เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล 359 ดินแดนศักดิ์สิทธิ์

ตอนที่ 359 ดินแดนศักดิ์สิทธิ์

Sign in Buddha’s palm 359 ดินแดนศักดิ์สิทธิ์

“นั่นมันคืออะไรกัน?”

ฉุนหยางสื่อตกตะลึง และจ้องไปที่วิหารอันสูงตระหง่านที่ค่อยๆ มุดลอดออกมาจากช่องทางลึกล่านั้นช้าๆจิตใจของเขาพลันว่างเปล่า

วิหารอันสูงตระหง่านนี้ทําให้ฉุนหยางสื่อรู้สึกหวาดกลัว แม้แต่เจ้าดินแดนศักดิ์สิทธิ์เก้าดาบเมื่ออยู่ต่อหน้าวิหารอันยิ่งใหญ่นี้ ก็อ่อนแอไม่ต่างจากมด ทั่วทั้งอาณาจักรเก่าดาบแห่งนี้ เกรงว่าคงจะมีเพียงภูเขาศักดิ์สิทธิ์เก้าดาบเท่านั้นที่พอจะเทียบกับวิหารตรงหน้านี้ได้

เพียงแต่ว่าภูเขาศักดิ์สิทธิ์เก้าดาบนั้นถูกทิ้งไว้โดยผู้ทรงพลังถึงขีดสุดเก้าดาบตั้งแต่เมื่อห้าหมื่นปีก่อน ที่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์เก้าดาบครอบงําอาณาจักรเก่าดาบได้ทุกวันนี้ก็เพราะครอบครองภูเขาศักดิ์สิทธิ์เก้าดาบ ฉะนั้นในมุมของฉุนหยางสื่อ ไม่มีอะไรบนโลกนี้เทียบได้กับภูเขาศักดิ์สิทธิ์เก้าดาบ

ทว่าในตอนนี้…ฉุนหยางสื่อรู้สึกว่าสิ่งที่เขาเคยเชื่อกําลังจะพังทลายลง

เมื่อเทียบกับความตกใจของฉุนหยางสื่อ ศิษย์ทั้งสองจากดินแดนศักดิ์สิทธิ์เก้าดาบต่างก็หวาดกลัวยิ่ง ในฐานะศิษย์สาวกดินแดนศักดิ์สิทธิ์ สิ่งที่พวกเขาพบเห็นและได้ยินมานั้นเป็นธรรมดาที่จะมากกว่าฉุนหยางสื่อไปมาก และตระหนักดีถึงความหมายของวิหารอันสง่างามเบื้องหน้านี้

“ช่องทางมิติ?”

“นี่ใช่ช่องทางมิติหรือไม่?”

ศิษย์ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ทางซ้ายมือดูเคร่งเครียดอย่างยิ่ง ตามหนังสือโบราณที่สืบทอดต่อมาภายในดินแดนศักดิ์สิทธิ์เก่าดาบ เคยมีบันทึกเกี่ยวกับช่องทางมิติเอาไว้ ศิษย์ทั้งคู่จากดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไม่เคยคิดมาก่อนว่าพวกเขาจะได้มาเห็นสิ่งที่เลื่องลือว่าเกี่ยวข้องกับพลังแห่งมิติได้อย่างใกล้ชิดเช่นนี้

“เป็นไปได้ไหมว่านี่คือสมบัติจากนอกอาณาจักรเก่าดาบ?”

ศิษย์ดินแดนศักดิ์สิทธิ์เก้าดาบที่อยู่ทางขวามือก็เหมือนจะนึกอะไรบางอย่างได้ ทันใดนั้นใบหน้าก็เต็มไปด้วยความเร่าร้อน

แม้ว่าโลกอาณาจักรเก่าดาบจะเป็นเพียงโลกใบเล็ก และไม่กว้างใหญ่เท่ากับโลกใบเล็กภายในประตูเซียน แต่ก็เทียบได้กับอาณาจักรถังนับสิบแห่ง แม้ว่าดินแดนศักดิ์สิทธิ์เก้าดาบจะแข็งแกร่ง แต่ก็ใช่จะควบคุมทุกอย่างได้หมด ดังนั้นจึงมีสมบัติแปลกๆปรากฏขึ้นเป็นครั้งคราว เช่น เดียวกับโอสถอายุวัฒนะที่ฉุนหยางสื่อครอบครอง

แต่ตอนนี้ ในสายตาของศิษย์ทั้งสองคนจากดินแดนศักดิ์สิทธิ์เก้าดาบช่องทางมิติที่อยู่เบื้องหน้าของเขาและวิหารอันสง่างามที่ค่อยๆ มุดออกมาจากช่องทางมิตินี้ น่าจะเป็นสมบัติบางอย่างที่มีความสําคัญมากเสียยิ่งกว่าโอสถวิเศษนั่นอีก

โอสถวิเศษนั้นเป็นสิ่งล้ําค่าก็จริง แต่ท้ายที่สุดแล้วมันก็เป็นสิ่งที่มีอยู่บนโลกอาณาจักรเก่าดาบ แต่วิหารอันสง่างามเบื้องหน้านี้ น่าสงสัยว่าจะเป็นสมบัติสวรรค์จะเอาโอสถวิเศษมาเทียบได้หรือ?

“นี่เป็นสมบัติที่สูงค่าที่สุดในประวัติศาสตร์อาณาจักรเก้าดาบของเรา เทียบได้กับภูเขาศักดิ์สิทธิ์!”

ศิษย์ดินแดนศักดิ์สิทธิ์เก้าดาบอีกคนหนึ่งสงบใจลงจ้องมองไปที่วิหารนั้นด้วยสายตาอันร้อนแรง

ห้าหมื่นปีแล้วที่บรรพชนทั้งหลายของดินแดนศักดิ์สิทธิ์เก้าดาบเข้าครอบครองภูเขาศักดิ์สิทธิ์เก้าดาบ ดังนั้นจึงมีดินแดนศักดิ์สิทธิ์เก้าดาบเกิดขึ้น กวาดล้างไปทั่วโลกมากว่าห้าหมื่นปี และ ตอนนี้ วิหารอันสง่างามที่อยู่เบื้องหน้านี้ แม้ว่าจะไม่ได้ทรงพลังเท่าภูเขาศักดิ์สิทธิ์เก้าดาบ แต่ก็ไม่อ่อนแอไปกว่ากันมากนัก

“หากข้าสามารถครอบครองวิหารหลังนี้ได้ ข้าย่อมทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า และแม้กระทั่งปลดเปลื่องพันธนาการของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ได้สามารถสร้างดินแดนศักดิ์สิทธิ์ขึ้นอีกแห่ง” ศิษย์ดินแดนศักดิ์สิทธิ์เก้าดาบด้านขวามือพึมพําอยู่กับตนเอง

แม้ว่าดินแดนศักดิ์สิทธิ์เก้าดาบจะคอยควบคุมโลกอาณาจักรเก่าดาบ แต่โลกใบเล็กก็มีทรัพยากรที่จํากัด……แม้จะอยู่ในฐานะศิษย์ของดินแดนศักดิ์สิทธิ์เก่าดาบเจ้าก็ต้องต่อสู้ฉกฉวย

ไม่เช่นนั้น ทั้งสองคนคงไม่ไล่ตามฉุนหยางสื่อขนาดนี้เพียงเพราะโอสถวิเศษเพียงชิ้นเดียว ต้องรู้ว่าโอสถวิเศษนั้นมีค่า แต่ภายในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ก็มีพื้นที่ขนาดใหญ่สําหรับเพาะปลูกสมุนไพรโอสถเช่นกัน สําหรับดินแดนศักดิ์สิทธิ์นั้น โอสถวิเศษไม่นับเป็นสิ่งมีค่าอะไรเลย

แต่สําหรับศิษย์ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ โอสถวิเศษใดๆ ก็ตามอาจช่วยให้พวกเขาแข็งแกร่งขึ้นอย่างมั่นคงในช่วงชีวิตการบ่มเพาะภายในดินแดนศักดิ์สิทธิ์

แต่ตอนนี้ วิหารที่อยู่เบื้องหน้าของพวกเขาได้ให้ความหวังใหม่แก่ศิษย์ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ทั้งสองความหวังว่าพวกเขาจะเติบโตได้โดยไม่ต้องพึ่งพาดินแดนศักดิ์สิทธิ์

เกิดประกายความคิดในหัวของศิษย์ทั้งสองคนจากดินแดนศักดิ์สิทธิ์ สิ่งที่อยู่ในใจเปลี่ยนผันไปมารวดเร็วพวกเขารู้ว่าวิหารตรงหน้านี้อาจมีความเสี่ยงสูง แต่แล้วอย่างไรเล่า?

เมื่อห้าหมื่นปีที่แล้ว บรรพชนหลายคนจากดินแดนศักดิ์สิทธิ์เก่าดาบก็ได้ผ่านความเป็นความตายเสียเลือดเนื้อไปมากเหมือนกันกว่าจะครอบครองภูเขาศักดิ์สิทธิ์เก้าดาบและก่อตั้งดินแดนศักดิ์สิทธิ์เก้าดาบขึ้นมาได้

“เราสองคนต้องรวมพลังกันหากเจออันตรายที่ไม่อาจฝืนผ่านเข้าไปได้ เราจะล่าถอยทันที และค่อยบอกดินแดนศักดิ์สิทธิ์เกี่ยวกับเรื่องนี้” ศิษย์ดินแดนศักดิ์สิทธิ์คนซ้ายมือกล่าวออกด้วยน้ําเสียงที่หนักแน่น

หากพวกเขาไม่สามารถผ่านไปได้ เป็นธรรมดาที่จะเลือกบอกดินแดนศักดิ์สิทธิ์ให้ทราบเพื่อดินแดนศักดิ์สิทธิ์จะได้ตอบแทนพวกเขาสําหรับการค้นพบวิหารแห่งนี้

“เร็วเข้า”

“ไม่เช่นนั้นหากปล่อยไว้นาน เมื่อผู้อาวุโสดินแดนศักดิ์สิทธิ์มาถึงพวกเราจะไม่สามารถลงมืออะไรต่อไปได้แล้ว”

ศิษย์ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ทางขวามือพยักหน้าและกล่าวออกไป

การปรากฏขึ้นของช่องทางมิติจะทําให้เกิดระลอกคลื่นในอากาศแพร่กระจายไปทั่วอาณาจักรเก้าดาบหลังจากนี้ไม่นานเกรงว่ามันจะไปกระตุ้นเตือนดินแดนศักดิ์สิทธิ์เก้าดาบ และเมื่อดินแดนศักดิ์สิทธิ์เก้าดาบพบว่ามีบางสิ่งผิดปกติ จะต้องลงมือตรวจสอบด้วยตนเองเป็นแน่ผลประโยชน์ที่พวกเขาจะได้รับย่อมลดลงน้อยกว่าครึ่ง

การเป็นผู้รายงานคนแรก กับรายงานในสิ่งที่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ทราบอยู่แล้วเป็นสิ่งที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง

เมื่อกล่าวเช่นนี้ ศิษย์ทั้งสองคนจากดินแดนศักดิ์สิทธิ์ก็เห็นทะยานด้วยความระแวดระวังเข้าหาวิหารอันยิ่งใหญ่ที่กําลังมุดเข้าสู่อาณาจักรเก่าดาบ

และในตอนนี้

ฉุนหยางสื่อก็ถูกทิ้งไว้เบื้องหลังในจุดที่ไม่ไกลออกไปนัก

เมื่อเทียบกับวิหารตรงหน้าโอสถอายุวัฒนะที่ฉุนหยางสื่อคอยปกป้องก็ไม่นับเป็นสิ่งใดเลย ศิษย์ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ทั้งสองคนก็คร้านจะใส่ใจฉุนหยางสื่อ

“แล้วกันไป”

“นี่ไม่ใช่สิ่งที่ข้าสามารถมีส่วนร่วมได้”

“หนีไปก่อนดีกว่าอย่างไรก็ยังสามารถเก็บโอสถวิเศษไว้ได้”

ฉุนหยางสื่อมองขึ้นไปที่วิหารอันวิจิตรตระการตา และได้ตัดสินใจ

แม้ว่าเขาจะทราบถึงคุณค่าของวิหารแห่งนี้ได้อยู่บ้าง แต่ก็ชัดเจนว่าศิษย์ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ทั้งสองคนได้นําหน้าไปก่อนแล้ว

ฉุนหยางสื่อไม่เหลือความโลภในใจอีกแล้วในตอนนี้ เพียงแค่ต้องการออกไปจากสถานที่แห่งนี้โดยเร็วไม่เช่นนั้น เมื่อศิษย์ทั้งสองจากดินแดนศักดิ์สิทธิ์เสร็จธุระมันคงไม่ง่ายเลยที่จะจากไป

เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ ในที่สุดฉุนหยางสื่อก็เหลือบมองไปที่ศิษย์ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ทั้งสองคน

ในเวลานี้ ศิษย์ของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ทั้งคู่นั้นอยู่ใกล้กับวิหารอันยิ่งใหญ่แล้ว และพวกเขาก็ก้าวเท้าขึ้นไปเหยียบบนขั้นบันไดของวิหารเตรียมจะเข้าไปภายใน

อย่างไรก็ตาม

ในตอนนั้นเอง

ฉุนหยางสื่อก็เบิกตากว้างในทันใด

ภายใต้การจ้องมองด้วยความตกใจของฉุนหยางสือ ก็เห็นร่างสูงเพรียวค่อยๆ เดินออกมาช้าๆจากภายในวิหาร

ตึงตึงตึง!!!

เสียงฝีเท้าหุ้มต่ําดังขึ้น ราวกับแต่ละก้าวที่ย่างกรายมานั้นเป็นเสียงหัวใจของตัวตนอันยิ่งใหญ่

“นี่?!”

ฉุนหยางสื่อมองไปที่ศิษย์ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ทั้งสองคนที่ก้าวเท้าเหยียบขึ้นไปบนบันไดเรียบร้อยแล้ว

ในเวลานี้ ศิษย์ทั้งสองจากดินแดนศักดิ์สิทธิ์ดหวาดกลัวราวกับพวกเขารับรู้อะไรได้บางอย่างและต้องการจะหลบหนีไป แต่ในวินาทีต่อมาร่างกายของพวกเขาก็เริ่มพังทลาย และแม้แต่จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ก็สลายตัวไปอย่างรวดเร็ว

“ดินแดนศักดิ์สิทธิ์เก้าดาบจะไม่ปล่อยเจ้าไป!” หนึ่งในศิษย์ดินแดนศักดิ์สิทธิ์กล่าวประโยคนี้ ออกมาแล้วจากนั้นจึงกลายเป็นอากาศธาตุราวกับพวกเขาไม่เคยมีตัวตนอยู่บนโลกนี้เลย

“นี่คืออาณาจักรเก่าดาบงั้นรึ?”

ซฉินเพิกเฉยต่อศิษย์ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ทั้งสองคนที่ถูกทําลายทั้งกายเนื้อและจิตวิญญาณจน สิ้น จากนั้นจึงเหม่อมองขึ้นไปบนท้องฟ้า “จิตวิญญาณปราณฉีแข็งแกร่งมากผู้ทรงพลังถึงขีดสุดทําเช่นไรถึงรักษาจิตวิญญาณปราณฉีไว้ในโลกใบเล็กนี้ได้เป็นหมื่นๆปีกัน?”

ไม่ว่าจะเป็นอาณาจักรเก้าดาบที่เปิดออกโดยผู้ทรงพลังถึงขีดสุดเก้าดาบหรือโลกภายในประตูเซียนที่เปิดออกโดยกลุ่มผู้ทรงพลังถึงขีดสุดจะมองอย่างไรก็ไม่ใช่โลกที่แท้จริงไม่สามารถสร้างกระแสหมุนเวียนพลังงานภายใน หรือสร้างจิตวิญญาณปราณฉีขึ้นเองได้

เช่นเดียวกับโลกภายในประตูเซียน หลังจากผ่านไปกว่าหมื่นปี ไม่ว่าจะเป็นจิตวิญญาณปราณฉีหรือกฎเกณฑ์วิถีทางต่างๆ ก็ล้วนเสื่อมสลายไปในระดับหนึ่งหากไม่เปิดช่องทางมิติ หลังจากนี้อีกไม่กี่พันปีเกรงว่าการดํารงอยู่ของตัวตนในขอบเขตเซียนเทพปฐพีจะต้องสูญสิ้นไป

แต่โลกของอาณาจักรเก่าดาบนั้นแตกต่าง

ซฉินสามารถสัมผัสได้ถึงพลังที่แทรกซึมอยู่ในทุกตารางนิ้วของอาณาจักรเก่าดาบอย่างชัดเจน

เมื่อซูฉินรับสัมผัสถึงพลังในอาณาจักรเก่าดาบอย่างพินิจพิเคราะห์

ฉุนหยางสื่อซึ่งอยู่ไม่ไกลนักก็รู้สึกว่าหนังศีรษะเขาแทบจะระเบิดออกมา โดยเฉพาะในตอนนี้ ซูฉินเดินออกมาจากวิหารการสงครามรัศมีพลังที่ไม่สามารถอธิบายได้ก็เข้าปกคลุมรัศมีร้อยลี้เป็นที่เรียบร้อยไม่ต้องกล่าวถึงการวิ่งหนีเลย แค่ขยับตัวออกไปจากจุดนี้ก็ยากเย็นอย่างยิ่งแล้ว

“มันจบแล้ว มันจบแล้ว!

“เกิดเรื่องใหญ่แล้ว เกิดเรื่องใหญ่แล้ว!”

ฉุนหยางสื่อหลั่งเหงื่อเย็นเยียบ หัวใจสั่นไหว

แม้ว่าเขาจะไม่รู้ว่าซูฉินมีความเป็นมาอย่างไร แต่ศิษย์ทั้งสองของดินแดนศักดิ์สิทธิ์เก่าดาบก็ได้ตกตายใต้เงื้อมมือของซูฉินไปแล้วโดยแท้จริง

ด้วยสิ่งนี้ หากดินแดนศักดิ์สิทธิ์เก้าดาบได้รับรู้เรื่องราว มันจะต้องเป็นหายนะครั้งใหญ่!

ต้องรู้ว่าดินแดนศักดิ์สิทธิ์เก้าดาบนั้นครอบง่าผู้คนมาช้านาน เมื่อดินแดนศักดิ์สิทธิ์รู้ว่าศิษย์ของมันตกตายในเงื้อมมือผู้อื่นจะยอมอ่อนข้อให้ง่ายๆ ได้อย่างไร?

ศิษย์ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ทั้งสองคนต้องการโอสถอายุวัฒนะที่ฉุนหยางสื่อปกป้องมากว่าแปดสิบปีทําไมฉุนหยางสื่อถึงต้องหลบหนีเป็นระยะทางนับแสนดี้แทนที่จะต่อต้านเหตุผลก็คือเขาไม่กล้า!

ในอาณาจักรเก่าดาบแห่งนี้ ค่าว่าดินแดนศักดิ์สิทธิ์เก้าดาบนั้นยิ่งใหญ่หนักแน่นเกินไป

แม้แต่ในตอนสุดท้ายก็ต้องถึงจุดที่ฉุนหยางสื่อรู้สึกว่าเขาหาทางออกไม่ได้จริงๆ จึงมีความคิดที่จะลากทุกคนตายไปด้วยกัน

แน่นอน ไม่ว่าดินแดนศักดิ์สิทธิ์เก้าดาบจะโกรธเคืองเพียงใด ทั้งหมดนี้ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับฉุนหยางสื่อเลยเพราะฉุนหยางสื่อไม่ได้รู้จักกับซูฉิน…..แต่เมื่อเหล่าทวยเทพทําหันกัน มนุษย์ปุถุชนก็ย่อมต้องทนทุกข์ไปด้วย

แม้ว่าฉุนหยางสื่ออยากจะล่าถอยกลับไป แต่เขาจะหนีผลพวงที่ตามมากับดินแดนศักดิ์สิทธิ์เก้าดาบได้อย่างไร?

ขณะที่ฉยหยางสื่อยืนนิ่งอยู่ตรงจุดนั้น ซูฉินก็หันไปมองเล็กน้อย เห็นฉุนหยางสื่อที่ใบหน้าขาวซีด

“เข้ามาเถอะ”

ซูฉินโบกมือไปทางฉุนหยางสื่อ

หวิ่ง!!!

ฉุนหยางสื่อสัมผัสได้ว่ารอบตัวกลายเป็นมืดมิด เมื่อปรากฏตัวอีกครั้งก็มาอยู่เบื้องหน้าซูฉินเสียแล้ว

“ข้าน้อย….ข้าน้อยฉุนหยางสื่อ คารวะผู้อาวุโส… ฉุนหยางสื่อตกใจกลัว ก้มลงคํานับซูฉินพร้อมกับกล่าวคําแสดงความเคารพทันที

ฉุนหยางสื่อไม่รู้ชื่อของซูฉิน แต่ภายในใจของฉุนหยางสื่อนั้น อย่างน้อยซูฉินก็ต้องเป็นตัวตนเทียบเคียงระดับอาวุโสของดินแดนศักดิ์สิทธิ์เก้าดาบซึ่งสูงส่งและสามารถทอดสายตาลงมองสิ่งมีชีวิตทั้งมวล

“ฉุนหยางสื่อ?”

ซูฉินเหลือบมองฉุนหยางสื่อ

มองจากสายตาของซูฉิน ย่อมเป็นเรื่องธรรมดาที่จะเห็นว่าฉุนหยางสื่อเป็นเพียงตํานานยุทธระดับนภาชั้นที่หก และศิษย์ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ทั้งสองคนที่พยายามเข้ามาใกล้วิหารการสงครามก็อยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกัน

“ใครคือผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดบนโลกใบนี้?” ซูฉินครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงถามออกอย่างตรงไปตรงมา

แม้ว่าซูฉินจะทราบอยู่แล้วจากพลังฉีที่แข็งแกร่งที่สุดภายในอาณาจักรเก้าดาบว่าอยู่เพียงแค่จุดสูงสุดของขั้นกลับคืนต้นกําเนิดผ่านการใช้ดวงตาแห่งสัจจะผสานกับวิชาปราณฉีฟ้ากําหนดแต่มันก็เท่านั้น

สําหรับสถานการณ์บนโลกของอาณาจักรเก่าดาบ ไม่รู้ว่าตัวตนทรงอานาจจะครอบครองสิ่งของและเคล็ดวิชาที่ผู้ทรงพลังถึงขีดสุดเก้าดาบทิ้งเอาไว้ไปมากเท่าไหร่

ไม่ว่าจะเป็นดวงตาแห่งสัจจะหรือวิชาปราณฉีฟ้ากําเนิด สิ่งที่มันเห็นก็คือกลไกพลังฉีจํานวนมากบนโลก ไม่ได้มองทะลุสามโลกหกอาณาจักรได้อย่างทิพยอํานาจดวงตาผ่านฟ้าในทางพุทธ

แน่นอน นี่ไม่ได้หมายความว่าดวงตาแห่งสัจจะจะด้อยกว่าดวงตาผ่านฟ้า แต่จุดมุ่งเน้นของทั้งสองสิ่งนั้นแตกต่างกัน และไม่สามารถนํามาเปรียบเทียบกันได้

“ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุด?”

ฉุนหยางสื่อตกตะลึงไปครู่หนึ่ง และไม่สามารถตอบสนองได้ทัน

ในอาณาจักรเก้าดาบตราบใดที่คนผู้หนึ่งเข้าสู่เส้นทางสายยุทธ ใครบ้างที่ไม่รู้จักดินแดนศักดิ์สิทธิ์เก้าดาบซึ่งเป็นผู้ครองใต้หล้า? ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดบนโลกก็ต้องมาจากดินแดนศักดิ์สิทธิ์เก้าดาบเท่านั้น

แต่ก็เท่านั้น

เพียงไม่นานหลังจากนั้น

ฉุนหยางสื่อก็คิดไปถึงคําถามของซูฉิน เขาเรียกอาณาจักรเก่าดาบด้วยคําว่า “โลกใบนี้?

การที่จะสามารถพูดว่าโลกใบนี้ได้ หมายความว่าซูฉินอาจจะไม่ใช่คนที่มาจากอาณาจักรเก่าดาบ ไม่เช่นนั้นเขาจะกล่าวออกมาด้วยน้ําเสียงที่ดูห่างเหินเช่นนั้นได้อย่างไร?

เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ ฉุนหยางสื่อที่เพิ่งจะสงบใจได้ก็สั่นสะท้านขึ้นมาอีกครั้ง

ตัวตนที่อยู่นอกโลก…..แม้ว่าฉุนหยางสื่อจะไม่สามารถเข้าไปอ่านบันทึกของดินแดนศักดิ์สิทธิ์เก้าดาบเหมือนเช่นศิษย์สาวกของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ แต่เขาก็เข้าใจความหมายของมันได้ชัดเจน

ตามตํานาน ผู้ทรงพลังถึงขีดสุดผู้สร้างอาณาจักรเก่าดาบก็มาจากโลกภายนอกเช่นกัน……

“หืม?”

เมื่อเห็นว่าฉุนหยางสื่อไม่ได้พูดอะไรออกมา ซูฉินก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย

เหตุผลที่เขาไว้ชีวิตฉุนหยางสื่อก็เพราะต้องการสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับอาณาจักรเก้าดาบจากตัวของคนผู้นี้

อาณาจักรเก่าดาบเป็นโลกที่เปิดออกโดยผู้ทรงพลังถึงขีดสุดเก้าดาบ ซึ่งเป็นผู้ทรงพลังถึงขีดสุดที่ซูฉินได้สัมผัสถึงตัวตนเป็นคนที่สาม ถัดมาจากผู้ทรงพลังถึงขีดสุดวิถีจิตวิญญาณแรกกําเนิดจากเกาะสามพันมายา และโหวเหยียนผู้เป็นเจ้าของวิหารการสงครามแต่เดิม

“ผู้อาวุโส”

“ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดบนโลกในทุกวันนี้ควรจะเป็นเจ้าลัทธิของดินแดนศักดิ์สิทธิ์เก้าดาบ” ฉุนหยางสื่อเหมือนจะสัมผัสได้ถึงความไม่พอใจของซูฉิน เหงื่อเย็นเยียบไหลย้อยมาที่หน้าผากของเขาอย่างรวดเร็ว จากนั้นจึงรีบตอบกลับในทันที

“ดินแดนศักดิ์สิทธิ์เก้าดาบ?”

ซฉินกล่าวซ้ําด้วยเสียงต่ํา แล้วจากนั้นจึงถามต่อไปว่า “เป็นมรดกที่ผู้ทรงพลังถึงขีดสุดเก้าดาบทิ้งเอาไว้หรือ?”

ซูฉินดูเคร่งเครียด

หากผู้ทรงพลังถึงขีดสุดเก้าดาบได้ทิ้งการสืบทอดของตนไว้ในอาณาจักรเก้าดาบจริงๆ ซูฉินก็จําต้องระวังตัวไว้บ้างแล้ว

แม้ว่าซูฉินจะยืนยันด้วยดวงตาแห่งสัจจะแล้วว่าคนที่แข็งแกร่งที่สุดในอาณาจักรเก่าดาบนั้นไม่ได้มีอะไรมากไปกว่าขั้นกลับคืนต้นกําเนิด แต่นั่นยังไม่รวมถึงสิ่งที่ผู้ทรงพลังถึงขีดสุดทิ้งเอาไว้

ด้วยการสืบสานมรดกจากผู้ทรงพลังถึงขีดสุด ซูฉินอาจจะประสบความสูญเสียครั้งใหญ่หากพบเข้ากับมรดกที่ถูกทิ้งไว้ภายในอาณาจักรเก่าดาบ

แม้จะผ่านมาหลายหมื่นปีสิ่งที่ผู้ทรงพลังถึงขีดสุดทิ้งเอาไว้อาจจะเหลือแค่หนึ่งร้อยชิ้น หรือ หนึ่งพันชิ้น แต่นั่นก็เป็นถึงพลังในระดับของผู้ทรงพลังถึงขีดสุด

“มรดกที่ผู้ทรงพลังถึงขีดสุดเก้าดาบทิ้งเอาไว้?”

ฉุนหยางสื่อรีบส่ายศีรษะแล้วกล่าวว่า “ผู้อาวุโส ดินแดนศักดิ์สิทธิ์เก้าดาบครอบครองเพียงภูเขาศักดิ์สิทธิ์ที่ผู้ทรงพลังถึงขีดสุดเก้าดาบเคยปิดด่านฝึกตน หาใช่มรดกที่เหลืออยู่ของผู้ทรงพลังถึงขีดสุดไม่”

แม้ว่าดินแดนศักดิ์สิทธิ์เก้าดาบต้องการจะปกปิดเหตุการณ์นี้ให้สมบูรณ์ โดยอ้างว่าเป็นมรดกตกทอดมาจากผู้ทรงพลังถึงขีดสุด แต่ในความเป็นจริง แม้แต่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์เก้าดาบก็ไม่สามารถขึ้นไปถึงยอดของภูเขาศักดิ์สิทธิ์ได้

เมื่อเป็นเช่นนี้ ไม่ว่าดินแดนศักดิ์สิทธิ์เก้าดาบจะซ่อนมันเอาไว้อย่างไร ก็มีแต่จะเพิ่มความตลกขบขันให้กับดินแดนศักดิ์สิทธิ์เองเท่านั้น

หากดินแดนศักดิ์สิทธิ์เก้าดาบเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์ที่สืบทอดมรดกมาจากผู้ทรงพลังถึงขีดสุดจริง เป็นไปได้อย่างไรที่จะไม่สามารถขึ้นไปบนยอดเขาศักดิ์สิทธิ์

“เข้าใจแล้ว”

ซูฉินพยักหน้าเล็กน้อย

ในเวลาเดียวกัน

ขณะที่ซูฉินใช้วิหารการสงครามเข้าสู่อาณาจักรเก่าดาบ

ใจกลางโลกที่มีภูเขาศักดิ์สิทธิ์สูงหลายพันจ้าง

สถานที่แห่งหนึ่งใกล้กับบริเวณยอดเขา ภายในห้องโถงอันใหญ่โต มีร่างสูงนั่งขัดสมาธิอยู่เปิดเปลือกตาขึ้นมาในทันที และมองดูดาบศักดิ์สิทธิ์ที่สั่นไหวอยู่เบื้องหน้าด้วยความตกใจ

“ดาบศักดิ์สิทธิ์มีปฏิกิริยา

“นี่คือกลิ่นอายที่มาจากนอกอาณาจักรเก่าดาบใช่หรือไม่?”

Sign in Buddha’s palm 361 ใต้ร่มเงาภูเขาศักดิ์สิทธิ์

ภูเขาศักดิ์สิทธิ์เก้าดาบ

ดาบศักดิ์สิทธิ์ที่ฉายแสงออกมาอย่างต่อเนื่อง สะท้อนภาพที่อยู่ห่างไกลออกไปหลายแสนให้เห็นต่อหน้าทุกๆ คน ทันใดนั้นก็เริ่มสั่นไหว และภาพทั้งหลายก็พังทลายลงอย่างรวดเร็วในชั่วพริบตา

ทั่วทั้งสถานที่แห่งนี้กลายเป็นเงียบสงัด

ตั้งแต่เจ้าลัทธิดินแดนศักดิ์สิทธิ์เก้าดาบไปจนถึงเหล่าผู้อาวุโสระดับสูงต่างตกตะลึงไม่อยากเชื่อ

ดาบศักดิ์สิทธิ์นี้สืบทอดต่อมาจากผู้ทรงพลังถึงขีดสุดเก้าดาบจิ๋วหลี เหตุผลที่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์เก้าดาบสามารถครองโลกและแม้แต่ปรับแต่งรอบนอกของภูเขาศักดิ์สิทธิ์นี้ได้ก็เพราะพลังของดาบศักดิ์สิทธิ์เล่มนี้

ดาบศักดิ์สิทธิ์นี้มีจิตวิญญาณ และด้วยความช่วยเหลือจากภูเขาศักดิ์สิทธิ์ ทําให้สามารถดูมุม ใดๆก็ได้ภายในอาณาจักรเก่าดาบในทันที

แน่นอนว่าการทําเช่นนั้นย่อมสูญเสียทรัพยากรของดินแดนศักดิ์สิทธิ์เก่าดาบไปไม่น้อย แต่ตอนนี้กลับมีการปรากฏตัวของโลกภายนอกขึ้นมา เป็นธรรมดาที่เจ้าดินแดนศักดิ์สิทธิ์เก้าดาบจะไม่สนใจสิ่งที่ต้องสูญเสียไป

แต่สิ่งที่ทุกคนในที่แห่งนี้ไม่คาดคิดคือตอนที่ดาบศักดิ์สิทธิ์กําลังเปิดเผยรูปลักษณ์ของผู้มาเยือน มันกลับพังทลายลงอย่างกะทันหัน?

เป็นไปได้เช่นไรกัน?

ผู้อาวุโสระดับสูงทั้งหลายจากดินแดนศักดิ์สิทธิ์เก้าดาบต่างงุนงง

แต่เจ้าดินแดนศักดิ์สิทธิ์เก้าดาบมีท่าทางเคร่งขรึมคาดเดาอะไรบางอย่างได้บ้างแม่ไม่ชัดเจนนัก

“มันคือเคล็ดลับทางจิตวิญญาณ”

“บุคคลนี้ปิดกั้นการสอดส่องของดาบศักดิ์สิทธิ์ด้วยเคล็ดลับทางจิตวิญญาณแรกกาเนิด”

เมื่อเจ้าลัทธิดินแดนศักดิ์สิทธิ์เก้าดาบกล่าวออกเช่นนี้ เขาก็หยุดนิ่งไปชั่วครู่ก่อนจะกล่าวต่อ “หากเมื่อครู่ดาบศักดิ์สิทธิ์ไม่ได้หยุดฉายภาพเกรงว่าเราคงเจอปัญหาใหญ่กันแล้ว”

ทันทีที่กล่าวออกมา

ท่าทีของผู้อาวุโสระดับสูงคนอื่นๆ ในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ก็กลับกลายเป็นซีดขาวอีกครั้ง

เจ้าดินแดนศักดิ์สิทธิ์เก้าดาบกล่าวได้ถูกต้อง ถ้าไม่ใช่เพราะภาพที่ฉายออกมาพังทลายลงอย่างกะทันหัน จิตใจของพวกเขาคงตกลงสู่ห้วงอันลึกล้ําจากดวงตานั้น ยังจะมาพูดคุยกันเหมือนอย่างตอนนี้ได้อย่างไร?

“น่ากลัวเกินไปแล้ว”

“นี่คือเคล็ดลับจิตวิญญาณแรกกําเนิดที่ผู้ทรงพลังถึงขีดสุดเคยกล่าวเอาไว้ใช่หรือไม่?”

ผู้อาวุโสระดับสูงที่มีขนคิ้วขาวโพลนก็กล่าวออกมาพร้อมกับหลั่งเหงื่อเย็นเยียบ เมื่อเทียบกับความสามารถของอาณาเขต เคล็ดลับทางจิตวิญญาณแรกกาเนิดนั้นมองไม่เห็นจับต้องไม่ได้ และเป็นไปไม่ได้ที่จะป้องกัน ขนาดแค่ใช้ผ่านสื่อกลางยังสามารถสังหารผู้คนได้จากสถานที่ห่างไกลหลายพัน

แม้ว่าดวงตาของซูฉินเมื่อครู่จะไม่ได้เหนือจินตนาการปานนั้น แต่เห็นได้ชัดว่าแม้แต่เจ้าลัทธิดินแดนศักดิ์สิทธิ์เก้าดาบยังหวาดกลัว ไม่ต้องรับผู้อาวุโสระดับสูงทั้งหลาย

“อย่างไรก็ตาม จากเรื่องนี้ควรจะยืนยันได้ว่าบุคคลผู้นี้เป็นเพียงเซียนเทพปฐพี่ที่พิเศษ เป็นเซียนเทพปฐพี่ที่ก้าวเดินในเส้นทางของจิตวิญญาณแรกกําเนิด” ผู้อาวุโสระดับสูงคนที่สองกล่าวออกช้าๆ

ถ้าผู้ที่มานั้นเป็นผู้ทรงพลังถึงขีดสุดจริงๆ ในเสี้ยววินาทีแรกที่ถูกแอบมอง เขาควรจะฉีกความว่างเปล่าและโผล่มาบนภูเขาศักดิ์สิทธิ์เก่าดาบแห่งนี้แล้ว

“มีผิด”

“แม้ว่าเซียนเทพปฐพี่ในวิถีจิตวิญญาณแรกกําเนิดจะน่ากลัวแต่ก็ใช่จะต้านทานไม่ได้”

ผู้อาวุโสระดับสูงอีกคนกล่าวออก

หากไม่ทราบล่วงหน้าอาจจะต้องพบความสูญเสียครั้งใหญ่เมื่อได้พบกับเซียนเทพปฐพีวิถีจิตวิญญาณแรกกําเนิด แม้ว่าจะเป็นเจ้าดินแดนศักดิ์สิทธิ์เก้าดาบก็ตาม แต่ยามนี้เพราะรู้อยู่แล้วว่าอีกฝ่ายคือยอดยุทธผู้เดินในวิถีจิตวิญญาณแรกกําเนิด การเตรียมพร้อมหลังจากนี้คงจะง่ายกว่าเดิมมาก

แม้เคล็ดลับจิตวิญญาณแรกกําเนิดจะแปลกประหลาดคาดเดาไม่ได้ แต่ก็ไม่ได้อยู่ยงคงกระพันไร้เทียมทาน

แม้แต่กระบวนท่าสังหารจิตวิญญาณแรกกําเนิดบางชนิดยังสังหารได้นับพันแต่สูญเสียกลับมาถึงแปดร้อย ตัวอย่างเช่น กระบวนท่าสังหารจิตวิญญาณแรกกําเนิด เคล็ดหัวใจดาบที่ซูฉินลงชื่อ เข้าใช้ได้จากเกาะหมื่นดาบ มันเปลี่ยนพลังของจิตวิญญาณแรกกําเนิดให้กลายเป็นหัวใจแห่ง ดาบโหมกระหน่ําเข้าฟาดฟันศัตรู

ถ้าหากสามารถจัดการจิตวิญญาณแรกกําเนิดของอีกฝ่ายได้สําเร็จ ทุกอย่างก็จะเป็นไปได้ด้วยดี แต่ถ้าไม่สามารถสังหารได้ จะทําให้หัวใจแห่งดาบเสียหายส่งผลสะท้อนกลับมายังจิตวิญญาณแรกกําเนิดของซูฉินด้วย

แน่นอนว่าไม่มีอันตรายแอบแฝงในกระบวนท่าสังหารจิตวิญญาณแรก กําเนิดอย่างหุบเหวอับแสง

“หุบเหวอับแสง’ ไม่ได้ควบรวมจิตวิญญาณแรกกําเนิดของตนเองสร้างเป็นบางสิ่งบางอย่าง แต่สร้างโลกมายาของจิตวิญญาณแรกกําเนิดภายในจิตสํานึกของตนเองแล้วดึงจิตใจของผู้อื่นให้เข้ามาภายในโลกมายานี้…

ในฐานะที่เป็นทักษะทางจิตวิญญาณของผู้ทรงพลังถึงขีดสุดในเส้นทางจิตวิญญาณแรกกําเนิด…..แม้ว่ามันจะล้มเหลวก็จะไม่มีผลใดต่อซุฉิน

“ภูเขาศักดิ์สิทธิ์เป็นสิ่งที่ผู้ทรงพลังถึงขีดสุดทิ้งไว้เบื้องหลัง เพียงแค่เราซ่อนตัวให้สูงขึ้นไป อีกไม่ว่าเคล็ดลับทางจิตวิญญาณจะทรงพลังแค่ไหน มันก็ไร้ผลกับพวกเรา” เจ้าดินแดนศักดิ์ สิทธิ์เก้าดาบพยักหน้าเล็กน้อย

ภูเขาศักดิ์สิทธิ์ใต้ฝ่าเท้าของพวกเขานี้มีอยู่มายาวนานหลายหมื่นปี เมื่อห้าหมื่นปีที่แล้วผู้ทรงพลังถึงขีดสุดจิ๋วหลีใช้ทรัพยากรจํานวนมากเพื่อกลั่นมันออกมา แม้ว่ามันจะไม่ได้ดีเท่ากับดาบศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ในมือเจ้าลัทธิดินแดนศักดิ์สิทธิ์เก้าดาบ แต่ก็ยังแข็งแกร่งกว่าสมบัติล้ําค่าโดยกําเนิดธรรมดาๆ

อาจจะไม่ถึงขั้นที่พูดได้ว่าสามารถสกัดกั้นกระบวนท่าสังหารจิตวิญญาณแรกกําเนิดได้อย่างสมบูรณ์ แต่อย่างน้อยก็สามารถลดพลังของกระบวนท่าสังหารจิตวิญญาณแรกกําเนิดได้กว่าเก้าส่วน

“ตอนนี้เราควรทําเช่นไรดี?”

“ช่องทางมิติอยู่ตรงนั้น เราจะยังรอต่อไปอีกหรือ?” ผู้อาวุโสระดับสูงอีกคนกล่าวด้วยเสียงอันหนักแน่น

หลายคนในที่แห่งนี้เป็นเซียนเทพปฐพี่ขั้นกลับคืนต้นกําเนิด สิ่งล่อตาล่อใจอย่างช่องทางมิตินั้นยิ่งใหญ่มากสําหรับพวกเขาเทียบได้กับความหวังที่จะก้าวเดินต่อไป

“ไม่ต้องรีบ

“ผู้ทรงพลังถึงขีดสุดเก้าดาบไม่ได้ทิ้งสมบัติล้ําค่าวิถีจิตวิญญาณแรกกําเนิดเอาไว้ หากเจ้าออกไปโดยไม่ระวัง จะมีใครในหมู่พวกเจ้าบ้างที่มีความมั่นใจว่าสามารถสกัดกั้นเคล็ดลับทางจิตวิญญาณของอีกฝ่ายได้?” เจ้าดินแดนศักดิ์สิทธิ์เก้าดาบเหลือบตามองผู้อาวุโสแล้วกล่าวออกเบาๆ

เมื่อผู้อาวุโสระดับสูงได้ยินสิ่งนี้ ท่าทีของพวกเขาก็เปลี่ยนไปในทันที

แม้จะรู้ว่าอีกฝ่ายเชี่ยวชาญในวิถีจิตวิญญาณแรกกําเนิดแล้วอย่างไรเล่า?

มีเพียงสองวิธีที่จะสู้กับวิถีจิตวิญญาณแรกกําเนิดได้ หนึ่งคือการพึ่งพาสมบัติป้องกัน อีกวิธีคือต้านทานอย่างเต็มความสามารถ

ต้านได้ก็มีชีวิตอยู่

ต้านไม่ไหวก็ต้องตกตายจากไป

ผู้อาวุโสระดับสูงหลายคนในที่แห่งนี้ไม่มีความมั่นใจที่จะปิดกั้นดวงตาที่เป็นเสมือนโลกอันลึกล่านั้นได้ในตอนนี้

สําหรับสมบัติล้ําค่านั้น มีสมบัติล้ําค่าไม่มากเท่าไหร่ในดินแดนศักดิ์สิทธิ์เก้าดาบ หากสูญหายไปเพียงอันเดียวก็นับเป็นเรื่องใหญ่จะเป็นไปได้อย่างไรที่ผู้อาวุโสสักคนจะนําสมบัติล้ําค่าออกไปได้?

“แล้วจะต้องทําเช่นไร?”

ผู้อาวุโสระดับสูงที่มีขนคิ้วขาวกล่าวออกอย่างไม่เต็มใจ

ผู้อาวุโสที่เหลือก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่าไม่ต้องการให้เป็นเช่นนี้เหมือนกัน

ถ้าช่องทางมิติไม่ปรากฏขึ้นมาก็แล้วกันไป ในเมื่อผ่านมาห้าหมื่นปี ไม่รู้ว่ามีเซียนเทพปฐพีในดินแดนศักดิ์สิทธิ์เก้าดาบจํานวนเท่าใดที่เสียชีวิตโดยที่ค้างอยู่ในขั้นกลับคืนต้นกําเนิด

แต่ยามนี้เมื่อช่องทางมิติปรากฏขึ้นต่อหน้าพวกเขาขึ้นมาจริงๆ ใครเล่าจะต้านทานสิ่งล่อใจนี้ ได้?

“สบายใจได้”

“บุคคลนี้ควรจะเป็นผู้ริเริ่มเดินทางมาสู่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์เก้าดาบของเราเอง”

“ในตอนนั้น เราจะพึ่งพาพลังของภูเขาศักดิ์สิทธิ์ด้วยกัน คงจะได้ปะทะกับคนนอกผู้แข็งแกร่ง ที่เดินตามวิถีจิตวิญญาณแรกกําเนิดผู้นี้เสียหน่อย”

ดวงตาของเจ้าลัทธิดินแดนศักดิ์สิทธิ์เก้าดาบกะพริบไหวพร้อมกับกล่าวคํา

ภูเขาศักดิ์สิทธิ์เก้าดาบเป็นแกนหลักของทั้งอาณาจักรเก่าดาบ ทั้งยังมีมรดกของผู้ทรงพลังถึงขีดสุดเก้าดาบอยู่ เขาไม่เชื่อว่าอีกฝ่ายจะไม่สนใจมันเลยแม้สักนิด

นอกช่องทางมิติ

ซฉันกําลังฟังคํากล่าวของฉนหยางสื่อ ทันใดนั้นก็เงยหน้าขึ้นเล็กน้อย เหลือบมองไปในทิศทางหนึ่ง

“น่าสนใจ”

รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของซูฉิน

ด้วยความแข็งแกร่งของเขา เป็นธรรมดาที่สัมผัสได้ถึงความรู้สึกถูกแอบมองได้ตั้งแต่แวบแรก

เมื่อเทียบกับการสอดส่องของดวงตาเทพเจ้าปีศาจจากประตูเซียน ความรู้สึกถึงการแอบมองครั้งนี้ช่างอ่อนแอนัก

เป็นเพราะเหตุนี้เองซูฉันจึงติดตามสายตาสอดส่องนี้โดยตรง และส่งกลับคืนไปด้วยกระบวนท่าสังหารจิตวิญญาณแรกกําเนิดหุบเหวอับแสง

เมื่อเทียบกับกระบวนท่าสังหารจิตวิญญาณแรกกําเนิดอื่นๆ หุบเหวอับแสงนั้นแปลกประหลาดียิ่งกว่าสามารถสังหารผู้คนเพียงแค่จ้องมองช่างน่าเหลือเชื่อ

“น่าเสียดาย

“ที่สุดท้ายก็ถูกอีกฝ่ายขัดขวางกระบวนท่านี้ไปได้”

ซูฉินส่ายศีรษะเล็กน้อยครุ่นคิดในใจเงียบๆ

อันที่จริงซูฉินก็ไม่ได้ผิดหวังอะไร กระบวนท่าสังหารจิตวิญญาณแรกกําเนิดหุบเหวอับแสงนั้นทรงพลัง แต่เห็นได้ชัดว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะสังหารกลุ่มคนที่แข็งแกร่งในระดับเดียวกันกับ เขาในสถานที่ซึ่งห่างไกลนับแสนล้ําเช่นนี้

ในมุมมองของซูฉิน แม้ว่าจะไม่มีพลังอื่นมาขัดขวาง หุบเหวอับแสงก็ไม่สามารถสังหารอีกฝ่ายได้อยู่ดีอย่างมากสุดก็ปล่อยให้จิตใจของอีกฝ่ายจมลึกอยู่ครู่หนึ่ง

“ผู้อาวุโส เกิดอะไรขึ้น” ฉุนหยางสื่อเห็นรอยยิ้มแปลกๆ บนใบหน้าของซูฉิน และรีบกัดฟันถามออกทันที่ด้วยความกังวล

“ไม่มีอะไร”

ซูฉินส่ายศีรษะพร้อมพูดอย่างสบายๆว่า “ไปที่ภูเขาศักดิ์สิทธิ์พร้อมกับข้าเถอะ”

Sign in Buddha’s palm 362 เดินทางมาถึง

ภูเขาศักดิ์สิทธิ์

มันคือแก่นกลางของอาณาจักรเก้าดาบ เมื่อห้าหมื่นปีก่อน ตอนที่ผู้ทรงพลังถึงขีดสุดเก้าดาบจิ๋วหลีได้เปิดโลกอาณาจักรเก่าดาบขึ้นมา ครั้งหนึ่งเขาเคยปิดด่านฝึกตนอยู่บนภูเขาศักดิ์สิทธิ์นานหลายร้อยปีจากนั้นจึงล่องลอยออกไปภายนอกไม่มีใครพบเห็นเขาอีกเลย

หลังจากการหายตัวไปของผู้ทรงพลังถึงขีดสุดเก้าดาบ กลุ่มบรรพชนของดินแดนศักดิ์สิทธิ์เก้าดาบก็ได้เข้ายึดครองพื้นที่รอบนอกของภูเขาศักดิ์สิทธิ์และก่อตั้งดินแดนศักดิ์สิทธิ์เก้าดาบขึ้นมา ซึ่งรู้จักกันในนามมรดกของผู้ทรงพลังถึงขีดสุดเข้ากวาดล้างทั่วทั้งอาณาจักรเก้าดาบทั้งหมดเป็นเวลากว่าห้าหมื่นปี

ในเวลาที่นานเช่นนี้ ไม่ใช่ว่าไม่มีใครคิดที่จะต่อต้านการปกครองของดินแดนศักดิ์สิทธิ์เก้าดาบ แต่พวกเขาทั้งหมดล้มเหลว แม้ว่าดินแดนศักดิ์สิทธิ์เก้าดาบจะเชี่ยวชาญในเคล็ดวิชาของผู้ทรงพลังถึงขีดสุดเก้าดาบเพียงไม่กี่อย่าง แต่ก็ไม่ใช่สิ่งที่คนบนโลกอาณาจักรเก่าดาบจะสามารถต้านทานได้

“ผู้อาวุโส ท่านกําลังจะไปที่ภูเขาศักดิ์สิทธิ์อย่างนั้นหรือ?”

เมื่อฉุนหยางสื่อที่อยู่ด้านข้างได้ยินสิ่งนี้ ดวงตาของเขาก็เบิกกว้างด้วยความไม่อยากจะเชื่อ

ในสายตาของฉุนหยางสื่อนั้นซูฉินแข็งแกร่งมาก เพียงขยับกาย ศิษย์ทั้งสองคนจากดินแดนศักดิ์สิทธิ์เก้าดาบก็สลายกลายเป็นความว่างเปล่า แต่หากซูฉันดูแคลนดินแดนศักดิ์สิทธิ์เก้าดาบ และภูเขาศักดิ์สิทธิ์ด้วยเหตุนี้ นับว่าไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง

ภูเขาศักดิ์สิทธิ์คือสิ่งใด?

