอะไร?"

โทรศัพท์ปลายสายน่าจะเป็นเสียงของหลิวซู ฟังไม่ชัดว่าพูดอะไร

เย่หลินเห็นสีหน้าหนิงเส่าเฉินเคร่งขรึมขึ้นเล็กน้อย

วินาทีต่อมาเขาก็ลุกขึ้นสวมเสื้อผ้า

"เกิดเรื่องอะไรขึ้นใช่ไหม?" เย่หลินเงยหน้าขึ้นถามเขา

"อืม เรื่องที่บริษัท" หยุดไปชั่วขณะ เขาจึงก้มหน้ามามองเย่หลิน "คุณก็ลุกขึ้นเถอะ อาบน้ำแล้ว ฉันจะให้คนส่งอาหารเช้ามาให้ หลังจากที่คุณทานเสร็จ ประมาณ 11 โมง คุณลงไปรอฉันข้างล่าง ฉันจะพาคุณไปดูชุด แล้วก็พาคุณไปทานข้าวเที่ยง"

"ไม่ต้องหรอก เรื่องชุดฉันดูเองได้ คุณงานยุ่งขนาดนี้ไม่ต้องสนใจฉันหรอก" อันที่จริงหนิงเส่าเฉินไม่ต้องบอกเธอก็เข้าใจ บริษัทซีเอกซ์ไม่ได้ยิ่งใหญ่มาก เธอก็ยุ่งจนไม่มีเวลากินข้าวอยู่บ่อยๆ แล้วหนิงกรุ๊ปยิ่งใหญ่กว่าไม่รู้กี่เท่า เรื่องงานของหนิงเส่าเฉิน เมื่อวานก็พอจะเห็นอยู่ว่านอกจากทำเพื่อเธอแล้วทั้งวันก็คาดว่าไม่ได้ทำอะไรเลย

นิ้วเรียวยาวของหนิงเส่าเฉินบีบอยู่บนแก้มของเธอ "เรื่องของคุณเป็นเรื่องที่ใหญ่ที่สุดสำหรับฉันเสมอ"

เห็นอาหารเช้าตรงหน้าก็นึกถึงเมื่อหลายปีก่อน เธอเคยบอกกับเขาว่าตนเองชอบกินอะไร ผ่านไปหลายปีขนาดนี้แล้ว เขาก็ยังคงจำได้อย่างแม่นยำ

เย่หลินคิดว่าชาติที่แล้วตนเองต้องทำเรื่องดีๆไว้มากมายอย่างแน่นอน ชาตินี้ถึงได้หนิงเส่าเฉินมาเติมเต็ม

เริ่มต้นฤดูใบไม้ผลิของเมืองC ไม่ได้รู้สึกร้อนมีลมโชยมาเบาๆ แถมยังทำให้รู้สึกหนาวถึงกระดูก

แต่ด้วยอุณหภูมิที่อยู่ในใจ ฉะนั้นจึงเป็นครั้งแรกที่เย่หลินรู้สึกว่า ลมของเมืองนี้ช่างอ่อนโยนมาก

เธอก้มหน้าอยู่ ลมก็พัดเข้ามาที่หน้าผากของเธอ ไม่ต้องทำอะไรเลย ขณะนี้เธอได้กลายเป็นทัศนียภาพที่สวยงาม ผู้คนที่เดินผ่านไปมาก็ต้องหันกลับมามอง

หนิงเส่าเฉินนั่งอยู่ในรถ มองผู้หญิงคนนั้นผ่านกระจกด้านตรงข้ามแล้วเหมือนกำลังคิดอะไรอยู่

สี่ปี่มานี้ ผู้หญิงรอบๆตัวเขามีความสวยงามที่แตกต่างกัน ผู้หญิงประเภทไหนก็มีหมด แต่ไม่มีเพียงอย่างเดียวคือไม่สามารถทำให้เขาชายตามองได้

แต่ผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้าคนนี้ ไม่ว่าจะก่อนแต่งหน้าหรือหลังแต่งหน้า แค่มองครั้งเดียวก็ทำให้เขาเผลอใจลอยไปโดยไม่รู้ตัว

ในขณะนี้ จู่ๆเขาก็ไม่อยากให้ความร่วมมือกับการแสดงของเธอ อยากที่จะบอกให้คนทั้งโลกรู้อย่างภาคภูมิใจว่าเย่หลินเธอคนนี้ เป็นผู้หญิงของเขาหนิงเส่าเฉิน

"เย่หลิน?"

ได้ยินว่ามีคนเรียกเธอแล้วยังเป็นเสียงของผู้ชาย เย่หลินชะงักงันชั่วขณะก็หยุดฝีเท้าลง

หลังจากนั้นเธอก็ตกเข้าไปอยู่ในอ้อมกอดหนึ่ง กลิ่นกายที่คุ้นเคยฟุ้งกระจายออกมา

เธอเงยหน้าขึ้นแล้วยิ้ม "คุณมาแล้วเหรอ?"

รอยยิ้มที่สดใสเป็นประกายของเธอ ทำให้หนิงเส่าเฉินอดไม่ได้ที่จะก้มหน้าลงไปจูบบนหน้าผากของเธอ

ในฉับพลันเย่หลินก็รู้สึกได้ถึงใบหน้าที่ร้อนผ่าว ก็รีบผลักเขาออก "นี่มันบนถนนใหญ่นะ?"

ผู้ชายคนนี้น่าเบื่อจริงๆเลย ไม่สนใจใยดีอะไรทั้งนั้น

หนิงเส่าเฉินวางมือใหญ่ไว้ที่เอวของเธอ ยิ้มอย่างรักใคร่เอ็นดู "ขึ้นรถเถอะ"

เย่หลินจึงค้นพบว่า รถยนต์ของเขาจอดอยู่ห่างจากด้านหลังของตนเองไม่กี่ก้าว เพียงแค่เมื่อกี้เธอมองไม่เห็น

"คุณชอบทานอะไร กลางวันฉันจะไปทานเป็นเพื่อนคุณ" หลังจากขึ้นรถ เย่หลินก็กล่าวถามหนิงเส่าเฉิน

เห็นเขาติดเครื่อง แต่ไม่ขับออกไป มองมายังตนเองกัดริมฝีปากเล็กน้อย จึงขมวดคิ้ว ด้วยใบหน้าที่ไม่เข้าใจ

"ฉันถามคุณ ว่าชอบทานอะไร?" สีหน้าของเธอแดงระเรื่ออีกครั้ง

หนิงเส่าเฉินเลิกคิ้ว เปิดริมฝีปากบางๆเล็กน้อย: "ชอบทาน…..คุณ"

"คุณ…..ฉันถามคุณว่าชอบทานอาหารอะไร? คุณ….." การเผชิญหน้ากับคำพูดที่คลุมเครือแบบนี้ของหนิงเส่าเฉิน เย่หลินพบว่า เธอไม่มีกำลังที่จะรับมือจริงๆ

"พาคุณไปลองวัดชุดราตรีก่อน แล้วค่อยไปทานอาหารกลางวัน"

เย่หลินขมวดคิ้ว "เส่าเฉิน…..แบบนี้คุณจะเหนื่อยเกินไปหรือเปล่า" ถึงแม้ว่าจะประทับใจกับความละเอียดรอบคอบของเขาอย่างมาก แต่นึกถึงงานของเขาที่ปกติก็ยุ่งมากแบบนั้น เย่หลินก็อดตื้นตันใจไม่ได้

"ถ้าคุณรู้สึกขอบคุณ คืนนี้เลี้ยงฉลองให้ฉันสักหน่อย ก็พอแล้ว!" เขาเคลื่อนรถ ขับออกไปยังชานเมือง

"เลี้ยงข้าวคุณน่ะเหรอ?" นี่คือการตอบโต้ครั้งแรกของเย่หลิน

หนิงเส่าเฉินยิ้ม ไม่พูดจา

หนิงเส่าเฉินพาเธอไปยังคลับเฮาส์ส่วนตัวแห่งหนึ่ง

ชัดเจนว่าคนในคลับเฮาส์คุ้นเคยกับหนิงเส่าเฉินเป็นอย่างมาก

เห็นเขาจูงมือของเย่หลิน ต่างก็ตกใจ

ไม่ว่าเมืองC จะใหญ่แค่ไหน บุคคลที่มีอิทธิพลก็มีไม่กี่คน หนิงเส่าเฉินและเกาเหวินแต่งงานกัน เรื่องเหล่านี้พวกเขาต่างก็รู้ดี

แน่นอนว่า บางความคิด ทำได้เพียงเก็บไว้ในใจ ไม่มีใครกล้าแสดงออกมา

"คุณชายหนิง คุณต้องการอะไรไหม?" คนที่ท่าทางเป็นเถ้าแก่คนหนึ่งเดินออกมาจากด้านใน เห็นคุณชายหนิง ก็ก้มหน้าโค้งคำนับ

"วัดตัวให้เธอ แล้วเลือกชุด"

"ได้ๆ อย่างนั้น คุณชายหนิง คุณต้องการอะไรไหม?"

"ไม่ต้องแสดงจนเกินไป พยายาม….ทำให้ปกติหน่อย" ชายหนุ่มพ่นคำพูดสองสามคำออกมาอย่างนิ่งๆ

เม้มริมฝีปาก เย่หลินนำผมที่ข้างหูรวมไปไว้ด้านหลัง กระแอมเบาๆสองที ผู้ชายคนนี้……

ชัดเจนว่าเถ้าแก่ไม่เข้าใจความหมายของเขา ยืนอยู่ตรงนั้น โค้งตัวเล็กน้อย ไม่กล้ายืดตัวขึ้นมา

"สวัสดีค่ะ ทางด้านของพวกคุณ แค่เทียบกับรูปแบบทั่วๆไปได้ก็พอแล้วค่ะ" เมื่อเห็นว่าคนหวาดกลัวขนาดนี้ เย่หลินจึงเอ่ยปากอธิบายเล็กน้อย

เถ้าแก่คนนั้นมองไปยังเธออย่างซาบซึ้งใจ "ครับ คุณชายหนิง"

หนิงเส่าเฉินขมวดคิ้วขึ้น กวาดสายตาไป เถ้าแก่คนนั้นรีบโค้งตัวแล้วเดินออกไปทันที

"คุณอ่อนโยนกับคนอื่นสักหน่อยไม่ได้เหรอ?" หลังจากเถ้าแก่คนนั้นจากไป เย่หลินจึงกล่าวกระซิบที่ข้างๆเขา

"จำเป็นด้วยเหรอ?" เขาถามกลับด้วยสีหน้าเย็นชา

"แน่นอน คุณไม่เห็นเหรอว่าคนทุกคนเขาหวาดกลัวคุณ?" เย่หลินพูดความจริง นอกจากเพื่อนของเขาไม่กี่คนแล้ว ก็แทบจะทุกคนที่มองเห็นเขา ล้วนทำท่ากลัวจนตัวสั่น

หนิงเส่าเฉินลุกขึ้นยืน โอบเอวของเธออย่างเป็นธรรมชาติ เดินไปยังส่วนที่พักผ่อน "งั้นเหรอ? อย่างนั้นคุณก็ไม่ใช่คนน่ะสิ?"

"……" เย่หลินฟังออกถึงความหมายแฝงในคำพูด มือเล็กๆที่ขาวนวลหยิกลงไปที่เอวของเขา แต่ผู้ชายคนนั้นสีหน้าไม่เปลี่ยนแปลง เพียงแต่เลื่อนมือใหญ่ๆลงไปที่เอว กุมมือของเธอเอาไว้

หลังจากวัดตัวเสร็จ เย่หลินก็ถือโอกาสเลือกชุดราตรี

"หลังจากแก้ไขขนาดเสร็จ อีกสักครู่ส่งไปยังที่อยู่นั้นที่ฉันส่งให้คุณไว้นะ"

ต่อจากนั้น คนทั้งสองก็ออกจากคลับเฮาส์ หนิงเส่าเฉินพาเย่หลินไปทานอาหารเสฉวน แปลกใจอย่างมาก คาดไม่ถึงว่าเขาจะทานเผ็ด

หลังจากผ่านมานาน เย่หลินจึงรู้ว่า ในช่วงเวลาสี่ปีนั้น เขาไปทานอาหารเผ็ดคนเดียวบ่อยๆ เพียงเพื่อได้สัมผัสกับรสชาติที่เธอชอบ

บริเวณสี่แยก มองรถด้านนอกผ่านหน้าต่างรถ ทัศนียภาพโดยรอบชัดเจนว่าแปลกตาอย่างมาก เย่หลินไม่เข้าใจเล็กน้อย

"นี่เหมือนกับว่าจะไม่ใช่ทางไปโรงแรมนะ?"

หมอเจ้าของไข้ดึงเก้าอี้ให้หนิงเส่าเฉิน บอกใบ้ให้เขานั่งลง จากนั้นเขาก็ยืนอยู่ข้างๆ ขมวดคิ้วพูดว่า : "ในสมองของคุณนายหนิง ในตอนนั้นหลังจากที่ถูกรถชน ก็มีเลือดคั่งในสมองเล็กน้อยสลายออกไม่ได้ ฉะนั้น จึงไปกดทับเส้นประสาท จะทำในเรื่องที่ไม่สามารถควบคุมได้ คุณชายหนิง ถ้าต่อไป เธอทำอะไรที่รุนแรงเกินไป คุณก็เตรียมใจไว้ก่อนสักหน่อยนะ"

หนิงเส่าเฉินหรี่ๆตา หันกลับไปมองหมอในชุดคลุมสีขาวตรงหน้า ถามอย่างเรียบๆว่า : "รุนแรงเกินไป อย่างเช่นทำอะไร?"

เห็นได้ชัดว่าหมอตกตะลึงไป

หนิงเส่าเฉินกอดอก "คุณไม่ต้องกังวลหรอก ฉันก็แค่อยากจะทำความเข้าใจไว้ก่อน เช่นนี้จะรู้สถานการณ์ได้อย่างไร"

หมอพยักหน้า รีบยิ้มตาม : "คุณชายหนิงปฏิบัติกับคุณนายหนิงด้วยใจจริงๆ อืม เรื่องพฤติกรรมนี้ก็พูดยาก ก็อย่างเช่นทำร้ายคนอื่นโดยไม่ได้ตั้งใจ หรือไม่ก็ทำร้ายตนเองเป็นต้น……คุณชายหนิงคอยจับตาดูไว้หน่อยก็พอ เพียงแต่ว่าตอนนี้อาการของคุณนายหนิงยังนับว่าดีอยู่ ฉันก็แค่เตือนคุณชายหนิงไว้ก่อน"

หนิงเส่าเฉินพยักหน้า แล้วเข้าใจอย่างชัดเจน

นับถือความคิดที่รอบคอบของผู้หญิงคนนี้จริงๆ

ปูเส้นทางไว้อย่างดีแล้ว ทำร้ายคน? จะทำร้ายใคร? เย่หลินเหรอ? โรคประสาท? ไม่มีความผิด……หึหึ ความคิดปราดเปรื่องมาก

แต่ก็พูดตอบรับว่า "โอเค เช่นนั้นก็รบกวนคุณแล้ว'

ออกจากห้องทำงานของหมอ หนิงเส่าเฉินก็ไปหาเกาเหวินที่ห้องผู้ป่วย

"เส่าเฉิน คุณมาแล้วเหรอ?" บนหัวเธอพันด้วยผ้าพันแผลสีขาว

"หัวเป็นอย่างไรบ้าง?"

เกาเหวินส่ายหัว "ไม่เป็นไร วันนี้ตอนที่ป่วย เพราะไม่ทันได้ระวัง"

หนิงเส่าเฉินขมวดคิ้ว "อยู่ดีๆแล้วป่วยได้อย่างไร? ไปเจอเรื่องอะไรมาเหรอ?" หลายปีก่อนหน้านี้ เพียงแต่ผู้หญิงคนนี้เกิดอาการ ก็ต้องมีเรื่องเกิดขึ้น หนิงเส่าเฉินก็คิดเสมอว่ามันเกิดจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ ฉะนั้นจึงรู้สึกผิดกับเธอตลอดมา อะไรที่พยายามเปลี่ยนได้ก็เปลี่ยน สามารถทำตามเธอได้ก็จะทำตามเธอ

แต่ว่าตอนนี้ เขารู้สึกว่าตนเองทั้งฉลาดและสับสน

เกาเหวินรวบๆเสื้อเข้าหาตัว หลังจากนั้นเป็นเวลานาน เธอจึงค่อยๆพูดขึ้นว่า : "วันนี้ตอนเที่ยงได้เจอกับคุณเย่ท่านนั้น หน้าตาเธอคล้ายๆเสี่ยวซีนะ ไม่รู้ว่าคุณรู้สึกไหม?"

กระจกภายในห้องสะท้อนภาพด้านหลังของหนิงเส่าเฉิน สองมือเขาที่ล้วงกระเป๋าก็ค่อยๆออกแรงกำแน่นขึ้น "ใช่มีบ้าง เพียงแต่เคยตรวจสอบแล้ว ไม่มีความสัมพันธ์อะไรกัน"

เกาเหวินตกตะลึง ไม่มีความสัมพันธ์กันเหรอ? พ่อบอกชัดเจนแล้วว่าเป็นผู้หญิงคนนั้น เป็นไปได้อย่างไร ที่จะไม่มีความสัมพันธ์กัน? หรือว่า แค่คล้ายกัน? พ่อเข้าใจผิดเหรอ?

นึกถึงตรงนี้แล้ว ในใจก็โล่งอก

"เพราะเรื่องนี้ใช่ไหม?" หนิงเส่าเฉินสีหน้าเย็นชา จ้องมองเกาเหวิน

"ได้ยินมาว่า คุณให้ตลาดในต่างประเทศกับเธอเหรอ?" เมื่อถามประโยคนี้น้ำเสียงเกาเหวินก็สะอึกสะอื้น

หนิงเส่าเฉินลูบๆจมูก หันกลับไปมองเกาเหวินด้วยท่าทางที่ไม่สนใจไยดี "ผู้ชายเมื่ออยู่ข้างนอกมีโอกาสได้เล่นสนุกบ้างเป็นครั้งคราว ก็ย่อมต้องมีค่าใช้จ่าย คุณไม่ต้องคิดจริงจังเกินไปหรอก"

ความหมายคือเขากับเย่หลินเพียงแค่เล่นสนุกกันก็เท่านั้น การร่วมงานกับเธอก็แค่หลอกให้เธอดีใจก็เท่านั้นเอง

พูดจบก็โค้งตัวเข้าไปใกล้ๆเธอ แล้วพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มที่ได้ยินกันแค่สองคน "เรื่องบางเรื่อง ฉันไม่จำเป็นต้องอธิบายชัดเจน ฉันเชื่อว่าคุณก็สามารถเข้าใจได้ไม่ใช่เหรอ?"

พอยืดตัวตรง เขาก็เห็นใบหน้าที่ขาวผ่องของเกาเหวิน แดงระเรื่อ และแฝงไปด้วยความเขินอาย ท่าทีนั้น ถ้าไม่ได้ประสบพบเจอด้วยตนเอง ได้ยินด้วยหูของตนเอง เขาก็จนปัญญาที่จะเชื่อมโยงแผนการ ความอำมหิต และคำพูดไม่กี่คำของเธอเข้าด้วยกันได้

ตอนกลางคืน ในห้องโรงแรมระดับไฮเอนด์แห่งหนึ่ง

"คุณต้องระมัดระวังหน่อยนะ ฉันกลัวว่าเธอจะลงมือกับคุณ"

เย่หลินเอนตัวในอ้อมกอดของหนิงเส่าเฉิน นิ้วมือวาดวนไปมาที่หน้าอกของเขา "ลงมือ ฆ่าฉันน่ะเหรอ? หลังจากนั้นก็วินิจฉัยออกมาว่าเป็นโรคประสาท จึงพ้นจากความผิดใช่ไหม?"

หนิงเส่าเฉินคว้ามือของเธอ "เคยบอกกับคุณไหมว่า คุณฉลาดมากจริงๆ"

เย่หลินจ้องมองเขา "ประชดประชันฉันเหรอ? อยากจะนอนบนพื้นหรืออย่างไร?"

หนิงเส่าเฉินจูบที่หน้าผากของเธอเล็กน้อย "ฉันได้ยินหลิวซูบอกว่า พรุ่งนี้ตอนเย็นคุณต้องไปเข้าร่วมงานเลี้ยงแห่งหนึ่งเหรอ?"

เย่หลินพยักหน้า "ใช่ ในอนาคต ถ้าอยากมีการพัฒนาภายในประเทศ รู้จักคนให้มากหน่อย ก็จะเป็นข้อดี พอดีว่า พรุ่งนี้คุณน้าของคุณกลับมา ก็เลยติดตามเธอไปด้วย"

"คุณแข็งแกร่งแบบนี้ อย่างนั้นในอนาคตฉันคงต้องเกาะผู้หญิงกินแล้วล่ะ ว่าไหม?" ชายหนุ่มพูดพลาง มุดเข้าไปในอ้อมกอดของเธอ วัตถุประสงค์ชัดเจน

เย่หลินยื่นมือไปต่อต้านศีรษะของเขา พูดไม่ออกเล็กน้อย "หนิงเส่าเฉิน คุณยับยั้งชั่งใจหน่อยได้ไหม?"

"หรือว่าฉันยังยับยั้งชั่งใจไม่พอ? โดยเฉลี่ยสี่ปีมานี้ กี่เดือนถึงจะมีสักครั้งหนึ่ง"

เย่หลินพูดไม่ออกบอกไม่ถูก รู้สึกอยากจะฟาดผู้ชายคนนี้จริงๆ มีการคิดบัญชีแบบนี้ด้วยเหรอ?

"อย่างนั้น….อย่างนั้นคุณ เอ่อคือ….ก็ต้องทำตามมาตรการสักหน่อยไหม?" พูดพลาง ยื่นมือออกไป เปิดกระเป๋าที่อยู่บนเคาท์เตอร์หัวเตียง…..

หนิงเส่าเฉินเลิกคิ้วเล็กน้อย มองของที่เธอหยิบอยู่ในมือ ขมวดคิ้ว กัดที่ริมฝีปากของเธอ พูดด้วยเสียงเบาๆว่า: "คาดไม่ถึงว่าจะเตรียมติดตัวไว้ คุณเย่ หิวกระหายเกินไปหน่อยหรือเปล่า?"

เย่หลินมีปฏิกิริยาตอบสนอง ยกกำปั้นทุบไปที่แขนของเขา ใบหน้าแดงระเรื่อ "คุณอย่ามาคิดไร้สาระ ฉัน…..ฉัน….ก่อนหน้านี้ฉันไปซื้อของที่ซูเปอร์มาร์เก็ต ก็เลยถือโอกาสซื้อมาด้วย" สวรรค์รู้ดี ว่าเธอซื่อของแบบนี้เป็นครั้งแรก จึงเขินอายอย่างมาก คาดไม่ถึงว่าผู้ชายคนนี้จะหัวเราะเยาะเธอ

หนิงเส่าเฉินจูบลงบนใบหน้าของเธอ แล้วจึงกล่าวกระซิบว่า: "พวกเรามีลูกกันอีกสักคน หลังจากนั้นฉันก็ไปทำหมัน เป็นยังไง?"

ได้ยินคำพูด เย่หลินก็ยิ้มมุมปาก "คุณ….คุณจะไปทำหมันเหรอ?" ต่อจากนั้นก็เงยหน้าขึ้น กลั้นหัวเราะ ทันใดนั้นก็กล่าวถามอย่างจริงจังว่า "ผู้ชายที่ทำหมันแล้ว ทางด้านนั้น…..จะมีผลกระทบไหม?"

ชายหนุ่มตอบสนองอย่างรวดเร็ว ตอบกลับอย่างจริงจังว่า: "ไม่มี ฉันเคยขอคำปรึกษามาแล้ว"

"ฮ่าๆๆๆ…..หนิงเส่าเฉิน คาดไม่ถึงว่าคุณจะเคยขอคำปรึกษา…..ฮ่าๆ….."

เธอหัวเราะตัวโยน ชายหนุ่มถูกเธอหัวเราะจนเอามือกุมหน้าผาก ใบหน้าเย็นชา ฝ่ามือใหญ่ๆเลื่อนลงไปที่หน้าท้องของเธอ "คุณแน่ใจนะว่าจะยังหัวเราะอยู่?"

ความร้อนแพร่เข้ามาที่หน้าท้อง ทำให้เย่หลินหุบปากในทันที หันตัวกลับ ปิดไฟ "อย่างนั้นก็ นอนๆ"

"ฉันไม่อยากให้ซ้ำรอยเดิมกับเรื่องของหนิงเสี่ยวซีอีก ฉันจะให้คุณกำเนิดลูกอีกคนหนึ่ง เย่หลิน นั่นเพราะว่าลูกสองคนที่คุณให้กำเนิด ฉันล้วนไม่ได้ดูแลคุณอย่างแท้จริง ฉันรู้สึกละอายใจต่อคุณ"

ร่างกายของเย่หลินหยุดชะงัก ผ่านไปครู่หนึ่ง ดูเหมือนว่าเธอจะตัดสินใจครั้งใหญ่

หันตัวกลับมา มองไปยังชายหนุ่มแล้วเข้าใกล้เล็กน้อย มือทั้งสองลูบไล้คอของเขา ขาที่เรียวยาวขาวหมดจดงดงาม พลิกตัวกลับ กดอยู่บนร่างกายของชายหนุ่ม "โอเค อย่างนั้นคืนนี้ฉันอยู่ด้านบน"

เห็นได้ชัดเจนว่าการกระทำนี้ของเธอ ทำให้ชายหนุ่มมีความสุข ในสายตา แดงฉานในชั่วพริบตา ลมหายใจก็ถี่ขึ้นมาอย่างมาก

หนิงเส่าเฉินเป็นผู้ชายที่มีฐานะสูงส่งคนหนึ่ง นั้นคือคนที่ยืนอยู่จุดสูงสุด แต่กลับทำสิ่งเหล่านี้เพื่อฉัน

"สิ่งที่คุณและเสี่ยวซีพูดในวันนั้น ฉันได้ยินแล้ว" ชายคนนั้นดึงเธอเข้ามาแล้วจูบที่หน้าผาก "จำไว้นะ โปรดเชื่อฉัน ฉันจะไม่ทำผิดต่อคุณ"

ในตอนแรกเย่หลินตกใจ เธอเคยพูดอะไรกับหนิงเสี่ยวซี? เดินเที่ยวห้างครั้งนั้น? คาดไม่ถึง เมื่อเธอได้สติกลับมา เธอก็มองหนิงเส่าเฉินอย่างตื่นเต้นเล็กน้อย "คุณ……เวลานั้นคุณ……ก็……"

หนิงเส่าเฉินดึงเธอลุกขึ้นยืน แล้วโอบกอดไว้ "ใช่ เวลานั้น ก็เลยรู้สึกหวั่นไหวกับคุณ"

เย่หลินกัดริมฝีปาก แต่ในใจมีความสุขอย่างมาก

ผู้ชายคนนี้ ทำให้เธอรู้สึกประทับใจมากเกินไปแล้วจริงๆ

เขาคิดว่าตอนนี้เกาเหวินยังอยู่อย่างแน่นอน ฉะนั้นเขาจึงใช้อีกวิธีหนึ่ง เพื่อมาพิสูจน์กับเธอ

เธอปลื้มอกปลื้มใจอย่างมาก สำหรับเธอแล้ววิธีที่ทำอย่างนี้ มันห่างไกลกว่างานแต่งในสากลโลกอีก แต่พิธีการที่มีกลอุบายนี้ ยิ่งทำให้เธอประทับใจ

"โอเค คุณภรรยา จะตอบรับได้แล้วหรือยัง ว่าเต็มใจให้ฉันดูแลไปตลอดชีวิตหรือไม่?"

เย่หลินพยักหน้า ตลอดการพยักหน้าน้ำตาก็ไหลออกมา

จากนั้นทั้งสองก็กอดกันเป็นเวลานานที่หน้าหลุมศพของแม่เย่ จนกระทั่งพระอาทิตย์ตกดิน หนิงเส่าเฉินจึงจูงมือเย่หลิน "ไปกันเถอะ จะพาคุณไปทานอะไรสักหน่อย"

เย่หลินพยักหน้า ตลอดเส้นทาง ทั้งสองคนกินแค่ซาลาเปา เวลานี้พูดได้ว่า ท้องก็รู้สึกหิวจริงๆ

เมื่อพวกเขาออกไปนอกสุสาน ก็เห็นหลิวซูอยู่ไกลๆ

เมื่อเดินเข้าไปใกล้ หนิงเส่าเฉินก็ชำเลืองมองหลิวซู : "ทำไมถึงวิ่งมา? มีธุระอะไร?"

เย่หลินมองหลิวซู ในแววตามีรอยยิ้ม ยื่นมือออกไปที่หลิวซู "ขอบคุณนะที่หลายปีมานี้คุณอยู่ข้างๆเส่าเฉิน และดูแลเขาแทนฉัน"

เพราะครั้งที่แล้วหลิวซูอารมณ์เสียใส่เธอที่ห้องทำงาน เลยทำตัวไม่ถูกเล็กน้อย เห็นเธอเริ่มกล่าวทักทายเลยยื่นมือซ้ายออกไป เพียงแค่มีผู้ชายบางคนมองเขาด้วยสายตาน่ากลัว เลยรีบหดกลับ

"มีธุระอะไร?" ตอนที่มา เขาบอกการเดินทางในช่วงบ่ายกับหลิวซูแล้ว หากไม่มีเรื่องอะไรเขาก็ไม่วิ่งมาที่นี่หรอก

หลิวซูมองเย่หลิน ในชั่วขณะก็ยากที่จะเอ่ยปาก

เย่หลินเข้าใจได้ จึงทำท่าจะปล่อยแขนของหนิงเส่าเฉิน แต่ก็ถูกเขาดึงไว้แล้วมองไปที่หลิวซู "พูดมาเถอะ"

"โทรหาคุณ คุณก็ไม่รับสาย เกาเหวินเข้าโรงพยาบาลอีกแล้ว"

เกาเหวินเข้าโรงพยาบาลอีกแล้วเหรอ? เย่หลินไม่เข้าใจ เธอเงยหน้าขึ้นมองหนิงเส่าเฉิน

"คุ้มค่าแล้วใช่ไหมที่คุณวิ่งมาไกลขนาดนี้?" สีหน้าหนิงเส่าเฉินเรียบเฉยไร้อารมณ์อย่างมาก

ทันใดนั้นหลิวซูก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ

ใช่สิ เขาลืมไปได้อย่างไร ตอนนี้ธาตุแท้ของเกาเหวินคนนั้นถูกหนิงเส่าเฉินรู้แล้ว อย่าว่าแต่เข้าโรงพยาบาลเลย ต่อให้เกิดอุบัติเหตุรถชนอีกครั้ง หนิงเส่าเฉินก็จะไม่สนใจไยดีอีกแล้วใช่ไหม?

"ทำไมเธอถึงเข้าโรงพยาบาล?"

ทั้งสามคนพูดคุยกันแล้วก็ขึ้นรถ หลิวซูเป็นคนขับ

พวกเขาสองคนนั่งด้านหลัง

"หลังจากเธอโดนรถชนก็มีโรคตามมา บางครั้งก็ดูเหมือนจะมีปัญหาเล็กน้อย หมอบอกว่าเธอมีอาการทางจิต" หนิงเส่าเฉินชี้ๆไปที่หัว

เกาเหวิน มีอาการทางจิต? เป็นเพราะถูกรถชน?

"เธอมีอาการอย่างไรบ้าง?"

"มีอยู่ครั้งหนึ่งฉันพบว่าเธอกัดอะไรบางอย่างอยู่ในห้องของตนเอง ฉันก็เลยพาเธอไปตรวจดู" ครั้งนั้นหนิงเส่าเฉินจำได้ว่า เขาดื่มเหล้าหนักมาแล้วไม่ได้กลับบ้านทั้งคืน ตอนเช้าแม่นมหลิวก็โทรหาเขา หลังจากที่เขากลับไป ก็เห็นในห้องเธอเละเทะไปหมด เธอนั่งฉีกเสื้อผ้าตนเองอยู่ที่พื้น ท่าทางนั้นยังคงฝังอยู่ในความทรงจำเขา หมอบอกว่าเกิดจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ หลังจากนั้น ต้องรอให้ดึกเขาถึงค่อยกลับไปนอน

เย่หลินหัวเราะเยาะ อุบัติเหตุทางรถยนต์ อุบัติเหตุทางรถยนต์อีกแล้วเหรอ? อนาคตของผู้หญิงคนนี้ เมื่อมีตรงไหนที่ไม่ดี ก็ล้วนโทษอุบัติเหตุทางรถยนต์ อย่างนี้ หนิงเส่าเฉินก็จะต้องรู้สึกผิดกับเธอต่อไปโดยไม่มีเหตุผลอย่างนั้นเหรอ?

"คุณ…..รู้อะไรมาใช่ไหม?" หนิงเส่าเฉินรู้สึกว่าปฏิกิริยาของเย่หลินแปลกเล็กน้อย จึงกล่าวถาม

เย่หลินสูดลมหายใจเข้าลึก มองหนิงเส่าเฉิน "ครั้งนั้นที่หนิงเสี่ยวซีเกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์ คุณยังจำได้ไหม? วันนั้น บริษัทของพวกเรามีการประกวดนางแบบ วันนั้น คุณก็ไป ยังจำได้ไหม?"

หนิงเส่าเฉินขมวดคิ้ว เรื่องที่หนิงเสี่ยวซีเกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์นั้น เขาจำได้ ในตอนนั้นเย่หลินเข้าใจผิด จนเป็นลมไป ส่วนการประกวด เขาก็จำได้เพียงเล็กน้อย

"แล้วยังไงต่อ?"

"หลังจากนั้น เธอก็เชิญคุณไปเข้าร่วมงานเลี้ยงกับเพื่อนร่วมงานในตอนเย็น คุณไม่เห็นด้วยไม่ใช่เหรอ?"

"เรื่องนี้ คุณ…..รู้ได้อย่างไร?"

"ในตอนนั้น ฉันหลบอยู่ด้านหลังประตู" เย่หลินกล่าวกระซิบ ต่อจากนั้น ก็กล่าวว่า: "ภายหลัง คุณออกไปแล้ว ฉันก็เห็นเธอหยิบตุ๊กตาผ้าตัวหนึ่งจากในกระเป๋า เธอใช้ปากนั้น กัดหัวตุ๊กตาตัวนั้นจนขาด ท่าทางนั้น ดูท่ากลัวเกินไปจริงๆ" พูดถึงตรงนี้ เย่หลินก็อดไม่ได้ที่จะตัวสั่นเล็กน้อย หนิงเส่าเฉินนำเธอมาโอบไว้แน่นในอ้อมกอด "ดังนั้น ก็คือเธอโกหกคุณ ถึงแม้ว่าเธอจะป่วย ก็ไม่ใช่เพราะอุบัติเหตุทางรถยนต์นั่น"

พูดถึงตรงนี้ เธอก็นำนิ้วจิ้มไปที่เอวของหนิงเส่าเฉินเล็กน้อย "คุณว่า คุณเป็นคนฉลาดขนาดนี้ ทำไมเจอปัญหาของเธอ แล้วถึงโง่แบบนี้นะ?"

มือใหญ่ๆของหนิงเส่าเฉินกุมมือของเธอ จูบลงไปที่ปากเล็กน้อย แต่สีหน้าไม่น่าดูอย่างชัดเจน

"เรื่องนี้ ทำไมคุณไม่เคยเอ่ยกับฉันเลยล่ะ?"

เย่หลินพูดอึกๆอักๆว่า: "เวลานั้น ฉันคิดว่า สถานการณ์ในขณะนั้น จะพูดกล่าวร้ายเธอต่อหน้าคุณ ก็คงจะดูเลวทรามต่ำช้า กลัวว่าคุณจะเข้าใจฉันผิด แล้วก็กลัวว่าคุณจะไม่เชื่อ ถึงอย่างไร เธอก็เคยช่วยชีวิตคุณ เรื่องบางเรื่องก็อาจจะมีอคติเกินไป อีกอย่าง ฉันก็คาดว่าคนที่เคยเห็นฉากนี้ ไม่ใช่เพียงแค่ฉัน แต่ยังมีหนิงเสี่ยวซีด้วย" ถึงแม้หนิงเสี่ยวซีจะไม่ได้พูด แต่เธอก็คาดว่าเขาก็จะต้องเคยเห็นเกาเหวินทำเรื่องอะไรอย่างแน่นอน ไม่เช่นนั้น ท่าทีของเกาเหวินที่คล้อยตามเขามาโดยตลอด ก็ไม่น่ามีเหตุผล ที่ทำให้เขาเรียกเธอว่าโสเภณี

สายตาของหนิงเส่าเฉินมืดมน ชัดเจนว่าแปลกใจเล็กน้อย

ใช่ จริงๆความเข้าใจของเขาที่มีต่อเกาเหวิน หลังจากที่เธอเคยช่วยชีวิตตนเอง ในสมองเขาก็คิดว่าเธอ"มีจิตใจที่ดีงาม"

ภายในใจ ก็รู้สึกว่าเด็กคนหนึ่งที่อายุแปดเก้าขวบ สามารถกระทำเรื่องราวแบบนั้นได้ ธาตุแท้ภายในใจ ก็ต้องมีจิตใจที่ดีงามโดยสันดานเดิมแน่ๆ ดังนั้น หลายปีต่อมา ได้พบปัญหาของเธอ เขาจึงไม่ได้ไปมองวิเคราะห์ปัญหาอย่างเป็นกลางจริงๆ

ตอนนี้ คิดๆดูแล้ว ก็น่ากลัวจริงๆ

"อีกสักครู่ คุณต้องไปเยี่ยมเธอที่โรงพยาบาลใช่ไหม?" เธอยังไม่ได้ทำอะไรกับเธอเลยนะ? ถ้าทำให้เกมนี้จบสิ้นแล้ว เธอก็ได้เปรียบไม่ใช่เหรอ?

หนิงเส่าเฉินลดสายตาลง มองเย่หลิน "ไม่เช่นนั้น เรื่องนี้ ต่อไปคุณก็ไม่ต้องเข้าร่วม มอบให้ฉันทำโอเคไหม? ฉันเป็นห่วง……" เขาเป็นห่วงว่า เธอจะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเกาเหวิน

เมื่อคนคนหนึ่งไม่รู้จักบาปบุญคุณโทษ ก็ยากที่จะรับมือ

เย่หลินนั่งตัวตรง ส่ายหน้า "ไม่ได้ เรื่องนี้ ไม่มีทางเจรจากันได้ คุณรู้ไหม? ครั้งนั้นที่พวกเราไปช่วยพี่ชายเธอ ฉันหกล้มที่ราวบันได พวกคุณต่างก็ดึงฉัน แต่เธอกำลังผลักฉัน เส่าเฉิน เธอมีจิตใจที่คิดจะฆ่าฉัน"

หนิงเส่าเฉินยิ่งตกตะลึง "ทำไมเรื่องเหล่านี้ ก่อนหน้านี้คุณไม่พูดเลยล่ะ? ถ้าก่อนที่จะเกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์ คุณบอกกับฉัน บางที….." คำพูดที่เหลือ หนิงเส่าเฉินไม่ได้พูดต่ออีก เรื่องราวผ่านไปแล้ว จะพูดเรื่องเหล่านี้อีก ก็ไม่มีประโยชน์ เพียงแต่ เย่หลินของเขา เป็นคนที่ใจกว้างมากจริงๆ

หลังจากที่เกาเหวินทำแบบนั้นกับเธอ คาดไม่ถึงว่าเธอยังสามารถรู้สึกผิดต่อเธอ และละทิ้งความสุขของตัวเองได้อีก

จิตใจที่ดีงามนี้ ทำให้เขายิ่งรักอย่างสุดหัวใจ

เมืองC โรงพยาบาลแห่งหนึ่ง

แพทย์ที่รับผิดชอบอาการป่วยของเกาเหวิน เห็นหนิงเส่าเฉินเข้ามา ก็รีบเข้าไปต้อนรับ

"คุณชายหนิง คุณมาแล้ว"

หนิงเส่าเฉินพยักหน้า "อาการเป็นยังไง?"

"คุณมาตั้งแต่เมื่อไหร่?" หนิงเส่าเฉินพูดแบบนี้ เห็นได้ชัดว่าเขามาก่อนนานแล้ว

"ช้ากว่าเธอนิดหน่อย" พูดแล้วก็ยกถ้วยกาแฟของเธอ เตรียมจะดื่ม เย่หลินก็รีบพูดว่า "อันนั้นฉันดื่มไปแล้ว"

หนิงเส่าเฉินมอง แล้วหัวเราะๆ "เราต้องแบ่งแยกกันด้วยเหรอ?" แล้วก็ยกขึ้นมาจิบหนึ่งที

"คุณรู้สึกว่าฉันชั่วมากเลยใช่ไหม?" เย่หลินเอ่ยถามอย่างระมัดระวัง จ้องมองหนิงเส่าเฉิน กลัวจะพลาดการแสดงออกเล็กๆน้อยๆของเขาไป

หนิงเส่าเฉินยื่นมือออกมานิ้วเรียวยาวบีบเบาๆบนหน้าของเธอ "ชั่วหรือไม่ ต้องดูว่าเป็นใคร? อีกทั้งความดีความชั่วก็แบ่งแยกกันชัดเจน จึงจะตีความจิตใจของมนุษย์ได้ถูกต้องที่สุด"

เย่หลินตกตะลึง ในทันทีก็เข้าใจความหมายของหนิงเส่าเฉิน

ใช่แล้ว ระหว่างมนุษย์กับมนุษย์ เพียงแค่เอาใจเขามาใส่ใจเรา มีคนปฏิบัติดีต่อฉัน ฉันก็ดีตอบโดยไม่ขาดตกบกพร่อง ก็เพียงพอแล้ว

เกาเหวินยั่วโมโหเธอ เธอไม่โต้ตอบกลับ เช่นนั้นไม่ใช่จิตใจดีงาม นั่นคือโง่

ท้ายที่สุดยังสามารถเกี่ยวข้องกับคนที่รักเธอด้วย

"ไปกันเถอะ จะพาคุณไปที่ที่หนึ่ง"

ในร้านกาแฟเวลานี้มีคนนั่งเต็มแล้ว มองมือที่ถูกจูงด้วยหนิงเส่าเฉิน ก็เงยหน้ามองผู้ชายตรงหน้าอีกครั้ง เย่หลินสูดหายใจเข้าลึกๆ ใจสั่นไหวเล็กน้อยรู้สึกมีความสุข แตกต่างจากการทำลับๆล่อๆก่อนหน้านี้ เวลานี้เธอเปิดเผยอย่างมาก

จากนี้ต่อไป ในสายตาของเธอ ผู้ชายคนนี้คือพ่อของลูกเธอ อยู่กับเธอไปชั่วชีวิต

เพื่อเขาแล้ว สำหรับเกาเหวินนั้นเธอจะไม่ยอมแพ้ให้อีกต่อไป

คิดแบบนี้แล้ว นิ้วมือของเธอก็จับไว้แน่นยิ่งขึ้น

ด้วยอารมณ์บนใบหน้าที่ดูเคร่งขรึม สายตาหนิงเส่าเฉินก็ก้มลงไปมองมือของผู้หญิงคนนั้น เป็นเพราะออกแรงมากทำให้ปลายนิ้วซีดขาวเล็กน้อย

"ดูเหมือนว่า จะไม่ปล่อยมืออีกแล้วใช่ไหม?" เขาพูดอย่างมีความหมาย

"อืม!" แววตาเธอมุ่งมั่น พยักหน้า

ความสุขที่ยากจะบรรยายวิ่งวนอยู่ในหัวใจ หนิงเส่าเฉินที่รูปร่างสูงใหญ่โน้มตัวลงไป จูบเบาๆที่หน้าผากของเธอ ริมฝีปากบางๆร้อนผ่าว : "เย่หลิน……”

ใบหน้าเย่หลินก็แดงระเรื่อขึ้นมา

มาที่รถ เห็นเย่หลินเตรียมจะนั่งด้านหลัง หนิงเส่าเฉินก็ขมวดคิ้ว ริมฝีปากบางๆก็พูดขึ้นว่า : "นั่งข้างหน้าเถอะ ทางค่อนข้างไกล นั่งขับรถคนเดียวมันเหงา"

"ทำไมไม่เรียกคนขับรถ?"

"อยากอยู่กับคุณตามลำพัง" เขาตอบกลับอย่างเป็นปกติมาก

สองแก้มเย่หลินร้อนผ่าวเล็กน้อย แต่ว่าก็ยังเดินไปนั่งที่นั่งข้างคนขับอย่างเชื่อฟัง

หลังจากที่รถขับออกไป หนิงเส่าเฉินก็ยื่นมือมาจับมือเธอ นิ้วประสานกันวางอยู่บนตักของตนเอง

"คุณ……คุณขับรถดีๆ" เย่หลินจะดึงมือกลับ

"ถ้าคุณยังซุกซนอีก ฉันก็ไม่มีกะจิตกะใจจะขับรถแล้วนะ" ประโยคนี้ทำให้ฝ่ามือเย่หลินเต็มไปด้วยเหงื่ออย่างรวดเร็ว ใบหน้าแดงก่ำ

"นอนพักก่อนเถอะ ถึงแล้วฉันจะเรียก"

"ไม่ต้องหรอก ให้ฉันคุยเป็นเพื่อนคุณเถอะ" เย่หลินส่ายหัว ได้ไปมาหาสู่กับเขาอย่างนี้อีกครั้ง เธออยากจะทะนุถนอมมันไว้ เป็นธรรมดาที่จะหลับไม่ลง

ในตลอดเส้นทาง ทั้งสองคนแทบจะพูดคุยไม่ได้หยุด

เย่หลินพบว่าหนิงเส่าเฉินมีความรู้มากมายจริงๆ จึงเข้าใจได้ว่าที่เด็กสองคนมีไอคิวสูง คาดว่าน่าจะเหมือนเขา จะบอกว่าเขาด้านบนรอบรู้เรื่องดาราศาสตร์ ด้านล่างรอบรู้เรื่องภูมิศาสตร์ ก็ไม่มากเกินไป

อีกทั้ง เธอพบว่า หนิงเส่าเฉินไม่ได้พูดมาก แต่ทุกๆคำ สามารถโจมตีประเด็นสำคัญได้โดยตรง ละเอียดลึกซึ้งมีอำนาจ

ไม่น่าแปลกใจเลย ที่อายุยังน้อย แต่สามารถประสบความสำเร็จได้เช่นนี้ ไม่ใช่เรื่องเท็จเลย

เมื่อรถเดินทางมาประมาณสองชั่วโมงกว่า

เห็นทิวทัศน์ด้านหน้าที่ยิ่งคุ้นตา เย่หลินก็อดไม่ได้ที่จะเบิกตาโต

นี่คือทางที่ไปสุสานของแม่

"คุณ…..คุณรู้ได้อย่างไร?" หลังจากได้พบกันครั้งนี้ เธอก็ไม่เคยพูดเรื่องของแม่กับหนิงเส่าเฉินเลย หนึ่งคือมีเวลาน้อย สองคือ ความเกี่ยวข้องเบื้องหลังของแม่มากเกินไป เธอยังจัดการได้ไม่ชัดเจน เลยไม่รู้ว่าจะบอกกับหนิงเส่าเฉินอย่างไร

"ฉันถามหยูจี้ เขาเคยมากับคุณครั้งหนึ่ง

เย่หลินก็ยิ่งตกใจ เธอจำไม่ได้ว่าเคยพาชูหยูจี้มาที่นี่ด้วยเหรอ? ทันทีในสมองก็ปรากฏแวบเข้ามา หลังกลับมาจากเมืองH ครั้งนั้น ที่เมืองW จู่ๆชูหยูจี้ก็พบเจอเรื่องที่เกี่ยวข้องกับฮั่นยิ่งเฮาคนนั้น การพบเจอครั้งนั้น เขาก็ติดตามเธอไปตลอดทางเลยใช่ไหม?

ดังนั้น จึงสามารถปรากฏตัวในเวลากะทันหันได้?

ชั่วขณะ รอบดวงตาก็แดงก่ำ

อดไม่ได้ที่จะกุมมือเธอเอาไว้แน่น ได้ยินหนิงเส่าเฉินเอ่ยปากว่า: "คุณแน่ใจแล้วเหรอว่าต่อหน้าฉัน คุณจะเสียน้ำตาเพื่อผู้ชายอีกคนหนึ่ง?"

เย่หลินสูดลมหายใจเข้าจมูก หลบสายตาลง "ฉันติดหนี้เขาอย่างมาก"

"ต่อจากนี้ไป พวกเราจะชดใช้คืนด้วยกัน"

"อื้ม"

สี่ปีนี้ที่จากไป ระหว่างปีนั้นได้มาเยี่ยมหนิงเส่าเฉิน เย่หลินเคยกลับมาครั้งหนึ่ง แต่ก็ไม่เคยมาเยี่ยมแม่เลย คิดๆแล้ว ก็หลายปีมาแล้ว

เพียงแต่ แปลกใจอย่างมาก ชัดเจนมากว่าหลุมศพของเธอเคยมีคนมา

เธอหันหน้ากลับ มองหนิงเส่าเฉินอย่างไม่เข้าใจ "ก่อนหน้านี้คุณเคยมาเหรอ?"

หนิงเส่าเฉินส่ายหน้า "เปล่า ฉันก็เพิ่งถามหยูจี้เมื่อวาน ทำไมเหรอ?"

เย่หลินเดินเข้าไป นิ้วมือที่เรียวยาว เปลี่ยนกระถางดอกไม้นั้นอย่างละเอียดงดงาม ดอกไม้สด กิ่งก้านใบไม้ที่อยู่ด้านบน เหี่ยวเฉาไปนานแล้ว ดอกไม้ในกระถางดอกไม้ คือดอกบัว? ทันทีสายตาของเธอก็เข้มงวด เกาะเหลียนอู้?

เธอนึกถึงทหารรับจ้างคนนั้นที่ได้ฟังจากปากคุณน้า? คือเขาอย่างนั้นเหรอ?

คิดแล้วว่า มีบางคนเคยมาเยี่ยมแม่ อดไม่ได้ที่จะหายใจออกในรวดเดียว เงยหน้ามองหนิงเส่าเฉินแล้วกล่าวว่า: "เมื่อแม่ตายไปแล้ว นอกจากเพื่อนบ้านที่อยู่ติดกัน ก็ไม่มีใครรู้ว่าฉันนำแม่มาไว้ที่นี่ แต่….." เธอมองกระถางดอกไม้นั้น แล้วบนพื้นยังมีอีกสองอัน

"แต่นี่ไม่ใช่สไตล์ของเขา คุณลุงจะไม่ใช้กระถางดอกไม้ที่ราคาแพงแบบนี้ เพราะเขาเคยบอกเอาไว้ว่า ดอกไม้จะมีราคาแพง ไม่ได้ขึ้นอยู่กับกระถาง?"

หนิงเส่าเฉินพยักหน้า มือใหญ่ๆลูบเบาๆที่หลังของเธอ ต่อจากนั้น ก็ดึงเธอ ไปคุกเข่าลงตรงรูปภาพของแม่เย่

เย่หลินตกใจ "คุณ….นี่คุณ….จะทำอะไร?"

หนิงเส่าเฉินมองเธอ แล้วหันสายตากลับ มองไปบนป้ายศิลาที่สลักชื่อคนตาย เขาเอ่ยปากว่า: "แม่ครับ ฉันชื่อหนิงเส่าเฉิน ไม่ว่าเวลานั้น เพราะเหตุใดคุณถึงเลือกให้เย่หลินให้กำเนิดเสี่ยวซี วันนี้ ฉันต้องขอบคุณ คุณ ขอบคุณที่คุณสามารถพาเธอมาอยู่ข้างกายฉัน ให้เธอเดินเข้ามาใกล้ในชีวิตของฉัน"

เขาหยุดลงชั่วขณะ หันกลับไปมองเย่หลิน สบตากัน เขากล่าวต่อไปว่า: "ฉันให้สัญญากับคุณ วันข้างหน้า ไม่ว่าจะเกิดแก่เจ็บตาย จะยากจนหรือร่ำรวย ฉันหนิงเส่าเฉินจะรักและทะนุถนอมเธอ ปกป้องเธอ ตลอดชั่วชีวิต ไม่แยกจากไม่ทอดทิ้ง หากฉันไม่ปฏิบัติตามคำสัญญานี้ ขอให้ฉัน….."

หัวใจเย่หลินเต้นอย่างรุนแรง ขมวดคิ้วแน่น มือข้างหนึ่งที่ว่างอยู่ ปิดปากของเขา ดวงตาของเธอแดงก่ำ ดึงฉุดหนิงเส่าเฉิน "นี่คุณทำอะไรเนี่ย?"

แต่ในใจก็ซาบซึ้งอย่างมาก

ตลอดชีวิตคู่ มีเรื่องราวที่คนจำนวนมากคาดหวัง แต่จะมีสักกี่คนที่ทำให้เป็นจริงได้?

เย่หลินหัวเราะ นิ้วเรียวยาวลูบขอบถ้วยชา แล้วค่อยๆเอ่ยว่า : "อืม นี่ฉันรู้แล้ว เพียงแต่ตามที่ฉันเข้าใจ บริษัทSMในต่างประเทศ ความสามารถทางธุรกิจจริงๆแล้วก็ไม่ค่อยเท่าไหร่ใช่ไหม? นายแบบนางแบบและนักแสดงมากมายภายใต้การบริหารของหนิงกรุ๊ป ก็บ่นเกี่ยวกับ SM เยอะมาก ต้องแอบพากันไปหาช่างแต่งหน้าข้างนอก เช่นนี้ หึ……คุณนายหน้งจะไม่เคยได้ยินมาบ้างเลยเหรอ?"

พูดจบเธอก็หยิบทิชชูขึ้นมาเช็ดมุมปาก เอนหลังพิงแล้วกอดอก "แต่บริษัทซีเอกซ์ของเรา อยู่ทางด้านนั้นก็ได้รับคำสรรเสริญอย่างมาก บริษัทภาพยนตร์และโทรทัศน์หลายแห่งแย่งชิงที่จะมาร่วมมือ ความร่วมมือของเรากับหนิงกรุ๊ป ก็เป็นบริษัทของคุณที่เสนอมา ไม่ใช่ความคิดริเริ่มของฉัน"

จุดจุดนี้ ที่เธอพูดก็เป็นความจริง ถึงแม้ว่าหนิงเส่าเฉินจะไม่ได้เอ่ยออกมาเอง แต่เธอก็ถูกหนิงเส่าเฉินเตือนสติ เขาบอกเธอว่า จะตีงูต้องตีที่จุดสำคัญ สำหรับผู้หญิงคนหนึ่ง นอกจากครอบครัวของฝ่ายชายจะสำคัญแล้ว การงานก็ต้องสำคัญด้วย

เพียงแต่เธอได้แต่พายเรือตามน้ำก็เท่านั้น

สีหน้าเกาเหวินเปลี่ยนไปมาก การแสดงออกของผู้หญิงคนนี้ เห็นได้ชัดว่าไม่ได้พูดโกหก ในใจก็โกรธหนิงเส่าเฉินเล็กน้อย เรื่องใหญ่ขนาดนี้คาดไม่ถึงว่าจะไม่ปรึกษาเธอเลย

โกรธที่เขาให้ความสำคัญกับผู้หญิงคนนี้

แต่บริษัทซีเอกซ์นั้น อันที่จริงสองปีมานี้ก็แซงหน้าบริษัทSMไปหลายขั้น นักแสดงหลายคนที่เซ็นต์สัญญากับพวกเขา กล่าวกันว่า ก็แอบไปหาซีเอกซ์ทางด้านนั้น

ถึงแม้ก้นบึ้งหัวใจจะไม่ยอมรับ เขาก็ต้องยอมรับ

ในฉับพลันเธอเหมือนจะนึกอะไรออก เลยมองพิจารณาเย่หลิน "หนิงกรุ๊ปจะร่วมมือกับคุณเพราะอะไร คุณกับฉันก็รู้อยู่แก่ใจ เพียงแต่ผู้ชาย? ก็ชอบของสดๆใหม่ๆไม่ใช่เหรอ? คุณเย่อย่าทะนงตัวเกินไปเลย" พูดถึงตรงนี้ ในแววตาเธอมีความเหยียดหยามเล็กน้อย

เย่หลินยิ้มมุมปาก ผู้หญิงคนนี้ร้ายกาจจริงๆ ต้องการใช้ด้านนี้เพื่อข่มเธอ

ถ้าเป็นหลายวันก่อน สักครู่นี้เธอน่าจะกระดากอายไม่สบายใจ แต่ตอนนี้เป็นไปไม่ได้แล้ว

"ของสดใหม่? เช่นนั้นฉันก็ไม่สดใหม่แล้วจริงๆ ถึงอย่างไรก็มีลูกแล้ว ได้ยินมาว่าคุณนายหนิง ยังไม่มีลูกใช่ไหม? น่าจะสดใหม่กว่าฉันมาก" พูดจบ เธอก็ปิดปากหัวเราะ

การเย้ยหยันถากถางของเธอนั้น ทำให้ในใจเกาเหวินโกรธจนแทบบ้าคลั่ง ข้อห้ามของเธอก็คือห้ามคนอื่นเอ่ยถึงลูกต่อหน้าเธอ ในฉับพลันก็โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ "คุณมันหน้าด้าน เคยมีลูกมาแล้วยังจะมาคบกับผู้ชายไปทุกหนทุกแห่ง"

เย่หลินยักไหล่ "ฉันหน้าด้าน? หากไม่มีลมไหนเลยจะมีคลื่นได้ คุณเอาใจใส่สามีได้ไม่ดี ยังจะมาโทษฉันได้อย่างไร?" พอพูดจบ ก็ก้มหน้ามองไปที่หนังสือ ความหมายนั้นชัดเจนมาก คือไม่อยากสนใจเธออีกแล้ว

ตอนนี้เกาเหวินอดกลั้นสีหน้าไว้ไม่อยู่ หัวเราะออกมา "คุณคิดว่าเขาชอบคุณจริงๆเหรอ ฉันจะบอกคุณให้ว่าเขามีผู้หญิงในใจอยู่แล้ว ชั่วชีวิตนี้ คุณก็อย่าแม้แต่จะคิดว่าเขาจะตกหลุมรักคุณจริงๆ" น้ำเสียงเธอไม่ค่อยดีมีอารมณ์โกรธเล็กน้อย

เย่หลินพึงพอใจกับปฏิกิริยาโต้ตอบนี้ของเธอ เธอก็รู้ว่าคนคนนั้นคือใคร เฉินเป้ยอีนะเหรอ เธออะเหรอ

เพียงแต่ในหัวก็มีความคิดขึ้นมา เธอแกล้งเงยหน้าขึ้นถามอย่างตกใจ : "มีผู้หญิงในใจ? หรือว่าจะเป็นคุณนายหนิง?"

เกาเหวินเห็นสีหน้าของเธอ รู้สึกสบายใจอย่างมาก ดูท่าทีของเธอก็เหมือนว่าจะไม่รู้เรื่องราวของเฉินเป้ยอี เธอนั่งลงอีกครั้งแล้วพูดอย่างชัดถ้อยชัดคำว่า : "แน่นอนว่าไม่ใช่ฉัน แต่เป็นคนคนหนึ่งที่ตายไปแล้ว"

เย่หลินก้มหน้า ตายไปแล้ว ใช่สิเฉินเป้ยอีตายไปแล้ว

แต่เย่หลินมีชีวิตกลับคืนมา

อันที่จริง เดิมทีเธอไม่เคยคิดว่าจะต้องมาฉีกหน้ากับเธอตั้งแต่วันแรกที่กลับมา แต่เธอต้องการยั่วโมโหเธอ ไม่มีทางเลี่ยง ทำได้เพียงกำหนดแผนล่วงหน้านี้

กระแอมเบาๆ จงใจพูดด้วยเสียงเบาๆ "ไม่เป็นไร หัวใจไม่ได้อยู่กับฉัน คนอยู่ที่นี่กับฉัน ฉันก็เพียงพอแล้ว ดีกว่า คนบางคน ทั้งคนและใจ ล้วนไม่มีเลย ถูกไหม?"

"คุณ…..ได้ ฉันจะรอดูว่าคุณจะถูกเขาทอดทิ้งอย่างไร" พูดจบ เธอก็ลุกขึ้น หยิบกระเป๋าที่อยู่ข้างตัว แล้วเดินออกไป

โบกรถคันหนึ่ง แล้วไปที่เกากรุ๊ปโดยตรง

"พ่อ ผู้หญิงคนนั้นปรากฏตัวแล้ว? ทำยังไงดี?" มาถึงห้องพ่อเกา เกาเหวินอดไม่ได้ที่จะเอ่ยปาก

ปากกาในมือของพ่อเกาแข็งทื่ออยู่กลางอากาศ ขมวดคิ้ว "หมายความว่าอะไร?"

"ก็คือ…..ก็คือผู้หญิงคนนั้นที่ให้กำเนิดหนิงเสี่ยวซี คาดไม่ถึงว่าวันนี้เธอจะกลับประเทศแล้ว ฉันพบเธอที่หนิงกรุ๊ป ไม่นึกเลยว่าเธอจะยอมรับว่าตนเองและหนิงเส่าเฉินอยู่ด้วยกัน….."

"ปัง"ตบปากกาลงบนโต๊ะอย่างแรง พ่อเกาลุกขึ้นยืน จ้องมองเกาเหวินด้วยสายตาที่โหดเหี้ยมอำมหิต "คุณไปหาเธอเหรอ?"

ท่าทางของพ่อทำให้เกาเหวินตกใจ เธอลดเสียงลง "ฉัน ฉันอยากจะไปลองหยั่งเชิงเธอสักเล็กน้อย คาดไม่ถึง ว่าเธอจะหน้าไม่อายขนาดนั้น คาดไม่ถึงว่าจะยอมรับ……."

"เพียะ….." พ่อเกาตบหน้าของเธอจนสะบัด "คุณนี่มันโง่จริงๆ!"

เกาเหวินถูกพ่อเกาตบจนล้มลงกับพื้น ครู่ใหญ่จึงตะเกียกตะกายขึ้นมา "พ่อ ฉัน….."

พ่อเกาเดินเข้าไปสองสามก้าว นั่งยองๆลงตรงหน้าเกาเหวิน มือใหญ่ๆบีบที่คอเกาเหวิน "ครั้งที่แล้ว ใครอนุญาตคุณให้นำหนังสือโอนหุ้นนั้นยกให้กับหนิงเส่าเฉิน? ฉันจะบอกคุณให้นะ ถ้าต่อไปคุณทำลายเงินของฉันให้สูญเปล่า ฉันก็จะไม่ไว้ชีวิตคุณ ทางที่ดีคุณก็ช่วยไตร่ตรองให้ชัดเจนด้วย"

พูดจบ ก็สลัดเธอออก

"พ่อ….พ่อ ฉันเป็นลูกสาวคุณนะ? คุณ….คุณต้องแนะนำฉันสิ ว่าฉันควรจะทำยังไง? ตอนนี้ผู้หญิงคนนี้น่าจะยังไม่รู้เรื่องของหนิงเสี่ยวซี ถ้าให้เธอรู้ อย่างนั้นเส่าเฉินเขา……"

"เส่าเฉินเส่าเฉิน ชีวิตคุณขาดผู้ชายคนนี้ไปจะตายหรือไง?" พ่อเกาที่เดิมทีถูกความโกรธทำให้ขาดสติอยู่แล้ว ได้ยินเธอเอ่ยถึงหนิงเส่าเฉินอีก จึงอดไม่ได้ที่จะตัดบทเธอ

เกาเหวินเห็นสภาวะอารมณ์ของพ่อแย่มาก จากนั้น ก็ไม่เต็มใจที่จะพูดให้มากความอีก

ตั้งแต่พ่อรู้ว่าเธอนำหุ้นนั้นโอนคืนให้กับหนิงเส่าเฉิน หลายปีมานี้ ท่าทีที่มีต่อเธอ นับวันก็ยิ่งแย่ลง

บางครั้ง เธอก็รู้สึกเศร้าอย่างมาก ที่แท้ในใจของพ่อ ตนเองก็ไม่ได้มีความสำคัญไปกว่าทรัพย์สินเงินทอง

ร้านกาแฟ

เมื่อเกาเหวินก้าวเท้าออกไป

หนิงเส่าเฉินก็เดินเข้ามาจากอีกด้านหนึ่ง ในสายตาเห็นเย่หลิน มุมปากก็มีรอยยิ้ม อันที่จริงเขาก็ตามหลังเกาเหวินมาไม่นานเท่าไรนัก พอเข้ามา เห็นคนทั้งสองนั่งอยู่ด้วยกัน เขาอยากจะดูว่า เย่หลินจะรับมือกับเกาเหวินอย่างไร ก็เลยหาตำแหน่งนั่งลงในแถวเดียวกันกับพวกเธอ แต่มีฉากกั้น พวกเธอต่างก็ไม่เห็นเขา

เดิมทีเขาคิดว่า ถ้าเย่หลินไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเกาเหวิน เขาจึงจะออกมือช่วยเธอแก้ไขปัญหาโดยไม่แคร์ แต่ไม่คาดคิด เย่หลินของเขา ก็มีด้านหนึ่งที่ร้ายกาจ

"ไม่เลว! เย่หลินของฉัน มีการพัฒนาขึ้นมาก" หันมาตามเสียงที่คุ้นเคย รูปร่างที่สูงใหญ่นั่งลงด้านตรงข้าม คราบกาแฟนั้น ถูกชำระจนสะอาดแล้ว แต่ร่องรอยความชื้นที่อยู่บนโต๊ะ ได้เตือนสติเย่หลิน ว่าเมื่อกี้เกาเหวินได้เข้ามา

เกาเหวินเห็นสีหน้าหนิงเส่าเฉินผิดปกติไป อีกทั้งเขายังแนะนำว่า ผู้หญิงคนนี้เป็นลูกค้าของเขา ก็อดไม่ได้ที่จะโล่งอก อย่างน้อยหนิงเส่าเฉินก็เต็มใจที่จะปิดบังกับเธอ นั่นหมายความว่า เขายังคงใส่ใจกับความคิดเห็นของตนเอง

นึกถึงตรงนี้แล้ว หลังจากเธอเดินอ้อมไปที่โต๊ะทำงาน แล้วก็กอดเอวหนิงเส่าเฉินจากด้านหลัง "เส่าเฉิน ฉันอยากทานข้าวเที่ยงด้วยกันกับคุณ"

หนิงเส่าเฉินขมวดคิ้ว หางตาก็เห็นว่าเย่หลินชำเลืองมองเขา เขาจึงง้างมือของเกาเหวินออกอย่างใจฝ่อเล็กน้อย "ตอนเที่ยงฉันจัดเวลาไว้แล้ว คุณหาเพื่อนไปกับคุณเถอะ"

เย่หลินก้มหน้าปกปิดความภูมิใจในแววตา เงยหน้าขึ้น เธอค่อยๆพูดว่า : "เช่นนั้นก็ไม่รบกวนทั้งสองท่านแล้ว ฉันขอตัวก่อน"

หนิงเส่าเฉินมองไปที่ร่างนั้นจากด้านหลัง ก็โกรธจนกัดเขี้ยวเคี้ยวฟัน คิดถึงอยู่หลายวัน มันยากมากที่จะพบเจอกัน แล้วก็ได้แต่มองเธอจากไปตาปริบๆอย่างนี้

"เส่าเฉิน……”

"ที่นี่งานฉันยุ่งมาก คุณมีธุระ ก็ไปทำธุระก่อนเถอะ" พูดจบ หนิงเส่าเฉินก็กดโทรไปที่เลขาฯ "แจ้งทุกแผนกให้เข้าประชุมด้วย"

มองหนิงเส่าเฉิน แล้วเกาเหวินรู้สึกตลอดว่าทัศนคติของเขาที่มีต่อตนเองเปลี่ยนไปมาก หลายปีก่อนหน้านี้ ถึงแม่ว่าเขาก็ไม่ได้กระตือรือร้นมากมาย แต่อย่างน้อยก็ทำให้เธอรู้สึกได้ว่าเขายังคงรู้สึกผิดต่อเธอ แต่ในขณะนี้เวลานี้ เธอรู้สึกว่าเขามีแต่หงุดหงิดรำคาญ

ในฉับพลันก็ไม่สบายใจเล็กน้อย

อีกทั้งเธอยังรู้สึกแปลกๆ หลายปีนี้หนิงเส่าเฉาเฉินมักจะเข้าออกสถานบันเทิงบ่อยๆ แต่ตามที่คนของเธอมารายงาน เขาเพียงแค่ไปดื่มเหล้า แต่ไหนแต่ไรก็ไม่เคยสนิทสนมกับผู้หญิงคนไหน

เธอรู้ดีว่าในใจเขาไม่สามารถปล่อยวางผู้หญิงคนนั้นที่ตายไปแล้วได้

เดิมทีคิดว่าเขาจะเป็นอย่างนี้ไปตลอดชีวิต แล้วก็จะค่อยๆรับความเป็นจริงนี้ได้ ขอเพียงแต่ให้ปฏิบัติกับเธอกับผู้หญิงทุกๆคนก็พอ

แต่คาดไม่ถึงว่าเขาจะปฏิบัติต่อผู้หญิงคนนี้ ด้วยการกระทำอย่างนั้น ท้ายที่สุดผู้หญิงคนนี้ก็ร้ายกาจเหลือเกิน หรือว่า……

"อย่างนั้น เส่าเฉิน ฉันไปก่อนนะ" เธอรู้ว่าหนิงเส่าเฉินไม่ชอบให้ผู้หญิงมาพัวพัน เกาเหวินมองออกเลยรีบกล่าวลา แล้วหันกลับออกไป

มองภาพด้านหลังนั้น ในแววตาหนิงเส่าเฉินก็มีแต่ความเย็นชา

เมื่อเกาเหวินเดินออกจากอาคารสูงของบริษัท ก็เห็นเย่หลินยืนอยู่ข้างทาง คิดว่าเธอรอรถอยู่ ก็หัวเราะเยาะในใจ ที่แท้ก็เพียงแค่นี้เอง

จึงเดินเข้าไป เธอแสร้งถามอย่างหวังดีว่า "สวัสดีค่ะ คุณต้องการจะโดยสารรถไปไหม? ถือโอกาสพาคุณไปด้วยดีไหม?" พูดจบ เธอก็หยิบกุญแจรถมากดเปิดรถสปอร์ตที่จอดอยู่ข้างๆ

เธอมีท่าทีใจกว้างอ่อนโยน ทำให้เย่หลินนึกถึงคำพูดของหนิงเสี่ยวซีที่พูดไว้ก่อนหน้านั้น ดัดจริต เสแสร้งว่าไร้เดียงสา

ทำไมก่อนหน้าจึงไม่พบการเสแสร้งของผู้หญิงคนนี้นะ?

เพียงแต่เธอก็นับถืออย่างมาก หลังจากที่พบเธออยู่ด้วยกันกับหนิงเส่าเฉิน คาดไม่ถึงว่าสีหน้าจะไม่เปลี่ยนเช่นนี้

"ไม่ต้องหรอก คุณนาย……หนิง ฉันนัดประธานหนิงไว้ที่ร้านกาแฟตรงข้าม เพื่อพูดคุยเรื่องงานในตอนเที่ยง" พูดจบ ก็พยักหน้ากับเธอ แล้วแกล้งทำท่าทางจะเดินออกไป

เพียงแต่หลังจากที่เธอเดินไปได้สองก้าว ก็ถูกเกาเหวินดึงแขนไว้ เธอจึงหันกลับมาด้วยสายตาที่ไม่เข้าใจ : "ยังมีธุระอะไรอีกเหรอ?"

ความสงบนิ่งใจเย็นของเธอ ทำให้เกาเหวินเลื่อมใสจริงๆ แย่งสามีเธอแล้วคาดไม่ถึงว่ายังจะมีสีหน้าเฉยเมย : "เมื่อวันก่อนสามีฉันไปต่างประเทศ ฉันก็เห็นเขากับผู้หญิงคนหนึ่ง เหมือนจะนอกใจฉัน คนคนนั้นทำไมถึงได้ดูคล้ายกับคุณล่ะ?"

เย่หลินหัวเราะเยาะในใจ เล็กน้อยอะไรกัน วันนั้นระยะห่างใกล้ๆแบบนั้น ประตูหน้าบ้านเธอก็มีไฟ ชัดเจนว่าสามารถมองได้อย่างชัดเจน แต่ก็ยังกล่าวว่า: "ห๊ะ? เกรงว่าคุณนายหนิงจะเห็นผิดคนแล้วล่ะ?"

พูดจบ ก็ไม่สนใจว่าเกาเหวินจะเชื่อหรือไม่ หันตัวกลับ แล้วเดินไปยังร้านกาแฟที่อยู่ตรงข้าม

เกาเหวิน คุณแทบจะทำลายชีวิตของฉัน อย่างนั้น คุณก็ไม่ต้องมาโทษที่ฉันไม่มีเมตตาต่อคุณอีก

ร้านกาแฟตอนเช้าไม่ค่อยมีคน เย่หลินสั่งกาแฟแก้วหนึ่ง แล้วหามุมที่เงียบสงบ แล้วหยิบหนังสือความงามออกมาจากในกระเป๋า แล้วเริ่มอ่าน

ไม่รู้ว่าดูอยู่นานแค่ไหน ทันทีก็มีกลิ่นหอมลอยเข้ามาในจมูก ภาพเงาหนึ่งก็ตกอยู่ที่หนังสือของเธอ เธอเงยหน้า ก็เห็นเกาเหวินยืนอยู่ข้างโต๊ะ ในใจก็ตกตะลึง นี่ถึงขั้นรอไม่ไหวเลยเหรอ?

มือทั้งสองของเธอปิดบนหนังสือ ปกปิดเนื้อหาภายในหนังสือ

เงยหน้ามองเกาเหวินแล้วกล่าวว่า: "คุณนายหนิง มีธุระอะไรเหรอ?"

เกาเหวินนั่งลงตรงหน้าเธอ "ไม่ทราบว่าคุณผู้หญิงชื่ออะไรเหรอ?"

เย่หลินขมวดคิ้ว จิบกาแฟอึกหนึ่ง "คุณนายหนิงเข้าใจผิดแล้ว ฉัน…..เคยคลอดลูกแล้ว ฉันมีลูกสาวคนหนึ่ง ดังนั้น จึงไม่ใช่คุณผู้หญิง ฉันแซ่เย่ ชื่อเย่หลิน" เธอพยายามเน้นเสียงคำว่า"ลูกสาว"สองคำนี้ ต่อจากนั้น ก็เห็นสีหน้าของเกาเหวินจมดิ่งไปอย่างมากจริงๆ

"อ้อ งั้นเหรอ? ดูไม่ออกเลยจริงๆ"

"คุณนายหญิงมาหา มีธุระอะไรเหรอ?" เธอกล่าวถามอีกครั้ง

เวลานี้ บริกรก็ยกกาแฟมาแก้วหนึ่ง เกาเหวินยกขึ้น จิบอย่างสง่างาม แล้วหยิบนามบัตรจากในกระเป๋าด้านข้างส่งมอบให้เย่หลิน แต่ไม่ได้ตอบกลับคำถามของเธอ และเอ่ยปากว่า: "คุณเย่ ฉันเป็นเจ้าของบริษัทนางแบบ ฉันเห็นเงื่อนไขของคุณดีมาก ถ้ามีความสนใจ ก็สามารถลองดูได้นะ"

เย่หลินรับนามบัตรของเธอ SM สถานที่ที่ทั้งคุ้นเคยทั้งเจ็บปวดใจ

ตอนแรกเธอก็นิ่งอึ้งไปเล็กน้อย ต่อจากนั้นก็โค้งริมฝีปาก แล้วหยิบนามบัตรที่สวยงามที่สุดใบหนึ่งออกมา แล้วส่งให้เกาเหวิน "ต้องขอโทษด้วยนะคะ เกรงว่าคงจะลองไม่ได้"

เกาเหวินรับนามบัตรของเธอมาอย่างไม่ใส่ใจ ก้มหน้ามอง ทันทีสีหน้าก็เปลี่ยนไป เธอลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็ว ไม่ทันระวังมือ จึงปัดไปโดนแก้วกาแฟ ของเหลวสีกาแฟ ย้อมเสื้อโค้ทสีเบจของเธอให้เป็นสีกาแฟเข้ม

สีหน้าที่ไม่อยากจะเชื่อของเธอมองผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้า "คุณ คุณคือผู้ก่อตั้งบริษัทซีเอกซ์งั้นเหรอ?"

เดิมทีเธอคิดว่า ผู้หญิงคนนี้เป็นเพียงคนที่เป็นอาศัยผู้ชายทานข้าวที่สวยแต่รูปจูบไม่หอม แต่ไม่คิดว่า หลายปีมานี้ จะเป็นคนร่วมอาชีพเดียวกันที่มีชื่อเสียงในวงการธุรกิจ

เย่หลินเลิกคิ้ว บนใบหน้าปรากฏรอยยิ้มเล็กน้อย เธอยกถ้วยกาแฟขึ้น จิบเล็กน้อย มีความปีติยินดี การจัดการอย่างเงียบๆเมื่อหลายปีมานี้ ตอนนี้ฉันสามารถทำให้ผู้หญิงคนนี้ได้รับบาดเจ็บสาหัส ตอบกลับอย่างเรียบเฉยว่า: "คุณนายหนิงไม่ต้องตื่นเต้นขนาดนี้หรอก ฉันกลับประเทศมาครั้งนี้ ไม่ได้มาแย่งอาชีพทำมาหากินของคุณหรอก เรื่องเหล่านี้ในประเทศ ฝีมือของฉันอ่อนเกินไป ไม่ถึงมาตรฐาน ดังนั้น……" เธอจงใจหยุดชะงักเล็กน้อย ต่อจากนั้น ก็เงยหน้าอย่างช้าๆ มองไปที่เกาเหวิน กล่าวทีละคำๆ:

"ฉันเพียงแค่ต้องการทรัพยากรเหล่านั้นของหนิงกรุ๊ปที่ต่างประเทศ ก็เท่านั้น"

ท่าทางของเธอที่ดูเหมือนจะชนะอย่างแน่นอน ทำให้เกาเหวินหวาดกลัวอย่างไม่สามารถอธิบายได้ แล้วก็คิดอีกว่า เมื่อกี้เธอเพิ่งปรากฎตัวที่ห้องทำงานของหนิงเสาเฉิน ใบหน้าก็ยิ่งมืดมนอย่างไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้

"คุณ…..คุณพูดอะไร? คุณต้องการทรัพยากรที่ต่างประเทศของหนิงกรุ๊ปอย่างนั้นเหรอ? เหอะ จะเป็นไปได้ยังไงกัน? สิ่งเหล่านั้นล้วนอยู่ในความรับผิดชอบของบริษัทSMมาโดยตลอด" หลายปีก่อนหน้านี้ เพื่อรองรับการพัฒนาของหนิงกรุ๊ปในต่างประเทศ SMได้จัดตั้งสาขาย่อยในต่างประเทศ ธุรกิจเสริมสวยที่มีคุณภาพสูง ทรัพยากรเหล่านั้นของหนิงกรุ๊ปในต่างประเทศ หลายปีมานี้ ทั้งหมดก็ถูกรับช่วงโดยบริษัทSMไปแล้ว หนิงเส่าเฉินคงไม่โง่ที่จะเอาบริษัทของตนเอง ไปร่วมมือกับคนอื่นหรอกใช่ไหม?

เลิกคิ้วนิดๆ แล้วพูดว่า:

"หนิงเส่าเฉิน คุณหน้าไม่อายขนาดนี้เลยเหรอ?"

หนิงเส่าเฉินสายตาลึกซึ้ง : "อยู่กับคุณที่นี่ ฉันหน้าไม่อายได้"

เนื่องจากบริษัทของหนิงเส่าเฉินมีงานมากมาย จู่ๆครั้งนี้ก็มาทางด้านนี้ มีงานอีกมากที่ยังไม่เสร็จสิ้น ดังนั้น บ่ายวันต่อมา ก็เลยตัดสินใจกลับประเทศจีน

หนิงเสี่ยวซีอยากอยู่กับเย่หลิน ก็เลยเลือกที่จะอยู่ต่อ

หนิงเชี่ยนจะเดินทางไปพอดี ก็เลยขับรถไปส่งเขาที่สนามบิน เย่หลินก็ไปด้วยกัน

"กลับไปด้วยกันกับฉันไม่ได้เหรอ?"

"คุณถามหลายครั้งแล้วนะ" เย่หลินก้มหน้า และจับมือของเขาไว้

ชายคนนั้นหรี่ตามอง ใบหน้าอันหล่อเหลาฝังลงที่ซอกคอขาวนวลของเธอ แขนแกร่งโอบรอบเอวเรียวบางของเธอ แล้วกระซิบข้างหูเธอ : "ยังไม่ได้ไป ก็เริ่มคิดถึงคุณแล้ว แล้ววันนี้จะอยู่อย่างไร"

สองแก้มของเย่หลินแดงก่ำ มองไปที่หนิงเชี่ยนที่อยู่ด้านหน้าโดยจิตใต้สำนึก หลับๆตา แล้วตีไปที่หน้าอกของหนิงเส่าเฉิน ผลักๆเขา "วันหลังฉันค่อยไปหา"

"กี่วัน?"

เย่หลินกลอกตา นึกถึงหนิงเส่าเฉินที่เย็นชาราวกับน้ำแข็งคนนั้น แล้วดูเขาตอนนี้สิ เธอยังยากที่จะยอมรับจริงๆ

"พี่ ก่อนหน้านี้มีคนพูดว่า มีชายคนหนึ่ง มัวเมาอยู่แต่ในกลิ่นที่อ่อนหวานละมุน ฉันยังไม่เชื่อ รู้สึกว่านั่นเป็นเรื่องไร้สาระ แต่ตอนนี้ ฉันเห็นคุณเป็นอย่างนี้ มันเป็นไปได้จริงๆ ท่าทางคุณนี่ คุณไม่กลัวว่าพี่สะใภ้จะตกใจกลัวจนหนีไปเหรอ" หนิงเชี่ยนที่อยู่ข้างหน้าแกล้งพูดหยอกล้อหนิงเส่าเฉิน เย่หลินก็ยิ่งเขินอายอย่างมาก

"อืม ฉันจะให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้" พูดจบ ก็หันออกไปมองนอกหน้าต่าง ไม่กล้าสบตาหนิงเส่าเฉิน อันที่จริงก็คือ สายตาของเขาร้อนแรงจนเธอหน้าแดงไปหมดแล้ว

ในใจมีความอาลัยอาวรณ์ เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้า เห็นได้ชัดว่าผ่านไปเพียงไม่กี่วัน เย่หลินก็รู้สึกว่าผ่านไปนานหลายปี

ที่หนิงกรุ๊ป

"ประธานหนิง แผนกต้อนรับชั้นล่างกล่าวว่า คุณมีนัดกับผู้หญิงท่านหนึ่ง มาเซ็นสัญญาใช่ไหม?"

หนิงเส่าเฉินขมวดคิ้ว น้ำเสียงเย็นชา "ฉันมีสัญญาที่ต้องเซ็น พวกคุณไม่รู้กันเลยเหรอ?"

พูดจบ ก้มหน้าก้มตา ตรวจสอบเอกสารต่อไป

หลังจากที่เลขาฯคนนั้นถูกต่อว่าอย่างไม่คำอธิบาย ก็คอตก พูดเบาๆว่า : "เธอบอกว่าเธอชื่อเย่หลิน บอกว่าจะพบท่านประธานหนิงให้ได้"

หนิงเส่าเฉินหยุดการกระทำในมือลง หรี่ๆตา สายตาค่อยๆลึกซึ้งขึ้นมา มุมปากยกยิ้มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

แต่ทางด้านนี้ กลับทำสีหน้าเคร่งขรึม พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา : "ให้เธอขึ้นมา" ในเมื่อเธอต้องการจะเล่นละคร เช่นนั้น เขาก็ไม่ถือสาที่จะเล่นกับเธอ

เลขาฯคนนั้น ตกตะลึง รีบพยักหน้า กลับออกไป แล้วจดจำชื่อเย่หลิน สองคำนี้ไว้ในใจ

มันสามารถทำให้ประธานหนิงของพวกเธอเปลี่ยนใจได้เพียงแค่ได้ยินชื่อ ผู้หญิงคนนี้ ต้องไม่ธรรมดาแน่นอน

พอได้ยินเสียงรองเท้าส้นสูงนอกประตู หัวใจของหนิงเส่าเฉิน ก็ตื่นเต้นดีใจจนไม่สามารถควบคุมได้

ผลักประตูเข้ามา

"ท่านประธานหนิง สวัสดีค่ะ ฉันมาจากบริษัทซีเอกซ์เมคอัพ จะมาพูดคุยกับคุณเกี่ยวกับความร่วมมือสักหน่อย"

ผมตรงยาวดำสนิท ถูกเธอมัดไว้เป็นหางม้าสูง แววตาเป็นประกาย คิ้วโค้งได้รูปงาม ผิวขาวนวลไร้ที่ติเผยให้เห็นสีชมพูอ่อนๆ ใบหน้าสวยสดงดงาม กุมไปด้วยรอยยิ้มจางๆ

ต้องยอมรับว่า เธอสวยมากจริงๆ

เห็นเขาจ้องมองมาที่ตน ไม่ได้พูดจาอะไร เย่หลินก็เอาเอกสารในมือตีลงตรงหน้าเขา "ประธานหนิง คุณรู้สึกว่าทัศนคติในการทำงานของคุณนี้ มันดีจริงๆเหรอ?"

ยกกาแฟสองแก้วมา เลขานุการเปิดประตูเข้าไป เมื่อได้ยินประโยคนี้ มือทั้งสองก็สั่นเล็กน้อย อดไม่ได้ที่จะเงยหน้าไปมองผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้า

สวยก็สวย แต่กล้าที่จะพูดกับประธานหนิงของพวกเธอแบบนี้ เธอเป็นคนแรก

"นี่คุณเย่คิดว่าตนเองมาเจรจาเรื่องทัศนคติความร่วมมือเหรอ?"

เลขานุการอดไม่ได้ที่จะคิดในใจว่า ใช่ นี่คือประธานหนิงของพวกเธอ ที่ไม่ยอมคำนับให้กับความสวยงาม

"คุณออกไปก่อน" หนิงเส่าเฉินโบกมือให้กับเลขานุการ

"ค่ะ ประธานหนิง"

หลังจากที่ภาพด้านหลังของผู้หญิงคนนั้นหายไป มือทั้งสองของเย่หลินก็ดันที่โต๊ะ "หนิงเส่าเฉิน รูปร่างหน้าตาเลขาฯของคุณแต่ละคนนี่ ล้วนมีเสน่ห์ทั้งนั้นเลยนะ? คุณได้ดูทุกวันเลยใช่ไหม?"

หนิงเส่าเฉินเม้มปาก บนใบหน้าที่หล่อเหลา ริมฝีปากบางยกขึ้นเล็กน้อย ลุกขึ้น เดินไปยังข้างๆเย่หลิน จับเอวของเธอจากด้านหลัง หัววางไปบนบ่าขวาของเธอ คลอเคลียเล็กน้อย "คิดถึงคุณจัง!"

เย่หลินขมวดคิ้ว ผู้ชายคนนี้แสดงละครอยู่เหรอ? เมื่อกี้ยังเย็นชาราวกับน้ำแข็ง เวลานี้คาดไม่ถึงว่าจะไม่มีขีดจำกัดขนาดนี้

ผลักเขาออก "เซ็นสัญญาก่อนเถอะ"

หนิงเส่าเฉินดึงเธอเข้ามาไว้ในอ้อมกอดอีกครั้ง กดริมฝีปากลงไป มือใหญ่ๆเรื่มเคลื่อนไหวไปบนร่างกายของเธอ

เย่หลินใช้กำลังต่อสู้ดิ้นรน "หนิงเส่าเฉิน คุณบ้าไปแล้วเหรอ นี่มันห้องทำงานนะ"

พูดจบ ก็จัดทรงผมและเสื้อผ้าของตนเองให้เรียบร้อย

แต่หนิงเส่าเฉินเข้ามากอดเธออีกครั้ง "ฉันไม่สนใจหรอก"

"คุณ….."

ตอนกลางวันทานข้าวด้วยกัน ไม่เช่นนั้น จะยกเลิกการเจรจาสัญญา"

"คุณพูดจริงเหรอ? อย่างนั้นก็โอเค อย่างนั้นตอนบ่ายฉันจะกลับไป" พูดพลาง หยิบกระเป๋าถือบนโซฟาขึ้นมา ทำท่าทางจะจากไป

"ฉันหนิงเส่าเฉินทำธุรกิจกับคนอื่น ไม่เคยกลัวการใช้อำนาจคุกคาม" ทางด้านของเขาพูดจาอย่างจริงจัง แต่ทางด้านนั้น เย่หลินทำท่าทางเจ้าเล่ห์

"แต่ทำธุรกิจกับภรรยา กลัวการใช้อำนาจคุกคาม" ไม่ต้องรอให้เย่หลินตอบกลับ เขาก็กล่าวเสริมเอง

ภรรยา? สำหรับคำสองคำนี้ ครั้งแรกที่ได้ฟัง เย่หลินก็ใจเต้นรัวอย่างไม่สามารถอธิบายได้ ใบหน้าแดงระเรื่อ เขินอายเล็กน้อย

คิดๆแล้ว ก็หันตัวกลับ คล้องคอของเขา จูบบนใบหน้าของเขาเล็กน้อย "ทัศนคติไม่เลว อย่างนั้นฉันจะไปรอคุณที่ร้านกาแฟฝั่งตรงข้าม คุณเลิกงานแล้วก็เข้ามาหาฉันโอเคไหม?"

"ไม่ต้อง รออยู่ที่นี่แหละ" ชายหนุ่มยึดเธอเอาไว้ในอ้อมกอด เย่หลินอิงแอบอยู่ในอ้อมกอดของเขา อบอุ่นขึ้นมาในทันที

"ก๊อกๆ"ทันทีเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น

เย่หลินรีบออกจากอ้อมกอดของหนิงเส่าเฉิน

เวลานี้ ประตูเปิดออก คาดไม่ถึงว่าจะเป็นเกาเหวิน

เย่หลินใจสั่นเล็กน้อย ความโกรธเคืองหลั่งไหลขึ้นมา แต่ทางด้านนี้ บนใบหน้ายังมีรอยยิ้มไม่เปลี่ยนแปลง มองหนิงเส่าเฉิน แล้วกล่าวว่า: "ประธานหนิง คุณมีลูกค้าเหรอ? อย่างนั้นฉันขอตัวก่อน….." เธอเน้นคำว่าลูกค้าสองคำนี้

การแสดงเหรอ? ใครจะทำไม่ได้? เมื่อก่อน เธอหยิ่งยโส ไม่โปรดปราน ขณะนี้รู้สึกว่า การแสดงบางครั้งบางคราว ก็ขัดเกลาอารมณ์ได้ค่อนข้างดี

เกาเหวินมองเห็นเธอแล้ว ไม่เหมือนกับความสงบของเธอ สีหน้าของเกาเหวินก็ไม่น่าดูถึงที่สุด เธอเดินอ้อมโต๊ะทำงาน เดินไปยังข้างๆหนิงเส่าเฉิน ดึงแขนของหนิงเส่าเฉิน ริมฝีปากแดงๆเผยอเล็กน้อย แสร้งทำเป็นเอ่ยปากอย่างสงบ: "เส่าเฉิน ท่านนี้คือ?"

หนิงเส่าเฉินเอียงหน้า หันตัวกลับ ดึงแขนของตนเองออกมาจากมือของเกาเหวิน

ในมือว่างเปล่า สายตาของเกาเหวินก็มืดมน กำมือทั้งสองแน่น เล็บอันแหลมคมแทบจะจิกเข้าไปในเนื้อ นี่คือผู้หญิงที่ควรจะตาย คบอยู่ที่ต่างประเทศยังไม่พอ คาดไม่ถึงว่าจะตามมาในประเทศ

หนิงเส่าเฉินก็ตอบกลับด้วยสีหน้าที่สงบ "ลูกค้า เข้ามาเซ็นสัญญา คุณมามีธุระอะไร?"

"ทานอะไรสักหน่อยก่อน เพื่อเสริมความแข็งแรงให้ร่างกาย"

หนิงเชี่ยนเพิ่งจะดื่มนมได้หนึ่งอึก ได้ยินคำพูดของหนิงเส่าเฉิน ก็สำลักออกมา"แค่ก……แค่ก"

เธอหันไปมอง ขมวดคิ้ว "พี่ คุณรู้ไหมว่าคำพูดเหล่านี้ ไม่เหมาะที่จะให้เด็กได้ยิน?

เย่หลินยกมือขึ้น ไปที่เอวของหนิงเส่าเฉินแล้วหยิก ใบหน้าก็แดงก่ำ

คิ้วรูปดาบของหนิงเส่าเฉินก็เลิกขึ้นเล็กน้อย แต่บนใบหน้าไม่มีอะไรผิดปกติ ถลึงตาใส่หนิงเชี่ยน "คุณล่ะ? ตอนอยู่ด้วยกันกับหลิวซู ทำไมคุณหน้าไม่อายได้?"

ประโยคนี้ ทำให้หนิงเชี่ยนพูดไม่ออกไปชั่วขณะ ก้มหน้า กินอาหารต่อ

"สามี คุณเห็นไหม ใบหน้าของลูกชายดูมีความสุขจังเลย" เหอหลิงเขย่าแขนพ่อหนิงแล้วถาม

พ่อหนิงพยักหน้า สายตามองไปข้างหน้าโดยไม่ได้โฟกัสอะไร แล้วไม่ได้ตอบกลับเหอหลิง

หลังจากเกิดเรื่องมากมาย เย่หลินจึงพบว่า ถึงแม้หนิงเส่าเฉินจะไม่ได้ทำสีหน้าดีๆกับน้องสาวคนนี้ แต่ว่าในใจก็รักและเอ็นดู ส่วนหนิงเชี่ยน แม้ว่าหนิงเส่าเฉินจะเย็นชากับเธอมาตลอด แต่ก็ไม่ส่งผลกระทบต่อความรักที่เธอมีต่อหนิงเส่าเฉินเลย

"คานบนไม่ตรง คานล่างย่อมบิดเบี้ยวตาม" เหอเฟยมองไปที่เด็กและผู้ใหญ่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา ลุกขึ้นยืน แล้วเดินออกไปด้านนอก

"น้องสาว คุณอวี๋คนนั้น เป็นคนดีมาก มีโอกาสคุณก็ลองพิจารณาดูไหม?"

หยุดฝีเท้าลงเล็กน้อย ทันทีหลังจากนั้น จึงเดินออกไปข้างนอกเร็วขึ้น

"แม่ เรากลับบ้านตัวเองกันเถอะ" เย่เสี่ยวโม่วิ่งออกมาจากห้องด้วยความโกรธ หนีบกระเป๋าสีชมพูของตนเองในมือ

เย่หลินไม่เข้าใจ ลุกขึ้น จากนั้นก็นึกอะไรได้ สีหน้าแข็งทื่อ "เกิดอะไรขึ้น?"

"ฉันเพิ่งจะเห็น คุณเดินไม่ค่อยไหว ขืนคุณอยู่ที่นี่ต่อไป ฉันว่าเราต้องไม่มีชีวิตรอดแน่ๆ" พูดจบ ก็เดินเข้าไปยืนตรงหน้าเย่หลิน แล้วมองไปที่หนิงเส่าเฉินด้วยสายตาถมึงทึง

เย่หลินเก้อเขินเล็กน้อย ชั่วขณะก็ไม่รู้ว่าจะอธิบายกับเย่เสี่ยวโม่อย่างไร ใบหน้าแดงขึ้นมา เงยหน้ามองหนิงเส่าเฉิน แล้วถลึงตาใส่เขา

"เสี่ยวโม่ ให้พี่ชายพาคุณออกไปเล่น ดีไหม?" ถึงหนิงเสี่ยวซีจะโตขึ้นแล้ว เรื่องบางเรื่อง ก็ยังไม่เข้าใจเล็กน้อย เขาวางแท็บเล็ตในมือลง แล้วนั่งยองๆลงตรงหน้าเย่เสี่ยวโม่

เย่เสี่ยวโม่เห็นเขา ก็ใจเต้นเล็กน้อย เพียงแต่ คิดๆดูแล้ว ก็ส่ายหัว เธอไปไม่ได้ หากเธอไป แล้วแม่ถูกกลั่นแกล้งอีกล่ะ?

"เราออกไปเล่นแป๊บหนึ่ง สักพักกลับมา ขาของแม่ก็หายดีแล้ว"

"จริงเหรอ?"

"ใช่ เสี่ยวโม่ คุณเชื่อฟังคำพูดของพี่ชายเถอะ แม่ก็จะเล่นเกมกับพ่อ ดังนั้น……สักครู่คุณเล่นเสร็จกลับมา เราเล่นเกมจบแล้ว ฉันก็จะดีขึ้น" ทางด้านเย่หลิน ก็รีบพูดคล้อยตาม

หลังจากหนิงเสี่ยวซีหลอกเย่เสี่ยวโม่ออกไปแล้ว หนิงเชี่ยนที่อยู่ข้างๆก็มองหนิงเส่าเฉินอย่างดูหมิ่น "ฉันว่านะ พี่ชาย ถึงคุณจะไม่ได้ทานเนื้อสัตว์มาหลายปี คุณก็น่าจะสงสารพี่สะใภ้สักหน่อยไหม? คุณดูสิ……”

"หนิงเชี่ยน อย่าโทษพี่ชายคุณเลย" เย่หลินตัดบทหนิงเชี่ยนอย่างเขินอาย ถูกเธอเรียกว่าพี่สะใภ้ก็ยิ่งหน้าแดงขึ้นมา

"ไม่โทษพี่ชายฉัน? หรือว่า คุณหิวกระหายเกินไป? ฉะนั้นเลย……” หนิงเชี่ยนพูดถึงตรงนี้ ฉับพลันปากของหนิงเชี่ยนก็ถูกยัดด้วยไข่ไก่ครึ่งฟอง ได้แต่ตะโกนร้อง"อื้ออื้ออื้อ……”

เหอหลิงที่นั่งอยู่บนโซฟา เห็นปฏิสัมพันธ์ของคนเหล่านั้น ก็หัวเราะจนตัวโยน ส่วนพ่อหนิงก็เข้าห้องหนังสือไปก่อนแล้ว

เย่หลินทานอาหารเช้า หัวแทบจะฝังลงไปในถ้วย แต่ในใจก็มีกระแสไออุ่นหลั่งไหลมา บรรยากาศที่อบอุ่นแบบนี้ เธอไม่ได้ฝันไปใช่ไหม?

เมื่อเย่เสี่ยวโม่กลับมา ผ่านไปสองชั่วโมง เข้าไปดูหนิงเส่าเฉินที่โอบกอดเย่หลินอยู่บนโซฟา คาดไม่ถึงว่าจะไม่มีปฏิกิริยาตอบสนอง เพียงแค่หันกลับไปมองหนิงเสี่ยวซี เบ้ปากน้อยๆกับเขา ต่อจากนั้น ก็เห็นหนิงเสี่ยวซีลูบๆหัวของเธอ

ภายหลัง เธอจึงรู้ว่า หนิงเสี่ยวซีใช้มุมมองของเด็ก บอกเย่เสี่ยวโม่ถึงความลำบากของหนิงเส่าเฉินในช่วงหลายปีมานี้

เพียงแต่ สุดท้ายเธอก็ยังไม่ยอมเรียกหนิงเส่าเฉินว่าพ่อ

ตอนเย็น

"คุณแน่ใจนะว่าจะไม่กลับประเทศกับฉันจริงๆ?" หน้าประตูห้องน้ำ หนิงเส่าเฉินยืนกอดอก เอียงพิงกับวงกบประตู

เย่หลินที่กำลังเช็ดเครื่องสำอาง พยักหน้า "อื้ม รออีกสองสามวันนะ"

พอดีสองสามวันนี้ต้องเซ็นสัญญาความร่วมมือกับบริษัทภาพยนต์และโทรทัศน์ ถ้าหากเซ็นสัญญาแล้ว ซีเอกซ์ได้ตำแหน่งนี้ในแวดวงนี้แล้ว ก็จะก้าวขึ้นไปอีกขั้นหนึ่ง ดังนั้น เธอจึงไม่อยากจากไปอย่างหุนหันพลันแล่น

หนิงเส่าเฉินผิดหวังเล็กน้อย แต่เขารู้ว่าเย่หลินชอบงานนี้ เขาให้เกียรติเธอ ถึงแม้ตระกูลหนิงจะไม่ต้องการให้เธอลำบากแบบนี้ก็ตาม

"ฉันจะทำให้เธอต้องชดใช้ทุกอย่าง" จู่ๆเขาก็เอ่ยปาก

มือเย่หลินสั่นเล็กน้อย ยกมือขึ้นหยิบที่คาดผมลง นำหวีไม้มาหวีผม หลังจากหวีสลับกันสองสามที ก็หันตัวกลับ มองหนิงเส่าเฉิน "ฉันจัดการเอง"

เธอต้องการจัดการเอง นี่คือเกาเหวิน ที่เป็นหนี้เธอ

ชีวิตของเธอ เกือบจะแย่ ก็เพราะเธอ ถูกทำลายจนถึงที่สุด ถ้าต้องยืมมือคนอื่นเพื่อแก้แค้น อย่างนั้น ความเจ็บปวดนั้นที่อยู่ภายในใจก็คงไม่หายไป

ในเมื่อเธอแคร์หนิงเส่าเฉินขนาดนั้น อย่างนั้น เธอก็จะทำให้ได้ลิ้มรส รสชาติของความสูญเสีย

หนิงเส่าเฉินก้มหน้า จ้องมองเย่หลิน "แผนการของเธอลึกซึ้งอย่างมาก ฉันกลัวว่าคุณจะเสียเปรียบ ไม่เช่นนั้น…."

นิ้วมือของเย่หลินลูบที่ริมฝีปากบางของเขา ส่ายหน้า ยิ้มเล็กน้อย ในสายตามีความเด็ดเดี่ยว "ต่อให้แผนการลึกซึ้งขึ้นอีก แต่เบื้องหลังฉันก็มีคุณ ฉันจะต้องกลัวอะไรล่ะ?" คิดๆแล้ว ก็หยุดชะงักลงเล็กน้อย ต่อจากนั้นก็กล่าวอีกว่า: "หลังจากที่คุณกลับไป คุณก็ทำให้เหมือนกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น โอเคไหม? เรื่องราวที่เหลือ ให้ฉันจัดการเอง"

เธอทำให้เธอเจ็บปวด ถึงจะไม่ได้ฆ่าเธอ แต่ก็ถึงอกถึงใจ

สี่ปีมานี้ ความเจ็บปวดจากการสูญเสียคนรัก ต้องให้เธอได้ลิ้มรสว่ามันเป็นอย่างไร อีกทั้ง ความสัมพันธ์ของพ่อเกาและแม่ของเธอ เธอก็ต้องรู้ให้ได้

"แต่…." หนิงเส่าเฉินก็ไม่ได้วางใจมาโดยตลอด ถึงแม้ว่าเย่หลินจะมองออก สองปีมานี้ มีการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจน แต่จิตใจที่ดีงามในก้นบึ้งของหัวใจ ก็กลับกลายเป็นคนคนหนึ่งที่มีจุดอ่อนมากที่สุด

"โอเคไหม? เธอทำให้ฉันได้รับความขมขื่นมากขนาดนี้ คุณต้องให้ฉันได้แก้แค้นเอง ฉันจึงจะสามารถกำจัดความคับแค้นภายในใจได้? อีกอย่าง คุณต้องให้ความร่วมมือกับฉัน ได้ไหม?" น้ำเสียงของเธอแฝงไปด้วยอารมณ์ที่ออดอ้อน ทำให้หนิงเส่าเฉินปฏิเสธไม่ได้โดยสิ้นเชิง คิดๆแล้ว เขาก็เดินเข้าไป จับเอวของเย่หลินจากด้านหลัง "ต้องการให้ฉันร่วมมือกับคุณ ก็ได้แหละ เพียงแต่สามารถให้ค่าตอบแทนอะไรสักหน่อยได้ไหมล่ะ?"

เย่หลินตัวแข็งทื่อเล็กน้อย "หนิงเส่าเฉิน ปีนี้คุณอายุ30กว่าแล้วใช่ไหม?"

หนิงเส่าเฉินไม่เข้าใจว่าที่เธอถามหมายความว่าอะไร จึงตอบกลับอย่างจริงจังว่า "31"

"โอ้ อย่างนั้นก็ถูกแล้วล่ะ คุณเคยอ่านหนังสือหรือเปล่า มีคนบอกไว้ว่า ผู้ชายโดยทั่วไป หลังจากอายุสามสิบไปแล้ว ต้องมีความยับยั้งชั่งใจหน่อย"

ชายหนุ่มนิ่งอึ้งไปเล็กน้อย หลังจากนั้นก็มีปฏิกริยาตอบสนอง "ที่คุณพูดคือผู้ชายทั่วไป ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับฉัน?" ทางด้านคำพูดยังไม่ทันจบ ทางด้านนิ้วมือที่เรียวยาวนั้น ก็เลื่อนเข้าไปในเสื้อแล้ว

ในห้องนอน เย่หลินเพิ่งถอดเสื้อโค้ตและเสื้อสเวตเตอร์ออก ก็เห็นหนิงเส่าเฉินเดินเข้าประตูมา

เข้ามาอย่างรีบร้อน แล้วล็อกประตูจากด้านใน

เธอตัวแข็งทื่ออยู่ตรงนั้น "คุณ……คุณจะทำอะไร?"

หนิงเส่าเฉินเดินเข้ามา จับเอวของเธอจากด้านหลัง "คุณพูดว่าจะทำอะไรนะเหรอ? เฉินเป้ยอี หลายปีมานี้ คุณก็ไม่คิดถึงฉันเลยเหรอ?" น้ำเสียงเขาทุ้มต่ำเล็กน้อย

เย่หลินเม้มๆปากแล้วยิ้ม "คิดถึง? เพียงแต่ว่า ชื่อจริงๆฉันคือเย่หลิน ต่อไปนี้คุณเรียกฉันว่าเย่หลินได้ไหม?"

"โอเค เย่หลิน ที่คุณพูดก่อนหน้านี้ทำไมฉันไม่เคยนึกถึงมาก่อน เป็นเพราะคุณแต่งหน้าใช่ไหมล่ะ?" เขาเคยรู้สึกว่ามีความแตกต่างอย่างมากระหว่างการได้เห็นเธอจากระยะไกลและการมองในระยะใกล้ ทว่าตลอดมาก็ไม่เคยคิด ว่าจะเป็นเพราะเธอแต่งหน้า

เย่หลินไม่ได้มอง ขมวดคิ้วขึ้น "ดีมาก อย่างน้อยก็พิสูจน์ได้ว่า ที่คุณปฏิบัติต่อฉัน มันเป็นความรักจริงๆ ขี้เหร่แบบนั้น คุณก็ยังตกหลุมรัก"

ในฉับพลัน เธอคิดอะไรบางอย่าง จึงหันกลับมา จ้องมองหนิงเส่าเฉิน "คุณจะรู้ไหม ครั้งก่อนคุณก็แทบจะบีบคอฉันจนขาดอากาศตายไป ทำไมคุณไม่รู้จักอ่อนโยนต่อสตรีเลยล่ะ?"

หนิงเส่าเฉินลูบๆจมูก "เอ่อคือ คุณคงจะปรารถนาให้ฉันปฏิบัติต่อหญิงอื่น อย่างทะนุถนอมอ่อนโยนใช่ไหม? จะว่าไป ใครกันที่อยู่ด้วยกันกับไอ้หน้าละอ่อนจนทำให้ฉันโกรธล่ะ?"

เย่หลินปิดปาก กลอกตาใส่เขา "เอาล่ะ เรื่องก่อนหน้านี้มันจบสิ้นไปแล้ว อย่ามาไต่สวนกันอีกเลย"

หนิงเส่าเฉินยิ้มมุมปาก นำเธอหันกลับมา ค่อยๆก้มหน้าลง เอาริมฝีปากไปแนบกับข้างๆหูของเธอ พูดด้วยเสียงทุ้มว่า : "เย่หลิน หลายปีมานี้ ฉันคิดถึงคุณจริงๆนะ"

เย่หลินรู้สึกชาไปทั้งตัว ในฉับพลันก็อ่อนปวกเปียกไปหมด เธออดไม่ได้ที่จะเลียๆริมฝีปาก บนใบหน้าก็แดงเป็นเลือดฝาดขึ้นมา "คุณ คุณไม่กลับไปนอนที่ห้องของตัวเองล่ะ?"

หนิงเส่าเฉินขมวดคิ้ว กวัดแกว่งแขนยาวๆ นำเย่หลินเข้ามาสู่ในอ้อมกอดของเขาอีกครั้ง "ให้ฉันค้างคืนด้วยได้ไหม?"

น้ำเสียงที่ทุ้มๆของชายคนนั้น พูดช้าๆและอ่อนโยน เต็มไปด้วยความเย้ายวน ทำให้สายตาเย่หลินค่อยๆเคลิบเคลิ้ม ต้องบอกว่า การรับมือกับชายคนนี้ เธออ่อนแอมาตลอด

"ไม่ได้หรอก คุณกับเธอ……” คิดๆแล้ว อีกทั้งก็จะยกเกาเหวินมาเป็นข้ออ้าง "อยู่กับพ่อแม่ของคุณที่นี่ เราจะอยู่ด้วยกันอย่างนี้เหรอ? คุณ……คุณไร้ยางอายไปหรือเปล่า?"

หนิงเส่าเฉินโค้งตัวลง ริมฝีปากขบเบาๆระหว่างคอของเธอ "สี่ปีมานี้ฉัน ไม่ได้นอนหลับอย่างสงบสุขเลยสักคืน"

น้ำเสียงตกลง มือทั้งคู่ของเย่หลินที่ดีดดิ้นอยู่ ในฉับพลันก็ปล่อยลง ไม่ได้พูดอะไร เธอรู้ว่าตนเองใจอ่อนแล้ว

"ฉัน……ไปอาบน้ำก่อน" พูดจบ ก็หลบหนีไปอย่างลนลาน

อย่างไรก็ตามหลังจากรู้เรื่องนั้นของเกาเหวิน เย่หลินก็ตัดสินใจแล้วว่า เธอต้องแย่งหนิงเส่าเฉินและหนิงเสี่ยวซีกลับมา ไม่อ่อนข้อให้อีกต่อไป เช่นนั้นขั้นตอนนี้ จะเป็นปัญหาไม่ช้าก็เร็ว

ในตอนกลางคืน ผ่านแสงจันทร์ที่สว่างไสว ชายและหญิงนอนอยู่ด้วยกันบนเตียง

บรรยากาศที่คลุมเครือไหลเวียนอยู่ในห้อง เย่หลินก็รู้สึกได้ว่ามีมือที่เลื่อนขึ้นและลงที่เอว ก็ขมวดๆคิ้ว "หนิงเส่าเฉิน คุณทำอะไร?"

"คุณพูดว่าอะไรนะ?" พูดจบ ชั่วพริบตา ก็พลิกตัวกดเย่หลินไว้ใต้ร่าง

ร่างของชายคนนั้นอยู่ตรงหน้าหญิงคนรัก มีความอ่อนไหวมากที่สุด ยิ่งไปกว่านั้นผู้ชายคนนั้นไม่ได้แตะต้องร่างกายของผู้หญิงมาสี่ปีแล้ว

ชั่วขณะนี้ จนปัญญาที่จะควบคุม

สองแก้มของเย่หลินแดงขึ้นมา ยื่นมือต้องการจะไปผลักเขา ทว่าเมื่อสัมผัสผิวที่เปลือยเปล่าของเขา กกหูก็ร้อนผ่าว ทั้งตัวก็รุ่มร้อนขึ้นมา

"คุณ สี่ปีนี้คุณ ไม่ได้แตะต้องผู้หญิงอื่นเลยจริงๆเหรอ?"

ชายคนนั้นสีหน้าเคร่งขรึม "คุณมีจิตสำนึกหรือเปล่าล่ะ?"

"ฉันจะไปรู้ได้ยังไงล่ะ? แล้วใครล่ะ ที่ก่อนหน้านี้โกหกฉันบอกว่าเป็นครั้งแรกของตนเอง?" หญิงสาวเลิกคิ้ว

"คุณคิดว่าตอนนี้คือเวลาที่จะคิดบัญชีใช่ไหม?" ริมฝีปากบางๆเข้าใกล้ข้างหูของเธอ แล้วกล่าวกระซิบ

เย่หลินรู้สึกหัวใจเต้นเบาๆ แก้มก็ร้อนผ่าวตามไปด้วย ร่างกายและจิตใจก็ขึงตึงอย่างมาก

ถึงแม้ว่าก่อนหน้านี้คนทั้งสองเคยอยู่ด้วยกันแล้ว แต่ทุกครั้ง ก็ไม่ได้มีความรู้สึก ครั้งที่สองก็ไม่ได้มีอารมณ์ความรู้สึก มีเพียงครั้งนี้……ที่นับว่า…….

หนิงเส่าเฉินนำการเปลี่ยนแปลงของร่างกายเธอรวบรวมไว้ในดวงตา ดวงตาก็ลึกซึ้งอย่างมาก

ก้มหน้า ริมฝีปากบางๆกัดที่ใบหูและริมฝีปากของเธอเบาๆ เสียงที่ราวกับแม่เหล็กก็ค่อยๆไหลล้นออกมา: "ต้องการไหม?"

"ห๊ะ?" เย่หลินสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เริ่มเสแสร้งทำเป็นไม่รู้ แต่ในใจเป็นกังวลจนทำตัวไม่ถูก

"เย่หลิน….." นิ้วมือที่เรียวยาวของเขาอยู่บนแก้มของเธอ ลูบไล้เบาๆ "ฉันรักคุณมากจริงๆ"

การต่อต้านในใจของเย่หลินในขณะนี้ ก็แพ้ยับเยิน เธอดึงสติกลับมา ยกมือทั้งสองขึ้น โน้มที่ต้นคอของเขา แล้วเข้าไปจูบเขา

คืนนี้ ถึงแม้จะไม่ใช่ครั้งแรกของคนทั้งสอง แต่สำหรับคนทั้งสองแล้ว กลับดีกว่าครั้งแรก

เย่หลินไม่รู้มาก่อน หนิงเส่าเฉินที่เย็นชาแบบนั้น ในด้านนั้น เร่าร้อนดั่งไฟ ตลอดทั้งคืน ชายคนนั้นก็คล้ายกับหมาป่าที่หิวโหย มีความต้องการไม่หยุด

จนกระทั่ง วันต่อมา เมื่อเธอตื่นขึ้นมา แสงอาทิตย์ด้านนอกก็สว่างมากแล้ว

ข้างกาย ไม่มีเงาของหนิงเส่าเฉินแล้ว นำมือไปคลำๆด้วยจิตสำนึก พื้นที่ก็เย็นแล้ว

ประเมินว่า ตื่นไปนานแล้ว

เธอขยับๆร่างกาย ก็รู้สึกเหมือนถูกรถทับไปทั้งตัว ปวดเมื่อย อ่อนเพลียไร้เรี่ยวแรง

"ตื่นแล้วเหรอ หิวไหม?" หันมาตามเสียงที่คุ้นเคย ก็มีเงาดำหนึ่งกดลงมา ต่อจากนั้น บนใบหน้าก็รู้สึกชื้นๆเล็กน้อย

เย่หลินนึกถึงเรื่องราวต่างๆของคนทั้งสองเมื่อคืน ในทันทีก็เขินอายจนพูดไม่ออก

"ทำไมเหรอ? เหนื่อยมากเหรอ? หรือว่า ยังไม่พอใจ?"

เย่หลินพยักหน้า ต่อจากนั้นก็ส่ายหน้า ยกมือขึ้น ผลักเขา "หลีกไป ฉันจะลุกขึ้นแล้ว"

แต่หนิงเส่าเฉินกดเธอไว้ไม่ปล่อย ขมวดคิ้วขึ้น พูดกระซิบเบาๆว่า: "ท่าทางแบบนี้ หรือว่าจะยังไม่พอใจจริงๆ?"

เย่หลินจ้องมองเขา "ถ้าคุณพูดไร้สาระอีก ฉันจะไม่สนใจคุณแล้วนะ"

รู้ว่าเธอขี้อาย หนิงเส่าเฉินก็ไม่เย้าแหย่เธออีก โน้มตัวไปจูบที่ริมฝีปากเธอเล็กน้อย แต่ก็หยุดลึกซึ้งไม่ได้

ยืดตัวขึ้น ดึงผ้าห่มออก ความรู้สึเย็นช่วงล่างทำให้เย่หลินดึงสติกลับมา ปิดหน้าอกอย่างเป็นกังวล "คุณ….คุณทำอะไรเนี่ย?"

"อุ้มคุณไปอาบน้ำหน่อย หรือคุณคิดว่าคุณยังเดินไหว?" เขาพูดอย่างเอาจริงเอาจัง แต่เฉินเป้ยอีทั้งอายทั้งโกรธ ทำไมล่ะ เมื่อคืนก็เห็นได้ชัดเจนแล้วว่าเขาใช้แรงอย่างมาก สุดท้าย เขาก็คล้ายกับไม่เป็นอะไรเลย แต่ตนเองกระดูกแทบจะแตกสลาย?

คนทั้งสองอาบน้ำเสร็จแล้ว เมื่อลงมาชั้นล่าง หนิงเส่าเฉินก็ยื่นมือไปจะประคองเธอ แต่ถูกเย่เสี่ยวโม่ใช้มือปัดออก

"พี่สะใภ้ ขาคุณเป็นอะไรเหรอ?" หนิงเชี่ยนที่เพิ่งตื่น ผมเผ้าไม่ได้หวี นั่งแทะขนมปังอยู่ที่โต๊ะอาหาร เมื่อเห็นเย่หลินเดินมา ขาคล้ายกับจะสั่นๆเล็กน้อย เลยเลิกคิ้ว แล้วกล่าวถาม

เย่หลินก้มหน้าลงทันที

"อาหารยังไม่สามารถยัดปิดปากของคุณได้เหรอ?" หนิงเส่าเฉินจ้องมองเธอ เอื้อมมือไปจับเอวโอบเย่หลิน แล้วปล่อยลงเบาๆบนเก้าอี้ห้องอาหาร

พ่อหนิงเงยมองเย่หลินที่อยู่ตรงหน้า

เธอเหมือนกับแม่ของเธอมากจริงๆ

ส่ายๆหัว "เรื่องราวในตอนนั้น เป็นพ่อเกาเหวินที่เสนอออกมา ในเวลานั้น ฉันก็เห็นแก่การทดแทนบุญคุณ ฉะนั้น เลยรับปากว่าจะร่วมมือกับพวกเขา ในเวลานั้น ฉันก็คิดแล้ว ว่ายัยหนูคนนั้น เป็นคนดี มีจิตใจเมตตา คิดดูแล้ว ขอเพียงแต่อาเฉินมีลูกเป็นของตนเอง ในอนาคตพวกเขาทั้งสองคนได้มีชีวิตที่ดีก็พอแล้ว ก็เลยไม่ได้ตรึกตรองมากมายขนาดนั้น ครั้งนี้กลับไป ฉันก็ไม่รู้เรื่องของคุณกับอาเฉิน ดังนั้น จึงไม่ได้เข้าไปก้าวก่าย เฮ้อ ยัยหนู คุณอย่าตำหนิลุงเลยนะ"

พ่อหนิงพูดคำพูดเหล่านี้จบ ก็ถอนหายใจเบาๆ แล้วพูดต่อว่า "ฉันก็คาดไม่ถึงว่าเด็กอย่างเธอคนนั้น เติบโตมาแล้ว จะจิตใจคับแคบขนาดนี้ ถ้ารู้นะ ฉันจะไม่รับปากกับพวกเขาว่าจะทำแบบนั้นเด็ดขาด เสี่ยวเย่ ลุง……ทำให้คุณลำบาก"

พ่อหนิงเคยเป็นบุคคลที่มีอิทธิพลมาก่อน คำขอโทษของเขา สำหรับเย่หลินแล้ว ยังคงเหนือความคาดหมายอย่างมาก เพียงแต่ เธอมักจะรู้สึกว่าเรื่องราวนั้น ดูเหมือนจะไม่ง่ายดายอย่างที่พ่อหนิงพูด

เธอหันไป มองๆหนิงเส่าเฉินกับหนิงเสี่ยวซี แววตาเต็มไปด้วยความสุข "คุณลุง ฉันควรจะขอบคุณคุณลุงถึงจะถูก คุณทำให้ฉันได้รู้จักกับเส่าเฉิน ทำให้ฉันมีเสี่ยวซี มีเสี่ยวโม่ ฉันไม่ตำหนิคุณหรอก เมื่อก่อน……อาจจะเคยตำหนิบ้าง" เธอหยุดไปชั่วขณะ แล้วสูดหายใจเข้า นั่งหลังตรง หอมแก้มหนิงเสี่ยวซี และจับมือหนิงเส่าเฉินไว้แน่น

"ตอนนี้ ไม่ตำหนิแล้ว ฉันขอถามหน่อยว่ารู้จักแม่ฉันไหม เพราะอะไร ก่อนที่แม่ฉันจะตัดสินใจให้ฉันอุ้มท้องเสี่ยวซี ก็ให้ฉันเปลี่ยนหน้า เปลี่ยนชื่อ ฉันไม่รู้ว่าท้ายที่สุดแล้วเพราะอะไรเธอถึงทำแบบนี้? ดังนั้น ฉันคิดว่าคุณลุงน่าจะรู้"

ทุกคนที่อยู่ในที่นั้นต่างตกตะลึง มีแต่สายตาของหนิงเส่าเฉิน ที่เคร่งขรึมมากขึ้น

เรื่องการตั้งท้องแทนแบบนี้ ในความเป็นจริงถ้าเกิดขึ้นในสังคมคนชั้นสูง ก็ไม่แปลกอะไร

แต่การปกปิดหน้าตาและชื่อของคนที่ตั้งครรภ์เช่นนี้ ค่อนข้างมีลับลมคมใน

พ่อหนิงเงยหน้ามองเย่หลิน แล้วหลุบตาลง กระแอมเบาๆ

"ในเวลานั้นไปพบแม่เธอได้อย่างไร เรื่องนี้ ฉันก็ไม่แน่ใจ พ่อเกาแค่เอารูปคุณให้ฉันดูเท่านั้น และรับรองสุขภาพคุณกับครอบครัวคุณกับฉัน ฉะนั้น ฉันก็ไม่ได้สืบสาวราวเรื่อง บางทีแม่ของคุณอาจจะอยากให้คุณเป็นคนดียิ่งขึ้นในวันข้างหน้า" พูดถึงตรงนี้ สายตาก็ลึกซึ้ง

เย่หลินอ้าปาก ชั่วขณะก็พูดไม่ออก คำอธิบายทั้งหมดดูสมเหตุสมผล แต่ยังรู้สึกว่าค่อนข้างเป็นเรื่องไกลตัว ถ้าแม่เพียงแค่กลัวว่าเธอจะลำบากในอนาคต เช่นนั้นหลังจากให้กำเนิดหนิงเสี่ยวซีแล้ว ก็ควรให้เธอกลับคืนสู่ใบหน้าที่แท้จริงได้ แล้วกลับไปใช้ชีวิตที่เมือง S เมือง C และเมือง S อยู่ห่างกันหลายพันลี้ โดยพื้นฐานแล้วก็ไม่มีใครรู้ว่าเธอให้กำเนิดลูกอยู่แล้ว

แต่แม่พาเธอไปที่เมือง W อีกทั้ง จนถึงตอนตาย ยังคงมุ่งมั่นที่จะให้เธอปกปิดใบหน้าไว้

อีกอย่าง ครั้งที่แล้วที่ไปบ้านคุณตา คุณยายจะพูดก็ไม่ได้พูด เพราะถูกคุณตาขัดขวางไว้ ชัดเจนมาก ในส่วนนี้ยังมีความจริงที่ซ่อนอยู่มากมาย

"สามี คุณบอกว่าคนของตระกูลเกาทำกลอุบายอะไรอยู่เบื้องหลัง วางแผนจะทำร้ายเราหรือเปล่า?" เหอหลิงเอ่ยพูด แม้แต่คนที่ไร้เดียงสาแบบเธอนี้ ก็ฟังออกว่าเรื่องนี้ผิดปกติ จะนับประสาอะไรกับคนอื่นๆ

ครั้งนี้เกาเหวินกล้าใช้เรื่องที่ไม่สามารถมีบุตรได้บังคับเธอให้ออกไป ในใจก็มั่นใจได้ ว่าหลังจากพ่อหนิงรู้แล้ว ก็จะช่วยปกปิดให้เธอ

นี่จึงทำให้รู้สึกกลัว และผิดหวังในใจ

มีความลับอะไร ที่ทำให้พ่อหนิงกับคนอื่นต้องโกหกลูกชายตนเองเลยเหรอ?

เพียงแต่ชัดเจนว่าพ่อหนิงไม่เต็มใจที่จะเล่าต่อ ลุกขึ้นยืน "เสี่ยวเย่ เรื่องนี้ ก็อย่าซักไซ้ไล่เลียงอีกเลย ในเมื่อตอนนี้คุณได้อยู่ด้วยกันกับอาเฉินแล้ว ก็ถือว่าพวกเขาทำเรื่องดีๆโดยไม่ตั้งใจ ปล่อยให้ผ่านไป ให้ทุกอย่างผ่านไปเถอะ"

เย่หลินกลืนๆน้ำลาย พยักหน้า ถึงแม้ว่าจะผิดหวังเล็กน้อยที่ยังคงหาคำตอบไม่ได้ แต่ก็รู้สึกเกรงใจ ที่จะเค้นหาความจริงกับพ่อหนิงอีก

หนิงเส่าเฉินกุมมือของเธอ ถูเบาๆเล็กน้อย อุณหภูมิจากฝ่ามือของเขาทำให้หัวใจของเฉินเป้ยอีสงบลงอย่างรวดเร็ว

หลังจากรู้ว่าเย่หลินเป็นแม่ของตนเอง หนิงเสี่ยวซีก็แทบจะขลุกอยู่ข้างกายของเธอตลอดเวลา ส่วนเย่เสี่ยวโม่ เห็นพี่ชายดีกับเย่หลินขนาดนี้ ก็รู้ว่าตนเองเข้าใจผิดเขา และกลับรักเขาอย่างมาก

ดังนั้น จึงไม่ได้หวงแหน

เพียงแต่ ไม่ให้หนิงเส่าเฉินโดนตัวเย่หลิน กระทั่งมองก็ไม่ให้เขามอง

เพราะเหตุนี้ หนิงเส่าเฉินจึงหน้าดำคร่ำเครียดตลอด

เหอหลิงเห็นหน้าตาแบบนี้ของลูกชาย ก็แอบยิ้มมุมปาก เธอเคยมีประสบการณ์มาก่อน เรื่องบางเรื่อง ก็เข้าใจได้โดยธรรมชาติ

หลังจากทานข้าวเย็นเสร็จ เหอหลิงก็บอกให้หนิงเสี่ยวซีไปนอนพักผ่อนที่ห้อง

เสี่ยวซีโตแล้ว พูดรู้เรื่อง บอกง่าย

แต่เย่เสี่ยวโม่นั้น ยากเหลือเกิน

"เสี่ยวโม่ ไปนอนกับป้าซวี่เถอะ ดึกมากแล้ว"

"แม่ คืนนี้ฉันอยากนอนกับคุณ"

"ทำไมล่ะ?"

"ฉันต้องปกป้องคุณ ไม่เช่นนั้น คุณอาจจะถูกคนไม่ดีรังแกได้" พูดจบ ก็หันหน้าไป จ้องมองหนิงเส่าเฉินที่ยืนอยู่ด้านหลังคนทั้งสอง

"เสี่ยวโม่ เขาไม่ใช่คนไม่ดี เขาคือพ่อ" เย่หลินรู้สึกปวดหัวอย่างมาก เดิมทีก็คิดว่าเย่เสี่ยวโม่แค่อารมณ์ไม่ดีเล็กน้อย แต่ขณะนี้ดูแล้ว เธอเป็นศัตรูกับหนิงเส่าเฉินจริงๆ

"คุณโกหก ถ้าเขาไม่ใช่คนไม่ดี ทำไมเวลาคุณเอ่ยถึงเขากับพ่อชู คุณต้องร้องไห้ด้วยล่ะ?"

เย่หลินตกใจเล็กน้อย หัวใจเต้นระรัว หันไปมองหนิงเส่าเฉินอย่างรู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย

หนิงเส่าเฉินนำมือล้วงกระเป๋าแล้วมองเย่เสี่ยวโม่ เงยหน้า สายตามองไปยังเย่หลิน "หลายปีมานี้ ทำให้คุณต้องทุกข์ทรมานแล้ว"

คำพูดง่ายๆประโยคหนึ่ง แต่ทำให้เย่หลินน้ำตาไหลพรากในทันที

พอเย่เสี่ยวโม่เห็น ก็ยิ่งสับสน ปล่อยเย่หลิน เดินเข้าไปนำมือน้อยๆทุบตีหนิงเส่าเฉินไม่หยุด "คุณเป็นคนไม่ดี คุณรังแกแม่ฉันอีกแล้ว"

เย่หลินลูบหน้าผาก ตอนนี้ กลืนไม่เข้าคายไม่ออก ดึงเย่เสี่ยวโม่ โอบไว้ในอ้อมกอด

แล้วหันไปพูดกับหนิงเส่าเฉินว่า: "ฉันจะไปนอนเป็นเพื่อนเธอ ราตรีสวัสดิ์"

หลังจากกล่อมให้เย่เสี่ยวโม่หลับแล้ว เย่หลินก็อุ้มเธอไปยังห้องพี่ซวี่ เธอนอนไม่ค่อยหลับ เย่เสี่ยวโม่อยู่ เธอก็นอนไม่หลับ

จู่ๆก็นึกได้ว่ามือถืออยู่ที่ห้องรับแขก เมื่อมาถึงห้องรับแขก ก็พบว่าหนิงเส่าเฉินและพ่อหนิงยังนั่งอยู่ที่โซฟา คล้ายกับคุณอะไรกันอยู่ หลังจากเธอกล่าวราตรีสวัสดิ์แล้ว ก็เดินมุ่งตรงไปยังห้อง

"อาเฉิน รีบตามไปสิ?" เห็นหนิงเส่าเฉินยังคงนั่งดูมือถืออยู่ เหอหลิงจึงโยนหมอนอิงที่อยู่ด้านหลังของเธอมายังเขา

หนิงเส่าเฉินขมวดคิ้ว หันหน้าไป เห็นภาพด้านหลังของเย่หลิน ก็รีบลุกขึ้นแล้วตามขึ้นชั้นบนไป

ท่าทางนั้น ทำให้เหอหลิงรู้สึกขบขัน

"เฮ้อ ในที่สุดฉันก็รู้สึกว่าลูกชายคนนี้ของเรา มีความเห็นอกเห็นใจคนบ้างแล้ว" เหอหลิงมองภาพด้านหลังที่รีบร้อนนั้น ก็อดยิ้มไม่ได้

แต่พ่อหนิงขมวดคิ้วอย่างลึกซึ้ง

หรือว่า…..จะเป็นโชคชะตาจริงๆ?

เย่หลินเงยหน้า เผชิญกับแววตาที่ซับซ้อนของหนิงเส่าเฉิน

"ถ้าหากว่าเป็นของคนอื่น คุณยังต้องการฉันไหม?" สีหน้าเธอดูผิดปกติไป เอ่ยถามด้วยสีหน้าจริงจัง

จากนั้น เธอก็เห็นความเจ็บปวดประกายในแววตาของหนิงเส่าเฉิน เขาเหยียดแขนยาวออกมา ใช้มือประคองสองไหล่ของเธอ แล้วกล่าวด้วยเสียงทุ้ม : "ในระหว่างนั้น เกิดเรื่องอะไรขึ้นใช่ไหม?"

เย่หลินส่ายหัว เพียงแต่ถามซ้ำว่า : "คุณยังต้องการฉันใช่ไหม?"

ลูกกระเดือกของหนิงเส่าเฉินกลิ้งขึ้นลง เม้มๆปากบางๆ แล้วพยักหน้า

"ต้องการสิ!"

"หนิงเส่าเฉิน คุณรักฉันมากขนาดนั้นเลยเหรอ? ให้คุณเป็นพ่อคน คุณก็เต็มใจเหรอ!" เธอกลั้นหัวเราะ แล้วพูดหยอกล้อเขา

หนิงเส่าเฉินก้มหน้า จากนั้นก็ใช้สองมือจับแก้มของเธอ วางหน้าผากไว้บนหน้าผากเธอ พูดด้วยน้ำเสียงแหบๆเล็กน้อย : "เมื่อเทียบกับการสูญเสียคุณไป สิ่งเหล่านี้ก็ไม่สำคัญแล้ว เป้ยอี ไม่ว่าต่อๆไป เราจะประสบพบเจอกับอะไร ก็อย่าทิ้งฉันไปอีกนะ ได้ไหม?"

"ฮือ……” ทางด้านเย่หลินซาบซึ้งใจแต่ยังไม่ทันน้ำตาไหล เหอหลิงที่ยืนอยู่ไม่ไกลจากคนทั้งสองก็ปิดปากร้องไห้ออกมา

"ลูกชาย นั่นคือลูกสาวของคุณ คุณดูสิ หน้าตาเหมือนกับคุณทุกประการ" ไม่เคยเห็นลูกชายเจ็บปวดขนาดนี้ เหอหลิงเลยอดไม่ได้ที่จะเข้าไปทำให้ชัดเจน

หนิงเส่าเฉินตัวสั่นอย่างเห็นได้ชัด ปล่อยมือจากเย่หลิน เห็นในดวงตาเธอมีน้ำตา แล้วก็มีรอยยิ้มอย่างชัดเจน

จึงก้มหน้า ไปมองคนที่ซ่อนอยู่ในอ้อมแขนของเย่หลิน สายตาเบิกกว้างจ้องมองมาที่เขา ทว่าเด็กผู้หญิงคนนั้นมีสีหน้าเรียบเฉย

ใบหน้านั้น เมื่อดูอย่างถี่ถ้วนแล้วก็คือลูกของเขาไม่มีผิด

เขาดีใจมาก เงยหน้าขึ้นอย่างตื่นเต้น มองไปที่เย่หลิน ทันทีก็เหมือนนึกอะไรออก "ใช่ คืนวันนั้น?"

เย่หลินกระแอมเบาๆ แล้วพยักหน้า

หนิงเส่าเฉินเงยหน้าขึ้น เม้มๆปาก ในแววตามีรอยยิ้ม ดีใจเหมือนกับเด็ก จูบที่ใบหน้าของเย่หลินไม่หยุด…..

เย่หลินรู้สึกว่า ขณะนี้ สี่ปีแห่งการยืนหยัดมุ่งมั่น ทั้งหมดมันมีความหมาย ความเจ็บปวดทั้งหมดที่ได้รับ มันก็คุ้มค่าแล้ว

จากนั้น หนิงเฉ่าเฉินก็นั่งยองๆ มองเย่เสี่ยวโม่ "เรียกพ่อหน่อย"

เย่เสี่ยวโม่แลบลิ้นใส่เขา เงยหน้าขึ้นอย่างเย่อหยิ่ง "ผู้ชายไม่จริงจัง หนูไม่อยากเรียกคุณว่าพ่อ"

แม้ว่าเย่เสี่ยวโม่จะไม่มีไอคิวสูงเท่าหนิงเสี่ยวซี แต่ยังคงดีกว่าเด็กในวัยเดียวกันมาก มีความสามารถโดดเด่นทางด้านภาษาทำให้เย่หลินเองก็เทียบไม่ได้เลย

หนิงเส่าเฉินขมวดคิ้ว แล้วหันไปมองเย่หลิน "ผู้ชายไม่จริงจัง?"

เย่หลินลูบๆจมูก นั่งลงยองๆ "เย่เสี่ยวโม่ อันนี้นะ? คือพ่อของหนู ในตอนนั้นพ่อมีปัญหา ไม่ได้จงใจไม่ต้องการเรา" พูดจบ เธอก็ชี้ไปที่หนิงเสี่ยวซีที่ยืนอยู่ "คนนี้น่ะ? คือพี่ชายของหนู"

ทว่าเย่เสี่ยวโม่ยังคงสีหน้าเย็นชา มือเล็กๆชี้ไปที่หนิงเส่าเฉิน อีกทั้งสายตาก็มองไปที่หนิงเสี่ยวซี "คุณทั้งสองคนเป็นผู้ชายไม่จริงจัง ไม่ดีทั้งคู่"

คิดๆแล้ว ก็มองหนิงเส่าเฉิน "ตอนที่แม่คลอดหนู เกือบจะตายไป คุณไปอยู่ที่ไหน? แม่หนูเลี้ยงดูหนู ทำงานอย่างหนักทุกๆวัน คุณอยู่ที่ไหน? ครั้งก่อน หนูยังเห็นคุณทำรุนแรงกับเธอ คุณปฏิบัติต่อเธอไม่ดีเลยสักนิด คุณยังจะให้หนูเรียกคุณว่าพ่อ เป็นไปไม่ได้หรอก" พูดจบ ก็จูงมือเย่หลิน "แม่ ไป เราไปกินข้าวกัน อย่าไปสนใจพวกเขา คนไม่ดี"

มือด้านหลังหนิงเส่าเฉินแข็งทื่ออยู่กลางอากาศ ขมวดคิ้วขึ้นจนเป็นร่องลึก เป็นเวลานาน จึงวางมือลง

เธอคลอดลูก เกือบตาย? เพื่อเลี้ยงดูลูก เธอจึงทำงานอย่างหนัก? สองสามปีมานี้ ท้ายที่สุดแล้วเธอต้องได้รับความลำบากมากขนาดไหนกัน?

หลังจากทานอาหารเสร็จ พ่อหนิงก็เรียกหนิงเส่าเฉินเข้าไปห้องหนังสือ

เข้าไปได้ไม่นาน ก็ได้ยินเสียงข้าวของตกดังออกมาจากด้านใน

"เรื่องนี้ คุณต้องเห็นแก่เธอที่เคยช่วยชีวิตคุณไว้ครั้งหนึ่ง ไม่ต้องไปไล่สืบสวนอีก" พ่อหนิงพูดจบ ก็สูดลมหายใจเข้าอย่างแรง

มองผู้ชายที่อายุเกินครึ่งร้อยนี้ที่อยู่ตรงหน้า พูดอย่างหลีกเลี่ยงปัญหาสำคัญแบบนั้น สายตาของหนิงเส่าเฉินก็เย็นชาอย่างมาก "หรือว่าในสายตาของพ่อ เรื่องแบบนี้ เป็นเพียงเรื่องเล็กๆเหรอ?" เขาลูบหน้าผาก ถ้าผู้ชายคนนี้ที่ยืนอยู่ตรงหน้าไม่ใช่พ่อของตนเอง เขาก็ไม่กล้ารับประกันจริงๆว่าเขาจะทำเรื่องอะไรออกมา

อย่าเพิ่งพูดถึงเรื่องของหนิงเสี่ยวซีเลย สี่ปีมานี้ ครอบครัวของพวกเขา เพราะคำโกหกของเกาเหวิน ต้องแบกรับอะไรแค่ไหน มันก็พอที่จะชดใช้ให้เกาเหวินได้แล้ว

เธอมีบุญคุณต่อเขา แต่เวลานี้ บุญคุณนี้ ได้จบสิ้นลงแล้ว

พ่อหนิงชี้นิ้ว ตอบโต้ด้วยความโกรธว่า: "ทำไม ถึงยังไม่จบไม่สิ้นห๊ะ?"

"หรือว่าคุณไม่รู้สึกว่าเรื่องนี้มีลับลมคมใน?"

"ลับลมคมในอะไร ฉันบอกว่าเรื่องนี้ไม่ต้องสืบสวน หรือว่าฟังไม่เข้าใจ?" ชัดเจนว่าพ่อหนิงหมดความอดทน

ในห้องหนังสือ บรรยากาศแข็งทื่อขึ้นมาทันที

"ฉันอยากถามคุณ พ่อทำไมเธอถึงไม่สามารถให้กำเนิดลูกได้ หลายปีมานี้ คุณไม่เคยบอกฉันเลย แต่กลับยังไปช่วยเหลือพวกเขาอีก? มันเป็นเพียงแค่บุญคุณจริงๆเหรอ?" สีหน้าของหนิงเส่าเฉินคร่ำเครียดเล็กน้อย กลิ่นอายที่ทำให้คนโดยรอบหวาดกลัว ที่เขามีความเข้าใจต่อพ่อ ไม่ใช่เพียงเพราะเรื่องบุญคุณง่ายๆแบบนั้นอย่างแน่นอน

เมื่อตอนพ่อหนุ่มๆ ทำเรื่องต่างๆด้วยนิสัยที่อำมหิต ถึงแม้จะซาบซึ้งในบุญคุณที่ตระกูลเกาช่วยชีวิตเขาไว้ก็ตาม แต่ด้วยนิสัยของเขา เรื่องที่จะเอาสายเลือดของตระกูลหนิง ไปตอบแทนบุญคุณ มันเป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน

"หนิงเส่าเฉิน คุณอยากจะต่อต้านใช่ไหม?" พ่อหนิงนำถ้วยวางแท่งหมึก ใช้กำลังโยนลงพื้นอย่างแรง ปรากฎเสียงที่ดังอย่างรุนแรง

หลายปีมานี้พ่อลูกทั้งสอง ทะเลาะกันรุนแรงแบบนี้น้อยมาก

เสียงนี้ทำให้เหอหลิงที่เดินวนไปมาอยู่หน้าประตูตลอด ต้องเปิดประตู แล้วพุ่งเข้าไป

หลังจากพ่อหนิงเห็นเธอ ชัดเจนว่าสายตาปรากฏความสับสนเล็กน้อย ทันทีหลังจากนั้น ก็สงบลงมา เดินเข้าไป "อาหลิง คุณเข้ามาทำไม?"

"คุณหนิง คุณพูดกับลูกชายของเราดีๆสิ ทำไมต้องโมโหขึ้นมาด้วยล่ะ?"

พ่อหนิงมองหนิงเส่าเฉินตาขวาง "ถ้าคุณอยากจะอยู่ด้วยกันกับคุณเย่คนนั้น ก็ไม่ต้องมาถามเรื่องนี้กับฉันอีก"

"พ่อ คุณ……." หนิงเส่าเฉินสูดลมหายใจเข้า หน้าอกยกขึ้นลง ถึงแม้จะยังไม่มีทางที่จะรู้ว่าเวลานั้นพ่อรับปากข้อเรียกร้องอะไรของสองพ่อลูกตระกูลเกา แต่…..

คิดถึงเรื่องที่เกาเหวินโกหกเขา ทำเรื่องที่ใหญ่ขนาดนี้ ก่อนหน้านั้นยังนำข้ออ้างนี้มาบีบบังคับให้เฉินเป้ยอีจากไป ทันใดสายตาก็เยือกเย็น

เรื่องนี้ จะต้องมีคนที่ชดใช้ คาดไม่ถึงว่าเขาคำนวณในหัวแล้ว เขายังคงมีจิตใจเมตตาจริงๆ!

"ต่อไป รบกวนคุณไม่ต้องมาก้าวก่ายเรื่องของฉันอีก" พูดจบ ก็หันตัวกลับ ออกไปจากห้องหนังสือ

เห็นภาพด้านหลังของเขา พ่อหนิงก็โล่งอกอย่างชัดเจน

ในห้องรับแขก

"คุณลุง ฉันอยากถามว่า คุณรู้จักแม่ของฉันเหรอ?" รู้ว่าเรื่องนี้คือเกาเหวินและพ่อของเธออยู่เบื้องหลัง หลังจากพ่อหนิงเพียงแค่บอกเป็นนัย ในใจเฉินเป้ยอีก็โล่งอก

สวรรค์รู้ว่า เธอหวาดกลัวมาก ถ้าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกันกับพ่อหนิง อนาคตของเธอและหนิงเส่าเฉิน จะต้องจัดการอย่างไร?

เพียงแต่ว่า ผู้ชายคนนี้ไม่ได้ใช้การจูบ แต่เป็นการกัด

เย่หลินเจ็บปวด กำหมัดทั้งสองข้าง ผลักเขาออกไป

หนิงเส่าเฉินก็จับมือของเธอเข้าไว้ด้วยกัน ยกขึ้นเหนือศีรษะ ยืดตัวขึ้น จ้องมองเธอด้วยดวงตาแดงก่ำ "คิดว่าหลอกฉันกับเสี่ยวซีให้หัวปั่น แล้วคุณจะมีความสุขมากใช่ไหม?"

นึกถึงความยุ่งเหยิงของตนเองก่อนหน้านี้ นึกถึงในช่วงหลายปีมานี้ ตนเองไม่เป็นผู้เป็นคน ไม่มีชีวิตชีวา หนิงเส่าเฉินก็แทบอยากจะนำผู้หญิงคนนี้มาลงโทษ

เย่หลินเห็นว่าเขาโกรธจริงๆ ก็กัดริมฝีปากไม่กล้าส่งเสียง เพียงแต่ ในใจหลายๆปีมานี้ เป็นครั้งแรกที่ผ่อนคลายที่สุด

"คุณปล่อยมือฉันก่อน"

หนิงเส่าเฉินจ้องมองเธอ สีหน้ายังคงกลัดกลุ้ม แต่ก็คลายมือออก

เย่หลินยกสองมือขึ้น โอบคอของเขา ดึงเขาเข้ามา ริมฝีปากแดงๆก็เข้าไปต้อนรับด้วยการจูบ

"หนิงเส่าเฉิน ฉันผิดไปแล้ว อย่าโกรธเลยนะ ได้ไหม?" จากนั้น เธอก็ลุกขึ้น ไปอิงในอ้อมกอดของหนิงเส่าเฉิน นำสาเหตุของเรื่องราว พูดให้เขาฟังอย่างคร่าวๆอีกรอบ

เธอสามารถรู้สึกได้ว่า อารมณ์โกรธของหนิงเส่าเฉินลดลงมากแล้ว ก็อดไม่ได้ที่จะโล่งใจ

"ทำไมในตอนนั้น ต้องจากไปด้วย? แล้วคนที่ตายไปนั่น เกิดขึ้นได้อย่างไร?"

"เวลานั้น ฉันคิดว่าเป็นเพราะตนเองที่ไปทำร้ายเธอ ในใจก็รู้สึกละอายอย่างมาก ฉะนั้น ทำได้เพียงจากไป ส่วนคนที่ตายไปนั้น ไม่ใช่ฉัน เรื่องราวเกิดขึ้นได้อย่างไร ฉันก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน"

หนิงเส่าเฉินก้มหน้า หรี่ตา มองเธอ ก่อนหน้าที่มาที่สนามบิน เขาก็เข้าใจสาเหตุของเรื่องราวคร่าวๆจากเหอเฟยแล้ว มือใหญ่ๆลูบบนใบหน้าที่สวยงามของเธอเบาๆ "ทำไมคุณไม่เชื่อว่าฉันสามารถจัดการกับมันได้? คุณรู้ไหม ช่วงเวลาที่สูญเสียคุณไป ฉันเป็นอย่างไร?"

พูดจบ ตัวอีกข้างหนึ่ง ก็นอนลงมาบนตัวของเย่หลิน หนิงเส่าเฉินพลิกตัวกลับ กดอยู่บนร่างของเธอ

เย่หลินได้ฟังคำพูดของเขา ฉับพลันความรู้สึกในใจก็ปะปนกันไปหมด เขาโศกเศร้า เธอจะรู้สึกดีได้อย่างไร?

"ได้ยินมาว่าคุณทารุณตนเองทุกวัน ดื่มจนตนเองอาเจียนเป็นเลือด คุณทำอย่างนี้ ต้องการให้ฉันอยู่เป็นหม้ายในอนาคตใช่ไหม?" เธอพูดไปพลาง ทุบตีที่หน้าอกของเขาไปพลาง

หน้าตาแบบนั้น ทำให้หนิงเส่าเฉินใจอ่อน ทั้งคนที่กดอยู่บนตัวของเธอ ก็ฝังศีรษะลงไปที่ซอกคอของเธอ ออกแรงสูดกลิ่นกายของเธอ

เป็นเวลานาน จึงค่อยๆมีเสียงออกมา : "ฉันยังไม่ได้บอกว่าจะแต่งงานกับคุณเลยนะ? คุณจะเป็นหม้ายได้อย่างไร?"

หัวใจของเย่หลินเจ็บปวดรวดร้าว เช็ดๆน้ำตา พูดด้วยน้ำเสียงไม่พอใจว่า "ไม่แต่งก็ไม่แต่ง" ทว่ากลับยิ้มมุมปาก สำหรับเธอแล้ว ผู้ชายที่สามารถสละชีวิตได้ ถึงแม้ว่าจะไม่ได้แต่งงาน อย่างไรเสีย ก็ยังคงเป็นเธออยู่ดี

ทั้งสองคนกอดกันอยู่นาน นานมาก ในฉับพลัน เย่หลินก็นึกขึ้นได้ ว่าลืมพูดถึงเย่เสี่ยวโม่กับหนิงเส่าเฉิน กัดริมฝีปากล่าง "คุณลุกขึ้นก่อน ฉันยังมีอีกเรื่องที่จะบอกคุณ"

"ไม่เอา"

"คุณตัวหนักมากเลย"

"งั้นคุณมาอยู่ข้างบนไหม?"

ที่นอกประตู

"พ่อหนูจะตีแม่น้อยไหม?"

"ไม่หรอก"

หนิงเสี่ยวซีร้อนใจ ทำท่าจะทุบประตู หนิงเชี่ยนก็มาดึงมือเขาไว้ "คุณทำอะไร?"

"ท่าทางของพ่อหนูเมื่อกี้นี้ หนูกังวลว่าเขาจะตีแม่น้อย?"

"ไม่หรอก พวกเขาก็แค่……แค่เล่นเกมกันมั้ง?"

"เล่นเกม? คุณโกหก เล่นเกมแล้วทำไมถึงต้องเถียงกันว่าใครจะอยู่บนอยู่ล่างด้วยล่ะ?"

เหอหลิงเดินเข้ามา กระแอมทีหนึ่ง ยกมือขึ้น เคาะประตู "เอ่อ อาเฉิน อีกสักครู่ออกมาทานข้าวนะ"

หนิงเชี่ยนเอียงหูแนบชิดกับประตู

เย่หลินได้ยินเสียง ก็ขมวดคิ้ว ใช้กำลังผลักหนิงเส่าเฉิน แทบจะพุ่งเข้าไปด้วยความเร็ว ดึงประตูเปิด หลังจากนั้นหนิงเชี่ยนที่ไม่ได้เตรียมตัวแม้แต่น้อยก็ล้มลงในอ้อมกอดของเย่หลิน

คนทั้งคู่หกล้มลงไปกองกับพื้น

หลังจากนั้นหนิงเส่าเฉินก็รีบก้าวฝีเท้าเข้ามา ประคองเย่หลินลุกขึ้น โอบไว้ในอ้อมแขน ถามด้วยความเป็นห่วงว่า: "เป็นอะไรไหม?"

โดยไม่ได้มองหนิงเชี่ยนที่ยังคงเอนกายอยู่บนพื้นเลย

"พี่ คุณยังเป็นคนอยู่หรือเปล่า? ฉันเป็นน้องของคุณ……." หนิงเชี่ยนลุกขึ้นนั่ง ร้องเรียกหนิงเส่าเฉิน เพียงแต่ หนิงเส่าเฉินกลับมองค้อนเธอ

หนิงเชี่ยนอ้าปาก แสร้งทำเป็นส่งเสียงร้องไห้ ตะเกียกตะกายลุกขึ้นแล้วออกจากห้องไป "แม่ พี่รังแกฉัน……"

ได้ฟังเสียงที่บอกนั้น เย่หลินก็เงยหน้าไปมองหนิงเส่าเฉิน "น้องสาวคุณนี่ ปกติเป็นแบบนี้เหรอ?" หนิงเชี่ยนคนนั้นที่รู้จักในโรงพยาบาลกับหนิงเชี่ยนคนนี้แตกต่างกันอย่างมาก

หนิงเส่าเฉินพ่นคำพูดออกมาอย่างเยือกเย็น "ปัญญาอ่อน"

หนิงเสี่ยวซียืนอยู่ข้างประตู เห็นเธอออกมา ก็เข้าไปกอดเธอ "แม่น้อย….."

เย่หลินโอบกอดหนิงเสี่ยวซีแน่น "เสี่ยวซี แม่ไม่ควรโกหกหนู ขอโทษนะ หลายปีมานี้ หนูเป็นอย่างไรบ้าง?" เธอปล่อยหนิงเสี่ยวซีแล้วพิจารณาเขา

หนิงเสี่ยวซีพยักหน้า ช่วงเวลาหนึ่งก็เขินอายอย่างมาก "ดีหมด แต่ว่า…….คิดถึงคุณ!" พูดจบ เขาเงยหน้า ไม่ให้น้ำตาไหลออกมา ไม่เหมือนกับเมื่อก่อนที่ขี้แย ตอนนี้ชัดเจนว่าหนิงเสี่ยวซีแข็งแกร่งขึ้นมาก

เธอลูบหัวของเขาสองที แล้วหยุดชั่วคราว กระซิบถามว่า: "เธอปฏิบัติกับคุณอย่างไรบ้าง?"

แน่นอนว่าหนิงเสี่ยวซีรู้ว่าที่เธอพูดคือใคร ส่ายหน้า หันกลับไปมองหนิงเส่าเฉินที่อยู่ข้างหลัง "พ่อของฉันอยู่ เธอไม่กล้าทำอะไรหนูหรอก"

"แม่น้อย ฉันได้ฟังคุณย่าเมื่อกี้ บอกว่าคุณมีเหตุสุดวิสัยทำให้ลำบากใจ เวลานั้นจึงไม่ต้องการฉัน ดังนั้น ฉันก็ไม่ตำหนิคุณหรอก"

เย่หลินยิ้มอย่างปลื้มใจ แล้วก็โอบหนิงเสี่ยวซีเข้ามาไว้ในอ้อมกอด "เสี่ยวซี แม่น้อยรับปากหนู นับแต่นี้ต่อไป จะไม่ทอดทิ้งหนูอีก ไม่ว่าจะด้วยสาเหตุใดก็ตาม" หลายปีมานี้ เธอทำให้เด็กคนนี้ขาดตกบกพร่องไปมากจริงๆ

"ลงไปทานข้าวกันก่อนเถอะ" หนิงเส่าเฉินส่งเสียงตัดบทพวกเขา เทียบกับเมื่อกี้ สีหน้าผ่อนคลายลงอย่างมาก

"เดี๋ยวก่อน ฉันยังมีเรื่องหนึ่งที่ไม่ได้บอกกับคุณ" เย่หลินพูดจบ หันตัวกลับ มองไปรอบๆ เหอหลิงชี้ไปยังห้องนั้นที่อยู่ทางด้านขวา "พี่ซวี่พาเข้าไปนอนกลางวันแล้ว" เย่หลินพยักหน้า วิ่งเข้าไปยังห้องนอนนั้น

มองเงาของเย่หลิน หนิงเส่าเฉินก็ขมวดคิ้ว ไม่เข้าใจ

ไม่นาน ก็เห็นเย่หลินจูงเด็กคนหนึ่งเดินออกมาจากในห้อง

เมื่อหนิงเสี่ยวซีเห็นรูปร่างหน้าตาของเด็กคนนั้นชัดเจน ก็ตกตะลึง นี่คือเด็กคนนั้นที่เคยเจอที่งานแต่งงานของคุณอาใช่ไหม?

แต่ เธอ……

"นี่หมายความว่าอะไร?" ชัดเจนว่าสายตาของหนิงเส่าเฉินมืดมนลงไป ชูหยูจี้เคยบอกกับเขาว่า เย่หลินคลอดลูกสาวคนหนึ่ง เวลานั้น รู้ว่าเฉินเป้ยอีไม่ตาย เขาก็ดีใจอย่างมาก ไม่ได้ไปยุ่งเกี่ยวพัวพันกับปัญหาของเด็กคนนี้

เย่หลินลูบๆที่หัวเสี่ยวโม่ ก้มหน้า เอ่ยปากอย่างช้าๆว่า: "เสี่ยวโม่ ทักทายสิ"

"สวัสดีค่ะคุณลุง"

คุณลุง? เย่หลินทำตัวไม่ถูกก้มมองเด็กผู้หญิงที่ทำหน้าลิงหลอกเจ้ากับตนเอง ชัดเจนว่าเธอสอนเธอไปแล้วว่า ต้องเรียกคุณพ่อ

เธอไม่ได้เงยหน้าไปมองหนิงเส่าเฉิน แต่สามารถรู้สึกได้ถึงสายตาที่เยือกเย็นของเขา

นิ่งเงียบไปเป็นเวลานาน หนิงเส่าเฉินจึงเอ่ยปากว่า: "ใครกัน?"

"อาเฉิน คุณพาเสี่ยวซีมาเยี่ยมฉันกับพ่อของคุณหน่อยได้ไหม?"

"แม่ เมื่อไม่กี่วันก่อนก็เพิ่งไปเจอมาไม่ใช่เหรอ?" หนิงเส่าเฉินบีบหัวคิ้ว สองสามปีมานี้ เขากินไม่ค่อยอิ่ม นอนก็ไม่ค่อยหลับ ถ้าไม่ทำงานที่บริษัทจนดึกมาก ก็ไปที่บาร์ดื่มจนเมา สภาพย่ำแย่อย่างมาก

เห็นความแห้งเหี่ยวบนใบหน้าของเขา ใจของเหอหลิง ก็เหมือนกระอักเลือด

"อาเฉิน คุณยังปวดท้องอยู่หรือเปล่า? ฉันเห็นว่าสีหน้าคุณดูไม่ค่อยดีเลย" คิดๆแล้ว ยังอดไม่ได้ที่จะถามออกไป

เห็นได้ชัดว่าหนิงเส่าเฉินตกตะลึง แม่เขาคนนี้ หลังจากแต่งงานก็ถูกพ่อเอาอกเอาใจ ไม่ใช่คนที่ถี่ถ้วนเอาใจใส่ใคร โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ หลังจากที่เขาโตแล้ว เธอก็ยิ่งไม่ค่อยเอาใจใส่เขาเลย

ยิ้มมุมปาก "แม่ การได้ใช้ชีวิตด้วยกันกับคนที่รัก มันมีความสุขมากๆเลยใช่ไหม? เห็นแววตาและสีหน้าของแม่ หนิงเส่าเฉินก็รู้คำตอบแล้ว

เหอหลิงถูกเขาถามคำถามแบบนี้ ในทันทีก็นึกอะไรขึ้นมาได้ จึงร้องไห้โฮขึ้นมา

เหอเฟยเพิ่งเดินมาจากข้างนอก เห็นเธอเป็นอย่างนี้ ก็รีบปิดโน้ตบุ๊ก

"พี่ นี่คุณทำอะไร?" พูดจบ ก็นำนมในมือส่งให้ "พี่เขยให้ฉันยกมาให้คุณ"

"ฉันไม่ต้องการดื่มนมของเขา ต้องโทษเขา ถ้าไม่ใช่เพราะเขาต้องการตอบแทนบุญคุณอะไรนั่น อาเฉินของฉันจะถูกหลอกอย่างน่าเวทนาเช่นนี้ได้อย่างไร?" พูดจบ แล้วก็หยิบแก้วนมขึ้นมา เทลงในถังขยะข้างๆ

ทันทีก็นึกถึงอะไรบางอย่าง "ใช่สิ น้องสาว แล้ว……ยัยหนูคนนั้นล่ะ? คุณต้องดูไว้ดีๆ อย่าให้เธอไปไหน อาเฉินมาแล้ว ถ้าไม่เจอเธอ จะไม่เสียใจตายเลยเหรอ?"

กับความ"ไร้เดียงสา"ของพี่สาว เหอเฟยก็เคยชินแล้ว

ลุกขึ้นยืน แล้วเดินออกไป นึกๆแล้ว ก็เอาโน้ตบุ๊กในมือเธอไปด้วย

"คุณอย่าติดต่ออาเฉินอีกนะ เรื่องราวรายละเอียด ฉันจะมาจัดการเอง"

เหอหลิงเบ้ปาก พยักๆหน้า ทำหน้าตาอย่างนั้น ทำให้เหอเฟยสงสัยจริงๆเลย ว่าอายุของเธอนั้นกลับหัวลงหรือเปล่า

"อาเฉิน"

"คุณน้า เกิดอะไรขึ้นกับพ่อของฉัน?" หนิงเส่าเฉินรับโทรศัพท์ ก็รีบเอ่ยถาม

เหอเฟยหยุดไปชั่วขณะ "คุณก็จัดเวลาสองวันนี้ พาเสี่ยวซีมาที่นี่ก็แล้วกัน"

"คุณน้า ท้ายที่สุดแล้วเกิดอะไรขึ้น? เมื่อวานฉันเพิ่งจะกลับมา รอสักพัก ในบริษัท……”

"เกาเหวินมีบุตรยากแต่กำเนิด มันไม่ได้เกิดจากอุบัติเหตุทางรถยนต์"

หนิงเส่าเฉินที่อยู่ในวิดีโอคอล ก็มีสีหน้าเคร่งขรึมทันที "คุณพูดว่าอะไรนะ?"

"ตอนนี้เฉินเป้ยอีอยู่กับแม่ของคุณที่นี่ คุณจะมาหรือไม่ คุณก็ตัดสินใจเอง!" พูดจบ เหอเฟยก็วางสายไป

ผลคือ เที่ยงวันต่อมา หนิงเส่าเฉินก็พาหนิงเสี่ยวซี รีบเดินทางมาที่ต่างประเทศ

เมื่อพวกเขาปรากฏตัวในคฤหาสน์ เหอเฟยพยักหน้าให้เหอหลิงดู "เห็นไหมล่ะ ลูกชายของคุณ แต่งงานแล้วก็ลืมแม่เลย!"

เหอหลิงตีๆเธอ รีบเดินไปข้างหน้า แล้วกอดหนิงเส่าเฉิน

โตขนาดนี้แล้ว ถูกแม่กอด สีหน้าของหนิงเส่าเฉินก็เปลี่ยนไปมาก

หนิงเชี่ยนแย่งหนิงเสี่ยวซีจากในมือของเหอหลิง "เสี่ยวซี ไม่ได้เจอกันนานเลย……” จากนั้นมือทั้งสองข้าง ก็บีบหน้าหนิงเสี่ยวซีจนผิดรูป

สำหรับคุณอาคนนี้กับพ่อของตนเองไม่เหมือนกันโดยสิ้นเชิง หนิงเสี่ยวซีให้ได้มากที่สุดก็คือมองค้อน

แต่หนิงเส่าเฉินกล่าวถามด้วยสีหน้าร้อนใจว่า: "เธอล่ะ?"

"ใช่ คุณย่า แม่น้อยของฉันล่ะ?" หนิงเสี่ยวซีลงมาจากร่างของเหอหลิง ดึงเธอแล้วกล่าวถาม

มองคนตัวใหญ่ตัวเล็กที่อยู่ตรงหน้า เหอหลิงเคาะที่หัวแต่ละคนเล็กน้อย "พวกคุณทั้งสองไม่มีคุณธรรม คนโตนี่ยิ่งไม่มีคุณธรรมที่สุด เห็นแม่ตัวเอง ไม่ทักสักคำ อยากแต่จะหาภรรยา"

หนิงเส่าเฉินพูดกับเธออย่างเก้อเขินเล็กน้อย เรียกเบาๆคำหนึ่ง"แม่"

"เธอล่ะ?" หนิงเส่าเฉินกล่าวถามอีกครั้ง

เย่หลินมองตัวเองในกระจกนั้น ผิวขาว หน้าตางดงาม หนิงเส่าเฉิน ครั้งนี้ คุณก็น่าจะไม่รังเกียจใช่ไหม?

ได้ยินเสียงรถยนต์ดังมาจากด้านล่าง ร่างกายก็สั่นเบาๆ ไม่กล้าชักช้าอืดอาดอีก พอเธอลงมาชั้นล่างก็เห็นหนิงเส่าเฉินที่วิ่งเข้ามาในบ้าน สบตากัน

เย่หลินก้มหน้า ทันทีก็วางตัวไม่ถูก แล้วก็เก้อเขินเล็กน้อย ปลื้มอกปลื้มใจอย่างมาก ความเย็นชาของหนิงเส่าเฉินก่อนหน้านี้ ก็แสดงให้เห็นอีกครั้ง เขาไม่ได้ตกหลุมรักเธอเพราะความงามของเธอ

คุณคือผู้หญิงในวิดีโอนั้นเมื่อหลายปีก่อนใช่ไหม? หนิงเสี่ยวซีที่ถูกเหอเฟยจูงมาได้พบเย่หลิน เดินเข้าไป จ้องมองเธอ ขมวดคิ้วแน่น

"เสี่ยวซี นั่นคือแม่ของคุณ" เหอหลิงเดินเข้าไป ดึงมือของเฉินเป้ยอี "ดูเด็กคนนี้สิ เมื่อคืนวานเครียดจนไม่ค่อยได้นอนเลยใช่ไหม? ทำไมวันนี้ดูแล้ว เงียบขนาดนี้ล่ะ?"

"มะ….แม่?" หนิงเสี่ยวซีหันตัวกลับอย่างรวดเร็ว ก้าวเท้าถอยหลัง ยืนอยู่ด้านข้างหนิงเส่าเฉิน

เย่หลินอยากจะดึงหนิงเสี่ยวซีไว้ แต่มือกลับคว้าความว่างเปล่าอย่างจนปัญญา

เม้มริมฝีปาก สูดลมหายใจเข้า เดินเข้าไป โผเข้าไปในอ้อมกอดของหนิงเส่าเฉิน "เส่าเฉิน ขอโทษ"

หนิงเส่าเฉินแทบจะใช้กำลังผลักเธอออกด้วยจิตสำนึก ดวงตาลึกซึ้ง จ้องมองไปยังเธอ

"ตกลง เรื่องไหนเป็นเรื่องจริงของคุณ?" เสียงที่เย็นชา สีหน้าที่คร่ำเครียด

เย่หลินหรี่ตาทั้งคู่ เค้าโครงบนใบหน้าอ่อนโยนอย่างมาก เธอรู้ว่าหนิงเส่าเฉินยังโกรธอะไรอยู่ โกรธที่พูดในโรงน้ำชาเมื่อวันนั้น โกรธที่หลายวันมานี้เธอเย็นชา โกรธที่ตนเองไปคบหากับคนอื่น โกรธความใจดำเมื่อคืนวาน แต่…..ไม่ได้ตั้งใจ

เพียงแต่ เธอรู้ว่าไม่ต้องรีบร้อนที่จะอธิบายเรื่องนี้

เธอปล่อยเขา เดินไปยังตรงหน้าหนิงเสี่ยวซี สูดลมหายใจ แล้วจึงกล่าวออกมาว่า: "วันนั้นตอนเย็นที่อยู่ที่คฤหาสน์ตระกูลหนิง เสี่ยวซี คุณให้ฉันดื่มนมแก้วหนึ่ง ใช่ไหม?"

เธอพูดจบ ก็เห็นหนิงเสี่ยวซีตาโต มองเธอ คล้ายกับไม่มีการตอบสนองเล็กน้อย เรื่องนั้น พ่อไม่ให้เขาบอกกับคนอื่น เธอรู้ หรือว่า คือแม่น้อยจริงๆ?

"เสี่ยวซี ขอโทษนะ ก่อนหน้านี้เพราะแม่มีบางเรื่อง จนปัญญาเลยจะต้องปิดบังโฉมหน้าที่แท้จริงของฉัน ดังนั้น ฉันจึงต้องแต่งหน้าให้ตนเองน่าเกลียด ฉันโกหกคุณ…..ขอโทษนะ……"

หลังจากเธอพูดจบ ตอนแรกก็เงียบจนผิดปกติ ต่อจากนั้นสีหน้าของหนิงเส่าเฉินก็เปลี่ยนเป็นมืดมน "คุณตามฉันมา" คำพูดสองสามคำนี้ บางส่วนของคำพูดหนิงเส่าเฉินบีบออกมาจากฟัน พูดจบ ก็ดึงเย่หลินขึ้นชั้นบนไป

พอถึงห้อง หนิงเส่าเฉินก็จ้องมองเธอ มองร่างกายของเธอจนขนลุก อดไม่ได้ที่จะถอยหลังไปสอง

"ฉัน ฉันไม่ได้ตั้งใจ" เสียงของเธอเล็กมาก เบามาก

หนิงเส่าเฉินกัดริมฝีปากบางๆ ลูกกระเดือกขยับ ยื่นแขนที่เรียวยาวออกมา ผลักเธอล้มลงบนเตียง

เย่หลินรู้สึกว่าร่างกายหนัก วินาทีต่อมา ก็มีเงาร่างดำกดลงมา ริมฝีปากของเธอถูกปิดเอาไว้

"เส่าเฉิน? คุณเย่ คุณเรียกผิดคนหรือเปล่า?" น้ำเสียงเย็นชา ไร้อารมณ์ความรู้สึก

"ฉัน……” เย่หลินเอียงศีรษะเล็กน้อย ใช้นิ้วลูบๆหน้าผาก มีความเขินนิดๆ ไม่ได้โกรธ กลับยกยิ้มขึ้นมา

ทางด้านเหอเฟยกับเหอหลิงก็มองเธอด้วยอารมณ์ลึกซึ้ง

"เขาไม่เป็นอะไร คุณไม่ต้องเป็นห่วง" น้ำเสียงเย็นชาดังทอดออกมาอีกครั้ง พูดจบประโยคนี้ เสียงตู๊ดๆก็ดังมาจากในโทรศัพท์

"อาเฉินคงไม่รู้ว่าคุณคือเป้ยอีคนนั้น คุณอย่าไปโกรธเขาเลยนะ" เหอหลิงมองๆโทรศัพท์ แล้วรีบอธิบายแทนลูกชายของตนเอง

เย่หลินส่ายหัว เธอรู้ว่าหนิงเส่าเฉินต้องผิดหวังกับการแสดงออกของเธอเมื่อเร็วๆนี้

จากนั้น ดูเหมือนจะกลัวว่าเย่หลินจะหนีไป ทั้งสองคนเลยต้องการตามเธอไปถึงที่อยู่ของเธอ แล้วให้เธอเก็บกระเป๋า

พวกเธอทั้งสามคนเพิ่งจะเข้ามาในบ้าน ก็เห็นเย่เสี่ยวโม่เดินมาด้วยขาสั้นๆ ในมือถือกังหันลมวิ่งอยู่ในบ้าน หัวเราะคิกคักไม่หยุด เมื่อได้ยินเสียงดังขึ้น จึงหันไป เห็นเป็นเย่หลิน ก็ยื่นมือเล็กๆออก ปากน้อยๆตะโกนร้องเรียก "แม่ ทำไมคุณกลับมาเร็วจังเลย?"

รอยยิ้มนั้น ชั่วขณะทำให้หัวใจของเย่หลินเหลวกลายเป็นน้ำเลย

เดินเข้าไปสองสามก้าว นำเย่เสี่ยวโม่มาไว้ในอ้อมกอด แล้วหอมแก้ม

"มะ……แม่? เย่หลิน นี่……คือลูกคุณเหรอ? คุณแต่งงานใหม่เหรอ?" ในแววตาของเหอหลิงมีความประหลาดใจ ยิ่งมีความวิตกกังวล ถ้าหากว่าเย่หลินแต่งงานแล้ว เช่นนั้นลูกชายของเธอ จะทำอย่างไร?

เย่หลินชะงักงันไปชั่วขณะ จึงนึกถึงเหอหลิงกับเหอเฟยขึ้นมาได้ หันกลับไป มองพวกเขา จูงเย่เสี่ยวโม่เดินไปข้างหน้า โค้งตัวลงเล็กน้อย ชี้ไปที่เหอหลิง แล้วพูดกับเย่เสี่ยวโม่ว่า : "เสี่ยวโม่ นี่คือคุณแม่ของพ่อ รีบเรียกคุณย่าสิ"

เย่เสี่ยวโม่มองเหอหลิงที่อยู่ตรงหน้า เธอนึกออกแล้ว นี่คือคนที่เคยเจอในงานแต่งพ่อชูในวันนั้น เห็นว่าเธอปฏิบัติดีต่อพี่ชายของเธอมาก ในใจโศกเศร้าเล็กน้อย แล้วหันไปอีกด้านหนึ่ง "เธอเป็นย่าของผู้ชายที่ไม่จริงจังคนนั้น ไม่ใช่ฉัน"

เย่หลินตกตะลึง ในฉับพลันเมื่อได้สติกลับมา หลังจากกลับมาวันนั้น เย่เสี่ยวโม่เอ่ยถึงหนิงเสี่ยวซีกับเธอ ในตอนนั้นบอกว่าหนิงเสี่ยวซีเป็นผู้ชายที่ไม่จริงจัง เหมือนกับพ่อของเขา เธอเคยอธิบายกับเธอแล้วว่า คำว่าผู้ชายไม่จริงจังใช้ไม่ได้ในลักษณะนี้ แต่คาดไม่ถึง ว่าเธอยังคงคิดอย่างหัวชนฝา

ทันใดนั้น ก็ยิ้มให้กับเหอหลิงอย่างเขินอายเล็กน้อย "คุณป้า เสี่ยวโม่น้อย ไม่ค่อยประสีประสา คุณอย่าตำหนิเลย คุณดูสิ เธอเหมือนใคร?"

เหอหลิงไม่เข้าใจมองตามสายตาเธอไปที่เด็กที่อยู่ในอ้อมแขนของเธอ เด็กคนนั้นตาโต จมูกโด่ง ริมฝีปากบางๆยกขึ้น น่ารักที่สุดเลย……

"พี่ เธอเหมือนอาเฉินตอนเด็กๆเลย……”

ใช่! เหอหลิงค้นพบด้วยตัวเอง เธอมองไปที่เย่หลินอย่างไม่อยากจะเชื่อ แล้วกลืนๆน้ำลาย "นี่คือหลานสาวของฉันเหรอ?"

เย่หลินพยักหน้า ในใจทอดถอนหายใจอย่างโล่งอก โชคดีที่เด็กคนนี้ดูเหมือนพ่อของเธอ มิฉะนั้น ขณะนี้ก็ต้องเสียเวลาไปกับการทะเลาะเบาะแว้ง

"พระเจ้า……ฉัน……ฉันได้เป็นคุณย่าอีกแล้ว นี่……ยัยหนู คุณ คุณ……ไอ๋หย๋า เรา……ครอบครัวเราต้องขอโทษคุณด้วยนะ……”

พูดจบ ก็ไปกอดเย่หลินร้องไห้เหมือนเด็กๆ

เหอเฟยที่อยู่ด้านหลังเธออดไม่ได้ที่จะส่ายหัว ทว่าใบหน้าก็อดที่จะมีรอยยิ้มขึ้นมาไม่ได้

ในวันนั้น เย่หลินก็ถูกเอาอกเอาใจจากเหอหลิงให้มาพักที่คฤหาสน์ตระกูลหนิงที่ต่างประเทศ

อยู่ในนี้ เย่หลินก็ได้พบกับหนิงเชี่ยน หมอคนนั้นที่ช่วยชีวิตเธอ

เมื่อเธออุ้มลูกเดินเข้าไป หนิงเชี่ยนกำลังนั่งดูทีวีอยู่บนโซฟาพอดี เห็นเธอเดินเข้ามา ก็ตกตะลึง เห็นว่าแม่จูงมือเธอ อดไม่ได้ที่จะยืนขึ้น เดินเข้ามาต้อนรับ

"คุณไม่ใช่เอ่อ เอ่อเพื่อนของหยูจี้เหรอ? ทำไมคุณถึงมาบ้านฉันได้ล่ะ?"

เหอหลิงและเหอเฟยสบตากัน ถามพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมายว่า: "พวกคุณรู้จักกันเหรอ?"

หนิงเชี่ยนพยักหน้า "ใช่แล้ว….." สายตามองไปยังเด็กที่อยู่ในอ้อมกอดของเธอ เดินเข้าไป หยิกที่แก้มของเย่เสี่ยวโม่เล็กน้อย "โอ้ นี่คือลูกที่คุณคลอดในตอนนั้นใช่ไหม? โตขนาดนี้แล้วเหรอ?"

หันหน้ากลับไป มองแม่หนิงที่ทำหน้าประหลาดใจ "แม่ เธอคือเด็กที่ฉันทำคลอด เวลานั้นพี่ชายแต่งงาน ที่ฉันบอกว่าต้องกลับไปให้คำปรึกษาที่โรงพยาบาล ก็คือเธอนี่แหละ"

พูดจบ เธอก็โน้มตัว ก็หยิบองุ่นลูกหนึ่งจากโต๊ะน้ำชาใส่เข้าปาก

แต่เหอหลิงตบไปที่ด้านหลังของเธอ นั่นจึงทำให้องุ่นที่อยู่ในปากถูกพ่นออกมา

"แม่ คุณทำอะไรเนี่ย?" หนิงเชี่ยนขมวดคิ้ว

"ยัยเด็กบ้า ในเมื่อคุณเจอเธอ ทำไมคุณถึงไม่บอกพวกเรา? เธอเหมือนกับเสี่ยวซีขนาดนั้น คุณไม่เห็นเลยหรือไง?"

หนิงเชี่ยนหยิบองุ่นลูกหนึ่งใส่เข้าในปากอีกครั้ง รีบเคี้ยวอย่างรวดเร็ว "เห็นแล้ว……"

หยุดลงชั่วขณะ "อ้อ ครั้งนั้นก่อนที่พี่ชายจะแต่งงานคืนหนึ่ง ขณะทานข้าว เดิมทีฉันก็เตรียมที่จะบอก ต่อมาได้รับโทรศัพท์จากโรงพยาบาล บอกว่าเธอจะคลอดแล้ว ก็เลยไม่ได้พูดออกมา……." พูดถึงตรงนี้ การกระทำในปากของเธอก็หยุดนิ่ง ผ่านไปครู่หนึ่ง ก็เบิกตาโพลง ดึงแม่หนิง "แม่…..หรือว่าเธอคือ….."

เหอหลิงจูงเย่หลิน "มา ยัยหนู คุณรีบนั่งลงเถอะ"

"เธอคือแม่ของเสี่ยวซี ที่คุณทำคลอดให้ ก็คือลูกสาวของพี่ชายคุณ ทำไมคุณถึงไม่คิดอะไรมากแบบนี้ล่ะ? ถ้าคุณฉลาดให้มาก พี่ชายของคุณจะต้องแต่งงานกับผู้หญิงคนนั้นเหรอ? กระทั่งทำให้หลายปีมานี้ของพวกเขา ต้องขมขื่นขนาดนี้?"

เหอหลิงพูดพลางผลักหนิงเชี่ยนที่ยืนตกตะลึงอยู่ไปข้างๆ เมื่อเย่หลินนั่งลงข้างๆ ก็ยกผลไม้ขึ้นมา "ยัยหนู มา คุณทานผลไม้หน่อย คุณชอบทานอะไร ฉันจะให้คนไปซื้อเดี๋ยวนี้เลย" ความรักอย่างจริงใจนั้น ทำให้เย่หลินที่ไม่เคยได้รับความอบอุ่นจากครอบครัวมานานหลายปีขอบตาแดงก่ำ

"คุณป้า ขอบคุณค่ะ"

เคยได้ยินมาว่าแม่สามีกับลูกสะใภ้ส่วนมากไม่ถูกกัน เคยได้ยินมาว่าแม่สามีส่วนมากเอาใจยาก ดังนั้น ที่เวลานี้เหอหลิงทำกับเธอ ทำให้เธอประหลาดใจอย่างมาก ตื้นตันใจอย่างมากจริงๆ

เมืองCเวลานี้ เป็นเวลากลางดึก

เมื่อเกาเหวินเข้าห้องหนังสือ ก็เห็นหนิงเส่าเฉินยืนอยู่ข้างหน้าต่าง ภาพด้านหลังที่สูงยาวเข่าดี ระหว่างนิ้วมีบุหรี่ที่กำลังเผาไหม้อยู่ บนพื้น มีขี้บุหรี่ร่วงหล่นอยู่จำนวนมาก

เธอเดินเข้าไป โอบกอดเขาจากด้านหลัง ใบหน้าแนบชิดด้านหลังที่ล่ำสันของเขา เอ่ยปากอย่างช้าๆว่า: "เส่าเฉิน คุณสูบบุหรี่ให้น้อยหน่อย มันไม่ดีต่อสุขภาพ"

หนิงเส่าเฉินขมวดคิ้ว ปลายนิ้วดับก้นบุหรี่ เมื่อหันตัวกลับ ก็ดึงเธอออกไปอย่างไม่ไยดี

ตั้งแต่เรื่องนั้น เขาปฏิบัติต่อเธอ ก็ไม่มีความอ่อนโยนเหมือนก่อนหน้านั้นอีกเลย ยกเว้นจำเป็นต้องพูดกัน เขาก็ไม่เต็มใจที่จะพูดกับเธอให้มากความ

ในคำพูดของเขา เขาต้องรับผิดชอบต่อเธอ

เพียงเพราะแต่งงานกับเธอ

มือทั้งสองของเธอโน้มที่ลำคอของเขา อยากจะจูบเขา แต่หลังจากเห็นสายตาที่แสดงความรังเกียจของเขา มือทั้งสองก็ดิ่งลง

"เส่าเฉิน คุณรังเกียจฉันใช่ไหม? เพราะแต่งงานกับฉัน คุณจึงต้องสูญเสียเธอไปใช่ไหม?"

หนิงเส่าเฉินไม่ได้ตอบกลับเธอ เวลานี้ เสียงวิดีโอคอลมือถือก็ดังขึ้น "คุณไปนอนก่อนเถอะ……"

พูดจบ ก็เดินอ้อมเธอ ไปยังด้านหลังโต๊ะหนังสือ เห็นเป็นแม่หนิง จึงหยุดชะงักเล็กน้อย กระทั่งประตูห้องหนังสือถูกปิดลงอีกครั้ง เขาจึงลุกขึ้น เดินไปยังข้างหน้าต่าง แล้วกดรับสาย

"แม่ มีธุระอะไรเหรอ?"

เหอเฟยกับเหอหลิงมองหน้ากัน

ขมวดคิ้ว โกรธอย่างมาก "พี่ ฉันเคยบอกกับคุณแล้ว เกาเหวินคนนั้น หาเรื่องวุ่นวายอยู่ตลอด คุณกับพี่เขยก็ไม่เชื่อ คุณดูสิ พวกคุณสองคนเกือบจะทำผิดต่ออาเฉินกับเสี่ยวซีไปตลอดชีวิต ชัดเจนว่าก่อนหน้านี้เธอก็ไม่สามารถมีลูกได้ พี่เขยจึงเห็นด้วยให้เอาสเปิร์มของอาเฉิน ไป……ไปให้เป้ยอีให้กำเนิดเสี่ยวซี ตอนนี้ ยังมาโกหกอาเฉินกับเป้ยอีว่าเกิดจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ คุณดูสิว่าทำให้ลูกชายของคุณเจ็บปวดทรมานมาตั้งหลายปี……”

นิสัยของเหอหลิงมีความอ่อนไหวกว่า พอได้ฟังเหอเฟยพูดเช่นนี้ ขอบตาก็แดง ชิ้นเนื้อก้อนหนึ่งที่คลอดออกมาจากร่างกายของตนเอง ถึงแม้ว่าเธอจะมีนิสัยไม่ค่อยใส่ใจ หลายปีมานี้ หลังจากที่หนิงเส่าเฉินเติบโตขึ้น เธอก็ไม่ได้สนใจเขามากนัก แต่ให้คนโกหกหลอกลวงกับลูกของตนเองอย่างนี้ นึกถึงทุกครั้งที่เห็นความหงอยเหงาของลูกชาย ในใจเธอก็รู้สึกโกรธ ทันทีก็หยิบโทรศัพท์ออกมาจากในกระเป๋า ทำท่าจะโทรหาหนิงเส่าเฉิน

หลายปีมานี้ รู้ว่าเกาเหวินท้องไม่ได้ แล้วก็เพราะมีหนิงเสี่ยวซีอยู่ เธอก็ไม่เคยถามเรื่องของหนิงเส่าเฉินกับเกาเหวินเลย เธอคิดว่าลูกชายจะรู้แล้ว

ทว่าคาดไม่ถึง……

"พี่ เดี๋ยวก่อน" เหอเฟยกดมือของเธอเอาไว้

"เดี๋ยวอะไร? ฉันต้องบอกกับอาเฉินเดี๋ยวนี้ ฉันต้องการให้ผู้หญิงคนนั้นไสหัวออกจากตระกูลหนิงของเราไปให้ไกล" ถึงแม้ว่าหลังจากที่หนิงเส่าเฉินบรรลุนิติภาวะแล้ว เธอกับพ่อหนิงจะไปอยู่ต่างประเทศ แต่ความรักที่มีต่อลูกชาย กลับไม่จืดจางเลยแม้แต่น้อย

สามารถทำให้เหอหลิงที่อ่อนโยนโกรธจนกลายเป็นอย่างนี้ได้ เหอเฟยอดไม่ได้ที่จะมองไปที่เย่หลิน ว่าในใจเธอควรจะรู้สึกอย่างไร?

"พี่ เราควรจะปรึกษากันให้ดีก่อน ถ้าฉันเดาไม่ผิด ผู้หญิงคนนั้นที่ตายไป เกาเหวินน่าจะเป็นคนทำ เรื่องนี้ผ่านไป คุณสามารถจินตนาการได้เลย ว่าแผนการของผู้หญิงคนนั้นลึกซึ้งแค่ไหน คุณไปบอกอาเฉินอย่างลวกๆเช่นนี้ ยังไม่แน่ใจว่าเธอจะทำเรื่องอะไรออกมาอีก"

มองดูสองคนไปมา เย่หลินก็หลับตา เพื่อปกปิดความโกรธและความเจ็บปวดรวดร้าวในดวงตา เดิมทีคนที่อยู่นอกห้องผู้ป่วยในตอนนั้น จริงๆแล้วคือเธอ เธอรู้ว่าตนเองไม่สามารถตั้งครรภ์ได้ ฉะนั้น เลยมาตามหาเธอ เพื่อมีหนิงเสี่ยวซี

นอกจากนี้ยังอธิบายได้ว่า เหตุใดเธอจึงทนให้ชายคนรักกับผู้หญิงอื่น มีลูกด้วยกันได้

เพียงแต่ว่า เธอยังคงแปลกใจมาก พ่อหนิงคนนี้สามารถนำหนิงกรุ๊ปไปถึงระดับนั้นได้ แน่นอนว่าต้องเป็นคนถี่ถ้วน อีกทั้งจะสามารถเห็นด้วยกับคำขอนี้ของเกาเหวินได้อย่างไร? อย่างไรเสีย เรื่องนี้ก็เกี่ยวข้องกับสายเลือดของหนิงกรุ๊ป

ในระหว่างนี้ มีอะไรปกปิดซ่อนเร้นอยู่หรือเปล่า?

เพียงแต่ ต้องบอกว่า แผนการที่ลึกซึ้งของเกาเหวินคนนี้ ช่างอำมหิต

ในชั่วขณะ จู่ๆในโลกนี้ก็ไม่ชัดเจน ว่ามันดี หรือเลว?

ในตอนแรกถึงแม้จะรู้ว่าเกาเหวินไม่ใช่คนดี แต่รู้สึกเสมอว่า เธอไม่สามารถมีลูกได้ มันเกี่ยวข้องกับตนเอง ดังนั้น เพื่อคุณธรรมที่น่าเศร้าใจ เธอจึงเลือกที่จะปล่อยมือ

คิดถึงลูกชายของเธอ คนรัก คิดถึงสิ่งนี้ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา วันที่ไร้มนุษยธรรมนี้ คิดแล้ว เพราะความผิดของเธอ ฝันร้ายระหว่างตั้งครรภ์ เพราะเหตุนี้ จึงเกือบตายตอนคลอดลูก ก็นึกถึงเสี่ยวโม่ที่บ้าน เกือบจะเป็นเพราะเธอ ที่ทำให้ไม่ได้เจอพ่อไปตลอดชีวิต

การเย้ยหยันเอ่อล้นออกมา แม้ว่าเย่หลินจะมีหลักการในชีวิตของเธอ เพียงเพราะเธอมีจิตสำนึก แต่ไม่ได้หมายความว่าคุณจะสามารถทำอะไรก็ได้

ในสมองปรากฏขึ้นมา เธอกัดตุ๊กตา และมือที่ผลักเธอไปบนหน้าผาในครั้งนั้น ยังมีเรื่องวันประชุมประจำปี เธอยังเกลียดตัวเองที่ทำตัวงี่เง่า ทำไมในเวลานั้นไม่ทำให้ชัดเจนสักหน่อยนะ?

ยิ้มมุมปากอย่างเย็นชา เธอปฏิญาณอยู่ในใจ : วันนี้ เธอจะมอบมันให้กับตนเอง และต่อไป เธอจะคืนให้เต็มจำนวนอย่างแน่นอน

"ให้อาเฉินรับเสี่ยวซีมาที่นี่ ทุกคนนั่งอยู่ด้วยกัน จัดการเรื่องราวทั้งหมดให้ชัดเจน คุณเห็นว่าเป็นอย่างไร?" ในที่สุดเหอเฟยก็ใจเย็น

"เป้ยอี….."

เย่หลินฉีกยิ้มมุมปาก ทันใดก็เพิ่มเสียงขึ้น "คุณป้า คุณน้า พวกคุณเรียกฉันว่าเย่หลินเถอะ นี่คือชื่อของฉัน" เฉินเป้ยอีที่โง่เขลาคนนั้น ได้ตายไปแล้ว

เหอเฟยและเหอหลิงสบตากัน แล้วพยักหน้า

"เย่หลิน คุณวางใจเถอะ ต่อไปป้าจะรับผิดชอบให้คุณเอง จะไม่ทำให้คุณน้อยใจอีก" พูดพลาง ก็ดึงมือของเย่หลิน "ไปป้าจะพาคุณไปหาอาเฉิน นำเรื่องราวนี้พูดให้ชัดเจน พวกคุณจะได้อยู่ด้วยกันพร้อมหน้าครอบครัว หลายปีมานี้ ทรมานคุณแล้วจริงๆ"

ความกระตือรือร้นของเหอหลิงทำให้เย่หลินไม่รู้จะทำยังไงดี เธอเม้มริมฝีปาก "คุณป้าคะ รอให้ฉันจัดการทางด้านบริษัทนี้สักเล็กน้อยก่อนนะคะ"

เหอหลิงนิ่งอึ้งไป หันตัวไป ตบเบาๆที่หลังมือของเธอ ทอดถอนใจ "ยัยเด็กคนนี้ ทำไมถึงเป็นคนหัวดื้อขนาดนี้นะ? ปล่อยให้คนแย่งชิงผู้ชายและลูกชายของคุณไป คุณยังจะมาสนใจบริษัทอะไรอีก? บริษัทนี้มีคนอยู่ไม่เป็นอะไรหรอก คุณ….ตามฉันไปก่อนเถอะ พวกเราไปโรงพยาบาลหาอาเฉิน เขาเห็นคุณ ก็คงจะดีใจแย่เลยล่ะ"

เห็นเย่หลินยังคงยืนอยู่กับที่ เธอก็กล่าวถามอย่างไม่เข้าใจว่า: "ทำไมล่ะ? คุณ….คุณไม่เชื่อฉันเหรอ?"

เย่หลินรีบส่ายหน้า ขมวดคิ้วแน่น "คุณป้า เส่าเฉินออกจากโรงพยาบาลแล้วกลับประเทศไปแล้วไม่ใช่เหรอ?"

เหอหลิงหันหน้าไปมองเหอเฟย สีหน้าไม่น่าดูเล็กน้อย "กลับประเทศ? เมื่อไร? เขาไม่บอกฉันเลยเหรอ?"

เห็นปฏิกิริยาของเหอหลิง ในใจเย่หลินก็ตกใจเล็กน้อย หนิงเส่าเฉินออกจากโรงพยาบาลกลับประเทศ ไม่บอกเธอ ก็สามารถเข้าใจได้ แต่ว่า ทำไมเขาถึงไม่บอกแม่หนิงสักคำเลยล่ะ?

"เมื่อวาน เขาไปหาฉัน หลังจากนั้น ฉันก็โทรไปหาเขาแต่ปิดเครื่อง หลิวซูก็ปิดเครื่องเช่นกัน ฉันจึงวิ่งไปโรงพยาบาล คนของโรงพยาบาลบอกว่าเขากลับประเทศไปแล้ว" พูดถึงตรงนี้ สีหน้าก็เปลี่ยนไปทันที ในใจก็ร้อนรนขึ้นมา คงไม่ได้เกิดเรื่องอะไรขึ้นใช่ไหม? พวกเขาเพิ่งจะแก้ไขความเข้าใจผิดได้ ถ้าเกิดเรื่องอะไรขึ้นอีก สงสัยตัวเธอเองจะต้องเป็นบ้าจริงๆ

ภาวนาเงียบๆว่าจะต้องไม่เกิดเรื่องอะไร

เหอหลิงมองเธอ ใช้มือตบเบาๆที่หลังของเธอ เพื่อปลอบโยน แล้วรีบหยิบมือถือขึ้นมา หาเบอร์โทรของหนิงเส่าเฉิน กดต่อสายไป พอกดรับสาย ทุกคนต่างก็โล่งอก

ผ่านไปสักครู่ "ฮัลโหล แม่"

"ลูกชาย คุณไม่ได้อยู่โรงพยาบาลเหรอ? ทำไมจู่ๆถึงกลับประเทศล่ะ?"

มือถือนั้น มีเสียงฝีเท้าดังเข้ามา ผ่านไปสักครู่ ก็ได้ยินเสียงปิดประตูจากด้านใน "แม่ เสี่ยวซีไม่สบายนิดหน่อย เมื่อเย็นฉันจึงรีบกลับมา"

ถึงจะอยู่ในมือถือ เย่หลินก็สามารถได้ยินถึงความเหนื่อยล้าของหนิงเส่าเฉิน

"เสี่ยวซี? เสี่ยวซีเขาเป็นอะไร?" ในที่สุด เย่หลินก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยปากกล่าวถาม

อีกด้านของโทรศัพท์นั้น จมอยู่ในความเงียบ เย่หลินก้มหน้าอย่างวางตัวไม่ถูกเล็กน้อย กระแอมเบาๆ แล้วถามซ้ำอีกครั้งว่า: "เอ่อ เส่าเฉิน เสี่ยวซีเป็นอะไร? ไม่สบายตรงไหน?"

คำว่า"เส่าเฉิน" นานแล้วที่ไม่ได้ยิน

เธอมองเย่หลิน จากนั้นก็พิจารณาเธอ นิสัยของเธอคนนี้ไม่สนใจใยดีอะไรมาตลอด ไม่ใส่ใจรายละเอียด บวกกับปกติแล้วเย่หลินจงใจที่จะปกปิดอย่างมาก ได้ติดต่อไม่กี่ครั้ง ก็ไม่ได้ดูรูปร่างหน้าตาของเธออย่างละเอียด ขณะนี้ มองดูแล้ว ใบหน้านั้นเหมือนกับหลานชายตัวน้อยของเธอ 70-80%

ต่อให้ไม่แต่งหน้า ก็ไม่ต้องสงสัย เธอก็สวยอย่างมาก

เหอหลิงมองไปที่เธอ อ้าปากค้างจนกลายเป็นรูปตัวโอ

"มิน่าล่ะเสี่ยวซีถึงได้หน้าตางดงามขนาดนั้น ฉันว่าสายตาของนายท่านตระกูลฉันไม่แย่เลย" เหอหลิงพูดจบ ก็ลุกขึ้นไปนั่งข้างๆเย่หลิน ดึงมือของเธอ มาพิจารณาไปมาอย่างตื่นเต้น ด้วยสีหน้าเต็มไปด้วยความเป็นกันเอง

ท่าทีของเธอทำให้ในใจของเย่หลินอบอุ่นขึ้นอย่างคาดไม่ถึง หยิบกระดาษทิชชู่ขึ้นมาซับน้ำตาบนใบหน้า เช็ดให้จนหมดจด

"คุณป้า" รู้แล้วว่าเธอเป็นแม่ของหนิงเส่าเฉิน เย่หลินจึงเปลี่ยนการทักทาย

"อื้ม" เหอหลิงตอบรับอย่างรวดเร็ว

เธอมองๆเหอเฟย แล้วก็มองเย่หลิน "ใช่แล้ว น้องสาว เมื่อกี้ที่คุณพูดว่าตายไม่ตาย มันเกิดอะไรขึ้น?"

เหอเฟยไม่ตอบคำถามของเหอหลิง หรี่ตาลง เงยหน้ามองเย่หลิน "ท้ายที่สุดแล้วมันเกิดอะไรขึ้น? ทำไมคุณต้องโกหกอาเฉินว่าคุณตายแล้ว? คุณรู้ไหมเพราะคุณ หลายปีมานี้ ทำให้ตัวเขาเอง เหมือนคนซังกะตาย ไม่มีชีวิตชีวา" น้ำเสียงของเธอสงบมาก แต่ว่าในใจเย่หลิน เหมือนก้อนหินโยนเข้ามาภายในใจ ถาโถมเข้ามา

"ทำไมคุณทำแบบนี้? เกิดอะไรขึ้นใช่ไหม?"

พูดจบ ก็หันกลับไปมองเหอหลิง แล้วเหอเฟยก็พูดว่า : "พี่ คุณจำได้ไหมที่อาเฉินจะแต่งงาน แล้วเสี่ยวซีพูดถึงแม่น้อย" เธอชี้ไปที่เย่หลิน "คือเธอนี่แหละ เธอคือความเสียใจที่ลูกชายของคุณไม่สามารถผ่านพ้นไปได้!"

เหอหลิงพูดตอบกลับว่า : "ไม่ได้บอกว่าตายไปแล้วเหรอ?"

พูดจบ สายตาของทั้งสองคนก็มองไปที่เย่หลิน

เย่หลินสูดลมหายใจเข้า เรื่องบางเรื่อง บางทีก็ควรจะจบแล้ว ทันทีหลังจากนั้นก็เล่าเรื่องที่เกาเหวินประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์และไม่สามารถให้กำเนิดลูกได้ ให้สองพี่น้องฟัง

หลังจากพูดจบ เธอก็ก้มหน้า พูดเสียงเบาๆว่า : "เป็นฉันเองที่ไม่ดี ฉันไปทำร้ายเธอ ฉะนั้น ฉันเลยจนปัญญาที่จะอยู่ด้วยกันกับเส่าเฉิน เพราะทำให้เธอไม่สามารถมีลูกได้……”

"เธอถูก……” เหอหลิงขัดจังหวะคำพูดเย่หลิน ที่คิดอยากจะพูดอะไร แต่ถูกเหอเฟยดึงแขนไว้

เย่หลินจมอยู่กับการตำหนิตนเอง จึงไม่ได้พบความผิดปกติของทั้งสองคน

"คุณป้า ขอโทษนะคะ ต้องโทษฉัน ที่ทำร้ายเส่าเฉิน ทำร้ายครอบครัวของคุณ ต่อไป……ก็ไม่สามารถมีลูกได้อีก" พูดจบ ขอบตาเธอก็แดง

"คุณรักเส่าเฉินไหม?" เหอเฟยไม่ตอบรับคำพูดของเธอ แต่กลับ ถามคำถามอื่น

เย่หลินตกตะลึง ฉีกยิ้มอย่างทำอะไรไม่ถูก "รัก แล้วจะทำอย่างไรได้?"

"ในเมื่อคุณรัก แล้วทำไมคุณต้องโกหกเส่าเฉินว่าคุณตายไปแล้วด้วยล่ะ? ถึงแม้จะไม่อยู่ด้วยกัน คุณก็ไม่จำเป็นต้องโกหกแบบนี้นี่?" เหอเฟยกล่าวถามด้วยความไม่เข้าใจ

เย่หลินส่ายหน้า "เรื่องนี้ฉันก็ไม่รู้ว่าจะอธิบายกับคุณยังไง ฉันไม่ได้โกหกเส่าเฉิน แต่มีคนตายแทนฉันไป" ถึงแม้จะผ่านมาหลายปีแล้วก็ตาม แต่พอพูดถึงเรื่องนี้ขึ้นมา เย่หลินก็ยังอดขนพองสยองเกล้าไม่ได้

เพียงเหอเฟยได้ฟัง ก็อดไม่ได้ที่จะโอบแขนทั้งสองแน่น ชัดเจนว่ารู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อย "มีคนตายแทนคุณอย่างนั้นเหรอ? หมายความว่า คนคนนั้นที่เส่าเฉินเห็นว่าตาย ไม่ใช่คุณอย่างนั้นเหรอ?"

เย่หลินพยักหน้า มองเหอเฟย เธอพูดคำที่เหอเฟยฟังแล้วเข้าใจ "คุณน้า คนที่ตายคนนั้น รูปร่างหน้าตาเหมือนกับฉันก่อนหน้านี้ทุกประการเลย"

สีหน้าของเหอเฟยมืดมนลงมาโดยสิ้นเชิง เรื่องนี้ชัดเจนว่าไม่ง่ายเลย

"ฉะนั้นล่ะ? ปัญหาตอนนี้ก็คือ พวกคุณทั้งสองต่างฝ่ายต่างก็รักกัน แต่เพราะเกาเหวินเกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์ จนไม่สามารถให้กำเนิดลูกได้ ดังนั้น คุณก็เลยโทษตัวเองแล้วไม่ต้องการอาเฉิน ออกจากเขามา หลังจากนั้นก็มีคนคนหนึ่งที่มาตายแทนคุณ คุณก็ไม่ได้อธิบายกับอาเฉินว่าคนคนนั้นไม่ใช่คุณใช่ไหม? แล้วก็มาต่างประเทศคนเดียว ฉันพูดถูกไหม?" แตกต่างจากความเรียบง่ายของเหอหลิง ถึงแม้เหอเฟยจะอายุน้อยกว่ามาก แต่ชัดเจนมากว่า ทางด้านการพูดจา มีหลักการเหตุผลอย่างมาก

เย่หลินพยักหน้า แล้วก็ส่ายหน้า "ฉันไม่ใช่ไม่ต้องการเขา ฉันแค่ไม่มีหน้าที่จะต้องการ คุณเกามีบุญคุณกับเขา ขณะนี้ ก็เพราะพวกเราทั้งสองคน เธอจึงไม่สามารถให้กำเนิดลูกได้ สถานการณ์แบบนี้ ถึงแม้ฉันและเส่าเฉินจะอยู่ด้วยกัน พวกเราก็คงไม่สบายใจไปตลอดชีวิต ดังนั้น…..การละทิ้งก็อาจจะเป็นหนทางที่ดีที่สุด คนคนนั้นที่ตายแทนฉัน ฉันก็คิดว่า ความเจ็บปวดระยะยาวไม่ดีเท่าการเจ็บปวดระยะสั้น ดังนั้น จึงไม่ได้อธิบายกับเส่าเฉิน ฉัน….."

"เฮ้อ ยัยเด็กน้อย เดิมทีเกาเหวินก็ไม่สามารถให้กำเนิดลูกได้อยู่แล้ว ก่อนหน้านี้เธอก็รู้อยู่แล้วว่าตนเองไม่สามารถตั้งครรภ์ได้ ดังนั้น จึงให้คุณไปช่วยให้กำเนิดหนิงเสี่ยวซีไง? เธอเป็นจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ซะที่ไหนกันล่ะ?" เหอหลิงฟังถึงตรงนี้ ก็อดกลั้นไว้ไม่อยู่ หลังจากฟังคำพูดของเหอเฟยและคำแก้ต่างของเย่หลินแล้ว ทันทีก็อดที่จะพูดออกมาไม่ได้

มือทั้งคู่ของเย่หลินกุมแก้ว ได้ฟังเหอหลิงพูดแบบนี้แล้ว เธอก็มือสั่นเล็กน้อย น้ำในแก้วก็กระฉอกออกมา สาดกระเซ็นไปบนร่างกาย หกรดกางเกง ซึมเข้าสู่ผิว ตอนแรกก็แสบร้อน ต่อจากนั้นก็เย็นเยือก แต่เธอกลับไปรู้สึกรู้สา หันหน้าไปอย่างช้าๆ สายตาของเธอมองไปยังเหอหลิง "คุณป้า…..คุณ….คุณพูดว่าอะไรนะ?"

เหอเฟยเอื้อมตัว ไปหยิบกระดาษทิชชู่สองสามแผ่น เช็ดน้ำที่อยู่บนตัวแทนเธอ "ดังนั้นก็คือว่า พวกคุณสองคนมีปัญหาอะไร ทำไมยังไม่ไปจัดการกันให้ชัดเจนก็เลิกกันแล้ว นี่ยังดีที่วันนี้ได้พบกันแล้ว ไม่เช่นนี้ พวกคุณทั้งสองก็จะทำแบบนี้กันไปตลอดชีวิตเหรอ? อย่างนั้นหนิงเสี่ยวซีก็จะไม่ได้เจอแม่ไปตลอดชีวิตใช่ไหม?"

พูดถึงตรงนี้ เหอเฟยก็โทษตัวเองอย่างมาก ครั้งที่แล้วที่หนิงเส่าเฉินแต่งงาน หลังจากที่เธอได้ยินว่าเฉินเป้ยอีตายแล้ว ก็ไม่ได้บอกหนิงเส่าเฉิน เรื่องที่เธอปิดบังโฉมหน้าและเธอเป็นแม่ผู้ให้กำเนิดของหนิงเสี่ยวซี เพราะเกรงว่ารู้ความจริงแล้วจะยิ่งทำให้เขาเป็นทุกข์ แล้วก็กลัวว่าหนิงเสี่ยวซีจะยิ่งสิ้นหวัง

แต่คาดไม่ถึง ที่แท้ระหว่างคนทั้งสอง ต่างก็เก็บซ่อนความเข้าใจผิดที่ใหญ่หลวงขนาดนี้

เย่หลินเม้มริมฝีปากแน่น ไม่ได้เปล่งเสียงเป็นเวลานาน ในสายตาของเธอแดงฉาน ไหล่สั่นระริก สั่นอย่างรุนแรง มือทั้งสองกำแน่นจนกลายเป็นหมัด หลังมือปรากฎเส้นเลือดอันปูดโปน

ช่วงเวลาหลายปีมานี้ เธอประสบพบเจออะไร มีเพียงตัวเธอเองที่รู้ หนิงเส่าเฉินต้องประสบพบเจออะไร แล้วหนิงเสี่ยวซีต้องพบเจอกับอะไร เธอก็คล้ายกับสามารถรับรู้ได้ ความทรมานในจิตใจนั้นคงไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน

ไปๆมาๆ แต่ละฉากก็ราวกับในละคร ที่ปรากฏให้เห็นอยู่ตรงหน้า

แต่ทุกสิ่งทุกอย่างนี้ เป็นเพียงเพราะเธอรู้สึกละอายใจต่อเกาเหวิน เพียงเพราะเธอคิดว่านั่นคือบรรทัดฐานของศีลธรรม ดังนั้น เธอจึงเลือกที่จะถอยออกมา เธอใช้ความเจ็บปวดของคนสองสามคน มาช่วยให้เธอสมหวังเพียงคนเดียว

ผลสุดท้าย ไม่นึกเลยว่าจะเป็นอุบาย

บนใบหน้าซีดเซียวไร้สีเลือด แววตาค่อยๆเปลี่ยนเป็นโหดเหี้ยมอำมหิต

"หยูจี้ คุณรู้ไหม ว่าทำไมจู่ๆเขาถึงรู้จักตัวตนของฉันได้?"

ถึงแม้ว่าเขาจะให้เธอกับหนิงเสี่ยวซีตรวจสอบความสัมพันธ์กัน

แต่การที่จะคาดเดา ว่าเธอคือเฉินเป้ยอีคนเดิม ก็ค่อนข้างไม่มีข้อมูลหลักฐาน ถึงอย่างไร เฉินเป้ยอีก็ตายไปแล้ว

สองสามวันมานี้ เธอคิดเกี่ยวกับปัญหานี้มาตลอด ส่วนข้อมูลชูหยูจี้ก็เปลี่ยนไปแล้ว

"ฮัลโหล หยูจี้ คุณฟังฉันอยู่ไหม?"

"ฉันบอกเขาเอง" ชูหยูจี้พูดเสียงเบา

เย่หลินขมวดคิ้ว "ทำไมล่ะ?" ในตอนแรกที่เธอคลอดเย่เสี่ยวโม่ เธอกำลังเผชิญหน้ากับความตาย เขาก็ไม่ได้แจ้งให้เธอทราบ เพราะว่าเขาเข้าใจเธอดี เขารู้ถึงความมุ่งมั่นของเธอ แล้วทำไมสี่ปีต่อมา จู่ๆถึงได้บอกเขา?

"เย่จึ ถ้าคุณปล่อยวางได้จริงๆ ทำไมคุณถึงกลับมาจากคุณตาของคุณล่ะ? คุณพาเสี่ยวโม่ไปใช้ชีวิตทั้งหมดทางด้านนั้นก็ได้ไม่ใช่เหรอ?"

เย่หลินอ้าปากค้าง คิดอยากจะอธิบาย แต่พบว่าไม่มีคำที่จะพูด ที่ชูหยูจี้พูดก็ไม่ผิด

"วันนั้น เขาเอาผลรายงานความสัมพันธ์ของคุณกับเสี่ยวซีมาถามฉัน ว่ารู้ความสัมพันธ์ของคุณกับเสี่ยวซีมาก่อนแล้วใช่ไหม ฉันก็เลยยอมรับ ต่อจากนั้นเราก็ดื่มเหล้าด้วยกัน เย่จึ คุณรู้ไหมพี่ชายของฉัน อยากจะดื่มเหล้าให้ตาย ห้ามก็ห้ามไม่อยู่ จากนั้น เขาก็ดื่มจนอาเจียนออกมาเป็นเลือด ฉันตกใจมากจริงๆ แต่การแสดงออกของเขาดูเป็นปกติมาก ฉันเลยคิดว่าเรื่องอย่างนี้ น่าจะไม่ใช่ครั้งแรก……”

"หลังจากนั้น เราเคยพักด้วยกันหนึ่งคืน ฉันเห็นว่าเขากินยาเยอะมาก จึงจะสามารถหลับได้ ฉันไม่รู้ว่านั่นคือยาอะไร จากนั้นก็ไปถามหลิวซูจึงรู้ว่า เขาจำเป็นต้องอาศัยสิ่งเหล่านี้ถึงจะหลับลงได้" ชูหยูจี้พูดถึงตรงนี้ น้ำเสียงก็สะอื้นเล็กน้อย เวลานั้นเขาตกใจมากจริงๆ ด้วยความมั่งคั่งและเล่ห์เหลี่ยมของพี่ชาย เดิมทีแล้วก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรที่ทำให้เขาทุกข์ทรมานใจได้ขนาดนี้ มีเพียงอย่างเดียว ก็คือเฉินเป้ยอี

แม้ว่าชูหยูจี้จะพูดเหมือนกันกับหลิวซู แต่พอได้ฟังอีกที เย่หลินก็ยังคงหลั่งน้ำตาด้วยความทุกข์ใจ เธอคิดที่จะจากไป เพื่อให้ดีต่อทุกคน แต่ไม่นึกเลยว่า เธอเจ็บ ผู้ชายคนนี้ก็เจ็บยิ่งกว่าเธอ

อย่างน้อยเธอยังสามารถได้เห็นเขา รู้สถานการณ์ของเขา แต่ว่า เขาต้องแบกรับความกดดันเพราะคนที่เขารัก ได้ตายจากไปเพราะเขา

หลายปีมานี้ บางทีเธอคงจะคิดผิดจริงๆ การรักใครสักคนหนึ่ง ถ้าเพียงแค่ใช้เวลาก็สามารถลืมได้ นั่นอาจจะไม่ใช่ความรัก

"เย่จึ ฉันบอกความจริงกับเขา ฉันต้องการโอกาสให้พวกคุณอีกสักครั้ง สี่ปีก่อน ฉันคิดว่าฉันรักคุณมากกว่าพี่ชาย แต่ในขณะนี้ ฉันรู้สึกว่าเทียบเขาไม่ได้เลย เขาสละชีวิต เพื่อมารักคุณ……” คำที่เหลือเย่หลินก็ไม่ได้ฟังอีกต่อไปแล้ว

เธอทิ้งโทรศัพท์ในมือ แล้ววิ่งออกไปด้านนอก บรรยากาศทางด้านนี้ อุณหภูมิตอนกลางวันกับกลางคืนมีความแตกต่างกันมาก แม้ว่าจะเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิแล้ว แต่ว่า อุณหภูมิในตอนกลางคืนคาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ 10 องศา เขาสวมเสื้อผ้าที่บางมาก และยังคงรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล

แต่ว่า เมื่อเธอออกจากประตูไป ผู้ชายเมื่อกี้นี้ก็ได้หายไปแล้ว รวมถึงรถสีดำคันนั้น

เธอสูดหายใจเข้า ขึ้นไปข้างบน หยิบโทรศัพท์ออกมาและโทรออกไปยังหมายเลขก่อนหน้านั้น เพราะว่าความตื่นเต้น มือจึงสั่นเทาตลอด

แต่โทรศัพท์ปิดเครื่อง

เธอคิดๆเล็กน้อย แล้วเริ่มค้นดูรายชื่อที่ติดต่อ ค้นเจอเบอร์ของหลิวซู ก็ปิดเครื่องเช่นกัน

ทันทีก็กระวนกระวายใจ กังวลว่าเขาจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น

คิดๆดูแล้วก็เก็บโทรศัพท์ คว้ากระเป๋า ไม่ได้เปลี่ยนเสื้อผ้า โบกรถไปโรงพยาบาลที่เขาพักรักษาตัว เมื่อถึงที่ก็ตีสองกว่าแล้ว

บนเตียงผู้ป่วยว่างเปล่า ชัดเจนมากว่าเขาไม่ได้กลับมา

"คุณมาหาคุณผู้ชายคนนั้นเหรอ?"

เย่หลินนิ่งอึ้งไปเล็กน้อย แล้วพยักหน้า "เมื่อกี้ฉันได้รับโทรศัพท์จากทางโรงพยาบาล บอกว่าเขามีธุระกลับประเทศไปแล้ว"

กลับ….กลับประเทศไปแล้วเหรอ? เขานี่โง่จริงๆ ป่วยรุนแรงขนาดนั้น ยังจะกลับประเทศอีก ตกลงมันเกิดเรื่องอะไร ถึงได้ไม่ห่วงชีวิตขนาดนี้?

ยืนทึมทื่ออยู่ที่โรงพยาบาลชั่วโมงกว่า สติเลอะเลือน เย่หลินไม่ได้นั่งรถกลับบ้าน แต่ตรงไปยังบริษัท

เอนตัวลงบนโซฟาที่ห้องทำงาน หลับไปครู่หนึ่ง

เมื่ออู่เล่อเล่อเปิดประตูมาจัดเก็บของที่ทำงานแทนเธอ เห็นเธอหลับอยู่บนโซฟา ก็แปลกใจเล็กน้อย

"เล่อเล่อ คุณมาแล้วเหรอ?" เพราะในใจมีความเป็นห่วง เธอจึงหลับได้ไม่สนิท

อู่เล่อเล่อมองเธอ โน้มตัวเข้าใกล้หูของเธอแล้วกล่าวว่า: "ฉันเพิ่งมา มีผู้หญิงสองคนมาหาคุณ หนึ่งในจำนวนนั้นเป็นลูกค้าของบริษัทพวกเรา คนทั้งสองสีหน้าไม่ค่อยดี ฉันจัดการให้พวกเธอรอในห้องรับแขก คุณว่าต้องไปพบไหม?" หยุดชั่วขณะ หลังจากนั้นก็กล่าวว่า: "ดูท่าแล้วไม่ค่อยจะดีเท่าไรนัก"

เย่หลินกลับนึกถึงเกาเหวิน บอกตามตรงภายในใจรู้สึกตึงเครียดเล็กน้อย

แต่เรื่องบางเรื่อง จะหลีกหนี ก็คงหนีไปไม่พ้น

เธอพยักหน้ากับอู่เล่อเล่อ ลุกขึ้นนั่ง ไปห้องน้ำล้างหน้าล้างตาเล็กน้อย แล้วจึงไปที่ห้องรับแขก

"น้องสาว นั่นคือเธอ" เสียงของเหอหลิง เจาะจงอย่างมาก เย่หลินไม่ต้องเห็นคนก็รู้ได้ แปลกใจเล็กน้อยว่าทำไมเธอถึงเข้ามา คิดถึงหนิงเส่าเฉิน เธอก็อยากจะเอ่ยปากถามว่าเขาเป็นอย่างไรบ้าง

"เป้ย เป้ยอี?" เพิ่งเดินเข้ามาในห้อง แสงที่ไม่ชัดเจนทำให้สายตาของเธอปรับตัวไม่ได้ชั่วขณะ เธอได้ยินใครบางคนเรียกชื่อนั้นของเธอที่ไม่เคยได้ยินมานานมากแล้ว เสียงที่คุ้นเคยทำให้เย่หลินกำมือถือแน่น หลับตา ปรับอารมณ์ต่างๆเล็กน้อย แล้วจึงลืมตา สายตาตกอยู่ที่ผู้หญิงตรงหน้าคนนี้ หยุดชะงักอยู่นาน จึงเอ่ยปากว่า: "อาจารย์?"

"ประธานเย่ คุณรู้จักด้วยเหรอ?" อู่เล่อเล่อกระซิบถามอยู่ข้างๆ

เย่หลินพยักหน้า แต่อารมณ์ภายในใจแปรปรวนอย่างรุนแรง นอกจากชูหยูจี้และอ้ายหมี่แล้ว ก็มีเพียงเหอเฟยเท่านั้นที่รู้จักตัวตนที่แท้จริงของเธอ

ในดวงตาเหอเฟยตกตะลึง เธอกลืนน้ำลายลงคอไม่หยุด หันตัวกลับ บอกกับเหอหลิง เธอเอ่ยปากว่า: "พี่ คุณหยิกฉันหน่อยสิ"

เหอหลิงไม่เข้าใจว่าเธอหมายความว่าอะไร แต่ก็ยังทำตาม ใช้แรงหยิกที่บนใบหน้าเหอเฟยเล็กน้อย เหอเฟยร้อง"โอ๊ย" ต่อจากนั้น เธอก็เดินเข้าไปโอบกอดเย่หลิน

"อาเฉินบอกว่า คุณตายไปแล้ว ตกลงมันเกิดอะไรขึ้น นี่คุณ….นี่คุณ…." เธอถูกความดีใจทำให้สมองเบลอ พูดจาสับสนวกวนไปมาเล็กน้อย เมื่อคืนวาน เธอยังคิดว่าอาจจะเป็นเพียงคนหน้าคล้ายกันก็เท่านั้น

"พอดีฉันมาหาพี่สาวเพื่อเที่ยวพักผ่อน เมื่อวานเกาเหวินส่งรูปมาให้พี่สาวฉัน บอกว่าคุณกับอาเฉินอยู่ด้วยกัน" พูดจบ เธอก็เดินวนไปครึ่งห้อง แล้วหยุดอยู่ข้างๆเย่หลิน เอ่ยปากอย่างช้าๆว่า: "แต่ว่า อาเฉินบอกว่าคุณตายไปแล้ว ตกลงมันเกิดอะไรขึ้น?" เธอพูดช้ามาก เบามาก แต่ก็เพียงพอที่จะทำให้คนทั้งหมดฟังได้อย่างชัดเจน

เหอหลิงหันมาทันที มองเหอเฟย "น้องสาว คุณก็รู้จักเธอเหรอ?"

เหอเฟยหันไปตบเบาๆที่บ่าของเหอหลิง แล้วพยักหน้า

"ด้านหน้าฉันเห็นว่ามีโรงน้ำชา เป้ยอี ถ้าเวลานี้คุณไม่มีธุระล่ะก็ พวกเราเข้าไปนั่งด้วยกันได้ไหม?"

เย่หลินยกมุมปากขึ้น พยักหน้ากับเธอ เธอรู้ว่ามีเรื่องบางเรื่อง ที่อาจจะเก็บซ่อนไว้ไม่อยู่แล้ว

เมื่อมาถึงโรงน้ำชา คนทั้งสามก็นั่งลง ชัดเจนว่าเหอหลิงยังไม่คืนสติจากการตกตะลึงเมื่อกี้

"พี่ เธอเป็นแม่ของหลานชายคุณ" เหอเฟยไม่รอให้คนทั้งสามได้นั่งสนิทดี ก็เอ่ยปากขึ้นมาอีกครั้ง

ในสายตาที่ใสสะอาดของเหอหลิงนั้น เต็มไปด้วยความประหลาดใจ

เกาเหวินยิ้มอย่างเศร้าๆ เธออยู่กับเขามาสี่ปี อย่าพูดถึงจูบหนึ่งครั้งเลย จนถึงตอนนี้แม้แต่กอดสักครั้งก็ไม่มี เดิมทีคิดว่า เฉินเป้ยอีจากไป เขาก็ไม่สามารถรักคนอื่นได้อีกแล้ว แต่นี่อะไร? ขณะนี้เขาทำเพื่อผู้หญิงคนนี้ ชีวิตก็ไม่ต้องการแล้วใช่ไหม?

หลับตาลง แล้วลืมตาอีกครั้ง เธอหยิบโทรศัพท์มาถ่ายรูปส่งให้แม่หนิง

บางเรื่อง หากเธอออกหน้า จะสามารถทำให้หนิงเส่าเฉินรังเกียจมากขึ้น เช่นนั้นก็ให้แม่หนิงออกหน้าดีกว่า ลูกชายของเธอ เพื่อผู้หญิงคนเดียว ชีวิตก็ไม่สำคัญแล้ว เป็นเธอที่ดูแลมาตลอด อยากจะดูว่าแม่สามีคนนี้จะให้ความยุติธรรมกับเธออย่างไร?

จากนั้น ก็ส่งรูปนี้ให้พ่อของเธอ แล้วพูดว่า : "พ่อ คุณลองดูๆหน่อย นี่คือแม่ที่ให้กำเนิดหนิงเสี่ยวซีหรือเปล่า?" เพราะว่าเป็นเวลานานเล็กน้อย แต่เธอดูแล้วน่าจะไม่ผิด ก็คือในตอนนั้น ผู้หญิงคนนั้นปรากฏตัวอยู่บนพรมแดง

สมองที่ว่างเปล่าก่อนหน้านี้ของเย่หลิน ก็ได้สติกลับมา คิดจะยื่นมือออกไปผลักเขา ทว่าหนิงเส่าเฉินก็กดสองมือของเธอไว้

หนิงเส่าเฉินหายใจหอบถี่ขึ้น หลังจากได้ลิ้มรสความหวานนั้น ความปรารถนาที่เงียบสงบมาสี่ปี ในขณะนี้ก็เริ่มกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง การหักห้ามอารมณ์รักใคร่ของร่างกายมาเป็นเวลานาน พอได้รับการปลุกเร้าบางอย่าง ก็ราวกับประกายไฟ ที่สามารถติดไฟได้ในทันที การกระทำบนปาก จากที่หยาบกระด้างก็เริ่มผ่อนคลายลง นุ่มนวลลงมา

เย่หลินใช้เท้าเตะเขา แต่ถูกสองขาเขาหนีบไว้ ชั่วขณะก็ทั้งโกรธทั้งกระวนกระวายใจ

หนิงเส่าเฉินหันหน้าไปทางด้านในบ้าน แต่เธอหันหน้าออกไปข้างนอกบ้าน ดังนั้นเมื่อเธอลืมตา ก็สามารถมองที่ที่อยู่ห่างจากพวกเขาไปไม่ถึง 5 เมตรได้อย่างชัดเจน ว่ามีรถแท็กซี่คันหนึ่งจอดอยู่ ที่เบาะหลังของรถมีผู้หญิงคนหนึ่งนั่งอยู่ ไม่ใช่เกาเหวินแล้วจะเป็นใคร?

สีหน้าเธอเปลี่ยนไป รู้สึกได้ว่าสี่ปีแห่งความยืนหยัดมุ่งมั่น ในชั่วพริบตาขณะนี้มันได้กลายเป็นความว่างเปล่า

ถึงแม้ว่า สถานการณ์นี้เธอจะถูกบีบบังคับ แต่ในใจก็รู้สึกผิดและทุกข์ใจ

หัวใจเต้นอย่างรุนแรง หลับตาลง จากนั้นเธอก็ได้ยินเสียงรถสตาร์ทเครื่องยนต์ ลืมตาขึ้นมาอีกที รถที่จอดอยู่เมื่อกี้นี้ก็หายไปแล้ว

เธออ้าปากและกัดหนิงเส่าเฉิน ฉวยโอกาสตอนที่เขาเจ็บ เธอจึงใช้แรงผลักเขาออกไป

"หนิงเส่าเฉิน คุณมันบ้าไปแล้ว"

พูดจบ ก็ผลักเขาออกไปด้านนอก แล้วปิดประตูดัง"ปัง"

เธอค่อยทรุดลงที่ประตู ในหัวเต็มไปด้วยสายตาที่เกาเหวินมองเธอ มันเต็มไปด้วยความเกลียดชัง

เธอเดินอย่างซวนเซเข้าไปในห้อง ลนลานหยิบโทรศัพท์ออกมา แล้วโทรไปหาชูหยูจี้

เพราะเวลาต่างกัน ทางด้านชูหยูจี้นั้น ตอนนี้เป็นเวลาเช้า

"ฮัลโหล เย่จึ มีเรื่องอะไรเหรอ? ทำไมถึงโทรมาแต่เช้าแบบนี้?"

"หยูจี้ เกาเหวินเพิ่งจะเห็นฉันกับหนิงเส่าเฉินอยู่ด้วยกัน จะทำอย่างไรดี? เรา……เรายังโอบกอดกัน ฉัน……ฉัน……จะทำอย่างไรดี?" เธอตื่นตระหนกขึ้นมาเล็กน้อย

ชูหยูจี้เงียบไปสักพัก จึงพูดว่า "เย่จึ คุณอย่าเพิ่งตื่นตระหนกไป คุณลืมไปแล้วเหรอ ตอนนี้คุณคือเย่หลิน ไม่ใช่เฉินเป้ยอี"

เธอคือเย่หลิน……เธอคือ……ใช่สิ ตอนนี้ใบหน้าของเธอคือเย่หลิน ไม่ใช่เฉินเป้ยอีอีกแล้ว เช่นนั้นที่เกาเหวินเห็นไม่ใช่เฉินเป้ยอี แต่เธอยังคงโทษตัวเองอย่างมาก ว่าควรจะทำอย่างไรดี?

และในเวลาเดียวกันนี้ ตระกูลหนิงที่ต่างประเทศ

"ปังปัง……” เสียงเคาะประตูที่รีบเร่ง ทำให้เหอเฟยตกใจ

เธอยากที่จะหลับลง จึงลุกขึ้นไปเปิดประตู เหอหลิงก็โผเข้ามาที่เธอ

"พี่ ครึ่งค่อนคืนแล้ว ตกลงคุณจะทำอะไร? ยังไม่นอนอีกเหรอ?" เหอเฟยพูดพลาง เอนตัวกลับไปอีกครั้ง

เหอหลิงเปิดไฟหัวเตียง ไฟแยงตาทำให้เหอเฟยหยิบหมอนที่อยู่ข้างๆมาปิดตา "พี่ ตกลงคุณจะทำอะไร?"

"น้องสาว คุณช่วยพี่สาวคิดหาวิธีหน่อยสิ คุณว่าเส่าเฉินคนนี้ ที่ต่อหน้ายังนอนอยู่โรงพยาบาล เวลานี้เพื่อผู้หญิงคนหนึ่ง ก็ไม่ห่วงแม้กระทั่งชีวิต ครึ่งค่อนคืนแล้วยังไปหาผู้หญิงคนนั้น แล้วยังถูกเกาเหวินจับได้ นี่……นี่จะทำอย่างไรดี? เหอหลิงพูดพลาง ดึงหมอนบนหน้าของเหอเฟยออก แล้วนำมือถือส่งให้เหอเฟย

เหอเฟยกลอกตาขึ้นบน รับมือถือมาอย่างเลี่ยงไม่ได้ "นี่คือลูกชายคุณนะ คุณจะปรึกษาหารือ คุณก็ควรไปปรึกษากับพี่เขยไม่ใช่เหรอ? ทำไมคุณต้องมาหาฉันด้วยล่ะ?"

"พี่เขยคุณอารมณ์ไม่ดี วันนี้ก็ความดันขึ้นมาอีก ฉันจะไม่กลัวว่าเขาจะเป็นกังวลใจได้อย่างไร?

เหอเฟยขมวดคิ้ว ลุกขึ้นมานั่ง "เมื่อกี้คุณไม่ได้บอกว่า ลูกชายคุณป่วยแล้วยังละเมอเรียกชื่อเฉินเป้ยอีอยู่เลยไม่ใช่เหรอ? แล้วนี่ผู้หญิงที่ไหนกัน?"

เหอหลิงส่ายหน้า "ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน? นี่….นี่คือรูปที่เกาเหวินส่งให้ฉันเมื่อกี้ คุณลองดูสิ……

เหอเฟยเป่าปาก เปิดไฟในห้อง แล้วหยิบแว่นตาจากบนชั้นหัวเตียงมาสวมมองไปยังมือถือ

ในมือถือ หนิงเส่าเฉินสวมชุดผู้ป่วย เห็นหน้าไม่ชัด แต่จากภาพด้านหลังนั้น ชัดเจนว่าเป็นเขาจริงๆ

แต่ผู้หญิงคนนั้น เธอนำรูปเข้ามาใกล้ๆ นิ้วที่เรียวยาวดับเบิ้ลคลิกที่บนมือถือ ขยายภาพให้ใหญ่หน่อย

เมื่อใบหน้าของผู้หญิงคนนั้นปรากฏชัดเจนต่อหน้าเธอ เธอก็ส่งเสียงร้อง"ห๊ะ….." นำมือถือโยนลงบนเตียง

ราวกับเลือดไหลย้อนทั่วร่างกาย หัวก็เริ่มวิงเวียน

เธอปิดใบหน้า หายใจหอบถี่

"น้องสาว นี่คุณเป็นอะไรไป?" เหอหลิงมองภาพนั้น ที่ถูกขยายใบหน้าให้ใหญ่ ทำให้เธอรู้สึกคุ้นๆเล็กน้อย จู่ๆเธอก็นึกถึงอะไรได้ ในสายตาก็ปรากฏความน่าเหลือเชื่อ

ผ่านไปครู่หนึ่ง เหอเฟยก็สงบลงมา เธอหยิบยาสงบจิตใจที่อยู่บนโต๊ะใส่เข้าในปาก

แล้วจึงค่อยๆใจเย็นลงมา

เมื่อเงยหน้ามองเหอหลิง ก็พบว่า เหอหลิงกำลังนิ่งอึ้ง จึงเขย่าแขนของเธอ "พี่ คุณเป็นอะไรไปอีก?"

เหอหลิงตัวสั่นเล็กน้อย ดึงสติกลับมา "น้องสาว ฉันรู้ว่าผู้หญิงคนนี้คือใคร? เธอคือช่างแต่งหน้าคนนั้นของบริษัทซีเอกซ์ ใช่ คือเธอ"

เหอเฟยขมวดคิ้ว "คุณรู้จักเธอเหรอ?" ในใจงุนงงเล็กน้อย ชัดเจนว่าหนิงเส่าเฉินบอกว่าเฉินเป้ยอีตายไปแล้ว อีกทั้งหลายปีมานี้ เพื่อเฉินเป้ยอี เธอก็เห็นว่าเขาดูถูกตนเองไม่น้อย แต่ว่าผู้หญิงคนนี้ ชัดเจนว่าเป็นเฉินเป้ยอีงั้นเหรอ? ตายไปแล้วไม่ใช่เหรอ? แต่ถ้าไม่ตาย เส่าเฉินก็ชัดเจนว่ารักเธอ แต่ทำไมต้องขมขื่นขนาดนั้น? เพราะเหตุใดถึงต้องแต่งงานกับเกาเหวิน?

ลางสังหรณ์บอกเธอ ว่าในนี้ต้องมีความจริงซ่อนอยู่

ท้ายที่สุดแล้วมันเกิดปัญหาจากตรงไหน เพียงแต่เธอเกรงว่าเหอหลิงจะเป็นกังวล ก็เลยไม่ได้พูดอะไรมาก เพียงแค่กล่าวกับเธอว่า: "เอาล่ะ คุณไปนอนก่อนเถอะ ในเมื่อคุณรู้ว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นใคร เช่นนั้นพรุ่งนี้ ฉันจะไปหาเธอเป็นเพื่อนคุณ" พูดพลาง นำมือถือที่อยู่ผ้าห่มส่งให้เหอหลิง

เหอหลิงพยักหน้า "โอเค อย่างนั้นพรุ่งนี้คุณไปเป็นเพื่อนฉันหน่อย ผู้หญิงคนนี้ดูแล้ว ก็ดูว่านอนสอนง่ายดี ทำไมถึงไม่แยกแยะความเหมาะสมแบบนี้นะ? เส่าเฉินนี่ก็เป็นคนที่มีภรรยาแล้ว ยังไม่ห่วงชีวิตแบบนี้ นี่……"

"เอาล่ะ เอาล่ะ ไม่ต้องพูดแล้ว คุณไปนอนก่อนเถอะ" ในใจของเหอเฟยก็สับสนวุ่นวายเล็กน้อย จึงเร่งรัดให้เหอหลิงออกไป

หมอพินิจพิเคราะห์เธอ แล้วจึงเอ่ยปากว่า :

"ปัญหาน่ะ ไม่ได้ร้ายแรง เลือดออกในกระเพาะ อายุยังน้อยอยู่ เพียงแต่ว่าหากเป็นเช่นนี้ แล้วไม่ดูแลให้ดีๆอีก แก่ตัวไปเขาจะต้องเจ็บปวดทรมาน" พูดจบก็ถอนหายใจ แล้วเดินออกไป

เย่หลินกล่าวขอบคุณ แล้วกำลังจะหันไปเปิดประตูห้องผู้ป่วย

"แม่ น่าจะเป็นทางด้านนี้นะ" น้ำเสียงของเกาเหวิน ต่อให้ไม่ได้ยินมาหลายปีแล้ว เธอก็ยังคงฟังออก

รีบนำมือหดกลับมา หันกลับ แล้วเข้าไปที่มุมกำแพง

จากนั้นเธอก็เห็นเกาเหวินกับแม่หนิง เดินเข้าไปที่ห้องผู้ป่วยแล้วก็ปิดประตู

เธอก้มหน้า สีหน้าไม่สามารถปิดบังความเงียบเหงาได้

มองผ่านหน้าต่างประตู เข้าไปด้านใน หนิงเส่าเฉินน่าจะหลับไปแล้ว เกาเหวินนั่งอยู่ข้างๆเตียงจับมือของเขา แล้วดูเหมือนว่าจะร้องไห้ แม่หนิงที่อยู่ข้างๆก็พูดอะไรไม่หยุด

หลังจากนั้น เกาเหวินก็โผเข้าไปกอดแม่หนิง

ทั้งหมดดูเหมือนสมบูรณ์แบบมาก

เธอสูดหายใจเข้าลึกๆ ในที่สุดก็หันกลับแล้วจากไป

ในห้องผู้ป่วย

"แม่ คุณดูสิ เขาหลับแล้ว ปากยังเรียกหาชื่อของผู้หญิงคนนั้น แม่หลายปีขนาดนี้แล้ว ฉันยังไม่สามารถเข้าไปอยู่ในใจของเขาได้เลย"

แม่หนิงนำเกาเหวินมาโอบกอดไว้ในอ้อมแขน อึดอัดใจอยู่ไม่น้อย "เสี่ยวเหวิน ได้ยินมาว่าผู้หญิงคนนั้นตายไปแล้ว แน่นอนว่าในใจของอาเฉินชั่วขณะไม่สามารถลืมไปได้ คุณต้องให้เวลาเขาหน่อย นานๆไปเขาต้องเห็นความดีของคุณอย่างแน่นอน"

เกาเหวินพยักหน้า "แม่ ทั้งหมดเป็นฉันที่ทำได้ไม่ดีพอ"

"อาเฉิน คุณฟื้นแล้ว?" จู่ๆแม่หนิงก็พูดขึ้น

เกาเหวินปล่อยจากแม่หนิง หันไปมองหนิงเส่าเฉิน "เส่าเฉิน คุณฟื้นแล้วเหรอ? ทำไมคุณดื่มเหล้าเยอะขนาดนั้นล่ะ? แม่บอกว่าคุณเลือดออกในกระเพาะ คุณ……”

"แม่ เมื่อกี้เป็นพวกคุณสองคนเหรอ?" ชัดเจนว่าเขาได้ยินเสียงของเธอ หรือว่าจะคิดไปเอง?

แม่หนิงพยักหน้า อย่างไม่เข้าใจ

หนิงเส่าเฉินหลับตา ไม่พูดอะไร เวลานี้มือถือบนโต๊ะก็ดังขึ้น เมื่อมองดูแล้วเป็นหลิวซูโทรมา

ไม่รู้ว่าหลิวซูพูดอะไร หนิงเส่าเฉินที่ดูซังกะตายอยู่เมื่อกี้ ชั่วพริบตาก็ดูมีชีวิตชีวา อมยิ้มมุมปาก

พอเขาวางสายไป แม่หนิงก็ถามว่า : "นี่ เจอเรื่องอะไรดีๆเหรอ?"

หนิงเส่าเฉินมองแม่ แล้วก็มองเกาเหวินอีกที "ไม่มีอะไรแม่ พวกคุณไม่มีอะไรแล้วก็กลับไปเถอะ"

"ใช่แม่ คุณดูสิวันนี้มืดเร็วมาก ที่นี่อยู่ไกลจากบ้านมาก คุณควรกลับไปเร็วหน่อยเถอะ" เกาเหวินพูดคล้อยตาม

"คุณก็กลับไปด้วยกันกับแม่เถอะ" ฉับพลันหนิงเส่าเฉินก็พูดขึ้น สีหน้าเกาเหวินนิ่งอึ้งไป "ให้ฉันอยู่เป็นเพื่อนคุณที่นี่เถอะ"

"ไม่ต้องหรอก พวกคุณไปเถอะ ฉันอยากอยู่เงียบๆ" พูดจบ ก็นอนลงไป แล้วหลับตาอีกครั้ง

แม่หนิงมองเกาเหวิน แล้วก็มองหนิงเส่าเฉินอีกที นิสัยลูกชายตนเอง เธอก็เข้าใจดี ตบๆแขนของเกาเหวิน "ไปเถอะ กลับไปกับแม่ ดึกดื่นขนาดนี้ ฉันกลับคนเดียว ยังรู้สึกกลัวๆเล็กน้อย"

เกาเหวินฉีกยิ้มออกมา กล่าวกับหนิงเส่าเฉินว่า: "เส่าเฉิน อย่างนั้นฉันเป็นเพื่อนแม่กลับไปก่อนนะ คุณก็ระวังตัวเองหน่อยนะ"

หนิงเส่าเฉินส่งเสียง"อืม"ที่ฟังแทบไม่ได้ยิน

เมื่อคนทั้งสองเดินมาถึงชั้นล่าง เกาเหวินก็นึกขึ้นได้ ในกระเป๋ามียาของเย่เส่าเฉินที่ลืมให้เขา จึงบอกให้แม่หนิงรอเธออยู่ เธอจะนำยาขึ้นไปให้ก่อน

เมื่อมาถึงห้องผู้ป่วย ก็พบว่าหนิงเส่าเฉินที่เมื่อกี้เอนกายอยู่บนเตียงผู้ป่วย เวลานี้คนได้หายไปแล้ว

หันตัวกลับ เธอวิ่งไปยังชั้นล่าง ก็ได้พบว่ารถสีดำคันหนึ่งขับผ่านหน้าเธอไป

ในห้องผู้โดยสาร คนที่นั่งอยู่ก็คือหนิงเส่าเฉิน

ในใจตกตะลึงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เรื่องอะไรที่ทำให้หนิงเส่าเฉินไม่ห่วงแม้กระทั่งชีวิต? เมื่อวานคุณหมอยังบอกอยู่เลยว่าเขาต้องพักผ่อน คิดๆแล้วโทรศัพท์สายนั้นที่หนิงเส่าเฉินรับเมื่อกี้ เธอเม้มปากยกมือขึ้นโบกรถแท็กซี่คันหนึ่งแล้วไล่ตามไป

"หลิวซู คุณแน่ใจเหรอ ว่าเธอไปโรงพยาบาล?" หนิงเส่าเฉินกุมที่บริเวณท้อง ซึ่งปวดอยู่เล็กน้อย เทียบกับความสบายภายในใจ นี่ก็นับว่าไม่ได้เป็นอะไรเลย

"ใช่แล้ว ฉันฝากให้พยาบาลที่นั่นช่วยดูเป็นพิเศษ เพียงแต่หนิงเส่าเฉิน คุณอยู่ที่ไหน? ทางด้านนั้นของคุณถึงเงียบขนาดนั้น….. คุณ….คุณไม่ได้ไปหาเธอใช่ไหม? เชี่ย นี่คุณมันบ้าไปแล้ว คุณยังต้องการชีวิตอยู่ไหม…..นี่คุณจะขับรถไป ต้องใช้เวลาสองชั่วโมงกว่าเลยนะ ฮัลโหล….ฮัลโหล….." เห็นว่าถูกวางสายไปแล้ว หลิวซูก็กุมหน้าผาก จะบ้าตายจริงๆ

เขาบอกความจริงเขา เพียงหวังว่าเขาจะสามารถสงบจิตใจแล้วพักฟื้นได้ สุดท้าย เขา……

ทางด้านนี้ เย่หลินพาเย่เสี่ยวโม้เข้านอนแล้ว ก็อาบน้ำล้างหน้าล้างตาเล็กน้อย มองดูเวลา ก็เที่ยงคืนกว่าแล้ว ตอนกลางวันงานเยอะมาก เหนื่อยล้าจนสายตัวแทบขาด ดังนั้นเวลานี้ ถึงแม้อารมณ์จะหงุดหงิด ก็ไม่อาจต้านทานความง่วงได้ ขณะที่เธอหลับอย่างสะลึมสะลือ จู่ๆมือถือที่หัวเตียงก็ดังขึ้น

เธอขมวดคิ้ว เอามือไปคลำๆ กดรับโดยไม่ได้มอง "ฮัลโหล"

"เปิดประตู ฉันอยู่นอกประตู" เสียงของหนิงเส่าเฉิน ตอบสนองเข้ามาทันที เขาบอกว่าเขาอยู่นอกประตูงั้นเหรอ? ความง่วงนอนของเธอหายไปทันที มือดันตัวลุกขึ้นนั่ง คิดแล้วก็ลูบๆผม

"หนิงเส่าเฉิน คุณเป็นบ้าอะไร? นี่มันครึ่งค่อนคืนแล้วนะ?" เดิมทีเธออยากจะถามเขาว่า อยู่โรงพยาบาลไม่ใช่เหรอ? ทำไมหนีออกมาได้? แต่พอคำพูดมาถึงปาก ก็เปลี่ยนคำพูด

"เปิดประตู ไม่เช่นนั้น ฉันจะให้คนพังประตูนี้" น้ำเสียงสงบอย่างมาก แต่เย่หลินเชื่อว่าเขาทำเรื่องนี้ได้ จึงเป็นเป็นห่วงร่างกายของเขา

ทำได้เพียงลุกขึ้น กลัวว่าเย่เสี่ยวโม่จะตื่น เธอจึงเดินเบาอย่างมาก

เปิดประตูแล้ว ก็เห็นหนิงเส่าเฉินสวมชุดผู้ป่วยของโรงพยาบาลยืนอยู่หน้าประตู อากาศแบบนี้? หนาวขนาดนี้? อ้าปากอยากด่าเขาว่าบ้า แต่ทำได้เพียงอ้าปาก หรี่ตามอง "มาหาฉันมีธุระอะไร?" เยือกเย็น ไม่แฝงด้วยความอบอุ่นเลยสักนิด

"ได้ยินหลิวซูบอกว่า คุณไปเยี่ยมฉันที่โรงพยาบาลเหรอ?"

เย่หลินหน้าตาเย็นชา "ก็คือไปโรงพยาบาล แต่ไม่ได้ไปเยี่ยมคุณ"

"คุณเป็นห่วงฉันใช่ไหม? ฉะนั้นจึงไปที่โรงพยาบาล ใช่ไหมล่ะ?" ลูกกระเดือกหนิงเส่าเฉินขยับขึ้นลง ในสายตามีความคาดหวัง

เย่หลินเลิกคิ้วเล็กน้อย นิ่งอึ้งไป "ไม่เข้าใจว่าคุณกำลังพูดอะไรอยู่ คุณไม่มีธุระแล้ว ก็ไปเถอะ ฉันอยากนอน" พูดจบ เธอก็ทำท่าทางปิดประตู

หนิงเส่าเฉินรู้สึกปวดขมับขึ้นมาทันที สี่ปีแล้วเขาคิดถึงเธอคิดถึงจนจะเป็นบ้า แต่เวลานี้ก็ชัดเจนว่าเธออยู่ตรงหน้า แต่ก็คว้าไว้ไม่ได้ สัมผัสถึงความรู้สึกไม่ได้เลย

ความรู้สึกนี้ทำให้เขาเดือดดาล หวาดกลัว บ้าคลั่ง

ในฉับพลันมือใหญ่ๆของเขาก็คว้าแขนของเธอ เข้ามาในอ้อมกอด โน้มตัวเข้าใกล้ จูบลงไปบนริมฝีปากเธอโดยตรง ไม่มีความอ่อนโยน ไม่มีความซาบซึ้ง

และในรถแท็กซี่ที่อยู่ไม่ไกลจากพวกเขา เกาเหวินก็ตกใจจนปิดปาก ผู้หญิงคนนั้น? เป็นแม่ของหนิงเสี่ยวซีเหรอ? แต่…..ระหว่างเธอกับหนิงเส่าเฉิน มันเกิดอะไรขึ้น?

เย่หลินขมวดคิ้ว หันไปมองหน้าประตู เหมือนกำลังคิดอะไรอยู่ ดังนั้นจึงไม่ได้สนใจว่าน้ำร้อนในมือได้เทราดบนหลังมือ

"ระวัง!" โม่หานรีบพุ่งตัวเข้าไป นำกาต้มน้ำออกจากในมือเธอ จากนั้นก็ดึงมือเธอไปที่ห้องน้ำข้างๆ

เขายืนอยู่ด้านหลังเธอ แล้วเปิดก๊อกน้ำนำมือของเธอมาอยู่ใต้น้ำที่ไหล "คิดอะไรอยู่? ถึงได้เทน้ำร้อนราดมือ"

เย่หลินยิ้มตอบกลับ ใช่สิ คิดอะไรอยู่? มาดึกๆดื่นๆขนาดนี้ เคาะประตูรุนแรงแบบนี้ นอกจากเย่เส่าเฉินแล้วจะมีใคร?

"ปังปัง……” เสียงเคาะประตูด้านนอกยิ่งดังหนักหน่วงขึ้น

"ใคร ใครอะ? นี่ไม่ใช่ประตูห้องน้ำนะ คุณจะรีบร้อนอะไร?" พร้อมกับเสียงเล็กๆดังออกมา ร่างน้อยๆร่างหนึ่ง ก็วิ่งไปที่หน้าประตู คิดจะเปิดออก

"ยัยหนูของคุณนี่ อารมณ์ขันจริงๆ" โม่หานได้ยินเย่เสี่ยวโม่บ่นพึมพำ ก็หัวเราะ เย่หลินยิ้มแล้วก็หัวเราะตามขึ้นมา

เพราะห้องน้ำอยู่ตรงข้ามกับประตูพอดี ดังนั้นเมื่อประตูเปิดออก หนิงเส่าเฉินก็เห็นเย่หลินกับโม่หานอยู่ในห้องน้ำ จริงๆแล้วทั้งสองคนยืนอยู่ใกล้กัน แต่จากมุมที่หนิงเส่าเฉินมองไป โม่หานคนนั้นโอบกอดด้านหลังเย่หลิน และในขณะนี้ ทั้งสองคนไม่รู้พูดอะไรกัน ใบหน้าจึงเต็มไปด้วยรอยยิ้ม

ใบหน้าหล่อเหลาของเขา เต็มไปด้วยความทุกข์ เม้มริมฝีปากบางๆจนเป็นเส้นตรง เป็นเวลานาน เขาก็พยักหน้า พูดว่า : "เฉินเป้ยอี คุณมันโหดเหี้ยม!" ในน้ำเสียงมีความเย้ยหยันถากถาง มีความโกรธแล้วก็สิ้นหวัง

จากนั้นเย่หลินยังไม่ทันได้ตอบสนองกลับ สิ่งที่เหลือให้เธอเห็น เป็นเพียงแค่ภาพด้านหลังของคนคนนั้น

ถอยออกมาจากในอ้อมแขนของโม่หานโดยจิตใต้สำนึก รีบวิ่งออกไปอย่างโซซัดโซเซ รถสีดำคันนั้นประหนึ่งลูกธนูออกจากสาย ขับออกไปจากสายตาของเธอด้วยความเร็วที่น่าตกตะลึง

เย่หลินกะพริบตาปริบๆ ไหล่ทั้งคู่ตกลง มองดูเหมือนโล่งอก แต่ความจริงแล้วมันเจ็บปวดใจจนไร้เรี่ยวแรง

ตอนนี้เขาไม่อยากจะเชื่อ แต่ก็ต้องเชื่อแล้วใช่ไหม?

"พี่ชาย เหมือนจะเข้าใจอะไรผิดนะ?" โม่หานไม่ได้ไม่รู้เรื่อง ถ้ามองไม่เห็นความผิดปกติของคนทั้งสอง เขาก็โง่เต็มทีแล้ว

เย่หลินส่ายหัว "ไม่มีอะไรหรอก ฉันกับเขามันเป็นอดีตไปแล้ว"

เธอพูดจบก็อยากจะยิ้มให้โม่หาน แต่พบว่าสีหน้ากลับแข็งทื่อ

ถึงแม้ว่าโม่หานจะดูไม่จริงจัง อันที่จริงก็เป็นคนที่มีความรู้ความสามารถ นั่งอยู่กับเธอสักพัก เห็นเธอนั่งใจลอยตลอด ก็เลยหาเหตุผลเพื่อกลับก่อน

เขาไปแล้ว แต่เย่หลินยังนั่งอยู่กับที่

กุมขมับ หลับตาลง เจ็บปวดทรมานไม่หยุด

"เย่หลิน คุณกำลังคิดถึงผู้ชายที่ไม่จริงจังอยู่ใช่ไหม?" เย่เสี่ยวโม่อยู่ตรงหน้าเธอ ปากน้อยๆยังคงดูดขวดนมอยู่ ถามอย่างคลุมเครือเล็กน้อย

"เขามีอะไรดี? เมื่อกี้หนูเห็นท่าทางนั้นของเขา น่ากลัวมาก ลุงโม่คนนี้ดูดีกว่า หนูคิดว่าคุณควรจะลองพิจารณาดู เขาน่าจะสามารถเป็นพ่อของหนูได้"

"อีกอย่าง เอ่อ……” เย่เสี่ยวโม่ดูดนม พูดสักพัก ก็ดูดอีก แล้วพูดเรื่องไร้สาระข้างๆหูเย่หลิน

เย่หลินคิ้วขมวด หงุดหงิดอย่างบอกไม่ถูก "เย่เสี่ยวโม่ คุณให้ฉันอยู่สงบๆสักพักได้ไหม?"

ต่อมาหลายวันมาก เย่หลินก็ไม่ได้พบหนิงเส่าเฉินอีก ชัดเจนว่าเธอน่าจะดีใจ ดีใจที่วันนั้นหนีจากเขาได้สำเร็จ แต่ทำไมในใจถึงเต็มไปด้วยความหดหู่ ทำอะไรก็ล้วนไม่มีชีวิตชีวา

จนกระทั่งหลิวซูเข้ามาหาเธอ

เมื่อหลิวซูมา เธอกำลังปรึกษาหารือกับอู่เล่อเล่อเรื่องความร่วมมือกับอีกบริษัทหนึ่ง จู่ๆหลิวซูก็มุ่งตรงเข้ามา เขาเหวี่ยงทุกอย่างบนโต๊ะของเธอกระเด็นลงกับพื้น

"คุณเย่ หัวใจของคุณทำด้วยหินหรือไง? คุณรู้บ้างไหม เขาทำเพื่อคุณจนตนเองเป็นถึงขนาดไหน? เดิมทีเขาก็นอนไม่หลับอยู่แล้ว หลายปีมานี้เพราะว่าคิดถึงคุณ แต่ละวันๆเขาต้องอาศัยยาถึงจะสามารถหลับลงไปได้ ด้วยเหตุนี้กระเพาะของเขา จึงเกิดมีเลือดออก แต่กลางวันก็ทำแต่งาน เป็นแบบนี้มาตลอด ฉันเห็นเขาก็เหมือนแมลงเม่าบินเข้ากองไฟ อีกอย่าง ถ้าคุณเห็นเขาไม่ได้มีความหมายแล้ว ทำไมคุณต้องมาปรากฏตัวต่อหน้าเขาบ่อยๆด้วย?"

พูดจบ เขาก็หัวเราะเยาะ ลูกกระเดือกขยับ สีหน้ายังคงเคร่งขรึมจนน่ากลัว เขามองไปนอกหน้าต่าง คล้ายกับกำลังคิดอะไร ผ่านไปสักครู่หนึ่ง เขาจึงหันกลับมามองเย่หลิน แล้วหยิบกระดาษแผ่นหนึ่งโยนลงมาบนโต๊ะ "คุณเย่ ถ้าคุณยังมีจิตสำนึกสักหน่อย ฉันก็ขอร้องคุณ ช่วยไปเยี่ยมเขาหน่อยเถอะ!"

พูดจบก็ไม่ให้โอกาสเย่หลินได้พูดอะไร หันตัวกลับแล้วเดินจากไป

ประตูถูกปิดดัง"ปัง"

ครู่ใหญ่เย่หลินก็ยังไม่ได้สติ อู่เล่อเล่อมองหน้าประตู มองๆเย่หลิน ไม่ได้พูดอะไร เพียงแค่โน้มตัวไปเก็บของบนพื้นขึ้นมา เอากลับมาตั้งที่เดิม มองแผ่นกระดาษที่อยู่บนโต๊ะ แล้วกล่าวว่า: "ประธานเย่ นี่คือที่อยู่ของโรงพยาบาล มีใครเข้าโรงพยาบาลหรือเปล่า?"

เย่หลินนิ่งอึ้งไปทันทีก็เดินเข้าไปสองสามเก้า หยิบกระดาษแผ่นนั้นจากในมืออู่เล่อเล่อ

เธอนั่งลงยองๆกับพื้น กุมศีรษะ อย่างทุกข์ทรมานอย่างมาก

"คุณว่า ฉันต้องไปเยี่ยมไหม?" รู้ดีว่าอู่เล่อเล่อไม่เข้าใจสถานการณ์ของพวกเขา แต่เวลานี้เธอต้องการให้คนคนหนึ่งให้คำตอบกับเธอ บางครั้งเธอก็อยากจะมีชีวิตที่เห็นแก่ตัว อยากจะอยู่ด้วยกันกับหนิงเส่าเฉินโดยไม่สนใจไยดีอะไร

แต่เธอจะไม่สนใจเกาเหวินได้อย่างไร แล้วหนิงเส่าเฉินล่ะ? กลัวว่าเขาจะต้องแบกรับความผิดและโทษตัวเองไปชั่วชีวิต?

คิดถึงตรงนี้แล้ว เธอก็สับสนยุ่งเหยิง ตกลงต้องไปหรือไม่ไปเยี่ยมเขา

ถ้าเธอไปเยี่ยม เรื่องที่ทำก่อนหน้านั้น ก็ไม่กลายเป็นไร้ประโยชน์เหรอ?

แต่ถ้าไม่ไป เธอก็คงไม่สบายใจ

เดิมทีก็คิดว่าอู่เล่อเล่อไม่สามารถบอกอะไรได้ อย่างไรเสียเธอก็เป็นคนโสดอายุสามสิบปีคนหนึ่ง คิดแล้วก็คงไม่มีวิธีที่จะออกความคิดเห็นอะไร

ผลสุดท้าย อู่เล่อเล่อก็โน้มตัวเข้าใกล้ จับเธอลุกขึ้นมา หลังจากนั้นก็เอ่ยว่า: "ไปเยี่ยมเถอะ ตราบใดที่คนคนหนึ่งยังมีชีวิตอยู่ ก็ไม่มีอะไรที่แก้ไขไม่ได้ เกรงว่าเมื่อตายไปแล้ว ไม่ว่าความรักของคุณจะยิ่งใหญ่แค่ไหน คุณจะพยายามอีกกี่ครั้ง ก็คงไม่มีประโยชน์"

พูดจบก็ตบเบาๆที่ไหล่ของเย่หลิน แล้วหันออกจากห้องทำงานไป

เย่หลินมองภาพด้านหลังนั้น ดวงตามืดมนอย่างมาก อู่เล่อเล่อคนนี้น่าจะเป็นคนที่มีเรื่องราวคนหนึ่ง…..

หลังจากเลิกงาน ในที่สุดเย่หลินก็ไปโรงพยาบาล นี่คือโรงพยาบาลฮวาเฉียว เธอเดินเตร่อยู่ชั้นล่างในแผนกผู้ป่วยในเป็นเวลานาน จึงตัดสินใจที่จะเข้าไป

พอดีเห็นคุณหมอคนหนึ่งเดินออกมาจากในห้องผู้ป่วย เธอดึงหมอคนนั้นให้หยุด "สวัสดีค่ะ คุณหมอ ฉันขอถามหน่อยว่า คนคนนี้ ตอนนี้อาการเป็นอย่างไรบ้างคะ?"

คุณหมอคนนั้นมองเธอ มองไปในห้องผู้ป่วย แล้วก็ขมวดคิ้ว "คุณเป็นอะไรกับเขา?"

"ฉัน….ฉันเป็นแม่ของลูกเขา"

โม่หานทำท่าทางสบายๆ สีหน้าสุภาพ ประคองเธอ แล้วหันกลับมา เดินไปทางคนทั้งสอง

"พี่ชาย?" เกินคาดโม่หานรู้จักหนิงเส่าเฉิน เขาเรียกเขาว่าพี่ชาย น่าจะเรียกตามชูหยูจี้

"คุณมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง?" น้ำเสียงของหนิงเส่าเฉิน ฟังดูแปลกๆ โม่หานยืนอยู่ข้างๆเธอ ทุกคนสามารถมองออกว่าทั้งสองคนกำลังเดทกัน

"อ่อ เอ่อ ฉัน……ฉันมาทานข้าวกับเพื่อน" โม่หานพูดจบ ก็หันไปมองเย่หลิน "เมื่อกี้เขากล่าวทักทาย คุณไม่ได้รู้จักกันหรอกเหรอ?"

"คุณเย่ นึกไม่ถึงว่าจะเจอกันอีกแล้วนะ" โม่หานเพิ่งจะพูดจบ หนิงเส่าเฉินก็พูดต่อเลย

"ที่แท้ คุณก็รู้จักพี่ชาย?"

"ไม่ได้สนิท เขาเป็นพี่ชายลูกพี่ลูกน้องของชูหยูจี้" ความหมายคือ สนิทกับแค่ชูหยูจี้ คุณเป็นพี่ชายลูกพี่ลูกน้องของเขา เธอก็เลยเข้ามาทักทายก็เท่านั้น

โม่หานชำเลืองมอง "อืม คุณก็เหมือนกันกับฉันเลย"

เย่หลินอ้าปากค้าง ท้ายที่สุดก็ไม่ได้พูดอธิบายอะไร

เพียงแต่……

"จะเหมือนกันได้ยังไง? ฉันกับเธอเคยนอนด้วยกันแล้ว คุณล่ะเคยไหม?" น้ำเสียงทุ้มๆนำพามาด้วยความยั่วเย้า ค่อยๆออกมาจากปากหนิงเส่าเฉิน

หลังสองสามประโยคนี้ ชั่วพริบตาสถานการณ์ก็เงียบลงทันที เย่หลินกัดฟัน จ้องมองหนิงเส่าเฉิน

หนิงเส่าเฉินเห็นเธอจ้องมองตนเอง ก็ทำสายตาลึกซึ้ง จ้องมองเย่หลิน ริมฝีปากบางๆของเขากระตุกขึ้น : "ทำไม? คุณกล้าบอกกับเขาไหมล่ะ ว่าเราไม่เคยนอนด้วยกัน?"

เย่หลินเบือนหน้า ก่อนหน้านี้ก็รู้ว่าผู้ชายคนนี้ไร้ยางอาย แต่ไม่นึกเลยว่าเขาจะไร้ยางอายได้ขนาดนี้

โม่หานมองเย่หลินอย่างไม่อยากจะเชื่อ "พวกคุณ มีความสัมพันธ์อะไรกัน?"

"ก่อนหน้า……คือ คือ……” ชั่วขณะเย่หลินก็พูดไม่ออก เวลานี้คาดไม่ถึงว่าเธอจะพูดความสัมพันธ์ของเธอกับหนิงเส่าเฉินไม่ออก เป็นแฟนกันเหรอ? แต่ว่า ในตอนนั้นเขาก็มีคู่หมั้นอยู่แล้ว เป็นคนรัก? ไม่ ในใจเธอไม่ยอมรับ เช่นนั้นก็……

"เป็นพ่อของลูก" เธอรู้สึกว่าความสัมพันธ์อันนี้ ไม่ผิด "เพียงแต่ว่า ตอนนี้ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันแล้ว"

คำพูดนี้ เธอพูดให้หนิงเส่าเฉินได้ยิน

หนิงเส่าเฉินยิ้ม แต่ในแววตาไม่ได้ยิ้ม ชำเลืองมองโม่หาน แล้วยิ้มมุมปาก "โม่หาน คุณดีเลิศขนาดนี้ จะแต่งงานกับผู้หญิงลูกหนึ่ง คุณคิดว่าครอบครัวคุณจะเห็นด้วยเหรอ?"

เขาชี้ให้เห็นมูลเหตุของปัญหาอย่างรัดกุม เย่หลินเบ้ปาก แล้วมองโม่หาน ในแววตารู้สึกผิดที่ดึงเขาเข้ามาเกี่ยวข้อง

"พี่ชาย คุณพูดถึงเสี่ยวโม่ใช่ไหม? ไม่เป็นไรหรอก ฉันชอบ ฉันไม่สนใจหรอก" โม่หานพูดจบ ก็คิดๆเล็กน้อย แล้วถามว่า : "หรือว่า เสี่ยวโม่เป็นลูกของพี่ชาย?"

พอได้ยิน ตาที่เป็นประกายของหนิงเส่าเฉินก็เย็นชาลงทันที คิดจะรักษาตนเองไว้เพื่อเธอ คาดไม่ถึงว่าเธอจะไปมีลูกกับคนอื่น ในใจราวกับคลื่นพายุพัดโหมกระหน่ำอย่างรุนแรง

ฉับพลันเย่หลินก็ได้สติกลับมา "โม่หาน ขอโทษนะ ฉันลืมบอกคุณไป ว่าฉันมีลูกสองคน คนโตฉันช่วยเขา = ตั้งท้อง ส่วนคนเล็ก……” เธอหยุดไปชั่วขณะ "คนเล็กเกิดกับแฟนเก่าของฉัน"

ในตอนนี้ สีหน้าโม่หานย่ำแย่ลงเล็กน้อย หลังจากชะงักงันไปชั่วขณะ ก็พูดว่า "ฉันไม่ใส่ใจเรื่องก่อนหน้านี้ของคุณหรอก เย่หลิน เราไปกันเถอะ"

แต่เมื่อพูดจบ มือที่วางอยู่บนไหล่เย่หลิน ก็ร่วงลงไป

เย่หลินมองหนิงเส่าเฉิน แล้วหันกลับเดินไปทางประตูทางเข้า โม่หานก็เดินตามไป

จากนั้นในตลอดเส้นทาง เย่หลินกับโม่หานไม่ได้พูดอะไรกันเลย เย่หลินไม่สบายใจเล็กน้อย และโม่หานก็กำลังนึกถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อกี้นี้

ถึงหน้าประตูบ้านเย่หลินแล้ว รถจอดลง เย่หลินปลดเข็มขัดนิรภัยเตรียมลงจากรถ

ก็รู้สึกร้อนๆที่ข้อศอก หันไปดู เห็นโม่หานคล้ายกับมีอะไรจะพูด จึงดึงมือที่จะเปิดประตูกลับมาอีกครั้ง

"เย่หลิน ถ้าคุณจะจริงจังกับฉัน ฉันก็ไม่ถือสาเลย ก่อนหน้านี้คุณเคยเกิดเรื่องอะไร ฉันโม่หาน ไม่สนใจเรื่องเหล่านั้น" เขาแสดงออกอย่างจริงจัง ไม่เหมือนว่าล้อเล่น

แต่เย่หลินกลับตกใจ พูดตามตรงแล้วเธอก็คาดไม่ถึงว่าวันนี้จะพบหนิงเส่าเฉิน เธอก็คิดว่าหลังจากที่เกิดเรื่องเมื่อกี้นั้นแล้ว โม่หานก็จะถอยทัพ ถึงอย่างไรเขาก็ยังหนุ่มยังแน่น เงื่อนไขดีขนาดนั้น ไม่มีเหตุผลที่จะต้องมาแต่งงานกับผู้หญิงคนหนึ่งที่เคยให้กำเนิดลูกมาสองคนแล้ว

แต่….แต่เวลานี้เขากลับบอกว่าเขาไม่แคร์

ในใจไม่มีความคิดว่า นั่นคือการหลอกลวง แต่ว่า…..มันไม่ใช่ความรัก!

"เอ่อ โม่หาน ขอบคุณ คุณนะ ที่สามารถรับอดีตที่ผ่านมาของฉันได้ แต่…..พวกเราควรจะสนิทสนมกันอีกหน่อยไหม? ถึงอย่างไรพวกเราก็ยังไม่ค่อยเข้าใจซึ่งกันและกัน" หลังจากพูดคำนี้จบ เย่หลินก็แอบถอนหายใจอย่างโล่งอก ไม่ว่าอย่างไร หลายปีมาแล้ว นี่ก็เป็นครั้งแรกที่เธอก้าวไปข้างหน้า

โม่หานนิ่งอึ้งไป ต่อจากนั้น ก็ตอบสนอง รีบพยักหน้าอย่างลนลาน "โอเค โอเค ฉัน….เข้าใจแล้ว" ท่าทีนั้น ทำให้เย่หลินนึกถึงเซี่ยอวี่ ผู้ชายคนนั้นที่เคยบอกรักเธอ

หางตาเหลือบมองกระจกมองหลัง มีแสงสว่างเข้ามา เย่หลินใจสั่นมองโม่หาน "ต้องการเข้าไปนั่งที่บ้านฉันก่อนไหม?"

โม่หานมองๆเวลา "ถ้าไม่เป็นการรบกวน เช่นนั้นก็ด้วยความยินดี"

เย่หลินยิ้มๆ ยอมรับโดยดี ดันประตูแล้วลงจากรถ

สายตามองไปที่คฤหาสน์ขนาดเล็กที่อยู่ตรงหน้า ตลอดทางไม่ได้มองทั้งสองข้างทางเลย เธอรู้ว่าในรถคันสีดำคันนั้น มีหนิงเส่าเฉินนั่งอยู่

ถึงแม้โม่หานจะรู้สึกไม่เข้าใจความคิดของเย่หลินเล็กน้อย แต่สีหน้าบนใบหน้าก็ยังคงดีใจ

เมื่อเข้าบ้านมา เย่เสี่ยวโม่เพิ่งจะอาบน้ำเสร็จ สวมชุดนอนตัวเล็กๆสีชมพูของเธอ พี่ซวี่กำลังเป่าผมให้กับเธอ เห็นคนทั้งสองเข้ามาก็ประหลาดใจเล็กน้อย

พี่ซวี่พูดน้อย เลยพยักหน้าอย่างสุภาพกับโม่หาน แล้วก็เป่าผมให้เย่เสี่ยวโม่ต่อ

แต่เย่เสี่ยวโม่ไม่เงียบสงบเลย มือน้อยๆสะบัดออก แย่งไดรฟ์เป่าผมจากในมือพี่ซวี่ กดปิดสวิทซ์ ในบ้านจมดิ่งอยู่ในความเงียบในทันที

เห็นเพียงเธอก้าวเท้าน้อยๆของเธอ สองสามก้าววิ่งมายังข้างๆโม่หาน มือทั้งสองไพล่หลัง ขมวดคิ้วแน่น พิจารณาโม่หานตั้งแต่หัวจรดเท้า

ผ่านไปครู่ใหญ่จึงกล่าวออกมาว่า: "คุณเป็นแฟนของแม่ฉันเหรอ?"

"เอ่อ เย่เสี่ยวโม่ เรียกคุณลุงสิ" เย่หลินนำผมที่ข้างหูของเธอ ทัดไปไว้หลังหู เขินอายเล็กน้อย

โม่หานเห็นเด็กที่อยู่ตรงหน้า ก็ใจลอยไปในชั่วพริบตา เด็กคนนี้มองอย่างไรก็คล้ายกับคุณชายหนิงคนนั้นที่เพิ่งเจอกันเมื่อกี้ แต่…..ชัดเจนว่าเย่หลินบอกว่าไม่ใช่ลูกของคุณชายหนิง แล้วคุณชายหนิงดูเหมือนจะรู้อยู่แก่ใจ

"คุณคือเสี่ยวโม่ใช่ไหม? ฉันชื่อโม่หาน พวกเรา มีคำว่าโม่เหมือนกันเลย" เขาพูดพลาง หยิบตุ๊กตาตัวหนึ่งออกมาจากในกระเป๋า มอบให้เย่เสี่ยวโม่ "ครั้งแรกที่พบกัน ให้ตุ๊กตาตัวเล็กกับคุณตัวหนึ่ง ครั้งต่อไปคุณลุงจะซื้อตัวใหญ่ให้คุณ"

เย่หลินมองตุ๊กตาตัวนั้น เป็นเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ เพียงแต่ฝ่ามือของเด็กตัวเล็กนั้นยาว ไม่รู้ว่ามือของเย่เสี่ยวโม่ขยับตรงไหน ร่างกายเด็กผู้หญิงตัวเล็กคนนั้นก็ขยับเล็กน้อย ขณะเดียวกันก็ปรากฏเสียงเพลงที่ไพเราะน่าฟัง ต่อจากนั้นร่างกายก็ขยับ เดิมทีกระโปรงตัวน้อยๆที่เป็นสีดำก็เริ่มเปลี่ยนสี เดี๋ยวเป็นสีชมพู เดี๋ยวเป็นสีม่วง ใบหน้าน้อยๆรูปเชอร์รี่ก็เปลี่ยนไปตามสีของกระโปรง เดี๋ยวเป็นสีขาว เดี๋ยวเป็นสีเนื้อ แม้แต่สีของดวงตาก็เปลี่ยนตามไปด้วย

เย่เสี่ยวโม่มองนิ่ง เม้มปากน้อยๆ มองไปยังโม่หาน "ไม่เลว ด่านนี้ของฉัน คุณสามารถผ่านได้แล้ว" พูดจบ กอดเด็กผู้หญิงตัวน้อยคนนั้น เดินไปยังห้องของตนเอง ปิดประตูเสียงดังปัง

เย่หลินกลืนไม่เข้าคายไม่ออก เด็กคนนี้หลอกง่ายเกินไปหรือเปล่า คนอื่นให้ตุ๊กตาตัวหนึ่ง ก็กล้าขายแม่คนนี้เลยเหรอ?

โม่หานยิ้มมุมปาก "เสี่ยวโม่ น่ารักจริงๆเลย"

เย่หลินพยักหน้า "ดื่มอะไรหน่อยไหม ฉันจะไปเอามาให้คุณ"

"ปังๆ…." โม่หานยังไม่ทันตอบกลับ ด้านนอกก็มีเสียงเคาะประตูอย่างรีบร้อนเข้ามา

เย่หลินก้มหน้า ปิดบังความเจ็บปวดในแววตา "ใช่ เมื่อวานคุณก็เห็นแล้ว คุณตาของฉัน เป็นเจ้าของเกาะเหลียนอู้ แล้วจะมีเรื่องอะไรยากเกินที่ฉันจะทำได้?"

เธอพูดจบก็ยิ้มอย่างภูมิใจ ทอดถอนหายใจที่โชคชะตานี้ช่างจัดการได้ชาญฉลาดจริงๆ การปรากฏตัวที่คาดไม่ถึงของคุณตา มันทำให้เธอมีเรื่องราวมากมาย

พูดได้ง่ายมาก แต่มีเพียงตัวเธอเองเท่านั้นที่รู้ ว่าใจของเธอแสนเจ็บปวดแค่ไหน

เพียงแค่หนิงเส่าเฉินมีเกาเหวินอยู่ เราก็ไม่สามารถมีความสุขกันได้อย่างแท้จริง ฉะนั้นลืมเฉินเป้ยอีไปซะเถอะ!

ออกมาจากร้านน้ำชามาถึงบริษัท เดินทางเพียงสองสามนาที แต่เย่หลินเหมือนเดินมาสองสามปีแล้ว ช่างดูเนิ่นนานมาก

เธอรู้สึกได้ว่า ด้านหลังมีสายตาที่จ้องมองเธออยู่

เธอสามารถรู้สึกได้ ว่าสายตานั้นดูสิ้นหวัง

แต่ไม่สามารถหันกลับไปมองได้ มิเช่นนั้น ความเจ็บปวดทรมานในสี่ปีมานี้ มันจะไม่กลายเป็นเรื่องตลกเหรอ?

หลังจากที่กลับมาถึงบริษัท เธอขังตนเองอยู่ในห้องน้ำ ร้องไห้จนเสียงแหบแห้งแล้วจึงค่อยๆเดินออกมา

จากนั้นเธอก็ส่งข้อความถึงชูหยูจี้ "หยูจี้ เพื่อนร่วมชั้นของคุณครั้งที่แล้วคนนั้น ยังโสดอยู่ไหม?"

"เกิดอะไรขึ้น? ทำไมจู่ๆถึงได้นึกถึง? โสดนะ เห็นยังเอ่ยถึงคุณบ่อยๆ" ชูหยูจี้ส่งข้อความกลับอย่างรวดเร็ว

"ไม่มีอะไร แค่อยากใช้โอกาสตอนอายุน้อยๆ หาใครสักคนให้เร็วๆหน่อย" เมื่อพิมพ์คำเหล่านี้ น้ำตาก็หยดลงบนหน้าจอมือถือ

โอเค ฉันจะนัดเวลาให้คุณ"

"พรุ่งนี้เลยได้ไหม?"

ชูหยูจี้ไม่ได้ส่งข้อความกลับ ผ่านไปสักพักก็โทรกลับมา

เย่หลินกระแอมสองที แล้วก็กลืนน้ำลาย ทำให้คอโล่ง จึงรับสาย

"สรุปแล้วเกิดอะไรขึ้น?"

"เปล่า"

"พี่ชายฉันมาหาคุณใช่ไหม?"

นี่คือชูหยูจี้ เขามักจะเข้าอกเข้าใจเธอ เย่หลินกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ร้องไห้ออกมา จากนั้นเธอก็เล่าเรื่องตอนเช้า อย่างคร่าวๆให้ชูหยูจี้ฟัง

โทรศัพท์ทางด้านนั้นเงียบไปนาน จึงมีเสียงชูหยูจี้ออกมา "เย่จึ ในตอนนั้นมันไม่ใช่ความผิดของคุณทั้งหมด คุณอย่าผูกเรื่องราวไว้กับตัวเองสิ"

ไม่ใช่ความผิดของเธออย่างนั้นเหรอ? ทำไมจะไม่ใช่ความผิดของเธอ?

"คุณรีบนัดให้ฉันหน่อยนะ คุณไม่อยากให้ฉันเป็นโสดไปตลอดชีวิตใช่ไหม ถ้าครั้งนี้คุณไม่ช่วยฉัน ต่อไปก็อย่ามาพูดกับฉันอีก" เธอนวดๆตาที่เจ็บเล็กน้อย

"ถ้าคุณสนใจจริงๆ มาแต่งงานกับฉัน คุณก็สบายไปแล้ว" ชูหยูจี้หัวเราะ เย่หลินยิ้มแหยๆอย่างทำอะไรไม่ถูก อันที่จริงเธอก็รู้ว่าชูหยูจี้ชอบเธอมาตั้งนานแล้ว เพียงแต่เธอไม่เคยยอมรับมันก็เท่านั้น

วันต่อมา

ในร้านอาหารที่หรูหราที่สุดในเมือง เธอนัดดูตัวครั้งแรกในชีวิต

อีกฝ่ายคือเพื่อนร่วมชั้นในมหาลัยของชูหยูจี้ เป็นนายแบบและนักแสดงระดับนานาชาติ ตอนเธอไปแต่งหน้า ก็เลยได้รู้จักกัน หลังจากนั้นก็ไล่ตามเธออยู่พักหนึ่ง เพราะว่าในใจปล่อยวางจากหนิงเส่าเฉินไม่ได้ เธอก็เลยมีท่าทีเย็นชาตลอด จากนั้นก็มีเจตนาที่จะหลีกเลี่ยง คนคนนั้นน่าจะเข้าใจความหมายของเธอ เป็นเวลานานที่ไม่ปรากฏตัวอีกเลย

หลายปีมานี้ คนที่เข้ามาจีบก็มีไม่น้อย กระทั่งเลือกผู้ชายคนนี้ เพราะการประเมินค่าที่ค่อนข้างสูงของชูหยูจี้ ถ้าต้องการได้เป็นสามีจริงๆ หาคนที่รู้รากเหง้าก็ไม่เลวนะ

"เย่หลิน ต้องขอโทษด้วย นักข่าวเหล่านั้นสามารถแทรกซึมเข้าไปได้ทุกที่จริงๆ บังคับให้ฉันต้องวิ่งขึ้นมาทางบันไดหนีไฟ" ลมหายใจที่ค่อนข้างเร็วของชายคนนั้นดังเข้ามาจากด้านหลัง

เย่หลินเงยหน้า โค้งมุมปากขึ้น เขานั่งลงตรงข้ามกับเธอ ผู้ชายคนนี้ที่อยู่ตรงหน้า เสื้อเชิ้ตสีดำ กางเกงยีนส์สีเข้ม หูและริมฝีปาก ใส่ตุ้มหูสีดำ ด้วยรูปร่างหน้าตาที่ดูไม่แก่ ถ้าไม่รู้ว่าเขาและชูหยูจี้เป็นเพื่อนร่วมชั้นกัน เวลานี้เธอรู้สึกเหมือนกับว่าโคแก่กินหญ้าอ่อน นี่เหมือนผู้ชายที่อายุยี่สิบเจ็ดยี่สิบแปดที่ไหนกัน นี่มันเด็กมัธยมชัดๆว่าไหม?

ห้องอาหารอยู่ไม่ไกล มีชายคนหนึ่งรูปร่างสูงยาวเข่าดี สีหน้าเคร่งขรึม เมื่อสายตามองไปยังชายหญิงคู่นี้ที่อยู่ที่โต๊ะ ดวงตานั้นก็ปรากฏความน่ากลัวขึ้นมา

"ได้ยินหยูจี้บอกว่า คุณกำลังเข้าร่วมการแข่งขันนางแบบระดับโลกใช่ไหม? พอรู้มาก่อน ก็เลยเปลี่ยนวันนัดคุณ"

"อย่าเลย การแข่งขันนางแบบเช่นนั้น สามารถเทียบกับคุณได้เหรอ? สำหรับโม่หานคนนี้ เรื่องของคุณเย่หลิน นั่นเป็นเรื่องที่ใหญ่มาก"

ไม่ผิด ผู้ชายที่อยู่ตรงหน้าชื่อโม่หาน ชื่อเหมือนกันกับเย่เสี่ยวโม่ของพวกเขา ดังนั้นครั้งแรกที่ได้พบเขา ผู้ชายคนนี้ก็บอกกับเธอว่า เขาและเธอมีวาสนาต่อกัน เธอยิ้มอย่างหยอกล้อกับเขา น่าจะมีวาสนากับเย่เสี่ยวโม่นะ

เย่หลินฉีกยิ้ม "สั่งอาหารไหม? อยากทานอะไร?" ความจริงใจของผู้ชายคนนี้ทำให้เธอรู้สึกว่าตนเองไม่มีศีลธรรมอย่างมาก

ทานอาหารมื้อหนึ่งไปแล้ว จู่ๆเย่หลินก็พบว่า ผู้ชายที่อยู่ตรงหน้ามีอารมณ์ขันอย่างมากจริงๆ สามารถเป็นศิลปินได้ เขาสามารถทำให้เธอสนุกสนานด้วยการแสดงออกและน้ำเสียงที่หลากหลาย

เธอเป็นคนคุยเก่งคนหนึ่งกับคนที่คุ้นเคย แต่ต่อหน้าคนแปลกหน้า ก็ทำตัวไม่ถูกเล็กน้อย ไม่ได้มองหาหัวข้อสนทนาเป็นพิเศษ ดังนั้นเดิมทีความเป็นกังวลที่เขินอายและเงียบสงบ เวลานี้ก็ผ่อนคลายลงมา

แล้วยังเปลี่ยนเป็นความประทับใจที่มีต่อผู้ชายที่อยู่ตรงหน้าด้วย

"ไปเถอะ เดี๋ยวต้าโม่จะส่งคุณกลับไปหาเสี่ยวโม่" เห็นเธอดูเวลา โม่หานก็เอ่ยปาก

"อย่างนั่นก็รบกวนคุณแล้ว" เย่หลินลุกขึ้น กำลังเตรียมจะหยิบกระเป๋า โม่หานก็แย่งถือไว้ในมือก่อน "ฉันเอง"

หลังจากนั้นก็ถอยออกด้านข้างอย่างสุภาพบุรุษ แสดงเจตนาให้เย่หลินเดินก่อน

เพราะอารมณ์ไม่ค่อยดีนัก ดังนั้นพอทานข้าวเสร็จ เธอก็ดื่มไวน์เพียงเล็กน้อย ความสามารถในการดื่มไวน์ของเธอไม่ดีมาโดยตลอด เพียงแก้วเดียวก็เมาแล้ว

ฉะนั้นเวลานี้ แอลกอฮอล์อาจจะกำลังขึ้นมา จึงเวียนหัวเล็กน้อย เท้าที่ก้าวเดินก็ซวนเซเล็กน้อย

เห็นเช่นนี้แล้ว โม่หานก็ยื่นแขนออกไป โอบที่ไหล่ เพียงแค่ประคองเธออย่างสุภาพ ไม่ได้มีการกระทำที่ฉวยโอกาส

คนทั้งสองเดินไปยังตำแหน่งที่ตั้ง บังเอิญเผชิญหน้ากับหนิงเส่าเฉิน หลิวซูเห็นการกระทำของคนทั้งสอง ก็มองผู้ชายที่อยู่ตรงข้ามโดยจิตสำนึก ในใจเคียดแค้นผู้หญิงคนนี้เล็กน้อย หลายปีมานี้หนิงเส่าเฉินต้องผ่านคืนวันอะไรมา เขาย่อมรู้ชัดเจนดี

ความรู้สึกที่เขามีต่อผู้หญิงคนนี้ เป็นความรักโดยแท้จริง ดังนั้นจึงไม่ยุ่งกับผู้หญิงอื่น แล้วก็ไม่ให้โอกาสผู้หญิงได้มายุ่งกับเขา แต่เธอล่ะ?

หนิงเส่าเฉินไม่เชื่อว่าเวลานั้น เธอจะไม่มีความรักความผูกพันใดๆกับเขาเลย เขาไม่เคยเชื่อ แต่เวลานี้ ในใจของเขาชักไม่ค่อยแน่ใจแล้ว

หนิงเส่าเฉินเห็นภาพที่ประคองกันนั้นเข้ามาใกล้ตนเอง ก็ขมวดคิ้วแน่น อารมณ์แปรปรวน บุหรี่ที่คีบอยู่ระหว่างนิ้วเพราะด้วยเวลาที่นานแล้วไม่ได้ดีดขี้บุหรี่ออก จึงตกลงมาบนหลังมือของเขาแต่เขากลับไม่รู้เนื้อรู้ตัว

คนทั้งสองเลี้ยวขวา ผ่านไป จากตำแหน่งที่คนทั้งสองนั่ง เดินไปยังหน้าประตู

"เป้ยอี"

เสียงที่เรียกเป้ยอีนั้น ไม่ดังไม่เบา พอดีที่ทำให้เย่หลินได้ยิน ตอนแรกเธอตกใจ ต่อจากนั้นในสมองก็ว่างเปล่า กระทั่งเธอสามารถได้ยินเสียงลมหายใจที่ถี่ของตนเอง

สูดลมหายใจเข้าลึกๆแล้วพ่นออก หลับตาแล้วลืมตาอีกครั้ง เธอมองไปยังโม่หาน "ไปเป็นเพื่อนฉันเข้าไปทักทายหน่อย ได้ไหม?"

นั่นเป็นวันที่สามหลังจากงานแต่งงานของชูหยูจี้กับอ้ายหมี่

"ประธานเย่ จดหมายของคุณ" อู่เล่อเล่อเข้ามาในห้องทำงาน นำจดหมายมาส่งให้เย่หลิน

เย่หลินหยุดการกระทำในมือของเขา มองอู่เล่อเล่ออย่างไม่เข้าใจเล็กน้อย เรื่องรับจดหมายของบริษัท แต่ไหนแต่ไรเธอก็ไม่เคยต้องลงมือด้วยตนเอง อู่เล่อเล่อจะต้องช่วยเธอจัดการ แล้ววันนี้คืออะไร?

"คนส่งบอกว่า จำเป็นต้องเปิดด้วยตัวเอง" มองออกว่าเธอสงสัย อู่เล่อเล่อก็เลยอธิบาย จากนั้น ก็นำจดหมายในมือวางไว้บนโต๊ะตรงหน้าเธอ ถอยหลังอย่างยิ้มๆ แล้วหันกลับออกไป

เย่หลินขมวดคิ้ว เม้มๆปาก นิ้วมือที่เรียวยาวฉีกเปิดผนึกจดหมาย ด้านในมีกระดาษอยู่สองสามแผ่น

ดึงออกมา สีหน้าเธอก็เคร่งขรึมลงอย่างฉับพลัน หน้าแรก ผู้ถูกกล่าวอ้างว่าเป็นมารดา : เย่หลิน ลูก : หนิงเสี่ยวซี

พลิกไปที่หน้าสุดท้าย

ความเป็นไปได้ของความสัมพันธ์ระหว่างแม่ลูก : 99.9%

"กริ๊ง……”เกือบจะเวลาเดียวกัน โทรศัพท์ตั้งโต๊ะบนโต๊ะทำงาน จู่ๆก็ดังขึ้น เย่หลินตัวสั่นเล็กน้อยด้วยความตกใจ

เธอพยายามทำให้อารมณ์ของตนเองสงบลง แล้วรับสายขึ้นมา "ฮัลโหล……”

"คุณเย่……” น้ำเสียงที่คุ้นเคย โทนเสียงที่เย็นชา เห็นได้ชัดว่าได้ฟังแล้วก็อบอุ่นหัวใจ แต่ว่าในขณะนี้ มือเท้าของเธอกลับเย็นเฉียบ

"คุณคือใครคะ?" เธอพยายามทำให้น้ำเสียงของตนเองสงบเล็กน้อย

"ฉัน? ก็พ่อของเด็กไง" พ่อของเด็ก? เย่หลินคิดหนัก ชั่วขณะ ก็คาดไม่ถึงอย่างมาก อดไม่ได้ที่จะยกยิ้มขึ้นมา

"คุณหนิง คุณพูดอะไร ฉันฟังไม่เข้าใจ"

"ออกมาแล้วเลี้ยวซ้าย จะรอคุณอยู่ในร้านน้ำชานั่น" พูดจบ เย่หลินยังไม่ทันได้เอ่ยปาก โทรศัพท์ก็ถูกวางสายไป

เมื่อเย่หลินมาถึง หลิวซูก็ยืนอยู่หน้าประตูทางเข้า เห็นเธอเดินเข้ามา สายตาก็มองพิจารณาเธออย่างแปลกๆ จากนั้นก็พาเธอเข้าไป

เมื่อเข้าไปถึง หนิงเส่าเฉินก็เอนอยู่บนเก้าอี้ไม้ไผ่ ไม่ได้สวมชุดสูทรองเท้าหนัง ทั้งตัวเป็นชุดกีฬาสีเทา ทำให้เขาดูสบายๆและมีเสน่ห์มาก กาลเวลาช่างเมตตากับเขามาก เวลาสี่ปีไม่ได้ทิ้งร่องรอยอะไรไว้ให้เขาเลย และดูแมนมากยิ่งขึ้น

"คุณเย่ เห็นผู้ชายแล้ว หลงใหลขนาดนี้เลยเหรอ?" หนิงเส่าเฉินเอ่ยพูด และคำว่าหลงใหลสองคำ ก็เพิ่มน้ำเสียงหนักขึ้น อย่างฉับพลันเย่หลิน ก็หน้าแดงขึ้นมา คิดๆดูแล้ว ก็กลุ้มใจจริงๆ สองสามปีนี้ เพราะเกี่ยวข้องกับอาชีพ เคยเห็นหนุ่มหล่อๆมาไม่น้อย แต่ว่า เมื่อเห็นชายคนนี้ เธอก็ไม่อาจละสายตาได้

"คนกับสิ่งของที่ดูดี ใครจะไม่ชอบมองล่ะ?" เธอตอบยอกย้อนกลับ

ผู้ชายตรงหน้า ชั่วขณะสีหน้าก็เปลี่ยนไป นั่งตัวตรง เขามองเย่หลินด้วยสายตาประหลาดใจ "ก่อนหน้านี้ มีผู้หญิงคนหนึ่งเคยพูดคำพูดเดียวกันนี้กับฉัน"

เย่หลินรู้สึกว่าในใจเต้นระรัวขึ้นมา และมีบางอย่างพังทลายลง ดูเหมือนว่าเธอจะเคยพูดคำพูดนี้มาก่อน

เธอก้มหน้า ยกถ้วยน้ำชาตรงหน้าขึ้น จิบหนึ่งที ความรู้สึกบอกเธอว่า หนิงเส่าเฉินวันนี้ดูผิดปกติเล็กน้อย

"ผู้หญิงคนนั้น ชื่อเฉินเป้ยอี" หนิงเส่าเฉินช่วยเธอเติมชา จ้องมองแล้วพูดเรียบๆ

มือที่เย่หลินกุมแก้ว สั่นระริก น้ำชาที่เพิ่งรินมาร้อนเล็กน้อย กระเด็นออกมา เธอยกมือขึ้นสะบัด เป่าเสียง"ฟู่"

"ถูกลวกมือเหรอ?" ผู้ชายที่อยู่ตรงหน้าแทบจะลุกขึ้นยืนในทันที หยิบผ้าขนหนูที่วางอยู่ข้างน้ำชา ห่อมือของเธอ

"ปะ เปล่า….." คำพูดยังไม่จบ ก็เห็นผ้าขนหนูกับนิ้วมือที่เรียวยาวบนมือของเธอ จึงกลืนคำกลับไป เย่หลินทึมทื่อ การตอบสนองนี้ของหนิงเส่าเฉิน ชัดเจนอย่างมากว่าไม่ใช่เย่หลิน แต่เป็น เฉิน……เป้ยอี

"คุณว่า ฉันควรจะลงโทษคุณยังไงดี?" ชายคนนั้นพูดพลาง หยิบผ้าขนหนูออก เป่าที่หลังมือของเธอ ลมเย็นๆ ทำให้ความเจ็บปวดบนหลังมือ ทุเลาลงไปมาก

เย่หลินชักมือกลับทันที มองผู้ชายตรงหน้าอย่างไม่อยากจะเชื่อ เขาก็กำลังมองเธออยู่ ดวงตาประสานกัน ในดวงตาของเขามีความหมายลึกซึ้ง ถึงแม้จะมีความโกรธ แต่ก็ชัดเจนว่าไม่ได้เยือกเย็นเหมือนน้ำแข็ง มีความรู้สึกอ่อนโยนอย่างมาก กับเย่หลินนั้นไม่เคยมีสีหน้าแบบนี้

ริมฝีปากบางๆของหนิงเส่าเฉินแยกเป็นเส้นตรง มองเย่หลินด้วยใบหน้าที่เย็นชาแล้วกล่าวว่า: "สี่ปีนี้ คุณเย่ ผ่านมาอย่างมีความสุขไหม?"

เขาพูดประโยคนี้ เรียบเฉยอย่างมาก แต่เมื่อฟังแล้วในใจของเย่หลิน ก็เหมือนกับถูกโยนเข้าไปในก้อนหิน ตกตะลึงอย่างมาก

การแสดงออกของเธอแข็งทื่อ จู่ๆก็ลุกขึ้นยืน หยิบกระเป๋าขึ้น ต้องการจะหนีออกไปด้านนอก

"คุณคิดว่าฉันหลอกง่าย แล้วก็ดูน่าตลกขบขันใช่ไหม?" เสียงกล่าวถามที่เย็นชาดังเข้ามาจากด้านหลัง

เย่หลินหยุดชะงักฝีเท้า หันตัวกลับ เห็นหนิงเส่าเฉินที่ยิ้มมุมปาก รอยยิ้มที่ขมขื่นหยุดชะงักอยู่ที่ริมฝีปาก หลับตา เพื่อปิดบังความเศร้าในดวงตา

เย่หลินรู้สึกเพียงว่าภายในใจกลัดกลุ้ม เธอกำมือทั้งสองที่ห้อยอยู่ข้างลำตัวแน่น "คุณหนิงกำลังพูดอะไร? ฉันไม่เข้าใจ" เธอต่อสู้ดิ้นรน ทั้งที่รู้จัดเจนว่า ความอ่อนโยนของเขา ความกระวนกระวายใจของเขา ความเศร้ารันทดของเขา ที่มีให้กับคนรัก สามารถมีได้เพียงเฉินเป้ยอี รู้ชัดเจนว่า เวลานี้เขารู้สถานะของตนเองอย่างชัดเจนแล้ว

แต่จะทำยังไงได้ล่ะ? ถ้าเวลานี้คืนดีกันเหมือนเดิม ความเจ็บปวดเมื่อสี่ปีก่อนนั้นล่ะ เพื่ออะไร?

หนิงเส่าเฉินเก็บรอยยิ้มที่มุมปากอย่างช้าๆ ต่อจากนั้น ก็กล่าวทีละคำๆ: "เป้ยอี คุณใจร้ายจัง"

เย่หลินตกใจอย่างมาก หัวใจกระตุกอย่างรุนแรง หลังจากนั้นก็เข้าสู่ความสงบ เธอเงยหน้าขึ้น เผชิญกับสายตาของหนิงเส่าเฉิน ฉีกยิ้มอย่างหวานชื่น ยกคิ้วขึ้น สวยงามอย่างยิ่ง

"คุณหนิง ผ่านไปแล้ว ก็เป็นเพียงแค่ความทรงจำ"

หนิงเส่าเฉินหรี่ตา ขยับคิ้วเล็กน้อย หัวเราะเยาะอย่างเย็นชา: "ความทรงจำอย่างนั้นเหรอ? เป้ยอี คุณคิดแบบนี้จริงๆเหรอ?"

เย่หลินตัวสั่น ไม่ได้คิดแบบนี้ แล้วยังไงล่ะ?

หลบสายตาลง ขณะที่หลับตา ในใจก็มีความคิด เงยหน้าขึ้น มองหนิงเส่าเฉิน

"ในเมื่อคุณหนิงชอบฟังความจริงแบบนี้ อย่างนั้นฉันบอกคุณก็ได้ ในปีนั้นที่ฉันเข้าใกล้คุณ ก็เพียงเพราะหนิงเสี่ยวซี ใช่ เขาคือลูกของฉัน เด็กอายุสิบกว่าขวบ ไม่รู้ประสา ดังนั้น จึงนำตัวเองมาขาย อุ้มบุญให้กับคนอื่น พอโตขึ้นหน่อย ก็อยากไปเจอหน้าลูก บังเอิญ คาดไม่ถึงว่าจะถูกคุณหนิงชื่นชอบ"

พูดถึงตรงนี้ เธอก็หยุดชะงักลงเล็กน้อย สูดลมหายใจเข้า หันตัวกลับมา เดินไปสองสามก้าวตรงที่หนิงเส่าเฉินยืนอยู่ ต่อจากนั้นก็กล่าวอีกว่า: "เวลานั้น ฉันก็คิดว่า แต่งหน้าให้น่าเกลียด เข้าไปมีความรักความผูกพันกับหนิงเสี่ยวซี มันก็ไม่ได้แย่ว่าไหม? ต่อมา รู้สึกว่าคุณหนิง รวย หล่อ ได้เป็นสามี ก็คงใช้ได้ แต่ต้องขอโทษด้วย ฉัน…..ไม่ชอบของมือสอง ดังนั้น ในเมื่อคุณหนิงจะแต่งงานกับคุณเกา แน่นอนว่าฉันก็ต้องออกมา เป็นทางที่ดีที่สุด"

หนิงเส่าเฉินหน้าโหดเหี้ยมอำมหิตจนทำให้คนตกใจ เขาเอ่ยปากอย่างกัดเขี้ยวเคี้ยวฟันว่า "อย่างนั้นเฉินเป้ยอีที่ตายไป คุณเป็นคนทำเหรอ?"

คุณยายหลินอ้าปากค้าง เตรียมจะพูด แต่ได้ยินเสียงนายท่านหลินที่ยืนอยู่ด้านหลังพวกเขา กระแอมเบาๆ

ปากที่เปิดก็ปิดลงอีกครั้ง

และในเวลาเดียวกันนี้

ที่ตระกูลอ้าย

"พ่อ ท้ายที่สุดแล้วคนคนนั้นเป็นใคร? พี่เย่ไปแล้ว จะมีอันตรายหรือเปล่า?" อ้ายหมี่ดึงแขนพ่ออย่างร้อนใจ แล้วเอ่ยถาม

นายท่านอ้ายตบมือเธอเบาๆ แต่สายตามองไปทางชูหยูจี้ "เพื่อนของคุณนี่ คาดไม่ถึงว่าจะมีภูมิหลังใหญ่โตขนาดนี้" พูดถึงตรงนี้ ก็เหมือนจะนึกอะไรออก รอยยิ้มในดวงตาก็เอ่อล้นออกมา

"วางใจเถอะ นั่นคือคุณตาของเธอ ไม่ทำอะไรเธอหรอก……”

"คุณลุงคนที่มาก็คือ เจ้าของเกาะเหลียนอู้ใช่ไหม?" น้ำเสียงแหบทุ้มดังทอดมาจากหน้าประตูทางเข้า ทุกคนก็หันไป เห็นหนิงเส่าเฉินเดินเข้ามาจากด้านนอก

"อาเฉินคุณก็รู้จักเหรอ?" นายท่านอ้ายแปลกใจเล็กน้อย เกาะเหลียนอู้มีการจัดการช่วงสองสามปีนี้อย่างเงียบๆ หากไม่ได้อยู่บนสายนี้เป็นเวลาหลายปี คนส่วนใหญ่จะไม่ค่อยรู้เรื่องนี้

หนิงเส่าเฉินพยักหน้า จากนั้นก็ขมวดคิ้ว เหมือนคิดอะไรอยู่

"แม่ ตอนนี้หนูเป็นญาติของจักรพรรดิใช่ไหม?" นอนอยู่บนเตียง มือน้อยๆของเย่เสี่ยวโม่ค้ำครึ่งตัวขึ้น แล้วถามเย่หลินด้วยความงุนงง

เย่หลินมองเธอตาขวาง "เย่เสี่ยวโม่ ครั้งหน้าหนูอย่าตามคนแปลกหน้าออกมาอีก ได้ยินไหม?"

"นั้นคือตาทวด ไม่ใช่คนแปลกหน้า" เย่เสี่ยวโม่เบะปาก

"คนอื่นบอกว่าเป็นตาทวด หนูก็เชื่อเหรอ? ถ้าคนอื่นบอกว่าเป็นแม่ของหนูล่ะ? หนูก็จะเชื่อใช่ไหม?" เย่หลินลุกขึ้น มองอย่างจริงจังไปที่เย่เสี่ยวโม่ เด็กคนนี้ขี้มโนเกินไปแล้ว ถ้าไม่สั่งสอน ต่อไปเกรงว่าเธอจะถูกเอาเปรียบ

"แม่ ซือสู่หนี ฉะนั้น หนูไม่เชื่อหรอก"

"อะไรของหนู? ซือสู่หนี? เย่เสี่ยวโม่ หนูกำลังพูดถึงอะไร?"

เย่เสี่ยวโม่กลอกตา ด้วยใบหน้าเย่อหยิ่ง "แม่ นี่คือภาษาท้องถิ่น ความหมายคือ ฉันชอบคุณ"

เย่หลินงุนงง ชั่วขณะก็ทำอะไรไม่ถูก

วันต่อมา เธอกับเย่เสี่ยวโม่อยู่ที่นี่ได้รับการปฏิบัติอย่างดีมาก

เพียงแต่ขาดคนไปเป็นเพื่อนเข้าห้องน้ำ ยัยหนูเย่เสี่ยวโม่นี้ เธอก็จิตใจพะว้าพะวังไม่เป็นสุข ยังไงก็ไม่คุ้นชิน

เธอก็เพิ่งรู้ เดิมที คุณตา คุณยาย มีลูก 9 คน เป็นลูกสาว 4 คน ลูกชาย 5 คน แม่เธอเป็นลูกคนที่สี่ ตอนนี้เจ้าของเกาะคนใหม่คือน้าของเธอเป็นลูกคนสุดท้อง อายุมากกว่าเธอไม่กี่ปี

ลูกๆภายใต้ชื่อของพวกเขาทั้งหมดเป็นกลุ่ม พี่น้องของเธอ มี 30 กว่าคน มีโตกว่าเด็กกว่า มีผู้ชายมีผู้หญิง เป็นครอบครัวใหญ่ครอบครัวหนึ่ง เมื่อรวมตัวกัน ก็ประมาณ 40-50คน รวมทั้งคนรับใช้อีก รับประทานอาหารก็เหมือนกับจัดงานเลี้ยง

แต่ตลอดวันนี้ ก็ทำให้เธอคิดเกี่ยวกับญาติพี่น้องใหม่ เพราะพวกเขาแต่ละคน มีอัธยาศัยดีมาก ลองจินตนาการความปากหวานก้นเปรี้ยวของตระกูลใหญ่ เมื่ออยู่ที่นี่ เธอก็มองไม่เห็นเลย

ในแววตาทุกคนใสซื่อมาก ดูแลเธอกับเสี่ยวโม่อย่างสนิทสนมที่สุดเท่าที่จะทำได้

นี่ทำให้เธอคิดถึงแม่ของตนเอง นึกถึงก่อนที่เธอจะจากไปไม่กี่วัน มักจะถือกล่องนี้อย่างใจลอย เธอคิดเสมอว่าแม่คงคิดถึงพ่อที่จากไปอย่างกะทันหัน ขณะนี้ เธอเข้าใจแล้วว่า เธอน่าจะคิดถึงครอบครัวนี้

"ยัยหนู คุณต้องการจะไปเหรอ?" ถึงแม้คุณน้าจะอายุน้อยที่สุดในที่นี้ แต่มองออกว่า เป็นนายพลที่ยืดหยุ่น ใจกว้างพอตัว ในครอบครัวใหญ่นี้ ทุกคนให้ความเคารพอย่างมาก

"คุณน้า ที่นี่ดีอย่างมาก แต่…." เธอกัดริมฝีปาก เงยหน้า "แต่ด้านนอก มีคนที่ฉันเป็นห่วงและคิดถึง"

คุณน้าได้ยิน ก็พยักหน้า ยื่นมือไปลูบที่ศีรษะของเธอ หยิบมือถือของเย่หลิน ใส่ตัวเลขลงไปอย่างรวดเร็ว สร้างสมุดรายชื่อใหม่ ใส่ชื่อคุณน้าเข้าไป ต่อจากนั้น จึงส่งให้เธอ

"ไม่ว่าต่อจากนี้ จะพบเจอความยากลำบากอะไร หรือคุณอยากกลับบ้าน เพียงแค่คุณโทรศัพท์มา น้าก็จะส่งคนไปอยู่ข้างๆคุณหรือรับคุณกลับมาทันที ที่นี่คือบ้านของคุณนะ ยัยหนู" ในสายตาของเขา มีความรู้สึกรักและทะนุถนอมอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ชัดเจนว่าเพิ่งได้สัมผัสเพียงวันเดียว แต่เย่หลินก็เกิดความผูกพันกับที่นี่แล้ว

เธอพยักหน้า "ขอบคุณค่ะคุณน้า ฉันจะ….คิดถึงพวกคุณ"

เมื่อจูงมือเย่เสี่ยวโม่ออกจากบ้าน ด้านล่างเครื่องบิน มีคนหลายสิบคนยืนอยู่ ใบหน้าแต่ละคนชัดเจนว่าอาลัยอาวรณ์ ชัดเจนว่าพวกเธออยู่ร่วมกันเพียงวันเดียวเท่านั้น

"คุณยายทวด คุณตาทวด ฉันจะมาเยี่ยมพวกคุณบ่อยๆ" เย่เสี่ยวโม่เดินเข้าไป อยู่ตรงหน้าของคุณยายหลินและคุณตาหลิน จูบแต่ละคนเล็กน้อย คุณยายหลินน้ำตาไหลออกมา ใบหน้าที่เคร่งขรึมเมื่อวานของนายท่านหลิน เวลานี้ มุมปากก็ยกขึ้นอย่างมาก

เย่หลินคิดๆแล้ว นี่อาจจะเป็นเพราะเลือดข้นกว่าน้ำ

ถ้าหากใคร มีเจตนาที่ดีกับคุณ ความรักอย่างสุดหัวใจนี้ ถึงจะเป็นเพียงแค่ชั่วประเดี๋ยวเดียว ก็ทำให้คุณยากที่จะลืมเลือน ทำให้คุณประทับใจไม่รู้ลืม

เวลานั้นที่จะขึ้นเครื่องบิน จู่ๆเย่หลินก็นึกอะไรขึ้นได้ หันตัวกลับ เดินไปยังตรงหน้าผู้สูงอายุทั้งสองท่าน แบมือออก นำเครื่องประดับชิ้นนั้น ยัดใส่ในมือของคุณยายหลิน ยิ้มเล็กน้อย "คุณตา คุณยาย พวกคุณรักษาสุขภาพด้วยนะ"

นี่คือครั้งแรก ที่เธอเรียกชื่อนี้ออกมาจากปากของเธอ

หันตัวกลับ น้ำตาก็ไหลออกมา ในใจที่คลุมเครือและมีความเศร้าเสียใจ ก็ถูกยัดเต็มไปด้วยความรู้สึกที่อบอุ่น เธอเย่หลิน นับแต่นี้ต่อไป ก็เป็นคนที่มี"ความเป็นมา" เธอมีครอบครัวแล้ว เธอมีคนคอยสนับสนุนอยู่เบื้องหลังแล้ว

เธอจะไม่มีวันลืม เมื่อแม่ตายไปแล้ว เธอก็โดดเดี่ยวเดียวดาย เธอจะไม่มีวันลืม เมื่ออยู่เมืองS การทำอะไรไม่ถูกเมื่อเธอตั้งท้องเย่เสี่ยวโม่

ต่อไปนี้ เธอจะไม่เป็นแบบนั้นแล้ว เพราะว่าเธอมีที่พึ่งพิงแล้ว

ถ้าเจ็บปวด ถ้าบาดเจ็บ เธอก็มีที่ไปแล้ว เธอมีสถานที่ที่สามารถออดอ้อนได้ สามารถเอาแต่ใจได้แล้ว

เครื่องบินยังคงลงจอดที่บ้านของอ้ายหมี่ จุดที่เมื่อวานบินขึ้น

เครื่องบินนั้นที่ค่อยๆหายไปต่อหน้า ทั้งหมดทุกสิ่งทุกอย่าง ก็กลับมาคืนสู่สภาพก่อนหน้านี้อีกครั้ง ถ้าไม่ใช่ความอบอุ่นในสายตา ในใจมีความอาลัยอาวรณ์ เธอก็จะคิดว่าตนเองเพียงแค่ฝันไป

"เย่จึ" เสียงของชูหยูจี้ ด้านหลังยังมีอ้ายหมี่ตามมาด้วย

เธอยิ้มเล็กน้อย "เมื่อวานไม่ได้รบกวนงานแต่งของพวกคุณใช่ไหม?"

อ้ายหมี่เดินเข้ามาสองสามก้าว โอบกอดเธอ ถอนหายใจอย่างโล่งอก "พี่เย่ งานแต่งไม่มีปัญหา แต่พวกเราถูกคุณทำให้ตกใจแทบแย่"

เย่หลินอดยิ้มไม่ได้ พยักหน้า ทำไมจะไม่ใช่ล่ะ คุณตาเป็นแบบนั้น ทำให้คนหวาดกลัวจริงๆ

ชูหยูจี้พวกเขาไม่ได้ถามอย่างละเอียดว่าตกลงเธอเกิดเรื่องอะไร เพราะแต่ละคนก็มีพื้นที่ส่วนตัวของตัวเอง

เย่หลินไม่พูด พวกเขาก็ตัดสินใจที่จะไม่ถาม เธอปลอดภัย ทุกอย่างก็ดีแล้ว

วันต่อมาก็กลับมาสงบอีกครั้ง

จนกระทั่ง วันนั้น ได้รับจดหมายฉบับหนึ่ง

ของสิ่งนี้ เธอพบมันตอนที่เธอเก็บข้าวของของแม่ แม่ใส่ไว้ในกล่องที่งดงามประณีตกล่องหนึ่ง แม้จะดูเหมือนของที่มีค่าอะไร แต่ว่าก่อนหน้านี้ เธอเห็นตอนที่แม่ป่วย มักจะใจลอยมองกล่องนี้บ่อยๆ คิดว่าน่าจะเป็นสิ่งที่มีค่าสำหรับเธอ ดังนั้น จึงไม่ตัดใจทิ้งไป ตลอดหลายปีมานี้ ไม่ว่าจะไปไหน ก็นำติดตัวไปทุกที่

"เอ่อคือ……เมื่อวานนี้หนูเห็นมันอยู่ในลิ้นชักของคุณ วันนี้หนูก็เลยใส่มา แล้วลุงที่อยู่บ้านพ่อชูบอกว่าอยากจะดู สรุปว่า หลังจากนั้น คุณปู่คนนี้ก็เข้ามา"

"นั่นคือสิ่งที่แม่ของคุณสวมติดตัวมาตั้งแต่เกิด ต่อจากนั้น……ต่อจากนั้น……” คุณยายท่านนั้นก็ร้องไห้จนไม่สามารถพูดต่อได้

หนึ่งชั่วโมงต่อมา ในที่สุดเย่หลินก็นึกเรื่องราวออก

คุณตาของเธอ เป็นเจ้าของเกาะเหลียนอู้คนเก่า เกาะแห่งนี้ เพราะตำแหน่งภูมิศาสตร์ที่มีลักษณะพิเศษ ถูกรายล้อมด้วยหมอกหนาตลอดทั้งปี ล้อมรอบด้วยทะเลลึก เครื่องบินบินมาถึงที่นี่ โดยปกติไม่สามารถลงจอดได้เลย มีแนวปะการังอยู่ทั่วไปที่ก้นทะเล คนที่ไม่คุ้นเคยอยากจะเข้ามา ก็พบว่าเป็นทางตัน ฉะนั้น หลายปีที่ผ่านมา บรรพบุรุษของตระกูลหลิน หลังจากควานหาภูมิประเทศโดยรอบแล้ว แล้วก็ครอบครองสถานที่นี้ไว้ ต่อมา เนื่องจากตั้งอยู่บนตำแหน่งของทะเลหลวง ไม่ถูกจำกัดโดยประเทศใดๆ ฉะนั้น จึงเป็นที่รวมตัวของผู้นำที่ปลดเกษียณแล้วในหลายๆประเทศ

ผู้นำเหล่านี้ตอนอยู่ในตำแหน่ง ไม่มากก็น้อย ที่ทำให้คนขุ่นเคือง ดังนั้นหลังจากปลดเกษียณแล้ว กลัวถูกศัตรูแก้แค้น ก็จะเลือกสถานที่แบบนี้

แต่การที่อยากจะเข้ามาที่นี่ ไม่เพียงแต่ต้องใช้เงินจำนวนมหาศาลเท่านั้น เข้าเกาะก็ต้องมีกฎ แม้แต่ เบื้องหลังของผู้นำเหล่านี้มีความโยงใยกันไปหมด อีกทั้งจำเป็นต้องอยู่ที่เกาะ และตลอดชีวิตไม่สามารถออกจากเกาะไปได้

ก็เพราะเหตุนี้ คนที่สามารถอาศัยอยู่บนเกาะนี้ได้ ไม่มีใครเคยอยู่บนจุดสูงสุดบนโลกนี้ แต่เพื่อรักษาชีวิต ก็ต้องอยู่ที่นี่

เพียงแต่ตามที่กล่าวมา คนที่มาถึงที่นี่ ก็ไม่ค่อยอยากออกไป

เพราะที่นี่คือสวรรค์บนดิน ดินแดนในอุดมคติ

เกาะแห่งนี้ ใหญ่โตมาก จุคนได้หลายหมื่นคน มีประวัติศาสตร์ยาวนานกว่าร้อยปี รูปแบบสถาปัตยกรรมบนเกาะยังคงคล้ายสมัยโบราณ แม้ว่าจะมีการพัฒนาในยุคหลัง แต่เมื่อสร้างใหม่อีกครั้ง ก็ยังคงดำเนินการต่อไปในลักษณะนี้

ณ จุดนี้ ทุกคนสามารถเลือกวิถีชีวิตแบบดั้งเดิมผู้ชายทำไร่และผู้หญิงทอผ้าได้ ยังสามารถเลือกใช้ชีวิตแบบสบายๆ สินค้าและวัตถุดิบบนเกาะยังแจกจ่ายตามปริมาณและเวลาที่กำหนด ดังนั้นจึงไม่ต้องอยู่อย่างแก่งแย่งแข่งขันกัน

เจ้าของเกาะก็ไม่อนุญาตให้ใครมาปากหวานก้นเปรี้ยวบนนี้ ถ้าหากพบเห็น ก็จะถูกขับไล่ออกจากเกาะนี้ตลอดไป

สำหรับหลายๆคนที่เล่ากันมา มันเทียบเท่ากับการเผชิญกับความตาย

ดังนั้นหลายปีมานี้ เกาะแห่งนี้จึงก่อให้เกิดความสงบสุขที่พบเห็นได้ทั่วไป

แต่ความสงบสุขอย่างนี้ ในหลายปีที่ผ่านมา ก็เคยถูกทำให้วุ่นวาย หลังจากที่ชายหนุ่มคนหนึ่งเข้ามาในเกาะ และพบรักกับลูกสาวเจ้าของเกาะ ก็คือแม่ของเย่หลิน

ชายหนุ่มคนนี้ เข้าไปในเกาะในฐานะทหารรับจ้าง

บนเกาะมีกฎระเบียบ ทหารรับจ้างต้องการรักษาความปลอดภัยของเกาะ ดังนั้นทรัพย์สินที่ให้พวกเขาเสพสุขก็ไม่รู้จักหมดสิ้น และรับปากว่าสามารถแต่งงานและมีลูกบนเกาะได้ แต่ว่าข้อแลกเปลี่ยนก็คือ เมื่อคุณเข้าสู่เกาะ หากทำผิดต้องทำตามคำสั่งให้ออกนอกเกาะ หากเข้ามาในเกาะก็ต้องห้ามออกไปตลอดชีวิตด้วย

แม่ของเย่หลินเกิดในสถานที่แห่งนี้ เลี้ยงดูฟูมฟักมาตั้งแต่เด็ก เป็นธรรมดาที่จะโหยหาโลกภายนอก แล้วหนุ่มทหารรับจ้างคนนั้น ก็ถูกพ่อส่งมาเพื่อปกป้องเธอ

คาดไม่ถึง วันเวลาผ่านไปก็เกิดความรู้สึกดีๆต่อกัน ทั้งสองเลยตัดสินใจใช้ชีวิตด้วยกัน

หลังจากถูกพบ คุณตาของเย่หลินก็ใจดำอำมหิตไล่ทหารรับจ้างคนนี้ออกจากเกาะไป

เพราะแม่ของเย่หลินมีความรักต่อชายหนุ่มคนนี้ จึงได้ขอร้องพ่อว่าตนเองต้องการที่จะตามชายคนนี้ออกจากเกาะไปด้วย

คุณตาของเธอโกรธอย่างมาก จึงไล่คนทั้งสองออกจากเกาะไป แล้วก็ตัดความสัมพันธ์พ่อลูกกับแม่ของเธอ

และของที่อยู่ในมือของเย่เสี่ยวโม่ก็คือสิ่งของที่แม่ของเย่หลินเอาติดตัวไว้ตลอด จี้เส้นนี้มองด้านนอกก็ดูธรรมดา แต่ด้านในนั้นคืออัญมณีที่หาได้ยากของโลก

คุณน้าคนนั้นที่ถามเย่เสี่ยวโม่เมื่อวาน ก็คือเจ้าของเกาะคนใหม่ เป็นน้าของเย่หลิน

"ยัยหนู คุณอย่าโทษคุณตาเลย เวลานั้นเขาผิดหวังกับแม่ของคุณมาก" ผู้ชายที่เรียกว่าน้า เห็นเย่หลินไม่พูดจา จึงกล่าวโน้มน้าว

อันที่จริงหลังจากที่เย่หลินได้ฟังเรื่องเหล่านี้ตั้งแต่ต้นจนจบแล้ว ก็ไม่ได้โกรธเคืองคุณตาแล้ว พ่อคนหนึ่ง สูญเสียลูกสาวไป ความเจ็บปวดนั้นก็คงไม่เบา แต่โชคชะตาของแม่ เธอก็เป็นคนเลือกเอง เธอจึงโทษไม่ได้

ดังนั้นที่เธอไม่พูดจา เพียงแค่รู้สึกช็อก

นี่มันสังคมอะไรกัน? คาดไม่ถึงว่าจะยังมีสถานที่แบบนี้อยู่ด้วย?

เธอเงยหน้า มองผู้ชายที่อยู่ตรงหน้า เขากับแม่ไม่เหมือนกัน แต่เหมือนกับคุณตา ดูหล่อเหลามีสง่า เพียงแค่ดูอายุนั้นแล้ว น่าจะอายุมากกว่าเธอไม่กี่ปี

"ความหมายก็คือ วันนี้ฉันเข้ามาแล้ว ก็ออกไปไม่ได้แล้วงั้นเหรอ?"

ถึงแม้ที่นี่จะมีญาติพี่น้อง และข้าวของเครื่องใช้ก็ครบถ้วน แต่ด้านนอกมีคนที่เธอห่วงใยอยู่

คุณยายหลินที่อยู่ข้างๆ ปิดปากที่เผลอยิ้มออกมา ตบเบาๆที่หลังมือของเย่หลิน "ที่ลุงของคุณพูด นั่นคือเรื่องเมื่อ20ปีก่อน ตั้งแต่แม่ของคุณจากไป คุณตาของคุณก็กลัวว่าเธออยากกลับบ้านแล้วกลับไม่ได้ จึงเปลี่ยนกฎระเบียบบนเกาะ สามารถให้คนเข้าออก เพียงแต่ต้องยุ่งยากสักหน่อย แต่คาดไม่ถึงว่าแม่ของคุณ……" คุณยายหลินก็เช็ดๆน้ำตา

ฟังถึงคำพูดนี้ เย่หลินก็โล่งอก

เธออดคิดไม่ได้ว่า ที่แม่ไม่ให้เธอปรากฏโฉมหน้าที่แท้จริงเป็นเพราะสาเหตุนี้หรือไม่?

กลัวว่าจะทำให้คุณตาคุณยายรู้ใช่ไหม?

แล้วก็พ่อคนนั้นของเธอที่หายไปก็คือทหารรับจ้างคนนั้นใช่หรือไม่?

แต่ถ้าใช่ ตอนนั้นแม่สามารถละทิ้งทุกอย่างเพื่อตามเขาออกจากเกาะ แต่ทำไมตอนที่แม่ป่วยหนัก เขาถึงเลือกที่จะจากไป?

แต่ในทันที เธอก็นึกออก ที่เมืองW คุณลุงข้างบ้านที่ทิ้งรูปไว้ให้เธอ หรือว่า จะเป็นผู้ชายคนนั้นที่เป็นทหารรับจ้าง? ไม่เช่นนั้น จะอธิบายว่าอย่างไร ความรักที่ลึกซึ้งขนาดนั้นของแม่ เพราะเหตุใดในช่วงเวลาหลายปีถึงเลือกที่จะทรยศนอกใจ? คนที่รักจริงคนหนึ่ง จะสามารถเปลี่ยนไปรักคนอื่นได้เลยเหรอ?

อย่างเช่นเธอกับหนิงเส่าเฉิน? ตั้งแต่มีเขา ถึงจะรู้ว่าคนทั้งสองเป็นไปไม่ได้ ในใจของเธอก็ไม่อาจลืมเขาแล้วไปมีคนอื่นได้

แต่ถ้าในรูปภาพเป็นผู้ชายคนนั้นล่ะก็ อย่างนั้นเพราะอะไร แม่ถึงอยู่ด้วยกันกับพ่อ?

นึกถึงเรื่องเหล่านี้แล้ว หัวของเธอก็ปวดขึ้นมา

ก้มหน้า มองเย่เสี่ยวโม่ที่หลับสนิทอยู่บนขาของเธอ คิดๆแล้วก็เอ่ยปากว่า "อย่างนั้นพวกคุณรู้ไหมว่าพ่อของฉันชื่ออะไร?"

หางตาของเธอก็เหลือบไปเห็นมือของคุณยายหลินสั่นเล็กน้อย เธอรู้ว่าเธอต้องรู้อะไรอย่างแน่นอน ในใจก็อดไม่ได้ที่จะตื่นเต้นอย่างมาก

การกระทำของคนทั้งสอง ทำให้แขกที่อยู่ในงานตกใจ แน่นอนรวมถึงเย่เส่าเฉินด้วย

"หยูจี้ คุณคิดจะทำอะไร?" เย่หลินคิดจะสะบัดมือของเขาทิ้ง แต่เขาจับไว้แน่นมาก

เสียงวิพากษ์วิจารณ์ด้านหลัง ยิ่งดังขึ้นเรื่อยๆ เย่หลินปวดหัวมาก

วันนี้เป็นงานแต่งงานของพวกเขา ทว่าตัวเขาเองก็ไม่ชัดเจนอย่างนี้ ต่อจากนี้อ้ายหมี่จะคิดยังไง?

"หยูจี้ คุณบอกฉันมาก่อนว่าจะทำอะไร? เกิดอะไรขึ้น?" เธอร้อนใจจนร้องไห้

ชูหยูจี้มองคนที่ตามมาทางด้านหลัง ก็จำใจหยุดฝีเท้าลง จากนั้นก็กระซิบข้างๆหูเย่หลิน : "คุณตาคุณมาตามหาคุณ เย่จึ"

ใคร? คุณตา? เย่หลินไม่ทีปฏิกิริยาตอบกลับไปชั่วขณะ คุณตา อยู่ในชีวิต 20 กว่าปีของเธอด้วยหรอ? เป็นคำศัพท์ที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน

เธอลืมไปแล้ว ว่าบนโลกนี้ ยังมีคุณตาที่มีชีวิตอยู่ด้วย?