นั่นคือสถานที่ที่ผู้ทรงพลังถึงขีดสุดเก้าดาบใช้ปิดด่านฝึกตนเมื่อครั้งกระโน้น ไม่ต้องกล่าวถึงเคล็ดวิชามากมายที่หลงเหลืออยู่ในส่วนลึกของภูเขาศักดิ์สิทธิ์ ด้วยพลังของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ เก้าดาบเพียงอย่างเดียว แม้จะเป็นกลุ่มเซียนเทพปฐพี่ขั้นกลับคืนต้นกําเนิดรวมพลังกัน คาดว่าคงทําอะไรไม่ได้

“ในโลกอาณาจักรเก้าดาบแห่งนี้ มีเพียงดินแดนศักดิ์สิทธิ์เก้าดาบเท่านั้นที่ทําให้ข้าสนใจได้

ดวงตาของซูฉินนิ่งสงบ เขามองไปยังทิศทางหนึ่งพร้อมกับกล่าวออกมาเบาๆ

ด้วยความช่วยเหลือของวิหารการสงคราม ซูฉินได้ผ่านช่องทางมิติจนมาถึงอาณาจักรเก่าดาบจุดประสงค์ที่สําคัญก็คือมาลงชื่อเข้าใช้ที่นี่

โลกแห่งอาณาจักรเก่าดาบดํารงอยู่มาอย่างน้อยก็นับหมื่นปี แม้ว่าจะไม่ได้อยู่บนโลกมนุษย์ แต่ก็ได้สะสมเติมาอย่างยาวนาน ไม่รู้ว่ามากยิ่งกว่าพระราชวังภายในเมืองฉางอันไปมากแค่ไหน ตามที่ซูฉินคาดเดาเกรงว่าจะมีสถานที่เพียงไม่กี่แห่ง อาทิประตูเซียนเท่านั้นที่สามารถเทียบกับที่นี่ได้

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าอาณาจักรเก้าดาบจะสร้างขึ้นโดยผู้ทรงพลังถึงขีดสุดเก้าดาบแต่เพียงผู้เดียวเท่านั้น แต่ก็กว้างใหญ่ไพศาลอย่างยิ่ง เทียบได้กับอาณาจักรถังนับสิบแห่งหรืออาจจะถึงร้อยเท่า……ซูฉันกําลังมองหาสถานที่ลงชื่อเข้าใช้ซึ่งอาจจะต้องใช้เวลาหลายเดือนไม่ก็เป็นปี

ดังนั้นซูฉินจึงขี้เกียจเกินกว่าจะตามหา วางแผนว่าจะไปที่ภูเขาศักดิ์สิทธิ์โดยตรง

ด้วยสถานที่ตั้งของภูเขาศักดิ์สิทธิ์ จะต้องรวบรวมเต่าสะสม ส่วนใหญ่บนโลกของอาณาจักรเก้าดาบเอาไว้หากลงชื่อเข้าใช้ที่นั่นจะต้องได้รับอะไรกลับไปไม่น้อยเป็นแน่

ส่วนสถานที่อื่นๆ ภายในอาณาจักรเก่าดาบ…หลังจากที่ซูฉันมีเวลามากเพียงพอ เขาค่อย ตามหามันที่ละแห่งอย่างไรเสียช่องทางมิติระหว่างอาณาจักรเก้าดาบและโลกมนุษย์ก็ก่อตัวขึ้น มาแล้วอย่างน้อยในยุคที่กระแสปราณฟื้นคืนนี้ ซูจินก็มีเวลามากมายที่จะใช้ค้นหาและเก็บเกี่ยว ภายในโลกแห่งอาณาจักรเก่าดาบ

“ผู้อาวุโส ภูเขาศักดิ์สิทธิ์ไม่ใช่ดินแดนที่ไม่มีเจ้าของ…” ฉุนหยางสื่อลังเล เขาไม่ได้กังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยของซูฉิน แต่เมื่อซูฉินตกตายอยู่บนภูเขาศักดิ์สิทธิ์ เขาซึ่งเป็นคนนําทาง….จุดจบคงไม่ได้ดีอย่างแน่นอน และจะต้องถูกคิดบัญชีโดยดินแดนศักดิ์สิทธิ์เก้าดาบทันที

“ไม่เป็นไร”

“ข้ารู้อยู่แก่ใจดี”

ซูฉันกล่าวเบาๆ

อาณาจักรเก่าดาบไม่ได้ยอดเยี่ยมไปกว่าประตูเซียน ประตูเซียนเปิดออกโดยผู้ทรงพลังถึงขีดสุดหลายคน ทั้งยังมีดินแดนศักดิ์สิทธิ์ที่เป็นมรดกตกทอดของคนเหล่านั้น ด้วยอิทธิพลของกลุ่มผู้ทรงพลังถึงขีดสุด ไม่เพียงแต่จะให้กําเนิดเซียนเทพปฐพี่ขั้นสถิตเทพเท่านั้น ผู้ทรงพลังถึงขีดสุด ยังกระจายสายเลือดของพวกเขาก่อนที่จะตายไปด้วยเกิดเป็นทายาททางสายเลือดที่อยู่ยงคงกระพันในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ หลายต่อหลายคน

แต่อาณาจักรเก่าดาบนั้นไม่เหมือนกัน

ในช่วงเวลาที่อาณาจักรเก่าดาบของผู้ทรงพลังถึงขีดสุดจิ๋วหลีเปิดออก ไม่ได้ใช้วิธีพิเศษใดๆในการดึงวิถีกฎเกณฑ์เข้าไป และแม้ว่าผู้ทรงพลังถึงขีดสุดจิ๋วหลีจะดึงเศษเสี้ยวกฎเกณฑ์แห่งวิถีเข้ามาก็ตามคาดว่ามันคงจะหายไปหลังจากผ่านไปกว่าห้าหมื่นปีแล้วโลกใบเล็กภายในประตูเซียนหลังจากผ่านไปหมื่นปีวิถีกฎเกณฑ์ต่างๆ ก็เกือบจะหายไปหมดแล้ว ไม่ต้องกล่าวถึงเวลาห้าหมื่นปีบนโลกอาณาจักรเก่าดาบเลยไม่ใช่หรือ?

และด้วยข้อสันนิษฐานว่ามันไม่สามารถทําความเข้าใจกฏเกณฑ์แห่งวิถีบนโลกนี้ได้ การบ่มเพาะของเซียนเทพปฐพี่นั้น อย่างมากที่สุดก็จะหยุดอยู่ที่ขั้นกลับคืนต้นกําเนิด

กล่าวคือ คนบนโลกอาณาจักรเก่าดาบในปัจจุบันนั้น ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดเป็นเพียงเซียนเทพปฐพี่ขั้นกลับคืนต้นกําเนิด ซึ่งสิ่งนี้ก็ตรงกับความเข้าใจที่ซูฉินได้รับมาจากดวงตาแห่งสัจจะยาม เมื่อมองดูอาณาจักรเก่าดาบ

ในกรณีที่ไม่มีขอบเขตเซียนเทพปฐพี่ในขั้นสถิตเทพ ซูฉินย่อมไม่เกรงกลัวเป็นธรรมดาด้วย ไพ่ลับมากมายในมือ รวมถึงเคล็ดวิชาต่างๆ แม้จะได้เจอกับเซียนเทพปฐพี่ขั้นสถิตเทพก็ยังสามารถต้านรับไว้ได้ครู่หนึ่ง นับประสาอะไรกับอาณาจักรเก่าดาบที่ไม่มีแม้แต่ขั้นสถิตเทพ?

แน่นอน แม้ว่าซูฉินจะมั่นใจ แต่เขาก็ไม่ได้ละเลยโลกอาณาจักรเก้าดาบ อย่างไรเสียนี่ก็เป็นโลกที่เปิดออกโดยผู้ทรงพลังถึงขีดสุดเก้าดาบ หากอีกฝ่ายทิ้งอะไรไว้เบื้องหลัง ซูฉินจะต้องทุกข์ทรมานเป็นแน่

อย่างไรก็ตามซูฉินก็มั่นใจชัดเจน ไม่ว่าผู้ทรงพลังถึงขีดสุดเก้าดาบจะแข็งแกร่งเพียงใด แต่ตราบใดที่มันไม่เกินขอบเขตทลายนภากาศและด้วยเวลาที่ผ่านพ้นมากว่าห้าหมื่นปีถึงจะมีกระบวนท่าสังหารใดหลงเหลืออยู่ เกรงว่าแม้พลังที่เหลือของมันอาจจะคุกคามซูฉินได้ แต่ก็ไม่ได้อันต รายถึงแก่ชีวิต

“ไปเถอะ

ซูฉินเหลือบมองฉุนหยางสื่อ แล้วจึงมุ่งตรงไปในทิศทางหนึ่ง
ความรู้สึกที่ถูกแอบมองอย่างกะทันหันทําให้ซูฉินจับตําแหน่งของดินแดนศักดิ์สิทธิ์เก้าดาบได้โดยตรง

“ขอรับ”

เมื่อเห็นดังนี้ ฉินหยางสื่อก็กัดฟันติดตามไปในทันที

ในตอนนี้ฉันหยางสื่อไม่มีทางเลือกอื่น หลังจากเห็นความสามารถของซูฉินเขาก็ไม่มีความคิดที่จะหลบหนีแต่ประการใด ช่างน่าขํานัก ไอพลังที่ซูฉินแสดงออกมาเมื่อครู่นั้นให้ความรู้สึกเหมือนมองข้ามทุกสรรพสิ่งบนโลกได้เลย ในสายตาของฉุนหยางสื่อเกรงว่าจะมีเพียงเจ้าลัทธิดินแดนศักดิ์สิทธิ์เก้าดาบและเหล่าผู้อาวุโสระดับสูงเท่านั้นที่พอจะเปรียบเทียบได้

การหลบหนีจากตัวตนระดับนี้…ก็เป็นเพียงแค่การมองหาความตายเท่านั้น

สิ่งที่จะเกิดขึ้นหลังจากไปที่ภูเขาศักดิ์สิทธิ์ ฉินหยางสื่อไม่ต้องคิดอะไรมากอีกต่อไปแล้ว แม้ว่าซูฉินจะถูกปราบปรามโดยดินแดนศักดิ์สิทธิ์เก้าดาบ และจากนั้นเขาก็จะถูกคิดบัญชีโดยดินแดนศักดิ์สิทธิ์เก้าดาบ แต่นั่นก็เป็นสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต และตอนนี้….สิ่งที่ฉันหยางสื่อจําเป็นจะต้องทําให้ได้คือการไม่ทําให้ซูฉินขุ่นเคือง

“ผู้ทรงพลังถึงขีดสุดเก้าดาบช่างน่าทิ้งเสียจริง…”

ซูฉันรับสัมผัสอย่างพินิจพิเคราะห์ มีความประหลาดใจฉายอยู่บนใบหน้าเขาเล็กน้อย

ในการรับรู้ของซูฉิน อาณาจักรเก่าดาบทั้งหมดได้เผยเจตจํานงแห่งดาบออกมาอย่างแผ่วเบา แม้ว่าเจตจํานงนี้จะเบาบางมาก แต่ผ่านไปนานถึงห้าหมื่นปีก็ยังไม่จางหายฟังกระจายอยู่ทั่วทุก อณูในอากาศ

ซูฉินรู้อยู่ภายในใจว่านี่คือกลิ่นอายที่เหลืออยู่ของผู้ทรงพลังถึงขีดสุดเก้าดาบ เมื่อยามที่เขาเปิดโลกอาณาจักรเก้าดาบ ผู้ทรงพลังถึงขีดสุดเก้าดาบก็ได้ใช้พลังวิถีแห่งดาบเพียงอย่างเดียวทําลายความว่างเปล่าจนเปิดออก กลิ่นอายนั้นยังคงอยู่เรื่อยมาจวบจนเวลาผ่านมาห้าหมื่นปี

ในบางแง่มุม ซูฉินที่ได้เฝ้าดูโลกอาณาจักรเก้าดาบก็เหมือนกับได้พบประสบการณ์ใหม่บนเส้นทางของผู้ทรงพลังถึงขีดสุดเก้าดาบเมื่อห้าหมื่นปีก่อน

หากเป็นเซียนเทพปฐพี่คนอื่นๆ โดยเฉพาะเซียนเทพปฐพี่ที่บ่มเพาะในวิถีแห่งดาบ พวกเขาจะพบว่ามันเป็นสมบัติที่ล้ําค่าอย่างแน่นอน แต่น่าเสียดาย เส้นทางที่ซูฉันเดินไม่ใช่วิถีแห่งดาบอาณาจักรเก่าดาบที่เปิดออกโดยผู้ทรงพลังถึงขีดสุดเก้าดาบนี้ก็ทําให้เขารู้สึกประทับใจเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

“ผู้อาวุโส”

“ภูเขาศักดิ์สิทธิ์อยู่เบื้องหน้า”

เมื่อซูฉันกําลังตกอยู่ในภวังค์แห่งการรู้แจ้ง เสียงของฉุนหยางสื่อก็ดังขึ้นด้วยความระมัดระวัง

“ถึงภูเขาศักดิ์สิทธิ์แล้วหรือ?”

ซูฉินระงับความคิดของตน เงยหน้าขึ้นเล็กน้อยและมองดูภูเขาศักดิ์สิทธิ์อันงดงามจากระยะไกล มันยืนยงมาถึงห้าหมื่นปีภูเขาทั้งลูกเหมือนกับเป็นดาบศักดิ์สิทธิ์เล่มหนึ่ง

Sign in Buddha’s palm 363 ดาบศักดิ์สิทธิ์

ภูเขาศักดิ์สิทธิ์สูงตระหง่านตั้งตรงราวกับเป็นดาบศักดิ์สิทธิ์ แม้จะเป็นผู้ที่แข็งแกร่งอย่างซูฉินท่าทีก็ยังต้องเคร่งขรึมอยู่เล็กน้อยในตอนนี้เขาไม่อาจประเมินสิ่งตรงหน้าให้ต่ําตมจนเกินไปได้

แม้จะผ่านช่วงเวลามายาวนาน ซูฉินก็ยังคงสัมผัสได้ถึงความเฉียบคมที่ไหลเวียนอยู่ภายในส่วนลึกของภูเขาศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้….หากไม่ใช่เพราะได้ทราบมาว่าผู้ทรงพลังถึงขีดสุดจิ๋วหลี”มีชีวิตอยู่เมื่อห้าหมื่นปีที่แล้วพูดตามเหตุผล อายุขัยก็คงหมดลงไปนานแล้วไม่เช่นนั้นคงเป็นไปไม่ได้ที่ซฉินจะเข้ามาภายในอาณาจักรเก่าดาบได้อย่างง่ายดายเพียงนี้

“นี่คือภูเขาศักดิ์สิทธิ์……สถานที่ที่ผู้ทรงพลังถึงขีดสุดเก้าดาบเคยปิดด่านฝึกตนอยู่ภายใน…” เมื่อเทียบกับดวงตาที่สงบนิ่งของซูฉิน ฉุนหยางสื่อที่อยู่ด้านข้างเต็มไปด้วยความรู้สึกอัศจรรย์ใจ

ในฐานะที่เป็นแกนกลางหนึ่งเดียวภายในอาณาจักรเก่าดาบ ดินแดนศักดิ์สิทธิ์เก้าดาบจึงได้ใช้ภูเขาศักดิ์สิทธิ์เพื่อครองโลกนี้มาเป็นเวลานานกว่าห้าหมื่นปีไม่รู้ว่ามีผู้คนสักกี่คนที่ต้องการจะเห็นภูเขาศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ด้วยตาของตัวเอง

เป็นเรื่องน่าเสียดายที่ตั้งแต่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์เก้าดาบเข้ายึดครองภูเขาศักดิ์สิทธิ์ก็ไม่อนุญาตให้ผู้ใดเข้าใกล้เขตภูเขาในรัศมีหมื่นลี้ หากครั้งนี้ฉนหยางสื่อไม่ได้ติดตามมากับซูฉินจะมาถึงที่นี่ได้อย่างไร?เกรงว่าคงจะถูกศิษย์ดินแดนศักดิ์สิทธิ์สกัดเอาไว้รอบนอกภูเขาศักดิ์สิทธิ์ตั้งนานแล้ว

และในตอนนี้

บนภูเขาศักดิ์สิทธิ์ ศิษย์สาวกจํานวนมากภายในดินแดนศักดิ์สิทธิ์เก้าดาบก็มองมาที่การปรากฏตัวของซูฉิน

เรื่องที่ศิษย์ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ทั้งสองคนได้ตกตายด้วยฝีมือของคนนอกได้แพร่กระจายไปทั่วดินแดนศักดิ์สิทธิ์เก้าดาบมาสักพักแล้วและเจ้าลัทธิรวมถึงผู้อาวุโสระดับสูงก็ไม่ได้มีเจตนาจะปกปิดมันจากศิษย์สาวกทั้งหลาย

ท้ายที่สุดแล้ว ดินแดนศักดิ์สิทธิ์เก้าดาบก็ต้องการช่องทางมิติ ซึ่งดินแดนศักดิ์สิทธิ์เก่าดาบผู้ครอบครองโลกอาณาจักรเก่าดาบอยู่แล้วไม่จําเป็นต้องปิดบังเรื่องนี้เลย

“เขาคือคนนอกที่ท่านเจ้าลัทธิได้แจ้งมาใช่หรือไม่?

“คนจากโลกภายนอก…..ข้าแทบไม่คาดคิดมาก่อนเลยว่าจะมีโลกอีกแห่งหนึ่งนอกจากโลกอาณาจักรเก่าดาบของพวกเรา….”

“ดูเหมือนว่าคนจากนอกโลกผู้นี้จะไม่ต่างไปจากข้าเลย ทําไมท่านเจ้าลัทธิและผู้อาวุโสระดับสูงถึงเคร่งเครียดเช่นนั้น?”

ศิษย์สาวกดินแดนศักดิ์สิทธิ์จํานวนมากต่างพูดคุยกันเป็นการลับ

แม้ว่าดินแดนศักดิ์สิทธิ์เก้าดาบจะมีบันทึกเกี่ยวกับโลกภายนอกอาณาจักรเก่าดาบแต่สําหรับศิษย์สาวกของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ซึ่งอาศัยอยู่ภายในอาณาจักรเก่าดาบมาหลายชั่วอายุคนมันก็ไม่ได้ต่างไปจากเรื่องเล่าในตํานาน

“พวกเจ้าว่าคนนอกผู้นี้จะมีค่าพอจะให้ดาบศักดิ์สิทธิ์ของดินแดนศักดิ์สิทธิ์เก้าดาบเราได้สําแดงเดชหรือไม่?”

มีศิษย์ดินแดนศักดิ์สิทธิ์บางคนถามออกด้วยความสนใจใคร่รู้

ซูฉินมาถึงภูเขาศักดิ์สิทธิ์อย่างองอาจ ควบคู่ไปกับคําสั่งของเจ้าลัทธิและผู้อาวุโสระดับสูงของดินแดนศักดิ์สิทธิ์เก้าดาบ ศิษย์สาวกของดินแดนศักดิ์สิทธิ์จํานวนนับไม่ถ้วนในที่แห่งนี้ล้วนตระห นักดีว่าจะต้องเกิดการต่อสู้ระหว่างดินแดนศักดิ์สิทธิ์เก้าดาบกับซุฉินเป็นแน่
การต่อสู้นี้เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่สุดในรอบห้าหมื่นปีของดินแดนศักดิ์สิทธิ์เก้าดาบหากชนะดินแดนศักดิ์สิทธิ์เก้าดาบจะสามารถกําจัดโซ่ตรวนที่เรียกว่าโลกอาณาจักรเก่าดาบได้

“ใครจะไปรู้”

“อย่างไรเสีย ดินแดนศักดิ์สิทธิ์เก้าดาบของเราก็มีมรดกตกทอดมาจากผู้ทรงพลังถึงขีดสุดย่อมไม่มีอะไรเกิดขึ้นแน่”

แม้ว่าศิษย์อีกคนจะมีสีหน้ากังวล แต่ก็ฟื้นกลับมาได้อย่างรวดเร็ว พร้อมกับกล่าวออกด้วยความมั่นอกมั่นใจ

แม้ว่าต้นกําเนิดของซูฉินจะลึกลับ เป็นคนจากด้านนอกของโลกตามตํานานเล่าขานไม่อาจรู้ตื้นลึกหนาบาง แต่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์เก้าดาบได้ครองโลกมากว่าห้าหมื่นปีแล้ว……ไม่ว่าซูฉินจะแข็งแกร่งแค่ไหนเขาจะแข็งแกร่งกว่าผู้ทรงพลังถึงขีดสุดหรือ?
“ตอนนี้ควรทําเช่นไรดี?”

“พวกเราต้องลงมือจัดการอีกฝ่ายเลยไหม?”

ศิษย์คนหนึ่งที่มีใบหน้าดุดันอาฆาต เขาเป็นศิษย์ที่มีความผูกพันกับดินแดนศักดิ์สิทธิ์อย่างมากจ้องไปที่ซูฉินน้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความต้องการที่จะต่อสู้

“ไม่ต้องรีบร้อนไป”

“ไม่ว่าจะทําอะไรต่อไป เราก็ต้องรอค่าสั่งจากเจ้าลัทธิสั่งการลงมา”

หญิงที่สวมผ้าคลุมหน้าด้านข้างกล่าวออกเบาๆ

“เจ้าลัทธ…

ศิษย์ดินแดนศักดิ์สิทธิ์เก้าดาบที่ดูอาฆาตแค้นก็เงียบไปครู่หนึ่ง ระงับจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ที่กาลังเดือดพล่านของตนและไม่พูดอะไรต่อไปอีก

เจ้าดินแดนศักดิ์สิทธิ์เก้าดาบนั้นคอยรับผิดชอบดินแดนศักดิ์สิทธิ์ ก่อนที่เจ้าดินแดนศักดิ์สิทธิ์เก้าดาบจะตัดสินใจศิษย์สาวกเหล่านี้จะกล้าลงมือโดยพลการได้อย่างไร?

ในเวลาเดียวกัน

ลึกเข้าไปในดินแดนศักดิ์สิทธิ์เก้าดาบ

เจ้าลัทธิและผู้อาวุโสระดับสูงแห่งดินแดนศักดิ์สิทธิ์เก้าดาบที่นั่งขัดสมาธิอยู่แทบจะมองไปยังซูฉินโดยพร้อมเพรียงกัน

“เจ้าลัทธิ เขาคือคนที่ข้ามผ่านช่องทางมิติเข้าสู่อาณาจักรเก่าดาบของพวกเราหรือ?” ความตกใจวาบผ่านสีหน้าของผู้อาวุโสระดับสูงคนหนึ่งเขาพึมพํากับตนเอง

เช่นเดียวกับผู้อาวุโสระดับสูงคนอื่นๆ

ตอนที่ซูฉินเพิ่งจะเข้าสู่อาณาจักรเก้าดาบ ทั้งเจ้าลัทธิและผู้อาวุโสระดับสูงของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ก็ได้สังเกตเห็นตั้งแต่แรกแล้วแต่ในตอนนั้นเจ้าลัทธิดินแดนศักดิ์สิทธิ์เก้าดาบต้องการจะลอบดูซูฉินด้วยพลังของดาบศักดิ์สิทธิ์ทว่าสุดท้ายก็ล้มเหลว

ดังนั้น นี่จึงเป็นครั้งแรกที่ผู้อาวุโสได้เห็นซูฉินด้วยตาของพวกเขาเอง

“เป็นพลังที่แข็งแกร่งมาก”

เจ้าดินแดนศักดิ์สิทธิ์เก้าดาบสัมผัสได้ถึงปฏิกิริยาที่ปรากฏขึ้นจางๆ กับดาบศักดิ์สิทธิ์เห็นเขาจ้องไปที่ซูฉินครู่หนึ่งหลังจากนั้นจึงกระซิบคํากับตนเอง

“มีพลังแข็งแกร่งมาก?”

การแสดงออกของผู้อาวุโสระดับสูงจากดินแดนศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่รอบข้างต่างก็เปลี่ยนแปลงไป

พวกเขารู้ว่าเจ้าลัทธิดินแดนศักดิ์สิทธิ์เก้าดาบหยิ่งผยองเพียงใด แม้เมื่อเทียบกับเจ้าลัทธิดินแดนศักดิ์สิทธิ์ทุกยุคทุกสมัยในอดีต เจ้าลัทธิดินแดนศักดิ์สิทธิ์ในรุ่นนี้ก็นับว่าติดหนึ่งในสามอันดับแรก หากไม่ใช่เพราะข้อจํากัดของฟ้าดินเกรงว่าเจ้าลัทธิคงจะผ่านโซ่ตรวนของขั้นกลับคืนต้นกําเนิดและเข้าสู่ขั้นสถิตเทพไปแล้ว

แต่ตอนนี้เจ้าลัทธิดินแดนศักดิ์สิทธิ์เก้าดาบกลับพูดออกมาก่อนเลยว่าเป็นพลังที่แข็งแกร่งมากแสดงให้เห็นว่าเขาระวังซูฉินมากแค่ไหน

“สบายใจได้”

เจ้าลัทธิดินแดนศักดิ์สิทธิ์เก้าดาบเหลือบมองดูผู้อาวุโสระดับสูงไม่กี่คนที่อยู่ตรงหน้าส่ายศีรษะพร้อมกับกล่าวว่า“แม้ว่าอีกฝ่ายจะแข็งแกร่งมากแต่เขาก็ยังไม่ได้เข้าสู่ขั้นสถิตเทพ”

เซียนเทพปฐพี่แบ่งออกเป็นสามระดับ คือ แบ่งจิต กลับคืนต้นกําเนิดและสถิตเทพ

และเซียนเทพปฐพี่ขั้นสถิตเทพก็เริ่มสัมผัสถึงพลังของพื้นที่มิติแล้ว และขั้นสถิตเทพระดับสูงสุด ตัวตนที่แสนทรงพลังก็เริ่มรับรู้และเข้าใจพลังมิติบ้างแล้วแม้จะยังห่างไกลจากความสามารถในการทะลวงความว่างเปล่าแต่พลังมิติที่โอบล้อมทุกท่วงท่าอิริยาบถนั้นย่อมติดตัวอยู่ตลอดอย่างชัดเจน

ดังนั้นเจ้าลัทธิดินแดนศักดิ์สิทธิ์เก่าดาบจึงยืนยันได้ว่าซูฉินน่าจะยังไม่เข้าสู่ขั้นสถิตเพราะเขาไม่ได้รับรู้ถึงพลังมิติจากซูฉิน

“ยังไม่ได้ก้าวเข้าสู่ขั้นสถิตเทพ……”

ผู้อาวุโสระดับสูงมองหน้ากันและถอนหายใจด้วยความโล่งอก

แม้ว่าขั้นสถิตเทพจะเป็นขั้นสุดท้ายของขอบเขตเซียนเทพปฐพีแต่ภายในขอบเขตนี้ช่องว่างช่างกว้างใหญ่นักโดยเฉพาะตัวตนขั้นสถิตเทพผู้ไร้เทียมทานความสามารถบางอย่างของคนเหล่านี้ก็ทรงพลังจนน่าเหลือเชื่อถึงขีดสุด

ตัวอย่างเช่น ทายาทสายตรงบางคนที่ปลุกสายเลือดของผู้ทรงพลังถึงขีดสุดสามารถกวาดล้างเซียนเทพปฐพีขั้นสถิตเทพเกือบทั้งหมดได้ด้วยสมบัติล้ำค่าโดยกําเนิดที่ตรงกับพลังของ พวกเขา

“เพียงแค่ขั้นกลับคืนต้นกําเนิด กลับกลามาที่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์เก้าดาบของข้า สิ่งนี้ก็ไม่ต่างไป จากการมองหาความตาย”

ความหนาวเหน็บปรากฏอยู่บนใบหน้าของผู้อาวุโสระดับสูงดินแดนศักดิ์สิทธิ์คนหนึ่ง

“เอาล่ะ”

“ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว”

เจ้าลัทธิดินแดนศักดิ์สิทธิ์เก้าดาบไม่ได้ดูแคลนซูฉิน เพียงยกมือขวาขึ้นและกล่าวออกเบาๆ

ทันใดนั้น ดาบศักดิ์สิทธิ์อันวาววับก็ปรากฏขึ้นราวกับมันเต็มไปด้วยพลังฟ้าดินดาบศักดิ์สิทธิ์นี้ทรงพลังและเจตจํานงดาบที่น่าสะพรึงกลัวก็เข้าปกคลุมทุกซอกทุกมุมของภูเขาศักดิ์สิทธิ์แทบจะในทันที

“ดาบศักดิ์สิทธิ์”

“เจ้าลัทธิต้องการจะใช้ดาบศักดิ์สิทธิ์?”

ผู้อาวุโสที่อยู่ด้านข้างตกใจ ดาบศักดิ์สิทธิ์นั้นเป็นหนึ่งในสมบัติล้ำค่าไม่กี่ชิ้นที่ถูกทิ้งไว้โดยผู้ทรงพลังถึงขีดสุดเก้าดาบและในตอนนี้ดินแดนศักดิ์สิทธิ์เก่าดาบก็ถูกพลังของดาบศักดิ์สิทธิ์ปกคลุมรอบนอกภูเขาศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมดตรวจสอบทุกสิ่งที่เข้ามาในรัศมี

เมื่อซฉินเข้าสู่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์เก้าดาบครั้งแรก เขาก็สังเกตเห็นดาบศักดิ์สิทธิ์อันนี้แม้ว่าก่อนหน้านี้ซูฉินจะปิดกั้นการสอดส่องของดาบศักดิ์สิทธิ์ได้ด้วยกระบวนท่าสังหารจิตวิญญาณแรกกําเนิดหุบเหวอับแสง…..แต่ต้องรู้ว่าบทบาทหลักที่ดาบศักดิ์สิทธิ์นั้นทําได้ไม่ใช่การสอดส่องแต่เป็นการจู่โจม

หากพูดกันตามหลักเหตุผล ในฐานะหนึ่งในมรดกของดินแดนศักดิ์สิทธิ์เก้าดาบมันควรจะนําออกมาใช้ในวินาทีสุดท้ายแต่เจ้าลัทธิดินแดนศักดิ์สิทธิ์เก้าดาบกลับเปิดใช้งานพลังของดาบศัก ดิ์สิทธิ์ตั้งแต่แรก

หวิ่ง!!!

เมื่อพลังของดาบศักดิ์สิทธิ์ตื่นขึ้น……

แต่เดิมบนชั้นฟ้านั้นปลอดโปร่งไม่มีเมฆบดบัง ฉับพลัน บรรยากาศอันน่าหวาดกลัวเหนือจินตนาการก็เข้าปกคลุมทั่วไปหมด

รัศมีหลายพันลี้ถูกเปลี่ยนให้กลายเป็นอาณาเขตแห่งดาบอันไร้ที่สิ้นสุด

และเมื่อกลิ่นอายของดาบศักดิ์สิทธิ์ปะทุขึ้นเรื่อยๆ

ด้านนอกภูเขาศักดิ์สิทธิ์ ดวงตาของซูฉินก็เป็นประกายเต็มไปด้วยความประหลาดใจ“รีบลงมือใช้พลังที่ผู้ทรงพลังถึงขีดสุดจิ๋วหลีทิ้งเอาไว้อย่างรวดเร็วถึงเพียงนี้เชียว?”

Sign in Buddha’s palm 353 (I) แผนรับมือ

การหลบเลี่ยงสายตาสอดส่องจากดวงตาเทพเจ้าปีศาจด้วยสิ่งของภายนอก และการพึ่งพาพลังของตนเองเพื่อหลบซ่อนการตรวจสอบจากดวงตาเทพเจ้าปีศาจ……เป็นสองสิ่งที่แตกต่างกันอย่างสมบูรณ์

ตัวอย่างเช่น ขอบเขตเซียนเทพปฐพี่ขั้นสถิตเทพที่ถือครองสมบัติล้ําค่าโดยกําเนิด นั่นก็เพียงพอแล้วที่จะกวาดล้างกลุ่มเซียนเทพปฐพี่ขั้นสถิตเทพได้ แต่เจ้าสามารถเรียกตนเองว่าเป็นเซียนเทพปฐพีขั้นสถิตเทพที่แข็งแกร่งได้หรือไม่

ย่อมไม่สามารถ!

กล่าวได้ว่าสมบัติล้ําค่าโดยกําเนิดของผู้ทรงพลังถึงขีดสุดนั้นแข็งแกร่ง!

แม้จะเป็นเซียนเทพปฐพี่ที่ถือครองสมบัติล้ําค่าโดยกําเนิดเหล่านี้ไว้ ผลลัพธ์ก็ยังคงเหมือนเดิม!

ในตอนนี้นักพรตหมื่นกําเนิดอยู่ภายใต้อาณาเขตเทพสงคราม ไม่ได้รับรู้ถึงกลิ่นอายของสมบัติล้ําค่าใดๆทั้งสิ้น ช่างเป็นเรื่องน่าเหลือเชื่อเหลือเกินที่สามารถซ่อนตัวจากสายตาที่สอดส่องลงมาจากดวงตาเทพเจ้าปีศาจได้อย่างง่ายดาย

ดวงตาเทพเจ้าปีศาจเป็นสมบัติที่สร้างโดยผู้ทรงพลังถึงขีดสุดและมีความสามารถในการเฝ้าติดตามความเป็นไปบนโลก แม้ว่าผู้ใช้ดวงตาเทพเจ้าปีศาจจะไม่ใช่ผู้ทรงพลังถึงขีดสุด แต่ด้วยพลังของสมบัติเพียงอย่างเดียวก็ทําให้สามารถรับรู้ทุกสิ่งได้

หวิ่ง!!!

ดวงตาเทพเจ้าปีศาจยังคงสอดส่องออกมาจากประตูเซียน เมื่อเทียบกับครั้งก่อน ที่เหล่าเจ้าลัทธิร่วมกันกระตุ้นใช้ดวงตาเทพเจ้าปีศาจเพื่อสอดแนมโลกมนุษย์ คราวนี้เห็นได้ชัดว่าพวกเขา ให้ความสนใจเป็นอย่างมาก สายตาที่แสนน่าสะพรึงกลัววนเวียนไปทั่วทั้งโลกราวครึ่งชั่วยาม ไม่นานนัก ในที่สุดมันก็ค่อยๆ กลับเข้าประตูเซียนไป

“แข็งที่อเกินไปหน่อย”

ร่างซูฉินที่ยังคงเป็นภาพลวงตาอยู่ภายในอาณาเขตเทพสงครามมองดูดวงตาเทพเจ้าปีศาจอยู่เงียบๆ ส่ายศีรษะไปมาเล็กน้อย

หากเป็นการจ้องมองมายังโลกมนุษย์ของเทพเจ้าปีศาจจากโลกถปีศาจจริงๆ นับประสาอะไรกับซูฉินที่ซ่อนตัวอยู่ในอาณาเขตเทพสงคราม แม้จะได้รับความช่วยเหลือจากวิหารการสงครามหลบหนีเข้าไปในส่วนลึกของความว่างเปล่า เขาก็ย่อมถูกค้นพบ ท้ายที่สุดอาณาเขตเทพสงครามของซูฉินในปัจจุบันยังไม่ไปถึงขั้นพื้นฐานด้วยซ้ํา อย่างมากก็สร้างโลกมายาขึ้นมาได้เท่านั้น จะซ่อนตัวจากการจ้องมองของเทพเจ้าปีศาจได้อย่างไร

แม้ว่าดวงตาเทพเจ้าปีศาจจะด้อยกว่าเทพเจ้าปีศาจตัวจริงเบิกเนตรจ้องมองมา แต่สุดท้ายมันก็สร้างขึ้นโดยเหล่าผู้ทรงพลังถึงขีดสุดทั้งหลาย ว่ากันตามเหตุผลแล้ว ต่อให้ไม่พบซูฉินก็ควรจะหาเบาะแสบางอย่างได้บ้าง แต่ภายในประตูเซียนยามนี้ เหล่าเจ้าลัทธิดินแดนศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายไม่สามารถกระตุ้นใช้พลังที่แท้จริงของดวงตาเทพเจ้าปีศาจได้เลย

“นายท่าน รีบไปกันเถิด ไม่เช่นนั้นในยามที่เหล่าเจ้าลัทธิทั้งหลายมาถึง….” นักพรตหมื่นกําเนิดจ้องไปที่ประตูหินโบราณขนาดใหญ่ที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกลนัก ใบหน้าของเขาเปลี่ยนไปเล็กน้อย ราวกับกําลังคิดอะไรบางอย่างอยู่ รีบพูดออกมาอย่างรวดเร็ว

แม้ว่านักพรตหมื่นกําเนิดจะไม่เต็มใจ แต่เขาก็รู้ว่าชีวิตของตนนั้นอยู่ในกํามือของซูฉินแล้ว ตอนนี้ ซูฉินสามารถทําให้โพรงภายในช่องว่างระหว่างคิ้วพังทลายได้ในความคิดเดียว จิตวิญญาณอาจดับสูญ และเขาก็จะไม่สามารถสถิตเข้าสู่ร่างใหม่ได้อีก

ดังนั้นในเวลานี้นักพรตหมื่นกําเนิดจึงนึกถึงและใส่ใจซูฉินไปจนถึงกันบึงของหัวใจ พยายามหลีกเลี่ยงความขัดแย้งระหว่างซูฉินและเหล่าเจ้าลัทธิดินแดนศักดิ์สิทธิ์
จากมุมมองของนักพรตหมื่นกําเนิด ซูฉินนั้นทรงพลังโดยแท้จริง สามารถหลบเลี่ยงการจ้องมองของดวงตาเทพเจ้าปีศาจได้ แต่เมื่อเทียบกับเจ้าลัทธิดินแดนศักดิ์สิทธิ์ที่ยืนอยู่บนจุดสูงสุดของโลกใบเล็กอย่างประตูเซียน มันก็ยังนับว่าห่างชั้นอยู่

เจ้าลัทธิดินแดนศักดิ์สิทธิ์มีหน้าที่ดูแลดินแดนศักดิ์สิทธิ์ ถือครองสมบัติล้ําค่าโดยกําเนิด เว้นแต่จะปะทะเข้ากับทายาทสายตรงของผู้ทรงพลังถึงขีดสุดที่ถือครองสมบัติล้ําค่าโดยกําเนิดเช่นเดียวกันเท่านั้นจึงจะสามารถเอาชนะพวกเขาได้……ส่วนคนอื่นๆล้วนไม่ใช่คู่ต่อสู้

“เจ้าลัทธิกําลังจะมา?”

ซูฉินยิ้มออกมาเล็กน้อย ส่ายศีรษะพร้อมกับกล่าวว่า “พวกเขาจะมาไม่หรอก”

“จะไม่มางั้นหรือ?” นักพรตหมื่นก่าเนิดตกตะลึงไปชั่วขณะ

“หากเจ้าลัทธิดินแดนศักดิ์สิทธิ์เต็มใจที่จะมา ครั้งนี้เขาก็คงมาด้วยตัวเองไปแล้ว ไม่ใช่ส่งพวกเจ้าที่เป็นเซียนเทพปฐพี่ขั้นกลับคืนต้นกําเนิดมาเช่นนี้” ซูฉินกล่าวออกเบาๆ

มันก็เหมือนในตอนนี้ที่ซูฉินไม่สามารถเข้าไปสู่ประตูเซียนได้ง่ายๆ เช่นเดียวกัน ก่อนที่จะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นบนโลกมนุษย์ เจ้าลัทธิดินแดนศักดิ์สิทธิ์ก็จะไม่ยอมเข้ามาในโลกมนุษย์โดยง่ายแน่ๆ

ในหมู่เจ้าลัทธิดินแดนศักดิ์สิทธิ์เหล่านี้ อย่างน้อยที่สุดก็เป็นจุดสูงสุดขั้นสถิตเทพ ตัวตนที่แข็งแกร่งเช่นนี้ย่อมผ่านอุปสรรคขวากหนามมาไม่รู้เท่าไหร่ต่อเท่าไหร่ เว้นแต่จะเป็นทางเลือกสุดท้าย ใครจะปล่อยให้ตนเองไปตกอยู่ในอันตรายเล่า?

หากเจ้าลัทธิดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไม่ได้ใช้ดวงตาเทพเจ้าปีศาจ ซูฉินก็คงเดาว่าจ้าวแห่งลมและจอมดาบเก่าสัมผัสได้ส่งข้อมูลจากโลกมนุษย์ไปยังประตูเซียนได้สําเร็จก่อนจะตกตายไป

แต่ในท้ายที่สุดดวงตาเทพเจ้าปีศาจก็กวาดผ่านโลกมนุษย์อีกครั้ง

เจ้าลัทธิดินแดนศักดิ์สิทธิ์กระตุ้นใช้ดวงตาเทพเจ้าปีศาจอีกครั้ง เป็นไปได้ว่าพวกเขาจะยังไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นบนโลก และพยายามหาสาเหตุการตายของเจ้าแห่งลมและจอมดาบเก่าสัมผัส

ภายในประตูเซียน

ด้านบนวังลอยฟ้า

เหล่าเจ้าลัทธิดินแดนศักดิ์สิทธิ์รวมตัวกันอีกครั้งหนึ่ง การแสดงออกของพวกเขาดูหนักหน่วง

จ้าวแห่งลมและจอมดาบเก่าสัมผัสตกตายกันไปที่ละคน ภายในใจของเหล่าเจ้าลัทธิดินแดนศักดิ์สิทธิ์จึงเพิ่มความระมัดระวังขึ้นไปจนถึงระดับสูงสุด และไม่ลังเลเลยที่จะใช้ดวงตาเทพเจ้าปีศาจอีกครั้งเพื่อสอดแนมโลกมนุษย์

เพียงแต่ว่า ผลจากการสอดแนมครั้งนี้ไม่ได้แตกต่างไปจากครั้งก่อน แม้จะตรวจสอบไปหลายต่อหลายครั้ง แม้จะใช้เวลาไปกว่าครึ่งชั่วยาม ก็ไม่พบอะไร

“มันเป็นฝีมือของใครกัน?!” เจ้าลัทธิต้าฉือกล่าวออกด้วยเสียงต่ํา

แม้ว่าทั้งสามคนที่เข้าสู่โลกมนุษย์ในครั้งนี้ไม่ใช่ศิษย์ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ต้าฉือ แต่อย่าลืมว่าเจ้าลัทธิดินแดนศักดิ์สิทธิ์ต้าฉือเป็นคนมอบสมบัติล้ําค่าออกไปหนึ่งชิ้น

การตายของจ้าวแห่งลมและจอมดาบเก่าสัมผัสนั้นหมายถึงสมบัติล้ําค่าได้ตกไปอยู่ในมือของผู้อื่น

เจ้าลัทธิดินแดนศักดิ์สิทธิ์ต้าฉือจะแบกรับความสูญเสียดังกล่าวได้อย่างไร? ในเวลานับพันนับหมื่นปีที่ผ่านมา มีแต่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ต้าฉือเท่านั้นที่ยึดครองสมบัติล้ําค่าของผู้อื่น เคยมีสมบัติล้ําค่าของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ตาฉือถูกแย่งชิงไปเสียเมื่อไหร่?

“อย่าได้ตื่นตระหนกไป”

“ถึงแม้ว่ามันจะยุ่งยากเล็กน้อย แต่วิธีแก้ไขนั้นก็ง่ายดายเอามากๆ” เจ้าลัทธิไท่อินมองไปที่คนอื่นๆ แล้วกล่าวออกมาอย่างช้าๆ

“โอ?”

“แก้ได้ง่ายๆ?”

“เจ้าบอกวิธีแก้มาให้ฟังหน่อยได้ไหม?”

ดวงตาของเจ้าลัทธิดินแดนศักดิ์สิทธิ์ต้าฉือ เจ้าขุนเขาเทพพระพายรวมถึงคนอื่นๆ ล้วนเป็นประกาย มองไปที่เจ้าลัทธิไท่อิน

Sign in Buddha’s palm 354 เข้าสู่ระบบ! เมล็ดพันธุ์ต้นไม่โลกา!

ฝ่ามือยูไลมเก้ารูปแบบ

โดยพื้นฐานแล้วรูปแบบทั้งเก้าไม่มีความแตกต่างว่าสิ่งใดสูงส่งหรือต่ําชั้นกว่ากัน แต่เป็นการมุ่งเน้นไปที่แง่มุมที่ต่างกัน ตัวอย่างเช่น เพียงตัวตถาคตประเสริฐสุดรูปแบบแรกของฝ่ามือยไลเป็นฝ่ามือจู่โจมโดยเนื้อแท้
ส่วนรูปแบบที่สองฝ่ามือแดนพิสุทธิ์” นั้นเป็นฝ่ามือยไลที่ใช้เพื่อผนึกและปราบปราม

น่าเสียดายที่ประตูหินโบราณขนาดใหญ่ที่ด้านหน้าซูฉินบานนี้พิเศษจนเกินไป แค่ยืนอยู่ใกล้ๆ เท่านั้น ก็รู้สึกได้ถึงพลังทําลายที่สั่นคลอนโลกได้ทั้งใบ หากซูฉินลงมือทําอะไรกับมัน จะต้องถูกพลังตีกลับอย่างแน่นอน

“นายท่าน ท่านเป็นอะไรหรือไม่?” เมื่อเห็นซูฉินจ้องมองไปที่ประตูเซียนอย่างต่อเนื่อง นักพราหมื่นกําเนิดที่อยู่ด้านข้างก็อดที่จะเข้ามาปลอบใจไม่ได้เมื่อเห็นความกังวลของซูฉิน “ความแข็งแกร่งของนายท่าน แม้แต่ภายในประตูเซียนก็นับได้ว่าเรื่องอ่านาจไม่น้อยต่อให้เหล่าเจ้าลัทธิมาด้วยตนเอง พวกเขาก็อาจจะทําอะไรท่านไม่ได้……”

แม้ว่าเจ้าลัทธิทั้งหลายจะอยู่ในจุดสูงสุดขั้นสถิตเทพและถือครองสมบัติล้ําค่าโดยกําเนิด แต่หากซฉันต้องการซ่อนตัวนับประสาอะไรกับคนเหล่านั้น ด้วยอาณาเขตที่ไม่รู้ว่าคืออะไรนี้ยังสามารถหลบซ่อนจากดวงตาเทพเจ้าปีศาจได้เลย เพียงพอที่จะทําให้เหล่าเจ้าลัทธิดินแดนศักดิ์สิทธิ์ต้องปวดหัวกันเป็นทิวแถว

เป็นธรรมดาที่นักพรตหมื่นกําเนิดจะไม่ทราบความคิดของซูฉันว่ามันกลับกลายเป็นจะทําลาย หรือสะกดประตูหินบานนี้ดีหากนักพรตหมื่นกําเนิดล่วงรู้ความคิดของซูฉินเขาจะต้องตกตะลึงเป็นแน่

ประตูหินนี้ถูกสร้างขึ้นมาเป็นพิเศษโดยผู้ทรงพลังถึงขีดสุด เพื่อตั้งพิกัดบนโลกมนุษย์ให้เชื่อมไปยังโลกภายในประตูเซียน ผ่านเวลายาวนานมานับหมื่นปี ไม่รู้ว่าพายุมิติกระแทกเข้าใส่ประตูหินบานนี้ไปมากมายเท่าไหร่ แต่มันก็ไม่ได้หวาดหวั่นเกรงว่าประตูหินบานนี้จะเหนือล้ำเกินกว่าสมบัติล้ําค่าโดยกําเนิดไปเสียแล้ว

แม้แต่ฝีมือของผู้ทรงพลังถึงขีดสุดก็อาจจะไม่สามารถทําลายประตูหินบานนี้ได้

ซูฉินเพิกเฉยต่อความกังวลใจของนักพรตหมื่นกําเนิด ความสนใจส่วนใหญ่ของเขาตอนนี้มุ่งเน้นไปที่ประตูหินโบราณขนาดใหญ่บานนี้

“ประตูหินบานนี้…..

ซูฉันมองไปยังประตูหินโบราณขนาดใหญ่ที่อยู่ไม่ไกลออกไปนัก จู่ๆ จิตใจก็กระตุก “ประตูหินบานนี้อย่างน้อยก็ผ่านร้อนผ่านหนาวมานับหมื่นปี ตัวประตูเองก็คงสร้างมาจากวัตถุดิบหายาก บางทีอาจจะมีเต่สะสมอยู่เป็นจํานวนมาก?”

เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ ซูฉันก็เดินวนรอบประตูหินขนาดใหญ่ หลังจากยืนยันได้แล้วว่าไม่ได้พลาดอะไรไป จึงพูดอยู่ในใจเงียบๆว่า “ระบบ ลงชื่อเข้าใช้ให้แก่ข้า”

[ขอแสดงความยินดี โฮสต์ลงชื่อเข้าใช้สําเร็จ ได้รับเมล็ดพันธุ์ต้นไม่โลกา]

เสียงจักรกลเย็นชาดังขึ้นในโสตประสาทของซูฉิน

“เมล็ดพันธุ์ต้นไม่โลกา?”

ซูฉันลืมตากว้างอย่างไม่อยากจะเชื่อ

แม้เขาจะไม่รู้ว่าเมล็ดพันธุ์ต้นไม้โลกาคืออะไร แต่ก็สามารถตระหนักได้ว่าสมบัติที่เขาได้รับในการลงชื่อเข้าใช้ครั้งนี้มีความพิเศษมาก เพียงได้ฟังว่าชื่อของมันมีคําว่าโลกา

ชั่วอึดใจ จิตใจของซูฉินก็จมลงไปในพื้นที่ของระบบ ในไม่ช้าก็พบเข้ากับเมล็ดพันธุ์ขนาดเท่ากําปั้นอยู่ตรงมุมหนึ่ง

เมล็ดพันธุ์นี้เต็มไปด้วยพลังอันสับสนวุ่นวาย ซูฉินหมุนมันไปมาช้าๆ พลังของมันดูโดดเด่นเป็นประกายและลึกล้ำเหมือนกับพลังของพื้นที่มิติ เพียงแค่มองเข้าไปซูฉันก็เหมือนจะได้เห็นโลกทั้งใบเติบโตอยู่ภายในเมล็ด

“เมล็ดพันธุ์ของต้นไม่โลก ที่งอกรากแตกหน่อ จะเติบโตขึ้นเป็นต้นไม่โลกาและเปิดโลกอันกว้างใหญ่ขึ้นมาได้อย่างแท้จริง” ซูฉันคิดในใจเงียบๆ

ทันทีที่ได้เห็นเมล็ดพันธุ์ต้นไม่โลการะบบก็ได้ฝังข้อมูลทุกอย่างเกี่ยวกับเมล็ดพันธุ์เม็ดนี้ไว้ในห้วงจิตของซูฉินเรียบร้อยแล้ว

เพราะเหตุนี้เองซูฉินจึงตระหนักดีว่าเมล็ดพันธุ์ต้นไม้โลกานั้นน่ากลัวเพียงใด

เปิดโลกอันกว้างใหญ่ที่แท้จริงขึ้นมาได้!

ขนาดเมื่อหนึ่งหมื่นปีก่อน ตอนที่ผู้ทรงพลังถึงขีดสุดรวมพลังกันบุกเข้าไปในความว่างเปล่าสิ่งที่พวกเขาทะลวงเปิดได้นั้นไม่ใช่อะไรนอกจากโลกใบเล็กที่ไม่สมบูรณ์ ซึ่งการที่ดํารงอยู่มาได้จนถึงวันนี้เป็นเพราะปล้นเอาจิตวิญญาณปราณฉีและเศษเสี้ยวกฎเกณฑ์มาจากโลกมนุษย์

แต่เมล็ดพันธุ์ต้นไม่โลกานี้กลับอ้างว่าสามารถเปิดโลกอันกว้างใหญ่ขึ้นมาได้จริงๆ อย่างนั้นหรือ?

ช่างน่าเหลือเชื่ออะไรเช่นนี้

แม้ม้วนบันทึกภาพเทพสงครามที่ซูฉินได้มาจากวิหารการสงครามจะฝึกฝนจนสามารถทําให้อาณาเขตสร้างโลกอีกใบขึ้นมาได้เมื่อไปถึงจุดสูงสุดของวิชา แต่ซูฉินเองก็ไม่รู้ว่าตัวเขาจะไปถึงจุดนั้นหรือไม่ จุดที่พัฒนาอาณาเขตเทพสงครามไปเป็นโลกอีกใบไม่มีอะไรมากไปกว่าทฤษฎีที่ระบุไว้ภายในม้วนบันทึกภาพเทพสงคราม

กระนั้น แม้แต่ผู้ทรงพลังถึงขีดสุดอย่างโหวเหยียนก็ยังไม่สามารถเข้าใจม้วนบันทึกภาพเท สงครามได้ แต่ตอนนี้เมล็ดพันธุ์ต้นไม่โลกากลับอ้างว่าตราบใดที่มีเวลาเพียงพอ ก็สามารถเติบโตเป็นต้นไม่โลกาได้ไม่ช้าก็เร็วจะสามารถเปิดโลกอันกว้างใหญ่ขึ้นมาได้อย่างแท้จริง ซึ่งเป็นเรื่อง ที่น่ากลัวอย่างมาก

หากยังมีผู้ทรงพลังถึงขีดสุดอยู่บนโลก แล้วรู้ว่าซูฉินมีเมล็ดพันธุ์ต้นไม่โลกานี้อยู่ในมือ เกรงว่าพวกเขาคงพยายามอย่างเต็มที่เพื่อแย่งชิงมันไป

“แต่ว่า ทําไมข้าถึงรู้สึกคุ้นเคยกับเมล็ดพันธุ์ต้นไม่โลกาอันนี้?” ซูฉันมองดูเมล็ดพันธุ์ต้นไม่โลกา หมุนมันไปมาช้าๆ ภายในพื้นที่ของระบบทันใดนั้นก็รู้สึกแปลกใจเล็กน้อย

ซฉินมั่นใจมากว่าตนไม่เคยพบเห็นสมบัติใดที่เกี่ยวข้องกับเมล็ดพันธุ์ต้นไม่โลกามาก่อน แต่ยามนี้กลับคุ้นเคยอย่างน่าประหลาด

“โลกถปีศาจอย่างนั้นหรือ?”

ภาพซ้อนทับบางอย่างก็วาบเข้ามาในความคิดของซูฉิน ในฐานะที่ตัวเขาเป็นถึงเซียนเทพปฐพี่ขั้นกลับคืนต้นกําเนิด ความทรงจําของเขาย่อมยอดเยี่ยมยิ่ง แทบจะในทันทีซูฉินก็นึกไปถึงเคล็ดวิชาทุกอย่างตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน และในที่สุดก็มาหยุดอยู่ที่โลกถปีศาจ

พูดให้ถูกก็คือกิ่งก้านของต้นไม้ปีศาจโบราณที่ตั้งอยู่ในโลกถปีศาจ ทั้งในเมืองเมฆาปีศาจเมืองอินจี้และเมืองใหญ่แห่งอื่นๆภายในโลกปีศาจ

โลกถปีศาจนั้นไม่เหมือนกับโลกมนุษย์ที่มีดินแดนศักดิ์สิทธิ์และนิกายมากมายหลายแห่งโลกถปีศาจแบ่งออกจากกันด้วยดินแดน และภายในดินแดนใหญ่จะมีเมืองใหญ่อยู่นับร้อยนับพันเมือง

และภายในเมืองใหญ่ทุกแห่งก็จะมีกิ่งก้านของต้นไม้ปีศาจโบราณตั้งเอาไว้

และเมล็ดพันธุ์ต้นไม่โลกานี้ก็ทําให้ซูฉันรู้สึกว่ามันช่างคล้ายคลึงกับกิ่งก้านของต้นไม้ปีศาจโบราณอย่างมาก

อันที่จริง ที่บอกว่าคล้ายคลึงนั้นไม่ใช่คล้ายคลึงในด้านกลิ่นอาย กิ่งก้านของต้นไม้ปีศาจโบราณบรรจุพลังมารเอาไว้อย่างมหาศาล ในขณะที่เมล็ดพันธุ์ต้นไม่โลกามีกลิ่นอายอันบริสุทธิ์บรรจุไว้ ไม่ต้องหาความคล้ายคลึงกันระหว่างทั้งสองอย่าง เพราะมันแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง

แต่ตามสัญชาตญาณ ซฉันเชื่อว่าเมล็ดพันธุ์ต้นไม่โลกานั้นคล้ายคลึงกับกิ่งก้านของต้นไม่โบราณอย่างยิ่ง

“เป็นไปได้ไหมว่าต้นไม้ปีศาจโบราณในส่วนลึกของโลกถปีศาจจะเป็นต้นไม่โลกา?” ดวงตาของซูฉินหลงเล็กน้อย

ร่างจําแลงของซูฉันอาศัยอยู่ภายในโลกปีศาจตลอดเวลา เป็นธรรมดาที่จะได้ยินเรื่องราวมากมายเกี่ยวกับต้นไม้ปีศาจโบราณ ว่ากันว่าต้นไม้ปีศาจโบราณนั้นสูงชะลูดทะลุท้องฟ้า มีคํากล่าวว่าโลกทั้งใบภายในโลกถปีศาจนั้นมีต้นไม้ปีศาจโบราณคอยค้ํายันเอาไว้ถ้าไม่ใช่เพราะต้นไม้ปีศาจโบราณ โลกปีศาจก็คงพังทลายลงไปเสียตั้งนานแล้ว

แม้แต่เทพเจ้าปีศาจ ตัวตนที่อยู่เหนือทุกสิ่ง พวกมันยังอาศัยอยู่บนลําต้นของต้นไม้ปีศาจโบราณตลอดเวลา นี่แสดงให้เห็นว่าต้นไม้ปีศาจโบราณนั้นช่างน่าเหลือเชื่อยิ่งนัก

เดิมที่ ซูฉันคิดว่าต้นไม้ปีศาจโบราณควรจะเป็นสมบัติปีศาจที่เทพเจ้าปีศาจสร้างขึ้นมา แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่า ถ้าต้นไม้ปีศาจโบราณภายในโลกถปีศาจนั้นคือต้นไม่โลกาความเกี่ยวพันกันระหว่างเทพเจ้าปีศาจกับต้นไม้ปีศาจโบราณอาจจะไม่เหมือนกับที่ซูฉินจินตนาการไว้

“เอาล่ะ”

“สิ่งเหล่านั้นยังเร็วเกินไปสําหรับข้าในตอนนี้”

ความคิดของซูฉินเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ในที่สุดก็สงบลงอย่างช้าๆ

แม้ว่าต้นไม้ปีศาจโบราณในส่วนลึกของโลกถปีศาจจะเป็นต้นไม่โลกาหรือไม่ มันก็ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับซูฉิน

สิ่งที่สําคัญที่สุดที่ซูฉันสามารถพิจารณาได้ในตอนนี้คือวิธีการใดที่จะทําให้เมล็ดพันธุ์ต้นไม่โลกาอันนี้หยั่งรากและเติบโตขึ้นได้

ต่อจากนั้น

ซูฉันก็รอคอยจนถึงวันรุ่งขึ้น เพื่อยืนยันว่าประตูหินโบราณขนาดใหญ่บานนี้ไม่สามารถลงชื่อเข้าใช้ได้อีกต่อไปจากนั้นจึงวางแผนที่จะกลับไปยังเมืองฉางอัน

“น่าเสียดายนัก”

ซูฉันรู้สึกเสียใจเล็กน้อย

ในตอนแรกซฉินตั้งใจว่าควรจะได้รับสมบัติบางอย่าง แม้ว่าจะไม่ดีเท่ากับเมล็ดพันธุ์ต้นไม้โลกา แต่อย่างน้อยก็น่าจะได้รับสมบัติบางอย่างจากการลงชื่อเข้าใช้บ้าง

อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่าเมล็ดพันธุ์ต้นไม่โลกาอันนี้จะทําให้เต๋สะสมภายในประตูหินบานนี้ หมดลงซึ่งทําให้ความคิดที่จะลงชื่อเข้าใช้ต่อไปของซูฉันกลายเป็นสูญเปล่า

“เอาเถอะ”

“เมล็ดพันธุ์ต้นไม่โลกาอย่างเดียวก็เหนือกว่าสมบัติล้ําค่าโดยกําเนิดไปมากแล้ว”

แม้ว่าซูฉินจะเสียใจ แต่อีกใจหนึ่งก็พึงพอใจ รู้หรือไม่ว่าเมล็ดพันธุ์ต้นไม่โลกาเมล็ดหนึ่งนั้นเปรียบได้กับโลกทั้งใบจะเอาสมบัติล้ําค่าโดยกําเนิดมาเทียบได้อย่างไร?

“ตามข้าออกไปจากที่นี่” ซูฉินเหลือบมองนักพรตหมื่นกําเนิด ลังเลอยู่ครู่หนึ่งแต่ก็ไม่ได้คิดจะสังหารทิ้งแต่ประการใด

มันไม่ใช่เพราะซุฉินนั้นใจพระนักบุญ แต่นักพรตหมื่นกําเนิดนั้นอยู่ในขั้นกลับคืนต้นกําเนิดทั้งยังก้าวเดินในวิถีบ่มเพาะจิตวิญญาณแรกกําเนิด แค่บ่มเพาะในวิถีของจิตวิญญาณแรกกําเนิดก็หายากมากแล้วนับประสาอะไรกับผู้ที่ฝึกมาจนถึงขั้นกลับคืนต้นกําเนิด?

หากรักษาชีวิตนักพรตหมื่นกําเนิดเอาไว้ ก็อาจจะนํามาใช้งานได้ในอนาคต

นอกจากนี้ ซูฉินได้ฝังรังสีจิตวิญญาณแรกกําเนิดไว้ในหน้าผากส่วนลึกของนักพรตหมื่นกําเนิดผ่าน[เคล็ดหยังรากหัวใจมาร]แล้วซูฉันสามารถกําหนดความเป็นความตายของนักพรตหม็นกําเนิดได้เพียงความคิดวูบเดียว

“ขอรับ” นักพรตหมื่นกําเนิดไม่รู้ว่าตนได้เดินผ่านประตูนรกมาเรียบร้อย เขาเดินตามซูฉันอย่างระมัดระวังแล้วมุ่งหน้าสู่เมืองฉางอัน

หลายชั่วโมงต่อมา

ซูฉินและนักพรตหมื่นกําเนิดก็มาถึงวังหลวง

“ผู้อาวุโสหมื่นกําเนิด” เมื่อเทพธิดาไท่อนเห็นนักพรตหมื่นกําเนิด นางก็ตกตะลึงไม่อยากเชื่อ

แม้ว่าเทพธิดาไก่อินจะเป็นว่าที่เทพธิดาแห่งดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่อิน แต่สถานะของนักพรตหมื่นกําเนิดก็ไม่ได้ต่ําต้อย

ในแง่สถานะนั้น ไม่ได้อ่อนแอไปกว่าเทพธิดาไก่อินเลย

“เป็นข้าเอง…” ใบหน้าของนักพรตหมื่นกําเนิดกลายเป็นซับซ้อนเล็กน้อย

“พวกเจ้ารู้จักกันอยู่แล้วงั้นรึ งั้นก็ไปพูดคุยรื้อฟื้นความหลังกันสักหน่อยเถอะ” ซูฉินเหลือบมองนักพรตหมื่นกําเนิดและเทพธิดาไก่อิน ไม่ได้หยุดทั้งคู่จากการสนทนา แต่ก้าวเดินหายตัวไปจากจุดเดิมแทน

ไม่ว่าจะเป็นนักพรตหมื่นกําเนิดหรือเทพธิดาไท่อิน ชีวิตความเป็นความตายของทั้งคู่ล้วนตกอยู่ในเงื้อมมือของซูจิน แม้แต่ความคิดที่อยู่ภายในใจ เขาก็ยังสังเกตเห็นได้รางๆผ่าน [เคล็ดหยังรากหัวใจมาร]

ซูฉินย่อมวางใจเป็นธรรมดา

ณ โถงใต้ดินอันสูงตระหง่านใต้เมืองฉางอัน

“ตอนนี้ข้าเพิ่งก้าวเข้าสู่ขั้นกลับคืนต้นกําเนิด มันค่อนข้างยากสําหรับข้าที่จะก้าวเดินต่อไปในเวลาอันสั้นนี้” ซูฉินนั่งขัดสมาธิ ครุ่นคิดในใจเงียบๆ

“ส่วนฝ่ามือยไลนั้น การจะพัฒนาไปถึงฝ่ามือรูปแบบที่สาม จะต้องมีการเปลี่ยนแปลงด้านความแข็งแกร่งครั้งใหญ่อย่างเช่นเข้าสู่ขอบเขตของผู้ทรงพลังถึงขีดสุด”

“สําหรับม้วนบันทึกภาพเทพสงคราม ภาพดวงตะวันขนาดมหึมานั้น หากต้องการจะฝึกฝนต่อไป จะต้องใช้ทรัพยากรจํานวนมาก ทั้งผลึกหินมิติและโอสถวิเศษธาตุไฟซึ่งตอนนี้ข้ายังไม่สา มารถหามันมาได้

ซูฉันค้นพบในทันทีว่าจริงๆ แล้ว ตอนนี้เขาอยู่ในช่วงคอขวด ยากนักที่จะก้าวต่อไปข้างหน้า

“เฮ้อ”

“การฝึกฝนวิทยายุทธนั้นต้องค่อยเป็นค่อยไป ข้านึกไม่ออกจริงๆ ว่าผู้ทรงพลังถึงขีดสุดพวกนั้นฝึกฝนกันอย่างไร…” ซูฉินถอนหายใจภายในเต็มไปด้วยอารมณ์ความรู้สึก

เขาคิดคํานวณความยากลําบากของขอบเขตเซียนเทพปฐพี่มาเนิ่นนานแล้ว แม้ว่าเซียนเทพปฐพี่จะมีเพียงสามขั้นเท่านั้น คือ ขั้นแบ่งจิต กลับคืนต้นกําเนิด และสถิตเทพ เมื่อเทียบกับขอบเขตตํานานยุทธที่มีระดับนภาถึงเก้าชั้นมันดูเหมือนง่ายกว่ามาก แต่หากพูดถึงความยากลําบากไม่รู้ว่ามันยากล่ามากกว่ากันตั้งกี่เท่า

การฝึกฝนในขอบเขตตํานานยุทธ สามารถฝึกฝนไปได้ทีละขั้น ตราบใดที่ค่อยๆ พัฒนาต่อไปบวกกับมีพรสวรรค์ที่เพียงพอและโอกาสที่มากมาย ไม่ช้าก็เร็วย่อมเดินไปถึงจุดสูงสุดของขอบเขตตํานานยุทธ

แต่ในขอบเขตเซียนเทพปฐพี…..

ขั้นแบ่งจิตและขั้นกลับคืนต้นกําเนิดนั้นไม่ต้องอธิบายอะไรมาก แต่ขั้นสถิตเทพจําเป็นต้องสัมผัสให้ได้ถึงพลังของพื้นที่มิติ ซึ่งมันไม่ได้ต่างไปจากภาพลวงตาเลยแม้แต่น้อย

แม้ว่าพลังของมิติความว่างเปล่าจะกระจายอยู่ทั่วทุกมุมโลก แม้แต่มดตัวน้อยยังสามารถสัมผัสความว่างเปล่าได้ แต่ใครเล่าจะรู้วิธีการที่จะทําลายมัน?

“ลองดูเมล็ดพันธุ์ต้นไม่โลกาดีกว่า”

ซูฉันสงบใจลงใช้จิตใจของตนบังคับควบคุม ฉับพลันก็เห็นเมล็ดพันธุ์ที่เต็มไปด้วยพลังอันสับสนวุ่นวายมาปรากฏขึ้นเบื้องหน้า

นอกจากเมล็ดพันธุ์ต้นไม่โลกาอันนี้แล้ว ซูฉันยังเก็บสมบัติล้ําค่ารูปทรงเหมือนหอคอยมาได้ด้วยสมบัติล้ําค่ารูปหอคอยนี้คือสมบัติล้ําค่าของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ต้าฉือ และมีตราประทับที่เจ้าลัทธิต้าฉือทิ้งเอาไว้ หากซูฉันต้องการจะใช้ประโยชน์จากมันก็ต้องใช้ระยะเวลาเวลาที่นานมากเพื่อล้างตราประทับที่อยู่ภายใน

“เมล็ดพันธุ์นี้จะงอกรากออกมาได้อย่างไร?”

ซูฉินมองไปยังเมล็ดพันธุ์ต้นไม่โลกาที่อยู่เบื้องหน้าเขา จู่ๆ ก็รู้สึกปวดหัวเหนื่อยใจ

เมล็ดพืชธรรมดาถ้าหากอยากให้มันงอกรากเติบโตขึ้นมา ก็เพียงหว่านเมล็ดลงในดินเพื่อให้มันดูดซับสารอาหารในผืนดิน แต่เมล็ดพันธุ์ต้นไม่โลกาที่สามารถเปิดโลกอันกว้างใหญ่ขึ้นมาได้จะเป็นเหมือนเมล็ดพันธุ์ธรรมดาที่ดูดซับสารอาหารในดินได้อย่างไร?

“ลองใช้จิตวิญญาณปราณฉีดูดีไหม?”

เมื่อคิดได้ดังนั้น พลังจิตวิญญาณปราณฉีก็เคลื่อนไหวในทันที รัศมีร้อยล้ํารอบตัวพลันเคลื่อนที่มารวมตัวกัน บีบอัดเข้ามาในฝ่ามือของซูฉิน จากนั้นซูฉินก็ควบคุมให้มันถ่ายเทเข้าไปที่เมล็ดพันธุ์ต้นไม่โลกา

น่าเสียดาย

ไม่ว่าพลังจิตวิญญาณปราณฉีจะแข็งแกร่งเพียงใด ภายในระยะสามฉือรอบเมล็ดพันธุ์ต้นไม้โลกา มันกลับระเหยหหายไปหมด ไม่สามารถเข้าใกลได้เลย

“พลังจิตวิญญาณปราณฉไร้ประโยชน์…”

ซูฉันคาดหวังเอาไว้อยู่แล้ว

ต่อมาซูฉินก็ได้ลองใช้วิธีต่างๆ นานัปการ แต่ก็ไม่ได้ผล

ท้ายที่สุด ซูฉินก็ใช้ร่างกายของตนโดยตรง บังคับให้หยดเลือดรดลงไปบนเมล็ดพันธุ์ต้นไม้โลกา

แต่คราวนี้ เมล็ดพันธุ์ต้นไม้โลกามีปฏิกิริยาตอบสนองที่เห็นได้อย่างชัดเจน เห็นเมล็ดพันธุ์ที่หมุนวนไปมาค่อยๆ กลืนกินเลือดของซูฉินเข้าไป

อย่างไรก็ตาม..

จากนั้นมันก็ไม่เกิดอะไรขึ้นอีก

แม้ซูฉินจะหยดเลือดลงไปมากขึ้น แต่ก็ไร้ประโยชน์

สิ่งเดียวที่ซูฉินได้รับมาก็คือ ดูเหมือนว่าเขาจะมีความรู้สึกเชื่อมโยงไปถึงเมล็ดพันธุ์ต้นไม่โลกานี้ได้ และสามารถสัมผัสถึงกระแสปราณฉีฟ้าดินที่พลุ่งพล่านอยู่ภายในเมล็ด

“ถ้าข้ามีพลังชีวิตขนาดนี้ เกรงว่าจะมีชีวิตอยู่ได้เป็นแสนปี…” ซูฉันรู้สึกถึงในใจ

ขณะที่ซูฉินฝึกฝนไปพลาง ครุ่นคิดเกี่ยวกับการทําให้เมล็ดพันธุ์ต้นไม่โลกางอกรากไป

พลาง

เวลาก็ผ่านไปหนึ่งปีในชั่วพริบตา

ในปีนี้ กระแสปราณฉีที่ฟื้นคืนเริ่มปั่นป่วนมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่นานนัก ทะเลปราณอันกว้างใหญ่ไร้ที่สิ้นสุดก็เริ่มสั่นคลอน กระแสปราณฉีบนโลกเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในที่สุดก็ถึงจุดเปลี่ยนผ่านใน ทันที

หวิ่ง!!!

โลกทั้งใบพลันสั่นสะเทือน ถ้ามีผู้ใดยืนอยู่เหนือชั้นฟ้าทั้งเก้า จะพบว่าในจุดที่เป็นดินแดนแห่งพลังยุทธอันยิ่งใหญ่ มันเสมือนกับเป็นสัตว์ร้าย คอยกลืนกินจิตวิญญาณปราณฉีเข้าไปอย่าง ไม่มีหยุดหย่อน

“นี่คือ?”

ภายในวังหลวง ที่น้ําพุด้านหน้าตําหนักชุนฝั่งขวาในพื้นที่พระราชวังตะวันออก เทพธิดาไท่อินมองขึ้นไปบนฟ้าแล้วกระซิบคําอยู่กับตนเอง “จุดเปลี่ยนผ่านครั้งที่สองกําลังฟื้นคืนกลับมางั้นหรือ?”

ในเวลาเดียวกัน

ภายในพระราชวังสีดําอันสูงตระหง่านใต้เมืองฉางอัน

ซูฉินที่นั่งขัดสมาธิอยู่ก็ลืมตาขึ้นและเงยหน้าขึ้นมอง

“ในที่สุดมันก็มาแล้ว”

Sign in Buddha’s palm 356 เตรียมทุกอย่างให้พร้อมสรรพ

ช่องทางมิตินั้น พูดให้ชัดเจนคือมันไม่ใช่ช่องทาง แต่เป็นทิศทางที่จะบอกถึง’พิกัด

ความว่างเปล่านั้นกว้างใหญ่ไร้ที่สิ้นสุด ไม่มีความแตกต่างใดๆ ทั้งสิ้นไม่ว่าจะเป็นซ้ายขวาบนล่างหากไม่มีทิศทางกําหนดหรือพิกัด แม้แต่ผู้ทรงพลังถึงขีดสุดก็อาจหลงทางได้ความว่างเปล่าที่บิดเบี้ยวหมุนวนตรงหน้านี้เป็นเพียงพิกัดที่โผล่ขึ้นมาเมื่อกระแสปราณฉีฟื้นฟูขึ้นมาจนถึงจุดเปลี่ยนผ่านที่สองและโลกมนุษย์ก็ได้จับสัญญาณจากโลกใบเล็กได้จากนั้นจึงสร้างพิกัด ขึ้นมา

ดังนั้นด้วยประสบการณ์ของนักพรตหมื่นกําเนิดจึงแนะนําให้ซูฉินรอจนกว่าช่องทางมิติจะถูกสร้างขึ้นจนเสร็จสมบูรณ์ก่อนที่จะเข้าไป

ไม่เช่นนั้น หากช่องทางมิติไม่สมบูรณ์…แม้ว่าซูฉินจะสามารถต้านทานเศษซากมิติที่มีอยู่มากมายในส่วนลึกของความว่างเปล่าได้เขาก็ต้องหลงทางอยู่ภายในอยู่ดี

“ข้าเข้าใจแล้ว”

ซูฉินพยักหน้าเล็กน้อย แม้ว่าจะมีวิหารการสงครามที่สามารถใช้ปกป้องร่างกายหรือแม้ซูฉินจะหลงทางอยู่ในส่วนลึกของความว่างเปล่าเขาก็ยังสามารถใช้วิหารการสงครามและแรงดึงดูดของร่างจําแลงเพื่อกลับสู่โลกมนุษย์ได้แต่มันย่อมเสียเวลาไปอย่างไม่อาจเลี้ยง และภายในส่วนลึกของความว่างเปล่าก็ใช่จะปลอดภัยโดยสมบูรณ์

แม้แต่ในโลกของพลังปราณฉีอันบริสุทธิ์อย่างทะเลปราณก็ยังมีสิ่งมีชีวิตปราณฉีกําเนิดขึ้นมาฉะนั้นมันย่อมมีสิ่งมีชีวิตชนิดพิเศษมากมายร่อนเร่อยู่ในส่วนลึกของความว่างเปล่าเป็นแน่และแม้แต่นอกขอบเขตของความว่างเปล่าก็คงจะมีอีก

“มาดูกันหน่อยซิ ว่าโลกใบเล็กนี้เป็นอย่างไรบ้าง”

ซูฉันค่อนข้างอยากรู้อยากเห็น เบิกเนตรดวงตาแห่งสัจจะผสานกับวิชาปราณฉีฟ้ากําหนดมองเข้าไปในส่วนลึกของความว่างเปล่าที่บิดเบี้ยวนั้น

แม้ช่องทางมิติจะยังไม่ก่อตัวขึ้นมาเป็นรูปเป็นร่าง แต่มันก็เริ่มก่อตัวขึ้นแล้ว ทว่าเซียนเทพปฐพี่คนอื่นๆ หรือแม้แต่ตัวตนระดับสูงสุดของขั้นสถิตเทพสามารถรับรู้ว่าช่องทางมิตินี้เชื่อมไปยังโลกใบเล็กแห่งใดก็เมื่อยามที่ช่องทางมิติถูกสร้างขึ้นโดยสมบูรณ์เท่านั้น

แต่ซูฉินสามารถเห็นเบาะแสบางอย่างได้ก่อนด้วยดวงตาแห่งสัจจะและวิชาปราณฉีฟ้ากําหนด

ดวงตาแห่งสัจจะนั้นมีความสามารถในการเข้าใจเห็นแจ้งได้ถึงกลไกพลังฉีทั้งหมดในชั้นฟ้าดินของโลกหล้าซึ่งในที่นี้ไม่ได้หมายถึงโลกมนุษย์เพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่หมายถึงโลกอันกว้างใหญ่ไพศาลซึ่งรวมไปถึงโลกมนุษย์เองด้วย

อย่างไรก็ตาม เนื่องจากซูฉินขาดความแข็งแกร่งที่มากพอ ระยะการสังเกตในปัจจุบันของดวงตาแห่งสัจจะจึงจํากัดอยู่แค่โลกมนุษย์

หวิ่ง!!!

ความว่างเปล่าที่บิดเบี้ยวเบื้องหน้าค่อยๆ รางเลื่อนในสภาวะภวังค์ดวงตาของซูฉินได้เดินทางผ่านความว่างเปล่ามากมายและทันใดนั้นตกลงสู่โลกใบเล็กที่เปล่งแสงสีฟ้าออกมา

ก่อนที่ซูฉันจะทันสังเกตได้อย่างถี่ถ้วน

ตึง!!!

พื้นที่มิติถูกทําลาย เห็นดาบศักดิ์สิทธิ์เก้าเล่มพุ่งทะยานสู่ฟ้าราวกับจะทําลายล้างทุกสิ่งชายร่างกํายําที่สะพายดาบศักดิ์สิทธิ์เก้าเล่มไว้ด้านหลังโผล่ออกมาเพียงยกมือขวาขึ้นดาบศักดิ์สิทธิ์ทั้งเก้าก็ฟันฉับลงมาอย่างพลิ้วไหวแผ่วเบาครีน

ความว่างเปล่าถูกตัดผ่าโดยตรง และชิ้นส่วนมิติจํานวนมากก็พังทลาย ซึ่งชิ้นส่วนเศษซากมิติเหล่านี้เพียงพอที่จะกําจัดเซียนเทพปฐพี่ในจุดสูงสุดของขั้นสถิตเทพได้อย่างง่ายดายและต่อให้มีความกล้าหาญเพียงใดก็ไม่อาจจะเข้าใกล้บริเวณนั้นได้ในระยะร้อยจ้าง

“ข้า จิ๋วหลี ได้เปิดอาณาจักรเก้าดาบขึ้นที่นี่ในวันนี้!”เสียงอันเย็นชาและเฉียบแหลมดังก้องอยู่ในจิตของซูฉินราวกับแผ่ขยายข้ามผ่านพื้นที่และกาลเวลา

ชั่วะ!

ซูฉินหลับตาลงในทันที

“จิ๋วหลี?”

หลังจากนั้นไม่นาน ซูฉันก็ลืมตาขึ้นอีกครั้งและกระซิบคํากับตนเอง

ซูฉันเข้าใจดีว่าด้วยดวงตาแห่งสัจจะและปราณฉีฟ้ากําหนดเขาสามารถจับตําแหน่งของช่องทางที่ก่อตัวนั้นได้และเชื่อมโยงไปถึงข้อมูลเล็กๆน้อยๆ ของโลกใบเล็กอันนั้น

“พวกเจ้ารู้จักจิ๋วหลีหรือไม่?” ซูฉินถามออกไปขณะที่มองไปยังเทพธิดาไท่อินและนักพรตหมื่นกําเนิด

ชายร่างกายที่มีชื่อว่า’จิ๋วหลี”เห็นได้ชัดว่าเป็นผู้ทรงพลังถึงขีดสุดในขอบเขตทลายนภากาศตัวตนที่ทรงพลังโดดเด่นเช่นนี้ย่อมดึงดูดสายตาของสรรพชีวิตทั้งหมดเป็นตัวตนที่สามารถเขย่าโลกได้ทั้งใบ

“จิวหลี?”

เทพธิดาไท่อนและนักพรตหมื่นกําเนิดมองหน้ากันด้วยความสับสนอยู่เนิ่นนาน

“พวกเจ้าไม่รู้จักหรือ?”

ซฉันเลิกคิ้ว ไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงถามต่อไปว่า “พวกเจ้าเคยได้ยินเกี่ยวกับผู้ทรงพลังถึงขีดสุดที่ใช้อาวุธเป็นดาบศักดิ์สิทธิ์เก้าเล่มหรือไม่?”

ทันทีที่คํากล่าวนั้นถูกกล่าวออกมา

ท่าทีของเทพธิดาไท่อินและนักพรตหมื่นกําเนิดเปลี่ยนไปเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่ากําลังคิดบางสิ่งอยู่

“นายท่านหมายถึงผู้ทรงพลังถึงขีดสุดเก้าดาบงันหรือ?” เทพธิดาไท่อนถามออกอย่างระมัดระ

“ผู้ทรงพลังถึงขีดสุดเก๋ดาบ?”

ดวงตาของซูฉินหรี่ลงเล็กน้อย และภาพที่เขาเห็นด้วยดวงตาแห่งสัจจะกวาบเข้ามาในความคิดชายร่างกํายําผู้นั้นเปิดทะลวงความว่างเปล่าด้วยดาบศักดิ์สิทธิ์และเปิดโลกใบเล็กเป็นอาณาจักรเก่าดาบขึ้นมาซูฉินจึงพยักหน้าแล้วกล่าวว่า “คงมิผิด”

ซูฉินตระหนักได้ในทันทีว่านามจิ๋วหลีนั้นน่าจะเป็นชื่อจริงของผู้ทรงพลังถึงขีดสุดที่เปิดอาณาจักรเก่าดาบขึ้นมาโดยปกติแล้วน้อยคนนักที่จะรู้ชื่อจริงของผู้ทรงพลังถึงขีดสุด

ตัวอย่างเช่น ชื่อจริงของซูฉินเป็นที่รู้จักเพียงในหมู่คนกลุ่มเล็กๆ เท่านั้น เช่นตระกูลซูส่วนคนอื่นๆพวกเขามักจะเรียกซูฉินว่ามนุษย์สวรรค์อาณาจักรถังหรือไม่ก็อรหันต์ผู้เป็นใหญ่ในโลกเสียเป็นส่วนใหญ่

“เรียนนายท่าน ในหนังสือโบราณของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไม่อินก็มีบันทึกเกี่ยวกับผู้ทรงพลังถึงขีดสุดเก้าดาบอยู่บ้าง”

เทพธิดาไก่อินครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ดูเหมือนจะรวบรวมคําพูด แล้วจึงกล่าวออกอย่างรวดเร็ว“ผู้ทรงพลังถึงขีดสุดเก้าดาบผู้นี้เป็นผู้ทรงพลังถึงขีดสุดที่กําเนิดขึ้นในสมัยแรกๆของยุคเฟื่องฟูกระแสปราณครั้งล่าสุดและทําลายความว่างเปล่าด้วยวิถีแห่งดาบจนกลายเป็นผู้ทรงพลังถึงขีดสุด”

“ทําลายความว่างเปล่าด้วยวิถีแห่งดาบ”

ดวงตาของซูฉินสงบ แต่ความคิดก็ผุดขึ้นภายใน

คิดอยากจะเป็นผู้ทรงพลังถึงขีดสุด จําเป็นต้องทําลายความว่างเปล่า แต่จะทําลายความว่างเปล่าได้อย่างไร?ทําลายด้วยสิ่งใดเล่า?

ในความเป็นจริง ขอบเขตเซียนเทพปฐพี่เองก็แบ่งแยกออกไปหลายวิถีเช่นเซียนเทพปฐพีในวิถีแห่งเปลวเพลิงเซียนเทพปฐพี่ในวิถีแห่งสายฟ้าเซียนเทพปฐพีวิถีแห่งดาบและเซียนเทพปฐพี่ในวิถีจิตวิญญาณแรกกําเนิด

จ้าวทะเลบูรพาก็เป็นเซียนเทพปฐพี่ในวิถีแห่งเปลวเพลิง

หากต้องการทําลายความว่างเปล่าจะต้องพึ่งพาพลังของตนเองเพื่อทําลายความว่างเปล่าตัวอย่างเช่นเซียนเทพปฐพี่ในวิถีแห่งเปลวเพลิงก็ต้องทําลายความว่างเปล่าด้วยเปลวเพลิงและเซียนเทพปฐพี่ในวิถีแห่งสายฟ้าก็ต้องทุบทําลายความว่างเปล่าด้วยสายฟ้าฟาดเป็นต้น

หลังจากที่เซียนเทพปฐพี่บุกทะลวงความว่างเปล่าวิถีพลังของพวกเขาจะถูกรวมเข้ากับพลังมิติและความชั่วร้ายต่างๆจะไม่อาจติดตามตัวของพวกเขามาได้ผลกรรมก็ไม่อาจเกาะติด

“ผู้ทรงพลังถึงขีดสุดเก้าดาบนั้นแข็งแกร่งมาก ในช่วงเวลานั้นยังมีผู้ทรงพลังถึงขีดสุดอยู่อีกสองคนในยุคเดียวกัน แต่ผู้ทรงพลังถึงขีดสุดทั้งคู่ล้วนไม่ใช่คู่ต่อสู้ของผู้ทรงพลังถึงขีดสุดเก๋ดาบแม้พวกเขาจะร่วมมือกันก็ตาม ก็ไม่สามารถเทียบได้กับพลังของดาบทั้งเก้าที่ตัดผ่านฟากฟ้า”

มีร่องรอยความหวาดกลัวในน้ำเสียงของเทพธิดาไท่อิน

“อย่างไรก็ตาม หลังจากผ่านเวลาไปสองพันปี ผู้ทรงพลังถึงขีดสุดเก้าดาบก็หายตัวไปบางคนคาดเดาว่าผู้ทรงพลังถึงขีดสุดเก้าดาบควรจะเดินทางไปยังพื้นที่ภายนอกความว่างเปล่าเพื่อไล่ตามขอบเขตที่สูงกว่า”

เทพธิดาไท่อนหยุดไปชั่วครู่แล้วจึงค่อยกล่าวต่อไป

“พื้นที่ภายนอกความว่างเปล่า?”

ซูฉินเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย และแหงนมองขึ้นไปบนท้องฟ้า

ผู้ทรงพลังถึงขีดสุดส่วนใหญ่ที่เกิดขึ้นในยุคเฟื่องฟูกระแสปราณฉีครั้งล่าสุดล้วนจากโลกมนุษย์ไปสู่ห้วงอวกาศในที่สุด

แน่นอนว่ายังมีผู้ทรงพลังถึงขีดสุดบางส่วนที่หวนคิดถึงบ้านเกิด ตัวอย่างเช่นผู้ก่อตั้งดินแดนศักดิ์สิทธิ์ทั้งหกแห่งในประตูเซียน แม้พวกเขาจะเป็นถึงผู้ทรงพลังถึงขีดสุดแต่ก็ไม่ได้ออกไปจากโลกมนุษย์เลือกที่จะพํานักอยู่ในประตูเซียน

“นายท่าน เป็นไปได้ไหมว่าช่องทางมิตินั้นได้เชื่อมต่อกับโลกใบเล็กที่เปิดออกโดยผู้ทรงพลังถึงขีดสุดเก้าดาบ?”ท่าทีของเทพธิดาไท่อนเปลี่ยนแปลงไปราวกับว่านางกําลังคิดอะไรบางอย่างอยู่และถามออกไปอย่างไม่แน่ใจนัก

“มันน่าจะเป็นเช่นนั้น”

ซูฉันพยักหน้าเล็กน้อย

ตามข้อมูลที่ซูฉินได้รับมาจากดวงตาแห่งสัจจะ โลกใบเล็กที่เชื่อมกับความว่างเปล่าที่บิดเบี้ยวอยู่เบื้องหน้านี้คืออาณาจักรเก่าดาบ โลกใบเล็กที่ถูกเปิดออกโดยผู้ทรงพลังถึงขีดสุดที่ชื่อว่า’จิ๋วหลี

“โลกใบเล็กของผู้ทรงพลังถึงขีดสุดเก้าดาบ…” เทพธิดาไท่อินและนักพรตหมื่นกําเนิดมองหน้ากันหัวใจของพวกเขาเริ่มเต้นเร็วขึ้นในทันที

นี่คือตัวตนไร้เทียมทานที่อยู่ยงคงกระพันมากว่าสองพันปี โลกใบเล็กที่ถูกทิ้งไว้โดยตัวตนเช่นนี้แม้จะเป็นผู้ทรงพลังถึงขีดสุดคนอื่นๆ ก็ต้องรู้สึกยั่วยวนใจนับประสาอะไรกับพวกตนเล่า?

“อย่าได้คิดให้มันมากเกินไป”

“เวลาก็ผ่านเลยมานานแล้ว แม้ผู้ทรงพลังถึงขีดสุดเก้าดาบจะทิ้งสมบัติเอาไว้จริงๆ แต่พวกมันก็คงผุพังเน่าเสียไปหมดแล้ว”ซูฉินเหลือบมองเทพธิดาไก่อินและนักพรตหมื่นกําเนิดส่ายศีรษะพร้อมกับกล่าวคําออกมา

แม้จะเป็นสมบัติล้ำค่า แต่หลังจากผ่านเวลาไปหลายหมื่นปี เมื่อปล่อยทิ้งไว้นานเช่นนี้ย่อมผพังสลายไปไม่ต้องกล่าวถึงสมบัติอื่นๆ เลยไม่ใช่หรือ?

และยุคสมัยของผู้ทรงพลังถึงขีดสุดเก้าดาบก็อยู่ห่างจากยุคปัจจุบันมากกว่าห้าหมื่นปีในช่วงเวลาที่ยาวนานเช่นนี้จะมีสิ่งใดบ้างที่ยังคงอยู่ไม่ผุพังเน่าเสีย

และแน่นอน

ซูฉินไม่ได้สนใจว่าสมบัติที่ผู้ทรงพลังถึงขีดสุดทิ้งเอาไว้จะสลายหายไปหรือไม่……ตราบใดที่โลกของอาณาจักรเก่าดาบยังคงมีอยู่ มันจะกลายเป็นสมบัติสําหรับลงชื่อเข้าใช้ของซูฉินสามารถขุดคุ้ยสมบัติจํานวนมากต่อไปได้

“จริงด้วย”

เทพธิดาไก่อินและนักพรตหมื่นกําเนิดสงบลงทันทีเมื่อได้ยินเรื่องนี้

ต่อจากนั้น

ซูฉิน เทพธิดาไท่อน และนักพรตหมื่นกําเนิดก็กลับเข้าไปในวัง

กว่าช่องทางมิตินี้จะก่อตัวขึ้นจนเสร็จสมบูรณ์ อย่างน้อยก็ต้องใช้เวลาอีกสองสามเดือนเป็นไปไม่ได้ที่ซูฉันจะคอยคุ้มกันพื้นที่นี้ในช่วงเวลานี้ได้

อย่างไรก็ตาม ก่อนจะจากไป ซูฉินได้ตั้งค่ายกลฟ้าดินไว้มากมายใกล้กับช่องทางมิติและด้วยความสําเร็จด้านค่ายกลและขอบเขตพลังในปัจจุบันของซูฉินแม้ค่ายกลฟ้าดินจํานวนมากนี้จะก่อตั้งเอาไว้อย่างลวกๆแต่เซียนเทพปฐพี่ธรรมดาๆก็ไม่สามารถทําลายมันได้และเมื่อค่ายกลถูกสัมผัสมันจะแจ้งเตือนให้ซูฉันทราบในทันที

หลังจากที่ซูฉินกลับมาวังหลวง เขาก็ไม่ได้ปิดด่านฝึกตนต่อไป แต่เดินทอดน่องอยู่ภายในวัง

“เวลาช่างผ่านไปไวเหลือเกิน…” ซูฉันมองไปรอบๆ สายตาของเขามองผ่านทหารยามขั้นที่บ่าวใช้นางกํานัลจํานวนมากและไปหยุดอยู่ที่กลุ่มเด็กอายุราวๆสิบขวบปี

“พี่ใหญ่และพี่รองนี่ช่างมีความสามารถในการสร้างทายาทจริงๆ ในช่วงสิบกว่าปีที่ผ่านมานี้พวกเขาให้กําเนิดทายาทขึ้นมาเกือบยี่สิบคน”ซูฉินสายศีรษะเล็กน้อยอดครุ่นคิดในใจไม่ได้

บนเส้นทางแห่งการฝึกยุทธ ยิ่งฐานการบ่มเพาะสูงเท่าไหร่แข็งแกร่งมากเท่าไหร่ยิ่งยากต่อการให้กําเนิดทายาทมากเท่านั้นนี่อาจเป็นเหตุผลว่าทําไมผู้ทรงพลังถึงขีดสุดจึงโดดเดี่ยวนัก

ดังนั้นเพื่อสืบทอดเชื้อสายของตระกูลซู ซูชื่อหมิน บิดาของซูฉินจึงบังคับให้สองพี่น้องซูเฉิงฮ่าวและซูเฉิงยู่หยุดบ่มเพาะ ไปเรียนรู้วิธีการที่จะทําให้ตระกูลซูเจริญรุ่งเรืองยิ่งๆขึ้นไปโดยเฉพาะ

ยิ่งกว่านั้น เป็นเพราะซูฉิน เด็กตระกูลซูเหล่านี้ที่อยู่ภายในวัง ก็ได้รับการปฏิบัติไม่ต่างไปจากเชื้อพระวงศ์และสูงส่งกว่าลูกหลานตระกูลหลีด้วยซ้ําในแง่ของสถานะ

อย่างไรเสีย ลูกหลานตระกูลซูเหล่านี้ แม้ว่าจะไม่ใช่ลูกของซูฉิน แต่ก็มีสายเลือดเกี่ยวพันกับซูฉินใครเล่าจะกล้ายั่วยุพวกเขาเมื่ออยู่ภายในวังหลวง?

ซูฉันเดินวนไปรอบๆ วังหลวง และในที่สุดก็กลับมายังตําหนักชุนฝั่งขวาภายในพระราชวังตะวันออก

“ตอนนี้คงได้แต่รอให้ช่องทางมิติก่อตัวเป็นรูปเป็นร่าง” ซูฉินนอนเอนหลังพิงเก้าอี้ ใช้ความคิดสั่งการหยิบผลไม้สีขาวเหมือนน้ำนมออกมาแล้วยัดเข้าปากไปในทันที

ผลไม้ชนิดนี้เป็นผลไม้จิตวิญญาณชนิดหนึ่งที่ซูฉันได้รับยามเมื่อลงชื่อเข้าใช้ภายในวิหารการสงคราม มันมีเศษเสี้ยวพลังมิติอยู่ หากกินเข้าไปจะสัมผัสได้ถึงพลังของพื้นที่มิตอยู่เล็กน้อย

ถ้ามีตัวตนระดับสูงสุดขั้นสถิตเทพภายในประตูเซียนมาอยู่ที่นี่ พวกเขาต้องตกตะลึงเมื่อได้เห็นผลไม้สีขาวราวน้ำนมผลนี้ เพราะพลังมิติที่บรรจุอยู่ในผลไม้ผลนี้จะช่วยให้เหล่าตัวตนระสงสดขั้นสถิตเทพสัมผัสได้ถึงพลังของพื้นที่มิติได้ชัดเจนมากขึ้น

มีขุมทรัพย์ที่คล้ายกับผลไม้สีขาวน้ำนมนี้ในดินแดนศักดิ์สิทธิ์หลักเช่นกันแต่พวกมันล้วนล้ำค่าอย่างยิ่ง ถึงแม้จะเป็นเจ้าลัทธิ ก็ต้องได้รับความเห็นชอบจากตัวตนระดับสูงทั้งหลายก่อนจึงจะใช้มันได้แต่เมื่อมาอยู่ในมือของซูฉินกลับกัดกินมันเหมือนขนมทานเล่น

“พลังพื้นที่มิติ?”

ดวงตาของซูฉินหรี่ลงเล็กน้อย ในขณะที่เขากัดกินผลไม้สีขาวราวน้ำนมผลนี้น้ำจากผลไม้ก็ พวยพุ่งอยู่ภายในปาก ทําให้จิตใจของซูฉินล่องลอยเหมือนอยู่ภายในห้วงอวกาศอันกว้างใหญ่ รับรู้ได้ถึงพลังของพื้นที่มิติได้อย่างถ้วนทั่ว

“น่าเสียดายนัก”

“ตอนนี้ฐานการบ่มเพาะของข้ายังไม่เพียงพอ แม้ว่าจะรู้สึกถึงพลังของมิติ แต่ก็ไม่สามารถรวมมันเข้าไว้กับตนเองได้

ซูฉันส่ายศีรษะเล็กน้อย และเริ่มนึกถึงขอบเขตความแข็งแกร่งในปัจจุบันของตนเอง

“ไพ่ในมือที่ข้ามีในตอนนี้คือฝ่ามือยูไล คัมภีร์มารเก่าวิถี ภาพสิบสองสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ม้วนบันทึก ภาพเทพสงคราม หุบเหวอับแสง…….”

“ในหมู่ของเหล่านี้ ฝ่ามือยไลฝึกฝนได้ถึงแค่รูปแบบที่สอง ส่วนคัมภีร์มารเก่าวิถีไม่ใช่เคล็ดวิชากระบวนท่าสําหรับโจมตี มันเป็นเพียงเคล็ดที่ใช้อธิบายเส้นทางต่างๆของโลกนี้อย่างง่ายๆ……นอกจากนี้ยังมีภาพสิบสองสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ข้าฝึกฝนได้เพียงแผ่นแรกเท่านั้นคือภาพดวงตะวันขนาดมหึมายังอีกยาวนานนักกว่าจะฝึกฝนภาพทั้งสิบสองได้สําเร็จเช่นเดียวกันกับม้วนบัน ทึกภาพเทพสงคราม…”

ความคิดในหัวของซูฉินเปลี่ยนผัน วางแผนทางเดินต่อไปในอนาคต

เพราะซูฉันนั้นฝึกฝนภาพดวงตะวันขนาดมหึมา แม้จะไม่ได้สําเร็จจนถึงชั้นยอดแต่ร่างกายของซูฉินก็ใกล้ชิดกับธรรมชาติแห่งไฟไปแล้ว เป็นที่รักของพลังฟ้าดินธาตุไฟถ้าซูฉินก้าวเดินไปในทิศทางวิถีแห่งเปลวเพลิงก็จะไปได้อย่างราบรื่นไม่มีปัญหา

ในอนาคตหากฝึกฝนภาพดวงตะวันขนาดมหึมาไปจนถึงจุดสูงสุดและแปลงกายเป็นอีกาทองค่าสามขาซึ่งเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ที่แข็งแกร่งที่สุดในด้านเปลวเพลิงเกรงว่าจะสามารถเผาไหม้ ความว่างเปล่าด้วยเปลวเพลิงได้อย่างง่ายดายและกลายเป็นผู้ทรงพลังถึงขีดสุด

แต่ซูฉันลังเลเล็กน้อย วิถีแห่งเปลวเพลิง วิถีแห่งสายฟ้าวิถีแห่งดาบและวิถีจิตวิญญาณแรกกําเนิดสิ่งที่ลึกลับและคาดเดาไม่ได้ที่สุดก็คงเป็นวิถีจิตวิญญาณแรกกําเนิดซูฉันเคยลงชื่อเข้าใช้ภายในเกาะสามพันมายาและได้รับหุบเหวอับแสงมาทั้งยังมีชายชุดขาวผมขาวที่เขาได้เห็นคนผู้นั้นมีไอพลังที่กว้างใหญ่ราวกับฟ้าดินแม้จะยังด้อยกว่าผู้ทรงพลังถึงขีดสุดเก้าดาบเล็กน้อยก็ตาม

ตามการคาดเดาของซูฉิน ชายชุดขาวผมขาวผู้นั้นคงเป็นผู้ทรงพลังถึงขีดสุดที่ก้าวเดินในวิถีจิตวิญญาณแรกกําเนิด ทั้งเกาะสามพันมายาเอาไว้ทดสอบคนรุ่นหลังที่มีคุณสมบัติพอจะกลายเป็นศิษย์สายตรงของผู้ทรงพลังถึงขีดสุด

หากมีทางเลือก ซูฉินก็ยังอยากที่จะฝึกฝนทั้งวิถีแห่งเปลวเพลิงและวิถีจิตวิญญาณแรกกําเนิดใช้ภาพดวงตะวันขนาดมหึมาเพื่อรับร่างศักดิ์สิทธิ์ และบ่มเพาะจิตวิญญาณแรกกําเนิดเพื่อให้มีจิตวิญญาณแรกกําเนิดที่แข็งแกร่งไร้เทียมทานด้วยวิธีนี้ซูฉันจึงจะไม่มีจุดอ่อนอย่างแท้จริงทั้งกายเนื้อและจิตวิญญาณแรกกําเนิดล้วนมีพลังเทียบเคียงกัน

แม้ว่าอีกาทองคําสามขาจะเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ที่ทรงพลังที่สุดในด้านเปลวเพลิงแต่ก็มีร่างกายที่แข็งแกร่งเป็นอย่างมากแค่เหล่าสัตว์อสูรที่มีสายเลือดของสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ยังมีร่างกายที่แข็งแกร่งไม่น้อยแล้วไม่ต้องกล่าวถึงสัตว์ศักดิ์สิทธิ์อย่างอีกาทองคําสามขาเลยมิใช่หรือ?

“เอาล่ะ”

“ยังเร็วเกินไปที่จะคิดเรื่องนี้”

“คงไม่สายเกินไปที่จะตัดสินใจในยามที่เข้าสู่ขั้นสถิตเทพเรียบร้อยแล้ว”

ขณะที่ซฉันกําลังคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ ทันใดนั้นจิตใจของเขาก็กระตุก หันมองออกไปด้านหน้าของน้ำพุในบริเวณตําหนักชุนฝั่งขวา

เห็นว่าซูชื่อหมิน พี่ใหญ่ซูเฉิงฮ่าวและพี่รองซูเฉิงยู่ พากันเดินมาที่ด้านนอกตําหนักชุนฝั่งขวาแล้ว

“ท่านพ่อ พี่ใหญ่ พี่รอง” ซูฉินก้าวออกมา มองซูชื่อหมิน ซูเฉิงฮ่าวและซูเฉิงยู่ด้วยรอยยิ้ม

“ฉันเอ๋อ” ซูชื่อหมินมองมาด้วยความยินดี รีบเดินเข้าไปหาซูฉินพร้อมกับกล่าวทักทาย

“ท่านพ่อ พี่ใหญ่พี่รอง พวกท่านมาหาข้าถึงที่นี่เกิดอะไรขึ้นงั้นหรือ?”ซูฉันมองเห็นท่าทางลังเลของซูชื่อหมินได้อย่างรวดเร็วถามออกด้วยรอยยิ้ม

โดยทั่วไปแล้วซูชื่อหมินจะไม่ค่อยมาร้องขออะไรกับซูฉินแต่ตอนนี้เขากลับมาถึงหน้าประตูด้วยตนเองดังนั้นซูฉินจึงต้องเอ่ยถามขึ้นมาเป็นธรรมดา

“ฉันเอ่อ มันก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรหรอก”ซูชื่อหมินจ้องมองไปที่ซูเฉิงฮ่าวและซูเฉิงยู่จากนั้นจึงมองกลับมาที่ซูฉิน“เป็นพี่ใหญ่และพี่รองของเจ้าที่ต้องการมาร้องขอแต่พวกเขาอายเกินกว่าจะพูดออกมาได้ในที่สุดพวกเขาก็มาพบพ่อนี่แหละ……”

Sign in Buddha’s palm 357 (I) เข้าสู่อาณาจักรเก่าดาบ

“ว่ามาเถอะ”

ซูฉินเหลือบมองสองพี่น้องซูเฉิงฮ่าวและซูเฉิงยู่กล่าวออกอย่างอ่อนโยน

ก่อนที่ซูฉินจะเดินทางไปยังวัดเส้าหลินเขามีชีวิตที่ดีภายในตระกูลซูและไม่มีเงื่อนปมกลอบายภายในครอบครัวเหมือนลูกหลานตระกูลใหญ่แห่งอื่นๆ

“คืออย่างนี้” ซูชื่อหมินพูดออกมาในทันที “เฉิงฮ่าวกับเฉิงยู่อยากจะให้เจ้าชี้แนะไอ้เจ้าพวกเด็กทโมนน้อยเหล่านั้นหน่อยดูเสียหน่อยว่าผู้ใดมีหน่วยก้านใช้ได้…”

ในการฝึกฝนวิทยายุทธ การชี้แนะแนวทางนั้นสําคัญมาก

มันเกี่ยวข้องไปถึงขนาดเป็นตัวชี้วัดว่าจอมยุทธจะสามารถเดินในสายนี้ไปได้ไกลแค่ไหนทีเดียวเชียว

ตอนนี้ภายในวังหลวงมียอดฝีมือนับไม่ถ้วน แม้แต่ต่านานยุทธขั้นสูงสุดก็ไม่ได้ขาด ด้วยสถานะของตระกูลซู ตราบใดที่เอ่ยปากออกไปประโยคเดียว เกรงว่ากลุ่มตํานานยุทธขั้นสูงสุดจะรีบเรียงแถวดาหน้ากันเข้ามาต้องการจะชี้แนะให้กับลูกหลานตระกูลซู…แต่ไม่ว่าจะเป็นซูชื่อหมินซูเฉิงฮ่าวหรือซูเฉิงยู่ล้วนคาดหวังจะได้รับคําแนะนําจากซูฉิน

เหตุผลส่วนใหญ่ก็เป็นเพราะซูฉินนั้นแข็งแกร่งอย่างยิ่ง

แม้แต่ตัวตนระดับสูงอย่างเซียนเทพปฐพีก็ยังสังหารทิ้งได้ เมื่อเทียบกับซูฉินแล้ว ตํานานยุทธขั้นสูงสุดเหล่านั้นก็ไม่นับเป็นตัวอะไร

“ชีแนะ?”