คุณตา ก็คือพ่อของแม่เธอ ไม่ผิดใช่ไหม? แต่แม่ของเธอจายไปแล้ว อีกทั้งในความทรงจำของเธอ แม่ไม่เคยเอ่ยถึงพ่อแม่เลย ครั้งเดียวก็ไม่เคย

ยิ่งไปกว่านั้น อยู่ต่างประเทศอย่างนี้ คุณตาคนนี้ จะโผล่ออกมาจากไหน? กะทันหันขนาดนี้

อีกทั้ง สามารถทำให้ชูหยูจี้ร้อนรนขนาดนี้ เธอแปลกใจจริงๆ ว่าคนนั้นคือใคร?

ตอนนี้ เธอก็เลยไม่ได้ขัดขืน รีบเดินตามชูหยูจี้ไป

นอกห้องโถงรับแขก ชายชุดดำสองสามคน ยืนอยู่สองแถว เห็นชูหยูจี้กับเธอมา ทั้งหมดก็โค้งคำนับ คนด้านหลังที่อยากเข้ามามองอย่างตื่นเต้น ถูกชายชุดดำด้านนอกขวางไว้

เข้าไปในห้องโถง นายท่านอ้ายหันหลังให้พวกเขา โค้งตัวเล็กน้อย นั่งลง ชายชราที่มีหนวดเคราสีขาวนั่งอยู่ ชายชราเครายาวประมาณฟุต ผมหงอกขาว หลับตา ฟังนายท่านอ้ายพูดอะไรอยู่

"พ่อ เย่จึมาแล้ว" ชูหยูจี้พูด นาท่านอ้ายก็หันกลับมา มองเย่หลิน ยิ้มแล้วเอ่ยเรียก

"เย่หลิน เร็ว มาเร็ว คุณดูสิว่านั่นใคร?" นายท่านอ้ายกับเธอไม่เคยเจอหน้ากัน ไม่ค่อยคุ้นเคยเท่าไหร่ จากนั้น คนรุ่นหลังๆ ก็เจอกันปกติ ไม่ได้ทักทายแบบมีมารยาท ดังนั้น จู่ๆขณะนี้เขาก็แสดงความรักใคร่กับเธอ มีได้เพียงเหตุผลเดียว เพราะชายชราที่เรียกว่าคุณตาคนนั้น

เธอแปลกใจจริงๆ ว่าท้ายที่สุดคุณตาของเธอนี้เป็นใคร ถึงสามารถทำให้นายท่านอ้านเคารพนบนอบเช่นนี้

เห็นเธอไม่ขยับเขยื้อน ชูหยูจี้ที่อยู่ข้างๆก็ผลักเธอ เย่หลินก้มหน้า พูดอย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาวว่า : "ขอโทษนะคะ ฉันไม่รู้จัก"

เธอพูดตามความจริง

ชายชราลืมตาขึ้นอย่างรวดเร็ว มองเย่หลิน ยันไม้ค้ำหัวมังกร ลุกขึ้นยืน เดินไปข้างๆเย่หลิน "ยัยหนู คุณคือลูกสาวของผิงจึใช่ไหม?"

หลินผิง คือชื่อของแม่เธอ ผิงจึ น่าจะเป็นชื่อเรียกเล่นๆของแม่

เธอพยักหน้า ไม่พูดอะไร

"เธอสั่งสอนคุณแบบนี้หรอ? เห็นผู้อาวุโส ก็ไม่มีมารยาทแบบนี้นะหรอ?" ดูๆชายชรา ก็อายุมากแล้ว แต่พอพูดขึ้นมา กลับลึกซึ้งทรงพลัง ดูมีอำนาจเช่นนั้น หนิงเส่าเฉินยังเทียบไม่ได้

แต่ เธอไม่ได้รู้สึกกลัว กลับกัน ขณะนี้ จะบอกเธอว่าชายชราคนนี้คือคุณตา ก็ยิ่งรู้สึกเคียดแค้น

เดิมทีเธอคิดว่าแม่ไม่มีญาติ อย่างไรเสียป่วยจนกลายเป็นอย่างนั้น ก็ไม่มีใครมาดูเธอสักคน

แต่ ไม่คิดว่า จะมี และยังเป็นญาติที่สนิทที่สุด

"แม่ฉันป่วย จนตาย ก็ไม่เคยมีคนในครอบครัวมาดูเธอเลยสักคน ฉะนั้น ตลอดมาฉันคิดว่าหลังจากที่แม่ฉันตายไป ฉันก็คือเด็กกำพร้า ในเมื่อเป็นเด็กกำพร้า จะต้องมีผู้อาวุโสซะที่ไหน?" เธอไม่รีบไม่ร้อน ตอบกลับอย่างไม่แข็งกร้าวและไม่ถ่อมตัว

เธอได้ยินเสียงสูดลมหายใจของคนข้างๆ

นายท่านหลินมองเด็กผู้หญิงตรงหน้า ตอนแรกในสายตาก็เจ็บปวดอย่างมาก ต่อจากนั้นก็ชื่นชมอย่างมาก

เพียงแต่ เสียงก็ยังเย็นชา "พาเธอไป"

พูดจบ เงาบุคคลสองสามคนด้านหลังเย่หลินเข้ามา

เย่หลินจึงเงยหน้า มองไปยังชายอาวุโสที่อยู่ตรงหน้า สายตาปรากฎความไม่เข้าใจ "คุณจะทำอะไร?"

ชูหยูจี้ก็รีบร้อน "นายท่านหลิน มีอะไร ค่อยพูดค่อยจากันก็ได้ คุณเป็นคุณตาของเย่จึ เธอไม่รู้เรื่อง คุณอย่าตำหนิเธอเลย"

เย่หลินฟังออกถึงน้ำเสียงของชูหยูจี้ คาดไม่ถึงว่าจะสั่นเล็กน้อย

"คุณยายของคุณอยากพบคุณ แล้วก็ เด็กผู้หญิงคนนั้น ตอนนี้น่าจะถึงแล้ว คุณยังจะไปไหม?"

เด็กผู้หญิง? เย่หลินตกใจ "คุณทำอะไรเย่เสี่ยวโม่?"

เธอซักถามด้วยน้ำเสียงตำหนิติเตียน ทำให้นายท่านหลินไม่พอใจเล็กน้อย นี่มันกี่ปีมาแล้ว ที่ไม่มีใครกล้าพูดกับเขาแบบนี้?

หันตัวกลับ สองมือไพล่หลัง เดินไปยังด้านนอก

เวลาเดียวกันชายชุดดำสองสามคนก็หันตัวกลับมา ยืนอยู่ด้านข้างเย่หลิน ถ้าหาก คุณไม่ไป พวกเขาก็จะช่วยเหลือ

เย่เสี่ยวโม่อยู่ที่นั่น ถึงแม้ว่าจะเป็นถ้ำเสือบึงมังกร เย่หลินก็จะไป ดังนั้น เธอหันไปมองชูหยูจี้ทีหนึ่ง ฉีกริมฝีปากยิ้มๆ "ไม่เป็นไร วันนี้คุณเป็นเจ้าบ่าว อย่าทำหน้านิ่งคิ้วขมวด เอ่อ ทางด้านของบริษัทคุณช่วยดูแลประสานงานไปก่อนนะ ฉันจะรีบกลับมาโดยเร็ว"

มองเครื่องบินส่วนตัวที่หรูหราตรงหน้า หลังทางเข้าเครื่องบิน มีชายชุดดำยืนอยู่อีกสองแถว ถึงแม้ว่าเย่หลินจะเคยสัมผัสกับหนิงเส่าเฉิน ชูหยูจี้ที่เป็นคนใหญ่โตแบบนี้ เวลานี้ก็ยังทำให้ต้องหวาดหวั่น

เย่หลินเป็นห่วงเย่เสี่ยวโม่ รู้สึกว่าเวลาผ่านไปช้ามาก ดังนั้น จึงคิดว่าเครื่องบินบินนานมากๆ ในที่สุด เครื่องบินลงจอดในสถานที่ที่คล้ายพระราชวังโบราณ

ลงจากเครื่องบิน มีผู้หญิงกลุ่มหนึ่งสวมชุดเหมือนกัน ล้อมรอบหญิงสูงอายุที่สง่างามสุภาพเยือกเย็นคนหนึ่ง เธอเดินเข้าไป ฉากนี้ ทำให้เย่หลินข้ามผ่านความรู้สึกของตัวเองไปในช่ะวพริบตา เหงื่ออกที่ฝ่ามือ อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

เคลื่อนสายตาลง มองไปยังในมือของหญิงชรา จูงเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง ไม่ใช่เย่เสี่ยวโม่ แล้วจะเป็นใครล่ะ?

"แม่ คุณมาแล้วหรอ?" เย่เสี่ยวโม่วิ่งมาอย่างรวดเร็ว โผเข้าหาอ้อมกอดของเย่หลิน

เย่หลิยรีบคุกเข่าลง ตรวจสอบทั้งร่างกายของเย่เสี่ยวโม่ "เสี่ยวโม่ หนูเป็นอะไรหรือเปล่า? ทำไมหนูถึงมาอยู่ที่นี่คนเดียว? ทำไมหนูถึงไม่บอกแม่สักคำเลยล่ะ?"

เย่เสี่ยวโม่ถูกเย่หลินกล่าวตำหนิฉอดๆ เงยหน้ามองนายท่านหลิน "คุณตา คุณบอกว่าบอกกับแม่ของฉันแล้วไม่ใช่หรอ?" ขมวดคิ้วแน่น คว่ำปากน้อยๆ

นายท่านหลินกระแอมเบาๆ "ก็ที่ไม่ใช่รับมาให้คุณแล้วหรอ?"

"เด็กน้อย คุณเป็นทุกข์แล้ว" เสียงที่ผ่านโลกมาอย่างโชกโชนแต่อ่อนโยนดังมาจากเหนือศีรษะ

เย่หลินเงยหน้า ไม่เหมือนกับความเคร่งขรึมที่นายท่านหลินคนนั้นมีให้คนอื่น เพียงแค่เห็นหญิงอาวุโสคนนี้ เป็นคนที่มีความเมตตาและอ่อนโยน เวลานี้ดวงตาทั้งคู่ก็มีน้ำตาเอ่อออกมา ใบหน้านั้น ถึงจะมีรอยเหี่ยวย่นเต็มใบหน้า ก็ไม่ยากที่จะมองออกว่า ตอนสาวๆเธอต้องงดงาม

คนคนนี้ ถ้าเดาไม่ผิด คงจะเป็นคุณยายใช่ไหม? เพราะแม่เหมือนกับเธอ เธอก็เหมือนกับเธอ

คิดถึงตรงนี้ เธอก็อดไม่ได้ที่จะจ้องมอง เพียงแต่ เพราะเหตุใดตอนนี้ถึงตามหาเธอล่ะ? แม่ก็ตายไปแล้ว

"ในเมื่อพวกคุณต้องการรู้จัก ทำไมถึงไม่ทำความรู้จักตอนที่แม่ของฉันยังอยู่บนโลกนี้ล่ะ?" เธอคิดคิด แล้วก็เอ่ยปาก

หญิงชราที่อยู่ตรงหน้า เดินเข้ามาสองสามก้าว กุมมือของเธอ "เด็กน้อย พวกเราไม่เคยคิดเลยว่า โลกใหญ่ขนาดนี้ แม่ของคุณหลบหนีอย่างสุดความสามารถ วกเราไม่มีทางที่จะลงมือได้ ถ้าไม่ใช่จี้ในมือของเสี่ยวโม่เด็กคนนี้ พวกดราก็เกรงว่า แม้แต่คุณก็ไม่รู้จักด้วยซ้ำไป"

จี้?

"แม่ คุณดูสิ อันนี้?" ในอุ้งมือของเย่เสี่ยวโม่ มีเส้นสีแดงเส้นหนึ่งวางอยู่ อีกด้านหนึ่ง เป็นจี้ทรงสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูน จี้นั้นทำจากเงิน ด้านนอกแกะลายฉลุ ตรงกลางเป็นก้อนหินเล็กๆสีแดง นั่นคือสิ่งที่แม่ทิ้งเอาไว้ให้

เย่หลินเศร้าสลด รับเอามา "เย่เสี่ยวโม่ คุณเอามาจากที่ไหน?"

ขาดผู้ชาย? เย่หลินอดไม่ได้ที่จะเบะปาก เธอขาดผู้ชาย ขาด เขา!

เงยหน้าขึ้น มองหนิงเส่าเฉิน เมื่อเห็นบุหรี่ระหว่างนิ้วของเขา ก็จมวดคิ้วขึ้นมาโดยจิตใต้สำนึก

ในช่วงเวลาสุดท้ายที่อยู่ด้วยกันกับเธอ เขารับปากเธอแล้ว ว่าจะไม่สูบบุหรี่ แล้วนี่?

สูบบุหรี่ไม่ดีต่อสุขภาพนะ" ความคิดในใจ ก็โพล่งออกมาโดยไม่ผ่านสมอง

จากนั้น เธอก็เห็นว่าหนิงเส่าเฉินขมวดคิ้ว ปากบางๆเผยอขึ้น ดูเหมือว่าเขาไม่ได้มองเธอเลย พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า "ไสหัวไป"

เย่หลินเม้มๆปาก ชั่วขณะ ก็ทอดถอนใจอย่างหดหู่

ไม่ใช่ว่าบนโลกนี้ หลังจากที่ไม่มีเฉินเป้ยอีแล้ว ก็จะไม่มีผู้หญิงคนอื่นอีกเลยนะ?

หนิงเส่าเฉิน คุณมันโง่!

คุณทำอย่างนี้ ฉันจะวางใจได้อย่างไร? จะสามารถตัดใจได้อย่างไร?

"ฉันแค่อยากจะถามว่าจะไปที่โถงด้านหน้าได้อย่างไร?" เธอมองหนิงเส่าเฉิน ด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก

หนิงเส่าเฉินไม่เคยเห็นผู้หญิงที่จับจ้องมองผู้ชายแบบนี้ หยิบจุดนอนบนเตียงขึ้นมา คลุมไว้บนตัว แล้วเดินไปข้างหน้าสองสามก้าว ยื่นนิ้วเรียวยาวมา ปิดประตูตรงหน้าอีกครั้ง

เย่หลินก้มหน้าลง จากนั้น เธอค่อยๆหันกลับมา เลื่อนตัวไปพิงกับประตู แล้วนั่งลงบนพื้น ด้านหลังติดกับประตูไม้ ฟังเสียงแผ่วเบาที่ทอดมาจากข้างใน มุมปากค่อยๆยกขึ้น

แม้ว่าใกล้เพียงแต่มีอะไรมากั้น เธอก็รู้สึกพอใจมากแล้ว

เธอคิดว่าอย่างน้อยหนิงเส่าเฉินขะอยู่ด้านในอีกสักพัก ดังนั้น จึงไม่ได้เตรียมป้องกันเลยแม้แต่น้อย

ถึงอย่างไรใส่เสื้อผ้า ก็ต้องใช้เวลาสักพัก จนกระทั่ง ในเวลาไม่ถึงหนึ่งนาที จู่ๆหนิงเส่าเฉินก็ดึงประตูออก เธอก็เลยล้มลงไปอยู่ที่พื้น

ศีรษะพาดอยู่ระหว่างสองขาของชายคนนั้น ท่าทางนั้น ช่างน่าอายอย่างมาก

ดวงตาของหนิงเส่าเฉินดูลึกลับ มองไปที่ผู้หญิงที่นอนอยู่บนพื้นอย่างเย็นชา "ท้ายที่สุดแล้วคุณคิดจะทำอะไร?"

เย่หลินตกตะลึง ค่อยๆลุกขึ้นนั่ง หายใจแปรปรวน เธอค้ำพื้นลุกยืนขึ้นมา หันกลับ เธอมองชายที่อยู่ตรงหน้า "ถ้าฉันบอกว่า ฉันขาดผู้ชาย คุณเต็มใจที่จะช่วยให้สมหวังไหมล่ะ?"

เย่หลินรู้สึกว่าตนเองบ้าไปแล้ว ถึงได้พูดคำพูดประเภทนั้นออกมาได้

ในห้องเงียบไปสักพัก ฉับพลัน หนิงเส่าเฉินเดินไปใกล้ๆเธอ จากนั้น ก็โค้งตัวลง เม้มริมฝีปากบางข้างหูของเธอ แล้วพูดเบาๆว่า : "ไสหัวไปซะ"

คำพูดง่ายๆนี้ ไร้อารมณ์ความรู้สึก

เย่หลินยิ้มอย่างมีความหมายลึกซึ้ง แล้วหันเดินออกไปนอกประตู

ประตู ด้านหลังปิดเสียงดังปัง

เธออดไม่ได้ที่จะหันไปมอง อารมณ์ในแววตานั้นซับซ้อนมาก

หันกลับ แล้วเธอเดินไปยังสถานที่จัดงานแต่ง ร่างเล็กๆก็เดินออกมาจากมุมหนึ่ง

ใบหน้าน้อยๆเต็มไปด้วยความโกรธ

ผู้ชายที่ไม่จริงใจคนนี้ปฏิบัติแย่กับแม่จริงๆเลย แต่ว่า แม่ของเธอนั้นยังโง่ไปยิ้มให้เขาอีก

ต่อมาในงานแต่งงาน เย่หลินก็ซ่อนตัวอยู่ที่มุมเกือบตลอดเวลาเพื่อเฝ้าดูหนิงเส่าเฉิน มองดูการกระทำของเขา การเคลื่อนไหว ไม่พลาดเลยแม้แต่นิดเดียว รู้ว่าทำอย่างนี้มันโง่เขลามาก แต่ว่า เธอตัดใจละสายตาไม่ลง เธอกลัวว่า แยกจากกันครั้งนี้แล้ว เจอกันอีกครั้ง ก็ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่

ดังนั้น เธอแทบจะมองเขาอย่างหิวกระหาย เขาก็ยังคงควบคุมใจให้เป็นกลาง

เห็นผู้หญิงแต่ละคน ที่เข้าใกล้เขาด้วยจุดประสงค์ที่แอบแฝง หลังจากนั้นก็ต้องจากไปด้วยความโกรธ เธอยิ้มมุมปากเล็กน้อย ในสายตามีความอิ่มอกอิ่มใจ แต่ ก็มีความเจ็บปวดใจ

ชาตินี้ยังอีกยาวไกล หนิงเส่าเฉิน ไม่มีเฉินเป้ยอีแล้ว คุณคิดที่จะผ่านไปแบบนี้หรอ?

"พี่เย่ คุณไม่อยากจะไปOne Night Standกับพี่ชายหน่อยหรอ? ถึงยังไงก็ไม่ได้อยู่ในประเทศ พี่สะใภ้ฉันก็ไม่รู้หรอก แก้ปัญหาไข้ใจสักหน่อยดีไหม?" อ้ายหมี่ถือชุดเจ้าสาวที่ยาว เดินไปข้างๆเย่หลิน เห็นเธอกำลังใจลอย จึงกล่าวหยอกล้อ

เย่หลินรู้ว่าอ้ายหมี่เห็นการให้ความสนใจของเธอที่มีต่อหนิงเส่าเฉิน อดไม่ได้ที่จะหน้าแดงเล็กน้อย หันหน้ากลับ จ้องมองเธอ กล่าวอย่างกลืนไม่เข้าคายไม่ออกว่า: "พี่ชายคุณคนนั้น ในใจมีเพียงเฉินเป้ยอี ถึงฉันจะเต็มใจนอนกับเขา คนก็ก็ไม่ยินยอมหรอก?"

พูดจบ เธอก็หัวเราะเยาะ ในใจพูดไม่ออกว่ารู้สึกอย่างไร

อ้ายหมี่เดินเข้าไป โอบกอดเธอไว้ในอ้อมกอด ตบเบาๆที่หลังของเธอ "พี่เย่ มองออก ว่าพี่ชายลืมคุณไม่ลง เขา ไม่มีความสุขเลย"

ไม่มีความสุข? เธอ ก็ไม่เคยมีความสุข? ลืมเธอไม่ได้ ตลอดที่ผ่านมาของเธอ จะสามารถลืมได้ลงหรอ?

แต่ บนโลกนี้ นกจากความรัก ยังมีศีลธรรมไม่ใช่หรอ?

ไม่ว่าด้วยความรู้สึกหรือเหตุผล เกาเหวินเป็นถึงขนาดนั้น พวกเขามีคุณสมบัติอะไรที่จะไปมีความสุขกันสองคน?

ในอีกห้องหนึ่งของคฤหาสน์

"ตรวจสอบได้หรือยัง?"

"เส่าเฉิน หนึ่งปีก่อนหน้านี้ก็ตรวจสอบไปแล้วไม่ใช่หรอ? คุณจะตรวจสอบอีกทำไม?" หลิวซูถามด้วยความไม่เข้าใจ

หนิงเส่าเฉินจ้องมองบนมือถือ รูปของผู้หญิงคนนั้น ยกริมฝีปากขึ้นอย่างเย็นชา ผ฿หญิงคนนั้นทำให้เขารู้สึกคุ้นเคยอย่างมากจริงๆ ทำให้เขาหยุดใจลอยไม่ได้เลยสักครั้ง

วันนี้เมื่อเขาบอกกับเธอว่า ขาดผู้ชาย สายตาเธอนั้นเฝ้ารอการเปลือยกาย คาดไม่ถึงว่าจะทำให้เขามีปฏิกริยาตอบสนอง เขาที่มีสมาธิดีมาโดยตลอด เขาไม่มีเหตุผลที่จะมาหวั่นไหวกับผู้หญิงที่เคยเจอหน้ากันไม่กี่ครั้ง

"บอกผลตรวจสอบมา" หนิงเส่าเฉินกล่าวเร่งรัดด้วยน้ำเสียงเย็นชา

"ผลตรวจสอบอะไร? ไม่มีความผิดปกติใดๆ เส่าเฉิน เธอตายไปแล้ว คุณกับฉันก็เห็นการเผาศพเธอ คุณยอมรับความจริงนี้ จะได้ไหม? คุณยังจำเรื่องครั้งที่แล้วบนถนนใหญ่ได้ไหม? ผู้หญิงคนนั้นเข้าใจผิดคิดว่าคุณชอบ? แล้วก็ หญิงเต้นรำคนนั้นที่KTVนั่นที่พูดเอาอกเอาใจคุณ…..แล้วก็….." หลายปีมานี้หนิงเส่าเฉิน เหมือนจะคิดว่าใครก็คล้ายเฉินเป้ยอีไปหมด ความเข้าใจผิดแบบนี้ ก็ไม่รู้ว่ากี่ครั้งต่อกี่ครั้งแล้ว

หนิงเส่าเฉินกำมือทั้งคู่ ทุบไปที่หน้าผาก หลับตาลง ในสายตาก็ล้วนเป็นเฉินเป้ยอี ถึงจะผ้านมาหลายปีแล้ว ความทรงจำก็ยังคงชัดเจน

เธอตายไปแล้ว ใช่ เธอตายไปแล้ว แต่เพราะเหตุใดเขาถึงไม่เชื่อกันนะ? ถึงจะเห็นการเผาศพของเธอ เธอก็ไม่เชื่อ เขารู้สึกว่าเธอยังมีชีวิตอยู่ ดังนั้น หลายปีมานี้ เขาก็รักษาตัวไว้เพื่อเธอ และรักษาใจไว้เพื่อเธอ เขายืนหยัดเฝ้ารอ ปีแล้ว ปีเล่า

"ไม่อย่างนั้น ก็ให้เธอกับหนิงเสี่ยวซีตรวจDNAไหม? เธอคือเฉินเป้ยอี ฉันไม่เชื่อ แต่ ถ้าคุณจะบอกว่าเธอเป็นแม่ของเสี่ยวซีหร่าน ฉันอาจจะเชื่อ คุณว่าไง?" ถึงแม้ว่าตรวจสอบข้อมูลแล้วจะบอกว่าไม่ใช่ แต่ จุดๆนี้ เขาก็เชื่ออยู่เล็กน้อย

หนิงเส่าเฉินตอบ"อืม" "โอเค ฉันจะไปจัดการ"

"เย่จึ รีบไปกับฉัน" เมื่องานแต่งงานกำลังจะจบสิ้นลง จู่ๆชูหยูจี้ก็รีบลนลานวิ่งเข้ามาหาเธอ ดึงมือของเธอ เดินไปยังห้องอย่างไม่มีคำอธิบาย

ระหว่างที่เดินผ่ายอ้ายหมี่ เธอเรียกเขา เขาก็ไม่ตอบกลับ

เขาที่เป็นแบบนี้ ทำให้เย่หลินหวาดกลัว ถึงอย่างไรชูหยูจี้ก็นับได้ว่าเป็นคนที่เคยเห็นเหตุการณ์ใหญ่ๆมากมาย สามารถทำให้เขาร้อนลนเช่นนี้ ต้องเป็นเรื่องที่ไม่เล็กอย่างแน่นอน

แต่วันนี้เป็นงานแต่งงานของพวกเขา เขามาจูงผู้หญิงคนหนึ่งออกไปอย่างรีบร้อนแบบนี้ ท่าทางเหมือนกับหนีการแต่งงาน

การกระทำที่แปลกประหลาดของคนทั้งสอง แขกผู้มีเกียรติ แล้วก็หนิงเส่าเฉินที่อยู่ในงานก็ตกใจ

นำบัตรยัดใส่มือเขา "คุณเอาไปเถอะ ด้านในฉันใส่ไว้มากหน่อย ก็คิดว่าเป็นของขวัญวันแต่งงานของพวกคุณแล้วกัน"

จากนั้นในห้องก็เงียบไป

ชูหยูจี้เห็นเธอไม่พูดอะไร นั่งลงตรงหน้าเธอ "เย่หลิน ในตอนนั้นที่คุณจากไป คือต้องการให้เกาเหวินมีความสุข แต่ว่า หลายปีที่ผ่านมานี้ ฉันเห็นว่าเธออาจจะไม่มีความสุขเลย และพี่ชายฉันกับหนิงเสี่ยวซี จริงๆคุณ ไม่สนใจเลยใช่ไหม?" เขาพูดทุกคำทุกประโยค โดยที่สายตาจ้องมองอยู่ที่เย่หลิน

เย่หลินตัวสั่น สนใจ? เธอต้องการ?

เงยหน้าขึ้น เธอมองชูหยูจี้ เปิดริมฝีปากบางๆของเธอ "คุณว่าจะสนใจได้ยังไง?"

เธอต้องการพาหนิงเส่าเฉินและหนิงเสี่ยวซีกลับมาข้างกาย แต่ว่า เกาเหวินล่ะ? ครอบครัวเธอสี่คนจะกลับมารวมตัวกันอีกครั้ง แล้วเธอล่ะ? เธอไม่สามารถมีลูกได้ เธอจะจัดการกับตัวเองอย่างไรในอนาคต?

"แต่คุณทำอย่างนี้ มันทำให้ทุกๆคนทรมานใช่ไม่ใช่หรอ?"

เย่หลินเม้มปาก ก้มหน้า นิ้วเรียวบิดไปมา ครู่ใหญ่ไม่สามารถตอบกลับได้ รู้ว่าถ้าเธอเองไม่อยากบอก ใครก็ไม่สามารถโน้มน้าวได้ สองสามปีนี้ เขาพยายามอย่างนับครั้งไม่ถ้วน แต่ชูหยูจี้ก็ไม่ได้รับคำตอบ

อ้ายหมี่รูปร่างหน้าตาดี หารแต่งหน้าก็เลยทุ่นแรงไปมาก หลังจากแต่งเสร็จ เย่หลินก็ออกมาที่สวนด้านนอก

หามุมสงบๆ รอให้ถึงพิธีแต่งงาน

"คุณเย่……” จู่ๆ เธอก็ได้ยินเสียงใครบางคนเรียกเธอ

จึงหันกลับไป มองตำแหน่งของแหล่งกำเนิดเสียง คาดไม่ถึงว่าจะเป็นคุณผู้หญิงคนนั้นที่แต่งหน้าให้ตอนเช้า

เธออดไม่ได้ที่จะตกใจเล็กน้อย ยืนขึ้นมา "สวัสดีค่ะ คุณผู้หญิง คุณมาร่วมงานแต่งด้วยหรอ?" เธอดูๆเวลา ยังเหลือเวลาอีก 2 ชั่วโมงกว่าจะเริ่มงาน บรรดาแขกทั้งหลายก็ยังไม่มา นอกจากลูกน้องของนายท่านอ้าย ส่วนที่เหลือ ทั้งหมดก็เป็นญาติสนิท? ญาติสนิท? หรือว่า……

"ฉันเป็นป้าสะใภ้ของเจ้าบ่าว" คุณผู้หญิงท่านนั้นเดินมาตรงหน้าเธอ ชี้ไปที่เก้าอี้ตรงหน้า บอกใบ้ให้เธอนั่งลง

ป้าสะใภ้? เย่หลินจัดหมวดหมู่ความสัมพันธ์นี้ในใจ ป้าสะใภ้ นั่นก็คือพี่สะใภ้ของแม่ชูหยูจี้ใช่ไหม?

เพราะเธอเคยได้ยินชูหยูจี้บอกว่า เขามีลุง ก็คือพ่อของหนิงเส่าเฉิน งั้นท่านนี้ก็คือ……

นึกถึงตรงนี้ เธอที่เพิ่งนั่งลง ก็ลุกขึ้นยืนอีกครั้งทันที

ผู้หญิงตรงหน้า เป็นแม่ของหนิงเส่าเฉิน ย่าของหนิงเสี่ยวซี เธอจับกระเป๋าถือ ไว้อย่างแน่น

แม่หนิงไม่เข้าใจ "คุณเย่ นี่คือ……”

"เอ่อ ฉันนึกได้ว่า ฉันยังต้องไปแต่งหน้าให้เจ้าสาว ดังนั้น ขอโทษด้วยนะคะ?" พูดจบ เธอก็แทบจะหนีออกไป

รูปร่างหน้าตาเธอนี้คล้ายคลึงกับหนิงเสี่ยวซี ถ้าอยู่ด้วยกันนานๆ ไม่กล้ารับประกันว่าแม่หนิงจะไม่พบเห็นอะไร

เพราะเดินไปอย่างรีบร้อน อีกทั้งยังกัมหน้าก้มตา ดังนั้น เธอจึงไม่ได้ทันระวังว่าด้านหน้ามีคน ก็เลยตรงไป ชนอยู่ในอ้อมแขนของคนคนหนึ่ง

"โอ้ย sorry……” เธอเงยหน้าขึ้น ยังคิดที่จะพูดอะไรต่อ แต่เมื่อมองคนด้านหน้าชัดๆแล้ว เธอก็ตกตะลึง

หนิงเส่าเฉิน?.ชั่วขณะในใจ ก็ทั้งตกใจทั้งดีใจ

"คุณมาทำอะไรที่นี่?" น้ำเสียงที่เย็นชา นำพามาด้วยความสงสัย ทำให้เย่หลินนิ่งอึ้งไป

เมื่อสติกลับมา ก็ฉีกๆยิ้ม แล้วพูดอย่างเยาะเย้ยถากถาง : "คุณผู้ชาย คุณความจำดีนะ คาดไม่ถึงว่ายังจำฉันได้ด้วย?"

"คุณมาทำอะไรที่นี่?" หนิงเส่าเฉินไม่ได้ตอบรับคำพูดของเธอ ยังคงถามอีกครั้ง

"อาเฉิน คุณมาได้ยังไง? คุณบอกว่าวันนี้มีธุระไม่ใช่หรอ?" คือเสียงของแม่หนิง พิเศษอย่างมาก ดังนั้น จึงจำได้แม่น

เย่หลินอดปวดหัวไม่ได้

"คุณเย่ นี้คือลูกชายของฉัน ที่ฉันเคยบอกกับคุณ เขาเป็นประธานของหนิงกรุ๊ป เป็นผู้ชายที่ยอดเยี่ยมอย่างมาก" แม่หนิงเดินอ้อมเย่หลิน ดึงแขนของหนิงเส่าเฉินแล้วเริ่มแนะนำ เย่หลินก้มหน้า ฟังแล้วเหมือนกับว่านัดดูตัวยังไงไม่รู้

"แม่ คุณรู้จักหรอ?" ชุดเจนว่า หนิงเส่าเฉินแปลกใจเล็กน้อยที่แม่รู้จักเย่หลิน

แม่หนิงพยักหน้า "ใช่ นี่ ที่คุณเห็นว่าการแต่งหน้าของแม่วันนี้ก็คือคุณเย่เป็นคนแต่งให้ ดูสาวขึ้นมากเลยใช่ไหมล่ะ?" หางตาของเย่หลินเหลือบไปมองเห็นแม่หนิงเงยหน้า อวดหนิงเส่าเฉิน

ลักษณะหน้าตานั้น ราวกับเด็กคนหนึ่ง

ความแตกต่างของนิสัยสองแม่ลูกนี้ ทำให้เย่หลินรู้สึกประหลาดใจ

หนิงเส่าเฉินตอบ"อืม"คำหนึ่ง

"สวัสดีค่ะ คุณหนิง" เย่หลินรู้สึกว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะไม่กล่าวทักทาย จึงกล่าวออกไป

เงาที่อยู่เหนือหัวก็เข้มขึ้น เย่หลินรับรู้ได้ถึงการที่หนิงเส่าเฉินเข้าใกล้เธอทีละน้อยๆ มือทั้งคู่ที่อยู่ข้างลำตัวอดไม่ได้ที่จะกำแน่น

"คุณรู้ได้ยังไงว่าฉันแซ่หนิง?"

เย่หลินขมวดคิ้ว หวนกลับไปทบทวนความทรงจำเล็กน้อย เหมือนกับว่าเมื่อกี้คนทั้ฃสองไม่ได้พูดว่าเขาแซ่หนิง ก็กล่าวในใจทันทีว่า ไม่ดีแล้ว ผู้ชายคนนี้ไม่รู้ว่าจะสงสัยอะไรเธออีก

เธอเงยหน้า พอดีเผชิญกับสายตาที่ถามเจาะลึกของหนิงเส่าเฉิน ดวงตาประสานกัน ใจของเย่หลิน เต้นตุบๆ เธอหันหน้ากับอย่างลุกลี้ลุกลน "เอ่อ ก็ประธานหนิงกรุ๊ปไม่ใช่หรอ? ไม่ใช่แซ่หนิง แล้วจะแซ่อะไรล่ะ?"

"ประธานเย่ ทำไมวันนี้คุณมาอยู่ที่นี่?" เมื่อเย่หลินกำลังหาข้ออ้างที่จะหลบเลี่ยง เสียงผู้ชายคนหนึ่งก็ดังเข้ามาจากด้านหลัง

เย่หลินหันตัวกลับ เห็นคนคนหนึ่งที่คุ้นเคย อดไม่ได้ที่จะดีใจ ทันทีก้นบึ้งของหัวใจก็โล่งอก "ประธานหวง แล้วคุณมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง?" ประธานหวงคนนี้ อายุห้าสิบกว่าแล้ว เมื่อตอนที่เธออยู่เคาน์เตอร์แต่งหน้า เป็นผู้ก่อตั้งแบรนด์นั้นที่เธอรับผิดชอบ ภายหลัง หลังจากที่เธอออกมาทำเอง ไม่เพียงแต่ไม่โกรธ แต่กลับแนะนำให้เธอได้รู้จักกับลูกค้าไม่น้อย ปีนี้ คนทั้งสองก็นับได้ว่าเป็นคนรู้จักกันที่ได้เจอหน้ากันบ่อย

"อ้อ ฉันเป็นเพื่อนเก่าของนายท่านอ้าย วันนี้บูกสาวของเขาแต่งงาน ฉันก็ต้องมาแสดงความยินดี คุณล่ะ?" ประธานหวงสำหรับเย่หลินแล้ว ถึงแม้ว่าจะเป็นผู้อาวุโสแล้ว แต่ เขาก็เรียกคุณกับเย่หลินมาโดยตลอด เย่หลินเคยบอกมาหลายต่อหลายครั้งแล้ว เขาก็ไม่ยอมเปลี่ยนคำพูด ยอกว่าการวางตัวของเย่หลิน ควรค่าที่จะทำให้เขาเคารพ

"อ้อ วันนี้ฉันมาเป็นช่างแต่งหน้าให้ค่ะ พวกเรา….ก็นับว่าเป็นเพื่อนเก่ากัน"

เธอพูดประโยคนี้อย่างไม่ได้เจตนา แต่ไม่คาดคิดว่าจะมีบางคนฟังเอาไปใส่ใจ

หนิงเส่าเฉินมองผู้หญิงตรงหน้าด้วยความหมายที่ลึกซึ้ง ประธานหวงคนนี้ เขารู้จัก วางตัวหยิ่งยโสเสมอ คนธรรมดาไม่อยู่ในสายตา แต่วันนี้กับเด็กผู้หญิงคนนี้ ใช้คำว่า"คุณ" ผู้หญิงคนนี้ ไม่ธรรมดา

คนสองสามคนทักทายกัน แล้วก็แยกจากกัน

เย่หลินจะไปหาอ้ายหมี่ แต่ ห้องนี้กว้างเกินไปจริงๆ ด้านในมีสระว่ายน้ำ ใหญ่เล็กสามขนาด แล้วก็ห้องออกกำลังกาย ห้องเต้นรำ KTVและอื่นๆ ในบ้านมีหลายสิบห้อง แต่ละห้องการตกแต่งคล้ายๆกัน ดังนั้น เธอวนไปวนมา ก็หลงทาง

งานแต่งงานจัดขึ้นที่สนามหญ้าขนาดใหญ่หน้าบ้าน เวลานี้ภายในบ้านไม่มีใครให้ถามเส้นทางแม้แต่คนเดียว

จู่ๆก็ได้ยินเสียงน้ำจากห้องข้างๆ เธอตื่นเต้นเล็กน้อย ยกมือขึ้นเคาะประตู ต้องการถามทาง

ต่อจากนั้น ก็ได้ยินเสียงน้ำด้านในหยุดลง

ต่อจากนั้น ประตูก็ถูกเปิดออกจากด้านใน อันดับแรกมองเห็นขาทั้งคู่ ด้านบนยังมีหยดน้ำ เงยหน้าขึ้นอีก ก็คือ กล้าเนื้อหน้าท้อง กล้ามเนื้อหน้าอก ต่อจากนั้น ก็คือสายตาที่เคร่งขรึมของหนิงเส่าเฉิน

เธออดไม่ได้ที่จะกลืนน้ำลายลงคอ มองเขาอย่างหิวกระหายเล็กน้อย

แต่ลืมปฏิกิริยาของสัญชาตญาณ

"ดูท่าคุณเย่ จะขาดผู้ชายอย่างมาก?" เขาพูดจบ ก็หันตัวกลับ ดึงบุหรี่จากบนโต๊ะมวนหนึ่ง จุดไฟ คาบไว้บนริมฝีปากบางๆ ควันลอยเป็นเกลียวอยู่ที่ปลายลิ้น เขาหรี่ดวงตา พิจารณาผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้า

หนิงเสี่ยวซีตั้งแต่เด็กก็เข้ากับคนอื่นไม่ค่อยได้ ก็ไม่รู้ว่าเพราะไอคิวที่สูงเกินไป เลยดูหมิ่นที่จะเล่นกับเด็กเหล่านั้น หรือว่าอะไร อย่างไรก็ตาม กับเด็ก ไม่ว่าจะเด็กโตหรือเด็กเล็ก เขาก็กลัวและหลีกเลี่ยงมัน

วันนี้ก็เช่นกัน……

หนิงเสี่ยวซีถูกสายตาหนิงเส่าเฉินถามอย่างเจาะลึก ร่างน้อยๆก็สั่นเทา เมื่อกี้เขาทำไม่เหมาะสมใช่ไหม? คาดไม่ถึงว่าต้องไปอุ้มยัยเด็กคนนี้จริงๆใช่ไหม?

"ไม่ต้อง!" เย่เสี่ยวโม่ตอบโดยไม่เงยหน้าขึ้น พอดีกับมีทางแยก ก้นเล็กๆของเธอบิดไปมา เดินไปยังอีกทางหนึ่ง และกับพ่อลูกสองคนนี้ ก็วิ่งไปในทิศทางที่ตรงกันข้าม

หนิงเสี่ยวซีลูบๆจมูก เห็นได้ชัดว่าเขินอายเล็กน้อย นี่เป็นครั้งแรกที่เขาแสดงออกอย่างใกล้ชิดกับเด็ก แต่คาดไม่ถึงว่า……

หนิงเส่าเฉินรอเขาเดินมา ก็ตบๆไหล่เขา สองพ่อลูกก็ไม่ได้พูดอะไรอีก

เพียงแต่ ทั้งสองคนเดินเข้าไปในห้อง ร่างเล็กๆก็เดินออกมาจากเสา แล้วรีบตามไป

ในห้องโถงใหญ่ แม่หนิงที่กำลังเล่นอย่างมีความสุข ได้ยินเสียงฝีเท้า ก็เงยหน้าขึ้นเห็นเป็นหนิงเสี่ยวซี ก็รีบโยนโทรศัพท์ในมือออกไป ลุกขึ้น แทบจะวิ่งไปข้างหลัง แล้วกอดหนิงเสี่ยวซี "ไอ๊ยะ เสี่ยวซี ย่าคิดถึงจังเลย มาให้ย่าดูหน่อย โตขึ้นและอ้วนขึ้นหรือยัง?" พูดไปพลาง หมุนๆหนิงเสี่ยวซีไปพลาง แล้วตบๆด้านหลังเขา ยิ้มพูดว่า : "ไม่เลวไม่เลว แข็งแรงแล้ว"

"คุณย่า" ไม่เหมือนหนิงเสี่ยวซีตอนเด็ก สี่ปีนี้ เขาดูนิ่งขึ้นมาก เหมือนกับผู้ใหญ่ตัวน้อย ก่อนหน้านี้ก็ไม่ได้สนิทสนมกับแม่หนิงขนาดนั้น แค่กล่าวทักทายอย่างสุภาพเท่านั้น

มือของแม่หนิงก็หยุดชะงักอย่างเห็นได้ชัด พยักหน้า ไม่พูดอะไร

"เธอ ไม่มาหรอ?" เมื่อพูดคำนี้ เธอก็มองไปที่หนิงเส่าเฉิน

"ฉันไม่ได้บอกเธอ" หนิงเส่าเฉินตอบกลับด้วยสีหน้าเหมือนปกติ

แม่หนิงมองเด็กและผู้ใหญ่ตรงหน้า แล้วถอนหายใจ บอกใบ้ให้หนิงเส่าเฉินนั่งลงตรงข้าม "อาเฉิน ในเมื่อแต่งงานแล้ว ชีวิตนี้ของเธอ ก็คือภรรยาของคุณ แม้ว่าจะไม่สามารถตัดใจจากคนบางคนได้ แต่ ยังต้องเรียนรู้ที่จะยอมรับนะ รู้ไหม?"

พูดจบ ก็ดึงมือของหนิงเสี่ยวซี "เด็กน้อย เกาเหวินคนนัเนก็ไม่ได้แย่นะ คุณลองคิดว่าเธอเป็นแม่ดูก็ได้ เธอสามารถปฏิบัติดีๆกับคุณได้นะ"

หนิงเสี่ยวซีเงยหน้า มองแม่หนิงด้วยสายตาลึกซึ้ง แต่ดึงแม่ออกจากในมือของเธอ "คุณย่า คุณคุยกับพ่อของฉันไปเถอะ ฉันจะไปดูทางด้านหน้าหน่อย"

ชั่วพริบตาร่างน้อยๆที่อยู่ด้านหลัง ถึงอย่างไรก็ยังเด็กเกินไป เธอไม่เข้าใจความหมายที่คุณย่าคนนี้พูดหรอก……

คิดๆแล้ว ก้นก็ส่ายๆ หันกลับ ไปอีกทางหนึ่ง

ชูหยูจี้กำลังทักทายแขกที่มาอยู่ จู่ๆ ต้นขาก็รู้สึกอุ่นๆ ก้มลงไปมอง ในแววตาก็เต็มไปด้วยความรักใคร่เอ็นดู

"เสี่ยวโม่ คุณมาตั้งแต่เมื่อไหร่?" พูดพลาง โค้งตัวลง ยกเธอขึ้นมา อยู่ในอ้อมแขน

"พ่อชู วันนี้คุณหล่อจริงๆเลย" เย่เสี่ยวโม่พูดจบ ก็หอมแก้มชูหยูจี้

"คุณชายชู ท่านนี้คือ?"

บรรดาแขกเหรื่อเห็นชูหยูจี้อุ้มเด็กผู้หญิงคนนี้อย่างรักคร่เอ็นดู ก็เริ่มหาหัวข้อสนทนา คิดจะพยายามตีสนิท

ชูหยูจี้มองเย่เสี่ยวโม่ ชั่วขณะก็ยังไม่รู้ว่าจะแนะนำเธอยังไงจริงๆ ที่จะดูว่าเหมาะสม

"เขาคือพ่อบุญธรรมของฉัน" เย่เสี่ยวโม่ตอบกลับ แทนคำตอบของเขา

พ่อบุญธรรม? ใช่ พ่อบุญธรรม

"เด็เล็กขนาดนี้ โต้ตอบกลับได้รวดเร็วแบบนี้ ในอนาคต ไม่เป็นอัจฉริยะเลยหรอ?"

"ใช่ใช่ ยังเกิดมาสวยแบบนี้ คุณชายชู มีวาสนาจริๆเลย!"

ชูหยูจี้พยักหน้า เพียงแค่ยิ้มๆ โอ้อวดเกินไป คำพูดเสแสร้งเกินไป เขาก็ไม่อยากจะพูดมาก เหนื่อย

"คุณอา" ไม่รู้ว่าเมื่อไร หนิงเสี่ยวซียืนอยู่ไม่ไกลคนทั้งสอง

ชูกยูจี้หันตัวกลับ เห็นหนิงเสี่ยวซี ก็นิ่งอึ้งไปอย่างชัดเจน แล้วมองเย่เสี่ยวโม่ที่อยู่มนอ้อมกอดด้วยจิตสำนึก จู่ๆก็นึกอะไรขึ้นได้ คอฝืดเล็กน้อย

"โอ้ เสี่ยวซี คุณเข้ามาตั้งแต่เมื่อไร? เมื่อกี้คุณย่ายังหาคุณอยู่เลยนะ?" ชูหยูจี้ทักทายด้วยความกระตือรือร้น

หนองเสี่ยวซีพยักหน้า แต่จู่ๆมือก็ชี้ไปยังเย่เสี่ยวโม่ที่อยู่ในอ้อมกอดของเขา "คุณอา เธอคือใคร?"

ชูหยูจี้ตกใจ หนิงเสี่ยวซีไม่เล่นกับเด็ก หลายปีมานี้ ไม่ใช่ความลับอะไรแล้ว

"คุณ ถามเธอ?" ชูหยูจี้พูดซ้ำ ในความหมายแฝง คุณให้ความสนใจเด็กตั้งแต่เมื่อไร?

อันที่จริงตัวหนิงเสี่ยวซีเองก็รู้สึกแปลกใจอย่างมาก เขาไม่ชอบเด็กมาโดยตลอด ไม่ว่าจะอายุเท่ากันแก่กว่าหรืออ่อนกว่า เขาก็ไม่เคยที่จะเล่นกับพวกเขา

แต่ วันนี้เด็กผู้หญิงคนนี้ ดึงดูดสายตาของเขา

"เธอคือ……ลูกสาวบุญธรรมของอา" ชูหยูจี้พูดประโยคนี้จบ ก็หดหู่ใจเล็กน้อย นำเย่เสี่ยวโม่วางลงบนพื้น "

เย่เสี่ยวโม่เป็นเด็กที่ฉลาดมาก เธอรู้ว่า ชูหยูจี้จงใจให้เธอไป

พอเท้าถึงพื้น ขาเล็กๆทั้งสองก็วิ่งไปอย่างรวดเร็ว

"พี่เย่ วันนี้พี่ชายก็มานะ คุณคิดถึงเขาไหม?"

พี่ชาย? หนิงเส้าเฉิน? เย่หลินสูดลมหายใจเข้า พยายามระงับความหวาดหวั่นภายในใจ

เธอคิดถึงเขา มันแน่นอนอย่างมาก

กับอ้ายหมี่ เธอโกหกไม่ได้ ดังนั้น จึงยิ้มเล็กน้อย แล้วพยักหน้า

"มิน่าล่ะวันนี้คุณถึงแต่งตัวสวยขนาดนี้?"

สวย? เย่หลินหันไป มองตนเองผ่านในกระจก

ผมยาวคลุมไหล่ ใบหน้างดงาม แต่งหน้าอ่อนๆ เดรสยาวเปิดไหล่ลายลูกไม้สีเบจ

นี่ คือการแต่งตัวปกติของเธอ

"สวยหรอ? ฉัน….ฉันปกติก็แต่งตัวแบบนี้นะ?" พูดพลาง นำผมไปทัดที่หลังหู

"น้องสาวของเรา เพียงแค่ใส่กระสอบ ก็งามล่มเมืองแล้ว ยังต้องใช้ความสามารถอะไรอีกล่ะ?" เสียงที่คุ้นเคยดังเข้ามา หญิงทั้งสองก็หันไปมองทึ่หน้าประตูในเวลาเดียวกัน

ชุดสูทสีควันบุหรี่ เสื้อเชิ้ตสีขาว หูกระต่ายสีแดง ตกแต่งได้ธรรมดาอย่างมาก แต่ก็ปกปิดความหล่อเหลาของเขาเอาไว้ไม่ได้

"สามี คุณหล่อจัง!" อ้ายหมี่มือทั้งสองปิดปาก ชมเชยโดยไม่สำรวมแม้แต่น้อย

ชูหยูจี้เดินเข้ามา จูบบนหน้าผากอ้ายหมี่ "ขอบคุณภรรยาที่ชื่นชม" สี่ปีมานี้ อ้ายหมี่ก็นับว่าใช้คุณธรรมของตนเองทำให้ชูหยูจี้ประทับใจครั้งแล้วครั้งเล่า

ครั้งสุกท้ายนี้ คือคนทั้งสองไปท่องเที่ยว อ้ายหมี่ทำเพื่อช่วยเหลือเขา จึงตกลงมาจากหลังม้า ในที่สุดก็ทำให้ชูหยูจี้เห็นได้อย่างชัดเจนว่า เดิมที ที่ไม่รู้สึกรู้สา เขากับผู้หญิงคนนี้ ก็มีความรักความผูกพันธ์ ถึงจะเบาบางมาก ตื้นเขินมาก

"หยูจี้ นี่คือผลกำไรของรอบฤดูกาล คุณเข้ามาแล้ว ฉันกำลังจะให้คุณอยู่พอดี ก็จะได้ไม่ต้องโอน" เย่หลินนำบัตรใบหนึ่งจากในกระเป๋าส่งให้ชูหยูจี้

"น้องสาว ต้องทำแบบนี้เลยหรอ? พี่ชายไม่ได้ขาดเงินนะ ฉันจะมาบอกคุณว่า วันนี้พี่ชายฉันพาหนิงเสี่ยวซีมาด้วยนะ สามปีแล้ว คุณไม่คิดวางแผนอะไรเลยหรอ?"

เย่หลินนิ่งอึ้งไป คิดวางแผน?

"ใครหรอ?"

"ตามฉันไปก็พอ" อ้ายหมี่ยิ้ม ถือกระโปรง ดึงเย่หลินออกไป หันกลับเดินไปทางสวนด้านหลัง

"คุณไม่ได้พาฉัน มาเจอเขาใช่ไหม?" นึกถึงตรงนี้ เย่หลินชั่วขณะก็หยุดฝีเท้าลง หลีกหนีมาหลายปีขนาดนี้ ถ้าเธออยากจะเจอ คงไม่ต้องรอเวลาจนถึงวันนี้หรอก

อ้ายหมี่ส่ายหัว เธอจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าเธอคิดอะไรในใจ?

ด้านหนึ่งของสวน

ก้นเล็กๆของเย่เสี่ยวโม่ออกแรงแกว่งชิงช้า ทว่าทำอย่างไรมันก็ไม่แกว่ง มองไปยังข้างข้าไม่ไกล มีเด็กผู้ชายคนหนึ่งนั่งอยู่

เด็กชายในเสื้อเชิ้ตสีขาว เสื้อกั๊กถักสีน้ำเงินกรมท่า กางเกงสูท ผมสั้น ในมือถือแท็บเล็ต ดูเหมือนกำลังเล่นอะไรอยู่ อย่างตั้งอกตั้งใจ เห็นเพียงด้านข้าง ก็ทำให้คนไม่อาจละสายตาได้ ช่างดูดีอย่างมาก

"เอ่อ พี่ชาย คุณช่วยฉันแกว่งชิงช้านี้หน่อยได้ไหม?" เธอขยี้ๆตา แล้วพูดออกไป

เด็กผู้ชายคนนั้นตกตะลึง ได้ยินเสียงจึงหันมา ชำเลืองมองเธออย่างเย็นชา แล้วลุกขึ้น

เย่เสี่ยวโม่คิดว่าเขาจะมาช่วยตน ใบหน้าก็มีภูมิใจ แต่ว่า เขากำลังเดินไปทางอื่น หันหลังให้เธอ เดินห่างออกไป แล้วนั่งลงอีกครั้ง

เธอขมวดคิ้ว ค่อยๆลงจากชิงช้า กำลังจะวิ่งไปถามเขาว่าทำไมเขาไม่สุภาพแบบนี้

หางตาก็เห็นอ้ายหมี่กับเย่หลินเดินมาทางเธอนี้

คิดว่าพวกเธอจะมาตามหาเธอ ชั่วขณะก็เกิดซุกซน คิดๆแล้ว ก็เลยหาที่ซ่อนขึ้นมา

มื่อเห็นว่า มาถึงที่ท้ายสวน อ้ายหมี่ก็ไม่ได้หยุดเดิน เย่หลินก็ไม่เข้าใจเล็กน้อย กำลังจะเอ่ยถาม อ้ายหมี่ก็ชำเลืองไปมองตำแหน่งตรงข้าม พยักหน้าขึ้น

เย่หลินมองตามสายตาของเธอไป จากนั้น เธอก็ยกมือ ปิดปาก

หนิงเสี่ยวซี เด็กที่ไม่ได้เจอหน้ากันมาสี่ปี เวลานี้ โตขึ้นกลายเป็นหนุ่มน้อยแล้ว ใบหน้ากลายเป็นผู้ใหญ่มาก เธอคาดไม่ถึงจริง ว่าเขา สง่างามอย่างมาก

สองสามปีนี้ ที่เธอรู้สึกปฏิบัติไม่ดีที่สุด ก็คือกับเด็กคนนี้

จริงๆแล้วในระหว่างนั้น เธอแอบกลับไปเมือง C แอบไปที่คฤหาสน์ตระกูลหนิง แต่ไม่เคยเจอเขาเลยสักครั้ง

ชูหยูจี้เคยส่งรูปถ่ายสองสามรูปให้เธอ แต่มันเทียบกับตัวจริงตรงหน้าไม่ได้เลย มันทำให้ใจคนสั่นไหว

ในซอกนิ้วมือ มีของเหลวไหลลงมา หยดต่อหยด จนกลายเป็นสาย

เด็กชายเหมือนจะรู้สึกว่ามีคนมองมาที่เขา จึงเงยหน้าขึ้น ทว่าไม่เห็นใคร คิดๆแล้ว ก็ลุกขึ้น แล้วเดินไปทางด้านห้องโถงใหญ่

มองภาพด้านหลังของเขา เย่หลินเดินออกมาจากกำแพงอย่างช้าๆ หนิงเสี่ยวซีสูงมาก ยังคงซูบผอม แต่มีกลิ่นอายความเป็นวัยรุ่นแล้ว

"สูงอย่างนี้ คาดว่าปีหน้าจะสูงเกือบเท่าคุณแล้ว พี่เย่ พาเด็กคนนี้ออกไป ใครก็เชื่อว่าคุณเป็นแม่ของเขา!"

เย่หลินก้มหน้า เม้มๆปาก ความคิดถึงไหลรวมกันจนกลายเป็นสายน้ำ เป็นเวลานานที่ในใจไม่สามารถสงบลงได้

พาออกไปหรอ? ชั่วชีวิตนี้ ยังมีโอกาสเช่นนี้อยู่อีกหรอ?

"กลับไปเถอะ!" เย่หลินค่อยๆหันกลับ ถแอนหายใจเบาๆ แล้วสูดหายใจเข้า

หลังจากที่ทั้งสองคนเดินไป ร่างน้อยๆที่อยู่ด้านหลังก็เดินออกมา ดวงตากลมโตกระพริบสองสามที ขมวดคิ้วจนยุ่ง

แม่ของเขา? เด็กคนนั้นคือลูกชายที่แม่ให้กำเนิดงั้นหรอ? เป็นพี่ชายของเธอ?

ปากน้อยๆแยกออก ดวงตายิ้มเป็นเส้นโค้ง เธอเย่เสี่ยวโม่มีพี่ชาย! เธอเย่เสี่ยวโม่คาดไม่ถึงว่าจะมีพี่ชาย เพื่อนสนิทที่โรงเรียนอนุบาลของเธอ หลายคนต่างก็มีพี่ชายพี่สาว เธอก็รู้สึกอิจฉา คิดถึงตรงนี้ ก็กรอกดวงตา ไปยังทิศทางของหนิงเสี่ยวซี แล้ววิ่งเข้าไป

หนิงเสี่ยวซีกำลังนั่งอยู่ที่ระเบียงทางเดินคนเดียว ก็มีเด็กดื้อคนหนึ่งพุ่งเข้ามา โผเข้าในอ้อมกอดของเขา

"พี่ชาย" เสียงที่อ่อนหวาน มีความบอบบาง

เขาขมวดคิ้ว ดันคนที่อยู่ในอ้อมกอดออก "คุณเป็นใคร?" เสียงเย็นชา ไร้ซึ่งอารมณ์ความรู้สึก

เย่เสี่ยวโม่รู้สึกว่าพี่ชายคนนี้ไม่เหมือนกับตนเองเล็กน้อย ทำไมถึงเย็นชาขนาดนี้? ปากคว่ำลง น้ำตาไหลออกมา

หนิงเสี้ยวซีนิ่งอึ้งไป ต่อจากนั้น ก็มองซ้ายขวา จนปัญญาเล็กน้อย "เฮ้ คุณร้องไห้ทำไม? ฉันไม่ได้ตีคุณเลยนะ?"

เย่เสี่ยวโม่ซื้ดจมูก ชั่วพริบตาน้ำตาก็หยุดลง ลืมตา จึงได้เห็นรูปร่างหน้าตาที่ชัดเจนของพี่ชาย ต่อจากนั้น ปิดปากเล็กๆ พี่ชายคนนี้เหมือนกับแม่จริงๆ

นึกถึงผู้ชายคนนั้นที่หน้าประตูโรงพยาบาลก่อนหน้านี้ ถึงแม้ว่า เวลานั้นเธอจะสะลึมสะลือเล็กน้อย แต่ในความเลือนลาง ก็ยังเห็นรูปร่างหน้าตาของผู้ชายคนนั้นได้อย่างชัดเจน

ดูแล้ว ชั่วร้ายมาก พูดจาไม่ดี ใจร้ายกับแม่มาก

คิดถึงตรงนี้ ในดวงตามืดมนลงอย่างฉับพลัน มือน้อยๆที่คว้ามุมเสื้อของหนิงเสี่ยวซีไว้ ก็ปล่อยออก เธอหันตัว เดินไปยังสถานที่อื่น

เป็นเพราะพ่อและพี่ชายไม่ชอบเธอและแม่แน่ๆ ดังนั้น พวกเขาถึงได้ใจร้ายขนาดนี้

ดังนั้น แม่เห็นพี่ชาย ก็ชัดเจนว่าคิดถึงมาก แต่ไม่กล้าพูดจากับเขา ก็เพราะพี่ชายไม่ชอบเธอ

ด้วยเหตุนี้ ไม่นาน ในสมองของเธอก็ได้ข้อสรุปหนึ่ง งั้นก็คือ พี่ชายและพ่อของเธอ ล้วนเป็นคนที่ชอบล้อเล่นกับความรู้สึกของผู้หญิง แล้วก็ไม่ดีกับแม่ของเธอ

"กระเป๋าของคุณ" เสียงของหนิงเสี่ยวซีดังเข้ามาจากด้านหลัง ต่อจากนั้น กระเป๋าสีชมพูก็ปรากฎอยู่ตรงหน้าของเย่เสี่ยวโม่ นั่นคือของขวัญวันเกิดที่น้าอ้ายหมี่มอบให้เธอเมื่อปีที่แล้ว

เธอมองทีหนึ่ง แล้วยื่นมือน้อยๆออกมา ดึงเอามา แล้วหันตัว จากไป

หนิงเสี่ยวซีรู้สึกว่าเด็กคนนี้แปลกจริงๆ เมื่อครู่วิ่งมากอดเขาอย่างกระตือรือร้นพลางตะโกนเรียกพี่ชาย อีกสักครู่หนึ่งร้องไห้ เวลานี้ ใบหน้าเย็นชา ไม่สนใจใยดี

มีคนบอกว่าจิตใจของผู้หญิง เหมือนเข็มในก้นทะเล นี่ไม่ผิดเลยจริงๆ เด็กขนาดนี้ ยังฉลาดพูดขนาดนี้

"เสี่ยวซี คุณย่ากำลังหาคุณอยู่ด้านหน้าห้องโถง" เสียงที่ดึงดูดของชายคนหนึ่งดังขึ้นเหนือหัวของเย่เสี่ยวโม่

เธอเงยหน้าขึ้น ผู้ชายคนนี้สูงมาก สูงจนเธอเงยหน้าแล้วปวดคอ เห็นรูปร่างหน้าตาของเขาชัดเจน หัวใจดวงเล็กๆ ขณะนี้ ได้สั่นขึ้นมาอย่างรุนแรง คือเขา? คนใจร้ายคนนั้น? พ่อของเธอ?

ในสมองเคบอิจฉาที่คนอื่นมีพ่อ แต่ หลังจากที่ได้ยินเรื่องที่พ่อบอกกับแม่แล้ว ถึงแม่พ่อจะไม่ได้บอกเธอชัดเจน ว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับพ่อของเธอหรือไม่ แต่ หลังจากที่เห็นท่าทีที่เขาทำกับแม่ เธอก็เกลียดชังขึ้นมาทันที

มือถือกระเป๋าใบน้อยแน่น เธอกัดริมฝีปาก หันตัวกลับอย่างทะนงตัว เดินผ่านด้านข้างหนิงเส่าเฉินไป

เพียงแต่คนตัวเล็ก ฝีเท้าก็เล็ก อย่างรวดเร็ว ผู้ชายตัวใหญ่ตัวเล็กสองคนที่อยู่ด้านหลังก็เดินแซงหน้าเธอไป

"คุณจะไปไหน? ฉันจะอุ้มคุณไป?" เมื่อหนิงเสี่ยวซีเดินมาข้างๆเธอ แล้วเอ่ยปากถาม เมื่อวานที่นี่ผลเพิ่งจะตกไว้ ในสวนดอกไม้ยังมีน้ำอยู่ จึงเดินได้ไม่ค่อยสะดวก เธอสวมรองเท้าคัชชู จึงทำให้เดินหนักแรง

หนิงเส่าเฉินได้ยิน ก็หันไปมองอย่างอย่างแปลกใจ พอดีเย่เสี่ยวโม่ก้มหน้า ดังนั้น จึงไม่เห็นใบหน้าที่แท้จริงของเธอ รู้สึกเพียงว่าลูกชายมีไม่ตรีจิต ซึ่งหาได้ยากจริงๆ

รูปร่างหน้าตาไม่เลว แต่ว่า แย่เกินไปสำหรับเย่หลิน!

ตอนบ่าย อู่เล่อเล่อโทรหาเธอ ความหมายคือ คนคนนั้นที่มาตอนเที่ยงออกไปแล้ว วิกฤตน่าจะได้รับการแก้ไขแล้ว

"ประธานเย่ ลูกค้าของวันนี้รอคุณอยู่ข้างในแล้ว" วันนี้เป็นงานแต่งงานของอ้ายหมี่กับชูหยูจี้ เธอขอให้อู่เล่อเล่อไปจัดการแต่งหน้า

เปลี่ยนชุดทำงานแล้ว สวมผ้าปิดปาก เธอเดินเข้าไปในห้องทำงาน หลังจากเข้าไป ก็เห็นผู้หญิงคนนั้นกำลังเล่นอย่างสนุกสนาน มองรูปร่างหน้าตาไม่ชัด

"สวัสดีค่ะ คุณผู้หญิง ฉันคือเย่หลิน วันนี้รับผิดชอบแต่งหน้าให้คุณ" เย่หลินดึงหน้ากากลงมาที่คาง หญิงวัยกลางคนตรงหน้าไม่เหมือนลูกค้าคนก่อนๆ ดูเหมือนว่ามาให้เธอแต่งหน้าเพื่อดูว่าที่ทุกคนเล่าลือกันมาเป็นอย่างไร เธอยังคงก้มหน้าก้มตาดูโทรศัพท์ แล้วก็ไม่ได้เงยหน้า ถือโอกาสโบกๆมือ "ไม่มีเงื่อนไข คุณแต่งให้ฉันแบบสดใสหน่อย ก็ได้นะ"

สด……สดใสหน่อยหรอ? เย่หลินขมวดคิ้ว พิจารณาคุณผู้หญิงตรงหน้านี้ จำใจต้องยอมรับ ว่าเธอดูแลสุขภาพอย่างดี ยังคงมีเสน่ห์ ร่างกายดูดีมาก แต่ ไม่ว่าจะดีแค่ไหน รูปลักษณ์นั้นก็มองออกได้ อย่างน้อยก็อายุประมาณ 50 แล้ว

เธอบอกว่าไม่มีเงื่อนไข อีกทั้งให้เธอแต่งแบบสดใสได้หรอ? อายุขนาดนี้ สดใส? เงื่อนไขนี้ มันมากเกินไปหรือเปล่า? มิน่าล่ะผู้หญิงเหล่านั้นใช้สิ่งนี้เพื่อตัดสินว่าจะเก็บไว้ให้เธอ

เห็นเธอไม่เคลื่อนไหวเป็นเวลานาน ผู้หญิงคนนั้นเก็บโทรศัพท์ เงยหน้าขึ้น มิงเย่หลิน "ทำไมหรอ มีปัญหาอะไรหรือเปล่า?"

ดวงตาของเย่หลินลดลงเล็กน้อย ได้พบกับดวงตาใสคู่นั้นของเธอ อายุขนาดนี้แล้ว คาดไม่ถึงว่าจะมีแววตาที่ใสสะอาดเช่นนี้ เธออดไม่ได้ที่จะตกตะลึงในใจ เธอต้องเป็นผู้หญิงที่มีความสุขมากๆเลยใช่มั้ย? มิเช่นนั้น อายุขนาดนี้แล้ว หลังจากผ่านโลกมามากมาย ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะรักษาดวงตาให้ชัดเจนได้

"คุณผู้หญิง คุณต้องเป็นคนที่มีความสุขมากๆอย่างแน่นอน" ในใจคิดอะไร เธอก็พูดออกมา ทางด้านนี้ สำหรับคำว่า"สดใส"สองคำที่เธอร้องขอ ชั่วพริบตาก็ดูมีหนทาง

เปิดกล่องเครื่องสำอาง เก็บรอยยิ้มบนใบหน้า แล้วเริ่มเข้าสู่สถานะการทำงาน

เหอหลิง "ถูกต้อง สามีของฉันปฏิบัติต่อฉันเป็นอย่างดี ฉันมีลูกสาว แล้วก็มีลูกชาย ล้วนแต่ดีมากๆ ฉันยังมีหลานชายที่น่ารัก อืม ฉันก็รู้สึกว่ามีความสุขมาก" เธอพูดอย่างสบายๆ อายุมากขนาดนี้แล้ว ถ้าคนปกติพูดแบบนี้ ทำให้คนรู้สึกว่าไม่สอดคล้องกับอายุ แต่ว่า บังเอิญออกมาจากปากของเธอ เย่หลินก็รู้สึกว่ามีแต่ความสุข

เธอมีหน้าตาที่งดงามมาก โดยส่วนใหญ่ไม่จำเป็นต้องแต่งเติม ดังนั้น เย่หลินเติมช่องว่างระหว่างคิ้วด้วยพาเลทเขียนคิ้วที่ใกล้เคียงกับสีคิ้วของเธอ จากนั้นใช้อายแชโดว์สีน้ำตาลอ่อนเป็นเบสในการแต่งตา สุดท้าย ปัดอายแชโดว์สีทองอ่อนให้เปลือกตาดูสว่าง อายแชโดว์แสงแวววาวมีผลในการลดอายุได้อย่างดีเยี่ยม

ต่อจาก ขนตา อายแชโดว์ จากนั้นจึงลงลิปกลอสสีชมพูใสที่ริมฝีปาก

ใช้ที่หนีบหนีบผมที่เป็นลอนเล็กน้อยของเธอให้ตรง มัดผมหางม้าสูง แม้ว่าความสุขุมสง่างามจะน้อยลงไป แต่ความดูมีชีสิตชีวากลับมากขึ้น

ลุกขึ้น เธอพินิจดูอย่างรอบคอบแล้ว พบว่าไม่มีปัญหาอะไร ก็เลยยื่นกระจกแต่งหน้า ส่งให้เหอหลิง

"คุณผู้หญิง คุณลองดู ว่าอย่างนี้ได้ไหม?"

เหอหลิงรับกระจกมา ชำเลืองมองแบบไม่ได้ใส่ใจมาก จากนั้น พอแสงส่องตรงหน้า ก็ลุกขึ้นยืน หันไปทางกระจกแต่งหน้าบานใหญ่ หันดูซ้ายดูขวา "ไอ๊ยะ สมคำร่ำลือจริงๆ เพื่อนของฉันบอกว่าคุณเก่งมาก บอกว่าคุณฝีมือดี ไม่เลวไม่เลว"

พูดจบ ก็หยิบโทรศัพท์ เดินไปทางประตู แล้วหันกลับมา มองเย่หลิน "สาวน้อย คุณชื่ออะไร? ฉันกลับไปจะไปพูดถึงคุณกับนิ้งสาวของฉัน เธอก็เป็นช่างแต่งหน้าที่มีชื่อเสียงในระดับนานาชาติอีกด้วย……”

เย่หลินพยักหน้า "คุณผู้หญิง คุณเรียกฉันว่าเย่หลินก็ได้"

"โอเค เสี่ยวเย่ ไว้เจอกันนะ"

เห็นภาพด้านหลังที่เดินจากไปอย่างกระตือรือร้นนั้น เย่หลินก็ยิ้ม คนคนหนึ่งจะมีความสุขหรือไม่มีความสุข ไม่ได้ขึ้นอยู่กับภาษาและการแต่งตัวของคุณ แต่ขึ้นอยู่กับสายตา ถึงจะอายุเท่านี้ แต่ยังมีนิสัยเหมือนเด็กแบบนี้ เธอคิดว่า ผู้หญิงคนนี้จะต้องมีผู้ชายที่เป็นห่วงเธออยู่ที่บ้าน

แต่ไม่เคยคาดคิดมาก่อน วันหนึ่ง เธอจะถูกผู้ชายคนนั้นรักและเอ็นดู

"ประธานเย่ ตอนบ่ายสองโมงคุณต้องไปแต่งหน้าให้คุณอ้ายหมี่ คุณว่าควรจะออกไปสักกี่โมงดี? ฉันจะเรียกรถมาให้คุณ" เห็นเธอออกมา อู่เล่อเล่อก็เข้ามาหา

"อื้ม ไม่ต้องหรอก ฉันยังต้องกลับบ้าน เดี๋ยวนั่งรถไปเอง!" วันนี้เป็นพิธีแต่งงานของชูหยูจี้และอ้ายหมี่ พวกเขาเน้นว่าจะต้องพาเย่เสี่ยวโม่ไปด้วย

พูดถึงอ้ายหมี่ เย่หลินเพิ่งจะมารู้ทีหลังว่า ที่แท้ พ่อของอ้ายหมี่ก็ทำการค้าอาวุธยุทโธปกรณ์อยู่ที่ต่างประเทศ ค่อนข้างมีอำนาจและบารมีสูงทั้งด้านขาวและดำ

เธอรู้จักกับชูหยูจี้เมื่อตอนที่มาเที่ยวต่างประเทศ

อ้ายหมี่หลงรักหยูจี้ตั้งแต่แรกพบ รบเร้าพ่อของเธอ บีบบังคับให้พาเธอไปตระกูลชูเพื่อสู่ขอ

ตระกูลชูก็เป็นครอบครัวใหญ่ ตนเองไม่เกรงกลัวอำนาจบารมีพ่อของอ้ายหมี่ แต่ว่า ช่วงหลังก็ได้พบอ้ายหมี่เด็กคนนี้แล้วก็สนิทกัน อาจจะด้วยการเติบโตที่ต่างประเทศ นิสัยจึงเปิดกว้างเป็นพิเศษ แต่ ก็ชนะก้นบึ้งของหัวใจ หลังจากนั้นตระกูลชูก็เห็นว่าชูหยูจี้ไม่มีความรักมาหลายปี ก็ไม่ได้คิดวางแผนที่จะเจรจา ก็ตอบรับให้อ้ายหมี่เป็นลูกสะใภ้ตระกูลชู

เวลานั้น เธออยู่เมืองS ชูหยูจี้เป็นห่วงเธอ วิ่งมาหาเธออยู่บ่อยๆ หลังจากได้พบอ้ายหมี่แล้ว ก็ตามไปอยู่ที่เมืองS

พอดีเธอท้องได้สามเดือน ไปตรวจครรภ์กลับมา พบอันธพาลสองสามคนบนถนน เห็นรูปร่างหน้าตาเธอไม่เลว จึงมีความคิดที่ไม่ดี

เมื่อเธอกำลังไม่ได้รับการช่วยเหลือ เธอก็พบผู้หญิงคนหนึ่ง สวมรองเท้าส้นสูง ยกมือขึ้นลง เธอมองไม่เห็นการกระทำที่ชัดเจนของเธอ พวกอันธพาลเหล่านั้นก็ถูกทุบตีจนหมอบคลาน

ต่อมา ผู้หญิงคนนั้นก็หยิบมือถือมาดูรูปหนึ่งแล้วพิจารณาเธออยู่รอบหนึ่ง

ต่อจากนั้น เมื่อชูหยูจี้เข้ามา เธอจึงรู้ว่าที่แท้ที่ก็คือคู่หมั้นของเขา เข้าใจแล้วว่าเพรสะเหตุใดในตอนนั้นที่หนิงเส่าเฉินเจอชูหยูจี้ครั้งแรก จึงให้เธอออกให้ห่างเธอหน่อย เพราเบื้องหลังผู้หญิงคนนี้ไม่ธรรมดา

หลายปีมานี้ ถ้าจะบอกว่าชูหยูจี้มีบุญคุณต่อเธออย่างมากจนไม่อาจทดแทนได้ อย่างนั้นอ้ายหมี่คนนี้ก็เข้าใจและใจกว้างอย่างมาก และที่สำคัญ

พ่อของอ้ายหมี่มีชื่อเสียงในท้องถิ่น เพราะความซื่อสัตย์และความกล้าหาญ วันนี้ลูกสาวของเขาแต่งงาน ฉากนี้ ก็เป็นประวัติการณ์เช่นกัน

"แม่ คุณไปเป็นเพื่อนน้าอ้ายหมี่ ส่วนฉัน ฉันจะไปหาของกินสักหน่อย" หลังจากมาถึง เย่เสี่ยวโม่ก็กล่าว

"เย่เสี่ยวโม่ วันนี้มีคนเยอะ คุณวิ่งไปแบบนี้คนเดียวไม่ได้" เย่หลินไม่ปล่อยมือ

"แม่ คุณคิดว่าฉันคือคุณหรอ? จะว่าไปแล้ว อยู่ในเขตน้าอ้ายหมี่นี้ ใครจะกล้าลักพาตัวฉันไป?"พูดจบ ก็ดันมือของเย่หลินออก ร่างน้อยๆบิดไปมา วิ่งไปจนมองไม่เห็นคนแล้ว

เย่หลินชขมวดคิ้ว

"พี่เย่ เดี๋ยวฉันไปคนไปคอยดูหน่อยก็ได้ ยัยหนูเสี่ยวโม่นั่น ฉลาดหลักแหลม คุณไม่ต้องกังวลไปหรอก" อ้ายหมี่ยืนอยู่หน้าประตู ส่งเสียงกล่าว

เย่หลินพยักหน้า หันตัวกลับ "คุณนั่งลง ฉันจะเริ่มแต่งหน้าให้คุณ!"

แต่อ้ายหมี่ไม่ได้นั่งลงตามคำสั่ง "พี่เย่ ฉันจะพาคุณไปพบคนคนหนึ่งก่อนนะ?"

"ใคร?"

หลังจากเย่หลินเข้าไป ก็ไปที่ห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน เตรียมจะเปลี่ยนชุดทำงาน เพียงแต่ เสื้อคลุมยังไม่ทันได้ถอดออก

"พูดเรื่องเมื่อวานมาให้ชัดเจน" จู่ๆเสียงก็ดังขึ้นข้างๆหูอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย ทำให้เย่หลินตกใจจนตัวสั่นเล็กน้อย เธอหันกลับไป เห็นเย่เส่าเฉินยืนสองมือล้วงกระเป๋า อยู่หน้าประตูห้องเปลี่ยนเสื้อผ้า ก็อดไม่ได้ที่จะตบๆหน้าอก "คุณ……คุณทำให้คนตกใจแทบตายเลยนะ?"

"อย่าเปลี่ยนประเด็น พูด เมื่อ 9 ปีก่อน คุณให้กำเนิดเด็กไปเมื่อไหร่?"

เย่หลินเงยหน้า กระพริบๆตามองหนิงเส่าเฉิน แกล้งทำสีหน้าตกตะลึงไม่เข้าใจแล้วพูดว่า "คุณผู้ชาย ฉันไม่เข้าใจว่าคุณพูดอะไร……”

ท่าทางนั้น เห็นได้ชัดว่ากำลังจะบอกหนิงเส่าเฉินว่า ก่อนหน้านี้เธอโกหก

เวลานี้ หลิวซูรีบเดินมาจากด้านนอก นำโทรศัพท์มาส่งให้หนิงเส่าเฉิน "นี่คือทางด้านนั้นส่งมา เป็นข้อมูลของเธอ"

หนิงเส่าเฉินรับโทรศัพท์มา กวาดสายตามอง แล้วขมวดคิ้วแน่น "ข้อมูลนี้ไม่ผิดพลาดจริงๆหรอ?"

หลิวซูพยักหน้าด้วยสีหน้าจริงจัง "อีกฝ่ายมีชื่อเสียงและศักยภาพในการทำงาน ไม่ผิดพลาดแน่นอน"

หนิงเส่าเฉินคืนโทรศัพท์ให้หลิวซู ทางด้านนี้ เดินเข้า นิ้วเรียวยาวยื่นไปบีบคิเย่หลิน พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา : "คาดไม่ถึงว่าคุณจะกล้ามาเล่นกับฉัน คุณใจกล้าไม่เบา……”

เย่หลินรู้สึกได้ถึงการหายใจที่ลำบากยิ่งขึ้น หนิงเส่าเฉินคนนี้บไปแล้วหรอ คิดจะบีบคอเธอจริงๆหรอ? เธอออกแรงง้างมือของเขา ทว่าก็เหมือนเอาไม้ซีกไปงัดไม้ซุง

ไม่นาน เธอก็รู้สึกว่าภาพตรงหน้าเปลี่ยนเป็นสีดำ พระเจ้า หนิงเส่าเฉิน คุณต้องการบีบคอฉันให้ตาย ลูกสาวคุณก็จะกลายเป็นเด็กกำพร้า

เมื่อเธอคิดว่าตนเองจะต้องตายอย่างแน่นอน ฉับพลันหนิงเส่าเฉินก็สลัดเธอออกไป เธอโซเซ ล้มลงบนพื้น

"แค่ก……แค่ก……” ถ้าไม่ใช่ว่าเธอเข้าใจเขา เวลานี้ เธอจะต้องรู้สึกว่าหนิงเส่าเฉินเป็นคนเลว แค่พูดโกหก จำเป็นต้องลงมืออย่างโหดเหี้ยมขนาดนี้เลยหรอ?

"ฉันดูว่า คุณไม่ต้องการบริษัทของคุณอีกแล้ว ใช่ไหม?" เขาพูดอย่างเรียบๆ แต่แววตาเผยให้เห็นความเย็นชา แต่เป็นการแจ้งให้เย่หลินทราบ ว่าเขาไม่ได้ล้อเล่น

"เมื่อวานก็เพราะว่าลูกฉันมีไข้สูง ฉันเลยจนปัญญา พระพุทธเจ้าตรัสว่า ช่วยคนหนึ่งชีวิต……?”

"แล้วมันเกี่ยวอะไรกับฉัน?" หันกลับไป มองหลิวซูที่อยู่ไม่ไกล พูดว่า : "เตรียมการรับซื้อบริษัทแห่งนี้"

คำพูดของหนิงเส่าเฉินทำให้เย่หลินเหมือนตกนรก

เธอลุกขึ้นยืนโดยแทบไม่รับรู้ถึงความเจ็บปวด เดินไปข้างหน้า ดึงแขนของหนิงเส่าเฉิน ขมวดคิ้ว "ทำไมคุณต้องทำอย่างนี้? ใช่ เมื่อว่าฉันไม่ควรโกหกคุณ แต่ว่า ฉันไม่มีทางเลือก ฉันไม่พูดแบบนั้น คุณก็ไม่ให้ฉันขึ้นรถใช่ไหมล่ะ?"

แสงแดดด้านนอก ส่องผ่านกระจก สะท้อนให้เห็นใบหน้าขาวผ่องของเธอ ในแววตาเธอมีความโกรธ แต่ดูหมดจดอย่างมาก ท่วงทำนองของเสียง ท่าทางการขมวดคิ้ว พอมองใกล้ๆ ยิ่งรู้สึกว่าเหมือนเคยเจอกันมาก่อน ชั่วขณะ หนิงเส่าเฉินก็ใจลอย

รู้สึกได้ว่าเขากำลังพินิจพิเคราะห์ตนเองอยู่ เย่หลินก็หันหน้าหนีอย่างขาดความมั่นใจ ปล่อยแขนของหนิงเส่าเฉิน ถอยหลังไปสองสามก้าว "เมื่อวานฉันไม่น่าโกหกคุณ เป็นฉันที่ผิดเอง ขอโทษนะ ขอร้องคุณล่ะ อย่าคิดเล็กคิดน้อยกับฉันเลย ฉันเป็นแค่บริษัทเล็กๆ ไม่ได้มีชื่อเสียงมากมาย คุณเอาไป ก็ไม่มีประโยชน์อะไร……”

แต่ เธอยังไม่ทันพูดจบ ชายตรงหน้าก็หันหลังกลับ เดินออกไป

เย่หลินกลืนน้ำลาย เธอเงยหน้าขึ้นมองภาพด้านหลังของหนิงเส่าเฉิน

ช่วงเวลานี้ เธอทำอะไรไม่ถูกเลย!

หนิงเส่าเฉิน ความอ่อนโยนของคุณสามารถมอบให้กับเฉินเป้ยอีได้เท่านั้น…….

เย่หลินเธอสวยขนาดนี้ หรือว่าคุณมองไม่ออก? เพียงแค่โกหกคุณ คุณต้องใจดำอำมหิตเช่นนี้เลยหรอ?

เธอกัดริมฝีปากเล็กน้อย สูดลมหายใจเข้า เมื่อไล่ตามออกไป หลิวซูยืนอยู่ด้านนอก เห็นเธอเดินเข้ามา ก็เข้ามาเผชิญหน้า "คุณเย่ คุณไม่ควรโกหกเขา"

เย่หลินเม้มปาก พยักหน้ากับหลิวซู ไม่ได้พูดจา

หลิวซูมีประสิทธิภาพในการทำงานรวดเร็วอย่างมาก

ผ่านไปหนึ่งชั่วโมง ก็มีคนนำหนังสือรับซื้อฉบับหนึ่ง มาถึงบริษัทของเธอ

เห็นกระดาษหลายแผ่นที่อยู่ตรงหน้า เย่หลินก็กัดฟัน ลุกขึ้นยืน เดินไปยังด้านนอก ส่งข้อความไปหาชูหยูจี้

ชูหยูจี้โทรกลับมาอย่างรวดเร็ว "ว้าว พี่ชายฉันคนนี้ ช่างเด็ดขาดจริงๆ เห็นผู้หญิงสวยขนาดนี้แล้ว คาดไม่ถึงว่ายังกล้าลงมือได้ลงคอ"

เย่หลินกรอกตามองบน ใช้มือคลึงลำคอของตนเองเล็กน้อย "หยูจี้ หลายปีมานี้พี่ชายของคุณยังสบายดีอยู่ไหม?"

หลายปีมานี้ เธอทำได้เพียงแอบเรียนรู้เรื่องราวที่ผ่านมาต่างๆแล้วเข้าใจสถานการณ์ปัจจุบันของเขา

แต่ไหนแต่ไรเธอไม่เคยถามชูกยูจี้เลย เธอกลัวว่าจะทำให้เขาเป็นกังวล

"เขา….." ชูหยูจี้หยุดลงชั่วขณะ เงียบไม่พูดจาอยู่นานมาก จึงค่อยๆเอ่ยปาก: "เพราะเฉินเป้ยอีตายไป หลายปีมานี้เขาจึงใช้กำลังและจิตใจที่มีทั้งหมดไปกับการทำงาน ขณะนี้หนิงกรุ๊ปก็มีการเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวง เพียงแต่การปฏิบัติหน้าที่ก็ยิ่งโหดเหี้ยมอำมหิต คนจำนวนมากได้ยินชื่อของเขา ต่างก็ขวัญหนีดีฝ่อ"

เมื่อเย่หลินคิดว่าเขาไม่สามารถพูดอะไรได้อีก ชูหยูจี้ก็เอ่ยปากอีกว่า: "เย่จึ ฉันได้ยินแม่ฉันบอกว่า ส่วนเกาเหวินตอนนี้ก็ยังพักอยู่ในห้องพักแขก หลายปีมานี้พี่ชายฉันไม่เคยอยู่ด้วยกันกับเธอเลย"

วินาทีต่อมา มือถือในมือเย่หลินก็ลื่นตกลงพื้น ในสายตาชัดเจนว่ามีความประหลาดใจ สี่ปีแล้วนะ!

เฉินเป้ยอีตายไปนานขนาดนี้แล้ว หนิงเส่าเฉิน คนโง่ เมื่อไรคุณถึงจะปล่อยวางได้?

"โอ้ พูดขึ้นมาแล้ว พี่ชายฉันก็ใช้ได้เลยจริงๆ เพื่อคุณ ก็แทบจะทำตัวเองเป็นพระสงฆ์ ยังหนุ่มยังแน่นขนาดนี้ จุดๆนี้ ฉันนับถือจริงๆ" บนพื้น โทรศัพท์ทางด้านนั้น ชูหยูจี้ยังคงพูดอยู่

เย่หลินกำมือทั้งสองแน่น ก้มตัวลงไปเก็บมือถือ แต่ในใจก็เจ็บปวดใจขึ้นมาอย่างฉับพลัน

หรือว่าตอนนี้เธอเลือกผิดไปจริงๆ?

"เอาล่ะ เรื่องนี้ คุณไม่ต้องยุ่งเกี่ยว ฉันจะออกหน้าเอง!" ชูหยูจี้เห็นเธอไม่พูดจา รู้ว่าเธอจะต้องเริ่มครุ่นคิดอีก ก็เริ่มเบี่ยงเบนความสนใจของเธอ

"อื้ม โอเค เข้ารู้ว่าคุณคือเจ้านายตัวจริง ก็น่าจะให้อภัยลูกน้อง" พูดจบ เธอก็วางโทรศัพท์

เพราะเรื่องนี้จึงไม่มีอารมณ์ทำงาน เพราะเป็นกังวลเย่เสี่ยวโม่ เย่หลินจึงเลิกงานก่อนล่วงหน้า หลังจากกลับไป พี่ซวี่ก็บอกว่า วันนี้เย่เสี่ยวโม่ฟื้นตัวกลับมาปกติแล้ว ไม่มีไข้แล้ว มองดูแล้วดูมีชีวิตชีวาดี

จู่ๆเห็นเธอกลับมาตอนกลางวัน พี่ซวี่ก็ไม่ได้ถามมาก ก็ไปถูพื้นต่อ

เย่หลินล้างมือแล้ว แล้วก็ไปที่ห้องเย่เสี่ยวโม่ เธอยังหลับอยู่ คลำๆที่หน้าผาก ไม่ร้อนแล้วจริงๆ ทันใดก็เผลอยิ้มออกมา "นักเรียนเย่เสี่ยวโม่ เมื่อวานหนูอยากเจอหน้าพ่อของหนูใช่ไหม ดังนั้น จึงจงใจเป็นไข้ใช่ไหม?" เธอพูดพลาง เธอก็ขยี้จมูกเล็กน้อย

ลุกขึ้นยืน เดินไปยังนอกห้อง เพียงแต่ พอเธอก้าวเท้าออกไป คนด้านหลังที่เมื่อกี้หลับสนิทอยู่ ก็ลืมตา ส่งสายตามองไป ขมวดคิ้ว ที่แท้ผู้ชายคนนั้นเมื่อเย็นวาน ก็คือพ่อของเธอ?

งั้น…..เธอจะต้องช่วยแม่คนนี้ไหมนะ?

"คุณต้องพูดให้ชัดเจน" น้ำเสียงที่ไร้อารมณ์ส่งออกมาจากปากเขา

เย่หลินกัดริมฝีปากล่าง หันไป มองเขา "ฉันจะพูดให้ชัดเจนก็ได้ แต่ว่า คุณต้องส่งฉันกลับบ้านก่อน"

พูดจบ เธอไม่สนใจว่าหนิงเส่าเฉินจะเห็นด้วยหรือไม่

ทางด้านนี้ เปิดประตูคู่กับคนขับ เข้าไปนั่งเลย

"รบกวนคุณไป……” เธอแจ้งที่อยู่บ้านของตนเอง

หลิวซูอดไม่ได้ที่จะมองไปที่หนิงเส่าเฉินอีกครั้ง พบว่าสีหน้าของเขาดูไม่ดีอย่างมาก

อดไม่ได้ที่จะแอบภาวนาต่อผู้หญิงที่อยู่ข้างๆ

แต่ไหนแต่ไรมาหนิงเส่าเฉินไม่ใช่คนที่อ่อนโยนต่อสตรี พอเฉินเป้ยอีตายไป ก็ยิ่งหนักขึ้น ถ้าคืนนี้ผู้หญิงคนนี้ไม่พูดหนึ่งสองสามออกมา เกรงว่ามันจะไม่จบลงด้วยดี

เพราะว่าถนนที่ไม่คุ้นเคยนี้ หลิวซูต้องใช้การนำทาง

ต้องใช้เวลาหนึ่งชั่วโมงกว่าในการเดินทาง ถนนเส้นนี้ เงียบสงัดมาก

เย่หลินที่อยู่บนรถ สองมือจับกันไว้จนเป็นกำปั้น น้ำตาก็ไหลไม่หยุด

ชายสองคนบนรถ เธอวิตกกังวลเรื่องลูกสาวเท่านั้น

แต่เธอรู้ว่า วิตกกังวลเรื่องลูกสาวก็ส่วนหนึ่ง คิดถึงหนิงเส่าเฉิน ก็ส่วนหนึ่ง

ชัดเจนว่า เขาก็อยู่ด้านหลัง แต่ เธอไม่สามารถทำอะไรได้ ไม่สามารถพูดคุยได้

หลิวซูตั้งใจเร่งความเร็ว 40 นาทีกว่า ก็มาถึงประตูทางเข้าบ้านของเธอ จากไกลๆ เธอก็เห็นพี่ซวี่อุ้มเย่เสี่ยวโม่ยืนอยู่ข้างทาง

"ขอร้องคุณหน่อยได้ไหม ไปส่งฉันที่โรงพยาบาลที ขอร้องล่ะ" เธอมองไปทางหลิวซู แล้วยกมือไหว้

หลิวซูหันไป มองหนิงเส่าเฉิน

"คุณไม่มีแฟนหรอ?" ผู้ชายคนนั้นลืมตาขึ้น ถามดด้วยน้ำเสียงเย็นชา

เย่หลินตัวสั่นเล็กน้อย กลืนน้ำลาย พูดว่า "เรา เลิกกันไปแล้ว"

เวลานี้ รถมาหยุดตรงหน้าพี่ซวี่

เย่หลินเปิดประตูรถ แต่ไม่ได้ปิด รีบรับเย่เสี่ยวโม่จากพี่ซวี่ แล้วเข้าไปนั่งข้างคนขับอีกครั้ง ปิดประตูรถ ฉับพลัน รถก็ขับออกไปอย่างรวดเร็ว

เย่เสี่ยวโม่เพ้อเล็กน้อย "ป้าซวี่ อย่าเร่งแม่ เธอจะกระวนกระวายใจ" เธอหลับตาอยู่ เพราะมีไข้สูงปากน้อยๆ แห้งจนเป็นขุย ทั้งตัวสั่นเทาเล็กน้อย แต่ว่า ยังคงคิดแทนเธอ

เย่หลินจะร้องไห้ ขอบตาแดง

หลิวซูมองเบาะหลังผ่านกระจกมองหลัง เห็นหนิงเส่าเฉินหลับตา ไม่ได้พูดอะไร อดไม่ได้ที่จะหันหน้าไปมองผู้หญิงที่อยู่ข้างๆ

นิสัยใจคอของหนิงเส่าเฉิน โหดร้ายมาก ต่อผู้หญิง ก็ยิ่งไม่ใจอ่อน

โรงพยาบาลอยู่ไม่ไกลจากบ้าน ขับรถไป เพียงไม่กี่นาที

ถึงทางเข้าโรงพยาบาล รถยังไม่ทันจอดสนิท เธอก็อุ้มเย่เสี่ยวโม่ลงจากรถ

เพียงแต่ คนยังไม่ทันได้เดินไป แขนเธอ ก็ถูกดึงไว้

"พูดเรื่องก่อนหน้านี้ให้ชัดเจนก่อน!" เป็นเสียงของหนิงเส่าเฉิน เขาไม่รู้ว่าลงมาจากรถตั้งแต่เมื่อไหร่

เย่หลินสูง 165 ก็ไม่ได้เตี้ย แต่ต่อหน้าหนิงเส่าเฉินที่สูง 180 กว่า เห็นได้ชัดเจนว่าตัวเล็ก เธอเงยหน้า ถลึงตาใส่หนิงเส่าเฉิน ก้มมองลูกที่อยู่บนไหล่ของเธอ เธอพบว่าจริงๆแล้ว หนิงเส่าเฉินคนนี้นอกจากจะสนใจคนของตนเองแล้ว ก็พูดได้ว่าเป็นสัตว์เลือดเย็นจริงๆ รู้ทั้งรู้ว่าเด็กมีไข้สูง เวลานี้คาดไม่ถึงว่าจะจับเธอไว้ไม่ปล่อยแบบนี้

หากเธอคือเฉินเป้นอี เวลานี้เธอน่าจะมีความสุข ถึงอย่างไร หนิงเส่าเฉินก็อ่อนโยนเอาใจใส่ต่อเธอ

แต่ เวลานี้ เธอคือเย่หลิน ดังนั้น เธอจึงโมโหเป็นพิเศษ จ้องมองเขา กล่าวตะโกนว่า: "คุณเป็นคนหรือเปล่า? ลูกสาวฉันมีไข้สูงอยู่นะ?"

ตะโกนเสร็จ ก็สะบัดมือของหนิงเส่าเฉิน แล้วเดินเข้าโรงพยาบาลไปอย่างรวดเร็ว

หนิงเส่าเฉินมือแข็งทื่ออยู่กลางอากาศ มองค้างอยู่นาน หลิวซูเห็นเช่นนี้ ก็เดินเข้าไป กล่าวว่า: "เมื่อกี้เธอเหมือนว่าจะด่าคุณนะ……"

มองภาพด้านหลังนั้นที่หายไปจากทางเข้าโรงพยาบาล หนิงเส่าเฉินหันกลับไปมองหลิวซู ขมวดคิ้วแน่น "เสียงของเธอ…..คุณรู้สึกว่าคุ้นๆหูไหม?"

เสียงของผู้หญิงคนนี้พูดเวลาโกรธกับเสียงของเฉินเป้ยอีที่พูดเวลาโกรธ มันคล้ายกันมากจริงๆ

หลิวซูตบเบาๆที่หลังของเขา "เธอตายไปแล้ว"

ประโยคหนึ่งนี้ ทำให้หนิงเส่าเฉินจมดิ่งอยู่ในเหวลึก

หลังจากหมอตรวจอาการให้เด็กเล็กน้อยแล้ว ก็ยัดยาใส่ทางทวารหนักให้เย่เสี่ยวโม่ จากนั้นก็ให้คำแนะนำเป็นภาษาอังกฤษแก่เย่หลิน

หลายปีมานี้เธอเรียนภาษาอังกฤษอย่างสุดความสามารถแล้ว การสนทนาในชีวิตประจำวันไม่มีปัญหา แต่แต่หมอพูดเป็นศัพท์เฉพาะทางแบบนี้ เธอก็ทึมทื่อไป

เธอขมวดคิ้ว ใช้ภาษาอังกฤษพูดกับหมอคนนั้นว่า ตนเองภาษาอังกฤษไม่ค่อยดี ให้เธอเขียนให้หน่อย

หมอผู้หญิงคนนั้นมีท่าทีที่ไม่เลว หยิบกระดาษแผ่นหนึ่งออกมาและเขียนบันทึกอย่างละเอียด ส่งให้เธอ พยักหน้ากับเธอ แสดงเจตนาให้เธอนั่งลงด้านข้าง

ผ่านไปครึ่งชั่วโมง เย่เสี่ยวโม่ไข้ลดลงแล้ว ก็ไม่สั่นอีก ขณะที่กำลังรออยู เธอก็หลับไป เอนกายในอ้อมกอดเธอ หลับอย่างสงบ

เธอถอนหายใจโล่งอกอย่างฉับพลัน

เย่หลินนำเธอมาโอบไว้ในอ้อมกอดแน่น ก้มหน้า มองไปยังใบหน้าน้อยๆของเธอ ตาและคิ้วนี้ ช่างเหมือนกับหนิงเส่าเฉินจริงๆ "เสี่ยวโม่ เมื่อกี้ผู้ชายคนนั้นคือพ่อของคุณ เขาชื่อหนิงเส่าเฉิน"

พูดจบ เธอก็ยิ้มมุมปากเล็กน้อย

บางครั้ง เธอก็รู้สึกขอบคุณอย่างมากกับความเมตตากรุณาของพระเจ้า เมื่อตอนที่ต้องเสียหนิงเส่าเฉินไป ก็ส่งเย่เสี่ยวโม่มาให้เธอ อย่างน้อย ชีวิตของเธอ ก็มีความหวังเพราะเหตุนี้

หนิงเส่าเฉิน……ทันที เธอก็นึกอะไรได้ อุ้มเย่เสี่ยวโม่ลุกขึ้น มองผ่านหน้าต่างห้องฉุกเฉินไปยังหน้าประตูโรงพยาบาล รถสีดำคันนั้นยังไม่ออกไป ไฟหน้าและไฟท้ายส่องสว่าง ชัดเจนว่าพวกเขายังอยู่

ในใจก็ตื่นตระหนก นึกถึงคำพูดตัวเองก่อนหน้าที่จะขึ้นรถ เธอก็อดไม่ได้ที่จะถอยหลังไปหลายก้าว

หลิวซูและหนิงเส่าเฉินรออยู่ในรถนานแล้ว ก็ไม่เห็นเย่หลินจะออกมา หลิวซูจึงเข้าไปถามในห้องฉุกเฉิน

"ออกไปจากที่นี่แล้ว" มีอาสาสมัครคนหนึ่งที่เป็นคนจีน ได้ยินหลิวซูถาม ก็ชี้ไปทางทางออกอีกด้านหนึ่งของห้องฉุกเฉิน

"คนล่ะ?" เห็นหลิวซูออกมาคนเดียว หนิงเส่าเฉินก็เอ่ยปากกล่าวถาม

หลิวซูทุบพวงมาลัยรถเล็กน้อย รถปรากฎเสียง"แตร"ที่แสบแก้วหู "หนีไปแล้ว……"

หนิงเส่าเฉินหันหน้ากลับไปมองโรงพยาบาลตรงหน้า ยิ้มมุมปาก กล้าหลอกเขา อืม ใจกล้าไม่น้อยเลย

เย่หลินไม่คาดคิด หนิงเส่าเฉินพวกเขาสามารถหาบริษัทของเธอพบได้

ตอนเช้าพอเธอมาถึงบริษัท อู่เล่อเล่อเห็นเธอเข้ามา ก็รีบเข้าไปต้อนรับ

"ประธานเย่ ทำไมคุณถึงเพิ่งมาล่ะ?"

เย่หลินนิ่งอึ้งไป เห็นสีหน้าของเธอเปลี่ยนไปเล็กน้อย ก็อดไม่ได้ที่จะกล่าวถาม: "สีหน้าคุณไม่ค่อยดี เกิดเรื่องอะไรหรือเปล่า?"

อู่เล่อเล่อแก่กว่าเธอสิบปี ก่อนหน้านี้ก็ทำงานอยู่ในบริษัทเดียวกัน มีความสามารถอย่างมาก ไม่ได้แต่งงาน ดังนั้น จึงมีความกระตือรือร้นในการทำงานสูงมาก ชูหยูจี้ใช้ความคิดอย่างมากในการช่วยขุดค้นเข้ามา

หลายปีมานี้ ช่วยเหลือเธอมามากมายหลายเรื่อง ปฏิบัติหน้าที่อย่างมั่งคงใจเย็น

เรื่องที่สามารถทำให้เธอตื่นตระหนกได้? เธออดไม่ได้ที่มีมีลางสังหรณ์ใจ

อู่เล่อเล่อส่ายหน้า "คุณรีบเข้าไปเถอะ มีคนมาหาคุณ"

"ฉันถามคุณหน่อย 9ปีก่อน คุณคลอดลูกใช่ไหม?"

"9ปีก่อนหรอ? ……คุณผู้ชาย คุณล้อเล่นหรือไง เมื่อสองสามปีก่อนฉันคลอดลูก แต่ เพิ่งจะสามขวบ……” พูดจบ เธอก็คิดๆ ก้าวไปข้างหน้า หยิบโทรศัพท์และส่งให้หนิงเส่าเฉินอย่างกระตือรือร้น "คุณดูสิ นี่ลูกสาวฉัน น่ารักจริงๆเลย"

ด้วยการแสดงออกที่เกินจริงของเธอ กลิ่นทุเรียนที่รุนแรง ก็โผเข้ามาที่จมูก

หนิงเส่าเฉินขมวดคิ้ว อยากจะไปดูโทรศัพท์ของเธอซะที่ไหน เกือบจะรีบร้อนหันหน้ากลับ โบกมือให้เธอด้วยความรังเกียจ หันกลับไป หันหลังให้เธอ

เย่หลินมองภาพด้านหลังบุคคลนั้น ก็ปวดร้าวในใจ ยากที่จะควบคุมน้ำตาไว้ ไหลรินลงมา สองสามปีนี้ เธอพยายามไม่คิดถึงเขา แต่เวลานี้ ความพยายามทั้วหมดเพียงแค่เจอหน้าเขา ทั้งหมดก็สูญสิ้นไป ขาของเธออ่อนแรง หัวใจของเธอชาไปหมด

ฝีเท้านั้น เหมือนจะก้าวไม่ออก

เธอแทบจะมองร่างนั้นอย่างอาลัยอาวรณ์

"เส่าเฉิน ฉันมาแล้ว……” เธอเอ่ยอยู่ในใจอย่างเงียบๆ

ดึงประตูเปิดออก หลิวซูพิงกำแพงอยู่ เห็นเธอออกมา ก็ยืนตัวตรงทันที

เย่หลินเก็บความอาลัยอาวรณ์ในดวงตา เงยหน้าขึ้น มองเขาด้วยรอยยิ้ม "พี่ชายสุดหล่อ ขอบคุณที่ช่วยเหลือนะ" ชั่วขณะหลิวซูก็ตกตะลึงอย่างเห็นได้ชัด เรียกว่าอะไรดี รอยยิ้มเย้ายวนชวนน่ามองนั้น ช่างไม่มีใครเหมือน เขาโชคดีที่ในใจตนเองมีหนิงเชี่ยนอยู่ ไม่หลงคนอื่นง่ายๆ มิเช่นนั้น ขณะนี้ ต้องใจสั่นไปแล้วจริงๆ

เห็นเธอลงชั่นล่างไป หลิวซูก็เข้าไปในห้อง "เป็นยังไงบ้าง? ใช่ไหม?"

หนิงเส่าเฉินยืนอยู่ที่หน้าต่าง ขณะนี้กำลังมองเย่หลินที่เดินไปที่ชั้นล่าง ภายใต้แสงไฟที่อบอุ่น เธอก้าวฝีเท้าได้เร็วมาก……

ชั่วขณะ หนิงเส่าเฉินอดไม่ได้ที่จะหัวเราะ เขาอาจจะหมกมุ่นจนเกินไปจริงๆ มิเช่นนั้น สักครู่นี้ เขามองท่าทางการเดินและภาพด้านหลังของผู้หญิงคนนี้ ทำมถึงได้ดูเหมือนเฉินเป้ยอีล่ะ?

อีกทั้ง เธอก็สามารถแต่งหน้าได้……

แต่ เขารู้ว่า เป็นไปไม่ได้ เขาเฝ้าดูการเผาศพเธอด้วยตาของตนเอง

อีกอย่าง เธอเกลียดทุเรียนที่สุด แค่ได้กลิ่นเธอก็บอกว่าอยากจะอ้วกแล้ว จุดนี้ พวกเขามีความรู้สึกเหมือนกันมาโดยตลอด……

"ไปตรวจสอบหน่อย ดูว่าเธอไม่ได้โกหกจริงไหม" ท้ายที่สุด เขาก็ไม่ได้ตอบคำถามของหลิวซู แต่สั่งเขาต่อ

"ได้ ฉันจะให้คนไปทำทันที"

ยืนอยู่หน้าประตูทางเข้า จู่ๆเย่หลินก็ตกตะลึง เธอลืมไปได้อย่างไรว่าสถานที่นี้ ไม่มีรถแท็กซี่? มองดูเวลา ตอนนี้จะให้รถของบริษัทมารับ เวลาไป – กลับหลายชั่วโมง

โทรศัพท์ดังขึ้น รับสาย

"คุณเย่ สภาพจิตใจของเสี่ยวโม่แย่มาก ฉันดูว่าเธอน่าจะสับสนเล็กน้อย คุณรีบกลับมานะ รีบเลย……”

"อ่ะ โอเค โอเค ฉันจะไปทันที คุณใช้น้ำอุ่นเช็ดตัวเธอไปก่อน ฉันจะไปทันที……” วางสายไป มองหน้ามองหลัง มีรถยนต์ส่วนตัวผ่านไปมา เธอโบกเรียกอยู่นาน ก็ไม่มีใครจอด สิบนาทีผ่านไป นึกถึงเย่เสี่ยวโม่ เธอร้อนใจจนไม่มีวิธีการแก้ปัญหา

แล้วก็เกลียดสองสามปีที่ผ่านมา ทำไมไม่เรียนรู้ที่จะขับรถ

จู่ๆ เธอนึกถึงอะไรได้ ก็กัดฟัน ถอดชุดทำงานของตนเองออก เผยให้เห็นสายเดี่ยวสีดำด้านใน ปลดยางรัดผมออก ถอดแว่นกรอบดำ ดันหน้าม้าขึ้น แสดงให้เห็นใบหน้าที่สวยงามนั้น

จากนั้น เธอยืนยู่ข้างถนน แล้วเริ่มเรียกรถ

ได้ผลอย่างยอดเยี่ยมมากจริงๆ เพียงเธอยื่นมือ รถคันแรกก็จอดลง "HI สาวสวย คุณต้องการจะไปไหนครับ?" คนขับเป็นชายผิวดำรูปร่างสูง พอเห็นว่าเธอเป็นคนจีน ก็ใช้ภาษาจีนที่ไม่ค่อยจะดีกล่าวทักทายเธอ

ช่วงเวลาสั้นๆนี้ เย่หลินก็ถอยหลังกลับ คนคนนี้สักยันต์ทั้งตัว มองแล้ว ก็ไม่เหมือนคนที่ดีตรงไหน ถ้าเธอขึ้นรถไป อีกสักครู่ลูกสาวก็ไม่สามารถช่วยได้ ดีไม่ดี ยังจะหาเรื่องใส่ตัวเองอีก

คิดถึงตรงนี้ เธอก็สวมชุดทำงานใหม่อีกครั้ง มัดผมขึ้น สวมแผ่ตาดำ โน้มตัวไปกล่าวว่า: "ฉันหอบหืดกำเริบ ฉันต้องการไปโรงพยาบาล คุณ….." เธอแสร้งทำท่าทางหอบขึ้นมา

คำพูดส่วนท้ายของเธอยังไม่ทันได้พูดออกมา รถที่เมื่อกี้ยังจอดอยู่ตรงหน้าเธอ ก็ออกตัวไปอย่างรวดเร็ว

ต่อมา ก็ไม่มีรถจอดอีกเลย เห็นเวลายิ่งนานขึ้น เย่หลินก็ยิ่งสับสนวุ่นวายจริงๆ

"เส่าเฉิน คุณดูผู้หญิงคนนั้นสิ ใช่ผู้หญิงคนนั้นในงานเลี้ยงเมื่อกี้หรือเปล่า?" หลิวซูมองเห็นผู้หญิงคนหนึ่งจากไกลๆที่โบกไม้โบกมือเรียกให้เขาจอดรถ พอเข้าไปใกล้ เขาจึงเห็นรูปร่างหน้าตาของเธอได้ชัดเจน

หนิงเส่าเฉินที่นั่งอยู่เบาะหลัง หลับตาอยู่ ได้ยินหลิวซูพูดแบบนี้ เขาก็ลืมตา สายตากวาดไปมองผู้หญิงคนนั้น ผ่านกระจกหน้ารถ

สมาธิตั้งมั่น ดึงริมฝีปากขึ้น ส่งเสียงเคร่งขรึมอย่างไร้ความปราณี: "ไม่ต้องสนใจ ขับผ่านไป"

หลิวซูพยักหน้า อึกๆอักๆ มองผ่านกระจกมองหลังก็พบว่าหนิงเส่าเฉินหลับตาลงอีกครั้ง เขาก็ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี จึงยกเท้าไปที่คันเร่ง เตรียมเพิ่มความเร็วเพื่อจากไป

แต่ว่า……

ในเวลาเดียวกันก็มีเงาดำเงาหนึ่ง ปรากฎที่หน้ารถของเขา

"เอี๊ยด….."

เสียงของล้อที่เสียดสีกับพื้น แสบแก้วหูจนไม่น่าฟัง

หลิวซูพ่นลมหายใจอย่างแรง เปิดกระจก ตวาดเสียงดัง: "คุณอยากตายนัก ใช่ไหม?"

ถ้าเมื่อกี้ไม่ใช่รถเพิ่งจะเพิ่มความเร็ว เวลานี้ผู้หญิงคนนี้ ก็เกรงว่าจะไม่มีชีวิตแล้ว

เย่หลิวคาดไม่ถึง ว่ารถที่ขวางจะเป็นรถของหลิวซู เธอดีใจ "คุณสามารถพาฉันไปด้วยไดไหม ขอร้องคุณล่ะ ลูกของฉันเป็นไข้สูงอยู่ที่บ้าน รอให้ฉันส่งเธอไปโรงพยาบาล"

เธอยังไม่ทันพูดจบ ก็ร้องไห้สะอื้นอยู่ในใจ หลายปีมานี้ เธอร้องไห้น้อยมาก เพราะเธอไม่เต็มใจที่จะให้เย่เสี่ยวโม่เป็นกังวล เพราะข้างกายเธอไม่มีผู้ชายที่ดูแลเธอได้หากเธอหลั่งน้ำตา สังคมนี้ ทุกคนล้วนเร่งรีบ ถ้าไม่ได้สนใจจริงๆ ใคร จะต้องมาสงสาร เพราะน้ำตาของเธออีก?

ในเมื่อไม่มีใครสงสาร อย่างนั้นจะร้องไห้ให้ใครดูล่ะ?

แต่ วันนี้ อยู่ต่อหน้าหนิงเส่าเฉิน ความเข้มแข็งทั้งหมดของตัวเธอเอง พ่ายแพ้อย่างกะทันหัน

หนิงเส่าเฉินที่นั่งอยู่เบาะหลัง ก็กระแอมเบาๆ

หลิวซูส่ายหน้าอย่างรู้สึกเสียใจกับเย่หลิน ทางนี้ เริ่มสตาร์ทรถขึ้นมาใหม่อีกครั้ง

เย่หลินหมดหวัง เขารู้ความหมายของหนิงเส่าเฉิน ว่าจะไม่พาเธอไป

ในใจก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกทั้งดีใจทั้งเสียใจ ที่ดีใจคือ หนิงเส่าเฉินไม่ได้ถูกใบหน้าที่สวยงามทำให้หวั่นไหว ไม่ว่าเย่หลินเธอจะรูปร่างหน้าตาเป็นยังไง?

ที่เสียใจก็คือ คนที่เป็นไข้อยู่นั้น คือลูกสาวของเขา แต่เธอไม่สามารถพูดอะไรได้เลยทั้งสิ้น

เห็นว่า รถสตาร์ทขึ้นมาอีกครั้งอย่างรวดเร็ว เธอก็ร้อนใจ หลับตา ปริปากออกมาว่า "เมื่อ…..เมื่อ9ปีก่อนฉัน เคยให้กำเนิดเด็กคนหนึ่ง"

รถ หยุดลงทันที

กระจกด้านหลังค่อยๆลดลง ใบหน้าที่คุ้นเคยของหนิงเส่าเฉินนั้นก็ปรากฎตรงหน้าของเธอ ยังคงหล่อเหลา ความคุ้นเคยนั้น แต่กลับดูเย็นชาอย่างยิ่ง ดูเหมือนแปลกหน้าไม่รู้จักกัน

หนิงเส่าเฉินชำเลืองมองเขา ถึงแม้ว่าจะหงุดหงิด แต่ยังคงมองตามสายตาเขาไป

เป็นเธอหรอ? ผู้หญิงที่หน้าตาคล้ายกับหนิงเสี่ยวซี?

ถึงแม้ว่าเธอตอนนี้ มันไม่น่าทึ่งเท่าหลังจากแต่งหน้าในคืนนั้น ชุดทำงาน แต่งหน้าอ่อนๆ ผมยาวมัดรวบไว้ข้างหลัง แต่งตัวเรียบง่ายมาก แต่ใบหน้าช่างงดงามอย่างยิ่ง เพียงแค่มองอย่างถี่ถ้วน แม้ว่าจะถูกปิดกั้นด้วยแว่นกรอบดำก็ตาม ก็หยุดความงามของเธอไม่ได้

"ลงไปขวางเธอไว้!" ครั้งที่แล้ว หลังจากที่เธอได้เปิดเผยใบหน้าออกมา แล้วก็ไม่มีร่องรอยอีก นอกจากนี้เขายังใช้เวลาส่วนใหญ่ในประเทศจีน เพื่อออกไปตามหา แต่ไม่มีข่าวคราวเลย คาดไม่ถึงว่าจะมาถึงต่างประเทศ

ผู้หญิงคนนั้นเดอมทีศัลยกรรมผิดพลาด เลยอารมณ์เสีย เมื่อสักครู่นี้ถูกช่างแต่งหน้าตบ ฉับพลันก็โกรธจนเต้าเร่าๆ

เห็นเย่หลินหันกลับต้องการจะไป เธอก็แทบจะโผเข้าไปหา เพียงแต่ ไม่รู้ว่ามีร่างหนึ่งออกมาจากไหน ดึงเย่หลินที่ไม่รู้จักมาก่อนมาไว้ด้านข้าง ดาราหญิงที่กำลังจะตะครุบตัวเธอก็ล้มลงบนพื้น ได้ยินเพียงเสียงร้องของเธอ"โอ้ย……”

จากนั้น ก็เห็นเธอปิดจมูก แล้ววิ่งออกไปด้านนอก เดิมทีก็ไม่มีเวลาจะไปหาเรื่องเย่หลิน

หลังจากเย่หลินมีปฏิกิริยาตอบกลับมา หันไปต้องการจะกล่าวขอบคุณ แต่หลังจากหันไป เมื่อเห็นหลิวซู เย่หลินก็ตัวแข็งทื่ออยู่ตรงนั้น ในสมองขาวโพลนว่างเปล่า หัวใจเต้นรัวราวกับกลอง

เธอก้มหน้าลงอย่างตื่นตระหนก หลับตา พยายามจัดระเบียบความคิดของตนเอง ก่อนจะลืมตาอีกครั้ง เธอก็ยิ้มแล้วมองหลิวซู

ชั่วพริบตา เธอดึงแขนที่ถูกหลิวซูจับไว้กลับมา โค้งตัวให้เขา แล้วพูดอย่างไม่ใส่ใจว่า : "ขอบคุณคุณผู้ชายสำหรับการช่วยเหลือ"

พูดจบ เธอก็หันกลับ จะเดินไป

หลิวซูอยู่ที่นี้ ไม่ต้องบอก ว่าหนิงเส่าเฉินก็อยู่ เธอคาดไม่ถึง ในโอกาสอย่างนี้ ทั้งสองได้พบเจอกันอีกครั้ง กะทันหันแบบนี้ หลบหนีไม่ทัน

ปีนั้นที่คลอดเย่เสี่ยวโม่แล้ว ภายในไม่กี่วัน เธอขอให้ชูหยูจี้ส่งเธอไปต่างประเทศ

เธอแค่กลัวว่าหากใกล้เกินไป ตนเองจะควบคุมหัวใจตัวเองไม่ได้

หลังจากมาถึงที่นี่ เดิมทีเธอคิดว่า ชั่วชีวิตนี้ จะไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก

แต่ไม่คิดว่า จะบังเอิญเจอกันอย่างนี้

"คุณผู้หญิงท่านนี้ เจ้านายของเรามีเรื่องอยากจะถามคุณหน่อย รบกวนตามฉันไปชั้นบนด้วย" แตกต่างจากการพูดคุยของหลิวซูที่น่าประทับใจ เขาเวลานี้ สีหน้าเย็นชา น้ำเสียงเยือกเย็นและยากที่จะปฏิเสธ

จับแขนเย่หลินอีกครั้ง แล้วเดินไปทางบันไดที่อยู่ด้านหลัง

เย่หลินแทบจะถูกลากดึงขึ้นไปชั้นบน

แสงชั้นบนสลัวเล็กน้อย เย่หลินกำลังมองทางอยู่ ก็ถูกหลิวซูผลักเข้าไปในห้องห้องหนึ่ง

ประตู ด้านหลัง ถูกปิดลงอีกครั้ง

ร่างที่สูงใหญ่นั้น ใบหน้าที่ปราณีตงดงาม อารมณ์เย็นชา มองมา เย่หลินก็รู้สึดขอบตาแดง เธอก้มหน้าลง กลืนน้ำลาย ต้องใช้ความพยายามอย่างมาก จึงเอ่ยว่า "คุณผู้ชาย คุณตามหาฉันมีธุระอะไร?" เธอตั้งใจทำให้น้ำเสียงอ่อนโยนลง อีกอย่างใบหน้าที่แปลกแตกต่างนี้ เธอเชื่อว่าหนิงเส่าเฉินไม่สามารถจำเธอได้อย่างแน่นอน

หนิงเส่าเฉินชำเลืองมองเธอ เม้มปากบางๆ ไม่ได้ตอบกลับ

เป็นเวลานาน จึงค่อยๆพูดว่า : "เงยหน้าขึ้นมา"

ครั้งนี้เย่หลินไม่ได้ขยับเป็นเวลานาน จนกระทั่งเธอรู้สึกว่ามีร่างหนึ่งปกคลุมเธอ เธอจึงเงยหน้าขึ้น พบกับดวงตาที่ถามเจาะลึกของหนิงเส่าเฉิน มือที่ห้อยทั้งสองข้าง กำเป็นหมัดโดยไม่รู้ตัว

กระพริบตา เธอสูดลมหายใจเข้าจมูก น้ำตาไหลลงมาทั้งสองข้าง

"คือเธอมาหาเรื่องฉัน ฉันไม่ได้ตั้งใจล่วงเกินเธอ คุณผู้ชาย คุณปล่อยฉันเถอะ……."

พูดพลาง ก็เอื้อมมืออยากจะไปดึงเสื้อของหนิงเส่าเฉิน เป็นอย่างที่คาดไว้ มือเธอยังไม่ทันโดนชายเสื้อของเขา เขาก็ตอบสนองโดยการถอยหลังไปหลายก้าว สายตาเย็นชามองไปยังเธอ "ฉันถามคุณ เดือนเมษาใน9ปีที่แล้ว คุณอยู่ที่ไหน? กำลังทำอะไรอยู่? อย่าหวังที่จะโกหก ฉันสามารถส่งคนไปตรวจสอบได้……"

เดือนเมษายนใน9ปีที่แล้ว? ตอนนี้หนิงเสี่ยวซี9ขวบ 9ปีก่อน เดือนนั้นเป็นเดือนที่ให้คลอดหนิงเสี่ยวซี เธอขมวดคิ้ว จงใจเกาศีรษะ ผ่านไปครู่หนึ่ง เธอจึงตอบกลับว่า: "ปีนั้น ฉันอยู่มหาวิทยาลัยปีหนึ่ง เดือนเมษายน ฉันก็น่าจะกำลังอ่านหนังสืออยู่"

ช่วงเวลาสั้นๆนี้ เธอต้องอขอบคุณที่ก่อนหน้านี้ชูหยูจี้ได้ช่วยทำข้อมูลให้เธอใหม่อีกครั้ง

"มหาวิทยาลัยปีหนึ่ง? ที่ไหน?"

"มหาวิทยาลัยเมืองW" เธอตอบกลับอย่างรวดเร็ว เพราะกลัวว่าจะในอนาคตจะต้องมีวันนี้สักวันหนึ่ง ดังนั้น เธอจึงทำข้อมูลเย่หลินใหม่ แล้วท่องจำจนขึ้นใจแล้ว

"เคยมีลูกมาก่อนไหม?"

"มี!" เธอตอบกลับอย่างตรงไปตรงมา พอพูดจบ เธอก็กุมท้องน้อย ชี้ไปที่ทุเรียนอบแห้งที่อยู่บนโต๊ะ "คุณผู้ชาย ฉันขอทานนั่นหน่อยได้ไหม? ตอนเย็นฉันไม่ได้ทานข้าว หิวมากเลย!" เธอพูดความจริง แต่ ก็ต้องการที่จะใช้อาหารมาปกปิดความเชื่อมั่นของตนเอง แล้วก็ เฉินเป้ยอีไม่ทานทุเรียน

หนิงเส่าเฉินมองเธออย่างลึกซึ้ง แล้วพยักหน้า

ต่อจากนั้นเย่หลินก็พยักหน้าเพื่อขอบคุณ หยิบทุเรียนอบแห้งบนโต๊ะขึ้นมา ออาใส่ในปาก ทานอย่างเอร็ดอร่อย

ในห้องที่ไม่ใหญ่ ก็อบอวลไปด้วยกลิ่นของทุเรียน

เวลานี้ มือถือในกระเป๋าก็ดังขึ้น

เธอมองแล้ว สีหน้าก็ดีใจ คิดๆแล้ว ก็จงใจกดเปิดลำโพง "ฮัลโหล เสี่ยวโม่"

"แม่ คุณจะกลับมาเมื่อไร? ฉันเป็นไข้ ถ้าคุณยังไม่กลับมาอีก คุณอาจจะไม่ได้เห็นหน้าฉันครั้งสุดท้ายแล้วนะ" เสียงที่อ่อนโยนแฝงไปด้วยความออดอ้อน มาจากอีกด้านหนึ่งของมือถืออย่างกระง่อนกระแง่น

เย่หลินลูบหน้าผาก "เย่เสี่ยวโม่ ฉันบอกคุณแล้ว ทีหลังคุณดูละครเกาหลีให้น้อยหน่อยนะ" ในมือถือ ไม่ได้ขานรับ มีเสียงซ่าซ่าดังเข้ามา ผ่านไปครู่หนึ่ง

"คุณเย่ คุณรีบกลับมาเถอะ เสี่ยวโม่ไข้ขึ้น 40 องศา เธอกลัวว่าคุณจะเป็นกังวล ไม่ยอมให้ฉันโทรศัพท์หาคุณ ฉันเห็นเธอเมื่อกี้ ตัวเริ่มสั่นแล้ว ทานยาลดไข้แล้ว ก็ไม่เป็นผล คุณรีบกลับมาพาเธอไปโรงพยาบาลเถอะ" คือเสียงของพี่ซวี่ ฟังออกว่า ร้อนใจอย่างมาก

ถึงแม้ว่าเย่เสี่ยวโม่จะพูดจาเรื่อยเปื่อย แต่ ก็อบอุ่นใจ รู้ว่างานเธอยุ่ง เพิ่งสองขวบก็ขอให้เธอส่งเธอไปโรงเรียนอนุบาล โรงเรียนมีกิจกรรมอะไร ก็ไม่เคยเอามาบอกเธอ

มีครั้งหนึ่ง เด็กคนอื่นล้วนมีพ่อแม่จูงมือมา ทำกิจกรรม

มีเพียงเธอ ที่อยู่คนเดียว

เมื่ออาจารย์ส่งวีดิโอมา เธอก็รู้สึกผิดต่อเธออย่างมาก โอบกอดเธอร้องไห้อย่างเจ็บปวดใจ แต่เด็กคนนั้นกลับปลอบโยนเธอ บอกว่าเธอเซนซิทิฟเกินไป

เด็กที่ยิ่งรู้ว่าอะไรควรอะไรไม่ควร ก็ยิ่งรู้สึกติดค้างเธออย่างมาก แล้วก็ยิ่งเจ็บปวดใจ

แต่ว่า หลายปีมานี้ ถึงแม้ซีเอกซ์จะดีขึ้นทุกๆวัน แต่อุตสาหกรรมนี้มีการแข่งขันสูง เธอก็มีความกดดันไม่น้อย เปิดบริษัทนี้ ชูหยูจี้ให้ความไว้วางใจและสนับสนุนทางการเงินให้เธอ เธอไม่อยากทำให้เขาต้องผิดหวัง ในเมื่อทำแล้ว เธอก็อยากจะทุ่มเทอย่างสุดความสามารถ ดังนั้น นอกจากเมื่อช่วงปีใหม่นั้น เธอก็ไม่ได้หยุดแทบตลอดทั้งปี

"โอเค ฉันจะกลับไปเดี๋ยวนี้" วางสายแล้ว ลุกขึ้น ลุกลี้ลุกลนเดินออกหน้าประตู แต่ก็ถูกคนทางด้านหลังดึงแขนเอาไว้

เย่หลิน ประธานคนปัจจุบันของบริษัทซีเอกซ์เมคอัพ

สองปีครึ่งก่อนหน้านี้ หลังจากที่เย่เสี่ยวโม่หย่านมเมื่ออายุได้หกเดือน เธอก็คิดที่จะออกไปหางานทำ

แต่ ที่ต่างประเทศ ภาษาอังกฤษเธอไม่ค่อยดี ไม่มีประกาศนียบัตรวิชาชีพ อีกทั้งเธอไม่อยากพึงความสัมพันธ์ของชูหยูจี้ ดังนั้น งานจึงไม่ได้หาง่ายๆ

ท้ายที่สุดเธอก็จนปัญญา เธอจึงล้มเลิกการมองหางานแต่งหน้า จึงไปทำเคาน์เตอร์ร้านค้าเพื่อโปรโมตการขายเครื่องสำอาง และด้วยเหตุนี้ จึงได้เปิดบทบาทในอาชีพของเธอ

เพราะเธอชำนาญในด้านการแต่งหน้า สามารถสังเกตข้อดีและข้อเสียของใบหน้าแขกได้ในพริบตาเดียว และสามารถช่วยปกปิดข้อด้อยของมันได้อย่างแม่นยำ เน้นจุดเด่น คนขยันมั่นเพียร ทุ่มเทพยายาม ปฏิบัติสุภาพอ่อนโยนต่อผู้อื่น ดังนั้น ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวที่เธอส่งเสริมการขาย ไม่นานสินค้าในห้างก็หมด

ต่อมา มีหลายแบรนด์เริ่มขุดคุ้ยเธอ

หลังจากนั้น ด้วยการสนับสนุนและการลงทุนของชูหยูจี้ เธอก่อตั้งสตูดิโอของตัวเอง เนื่องจากบริษัท"เย่หลิน"สนับสนุนเธอ ดาราในประเทศหลายคนที่เริ่มชื่นชอบชูหยูจี้ ก็มาที่นี่เพื่อเข้าร่วมกิจกรรม ทั้งหมดมาหาเธอ เพื่อเทคนิคการแต่งหน้าและบุคลิกของเธอ หลังจากมีการยอมรับที่มากขึ้น จึงเริ่มช่วยโฆษณาเธอในแวดวงการ ในชั่วขณะ สตูดิโอ"ซีเอกซ์"ของเธอถูกได้รับความสนใจจากโลกภายนอก

ในช่วงเวลานี้ ชูหยูจี้ช่วยจัดหาช่างแต่งหน้าที่มีชื่อเสียงจำนวนมากทั้งในและต่างประเทศ เพื่อเข้ามาร่วมงาน

ธุรกิจมาถึงจุดที่ประสบความสำเร็จ เมื่อต้นปีนี้สตูดิโอของเธอยังเปลี่ยนชื่อเป็นบริษัทซีเอกซ์เมคอัพ

และ ทั้งหมดนื้ ใช้เวลาเพียงแค่สองปีกว่าๆ

เย่หลินหยุดเดินชั่วขณะ พยักๆหน้า ถึงแม้ว่าตอนนี้ตัวตนของเธอจะไม่เหมือนเดิม แต่ เพราะเป็นแบรนด์ของซีเอกซ์ อีกทั้งตัวเธอเองก็ชอบแต่งหน้ามากกว่า ดังนั้น เธอจะไม่ยอมทิ้งงานแต่งหน้านี้ เพียงแต่กำหนดรับแค่สองคนต่อวัน แม้ว่าราคาจะสูงมากก็ตาม แต่ว่ากันว่าต้องจัดคิวนัดล่วงหน้าถึงสองสามเดือน

"โอเค ฉันทราบแล้ว"

หลังจากจัดการเรื่องของบริษัทในช่วงบ่ายแล้ว เธอก็ทำการเปลี่ยนชุดทำงานของตนเอง แล้วคนขับรถของบริษัทก็พาเธอไปส่งที่งานเลี้ยง

เพราะเธอวางตัวดี ใครๆก็รู้ว่าซีเอกซ์มีช่างแต่งหน้าฝีมือยอดเยี่ยม แต่มีไม่กี่คนที่รู้ว่า ช่างแต่งหน้าคนนี้ยังเป็นเจ้านายที่อยู่เบื้องหลังซีเอกซ์ด้วย

งานเลี้ยงได้จัดขึ้นให้เหมือนกับอยู่ในคฤหาสน์

"เกิดอะไรขึ้นกับบริษัทของคุณ? จ่ายไปมากขนาดนี้ คาดไม่ถึงว่าจะยังไม่ตรงต่อเวลาอีก" เธอเพิ่งจะลงจากรถ ก็เห็นสาวชาวจีนคนหนึ่งยืนอยู่หน้าประตูคฤหาสน์ เห็นรถของพวกเขาเข้ามา ก็เข้ามาเผชิญหน้า มองดูเวลา ก็อ้าปากต่อว่าอย่างรุนแรงโดยไม่สุภาพเลยแม้แต่น้อย

เผชิญหน้ากับผู้หญิงที่อำนาจบาตรใหญ่ตรงหน้า เย่หลินมองนาฬิกาข้อมือบนแขนขวา ยังมีเวลาอีก 5 นาทีกว่าจะถึงเวลานัด เธอยังไม่ได้สายไป แต่ว่า ลูกค้าคือพระเจ้า เธอไม่ได้โต้แย้งอะไร

เธอโค้งตัวเล็กน้อย เริ่มจัดของที่ใช้สำหรับการแต่งหน้า ผมลอนยาวสีน้ำตาลแดง ผมม้าสั่นไหว เลยทัดไว้ที่ข้างหู เพราะการโค้งตัว จึงเปิดเผยใบหน้าที่สวยไร้ที่ติออกมา

ผู้หญิงที่ยืนอยู่ข้างๆเธอบ่นพึมพำ : "ช่างแต่งหน้า สวยขนาดนี้เลยหรอ? เทคนิคนั่น สามารถทำได้หรอ? ไม่ใช่จงใจหาข้ออ้างในการแต่งหน้าเพื่อปะปนเข้ามาด้านใน เพื่อมาจับผู้ชายใช่ไหม?"

เย่หลินได้ยินแล้ว ก็แกล้งทำเป็นไม่ได้ยิน ไม่แสดงอารมณ์ผันแปรบนใบหน้า

แต่ลูกค้าคนนั้น ชัดเจนว่ามีสีหน้าไม่พอใจ

ระหว่างผู้หญิง บางครั้ง มีความริษยาที่ยากจะหลีกเลี่ยง ถูกเปรียบเทียบกับช่างแต่งหน้า ใครก็ไม่ค่อยมีความเต็มใจนักหรอก

เมื่อเย่หลินอยู่ที่บริษัทเสริมสวย ปกติจะสวมผ้าปิดปาก ดังนั้น จึงไม่เคยพบปัญหาเหล่านี้

นึกถึงตรงนี้ เธอก็หยิบผ้าปิดปากออกมาจากกระเป๋า ปิดบังโฉมหน้าที่งดงามของเธอ แล้วก็หยิบแว่นดำมาสวมใส่จนเอง ต่อจากนั้น ผมที่ยาวก็ใช้หนังยาง มัดเอาไว้ด้านหลัง ชั่วพริบตา หากมองไม่ละเอียด ก็กลายเป็นคนทั่วๆไป

ลูกค้าคนนั้น นี่จึงทำให้สีหน้าคลี่คลาย

"เอาล่ะ คุณแต่งหน้าให้ฉันใหม่หน่อย"

บนใบหน้าของผู้หญิงคนนี้ชัดเจนว่าผ่านมีดมาไม่น้อย เค้าโครงใบหน้าแข็งทื่ออย่างชัดเจน หลายปีมานี้ เย่หลินเห็นใบหน้าแบบนี้มาไม่น้อย แต่…..ที่เว่อร์ขนาดนี้ เธอก็พบได้น้อย ดั้งจมูกนั้นเล็กจนเหมือนกับอะไรบางอย่าง เมื่อเธอแต่งหน้าให้เธอ การกระทำบนในมือ ล้วนยับยั้งให้เบาอย่างมาก

"เฮ้ คุณแต่งหน้ายังไงเนี่ย? อย่างกับผีเลย….." หลังจากแต่งหน้าเสร็จ ผู้หญิงคนนั้นมองกระจกแล้วก็ตะโกนขึ้นมา

ชั่วพริบตา ก็ดึงดูดให้คนมองมาไม่น้อย

เย่หลินยืนอยู่กับที่ ก้มหน้า ไม่ได้ตอบกลับ ชัดเจนว่าผู้หญิงคนนี้มีจุดเล็กจุดน้อย ดังนั้น โดยปกติจะต้องพึ่งการแต่งหน้าเข้มเพื่อปกปิด แต่ การแต่งหน้าแบบนั้น ไม่มีความงดงามเลยแม้แต่น้อย แล้วก็ไม่ใช่สไตล์ของเย่หลิน

ดังในเวลานี้ที่เย่หลินแต่งหน้าปกติให้เธอ ใบหน้าของเธอที่มีจุดบกพร่องเล็ก ก็ปรากฎออกมา ต่อให้พยายามปกปิด แต่ในที่สุดก็ปกปิดไม่อยู่

"คุณแต่งหน้าให้ฉันใหม่เดี๋ยวนี้!" เธอชี้นิ้วเย่หลิน กล่าวออกคำสั่งเสียงดัง

เย่หลินนิ่งอึ้งไปเล็กน้อย ยังคงไม่ตอบโต้ หยิบเครื่องสำอางแต่งหน้าออกมา แต่งหน้าใหม่อีกครั้ง แต่ชัดเจนอย่างมากว่าวันนี้ผู้หญิงคนนี้เถียงเธอ เมื่อเธอกำลังจะแต่งหน้าตามคำเรียกร้องของเธออีกครั้ง ผู้หญิงคนนั้นก็ตวาดเสียงดัง ยกมือขึ้นผลักเธอจนล้มลงกับพื้น ผ้าปิดปากบนใบหน้าหลุดลงกับพื้น "นี่คุณแต่งหน้าอะไรกันห๊ะ? แล้วยังมาคุยโม้ว่าตัวเองเก่งมากอีก ฝีมือแบบคุณนี่ แต่งหน้าให้คนตายล่ะก็พอได้!"

บนระเบียงคฤหาสน์ชั้นสอง หนิงเส่าเฉินและหลิวซูต่างก็ถือไวน์แดงคนละแก้ว กำลังพูดคุยกันเกี่ยวกับงาน ก็ถูกเสียงดังของผู้หญิงของผู้หญิงคนนี้ พวกเขาจึงมองเข้ามา

เวลานี้ มือทั้งสองของเย่หลินกำแน่น ลุกขึ้นยืน ปัดๆมือ ก้มตัวลง เก็นบเครื่องสำอางทั้งหมดที่อยู่บนพื้น หันไปแล้วทำท่าจะออกไป ในเมื่อไม่เห็นพ้องต้องกัน อย่างนั้นเงินนี้ เธอไม่เอาก็ได้

แต่ มือก็ร้อนขึ้น เธอหันกลับมาด้วยจิตสำนึก ยังไม่ทันได้ตอบโต้ เสียง"เพี๊ยะ" ถูกตบเข้าที่ใบหน้า

ฝูงชนเสียงดังอื้ออึง

บางคนก็รู้จักผู้หญิงคนที่ตบ "เธอไม่ใช่ดาราดังคนนั้นหรอ?"

"ใช่ คือเธอ มีรายงานหลายวันก่อนว่าการศัลยกรรมผิดพลาด อย่าให้พูดเลย หน้าตาแบบนี้ คนก็ไม่ใช่ ผีก็ไม่เชิงจริงๆ……."

"คือ ตนเองผิดพลาดเอง แล้วยังไปโทษคนอื่น"

"ช่างแต่งหน้าคนนี้ช่างซวยซะจริงๆ….."

เย่หลินปิดหน้า ก้มตัว เก็บแว่นตาบนพื้น สวมใหม่อีกครั้ง กวาดสายตาไปที่ใบหน้าผู้หญิงคนนั้นอย่างเย็นชา หลังจากสักพักใหญ่ เธอก็ก้าวไปข้างหน้าก้าวหนึ่ง ยกมือขึ้น ผู้หญิงคนนั้นยังไม่ทันได้ตอบโต้ เธอก็ตบเธอกลับไปทีหนึ่ง

เธอบอกว่าการบริการเป็นสิ่งสำคัญ แต่ เธอไม่ได้บอกว่า จะสามารถรังแกคนได้ตามอำเภอใจ

ชัดเจนว่าผู้หญิงคนนั้นไม่คาดคิดว่าเธอจะสู้กลับ จึงนิ่งอึ้งไปแล้วไม่ตอบโต้ไปชั่วขณะ……

แต่เวลานี้ บนชั้นสอง……

เมื่อหลิวซีได้เห็นหน้าตาของเย่หลินชัดเจน ก็ตกใจจนถึงขีดสุด เขาใช้ข้อศอกกระแทกหนิงเส่าเฉินที่ดึงสายตากลับไปนานแล้ว "เส่าเฉิน ดูเร็ว นั่นคือใคร?"

และในเวลาเดียวกันนี้ โรงพยาบาลในต่างประเทศ เกาไห่ที่อยู่ในอาการโคม่ามาตลอดหนึ่งปี จู่ๆก็รู้สึกตัว

"คุณ……คุณว่าอะไรนะ? เขา……เขาฟื้นแล้วหรอ?" สีหน้าเกาเหวินซีดเผือดลงทันที

"ฟื้น ไม่ได้ฟื้น เพียงแต่ เช้านี้ จู่ๆเขาก็เหมือนรู้สึกตัว ขยับๆมือ มีการแสดงออกทางสีหน้า ดูเจ็บปวดทรมานมาก เราตรวจเขาแล้ว ตอนนี้ไม่มีท่าทีที่จะฟื้น แต่ คุณเกา อย่างน้อยก็แสดงให้เห็นว่า คุณเกาจะสามารถฟื้นขึ้นมาได้อย่างแน่นอน"

ต่อมา หมอพูดว่าอะไร เกาเหวินไม่ได้ยินแล้ว ถ้าเกาไห่ฟื้นแล้ว งั้นเรื่องเหล่านั้นของเธอ……

"หยูจี้ มิเช่นนั้น เราโทรหาพี่ชายลูกพี่ลูกน้องของคุณไหม? คุณบอกถ้าหากว่า……”

"ไม่มีถ้าหากว่า" ชูหยูจี้มองเธอ ในแววตามีความมั่นคง ยืนตัวตรง เดินไปที่เก้าอี้ด้านข้างแล้วนั่งลง พูดตัดบทอ้ายหมี่

ไม่มีถ้าหากว่า ไม่มี……

"แต่ว่า……”

"เธอคงไม่อยากให้ฉันบอกเขา" เขาเข้าใจเย่หลินดี เธอไม่ต้องการทำลายงานแต่งงานของหนิงเส่าเฉินในวันนี้อย่างแน่นอน

ในที่สุด ห้องผ่าตัดก็ถูกเปิดออก

"ญาติของเย่หลิน" ชูหยูจี้ยืนขึ้น ฉับพลัน แวบหนึ่งของร่างกาย ก็ซวนเซ จึงล้มลงนั่งกลับไปอีกครั้ง

อ้ายหมี่มีความสงสารในแววตา เดินเข้าไป ประคองเขา "คุณไม่เป็นไรใช่ไหม?"

"ญาติของเย่หลิน"

ชูหยูจี้โตขนาดนี้แล้ว ก็ไม่เคยผ่านความตึงเครียดและความกลัวเช่นนี้มาก่อนเลย

"ขอแสดงความยินดีด้วยค่ะ คุณแม่และลูกสาวปลอดภัยดี"

"ขอแสดงความยินดีด้วยค่ะ คุณแม่และลูกสาวปลอดภัยดี" ชูหยูจี้รู้สึกว่า ตลอดชีวิตเขานี่คือเสียงที่น่าฟังที่สุดที่เคยได้ยินมา

เขาหัวเราะเหมือนกับเด็กๆ หันมา เช็ดน้ำตา ต่อมา ก็ดึงอ้ายหมี่มากอด "อ้ายหมี่ คุณได้ยินไหม เธอบอกว่า คุณแม่และลูกสาวปลอดภัยดี"

อ้ายหมี่พยักหน้า ชั่วขณะนี้ เธออิจฉาเย่หลินจริงๆเลย ที่สามารถทำให้ผู้ชายคนหนึ่ง ทำเพื่อเธอได้ขนาดนี้

แต่ความรักจากก้นบึ้งหัวใจของชายคนนี้ ก็แข็งแกร่งมาก

รู้จัดเจนว่าเย่หลินรักหนิงเส่าเฉิน รู้ชัดเจนว่า เธอกับเขา ไม่ได้รักกัน แต่ว่า ยังคงไม่ลังเล ปีแล้วปีเล่า ผู้ชายที่ยังคงให้ความสำคัญกับความรู้สึกที่มีต่อกันขนาดนี้ เธอเชื่อว่า ก็ไม่ได้แย่

เธอยิ่งเชื่อว่า เวลานี้เขาไม่มีความรักให้เธอ แต่ เธอไม่กลัว เธอรอได้ ต่อให้ต้องรอปีแล้ว ปีเล่า

สามปีต่อมา

"พี่ซวี่ คุณช่วยส่งเสี่ยวโม่ไปโรงเรียนอนุบาลด้วยนะ วันนี้ที่บริษัทฉันมีประชุมตอนเช้า" เย่หลินจับกระเป๋าบนโซฟาขึ้นมา รีบไปที่โต๊ะอาหาร หยิบหมั่นโถวหนึ่งอัน กินไปด้วยเดินออกข้างนอกไปด้วย "เสี่ยวโม่ อย่าลืมดื่มนมนะ……”

"แม่ เดินทางปลอดภัยนะ อย่าลืมดูสัญญาณไฟจราจรแล้ค่อยเดินทาง……” เย่เสี่ยวโม่ขาสั้นๆวิ่งออหมาจากห้อง มองเย่หลินเปลี่ยนรองเท้า แล้วพูดกำชับ

คิ้วเข้มๆตาโตๆ คุณสมบัติบนใบหน้าที่ปราณีตงดงาม 70-80% เหมือพ่อของเธอ

ถึงจะเห็นอยู่ทุกวัน ชั่วพริบตานี้ของเย่หลิน ก็ปรากฎความคิดในชั่วขณะ

พระเจ้าปฏิบัติต่อเธอ ด้วยความเมตตากรุณา หลายปีมานี้ที่จากหนิงเส่าเฉินมา ถ้าข้างกายไม่มีเย่เสี่ยวโม่ เธอก็คิดไม่ออกเลยว่า ตนเองจะทนความทุกข์ยากได้ยังไง

"เย่เสี่ยวโม่ ฉันไม่ใช่เด็ก!" ไม่เหมือนกับหนิงเสี่ยวซีที่พูดน้อย เย่เสี่ยวโม่พูดมากเป็นพิเศษ ถึงแม้จะไม่ได้IQ190เหมือนหนิงเสี่ยวซี แต่ไอคิวก็ไม่ได้ต่ำ

โดยเฉพาะความสามารถในการเลียนแบบภาษา ก็ยอดเยี่ยมอย่างน่าประหลาดใจ มักจะตอกหน้าคนจนแทบสำลักตาย

"ฉันรู้ว่าคุณไม่ใช่เด็ก แต่มักจะคิดถึงผู้ชายคนนั้นที่ทอดทิ้งไป คิดจนเดินชนกำแพงแล้วยังไม่รู้เลย" เด็กคนนี้มองเธออย่างไม่แยแส

เย่หลินขมวดคิ้ว หยุดการกระทำที่จะปิดประตู

"เย่เสี่ยวโม่ เขาเป็นพ่อของคุณนะ" เธอพูดแก้ไขเรื่องที่ถูกต้อง เธอรับประกันได้เลยว่า หลายปีมานี้ แต่ไหนแต่ไรเมื่อเธออยู่ต่อหน้าเย่เสี่ยวโม่ ไม่เคยพูดเรื่องไม่ดีของหนิงเส่าเฉินเลยสักคำ

ตั้งแต่เย่เสี่ยวโม่รู้เรื่องขึ้นมา เธอก็ปลูกฝังเธอว่า เธอนั้นไม่มีพ่อ เพราะเหตุผลที่เฉพาะบางอย่าง พวกเขาจึงไม่สามารถอยู่ด้วยกันได้ แต่ ถ้าพ่อรู้ว่ามีเธอ ก็จะต้องรักเธออย่างแน่นอน

เธอคิดว่าความจนปัญญาของคนโต ไม่ใช่ความผิด แล้วก็ไม่เกี่ยวกับเด็ก

แต่เย่เสี่ยวโม่คล้ายกับมีความทรงจำที่ไม่ดีต่อหนิงเส่าเฉิน "ต่อไป คุณดูละครให้น้อยๆหน่อยนะ" พูดประโยคนี้แล้ว เธอก็หดหู่ใจเล็กน้อย ชำเลืองมองเธอ รู้สึกจนใจเล็กน้อย ลุ่มหลงเล็กน้อย แต่ที่มาก ก็คือทุกข์ใจ

หลายปีมานี้ เธอมีเวลาอยู่เป็นเพื่อนเธอน้อยมาก ถึงแม้ว่าพี่ซวี่จะดูแลเด็กได้ดีมาก แต่ก็ไม่ใช่คนที่ชอบพูดมาก ดังนั้น การติดต่อทางภาษาของเย่เสี่ยวโม่ แทบจะทั้งหมดล้วนมาจากในทีวี

"เย่หลิน คุณพูดอะไรโดยไม่ไตร่ตรองเลยหรอ? คุณทำเพื่อให้กำเนิดฉัน ชีวิตก็แทบจะไม่มีแล้ว เขาดีงั้นหรอ? ถ้าเขาดี เวลานั้น เขาไปอยู่ที่ไหนล่ะ? ถ้าไม่ได้พ่อชูของฉัน ชีวิตน้อยๆของฉัน ก็ต้องตายตั้งแต่ในท้องของคุณแล้ว"

พูดจบ ใช้สายตาที่แข็งแกร่งดั่งเหล็กกล้าจ้องมองเย่หลิน "จะว่าไป คุณดูสิหลายปีมานี้ คุณคิดว่าเขาคิดว่าตายไปแล้ว คนก็แต่งงานไปแล้ว เมื่อวานคุณพูดถึงในละครนั้นว่าอะไร ปัญญาอ่อน……"

เย่หลินหมดอาลัยตายอยากในช่ะวพริบตา คำพูดที่มากด้วยประสบการณ์เช่นนี้ เธอคิดแล้วจะไม่ประหลาดใจได้ยังไง คาดไม่ถึงว่าเด็กสามขวบคนหนึ่งจะพูดออกมา?

แต่ คำพูดของเธอ ไม่ได้ผิด รู้สึกสะอึกไปชั่วขณะ ปีนั้นที่คลอดเย่เสี่ยวโม่ อันตรายมากจริงๆ หมอบอกว่า ก่อนที่เธอจะคลอด ก็หมดสติไป ถ้าไม่ใช่จิตใจที่แข็งแกร่งของเธอในตอนหลัง เธอก็อาจจะไม่มีชีวิตอยู่แล้วจริงๆ

เรื่องนี้ เธอต้องขอบคุณชูหยูจี้ แต่ เธอก็ไม่โทษหนิงเส่าเฉิน ถึงอย่างไร คนที่ไม่รู้ ก็ไม่ผิด

"เย่เสี่ยวโม่ ถ้าคุณพูดแบบนี้กับแม่อีก แม่จะโกรธจริงๆแล้วนะ" พรรสรรค์ของเย่เสี่ยวโม่คือสามารถพูดได้ตั้งแต่ขวบกว่าๆ เริ่มปรากฎให้เห็นชัดยิ่งขึ้น มักจะเลียนแบบคำพูดของคนเหล่านั้นในทีวี แล้วยังเลียนแบบได้เหมือนจริง ทำให้เธอกลืนไม่เข้าคายไม่ออก แต่ ไม่ยอมรับไม่ได้ว่า เพราะเธอ ชีวิตจึงมีความสุข

"ช่างเถอะ โมโหงั้นหรอ? คุณน่ะ ปากร้ายใจดี" หันกลับไปมองเธออย่างเหยียดหยามทีหนึ่ง เย่เสี่ยวโม่ก็ปีนขึ้นไปบนม้านั่ง แล้วก็หยิบขนมปังชิ้นเล็กใส่เข้าปาก

เย่หลินส่ายหน้า "ตอนเย็นแม่ต้องทำงานล่วงเวลา คุณนอนเร็วหน่อยนะ" เธอมองไปยังเธอ ยิ้มอย่างจนใจ หยิบกระเป๋าแล้วออกจากบ้านไป

"ประธานเย่ ตอนเย็นลูกค้าคนนั้น ที่นัดคุณไว้ล่วงหน้าครึ่งเดือน แต่เธอบอกว่ามีเรื่องเร่งด่วนที่คาดไม่ถึงของตนเอง จึงมาบริษัทไม่ได้แล้ว อยากจะขอให้คุณมาที่สถานที่แต่งหน้า

เย่หลินเพิ่งมาถึงบริษัท วางกระเป๋า ผู้ช่วยอู่เล่อเล่อ ก็เข้ามาต้อนรับ

เย่หลินพยักหน้า นี่คืองานที่ต้องจัดการประจำวัน เธอไม่ได้มีปฏิกริยาตอบสนองมากนัก แต่ยังไงก็ไม่คาดคิด การมีชีวิตที่เรียบๆธรรมดามาสามปี คืนนี้ เริ่มถูกทำให้จบลง

กำลังก้มหน้าก้มตาทานข้าว ก็ถูกเธอดึงดูดขึ้นมา เมื่อเงยหน้าขึ้น ก็เห็นหนิงเชี่ยนจ้องมองหนิงเสี่ยวซีอยู่ อย่างคิ้วขมวด เหมือนนึกเรื่องอะไรอยู่ แม้แต่ตะเกียบของตนเองร่วงลงไปก็ไม่รู้ตัว

มิน่าล่ะเธอรู้สึกว่ารอยยิ้มของผู้หญิงในโรงพยาบาลคนนั้นคุ้นเคยอย่างมาก ที่แท้ ก็เป็นเพราะหนิงเสี่ยวซีนี่เอง

ถึงแม้ว่าสองสามปีนี้ เธอจะไม่อยากเจอพี่ชายเธอคนนี้ แต่ กับหลานชายตัวน้อยคนนี้ ก็หลงอย่างมาก

นอกจากจะวิดีโอคอลแล้ว ยังซื้อของส่งให้เขาวันเว้นวัน

ในระหว่างนั้น ยังบังคับให้แม่ของเธอพาหนิงเสี่ยวซีไปต่างประเทศ ไปเที่ยวสองสามครั้ง

"นี่คุณทำอะไร?" หนิงเส่าเฉินเห็นเธอตกตะลึง ก็เลยเอ่ยถาม

พ่อหนิงก็ทำเสียง"อะแฮ่ม"

หนิงเชี่ยนจึงสติกลับมา เธอหันไป มองหนิงเส่าเฉิน กำลังจะพูดอะไร โทรศัพท์ข้างๆก็ดังขึ้น รีบรับสาย

ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายพูดอะไร สีหน้าเธอ ถึงได้ดูจริงจังขึ้นมา

"ฮัลโล……โอเค ฉันจะไปเดี๋ยวนี้ ให้ธนาคารเลือดเตรียมเลือดสำรองไว้……ใช่……โอเค เตรียมส่งเข้าห้องคลอด" พูดจบ ก็ลุกขึ้นยืน เดินไปทางโซฟา หยิบกระเป๋า เดินออกไปข้างนอก ไม่ทันได้กล่าวทักทายกับทุกคน

หลิวซูลุกขึ้น ตามไป "ฉันจะไปส่งคุณ"

หนิงเชี่ยนทำเสียง"อืม" จากนั้นทั้งสองคนก็ออกจากตระกูลหนิงไป

ในห้องผู้ป่วย หมอผู้หญิงกำลังตรวจให้เย่หลิน

"คุณผู้ชายหลีกหน่อยนะ"

การตรวจผ่านไปห้านาที ชูหยูจี้รู้สึกว่าเหมือนรอยาวนานเป็นศตวรรษ……

เมื่อประตูห้องเปิด เขาแทบจะพุ่งเข้าไป

"เป็นยังไงบ้าง?"

"เป็นท้องที่สอง เห็นได้ชัดว่าปากมดลูกเปิดเร็วกว่าครั้งแรก ตอนนี้เกือบจะสามนิ้วแล้ว เราต้องไปเตรียมตัวก่อน แล้วส่งเข้าห้องคลอดทันที" หมออาวุโสพูดช้ามาก อ่อนโยนมาก แต่ คิ้วที่ขมวดขึ้นมานั้น ก็พอมองออกได้ ว่าสถานการณ์ของเย่หลิน ไม่ค่อยดี

"คนในครอบครัวดูสถานการณ์ของหญิงที่จะคลอดด้วย ถ้ามีอะไรไม่เหมาะสม ก็เรียกหมอทันที"

เย่หลินตกตะลึงอย่างเห็นได้ชัด ตอนคลอดหนิงเสี่ยวซีนั้น เพราะยังเด็กเกินไป ต่อสิ่งเหล่านี้ ก็ไม่เข้าใจ ตอนนั้นเธอรู้สึกประหม่าเล็กน้อย ไม่ได้กลัว แต่ว่า ไม่รู้ว่าเป็นผลกระทบทางจิตใจหรือเปล่า

ครั้งนี้ เธอกลัวมาก กลัวเป็นพิเศษ

หลังจากหมอเดินไป

"โอ้ย……" เย่หลินร้องออกมาเบาๆ

ชูหยูจี้ที่กำลังรินน้ำให้เธอ ได้ยินเสียงร้องของเธอ ก็มือสั่น น้ำราดลงบนหลังมือ เขาไม่ทันได้มองก็วิ่งไปหาเย่หลินเลย "เจ็บอีกแล้วหรอ?"

พูดจบ ก็เตรียมกดกริ่งเรียกที่ข้างเตียงทันที

เย่หลินจับแขนของเขาไว้ กล่าวอย่างอ่อนแรงว่า : "อย่ากด แค่มดลูกหดตัว……”

"มดลูกหดตัว?"

เย่หลินดูเวลา เวลาการเจ็บปวดในตอนนี้ก็เกือบสามนาทีแล้ว……

"ตอนนี้ มันเจ็บทุกๆสามนาที ต่อไป อาจสั้นลงเหลือทุกๆสองนาที จากนั้นก็ทุกๆ……” เธอยังไม่ทันพูดจบ ก็เห็นเหงื่อบนศีรษะของชูหยูจี้เริ่มมีเหงื่อออก……

"คุณ ร้อนมากเลยหรอ?"

ชูหยูจี้ยกน้ำอุ่นข้างๆตัวขึ้นมาจิบ เย่หลินเห็นหลังมือของเขาแดงเล็กน้อย "มือของคุณ….."

ชูหยูจี้ส่ายหน้า แต่ เย่หลินเห็นชัดเจนว่ามือของเขากำลังสั่น…..

"คุณ….เป็นอะไรไป? มือของคุณสั่น!" เย่หลินพูดจบ ชูหยูจี้ก็วางแก้วน้ำลง นั่งลงข้างเตียง พูดหยอกล้อว่า: "คุณว่าฉันดูตลกมากไหม คุณคลอดก็ไม่ใช่ลูกของฉัน ดูสิฉันเครียดจน….."

เขาพูดด้วยน้ำเสียงหยอกล้อ แต่ในใจเย่หลินอึดอัด หลายเดือนมานี้ ถ้าไม่มีชูกยูจี้ เธอก็จนปัญญาที่จะคิดว่าตนเองจะมีชีวิตอย่างไร แล้วก็ยิ่งไม่รู้ว่า ตนเองจะกล้ายืนหยัดมาได้ถึงตอนนี้ไหม ชั่วชีวิตนี้ ฉันติดหนี้คุณมากมายเหลือเกิน

เวลานี้ หลังจากการบีบตัวของมดลูก เย่หลินก็ผ่อนคลายลมหายใจ แล้วกล่าวว่า:

"หยูจี้ ถ้าตอนเย็น เกิดสถานการณ์ที่ต้องรักษาชีวิตคนโตหรือรักษาชีวิตเด็ก คุณจำไว้ว่า ต้องรักษาชีวิตเด็ก เข้าใจไหม? ฉันจากไปแล้ว เด็ก ต่อไปก็รบกวนคุณดูแลด้วย ชาติหน้าฉัน……" ถึงแม้ชูกยูจี้จะไม่ได้บอกเธอว่า เพราะเหตุใดถึงต้องมาเมืองC แต่ ร่างกายของเธอ เธอก็รู้สภาพดี

"คุณเป็นบ้าไปแล้วหรือไง คุณกำลังพูดอะไรอยู่เนี่ย?" คำพูดของเธอยังไม่ทันจบ ชูหยูจี้ก็ลุกขึ้นยืนทันที แล้วตวาดเธอสียงดัง

คาดไม่ถึงว่าจะเห็นขอบตาที่แดงกร่ำของเขา ชั่วพริบตาก็เข้าใจอะไรบางอย่าง ผู้ชายคนนี้ กำลังเป็นห่วงเธอ เป็นกังวลกับเธอ ดังนั้น จึงหยิบแก้วน้ำของเธออย่างกังวล ดื่มน้ำที่รินให้เธอ ดังนั้น จึงมือสั่น……

ผู้ชายที่ยโสโอหังขนาดนั้น เวลานี้เพียงเพราะเป็นห่วงเป็นกังวลต่อเธอ คาดไม่ถึงส่าจะมีสภาพแบบนี้

กระแสไออุ่นภายในใจก็หลั่งไหลไปทั่วทั้งร่างกายในชั่วพริบตา ความรู้สึกผิดและเสียใจก็ยิ่งเข้มขึ้น

แต่เธอก็เข้าใจอย่างมากว่า ความซาบซึ้งใจ ไม่ใช่ความรัก

ชูหยูจี้สำหรับเธอ ไม่ทีความรัก มีแต่ความผูกพัน

ต่อจากนั้น คนทั้งสองก็ไม่ได้พูดจา ชูหยูจี้ไม่อยากให้เธอเสียพลังงานอีก แต่ในใจของเย่หลินก็มีความคิด…..

ในระหว่างนี้ การบีบตัวของมดลูกเปลี่ยนเป็นสองนาทีครั้ง

หลังจากผ่านมานาน เย่หลินก็ค่อยๆเอ่ยปากว่า: พี่ ฉันสามารถพิงบนไหล่ของคุณได้ไหม?"

ชูหยูจี้ไม่ได้ตอบกลับเธอ เพียงแค่โอบเธอเข้ามาในอ้อมกอด: "ไม่ต้องคิดถึงเรื่องเหล่านั้น หลับตา พักผ่อนสักครู่หนึ่ง….."

เดิมทีเย่หลินอยากจะพูดอะไร สุดท้ายก็ต้องเงียบไป……

ไม่รู้ว่าอ้อมอกนี้อบอุ่นมาก หรือว่าตนเองเหนื่อยมากจริงๆ ไม่นาน เย่หลินก็หลับไป หลับสนิทอย่างมาก สนิทจน…..

เธอไม่ได้รู้สึกถึงความเจ็บปวดอีก สนิทจน เธอแทบจะลืมเวลาไปเลย……

รู้สึกว่าผ่านไปนานมาก ในความไม่ชัดเจน เธอก็ได้ยินเสียงคนเรียกชื่อของเธอ เธออยากจะลืมตากลับมาตอบกลับ แต่ทำยังไงก็ลืมไม่ขึ้น

คล้ายกับว่า เธอยังได้ยินเสียงร้องไห้ เสียงที่เจ็บปวดใจนั้น นั่นคือเสียงของชูหยูจี้ เธออยากจะหัวเราะเขา ผู้ชายที่องอาจผ่าเผยแบบนั้น ร้องไห้ขนาดนี้ ราวกับว่า…..

ต่อจากนั้น เธอก็รู้สึกว่าตนเองสูญเสียการรู้สึกตัวไป

ตีหนึ่งก่อนฟ้าสาง นอกห้องคลอด

ชูหยูจี้พิงหลังอยู่ที่ประตูห้องผ่าตัด เขารักษาการเคลื่อนไหวอยู่ที่มาเดิมหลายชั่วโมงแล้ว

อ้ายหมี่เจ็บปวดใจ เข้าไปดึงมือของเขา "หยูจี้ เสี่ยวเชี่ยนมีความสามารถทางด้านนี้มาก คุณต้องเชื่อพี่สาวของคุณ จะต้องไม่เป็นอะไรแน่นอน"

ชูหยูจี้พยักหน้า แต่ก็ไม่ได้เอ่ยปากพูดอะไรมาโดยตลอด

อ้ายหมี่ขมวดคิ้วอย่างลึกซึ้ง โอบกอดชูหยูจี้จากด้านหลัง รับรู้ได้ถึงร่างกายที่สั่นของเขา

ฮั่นยิ่งเฮาตกตะลึง เดิมทีอยากจะหยอกล้อหลิวซูสักสองสามประโยค แต่ได้ยินความจริงจังในคำพูดของเขา ก็เลยไม่ได้แซว หวนคิดเรื่องที่ผ่านมา "อืม ดูเหมือนว่าจะทำได้เป็นเรื่องเป็นราวจริงๆ……”

"ตอนที่คุณรับโทรศัพท์ฉัน คุณอยู่กับใคร ทำอะไรอยู่?"

ถึงอย่างไรเรื่องราวสองสามก่อน ฮั่นยิ่งเฮาครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง จึงพูดว่า "อ๋อ ฉันอยู่กับสาวของฉัน คืนนั้น คุณไม่รู้เรื่องหรอก เธอดื่มไปเยอะ ฉันจำได้ว่าเราสนุกกันมาก……เอ่อ……”

"ฮั่นยิ่งเฮา คุณแม่งสนุกอยู่ คุณรู้ไหมว่าคุณเกือบจะฆ่าฉันตาย" พูดจบ ไม่รอให้ฮั่นยิ่งเฮาตอบสนองกลับ ก็วางสายไป หันกลับไป มองหนิงเชี่ยน บีบๆหัวคิ้ว ด้วยสีหน้าทำอะไรไม่ถูก "ตอนนี้ เข้าใจแล้วใช่ไหม? คุณจากไปสองสามปี ฉันแทบจะกลายเป็นพระ คุณไม่สนใจฉันด้วยเหตุผลนี้มาหลายปีแล้ว หนิงเชี่ยน ก่อนที่คุณจะตัดสินประหารชีวิตคน คุณจะไม่ไต่สวนสักหน่อยเลยหรอ?" เขาตบพวงมาลัยด้วยความโกรธสองสามที รถสปอร์ตก็ส่งเสียงแตรดังแสบแก้วหู

แต่สำหรับความหยาบคายของเขา หนิงเชี่ยนไม่โกรธแต่กลับหัวเราะ เธอสูดหายใจเข้า ไม่รู้ว่าน้ำตาไหลตั้งแต่เมื่อไหร่

สองสามปีนี้ ทุกๆครั้งที่นึกถึงปมนี้ เธอก็เจ็บเจียนตาย

จนกระทั่ง เธอหมดศรัทธาในตัวผู้ชายคนนี้ด้วยซ้ำ

แต่ ในท้ายที่สุด นึกไม่ถึงว่าจะเป็นความเข้าใจผิด

เธอโอบกอดหลิวซู จูบลงไป บนหน้าของเขา เสียงดัง"จุ๊บ"

"คุณดีกว่าที่ไหนกัน? คุณรู้ไหม? เวลานั้น ที่ฉันจูงไปโรงพยาบาล เป็นน้องชายลูกพี่ลูกน้องของฉัน ชูหยูจี้ คุณก็รู้จัก ฉันอยากจะให้ทุกคนเชื่อว่าฉันมีแฟนแล้ว ไม่อยากถูกลวนลามทุกวันๆ ฉันตั้งใจทำแบบนั้น แต่ไม่คิดว่า จะบังเอิญถูกคุณเห็นเข้า เพียงแค่เห็นข้างหลัง" เธอสูดหายใจเข้า "คุณบอกว่าฉันไม่ให้โอกาสคุณ คุณก็ไม่เคยให้ฉันไม่ใช่หรอ?"

เวลานี้ หลิวซูกลายเป็นหินไปแล้ว……

เขามองหนิงเชี่ยน การแสดงออกบนใบหน้า นั้นเรียกว่างดงามอย่างยิ่ง……

เป็นเวลานาน ที่ทั้งสองคนทะเลาะเบาะแว้งจนติดต่อกัน จริงๆแล้วเป็นเพราะความเข้าใจผิดของทั้งสองคน นึกถึงตรงนี้ ชั่วขณะเขาก็หลับตาลง สีหน้าไม่แคร์สิ่งใด ได้พบเจอช่วงเวลาที่ดีที่ไม่ได้เจอมาหลายปี เพียงเพราะสิ่งนี้ จะเสียเวลาเปล่าหรอ?

หนิงเชี่ยนเม้มๆปาก ต่อมา ก็ลุกขึ้น คุกเข่าข้างหนึ่งระหว่างคอนโซลกลาง ประคองหน้าของหลิวซู แล้วก็จูบลงไป

ท้ายที่สุด เดิมทีทั้งสองคนควรจะไปทานอาหารกลางวันที่ตระกูลหนิง ก็กินเวลาไป จนต้องไปทานอาหารเย็นเลย

เมื่อตระกูลหนิง เดิมทีหลิวซูไม่อยากเข้าไป ถึงอบ่างไร หลายปีขนาดนี้ ทั้งสองทะเลาะกันจนไม่ได้ติดต่อกัน เป็นเพียงเพราะความเข้าใจผิดของทั้งสองคน รู้สึกได้ว่า ไอคิวต่ำไปหน่อย

แต่ ถูกหนิงเชี่ยนดึงไว้ไม่ยอมปล่อย

เมื่อเห็นทั้งสองคนเดินจูงมือกันมา คนในห้อง ยกเว้นหนิงเสี่ยวซียังเด็กเกินไปที่จะเข้าใจแล้ว คนอื่นๆก็ตาโต สีหน้าไม่อยากจะเชื่อ

วันก่อน พูดถึงชื่อของทั้งสอง แต่ละคนเป็นเหมือนศัตรูกัน หนิงเชี่ยนถึงขั้นกับว่าเป็นเพราะหลิวซู หลายปีมานี้ ก็ไม่เคยกลับประเทศเลย แต่ถึงตอนนี้ เพิ่งจะผ่านไปสิบกว่าชั่วโมง ดูเหมือนว่า สนิทสนมจนยากที่จะแยกจากกันได้

"เสี่ยวเชี่ยน คุณกับเสี่ยวซุ นี่……ดีกันแล้วหรอ?" แม่หนิงลุกขึ้นมา เดินไปด้านหน้าสองสามก้าว แล้วถามหนิงเชี่ยน

หนิงเชี่ยนชำเลืองมองสีหน้าทุกคน แล้วหอมแก้มหลิวซู "แม่ ฉันเข้าใจเขาผิดไป วันนั้น เขาดื่มเหล้าจนเมาอยู่บ้านเพื่อน เพื่อนเขาเป็นคนรับโทรศัพท์ ชายและหญิงในโทรศัพท์ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับเขา เขา……เพื่อฉัน สองสามปีมานี้ แม้แต่ผู้หญิงก็ไม่เคยแตะต้องเลยเชื่อไหม?

หนิงเส่าเฉินกำลังดื่มน้ำ ได้ยินหนิงเชี่ยนพูดแบบนี้ ก็ลืมตัวพ่นน้ำออกมา หลิวซูไม่ได้ล่วงเกินผู้หญิง?

นี่เขาเห็นว่าฉันเป็นคนตาบอด หูหนวกหรอ?

เขายืดตัว ไปหยิบทิชชู่เดน้ำชาบนปาก ลุกขึ้นยืน ด้วยสีหน้าที่เย็นชา

"หลิวซู คุณตามฉันมาที่ห้องหนังสือ"

รู้ว่าเขาต้องการจะถามอะไร ดังนั้น ไม่รอให้หนิงเส่าเฉินต้องเอ่ยปาก หลิวซูก็เอ่ยปากพูดออกมาด้วยตัวเองก่อนเลย

"สองสามปีนี้ ฉันโกหกคุณ ฉันไม่ได้มีผู้หญิงที่ไหน แล้วก็ไม่ได้เกิดเรื่องอะไรกับผู้หญิงเหล่านั้น ฉันแค่คิดว่าน้องสาวของคุณกำลังนอกใจ ไม่อยากเสียหน้า จึงจงใจพูดกับคุณไปแบบนั้น" เขาพูดจบ ก็ลูบๆหัวของตัวเองอย่างเขินอายเล็กน้อย

หนิงเส่าเฉินตะลึงงัน ทันทีก็เลื่อนสายตาลง มองไปที่เอวกางเกงของหลิวซู "งั้น สิ่งเหล่านั้นในมือถือล่ะ?"

"ทำไมล่ะ? จินตนาการเพื่อดับกระหาย ทำด้วยตัวเอง ก็ไม่ได้หรอ?" หลิวซูตอบกลับอย่างสะท้อนใจ

หนิงเส่าเฉินพยักหน้าอย่างเห็นด้วยกับความคิด เดินเข้าไปก้าวหนึ่ง ตบเบาๆที่บ่าของหลิวซู "ไม่เลว น้องชาย สามารถร่วมทุกข์ร่วมสุขได้"

หลังจากพูดจบ ก็เดินไปยังหน้าประตู เปิดประตูห้อง เงาของคนคนหนึ่งก็เข้ามา

ยื่นมือไปประคองคนคนนั้น หนิงเส่าเฉินถอนหายใจเบาๆ ดีดๆที่หน้าผากของเธอ "ทีนี้ เรียกฉันว่าพี่ชายได้แล้วใช่ไหม?"

หนิงเชี่ยนจะไม่เข้าใจที่หนิงเส่าเฉินพูดได้ยังไง ปีนั้น เธอคิดว่าหลิวซูทรยศเธอ ดังนั้น เข้าใจเรื่องเหล่านี้ผิด ทั้งหมดจึงต้องโทษที่หนิงเส่าเฉิน บอกว่าเพราะเขาทำให้หลิวซูต้องกลับประเทศ เรื่องราวจึงเป็นแบบนี้

จนกระทั่ง หลายปีมานี้ เธอไม่สนใจหนิงเส้าเฉิน แล้วก็ไม่เรียกเขาว่าพี่ชาย

ถึงจะกลับประเทศมาครั้งนี้ เธอก็ไม่กลับคฤหาสน์ตระกูลหนิงเลยสักครั้ง

เมื่อคนทั้งสามออกมา พ่อหนิงแม่หนิงและหนิงเสี่ยวซีก็นั่งอยู่บนโต๊ะอาหารแล้ว เห็นพวกเขาลงมา แม่หนิงก็รีบทักทายว่า: "เสี่ยวซู รีบมานั่งเร็วเข้า"

"แม่ ยังไม่ใช่ลูกเขยของคุณนะ? ลืมลูกสาวไปแล้วหรอ?"

"ยัยเด็กบ้า พูดจาไร้สาระอะไร? ฉันเห็นเสี่ยวซูมาเป็นแขก เลยชวนพูดคุยเรื่อยเปื่อย"

หลิวซูพยักหน้ากับแม่หนิง "ขอบคุณครับคุณป้า คุณก็นั่งเถอะ"

มองออกว่า แม่หนิงประทับใจหลิวซูอย่างมาก หลังจากเห็นคนทั้งสองเข้ากันได้ดี เธอก็ไม่ได้ปิดปาก

ระหว่างมื้ออาหาร ก็ดูแลคีบอาหารให้หลิวซู

แม่กระทั่งหนิงเสี่ยวซีที่เป็นดั่งแก้วตาดวงใจในสองสามวันมานี้ก็ยังถูกปฏิบัติอย่างเย็นชา

"คุณย่า คุณอาหลิวสำคัญกว่าหนูแล้วใช่ไหม?" ถึงอย่างไรหนิงเสี่ยวซีก็ยังเป็นเด็ก จึงหวงแหน เห็นแม่หนิงกระตือรือร้นต่อหลิวซู จึงเอ่ยปาก

แม่หนิงปิดปากหัวเราะขึ้นมา รีบยืดตัวไป ทั้งคีบอาหาร ทั้งตักซุปให้เสี่ยว "เจ้าหลานโง่ สำหรับย่าคนนี้ คุณคือ ของที่ล้ำค่าที่สุด"

ชัดเจนว่าหนิงเสี่ยวซัได้ประโยชน์อย่างมากกับคำพูดนี้ ใบหน้าเมื่อกี้ที่ยังบึ้งตึง ครู่หนึ่งก็ยิ้มเบิกบาน

หนิงเชี่ยนที่เดิมทีอยากจะคีบอาหาร หลังจากสายตาเห็นรอยยิ้มของหนิงเสี่ยวซี ตะเกียบในมือของเธอก็ตกลงโต๊ะหินอ่อนดัง"แกร๊ก" มีเสียงริงโทนดังขึ้น

เธอยืดหลังให้ตรง เดินไปทางบุคคลนั้น

เมื่อเธอเดินผ่านบุคคลนั้น ความร้อนก็ส่งมาที่แขน เธอตัวแข็งทื่อ ใช้แรงสะบัดออก

"พี่ชายคุณให้ฉันมารับคุณกลับคฤหาสน์หนิง" น้ำเสียงผู้ชายที่คุ้นเคย ไม่สุขไม่เศร้า สงบนิ่งอย่างมาก สงบนิ่งมากจนหนิงเชี่ยนเกือบจะคิดว่าช่วงเวลาสองสามปีนั้นเป็นเพียงความฝัน

เธอหันกลับมา จ้องมองชายตรงหน้า ไม่ได้เจอกันสองสามปี ดูเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมาก แล้วก็สุขุมขึ้น แววตาเธอเผยให้เห็นการถากถาง

"ดูเหมือนว่า การเป็นสุนัขรับใช้ให้พี่ชายของฉัน มันดูดีมากเลยใช่ไหม?" เธอพูดคำนี้อย่างไม่ชำนาญ ดังนั้น พอพูดขึ้นมา ก็ดูไม่รื่นหูเล็กน้อย

ทว่าหลิวซูจ้องมองเธอ เป็นเวลานาน ฉับพลันเขาก็ยื่นแขนเรียวยาวออกมา ใช้แรง ดึงเธอมาไว้ในอ้อมกอด แล้วโค้งตัวลง จูบหญิงสาวที่อยู่ตรงหน้า

หนิงเชี่ยนอยู่ในอาการตกตะลึง เธอแทบจะชกและเตะผู้ชายตรงหน้า ชั่วขณะ เธอเหมือนพยายามใช้แรงทั้งหมดที่มี บนปากก็ไม่ได้นิ่งเฉย กัดลงไปบนริมฝีปากของชายคนนั้น ชั่วพริบตาในปากก็เต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือด

แต่ว่า ชายตรงหน้าก็เหมือนไม่รู้สึกรู้สาอะไร ยังคงจูบฉันต่อไป

"คุณบ้าไปแล้วหรอ คนมองเยอะแยะแบบนี้……” ฉวยโอกาสตอนที่เปลี่ยนลมหายใจ หนิงเชี่ยนก็พูดโพล่งออกมา ชายคนนั้นพยักหน้า มือใหญ่ก็เลื่อนลงมา ตกลงบนเอวของหญิงสาว เอนตัวเล็กน้อย ก้มลงไปพูดข้างๆหูเธอ "ตอนดึกฉันจะไปที่นั่น ไม่ได้เจอกันสองสามปี คิดถึงรสชาติที่ได้ทำกับคุณจริงๆเลย……”

พูดจบ หน้านั้นก็ถูกตบเข้าอย่างแรง

"คุณหลิว คุณอย่ามาแตะต้องตัวฉันอีก" พูดจบ ก็นำเสื้อคลุมสีขาวบนตัว ถอดออก เผยให้เห็นเสื่อสายเดี่ยวสีดำ ปละกางเกงยีนส์ขาสั้น

ร่างที่สูง 1.7 เมตร เผยให้เห็น รูปร่างที่ดูอ่อนช้อย ทันใดนั้นไม่ว่าชายหรือหญิงที่เดินผ่าน ก็ไม่มีเลยที่จะไม่ชายตามอง

หลิวซูโกรธอย่างมาก รีบเดินไปข้างหน้า ดึงหนิงเชี่ยนเข้าไปในรถสปอร์ตคันหรูที่จอดอยู่ไม่ไกลจากตรงหน้าเขา

สองสามปีนี้ แม้ว่าคนนอกจะรู้เพียงว่าเขาเป็นผู้ช่วยที่มีความสามารถของหนิงเส่าเฉิน แต่ไม่รุ้เลยว่า เขายังเป็นหนึ่งในผู้ถือหุ้นของหนิงกรุ๊ป เป็นอันดับสองรองจากหนิงเส่าเฉิน

หนิงเส่าเฉินแต่ไหนแต่ไรก็ไม่เคยดูแคลนเขา เงินเดือนสวัสดิการ มากถึงแปดหลัก……

ภูมิหลังครอบครัวไม่ด้อยไปกว่าตระกูลหนิง จากรุ่นสู่รุ่นเป็นข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ ถึงรุ่นพ่อ จึงเริ่มสมัครทหาร แต่ก็ยังได้รับความเคารพอย่างสูง

แต่ว่า สมัยบรรพบุรุษ เป็นข้าราชการที่ซื่อสัตย์ ดังนั้น แม้จะมีอำนาจมีอิทธิพล แต่ในแง่ของความมั่งคั่ง ถือว่ามีอุปสรรคนานัปการ……

นี่คือสาเหตุที่หลิวซูปฏิเสธที่จะทำตามพวกเขา

สุจริตจนไม่มีข้าวจะกิน บรรดาพี่สาวน้องสาวพวกเขา ในตอนนั้นเติบโตมาได้อย่างไร เขาตราตรึงใจเหลือเกิน

ดังนั้น ในเวลานั้นจึงไปเรียนต่อต่างประเทศ บริษัทในท้องถิ่นจ่ายเงินค่าจ้างในราคาสูง สาเหตุที่เขาไม่ยอมอยู่ต่อคือ เขายินดีที่จะทำงานร่วมกับหนิงเส่าเฉิน เขาไว้ใจ เขาเป็นคนที่ค้นพบความสามารถของเขา

สาฝองสามปีนี้ พิสูจน์แล้วว่าเป็นไปอย่างที่คิด ในตอนนั้นเขาเลือกทางเดินถูกต้อง

ตอนนี้ เขาไม่เพียงแต่มีทรัพย์สินในครอบครอง ยังมีตำแหน่งที่ไม่สั่นคลอนอยู่ในตระกูลหนิงด้วย

เพียงแต่หนิงเส่าเฉินโดเด่นเกินกว่า ที่จะปิดบังรัศมีของเขาก็เท่านั้น

มีคนเคยยุยงให้เขาทำคนเดียว พูดว่าหนิงเส่าเฉินทำให้เขาเป็นสุนัขรับใช้ แต่เขาก็จัดการชายคนนั้นไปอย่างโหดเหี้ยม

ความผูกพันของเขากับหนิงเส่าเฉิน ไม่ยอมให้ใครมาทำลายได้

โยนเสื้อเชิ้ตบนเก้าอี้ไปให้หนิงเชี่ยน "สวมมันซะ ต่อไปก็อย่านุ่งน้อยห่มน้อยแบบนี้ได้ไหม คุณคิดว่าคุณออกมาขายตัวหรือไง?"

หนิงเชี่ยนหันกลับมา ถลึงตาใส่ มองเขา

"คุณหลิว คุณมีสิทธิ์อะไรมายุ่งกับฉัน? คุณอย่าลืมสิ เมื่อปีนั้นคุณเลือกพี่ชายของฉันแล้ว ระหว่างพวกเราก็ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกันอีก" เธอพูดพลางเบ้ปากขึ้น หลิวซูหันหน้าไปมองเธอแล้ว ก็เลี้ยวพวงมาลัยไปทางขวาทันที หยุดรถ ดันเกียร์ไปที่เกียร์P เหยียบเบรก

ปลดเข็มขัดนิรภัย หันตัวกลับ ก้าวขายาวๆ พลิกตัวโดยตรง คนกดลงบนร่างหนิงเชี่ยน เข้าไปใกล้ ปิดริมฝีปากสีแดงของเธออีกครั้ง

ความสนิทสนมในช่วงปีเหล่านั้น เขารู้อย่างชัดเจนของปฏิกริยาที่ไวของผู้หญิงคนนี้ ดังนั้น เพิ่มความยั่วสักเล็กน้อย ผู้หญิงที่เดิมทีต่อสู้ดิ้นรน ก็อ่อนระทวยจนกลายเป็นน้ำ

"นี่มันบนถนนใหญ่นะ คุณบ้าไปแล้วหรอ?" น้ำเสียงของหนิงเชี่ยนอ่อนลงมาอย่างเห็นได้ชัด

แต่หลิวซูก็ยังกดดันเธอต่ออย่างไม่สนใจ เงยหน้า มือทั้งสองประคองที่ด้านบนข้างลำตัวของเธอ จ้องมองหนิงเชี่ยน "พูดสิ ตกลงระหว่างพวกเราไม่มีความเกี่ยวข้องกันใช่ไหม?"

หนิงเชี่ยนเธอเอียงหน้าไปข้างหนึ่ง "แน่นอนว่ามี ก็เป็นอดีตแฟนไง"

หลิวซูได้ยิน มือหนึ่งปลดเข็มขัดนิรภัยของเธอออก แล้วใช้มือกดปรับเบาะนั่งด้านข้าง ทันทีเก้าอี้ที่หนิงเชี่ยนนั่งก็ถูกทำให้เอนลง

"คุณ…..คุณจะทำอะไร?" หนิงเชี่ยนจะโง่ยังไง เวลานี้ก็รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น

ถึงแม้ว่า หลายปีมานี้ เธอใช้ชีวิตอยู่ต่างประเทศ ก็นับได้ว่าเห็นจนชินแล้วกับคน "ส่วนใหญ่ในสังคม" แต่ว่า ถึงอย่างไรนี่ก็เป็นในประเทศ แล้วนี่ก็เป็นข้างถนนใหญ่ที่รถสัญจรไปมา ผู้ชายคนนี้ คาดไม่ถึงว่าจะอยากทำอะไรแบบนั้นกับเธอ พูดตามตรง เธอตกใจจริงๆ

เธอกำมือทั้งสองแน่น ดันไปที่หน้าอกหลิวซู "หลิวซู คุณเป็นบ้าอะไรเนี่ย นี่มันบนถนนใหญ่นะ คุณ….."

"ด้านนอกมองไม่เป็นด้านใน" หลิวซูพูดตัดบทคำพูดของเธอ ซุกศีรษะไปที่ลำคอของเธอ เริ่มกัดงับ

หนิงเชี่ยนจะบ้าตาย ถึงแม้จะมองไม่เห็นด้านใน แต่…..

เธอเอามือลง ขัดขวางมือใหญ่ๆของหลิวซูที่เคลื่อนย้ายลง "เมื่อปีนั้นคุณเลือกที่จะกลับประเทศ"

"ฉันกลับประเทศ แล้วฉันเคยบอกว่าจะเลิกหรอ? ส่งข้อความไปให้คุณ ก็ไม่สนใจ ไปหาคุณที่นั่น เห็นจูงมืออยู่กับผู้ชายก็ไม่ว่า คาดไม่ถึงว่ายังปล่อยสุนัขออกมาอีก หนิงเชี่ยน คุณเป็นคนหรือเปล่า?" หลิวซูกระซิบที่ข้างหูเธอ

"คุณพูดเหลวไหล…..ฉันแม่งโทรมาหาคุณ คุณรับแล้ว แต่ให้ฉันฟังคุณทำเรื่องเหล่านั้นกับผู้หญิงคนอื่น คุณบอกมาสิ ว่าจะให้ฉันสนใจคุณได้ยังไง? ฉันไม่ให้สุนัขนั่นกัดอวัยวะสืบพันธุ์คุณทิ้ง ฉันก็มีจิตใจที่รู้บาปบุญคุณโทษพอแล้ว" หนิงเชี่ยนพูดถึงตรงนี้ ก็ไม่รู้ว่าถูกหลิวซูปลุกอารมณ์ หรือตื่นเต้นเกินไป…..แก้มจึงแดงระเรื่อ

แต่จู่ๆหลิวซูก็พลิกตัว กลับไปนั่งบนที่นั่งด้านข้าง มองหนิงเชี่ยนด้วยใบหน้าที่ไม่เข้าใจ "คุณโทรมาหาฉันตั้งแต่เมื่อไร?"

สองสามปีมานี้ ในสายตาคนภายนอก เขาเป็นจอมเจ้าชู้ที่มีชื่อเสียง ที่อยู่ท่ามกลางกมู่มวลดอกไม้…..รวมทั้งหนืงเส่าเฉินก็ไม่รู้เลยว่า ตั้งแต่เขากลับจากต่างประเทศมาเป็นเวลานานแล้ว เขาก็หักห้ามอารมณ์รักใคร่มาโดยตลอด…..

เขาแสร้งทำเป็นอยู่ด้วยกันกับผู้หญิงเหล่านั้นต่อหน้าหนิงเส่าเฉิน จนกระทั่งเปิดห้อง ความเป็นจริง เขาก็แค่นอนหลับเฉยๆ ก็เท่านั้น

เขาไม่เต็มใจให้หนิงเส่าเฉินรู้ว่าเขาเป็นเช่นนี้ เพียงแค่กลัวว่าเขาจะบอกหนิงเชี่ยน

เพียงแค่กลัวว่าตนเองจะพ่ายแพ้อย่างจนตรอกจนเกินไป……

"แล้วคุณเห็นฉันจูงมือกับผู้ชายคนอื่นตั้งแต่เมื่อไรกัน?"

หนิงเชี่ยนไม่ตอบกลับเขา แต่ถามหลิวซูกลับ

การแสดงออกของคนทั้งสอง ทั้งหมดคืออารมณ์ ชัดเจนอย่างมากว่า หาสาเหตุของปัญหาไม่เจอ

หลิวซูสูดลมหายใจเข้า "ฉันอธิบายก่อน หลังจากฉันกลับประเทศได้ครึ่งปี ก็ไปหาคุณ เวลานั้น คุณน่าจะฝึกงานอยู่ที่โรงพยาบาล ฉันเห็นคุณจูงมือผู้ชายคนหนึ่งเข้าโรงพยาบาลไป หลังจากนั้น ฉันไปรอคุณอยู่ที่บ้านของคุณ อยากฟังคำอธิบายของคุณ คาดไม่ถึงว่าคุณจะปล่อยสุนัขออกมา…..ใบหน้านี้เกือบจะเสียโฉมแล้ว….."

พูดจบ เขายื่นมือออก "ตาคุณอธิบายแล้ว"

หนิงเชี่ยนนึกถึงอะไรได้ กลั้นหัวเราะ แล้วพูดว่า: "หลังจากเลิกกัน ประมาณสามเดือน วันนึงตอนเย็นโทรศัพท์ไปหาคุณ พอรับสาย คุณไม่ได้พูดอะไร ไม่นาน ก็มีเสียงคุณกับผู้หญิงคนอื่นทำเรื่องเหล่านั้นดังเข้ามา….."

หลิวซูพยายามกลับไปคิด….จู่ๆเขาก็คล้ายกับจะนึกอะไรออก หยิบมือถือแล้วต่อสายไปที่ฮั่นยิ่งเฮา โทรศัพท์ถูกรับอย่างรวดเร็ว "ฮัลโหล พี่ใหญ่ซู มีคำสั่งอะไรหรอ?"

"อย่าเครียดสิ เราเพียงแค่มาเพื่อตรวจสุขภาพก่อนคลอดให้เธอ" หนิงเชี่ยนพูดจบ ก็มองเขาด้วยสายตาลึกซึ้ง แล้วตบๆบ่าของเขา เดินผ่านชูหยูจี้ไป เมื่อเห็นอ้ายหมี่อยู่ที่นี่ ก็ตกตะลึง

ก่อนหน้านี้ชูหยูจี้บอกเธอว่าเป็นเพื่อนของเพื่อน เธอไม่ได้โง่นะ เป็นธรรมดาที่เธอจะไม่เชื่อ เมื่อกี้ก็เห็นว่าชูหยูจี้กังวลขนาดนั้น ก็ยิ่งแน่ใจว่าเด็กในท้องของหญิงตั้งครรภ์นี้ไม่สามารถแยกออกจากความเกี่ยวข้องกับเขาได้

แต่ว่า เวลานี้เห็นอ้ายหมี่ก็อยู่ที่นี่ ยังส่งน้ำให้เย่หลินดื่ม ก็ชัดเจนมาก ว่าตนเองเดาผิด

งั้น ท้ายที่สุดแล้วผู้หญิงคนนี้กับชูหยูจี้เกี่ยวข้องอะไรกัน?

ไม่น่าเชื่อว่าจะทำให้สองคนนี้ เต็มอกเต็มใจที่จะดูแลในเวลาเดียวกัน

"พี่หนิง คุณมสอยู่ที่นี่ได้ยังไง?" อันที่จริงอ้ายหม่อายุแค่ 22 ปี เพราะว่าอายุน้อย เธอเจอใคร ก็เรียกพี่หมด

ตอนหนิงเชี่ยนอยู่ต่างประเทศ ก็เคยติดต่ออ้ายหมี่สองสามครั้ง แล้วก็ชอบนิสัยของเธอมาก

เธอหัวเราะๆ "ยังดีที่คุณอยู่ที่นี่ มิเช่นนั้น ฉันยังคิดว่าจริงๆแล้ว พ่อของเด็กคนนี้คือน้องชายฉันหรือเปล่านะ?"

เธอพูดหยอกล้อ พลางกับ เดินมายืนอยู่ตรงหน้าเตียงของเย่หลินแล้ว

เธอยื่นมือออกไป ก็มีคนส่งที่อัลตร้าซาวด์ให้เธอ แล้วหันกลับมา ก็สบกับสายตาของเย่หลิน เธอพบว่าทันทีที่เธอปรากฏตัว ผู้หญิงคนนี้ก็จ้องมองเธอ โดยมองอย่างไม่ลดละอยู่สักพัก

อดไม่ได้ที่จะหัวเราะเบาๆ "บนหน้าฉันมีอะไรเลอะหรอค่ะ?" น้ำเสียงของเธอน่าฟังพอๆกับหนิงเส่าเฉิน รอยยิ้มของเธอ เมื่อมองอย่างถี่ถ้วน ค่อนข้างคล้ายกับหนิงเส่าเฉิน

เย่หลินมองๆดู ใบหน้าตรงหน้านั้น ก็เปลี่ยนกลายเป็นเย่เฉ่าเฉิน ขอบตาแดงขึ้น น้ำตาก็ไหลออกมา

หลังจากตัดสินใจเก็บเด็กคนนี้ไว้ เธอก็ฝืนตนเองให้ไม่คิดถึงหนิงเส่าเฉิน เพราะจะต้องเจ็บปวดใจ จะต้องร้องไห้ เธอกลัวว่าจะมีผลกระทบต่อการพัฒนาการของเด็ก เธอก็เลยควบคุมตนเองให้ไม่ไปคิดถึงเขา……

เป็นเวลานานแล้ว นานจนเธอยังคิดว่า เธอจะใช้เวลาเพื่อให้ค่อยๆลืมเขาไปให้ได้

แต่ขณะนี้ ทว่าการประชดตัวเอง เดิมทีความผูกพันบางอย่าง ยังคงตราตรึงอยู่ในใจ

ขณะนี้ เธอจึงรู้ว่า ความคิดถึงเพียงแค่ถูกเก็บกดไว้ และเก็บกดไว้เป็นเวลานาน เมื่อถูกกระตุ้น ก็ไม่สามารถควบคุมไว้ได้เลย

เธอคิดถึงเขา เวลานี้ขณะนี้ คิดถึงจนแทบบ้า

"เป็นอะไรไป?" เผชิญหน้ากับน้ำตาที่อธิบายไม่ได้ของเย่หลิน หนิงเชี่ยนก็งุนงงเล็กน้อย เพียงแต่ว่า ผู้หญิงคนนี้ หน้าตาสะสวยจริงๆ ถึงแม้ว่าจะท้อง ทว่าไม่มีผลกระทบต่อความสวยของเธอเลย ยังคงสะสวยและงดงาม

ชูหยูจี้เห็นเช่นนั้น ก็รีบเดินเข้าไป ส่งกระดาษทิชชู่ให้เย่หลิน เงยหน้าพูดกับหนิงเชี่ยนว่า "พวกคุณมากับหมอเยอะแยะขนาดนี้ เธอค้องกลัวอย่างแน่นอน"

พูดจบ เขาก็ตั้งใจพูดกับเย่หลินว่า : "คุณไม่ต้องกลัวนะ พวกเขามาตรวจตามปกติ ทำใจให้สบายๆเถอะ"

เย่หลินจึงรู้สึกได้ถึงการยับยั้งสติไม่อยู่ของตนเอง เธอจึงยิ้มๆกับหนิงเชี่ยน "ขอโทษนะ ฉัน……ฉันลืมตัวไป"

รอยยิ้มของเธอ สวยมาก สวยจนหนิงเชี่ยนมองอย่างใจลอยไปชั่วขณะ

เพียงแค่ ไม่รู้ว่าตัวเธอเข้าใจผิดไปเองหรือไม่ เธอรู้สึกว่า เธอคล้ายกับเคยเห็นรอยยิ้มนี้จากที่ไหน

"ไม่เป็นไร….." เธอก็ยิ้มกลับ

ต่อจากนั้น หนิงเชี่ยนก็ตั้งใจฟังหัวใจของทารกในครรภ์ของเธอ แล้วก็ใช้มือ คลำที่หนังท้องของเธอ และถามเกี่ยวกับสภาพร่างกายของเย่หลินอย่างละเอียด แล้วจึงหันจากไป

เพราะการตรวจ ผู้ชายจึงต้องหลบไป ชูหยูจี้ถูกไล่ออกไป

เวลานี้ เห็นหนิงเชี่ยนออกมา ก็รีบเข้ามาเผชิญหน้า กล่าวถามอย่างเคร่งเครียดว่า:

"เป็นยังไงบ้าง? พี่สาว?"

ความเคร่งเครียดของเขาทำให้หนิงเชี่ยนหันกลัยไปมองห้องผู้ป่วยอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ "ไม่ใช่ลูกของคุณจริงๆใช่ไหม?"

ชูหยูจี้ขมวดคิ้ว ส่ายหน้า ทันทีก็รีบกล่าวถามว่า: "พ่อสาว ถึงแม้จะไม่ใช่ลูกของฉัน แต่ ผู้หญิงคนนั้นและเด็ก สำหรับฉันแล้ว มีความสำคัญอย่างมาก คุณรีบบอกฉันเถอะ ว่าเป็นยังไงบ้าง?"

หนิงเชี่ยนนิ่งเงียบไปชั่วขณะ แล้วจึงเงยหน้า มองชูหยูจี้ ใบหน้าเคร่งขรึม "ขณะนี้ทางด้านอาการของเด็กเมื่อดูแล้ว ก็ไม่เลว แต่ว่า…..อาการของคนเป็นแม่เองไม่ค่อยดีนัก โลหิตจางมากเกินไป ถึงแม้ช่วงนี้จะถ่ายเลือดแล้ว แต่ผลก็ไม่เป็นที่น่าพึงพอใจนัก พรุ่งนี้ต้องเตรียมเร่งให้คลอด หากรอให้ครบกำหนดคลอดแบบนี้ จะง่ายต่อการสูญเสียเลือดอย่างมาก เมื่อถึงเวลา เด็กและคนโต ล้วนเป็นอันตรายถึงชีวิต พี่ชาย ทางที่ดีคุณแจ้งพ่อของเด็กเถอะ"

เธอพูดจบ ชูหยูจี้ก็เซถอยหลังไปสองก้าว พิงกำแพง คอตก ครู่ใหญ่ เขาจึงหันหลังกลับ เกาะที่กำแพงแล้วทุบไปอย่างแรง

ต้องโทษเขา ช่วงเวลาตรวจก่อนคลอดตั้งนาน เขาจะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อรีบออกจากเมืองC แต่ ในช่วงสามเดือนสุดท้าย เพราะการตรวจครรภ์ที่ค่อนข้างบ่อย เขาก็ไม่สามารถไปเป็นเพื่อนทุกครั้งได้

เธอกลัวว่าจะรบกวนเขา เธอกลัวว่าจะกลายเป็นภาระของเขา ดังนั้น อะไรก็ไม่บอกเขา ทุกครั้งที่ถามอาการเธอว่าเป็นยังไง เธอก็จะแจ้งแต่เรื่องดีไม่แจ้งเรื่องที่ทุกข์ใจ ถ้าไม่ใช่เพื่อนบ้านข้างๆโทรมาบอกเขา ว่าเธอเป็นลมหมดสติไป เขาก็ยากที่จะคิดว่า จะเป็นยังไง?

เพียงแต่ บอกพ่อของเด็กงั้นหรอ? พรุ่งนี้ก็จะเป็นงานแต่งของหนิงเส่าเฉินและเกาเหวิน ถ้าเพราะเหตุนี้ งานแต่งของคนทั้งสองต้องถูกทำลาย เกรงว่า เย่หลินจะยิ่งรู้สึกผิดในใจ

อันที่จริงชูหยูจี้ก็รู้ว่า ที่เธอเป็นโรคโลหิตจางขั้นรุนแรงขนาดนี้ ไม่ใช่ว่าทานอาหารไม่ดี แต่เป็นเพราะกลางคืนนอนหลับไม่ค่อยดี ลึกๆในใจของเธอ รู้สึกผิดต่อเกาเหวิน ดังนั้น จึงฝันร้ายทุกคืน นำไปสู่สมรรถภาพทางกายที่แย่ และส่งผลกระทบต่อสุขภาพ ถ้าเวลานี้ให้เธอรู้ว่าเพราะตนเองส่งผลกระทบต่องานแต่งของคนทั้งสองอีก คาดว่าเธอก็จะยิ่งเป็นทุกข์

"ฉันแค่บอกผลสรุปที่ร้ายแรงที่สุด ผลสรุปที่ดีคือแม่และลูกอาจจะปลอดภัย" เมื่อเห็นชูหยูจี้เป็นทุกข์อย่างมาก หนิงเชี่ยนก็อดไม่ได้ที่จะเข้าไปตบเบาๆที่บ่าของเขา แล้วก็กล่าวเพิ่มเติม

ชูหยูจี้นั่งบนเก้าอี้ที่อยู่ด้านข้าง มือทั้งสองปิดหน้า

หนิงเชี่ยนเห็นเขาจมอยู่ในความคิดของตนเอง เธอก็เลยจากไป แต่เพราะเหตุนี้ในใจก็กดดันเล็กน้อย เธอเป็นหมอ เธอจึงเข้าใจอาการตอนนี้ของผู้หญิงคนนี้อย่างมาก ไม่ค่อยน่าพึงพอใจจริงๆ ถ้าการผ่าตัดราบรื่นก็ดีไป แต่เมื่อใดก็ตามที่มีความผิดพลาดเพียงเล็กน้อย ก็วามารถทำให้ชีวิตทั้งสอง ต้องตกอยู่ในสถานการณ์ที่อันตรายอย่างแน่นอน

เพราะมาโรงพยาบาล ที่สำคัญก็คือเพื่อเรื่องนี้ของเย่หลิน ดังนั้น ตรวจให้เธอเสร็จแล้ว หลังจากแพทย์หลายคนหารือเกี่ยวกับแผนการดำเนินงานแล้ว หนิงเชี่ยนก็เก็บของแล้วก็เลิกงาน

พอเดินมาถึงหน้าประตูโรงพยาบาล ก็เห็นเงารูปร่างสูงชะลูดยืนอยู่ที่หัวมุมของห้องรักษาความปลอดภัย

หนิงเชี่ยนรู้สึกว่าสายตาไม่ชัดเจนเล็กน้อย

เมืองS เป็นเพียงเมืองเล็กๆระดับจังหวัด ระดับการรักษาพยาบาลมีจำกัด ชูหยูจี้เป็นห่วงเธอ ไม่คำนึงถึงการคัดค้านของเธอ ต้องรับมาให้ได้

"เอาล่ะ คุณนอนพักก่อน อย่าพูดเยอะ อีกสักพักหมอจะมาตรวจก่อนคลอดให้คุณ"

ชูหยูจี้เพิ่งจะพูดจบ ก็ได้ยินเสียงเปิดประตู

"ฉันก็ว่าอยู่ได้ยินเสียงอยู่ด้านนอกทำไมคุ้นหูฟัง อย่างนี้เอง ใช่คุณจริงๆด้วยน้องชาย?" ที่พูดคือหนิงเชี่ยน ซึ่งแก่กว่าชูหยูจี้ 2 ปี ไปทำการวิจัยทางสูติศาสตร์และนรีเวชวิทยาในต่างประเทศ อายุยังน้อย แต่ผลงานมีมากมาย และเป็นผู้มีอำนาจสูงสุดในด้านนี้

"พี่สาว คุณ……คุณกลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่?" ชัดเจนว่า สำหรับการมาเยือนอย่างกะทันหันของหนิงเชี่ยน ชูหยูจี้ เหนือความคาดหมายอย่างมาก

มองชุดทำงานของหนิงเชี่ยนอีกครั้ง ก็ขมวดคิ้ว "คุณ……ไม่ได้อยู่ต่างประเทศหรอ?"

"โรงพยาบาลเชิญกลับมาเพื่อร่วมกันตรวจโรค ว่ากันว่า มีคนจ่ายเงินจำนวนมาก ให้โรงพยาบาลเราเอาหมอเข้ามา นี่ไม่ใช่ว่า ฉันมางานแต่งงานของพี่ชายพอดี ก็เลยถือโอกาสเข้ามาเลย"

หนิงเชี่ยนพูดจบ ชูหยูจี้ขมวดคิ้วเข้าด้วยกัน เขามองเย่หลินที่หลับตาอยู่บนเตียงโดยจิตใต้สำนึก

นี่คือพระเจ้าจัดวางให้ใช่ไหม? เขาก็เชิญคนมาร่วมกันตรวจโรค แต่ที่เชิญมาจะเป็นจะเป็นน้องสาวของหนิงเส่าเฉิน……

เห็นสีหน้าของเขา หนิงเชี่ยนก็ปิดปาก ชี้ไปที่คนบนเตียง "เป็นไปไม่ได้……”

ชูหยูจี้ดึงแขนเธอ แล้วก็ลากเธอ ผลักออกนอกห้องผู้ป่วย

"ไอ๊ยะ คุณเบาๆหน่อย เข้าใจการทะนุถนอมต่อสตรีไหม?" หนิงเชี่ยนนวดๆแขนตนเอง จ้องมองชูหยูจี้

คิดๆแล้ว ดวงตาก็เบิกกว้าง "ว้าว น้องชาย ผู้หญิงด้านในนั้น ไม่ใช่เมียน้อยคุณใช่ไหม? อ้ายหมี่คนนั้นที่ฉันพบครั้งที่แล้วในต่างประเทศ ไม่ใช่แม่ฉันบอกว่า พวกคุณหมั้นกันแล้วไม่ใช่หรอ? ทำไมถึงท้องป่องได้ยังไงล่ะ?"

หนิงเชี่ยนเผชิญหน้าถามอย่างสงสัย เวลานี้ชํหยูจี้ลำบากใจจริงๆ เขาจะบอกว่าไม่ใช่ กลัวว่าหนิงเชี่ยนจะไล่ถามอีก แต่……ถ้าต้องพูด ในกรณีที่หนิงเชี่ยนพูดออกไป คนตระกูลชูนั้น ต้องทะเลาะกันใหญ่โตแน่นอน

ถึงเวลานั้น อาจจะส่งผลกระทบต่อสภาพจิตใจของเย่หลินได้

นึกถึงตรงนี้ เขาก็ได้แต่โกหกว่า "ไม่ใช่ นี่คือเพื่อน นี่กลัวว่าในครอบครัวจะรู้ ตนเองเลยไม่กล้ามาโรงพยาบาล ฉันเลยจนปัญญา……”

หนิงเชี่ยนยังต้องการจะพูดอะไร แต่เขาก็นำเธอหันกลับมา "โอเค คุณหมอใหญ่ คุณไปทำงานได้แล้ว" นึกๆแล้ว ก็พูดเสริมว่า "เรื่องนี้ รบกวนคุณเก็บเป็นความลับด้วย คุณเป็นหมอ คุณน่าจะรู้ว่าอาการของผู้ป่วยเป็นเรื่องส่วนตัว เปิดเผยไม่ได้"

พูดจบ ก็หันกลับ เข้าไปในห้องผู้ป่วย ถอนหายใจอย่างแรง

เมื่อกี้จริงๆแล้วเย่หลินไม่ได้หลับไป เธอได้ยินการสนทนาระหว่างคนทั้งสอง

ชูหยูจี้เรียกผู้หญิงคนนั้นว่าพี่สาว พี่ชายของพี่สาว จะต้องแต่งงาน……

ก็คือหนิงเส่าเฉินหรอ?

"เอ่อ เมื่อกี้คือว่า……”

"หยูจี้ เธอคือน้องสาวของหนิงเส่าเฉิน ใช่ไหม?" ไม่รอให้ชูหยูจี้อธิบายจบ เย่หลินก็เอ่ยถาม

ชูหยูจี้ดึงเก้าอี้มา นั่งลงข้างๆเธอ

"ใช่ไหม อาการของฉันไม่ค่อยดีใช่ไหม? ทำไม คุณต้องเชิญหมอมาจากต่างประเทศด้วย?" เมื่อวานหลังจากไปตรวจครรภ์ที่โรงพยาบาล หมออก็เรียกชูหยูจี้ไปที่ห้องทำงาน เพราะกลัวว่าคนนอกจะปฏิบัติต่อเธอไม่ดีพอ ดังนั้น จึงติดต่อคนในครอบครัว พ่อของเด็กเลยเขียนชื่อเป็นชูหยูจี้

"คุณเป็นพ่อของเด็ก ใช่ไหม? คุณดูแลหญิงตั้งครรภ์ยังไง? โลหิตจางรุนแรงขนาดนี้ คุณไม่รู้หรอ การคลอดบุตรภายใต้สถานการณ์อย่างนี้ หญิงตั้งครรภ์มีแนวโน้มที่จะมีเลือดออกมาก คุณยังต้องการชีวิตของเธออยู่หรือเปล่า?"

คำพูดของหมอข้างๆหู เสียงดังกึกก้อง ดังนั้น เธอตัดสินใจแทนเธอง่ามห้มาคลอดลูกที่เมืองCอย่างไม่ต้องลังเลสงสัยเลย อีกทั้งยังยื่นคำขอให้โรงพยาบาลเอามอจากต่างประเทศมา

แต่ว่า ความรุนแรงของโรคนี้ เขาไม่ได้บอกกับเย่หลิน

เขาเพียงแค่บอกเธอ บอกว่าโลหิตจางอย่างรุนแรง เป็นห่วงเธอ

"พูดไร้สาระอะไรน่ะ? ฉันไม่ได้หวังให้ไร้ข้อผิดพลาดหรอกน่ะ? คนอื่นต่างบอกว่า ผู้หญิงคลอดลูก นั่นคือการเดินการผ่านประตูผี ฉันอยากให้คุณออกห่างประตูผีให้ไกล….." เขาพูดจบ หันตัวกลับ ไปดึงผ้าม่าน แต่ปกปิดความกลัวในดวงตา

เขากลัวจริงๆ….

ถึงแม้ว่าชั่วชีวิตนี้จะไม่ได้เธอ ได้ปกป้องเธอไปแบบนี้ เขาก็รู้สึกพอใจมากแล้ว แต่ ถ้าเธอเกิดเหตุไม่คาดฝัน เขาก็ไม่สามารถจินตนาการได้……

"หยูจี้ ฉันมองออก เสี่ยวอ้ายเธอเป็นเด็กผู้หญิงที่น่ารักคนหนึ่ง คุณต้องรักและทะนุถนอม" เย่หลินหยิบแก้วชาที่อยู่ข้างๆ จิบชา เปลี่ยนหัวข้อสนทนา

ชูหยูจี้พยักหน้า เขาคิดในใจ เขาเข้าใจด้วยตัวเอง แต่ สถานการณ์แบบนี้ เขาอยากทำให้เย่หลินเบาใจ

"ฉันก็คิดว่าไม่เลวนะ รอคุณคลอดแล้ว ฉันก็จะจัดงานแต่งกับเธอ"

"ห๊ะ…."

เสียวประตู เปิดเข้ามาจากด้านนอก อ้ายหมี่เดินเข้ามาจากด้านนอกประตู

โอบกอดชูหยูจี้ "จริงหรอ? ที่รัก เมื่อกี้ที่คุณพูดเป็นเรื่องจริงหรอ?"

อ้ายหมี่เป็นคนที่ไม่อ่อนไหวง่าย แต่ เธอยังเข้าใจว่าชูหยูจี้รักเย่หลิน ดังนั้น เมื่อเดินมาถึงหน้าประตู ก็พอดีได้ยินคนทั้งสองพูดถึงเธอ ก็หยุดฝีเท้าด้วยจิตสำนึก

แต่คาดไม่ถึง ได้ยินชูหยูจี้ยกย่องเธอ และพูดคุยเกี่ยวกับการแต่งงานกับเธออีกด้วย

จึงอดไม่ได้ พุ่งตรงเข้ามา

ชูหยูจี้อ้าปากค้าง ยังไม่ทันได้หันกลับ ริมฝีปากก็ถูกปิด

เขาเบิกตาโพลง ยกมืออยากดันอ้ายหมี่ออก วินาทีต่อมาก็นึกอะไรขึ้นได้ ยกมือขึ้น ในที่สุดก็ลูบที่เอวของผู้หญิง

เห็นคนทั้งสองจูบกันอย่างดูดดื่ม ในสมองของเฉินเป้ยอีก็ปรากฎภาพของหนิงเสาเฉิน เธอกุมหน้าอกด้วยจิตสำนึก ภาพนั้นทำให้เธอเจ็บปวดจนหายใจไม่ออก

อ้ายหมี่กำลังเผชิญหน้ากับเย่หลิน หางตาก็เหลือบไปเห็นปฏิกริยาของเธอ

ปล่อยชูหยูจี้ แล้วรีบวิ่งไปยังข้างเตียง

"พี่เย่ คุณไม่เป็นไรใช่ไหม?"

เย่หลินส่ายหน้า สูดลมหายใจเข้า แล้วปล่อยออกมา ฉีกริมฝีปาก ฝืนยิ้มแล้วพูดว่า: "ฉันเพียงแค่ถูกคุณสองคนกระตุ้นน่ะ"

พูดจบ ก็มองค้อนชูหยูจี้ทีหนึ่ง "ยังไงก็ตามคนก็เคยรักฉันมาหลายปี เห็นคนเอาอกเอาใจคนอื่น ในใจนี้ของฉัน จะทำใจได้ยังไง"

เธอสงบจิตใจ โกหกอ้ายหมี่ แต่โกหกชูหยูจี้ไม่ได้

เขายืนอยู่ด้านหลังอ้ายหมี่ สายตาตกอยู่บนใบหน้าของเย่หลิน เป็นเวลานาน จึงยกมุมปากขึ้น โอบเอวของอ้ายหมี่ "รอคุณคลอดเสร็จแล้ว พี่จะแนะนำหนุ่มหล่อให้คุณคนนึง เป็นยังไง?"

อ้ายหมี่ลดสายตาลง มองไปยังมือของชูหยูจี้ที่โอบไว้แน่น มีความหดหู่เล็กน้อยในสายตา แต่ก็ หายไปในชั่วพริบตา

ชูหยูจี้อ้าปาก กำลังเตรียมจะพูดอะไร ด้านนอกก็มีเสียงเคาะประตู

เขาหันไปมอง ประตูไม่ได้ปิด ดังนั้น เขาจึงเห็นกลุ่มแพทย์กลุ่มใหญ่สวมเสื้อคลุมสีขาวยืนอยู่ที่ด้านนอก….

หัวหน้าก็คือหนิงเชี่ยน

"นี่พวกคุณทำอะไร?" มีหมออยู่ด้วยมากมายขนาดนี้ ตัวชูหยูจี้เองก็รู้สึกประหม่า ยิ่งเฉินเป้ยอีไม่ต้องพูดถึง น้ำเสียงของเธอก็ไม่ค่อยดีเล็กน้อย

วันต่อมา ไม่ว่าจะเป็นหนิงเส่าเฉินหรือเย่หลิน ก็เจ็บปวดทรมานอย่างยิ่ง

แต่ เวลาไม่สามารถคลายความโศกเศร้าได้ แต่แสร้งทำเป็นหยุดพักไว้

9 เดือนต่อมา ที่หนิงกรุ๊ป

"เรื่องเล็กๆแบบนี้ ก็ทำไม่สำเร็จหรอ?" หนิงเส่าเฉินปัดทุกอย่างบนโต๊ะลงกับพื้น

เห็นความยุ่งเหยิงตรงนั้น หลิวซูก็เม้มปาก ถอนหายใจอย่างหนักๆ ครึ่งปีมานี้ ฉากดังกล่าวมีให้เห็นแทบทุกวัน นับตั้งแต่การเสียชีวิตของเฉินเป้ยอี นิสัยของหนิงเส่าเฉินก็เปลี่ยนไปเป็นแปรปรวน โหดเหี้ยมเด็ดขาดมากขึ้น

อีกทั้งกิจการยังเลื่อนขึ้นไปอีกขั้นหนึ่ง

แต่บรรดาผู้ที่ติดตามเขาเหล่านี้ต้องปฏิบัติหน้าที่อย่างทนทุกข์ทรมาน โครงการสามพันล้านนี้ คนอื่นๆชี้เจาะจงให้เขาออกหน้า เมื่อเขามาถึงที่นี่ ทว่ากลายเป็นเรื่องเล็กน้อย

หลิวซูเก็บเอกสารบนพื้นขึ้นมา วางบนโต๊ะของเขา ตบๆไหล่เขา คิดๆแล้ว ก็พูดออกมา : "เอ่อ พรุ่งนี้คุณป้ากับคุณลุงจะกลับประเทศมา ร่วมงานแต่งของพวกคุณ……”

หนิงเส่าเฉินไม่มีปฏิกิริยาตอบกลับ

ณ สนามบิน

เหอเฟยลากกระเป๋าเดินทาง แม่หนิงควงแขนพ่อหนิง เมื่อเห็นหนิงเส่าเฉินกับเกาเหวิน แม่หนิงก็แทบจะวิ่งเข้าไป แล้วนำหนิงเส่าเฉินมากอดไว้

"ไอ๊ยะ ลูกชายฉันหล่อจังเลย"

"ใช่ ในสายตาคุณก็มีแต่ลูกชายคุณ" เสียงผู้หญิง ดังมาจากด้านหลังเหอเฟย

ทุกๆคนหันกลับไป ก็เห็นหนิงเชี่ยนยืนอยู่หลังเหอเฟย "เสี่ยวเชี่ยน คุณ……คุณไม่ได้บอกหรอว่าจะไม่กลับประเทศมา? ทำไม……”

หนิงเชี่ยนชำเลืองมองแม่ เดินไปข้างหน้า แล้วมองค้อนใส่หนิงเส่าเฉิน "ฉันไม่ได้กลับมาร่วมงานแต่งงานของคุณหรอกนะ ฉันกลับมาเพราะเรื่องธุรกิจ"

เกาเหวินมองผู้หญิงตรงหน้า แล้วดึงแขนเสื้อของหนิงเส่าเฉิน สีหน้าอ่อนโยน พูดว่า : "คุณป้า คุณลุง สวัสดีค่ะ……” เมื่อสายตามองไปที่เหอเฟย เห็นได้ชัดว่างุนงงเล็กน้อย แต่ยังคงทักทายอย่างสุภาพ : "สวัสดีค่ะ พี่เหอ ไม่ได้เจอกันนานเลย"

ได้ยินเขากล่าวทักทายเหอเฟยแบบนี้ แม่หนิงก็ขมวดคิ้ว

เกาเหวินมองหนิงเชี่ยนอีกครั้ง "เส่าเฉิน ท่านนี้ คุณไม่แนะนำหน่อยหรอ?"

หนิงเส่าเฉินขยี้หัวหนิงเชี่ยน ตั้งแต่เกิดเรื่องนั้น เด็กผู้หญิงคนนี้ก็ขัดแย้งกับเขา หลายปีขนาดนี้แล้ว ก็ไม่เคยเรียกเขาว่าพี่ชาย เขาไม่ได้ตอบคำถามกับเกาเหวิน แต่พูดว่า : "เสี่ยวเชี่ยน หลิวซูอยู่ด้านนอก"

ในแววตาหนิงเชี่ยน ก็เป็นประกาย

เธอกลืนน้ำลาย ไม่ได้สนใจหนิงเส่าเฉิน แต่มองไปที่เกาเหวิน หลังจากจับจ้องไปที่ใบหน้าของเธอสองสามวินาที ก็นหันกลับ มามองเหอเฟย : "คุณน้า คุณไม่ได้บอกว่าเป็นเด็กผู้หญิงธรรมดาๆคนหนึ่งหรอ? มองดูรูปร่างหน้าตานี้แล้ว ก็ไม่ธรรมดาเลยนะ?"

คำพูดเธอมีความหมายสองนัย ทำให้คนที่อยู่ในที่เกิดเหตุ ต่างต้องครุ่นคิด

คุณน้าหรอ?

เธอเงยหน้าขึ้น มองไปทางเหอเฟย จึงพบว่า รูปร่างหน้าตานั้น เหมือนกับแม่หนิงจริงๆ

เธอหันกลับมามองหนิงเส่าเฉิน

"เส่าเฉิน เธอคือ……คุณน้าหรอ?"

หนิงเส่าเฉินทำเสียง"อืม"แบบเบาๆ มองไม่เห็นการแสดงออก

โค้งตัว ทักทายพ่อหนิงแม่หนิง "พ่อ แม่ รถรออยู่ชั้นล่าง" พูดจบ เดินไปทางทางเข้า

"คุณน้า ก่อนหน้านี้ เส่าเฉินไม่เคยบอกฉันว่าคุณคือ……ขอโทษด้วย"

เหอเฟยราวกับว่ายิ้มให้เธอ ไม่ใกล้ชิด ไม่ได้กีดกัน

เมื่อถึงคฤหาสน์บ้านหนิง

ในห้องหนังสือ

เหอเฟยเอนหลังบนเก้าอี้โต๊ะทำงาน มองไปที่หนิงเส่าเฉินที่ยืนอยู่ที่หน้าต่าง หยิบมุมหนังสือเคาะๆโต๊ะ "พูดมาเถอะ? ทำไมถึงเปลี่ยนเจ้าสาว?"

หนิงเส่าเฉินนำบุหรี่ในมือ ดีดๆ เงียบสงัดอยู่ครู่ใหญ่ จึงหันกลับไปมองเหอเฟย

"เปลี่ยนตัว? ที่แท้ไม่ใช่เธอ?"

เหอเฟยขมวดคิ้ว

"แล้วเสี่ยวเฉินล่ะ? อาเฉิน คุณรักเธอ ฉันมองออก….."

"ตายแล้ว!"

"ตายแล้ว?" เหอเฟยตกใจจนไม่ตอบสนองอยู่นาน

เสียง"ก๊อกๆ" ประตูถูกเปิดออก เกาเหวินยกถาดรองเดินเข้ามา "คุณน้า ได้ยินเส่าเฉินบอกว่า คุณชอบดื่มชาผู่เอ๋อ ฉันเลยต้มให้คุณเป็นพิเศษเลย"

สายตาของหนิงเส่าเฉินมองไปในน้ำชาที่วางอยู่บนโต๊ะ เสียงมือถือบนโต๊ะดังขึ้น "พวกคุณคุยกันไป ฉันต้องไปบริษัทก่อน"

พอออกจากห้อง เห็นพ่อหนิงแม่หนิงนั่งอยู่บนโซฟา พูดคุยกับหนิงเสี่ยวซี เขาก็ไม่ได้กล่าวทักทาย มุ่งตรงออกจากบ้านไป

หลังจากหนิงเสี่ยวซีไปแล้ว เหอเฟยก็ยกชาที่เกาเหวินต้มแล้วลงชั้นล่างไป

เกาเหวินก็มองออก ว่าเหอเฟยไม่อยากสนิทสนมกับเธอ ก็รู้จักวางตัวกับพ่อหนิงแม่หนิง บอกว่าบริษัทตนเองมีปัญหา แล้วก็ตามหนิงเส่าเฉินออกจากบ้านไป

"เสี่ยวเฟย คุณรู้สึกไหมว่า เจออาเฉินครั้งนี้ เขาเหมินว่าจะเปลี่ยนไปมากนะ"

สายตาของเหอเฟยมองที่ที่หน้าประตู นึกถึง ภาพครั้งนั้นที่หนิงเส่าเฉินและเฉินเป้ยอีมาหาเธอด้วยกัน

"พี่ บางที่ลุกชายคุณอาจจะเจออุสรรคที่ยากลำบากอะไรก็ได้" เธอพูดจบ ก็จิบชา

ครั้งนี้หนิงเส่าเฉินบอกให้พวกเขากลับมาร่วมงานแต่งงาน ผู้อาวุโสสองสามคนก็ไม่ได้ถามมาก

พ่อหนิงแต่คิดคิดว่าคู่รักที่แต่งงานด้วยก็คือเกาเหวิน ก็ไม่ได้แปลกใจ แต่เหิเฟยคิดว่าเป็นเฉินเป้ยอี ก็ไม่ได้แปลกใจเช่นกัน

แต่ไม่คาดคิด…..

"อุปสรรคที่ยากลำบาก? มีอุปสรรคอะไรที่บูกชายของฉันผ่านไปไม่ได้งั้นหรอ?"

หนิงเสี่ยวซีวางเครื่องเล่นเกมส์ในมือ หยิบหมอนอิงขึ้นมา ปิดหน้าของตนเอง พูดพึมพำในลำคอ: "เพราะว่าไม่มีแม่น้อยของฉันแล้ว"

พ่อหนิงที่ไม่ได้เอ่ยปากมาโดยตลอดก็กล่าวถามว่า: "เสี่ยวซี ใครคือแม่น้อยของคุณ?"

แม่หนิงดึงหมอนที่เขากอดลง ต้องการที่จะถามต่อไป แต่เห็นน้ำตาบนใบหน้าของเขา ในใจก็เจ็บปวดทันที โอบเขามาไว้บนตัก "โอ้ นี่มันเกิดอะไรขึ้น? ทำไมถึงร้องไห้ขนาดนี้?"

"อาเฉิน ตกลงแม่น้อยเป็นใครกัน? คุณพาเธอกลับมา ทำให้หลานชายฉันน่าสงสารขนาดนี้…."

ตอนที่แม่มู่โทรศัพท์ไป หนิงเส่าเฉินกำลังนั่งอยู่บนรถ ได้ยินแม่มู่ถามถึงเธอ ช่วงเวลาหนึ่ง ก็เจ็บปวดไปถึงหัวใจ ฉีกมุมปากที่แตกแห้ง ลูกกระเดือกกลิ้ง ครู่ใหญ่ไม่พูดเลยสักคำ

"แม่ เธอไม่อยู่แล้ว"

ในที่สุด เขาก็พูดออกมาสองสามคำ ผสมกับเสียงสะอื้น

ไม่มีใครรู้จักลูกดีเท่าแม่ ต่อให้เป็นเพียงแค่สองสามคำ แม่หนิงก็ตอบสนองกลับมาในชั่วพริบตา

เธอวางสายโทรศัพท์ นำหนิงเสี่ยวซีโอบไว้ในอ้อมกอด ในใจก็เศร้าเสียใจตามไปด้วย

สามารถทำให้ทั้งลูกชายทั้งหลานชาย ปล่อยวางไม่ได้ขนาดนี้ เธออยากจะรู้จริงๆว่าเธอคือใคร? แต่ ทำไมถึงตายแล้วล่ะ?

วันที่ 17 เดือน11 ก่อนครบกำหนดคลอดของเย่หลิน 1 วัน ก่อนวันแต่งงานของหนิงเส่าเฉิน 1 วัน

แผนกสูตินรีเวชโรงพยาบาลเมืองC

"หยูจี้ ต้องขอโทษจริงๆ ทำให้คุณต้องลำบากอีกแล้ว" เอนกายอยู่บนเตียง เย่หลินมองไปที่สิ่งอำนวยความสะดวกสูงในห้องผู้ป่วยนี้ รู้ว่าต้องใช้จ่ายเงินไปไม่น้อยอย่างแน่นอน

เธอไม่เคยคาดคิดเลยว่า จะต้องกลับมาเมืองCอีก

กำหนดคลอดยังเหลือเวลาอีกสิบวัน เธอถูกตรวจพบว่าฮีโมโกลบินของตนเองเหลือเพียง 52g / L

หมอบอกว่าเพราะเธอผอมเกินไป ส่งผลให้โลหิตจางอย่างรุนแรง เริ่มแสดงอาการอ่อนเพลีย สับสน แน่นหน้าอกแล้ว

หนิงเส่าเฉินรู้สึกว่าฉับพลันเหมือนมีอุโมงค์ปรากฏขึ้นในใจ ความเจ็บปวดทำให้เขาสั่นสะท้านขึ้นมา คนทั้งคนเซถอยหลังไปสองสามก้าว

จับมือของหลิวซู แล้วก็ปล่อยออก

เพราะพ่อแม่ของเฉินเป้ยอีเสียชีวิตไปแล้ว จึงไม่มีญาติพี่น้อง ดังนั้น หลังจากศพเธอถูกพบ จึงถูกดึงตรงไปที่สำนักงานตำรวจโดยตรง

เมื่อหนิงเส่าเฉินมาถึง ก็เห็นชูหยูจี้ที่ประตูทางเข้าสำนักงานตำรวจ

สีหน้าของทั้งคู่ย่ำแย่อย่างมาก

"ฉันแจ้งให้เขาทราบเอง" หลิวซูอธิบายอยู่ข้างๆ

ชูหยูจี้ดวงตาแดงกล่ำจ้องมองไปที่หนิงเส่าเฉิน ชี้นิ้วไปที่เขา สักพัก ก็เดินมาตรงหน้าหนิงเส่าเฉิน เมื่อเขาไม่มีปฏิกิริยาตอบกลับใดๆ เขาวนไปวนมา แล้วก็ต่อยหน้าหนิงเส่าเฉินไปหนึ่งหมัด

"หยูจี้ คุณใจเย็นๆหน่อย" หลิวซูมีปฏิกิริยาตอบกลับมา เดินเข้าไปขวางเขา

ใบหน้าของชูหยูจี้มืดครึ้มจนน่ากลัว "ใจเย็นหรอ? ถ้าเขาไม่สามารถทำให้เธอมีความสุขได้ ทำไมต้องทำให้เธอวุ่นวายด้วย?"

พูดจบ ก็หันกลับ วิ่งเหยาะๆเข้าสำนักงานตำรวจไป

"เส่าเฉิน ปากคุณมีเลือดไหล"

หนิงเส่าเฉินยกมือขึ้นเช็ด หันกลับ แล้วก็รีบเดินเข้าไป

เมื่อเข้าไป พอดีกับชูหยูจี้ถูกเจ้าหน้าที่พาไปที่เก็บศพ เห็นว่าเขาเข้ามา เจ้าหน้าที่สองสามคน ก็เห็นได้ชัดว่าประหลาดใจ ก็ทำความเคารพเขาอย่างสุภาพ

หลังจากเดินเข้าไปด้านใน ทั้งสองคน ก็มิงศพที่ถูกคลุมด้วยผ้าขาวตรงหน้า เป็นเวลานาน ก็ไม่มีใครกล้า ไปเปิดผ้าคลุมนั้น

หนึ่งในคนในเครื่องแบบ คิดว่าสองไม่กล้าลงมือ เลยเดินไปข้างหน้า เปิดผ้าขาวคลุมศพขึ้นโดยไม่ได้พูดอะไร

ร่างสูงของหนิงเส่าเฉินแข็งทื่อไปชั่วขณะ ในใจเหมือนถูกของบางอย่างอุดกั้น หลิวซูเห็นสองมือเขาที่ห้อยอยู่ข้างๆ ไปจับคว้าไว้ในมือ เลือดระหว่างซอกนิ้วไหลออกมา ทีละหยดๆ

และชูหยูจี้ที่อยู่ข้างกำลังจะร้องไห้ ก็ตาแดงไปหมดแล้ว

แต่ต่อจากนั้น เมื่อสายตาเขามองไปที่หูกับริมฝีปากนั้น แววตาก็ประกายความสงสัย หูกับริมฝีปากของเย่หลิน จะเล็กๆน่ารัก แต่หูกับริมฝีปากของผู้หญิงคนนี้ดูอวบอิ่มเล็กน้อย แล้วก็ ไฝเม็ดนั้น ก็ไม่มี

ในความตกใจ ก็บอกกับเขาว่า คนที่ตายไปนี้ ไม่ใช่เย่หลิน เขาเดินเข้าไปที่ศพอีกหนึ่งก้าว โค้งตัว อยากจะดูให้ชัดเจนยิ่งขึ้น ใบหน้าของเฉินเป้ยอีหลังการแต่งหน้า ดูใกล้แล้ว ก็พอจะมองออกได้บ้าง แต่ผู้หญิงคนนี้ บนใบหน้าแม้แต่รองพื้นก็ไม่มี

การพบเห็นนี้ ทำให้เขาขนลุกทันที นี่คือใคร? ทำไมถึงต้องการเลียนแบบใบหน้าของเฉินเป้ยอีแล้วฆ่าตัวตาย?

เพียงแต่ ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เขายังคงโล่งอก เขาก็ว่า ด้วยนิสัยของเย่หลิน จะสามารถฆ่าตัวตายง่ายๆแบบนี้ได้อย่างไร?

แต่ บนใบหน้าเขาโกรธมาก นำผ้าขาวเปิดออกอีกครั้ง แล้วเอามาคลุมศพไว้

เงยหน้าขึ้นมองหนิงเส่าเฉิน "นี่คือผลลัพธ์ที่คุณต้องการใช่ไหม? คุณไม่ให้ฉันพบเจอเธอ แต่ว่า คุณล่ะ? คุณล่ะ?" พูดคำรามใส่เขา

แต่หนิงเส่าเฉินเพียงแค่ยื่นตรงทื่อ คนดูคล้ายกับไม่มีชีวิต

ทำไมถึงตายล่ะ? เป็น….เป็นไม่ไม่ได้!

เธอเพิ่งประทับตราที่ก้นบึ้งของหัวใจเขาอย่างลบไม่ออก ทำไมถึงหายไปแบบนี้แล้วล่ะ?

หอฌาปณกิจมีคนมาแล้ว ต้องเอาศพนี้ไปฌาปนกิจ แต่หนิงเส่าเฉินยืนอยู่ข้างๆศพแบบนั้น ใครเข้ามา เขาก็ใช้เท้าเตะออกไป ทุกฝีเท้าแทบจะใช้กำลังทั้งหมดที่มี

คนในสำนักงานตำรวจก็มีมืออยู่มาก แต่พออยู่ตรงหน้าหนิงเส่าเฉิน ก็ไม่สามารถที่จะโจมตีได้

วันนี้สาม คนของสำนักงานตำรวจจนปัญญาจริงๆ จึงโทรไปหาชูหยูจี้

"ประธานชู คุณโน้มน้าวหน่อยเถอะ วันนี้คนเห็นก็ให้ความสนใจขึ้นมาแล้ว คนตายไปแล้ว ก็ควรจะเผาให้เร็วหน่อย" ถึงอย่างไรสำนักงานตำรวจก็ไม่ใช่ที่พักศพ ศพหยุดอยู่ที่นี่ พวกเขาก็ยากที่จะจัดการเรื่องราว แต่ ใครก็ไม่กล้าไปโจมตีหนิงเส่าเฉิน ทำได้เพียงไปขอร้องชูหยูจี้

เมื่อชูหยูจี้เข้าไป ห้องๆนั้น หนิงเส่าเฉินยังสวมชุดเมื่อวันนั้น คาดว่าคงไม่ได้นอนมาหลายวัน ในตาแดงกร่ำ คนก็ดูซึมเซาไม่มีชีวิตชีวา

"คนตายแล้วไม่สามารถฟื้นคืนมาได้ ถึงคุณจะทรมานตนเองจนตาย เธอก็ไม่สามารถมีชีวิตกลับมาได้" เห็นหนิงเส่าเฉินแบบนี้ ชูหยูจี้ก็อยากจะบอกความเป็นจริงในช่วงเวลานั้น แต่ สองสามวันที่เขาได้รู้จากหลิวซู ก็เข้าใจเรื่องราวคร่าวๆตั้งแต่ต้นจนจบ เขาคิดว่า ในเมื่อเฉินเป้ยอีเลือกที่จะจากไป อย่างนั้นก็คงตัดสินใจแล้วว่าไม่อยากให้หนิงเส่าเฉินหาเธอพบอย่างแน่นอน

งั้น ให้ผลสรุปเป็นแบบนี้จะดีกว่าใช่ไหม

"หยูจี้ คุณ คุณมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง?" เห็นชูหยูจี้ยืนอยู่ที่หน้าประตู เย่หลินตกใจถึงขีดสุด

ชูหยูจี้พิจารณาคนที่อยู่ในคอนโดมิเนียมตรงหน้า ถอนหายใจอย่างโล่งอก เดินเข้าไป ดึงเย่หลินเข้ามาไว้ในอ้อมกอด "ฉันว่าแล้วการคาดเดาของฉันจะไม่ผิดพลาด"

พูดจบ เขาก็ปล่อยเธอ รีบล้วงมือถือจากในกระเป๋าส่งให้เธอ "เย่หลิน เฉินเป้ยอีตายแล้ว"

เย่หลินขมวดคิ้ว ชัดเจนว่าไม่เข้าใจว่าชูหยูจี้หมายความว่าอะไร หยิบมือถือจากในมือของเขา ภาพในมือถือ หนิงเส่าเฉินยืนอยู่ในห้องคนเดียว ข้างกายของเขามีเตียงเตียวหนึ่ง บนเตียง มีคนคนหนึ่งนอนเอนกายอยู่ คนคนนั้นห่อด้วยผ้าขาว

"เกิดอะไรขึ้น?"

"ผู้หญิงคนนั้นที่นอนเอนกายอยู่บนเตียง มีโฉมหน้าที่คล้ายกับเฉินเป้ยอีทุกประการ"

"คุณ…..คุณพูดอะไร?" เย่หลินเดิมทีที่นั่งอยู่บนเก้าอี้พนักพิง ได้ยินชูหยูจี้พูดแบบนี้ เธอก็สั่นไปทั้งตัว เก้าอี้ที่อยู่ด้านหลังก็ล้มลงกับพื้น

"ผู้หญิงคนนั้นบังเอิญตายในห้องน้ำของรถไฟขบวนนั้นที่เธอนั่ง กรีดข้อมือฆ่าตัวตาย" ชูหยูจี้จงใจพูดอย่างสงบนิ่ง เรื่องนี้ ไม่ง่าย แต่เขาไม่อยากทำให้เย่หลินต้องแบกรับความรู้สึกมากเกินไป

หันตัวกลับ พิจารณาภายในห้อง เกินไปยังห้องครัว รินน้ำอุ่นให้เย่หลินแก้วหนึ่ง จับเก้าอี้ด้านหลังเธอขึ้น พาเธอไปนั่งลงบนเก้าอี้

"เอาล่ะ ฉันจะโทรไปหาพี่ชายบอกเรื่องนี้สักเล็กน้อย ให้เขาป้องกันคนรอบข้าง อีกอย่าง เพราะคุณหลายวันมานี้เขา ก็ทุกข์ทรมานใจจนแทบไม่อยากจะมีชีวิตอยู่!" พูดพลาง ก็หยิบมือถือออกมา ทำท่าทางจะโทรไปหาหนิงเส่าเฉิน

เย่หลินมีปฏิกริยาตอบสนองทันที ลุกขึ้นยืน แย่งมือถือของเขามา "อย่าบอกเขานะ เรื่องบางเรื่อง ก็เจ็บระยะสั้นดีกว่าเจ็บระยะยาว ทำให้เขาคิดว่าตนเองตายไปแล้วจริงๆ ก็ดี! อย่างน้อยในอนาคต จะได้ไม่ต้องนึกถึงอีก เวลาผ่านไปนาน….." เธอหยุดชะงักไปเล็กน้อย เม้มริมฝีปาก "เวลาผ่านไปนาน ก็จะได้ลืมไป"

สำหรับคนที่วางแผน ก็เป็นเพียงความหวังเท่านั้น เขาคิดว่าเธอตายไปแล้ว ก็ได้ ช่วยให้เขาสมหวัง

ในคฤหาสน์ที่เฉินเป้ยอีเคยอาศัยอยู่

ทุกๆที่ยุ่งเหยิงอย่างเห็นได้ชัด ของทุกหนทุกแห่งทุบไว้แตกละเอียด เสื้อผ้า หนังสือ เก้าอี้ถูกถีบจนพลิกคว่ำ เป็นต้น……

ไม่มีที่ให้เหยียบเลย

และผู้ชายที่เย่อหยิ่งสูงศักดิ์มาตลอด เวลานี้นั่งอยู่บนพื้นข้างโซฟาแบบนั้นโดยไม่สนใจภาพลักษณ์ สติล่องลอย

ตรงหน้า เป็นโทรศัพท์ที่ถูกทุบจนแตก

"กล้องวงจรปิดของโรงพยาบาลเมื่อวาน ตรวจสอบออกมาแล้ว เธอ ไปที่โรงพยาบาลจริงๆ อีกทั้ง น่าจะได้ยินการสนทนาระหว่างเขากับพ่อเกา ดังนั้น จึงตัดสินใจจากไป

ทั้งห้องเงียบสงัด หลิวซูก็ไม่รู้ว่าต้องพูดต่อไปไหม

"เราตรวจสอบกล้องวงจรปิดทุกสถานีเพื่อเข้าถึงสถานการณ์ ก็ไม่พบว่าคุณเฉินลงรถเลย พอดีกับว่ารถไฟหัวกระสุนขบวนนี้ ก็ไม่มีกล้องวงจรปิดด้วย……”

หลิวซูพูดจบ ก็สูดหายใจเข้าลึกๆ เขาจนปัญญาที่จะอธิบายว่าขั้นตอนไหนเกิดปัญหา

ชัดเจนว่าตรวจสอบการแสดงผลของกล้องวงจรปิด ผู้หญิงคนนั้นขึ้นรถไฟขบวนนั้นจริงๆ แต่ไม่เห็นว่าเธอลงจากรถไฟ แต่จริงๆแล้วก็มีหลายคนที่เห็นเธอนั่งร้องไห้อยู่ที่ตรงประตูทางเข้ารถไฟ แล้วยังมีลุงที่นั่งข้างๆเธอพูดคุยกับเธอ

บังเอิญมาก ที่ไม่มีใครเห็นเธอลงจากรถไฟเลย

หนิงเส่าเฉินหลุบตาลง ในแววตาแดงกล่ำหม่นหมองมากยิ่งขึ้น

มิน่าล่ะเมื่อวานเธอถึงได้ดูกระตือรือร้นขนาดนั้น มิน่าล่ะ เธอจ้องการจะมีอะไรกับเขาใช่ไหม?

เดิมที เวลานั้น เธอตัดสินใจที่จะไปแล้ว!

ตื่นขึ้นมาในตอนเช้า ข้างๆเตียงไม่มีร่องรอยของเธอ เขาคิดว่า เธอไปซื้ออาหารเช้า รออยู่ในบ้านเป็นเวลานาน รอเธอกลับมา แล้วพูดเรื่องเกาเหวินกับเธอ

ทว่าจู่ๆก็ได้รับโทรศัพท์จากลุงจาง บอกเขาว่า เธอจะไปแล้ว อยู่ที่สถานีรถไฟหัวกระสุน

เขาขับรถไปที่สถานีรถไฟหัวกระสุนอย่างบ้าคลั่ง แต่ท้ายที่สุดก็หาเธอไม่เจอ

เธอส่งข้อความไว้ให้เขา เธอพูดว่า : "หนิงเส่าเฉิน ขอบคุณนะ ที่มห้ความทรงจำดีๆกับฉัน แค่ปล่อยให้เวลาย้อนกลับไปในตอนที่เราไม่เคยรู้จักกัน โลกของคุณ จะไม่มีเฉินเป้ยอีอีกแล้ว"

ไม่เคยรู้จักกัน? หึหึ……เธอพูดง่ายจริงๆ

ณ โรงพยาบาล

"พ่อ คุณบอกว่าเฉินเป้ยอีหายไปบนรถไฟหรอ? ไม่รู้สาเหตุหรอ? หึหึ……” ดีจริงๆ ไม่ว่าเธอจะหายไปหรือจากไป ขอเพียงแต่ออกไปให้ไกลจากหนิงเส่าเฉิน ก็พอแล้ว เกาเหวินหัวเราะเสร็จ น้ำตาก็ไหลออกมา นี่เธอรักมากจนไร้จนจึงต้องใช้วิธรอย่างนี้เพื่อรักษาผู้ชายหนึ่งคนไว้เลยหรอ?

"ไปแล้วยังไง ขอเพียงมีชีวิตอยู่ ยังจะสามารถกลับมาได้อีก" พ่อเกาสองมือไพล่หลัง เดินไปเดินมา ปากบ่นพึมพำ แต่ผู้หญิงคนนั้น มันเหนือความคาดหมายของเขาจริงๆ คาดไม่ถึงว่าจะเลือกจากไป

ดกาเหวินประหลาดใจ "พ่อ หมายความว่าอะไร?" เกาเหวินรู้สึกว่าพ่อของตนเองกำลังแอบทำอะไรอยู่ แต่พ่อเกาไม่บอก เธอก็ไม่กล้าถาม

"คุณดูสิ คุณทำเอเขา จนกลายเป็นเช่นนี้ ไม่คุ้มค่าเพียงกับแค่จากไปเท่านั้น" พ่อเกามองไปที่เกาเหวิน มีรอยยิ้มที่น่ากลัวในแววตา

เกาเหวินกัดฟันแน่น หนิงเส่าเฉินคนนี้ ตนเองกลายเป็นอย่างนี้ เขาชำเลืองมองเธอในโรงพยาบาลเมื่อวานนี้ แล้วก็ไป

"ก๊อกๆ…."ประตูห้องผู้ป่วยมีเสียงดังขึ้นสองครั้ง ก็ถูกเปิดประตู

ต่อจากนั้น ก็มีผู้หญิงคนหนึ่งเดินเข้ามา

เกาเหวินที่เดิมทีนอนเอนกายอยู่ เมื่อเห็นว่ามีคนมา เธอแทบจะลุกขึ้นนั่งในรวดเดียว ความเจ็บปวดของบาดแผลทำให้เหงื่อบนหน้าผากของเธอไหลออกมาในทันที

ตาเธอไม่มีเวลาที่จะกังวล นิ้วมือชี้ไปยังผู้หญิงตรงหน้า ตื่นเต้นจนน้ำเสียงสั่นขึ้นมา "พ่อ คุณไม่ได้บอกว่าเธอหายสาบสูญไปแล้วหรอ? ทำไมเธอ…..ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่?" ถามเสร็จ ก็หันหน้าไปมองพ่อเกา

พ่อเกาทำเป็นหูทวนลม กับการตื่นเต้นของเกาเหวิน ตรงกันข้ามบนใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยรอยยิ้ม เห็นเข้าก้าวไปข้างหน้า วนรอบผู้หญิงคนนั้นสองสามรอบ ต่อจากนั้น ก็พยักหน้าอย่างพึงพอใจมาก

"อืม ตรงเวลามาก"

ริมฝีปากของผู้หญิงคนนั้นซีดเล็กน้อย หันหน้าไป มองที่พ่อเกา "ขอบคุณ คุณช่วยน้องชายของฉัน ช่วยฉันจัดการให้พ่อแม่ของฉันอย่างดี ชาติหน้าหากมีโอกาส ฉันจะตอบแทนคุณอีก" เสียงของเธอหยาบเล็กน้อย ไม่ละเอียดอ่อนเหมือนเฉินเป้ยอี เกาเหวินขมวดคิ้ว

บทสนทนาของคนทั้งสอง ก็ยิ่งทำให้เธอสับสนไม่เข้าใจ เฉินเป้ยอีคนนั้นมีน้องชายไหม เธอไม่รู้ แต่เธอรู้ว่าพ่อแม่ของเธอตายไปแล้วทั้งคู่ เวลานี้ ทำไมถึงมีพ่อแม่โผล่มาจากไหนอีก? เธอจ้องสายตาไปที่พ่อ กล่าวถามอย่างรีบร้อนว่า: "พ่อ ตกลงมันเกิดอะไรขึ้น?"

พ่อเกาหันมามองเธอ หัวเราะฮ่าๆ ทันใด เขาก็หยุดเสียงหัวเราะ เผชิญหน้ากับเกาเหวิน แต่นิ้วมือชี้ไปยังผู้หญิงที่อยู่ด้านหลัง พูดอย่างช้าๆว่า: "คุณว่า ถ้าให้หนิงเส่าเฉินเห็นว่าผู้หญิงคนนั้นตายด้วยตาของตัวเอง นั่น จะเป็นการตัดความคิดของเขาไปโดยสิ้นเชิงหรือไม่?"

คนนึงคิดว่าตายไปแล้ว คนหนึ่งคิดว่าลืมไปแล้ว? ถึงแม้ในอนาคตจะมีโอกาสได้พบกัน สถานการณ์ก็ได้เปลี่ยนแปลงไปจนชดเชยไม่ได้แล้ว

เกาเหวินยิ่งสับสน ก่อนหน้านี้พ่อยอกว่าเฉินเป้ยอีไปแล้ว เวลานี้ เธอมาปรากฎตัวในห้องผู้ป่วยอีก แล้วก็บอกอีกว่าผู้หญิงคนนี้จะตาย?

พ่อเกาไม่ได้ตอบกลับเธอ เพียงแค่ ยืดตัวตรง หยิบจดหมายออกมาจากในกระเป๋าเสื้อ มอบให้ผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้า "ทำตามที่ในนี้บอก คุณวางใจได้ น้องชายของคุณ และพ่อแม่ของคุณ ชีวิตที่เหลือนี้ ฉันได้จัดการทุกอย่างไว้ดีแล้ว"

ผู้หญิงคนนั้นรับจดหมายนั้น เปิดออกอ่าน ไม่พูดจา พยักหน้า หันตัวแล้ว จากไป

ตอนบ่าย ยังคงเป็นในคฤหาสน์หลังนั้น

"เส่าเฉิน….." หลิวซูเปิดประตู เอ่ยปากอย่างกระหืดกระหอบ สีหน้าเคร่งขรึมอย่างมาก

หนิงเส่าเฉินกำลังสูบบุหรี่ ยังคงนั่งอยู่ที่เดิม เห็นเขาเข้ามา ก็กล่าวถามอย่างไม่แสดงออกว่า: "มีเรื่องอะไร?"

"คุณเฉิน หา….หาเจอแล้ว"

หนิงเส้าเฉินลุกขึ้นยืนทันที นำบุหรี่ทิ้งในที่เขี่ยบุหรี่ หยิบเสื้อโค้ทแล้วเดินออกไปด้านนอก "อยู่ที่ไหน? ไป….."

เดินไปสองก้าว เห็นหลิวซูยืนอยู่กับที่ น้ำเสียงเคร่งขรึม จ้องมองเขา "หมายความว่ายังไง?"

"เธอ เธอตายแล้ว" หลิวซูก้มหน้า กล่าวด้วยความยากลำบาก

หนิงเส่าเฉินมือตกลงข้างตัว เสื้อโค้ทที่ห้อยไว้บนแขนก็ตกลงบนพื้น เดินเข้าไป ดึงคอเสื้อของหลิวซู กำลังนั้น หากใช้กำลังอีกหน่อย หลิวซูก็รู้สึกว่าตนเองจะต้องถูกรัดจนตาย

เขาใบหน้าเคร่งขรึมจนทำให้คนตกใจ "นายพูดใหม่อีกครั้ง"

หลิวซูรู้จักเขามาหลายปี เป็นครั้งแรกที่เห็นท่าทีแบบนี้ของเขา อดไม่ได้ที่จะตัวสั่นเล็กน้อย

"ที่ในห้องน้ำของรถไฟนั้น….ค้นพบ กรีดข้อมือ…..ฆ่าตัวตาย" หลิวซูถูกเขาดึงรั้งจนพูดลำบากเล็กน้อย

แต่ ประจวบกับคำชี้แจง เพราะเหตุใด จึงเห็นเฉินเป้ยอีเพียงแค่ขึ้นรถไฟ แต่ไม่เห็นเธอออกจากสถานี

ณ สถานีรถไฟหัวกระสุน เฉินเป้ยอีกอดกระเป๋าไว้ในอ้อมแขน เม้มๆปาก เงยหน้าขึ้นเล็กน้อย แต่ไม่สามารถหยุดยั้งน้ำตาไม่ให้ไหลได้

เธอคิดว่า เธอประทับใจหนิงเส่าเฉินจริงๆ

มิเช่นนั้น สักครู่นี้ ที่ต้องจากกัน เธอก็ไม่สามารถเจ็บได้ขนาดนี้หรอก

เธอขอบคุณเขาในใจ อย่างลึกซึ้ง ที่ถูกเขาทำให้ประทับใจ ถึงอย่างไร ผู้ชายที่หล่อมากมาย ผู้ชายที่มีเงินก็เยอะแยะ แต่ ที่ผู้ชายที่ใจกับตน ผ่านเข้ามา แต่ไม่สามารถครอบครองได้

หนิงเส่าเฉินเต็มใจเพราะเธอ จึงเสนอจะถอนหมั้นกับเกาเหวิน น้ำหนังของตรงกลางนี้ เธอไม่ได้โง่ เธอเข้าใจดี

แต่ ยิ่งเป็นเช่นนั้น เธอก็ยิ่งโทษตัวเอง

ความเห็นแก่ตัวของพวกเขาสองคน ไปทำร้ายเกาเหวิน

เธอก้มหน้า มองไปที่ตั๋วสองใบในมือ หนึ่งใบ ไปยังเมืองS หนึ่งใบ ไปยังเมืองW

"แม่น้อย……” คือน้ำเสียงของเสี่ยวซี ตอนที่ตัดสินใจว่าจะไป เธอไม่สามารถปล่อยหนิงเส่าเฉินได้ แล้วนับประสาอะไรกับหนิงเสี่ยวซี เพราะฉะนั้น คิดอยู่นานมาก เธอยังคงตัดสินใจว่าจะไปเจอหนิงเสี่ยวซีแล้วค่อยไป

"แม่น้อย พ่อของผมชอบคุณแล้ว ทำไมคุณยังต้องจากไปด้วย?" เปลือกตาของหนิงเสี่ยวซีบวม ของตาแดง มองออกว่า เขาน่าจะร้องไห้มาตลอดระหว่างทาง

เฉินเป้ยอีไม่ได้บอกเขาเรื่องเกาเหวิน เธอรู้ว่าเขาฉลาด ถึงที่สุดแล้วยังคนเด็กเกินไป ไม่ควรจะแบกรับสิ่งเหล่านี้

"เสี่ยวซี เรื่องของผู้ใหญ่ หนูไม่เข้าใจหรอก ฉันกับพ่อของหนูไม่สามารถอยู่ด้วยกันได้"

"ทำไมหรอ?"

เธอหัวเราะ ส่ายหัว แล้วลูบหัวของหนิงเสี่ยวเฉิน จากนั้นก็ค่อยๆกดเข้ามาในอ้อมกอดเบาๆ ไม่ได้ตอบกลับ ก็ไม่รู้ว่าจะอธิบายอย่างไร จะบอกกับลูกชาย ว่าความสุขของตนเองและพ่อของเขาก่อให้เกิดความเจ็บปวดทรมานของคนอื่นงันหรอ?

"แม่น้อย ฉันไม่อยากให้คุณไป" หนิงเสี่ยวซีเงยหน้าขึ้นในอ้อมกอดของเธอ ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ที่บนใบหน้าเล็กๆ เต็มไปด้วยน้ำตาแล้ว

เฉินเป้ยอีรู้สึกว่าใจทั้งใจนั้นชักกระตุกอยู่ เจ็บจนเธอไม่อยากหายใจ

ตัดใจไม่ลง? เธอ ไม่เคยตัดใจลง? แต่ เธอไม่มีตัวเลือก ถึงแม้ว่าเธอจะเต็มใจติดตามหนิงเส่าเฉินโดยไม่มีชื่อเสียงไม่มีฐานะ แต่ว่า ในใจเธอจะถูกประณามด้วยความรู้สึกผิดชอบชั่วดีไปตลอดชีวิต เธอเชื่อว่าหนิงเส่าเฉินก็เช่นกัน พวกเขาถูกกำหนดว่าไม่สามารถมีความสุขได้

"แม่น้อย คุณไม่ไปไม่ได้หรอ?"

เฉินเป้ยอีเงยหน้า ไม่กล้ามองเขา เพียงแค่พยักๆหน้า

"แม่น้อย คุณไปแล้ว ยังสามารถกลับมาได้ใช่ไหม?"

เฉินเป้ยอีกัดริมฝีปาก ยังคงเงยหน้า แต่ไม่กล้ารับปาก

ผ่านไปนาน เธอพยายามปรับอารมณ์ของตัวเอง นั่งลง และจ้องมองหนิงเสี่ยวซี "เสี่ยวซี แม่น้อยก็ทิ้งหนูไม่ลง แต่ แม่น้อย ต้องมีครอบครัว ต้องแต่งงาน ดังนั้น แม่น้อยไม่สามารถอยู่เมืองนี้ได้ ตลอดไป ถูกไหม? หลังจากที่แม่น้อยไปแล้ว เสี่ยวซีต้องเป็นเด็กดีเชื่อฟังนะ จะได้เติบโตอย่างสุขภาพแข็งแรงสมบูรณ์ ตลอดชีวิตนี้แม่น้อยจะไม่ลืมเสี่ยวซีเลย แม่น้อยสัญญา!"

เธอหยุดไปชั่วคราว หายใจเข้าเบาๆ ยกมือขึ้น เช็ดน้ำตาให้หนิงเสี่ยวซี "เพียงแต่ว่า แม่น้อยรับปากกับหนู ว่าแม่น้อย จะกลับมาดูหนูแน่นอน ดีไหม?" รอเวลาให้ทุกอย่างนี้เป็นปกติ รอให้หนิงเส่าเฉินกับเกาเหวินแต่งงานกัน เธอ บางทีอาจจะกลับมาอีกครั้ง

"คุณอยู่กับพ่อผมได้ไหม? คุณแต่งงานกับพ่อผมได้ไฟม? พ่อผมก็ชอบคุณ ไม่ใช่หรอ?" หนิงเสี่ยวซีตอบกลับอย่างรวดเร็ว เฉินเป้ยอีฝืนใจยิ้ม ลูบๆหัวของเขา แกล้วทำเป็นพูดอย่างอารมณ์ดี : "แต่ว่า ฉันไม่ได้ชอบพ่อหนูไม่ใช่หรอ? พ่อของหนูดูดีเกินไป ฉันรับไม่ไหว"

"อย่าเลย แม่น้อย ขอร้องล่ะ อย่าไปเลย ได้ไหม? เสี่ยวซีไม่มีแม่ ถ้าคุณไป ก็จะไม่มีใครดูแลเสี่ยวซีแล้ว……แม่น้อย ขอร้องคุณล่ะ ได้ไหม? อย่าไปเลยนะ……”

ตอนนี้หนิงเสี่ยวซี ไม่มีความเย่อหยิ่ง ไม่มีไอคิวที่สูง เป็นเพียงเด็กอายุห้าขวบทั่วไป

"แม่น้อย ฉันเชื่อฟังคุณ โอเคไหม? ผมเป็นลูกชายคุณ โอเคไหม?" เขากล่าวถามอีกครั้ง

น้ำตาของเฉินเป้ยอี หลังจากประโยคนี้ ก็หยุดไว้ไม่อยู่ เธอลุกขึ้นยืน หลับตา ดึงกระเป๋าสัมภาระ หันตัวกลับ เดินไปยังประตูตรวจบัตร

"แม่น้อย คุณอย่าไป!"

"แม่น้อย ฉันขอร้องคุณล่ะ คุณอย่าไป ได้ไหม?"

"อ่า…." เธอได้ยินเสียงร้องที่น่าสงสารของเขา หันกลับไป เห็นหนิงเส่าเฉินหกล้มลงบนพื้น เธออยากจะหันกลับไปประคองเขาแบบไม่มีเงื่อนไข แต่เมื่อเธอยกเท้าขึ้น ก็เหยียบลงอีกครั้ง กัดริมฝีปาก เธอสูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วหันตัวกลับ

"แม่น้อย คุณอย่าไป ได้ไหม?"

"แม่น้อย…."

ก่อนหน้านี้ไม่มีการปฏิบัติแบบนี้กับแม่ เฉินลั่วอีรู้เพียงว่า คิดถึงเด็กคนนี้ ขณะนี้ เธอจึงเข้าใจ กระดูกกล้ามเนื้อแยกออกจากกัน มันเป็นรสชาติอะไร แต่ ทำยังไงได้? ไม่จากไป คนทั้งหมดก็ต้องเจ็บปวด

เฉินเป้ยอีเดินไปที่ประตูตรวจบัตร เธอยืดหลังตรง ไม่กล้ากลับไปมองอีก เธอกลัวว่า หากมองมากแล้ว เธอก็ไม่กล้าจะจากไป

เดินตรงเข้าไปในรถไฟหัวกระสุน รถไฟปิดประตู ช่วงเวลาสั้นๆนั้นก็เคลื่อนตัว เธอนั่งยองๆลงที่หน้าประตู กอดเข่าทั้งคู่ ร้องไห้โฮ

เธอร้องไห้อยู่นาน นานจนคนที่ผ่านไปผ่านมา ต่างมองมายังเธอ หลังจากนั้น เธอหยิบกระเป๋าข้างๆตัวขึ้นมา ก่อนที่จะไปนั่งบนที่นั่งเดิม ที่นั่งข้างๆ ลุงคนหนึ่งนั่งอยู่ เธอก็ทักทายเขาอย่างเป็นมิตรอย่างมาก ถามดขาว่าจะไปที่ไหน?

คนทั้งสองพูดคุยกันเรื่อยเปื่อยอยู่ครู่หนึ่ง ได้ยินเสียงรถไฟประกาศ จะถึงสถานีหนึ่ง เธอลุกขึ้น ไปที่ห้องน้ำ รถไฟจอดลง แล้วเริ่มเคลื่อนที่อีกครั้ง

เธอจึงออกมา เธอ แต่ไม่ใช่เธอแล้ว

ต่อจากนั้น ตามคนที่หลั่งไหลเข้ามา เธอก็หาที่ว่างแล้วนั่งลง

วิวทิวทัศน์นอกรถที่เลื่อนถอยหลัง ความทรงจำของเฉินเป้ยอีก็ถอยย้อนกลับไป ย้อนกลับไปวันแรกที่เธอเข้าไปคฤหาสน์ตระกูลหนิง…..

ทุกสิ่งทุกอย่าง ราวกับความฝัน เวลานี้ ตื่นจากฝันแล้ว

รถไฟถึงสถานีสถานีถัดไป เคลื่อนที่ไปได้ไม่นาน ก็ได้ยินตู้โบกี้รถไฟตรงข้ามเธอ มีเสียงเอะอะลางๆดังเข้ามา

เงยหน้าด้วยจิตสำนึก เธอก็เห็นหนิงเส่าเฉินสวมชุดสีดำยืนอยู่ท่ามกลางผู้คน

ยังคงเป็นเสื้อสูทรองเท้าหนัง เนคไทถูกดึงไปยังตำแหน่งกระดุมเม็ดที่สอง รู้สึกไม่มีชีวิตชีวาเล็กน้อย แต่มันช่วยเสริมความรู้สึกอิสระในความหล่อของเขา ใบหน้าของเขาคร่ำเครียด ห่างไกลกันมาก ยังสามารถรู้สึกได้ถึงความโกรธและความกระวนกระวายใจของเขา

เธอไปแล้ว เขาก็ต้องกระวนกระวายใจอย่างแน่นอน? แต่ หนิงเส่าเฉิน ถ้าฉันอยู่ คุณจะจัดการกับฉันอย่างไร? พวกเรา ตวรจะจัดการตัวเองอย่างไร?

มีความสุข เป็นไปไม่ได้!

แต่ ในใจก็ยังอบอุ่น อย่างน้อย เขาก็ยังไล่ตามมา

น่าเสียดาย……

เธอนั่งตัวตรง ถอดหมวกแก๊ปออกจากหัว ปรากฎให้เห็นโฉมหน้าที่สวยงาม การแต่งหน้าที่ค่อนข้างเข้ม สูญเสียความสดใสแต่เดิม แต่ก็ปกปิดไว้ไม่อยู่ ซึ่งความสวยเพริศพริ้งของเธอ เสื้อไหมพรมคอเต่าสีขาว กางเกงหนังสีดำ กลิ่นน้ำหอมที่เข้ม

เธอ ไม่ใช่เฉินเป้ยอีอีกต่อไปแล้ว

จากนี้ไป บนโลกใบนี้ ไม่มีเฉินเป้ยอีอีกต่อไป

หนิงเส่าเฉิน ลาก่อน!

"หมอ ลูกสาวฉันเป็นอย่างไรบ้าง?"

พ่อเกายื่นมือไปขับแขนหมอ ถามอย่างตึงเครียด

หนิงเส่าเฉินสีหน้าเย็นชาตลอด มองไม่ออกว่ากำลังคิดอะไรในใจ

"ช่วยคนกลับมาได้แล้ว……” หมอถอดผ้าปิดปากออก หยุดไปชั่วขณะ จึงพูดต่อว่า "เพียงแต่ มดลูกแตกอย่างรุนแรง ตลอดชีวิตนี้ ไม่สามารถตั้งครรภ์ได้อีก"

คำพูดของหมอจบลง หนิงเส่าเฉินก็ขมวดคิ้วแน่น ยืนตกตะลึงอยู่ตรงนั้น ไม่ขยับเคลื่อนไหว

พ่อเกาหรี่ตา ก้มหน้า ปกปิดความภูมิใจในดวงตา!

เมื่อลืมตาอีกครั้ง ในแววตาเต็มไปด้วยความโกรธ ตรงไปคว้าคอเสื้อของหนิงเส่าเฉิน ดันเขาชิดกำแพงด้านหลัง "เส่าเฉิน ครัเงนี้คุณเกินไปจริงๆนะ คุณรู้ไหมว่าเกาเหวินรู้สึกอย่างไรต่อคุณ?"

หนิงเส่าเฉินถูกเขากดคอไว้ หายใจลำบากนิดหน่อย แต่พ่อเกาก็ไม่ขยับ

ไม่ว่าจะอธิบายอะไร ที่ทำให้เกาเหวินเป็นแบบนี้ แท้จริงมันก็คือเขาเอง เขาไม่มีเหตุผลที่จะปฏิเสธความรับผิดชอบ

"คุณลุง หนิงเส่าเฉินก็คาดไม่ถึงว่าจะเรื่องจะเป็นอย่างนี้" หลิวซูเพิ่งไล่นักข่าวด้านนอกออกไป ก็รีบเข้ามา เห็นพ่อเกากำลังใช้กำลังกับหนิงเส่าเฉิน เขาก็มุ่งเข้ามา

"เขาคาดไม่ถึงหรอ? เขาไม่รู้เลยเชียวหรอ สำหรับเสี่ยวเหวินแล้ว เขาสำคัญกว่าชีวิตของเธอเลยหรอ?" พ่อเกาตะโกนเสียงดัง เมื่อก่อนพ่อเกากลัวหนิงเส่าเฉิน กล้าที่จะทำอย่างนี้กับเขาซะที่ไหน แต่ตอนนี้ ถือว่าเป็นปฏิกิริยาตอบสนอง"ปกติ"ในฐานะพ่อ ถ้าเขาไม่ทำแบบนี้ มันก็ไม่ปกติแล้ว

หนิงเส่าเฉินนิ่งเงียบไม่พูดจาตลอด ไม่มีใครรู้ว่าเขาคิดอะไรในใจ

"ผู้หญิงคนหนึ่ง ไม่สามารถมีลูกได้ตลอดชีวิต หนิงเส่าเฉิน ตอนนั้นเสี่ยวเหวินไม่ควรจะช่วยชีวิตคุณไว้เลยใช่ไหม?" คำพูดนี้ออกมา หลิวซูก็ตกตะลึงเช่นกัน เขามองหนิงเส่าเฉินโดยจิตใต้สำนึก อ้าปากค้าง แต่ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรดี ความหมายในคำพูดของพ่อเกานี้คืออะไร เขาเข้าใจ หนิงเส่าเฉินก็ต้องเข้าใจอย่างแน่นอน

ผ่านไปนาน ราวกับยาวนานเป็นศตวรรษ

หนิงเส่าเฉินจึงเอ่ยปาก ด้วยน้ำเสียงแหบพร่า "ฉันจะรับผิดชอบเธอเอง งานแต่งงานจะจัดขึ้นตามกำหนด"

เขาเพิ่งจะพูดออกมา

ผู้หญิงที่ยืนอยู่ตรงมุมห้องตลอด ก็ตัวแข็งทื่อ เธอมองเขาอย่างลึกซึ้ง หันกลับ เดินจากไป ก้าวเท้าอย่างซวนเซเล็กน้อย

เฉินเป้ยอีไม่รู้ว่าตนเองกลับบ้านมาได้อย่างไร เธอรู้สึกว่าทั้งตัวเบาหวิว ทั้งร่างกาย เหมือนไม่รู้สึกไม่รับรู้

ความรู้สึกเหมือนตกจากที่สูงนั้น ทำให้ตอนนี้เธอ ไม่รู้ว่าจะรับมืออย่างไร

นั่งลงบนโซฟา ในหัวเธอเต็มไปด้วยประโยคนั้นของหมอ "ไม่สามารถตั้งครรภ์ได้อีกต่อไป" กับประโยคนั้นของหนิงเส่าเฉิน "ฉันจะรับผิดชอบเธอเอง งานแต่งจะจัดขึ้นตามกำหนด"

เธออยากจะโกรธ แต่ยิ่งตำหนิตัวเองมากกว่า

เกาเหวินเป็นเพราะตน เพราะหนิงเส่าเฉินต้องหารจะถอนหมั้น ดังนั้น จึงได้เกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์ เธอเข้าใจเรื่องนี้อย่างชัดเจน

ไม่สามารถตั้งครรภ์ได้ ไม่สามารถมีลูกของตนเองได้ เธอส่ายหัว เธอไม่สามารถจินตนาการได้เลยว่าผู้หญิงคนนี้ได้รับการกระทบกระเทือนขนาดไหน

ถึงแม้ เธอจะรู้สึกว่าเกาเหวินไม่ใช่คนดีอะไร แต่ว่า……

เรื่องนี้ จริงๆแล้วเธอรู้สึกว่าตนเองเป็นฝ่ายผิด

รู้ชัดเจนว่าเป็นคนมีคู่หมั้นแล้ว แต่ก็ไปแย่งคู่หมั้นเธอมา ทำให้เธอได้รับอันตรายจนไม่สามารถมีลูกได้อีกต่อไป?

ชั่วขณะก็รู้สึกว่าตนเองน่ากลัว

เธอตำหนิว่าเกาเหวินโหดเหี้ยม เธอตำหนิว่าเกาเหวินความคิดเจ้าเล่ห์ แต่ ตัวเองดีกว่าตรงไหนกัน?

เพราะความสุขของเธอ เธอทำให้ผู้หญิงคนหนึ่งหมดสิทธิที่จะเป็นแม่คน

เฉินเป้ยอี สถานการณ์แบบนี้ คุณและหนิงเส่าเฉินยังจะมีผลสุดท้ายอีหรอ?

คำตอบคือแน่นอน ดังนั้น หนิงเส่าเฉินจึงบอกว่าจะจัดพิธีแต่งงานตามกำหนด

หากจัดพิธีแต่งงานตามกำหนดล่ะก็ แล้วเธอล่ะ?

เธอก็จะต้องจากไป…..จากพวกเขาไปให้ไกล

สี่ทุ่มกว่าหนิงเส่าเฉินถึงกลับมา

"เส่าเฉิน บอกว่าจะกลับมาทานข้าวตอนเย็นไม่ใช่หรอ?" เฉินเป้ยอีเข้าไปต้อนรับด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม ยืนอยู่ที่หน้าประตูแล้วมองไปยังหนิงเส่าเฉิน เขย่งปลายเท้า แล้วจูบลงที่ริมฝีปากของเขา "รีบล้างมือ ฉันจะช่วยอุ่นกับข้าวให้คุณ" เธอพูดจบ ก็เตรียมจะหันตัวไป

แขนก็ร้อน ต่อจากนั้น ก็ถูกดึงอย่างแรง เฉิยเป้ยอีจมอยู่ในอ้อมกอดของหนิงเส่าเฉิน

"เป้ยอี……." หนิงเส่าเฉินกอดเฉินเป้ยอีแน่น พละกำลังนั้น ดูเหมือนจะปรารถนาให้เธอเข้ามาอยู่ในร่างกายของเขา

เฉินเป้ยอียกมือทั้งสองขึ้น อยากจะผลักเขา แต่สุดท้าย ทำได้เพียงโอบเอวที่กำยำของเขา นิ้วมือที่นุมนวล ยื่นมือเข้าไปในเสื้อของเขาจากด้านหลัง

ความรู้สึกของมือที่เยือกเย็น ทำให้หนิงเส่าเฉินเข้าใจผิดในทันที เขาดันผู้หญิงที่อยู่ในอ้อมกอดออก เฉินเป้ยอีแสร้งทำเป็นก้มหน้าด้วยความเขินอาย ซ่อนความเศร้าในดวงตาเอาไว้

"เส่าเฉิน…..พวกเรา….คืนนี้อยู่ด้วยกัน ดีไหม?" เธอเม้มปาก เมื่อเงยหน้า ความเศร้าในดวงตาก็เปลี่ยนเป็นความคาดหวัง

"นี่คือคุณ….." ชัดเจนว่า กับการกระทำของเธอ หนิงเส่าเฉินก็ประหลาดใจ อยู่ด้วยกันมาตั้งนาน เฉินเป้ยอีเป็นคนแบบไหน ในใจเขาก็เข้าใจดี เธอไม่เหมือนคนที่มีการกระทำแบบนี้

เขาจับมือของเธอที่เคลื่อนย้ายลงต่อไป เชยคางของเธอขึ้น "คุณ…..มีเรื่องอะไรใช่ไหม?"

เฉินเป้ยอีตัวสั่น ทันทีหลังจากนั้น น้ำตาก็ไหลลงมา "เส่าเฉิน คุณกลัวที่จะต้องรับผิดชอบใช่ไหม? ดังนั้น ไม่กล้าที่จะสร้างความก้าวหน้ากับฉันในเรื่องนั้น? คุณไม่เคยคิดเลยใช่ไหม ว่าอยากจะอยู่กับฉันตลอดไป?"

ในสายตาหนิงเส่าเฉิน เวลานี้เธอร้องไห้อย่างรู้สึกน้อยใจ แต่มีเพียงเฉินเป้ยอีที่รู้ว่า น้ำตาของเธอในเวลานี้ ประกอบไปด้วยความไม่เต็มใจ จนปัญญา และโทษตัวเองมากแค่ไหน

"พูดจาเหลวไหลอะไร? นั่นคือฉันให้เกียรติคุณ!" หนิงเส่าเฉินโล่งอกทันที เขาคิดว่า เธอรู้เรื่องอะไรแล้ว ยังดีๆ

"เอ่อ…..นั่นฉันไม่สนใจแล้ว วันนี้ฉันต้องการ" เธอพูดจบอย่างกระดากอาย เขย่งปลายเท้า จูบไปบนริมฝีปากของหนิงเส่าเฉิน จูบอย่างรุนแรง เธอเข้าใจอารมณ์ของหนิงเส้าเฉินในวันนี้ จนเองเรียกร้องให้เขาทำเรื่องนี้ ฝืนใจอย่างมาก เธอ ไม่เคยไม่ใช่หรอ?

แต่…..เพื่อความรักครั้งนี้ จะปิดฉากลง!

เริ่มแรกหนิงเส่าเฉินก็ถูกจู่โจม แต่พอมือที่สั่นสะท้านของเฉินเป้ยอีปลดเข็มขัดกางเกงของเขาออก แรงกระตุ้นที่ดั้งเดิมมีอยู่นั้น ตอนนี้ ก็จนปัญญาที่จะอดกลั้น

เขาโอบเอวเธอขึ้น ราวกับโอบอุ้มสิ่งของที่ล้ำค่า วางเธอลงบนเตียง "เป้ยอี….."

เสียงของเขาแหบพร่าเล็กน้อย เฉินเป้ยอีใจสั่น เงยหน้า เข้าไปใกล้ ริมฝีปากฟันประสานกัน จากเบาไปถึงหนัก

ตอนนี้ ไม่มีเกาเหวิน ไม่มีอุบัติเหตุทางรถยนต์ ไม่มีการแยกจากกัน….

มีเพียงเขาและเธอ…..

ทั้งคืนนี้ จิตใจของเธอ จากเด็กผู้หญิงกลายเป็นหญิงสาวแล้ว

คืนนี้งดงามมาก มีความสุขมาก…..แล้วก็ เจ็บปวดทรมานมาก!

เวลานี้ที่หนิงกรุ๊ป

"คุณเกา เส่าเฉินยังไม่มาจริงๆ คุณค่อยมาใหม่เถอะ" หลิวซูมองเกาเหวินที่ยืนอยู่ตรงประตูห้องทำงานประธานไม่ยอมจากไป ด้วยสีหน้าจนปัญญา

เกาเหวินยิ้มอย่างเศร้าๆ พยักหน้า : "ฉันรู้ ฉันจะรอเขาอยู่ที่นี่ เอ่อ ตอนบ่ายไม่ใช่บอกว่า จะจัดการแถลงข่าวหรอ ฉันก็เลย มาปรึกษากับเขา ว่าจะตอบคำถามนักข่าวอย่างไร?"

รอยยิ้มของเธอ ฝืนใจอย่างมาก ประกอบกับท่าทีที่น่าสงสารของเธอ เลยทำให้คนรู้สึกสงสาร คำพูดที่มาถึงปากหลิวซูแล้ว ก็ต้องกลืนกลับไป

หลายๆคนในห้องเลขาก็โผล่หน้าออกมามอง

หลิวซูหันกลับไปถลึงตาใส่ คนเหล่านั้นจึงได้หดหัวกลับไป

แต่ยังคงพูดวิพากษ์วิจารณ์กันเบาๆ

"ได้ยินไหม ท่านประธานเราเหมือนต้องการจะถอนหมั้นกับคุณเกา……”

"ได้ยินมาว่า หนิงเส่าเฉินมีผู้หญิงอื่นข้างนอก"

"อะไรนะ? จริงหรอ?"

"อืม ฉันได้ยินลูกพี่ลูกน้องของลูกพี่ลูกน้องของฉันบอกว่า เธอเห็นกับตาตัวเองเลย……ผู้หญิงคนนั้น ได้ยินว่ารูปร่างหน้าตาธรรมดามาก เทียบกับคุณเกาไม่ได้เลย"

"เป็นไปไม่ได้มั้ง แต่หนิงเส่าเฉินเป็นเทพบุตร จะไปชอบผู้หญิงธรรมดาๆได้อย่างไร? คุณคิดว่าสมัยนี้ยังมีซินเดอเรลล่าอยู่จริงๆหรอ? งั้นพวกเราเหล่านี้ ทำไมถึงทำมาสองสามปี แล้วยังไม่ชายตามองเลยล่ะ?"

ทุกคนต่างมองหน้ากัน พวกที่นินทาอยู่ไม่ได้พบว่าด้านหลังมีคนจ้องมองมาที่พวกเขา

"อะแฮ่ม……” มีคนทำเสียงกระแอม แต่ ผู้หญิงเหล่านั้นเหมือนจะไม่สังเกตเห็น ยังคงพูดต่อว่า : "คุณดูสิ พวกเราในนี้ มีไอคิว มีความสามารถ หน้าตาก็ไม่ได้แย่ แต่พวกคุณดูสิ เทพบุตรของเรานี้ เมื่อไหร่จะชายตามามอง? คนอย่างคุณเกานั่น ก็ยังถูกทิ้งได้ คุณยังบอกว่ารูปร่างหน้าตาธรรมดาๆหรอ? จะเป็นไปได้ยังไง?"

หนิงเส่าเฉินยืนอยู่ห่างจากพวกเธอไม่กี่เมตร ปากบางๆเม้มแน่น ดวงตาคู่เรียวเล็กกวาดมองกลุ่มคนตรงหน้า ด้วยสีหน้าไม่น่าดูอย่างยิ่ง

"หักโบนัสปลายปีทั้งหมด มีใครไม่เห็นด้วย ก็ไสหัวไปได้เลย"

เมื่อเดินผ่านละแวกเลขา เขาก็หันไปมอง สายตาที่มืดครึ้มมองทุกคนอยู่พักหนึ่ง หนิงเส่าเฉินจึงกล่าวขึ้นอย่างเย็นชา

ถ้าไม่ได้เห็นว่าพวกเธอทุ่มเทอย่างเต็มที่กับเขามาสองสามปี เวลานี้เขาก็จะให้พวกเธอเก็บของแล้วออกไปเลย

ทุกคนสติกลับมา ชั่วขณะก็นั่งแข็งที่อยู่กับที่ พวกเธอสาบานเลย ว่าสองสามปีนี้ นี่คือครั้งแรกที่วิพากษ์วิจารณ์หนิงเส่าเฉิน แต่ไม่คิดว่าจะถูกจับได้โดยบังเอิญ

"บอกพวกคุณแล้ว ว่าที่นี่ไม่ใช่ที่ที่พวกคุณจะมานินทาได้ พวกคุณ……เฮ้อ!" ผู้ดูแลฝ่ายเลขาส่ายๆหัว ตำหนิด้วยความหวังดี

"เส่าเฉิน คุณ……คุณมาแล้วหรอ?" ได้ยินเสียงฝีเท้า เกาเหวินห็เงยหน้าขึ้น ก็เห็นหนิงเส่าเฉินเดินเข้ามาด้วยสีหน้าเย็นชา

เห็นเธอนั่งยองๆอยู่บนพื้น ขมวดคิ้ว ยื่นมือไปดึงเธอขึ้นมา พูดด้วยน้ำเสียงเรียบๆว่า : "มาก่อน แล้วทำไมไม่โทรหาฉัน?"

พูดจบ กดลายนิ้วมือลงบนที่ล็อคข้างประตู ประตู มีเสียงตอบรับแล้วเปิดออก

หนิงเส่าเฉินเพิ่งจะก้าวเข้าไป เกาเหวินก็โอบกอดเอวเขาจากด้านหลัง เอาหน้าแนบไว้กับหลังของเขา เมื่อเห็นว่าหนิงเส่าเฉินแกะมือเธอออกจากเอว วินาทีต่อมา ก็กอดแน่นยิ่งขึ้น พูดด้วยนำเสียงอ่อนโยนว่า : "เส่าเฉิน ให้ฉันกอดคุณเป็นครั้งสุดท้ายเถอะนะ……ต่อไป อาจจะไม่มีโอกาสอีกแล้ว"

หนิงเส่าเฉินใจสั่นเล็กน้อย เขาไม่เคยมีความสัมพันธ์ระหว่างชายและหญิงกับเกาเหวินมาก่อนเลย แต่ หลายปีมานี้ เขาเห็นเธอเป็นน้องสาวมาโดยตลอด หันตัวกลับไป เมื่อเห็นน้ำตาบนใบหน้าของเธอ ในใจก็พูดไม่ได้ว่าไม่สะเทือนใจ

"เสี่ยวเหวิน คุณสมควรที่จะได้พบกับสิ่งที่ดีกว่า งานแถลงข่าวตอนบ่าย ถ้าคุณไม่อยากออกหน้า ฉันจะให้คนไปเป็นตัวแทนคุณพูด"

เขาหันตัวกลับ มือทั้งคู่ประคองที่แขนของเธอ ยังคงเอาใจใส่ดูแลเหมือนเดิม แต่ ตวามรู้สึกได้เปลี่ยนไปแล้ว เรื่องบางเรื่อง เกาเหวินรู้ว่า กลับไปไม่ได้อีกแล้ว

เธอก้มหน้า ได้แต่ร้องไห้ ไม่พูดจา หาคนที่ดีกว่าเขางั้นหรอ? มองทั่วทั้งเมืองC มีใครสามารถเทียบกับเขาได้หรอ?

ไม่ เธอจะไม่มีทางปล่อยให้พวกเขาอยู่ด้วยกันได้อย่างราบรื่นโดยเด็ดขาด

สายตาที่เยือกเย็น

ทันใด เธอก็เงยหน้าขึ้นโดยไม่พูดอะไร พยักหน้ากับหนิงเส่าเฉิน "ได้ ฉันจะเชื่อฟังคุณ…..งั้น ตอนบ่ายรบกวนคุณเรียกคนอื่นมาเป็นตัวแทนฉันพูดเถอะ!" พูดจบ ก็ค่อยๆหันกลับ เดินออกจากห้องทำงานไปด้วยอารมณ์ที่เลื่อนลอย

หนิงเส้าเฉินอยากจะยื่นมือไปดึงเธอไว้ด้วยจิตสำนึก เธอหันไปมองเขาทีหนึ่ง ยกมุมปากขึ้น ยิ้มเล็กน้อย หลบมือของเขาที่ยื่นออกมา แล้วก็ออกจากประตูไป

หลังจากที่เธอไปได้ไม่นาน หลิวซูก็ผลักประตูเข้ามา

"เส่าเฉิน ฉันรู้สึกว่าเมื่อกี้ตอนเกาเหวินออกไป ดูเหมือนท่าทางจะผิดปกติเล็กน้อย"

หนิงเส่าเฉินจ้องมองเขาอยู่ครู่หนึ่ง สีหน้าเคร่งขรึม ทันทีก็วางปากกาที่อยู่ในมือ วิ่งออกไปด้านนอก

เมื่อประตูเซ็นเซอร์ในห้องโถงใหญ่ชั้นล่างเปิดออก ในสายตาของหนิงเส่าเฉินก็ปรากฎให้เห็นวัตถุสีม่วงที่เป็นเส้นโค้ง ตกลงมาพร้อมกัน……

เมื่อตอนที่เกาเหวินเข้ามา สวมชุดสีม่วง

ต่อจากนั้น ก็มีเสียงผู้คนกรีดร้อง สถานที่เริ่มโกลาหล

หลังจากนั้นหลิวซูก็รีบตามมา เมื่อเห็นฉากนี้ ก็ยืนแข็งทื่ออยู่กับที่

เขาหันไปมองหนิงเส่าเฉิน พบว่าบนหน้าผากของเขามีเหงื่อไหลลงมา

เพราหนิงเส่าเฉินบอกว่าจะกลับมาทานข้าว เฉินเป้ยอีก็เลยตั้งใจไปตลาดที่อยู่ไดลมากเพื่อซื้ออาหารทะเล

แต่รอจนกระทั่งอาหารจะเย็นหมดแล้ว ก็ไม่เห็นเขากลับบ้าน

เธอหยิบมือถือออกมา ลังเลใจว่าจะโทรหรือไม่โทรหาเขาดี แต่ กลัวว่าเขาจะล่าช้าเพราะเรื่องอะไรบางอย่าง

หยิบรีโมททีวี เธอเปลี่ยนช่องทีวีอย่างใจลอย

"เพิ่งได้รับรายงานใหม่ล่าสุดว่า คู่หมั้นของประธานหนิงกรุ๊ป คุณเกาเหวิน เกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์ที่หน้าประตูทางเข้าหนิงกรุ๊ป ตามที่มีคนเปิดเผย เพราะคุณเกาอารมณ์ไม่ดี จึงนำไปสู่อุบัติเหตุทางรถยนต์ในครั้งนี้ ขณะนี้ได้นำคนส่งไปยังแพทย์ฉุกเฉินแล้ว…..รายงานต่อไป เชิญติดตามต่อไป….."

เฉินเป้ยอีลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็ว รีโมทลื่นตกจากในมือ ตกลงไปในแก้วน้ำบนโต๊ะพอดี มีน้ำกระเซ็นออกมา

หน้าประตูห้องผ่าตัดของโรงพยาบาล

พ่อเกาใบหน้าเคร่งขรึม กำมือทั้งสองแน่น เดินไปเดินมา

หนิงเกาเหวินยืนอยู่หน้าห้องผ่าตัด จนกระทั่งตอนนี้ ยังไม่เคลื่อนย้ายตำแหน่ง

ในมุมมุมหนึ่ง มีผู้หญิงผมยาวคลุมไหล่คนหนึ่ง สวมหมวก ก็ยังคงการกระทำเหมือนเดิม

เธอก้มหน้า สวมผ้าปิดปาก ไม่ให้คนสามารถมองใบหน้าเธอได้ชัด

เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว เวลาที่ผ่านไปทีละนิดๆ สีหน้าของทุกคน ก็ยิ่งเคร่งเครียด

ในที่สุด…..

ประตูห้องผ่าตัดก็เปิดออก

หลังจากแต่งหน้าแล้วก็ออกไป คนดูแลในร้านก็มาบอกกับเธอว่า เหอเฟยมีธุระ จึงออกไปก่อน แล้วนำกล่องเล็กๆมาส่งให้เธอ

"คุณเฉิน พี่เหอบอกว่า หนังสือข้างในนี้ คุณเฉินเอากลับไปอ่านก่อน รอให้อ่านหนังสือจบ แล้วค่อยมาเข้าเรียนที่นี่อีกครั้ง"

เฉินเป้ยอีรับกล่องนั้นมา กล่าวขอบคุณแล้วก็กลับบ้าน

หนังสือที่เหอเฟยให้เธอ ทั้งหมดพูดเกี่ยวกับการเสริมความงาม คล้ายกับการแต่งหน้าของคนผิวขาว แต่งหน้าแบบอินเดีย การแต่งหน้าแบบอียิปต์ การแต่งหน้าแบบย้อนยุค การแต่งหน้าในราชวงศ์ถัง การแต่งบาดแผลกระสุนปืน บาดแผลจากมีด รอยฟกช้ำ แผลถลอก แผลโดนฟัน นิ้วขาดเป็นต้น การแต่งหน้าเทคนิคพิเศษในภาพยนต์และทีวี ประวัติศาสตร์ สมัยใหม่ หนังไซ-ไฟ ยุคใกล้ปัจจุบัน เทพนิยาย การแต่งหน้าละครทีวี การแต่งหน้าละครเวที

ประเภทที่เกี่ยวข้องมีมากมายและซับซ้อน เธอเห็นเหอเฟยจดบันทึกขั้นตอนที่สำคัฟนและเกี่ยวข้อง เช่นด้านไหนต้องสนใจอะไร วิธีการแบบใดที่มีประสิทธิผลดีกว่า เนื้อหามีสาระสำคัญ ทำให้เฉินเป้ยอีชื่นชมอย่างมาก

เธอเคยเห็นตัวหนังสือของเหอเฟย ชัดเจนมาก ว่าหนังสือเล่มนี้ น่าจะเป็นของส่วนตัวของเธอเอง

ดูกล่องไม้เล็กๆที่ใส่หนังสือนั้น ในความปราณีตละเอียดอ่อนเผยให้เห็นความหรูหรา เธอคู่ควรกับมันอย่างมาก

นึกถึงตรงนี้ ในใจก็ยิ่งอบอุ่นและซาบซึ้ง

เธอไม่เคยรู้เลย ว่าแท้จริงแล้วอาชีพแต่งหน้ายังมีอะไรต้องเรียนรู้อีกมาก เวลานี้ก็ถูกเนื้อหาด้านในดึงดูดความสนใจไว้แล้ว

จนกระทั่งหนิงเส่าเฉินโทรมา เธอจึงได้สติ

"ข้างนอกบ้าน ออกมาสิ ฉันจะพาคุณไปทานข้าว"

เฉินเป้ยอีตอบรับ นำหนังสือในมือเก็บไว้ในกล่องไม้เล็กๆ ใส่กุญแจดีแล้ว จึงลงไปชั้นล่าง

"คุณกลับมาได้ยังไง?" เมื่อเดินออกมา ก็เห็น หนิงเส่าเฉินยืนพิงประตูอยู่

"ถ้าฉันบอกว่าอยากเจอคุณจนทนรอไม่ไหว คุณจะเชื่อไหม?" หนิงเส่าเฉินเปิดประตูรถให้เธอ

เฉินเป้ยอีดึงๆชายเสื้อ กลอกตามองบนใส่เขา เธอไม่เคยรู้มาก่อนว่าหนิงเส่าเฉินผู้เย็นชาขนาดนั้นจะพูดคำหวานๆขึ้นมา นึกไม่ถึงว่าอยู่ดีๆจะพูดออกมา

"คุณน้าของคุณให้ของสะสมของตนเองแก่ฉัน คุณช่วยฉันพูดขอบคุณหน่อยสิ" เธอคาดเข็มขัดนิรภัยไปพลาง พูกับหนิงเส่าเฉินไปพลาง

"นั่นคือเธอพบว่าคุณมีพรสวรรค์ทางด้านนี้ อยากที่จะปลูกฝังคุณ" หนิงเส่าเฉินสตาร์ทรถ แล้วยกมือขึ้นบีบๆใบหน้าของเฉินเป้ยอี

"ฉันรู้ ว่าคุณฝากฝังกับเธอ" เธอตอบกลับตามความเป็นจริง "ขอบคุณคุณนะ!"

หนิงเส่าเฉินขมวดคิ้ว "ขอบคุณฉันทำไม? ที่มอบหัวใจให้อ่ะหรอ?"

เวลานี้ พอดีกับรถที่อยู่ภายใต้แสงอาทิตย์ แสงแดดในฤดูใบไม้ผลิ ส่องผ่านกระจกเข้ามา เฉินเป้ยอีเหมือนจะตัดสินใจอะไรบางอย่าง จู่ๆก็จับมือใหญ่ของหนิงเส่าเฉินที่วางอยู่บนเข่า "หนิงเส่าเฉิน ฉันจะพยาบามอย่างเต็มที่ หากเป็นเช่นนั้น ถึงแม้ว่าในอนาคตจะไม่มีคุณ ฉันก็จะอยู่ให้ได้"

เธอไม่เคยรู้มาก่อนว่าประโยคนี้ก็เหมือนกับคำทำนาย อีกไม่นาน เธอก็จะทำให้เป็นจริงขึ้นมา

"เอี๊ยด"

รถที่ขับอยู่ จู่ๆก็เลี้ยวขวา จากนั้นก็เบรกทันที รถจึงหยุดอยู่ข้างถนน

หนิงเส่าเฉินหันมา มองเฉินเป้ยอี ด้วยสีหน้าจริงจัง : "คุณหมายความว่ายังไง?"

มีความโกรธและความเจ็บปวดในดวงตาที่เย็นชาของเขา และยังมีความหวาดกลัวเล็กน้อย

เฉินเป้ยอีถูกการตอบสนองนี้ของเขาทำให้ตกใจ เธอกลืนน้ำลาย "เอ่อ ฉัน……ฉันหมายความอย่างที่พูดแหละ ถ้าในอนาคตคุณไม่ต้องการฉันแล้ว งั้นฉันก็……”

น่าเสียดายที่เธอยังไม่ทันพูดจบ ถูกคนใช้สองมือโอบท้ายทอยของเธอ โน้มตัวเข้ามาจูบ มีการลงโทษอยู่ด้วย ในการจูบ

จนกระทั่งเฉินเป้ยอีถูกจูบจนแทบหายใจไม่ออก หนิงเส่าเฉินจึงปล่อย หน้าผากของทั้งสองคนชนอยู่ด้วยกัน

หนิงเส่าเฉินค่อยๆพูดว่า "เป้ยอี เรื่องการถอนหมั้น รออีกสองสามวัน เชื่อฉันนะ ฉันจะไม่ทิ้งคุณไป แล้วฉันก็สามารถ จะทำให้คุณได้มีตัวตนอย่างเปิดเผย"

น้ำเสียงของเขาเบามาก แต่ก็อบอุ่นมากเช่นกัน

เฉินเป้ยอี"อืม"เบาๆคำหนึ่ง

ความจริง เธอก็อยากจะอธิบายว่าตนเองไม่ได้หมายความว่าแบบนี้ ความจริง เธอเพียงแค่อยากทำให้เขาเบาใจ

แต่ เวลานี้ เธอไม่อยากจะพูดอะไรอีก

สองสามวันต่อมา เฉินเป้ยอีไม่อยากคิดถึงเรื่องระหว่างเธอและหนิงเส่าเฉินอีก ทั้งใจของเธอจึงทุ่มอยู่กับหนังสือสองสามเล่มที่เหอเฟยมอบให้เธอ เรียนรู้จนไม่เป็นอันกินอันนอน มักจะต้องให้หนิงเส่าเฉินเตือน ถึงจะจำได้ว่าต้องทานข้าว

แต่หนิงเส่าเฉิน หลังจากวันนั้น นอนหลับข้างกายของเธอแทบทุกวัน แต่ก็ไม่เคยเกินเลยสักครั้ง เพียงแค่กอดเธออย่างเรียบง่าย

การให้เกียรติของเขานี้ทำให้หัวใจของเฉินเป้ยอี นับวันยิ่งอบอุ่นมากขึ้น

"หนิงเส่าเฉิน คุณมาช้ากลับก่อนเวลาแบบนี้ทุกวัน ไม่กลัวคนอื่นตำหนิคุณเอาหรอ?" เฉินเป้ยอีที่นอนอ่านหนังสืออยู่บนตักของหนิงเส่าเฉิน มือใหญ่ๆของหนิงเส่าเฉินลูบไปมาที่ผมของเธอ

หนิงเส่าเฉินหัวเราอย่างเย็นชา "ใครจะกล้าตำหนิ?"

เฉินเป้ยอีมองเขา ก็จริงๆ เขาเป็นเจ้านายใหญ่ ไม่มีใครกล้าตำหนิหรอก

ลุกขึ้น เดินไปยังห้องเสื้อผ้าด้านนอกแล้วหยิบเสื้อมาให้เขาเปลี่ยน

"ลุกขึ้นเถอะ คุณชายหนิง หรือว่า จะให้ฉันช่วยเปลี่ยนให้?" ตอนออกมา เห็นหนิงเส่าเฉินยังนอนอยู่ตำแหน่งเดิมไม่ขยับ เฉิยเป้ยอีจึงกล่าวหยอกล้อ

หารู้ไม่ว่ายังไม่ทันพูดจบ ก็ถูกดึงเข้าไปในอ้อมกอดของใครบางคน พลิกตัว แล้วก็ถูกกดไว้ภายใต้ตัวเขา

เห็นสีแดงเป็นเลือดฝาดบนใบหน้าของผู้หญิงตรงหน้า หนิงเส่าเฉินก็ยิ้มมุมปาก ผู้หญิงคนนี้ ตั้งแต่นานมาแล้ว ทุกครั้งที่มีการกระทำที่ค่อนข้างสนิทสนมอะไร ก็ยังคงหน้าแดง

เขาอดไม่ได้ที่จะจูบลงไป อ่อนโยนเป็นพิเศษ

ดมื่อรู่สึกว่าบริเวณท้องน้อยเกิดการเปลี่ยนแปลง เฉินเป้ยอีจึงแสดงท่าทีตอบสนอง ใช้กำลังผลักหนิงเส่าเฉิน ขณะที่เขากำลังตกตะลึง ก็รีบออกมาจากร่างของเขา

ยืนตัวตรง ดึงเสื้อของตนเอง สายตาไม่กล้ามองหนิงเส่าเฉิน เพียงกระดกนิ้วชี้เล็กน้อย ชี้ไปยังช่วงล่างของเขา "คุณ…..คุณรีบไปทำงานเถอะ"

ช่วงเวลาที่อยู่ด้วยกันนี้ เธอเข้าใจแล้วว่า ปฏิกริยาการตอบสนองนี้หมายถึงอะไร ยังจำได้หลังจากที่หนิงเฉ่าเฉินอธิบายให้เธอฟังอย่างอ่อนหวานชวนให้คล้อยตาม ทันใดเธอก็นึกขึ้นไป เรื่องบนเรือในวันนั้น ก็แอบยิ้มในใจ ที่แท้เวลานั้น เขาก็เริ่มมีใจกับเธอแล้ว

หนิงเส่าเฉินสูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วพ่นออกมาอย่างหนักแน่น ลุกขึ้นยืน โอบกอดเฉินอีจากด้านหลัง "คุณไม่ควรที่จะรับหน้าที่เพียงแค่จุดไฟแบบนี้เสมอ แล้วก็ไม่รับผิดชอบที่จะดับไฟนะ คุณไม่กลัวหรอว่าพอนานไปแล้ว ไฟนี้ จะจุดไม่ติดแล้ว?"

เฉินเป้ยอีตกใจเล็กน้อย มีปฏิกริยาตอบสนอง หันตัวกลับไปทันที ผลักหนิงเส่าเฉินออก "งั้น ที่คุณพูดมา ทีหลัง ก็ไม่ต้องมานอนกับฉันที่นี่ ไม่ต้อมากอดฉัน…..ไม่ต้อง….."

ยังไม่ทันพูดจบ ใครบางคนก็โน้มตัวลงมา จูบลงไปบนริมฝีปากของเธอ

"ไม่ต้อง ฉันเต็มใจที่จะถูกคุณจุดไฟ" พูดจบ ก็ปล่อยเฉินเป้ยอี หันตัวอย่างรวดเร็ว ไปยังห้องนอน

ไม่นาน เฉินเป้ยอีก็ได้ยินเสียงน้ำดังออกมาจากด้านใน

เขา ยังอาบน้ำเย็นอีกหรอ? อากาศเดือนแรกในฤดูใบไม้ผลิ ยังหนาวอย่างมาก…..คิดแล้ว อดไม่ได้ที่จะเจ็บปวดใจ

แต่ว่า ให้สถานะนี้ของเธอในขณะนี้ เกิดความสัมพันธ์กับเขา เธอก็ทำไม่ได้จริงๆ เธอไม่ได้หัวโบราณ แต่ มีหลักการที่ยึดถือ!

เมื่อออกมา เฉินเป้ยอีกำลังอ่านหนังสืออยู่ หนิงเส่าเฉินก็โน้มตัวลงไปจูบเธอเล็กน้อยแล้วกล่าวว่า: "ตอนบ่ายมีงานแถลงข่าว เป้ยอี นับตั้งแต่พรุ่งนี้ไป ฉันจะประกาศให้คนทั้งโลกรู้ว่าคุณคือผู้หญิงของหนิงเส่าเฉิน!"

เขายิ้มมุมปาก ในสายตาเต็มไปด้วยการเฝ้ารอ ตวามรู้สึกภายในใจนั้น ก็ติดต่อไปถึงเฉินเป้ยอี เธอพยักหน้า ยิ้มตอบกลับ

แต่ในใจก็อดไม่ได้ที่จะเป็นกังวลขึ้นมา

เธอ นี่ต้องรอคอยให้ความจริงเปิดเผยแล้วหรอ?

"คุณ……ครู……” เฉินเป้ยอีไม่ว่าอย่างไรก็ไม่เคยคาดคิด ว่าวันหนึ่ง คนแรกที่มองเธอออก นึกไม่ถึงว่าจะเป็นเหอเฟย

"แต่งหน้าเก่งนะ!" เหอเฟยกล่าวชื่นชม แต่สีหน้ายังคงนิ่งเฉย เฉินเป้ยอีก้มหน้าลง กัดริมฝีปากล่าง เวลานี้ไม่รู้ว่าควรจะตอบรับอย่างไร

"เมื่อฉันใกล้ชิดกับคุณในครั้งนั้น ฉันก็พบว่าคุณปิดบังใบหน้าที่แท้จริงของตนเองไว้ ตอนนั้น ฉันไม่ได้เปิดโปงคุณ เพราะฉันคิดว่าทุกๆคน ล้วนมีความลับส่วนตัวของตนเอง ฉันไม่ทีสิทธ์ที่จะไปก้าวก่าย" เธอลุกขึ้น เดินไปรอบๆเฉินเป้ยอี เอียงใบหน้าของเธอ แล้วมองอย่างละเอียดถี่ถ้วน จึงพูดต่อว่า :

"แต่ว่า ตอนนี้คุณกับอาเฉินมีความสัมพันธ์กันอย่างนี้ ลูกของอาเฉินนั้น ก็มีความรู้สึกที่ดีต่อกันมาตลอด คนที่ห่วงใยเขา เขาไม่เคยสงสัยใดๆ แต่……ฉันเป็นน้าของเขา ฉันคิดว่า ฉันจนปัญญา ที่จะนั่งดูเฉยๆโดยไม่สนใจได้ ดังนั้น……” เธอนำขวดน้ำยานั้นมาวางไว้ตรงหน้าเธออีกครั้ง

เฉินเป้ยอีรู้ดีว่านี่หมายความว่าอะไร

ลังเลอยู่เล็กน้อย เธอสูดหายใจเข้าลึก แล้วหยิบสำลีเช็ดหน้าจากด้านในโต๊ะมาอย่างไม่ลังเล จากนั้นก็เทน้ำยาล้างเครื่องสำอางให้เต็ม มือที่สั่นเล็กน้อย ดังนั้น จึงเทออกมาจำนวนมาก น้ายาที่เย็นเฉียบ ไหลลงตามแนวนิ้วไปถึงข้อมมือ ความเย็นยะเยือกราวกับว่าแทรกซึมเข้าไปในหัวใจ มันช่างหนาวเหน็บ

ตามที่สำลีเช็ดหน้าเช็ดไปมา ใบหน้าที่สะอาดบริสุทธิ์หมดจดก็ปรากฏตรงหน้าเหอเฟย

เดิมทีเธอเคยคิดว่า ผู้หญิงคนนี้มองใกล้ๆหน้าตาก็ไม่ได้แย่ ใบหน้าจริงๆน่าจะพอใช้ได้

แต่ เมื่อได้เห็นใบหน้าที่แท้จริง แม้ว่าเธอเคยเห็นใบหน้าที่สวยงามทุกรูปแบบ ตอนนี้ก็ตกตะลึงจนต้องมองแล้วมองอีก

เพียงแค่……

"ชัดเจนว่ารูปร่างหน้าตางดงามขนาดนี้ ทำไมถึงต้องทำให้ตนเองเป็นแบบนั้นด้วย?"

คนที่เธอเคยเจอ จะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อปกปิดจุดด้อยของตนเอง ทว่าครั้งนี้ที่เจอ ใช้การแต่งหน้าเพื่อปกปิดจุดเด่นของตนเอง

เฉินเป้ยอีวางสำลีในมือลงบนโต๊ะ เป็นเวลานาน จึงหันกลับมา มองไปที่เหอเฟย แล้วพูดว่า : "คุณน้า คุณไม่รู้สึกว่าเคยเห็นหน้าฉันมาก่อนหรอ?" เธอเรียกว่าคุณน้า เพราะเธอเป็นน้าของหนิงเส่าเฉิน เช่นนั้นหนิงเสี่ยวซี เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่เคยเจอเธอมาก่อน

ในตอนแรกเหอเฟยขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจ

แต่หลังจากจ้องมองเธอไม่กี่วินาที ก็หลังตรง ชั่วขณะ ใบหน้าก็เต็มไปด้วยความตกตะลึง

"คุณ……คุณคือแม่ของเสี่ยวซีใช่ไหม?" เรื่องของเสี่ยวซีในปีนั้น จากปากของพี่สาวเธอ ก็เคยได้ยินมาบ้าง แต่ว่า แม้แต่พี่สาวก็บอกว่าไม่มีใครเคยพบเห็นแม่ของหนิงเสี่ยวซีจริงๆ

เฉินเป้ยอีพบว่า ถ้าเธอล้างเครื่องสำอางออก ก็จะบอกคนทั้งโลกได้โดยไม่ตั้งใจ ถึงตัวตนของตนเอง

"งั้น ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ฉันมองออกว่าอาเฉินตกหลุมรักคุณแล้ว ทำไมคุณไม่บอกความจริงกับเขาล่ะ? ฉันคิดว่า เขาน่าจะดีใจมาก เช่นนี้ พวกคุณจะได้อยู่ด้วยกันครบสามคน ไม่ใช่เรื่องที่น่ายินดีของทุกคนหรอ? ทำไมคุณต้องเลือกที่จะปกปิดด้วยล่ะ?"

เฉิยเป้ยอีเม้มริมฝีปากบางๆ มุมปากยกขึ้น ปรากฏรอยยิ้มบนใบหน้า เธอไม่เคยนึกถึงสิ่งเหล่านี้ซะที่ไหนกัน

แต่ว่า…..

"เขามีคู่หมั้นแล้ว ระหว่างพวกเรามันเป็นไปไม่ได้" เธอไม่อยากบอกเหอเฟยว่า แม่ไม่ให้เธอพบกับหนิงเส่าเฉินด้วยโฉมหน้าที่แท้จริง แม้ว่าเธอจะหาเหตุผลไม่ได้ แต่ เธอก็เชื่อว่าแม่ไม่มีทางทำร้ายเธอ

"ที่คุณพูดคือเกาเหวินหรอ? อาเฉินและพี่เขยของฉัน นั่นก็ไม่รู้ประสาเลย มีวิธีตั้งมากมายที่จะตอบแทนบุญคุณ คนทั้งสองจะต้องใช้วิธีแบบนี้ตอบแทนบุญคุณ ก็รู้อยู่แล้วว่าอันที่จริงแล้วเกาเหวิน….." จู่ๆเหอเฟยก็หยุดพูด

หลังจากนั้นนิ้วมือที่เรียวยาวก็ปิดลงบนปาก กระแอมเบาๆเล็กน้อย

"เป้ยอี เพราะสาเหตุนี้ ดังนั้น จึงปกปิดโฉมหน้าของตนเองมาตลอดหรอ?" น้ำเสียงของเหอเฟย ชัดเจนว่านุ่มนวลกว่าเมื่อกี้มาก ในที่สุดเฉินเป้ยอีก็โล่งใจ

"ก็ไม่เชิง หลักๆก็คือ ฉันก็ยังไม่รู้ชัดเจนว่าเพราะเหตุใดตระกูงหนิงถึงต้องการหนิงเสี่ยวซีด้วยการใช้วิธีแบบนั้น" เธอเดินเข้าไป ดึมือของเหอเฟย "ดังนั้น คุณน้า คุณช่วยฉันเก็บไว้เป็นความลับได้ไหม? ฉันกับเส่าเฉิน กับตระกูลหนิง ฉันไม่ความคิดใดๆที่ไม่ดีอย่างแน่นอน เสี่ยวซีเป็นลูกชายของฉัน เดิมทีฉันก็คิดที่จะดูแลเขาปกป้องอยู่ข้างกายเขาในฐานะพี่เลี้ยง สุดท้าย…..คาดไม่ถึงว่า……"

บนใบหน้าของเธอแดงระเรื่อ

"สุดท้ายก็ถูกเสี่ยวซีไอ้หนูนั่น ทำให้เกิดความสัมพันธ์กับอาเฉินใช่ไหม?"

เฉินเป้ยอีขมวดคิ้ว กล่าวอย่างประหลาดใจว่า: "คุณน้า คุณรู้เรื่องนี้ได้ยังไง?" มองจากการแสดงออกก่อนหน้านี้ของเหอเฟย เธอยังคิดว่าเธอไม่รู้เรื่องอะไรเลย

เหอเฟยดึงเธอนั่งลง ตีเบาๆบนหลังมือที่ละเอียดและอ่อนนุ่มของเธอ "ฉันและแม่ของอาเฉินอายุห่างกัน 15 ปี และอายุห่างกับอาเฉิน 10 ปี ดังนั้น ความผูกพันธ์ของพวกเราค่อนข้างดี ก่อนหน้านี้ ฉันไปเยี่ยมเขาที่ตระกูลหนิง เวลานั้นคุณเพิ่งจะออก ฉันได้ฟังอาเฉิยเอ่ยถึงสองคำ เวลานั้นยังคิดว่า เสี่ยวซีเด็กคนนี้ทำไมถึงวุ่นวายขนาดนี้ ฉันไม่รู้ว่าพี่เลี้ยงคนนั้นเป็นคุณ…….ความจริง และพวกคุณยังเป็นแม่ลูกกันจริงๆด้วย!"

เอ่ยถึงหนิงเสี่ยวซี ในสายตาของเฉินเป้ยอีก็ปรากฎความอ่อนโยนในชั่วพริบตา ยิ้มน้อยๆ "เขาเด็กเกินไป เลยคิดเองว่า นั่นก็เพื่อให้ดีต่อฉัน อยากจะพาฉันและเส่าเฉินให้มาอยู่ด้วยกัน"

"โอเคร คุณตอบขอบคุณ ที่คุณมีลูกชายที่ดีแบบนั้น ดูสิ ตอนนี้อาเฉินของพวกเราหลงขนาดไหน? คุณรู้ไหม? เขาตื่นแต่เช้าตรู่โทรมาหาฉัน ขอร้องให้ฉันต้องยอมรับคุณ เขาโตมาขนาดนี้แล้ว ยังไม่เคยขอร้องคนเพื่อใครเลย!"

เหอเฟยไม่เคยเชื่อในโชคชะตา ความรัก ของที่ไม่สำคัญเหล่านี้

แต่เวลานี้มองผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้า เธอคล้ายกับจะเชื่อแล้วว่า โฉมหน้าแบบนั้น สถานะแบบนั้น คาดไม่ถึงว่าจะสามารถทำให้หนิงเส่าเฉินที่เย่อหยิ่งเกิดความคิดที่จะเปลี่ยนใจได้ ถ้าไม่ใช่ความรัก แล้วจะอธิบายว่ายังไง?

เฉินเป้ยอีขอบตาแดงก่ำด้วยความซาบซึ้งใจ

"เอาล่ะ คุณอย่าร้องไห้ หากอาเฉินรู้เข้า จะคิดว่าฉันรังแกคุณ" เหอเฟยลุกขึ้น ตบเบาๆที่บ่าของเฉินเป้ยอี หลังจากนั้นก็เครื่องสำอางชุดหนึ่งออกมาจากในลิ้นชัก "มา แต่งหน้าหน่อย คุณวางใจได้ ปากของฉันจะปิดสนิท"

หลังจากเดินไปถึงหน้าประตู เธอก็หันกลับมาพูดว่า: เป้ยอี อาเฉินคุ้มค่าที่คุณจะรักและทะนุถนอม คุณอย่าทำให้เขาเสียใจ" หยุดลงเล็กน้อย เธอก็กล่าวต่อไปว่า: "ส่วนเกาเหวิน ฉันคิดว่า คุณไม่ต้องเอาเธอมาใส่ใจให้มาก บางด้าน บางเรื่อง เทียบกับคุณไม่ได้เลย"

ความหมายในคำพูดเธอ กับบางอย่างในคำพูด ทำให้เฉินเป้ยอีไม่ค่อยเข้าใจเล็กน้อย แต่ ชัดเจนอย่างมากว่า เหอเฟยก็ไม่อยากจะเปิดเผยกับเธอ เฉินเป้ยอียิ้มๆกับเธอ แต่ในใจก็งุนงงอย่างมาก

เกาเหวินคือคนที่หนิงเส่าเฉินเตรียมจะแต่งงานด้วย ในเมื่อพ่อหนิงสามารถร่วมหุ้นกับเธอได้ ให้เธอมีหนิงเสี่ยวซี แน่นอนว่าต้องยอมรับในสถานะนี้ของเธอ อีกทั้งคนก็งดงาม ถึงแม้ความคิดจะลึกลับซับซ้อน แต่ กับหนิงเส้าเฉินก็เอาใจใส่ดูแลอย่างอ่อนโยน ในสายตาของคนในครอบครัว อาจจะ เป็นความคิดจิตใจที่บริสุทธิ์

เวลานี้เหอเฟยบอกว่าเกาเหวินเทียบกับเธอไม่ได้เลยงั้นหรอ? ตกลง มันหมายความว่ายังไง?

ในที่สุดหนิงเส่าเฉินก็แค่หายใจเข้าลึก ๆ ดึงเธอเข้ามาในอ้อมแขนของเขาและกอดเธอจากด้านหลัง

เฉินเป้ยอีดิ้นรนอย่างไม่สบายใจ

แต่หนิงเส่าเฉินกดเธอลง "ถ้าคุณยังขยับอีก แล้วเกิดอะไรขึ้น ผมไม่รับผิดชอบ"

พูดได้ว่าเขาประสบความสำเร็จในการทำให้ผู้หญิงที่อยู่ใต้เขาเงียบลง

ในอ้อมแขนของเขา เฉินเป้ยอีตัวแข็งมากจนเธอไม่กล้าขยับหลังจากนั้นไม่นานเธอรู้สึกว่าคนที่อยู่ข้างหลังเธอไม่ขยับก่อนที่ร่างกายที่แน่นของเธอจะผ่อนคลาย

แต่หลังจากนั้นไม่นานเขาก็ได้ยินเสียงหายใจสม่ำเสมอจากด้านข้างของเขา

เฉินเป้ยอีขมวดคิ้วเธอไม่ได้นอนไม่หลับใช่ไหม? นี่หลับเร็วกว่าฉันอีก

เธอหันหน้าไปเล็กน้อย แล้วใช้มือข้างหนึ่งจิ้มไปที่ศีรษะ

ในขณะนี้เขาหันหน้าไปด้านข้างของเธอโดยที่มือยังอยู่ที่เอวของเธอจากมุมมองของเธอ เธอสามารถเห็นแก้มของเขาขยายออกหลายครั้ง

สายตาตกอยู่ที่ ดวงตาที่ยาวและแคบปิดลงเบา ๆ และขนตายาวเป็นเงาในตอนกลางคืนตกใต้ตาจมูกสูงริมฝีปากบางและใบหน้าที่สมบูรณ์แบบของผู้ชายคนนี้หล่อจริงๆ

ด้วยประสบการณ์ครั้งสุดท้าย เฉินเป้ยอีไม่กล้าที่จะทำผลีผลามอีกครั้ง ดังนั้นเธอจึงมองเขาอย่างเงียบ ๆ และรู้สึกเหมือนเธอกำลังฝันเธอไม่เคยคิดมาก่อนว่าวันหนึ่งเธอจะเข้ากับผู้ชายคนนี้ได้เช่นนี้

มันเป็นแค่ … ความฝัน คุณจะตื่นไม่ช้าก็เร็ว?

เมื่อนึกถึงสิ่งนี้ความสูญเสียก็เกิดขึ้นในใจเธอ

เมื่อพวกเขาตื่นแต่เช้า ลุงจางก็นำอาหารเช้ามาให้พวกเขาและพาหนิงเสี่ยวซีกลับบ้าตระกูลหนิง

เมื่อเห็นเธอล้างออกและออกมาหนิงเส่าเฉินก็ยื่นถ้วยน้ำอุ่นให้เธอและพูดเบา ๆ : "หลังจากดื่มแล้วกินข้าวก่อนผมจะพาคุณไปที่ ๆ หนึ่ง"

“ ที่ไหน”

“ กินข้าวก่อนนะ”

ดูข้างหน้า"โรงเรียนสอนแต่งหน้านานาชาติ"

เฉินเป้ยอีคิ้วขมวดและมองไปที่หนิงเส่าเฉินอย่างงงงวย

“ คุณอยากให้ฉันมาเรียนโรงเรียนนี้?”

"ลงไปก่อน"

ทันทีที่พวกเขาเดินไปที่ประตูด้วยหน้าผู้หญิงคนหนึ่งก็เดินออกมาทักทายเธอ เมื่อเธอเห็นใบหน้าของเธอชัดเจน เฉินเป้ยอีก็ปิดปากด้วยความประหลาดใจคนนี้คือ … เหอเฟย?

“ พี่เหอเหรอ?”

หนิงเส่าเฉินดึงเธอ "เรียกคุณน้า!"

สายตาของเหอเฟยตกลงบนมือของทั้งสองที่จับกันและใบหน้าของเขาก็ตกใจ“ อาเฉิน พวกคุณคือ … ”

อาเฉิน? น้า? เฉินเป้ยอีตะลึง แต่รีบดึงมือของเธอออกจากมือของหนิงเส่าเฉิน

เหอเฟยรู้จักเกาเหวิน เธอจึงรู้ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ เมื่อคิดเช่นนี้เธอก็ก้มหน้าลงโดยไม่รู้ตัว ด้วยความอายเล็กน้อย

"ฉันเพิ่งไปทำธุระที่ต่างประเทศ หลังจากที่ฉันกลับมา ฉันได้ยินว่ามีบางอย่างเกิดขึ้นกับคุณ … เฉินเป้ยอีโชคดีที่คุณไม่เป็นไร" แม้ว่าเธอจะเป็นคนเรียบง่าย แต่สายตาของเธอก็จริงใจทำให้ เฉินเป้ยอีอบอุ่น

“ ขอบคุณค่ะพี่เหอ … ”

"เรียกคุณป้า" หนิงเส่าเฉินกล่าวอีกครั้ง

เฉินเป้ยอีเหลือบมองกลับมาที่เขา "ยังสาวขนาดนี้ให้เรียกว่าป้าหรอ?"

เหอเฟยมองดูปฏิสัมพันธ์ระหว่างคนทั้งสองด้วยรอยยิ้มในดวงตาของเธอ เธอยื่นมือขวาไปทางเฉินเป้ยอี"ฉันจะแนะนำตัวเองนะ ฉันชื่อเหอเฟย ฉันเป็นน้องสาวของแม่หนิงเส่าเฉิน อาเฉินเรียกฉันว่าคุณน้าได้แล้ว คุณ … … "เธอยิ้มอย่างมีความหมายแล้วพูดว่า:" เธอควรเรียกฉันว่าน้าตามเขา "

น้องสาวแม่ของหนิงเส่าเฉิน? นั่น … แต่ก่อนใน SM เธอเห็นว่าเกาเหวินปฏิบัติกับเธอเหมือนเดิม …

"ก่อนหน้านี้ใน SM ฉันไม่ให้อาเฉินพูดมากเกินไป"

“ คุณเกาเหวินเธอไม่รู้จักคุณด้วยเหรอ?” เฉินเป้ยอีริเริ่มที่จะเปลี่ยนจากการเรียกว่าพี่ให้เป็นคุณ

เหอเฟยส่งสัยญาณให้ทั้งสองนั่งลงบนโซฟาจากนั้นก็มีให้คนนำชาดำมาให้

เหอเฟยจิบชาและจ้องมองไปที่ใบหน้าของหนิงเส่าเฉิน "เส่าเฉินไม่ยอมให้ฉันบอก เพราะอะไร? ถามเขาดู

หนิงเส่าเฉิน ขมวดคิ้วและไม่พูดอะไร

เฉินเป้ยอีตกใจมาก เมื่อจู่ๆเธอก็พบว่าทุกคนรอบตัวเธอดูเหมือนจะมีการปิดบังตัวตนตัวตน แล้วเธอก็หัวเราะเยาะตัวเองด้วยเช่นกัน

"คุณน้าผมอยากให้ เฉินเป้ยอีเรียนกับคุณสักพัก" หนิงเส่าเฉินกล่าว

ดวงตาของเหอเฟยสว่างขึ้น "เด็กคนนี้มีพรสวรรค์ในด้านนี้ ฉันดีใจที่ได้สอนเธอ"

เฉินเป้ยอีมองไปที่หนิงเส่าเฉิน เขาตัดสินใจเรื่องนี้ให้เธอตั้งแต่เมื่อไหร่?