ดวงตาของซูฉินสงบนิ่งเหม่อมองออกไปนอกพระราชวังตะวันออก

มีเด็กนับสิบคนยืนรออยู่ที่นั่นอย่างใจจดใจจ่อ ตราบใดที่ซูฉินเห็นพ้อง คงจะมีใครบางคนที่สามารถเข้าไปภายในพระราชวังตะวันออก แต่ถ้าซูฉินปฏิเสธ เด็กเหล่านี้ก็คงไม่สามารถก้าวเข้าไปหลังรั้วประตูพระราชวังตะวันออกได้

“ในเมื่อเป็นทายาทของพี่ใหญ่และพี่รอง ข้าก็ควรจะให้คําแนะนําบ้าง”

ฉันไม่ปฏิเสธ แต่แสดงท่าที่เห็นด้วยออกมา

ลูกของสองพี่น้องอย่างซูเฉิงฮ่าวและซูเฉิงยู่ก็เป็นหลานของซูฉิน แค่การชี้แนะเล็กๆน้อยๆ จากซูฉินแน่นอนว่าไม่มีปัญหาอะไร เป็นเพราะความสัมพันธ์ระหว่างเด็กเหล่านี้กับซูฉินห่างกันเพียงแค่ไม่มาก หากว่าห่างไกลเกินกว่านี้ ซูฉินก็ขี้เกียจเกินว่าจะใส่ใจ

ภายในวังหลวงมีคัมภีร์จํานวนนับไม่ถ้วนและสมุนไพรโอสถจํานวนมากแจกจ่ายออกไปทุกวันเพื่อเสริมสร้างสภาพแวดล้อมที่ดีในการฝึกยุทธให้แก่ตระกูลซ ซึ่งสิ่งเหล่านี้เหนือกว่าผู้ฝึกยุทธส่วนใหญ่บนโลกเสียอีก หากยังต้อง การคําแนะนําของซูฉินเพื่อให้พัฒนาต่อไปได้ ก็ควรละทิ้งการบ่มเพาะวิทยายุทธและนั่งสบายๆ เป็นท่านอ๋องอยู่ในเมืองห่างไกลสักเมืองยังจะดีกว่า

แน่นอนว่าซูฉินก็ยังต้องให้คําแนะนําแก่ลูกหลานตระกูลซูในสามชั่วอายุคนอยู่ดี

ส่วนที่เกินจากสามชั่วอายุคน……ตระกูลซูจะจัดสรรทรัพยากรการบ่มเพาะและสิ่งแวดล้อมที่ดีที่สุดให้กับพวกเขาเอง ขึ้นอยู่กับว่าพวกเขาจะก้าวเดินไปต่อในเส้นทางสายนี้ได้หรือไม่

“ขอบคุณน้องเล็ก” ซูเฉิงฮ่าวและซูเฉิงยู่รู้สึกยินดีอย่างยิ่ง รีบกล่าวขอบคุณซูฉินทันที

“ไม่เป็นไรหรอก”

“แค่เรื่องเล็กน้อย”

ซูฉินโบกมือ ไม่พูดอะไรต่อไปอีก
ไม่นานนัก

กลุ่มเด็กอายุราวสิบขวบปีก็ได้เดินเข้ามา

เด็กเหล่านี้ คนที่โตที่สุดอายุประมาณสิบห้าสิบหกปี ส่วนน้องเล็กสุดอายุราวเจ็ดแปดขวบ เท่านั้น ในตอนนี้สีหน้าของพวกเขาเต็มไปด้วยความตื่นเต้น…แม้จะเป็นลูกหลานตระกูลซู ก็ไม่ใช่ทุกคนที่จะเคยเห็นซูฉิน โดยเฉพาะเด็กรุ่นใหม่ของตระกูลซูที่เพิ่งเกิดในช่วงสิบปีที่ผ่านมา

ตอนนี้พอได้รู้ว่าจะได้พบกับตัวตนศักดิ์สิทธิ์ผู้อุปถัมภ์อาณาจักรถัง เป็นใครจะไม่คาดหวัง? ใครเล่าจะไม่ตื่นเต้น?

“พวกเจ้าลุกขึ้นเถอะ”

เมื่อเห็นเด็กเหล่านี้คุกเข่าลงกับพื้น ซูฉินก็กล่าวออกอย่างสบายๆ

“ขอรับ” กลุ่มเด็กมากกว่าสิบคนลุกขึ้นอย่างระมัดระวัง พวกเขาก้มหน้าลงไม่กล้ามองมาที่ซูเฉิน

“พวกเจ้าชอบวิทยายุทธหรือไม่?” ซูฉินยิ้มออกมาเล็กน้อย

“ชอบยิ่ง”

“ข้าก็เหมือนกัน”

“ข้าอยากเป็นจอมดาบเหมือนองค์หญิงหลีหว่าน”

เด็กหลายคนเรียกความกล้าก่อนที่จะพูดออกมา

“แค่ชอบวิทยายุทธยังไม่พอ” ซูฉินสายศีรษะ ผู้คนส่วนใหญ่บนโลกนี้ก็ล้วนชอบวิทยายุทธกันทั้งนั้น แต่จะมีสักกี่คนที่สามารถทนต่อความเหงาเปล่าเปลี่ยวหลังจากก้าวเดินในเส้นทางการฝึกยุทธเส้นทางนี้ได้?

โดยเฉพาะลูกหลานตระกูลซู ตั้งแต่เกิดมาพวกเขาก็กลายเป็นขุนนางผู้สูงศักดิ์ แม้จะไม่ได้เป็นผู้ฝึกยุทธก็มีชีวิตที่ดีได้ แล้วเจ้าจะอยากเรียนวิทยายุทธกันไปทําไม?

และถึงแม้ว่าจะเรียนรู้วิทยายุทธไปแล้ว ในท้ายที่สุดก็อาจจะไม่ประสบความสําเร็จ ด้วยการฟื้นคืนของกระแสปราณฉี แม้ว่าจะทําให้ฝึกฝนวิทยายุทธง่ายขึ้น แต่ก็ไม่ใช่ทุกคนที่สามารถกลายเป็นคนที่แข็งแกร่งได้

“พวกเจ้าลองมองไปทางนั้น”

ซุฉินเงยหน้าขึ้น จิตของเขาเคลื่อนไหวสั่งการ ทันใดนั้นเสาหินก็พังทลายลง กลายเป็นรูปปั้น ของบุรุษผู้หนึ่งที่มีใบหน้าเลือนราง

รูปปั้นของบุรุษผู้นี้ไพล่มือไปด้านหลัง แหงนมองท้องฟ้า ไม่ต่างไปจากรูปปั้นธรรมดา แต่ยิ่งจ้องมองก็ยิ่งเหมือนว่าจิตใจค่อยๆ ถูกดึงออกจากร่าง

แม้แต่ซูชื่อหมินและสองพี่น้องซูเฉิงฮ่าวซูเฉิงยู่ ก็ยังรู้สึกว่าจิตใจของพวกเขาเริ่มเคลื่อนไหวช้าลงเมื่อจ้องมองรูปปั้นนี้เป็นเวลานานราวกับรูปปั้นนี้มีแรงดึงดูดมหาศาล

“จากนี้ไปอีกหนึ่งปี พวกเจ้าทุกคนต้องมาดูรูปปั้นนี้อยู่ตลอด”

“อีกหนึ่งปีหลังจากนี้ ใครก็ตามที่สามารถเข้าใจบางสิ่งจากรูปปั้นนี้ได้ให้มาหาข้าอีกครั้ง”

ซูฉินกล่าวออกเบาๆ

รูปปั้นนี้คือสิ่งที่ซูฉินรวบรวมความรู้ของเขาบางส่วนเอาไว้ภายในจิตวิญญาณแรกกําเนิดใส่ เข้าไปในรูปปั้น มีทักษะเฉพาะทางมากมาย ไม่ว่าจะเป็นมีดดาบอาวุธระยะไกลหมัดมวย และท่าเท้า ล้วนอยู่ภายในรูปปั้นนี้ทั้งหมด

ในอีกนัยหนึ่ง รูปปั้นนี้คือแนวทางการฝึกฝน แม้แต่ตํานานยุทธขั้นสูงสุดก็ต้องได้รับบางสิ่งหากได้มาจ้องมองดูรูปปั้นอันนี้

หลังจากที่พูดคุยกับซูชื่อหมินอีกสองสามค่า ซูฉินก็กลับไปยังตําหนักชุนฝั่งขวา เอนหลังลงบนที่นั่ง หยิบผลไม้จิตวิญญาณออกมากินอีกครั้ง

“การฝึกฝนวิทยายุทธ ไม่ใช่ว่าแค่ชอบแล้วจะได้ดีเสมอไป” ซูฉินเหลือบมองเด็กๆ ตระกูลนับสิบคนที่รายล้อมอยู่รอบรูปปั้นนั้น

ด้วยสายตาของซูฉิน เป็นเรื่องปกติที่จะเห็นความสามารถของเด็กเหล่านี้ว่าไม่ได้แย่ แต่ก็ไม่ได้ดีอะไรมากนัก และพวกเขาก็ไม่สามารถเทียบกับหลีหว่านในวัยเด็กได้เลย

แต่ซูฉันไม่ได้สนใจเรื่องความสามารถหรือศักยภาพอะไรนัก ด้วยความแข็งแกร่งของเขาตราบใดที่เขาเต็มใจจะทําการปรับปรุงศักยภาพก็ทําได้เพียงแค่ความคิดวูบเดียว

แต่ในการฝึกฝนวิทยายุทธ นอกจากศักยภาพแล้ว สิ่งที่สําคัญกว่าคืออุปนิสัยจิตใจไม่เช่นนั้น เมื่อประสบพบกับความพ่ายแพ้หรืออุปสรรคใด ย่อมทําให้ยอมแพ้ไปเองหยุดที่จะฝืนชะตาของตน เช่นนั้น ต่อให้มีพรสวรรค์สะท้านฟ้าจะไปมีประโยชน์อะไรกัน?

ศักยภาพเป็นเพียงสิ่งที่ช่วยในการตัดสินใจเท่านั้น แต่การพึ่งพาสิ่งภายนอกก็สามารถยกศักยภาพของคนเราได้ อย่างเช่น คัมภีร์เปลี่ยนเส้นเอ็นจากวัดเส้าหลินรวมไปถึงเคล็ดวิชาอื่นๆ

แต่การเปลี่ยนอุปนิสัยและจิตใจนั้นยากยิ่ง

นอกเหนือจากอุปนิสัยจิตใจแล้ว ความเข้าใจก็เป็นสิ่งสําคัญมากเช่นกัน

รูปปั้นที่ซูฉินทิ้งเอาไว้ก็มีไว้เพื่อทดสอบจิตใจและความเข้าใจของลูกหลานตระกูลซูเหล่านี้

หากผ่านไปนานแล้วยังไม่ได้อะไรจากรูปปั้นนี้ เกรงว่าลูกหลานตระกูลบางคนคงจะร้อนใจและ คิดที่จะถอนตัวออกไปอย่างไรเสียการวนเวียนอยู่รอบรูปปั้นเป็นเวลากว่าสิบสองชั่วโมงต่อวัน แม้แต่จอมยุทธทั่วๆ ไปยังทนไม่ได้นับประสาอะไรกับเด็กในวัยนี้?

นี่คือบททดสอบทางจิตใจ

สาหรับความเข้าใจนั้น ถ้าใครบางคนสามารถเข้าใจความลับบางอย่างได้จากรูปปั้นนี้ ก็เพียงพอแล้วในด้านความเข้าใจ

ต่อจากนั้น

ซูฉันไม่สนใจเด็กๆ ตระกูลซูที่กําลังเกาหูเกาแก้มเหล่านั้นอีกต่อไป อย่างไรเสียการชี้แนะสั่งสอนเด็กๆ ตระกูลซูเหล่านี้ก็เป็นเพียงงานอดิเรก หาใช่งานหลักของซูฉินไม่

Sign in Buddha’s palm 357 (II) เข้าสู่อาณาจักรเก่าดาบ

รูปปั้นที่ซูฉินทิ้งเอาไว้ ก็มีไว้เพื่อทดสอบจิตใจและความเข้าใจของลูกหลานตระกูลเหล่านี้

หากผ่านไปนานแล้วยังไม่ได้อะไรจากรูปปั้นนี้ เกรงว่าลูกหลานตระกูลบางคนคงจะร้อนใจและ คิดที่จะถอนตัวออกไปอย่างไรเสีย การวนเวียนอยู่รอบรูปปั้นเป็นเวลากว่าสิบสองชั่วโมงต่อวัน แม้แต่จอมยุทธทั่วๆ ไปยังทนไม่ได้ นับประสาอะไรกับเด็กในวัยนี้?

นี่คือบททดสอบทางจิตใจ

สําหรับความเข้าใจนั้น ถ้าใครบางคนสามารถเข้าใจความลับบางอย่างได้จากรูปปั้นนี้ ก็เพียงพอแล้วในด้านความเข้าใจ

ต่อจากนั้น

ซูฉินไม่สนใจเด็กๆ ตระกูลซูที่ก่าลังเกาหูเกาแก้มเหล่านั้นอีกต่อไป อย่างไรเสียการชี้แนะสั่งสอนเด็กๆ ตระกูลเหล่านี้ก็เป็นเพียงงานอดิเรก หาใช่งานหลักของซูฉินไม่

“จะจัดการสมบัติทั้งสองนี้อย่างไรดี?”

จิตใจของซูฉินจมดิ่งลงไปในวิหารการสงคราม มองดูระฆังเทพสายฟ้าและสมบัติล้ำค่ารูปหอคอย

ระฆังเทพสายฟ้านั้นได้มาจากการที่ซูฉินเหยียบย่านิกายเทพเจ้าสายฟ้าจนจมดิน และสมบัติล่าค่ารูปหอคอยก็ได้มาจากการที่ซูฉินสังหารเซียนเทพปฐพี่ขั้นกลับคืนต้นกําเนิดที่มีสมญานามว่าจ้าวแห่งลม

“มีตราประทับอยู่ภายในสมบัติล้ําค่า โดยเฉพาะสมบัติล้ําค่ารูปหอคอย เจ้าของที่แท้จริงไม่ใช่ จ้าวแห่งลม แต่เป็นเจ้าลัทธิขั้นสถิตเทพระดับสูงสุดแห่งประตูเซียน”

“เหตุผลที่จ้าวแห่งลมมีสมบัติล้ําค่าอันนี้ก็ควรจะหยิบยืมมาจากเจ้าลัทธิเท่านั้น เมื่อกลับไปยัง ประตูเซียนก็คงจะต้องคืนมันกลับไป”

ซูฉินแตะปลายคางและคิดในใจเงียบๆ

“น่าเสียดายนัก”

“ถ้าข้าฝึกฝนภาพดวงตะวันขนาดมหึมาถึงความสําเร็จชั้นยอด พึ่งพาพลังเปลวเพลิงของภาพ ดวงตะวันฯ เกรงว่าจะเผาตราประทับนี้ออกไปได้ในทันที”

ซูฉินคิดอยู่กับตนเอง

“อย่างไรก็ตาม หากฝึกภาพดวงตะวันฯ จนสําเร็จ ข้าก็คงไม่ต้องการสมบัติล้ําค่าธรรมดาๆ เห ล่านี้อีก” ซูฉินคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ซ้ําไปซ้ํามา

ความสําเร็จชั้นยอดในภาพดวงตะวันขนาดมหึมาสามารถเปลี่ยนซูฉินให้กลายเป็นอีกาทองค่า สามขา ซึ่งเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ที่ทรงพลังที่สุดในด้านเปลวเพลิง แน่นอนว่าด้วยความแข็งแกร่งใน ปัจจุบันของซูฉิน แม้ว่าเขาจะแปลงร่างเป็นอีกาทองคําสามขา ก็คงจะแปลงได้เพียงช่วงวัยเยาว์ ของอีกาทองคําสามขาผู้ยิ่งใหญ่ แต่นั่นก็เพียงพอแล้วที่จะกวาดล้างเซียนเทพปฐพี่ทั้งหมด

ในฐานะที่อีกาทองค่าสามขาเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ที่ทรงพลังที่สุดในด้านเปลวเพลิง แม้จะเป็น เพียงลูกน้อยวัยเยาว์ แต่ตัวตนของมันก็สูงส่งกว่าเซียนเทพปฐพีเป็นอย่างมาก แค่ลมหายใจเดีย วอาจจะเผาเซียนเทพปฐพีได้เกือบทั้งหมด

สมบัติล้ําค่าธรรมดาๆ ไม่สามารถหยุดทิพยอํานาจของอีกาทองคําสามขาได้

แน่นอนว่าผู้ทรงพลังถึงขีดสุดสามารถทําลายความว่างเปล่าได้ หากอาศัยเพียงอีกาทองคํา สามขาในช่วงวัยเยาว์ ย่อมไม่สามารถทําอะไรผู้ทรงพลังถึงขีดสุดและสมบัติล้ําค่าโดยกาเนิดที่สา มารถระเบิดพลังใกล้เคียงกับผู้ทรงพลังถึงขีดสุดได้

แต่ไม่ว่าอย่างไร มันก็ไม่สามารถบดบังความน่ากลัวของอีกาทองคําสามขาได้อยู่ดีอีกทั้ง

หากอีกาทองคําสามขาวัยเยาว์ยังเติบโตต่อไปอีกระยะหนึ่ง เกรงว่าแม้แต่ผู้ทรงพลังถึงขีดสุ ดก็ต้องเร่งรุดหนีไปให้ไกล เพราะอาจจะตกลงสู่เปลวไฟแห่งดวงตะวันที่แท้จริง สามารถเผา ผลาญสรรพสิ่งในชั่วพริบตา

นี่คือสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ผู้ทรงพลัง!

สิ่งมีชีวิตธรรมดาสามารถฝ่าฟันอุปสรรคขวากหนาม แต่ต้องใช้เวลานับร้อยนับพันปีกว่าจะก้าว ข้ามผ่านขีดจํากัดทางสายเลือดของเผ่าพันธุ์…….ส่วนอีกาทองคําสามขาตั้งแต่แรกเกิด กลับสา มารถบดขยี้ทุกสิ่งได้โดยง่าย

แน่นอนว่าอีกาทองคําสามขานั้นทรงพลัง และไม่มีข้อบกพร่องใดๆ ทว่าเผ่าพันธุ์มนุษย์สา มารถขยายพันธุ์ได้อย่างง่ายดายนับไม่ถ้วน ส่วนอีกาทองคําสามขานั้นขยายเผ่าพันธุ์ได้ยากราว กับปีนป่ายสวรรค์ และอาจจะไม่สามารถขยายพันธุ์ได้เลยในช่วงร้อยล้านปี

ฟ้าดินยุติธรรมเสมอ

“นอกจากสมบัติล้ําค่าทั้งสองอย่าง ก็มีตราประทับไทอินอันนี้……” ซูฉินคิดถึงสิ่งนี้ ก็พลันมีต ราประทับปรากฏขึ้นตรงหน้าของเขา และนี่คือตราประทับไท่อนที่เทพธิดาไท่อนถือครอง

ตราประทับไก่อินอันนี้ไม่ใช่สมบัติที่ใช้ในการโจมตีหรือป้องกัน แต่สามารถดูดซับไอพลังของ พื้นที่มิติได้

“พลังมิติจากสิ่งนี้สามารถใช้บ่มเพาะวิชาในม้วนบันทึกภาพเทพสงครามได้” ดวงตาของซูฉิน เป็นประกายและเริ่มทดลองทันที

ตราประทับไทอินไม่ใช่สมบัติล้ําค่า นอกจากนี้ซูฉินยังได้รับวิธีการปรับแต่งตราประทับไก่อิน มาจากเทพธิดาไทอิน ดังนั้นจึงประสบความสําเร็จในการปรับแต่งตราประทับอันนี้ได้ในเวลาไม่นาน

หวิ่ง!!!

เห็นพลังงานสีเงินนวลๆ โผล่ออกมาจากตราประทับไก่อิน และในตอนนี้อาณาเขตเทพสง ครามของซูฉินก็คลายตัวออกมากลืนกินพลังงานสีเงินนี้ไปจนหมด

การฝึกฝนม้วนบันทึกภาพเทพสงครามและควบแน่นอาณาเขตเทพสงครามจําเป็นต้องใช้ผลึก หินมิติ เหตุผลที่ซูฉินสามารถกลั่นอาณาเขตเทพสงครามออกมาได้ก็เพราะอาศัยการกลืนกินพื้น ที่มิติมาจากสมบัติพื้นที่มิติซึ่งได้รับมาจากการลงชื่อเข้าใช้

อย่างไรเสีย สิ่งที่เรียกว่าผลึกหินมิติก็เป็นเพียงการรวมตัวกันของพลังแห่งมิติเท่านั้น ไม่ว่าจะ เป็นการกลืนกินผลึกหินมิติหรือพลังพื้นที่มิติ มันก็สามารถปรับปรุงอาณาเขตเทพสงครามได้ เหมือนกัน

หลังจากนั้นไม่นาน

พลังพื้นที่มิติในตราประทับไก่อินก็ค่อยๆ หมดลง

ตราประทับไทอินนี้ถูกเทพธิดาไท่อินและเซียนเทพปฐพี่คนอื่นๆ ใช้ในการเดินทางผ่านช่อง ว่างไปจนหมดแล้ว และหลังจากผ่านไปหลายปี แม้ว่ามันจะฟื้นตัวขึ้นบ้างเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้มีพ ลังมิติอยู่มากขนาดนั้น

“มันยังไม่พอ”

ซูฉินหยิบผลไม้สีขาวราวน้ํานมออกมาอีกครั้ง ผลไม้ชนิดนี้มีร่องรอยของพลังพื้นที่มิติแต่ก็ยัง ห่างไกลจากความต้องการในการฝึกฝนอาณาเขตเทพสงคราม

“พลังพื้นที่มิติ?”

ดวงตาของซูฉินหรี่ลงเล็กน้อย

แม้ว่าพลังของพื้นที่มิติจะมีอยู่โดยทั่วไป แต่มีเพียงผู้ทรงพลังถึงขีดสุดเท่านั้นที่สามารถควบคุมมันได้ และนอกเหนือจากผู้ทรงพลังถึงขีดสุดแล้ว ก็มีแต่ผลไม่วิญญาณชนิดพิเศษอย่างผลไม้สีขาวนวลนี้เท่านั้นที่สามารถดูดซับพลังงานบางส่วนได้หลังจากผ่านเวลาไประยะหนึ่ง

และแน่นอน

สมบัติและสมบัติล้ำค่าโดยกําเนิดบางชนิดที่สร้างโดยผู้ทรงพลังถึงขีดสุดก็สามารถดูดซับพลังมิติได้อย่างช้าๆ อาทิตราประทับไท่อินที่เทพธิดาไทท่อนมอบให้กับซูฉิน

เวลาผ่านเลยไปดุจสายน้ําไหล

หลายเดือนผ่านไปในพริบตา

ในช่วงเวลานี้ นอกเหนือจากการรอให้ช่องทางมิติก่อตัวเป็นรูปเป็นร่างแล้ว ซูฉินก็ขัดเกลาการบ่มเพาะของตนเอง

ซฉินมุ่งมั่นที่จะเข้าสู่ระดับกลางของขั้นกลับคืนต้นกําเนิด ในเวลาไม่กี่ปี เขาก็คงจะข้ามผ่านจากจุดเริ่มต้นของขั้นกลับคืนต้นกําเนิด ไปถึงระดับกลางของขั้นกลับคืนต้นกําเนิดได้ แม้ว่าจะเป็นภายในประตูเซียน ทุกคนก็ต้องตกใจเมื่อได้ยินสิ่งนี้ ยกเว้นไว้แต่ผู้ที่เกิดการตื่นขึ้นของสายเลือด เป็นทายาทสายตรงของผู้ทรงพลังถึงขีดสุดที่สามารถพัฒนาอย่างก้าวกระโดด ใครเล่าจะทําเช่นนี้ได้อีก?

รู้หรือไม่ว่าขอบเขตเซียนเทพปฐพี่ไม่ได้เหมือนขอบเขตตํานานยุทธ ทุกย่างก้าวนั้นยากล่าบากอย่างยิ่ง และย่อมพบเซียนเทพปฐพีจํานวนมากที่ค้างอยู่ในขั้นเดิมมานานกว่าหลายสิบไปจนถึงหลายร้อยปี

ทายาทสายตรงของผู้ทรงพลังถึงขีดสุดอาศัยพลังของสายเลือดพาตนเองทะยานขึ้นสู่ฟากฟ้าแต่ฉันไม่ได้พึ่งพาพลังที่ผู้ทรงพลังถึงขีดสดทิ้งเอาไว้

แม้ว่าเทพธิดาไก่อินและนักพรตหมื่นกําเนิดต่างก็เชื่อว่าซูฉินนั้นเกี่ยวข้องกับผู้ทรงพลังถึงขีดสุด หรือแม้แต่เป็นร่างอวตารของผู้ทรงพลังถึงขีดสุด แต่มีแค่ซูฉินเท่านั้นที่รู้ว่าเขาพึ่งพาเพียงแค่ตนเองเท่านั้นกว่าจะมาถึงจุดนี้ได้

“เจ้าพวกเด็กน้อยเหล่านั้น….”

ซูฉินหลุบตาลง และส่องดูลูกหลานตระกูลซูนับสิบที่อยู่ข้างรูปปั้นด้านนอกต่าหนักชนฝั่งขวา

ในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมานี้ ลูกหลานตระกูลซูห้าถึงหกคนไม่สามารถทนแต่ความเบื่อหน่าย ได้เลือกจะถอนตัวกลับไป แต่ยังมีลูกหลานตระกูลซูส่วนใหญ่ยืนกรานที่จะอยู่ต่อ

ลูกหลานตระกูลซูทุกคนรู้ดีว่าตราบใดที่พวกเขาสามารถผ่านเรื่องนี้ไปได้ แม้จะไม่สามารถเป็นศิษย์ของซูฉินได้เหมือนกับองค์หญิงหลีหว่าน แต่อย่างน้อยก็ควรจะอยู่ในสายตาของซูจินบ้าง

“มีพรสวรรค์พอที่จะปั้นได้” ดวงตาของซูฉินจ้องมองไปยังน้องเล็กที่อายุเจ็ดขวบเพียงคนเดียว

เด็กคนนี้จ้องมองลูกปั้นด้วยสายตาว่างเปล่า ราวกับกําลังละเมอ แต่ซูฉินสามารถมองทะลุทะลวงเข้าไปได้โดยตรงเห็นว่าจิตใจของอีกฝ่ายเริ่มสัมผัสถึงรูปปั้นแล้ว

“ข้าหวังว่าเมื่อกลับมาจากอาณาจักรเก้าดาบ เจ้าคงรับรู้อะไรบางอย่างขึ้นมาได้นะ”

ซฉินละสายตา และมองไปยังทิศทางหนึ่งนอกเมืองฉางอันที่ซึ่งมีช่องทางมิติปรากฏขึ้น

“น่าจะใกล้เสร็จสิ้นเต็มที่แล้ว”

ซฉินก้าวเท้าออกไป หายตัวไปจากที่เดิม และปรากฏตัวอยู่หน้าช่องทางมิติแทบจะในทันที

ในขณะนี้ ความว่างเปล่าที่บิดเบี้ยวเบื้องหน้าเริ่มสงบลงแล้ว และทางเข้าก็ปรากฏขึ้น เชื่อมโยงไปถึงโลกที่ไม่รู้จัก

“อาณาจักรเก่าดาบที่เปิดออกโดยผู้ทรงพลังถึงขีดสุดเก้าดาบ?”

ซูฉินมองทางเบื้องหน้าด้วยใบหน้าที่คาดหวัง

ในโลกของประตูเซียน ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ที่เป็นมรดกของผู้ทรงพลังถึงขีดสุดนั้นมีอํานาจมากที่สุด มีเจ้าลัทธิและตัวตนระบบสูงคอยปกครองทั้งยังมีทายาทสายตรงของผู้ทรงพลังถึงขีดสุดอยู่ด้วย

เพื่อความปลอดภัย ซูฉินไม่ได้คิดจะรีบร้อนเข้าไปภายในประตูเซียนหากเขายังไม่มีพลังมากพอ

แต่อาณาจักรเก่าดาบที่เปิดออกโดยผู้ทรงพลังถึงขีดสุดเก้าดาบนั้นมีอันตรายน้อยกว่าประตูเซียนมากโข

นี่ไม่ได้หมายความว่าผู้ทรงพลังถึงขีดสุดเก้าดาบนั้นไม่แข็งแกร่งเท่ากับกลุ่มผู้ทรงพลังถึงขีดสุดที่เปิดโลกประตูเซียน แต่ผู้ทรงพลังถึงขีดสุดเก้าดาบเพียงสร้างอาณาจักรเก่าดาบขึ้นมาเฉยๆทว่าประตูเซียนนั้น เหล่าผู้ทรงพลังถึงขีดสุดใช้ความพยายามอย่างเต็มที่เพื่อสร้างโลกให้เชื้อสายของตนรวมถึงมรดกตกทอดเข้าไปอยู่ภายในจึงน่าทั้งสองอย่างมาเทียบกันไม่ได้เลย

Sign in Buddha’s palm 358 เยื้องกรายมาถึง

“ก่อนจะเข้าสู่อาณาจักรเก้าดาบ ต้องตรวจดูให้ดีเสียก่อน”

ซูฉินตรวจดูช่องทางมิติอย่างระมัดระวัง จากนั้นจึงเบิกเนตรดวงตาแห่งสัจจะผสานวิชาปราณฉีฟ้ากําาหนด มองเข้าไปสุดทางภายในช่องทางมิติ

ก่อนหน้านี้ซูฉินก็ตรวจสอบอาณาจักรเก้าดาบด้วยดวงตาแห่งสัจจะแล้ว แต่เนื่องจากช่องทางมิติยังก่อตัวได้ไม่สมบูรณ์ เขาจึงรู้เพียงข้อมูลคร่าวๆ ของอาณาจักรเก้าดาบเท่านั้น นั่นคือข้อมูลที่หลงเหลือมาจากผู้ทรงพลังถึงขีดสุด ส่วนข้อมูลเกี่ยวกับอาณาจักรเก้าดาบนั้นไม่ชัดเจนเท่าไหร่นัก

แต่ตอนนี้มันต่างออกไป

ตอนนี้ช่องทางมิติได้ถูกทําให้เสถียรโดยสมบูรณ์แล้ว หากซูฉินตรวจสอบด้วยดวงตาแห่งสัจจะ เขาคงจะได้รับข้อมูลมามากกว่าครั้งที่แล้ว

หวิ่ง!!!

เห็นโลกที่เปล่งประกายแสงสีฟ้าออกมา และในขณะเดียวกัน พลังงานทุกชนิดก็หลั่งไหล

“หืม?”

“มีสิ่งมีชีวิตอยู่ภายในอาณาจักรเก้าดาบ?”

หัวใจของซูฉินกระตุกวูบ พลังฉีที่เขาสังเกตเห็นจากดวงตาแห่งสัจจะ เห็นได้ชัดว่ามันถูกปล่อยออกมาจากสิ่งมีชีวิต กล่าวคือ มีสิ่งมีชีวิตมากมายภายในอาณาจักรเก้าดาบ

ไม่เพียงเท่านั้น ซูฉินยังค้นพบว่าความแข็งแกร่งของสิ่งมีชีวิตในอาณาจักรเก้าดาบนั้นมิใช่อ่อนแอ และผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดก็อยู่ในจุดสูงสุดของขั้นกลับคืนต้นกําเนิดแล้ว

“น่าสนใจยิ่ง”

รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของซูฉิน

หากมีขั้นสถิตเทพอยู่ในอาณาจักรเก้าดาบ ซูฉินจะต้องพิจารณาอีกทีว่าควรจะเข้าไปหรือไม่ แต่สําหรับขั้นกลับคืนต้นกําเนิด…..แม้จะเป็นขั้นกลับคืนต้นกําเนิดระดับสูงสุด แต่จะมาเทียบกับซูฉินได้อย่างไร?

ในเวลาต่อมา

ซูฉินเฝ้าดูอย่างระมัดระวังหลายครั้ง และในที่สุดก็ยืนยันระดับคร่าวๆ ของอาณาจักรเก้าดาบได้ จากนั้นจึงเรียกวิหารการสงครามออกมา

เห็นวิหารอันยิ่งใหญ่ปรากฏขึ้นต่อหน้าซุฉิน ต่อหน้าไอพลังที่ผันผวนของวิหาร แม้แต่ความว่างเปล่ายังเริ่มหยุดนิ่ง

มีเพียงสองวิธีเท่านั้นในการผ่านช่องทางมิติ หนึ่งคือไปถึงขอบเขตของผู้ทรงพลังถึงขีดสุด ควบคุมพลังพื้นที่มิติ ผ่านช่องทางมิติไปได้อย่างง่ายดาย แทนการใช้สมบัติหรือสมบัติขนาดใหญ่ บางชนิดที่มีพลังมิติเพื่อต้านทานเศษซากมิติในช่วงที่ข้ามผ่านช่องว่างอันว่างเปล่านี้

เช่นในตอนที่เทพธิดาไท่อินและพรรคพวกเดินทางมายังโลกมนุษย์ พวกเขาก็ใช้ตราประทับ ไท่อินเพื่อข้ามผ่านช่องทางมิติ ในขณะที่กลุ่มของนักพรตหมื่นกําเนิดเดินทางผ่านสมบัติล้ําค่ารูป หอคอย

นอกจากนี้ก็ไม่มีทางอื่นแล้ว แม้แต่ทายาทสายตรงของผู้ทรงพลังถึงขีดสุดที่ปลุกสายเลือดขึ้นมาได้ ก็ไม่สามารถเดินทางผ่านความว่างเปล่าด้วยพลังของตนเองได้

ในขอบเขตที่ต่ํากว่าผู้ทรงพลังถึงขีดสุด จะไม่สามารถควบคุมพลังของพื้นที่มิติได้ นี่คือกฎเหล็กสําคัญ

แน่นอนว่าคนอื่นๆ ไม่สามารถฝ่าฝืนกฎเหล็กนี้ไปได้ แต่ซูฉินมีหลากหลายวิธีที่จะผ่านช่องทางมิติในขณะที่ยังอยู่ในขอบเขตที่ต่ํากว่าผู้ทรงพลังถึงขีดสุด……

ตัวอย่างเช่น หากฝึกฝนภาพดวงตะวันขนาดมหึมาไปถึงความสําเร็จชั้นยอด จะสามารถแปลงกายเป็นอีกาทองคําสามขาซึ่งเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ที่แข็งแกร่งที่สุดในด้านเปลวเพลิง แม้ว่าอีกาทองคําสามขาจะไม่ใช่สัตว์ศักดิ์สิทธิ์ที่ทรงพลังที่สุดในด้านพลังมิติ แต่ร่างกายของอีกาทองคํานั้นทรงพลังอย่างยิ่ง แม้จะเป็นเพียงอีกาทองคําสามขาในช่วงเยาว์วัย ก็ไม่ใช่ตัวตนที่เศษซากมิติจะทําอะไรได้

นอกจากนี้ ซูฉินยังได้บ่มเพาะอาณาเขตเทพสงคราม สามารถควบแน่นโลกขึ้นมาภายใน สามารถผ่านช่องทางมิติได้อย่างง่ายดาย หรือซูฉินอาจจะผนึกตนเองไว้ด้านในฝ่ามือยูไลรูปแบบที่สอง ฝ่ามือแดนพิสุทธิ์ ใช้พลังของผนึกนี้ในการฝ่าความว่างเปล่าไปก็ย่อมได้

และสิ่งที่ซูฉินเลือกในตอนนี้ก็คือสิ่งที่ง่ายที่สุด ก็คือการใช้วิหารการสงครามเดินทางผ่านช่องทางมิติโดยตรง

วิหารการสงครามเป็นสมบัติพื้นที่มิติขนาดใหญ่พิเศษ และคุณค่าของมันก็มีมากกว่าสมบัติล้ําค่าของผู้ทรงพลังถึงขีดสุดเสียอีก

ซูฉินก้าวเท้าเข้าไปภายในวิหารการสงคราม จากนั้นตัววิหารการสงครามทั้งหมดก็กลายเป็นแสงกะพริบ พุ่งตรงเข้าไปภายในช่องทางมิติทันที

“นี่คือความว่างเปล่างั้นรึ?”

“พื้นที่ที่อยู่นอกโลกมนุษย์?”

ซูฉินยืนอยู่ในวิหารการสงคราม แต่ก็มองเห็นฉากมากมายที่ปรากฏเบื้องหน้าเขา

พื้นที่มิติความว่างเปล่านั้นกว้างใหญ่ แม้ว่าจะเป็นวิหารการสงคราม แต่เมื่ออยู่ในที่แห่งนี้มันก็เล็กจิ๋วไม่ต่างจากฝุ่น และในที่ไกลลิบออกไปก็มีจุดแสงจางๆ ส่องสว่างอยู่ นอกเหนือจากนี้ก็ไม่อะไรอื่นอีกในความว่างเปล่า

“ไม่น่าแปลกใจที่ผู้ทรงพลังถึงขีดสุดบางคนเลือกที่จะไม่ออกไปจากโลก เลือกไม่เดินทางท่องไปในความว่างเปล่านอกโลก เพราะความว่างเปล่ามันเป็นเช่นนี้สินะ?” ซูฉินตกใจเล็กน้อย

แม้ว่าจะแยกตัวออกมาได้โดยมีวิหารการสงครามกันอยู่ แต่ซูฉินก็สามารถรู้สึกได้ถึงความเปล่าเปลี่ยวและหนาวเย็นอันไร้ที่สิ้นสุด แม้ว่าผู้ทรงพลังถึงขีดสุดจะสามารถอยู่รอดได้ภายในความว่างเปล่า แต่ความว่างเปล่านั้นมันเหนือล้ํายิ่งกว่าทะเลทรายบนโลกมนุษย์เสียอีก

หากมาอยู่ภายในสภาพแวดล้อมเช่นนี้เป็นเวลาสักหลายร้อยหลายพันปี เกรงว่าแม้จะเป็นผู้ทรงพลังถึงขีดสุดก็ยังต้องเป็นบ้าไป

“อย่างไรก็ตาม ตามที่บันทึกไว้ในหนังสือโบราณ ระยะทางในห้วงความว่างเปล่านั้นไม่ตรงกับความเป็นจริง หากผู้ทรงพลังถึงขีดสุดต้องการเดินทางไปที่ไหนสักที่หนึ่ง พวกเขาเพียงแต่ต้องฉีกทําลายพื้นที่มิติ เข้าไปในความว่างเปล่า ก้าวเข้าไปในทิศทางนั้นสักสองสามก้าว เมื่อกลับมาสู่ความเป็นจริงอีกครั้ง บางทีอาจข้ามผ่านระยะทางมากว่าแสนแล้วก็เป็นได้?”

ซูฉินคิดใคร่ครวญอยู่กับตนเอง

ในความว่างเปล่านั้นไม่มีความแตกต่างในด้านทิศทางไม่ว่าจะเป็นขึ้นลงซ้ายขวา และระยะทางภายในนี้ก็แตกต่างกับโลกมนุษย์อย่างมาก

“อย่างไรก็ตาม เป้าหมายในการเดินทางของข้าไม่ใช่ในส่วนลึกของความว่างเปล่า แต่เป็นที่นั่น?” ซูฉินเพ่งมองไปยังทิศทางที่เชื่อมมาจากช่องทางมิติ

เห็นจุดแสงสีฟ้าที่มองแทบไม่เห็น ค่อยๆกะพริบแสงออกมา

มันคืออาณาจักรเก้าดาบที่เชื่อมต่อถึงกันด้วยช่องทางมิติ

“เร่งความเร็ว”

ซูฉินควบคุมวิหารการสงครามในทันที ให้มุ่งหน้าไปที่อาณาจักรเก้าดาบ

ในเวลาเดียวกัน

ณ โลกอาณาจักรเก้าดาบ

เห็นประกายแสงสามดวง ด้านหน้าหนึ่งดวงและข้างหลังอีกสอง ประกายแสงด้านหน้ากําลังหลบหนีอย่างเอาเป็นเอาตาย ในขณะที่ประกายแสงอีกสองดวงด้านหลังก็ไล่ตามติด

“ทําไมกัน?!”

ประกายแสงที่หลบหนีตระหนักว่าตัวมันคงหนีไม่พ้นจึงหยุดลงในทันที จ้องตรงไปยังประกายแสงอีกสองดวงที่ไล่ตามมา

“ดินแดนศักดิ์สิทธิ์เก้าดาบของเจ้าครองฟ้าไร้เทียมทานมาตั้งห้าหมื่นปีแล้ว ทําไมเจ้าไม่ปล่อยข้าไปเล่า?”

หลังจากที่หยุดลงชั่วคราว ก็ปรากฏเป็นร่างของชายชราที่กําลังไม่พอใจอย่างยิ่ง

โลกของอาณาจักรเก้าดาบถูกสร้างขึ้นโดยผู้ทรงพลังถึงขีดสุดเก้าดาบ

เมื่อห้าหมื่นปีก่อนผู้ทรงพลังถึงขีดสุดเก้าดาบได้เปิดโลกอาณาจักรเก้าดาบขึ้นมา และไม่ได้จากไปในทันที แต่พักอยู่ภายในโลกนี้เป็นเวลาหลายร้อยปี

และเวลาหลายร้อยปีนี้ ผู้ทรงพลังถึงขีดสุดเก้าดาบก็รู้สึกได้ถึงความเหงาหงอยเปล่าเปลี่ยวของโลกนี้ ดังนั้นจึงใช้ทิพยอํานาจอพยพสิ่งมีชีวิตบางส่วนบนโลกมนุษย์มาไว้ยังโลกอาณาจักรเก้าดาบ

หลังจากที่ผู้ทรงพลังถึงขีดสุดจากไป สิ่งมีชีวิตเหล่านี้บางส่วนก็ได้ใช้เคล็ดวิชาและสิ่งที่สืบทอดต่อมาจากผู้ทรงพลังถึงขีดสุดเก้าดาบ เข้าครอบครองสถานที่พักอาศัยของผู้ทรงพลังถึงขีดสุดเก้าดาบรวมถึงสิ่งทั้งหลายที่ท่านทิ้งเอาไว้ เป็นที่รู้จักในนามดินแดนศักดิ์สิทธิ์เก้าดาบ อยู่เหนืออาณาจักรเก้าดาบทั้งมวล

อย่างไรก็ตาม แม้ดินแดนศักดิ์สิทธิ์เก้าดาบจะสูงส่ง แต่โลกทั้งใบไม่ได้มีเพียงผู้คนในดินแดนศักดิ์สิทธิ์เก้าดาบเท่านั้น

นอกดินแดนศักดิ์สิทธิ์ก็ยังมีผู้ฝึกยุทธกระจายตัวอยู่ไม่น้อย

ผู้ฝึกยุทธไร้สังกัดที่ไม่เต็มใจจะเข้าร่วมกับดินแดนศักดิ์สิทธิ์ หรือไม่ตรงตามเงื่อนไขของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ พวกเขาสามารถมีชีวิตอยู่ได้อย่างอิสระนอกดินแดนศักดิ์สิทธิ์เท่านั้น

เป็นผลให้ศิษย์สาวกของดินแดนศักดิ์สิทธิ์เก้าดาบไม่ถือว่าผู้ฝึกยุทธไร้สังกัดเหล่านี้เป็นมนุษย์เลยด้วยซ้ํา

ด้วยการโจมตีธรรมดาๆ ของดินแดนศักดิ์สิทธิ์เก้าดาบ เป็นไปไม่ได้ที่ผู้ฝึกยุทธไร้สังกัดจะมีโอกาสต้านทานได้

“ฉินหยางสื่อ”

ประกายแสงสองดวงก็หยุดลง มองไปที่ชายชราผู้มีท่าที่ไม่พอใจด้วยอาการเฉยเมย “มอบโอสถวิเศษ เข้าร่วมกับดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของข้าในฐานะทาสสักสองร้อยปี แล้วข้าจะปล่อยให้เจ้ามีชีวิตรอด”

สําหรับศิษย์ทั้งคู่จากดินแดนศักดิ์สิทธิ์เก้าดาบ ดูเหมือนว่าการทําให้ฉันหยางสื่อกลายเป็นทาส จะเป็นเรื่องปกติธรรมดาที่พึงกระทํา

“มอบโอสถวิเศษ?”

“อยู่เป็นทาสสองร้อยปี?”

ฉุนหยางสื่อตกตะลึงไปชั่วครู่ แล้วจึงหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง “เจ้ากําลังบังคับให้ชายชราผู้นี้ต้องตายแล้ว!!!”

“โอสถวิเศษนั่นเป็นสิ่งที่ชายชราผู้นี้พบอยู่ก่อนแล้ว และมันก็ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของเจ้า สมบัติฟ้าดินเป็นของของผู้มีคุณธรรม ทําไมดินแดนศักดิ์สิทธิ์ถึงคิดว่าชายชรา ผู้นี้จะมอบมันให้กับพวกเจ้า?”

ฉุนหยางสื่อพูดออกมาทีละคํา

โอสถวิเศษนี้ถูกค้นพบโดยฉุนหยางสื่อเมื่อแปดสิบปีก่อน
ในเวลานั้นโอสถวิเศษยังบ่มตัวได้ไม่เต็มที่ และฉินหยางสื่อก็ต้องรอถึงแปดสิบปีเพื่อให้มันบ่มได้เต็มที่

ในที่สุด หลังจากแปดสิบปีผ่านไป โอสถวิเศษที่บ่มไว้ก็พัฒนาเต็มที่เสียที แต่ขณะที่ฉนหยางสื่อกําลังอยู่ในห้วงแห่งความสุขนั้น เขาก็ไม่รู้ว่าข่าวได้เล็ดรอดออกไปเมื่อใด และพบเข้ากับศิษย์ดินแดนศักดิ์สิทธิ์เก้าดาบสองคนที่บังเอิญผ่านทางมา

ศิษย์ทั้งสองของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ได้ขอให้ฉนหยางสื่อมอบโอสถวิเศษนั้นมาให้พวกตน

แน่นอนฉุนหยางสื่อไม่ยินยอมทําตาม

เขาใช้เวลาไปกว่าแปดสิบปีและอายุขัยของเขาก็เหลือน้อยมากแล้ว เขารอคอยโอสถวิเศษนี้ให้บ่มจนเต็มที่และใช้มันยืดอายุตนเองออกไป จะให้ยอมมอบโอสถอายุวัฒนะนี้ออกไปได้อย่างไร?

แม้ว่าอีกฝ่ายจะเป็นศิษย์ระดับสูงภายในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ก็ตามที

“สมบัติฟ้าดินเป็นของของผู้มีคุณธรรม?”

เมื่อศิษย์ดินแดนศักดิ์สิทธิ์เก้าดาบทั้งสองคนได้ยินดังนั้น รอยยิ้มประชดประชันก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของพวกเขา “ฉินหยางสื่อ อาจารย์ของเจ้าไม่ได้บอกหรือว่าบนโลกใบนี้ ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ เก้าดาบของข้านี่แหละคือวิถีแห่งคุณธรรม”

“ถ้าไม่ใช่เพราะความสําเร็จของเจ้าในการบ่มโอสถวิเศษเอาไว้อย่างดี เจ้าจะไม่มีโอกาสกลายเป็นทาสในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของข้าด้วยซ้ํา”

“แต่ตอนนี้”

“ในเมื่อเจ้าปฏิเสธ เจ้าก็จงตายเสียเถอะ”

ท่าทีของเหล่าศิษย์ดินแดนศักดิ์สิทธิ์เก้าดาบเปลี่ยนไปเป็นเย็นชา ทันใดนั้นก็มีประกายแสง ดาบอันรุนแรงปรากฏขึ้น ฟันไปทางฉินหยางสื่อ

“ไม่ดีแล้ว!!

หัวใจของฉันหยางสื่อบีบตัวแน่น ร่างกายของเขาแบ่งแยกออกเป็นเก้าร่าง พุ่งออกไปทุกทิศทาง

มันเป็นวิธีการหลบหนีลับสุดยอดซึ่งทําให้ฉันหยางสื่อสามารถหลบหนีจากศิษย์ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ทั้งสองคนมาได้หลายต่อหลายครั้ง

หากไม่มีทักษะลับนี้ ฉินหยางสื่อคงจะตกตายใต้คมดาบศักดิ์สิทธิ์ไปนานแล้ว

“ฉินหยางสื่อ”

“ถ้าเจ้ามีความสามารถเท่านี้ ก็จงยินยอมตายเสียโดยดี

หนึ่งในศิษย์ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ปรากฏแววดูถูกในสายตา

ชั่วพริบตา

ประกายดาบที่ฟันไปทางฉุนหยางสื่อก็ถูกแบ่งออกเป็นเก้าทาง

ประกายแสงดาบทั้งเก้านั้นทรงพลังยิ่ง ปล่อยจิตสังหารอันยิ่งใหญ่ออกมา เข้าปกคลุมฉุนหยางสื่อ

“จบแล้ว”

หัวใจของฉันหยางจื่อเย็นเยียบ

เขาไม่คาดหวังว่าศิษย์ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ทั้งคู่จะมีวิธียับยั้งทักษะลับของตนได้ว่องไวเพียงนี้

“ต่อให้ข้าต้องตาย ก็ต้องลากพวกเจ้าไปด้วยกัน”

ใบหน้าของฉุนหยางสื่อเปลี่ยนไปเป็นน่ากลัว

อย่างไรก็ตาม

ในตอนนั้นเอง

หวิ่ง!

หวิ่ง!

หวิ่ง!!!

ความว่างเปล่าที่สงบนิ่งพลันเกิดเป็นระลอกคลื่นขึ้นมา สั่นสะเทือนมาในแนวระนาบ

เหนือหัวฉุนหยางสื่อและศิษย์ดินแดนศักดิ์สิทธิ์เก้าดาบทั้งสอง ได้เกิดระลอกคลื่นขึ้น

ภายใต้แรงกระเพื่อมนี้ พื้นที่ทั้งหมดถูกสะกด ประกายแสงดาบที่ฟันมาทางฉินหยางสื่อพลันสลายหายไปกลายเป็นอากาศธาตุ

“นี่คือ?”

ศิษย์ทั้งสองจากดินแดนศักดิ์สิทธิ์เก้าดาบมองขึ้นไปบนฟ้า ดวงตาของพวกเขาตกตะลึงพรึงเพริด

เมื่อเห็นแบบนั้น ฉุนหยางสื่อก็ได้มองตามสายตาของศิษย์ดินแดนศักดิ์สิทธิ์เก้าดาบทั้งคู่ขึ้นไปบนฟากฟ้าโดยไม่รู้ตัว

เพียงมองไป ฉุนหยางสื่อก็ได้เห็นฉากที่ยากจะลืมเลือนในชั่วชีวิต
เห็นว่าความว่างเปล่าเกิดระลอกคลื่นมาในแนวระนาบต่อเนื่องไม่หยุด
ระลอกคลื่นที่กระเพื่อมมาอย่างไม่หยุดยั้งนี้ค่อยๆ ควบแน่นกลายเป็นพื้นที่ที่บิดเบี้ยว และเกิดช่องโหว่ขึ้นในทันใด

ช่องทางนั้นลึกล้ําสุดหยั่ง ไม่สามารถสัมผัสได้ และท่ามกลางการจ้องมองด้วยความรู้สึกเหลือเชื่อของทุกคน เห็นวิหารอันงามสง่าค่อยๆมุดออกมาจากช่องทางนั้น

Sign in Buddha’s palm 352 (I) ประตูเซียนพิโรธ

“เจ้ายังฉลาดอยู่นี่….”

ซูฉินเหลือบมองไปที่นักพรตหมื่นกําเนิดด้วยรอยยิ้มบนใบหน้า

เดิมทีเขาคิดว่านักพรตหมื่นกําเนิดคงจะดิ้นรนอีกสักหน่อยในฐานะที่เป็นเซียนเทพปฐพี่ที่บ่มเพาะในด้านจิตวิญญาณแรกกําเนิด หากนักพรตหมื่นกําเนิดเต็มใจละทิ้งร่างกายและหลบหนีไป แค่จิตวิญญาณแรกกําเนิดก็พอจะมีหวังที่จะหลุดรอดออกจากอาณาเขตเทพสงครามไปได้

แต่นั่นก็เป็นเพียงความหวังอันริบหรี่

ด้วยการควบคุมและปราบปรามของอาณาเขตเทพสงคราม โอกาสที่นักพรตหมื่นกําเนิดจะหลุดรอดไปได้นั้นมีน้อยกว่าหนึ่งในหมื่น

นอกจากนี้…

แม้ว่านักพรตหมื่นกําเนิดจะโชคดีรอดพ้นออกไปได้จริงๆ เขาจะทําอะไรต่อไปได้?

สูญเสียสมบัติล้ําค่ารูปหอคอยไป นักพรตหมื่นกําเนิดย่อมไม่สามารถผ่านช่องว่างมิติไปยังประตูเซียนด้วยจิตวิญญาณแรกกําเนิดได้ และทําได้เพียงซ่อนตัวอยู่มุมใดมุมหนึ่งของโลก

และด้วยการตรวจจับพลังจากดวงตาแห่งสัจจะ นักพรตหมื่นกําเนิดก็ไม่มีทางหลบหนีไปจากเงื้อมมือของซูฉินได้แม้แต่น้อย

“ความแข็งแกร่งของสหายเต่นั้นยากแท้หยั่งถึง หมื่นกําเนิดไหนจะกล้าทุบก้อนหินด้วยเม็ดกรวดดินทราย?” นักพรตหมื่นกําเนิดพูดไปพลางส่ายศีรษะไป

นักพรตหมื่นกําเนิดไม่ทราบว่าซูฉินมีทิพยอํานาจในการจับพลังฉีอย่างดวงตาแห่งสัจจะ แต่เพียงแค่การขยับมือของซูฉินก็จัดการพวกเขาทั้งสามที่เป็นเซียนเทพปฐพีขั้นกลับคืนต้นกําเนิดได้อยู่หมัด โดยเฉพาะหมัดที่กระแทกเข้าใส่สมบัติล้ําค่ารูปหอคอยจนกระเด็นนั่น…ช่างน่าเหลือเชื่ออะไรเช่นนี้?