"ถ้าคุณต้องการหางานและต้องการที่จะพัฒนาในด้านนี้ในอนาคต คุณต้องศึกษาเพิ่มเติมคุณน้าเป็นผู้มีความเชี่ยวชาญในเรื่องนี้ เธอยินดีที่สอนคุณ ยังไม่รีบขอบคุณอีก"

หลังจากหนิงเส่าเฉินพูดจบ เขาก็ลูบหัวของเฉินเป้ยอี

เฉินเป้ยอีหน้าแดง ผู้ชายคนนี้นี่จริงๆเลย ต่อหน้าคนอื่นก็ไม่รู้จักวางตัว

เมื่อเห็นว่าเธอเงียบ เขาจึงลุกขึ้น "ถ้าเธอไม่อยากเรียนรู้เรื่องนี้ก็ไปเป็นผู้ช่วยส่วนตัวของผมในวันพรุ่งนี้"

เฉินเป้ยอีจะไม่อยากเรียนรู้ได้ยังไง ตอนที่เธออยู่ใน SM เธอรู้ว่าเหอเฟยยอดเยี่ยมมาก ตอนนั้นเธอชื่นชมเธอมาก เธอไม่เหมือนช่างแต่งหน้าที่ไม่มีชื่อพวกนั้น และคนส่วนใหญ่ก็ไม่พอใจ คนเราแต่งหน้าทุกอย่างขึ้นอยู่กับความชอบของตัวเอง ในตอนนั้นเธอรู้สึกว่าผู้หญิงคนนี้เป็นชีวิตที่อิสระและง่ายดาย

เธอยังนึกภาพว่าถ้าวันหนึ่งที่เธอทำได้สักครึ่งหนึ่ง ก็คงดี

ดังนั้นในขณะนี้ให้เหอเฟยได้สอนเธอ เธอก็รู้สึกดีใจมาก

"ฉันมีความสุขมากจนไม่สามารถพูดได้อีก ใครจะกล้าพูดว่าไม่อยากเรียน เธอรีบขัดจังหวะคำพูดของหนิงเส่าเฉินมองไปที่เหอเฟยยืนขึ้นและก้มหัวให้เธอ: "คุณน้า … อา ไม่ อาจารย์ ต่อไปก็รบกวนอาจารย์หน่อยนะคะ "

ท่าทางจริงจังของเธอทำให้ทั้งคู่ยิ้ม

"คุณน้า ผมจะไปที่บริษัทก่อนแล้ว เป้ยอีก็… "

"อาเฉิน กลัวว่าฉันจะกินเธอหรอ? รีบไปเถอะ" เหอเฟยเร่งเร้า

หนิงเส่าเฉิน พยักหน้าจากนั้นมองกลับไปที่เฉินเป้ยอี "เราทานอาหารเย็นด้วยกันนะคืนนี้” หลังจากพูดแล้วเขาก็หันกลับและออกไป

เป็นครั้งแรกที่เฉินเป้ยอีเปิดเผยความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองต่อหน้าคนนอก เธอรู้สึกอับอายอยู่พักหนึ่งดังนั้นหลังจากหนิงเส่าเฉินจากไปเธอไม่รู้ว่าจะต้องเผชิญกับเหอเฟยอย่างไร

"เธอมากับฉัน" ทันใดนั้นเหอเฟยก็เรียกเธอ

ฉันไม่รู้ว่ามันเป็นภาพลวงตาหรือไม่ เฉินเป้ยอีรู้สึกว่าน้ำเสียงของเหอเฟยดูแตกต่างจากก่อนหน้านี้เล็กน้อย แต่เธอไม่กล้ามากนัก

ทั้งสองเข้าไปในห้องแต่งตัวทีละคน

"ปิดประตู" หลังจากที่เหอเฟยเข้ามาเธอก็พิงขอบโต๊ะเครื่องแป้งพยุงร่างกายส่วนบนที่เอียงของเธอไว้ด้วยมือของเธอ ไปข้างหลังจ้องมองไปที่เฉินเป้ยอี

ทันทีที่เธอจ้องไปที่ เฉินเป้ยอีเธอก็เงยหน้าขึ้นและกำลังจะพูด

ใบหน้าของเหอเฟยจมลงที่คางของเธอหันไปทางขวดที่มีคำว่าเมคอัพรีมูฟเวอร์อยู่ข้างๆ เธอหยิบขวดขึ้นมาและพูดอย่างเย็นชาว่า "ลบเครื่องสำอางออกเอง!"

เมื่อเฉินเป้ยอีได้ยินคำพูดร่างทั้งร่างก็โซซัดโซเซจับพนักพิงเก้าอี้จนแทบจะไม่หยุดนิ่งในวินาทีถัดมาใบหน้าของเธอซีดและริมฝีปากของเธอเริ่มสั่น

หลังจากจัดการกับหนิงเสี่ยวซีแล้วให้เขานอนแล้ว เมื่อเฉินเป้ยอีหันไปมองเวลาตอนนี้ก็สี่ทุ่มแล้ว และเธอก็ง่วงแล้ว หัวเธอเริ่มหนัก เธอจึงแก้มัดผมหางม้าของเธอ

ผมตรงกระจัดกระจายบนไหล่ของเธอโดยไม่สามารถปัดได้ และเธออดไม่ได้ที่จะหาว

“ ถ้าเหนื่อยก็รีบไปอาบน้ำนอน" เสียงหนึ่งดังขึ้นภายในห้อง

เฉินเป้ยอีเริ่มตัวแข็งไปหมด ใช่ เธอเกือบลืมไปว่ามีหนิงเส่าเฉินอยู่

ยืนอยู่ที่ประตูห้องเห็นหนิงเส่าเฉินที่ครึ่งตัวนอนอยู่บนเตียง เขาใส่ชุดนอนและเห็นได้ชัดว่าเขาสระผมและมันก็ยังไม่ค่อยแห้ง เขาหรี่ตาและดูเหมือนว่าเขากำลังจะหลับ

เธอเดินไปที่เตียงและพูดอย่างเชื่องช้า: "คุณอยากนอนห้องอื่นไหม ? นี่คือห้องของฉัน"

หนิงเส่าเฉินลืมตาขึ้นและจ้องมองไปยังร่างของเฉินเป้ยอี ดวงตาของเขากวาดไปทั่วผ้าคลุมไหล่และผมยาวของเธอมุมริมฝีปากของเขายกขึ้นเล็กน้อย ใบหน้าที่หล่อเหลาของเขาสงบนิ่ง "ผมไม่ได้เอายามา"

คุณเลยอยากให้ฉันนอนเป็นเพื่อนเหรอ? เฉินเป้ยอีรู้สึกจริงๆว่าใบหน้าของผู้ชายคนนี้หนาในระดับหนึ่งและเห็นได้ชัดว่าทำไมเขาถึงเรื่องไร้ยางอายเช่นนี้

เฉินเป้ยอีหายใจออกอย่างหนักและพูดด้วยรอยยิ้มที่แข็ง: "หนิงเส่าเฉินคุณนี้ไม่มีขีดจำกัดจริงๆ"

"จริงเหรอ" หนิงเส่าเฉินลุกขึ้นอย่างกะทันหันเดินตรงไปข้างหน้า เฉินเป้ยอีรั้งแขนของเธอและกักขังเธอไว้ระหว่างแขนของเขากับตู้เสื้อผ้า: "ไม่มีขีดจำกัดงั้นเหรอ เฉินเป้ยอีคุณต้องให้ผมสอนไหมว่าอะไรไม่มีขัดจำกัด"

ฉันไม่รู้ว่าเขาตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ หลังจากที่เขาพูดแบบนี้เข็มขัดรอบเอวของเขาก็หลุดและตกลงไปที่พื้นทันทีนั้นปลอกคอรูปตัววีก็แผ่กระจายไปที่ท้องน้อยและรูปร่างที่สมบูรณ์และแข็งแรง

เฉินเป้ยอีหายใจเข้าลึก ๆ รู้สึกว่ารากหูของเธอร้อนและฝ่ามือของเธอมีเหงื่อออกเล็กน้อย

เธอกัดริมฝีปากล่างและพยายามจ้องมองไปที่อื่น

หนิงเส่าเฉินมองไปที่ใบหน้าของเธอภายใต้ดวงตาของเขาการแสดงออกในดวงตาของเขาลึกขึ้นเล็กน้อย

เขาเอาหัวของเขาไว้ที่คอของเธอและเสียงที่เต็มไปด้วยความอยากก็ไหลเข้ามาในหูของ “ เป้ยอี คุณต้องการไหม?”

เฉินเป้ยอีพยักหน้าจากนั้นหลังจากตอบสนองเขาก็ส่ายหัวทันทีและแสร้งทำเป็นโง่ "ฉันไม่เข้าใจที่คุณพูด"

หนิงเส่าเฉินมองลงไปที่เธอโน้มตัวและจูบเธอ

เฉินเป้ยอีกำหมัดแน่นในมือทั้งสองพยายามผลักเขา แต่ดันสัมผัสหน้าอกของเขา

เขาหายใจเข้าลึก ๆ แก้มของเขาก็ร้อนขึ้น

ในที่สุดเมื่อเฉินเป้ยอีรู้สึกว่าเธอหายใจไม่ค่อยออก หนิงเส่าเฉินก็ปล่อยเธอไป แต่เห็นได้ชัดว่าเธอก็หายใจหนักเช่นกัน

เฉินเป้ยอีได้สติและผลักเขาออกไปในขณะที่เขาไม่ได้ให้ความสนใจ

เขาหันหลังอย่างรวดเร็วและหนีเข้าไปในห้องน้ำ

หนิงเส่าเฉินยืนอยู่ที่เดิมมองไปที่ด้านหลังมือของเขาและลูกกระเดือกก็กลิ้งอย่างเร็ว ตาก็เริ่มแดง…

อย่างไรก็ตามเขาเต็มใจที่จะรอเธอจนถึงวันที่เธอเต็มใจมอบให้กับเขา

"มันเป็นเพียงการนอนหลับที่บริสุทธิ์ใจ คุณห้ามคิดเรื่องอื่นได้ คุณเข้าใจไหม" ก่อนเข้านอน เฉินเป้ยอีอดไม่ได้ที่จะเน้นย้ำครั้งแล้วครั้งเล่า

แต่……

"เฮ้ มือของคุณจะทำอะไร"

“ คุณบอกว่าห้ามคิด แต่ไม่ได้บอกว่าทำไม่ได้?” มือใหญ่วางลงบนเอวของเธอแล้วเลื่อนขึ้นลงสักพักมันก็กลับสู่ที่เดิม

หลังจากนั้นไม่นานเธอก็ได้ยินเสียงหายใจของชายที่อยู่ข้างหลัง …

อบอุ่นอย่างอธิบายไม่ถูกเขาเลือกที่จะเคารพเธอ

ห้องเงียบลงและจากนั้นเธอก็ได้ยินแม้แต่เสียงหายใจ

เฉินเป้ยอีมีความสุขมากที่ให้เขาเลิกกินยาได้

เธอหันไปมองชายตรงหน้าเธอเป็นครั้งแรก และเป็นครั้งแรกที่ได้มองเขาใกล้ ๆ เธอต้องยอมรับว่าเขาดูดีจริงๆไม่ว่าเธอจะมองมุมไหนก็ตาม

เมื่อมองไปที่เขา เธอก็อดไม่ได้ที่จะยื่นนิ้วออกมาและลูบใบหน้าอันหล่อเหลาของเขาเบา ๆ เมื่อนิ้วเรียวของเขาเลื่อนไปบนริมฝีปากบางที่สวยงามของเขาหัวใจก็ขยับเล็กน้อยและเธอก็ประคองร่างกายส่วนบนด้วยมือข้างเดียว จูบเขาที่ริมฝีปากของเขา

เมื่อเธอกำลังจะกลับสู่ตำแหน่งเดิมมือที่อยู่บนเอวของเธอก็กดลงอย่างแรงและเขาก็ดึงเธอเข้าหาตัวของเขา

"อา" เธอกระซิบ

“ คุณ … คุณยังไม่หลับเหรอ?”

เฉินเป้ยอีรู้สึกอาย

หนิงเส่าเฉินยื่นมือออกมาบนใบหน้าของเธอและบีบมันเบา ๆ "เฉินเป้ยอี ผมเป็นผู้ชายธรรมดาถ้าคุณกล้าที่จะเลือกแบบนี้อีกครั้ง … ผมไม่สามารถรับประกันได้ว่าผมจะทนได้ไหม"

หลังจากพูดจบเขาก็จูบเธอที่หน้าผาก "รีบนอนได้แล้ว"

เฉินเป้ยอีถอนหายใจด้วยความโล่งอก รีบหันหลังให้เขาและหัวใจของเธอก็เต้นเร็วขึ้น

มีความสงบทั้งคืนโดยไม่มีอะไรเกิดขึ้น

เธอเคยคิดว่า ถ้าสามารถเป็นแบบนี้ต่อไปได้ เธอก็พอใจและไม่จำเป็นต้องมีอะไรมายืนยัน

เมื่อเธอตื่นขึ้นมาอีกครั้งหนิงเส่าเฉินก็หายไปจากเตียง

เธอดูเวลาแล้ว ตอนนั้นก็เป็นเวลาตี 5 แล้ว แต่เธอไม่รู้สึกง่วงนอนจึงหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาและเริ่มดูประกาศรับสมัครงานออนไลน์

เธอกำลังอยู่ในการจดจ่อ เธอจึงไม่ได้สังเกตเห็นหนิงเส่าเฉินเข้ามา

เธอยังไม่ได้สติจนเตียงข้างๆจมลง

เมื่อหันไป เธอก็เห็นว่าหนิงเส่าเฉินไม่สวมเสื้อสวมเพียงกางเกงในตัวเดียวและเข้าไปในผ้าห่ม

เธอมองตรงและในใจเธอก็มีความรู้สึกบางอย่าง นี่เหรอที่เขาว่ากันว่าดูผอมเวลาใส่เสื้อ ดูมี(กล้าม)เนื้อเวลาถอดเสื้อ?

หนิงเส่าเฉินหรี่ตาและโค้งมุมปากตื้น ๆ “ คุณมองพอแล้วหรือยัง”

เฉินเป้ยอีร้อง "่อ่อ"หนึ่งคำ จากนั้นก็กลับไปมีสติอีกครั้ง เธอดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมใบหน้าของเธอ พระเจ้า!!นี้ฉันกำลังหลงใหลหนิงเส่าเฉินหรอเนี่ย?

เพราะความพยายามของเธอ โทรศัพท์มือถือที่วางอยู่บนผ้าห่มจึงกลิ้งไปตรงหน้าสายตาของหนิงเส่าเฉินเขามองลงไปที่ข้อมูลการรับสมัครต่างๆบนหน้าจอโทรศัพท์และสายตาของเขาก็เปลี่ยนไป

"คุณทำไมคุณไม่ใส่เสื้อผ้า" เฉินเป้ยอีกระซิบ

หนิงเส่าเฉินดึงผ้าห่มออกต่อหน้าเธอ ทันใดนั้นก็หันไปด้านข้างวางมือทั้งสองข้างของบนร่างกายของเฉินเป้ยอีและมองไปที่เฉินเป้ยอีและพูดว่า "คุณเคยเห็นใครไปห้องน้ำแล้วใส่เสื้อผ้าบ้าง?"

เฉินเป้ยอีพูดไม่ออกแล้วก็เธอถึงได้รู้ว่า เขาไม่ได้ไปทำงาน แต่ไปห้องน้ำ

เธอผลักเขาออกไปด้วยมือของเธอหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาบนผ้านวมกดปุ่มปิดหน้าจอแล้วเลื่อนเข้าไปในผ้าห่ม

“ ฉันจะนอนอีกสักหน่อย” หลังจากพูดแล้วเธอก็หันหลังให้หนิงเส่าเฉิน หัวใจของเธอก็เต้นแรง

หนิงเส่าเฉินองไปที่ใบหน้าที่แดงสดของเธอ ดวงตาของเขามืดลงเล็กน้อยและฮอร์โมนเพศชายก็กรีดร้องในร่างกาย

หลังจากที่หนิงเสี่ยวซีพูดจบเขาก็วางช้อนและวางโทรศัพท์ลงกลางโต๊ะอาหาร“ พ่อแม่ดูสิ มันคล้ายกันจริงๆ”

เฉินเป้ยอี ขมวดคิ้วโน้มตัวเล็กน้อยและเห็นเธอและชูหยู่จี้ปรากฏบนโทรศัพท์

ดวงตาของหนิงเส่าเฉินมืดลงในทันที เขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู รายชื่อบัญชีที่ได้รับการเพิ่มเข้ามาเมื่อไม่กี่นาทีก่อนในข้อความหนิงเสี่ยวซีซึ่งส่งวิดีโอดังกล่าวมาให้เขาเห็นได้ชัดว่าเขาจงใจให้หนิงเสี่ยวซีดูวิดีโอนี้ เขาวางโทรศัพท์ไว้บนโต๊ะอีกครั้งเงยหน้าขึ้นมองและสายตาตกลงที่เฉินเป้ยอี

หลิวซูวางชามและตะเกียบลงและพูดว่า: "ผมจะไปทำธุระก่อน พวกคุณทานก่อนเลย" หลังจากพูดเขาก็ออกไปโดยไม่รอให้ทุกคนตอบตกลง

แต่แม่นมหลิวเมื่อเธอได้ยินคำพูดของหนิงเสี่ยวซีก็วิ่งออกจากครัวและเอนตัวไปดูหน้าจอโทรศัพท์

ดวงตาเผยความประหลาดใจอย่างเห็นได้ชัด

"เ่อ่อนี่คล้ายกันจริงๆ" แม่นมหลิวเช็ดมือของเธอขณะกอดหนิงเสี่ยวซีด้วยความตื่นเต้นอย่างเห็นได้ชัดในดวงตาของเธอ

“ คุณย่าคุณว่านั่นคือแม่ของฉันจริงๆหรือ?” เสียงของหนิงเสี่ยวซีนั้นสำลักเล็กน้อย

"ฉันมองเหมือนจริงๆ" ดวงตาของแม่นมหลิวดูไม่ค่อยดีนักและเธอเดินเข้าไปใกล้สองก้าว พยักหน้าเห็นด้วยขณะที่ดู

แม้รู้ว่าผู้หญิงที่อยู่ข้างในนั้นคือตัวเธอเอง แต่ในขณะนี้ เฉินเป้ยอีกลับรู้สึกอยู่ในใจที่ชั่วร้าย จริงๆแล้วกลับกลายเป็นว่าในใจของหนิงเสี่ยวซีเธอเป็นแค่แม่น้อย

เธอหยิบซุปหนึ่งช้อนแล้วนำเข้าปากช้าๆก้มหน้าลงและไม่พูดอะไร

หนิงเส่าเฉินคีบลูกชิ้นปลาลงในชามของเธอ "เขายังเด็ก ไม่ต้องกังวล"

เฉินเป้ยอีกัดริมฝีปากและเผชิญหน้ากับความสบายใจของหนิงเส่าเฉิน แม้ว่าหัวใจของเธอจะอบอุ่น แต่เธอก็ไม่สามารถหัวเราะหรือร้องไห้ได้ เธอกำลังคิดว่าถ้าวันหนึ่ง หนิงเส่าเฉินรู้จักใบหน้าและตัวตนที่แท้จริงของเธอเขา เขาจะโกรธไหม?

"พ่อช่วยถามหน่อยได้ไหมว่าผู้หญิงคนนั้นคือแม่ของผมไหม โอเคไหมพ่อ?" หนิงเสี่ยวซีวิ่งไปหาหนิงเส่าเฉินเขย่าแขน เมื่อมองบนใบหน้าเล็กๆของเขาน้ำตาก็ไหลลงมา

หน้าของหนิงเส่าเฉินเริ่มกังวลมาก เขาวางตะเกียบลงบนโต๊ะอย่างแรง

"คุณหนู เสี่ยวซีไม่ได้มีแม่ตั้งแต่เขายังเด็ก เด็กยังเล็กและเขาสามารถเข้าใจว่าเขาต้องการพบแม่ของเขาได้ไหม" เมื่อเห็นว่าเขาดูเหมือนจะโกรธแม่นมหลิวจึงจับเสี่ยวซีไว้ในอ้อมแขนของเธอและพูดอย่างสบาย ๆ

“ ผู้หญิงที่ไม่ต้องการลูก แม้ว่าเธอจะเป็นแม่ แต่ลูกจะอยากรู้จักเธอไปเพื่ออะไร?” หนิงเส่าเฉินตำหนิด้วยใบหน้าที่เศร้าหมองไม่สามารถมองเห็นความคิดที่แท้จริงของเขาได้

ตะเกียบในมือของเฉินเป้ยอีตกลงที่พื้นหลังจากเสียงของเขาลดลง

เธอกัดริมฝีปากล่างในขณะนี้จู่ๆเธอก็มีความต้องการที่จะยืนหยัดและยอมรับตัวตนของเธอ

แต่อย่างไรก็ตาม จุดยืนนั้นมันก็หายไปในทันที

เธอหายใจออกอย่างแรง

"นั่งลงและกินข้าว" หนิงเส่าเฉินสั่ง

หนิงเสี่ยวซีจ้องเขาหัวใจเล็ก ๆ ของเขาเต้นแรงเพราะความโกรธ

"ผมเกลียดคุณ" เขาตะโกนใส่หนิงเส่าเฉิน หยิบโทรศัพท์บนโต๊ะหันกลับมาและวิ่งไปที่ห้องนอนที่อยู่ถัดจากห้องนั่งเล่น

ประตูปิดเสียงโครมคราม

แม่นมหลิวอยากไปดู แต่เฉินเป้ยอีกอดเธอไว้ด้วยกัน "แม่นมหลิวฉันจะไปเอง"

เมื่อเปิดประตู

เสียงสะอื้นในหูทำให้ใจสั่น

"เสี่ยวซี" เธอยืนอยู่หน้าเตียงมองลูกคลานอยู่บนเตียงร้องไห้จนไหล่สั่นและเธอรู้สึกไม่สบายใจจริงๆ

"แม่น้อย … " เมื่อเธอได้ยินเสียงของเฉินเป้ยอี หนิงเสี่ยวซีก็ลุกขึ้นนั่งและกอดต้นขาของเฉินเป้ยอี "แม่น้อย ผมคิดถึงแม่ คนอื่น ๆมีแม่ แต่เสี่ยวซีไม่มี"

ยิ่งคุยเขาก็ยิ่งร้องไห้

กางเกงยีนส์ของเธอเปียกชุ่มไปด้วยน้ำตา

เธอนั่งบนขอบเตียงกอดเขาไว้ในอ้อมแขนของเธอ ไม่ส่งเสียงและปล่อยให้เขาร้องไห้ในอ้อมแขนของเธอ

รอจนกระทั่งเสียงร้องไห้ค่อยๆจาง เธอเม้มริมฝีปาก อุ้มคนตัวเล็กไว้ในอ้อมแขนแล้วส่ายหัว "เสี่ยวซีที่แม่ของเธอไม่ได้ตามหาเธอ ต้องมีเหตุผลบางแน่นอน"

"ถ้าอย่างนั้นแม่น้อยช่วยเกลี้ยกล่อมพ่อหน่อยได้ไหมผม… ผมอยากจะเจอเธอ แค่อยากรู้ว่าเธอเป็นแม่ของผมหรือเปล่า … " เขาเงยหน้าขึ้นมองเฉินเป้ยอี

ทั้งสองมองไปที่กันและกันและในสายตาของเขาเฉินเป้ยอี เห็นคำอ้อนวอน

เพียงแค่ให้เธอถาม หนิงเส่าเฉินเพื่อค้นหาตัวเอง? คุณคิดว่าเรื่องนี้จะไม่แปลกเหรอ?

เด็กฉลาดเหมือนหนิงเสี่ยวซีในสายตาของเธอตอนนี้เขาเป็นแค่เด็กที่คิดถึงแม่ …

"เสี่ยวซี แม่น้อย เป็นแม่ของเธอไม่ดีหรอ?" เธอถามขึ้น

หนิงเสี่ยวซีตะลึงมองขึ้นไปที่เฉินเป้ยอี จากนั้นก้มหัวลงสองมือเล็ก ๆ ลากเส้นไปมาบนฝ่ามือของเฉินเป้ยอี" แม่น้อยไม่ใช่ผมไม่ชอบแม่น้อยนะ… ผมแค่อยากรู้ว่าแม่ของผมเป็นใคร ผม… ผมแค่อยากเจอเธอ"

แน่นอนว่าไอคิวของเด็กยังคงสูงอยู่และเขาก็ตอบรับคำพูดของเฉินเป้ยอีทันที

"แกรก" ผลักประตู

เฉินเป้ยอี กระชับมือหันไปมองและเห็นหนิงเส่าเฉินเดินเข้ามาจากประตู

หลังจากจ้องมองใบหน้าของเขาสักพักเธอก็มองไปที่หนิงเสี่ยวซี "กลับบ้านเถอะ"

"เด็กยังเล็กก็เป็นเรื่องปกติที่จะคิดถึงแม่ คุณ … ถ้าคุณสามารถช่วยหาเจอ จะได้ไม่ทำลายความปรารถนาของเขา" เฉินเป้ยอีต้องใช้ความพยายามอย่างมากในการพูดให้จบ

การแสดงออกที่ไม่แยแสของหนิงเส่าเฉิน มืดลงในทันทีและเขาพูดว่า "อืม"

เขาดึงหนิงเสี่ยวซีออกจากเตียง

ดึงเขาออกมา

เฉินเป้ยอีตามหลังเขาออกไป ยืนอยู่ข้างหลังเขาแล้วพูด "เสี่ยวซีไม่กินข้าวตอนค่ำ เขากลับไป คุณก็บอกให้พี่เลี้ยงสั่งบะหมี่หรือเกี๊ยวให้ รอให้เขากินและเล่นสักพักก่อนค่อยนอน"

หนิงเสี่ยวซีหันไปและเห็นสายตาที่ห่วงใยของเฉินเป้ยอี และเขาก็เข้าใจเขาหันกลับมากอดต้นขาของเฉินเป้ยอี "แม่น้อย ที่ผมจะหาแม่ให้เจอ ทำให้แม่น้อยรู้สึกเศร้าใช่ไหม? "

เฉินเป้ยอีมึนไปสักพัก แล้วนัางลงกับพื้นกอดหนิงเสี่ยวซีไว้ในอ้อมแขนของเธอ "ไม่ ในสายตาของแม่น้อย ไม่ว่าลูกจะเป็นใครลูกจะรักใคร แต่แม่น้อยก็รักเหมือนเดิม"

เฉินเป้ยอีไม่ได้คาดหวังว่าเด็กตัวเล็ก ๆ จิตใจของเขาจะเปราะบางและในขณะเดียวกันก็มีความรู้สึกผิดมากขึ้น

เธอควรบอกตัวตนที่แท้จริงของเธอกับหนิงเสี่ยวซี

อย่างไรก็ตามคำพูดสุดท้ายก่อนแม่ของเธอเสีย ทำให้เธอมีปมและเธอไม่กล้าที่จะล่วงเกินเมื่อเธอไม่เข้าใจเหตุผล

"แม่น้อย ผมตัดสินใจแล้วว่าผมจะไม่ตามหาเธออีกต่อไป จากนี้ผมจะปฏิบัติต่อแม่น้อยเหมือนแม่ของผมโอเคไหม?" เขาลูบแขนของเฉินเป้ยอีสักพักก่อนที่เขาจะพูดและพ่อก็พูดถูก ผู้หญิงคนนั้นไม่ต้องการเขา ตั้งแต่เขาเกิด ทำไมเขาถึงไปต้องตามหาเธอ

ทันทีที่เฉินเป้ยอีผลักเขาออกไป เขาก็รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยในความเด็ดขาดของเขา อย่างไรก็ตามเขาได้ตัดสินใจในทันที สำหรับเรื่องใหญ่เช่นนี้ เมื่อคิดถึงเรื่องนี้เธอก็จูบเข้าที่หน้าผากของเขา“ เสี่ยวซีลูกทำให้แม่น้อยรู้สึกภูมิใจมาก"

“ งั้นผมจะนอนที่นี้โอเคไหม? แม่น้อย อารมณ์ผมไม่ค่อยดี นั้นแม่น้อยนอนกับผมหนึ่งคืนได้ไหมครับ?” เขาเงยหน้าขึ้นและขอร้อง

การทำตัวอ้อนทำให้เฉินเป้ยอี ไม่สามารถปฏิเสธได้เลย ดังนั้นเธอจึงหันหน้ามองไปที่หนิงเส่าเฉินเพื่อขอความช่วยเหลือ

"ทำไงดี?"

หนิงเส่าเฉินเหลือบมองไปที่แก้มของเธอดวงตานกฟีนิกซ์ที่ยาวและแคบของเขาก็ลึกขึ้นเล็กน้อยในชั่วอึดใจมุมปากของเขาก็พูดขึ้น"อยู่ด้วยกันนี่แหละ"

หลังจากพูดจบเขาก็พาหนิงเสี่ยวซีเข้าไปในบ้าน

"ใครจะทำตัวเหมือนมือที่สามกันล่ะ" เธอพูดอย่างสบาย ๆ แต่หนิงเส่าเฉินแทบไม่ได้ยกมุมปากเลย เขายกมือขึ้นเคาะหน้าผาก "มือที่สามอะไรกัน อย่าพูดเรื่องไร้สาระ! "

"ถ้าอย่างนั้นคุณเกาที่ยังคงเป็นคู่หมั้นของคุณ ฉันไม่ใช่มือที่สาม แล้วคืออะไร"

หนิงเส่าเฉินตกตะลึงจ้องมองเฉินเป้ยอีและพยักหน้า“ ในสองวันที่ผ่านมา ผมขอให้หลิวซูจัดงานแถลงข่าว ผมจะเลิกหมั้นเธออย่างเป็นทางการ”

เฉินเป้ยอีตกตะลึงเงยหน้าขึ้นเธอขมวดคิ้วและมองไปที่ หนิงเส่าเฉิน"เธอ เห็นด้วยแล้ว?"

หนิงเส่าเฉินพยักหน้า "ตอนที่เธอรู้ว่าคุณเกิดเรื่อง เธอก็มาเยี่ยมคุณ หลังจากเจอคุณแล้ว เธอก็กลับไป"

เยี่ยมเธอ? เฉินเป้ยอีขมวดคิ้ว คนที่ต้องการฆ่าเธอจะมาเยี่ยมเธอทำไม? ถ้าเป็นเมื่อก่อนเธอก็เชื่อ ตอนนี้เธอไม่เชื่อแล้ว แต่กลับรู้สึกถึงความรู้สึกไม่สบายใจที่แพร่กระจายอยู่ในใจแทน

เธอเงยหน้าขึ้นมองหนิงเส่าเฉินและหยุดพูด

เธอคือผู้ช่วยชีวิตของเขา เธอเป็นคนที่เขาอยู่ด้วยมากว่าสิบปี แม้ว่าความรู้สึกของเขาที่มีต่อเธอจะไม่ใช่ความรักความอ่อนโยนรอยยิ้มเหล่านั้น จะเห็นได้ว่าหนิงเส่าเฉินยังคงให้ความสำคัญกับเธอมาก

ดังนั้นเธอจึงไม่ได้บอกหนิงเส่าเฉินว่าเกาเหวินไม่ดีและเธอก็ไม่สามารถนินทาเธอได้ ไม่ว่าเกาเหวินจะดีหรือไม่ดีเธอไม่ต้องการบอกหนิงเส่าเฉินผ่านปากของเธอ ไม่อย่างนั้นสิ่งที่เธอพูดความหมายจะเปลี่ยนไป

แต่ให้เธอขอบคุณคนที่เคยอยากให้ตาย เธอก็ทำแบบเดิมไม่ได้

ดังนั้นเธอเพียงแค่ยิ้มจาง ๆ

เมื่อหลิวซูเห็นเธอ เขาก็ออกจากรถและเปิดประตูด้านหลังให้เธอ เฉินเป้ยอีหยุดนิ่งและมองไปที่หลิวซูแสดงความยินดี "หลิวซู ขอบคุณมากนะ!" เฉินเป้ยอีกล่าว หลังจากนั้นก็ยิ้มให้หลิวซู

"ขอบคุณ ทำไมต้องยิ้มให้เขาขนาดนั้น?"

เอ่อ……

ในช่วงเวลาต่อมา บรรยากาศแปลก ๆ กำลังไหลเข้ามาในรถ

"เพี้ย" เฉินเป้ยอีที่ฟื้นคืนสติแล้วหัวเราะออกมาหันมาและใช้มือข้างหนึ่งตบหัว"หนิงเส่าเฉิน คุณกำลังหึงหรือเปล่า ?"

หลังจากที่เธอพูดจบ เธอก็ทำหน้ามุ่ยและมองไปที่ชายตรงหน้าด้วยรอยยิ้มในดวงตาของเธอ

หัวใจของเธอเต็มไปด้วยความสุข แม้ว่าความสุขจะถูก "ขโมย" ไปอย่างรวดเร็ว แต่เธอก็อดไม่ได้ที่จะเสพติดมัน

อย่างไรก็ตามเธอไม่รู้ว่ารูปลักษณ์ของเธอมีเสน่ห์เพียงใดในสายตาของหนิงเส่าเฉิน ก่อนที่เธอจะตอบสนองหนิงเส่าเฉินดึงเธอเข้ามาในอ้อมแขนด้วยมือซ้ายและกดมือขวาของเขาไปที่หลังคารถ

เมื่อกระจกรถลดลงริมฝีปากสีแดงของเฉินเป้ยอีก็ถูกชายคนนี้ปิดกั้น

หนิงเส่าเฉินจูบจน เฉินเป้ยอีแทบหายใจไม่ออก

"คุณบ้าไปแล้ว … มีคนอื่นอยู่ที่นี่" เมื่อนึกถึงหลิวซูที่นั่งอยู่ข้างหน้า ใบหน้าของเฉินเป้ยอีก็แดงขึ้นทันที

“ กั้นแล้วไม่ใช่เหรอ?”

"คุณ … "

ไม่จำเป็นต้องพูด ก็รู้ว่าหลิวซูต้องคิดแล้วว่าพวกที่นั่งอยู่ด้านหลังกำลังทำอะไรกันอยู่

ยิ่งฉันคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ เธอก็ยิ่งอายจนไม่อยากไปพบเจอผู้คน

ดังนั้นเมื่อเธอลงจากรถ เธอจึงรีบวิ่งลงไปโดยไม่ต้องรอให้รถหยุด

หน้าจอตรงกลางปรากฏขึ้นหลิวซูก็หันมาและมองไปที่หนิงเส่าเฉินพร้อมกับยกมุมปาก "ใครกันนะที่เคยบอกว่าหน้าจอนี้ทำมาสิ้นเปลืองไม่ได้ใช้ประโยชน์ พรุ่งนี้ไปเอาออกดีไหม?

หนิงเส่าเฉินไม่ได้ทะเลาะกับเขา แต่เพียงแค่เหลือบมองเขามุมปากของเขาก็ยกขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

"เย็นนี้นายยังอยากินข้าวอยู่ไหม ถ้าไม่กินก็ไสหัวไป"

"กินสิ เพราะช่วงนี้คุณรบกวนเรื่องดีๆที่จะเกิดขึ้นกับผม สาวๆของผมช่วงนี้แทบไม่กล้าเข้าหาผมแล้ว"

ลมพัดเข้าใบหน้า ยังคงกัดไปถึงกระดูก แต่ความอบอุ่นในใจของเธอยังคงอ้อยอิ่ง

เธอเสียบกุญแจเข้าไปเพื่อเปิดประตู ทันทีที่เฉินเป้ยอียังไม่ทันได้บิดมันแรง ๆ ประตูก็เปิดจากด้านใน

แม่นมหลิวมองเธอด้วยรอยยิ้มบนใบหน้าของเธอ "เฉินเป้ยอี กลับมาแล้วเหรอ เข้ามาก่อนสิ อาหารใกล้จะเสร็จแล้ว"

“ แม่กลับมาแล้วเหรอ?” เมื่อเสียงของเด็กดังขึ้นร่างเล็กๆก็รีบเข้าไปในอ้อมแขนของเฉินเป้ยอี

“ แม่นมหลิวทำไมคุณถึงมาที่นี่ด้วย?”

"่อ่อ เสี่ยวซีบอกว่าจะมาหาคุณ ฉันว่างพอดี ทำเลยมาทำอาหารให้คุณ ดูเด็กคนนี้สิมีความสุขมาก เป้ยอีคุณเปลี่ยนรองเท้าและล้างมือ และเตรียมรับประทานอาหาร เดี๋ยวฉันตักน้ำซุปให้” แม่นมหลิวหันหลังเดินไปที่ห้องครัว

"แม่เปลี่ยนรองเท้าเร็ว ๆ เดี๋ยวจะกินข้าวเย็นกันแล้ว" หลังจากที่หนิงเสี่ยวซีพูดจบ เขาก็ปล่อยเธอและกลับไปที่ทีวี

บ้านสว่างไสวในขณะนี้ หนิงเสี่ยวซีกำลังเล่นเกมโปรดของเขาอยู่หน้าทีวี ในครัวแม่นมหลิวกำลังยุ่งอยู่

ทันใดนั้นคำว่า "บ้าน" ก็แวบขึ้นมาในความคิดของเธอฉัน … และหัวใจของเธอก็รู้สึกอบอุ่นอีกครั้ง

"คุณมาทำอะไรที่นี่" เมื่อหนิงเส่าเฉิน เข้ามาจากด้านนอก เมื่อเขาเห็นเป้ยอียืนอยู่ที่ประตูเขาก็หยิบรองเท้าแตะของเธอวางไว้ตรงหน้าเธอจากนั้นเขาก็นั่งยองๆและยกเท้าขึ้น ปลดเชือกรองเท้า.

แม่นมหลิววางจานลงบนโต๊ะ เงยหน้าขึ้นและเมื่อเห็นเธอก็ก้าวไปข้างหน้าอย่างใจจดใจจ่อ "คุณหนู นี้คือ … "

และหลิวซูที่ยืนอยู่ที่ประตูด้วยสีหน้ามึนงงนี่คือหนิงเส่าเฉินเขารู้ไหม? อันที่จริง … กำลังปลดเชือกรองเท้ใส่ให้ผู้หญิง

เฉินเป้ยอีรู้สึกงงงวยและก้มลงเพียงเพื่อพบว่าหนิงเส่าเฉินได้ปลดเชือกผูกเท้าทั้งสองข้างของเขา

เขาตบน่องของเธอ "ถอดรองเท้า แล้วใส่รองเท้าส้นสูงให้น้อยลงหน่อยในอนาคต" หลังจากพูดแล้วเขาก็ยืดตัวขึ้นและเห็นเฉินเป้ยอียังคงนิ่งอยู่และโค้งงอริมฝีปากของเขา "ท้องยังไม่หิวเหรอ? รีบเปลี่ยนรองเท้าและล้างมือได้แล้ว…… "หลังจากพูดเสร็จเขาก็หันกลับและเดินไปที่ห้องน้ำ ตั้งแต่ต้นจนจบท่าทางของเขาสงบมาก

เมื่อเฉินเป้ยอีมองไปที่หลิวซู ความตกตะลึงในดวงตาของเขาทำให้เธอรู้สึกผิด เธอก็หัวลงและมองไปที่รองเท้าที่อยู่ใต้เท้าของเธอ ร่างกายของเธอแข็งทื่อและหัวใจของเธอสั่นอย่างไม่สามารถควบคุมได้ มันเป็นเรื่องผิดอย่างยิ่งที่จะบอกว่าเธอขยับไม่ได้

หนิงเส่าเฉิน ร่ำรวย แต่สัมผัสที่เขาทำให้เธอไม่มีผลกับเงิน เธอคิดว่าถ้าหนิงเส่าเฉินแค่ใช้เงินตีราคาเธอเธออาจจะงอน แต่เธอจะไม่มีวันสัมผัสได้สิ่งนี้ที่ทำให้เธอประทับใจอย่างมาก

ในโลกนี้เงินสามารถซื้ออะไรได้มากมาย แต่ก็ทำให้ผู้หญิงถูกล่อลวงได้ เธอคิดว่าผู้หญิงไม่กี่คนที่เป็นเพราะเงินอย่างน้อยเงินก็เพียงพอสำหรับจุดมุ่งหมายในชีวิตของเธอ แต่ผู้ชายก็มีหัวใจหรือไม่มีหัวใจ หากใช้แค่เงินมันเป็นปมร้ายแรงในมุมมองความรักของเธอ

ถ้าคุณไม่มีใจ แล้วฉันต้องการเงิน มันจะมีประโยชน์อะไร?

ที่ประตูห้องน้ำหนิงเส่าเฉินกำลังเช็ดมือและมองเธอ

แขนยาวที่เหยียดออกของเขา กอดเอวของเธอแน่นจากด้านหลังโดยให้หัวอยู่บนคอ

ทันใดนั้นมีความรู้สึกที่เขาไม่เคยรู้สึกมาก่อนเติมเต็มเข้ามาและสวยงามมาก

ความรู้สึกนี้เป็นสิ่งที่เขาไม่เคยมีมาก่อน ไม่ว่าเขาจะมีรายได้มากมายแค่ไหนก็ตาม

“ เป้ยอี ในอนาคตเราจะมีบ้านแบบนี้”

ทันทีที่ร่างกายของเฉินเป้ยอีก็สั่นสะท้านทันทีเพราะเสียงของเขา บ้านแบบนี้เหรอ?

เธอก้มหน้าล้างมืออย่างจริงจังมุมปากอดไม่ได้ที่จะยกขึ้นเล็กน้อย ไม่ว่าจะเป็นไปได้หรือไม่ในอนาคต เธอก็ยังคงโหยหาช่วงเวลานี้

"เสี่ยวซีกินก่อนแล้วดูค่อยเล่นโทรศัพท์ ทำแบบนี้ไม่ดีต่อระบบย่อยอาหาร" เฉินเป้ยอีกล่าวขึ้นเมื่อเห็นหนิงเสี่ยวซีมัวแต่เล่นโทรศัพท์ขณะกินข้าว

"พ่อดูสินี่เป็นวิดีโอที่ใครบางคนเพิ่งส่งมาบอกว่าผู้หญิงในนั้นดูเหมือนผม"

ข้างนอกประตูดวงตาของเกาเหวินเต็มไปด้วยเลือดสีแดง เล็บเรียวยาวจิกลงบนฝ่ามือของเธอ และความเจ็บปวดในใจทำให้เธอรีบวิ่งเข้าไป

เดิมทีเธอคิดว่าความเฉยเมยต่อตัวเธอ การขาดแรงกระตุ้นที่มีต่อตัวเธอ เป็นผลมาจากเขา …

ฮ่าฮ่า … ปรากฎว่าเขาอ่อนโยน และเขามีอารมณ์ แต่สิ่งนั้นไม่ได้เป็นกับเธอเท่านั้น …

เมื่อนึกถึงสิ่งนี้จู่ๆเธอก็รู้สึกเย็นชาเธอชอบเขาตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้เห็นผู้ชายคนนี้ 14 ปีความรักนั้นยาวนานไม่รู้ลืม

เธอเปลี่ยนแปลงตัวเองทุกอย่าง แสดงตัวตนที่สมบูรณ์แบบต่อหน้าเขา พยายามมาโดยตลอด

อยากทำตัวให้มีค่าพอ ๆ กับเขา

แต่อะไร? อย่างไรก็ตามระยะเวลา 14 ปีของเธอ กลับแพ้พี่เลี้ยงเด็กที่อยู่มาแค่ 2-3เดือน …

ถ้าเป็นคนที่ดีกว่าเธอ บางทีเธออาจจะไม่เจ็บปวดขนาดนี้

แต่ทำไมต้องเป็นพี่เลี้ยงเด็ก? ผู้หญิงหน้าตาธรรมดาและกิริยาหยาบคาย?

แล้วความเพียร 14 ปีของเธอกลายเป็นอย่างไร? เป็นเรื่องตลกเหรอ?

ตระกูลเกา

"มีอะไรก็พูดมา เอาแต่ร้องจะแก้ปัญหาได้ไหม?"

พ่อเกากำลังเอนตัวอยู่บนโซฟาโดยมีบุหรี่อยู่ระหว่างนิ้วมือของเขา และควันก็เต็มห้องเกาเหวินรู้สึกทันทีว่าพ่อของในขณะนี้ทำให้เธอกลัว

“ พ่อ … ลูกพี่ลูกน้องเสียมือและได้รับบาดเจ็บจากผู้หญิงคนนี้ เส่าเฉินไม่เพียงแต่ไม่ตำหนิเธอ แต่ยังพูดอยู่เคียงข้างเธอด้วย” เกาเหวินสะอื้นร้องไห้ทั้งน้ำตา

"จริงเหรอ" พ่อเกาดูไม่แปลกใจและโยนก้นบุหรี่ในมือลงแก้วน้ำข้างๆ

"พ่อ คุณคิดว่าฉันควรทำอย่างไร เส่าเฉินเขาตั้งใจที่จะเลิกกับฉัน และกำลังจัดงานแถลงข่าว" เกาเหวินร้องไห้เหมือนกับฝน

พ่อเกาขมวดคิ้วและตกอยู่ในความคิดลึก ๆ หลังจากนั้นไม่นานเขาก็จ้องไปที่เกาเหวิน"ลูกบอกพ่อสิว่า แม้ว่าเส่าเฉินเขาไม่ได้รักลูก ลูก็ยินดีที่จะแต่งงานกับเขา?"

แม้ว่าเกาเหวินจะไม่เข้าใจความหมายของพ่อเธอ แต่เธอก็ยังพยักหน้าอย่างรีบร้อนหลายปีที่ผ่านมาเธอรู้สึกว่าเธอมีชีวิตอยู่เพื่อหนิงเส่าเฉิน ถ้าเธอไม่สามารถแต่งงานกับเขาได้ เธอจะมีชีวิตอยู่ได้อย่างไร?

พ่อเกาลุกขึ้นมองเธออย่างเร็ว

"ถ้าอย่างนั้นก็ทำตามข้อตกลงของพ่อ"

มีบางสิ่งที่เขาไม่อยากทำให้ซับซ้อนเกินไป ในกรณีนี้ก็อย่าตำหนิเขา สำหรับมาตรการที่ไร้หลักการของเขา

ในวันที่เฉินเป้ยอีกำลังจะออกจากโรงพยาบาลจู่ๆผู้จัดการหลินก็มาที่วอร์ดของเธอพร้อมกับไม้ค้ำสองอัน ผมของเขายาวมากและหนวดขึ้นเต็มเลย

เมื่อเห็นเฉินเป้ยอี เขาคุกเข่าลง

"คุณเฉิน ผมขอโทษ ผมไม่ใช่คน ผมเป็นคนไม่ดี ผู้ใหญ่ไม่ถือสาผู้น้อยเลย โปรดยกโทษให้ผมด้วย"

เฉินเป้ยอีรู้สึกไม่สบายทันทีที่มองไปที่เขา และยังมีภาพที่หนักอึ้งในใจของเธอเกี่ยวกับเหตุการณ์ก่อนหน้านี้

แต่เมื่อเห็นผู้จัดการหลินป็นแบบนี้ เธอก็ไม่สามารถแสดงคำสาปบนริมฝีปากของเธอได้

ใบหน้าของเธอพูดอย่างใจเย็นว่า: "คุณออกไป อย่ามาให้ฉันเห็นหน้าอีก" ถ้าเธอไม่เจอไดร์เป่าผมในวันนั้น ชีวิตทั้งชีวิตของเธอจะพังพินาศอย่างสิ้นเชิง

เมื่อนึกถึงสิ่งนี้ สำหรับผู้ชายที่อยู่ตรงหน้าเธอ เธอมีเพียงความเข้าใจอย่างลึกซึ้งถึงความเจ็บปวด

ผู้หญิงคนหนึ่งเดินเข้ามาจากข้างนอกและยื่นเช็คในมือให้เฉินเป้ยอี "คุณเฉินนี่คือค่าชดเชยทางจิตใจ 2 ล้าน ขอให้คุณรับมันไว้"

เมื่อเห็นว่าเฉินเป้ยอีปฏิเสธที่จะยอมรับมัน เขาจึงบังคับอย่างใจจดใจจ่อ จากนั้นช่วยผู้จัดการหลินก็ออกไป

หลังจากเธอจากไปไม่นาน พยาบาลคนหนึ่งก็เข้ามาเก็บข้าวของของเธอ "ชายคนนี้ฉันไม่รู้ว่าเขาทำให้ใครขุ่นเคือง เขากำลังจะออกจากโรงพยาบาลเมื่อวานนี้ และถูกคนหลายคนช่วยกันตีให้ขาหัก"

"ขาหัก?" ทันทีที่เฉินเป้ยอีกำลังดื่มน้ำเธอก็ต้องประหลาดใจเมื่อได้ยินคำพูดของพยาบาล ทันใดนั้นเธอก็นึกถึงไม้ค้ำยันของชายคนนั้น ใช่ เธอไม่ได้ตีขาของเขาในวันนั้น

"ใช่ และฉันได้ยินจากเพื่อนร่วมงานของฉันว่าโดนตัดไอ้นั้นไปด้วย" ทันทีที่เฉินเป้ยอีดื่มน้ำในปากของเธอ เธอก็พ่นน้ำออกมา หันมองไปที่พยาบาลด้วยความประหลาดใจเพราะนานๆจะพูดสักครั้ง

ไม่จำเป็นต้องพูดเธอก็รู้ว่าใครเป็นคนทำและเขาสามารถทำได้อย่างเงียบ ๆ และปล่อยให้ผู้จัดการหลินลากสังขารมาขอโทษเธอด้วยอาการบาดเจ็บ ไม่มีใครอื่นนอกจากหนิงเส่าเฉิน

นี่เป็นครั้งแรกที่เธอได้เห็นความชั่วร้ายของหนิงเส่าเฉิน

อย่างไรก็ตามในใจของเธอไม่มีความกลัวตรงกันข้ามเธอรู้สึกดีขึ้นมาก คนชั่วร้ายก็สมควรได้รับมัน

"เก็บของหมดแล้ว?"

เฉินเป้ยอีเหลือบมอง จากนั้นก็หันไปเห็นหนิงเส่าเฉินเข้ามาทางประตูและพยาบาลตัวน้อยที่กำลังทำความสะอาดเห็นหนิงเส่าเฉินเข้ามา ก็หนีไป

เมื่อเห็นเธอทำหน้าบึ้งและมองตัวเอง เขาก็ก้าวไปข้างหน้าดึงเธอเข้าสู่อ้อมแขนและจูบเธอที่ใบหน้า "คุณเฉิน เป็นอะไร ?"

เมื่อมองไปที่ประตูของวอร์ดที่ยังไม่ได้ปิด เฉินเป้ยอีค่อนข้างไม่คุ้นเคยกับสิ่งนี้ เธอโค้งงอริมฝีปากของเธอ กัดริมฝีปากล่างของเธอ และค่อยๆเลือนมองขึ้นไปด้วยใบหน้าที่แดงก่ำ

"เขามาขอโทษคุณรึยัง? " หนิงเส่าเฉินปล่อยเธอ หยิบเสื้อคลุมออกจากเตียงและสวมให้เธอ

“ คุณทำใช่ไหม”

"ถ้าคุณไม่พอใจ ผมสามารถ … "

“ ไม่เอา พอแล้ว” เฉินเป้ยอีขัดจังหวะเขาด้วยวิธีนี้ถือได้ว่าเป็นการขัดจังหวะเขาในฐานะผู้ชายไปชั่วชีวิต

แม้ว่าวิธีการของหนิงเส่าเฉินจะเลวร้าย แต่เธอต้องบอกว่านี่เป็นวิธีที่ดีที่สุดในการหลีกเลี่ยงปัญหาในอนาคต

"ฉันไม่ต้องการเงินจำนวนนี้ คุณหาเวลาส่งคืนให้เขา … " เนื่องจากเขาได้รับการลงโทษตามกำหนดแล้ว ก็เพียงพอแล้วเธอมีเงินจำนวนนี้และจะไม่ถูกนำไปใช้ในทางปฏิบัติ

เขายืนตรงขึ้น มองไปที่เช็คในมือของเฉินเป้ยอีและหัวเราะเยาะ“คืนเขาทำไม เขาควรชดใช้”

เมื่อเห็นว่าเขาไม่ได้ตั้งใจที่จะรับเช็ค เฉินเป้ยอีก็ถึงกับผงะไปชั่วขณะ หยิบเช็คขึ้นมาฉีกเป็นชิ้น ๆ ต่อหน้าหนิงเส่าเฉินและโยนมันลงถังขยะ การแสดงออกบนใบหน้าของเขายังคงไม่เปลี่ยนแปลงตลอดกระบวนการ จากนั้นมุมปากของเขายกขึ้นเล็กน้อยอย่างไม่แยแส

เธอไม่ต้องการจ่ายเงินเพื่อเธอ แม้ว่าเงินนั้นจะเป็นแค่เศษเลขสำหรับเขาก็ตาม

หนิงเส่าเฉินมองดูเธออย่างลึกซึ้ง ยื่นมือออกไปเพื่อยกเธอขึ้น "โอเค คุณมีความสุขแล้ว กลับบ้านกันเถอะ" ในขณะนี้มีคนเข้ามาจากข้างนอกและถือกระเป๋าของเฉินเป้ยอีขึ้น.

หนิงเส่าเฉินกำลังอุ้มเฉินเป้ยอีขณะที่เขากำลังจะจากไป เมื่อเห็นว่าเขาไม่ได้รู้สึกผิดอะไรเฉินเป้ยอีรู้สึกอบอุ่น

"อืม คุณรอฉันอยู่ที่ชั้นล่าง" เมื่อเขาเดินไปที่ประตู เฉินเป้ยอีออกจากอ้อมแขน และไปยื่นข้างๆ

หนิงเส่าเฉินขมวดคิ้ว "คุณหมายความว่าอย่างไร"

หนิงเส่าเฉินคิดว่าอย่างน้อยเธอก็จะขอหนึ่งข้อที่เป็นประโยชน์ต่อตัวเองหรือตระกูลเกา แต่ …

“ งั้นเอาจดหมายโอนหุ้นที่คุณให้พ่อ คืนไปก่อนโอเคมั้ย?”

รูม่านตาของหนิงเส่าเฉินหด]‘เล็กน้อยคิ้วของเขาย่นเข้าหากัน และเขาพูดอย่างไม่แน่ใจ: "คุณแน่ใจเหรอ?"

เกาเหวินเงยหน้าขึ้นรู้สึกใจกว้างเล็กน้อย เมื่อเธอสัมผัสใบหน้าที่งงงวยของเขา เธอหายใจเข้าและพูดว่า "เส่าเฉินคุณไม่ได้เป็นหนี้ฉัน ความรักไม่ใช่ธุรกิจ ความหมายนี้ ฉันเข้าใจดี!"

หนิงเส่าเฉิน ยืนนิ่งและมองผู้หญิงตรงหน้าอย่างเงียบ ๆ ในตอนนี้จิตใจของเขาซับซ้อนมาก

เขาเงยหน้าขึ้นและมองไปที่เกาเหวินโดยจ้องหน้าเธอ: "เสี่ยวเหวิน … "

"โอเค ฉันจะไม่พูดอีกแล้ว ถ้าเธอมีความสุขฉันก็จะมีความสุขมาก" เมื่อเสียงนั้นลดลงดวงตาของเธอก็เป็นสีแดงอีกครั้งและน้ำตาก็ร่วงหล่นเหมือนด้าย "เส่าเฉิน ฉันยินดีกับพวกคุณ”

คุณหนิง คุณเฉินฟื้นแล้ว" หลิวซูพูดขึ้นในเวลาเดียวกัน

หนิงเส่าเฉินตบไหล่ของเธอเบา ๆ หันไปโดยไม่ลังเลและวิ่งเข้าไปข้างในอย่างกระตือรือร้น

เกาเหวินมองไปที่หลังตรงของเขา ร่างกายของเธอเป็นน้ำแข็ง เธอนั่งยองๆบนพื้นคุกเข่า แขนขาของเธอเต็มไปด้วยความหนาวเย็น

หนิงเส่าเฉินฉันจะยอมแพ้คุณแบบนี้ได้อย่างไร?

เฉินเป้ยอีนั่งลงบนเตียงและมองไปที่หนิงเส่าเฉินที่วิ่งเข้ามาจากด้านนอก เธอถอนริมฝีปากของเธอและยิ้มให้เขา

รอยยิ้มนั้นทำให้หัวใจของหนิงเส่าเฉินสับสน

ก้าวไปข้างหน้าเธอ อดไม่ได้ที่จะดึงเธอเข้ามาในอ้อมแขนของเขา "ไม่เป็นไรแล้วนะ"

ร่างกายของเฉินเป้ยอีเย็นมาก แต่เมื่อเธอสัมผัสร่างกายของเขาเธอรู้สึกอบอุ่น

“ คุณพาฉันมาโรงพยาบาลเหรอ”

หนิงเส่าเฉินพยักหน้า

"คุณรู้ได้อย่างไรว่ามีอะไรเกิดขึ้นกับฉัน" เธอผลักหนิงเส่าเฉินออกไปและถามอย่างสงสัย

หนิงเส่าเฉินขมวดคิ้วดวงตาที่อ่อนโยน แต่เดิมของเขาเย็นชาเล็กน้อยเขาหยิบโทรศัพท์ออกมาเปิดวีแชทแล้วชี้ไปที่เสียง "คุณส่งให้ผมไม่ใช่เหรอ"

เฉินเป้ยอีกัดริมฝีปากและส่ายหัวด้วยความประหลาดใจ

เธอจำได้ว่าเธอต้องการโทรหาตำรวจและจากนั้นหน้าจอวีแชทก็ติดขัด เป็นไปได้ไหมที่กดปุ่มพูดอัติโนมัติ

“ ดูเหมือนว่าผมจะหลงเชื่อในตัวเองอีกครั้งว่าถ้าคุณเฉินอยู่ในช่วงวิกฤต และจะนึกถึงผมหนิงเส่าเฉินได้เป็นคนแรก” เขาเรียกเธอว่าคุณเฉิน

เฉินเป้ยอีกุมหน้าผากของเธอและไม่สามารถหัวเราะหรือร้องไห้ได้

เมื่อเห็นว่าเขาดูเหมือนจะโกรธจริงๆ เธอจึงดึงผ้าพันแขนออก“ ฉันไม่ได้หมายความอย่างนั้น ตอนนั้นฉันคิดอย่างเดียวว่าจะโทรหาตำรวจ แต่หน้าจอวีแชทติดอยู่ จากนั้นฉันไม่รู้จะกดยังไง” หลังจากนั้นมุมปากของเธอก็กระตุกและเธอก็พูดอย่างรวดเร็วว่า: "อย่าโกรธเลยนะ ถ้าไม่ใช่เพราะคุณ ฉันไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับฉัน" เสียงของเธอเล็กลงเรื่อย ๆ และเธอก็เริ่มกลัว

หนิงเส่าเฉินจ้องมองเธอและถอนหายใจเบา ๆ "ผมไม่โกรธ เป้ยอี ตอนผมเห็นคุณที่นอนกองอยู่กับกองเลือด นั้นเป็นครั้งแรกที่ผมรู้สึกกลัวมาก"

เขากอดเธอไว้แน่นในอ้อมแขนและพูดข้างหูเธอเบา ๆ : "ผมกลัวว่าจะเสียคุณไป"

ความกลัวก่อนหน้านี้บรรเทาลงอย่างมาก เนื่องจากการปรากฏตัวของเขา และเฉินเป้ยอีก็กอดเขาไว้ "ฉันขอโทษ ที่ทำให้คุณเป็นห่วง"

ทันใดนั้นเธอก็นึกถึงบางสิ่งบางอย่างและเงยหน้าขึ้นและถามว่า "เขาโอเคไหม" ในตอนนั้นเขาเป็นคนร้าย

"การถูกกระทบกระแทก อีกฝ่ายอาจฟ้องคุณในข้อหาฆาตกรรมโดยเจตนา"

"เจตนาฆ่าเหรอ เห็นได้ชัดว่าเขาต้องการปฏิบัติต่อฉันอย่างผิด ๆ ดังนั้นฉันแค่ปกป้อง "ทันใดนั้นเสียงของเธอก็ดังขึ้น หน้าอกของเธอกระเพื่อมอย่างรุนแรงเพราะความโกรธ

สายตาของหนิงเส่าเฉินตกลงมาตำแหน่งนี้พอดี เขาหายใจเข้าลึก ๆ จากนั้นใช้นิ้วมือของเขายกหน้าผากของเฉินเป้ยอีขึ้นและจูบเธอ

"อืม … " ตาของเฉินเป้ยอีเบิกกว้างและเธอเกือบจะร้องไห้ เธอกำลังจะถูกกล่าวหาว่าเป็นฆาตกรและชายคนนี้ก็ยังคงจะจีบเธออยู่

เมื่อคิดแล้ว ทั้งมือทั้งเท้าก็สั่นน

หนิงเส่าเฉินกอดเอวเธอไว้และจูบจนพอใจ ก่อนจะปล่อยเธอจับด้านหลังศีรษะไว้ในมือทั้งสองข้างแล้วพูดเบา ๆ ว่า "ผมจะจัดการปัญหานี้เอง"

เฉินเป้ยอีเม้มริมฝีปากของเธอและมือที่จับผมของเธอก็แข็งตัวกลางอากาศ เธอมองไปที่หนิงเส่าเฉินและเขาก็ปล่อยให้เธอลบสิ่งที่ปลอมตัวทั้งหมดออกด้วยประโยคง่ายๆ

เธอก้มหน้าลงน้ำตาก็เริ่มไหล

"หนิงเส่าเฉิน อย่าดีกับฉันขนาดนี้ "เสียงของเธอเจือจางไปด้วยอาการสำลัก

มือของ ฃหนิงเส่าเฉินสั่น น้ำตาไหลหยดลงบนฝ่ามือของเขาและความเจ็บปวดก็เข้ามาที่หัวใจของเขาอีกครั้ง

เขาสัมผัสใบหน้าของเธอ คอของเขาถูกปิดกั้น ดวงตาของเขาเปลี่ยนไป และเขาพูดอย่างทุกข์ใจ: " เฉินเป้ยอี คุณรู้ไหมว่าคุณกำลังพูดถึงอะไร?"

เฉินเป้ยอีถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก ดวงตาของเธอแดงก่ำและตอบว่า: "ฉันกลัวว่าวันหนึ่งถ้าคุณไม่ต้องการฉัน ฉันจะไม่สามารถมีชีวิตอยู่ได้ … "

หนิงเส่าเฉินยืดตัวเธอขึ้น ลูบหัวด้วยมือใหญ่ ยกมุมปากและยื่นถ้วยชาข้างๆเธอบอกให้เธอดื่มน้ำก่อนแล้วพูดว่า: "ไม่ต้องกังวล ถ้ามีวันนั้นคือวันที่ฉันตาย."

ทันทีที่เฉินเป้ยอีดื่มน้ำเข้าไป ในปากของเธอ เธอก็สำลักเมื่อได้ยินสิ่งที่เขาพูด

“ แค๊ก… แค๊ก … ”

เมื่อเห็นเช่นนี้ หนิงเส่าเฉินจึงยกมือขึ้นเพื่อลูบหลังเธอ

หลังจากนั้นไม่นาน เฉินเป้ยอีก็รู้สึกสบายตัวมากขึ้น เธอจ้องมองเขา ยื่นมือออกไปรอบเอวและหลับตาเอาแก้มสู้กับหัวใจของเขา จากนั้นหัวใจที่ลุกเป็นไฟก็สงบลง

ในตอนนี้เธอรู้สึกได้ถึงมือที่เดินอยู่บนหลังของเธอ แต่เธอไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ที่มันขยับมาที่เอวของเธอ

เธอเงยหน้าขึ้นและขมวดคิ้ว“ หนิงเส่าเฉินนี่อยู่ในโรงพยาบาล … ”

ชายคนหนึ่งมองกลับมาที่เธอโดยจงใจแสร้งทำเป็นอธิบายไม่ได้และพยักหน้า "อืม ฉันรู้!" วินาทีถัดมาเขาพูดต่อ: "คุณไม่คิดว่าการอยู่ในโรงพยาบาล … ก็รู้สึกตื่นเต้นดีเหมือนกันเหรอ?"

หญิงสาวพูดไม่ออก เธอเพิ่งประสบเหตุการณ์ร้ายไม่ใช่เหรอ? ชายคนนี้ยังมีอารมณ์แกล้งเธอ?

อย่างไรก็ตามเธอยอมรับว่าวิธีการของชายคนนี้มีประสิทธิภาพในการบรรเทาความตึงเครียดและความวิตกกังวลของเธอมาก และสามารถเบี่ยงเบนความสนใจของเธอได้ทุกครั้ง

"เป้ยอี หลังจากที่ผมถอนหมั้นกับเธอ ไม่กี่วันนี้เราจะแต่งงานกันตกลงไหม"

ทันทีที่เฉินเป้ยอี ได้ยินคำถามของเขา เธอก็เลิกคิ้ว เม้มปากและกระซิบกลับ: "คุณหนิง คุณจะแต่งกับฉันโดยที่ไม่หมั้นเลยเหรอ?"

หนิงเส่าเฉินก้มศีรษะลงและเห็นเพียงสัมผัสใกล้ๆ เห็นมุมปากของเขายิ้มลึกขึ้น ดวงตาของเขาแคบลง มือของเขากระชับเบา ๆ รอบเอวของเธอ ศีรษะของเขาลดลง และริมฝีปากบางของเขแนบกับใบหูของเธอ พูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา: "ช้าเกินไปที่จะหมั้น และแต่งงานใหม่ห้องหอก็ … ต้องใช้เวลานาน!"

เฉินเป้ยอีกระพริบตา หูของเธอร้อนขึ้น เธอผลักเขาเล็กน้อยและพูดด้วยน้ำเสียงที่ขมขื่น "หนิงเส่าเฉินคุณ … คุณจริงจังกว่านี้ได้ไหม?"

หนิงเส่าเฉินจูบต้นคอของเธออีกครั้งมองไปที่ใบหน้าที่แดงก่ำของเธอ มุมปากของเขายกขึ้นและพูดว่า "สำหรับคุณ … ไม่!"

การรับรู้นี้ทำให้สมองของเธอ ไม่สามารถคิดถึงเรื่องอื่นได้เลยเป็นเวลานาน

คนคนนั้นตายแล้ว งั้นเธอจะต้องชำระชีวิตคืนไหม แล้วหนิงเสี่ยวซีจะเป็นอย่างไง?

นี่เป็นความคิดเดียวที่ฝังแน่นอยู่ในหัวของเธอในขณะนี้

"เป้ยอี… " เป็นเสียงของหนิงเส่าเฉิน เฉินเป้ยอีรู้สึกว่าเสียงนี้นุ่มนวลที่สุดตั้งแต่รู้จักเขา

เธออยากจะเงยหน้าขึ้นและยิ้มให้เขา แต่จิตใจดูเหมือนจะไม่เชื่อฟังและไม่สามารถขยับได้

"เป้ยอี มองผมหน่อย เฉินปเ้ยอี ผมหนิงเส่าเฉินไง" เธอรู้สึกว่ามีมือไหวอยู่บนไหล่ของเธอ

เมื่อมองไปที่ดวงตาที่ไม่มีพลังงาน ความเย็นชาในดวงตาของหนิงเส่าเฉิน ทำให้คนกลัวที่จะมองตรงไป

เขานั่งอยู่บนขอบเตียง เขาดึงเฉินเป้ยอีเข้ามาในอ้อมแขนของเขา และลูบหลังของเธอด้วยมือเรียวยาว: "เป้ยอี ไอ้ชั่วนั้นยังไม่ตาย และผมจะปล่อยให้เขาตาย"

ผู้ชายคนนั้นยังไม่ตาย? เธอไม่มีฆ่าคน?

ร่างกายที่แข็งกลับนุ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

หนิงเส่าเฉินจับมือของเธอแน่น

"ผมอยู่ที่นี่ ไม่ต้องกลัว"หนิงเส่าเฉินไม่เคยเล้าโลมใคร รวมถึงหนิงเสี่ยวซีด้วย ดังนั้นในตอนนี้เขากำลังรู้สึกสูญเสียจริงๆ

หลังจากวิญญาณของเฉินเป้ยอีผ่อนคลายลงชั่วขณะ เธอก็หมดสติ

“เป้ยอี …เป้ยอี คุณหมอ … ”

"คุณหนิง เพราะว่าเธอตื่นตระหนกแล้วกลับมาผ่อนคลายอย่างกะทันหัน หลังจากที่วิตกกังวลมากเกินไป หลังจากพักได้ไม่นาน เธอก็น่าจะไม่เป็นไรแล้ว คุณไม่ต้องกังวลครับ"

หมอก้มหน้าลงและอ่านรายงานเกี่ยวกับสภาพร่างกาย และตั้งแต่ต้นจนจบเขาไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมองใบหน้าของชายตรงหน้า

ในเวลานี้ หลิวซูเดินเข้ามา

"ตื่นมาแล้ว มีการกระทบกระแทกในสมองเล็กน้อย ไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่อีกฝ่ายจ้างทนายแล้ว ดูเหมือนว่าอยากให้คนชั่วฟ้องก่อน" สีหน้าของหลิวซูดูหนักอึ้งเล็กน้อย

ความเย็นชาฉายในดวงตาของหนิงเส่าเฉิน ฟ้องเหรอ? ดูว่าเขาจะมีความสามารถไหม กล้าแตะต้องผู้หญิงของเขา ดูเหมือนว่า เขาใจดีกับผู้คนเกินไป

"คุณเกาอยู่ที่ประตู เธออยากเจอคุณ"

หนิงเส่าเฉินมองกลับไปที่เฉินเป้ยอีที่ยังอยู่ในอาการโคม่า "นายอยู่ที่นี่เพื่อดูแลเธอ ฉันจะรีบกลับมา"

"เส่าเฉิน เกิดเรื่องแบบนี้ได้อย่างไร พี่เฉินมีอะไรผิดปกติหรือเปล่า ลูกพี่ลูกน้องของฉันเป็นสัตว์ร้ายจริงๆ เขาทำแบบนั้นได้อย่างไร" เมื่อเกาเหวินเห็นหนิงเส่าเฉินออกมา เธอรีบจับแขนของเขาด้วยมือทั้งสองข้างโดยตรง ถามเขาอย่างประหม่า

หนิงเส่าเฉินรู้สึกประหลาดใจอย่างเห็นได้ชัดที่เกาเหวินจะพูดจากจุดยืนของเฉินเป้ยอีในขณะนี้ เขาลดตาลงและค่อยๆผลักเธอออกไป มองดูเธออย่างสงบ“ เพิ่งตื่นขึ้นมาและเป็นลมไปอีกครั้ง อาจจะกลัวด้วย มันจบแล้ว."

"เส่าเฉิน มันเป็นความผิดของฉันทั้งหมด ครั้งสุดท้าย ลูกพี่ลูกน้องของฉันพาลูกสาวไปนอนแล้ว … ฉัน … ฉันไม่ควรทิ้งเขาไว้ข้างหลังอย่างเห็นแก่ตัว คุณว่า ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นกับพี่เซิน ฉันจะขอโทษคุณ "หลังจากพูดจบ ก็สูดจมูกและดึงมือใหญ่ของหนิงเส่าเฉินขึ้น" เส่าเฉิน คุณสามารถดูแลพี่เซิน โดยเร็วที่สุดเมื่อสิ่งนี้จบลง เราจะยุติสัญญาการแต่งงานหลังจากเวลาผ่านไปสักครู่ พี่เซินเป็นคนใจดี ฉันอวยพรคุณ สับสนเกี่ยวกับการประชุมประจำปีครั้งล่าสุด ฉันขอโทษเธอ … "

หลังจากพูดจบ เธอก็ยกมือขาวเนียนขึ้นเช็ดน้ำตาออกจากดวงตา

หลังจากหนิงเส่าเฉินฟังหยุด มองผู้หญิงตรงหน้าอย่างลึกซึ้ง ขมวดคิ้ว เรื่องครั้งก่อน เขาได้เห็นความชั่วร้ายในดวงตาของเกาเหวินโดยไม่ได้ตั้งใจ ทำให้ผิดครั้งที่แล้วหนิงเส่าเฉินคิดว่าตัวเองเจำคนผิด

แต่เห็นได้ชัดว่าไม่มีอะไรผิดปกติ

เกิดอะไรขึ้นกับการเห็นอกเห็นใจคนอื่นของเธอในครั้งนั้น?

หากเป็นการเสแสร้ง งั้นเธอก็ไม่จำเป็นต้องยกเลิกสัญญาการแต่งงานเหรอ?

แต่ถ้ามันไม่ได้เสแสร้ง งั้นมันเกิดขึ้นในครั้งก่อน แล้วจะอธิบายยังไง?

พูดตามตรง ในตอนนี้ เขารู้สึกว่าตัวเองไม่เข้าใจผู้หญิงตรงหน้าเลยจริงๆ

ฉากที่เพิ่งรู้จักกันครั้งแรกฉายในหัวของเขา

เขาจำปีนั้นที่เขาและพ่อถูกไล่ล่าและฆ่าได้ เมื่อมีคนมาขวางทางด้านหน้าและด้านหลังของรถ เพราะต้องการช่วยเขาพ่อ โยนเขาลงจากรถไฟ ในตอนนั้น เขาถูกโยนทิ้งเและไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ เขาแค่รู้ว่า เขานอนอยู่ในคูน้ำเล็กๆด้วยความงุนงง เขาเห็นเงาตัวเล็กๆนั่งยองๆอยู่ตรงหน้าเขา และถามเขาว่า: "คุณบาดเจ็บหรือเปล่า?"

น้ำเสียงของเธออ่อนโยนและนุ่มนวล แต่เขาเพราะความเจ็บปวด ไม่สามารถตอบสนองเธอได้

ปีนั้นเขาอายุ 12 ปี เพราะความเจ็บปวด สติของเขารับรู้ไม่ชัดเจน ดังนั้นเขาจึงมองไม่เห็นหน้าตาของเธอ แต่ ความมีน้ำใจของเธอทำให้เขาประทับใจไม่รู้ลืม

ตอนนั้น เขากลัวมากว่าหญิงสาวจะทิ้งเขาไป เพราะมันเป็นครั้งแรก ที่เขารู้สึกถึงอาการใกล้จะตาย

แต่หญิงสาวไม่ได้จากไป เขาฟังเธอพูดว่า: "พี่ชาย มีแผลที่หัวเข่าของคุณ … " หลังจากพูดคำนี้ ฝนก็เริ่มตกหนัก

เขาเฝ้าดูเธอเอนตัวลง และใช้ร่างกายเล็กคลุมเข่าของเขา เธอพูดว่า "พี่ชายไม่ต้องกลัว ฉันจะอยู่กับคุณ ฉันจะบังฝนให้คุณ เพื่อไม่ให้น้ำโดนแผล"

ฝนตกเป็นเวลานาน จนเขารู้สึกว่าร่างกายของเขาถูกฝนแช่เหมือนจะเน่าแล้ว แต่หญิงสาวไม่เคยจากไปซึ่งทำให้เขาแข็งแกร่งขึ้นมากในความตั้งใจที่จะอยู่รอด ต่อมา หลังจากฟังพ่อเกาบอกว่าเมื่อก็พบพวกเขาทั้งสอง ในขณะนั้น พวกเขาต่างสลบไปแล้ว

ตอนนั้น เธอยังเด็กมาก แค่มีอายุเพียงแปดขวบ

ต่อมา เนื่องจากพ่อของเขาได้รับการช่วยเหลือ จึงไม่มีอันตรายใดๆ หลังจากพบเขา เพื่อเป็นการขอบคุณที่พวกเขาช่วยชีวิต พ่อจึงพาเกาเหวินและครอบครัวไปที่เมืองC และก็ให้เขาทำธุรกิจ ยังพาเขาไปทำธุรกิจและแนะนำให้เขารู้จักกับลูกค้ารายใหญ่หลายคน ดังนั้น ครอบครัวตระกูลเกาจึงมีวันนี้ในเมืองC ในตอนนั้น พ่อก็สัญญาว่า ถ้าลูกสองคุณตกลงและเต็มใจ ก็ให้เขากับเกาเหวินแต่งงานกันในอนาคต

ดังนั้น หลังจากนั้นหลายปี เพราะเรื่องครั้งนั้น เขาก็เอาแต่ใจและหวงเธอมากที่สุด

เขามักจะได้ยินคนอื่นพูดบางอย่างเกี่ยวกับเธอต่อหน้าเขา

แต่ภายในหัวใจ ตอนเด็กของเธอทำให้เขาเชื่อว่า ธรรมชาติของเธอนั้นเปลี่ยนแปลงได้ยาก เขาจึงเชื่ออย่างหัวชนฝาว่า นิสัยของเธอไม่เลวร้าย

หลังจากได้พบกับเฉินเป้ยอี เขาตกหลุมรักผู้หญิงคนนั้น และเขามักจะกังวลเกี่ยวกับวิธีการจัดการกับเกาเหวิน โดยคิดเสมอว่าจะสามารถลดความเสียหายของเธอได้ แม้จะเกิดเหตุการณ์ครั้งก่อน แต่เขาก็ยังไม่อยากที่จะทำทำร้ายเธอ เพราะในความทรงจำ เขาไม่มีวันลืมเด็กหญิงที่ปกปิดบาดแผลเพื่อเขา

"เส่าเฉิน ทำไมคุณไม่พูด? คุณคิดว่ายังไง?" เกาเหวินเห็นหนิงเส่าเฉินมองตัวเอง โดยไม่พูด เธอจึงดึงแขนเสื้อเขา

หนิงเส่าเฉินส่ายหัว ยกมือขึ้นอย่างเคยชินอยากจะลูบผมของเธอ แต่ในขณะที่เขายกมือขึ้น ก็ค่อยๆปล่อยมันออกไป บางปมแม้ว่ามันจะหลุดออกไป แต่ก็ยังยากที่จะกลับไปสู่อดีต

“เสี่ยวเหวิน สำหรับการยกเลิกสัญญาการแต่งงาน คุณสามารถร้องขอได้ตราบเท่าที่ผมสามารถทำได้!”

เมื่อเกาเหวินได้ยินคำพูดนี้ เธอตกตะลึงอย่างเห็นได้ชัด และผ่านไปไม่นาน เธอก็กัดริมฝีปากและถามด้วยเสียงต่ำทำให้หนิงเส่าเฉินตกใจมาก

ห้องประชุมของหนิงกรุ๊ป

ใบหน้าของหนิงเส่าเฉินเคร่งเครียดและเขากำลังฟังรายงานของผู้จัดการฝ่ายขาย …

เขาวางมือบนโทรศัพท์และรู้สึกว่าโทรศัพท์สั่นเขาแอบเปิดมันและเห็นว่ามันถูกส่งมาโดยเฉินเป้ยอี เป็นเสียง …

เขาเม้มมุมปากยกขึ้นเล็กน้อยคลิกและแปลเป็นข้อความ

อย่างไรก็ตามเมื่อคุณเห็นตัวอักษรแสดงด้านบน

เขาลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็วใบหน้าของเขาเปลี่ยนทันทีผู้จัดการฝ่ายขายคิดว่ามีบางอย่างผิดปกติกับเขาและปากกาในมือของเขาตกลงที่พื้นอย่างเร็ว

"หลิวซู เตรียมรถทันที"

เขาเกือบจะวิ่งออกจากห้องประชุมและท่าทางของเขาทำให้ทุกคนในห้องประชุมตกตะลึง หนิงเส่าเฉินคือใคร แม้จะอายุน้อย คั้งแต่เขาก็เข้ารับตำแหน่งประธานหนิงกรุ๊ปในช่วงที่ผ่านมาไม่กี่ปี เขานิ่งมาก หน้าไม่เคยเปลี่ยน

เกิดอะไรขึ้นในวันนี้?

เมื่อเห็นการแสดงออกที่จริงจังของเขา หลิวซูก็ไม่กล้าถามอะไรอีกและรีบตามไป

"โทรหาเกาเหวินและขอให้ลูกพี่ลูกน้องของเธอมาพบฉันทันที" เขาสั่งหลิวซู

อีกด้านหนึ่ง ก็มีคนโทรเข้ามาอีกครั้ง

และตอนนี้ SM

เสื้อแจ็คเก็ตของเฉินเป้ยอีขาดออกจากกันและถูกโยนทิ้ง ผู้จัดการหลินกำลังดึงเสื้อของเธอ …

ถ้าเป็นเมื่อก่อน เฉินเป้ยอีก็มีความหวังอันริบหรี่สำหรับชายคนนี้ ในขณะนี้เมื่อเขาดึงเสื้อผ้าของเธอ เธอก็ตระหนักว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะพูดสิ่งดีๆกับผู้ชายคนนี้อีกต่อไป

เธอหลับตาและกัดฟันแล้วพูดว่า: "ผู้จัดการหลิน ฉันเป็นแม่ของหนิงเสี่ยวซี คุณควรรู้ว่าหนิงเส่าเฉินชอบฉัน ถ้าคุณทำอะไรฉัน เขาจะไม่ไว้ชีวิตคุณ" เธอพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเพราะความกลัว

ในเวลานี้เฉินเป้ยอีไม่สนใจสิ่งที่คนอื่นคิดเกี่ยวกับเขาอีกต่อไป และเชื่อมความสัมพันธ์กับหนิงเส่าเฉิน

เห็นได้ชัดว่ามือของผู้จัดการหลินที่ดึงเสื้อของเธอหยุดนิ่ง แต่แล้วเขาก็นึกอะไรบางอย่างขึ้น "หนิงเส่าเฉินเหรอ คุณเป็นพี่เลี้ยงเด็ก เธอคิดว่าเขาจะช่วยคุณได้เหรอ อย่าลืมว่าเกาเหวินคือลูกพี่ลูกน้องของฉัน เธอคิดว่าถ้าเขารู้ เขาจะทำอะไรได้ สัญญาญระหว่างเขากับลูกพี่ลูกน้องของฉันยังไม่ได้รับการแก้ไขเลย เธอว่าเขาไม่กลัวที่จะกล้าเหรอ? "หลังจากนั้นเขาก็หัวเราะเยาะ

เฉินเป้ยอีกัดริมฝีปากล่างไม่มีการโต้เถียงสักพัก ใช่ เกาเหวินยังคงเป็นคู่หมั้นของเขา …

แล้วเธอล่ะ? มันไม่มีอะไรจริงๆ …

ในตอนนี้เธอค้นพบว่า ไม่ว่าหนิงเส่าเฉินจะทำเพื่อเธอมากแค่ไหน เธอจะดีและอดทนแค่ไหน เธอก็ยังขาดความมั่นใจในตัวเอง

ในตอนนี้เธอคิดว่าอาจเป็นเพราะเธอกลัวการสูญเสียมากเกินไป เธอกลัว ความหวังและความผิดหวังมากเกินไป

“ ถ้าคุณกล้าแตะฉัน ฉันจะเรียกตำรวจมาจับคุณและเข้าคุก” เธอรู้สึกตื่นตระหนกในใจ แต่เธอก็ยังแสร้งทำเป็นสงบและข่มขู่

เธอพูดพร้อมกับยืนพิงกำแพงและขยับตัวออกไป แต่ก่อนที่จะก้าวไปสองก้าวชายคนนั้นก็ดึงขาของเธอและดึงเธอกลับอย่างแรง "ฉันจะบอกเธอให้นะอย่าใฝ่สูง เธอเป็นแค่พี่เลี้ยงเด็กให้คนอื่น ทำให้ฉันสนใจเธอได้ เธอควรจะดีใจ"

ในขณะนี้เฉินเป้ยอี รู้สึกว่าเลือดทั่วร่างกายของเธอไหล

มือของเธอคลำไปมาที่พื้นจากนั้นเธอก็เจอของเย็น ๆ ที่พื้นเธอสำรวจมันไปเรื่อย ๆ จนแน่ใจว่าเป็นไดร์เป่าผมที่ทำจากสแตนเลสและไดร์เป่าผมของ SM ล้วนมีคุณภาพดีและดีมาก ตามน้ำหนักแล้วเธอไม่ต้องการทำร้ายผู้คน แต่เธอไม่อยากถูกชายชราคนนี้ทำร้าย

"เสี่ยวเฉิน เชื่อฟัง อย่าขยับ ถ้าเธอเชื่อฟังพี่ พี่จะรักเธอและดูแลอย่างดี … " คำพูดที่ดูเลวร้ายดังขึ้นอีกครั้งและในขณะที่พูดดวงตาของชายคนนั้นก็หยุดที่หน้าอกของเฉินเป้ยอีและเขาก็เริ่มปลดเข็มขัดของเขา .

คำพูดและการกระทำของเขาทำให้เฉินเป้ยฮีระคายเคืองอย่างมาก เธอแทบไม่ลังเลเลยที่จะยกไดร์เป่าผมขึ้นแล้วกระแทกที่หัวของชายคนนั้น

เธอรู้ดีว่าด้วยแรงโน้มถ่วงของไดร์เป่าผม หากเธอไม่วางมือลงเธอจะไม่สามารถทำร้ายผู้ชายคนนี้ได้อย่างแน่นอน ดังนั้นเธอจึงทุบผู้ชายคนนี้ไปหลายครั้ง เมื่อที่ชายคนนั้นตกตะลึงจนผู้ชายคนนั้นล้มลง เธอถึงหยุด.

เลือดไหลลงมาที่ตำแหน่งของเขาและไหลไปที่หน้าอกของเฉินเป้ยอี

ผู้ชายตัวหนักมากกดทับเธอทำให้เธอหายใจไม่ออกและในขณะนี้เลือดได้ซึมผ่านเสื้อตัวหนาและสัมผัสผิวของเธอ …

เฉินเป้ยอีรู้สึกว่าเธอสั่นไปหมดมือและเท้าของเธอเย็น …

แต่เธอขยับไม่ได้ เธอได้กลิ่นควันแอลกอฮอล์และเลือดจากชายคนนั้น แต่แล้วเธอก็หมดสติไป

เขาตายแล้วใช่ไหม? ไม่งั้นทำไมเงียบจัง?

"คุณหนิง คุณเกาบอกว่าตอนนั้นผู้จัดการหลินรไม่อยู่ที่บริษัท เธอขอให้ผมลงมาถามว่าจะให้เธอช่วยอะไรไหม"

เมื่อหนิงเส่าเฉินมาถึง บริษัทผู้ช่วยของผู้จัดการหลินกำลังรอเขาอยู่ที่ประตูบริษัท เมื่อเห็นเขาเข้ามาก็รีบไปหาเขาก้มหัวลงและถามอย่างนุ่มนวล

"ไม่อยู่ในบริษัท " หนิงเส่าเฉินตะคอก จากนั้นทันทีที่เขายกเท้า ชายคนนั้นก็ถูกเขาเตะกองลงกับพื้น ก้าวไปข้างหน้าเขา หมอบลงและบีบคอชายคนนั้นอย่างแรง "บอกฉันสิว่าเขาอยู่ชั้นไหน ไม่งั้นจะปล่อยให้ตระกูลของนายถูกฝัง" หนิงเส่าเฉิน พูดด้วยท่าทางที่เศร้าหมอง

น้ำเสียงของเขาฟังดูไม่เหมือนเรื่องตลก

ผิวของชายคนนั้นเริ่มเปลี่ยนเป็นสีม่วง แต่เขาไม่ตอบเพราะถ้าเขาตอบ เขากลัวว่าเขาจะตายเช่นกัน

หนิงเส่าเฉินกัดฟัน ความแข็งแกร่งในมือของเขาเพิ่มขึ้นเล็กน้อย ดวงตาของเขาแดงระเรื่อและน่ากลัวทำให้ชายที่อยู่บนพื้นตระหนักว่าความตายอยู่ใกล้เขา

ในเวลานี้มีเสียงจากหูฟังบลูทูธดังในหู เมื่อได้ยินเพียงเสียง "อืม" ของหนิงเส่าเฉิน ชายคนนั้นก็รู้สึกได้ถึงลมกระโชกแรงที่อยู่ข้างๆเขา เมื่อเขาเงยหน้าขึ้นอีกครั้งเขาก็ไม่เห็นหนิงเส่าเฉินอีกต่อไป

เฉินเป้ยอีรู้สึกตัวในขณะนี้ แต่สติของเธอเลือนลางเล็กน้อย เธอได้ยินเสียงคนทุบประตูจากนั้นประตูก็ถูกกระแทกจากนั้นเธอก็รู้สึกว่ามีคนเข้ามาดึงชายคนนั้นออกไปจากเธอและอุ้มเธอขึ้น เสียงเรียกเธออย่างตื่นเต้น "เป้ยอี… "

มันเป็นภาพลวงตารึเปล่า? เธอรู้สึกว่าเสียงนี้เหมือนกับหนิงเส่าเฉินเธออยากจะรั้งเขาไว้และร้องไห้ เธออยากจะบอกเขาว่าเมื่อกี้เธอกลัวมาก แต่เธอทำอะไรไม่ได้ …

เมื่อเธอกลับมามีสติเธอได้มาถึงโรงพยาบาลแล้ว และรู้สึกว่ามีแพทย์หลายคนผลัดกันตรวจร่างกายของเธอและพูดอะไรมากมายก่อนออกไป

เธอยังคงมีชีวิตอยู่

ใช่เธอสบายดี เธอเพิ่งฆ่าผู้ชายคนนั้น

เธอฆ่าคนหรอ?

พ่อเกาขยิบตา "สำหรับเรื่องนี้ ลูกคงไม่ต้องให้พ่อสอนว่าควรจะทำยังไง"

“ แต่เขาเป็นแค่ลูกพี่ลูกน้อง … ”

"ถ้าลูกไม่สามารถจัดการเรื่องนี้ได้ ลูกจะเป็นภรรยาของหนิงเส่าเฉินในอนาคตได้อย่างไร เขาเป็นผู้ชายที่ยอดเยี่ยมและผู้หญิงคนนี้จะต้องอยู่เคียงข้างเขา เพ่อไม่สามารถช่วยลูกได้ตลอดหรอก" ท้ายที่สุดลูกชายของเขาเพิ่งกลายเป็นอัมพาตและภรรยาของเขาก็เสียชีวิตไปแล้ว พ่อเกาไม่มีอารมณ์ เขาจึงไม่ทนกับเกาเหวินมากนักใบหน้าของเขาเย็นชาเล็กน้อยและน้ำเสียงของเขาก็เย็นชา

เกาเหวินพยักหน้าไม่กล้าพูดต่อ ก้มหน้าและเริ่มเช็ดน้ำตา“ พ่อ ฉันทำให้เกาไห่และแม่ต้องเป็นแบบนี้ พ่อวางใจได้ ฉันจะต้องแก้แค้นให้พวกเขา”

"ปัง" พ่อเกาโยนกล่องข้าวที่ว่างอยู่บนโต๊ะตกลงพื้นและมองสายตาที่ประหลาดใจของเกาเหวิน และพูดอย่างเรียบ ๆ : "อย่าคิดว่าจะโยนความผิดให้กับคนอื่นแล้วรอด ฉันจะบอกแกให้นะ ถ้าแกไม่สามารถจับหนิงเส่าเฉินไว้ได้ ฉันไม่รับประกันได้ว่าแกจะต้องเจอกับอะไรในอนาคต "

เมื่อเกาเหวินเห็นท่าทางดุของพ่อเธอ เธอก็ตัวสั่น ในขณะนี้จู่ๆเธอก็รู้สึกว่าเธอไม่รู้จักผู้ชายที่อยู่ตรงหน้าเธอ

พ่อที่ใจดีคนนั้นดูเหมือนจะเปลี่ยนไปพร้อม ๆ กัน

หลังจากจัดงานศพแม่ของเกา หนิงเส่าเฉินได้สอบถามโรงพยาบาลต่างประเทศเพื่อรักษาโรคของเกาไห่

หลังจากพูดคุยกับพ่อเกา และเกาเหวินแล้ว เกาไห่ก็ถูกส่งตัวไปต่างประเทศเพื่อรับการรักษา

แม้ว่าเกาเหวินจะกลัวเล็กน้อยว่าเกาไห่จะหายขาด แต่เธอก็ไม่มีเหตุผลที่จะไม่เห็นด้วย เพื่อไม่ให้เกิดความสงสัยของพ่อและหนิงเส่าเฉิน เธอจึงแสร้งทำเป็นเห็นด้วย ด้วยความดีใจ

"เส่าเฉินขอบคุณนะ" เมื่อเห็นเกาไห่ถูกใครบางคนมารับไป เกาเหวินก็โน้มตัวเข้าไปในอ้อมแขนของหนิงเส่าเฉินและกล่าวขอบคุณเบา ๆ

หนิงเส่าเฉินส่งเสียงไม่ได้ ดวงตาสีเข้มของเขากระพริบเบา ๆ เขายืดร่างของเธอให้ตรงและกระซิบด้วยเสียงต่ำ: "เสี่ยวเหวินตอนนี้กิจการของครอบครัวของคุณจบลงแล้ว เรื่องของเราผมหวังว่ามันจะจบเร็วๆนี้ ."

ทันทีที่เขาพูดจบ เกาเหวินก็นึกถึงบางสิ่งบางอย่าง ใบหน้าของเธอก็เปลี่ยนไปอย่างมาก เธอดึงมือของหนิงเส่าเฉินกลับมาและยังคงยิ้ม“ โอเค คำพูดของฉันเชื่อใจได้ ฉันถือสัจจะ อีก…ไม่กี่วันได้ไหม ฉันแค่กลัวว่าพ่อจะรับไม่ได้"

ดวงตาของหนิงเส่าเฉินลึกขึ้นเมื่อเขาได้ยินสิ่งนี้ เขาจ้องมองเธอสักพักแล้วพูดว่า "อืม"

เมื่อเห็นเขาตอบรับ ร่างที่แน่นของเกาเหวินก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก หันหลังกลับและเดินไปที่ประตูอย่างรวดเร็ว

ทันทีที่เฉินเป้ยอีแต่งหน้าเสร็จ เธอก็รู้สึกว่าโทรศัพท์ในกระเป๋าของเธอสั่น

เมื่อเปิดดูก็เป็นหนิงเส่าเฉิน

"คุณกำลังทำอะไร?"

“ ขอตอบบอส ว่าทำงานค่ะ”

"คืนนี้ไปทานอาหารกับบอสหน่อย"

"… "

“ ทำไม ไม่อยากเชื่อฟังบอสเหรอ”

"ทั้งน่าเกลียด ทั้งแก่ ทั้งน่าเบื่อ ฉันมีคุณสมบัติอะไรที่จะไปกินข้าวกับเจ้านายอย่างคุณ มันไม่น่าอายเหรอ?" เมื่อนึกถึงคพูดของหนิงเสี่ยวซีเที่กำลังจะแนะนำแฟนให้เธอ เมื่อมันมากระตุ้น เธอก็รู้สึกโมโหขึ้นมา

"… " หนิงเส่าเฉินนั่งอยู่ในรถและลูบหน้าผากของเขา เด็กคนนี้ ไม่สนับสนุนพ่อเลย

"เป้ยอี ผมคิดถึงคุณ"

เป้ยอี ผมคิดถึงคุณ … ประโยคนี้เริ่มวนอยู่ในหัวของเฉินเป้ยอีไม่หยุด และมุมปากของเธอค่อยๆยิ้มขึ้นมา

"คิดถึงฉัน? แต่คุณไปจูบคนอื่น … ไม่มีความน่าเชื่อถือเลย ใครจะเชื่อได้?"

“ นั่นก็แค่ความรู้สึกของพี่ชายที่มีต่อน้องสาวของเขา ผมสัญญาว่ามันจะเป็นครั้งสุดท้าย”

เฉินเป้ยอียกยิ้มขึ้น ตอนนี้ปมในใจของเธอถือว่าไม่มีแล้วและเธอก็หายใจออกอย่างหนัก

ในตอนนี้ข้อความวีแชทของผู้จัดการหลินเด้งขึ้นโดยบอกว่าบริษัทมีนางแบบหลายคนให้ถ่ายรูปและขอให้เธอขึ้นไปชั้นบนเพื่อแต่งหน้า

"บอส ฉันต้องทำงานแล้ว เจอกันคืนนี้" หลังจากที่เธอตอบ เธอก็วางโทรศัพท์ลงในกระเป๋าเสื้อ

ตามปกติการถ่ายภาพจะจัดขึ้นที่ชั้น 16 ของบริษัท เฉินเป้ยอีจึงขึ้นไปชั้นบนโดยไม่ถามคำถามเพิ่มเติม

เมื่อดันเปิดประตู เธอไม่เห็นนางแบบ เห็นแต่ผู้จัดการหลินนั่งอยู่ข้างใน

ใบหน้าของเฉินเป้ยอีเปลี่ยนไป เธอขมวดคิ้วและมองไปที่ผู้จัดการหลินอย่างสงสัย "ผู้จัดการหลิน คุณบอกว่ามีนางแบบกำลังถ่ายรูปอยู่ไม่ใช่เหรอ?"

ผู้จัดการหลินนั่งบนเก้าอี้ เมื่อได้ยินสิ่งที่เฉินเป้ยอีพูดเขาค่อยๆยกมุมปากขึ้นและยิ้มให้เธอ "เป้ยอีมานั่งที่นี่" เขาตบเก้าอี้ข้างๆเขา

ทันทีที่เขาพูดจบเฉินเป้ยอีก็รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติและใบหน้าของเธอก็เปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน "ถ้าผู้จัดการหลินไม่มีอะไรฉันจะลงไปก่อน" หลังจากพูดแล้วเขาก็หันกลับมาและเดินไปที่ประตูอย่างรวดเร็ว

"กร๊อก" เธอได้ยินเสียงล็อกประตูจากด้านนอกและเธอก็กำมือแน่นมาก

"เป้ยอีไม่ต้องกังวลฉันแค่อยากปรึกษาเธอ เธอไม่ลาออกได้ไหม"

“ ไม่ค่ะ ฉันตัดสินใจแล้ว" เธอตอบปฏิเสธ

ดวงตาของผู้จัดการหลินตื่นขึ้น เขาลุกขึ้นและเดินไปข้างหน้าเฉินเป้ยอี

"คุณก็เห็นว่างานปัจจุบันหายากมาก และ SM ก็ให้เงินเดือนดี ทำไมคุณไม่ลองคิดเรื่องนี้อีกที" ผู้จัดการหลินพูดพร้อมกับวางมือไว้ที่หลังมือของเฉินเป้ยอีแล้วจับไว้แน่น "ตราบใดที่คุณยังอยู่ฉันจะเพิ่มเงินเดือนขึ้นอีกหนึ่งในสามเลย เป็นไง?"

เฉินเป้ยอีพยายามอย่างหนักที่จะแกะมือของเขา แต่ … หลังจากพยายามอยู่หลายครั้ง เขาก็ไม่ได้ดึงมันออกมา

เธอขมวดคิ้ว“ ผู้จัดการหลิน ฉันเข้าใจความพยายามของคุณ ถ้าคุณไม่มีอะไรจะบอก ฉันขอไปชั้นล่างก่อน” หลังจากที่เธอพูด เธอก็ถอยห่างออกไป พยายามที่จะสะบัดที่กำแน่นของเขา

เพียงแต่ เธอต้องการใช้มือข้างที่ว่างค้ำตัวไปข้างหลัง แต่ว่างเปล่า จากนั้นเธอก็เสียสมดุลและล้มลงกับพื้น

อย่างไรก็ตามผู้จัดการหลิน แม้ว่าเขาจะปล่อยมือ แต่เขาก็พุ่งเข้าหาเธอ

รูม่านตาของเฉินปชเป้ยอีขยายใหญ่ขึ้นและเขารู้สึกได้ว่าเลือดทั่วศีรษะของเขาพุ่งขึ้นไปที่ศีรษะของเขา

เธออยู่บนพื้น ดิ้นรนพยายามผลักผู้จัดการหลินออกไป แต่ชายคนนั้นอ้วนเกินไป เธอไม่สามารถขยับตัวเขาได้เลย

"เสี่ยวเฉิน คุณสามารถอยู่ได้ไหม … ฉันสัญญาว่าตราบใดที่คุณยังอยู่ด้วยทักษะของคุณและเครือข่ายของฉันฉัน จะทำให้คุณเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมนี้อย่างแน่นอน"

เขากำลังดึงดูดความสนใจ แต่เฉินเป้ยอีไม่ได้ยินสิ่งที่เขาพูดเลย

เธอจงใจเตะเก้าอี้ที่หน้าเท้าของเธอ เพื่อให้ทุบโดนหลังของผู้จัดการหลิน

จากนั้นในขณะที่เขาหันกลับมาและเคลื่อนตัวออกไปจากเก้าอี้ เธอเอื้อมมือไปที่กระเป๋ากางเกงและพยายามกดหมายเลข 110 ด้วยความตื่นตระหนก แต่โทรศัพท์ติดอยู่ที่หน้าแอพวีแชท…

ในเวลานี้เห็นได้ชัดว่าผู้จัดการหลินสังเกตเห็นพฤติกรรมของเธอ แล้วจะยึดโทรศัพท์มือถือของเธอ

"ผู้จัดการหลินคุณ … คุณต้องการทำอะไร" ความกลัวทำให้เธอพูดไม่ออก

ผู้จัดการหลินขมวดคิ้วและถอดเสื้อหนาวออก "เป้ยอี คุณไม่ต้องอยู่ต่อก็ได้ แต่เป็นคนรักของฉันได้ไหมฉันสัญญาว่าจะให้เงินมากกว่าใน SM"

เฉินเป้ยอีรู้สึกว่าสมองเบลอๆ เธอเม้มริมฝีปากและส่ายหัวอย่างสิ้นหวัง: "ผู้จัดการหลินปล่อยฉันไป ฉันไม่ต้องการเงิน … "

เพียงแค่ความปรารถนาของผู้ชาย จะที่ไหนก็ไม่สามารถเจรจาได้อีก

เธอเห็นผู้จัดการหลินถอดเสื้อผ้าและพูดคำดูถูก

"คนดี เชื่อฟังหน่อย พี่จะได้ไม่ทำให้ทรมานมาก… "

ด้วยเหตุนี้ เขาพุ่งตัวเข้าหาเฉินเป้ยอี เธอตกใจ มือของเธอก็คลายออก …

โทรศัพท์ตกอยู่ใต้เก้าอี้

ทันใดนั้นแม่เกา ก็จำอะไรบางอย่างได้ และดึงแขนเสื้อของพ่อเกา "ใช่แล้ว คุณยังไม่ได้บอกฉันเลยว่า อาไห่เป็นยังไงบ้าง ? "

พ่อเกาตัวสั่นและหายใจแรง เขาค่อยๆหันมาและมองไปที่แม่เกา "เสี่ยวอวี่ อาไห่กลายเป็นอัมพาตไปแล้ว" ในไม่กี่คำเขาพูดอย่างใจเย็น แต่แม่เกาที่เข้าใจเขา เมื่อเธอเห็นความสิ้นหวังในดวงตาของเขา เธอก็เกลียดและโทษตัวเอง

เธอยกมือขึ้นและทิ้งไว้ข้างเก้าอี้ดวงตาของเธอจ้องมองไปข้างหน้าอย่างว่างเปล่า ความเจ็บปวดในใจของเธอไม่สามารถอธิบายเป็นคำพูดได้อีกต่อไป หลังจากนั้นไม่นานเธอก็พูดว่า "ฉันขอโทษ เกาเจีย ฉันขอโทษคุณ ฉันขอโทษคุณด้วย! "

"แม่" เกาเหวินเรียกเธอแล้ว เธอก็ร้องไห้ไม่ออก

แม่เกามองเธออย่างเย็นชาและพูดเบา ๆ ว่า "อย่าเรียกฉันว่าแม่อีกต่อไป"

คนอื่นไม่เข้าใจ แต่เกาเหวินเข้าใจอย่างแน่นหนาในใจ เธอกลัวว่าพ่อจะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เธอรีบพูดว่า "แม่ไม่ว่าแม่จะเป็นยังไง แม่ก็เป็นแม่ของฉัน ไม่ต้องกังวลฉันบอกเส่าเฉินแล้ว เขาจะหาทางแก้ให้เอง รอคุณออกมาเราก็ … "

"คุณเกาถ้าไม่มีอะไรก็ออกไปกันเถอะ" แม่เกาขัดจังหวะเกาเหวินสีหน้าของเธอไม่แยแส และเธอมองไม่ออกว่ากำลังคิดอะไรอยู่

"แม่" เกาเหวินก้มหัวลง การทำแบบนี้ของแม่ทำให้เธอรู้สึกกลัว

"เสี่ยวอวี่ คุณดีกับอาไห่ ผมไม่เชื่อว่าคุณจะทำร้ายเขา เสี่ยวอวี่… " แม่เกายืนขึ้นและเดินเข้าไปพร้อมกับบอก "พวกคุณกลับไปเถอะ"เมื่อคิดแล้ว ก็หันกลับไป พูดกับพ่อเกาว่า "คุณเกา ถ้ามีชาติหน้าอย่าได้เจอฉันอีกนอกจากนี้ ถ้าเธอยังอยู่ก็ไปหาเธอ เรื่องของปีนั้น ฉันเป็นคนคิดทำเองทั้งหมด คุณเกา ฉันผิดเอง… "

คุณพ่อเการู้สึกตกใจมาก เขาลุกขึ้นอย่างเร็วเบิกตากว้างและมองไปที่แม่เกาด้วยความไม่เชื่อ "เสี่ยวอวี่ คุณบอกว่าเรื่องที่เกิดอะไรขึ้นในตอนนั้น คุณเป็นคนคิดเอง?"

"แม่ พี่ชายยังไม่ตาย เขาเป็นอัมพาต คุณจะไม่ถูกตัดสินประหารชีวิต … " เกาเหวินกังวลมากเธอจึงไม่สนใจสิ่งที่แม่เกาพูด แต่เพียงแค่ขัดจังหวะ หลังจากพูดจบ ก็เห็นว่าแม่เกาไม่ได้ตอบกลับ จากนั้นเธอก็พูดต่อว่า "แม่ แม่ไม่ได้เป็นคนฆ่าพี่ชาย "

ในตอนนี้แม่เกายืนนิ่ง เธอกำหมัดแน่น เกือบจะพุ่งไปที่เกาเหวินและตบเธอ

"เฮ้ย เป็นอะไรของคุณ ลูกสาวอุตสาห์มาเยี่ยม คุณจะทำร้ายเธอทำไม?" ผู้คุมสองคนที่ยืนอยู่ที่ประตูได้ยินและรีบไปจับแม่เกา

เกาเหวินก้มหน้าร้องไห้อย่างหนักจนยืนตัวตรงไม่ได้“ แม่ … ” หลังจากที่เธอเรียกแม่แล้ว เธอก็พูดอะไรไม่ออกเลย

ความสนใจของพ่อเกาเปลี่ยนไป และเขาก็หันไปจ้องเกาเหวินด้วยความประหลาดใจเล็กน้อย ในชีวิตของเธอแม่เกาไม่ค่อยพูดเสียงดังกับลูกทั้งสอง นับประสาอะไรกับการลงมือ แต่วันนี้เห็นได้ชัดว่าเธอมีบางอย่างผิดปกติ

“ เสี่ยวอวี่ … ”

"กลับไป!" คำตอบเดียวที่เขาได้

หลังจากถามคำถามไปหลายครั้ง เขาก็ไม่สามารถรู้คำตอบได้อีกต่อไป

เนื่องจากนี่เป็นครั้งสุดท้ายที่พวกเขาเห็นแม่เกา ตระกูลเกาได้รับโทรศัพท์จากเรือนจำในคืนนั้นโดยบอกว่าแม่เกาฆ่าตัวตายในคุก

และทิ้งคำพูดสุดท้าย ความจริงที่ว่าเธอเป็นคนผลักเกาไห่

ทันทีที่เขารับสาย พ่อเกาก็เป็นลม โชคดีที่เขาถูกส่งตัวไปโรงพยาบาลทันเวลา แต่ไม่มีปัญหาใด ๆ เพียงแค่ข้ามคืน เขาก็ดูแก่ลงไปมาก

“ พ่อ พ่อก็กินไรสักหน่อยก็ยังดี งานศพของแม่ยังรอให้พ่อไปจัดการอยู่” เกาเหวินเทซุปไก่จากกระติกน้ำร้อนแล้วยื่นให้พ่อเกา

พ่อเกาไม่ได้รับไว้ แต่หันหัวและมองไปที่เกาเหวินดวงตาสีเข้มของเขาจับจ้องไปที่เธอ ยกมือขึ้นและปัดชามในมือของเธอลงที่พื้น และหล่นใส่เท้าของเกาเหวิน แต่เธอไม่กลับกล้าร้องว่าเจ็บ

“ เสี่ยวเหวิน … ” เกาเหวินไม่รู้ว่าพ่อของเขาหมายถึงอะไร แต่สายตาของเขาทำให้เธอรู้สึกผิดและกลัว

“ บอกฉันสิทำไมแม่ของคุณถึงไม่ทะเลาะพี่ชายของคุณ” น้ำเสียงของพ่อชัดเจนเหมือนเดิม แต่เกาเหวินรู้สึกว่าเสียงนั้นเย็นชามาก

เธอกัดริมฝีปากล่างและก้มหัว ริมฝีปากของเธอสั่นเพราะความตื่นเต้น "พ่อ ผิดที่ฉัน ผิดที่ฉัน"

“ หมายความว่าไง”

เกาเหวินสูดหายใจเข้าและหันหน้าหนี“ ในวันนั้นเส่าเฉินต้องการยกเลิกงานแต่งงานกับฉันเพราะเฉินเป้ยอี ฉันจึงกลับมาและบ่นกับแม่ของฉัน ใครจะไปรู้ … ว่าเกาไห่ก็อยู่ด้วย… และเขาก็ทะเลาะกับฉัน… จากนั้นเขาก็ขู่ว่าบอกกับเส่าเฉินว่าเรา … เรา เรายังโกหกเขา"

เธอหยุด "ต่อมาหลังจากนั้นแม่ของฉันไล่เขาออกไปทันที … เธออาจจะต้องการดึงเขา ดึงไปดึงมา ไม่ทันระวัง เกาไห่ก็ตกลงไปเอง"

“ พ่อ แม่ไม่ได้ตั้งใจทำอย่างนั้นหรอก.. เธอต้องได้ยินมาว่าเกาไห่กลายเป็นอัมพาตและเธอรู้สึกผิดในใจ ทำให้…ทำให้คิดไม่ออก และฆ่าตัวตาย”

พ่อเกา มักรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติในการเชื่อมโยง แต่เขาไม่พบความอะไรในคำอธิบายของเกาเหวินดูเหมือนจะราบรื่นและสามารถอธิบาย การตบที่แม่เกาตบเธอเมื่อวานนี้และสาเหตุที่แม่เกาผลักเกาไห่ตกลงไป

เกาเหวินมองไปที่พ่อเกาอย่างตื่นตระหนกคิดถึงเรื่องนี้และจงใจเปลี่ยนเรื่อง "พ่อโปรดช่วยฉันด้วย ถ้าฉันกับเส่าเฉินแยกจากกันตระกูลเกาของเราจะจบลงจริงๆ"

ตระกูลเกา ทำธุรกิจวัสดุก่อสร้าง ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาการพึ่งพาหลังม่านของตระกูลหนิงอาจกล่าวได้ว่ามันเป็นที่นิยมอย่างมากใน เมือง C พ่อเกาใช้ชื่อว่าพ่อตาของหนิงเสาเฉิน ซึ่งทำให้เขารู้สึกเหนือกว่า แต่เมื่อนึกถึงการโอนหุ้น 5% ของหนิงเส่าเฉิน

เขาไม่คิดว่ามันเป็นเรื่องเลวร้ายที่เกาเหวินและหนิงเส่าเฉินแยกจากกัน

แต่? จะดีกว่าไหมถ้าคุณสามารถมีทั้งสองอย่าง

“ ลูกบอกว่าเฉิน…อะไรนะ เกิดอะไรขึ้นกันแน่?”

เมื่อเห็นว่าความสนใจของพ่อเกาได้รับการตอบสนอง เกาเหวินก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก เกาไห่กลายเป็นอัมพาตเธอไม่ได้เศร้า แต่รู้สึกโชคดีด้วยวิธีนี้ไม่มีใครรู้ว่าพวกเขาโกหกหนิงเส่าเฉินอย่างไร แต่เธอเสียใจกับการตายของแม่เกา แต่เธอซึ่งตาบอดเพราะความเห็นแก่ตัวได้โทษเฉินเป้ยอี ว่าการตายของแม่เกาเป็นเพราะคนอื่น

"พ่อ ผู้หญิงคนนั้นทำงานเป็นพี่เลี้ยงเด็กให้กับหนิงเสี่ยวซีในบ้านตระกูลหนิง เมื่อไม่นานมานี้ฉันไม่รู้ว่าเธอใช้มนต์เสน่ห์อะไร หนิงเสี่ยวซีเปลี่ยนไปเรียกแม่ และจับคู่เส่าเฉินกับผู้หญิงคนนั้น ออกไปกินข้าวและไปช้อปปิ้งด้วยกันทุกวัน ฉันคิดว่าเส่าเฉินต้องถูกเธอหลอกแน่ ๆ "

พ่อเกาขมวดคิ้วกวาดมุมปาก ดวงตาของเขาเย็นลงอย่างไม่สามารถควบคุมได้

ทันใดนั้น เขาก็จำอะไรบางอย่างได้ "สกุลเฉินที่พูดถึง ใช่คนที่อยู่หน้าห้องฉุกเฉินในคืนนั้นรึเปล่า"

เกาเหวินพยักหน้า“ ใช่ เป็นเธอ พ่อเห็นเธอใช่ไหม รู้ไหมเพื่อดึงดูดความสนใจของเส่าเฉินในวันนั้นเธอลงไปที่ภูเขาเพื่อตามหาพี่ชาย พร้อมกับตำรวจ แล้วเส่าเฉินก็ลงตามไปด้วยในภูเขาสูงชันมาก เส่าเฉินสามารถทิ้งชีวิตของเขาเพื่อเธอได้” เกาเหวินเริ่มสะอื้นเมื่อเธอพูดเช่นนี้

พ่อเกาหรี่ตาลงอย่างแปลกใจ ที่เธอบาดเจ็บวันนั้น เพราะตามหาลูกชายของเขา

เพื่อหาคนแปลกหน้า? จำเป็นไหมที่ต้องทำให้ตัวเองเป็นแบบนี้?

ดูเหมือนว่าผู้หญิงคนนี้มีเรื่องที่น่าสงสัยจริงๆ!

เมื่อนึกถึงสิ่งนี้ใบหน้าของพ่อเกาก็เปลี่ยนไป และหลังจากนั้นไม่นานก็เปลี่ยนไปอีกครั้งเขาจัดท่าทางและมองไปที่เกาเหวินอย่างนิ่งเรียบ“ เนื่องจากเธอไม่รู้ว่าอะไรดีหรือไม่ดี ก็ให้เธอได้เห็นของจริงละกัน” ในตอนนี้ดวงตาของเขา หลังจากที่เขาเย็นชาแล้ว กล่าวเสริมว่า: "ใช่ อีกอย่างเสี่ยวหลินอยู่ในบริษัทของลูกใช่ไหมการจัดการของเสี่ยวหลินครั้งก่อนไม่เลวเลยนะ"

การแสดงออกของเกาเหวินเปลี่ยนไป "พ่อ พ่อหมายความว่ายังไง?

ลมที่พัดเข้ามารบกวนความคิดของเฉินเป้ยอั

เธอเดินไปที่ห้องแต่งตัวอย่างเหม่อลอย

ยังไม่ทันเข้าไป ก็ได้ยินข้างในพูดกันดังมาก

"ว้าว เมื้อกี้เห็นกันไหม คุณหนิงมาส่งคุณเกามาทำงานและก็จูบหน้าผากคุณเกาด้วย ฉันนี้อิจฉาจริงๆ"

"เฮ้ ว่ากันว่าเกิดเรื่องที่บ้านคุณเกา พี่ชายของเกาเหวิน ถูกแม่ผลักตกหน้าผาและต้องอยู่สภาพที่เป็นอัมพาต แม่ของเธอถูกจับ ในฐานะคู่หมั้น แน่นอนว่าตอนนี้ต้องดูแลเป็นพิเศษ"

“ เธอว่า แม่ใจร้ายขนาดนี้เลยหรอ ลูกของตัวเองก็ผลักลงได้”

"ฉันจะบอกพวกเธอให้ มันมีข่าวลือทางออนไลน์ว่าพี่ชายของเกาเหวินไม่ใช่ลูกของแม่ แต่คือลูกของพ่อกับผู้หญิงข้างนอกที่อุ้มมาตอนเกิดแล้ว"

“ … โอ้ไม่น่าแปลกใจจริงๆ ไม่มีแม่เลี้ยงที่ดีหรอก”

ทุกคนคุยกับเธอ เฉินเป้ยอีวางกระเป๋าไว้บนโต๊ะ และเขายังคงคิดและติดอยู่กับภาพที่หนิงเส่าเฉินจูบเกาเหวินในตอนนี้

ในใจรู้สึกเบื่อมาก เธอกัดฟันมองออกไปนอกหน้าต่างบังคับตัวเองไม่ให้คิดถึงเรื่องนี้ แต่ภาพในใจยังคงวนเวียนอยู่

รู้ทั้งรู้เวลาแบบนี้ฉันไม่ควรหึงเกาเหวิน มันไม่ควรจริงๆ และฉันรู้สึกว่าตัวเองไม่มีสิทธิ แต่ฉันรู้สึกอึดอัดและผิดหวังมาก

"เป้ยอี โทรศัพท์ของเธอณมา" เพื่อนที่ยืนอยู่ข้างๆเธอก็ผลักเธอไป

เฉินเป้ยอีเหลือบมองไปที่หน้าจอโทรศัพท์ จ้องสักพัก แล้วนึกขึ้นได้ก็หยิบโทรศัพท์แล้วเดินออกไปช้าๆหรี่ตามองเล็กน้อย แล้วก็รับ

"ใส่น้อยจังไม่หนาวเหรอ" เสียงที่คุ้นเคยดังมาจากอีกด้านหนึ่งของโทรศัพท์และเเฉินเป้ยอีก็ยืนงงไปสักพัก จมูกของเธอก็แข็งทันที ตาก็แดงจากนั้นก็เม้มปากและก็ไม่พูด แต่ในใจคือโกรธ

"เธอพูดว่าจะเป็นครั้งสุดท้าย จะไม่มีครั้งต่อไป ผมสัญญา"

มุมปากเธอก็ยิ้มขึ้นเล็กน้อย เธอทนไม่ได้และตอบไปว่า "อืม" และทำให้หัวใจของเขาเต็มไปด้วยความสุขทันที แสดงว่าเขาได้เห็นเธอและเห็นการสูญเสียความเศร้าของเธอ จึงโทรมาอธิบาย.

แต่ … หลังจากมีความสุขไม่นาน ฉันก็รู้สึกขยะแขยงอีกครั้งแม้ว่าพวกเขาจะต้องแยกจากกัน แต่เขาก็ยังเป็นคู่หมั้นกัน ว่าที่ภรรยาที่ถูกต้อง เธอมีสิทธิใดที่จะโกรธและหึงได้

"ฉันไม่เข้าใจว่าคุณกำลังพูดถึงอะไร จะวางแล้วนะ" เธอปากแข็งและวางสายโทรศัพท์ แต่เธอก็กลับยิ้มมุมปากแบบร้ายๆ ขึ้นโดยไม่ได้ตั้งใจ

หากคุณมีความรักต่อคน ๆ หนึ่งทุกการกระทำของอีกฝ่ายจะมีอิทธิพลต่ออารมณ์ของคุณทั้งหมด

ก่อนหน้านี้เฉนเป้ยอีรู้สึกว่ามันเกินจริงเกินไป แต่ในใจลึกๆตอนนี้เธอรู้สึกประทับใจอย่างมาก

"เป้ยอี ช่วงก่อนหน้านี้คุเป็นยังไงบ้าง"

น้องสาวอ้วนเดินเข้ามาถามและจากนั้นความสนใจทั้งหมดในห้องก็มุ่งไปที่เธอ เฉินเป้ยอีตกใจ

ใช่เธอเกือบลืมจุดประสงค์ของการมาในวันนี้

“ ไม่เป็นไรค่ะ” เธอตอบเบา ๆ แต่ไม่อยากอธิบายมาก

ทันใดนั้นเธอก็จำอะไรบางอย่างได้และมองไปรอบ ๆ ในห้องทำงาน "ชิงชิงอยู่ที่ไหน?"

น้องสาวอ้วนคนนั้นส่ายหัว "ฉันไม่รู้ฉันได้ยินว่า ดูเหมือนว่าถูกไล่ออก" เมื่อนึกถึงตอนที่อยู่ที่ห้างสรรพสินค้า เฉินเป้ยอีก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ

เธอหยิบจดหมายลาออกที่เตรียมไว้ออกจากกระเป๋า“ ฉันมาที่นี่ด้วยเพื่อจะลาออกและจะติดต่อกลับในภายหลัง”

หลังจากพูดจบท่ามกลางการสนทนาและความประหลาดใจของทุกคนเธอก็เดินออกจากห้องแต่งตัวและเดินเข้าไปในห้องทำงานของผู้จัดการหลิน

ดูเหมือนเขาจะรู้ว่าเธอจะลาออกคราวนี้

จากนั้นผู้จัดการหลินก็พูดเพียงว่า: "อืม คุณรู้ไหมว่า ชิงชิงก็ลาออกเช่นกันและพนักงานของเราไม่เพียงพอ รอการรับสมัครพนักงานใหม่ แล้วค่อยออกได้ไหม "

เฉินเป้ยอีลังเล พร้อมกับเกาหัวไปด้วย คิดแล้วคิดอีก ในที่สุดก็ได้แค่พยักหน้า อย่างไรก็ตามนี้เป็น บริษัท ของหนิงเส่าเฉินด้วย แม้ว่ามันอาจจะไม่สำคัญสำหรับเขาก็ตาม

เกาเหวินเพิ่งเซ็นสัญญาที่สำคัญสองสามข้อเมื่อเธอไปที่ บริษัท พ่อเกาก็โทรมาหาเธอและหลังจากวางโทรศัพท์แล้วเธอก็รีบไปที่ศูนย์กักกัน

เพราะหนิงเส่าเฉินติดต่อกับทุกคนในสถานกักกันดังนั้นเมื่อเห็นเธอเข้ามาพวกเขาจึงมีทัศนคติที่ดีมากต่อเธอ

“ คุณหนูเกา คุณท่านเกากำลังรอคุณอยู่ข้างในแล้ว?” เพิ่งมาถึงก็มีคนทักทายเธอแล้ว

นี่เป็นวันที่ห้าที่แม่เกาถูกจับ เธอมาหาตั้งแต่วันที่สองแล้ว แต่ก็ปฏิเสธที่จะพบเธออีกครั้ง

ใจเธอรู้ดี ว่าเธอเป็นอะไร

“ คุณบอกเธอหน่อย ว่าพ่ออยากเจอเขา”

ผู้คุมมองเธอแล้วถอนหายใจเฮือกใหญ่ แม่ใจร้ายผลักลูกชายตกหน้าผา ลูกสาวมาหา แต่เธอก็ยังไม่อยากเจอ

"โอเค คุณชายเกา คุณหนูเกา พวกคุณรอก่อน"

เมื่อเกาเหวินคิดว่าแม่ของเธอจะไม่ได้เห็นพวกเธออีกแน่นอน แม่เกาสวมชุดของเรือนจำและเดินออกมาจากที่นั่น

หลังจากไม่ได้เจอสองสามวันหน้าเธอก็ซีดอย่างเห็นได้ชัด เธอเหลือบมองไปที่เกาเหวิน เธอยังไม่แสดงออก แต่เมื่อสบตากับพ่อเกาก็มีความรู้สึกมีความอ่อนโยนมากขึ้น

"เสี่ยวอวี่ … " พ่อของเกาเรียกชื่อเล่นแม่ของเกา

"ทำไมคุณถึงมาที่นี่" ใบหน้าของแม่เกาโกรธขึ้นและทันทีที่เธอพูดเธอก็สำลักและขอบตาของเธอก็เป็นสีแดงทันที

"บอกฉันมาเสี่ยวอวี่ว่าเกิดอะไรขึ้นในคืนนั้น คุณรักอาไห่มากกว่าฉันมาตลอด คุณจะทำได้อย่างไร … " พ่อเกาพูดได้เพียงครึ่งเดียว ไม่สามารถพูดได้อีกต่อไป มือวางอยู่บนโต๊ะ และค่อยๆกำหมัด

ดวงตาของแม่ของเกาเย็นชา เธอหันไปมองเกาเหวินลดเสียงลงและกระซิบ: "เสี่ยวเหวิน เธอบอกพ่อของเธอว่าเกิดอะไรขึ้นในคืนนั้น?"

เกาเหวินผงะ มือของเธอที่ห้อยอยู่ข้างๆบีบอย่างไม่สามารถควบคุมได้เธอเงยหน้าขึ้นมองแม่เกาแล้วมองไปที่พ่อ ที่อยู่ข้างๆ เธอไม่เข้าใจว่าแม่ของเธอหมายถึงอะไรและกลืนน้ำลาย เธอหายใจเงียบ ๆ ยืนขึ้นและพูดเสียงแหลม:

“ คือ … คือ … เขาทะเลาะกับแม่แล้ว … แล้วเขาก็วิ่งออกไป … จากนั้นแม่ก็ตามออกไปแล้ว … หลังจากนั้นเกิดอะไรขึ้นฉัน … ฉัน ก็ไม่รู้เหมือนกัน”

หลังจากคำพูดง่ายๆไม่กี่คำ เหงื่อก็ปรากฏบนหน้าผากของเกาเหวิน

พ่อเกาเหวินมองเธอแล้วกระแทกโทรศัพท์ลงบนโต๊ะ "เสี่ยวเหวินมองมาที่ฉันแล้วคุยกัน"

พ่อเการู้จักลูกที่เกิดและเติบโตมาด้วยมือของเขาเอง เมื่อเห็นท่าทางของเกาเหวิน เขาก็รู้ในใจว่าต้องมีอะไรแปลก ๆ เกี่ยวกับเรื่องนี้

ร่างกายของเกาเหวินสั่นอย่างเห็นได้ชัดหัวของเธอห้อยลง เธอไม่กล้ามองพ่อเกาเลย

"คุณไปเอาผ้าพันแผลก่อน" หนิงเส่าเฉินพูดอย่างกะทันหัน

ทันทีที่เฉินเป้อยอีมองตามสายตาของเขา เธอก็เห็นว่ามีบาดแผลยาวที่หัวเข่าของเธอ ตอนนี้เลือดไหลออกมา

ทำให้กางเกงยีนสีของเธอเปือนเป็นสีแดงเข้ม

เธอหยิบทิชชู่ออกจากกระเป๋าพยายามเช็ดคราบเลือดบนใบหน้า แต่เมื่อเธอเช็ดเรื่อย ๆ

เห็นได้ชัดว่าบาดแผลยังคงมีเลือดไหลอยู่

"เป้ยอี ผมไปเป็นเพื่อน อยู่ตรงนี้อีกครึ่งชั่วโมงก็ไม่ดีขึ้นแน่นอน" ชูหยูจี้พูดขณะพยุงแขนของเธอ

เฉินเป้ยอีส่ายหัว“ ไม่ต้องแล้ว ถ้าเอากระดาษกดไว้มันจะไม่ไหล ”หลังจากพูดแล้วเธอก็เอาทิชชู่กดบาดแผลใบหน้าที่ไร้ความรู้สึกและเธอไม่คิดว่ามันเป็นเรื่องใหญ่

ความเฉยเมยของเธอทำให้ชายร่างใหญ่สองคนขมวดคิ้ว

ทันใดนั้นโทรศัพท์มือถือของพ่อเกาก็ดังขึ้นซึ่งทำให้ทุกคนหันมาสนใจ

"เฮ้ เสี่ยวเหวินเธอตื่นแล้วเหรอ … ตอนนี้พ่ออยู่ที่โรงพยาบาล … เธอ … เธอพูดอะไร?" จู่ๆพ่อเกาก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้ด้วยความสงสัยในสิ่งที่เกาเหวินที่อยู่อีกด้านหนึ่งของโทรศัพท์พูด ทันใดนั้นน้ำเสียงก็ดังขึ้น“ เธอบอกว่าแม่ของเธอผลักเกาไห่ตกเขา?” มือของเขาเริ่มสั่น

"เป็นไปไม่ได้ ฉันรู้จักแม่เธอดี แม่เธอทำไม่ได้และไม่มีเหตุผลที่จะทำแบบนั้น" ไม่รู้ว่าเกาเหวินพูดอะไรทำให้พ่อเกาโกรธมาก

เฉินเป้ยอีก็ตกใจเล็กน้อย แม่เกาผลักเกาไห่ตกหน้าผา? แม่ต้องการฆ่าลูกชายของเธอ? เป็นเช่นนี้ได้อย่างไร? เสือถึงร้ายก็ไม่กินลูกตัวเอง นับประสาอะไรกับมนุษย์?

แม้ว่าเธอจะไม่รู้จักแม่เกาคนนี้ แต่ในฐานะแม่เธอก็รู้สึกได้โดยไม่รู้ตัวว่าเป็นเช่นนั้นไม่ได้ …

"พูดเรื่องไร้สาระอะไรกันเนี่ย ถ้าพูดเรื่องไร้สาระอย่าโทรหาพ่ออีก" หลังจากจบประโยคนี้ พ่อเกาก็วางสายโทรศัพท์

จากนั้นแขนทั้งสองข้างก็ค้ำไว้กับกำแพงและหน้าผากก็พิงกำแพง ดูเจ็บปวดมาก

ด้านหนึ่งคือภรรยาของเขา และอีกด้านหนึ่งคือลูกชายของเขาเอง ซึ่งเป็นเรื่องที่คนส่วนใหญ่ทนไม่ได้

"คุณลุงครับ ผมได้สอบถามไปทางสถานีตำรวจแล้ว เขาบอกว่าคุณป้าจะไม่มีปัญหาใด ๆ ในตอนนี้ หลังจากสอบสวนเรื่องนี้แล้ว เราค่อยหาทางแก้" หนิงเส่าเฉินช่วยพยุงพ่อเกาให้นั่งลง

เห็นได้ชัดว่าพ่อเการู้สึกยินดีเล็กน้อยเกี่ยวกับการเคลื่อนไหวของเขา และพยักหน้าให้หนิงเส่าเฉินครั้งแล้วครั้งเล่า "เส่าเฉิน ฉันทำให้เธอลำบากจริงๆ"

“ มีความเป็นไปได้ไหมว่าจะเข้าใจผิด เพราะแม่จะฆ่าลูกชายของเธอได้อย่างไร?” หนิงเส่าเฉินนั่งลงข้างพ่อเกาโดยใช้มือโอบหน้าอกไว้และใช้น้ำเสียงนุ่มนวลในการถาม แต่ดวงตาของเขากลับตกลงบนใบหน้าของเกา

เมื่อเห็นสีหน้าของพ่อเกาเปลี่ยนไป และเขาหันหน้าหนีสายตาของหนิงเส่าเฉิน และเขาก็พูดว่า "ฉันก็คิดเหมือนกัน"

เจ้าหน้าที่ที่ตรงไปตรงมาแทบจะไม่สามารถพิสูจน์เรื่องของตระกูลนี้ได้ แม้แต่เฉินเป้ยอีก็รู้สึกสงสัยเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้ของตระกูลเกา แต่เธอก็ไม่สนใจที่จะเข้าใจ ดังนั้นเธอจึงไม่มีการแสดงออกตั้งแต่ต้นจนจบ

ประตูห้องผ่าตัดเลื่อนเปิดจากด้านในทั้งสองข้าง

คนสี่คนลุกขึ้นยืนในเวลาเดียวกัน และแพทย์หลายคนก็ออกมาจากข้างใน

แพทย์ผู้ทำการตรวจ ถอดหน้ากากพยักหน้าให้ หนิงเสาเฉินแล้วกล่าวว่า: "ผู้ป่วยได้รับการช่วยเหลือแล้ว แต่เนื่องจากได้รับบาดเจ็บที่ศีรษะอย่างรุนแรงเขาจึงเสียเลือดมากเกินไปอุณหภูมิต่ำและบาดแผลติดเชื้ออย่างรุนแรง ในสมองขาดเลือด ขาดออกซิเจน แม้จะรักษาดีแล้ว แต่ก็ยังเป็นคงอัมพาต"

หมอพูดสองสามคำด้วยน้ำเสียงที่ชัดเจน พูดง่ายๆคือเกาไห่จะเป็นอัมพาต

เมื่อได้ยินเช่นนี้พ่อเกาก็อดไม่ได้ที่จะตัวสั่นและอ้าปากเหมือนอยากจะพูดอะไรบางอย่าง และเขาก็นั่งลงที่เก้าอี้

หนิงเส่าเฉินขมวดคิ้ว"อืม" ไม่มีอารมณ์ใด ๆ ที่สามารถมองเห็นได้

ในทางกลับกันเฉินเป้ยอีกำลังปกปิดหัวใจของเธอและแววตาของเธอก็เป็นสีแดงอีกครั้ง

"หยูจี้ คุณสามารถส่งฉันกลับก่อนได้ไหม" หลังจากหมอชี้แจงอาการของคนคนนั้นแล้วเธอก็รู้สึกว่าไม่จำเป็นที่จะต้องอยู่ต่อ

ชูหยูจี้พยักหน้าและเมื่อเขาเดินผ่านหนิงเส่าเฉินเขาก็ตบไหล่ของเขาแรง ๆ

หลังจากกลับถึงบ้าน ก็ 5 ทุ่มแล้ว ชูหยูจี้ไม่ไว้วางใจ เขาพยายามอยากอยู่ดูแลเธอ แต่เธอให้เขากลับ

เธอเพิ่งอาบน้ำเสร็จ ก็มานอนบนเตียงคิดถึงคำว่า "อัมพาต" จากหมอแล้วก็นอนพลิกตัว และนอนไม่หลับเป็นเวลานาน

เธอยังนึกถึงหนิงเส่าเฉิน และครอบครัวของเกาเหวินเกิดเหตุการณ์ใหญ่เช่นนี้เขายังคงเป็นคู่หมั้นของเธอ และชีวิตไม่ง่ายอย่างแน่นอน

ช่วงนี้ เขาตกอยู่ในสภาพที่อึดอัดมาก

เมื่อนึกถึงฉากที่ใต้ภูเขา เธอก็หยิบโทรศัพท์บนหัวเตียงมาและส่งข้อความวีแชทว่า "เรื่องมันก็ออกมาเป็นแบบนี้แล้ว อย่าเศร้านะ"

หลังจากนั้นไม่นานจนกระทั่งเฉินเป้ยอีเกือบจะหลับเธอก็ได้ยินเสียงของวีแชท

เมื่อเปิดมาพบว่าหนิงเส่าเฉินส่งข้อความมา"ช่วงนี้ผมอาจจะไม่สามารถดูแลคุณได้ อย่าลืมดูแลตัวเองด้วย"

หัวใจของเฉินเป้ยอีรู้สึกดีขึ้น "คุณก็เช่นกัน"

ในอีกไม่กี่วันต่อมา นับวันยิ่งเงียบสงบ

หนิงเส่าเฉินยุ่งมาก จนไม่มีเวลาเล่นโทรศัพท์หรือวีแชทเลย

แม้ว่าเธอจะรู้สถานการณ์นี้ และเธอก็ไม่ควรเปรียบเทียบตัวเองกับเกาเหวิน แต่สุดท้าย เขาต้องห่วงใยเธอเพราะเกิดเรื่องใหญ่มากในครอบครัวของเธอ

อย่างไรก็ตาม การสูญเสียครั้งนี้มันเจ็บปวดเหมือนโดนอะไรแทงที่หัวใจ

ห้ามไม่ให้คิดฟุ้งซ่านไม่ได้จริงๆ

เมื่อเธอเห็นหนิงเส่าเฉินครั้งที่แล้ว หลายวันต่อมา เธอลงจากรสบัสพอดี มองจากไกลๆก็เห็นว่ามีรถสีดำที่จอดอยู่หน้าบริษัท

จากนั้นเมื่อเห็นหนิงเส่าเฉินลงจากรถเธอก็ดีใจมาก

อย่างไรก็ตามในวินาทีถัดมาประตูของอีกข้างก็เปิดออก

เกาเหวินเดินออกมาจากข้างใน

ทั้งสองไม่รู้ว่าพวกเขาพูดอะไรเกาเหวินก็พิงแขนเขา เพราะห่างกันเกินไป เธอมองไม่เห็นท่าทีของพวกเขา

เธอยืนอยู่ที่นั่น ใบหน้าของเธอเปลี่ยนไปครั้งแล้วครั้งเล่า ใจของเธอหดหู่มากเหมือนถูกยัดด้วยผ้าฝ้าย

จากนั้นเธอก็เห็นหนิงเส่าเฉินดันตัวกเกาเหวินออกไป

เขาเอนตัวไปและจูบเธอที่หน้าผากเกาเหวินยิ้มให้เธอโบกมือและเขาก็ขับรถออกไป

รู้สึกเหมือนคู่รักผู้ชายมาส่งแฟนสาวทำงาน การจูบลาที่หวานมาก

ในตอนนี้เธอรู้สึกเหมือนเป็นคนนอก แต่เธอก็ยังทำตัวเหมือนเด็กทารกในอ้อมแขนของชายคนนี้ เมื่อไม่กี่วันก่อนผู้ชายคนนั้นยังแยกออกจากเธอไม่ได้ไม่ใช่เหรอ?

เธอยืนอยู่กับที่เหมือนรูปปั้นจับสายกระเป๋าไว้ ในมือทั้งสองข้างกำแน่น และหน้าซีด

จนกระทั่งรถหายไปเฉินเป้ยอีไม่สามารถละสายตาได้

เกาเหวินตัวแข็งทื่อ ยืนงงไปสักพัก"ใช่เสjาเฉินพี่ชายของฉันเป็นยังไงบ้าง มีคนบอกว่าตอนนี้เขายังมีชีวิตอยู่ใช่ไหม"

หนองเส่าเฉิน มองดูเธออย่างลึกซึ้ง“ ฉันยังไม่รู้สถานการณ์ อีกเดี๋ยวคงขึ้นมาได้”

หลังจากพูดแล้วเขาก็หันมองไปที่เฉินเป้ยอีที่ยืนอยู่ข้างๆอย่างเงียบ ๆ เธอถูกปกคลุมไปด้วยรอยแผล ด้วยความตกใจ "นายพาเธอไปโรงพยาบาลก่อน" เขาพูดกับ ชู่หยู่จี้

"ไม่!" เฉินเป้ยอีปฏิเสธ

จากนั้นเธอก็พูดอีกว่า: "ฉันอยากเห็นว่าเขาเป็น

อย่างไร?"

เกาเหวินขมวดคิ้วและหันไปจ้องที่เฉินเป้ยอี"พี่เฉินคุณรู้จักพี่ชายของฉันไหม"

เมื่อเฉินเป้ยอีได้ยินว่าเกาเหวินยังคงเรียกเธอว่าพี่เฉิน เธอรู้สึกรังเกียจและชื่นชมผู้หญิงคนนี้ แทบอยากจะฆ่าเธอ แต่เธอยังสามารถเรียกเธอว่าพี่เฉินได้อย่างใจเย็น ลึก ๆ ในใจของเธอ น่ากลัวจริงๆ เมื่อพยักหน้าให้เธอ "คุณเกา ฉันไม่รู้จัก ฉันแค่อยากช่วย

หลังจากพูดเสร็จเธอก็หันหน้าไป ปกปิดความรู้สึกผิดในสายตาของเธอ

" ฉันเห็นว่าคุณตื่นตระหนกมาก ฉันคิดว่าคุณและพี่ชายของฉันรู้จักกันสะอีก ?พี่สาว ฉันขอบคุณที่สนใจเขา" เธอมองไปที่เฉินเป้ยอี ด้วยสายตาที่อ่อนโยนเธอกำลังจับหนิงเส่าเฉินไว้ในมือ "เส่าเฉิน พี่เฉินกระตือรือร้นมากแม้คนที่ไม่รู้จักก็หมดหวังมาก"

เฉินเป้ยอีเหลือบมองเธอและจ้องไปที่หนิงเส่าเฉินใบหน้าของเขาเย็นชาและเขาไม่แสดงออกใดๆเพียงแค่เมื่อเธอคิดว่าเขาจะไม่พูด

“ เธอมีความเห็นอกเห็นใจอยู่เสมอ” คำพูดที่อบอุ่นของเขาเอ่อล้นออกมาจากปากของหนิงเส่าเฉิน

เกาเหวินอ้าปากอยากจะพูดอะไรบางอย่าง ทันใดนั้นมีคนในนั้นพูดว่า "ขึ้นมาแล้ว ดูเร็ว!"

จากนั้นสายตาของทุกคนก็มองไปใต้หน้าผา“ พี่ชายของฉันเป็นยังไงบ้าง” กัปตันเดินขึ้นมาก่อนและเกาเหวินก็วิ่งขึ้นมาและคว้าแขนกัปตันไว้

“ พี่ชายของคุณ?” ผู้กองตะลึงก่อนจ้องมองข้ามเกาเหวินและมองเฉินเป้ยอีที่ยืนอยู่ไม่ไกลและดึงริมฝีปากของเขา“ ผมหลงคิดว่าหญิงสาวคนนั้นเป็นน้องสาวของผู้บาดเจ็บ … ”

เธอยังคงร้องไห้ร่างกายของเธอบอบช้ำไปหมดและหนิงเส่าเฉินก็ยังดูแลเธอความจริงไม่ชัดเจนคนจึงเข้าใจผิด

เกาเหวินเม้มริมฝีปากของเธอและลดศีรษะลงเพื่อซ่อนความเกลียดในดวงตา

"คุณผู้หญิงปล่อยก่อน ผู้ป่วยจะต้องถูกส่งไปที่โรงพยาบาลเพื่อรับการรักษา" กัปตันดึงเกาเหวินออกไปและไม่ตอบคำถามของเธอ

เฉินเป้ยอีได้รับการพยุงจาก ชู่หยู่จี้และเดินไป "สวัสดีคุณตำรวจนั่นเขาเป็นอะไรมากไหม?"

กัปตันหันกลับมาและมองเฉินเป้ยอีใบหน้าของเขาสดใสขึ้นมากอย่างเห็นได้ชัด "ผมได้ยินหมอที่เพิ่งลงไปบอกว่าศีรษะของผู้บาดเจ็บกระแทกอย่างแรงมันยากที่จะพูดในตอนนี้"

หลังจากพูดจบเขาก็พยักหน้าให้เฉินเป้ยอีและ หนิงเส่าเฉินจากนั้นก็เริ่มอพยพผู้สังเกตการณ์

เกาไห่ถูกหามขึ้นรถพยาบาล

"ที่นี่มีสมาชิกในครอบครัวหรือไม่ ตามมา"

เกาเหวินตกใจมากเมื่อเธอได้ยินคำว่าครอบครัว แต่ความรู้สึกผิดและความกลัวในใจของเธอทำให้เธอไม่สามารถไปกับเกาไห่ได้ในขณะนี้เธอจึงหันกลับมาและเดินไปไปยังรถพยาบาล เธอแกล้งเป็นลม.

ผู้คนในรถพยาบาลที่นั่นยังคงตะโกนว่า "มีสมาชิกในครอบครัวหรือไม่"

เฉินเป้ยอีเหลือบมองไปที่เกาเหวินที่นอนอยู่ในอ้อมแขนของหนิงเส่าเฉิน รู้สึกกังวล เลยรีบวิ่งไปที่รถพยาบาลเข้าไปในรถพยาบาลและชู่หยู่เจี๋ยที่มีสติก็ตามไปด้วย

“ เสี่ยวเหวินคุณเป็นยังไงบ้าง?” หนิงเส่าเฉินก้มศีรษะลงหลังจากเธอล้มลงข้างรถพยาบาลสักพัก มองไปที่เกาเหวินในอ้อมแขน เขาขมวดคิ้วก้มลงกอดเธอ

เดินไปทางคฤหาสน์อย่างรวดเร็ว

เมื่อเห็นพ่อเกาขับรถลงมาและเห็นหนิงเส่าเฉิน อุ้มเกาเหวินเขาตกใจและรีบถามเขา "เสี่ยวเหวิน เกิดอะไรขึ้น?"

หนิงเส่าเฉิน ไม่ตอบเขาและรีบเดินกลับไปที่บ้านโดยวางเกาเหวินลงเตียง ถอดรองเท้าและห่มผ้าให้

หลังจากจ้องมองใบหน้าของเธออย่างลึกซึ้งอยู่สักครู่เขาก็หันกลับมาและบอกพ่อเกาให้ออกไป

"เส่าเฉินเกิดอะไรขึ้นเมื่อกี้ฉันกลับมาฉันเห็นรถพยาบาลและรถตำรวจขับผ่านไป" พ่อเกาพูดกับหนิงเส่าเฉินให้นั่งลงบนโซฟา

"คุณลุง ควรไปที่สถานีตำรวจตอนนี้" หนิงเส่าเฉินไม่นั่งและเอามือล้วงกระเป๋ากางเกงของเขามองไปที่พ่อเกาด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

"เกิดอะไรขึ้น" สีหน้าของพ่อเกาจมลงและลุกขึ้นจากโซฟา

"เป็นอะไรไปเสี่ยวเหวินตื่นสักพักให้เธอเล่าให้ฟังอีกครั้ง คุณป้าอยู่ในสถานีตำรวจตอนนี้ … " หนิงเส่าเฉินลังเลอยู่พักหนึ่งหลังจากเห็นชายสูงอายุตรงหน้าเขา : "เกาไห่ถูกผลักตกหน้าผาเขาเพิ่งได้รับการช่วยเหลือผมต้องไปโรงพยาบาลเดี๋ยวนี้"

เมื่อพูดจบเขาก็เห็นร่างของพ่อเกาเดินเซถอยหลังไปสองสามก้าว เขาจึงยื่นมือเข้ามาช่วย

พ่อเกาส่ายหัวใส่เขา ลูกกระเดือกกลิ้ง มือกำหมัดแน่น "ฉันจะไปโรงพยาบาลกับคุณ"

หลังจากพูดเสร็จเขาก็เดินออกไปหลังจากนั้นสองก้าวดูเหมือนว่าเขาจะจำอะไรบางอย่างได้และพูดกับพ่อบ้านที่ยืนอยู่ที่ประตู: "ถ้าเธอตื่น ขอให้เธอโทรหาฉัน"

“ คุณลุงคุณป้าถูกนำตัวไปที่สถานีตำตวจ” หนิงเส่าเฉินพูดซ้ำสิ่งที่เกาไม่ได้ยิน

สีหน้าของพ่อเกาโกรธขึ้นอย่างเห็นได้ชัดเงยหน้าขึ้นและนวดที่ดั้งจมูก "ไปโรงพยาบาลก่อน"

หลังจากพูดจบเขาก็เดินออกไปโดยไม่หันกลับมามอง

เมื่อหนิงเส่าเฉินและพ่อเกามาถึงโรงพยาบาลพวกเขาก็เห็นเฉินเป้ยอีและชู่หยู่จี้นั่งอยู่นอกห้องผ่าตัด

เขาและชูหยูจี้เจอกันที่งานเลี้ยงหมั้นของเกาเหวิน เมื่อเห็นเขาที่นี่เขาคิดเพียงว่าเป็นหนิงเส่าเฉินที่เรียกเขามาและเขาพยักหน้าทักทาย

เมื่อหันไปมองเฉินเป้ยอีที่กำลังเสียใจ "ผู้หญิงคนนี้ … "

"เธอคือ … " ชูหยู่จี้ต้องการอธิบาย …

“ เธอเป็นพนักงานของบริษัทของเสี่ยวเหวิน เธอได้ยินมาว่าเกาไฮ่ประสบอุบัติเหตุจึงมาช่วย”

"่อ่อ ต้องรบกวนแล้ว" พ่อเกาพูดอย่างอ่อนโยนและสุภาพหลังจากอยู่ข้างเฉินเป้ยอีสักพัก

เฉินเป้ยอีดึงริมฝีปากของเธอและยิ้มกว้างเธอไม่รู้ว่าวันนี้เธอเหนื่อยเกินไปหรือเปล่าเธอมีภาพหลอน เธอมักจะรู้สึกว่าคุ้นเคยกับผู้ชายคนนี้และดูเหมือนจะเคยเห็นเขาที่ไหนสักแห่ง แต่เธอจำไม่ได้ว่าเธอเห็นที่ไหน เมื่อเธอลุกขึ้นเธอรู้สึกถึงภาพที่เลือนลางในความคิดของเธอ

อย่างไรก็ตามพ่อของเกาเหวินเธอแน่ใจว่าไม่เคยติดต่อ

ใต้เท้าของเธอมีชายคนหนึ่งนอนอยู่

ใบหน้าของชายคนนั้นเต็มไปด้วยเลือดและเธอมองไม่เห็นรูปร่างหน้าตาของเขา แต่หนิงเส่าเฉินโบกมือ“ มานี่ เขาอยู่ที่นี่”

เฉินเป้ยอีถอนหายใจด้วยความโล่งอกและเข้าใจว่าคน ๆ นี้คือเกาไห่ที่ทุกคนกำลังตามหา

หลังจากที่กัปตันได้ยิน เขาก็ใช้เครื่องวิทยุโทรหาคนอื่น ๆมาทันที

เฉินเป้ยอีถูกหนิงเส่าเฉินดึงกลับ

กัปตันก้าวไปข้างหน้า ก้มตัวและมองดูลมหายใจ "เร็วเข้า ยังมีชีวิตอยู่ รีบแจ้งรถพยาบาลข้างบนเพื่อเตรียมเปลหามส่งลงมา"

กัปตันจัดวางอย่างเป็นระเบียบ

ขาของเฉินเป้ยอีอ่อนแรง เธอพิงแขนของหนิงเส่าเฉินและความเจ็บปวดในหน้าอกของเธอบรรเทาลงอย่างมากเมื่อเธอเห็นชายคนนั้น เธอขมวดคิ้วและปกปิดความสงสัยในดวงตาของเธอ

เธอไม่เคยเชื่อเรื่องผีและเทพเจ้า แต่ … เรื่องของวันนี้ช่างแปลกจริงๆ เธอกับชายแปลกหน้ารู้สึกเหมือนมีกระแสจิตต่อกัน

ข้อสรุปนี้ทำให้ริมฝีปากของเธอสั่นสะท้าน เธอหันกลับมาและมองไปที่หนิงเส่าเฉิน"ขึ้นไปกันเถอะ"

หนิงเส่าเฉินไม่ขยับ เขายื่นมือออกไปจับแก้มของเฉินเป้ยอี เงยหน้าของเธอขึ้นแล้ว จ้องมองไปที่ใบหน้าของเธอในขณะนี้ เธอผ่อนคลายมาเล็กน้อยอย่างเห็นได้ชัด เมื่อเทียบกับผิวที่ซีดของเธอเมื่อกี้

"บอกผมมา ความสัมพันธ์ระหว่างคุณกับเขาเป็นอย่างไร" หลังจากถามสิ่งนี้ หนิงเส่าเฉินก็รู้สึกกังวลเล็กน้อยและเขารู้สึกประหม่าเป็นครั้งแรกตั้งแต่ที่เขาเติบโตมา

เฉินเป้ยอีขมวดคิ้วเอียงหัวและหายใจเข้าลึก ๆ จากนั้นเธอก็มองกลับไปที่หนิงเส่าเฉิน"ฉันบอกแล้วว่าฉันไม่รู้จักเขา หนิงเส่าเฉิน ฉันไม่สามารถอธิบายให้คุณเข้าใจได้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ตั้งแต่ตอนที่ฉันรู้ว่าเขากำลังมีปัญหา หัวใจของฉันเจ็บและจากนั้นราวกับว่ามีเสียงนำทางฉันให้ฉันมาหาเขา "เธอกลืนน้ำลายและหยุดชั่วคราว

เมื่อเห็นว่าหนิงเส่าเฉินมองเธอโดยไม่ปฏิเสธเธอจึงพูดต่อ: "ฉันไม่รู้จะอธิบายเรื่องนี้ได้อย่างไร ฉันขอโทษ … ถ้าคุณไม่เชื่อฉัน ฉันก็ช่วยไม่ได้"

หนิงเส่าเฉินถอนหายใจด้วยความโล่งอก ทันใดนั้น ดวงตาของผู้หญิงบอกเขาว่าเธอไม่ได้โกหก ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อเธอเห็นเกาไห่ครั้งแรก เห็นได้ชัดว่าเธอมีความตื่นตระหนกในดวงตาของเธอ มันเป็นอารมณ์ที่เธอจะมีเมื่อพบคนแปลกหน้า ถ้าเธอรู้จักเกาไห่ เธอไม่ควรกลัว แล้วควรเป็นห่วง

แต่ เธอไม่ได้…..

"ฉันรู้ว่า เมื่อพูดคนอื่นจะไม่เชื่อแน่ ๆ ช่างมันเถอะ ถ้าคุณไม่เชื่อ ฉันจะ … "

เธอพูดยังไม่จบ เฉินเป้ยอีก็ถูกหนิงเส่าเฉินจูบ หัวใจที่ตื่นตระหนกของเฉินเป้ยอีค่อยๆสงบลง เธอค่อยๆยื่นมือออกมาที่เอวของเขา กอดหนิงเส่าเฉิน

ในที่สุดหนิงเส่าเฉินก็ยอมปล่อยเธอ แต่เอนตัวไปข้างหน้าและพูดข้างหูเธอเบา ๆ : "ไม่ว่าใครจะถามคุณ ก็อย่าบอกว่าวันนี้ความรู้สึกของคุณเป็นยังไง เข้าใจไหม"

เฉินเป้ยอีตกใจผลักหนิงเส่าเฉินออกไปและเงยหน้าขึ้นมองเขา“ คุณ … คุณหมายถึงอะไร?”

นิ้วเรียวของหนิงเส่าเฉินแตะใบหน้าที่ได้รับบาดเจ็บของเธอเบา ๆ “ ผมไม่เคยเชื่อเรื่องผีและเทพเจ้า แต่เป้ยอี ทั้งคุณและผม ไม่สามารถอธิบายได้ว่า ทำไมคุณถึงพึ่งพาความรู้สึกของตัวเองตามหาเขาได้ ไม่ใช่เหรอ”

เขาดึงเธอกลับเข้ามาในอ้อมแขนของเขา "ใครถาม ก็บอกว่าเกาไห่เจอโดยบังเอิญ เข้าใจไหม"

เฉินเป้ยอีผลักเขาออกไป "แต่ ฉันแค่ … " เธออยากจะบอกว่าเธอพบเกาไห่โดยความรู้สึก แต่เธอถูกปิดปากโดยเส่าเฉิน

“ สิ่งที่น่ากลัวกว่าใบมีดคมคือคำวิจารณ์ เป้ยอี ลืมไปซะ”

"แล้วคุณล่ะ คุณไม่กลัวเหรอ ฉันมีความสามารถนี้" เมื่อเธอพูดถึงความสามารถในดวงตาของเธอก็มีรอยยิ้มที่จริง ตอนที่เธอเพิ่งพบเกาไห่เธอตื่นตระหนกจริงๆ ด้วยสัมผัสที่หกของเธอเธอพบชายแปลกหน้า เธอยังสงสัยว่าเธอมีความสามารถวิเศษหรือไม่?

“ เมื่อกี้ ผมหวังว่าจะเป็นผมที่ตกจากหน้าผาในวันนี้”

เฉินเป้ยอีกระแทกหน้าอกของเขาลง "คุณกำลังพูดถึงอะไร!" หลังจากพูด ก็หันและเดินขึ้นไปที่ภูเขา

"เฉินเป้ยอี วันหนึ่งคุณจะคํานึกถึงความปลอดภัยของตนเองและความเป็นความตายของผมหรือไม่?" เขายืนอยู่ตรงจุดนั้น ตะโกนต่อแผ่นหลังเล็กๆ

เฉินเป้ยอีหยุดและผ่านไปครู่หนึ่ง เธอก็พยักหน้าอย่างหนัก

แสงสลัวมาก แต่หนิงเส่าเฉินยังคงมองเห็นมัน

เขามีความสุขเหมือนเด็ก และรีบไล่ตามไป ยื่นมือใหญ่จับมือของเฉินเป้ยอี ก้าวไปข้างหน้าและพาเฉินเป้ยอี ขึ้นไปบนภูเขา

เมื่อมองไปที่ชายเขาใกล้ ๆ เฉินเป้ยอีหวังเป็นอย่างยิ่งว่าทางขึ้นภูเขาจะยาวขึ้นและยาวขึ้น แม้แต่คิดอย่างละโมบ มันจะดีมาก ถ้าในชีวิตนี้จะไม่ต้องปล่อยมือเขาอีก

เมื่อก่อนเธอยังคงกลัวเกี่ยวกับเรื่องของหนิงเส่าเฉิน แต่ความคิดของเธอก็เปลี่ยนไปอย่างมาก เมื่อเธอลงไปข้างล่างแล้วขึ้นไปบนภูเขา

เมื่อลงจากภูเขา เธอก็ทำตามหัวใจของเธออย่างหมดหวัง แต่เขาล่ะ? คนมีค่ามากอย่างเขา แต่ทำเพื่อเธอ ลงมากับเธอ ถนนบนภูเขาสูงชันมาก ตอนนี้เธอถึงรู้สึกได้ว่าตอนนั้นเธอบ้าแค่ไหน เธอรู้สึกไม่มีสติในตอนนั้น แต่ผู้ชายคนนี้มีสติ แต่เขาก็ยังลงมากับเธอ แม้ว่าเธอจะไม่อยากอธิบาย แต่เขาก็ไม่ได้ถามอะไรอีก และปล่อยให้เธอทําตามอารมณ์ของเธอ

ชีวิตกับความตายแยกจากกันไม่ได้หรือ?

เมื่อเขาค้นพบ "ความสามารถ" ที่น่าขนลุกของเธอ เขาไม่กลัว แต่กังวลเกี่ยวกับอนาคตของเธอ

นี่ไม่ใช่คิดเพื่อเธอหรอ?

แต่……

"เส่าเฉิน" เสียงร้องเรียกของเกาเหวินทำให้เธอกลับสู่ความเป็นจริง

เธอถอนมือออกจากมือของหนิงเส่าเฉินโดยไม่รู้ตัว ก่อนที่พวกเขาจะปรากฏต่อสายตาของทุกคน

ความตื่นตระหนกในดวงตาของเธอ ทำให้หนิงเส่าเฉินรู้สึกถึงความทุกข์ใจ

“เป้ยอีอี้”

“ เส่าเฉิน”

เสียงของชู่หยูจี้และเกาเหวินดังขึ้นในเวลาเดียวกัน

"เป้ยอี คุณสบายดีไหม"ชู่หยูจี้ยื่นมือออกมาดึงเฉินเป้ยอีขึ้นจากนั้นเอาเธอเข้าไปในอ้อมแขนของเขา เฉินเป้ยอีวางมือทั้งสองข้างไว้วางที่หน้าอกของชู่หยูจี้ และผลักเขา ดวงตาของเธอสัมผัสสายตาที่โกรธของหนิงเส่าเฉิน เธอก็ยิ่งทำอะไรไม่ถูก

"เส่าเฉิน ทำไมคุณถึงกระโดดลงไปด้วย นั่นอันตรายมาก คุณไม่ห่วงชีวิตของคุณแล้วหรือ" เกาเหวินมองทั้งตัวของเขาหลังจากที่หนิงเส่าเฉินขึ้นมา เธอบ่นเมื่อเห็นรอยแผลเป็นบนร่างกายของเขา

อย่างไรก็ตาม หนิงเส่าเฉินขมวดคิ้วเหล่และมองลงไปที่ผู้หญิงตรงหน้าเขาด้วยสายตาลึก "คุณควรถามเกี่ยวกับพี่ชายของคุณก่อนไม่ใช่เหรอ?

ต้นไม้ใหญ่ที่อยู่ข้างหลังเธอเพียงแค่ปิดกั้นร่างกายของเธอไม่ให้เอนหลังต่อไปอีก เธอปล่อยลมหายใจออกมาอย่างหนักหน่วง

เมื่อหันกลับไปมอง ความผิดหวังในดวงตานั้นพิสูจน์ได้เป็นอย่างดีคนที่ผลักเธอเป็นเกาเหวิน

"เฮ้ เป็นใครกัน ขึ้นไปเร็ว มันอันตราย" เจ้าหน้าที่ตำรวจเมื่อเห็นเฉินเป้ยอีแล้วก็รีบหยิบไฟฉายส่องแสงมา

เมื่อเฉินเป้ยอีได้สติและเธอไม่มีเวลากังวลเรื่องอื่น เธอเดินลงไปอย่างรวดเร็วพยุงตัวไว้กับต้นไม้ เมือง S เป็นเขตภูเขา หลังบ้านของเธอก็มีภูเขาลูกใหญ่อยู่ไหมไกล เธอมักจะเดินเล่นในป่าตั้งแต่ยังเด็ก ดังนั้นการเดินลงไปในตอนนี้ไม่ได้ทำให้เธอรู้สึกว่าเป็นภาระมากนัก

หลังจากเดินลงไปได้สักพัก เธอก็ได้ยินเสียงแผ่วเบาดังมาจากด้านหลังและแสงที่ส่องมาจากด้านหลัง เธอหันหน้าไปโดยอัตโนมัติและเห็นหนิงเส่าเฉินยืนอยู่ไม่ไกล หัวใจของเธอก็แน่นขึ้น "คุณ คุณมาทำอะไรที่นี่?"

หนิงเส่าเฉินไม่พูดและก้าวไปข้างหน้าสองสามก้าวโอบเอวของเธอและอุ้มเธอลงจากภูเขาโดยไม่พูดอะไรสักคำ

"หนิงเส่าเฉิน คุณขึ้นไปเลย ฉัน … " เธอไม่รู้ว่าจะอธิบายให้เขาเข้าใจได้อย่างไรว่าทำไมเธอถึงอยากลงมา ถ้าเธอบอกกับเขา ในใจเธอมีความรู้สึกบางอย่างทำให้เธอเดินลงมา เขาจะไม่เชื่ออย่างแน่นอน

เพราะเธอยังไม่เชื่อตัวเองด้วยซ้ำ แต่ความรู้สึกที่ชัดเจนนั้นทำให้เธอไม่สามารถเพิกเฉยได้

"คุณรู้จักเกาไห่ไหม" ในที่สุด หนิงเส่าเฉินก็พูดพร้อมกับก้มหัวลงมาและมองไปที่เฉินเป้ยอี ผู้หญิงคนนี้มีความลับอะไร

"เกาไห่?"เฉินเป้ยอีส่ายหัว เธอไม่เคยได้ยินมาก่อน จะพูดว่ารู้จักได้อย่างไง

แน่นอนว่าเธอรู้ว่าเธอบอกว่า ไม่รู้จักและใคร ๆ ก็ไม่เชื่อเธอ เพราะสุดท้ายคงไม่มีใครร้องไห้ด้วยน้ำตาและมีความเจ็บปวดให้กับคนแปลกหน้าที่ไม่เคยพบเจอ

เธอไม่เชื่อตัวเองด้วยซ้ำ

อย่างไรก็ตาม นี่เป็นเรื่องจริง

ใบหน้าของหนิงเส่าเฉินจมลง เขาดึงเธอมาหาเขาจ้องที่เธอและพูดอย่างเย็นชา "ไม่รู้จักเหรอ เฉินเป้ยอีคุณคิดว่าตาของผมบอดหรอ ตาของคุณเป็นสีแดงจากการร้องไห้ คุณเดินลงโดยไม่ห่วงชีวิตของคุณได้ คุณบอกว่าคุณไม่รู้จักเหรอ”

คำถามของเขาไม่ทำให้เฉินเป้ยอีโกรธมาก นี่คือปฏิกิริยาที่แท้จริง

"เส่าเฉิน ฉันไม่จำเป็นต้องโกหกคุณ" เธอตอบสั้น ๆ

“ แล้วคุณบ้าไปแล้วเหรอ ที่ทำเพื่อคนที่ไม่รู้จัก”

เฉินเป้ยอีลดหัวลง เธอไม่ตอบต่อหนิงเส่าเฉิน แต่ทันใดนั้นก็วางมือลงบนร่างกายของเขา ปิดตาลงและการแสดงออกของเธอเจ็บปวดมาก ความเจ็บปวดนั้นบีบหัวใจรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ

"เกิดอะไรขึ้นกับคุณ?"