รู้หรือไม่ว่านั่นคือสมบัติล้ําค่า และยังเป็นสมบัติล้ําค่าที่เด่นในด้านการป้องกัน แม้เศษซากมิติที่เข้าทําลายทุกอย่าง ก็ไม่อาจผ่านการป้องกันของสมบัติล้ําค่าชิ้นนี้ไปได้

แม้ว่าตอนที่ซูฉินเหวี่ยงหมัดเข้าใส่สมบัติล้ําค่ารูปหอคอย เขาจะใช้กระบวนท่าสังหารจิตวิญญาณแรกกําเนิด หุบเหวอับแสง” เพื่อยับยั้งคนทั้งสามเป็นการชั่วคราว จนทําให้ไม่มีพลัง เพียงพอมาเจือจุนสมบัติล่าค่าอีกต่อไป…

แต่กระนั้น สมบัติล้ําค่ารูปหอคอยนี้ก็ไม่อาจสั่นคลอนได้ด้วยเซียนเทพปฐพีขั้นกลับคืนต้นกําเนิดอยู่ดี

“ดี”

“อย่าได้ต่อต้าน”

เพียงความคิดหนึ่งของซูฉินขยับ พลังจิตวิญญาณแรกกําเนิดก็กลายเป็นเมล็ดพันธุ์บางอย่างค่อยๆ ฝังรากลงไปที่หว่างคิ้วของนักพรตหมื่นกําเนิด

มันคือ [เคล็ดหยั่งรากหัวใจมาร] ที่ซูฉินได้มาจากการลงชื่อเข้าใช้ นี่เป็นเคล็ดวิชาระดับสูงอันลึกลับที่ใช้เพื่อทําให้ผู้อื่นตกเป็นทาส และนอกจากการตกเป็นทาสแล้ว ซูฉันยังสัมผัสได้ถึงอารมณ์ความรู้สึกที่ผันแปรไปมาของอีกฝ่ายด้วย ซึ่งเคล็ดวิชาระดับสูงนี้จะช่วยตัดสินว่าอีกฝ่ายโกหกหรือไม่

“นี่..”

นักพรตหมื่นกําเนิดตระหนักได้ว่าช่องว่างระหว่างคิ้วของเขานั้นถูกบุกรุก ในใจก็ลังเลอยู่ครู่หนึ่งแต่ไม่ได้หยุดยั้ง ปล่อยให้อีกฝ่ายรุกล้ําเข้ามาภายในช่องว่างระหว่างคิ้วได้ตามสะดวก

ด้วยความสําเร็จด้านจิตวิญญาณแรกกําเนิดของนักพรตหมื่นกําเนิด หากต้องการจะปี ดกัน[เคล็ดหยั่งรากหัวใจมาร] เป็นธรรมดาที่จะไม่มีปัญหาใด แต่นักพรตหมื่นกําเนิดนั้นไม่กล้า

ซูฉินอยู่ตรงหน้าเขานี่เอง และหากคิดที่จะทําอะไรขึ้นมา เขาคงเป็นเหมือนกับจ้าวแห่งลมและจอมดาบเก่าสัมผัสที่ถูกตบตายกลายเป็นเศษเนื้อโดยซูฉิน

หลังจากที่[เคล็ดหยั่งรากหัวใจมาร]หยั่งรากลึกลงไปในช่องว่างระหว่างคิ้วของนักพรตหมื่นกําเนิด ซูฉินก็พยักหน้าเล็กน้อย ถามออกอย่างเป็นกันเอง “เจ้ามาจากดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งใด”

“เรียนนายท่าน หมื่นกําเนิดผู้นี้มาจากดินแดนศักดิ์สิทธิ์เคหาสน์ม่วง” นักพรตหมื่นกําเนิดโค้งคำนับ

“ดินแดนศักดิ์สิทธิ์เคหาสน์ม่วง?”

ซูฉินแตะปลายคาง ดูเหมือนจะเป็นไปตามที่เขาคาดการณ์ไว้

เทพธิดาไท่อินได้บอกเขาเกี่ยวกับดินแดนศักดิ์สิทธิ์ทั้งหกภายในประตูเซียนเอาไว้ ซึ่งหนึ่งในนั้นคือดินแดนศักดิ์สิทธิ์เคหาสน์ม่วงที่บ่มเพาะด้านจิตวิญญาณแรกกําเนิดอยู่เพียงแห่งเดียว ซูฉินจึงคาดเดาที่มาที่ไปของอีกฝ่ายได้เป็นธรรมดา

“ภายในดินแดนศักดิ์สิทธิ์เคหาสน์ม่วงของเจ้า มีขั้นสถิตเทพระดับสูงสุดอยู่เท่าใด?” ซูฉินถามออกอย่างตรงไปตรงมา

ด้วยความแข็งแกร่งในปัจจุบันของซูฉิน แม้ว่าเขาจะได้พบเข้ากับขอบเขตเซียนเทพปฐพี่ขั้นสถิตเทพ หากสู้ไม่ได้เขาก็ยังสามารถล่าถอยกลับมาได้ มีเพียงจุดสูงสุดของขั้นสถิตเทพที่เริ่มสัมผัสได้ถึงพลังของพื้นที่มิติแล้วเท่านั้นจึงจะก่อให้เกิดอันตรายต่อซุฉินได้

จําเป็นต้องทราบว่าพลังของจุดสูงสุดของขั้นสถิตเทพ ถูกเรียกว่าเป็นพลังที่สูงที่สุดของโลก แล้วเพียงเดินต่อไปอีกก้าว ฉีกทําลายความว่างเปล่า ก็จะกลายเป็นผู้ทรงพลังถึงขีดสุด

โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยามที่ขั้นสถิตเทพระดับสูงสุดได้ถือครองสมบัติล้ําค่าโดยกําเนิดของผู้ทรงพลังถึงขีดสุด ในทุกกระบวนท่าเกรงว่าเขาจะสามารถดึงพลังออกมาได้เต็มร้อย

“ดินแดนศักดิ์สิทธิ์เคหาสน์ม่วงในตอนนี้มีจุดสูงสุดขั้นสถิตเทพอยู่ทั้งสิ้นสามคน….” นักพรตหมื่นกําเนิดลังเลอยู่ครู่หนึ่ง กัดฟันแน่นแล้วกล่าวออกมาว่า “มีสองคนซ่อนเร้นอยู่เบื้องลึกภายในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ อีกท่านเป็นเจ้าลัทธิ……”

“นอกจากนี้ยังมีทายาทสายตรงของผู้ทรงพลังถึงขีดสุดในดินแดนศักดิ์สิทธิ์เคหาสน์ม่วงของข้าด้วย แต่ไม่รู้ว่าเป็นผู้ใด”

นักพรตหมื่นกําเนิดไม่ลังเลที่จะบอกความลับอันยิ่งใหญ่ของดินแดนศักดิ์สิทธิ์เคหาสน์ม่วง

ทายาทสายตรงของผู้ทรงพลังถึงขีดสุด!

ต้องทราบว่าถึงแม้จะมีลูกหลานของผู้ทรงพลังถึงขีดสุดมากมายภายในดินแดนศักดิ์สิทธิ์หลักจากประตูเซียน แต่ความจริงคือผู้ที่สายเลือดตื่นขึ้นได้สืบทอดความสามารถบางอย่างจากผู้ทรง พลังถึงขีดสุด กลายเป็นทายาทสายตรง อาจจะมีไม่ถึงหนึ่งในหมื่นหนึ่งในแสน หรือบางทีอาจจะหนึ่งในล้าน

ทายาทสายตรงของผู้ทรงพลังถึงขีดสุดที่ตื่นขึ้นนั้นจะมีศักยภาพไร้ขีดจํากัด จะเร็วหรือช้าก็สามารถข้ามผ่านเหล่าจุดสูงสุดขั้นสถิตเทพ และครองโลกภายในประตูเซียน

อย่างไรก็ตาม ภายในดินแดนศักดิ์สิทธิ์หลักทั้งหกแห่งจากประตูเซียนนั้น ไม่ใช่ว่าศิษย์อัจฉริยะทั้งหลายจะไม่ได้อยู่ในสายตาของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ เพียงแต่ทายาทของผู้ทรงพลังถึงขีดสุดนั้น…..

คือพลังที่สามารถส่งผลกระทบต่อโลกทั้งใบภายในประตูเซียน…หากทายาทสายตรงของผู้ทรงพลังถึงขีดสุดเติบโตขึ้นโดยสมบูรณ์ ย่อมไม่มีดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งใดกล้ายั่วยุ

อย่างไรก็ตาม ทายาทสายตรงของผู้ทรงพลังถึงขีดสุดที่ยังไม่เติบโต เมื่อดินแดนศักดิ์สิทธิ์อื่นได้ล่วงรู้ก่อน ในเมื่อพวกเขาไม่สามารถนํามาใช้ประโยชน์เพื่อตนเอง ก็เกรงว่าจะเป็นการดึงดูดให้เกิดการลอบสังหารขึ้นได้

ท้ายที่สุดแม้ศักยภาพของทายาทสายตรงของผู้ทรงพลังถึงขีดสุดจะแข็งแกร่ง แต่มันก็เป็นเพียงศักยภาพ เมื่อใดก็ตามที่ตายไปก่อนวัยอันควรก็เท่ากับเสียเปล่า

ดังนั้นดินแดนศักดิ์สิทธิ์หลักทั้งหกแห่งภายในประตูเซียนจึงต้องปกป้องทายาทสายตรงของผู้ทรงพลังถึงขีดสุดอย่างเข้มงวดกวดขัน และเป็นไปไม่ได้เลยที่คนอื่นจะล่วงรู้ก่อนความแข็งแกร่งของพวกเขาจะเติบโตเต็มที่

นักพรตหมื่นกําเนิดเป็นศิษย์ระดับสูงคนหนึ่งภายในดินแดนศักดิ์สิทธิ์เคหาสน์ม่วง เขาย่อมรู้ว่ามีลูกหลานของผู้ทรงพลังถึงขีดสุดภายในดินแดนศักดิ์สิทธิ์เคหาสน์ม่วงปลุกสายเลือดขึ้นมาได้

แต่ก็เท่านั้น

สําหรับเรื่องที่ว่าคนผู้นั้นเป็นใคร ไม่ใช่สิ่งที่นักพรตหมื่นกําเนิดสามารถรู้ได้

ในดินแดนศักดิ์สิทธิ์เคหาสน์ม่วง ผู้ที่รู้ว่าทายาทสายตรงของผู้ทรงพลังถึงขีดสุดเป็นใคร น่าจะมีเพียงเจ้าลัทธิและตัวตนระดับสูงอีกสองท่าน

“ทายาทสายตรงของผู้ทรงพลังถึงขีดสุด……”

ใบหน้าของซูฉินดูครุ่นคิด

ตามที่เทพธิดาไท่อินกล่าวเอาไว้ ก่อนที่ผู้ทรงพลังถึงขีดสุดในดินแดนศักดิ์สิทธิ์หลักทั้งหกแห่งภายในประตูเซียนจะจากไปด้วยวัยชรา พวกเขาได้ถ่ายโลหิตบางส่วนให้กับศิษย์ทุกคนในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของตนเอง

สายโลหิตเหล่านี้ส่วนใหญ่จะนิ่งเงียบ แต่ก็มีความเป็นไปได้เล็กน้อยที่หลังจากนั้นหลายสิบชั่วอายุคน สายเลือดจะตื่นขึ้น

และนั่นย่อมเป็นทายาทสายตรงของผู้ทรงพลังถึงขีดสุด

สิ่งที่เรียกว่าทายาทสายตรงไม่ใช่ลูกหลานของผู้ทรงพลังถึงขีดสุดจริงๆ อันที่จริงยิ่งอยู่ในระดับที่สูงขึ้นไป โอกาสที่จะให้กําเนิดลูกหลานก็ยิ่งมีโอกาสต่ําลง โดยเฉพาะผู้ทรงพลังถึงขีดสุด ในขอบเขตทลายนภากาศ แทบจะเป็นไม่ได้ที่จะมีทายาทสืบต่อไป

แต่การที่ไม่สามารถให้กําเนิดทายาทได้ ไม่ได้แปลว่าสายเลือดจะไม่สามารถสืบทอดต่อไป

“นายท่าน ข้าไม่ทราบจริงๆ ว่าผู้ใดเป็นทายาทสายตรงของผู้ทรงพลังถึงขีดสุด…” นักพรตหมื่นกําเนิดกล่าวออกมาทันทีด้วยความตื่นตระหนกเมื่อเห็นซูฉินไม่พูดอะไรออกมา

“ข้าเข้าใจ” ซูฉินพูดเบาๆ

เมื่อสัมผัสถึงอารมณ์ความรู้สึกที่แท้จริงของนักพรตหมื่นกําเนิดผ่าน [เคล็ดหยั่งรากหัวใจมาร] ซูฉินย่อมเข้าใจเป็นธรรมดาว่านักพรตหมื่นกําเนิดไม่ได้ปิดบังสิ่งใดเลย

Sign in Buddha’s palm 351 (I)

เมื่อซูฉินเห็นกลุ่มจ้าวแห่งลมทั้งสามกระตุ้นสมบัติล้ำค่าให้มาปกป้องตนเอง เขาก็ไม่ลังเลเลยที่จะใช้กระบวนท่าสังหารจิตวิญญาณแรกกําเนิด หุบเหวอับแสง

สมบัติล้ำค่ามีความแข็งแกร่งอย่างมาก โดยเฉพาะสมบัติล้ําค่ารูปหอคอยนี้ที่เป็นสมบัติล้ำค่าสําหรับการป้องกันหากกระตุ้นใช้ออกอย่างเต็มที่โดยเซียนเทพปฐพี่ขั้นกลับคืนต้นกําเนิด แม้จะต้องเผชิญหน้ากับตัวตนยักษ์ใหญ่จุดสูงสุดขั้นสถิตเทพ พวกเขาก็ยังสามารถทานทนไว้ได้ถึงหนึ่งในสามเค่อ

แม้ว่าซูฉินจะมีไพ่ลับในมือมากมายและความสามารถอีกนับไม่ถ้วน แต่เขาก็ไม่เคยคิดว่าตนเองจะสามารถเทียบเคียงเซียนเทพปฐพีในจุดสูงสุดของขั้นสถิตเทพ ดังนั้นเขาจึงไม่คิดจะปะทะกับสมบัติล้ำค่านี้โดยตรงอยู่แล้ว
หวิ่ง!!!

จ้าวแห่งลมและคนอื่นๆ ดูเหมือนจะตกอยู่ในความมืดมิดอันไร้ขอบเขต สําหรับพวกเขาดวงตาของซูฉินนั้นมีแรงดึงดูดอันร้ายแรงตัวเขาและคนอื่นๆ ต่างจมลงไปในความลึกล้ํานั้น

เห็นได้ชัดว่ากระบวนท่าสังหารจิตวิญญาณแรกกําเนิดของซูฉันเริ่มส่งผลกระทบต่อกลุ่มของจ้าวแห่งลมทั้งสามคนแล้ว

นี่ไม่ใช่ว่าความแข็งแกร่งของซูฉินนั้นไปถึงจุดสูงสุดของขั้นสถิตเทพ กระบวนท่าสังหารจิตวิญญาณแรกกําเนิดแต่เดิมก็ไร้ลักษณ์และคาดเดาไม่ได้อยู่แล้ว เว้นแต่จิตวิญญาณแรกกําเนิดที่ใช้จะเป็นสายเลือดเดียวกันกับผู้ทรงพลังถึงขีดสุดที่เป็นเจ้าของสมบัติล่าค่าไม่ใช่เช่นนั้นก็เป็นการยากนักที่จะขัดขวางการแทรกซึมของซูฉินครั้งนี้ได้อย่างสมบูรณ์

“นี่คือ?!”

ในบรรดาคนทั้งสาม นักพรตหมื่นกําเนิดจากดินแดนศักดิ์สิทธิ์เคหาสน์ม่วง เป็นคนแรกที่หลุดออกจากอิทธิพลของกระบวนท่าสังหารจิตวิญญาณแรกกําเนิดหุบเหวอับแสง

ท้ายที่สุด นักพรตหมื่นกําเนิดก็เป็นเซียนเทพปฐพี่ขั้นกลับคืนต้นกําเนิดที่ฝึกฝนในวิถีจิตวิญญาณแรกกําเนิดความสามารถในการต้านทานกระบวนท่าสังหารจิตวิญญาณแรกกําเนิดนั้น แข็งแกร่งกว่าอีกสองคนควบคู่กับสมบัติล้ําค่าที่คอยป้องกันหุบเหวอับแสงเอาไว้ พลังที่แทรกซึมเข้ามาจึงเหลือเพียงครึ่งเดียว

“เกิดอะไรขึ้น?”

ไม่นานหลังจากนั้น อีกสองคนก็รู้ตัวขึ้นมาอย่างรวดเร็ว มองรอบๆ ด้วยสายตาว่างเปล่า

“ไม่ดีแล้ว!”

สีหน้าของนักพรตหมื่นก่าเนิดเปลี่ยนแปลงไป ตะโกนออกมาอย่างดุเดือด “รีบกระตุ้นใช้งานสมบัติล้ําค่าอีกครั้ง”

ขณะที่ทั้งสามได้รับผลกระทบจากกระบวนท่าสังหารจิตวิญญาณแทรกกําเนิดปราณในร่างกายก็ไม่ได้ถูกควบคุมให้ไหลเข้าไปในสมบัติล้ําค่าอีกต่อไป เมื่อสูญเสียพลังหล่อเลี้ยงการป้องกันของสมบัติล้ําค่ารูปหอคอยเหนือศีรษะก็ลดพลังลงอย่างรวดเร็ว

เมื่อจ้าวแห่งลมและจอมดาบเก้าสัมผัสได้ยินสิ่งนี้ ท่าทีของพวกเขาก็เปลี่ยนไปอย่างมาก หากพวกเขาสูญเสียการคุ้มกันจากสมบัติล้ำค่าไป พวกเขาก็ไม่มั่นใจว่าจะกลับไปประตูเซียนได้หากยังอยู่ต่อหน้าซูฉินเช่นนี้

แต่ก็เท่านั้น

ขณะที่จ้าวแห่งลมและอีกสองคนวางแผนที่จะส่งปราณเข้าไปในสมบัติต่อ เสียงทุ่มต่ําและทรงพลังก็ระเบิดขึ้นข้างหูของพวกเขา

“สายไปแล้ว”

ท่ามกลางสายตาตกตะลึงของกลุ่มจ้าวแห่งลมทั้งสามร่างของซุฉินที่ไม่รู้มาตั้งแต่เมื่อใด พลันปรากฏตัวอยู่เบื้องหน้าพวกเขาหรือพูดให้ชัดกว่านั้นคืออยู่ที่หน้าสมบัติล้ําค่ารูปหอคอย

ก่อนที่คนทั้งสามจะได้โต้ตอบอะไร ซูฉินก็เหยียดมือขวา กํามือจนเป็นหมัด แล้วเหวี่ยงกระแทกอย่างแรงเข้าใส่สมบัติล้ำค่ารูปหอคอย

บูม!

สมบัติล้ำค่ารูปหอคอยนี้เป็นสมบัติล้ําค่าที่พิเศษในด้านการป้องกัน เมื่อเทียบกับสมบัติล้ำค่าประเภทเสียงของนิกายเทพเจ้าสายฟ้าไม่รู้ว่าความสามารถในการป้องกันมีมากกว่าเท่าไหร่

อย่างไรก็ตามด้วยความแข็งแกร่งของซูฉินตอนนี้ มันก็ห่างไกลจากตอนที่เขาเหยียบย่านิกายเทพเจ้าสายฟ้าไปมากโขหลังจากเข้าสู่ขั้นกลับคืนต้นกําเนิดแล้ว ซูฉินก็ได้ใช้พลังของทะเล

ณจุดดวงไฟในภาพดวงตะวันขนาดมหึมาได้ถึงสองพันจุด และร่างศักดิ์สิทธิ์อีกาทองคําก็มีพลังมากขึ้น ก้าวเข้าสู่ระดับใหม่ที่แสนสะเทือนฟ้าสะเทือนดิน

หากสมบัติคุ้มกันรูปหอคอยอันนี้ยังคงถูกกระตุ้นด้วยเซียนเทพปฐพี่ขั้นกลับคืนต้นกําเนิดทั้งสาม มันคงเป็นไปได้ยากสําหรับซูฉินที่จะจัดการแม้ระเบิดพลังออกมาอย่างเต็มที่

แต่ในขณะนี้ ภายใต้อิทธิพลของกระบวนท่าสังหารจิตวิญญาณแรกกําเนิดหุบเหวอับแสงกลุ่มจ้าวแห่งลมทั้งสามก็ได้ปล่อยการควบคุมสมบัติล้ําค่ารูปหอคอยไปเสียแล้ว

หากขาดการควบคุมจากผู้ใช้งาน เว้นแต่จะเป็นสมบัติล้ําค่าโดยกําเนิดที่มีจิตวิญญาณจางๆอยู่ภายใน… ไม่เช่นนั้น ในสายตาของซูฉินสมบัติล้ําค่าทั้งหลายก็ล้วนไม่นับเป็นอะไรเสียนอกจากกระดองเต่าที่ทําลายไม่ได้ แต่ก็ยังเตะให้กระเด็นออกไปได้

ตึง!

ได้ยินเสียงทึบๆ ดังมาจากสมบัติล้ําค่ารูปหอคอยที่ลอยอยู่เหนือหัวกลุ่มของจ้าวแห่งลม แม้ว่ามันจะไม่ได้รับความเสียหายแม้แต่น้อยเมื่อโดนหมัดของซุฉิน แต่สมบัติล้ำค่าอันนั้นก็กระเด็นลอยออกไป

และด้วยการบังคับควบคุมของอาณาเขตเทพสงคราม สมบัติล้ําค่ารูปหอคอยอันนี้ก็ถูกซูฉินเก็บเข้าไปไว้ในวิหารการสงคราม

“นี่?!”

จ้าวแห่งลมและคนอื่นๆ ต่างตกตะลึง

ในเวลาเพียงครู่เดียว ไพ่ตายในมือที่ทรงพลังที่สุดของพวกเขาอย่างสมบัติล้ําค่ารูปหอคอยก็พลันหายไป?

โดยเฉพาะจ้าวแห่งลม การมายังโลกมนุษย์ครั้งนี้ เจ้าลัทธิผู้ยิ่งใหญ่ได้มอบสมบัติล้ําค่ารูปหอคอยให้ตัวเขามากับมือเพื่อใช้ก้าวข้ามผ่านช่องว่างมิติ ดังนั้นจ้าวแห่งลมจึงสามารถสัมผัสได้ถึงสมบัติล้ําค่า แต่ในเวลานี้ จ้าวแห่งลมพลันรับรู้ได้ว่าสมบัติล้ําค่านั้นถูกพรากจากไปในที่ไกลแสนไกลราวว่าไปอยู่โลกอื่นเสียแล้ว

วิหารการสงครามเป็นสมบัติพื้นที่มิติขนาดใหญ่พิเศษที่สร้างโดยผู้ทรงพลังถึงขีดสุดโหวเหยียน ใช้เพื่อสืบทอดม้วนบันทึกภาพเทพสงคราม สมบัติล้ําค่ารูปหอคอยถูกตัดขาดจากโลก มนุษย์ไปอยู่ภายในวิหารการสงครามจึงถูกแยกออกจากจ้าวแห่งลมราวกับไปอยู่อีกโลกหนึ่ง

“สหายเต๋ โปรดอภัยให้ด้วย…” จ้าวแห่งลมร้องขอความเมตตาโดยไม่ลังเล

แม้ประตูเซียนจะอยู่ห่างออกไปไม่ไกลนัก อยู่ห่างพวกเขาไปไม่กี่ลี้
แต่ภายใต้พลังของอาณาเขตเทพสงครามจ้าวแห่งลมรู้สึกว่าระยะทางไม่กี่นี้ห่างไกลไม่ต่างจากผืนฟ้าเบื้องบน

“เจ้ากําลังถ่วงเวลาอยู่หรือเปล่า?” ซูฉินส่ายศีรษะเล็กน้อย

“เจ้าได้ทิ้งร่างจําแลงจิตวิญญาณแรกกําเนิดเอาไว้ในประตูเซียน ในตอนนี้เจ้าคงต้องการถ่วงเวลาเพื่อไปรายงานเจ้าลัทธิดินแดนศักดิ์สิทธิ์ให้ออกมาช่วยเจ้าสินะ?”

ซูฉินเบิกเนตรดวงตาแห่งสัจจะผสานกับปราณฉีฟ้ากําหนด พลังฉีทั้งหมดของจ้าวแห่งลมย่อมปรากฏอยู่ในวิสัยทัศน์ของเขาเป็นธรรมดาซูฉินสังเกตเห็นว่ามีพลังฉีของจ้าวแห่งลมถึงสองแห่งหนึ่งคือตรงหน้าเขา อีกอันอยู่ลึกเข้าไปในประตูเซียน

ประตูเซียนไม่ได้อยู่บนโลกมนุษย์ แม้ว่าจะเป็นดวงตาแห่งสัจจะ มันก็เป็นไปไม่ได้ที่จะมองผ่านความว่างเปล่าเข้าไปเห็นภายในประตูเซียน แต่ด้วยพลังฉีของจ้าวแห่งลมที่อยู่ตรงหน้านี้ ทําหน้าที่เป็นพิกัดให้กับซูฉินได้อย่างดี จนค้นพบพลังฉีอีกแห่งของจ้าวแห่งลมที่อยู่ภายในประตูเซียน

“เจ้ารู้ได้อย่างไร?” จ้าวแห่งลมถึงกับตกใจ

“สหายเต๋……”

ก่อนที่จ้าวแห่งลมจะทันได้กล่าวอะไรต่อ เขาก็เห็นดวงตาคู่หนึ่งที่เหมือนกับโลกอันกว้างใหญ่ อีกครั้ง

ในตอนนี้ไม่มีการคุ้มกันจากสมบัติล้ําค่ารูปหอคอยอีกต่อไป พลังทั้งหมดของกระบวนท่าสังหารจิตวิญญาณแรกกําเนิด หุบเหวอับแสง จึงเข้าครอบงําจ้าวแห่งลมอย่างสมบูรณ์ในชั่ว พริบตาจิตใจของจ้าวแห่งลมก็กลับสู่ความมืดมิดอีกครั้ง และร่างกายก็หยุดนิ่งไม่มีความเคลื่อนไหวชั่วะ!

ซูฉินฟาดฝ่ามือออกไปตรงๆ ตบเข้าใส่ร่างของจ้าวแห่งลมจนกลายเป็นเศษเนื้อ และใช้พลังเข้าบดขยจิตวิญญาณแรกกําเนิดของมันในทันที

“กระบวนท่าสังหารจิตวิญญาณแรกกําเนิดนี้ช่างใช้งานได้ง่ายดายนัก” ซูฉันพึงพอใจมากยิ่ง ขึ้นไปอีกอันที่จริงกระบวนท่าสังหารจิตวิญญาณแรกกําเนิดหุบเหวอับแสงนั้นน่ากลัวเป็นที่ยิ่งแต่มันสามารถใช้กวาดล้างได้เพียงผู้ฝึกยุทธที่มีขอบเขตต่ํากว่าซุฉินมากเท่านั้น

ตัวอย่างเช่น หากซูฉินเผชิญหน้ากับกลุ่มเซียนเทพปฐพี่ที่เพิ่งเข้าสู่ขั้นกลับคืนต้นกําเนิด จิตวิญญาณแรกก่าเนิดของกลุ่มเซียนเทพปฐพี่เหล่านั้นย่อมพังทลายในทันทีที่เจอเข้ากับกระบวนท่าสังหารจิตวิญญาณแรกกําเนิดหุบเหวอับแสง

แต่เมื่อเป็นการเผชิญหน้ากับตัวตนในระดับเดียวกัน เช่นเซียนเทพปฐพีขั้นกลับคืนต้นกําเนิดอย่างจ้าวแห่งลม กระบวนท่าสังหารจิตวิญญาณแรกกําเนิดหุบเหวอับแสงสามารถทําให้คู่ต่อสู้เข้าสู่ห้วงแห่งความมืดมิดได้เท่านั้น

และใช้เวลาครู่หนึ่ง อีกฝ่ายก็จะสามารถกําจัดอิทธิพลของกระบวนท่าสังหารจิตวิญญาณแรกกําเนิดหุบเหวอับแสงได้

แต่น่าเสียดาย สําหรับซูฉินแล้วนั้น อย่าว่าแต่เพียงครู่หนึ่งเลย แม้จะเป็นช่วงเวลาสั้นๆ ก็เพียงพอแล้วที่จะออกกระบวนท่าได้หลายร้อยครั้ง

“ร่างจําแลงจิตวิญญาณแรกกําเนิดที่ทิ้งไว้เบื้องหลังนั้น หากร่างหลักตกตายไป ร่างจําแลงจิตวิญญาณแรกก่าเนิดย่อมสลายหายไปด้วยเป็นธรรมดา……”

ซูฉันรั้งหมัดขวากลับมาและเหลือบมองไปยังประตูเซียน ตามที่คาดการณ์ พลังฉีทั้งสอง ไม่ว่าจะเป็นที่อยู่เบื้องหน้าเขาหรือภายในประตูเซียนล้วนหายไปสิ้น

การสร้างร่างจําแลงด้วยจิตวิญญาณแรกกําเนิดนั้นแตกต่างจากการสร้างร่างจําแลงผ่านจิตมารแยกวิถี]ของซูฉิน

การแบ่งร่างจําแลงจิตวิญญาณแรกกําเนิดเป็นความสามารถโดยธรรมชาติของเซียนเทพปฐพีร่างจําแลงที่แบ่งออกมาจะขึ้นตรงกับร่างหลัก หากร่างหลักตกตายร่างจําแลงจิตวิญญาณแรกกําเนิดก็จะสลายหายไปอย่างรวดเร็ว

แต่ [จิตมารแยกวิถี] สามารถแยกร่างจําแลงที่เป็นอิสระจากร่างหลักได้ แม้ว่าทั้งคู่จะเป็นสิ่งเดียวกัน แต่ชีวิตความเป็นความตายของอีกร่างจะไม่ส่งผลกระทบถึงกัน

นี่เป็นเหตุผลที่ซูฉินยอมให้ร่างจําแลงที่แยกไว้ด้วย [จิตมารแยกวิถี] เข้าไปอยู่ในโลกถ้ําปีศาจ

ไม่ว่าจะเป็นร่างหลักหรือร่างจําแลง ตราบใดที่ไม่มีร่างไหนตกตาย ก็เท่ากับซูฉินมีสองชีวิตนี้ เป็นสิ่งที่น่ากลัวที่สุดสําหรับ [จิตมารแยกวิถี]

“จ้าวแห่งลมสิ้นใจแล้ว……” ไม่ไกลนัก จอมดาบเก้าสัมผัสที่ได้เห็นฉากนี้ หนังศีรษะของเขา พลันชาวาบรีบเผาแก่นแท้และปราณโลหิตทันที และแม้แต่จิตวิญญาณแรกกําเนิดเองก็ถูกเผาไหม

เค่อ เป็นหน่วยเวลาของจีน 1 เค่อ = 15 นาที

Sign in Buddha’s palm 350 หุบเหวอับแสง ปะทะ พลังแห่งสมบัติล่าค่า

ด้านนอกประตูหินโบราณขนาดใหญ่

จ้าวแห่งลมจากหุบเขาเทพพระพายและอีกสองคนจ้องมองซูฉินที่เดินเข้ามาอย่างเชื่องช้า รู้สึกตกใจอยู่ไม่น้อย

เหล่าเจ้าลัทธิดินแดนศักดิ์สิทธิ์ได้บอกพวกเขาไว้ก่อนแล้วว่าบนโลกมนุษย์ยุคปัจจุบันไม่มีแม้แต่เซียนเทพปฐพี่ขั้นแบ่งจิต เป็นบทสรุปที่ได้มาจากการเฝ้ามองผ่านดวงตาเทพเจ้าปีศาจ

แต่ตอนนี้ กลิ่นอายที่ซูฉินปลดปล่อยออกมาโดยไม่ได้ตั้งใจนั้นมันเหนือกว่าเซียนเทพปฐพีขั้นแบ่งจิตไปแล้วไม่ใช่หรือ? อย่างน้อยก็ต้องเป็นเซียนเทพปฐพีในขั้นกลับคืนต้นกําเนิดเหมือนๆ กับพวกเขา

นอกจากนี้กลุ่มของจ้าวแห่งลมทั้งสามยังรู้สึกได้ชัดเจนว่าทุกทิศทางถูกปกคลุมไปด้วยอาณาเขต และภายใต้พลังของอาณาเขตนี้ปราณเลือดที่ไหลเวียนอยู่ในกายและความแข็งแกร่งของพวกมันถูกระงับไปอย่างน้อยๆ ก็สี่ส่วน

ช่างน่าเหลือเชื่ออะไรเช่นนี้?

รู้หรือไม่ว่ากลุ่มจ้าวแห่งลมทั้งสามคนต่างเป็นเซียนเทพปฐพีขั้นกลับคืนต้นกําเนิด ด้วยการร่วมมือกันของทั้งสาม แม้จะพบจุดสูงสุดของขั้นกลับคืนต้นกําเนิดพวกเขาก็ไม่เกรงกลัว และแม้แต่เซียนเทพปฐพีขั้นสถิตเทพก็ไม่มีทางที่จะระงับความแข็งแกร่งของพวกเขาลงได้ถึงสี่ส่วนมิใช่หรือ?

“มันคือพลังของอาณาเขตงั้นหรือ?”

“ไม่ถูกต้อง อาณาเขตนี้แข็งแกร่งกว่าอาณาเขตขั้นกลับคืนต้นกําเนิดของพวกเราถึงสิบเท่า?”

นักพรตหมื่นกําเนิดจากดินแดนศักดิ์สิทธิ์เคหาสน์ม่วงบ่นพึมพํากับตนเองย่างไม่อยากเชื่อ

ไม่ว่าจะเป็นเซียนเทพปฐพีขั้นแบ่งจิต เซียนเทพปฐพี่ขั้นกลับคืนต้นกําเนิด หรือเซียนเทพปฐพีขั้นสถิตเทพ อาณาเขตที่ครอบครองในแต่ละระดับนั้นมีทั้งสูงและต่ํา แต่ไม่ได้มีการก้าวกระโดดครั้งใหญ่ที่มากถึงสิบเท่าแน่

นักพรตหมื่นกําเนิดย่อมไม่รู้ว่าอาณาเขตที่ซูฉินครอบครองไม่ใช่อาณาเขตของเซียนเทพปฐพีธรรมดาๆ อีกต่อไป กลับเป็นอาณาเขตเทพสงครามที่แม้แต่ผู้ทรงพลังถึงขีดสุดไม่สามารถครอบครองได้ สามารถพัฒนาโลกขึ้นภายในอาณาเขต จะนําอาณาเขตขนาดใหญ่มาเปรียบเทียบได้อย่างไร?

“ท่านตั้งใจมาที่นี้เป็นพิเศษเพื่อรอพวกเราหรือ?” จอมดาบเก่าสัมผัสแห่งภูเขาดาบสวรรค์มองไปที่ซูฉินพร้อมกับกล่าวถามด้วยความเคร่งขรึม

ไม่นานนักหลังจากที่พวกเขาออกจากประตูเซียน พวกเขาก็ได้พบเข้ากับซูฉิน และอีกฝ่ายก็ได้ใช้วิธีการบางอย่างที่ไม่อาจทราบได้เพื่อลดพลังของพวกเขาลงกว่าสี่ส่วน เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายเตรียมพร้อมมาก่อนแล้ว

“มิผิด” ซูฉินพยักหน้าด้วยอาการสงบไม่คิดปิดบัง

หลังจากที่หลีกเลี่ยงสายตาจากดวงตาเทพเจ้าปีศาจที่แอบมองมา ซูฉินก็รู้ว่าดินแดนศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายภายในประตูเซียนจะต้องลงมือทําอะไรอีกแน่ ดังนั้นเขาจึงมารอที่หน้าประตูเซียนก่อนเวลา

หากดินแดนศักดิ์สิทธิ์ส่งเหล่าเซียนเทพปฐพี่ขั้นสถิตเทพออกมาจากประตูเซียน ซูฉินจะหันหลังกลับโดยไม่กล่าวอะไรแม้แต่คําเดียว ด้วยการปิดบังกลิ่นอายโดยใช้อาณาเขตเทพสงคราม ตราบใดที่ซฉันไม่ได้เดินผ่านเซียนเทพปฐพี่ขั้นสถิตเทพ ตัวเขาก็จะไม่มีทางถูกค้นพบ

และหากดินแดนศักดิ์สิทธิ์ส่งเพียงเซียนเทพปฐพี่ที่ต่ํากว่าขั้นสถิตเทพออกมา ซูฉินย่อมปราบปรามได้อย่างง่ายดาย

“ให้ทางเลือกพวกเจ้าสองทาง ยอมจํานนด้วยตัวเอง หรือตาย!” ซูฉินขี้เกียจเกินกว่าจะพูดคุยเรื่องไร้สาระ จึงกล่าวออกมาตรงๆ

คําพูดที่ออกมา

ใบหน้าของจ้าวแห่งลมและคนอื่นๆ ก็บิดเบี้ยวน่าเกลียด

ไม่ว่าอย่างไรพวกเขาก็เป็นถึงเซียนเทพปฐพี่ขั้นกลับคืนต้นกําเนิด แม้จะเผชิญหน้ากับยักษ์ใหญ่อย่างขั้นสถิตเทพ ก็ยังมีหวังที่จะหลบหนี แต่ซูฉินกลับให้พวกเขายอมจํานนด้วยตนเอง?

“ดูเหมือนว่าศิษย์ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ที่ตกตายบนโลกมนุษย์นี้คงเป็นเพราะฝีมือของเจ้า” ใบหน้าของจ้าวแห่งลมจากหุบเขาเทพพระพายเปลี่ยนเป็นเย็นชา มองตรงไปที่ซูฉิน

ในฐานะที่เป็นเซียนเทพปฐพี่ขั้นกลับคืนต้นกําเนิด จิตวิญญาณแรกก่าเนิดนั้นแข็งแกร่งเพียงใด? แค่เพียงครู่เดียวก็เข้าใจเรื่องราวทั้งหมด

“เจ้าหลบเลี่ยงดวงตาเทพเจ้าปีศาจได้อย่างไร?” นักพรตหมื่นกําเนิดจากดินแดนศักดิ์สิทธิ์เคหาสน์ม่วงขมวดคิ้วเล็กน้อย เขาไม่เข้าใจว่าทําไมดวงตาเทพเจ้าปีศาจถึงไม่สังเกตเห็นซูฉิน

“พวกเจ้าพูดมากกันเกินไปแล้ว” ซูฉินก้าวขาออกไปหนึ่งก้าว ใช้มือขวาล่วงเข้าไปในส่วนลึกของความว่างเปล่า ทิ้งคมมีดเทพเจ้าปีศาจออกมาแล้วฟันเข้าใส่ทั้งสามคน

ทันใดนั้น ฟ้าดินก็กลายเป็นสีดําสนิท ประกายคมมีดที่คล้ายกับเป็นช่องว่างมิติก็วูบวาบไปมา แม้แต่บรรยากาศก็บิดเบี้ยวไปในทุกที่ที่มันพาดผ่าน ราวกับไม่สามารถแบกรับพลังงานที่อยู่ในคมมีดนั้นได้

“เจ้าประเมินเราต่ําไปแล้ว” จอมดาบเก่าสัมผัสจากภูเขาดาบสวรรค์กล่าวออกเบาๆ แม้ว่าซูฉินจะแข็งแกร่งไม่อ่อนแอ แต่ในฐานะที่เป็นเซียนเทพปฐพี่ขั้นกลับคืนต้นกําเนิด กลับกล้าที่จะสู้หนึ่งต่อสามกับระดับขั้นเดียวกัน มันช่างเป็นความคิดที่เย่อหยิ่งเหลือแสน

หวึ่ง!!

เห็นประกายดาบที่สว่างไสวพุ่งออกจากมือของจอมดาบเก่าสัมผัส ฟันออกไปทางซูฉิน

“ภูเขาดาบสวรรค์ของข้าเชี่ยวชาญในด้านเพลงดาบ หากเจ้าต้องการจะสู้กับข้า…” ก่อนที่จอมดาบเก่าสัมผัสจะเผยใบหน้าแย้มยิ้ม เขาก็ได้เห็นฉากที่น่าเหลือเชื่ออย่างยิ่ง

เห็นได้ว่าประกายคมมีดสีดํานั้นทําลายทุกอย่างได้อย่างง่ายดาย ประกายดาบที่สว่างไสวของจอมดาบเก่าสัมผัสกลายเป็นเหมือนกระดาษแผ่นบางๆ สลายหายไปในทันที แต่ประกายคมมีดสีดํายังคงเคลื่อนที่ต่อไปโดยไม่ลดความเร็วลงแม้แต่น้อย พุ่งเข้าหาจอมดาบเก่าสัมผัสและคนอื่นๆ อย่างเงียบๆ

“เป็นไปได้อย่างไร?!”

ร่างของจอมดาบเก้าสัมผัสสั่นไหว

ภูเขาดาบสวรรค์เป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์ที่ก่อตั้งขึ้นโดยผู้ทรงพลังถึงขีดสุดที่เชี่ยวชาญในด้านเพลงดาบ แต่ยามนี้กระบวนท่าที่สืบทอดต่อมาในภูเขาดาบสวรรค์ได้พังทลายลงเมื่ออยู่ต่อหน้าฉัน? เป็นไปได้เช่นไร? เป็นไปได้ไหมว่าวิชาคมมีดของซูฉินนั้นก็มาจากผู้ทรงพลังถึงขีดสุดในด้านวิชาดาบเช่นเดียวกัน?

ในขณะที่จอมดาบเก้าสัมผัสก่าลังตกตะลึง ประกายคมมีดสีด่าก็เข้าใกล้คนทั้งสามแล้ว จอมดาบเก้าสัมผัสไม่มีเวลาคิดอะไรทั้งสิ้น รีบตวัดดาบออกไปอีกหลายสิบครั้งอย่างรวดเร็ว ร่วมมือกับเจ้าแห่งลมและนักพรตหมื่นกําเนิดเข้าขัดขวางประกายคมมีดเอาไว้

“น่ากลัวเกินไปแล้ว”

ใจของจอมดาบเก่าสัมผัสสั่นไหว

แม้พวกเขาจะอยู่ภายใต้อาณาเขตเทพสงครามทําให้ความแข็งแกร่งถูกระงับไปสี่ส่วน แต่ด้วยการร่วมมือของทั้งสามคนกลับทําได้เพียงปิดกั้นการโจมตีของซูฉินเท่านั้น นี่ไม่ใช่เรื่องที่จะอ้างได้ว่าเป็นเพราะความแข็งแกร่งถูกระงับ

ต่อให้ทั้งสามยังมีความแข็งแกร่งเต็มที่ ไม่ได้ถูกปกคลุมด้วยอาณาเขตเทพสงคราม ก็คาดว่า พวกเขาคงไม่ใช่คู่ต่อสู้ของซูฉิน

“เป็นไปได้ไหมว่าคนผู้นี้อยู่ในจุดสูงสุดของขั้นกลับคืนต้นกําเนิด?”

จอมดาบเก่าสัมผัสรู้สึกเหมือนน้ําเย็นซัดสาดเข้าใส่ มีเพียงจุดสูงสุดขั้นกลับคืนต้นกําเนิดเท่านั้น และต้องไม่จุดสูงสุดของขั้นกลับคืนต้นกําเนิดธรรมดาๆ แต่เป็นเซียนเทพปฐพี่ที่พร้อมทะลวงเข้าสู่ขั้นสถิตเทพได้ตลอดเวลาจึงจะมีพลังพอระงับคนทั้งสามได้

“ไม่จริงน่า!”

“เหตุใดกระบวนท่าสังหารจิตวิญญาณแรกกําเนิดของข้าจึงทําอะไรเจ้าไม่ได้?”

เมื่อเทียบกับความตกใจของจอมดาบเก่าสัมผัส นักพรตหมื่นกําเนิดที่อยู่ด้านข้างนั้นถึงกับ ตกตะลึง

ขณะที่ซูฉินและจอมดาบเก่าสัมผัสต่อสู้กัน นักพรตหมื่นกําเนิดได้ออกกระบวนท่าสังหารจิตวิญญาณแรกกําเนิดกว่าสิบรูปแบบติดต่อกัน กระบวนท่าเหล่านี้ใช้พลังจิตวิญญาณแรกกําเนิดของนักพรตหมื่นกําเนิดไปถึงหกส่วน ทั้งหมดพุ่งเข้าใส่ซูฉิน

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ทําให้นักพรตหมื่นกําเนิดไม่อาจเชื่อได้ก็คือกระบวนท่าสังหารจิตวิญญาณแรกกําเนิดทั้งหมด เมื่อพุ่งเข้าสู่ร่างของซูฉิน ก็ราวกับเป็นฝนโปรยปรายที่ตกลงบนมหาสมุทรไม่มีแม้แต่เกลียวคลื่นใดเกิดขึ้น

เป็นไปได้เช่นไร?

แม้ว่าจิตวิญญาณแรกกําเนิดของซูฉินจะมีอยู่อย่างมหาศาล เหนือกว่านักพรตหมื่นกําเนิด แต่ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะเพิกเฉยต่อกระบวนท่าสังหารจิตวิญญาณแรกกําเนิดนับสิบ

แต่ซูฉินเล่า?

เขาไม่แม้แต่จะกะพริบตา

ถ้าไม่ใช่เพราะนักพรตหมื่นกําเนิดรู้สึกว่าพลังจิตวิญญาณแรกกําเนิดของเขาถูกเผาผลาญไปมาก เกรงว่าเขาคงคิดไปว่าตนไม่ได้ใช้กระบวนท่าสังหารจิตวิญญาณแรกกําเนิดออกไปเป็นแน่

“ไม่ดีแล้ว!”

“กลับไปที่ประตูเซียนเดี๋ยวนี้”

จ้าวแห่งลมเมื่อเห็นฉากนี้ ก็ตระหนักได้ถึงความห่างชั้น และรีบถอยกลับไปที่ประตูหินโบราณขนาดใหญ่ที่อยู่เบื้องหลังโดยไม่ลังเล

เช่นเดียวกับนักพรตหมื่นกําเนิดและจอมดาบเก่าสัมผัส

พวกเขาใช้เวลาเจ็ดถึงแปดร้อยปีกว่าจะมาถึงขอบเขตเซียนเทพปฐพี่ขั้นกลับคืนต้นกําเนิดย่อมหวงแหนชีวิตเป็นธรรมดา หลังจากที่รู้ว่าซูฉินนั้นไร้เทียมทานก็ไม่ลังเลเลยที่จะกลับไปยังประตูเซียน

ช่องว่างมิติก่อนจะถึงประตูเซียนนั้นเต็มไปด้วยเศษเสี้ยวชิ้นส่วนมิติ และการสนับสนุนจากเจ้าลัทธิ ตราบใดที่พวกเขากลับไปยังประตูเซียนได้ พวกเขาก็จะปลอดภัย

“ต้องการที่จะจากไป?”

ซูฉินส่ายศีรษะเล็กน้อย ร่องรอยดูถูกเหยียดหยามปรากฏขึ้นบนใบหน้า

ตั้งแต่เขากล้าลงมือที่ด้านนอกประตูเซียน เขาย่อมไม่กลัวเรื่องที่จ้าวแห่งลมและคนอื่นจะหนีไปได้

“อาณาเขตเทพสงคราม”

ความคิดของซูฉินสั่งการ

ทันใดนั้นอาณาเขตเทพสงครามแต่เดิมที่ครอบคลุมรัศมีหลายสิบลี้ก็หดตัวแคบลงเป็นอาณาเขตเล็กๆ ที่มีระยะทางไม่กี่ลี้ แต่ภายในอาณาเขตนี้ ความเร็วของกลุ่มจ้าวแห่งลมทั้งสามกลับลดลงมาก

“นี่คือ?!”

จ้าวแห่งลมและคนอื่นๆ หยุดมองหน้ากัน และเลิกวิ่งหนีในทันที

“นี่มันอะไรกันเนี่ย?” เจ้าแห่งลมคํารามออกมาด้วยเสียงต่ําอย่างเหลืออด

ถ้าไม่ใช่เพราะการปราบปรามของอาณาเขตเทพสงคราม แม้ว่าทั้งสามจะพ่ายแพ้ให้กับซูฉิน แต่ก็ไม่มีปัญหาในการล่าถอยกลับไปอย่างครบสามสิบสอง อย่างไรก็ตามเนื่องจากพลังของอาณาเขตเทพสงครามนั้นเข้มข้นขึ้น มันจึงกลายเป็นเรื่องยากสําหรับเจ้าแห่งลมและคนอื่นๆ ที่จะกลับไปยังประตูเซียนในตอนนี้

และในตอนนั้นเอง

ซูฉินก็เดินตรงเข้ามา

คราวนี้ซูฉินไม่ได้ใช้คมมีดเทพเจ้าปีศาจ แต่กํามือขวาแน่น โคจรพลังภายในร่างแล้วพุ่งเข้าใส่กลุ่มของจ้าวแห่งลม

ครืน!

ร่างกายของซูฉินไม่รู้ว่าแข็งแกร่งขึ้นมากเพียงใดในเวลานี้ หลังจากบุกทะลวงขั้นกลับคืนต้นกําเนิด พลังจากทะเลปราณก็ถูกจิตวิญญาณแรกกําเนิดของซูฉินดึงมาขัดเกลาอีกครั้ง ภาพดวงตะวันขนาดมหึมาก็เริ่มส่องสว่างมากขึ้น จากเดิมที่มีจุดแสงห้าร้อยจุดพลันเพิ่มขึ้นเป็นสองพันจุดโดยตรง

เป็นผลให้ร่างศักดิ์สิทธิ์อีกาทองคํามีระดับที่สูงขึ้นและปราณโลหิตก็กว้างใหญ่พอๆ กับมหาสมุทร

ในขณะที่หมัดนี้ถูกปล่อยออกมา เซียนเทพปฐพีขั้นกลับคืนต้นกําเนิดทั้งสามล้วนรู้สึกขนลุกซู่ หนังศีรษะชาวาบ ภาพความตายพลันผุดขึ้นมาในใจ

“รับใช้สมบัติล้ําค่าที่ท่านเจ้าลัทธิมอบให้เร็วเข้า!!” ใบหน้าของจอมดาบเก่าสัมผัสเปลี่ยนไปอย่างมาก ภายใต้การปราบปรามจากอาณาเขตเทพสงคราม พวกเขาไม่สามารถซ่อนตัวจากหมัดนี้ได้เลย พวกเขาเหลือเพียงทางเลือกเดียวเท่านั้นหากต้องการมีชีวิตอยู่ต่อ

บางอย่างค่อยๆ ก่อตัวขึ้น

“สมบัติล้ําค่า!!”

จ้าวแห่งลมสูดลมหายใจเข้า และปราณภายในร่างก็ค่อยๆ ถูกเทเข้าไปภายในสมบัติล้ําค่ารูปหอคอยอย่างต่อเนื่องฉับพลัน

หวึ่ง!!!

เห็นสมบัติล้ําค่ารูปร่างเหมือนหอคอยลอยเอื้อยๆ หยุดอยู่เหนือหัวของเจ้าแห่งลมและคนอื่นๆ จากนั้นม่านแสงหนาทึบก็เข้ากําบังพวกเขาทั้งสามคนเอาไว้

สมบัติล้ําค่ารูปทรงหอคอยนี้เป็นสมบัติที่ใช้ในการป้องกันซึ่งเจ้าลัทธิจากประตูเซียนได้มอบเอาไว้ให้กลุ่มของจ้าวแห่งลมทั้งสามคนสามารถเดินทางผ่านความว่างเปล่าไปได้

เดิมที่จ้าวแห่งลมไม่เต็มใจจะใช้สมบัติล้ําค่านี้ ท้ายที่สุดเจ้าลัทธิดินแดนศักดิ์สิทธิ์ต้าฉือก็อนุญาตให้พวกเขาใช้สมบัติล้ําค่าเพื่อข้ามผ่านช่องว่างมิติมาเท่านั้น ไม่ได้บอกพวกเขาว่าสามารถใช้สมบัตินี้ได้ตามใจ

หากจ้าวแห่งลมใช้สมบัติล้ําค่านี้ไปโดยพลการ ยามเมื่อกลับไปที่ประตูเซียน จะต้องสร้างความขุ่นเคืองให้กับเจ้าลัทธิผู้ยิ่งใหญ่อย่างแน่นอน

แต่ในเวลานี้ แม้แต่ตนเองเละคนอื่นๆ ก็แทบจะเอาชีวิตรอด จ้าวแห่งลมจะมาสนใจเรื่องความพึงพอใจของเจ้าลัทธิต้าฉือได้อย่างไร?

ครู่ต่อมา!

ซูฉินต่อยเข้าไปที่ม่านแสงหนาทึบที่ห้อยลงมาจากสมบัติล้ําค่ารูปหอคอย

บูม!

เห็นว่าม่านแสงเกิดระลอกคลื่น แต่มันก็กลับมาสงบลงอย่างรวดเร็ว เมื่อเห็นฉากนี้ กลุ่มของจ้าวแห่งลมทั้งสามก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก

“สมบัติล้ําค่า?”

ซูฉินถอนหมัดขวาออกมา

ไม่ใช่ว่าเขาไม่เคยเห็นสมบัติล้ําค่ามาก่อน ตอนที่เขาเหยียบย่านิกายเทพเจ้าสายฟ้าจนจมดิน เขาก็ได้ปะทะกับระฆังเทพสายฟ้าด้วยกายเนื้อล้วนๆ มาแล้ว

เพียงแต่ว่าในตอนที่ซูฉินปะทะกับระฆังเทพสายฟ้านั้น มันเป็นเพราะบรรพชนของนิกายเทพเจ้าสายฟ้าไม่สามารถใช้พลังที่แท้จริงของสมบัติล้ําค่าออกมา แต่ยามนี้ มีเซียนเทพปฐพีขั้นกลับคืนต้นกําเนิดถึงสามคนส่งพลังเข้าไปในสมบัติล้ําค่ารูปหอคอยอย่างต่อเนื่อง จึงทําให้ความน่ากลัวที่แท้จริงถูกเปิดเผย

“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า!”

“มีสมบัติล้ําค่าคอยปกป้องเช่นนี้ เจ้ายังคิดที่จะสังหารพวกเราอีกหรือ ฝันไปก่อนเถอะ”

จ้าวแห่งลมหัวเราะดังลั่น และจอมดาบเก้าสัมผัสกับนักพรตหมื่นกําเนิดที่อยู่ด้านข้างก็มีรอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้ามองมาทางซูฉิน

เพียงเท่านั้น

เมื่อเซียนเทพปฐพีขั้นกลับคืนต้นกําเนิดทั้งสามสบตากับซูฉิน พวกเขาก็พบว่าดวงตาของซูฉินนั้นลึกล้ําราวกับมีโลกที่กว้างใหญ่แฝงอยู่

มันคือกระบวนท่าสังหารจิตวิญญาณแรกกําเนิด หุบเหวอับแสง ที่ซูฉินลงชื่อเข้าใช้ได้จากเกาะแดนสามพันมายา

ดวงตาล่องลอย กลุ่มจ้าวแห่งลมทั้งสามคนเริ่มสูญเสียสติสัมปชัญญะ ราวกับถูกดูดเข้าไปอยู่ในโลกอันกว้างใหญ่นั้น

Sign in Buddha’s palm 349 รอพวกเจ้ามานานแล้ว (ฟรี)
ภายในวัง
เจ้าลัทธิดินแดนศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายต่างจมอยู่ในห้วงความคิด

ในตอนนั้นเอง เจ้าลัทธิเคหาสน์ม่วงที่ยังไม่ได้พูดอะไรออกมาเลย ก็กล่าวคําออกมาช้าๆ “บางที่ศิษย์ดิน แดนศักดิ์สิทธิ์ของเราอาจจะไม่ได้ถูกผู้อื่นสังหาร?”
เจ้าลัทธิเคหาสน์ม่วงนั้นมาจากดินแดนศักดิ์สิทธิ์เคหาสน์ม่วง ซึ่งดินแดนศักดิ์สิทธิ์เคหาสน์ม่วงนี้เป็นดินแดน ศักดิ์สิทธิ์แห่งเดียวในหกแห่งที่เชี่ยวชาญในด้านกระบวนท่าสังหารจิตวิญญาณแรกกําเนิด

“ไม่ได้ถูกใครสังหารอย่างนั้นหรือ?” หลังจากที่ได้ยินคํากล่าวนั้น เจ้าลัทธิไก่อินก็มองไปทางเจ้าลัทธิเคหา สน์สีม่วงแล้วจึงกล่าวว่า “สหายเต่หมายความเช่นไร?”

เจ้าลัทธิคนอื่นๆ ต่างก็พุ่งความสนใจไปทางเจ้าลัทธิเคหาสน์ม่วง
“จากโลกภายในประตูเซียนไปจนถึงโลกมนุษย์ มันจําเป็นต้องผ่านช่องว่างแห่งความว่างเปล่า ภายในช่อง ว่างนั้นเต็มไปด้วยมิติพื้นที่ที่ปั่นป่วนรวมถึงเศษซากชิ้นส่วนมิติ……” เจ้าลัทธิเคหาสน์ม่วงเหลือบมองทุกคนแล้ว จึงกล่าวต่อ “แม้ว่าจะมีตราประทับไก่อินเป็นหลักประกัน แต่มันก็ไม่ได้รับประกันว่าจะสามารถผ่านช่องว่างมิติไป ได้…”

“มันก็เป็นไปได้” เจ้าลัทธิต้าฉือพยักหน้าเล็กน้อย
แม้ว่าตราประทับไก่อินจะบรรจุพลังมิติเอาไว้โดยผู้ทรงพลังถึงขีดสุด ทําให้สามารถป้องกันความปั่นป่วนใน ช่องว่างมิติและเศษซากชิ้นส่วนมิติได้

ในทางทฤษฎีนั้นเป็นไปได้ แต่ความเป็นจริงนั้นเป็นอีกเรื่อง พลังมิตินั้นเป็นพลังระดับสูงที่มีแต่ผู้ทรงพลังถึง ขีดสุดเท่านั้นที่สามารถควบคุมได้ แม้ว่าเซียนเทพปฐพหลายต่อหลายคนจะได้รับการคุ้มกันจากตราประทับไก่ อิน พวกเขาก็อาจจะไม่สามารถปิดกั้นเศษชิ้นส่วนมิติรวมถึงความปั่นป่วนได้ทั้งหมด
“เอาล่ะ”
“เนื่องจากยืนยันได้แล้วว่าไม่มีภัยคุกคามใดบนโลก และรู้ถึงสาเหตุที่เหล่าศิษย์สาวกจากดินแดนศักดิ์สิทธิ์ ตกตาย หลังจากนี้พวกเจ้าจะทําอย่างไรต่อไป?” เจ้าขุนเขาแห่งภูเขาดาบสวรรค์เห็นด้วยกับคํากล่าวของเจ้า ลัทธิเคหาสน์ม่วง

ท้ายที่สุดพวกเขาก็นึกเหตุผลอื่นไม่ออก ยกเว้นแต่เหตุผลของเจ้าลัทธิเคหาสน์ม่วง
โลกมนุษย์ไม่มีภัยคุกคาม ไม่มีเซียนเทพปฐพี นอกจากเกิดอุบัติเหตุตอนที่ผ่านช่องว่างมิติ จะเป็นเหตุผล อื่นใดไปได้?
“ในเมื่อยืนยันได้แล้วว่าไม่มีภัยคุกคามใดบนโลกมนุษย์ คราวนี้เราจะส่งผู้อาวุโสสักสองสามคนไปที่โลก พร้อมกับสมบัติล้ําค่าเป็นเช่นไร?” เจ้าขุนเขาแห่งหุบเขาเทพพระพายมองไปที่คนอื่นๆ พร้อมกับกล่าวคํา
ในประตูเซียน มีเพียงเซียนเทพปฐพีขั้นกลับคืนต้นกําเนิดเท่านั้นที่มีสิทธิ์เป็นผู้อาวุโสของดินแดนศักดิ์สิทธิ์
สําหรับตัวตนอย่างผู้อาวุโสของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ พวกเขานับได้ว่ายืนอยู่บนจุดสูงสุดของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ แล้ว เว้นไว้เพียงแต่เจ้าลัทธิดินแดนศักดิ์สิทธิ์และคนอีกจํานวนหนึ่ง ตําแหน่งผู้อาวุโสก็ถือเป็นสถานะอันสูงส่ง อย่างที่สุดแล้ว

ในโลกใบเล็กอย่างประตูเซียน ผู้อาวุโสภายในหกดินแดนศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมด รวมกันแล้วมีไม่เกินร้อยคน แต่ ละคนมีความสําคัญอย่างยิ่ง
ก่อนหน้านี้ ยังไม่ชัดเจนว่าสถานการณ์บนโลกมนุษย์นั้นเป็นเช่นไรบ้าง ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ทั้งหกจึงยินยอม เพียงแค่ส่งศิษย์ขั้นแบ่งจิตออกไปเท่านั้น ในกรณีที่เกิดเหตุไม่คาดฝัน พวกเขาก็ยังพอที่จะทนรับมันได้
ส่วนผู้อาวุโสขั้นกลับคืนต้นกําเนิด…

การสูญเสียบุคคลเช่นนี้ไปเพียงคนเดียวก็เพียงพอแล้วที่จะทําให้ดินแดนศักดิ์สิทธิ์บางแห่งต้องเสียหายไป สักพักหนึ่ง

ดังนั้น หากไม่มีการรับประกันอย่างเต็มที่ ย่อมไม่มีดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งใดที่เต็มใจจะสูญเสียผู้อาวุโสขั้นกลับคืนต้นกําเนิดไป

แต่ยามนี้ เมื่อยืนยันได้แล้วด้วยดวงตาเทพเจ้าปีศาจว่าไม่มีภัยคุกคามใดบนโลกมนุษย์ เจ้าลัทธิดินแดนศักดิ์ สิทธิ์ทั้งหลายจึงไม่กังวลอีกต่อไป
ถ้าไม่ใช่เพราะเจ้าลัทธิดินแดนศักดิ์สิทธิ์จําเป็นต้องประจําการอยู่ภายในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ เกรงว่าเหล่าเจ้า ลัทธิคงจะเดินทางไปยังโลกมนุษย์ด้วยตนเองแล้ว
“มิผิด ตราประทับไท่อินถูกทิ้งไว้โดยผู้ทรงพลังถึงขีดสุดก็จริง แต่สุดท้ายมันก็เทียบไม่ได้กับสมบัติล้ําค่า หากมีการคุ้มกันโดยสมบัติล้ําค่า การผ่านช่องว่างมิติในครั้งนี้ก็คงไม่มีข้อผิดพลาดใดๆ” เจ้าลัทธิไทอินพยักหน้า
“น่าเสียดาย หลังจากที่กระแสปราณฉีบนโลกได้ไปถึงจุดเปลี่ยนผ่านอย่างน้อยจุดที่หก โลกประตูเซียนและ โลกมนุษย์จะเกิดความสมดุล ประตูเซียนจะเปิดออกอย่างสมบูรณ์ แต่ก่อนที่จะถึงตอนนั้น ต่อให้ต้องการเดิ นทางไปยังโลกมนุษย์ ก็ไปได้แค่ทีละไม่กี่คนเท่านั้น……”
เจ้าลัทธิต้าฉือส่ายศีรษะ

เพื่อป้องกันไม่ให้โลกภายในประตูเซียนได้รับผลกระทบจากความเงียบงันของกระแสปราณฉีบนโลกมนุษย์ ผู้ทรงพลังถึงขีดสุดเมื่อหนึ่งหมื่นปีก่อนได้คิดหนทางไว้มากมาย ทําให้หลังจากผ่านช่วงระยะเวลาหนึ่งเท่านั้นจึง จะสามารถเปิดเส้นทางไปสู่โลกมนุษย์ได้อย่างเต็มที่

ส่วนตอนนี้ สิ่งที่เหล่าเจ้าลัทธิได้รับมอบมาจากผู้ทรงพลังถึงขีดสุด คือตราประทับมิติที่ส่งคนไปยังโลก มนุษย์ได้ครั้งละไม่เกินสามถึงห้าคนเท่านั้น
….
หลังจากเจ้าลัทธิทั้งหลายพูดคุย คิดตัดสินใจกัน พวกเขาก็กลับไปยังดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของตนเองทันที และคัดเลือกผู้อาวุโสที่จะเดินทางไปโลกมนุษย์

สุดท้ายแล้วมีคนที่จะต้องไปทั้งสิ้นสามคน คือจ้าวแห่งลมจากหุบเขาเทพพระพาย นักพรตหมื่นกําเนิดจาก ดินแดนศักดิ์สิทธิ์เคหาสน์ม่วง และจอมดาบเก้าสัมผัสจากภูเขาดาบสวรรค์
เซียนเทพปฐพี่ทั้งสามนี้ล้วนอยู่ในขั้นกลับคืนต้นกําเนิดมาเป็นเวลาหนึ่งถึงสองร้อยปีแล้ว แม้จะนําไปเทียบ กับจุดสูงสุดของขั้นกลับคืนต้นกําเนิดไม่ได้ แต่ก็ไม่นับว่าอ่อนแอ

สําหรับสมบัติล้ําค่าที่จะใช้เดินทางไปในความว่างเปล่านั้น ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ต้าฉือจะเป็นผู้จัดหาให้ มันเป็ นสมบัติล้ําค่าที่มีรูปร่างเป็นหอคอย
สมบัติทรงสูงนี้เป็นสมบัติล้ําค่าสําหรับการป้องกันโดยเฉพาะ ตราบใดที่เซียนเทพปฐพี่ขั้นกลับคืนต้นกําเนิด ยังอยู่ภายในสมบัติล้ําค่ารูปหอคอยนี้ ไม่ว่าเศษชิ้นส่วนในความว่างเปล่าจะมีมากเพียงใดก็จะปลอดภัยแน่ๆ

“หลังจากที่พวกเจ้าไปถึงโลกมนุษย์ จะต้องครอบครองดินแดนแห่งพลังยุทธอันยิ่งใหญ่ในทันที และรอต่อ ไปจนถึงจุดเปลี่ยนผ่านครั้งที่หกของกระแสปราณฉี” เจ้าลัทธิไก่อินกล่าวออกเบาๆ
เหตุผลที่เทพธิดาไท่อนคนอื่นๆ ไม่ปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งหนึ่งเป็นเพราะเทพธิดาไก่อินบนโลกมนุษย์ยังคงมี ชีวิตอยู่ และเมื่อมองผ่านดวงตาเทพเจ้าปีศาจก็พบว่าเทพธิดาไทอินน่าจะอยู่ในดินแดนแห่งพลังยุทธฯ เรีย บร้อยแล้วในตอนนี้

“คารวะเจ้าลัทธิผู้คุมกฎ”
เซียนเทพปฐพี่ขั้นกลับคืนต้นกําเนิดทั้งสามโค้งคารวะเล็กน้อย
“เมื่อพร้อมแล้ว พวกเจ้าก็ไปกันเถอะ” เจ้าลัทธิดินแดนศักดิ์สิทธิ์ต้าฉือโบกมือ ทันใดนั้นสมบัติล้ําค่ารูปร่าง เหมือนหอคอยก็ตื่นขึ้น ลอยไปหยุดที่ด้านหน้ากลุ่มจ้าวแห่งลมทั้งสามคน จากนั้นจึงนําพาเซียนเทพปฐพีทั้ง สามผ่านทางเข้าออกที่เชื่อมต่อกับโลกมนุษย์
หวิ่ง!!!

ภายในช่องว่างแห่งความว่างเปล่านั้นถูกปกคลุมไปด้วยสีเทา ไม่มีทิศทางบนล่างซ้ายขวา แต่ในสถานที่ เช่นนี้ ห่างไกลออกไปมีประตูหินโบราณขนาดใหญ่ที่สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนตั้งอยู่
“นั่นคือโลกมนุษย์งั้นหรือ?” นักพรตหมื่นกําเนิดจากดินแดนศักดิ์สิทธิ์เคหาสน์ม่วงก็มองกลับไปทางประตู เซียนด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความหวัง
เขาเกิดและเติบโตภายในประตูเซียน และได้รับรู้การมีอยู่ของโลกมนุษย์มาจากหนังสือโบราณภายในดิน แดนศักดิ์สิทธิ์ และในความเข้าใจของนักพรตหมื่นกําเนิด มีเพียงโลกมนุษย์เท่านั้นที่สามารถให้กําเนิดผู้ทรง พลังถึงขีดสุดที่ไร้เทียมทานอย่างแท้จริงได้
“เหล่าเจ้าลัทธินั้นระมัดระวังจนเกินไป ถึงกับกระตุ้นใช้ดวงตาเทพเจ้าปีศาจเพียงเพื่อยืนยันว่าไม่มีภัยคุกคาม บนโลก กว่าจะตัดสินใจปล่อยให้พวกเราได้เดินทางมา” จ้าวแห่งลมจากหุบเขาเทพพระพายส่ายศีรษะพร้อมกับ กล่าวคํา
“การกระตุ้นใช้งานดวงตาเทพเจ้าปีศาจไม่เพียงแต่จะใช้พลังงานปราณฉีอย่างมหาศาลเท่านั้น แต่ยังรวมไป ถึงพลังมิติด้วย ความสูญเสียมากมายขนาดนี้กลับนํามาใช้กับโลกที่กระแสปราณฉีเงียบงันมาตั้งนานแล้ว……….”

จ้าวแห่งลมจากหุบเขาเทพพระพายถอนหายใจออกมาเบาๆ
“ไม่เป็นอะไรหรอก”
“เจ้าลัทธิกําลังรับรองความปลอดภัยให้พวกเราอยู่”

“ยิ่งไปกว่านั้น เหตุผลที่เจ้าลัทธิทําเช่นนั้นไม่ใช่เพราะก่อนหน้านี้เหล่าศิษย์หลายคนที่เข้าไปในโลกมนุษย์ล้ วนตกตายกันหมดหรอกหรือ?” จอมดาบเก้าสัมผัสแห่งภูเขาดาบสวรรค์กล่าว
“เหอเหอ ข้าหมายความว่าเจ้าลัทธิไม่จําเป็นต้องทําเช่นนั้น ปล่อยให้พวกเรากวาดล้างทั้งโลกมนุษย์ไปเล ยมันไม่ดีกว่าหรือ?” จ้าวแห่งลมจากหุบเขาเทพพระพายมั่นใจอย่างมาก
ในฐานะเซียนเทพปฐพขั้นกลับคืนต้นกําเนิด และเป็นเซียนเทพปฐพีธาตุลมที่มีความเร็วสูง แม้จ้าวแห่งลม จะพบเข้ากับจุดสูงสุดของขั้นกลับคืนต้นกําเนิด เขาก็ยังหลบหนีไปได้ จึงไม่เห็นโลกมนุษย์อยู่ในสายตา

แม้ว่าจะเป็นโลกภายในประตูเซียนซึ่งมีวิทยายุทธรุ่งเรือง ก็มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่อยู่ในสายตาของจ้าว แห่งลม นับประสาอะไรกับโลกมนุษย์ที่กระแสปราณฉนั้นเงียบงันมานานแสนนาน?

ในขณะที่ทั้งสามคนกําลังพูดคุยกันอยู่นั้น
บูม!

พลันมีเสียงดังขึ้นจากประตูหินโบราณขนาดใหญ่ จากนั้นร่องประตูก็แง้มเปิดออก
กลุ่มของจ้าวแห่งลมทั้งสามก็ออกมาตามช่องว่างนี้อย่างรวดเร็ว ผ่านความว่างเปล่าเข้ามาสู่โลกมนุษย์

“ที่นี่คือโลกมนุษย์เช่นนั้นหรือ?” นักพรตหมื่นกําเนิดจากดินแดนศักดิ์สิทธิ์เคหาสน์ม่วงสูดลมหายใจเข้า พร้อมกับพึมพําอยู่กับตนเอง “แม้จิตวิญญาณปราณฉีจะเบาบาง แต่กฎเกณฑ์ต่างๆ นั้นชัดเจนยิ่งกว่ามาก……”

“ไม่ต้องพูดอะไรให้มากความแล้ว รีบไปที่ดินแดนแห่งพลังยุทธฯ กันเถอะ”

จ้าวแห่งลมจากหุบเขาเทพพระพายมองไปยังตําแหน่งของดินแดนแห่งพลังยุทธฯ ใบหน้าดูเปล่งประกาย ยินดี “ข้าได้ยินมาว่ามีคนอยู่มากมายบนโลกใบนี้ มีราชวงศ์อยู่มากมายเรือนหมื่น การทําให้พวกมดเหล่านี้กลาย เป็นทาสค่อนข้างน่าสนใจ”
แม้จะมีคนมากมายภายในประตูเซียน แต่พวกเขาทั้งหมดล้วนได้รับการดูแลจากดินแดนศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ
ส่วนบนโลกมนุษย์นี้ ความแข็งแกร่งของจ้าวแห่งลมนั้นเรียกได้ว่าไร้เทียมทาน การจะทําให้ผู้คนจํานวนมาก ตกเป็นทาส มิใช่เป็นเพียงเรื่องของความคิดหรอกหรือ?

ในขณะที่จ้าวแห่งลมตื่นเต้นและต้องการจะไปยังดินแดนแห่งพลังยุทธโดยเร็วที่สุด ใบหน้าของจอมดาบเก้า สัมผัสที่อยู่ด้านข้างก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย “ไม่ถูกต้อง”
หลังจากสินเสียงของจอมดาบเก่าสัมผัส

เห็นอาณาเขตที่บิดเบี้ยวแพร่กระจายออกมาอย่างรวดเร็ว เข้าปกคลุมคนทั้งสามรวมไปถึงจ้าวแห่งลมด้วย
เมื่ออาณาเขตสัมผัสร่าง พวกของจ้าวแห่งลมทั้งสามก็รู้สึกได้ถึงพลังอันหนักหน่วงเหนี่ยวรั้งร่างกายของ พวกตนไว้ ความแข็งแกร่งของพวกเขาลดต่ําลงกว่าสี่ส่วน
“คือผู้ใดกัน?!”
ลูกตาของนักพรตหมื่นกําเนิดจากดินแดนศักดิ์สิทธิ์เคหาสน์ม่วงหดตัวลงทันที และมองไปยังจุดหนึ่ง
จ้าวแห่งลมและจอมดาบเก่าสัมผัสก็ดูเคร่งเครียด มองตามสายตาของนักพรตหมื่นกําเนิดไป

เห็นที่มาของอาณาเขตอยู่ห่างออกไปไม่กี่ลี้ และเห็นชายร่างสูงเพรียวค่อยๆ เดินออกมา
ดวงตาของชายผู้นั้นสงบ ลมหายใจลึกล้ํา มือไพล่ไว้ที่ด้านหลัง มองไปยังกลุ่มของจ้าวแห่งลมทั้งสามคน

“ข้ารอพวกเจ้ามานานแล้ว”

Sign in Buddha’s palm 338 (II) พังทลายสิ้น

ซูฉินก็เปลี่ยนทิศทางมือและฟันไปทางชายท่าทางอ่อนแอ

แสงใบมีดสีดําสนิทตัดผ่านอากาศภายในเวลาไม่นานก็เกือบจะไปถึงหน้าชายท่าทางอ่อนแออยู่แล้ว

เมื่อเห็นคมมีดเล่มนั้น ชายหนุ่มท่าทางอ่อนแอก็ตกใจกลัว ร่างของเขากลายเป็นสายลมไร้รูปร่างซ่อนตัวห่างออกไปหลายลี้ มองดูคมมีดของซูฉินตัดส่วนหนึ่งของภูเขาออกอย่างง่ายดายเห็นแบบนั้นเขาก็หวาดกลัวจนหัวหด

“โชคดีที่หุบเขาเทพพระพายของข้านั้นเก่งในเรื่องความว่องไวไม่เช่นนั้นคงถูกทําลายจนสิ้นแล้ว”ชายหนุ่มท่าทางอ่อนแอกลืนน้ำลายรีบถอยกลับไปในทันที

ซูฉินน่ากลัวจริงๆ

ในช่วงเวลาสั้นๆ เซียนเทพปฐพีทั้งห้าที่ออกจากประตูเซียนได้ตกตายไปถึงสองคนทั้งยังถูกทําลายจนหมดสิ้นไม่ว่าจะเป็นใครที่ได้เจอสิ่งนี้เกรงว่าพวกเขาจะต้องวิ่งหนีไปให้ไกลที่สุด

“ประกายแสงคมมีดเทพเจ้าปีศาจตัดผ่านอากาศช้าเกินไป” ซูฉันไม่แปลกใจเมื่อเห็นชายท่าทางอ่อนแอหนีไปได้โดยไร้รอยขีดข่วน
หลังจากที่ได้เห็นความคมและความแปลกประหลาดของมีดเทพเจ้าปีศาจ เกรงว่าคงจะไม่มีเซียนเทพปฐพี่คนไหนเลือกที่จะเข้าต้านทานคมมีดเทพเจ้าปีศาจ

“มนุษย์สวรรค์อาณาจักรถังแข็งแกร่งเกินไปไหม?” ด้านนอกเทือกคุนหลุน ชายชราหน้าตอบและจอมยุทธคนอื่นๆ รวบรวมความกล้าเข้าไปใกลี่ยอดเขามากขึ้นเพื่อได้เห็นฉากนี้

ตามความเห็นของพวกเขา การที่เซียนเทพปฐพี่ทั้งห้าได้ผนึกกําลังกัน ไม่ว่ามนุษย์สวรรค์อาณาจักรถังจะไร้เทียมทานเพียงใด อย่างดีที่สุดก็คงเก็บรักษาชีวิตเอาไว้ได้ส่วนการต่อกรหรือเอาชนะนั้น…….ไม่น่าจะเกิดขึ้นได้

เหล่าเซียนเทพปฐพี่ทั้งห้าผนึกกําลังกัน มนุษย์สวรรค์อาณาจักรถังจะเอาอะไรมาสู้?จะเอาชนะได้อย่างไร?

แต่ความจริงคือสิ่งใด?

ต่อหน้าซูฉินเซียนเทพปฐพี่ทั้งห้าไม่แม้แต่จะทันได้ทําอะไร และตกตายไปถึงสองคน

สังหารเซียนเทพปฐพีราวกับฆ่าสุนัข!

นี่มันการลงมือแบบไหน? ความสามารถนี้คืออะไร?

ไม่เพียงแต่ตํานานยุทธเหล่านั้นที่ไม่กล้าจินตนาการ แม้แต่ชายชราหน้าตอบที่คิดว่าตนเองมีไหวพริบดีแล้ว ก็ยังไม่สามารถจินตนาการถึงเรื่องนี้ได้ฉีก

ซูฉินจับที่ด้ามมีดเทพเจ้าปีศาจจากนั้นจึงใส่มันเข้าไปในพื้นที่ของระบบ และมองดูเซียนเทพปฐพีสามคนที่เหลือ

“ไม่เลว”

“สามารถหลบคมมีดของข้าได้ ประเมินเจ้าต่ําไปจริงๆ” ซูฉินจ้องมองไปที่ชายท่าทางอ่อนแอและกล่าวออกเบาๆ

ในตอนแรก ชายท่าทางอ่อนแอได้ปลดปล่อยกระบวนท่าไม้ตายจากหุบเขาเทพพระพายแต่ในสายตาของซูฉันมันกลับกลายเป็นว่า ‘พลังยังไม่เพียงพอ

แต่ในตอนนี้ ดูเหมือนว่าเคล็ดวิชาของชายท่าทางอ่อนแออย่างน้อยก็ในแง่ความเร็วในการหลบหลีกยังดีกว่าเด็กหนุ่มเมื่อครู่มาก

“ข้า……

ชายหนุ่มท่าทางอ่อนแอเปล่งน้ำเสียงขมขื่น ไม่รู้ว่าจะร้องไห้หรือหัวเราะดีดินแดนศักดิ์สิทธิ์หุบเขาเทพพระพายอันสูงสง่าจากประตูเซียนปรากฏว่าได้รับการชื่นชมเพราะการหลบหนี…….

“สหายเต๋”

ขณะที่ซูฉันกําลังจะลงมือต่อ ในที่สุดเทพธิดาไม่อินก็กล่าวคําออกมาอีกครั้ง

เทพธิดาไก่อินจ้องซูฉันเขม็ง แล้วถามออกอย่างไม่แน่ใจ “เปลวเพลิงสีทองที่ปล่อยออก มาจากดวงตาของสหายเต่นั่นควรจะเป็นทิพยอานาจใช่หรือไม่?”

“เจ้ารู้จักทิพยอํานาจด้วย?” ซูฉินหยุดและมองไปทางเทพธิดาไท่อน แสดงความสนใจออกมา

ตั้งแต่ก้าวเข้าสู่แวดวงวิทยายุทธซุฉินก็ไม่เคยได้ยินเกี่ยวกับทิพยอานาจเลย

ตัวอย่างเช่น ซูฉันอ่านคัมภีร์มากมายในวัดเส้าหลินและค้นพบทิพยอํานาจบางประเภทอย่างหูทิพย์การเหาะเหินเดินอากาศรวมไปถึงทิพยอานาจทางพุทธอื่นๆ

แต่ไม่ว่าจะเป็นทิพยอํานาจทางพุทธหรือทิพยอํานาจอื่นๆ พวกมันก็มีอยู่จริงเพียงแค่ในตํานานเท่านั้นและไม่เคยมีใครเห็นทิพยอานาจจริงๆ

ซึ่งเรื่องนี้ แม้แต่ดินแดนโพ้นทะเลก็เป็นเช่นเดียวกัน

และทิพยอํานาจทั้งหลาย ซูฉินก็ได้รับมาเพราะการลงชื่อเข้าใช้ทั้งนั้น

แต่ตอนนี้ ดูเหมือนว่าเทพธิดาไก่อินจะรู้จักทิพยอํานาจ ไม่เช่นนั้นจะไม่มีวันคิดว่าดวงตาตะวันสีทองของซูฉินเป็นทิพยอํานาจไปได้

“ข้าเคยเห็นในหนังสือโบราณของดินแดนศักดิ์สิทธิ์หลักไก่อินว่าผู้ทรงพลังถึงขีดสุดในขอบเขตทลายนภากาศจะมีความสามารถในการควบคุมทิพยอํานาจ”

“นอกจากนี้ทายาทสายตรงของผู้ทรงพลังถึงขีดสุด พวกเขาก็ยังสืบทอดพลังทิพยอานาจเหล่านั้นผ่านทางสายเลือด”

ขณะที่เทพธิดาไม่อินกล่าวเช่นนี้เสียงของนางก็หยุดลงไปชั่วขณะหนึ่ง แล้วกระซิบถามว่า“เป็นไปได้ไหมว่าสหายเต่เป็นทายาทสายตรงของผู้ทรงพลังถึงขีดสุด?”

แม้แต่ในยุคที่กระแสปราณฉีเฟื่องฟู ก็มีเพียงผู้ทรงพลังถึงขีดสุดและทายาทสายตรงของผู้ทรงพลังถึงขีดสุดเท่านั้นที่สามารถควบคุมทิพยอานาจได้

“อย่างนั้นสินะ” ใบหน้าของซูฉนดครุ่นคิด ในที่สุดก็ส่ายศีรษะ “ข้าไม่ได้เป็นทายาทสายตรงของผู้ทรงพลังถึงขีดสุด”

ทิพยอํานาจทั้งหมดนั้นเขาได้รับมาจากการลงชื่อเข้าใช้ระบบแม้แต่ดวงตาตะวันสีทองทิพยอานาจธาตุไฟประเภทโจมตีก็ได้รับมาจากภาพดวงตะวันขนาดมหึมาซึ่งเป็นของรางวัลที่ได้มา จากการลงชื่อเข้าใช้เช่นกัน

“ไม่ใช่ทายาทสายตรงของผู้ทรงพลังถึงขีดสุด?” เทพธิดาไท่อนเงียบไป

แม้ว่าเทพธิดาไก่อินเค้นสมองให้ตายยังไง ก็ไม่น่าคาดคิดได้ว่าจะมีสิ่งน่าทิ้งอย่างระบบซึ่งสามารถได้รับพลังวิเศษเพียงแค่ลงชื่อเข้าใช้อยู่บนโลกนี้

“เอาล่ะ”

“ถึงเวลาตายแล้ว” ซูฉินขี้เกียจเกินกว่าจะพูดคุยต่อไป ดวงตาของเขาหันมองไปทางชายท่าทางอ่อนแอ

ในตอนนี้ชายท่าทางอ่อนแอแอบถอยห่างออกไปหลายสิบตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ เกือบจะออกจากเทือกเขาคุนหลุนไปแล้ว

“ไม่ดีแล้ว”

“ข้าถูกพบตัว”

ชายหนุ่มท่าทางอ่อนแอเริ่มถอยหนีทันที

กลายเป็นสายลมและหายตัวไป

หวิ่ง!!!

หัวใจของซูฉันขยับวูบ

เห็นดาบเล่มเล็กที่ประกอบขึ้นมาจากจิตวิญญาณแรกก่าเนิดล่องลอยออกมา

มันคือเคล็ดหัวใจดาบ

เคล็ดหัวใจดาบเป็นเคล็ดวิชาระดับสูงที่ซูฉันได้รับมาจากการลงชื่อเข้าใช้ภายในเกาะหมื่นดาบซึ่งสามารถควบรวมจิตวิญญาณแรกกําเนิดให้กลายเป็นรูปลักษณ์ดาบเข้าทําลายทุกสิ่งอย่าง

ช่วงเวลาต่อมา

ดาบลวงตาขนาดจิ๋วทะลวงผ่านระยะหลายสิบลี้พุ่งเข้าใส่ชายท่าทางอ่อนแอ

เคล็ดหัวใจดาบเป็นเคล็ดทางจิตวิญญาณระดับสูง การป้องการส่วนใหญ่บนโลกไม่สามารถปีดกันมันได้ เข้าทําลายจิตวิญญาณแรกกําเนิดของชายหนุ่มท่าทางอ่อนแอโดยตรง

และเมื่อจิตวิญญาณแรกกําเนิดไม่เหลืออยู่แล้ว ร่างของชายหนุ่มท่าทางอ่อนแอก็ล้มพับลงกับพื้นถึงแม้ว่าหัวใจยังเต้นอยู่ปราณเลือดก็โคจรตลอดเวลาแต่เมื่อไม่มีจิตวิญญาณแรกกําเนิดคอยควบคุมไม่ว่าร่างกายจะแข็งแกร่งแค่ไหนก็เป็นได้เพียงศพเดินได้

“ไม่ว่าจะเร็วแค่ไหน ก็คงเร็วไม่เท่าจิตวิญญาณแรกกําเนิดหรอกใช่ไหม?”

ซูฉินสายศีรษะเล็กน้อย พลังจิตวิญญาณแรกกําเนิดนั้นไร้ลักษณ์แต่ทรงพลานุภาพไม่สนใจสิ่งกีดขวางใดๆ จะนําเอาความเร็วของกายเนื้อมาเทียบได้หรือ?

“ตาของพวกเจ้า!”

หลังจากซูฉินสังหารชายท่าทางอ่อนแอเขาก็ยกมือขวาขึ้นฟาดออกไปทางเทพธิดาไท่อนและชายชราคิ้วขาว

“พลังจันทรากระจ่าง!”

สัญลักษณ์รูปดวงจันทร์เจิดจ้าส่องแสงระยับอยู่ที่กึ่งกลางระหว่างคิ้วของเทพธิดาไท่อนจากนั้นพลังจากแสงจันทร์ในรัศมีหลายสิบลก็พวยพุ่งรุนแรงฟาว

เมื่อเทียบกับการเข้าต้านทานของเทพธิดาไท่อินชายชราคิ้วขาวนั้นเด็ดเดี่ยวยิ่งกว่าใช้จิตวิญญาณแรกกําเนิดพุ่งหลบหนีออกจากร่างกายโดยไม่ลังเลและพุ่งทิ้งระยะออกไปไกลไม่น้อยด้วยความว่องไว

หลังจากที่ชายชราคิ้วขาวเห็นว่าซูฉินสังหารเซียนเทพปฐพี่ไปถึงสามคนเพียงขยับกายไหนเลยจะกล้าต่อสู้กับซูฉินอีกจึงละทิ้งกายเนื้อโดยตรงใช้จิตวิญญาณแรกกําเนิดพุ่งหนีไป

ท้ายที่สุดแล้วจิตวิญญาณแรกกาเนิดก็เป็นสิ่งที่ชายชราผมขาวถนัด ตราบใดที่จิตวิญญาณแรกกําเนิดหลบหนีไปได้ก็จะไม่นับว่าสูญเสียอะไรมากนัก ส่วนร่างกายนั้น…..

ขนาดตํานานยุทธขั้นสูงสุดยังสามารถเกิดใหม่ได้ด้วยจิตวิญญาณแรกกําเนิดแล้วเซียนเทพปฐพี่จะทําไม่ได้หรือ?

จิตวิญญาณแรกกําเนิดนั้นรวดเร็วมาก ชั่วครู่ก็ไม่พบร่องรอยของชายชราคิ้วขาวแล้ว

“เจ้าหนีไม่พ้นหรอก”

ซูฉินเบิกเนตรดวงตาแห่งสัจจะ จดจําพลังฉีของชายชราคิ้วขาวเอาไว้

ดวงตาแห่งสัจจะสามารถเห็นปราณฉีได้ทั่วทั้งโลก ตราบใดที่ชายชราคิ้วขาวยังคงอยู่บนโลกแม้จะหนีไปจนสุดขอบโลกยังไงซูฉินก็สามารถจับตําแหน่งได้

เพียงช่วงเวลาสั้นๆ เซียนเทพปฐพี่ทั้งห้าจากประตูเซียนสามคนตกตาย หลบหนีไปหนึ่งคนเหลือเพียงเทพธิดาไท่อนที่มีสีหน้าซีดเซียว

ทุกอย่างแทบจะพังทลายจนหมดสิ้น

Sign in Buddha’s palm 338 (1) พังทลายสิ้น

ร่างกายกําย่าของหมานโหยวทรุดตัวลงไปในทันที

แม้ว่าหมัดของซูฉันดูเหมือนจะกระแทกเบาๆ ลงบนหน้าอก แต่พลังอันน่าสะพรึงกลัวก็แพร่ไปทั่วทั้งร่างในทันที แม้ว่าชายร่างกําย่าจะแข็งแกร่ง มีกายเนื้อที่แข็งแกร่งที่สุดในหมู่คนทั้งห้าจากประตูเซียนแต่เขาก็ไม่สามารถหยุดยั้งการทําลายล้างร่างกายอย่างต่อเนื่องเช่นนี้ได้

หวิ่ง!!

ช่วงเวลาต่อมา

จิตวิญญาณแรกกําเนิดของชายร่างกํายําหมานโหยวก็ทะยานออกมาจากร่างมองไปที่ซูฉินด้วยท่าทางหวาดกลัว

เมื่อเปรียบเทียบกับขอบเขตตํานานยุทธแล้วนั้น จิตวิญญาณแรกกําเนิดของเซียนเทพปฐพี่จะถูกควบแน่นจนถึงขีดสุด

ด้วยเหตุนี้ แม้ร่างกายจะตกตาย แต่จิตวิญญาณแรกกาเนิดของชายร่างกายก็ยังรอดชีวิตมาได้

แต่ก็เท่านั้น ความสามารถส่วนใหญ่ของชายร่างกําย่ามาจากกายเนื้อไม่เหมือนกับชายชราคิ้วขาว

ในตอนนี้เขาสูญเสียร่างกายไปซึ่งเทียบเท่าได้กับการทําลายล้างจนสิ้น แม้จะไม่ถึงขนาดได้ทางสู้ แต่ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะเข้าไปแทรกแซงการต่อสู้ระหว่างเซียนเทพปฐพี

“ร่างกายของเจ้าแข็งแกร่งขนาดนี้ได้อย่างไร?” หมานโหยว ชายร่างกําย่าจ้องมองไปที่ซูฉินเขาไม่เข้าใจว่าตัวเขาที่ทรงพลังในด้านกายภาพถึงขั้นที่แม้จะเจอเข้ากับเซียนเทพปฐพี่ขั้นกลับคืนต้นกําเนิดแต่ถ้าวัดกันด้วยพลังกายก็คงไม่สามารถจัดการได้ด้วยเวลาสั้นๆ แต่นี่ซูฉินกลับสังหารได้ในหมัดเดียว?

“เจ้าพูดจาไร้สาระเกินไปแล้ว” ดวงตาของซูฉันดูเหมือนแสงอาทิตย์แผดเผาเปลวเพลิงสีทองทอดผ่านระยะทางหลายพันเมตร เข้าปกคลุมจิตวิญญาณแรกกาเนิดของชายร่างกาย่า

ดวงตาตะวันสีทอง

ทิพยอานาจธาตุไฟได้ถูกเปิดเผยต่อโลกหล้าอีกครั้ง

“ไม่ดีแล้ว!”

ร่างจิตวิญญาณแรกกําเนิดของหมานโหยวดูหวาดกลัว รีบถอยหนี้ ปลดปล่อยพลังจิตวิญญาณแรกกําเนิดออกมาอย่างเต็มที่ แต่ทั้งหมดนั้นมันไร้ประโยชน์

เปลวเพลิงสีทองเข้าโอบล้อมตัวเขาทันที

เห็นชายร่างกํายาที่เหลือเพียงจิตวิญญาณแรกกําเนิดกรีดร้องออกมา จากนั้นจิตวิญญาณก็ถูกแผดเผาด้วยเปลวเพลิงสีทองจนกลายเป็นความว่างเปล่า

“นี่?”

ชายหนุ่มท่าทางอ่อนแอและคนอื่นๆ มองดูหมานโหยว ชายร่างกําย่าที่หายตัวไปอย่าง สมบูรณ์ พวกเขาไม่สามารถเข้าไปช่วยอะไรได้เลย
สิ่งที่เกิดขึ้นมันรวดเร็วจนเกินไป

ในสายตาคนทั้งหลาย เห็นเพียงซูฉินชกเข้าที่หน้าอกของชายร่างกํายําจากนั้นชายร่างกําย่าก็ทรุดตัวลงอย่างรวดเร็วทันใดนั้นดวงตาของซูฉินก็ปล่อยเปลวเพลิงสีทองออกเผาชายร่างกําย่าที่เหลือแต่จิตวิญญาณจนไม่หลงเหลือสิ่งใด

แม้ว่าจะเป็นเทพธิดาไปอิน เมื่อนางรู้ตัวอีกทีก็เป็นตอนที่จิตวิญญาณแรกกําเนิดของชายร่างกํายําตกอยู่ในเปลวเพลิงสีทองไปเสียแล้วสายเกินกว่าจะช่วยเหลือ

“หมานโหยวตายแล้ว?”

ชายชราคิ้วขาวหนังศีรษะชาวาบ

ในบรรดาคนทั้งห้า หมานโหยวมีร่างกายที่แข็งแกร่งที่สุด แม้แต่หมานโหยวยังไม่สามารถทนต่อหมัดของซูฉินได้ ตัวเขาจะไปเหลืออะไร?

ชายชราคิ้วขาวรู้กําลังของตนเองดี เขาเก่งกาจในด้านการใช้จิตวิญญาณแรกกําเนิดแต่กายเนื้อกลับเปราะบางอย่างยิ่งแม้ว่าเมื่อเข้าสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพีร่างกายจะถูกขัดเกลาด้วยทะเลปราณกลายเป็นกายแห่งธรรมชาติแต่ก็เป็นกายแห่งธรรมชาติระดับต่าที่สุด

ไม่ต้องพูดถึงร่างศักดิ์สิทธิ์อีกาทองคําของซูฉินแค่นําไปเทียบกับร่างกายของเหลยเฉียนจือหรือจอมยุทธคนอื่นๆที่เพิ่งเข้าสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพีก็ยังนับว่าห่างไกล

และในตอนนี้

หลังจากที่ซูฉินสังหารหมานโหยวด้วยดวงตาตะวันสีทองจนสลายหายไปสิ้นร่างของเขาก็ค่อยๆเลือนหายไปเหลือแต่เพียงภาพติดตา

“ไม่ดี!”

เมื่อเห็นฉากนี้ สีหน้าของเซียนเทพปฐพีอีกสี่คนก็เปลี่ยนไปกะทันหัน เมื่อได้เห็นบทเรียนจากชายร่างกายก่อนหน้านี้แม้จะเป็นเทพธิดาไทอินก็ไม่เต็มใจจะต้านรับการโจมตีของซูฉิน

น่าเสียดาย

มันสายเกินไปเสียแล้ว

เมื่อร่างของซูฉินปรากฏขึ้นอีกครั้ง ก็มาอยู่ในระยะร้อยเมตรห่างจากเด็กหนุ่มแล้ว

“เป้าหมายของเขาคือข้า!!” เด็กหนุ่มหนังศีรษะชาวาบ เผาผลาญพลังชีวิตโดยไม่คิดลังเลพยายามหนีออกห่างจากซูฉิน

ในมุมของเด็กหนุ่มตราบใดที่เขารอดจากหมัดของซูฉินได้ การรักษาชีวิตไว้ก็ไม่น่ามีปัญหา

อย่างไรก็ตาม

ช่วงเวลาต่อมา

ต่อหน้าสายตาเหลือเชื่อของเด็กหนุ่ม

ซูฉันยกมือขวาขึ้นอีกครั้ง ดึงคมมีดเทพเจ้าปีศาจออกจากส่วนลึกของความว่างเปล่าใบหน้าเคร่งขรึม ฟันฉับลงมาด้วยความนุ่มนวล

ท้องฟ้าผืนดินพลันมืดมิด ประกายคมมีดสีดําปรากฏขึ้นในอากาศ ทรงพลังจนดูเหมือนจะตัดผ่านท้องฟ้าและผืนดินออกได้
ฉับ

ดวงตาของเด็กหนุ่มตกตะลึง ทันใดนั้นก็มีรอยเลือดปรากฏขึ้นที่หน้าผากของเขา

รอยเลือดเส้นนี้

มีเพียงแค่รอยจางๆ ในตอนแรก แต่มันแพร่กระจายออกไปอย่างรวดเร็วผ่านจมูกปากคอและหน้าอกท้ายที่สุดก็ผ่ากลางแบ่งร่างออกเป็นสองส่วนพลังงานอันแหลมคมพุ่งออกมาจากรอยเลือดเหล่านั้น

“เจ้า…..ก่อนหน้านี้เจ้าออมมือไว้งั้นหรือ?”

ประกายนัยน์ตาของชายหนุ่มแสดงความรู้สึกไม่อยากเชื่อออกมา

ที่ต่อสู้กันก่อนหน้านี้ ซูฉินก็ได้ใช้มีดเทพเจ้าปีศาจด้วย

เพียงแต่ว่า แม้คมมีดเทพเจ้าปีศาจจะคมกริบอย่างยากที่จะหาสิ่งอื่นใดมาเปรียบได้แม้แต่ดาบสวรรค์เก้รูปแบบจากดินแดนศักดิ์สิทธิ์ภูเขาดาบสวรรค์ ก็ยังตัดทิ้งได้…

แต่เมื่อเทียบกับประกายคมมีดที่ผ่าร่างเด็กหนุ่มออกเป็นสองส่วนได้ง่ายๆ ในตอนนี้มันช่างแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง

ระหว่างชั่วพริบตานั้น เด็กหนุ่มก็บังคับจิตวิญญาณแรกกําเนิดให้หลบหนีออกมาจากร่างเหมือนชายร่างกายแต่น่าเสียดายที่รัศมีพลังซึ่งดูเหมือนมาจากขุมนรกพลันปรากฏขึ้น

ด้วยรัศมีพลังนี้ จิตวิญญาณแรกกําเนิดของเด็กหนุ่มถูกกัดกันอย่างรวดเร็ว ในที่สุดจิตวิญญาณแรกกําเนิดก็ตกลงสู่ความมืดมิด

ศิษย์ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ภูเขาดาบสวรรค์ตกตายอย่างสมบูรณ์เพียงเวลาไม่นานหลังจากนั้น

นอกเหนือจากความคมของมีดเทพเจ้าปีศาจ ไอพลังจากขุมนรกที่แปลกประหลาดก็ยังสามารถยับยั้งพลังของจิตวิญญาณแรกกําเนิดได้

“เมื่อครู่ข้าแค่เล่นกับเจ้านิดๆ หน่อยๆ น่ะ” ซูฉินส่ายศีรษะเล็กน้อย

คมมีดเทพเจ้าปีศาจเป็นสมบัติที่ซูฉินลงชื่อเข้าใช้ในโลกถปีศาจใต้พิภพ ซึ่งสงสัยว่าน่าจะเกี่ยวข้องกับเทพเจ้าปีศาจจากส่วนลึกของโลกถปีศาจ

ตอนนี้ซูฉินอยู่ในจุดสูงสุดของขั้นแบ่งจิต ครึ่งก้าวเข้าสู่ขั้นกลับคืนต้นกําเนิดควบคู่ไปกับพลังอันน่าสะพรึงกลัวของร่างศักดิ์สิทธิ์อีกาทองคําเมื่อคมมีดเทพเจ้าปีศาจถูกตวัดออกก็เพียงพอแล้วที่จะสังหารเซียนเทพปฐพี่ส่วนใหญ่ที่อยู่ในขั้นแบ่งจิตภายในไม่กี่วินาที

แน่นอน

คมมีดเทพเจ้าปีศาจไม่ใช่ไม่มีข้อบกพร่อง

นั่นคือคมมีดเทพเจ้าปีศาจนั้นสามารถหลบหลีกได้

นี่คือเหตุผลว่าทําไมซูฉินถึงต้องตวัดคมมีดเทพเจ้าปีศาจในระยะร้อยเมตรใกล้เด็กหนุ่มหนึ่งเป็นเพราะเด็กหนุ่มไม่คิดว่าคมมีดเทพเจ้าปีศาจจะสามารถเป็นภัยคุกคามต่อเขาได้และอีกอย่างระยะประชิดขนาดนี้เป็นเรื่องยากที่คู่ต่อสู้จะหลบหลีกทันฉับพลัน

ในตอนนั้นเอง

ซูฉันก็เปลี่ยนทิศทางมือและฟันไปทางชายท่าทางอ่อนแอ

แสงใบมีดสีดําสนิทตัดผ่านอากาศ ภายในเวลาไม่นานก็เกือบจะไปถึงหน้าชายท่าทางอ่อนแออยู่แล้ว

เมื่อเห็นคมมีดเล่มนั้น ชายหนุ่มท่าทางอ่อนแอก็ตกใจกลัว ร่างของเขากลายเป็นสายลมไร้รูปร่างซ่อนตัวห่างออกไปหลายลี้มองดูคมมีดของซุฉินตัดส่วนหนึ่งของภูเขาออกอย่างง่ายดายเห็นแบบนั้นเขาก็หวาดกลัวจนหัวหด

“โชคดีที่หุบเขาเทพพระพายของข้านั้นเก่งในเรื่องความว่องไวไม่เช่นนั้นคงถูกทําลายจนสิ้นแล้ว”ชายหนุ่มท่าทางอ่อนแอกลืนน้ําลายรีบถอยกลับไปในทันที
ซูฉินน่ากลัวจริงๆ

ในช่วงเวลาสั้นๆ เซียนเทพปฐพี่ทั้งห้าที่ออกจากประตูเซียนได้ตกตายไปถึงสองคนทั้งยังถูกทําลายจนหมดสิ้นไม่ว่าจะเป็นใครที่ได้เจอสิ่งนี้เกรงว่าพวกเขาจะต้องวิ่งหนีไปให้ไกลที่สุด

Sign in Buddha’s palm 337 อ่านาจที่น่าเกรงขาม

เทพธิดาไท่อน

หนึ่งในว่าที่เทพธิดาของดินแดนศักดิ์สิทธิ์หลักไก่อินจากประตูเซียน ทั้งความสามารถและพรสวรรค์นั้นสูงที่สุดในกลุ่มคนทั้งห้า

ถ้าไม่ใช่เพราะความสําคัญของตราประทับไก่อินของดินแดนศักดิ์สิทธิ์หลักไก่อินและเพราะความกังวลในการมอบสมบัติล้ําค่านี้ให้กับศิษย์สาวกคนอื่นๆก็เป็นไปไม่ได้เลยที่เทพธิดาท่อนจะมาโลกมนุษย์ด้วยตนเอง

เวลาผ่านไปกว่าหมื่นปี แม้แต่ผู้คนภายในประตูเซียนก็ไม่รู้ว่าโลกมนุษย์ในปัจจุบันเป็นเช่นไร

เมื่อเทพธิดาไท่อนลงมือ ร่วมกับการต่อต้านของเซียนเทพปฐพี่ทั้งสี่ สายฟ้าสีม่วงที่ปกคลุมทั่วทั้งผืนฟ้าก็ค่อยๆ หายไป

เมฆด่าลอยหายไปเผยให้เห็นท้องฟ้ากว้างไกล

ชายหนุ่มท่าทางอ่อนแอและคนอื่นๆ ที่เหลือก็รู้สึกโล่งใจอย่างมาก เป็นการยากที่จะซ่อนความตกใจที่แสดงออกมาผ่านสีหน้า

แม้พวกเขาทั้งสี่จะไม่ใช่เซียนเทพปฐพี่ขั้นแบ่งจิตระดับสูงสุด แต่เมื่อพวกเขารวมพลังกันใช้พลังออกจนสุดตัวย่อมพอจะต่อกรกับจุดสูงสุดของขั้นแบ่งจิตได้ แต่ซูฉินที่อยู่เบื้องหน้าใช้ทั้ง ฝ่ามือมีด หมัดก็สามารถเอาชนะพวกเขาได้แล้ว ในตอนสุดท้ายยังเรียกสายฟ้าสวรรค์เก้าชั้นฟ้าออกมาอีก

ถ้าไม่ใช่เพราะเทพธิดาไท่อินแม้ว่าทั้งสี่คนจะยังไม่ตายแต่ก็คงได้รับบาดเจ็บสาหัส

พลังอันน่ากลัวนี้มันคือสิ่งใด?