“หนิงเส่าเฉิน อย่าถามฉัน คุณช่วยพาฉันเดินลงไปก่อน” มีสิ่งบางอย่างที่เธอไม่สามารถอธิบายตัวเองได้

“ เกิดอะไรขึ้นกับคุณ?” หนิงเส่าเฉินมองดูขณะที่เหงื่อไหลออกมาจากหน้าผาก ลูกกระเดือกของเขาก็กลิ้งไปมาเสียงของเขาก็แหบแห้งหน่อย

เฉินเป้ยอีเพียงแค่ส่ายหัวของเธอ พยุงตัวไว้กับหนิงเส่าเฉินด้วยมือข้างหนึ่งและอีกข้างหนึ่งจับต้นไม้ข้างๆ แล้วเดินลงไป

หนิงเส่าเฉินลดสายตาลงมองเธอลึก ๆ ยื่นมือใหญ่ออกมาและโอบเธอไว้ในอ้อมแขนของเขา

ทั้งสองคนหยุดคุยกัน และค่อยๆไม่ได้ยินเสียงของรถที่อยู่ริมถนนอีกต่อไป มีเพียงเสียงลมหวีดหวิวรอบ ๆ ตอนนี้เป็นฤดูหนาวที่มีลมพัดแรงและมีความรู้สึกชาบนใบหน้า

เสื้อแจ็คเก็ตของเฉินเป้ยอีถูกตัดอยู่กับต้นไม้และมีใบไม้แหลมที่มาบาดใบหน้าจนมีเลือด เธอมองย้อนกลับไปที่หนิงเส่าเฉินและพบว่าเขาแย่ยิ่งกว่าเธอ เพราะเขาก้มตัวเพื่อปกป้องเธอ เธอรู้สึกตำหนิตัวเองเล็กน้อย แต่มีความอบอุ่นมากกว่า

เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าทำไมเธอถึงทำแบบนี้ แต่เลือกที่จะอยู่กับเธออย่างเงียบ ๆ และปกป้องเธอ

ทันใดนั้น ดวงตาเธอก็เป็นสีแดงอีกครั้ง

"คุณพบใครอยู่ที่นั่นหรือไม่" ในขณะนี้ ข้างหน้าไม่ไกล ใครบางคนตะโกนขึ้น เมื่อเฉินเป้ยอีฟื้นคืนสติเธอเห็นทีมค้นหาอยู่ตรงหน้าเธอและก็อดไม่ได้ที่จะเดินไปเร็วขึ้น

หนิงเส่าเฉินเพียงแค่หันหน้ามองเธอลึก ๆ และเห็นความวิตกกังวลบนใบหน้าของเธอในดวงตาของเขา แต่หัวใจของเขาเจ็บแน่นและเขาก็รู้สึกอิจฉา ชายคนนั้นในขณะนี้จู่ๆเขาก็คิดว่าถ้าวันหนึ่งเขามีอะไรผิดพลาด เธอจะไม่สนใจตัวเองเช่นกันและวิตกกังวลโดยไม่ห่วงชีวิตเพืื่อเขาหรือเปล่า

"กัปตัน หมอกหนาเกินไปและหน้าผานี้ลึกมาก ดังนั้นการค้นหาโดยไม่มีเป้าหมาย แม้ว่าคุณหาเจอ ผมกลัว … " คนที่ถูกเรียกว่ากัปตันจองมองเขา

"รู้ว่าเป็นเวลาเร่งด่วน แล้วยังพูดเรื่องไร้สาระอีก" เขาเงยหน้าขึ้นและมองไปด้านบน "พวกคุณไปหาที่ตรงนั้น เขาไม่น่ากลิ้งลงมา ไกลขนาดนี้" กัปตันสั่งโดยมีข้อสันนิฐาน

หนิงเส่าเฉินก้าวไปข้างหน้า กัปตันเห็นเขาลงมาเห็นได้ชัดว่า ประหลาดใจและทักทายเขา "คุณหนิง ทำไมคุณลงมาถนนบนภูเขานี้ลื่นและสูงชัน คุณขึ้นไปได้จะดีกว่า เมื่อเรามีข่าวเราจะแจ้งให้ทราบทันที"

เมื่อหันไปมองก็เห็นเฉินเป้ยอีที่ถูกหนิงเส่าเฉินจับไว้ในอ้อมแขนเขา ทั้งตัวของเธอจนตรอกมาก ไม่จำเป็นต้องพูดก็รู้ว่าคนที่ตกลงไปใต้หน้าผาคงเป็นคนสำคัญของเธอ เขามองหนิงเส่าเฉินอีกครั้งการดูแลแบบนี้ น่าจะเป็นคุณเกา

"คุณเกา นี้ไฟฉายช่วงส่องทางเดิน ถนนนี้เดินไม่สะดวก ดังนั้นระวังเท้าของคุณด้วย"

เมื่อเฉินเป้ยอีได้ยินเขาเรียกตัวเองว่าคุณเกา เธอรู้ว่าเขาเข้าใจผิด แต่เธอไม่ได้อธิบายอะไรมาก

หนิงเส่าเฉินก็ไม่ตอบคำพูดของเขาเช่นกัน เพียงแค่หันกลับมาและมองไปที่เฉินเป้ยอี ใบหน้าของเธอซีดลงกว่าเมื่อกี้มาก

หนิงเส่าเฉินโบกมือให้กัปตัน กัปตันก็ความเข้าใจทันที และจากไป

ทันทีที่เฉินเป้ยอีเฝ้าดูกัปตันจากไป เธอก็ปิดตาของเธอทันที จากนั้นหันไปรอบ ๆ และเดินไปทางขวา ที่นั่นไม่มีถนน ไม่มีใครเดินมาหลายปี วัชพืชยาวถึงเข่ากิ่งก้านยื่นออกมาทุกที่ หนิงเส่าเฉินล็อคส่วนหนึ่งของเธอไว้ ปิดกั้นเธอด้วยมือทั้งสองข้าง แต่ที่ขาของเธอมีรอยหนาม และทั้งใบหน้า ลำคอ แขนและบริเวณที่สัมผัสทั้งหมดมีรอยขีดข่วน

เธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่าความเจ็บปวดและสีหน้าของเธอก็ไม่ได้เปลี่ยนไปมากนักตั้งแต่ต้นจนจบ

อย่างไรก็ตาม ใบหน้าของหนิงเส่าเฉินเริ่มหนักขึ้นเรื่อย ๆ ด้วยแววตาที่เป็นรัก สงสารและเสียตาย แต่ไม่มีเสียงใด ๆ ตั้งแต่ต้นจนจบ …

เฉินเป้ยอีไม่รู้ว่าทำไมเธอถึงอยากไปที่นั่น ดูเหมือนจะมีเสียงเรียกร้องหาเธออยู่ในใจของเธอ

เธอเดินตามความรู้สึกของเธอไปในภูเขาหมุนซ้ายและขวา ในช่วงเวลานั้น เธอล้มลงหลายครั้ง แต่กลับยืนขึ้นและเดินต่อไป

จนกระทั่งเมื่อมีบางสิ่งบางอย่างที่เธอสะดุด เธอก็ล้มไปข้างหน้าและหนิงเส่าเฉินก็ยื่นมือเข้ามาเพื่อพยุงเธอ

เธอหยิบไฟฉายขึ้นมาและส่องไปข้างล่าง

"อ๊ะ!" เธอตะโกน

เธอหันหน้าไปมอง ชูหยูจี้"ฉันไม่รู้ว่ามีอะไรผิดปกติ ฉันรู้สึกเศร้าและอึดอัดในใจ… ฉันเจ็บปวดใจ หยูจี้ คุณว่า ฉันไม่ใช่มีปัญหาทางหัวใจรึเปล่า? ”

ชูหยูจี้จ้องมองเธอ "เธอจะด่าตัวเองแบบนี้ได้ยังไง" เมื่อเห็นดวงตาของเธอยังจ้องไปที่หน้าจอทีวีเขาก็ถาม "คนที่ตกลงมา คุณรู้จักไหม"

เฉินเป้ยอีส่ายหัวเธอรู้จักเกาเหวิน อย่างไรก็ตามเธอและเกาเหวินอยู่ เธอรู้สึกเป็นทุกข์เพราะเธอ เธอยืนขึ้นถอนหายใจและคิดว่า "ทำไมคุณไม่โทรหาพี่ของคุณและถามว่าถ้าเกิดเรื่องใหญ่ขนาดนี้เขาน่าจะอยู่ที่นั่นในตอนนี้ ถามว่าคนที่ตกลงไปเป็นยังไงบ้าง ?”

แม้ว่าเธอจะไม่รู้จักกัน แต่ก็มีเสียงในใจที่บอกเธอว่าเธออยากรู้ว่าคน ๆ นั้นเป็นอย่างไร

แม้ว่า ชูหยูจี้จะไม่เข้าใจความตั้งใจของเธอ แต่เธอก็ยังโทรหาหนิงเส่าเฉินบอก มีสัญญาณแต่ไม่มีใครรับสาย

"บางทีอาจกำลังขับรถอยู่รอเดี๋ยว ผมจะโทรอีกครั้ง" เขาเขย่าโทรศัพท์ให้เฉินเป้ยอีมอง จากนั้นก็เปลี่ยนช่องทีวีให้เป็นงานภาพกาล่าเทศกาลฤดูใบไม้ผลิ "คุณจำงานเลี้ยงตอนเย็นที่เราจัดร่วมกันในช่วงปิดเทอมฤดูร้อนของปีที่สองได้ไหม "

เขาต้องการเบี่ยงเบนความสนใจของเฉินเป้ยอีแต่เห็นได้ชัดว่ามันมีผลเพียงเล็กน้อย เธอยังคงนั่งบนโซฟาและไม่มีแม้แต่จะตอบสนองต่อคำพูดของเขา

"เป้ยอี คุณเป็นอะไรกันแน่" ชูหยูจี้เขย่าแขนของเธอและเฉินเป้ยอีก็มองไปที่เขาเมื่อเธอได้ยิน เขาก็ยิ้มมุมปาก แต่ความเศร้าในใจของเธอทำให้เธอไม่สามารถหัวเราะได้เลย

"หยูจี้ ฉันอยากไปที่เกิดเหตุเพื่อดู" เธอลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็ว

“ มันดึกมากแล้ว มีอุบัติเหตุที่นั่น แล้วคุณไม่รู้จักเขา ไปแล้วไม่ใช่ทำให้เขายุ่งยากขึ้นหรอ” ชูหยูจี้เอื้อมมือมาจับแขนเธอ

เฉินเป้ยอีหันหน้าไปมองเขาน้ำตาของเธอที่ไหลไม่สามารถที่จะหยุดได้เลย ความเจ็บปวดในใจและความเศร้าในใจทำให้เธอไม่สามารถสงบลงได้

"หยูจี้ พาฉันไปที่นั่นได้ไหม… ฉันแค่อยากจะไปดู ฉันรู้สึกอึดอัดมาก" เฉินเป้ยอีมองไปที่ชูหยูจี้และขอร้อง เขาจึงไม่อยากปฏิเสธ

"ไปแต่งตัว ผมจะพาไปเอง"

ที่ที่เฉินเป้ยอีอยู่ห่างจากที่เกิดเหตุใช้เวลาขับรถไปประมาณหนึ่งชั่วโมงชูหยูจี้จึงขับเร็วและใช้เวลาแค่ 30 นาทีก็ไปถึง

ทันทีที่รถหยุดเฉินเป้ยอีก็เปิดประตูและรีบวิ่งออกไป เธอหลับตาลงและรู้สึกถึงความเจ็บปวดนั้นอย่างรุนแรง

เธอเดินไปข้างหน้าโดยไม่รู้ตัว เท้าข้างหนึ่งลื่นและเธอก็ล้มลง"เป้ยอี" ชูหยูจี้หยุดรถและเห็นเฉินเป้ยอี ล้มลงเขาก็รีบที่จะไปช่วยเธอทันที

อย่างไรก็ตามระยะทางไกลเกินไป

เฉินเป้ยอีปิดตาของเธอและรอให้ความเจ็บปวดมาถึง แต่สิ่งที่เธอรอกลับเป็นกลิ่นที่คุ้นเคย

"คุณมาทำอะไรที่นี่?" หนิงเส่าเฉินพูดอยู่เหนือหัวของเขา

อากาศมืดเกินไปและเฉินเป้ยอีไม่สามารถมองเห็นใบหน้าของเขาได้ชัดเจน แต่รับรู้ถึงความรู้สึกโกรธของเขาอย่างชัดเจน

เธอพยุงตัวจากพื้นลุกขึ้นยืนตบฝุ่นที่ตัวเธอและเมื่อเธอเงยหน้าขึ้นเธอก็เห็นเกาเหวินมองเธอด้วยสายตาโกรธ ที่อยู่อีกฟากหนึ่งของถนนเธอตัวสั่นก้าวถอยหลังสองก้าวแล้วก้มศีรษะลง ,"ขอบคุณ"

ในตอนนี้ชูหยูจี้ มาหาพวกเขาทั้งสองคน และมองไปที่หนิงเสาเฉิน และสายตาของเขาก็มองไปที่เกาเหวิน"เกิดอะไรขึ้น?"

ใบหน้าของหนิงเส่าเฉินมืดมนและไม่ได้ตอบเขา“ คุณพาเธอไปหาอะไร?” เขาพูดกับชูหยูจี้

"ฉันต้องการมาเอง"เฉินเป้ยอีจับที่ราวบันไดและมองลงไป ถ้ามีคนตกลงไปคงไม่มีชีวิตรอดใช่ไหม ? เมื่อนึกถึงสิ่งนี้ความเจ็บปวดในใจของเธอก็เกิดขึ้นอีกครั้งเธอกุมหน้าอกของเธอโดยไม่รู้ตัว

“ เป็นอะไร เจ็บอีกแล้วเหรอ?” ชูหยูจี้ก้าวไปข้างหน้าพยุงเธอแล้วถามอย่างกังวล

หนิงเส่าเฉินเพิ่งเดินไปข้างหน้าเกาเหวินและหลังจากได้ยินสิ่งที่ชูหยูจี้พูดเขาก็หยุดหันกลับมาและมองไปที่เฉินเป้ยอีและพบว่าผู้หญิงคนนั้นกำลังจะปีนราวบันได

เขารีบวิ่งไปอย่างเร็ว“ คุณบ้าเหรอ?”

เฉินเป้ยอีหันหน้าไปมองหนิงเส่าเฉิน จากนั้นก็มองเกาเหวินที่อยู่ข้างหลังเขา "เส่าเฉินคุณไปดูแลเกาเหวินเถอะ หยูจี้จะดูแลฉันเอง" หลังจากนั้นเธอก็ไม่มองเขาอีกต่อไปเธอไม่อิจฉา และตอนนี้เธอก็ไม่ได้โกรธ

"คุณต้องการทำอะไรกันแน่" หนิงเส่าเฉินถามอีกครั้งเมื่อมองไปที่เธอและดูเหมือนจะไม่มีแผนที่จะลงมา

“ ฉันอยากจะลงไปดู” คำพูดของเธอทำให้วุ่นวายทันทีและทุกสายตาก็จับจ้องไปที่เธอ

แต่เกาเหวินยิ่งรู้สึกโกรธในใจผู้หญิงคนนี้เธอกำลังจะอวดในเรื่องเช่นนี้หรือ? เมื่อเห็นท่าทางประหม่าของหนิงเส่าเฉินหัวใจของเธอก็ยิ่งเย็นลง

เธอจับข้างๆของรถและค่อยๆยืนขึ้นช้าๆเดินไปข้างหน้าเฉินเป้ยอีแล้วจับแขนเธอ "พี่เฉินนี้คุณกำลังทำอะไร รีบขึ้นมา"

ชูหยูจี้ก็ยื่นมือมาหาเธอในเวลาเดียวกันและตำรวจที่วิ่งผ่านมาก็จับแขนเขาไว้

แสงสลัวและเฉินเป้ยอีมองไม่เห็นว่าเป็นมือของพวกเขา แต่เธอรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่ามือข้างหนึ่งของเธอกำลังผลักเธอแทนที่จะดึง มันเห็นได้ชัดว่าหนิงเส่าเฉินและชูหยูเจี๋ยคงไม่ทำ ตำรวจไม่เคยอยู่กับเธอ ยิ่งเป็นไปไม่ได้ที่จะรู้จักกันก็คือเกาเหวิน เมื่อนึกถึงสิ่งนี้เธอก็ตกใจผู้หญิงคนนี้ร้ายจริงๆ

เธอมองลงไปที่ด้านล่างของหน้าผาแทบจะมองไม่เห็นพื้นเลย ฝ่ามือของเธอมีเหงื่อซึมเล็กน้อยเพราะความเจ็บปวดในหัวใจและเธอจับราวบันไดไว้ในขณะนั้นลื่นเล็กน้อย

เธอหลับตาลงและสัมผัสได้ถึงความรู้สึกพิเศษในใจ

ดูเหมือนว่าจะอยู่ไม่ไกลจากเธอ

เธอเหลือบมองไปที่หนิงเส่าเฉินจากนั้นเท้าอีกข้างก็ข้ามราวบันไดไป ด้วยในขณะนี้ทุกคนเริ่มตื่นตระหนก

หนิงเส่าเฉินเอนตัวไปกอดเอว“ คุณจะทำบ้าอะไรกันแน่” เขาดึง แต่มีมืออีกข้างกลับผลักเธออย่างแรง

ที่นี้ ถ้าเดินไปอย่างช้าๆและเป็นปกติ ก็ยังมีที่จับ และไม่น่ามีปัญหา ข้างล่างมีเส้นทางหนึ่ง อย่างไรก็ตามหากมีคนผลักลงไปภายใต้แรงก็จะกลิ้งลงหน้าผาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ที่สูงชันและระยะห่างระหว่างต้นไม้กว้างเกินไป หากไม่มีต้นไม้ช่วยไว้ คงต้องสูญเสียชีวิตแน่ เกาเหวินช่างโหดร้ายจริงๆ

เธอก้มศีรษะลงอีกครั้งมองลงไปมีเส้นทางเล็กๆนั้นแต่ลึกมาก และยังมีตำรวจอยู่ หากเธอลงไปก็ไม่น่าจะมีปัญหา จากที่นี่ในเวลานี้ ความเจ็บปวดทำให้เธอแทบหายใจไม่ออกและความเศร้าในใจก็ยิ่งทวีคูณมากกว่าเดิม มันทำให้เฉินเป้ยอีไม่รู้อะไรเลย

ทันใดนั้นเธอก็ปล่อยมือที่จับราไว้ และมือของหนิงเส่าเฉินก็ต้องใช้แรงเยอะมาก ด้วยเหตุนี้เมื่อหนิงเส่าเฉินปล่อยมือ เธอเห็นความตื่นตระหนกในดวงตาของหนิงเส่าเฉิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจในเครื่องแบบหลายคนเดินเข้ามาจากด้านนอก

แม่เกายื่นมือสองข้างออกมา "ฉันผลักเขา คุณสามารถพาฉันไปได้"

"แม่ … " คําพูดที่ถึงริมปากของเธอ แต่ในที่สุดเธอแค่ลดหัวลง เธอค่อยๆเงยหน้าขึ้นจนกระทั่งแม่ของเธอถูกพาตัวไป

เมื่อตามออกไป แม่เกาก็อยู่ในรถตำรวจแล้ว

เธอตื่นตระหนกเล็กน้อย ทันใดนั้น เธอก็นึกถึงเกาไห่ ใช่ ถ้าเกาไห่ไม่เป็นไร แม่ของเธอก็จะสบายดี

เมื่อคิดได้แล้ว เธอก็รีบวิ่งไปยังสถานที่ที่เกิดอุบัติเหตุที่นั่น ที่นั่นถูกล้อมรอบด้วยสายตำรวจและมีคนจำนวนมากมาดู

เธอกระชับเสื้อแจ็คเก็ตสีดำบนตัวและกลืนน้ำลาย จากนั้น เธอก็ก้าวไปข้างหน้าและดึงตำรวจที่อยู่ข้าง ร้องถามว่า "เจอพี่ชายของฉันหรือเปล่า แล้วเขา เป็นยังไงบ้าง"

รูปโฉมของเธอสวยมาก ร้องไห้ก็สวยมากและก็ไม่มีใครจะเชื่อมโยงเธอกับฆาตกร จากนั้นเมื่อเธอถามเกี่ยวกับพี่ชาย ความสงสารของตำรวจก็เผยออกมาเขาก็ยกนิ้วให้ "มีคนลงไปค้นหาแล้ว แต่ภูเขาลูกนี้สูงและชัน คุณต้องเตรียมใจ"

เมื่อเกาเหวินได้ยินดังนั้นขาของเธอก็อ่อนแรงและนั่งลงบนพื้น ทันใดนั้น เธอก็หยิบโทรศัพท์มือถือของเธอออกมาจากกระเป๋าเสื้อก่อนโทรหาพ่อของเธอและบอกให้เขากลับมา เธอไม่กล้าพูดอะไรกลัวว่าเขาขับรถอย่างรีบร้อน แล้วเธอก็สงบสติอารมณ์ก่อน แล้วโทรหาหนิงเส่าเฉินอีกครั้ง

ทันทีที่เฉินเป้ยอีไปอาบน้ำหนิงเส่าเฉินกำลังอ่านหนังสือและเมื่อเขาเห็นการโทรของเกาเหวิน เขาก็ไม่อยากรับสายเลยจนกระทั่งเธอโทรครั้งที่สาม เขาจึงลังเลและรับสาย

" เส่าเฉิน … " เสียงร้องไห้ของเกาเหวินดังมาจากอีกด้านหนึ่งของโทรศัพท์

หนิงเส่าเฉินลุกขึ้นและเดินไปที่ห้องนั่งเล่น

“ มีอะไรเหรอ?” แม้ว่าเขาจะไม่แต่งงานกับเกาเหวิน เขาก็ยังเป็นห่วงผู้หญิงคนนี้อยู่บ้าง

"เส่าเฉิน ฉัน … มีบางอย่างเกิดขึ้นกับพี่ชายของฉันแล้ว"

หนิงเส่าเฉินขมวดคิ้ว พี่ชายของเกาเหวิน เกาไห่? เขาไม่ได้ติดต่อกับเกาไห่มากนัก บุคลิกของเกาไห่ค่อนข้างแปลก บางครั้งเขาก็มีนิสัยร่าเริงและบางครั้งเขาก็เศร้าโศกมาก ทุกครั้งที่เขาไปที่บ้านตระกูลเกา เขามักจะแก้ตัวที่จะเดินจากไป เขาไม่สนใจผู้ชายคนนี้

"เกิดอะไรขึ้น?"

เกาเหวินสูดหายใจ "เส่าเฉิน พี่ชายของฉัน … พี่ชายของฉันถูก … ถูกแม่ของฉันผลักไปที่หน้าผาแล้ว แม่ของฉันถูกตำรวจพาตัวไปแล้ว พ่อของฉันยังไม่กลับมาฉันกลัวมาก คุณ … คุณ คุณช่วยมาอยู่กับฉันได้ไหม "

หนิงเส่าเฉินขมวดคิ้ว แต่ยังคงตอบว่า "อย่าตกใจ ผมจะไปทันที"

หลังจากวางสายโทรศัพท์เมื่อคิดเรื่องนี้เขาก็หันไปที่ประตูห้องน้ำ "เป้ยอี ผมมีเรื่องสักหน่อยต้องออกไป คุณนอนก่อนได้เลยนะ"

เนื่องจากเรื่องนี้ยังไม่ได้รับการชี้แจง เขาก็ยังไม่รู้ว่าจะอธิบายกับเฉินเป้ยอีอย่างไรและเขากลัวว่าเธอจะคิดมาก เขาจึงไม่ได้บอกความจริงกับเธอ

ทันทีที่เฉินเป้ยอีกำลังอาบน้ำเสียงของน้ำทำให้เธอไม่ฟังสิ่งที่ให้ชัดกับคําพูดหนิงเส่าเฉิน

เมื่อเธออาบน้ำเสร็จและออกมา หนิงเส่าเฉินก็หายไป

เมื่อเธอเดินไปที่ห้องนั่งเล่น เธอก็ได้ยินเสียงเคาะประตู เธอคิดว่าเป็นหนิงเส่าเฉิน เธอวิ่งไปเปิดประตู แต่เธอเห็นชูหยูจี้ยืนอยู่นอกประตู: "ในคืนวันส่งท้ายปีเก่า คุณไม่ไปกับครอบครัวเพื่อฉลองปีใหม่ ทำไมมาถึงอยู่ที่นี่?"

ชูหยูจี้วางถุงอาหารในมือของเขาไว้บนโต๊ะกาแฟ ขณะที่เขากำลังจะพูด หนิงเสี่ยวซีก็เดินออกมา "คุณอา คุณมาที่นี่ทำไม?"

ชูหยูจี้ ไม่สนใจกับหนิงเส่าเฉิน แต่เขาชอบหนิงเสี่ยวซีซึ่งเป็นลูกคนเดียวในครอบครัว เขาจึงก้าวไปข้างหน้าและกอดหนิงเสี่ยวซีและจูบเขา

“เห็นพี่ของคุณหรือเปล่าตอนคุณมาที่นี่" แม้ว่าจะไม่เหมาะสมที่จะถามชูหยูจี้เป็นแบบนี้ หลังจากคิดถึงเรื่องนี้เฉินเป้ยอีก็ยังคงถามแล้ว

ชูหยูจี้ปล่อยหนิงเสี่ยวซีและดีดหน้าผากของเฉินเป้ยอี "พวกคุณอาศัยอยู่ด้วยกันแล้วหรอ?"

เฉินเป้ยอี พูกตะกุกตะกักทันที "เอ่อ" และก็ไม่สามารถพูดต่อได้อีกต่อไปได้แล้ว

"ผมบอกว่า คุณจะ … "

ก่อนที่เขาจะพูดโทรศัพท์ในมือของเฉินเป้ยอีก็ดังขึ้น เธอสูดลมหายใจและรับสาย“ คุณไปไหน?” น้ำเสียงของเธออย่างกังวลเล็กน้อย

“ หยูจี้ไปที่บ้านของคุณแล้วใช่ไหม!” เขาไม่ได้ถาม แต่ด้วยน้ำเสียงที่แน่ใจ

ชู่หยูจี้เลิกคิ้ว "พี่ คุณอย่าขี้เหนียวนักเลย ผมแค่มาหาพี่เฉินเพื่อทานอาหารเย็น คุณจะกังวลเรื่องอะไร ตอนนี้ยังไม่ใช่พี่สะใภ้ของผม" เขาพูดจบและหันไปขยี้หัวของเฉินเป้ยอีหน่อย"เป้ยอี คุณว่า ถูกไหม"

เฉินเป้ยอีจ้องมองเขาและโบกมือ“ อย่าพูดเรื่องไร้สาระ!”

หน้าอกของหนิงเส่าเฉินมืดมนและมือของเขาที่จับพวงมาลัยแน่น "ปล่อยเขาออกไปหลังจากที่กินข้าวเสร็จ"

เฉินเป้ยอีพูดอย่างคลุมเครือและวางสายโดยยังไม่ถามว่าเขาจะไปไหน

เธอนั่งอยู่บนโซฟากับชูหยูจี้ กินขนมและคุยกัน ตาของเธอก็เลื่อนไปที่ทีวีตรงหน้าเธอ จนเธอตาตื่นขึ้นมา? ผู้หญิงในทีวีน่าจะเป็นเกาเหวิน

เธอวางจานและตะเกียบในมือ ลุกขึ้นเดินไปที่หน้าทีวีอย่างรวดเร็ว แล้วหยิบรีโมทคอนโทรลขึ้นมาเพื่อเพิ่มเสียง

"รายงานล่าสุด คือคดีฆาตกรรมเพิ่งก่อขึ้นในพื้นที่บ้านพักตากอากาศภูเขาในเมืองนี้ จากคำบอกเล่าของพยาน เขากำลังขับรถกลับบ้านในเวลานั้นและพบผู้หญิงคนหนึ่งอยู่ข้างหน้าเขาผลักชายคนหนึ่งเข้าไปใต้หน้าผา ขณะนี้ตำรวจได้ ส่งไปเพื่อการค้นหาอย่างเร่งด่วน … และผู้ต้องสงสัยในคดีฆาตกรรมนี้ได้ถูกนำตัวกลับไปที่สำนักงานความมั่นคงสาธารณะเพื่อทำการสอบสวนแล้ว "

ในระหว่างการเปลี่ยนหน้าจอ เมื่อเฉินเป้ยอีเห็นเกาเหวินที่ตัวสั่นนั่งยองอยู่ข้างถนน เธอกอดอกและมองไปข้างหน้าโดยไม่ได้โฟกัส เธออดไม่ได้ที่จะรู้สึกทุกข์ใจเมื่อเห็นสภาพงแบบนี้ของเกาเหวิน

“ นั่นน่าจะเป็นพี่สะใภ้ของผมใช่มั้ย งั้นคนที่ตกลงเป็นคนในครอบครับของเธอ?” ชูหยูจี้จ้องที่ทีวีและเห็นฉากนี้อย่างเป็นธรรมชาติ

ภาพทีวีก็เลื่อนไปที่ด้านล่างของหน้าผา แม้ว่าคนที่ตกลงไปจากกำแพงภูเขาสูงชันจะยังมีชีวิตอยู่ แต่ก็เกรงว่าจะได้รับบาดเจ็บสาหัส เมื่อนึกถึงสิ่งนี้ เฉินเป้ยอีไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นและเธอก็รู้สึกเจ็บปวดในหัวใจของเธอ จมูกของเธอก็รู้สึกแสบ ความเศร้าและความเจ็บปวดที่อธิบายไม่ได้ทำให้เธอห่อหุ้มใจและนั่งลงบนโซฟา

เธอจำความรู้สึกนี้ได้เมื่อ 2-3 ปีก่อน ตอนนั้นเธอเรียนมัธยมปลายปีที่ 2 ตอนที่เธอเรียนพละและก็เหมือนเดิม เธอรู้สึกทุกข์ใจและอยากร้องไห้โดยไม่มีเหตุผล แต่ตอนนั้นไม่มีอะไรเกิดขึ้น

"เป้ยอี คุณเป็นอะไร" ชูหยูเจี๋ยเห็นสิ่งนี้จึงวางอาหารในมือลง ก้าวไปข้างหน้าพยุงเธอและเห็นน้ำตาในดวงตาของเธอ เขาสะดุ้งเล็กน้อย "เป้ยอี คุณร้องไห้ทำไม"

ร้องไห้? เฉินเป้ยอียกมือขึ้นอย่างมีสติความเปียกชื้นของมือทำให้หัวใจของเธอกระตุกแน่น เธอก็ไม่แน่ใจเช่นกันแล้วเกิดอะไรขึ้นกับเธอ? ทำไมในใจเป็นทุกข์ถึงหายใจไม่สะดวก

"เสี่ยวเหวิน พี่ชายของลูกเพิ่งตามลูกออกไป ทำไมเขายังไม่กลับมา" แม่เกาเคาะประตูด้านนอก

เกาเหวินสั่นไปทั้งตัว ไม่ เธอไม่อยากติดคุก เกาไห่ตายไปแล้ว สมนํ้าหน้า เขาอยู่ในบ้านหลังนี้ เขาอยากควบคุมเรื่องของเธอ แต่ เธอไม่ต้องการเข้าคุกเพราะเขา

แต่……

เมื่อคนขับรถเห็นแล้ว เรียกตำรวจแน่นอน แล้วเธอจะทำไงดี?

ทันใดนั้นเธอก็นึกถึงอะไรบางอย่าง มือที่สั่นเทาเปิดประตูจากนั้นคุกเข่าลงไปหาแม่ที่ด้านนอกประตู

"เสี่ยวเหวิน ลูกกำลังทำอะไรอยู่" แม่เกาจับแขนของเธอ

"แม่ คุณต้องช่วยฉัน แม่คุณต้องช่วยฉัน" เสียงของเธอหายใจไม่ออก เธอกัดฟันแน่น แม่ของเธอดึงเธอหลายครั้ง แต่เธอไม่ลุกขึ้น

"ลูกลุกขึ้นก่อน เกิดอะไรขึ้น" แม่เกานั่งยองๆอยู่ตรงหน้าเธอ จับใบหน้าของเธอ มีความรักและสงสารในดวงตาของเธอ เมื่อเธอเห็นรอยพิมพ์นิ้วมือห้านิ้วที่เห็นได้ชัดบนใบหน้าของเธอ

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เนื่องจากโรคซึมเศร้า เธอจึงไม่สนใจสิ่งใด ๆ ภายนอกมากนักและเธอก็ห่วงใยลูกสาวคนนี้น้อยมากเป็นเวลาหลายปี

"แม่ ฉัน … ฉันผลักเกาไห่ไปที่ด้านล่างของหน้าผา … " เกาเหวินที่รู้อยู่เต็มอกว่าเธอได้ก่อเหตุร้ายเริ่มรู้สึกกลัวในขณะนี้

แม่ของเกาเหวินตกตะลึงเธอลูบหน้าผากของเธอแล้วเกือบจะเป็นลม เกาเหวินอุ้มเธอไว้ในอ้อมแขน "แม่ ฉันจะทำยังไงดี มีคนเห็นแล้ว … เห็นฉันผลักเขา ฉัน … ฉันต้องเข้าคุกแน่ๆ”

แม่เกาค่อยๆหันหน้ามาจ้องมองลูกสาวที่อยู่ตรงหน้าเธอ จากนั้นก็ยันตัวลงบนพื้น พยุงตัวคุกเข่าแล้ว ตบหน้าเกาเหวินอีกครั้ง "เขาทำบ้าอะไรเธอ … เขาเป็นพี่ชายของเธอ เธอ … เธอเป็นแบบนี้ได้อย่างไร เสี่ยวเหวิน … เธอกลายเป็นแบบนี้ได้อย่างไร ยิ่งไปกว่านั้น ชีวิตและความตายของพี่ชายเธอไม่สนใจ แต่ตอนนี้สิ่งที่เธอกังวลคือเธอจะติดคุกหรือไม่ เธอยังเป็นคนอยู่ไหม

ข้างหูของเกาเหวิน แม่เกากำลังตะโกน แต่เธอไม่ได้ยินที่เธอพูด เธอแค่คิดอยู้ในหัวของเธอว่าเธอจะเข้าคุกไม่ได้ เมื่อเห็นแม่เกาเดินออกไปข้างนอก เธอก็รีบดึงเธอ "แม่ คุณ … จะไปทำอะไร”

"เธอบอกว่าฉันจะไปทําอะไรล่ะ พี่ชายของเธอ เด็กคนนั้นไม่มีแม่มาตั้งแต่เขายังเด็กนี่ … "

ดวงตาของแม่เกาเต็มไปด้วยความทุกข์ ความกังวลและความตื่นตระหนก หากเกาเหวินไม่ได้ยินเธอและพ่อของเธอบอกว่าเกาไห่ไม่ได้เกิดมาจากแม่ของเธอ เธอก็ไม่สามารถเชื่อมต่อปฏิกิริยาของแม่กับแม่เลี้ยงได้ในขณะนี้

แม้ว่าแม่ของเธอในเชิงลึก จะไม่เต็มใจที่จะสื่อสารกับผู้อื่นในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา แต่เธอก็ไม่เคยดุด่าเกาไห่กับเธอแบบแรงๆ

วันนี้ไม่เพียงแต่ตบธอเท่านั้น และยังดุเธอด้วยเพราะเกาไห่

“ แม่ แม่ไปไม่ได้นะ … ” เธอคุกเข่าและไม่ยอมลุก

"เธอกำลังพูดถึงเรื่องอะไร ตอนนี้ชีวิตและความตายของพี่ชายเธอเธอไม่สนใจเหรอ ตอนนี้เธอกลับบอกว่าไม่ให้ไปแล้ว งั้นเธอจะดูเขาตายอย่างนั้นเหรอ" หลังจากพูดจบเธอก็สบัดมือของเกาเหวินทิ้งแล้วเดินออกไปข้างนอก

"แม่ แม่รับโทษแทนฉันนะ" เมื่อพูดคำเหล่านี้ไม่เพียงแต่แม่เกา และเกาเหวินเองก็ประหลาดใจ

เธอปิดปากและก้มหัวลงโดยไม่กล้าที่มองแม่เกา

“ แม่ฉัน … ฉัน … ฉันไม่อยากติดคุก”

แม่เกาหันกลับมา ร่างกายของเธอแข็งทื่ออย่างเห็นได้ชัด เธอมองลูกสาวของเธอที่นั่งบนพื้นด้วยความไม่เชื่อและมือที่ยกมือขึ้นก็สั่นอยู่ตลอดเวลา

เธอได้ยินอะไร? ลูกสาวของเธอปล่อยให้เธอไปรับโทษแทนเธอ?

"เธอ … เธอยังเป็นคนหรือเปล่า" เมื่อเธอถามคำเหล่านี้ เธอก็มีความเจ็บปวดเหมือนถูกขุดใจ

เกาเหวินถูกแม่ของเธอจ้องมองและไม่สามารถเงยหน้าขึ้นมองได้ แต่เธอไม่อยากติดคุก เธอยังวัยรุ่นมาก ถ้าเธอเข้าคุก เธอก็จะไม่มีอะไร

ไม่……

เธอคุกเข่าลงบนพื้นและโขกหัวอย่างแรงเสียงหัวของเธอกระแทกกับพื้นดัง เข้ามาในหูของแม่

"แม่ ได้โปรดมีเพียงคุณเท่านั้นที่ช่วยฉันได้ ตอนนี้มันมืดมาก คนขับมองไม่เห็นว่าฉันหน้าตาเป็นยังไงพวกเราทุกคนส่วนสูงและร่างกายเท่ากัน เราดูเหมือนกันคุณสามารถไปแทนที่ฉันได้ ไม่มีคนสามารถรู้จักได้ … คุณช่วยฉัน "

แม่เกามองไปที่ลูกสาวต่อหน้าเธอทั้งน้ำตาและสีหน้าของเธอหมองคล้ำ

กรรมตามสนองหรือเปล่า เธอเคยทําเรื่องเลวร้ายเหล่านั้นสมัยก่อน ดังนั้น ตอนนี้ก็มีกรรมตามสนองแล้วใช่ไหม

เธอหัวเราะอย่างเย็นชา มองลูกสาวที่นั่งอยู่ที่พื้น เธอเอนตัวไปเพื่อพาเธอขึ้นมา

มือแตะที่ใบหน้าของเธอ ยังมีรอยแดงที่ถูกดี ใบหน้านี้เหมือนเธอ สวยมาก ความงามนั้นทำให้คนอยากหวงแหน แต่ …

มือของเธอเลื่อนไปที่หัวใจของเธอ ทำไมมันมืดมาก? เธฮได้รับมรดกของเธอด้วยหรือไม่? ย้อนกลับไปตอนนั้นเธอเคยโหดร้ายกับคน ๆ นั้นมาก

ฮ่าฮ่า … กรรมตามสนอง กรรมตามสนอง

เมื่อเห็นว่าแม่ของเธอไม่ตอบสนอง เกาเหวินก็ตื่นตระหนกอยู่พักหนึ่งและทรุดตัวลงบนพื้นดินที่หนาวเย็น

ในขณะนี้ โทรศัพท์ในห้องนั่งเล่นดังขึ้นอย่างกะทันหัน

แม่เกาตื่นตกใจเดินโซเซไปที่ประตูแล้วกดปุ่มรับสาย

"สวัสดี เรามาจากสำนักงานรักษาความปลอดภัยสาธารณะ เราเพิ่งได้รับรายงานจากใครบางคนว่ามีคนจงใจฆ่าและเห็นผู้ต้องสงสัยเข้ามาในบ้านของคุณ กรุณาเปิดประตู"

เกาเหวินนั่งลงบนพื้น ดวงตาของเธอหมองคล้ำ เธอมองไปที่ประตูและส่ายหัวอย่างหมดหวัง

เสียงของแม่เกาตอบกลับอย่างใจเย็น "คุณตำรวจ รอเดี๋ยวก่อน ฉันจะเรียกใครบางคนให้เปิดประตู"

ที่นี่เธอรีบดึงเกาเหวินที่นั่งอยู่บนพื้นเข้าไปในห้อง

"แม่คะ" เกาเหวินไม่กล้ามองแม่เกา

“ ทำไมคุณยังตะลึงอยู่ ถอดเสื้อผ้าและเปลี่ยนให้ฉัน” แม่เกาพูดขณะที่เธอหยิบหวีขึ้นมาจากบนโต๊ะ กําจัดผมของเธอที่มัดไว้หวีมันสองสามครั้งแล้วถอดเสื้อผ้าทั้งหมดของเธอ เปลี่ยนเสื้อผ้าของเกาเหวินอย่างรวดเร็ว

“ แม่ คุณ … ”

"เดี๋ยว เธอบอกตำรวจว่าฉันทะเลาะกับพี่ชายของเธอและวิ่งออกไป เธอเข้าใจไหม" หลังจากพูดจบ แม่เกาก็หันกลับมา

เกาเหวินเดินตามและกอดแม่เกาจากด้านหลัง "แม่ ฉันไม่ใช่คน ฉันขอโทษคุณ"

คำขอโทษของเธอทำให้แม่เกามีรอยยิ้มจาง ๆ และตบหลังมือของเธอ "เพราะลูกไม่ได้รับการเลี้ยงดูที่ดีมันเป็นความผิดของพ่อแม่ ฉันไม่ได้ให้การศึกษาอย่างดีแกเธอ ฉันสมควรได้รับสิ่งนี้"

หลังจากพูดจบ เธอก็ดึงมือของเกาเหวินไว้ที่เอวของเธอ ยืดหลังให้ตรงแล้วเดินไปที่ประตู หลังจากนั้นไม่กี่ก้าวเธอก็มองกลับไปที่เกาเหวิน "ลูก แม่หวังว่าลูกจะดูแลตัวเองให้ดีในอนาคต"

บางทีอาจเป็นเพราะคำว่าลูกของเธอที่ทำให้เกาเหวินตระหนักถึงความกตัญญูที่ไม่ซื่อสัตย์ของเธอ เธอก้าวไปข้างหน้าและกอดแม่ของเธอ "แม่ ไม่ ฉันจะไป ฉันไม่อยากให้แม่ไปรับโทษแทนแล้ว แม่ คุณให้เสื้อผ้าแก่ฉัน" เธอพูด ดึงเสื้อคลุมแม่เกา

แม่เกาคว้ามือของเธอ“ ถ้าลูกใช้แม่เพื่อแลกเปลี่ยนความรู้สึกผิดชอบของลูก เสี่ยวเหวิน แม่ยินดี ลูกรีบไปดูว่าพี่ชายของคุณเป็นอย่างไร ครอบครัวของเราเป็นหนี้เขาในชีวิตนี้และดูแลพ่อของลูกให้ดีๆ”

เมื่อพูดจบ ประตูก็ถูกเปิดจากด้านนอก

"แม่!" เกาไห่ดูตกใจและก้าวไปข้างหน้ากอดแม่เกา "แม่ เสี่ยวเหวินกําลังโกรธอยู่ ดังนั้น คุณไม่ต้องใส่ใจการพูดของเธอ"

เกาเหวินปิดใบหน้าของเธอด้วยมือที่ได้รับบาดเจ็บมองไปที่แม่เกาแล้วมองไปเกาไห่ตะโกน "อ้ายยย" แล้วรีบออกไป

แม่เกาจับหัวของตัวเองก้าวถอยหลังนั่งบนเตียงแล้วโบกมือ "อาไห่ ไปดูเสี่ยวเหวิน ไม่ต้องห่วงฉัน"

เกาไห่ขมวดคิ้ว มองไปที่แม่เกาอย่างลึกซึ้งหันกลับมาและไล่ตามเธอไป

เกาเหวินสวมรองเท้าส้นสูงและไม่ได้วิ่งไปไกล เธอจึงถูกเกาไห่หยุดไว้ "เสี่ยวเหวิน ใจเย็น ๆ "

ใจเย็น ๆ? เธอจะใจเย็น ๆได้อย่างไร?

เธอนั่งยองๆบนพื้น เธอฝังหัวไว้ระหว่างหัวเข่าของเธอ " ฉันจะทำอย่างไรดี เส่าเฉินไม่เอาฉันแล้ว ฉันควรทำอย่างไร"

เกาไห่ยืนอยู่ตรงจุดนั้น แล้วลูบหน้าผากของเธอวางมือบนไหล่ของเธอ "เสี่ยวเหวิน พี่ชายแค่รักสงสารเธอ"

“ออกไป ฉันไม่ต้องในนายรักและสงสาร”

“เสี่ยวเหวิน เธออย่าทำร้ายตัวเองเช่นนี้ เธอและหนิงเส่าเฉินยกเลิกสัญญาแต่งงานดีกว่าโดยที่ตอนนี้เขาไม่รู้อะไรเลย”

"ไม่ ไม่มีทาง ยกเลิกสัญญาแต่งงานกับเขา มันจะไม่มีทางเป็นไปได้"

"เสี่ยวเหวิน ฟังคําพูดของพี่ชาย ถ้าเธอทำแบบนี้ เธอจะทำร้ายตัวเองและพ่อเท่านั้น" เกาไห่ประคองไหล่ของเกาเหวินและเขย่าเบา ๆ "เธอจะมีสติไหม เงื่อนไขดีแบบนี้ เธออยากเจอใครก็ได้ ทำไมถึงอยากใช้ชีวิตของเธอเพื่อคนที่ไม่ได้รักเธอ”

"เกาไห่ นายไม่จำเป็นต้องสนใจชีวิตของฉัน หนิงเส่าเฉินจะมีผู้หญิงคนหนึ่งอยู่ข้างนอก ฉันก็ไม่สนใจ ฉันแค่อยากแต่งงานกับเขาในตลอดชีวิตของฉัน" เกาเหวินเงยหน้าขึ้นและจ้องไปที่เกาไห่ แน่วแน่ในสายตาของเธอทําให้หัวใจของเกาไห่ดิ่งลงในทันใด

"เธอบ้าหรือเปล่า?"

"ใช่ ฉันบ้าแล้ว ฉันต้องเป็นคนรักของหนิงเสี่ยวเฉินในตลอดชีวิตของฉัน ฉันเต็มใจ นายสามารถควบคุมได้ไหม"เกาเหวิน เงยหน้าขึ้นและจ้องไปที่เกาไห่ หลังจากนั้นไม่นาน มุมปากของเธอก็มียิ้มอย่างเย็นชา เธอพูดอย่างไม่เร่งรีบว่า "เกาไห่นายคิดว่าฉันไม่รู้เหรอ ว่านายชอบฉันใช่ไหม"

เกาไห่ตัวสั่นและเซถอยหลังไปสองสามก้าว "เสี่ยวเหวิน เธอกำลังพูดถึงอะไร?"

เกาเหวินยิ้มอย่างเย็นชา“ พี่ชาย ในช่วงปิดเทอมฤดูร้อนปีนั้นตอนที่ฉันอาบน้ำอย่าบอกนะว่านายไม่ได้แอบมอง”

เกาไห่มองไปที่เกาเหวินด้วยความไม่เชื่อ "เสี่ยวเหวิน เธอกำลังพูดถึงอะไร เธอ … "

"อย่าเสแสร้ง ฉันรู้สึกไม่ชอบเมื่อนายเป็นแบบนี้ ฉันจะบอกให้นะ เกาไห่ ถ้านายกล้าเข้ามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องของฉันอีกต่อไป ฉันจะสลัดความน่ารังเกียจออกไปให้หมด"

สีหน้าของเกาไห่นั้นน่าเกลียดมาก เขาไม่เคยรู้ความรู้สึกของตัวเองที่อยู่ในใจ น้องสาวของเขากลับรู้ได้ หลังจากวัยแรกรุ่นเขาก็ตระหนักว่าเขาไม่สนใจผู้หญิงคนอื่น แต่ทุ่มเทความสนใจทั้งหมดไปที่น้องสาวของเขา เขาคิดว่าเขาเคยเป็นพี่ชายและน้องสาวมาก่อน แต่จนกระทั่งเมื่อเห็นเกาเหวินอยู่กับหนิงเส่าเฉิน เขาคลั่ง เขากลายเป็นบ้าด้วย เพราะความหึงหวง ซึ่งเขาก็รู้ว่าเขาตกหลุมรักน้องสาวของเขาแล้ว

ในความเป็นจริงเขาแอบมองเธอไปอาบน้ำครั้งนั้น เขาก็ไม่ได้ตั้งใจเช่นกัน แต่เขาก็มองและอยากมองต่อไปอีก“ เสี่ยวเหวิน ใช่ พี่ชอบเธอ พี่น่ารังเกียจ แต่เธอไม่ควรใช้สิ่งนี้เพื่อคุกคามพี่ พี่ดีต่อเธออย่างจริงใจ แล้ว หนิงเส่าเฉินไม่ชอบเธอ ตอนนั้นเขาบอกว่าเขาแต่งงานเพื่อขอบคุณเรื่องในปีนั้น … "

"หุบปาก หุบปาก ฉันไม่สนใจ ออกไป นายออกไป" เกาเหวินปิดหูของเธอและส่ายหัวของเธออย่างหมดหวัง

“เสี่ยวเหวิน … ”

"ไปให้พ้น สิ่งที่ฉันเต็มใจจะทำคือเรื่องของฉัน นายจะจบได้ยัง?”

"เสี่ยวเหวิน ถ้าวันหนึ่งหนิงเส่าเฉินรู้ว่าหนิงเสี่ยวซีถูกสร้างขึ้นโดยเธอและพ่อร่วมกัน เขาจะไม่ได้รักเธอ เธอคิดว่าเขาจะทำอะไรกับเธอ เขาจะปล่อยเธอไปจริงๆหรือ?"

เกาไห่พูดช้าๆ

ความตื่นตระหนกบนใบหน้าของเกาเหวินก็แย่ลงเช่นกันเธอมองไปที่เกาไห่อย่างไม่น่าเชื่อ“ นาย นายรู้เรื่องนี้ได้อย่างไร?

เกาไห่หันหน้ามาและพูดว่า "เสี่ยวเหวิน พี่รู้มากกว่านั้น พี่รู้ว่าเธอและพ่อทำอะไรกันมาหลายปี แต่เราเป็นครอบครัวเดียวกันพี่จะไม่เปิดเผยอะไรสักคำ แต่เธอต้องออกมาจากหนิงเส่าเฉิน! "

เกาเหวินส่ายหัว ไม่ เธอไปจากหนิงเส่าเฉิน เธออยู่เพื่อเขา ถ้าเธอทิ้งเขาไป ความหมายของชีวิตเธอจะเหลืออะไร

"เกาไห่ ถ้านายกล้าเปิดเผยสักคำ ฉันก็ไม่มีวันจบปล่อยนายไป" ขณะที่เธอพูด ก็ลุกขึ้นและเดินไปทางบ้าน

เกาไห่จับแขนของเธอแล้วดึงอย่างแรง“ เสี่ยวเหวินเธอกำลังเล่นกับไฟ รู้ไหม พี่ไม่ได้แค่เฝ้าดูเธอเดินบนถนนจนสุดทาง ตอนนี้พวกเธอแยกจากกันแล้ว แม้ว่าเขาจะไม่มีความรักให้คุณก็ตาม อย่างน้อยก็มีความทุกข์ใจ”

หลังจากพูดแล้ว เขาก็ปล่อยเกาเหวินและมองไปที่เธอ "ถ้าเธอต้องหมกมุ่น พี่จะบอกให้หนิงเส่าเฉินรู้สักหน่อยเพื่อกระตุ้นให้พวกเธอเลิกกัน" หลังจากพูดจบ เขาก็หันกลับและจากไป

เกาเหวินจ้องไปที่หลังของเขาและกลืนน้ำลายไม่หยุด เธอปล่อยให้เกาไห่ทำลายเรื่องของเธอไม่ได้อย่างแน่นอน เมื่อคิดถึงสิ่งนี้ เธอก็รีบวิ่งไปข้างหน้าและผลักเกาไห่จากด้านหลังไปด้านขวา หน้าผาเขาล้มไปอยู่ด้านล่าง

เห็นได้ชัดว่า เกาไห่ไม่ได้เตรียมพร้อมสำหรับเรื่องนี้ เขาหน้าขมำและตกหน้าผาไป

ขณะนี้ มีรถคันหนึ่งค่อยๆเคลื่อนตัวไปบนถนน

"เอี๊ยด"

เสียงเสียดสีระหว่างยางของรถกับพื้นและแสงพราว หยุดอยู่ไม่ไกลจากเกาเหวิน

คนขับนั่งอยู่ในรถด้วยท่าทางหวาดกลัว เขาคอยประมวลสิ่งที่เขาเพิ่งเห็น ผู้หญิงคนหนึ่งผลักชายคนหนึ่งตกหน้าผา นี่คือพื้นที่วิลล่าครึ่งเนิน ด้านล่างหน้าผาสูงราวหมื่นฟุต คนคนนี้ตกลงไปจากที่นี่ เกรงว่า …

เกาเหวินจนถึงเห็นเกาไห่ตกลง เธอก็ตระหนักถึงความร้ายแรงของเรื่องนี้ เธอเอามือปิดปากและก้าวถอยหลัง ส้นเท้าแตะดอกไม้ที่ด้านข้างและเธอนั่งลงบนพื้น แขนที่ได้รับบาดเจ็บ เนื่องจากแรงทำให้ของเหลวสีแดงล้นออกมา จากบาดแผล แต่เกาเหวินไม่มีเวลาลังเลในเวลานี้ จากนั้นเธอก็คิดอะไรบางอย่างหันกลับมาและวิ่งกลับอย่างบ้าคลั่ง

แม่เกานั่งอยู่ในห้องนั่งเล่น เห็นเธอวิ่งเข้ามาโดยไม่รู้ตัว ลุกขึ้นพบเธอแล้วจูงมือเธอ“ เสี่ยวเหวิน เมื่อกี้แม่ … แม่ไม่ได้ตั้งใจ อย่าโทษแม่ได้ไหม?”

ในตอนนี้ จิตใจของเกาเหวินเต็มไปด้วยภาพของเกาไห่ที่ตกจากหน้าผา เธอผลักมือของแม่เกาออกไป หันหลังวิ่งไปที่ห้องนอนปิดประตูนั่งลงบนพื้นคุกเข่าสั่นไปทั้งตัว

หลังจากนั้นไม่นาน เสียงของรถพยาบาล 120 และไซเรน 110 ก็ดังมาจากนอกบ้าน

เธอหน้าซีด

“ใครบอกว่าพ่อไม่ชอบ!” หนิงเส่าเฉินขัดจังหวะด้วยการโยนจานตะเกียบลงในชามของหนิงเสี่ยวซี

หนิงเสี่ยวซีจ้องกลับมาที่เขา ก้มหัวลงกินอาหารไม่กี่คำ จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นอีกครั้ง

มองไปที่เฉินเป้ยอี แล้วมองไปที่หนิงเส่าเฉิน ทันใดนั้นก็ยืนขึ้น กลืนอาหารในปากและพูดด้วยความประหลาดใจบนใบหน้า "พ่อ คุณหมายถึงว่า … คุณชอบแม่น้อยจริงๆหรือ?งั้น … จะเป็นแม่ของผมในอนาคตไม่ได้เหรอ?" หลังจากพูดจบ ก็วิ่งไปที่ห้องครัวและกอดแม่นมหลิว

"คุณย่า คุณได้ยินไหม พ่อบอกว่าเขาชอบแม่น้อยของผม ผมจะเรียกแม่น้อยของผมว่าแม่ในอนาคตได้แล้ว คุณย่า … "

แม่นมหลิวมองไปที่หนิงเส่าเฉินด้วยรอยยิ้ม จากนั้นมองไปที่เฉินเป้ยอีผู้ซึ่งเขินอายมาก จนก้มหน้าลงพยักหน้า และแตะที่หัวหนิงเสี่ยวซี"โอเค ไปทานอาหารเย็นแล้ว ดูสิคุณมีความสุข."

ในความเป็นจริงจากปฏิสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองคนในช่วงเวลานี้ บุคคลที่มีความเข้าใจสามารถมองเห็นความสัมพันธ์ระหว่างคนทั้งสองมานานแล้ว แต่หนิงเสี่ยวซียังเด็กเกินไปและปฏิกิริยาของเขาจึงช้า

ในที่สุดอาหารในบรรยากาศที่น่าอึดอัด และน่าอับอายก็เสร็จสิ้น

หลังจากรับประทานอาหารเสร็จ เฉินเป้ยอีก็ผลัก แม่นมหลิวลงบนโซฟาและนั่งลง "อย่าลุกขึ้นมาอีก ฉันจะล้างจานเอง"

หลังจากพูดจบ เธอก็ปลดผ้ากันเปื้อนของแม่นมหลิว และผูกเข้ากับตัวเธอ

แม่นมหลิวไม่สามารถอยู่เฉยๆได้ นั่งคิดเรื่องนี้ลุกขึ้นอีกครั้ง ไปที่ระเบียงและช่วยเก็บเสื้อผ้า

หนิงเส่าเฉินเพิ่งออกมาจากห้องน้ำ และเมื่อเห็นฉากนี้ รอยยิ้มในดวงตาของเขาก็ลึกขึ้น และความใจในใจของเขาก็กระชับขึ้น

"พ่อ ตอนกลางคืน เราจะอยู่กับแม่น้อยที่นี่อีก โอเคไหม?"

หนิงเสี่ยวซีเดินไปหาหนิงเส่าเฉิน และถามพลางสองมือประกบกันเชิงขอร้อง

ปากของหนิงเส่าเฉินโค้งงอ เห็นได้ชัดว่ามีความสุขมากในใจของเขา แต่สีหน้าเขายังสงบ เขาทำเสียง "อืม" อย่างไม่ไยดี

และเขาจึงเดินไปที่ห้องครัว และเฉินเป้ยอีซึ่งยืนอยู่ที่ประตูเฝ้าดูก็รู้สึกเสียสติไป

เพราะถูกเขามองดูก็รู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย เฉินเป้ยอีจึงพูดว่า: "คุณต้องการช่วยไหม?"

"โอเค ผมจะทำ!" เขาตอบอย่างเคร่งขรึม แต่เเฉินเป้ยอีตกใจ หนิงเส่าเฉินสามารถช่วยได้?

เพราะคิดว่าเขาเป็นคนสุภาพ จึงจงใจพยักหน้าและพูดว่า "โอเค คุณมาล้างจาน"

กำลังพูดอยู่ ที่นี่จะเริ่มล้างจานบนโต๊ะ แต่ถูกหนิงเส่าเฉินจับมือไว้

"ไปนั่งและพักผ่อน ผมทำเอง"

"หือ?"เฉินเป้ยอีตกใจปิดปากของเธอ

หนิงเส่าเฉินล้างจาน?

“เอ่อ … ให้ฉันทำเองเถอะ?”

หนิงเส่าเฉินเพียงแค่ยิ้มเล็กน้อย ถอดเสื้อนอกและยกแขนเสื้อเชิ้ตสีขาวของเขาขึ้น วางจานที่เหลือหลายใบแล้วเทเศษอาหารลงในถังขยะในครัว จากนั้นเขาก็จัดการพวกมันอย่างชำนาญบนโต๊ะอาหาร.

"คุณเคยล้างจานมาก่อนเหรอ?"

"สมัยมัธยม ผมมีปัญหาขัดแย้งกับพ่อ และถูกลงโทษให้ไปล้างจานที่โรงแรมเป็นเวลาครึ่งเดือน"

"อา?"

หนิงเส่าเฉินชอบการแสดงออกที่สดใสของผู้หญิงคนนี้มากที่สุด และอดไม่ได้ที่จะโน้มตัวไปจูบเธอที่หน้าผาก "ไปนั่งตรงนั้น ผมล้างเสร็จแล้วมีเรื่องจะถามคุณ"

เฉินเป้ยอีไม่ได้ถามอะไรเขา เธอแค่รู้ว่า ในขณะนี้ ทุกเซลล์ในร่างกายของเองเต็มไปด้วยความสุข

เฉินเป้ยอีไม่เคยคิดว่าคนอย่าง หนิงเส่าเฉินจะสะอาดและเป็นระเบียบมากเมื่อทำงานบ้าน เธอนั่งได้ไม่นาน

ก็เห็นว่าเขาเช็ดมือให้สะอาดแล้วเดินเข้าไปหาเธอ

นั่งข้างๆเธอ จากนั้นด้วยคลื่นแขนยาวของเขา เฉินเป้ยอีก็ตกลงไปในอ้อมแขนของเขา

"หนิงเส่าเฉิน คุณว่าชาติที่แล้วคุณเป็นหนี้ฉันรึเปล่า? ไม่อย่างนั้น คุณเก่งมากนี้ จะตกอยู่ในมือของฉันได้อย่างไร?" เซินเบยอิ้พูดกับตัวเอง

มือใหญ่เกี่ยวเอว ไว้แน่น“ จริงเหรอ ใครไม่เคยมองผมมาก่อน” เฉินเป้ยอีมองไม่เห็นการแสดงออกของเขา แต่จากในน้ำเสียง สามารถเดาได้ว่า มุมปากของเขาจะต้องยกขึ้น

เธอตกใจมาก ใช่เธอไหม? เธอส่ายหน้าทำตัวโง่ๆ

“คุณมีอะไรจะถามฉันเหรอ? พูดเถอะ … ”

ทันทีที่หนิงเส่าเฉินกำลังจะพูด โทรศัพท์บนโต๊ะกาแฟก็ดังขึ้น

ทันทีที่เฉินเป้ยอีเข้ามาใกล้เขา ก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาและส่งให้เขา ดวงตาที่เฉียบคมก็เห็นคำว่าเกาเหวินสองคำ

เธอก้มหน้าและจำที่จะยืนขึ้น ท้ายที่สุดเรื่องบางอย่าง ถ้าเธออยู่ที่ บางทีมันอาจจะไม่สะดวกที่พวกเขาจะพูด แต่หนิงเส่าเฉินรั้งเธอไว้อย่างดื้อรั้น

รับโทรศัพท์แล้ว และรกดปุ่มแฮนด์ฟรี

“เส่าเฉิน … ”

"มีอะไรหรือ?"เฉินเป้ยอีตระหนักว่าในเวลานี้ หนิงเส่าเฉินไม่มีความอ่อนโยนต่อเกาเหวินอีกต่อไป

"หนิงเส่าเฉิน คุณทำแบบนี้กับฉันไม่ได้ ฉันช่วยชีวิตคุณไว้ คุณจะไม่ต้องการฉันได้อย่างไร" เสียงของเกาเหวินแตกต่างจากในอดีตมาก เสียงที่หนาขึ้นและสามารถได้ยินได้ อารมณ์ของเธอไม่คงที่อย่างเห็นได้ชัด

"เสี่ยวเหวิน เราไม่มีความรัก และเราเลือกที่จะแยกจากกัน ก็เพื่อผลดีของคุณ" การแสดงออกของหนิงเส่าเฉินไม่ได้เปลี่ยนไปมากนัก สงบมาก

"คุณโกหกฉัน คุณเลิกตกหลุมรักเพราะการเอาใจใส่ คุณเพิ่งตกหลุมรักกับพี่เลี้ยงบ้านของคุณ … หนิงเส่าเฉิน ฉันแย่กว่าเธอตรงไหน ทำไมคุณรักเธอ ไม่รักฉัน" น้ำเสียงของเกาเหวินกลายเป็นคำถาม

เฉินเป้ยอีเอียงหัวอย่างมีสติ และมองไปที่เขา ประหลาดใจ เขายังคงแสดงออกเช่นนั้น

"ความรักไม่ใช่ธุรกิจ เทียบไม่ได้!"

"หนิงเส่าเฉิน … คนเลว … ฉันจะไม่ปล่อยให้พวกคุณอยู่ด้วยกัน ไม่มีวัน … "

สิ้นเสียงคำรามอย่างปวดใจ โทรศัพท์ก็ถุกวางสาย

ความสุขของพวกเขา ถูกกำหนดให้ขึ้นอยู่กับความไม่มีความสุขของผู้หญิงคนหนึ่ง

หลังจากที่เกาเหวินวางสายโทรศัพท์ เธอก็ปิดตัวเองในห้อง

นำเสื้อผ้าทั้งหมดในตู้ออกมา ทุกชิ้นถูกฉีกเป็นชิ้นๆ และชิ้นที่ไม่สามารถฉีกได้ก็ถูกกัดด้วยปาก

แม่บ้านได้ยินการเคลื่อนไหวและเรียกแม่เกามา

"เสี่ยวเหวิน ลูกกำลังทำอะไรอยู่" แม่เกาผลักประตูเข้ามา และเห็นความยุ่งเหยิงในที่แห่งหนึ่ง รีบก้าวไปข้างหน้าเพื่อกอดเกาเหวินไว้ในอ้อมแขน

"แม่ เส่าเฉินไม่ต้องการฉันอีกแล้ว" เธอเหวี่ยงตัวเข้าไปในอ้อมอกของแม่เการ้องไห้อย่างสุดใจ

แม่เกาเนื่องจากเป็นโรคซึมเศร้าในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาแทบไม่ได้สื่อสารกับเกาเหวิน เห็นลูกสาวของเธออึดอัดมากในขณะนี้ เธอไม่สามารถพูดอะไรได้เพียงแค่เช็ดน้ำตา

"ตอนนี้เธอกยังเห็นไม่ชัดเหรอ หนิงเส่าเฉินรักกับคนอื่นแล้ว" เสียงของเกาไห่ดังมาจากประตู

เกาเหวินเงยหน้าขึ้น ก็เห็นเขาพิงกรอบประตูด้วยการแสดงออกที่ผมรู้อยู่ก่อนแล้ว

เธอปล่อยมือจากแม่ ก้าวไปข้างหน้า และคว้าคอเสื้อของเกาไห่“ นายมีความสุขใช่ไหม เพราะนาย ถ้านายไม่บังคับเส่าเฉิน เขาจะไม่บอกฉันว่ายกหมั้น เพราะนาย …นายก็เหมือนแม่ของนาย มองว่าคนอื่นสร้างปัญหาแล้วไม่มีความสุข พวกนายก็มีความสุข ใช่ไหม?”

ทันใดนั้นใบหน้าของเกาไห่ก็กลายเป็นเย็นชา "เสี่ยวเหวิน ฉันบอกแล้วว่าฉันไม่เคยเจอกันกับเธอ"

"แต่นายมีเลือดที่ต่ำต้อยของเธอ" เธอตื่นตาด้วยความโกรธ จึงไม่พูดอะไรมาก

“เสี่ยวเหวิน ลูกไม่ได้รับอนุญาตให้พูดแบบนี้” จู่ๆแม่เกาก็ลุกขึ้นยืนตรงหน้าเกาไห่ และตำหนิเกาเหวินอย่างรุนแรง

“แม่ ทำไมคุณรู้ว่าเขาเป็นลูกชายของนังคนนั้น แต่คุณก็ยังปกป้องเขาแบบนี้ คุณดูสิ คุณทนทุกข์เพราะยัยนั่นมานานหลายปีแค่ไหนแล้ว แม้คุณไม่ปล่อยให้หัวใจของพ่อมอบให้นังนั่น เขาก็ไม่ให้ใจคุณ คุณ … "

"เพี้ย" เกาเหวินไม่พูดเสร็จก่อน แม่เกาก็จะตบหน้าเธอแล้ว

ทันทีที่หนิงเส่าเฉินกำลังจะก้าวไปข้างหน้าเพื่อจับเธอ ก็มีเงาของร่างกายหนึ่งก็อุ้มเกาเหวินขึ้นตรงหน้าเขาแล้ว วางเธอลงบนเตียง

"เนื่องจาก คุณหนิง ไม่มีความรู้สึกกับน้องสาวของผมอย่ามาเสแสร้งเป็นคนดี คุณจะทำให้เธอเจ็บปวดมากขึ้นเท่านั้น" เกาไห่พูดอย่างเย็นชา

"ผมตัดสินใจอะไร ไม่ต้องให้คุณมากำหนด" หนิงเส่าเฉิน ไม่เคยเป็นเจ้านายที่ใจเย็น สำหรับเกาไห่ เขาไม่ได้ให้ใบหน้าที่ดีกับเขา เขาไม่เคยคิดว่าเขาจะดีขึ้น

“ งั้นได้โปรดคุณหนิงออกไป”

ใบหน้าของหนิงเส่าเฉินมืดลงและเขามองไปที่เกาเหวิน ที่กำลังนอนหลับใหลอยู่บนเตียง ในเวลานี้แพทย์ได้ทำการตรวจให้เธอแล้ว "ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำประกอบกับอารมณ์ที่มากเกินไปทำให้เป็นแบบนี้ คุณหนิง วางใจได้"

หลังจากหมอพูดจบ เขาก็ถอยออกมาแล้ว

หลังจากรู้ว่า เธอโอเค หนิงเส่าเฉินก็ไม่อยากอยู่ต่อไปอีกแล้ว เนื่องจากไม่สามารถให้สิ่งที่เธอต้องการได้ จึงเลิกราไปก่อนหน้านี้ซึ่งดีสำหรับเธอ

“ฝากบอกเธอว่า ยกเลิกสัญญาการแต่งงานเป็นเรื่องดีสําหรับพวกเรา”

หลังจากพูดจบเขาก็หันกลับและเดินออกจากวอร์ดโดยไม่มีอาลัยอาวรณ์

ในขณะที่ประตูวอร์ดปิดลง เกาเหวินที่เพิ่งหลับตาก็ลืมตาขึ้นเธอ จ้องมองไปที่ฝ้าเพดานอย่างว่างเปล่า น้ำตาไหลริน

14 ปีมันจบแบบนี้แล้วเหรอ?

“ ตอนนี้เธอควรจะยอมแพ้แล้วใช่ไหม?”

เมื่อหนิงเส่าเฉินกลับมา เฉินเป้ยอีกำลังเล่นเกมกับหนิงเสี่ยวซีเมื่อเห็นเขาเข้ามา ก็ตกใจอย่างเห็นได้ชัด มันแค่หนึ่งชั่วโมงที่เขาไปและกลับมา

อย่างไรก็ตาม เมื่อเห็นใบหน้าของเขาไม่ดี เธอก็ไม่ได้ถามอะไรมากเกินไป

เช้าวันรุ่งขึ้นเมื่อเห็นใบหน้าของหนิงเส่าเฉินดีขึ้นแล้ว เธอจึงถามเบา ๆ ว่า "เอ่อ คุณเกาโอเคอยู่ไหม? "

หนิงเส่าเฉินยื่นมือออกมาและโอบกอดเธอไว้ในอ้อมแขนของเขา "บอกเธอแล้วว่า จะยกเลิกสัญญาการแต่งงานหลังปีใหม่ผ่านไป"

ไม่มีคลื่นในเสียงของเขา แต่เฉินเป้ยอีได้ยินเสียงแล้วก็ตกใจ เธอลุกขึ้นนั่งตรงจากอ้อมแขนของเขาและพูดตามตรง ตอนนี้ความรู้สึกผิดชอบชั่วดีของเธอยังคงถูกรบกวน

หนิงเส่าเฉินพลิกตัวและกดทั้งตัวของเขาบนร่างเฉินเป้ยอี

เฉินเป้ยอีไม่ได้เร่งเร้าเขาอย่างฉุกละหุก และเงยหน้าขึ้นมองเขาและพูดว่า "ถ้าหากฉันไม่ปรากฏตัว คุณจะแต่งงานอย่างราบรื่นกับเธอหรือไม่?"

"เป้ยอี ไม่มีถ้าหากในโลกใบนี้" หนิงเส่าเฉินขมวดคิ้วเข้าหากัน เห็นได้ชัดว่าเขาไม่อยากคุยถึงคําถามนี้

เฉินเป้ยอีรู้สึกได้ถึงความหนาวเย็นในหัวใจของเธอ หลังจากนั้นไม่นาน เธอก็ม้วนริมฝีปากของเธอและหัวเราะอย่างเย็นชา: "งั้นก็ยังเป็นฉันทำลายความสัมพันธ์ของพวกคุณ"

หลังจากพูดแล้วก็ผลักเขา

หนิงเส่าเฉินกอดเธอแน่นขึ้น“เป้ยอี เกาเหวินกับผมไม่มีความรัก ถ้าผมไม่ได้พบคุณ ผมจะแต่งงานกับเธอ นั่นเป็นเพราะตัวตนและภูมิหลังของผม ผมอยากมีการแต่งงาน เกาเหวิน เคยช่วยชีวิตผมไว้ครั้งหนึ่งตอนนั้น เพราะผมไม่รู้ว่าผมจะได้พบกับความรักอีกครั้งหรือไม่ เมื่อเธอมีความคิดในเรื่องนี้ ผมจึงเลือกที่จะทำ "

เขาพูดอย่างกังวลเล็กน้อย แต่เฉินเป้ยอีก็เข้าใจว่าคำพูดของหนิงเส่าเฉินต้องมาจากก้นบึ้งของหัวใจของเขา

คิดได้แค่นี้ ตามองลงข้างล่าง

คางของหนิงเส่าเฉินวางอยู่บนคอของเธอ ลูกกระเดือกของเขากลิ้งอย่างรวดเร็วและเสียงแม่เหล็กที่ต่ำของเธอค่อยๆไหลเข้าหูของเฉินเป้ยอี "งั้นเป้ยอี อย่าจากผมไป"

การจ้องมองของเฉินเป้ยอีตกใจเล็กน้อยและเป็นเวลานาน ทันใดนั้นเธอก็ยกแขนขึ้นและค่อยๆวนรอบเอวของเขา

"หนิงเส่าเฉิน คุณจะเสียใจกับการตัดสินใจของวันนี้ในอนาคตหรือไม่"

"ใช่!" มุมปากของเขายกขึ้น "ชาติหน้า"

หลังจากพูดแล้ว เขาก็ยกเธอขึ้น เขายกมุมปากของเขาเหล่เล็กน้อยและพูดด้วยน้ำเสียงแม่เหล็กในหูของเฉินเป้ยอี: "ผมโชคดีที่ได้พบคุณ"

รู้สึกถึงการหายใจของเขา ตัวของเฉินเป้ยอีไปหมด ดวงตาลดลงและพูดเบา ๆ : "หนิงเส่าเฉินลุกขึ้นเร็ว ๆ คุณหนักมาก"

หนิงเส่าเฉินสัมผัสผิวเนียนของเธอด้วยมือใหญ่และค่อยๆเลื่อนลงร่างกายของเขาตอบสนองอย่างเห็นได้ชัดขณะที่ลูกกระเดือกกำลังกลิ้งอยู่

เฉินเป้ยอีก็รู้สึกได้เช่นกัน เธออ้าปากกว้างและยกมือขึ้น

หนิงเส่าเฉินขมวดคิ้วในตอนแรก งงงวยและมองลงไปตามทิศทางของนิ้วมือของเธอในที่สุดก็เข้าใจแล้ว เงยหน้าขึ้นริมฝีปากของเขาและในที่สุดก็ไม่สามารถกลั้นหัวเราะได้และโน้มตัวไปที่ริมฝีปากของเธอ จูบ

"คุณต้องการให้ผมช่วยสอนคุณไหม" เขาพูดจับมือของเธอและดึงลง

แม้ว่าเธอจะไม่รู้ แต่เฉินเป้ยอีดูเหมือนจะเข้าใจในตอนนี้ เธอดึงมือของเธอกลับมาอย่างหมดหวัง ใบหน้าของเธอแดงก่ำ พระเจ้า เธอโง่ขนาดนี้ที่เธอถามแบบนี้จริงในตอนนี้

“ พ่อ คุณเคยบอกว่าแม่น้อยน่าเกลียด แล้วทำไมคุณยังกดเธอไว้บนร่างกายของเธออีก” ทันใดนั้นเสียงไร้เดียงสาดังมาจากประตู

จากมุมหางตาของเธอเฉินเป้ยอี เห็นหนิงเสี่ยวซี มองมาที่พวกเขาด้วยรอยยิ้มบนใบหน้าของเขาซึ่งน่าอายจริงๆ

เธอเริ่มผลักหนิงเส่าเฉินอย่างหนัก“ คุณหนิง น่าเกลียดและน่าเบื่อเหรอ คุณควรลุกขึ้นโดยเร็ว เพื่อไม่ให้ร่างกายของคุณสกปรก” กล้าพูดว่าเธอน่าเกลียด? ไม่มองว่าใครสืบทอดความงามของลูกชายของใคร

เมื่อเห็นว่าหนิงเส่าเฉินไม่ตอบสนอง กังวลใจ เธอจึงใช้มือและเท้าประสานกัน บางทีเขาไม่เคยคิดว่าเธออาจจะเตะเขาด้วยเท้าของเธอ หนิงเส่าเฉินเสียสมดุลและล้มลงกับพื้น

เมื่อเห็นท่าทางเขินอายของเขา ทั้งตัวใหญ่และตัวเล็ก พวกเขาต่างก็หัวเราะ

แม่นมหลิวอยู่ที่ประตูห้องครัวฟังเสียงหัวเราะจากข้างใน หัวใจของเธอก็อบอุ่นขึ้นเล็กน้อย

เมื่อคืนที่ผ่านมา หนิงเส่าเฉินรับเธอมาที่นี่และบอกว่าเขาจะใช้เวลาปีใหม่ด้วยกันที่นี่และเธอเข้าใจว่าหนิงเส่าเฉินจริงจังกับเฉินเป้ยอี

เมื่อทั้งสามคนออกมาหนิงเส่าเฉินก็มีใบหน้าที่มืดมนในขณะที่อีกสองคนกำลังอึดอัดยิ้ม

ระหว่างมื้ออาหาร

หนิงเสี่ยวซีวางตะเกียบลงทันทีและถามด้วยสีหน้าจริงจัง "พ่อบอกมาตามตรงคุณเพิ่งกดแม่น้อยของผม คุณกำลังอยากทำอะไรอยู่ คุณอยากตีเธอหรือไม่?"

ทันทีที่เฉินเป้ยอีใส่ลูกชิ้นปลาเข้าปาก เมื่อได้ยินคำถามของเขา ลูกชิ้นปลาทั้งหมดก็หลุดเข้าไปในลำคอของเธอและแทบจะไม่สำลักตาย

เธอกำหน้าอกของเธอและไม่ได้ผ่อนคลายเป็นเวลานาน

หนิงเส่าเฉินตักซุปครึ่งชามให้เธอ หยิบทิชชู่อีกชิ้นส่งให้เธอ ที่นี่เขาตบหลังเธอทันที การเคลื่อนไหวเป็นไปอย่างเป็นธรรมชาติและราบรื่น เมื่อเขาหันหน้าเขาก็จ้องไปที่หนิงเสี่ยวซี "ข้าวก็ไม่ได้ทำให้ปากของลูกปิดหรอ”

เฉินเป้ยอีจ้องไปที่หนิงเส่าเฉิน

แม่นมหลิวเป็นคนที่เคยมีประสบกรณ์ เมื่อได้ยินคำพูดของหนิงเส่าเฉิน เธอรู้สึกอายเล็กน้อย ใบหน้าฝาดลุกขึ้นและหาข้ออ้างว่าไปที่ห้องครัวเพื่อตักซุป

“ พ่อคุณบอกว่าคุณไม่ชอบแม่น้อยของผม แล้วคุณกดเธอ ไม่ใช่รังแกเธอ คุณกำลังทำอะไร” หนิงเสี่ยวซีมีไอคิวสูง แต่ไม่ว่าเขาจะมีไอคิวสูงแค่ไหนเขาก็ยังเป็นเด็ก เมื่อมองเห็นการกระทำของพวกเขาในเวลานั้น เขาก็เป็นเพียงการวิเคราะห์อย่างเป็นกลาง

เสียงของเขาดึงเฉินเป้ยอีจากความหลงใหลกลับสู่ความเป็นจริง เธอผลักเขาออกไปด้วยแรงหอบ และเอื้อมมือไปปิดกั้นริมฝีปากบางที่เขากดลงมาอีกครั้ง

"ไหนบอกว่าจะออกไปซื้อของ ฉัน … ฉันจะไปทำความสะอาดห้องก่อน" หลังจากพูดจบ เขาก็ตะลึงในเหตุการณ์ เธอออกไปอีกครั้ง แล้วหันและวิ่งไปที่ห้อง

แม้ว่าพฤติกรรมของเกาเหวินจะทำให้เธอโกรธมาก แต่ในขณะนี้ เธอยังคงเป็นคู่หมั้นของหนิงเส่าเฉิน เธอไม่ต้องการที่จะพัฒนาความสัมพันธ์กับหนิงเส่าเฉินต่อไป นี่เป็นข้อกำหนดที่เธอมอบให้กับตัวเอง

เธอไม่สนใจว่าคนนอกจะมองเธออย่างไร หลังจากนั้นการใช้ชีวิตในปัจจุบัน อาจมีหลายร้อยสิ่ง ที่แตกต่างกันในสายตาของคนหลายร้อยคน สิ่งหนึ่งเกี่ยวกับคุณในสายตาของคนที่แตกต่างกันจะมีความคิดเห็นที่แตกต่างกัน และเธอไม่สามารถควบคุมสิ่งที่คนอื่นคิดได้ แต่เธอรู้สึกว่าเธอละอายใจกับทุกสิ่ง เธอเชื่อมาตลอดและมองเห็นจิตใจของผู้คนตลอดเวลา

หนิงเส่าเฉินก้มหน้าลง ดันผมไปข้างหลังด้วยมือข้างเดียว เม้มริมฝีปากบางและหายใจออกอย่างหนักกับความปรารถนาของเขา ที่มีต่อผู้หญิงในแง่นี้ไม่เคยแรงกล้าในคำพูดของหลิวซู เขาสูญเสียสิ่งที่มีค่าที่สุดของผู้ชาย เดิมทีเขาคิดว่าเขาเป็นปกติ

แต่เห็นได้ชัดว่า หลังจากอยู่กับผู้หญิงคนนี้ ความคิดเช่นนี้แทบจะไม่สามารถระงับได้โดยไม่ต้องล้อเล่น

เมื่อหลิวซูพาหนิงเสี่ยวซีมา ก็เดินเข้าไปและเห็นหนิงเส่าเฉินกำลังดื่มน้ำเย็น ในวันที่อากาศหนาวเย็น ดื่มน้ำเย็น? เขาอดไม่ได้ที่จะมองไปที่หนิงเส่าเฉินเหลือบมองไปด้านข้างหัน และเดินไปที่ห้องนั่งเล่น

"เสี่ยวซี ไปที่ห้องเพื่อหาแม่น้อยของคุณเถอะ" หลังจากที่หนิงเสี่ยวซีถูกผลักออกไป หลิวซูวก็นั่งลงข้างๆ หนิงเส่าเฉินจ้องมองเขาด้วยรอยยิ้มบนใบหน้าของเขา

เมื่อเขาเห็นหนิงเส่าเฉินหูแดงอย่างหายากเล็กน้อย และเขาก็อดไม่ได้ที่จะพูดอย่างเย็นชา“ เมื่อไหร่ที่คุณเปลี่ยนรสนิยมทางเพศหรือ?”

ในขณะเดียวกัน ร่างกายก็หันเข้าด้านใน

“เฮ้ย ดูคุณแบบนี้ ยังไม่ได้กินถึงปากอีกเหรอ”

เขายิ้มอย่างเชื่องช้า หนิงเส่าเฉินมองไปที่ใบหน้าของเขา เลื่อนตัวถอยกลับทันทีหยิบหนังสือข้างมือเบี่ยงความสนใจ และพูดอย่างเย็นชาว่า "อย่าเปรียบเทียบนายกับฉัน"

ตอนเด็กๆก่อนหน้านี้ เขาคิดว่า การทำเรื่องแบบนั้นจะเหมือนกับใครๆ

ตอนนี้เขาเข้าใจความรักแล้ว เขาก็เข้าใจแล้วว่า ถ้าไม่มีความรักเป็นพื้นฐาน งั้นการทำแบบนั้นก็ไม่ต่างจากการเป็นสัตว์

หลิวซูปล่อยเขาไปอย่างง่าย หยิบโทรศัพท์ขึ้นมา นิ้วเรียวพลิกดูโทรศัพท์อย่างรวดเร็วจากนั้นวางโทรศัพท์ลงบนหนังสือของหนิงเส่าเฉิน "บรรเทาความจำเป็นสำหรับผู้หญิง?"

หนิงเส่าเฉินจับตาดูภาพที่ร้อนแรง จากนั้นหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาและโยนมันลงบนโซฟาข้างๆเขา“ ไม่ต้องล้อเล่นผมเชื่อว่าคุณจะมีวันนั้น ผมจะรอ”

หลิวซูยักไหล่ มองเขาอย่างไม่พอใจ วางโทรศัพท์ทิ้งแล้ว ลุกขึ้นยืน

"ผมเหรอ ในชาติหน้า ก็เป็นไปได้" หลิวซูตอบโดยไม่รู้ตัว พลางหยิบกล้วยบนโต๊ะกาแฟ เตรียมปอกเปลือก

"จริงเหรอ ผมคิดว่า คุณตั้งใจจะเป็นพี่เขยของผม"

นิ้วที่ใช้ปอกเปลือกกล้วยของเขาแข็งทันที หนิงเส่าเฉินส่งเสียงอย่างเย็นชา

หลังจากนั้น ไม่นานจนกระทั่งหลิวซูเอากล้วยเข้าปาก เขาก็หัวเราะกับตัวเอง“ เธอ จะกลับมาได้ยังไง?”

เมื่อมองไปที่เครื่องบินส่วนตัวที่จอดอยู่ตรงหน้า เฉินเป้ยอีก็หันหน้าไปมองหนิงเส่าเฉินที่ดูเหมือนกัน "คุณไม่ได้บอกว่าจะออกไปเดินเล่นหรือ?"

"ทำไม มีปัญหาหรือ"

"เดินเล่น ต้องั่งเครื่องบิน?" โลกนี้แตกต่างกันจริงๆ และมีช่องว่างในการทำความเข้าใจ

หนิงเส่าเฉินกอดหนิงเสี่ยวซีและช่วยเขาขึ้นเครื่องบิน ขณะที่เขากำลังจะเอื้อมมือไปจับเฉินเป้ยอี โทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงก็ดังขึ้น

เขาบอกให้เฉินเป้ยอีรอ จากนั้นก็หยิบมันขึ้นมา

เฉินเป้ยอีจับราวบันไดและมองไปที่วัตถุขนาดใหญ่ที่อยู่ตรงหน้า เธอไม่เคยนั่งเครื่องบินมาก่อน หรือเป็นเครื่องบินเจ็ตส่วนตัว เธอดูเหมือนเป็นเด็กที่กำลังมองซ้ายและมองขวา

"โอเค ผมจะไป" ทันใดนั้น เธอก็ได้ยินหนิงเส่าเฉินพูด และวางสายโทรศัพท์ ใบหน้าของเขามืดมนและน่ากลัว

เฉินเป้ยอีก้าวไปข้างหน้าและถามว่า "มีเรื่องหรือไม่?"

หนิงเส่าเฉินไม่ตอบเธอ แต่หันไปมองหนิงเสี่ยวซี“ คุณพาเสี่ยวซีกลับก่อน เกรงว่าวันนี้จะไปไม่ได้แล้ว”

หลังจากหยุดชั่วขณะเขาพูดต่อ "เกาเหวินกำลังสร้างปัญหาในโรงพยาบาล ผมต้องไปดู"

เขาพูดเบาๆ แต่เมื่อเฉินเป้ยอีรู้ว่า สิ่งต่างๆจะไม่ง่ายอย่างนั้น แน่นอนเกาเหวินผู้หญิงคนนั้น สามารถเอามีดแทงที่แขนของเธอเพื่อจัดการกับเธอ เธอเพื่อให้หนิงเส่าเฉินไปเยี่ยมเธอ ว่าไงอาจทำบางอย่าง?

"ไปเถอะ ฉันจะพาเสี่ยวซีกลับไปบ้านฉัน ถ้าคุณ … ไปไม่ได้คืนนี้ ก็ให้ลุงจางมาหาฉันเพื่อไปรับเสี่ยวซีกลับ" เธอมีใบหน้าที่สมเหตุสมผล มีเพียงเธอเท่านั้นที่รู้ เธอรู้สึกในใจอึดอัดมาก แต่เกาเหวินยังคงเป็นคู่หมั้นของเขา เธอไม่มีสิทธิ์รั้ง และเธอไม่อยากให้เขาลำบากใจ

เมื่อหนิงเส่าเฉินมาถึงโรงพยาบาล เขาได้ยินเสียงกรีดร้องและทุบสิ่งของจากระยะไกลแพทย์ที่เข้าร่วมได้ยินว่าเขามา และทักทายเขาจากระยะไกล

“ มีอะไรเหรอ?” น้ำเสียงของเขาสงบมากผสมกับความหงุดหงิดเล็กน้อย

"คุณเกาซ่อนตัวอยู่ในห้องน้ำคนเดียว และใช้มีดผ่าเส้นเลือดตัวเอง" หมอพูดอย่างระมัดระวัง เมื่อเห็นหนิงเส่าเฉินขมวดคิ้ว และพูดต่ออย่างรวดเร็ว: "แต่ พยาบาลพบทันที ตอนนี้ไม่เป็นไร แต่คุณเกาอารมณ์ร้ายเกินไป และต้องการเจอคุณ เราก็ทำอะไรไม่ได้ … "

หมอยืนอยู่ใกล้กับหนิงเส่าเฉิน ดังนั้น เขาจึงได้ยินเสียงดัง“กึก”ของนิ้วของเขา เมื่อหนิงเส่าเฉิน กำปั้นเขาไม่กล้าที่จะพูดอีกต่อไปในช่วงที่เหลือ

หนิงเส่าเฉินเห็นเกาไห่ยืนอยู่ที่ประตูจากระยะไกล เมื่อเห็นเขากำลังมา หัวเกาไห่ก็เอียงไปข้างหนึ่งและใบหน้าของเขาก็ไม่ดี เมื่อเขาพร้อมจะผลักประตูวอร์ด เกาไห่ก็ยื่นแขนออก รัดคอของหนิงเส่าเฉิน

"เป็นคุณที่ทำร้ายเธอ ตั้งแต่คุณไม่รักเธอ ทำไมคุณถึงอยากหมั้นกับเธอแต่แรก?"

หนิงเส่าเฉินเหลือบมองมือของเกาไห่ที่วางอยู่ระหว่างคอของเขา อย่างเศร้าหมองยกมือใหญ่ขึ้น และแรงเพียงเล็กน้อยเขาเหวี่ยงร่างของเกาไห่ไป และเปิดประตูเพื่อเข้าไปในวอร์ด

ที่มุมของห้องผู้ป่วย มีพยาบาลสองคนยืนอยู่ที่นั่นพร้อมกับหดหัวของพวกเธอ เกาเหวินใช้มือที่ไม่บุบสลายของเธอโยนสิ่งของทั้งหมดในห้องที่สามารถโยนได้

เธอส่งข้อความหาเขา แต่เขาไม่ตอบกลับมา ในพริบตา เขาไปที่ห้างสรรพสินค้ากับผู้หญิงคนนั้น เพื่อไปซื้อเสื้อผ้าและไปที่บ้านของเธอ …

คิดแค่นี้ เธอก็ควบคุมตัวเองไม่ได้

“นี่ทำอะไร” เสียงทุ้มต่ำตัดผ่านอากาศที่ถูกระงับในห้อง

การเคลื่อนไหวของเกาเหวินในการขว้างหมอนก็หยุดนิ่ง เธอผงะไปชั่วขณะ หันกลับมาและมองไปที่หนิงเส่าเฉินที่ยืนอยู่อีกด้านหนึ่งของวอร์ด

"เส่าเฉิน … " เธอตะโกนแค่พูดสองคำ และเป็นลมไป

เธอเงยหน้าขึ้นมอง ก็เห็นหนิงเส่าเฉินเข้ามาสองมือจบเธอไว้พร้อมกับรอยยิ้มบนริมฝีปาก ในสายตาของเขาคือรักอย่างไม่มีที่สิ้นสุด

การปรากฏตัวของเขา ดึงดูดความสนใจของผู้หญิงในพวกนั้นได้ทันที ในบรรดาผู้หญิงสามคน มีเพียงฝ๋านชิงชิงเท่านั้นที่เคยเห็นหนิงเส่าเฉิน อีกสองคนอาจเห็นเขาในทีวี ในขณะนี้ต่างก็มองเขาด้วยความประหลาดใจ

และพนักงานหลายคนที่ไม่ได้ออกมา ทั้งหมดก็ออกมาอย่างรวดเร็วเหมือนสายลม

แต่…

ชายหนุ่มดูเหมือนไม่มีสนใจใครอยู่ในสายตาของเขา เขาดึงมือเรียวใหญ่ออกมา ลูบหัวของเฉินเป้ยอีเอนไปทาง และกระซิบข้างหูของเธอว่า "ผมสนุกกับมันมากกว่าให้คุณซื้อ ผมจะสวมให้คุณเห็น"

เฉินเป้ยอีตกตะลึง เธอเม้มริมฝีปากลดหัวลง และหน้าแดงเหมือนเลือด

“คุณ … คุณมาที่นี่ได้ยังไง?”

หนิงเส่าเฉินวางมือลงบนเอวของเธออย่างเป็นธรรมชาติ ก้มหน้าเลิกคิ้ว "ผมบอกว่าผมอยากเจอคุณ เชื่อไหม?"

"ในตอนเช้า เพิ่งแยกจากกันไม่ใช่เหรอ"เฉินเป้ยอีตอบอย่างโดยไม่รู้ตัว

“ไม่เจอหนึ่งวันเหมือนไม่เจอสามปี ผมรู้สึกเหมือนผ่านมาสองปีแล้ว” เขากระซิบข้างหูเธอ

เสียงของเขาน่าฟังอยู่แต่เดิมแล้ว แต่ในขณะนี้ เขาพูดคำรักที่อ้อยอิ่งอีกครั้ง เฉินเป้ยอีรู้สึกว่าถ้าทำเช่นนี้ต่อไป เขาจะสงบลงได้ แต่ตัวเองก็ไม่สามารถสงบลงได้

โชคดีที่ทั้งสองตั้งใจลดเสียงลง และคนรอบข้างไม่น่าจะได้ยินสิ่งที่พวกเขาพูด

สิ่งที่สามารถเห็นได้คือปฏิสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดระหว่างทั้งสองก่อนหน้านี้

"ฮึ" มีเสียงคนไอ

ถือได้ว่าเป็นการนำเฉินเป้ยอีกลับสู่ความเป็นจริงจากโลกสองคน

เธอหันหน้าไปมองฝ่านชิงชิงที่ยืนอยู่ไม่ไกล

"ประธาน … ประธานหนิง … " สีหน้าของเธอแข็งกระด้าง และคำพูดของเธอดูติดอ่างเล็กน้อย

หนิงเส่าเฉินหันไปมองฝ๋านชิงชิง ดวงตาของเขาก็เย็นชา“ คุณเป็นใคร?”

สีหน้าตื่นเต้นของฝ๋านชิงชิงจางลงทันทีที่ได้ยินคำพูดเหล่านี้ เมื่อเธอไปแต่งหน้าให้กับ เกาเหวินได้ติดต่อกับหนิงเส่าเฉินหลายสิบครั้ง

แม้ว่าเธอจะคิดว่าเธอไม่เทียบได้กับเกาเหวินในรูปลักษณ์ แต่เธอก็ยังสามารถเปรียบเทียบกับผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้าเธอได้

แต่อะไร?

หนิงเส่าเฉินไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเธอเป็นใคร แต่ในขณะนี้ เขาทำตัวสนิทสนมกับสาวบ้านนอกอย่างเฉินเป้ยอี

เมื่อนึกถึงสิ่งนี้เธอก็อดไม่ได้ที่จะโกรธมาก

เกิดการพูดไม่ผ่านอย่างหัวคิด

"คุณเป็นคู่หมั้นของประธานเกา ฉันเป็นพนักงานของบริษัทของประธานเกา ฉันชื่อหม่าชิงชิง"

เสียงของเธอลดลง และใบหน้าของทุกคนในปัจจุบันเปลี่ยนไป

เห็นได้ชัดว่าเป็นการบอกคนอื่นว่าเฉินเป้ยอีกำลังจีบคู่หมั้นของคนอื่น …

เห็นได้ชัดว่าเฉินเป้ยอีไม่ได้คาดคิดว่าหม่าชิงชิงจะระบุตัวตนของเธอ

แต่…

ถ้าก่อนหน้านี้ เมื่อวานเธออาจหนีไปด้วยความอับอาย แต่ในขณะนี้

หลังถูกอธรรมทำให้เกือบต้องเข้าคุก …

ในตอนนี้ เธอไม่มีรู้สึกผิดหรืออาย เธอไม่เคยคิดว่าเธอเป็นคนดี เธอแค่คิดว่าเธอไม่ไม่ได้มีหัวใจที่โหดเหี้ยม

เธอเหลือบมองไปที่หม่าชิงชิงอย่างเย็นชา จากนั้นหันกลับไปมองหนิงเส่าเฉิน“เฉินเป้ยอีเมื่อกี้มีคนบอกว่า คุณแก่เกินไปสำหรับชุดชั้นในเหล่านี้สำหรับคนหนุ่มสาว ถ้าซื้อมาแล้ว คุณไม่สามารถใส่ได้ ก็ต้องไม่ซื้อแล้ว? "หลังจากพูดเสร็จ ก็มองไปที่หนิงเส่าเฉินอย่างไร้เดียงสา

หนิงเส่าเฉินขูดจมูกของเธอ หันหน้าไป ขมวดคิ้วและความเย็นชาในดวงตาก็ค่อยๆปรากฏขึ้น

แต่เขาไม่ได้พูด เพียงแค่ชำเลืองมอง

จากนั้น หลิวซูก็เดินเข้ามาพร้อมกับชายสองคนในชุดดำ ไม่รู้ว่าพวกเขามาจากไหน

แล้วดึงผู้หญิงออกจากร้านไปทีละคน

"ผู้หญิงคนนั้นมาจากบริษัทของเรา"เฉินเป้ยอีเตือนว่า

หนิงเส่าเฉินพยักหน้า และส่งสัญญาณให้หลิวซูติดตามและแก้ปัญหา

เฉินเป้ยอีเลิกคิ้ว และในที่สุดความหมองคล้ำในอกของเธอก็ผ่อนคลายขึ้น เธอไม่ต้องการดูแลว่าหลิวซูจะจัดการกับพวกเขาอย่างไร ในอนาคตสำหรับคนที่ไม่ชอบเธอหรือเธอไม่ชอบพวกเขา เธอคิดว่าเธอไม่จำเป็นต้องแสดงความเมตตาอีกต่อไป

เนื่องจากเธอมีผู้สนับสนุนอยู่ข้างหลัง เธอจึงไม่ต้องการมัน จึงไม่จำเป็นสิ้นเปลืองแรง?

ต่อมา หนิงเส่าเฉินมาเลือกของขวัญให้หนิงเสี่ยวซี แน่นอนว่าของขวัญนั้นเป็นของที่เธอมอบให้ แต่เงินจะตัดจากบัญชีของหนิงเส่าเฉิน

ภายในรถ เธอนอนอยู่ในอ้อมแขนของหนิงเส่าเฉิน เงยหน้าขึ้นมองเขาแล้วถามว่า "คุณคิดว่าฉันเปลี่ยนเป็นคิดไม่ดีรึเปล่า"

หนิงเส่าเฉินพยักหน้า และตอบอย่างรวดเร็ว "ใช่ … "

เฉินเป้ยอีจ้องมองเขา และบีบมือไว้ที่เอวของเขาอย่างแน่นหน

เขาไม่เปลี่ยนสีหน้า วินาทีต่อมา เขาโน้มตัวเข้ามาจูบที่ริมฝีปากของเธอ และกระซิบข้างหูเธอด้วยเสียงต่ำ "ผมชินก็ได้"

หลิวซูที่อยู่ตรงหน้าอดไม่ได้ที่จะตัวสั่น เขามักจะพูดว่า หนิงเส่าเฉินเป็นเหมือนไม้และจะไม่รักผู้หญิง ในอนาคตใครก็ตามที่ติดตามเขาคิดว่าอาจจะต้องเศร้าจนแทบร้องไห้ เพราะอาการคลั่งรักของเขา

ตอนนี้ เขาก็พบว่า เมื่อก่อนIQความรักนั้นต่ำเกินไป เพียงเพราะว่าเขาไม่เจอคนที่ถูกใจ

ความสามารถในการตกหลุมรักผู้หญิง แม้แต่ผมผู้เชี่ยวชาญด้านความรักก็เต็มใจที่จะก้มหัว

หลังจากพาเธอและหลิวซูไปทานอาหารเย็น หนิงเส่าเฉินขอให้หลิวซูไปบ้านตระกูลหนิง เพื่อพาหนิงเสี่ยวซีมาจากที่นั้นกลับไปที่ที่เฉินเป้ยอีอาศัยอยู่

“บ่ายนี้ไม่ต้องไปบริษัทแล้วเหรอ?”

“ไม่ต้อง คุณแค่แพ็คเสื้อผ้าไว้เปลี่ยนซักสองสามชิ้น แล้วก็พาเสี่ยวซีออกไปในตอนบ่าย”หนิงเส่าเฉินนั่งบนโซฟา และหันหน้าไปพูดกับเฉินเป้ยอีที่ออกมาหลังจากล้างมือแล้ว

เฉินเป้ยอีตกใจอย่างเห็นได้ชัด "มันเป็นปีใหม่ คุณไม่จำเป็นต้องอยู่กับคนครอบครัวของคุณหรือ?"

หนิงเส่าเฉินวางหนังสือไว้ เขาลุกขึ้นเดินไปข้างหลังเฉินเป้ยอี กอดเธอจากด้านหลังเปล่งเสียงเบาๆที่หูของเธอ และค่อยๆพูดว่า: "เป้ยอี จากนี้ไป คุณก็เป็นคนในครอบครัวของผม."

เฉินเป้ยอีตัวสั่นอย่างเห็นได้ชัด คนครอบครัว? ช่างเป็นถ้อยคำที่ฟุ่มเฟือย ดวงตาของเธอแดงก่ำทันที เธอหันไปรอบๆ ยื่นมือออกมากอดหนิงเส่าเฉินอย่างแรงวางหัวไว้บนหน้าอกและกระซิบ: "หนิงเส่าเฉิน พวกเขาบอกว่าผู้ชายชอบผู้หญิงคนหนึ่ง และมักจะเริ่มต้นด้วยความประทับใจที่ตราตรึงา คุณ … ทำไมถึงชอบฉัน?”

หนิงเส่าเฉินเม้มริมฝีปากบางของเขา และแตะที่หัวของเธอ "คุณก็บอกอยู่ว่า นั่นเป็นผู้ชายธรรมดา เปรียบเทียบกับผมได้อย่างไร?"

เฉินเป้ยอีเขย่งปลายเท้า และจูบริมฝีปากบางของเขา

เธอต้องการที่จะผละตัวออก แต่เขาไม่ต้องการ และยังรั้งริมฝีปากเธอไว้ และการหายใจ ก็เข้ากัน เขาจูบหนักมากราวกับว่าอยากจะหลอมละลายเป็นเธอ

เฉินเป้ยอีรู้สึกว่าแขนขาเริ่มอ่อนแรง และมือทั้งสองข้างต้องจับเสื้อผ้าที่อยู่ข้างหลังเขา

เมื่อรู้สึกถึงความคิดริเริ่มของเธอ หนิงเส่าเฉินดูเหมือนจะได้รับการสนับสนุนและมือใหญ่ของเขาเริ่มขยับขึ้นและลง

"เป้ยอี.. " เขาเรียกชื่อของเธออย่างเสน่หา

"ในสายตาของคุณ ความสัมพันธ์ 14 ปีไม่มีค่าเลยเหรอ อยู่กับเธอไม่กี่เดือน เส่าเฉินอย่าหลงกลกับการแสดงของผู้หญิงคนนั้น … "

หนิงเส่าเฉินกําลังประชุมอยู่และเห็นหน้าจอโทรศัพท์สว่างขึ้น เขาเปิดมันอย่างไม่เป็นทางการ มองไปที่มัน ดวงตาของเขาจมลงและพลิกโทรศัพท์แล้วคว่ำมันไว้วางบนโต๊ะ

อารมณ์ของคนเป็นเรื่องแปลกจริงๆ ก่อนเกิดเหตุการณ์เมื่อวาน ความประทับใจของเขาที่มีต่อเกาเหวินไม่ได้เลวร้าย แต่หลังจากเหตุการณ์เมื่อวานนี้เขาเริ่มเกลียดเธอ

คนที่ทำร้ายตัวเองได้เพื่อที่จะตีกรอบคนอื่น … มันทำให้คนกลัว

เมื่อคิดแล้ว เขาก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาอีกครั้ง แต่ส่งข้อความไปหาเฉินเป้ยอี: "พรุ่งนี้คุณอยากทําอะไร"

หลังจากส่งมันออกไป สายตาของเขาก็ตกลงไปที่โทรศัพท์โดยตั้งใจ คิ้วของเขาเลิกขึ้นเบา ๆ และนิ้วยาวของเขาก็เคาะหน้าจอเป็นจังหวะ

เมื่อข้อความเข้ามา  เฉินเป้ยอีกำลังเดินช้อปปิ้งอยู่ เพราะหลังจากไล่ชูหยูจี้กลับบ้านไปแล้ว เธอก็อยากไปซื้อของขวัญปีใหม่ให้ หนิงเส่าเฉิน และ หนิงเสี่ยวซี

ในท้ายที่สุด เธอก็ไปที่ห้างสรรพสินค้าที่หนิงเส่าเฉินกับเธอเคยไปครั้งสุดท้าย เธอยืนอยู่หน้าร้านเสื้อผ้าผู้ชายที่ตกแต่งอย่างหรูหรา เธอหยุดและเดินเข้าไป พนักงานที่อยู่ข้างในกวาดตามองเธอขึ้นและลง น่าประหลาดใจ  ที่นี่ไม่มีการเลือกปฏิบัติจริง ๆ พนักงานยืนอยู่ไม่ไกลจากเธอ เธอถามด้วยความเคารพ: "คุณผู้หญิง คุณจะให้ของขวัญผู้อื่นหรือซื้อให้สามีของคุณ?"

สามี?  ทันใดนั้นใบหน้าของหนิงเส่าเฉิน ก็ปรากฏต่อหน้าต่อตาของเธอและใบหูของเธอก็เป็นสีแดง

เธอไอเบา ๆ และกระซิบ: "ฉัน … ซื้อให้เพื่อน"

"แล้วเพื่อนของคุณอายุเท่าไหร่ และมีความชอบในการใส่เสื้อผ้าอะไรบ้าง?”

"อายุ 27 ความชอบในการแต่งตัว … " เธอหยุดชั่วคราว หนิงเส่าเฉินดูเหมือนจะดูดีกับเสื้อผ้าทุกแบบ

"เขาดูดีในเสื้อผ้าทุกแบบที่สวมใส่" เธอกำลังพูดความจริงและมีใครบางคนอยู่ข้างหลังเธอ แล้วก็หัวเราะออกมาดัง ๆ

ทันทีที่เฉินเป้ยอีหันหน้าไป เธอก็เห็นเฟ๋อชิงชิง ยืนกอดอกอยู่ที่ประตู

เธอหันหน้าและมองเสื้อผ้าตรงหน้าต่อไป ไม่อยากสนใจเธอ

"โอ้ เฉินเป้ยอี คุณถูกจับเมื่อคืนนี้และคุณได้รับการปล่อยตัวในวันนี้ ดูเหมือนว่าแบ็คหลังคุณจะไม่ธรรมดาเลยนะ?"

แต่ยังมีคนประเภทที่ว่า ไม่ได้รู้จริงทั้งหมด แต่พูดไปโดยไม่สนใจสีหน้าผู้อื่น เห็นได้ชัดว่าเฟ๋อชิงชิงเป็นคนแบบนี้

"อย่าพูดเรื่องไร้สาระ"  เฉินเป้ยอี หันหน้าไปและจ้องไปที่เธอ ใบหน้าของเธอก็เย็นชา

หญิงสองคนที่ยืนอยู่ข้างๆ เฟ๋อชิงชิง เมื่อเห็นใบหน้าของพวกเขา ก็รู้เลยว่าพวกเขาเป็นคนที่ไม่ดีเหมือนกับเฟ๋อชิงชิง

"พูดเรื่องไร้สาระเหรอ โอ้ ใช่ คุณมีคนหนุนหลัง ห้ามคนอื่นโพสต์ แม้กระทั่งรูปถ่ายก่อนที่จะโพสต์ข่าวบนอินเทอร์เน็ตแล้ว ในไม่ช้ามันก็จะหายไปแล้ว พวกเราไม่กล้าพูดเรื่องไร้สาระ"  หลังจากพูดแล้ว กระซิบสองสามคำข้างหูของผู้หญิงทั้งสอง ผู้คนโดยรอบพวกเขาก็เห็นผู้หญิงสองคนกำลังกระซิบ

เพียงแค่นั้น เฉินเป้ยอีก็คิดได้ มันเป็นเรื่องใหญ่ที่เกิดขึ้นในเมื่อวานนี้ แต่เธอก็ใช้ชีวิตเหมือนเดิมในวันนี้ เธอไม่คิดอะไรมาก

ในขณะนี้ จู่ๆเธอก็ตระหนักว่า ใช่ ในการประชุมประจำปีของหนิงมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นพูดอย่างมีเหตุมีผล สำนักสื่อข่าวควรได้เผยแพร่อย่างใหญ่ในวันนี้ แต่ทำไมวันนี้เงียบมาก

และเรื่องที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้ สามารถระงับได้ในทันทีในเมือง C  แค่มี หนิงเส่าเฉิน

เธออดไม่ได้ที่จะใจเต้นในใจ เธอหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาจากกระเป๋าและก็เห็นว่าหนิงเส่าเฉิน ส่งข้อความ WeChat ให้เธอ

เธอไม่ได้ตอบกลับข้อความที่แล้วของเขา และเขียนอีกว่า: "ขอบคุณ ฉันไม่อยากเป็นภาระของคุณ แต่มันก็ยังทำให้คุณลำบากอยู่เหมือนกัน"

คลิกส่ง

ข้อมูลถูกส่งกลับเร็วมากเพราะตั้งแต่ หนิงเส่าเฉินส่งข้อความถึงเฉินเป้ยอี เขาก็เริ่มมองไปที่โทรศัพท์อย่างไม่รู้จบ สีหน้าเดิมหายไปทันทีทำให้หลิวซูที่นั่งข้างๆเขาส่ายหัว

"ลำบากที่ไหน” เขาก็ไม่ตอบคำถามของเธอ เพราะเขารู้สึกว่าการขอบคุณระหว่างพวกเขานั้นไม่จำเป็น

 เฉินเป้ยอีคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้และถ่ายวิดีโอสั้น ๆ ให้เขา "ฉันอยากจะให้ของขวัญปีใหม่กับคุณ แต่หนิงเส่าเฉิน เสื้อผ้าที่นี่แพงมากคุณใส่เสื้อผ้าที่ถูกกว่าได้ไหม"

หนิงเส่าเฉินหัวเราะเบา ๆ  แต่ไม่ได้ส่งเสียง ด้วยร่างยาวเขาหันไปด้านข้างเล็กน้อย คุยกับหลิวซูสักครู่ จากนั้นลุกขึ้นยืนและเดินออกไปที่ประตู

ทุกคนงงงวย แต่หลิวซูกลายเป็นหินแล้ว อะไรนะ?  ไปซื้อของกับครอบครัว?  หนิงเส่าเฉิน การประชุมวันนี้มีมูลค่าหลายพันล้านในโครงการในต้นปีหน้า?  คุณทิ้งมันไปจริงๆ จะไปซื้อเสื้อผ้ากับผู้หญิงด้วยเหรอ?

หลิวซู ดูหมิ่นผู้ชายคนนี้ว่าไร้ค่าในใจของเขาแล้ว กล่าวอีกนัยหนึ่ง ใครไม่เคยมีความรัก?  แต่เพื่อที่จะตกหลุมรักก็ยอมหยุดทำงาน?  ไร้เดียงสาจริงๆ!

"ได้ครับ ชุดชั้นใน!" หนิงเส่าเฉิน เข้าไปในรถกดคำสองสามคำบนหน้าจอโทรศัพท์อย่างรวดเร็วด้วยนิ้วเรียว มุมปากของเขาเพิ่มขึ้นเล็กน้อยและเห็นได้ชัดอารมณ์ของเขาดีมาก

"เอ่อ … " เฉินเป้ยอี หน้าแดงเธอ ลดหัวกัดริมฝีปากแล้วรีบเก็บโทรศัพท์ไว้ในกระเป๋า

ทำไมเขาสามารถคุยกับเธอจนความคิดของเธอพังทลายในทุกครั้งที่สนทนากับผู้ชายคนนี้

เธอนั่งอยู่บนม้านั่งพักผ่อนในร้านเพื่อส่งข้อความ ความสนใจของเธอมีสมาธิมากขึ้นดังนั้นเธอจึงไม่รู้ว่าทั้งสามคนที่ประตูเข้ามาในร้านแล้ว ราวกับว่าพวกเขาได้พูดอะไรบางอย่างกับพนักงานขาย

เมื่อกี้คนที่ยังคงมีความสุขกับเธอ ตอนนี้ยืนอยู่ตรงหน้าเธออีกครั้ง ใบหน้าของเธอเปลี่ยนไป เธอยิ้มและชี้ไปที่ประตู "คุณผู้หญิงคะ ถ้าคุณไม่ซื้อโปรดออกไปก่อน เรายังมีงานที่ต้องทำอยู่ที่นี่  .”

 เฉินเป้ยอี ลุกขึ้นยืนอย่างเชื่องช้า เธอลดหัวลงและพูดว่าขอโทษ เธอสังเกตเห็นอย่างรวดเร็วว่ามีชุดชั้นในผู้ชายสามแถวอยู่ในตู้กระจกตรงกลาง

เธอมองคนทั้งสามที่ยังไม่มีแผนจะออกเดินทางด้วยความสงสัยว่าจะซื้อหรือไม่

"อย่ามองแล้ว ชุดชั้นในเหล่านั้นสวมใส่โดยคนหนุ่มสาว คุณอยากให้คนอื่นไป กลัวว่าคนอื่นจะไม่สามารถสวมใส่ได้!" เฟ๋อชิงชิงอาจเห็นความคิดของเฉินเป้ยอี และพูดด้วยความตื่นเต้น

เธอไม่เชื่อว่าคนที่ช่วยผู้หญิงคนนี้ด้วยเรื่องใหญ่ได้ จะเป็นคนที่ยังหนุ่ม  เธอดูน่าเกลียดมากและมีร่างกายที่ดี เมื่อพิจารณาจากสภาพเช่นนี้ก็ประมาณว่าเธอสามารถยั่วยวนชายชราได้

 เฉินเป้ยอีไม่อยากคุยกับเธอ หายใจเข้าลึก ๆ แล้วเดินไปรอบ ๆ ตู้จัดแสดง เธอชี้ไปที่ชุดที่อยู่ตรงกลาง "สวัสดี คุณช่วยห่อสามชิ้นนี้ให้ฉันได้ไหม"

ครั้งแรกที่ฉันให้ของขวัญกับผู้ชาย มันเป็นสิ่งของส่วนตัวมาก  เฉินเป้ยอีรู้สึกอายจริงๆและแค่อยากจะซื้อมันและจากไป

อาจเป็นได้ว่าเธอซื้อสิ่งของบางอย่าง การแสดงออกของพนักงานผ่อนคลายลงเล็กน้อยอย่างเห็นได้ชัด เธอใส่กางเกงชั้นในทั้งสามตัวลงในกล่องของขวัญแล้วยื่นให้  เฉินเป้ยอี“ คุณผู้หญิงรวม 5989 หยวนค่ะ คุณจะจ่ายเงินเป็นเงินสดหรือบัตรเครดิต?  หรือเป็นวิธีอื่นในการชำระเงิน "

"5989?"  เฉินเป้ยอี เปิดปากของเธอและเกือบจะกรีดร้อง เธอกลืนนำ้ลายและยกกระเป๋าในมือขึ้น "ฉันแค่ซื้อชุดชั้นในสามตัวนี้ คุณคิดผิดหรือเปล่า?"

"ฮ่าๆๆๆ …… " บางคนหัวเราะออกมาจากด้านหลัง

"อืม เธอเป็นคนบ้านนอกใช่มั้ย?"

"เธอคิดว่าชุดชั้นในที่ขายในร้านแบบนี้สามคู่ราคา 10 หยวนหรือ?”

"ฮ่าฮ่า … ตลกจริงๆ”

"คุณผู้หญิง พวกเราคือแบรนด์ Zimmerli ซึ่งเป็นสินค้าพิเศษระดับสากล"  สีหน้าของพนักงานเปลี่ยนเป็นไม่ดี แต่ความเป็นมืออาชีพของเธอทำให้เธออธิบายกับเฉินเป้ยอีอย่างอดทนว่าทำไมมันถึงแพงจัง?

 เฉินเป้ยอีไม่เคยสนใจแบรนด์เหล่านี้เลย เธอแค่หดหู่ใจ ชุดชั้นในตัวนี้ราคาเกือบ 2,000 … เนื้อผ้านิดหน่อยแบบนี้ อืม เธอเป็นคนโง่เขลาไม่รู้และความรู้ไม่มาก ความยากจนจำกัดจินตนาการของเธอ  เจ็บใจจริงๆ ชุดชั้นในสามตัวใช้เงินเดือนเกือบครึ่งของเธอ?

สิ่งที่สำคัญที่สุดคือเธอไม่ได้นำบัตรเงินเดือนมาด้วยการรวมกัน ระหว่างโทรศัพท์มือถือของเธอและเงินสดในกระเป๋าของเธอคาดว่าจะไม่ถึง 1,000

เธอกัดริมฝีปากล่างและเสียใจที่มาที่นี่เพื่อซื้อของ นอกจากนี้เธอยังรู้สึกว่าถึงจะมีเงิน ก็ไม่อยากซื้อ ในปรัชญาการช็อปปิ้งของเธอ นี่ไม่ใช่การบริโภค แต่เป็นการสิ้นเปลือง!

ในขณะนี้ พนักงานไม่ได้อ่อนโยนหรือไม่อดทนยืนอยู่ตรงหน้าเธอด้วยความเคารพและรอให้เธอจ่ายเงินอย่างอดทน

และผู้อยู่เบื้องหลังทั้งสามคนที่ดูการแสดง ก็นั่งอยู่ในพื้นที่พัก ดูเหมือนว่าพวกเขากำลังรอการแสดงที่ดี

เมื่อ เฉินเป้ยอีผ่านการต่อสู้ทางจิตใจและกำลังจะบอกว่าจะไม่ซื้อกับพนักงาน

"ลงบิลไว้" เสียงผู้ชายแสนดีดังเข้ามาในหูของเธอจากด้านข้างของเธอ

เมื่อเฉินเป้ยอีลูบหน้าผากของเธอ ไม่รู้จะทำอะไรไปในขณะที่เธอมองไปที่ชูหยูจี้ และตกใจเป็นเวลานานก่อนจะพูดว่า "หยูจี้ ฉันขอโทษ"

"ผมไม่อยากให้คุณพูดขอโทษ เป้ยอี คุณทำแบบนี้กับผมไม่ได้ เป้ยอี ดูสิ ผมรักคุณมาแปดปีแล้ว คุณกับหนิงเส่าเฉินรู้จักกันมานานแค่ไหน ความรู้สึกที่แท้จริงระหว่างคุณจะมีได้อย่างไร …  …ผมไม่เชื่อ! เป้ยอี เพื่อคุณ ผมทิ้งทั้งหมดได้จริงๆ … "

เฉินเป้ยอีเงยหน้าขึ้นมองและจ้องไปที่ชูหยูจี้อย่างมึนงง สายตาของเขาลึกซึ้งมากกว่าตอนที่เขาเรียนมัธยมอย่างเห็นได้ชัด ถ้าก่อนไปเกาะเธอได้พบเขาก่อน เธอคิดว่าในขณะนี้เขาบอกว่าเขาสามารถทิ้งทั้งหมดเพื่อเธอ

แม้ว่าเธอจะไม่ยอมรับ แต่วันหนึ่งเมื่อเธออยากหาใครสักคนมาแต่งงาน เธออาจพิจารณาผู้ชายที่อยู่ตรงหน้าเธอก่อน

ท้ายที่สุด เพราะรู้ซึ่งกันและกัน  ท้ายที่สุด หลายปีมาแล้วมันสามารถทดสอบคน ๆ หนึ่งได้ ท้ายที่สุด ถ้าคุณทำเพื่อหาใครสักคนที่จะแต่งงาน แม้ว่าคุณต้องรับความเสี่ยง แทบไม่ต้องสงสัยเลยว่าความเสี่ยงของผู้ชายคนนี้จะต่ำกว่ามาก

แต่ … ในโลกนี้ไม่มีข้อแม้

เธอตกหลุมรักหนิงเส่าเฉิน และเธอก็รักโดยไม่หันหลังกลับ

เธอเดินข้ามชูหยูจี้ กลับมานั่งบนโซฟาและหายใจเข้าลึก ๆ  "หนิงเส่าเฉินตกหลุมรักฉันในสถานการณ์เลวร้ายทุกรูปแบบ เมื่อไม่มีรูปลักษณะของฉัน บุคลิกของฉันก็แย่จริงๆ หยูจี้ ฉันไม่เป็นอย่างผู้หญิงที่รักความไร้สาระพวกนั้น ถ้าฉันไม่มีความรู้สึกต่อหนิงเส่าเฉิน ไม่ว่าครอบครัวของเขาจะดีแค่ไหน ฉันจะไม่ให้โอกาสแก่เขา สิ่งที่เขาสัมผัสฉันคือเขาไม่เคยใช้เงินเพื่อทำให้หัวใจของฉันเต้น สำหรับความเข้าใจของลูกผู้พี่ของคุณ คุณคิดว่าเขาแค่ล้อเล่นกับฉันหรือไม่ คุณไม่แน่ใจเกี่ยวกับบุคลิกของเขาหรอ? ดังนั้นระหว่างเรา เราจริงจัง! "

ชูหยูจี้อยากปฏิเสธ แต่เฉินเป้ยอีพูดถูกจริงๆ หนิงเส่าเฉินเกิดมาดีและตั้งแต่เล็กจนโตมีเพียงคนอื่น ๆ รอบตัวเขาเท่านั้น คนอื่น ๆ คล้อยตามเขาเท่านั้น …

อย่างไรก็ตาม เขาแตกต่างอย่างเห็นได้ชัดกับเฉินเป้ยอี …

และภายใต้สถานการณ์เช่นเมื่อวานนี้ เขาสามารถเชื่อเฉินเป้ยอี และสามารถมาปลอบโยนเธอได้โดยเร็วที่สุดหลังจากเกิดอุบัติเหตุ

เขาเป็นผู้ชาย เขารู้นี้หมายความว่าอะไร …

เมื่อนึกถึงเรื่องนี้ เขาก็ล้มนั่งลงบนโซฟาทันที ความรักนี้จะจบลงโดยไม่มีจุดเริ่มต้นหรือไม่?

เขาบอกว่าต้องทำทุกวิถีทางเพื่อให้ได้คนและหัวใจของผู้หญิงคนนี้มา แต่อะไร?

เขาไม่ได้มีโอกาสเลยด้วยซ้ำ

เขาหลับตา และลืมตาขึ้นอีกครั้งและยืนขึ้นช้าๆ

"หยูจี้ … " สายตาอย่างเงียบเหงาของเขาทำให้ เฉินเป้ยอี รู้สึกอึดอัดมาก แม้ว่าเธอไม่สามารถมอบความรักให้กับเขาได้ แต่ความเมตตาที่ชายคนนี้มอบให้เธอก็ไม่สามารถละเลยได้ เหตุผลที่เฉินเป้ยอี อยากพูดคุยโดยตรงในวันนี้  เพราะเธอก็ไม่อยากลากมันลงไป แค่ไม่อยากปล่อยให้ผู้ชายคนนี้จมลึกลงไป

ชูหยูจี้ หยุดชั่วคราวการก้าวเดิน ยื่นมือออกไปอย่างรวดเร็วและกอดเฉินเป้ยอี ไว้ในอ้อมแขนของเขา

หลายนาทีต่อมา…

เขาปล่อยเธอไปและตบไหล่เธอ "ไม่เป็นไร เรายังเป็นเพื่อนกันอยู่!"

"จริงเหรอ คุณจะไม่เพิกเฉยต่อฉันใช่ไหม"เฉินเป้ยอีถามอย่างกระตือรือร้น

ฉันจำได้ว่า ครั้งสุดท้ายหลังจากปฏิเสธเซี่ยอวี่ หลังจากนั้นไม่นาน ทั้งสองคนก็ไม่มีการติดต่ออีกแล้ว

ความหมายของชูหยูจี้กับเซี่ยอี่ต่อเธอไม่เหมือนกัน ดังนั้นเธอจึงไม่อยากเสียเขาไป

เมื่อเห็นความกระตือรือต้นของเธอ ในสายตาของเขา ชูหยูจี้ดึงเธอเข้ามาในอ้อมแขนของเขาอีกครั้งและมีน้ำตาหยดหนึ่งในสถานที่ที่เฉินเป้ยอีมองไม่เห็น  ค่อยๆตกลงบนหลังมือของเขาจากนั้นก็ลงบนพื้น

"จากนี้ไป ผมจะเป็นครอบครัวของคุณ ถ้าเขารังแกคุณผมจะสู้กับเขา”

น้ำเสียงติดตลกของเขาทำให้เฉินเป้ยอีถอนหายใจด้วยความโล่งอก เธอกอดเขากลับ "พี่ชาย … " เธอเรียกเขา

ชูหยูจี้ตกใจ ผละเธอออก เดินไปที่ห้องครัว หยิบซาลาเปาขึ้นมาและกัดมัน ปกปิดความเสียใจในดวงตาและกล่าวว่า "อย่าเรียกมั่วๆ คุณดูเป็นป้าขนาดนี้ มาเรียกคนอื่นว่าพี่ได้ไง"

คำพูดติดตลกของเขา ทำให้เฉินเป้ยอีโล่งออก

"ต่อไปคิดจะจัดการยัยปีศาจเกาเหวินยังไง"

"คุณต้องเรียกเธอว่าพี่สะใภ้นะ"เธอพูดพลางหยิบน้ำเต้าหู้มาดื่ม

"เรียกพี่สะใภ้ แล้วเรียกคุณว่าอะไร"

เฉินเป้ยอีกลอกตามองบน

"หลังจากปีใหม่ ไปลาออกแล้วมาทำงานกับผมเถอะ"

ลาออก? เฉินเป้ยอี ตกตะลึงอย่างเห็นได้ชัด ใช่ ทำไมเธอถึงลืมเรื่องนี้ ผู้หญิงอย่างยัยเกาเหวิน ตอนนี้หล่อนมีความคิดที่ไม่ดีเกี่ยวกับตัวเธอ เธอจะยังทำงานภายใต้บริษัทของหล่อนต่อไปและมันก็ยากที่จะไม่ถูกเธอฆ่า

"เอาล่ะ วันหลังคุยค่อยกันดีกว่า!" เธอสูดหายใจ "พรุ่งนี้ก็วันส่งท้ายปีเก่าแล้ว คุณควรกลับบ้านเพื่ออยู่กับครอบครัว"

ชู่หยูจี้พยักหน้า“ ดี วันนี้แม่ของผมเร่งรัดมากแล้ว ผมกังวลเรื่องคุณ เลยมาดู”

เมื่อคิดดูแล้ว "แล้วพรุ่งนี้คุณล่ะ"

"ฉัน … "เฉินเป้ยอี หันกลับมา เก็บของบนโต๊ะแล้วโยนลงถังขยะหายใจเข้า "พรุ่งนี้ค่อยว่ากัน  … บางทีฉันอาจจะใช้เวลากับ เสี่ยวซี"

บางที … อยู่คนเดี่ยว

แม้ว่าเธอจะเตรียมตัวมาเต็มที่แค่ไหน เมื่อคิดถึงเรื่องนี้หัวใจของเธอก็จะรู้สึกเจ็บจี้ดอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ในโรงพยาบาล

"แม่โทรหาเส่าเฉินได้ไหม เขาไม่กลับมาหลังจากออกไปเมื่อคืนนี้ เขาคงไปบ้านของผู้หญิงที่ไม่ดีคนนั่นแล้ว" เกาเหวินพูดพลางกำผ้านวมแล้วร้องไห้อย่างขมขื่น

แม่เกาส่งแอปเปิ้ลที่หั่นเสร็จแล้วให้เกาเหวิน แต่เกาเหวินปัดออกจนตกพื้น

"ตอนนี้ฉันจะกินได้อย่างไง?”  หลังจากที่เกาเหวินพูดจบ เธอก็เอาผ้านวมคลุมหัวแล้วเอาปากกระบอกแขนเสื้อเข้าปากและฉีกขาดมันด้วย

"เสี่ยวเหวิน ปล่อยเขาได้แล้ว!" เสียงอ่อนโยนดังเข้ามาจากด้านนอกผ่านผ้าห่ม

เกาเหวินโกรธอย่างเห็นได้ชัด เธอดึงผ้านวมลงเผยให้เห็นหัวของเธอ เธอมองไปที่แม่ของเธอและอ้าปากค้างแล้วพูดว่า "ทำไมฉันต้องปล่อย ฉันจะไม่ปล่อยมันไปแม้ฉันจะตาย เขาแค่อยากมองหาผู้หญิงที่อยู่ข้างนอกไม่ใช่เหรอ?  โอเค ฉันจะให้เขาหาอย่างเต็มที่ และเมื่อเขาเล่นได้เพียงพอแล้ว เขาก็จะกลับมาหาฉันตามธรรมชาติ "เธอพูดช้าๆด้วยความคาดหวัง การแสดงออกบนใบหน้าของเธอทำให้มีดผลไม้ในมือของแม่เกาตกลงที่พื้นและมีเสียง "ดิง"

เธอเซถอยหลังไปสองก้าว น้ำตาไหลออกมาและตอนนี้ลูกสาวของเธอดูเหมือนเธอในปี20ก่อนแล้ว

เธอก็คิดอย่างนั้น แต่แล้วยังไงล่ะ?  เธอรอมาหลายปี ไม่รู้ว่ารออะไร?  เพราะเมื่อผู้หญิงคนหนึ่งจากไป ก็มีผู้หญิงอีกคนมาอีกครั้ง …

"ดูพ่อของลูกสิ เขากลับมาสนใจหรือเปล่า” เธอเอนตัวไปหยิบมีดผลไม้ที่พื้นแล้ว วางไว้บนโต๊ะข้างๆ มองเธอด้วยสายตาอย่างเงียบเหงา

"พ่อเปรียบเทียบกับเส่าเฉินได้อย่างไร เส่าเฉินทุ่มเทให้กับความรู้สึกมาก" เกาเหวิน ขึ้นเสียงของเธอโดยไม่รู้ตัว

แม่เกาจ้องมองเธออย่างนิ่ง ๆ เป็นเวลานานเธอพูดว่า "ถ้าอย่างนั้นสิ่งที่ลูกรอคอยก็ยิ่งว่างเปล่า" หลังจากพูดจบ เธอก็ยกกระเป๋าข้างๆหันกลับมาและเดินไปที่ประตู

"แม่ … คุณอยู่เป็นเพื่อนฉันอีกหน่อยได้ไหม”

แม่เกาหันกลับมามองเกาเหวิน“ เสี่ยวเหวิน ไม่ใช่ของของลูก ปล่อยมันไปเถอะ สิ่งที่ลูกได้รับจากวิธีการที่ไร้ยางอายจะ ไม่ทำให้ลูกมีความสุข” เพราะเธอเป็นตัวอย่างที่มีชีวิตจริง

หลังจากพูดจบ แม่เกาออกจากประตูวอร์ดโดยไม่หันกลับมามอง

แต่ในตอนนี้ เกาเหวินไม่สามารถฟังแม่ของเธอได้

เธอหยิบโทรศัพท์ใต้หมอนขึ้นมาคิดและส่ง WeChat ให้ หนิงเส่าเฉิน

หนิงเส่าเฉินได้ยินเช่นนี้ ดวงตาก็หรี่ลงเล็กน้อย โดยรู้ว่าเธอควรจะสงบลงแล้ว ทันใดนั้นเขาก็ถอนหายใจ ด้วยความโล่งอกมีรอยยิ้มเล็กน้อยปรากฏบนใบหน้า และริมฝีปากโค้งงอ "ถ้าไม่ใช่อย่างนั้น ผมจะปล่อยเธอไว้คนเดียวแล้วเข้ามากอดคุณเพื่อให้คุณสบายใจ ก่อให้เกิดความเกลียดชังต่อสาธารณชน? "

เฉินเป้ยอีจ้องไปที่เขาที่โดยไม่ตั้งใจทันที. "ฮึ ฮึ … " รอยยิ้มเศร้าเอ่อล้นออกมาจากมุมปาก เลื่อนขาของหนิงเส่าเฉิน หมุนตัวและเดินไปที่ห้อง

ปรากฎว่า เขาแค่กลัวที่จะก่อความไม่พอใจต่อสาธารณชน

หากกลัวที่จะก่อความไม่พอใจในที่สาธารณชน ก็สามารถไม่สนใจต่อเธอ แล้วคุณพูดถึงความรักแบบไหน? แล้วชีวิตและความตายล่ะ?

หนิงเส่าเฉินขมวดคิ้ว จึงนึกขึ้นได้ว่าเขาพูดอะไรผิด เขาจะลืมไปได้อย่างไรว่า ผู้หญิงเป็นคนประเภทที่สามารถใช้ประโยชน์จากบริบทได้มากที่สุด?

ด้วยคลื่นแขนยาว เขาคว้าเธอและพูดต่อ

"ไม่ใช่ทุกคนที่สามารถมองเห็นหัวใจของคุณ ในกรณีนี้ทุกคนจะเชื่อในสิ่งที่เห็นและได้ยินเท่านั้น ถ้าผมไม่สนใจเธอ แต่มาเพื่อปลอบคุณ คุณคิดว่าสิ่งต่างๆจะพัฒนายังไง?”

เธอไม่พูดอะไรอีก เฉินเป้ยอีก็ขมวดคิ้ว และก้มหน้าลง ดวงตาหลบตาเล็กน้อย หลังจากนั้นไม่นาน

ราวกับว่าเข้าใจอะไรบางอย่าง เธฮหันหน้าไปด้วยความประหลาดใจ และมองไปที่ชายตรงหน้าด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย

มันเป็นเรื่องจริง

ในเหตุการณ์เช่นนั้น ด้วยตัวตนที่มีใบหน้า"ธรรมดา"เช่นนี้ แม้ว่าหนิงเส่าเฉินจะสามารถใช้ตัวตนของเขา เพื่อระงับความโกรธของทุกคนได้ชั่วขณะหนึ่ง ส่วนที่เหลือก็จะไม่สามารถควบคุมได้

สิ่งที่ทุกคนเห็นคือ เธอเป็นพี่เลี้ยงที่ทำร้ายคนอื่น แต่ถูกปกป้องโดยเจ้าชายถือว่าข้อเท็จจริงไม่ใช่ความผิดของเธอ และเธอไม่สามารถบอกได้ว่าเธอพูดชัดหรือไม่

เมื่อเข้าใจสิ่งนี้ เฉินเป้ยอีดูเหมือนจะถูกทิ้งหินในใจ ทำให้เกิดคลื่นขนาดใหญ่

ถ้าก่อนหน้าสำหรับผู้ชายคนนี้ แค่อบอุ่นหัวใจ แค่ชอบ ในตอนนี้เธอรู้สึกว่ามีรักเขาจริงๆ

หลังจากพบกันไม่กี่เดือน เขาสามารถเชื่อใจเธอได้อย่างไม่มีเงื่อนไขในช่วงเวลาแห่งความตายนี้ และเพื่อประโยชน์ของเธอ

ในความรัก ไม่มีอะไรมีค่ามากไปกว่าความเชื่อใจและความเข้าใจ

"คุณตื้นตันไหม ผมไม่กลัว ที่จะมอบหัวใจให้คุณ … " หนิงเส่าเฉินมองไปที่เธอและพูดกับริมฝีปากบาง

คิ้วของเขาลึก ลูกกระเดือกม้วนขึ้น และจับมือเธออย่างไร้ร่องรอย

หัวใจของเฉินเป้ยอี อบอุ่นขึ้นในทันที

ไม่มีความเศร้าอยู่

"เธอ โอเคไหม" แม้ว่าเธอจะรู้สึก แต่เธอสนใจผู้หญิงคนนั้นอีกครั้งในตอนนี้ แต่มันก็เกินไป "ใจดี" แต่ในตอนนี้ เธอไม่อยากกังวลเรื่องนี้อีกต่อไป ทำไมหนิงเส่าเสินถึงเลือกที่จะเชื่อเธอ ผู้ชายคนนี้ในตอนนี้การอยู่เคียงข้างเธอ ก็เพียงพอที่จะอธิบายทุกอย่าง

ดังนั้นความแค้นก่อนหน้านี้ที่มีต่อเกาเหวิน ก็ลดลงไปมากเช่นกัน

หนิงเส่าเฉินจ้องไปที่ผู้หญิงตรงหน้า บางทีนี่อาจเป็นเหตุผลว่าทำไมเขาถึงตกหลุมรักเธอ และเชื่อเธอโดยไม่มีเงื่อนไข

ความเมตตาของเธออยู่ในสายตา และสามารถบอกความจริงได้อย่างรวดเร็ว

"โดนเย็บไปหลายสิบเข็ม!" หลังจากหยุดไปชั่วขณะ หนิงเส่าเฉินกล่าวต่อ: "เป้ยอี เธอทำสิ่งนี้เพราะผม ดังนั้นเรื่องนี้จนถึงตอนนี้ก็หยุดดีไหม?" เสียงดึงดูดราวแม่เหล็กของเขากล่าว เมื่อถึงหูเธอ เขาก็โอบรอบเอวของเธอไว้แน่น

เฉินเป้ยอีตะลึงและหันไปจ้องมองโดยไม่สมัครใจ จากนั้นก็จ้องมองเขา“ พูดกันมาตั้งนาน นี่คุณทำเพื่อเธอเหรอ?”

หนิงเส่าเฉินยกมือขึ้นบีบแก้มเธอเบาๆ แล้วพูดด้วยเสียงต่ำ: "คุณไม่มีจิตสำนึก เพราะผมกลัวว่าคุณจะโกรธ ผมขับรถฝ่าไฟแดงมาตลอดทาง"

เฉินเป้ยอีขมวดคิ้ว และมุมปากโค้งขึ้นและเธอเจาะเข้าไปในแขนของหนิงเส่าเฉิน โดยใช้มือเล็กๆ วาดเป็นวงกลมบนหน้าอกของเขา“หนิงเส่าเฉิน ถ้าคุณไม่มาหาฉันคืนนี้ พรุ่งนี้ ฉันแน่ใจว่าคุณจะไม่พบฉันอีก” เพราะก่อนหน้านี้ เธอเสียใจและผิดหวังมาก

หนิงเส่าเฉินจับมือไว้ที่หน้าอกของเขา ดวงตาของเขาจมลง

“วันนี้ แต่เดิมผมเคยบอกว่า จะยกเลิกสัญญาการแต่งงาน แต่ไม่ได้คาดหวัง …"

เฉินเป้ยอียื่นมือออกมาเพื่อปิดริมฝีปากของเขาและ ส่ายหัว "ไม่จำเป็นต้องอธิบาย"

ใช้นิ้วยาวดึงริมฝีปากบางๆ เขาค่อยๆรวบผมข้างหูไว้ข้างหลังใบหูของเธอ และในวินาทีถัดมา เขาก็โน้มตัวลงมาและจูบที่ริมฝีปากสีแดงของเธอ

คืนนี้ เฉินเป้ยอีไม่ได้ต่อต้านเขาอีกต่อไป พวกเขากอดกันเป็นครั้งแรก เนื่องจากธาตุแท้ที่แท้จริงของเกาเหวินถูกเปิดเผย ความรู้สึกผิดและโทษตัวเองของเฉินเป้ยอีที่มีก่อนหน้านี้ เธอรู้สึกลดลงไปมาก ไม่ใช่คนใจดีมากเกินไป หล่อนอยากให้เธอตาย และเธอสามารถหันหน้ากลับมาตอบโต้คนอื่นได้

เมื่อนึกถึงวันนี้ ถ้าหนิงเส่าเฉินเลือกที่จะเชื่อในเกาเหวิน สิ่งที่เธอสูญเสียไปไม่ใช่แค่ความรัก แต่ยังรวมถึงอิสรภาพด้วย

หลังจากนั้นแล้วด้วยอำนาจของตระกูลหนิงไม่ใช่เรื่องยากที่เธอจะต้องอยู่ในคุกไปตลอดชีวิต

ดังนั้น ตั้งแต่นั้นมาเธอก็ไม่รู้สึกผิดต่อผู้หญิงคนนั้นอีกต่อไป และเธอจะไม่ปล่อยหนิงเส่าเฉินไปง่ายๆ

นอกจากนี้ เธอยังเข้าใจดีขึ้นว่าการมีชีวิตอยู่ในโลกนี้ ไม่ใช่ว่าคุณเป็นคนใจดีและไม่ใช่ว่าคุณชำระความคับข้องใจด้วยคุณธรรม แล้วคุณจะมีจุดจบที่ดีในขณะที่เกิดอุบัติเหตุ แม้แต่น้องสาวอ้วน ที่ดูเหมือนจะออกไปช่วยเธอ ทุกคนที่รู้ ทุกคนเลือกที่จะยืนดูที่ข้าง

เมื่อไม่เกี่ยวกับเรื่องของตัวเอง ก็จะดูจากข้างสนาม แม้หัวใจจะหนาวเหน็บ แต่ความโปร่งใสที่ไม่เคยมีมาก่อนก็เกิดขึ้น

เหตุการณ์นี้ทำให้เธอเข้าใจหัวใจของหนิงเส่าเฉินที่มีต่อเธออีกครั้ง เธอตกลงในใจอย่างเงียบๆว่า ถ้าเขาไม่ทอดทิ้งเธอในชีวิตนี้ เธอจะไม่ทิ้งเขาไปอีก

วันรุ่งขึ้น มีสองวันก่อนวันแรกของปีใหม่

งานของหนิงเส่าเฉินไม่ได้ลดลงเพราะเป็นวันสิ้นปี ในตอนเช้า หลังจากทานอาหารเช้ากับเธอ แล้วเขาก็ไปที่บริษัท

ทันทีที่หนิงเส่าเฉินจากไป ชูหยูจี้ก็นำผักและอาหารมาถุงใหญ่มา

เธอคิดว่าเป็นหนิงเส่าเฉินที่ลืมของไว้ เธอจึงไม่ถามเปิด และประตูพร้อมพูดว่า "หนิงเส่าเฉิน คุณลืมอะไรเหรอ … "

จากนั้นก็พบกับการจ้องมองที่ตกใจของชูหยูจี้

อาการบาดเจ็บแวบขึ้นในดวงตาของเขา เฉินเป้ยอีก็เม้มริมฝีปาก ด้วยความอายเล็กน้อยในขณะที่ขอโทษ …

"ลูกพี่ลูกน้องของผมมาที่นี่แล้วหรือ" ชูหยูจี้ก้มหัวลงและเห็นรองเท้าแตะวางอยู่ที่ประตู

เฉินเป้ยอีขมวดคิ้วยกมือขึ้นแตะหัว และพยักหน้าอย่างเงียบๆ

"เขา นอนที่นี่เมื่อคืนเหรอ?"

เฉินเป้ยอีตกตะลึงโดยอัติโนมัติ เธอไม่คาดคิดว่าชูหยูจี้จะถามเรื่องนี้ เธออายเล็กน้อยหันหน้าไปทางร้านอาหาร และเปิดหัวข้อ "อืม คุณทานอาหารเช้าหรือยัง?"

"เฉินเป้ยอี คุณจะปฏิบัติต่อผมด้วยเช่นนี้ได้อย่างไร" การแสดงออกของเธอตอบสนองต่อเขาเป็นอย่างดี

ชูหยูจี้ปล่อยมือ และสิ่งที่อยู่ในมือก็ตกลงที่พื้น ดูเหมือนเขาจะถูกกระตุ้นอย่างมาก

"ไปเถอะ" เธอพูดกับชูหยูจี้ และในเวลาเดียวกัน ก็เลื่อนหน้าต่างขึ้น

ในขณะที่รถเคลื่อนตัวไป น้ำตาเธอก็ไหล ในช่วงเวลาคับขันเท่านั้น ถึงจะรู้ว่าใครดีหรือใครไม่ดี? ไม่ใช่เหรอ?

เขาพูดว่าเขารักเธอ แต่ในกรณีนั้น เขาไม่ถามเธอเลย ไม่แม้แต่มองเธอ และเลือกที่จะจากไปกับเกาเหวิน

เธอเคยคิดว่า เรื่องที่แก้ไม่ได้ของเธอคือความไร้เดียงสาของเธอ

"เส่าเฉิน ฉันไม่ได้ตั้งใจจะบอกว่าเธอเป็นพี่เลี้ยงนะ ทำไมเธอถึงร้ายกาจจนอยากจะฆ่าฉัน โชคดีที่ฉันกั้นมันด้วยแขน ไม่งั้น ฉันอาจจะตายจริงๆ" เกาเหวินพูดจบ ก็ทิ้งหัวลงและสะอื้นเสียงต่ำ

หนิงเส่าเฉินเอามือล้วงกระเป๋า ไม่สามารถมองเห็นอารมณ์ของเธอได้

แต่มือของเขากำแน่นโดยไม่ได้ตั้งใจ และเกิดความลึกที่ไม่มีที่สิ้นสุดในดวงตาของเขา

เขามองดูผู้หญิงตรงหน้า เมื่อ14 ปีก่อน ร่างเล็กที่ใช้ร่างกายเพื่อปกป้องเขา ปรากฏตัวต่อตาเขาอีกครั้ง เห็นได้ชัดว่า นิสัยเคยเป็นคนใจดีขนาดนั้น ทำไม … ถึงกลายเป็นแบบนี้?

ในความเป็นจริง ในขณะที่มันเกิดขึ้น เขาเลือกที่จะเชื่อโดยไม่รู้ตัวว่าเฉินเป้ยอีจะไม่ทำสิ่งนั้น ในตอนนั้นเขาก็รู้สึกรำคาญที่เขามีอารมณ์มากเกินไป สุกท้ายแล้วเขารู้จักเกาเหวินหลายปี และรู้จักเฉินเป้ยอีมาไม่นาน?

แต่ … ในตอนนี้ เขาเชื่อในสัมผัสที่หกของหก

แต่หัวใจยิ่งผิดหวัง.

"เรื่องนี้ ขอให้จบลงที่นี่" ในที่สุด หนิงเส่าเฉินก็ทิ้งคำพูดเหล่านี้ และหันกลับไป

เห็นได้ชัดว่าท่าทีของเขาทำให้เกาเหวินรู้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ และดวงตาก็เบิกกว้างด้วยความประหลาดใจ เธอลุกขึ้นยืนทันที โดยดึงเข็มหลังมือของเธอออกอย่างไม่ลังเล และเลือดก็พุ่งออกมาอย่างรวดเร็ว เธอบีบมือของเธอทันทีผ้าพันแผลเปียกชุ่มและเปลี่ยนเป็นสีแดงสด

"โอ้ย" เธออดไม่ได้ที่จะกรี๊ด

เมื่อหนิงเส่าเฉินเห็นฉากนี้ ก็รีบหันกลับมาและกดกริ่งฉุกเฉินที่ข้างเตียง

"คุณกำลังทำอะไร" หนิงเส่าเฉินหยิบทิชชู่บนโต๊ะขึ้นมา ปิดมืออันบอบบางของเธอแล้วกดลงไป

ดวงตาของเกาเหวินเป็นสีแดงและก็ตกลงไปในอ้อมแขนของเขา "เส่าเฉิน คุณเชื่อเธอใช่ไหม ไม่เชื่อฉันหรือ?

หนิงเส่าเฉินตกตะลึง เหล่ตาและตอบว่า "ดูแผลก่อน"

ในเวลานี้ หมอมาจากข้างนอกและหลิวซูก็เข้ามาพร้อมกัน

หนิงเส่าเฉินเดินออกจากห้องไปหาหมอ

“ลูกพี่ลูกน้องของคุณพาเธอไปแล้ว ดูเหมือนว่าจะอารมณ์ไม่ดี”

"ไม่พูดอะไรบ้างเหรอ?"

"พูดครับ!"

"… "

"ผมบอกว่าคุณเชื่อเธอ คุณเชื่อหรือไม่ว่าคุณเกาแทงตัวเองด้วยมีด" หลังจากที่หลิวซูพูดจบ ก็มองไปที่หนิงเส่าเฉินโดยไม่รู้ตัว

หนิงเส่าเฉินขมวดคิ้ว และดวงตาของเขาก็ค่อยๆมืดลง ใช่ เขาเชื่อเฉินเป้ยอี ซึ่งหมายความว่าเขาเชื่อโดยไม่รู้ตัวว่าเกาเหวินแทงตัวเอง

"คุณทำแบบนั้นเพื่อเธอ ผมคิดว่าคุณควรบอกเธอ" หลิวซูหยุดชั่วคราวและก็พูดออกมา

หนิงเส่าเฉินเหลือบมองกลับมาที่เขาและพยักหน้า

“เรื่องนี้ คุณแจ้งที่สถานีตำรวจ ให้เป็นเควมลับ”

ในเวลาเดียวกัน บ้านของเฉินเป้ยอี

“คืนนี้ ผมอยู่กับคุณด้วยไหม”

"ไม่ต้องแล้ว หยูจี้ คุณกลับไปก่อนเถอะ ให้ฉันใจเย็นก่อน "

ชูหยูจี้จ้องมองเธอเป็นเวลานาน ดวงตาของเขาเปลี่ยนไป "ก็ได้ ถ้าคุณมีอะไรก็โทรหาผม ผมจะช่วยคุณแก้ปัญหาที่นั่น คุณไม่ต้องกังวล พรุ่งนี้ … ผมจะมาดูแลคุณ

หลังจากได้ยินเสียงปิดประตู หัวใจของเฉินเป้ยอีก็แน่นขึ้น และเธอก็ผ่อนคลายขึ้น

เสียงครวญครางดังมาจากท้องของเธอ เพราะเธอยังไม่กินอาหารเย็น

เธอลุกขึ้นไปที่ห้องครัวหยิบบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปที่ไม่ได้กินเมื่อเที่ยง เปิดไฟใส่หม้อ แต่ลืมใส่น้ำ

เมื่อหนิงเส่าเฉินเข้าไปในห้อง ก็ได้กลิ่นไหม้ที่รุนแรง เมื่อเขามองขึ้นไป ก็เห็นเฉินเป้ยอีเอนหลังพิงประตูกระจกของห้องครัว ด้วยความงุนงงก้นหม้อเป็นสีแดงไหม้และดวงตาก็หรี่ลง

ด้วยขายาวเขาก้าวไปข้างหน้าสองสามก้าว ปิดไฟ ตักน้ำและเทลงในหม้อ

เฉินเป้ยอีรู้สึกว่ามีเงาอยู่ข้างหน้าตัวเอง และได้ยินเสียงน้ำ "จึ จึ"

เธอยังไม่มีเวลาตอบโต้ ร่างสูงก็กดทับเธอ

จากนั้น เธอก็ตกอยู่ในอ้อมกอดที่คุ้นเคย

หลังจากได้สติ เธอก็เริ่มดิ้นรนอย่างหนัก แต่หนิงเส่าเฉินไม่ให้โอกาสเธอหลุดพ้นจากอ้อมแขนของเขา

"คุณ…”

เธอยังไม่ได้พูดออกด้วยซ้ำปากก็ถูกปิดสนิท และจากนั้นก็ถูกจูบอย่างหนักหน่วง

ในที่สุด เขาก็ปล่อยเธอไป เฉินเป้ยอีหันกลับมา และอยากออกไป แต่หนิงเส่าเฉินรั้งเธอและเดินไปที่ห้องนั่งเล่น

เขานั่งอยู่บนโซฟา เธอนั่งบนตักเขา

เฉินเป้ยอีพยายามอย่างหนัก แต่ไม่สามารถผละออกไปได้ เธอพยายามดิ้นรนและไม่มองเขา เธอขมวดคิ้วและพูดอย่างหงุดหงิด "คุณกำลังทำอะไรอยู่ กำลังมองหาความมยุติธรรมสำหรับคู่หมั้นของคุณเหรอ"

หนิงเส่าเฉินเหล่ตาครึ่งหนึ่ง จ้องมองเธอและไม่ตอบสนองเธอ แต่บีบมือใหญ่ของเขาไว้ที่เอวของเธอ เฉินเป้ยอีรู้สึกคัน และร่างกายสั่นเล็กน้อย เธอจับมือใหญ่ของเขาด้วยมือของเธอ “คุณต้องการอะไร ถ้าคุณคิดว่าฉันทำร้ายเธอ คุณสามารถแทงฉันกลับได้ "

เธอจ้องกลับมาที่เขาและตะโกนเสียงดัง

หนิงเส่าเฉินเงียบเป็นเวลานาน และมือรอบเอวของเธอก็แน่นขึ้น“เป้ยอีผมไม่เคยสงสัยคุณเลย” หลังจากพูดเสร็จ เขาก็ฝังหัวไว้ระหว่างคอของเธอ

เฉินเป้ยอีตัวแข็งและพูดด้วยเสียงต่ำ "แต่คุณก็เชื่อเธอด้วยใช่ไหม?

เมื่อหนิงเส่าเฉินได้ยินดังนั้น เขาก็เงยหน้าขึ้นมองเธอ เม้มปากที่มุมปากกอดเธอไว้ในอ้อมแขน จากนั้นก้มหัวลงริมฝีปากบางชิดใบหูของเธอ และพูดด้วยเสียงต่ำ "ไม่ ผมเชื่อคุณ."

ไม่ ผมเชื่อคุณ!

คำสี่คำที่เรียบง่าย ทำให้เฉินเป้ยอีสั่นสะท้านไปทั้งตัว และหัวใจที่หยุดนิ่งก็ถูกเปิดทันที

"ทำไม?" ในสายตาของหนิงเส่าเฉิน ผู้หญิงคนนั้นไม่ควรเป็นจะใจดีอ่อนโยนและบริสุทธิ์หรือ? และพวกเขารู้จักกันมาหลายปีแล้ว …

หนิงเส่าเฉินขมวดคิ้ว ใช่ ทำไม? ทำไมปฏิกิริยาแรกถึงเชื่อในเฉินเป้ยอี ในใจโรคหลอดเลือดสมองของเขา ลำเอียงแล้วหรือยัง?

“ สัมผัสที่หก คุณเชื่อไหม”

"คุณพล่ามอะไร ตอนนั้นคุณไม่ได้มองฉันด้วยซ้ำ แล้วพาเธอไปโรงพยาบาล เชื่อฉัน?ถ้าคุณเชื่อฉัน คุณจะปฏิบัติต่อฉันอย่างนั้นหรือ" หลังจากที่เธอพูดแบบนี้ ดวงตาของเธอก็แดงและมีน้ำตา

ดวงตาที่เต็มไปด้วยสีแดงทำให้เฉินเป้ยอีมีสติ อยากจะถอนมือออก แต่ถูกเกาเหวินกดมือไว้

 เธอเบิกตากว้างและมองไปที่เกาเหวินด้วยความหวาดกลัวพร้อมกับรอยยิ้มที่ประสบความสำเร็จในดวงตาของอีกฝ่าย

 “ พี่เฉิน ฉันไม่ได้ตั้งใจที่จะบอกว่าคุณเป็นพี่เลี้ยงต่อหน้าคนมากมายขนาดนี้ ฉันไม่ได้หมายความอย่างนั้นจริงๆ” ใบหน้าของเธอซีด คิ้วขมวดและมีเหงื่อตกที่หน้าผาก  ด้วยน้ำตาที่ไหลออกมาเสียงอาจอู้อี้และอ่อนแรงเนื่องจากความเจ็บปวด

 เสียงของเธอไม่สูงหรือต่ำและคนที่ยืนอยู่ใกล้ ๆ ก็สามารถได้ยินเธอได้ ดังนั้นจึงกระจายไปในฝูงชนอย่างรวดเร็ว

 ข้อสรุปคือ:ผู้หญิงคนนี้อยากตอบโต้เกาเหวิน

ทันทีที่เฉินเป้ยอีกัดริมฝีปากล่างเธอก็ส่ายหัวเงยหน้าขึ้นอย่างความสูญเสียเล็กน้อยและพบกับสายตาของหนิงเส่าเฉิน เมื่อเขาพบว่าเธอกำลังมองมาที่เขา เขาก็หันสายตาไปทันที

 หัวใจดูเหมือนจะถูกกระทบอย่างหนักจากบางสิ่งบางอย่าง มันเจ็บปวดรวดร้าวราวฟ้าผ่า

 มุมตาของเธอมองไปที่ผู้หญิงที่ตกลงไปในอ้อมแขนของเขา ดูเหมือนเธอจะเข้าใจอะไรบางอย่าง

 "คุณหนิง ฉันไม่ได้ทำ … " เธออยากจะอธิบายอย่างกระตือรือร้น เธอกลัวเขาเกิดความเข้าใจผิด เธอไม่ใช่คนที่สนใจสายตาของคนอื่น แต่ในขณะนี้เธอสนใจความคิดเห็นของหนิงเส่าเฉิน

"เส่าเฉิน อย่าโทษพี่เฉิน ฉันแค่พูดว่างานของเธอคือพี่เลี้ยงเด็กในบ้านของคุณและเธออาจจะโกรธ เธอ … เธอเลยทำร้ายฉันโดยไม่ตั้งใจ" เกาเหวินขัดจังหวะเฉินเป้ยอี

 เฉินเป้ยอีมองไปที่ เกาเหวิน ด้วยความไม่เชื่อ เธอจะพูดเรื่องไม่จริงได้อย่างหน้าซื่อตาใสได้อย่างไร?

แม้ว่าเธอไม่มีสมองจริงๆ เธอก็จะไม่ทำร้ายร่างกายเธอโดยตรงต่อหน้าผู้คนจำนวนมาก?

ทันใดนั้น เธอก็เข้าใจอะไรบางอย่าง ผู้หญิงคนนี้กำลังเดิมพันกับความไว้วางใจของหนิงเส่าเฉิน ถ้าหนิงเส่าเฉิน เชื่อเธอแม้ว่าวันนี้เธอจะบริสุทธิ์ หนิงเส่าเฉินก็ไม่มีวิธีที่ทำให้เธอยอมรับโทษได้

 หนิงเส่าเฉินล่ะ  เชื่อเธอไหม?

 “ผมจะพาคุณไปโรงพยาบาล”หนิงเส่าเฉิน ไม่มีสีหน้าอะไรในขณะนี้ ไม่สามารถมองเห็นอารมณ์ได้

 แต่ตั้งแต่ต้นจนจบ เขาไม่ได้มองไปที่เฉินเป้ยอีอีกเลย

เมื่อเห็นด้านหลังของคนที่อุ้มผู้หญิงไว้ เฉินเป้ยอีก็เสียใจแล้ว เขาเป็นแบบนี้ เขาเชื่อเกาเหวินใช่ไหม?  มันคือเชื่อว่าเธอทำร้ายคนอื่น?

 เธออยากติดตามและอธิบายให้หนิงเส่าเฉินฟังอย่างชัดเจน แต่มีใครบางคนดึงแขนไว้ "ทำร้ายคนอื่นแล้วจะหนีไม่ได้ ใครก็ได้โทรหา 110เร็ว  ผู้หญิงแบบนี้ เราต้องนำเธอเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม"

 จากนั้นทันทีที่เฉินเป้ยอีได้ยินในฝูงชนก็มีคนโทร 110 …(110เบอร์สายด่วนสถานีตำรวจ)

 หัวใจของเธอว่างเปล่า

ตำรวจมาเร็วมากจนกระทั่งกุญแจมือเย็นเฉียบติดอยู่บนผิวหนังของเธอ และเธอก็มองกลับไปที่ผู้คน บางคนมีสายตาเย็นชาและบางคนก็ไม่แยแส

 เธอเห็นคนรู้จักสองสามคนในฝูงชนเพื่อนร่วมงานผู้จัดการหลิน … และ … น้องสาวตัวอ้วนที่ถูกผู้จัดการหลินจับตัว …

 หัวใจเธอ เย็นชามาก …

โรงพยาบาล

“สอดเข้าไปลึกขนาดนี้ถ้าเข้าอก ก็เสียชีวิตแล้ว” หมอถอนหายใจขณะเย็บปิดแผล

แม้ว่าฉีดยาชาแล้ว เกาเหวินก็เจ็บปวดเกินกว่าจะพูดได้

 โทรศัพท์ดังขึ้นและหนิงเส่าเฉิน ก็เดินออกจากห้องเย็บแผล

 “ ผู้เห็นเหตุการณ์เห็นว่าคุณเกาสอดมีดเข้าไปในมือของคุณเฉิน”หลิวซูพูด

 หนิงเส่าเฉินขมวดคิ้วกุมหน้าผากและนิ่งเงียบเป็นเวลานานก่อนที่เขาจะค่อยๆพูด "ให้คนนั้นปิดปาก"

"ตำรวจพาคุณเฉินไปแล้ว" หลิวซูหายใจและพูดช้าๆ หลังจากหยุดชั่วขณะเขาพูดต่อ: "ผมจะรีบไปที่นั่น ที่นั่นเป็นได้อย่างไรบ้าง"

 "เรื่องไม่ใหญ่ คุณไปพาเธอกลับไปก่อน แล้วบอกเธอว่าผมเสร็จแล้วจะไปหาเธอ" หลังจากหยุดชั่วคราวเขาก็พูดต่อ: "ปิดกั้นข่าวทั้งหมด"

เฉินเป้ยอีนั่งอยู่ที่มุมห้องกักขังด้วยมือของเธอและฉากจากห้องจัดเลี้ยงในตอนนั้นก็ฉายในหัวของเธอ

 เห็นได้ชัดว่า เกาเหวินได้ไตร่ตรองไว้ก่อน

จู่ๆเธอก็รู้สึกว่าเธอช่างไร้เดียงสาที่เมื่อก่อนเธอรู้สึกผิดมากต่อเธอ

 ยิ่งไปกว่านั้น การมองในดวงตาก่อนหน้าของหนิงเส่าเฉิน มีความสงสัยอย่างชัดเจนต่อเธอเมื่อนึกถึงสิ่งนี้ เธอก็รู้สึกเศร้าอย่างอธิบายไม่ถูก

 "คุณชู ได้โปรดมาที่นี่"

 "ปลดล็อค"

 "นี้……"

"ผมให้คุณปลดล็อก … " เสียงคำรามดึงความคิดของเฉินเป้ยอีกลับมา เธอเงยหน้าขึ้นและเมื่อมองไปที่ประตู เธอเห็นชูหยูจี้ที่กระวนกระวาย เธอดึงริมฝีปากของเธอต่อเขาเผยให้เห็นยิ้มที่เศร้าหมอง

 ชูหยูจี้ เกือบจะรีบวิ่งไปนั่งยองๆต่อหน้าเธอ กวาดตามองเธอขึ้นลงและถอนหายใจด้วยความโล่งอก "โชคดีที่คุณสบายดี"

"คุณลืมแล้วเหรอ เป็นฉันทำร้ายต่อคนอื่น ไม่ใช่คนอื่นทำร้ายต่อฉัน" เธอยิ้มอย่างขมขื่น

 “ อย่าพูดเรื่องไร้สาระ คุณเป็นคนแบบไหนผมจะไม่เข้าใจหรอ คุณฆ่าไก่ยังไม่ได้ ทำร้ายคนอื่นได้หรอ”

เฉินเป้ยอี ตะลึง "คุณรู้ได้อย่างไร?"