เมื่อเทียบกับบุตรสวรรค์และเทพธิดาจากประตูเซียนก็ไม่นับว่าต่างกันมากเท่าไหร่มิใช่หรือ?

“น่าเสียดายจริงๆ”

ซูฉินส่ายศีรษะเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าคนทั้งห้าสามารถปิดกั้นหมื่นสายฟ้าฉุดกระชากได้

แม้ว่าหมื่นสายฟ้าฉุดกระชากจะเป็นกระบวนท่าไม้ตายธาตุสายฟ้า แต่คนทั้งห้าที่อยู่เบื้องหน้านี้ก็ล้วนเป็นคนจากประตูเซียน ห่างชั้นไปไกลหากจะนํามาเทียบเซียนเทพปฐพีอย่างเหลยเฉียนจือที่เพิ่งเข้าสู่ขั้นแบ่งจิต โดยเฉพาะเทพธิดาไท่อินที่ลงมือในตอนสุดท้ายไอพลังรุนแรงมากคาดว่าใกล้จะถึงจุดสูงสุดของขั้นแบ่งจิตแล้ว

แม้ว่าความแข็งแกร่งของซูฉินจะครอบงําผู้คน แต่ก็ค่อนข้างยากที่จะปราบเซียนเทพปฐพี่ทั้งห้าซึ่งหนึ่งในนั้นยังเป็นผู้ที่อยู่ใกล้กับจุดสูงสุดของขั้นแบ่งจิต

แน่นอนว่าเหตุผลคือซูฉันยังไม่ได้ใช้ไพ่ในมืออย่างจริงจังหมื่นสายฟ้าฉุดกระชากไม่ได้เป็นอะไรมากไปกว่ากระบวนท่าสังหารที่ซูฉินได้รับจากการลงชื่อเข้าใช้บนเกาะเทพเจ้าสายฟ้ามันยังห่างไกลจากไพ่ลับในมือของเขาอีกมาก

“เจ้ากล้าที่จะหยุดยั้งข้า เจ้าไม่กลัวความตายหรือ?” ซูฉันมองไปที่เทพธิดาไท่อน ถ้าไม่ใช่เพราะการเคลื่อนไหวของเทพธิดาไทอิน อย่างน้อยกลุ่มของชายท่าทางอ่อนแอคงจะได้รับบาดเจ็บไม่น้อย

“พรรคพวกจากประตูเซียน หากพวกเขาตายไปจนหมด ข้าคงไม่สามารถอธิบายสิ่งใดได้ยามเมื่อกลับไป”เทพธิดาไท่อินมีน้ำเสียงที่เย็นชาแต่สีหน้าที่ดูเคร่งเครียดของนางแสดงให้เห็นว่านางไม่ได้สงบเหมือนอย่างที่เห็นภายนอก

ในสายตาของกลุ่มชายท่าทางอ่อนแอทั้งสี่คน หลังจากที่เทพธิดาไท่อนเคลื่อนไหวพวกเขาก็สามารถปิดกั้นสายฟ้าสวรรค์เก้าชั้นฟ้าได้ ซึ่งดูเหมือนจะเทียบได้กับซูฉิน

มีเพียงแค่เทพธิดาไท่อนเท่านั้นที่รู้ว่าราคาที่ต้องจ่ายไปมันมากเท่าไหร่

จนถึงตอนนี้เทพธิดาไก่อินยังคงรู้สึกชาตามร่างกายเล็กน้อย

“นอกจากนี้ แม้ว่าข้าจะไม่เคลื่อนไหว แต่ข้านั้นจะรอดหรือหากสหายเต่สังหารพวกเขาไปหมดแล้ว?”ความรู้สึกไร้หนทางปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเทพธิดาไท่อน

เนื่องจากซูฉันรู้จักประตูเซียน เป็นปกติที่เขาจะต้องรู้ว่ามันเป็นมรดกที่สืบทอดมาจากผู้ทรงพลังถึงขีดสุดด้วยสถานการณ์เช่นนี้ หากซูฉันเลือกทําอะไรบางอย่างกับกลุ่มของชายท่าทางอ่อนแอเขาจะไม่มีวันปล่อยให้อีกฝ่ายมีชีวิตอยู่และกลับไปรายงาน

กล่าวอีกนัยหนึ่งหากเทพธิดาไท่อนไม่ต้องการจะถูกไล่ล่าโดยซูฉิน นางก็จําเป็นจะต้องร่วมมือกับเซียนเทพปฐพีทั้งสี่เท่านั้น

“เจ้าฉลาดน” รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของซูฉิน

เขาไม่ได้ตั้งใจจะปล่อยเทพธิดาไก่อินไปจริงๆ เมื่อเลือกที่จะลงมือแล้ว ก็ต้องขุดรากถอนโคนให้เพี้ยน

“เมื่อเป็นเช่นนั้น”

“พวกเจ้าก็จงตายกันเสียให้หมดเถอะ”

ดวงตาของซูฉินสงบนิ่ง ก้าวขาออกไปหนึ่งก้าว ไอพลังที่น่าสะพรึงกลัวสั่นสะเทือนท้องฟ้าและผืนดิน

“ลงมือให้เต็มที่ ร่วมมือกัน ไม่เช่นนั้นข้าเกรงว่าเราจะต้องทิ้งร่างอยู่ที่นี่ในวันนี้แล้ว” เสียงของเทพธิดาไท่อนนั้นชัดแจ้ง แต่ความกังวลก็มีอยู่มาก

“เทพธิดาไท่อนไม่ต้องกังวลไป หลังจากนี้ข้ารู้แล้วว่าต้องทําเช่นไร” ชายหนุ่มท่าทางอ่อนแอดูเคร่งเครียดกล่าวออกอย่างสุขุม ส่วนอีกสามคนก็พยักหน้ารับเช่นเดียวกัน

เมื่อมาถึงระดับนี้ เห็นได้ชัดว่าทางเลือกเดียวคือต้องรวมพลังกันปิดกันซูฉิน ส่วนเรื่องการหลบหนีมีแต่จะทําให้พวกเขาอยู่ในสถานการณ์ที่ถูกไล่ล่าสังหารเท่านั้น

จะเกิดอะไรขึ้นหากพวกเขาหลบหนีไป? ตราประทับไก่อินก็ยังฟื้นฟูพลังไม่เสร็จ เป็นไปไม่ได้ที่จะคุ้มกันทั้งห้าคนให้ข้ามผ่านช่องว่างแห่งความว่างเปล่าไปได้ในระหว่างนั้นพวกเขาก็ต้องเผชิญหน้ากับซูฉิน

“ดาบสวรรค์ กระบวนท่าที่สี่!” ดาบยาวในมือเด็กหนุ่มปรากฏขึ้นอีกครั้ง รวมตัวกันเป็นแสงศักดิ์ สิทธิ์ เจตจํานงแห่งดาบอันกว้างใหญ่ดูเหมือนเงาสลัวคลุมเครือ คมกริบถึงขนาดตัดผืนโลกทั้ง เก้าชั้นลงไปใต้พิภพ

เป้ง!

ซูฉินดังคมมีดเทพเจ้าสายฟ้าออกมาดั่งใจนึก พุ่งเข้าใส่เจตจํานงดาบของเด็กหนุ่มทันใดนั้นกลิ่นอายสยดสยองก็พวยพุ่งร่างของเด็กหนุ่มสั่นเทา มองมาที่ซูฉินด้วยความตกใจ

ดาบสวรรค์เก้ารูปแบบเป็นท่าไม้ตายที่สืบทอดมาในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ภูเขาดาบสวรรค์ด้วยความแข็งแกร่งของเขาสามารถฟาดฟันได้มากที่สุดก็แค่รูปแบบที่สามเท่านั้นแต่กระนั้นมันก็เพียงพอที่จะใช้อาละวาดไปได้ทั่วดินแดนศักดิ์สิทธิ์แล้ว

และตอนนี้ เด็กหนุ่มยอมสูญเสีย ฝืนใช้ดาบสวรรค์รูปแบบที่สื่ออกมาพลังของมันเกินกว่าขั้นแบ่งจิตไปอย่างสิ้นเชิงเดิมทีเขาจะคิดว่ากระบวนท่านี้คงจะถ่วงรั้งซุฉินได้ชั่วขณะหนึ่งแต่ท้ายที่สุดกลับถูกซูฉินบังคับให้ล่าถอยกลับไปอีกครั้ง

ต่อจากนั้น ซฉินก็ยังคงออกกระบวนท่าต่อไป กดขี่เซียนเทพปฐพี่ทั้งห้าอย่างต่อเนื่องถ้าเทพธิดาท่อนไม่ได้เข้าร่วมด้วยและใช้พลังจันทราเข้าสู่ซึ่งพอจะถ่วงเวลาซูฉินได้บ้างเกรงว่าพวกเขาทั้งสี่คงถูกเล่นงานไปแล้ว

แต่ถึงกระนั้น สถานการณ์ต่อสู้ก็ดูจะไม่ได้เอนเอียงมาทางฝั่งของคนทั้งห้าจากประตูเซียน

“คนผู้นี้คือใครกัน?”

“ตัวตนผิดปกติเช่นนี้เกิดขึ้นบนโลกมนุษย์ในยุคที่กระแสปราณจี้เงียบงันได้อย่างไร?”ชายชราคิ้วขาวกระอักเลือดออกมา

ในบรรดาคนทั้งห้า ชายชราคิ้วขาวเป็นคนที่รู้สึกกดดันมากที่สุด เขาเก่งในด้านการใช้จิตวิญญาณแรกกําเนิดซึ่งอ่อนแอกว่าเซียนเทพปฐพีคนอื่นๆ ทั้งในด้านร่างกายและพลังแห่งกฎเกณฑ์ธรรมชาติ

เพียงแต่ว่าซูฉันน่าจะกลัวการโจมตีจากจิตวิญญาณแรกกําเนิดน้อยที่สุดแล้วด้วยองค์ยูไลทองค่าภายในกึ่งกลางระหว่างคิ้วของซูฉินทําให้สามารถป้องกันการโจมตีทางจิตวิญญาณได้ทั้งหมด

ดังนั้นแม้ว่าชายชราคิ้วขาวจะใช้ท่าไม้ตายจิตวิญญาณแรกกําเนิดใส่ซูฉินมากเพียงไรมันก็เหมือนเพียงก้อนหินที่ตกลงบนพื้นมหาสมุทรเกิดคลื่นขึ้นมาเพียงเล็กน้อยเท่านั้นในทางกลับกันผลจากหมัดที่ปล่อยออกไปส่งๆของซูฉินกลับเพียงพอที่จะทําร้ายชายชราคิ้วขาว

การต่อสู้ของทั้งคู่ไม่มีความเท่าเทียมกันแต่ประการใด

ถ้าไม่ใช่เพราะเทพธิดาไปอินที่มาอยู่ด้านข้างเป็นครั้งคราว ชายชราคิ้วขาวคงจะต้องตกตายเป็นคนแรกอย่างแน่นอน

“จงมอบชีวิตมาให้ข้า!?”

ก่อนที่หมานโหยวชายร่างกํายําจะก้าวไปด้านหน้าตาของเขาก็กลายเป็นสีแดงเลือดและเส้นผมที่เป็นสีดําก็เปลี่ยนไปเป็นสีขาวตั้งแต่รากยันปลายผม ผิวมันเงามีสีเข้มมากขึ้น

ทําให้ชายร่างกายได้รับแรงผลักดันบางอย่าง ก้าวข้ามขั้นแบ่งจิตระดับกลางไปอย่างรวดเร็วพุ่งไปถึงจุดสูงสุดของขั้นแบ่งจิต

เห็นได้ชัดว่าหมานโหยวนผู้นี้เริ่มลงมือสุดกําลัง วิธีที่เขาใช้เพิ่มความแข็งแกร่งเป็นทักษะต้องห้ามแม้จะมาจากประตูเซียนแต่ก็มันสร้างความเสียหายอย่างมากต่อแก่นแท้แห่งพลังแม้จะใช้ออกเพียงครั้งเดียว

“ฮ่าฮ่า….”

ซูฉินหัวเราะออกมา กําหมัดขวา เหวี่ยงตัดอากาศประทับเข้าที่หน้าอกต่อหน้าสายตาเหลือเชื่อของชายร่างกาย่าบูม!

หมานโหยวชายร่างกําย่ากระเด็นลอยกลับหัวกลับหาง กระแทกพื้นอย่างรุนแรง

“เจ้า?!”

หมานโหยวกระอักเลือด มันมีแม้กระทั่งเศษอวัยวะภายในไหลออกมา ริมฝีปากของเขากระตุกต้องการจะพูดบางอย่างแต่สายตาของเขาเริ่มหม่นแสงสุดท้ายก็ดับลงไม่เหลือแววตาแห่งชีวิตอีกต่อไป

Sign in Buddha’s palm 336 หวั่น

เซียนเทพปฐพี่ทั้งสี่คนร่วมมือกัน มันทําให้แผ่นดินแตกแยก เทือกเขาคุนหลุนทั้งหมดสั่นสะเทือนแทบจะไม่สามารถทนต่อพลังอันน่าสะพรึงกลัวนี้ได้แม้แต่ตํานานยุทธที่ซ่อนตัวอยู่ห่างไกลจากเขาคุนหลุนก็ยังรู้สึกขนลุกหนังศีรษะชาวาบถอยกายกลับไปอย่างรวดเร็ว

“แข็งแกร่งมาก”

ชายชราที่มีใบหน้าผอมบางเคยรับชมการต่อสู้ระหว่างซูฉินกับเหลยเฉียนจือในเมืองฉางอันมาก่อนแต่เมื่อเทียบกับครั้งนี้ เรื่องเมื่อครั้งนั้นไม่ได้น่ากลัวอีกต่อไป

“นี่คือจุดสูงสุดของวิทยายุทธ ความแข็งแกร่งพวกนี้มันช่างสะเทือนฟ้าสะท้านดิน….” แม้ว่าตํานานยุทธคนอื่นๆจะดูหวาดกลัวแต่ใบหน้าของพวกเขากลับแฝงไปด้วยความปรารถนา

แม้ว่าตํานานยุทธจะสามารถควบคุมพลังฟ้าดินได้ สามารถต่อสู้กับคนได้นับล้านแต่เมื่อเทียบกับเซียนเทพปฐพี่ที่สามารถใช้ทะเลปราณภายในส่วนลึกของความว่างเปล่ามันห่างชั้นกันกี่แสนเท่า? ไม่ต่างไปจากนําเด็กทารกมาเทียบกับยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่ง

“มนุษย์สวรรค์อาณาจักรถังเป็นอันตรายแล้ว”

ตํานานยุทธต่างชําเลืองมองหน้ากัน ความคิดต่างๆ พากันผุดขึ้นมาในสมอง พวกเขาประเมินมนุษย์สวรรค์อาณาจักรถังสูงก็จริง แต่พวกเขาไม่คิดว่ามนุษย์สวรรค์อาณาจักรถึงจะสามารถหยุดยั้งการโจมตีของเซียนเทพปฐพี่ทั้งสี่ได้ง่ายดายปานนั้น

และในตอนนี้เอง

เมื่อต้องเผชิญหน้ากับท่าไม้ตายของคนจากประตูเซียนทั้งส์ ซูฉินก็ขยับตัว

ซูฉันค่อยๆ ยกมือขวาขึ้น ผลักออกเบาๆ ไปทางชายหนุ่มที่ท่าทางอ่อนแอ

หวิ่ง!!!

อากาศค่อยๆ ก่อตัวหนา สายลมสีดําพวยพุ่งออกมา ปะทะเข้ากับพายุหมุนที่แสนน่ากลัวของชายท่าทางอ่อนแอ

ฟูว!

สายลมอันมืดมิดเหมือนกับสายลมฤดูใบไม้ผลิที่นุ่มนวลแต่ทันทีที่เข้าปะทะกับพายุหมุนทั้งคู่ต่างส่งพลังทําลายล้างรุนแรงเพียงครู่เดียวพายุหมุนของชายท่าทางอ่อนแอก็สลายตัวไปและสายลมสีดําก็ค่อยๆพัดเข้าหาชายท่าทางอ่อนแอ

“นี่?!”

สีหน้าของชายหนุ่มท่าทางอ่อนแอเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก และหลบออกมาโดยไม่รีรอลมสีดําจึงพัดผ่านเข้าปะทะกับทิวเขาที่อยู่ไกลออกไป

เห็นว่าภูเขานั้นหลอมละลายด้วยความเร็วที่เห็นได้ด้วยตาเปล่า ราวกับถูกลบทิ้งไปจนหมดสร้างความหวั่นใจให้ทุกผู้ทุกคน

“พลังยังไม่เพียงพอ”

ซูฉันเหลือบมองชายหนุ่มท่าทางอ่อนแอ ส่ายหัวพร้อมกับกล่าวคํา

“เจ้า?!” เมื่อได้ยินเช่นนี้ชายท่าทางอ่อนแอก็โกรธจนแทบจะอาเจียนออกมาเป็นเลือดกระบวนท่าไม้ตายของหุบเขาเทพพระพาย ดินแดนศักดิ์สิทธิ์จากประตูเซียนกลายเป็นว่ามีพลังไม่เพียงพอเมื่ออยู่ต่อหน้าซูฉน?ถ้าเรื่องนี้แพร่กระจายไปในประตูเซียนจนดินแดนศักดิ์สิทธิ์หุบเขาเทพพระพายล่วงรู้เกรงว่าพวกเขาคงต้องออกตามล่าซูฉินเป็นแน่

หลังจากเอาชนะท่าไม้ตายของชายท่าทางอ่อนแอได้ด้วยทิพยอํานาจ ซูฉินก็คว้าจับความว่างเปล่าและชักมีดยาวที่มีรูปร่างแปลกๆ ออกมา มันโค้งโก่งดั่งพระจันทร์เต็มดวง

หลังจากนั้นซฉินก็กระชับมีดเทพเจ้าปีศาจในมือและฟันออกไปในอากาศ

ฉีก

ฟ้าดินกลายเป็นสีดําสนิท เห็นประกายคมมีดกะพริบวูบไหวตัดช่องว่างในอากาศพุ่งเข้าหาเด็กหนุ่ม ซึ่งเป็นเวลาเดียวกันกับที่เด็กหนุ่มชักดาบออกมามันราวกับแสงศักดิ์สิทธิ์ประกอบรวมเข้าด้วยกันฟันออกไปทางซูฉิน

ดาบสวรรค์เก่ารูปแบบ!

เป็นกระบวนท่าสังหารที่สืบทอดมาจากดินแดนศักดิ์สิทธิ์ภูเขาดาบสวรรค์

เป็นที่รู้กันในฐานะกระบวนท่าที่ทรงพลังที่สุดในประตูเซียน เมื่อดาบสวรรค์เก่ารูปแบบถูกฟาดฟันออกไป เพียงพอที่จะสังหารเซียนเทพปฐพีได้เลย

แม้ว่าเด็กหนุ่มจะยังห่างไกลจากความสามารถที่จะใช้กระบวนท่ารูปแบบที่เก้าเขาก็ยังสามารถใช้กระบวนท่ารูปแบบที่สามได้ซึ่งเซียนเทพปฐพีธรรมดาๆ ในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ที่ต้องเผชิญหน้ากับคมดาบนี้ยังไม่กล้าเข้ารับตรงๆ

อย่างไรก็ตาม ต่อหน้าสายตาของเด็กหนุ่ม ใบมีดสีดําสนิทที่ซูฉินตวัดออกมาส่งๆก็ตัดเข้าที่จุดบกพร่องของดาบสวรรค์เก่ารูปแบบในทันทีทันใดนั้นประกายดาบศักดิ์สิทธิ์ในมือเด็กหนุ่มก็ส่งเสียงออกมา เหมือนโดนทะลวงเข้าไปถึงเจ็ดนิ้วประกายแสงพลันแตกออกเป็นเสี่ยงๆ ไอพลังตกฮวบลงไปทันที

“วิชาดาบยังไม่ดี ไปเรียนรู้มาอีกสักร้อยปี!”

ซูฉกล่าวออกอย่างไม่ใส่ใจอะไรนัก

เมื่อเด็กหนุ่มได้ยินสิ่งนี้ เขามองดาบยาวในมือของตนเองด้วยใบหน้าบิดเบี้ยวน่าเกลียดกระบวนท่าสังหารที่สืบทอดมาจากภูเขาดาบสวรรค์อันสง่างามกลับถูกประเมินว่าความชํานาญนั้นยังไม่ดี

ตึงตึงตึง!

ในเวลานั้นเอง ชายร่างกํายํา หมานโหยว จู่ๆ ก็ขยายตัวออกอย่างรวดเร็วกลายเป็นยักษ์ขนาดย่อมสูงถึงห้าเมตร วิ่งเข้าหาซูฉินพร้อมกับเสียงกึกก้อง!

ดูเหมือนเขาคุนหลุนทั้งหมดกําลังสั่นสะท้าน ในขณะนี้ชายร่างกายมีพลังมหาศาลปราณเลือดอันน่าสยดสยองกระจายไปทั่วทุกมุมราวกับน้ําทะเลซัดสาด

ซูฉินเหยียดแขนซ้ายออก กํามือเป็นหมัด หวดเข้าใส่คู่ต่อสู้เบาๆ ไม่แม้แต่จะหันไปมองชายผู้

นั้น

ปัง!

ขณะเดียวกับที่เสียงของชายร่างยักษ์ย่ากระแทกพื้นดินกําปั้นของซูฉินก็ปะทะเข้ากับหน้าอกของหมานโหยวอย่างแรงทันใดนั้นใบหน้าของชายร่างกํายําหมานโหยวก็ซีดเผือดปราณเลือดที่แผ่ขยายออกไปทุกทิศทางพลันสลายหายไปอย่างรวดเร็วทั้งร่างถลากลับไปหลายก้าวในที่สุดก็ล้มลงไปกับพื้น

“เจ้า?!”

ชายร่างกายนั้นพยายามอดทนอาการเลือดลมปั่นป่วนเอาไว้ จ้องไปที่ซูฉันราวกับเห็นภูตผี

“ร่างกายช่างเทอะทะและเปราะบางนัก”

สายตาของซูฉินหันเหไปทางชายคนสุดท้าย

คนผู้นี้เป็นชายชราที่มีคิ้วสีขาว ในตอนนี้เปลือกตาพับปิดลง ดูเหมือนจะไม่เคลื่อนไหวแต่ซูฉินรู้สึกได้ว่าพลังจิตวิญญาณแรกกําเนิดขนาดใหญ่กําลังก่อตัวขึ้นอย่างต่อเนื่องในอากาศ

ช่วงเวลาต่อมา

พลังจิตวิญญาณแรกกําเนิดก็รวมตัวกลายเป็นรูปค้อนสีดํา ตัดผ่านระยะทางพันเมตรในทันทีพุ่งเข้าสู่กึ่งกลางหว่างคิ้วของซูฉิน

ท่าไม้ตายจิตวิญญาณแรกกําเนิด!

ในตอนนี้ชายชราที่มีคิ้วสีขาวได้ใช้กระบวนท่าไม้ตายจิตวิญญาณแรกกาเนิดออกมา

รู้หรือไม่ว่าทั้งท่าไม้ตายของชายท่าทางอ่อนแอ หรือแม้แต่ของเด็กหนุ่มล้วนเป็นกระบวนท่าสังหารทางกายภาพ ถึงแม้ว่าจะแข็งแกร่งแต่ก็ปิดกั้นได้ง่าย

แต่ท่าไม้ตายจิตวิญญาณแรกกําเนิดนั้นต่างออกไป

จิตวิญญาณแรกกําเนิดนั้นมองไม่เห็น ไร้รูปร่าง และท่าไม้ตายจิตวิญญาณแรกกําเนิดสามารถทะลุผ่านสสารต่างๆ บนโลกได้อย่างง่ายดาย

หากต้องการสกัดกั้นกระบวนท่าไม้ตายจิตวิญญาณแรกกําเนิด นอกเหนือจากการป้องกันด้วยอาวุธจิตวิญญาณแล้วก็สามารถพึ่งพาได้เพียงจิตวิญญาณแรกกําเนิดของตนเองเข้าต่อต้านเท่านั้น

ทนได้ก็รอด

ทนไม่ไหวก็ตาย

ฟิว!

เห็นค้อนไร้ลักษณ์สีดําที่ดูแปลกประหลาดเจาะเข้าไปในกึ่งกลางระหว่างคิ้วของซุฉินทะลวงเข้าไปภายใน

อย่างไรก็ตาม ก่อนที่ค้อนจะทะลวงต่อไปได้ มันก็ถูกทุบทําลายด้วยองค์ยูไลทองคําที่นั่งอยู่ในส่วนลึกระหว่างคิ้วของซูฉิน

หลังจากนั้นไม่นาน

มีเค้าความเหลือเชื่อปรากฏอยู่บนใบหน้าของชายชราคิ้วขาว

“เคล็ดโจมตีด้วยจิตวิญญาณแรกกาเนิดนั้นก็มีข้อดี” ซูฉินเงยหน้าขึ้นมองชายชราคิ้วขาวพยักหน้าชื่นชมแต่สุดท้ายก็ส่ายศีรษะพร้อมกับกล่าวว่า

“แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าข้า มันไร้ประโยชน์……”

กระบวนท่าไม้ตายจิตวิญญาณแรกกําเนิดนั้นมีชื่อเสียงในด้านความพิสดารมาโดยตลอดแม้แต่เซียนเทพปฐพี่ขั้นสถิตเทพก็ต้องระมัดระวังอย่างยิ่งเมื่อต้องเผชิญหน้ากับท่าไม้ตายจิตวิญญาณแรกกําเนิด

ท้ายที่สุดแล้ว ท่าสังหารประเภทนี้ก็เพิกเฉยต่อการป้องกันส่วนใหญ่ และมุ่งเป้าไปที่จิตวิญญาณแรกกําเนิดเท่านั้นไม่มีวิธีอื่นใดที่จะใช้ต่อต้าน นอกจากความแข็งแกร่งของตนเอง

อย่างไรก็ตาม

สําหรับซูฉินนั้น กระบวนท่าไม้ตายที่ทําให้เซียนเทพปฐพี่ทั้งหลายต้องหวาดกลัวกลับไร้ค่าที่สุด

องค์ยูไลทองคําในส่วนลึกระหว่างคิ้วของซูฉิน นอกจากจะเป็นสัญลักษณ์ที่สื่อถึงมรดกฝ่ามือยูไลแล้วยังส่งผ่านความรู้มาให้ซูฉินพร้อมทั้งป้องกันผลจากการโจมตีทางจิตวิญญาณทั้งหมดด้วย

“นี่ จบแล้วหรือ?” ด้านนอกเขาคุนหลุน จอมยุทธจํานวนมากที่เต็มไปด้วยความกังวลพลันเบิกตากว้างไม่อยากจะเชื่อ

ในตอนแรกพวกเขารู้สึกถึงพลังอันท่วมท้นของเซียนเทพปฐพี่ทั้งสี่ที่ร่วมมือกันและในเวลาเพียงชั่วครู่พลังเหล่านั้นก็หายไปอย่างกะทันหันราวกับถูกบีบบังคับด้วยใครบางคน

เมื่อเทียบกับจอมยุทธด้านนอกเขาคุนหลุนที่กําลังงุนงง

เซียนเทพปฐพี่ทั้งสี่จากประตูเซียนต่างเกิดคลื่นลมพัดกระโชกอยู่ในหัวใจ

ซูฉินเอาชนะกระบวนท่าไม้ตายของเซียนเทพปฐพี่ทั้งสามได้ด้วยฝ่ามือ มีดและหมัดในท้ายที่สุดก็ยังต้านท่าไม้ตายจิตวิญญาณแรกกําเนิดได้อย่างง่ายดายในชั่วพริบตาเดียวราวกับมันเป็นเพียงสายลมอ่อนโยนที่พัดมากระทบใบหน้าน่าหวาดกลัวยิ่ง

โดยเฉพาะชายชราคิ้วขาว ท่าไม้ตายจิตวิญญาณแรกกําเนิดของเขานั้นแม้แต่เซียนเทพปฐพีในขั้นกลับคืนต้นกําเนิดที่ไม่เข้าใจความลึกซึ้งของมันก็อาจจะหลบหนีไปไม่ได้เสียด้วยซ้ำแต่เมื่อเป็นซูฉิน เขากลับปิดกั้นมันได้อย่างสบายๆ?

“ความสามารถของประตูเซียนเป็นเช่นนี้สินะ?”
ซูฉันมองเซียนเทพปฐพีทั้งสี่ที่กําลังตกตะลึง เอ่ยออกด้วยน้ําเสียงผิดหวัง

ตั้งแต่ได้รู้เรื่องราวของประตูเซียน ซูฉินก็สนใจโลกภายในประตูเซียนเป็นอย่างมากท้ายที่สุดประตูเซียนก็สืบทอดมรดกมาจากผู้ทรงพลังถึงขีดสุด ภูมิหลังของพวกเขาอยู่ห่างไกลจากโลกที่กระแสปราณฉีเงียบงันไปหลายขุม

เป็นเพราะเหตุนี้เอง ซูฉินจึงจงใจปล่อยให้เซียนเทพปฐพี่ทั้งสี่ลงมือ เพราะอยากเห็นวิถีพลังจากประตูเซียน

แต่สุดท้ายมันก็ทําให้ซูฉินผิดหวัง

ยกเว้นท่าไม้ตายของชายชราคิ้วขาว กระบวนท่าไม้ตายของอีกสามคนไม่ได้อยู่ในสายตาของเขาเลย

“ความสามารถของสหายเต่ยากหยั่งถึงจริงๆ”

“เมื่อเป็นเช่นนี้ เราก็ต้องขอกลับไปยังประตูเซียนก่อนแล้ว”

ดวงตาของเด็กหนุ่มสั่นไหว ในที่สุดเขาก็ค่อยๆ ก้าวถอยหลายก้าวด้วยความระมัดระวัง

ซูฉินปิดกั้นการโจมตีสุดกําลังจากทั้งสี่คนได้หมด และความแข็งแกร่งนั้นเหนือกว่าพวกเขามากเด็กหนุ่มคาดเดาว่าซูฉันอาจจะเข้าสู่ขั้นกลับคืนต้นกําเนิดเรียบร้อยแล้ว

ด้วยสถานการณ์เช่นนี้ ในใจของคนทั้งสี่มีแต่อยากจะถอยกลับไป

แม้ว่าพวกเขาจะยังมีไม้ตายที่ยังไม่ได้ใช้ แต่เมื่อพวกเขาเจอคนที่คาดว่าน่าจะเป็นเซียนเทพปฐพี่ขั้นกลับคืนต้นกําเนิด แม้จะมีไพ่ลับมากมายก็คงจะสู้ไม่ได้แล้วจะโจมตีต่อไปทําไม?

“นึกอยากจะมาก็มา อยากไปก็ไปแบบนี้ช่างหยาบคายเหลือเกิน”

ซูฉินหัวเราะเมื่อได้เห็นสิ่งนี้ ก้าวขาออกไป กระซิบเบาๆ ว่า “หมื่นสายฟ้าฉุดกระชาก!”

ครัน

ท้องฟ้ามืดครึมในทันใด เมฆดําปกคลุมท้องฟ้าอย่างหนาแน่น สายฟ้าสีม่วงแล่นกระจายไปทั่วทําให้เกิดบรรยากาศคุกคามที่น่าสะพรึงกลัวอย่างยิ่ง

หมื่นสายฟ้าฉุดกระชากเป็นท่าไม้ตายประเภทสายฟ้าที่ซูฉันได้รับตอนที่ลงชื่อเข้าใช้ในเกาะเทพเจ้าสายฟ้าในช่วงปีที่ผ่านมา เมื่อรวมเข้ากับห้าหมัดเทพเจ้าสายฟ้า มันก็กลายเป็นมีพลังทําลายล้างโลกหล้า

“นี่ สายฟ้าสวรรค์เก้าชั้นฟ้าเยอะขนาดนี้เชียวหรือ?”

เมื่อเห็นฉากนี้ ชายหนุ่มท่าทางอ่อนแอก็ขนลุกซู่ หนังศีรษะชาวาบในทันที

หากเป็นสายฟ้าสวรรค์เก้าชั้นฟ้าสักเส้นสองเส้น เขาอาจจะไม่กลัว หรือสักสิบยี่สิบเส้น เขาก็สามารถฝืนทนต้านทานได้ แต่ตอนนี้สายฟ้าสวรรค์เก้าชั้นฟ้าที่ควบแน่นอยู่บนท้องฟ้านั้นมีกี่ร้อยสายกัน?

เปรี้ยง

ช่วงเวลาต่อมา

สายฟ้าสวรรค์เก้าชั้นฟ้าก็ผ่าลงมาที่ละสาย และยอดเขาคุนหลุนก็กลายเป็นทะเลสายฟ้าสีม่วง

ชายหนุ่มท่าทางอ่อนแอและชายร่างกาย่าหน้าซีดเซียว รวบรวมทุกสิ่งทุกอย่างเสริมพลังอาณาเขตก็แทบจะไม่สามารถต้านทานพลังของสายฟ้าสวรรค์เก้าชั้นฟ้าได้

แต่กระนั้นเซียนเทพปฐพี่ทั้งสี่ก็ยังล่าถอยไปได้เรื่อยๆ โดยที่อาณาเขตของพวกเขาพากันหดตัวลงอย่างต่อเนื่องท่ามกลางสายฟ้าที่โหมกระหน่ําฟาดผ่าลงมา ในที่สุดรัศมีพลังที่ครอบคลุมทั่วร่างก็หดลงเหลือเพียงระยะสามเมตร

ในตอนนี้เอง

ชายหนุ่มท่าทางอ่อนแอค่ารามออกด้วยเสียงทุ่มต่า “เทพธิดาไก่อินถ้าเจ้าไม่ลงมือตอนนี้จะรอไปจนถึงเมื่อไหร่?”

เมื่อชายท่าทางอ่อนแอพูดจบ

ก็ได้ยินเสียงถอนหายใจเบาๆ

หญิงสาวในชุดผ้าโปร่งบางเบาดูเย็นชา ค่อยๆ เดินออกมาอย่างช้าๆ

เป็นเทพธิดาไก่อินที่เฝ้าดูการต่อสู้อยู่ด้านข้าง แต่ไม่ได้ลงมือทําอะไรเลย

ทันทีที่เทพธิดาไก่อินตวัดนิ้วออกไป พลังของแสงจันทร์อันไร้ขอบเขตก็พุ่งออกมาอย่างต่อเนื่องเข้าปิดกั้นสายฟ้าสวรรค์เก้าชั้นฟ้าที่ผ่าลงมาอย่างรวดเร็ว

Sign in Buddha’s palm 335 กระบวนท่าไม้ตาย

บนยอดเขาคุนหลุน

คนจากประตูเซียนทั้งห้าได้เฝ้ามองวิหารการสงครามตกลงไปบนมือของซูฉินอย่างเชื่อฟังปล่อยให้ซูฉินหมุนมันเล่นได้ตามใจ

“เจ้า?!”

เด็กหนุ่มยืนอยู่กับที่ด้วยความรู้สึกว่างเปล่า จ้องมองซูฉินด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความไม่เข้าใจครั้งนี้เขาอาสาที่จะออกจากประตูเซียนเพื่อมายังโลกมนุษย์นอกเหนือจากคําสังของดินแดนศักดิ์สิทธิ์แล้วมันยังเป็นเพราะวิหารการสงครามแห่งนี้อีกด้วย

เขาคิดคํานวณแล้วว่ามังกรปีศาจภายในวิหารการสงครามคงไม่สามารถมีชีวิตอยู่ไปได้ตลอดแม้จะยังไม่ได้แก่ตาย แต่ความแข็งแกร่งก็คงแทบจะเหลือไม่เท่าเดิมแล้วในเวลานี้หากพวกเขา เข้าไปภายในวิหารการสงครามและปราบมังกรปีศาจได้พวกเขาก็จะได้วิหารการสงครามกลับไป

อันที่จริงมันก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ เมื่อช่วงทศวรรษที่ผ่านมา ตอนที่วิหารการสงครามได้โผล่ออกมามีอีกครั้ง ความแข็งแกร่งของมังกรปีศาจก็ได้ตกลงมาจากขอบเขตเซียนเทพปฐพี่แล้วเป็นเหตุให้ถูกซฉินสังหารได้หากมังกรปีศาจยังคงมีความแข็งแกร่งในขอบเขตเซียนเทพปฐพี่อยู่ล่ะก็ในตอนนั้นซฉันคงจะเลือกหันหลังจากไปอย่างแน่นอน

เด็กหนุ่มได้คาดคํานวณทุกสิ่งอย่าง ทั้งอายุขัยของมังกรปีศาจ และที่ตั้งของวิหารการสงคราม

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ชายที่มีรูปลักษณ์เหมือนเด็กหนุ่มไม่คาดคิดก็คือ เขาที่พยายามอย่างหนักจนในที่สุดก็ได้พบวิหารการสงคราม แต่ก่อนที่จะได้เข้าไปภายในวิหารการสงครามมันก็บินเข้าไปในมือซูฉินเสียก่อน…

เด็กหนุ่มจะยอมรับเรื่องนี้ได้อย่างไร?

“เจ้าปรับแต่งวิหารการสงครามแล้วอย่างนั้นหรือ?” เด็กหนุ่มขยับริมฝีปากจ้องมองไปทางซูฉันพร้อมกับกล่าวคําออกมา

เมื่อครู่วิหารการสงครามได้พุ่งเข้าหาซูฉิน และความเป็นไปได้เพียงอย่างเดียวก็มีเพียงซูฉินนั้นได้ปรับแต่งมันเรียบร้อยแล้ว

มีแค่การปรับแต่งวิหารการสงครามและกลายเป็นเจ้านายของมันเท่านั้นจึงจะสามารถควบคุมวิหารการสงครามได้ราวกับกวัดแกว่งแขนขา

“ปรับแต่งวิหารการสงคราม?” สีหน้าของทั้งสี่คนรวมเทพธิดาไท่อินพลันเปลี่ยนไปสมบัติพื้นที่มิติที่ผู้ทรงพลังถึงขีดสุดยอมใช้ทรัพยากรมหาศาลขัดเกลาปรับแต่งมันขึ้นมาพื้นที่ภายในนั้นกว้างใหญ่ไพศาลไม่รู้ว่ามันยอดเยี่ยมกว่าสมบัติพื้นที่มิติชั้นยอดไปมากเพียงใด

การปรับแต่งสมบัติพื้นที่มิตินั้นง่ายดายงั้นหรือ? แม้ว่าจะเป็นพวกเขา แผนการในตอนแรกก็เป็นเพียงการครอบครองวิหารการสงครามชั่วคราว แล้วนํากลับไปยังประตูเซียนมอบให้แก่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์เพื่อพิจารณาต่อไปว่าจะปรับแต่งมันเช่นไร

“มิผิด” ซูฉันมองไปที่วิหารการสงครามบนฝ่ามือด้วยสีหน้าพึงพอใจ
ในบรรดาสมบัติและอาวุธวิเศษสมบัติพื้นที่มิตินั้นหายากที่สุดเสมอ เพราะมีเพียงผู้ทรงพลังถึงขีดสุดเท่านั้นที่เชี่ยวชาญพลังด้านพื้นที่มิติจึงสามารถสร้างสมบัติพื้นที่มิติออกมาได้

แม้ว่าซูฉินจะลงชื่อเข้าใช้และได้รับสมบัติพื้นที่มิติจากหอดูดาวภายในวังหลวงเมื่อไม่กี่ปีก่อน

แต่น้ําเต้ามิติอันนั้นก็มีขนาดภายในเทียบเท่าตําหนักหนึ่งตําหนักเท่านั้นเอง จะนํามาเปรียบกับวิหารการสงครามได้อย่างไร?

ซูฉินเหลือบมองไปที่วิหารการสงครามอีกสองสามครั้ง จากนั้นก็บังคับด้วยจิตนําวิหารการสงครามเข้าไปในร่าง

เมื่อเซียนเทพปฐพีทั้งห้าได้เห็นวิหารการสงครามได้หายวับไป หัวใจของพวกเขาก็จมดิ่งโดยเฉพาะเด็กหนุ่มที่แทบจะถือว่าวิหารการสงครามเป็นของของตนเองไปแล้วในยามนี้เมื่อเห็นวิหารการสงครามตกไปอยู่ในมือของคนอื่นความรู้สึกไม่ยินยอมภายในใจของเขานั้นมากเกินกว่าที่ใครจะจินตนาการได้

“เนื่องจากสหายเต่ได้ปรับแต่งวิหารการสงครามจึงกลายเป็นเจ้าของของมันแล้วแต่เราที่ออกมาจากประตูเซียน เดินทางท่องไปทั่วโลกก่อนจะพบเข้ากับวิหารการสงครามจู่ๆ สหายเต่ก็มานํามันไปอย่างเงียบๆเช่นนี้โดยพวกเราจะไม่ได้อะไรกลับไปอย่างนั้นหรือ?”

เมื่อเด็กหนุ่มกล่าวเช่นนี้ ดวงตาของเขาก็หรี่เล็กลง สาดประกายสายตาไปทางซูฉินจากนั้นจึงกล่าวต่อ “ข้าไม่แน่ใจว่าสหายเต่จะยอมตัดใจได้หรือไม่ ทิ้งวิหารการสงครามเอาไว้กับข้าและข้าจะไม่ทําให้การกระทําของสหายเต่ต้องเสียเปล่าเมื่อกลับไปยังประตูเซียนข้าจะรายงานผลงานของสหายเต๋ไปยังดินแดนศักดิ์สิทธิ์

เด็กหนุ่มกล่าวออกอย่างช้าๆ แม้ว่าน้ําเสียงของเขาจะไม่มีความผันผวนมากนักแต่การพูดคุย ของเขากับซูฉินนั้นดูจะแสดงท่าที่คุกคามไม่น้อย

เมื่ออีกสี่คนได้ฟังคําเหล่านั้นจากเด็กหนุ่ม หัวใจของพวกเขาก็พลันเต้นแรงขึ้น

เห็นได้ชัดว่าเด็กหนุ่มพร้อมที่จะบังคับให้ซูฉันมอบวิหารการสงครามออกมาไม่เช่นนั้นเรื่องราวอาจจะต้องไปถึงหูของดินแดนศักดิ์สิทธิ์

เมื่อตระหนักได้ดังนี้ ชายท่าทางอ่อนแอและชายร่างกายอย่างหมานโหยวก็แพร่ไอพลังเข้ามาล้อมกรอบซูฉินอย่างแผ่วเบา

แม้ว่าซูฉินจะเพิ่งแสดงความแข็งแกร่งเอาชนะหมานโหยวมาได้แต่ก็ต้องรู้ไว้ว่าถึงจะเอาชนะชายร่างกํายําได้แต่จะเป็นไปได้ไหมที่จะหยุดยั้งคนทั้งห้าที่ร่วมมือกัน?

คนไม่ผิด ผิดที่ครอบครองหยก

ซูฉินฉกสมบัติอย่างวิหารการสงครามไปต่อหน้าต่อตาพวกเขาเช่นนั้นก็อย่าโทษพวกเขาเลยจะคว้ามันกลับคืนมา

“โอ?”

“จะให้ข้ามอบวิหารการสงครามให้?”

ซูฉันมองดูเด็กหนุ่ม ดวงตาของเขาสงบลงพร้อมกล่าวว่า “ถ้าข้าปฏิเสธเล่า?”

“ปฏิเสธ?”

เด็กหนุ่มยิ้ม เผยเจตนาฆ่าออกมา “หากสหายเต่ปฏิเสธพวกเราก็ต้องร่วมมือกันเพื่อขอคําชีแนะจากสหายเต่แล้ว”

คําที่กล่าวออกมา

ไอพลังของเด็กหนุ่มและของคนอื่นๆ ก็ค่อยๆลุกโชนแม้จะยังไม่ได้ปลดปล่อยพลังออกมาเต็มที่แต่ก็ต้านแรงกดดันจากซูฉินได้พอสมควร
วิหารการสงครามนั้นล้ําค่าเกินไป

หากสามารถนําวิหารการสงครามกลับไปที่ประตูเซียนได้ ชายท่าทางอ่อนแอและคนอื่นๆจะได้รับรางวัลจากประตูเซียนอย่างแน่นอน ในเวลานั้นพวกเขาก็คงมีความหวังจะเข้าสู่ขั้นสถิตเทพ

การกลายเป็นขอบเขตเซียนเทพปฐพีขั้นสถิตเทพในอนาคต กลายเป็นยักษ์ใหญ่ในประตูเซียนความเป็นไปได้เดียวนั่นคือต้องนําวิหารการสงครามกลับมา

แน่นอนว่านี่เป็นเพราะความแข็งแกร่งที่ซูฉินแสดงออกมายังคงอยู่ในขั้นแบ่งจิตและแม้ว่าคุณค่าของวิหารการสงครามจะเหนือล้ํายิ่งกว่าสมบัติล้ําค่าโดยกําเนิดของผู้ทรงพลังถึงขีดสุดแต่ก็เป็นเพียงสมบัติพื้นที่มิติเท่านั้น ไม่มีพลังในการโจมตี

ไม่เช่นนั้น หากสิ่งที่ซุฉินปรับแต่งได้ไม่ใช่วิหารการสงครามแต่เป็นสมบัติล่าค่าไม่ว่าเด็กหนุ่มจะมีความกล้าหาญสักแค่ไหนเขาก็ไม่กล้าทําอะไรซูฉิน

ขอบเขตเซียนเทพปฐพี่ขั้นแบ่งจิตที่ถือครองสมบัติล้ําค่า แม้จะไม่ใช่สมบัติล้ําค่าโดยกําเนิดก็พอจะสร้างความสั่นสะเทือนให้กับเซียนเทพปฐพี่ขั้นกลับคืนต้นกําเนิดได้ไม่ต้องกล่าวถึงซูฉินที่อย่างน้อยก็เป็นจุดสูงสุดของขั้นแบ่งจิตเลยมิใช่หรือ?

“ในเมื่อเป็นเช่นนั้น”

“วันนี้เจ้าก็จงนอนอยู่ที่นี่”

ซูฉินกล่าวคําเบาๆ ด้วยดวงตาแฝงแววลึกล่า

แม้ว่าคนจากประตูเซียนทั้งห้าจะทรงพลัง ไม่ว่าใครก็แข็งแกร่งยิ่งกว่าเหลยเฉียนจือทว่าซูฉินนั้นแข็งแกร่งกว่า

ไม่ต้องพูดถึงหลังจากที่ฝึกฝนอย่างหนักมาหนึ่งปี เขาก็ได้สัมผัสถึงขั้นกลับคืนต้นกําเนิดบ้างแล้ว

“พูดจาใหญ่โตนัก!”

นั้น รัศมีพลังอันน่าเกรงขามก็พวยพุ่งสู่ท้องฟ้า แทรกซึมไปทุกอณูของเทือกเขาคุนหลุนกระจายไปทั่วทุกทิศทางอย่างบ้าคลั่ง

นอกเขาคุนหลุน

ชายชราหน้าตอบและตํานานยุทธคนอื่นๆ ก็ดูเหมือนจะรับรู้อะไรได้บางอย่างหัวใจสั่นสะท้าน

แม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นบนยอดเขาคุนหลุน พวกเขาก็ยังสัมผัสได้ถึงจิตสังหารจากพลังงานที่เดือดพล่านนั่นได้อย่างรวดเร็ว

“คงจะเริ่มลงมือแล้ว”

“มนุษย์สวรรค์แห่งอาณาจักรถังได้เริ่มประมือกับเซียนเทพปฐพีทั้งห้าแล้ว!”

ชายชราหน้าตอบรู้สึกได้ถึงหัวใจที่สั่นไหว สะท้านขึ้นมาถึงล่าคอ

เซียนเทพปฐพี่หลายคนต่อสู้พร้อมกันไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในประวัติศาสตร์ของดินแดนโพ้นทะเลกว่าหมื่นปีเซียนเทพปฐพี่นั้นหาได้ยากยิ่งการต่อสู้ระหว่างเซียนเทพปฐพี่นั้นไม่เคยเกิดขึ้นนับประสาอะไรกับมีหลายๆ คนลงมือพร้อมกัน?

ตํานานยุทธคนอื่นๆ ต่างตื่นเต้นไม่ต่างกัน แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่ตํานานยุทธอย่างพวกเขาจะได้เห็นการต่อสู้ระหว่างเซียนเทพปฐพี่ทั้งหลายด้วยตาของตนเอง

“มนุษย์สวรรค์อาณาจักรถังจะหยุดมนุษย์สวรรค์ทั้งห้าได้หรือไม่?”

“มนุษย์สวรรค์อาณาจักรถังนั้นไร้เทียมทานในใต้หล้า มนุษย์สวรรค์ทั้งห้าไม่น่าจะสามารถทําอะไรมนุษย์สวรรค์อาณาจักรถังได้”

“นั่นก็ไม่แน่เสมอไป คนทั้งห้าเป็นถึงเซียนเทพปฐพี เมื่อร่วมมือกันฟ้าดินย่อมถล่มทลายมนุษย์สวรรค์อาณาจักรถังจะใช้อะไรมาหยุดมันได้?”

ตํานานยุทธกําลังพูดคุยกระซิบกระซาบกัน แต่จอมยุทธส่วนใหญ่ต่างก็คิดว่าซูฉินไม่น่าจะสู้มนุษย์สวรรค์ทั้งห้าได้ ท้ายที่สุดการรวมตัวกันของมนุษย์สวรรค์ถึงห้าคนก็ต้องทรงพลังจนเหลือเชื่อแม้จะเป็นผู้ทรงพลังไร้เทียมทานในใต้หล้าอย่างซุฉินแต่จะหยุดยั้งมันได้อย่างไร?

และในขณะนี้

บนยอดเขาคุนหลุน

เมื่อไอพลังของเด็กหนุ่มเพิ่มสูงขึ้น อีกสามคนก็ไม่ยั้งมืออีกต่อไป รัศมีพลังของพวกเขาพลันเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง กวาดเข้าหาซูฉันราวกับเป็นคลื่นยักษ์โถมเข้าใส่

ในส่วนลึกของความว่างเปล่า ทะเลปราณก่อเกลียวเป็นคลื่น ราวกับพายุหมุนโดยที่มีทั้งสี่คนเป็นจุดศูนย์กลาง ตาพายุขนาดใหญ่ทั้งสี่ดวงพลันก่อตัวขึ้น

ในตอนนี้ พลังของทะเลปราณเริ่มเดือดพล่านเล็กน้อย รัศมีพลังอันน่าหวาดกลัวถูกชักนําผ่านความว่างเปล่ามายังโลกมนุษย์

อย่างไรก็ตาม ในบรรดาเซียนเทพปฐพี่ทั้งห้า เทพธิดาไก่อินยังคงไม่เคลื่อนไหวนางมองไปยังซูฉินซึ่งถูกล้อมด้วยคนทั้งสี่อยู่เงียบๆ

ไทอินนั้นมีสถานะที่สูงมากในดินแดนศักดิ์สิทธิ์หลักไก่อิน สําหรับนางแล้วนั้นวิหารการสงครามนั้นสําคัญแต่ก็ยังถือว่าปล่อยผ่านไปได้แม้ว่าจะไม่มีวิหารการสงครามแต่นางก็ยังมีโอกาสเข้าสู่ขั้นสถิตเทพอยู่ดีดังนั้นจึงเป็นเรื่องปกติที่จะไม่ได้ต้องการวิหารการสงครามมากเท่าสี่หนุ่ม

และอีกเหตุผลที่เทพธิดาไท่อนไม่เคลื่อนไหวเป็นเพราะนางไม่สามารถมองผ่านซูฉินได้

ด้วยทักษะลับของเทพธิดาไท่อิน อายุกระดูกของซูฉันนั้นไม่น่าเกินห้าร้อยปีอย่างแน่นอนอัจฉริยะที่มีศักยภาพไร้ขีดจํากัดผู้นี้กลับกลายเป็นว่ามาจากโลกที่กระแสปราณฉีเงียบงันกฎเกณฑ์ต่างๆ เหี่ยวเฉา ซึ่งน่าเหลือเชื่อยิ่ง

แน่นอน

สิ่งที่เทพธิดาไท่อนไม่รู้ก็คือ อายุที่แท้จริงของซูฉินนั้นน้อยกว่าหนึ่งร้อยปี

แม้ว่าทักษะลับของดินแดนศักดิ์สิทธิ์หลักไก่อินจะสามารถทํานายอายุกระดูกของผู้ฝึกยุทธได้อย่างคร่าวๆ แต่ก็มีโอกาสได้รับผลกระทบจากปัจจัยภายนอกอยู่มากนอกจากนี้ร่างศักดิ์สิทธิ์ อีกาทองคําของซฉินยังสามารถสกัดกั้นการตรวจสอบของเทพธิดาไท่อนได้จึงเห็นเพียงแค่ว่าอายุกระดูกนั้นน้อยกว่าห้าร้อยปี

ขณะที่เทพธิดาไม่อินกําลังเฝ้าดูซูฉินอยู่เงียบๆ

เห็นได้ชัดว่าเด็กหนุ่มและคนอื่นๆ นั้นทนไม่ไหวแล้ว จึงออกกระบวนท่าเข้าใส่โดยตรง

“พรึ่บ!”