 “ พอแล้ว ที่นี่ไม่ใช่ที่ที่จะคุยนะ ลุกขึ้นกลับบ้านก่อนเถอะ … ”

"คุณชู คุณพาเธอไปแบบนี้  พวกเราจะถูกโทษ เราส่งรายงานผลงานไม่ได้?" เมื่อทั้งสองเดินไปที่ประตู พวกเขาที่ใส่ชุดเครื่องแบบตำรวจยืนอยู่ข้างกัน ทำหน้าบึ้งและพูดอย่างตํ่าต้อย

 "ถ้าผมพูด ถ้าผมสามารถพิสูจน์ได้ว่าเธอไม่ได้ทำร้ายใครละ?"

 เมื่อเฉินเป้ยอี ได้ยินเสียงเธอก็เงยหน้าขึ้นมองชูหยูจี้ "หยูจี้ … "

 ตำรวจรู้สึกลําบากใจหน่อย“ แต่ … ”

ชูหยูจี้ เหลือบมองเขาและดึงเฉินเป้ยอี ออกจากสถานีตำรวจ

เขาโอบเอวเธอและเดินอย่างกระวนกระวายเล็กน้อย ทันทีที่ทั้งสองคนก้าวออกจากสถานีตำรวจ เมื่อพวกเขาเพิ่งออกมาก็เห็นหลิวซูเดินมาจากด้านหน้า

 "คุณเฉิน … " หลิวซูก้าวไปข้างหน้าและกล่าวสวัสดี

เฉินเป้ยอีเหนื่อยมาก ดังนั้นเธอจึงกดริมฝีปากของเธอและพยักหน้าโดยไม่ตอบสนองต่อเขา

 การจ้องมองลึก ๆ ของชูหยูจี้ จ้องมองไปที่ หลิวซู “ คุณมาทำไม?

 “ คุณเกายังคงทำแผลอยู่ที่โรงพยาบาล ดังนั้น … ”

"แล้วไงล่ะ ผมจะพาเธอไปไม่ได้เหรอ คุณเหมือนหนิงเส่าเฉิน สมองหมูหรือเปล่า เธอจะทำร้ายคนอื่นเหรอ? ในใจของพวกคุณไม่รู้เลยหรือ" เขาไม่ให้โอกาสหลิวซูอธิบาย ชูหยูจี้ก็ดึงเฉินเป้ยอีเดินไปที่ที่จอดรถ

 หลิวซูขมวดคิ้ว เหยียดมือขึ้นไปในอากาศจากนั้นก็ลดลงอีกครั้ง หายใจออกอย่างหนัก

เมื่อคิดแล้วก็ตามไป

 เขาเคาะหน้าต่าง เฉินเป้ยอีเลื่อนมันให้ลงและมองไปที่หลิวซู

"คุณเฉิน  คุณหนิง เชื่อในตัวคุณ" ไม่เช่นนั้นเขาจะไม่ให้เขาอยู่ในที่เกิดเหตุและมองหาพยานทันทีเมื่อเขาไปโรงพยาบาล

 

ทันทีที่เฉินเป้ยอีเงยหน้าขึ้น ดวงตาของเธอก็พบกับหลิวซู เพียงแค่รู้สึกเศร้าและตลก "จริงเหรอ? จากนั้นเขาก็เชื่อว่าคุณเกาเอามีดแทงตัวเองเหรอ?"

 ปากของหลิวซูเปิดขึ้นและเขาตอบสนองไม่ได้ชั่วขณะหนึ่ง มันเป็นเรื่องของหนิงเส่าเฉิน และเกาเหวินและเขาก็ตอบไม่ได้จริงๆ

หน้าอกของเฉินเป้ยอีอบอ้าวอย่างอธิบายไม่ถูก และหลังจากหยุดไปนาน เธอก็ม้วนมุมปากและยิ้มอย่างประชดประชัน เชื่อเธอเหรอ?

 ถ้าเขาเชื่อเธอ ตอนนั้นเขาจะมีสายตาปลอบใจให้เธอ

 รัก?  ถ้าคุณไม่มีความไว้วางใจขั้นพื้นฐานที่สุด คุณจะพูดถึงความรักได้อย่างไร?

เมื่อกลุ่มคนมาถึงประตูโรงแรม ผู้จัดการหลิน ก็แบ่งจดหมายเชิญให้ทุกคน

เฉินเป้ยอี เดินไปที่ด้านหลังของกลุ่ม

"เป้ยอี ฉันปวดท้องไปห้องน้ำก่อนแล้วเดี๋ยวมาหาคุณ" น้องสาวอ้วนเดินเข้าไปก่อนเธอ

เฉินเป้ยอี พยักหน้าหยิบจดหมายเชิญออกจากกระเป๋าและส่งให้พนักงานที่ประตู

ทั้งสองคนรับจดหมายเชิญและมองเฉินเป้ยอี แต่ท่าทางของพวกเขา หันไปรอบ ๆ 360 องศา "สวัสดีคุณผู้หญิงโปรดแสดงบัตรประจำตัวของคุณด้วย"

เฉินเป้ยอีชี้ไปที่น้องสาวอ้วนที่เดินเข้าไปข้างในแล้ว "ฉันมาด้วยกันกับเธอ" เธออยากจะถามว่าทำไมกับเขาถึงไม่ต้องการ แต่กับเธอถึงต้องการมัน?

"คุณผู้หญิง โปรดแสดงบัตรประจำตัวประชาชนของคุณ" ผู้หญิงที่อยู่ตรงกลางดูเหมือนจะไม่ได้ยินคำอธิบายของเธอและยังคงพูดซ้ำ ๆ ในสิ่งที่เธอพูดในตอนนี้

ในเวลานี้หลายคนรออยู่แล้ว

เฉินเป้ยอีหายใจเข้าลึก ๆ คงตัดสินคนอื่นด้วยรูปลักษณ์อีกแล้ว แม้ว่าเธอจะรู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อย แต่เธอก็เปิดกระเป๋าและค้นหาบัตรประจำตัวของเธอ

ปกติจะใส่ไว้ในกระเป๋า แต่วันนี้แปลกเพราะหาไม่ได้แล้ว

"มีอะไรเหรอ หรือเพราะอยากเข้าไปเพื่อกินดื่มข้างใน?”

"จะไปไหม … ข้างนอกมันหนาว … ”

 "… "

เฉินเป้ยอี เม้มริมฝีปากของเธอ ยื่นมือออกไปเพื่อดึงจดหมายเชิญกลับ โดยบอกว่าเธอจะไม่เข้าแล้ว

"ทําอะไรกัน" เสียงผู้หญิงดังมาจากข้างหลังเธอ

 เมื่อเฉินเป้ยอีได้ยินเสียง เธอก็หันหน้าไปและเห็นเกาเหวิน ยืนอยู่ใต้บันไดของห้องสองสามห้อง วันนี้เธอสวยงามมาก  แต่เมื่อคิดดูในฐานะหัวหน้าหญิงในอนาคตของหนิงกกรุ๊ป เธอเป็นแบบนี้โดยธรรมชาติ  เป็นโอกาสที่ดีในกาลเทศะแบบนี้

แค่คิดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในเมือง W ครั้งที่แล้ว เธอรู้สึกผิดมากจนไม่กล้าเงยหน้ามองเกาเหวิน เธอพลากความสุขในสายตาของผู้หญิงคนนี้ นี้ก็เป็นสิ่งที่พระเจ้าช่วยเธอ

เมื่อกี้เจ้าหน้าที่ที่ยังใช้อํานาจบาตรใหญ่อยู่ในตอนนี้ได้เอนตัวไปข้างหน้าและเดินไปข้างหน้าเกาเหวิน "คุณเกา ผู้หญิงคนนี้แต่งตัวแปลก ๆ เรากังวลว่าจะมีคนนอกผสมเข้าข้างใน ดังนั้นเราจึงต้องการตรวจสอบบัตรประจำตัวของเธอ"

ใบหน้าของเกาเหวินจมลง“ คนที่แม้แต่คุณหนิงก็รู้จัก ยังจะเป็นคนนอกหรอ?”

เมื่อได้ยินเธอพูด เฉินเป้ยอีก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกรู้สึกขอบคุณและรู้สึกผิดมากขึ้น

"เป็นไปไม่ได้ คนแบบนี้ ประธานหนิงรู้จักเธอได้ยังไง"

ในฝูงชนไม่รู้ว่าใครพูดอย่างนั้นและจากนั้นก็มีความคิดเห็นที่แตกต่างกันในกลุ่มคน

"คุณสงสัยว่าฉันโกหกเหรอ เธอทำงานเป็นพี่เลี้ยงเด็กอยู่ที่บ้านตระกูลหนิงมา 2-3 เดือนแล้ว ประธานหนิงจะไม่รู้จักเธอเหรอ”

"ว้าว … " การสนทนาในฝูงชนก็ลุกเป็นนํ้าเดือด

 เฉินเป้ยอี ตกตะลึงในตอนแรก จากนั้นเธอก็ตอบสนอง เธอมองไปที่ผู้หญิงตรงหน้าเธอด้วยความตกใจ เธอคิดว่าเธอจะบอกทุกคนว่าเธอเป็นพนักงานของบริษัทของเธอ ถึงอย่างไรเธอก็สวมชุดทำงานของ SM ในตอนนี้ ซึ่งมีเหตุผลพอที่จะมีโน้มน้าวใจได้

อย่างไรก็ตาม เธอเพิ่งบอกตัวตนอื่นของเธอแม้ว่านั่นจะเป็นความจริง แต่ …

"โอ้ ดั้งเดิมเป็นพี่เลี้ยงเด็กหรอ?"

"ใช่ พี่เลี้ยงเด็กมาร่วมประชุมประจำปีของบริษัทได้อย่างไง"

 "… "

แล้วคนยิ่งมายิ่งเยอะ ทุกคนคุณพูดหนึ่งคําอีกคนพูดหนึ่งคํา หลังจากนั้นไม่นานเฉินเป้ยอีก็กลายเป็นเป้าหมายของการวิพากษ์วิจารณ์ของสาธารณชน

ในหูของเธอ เต็มไปด้วยคำว่าพี่เลี้ยงเด็ก …

เมื่อเห็นทุกคนชี้มาที่เธอ  เฉินเป้ยอีก็ไม่รู้สึกโกรธเท่าไหร่ เธอไม่เคยสนใจความเท็จ ไม่ต้องพูดถึงว่าเธอเป็นพี่เลี้ยงเด็ก ที่เป็นเรื่องจริง

เธอรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่าผู้หญิงตรงหน้าเธอจงใจบอกว่าเธอเป็นพี่เลี้ยงเด็ก

คำพูดดอกบัวขาวและนังชาเขียวที่หนิงเสี่ยวซีพูดก่อนที่จะแวบเข้ามาในจิตใจของ เฉินเป้ยอี …

หากในตอนนี้ เธอยังไม่เข้าใจว่าผู้หญิงคนนี้ดีหรือไม่ดี แสดงว่าเธอโง่จริงๆ

ความรู้สึกเย็นในหัวใจของเธอเกิดขึ้นในชั่วพริบตาเดียว  แต่ในขณะเดียวกันก็มีสัมผัสของความผ่อนคลาย

ถ้าเกาเหวินใจดีมาโดยตลอดพูดตามตรง หนิงเส่าเฉินจะยกเลิกสัญญาการแต่งงานของเธอ เธอก็จะเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด อย่างไรก็ตามเธอไม่ควรทำร้ายคนใจดี

อย่างไรก็ตาม ในตอนนี้ เธอรู้สึกโล่งใจมาก เธอเป็นคนไร้ความปรานี ดังนั้นเธอก็ไม่มีความจงรักภักดีส่วนตัวใช่ไหม?

ตัวอย่างเช่น ขุดมุมของเธอ?จู่โจม หนิงเส่าฉิน?  อย่างไรก็ตาม เธอรู้จักบุคลิกของเธอดี ดังนั้นเธอแค่คิดเกี่ยวกับเรื่องนี้สักหน่อย

แต่อย่างน้อยหัวใจของเธอก็ไม่เป็นทุกข์อีกต่อไป

"งั้นฉันเข้าไปได้แล้วใช่ไหม” น้ำเสียงของเธอเย็นชาเล็กน้อย

เจ้าหน้าที่มองไปที่เกาเหวินแล้วมองไปที่ เฉินเป้ยอีด้วยสีหน้าดูถูกอย่างเห็นได้ชัดและพยักหน้าว่า"ได้แล้ว"

 “ พี่เฉิน ฉันขอโทษจริงๆ เมื่อกี๊ฉันก็กังวลใจจริงๆ พูดให้เรื่องรั่วไหลแล้วโดยไม่ตั้งใจ” การแสดงออกของเกาเหวินจริงใจมากและมองไม่เห็นสีหน้าผิดปกติ

 เฉินเป้ยอีหยุดกะทันหัน หันกลับมาและมองไปที่เกาเหวินใบหน้าของเธอ ยังมีหน้าอย่างความรู้สึกเสียใจ แต่เฉินเป้ยอี รู้สึกแดกดันและกังวลมากในขณะนี้ เธอสวมชุดหลวม ๆ ของ SM เธอไม่ควรพูดถึงฐานะนี้โดยรู้ตัวหรอ?  “ คุณเกา คุณอย่าเสแสร้งจะดีกว่า”

เรื่องในเมื่อตะกี้เป็นความตั้งใจหรือเปล่า คนโง่ก็สามารถเห็นได้แล้ว

เกาเหวินลดตาลงและลืมตาขึ้นอีกครั้ง ความอ่อนโยนในดวงตาของเธอหายไปอย่างเห็นได้ชัด แต่เดิมเธออยากรอให้งานเลี้ยงเริ่มก่อนแล้วเธอก็ทํา แต่ตอนนี้จะจบสิ้นก่อนแล้ว

เธอก้าวไปข้างหน้าสองสามก้าวแล้วยืนเคียงบ่าเคียงไหล่กับเธอ "เสแสร้งเหรอ ใครจะเปรียบเทียบกับคุณได้ ไปที่บ้านตระกูลหนิงเป็นพี่เลี้ยงเด็ก ฮ่าฮ่า ฉันคิดว่าคุณกำลังยั่วยวนเส่าเฉินอย่างเห็นได้ชัดใช่ไหม"

 เฉินเป้ยอีหันกลับมาและจ้องไปที่ใบหน้าที่ไม่มีความอ่อนโยนของเกาเหวิน โดยจำฉากที่เธอกัดตุ๊กตาใน SM  ใช่ เธอไร้เดียงสามากจริงๆ คนที่สามารถทำสิ่งที่น่ากลัวเช่นนี้ได้ คุณเชื่อได้อย่างไรว่าเธอใจดี  "คุณใส่ร้ายป้ายสีคนอื่น!"

"ยังแสร้งอยู่เหรอ เส่าเฉินใช้เวลาคืนนั้นกับคุณ คิดว่าฉันไม่รู้เหรอ  เฉินเป้ยอี อย่าแสร้งว่าตัวเองเป็นบริสุทธิ์ขนาดนั้น”

ในแสงสลัว เฉินเป้ยอีมองไม่เห็นการแสดงออกของ เกาเหวินแต่ความเกลียดชังที่ชัดเจนในดวงตาที่มืดมนของเธอนั้นชัดเจนมากจนเธออดไม่ได้ที่จะกลืนกิน

 "เรา … ไม่ได้ทำอะไรเลย!" เธอรู้สึกผิดเล็กน้อยที่พูดแบบนี้

"ไม่ได้ทำอะไรเลยเหรอ เธอนอนอยู่บนเตียงแล้วเธอไม่ได้ทำอะไรเหรอ  เฉินเป้ยอี เธอไร้ยางอาย" แต่เดิมเธอสงสัยว่าข้อมูลของคนที่ตามมานั้นผิด แต่เธอก็ยอมรับโดยแบบนี้เลยเหรอ?

ความโกรธในใจของเธอทำให้เธอตัดสินใจอย่างเด็ดเดี่ยวและดึงมือของเธอเข้าไปในผ้าพันแขนของเธอ

ขณะนี้เกิดความปั่นป่วนที่ประตู

ทันทีที่เฉินเป้ยอี มองขึ้นไปที่ต้นกำเนิดของเสียง เธอก็เห็นหนิงเส่าฉิน เดินเข้ามาพร้อมกับการสนับสนุนของทุกคน รูปลักษณ์ที่หล่อเหลาและอารมณ์ที่โดดเด่นแม้ว่าเขาจะไม่ได้ตั้งใจแต่งตัว ก็ดึงดูดผู้หญิงทุกคนไปแล้ว

"ว้าว  คุณหนิง"

"ใช่ ไหนบอกว่าจะไม่เข้าร่วมการประชุมประจำปีแบบนี้ไม่ใช่เหรอ"

"หล่อจังเลย ถ้าฉันได้นอนกับเขาสักคืนและอะไรก็ไม่เอา แค่นี้ก็พอกับชีวิตแล้ว … ”

สมองของเฉินเป้ยอีอื้อึง … งั้นก็หมายความว่าเธอสามารถตายได้หลายครั้งในชีวิตของเธอ มันคุ้มแล้วหรือ?

เธอจมอยู่ในความคิดของเธอ ดังนั้นจึงไม่สังเกตเห็นเกาเหวินเดินเข้ามาหาเธอ ในทันใดสิ่งที่เธอรู้สึกได้ก็คือมีบางสิ่งที่เย็นเฉียบบีบเข้ามาในมือของเธอ ทันใดนั้นเธอก็ก้าวไปข้างหน้าด้วยแรงดึงหนึ่ง……

 เมื่อเธอตอบสนอง เธอก็ได้ยินเสียงอุทานของทุกคน …

 เธอก้มหัวลงอย่างมีสติและเห็นว่าเธอถือมีดอยู่ในมือและมีดเสียบเข้าไปในแขนของเกาเหวินในขณะนี้

 เลือดสีแดงสดย้อมชุดสีขาวราวกับหิมะของเกาเหวินทันที …

เฉินเป้ยอีไม่เคยรู้ ว่าเดิมในฐานะพนักงานของSM เธอต้องเข้าร่วมการประชุมประจำปีของหนิงด้วย

เมื่อนึกถึงสิ่งที่หนิงเส่าเฉินพูด หัวใจของเธอก็เริ่มตึงเครียด

หลังจากวันนั้น หนิงเส่าเฉินก็ไม่มาหาเธออีก และส่งข้อความถึงเธอ โดยทั่วไปแล้วเธอตอบด้วยประโยคเดิม: "จนกว่าปัญหาของคุณจะได้รับการแก้ไข โปรดอย่าติดต่อฉันอีก"

ดังนั้น เธอไม่สามารถเดาได้ว่าคำพูดของหนิงเส่าเฉินในวันนั้นจริงหรือเท็จ

อารมณ์ไม่สบายใจนี้ ดำเนินไปจนถึงเช้าวันนั้นของการประชุมประจำปี

เนื่องจากเหลือเวลาอีกเพียงไม่กี่วันก่อนวันตรุษจีน ดังนั้นยกเว้นลูกค้ารายสำคัญบางรายโดยทั่วไปบริษัทจะไม่รับคำสั่งซื้ออีกต่อไป พนักงานใหม่อย่างเฉินเป้ยอี ไม่มีลูกค้ารายใหญ่ในมือ ดังนั้นโดยปกติแล้วเธอจึงไม่ได้ไปที่ บริษัทในช่วงสองวันนี้ หลังจากทานอาหารเช้าเสร็จ ที่เฉินเป้ยอีก็ทำความสะอาดที่ระเบียงเธอนำไม้ถูพื้นไป เพื่อระบายน้ำ จู่ๆก็ได้ยินเสียงเคาะประตู

เธอไม่ได้คิดอะไร เมื่อเปิดประตูก็เห็นชูหยูจี้ยืนอยู่ข้างนอก เธอประหลาดใจเล็กน้อย

"หยูจี้ ทำไมคุณมาที่นี่" เมื่อเห็นประตูเปิดออก ชูหยูจี้ก็ก้าวเข้ามาในบ้าน ถูมือและเปลี่ยนรองเท้า เขาเห็นรองเท้าแตะของชายตรงที่เปลี่ยนรองเท้า เขาก็เลิกคิ้วและมองไปที่เฉินเป้ยอี "ทำไมมีรองเท้าแตะผู้ชาย"

เฉินเป้ยอีรู้สึกงงงวยในตอนแรก แล้วมองตามเขา และเห็นรองเท้าแตะของผู้ชายบนชั้นวางรองเท้า ซึ่งหนิงเส่าเฉินน่าจะซื้อมาก่อนหน้านี้

เธอเม้มริมฝีปากด้วยความรู้สึกไม่เข้าใจ "อาจเป็นเจ้าของบ้านก็ได้" เธอเกาหูอย่างตะขิดตะขวง หันไปรอบๆ แล้วเปิดไฟในห้องนั่งเล่น

หนิงเส่าเฉินเป็นเจ้าของบ้าน เธอไม่ได้โกหกเขา เธออธิบายความในใจแบบนี้

เธอรินน้ำร้อนให้ชูหยูจี้ แล้วยื่นให้เขา “หยูจี้ คุณมาที่นี่มีเรื่องอะไร” จากนั้นก็รินให้ตัวเอง จิบแล้วหันไปถามชูหยู่จี้

ชูหยู่จี้ถือถ้วยด้วยมือทั้งสองข้างถูไปมา กวาดตามองภายในและเปลี่ยนเรื่อง "บ้านนี้ดีนะ ค่าเช่าเยอะใช่ไหม?"

“ มันก็ดี … ”

"ดูเหมือนว่าSMจ่ายเงินเงินเดือนให้คุณสูงมากเลยนะนะ"

เฉินเป้ยอีไม่ตอบเขา เธอโบกมือ "นั่งลงตามสบาย ฉันจะไปห้องน้ำก่อน"

ทันทีที่เธอจากไป โทรศัพท์บนโต๊ะก็ดังขึ้น

เดิมทีชูหยู่จี้ต้องการบอกเธอ แต่เมื่อเขาเห็นชื่อที่ปรากฏบนนั้น เมื่อพูดอ้าปากจะพูดก็กลับกลืนคำพูดลงไป “ พ่อของหนิงเสี่ยวซี”

ใบหน้าของเขามีสีคล้ำ หยิบมันขึ้นมาและจงใจพูดว่า "สวัสดีครับ ใครครับ เป้ยอีเธอไปห้องน้ำแล้ว"

หนิงเส่าเฉินวางแฟ้มในมือ เอนหลังและได้ยินเสียงผู้ชายจากปลายสาย เขาขมวดคิ้ว ฟังอย่างระมัดชัดเจน ใบหน้าของเขาจมลง "หยูจี้?"

"โอ้ … พี่ คุณมีอะไรเหรอ เป้ยอีเธอไปห้องน้ำ"

หนิงเส่าเฉินเหล่ตามอง พูดเตือนเขาด้วยเสียงต่ำทุกคำ: "อย่ายุ่งกับเธอ เข้าใจไหม"

ชูหยูจี้เลิกคิ้วและมองไปทางห้องน้ำ หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งเขาก็พูดว่า "พี่ คุณอย่าเข้าใจผมผิด ผมไม่สนใจผู้หญิงที่อายุมากกว่าผม ผมแค่ปฏิบัติต่อเธอในฐานะเพื่อน แค่เป็นเพื่อนคนหนึ่ง" เขาเน้นย้ำอย่างจงใจ เขาไม่สนใจพี่สาวคนนี้ เขาสนใจเฉพาะเย่หลิน

เสียงของหนิงเส่าเฉินเย็นชา“ เป็นอย่างนั้นก็ดี”

"พี่ คุณมีอะไรเหรอ"

"นายบอกเธอว่า ฉันจะส่งเสื้อผ้าให้เธอสำหรับการประชุมประจำปีในตอนเย็น" หลังจากพูดจบ เขาก็วางสายโทรศัพท์

ในเวลานี้เฉินเป้ยอีเปิดประตูและเดินออกไป

"พี่ของผมโทรหาคุณ" เขายกโทรศัพท์ในมือขึ้น และพูดกับเฉินเป้ยอี

“ เขาพูดอะไร?”เฉินเป้ยอีถามอย่างลวกๆ ทันทีที่เธอหยิบทิชชู่ออกมาและเช็ดน้ำบนมือของเธอ

"เขาบอกว่าเสื้อผ้าสำหรับการประชุมประจำปีในตอนเย็นจะถูกส่งไปให้คุณในอีกไม่ช้า"

เฉินเป้ยอีตกตะลึงเสื้อผ้าที่หนิงเส่าเฉินมอบให้ เธอ … กล้าใส่ได้อย่างไร เธอก้มหน้าลงและดื่มอย่างเงียบๆ

“เย่หลิน … ”

"เรียกฉันว่าเป้ยอีเถอะ"เฉินเป้ยอีขัดจังหวะเขา พูดให้ชินไว้จะดีกว่า

ชูหยูจี้พยักหน้า "เป้ยอี คุณชอบพี่ของผมเหรอ"

เฉินเป้ยอีไม่คิดว่า เขาจะถามอย่างตรงไปตรงมาเช่นนี้ มือที่ถือแก้วน้ำสั่นอย่างเห็นได้ชัด เธอหันกลับมานั่งเอนหลังบนโซฟา วางถ้วยบนโต๊ะชา ยิบรีโมทขึ้นมาเปิดทีวี สายตาไม่ได้โฟกัสไปที่ตรงหน้าเลย เธอชอบหนิงเส่าเฉินรึเปล่า?

ใช่ ชอบ ตั้งแต่ครั้งแรกที่เขาปรากฏตัวบนเกาะ นั้นเป็นครั้งแรก เธอก็ชอบ แต่ … ชอบแล้วยังไงล่ะ? นั่นคือคู่หมั้นของคนอื่น พวกเขาอยู่ด้วยกันได้ไหม ยังไม่รู้!

ดังนั้นเมื่อหันหน้ามาและมองไปที่ชูหยูจี้ เธออยากจะพูด แต่ก็หยุด … "ฉัน … "

"โอเค ไม่ต้องพูดอะไร … ผม ไม่อยากรู้" เขาขัดจังหวะเธอ และมองไปที่ทีวี ความเฉยเมยในดวงตาของเขาทำให้หัวใจเฉินเป้ยอีกระตุกและมีประกายในใจ

แต่ ความรักไม่ใช่ความเห็นอกเห็นใจ ไม่ใช่การใจสั่น

“การประชุมประจำปีของหนิงกรุ๊ปคืนนี้ คุณจะไปไหม” เขาอดไม่ได้ที่จะมาที่นี่เพราะรู้สึกไม่กังวล เมื่อได้ยินว่าเธอจะเข้าร่วมการประชุมประจำปี

เฉินเป้ยอีถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกแล้วพยักหน้า "ใช่" ผู้จัดการหลินย้ำเธอทุกวัน จนเธออยากจะลืมมัน มันแต่ยากที่จะลืม

ชูหยูจี้หันหน้าไปมองเธอเป็นเวลานาน และหยุดพูด

คาดว่าบุคคลนั้นก็จะไปด้วย หวังว่าพวกเขาจะไม่ได้พบกัน

การประชุมประจำปีของบริษัทหนิง จะจัดขึ้นทุกๆสามปีเท่านั้น นอกจากพนักงานหลักของบริษัท แล้วยังเชิญซัพพลายเออร์รายใหญ่ เทอร์มินัล ฯลฯ …

และผู้บริหารโรงแรมรีสอร์ทในเมือง C …

ในที่สุดเฉินเป้ยอีก็เลือกที่จะใส่ชุดทำงาน ชุดที่หนิงเส่าเฉินส่งมาในตอนบ่ายแสดงให้เห็นว่าเขาจงใจเลือกที่จะเก็บรูปลักษณ์ภายนอก แต่ฝีมือที่ยอดเยี่ยม ไม่ใช่สิ่งที่เธอสามารถจ่ายได้ ชูหยูจี้เป็นคนชี้นำเธอ เขาส่งให้เธอ แต่เธอก็ปฏิเสธเช่นกัน

"อา เป้ยอี ทำไม … ทำไมคุณถึงมาที่นี่ด้วยชุดทำงาน" ผู้จัดการหลินขอให้พวกเขามารวมตัวกันที่บริษัท แล้วไปที่โรงแรมด้วยกันเมื่อเธอเห็นเฉินเป้ยอีมาในชุดทำงาน คิ้วของเขาก็ขมวด

"เพราะคุณไม่มีชุดหรือเปล่า" หม่าชิงชิงยิ้มแล้วโค้งตัว

น้องสาวอ้วนก้าวไปข้างหน้าและจูงมือเฉินเป้ยอี“ เป้ยอี การประชุมประจำปีของหนิงกรุ๊ปนี้จะเกิดขึ้นทุกๆสามปีเท่านั้น คนที่มาเป็นชนชั้นสูงของบริษัท และคนชั้นสูงบางคนและคุณไม่มีคู่ควง เธอไม่อยากไปหาใครที่นั่น? "

จากนั้นเฉินเป้ยอีก็สังเกตเห็นว่าเพื่อนร่วมงานหลายคน แม้ว่าพวกเขาทั้งหมดจะสวมเสื้อนอก แต่พวกเขาก็สวมชุดที่แตกต่างกันด้านใน และการแต่งหน้าของพวกเขาก็ดูบอบบางกว่าปกติ

เธอมองลงไปที่ชุดของตัวเอง อยู่นอกสถานที่เล็กน้อย กัดริมฝีปากแล้วส่ายหัว …

"ไม่สนใจ."

นอกจากนี้ หนิงเส่าเฉินยังอยู่ที่นี่ เธอจะมีความคิดอะไรได้อีกบ้าง?

"หรือจะไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไป เนื่องจากไม่สวมชุดเหรอ?" เธอมองผู้จัดการหลินขมวดคิ้วทันทีที่เธอปรากฏตัว และอดไม่ได้ที่จะถาม

ผู้จัดการหลินเหลือบมองเธอ“ ไม่ใช่ แต่ … คุณไปแบบนี้ คนคิดว่าคุณเป็นพนักงานเสิร์ฟหรือเปล่า?”

"ฮ่าฮ่า" เพื่อนร่วมงานหลายคนหัวเราะออกมาดัง ๆ

เฉินเป้ยอีพยักหน้า "ก็ดี แค่เข้าไปได้ก็พอ ถ้าผู้จัดการรู้สึกอาย ฉันไม่ไปก็ได้" อย่างไรก็ตาม เธอไม่กระตือรือร้นในการรวมตัวแบบนี้มากอยู่แล้ว

ผู้จัดการหลินส่ายหัวซ้ำๆ “ ไป คุณต้องไป ไป ไป ไป… เวลาใกล้ถึงแล้ว” ไม่รู้ว่าลูกพี่ลูกน้องคิดอย่างไร สั่งย้ำ เร่งให้เขาพาเฉินเป้ยอีไปด้วย

คำพูดของหนิงเส่าเฉิน ไม่ได้ทำให้เฉินเป้ยอีดีใจ

ในทางกลับกัน เธอกลับคิดว่าความสุขของเธอสร้างขึ้น อยู่กับความเจ็บปวดของผู้หญิงคนหนึ่งและเธอก็โทษตัวเองมาก

หลังจากส่งหนิงเส่าเฉินไปแล้ว เธอก็ไม่อยากกินอาหาร จึงอาบน้ำและนอนลงบนเตียง

นึกย้อนไปถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ จู่ๆ เธอก็จำอะไรบางอย่างได้

เธอกระโดดขึ้นจากเตียงแล้วไปที่ห้องนั่งเล่นแล้วหยิบจดหมายออกจากกระเป๋า

เปิดโคมไฟหัวเตียง เธอเปิดตราประทับและเปิดดูมันมีรูปถ่ายอยู่ข้างใน

ภาพถ่ายเป็นภาพขาวดำ เห็นได้ชัดว่าเวลาของภาพนี้นานแล้ว ชายและหญิงยืนอยู่ด้วยกันผู้หญิงคนนี้ยังเด็กและสวยมากเธอดูเหมือนตัวเองในขณะนี้ นี่คือแม่ของเธอ เธอสามารถจดจำได้ในพริบตา  และผู้ชายที่หล่อเหลาเป็นพิเศษ แต่เธอมั่นใจได้เพราะความสูงและรูปร่างของเขา ว่าเขาไม่ใช่พ่อของเธอ

มือเธอสั่น รูปถ่ายก็ตกลงบนเตียง ด้านหลังของรูปถ่ายมีการเขียนคำสองสามคำอย่างง่ายๆ

"ในปี 1989 เป็นครั้งสุดท้ายของฉันกับคุณ"

ในปี 1989?  เธอเกิดเมื่อปี 1987 … ปีนั้นเธออายุสองขวบและพ่อแม่ของเธอน่าจะแต่งงานกันนานแล้ว แต่ … การเคลื่อนไหวและการแสดงออกของแม่และชายแปลกหน้าคนนี้เป็นคู่รักกันอย่างเห็นได้ชัด …

นี่ เกิดอะไรขึ้น?

เธอเหยียดมือตรง ปกคลุมแก้มทั้งสองข้างหลับตาและจิตใจของเธอสับสน

แม่มีชู้ตอนอายุสองขวบของเธอ ทั้งหมดที่หัวของเธอคิดได้คือคำเหล่านี้ …

แต่ลุงมีภาพแบบนี้ได้อย่างไร?

ทำไมหลังจากการตายของแม่ของเธอ ปล่อยให้คนอื่นมอบมันให้กับเธอ  ทำไม

อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นอะไรรูปถ่ายนี้เกี่ยวข้องกับชื่อเสียงของแม่ดังนั้น …

เธอเก็บถ่ายภาพไว้ในระบบคลาวด์ทางอินเทอร์เน็ต จากนั้นฉีกมันเป็นชิ้น ๆ ลุกขึ้นโยนลงชักโครกแล้วล้างออกด้วยน้ำ

ในวันนี้ มีประสบการณ์หลายอย่างมากเกินไปจนเฉินเป้ยอีนอนไม่หลับ เธอพลิกตัวไปมาจนกระทั่งครึ่งหลังของคืนเธอหลับไปด้วยความงุนงง

ในวันที่สอง เกากรุ๊ป

"เส่าเฉินวันนี้ทำไมคุณมาถึงที่นี่" พ่อเการู้สึกยินดีอย่างเห็นได้ชัดเมื่อหนิงเส่าเฉินมาเยี่ยมอย่างกะทันหัน

หนิงเส่าเฉินส่งสัญญาณให้พ่อเกานั่งลง

จ้องมองไปที่กาแฟตรงหน้า หลังจากนั้นไม่นาน เขาก็หันหน้าไปด้านหลัง หลิวซูก็ก้าวไปข้างหน้าวางโฟลเดอร์ไว้ข้างหน้าต่อหน้าพ่อเกาแล้วพูดว่า "ลุงครับ นี่เป็นการโอนหุ้นห้าเปอร์เซ็นต์ของหนิงกรุ๊ป  ”

ส่วนของผู้ถือหุ้น 5% ของหนิงกรุ๊ป มีมูลค่าอย่างน้อยหลายพันล้าน พ่อเกา ไม่เข้าใจว่า หนิงเส่าเฉิน หมายถึงอะไร แม้ว่าในใจเขาจะร้อนรน แต่เขาก็ไม่ได้ไปถือมัน เขามองไปที่หนิงเส่าเฉิน ด้วยความงงงวย  "เส่าเฉิน คุณหมายถึงอะไร"

หนิงเส่าเฉินเลิกคิ้ว ลูบริมฝีปากบาง ๆ ด้วยนิ้วยาวและลูกกระเดือกของเขาก็คลึง หลังจากนั้นไม่นาน เขาก็ยืดตัวขึ้นและค่อยๆพูดว่า "ลุงครับ ผมอยากทำลายสัญญาแต่งงานกับเสี่ยวเหวิน นี่เป็นค่าตอบแทนเล็กน้อยสำหรับการเธอ สำหรับเหตุผลของทำลายสัญญาแต่งงานให้คุณลุงตัดสินใจเถอะ”

เห็นได้ชัดว่าพ่อเการู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยกับเหตุการณ์นี้ เขายังคงยิ้มในช่วงที่ผ่านมา แล้วเขาก็หยุดยิ้มทันที เขามองไปที่หนิงเส่าเฉิน ยิ้มและถามว่า: "เส่าเฉินคุณกับเสี่ยวเหวินทะเลาะกันหรือ … มีอะไรที่เสี่ยวเหวินทำไม่ดี? นี่เป็นดํารงชีวิตของสองคนนั้นอยู่ด้วยกัน นี่ …"

"ผมตกหลุมรักผู้หญิงคนอื่นครับลุง ผมขอโทษเสี่ยวเหวินด้วย" หนิงเส่าเฉินขัดจังหวะพ่อเกา ด้วยเสียงที่ต่ำ แต่จริงจัง

พ่อเกา มองไปที่หนิงเส่าเฉินอย่างสม่ำเสมอและทันใดนั้นเขาก็นึกถึงว่าแม่ผู้ให้กำเนิดของหนิงเสี่ยวซี ที่ลูกสาวของเขาพูดถึงก่อนหน้านี้ เขาจึงถามอย่างไม่แน่ใจ: "คนที่คุณเส่าหลงรักเธอเป็นแม่ผู้ให้กำเนิดของ เสี่ยวซี หรือไม่?"

หนิงเส่าเฉิน เหล่ตาและส่ายหัว "ไม่ใช่ครับ"

"เส่าเฉิน เมื่อ 14 ปีก่อน คุณสัญญากับเสี่ยวเหวินของผมเป็นการส่วนตัวว่าจะแต่งงานกับเธอเมื่อโตขึ้น เธอก็ไม่ลดละ หลังจากนั้นหลายปีเธอก็เกือบจะวนเวียนอยู่กับคุณ ถ้าคุณบอกว่าคุณไม่แต่งงานก็ไม่แต่งงาน  คุณเคยคิดถึงความรู้สึกของเธอรึเปล่า "ลูกสาวของตัวเองถูกทิ้งแล้วด้วยวิธีนี้ในฐานะพ่อ พ่อเการู้สึกโกรธอย่างไม่สามารถบรรยายได้ แต่เนื่องจากตัวตนของหนิงเส่าเฉิน  เขาไม่สามารถกําเริบได้และได้แต่อดทนต่อมัน  ในฐานะพ่อในเวลานี้เขาต้องพูดสักสองสามคำเพื่อลูกสาวเอง

"ลุงสามารถบอกได้ว่าเป็นผู้หญิงอยากถอนหมั้น แล้วส่วนเหตุผลนั้นลุงเขียนอย่างไรก็ได้  อย่างนี้ก็เพื่อที่จะไม่ส่งผลต่อชีวิตในอนาคตของเสี่ยวเหวิน” หนิงเส่าเฉินดูเหมือนจะคิดหาข้อแก้ตัวแล้ว ทันทีที่พ่อเกาพูดจบ เขาก็รับมันไปพูดต่อทันที

"แต่เสี่ยวเหวิน เธอรักคุณ" พ่อเกาโกรธมากกับท่าทางแบบนี้ของหนิงเส่าเฉินและไม่สนใจฐานะอีกแล้ว เขาตะโกนออกมา

"แต่ผมไม่รักเธอ แล้วที่ผมแต่งงานกับเธอ ไม่ใช่ทำร้ายเธอหรือ" ริมฝีปากบางของหนิงเส่าเฉิน เปิดออกเบา ๆ และดวงตาของเขามองไปที่พ่อเกา

พ่อเกาพูดไม่ออกไปชั่วขณะ

"จดหมายโอนหุ้นบนโต๊ะนี้ โปรดส่งให้เสี่ยวเหวิน และทำลายสัญญาการแต่งงาน  ขอให้เสี่ยวเหวิน มาพูดในการประชุมประจำปีในอีกไม่กี่วันหลังจากนั้น"

พ่อเกาบีบหมัดด้วยมือทั้งสองข้างเส้นเลือดก็แตกออกมา

เมื่อพ่อของเกาเหวินถ่ายทอดคำพูดเหล่านี้ให้เกาเหวิน

เมื่อเทียบกับความโกรธของพ่อเกาแล้ว เกาเหวินสงบกว่ามาก เธอคอตกและใบหน้าของเธอไม่มีอารมณ์ขึ้น ๆ ลง ๆ  มีเพียงมือสีขาวที่ถือหวีเท่านั้นที่สามารถมองเห็นความเกลียดชังภายในของเธอได้

"ประชุมประจำปี … ทำลายสัญญาการแต่งงานเหรอ ฮ่าๆๆ ให้ฉันพูดเอง ฉันจะไม่พูด ฉันไม่เห็นด้วย" เธอพึมพำกับตัวเอง เขาชอบผู้หญิงคนนั้นมาก?  ร้อนรนจนทนรอไม่ไหวแบบนี้หรอ?

พ่อเกาก้มหน้าและกระชับหนังสือโอนหุ้นในมือพูดตามตรง เขาไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่า หนิงเส่าเฉินจะใช้ทุนเพื่อชดเชยเกาเหวิน

ภาพที่ใจกว้างของเขา ทำให้หัวใจที่มั่นคงของเขาคลายลงหน่อย

"ถ้าลูกไม่สามารถเอากลับคืนได้ ลูกอาจต้องวางแผนสำหรับอนาคตของคุณเองด้วยเช่นกัน” เขาพูดด้วยเสียงต่ำ

เกาเหวินหันหน้าไปอย่างรวดเร็วและมองไปที่พ่อของเธอ "พ่อหมายความว่ายังไง"

พ่อเกาโยนหนังสือโอนหุ้นในมือต่อหน้าเธอ "นี่เป็นหุ้น 5% ลูกคุยกับคุณหนิงได้ ถ้าคุณได้ 10% … " จากนั้นเขาจะไม่ต้องกังวลในครึ่งชีวิตภายหลังของเขา ลูกหลานหลายชั่วอายุคนก็ไม่ต้องกังวล งั้นมีหนิงเส่าเฉิน เป็นผู้สนับสนุนหรือไม่และมันสำคัญแค่ไหน?

เกาเหวินหย่นขมับแน่นขึ้น เธอมองพ่อที่อยู่ต่อหน้าเธออย่างนึกไม่ถึง ตาของเธอปิดลงและเสียงเยาะเย้ยของเธอดังขึ้นเล็กน้อย: "พ่อ คุณอยากให้ฉันขายความสุขของฉันเพื่อเงินเหรอ?"

"แล้วลูกอยากทําอะไร ถ้าลูกมีความสามารถลูกสามารถหยุดเขาได้มั้ย หลายปีที่ผ่านมาพ่อทำมามากที่จะให้ลูกแต่งงานกับหนิงเส่าเฉิน พ่อไม่ได้คิดเกี่ยวกับลูกหรือ มันเป็นตัวลูกเอง  ลูกไม่สามารถเข้าใจหัวใจของผู้ชายได้ ลูกไม่สามารถเอาชนะแม้แต่จะสู้พี่เลี้ยงเด็กได้ ลูกบอกว่าพ่อโหดร้ายถ้าพ่อโหดร้ายเมื่อ 14 ปีที่แล้ว พ่อ … "พ่อเกาหยุดทันทีและมองไปที่คนที่ยืนอยู่ข้างหลัง แม่เกาของเกาเหวิน สะบัดแขนของเขาแล้วจากไป

เมื่อมองไปที่ด้านหลังที่จากไปอย่างแท้จริงของพ่อของเธอ เกาเหวินเข้าใจว่าในเวลานี้ ในใจพ่อของเธอ จดหมายการโอนหุ้นมีความสำคัญมากกว่าเธออยู่แล้ว และสามารถป้องกันให้ไม่ให้หนิงเส่าเฉินยกเลิกสัญญาการแต่งงานในการประชุมประจำปีได้เหรอ เธอสามารถพึ่งพาได้เพียงตัวเอง

เธอรู้จักนิสัยใจคอของหนิงเส่าเฉินเป็นอย่างดี ถ้าเธออยากให้เขาเปลี่ยนใจ ยกเว้นมีอะไรเกิดขึ้น?  ตัวอย่างเช่น … มีรอยยิ้มชั่วร้ายที่มุมปากของเธอ

เสียงที่คุ้นเคยเฉินเป้ยอีไม่ต้องเงยหน้าขึ้นก็รู้แล้วว่าเขาเป็นใคร

 “หยูจี้?”

 "ลุกขึ้นเร็ว ๆ  นัดกับผมกินข้าวเย็นไม่ใช่เหรอ ทำไมผมยังไม่มาคุณก็จะไปแล้ว" ชูหยูจี้พูดพลางยกมือขึ้นและรวบผมหลวม ๆ ไว้ข้างหูของเธอ

 หลังจากพูดจบก็ยืดแขนโฮบรอบเอวและพาเธอเข้าไปในฝูงชนอีกครั้ง แต่ดวงตาของเขายังคงอยู่ที่ด้านข้างของเฉินเป้ยอี "คราวหน้าที่คุณเดิน ดูทางเดินหน่อย" หลังจากพูดจบ ดวงตาของเขาก็จมลงและก็หันหน้าไปมอง

เห็นเงาคนในฝูงชน รีบวิ่งไปที่ประตู

ทุกคนงง  สถานการณ์เป็นอย่างไร หรือไม่ได้มือที่สามในการแต่งงานหรอ

 มิฉะนั้น หากมองไปที่ชายที่เพิ่งมาคนนี้ เขาจะมีนิสัยที่ไม่ธรรมดาและไม่ใช่คนธรรมดา ถ้าผู้หญิงคนนี้เป็นชู้จริงๆ เขาจะมีทัศนคติเช่นนี้ได้อย่างไร?

 "พี่ขอบคุณที่ช่วยพา เป้ยอีมาที่นี่" ชูหยูจี้ พูดพลางเงยหน้าขึ้นมอง หนิงเส่าเฉินพลางยิ้มอย่างสดใส

คำพูดของเขาให้ความกระจ่าง 2 ประเด็น ประการหนึ่งคือเฉินเป้ยอี เป็นแฟนของเขา และอีกประการหนึ่งคือ หนิงเส่าเฉินจะอยู่กับเฉินเป้ยอี เพียงเพราะน้องของเขาของช่วย

 คนที่ชอบดูเรื่องที่คึกคักโดยไม่ทราบสาเหตุถอนหายใจ งั้นเป็นเพียงเรื่องเข้าใจผิด?

 "โอเค โอเค ไม่ต้องดูแล้ว คนที่ต้องกินก็เข้าไปกินข้าว ถ้ากินเสร็จก็จ่ายบิลแล้วออกไป" ฮั่นยิ่งเฮาที่นั่งงุนงงอยู่ข้างกายเขาได้ฟื้นจากความคิดของเขาในขณะนี้และรีบเดินไปด้านหน้าฝูงชนที่กระจายตัว

เฉินเป้ยอีรู้สึกว่าตั้งแต่เธอเติบโตขึ้น วันนี้เป็นวันที่น่าอับอายที่สุดในชีวิตของเธอ

 เธอหันไปมองที่ชูหยูจี้ และยิ้ม

 ถ้าวันนี้ชูหยูจี้ไม่มา เธอก็ไม่รู้ว่าจะอับอายแค่ไหน

คนอื่นเชื่อ แต่เกาเหวินไม่เชื่อ เธอรู้จักหนิงเส่าเฉินและเขาไม่เคยทำอะไรกับผู้หญิงเพื่อให้คนอื่น  ถ้าเขาไม่ชอบเธอ เขาจะไม่สามารถทำตัวสนิทสนมแบบนี้ได้

 แต่เธอเข้าใจดีว่า เวลาแบบนี้ไม่เหมาะที่จะสร้างปัญหาต่อไป ท้ายที่สุดตัวตนของหนิงเส่าเฉิน ถ้าสิ่งนี้เผยแพร่ออกจะส่งผลกระทบต่อเขาไม่น้อย

 ดังนั้น เธอจึงก้าวไปข้างหน้าสองก้าวและจับมือของเฉินเป้ยอี "พี่เฉิน ฉันขอโทษ … เมื่อกี้ ฉันเข้าใจคุณผิดแล้ว ที่แท้คุณกับ หยูจี้ คุณ … ?"

 เธอยิ้มอย่างขอโทษ แต่เฉินเป้ยอี ก้มหัวลงและมองไปที่เธอ อย่างเสียใจ

หนิงเส่าเฉินจ้องมองไปที่ชูหยูจี้อย่างเย็นชา พร้อมกับเปลวไฟที่ลุกโชนอยู่ในอก เขาไม่เคยคิดว่า วันหนึ่งคนที่เขารักจะต้องการผู้ชายอีกคนเพื่อปกป้อง

 ชูหยูจี้เมินเฉยต่อความโกรธของหนิงเส่าเฉิน เขาก้มหน้าลงและมองไปที่เฉินเป้ยอี "หรือไปกินข้าวที่อื่นกันเถอะ จะได้ไม่รบกวนลพี่และพี่สะใภ้ของผม"

 ทันทีที่เฉินเป้ยอี เข้าใจว่าชูหยูจี้หมายถึงอะไร ก็พยักหน้าและปล่อยให้เขาจับมือเธอหมุนตัวและเดินไปที่ประตูของโรงแรม

หนิงเส่าเฉิน มองไปที่ทั้งสองมือที่จับกันของสองคนนี้โดยไม่มีความรู้สึกที่แสดงออก แต่ขมวดคิ้ว

"เส่าเฉิน ยังไงเราก็มาแล้ว เราจะไปกินอะไรกันหน่อยไหม"ในขณะนี้ เกาเหวินที่ยังไม่ได้พูดจึงพูดขึ้น

 หนิงเส่าเฉินหรี่ตาลดศีรษะลงและดึงมือของตัวเองออกจากเกาเหวินอย่างไร้ร่องรอยและตบแขนเธอ "กลับไปก่อน ผมจะไปพบคุณในภายหลัง"

 หลังจากพูดเสร็จ เขาก็ก้าวไปข้างหน้าและไล่ตามออกจากประตูไป

 เมื่อมองไปที่มือที่ถูกขว้างออกไป ดวงตาของเกาเหวินเต็มไปด้วยความสิ้นหวังและความเกลียดชัง!

ตลอดทางทั้งสองคนยังคงเงียบขรึมอย่างไร้เสียง

 จนถึงสถานที่ที่เฉินเป้ยอี อาศัยอยู่

ชูหยูจี้ เฝ้าดูเธอเข้าประตูก่อนจะเดินออกไป ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้เขารู้ว่าทั้งเขาและเธอจำเป็นต้องเงียบ

 ในความเป็นจริงทันทีที่เฉินเป้ยอี ออกจากเมือง H ชูหยูจี้ เห็นเธออารมณ์ไม่มั่นคงและรู้สึกกังวลเล็กน้อยเกี่ยวกับตัวเธอ ดังนั้นจึงติดตามเธอจากระยะไกล

 เดินตามเธอไปในรถไฟความเร็วสูงที่กำลังเคลื่อนที่ตามเธอเพื่อไปที่สุสาน ตามเธอไปที่บ้านเล็ก ๆ แต่เดิมตอนที่เขาเห็น หนิงเส่าเฉินมารับเธอ เขาก็ไม่อยากตามแล้ว

ปฏิสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองทำให้เขารู้สึกอกหักมาก แต่หลังจากนั้นเขาก็ตามต่อ

 เมื่อเห็นเธอถูกทุกคนซักถามเกี่ยวกับข้อสงสัย เขาก็รู้สึกทุกข์ใจและอดไม่ได้ที่จะออกมา

 เขาคิดว่าความรักเกิดขึ้นได้จากการพยายามอย่างหนัก แต่ในตอนนี้เขารู้สึกว่ามันยังไม่เริ่มต้นหรือมันอาจจะจบลงแล้ว

ทันทีที่เฉินเป้ยอีเปิดประตูเธอก็ถูกดึงเข้าสู่อ้อมกอดก่อนที่เธอจะหยุดนิ่ง

 กลิ่นกายที่คุ้นเคยทำให้เธอสั่นเล็กน้อย

 เธอไม่ต้องการถามว่าหนิงเส่าเฉิน เข้ามาที่นี่ได้อย่างไร นี่คือบ้านของเขาและเป็นเรื่องปกติที่เขาจะทิ้งกุญแจสำรองไว้

เธอแค่แปลกใจที่เขาไม่ได้อยู่เพื่อปลอบประโลมเกาเหวิน เธอรู้สึกอบอุ่นเล็กน้อยจากนั้นเธอรู้สึกขยะแขยงมากที่ถูกคนอื่นว่าเป็นมือที่สาม มันไร้ยางอายที่ยังคงมีอารมณ์เช่นนี้ได้ในตอนนี้

 เมื่อนึกถึงสิ่งนี้ เธอก็ผลักหนิงเส่าเฉินออกไปอย่างเย็นชาด้วยใบหน้าที่ว่างเปล่า

 "คุณหนิง มีความสุขมากที่เห็นฉันได้รับการปฏิบัติแบบนั้นใช่ไหม ยังไม่เพียงพอใช่ไหม ดังนั้นจึงอยากให้มีต่อใช่ไหม" เธอรู้ว่าเธอไม่ควรเสียอารมณ์กับเขา แต่เธอก็อดไม่ได้

หนิงเส่าเฉินจ้องมองดวงตาสีแดงที่กำลังร้องไห้ของเธอด้วยความรู้สึกสะเทือนใจในใจของเขา เขาจับด้านหลังหัวของเธอด้วยมือใหญ่และกดเธอไว้ในอ้อมแขนของเขา "เป้ยอี  ผมไม่รู้ว่าวันนี้เธอจะอยู่ที่นั่น"

 “แล้วยังไง ต่อไปก็ต้องเกิดขึ้นไม่ใช่หรอ”เฉินเป้ยอี ตอบเบา ๆ

"เชื่อใจผม ผมจะจัดการกับเรื่องนี้โดยเร็วที่สุด" อันที่จริงหนิงเส่าเฉิน ยังคิดเกี่ยวกับวิธีการแบไพ่ที่อยู่ในมือให้ดูกับเกาเหวินมากมายในทุกวันนี้ แต่จิตใจของเขายังคงสะเทือนเกี่ยวกับร่างที่ใช้ร่างกายปกปิดบาดแผลเมื่อ 14 ปีก่อน เขาจึงกลืนคำพูดกลับไปทุกครั้ง

นี่เป็นความไม่แน่ใจเพียงอย่างเดียวของเขาตั้งแต่วัยเด็กถึงโตขึ้น

แม้กระทั่งช่วงเวลาที่เธอรีบวิ่งออกไป เขาก็หวังว่าเธอสามารถส่งเสียงดังอย่างน้อย ความรู้สึกผิดของเขาก็จะน้อยลง

เมื่อเฉินเป้ยอีอารมณ์ไม่ดีก็ไม่เคยพูดมาก

"ถ้าคุณรู้สึกไม่มีความสุขก็แค่พูดออกไป!" แม้หนิงเส่าเฉินจะปลอบใจผู้คนไม่เป็น ดังนั้นเขาจึงมองไปที่เฉินเป้ยอีแบบนี้

ทันทีที่เฉินเป้ยอีผลักเขาออกไป ร่างสูงก็คลุมหัวของเธอ

หนิงเส่าเฉินยืนตรงตรงหน้าเธอและไม่รู้ว่าใช้เวลานานแค่ไหนก่อนที่เฉินเป้ยอีจะพูดว่า "คุณหนิงไม่เป็นไร คุณไปเถอะ "

หลังจากพูดแล้ว ก็หันกลับมาโดยใบหน้าอย่างว่างเปล่า

หนิงเส่าเฉินดึงเธอกลับมาอีกด้วยมือใหญ่และจับเธอไว้ในอ้อมแขน กลิ่นหอมสดชื่นแทรกซึมเข้ามาในจมูกของเธอและมือที่โอบเอวเธอขยับเล็กน้อยและอารมณ์ก็ค่อยๆขึ้น

เฉินเป้ยอีกำหมัดแน่นด้วยมือทั้งสองข้างกดไว้ที่หน้าอกของเขาพยายามที่จะออกไป แต่เธอถูกจับไว้แน่นขึ้น“ ในอีกไม่กี่วัน การประชุมประจำปีของบริษัททุกสามปี  ผมจะใช้โอกาสนั้นเพื่อทำลายสัญญาการแต่งงานกับเธอ”

แล้วมีชายในชุดพ่อครัวก็เดินออกมา พร้อมกับช้อนซุปขนาดใหญ่ในมือ และหมวกเชฟของเขาเอียงไปข้างหนึ่ง แต่ถึงกระนั้นก็ยากที่จะปกปิดความสูงส่งและคุณสมบัติที่หล่อเหลาของเขา

เขาและหนิงเส่าเฉินเป็นคนประเภทเดียวกันเฉินเป้ยอีกล่าวในใจ

เมื่อสายตาของผู้มาเยือนตกลงบนมือที่จับไว้ของทั้งสองคน ทำสีหน้าโอ้อวดอย่างสุดๆ "จึ จึ จึ… อย่าบอกนะว่า พวกคุณกำลังแสดงละครอยู่!"

หนิงเส่าเฉินมองเขาด้วยความรังเกียจและเชิดคางใส่ชายคนนั้น "เขาชื่อฮั่นยิ่งเฮา พ่อครัวของร้านใกล้เจ๊ง"

แล้วก็ชี้ไปที่เฉินเป้ยอี" เฉินเป้ยอี"

"เฮ้ พ่อครัวของร้านใกล้เจ๊งอะไร" ฮั่นยิ่งเฮาถอดหมวกออกจากหัวเช็ดมือบนเสื้อผ้าแล้วเอื้อมมือไปหาเฉินเป้ยอี "คุณเฉินครับ … ผมชื่อฮั่นยิ่งเฮา เป็นที่รู้จักในฐานะเจ้าชายแห่งอาหาร "

อารมณ์หดหู่ของเฉินเป้ยอีกลายเป็นเรื่องง่ายขึ้นมาก เพราะเขา เธอยื่นมือข้างที่ว่างออก แต่เมื่อทั้งสองมือกำลังจะจับกันก็มีคนดึงมือเฉินเป้ยอีออกไป“ คุณไม่หิวเหรอ ไปกันเถอะ ไม่ต้องพูดเรื่องไร้สาระกับเขา”

หลังจากพูดจบ ก็เดินขึ้นไปชั้นบนโดยไม่หันกลับมามอง

ขณะนี้ ในห้องส่วนตัวบนชั้นสอง

"เกาเหวิน คนที่อยู่ข้างล่างดูเหมือนจะเป็นคู่หมั้นของคุณนะ?" โอวหยางมินมินกำลังถ่ายเซลฟี่ด้วยโทรศัพท์มือถือของเธอ ผู้ชายที่เพิ่งเข้ามานั้นดีเกินไป เธอจึงอดไม่ได้ที่จะเหลือบมองอีกครั้ง

เกาเหวินขมวดคิ้ว แล้วเดินไปที่หน้าต่าง เธอโทรหาหนิงเส่าเฉินเมื่อสองสามชั่วโมงก่อนและอยากชวนเขาไปทานอาหารเย็น เขาบอกว่าเขายุ่งกับงานและวางสายเธอ

เธออารมณ์ไม่ดี จึงมาที่เมืองWเพื่อตามหาโอวหยางมินมิน

คาดไม่ถึงว่าเมื่อมาถึงที่นี่ทั้งสองจะยังคงได้พบกัน แต่ว่า …

เธอเลื่อนสายตาไปทางซ้าย และเมื่อเห็นร่างที่คุ้นเคยความเย็นในดวงตาของเธอ ก็ตรงไปที่ก้นบึ้งของหัวใจ มือกำแน่น

การที่คุณยุ่งกับงาน คือมากับคนอื่นเหรอ?

เห็นเขากอดเอวผู้หญิง เหมือนคู่รักคือเปิดด้วยกันแล้วเหรอ? แล้วจะเอาคู่หมั้นอย่างเธอไปไว้ที่ไหน?

นิ้วเรียวกำแน่น จนฝ่ามือก็เจ็บแปลบ

"คู่หมั้นของคุณดูเหมือนจะกอดผู้หญิงคนหนึ่ง เกา … " ก่อนที่โอวหยางมินมินจะพูดไม่จบ ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าตามหลังเขาและลอยหายไป

หลังจากนั้นไม่นาน ผู้หญิงที่อยู่ที่นี่ตอนนี้ก็ปรากฏตัวที่บันได

ที่หัวมุมของชั้นหนึ่งและชั้นสอง มีพื้นที่ว่างเปล่าขนาดใหญ่ ซึ่งเป็นสถานที่ที่ต้องผ่านแต่ละห้อง

หนิงเส่าเฉินกอดเฉินเป้ยอีทันทีที่ก้าวไปยังขั้นตอนสุดท้าย ก็เห็นเกาเหวินยืนอยู่ตรงข้ามทั้งสอง

เฉินเป้ยอีไม่เคยคิดมาก่อนว่าเธอจะได้พบกับเกาเหวินใน เมืองW นับประสาอะไรกับเธอที่จะเผชิญหน้ากับเกาเหวินอย่างรวดเร็ว ยังเป็นการพบพร้อมกันกับหนิงเส่าเฉินที่เป็นแบบนี้

เมื่อเห็นดวงตาที่เต็มไปด้วยน้ำตาของเธอปรากฏขึ้นต่อหน้าเธอ

เธอเกือบจะรู้สึกเหมือนถูกจับข่มขืนบนเตียง ด้วยความรู้สึกความผิด เธอโทษตัวเองและเกิดความอัปยศในใจ…

ทันใดนั้น ก็ก้มหน้าลง ไม่กล้ามองเกาเหวิน

แม้ว่าหนิงเส่าเฉินจะบอกว่าพวกเขาจะยกเลิกสัญญาการแต่งงาน แต่ในตอนนี้ เธอยังก็เป็นคู่หมั้นที่มีเอกลักษณ์เหมาะสมของเขา แต่เธอไม่มีอะไร

เมื่อนึกถึงสิ่งนี้ เธอก็ขยับตัวโดยไม่รู้ตัวออกมาจากใต้แขนของหนิงเส่าเฉิน

หนิงเส่าเฉินมองเธอ ดวงตามืดลงอย่างเห็นได้ชัด การเห็นความตื่นตระหนกในดวงตาของเธอ ทำให้เขารู้สึกทุกข์ใจ

"เส่าเฉิน คุณบอกว่าคุณยุ่งกับงาน ก็คือ … ยุ่งกับผู้หญิงคนอื่นเหรอ" เฉินเป้ยอีคิดว่าเกาเหวินจะก้าวไปข้างหน้าและตบเธออย่างแน่นอน หลังจากสถานการณ์ตอนนี้

แต่…

เธอไม่มองเธอเลยตั้งแต่ต้นจนจบ

เธออ้าปากอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่สุดท้ายก็แค่หันหน้าและมองไปที่หนิงเส่าเฉิน

แค่เห็นหนิงเส่าเฉินขมวดคิ้วและยืนนิ่ง ใบหน้าของเขาเคร่งเครียด มองไม่ออกว่าเขาคิดอะไร

"เส่าเฉิน คุณรักเธอหรือเปล่า? ดังนั้นคุณวานไม่ต้องการฉันหรอ" เธอสำลักตาแดงก่ำ

ในเวลานี้ ผู้คนจำนวนมากได้รวมตัวกันอยู่รอบๆพวกเขา

แม้ว่าที่นี่จะอยู่ในเมืองW แต่หนิงเส่าเฉินและเกาเหวินที่เพิ่งมีงานหมั้นเมื่อไม่นานมานี้ พวกเขาจึงได้รับรู้ข่าวสารจากการเผยแพร่สู่สาธารณะอย่างมากมายในฐานะบุคคลสาธารณะทุกคนค่อนข้างรู้จัก

ตอนนี้เมื่อเห็นเกาเหวินพูดสิ่งนี้กับหนิงเส่าเฉิน จากนั้นมองไปที่เฉินเป้ยอีซึ่งยืนอยู่ข้างๆพร้อมกับก้มหน้าลง

เรื่องอะไร ทุกคนคงรู้อยู่ในใจ

สายตาพุ่งไปที่เฉินเป้ยอี

เห็นได้ชัดว่า เธอเป็นมือที่สามในการแต่งงาน

ทันใดนั้น เกาเหวินก็รีบเข้ามากอดหนิงเส่าเฉิน: "เส่าเฉิน คุณอย่าทิ้งฉันไป ได้ไหม? คุณรู้สึกว่าฉันทำอะไรได้ไม่ดี ฉันสามารถเปลี่ยนแปลงได้มั้ย?"

ความถ่อมตัวของเธอ การรองรับอย่างไม่เต็มใจของเธอ ไม่ต้องพูดถึงผู้ชาย แม้แต่ผู้หญิงก็รู้สึกสงสาร

ผู้ชายรู้สึกเป็นทุกข์ และผู้หญิงก็กังวลและโกรธเพื่อเธอ

งั้นสำหรับเฉินเป้ยอี ผู้ชายเกลียดและผู้หญิงก็เกลียด

ในสังคมนี้ สำหรับบทบาทของมือที่สามในการแต่งงาน จะไม่มีใครยืนหยัดและพูดคำแห่งความยุติธรรมได้เลย ไม่มีใครสนใจว่าคุณกำลังมีความรักหรือมีความรู้สึกที่ซ่อนอยู่

เป็นมือที่สามในการแต่งงาน คุณก็ผิดแล้ว

ไม่เพียงพวกเขาคิดอย่างนี้ ยังรวมถึงเฉินเป้ยอีด้วย

ในตอนนี้ เธอก็เริ่มรังเกียจตัวเอง เห็นได้ชัดรู้ว่าเขามีคู่หมั้นแล้วและยังรู้สึกหวั่นไหว และ … ตอนนี้เลย ที่ถูกคนจับได้

"อืม ฉันจะไปก่อน" เธอไม่มีความกล้าที่จะอยู่ต่อไปได้อีก เธอมองไปที่หนิงเส่าเฉินด้วยดวงตาสีแดง พร้อมกับรอยยิ้มที่แข็งแกร่งบนใบหน้า

เพียงแค่ขาของเธอยังไม่ทันจะก้าวออกไป ก็รู้สึกร้อนที่แขน

"ผมจะไปส่งคุณ!" หนิงเส่าเฉินรั้งเธอ

เฉินเป้ยอีรู้สึกอบอุ่นในหัวใจ ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ เขายังสามารถทำสิ่งนี้ได้ เธอก็พอใจแล้ว

เพียงแค่ สถานการณ์เช่นนี้เธอยังสามารถรู้ได้ หากหนิงเส่าเฉินได้รับอนุญาตให้ไปกับเธอ งั้นเขาในสายตาของคนอื่น ก็ไม่รู้ว่าเขาจะถูกพูดถึงแบบไหน?

หลังจากนั้นเพิ่งหมั้น นอกใจคู่หมั้น

ด้วยมือที่ว่างอีกข้างหนึ่ง เธอผลักมือของเขาออกไปอย่างแรง“ คุณจัดการเรื่องของคุณเถอะ”

เมื่อความอบอุ่นหายไป หัวใจของเฉินเป้ยอีก็ว่างเปล่าในเวลาเดียวกัน และมันก็อึดอัด

เธอพยักหน้าไปทางเกาเหวิน และวิ่งไปที่ประตูของโรงแรม

แต่ไม่รู้ว่าใครยื่นเท้าโดยเจตนา เฉินเป้ยอีก็ไม่ได้สนใจมันด้วยเหตุนี้เนื่องจากความเฉื่อย เธอจึงล้มไปข้างหน้า

หนิงเส่าเฉินอยากที่จะก้าวไปข้างหน้า แต่ถูกเกาเหวินกอดไว้ เขารู้สึกเป็นทุกข์ทันที

เมื่อทุกคนพร้อมเพรียงกันดูเรื่องตลกของเธอ ร่างกายที่ต้องสัมผัสพื้นอย่างเห็นได้ชัด แต่เมื่อสัมผัสถึงแขน และความอบอุ่นก็แผ่ซ่านเข้ามาในหัวใจ

“ผมยังมาไม่ถึง ทำไมคุณก็จะไปแล้วเหรอ?” เสียงที่อบอุ่นและทุ้มดังขึ้นในหู ไม่ดังหรือเล็กเกินไป แต่ก็เพียงพอให้ทุกคนที่อยู่ในห้องได้ยิน

"คุณส่งฉันไปสถานีรถไฟความเร็วสูงหน่อย ได้ไหม"

 “ผมจะพาคุณกลับบ้าน”

 “ ฉันจะไม่กลับไปที่เมือง C  ฉันอยากไปเจอแม่”

 "แต่ว่า……"

 "หยูจี้ คุณปล่อยฉันไว้คนเดียวได้ไหม?"

 ชูหยูจี้พยักหน้า

ขณะเธอนั่งอยู่ที่รถไฟความเร็วสูง  เมื่อเธอได้ยินว่าป้ายถัดไปคือเมือง Wเธอลังเลที่จะลงอยู่ครู่หนึ่งแต่ก็ลงจากรถไฟจนได้

เธออยากเจอแม่และอยากบอกเธอว่าผู้ชายคนนั้นมาตามหาเธอ

ทันใดนั้น เธอก็คิดว่าถ้าวันหนึ่งผู้ชายคนนั้นรู้เรื่องการตายของแม่ เขาจะมีปฏิกิริยาอย่างไร

เมื่อเธอเดินไปที่สุสานเธอเห็นช่อดอกไม้สดอยู่หน้าหลุมฝังศพ เธอตกใจมากเห็นได้ชัดว่ามีคนมาเยี่ยมแม่ของเธอ

ใคร?

แม่ถูกฝังอยู่ที่นี่ไม่มีใครรู้ นอกจากลุงเพื่อนบ้าน แต่เมื่อพิจารณาจากช่อดอกไม้และบรรจุภัณฑ์ที่สวยงามแล้ว มันไม่เหมือนกับที่ลุงที่ประหยัดเงินจะซื้อมัน

 "คุณลุงคุณเปิดกล้องวงจรปิดที่นี่ได้ไหม ฉันต้องการดูว่าใครมาเยี่ยมแม่ของฉัน" ที่ประตู เฉินเป้ยอีถามลุงยาม

 “สาวน้อย กล้องวงจรปิดที่นี่เพิ่งเสียเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา คนซ่อมบอกจะมาซ่อม แต่ยังไม่มาสักที!”

เฉินเป้ยอีพยักหน้า“ แล้วลุงเคยเห็นคนที่เพิ่งไปเยี่ยมสถานที่นั้นหรือเปล่า?”

 คุณลุงมองตามนิ้วไปบันไดอากาศ อากาศวันนี้ไม่ค่อยดีนักและไม่ใช่วันหยุด ไม่ค่อยมีคนมาเยี่ยมจึงรู้สึกจำได้อยู่บ้าง

"เขาเป็นผู้ชายอายุประมาณ 50 ปีสูงและผอมและเขาดูมีพลังมาก"

 ผู้ชายในอายุประมาณ50 ของเขา?  ถึงแม้ว่าลุงจะสูงเหมือนกัน แต่ก็ไม่ได้ผอมมาก พออายุของเขามากขึ้นก็อ้วนท้วนสมบูรณ์นิดหน่อย

 ไม่ใช่เขาแล้วจะเป็นใคร  ที่รู้ว่าแม่อยู่ที่นี่

หลังจากที่เฉินเป้ยอีขอบคุณเขาแล้ว เธอก็กลับไปที่สุสานของแม่ของเธอ นั่งอยู่บนหินตรงหน้าเธอพร้อมกับคำถามมากมายในใจของเธอ แต่สุดท้ายเธอก็ไม่สามารถพูดอะไรได้สักคำ

หลังจากงงงันเป็นเวลานาน เธอก็หลับไปบนโต๊ะหินด้วยความงุนงง

 จนโทรศัพท์ดัง

 เธอขมวดคิ้วและหยิบโทรศัพท์ออกมาและเหลือบไปเห็นมันคือหนิงเส่าเฉิน

 "สวัสดี"

 "คุณอยู่ที่ไหน" มีนัยยะของความโกรธในน้ำเสียงของเขา

 "มีเรื่องอะไร?" เธอยืดตัวขึ้นและขยี้ตา

 "ผมเคยบอกว่าผมจะมาตอนกลางคืน คุณกลับแล้วทำไมไม่บอกผม"

เฉินเป้ยอีเหล่ตาและสูดหายใจดูเหมือนว่าเธอจะพูดเรื่องนี้ในตอนเช้า แต่เธอลืมเรื่องเหล่านี้ไปแล้ว เธอ"ฮึฮึ"สองครั้งและพูดว่า "ฉันขอโทษที่ฉันลืม "

 "ตอนนี้คุณอยู่ที่ไหน" เหลือเชื่อชายหนุ่มที่ปลายสายไม่ได้โกรธ แต่ถามเธออย่างอดทน

“ ในเมือง W”

 "คุณไปที่นั่นทำไม"

 "มาเยี่ยมแม่ของฉัน"

 หนิงเส่าเฉินตกใจอย่างเห็นได้ชัด "คุณส่งสถานที่ใน WeChat ให้ผมแล้วผมจะไปรับคุณ"

เฉินเป้ยอีอยากจะบอกว่าไม่ต้องแล้ว แต่โทรศัพท์ถูกวางสาย

เธฮส่งตำแหน่งไปยัง WeChat ของหนิงเส่าเฉิน

หลังจากตรวจสอบเวลาแล้ว เธอก็ลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนออกจากสุสาน เธอขึ้นรถเที่ยวสุดท้ายไปในเมืองและไปถึงที่ที่เธอเคยอาศัยอยู่

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เธอและแม่ของเธอย้ายไปอยู่หลายที่ แม่ของเธอนอนไม่ค่อยหลับและบางหลังก็อยู่ใกล้ริมถนนมากเกินไปซึ่งเธอไม่ชอบ ต่อมาหลังจากค้นหาสถานที่หลายแห่งเธอก็พบบ้านหลังนี้คล้ายกับบ้านจีนสมัยก่อนที่สร้างห้นหน้าเข้าหากันเป็นสี่เหลี่ยม

แม่และเธอของพวกเขาไม่ค่อยมีปฏิสัมพันธ์กับเพื่อนบ้าน พวกเธอรู้จักลุงเพราะแม่ชอบดอกไม้และลุงก็ปลูกดอกไม้เก่งมาก

เวลานานไป ก็คุ้นเคยกับพวกเขาแล้ว

หลังจากแม่ของเธอเสียชีวิตในโรงพยาบาลเธอก็บอกกับลุงของเธอเท่านั้น

วันนี้เธอมาหา เธออยากถามว่า วันนี้คนที่ไปส่งดอกไม้ที่สุสานแม่ของเธอ เป็นใครที่ลุงรู้จักหรือเปล่า?

เธอเดินเข้าไปใกล้ลานที่คุ้นเคย แต่คาดไม่ถึงว่า ลานนั้นก็ร้างเมื่อเธอจากไปเพียงไม่กี่เดือน ลานเต็มไปด้วยดอกไม้ก่อนหน้านี้ แต่ตอนนี้เหลือเพียงกระถางดอกไม้ว่างเปล่าไม่กี่กระถาง

 "พี่สาว คุณกลับมาแล้วเหรอ" เมื่อหันไปมอง เธอก็เห็นเด็กผู้หญิงในชุดนักเรียนถือเครื่องดื่มอยู่ในมือและมองมาที่เธอ เฉินเป้ยอียิ้ม ที่ลานเล็ก ๆ นี้มีครอบครัวสี่ครอบครัวที่อาศัยอยู่ก่อนหน้านี้ เด็กผู้หญิงคนนี้และพ่อแม่ของเธออาศัยอยู่ที่นี่ด้วย

"โอ้ เธอเลิกเรียนแล้วเหรอ พี่มาถามคุณลุงที่อาศัยอยู่ที่นี่ก่อนหน้านี้ เธอรู้ไหมว่าเขาไปไหนแล้ว"

นักเรียนคนนั้นดื่มเครื่องดื่มและขมวดคิ้ว“ พี่สาว หลังจากที่พี่จากไป ภายในไม่กี่วันเขาก็จากไป เราไม่รู้ว่าเขาไปไหน” หลังจากพูดจบเขาก็หยิบกุญแจออกมาจากกระเป๋าและเริ่มเปิดประตู

"อ๋อ ใช่ พี่สาว ลุงคนนั้นฝากจดหมายไว้ให้คุณ  รอสักครู่  เขาบอกว่า.ถ้าวันหนึ่งคุณกลับมาหาเขา ให้ฉันมอบให้คุณ" หญิงสาวพูดพร้อมกับโค้งหยิบซองจดหมายออกมาจากลิ้นชักโต๊ะและส่งให้เฉินเป้ยอี

เฉินเป้ยอียิ้มให้เธอ ขอบคุณเธอ หันกลับมาและออกจากบ้านเล็ก ๆ

เมื่อเธอออกไป มือของเธอกระชับซองจดหมายโดยไม่รู้ตัวและเม้มริมฝีปากของเธอ เธอแค่พยายามฉีกจดหมายด้วยมือของเธอ เมื่อเธอฉีกมันไปครึ่งหนึ่งโทรศัพท์ในกระเป๋าก็ดังขึ้น

เธอหยิบออกมา รับสายเลย

"ออกมาเลี้ยวซ้าย อยู่ขวามือ 300 เมตร"

เฉินเป้ยอีคิดว่าเขาล้อเล่น อย่างไรก็ตาม เมือง H ไม่ได้อยู่ใกล้กับที่นี่ เธฮเพิ่งออกจากตรอกและหันหัวไปทางขวาและเธอก็เห็นหนิงเส่าเฉินยืนอยู่ไม่ไกลพร้อมกับเอามือล้วงกระเป๋า

เมื่อเห็นเธอออกมา เขาก็เดินเข้าไปหาเธอ“ ไหนบอกว่าจะไปเยี่ยม … คุณป้าไม่ใช่เหรอ คุณมาที่เมืองทำไม”

มีบางอย่างที่เฉินเป้ยอี ไม่รู้จะอธิบายให้เขาฟังอย่างไร จึงจงใจยิ้มและพูดว่า“ นี่คือสถานที่ที่เราพักอยู่ด้วยกันก่อนที่แม่ของฉันจะเสียชีวิต เมื่อฉันมาถึงที่นี่ ฉันแค่อยากมาดู ทำไมคุณถึงเร็วแบบนี้”

หนิงเส่าเฉิน กล่าวว่า "อืม" ไม่ตอบกลับและไม่ได้ถามอะไรเพิ่มเติม

ทั้งสองคนเดินไปหลายร้อยเมตรและเห็นรถคันที่คุ้นเคย

"อยากกินอะไร ผมจะพาคุณไปกินอะไรแล้วก็กลับ"

“ กินอะไรก็ได้”

"โอเค!"

"ถ้าอย่างนั้นกินหม้อไฟกันเถอะ แบบเผ็ดๆร้อนๆ" เธออดไม่ได้ที่จะรู้สึกมีความสุขเมื่อเห็นคิ้วของหนิงเส่าเฉินยกขึ้น เขาเป็นลูกคุณหนูเธอไม่เชื่อว่า เขาจะตอบตกลงได้จริงๆ

แต่……

เมื่อรถจอดที่หน้าร้านอาหารหม้อไฟฉงชิ่งเฉินเป้ยอีรู้ว่าเขาประเมินชายคนนี้ต่ำไป

เมื่อเห็นเธอตกตะลึง หนิงเส่าเฉินก็ก้มลงเพื่อปลดเข็มขัดนิรภัยให้เธอและกลิ่นกายหอม ๆ ก็โชยมาที่ใบหน้าของเธอ เฉินเป้ยอีอดไม่ได้ที่จะกลืนน้ำลายของเธอและเธอก็เห็นว่ามุมปากของหนิงเส่าเฉินยกขึ้นเล็กน้อย

เมื่อผลักประตูและออกจากรถ หนิงเส่าเฉินเหยียดแขนยาวของเขาออกและจับมือของเธอ หัวใจของเธอเต้นอย่างรุนแรง

หนิงเส่าเฉินโดดเด่นเกินไป แม้ในขณะนี้เขาสวมเสื้อคลุมสีดำเรียบง่าย บุคคลิกเฉพาะตัวโดยกำเนิดนั้นเพียงพอที่จะทำให้ผู้คนหันมามองเขา

เมื่อมองลงไปที่ตัวเอง แจ็คเก็ตขนยาวสีดำกางเกงยีนส์รองเท้าลุยหิมะ …

สายตาของผู้คนที่เดินผ่านไปมาหันมาที่พวกเขาสองคนและความคิดเห็นที่เสียงตํ่าๆทุกประเภทก็เข้ามา

"โอ้เฮ้  วันนี้ดวงอาทิตย์ออกมาจากทิศตะวันตกรึเปล่า.คุณหนิงของเราจะมาที่ร้านเล็กของเราจริงๆ" ก่อนที่พวกเขาเดินเข้ามา ข้างในก็มีเสียงล้อเลียนออกมา

บ้านตระกูลเกา

"พ่อ ทำไมคุณไม่พูด ผู้หญิงคนนั้นปรากฏตัว เธอจะแย่งเส่าเฉินไปจากฉันหรือไม่เธอ … " เธออยากพูดว่าเธอสวยมากและเธอเป็นมารดาผู้ให้กำเนิดของหนิงเสี่ยวซี ถ้าเธอเป็นแบบนี้  คู่ต่อสู้ของเธอปรากฏตัวขึ้น แม้ว่าเธอจะไม่อยากยอมรับ  แต่เธอก็รู้สึกหวาดกลัว

แตกต่างจากความสงบที่เธอมีต่อเฉินเป้ยอีก่อนหน้านี้ ตอนนี้สิ่งที่เธอมีคือความกลัว

 พ่อเกาจิบชาของเขา แต่ไม่เห็นการแสดงออกใด ๆ

 "พ่อ……"

 "ถ้าเธออยากจะแย่ง เธอจะไม่รอจนถึงวันนี้" แม้ว่าเขาจะไม่เข้าใจเด็กคนนั้น แต่เขาก็เชื่อว่าหลังจากผ่านไปหลายปี คนนั้นน่าจะบอกสิ่งต่่างๆแก่เธอเป็นอย่างดี

 “ แต่พ่อ … ”

"ทำไมลูกถึงตื่นตระหนก ถ้าเส่าเฉินชอบลูกจริงๆ ผู้หญิงคนอื่นจะดีแค่ไหนไม่ว่าจะสวยแค่ไหนก็ไม่มีประโยชน์ สิ่งที่ควรกังวลตอนนี่ควรคิดว่าจะจับใจผู้ชายของตัวเองได้อย่างไร" หลังจากพูดจบพ่อเกาก็ลุก และเข้าไปในห้อง

 เขาเป็นผู้ชาย เขาเข้าใจดีว่าเมื่อคุณตกหลุมรักผู้หญิงจริงๆ คุณจะไม่เห็นคนอื่นในสายตาอีกต่อไป มีเพียงเธอในโลกของคุณ ไม่ว่าอีกฝ่ายจะสวยงามหรือน่าเกลียด ความรักที่แท้จริง บางทีมันจะเริ่มต้นด้วยรูปลักษณ์ของคุณ แต่จะลงท้ายด้วยคุณลักษณะของคุณ

 เมื่อมองไปด้านหลังของพ่อ  เกาเหวินไม่รู้ว่ามันเป็นภาพลวงตาหรือเปล่า เธอมักจะรู้สึกว่าวันนี้พ่อของเธอดูแก่ลงมาก

เกาไห่เดินลงไปชั้นล่างและดูมีความสุขเมื่อเห็นเกาเหวินนั่งอยู่บนโซฟา

 เกาเหวินเพียงแค่มองเขาอย่างแผ่วเบา ลุกขึ้นหยิบกระเป๋าและเตรียมตัวออกไปข้างนอก

ก่อนที่จะเดินออก แขนของเธอถูกคนดึงจากด้านหลัง เมื่อมองย้อนกลับไปก็เห็นเกาไห่ เมื่อเธอมองไปที่ชุดนอนของเขา คิ้วของเธอขมวดคิ้วและใบหน้าของเธอก็จมลง เธอปัดมือของเขาออกไป "นายจะทำอะไร”

 เกาไห่ลูบหัวของเธอ แต่ถูกผลักออกไปด้วยความรังเกียจ“นายอย่าแตะต้องตัวฉัน”

“เสี่ยวเหวิน เธอกับหนิงเส่าเฉินยกเลิกสัญญาการแต่งงานได้แล้ว ยังทันอยู่ เธอเห็นไหม มีผู้หญิงคนหนึ่งนามสกุลเฉิน อยู่ตรงหน้า เธอยังไม่เข้าใจอีก ตอนนี้แม่ผู้ให้กำเนิดของหนิงเสี่ยวซี มาอีกคน เธอมีความสุขแบบนี้จริงๆเหรอ?  “ เกาไห่รู้สึกเสียใจกับเธอจริงๆ

"เรื่องของฉัน ไม่ต้องให้นายมาสนใจ!" มันเป็นไปไม่ได้ที่จะทำลายสัญญาการแต่งงานกับหนิงเส่าเฉิน เธอใช้เวลาและพลังงานเกือบทั้งหมดกับหนิงเส่าเฉิน เป็นเวลาหลายปี เธอรู้สึกว่าความหมายของชีวิตของเธอเป็นเพราะหนิงเส่าเฉิน

ยอมแพ้ ไม่ เธอจะไม่ยอมแพ้

 หลังจากพูดเสร็จ เธอก็เดินออกไปนอกบ้านอย่างรวดเร็ว

 “ พ่อ ทำไม คุณต้องผลักเสี่ยวเหวินไปถึงทางตัน คุณรู้ว่าหนิงเส่าเฉินไม่ชอบเธอเลย ทำไมคุณ … ”

 ไม่นานหลังจากที่เกาเหวินจากไปเกาไห่ก็ไปหาพ่อ

พ่อเกากำลังเก็บเสื้อผ้าของเขา เมื่อได้ยินเกาไห่ถามเขาเช่นนี้ ก็เกิดไฟในใจก่อนที่เขาจะพูดจบ เขายกมือขึ้นและตบเกาไห่"แกรู้ไหมว่ามีกี่ชีวิตที่ถูกทำลายเพราะแกเพียงคนเดียว ทางตัน แกรู้หรือไม่ว่าทางตันคืออะไร"

หลังจากพูดจบ เขาก็ผลักเกาไห่ออกไป ถือกระเป๋าเดินทางธรรมดาและเดินออกจากห้องไป

 เขากำลังจะไปเจอคนคนนั้น

 เฉินเป้ยอีได้รับแจ้งในช่วงบ่ายว่าฉากของเซี่ยซู่จบลงแล้ว และเธอจะกลับไปที่เมือง C ก่อน

 ทันทีที่เธอออกจากกองถ่ายละคร ชูหยูจี้ก็โทรมา

 "เป้ยอี คุณรู้จัก เย่กั้วอันไหม"

เย่กั๋วอัน?  เฉินเป้ยอีเซถอยหลังและแทบจะยืนไม่ได้  เธอกัดริมฝีปากของเธอและใช้ความพยายามอย่างมากในการบังคับตัวเองให้สงบลง

เป็นเวลา 6 ปีแล้ว เวลาเป็นสิ่งที่แย่มาก คำพูดที่ครั้งหนึ่งเคยลืมไม่ได้ มันเจือจางจนเธอเกือบลืมสามคำนี้

"เป้ยอี… " เมื่อเห็นว่าเธอไม่ตอบรับ ชูหยูจี้ก็เรียกเธออีกครั้ง

 "คุณรู้จักเขาได้อย่างไร?" เสียงของเฉินเป้ยอีสั่น

 "เขาบอกว่าเขาเป็นพ่อของคุณ เขาอาจจำคุณได้หลังจากดูวิดีโอเมื่อคืน เขาโทรมาหาผมเมื่อกี้ และเขาบอกว่าอยากเจอคุณ" ชูหยูจี้พูดช้าๆราวกับว่าเขากลัวว่าเธอจะรับไม่ได้อย่างไรอย่างนั้น  

 เฉินเป้ยอีสูดลมหายใจ ดวงตาความอย่างไม่แยแสและว่างเปล่าของแม่ของเธอก็ฉายซ้ำในหัวของเธอ

เจอเธอเหรอ ก็ได้ เธอก็อยากเจอเขาเหมือนกัน เธออยากถามเขาว่าทำไมเขาถึงหายไปในสถานการณ์นั้น  ทำไมถึงทิ้งความรักและจากไปนานหลายปีได้

 "เป้ยอี คุณรอผมอยู่ที่ประตูกองละคร ผมจะไปรับคุณก่อน แล้วค่อยคุยกันทีหลัง" หลังจากพูดจบ สายโทรศัพท์ก็ถูกวาง

เมื่อชูหยูจี้มาถึง   ชูหยูจี้เห็นเฉินเป้ยอีนั่งอยู่บนบันไดหินข้างถนนพร้อมกับกอดเข่าของตัวเอง เมื่อเขาเข้าไปใกล้เธอ พบว่าสีหน้าของเธอหมองคล้ำและขอบตาเป็นสีแดง คล้ายกับว่าเธอร้องไห้มาเป็นเวลานานแล้ว

“ เมื่อวานผมไม่ควรปล่อยให้คุณทำอย่างนั้นใช่ไหม” เขาก้าวไปข้างหน้านั่งลงข้างๆเธอโดยวางหัวของเขาไว้บนไหล่

 "หยูจี้ เย่กั้วอัน เป็นพ่อของฉัน" เธอพูดเบา ๆ และช้าๆ แต่ริมฝีปากของเธอไม่สามารถหยุดสั่นได้

 ชูหยูจี้ ขมวดคิ้วและพยักหน้า "ผมรู้ เขาพูดแล้ว"

“ หยูจี้ คุณถามฉันไม่ใช่เหรอว่าทำไมฉันถึงจากไปโดยไม่บอกลาเมื่อ 6 ปีก่อน นั่นเป็นเพราะแม่ของฉันตรวจพบว่าเป็นมะเร็ง แต่พ่อของฉันก็หายตัวไปอย่างกะทันหันในตอนนั้น ครอบครัวของเราไม่มีเงิน ครอบครัวของเราอาศัยเงินจากพ่อที่ทำธุรกิจเล็ก ๆ น้อย ๆ เพื่อเลี้ยงชีพ … ดังนั้นหลังจากที่พ่อของฉันหายตัวไป ฉันก็ไปหาคนที่หาตั้งครรภ์แทนเพื่อช่วยแม่ของฉัน "ความทรงจำอันเจ็บปวดนั้นสามารถสรุปได้เพียงไม่กี่คำในตอนนี้

"เดี๋ยวก่อน … เดี๋ยวก่อน เป้ยอีคุณเพิ่งบอกว่าพ่อของคุณเป็นคนที่ทำธุรกิจเล็ก ๆ อยู่เหรอ?" คนทำธุรกิจขนาดเล็กจะรู้เบอร์โทรส่วนตัวของเขาได้อย่างไร

 เห็นได้ชัดว่า เฉินเป้ยอีไม่เข้าใจว่า ชูหยูจี้หมายถึงอะไรและพยักหน้า "ใช่ มีปัญหาอะไรหรือเปล่า?"

 การแสดงออกของชูหยูจี้ เปลี่ยนไปอย่างกะทันหันทำธุรกิจขนาดเล็ก?  นี่เกิดอะไรขึ้น?

 เขาลุกขึ้นยืนหันไปมองเฉินเป้ยอี และสูดลมหายใจ“ ขึ้นรถก่อน ที่นี่มันหนาว” เขาพูดพร้อมกับเดินตามเฉินเป้ยอี ไปที่ลานจอดรถ

ความร้อนในรถทำให้ร่างกายอบอุ่นขึ้นทันที แต่อุณหภูมิในใจของเธอก็ยังเย็นอยู่

 "เป้ยอี คุณรู้ไหมว่าพ่อของคุณทำธุรกิจขนาดเล็กคือธุรกิจอะไร" ชูหยูจี้ ถอดเสื้อโค้ทของเขาและวางไว้บนเข่าของเฉินเป้ยอี แกล้งถามอย่างไม่ตั้งใจ

 เธอยิ้มอย่างซาบซึ้งใจให้เขาและส่ายหัว

“ ไม่รู้เป็นเพราะเขาเดินทางบ่อย และบางครั้งก็ไม่กลับมาหลายวัน ฉันถามแม่ แม่บอกว่ามีธุระจำเป็น”

ชูหยูจี้ตะลึงเล็กน้อย และเม้มริมฝีปาก ดวงตาของเขาเป็นประกายด้วยความสงสัยอย่างชัดเจน เขาจับมือของเฉินเป้ยอีและวางไว้บนฝ่ามือของเขา มองไปที่เธอด้วยสีหน้าเคร่งขรึม "เป้ยอี … ผู้ชายอย่างเขา คุณไม่มองหามันจะดีกว่า ถ้าคุณพบเขา จะเพิ่มความกลัดกลุ้มใจให้ตัวเอง”

ทันทีที่เฉินเป้ยอีไม่เห็นความยุ่งเหยิงในดวงตาของชูหยูจี้ เธอก็ส่ายหัว“ ตั้งแต่ตอนที่เขาหายตัวไปฉันไม่คิดว่าเขาเป็นพ่ออีกต่อไป ฉันอยากไปหาเขา แค่เพราะว่าฉันอยากถามว่าตอนนั้นเขาทิ้งภรรยาและลูกสาวไปแล้ว  มันเพราะอะไร?"

ฉากก่อนที่แม่ของเธอจะตายปรากฏในสายตาของเธออีกครั้ง

 ชูหยูจี้เหลือบมองเธออย่างลึกซึ้งและพยักหน้า

 "ตกลง ผมจะช่วยตรวจสอบให้คุณ"

เขากำมือแน่นอย่างอดไม่ได้ เขาต้องไม่ให้เธอรู้ใบหน้าที่แท้จริงของชายคนนั้น มิฉะนั้นเธอจะจัดการกับตัวเองอย่างไร?

เมื่อเห็นว่าเขาไม่แยแส หลิวซูก็เม้มปาก เนื่องจากเขามีเฉินเป้ยอีแล้ว ก็ไม่สามารถมองเห็นผู้หญิงคนอื่นในสายตาของเขาหรือ? ไม่ต้องพูดถึงสิ่งอื่นใด ผู้หญิงที่สวยงามเช่นนี้ เขาสามารถสงบสติอารมณ์ได้หลังจากได้เห็นมันเหรอ

"คุณ ไม่คิดว่าผู้หญิงคนนี้สวยมากเหรอ?"

หนิงเส่าเฉินหันหน้าไปมองประตูที่ปิดอยู่ข้างหลัง พร้อมกับยิ้มเล็กน้อยที่มุมปาก สวย? ทำไมเขาจะมองไม่เห็น?

"ดูสีหน้าของคุณ ทำไม คุณสนใจเหรอ? อยากให้ผมช่วยไหม"

หลิวซูถูกเขาขวางไว้และพูดไม่ได้ เขาหันกลับมาและกระแทกอย่างแรงบนราวบันได

"แน่นอนว่าไอคิวของคนมีความรักคือ 0 ผมถามคุณว่า คุณไม่รู้สึกว่าเธอดูเหมือนหนิงเสี่ยวซีของคุณเหรอ?"

จริงๆแล้วเขาไม่ได้คาดหวังเรื่องนี้ในตอนแรก แค่คิดว่าผู้หญิงคนนี้สวยมาก ตอนหลังยิ่งมองก็ยิ่งคิดว่าได้เจอที่ไหน หลังจากคัดกรองทุกคนรอบตัวอีกครั้ง ในที่สุดเขาก็นึกถึงหนิงเสี่ยวซี

หนิงเส่าเฉินขมวดคิ้ว และรีบรับโทรศัพท์จากหลิวซู

มองครั้งนี้ ดวงตาของเขาก็มืดลงในทันที "ไปตรวจสอบอย่างชัดเจน เธอเป็นใคร และเธออยู่ที่ไหน ผมอยากรู้ทันที"

เมื่อเห็นหลิวซูยืนนิ่ง เขาก็เหลือบมองเขา "มีอะไรเหรอ?"

"หลังจากที่พบ ผมก็ให้คนไปตรวจสอบแล้ว" เขายักไหล่ ไม่ได้อะไร ผมคิดว่าคุณจะไปถามลูกพี่ลูกน้องของคุณ เขาสามารถนำคนไปได้ คุณน่าจะทำโดยสัญชาตญาณ "

หนิงเส่าเฉินเม้มริมฝีปาก แม้ว่าชูหยู่จี้และเขาจะเป็นลูกพี่ลูกน้องกัน แต่พวกเขาก็ไม่ได้ติดต่อกับเขามากนักตลอดหลายปีที่ผ่านมา ควบคู่ไปกับความแตกต่างอย่างมากในบุคลิกภาพระหว่างคนทั้งสอง เขาไม่ชอบลูกพี่ลูกน้องคนนี้มากนัก

“แล้วคนล่ะ”

"อยู่ในห้องอาหารของโรงแรม"

"ไป!"

ชูหยูจี้คิดเกี่ยวกับหนิงเส่าเฉินจะมาหาเขา แต่เขาไม่คิดว่าเขาจะมาเร็วขนาดนี้

ชูหยูจี้จิบนมในมือ ชี้ไปที่หนิงเส่าเฉินไปยังที่นั่งว่างตรงข้าม "พี่ คุณทานอาหารเช้าแล้วหรือยัง?"

"แล้วผู้หญิงคนนั้นล่ะ" หนิงเส่าเฉินไม่อยากพูดคุยเรื่องอื่นกับเขา สอบถามโดยตรง

ชูหยูจี้ขมวดคิ้ว "อย่าถามผม ผมก็อยากรู้มากกว่า คุณผู้หญิงคนนั้น เธอมาหาผมและบอกว่าเธออยากมีชื่อเสียง ผมคิดว่าเธอดูสวย ก็ให้เธอสัญญาว่าจะติดตามผมหลังจากที่ทำเสร็จแล้ว หลังจากงานเลี้ยงจบลง ไม่แม้แต่จะมีวี่แววเธอเลย " พูดเสร็จก็หยิบถ้วยเปล่าขึ้นมาอีกครั้งแล้วจิบนม“ ทำไม พี่ คุณก็ชอบเธอด้วยเหรอ คุณบอกว่าคุณชอบคุณเฉินไม่ใช่เหรอ ทำไมคุณเปลี่ยนใจเร็วขนาดนี้?”

หนิงเส่าเฉินมองเขาเหมือนคนโง่ ไฟก็ลุกขึ้นด้วย ท่าทางรุนแรง ลุกขึ้นคว้าคอเสื้อของเขา

"ฉันจะบอกนายแล้วว่า เธออาจเป็นผู้หญิงที่ให้กำเนิดหนิงเสี่ยวซี ถ้านายรู้อะไรนายควรบอกฉันมาดีกว่า ไม่อย่างนั้น ฉันจะไม่ปล่อยนายไป"

ชูหยูจี้จงใจเบิกตากว้างและปิดปากของเขา "พี่ คุณบอกว่า ผู้หญิงที่ให้กำเนิดหนิงเสี่ยวซี? นี่ … ผมไม่รู้เลย ถ้าผมรู้ ผมจะต้องแจ้งให้คุณทราบเมื่อวานนี้"

หลังจากพูดจบ เขาก็หยิบรูปถ่ายที่เตรียมไว้ล่วงหน้าออกมาจากโต๊ะข้างๆ ด้านในเฉินเป้ยอีเดินออกจากโรงแรมโดยสวมหน้ากากและหมวก แล้วยื่นให้หนิงเส่าเฉิน"คุณดูสี ผมยังตามหาเธอด้วยในเช้า?”

ทันใดนั้น เขาก็ขมวดคิ้วและมองไปที่หนิงเส่าเฉิน “ ผมว่าพี่ คุณว่า เธอจงใจที่จะเรียกร้องความสนใจจากคุณหรือเปล่า ดังนั้นเธอจึงมาหาผม" …มือตบหน้าผากตัวเอง"เอาล่ะ ผู้หญิงเหี้ยนี่ ถ้าผมเจอเธอ ผมต้องถลกหนังเธอ ที่กล้าใช้ผม"

หนิงเส่าเฉินสังเกตสีหน้าของเขา อย่างระมัดระวัง ขมวดคิ้ว“ นายไม่รู้จริงๆเหรอ?”

ชูหยูจี้ดึงมือของเขาที่ยังอยู่บนคอเสื้อออก“พี่ คุณคิดว่าผมมีเหตุผลอะไรที่จะไม่บอกคุณ?"

พูดเสร็จ เขาก็นั่งลงและหยิบอาหารในมือของเขา ดูอย่างอารมณ์ไม่อย่างดี

"ถ้าเธอติดต่อนายอีกครั้ง นายรีบติดต่อฉัน" หนิงเส่าเฉินพูดเสร็จก็หันกลับมาและจากไปพร้อมกับหลิวซู

“นายให้คนไปจับตาดูเขา”

“เส่าเฉิน คุณไม่เชื่อเขาเหรอ?”

ใบหน้าของหนิงเส่าเฉินมืดมน ไม่ใช่ว่าเขาไม่เชื่อ แต่หลังจากผ่านไปหลายปี ข่าวของผู้หญิงคนนั้นก็ปรากฏขึ้นในที่สุด เขาก็ไม่สามารถปล่อยปมใดๆได้

"บางที อาจดูเหมือนกัน" หลิวซูแตะหูและปลอบโยน

เฉินเป้ยอีปรากฏตัวบนพรมแดงจริงๆ ทุกคนคุยกันสักพัก สื่อใหญ่รุมรายงานคาดเดาว่า ผู้หญิงลึกลับคนนี้คือใครและตามหาเธอ

และด้วยเหตุนี้ชูหยูจี้และบริษัทโทรทัศน์ของเขา จึงถูกผลักดันขึ้นสู่จุดสูงสุดใหม่อีกครั้ง

เมื่อเฉินเป้ยอีไปที่กองถ่าย ทุกคนก็พูดถึงเรื่องนี้

"การปรากฏตัวของผู้หญิงคนนั้นน่าตกใจจริงๆ ถ้าเธอเข้ามามีส่วนร่วมในแวดวงภาพยนตร์และโทรทัศน์ของเราฉันคิดว่านักแสดงหนุ่มชื่อดังที่เป็นที่นิยมก็น่าเป็นห่วงแล้ว"

“ผู้หญิงคนนั้นสวยมาก และต้องมาที่กองถ่ายนี้ คุณไม่ได้ยินเหรอ เมื่อเช้ามีคนรวยมาขอราคาหลายสิบล้านและซื้อข้อมูลติดต่อของเธอ”

"ใช่เลย และฉันเพิ่งได้ข่าวหนิงเส่าเฉินก็ไปสอบถามเกี่ยวกับคนนี้ด้วย"

เฉินเป้ยอีกำลังแต่งหน้าให้กับเซี่ยซู่ เมื่อเธอทราบข่าวนี้ เธอรู้สึกได้ชัดว่าร่างกายของเซี่ยซู่สั่นสะท้าน และเธอเองก็รู้สึกแน่น

ชายคนนี้มีความเร็วในการเกิดปฏิกิริยาเร็วเกินไป

แต่ เธอแค่รู้ว่า เขาทำเพื่อตามหาเธอ

เมืองC สำนักงานผู้จัดการทั่วไปของSM

“คุณบอกว่า คนนั้นอาจจะเป็นแม่ของหนิงเสี่ยวซี?” นิ้วของเกาเหวินบนโทรศัพท์สั่น ความตึงเครียด

ในอีกด้านหนึ่งของโทรศัพท์ เกาไห่พยักหน้า“ ใช่ มีคนเห็นหนิงเส่าเฉินไปหาชูหยู่จี้”

เมื่อได้ยินเกาไห่พูดถึงชูหยู่จี้ ใบหน้าของเกาเหวินก็เย็นชาขึ้นอีกครั้ง เธอไม่คาดคิดเลยว่า เจ้านายของเย่หลิน คือชูหยู่จี้ คนที่โทรหาลูกพี่ลูกน้องของเธอทุกวัน แต่รู้ว่าเธอสนใจที่จะร่วมมือกับเย่หลิน แต่ไม่เคยต้องแสดงตัว

แต่ตอนนี้เธอรู้ว่าเธอไม่ควรสนใจชูหยู่จี้ แต่เป็นผู้หญิงลึกลับนั้น

หลังจากวางสายแล้วเธอก็โทรหาพ่อเกา

“พ่อคะ คุณบอกไม่ใช่เหรอว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นแค่ผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่ง และเป็นไปไม่ได้เลยที่จะคุกคามฉัน?”

พ่อเกากำลังเล่นบอลกับคนข้างนอก ตกใจมากเมื่อได้ยินเกาเหวินพูดเช่นนั้น เขาโบกมือให้ฝ่ายตรงข้ามแล้วนั่งบนเก้าอี้ข้างๆเขา "หมายความว่ายังไง"

"คุณรู้ไหม เมื่อคืนมีผู้หญิงคนหนึ่งปรากฏตัวในงานประกาศรางวัลดาราที่เมืองH เมื่อเช้านี้หนิงเส่าเฉินไปสอบถามเกี่ยวกับเธอ เพราะเธอดูเหมือนกับหนิงเสี่ยวซีมาก"

โทรศัพท์ของพ่อเกาหล่นลงพื้น

“พ่อ คุณได้ยินหนูพูดไหม?”

พ่อเกากลืนน้ำลายค่อยๆ หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแนบหูอีกครั้ง“ ลูกส่งรูปผู้หญิงคนนั้นมาที่ WeChat ของพ่อ”

แม้ว่าเกาเหวินไม่รู้ว่าพ่อมีจุดประสงค์อะไร แต่เธอก็ยังทำทันที

เมื่อมองไปที่รูปภาพที่ปรากฏบนโทรศัพท์อย่างช้าๆ สีหน้าของพ่อเกาก็เฉื่อยชาทันที เธอคล้ายกับคนนั้นมากเกินไป

เขาเพียงแค่ชำเลืองมองที่มัน และเขาก็มั่นใจในใจ

แค่ในปีนั้น เธอสัญญากับเขาว่าจะไม่มีวันปล่อยให้เธอถูกเปิดเผย ทำไมวันนี้?

เขาวางโทรศัพท์และเงียบไปเป็นเวลานาน ในที่สุดก็กดหมายเลขที่เขาไม่ได้โทรมาหลายปี แต่มันเป็นหมายเลขที่ว่างเปล่า

เขายืนขึ้น นวดที่ดั้งจมูก ขมวดคิ้วและโทรหาอีกคน

“คุณพูดอะไรนะ? ตาย … ตายแล้ว?”

สิ่งที่อีกฝ่ายพูด พ่อเกาไม่ได้ยินอีกต่อไป ขาที่แข็งแกร่งของเขาเดินโซเซถอยหลังไปหลายก้าว จากนั้นพยุงกำแพงอย่างสั่นเทาและล้มลงกับพื้น

ความเจ็บปวดในใจแผ่ซ่านไปทั่ว เขาเอามือก่ายหน้าผาก น้ำตาไหลพราก

ในชีวิตนี้ของเขา ในที่สุดก็เป็นหนี้เธอ!

หนิงเส่าเฉินมองไปที่เฉินเป้ยอี ดวงตาคู่หนึ่งที่เต็มไปด้วยความรัก "ก่อนที่มีหนิงเสี่ยวซี ผมเคยมีจริงๆ … แต่หลังจากมีหนิงเสี่ยวซี กับคุณ ผมเป็นครั้งแรก"

ทันใดนั้น เฉินเป้ยอี ก็เงยหน้าขึ้นมา“ อืม ในครั้งที่แล้วคุณบอกว่า คุณ … คุณเป็นครั้งแรก คุณ … คุณเป็นนักต้มตุ๋น”

ชายคนนี้แตะจมูกโดยไม่เปลี่ยนสีหน้าและพูดว่า "ครั้งแรก ถูกต้อง ครั้งแรกในรอบห้าปี"

 เฉินเป้ยอีกลอกตาของเธอ คว้าหมอนที่อยู่ข้างๆเธอแล้วทุบไปที่เขา "หนิงเส่าเฉิน คุณไร้ยางอาย" นึกไม่ถึงวันนั้นให้เธอขอโทษอย่างจริงจัง

 หนิงเส่าเฉินจับข้อมือของเธอและดึงเธอเข้าสู่แขนของเขายกมุมปากและพูดอย่างยิ้มๆว่า:

"คุณถามได้ว่าทำไมผมไม่ได้สัมผัสผู้หญิงเลยใน 5 ปี รวมทั้งเกาเหวินด้วย"

เฉินเป้ยอี ก้มหน้าลงและคิดสักพักก่อนที่จะพูดว่า "คุณมีปัญหาในด้านนั้นเหรอ?" ไม่อย่างนั้น จะอธิบายไม่ได้ว่าผู้ชายปกติยังอยู่ในวัยที่แข็งแรงแต่……..

ใบหน้าของหนิงเส่าเฉินมืดมนไปชั่วขณะ "คุณมีไอคิว 0เหรอ  ถ้าด้านนั้นมีปัญหา คืนนั้นเราจะอยู่ด้วยกันได้ยังไง"

"คืนนั้น ฉันไม่มีความทรงจำเลยจริงๆ" เฉินเป้ยอี พูดตามจริง คืนนั้นความจําของเธอมีน้อยนิดแล้วและเธอไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ถ้าไม่ใช่ความเจ็บปวดทางร่างกายเกินไป เธออาจจะถือว่ามันไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย

อย่างไรก็ตาม หนิงเส่าเฉินเหล่ตาของเขาและเลื่อนนิ้วเรียวของเขาไปบนใบหน้าของเธอ "หมายความว่าตอนนี้ต้องพิสูจน์ความเป็นจริงให้คุณดูใช่ไหม"

"พิสูจน์ความเป็นจริง … ?" คราวนี้เฉินเป้ยอี ตอบสนองทันที ดึงผ้าห่มขึ้นคลุมร่างของเธอ ส่ายหัวเหมือนกลองเขย่า

"อย่าพูดประเด็นอื่นๆนะ คุณพูดเรื่องนั้นเถอะ ทำไมคุณ … ”

ชายคนนั้นเม้มริมฝีปากบางของเขาและเงียบเป็นเวลานานก่อนจะค่อยๆพูดว่า "เพราะหนิงเสี่ยวซีเป็นลูกที่เป็นการผสมเทียมกับผู้หญิงคนอื่นโดยผมถูกวางยา และรับเอาอสุจิของผมไปผสม ดังนั้นเมื่อผมจะมีอะไรกับใคร หัวของผมเต็มไปด้วยหนิงเสี่ยวซีและไม่สามารถทำได้อีกต่อไป "

เฉินเป้ยอีตกใจในตอนแรก จากนั้นก็หัวเราะจนท้องคัดท้องแข็ง เต็มไปหัวของเขาหนิงเสี่ยวซี?  ฮ่า ๆ …

แต่เมื่อเธอหัวเราะถึงครึ่งหนึ่ง เธอก็หยุดทันที ลุกขึ้นและนั่งมองไปที่หนิงเส่าเฉิน และถามด้วยสีหน้าจริงจัง "คุณ คุณเพิ่งบอกว่า หนิงเสี่ยวซี เป็นลูกที่เอาตัวอสุจิออกมาและผสมเทียมกับผู้หญิงคนอื่นหลังจากที่คุณถูกวางยาใช่ไหม?” เธอรู้สึกว่าน้ำเสียงของเธอสั่น

เธอลุกขึ้น คุกเข่าและนั่งบนเตียงและจ้องมองไปที่หนิงเส่าเฉิน ด้วยอาการเครียด "ถ้าอย่างนั้น คุณหมายความว่าคุณไม่รู้ว่าแม่ของหนิงเสี่ยวซีเป็นใคร คุณไม่ใช่ทำด้วยความเต็มใจ?  "

หนิงเส่าเฉินขมวดคิ้วและรู้สึกฉงนกับปฏิกิริยาของเธอ แต่เขาพยักหน้าแล้วกล่าวเสริม "พ่อของผมให้คนอื่นทำ แต่เขาไม่ยอมบอกผมว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นใคร ไม่บอกเหตุผลที่ทำแบบนี้”

เฉินเป้ยอีตกใจอีกครั้งและล้มลงบนเตียง กล่าวคือพ่อของหนิงเส่าเฉินไปหาแม่ของเธอใช่ไหม?  พูดคุยเกี่ยวกับการให้เธอตั้งครรภ์หนิงเสี่ยวซีหรอ?

ทำไม?  เธอคิดไม่ออกจริงๆว่าทำไมพ่อของเขาถึงทำแบบนี้กับลูกชายของเขา?

เนื่องจากหนิงเส่าเฉินมีสุขภาพแข็งแรงจึงต้องใช้เวลาในการมีบุตร นอกจากนี้ ในเวลานั้นเกาเหวินก็ควรจะอยู่แล้ว เธอจะยอมให้พ่อหนิงทำเช่นนี้ได้อย่างไร?

ผู้ชายที่ฉันรักและผู้หญิงอีกคนมีลูกแล้ว ถ้าเป็นเธอ เป็นไปไม่ได้เลยที่จะยอมรับ …

ทำไมทำอย่างนั้น?  ทำไม?

ยิ่งไปกว่านั้น ผู้หญิงที่ให้อสุจิก็คือเกาเหวิน

เกาเหวิน … พ่อของหนิงเส่าเฉิน … แม่ของเธอ …

เมือง S และเมือง C อยู่ห่างกันหลายพันไมล์พ่อของหนิงเส่าเฉิน จะหาทางนั้นได้อย่างไร?

เป็นไปได้ที่เขาและแม่ของเธอรู้จักกัน

เธอเวียนหัว เพราะเดาสถานการณ์นี้

เกิดอะไรขึ้นกันแน่?

เธอกอดหัวของเธอและจิตใจของเธอก็ยุ่งเหยิง เดิมทีเธอวางแผนไว้ว่า หากวันหนึ่งเธอสามารถหาโอกาสถามหนิงเส่าเฉินให้ชัดเจน ตัวต่อตัวได้หลังจากการซักถามเธออาจสามารถฟื้นคืนรูปลักษณ์ที่แท้จริงของเธอได้ เห็นด้วยกับหนิงเสี่ยวซี

อย่างไรก็ตาม เห็นได้ชัดว่าแม้แต่หนิงเส่าเฉิน ก็ไม่เข้าใจได้ชัด ในขณะที่ เรื่องนี้ก็พูดไม่ชัดเจน

"คุณเป็นอะไร" หนิงเส่าเฉินจ้องไปที่เธอ เห็นเธอขมวดคิ้วอยู่ครู่หนึ่ง เกาหัวของเธออยู่ครู่หนึ่ง เขาถามอย่างไม่เข้าใจ

เฉินเป้ยอี ตกใจ กัดริมฝีปากของเธอ เงยหน้าขึ้นและส่ายหัวต่อหนิงเส่าเฉิน "ไม่มีอะไร ฉันแค่เคยได้ยินเรื่องของเสี่ยวซีมาก่อน ฉันคิดว่า เสี่ยวซีน่าสงสารเกินไป ฉันคิดว่า … ฉันคิดว่าคุณรู้จักแม่ของหนิงเสี่ยวซี และคิดว่าคุณรู้ว่าเขามาได้อย่างไร แต่ฉันไม่คาดคิดว่า คุณจะไม่รู้ "

เธออธิบายโดยไม่สอดคล้องกัน

แต่หนิงเส่าเฉินไม่สงสัยเธอ เพราะปฏิกิริยาของเธอต่อความรู้สึกกับหนิงเสี่ยวซี เป็นเรื่องปกติ

เธอลูบหัวของเธอแล้วยืนขึ้น "อย่าคิดมาก เมื่อเสี่ยวซีโตขึ้น ผมจะให้เขาถามปู่ด้วยตัวเอง"

"ถ้าอย่างนั้น … คุณไม่เคยคิดที่จะหาแม่ผู้ให้กำเนิดของเสี่ยวซีเลยหรอ" เธอคิดอยู่พักหนึ่ง แต่ก็อดไม่ได้ที่จะถาม หนิงเส่าเฉินรู้จักผู้คนมากมายร่ำรวยและมีอำนาจ ถ้าเขามีใจและต้องมีต้นสายปลายเหตุหน่อย แต่เห็นได้ชัดว่า ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เธอและแม่ใช้ชีวิตอย่างสงบสุขมากและพวกเขาไม่เคยถูกรบกวน

"เคยไปหา" หยุดชั่วคราวแล้วพูดว่า "แต่พ่อของผมปิดกั้นมันอยู่ผมจึงหาไม่เจอ"

ในความเป็นจริง ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาเขาคิดถึงความเป็นไปได้มากมาย แต่ก็ถูกโค่นล้มไปหมดแล้ว

พ่อและแม่ของผมเลือกที่จะไปต่างประเทศหลังจากที่มีหนิงเสี่ยวซี พวกเขาบอกว่างานสืบทอดตระกูลเสร็จสิ้น ดังนั้นพวกเขาจึงออกไปเพื่อใช้ชีวิตของพวกเขา แต่เขารู้สึกเสมอว่าการจากไปมีความสัมพันธ์กับที่มาของหนิงเสี่ยวซีมันเป็นเรื่องจริง ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาเขาก็ใช้ช่องทางต่างๆในการสอบถาม เห็นได้ชัดว่า พ่อของเขาเตรียมการเป็นเวลานานแล้วและเขาก็ไม่มีต้นสายปลายเหตุ

เขายืนขึ้นหยิบเสื้อโค้ทบนเก้าอี้ "ลุกขึ้นเร็ว ๆ แล้วลงไปข้างล่าง ไปกินอาหารเช้า" จากนั้นเขาก็โน้มตัวไปและจูบหน้าผากของเธอ "วันนี้โทรศัพท์ชาร์จเต็มแล้ว ปิดไม่ได้แล้ว"

เฉินเป้ยอี ลดตาลง จนกระทั่งเสียงปิดประตู เธอหายใจออกอย่างหนัก

เธอบอกตัวเองว่า อย่าว้าวุ่น อย่าว้าวุ่น เรื่องนี้ปล่อยให้มันเกิดตามที่จะเป็น

ทันทีที่หนิงเส่าเฉินออกจากห้อง ก็เห็นหลิวซูรออยู่ที่ประตูเดินกลับไปกลับมา เมื่อเห็นเขาออกมา เขาก็รีบเปิดหน้าจอโทรศัพท์ในมือและส่งให้เขาด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

เขามองไปที่เขาและหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาอย่างงง ๆ ชูหยูจี้กำลังควงผู้หญิงคนหนึ่งเดินบนพรมแดง คิดว่าน่าจะเป็นผู้หญิงที่เขาเห็นในโรงแรมเมื่อวานนี้ มันสวยมาก แต่เขาไม่สนใจเขาจึงเงยหน้าขึ้นมองและจ้องไปที่หลิวซู“ คุณหมายความว่ายังไง?”

หนิงเส่าเฉินกดเธอไม่ปล่อย ขมวดคิ้วเล็กน้อย“ เป้ยอี คุณเคยรู้ถึงความรู้สึกที่คิดถึงคนคนหนึ่งไหม?” เขาถามอย่างกะทันหัน  เฉินเป้ยอียังไม่ทันได้ตอบ เขาพูดต่อ:“ เมื่อกี้ผมอยากเจคุณตลอดเวลาและผมใจลอยเวลาทําทุกอย่าง ผมโตมาขนาดนี้ นี่เป็นครั้งแรกที่ผมเป็นแบบนี้ "

ทันทีที่เฉินเป้ยอีมองไม่เห็นการแสดงออกของเขา มือของเธอก็ยังคงผลักเขา แต่เธอก็แอบมีความสุข ปรากฎว่าไม่ใช่แค่เธอที่จะเป็นเช่นนี้ กลับกลายเป็นว่าหนิงเส่าเฉินที่คนเก่งก็เป็นเช่นกัน

หลังจากหยุดชั่วขณะ เธอแสร้งทำเป็นสงบและตอบว่า "หนิงเส่าเฉิน คุณชอบอะไรในตัวฉันกันแน่?"

มุมปากของหนิงเส่าเฉินกระตุ้นเล็กน้อยและเสียงของเขาค่อยๆกล่าวว่า: "ความใจดี ความเรียบง่ายของคุณ ความแข็งแกร่งของคุณ … ผมชอบทุกอย่างของคุณ"

เฉินเป้ยอีหลับตาและหายใจเข้าลึก ๆ บังคับตัวเองให้สงบลง“ เกาเหวิน ก็มีสิ่งเหล่านี้เช่นกัน”

หลังจากพูดจบ เธอก็ดึงมือใหญ่อยู่ที่เอวออก“ คุณปล่อย ฉันจะไปอาบน้ำ”

หนิงเส่าเฉินส่ายหัว“ เป้ยอี  ถ้าเราอยู่ด้วยกัน  คุณจะกลายเป็นแม่ของเสี่ยวซี  ไม่ดีหรอ?”

มุมปากของเฉินเป้ยอีกระตุ้นเล็กน้อย แม้ว่าไม่อยู่กับเขา  เธอก็ยังคงเป็นแม่ของหนิงเสี่ยวซี แม่จริงๆ

"คุณหนิง คืนนี้จะไม่กลับเหรอ?" เธอเตือนเขา แต่ไม่อยากตอบคำถามของเขา

หนิงเส่าเฉิน ปล่อยเธอและเดินไปนอนลงบนเตียง "วันนี้เพื่อเจอคุณ ผมไม่ได้เอายามา ดังนั้นคืนนี้ต้องการคุณ"

 ต้องการเธอ?  นี่เป็นเหตุผลได้เหรอ? เฉินเป้ยอีจ้องมองเขา ทำไมเธอไม่รู้มาก่อนว่าชายคนนี้เป็นคนเสเพลมาก่อน?

เธอหยิบอุปกรณ์อาบน้ำและกระเป๋าเครื่องสำอางขึ้นมา และรีบเข้าไปในห้องน้ำปิดประตูและล็อคมัน

 หนิงเส่าเฉิน มองลึกลงไป

 ระหว่างห้องน้ำและเตียงมีกระจกแก้ว แม้ว่าม่านจะถูกดึงออก แต่ร่างที่ปรากฏในอ่างอาบน้ำทำให้ หนิงเส่าเฉิน มีปฏิกิริยา

 เขาบังคับตัวเองให้จดจ่อกับโทรศัพท์ แต่การหายใจของเขาเร่งตัวมากขึ้น

เฉินเป้ยอีล้างหน้าและแต่งหน้าให้เร็วที่สุด หลังจากที่เธอทำเสร็จ เธอก็ใส่ชุดนอนแล้วเดินออกมา

 เมื่อเห็นว่าหนิงเส่าเฉินกำลังมองไปที่โทรศัพท์ เธอก็รู้สึกโล่งใจที่เขาไม่ได้สนใจเธอ

 "อืม งั้นคุณนอนที่พื้นได้ไหม" เธอเอียงหัวทันทีที่ถามจบ กลัวที่จะมองไปที่หนิงเส่าเฉิน

เมื่อหนิงเส่าเฉินได้ยินเสียก็วางโทรศัพท์ไว้บนโต๊ะข้างๆเตียงง เฉินเป้ยอีก็หันหน้าไปอย่างมีสติและเห็นหนิงเส่าเฉินลุกขึ้นและถอดเสื้อสเวตเตอร์ เสื้อเชิ้ตและเสื้อกั๊ก จากนั้นเขาก็วางมือบนเข็มขัด  และดูเหมือนจะตระหนักถึงบางสิ่งบางอย่างจึงเหล่ตาของเขามองไปและเขาก็กระซิบ: "คุณแน่ใจหรือว่าต้องการดูต่อไป"

วินาทีต่อมาหน้าของเฉินเป้ยอีแดงขึ้น เธอยกผ้าห่มและเข้าไปข้างใน จากนั้นก็คลุมตัวเองแน่น

 พระเจ้าตอนนี้เธอทำอะไรอยู่?  เมื่อเห็นหนิงเส่าเฉินถอดเสื้อผ้าเธอก็ตกตะลึง

 "คุณนอนก่อนเลย ผมจะไปอาบน้ำ" หนิงเส่าเฉินโน้มตัวไปกระซิบข้างหูของเธอ  ความร้อนที่มาจากหูของเธอทำให้เฉินเป้ยอี รู้สึกร้อนขึ้น

 จนกระทั่งเสียงน้ำดังเข้ามาภายในห้อง เฉินเป้ยอีก็ลืมตาขึ้นจากนั้นเมื่อเธอเอียงหัว เธอก็เห็นร่างกายของชายคนนี้ที่ปรากฏกาย และเธอก็ลุกขึ้นนั่งในทันที พระเจ้าเธอเพิ่งอาบน้ำในนั้นแล้ว …  …ไม่…

 โรงแรมนี้บ้าไปแล้วหรอ ทำไมถึงออกแบบแบบนี้

เมื่อคิดแล้ว ร่างกายของเธอลงไปอยู่ในผ้าห่มแล้วคลุมหัว บางทีอาจจะเหนื่อยเกินไปในระหว่างวัน

 พอเธอคลุมผ้าแล้ว เธอก็หลับไป

ในความสับสนของเธอ เธอรู้สึกว่าผ้าห่มที่อยู่รอบตัวเธอดูเหมือนจะถูกยกออก จากนั้นลมหายใจเย็น ๆ ก็มาจากร่างของเธอ เธอหันกลับมาอย่างรวดเร็วมองไปที่เงาดำตรงหน้าเธอและอดไม่ได้ที่จะผลักทั้งมือและเท้า"หนิงเส่าเฉินคุณจะทำอะไร?”

 หนิงเส่าเฉินเปิดโคมไฟหัวเตียง จากนั้นใช้มือข้างหนึ่งยันหัวเพื่อดูเธอทันเวลา "เมื่อกี๊คนที่มีความคิดเป็นคุณ"

 ความคิด?  ความคิดอะไร? เฉินเป้ยอี มองเขาอย่างงงงวย "ความคิดอะไร"

หนิงเส่าเฉิน จับมือของเธอและวางไว้บนหน้าอกที่เปลือยเปล่าของเธอ "คุณหมายความว่าอย่างไร"เฉินเป้ยอี ตกใจในตอนแรกและดวงตาของเธอก็เลื่อนลงเมื่อเธอรู้สึกถึงความร้อนจากฝ่ามือของเธอ เธอก็ดึงมือออกอย่างอัตโนมัติ

"หนิงเส่าเฉินคุณ … คุณช่างไร้ยางอาย" หลังจากพูดแล้วก็หันไปด้านข้างและย้ายไปที่ขอบเตียงโดยหันหลังให้เขา

 ในตอนแรก ยังเตือนตัวเองให้ตื่นตัว แต่เปลือกตาเริ่มหนักและหนักขึ้น

 เมื่อเฉินเป้ยอีตื่นขึ้นมาอีกครั้งก็เป็นเช้าวันรุ่งขึ้น

เธอค่อยๆลืมตาหันหน้าไปและเห็นหนิงเส่าเฉินแต่งตัวเรียบร้อยนั่งอยู่บนโซฟาด้านหนึ่ง อ่านหนังสือด้วยสีหน้ามุ่งมั่น ผู้ชายคนนี้ไม่มีทางตันใน 360องศา ไม่ว่าจะมองจากมุมไหนเขาก็ดูสมบูรณ์แบบ 

เมื่อรู้สึกว่ามีใครบางคนกำลังมองมาที่เขา หนิงเส่าเฉินปิดหนังสือในมือวางไว้ข้างหนึ่ง ลุกขึ้นมองไปที่เฉินเป้ยอี ที่หันหน้ามาด้วยความตื่นตระหนก มุมปากของเขายกขึ้นเล็กน้อยและเขาคุกเข่าลงบนเตียงโดยมีเข่าครึ่งหนึ่งพาดอยู่  เขาจูบเธอที่แก้ม "ผมต้องกลับไปที่ เมืองC เพื่อจัดการเรื่องของบริษัท คุณรีบลุกขึ้นมากินอะไรเร็ว ๆ "

หลังจากพูดเสร็จเขาก็ยืดตัวขึ้น ใส่เสื้อผ้าและพูดอย่างสบาย ๆ ว่า: "คืนนี้ผมจะมาอยู่กับคุณ"

 เฉินเป้ยอีหันหน้าไปและจ้องไปที่เขา "หนิงเส่าเฉิน ผู้ชายทุกคนก็คิดว่าผู้หญิงข้างนอกดีกว่าที่บ้านใช่ไหม"

 หนิงเส่าเฉิน ติดกระดุมที่แขนเสื้อของเขาเมื่อได้ยินเธอพูดเช่นนี้เขาก็หันหน้าไปและจ้องมองเล็กน้อย "ทำไมคุณคิดว่าเป็นแบบนี้"

 "คุณเกาอ่อนโยนใจดีมีน้ำใจและสวย แต่ … " เธอก้มหัวและหยุดชั่วคราว "แต่คุณไม่ได้สัมผัสเธอ และมองหาผู้หญิงคนอื่นที่อยู่ข้างนอก"

หนิงเส่าเฉินเลิกคิ้วสูง เดินด้วยขาที่เรียวยาวไปข้างหน้าของเฉินเป้ยอี เอนตัวไป วางมือไว้ข้างเตียงแล้วมองไปที่เธอ "ใครบอกคุณว่าผมมองหาผู้หญิงคนอื่นที่ข้างนอก"

 ในขณะนี้เฉินเป้ยอี อยากจะกัดลิ้นของตัวเอง ลืมไป เรื่องอะไรที่พูดไม่ได้ เธอก็พูดคุยเกี่ยวกับสิ่งนี้

 เธอกัดฟันและเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย“ ฉันได้ยินคนพูดว่าคุณเกายังเป็น … สาวพรหมจารีและตอนที่คุณไปซื้อของครั้งนั้น เสี่ยวซีบอกว่าคุณซื้อของให้ผู้หญิงคนอื่นทุกวัน ไม่ใช่เหรอ …  ไม่รางวัลหลังจากได้รักกันหรอ?"

ดวงตาที่มืดมนและเย็นชาคู่หนึ่งกวาดไปทั่วใบหน้าของเฉินเป้ยอี "คุณอยากรู้เหตุผลหรือไม่?"

เฉินเป้ยอี ถูกเขามองจนถึงตัวสั่น เธอกลืนน้ำลาย ดึงผ้าห่มขึ้นและคลุมศีรษะของเธอ

 “ ฉันไม่ใช่ใครของคุณ ฉันไม่จำเป็นต้องรู้” เสียงข้างนอกดังผ่านผ้านวม

หนิงเส่าเฉินลุกขึ้นและยกผ้าห่มแนบอก วินาทีถัดมาจู่ๆเขาก็โน้มตัวมาจูบ

 เมื่อเฉินเป้ยอี หายใจไม่ออกหลังจากถูกเขาจูบ เขาก็ปล่อยเธอและยืนขึ้น

 "ตอนนี้คุณอยากรู้เหตุผลหรือไม่"

 หน้าอกของเฉินเป้ยอี เต้นขึ้นและลงอย่างรุนแรง แต่เธอก็เข้าใจว่าชายคนนั้นหมายถึงอะไรในตอนนี้ ดังนั้นเธอจึงถามด้วยเสียงต่ำ "ทำไม?"

"หยูจี้ ฉันกังวลมาก จะหนีไปได้ไหม"

"คุณหนีสี ผมจะไล่ พรุ่งนี้จะพาดหัวข่าวแน่นอน"

ผู้สื่อข่าวหนาแน่นสองแถว บนพรมแดงขนาดใหญ่ที่อยู่ตรงกลาง เมื่อหนุ่มสาวเดินผ่านทั้งคู่หล่อและสวย แฟลชสาดใส่พวกเขาแทบไม่หยุด

แล้วไม่มีใครอยู่ตรงกลาง เฉินเป้ยอีมองย้อนกลับไปโดยไม่รู้ตัว พบว่าทุกคนที่อยู่เบื้องหลังหายไป

ชูหยูจี้มองเธอด้วยรอยยิ้มพูดว่า "เราคือคู่ปิดงาน" เขาพูดอย่างแยแส เฉินเป้ยอีแค่ฟังและตกใจ

อะไรเรียกว่าเราคือคู่ปิดงาน ก็คือพรมแดงทั้งหมดเป็นของคุณ ไม่มีใครจะคว้าแฟลชและคว้าตำแหน่ง …

แต่ เฉินเป้ยอีเธอไม่อยากทำการปรากฏตัวแบบนี้เลย!

“ทำไมไม่พูดก่อนหน้านี้?”

ชูหยูจี้งอแขนเข้าหาเธอและเคลื่อนไหว ส่งสัญญาณให้เฉินเป้ยอี

“ต่อไป อยากจะแนะนำบุคคลลึกลับให้ทุกคนรู้จัก ผมคิดว่าคำสองคำว่าเย่หลิน ทุกคนน่าจะเป็นที่เข้าใจ เพราะได้ยินชื่อมาหลายปี?แต่ เจ้านายที่อยู่เบื้องหลัง ไม่น่าจะมีใครรู้เรื่องนี้ใช่ไหม? "พิธีกรหยุดชั่วคราวหยุด ยกมือขึ้นและชี้ไปที่ปลายด้านหนึ่งของพรม“ ตอนนี้ พวกเรามีแขกรับเชิญหลักในคืนนี้ ประธานชูหยูจี๋ ซึ่งเป็นประธานผู้อยู่เบื้องหลังเย่หลินด้วย

ได้ยินมาว่า เป็นเจ้านายที่อยู่เบื้องหลังของเย่หลิน หลังจากที่ทุกคนประหลาดใจ เสียงปรบมือดังกึกก้อง

“จำได้ว่า งานเลี้ยงจบการศึกษาตอนม.ปลายได้ไหม? ตอนนั้น เราได้รับเชิญให้ไปเพื่อขอบคุณ จำได้ไหม? " เฉินเป้ยอีกังวลมาก เมื่อได้ยินชูหยูจี้คุยกับเธอเกี่ยวกับเรื่องเข้าเรียน ก็อึ้งก่อนแล้วพยักหน้า

"จำได้ ตอนนั้น ฉันตึงเครียดมาก และพูดผิดสองครั้ง คุณเป็นคนชั่วร้าย และใช้เท้าเตะฉัน" ทันทีที่ เฉินเป้ยอีพูดอยู่ ก็เหลือบไปมองชูหยูจี้

"แตะไม่ได้ แล้วก็แค่เตะได้เท่านั้น" ชายคนหนึ่งพูดอย่างเป็นเชิง

เฉินเป้ยอีอดไม่ได้ที่จะจ้องมองเขา

ไฟกระพริบทั้งสองข้าง และเสียงอุทาน ดึงเฉินเป้ยอีกลับสู่ความเป็นจริง

เธอร่างกายแข็งทื่อโดยไม่รู้ตัว แล้วเดินไปกลางพรมแดง หันหน้าไปมองไปที่ชูหยูจี้ เขาสงบและสบาย และไม่มีอะไรอึดอัด

"ว้าว ผู้หญิงคนนี้สวยมาก เฮ้ คุณรู้ไหมว่าเธอเป็นใคร? เป็นนักแสดงเหรอ?"

"ไม่รู้ ไม่เคยเห็นมาก่อน แต่สวยมากจริงๆนะ!"

"ใช่ ดวงตาคู่นี้ชัดเจนจริงๆ คุณคิดว่าจะเป็นคนจะสนับสนุนบริษัทเย่หลินคนต่อไปหรือไม่"

"ไม่แน่ใจ บางทีในโอกาสเช่นนี้ ชูหยูจี้สามารถพาเธอมาที่นี่ได้ อาจเป็นเพราะอยากให้เธอแสดงต่อหน้าสื่อ"

"… "

เสียงคำชมดีกว่าหนึ่งคำ และไม่ได้ทำให้ เฉินเป้ยอีมีความสุข แต่รำคาญ

เธอถอนหายใจในใจกับความไม่เป็นธรรมของสังคมนี้

ทำไมคนต้องถูกตัดสินจากรูปลักษณ์? ความงามของจิตวิญญาณสำคัญที่สุดไม่ใช่หรือ?

เมื่อเธอเป็นคนธรรมดา เข้าไปสู่สถานที่ที่ก้าวหน้ายิ่งขึ้น ไม่มีใครมองสักนิด ไม่ว่าเธอจะพยายามให้หนักขึ้น ไม่ดีเท่าเมื่อเธอสวยงามและยิ้มให้คนหนึ่งครั้ง

เมื่อนึกถึงการเลือกปฏิบัติและความไม่เข้าใจที่เธอต้องทนทุกข์ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เธออดไม่ได้ที่จะแอบหัวเราะในใจ

ชูหยูจี้ใช้เวลาในการทักทายคนข้างหลังและกระซิบกับเฉินเป้ยอีว่า"คุณผู้หญิง คุณจะมีชื่อเสียงแล้ว"

เฉินเป้ยอีโค้งงอริมฝีปากและมองไปที่เขาอย่างเย็นชาและยิ้ม "คุณควรกังวลเกี่ยวกับพรุ่งนี้ดีกว่า ผู้หญิงคนนี้หายไปกับอากาศจะมีปัญหาไหม"

เมื่อทั้งสองมาถึงจุดสิ้นสุดของพรมแดง เจ้าภาพเพิ่งมองเฉินเป้ยอีจนลืมรายงานแล้ว คนที่อยู่ข้างๆเขาผลักเขา เขาก็หน้าแดงและได้สติ

เป็นเวลาหลายปีแล้ว อยู่ในแวดวงของพวกเขา เขาก็เป็นคนรอบรู้ แต่ไม่มีผู้หญิงคนไหนที่หน้าตาเหมือนคนตรงหน้า เมื่อมองแล้ว ก็ไม่สามารถกระพริบตาได้

ต่อมา สำหรับสิ่งที่เขาพูด เฉินเป้ยอีไม่ได้ใส่ใจกับเรื่องนี้เลย เธอไม่เหมาะกับโอกาสที่ผิดพลาดเช่นนี้ ได้ยินเพียงเสียงปรบมือดังกึกก้องดังจากที่แห่งนี้

หลังจากเดินพรมแดง ก็คือการมอบรางวัลต่างๆ เมื่อรู้ว่าเธอไม่สนใจ หลังจากชูหยูจี้ทักทายกับผู้จัดงาน และก็ส่งเธอกลับห้องแล้ว

รีมูฟเวอร์ แต่งหน้า เปลี่ยนชุด ใส่เสื้อผ้าของตัวเอง แล้วเมื่อเธอมองตัวเองในกระจกเฉินเป้ยอีก็หายใจออกอย่างหนัก

เมื่อไหร่กันที่เธอเคยชินกับตัวเอง "ธรรมดา" แบบนี้

ไม่มีคำชมเชย ไม่มีคำชม มีแต่ชีวิตที่สะดวกสบายมาก

หลังจากแต่งตัว เมื่อออกมา ชูหยูจี้กำลังมองไปที่โทรศัพท์

เมื่อเห็นเธอออกมา เขาก็ตกใจก้าวไปข้างหน้า และยื่นโทรศัพท์ให้เธอ

"ดูหน่อย วิดีโอก็ออกมาแล้ว คนสวย คุณจะเซ็นสัญญากับเย่หลินของผมไหม ผมจะทำให้คุณมีชื่อเสียงมาก"

เฉินเป้ยอีขมวดคิ้ว เหลือบมองไปที่โทรศัพท์ อย่างไม่เป็นทางการเลิกคิ้ว มันสวยงามแต่แปลก และคืนโทรศัพท์ให้เขา “ คุณชู ฉันไม่รู้จักผู้หญิงที่คุณกำลังพูดถึง”

หลังจากพูดเสร็จ ก็ยิ้มและตบไหล่ชูหยู่จี้“ ฉันจะไปก่อนนะ คุณชูโปรดอย่าเสียเวลา”

ชูหยูจี้คว้าตัวเธอ“ รีบอะไรขนาดนั้น? ก็อยู่กับผมอีกได้ไหม”

เฉินเป้ยอีเหลือบมองไปที่มือใหญ่บนแขน มองไปที่เขา โค้งริมฝีปากและยิ้มว่า "คุณชู งั้นคืนนี้ ฉันนอนกับคุณอีกคืนไหม?"

ชูหยูจี้ตกใจ กลืนน้ำลาย และพยักหน้าอย่างหมดหวัง“พูดมาเถอะ บอกราคา ผมพอใจให้คุณ”

ทันทีเฉินเป้ยอีกลอกตาขึ้น ก็ตบฝ่ามือใหญ่ของเขาลง“ คุณฝันไปได้เลย"

เธอหันไปรอบๆ ก็หยิบแว่นตาและหน้ากากออกจากโรงแรม

ไปถึงชั้นใต้ดิน ก็มีรถมารับเธอและส่งที่เดิม

เมื่อคิดแล้วเธอก็ซื้อของข้างถนนใส่กระเป๋า แล้วกลับไปที่โรงแรม

ก่อนมา ขอคนหนึงนอนในห้องเดียวกับคนรับผิดชอบ หลังจากเข้าประตู ห้องนอนก็ไม่มีแสงไฟ มันเงียบ

ความร้อนภายในกระทบใบหน้า ทำให้เฉินเป้ยอีรู้สึกร้อนเล็กน้อย เธอถอดเสื้อโค้ทและเสื้อสเวตเตอร์ โค้งตัวและถอดรองเท้า

แขนคู่หนึ่ง กอดเธอไว้แน่นจากด้านหลัง "อ้า" เฉินเป้ยอีกล่าวด้วยความประหลาดใจ การตอบสนองการป้องกันตัวที่มีคว้ารองเท้าบู๊ตลงบนพื้นอย่างรวดเร็วและทุบให้

"ผมเอง" เสียงต่ำดังขึ้นในหู และรองเท้าในมือก็ถูกหยิบขึ้นมาและโยนลงบนพื้น

เธอเสียบการ์ดห้องลงในแหล่งจ่ายไฟ ก็เห็นหนิงเส่าเฉินด้วยใบหน้าที่มืดมนมองเธออยู่

เธอก้มหน้าด้วยความรู้สึกผิด"คุณ เข้ามาได้ยังไง?"

“คุณไปไหนมา?” หนิงเส่าเฉินถามแทนโดยไม่ตอบคำถามของเธอ

"ออกไปข้างนอกและเดินเล่นรอบๆ " หลังจากพูดเสร็จ ก็หยิบมือถือและที่ชาร์จออกมาจากกระเป๋า แล้วเสียบไว้ข้างเตียง

"คุณหลบหน้าผมหรอ?" หนิงเส่าเฉินกระซิบเสียงของเขาทึบมาก ก้าวไปข้างหน้าและจับเฉินเป้ยอีไว้ในอ้อมแขนของเขา

เฉินเป้ยอีแข็งไปทั้งตัว

“อย่าแตะฉัน” เธอผลักเขาอย่างไม่ใยดี แต่ร่างกายก็รู้สึกเหมือนถูกไฟฟ้าช็อต และรู้สึกมึนงง กระจายไปทั่วร่างกายทันที

ระหว่างทางไปโรงแรม หนิงเส่าเฉินส่งข้อความ WeChat สองสามข้อความ ถามเธอว่าเธออยู่ที่ไหนและเขากำลังตามหาเธอ

 เฉินเป้ยอีกลัวว่าจะถูกค้นพบโดยเขา และจงใจบอกว่าเธออยากไปซื้อของในเมืองในตอนกลางคืน จากนั้นก็กลับไปดึกมากแล้วก็ปิดโทรศัพท์

 ชูหยูจี้ พาเธอไปที่ประตูของโรงแรมที่พวกเขาพักอยู่และส่งเธอลง

 ปล่อยให้เธอกลับไปที่ห้องด้วยตัวเอง จากนั้นเดินออกจากโรงแรมไปยังสถานที่ที่กล้องถ่ายรูปไม่ได้ จากนั้นเปลี่ยนรถ ให้เธอขึ้นรถแล้วพาเธอไปยังจุดหมายเมื่อเข้าไปในโรงแรมที่จัดเลี้ยง เฉินเป้ยอี  สวมหน้ากาก หมวกและแว่นตาจึงไม่มีใครเห็นคนที่อยู่ข้างใน

 "นี่คือชุดและเครื่องประดับ"เฉินเป้ยอี ลบเครื่องสำอางของเธอออกหน้ากระจกหลังจากที่เห็นชูหยูจี้ วางของลง และเขาก็ไม่ออกไป เธอหันหน้าและจ้องที่เขา

“ ออกไป ทำไม คุณยังอยากดูฉันเปลี่ยนเสื้อผ้าหรอ” หลังจากฟื้นตัวตนที่แท้จริงแล้วเธอก็ฟื้นฟูบุคลิกเดิมของเธอใหม่ เธอเป็นคนร่าเริงไร้กังวลสบาย ๆ และผ่อนคลาย

 "ถ้าคุณต้องการ ผมยินดีที่จะช่วยคุณ"

เฉินเป้ยอี หยิบกล่องเปล่าข้างหลังเธอและโยนมันไปที่เขา

 ชูหยูจี้ สูดลมหายใจและในที่สุดก็เดินออกไปปิดประตูแล้ว เอนหลังพิงประตู เห็นได้ว่าเขากังวลมาก

เฉินเป้ยอีใส่ชุดของเธอก่อนและสิ่งที่ ชูหยูจี้ เลือกให้เธอคือชุดเดรสสีดำที่เปิดไหล่ข้างเดียว ด้านหน้าและด้านหลังยาว มันเรียบง่าย แต่ก็ยังดูสง่างาม

นอกจากนี้ยังมีเสื้อแจ็คเก็ตตัวสั้นสีแชมเปญอยู่บนชุดราตรี มีปกสูทและช่วงเอวโดยเท็กซ์เจอร์ด้านนอกจะดูเหมือนผ้าสูท เมื่อคุณเอื้อมมือออกไปคุณจะพบว่าซับในมีขนอ่อนบริเวณท้องของสัตว์ปีกหายาก แต่ ไม่ฟู

เสื้อแขนกุดพาดไหล่ เพียงแค่ใส่ไว้บนไหล่ของคุณ

ดูเป็นผู้หญิง แต่ก็เท่ ผู้ชายคนนี้รู้จักเธอดีและเกรงใจเธอมาก

 ด้วยชุดนี้เธอแต่งหน้าที่เข้ากันกับตัวเอง

เป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่แต่งหน้าบนใบหน้านี้ มือของเฉินเป้ยอีสั่นเล็กน้อย

เมื่อมองไปที่ผู้หญิงในกระจกรูปร่างที่สวยงามของเธอผิวสวยและการปรากฏตัวของเธอเหมือนชบาในนํ้าสะอาดที่สวมกระโปรงสีดำในเวลาเดียวกันมันก็เพิ่มความลึกลับ

นี่เป็นครั้งแรก นับตั้งแต่เข้าสู่วัยผู้ใหญ่การแต่งตัวของตัวเองอย่างเคร่งขรึม เธอเพียงแค่เหลือบมอง เฉินเป้ยอีก็อดไม่ได้ที่จะมองอีกสักนิด

 เมื่อผลักประตูเปิดออก ชูหยูจี้บังเอิญอยู่ข้างหลัง ดูเหมือนกำลังคิดอะไรบางอย่าง เมื่อได้ยินเสียงเปิดประตู ก็หันไปรอบ ๆ แม้ว่าเขาก็เตรียมใจ เขายังคงตกใจอย่างมาก

แม้ว่าเฉินเป้ยอีจะสวยมากในช่วงสมัยเรียน แต่เธอก็ยังดูไม่โตเต็มวัย เหมือนดอกไม้ยังไม่บาน ตอนนั้นเธอยังไม่โต

อย่างไรก็ตาม ในตอนนี้ เธอสวยมาก

 ความตะลึงพรึงเพริดของเขา ทำให้เฉินเป้ยอีซึ่งไม่ได้ถูกเห็นหน้าจริงนี้มาสองสามปีรู้สึกอึดอัด เธอค่อยๆก้าวไปข้างหน้าและผลัก ชูหยูจี้“ ดูอยู่ได้ น้ำลายกำลังจะออก"

 เธอมั่นใจในความงามของเธอมาตลอด

 "เย่หลิน งั้น คุณไม่ไปดีกว่า"

เฉินเป้ยอีเลิกคิ้วหันหัวและมองไปที่ ชูหยูจี้อย่างงงงวย เธอถูกบังคับให้ไปที่นั่นก่อนหน้านี้แต่ตอนนี้ "คุณหมายความว่าอย่างไร?"

 "ผมกลัวว่าถ้าคุณออกไป ดาราเหล่านั้นจะทนความตื่นเต้นไม่ได้และคลินิกศัลยกรรมจะระเบิดในวันพรุ่งนี้"

เฉินเป้ยอี"ฮ่าๆๆ" หัวเราะออกมาดัง ๆ

 ผลักเขาด้วยนิ้วของเธอ "คุณจะไปไหม ถ้าคุณไม่ไป ฉันจะไม่ไปจริงๆ"

 ในเวลาเดียวกัน

 ในห้องอื่นในโรงแรมเดียวกัน

 "เส่าเฉิน เจ้าหน้าที่ตรวจสอบของโรงแรมเห็นคุณเฉินออกจากโรงแรมคนเดียว"

หนิงเส่าเฉิน ลุกขึ้นยืนโบกขายาว ๆ และเตะที่วางเท้าไปข้างหนึ่ง เขามาที่นี่จากที่ไกลและทิ้งสิ่งของมากมายไว้ข้างหลัง ก็แค่อยากเจอเธอ แต่เธอสบายดี และทิ้งเขาไป  ไปซื้อของคนเดียว ไปซื้อของสำคัญกว่าเหรอ?

"ผู้จัดเพิ่งโทรมาอีกครั้ง หวังว่าคุณจะเข้าร่วมงานในฐานะแขกได้ในคืนนี้"

 หนิงเส่าเฉิน เหลือบมองไปที่หลิวซู"ฉันบอกว่าฉันจะไม่ไปที่ที่น่าเบื่อแบบนี้"

 หลังจากพูดเสร็จเขาก็ลุกขึ้นยืนอย่างอดทนไม่ไว้และเดินออกไป

 "เส่าเฉินคุณจะไปไหน"

 "ที่นี่มันน่าเบื่อเกินไป ออกไปเดินเล่น"

งานเลี้ยงมอบรางวัลในตอนเย็นถูกจัดขึ้นในห้องโถงอีกแห่งของโรงแรมซึ่งอยู่ห่างจากห้องพักสองแห่ง ดังนั้น เฉินเป้ยอี จึงจับแขน ชูหยูจี้ และเดินออกจากห้องเพื่อเตรียมมุ่งหน้าไปยังงานเลี้ยง

 แต่ทันทีที่ออกจากโรงแรม ก็เห็น หนิงเส่าเฉิน และ หลิวซู เดินตรงไปยังสถานที่ของเธอซึ่งอยู่ห่างออกไปไม่ถึง 50 เมตร

เธอจับมือ ชูหยูจี้ แน่น

 "เย่หลิน คุณไม่อยากให้เขาค้นพบใช่ไหม?"

 “ คุณยังพูดเรื่องไร้สาระอยู่อีก?”

 ทันทีที่เสียงลดลง ชูหยูจี้ก็หันกลับมาและจูบเฉินเป้ยอี

เฉินเป้ยอี เบิกตากว้างกำหมัดแน่นโดยไม่รู้ตัวว่าอยากจะผลักเขา แต่ทันใดนั้นก็จำอะไรบางอย่างได้มือที่ยกขึ้นแล้วปล่อย

 หนิงเส่าเฉิน เห็นชูหยูจี้ จากระยะไกลและยังเห็นเฉินเป้ยอี ยืนอยู่ข้างๆเขา แต่เป็นเวลาหลายปีแล้วที่เขาได้เห็นคนที่สวยงามหลายแบบ ดังนั้นแม้ว่าเฉินเป้ยอี สวยถึงแบบไหน ในขณะนี้เขาก็แค่เหลือบมองจากนั้นก็ถอนสายตาออก

 เมื่อพวกเขาเห็นทั้งสองจูบกันในที่สาธารณะใบหน้าของพวกเขาก็เศร้ามากขึ้นและมันก็ยิ่งไม่น่าเชื่อมากขึ้นเรื่อย ๆ

 ดังนั้น เมื่อเขากำลังจะผ่านไป เขาก็ตั้งใจและเดินไปอีกด้านหนึ่งของทางออก

เมื่อ เฉินเป้ยอีมองไปที่ร่างจากด้านหลังเธอถอนหายใจด้วยความโล่งอก จากนั้นผลักชูหยูจี้ออกไปและจ้องที่เขา "เมื่อก่อนทำไมไม่รู้ว่าคุณไม่จริงจังขนาดนี้?"

 หลังจากพูดจบ ก็ปล่อยแขนของเขาและเดินไปข้างหน้าด้วยตัวเอง

ชูหยูจี้อดไม่ได้ที่จะยื่นมือออกไปแตะริมฝีปากยังมีความอบอุ่นของเขา รอยยิ้มบนใบหน้าของเขาสดใสขึ้นเล็กน้อย แม้ว่ามันจะไม่เจาะลึก แต่ก็ถือได้ว่าเป็นการชดเชยความว่างเปล่าของ 6 ปีที่ผ่านมาในใจของเขาและมันอยู่ในใจของเขามากขึ้น  เขาแอบสาบานที่จะได้รับหัวใจของผู้หญิงคนนี้

"เย่หลิน คุณไม่รู้สึกถึงการเต้นของหัวใจเหรอ" เขาไล่ขึ้นและถามที่หูของเธอ

 เฉินเป้ยอี มองเขาอย่างดูถูกอีกครั้ง "แน่นอนว่ารู้สึกใจเต้น"

 ชูหยูจี้ ดีใจมาก

 "ใครที่ใจไม่มีการเต้นของหัวใจก็ตาย"

 ผู้ติดตามที่อยู่ข้างๆเขาปิดปากและหัวเราะ

ชูหยูจี้ ตบเขาอย่างหนัก "ผมให้คุณฟังได้หรอ ให้คุณฟังหรอ"

 จากนั้นเขาก็ตามเธฮไป

เฉินเป้ยอี ยอมรับว่าเธอเป็นคนที่ไม่เคยเห็นโลกมาก่อน ครั้งเดียวที่เธอเข้าร่วมงานเลี้ยงใหญ่คือตอนที่หนิงเส่าเฉินหมั้น เธอยังอยู่ในห้องด้านหลัง

 ดังนั้นเมื่อเธอเห็นฉากที่ยิ่งใหญ่ต่อหน้าเธอเธอรู้สึกว่าขาของเธออ่อนแอ

“ ตั้งแต่คุณรู้ว่าเขาเป็นลูกของฉัน คุณควรรู้ว่าเสี่ยวซี ก็หน้าเหมือนกับฉัน ถ้าฉันลบเครื่องสำอางออกไป หนิงเส่าเฉิน ก็จะคิดถึงเรื่องนี้แน่นอน”

ราวกับรู้ว่าเธอจะถามคำถามนี้ ชูหยู่จี้ยักไหล่ "คิดว่ายังไง ในโลกนี้มีแค่ผมรู้ว่าคุณเป็นใครเหรอ"

 เมื่อชูหยูจี้พูดเช่นนี้ รอยยิ้มบนใบหน้าของเขาก็เป็นชัยชนะอย่างยิ่ง เมื่อเขาคิดว่าในโลกนี้มีเพียงเขาคนเดียวที่สามารถชื่นชมความงามของผู้หญิงคนนี้ได้ ดังนั้นช่วงเวลาแห่งความรักที่ยาวนานหลายปีจึงมีค่า

 "เย่หลินคุณให้เวลาผมสักหน่อยเมื่อผมยุติการแต่งงานที่บ้าน ผมจะพาคุณไปต่างประเทศไปที่ที่ไม่มีใครรู้จัก โอเคไหม?"

 ให้เวลาสักนิด?  ทันใดนั้นเฉินเป้ยอีก็คิดว่าหนิงเส่าเฉินพูดแบบนี้กับเธอเช่นกันและทันใดนั้นก็รู้สึกว่าทำไมเธอที่อยู่ไหนก็ต้องไปมีสภาพเหมือนเป็นมือที่สาม หรือเธอมีรูปร่างหน้าตาที่จะเป็นมือที่สามคนอื่น

"หยูจี้ ฉันเคยมีลูกแล้วและฉันก็ไม่คู่ควรกับคุณ"

 ชูหยูจี้ พยักหน้า "ไม่ต้องกังวล ผมรู้ว่า หนิงเสี่ยวซี เกิดได้อย่างไร ผมไม่รังเกียจ"

 เมื่อมองไปที่เขา เฉินเป้ยอีรู้สึกหมดหนทางเล็กน้อย เธออยากจะบอกว่าเธอและหนิงเส่าเฉินไม่บริสุทธิ์อีกต่อไปแล้ว ปากของพวกเขาก็เปิดออก แต่ในที่สุดเธอก็พูดว่า:

 “ ลูกผู้พี่ของคุณชอบฉัน คุณรู้ใช่ไหม!”

 “ แล้วยังไง เขาก็ไม่ได้อยู่ในสถานการณ์ที่ดีไปกว่าผมตอนนี้ เป้ยอี ว่าที่พี่สะใภ้ของผมคือคนที่ช่วยพี่ของผม แม้ว่าจะไม่มีความรักระหว่างพวกเขา แต่พี่สะใภ้ของผมก็ชอบพี่ของผม คุณคิดว่าเขาจะทอดทิ้งเธอเหรอ?”

 เขาหยุดและพูดอีกว่า "ยิ่งไปกว่านั้น ถ้าพี่ของผมเลิกการแต่งงานของเขากับพี่สะใภ้ของผมเพราะคุณจริงๆ ในชีวิตนี้ในใจของเขาจะมีเงาของพี่สะใภ้ของผม คุณทนได้เหรอ  ?”

ลำคอของเฉินเป้ยอี รู้สึกฝาดในขณะนี้ เธอไม่สามารถหาคำพูดที่จะต่อสู้กับชูหยูจี้ได้ เพราะเขากำลังพูดความจริงและเธอก็อยากจะหนีมาตลอด

 “ หยูจี้ มันเป็นไปไม่ได้สำหรับฉันและเขา คุณไม่จำเป็นต้องพูดอะไรอีกแล้ว”

 เมื่อเธอพูดสิ่งนี้ เฉินเป้ยอีรู้สึกเสียใจ

 เมื่อชูหยูจี้ได้ยินคำนั้น เขาก็ก้าวไปข้างหน้าและเขย่าแขนของเธอด้วยมือทั้งสอง "แล้วเป้ยอี คุณคิดอย่างไรกับผม ผมและผู้หญิงคนนั้นรู้จักเพราะแม่สื่อ เราไม่มีความรัก ผมจะบอกเลิกเธอภายในไม่กี่นาทีก็ได้ คุณคบกับผม โอเคไหม?”

 น้ำเสียงของเขากระตือรือร้นมาก แต่เฉินเป้ยอี ก็ลูบหน้าผากของเธอ“ หยูจี้ ตอนนั้นเรายังเด็กและความรู้สึกในตอนนั้นไม่ใช่ความรัก คุณมีสติหน่อยได้ไหม?”

 เธออยากโน้มน้าวชูหยูจี้

“ รักรึเปล่า ผมรู้ดีกว่าทุกคน ทำไมไม่ถามผมว่าไปเรียนที่นั่นทำไม”

เฉินเป้ยอีพยักหน้าอันที่จริงเธอก็สงสัยเช่นกัน ด้วยภูมิหลังครอบครัวของเขาไม่มีเหตุผลที่จะไปเมืองเล็ก ๆ เช่นบ้านเกิดของเธอเพื่อเรียนที่นั่น

ชูหยูจี้ โน้มตัวไปข้างหน้าโดยให้หลังพิงกับตัวถังรถและมุมปากของเขายกขึ้นเล็กน้อย "ปีนั้นเป็นช่วงปิดเทอมฤดูร้อนของปีแรกของโรงเรียนมัธยมปลาย ในเวลานั้นผมและเพื่อนร่วมชั้นบางคนกำลังเดินทางไปที่นั่น เรานัดกันว่าจะตื่นเช้าในวันรุ่งขึ้น  ไปปีนเขาเพื่อดูพระอาทิตย์ขึ้น วันนั้นคุณกำลังเก็บดอกคามิเลีย เราหลงทางและถามเส้นทางจากคุณ คุณสวมชุดสีขาวและผมยาว เมื่อคุณมองกลับมาที่เราคุณยิ้มเล็กน้อยและถามเราว่า มีเรื่องอะไรรึเปล่า?  ผมตกหลุมรักคุณ ผมโตขนาดนี้แล้ว ก็เพิ่งรู้สึกใจสั่นเป็นครั้งแรก … "

เฉินเป้ยอี รู้สึกตกตะลึงและเธอไม่เคยคิดว่า ชูหยูจี้ จะรู้จักเธอก่อนไปโรงเรียน … ดูเหมือนจะมีความประทับใจมาก่อน แต่เพราะเธอไม่ได้ให้ความสนใจมาก ในภายหลังเธอจึงลืมในเวลานั้นไป

 "ต่อมาผมได้สอบถามเกี่ยวกับโรงเรียนของคุณ ขอร้องพ่อแม่ของผมและย้ายผมไปอยู่ข้างคุณ ตอนนั้นพ่อของผมเกือบจะตัดความสัมพันธ์แบบพ่อ – ลูกกับผมด้วยเหตุนี้ เป้ยอีคุณว่า  ผมกับคุณเป็นความรักหรือเปล่า”

 เมื่อเขาบอกว่าเขาเกือบจะตัดขาดความสัมพันธ์ระหว่างพ่อลูกกับพ่อ ไม่มีการแสดงออกอื่นใดบนใบหน้าของเขา แต่ว่าเฉินเป้ยอีเข้าใจดีว่ามันคงไม่ใช่กระบวนการที่ง่าย อย่างไรก็ตามภูมิหลังครอบครัวของเขาจะต้องมาถึงเธอ  ไปเรียนที่โน่นกลางทางจะเป็นยังไงไม่ต้องพูดถึง เธอก็เข้าใจเช่นกัน

“ งั้นในช่วงปิดเทอมฤดูร้อนคุณจะไปที่โรงแรมเป็นพนักงานเสิร์ฟใช่ไหม เป็นเพราะพ่อของคุณไม่ได้จ่ายค่าครองชีพหรือค่าเล่าเรียนให้คุณ”เฉินเป้ยอี คิดถึงเรื่องนี้จึงถาม

 ชูหยูจี้ ลูบหัวของเธอและยิ้มเล็กน้อย "ยังไม่โง่นิ พ่อบอกว่าปล่อยผมไว้คนเดียว ผมไม่สามารถทำอะไร แต่เพื่อให้เจอคุณทุกวัน ดังนั้นผมต้องหาเงินด้วยตัวเอง"

 โพรงจมูกของเฉินเป้ยอีเริ่มแสบ ไม่ว่าเธอจะรักผู้ชายคนนี้หรือไม่ก็ตาม แต่เธอก็ยังรู้สึกตื้นตันและพูดไม่ออก เมื่อมีผู้ชายทุ่มเทให้เธอมากมายแบบนี้

 "ผมไม่ชอบเป็นประธานชมรมคนพิการทางสมอง แต่ … ผมอยากเจอคุณและผมอยากเจอคุณทุกวัน ผมก็เลยต้องทำ ผมไม่ชอบเล่นบาสเก็ตบอล แต่คุณชอบดูมัน ผมก็เลย  ไปเรียน … ” เขายังคงจำได้

ดวงตาของเฉินเป้ยอี เปลี่ยนเป็นสีแดงและเธอดุว่าเขาเป็นคนโง่ แต่เธอก็เสียใจที่โชคชะตากำลังเล่นตลก ถ้าเราสามารถพบกันได้เร็วกว่านี้

 บางทีเธออาจจะรักเขาในตอนนี้ แต่เธอไม่แน่ใจ เธอมีหัวใจและถูกกำหนดให้มอบให้กับคน ๆ เดียวเท่านั้น

 หัวใจของเธอมอบให้หนิงเส่าเฉินในวันนั้น

 เธอหายใจเข้าลึก ๆ และพูดว่า "ไปกันเถอะคืนนี้ฉันจะไปกับคุณ" นี่เป็นเพียงวิธีการรักษาความรู้สึกเล็ก ๆ น้อย ๆ สำหรับการอุทิศตัวของเขาตลอดหลายปี

 หัวใจมนุษย์เป็นเนื้อ เด็กผู้ชายคนหนึ่งรักคุณ รักจนเขาโตเป็นหนุ่ม ก็ยังคงไม่เลิกรัก

 หัวใจของเธอรู้สึกตื้นตันมาก แม้ว่ามันจะไม่เกี่ยวข้องกับความรักก็ตาม!

 "คุณรับปากแล้ว?"

 หลังจากที่เฉินเป้ยอีพยักหน้า ชูหยูจี้ก็อุ้มเธอขึ้นมาและหมุนตัวเป็นวงกลม นี่เป็นวันที่เขามีความสุขที่สุดในรอบหกปี

 "ตกลง คุณวางฉันลง"เฉินเป้ยอี เหลือบมองไปรอบ ๆ อย่างมีสติ โชคดีที่คนอื่นทั้งหมดออกไปแล้ว

“ อย่างไรก็ตาม คุณต้องช่วยฉันด้วยและคุณห้ามให้คนอื่นตรวจฉันได้” เธอไม่อยากที่จะทำลายคำพูดสุดท้ายของแม่ แม้เธอจะไม่เข้าใจเหตุผล

 ถึงแม้ว่าแม่ของเธอจะไม่ชอบเธอมากนักตั้งแต่เธอยังเด็ก แต่เธอก็ยังคงดื้อดึงเชื่อว่าแม่ของเธอจะไม่ยอมให้เธอเปิดเผยรูปร่างหน้าตาที่แท้จริงของเธอ แต่มันก็เป็นเรื่องดีสำหรับเธอ

 ชูหยูจี้พยักหน้า เมื่อจำอะไรบางอย่างได้ในทันใดจึงพูดว่า: "ข้อมูลก่อนหน้านี้ของคุณเห็นได้ชัดว่าวิธีการนั้นของคน ๆ นั้นแย่เกินไป ผมขอให้คนทำอีกครั้งให้คุณเมื่อวานนี้ แม้ว่าจะเป็นลูกผู้พี่ของผม ถึงมีความสามารถมากขึ้นไปตรวจสอบ เรื่องคุณจะไม่มีเบาะแสใด ๆ รวมทั้งตัวตนก่อนหน้านี้ของคุณ ผมจะช่วยคุณจัดการทั้งหมด คุณมั่นใจได้ "

เฉินเป้ยอีดึงริมฝีปากของเธอและมองไปที่รอยยิ้มบนใบหน้าของชูหยูจี้ เธอรู้สึกได้ว่ากำลังทำให้เกิดปัญหามากขึ้น

 งานเลี้ยงตอนเย็นจัดขึ้นในโรงแรมระดับห้าดาวที่หรูหราที่สุดในเมือง H ว่ากันว่าจะมีดารามากมาย

"เป็นคุณเหรอ " ชูหยูจี้  วันนี้เขาแต่งตัวเป็นทางการมากและดูเขามีเสน่ห์น้อยลงและสุขุมเล็กน้อย

เฉินเป้ยอี ยังจำเหตุการณ์ที่ทางเข้าร้านอาหารได้ ดังนั้นเมื่อมองไปที่ชูหยูจี้ในตอนนี้ เธอไม่ได้มีสีหน้าดีพอที่จะแสดงให้เขาเห็น

 "คุณเฉิน เข้าไปในรถ" เฉินเป้ยอี ก้าวถอยหลังไปสองก้าว "อย่ารบกวนเลยคุณชู"

 หลังจากพูดแล้ว เธอก็หันกลับไป แต่มันเป็นสถานที่ห่างไกล ถ้าไม่มีรถ เธออยากไป แต่กลัว เธอกระทืบเท้าของเธอ  เห็นได้ชัดว่า่ชูหยูจี้ คนนี้ตั้งใจให้เป็นแบบนี้

 “ ผมจะเข้าร่วมงานประกาศรางวัลในตอนเย็นผมขาดเพื่อนร่วมทางผู้หญิง ผมไม่รู้ว่าคุณเฉินจะให้เกียรติได้หรือไม่” ในขณะที่เขาพูด เขาก็มาถึงหน้าของเฉินเป้ยอี

เฉินเป้ยอี ขมวดคิ้ว ตอนเธอเป็นเพื่อนหญิงของชูหยูจี้  เธอคิดแค่ว่าผู้ชายคนนี้คงบ้า ผู้ชายหน้าตาดีหาสาวทำงานอย่างเธอมาเป็นเพื่อนผู้หญิงงั้นเหรอ?  เขาไม่กลัวถูกคนอื่นหัวเราะเหรอ?

เฉินเป้ยอี หันไปมอง ชูหยูจี้ "ประธานชู คุณหาคู่ผิดแล้ว"

 ชูหยูจี้ ส่ายหัวและมองไปที่เธอด้วยรอยยิ้มที่อธิบายไม่ได้ ในดวงตาของเขารอยยิ้มนั้นทำให้เฉินเป้ยอี อดไม่ได้ที่จะกลืนน้ำลาย

 ไม่ว่าจะเป็นการปลอมตัว ต่อหน้าชายคนนี้เธอก็รู้สึกขาดความเชื่อมั่นในตัวเอง

"ทำไมคุณต้องมองหาฉัน ในฐานะเจ้านายชูมีดาราใหญ่มากมาย  คุณเลือกใครก็ได้?"

 ชูหยูจี้ ไม่ได้ตกตะลึงกับการต่อต้านของเธอ แต่จ้องมองไปที่เธอ รอยยิ้มบนใบหน้าของเขาชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ

 ทันทีที่เฉินเป้ยอีถูกเขารหัวเราะ ในที่สุดเธอก็หันหัวและมองไปทางอื่น

เธอเข้าใจในทันทีว่ามันเป็นเรื่องหลอกที่ให้มาที่นี่เพื่อแต่งหน้า จริงๆอยากให้เธอมาร่วมงานเลี้ยงอาหารค่ำกับเขา

 ทันใดนั้น ชูหยูจี้ก็โน้มตัวมาและกระซิบที่หูของ เฉินเป้ยอี: " สหายเย่หลิน คุณจะแกล้งไปถึงเมื่อไหร่?"

 เมื่อเฉินเป้ยอี ได้ยินคำนั้น เธอรู้สึกว่าเลือดในร่างกายของเธอพุ่งขึ้นไปที่หัวของเธอในทันทีและเธอก็เซถอยหลังไปสองสามก้าว

 เมื่อมองไปที่ชายตรงหน้าอย่างไม่เชื่อสายตา เธอก็กัดริมฝีปากล่างเอียงหัวไปด้านหนึ่งปกปิดความตกใจในดวงตาของเธอและแสร้งทำเป็นระมัดระวัง: "คุณชู ฉันไม่รู้ว่าคุณกำลังพูดถึงอะไร?"

เธอไม่เชื่อว่า ชายคนนี้สามารถตรวจเรื่องก่อนหน้านี้ของเธอได้ ในขณะที่หนิงเส่าเฉินทำไม่ได้

 ชูหยูจี้วนรอบเธอและรอยยิ้มที่มุมปากของเขาก็ผุดขึ้นอีกครั้ง อารมณ์ของเขาดีมาก เขาอดไม่ได้ที่จะแต่ดึงเฉินเป้ยอีเข้ามาในอ้อมแขนของเขา "ผมคิดไม่ถึงว่าคุณจะเป็นเย่หลิน  วันนั้นหลังจากคุณและลูกผู้พี่ของผมจากไป ผมขอให้ใครสักคนตรวจสอบข้อมูลของคุณ คนนั้นบอกว่าข้อมูลของคุณก่อนอายุ 18 ปีเป็นของปลอมและผมก็ให้ตรวจอีกครั้ง เย่หลินคุณยังจำไฝที่หูและริมฝีปากของคุณได้ไหม?"

เฉินเป้ยอีขมวดคิ้วตุ่น เธออ้าปากค้าง "มันก็แค่ไฝ จะอธิบายอะไรได้"

 ชูหยูจี้ ปล่อยเธอและเกาจมูกของเธอ "คุณลืมไปเหรอ ตอนเราพบกันครั้งแรก คุณเรียกผมว่า หยูจี้ และตื่นเต้นมาก"

 หลังจากพูดจบ เขาก็จ้องไปที่เธอลูบแก้มเนียนและไร้ที่ติของเธอด้วยมือใหญ่ของเขาและหลังจากมองดูอย่างถี่ถ้วนสักครู่“ คุณแต่งหน้าให้ตัวเองน่าเกลียด เย่หลิน ทำไมคุณฉลาดจัง”

เฉินเป้ยอีโบกมือออกไปปิดหน้าด้วยมือทั้งสองข้างแล้วก้าวถอยหลัง

 "คุณอยากทําอะไร" เธอยังไม่พร้อมที่จะเปิดเผยจริงๆ

ชูหยูจี้ มองไปที่ใบหน้าตื่นตระหนกของเธอ ก้าวไปข้างหน้า ดึงเธออีกครั้งและสวมกอดเธอ"เย่หลิน แม้ว่าผมไม่รู้ว่าทำไมคุณถึงทำแบบนี้ คุณเชื่อผม  ผมจะไม่บอกเรื่องนี้กับใครถ้าคุณไม่อนุญาต”

คำสัญญาของเขาทำให้เฉินเป้ยอี ถอนหายใจด้วยความโล่งอก เธอผลักเขาออกไปและกัดริมฝีปากล่างของเธอ "คุณจะไม่บอกคนอื่นจริงๆเหรอ?" หลังจากที่เธอพูดจบ เธอก็พูดต่อ "ฉันขอโทษ ฉันมีความลําบากใจของตัวเองไม่ใช่ว่าจงใจปฏิเสธคุณ”

 ชูหยูจี้ เอื้อมมือไปแตะหัวของเธอ ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เขามักจะแตะหัวของเธอแบบนี้พร้อมกับยิ้มที่มุมปาก อันที่จริง ตอนนี้เขาไม่แน่ใจหลังจากการปรากฏตัวของผู้หญิงตรงหน้าเขา แตกต่างจากที่อยู่ในความทรงจำของเขาจริงๆ  มากเกินไป แต่ไม่คาดคิดว่าจะเป็นเธอจริงๆ ความตื่นเต้นในใจของเขานั้นเกินคำบรรยาย

"ผมไม่สนใจว่าคุณเปลี่ยนเป็นใคร เย่หลิน ผมสนใจว่าคุณเป็นใคร"

 เมื่อเฉินเป้ยอีมองไปที่เขา เธอรู้สึกเก้อเขินเล็กน้อย เธอเคยตัวเล็กและเพิกเฉย ทั้งสองคนทะเลาะกับ่อย และพวกเขาก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกัน อย่างไรก็ตามหลังจากทราบเจตนาของเขา เธอก็ไม่สามารถปล่อยไปได้

 ชูหยูจี้ จมอยู่ในความตื่นเต้นและไม่สังเกตเห็นความแปลกแยกของเธอ

 "ตอนกลางคืนไปดินเนอร์กับฉันได้ไหม"

เฉินเป้ยอีคิดว่าเขาจะทิ้งเธอแน่นอนเมื่อเขารู้แต่คิดไม่ออกว่า เขายังคงยืนยันคำเดิม

"หยูจี้ ลูกผู้พี่ของคุณบอกว่าคุณจะแต่งงานแล้วและคุณก็พาฉันไปเป็นเพื่อนผู้หญิงของคุณในวันนี้ คุณเคยคิดเพื่อฉันหรือไม่ และผู้คนจะปฏิบัติต่อฉันอย่างไร" เธอกำลังจะเล่นหงายการ์ดอารมณ์

 ชูหยูจี้ ยังคงยิ้ม โน้มตัวและพูดข้างหูเธอเบา ๆ : "แล้วถ้าคนที่ผมพามาเป็นคนที่ไม่มีโอกาสได้เจอและรู้จักล่ะ?"

เฉินเป้ยอีขมวดคิ้วและมองเขาอย่างงงงวย

 “ ผมอยากให้คุณไปกับผมใช้ใบหน้าของ เย่หลิน”

 เขามีความคิดนี้เมื่อแรกเริ่มสร้างบริษัท เย่หลิน ตอนนั้นเขาจินตนาการว่าวันหนึ่งในอนาคตเขาจะจับมือเธอและเดินบนพรมแดง

 เพียงแค่ว่าในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ไม่มีข่าวใด ๆ จากเธอและมันก็นานเกินไป นานมากจนเขาเกือบจะยอมแพ้

จู่ๆเธอก็ปรากฏตัวต่อหน้าเขาแบบนี้โดยไม่มีการเตือนล่วงหน้า

เฉินเป้ยอีหยุดชั่วคราว เขาหมายความว่าอย่างไร

 "ล้างเครื่องสำอางออกหลังจากเข้าร่วมงานเลี้ยงแล้ว คุณค่อยแต่งหน้าอีกครั้งใครจะรู้ว่าคุณเป็นใคร"

 "นี่ … ต้องเป็นแบบนี้เหรอ"เฉินเป้ยอีมองไปที่การปรากฏตัวของชูหยูจี้ มันมีความจำเป็นอย่างยิ่ง แต่เธอก็ยังคงถามโดยไม่ยอมแพ้

 ชูหยูจี้ ขมวดคิ้ว "เย่หลิน คุณไม่ให้ผมบอกคนอื่น คุณต้องให้ของตอบแทนกับผมและ … "

เขาวนรอบเธอไปรอบ ๆ หยุดอยู่ข้างหลังเธอและดวงตาของเขาก็วูบลง“ หนิงเสี่ยวซีเป็นลูกของคุณหรือ?” แม้ว่านักสืบจะบอกว่าเธอให้กำเนิดลูกในตอนนั้น  แต่หาเด็กคนนั้นไม่เจอ แต่เธอไปที่บ้านของตระกูลหนิง และทำงานเป็นพี่เลี้ยงเด็กของหนิงเสี่ยวซี เขาไม่เชื่อว่ามันเป็นแค่เรื่องบังเอิญเขาจึงถามอย่างไม่แน่ใจ

หลังจากที่เฉินเป้ยอีผ่อนคลาย ในที่สุดเธอก็ต้องตัวแข็งอีกครั้ง พระเจ้าของฉัน  IQ ของผู้ชายคนนี้คือเท่าไร สามารถคาดเดาทุกอย่างได้ในเวลาสั้นแบบนี้

เฉินเป้ยอี มองไปที่สภาพแวดล้อมโดยรอบ นอกจากที่รู้ว่าที่นี่อยู่ที่เมือง H  เธอไม่รู้จริงๆว่าสถานที่แห่งนี้ อยู่ที่ไหน“ ในหมู่บ้านห่างไกล?” หลังจากคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้แล้ว เธอก็เดินต่อไปอีกสองสามก้าว  ลดเสียงลง "โอ้ ฉันเจออดีตคนรักคนหนึ่งของคุณอยู่ที่นี่ คนที่รู้จักและเข้าใจซึ่งกันและกันของคุณหนิงอยู่ที่ไปทุกที่เลยนะ"

เฉินเป้ยอี ไม่รู้ว่าเธอมีความคิดอะไร ก็แค่ทนไม่ไหวที่จะอยากเยาะเย้ยเขา

 หนิงเส่าเฉิน เอนหลังบนโซฟา ตาเขหน่อยและมีรอยยิ้มที่ชัดเจนในดวงตาของเขา "หึงแล้วหรอ?"

เฉินเป้ยอี ตกใจเล็กน้อยและรู้สึกใจลอยอยู่ครู่หนึ่ง หึง ไม่ เธอหึงอะไร

 "คุณไม่อยากรู้ว่าเป็นใครเหรอ" เธอไม่เชื่อ ผู้ชายคนนี้ไม่มีความอยากรู้

 รอยยิ้มในดวงตาของหนิงเส่าเฉินแข็งแกร่งขึ้น "ไม่ ผมแค่คิดถึงคุณ"

 เมื่อเฉินเป้ยอีได้ยินคําพูดนี้ คิ้วของเธอก็ขยับและปากของเธอก็ขยับ และเธอไม่สามารถรับมันได้อีกต่อไป

 หัวใจของเธอเต้นรัวและเกือบจะวางสายด้วยความตื่นตระหนก

 ผู้ชายคนนี้ ถ้าเขายั่วยุใจของเธอแบบนี้ เธอไม่บ้าจะแปลกมาก

 ในช่วงบ่าย เซี่ยซู่ มีเพียงถ่ายละครแค่สองฉากและหลังจากถ่ายทำเสร็จงานก็สิ้นสุดลง

 ทันทีที่ เฉินเป้ยอีไม่มีงานที่ทํา จึงเริ่มเบื่อ เธอก็เตรียมที่จะไปเดินเล่นคนเดียว

“ คุณเฉิน อย่าไปไกลนะ เดี๋ยวพวกเขาสองคนเสร็จแล้ว พวกเราก็จะกลับไปที่เมืองอีกเพื่อพักผ่อน” เมื่อคนที่รับผิดชอบเห็นว่าเป้ยอีเดินไปที่ข้างนอก เขาจึงเรียกเธอ

 หมู่บ้านนี้ ไม่ใหญ่เกินไป คนหนุ่มสาวในหมู่บ้านออกไปทำงานกันหมดแล้วและคนที่ยังอยู่ก็ แก่ชรา อ่อนแอ เจ็บป่วยและพิการ เพิ่มความรู้สึกอ้างว้าง

เดิมอารมณ์ก็ดีอยู่ แต่เมื่อเดินไปรอบ ๆ  ก็รู้สึกหดหู่เล็กน้อยโดยไม่มีเหตุผล จริงๆแล้วลักษณะนิสัยของเธอมองโลกในแง่ดี แต่ในใจของเธอก็อ่อนไหวมากและเธอมองเห็นฉากเหล่านี้ไม้ได้

“ คุณป้า คุณมาจากภายนอกหรอ?” ทันใดนั้นก็มีเสียงเด็ก  ดังมาจากด้านหลัง ไม่ใช่ภาษาจีนกลางที่เป็นมาตรฐาน แต่ถ้าคุณตั้งใจฟังคุณก็เข้าใจได้ เฉินเป้ยอีหันกลับมามองเธอ อายุของเธอใกล้กับเสี่ยวซี ใบหน้าอาจจะถูกลมแดดพัดเป็นสีดำและสีแดง เสื้อผ้าที่สวมใส่แม้จะดูมอมแมม แต่ก็ดูสะอาดสะอ้านดูให้ดีใบหน้าเล็ก ๆ นั้นดูบอบบางมาก

 "คุณป้า คุณมาจากภายนอกหรอ" เธอพูดซ้ำ

เฉินเป้ยอี เข้าใจว่าเธอกำลังพูดถึงภายนอกควรหมายถึงโลกภายนอกและพยักหน้าว่า "ใช่"

"คุณป้า คุณยายของฉันบอกว่าพ่อแม่ของฉันทั้งสองออกไปหาเงินที่ข้างนอก" เธอดึงเสื้อผ้าและเหลือบมองไปทางเข้าหมู่บ้านด้วยความคาดหวังที่ชัดเจนในสายตาของเธอ "พวกเขาจะกลับมาทุกตรุษจีนและยังมี 14 วัน  ก็ถึงวันตรุษจีน วันปีใหม่จีนแล้ว"

วันตรุษจีน ยังเหลือ 14 วัน  ทันใดนั้นจมูกของเฉินเป้ยอีเริ่มแสบจมูก ดวงตาของเธอก็เปลี่ยนเป็นสีแดง

นี่ก็คือเด็กที่ถูกทอดทิ้งให้อยู่ที่นี่ใช่ไหม เธอเอื้อมมือไปแตะหัวของเธอ หยิบบิสกิตและลูกอมออกมาจากถุงแล้วยื่นให้เธอ แต่เด็กหญิงตัวเล็ก ๆ ส่ายหัว "คุณป้า คุณยายบอกว่ากินอาหารของคนอื่นไม่ได้"

เฉินเป้ยอีรู้สึกชื่นชม ในพริบตาเธอจับมือเด็กหญิงตัวเล็ก ๆ ใส่ของในมือและในกระเป๋าของเธอ“ แม่และพ่ออยากให้อนาคตที่ดีกว่าแก่คุณอย่างแน่นอน ดังนั้นจึงไม่มีทางที่จะปล่อยให้คุณอยู่คนเดียวที่บ้าน  อย่าโทษพวกมันรู้ไหม”

หลังจากที่เธอมีหนิงเสี่ยวซีแล้ว เธอก็รู้ดีว่าหากไม่ใช่เพราะมีจําใจมาก ไม่มีพ่อแม่คนไหนเต็มใจที่จะแยกออกจากเลือดเนื้อตัวเอง

 เด็กหญิงตัวเล็กพยักหน้า "ฉันไม่โทษพวกเขา ฉันแค่คิดถึงพวกเขามาก เพื่อนตัวน้อยในหมู่บ้านต่างก็ถูกรับไปโดยพ่อแม่ของพวกเขาแล้วและแค่เหลือฉันไว้อยู่คนเดียว ไม่มีใครคุยกับฉัน"

 ไม่มีใครคุยกับเธอ ดังนั้น เมื่อเห็นเธอก็อดทนไม่ได้ที่จะทักทาย?

 เฉินเป้ยอีรู้สึกอึดอัดมากในใจของเธอและในที่สุดก็กลั้นน้ำตาไว้แล้ว แต่ก็ยังคงคุกเข่าลงและดึงเธอเข้าสู่อ้อมแขนของเธอ

 “ ขอความเห็นใจของคุณให้ผมบ้างได้ไหม” เสียงผู้ชายที่คุ้นเคยดังเข้ามาในหูของเธอจากด้านหลัง

เฉินเป้ยอีเริ่มตัวแข็งหันหัวและเห็นหนิงเส่าเฉินที่ยืนอยู่ไม่ไกล

 หลังจากตรวจสอบเวลาแล้ว ใช้เวลานานกว่าสองชั่วโมงหลังจากวางสาย เขามาที่นี่ได้อย่างไร?

 “ คุณ คุณมาที่นี่ทำไม?”

 เมื่อเห็นหนิงเส่าเฉิน เด็กหญิงตัวเล็ก ๆ ดูกลัวเล็กน้อยและถอยหลังไปสองก้าว "คุณป้า ฉันจะกลับบ้าน ลาก่อน"

 เมื่อเห็นเธอวิ่งไปสองก้าวแล้ว ก็อดไม่ได้ที่จะหันกลับไปมอง เฉินเป้ยอีโบกมือให้เธอ

"ในโลกนี้ยังมีคนที่ขมขื่นกว่านี้อีกมากมาย ถ้าคุณเห็นคนที่ทุกข์ใจ คุณก็รู้สึกทุกข์ใจไว้ได้" จริงๆแล้ว เขาอยู่ที่นี่มาชั่วครู่หนึ่งแล้ว

 เขามาถึงที่นี่ ก่อนที่เด็กหญิงจะทักทายเธอ

 เมื่อเห็นน้ำตาของเธอเพราะคำพูดของเด็ก ก็เข้าใจอารมณ์ความรู้สึกของเธอที่มีต่อหนิงเสี่ยวซี

 "คุณหนิง ยังคงรู้จักความทุกข์ทรมานในโลกนี้หรอ" เฉินเป้ยอีลดหัวลง นิ้วเรียวเช็ดน้ำตาบนใบหน้า เงยหน้าขึ้นมองหนิงเส่าเฉินและตั้งใจถากถาง

 หนิงเส่าเฉินเลิกคิ้ว แต่เขาไม่รู้สึกรำคาญ เขาก้าวไปข้างหน้า ยืนข้างๆเธอแล้วก้มลงมองเธอ“ ความทุกข์บางอย่างแก้ไขได้ด้วยเงินและความทุกข์บางอย่างไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยเงิน  "

 เฉินเป้ยอีคิดอยู่พักหนึ่ง "ยังมีเรื่องที่ใช้เงินที่แก้ไขไม่ได้เหรอ?"

หนิงเส้าเฉินพยักหน้าและลูบหัวของเธอ“ แน่นอน คุณลองกินยามา 14 ปีเพื่อให้นอนหลับดูสิ ”

 14 ปี ที่ต้องพึ่งพายา เธอเงยหน้าขึ้นมองชายตรงหน้าและตระหนักว่าคน ๆ นี้ควรจะเป็นเขาใช่ไหม?  14 ปี?  นั่นหมายความว่ามันเริ่มตั้งแต่อายุ 13 ไม่ใช่เหรอ  เมื่อนึกถึงสิ่งนี้หัวใจของเธอก็รู้สึกว้าวุ่น แม่นมหลิวกล่าวว่านั่นเป็นเพราะเขาเคยมีประสบการณ์บางอย่างเมื่อเขายังเป็นเด็ก

 เธออ้าปากอยากจะถามเขาว่าอะไรที่ทำให้เขาหลับไม่ลง แต่ในพริบตาเธอก็รู้สึกว่ามันคงไม่ใช่เรื่องดีแน่ ๆ เธอจึงปิดปากและไม่อยากสัมผัสความเจ็บปวดของเขา

การแสดงออกของเธออยู่ในสายตาของเขา หนิงเส่าเฉิน เหลือบมองเธอด้วยความโล่งใจและยืดตัวขึ้น "โอเค เก็บเห็นใจของคุณและรีบกลับไปหากลุ่มละคร พวกเขาเกือบจะเสร็จแล้ว"

 หลังจากพูดจบ ก็เป็นเดินไปยังทางเข้าหมู่บ้าน

แสงของดวงอาทิตย์ทอดแสงลงที่หลังของเขา แม้ว่าพื้นดินจะไม่สม่ำเสมอและการเดินก็ค่อนข้างเป็นหลุมเป็นบ่อ แม้ว่าสภาพแวดล้อมโดยรอบจะไม่เข้ากับเขามากนัก แต่ก็ยังไม่ส่งผลต่อความพราวของเขาในตอนนี้

 “ จะไปไหน” ดูเหมือนเขาจะไม่เตรียมไปด้วยกันกับเธอ

 หนิงเส่าเฉินหยุดชั่วคราวหันกลับมาและขีดที่มุมปากของเขา "คุณหมายความว่า คุณไม่ถือสาที่คนอื่นเห็นเราอยู่ด้วยกันหรอ"

"อา ไม่ … ถือสามาก" เฉินเป้ยอี ส่ายหัว แต่หัวใจของเธออบอุ่นด้วยผู้ชายคนนี้ เธอรู้ดีว่า เขาไม่สนใจความคิดเห็นของคนอื่นเลย แต่เขาเลือกที่จะทำเพื่อเธอ  

"คุณกลับไปที่โรงแรมกับพวกเขาก่อน เดี๋ยวผมจะติดต่อคุณ" เสียงชายหนุ่มส่งผ่านในสายลม จากนั้น ก็เงยหน้าขึ้นอีก ร่างด้านหลังค่อยๆจางหายไปจากสายตา

ทันทีที่เฉินเป้ยอีมาถึงกลุ่มละคร กลุ่มละครซึ่งก่อนหน้านี้แออัดเกินไปก็ว่างเปล่าในขณะนี้แค่มีรถสีดำและหยุดอยู่ที่สี่แยก เธอมองไปรอบ ๆ และสงสัยว่าทำไมคนที่รับผิดชอบไม่ติดต่อเธอก่อน?

เธอทำหน้ามุ่ยวิ่งไปที่รถ แต่ก่อนที่เธอจะไปถึง ประตูรถก็ถูกผลักเปิดจากด้านในและมีร่างหนึ่งออกมา

ผู้จัดการหลินหัวเราะฮ่าๆสองครั้งว่า "คุณคิดว่าเขาให้คุณทั้งสามไปจะทำอะไรได้อีก พวกคุณจะทำอะไรได้?" หลังจากพูดก็วางสาย

เฉินเป้ยอีขมวดคิ้ว แต่เธอไม่ลืมว่าเมื่อวานนี้เธออารมณ์เสียกับชูหยูจี้อยู่

เขาจะแก้แค้น? หรือเป็นแค่ธุรกิจ?

เธอไม่เข้าใจ แต่รีบเก็บของเปลี่ยนเสื้อผ้าหยิบบัตรประจำตัวฯลฯ แล้วก็ออกไป

เมื่อเธอไปถึงประตูบริษัท เธอเห็นเพื่อนร่วมงานอยืนอยู่ ในเวลาเดียวกันน้องสาวอ้วนและหม่าชิงชิง …ก็ขมวดคิ้วทำงานกับน้องสาวอ้วน แม้ว่าครั้งที่แล้ว จะเรียนรู้เรื่องส่วนตัวของเธอไปบ้าง แต่มันก็ทำให้เธอเปลี่ยนไปบ้าง แต่ก็ไม่ได้ทำให้เธอไม่ชอบเธอ แต่กับหม่าชิงชิงคนนี้ ตั้งแต่ครั้งสุดท้ายที่พวกเขาแต่งหน้าให้เกาเหวิน ทั้งสองไม่ค่อยได้เจอกัน เห็นได้ชัดว่าผู้หญิงคนนี้เกลียดเธอ

อันที่จริง เธอไม่เข้าใจจริงๆ แค่การแต่งหน้าไม่ใช่เหรอ? จริงจังอะไร?

“คราวนี้พวกคุณจะไปที่ฐานภาพยนตร์ และโทรทัศน์เพื่อแต่งหน้าให้ดารายอดนิยมและจำได้ว่าการเชื่อฟังเป็นนโยบายที่ดีที่สุด เข้าใจไหม? "ความร่วมมือครั้งแรกกับเย่หลิน ผู้จัดการหลินดูประหม่าเล็กน้อยและพูดคำเดิมซ้ำแล้วซ้ำเล่า

ในที่สุดสายตาของเขาก็ตกลงที่เฉินเป้ยอี "เป้ยอี คุณคุ้นเคยกับเจ้านายของพวกเขา ในตอนกลางถ้ามีอะไร คุณจำไว้ว่าดูแลเขาให้ดีเมื่อคุณอยู่ข้างนอก" หลังจากพูดเสร็จ เขาก็เดินไปรอบๆหลังหม่าชิงชิง

เฉินเป้ยอีเห็นชัดว่า เขาบีบเอวของเธอ

ทันใดนั้น ความรู้สึกคลื่นไส้ในใจก็แรงขึ้น

หลังจากนั้นไม่นานรถก็ขับมา

เมืองH ใช้เวลาขับรถจากเมืองCประมาณ4ชั่วโมง จากนั้นทั้งสามคนก็ถูกนำตัวไปที่กองถ่ายทำ หลังจากลงจากรถ

"กองถ่ายที่นี่เร่งรีบมาก พวกคุณทำงานให้ก่อน หลังจากแต่งหน้าเสร็จผมจะพาพวกคุณไปทานอาหาร" คนที่มาส่งพวกเขาพูดกับพวกเขาอย่างสุภาพ

จากนั้น ทั้งสามได้รับมอบหมายให้แต่ละคนแต่งหน้าในเวลาเดียวกัน

เฉินเป้ยอีการแต่งหน้าให้ดาราหญิงชื่อเซี่ยซู่ เฉินเป้ยอีเคยเห็นเธอในทีวี แม้ว่าเธอจะอายุน้อย แต่เธอก็มีทักษะการแสดงที่ดีมาก

เมื่อพบกับดาราในชีวิตจริงเป็นครั้งแรก เฉินเป้ยอีรู้สึกกังวลเล็กน้อย

"สวัสดีค่ะ" เธอทักทายและในขณะเดียวกันก็เปิดเคสแต่งหน้าที่เธอนำมาด้วย

"ใช้ของฉันเอง" ในขณะที่เสียงผู้หญิงอ่อนโยนดังขึ้นในหู กระเป๋าเครื่องสำอางขนาดเล็กที่ถูกส่งให้เฉินเป้ยอี

ในครั้งนี้เซี่ยซู่รับบทเป็นครูหญิงในชนบท ดังนั้นในการแต่งหน้า จึงต้องการความเป็นธรรมชาติและเรียบง่าย เพิ่มความเป็นธรรมชาติในใบหน้า

สำหรับเฉินเป้ยอีมันไม่ยากเกินไป หลังจากมองดู ไม่กี่วินาทีเธอก็รีบแต่งหน้า

เซี่ยซู่มองอย่างระมัดระวังในกระจกแต่งหน้าสักครู่ แล้วยิ้มด้วยความพึงพอใจ

รูปทรงของใบหน้าของเธอค่อนข้างชัดเจน หลังจากแต่งหน้าแล้วจะดูนุ่มนวลขึ้น

"เทคนิคนี้ดีจัง" เธอวางกระจกแต่งหน้าและกล่าวชมอย่างมีน้ำใจ

"ขอบคุณค่ะ" เมื่อได้รับการยืนยัน เฉินเป้ยอีรู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อยในใจของเธอ เซี่ยซู่คนนี้ไม่หยิ่งเลย ไม่ยิดติดการเป็นดารา

"เป้ยอี เธอยังคงโชคดีที่สุด ฉันกับชิงชิงต้องแต่งสองดาราใหญ่ เรื่องมาก ไม่ชอบสิ่งนี้และไม่ชอบสิ่งนั้น น่ารำคาญมาก" ในขณะที่รับประทานอาหารน้องสาวอ้วนบ่นว่าคนที่เธอแต่งหน้าเรื่องเยอะเกินไป

หม่าชิงชิงจ้องมองเธอด้วยใบหน้าที่มืดมน“ เธอขอให้ประธานชู ช่วยเธอรึเปล่า ไม่อย่างนั้น ทำไมเธอถึงได้แต่งหน้าให้เซี่ยซู่?”

การคีบผักของเฉินเป้ยอีหยุดนิ่ง เธอไม่อยากต่อสู้กับผู้คน นับประสาอะไรกับศัตรู

ดังนั้น เธอจึงเงยหน้าขึ้นและมองไปที่หม่าชิงชิง “ คุณหม่าคะ อย่าพูดเรื่องไร้สาระ ระวังการพูดด้วย” หลังจากพูดเสร็จ ก็ก้มหน้าลงกินข้าวอย่างรวดเร็วแล้วลุกขึ้นและจากไป

"ชิงชิง อย่าไปอะไรมากกับเป้ยอีเลย อันที่จริงเธอเป็นคนดีมาก"

"เธอดีเหรอ? นั่นหมายความว่าเธอไร้เดียงสา" หม่าชิงชิงเหลือบมองเธออย่างดูถูก จากนั้นก็ลุกขึ้นและเดินไปในทิศทางที่แตกต่างจากเฉินเป้ยอี

สถานที่ถ่ายทำอยู่ในพื้นที่ชนบท บ้านโคลน ถนนไม่มีคอนกรด เป็นหลุมบ่อ เซี่ยซู่กำลังถ่ายทำฉากที่นางเอกถูกรังแก แค่เห็นผู้หญิงคนนั้นตบหน้า เฉินเป้ยอีก็ได้ยินเสียงจากระยะไกล

เธอขมวดคิ้ว ไหนบอกว่าจะตบมุมกล้อง? ตบจริงได้ไง?

จากนั้นก็มีการพูดคุยกันมากมาย

"ช่างแต่งหน้าอยู่ไหน" ทันใดนั้น ก็ได้ยินเสียงใครบางคนเรียกเธอ

เฉินเป้ยอีรีบไปข้างหน้า

ชายร่างอ้วนที่นั่งอยู่หน้าจอมอนิเตอร์ชี้ไปที่เซี่ยซู่"ช่างแต่งหน้า แต่งหน้าให้เธอใหม่"

เซี่ยซู่ปกปิดใบหน้า และเดินไป รอยนิ้วมือทั้งห้าที่เห็นได้ชัดบนใบหน้า ทำให้เฉินเป้ยอีกังวลเมื่อเห็นมัน ผู้หญิงคนนั้นอินเกินไปในการแสดงรึเปล่า? ทำไมถึงทำโหดร้ายเช่นนี้

“ คุณโอเคไหม” เธอถามเสียงดัง

เซี่ยซู่ส่ายหัว แต่ทันทีที่เฉินเป้ยอีเห็นน้ำตาที่ซ่อนอยู่ในดวงตาของเธอ เธอก็ถอนหายใจในทันที สีหน้าช่างไม่สดใสเลย

"ซู่เอ่อร์ ทำไมคุณโง่อย่างนี้ คุณเห็นผู้หญิงคนนั้นตบมา ทำไมเธอไม่หลบ?"คนที่ดูเหมือนผู้ช่วย ไม่รู้ว่าเอาผ้าขนหนูมาจากไหน "มา รับน้ำแข็งประคบมันจะบวมสักพัก โฆษณาเครื่องสำอางในอีกสามวันข้างหน้าคงถ่ายไม่ได้แล้ว"

เฉินเป้ยอีได้ยินครึ่งแรกของประโยค ก็รู้สึกอบอุ่น แต่เมื่อครึ่งหลังของประโยคถูกพูดออกมา ความรู้สึกก็เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง

ด้วยความเย็นชาในใจ เธอมองไปที่เซี่ยซู่โดยไม่รู้ตัว เธอก้มหน้าลงวางผ้าขนหนูไว้บนแก้มขวาของเธอ ไม่พูดและมองไม่เห็นว่าเธอคิดอะไรอยู่

"พี่คะ โฆษณานั้นช่วยฉันถอนออกไปเถอะ เมื่อเร็วๆนี้ฉันไม่สบายนิดหน่อย" เธอถอดผ้าขนหนูในมือออกแล้วพูดช้าๆ

ใบหน้าของคนที่เธอเรียกว่าพี่จมลง "ซู่ นั่นเป็นโฆษณาของหนิงกรุ๊ป คุณแน่ใจหรือว่าต้องการถอนออก?"

เมื่อได้ยินชื่อหนิงกรุ๊ป เฉินเป้ยอีก็นึกถึงหนิงเส่าเฉิน

มันไม่น่าจะบังเอิญขนาดนี้เถอะ?

“เขาหมั้นกับเกาเหวินแล้ว ถึงฉันจะมีโอกาสพบเขา แล้วจะทำอะไรได้?

หมั้นแล้ว?เฉินเป้ยอีกลืนน้ำ เป็นหนิงเส่าเฉินอย่างไม่ต้องสงสัยแล้ว

ตอนที่คิดจะซื้อเสื้อผ้าครั้งนั้น หนิงเสี่ยวซีพูดถึงผู้หญิงของหนิงเส่าเฉิน เธอมองไปที่เซี่ยซู่ บางทีเธออาจจะเป็นหนึ่งในนั้นด้วย?

"ซู่ ไม่แน่ใจว่าเกาเหวินจะแต่งงานกับหนิงเส่าเฉินได้หรือไม่ พวกเขาอยู่ด้วยกันมาหลายปีแล้ว คุณรู้ไหม? เพื่อนช่างเสริมสวยของฉันบอกว่า เกาเหวินมักจะไปหาพวกเขาเพื่อดูแลส่วนตัว ว่ากันว่าตอนนี้เธอยังเป็นหญิงบริสุทธิ์อยู่? มันอธิบายอะไรได้ หมายความว่าหนิงเส่าเฉินไม่ชอบเธอเลย มิฉะนั้นเด็กคนนั้นจะหนีไปได้หลายปี "

เมื่อเฉินเป้ยอีได้ยิน เธอก็อดไม่ได้ที่จะเงยหน้าขึ้นมองเซี่ยซู่ ผู้หญิงคนนี้ชอบหนิงเส่าเฉินเหรอ? และดูเหมือนจะไม่ใช่ความหลงใหลอย่างเรียบง่ายธรรมดา

แค่ หนิงเส่าเฉินไม่ได้อยู่กับเกาเหวินจนถึงตอนนี้ ซึ่งทำให้เธอประหลาดใจมาก

ในขณะนี้ โทรศัพท์ก็ดังขึ้น

เธอพยักหน้าให้เซี่ยซู่ ออกไปดูหมายเลขและแสดงหมายเลขที่ไม่รู้จัก แต่เธอรู้ว่าเป็นใคร

เธอหยิบขึ้นมา "คุณอยู่ไหน ทำไมไม่อยู่บริษัท "

เฉินเป้ยอีขมวดคิ้ว "คุณรู้ได้อย่างไรว่าฉันไม่ได้อยู่ในบริษัท " ชายคนนี้ส่งใครมาดูเธอหรือไม่?

"คุณยังไม่ตอบผมเลย คุณอยู่ที่ไหน?"

เธอผลักประตูให้เปิดออก เมื่อเห็นว่าห้องว่างเปล่า เฉินเป้ยอีก็ตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง พิงกำแพงและทันใดนั้นก็รู้สึกถึงความไร้พลัง …

"ของของคุณ ผมให้คนย้ายไปข้างหน้า" เสียงเย็นชานั้นแผ่วเบาอย่างภาคภูมิใจและดังมาจากด้านหลัง

เฉินเป้ยอีก้มหัวลงโดยไม่มีปฏิกิริยาใดๆ

"หนิงเส่าเฉิน คุณช่วยอยู่ห่างจากฉัได้ไหม? ฉันไม่ได้กำลังเล่นเกมกับคุณ ฉันคิดว่าเราไม่เหมาะกันจริงๆ ฉันเคยเป็นพี่เลี้ยงในบ้านของคุณ คุณไม่กลัวว่าคนอื่นจะหัวเราะเยาะคุณที่ชอบพี่เลี้ยงเหรอ? "

เธอไม่รู้ว่าตัวเองเป็นยังไง แล้วจู่ๆเธอก็คิดอะไรขึ้นมาได้ ในตอนนี้เธอก็อยากจะหาผู้ชายธรรมดาและแต่งงานด้วย

แบบนี้ เขาจะได้ไม่รบกวนเธอ และก็ไม่มีใครเข้าใจผิดเจตนาของเธอ ตัวเธอเองก็รู้ว่าเขามีคู่หมั้นแล้ว ยังถูกล่อลวงครั้งแล้วครั้งเล่าอย่างไร้ยางอาย

“ ผมก็อยากดู ใครกล้าหัวเราะ!”

เสียงของชายคนนั้นดังขึ้นในหู

เฉินเป้ยอีตกตะลึง เพียงแค่ตระหนักว่าหนิงเส่าเฉินได้ยืนอยู่ตรงหน้าเธอแล้วโดยไม่รู้ว่าเมื่อไหร่

เธอหายใจเข้าลึกๆ และอยากจะออกไป

แค่ก่อนที่จะก้าวเท้าออกไป ข้อมือก็ถูกรัดไว้แน่นโดยเขา

หนิงเส่าเฉินจ้องมองเธอ "ผมขอให้คนเปลี่ยนเฟอร์นิเจอร์ทั้งหมดในห้องตรงหน้า คุณไปดูก่อนได้ มีอะไรหายไปหรืออะไรที่คุณไม่ชอบก็บอกผม"

เฉินเป้ยอีกล่าวอย่างเย็นชา: "หนิงเส่าเฉิน ฉันบอกว่า ฉันไม่อยากเป็นนายหญิงหรือคนรักของคุณ คุณปล่อยฉันไป ได้ไหม?"

เธอไม่มีทางจินตนาการได้เลยว่า หากเกิดเหตุการณ์แบบนี้ เธอเองก็ไม่สามารถยืนกรานในหลักการและปฏิเสธเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่า

เขาเหมือนป๊อปปี้ รู้ชัดว่าจะติด แต่ยากที่จะขจัดออกไป

หน้าอกของหนิงเส่าเฉินหม่นหมอง และดวงตาตกลงบนใบหน้าของเธอ ความไม่ดีใจที่เห็นได้ชัด ทำให้เขารู้สึกทุกข์ใจ

เขายื่นมือออกไปโดยไม่ได้ตั้งใจ พยายามทำให้ความเศร้าระหว่างคิ้วของเธอราบรื่น

เฉินเป้ยอียิ้มมุมปาก โบกมือออกไป

หนิงเส่าเฉินเหล่ตาและหายใจออก เขาไม่เคยมีประสบการณ์เล้าโลมผู้หญิง ดังนั้น ในขณะเผชิญหน้ากับเฉินเป้ยอีที่รู้สึกหดหู่ใจ เขารู้สึกผิดหวังเป็นครั้งแรกในชีวิตของเขา

เขาก็ได้เข้าใจอีกครั้งว่า เงินไม่ใช่สิ่งที่ครอบจักรวาลได้ เพราะมันซื้อความรักไม่ได้ หรือแม้แต่รอยยิ้มจากผู้หญิงคนนี้ก็ซื้อไม่ได้

"หลังปีใหม่ ผมจะเสนอให้ยกเลิกสัญญาการแต่งงานกับเธอ"

“คุณไม่กลัวคนอื่นว่าคุณเนรคุณเหรอ” เธอจงใจตอกกลับเขา

“ผมจะทดแทนบุญคุณให้เธอด้วยวิธีอื่น”

ทันทีที่เฉินเป้ยอีเงยหน้าขึ้นก็เห็นความมุ่งมั่นในดวงตาของหนิงเส่าเฉิน เธอถอนหายใจเล็กน้อย ในใจมีความสุขและกังวล ความสุขของเองจำเป็นต้องขึ้นอยู่กับความทุกข์ทรมานของผู้อื่นจริงๆหรือ? จะมีประโยชน์หรือไม่?

"หนิงเส่าเฉิน พวกเรา … "

"แม่น้อย พวกคุณกำลังพูดถึงเรื่องอะไร"

ทันใดนั้นเสียงของหนิงเสี่ยวซีก็ดังขึ้น มาขัดจังหวะคำพูดของเฉินเป้ยอี อากาศที่เต็มไปด้วยความหดหู่จึงหายไปทันที

"เสี่ยวซี หนูมาที่นี่ได้ยังไง" เฉินเป้ยอีก้าวไปข้างหน้า กอดหนิงเสี่ยวซีลบความเศร้าหมองบนใบหน้าเมื่อครู่เปลี่ยนเป็นรอยยิ้มที่สดใส

ดวงตาของหนิงเส่าเฉินสบเข้ากับพวกเขา ในขณะที่เขารู้สึกอิจฉาหนิงเสี่ยวซีเล็กน้อย

“แม่น้อยครับ ลุงหลิวซูบอกว่า พ่อให้บ้านพักหลังใหญ่กับคุณ แล้วเขาพาผมมาดู”

หนิงเส่าเฉินขมวดคิ้ว หลิวซูแตะหน้าผาก เขารู้เลยว่าไม่ควรบอกเด็กแสบคนนี้ได้

เฉินเป้ยอีเดินโซเซสองสามครั้งก่อน ที่จะหันกลับมาและจ้องมองไปที่หนิงเส่าเฉิน“ คุณ … คุณซื้อมันเหรอ?”

"เสี่ยวซีบอกว่า บ้านของคุณเรียบง่ายเกินไป และเขารู้สึกไม่สบายใจ"

เมื่อเสียงลดลง หนิงเส่าเฉินก็มาถึงข้างเธอแล้ว

หนิงเสี่ยวซีกระตุกมุมปาก เขาเคยพูดอย่างนั้นหรือ?

แต่ หลังจากเปลี่ยนใจแล้ว ดูเหมือนว่าจะคิดอะไรบางอย่างได้ เขาเม้มปากที่มุมปาก ก้าวไปข้างหน้าและจับมือของเฉินเป้ยอี“ แม่น้อย พ่อผมอยากได้อะไรจากคุณที่เขาไม่มีใช่หรือเปล่า? "

เฉินเป้ยอีตกใจ สิ่งที่หนิงเส่าเฉินไม่มี?

“มีอะไรที่พ่อคุณไม่มีอยู่ที่นี่ฉันเหรอ”

หนิงเสี่ยวซีจับมือของเธอเขย่ารอบๆไปมา

"แม่น้อย คุณลืมไปแล้วเหรอว่า วันนั้นตอนที่เราอยู่ในห้างสรรพสินค้า ผมพูดว่าเมื่อพ่อใช้ซื้อของให้ผู้หญิงคนอื่นเป็นรถเข็ญ คุณก็พูดว่าเพราะมีสิ่งแลกเปลี่ยน พ่อให้บ้านหลังใหญ่แก่คุณ เขาจะอยากได้อะไรจากคุณใช่หรือไม่?”

การแสดงออกของเขาดูไร้เดียงสา แต่การแสดงออกของเฉินเป้ยอีนั้นน่าอายจนจะอาเจียนเป็นเลือด ในวันนี้เข้าใจความหมายของการขว้างขว้างงูไม่พ้นคอแล้ว

เธอเงยหน้าขึ้นทันใดเพื่อพบกับดวงตาที่หยั่งรู้ของหนิงเส่าเฉิน ใบหน้าของเธอก็แดง

หลิวซูที่อยู่ด้านหลังหัวเราะอย่างไร้ความปรานี

"เสี่ยวซี อย่าพูดเรื่องไร้สาระ แม่น้อยไม่เอาบ้านหลังนี้ เพราะแม่น้อยไม่มีอะไรจะแลกเปลี่ยนกับพ่อเธอในราคาเดียวกัน" เด็กยังเล็ก เธอไม่สามารถหาวิธีที่ดีในการอธิบายกับเขาได้

หลังจากอดกลั้นเป็นเวลานาน ก็กลั้นคำพูดได้ไม่กี่คำ

"อ๋อ งั้นก็ถือว่าผมของขวัญให้คุณ รอผมมีเงินก็จะคืนให้พ่อ"

คำพูดของเขา ทำให้หัวใจของเฉินเป้ยอีอบอุ่นเธอจึงลูบหัวของเขา

"โอเค แม่น้อยจะรอเสี่ยวซี" หลังจากพูดจบ ก็จูงมือหนิงเสี่ยวซีและเดินเข้าไปในห้องหลังเล็กที่อยู่ด้านหน้า

เมื่อเธอเคยมาหาห้องที่นี่ครั้งหนึ่ง ตอนนั้นบ้านมันเก่า ตอนนี้ได้รับการปรับปรุงใหม่ทั้งหมดยกเว้นนอกบ้าน ส่วนสิ่งอื่นเกือบจะถูกเปลี่ยนทั้งหมด เท่านั้นที่สามารถเคลื่อนย้ายครั้งใหญ่ได้ในเวลาอันสั้น แค่มีเพียงหนิงเส่าเฉินที่ทำได้

แค่ความตั้งใจของเขา กลายเป็นภาระของเธอ

"แม่น้อยครับ คืนนี้ผมขอนอนกับคุณ ผมจะไม่กลับบ้านอีกแล้ว โอเคไหม?"

“ ไม่!”

"ไม่มีทาง!"

ทั้งสองเสียงที่แตกต่างกันนั้นเหมือนกัน

เฉินเป้ยอีกังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยของหนิงเสี่ยวซี ในขณะที่หนิงเส่าเฉินมีความตั้งใจที่เห็นแก่ตัวของตัวเอง

“ไม่กลับบ้านตอนกลางคืนตั้งแต่อายุยังน้อย คิดว่าเก่งแล้วเหรอ?” หนิงเส่าเฉินกัดฟันและจ้องไปที่หนิงเสี่ยวซี

หลิวซูที่เข้าใจเจตนาของหนิงเส่าเฉิน

ไม่คาดคิดว่าจริงๆ วันหนึ่งหนิงเส่าเฉินจะหึงหวงแม้กระทั้งลูกชายของเขา

ต่อมาทั้งคนตัวโตและคนตัวเล็กต่างถูกขับกลับโดยเฉินเป้ยอี

สำหรับบ้านหลังนี้ ภายใต้แรงกดดันของเฉินเป้ยอี หนิงเส่าเฉินตกลงที่จะเปลี่ยนชื่อกลับเอง และหลังจากตกลงที่จะจ่ายค่าเช่ารายเดือนให้เขา เฉินเป้ยอีก็ย้ายเข้ามา

วันรุ่งขึ้น เฉินเป้ยอีถูกปลุกด้วยเสียงเรียกเข้าของโทรศัพท์มือถือ

"Hello."

“ เป้ยอี, คุณเก็บเสื้อผ้าสักสองสามชิ้นแล้วรีบลงไปที่บริษัท เย่หลินเพิ่งโทรมาและบอกให้เราพาคนสามคนไปที่เมือง Hกับพวกเขา อาจจะอยู่ที่นั่นสองวัน "

เมืองH? เฉินเป้ยอีลุกขึ้นนั่ง

"จะไปทำอะไร เขาพูดไหม?"

หนิงเส่าเฉินเม้มริมฝีปาก ใบหน้าหล่อเหลาที่ดูดีก็อดไม่ได้ที่จะยิ้ม“ เฉินเป้ยอีคุณคิดอะไรในหัวอยู่?”

จากนั้น เขาก็ลูบผมของเธอด้วยความรัก

ครู่ต่อมา

ในห้องสวีทชั้นบนสุดของโรงแรม หนิงเส่าเฉินหยิบเสื้อผ้าที่หลิวซูส่งมา และโยนลงบนโซฟาต่อหน้าเธอ "รีบเข้าไปเปลี่ยนเถอะ"

เฉินเป้ยอีกำลังเป่าผม เมื่อได้ยินเขาพูดแบบนี้ คิ้วก็ขยับและกระแสน้ำอุ่นค่อยๆไหลเข้ามาในหัวใจของเธอ

เขาพาเธอมาที่โรงแรม เขาบอกให้เธอเป่าผมให้แห้งและเปลี่ยนเสื้อผ้า เป็นที่น่าแปลกใจที่ชายคนนี้ระมัดระวังตัวมากขึ้นน่าแปลกใจจริงๆ

เสื้อผ้าที่หนิงเส่าเฉินส่งมา คือเสื้อสเวตเตอร์สีดำตัวยาวที่มีหมวกหนา เสื้อโค้ทเป็นเสื้อแจ็คเก็ตขนสั้นสีขาว ไม่มีคอปกและเลกกิ้งขนแกะ เมื่อมองจากเนื้อผ้าเฉินเป้ยอีสามารถยืนยันได้ว่าไม่ใช่ราคาที่เธออาจแบกรับได้อย่างแน่นอน

เมื่อออกมาหลังจากเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้ว หนิงเส่าเฉินกำลังคุยบางอย่างกับหลิวซู เมื่อได้ยินเสียงเปิดประตู ทั้งสองก็มองไปร้อมกัน

ผมยาวกึ่งแห้งปล่อยไว้ด้านหนึ่ง แม้ว่าจะยุ่งเล็กน้อย แต่ก็ทำให้เธอมีเสน่ห์ เครื่องสำอางบนใบหน้าเพิ่งถูกทำลายด้วยผมเปียก และบนใบหน้าดูอ่อนเยาว์ลงในขณะนี้ เสื้อผ้าชุดนี้ทำให้เธอดูบริสุทธิ์ขึ้นมาก

"ว่าก็ว่าเถอะ เธอเป็นคนมีเสน่ห์จริงๆ" หลิวซูอดไม่ได้ที่จะชื่นชม

หนิงเส่าเฉินตบเอกสารในมือลงบนใบหน้าของเขา เพื่อปิดกั้นการมองเห็นของเขา "คุณไปที่ห้องใต้ดินรอเราเถอะ"

หลิวซูปัดเอกสารบนใบหน้าของเขา และเข้าใจทันทีว่าเขาหมายถึงอะไร เขาชูกำปั้นให้หนิงเส่าเฉิน อะไรของเขา? ดูหน่อยก็ว่า? เธอยังไม่ใช่คนของเขาเลยจะหึงหวงขึ้นมาแล้ว?

"เป่าผมให้แห้ง จากนั้นลงไปชั้นล่างเราจะส่งคุณไปที่บริษัท " หนิงเส่าเฉินพยายามบังคับตัวเองให้ไม่มองไปที่เธอ

เฉินเป้ยอีพยักหน้า จากนั้นก็คิดอะไรบางอย่าง "ฉันจะซักเสื้อผ้านี้ และส่งคืนให้คุณ"

เมื่อหนิงเส่าเฉินได้ยินเช่นนี้ เขาก็เหลือบมองเธออย่างเย็นชา "ไม่อยากเอาจึงโยนมันทิ้งไปก็ได้"

"งั้นฉันไปที่บริษัทเอง ไม่ต้องไปส่ง" เพราะหลังจากกินอาหารเสร็จ ก็เปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่แล้วให้เขาไปส่งอีก เธอจะถูกคนอื่นมองยังไง จะเข้าใจเรื่องนี้ยังไง?

หนิงเส่าเฉินรู้ว่าเธอกำลังคิดอะไรอยู่ หยิบเสื้อคลุมที่โซฟามาใส่ "จะส่งเธอไว้ที่หน้าบริษัท "

เมื่อลงจากรถหนิงเส่าเฉินก็จับข้อมือของเธอ“ ตอนกลางคืน คุณไม่ได้รับอนุญาตให้ล็อคประตู ผมจะไปนอนที่บ้านของคุณในตอนกลางคืน”

เฉินเป้ยอีเบิกตากว้าง หันกลับมามองเขา และมองไปที่หลิวซูที่อยู่ตรงหน้า โดยไม่รู้ตัว เธอหลับตาและหายใจเข้าลึกๆ “หนิงเส่าเฉิน คุณคิดว่าฉันจะไม่ได้แต่งงานไปตลอดชีวิตหรอ หรืออยากถูกคนอืนปาไข่ใส่?”

หนิงเส่าเฉินเม้มริมฝีปาก“ หมายความว่าอะไร?”

"ฉันเป็นผู้หญิงที่ยังไม่ได้แต่งงาน คุณคือผู้ชายที่มีคู่หมั้นล้วมานอนกับฉัน ถ้าเรื่องนี้แพร่กระจายออกไป จะยังมีใครเอาฉันไหม?"

"ผมไม่ได้ทำอะไรคุณ"

เฉินเป้ยอีรู้สึกว่าไม่มีทางสื่อสารกับชายคนนี้ได้จริงๆ เขาบอกว่ามันไม่มีอะไร คนอื่นจะคิดอย่างนั้นเหรอ เมื่อเธอตื่นขึ้นมาในเช้าวันนี้ เจ้าของบ้านได้มาเคาะห้องเธอ ถามเธอว่าเธอมีแฟนหรือยัง เธอบอกว่าเธอได้ยินเสียงใครมาเคาะประตูห้องเธอตอนกลางดึก

เมื่อนึกถึงสถานะของชายคนนี้ที่ยังไม่ได้แต่งงาน เธอก็หมดคำจะพูด

"หนิงเส่าเฉิน คุณจะมองหาคนรักและอยากนอกใจยังไงก็ได้ แค่คุณพูด ผู้หญิงเหล่านั้นที่ต่อคิวอยู่เต็มเมืองCต่างยินดี จะอ้วนหรือผอมเลือกได้เลย และขอรับรองว่าพวกเธอเต็มใจอย่างยิ่ง คุณบอกหน่อย ทำไมคุณยังมาตอแยฉัน" เธอพูดพลาง รวบผมมัดเป็นหางม้า

“ถ้าอย่างนั้นคุณก็รู้ แล้วก็ควรจะรู้ว่าควรจะทะนุถนอมสิ่งนี้ไว้”

เฉินเป้ยอีหายใจออก ยกมือขึ้นตบหน้าผากแรงๆ จากนั้นเธอก็มองไปที่หนิงเส่าเฉินเหมือนคนงี่เง่ากัดฟันว่า "หนิงเส่าเฉิน คุณเข้าใจยากจริงๆ ฉันไม่ชอบผู้ชายของผู้หญิงคนอื่น และฉันไม่อยากแข่งขันกับผู้หญิงคนอื่นเพื่อผู้ชาย ฉันไม่ใช่ผู้หญิงพวกนั้น คุณอย่ามารบกวนฉันได้มั้ย "

เธอเกือบจะพูดจบในช่วงหายใจเดียว และหันกลับไปโดยไม่ให้ช่องว่างหนิงเส่าเฉินตอบกลับ ก็ผลักประตูและลงจากรถ

เส้นสีดำขนาดใหญ่ตกลงบนหน้าผากของหลิวซู ผู้หญิงคนนี้มีความกล้าหาญจริงๆและเธอปฏิเสธหนิงเส่าเฉินซ้ำแล้วซ้ำเล่า

สายตาของหนิงเส่าเฉินจ้องมองไปที่ร่างด้านหลังที่อยู่ไกลออกไป ความหมองคล้ำบนใบหน้าของเขาค่อยๆกลายเป็นรอยยิ้มเล็กๆ "นายว่า เธอหมายความว่าตราบใด ถ้าฉันยังโสด เธอจะยอมรับฉันใช่ไหม"

ดวงตาของหลิวซูสั่นไหว ทำไมเขาถึงไม่รู้ว่าความเข้าใจที่มีต่อประธานหนิงแตกต่างกันมาก?

แต่ สำหรับผู้หญิงคนนั้นน่าประทับใจจริงๆ สำหรับความคุ้มค่าของหนิงเส่าเฉิน ไม่ต้องพูดถึงการระมัดระวังตัวเขา เพียงแค่ยักคิ้วอย่างไม่เป็นทางการก็มีผู้หญิงนับร้อยคนวิ่งเข้าหา แต่ผู้หญิงคนนี้ล่ะ?

"คุณรีบไปซื้อบ้านที่เธอเช่าในนามเธอ ทันทีโดยไม่คำนึงถึงราคา"

เธอกลัวสายตาของคนอื่น ถ้าไม่มีคนอื่นล่ะ?

หลิวซูส่ายหัว เขาไม่คาดคิดว่าประธานหนิงผู้โหดเหี้ยมเวลามีความรักก็ไม่สามารถหลีกเลี่ยงการหยาบคายได้ และอยากใช้เงินเพื่อซื้อใจผู้หญิง

ก็แค่เฉินเป้ยอีผู้หญิงแบบนั้น ใช้เงิน? เขาขมวดคิ้ว …

แต่ ในสถานะของหนิงเส่าเฉิน เขาก็รู้ดีเช่นกัน เขาอาจจะไม่ฟังสิ่งที่เขาพูด

เมื่อเฉินเป้ยอีมาถึงบริษัทก่อนเลิกงานเล็กน้อย เธอก็เอาเสื้อผ้าที่เปียกไปเข้าห้องน้ำเพื่อเป่าผมให้แห้งแล้วเปลี่ยนใหม่

แค่กลับมาจากมื้ออาหาร ก็เปลี่ยนเป็นแบรนด์เนม มันก็ปวดหัวที่จะอธิบายเรื่องนี้

ในตอนเย็นไม่มีอะไรทำ จึงไม่มีการทำงานล่วงเวลา ตอนเที่ยงก็กินอาหารได้ไม่เยอะเพราะหนิงเส่าเฉินและชูหยู่จี้ เมื่อคิดว่าจะกลับบ้านไปทำอาหารเธอจึงไปซุปเปอร์มาร์เก็ต ซื้ออาหารและของใช้ประจำวัน

ตอนกลับมาฟ้ายังสว่างอยู่นิดหน่อย

หลังจากลงรถ ก็เห็นรถสีดำจอดอยู่ที่ปากซอย

ภายในสองก้าวฝีเท้าก็หยุด เธอขมวดคิ้วและเกิดอารมณ์ที่ซับซ้อนขึ้นชั่วขณะ

เธอไม่เคยคิดมาก่อนว่าเธอจะหยิ่งผยองและโหดเหี้ยม เช่นเดียวกับหนิงเส่าเฉินที่ไม่คิดจะยอมแพ้

ตอนเที่ยงเธอพูดอย่างรุนแรง แต่เขาก็ยังมา

เขาคนนั้น เธอไม่รู้ว่าจะจัดการกับเขาอย่างไร?

เมื่อเดินผ่านรถของเขา เฉินเป้ยอีเดินไปที่ตรอก โดยไม่ลังเล

เขาข่มอารมณ์ในดวงตาของเขาและเงยหน้าขึ้น ก็เห็นหนิงเส่าเฉินยืนอยู่ในตำแหน่งห่างกันราวสิบก้าว ทั้งสองคนรู้สึกแน่นรู้สึกผิดในใจ แต่ใบหน้ายังถามอย่างใจเย็น:“ คุณหนิงคุณมาที่นี่เพื่อกินข้าว?”

หนิงเส่าเฉินเดินไปหาเธอ เพียงไม่กี่ก้าวสายตาตกลงบนข้อมือของเธอที่ถูกชูหยูจี้ดึง โดยสายตาของเขาก็จมลง "หยูจี้ นายกำลังทำอะไรอยู่?"

ชูหยูจี้นำความไม่พอใจที่เห็นได้ชัดในสายตาของหนิงเส่าเฉิน เข้ามาในดวงตาและสัมผัสของความไม่เข้าใจก็ฉายผ่านดวงตาของเขา หนิงเส่าเฉินเติบโตที่นี่ตั้งแต่เขายังเด็ก เขาไม่ได้สัมผัสอาหารรสเผ็ด เขาไม่เชื่อว่าเขาจะมาที่นี่เพื่อกินข้าว

เขาหันไป ก็เห็นเฉินเป้ยอีหลบสายตาราวกับว่าเข้าใจอะไรบางอย่าง การแสดงออกที่เย็นบนใบหน้า

“พี่ อย่าบอกนะว่าคุณชอบเธอ?”

เมื่อเฉินเป้ยอีได้ยินคำพูด ร่างกายก็แข็งทื่อ“คุณชู คุณพูดเรื่องไร้สาระอะไร?”

“พี่ คุณชอบเธอเหรอ?” เหมือนกับว่าชูหยูจี้แสร้งเป็นไม่ได้ยินเธอ เขาจ้องไปที่หนิงเส่าเฉินและพูดซ้ำอีกครั้ง

ทันทีที่เฉินเป้ยอีสลัดมือของชูหยูจี้ออก เธอก็หยิบกระเป๋าขึ้นมาวางบนหัวโดยไม่สนใจชายสองคนที่อยู่ข้างๆ และรีบวิ่งไปท่ามกลางสายฝน

"ใช่ ฉันชอบเธอ"

ฝนเริ่มตกหนักขึ้นเรื่อยๆ แต่เสียงที่เย็นและอบอุ่นยังคงผ่านเข้ามาในหูของเฉินเป้ยอีผ่านเสียงฝน

การหายใจของเธอหยุดนิ่ง ดวงตาเบิกกว้างด้วยความไม่เชื่อ และฝีเท้าของเธอก็แข็งขึ้น

ผู้ชายคนนี้บ้าหรือเปล่า เขาไม่รู้เหรอว่าตัวเองหมั้นแล้ว เขายังพูดได้ยังไงว่าเขาชอบเธออย่างตรงไปตรงมาต่อหน้าคนอื่น

“พี่ เธอไม่ใช่พี่เลี้ยงเด็กของคุณเหรอ คุณชอบพี่เลี้ยงจริงๆหรือ?” เสียงของชูหยูจี้ดังขึ้นอีกครั้ง

ฝีเท้าของเฉินเป้ยอีหยุดนิ่งหันไปรอบๆ และมองไปชูหยูจี้ด้วยสายตาเย็นชา

เธอเงียบไปชั่วขณะและเมื่ออารมณ์เกือบจะสงบลง เธอก็ค่อยๆหันกลับมาและจ้องไปที่หนิงเส่าเฉิน"คุณหนิง ฉันขอบอกว่า ฉันไม่สนใจผู้ชายที่แต่งงานแล้ว ได้โปรดเอาความชอบของคุณกลับคืนไป"

เมื่อพูดจบ ก็วิ่งเข้าหาสายฝนโดยไม่หันกลับมามองอีก

หนิงเส่าเฉินดูเหมือนจะรู้ว่าเธอจะวิ่ง เขาขยับขายาวๆไปตามทิศทางของเธออย่างรวดเร็ว ทันทีที่เฉินเป้ยอีเอื้อมมือออกเพื่อหยุดรถ แขนยาวของเขา จับไหล่และยกร่มขึ้นเหนือหัว

"ตามผมมาที่รถ"

เฉินเป้ยอีกระตุกมุมปาก "ฉันต้องกลับไปทำงาน ดังนั้นฉันจะไม่รบกวนคุณหนิงแล้ว"

ความหมายของนอกก็คือ เธอกำลังจะไปทำงาน และมีคู่หมั้นของคุณอยู่ที่นั่น คุณควรรู้ตัวเองเสมอ

หนิงเส่าเฉินเอียงหัว มองดูเธอ นอกจากใบหน้าที่แห้ง ผมและเสื้อคลุมด้านหลังเริ่มเปียกและมือบนกระเป๋าของเธอก็แดงและเย็น

เขารีบวางร่มไว้ในมือให้เธอ ยื่นมือออกไปและกอดเธอโดยตรง

ดวงตาของเฉินเป้ยอีเบิกกว้างโดยไม่คาดคิด

เขาซุกเธอไว้ที่เบาะหลังของรถแล้ว เขาก็ตามกลับไปที่เบาะหลัง

หลังจากสั่งให้หลิวซูขับรถแล้ว เขาก็เริ่มถอดเสื้อผ้าของเธอ

"เฮ้ คุณจะทำอะไร"เฉินเป้ยอีดิ้นรนพร้อมกับกอดอก

"ถอดเสื้อผ้าของคุณออก" หนิงเส่าเฉินตอบอย่างอบอุ่น จากนั้นเสื้อนอกก็ถูกถอดออกและเขาก็โยนมันลงบนพื้นด้วยความรังเกียจ

"หนิงเส่าเฉิน คุณบ้าเหรอ ยังมีคนอยู่ในรถ?" เฉินเป้ยอีพูดประโยคนี้โดยไม่ต้องคิดเลย

จากนั้นก็เห็นหลิวซูอยู่ข้างหน้ายื่นมือออกไปที่หลังคารถ ไม่รู้ว่าปุ่มไหนถูกขยับ แค่เห็นหน้าจอระหว่างเบาะหน้าและเบาะหลัง

"ไม่ต้องกังวลคุณเฉิน เอฟเฟกต์ฉนวนกันเสียงนี้ดีมาก" ขณะที่หน้าจอค่อยๆเลื่อนลงเสียงของหลิวซูก็ดังขึ้น

เฉินเป้ยอีตกใจในตอนแรก จากนั้นก็มีปฏิกิริยาตอบสนอง เธอยื่นมือออกมาและอ้าปากเพื่ออธิบาย แต่ในขณะนี้หน้าจอก็หยุดลง

มันกลายเป็นพื้นที่อิสระในทันที

เฉินเป้ยอีรู้สึกอายจนอยากขุดหลุมบนพื้นดินฝังตัวเอง รถบ้าอะไรนี้มีไว้ทำไม

ดวงตาสีเข้มของหนิงเส่าเฉินตกลงบนใบหน้าที่เขินอายของเธอ

วินาทีถัดมา ทันใดนั้นก็ยื่นมือออกมาโอบเอวเธอ ดึงเธอเข้าหาเขาอย่างเร่งด่วน กดริมฝีปากบางลงแล้วจูบเธอ

เพราะเธอแทบจะหายใจไม่ออก เฉินเป้ยอีจึงมีปฏิกิริยาตอบสนอง

เธอกำหมัดแน่นและผลักเขาอย่างแรง และในที่สุดหนิงเส่าเฉินก็ยอมปล่อยเธอ

“หนิงเส่าเฉิน คุณบ้าเหรอ?” เธอตะโกนใส่เขา แล้วขยี้ริมฝีปากแรงๆ

ความรังเกียจที่เห็นได้ชัดของเธอทำให้หนิงเส่าเฉินโกรธอีกครั้ง ใบหน้ามืดมนและน่ากลัว และมือใหญ่ของเขาก็บีบ "บ้า? ผมก็บ้าแล้วจริงๆ ไม่อย่างนั้นทำไมถึงเหม่อลอยเพราะคุณ ทำไมถึงเป็นทุกข์เพราะคุณ? "

ในตอนท้ายของคำพูดของเขา ก็สงบลงเล็กน้อย ถึงแม้จะทำอะไรไม่ถูก หัวใจของเฉินเป้ยอีก็ผันผวนอย่างรุนแรง

เธอคิดว่า คนมีอำนาจอย่างหนิงเส่าเฉินแบบนี้ จะไม่มีอารมณ์เช่นนี้เลย?

หนิงเส่าเฉินหยิบผ้าขนหนูที่เบาะหน้ามาเช็ดน้ำที่ผมของเธอ ขมวดคิ้ว“ ผมบอกแล้วว่าอย่าเจอชูยู่จี้อีก คุณไม่เข้าใจเหรอ?”

เมื่อรู้สึกถึงแรงเบาและหนักที่หัวของเธอ เฉินเป้ยอีรู้สึกได้ถึงกระแสน้ำอุ่นที่ไหลผ่านหัวใจ แต่ในด้านนี้เธอจงใจหันหัวไปด้านข้าง “คุณจะดูแลฉันมากเกินไปหรือเปล่า?”

ความโกรธที่หายใจไม่ออกของหนิงเส่าเฉิน ทำให้เธอร้อนรนจนถึงจุดสูงสุดในขณะนี้ เขาจ้องที่ใบหน้าของเฉินเป้ยอี และพูดด้วยเสียงต่ำ “ คุณคิดว่าผมไม่สามารถทำอะไรคุณได้หรือ ถ้าคุณอยากเห็นหนิงเสี่ยวซีได้ทุกเมื่อคุณควรเชื่อฟังผมมากกว่านี้”

เห็นได้ชัดว่าเฉินเป้ยอีไม่คาดคิดว่าหนิงเส่าเฉินใช้หนิงเสี่ยวซีเพื่อคุกคามเธอ ผ่านสักพักหนุ่งเธอถึงได้หันไปมองเขา "คุณใจร้ายแบบนี้ได้ยังไง?"

ปากสีแดงและอ่อนโยนของเธอมุ่ยเล็กน้อย แต่ในสายตาของหนิงเส่าเฉิน กลับดูหน้าหลงไหล สีหน้าเขาเปลี่ยนไป ดวงตาลึกขึ้นและยิ้ม: "ผมไม่เคยคิดว่าผมเป็นสุภาพบุรุษ"

จู่ๆเฉินเป้ยอีก็หัวเราะเยาะ: "วายร้าย"

หนิงเส่าเฉินเหล่ตามองเธอ และพาเธอกลับเข้าไปในอ้อมแขน มือใหญ่ของเขาโอบรอบเอวของเธอแน่นเอนตัวไปและวางไว้บนริมฝีปากของเธอ

"คุณ…"

"เป้ย ผมจริงจัง" หนิงเส่าเฉินขัดจังหวะเฉินเป้ยอีด้วยสีหน้าจริงจัง

หัวใจของเฉินเป้ยอีกระตุกและเมื่อการร้องเรียนมาถึงปาก เธอก็ต้องกลืนมันลงไป และวุ่นวายใจอยู่อีกครู่หนึ่ง

ในเวลานี้ หน้าจอตรงกลางก็เลื่อนขึ้น สายตาที่มีความหมายของหลิวซูก็เปลี่ยนไปมองทั้งสองคน "คุณหนิง เรามาถึงโรงแรมแล้ว"

"ลง"

ไม่นาน เฉินเป้ยอีก็รู้ว่ารถมาถึงชั้นใต้ดินแล้ว โดยไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ ที่ถึงโรงแรม

เธอกลืนน้ำลายและจับเสื้อผ้าบนหน้าอก“ หนิงเส่าเฉิน ทำไมคุณถึงพาฉันมาที่โรงแรม?”

"ผมบอกแล้วว่าเที่ยงนี้เราจะทานอาหารกลางด้วยกัน" ในขณะนี้ชายคนหนึ่งกำลังพูดขึ้นด้วยความโกรธ

"เอ่อๆ ฉันขอโทษ คุณหนิง ฉันกินไปแล้ว คุณหาคนอื่นเถอะ ลาก่อน" หลังจากพูด เธอก็ไม่ให้โอกาสหนิงเส่าเฉินได้พูดต่อ เสียง ตู้ดดดด ก็ดังมาจากโทรศัพท์

"ไอ่ย่า คุณว่า ผู้หญิงคนนี้พิเศษไหม เธอกล้าวางโทรศัพท์ของประธานหนิงของเราจริงๆ" ในขณะเดียวกัน หลิวซู ก็เดินออกไปอย่างรวดเร็ว  ทันทีที่ประตูปิด บางอย่างก็ถูกทิ้งออกมา

"ความสัมพันธ์ระหว่างคุณกับลูกพี่ลูกน้องของผมเป็นอย่างไร" ทันทีที่เฉินเป้ยอี วางสายโทรศัพท์เสร็จ เธอก็พบว่า ชูหยูจี้กำลังจ้องมองเธอและทันใดนั้นก็รู้สึกว่าจะมีเรื่องวุ่น

"ฉันเคยทำงานเป็นพี่เลี้ยงเด็กของหนิงเสี่ยวซี ที่บ้านของเขา เขาเป็นนายจ้างของฉันตอนนี้เป็นคู่หมั้นของคุณเกา ฉันได้ยินมาว่าเป็นเจ้านายอยู่เบื้องหลังของฉัน" เธอก้มหัวลงเพื่อกินอาหารโดยปิดหน้า  เธอตอบกลับเบา ๆ ด้วยความรู้สึกผิด

“ พี่เลี้ยง?” เห็นได้ชัดว่าชูหยูจี้ไม่เชื่อ

"พี่ของผม ขนาดคุณตาของผมยังต้องนัดล่วงหน้าที่จะทานอาหารกับเขา คุณหมายความว่าเขาจะนัดกับพี่เลี้ยงเพื่อทานอาหารเที่ยงเหรอ" เขาได้ยินเนื้อหาในบทสนทนาของพวกเขาอย่างชัดเจนและความอ่อนโยนก่อนหน้านี้ก็หายไป  แทรกด้วยความเย็นชาเล็กน้อยในดวงตาของเขา

เฉินเป้ยอีรู้สึกเศร้าอย่างอธิบายไม่ถูกเกี่ยวกับข้อสงสัยของเขา เธอเงยหน้าขึ้นและเยาะเย้ย "ถ้ามีอะไรอยู่ในใจของคุณชูก็ถามเลย ฉันจะตอบถ้าฉันมีคำตอบ" เธอไม่มีความสนิทสนมเหมือนแต่ก่อน

 เธอเต็มใจที่จะออกไปทานอาหารกับเขาเพราะความรู้สึกโหยหาอดีตในใจ

 และไม่มีเหตุผลอื่น

ชูหยูจี้ยืนขึ้นเดินไปข้างหน้าเธอ วางมือบนเก้าอี้ทั้งสองข้างขังเธอไว้ในอ้อมแขนแล้วถามดัง ๆ : "บอกผมว่าคุณเป็นใคร ทำไมคุณเข้าใกล้ลูกผู้พี่ของผมและคุณมีจุดประสงค์อะไรที่ทำให้ผมสนใจ "

เฉินเป้ยอีถอนหายใจ ราวกับว่ามีบางอย่างตกลงมา เมื่อเทียบกับคนอื่น ๆ ที่สงสัยเธอ ชูหยูจี้ที่สงสัยเธอ ซึ่งทำให้เธอรู้สึกไม่สบายมากขึ้น

 เธอก้มหัวหยิบกระเป๋าที่อยู่ข้างๆและหยิบเงินหยวนใบสีแดงออกมาห้าใบ หลังจากเรื่องครั้งที่แล้วเธอพยายามนำเงินสดติดตัวตลอด

ค่อยๆตบเงินกระดาษทั้งห้าบนโต๊ะสะบัดแขนชูหยูจี้ยืนขึ้นและพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า "อาหารกลางวันวันนี้ ฉันเลี้ยงคุณชูเอง เนื่องจากคุณชูบอกว่าฉันจงใจดึงดูดความสนใจของคุณแล้ว  ในอนาคตตราบใดที่คุณชูจะไม่ปรากฏตัวต่อหน้าฉัน ฉันจะไม่มีวันปรากฏตัวต่อหน้าคุณชู ส่วนคุณหนิง … "เธอหยุดหายใจและเม้มริมฝีปาก" ถ้าคุณชูมีวิธีที่จะทำให้เขาไม่ติดต่อฉันและฉันรับรองได้ว่าจะไม่มีติดต่อกับเขาอีกในอนาคต "

หลังจากพูดจบ เธอก็เดินผ่านชูหยูจี้ไป

 เมื่อมองไปที่หลังตรงนั้น ชูหยูจี้รู้สึกราวกับว่าหัวใจของเขาโดนอะไรบางอย่าง

 เขาหยิบเงิน 500 หยวนบนโต๊ะหันกลับมาและไล่ตามเธอไป

 ในเวลานี้เฉินเป้ยอี ได้เดินออกไปนอกประตูแล้วและท้องฟ้าเหมือนว่าฝนจะตก

 เธอวางกระเป๋าไว้บนหัวและทันทีที่เท้าหน้าก้าวออกไปเธอก็ถูกดึงกลับมาอีกครั้ง

 เมื่อมองย้อนกลับไปก็เห็นชูหยูจี้ เธอล้มลงบนแขนของเขาและพูดอย่างเย็นชาว่า "ปล่อย"

 "คุณเฉิน ผมขอโทษคุณ สำหรับสิ่งที่ผมเพิ่งพูดไป"

ขอโทษ?เฉินเป้ยอี หัวเราะเยาะ และก็จำได้ในใจว่าตอนที่เซี่ยอวี่มองหาเธอในครั้งนั้นหลังจากหนิงเส่าเฉิน เห็นแล้วก็ปล่อยให้เธอออกจากบ้านตระกูลหนิงในตอนกลางคืน สัมผัสแห่งความเศร้าก็ปรากฏขึ้นในดวงตาของเธอ

 ในตอนนี้ จู่ๆเธอก็เข้าใจอะไรบางอย่าง ปรากฎว่าซินเดอเรลล่ามีอยู่ในเทพนิยายเท่านั้น

 ในความเป็นจริง ถ้าคุณอยากเป็นซินเดอเรลล่าสิ่งที่คุณต้องให้อาจจะเป็นศักดิ์ศรีหรือหยิ่งทรนง

 อย่างไรก็ตาม สิ่งเดียวที่เฉินเป้ยอีเก็บไว้ คือสองสิ่งนี้

 ในสายตาของคนรวย ถ้าคุณยิ้มต่อหน้าพวกเขาเท่ากับคุณประจบสอพลอ

 ถ้าคุณร้องไห้กับพวกเขา คุณกำลังขอความสงสาร

 หากคุณเพิกเฉยพวกเขา คุณกำลังดึงดูดความสนใจของพวกเขา

สรุปแล้วว่า ในสายตาของพวกเขา คุณยากจนและคุณไม่มีแบล็คหลัง ดังนั้นสิ่งที่คุณทำจึงมีจุดมุ่งหมาย

 ไม่มีใครยอมคุณและเข้าใจคุณเพียงเพราะใครชอบคุณ

 ทุกการเคลื่อนไหวของคุณเป็นไปเพื่อจุดประสงค์หนึ่งเท่านั้น

 เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ เธอก็มองขึ้นไปบนท้องฟ้าในตอนนี้ ถ้าไม่ใช่เพราะหนิงเสี่ยวซี จู่ๆเธอก็อยากกลับไปบ้านเกิดและโลกที่ควรจะเป็นของเธอ

 ในความเป็นจริงเธอเข้าใจมาตลอดว่าโลกที่ไม่สามารถบีบเข้าไม่ได้ ไม่ต้องบีบแรงได้ ขัดขวางสายตาของผู้อื่นและทำร้ายจิตใจของตัวเอง

 ดังนั้นเธอจึงรู้ตัวมาก ตั้งแต่เข้ามาในตระกูลหนิง

แต่สุดท้ายแล้ว ทำไมเห็นได้ชัดว่า พวกเขาต้องการดึงเธอเข้าสู่โลกของพวกเขาทีละคน แต่ทำไมเธอถึงได้รับบาดเจ็บเพียงคนเดียวเสมอ?

 เธอไม่เคยคิดที่จะเข้ามามีส่วนร่วมในโลกของหนิงเส่าเฉิน ดังนั้นเธอจึงพยายามทำตัวให้ดูต่ำต้อยและหลีกเลี่ยงเขาให้มากที่สุด ผลคือ เธอก็ยังหวั่นไหวใจเพราะเขา แต่ซ่อนตัว  กลัว และโทษตัวเอง … มันคือทั้งหมดที่เธอ และ …

 ในโลกของพวกเขา เพราะพวกเขามีเงินพวกเขาสามารถทำอะไรก็ได้ที่อยากทํา แล้วเธอล่ะ?  ทุกข์จากคำพูดและข้อสงสัย

 ใครบอกว่า เสมอภาค?  ฮ่าฮ่า … เธอหัวเราะเยาะเย้ย

 ความเศร้าในดวงตาของเธอ ทำให้ชูหยูจี้รู้สึกเพียงว่าหน้าอกถูกปิดกั้นและหัวใจทั้งหมดของเขาก็ยกขึ้น

ตั้งแต่ครั้งแรกที่เขาเห็นผู้หญิงคนนี้ เขาอยากจะเข้าใกล้เธออย่างอธิบายไม่ถูก โดยไม่มีเหตุผล

 "ในสายตาของพวกคุณ ฉันเป็นเหมือนตัวตลก คุณเห็นฉันเป็นของเล่น คุณสามารถเพิกเฉยต่อความรู้สึกของฉันและปฏิบัติต่อฉันอย่างเฉยเมย เมื่อคุณมีความสุขแกล้งฉันและเมื่ออารมณ์ของคุณเสียก็แค่ทำอะไรก็ได้ที่คุณต้องการ คุณคิดว่าฉันเป็นตัวอะไร? "น้ำเสียงของเธอเย็นชาเล็กน้อย ตั้งใจฟังและสำลักเล็กน้อย

 แขนของชูหยูจี้ กระชับขึ้นเล็กน้อยและเขาก็จับเธอไว้ในอ้อมแขนของเขา "ผมผิดแล้ว ผมไม่ควรพูดแบบนั้นเกี่ยวกับคุณ ผม … ผมไม่รู้ว่าผมเป็นอะไร ขอโทษ ผมไม่เคยมองแบบนั้นเลย หลังจากเจอคุณไปในทางกลับกันผมคิดว่าคุณมีเสน่ห์แบบพิเศษ เป็นครั้งแรกในรอบหกปีที่ผมมีหัวใจที่เต็มไปความรู้สึกประทับใจและอยากเข้าหาคุณตลอดเวลา "

 เห็นได้ชัดว่า น้ำเสียงของเขานุ่มนวลและอบอุ่นมากและคำพูดของเขาก็สัมผัสได้อย่างชัดเจน

อย่างไรก็ตาม ในขณะนี้เฉินเป้ยอี ไม่สามารถได้ยินได้ เธอเพียงรู้สึกร้อนในดวงตาของเธอและผลักเขาโดยไม่รู้ตัว

 เสน่ห์พิเศษ?  เธอหัวเราะเยาะซึ่งเป็นข้ออ้างพิเศษจริงๆ

 "เฉินเป้ยอี" ทันใดนั้นเสียงเย็น ๆ ผสมกับเสียงฝนก็เข้ามาในหูของเธอ

เฉินเป้ยอี อดไม่ได้ที่จะกลืนน้ำลาย หยุดผลักชูหยูจี้ 

เขาและเกาเหวินพบกันสองสามครั้ง โดยปกติจะเป็นการนัดรวมตัวกันของครอบครัว แต่มักจะรู้สึกว่าผู้หญิงคนนี้ก้าวร้าวเกินไป ดังนั้นเมื่อรู้ว่าเธอตั้งใจจะร่วมมือกับเย่หลิน เขาจึงแสร้งทำเป็นไม่รู้

ชูหยูจี้ก้าวไปข้างหน้าและวางแขนไว้บนไหล่ของเฉินเป้ยอี"พี่สะใภ้คุณสามารถให้พนักงานของคุณออกจากงานก่อนเวลาเป็นกรณีพิเศษได้หรือไม่ ผมอยากขอให้เธอไปทานอาหารกับผม"

เกาเหวินอดไม่ได้ที่จะมองไปที่เฉินเป้ยอีโดยมองให้ลึกลงไป  ชูหยูจี้คนนี้เป็นลูกชายของป้าของหนิงเส่าเฉิน ซึ่งเป็นทายาทคนเดียวของตระกูลชู  แต่เขาเป็นคนไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดมาตั้งแต่ยังเด็กและไม่ฟังใคร  ในกรณีนี้เมื่อไม่นานมานี้ได้ยินมาว่ามีความขัดแย้งครั้งใหญ่กับพ่อชู เรื่องการแต่งงานของชูหยูจี้

แต่ผู้หญิงคนนี้มีเสน่ห์แบบไหน ประการแรกหนิงเส่าเฉิน ทำตัวผิดปกติกับเธอซ้ำแล้วซ้ำเล่า ตอนนี้ชูหยูจี้อีกคน

 เธอได้อ่านข้อมูลของเธอ เธออายุมากกว่า ชูหยูจี้สี่ปี จะเป็นไปได้อย่างไร?

 อย่างไรก็ตาม หากมีอะไรบางอย่างระหว่างพวกเขา เธอและหนิงเส่าเฉิน อาจสามารถแยก พวกเขาออกจากกันได้ เมื่อนึกถึงสิ่งนี้ เธอยิ้มอย่างอ่อนโยน

 "ดูคุณพูดเข้าสิ ตราบใดที่พี่เฉินเธอเต็มใจ แน่นอนว่าฉันไม่มีข้อขัดข้อง"

 “ พี่เฉินเหรอ พี่สะใภ้ ผมคิดว่าอายุพวกคุณไล่เลี่ยกัน”

เฉินเป้ยอี หันหน้าไปอย่างรวดเร็วและจ้องไปที่ชูหยูจี้  ชายคนนี้มาที่นี่เพื่อจ้องจับผิดเธอหรือไม่?

 เกาเหวินไม่ได้เปลี่ยนสีหน้า เธอยิ้มเบา ๆ ด้วยอารมณ์ที่ดูดี“ ฉันอ่านข้อมูลของพี่เฉินด้วย เพื่อให้รู้ว่าเธออายุมากกว่าฉันไม่กี่ปี”

 "อืม คุณจะชวนฉันไปกินข้าวไม่ใช่เหรอ ไป!" เธอไม่อยากให้ชายคนนี้อยู่ที่นี่อีกต่อไป เฉินเป้ยอีก้มหัวลงจับแขนของชูหยูจี้ และเดินไปที่ประตู แต่เธอไม่เคยรู้ว่าการกระทำนี้แสดงให้เห็นถึงความสนิทมากแค่ไหน

 หลังจากทั้งสองออกไปแล้ว ชูหยูจี้ก็พาเธอไปที่ร้านอาหารเสฉวน เมื่อดูการตกแต่ง แม้ว่าจะมีรสชาติพิเศษ แต่ก็ยังแตกต่างไปจากจินตนาการของเธอ

 "ล้อเล่นน่า … คุณกินของเหล่านี้เหรอ" ในความรู้สึกของฉัน คนรวยแบบนี้ควรไปร้านอาหารที่ดีกว่านี้รึเปล่า

ชูหยูจี้ โยนกุญแจรถให้เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยที่ประตู แล้วจับแขนเธออย่างลวก ๆ แล้วเดินเข้าไป "ผมอยู่ภาคเหนือมาสองสามปีแล้วและผมชอบกินอาหารรสเผ็ด"

 เฉินเป้ยอีรู้สึกแสบจมูกขึ้นมา เธอมาจากภาคเหนือ แต่เธอลืมไปแล้วว่า เธอไม่ได้กินเผ็ดนานแล้ว

 หลังจากแม่ของเธอล้มป่วย เพื่อที่จะดูแลแม่ของเธอ เธอจึงปรุงอาหารรสจืดเสมอ ต่อมาเมื่อแม่ของเธอจากไปเธอก็เคยชินกับอาหารรสจืด

 เมื่อเห็นเธอไม่พูด  ชูหยูจี้ก็หยุดกะทันหัน และหันไปมองเฉินเป้ยอี "คุณไม่ชอบอาหารรสเผ็ดเหรอ?"

 หลังจากพูดสิ่งนี้เฉินเป้ยอีก็เห็นได้ชัดถึงความสูญเสียในดวงตาของเขา เธอยกยิ้มที่ริมฝีปาก: "ไม่ ฉันชอบอาหารรสเผ็ด"

สำหรับชูหยูจี้ เธอรู้สึกเหมือนได้พบเขาที่เมืองอื่นและใจดีมาก ดังนั้นเมื่อเผชิญหน้ากับความกระตือรือร้นของเขา เธอรู้ความคิดของเขาอย่างชัดเจน แต่เธอก็ยังพบว่าเธอไม่สามารถปฏิเสธได้

 "จริงเหรอ เยี่ยมเลย"

 เมื่อมองไปที่พริกแดงบนโต๊ะเฉินเป้ยอี ก็รู้สึกได้ถึงต่อมรสชาติของเธอถูกปลุกให้ตื่นขึ้นมาทันที ไก่หั่นเต๋า ปลาลวกจิ้ม เบคอนผัดกระเทียม เนื้อไม้จิ้มฟันร้อนๆ กะหล่ำปลีเผ็ด … และอีกมากมาย

บังเอิญว่าอาหารทุกจานเป็นเมนูโปรดของเธอเมื่อ 6 ปีก่อน

 "นี่คืออาหารจานโปรดของเธอทั้งหมด" ก่อนที่ความคิดของเธอจะยังไม่ลดลง  ชูหยูจี้ซึ่งนั่งอยู่ตรงข้ามพูดเบา ๆ และมองไปที่โต๊ะที่เต็มไปด้วยจาน

ทันทีที่เฉินเป้ยอียื่นตะเกียบไปทางปลาต้ม เธอก็หยุดกลางอากาศ ในความทรงจำเธอกับชูหยูจี้ ทานอาหารด้วยกันสองสามมื้อเป็นเพราะกิจกรรมบางอย่างที่โรงเรียนจัดขึ้นทำให้พวกเขาพลาดมื้ออาหารและพวกเขาก็ไปที่ประตูโรงเรียน  ทานอาหารในร้านเล็ก ๆ

 ทุกครั้งเขาบอกว่าเขาเป็นคนไม่จู้จี้จุกจิกและขอให้เธอสั่งอาหาร ตอนนั้น เธอมีนิสัยทำตามใจ แต่ไม่เคยเอารายละเอียดเล็ก ๆ เหล่านี้มา เธอคิดได้แล้วว่าผู้ชายคนนี้มีใจให้เธอจริงๆ

 “ ได้ยินมาว่าคุณกำลังจะแต่งงาน?” เธอยัดชิ้นปลาเข้าปาก เคี้ยวช้าๆ แกล้งเบี่ยงเบนความสนใจของหัวข้ออย่างลวก ๆ

 ชูหยูจี้ หยิบไก่เผ็ดสองชิ้นตรงหน้าเขาแล้วใส่ลงในชามของเธอ“ คุณกินนี่ มันอร่อยมาก” แต่เขาไม่ตอบคำถามของเธอ เห็นได้ชัดว่าเขาเองก็หลบเลี่ยง

เฉินเป้ยอีพยักหน้า รับกับตะเกียบแล้วคีบเข้าปาก

เผ็ดกรอบอร่อยมาก ถึงแม้จะไม่ได้กินพริกมานาน แต่คุณสมบัติพิเศษอย่างการกินเผ็ดในกระดูกก็ไม่ได้ทำให้เธอเพลิดเพลินไปกับความอร่อยนี้ได้

“ มันอร่อยจริงๆ ทำเหมือนคนในพื้นที่เลย” เธอเอ่ยเคำชม

 “ สาว ๆ สมัยนี้เพื่อผิวดี มีน้อยคนที่ยอมกินเผ็ดแบบนี้”

 "นั่นคือผู้หญิงที่มาจากภาคใต้ คนจากภาคเหนือไม่มีปัญหาในการกิน" เฉินเป้ยอี สาบานว่าเธอแค่คล้อยตามหัวข้อของเขาและไม่คิดมากเกินไป

 ชูหยูจี้ตกตะลึงอย่างเห็นได้ชัด เขาจิบชาที่วางไว้ข้างๆเธอและจ้องมองเธอช้าๆแล้วพูดว่า "ผมเห็นข้อมูลของคุณเฉินแสดงว่าคุณเกิดที่เมือง W คุณจะกลายเป็นคนเหนือได้อย่างไร?"  หลังจากนั้นไม่นาน เขาก็เรียกเธอว่า คุณเฉินอีกครั้งและเฉินเป้ยอีก็ขี้เกียจเกินไปที่จะแก้ไขความผิดของเธอ

 แต่เมื่อเขาพูดเสร็จ เธอก็สำลัก“หือหือ… ” ชูหยูจี้ลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็วรินน้ำให้เธออย่างสนิทสนมแล้ว เดินไปหาเธอช่วยลูบหลังขณะที่เธอสำลัก และพูดเสียงเบาๆว่า: "คุณตื่นเต้นอะไร ผมแค่ถามแบบไม่เป็นทางการ"

 เมื่อดวงตาของเขาสบเข้ากับไฝจาง ๆ ที่หูของเธอ เขาก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย

เขาจำได้ว่าหูของเย่หลิน ก็มีไฝเล็ก ๆ เช่นกันไฝนี้อยู่ที่จุดที่มักจะใส่ต่างหู เขายังจำได้ว่าตอนที่พบเธอครั้งแรกเขาถามเธอว่าเจาะหูหรือเปล่า เธอบอกเลยว่าไม่ เพราะแค่เป็นไฝ

"โอเค คุณไม่ต้องทุบหลังฉันแล้ว ฉันไม่ได้ไออีกต่อไป" รู้สึกว่าชูหยูจี้กำลังมองไปที่เธอ เธอโบกมือบอกปัดเขา

 “คุณเฉินยังไม่ได้ตอบ ทำไมคุณถึงกลายเป็นชาวเหนือ?”

 “ ฉันเคยอยู่ทางเหนือเหมือนคุณ” เธอตอบอย่างคลุมเครือ เม็ดเหงือบนหน้าผากของเธอไม่รู้ว่าเพราะกังวลใจหรือเพราะกินเผ็ด

ณ ตอนนี้

 ณ บริษัทตระกูลหนิง

"เส่าเฉิน ผมแค่ไถ่ถามคนอื่นเกี่ยวกับเรื่องนี้ผ่านช่องทางอื่นแล้ว คุณเฉินไปทานข้าว" หลิวซูรายงานอย่างจริงจัง

 แต่สายตาของเขาลดลงและเขาแอบมองการแสดงออกของหนิงเส่าเฉิน

เมื่อเห็นว่าใบหน้าของเขามืดมนและนิ้วที่จับปากกาก็ซีดลงเพราะแรง " นัด กับใครผู้ชายหรือผู้หญิง?"

 “ ลูกพี่ลูกน้องของคุณ ชูหยูจี้”

หนิงเส่าเฉิน ขมวดคิ้วลุกขึ้นอย่างกะทันหันเดินไปที่หน้าต่างหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาและโทรออกหมายเลขของเฉินเป้ยอี

 มันเชื่อมต่อกันอย่างรวดเร็ว "สวัสดี ใครคะ"

 "ผม"

 "คุณคือใคร?"

หลิวซู ยืนอยู่ไม่ไกลจากเขา เขาจึงได้ยินเสียงทางโทรศัพท์อย่างชัดเจน เขากลั้นยิ้มและมองไปที่หนิงเส่าเฉิน ผู้หญิงคนนี้ไม่สนใจเขาเลยเป็นผู้หญิงธรรมดา  ถ้าเป็นผู้หญิงคนอื่นรู้หมายเลขโทรศัพท์มือถือของหนิงเส่าเฉิน ใครบ้างจะไม่บันทึกได้อย่างรวดเร็ว?  นึกไม่ถึง … เธอถามเขาว่าคือใคร?

 “ หนิงเส่าเฉิน”

 เสียงเย็น ๆ เข้ามาในหูของเฉินเป้ยอี และเธออดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ

 “ อ๋อ มีเรื่องอะไรเหรอ” เธอพยายามอย่างเต็มที่เพื่อให้เสียงของเธอฟังดูไม่มีคลื่น

“เมื่อคืนไม่มีกินยาและก็นอนหลับสบายตลอดคืน”

หลังจากพูดเสร็จ ก็วางนิ้วลงบนพวงมาลัยและเคาะเป็นจังหวะ

หลิวซูเปิดปากและใช้เวลานานกว่าจะตอบสนอง "สถานการณ์เป็นอย่างไร คุณดีขึ้นจากความเจ็บป่วยนั้นเหรอ"

หนิงเส่าเฉินส่ายหัว

"เฮ้ อย่ามาอ้ำอึ่ง พูดมา เกิดอะไรขึ้น?" แม้ว่าทั้งสองดูเหมือนจะมีความสัมพันธ์แบบผู้ใต้บังคับบัญชา แต่ในทางส่วนตัว ความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองก็ดีกว่าพี่ชาย โดยคิดว่า การนอนไม่หลับนี้ทำให้หนิงเส่าเฉินทรมานมาหลายปีแล้ว ถ้าตอนนี้ดีขึ้นจริง ใบหน้าของหลิวซูก็ตื่นเต้น

“เมื่อคืน ผมนอนกับผู้หญิงคนนั้น”

หลิวซูขมวดคิ้ว“ผู้หญิงคนนั้นล่ะ?” ดวงตาของเขาเบิกกว้างอย่างกะทันหัน และโดยธรรมชาติเขาจะไม่คิดว่าผู้หญิงคนนี้จะเป็นเกาเหวิน

"ไม่มีทางเถอะ งั้น รู้สึกยังไง"

หนิงเส่าเฉินขมวดคิ้วและจ้องมองเขา

“ผมหมายความว่านอนเฉยๆ มีอะไรอยู่นายรึเปล่า คิดอะไรอยู่”

หลิวซูว้าวุ่นทันที เขาไม่ไร้เดียงสานะ?

ผู้ชายกับผู้หญิงนอนด้วยกัน คนปกติไม่ควรคิดแบบนั้นเหรอ?

แต่…

"คุณหมายความว่า คุณนอนกับเธอเมื่อวาน แล้วก็หลับไปและหลับสบายมากเหรอ?"

“อือ” เขาฮัมเพลงเบาๆ แต่หัวใจของเขากลับปั่นป่วนไปแล้ว เมื่อตื่นขึ้นมาในตอนเช้า เขาไม่สามารถบรรยายถึงความตกใจในใจของเขาได้ เขาไม่มีความฝันทั้งคืน และก็นอนหลับจนถึงรุ่งสาง

“แล้วที่เคยบอกก่อนหน้านี้ว่า คุณอยู่กับผู้หญิงพวกนั้นไม่ได้”

หนิงเส่าเฉินเลิกคิ้ว "หมายความว่ายังไงที่ไม่ได้?"

หลิวซูกลอกตามาที่เขา "ผมบอกว่า คุณกำลังมีความรัก คุณก็มี IQไม่ใช่เหรอ ความเข้าใจระหว่างกันของเราสองพี่น้องตลอดหลายปีหายไปไหนแล้ว? ผมหมายความว่าคุณไร้ประสิทธิภาพเรื่องนั้นแล้วเหรอ?"

"นายพูดเรื่องไร้สาระเหรอ ฉันสามารถนอนกับใครก็ได้ที่ฉันอยากอยู่ด้วย ผมยังต้องกินยา และขอให้ผู้หญิงคนหนึ่งไปกับนอนหลับทุกวัน มันก็คงแย่มากจริงไหม" หนิงเส่าเฉินมองหลิวซูอย่างมืดมน หลิวซูเหลือบมองจากนั้นผลักประตูและลงจากรถ

เห็นแบบนี้แล้ว หลิวซูก็รีบทำตาม

“แบบนี้ก็พูดได้ว่า เธอเป็นยาครอบจักรวาล? คุณบอกว่าสิ่งนี้น่าทึ่งจริงๆ อาการที่มันไม่ได้รับการรักษามานานกว่าสิบปี แต่เธอทำให้หาย คุณบอกว่ามันไม่สามารถใช้คาถาได้ใช่ไหม? แสดงว่ารักษาได้เพราะคุณใจเต้น?”

หนิงเส่าเฉินไม่สนใจหลิวซูที่ยังคุยกับตัวเองอยู่ เขาหยิบโทรศัพท์ออกมาคลิกที่ WeChat และส่งข้อความถึงเฉินเป้ยอี

เมื่อได้รับข้อความ เฉินเป้ยอีกำลังอยุ่บนรถบัส

"คุณให้ยาอะไรผม ทำไมเมื่อคืนผมไม่กินยายังก็หลับไป?"

เฉินเป้ยอีวางกระเป๋าไว้บนไหล่ และพิมพ์ในโทรศัพท์อย่างรวดเร็ว: "จริงเหรอ เยี่ยมมากจริงๆ"

คลิกเพื่อส่ง แต่ในวินาทีถัดไป เฉินเป้ยอีก็สงบลงและคลิกเพื่อลบอย่างรวดเร็ว

“ท่านประธานหนิง อาหารกินมั่วๆได้แต่คำพูดพูดมั่วๆไม่ได้ ”

มุมปากของหนิงเส่าเฉินยังคงเพิ่มขึ้นเมื่อครู่ แต่ยังไม่ได้มีเวลาตอบกลับ เขาก็เห็นว่าอีกฝ่ายคลิกลบออกและป้อนข้อความอื่นมา และนิ้วของเขาก็แข็งขึ้นอีกครั้ง

แค่ รอยยิ้มบนมุมปากของเขายังไม่จางหาย

ผู้หญิงคนนี้ตีสองหน้าจริงๆ

"กินมั่วๆได้เหรอ?เอาล่ะ มากินด้วยกันนะตอนเที่ยง”

"ไม่ค่ะ"

"คุณสามารถเลือกได้ว่า: ผมจะไปรับคุณ หรือมาเอง"

"หนิงเส่าเฉิน คุณหยุดการครอบงำเช่นนี้ได้ไหม"

"วันนี้คุณก็รู้จักผมคนเดียวหรือเปล่า"

"ฉันอยู่ในบริษัท คุณมีความสามารถ มาหาฉันเลย" เฉินเป้ยอีเลิกคิ้วเล็กน้อย และแสดงรอยยิ้มที่สุภาพ เธอไม่เชื่อว่าหนิงเส่าเฉินกล้ามาจริงๆ

หลังจากส่งข้อความไปก็ไม่มีการตอบกลับเป็นเวลานาน เฉินเป้ยอีคิดว่าหนิงเส่าเฉินยอมแพ้แล้ว ถอนหายใจและเริ่มมีสมาธิในการทำงาน วันนี้เธออยู่ในบริษัทเท่านั้น โดยแต่งหน้าให้กับนางแบบที่ถ่ายภาพ

"เป้ยอี มีคนกำลังมองหาคุณ ออกมาเร็ว เขาหล่อมาก" น้องสาวอ้วนเปิดประตูห้องแต่งตัว และพูดอย่างมีเลศนัย

เฉินเป้ยอีตื่นตระหนกและคิดถึงหนิงเส่าเฉิน เขาคงไม่มาถึงบริษัทจริงๆหรอกนะ? เมื่อนึกถึงเกาเหวิน เธอแทบจะรีบวิ่งลงไปข้างล่าง

เมื่อเธอเห็นร่างสูงยืนอยู่ที่โต๊ะด้านหน้า เธอก็โล่งใจ

"เป้ยอี รีบพูดมา ประธานชูสุดหล่อคนนี้มาหาคุณทำทำไม?" น้องสาวอ้วนเดินตามมา เห็นเธอดูเหมือนงุนงง และคิดถึงผู้ชายที่เธอเห็นตอนนั้น ตอนนี้เฉินเป้ยอีอยากจะถามเธอจริงๆว่า เธอเจอปัญหาอะไรหรือเปล่า? แล้วทางเลือกนั้นหรือ? ในที่สุดเธอก็ยิ้มอย่างเชื่องช้า

เธอก้าวไปข้างหน้า เธอกล่าวว่า " คุณ………ชู" เธออยากจะเรียกเขาว่านายชู แต่เธอคิดเรื่องการเซ็นสัญญาครั้งสุดท้าย เห็นได้ชัดว่าเขาไม่ต้องการให้เกาเหวินรู้จักตัวตนของเขา ดังนั้น แค่พูดคำว่าชูเสียงก็เปลี่ยนเป็นลม

เมื่อได้ยินเสียงชูหยูจี้ก็หันกลับมาอย่างสง่างามมองไปที่เฉินเป้ยอี และหยิบแว่นกันแดดสีดำในมือ"แค่ผ่านเข้ามา แล้วอยากมาเจอคุณ"

เขายิ้มให้เธอ อย่างสดใส

ยังจำได้ว่า ตอนที่เขาเล่นบาสเก็ตบอล บางครั้งเธอจะนั่งข้างสนามบาสและมองเขา ทุกครั้งที่ส่งสายตา เขาจะยิ้มให้เธอแบบนี้ เหมือนแสงแดดที่อบอุ่น

ตอนนั้น เธอมีชีวิตชีวามาก และจะยืดแขนทำอักษรVให้เขา

ในตอนนั้น ทั้งสองมักจะทำกิจกรรมต่างๆร่วมกัน ทุกครั้งที่พบกับความยากลำบากบางอย่าง เธอขมวดคิ้วและดูเหมือนไม่มีความสุข เขาจะจับหัวของเธอด้วยมือทั้งสองข้างและยิ้มให้เธอ: "เย่หลินน้อยของเราสวยงามมาก แต่พอโกรธก็ไม่สวยแล้ว”

เธอจะชกร่างกายของเขา จากนั้นเขาก็ถอยหลังไปสองสามก้าวอย่างโอ้อวด แล้วอารมณ์ก็ดีขึ้นมาก

ยังมีเรื่องอีก … มากมาย

ในขณะนี้ เฉินเป้ยอีก็ตระหนักว่า ในเวลานั้นเธอและเขามีความทรงจำที่สวยงามมากมาย เธอไม่เคยคิดอะไรในใจ และเธอไม่รู้ว่าเขามีความรักอยู่ก่อนแล้ว

ทันใดนั้นก็รู้สึกว่าตอนนั้นตัวเองหน้ามืดตามัว และมองว่าความกรุณาและความดีงามนั้นเป็นมิตรภาพ

เมื่อนึกถึงอดีตสัมผัสแห่งความอ่อนโยนปรากฏขึ้นในดวงตาของเธอ

"เป้ยอี คุณคิดว่าอะไรอยู่" เมื่อเห็นว่าเฉินเป้ยอีจ้องมองเขาเป็นเวลานาน แต่ก็นิ่งเงียบมือของชูหยูจี้ก็โบกไปมาต่อหน้าเธอ

“หยูจี้ ทำไมวันนี้คุณมีเวลามาที่นี่” ทันทีที่เฉินเป้ยอีกำลังจะพูด เสียงของเกาเหวินก็ดังมาจากข้างหลัง ดวงตาเธอลดต่ำลงเพื่อปกปิดความรู้สึกผิดในดวงตา เมื่อนึกถึงเรื่องนานบนเตียงกับหนิงเส่าเฉินเมื่อคืน จู่ๆเธอก็รู้สึกเหมือนทำอะไรผิด

ชูหยูจี้เห็นคำพูดและการกระทำของเธอในสายตา และความสงสัยก็เกิดขึ้น

"เฉินเป้ยอี คุณเปิดประตูให้ผม ถ้าคุณไม่เปิดประตูอีก ผมก็จะขอให้คนมารื้อประตูนี้" เสียงของเขาแหบเล็กน้อย ฟังราวกับว่าเขาเมา

เฉินเป้ยอีหลับตาหายใจเข้าลึกๆ และกัดฟัน:

"หนิงเส่าเฉิน ทำไมคุณไม่กลับบ้าน คุณมาทำอะไรที่นี่?"

หลังจากพูดจบ เธอก็หันหน้าไปหยิบกระเป๋าเครื่องสำอางที่อยู่ไม่ไกลออกมาเปิด แต่งหน้าอย่างรวดเร็ว เธอคิดว่าการอยู่คนเดียวจะปลอดภัยกว่า เธอจึงไม่แต่งหน้าก่อนเข้านอน จากเหตุการณ์นี้ ในอนาคตควรแต่งหน้าก่อนนอน

"ผมบอกให้คุณเปิดประตู" น้ำเสียงของเขาครอบงำเสียงของเขาต่ำ

“เดี๋ยว ฉันใส่เสื้อผ้าก่อน” รู้อยู่ในใจว่าด้วยนิสัยของผู้ชายคนนี้ ถ้าเธอไม่เปิดประตู เขาก็รื้อประตูได้จริงๆ

จากนั้นก็ไม่มีเสียงด้านนอกอีก

เธอมองในกระจก หลังจากตรวจสอบการแต่งหน้าซ้ำๆ และไม่มีปัญหา เฉินเป้ยอีก็เปิดประตู

จากนั้นร่างสูงก็ดันตัวเข้าหาเธอ

เธอช่วยพาเขาไปนอนบนเตียงของเธอ ซึ่งห้องนั้นเล็กและที่ที่นั่งได้ ก็มีแค่เตียง

สายตาที่เฉียบคมของชายคนนี้ มองไปที่เฉินเป้ยอีผ่านแสงสลัว

เมื่อแขนยาวเหยียดออกผู้หญิงที่ยืนอยู่ข้างเตียงก็ถูกดึงและล้มลงบนเตียง จากนั้นทันทีที่เฉินเป้ยอีรู้สึกว่าร่างกายจมลง เธอก็อยากจะลุกขึ้น แต่เธอไม่สามารถขยับได้เลย

กลิ่นแอลกอฮอล์ทำให้เฉินเป้ยอีขมวดคิ้ว

"หนิงเส่าเฉิน คุณมีสติหน่อย” แสงสีเหลืองสลัวที่หน้าต่างฉายขึ้นบนใบหน้าของเขาผ่านผ้าม่าน ผมปรกที่หน้าผากของเขาตกลงมาที่ดวงตาของเขา เพิ่มความดูโทรมให้กับรูปหล่อของเขา แต่ทำให้เฉินเป้ยอีมองตะลึง เธอบังคับตัวเองให้เอียงหัวและหยุดมองเขา จากนั้นเธอก็เตือนเขาและเตือนตัวเองด้วย

หนิงเส่าเฉินดึงมือกลับมาวางบนใบหน้าของเธอและค่อยๆลูบไปมา เป็นครั้งแรกในชีวิตที่เธอปล่อยให้เขาได้ลิ้มรสรสชาติของการถูกเพิกเฉย

เฉินเป้ยอีรู้สึกราวกับว่าร่างกายของเธอถูกไฟฟ้าดูดมีอาการชาเล็กน้อย เธออดไม่ได้ที่จะกลืนน้ำลาย

เขาเลื่อนมือไปมาที่ใบหน้าของเธอ จ้องมองเธอ ริมฝีปากบางเปิดออกเบาๆ และเสียงต่ำก็พูดว่า "เป้ยอี คุณเกลียดผมมากเลยเหรอ?"

เฉินเป้ยอีตกใจ จากนั้นเธอก็พบกับการจ้องมองของเขา และตอบกลับด้วยรอยยิ้ม: "คุณหนิง คุณคิดว่าคุณทำเรื่องนั้นกับฉันมาก่อน ฉันจะชอบคุณได้ไหม"

หลังจากพูดจบ เธอก็ละสายตาไปมองเพดานสีเข้ม ไม่กล้ามองหน้าเขาอีก

หนิงเส่าเฉินจับมือของเธอ ดึงเธอขึ้นโอบแขนของเธอมองลงไปที่เธอและพูดทุกคำว่า: "ผมขอชดใช้ให้คุณได้ไหม?" น้ำเสียงนั้นเต็มไปด้วยความแผ่วเบาๆเหมือนอธิษฐาน.

เฉินเป้ยอีรู้สึกฝาดในลำคอและการเต้นของหัวใจก็เร็วขึ้นเช่นเดียวกัน หนิงเส่าเฉินแค่บอกว่าเขาต้องการที่จะชดใช้ให้เธอ … ใครบอกว่าหัวใจจะไม่รู้สึกอะไร?

แต่ เขาเป็นคู่หมั้นของคนอื่น? จะชดใช้ยังไง?

"คุณหนิง ไม่ว่าคุณจะทำอะไร ฉันจะไม่ชอบคุณ เพราะฉันไม่สามารถตกหลุมรักผู้ชายของคนอื่นได้" เมื่อรู้ว่าสิ่งนี้จะทำให้เขาหงุดหงิด เฉินเป้ยอีก็อดไม่ได้ที่จะพูด

"ผู้ชายของคนอื่นเหรอ หมายความว่าถ้าผมโสด คุณจะลองพิจารณาเหรอ?" เขาจ้องไปที่เฉินเป้ยอีอย่างยั่วยุ

ทันทีที่เฉินเป้ยอีกัดริมฝีปาก ดวงตาก็กลอกไปมา พยักหน้า แล้วเธอก็อยากรู้เหมือนกันว่าผู้ชายคนนี้จะจริงจังหรือเปล่า?

เธอบอกตัวเองว่า นั่นเป็นเพียงการทดสอบ เธอจะไม่ทำลายความสัมพันธ์ของเขากับเกาเหวิน เธอก็มั่นใจในใจของเธอ

หนิงเส่าเฉินได้ยินเช่นนี้ ดวงตาของเขามืดลงเล็กน้อย และมือใหญ่ของเขาก็ลูบใบหน้าของเธออีกครั้ง

"เฉินเป้ยอี คุณนี่บังคับให้ผม?" คิ้วสวยขมวดขึ้น

"คุณหนิง … มันไม่ใช่ … " ก่อนที่เธอจะพูดจบ ก็รู้สึกภาพตรงหน้ามืดลงและริมฝีปากบางของชายคนนี้ก็กดแนบชิดกับเธอ

เธออยากที่จะผลักเขาออกอย่างรวดเร็ว แต่ตำแหน่งดังกล่าวไม่ได้ผลเลย

เธอถูกจูบจนหายใจไม่ออก ทันใดนั้นหนิงเส่าเฉินก็ปล่อยเธอ โอบเอวเธอแล้ววางเธอเบาๆที่ด้านในของเตียง จากนั้นเขาก็นอนข้างๆเธอ

ด้านข้าง มือใหญ่โอบเอวเธอไว้

เฉินเป้ยอีไม่กล้าพูดอะไรที่ทำให้เขากังวลใจ ในห้องที่เงียบสงบ เธอสามารถได้ยินแม้แต่เสียงหอบของตัวเอง แม้ว่าทั้งสองจะเคยมีมันมาแล้วครั้งหนึ่ง แต่ลึกๆในใจของเธอ ในชีวิตของเธอ นี่เป็นครั้งแรกที่ได้นอนกับผู้ชายในเตียงเดียวกัน

"คุณหนิง … "เสียงของเธอสั่นเล็กน้อย

"นอน ไม่งั้น … " เขายืดตัวขึ้นและยังคงกระซิบข้างหูเธอ "ผมไม่รังเกียจที่จะออกกำลังกายแบบอื่นกับคุณ"

ออกกำลังกายตอนกลางคืนเหรอ? ครั้งนี้เฉินเป้ยอีมีปฏิกิริยาตอบสนอง แก้มแดงขยายวงกว้างมากขึ้น นี่เป็นครั้งแรกที่เธอนอนร่วมเตียงกับผู้ชาย แน่นอนว่ามันไม่นับรวมอยู่ในสถานการณ์ครั้งที่แล้ว

เดิมอยากจะเอาแขนที่วางอยู่บนเอวของเขาออกไป ในตอนนี้หลังจากฟังเขาพูดเสร็จ เธอก็ไม่กล้าขยับตัว

เธอเกร็งตัวและรอจนกระทั่งเสียงหายใจดังขึ้นจากด้านข้าง จากนั้นค่อยๆผ่อนคลายลง

แต่ ได้ยินว่าถ้าเขาไม่กินยาจะนอนไม่หลับไม่ใช่เหรอ?

นี่นอนหลับเร็วกว่าเธออีก!

ต่อมา เฉินเป้ยอีไม่รู้ว่าเธอหลับไปได้อย่างไร

เมื่อเธอตื่นขึ้นมาในตอนเช้า เขาคนนั้นก็จากไปแล้ว เธอเอื้อมมือออกไปสัมผัสข้างตัว ยังมีความอบอุ่นหลงเหลืออยู่บนผ้าปูที่นอน ดูเหมือนว่าจะเพิ่งไปไม่นาน

เมื่อคิดถึงเรื่องที่ได้นอนกับหนิงเส่าเฉินเมื่อคืน เฉินเป้ยอีก็รู้สึกว่ามันเหมือนฝัน

กลิ่นกายที่เขาทิ้งเอาไว้ความกระสับกระส่ายในใจกำลังจะออกมา แต่เธอโล่งใจมากอย่างอธิบายไม่ได้

เมื่อหลิวซูมาถึงบริษัท เขาก็เห็นหนิงเส่าเฉินนั่งอยู่ในรถอย่างครุ่นคิดในลานจอดรถชั้นใต้ดิน

เขาเปิดประตูรถเข้าไปนั่ง เมื่อเห็นว่าเขายังสวมเสื้อผ้าของเมื่อวาน เขาก็พูดด้วยความประหลาดใจ: "อ้าว เกิดอะไรขึ้นเมื่อคืนไม่ได้กลับไปบ้านเหรอ?"

หนิงเส่าเฉินพับมือหนุนด้านหลังหัว และเอนเบาะโดยยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย ดูเหมือนมีความสุขมาก

เมื่อนึกถึงภาวะซึมเศร้าของเขา เมื่อวานจู่ๆก็เริ่มอยากรู้อยากเห็นว่าใครและอะไรที่ทำให้เขาเปลี่ยนอารมณ์ในชั่วข้ามคืน

เมื่อได้ยินหลิวซูทักทายกับเขา เขาก็เหลือบมองเขา โดยไม่พูด

"เอ้อ ดูเหมือนสายลมในฤดูใบไม้ผลิแบบนี้ บอกมาว่า เมื่อคืนคุณทำอะไร?"

หลิวซูยื่นค้อนเบาๆให้เขา หนิงเส่าเฉินหดมือกลับหันไปด้านข้างมองไปที่หลิวซู ใบหน้าของเขาดูจริงจัง

มาก

เขาตกใจกับท่าทางดูจริงจัง หลิวซูไอเล็กน้อยและยืดตัวตรง "เดี๋ยวก่อน ให้ผมหายใจก่อน"

เขาดึงเสื้อผ้าของตัวเองและมองกลับไปที่หนิงเส่าเฉินด้วยความจริงจังเช่นเดียวกัน "พูดเถอะ ผมต้านทานมันได้"

เป็นเวลา 6 ปีแล้วที่เธอออกจากสถานที่นั้น เธอได้ขาดการติดต่อกับทุกคน แม้ว่าเธอจะเคยคิดว่าจะมีใครจำได้หรือไม่ว่ามีคนแบบเธอ แต่เธอก็ไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้เลยว่าคนนั้นจะเป็น ชูหยูจี้

ในความทรงจำ แม้ว่าพวกเขาจะทำงานร่วมกันมาสองปี แต่ทั้งสองคนก็แข็งขันกันเป็นเวลา 2 ปีหลังจากที่พวกเขาแยกจากกันพวกเขาก็ไม่มีการติดต่อใด ๆ

 ถึงแม้ว่ามันอาจจะดีกว่าเพื่อนนิดหน่อย แต่ในความคิดของเธอ ความสัมพันธ์แบบนั้นน้อยกว่าการปล่อยให้คน ๆ หนึ่งมองหาเธอนานถึง 6 ปี

ในช่วงเวลาที่อยู่โรงเรียน เธอมีนิสัยร่าเริง ไม่ว่าจะเป็นผู้ชายหรือผู้หญิงเธอก็เข้ากันได้ดี อย่างไรก็ตามเป็นเรื่องแปลกที่เธอไม่มีเพื่อนสนิทเลย และมิตรภาพกับทุกคนดูเหมือนจะมีแค่พอประมาณ

 "คุณเฉิน คุณไม่สบายใจหรือไม่" เสียงที่ต่ำและน่าพอใจขัดจังหวะความคิดของ เฉินเป้ยอี

 เธอซุกมุมปากอย่างแข็งๆ ยกคิ้วขึ้นและยื่นมือไปหยิบกาแฟขึ้นมา "โอ้ ไม่มีอะไร ฉันแค่แปลกใจที่มีคนเก่งอย่างประธานชูยังคงสนใจเรื่องคนอื่นมาหลายปี"

หลังจากที่เธอพูดจบ เธอก็จิบกาแฟและมองออกไป แต่ตั้งแต่ต้นจนจบเธอไม่กล้ามองไปที่ชูหยูจี้ 

 ในห้องทำงานก็เงียบไปพักใหญ่

 “ ครั้งหนึ่งผมเคยคิดว่าความรู้สึกของผมจะไม่มีทางถูกผู้หญิงจับได้”

 "อย่างไรก็ตาม มันผิดมาก ผมไม่รู้เลยจนกระทั้งเธอได้หายไปจากโลกของผมอย่างสมบูรณ์ ก่อนที่ผมจะรู้ว่าผมตกหลุมรักเธอไปแล้ว"

 ดวงตาของเฉินเป้ยอี หมองคล้ำ ความรัก?  รู้จักรักสมัยมัธยม?  เธอไร้เดียงสาเกินไป

อย่างไรก็ตาม วันนี้คุณโชคดีในความรักจริงๆ

 มีคนสองสามคนที่มาสารภาพแล้ว

 หลังจากเงียบไปพักหนึ่ง เธอก็หายใจ สงบอารมณ์ในดวงตาของเธอและวางสัญญาไว้บนโต๊ะตรงหน้าเธอ "ฉันอยากรู้จริงๆว่าผู้หญิงที่ประธานชูจะรักได้จะเป็นผู้หญิงแบบไหน"

 ในขณะที่พูดเธอเอนตัวไปวางปากกาไว้ตรงหน้าชูหยูจี้

ชูหยูจี้เงยหน้าขึ้นและพบกับแก้มขวาของเฉินเป้ยอี  เมื่อมองไปที่เธอใกล้ ๆ เขาสงสัยว่าเขาคิดถึงเธอคนนั้นจนจะเป็นบ้าแล้ว เขาคิดได้ยังไงว่าเขาจะเห็นเงาของเธอคนนั้นตรงหน้าเธอ?

 เมื่อรู้สึกถึงการจ้องมองของเขาเฉินเป้ยอี ก็ยืดตัวขึ้นอย่างไม่ย่อท้อ แต่สาดกาแฟทั้งหมดบนโต๊ะลงบนเสื้อผ้าด้วยข้อศอก

 "ว้าย" เธออยากจะถอยหนีด้วยความตื่นตระหนก แต่ดันไปโดนกับเก้าอี้ที่อยู่ข้างหลัง ชูหยูจี้ได้ยินเสียงและอยากจะช่วย แต่เขาไม่ได้ระวังเท้าตัวเองที่สะดุด ทำให้เขาล้มลงบนพื้น พอดีกับที่เฉินเป้ยอีกำลังดันตัวขึ้นจากพื้น

จากนั้น ร่างของหญิงสาวก็ถูกร่างของชายหนุ่มคร่อมไว้

 เมื่อได้ยินเสียงข้างใน ผู้คนจำนวนมาก รีบวิ่งมาจากข้างนอก

 เมื่อเห็นภาพตรงหน้า ก็ปิดปาก ด้วยความประหลาดใจ

 จากมุมที่ทุกคนมองไม่เห็น มีคนหยิบโทรศัพท์ของเขาขึ้นมาแล้วถ่ายรูปทั้งสองคนที่พื้นจากนั้นก็หันตัวและออกไป 

 ชูหยูจี้มองไปที่ประตูด้วยสายตาเย็นชาและทุกคนก็ปิดประตูอย่างรู้จักวางตัว

เขาลุกขึ้นและจับเฉินเป้ยอีขึ้น "คุณเฉิน ผมไม่ได้ทำให้คุณบาดเจ็บใช่ไหม?"

เฉินเป้ยอีส่ายหัวจ้องมองไปที่หน้าสุดท้ายของสัญญาโดยมีตัวอักษรขนาดใหญ่ของชูหยูจี้ ด้วยความรู้สึกสงบ รวบรวมเอกสารเข้าด้วยกันและใส่ไว้ในกระเป๋าเอกสาร

 “ ประธานชู งั้นฉันออกไปก่อนนะ”

หลังจากเดินไปสองก้าว จู่ๆ เธอก็นึกถึงบางสิ่งบางอย่างจึงหันกลับมาและมองไปที่ชูหยูจี้: "คุณชู แม้ว่าฉันจะเป็นคนนอก ฉันไม่เข้าใจความรักของคุณ แต่ฉันคิดว่าคนที่ไม่ได้เจอมา 6 ปีแล้ว เธอจะต้องไม่มีเประธานชูอยู่ในใจ ถ้าเป็นเช่นนั้นทำไมประธานชูถึงดื้อรั้นอยู่ปล่อยวางไปไม่ดีกว่าเหรอ "

 หลังจากพูด เธอพยักหน้าและหันตัวเดินออกไป

เธอนั่งอยู่บนรถบัส เฉินเป้ยอีมองเอกสารในมือของเธอและรู้สึกหนักอึ้งไปชั่วขณะ สำหรับชูหยูจี้ เธอไม่สามารถพูดความรู้สึกอะไรได้ เธอมีความผิดว่า "เธอไม่ได้ฆ่าคนอื่น แต่คนอื่นตายไปเพราะเธอ"

 เพราะเธอจมอยู่ในอารมณ์ของตัวเองตลอดทาง เธอจึงไม่ได้สังเกตว่าโทรศัพท์สั่นตลอดเวลา

 หลังจากลงรถแล้ว ตึกSM ก็อยู่ไม่ไกล

เธอพบม้านั่งและนั่งลง ดูเวลาบนแขนของเธอและยังมีเวลา 20 นาทีกว่าจะเลิกงาน

 เธอคิดว่าเซ็นสัญญาเรียบร้อยแล้ว รอที่นี่จนกว่าจะเลิกงาน

 อันที่จริง เธอไม่เข้าใจ. เมื่อพิจารณาถึงความสัมพันธ์ระหว่างเกาเหวินและหนิงเส่าเฉินจากนั้นเกาเหวินเป็นพี่สะใภ้ของชูหยูจี้ เธอไม่รู้ว่าทำไมชูหยูจี้ถึงไม่ตามหาเกาเหวิน แล้วมาหาเธอ

เมื่อรู้สึกถึงร่างที่ปกคลุมร่างกายของเธอ เธอเงยหน้าขึ้นมอง เธอเห็นหนิงเส่าเฉินเอามือล้วงกระเป๋ากางเกงจ้องมองเธอด้วยแววตาเศร้าหมอง

 "ไม่รับโทร  ไม่ตอบ เฉินเป้ยอีใครให้คุณกล้าที่จะปฏิบัติต่อผมแบบนี้" เขามองไปที่ผู้หญิงตรงหน้าเขาอย่างไม่ลดละ

 เฉินเป้ยอีค่อยๆหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาจากกระเป๋าเสื้อและเปิดข้อความไม่ได้รับ 37 ครั้งและข้อความ WeChat อีกนับสิบ …

 เธอขมวดคิ้ว“ คุณหนิง คุณว่างจนบ้าหรอ?

เธอยังคงคุ้นเคยกับหนิงเส่าเฉินที่มีคําพูดน้อยๆ ถ้ากระตือรือร้นมากแบบนี้ เธอไม่คุ้นเคยกับเขาจริงๆ

 สิ่งที่สำคัญที่สุดคือความกระตือรือร้นของเขาจะทำให้เธอวุ่นวายในใจ

เมื่อเห็นเธอทำหน้าบึ้งด้วยท่าทางร้อนรนและไม่ตั้งใจ ริมฝีปากบางของหนิงเส่าเฉิน ก็เม้มเบา ๆ เส้นเลือดของเขาแตกออกและเขาแทบจะบ้าคลั่ง เขาเหม่อลอยในทุกสิ่งในตอนเช้าเพราะเธอไม่รับโทรศัพท์  ข้อความก็ไม่ตอบ

 เธอไม่แม้แต่จะหันไปมอง

"ว้าว นี่ดาราไม่ใช่เหรอ เขาดูหล่อมาก"

 "ใช่เห็นหุ่นดี ผิวพรรณดีจัง"

 “ เราไปทักทายกันดีไหม?”

 “ อย่านะ ฉันไม่กล้า!”

ด้านหน้าอาคาร SM เป็นเมืองมหาวิทยาลัยนักศึกษาหลายคนที่เดินผ่านไปมาเป็นวัยรุ่น ยากที่จะเห็นผู้ชายที่โดดเด่นเช่นหนิงเส่าเฉิน และก็อดไม่ได้ที่จะหยุดพูดคุย

 ทันทีที่เฉินเป้ยอีถูกจ้องมองจนหนังหัวของเธอชา เธอก็ลุกขึ้นยืนและวางเอกสารในมือลงในถุงผ้าข้างๆเธอ

 "ถ้าคุณหนิงไม่มีอะไรทำฉันจะไปกินข้าวก่อน" เธอเดินอ้อมตัวเขาและเดินผ่านไปทางขวา

 อย่างไรก็ตาม เธอแค่ก้าวไปสองก้าวแขนของเธอก็ถูกเขาคว้าไว้“เฉินเป้ยอี ผมใจดีกับคุณมากเกินไปหรือเปล่า?” ใบหน้าของเขาจมลงอย่างไร้ปราณี ดวงตาของเขาเปลี่ยนเป็นแสงเย็น

 ด้วยความเย็นชาของเขา เฉินเป้ยอีจึงเลือกที่จะเพิกเฉยโดยตรง เธอมีความปราณีผู้ชายคนเดียวคือลูกชายของเธอ ดังนั้นแม้คนอื่นกลัวเขาเธอก็ไม่กลัว

"หนิงเส่าเฉิน ฉันขอให้คุณโทรหาฉันหรอ ฉันขอให้คุณส่งข้อความ WeChat มาให้ฉันหรอ คุณเป็นเจ้านายและคุณไม่มีอะไรทำ เมื่อคุณอิ่มแล้วคุณสามารถเล่นโทรศัพท์มือถือของคุณได้ตามใจ ฉันทำงาน  ฉันดูโทรศัพท์มือถือในที่ทำงานได้ไหม ฉันไม่ได้ทำให้คุณชอบฉัน และฉันก็ไม่ชอบคุณด้วย ดังนั้นคุณก็ไม่จำเป็นต้องดีกับฉันมากเกินไป” หลังจากคุยกับชูหยูจี้มาทั้งเช้า ตอนนี้เธอก็หิวและเหนื่อยแล้ว  ชายคนนั้นยังคงมาตอแยเธอ เธอจึงโกรธจนไฟลุก

หลังจากที่เฉินเป้ยอีดุเขา หลังจากในหายใจ เธอก็ตระหนักว่าเธอดูเหมือนจะอดทนกับคนอื่นได้มากกว่ากับผู้ชายคนนี้

 เมื่อคิดได้แบบนี้ เธอก็รู้สึกอึ้งเล็กน้อยและ หลายคนพูดว่า พอเห็นว่าเขาชอบ ก็ไปหยิ่งใส่เขา นิสัยแบบนี้คือเธอรึเปล่า

 หนิงเส่าเฉินมองดูเธออย่างลึกซึ้ง หันกลับมาและกลับไปที่รถ

 โดยไม่ให้โอกาสเฉินเป้ยอีได้ตอบ รถสีดำก็ขับออกไปแล้ว

เมื่อเห็นไฟท้ายลอยหายไป เฉินเป้ยอีก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก แต่เธอก็ไม่มีความสบายใจเหมือนวันก่อนที่เธอปฏิเสธ เซี่ยอวี่ เพราะรู้สึกเหมือนหัวใจว่างเปล่า

 ทันทีที่เฉินเป้ยอี คิดว่าเธอดุร้ายแบบนี้ เขาก็จะปล่อยเธอไปอย่างแน่นอน

 ท้ายที่สุดแล้ว คนหยิ่งผยองเช่นหนิงเส่าเฉิน เขาไม่สามารถทำสิ่งต่างๆเช่นการสะกดรอยตามได้

 ในตอนกลางคืนเฉินเป้ยอี นอนหลับและได้ยินเสียงคนเคาะประตู

"อย่างไรก็ตาม เป้ยอี ชายคนนี้ขี้เหนียวเกินไปและให้ดอกไม้ป่านี้แก่คุณจริงหรือ"

สาวอ้วนพูดโดยไม่ได้ตั้งใจ แต่คนฟังฟังอย่างตั้งใจ

 ในห้องแต่งตัว มีคนหัวเราะออกมาดัง ๆ

 ดอกไม้ป่า?  เธอยิ้ม … เธอชอบดอกไม้ป่า แต่เธอแปลกใจว่าทำไมชูหยูจี้ถึงให้ดอกไม้แบบนี้กับเธอ

เธอถ่ายรูปและเพิ่มข้อความย่อหน้า "ดอกไม้ยังเหมือนเดิม แต่คนไม่ใช่คนเดิมอีกแล้ว" จากนั้นก็โพสต์ WeChat 

 เพิ่งเสร็จ.

 โทรศัพท์ก็สั่นและเมื่อหยิบมันออกมาแล้วชำเลืองดู

เป็น หนิงเส่าเฉิน

 "ใครให้มา" แม้ว่าเธอไม่ได้เห็นหน้าเขา แต่เฉินเป้ยอีก็สัมผัสได้ถึงความไม่ดีใจของคนนั้นผ่านทางโทรศัพท์

อืม ฉันไม่ได้คาดหวังว่าเจ้านายที่มีงานเยอะมากจะยังมีเวลาเรียกดูโพสต์ของฉัน

 เธอส่งอิโมจิยิ้ม ชีวิตส่วนตัวของคนที่ไม่มีชื่อเสียง ไม่ต้องให้คุณหนิงมาสนใจ บ่าย

 เธอคลิกส่ง วางโทรศัพท์ไว้ในกระเป๋าเสื้อ แล้วเธอก็เริ่มเก็บกระเป๋าแต่งหน้า

 “ ประธานเกา … ”

 มีคนทักทาย

เฉินเป้ยอี หยุดชั่วคราวในขณะที่เธอเก็บกล่องแต่งหน้า

 "เป้ยอี" เป็นเสียงของผู้จัดการหลิน

ทันทีที่เฉินเป้ยอี หันหน้าเธอไปมองผู้จัดการหลินที่ถือเอกสารอยู่ในมือ มองเธอด้วยความสุข และเธอก็สับสน

 “ พี่เฉิน” เกาเหวินมองเธอด้วยรอยยิ้ม

เฉินเป้ยอีพยักหน้า "ประธานเกา"

 เมื่อเห็นเกาเหวินก้าวมาข้างหน้าและจับมือเธอพร้อมกับหน้าสีแดงจาง ๆ "เย่หลิน เพิ่งโทรมาและบอกว่าเขาอยากร่วมมือกับเรา และบอกว่าคุณต้องไปเซ็นสัญญา พี่เฉิน คุณรู้จักเจ้านายของพวกเขาหรอ?”

เย่หลิน?ด้วยหัวใจที่สั่นสะท้าน เฉินเป้ยอีรับสัญญาจากผู้จัดการหลิน ด้วยความตระหนักรู้ก้มหน้าและเหลือบมองเขาอย่างไม่เป็นทางการ เย่หลิน?  นามสกุลเหมือนกัน Ye เป็นนามสกุลพ่อของเธอและหลิน เป็นนามสกุลของแม่ เธอคิดเสมอว่าเธอคือความรักที่ตกผลึก หลังจากที่พ่อของเธอหายตัวไป เธอรู้สึกว่าชื่อนี้ดูน่าขันไปหน่อย

 แต่จะมี บริษัทที่ต้องชื่อนี้ได้อย่างไร?

 อย่างไรก็ตาม แม้ว่าเธอจะไม่รู้ จะมีประโยชน์อะไรกับการร่วมมือกับเย่หลิน  จากความตื่นเต้นที่ไม่สามารถควบคุมได้ของผู้จัดการหลิน เธอก็จินตนาการได้ว่าสัญญานี้ไม่น่าจะได้มาง่ายๆ แต่ทำไมต้องให้เธอไปเซ็นกับพวกเขา

"พี่เฉิน นี่เป็นสัญญา คุณก็ไปเซ็นในตอนนี้เลย ถ้าเซ็นสัญญาได้  ฉันจะให้ค่าคอมมิชชั่น 2% ของผลการดำเนินงานกับพวกเขาในอนาคต คุณคิดว่ายังไง?"

 หักตามเปอร์เซนต์ที่กําหนด2%? อะไรกัน?

 เมื่อฟังเสียงหอบของฝูงชนที่อยู่เบื้องหลัง เฉินเป้ยอีรู้ว่าเป็นจำนวนไม่น้อย

 ผู้จัดการหลิน ส่งสัญญาให้เธอและตบหลังของเฉินเป้ยอีแน่นขึ้นและพยักหน้า“ งั้นฉันจะไป”

เธอไม่สนใจว่าค่าคอมมิชชั่นที่เรียกว่า 2% จะเป็นจำนวนเท่าไรและเธอก็ไม่สนใจว่ เย่หลิน จะศักดิ์สิทธิ์ขนาดไหน เพราะเธอไม่มีคนและเรื่องจะให้เธอกังวล มีเพียงคนที่เกี่ยวข้องเท่านั้น ไม่ต้องการให้เธอรับภาระนี้ ดังนั้นสำหรับเงิน  ไม่มีความหมายกับเธอ แต่ในขณะนี้ เธอแค่อยากหนีจากผู้ชายตรงหน้าเธอ ดวงตาของเขาทำให้เธอรู้สึกขนลุก

ดังนั้นเธอจึงหันหลังกลับและออกไป

 ความรวดเร็วของเธอทำให้ทุกคนคิดว่าเธอรักเงินเหมือนชีวิตและสายตาของพวกเขาก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย

 เกาเหวินมองไปที่ด้านหลังที่รีบจากไป ดวงตาของเธอไม่ยินยอม

เย่หลิน เป็นบริษัทภาพยนตร์และโทรทัศน์ในประเทศที่มีชื่อเสียง แม้ว่ามันจะเข้าสู่สายตาของสาธารณชนเมื่อสามปีก่อน แต่เจ้านายก็ไม่รู้ว่ามีช่องพิเศษหรือไม่ ในช่วงสองปีที่ผ่านมาลูกน้องของเขาได้รวบรวมนางแบบคนดังระดับหนึ่งและสองไว้ได้

 แม้ว่า SM จะถูกเรียกว่าบริษัทนางแบบในคำพูดของคนอื่น แต่ธุรกิจหลักและรายได้มาจากการแต่งหน้าของคนที่มีชื่อเสียงหลายคน ดังนั้น หากสามารถร่วมมือกับ บริษัทอย่างเย่หลิน ได้ก็จะมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการพัฒนา SM  เธอไปเยี่ยมหลายครั้งในช่วงสองปีที่ผ่านมาแต่ไม่ได้พบผู้จัดการของที่นั่นด้วยซ้ำ

 ตอนนี้ เธออยากรู้จริงๆว่าเฉินเป้ยอี ใช้วิธีใด ทําสิ่งที่เธอไม่ได้ ทำในช่วงสองปีที่ผ่านมาโดยไม่รู้ตัว

 เมื่อนึกถึง บริษัทนี้ เมื่อสองปีก่อน หนิงเส่าเฉินส่งมอบให้เธอ นอกเหนือจากการพึ่งพาตระกูลหนิง ในการรับคำสั่งซื้อแล้ว ผลการทํางานส่วนตัวของเธอก็เกือบเป็นศูนย์ในช่วงสองปีที่ผ่านมา

เธอรู้สึกกังวลและโกรธในใจ

 "สวัสดี ฉันมาที่นี่เพื่อเซ็นสัญญา" ที่แผนกต้อนรับเฉินเป้ยอีบอกจุดมุ่งหมายอย่างสุภาพ

 แผนกต้อนรับยื่นบัตรลิฟต์ให้เฉินเป้ยอี "คุณเฉิน เจ้านายของเราจะให้คุณขึ้นลิฟต์ส่วนตัวของเขาโดยตรง"

 หลังจากพูดแล้วก็นำทางให้เธอ

เฉินเป้ยอีมาที่นี่พร้อมกับความคิดที่จะทําภารกิจให้เสร็จสมบูรณ์ แต่ในขณะนี้เธอรู้สึกสงสัยเล็กน้อยเกี่ยวกับเจ้านายของเย่หลิน

 ในรถก่อนมา เธอค้นหา บริษัทเย่หลิน ในธุรกิจบันเทิงดาราหลายคนต้องการเข้ามาที่นี่

 อย่างไรก็ตาม เธอคิดไม่ออกจริงๆว่า ทำไมประธานของบริษัทใหญ่ ๆ ถึงมีความสัมพันธ์อะไรกับเธอ

 ลิฟต์หยุดที่ชั้นสูงสุด ทันทีที่เธอออกจากลิฟต์สาวงามอีกคนก็ทักทายเธอ

 "เป็นคุณเฉินใช่ไหม โปรดติดตามฉันมา"

 "ท่านประธานอยู่ข้างใน คุณเฉินเข้าไปได้"

เฉินเป้ยอีหายใจเข้าลึก ๆ รู้สึกประหม่าเล็กน้อยอย่างอธิบายไม่ถูก

 เมื่อเปิดประตูเฉินเป้ยอี ก็เห็น ชูหยูจี้ยืนอยู่ข้างหน้าต่างทันที

 เธอคิดว่าเธอมีภาพหลอน เธอจึงหลับตาทันทีและเมื่อเธอลืมตาอีกครั้ง ชายคนนั้นก็มาถึงตรงหน้าเธอแล้ว

 "สวัสดีคุณเฉิน ผมเป็นเประธานของเย่หลิน ชูหยูจี้ ยินดีที่ได้เจอ" เขายื่นมือซ้ายไปหาเธอและเขาก็พูดกับเธอว่า ยินดีที่ได้เจอ

เมื่อมองไปที่นิ้วเรียวและสะอาดของเขา ในตอนแรกเฉินเป้ยอีก็ตกใจ แล้วก็อายเล็กน้อยเธอยื่นมือขวาออกแตะฝ่ามือของเขา แล้วดึงกลับทันที

 อย่างไรก็ตาม คำถามในใจยังคงอยู่

 บริษัทของชูหยูจี้ มีชื่อว่าเย่หลิน?

 มันเป็นแค่เรื่องบังเอิญจริงๆเหรอ?

"ชื่อบริษัทของประธานชู  นั้นพิเศษจริงๆ" เธอก้าวไปข้างหน้าสองก้าว วางกระเป๋าไว้ที่โซฟาด้านหนึ่ง แล้วเริ่มจัดเรียงสัญญาในมือโดยแสร้งถามอย่างตามใจ

 ชูหยูจี้หยิบกาแฟที่เลขานำมาวางไว้ตรงหน้าเฉินเป้ยอี และชี้ไปข้างหลังเธอ "คุณเฉิน โปรดก่อน"

 เมื่อเฉินเป้ยอี คิดว่าเขาจะไม่มีคำอธิบายใด ๆแล้ว เขาก็จิบกาแฟของเขาและพูดอย่างเฉยเมย: "ผมตามหาผู้หญิงที่ชื่อ เย่หลิน มาหกปีแล้ว"

มือของเฉินเป้ยอี ที่จะไปหยิบกาแฟ หดกลับทันทีด้วยความตกตะลึงและไม่ขยับเป็นเวลานาน

เมื่อกลับไปที่ห้องของหนิงเสี่ยวซี เฉินเป้ยอีก็รู้สึกว่าใบหน้าของเธอยังร้อนอยู่

“แม่น้อยครับ คุณไปที่ห้องหนังสือของพ่อตั้งนาน พวกคุณ … ทำอะไรที่น่าอับอายหรือไม่?” เมื่อเห็นเฉินเป้ยอีเข้ามาหนิงเสี่ยวซีก็กระโดดลงมาจากเตียง จ้องมองเธอ

เฉินเป้ยอีรีบกลืนน้ำลาย“ ในความคิดของเด็กๆมัวแต่คิดอะไร ฉัน … ฉันจะไปขอโทษกับพ่อของหนู”

หนิงเสี่ยวซีขมวดคิ้ว เขารู้สึกตำหนิการป้องกันเสียงที่ประตูห้อง ทำให้เขาไม่ได้ยินอะไร

พูดจบก็หยิบกระเป๋าขึ้นมาจากบนเตียง "ไปชั้นล่างกันเถอะ แม่น้อยจะกินข้าวกับหนูก่อน แล้วหลังกินข้าวเสร็จ ฉแม่น้อยต้องไปทำงาน"

"อ้าว คุณจะออกไปตอนบ่ายนี้ คุณไม่อยู่กับผมหรอ"

“ถ้าไม่ไปทำงาน หนูจะเลี้ยงฉันไหม”

"โอเค … " หนิงเสี่ยวซีเดินไปรอบๆ ด้านหน้าเฉินเป้ยอี จากนั้นยื่นมือออกไปเพื่อหยุดเธอ พูดอย่างเคร่งขรึม: "แม่น้อย ไม่งั้นคุณไม่แต่งงานแล้ว คุณรอให้ผมโตขึ้น ผมแต่งงานกับคุณ โอเคไหม ลืมไป ผมจะหาผู้ชายคนอื่นให้คุณ ถ้าคุณแก่ตัวลง ก็จะไม่มีใครต้องการแล้ว"

หนิงเส่าเฉินบังเอิญไปดื่มน้ำที่ด้านบนของบันได เมื่อได้ยินคำพูดของหนิงเสี่ยวซีเขาแทบสำลัก

เมื่อหันไป เขามองไปที่ชั้นบน น้ำเสียงสงบลงเล็กน้อย "ลงมากินข้าวกันเถอะ"

ในห้องครัว เฉินเป้ยอีช่วยแม่นมหลิวนวดไหล่ของ ทั้งสองคนไม่รู้ว่าพูดอะไรกัน ดูเหมือนจะยิ้มอย่างสดใส

เมื่อเห็นฉากนี้ ปากของหนิงเส่าเฉินก็ยกขึ้นพร้อมกับรอยยิ้มจางๆ

เมื่อรับประทานอาหารเธอนั่งข้างหนิงเสี่ยวซี เฉินเป้ยอีมักจะเอากุ้งมาให้เขา หยิบกระดูกปลาออกให้เขา และเลือกผักให้เขา ทุกอย่างทำได้อย่างง่ายดี

หนิงเส่าเฉินดูเหมือนจะอารมณ์ดี ระหว่างคิ้วและดวงตาปรากฏความอ่อนโยนที่หาได้ยาก "ให้พี่เลี้ยงมาหน่อย อาหารเย็นหมดเย็น"

เฉินเป้ยอีเงยหน้าขึ้นมองเขาสบตา เธอและความวุ่นวายในใจของเธอ ก็เริ่มลึกขึ้นอีกครั้ง ถ้าผู้ชายคนนี้เปลี่ยนไปจริงๆ มันจะน่ากลัวจริงๆ แต่เธอไม่สามารถปรับตัวได้จริงๆ ที่จู่ๆเขาก็เปลี่ยนไป

แม่นมหลิวเพิ่งออกมาจากครัวเมื่อได้ยินสิ่งที่หนิงเส่าเฉินพูด เธอก็มองไปที่เฉินเป้ยอี ที่หน้าแดงและยิ้มอย่างรู้ทัน ทักทายพี่เลี้ยงคนใหม่ที่ยืนอยู่ที่ประตูห้องครัว เพื่อมาดูแลหนิงเสี่ยวซี

"ไม่ต้องแล้ว ฉันจัดการเอง ฉันก็ไม่มีโอกาสดูแลเสี่ยวซีสักเท่าไหร่" เมื่อเฉินเป้ยอีเห็นพี่เลี้ยงคนใหม่กำลังจะเอาตะเกียบมา เธอโบกมืออย่างรีบร้อน

เธอมองไปที่หนิงเสี่ยวซี ความอ่อนโยนและความปรนเปรอในสายตาของเธอไม่สามารถลบออกได้ ตะเกียบของ หนิงเส่าเฉินหยุดชั่วคราว ในตอนนี้ดูเหมือนเขาจะเข้าใจว่าทำไมหนิงเสี่ยวซีถึงชอบผู้หญิงคนนี้

เธอใจดีกับเขา จากใจจริงไม่สามารถปลอมได้อย่างแน่นอน

และเกาเหวิน … แม้ว่าเธอจะกังวลมากเกี่ยวกับหนิงเสี่ยวซี แต่ดูเหมือนเธอจะจงใจทำอะไรบางอย่าง พูดตามตรงคือเหมือนแสดงให้เขาเห็น

เพราะใช้เวลาในการดูแลหนิงเสี่ยวซีนานเกินไป ดังนั้นเฉินเป้ยอีที่กลัวไปทำงานสาย เธอจึงได้กินข้าวแค่สองคำ

“แม่น้อยครับ ถ้าคุณมีเวลาก็มาที่บ้าน โอเคไหม?” เสี่ยวซีกอดแขนเธอด้วยท่าทางไม่เต็มใจ

เฉินเป้ยอีมองไปที่หนิงเส่าเฉินอย่างมีสติ“ ถ้าแม่น้อยมีเวลา แม่น้อยก็จะพาคุณออกไปเล่น โอเคไหม?”

บ้านตระกูลหนิง เธอควรมาให้น้อยลง ในกรณีที่ถ้าเธอได้พบกับเกาเหวิน มันจะดูไม่ดี

ในรถ

ลุงจางอยากเปิดประตูเบาะหลังให้กับเฉินเป้ยอี

เฉินเป้ยอีก็รีบขวางเขา แล้วพูดว่า "ลุงจาง คุณไม่จำเป็นต้องสุภาพกับฉัน แต่ฉันขอโทษที่ทำให้คุณลำบากที่จะส่งฉันไป"

ลุงจางนิ่งและใจดี เขาไม่พูดอะไรมาก และพยักหน้าให้เฉินเป้ยอี

ทันทีที่เฉินเป้ยอีเข้าไปในรถ นั่งลง ประตูก็เปิดออกอีกครั้ง จากนั้นหนิงเส่าเฉินก็เข้ามา

เฉินเป้ยอีขมวดคิ้ว“ คุณ … ”

"ไปที่บริษัทของผมก่อน แล้วลุงจางจะส่งคุณ" ราวกับรู้ว่าเธอต้องการพูดอะไร หนิงเส่าเฉินก็ชิงพูดก่อน

เฉินเป้ยอีพยักหน้า ทันใดนั้นเธอจำอะไรบางอย่างได้และหยิบกล่องยาออกมาจากกระเป๋า "ลุงจางคะ นี่เป็นครั้งสุดท้ายที่ฉันไปที่ร้านขายสินค้านำเข้าและส่งออก ฉันเห็นยาลดนิ่ว ฉันเลยซื้อมาให้คุณ และเก็บไว้ในกระเป๋าของฉัน ฉันไม่เคยมีโอกาสให้คุณ ฉันเกือบลืมมันไปแล้ว"

หลังจากพูดเสร็จ ก็วางยาลงในถาดข้างรถ

หนิงเส่าเฉินเห็นได้ชัดว่า ร่างกายของลุงจางสั่นสะท้าน

"เป้ยอี หนูยังจำมันได้"

ครั้งหนึ่ง ลุงจางไปส่งเธอเพื่อเล่นกับหนิงเสี่ยวซี ก้อนนิ่วทำใหเเขาเจ็บปวดเกินกว่าจะพูดออกไป ตอนหลังทราบว่า เป็นนิ่วในไตหมอบอกว่านิ่วไม่ใหญ่ ไม่ต้องผ่าตัด เมื่อเธอเห็นยาในวันนั้น จึงซื้อเก็บใส่กระเป๋าไว้

เธอยิ้ม "ปริมาณยา ฉันใช้กระดาษเขียนใหม่ให้คุณแล้ว ใส่ลงในขวด กินให้ตรงเวลานะคะ"

ลุงจางพยักหน้าซ้ำๆ

หนิงเส่าเฉินมองไปที่เฉินเป้ยอี พฤติกรรมของเธอเป็นธรรมชาติ เธอใจดีกับลุงจาง เห็นได้ชัดว่าเธอไม่ได้ทำเพื่อให้เขาเห็น แต่ทำจากใจจริง

ตอนนั้น เซี่ยอวี่ชอบเธอ เขาคิดไม่ออกว่า หนิงเสี่ยวซีชอบเธอได้ยังไง เขาประหลาดใจพอๆกันและเขาไม่เข้าใจว่าเขาดูแลเธออย่างไร

แต่ในตอนนี้ เขาดูเหมือนว่าจะเข้าใจขึ้นมาบ้าง เธออาจจะดูธรรมดา และบุคลิกของเธอไม่เป็นที่ชื่นชอบ แต่เธอมีความเป็นธรรมชาติสำหรับทั้งดี ร้าย ก็คือตามธรรมชาติ ไม่จงใจหรือแสร้งทำเป็นแบบนี้ "สวย" ทำให้คนสนใจ

เมื่อใกล้บริษัทของหนิงเส่าเฉิน ทันใดนั้นเขาก็หยิบโทรศัพท์มือถือของเฉินเป้ยอี เปิด WeChat ป้อนหมายเลขลงไปอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ออกนามบัตร WeChat พร้อมรูปตัวอักษรเพิ่ม ส่งผ่าน ทำทุกอย่างในครั้งเดียว

"ถ้าผมส่งข้อความถึงคุณ อย่าหยุดตอบผม" หลังจากจบคำสั่ง เขาก็โค้งตัวและลงจากรถ

เมื่อมองไปด้านหลัง เฉินเป้ยอีมองลงไปที่โทรศัพท์ในฝ่ามือของเธอซ้ำแล้วซ้ำเล่า ที่ยังมีอุณหภูมิของเขาอยู่มันอุ่นมาก แต่มันรู้สึกเหมือนฝัน

“เป้ยอี คุณหนิงเป็นคนดี”เมื่อรถสตาร์ท จู่ๆลุงจางก็พูดแบบนี้

เฉินเป้ยอีไอเบาๆ และร้องฮึฮึออกมา เธอไม่สามารถพูดต่อได้

เขาเป็นคนดี รวย หล่อ และเพิ่งค้นพบว่า เขาไม่ได้ดูน่ารำคาญขนาดนั้น แต่ …

แล้วยังไง เขาก็เป็นคู่หมั้นของคนอื่น!

ทันทีมาถึงบริษัทWeChatก็เแจ้งเตือน "อย่าเจอชูหยูจี้อีก"

เฉินเป้ยอีกลอกตาและวางโทรศัพท์ทิ้ง ไม่อยากตอบกลับข้อความ แต่ลึกๆในใจไม่สามารถเพิกเฉยได้

ดอกคามิเลียสีขาว เป็นที่พบมากที่สุดในบ้านเกิด ยังเป็นดอกไม้โปรดของเธอ

เธอขมวดคิ้วว่าทำไมชูหยูจี้ ถึงส่งให้ดอกคามิเลียสีขาวให้เธอ?

เด็กอัจฉริยะ แม่ลึกลับ

เด็กอัจฉริยะ แม่ลึกลับ

Score 10
Status: Completed

เพื่อช่วยแม่ที่ป่วย เฉินเป้ยอีได้ซ่อนรูปลักษณ์ที่ไม่มีใครเหมือนของเธอและกลายเป็นแม่ของลูกของ หนิงเส่าเฉิน ไม่กี่ปีต่อมา เพื่อที่จะได้พบลูก เธอปิดบังใบหน้าที่แท้จริง และกลายเป็นพี่เลี้ยงเด็กของเขา แต่ในโลกนี้มีความรักจริงๆหรือ? มิฉะนั้น "ดีเลิศ "เหมือนเธอ "ธรรมดา" เช่นเธอ แต่เขารักเธอ และจีบเธอ ทำไม?

Options

not work with dark mode
Reset