ชายหนุ่มท่าทางอ่อนแอเป็นผู้นําทัพ หยิบพัดออกมา กางออกเบาๆ และพัดไปทางซูฉิน

พายุหมุนอันน่าสะพรึงกลัวปรากฏขึ้น ในตอนแรกพายุหมุนนี้มีขนาดเพียงไม่กี่เมตร แต่เมื่อมาถึงกลางทางพายุก็ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ในที่สุดก็กลายเป็นลมพายุที่พัดผ่านท้องฟ้า

“กระบวนท่าไม้ตายของหุบเขาเทพพระพาย?” เทพธิดาไก่อินจ่าเคล็ดวิชานี้ได้ ใบหน้าของนางดูเคร่งขรึมเล็กน้อย

หุบเขาเทพพระพายเป็นหนึ่งในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ภายในประตูเซียน ว่ากันว่ากระบวนท่าไม้ตายของหุบเขาเทพพระพายนั้นสามารถเรียกสายลมเข้าทําลายล้างทุกสิ่ง

ซึ่งในตอนนี้ ชายร่างกําย่า เด็กหนุ่ม และคนที่เหลือก็ลงมือเช่นเดียวกัน

เมื่อคนทั้งสี่ลงมือ พวกเขาก็ไม่ได้มีเจตนาจะหยั่งเชิงแม้แต่น้อย ใช้กระบวนท่าไม้ตายของพวกเขาออกมาตรงๆ ต้องการสังหารให้สิ้นในครั้งเดียวเพื่อป้องกันไม่ให้ซูฉินล่าถอยกลับไปได้

เห็นได้ชัดว่าฉากก่อนหน้าที่หมานโหยวได้พ่ายแพ้ซุฉินเมื่อครู่ จะทําให้เซียนเทพปฐพี่เหล่านี้กังวลเป็นอย่างมาก ดังนั้นพวกเขาจึงไม่อาจรั้งมือไว้ได้อีก

Sign in Buddha’s palm 334 วางแผน

ด้านนอกเทือกเขาคุนหลุน

ชายชราหน้าตอบกําลังพูดคุยกับจอมยุทธคนอื่นด้วยเสียงทุ่มต่า คาดเดาความเป็นมาเป็นไปของคนทั้งห้าจากประตูเซียน

แต่นาทีถัดมา

ฟ้าดินก็พลันมืดมิดลง

เหนือฟากฟ้ามีดวงอาทิตย์ดวงโตกําลังส่องแสง แต่ในตอนนี้กลับมีดวงตะวันอีกดวงโผล่ขึ้นเคียงข้างกันบรรยากาศอันน่าสยดสยองพลันแผ่ออก สันสะเทือนฟ้าดิน

“นั่นคือ นั่นคือมนุษย์สวรรค์อาณาจักรถังหรือ?!”

ตํานานยุทธหลายคนที่เห็นร่างสูงเพรียวโผล่ออกมาจากดวงตะวันก็พากันสั่นสะท้าน

แม้ว่าร่างนั้นจะใบหน้าพร่ามัว เหมือนมีหมอกปกคลุม แต่พลังที่ครอบงําโลกขนาดนี้ไม่มีจอมยุทธคนใดในที่แห่งนี้จะกล้าลืมได้ลง

“ทําไมมนุษย์สวรรค์อาณาจักรถังถึงมาที่นี่ไวขนาดนี้?”

มีตํานานยุทธกลืนน้ําลาย รู้สึกไม่อยากจะเชื่อ

นับตั้งแต่มนุษย์สวรรค์อาณาจักรถังเหยียบย่านิกายเทพเจ้าสายฟ้าและพิชิตยุทธภพต่างแดนเขาก็ไม่ได้เคลื่อนไหวอีกเลยจอมยุทธจํานวนนับไม่ถ้วนที่ต้องการเข้าพบมนุษย์สวรรค์แห่งอาณาจักรถังทําได้เพียงรอรอบนอกเมืองฉางอัน

บางคนคาดเดาว่ามนุษย์สวรรค์แห่งอาณาจักรถังน่าจะอยู่ในการปิดด่านฝึกตนและจะไม่ปรากฏบนโลกมนุษย์อีกอย่างน้อยๆก็หลายสิบปีแม้จะเป็นจอมยุทธในขอบเขตตํานานยุทธการล่าถอยเพียงครั้งหนึ่งอาจใช้เวลาหลายปีหรือหลายสิบปีเข้าไปแล้วไม่ต้องกล่าวถึงเซียนเทพปฐพีอย่างมนุษย์สวรรค์แห่งอาณาจักรถังเลยมิใช่หรือ?

กระนั้น ก็ยังมีจอมยุทธจํานวนมากรวมกันรออยู่นอกเมืองฉางอัน จอมยุทธเหล่านี้เหมือนกับร่อนเรไปเรื่อยรอให้ซูฉินออกจากด่านฝึกตน

อย่างไรก็ตาม

กลุ่มจอมยุทธที่อยู่นอกเทือกเขาคุนหลุน ไม่สามารถแม้แต่จะคิดฝันว่าจู่ๆ ซูฉินจะมาปรากฏตัวอยู่ที่นี่?

“ดูเหมือนว่ามนุษย์สวรรค์ทั้งห้าจะชักนํามนุษย์สวรรค์อาณาจักรถังมาที่นี่….” ชายชราหน้าตอบพยายามสงบใจ ขบคิดภายในใจอย่างรวดเร็ว
แม้ว่าชายชราหน้าตอบจะไม่รู้ที่มาของเซียนเทพปฐพี่ทั้งห้าคนนี้ แต่ก็เป็นเวลาเพียงไม่นานนักก่อนที่มนุษย์สวรรค์อาณาจักรถังจะมาถึง ถ้าไม่มีการติดต่อกันจะเป็นไปได้หรือที่มาเร็วเช่นนี้ได้?

ขณะที่ชายชราหน้าตอบและจอมยุทธคนอื่นๆ กําลังประหลาดใจและไม่ค่อยแน่ใจนั้น

ที่ด้านบนยอดเขาคุนหลุน เซียนเทพปฐพี่ทั้งห้าที่กําลังจะเข้าสู่วิหารการสงครามทุกคนต่างหันมามองซูฉินด้วยสายตาเคร่งเครียด

ไอพลังที่ซูฉินเปิดเผยออกมานั้นน่ากลัวเกินไป พลังงานเลือดเนื้อทรงพลังจนน่าสยดสยองเทียบเท่าดวงตะวันขนาดมหึมา หากไม่ใช่เพราะคนจากประตูเซียนทั้งห้าเป็นเซียนเทพปฐพีและเป็นศิษย์สาวกดินแดนศักดิ์สิทธิ์มีความสามารถมากมายเกรงว่าพวกเขาคงกลายเป็นฝุ่นผงภายใต้รัศมีพลังที่เหมือนกับคลื่นมหาสมทรเข้าโถมนี้ตั้งแต่แรกแล้ว

“ก็แค่มดปลวก”

ชายร่างกํายําในหมู่คนทั้งห้าอดรนทนไม่ได้ ไอพลังพวยพุ่ง พลังปราณพุ่งสูงขึ้นกลิ่นอายจากทะเลปราณอันกว้างใหญ่ทะลักออกมาจางๆ

ในฐานะที่เป็นศิษย์ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ซึ่งเป็นมรดกที่ตกทอดมาจากผู้ทรงพลังถึงขีดสุดจะมาโดนซูฉินข่มโดยไร้เหตุผลได้อย่างไร?
ครืน!

ในขณะที่ชายร่างกําย่าระเบิดพลังออกมา มันก็ชนเข้ากับไอพลังของซูฉิน และทันใดนั้นเทือกเขาคุนหลุนก็เริ่มสั่นสะเทือน แม้แต่จอมยุทธจํานวนมากที่อยู่ห่างไกลออกมาไปก็รู้สึกเหมือนเล็อดแข็งตัวขึ้นมาอย่างไรอย่างนั้น ขาแข้งสั่นทําได้เพียงถอยหลังกลับไป

ปัง!!

สีหน้าของชายร่างกํายําซีดเผือด ถอยหลังกลับไปสองสามก้าว เห็นได้ชัดว่าเขาเสียเปรียบในการวัดพลังกับซูฉิน จนได้รับบาดเจ็บกลับมาเล็กน้อย

เมื่อเห็นฉากนี้ ชายหนุ่มที่ท่าทางอ่อนแอด้านข้างก็หรี่ตาลง เขาเข้าใจถึงความแข็งแกร่งของชายร่างกาย่าดี คืออยู่ในระดับกลางของขั้นแบ่งจิตควบคู่ไปกับทักษะเคล็ดวิชามากมาย ความสา มารถก็อยู่ไม่ห่างจากขั้นแบ่งจิตระดับสูงสุดมากนั้นแต่ตอนนี้เขากลับต้องถอยกลับออกมาอย่างรวดเร็วเมื่อเจอเข้ากับไอพลังของคู่ต่อสู้

“ตามที่คาด…”

ซูฉินกระโดดวูบที่ละระดับ ขึ้นไปถึงยอดเขาคุนหลุนในทันที มีวังวนที่อธิบายไม่ได้อยู่ภายในดวงตา จ้องมองไปยังเซียนเทพปฐพี่ทั้งห้า
“พวกเจ้าน่าจะมาจากประตูเซียน?”ซูฉินกล่าวออกเบาๆ ด้วยอาการสงบ

แม้ว่ากลุ่มของชายร่างกําย่าทั้งห้าคนจะไม่ได้พูดอะไรออกมาแม้แต่คําเดียวซูฉินก็ตรวจจับได้ด้วยดวงตาแห่งสัจจะว่าไม่เพียงแต่คนเหล่านี้จะเป็นเซียนเทพปฐพี่เท่านั้นแต่พลังฉีของพวกเขายังเสถียรพิเศษอีกด้วยเห็นได้ชัดว่าอยู่ในขอบเขตเซียนเทพปฐพี่มาเป็นเวลานานแล้ว

ไม่ต้องกล่าวถึงยุทธภพต่างแดนหรือทวีปอื่นๆ เลย แม้ว่าจะมีเซียนเทพปฐพีกําเนิดขึ้นก็เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่มีใครทราบเรื่องมาจนถึงทุกวันนี้ ตัวอย่างเช่นเหลยเฉียนจือไม่นานหลังจากที่เขาก้าวเข้าสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพีเขาก็กลับไปนิกายเทพเจ้าสายฟ้าและถมทะเลด้วยแผ่นดินสร้างเกาะให้มีขนาดใหญ่ขึ้น

“ประตูเซียน?”

ชายหนุ่มท่าทางอ่อนแอตกใจ แต่ก็สงบลงได้ภายในเวลาอันรวดเร็ว และพูดกับซูฉินว่า “ไม่รู้ว่าสหายเต่ํามาจากดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งใด?”

ในสายตาของชายท่าทางอ่อนแอ ไอพลังของซูฉินดูทรงพลังมาก ปราณเลือดพวยพุ่งไปถึงท้องฟ้าแม้แต่ในหมู่เคล็ดวิชาจากดินแดนศักดิ์สิทธิ์ก็ยังนับได้ว่าเป็นวิชาที่แข็งแกร่งที่สุดและทักษะประเภทนี้ควรจะมีเฉพาะภายในประตูเซียนเท่านั้น

ดังนั้นชายหนุ่มท่าทางอ่อนแอจึงเดาว่าซูฉันควรจะมาจากประตูเซียนเช่นเดียวกัน

แม้ประตูเซียนจะเป็นโลกใบเล็ก ที่ถูกเปิดออกโดยผู้ทรงพลังถึงขีดสุด มันยังห่างไกลจากโลกอันยิ่งใหญ่อยู่มากทว่าก็มีกลุ่มพรรคกลุ่มนิกายน้อยใหญ่มากกว่าสิบแห่งและในหมู่กลุ่มนิกายเหล่านั้น ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ก็อยู่ในจุดสูงสุด

“มิผิด”

“ข้าก็อยากรู้เช่นกันว่าดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งใดที่ปลูกฝังอัจฉริยะเช่นสหายเต่าขึ้นมาได้” เทพธิ์ดาไก่อินที่อยู่ถัดออกไป มองซูฉินด้วยสายตาที่ดูสง่า กล่าวคําออกมาช้าๆ

เทพธิดาไก่อินมีวิธีลับพิเศษที่สามารถคาดเดาอายุกระดูกของผู้ฝึกยุทธได้อย่างคร่าวๆโดยวัดจากกลิ่นอาย

เพียงแต่ว่าวิธีลับนี้จะถูกความแข็งแกร่งของอีกฝ่ายเข้ามากระทบกระเทือนได้ง่ายแต่กระนั้นเทพธิดาไม่อินก็รับรู้ได้เลาๆว่าอายุที่แท้จริงของซุฉินไม่ควรเกินห้าร้อยปี

จุดสูงสุดของขั้นแบ่งจิตที่อายุไม่ถึงห้าร้อยปี……

เท่านี้ก็พอจะเทียบได้กับบุตรสวรรค์และเทพธิดาของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายทั้งปวงแล้ว

“ดินแดนศักดิ์สิทธิ์คือที่ใดกัน?” ซูฉินมีรอยยิ้มปรากฏบนใบหน้า ส่ายศีรษะแล้วกล่าวว่า “ข้าไม่ได้มาจากประตูเซียน”

คําที่กล่าวออกมา

เซียนเทพปฐพีทั้งห้ารวมถึงเทพธิดาไทอินพลันแข็งค้าง
“เจ้าคือมนุษย์สวรรค์อาณาจักรถังงั้นหรือ?” ชายท่าทางอ่อนแอตอบสนองอย่างรวดเร็วจ้องมองซูฉินอย่างละเอียดถี่ถ้วนและถามคําถามออกมา

“ไม่สําคัญว่าเจ้าจะเป็นมนุษย์สวรรค์อาณาจักรถังหรือไม่ การต่อสู้เมื่อครู่นั้นไม่นับ ข้ายังไม่พร้อม!!” ชายร่างกํายาฟื้นตัวได้แล้ว ก้าวเท้าออกไปข้างหน้าจากนั้นจึงง้างมือขวาพุ่งเข้าใส่ซูฉินอย่างรุนแรง

ครืน!!

ฟ้าดินสะท้าน หมัดของชายร่างกําย่าผสานเข้ากับทะเลปราณ ทันใดนั้นทะเลปราณอันไร้ที่สิ้นสุดก็ท่วมทะลักเข้าใส่ซูฉิน

“สหายเตําหมานโหยวลงมือเต็มที่เลยงั้นหรือ?” เด็กหนุ่มที่เห็นฉากนี้ ก็หันไปมองทั้งสามคนที่เหลือมีความประหลาดใจปรากฏบนใบหน้า

การต่อสู้ระหว่างเซียนเทพปฐพีนั้น เว้นแต่จะต้องการต่อสู้ชี้วัดเป็นตาย จะไม่ปล่อยพลังจากทะเลปราณออกมาเป็นอันขาด

ท้ายที่สุดแล้วทะเลปราณนั้นกว้างใหญ่เกินไป และการใช้พลังของมันก็เป็นภาระสําหรับเซียนเทพปฐพีอยู่ไม่น้อย

“ดีกว่าเหลยเฉียนจือ”

ซูฉินแสดงความเห็นขณะที่มองไปยังหมัดของชายร่างกาย่า

หมัดของชายร่างกําย่าผู้นี้ทรงพลังจริงๆ และมีพลังของทะเลปราณร่วมด้วย แม้ว่าจะเป็นส่วนเล็กๆ ของทะเลปราณก็ตาม แต่สําหรับคนอื่นๆพลังเท่านี้มันอาจจะสูงส่งเสียดฟ้าเลยทีเดียว

อย่างไรก็ตาม

ในสายตาของซูฉิน หมัดของชายร่างกําย่าผู้นี้แข็งแกร่งกว่าเหลยเฉียนลือเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

ซฉินเหยียดมือขวาออกไป แล้วสะบัดนวหนึ่งครั้ง ไอพลังไร้ลักษณ์ควบแน่นพุ่งทะลวงอากาศเข้าหาชายร่างกําย่อย่างเงียบๆ

ฉีก!

ท่าทีของชายร่างกายเปลี่ยนไปมาก หมัดขวาที่เขาส่งออกไปเริ่มสั่นไหว ร่างของเขาถลากลับไปอย่างแรงในที่สุดก็หยุดลงด้วยความรู้สึกที่ไม่ยินยอมมองดูซูฉินด้วยความหวาดกลัว

เทพธิดาไท่อนสังเกตเห็นว่ามือขวาของชายร่างกําย่าสั่นเทาเล็กน้อย

เพียงแค่กระบวนท่าเดียว ชายผู้ทรงพลังอย่างหมานโหยวที่อยู่ในระดับกลางของขั้นแบ่งจิตก็ได้รับบาดเจ็บแล้ว ต้องรู้ว่านี่ไม่ใช่แค่การปะทะกันด้วยไอพลังเหมือนครั้งก่อนแต่หมานโหยวก็ยังพ่ายแพ้แม้จะโจมตีสุดกําลัง!

“ถึงเจ้าจะไม่ใช่สมาชิกประตูเซียน แต่เนื่องจากเจ้ารู้จักประตูเซียน เจ้าต้องรู้ว่าประตูเซียนคือสิ่งใดการที่เจ้าลงมือเช่นนี้ไม่กลัวว่าดินแดนศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่เบื้องหลังข้าจะมาคิดบัญชีงั้นหรือ?”

เด็กหนุ่มจ้องมองไปที่ซูฉินมีความกลัวเล็กๆ ปรากฏขึ้น

ซูฉินเอาชนะหมานโหยวได้เพียงขยับกาย อย่างน้อยความแข็งแกร่งต้องอยู่ในจุดสูงสุดของขั้นแบ่งจิตบางทีอาจจะขึ้นไปแตะขั้นกลับคืนต้นกําเนิดแล้วก็เป็นได้

แม้ว่าเด็กหนุ่มและคนอื่นๆ จะมีไฟลับที่ได้มาจากดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของตนและคิดว่าตัวเองแข็งแกร่งกว่าชายร่างกําย่าแต่ก็ไม่ได้อยากยั่วยุผู้ที่แข็งแกร่งเช่นซูฉิน

ท้ายที่สุด ด้วยความแข็งแกร่งของซูฉินในปัจจุบัน แม้พวกเขาจะรวมพลังกันและใช้ไพ่ลับออกไปมันก็คงพอจะเอาชนะซูฉินได้แต่เป็นเรื่องยากอย่างยิ่งที่จะปราบหรือสังหารซูฉิน

ในกรณีที่ซูฉินหนีไป แล้วหลังจากที่เข้าไปภายในวิหารการสงคราม ซูฉินกลับบุกเข้ามาอีกมันคงจะเป็นปัญหาอย่างแน่นอน

“สหายเต่ทรงพลังอย่างแท้จริง แม้ว่าจะไม่ใช่สมาชิกประตูเซียน ก็มีสิทธิ์ที่จะสํารวจวิหารการ

ชายหนุ่มท่าทางอ่อนแอที่ยืนอยู่ด้านข้างพยายามปันรอยยิ้มขึ้นมาและพูดคุยกับซูฉินอย่างช้าๆ

“มีโอกาสมากมายในวิหารการสงคราม และมีแม้กระทั่งสมบัติที่ผู้ทรงพลังถึงขีดสุดทิ้งเอาไว้หากเจ้าสนใจ เจ้าสามารถร่วมกับพวกเราเพื่อเข้าไปภายในได้” ชายหนุ่มท่าทางอ่อนแอกล่าวออกด้วยรอยยิ้มอันสดใส

เมื่อเด็กหนุ่มได้ยินดังนั้น ดวงตาของเขาก็สว่างสดใส

เหตุผลที่ทั้งสี่คนไม่ร่วมมือกันปราบซูฉินในทันที่เป็นเพราะกังวลว่าซูฉันจะหลบหนีแต่ถ้าซูฉิน

ลับมิใช่หรือ?

ขณะที่อยู่ภายในวิหารการสงคราม ซูฉินจะทําอะไรพวกเขาได้?

เมื่อคิดได้ดังนี้ ชายที่ดูเหมือนเด็กหนุ่มก็พูดขึ้นด้วยสีหน้ายินดีว่า “ถูกต้องแล้วสหายเต่คงไม่กระจ่างแจ้งแก่ใจว่าวิหารการสงครามคือสิ่งใดมันเป็นสิ่งที่เหล่าเซียนเทพปฐพี่ในยุคเฟื่องฟูกระแสปราณฉีต่างปรารถนาหากสหายเต่ได้รับสมบัติที่อยู่ภายในไปก็อาจจะทะลวงขอบเขตขึ้น ไปเป็นผู้ทรงพลังถึงขีดสุดก็เป็นได้……”

เพียงเท่านั้น

ก่อนที่เด็กหนุ่มจะพูดจบ ซูฉินก็พูดแทรกขึ้นมา

“ข้ารู้จักวิหารการสงครามดี” ซูฉินมีรอยยิ้มบนใบหน้า มองไปยังวิหารขนาดใหญ่เบื้องหน้าเซียนเทพปฐพีทั้งห้า แล้วจึงกล่าวออกอย่างสบายๆ “ในครั้งนี้ข้าก็มาเพราะมันนี่แหละ”

ทันทีที่สิ้นเสียงของซูฉิน ยังไม่ทันที่เซียนเทพปฐพี่ทั้งห้าจะได้ตอบสนองเขาก็โบกมือไปที่วิหารการสงครามที่สง่างามและยิ่งใหญ่

ทันทีหลังจากนั้น

ท่ามกลางแววตาเหลือเชื่อของเซียนเทพปฐพีทั้งห้า

วิหารการสงครามแต่เดิมที่มั่นคงไม่หวั่นไหว พลันเปล่งแสงสว่างไสว หดตัวลงในทันทีสุดท้ายก็กลายเป็นกระแสแสงตกลงมาบนมือของซูฉิน

“นี่?”

เซียนเทพปฐพีทั้งห้ตกตะลึง

พวกเขาใช้เวลาหนึ่งปีในการค้นหาไปทั่วทั้งโลก ก่อนที่จะยืนยันที่ตั้งของวิหารการสงครามได้จากนั้นพวกเขาจึงท่องเข้าไปในส่วนลึกของความว่างเปล่าใช้ทักษะลับนําพาวิหารการสงครามออกมา…

สุดท้าย หลังจากที่เตรียมใจเอาไว้ว่าจะได้รับโอกาสดีๆ ในตอนที่เข้าไปภายในวิหารการสงคราม…

แต่ผลลัพธ์กลับกลายเป็น วิหารการสงครามนั้นพุ่งเข้าหาฝ่ามือของซูฉินโดยสมัครใจ?

Sign in Buddha’s palm 333 ทรงพลังตระการตา

ขณะที่คนทั้งห้าจากประตูเซียนใช้ทักษะลับเคลื่อนย้ายวิหารการสงครามที่ซ่อนลึกอยู่ในความว่างเปล่า ซฉินก็จับความรู้สึกบางอย่างได้ในทันที และมองขึ้นไปทางเทือกเขาคุนหลุน

ช่วงสิบปีที่ผ่านมา ซูฉินนั่นเศียรมังกรปีศาจบนยอดเขาคุนหลุน และปรับแต่งวิหารการสงครามทั้งหมด จนกลายเป็นเจ้าของวิหารการสงครามคนใหม่ การเปลี่ยนแปลงใดๆ ของวิหารการสงครามจะสามารถปิดบังซูฉินได้อย่างไร?

อย่างไรก็ตาม เนื่องจากช่วงเวลานั้นซูฉินยังไม่ได้ก้าวข้ามผ่านขอบเขตตํานานยุทธ

แม้จะปรับแต่งวิหารการสงครามได้ แต่ก็ไม่สามารถใช้วิหารการสงครามได้ ดังนั้นวิหารการสงครามจึงยังคงอยู่ในส่วนลึกของความว่างเปล่าบนยอดเขาคุนหลุน ซูฉินวางแผนจะนํามันออกมา ยามเมื่อก้าวเข้าสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพี

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ซูฉินไม่คาดคิดคือก่อนที่เขาจะไปยังเทือกเขาคุนหลุน วิหารการสงครามกับถูกแตะต้องเสียก่อนแล้ว?

“วิหารการสงครามเป็นสมบัติพื้นที่มิติที่ถูกปรับแต่งขึ้นมาโดยผู้ทรงพลังถึงขีดสุดทั้งยังซ่อนอยู่ในส่วนลึกของความว่างเปล่า แม้ว่าผู้ที่เป็นเจ้าของอย่างข้า ในตอนที่อยู่ในขอบเขตตํานานยุทธยังไม่สามารถนํามันออกมาได้ คนอื่นๆก็ยิ่งเป็นไปไม่ได้เด็ดขาด”

ซูฉินไม่ได้ออกเดินทางไปเทือกเขาคุนหลุนในทันที เขาสัมผัสได้ว่าวิหารการสงครามกําลังค่อยๆ เคลื่อนเข้ามาหาโลก แม้ว่าทุกอย่างจะเป็นไปได้ด้วยดี แต่ก็ต้องใช้เวลาสองถึงสามชั่วโมงก่อนที่มันจะเข้าสู่โลกได้ และเวลาที่ยาวนานเช่นนี้ก็เพียงพอแล้วที่ซุฉินจะเดินทางไปถึง

นอกจากนี้ วิหารการสงครามได้รับการปรับแต่งโดยซูฉินเรียบร้อย หากซูฉินไม่อนุญาต แม้ว่าวิหารการสงครามจะปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งจริงๆ ก็คงเป็นไปไม่ได้ที่ผู้อื่นจะเข้าไป

“เป็นเซียนเทพปฐพึ่งั้นรึ?”

“ทั้งยังไม่ใช่เซียนเทพปฐพี่ที่เพิ่งเข้าสู่ขั้นแบ่งจิตอีกด้วย?”

ซูฉินครุ่นคิด

เขาเชื่อว่าตนเองเมื่อยามที่อยู่ในขอบเขตตํานานยุทธขั้นสูงสุดรวมถึงมีร่างศักดิ์สิทธิ์อีกาทองคําก็ยังไม่สามารถนําวิหารการสงครามออกมาได้ ไม่ต้องกล่าวถึงตํานานยุทธขั้นสูงสุดคนอื่นๆ

เกรงว่าจะมีเพียงเซียนเทพปฐพี่ที่แข็งแกร่งเท่านั้นจึงจะพอนําพาวิหารการสงครามออกมาได้ ซึ่งทั้งนี้ต้องขึ้นอยู่กับแนวคิดที่ว่า คนผู้นั้นได้ล่วงรู้ตําแหน่งเฉพาะของวิหารการสงครามที่ถูกซ่อนอยู่ในความว่างเปล่าและรู้วิธีกระตุ้นวิหารการสงครามด้วย

“น่าสนใจ

“เมื่อไหร่กันที่เหล่าเซียนเทพปฐพีกําเนิดขึ้นมาบนโลกใบนี้อีกครั้ง?”

ซูฉินแตะปลายคาง ดวงตาของเขาสงบนิ่ง กระซิบคําถามกับตนเอง

“ช่างเถอะ”

“ปิดด่านฝึกตนมาหนึ่งปีแล้ว ถึงเวลาจะต้องออกไปสักหน่อย”

ซูฉินครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงค่อยๆลุกขึ้นยืน ยืดเหยียดร่างกายของตนเอง

ฟาว!

มีเสียงดังออกมาจากร่างของซูฉิน อวัยวะภายในเริ่มเปล่งแสงออกมาจางๆ ผิวกายใสราวกับไพลิน ทั่วทั้งร่างเปรียบประดุจเครื่องแก้วเปล่งประกายวาววับ

พลังปราณและเลือดเนื้อพลุ่งพล่าน แยกตัวออกจากร่างกายพวยพุ่งสู่ฟากฟ้า ภายในรัศมีสิบลี้ถูกระงับด้วยพลังที่น่าสะพรึงกลัวของปราณเลือด

หลังจากบ่มเพาะมาหนึ่งปี แม้ซุฉินจะยังอยู่ที่จุดสูงสุดของขั้นแบ่งจิต แต่ก็ได้ก้าวข้ามไปสู่ขั้นกลับคืนต้นกําเนิดกว่าครึ่งก้าวแล้ว

นอกจากนี้ ในหนึ่งปีที่ผ่านมา ซูฉินยังลงชื่อเข้าใช้ในสถานที่กว่าสามร้อยแห่งทั่วทั้งเกาะเทพเจ้าสายฟ้า และได้รับสมบัติมากมายเป็นทรัพยากรบ่มเพาะสําหรับตนเอง

อาจกล่าวได้ว่า ซูฉินในยามนี้ต่อให้ไม่ใช้ไพ่ลับนับร้อยใบ เพียงอาศัยแค่กายเนื้อ ปราณเลือด และจิตวิญญาณแรกกําเนิดก็เพียงพอแล้วที่จะเทียบเท่าเซียนเทพปฐพีขั้นกลับคืนต้นก่าเนิด

“ทิ้งร่างจําแลงจิตวิญญาณแรกกําเนิดเอาไว้ให้ลงชื่อเข้าใช้บนเกาะเทพเจ้าสายฟ้าต่อไปดี กว่า” ซูฉินคิดเพียงชั่วครู่ จิตวิญญาณแรกกําเนิดก็พลันแบ่งตัวออกจากร่าง ก่อตัวเป็นร่างจําแลง จิตวิญญาณแรกกําเนิด

เซียนเทพปฐพี่ในขั้นแบ่งจิตสามารถแบ่งจิตวิญญาณแรกกําเนิดและก่อตัวขึ้นมาเป็นร่างจํา แลงจิตวิญญาณแรกกําเนิดได้ แต่ถ้าเป็นผู้ที่เพิ่งเข้าสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพีขั้นแบ่งจิตใหม่ๆ ต่า งก็ไม่เต็มใจที่จะทําเช่นนั้น เพราะมันจะเป็นการลดทอนความแข็งแกร่งของตนเอง และการแบ่งจิตจิตวิญญาณแรกกําเนิดออกไปมันก็ต้องใช้เวลาที่นานมากในการฟื้นฟู

แต่ซูฉินต่างออกไป

หลังจากลงชื่อเข้าใช้มาหลายปี ซูฉินได้รับโอสถวิเศษมากมายที่ไม่รู้ว่าจะชดเชยจิตวิญญาณแรกกําเนิดได้มากมายแค่ไหนด้วยซ้ํา การแบ่งจิตวิญญาณแรกกําเนิดออกไปไม่ได้ทําให้เขากังวลเลย หากแบ่งออกเป็นแล้ว เขาก็สามารถฟื้นตัวกลับมาได้ภายในครึ่งชั่วโมง

และแน่นอน

ในเวลานี้ ร่างจําแลงจิตวิญญาณแรกกําเนิดที่ซูฉินแยกออกมาเป็นเพียงร่างพลังงาน และพลัง ในการต่อสู้ของมันก็เทียบกับเซียนเทพปฐพี่ไม่ได้ แต่เพียงพอแล้วสําหรับการลงชื่อเข้าใช้ภายในเกาะเทพเจ้าสายฟ้า

“น่าเสียดาย เซียนเทพปฐพี่แบ่งจิตวิญญาณแรกกําเนิดออกมาได้แค่สามร่างเท่านั้น และด้วยการแบ่งจิตวิญญาณแรกกําเนิดไว้บนเกาะเทพเจ้าสายฟ้านี้ ก็ใช้ไปแล้วถึงสองร่าง…”

ซูฉินส่ายศีรษะเล็กน้อย

ร่างจําแลงที่เขาแบ่งแยกออกมาตอนที่อยู่ในขอบเขตตํานานยุทธ แม้ว่าจะใช้ [จิตมารแยกวิถี] ก็ยังนับว่าเป็นร่างจําแลงเช่นกัน
“ได้เวลาเก็บกู้วิหารการสงครามแล้ว”

ซูฉินเงยหน้าขึ้นมองไปยังทิศทางของเขาคุนหลุน ก้าวเท้าออกและหายตัวไปจากเกาะเทพ เจ้าสายฟ้า

บนยอดเขาคุนหลุน

เซียนเทพปฐพี่ทั้งห้าคนจากประตูเซียนกําลังนั่งขัดสมาธิ ไอพลังของพวกเขาเชื่อมโยงไปยังจุดหนึ่งในส่วนลึกของความว่างเปล่า

ฉับพลัน

ในตอนนั้นเอง

เหล่าเซียนเทพปฐพีก็ลืมตาขึ้น จ้องมองไปยังจุดหนึ่งในอากาศ

ช่วงเวลาต่อมา

ครื้น

เห็นวิหารอันสง่างามใหญ่โตมโหฬารค่อยๆ ปรากฏขึ้นจากส่วนลึกของความว่างเปล่า

“วิหารการสงครามกําลังจะออกมา”

เด็กหนุ่มพยายามสงบใจ แต่น้ําเสียงนั้นยากที่จะปกปิดความตื่นเต้น หลังจากใช้ทักษะลับอย่างต่อเนื่องเป็นเวลาหลายชั่วโมง ในที่สุดพวกเขาก็ดึงวิหารการสงครามออกมาจากความว่างเปล่าจนได้

“นี่คือวิหารการสงคราม?”

“เซียนเทพปฐพี่มากมายเท่าไหร่กันนะที่ใฝ่หาวิหารการสงครามแห่งนี้!”

ก็ยังสัมผัสได้ถึงความตื่นเต้นบนใบหน้าในยามนี้

แม้ว่าวิหารการสงครามจะเป็นสมบัติพื้นที่มิติ แต่ก็ไม่รู้ว่าพื้นที่ด้านในกว้างใหญ่กว่าสมบัติพื้นที่มิติชั้นยอดอันอื่นๆ ตั้งกี่เท่าต่อกี่เท่า คุณค่าของวิหารการสงครามเพียงอย่างเดียวก็เกินกว่าสมบัติล้ําค่าโดยกําเนิดของผู้ทรงพลังถึงขีดสุดแล้ว ไม่ต้องกล่าวว่าภายในวิหารการสงครามอาจมีสมบัติที่เจ้าของวิหารการสงครามได้ทิ้งไว้อีก

“ถ้าได้นําวิหารการสงครามกลับไปยังดินแดนศักดิ์สิทธิ์ ย่อมได้รับรางวัลจากดินแดนศักดิ์สิทธิ์เป็นแน่ และเกรงว่าด้วยรางวัลเหล่านั้น มันคงจะเพียงพอต่อการก้าวเข้าสู่ขั้นสถิตเทพ……”

ชายร่างสูงก่าย่าเต็มไปด้วยความตื่นเต้น

รู้หรือไม่ว่าแม้ภายในประตูเซียนจะมีผู้แข็งแกร่งมากมายนับไม่ถ้วน ขอบเขตเซียนเทพปฐพีขั้นสถิตเทพนั้นก็ยังหาได้ยากยิ่ง และทุกคนล้วนเป็นจ้าวลัทธิยักษ์ใหญ่ในดินแดนศักดิ์สิทธิ์หลัก ความสามารถของพวกเขามากมายทะลุฟ้า

ทั้งห้าคนล้วนมาจากประตูเซียน แม้แต่เทพธิดาไท่อินที่มีสถานะสูงที่สุดได้ถือครองตราประทับที่ผู้ทรงพลังถึงขีดสุดทิ้งเอาไว้ ก็มีเพียงความหวังอันริบหรี่เท่านั้นที่จะเข้าสู่ขั้นสถิตเทพ

ส่วนอีกสี่คนที่เหลือ บางทีพวกเขาอาจจะต้องใช้เวลาหลายร้อยปีก่อนจะกลายเป็นเซียนเทพปฐพี่ในขั้นกลับคืนต้นกําเนิด แต่ขั้นสถิตเทพนั้น….เป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน?!

เซียนเทพปฐพี่ขั้นสถิตเทพได้เริ่มสัมผัสถึงพลังของมิติแล้ว แม้ว่าการสัมผัสพลังมิติกับการ

นกําเนิดและขั้นแบ่งจิตไปอย่างสิ้นเชิง

หากต้องการเข้าสู่ขั้นสถิตเทพ นอกเหนือจากความสามารถและโอกาสของตนเองแล้ว ยังต้องใช้ภูมิหลังของดินแดนศักดิ์สิทธิ์เข้าช่วย ให้พวกเขาสัมผัสถึงพลังแห่งพื้นที่มิติได้

หากต้องการให้ดินแดนศักดิ์สิทธิ์มอบมรดกให้โดยไม่ลังเลใจ ความเป็นไปได้เดียวคือต้องสร้างคุณปการอันยิ่งใหญ่ให้กับดินแดนศักดิ์สิทธิ์

นี่เป็นเหตุผลว่าทําไมจึงมีเซียนเทพปฐพีที่ไปถึงขั้นสถิตเทพเพียงไม่กี่คนภายในประตูเซียน

และหากพวกเขานําวิหารการสงครามกลับไปยังดินแดนศักดิ์สิทธิ์ มันย่อมนับเป็นความสําเร็จครั้งใหญ่อย่างแน่นอน สมบัติพื้นที่มิติขนาดใหญ่ที่ได้รับการปรับแต่งโดยผู้ทรงพลังถึงขีดสุด มีคุณค่าเกินกว่าสมบัติล้ําค่าโดยกําเนิด หากนี่ไม่ใช่ผลประโยชน์ครั้งใหญ่ จะมีสิ่งอื่นใดที่เป็นประ โยชน์ต่อดินแดนศักดิ์สิทธิ์ได้มากเท่านี้อีกเล่า?

“แต่ข้าได้ยินมาว่ามนุษย์สวรรค์อาณาจักรถังได้เข้าไปภายในวิหารการสงครามมาแล้ว?” ใน ตอนนั้น ชายหนุ่มที่ท่าทางอ่อนแอก็เหมือนจะคิดอะไรบางอย่างออก แล้วพูดด้วยเสียงต่ํา “พวกเจ้าคิดว่าสมบัติภายในวิหารการสงครามจะถูกมนุษย์สวรรค์อาณาจักรถังเอาออกไปแล้วหรือไม่?”

ความกังวลปรากฏขึ้นบนใบหน้าของชายหนุ่มท่าทางอ่อนแอ

แม้ว่าพวกเขาจะได้รับวิหารการสงครามมา แต่ก็ไม่สามารถครอบครองมันได้ ท้ายที่สุดก็ยังต้องส่งกลับไปยังนิกายของพวกตน เพราะพวกเขาไม่สามารถเคลื่อนย้ายวิหารการสงครามได้

แต่สมบัติภายในวิหารการสงครามนั้นไม่ใช่ หากสมบัติภายในเป็นเคล็ดวิชาบางประเภท หลังจากที่พวกเขาได้เรียนรู้มันแล้ว จึงค่อยมอบให้กับดินแดนศักดิ์สิทธิ์เพื่อแลกกับผลงาน นี่เป็นการได้รับผลประโยชน์ทั้งสองฝ่ายมิใช่หรือ?

การที่ผู้ทรงพลังถึงขีดสุดไม่ลังเลใจแม้แต่น้อยในการสร้างพื้นที่ขนาดใหญ่พิเศษนี้ขึ้นมา สมบัติวิเศษที่เก็บไว้ภายในจะต้องเป็นบางสิ่งที่น่าทิ้งอย่างแน่นอน!

เมื่อชายหนุ่มท่าทางอ่อนแอกล่าวออกเช่นนี้

ใบหน้าของอีกสี่คนที่เหลือก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย

จริงดังว่า

ความกังวลของชายหนุ่มท่าทางอ่อนแอก็ไม่ได้ไร้เหตุผล

“ห์!”

ชายร่างสูงกํายําพ่นลมหายใจออกมาอย่างเย็นชา “วิหารการสงครามอยู่มานานแค่ไหนแล้ว? แม้แต่ในยุคเฟื่องฟูกระแสปราณครั้งล่าสุด ข้าก็ไม่เคยได้ยินว่ามีใครนําสมบัติด้านในออกไปได้ นับประสาอะไรกับในยุคนี้?”

ชายร่างกํายําเหลือบมองอีกสี่คนที่เหลือและเมื่อเห็นว่าพวกเขายังกังวลอยู่ จึงยิ้มออกมาพร้อมกล่าวว่า

“จะเป็นอะไรไปถ้ามนุษย์สวรรค์อาณาจักรถังเอาสมบัติไปจริงๆ ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรกับการที่พวกเราร่วมมือกันปราบเมืองฉางอัน ปราบมนุษย์สวรรค์ผู้นั้น และบังคับให้มันมอบสมบัติออกมา”

ศิษย์ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ จะเอามาเทียบกันได้อย่างไร?”

“เราทั้งห้าเมื่อร่วมมือกัน มนุษย์สวรรค์อาณาจักรถังจะต้านทานได้อย่างไร?”

เสียงอันแข็งกร้าวเต็มไปด้วยความมั่นใจในตนเอง คงจะลําบากไม่น้อยหากเป็นศิษย์ดินแดนศักดิ์สิทธิ์คนอื่นที่นําสมบัติไป แต่กับมนุษย์สวรรค์อาณาจักรถัง…

หากปราศจากการสนับสนุนจากดินแดนศักดิ์สิทธิ์ ความแข็งแกร่งย่อมไม่ดีเท่าพวกเขา จะเกิดอะไรขึ้นต่อให้ได้สมบัติไป? ไม่ใช่สุดท้ายก็ต้องยอมมอบให้พวกเขาอย่างเชื่อฟังหรือ?

“นั่นสินะ”

เมื่อได้ยินคํากล่าวนั้น อีกสี่คนก็พยักหน้าเล็กน้อย และความกังวลที่มีก็คลายออกอย่างเห็นได้ชัด

ขณะที่คนทั้งห้ากําลังคุยกันอยู่นั้น

วิหารอันสง่างามมโหฬารก็โผล่ออกมาจากส่วนลึกของความว่างเปล่า เข้าสู่ยอดเขาคุนหลุนอย่างสมบูรณ์

ฉับพลัน แรงกดดันอันน่าสะพรึงกลัวก็แพร่กระจายปกคลุมไปทั่ว ทว่าคนทั้งห้าในที่แห่งนี้ล้วนเป็นเซียนเทพปฐพี แม้ว่าพวกเขาจะรู้สึกไม่ค่อยสบายใจกับแรงกดดันนี้ แต่ก็พอต้านรับได้ อย่างน้อยก็ไม่เหมือนขอบเขตตํานานยุทธที่ความแข็งแกร่งส่วนใหญ่ต้องถูกระงับยับยั้งไป

“พวกเราเข้าไปกันเถอะ”

เด็กหนุ่มมองไปที่วิหารการสงครามอย่างละเอียดพร้อมด้วยรอยยิ้มบนใบหน้า กําลังจะก้าวเดินเข้าไป

อีกสี่คนก็ติดตามไปอย่างใกล้ชิด

ฉับพลัน

ในตอนนั้นเอง

ใบหน้าของเทพธิดาไท่อนก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย ราวกับสัมผัสได้ถึงบางอย่าง นางจึงเงยหน้ามองไปยังทิศทางหนึ่ง

เทพธิดาไท่อินจ้องมองออกไปด้วยความเหลือเชื่อ

พลันเห็นฟ้าดินมืดมิดลงทันใด

จากนั้น ดวงตะวันสีทองก็ส่องสว่างออกมาอย่างช้าๆ จากขอบฟ้าอันไกลโพ้น แทบจะไม่สามารถอธิบายแสงตะวันครานี้ได้ ดูเหมือนว่าจะมีดวงตะวันเพิ่มขึ้นมาจากขอบฟ้า ส่องลงมาบนผืนโลกในรัศมีร้อยล์

“นั่นคือ?”

อีกสี่คนก็ตระหนักได้ทันทีว่ามีบางสิ่งผิดปกติ และหันไปมองด้วยความตกใจ

เมื่อได้เห็นดวงตะวันสีทองขนาดใหญ่ ร่างสูงเพรียวก็โผล่ออกมา

ใบหน้าดูคลุมเครือไม่ชัดเจน ดวงตาเปล่งแสงเร่าร้อนคล้ายกับดวงอาทิตย์ ปราณเลือดพวยพุ่งขึ้นสู่ฟากฟ้าปกคลุมไปทั่วท้องฟ้าและดวงตะวัน ดูยิ่งใหญ่ทรงพลัง

มันผู้นั้นก็คือซูฉิน!

Sign in Buddha’s palm 332 (II) ความมั่นใจของสมาชิกประตูเซียน

“ในช่วงหมื่นปีที่ผ่านมานี้ เคล็ดวิชาที่ทรงพลังส่วนใหญ่ได้สูญหายไปนานแล้ว แม้ว่าจะมีมนุษย์สวรรค์กําเนิดขึ้น แต่จะเทียบกับศิษย์สาวกของดินแดนศักดิ์สิทธิ์อย่างพวกเราที่มีทักษะสังหารมากมายได้อย่างไร?”
ร่างสูงกํายําหัวเราะเสียงดัง

แม้พวกเขาทั้งหมดจะเป็นเซียนเทพปฐพี แต่ก็มีความแตกต่าง มีทั้งระดับสูงและระดับต่ํา และเหล่าศิษย์สาวกดินแดนศักดิ์สิทธิ์ภายในประตูเซียนย่อมเป็นกลุ่มที่แข็งแกร่งที่สุดอย่างแน่นอน พวกเขามีเคล็ดวิชาทรงพลังมากมายที่สืบทอดมาจากผู้ทรงพลังถึงขีดสุด เซียนเทพปฐพีคนอื่นๆจะมาเทียบได้เช่นไร?

“ตามนั้น”

รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของชายหนุ่มท่าทางอ่อนแอ

“เอาล่ะ”

“ไม่ต้องเถียงกันแล้ว”

เสียงเย็นชาดังขึ้นมาจากเทพธิดาไก่อิน นางมองไปยังเด็กหนุ่มซึ่งจ้องมองไปที่ความว่างเปล่า แล้วจึงกล่าวขึ้นว่า “หากไม่ใช่ช่วงที่วิหารการสงครามจะโผล่ขึ้นมา มันก็รวมเข้าไปอยู่ในส่วนลึกของความว่างเปล่า หากไม่มีวิธีการจําเพาะ แม้แต่ผู้ทรงพลังถึงขีดสุดก็ไม่สามารถจับตําแหน่งของวิหารการสงครามได้”

“ข้าอยากจะรู้นักว่าทําไมเจ้าถึงคิดว่าจะหาตาแหน่งของวิหารการสงครามพบ?”

สายตาของเทพธิดาไท่อนฉายความอยากรู้อยากเห็นออกมา

วิหารการสงครามเป็นสมบัติพื้นที่มิติขนาดใหญ่พิเศษที่ได้รับการปรับแต่งโดยผู้ทรงพลังถึงขีดสุด แม้จะไม่ใช่สมบัติล้ําค่า แต่ก็สูงค่ายิ่งกว่าสมบัติล้ําค่าโดยกําเนิดของผู้ทรงพลังถึงขีดสุดบางคน เพื่อปรับแต่งวิหารการสงคราม เจ้าของวิหารการสงครามต้องเดินทางค้นหาไปทั่วโลก ยอมจ่ายทรัพยากรทั้งหมดเพื่อตามหาผลึกหินมิติที่มีขนาดเท่าภูเขา

ผลึกหินมิตินั้นเกิดขึ้นเฉพาะในพายุมิติด้านในส่วนลึกของความว่างเปล่า มีเพียงผู้ทรงพลังถึงขีดสุดเท่านั้น จึงจะมีความสามารถในการฉีกช่องว่างเพื่อค้นหาผลึกหินมิติได้ แต่ผลึกหินมิติส่วนใหญ่อย่างมากก็มีขนาดไม่เกินกําปั้น

ส่วนผลึกหินมิติที่มีขนาดเท่าภูเขาพบเจอได้ไม่บ่อยนัก

วิหารการสงครามสร้างขึ้นจากหินมิติขนาดเท่าเนินเขาลูกเล็กๆ พื้นที่ที่อยู่ภายในไม่รู้ว่าเหนือกว่าสมบัติพื้นที่มิติอันอื่นๆ มากแค่ไหน

ทั้งนี้มันยังสามารถรองรับสิ่งมีชีวิตได้อีกด้วย หากกฎเกณฑ์ของโลกถูกถ่ายเทเข้าไป มันอาจจะพัฒนาเป็นโลกใบเล็กเหมือนประตูเซียนก็เป็นไปได้

“สบายใจได้”

“เคล็ดวิชาลับของข้านั้น ได้มาจากเจ้าของวิหารการสงคราม ที่สามารถสัมผัสหรือแม้กระทั่งเรียกวิหารการสงครามที่ซ่อนอยู่ในส่วนลึกของความว่างเปล่าออกมาได้”

“ทว่า หากต้องการจะผลักดันทักษะลับนี้ให้ถึงขีดสุด อย่างน้อยความแข็งแกร่งก็ต้องไปถึงขั้นกลับคืนต้นกําเนิด กระนั้น หากเราทั้งห้าร่วมมือกัน ก็คงจะพอไปแตะถึงบริเวณขอบธรณีประตูของขั้นกลับคืนต้นกําเนิด และสามารถอัญเชิญวิหารการสงครามออกมาจากส่วนลึกของความว่างเปล่าได้”

เด็กหนุ่มไม่ได้ปิดบัง และพูดออกมาตามความจริง

“มันเป็นเช่นนี้นี่เอง”

เทพธิดาไท่อนกะพริบตา และไม่ได้ถามอีกฝ่ายว่าทําไมจึงมีทักษะที่เจ้าของวิหารการสงครามทิ้งไว้

“ต่อจากนี้ข้าจะสอนทักษะลับนี้ให้พวกเจ้า หลังจากคุ้นเคยกับมันแล้ว เราทั้งห้าจะช่วยกันกระตุ้นทักษะลับร่วมกัน”

เด็กหนุ่มรีบสอนทักษะลับให้กับทั้งสี่คนอย่างรวดเร็ว

ทักษะลับนี้ไม่ได้ซับซ้อนอะไร ออกจะเรียบง่ายเสียด้วยซ้ํา แต่ถ้าไม่ได้รับการถ่ายทอดจากเด็กหนุ่ม อีกสี่คนที่เหลือจะไม่มีวันเข้าใจทักษะลับนี้

“เอาล่ะ”

“มาเริ่มพร้อมๆ กันเถอะ”

เด็กหนุ่มนั่งขัดสมาธิ อีกสี่คนที่เหลือรวมถึงเทพธิดาไม่อินก็นั่งลงด้วย พลังภายในร่างก็เริ่มโคจรอย่างช้าๆ ในลักษณะที่ค่อนข้างพิเศษ

หวิ่ง!!!

ขณะที่ทั้งห้าคนใช้ทักษะลับร่วมกัน พวกเขาก็รู้สึกว่าจิตใจของพวกเขาเริ่มล่องลอยอย่างไร ขอบเขตและในทันทีที่ฝ่าฟันอุปสรรคต่างๆในอากาศ ก็ได้เข้ามาถึงส่วนลึกของความว่างเปล่า

“ที่นี่คือ?”

ม่านตาของเทพธิดาไท่อินและคนอื่นๆหดตัวลง ตอบสนองต่อสิ่งรอบข้างอย่างรวดเร็ว

ท้ายที่สุด คนทั้งหมดก็เป็นเซียนเทพปฐพี จิตวิญญาณแรกกําเนิดได้รวมเข้ากับทะเลปราณตั้งแต่แรกแล้ว ไม่ได้รู้สึกแปลกกับการเข้ามาในส่วนลึกของความว่างเปล่า

เพียงแต่ว่าตําแหน่งที่พวกเขาอยู่ในตอนนี้ไม่ใช่ทะเลปราณ แต่เป็นระดับที่ลึกกว่าในส่วนลึกของความว่างเปล่า

“นั่นคือ?”

ในขณะนี้เอง ชายร่างกํายําก็ร้องอุทานออกมา และอีกสี่คนที่เหลือก็มองตามชายร่างกํายําไปในทันที

เห็นวิหารขนาดใหญ่ตั้งอยู่อย่างเงียบๆ ในส่วนลึกของความว่างเปล่า ตัววิหารดูเหมือนจะหลอมรวมเข้ากับความว่างเปล่า ชิ้นส่วนมิติที่สามารถฉีกอากาศเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย เมื่อสัมผัสเข้ากับตัววิหารมันก็เหมือนกับหินที่ตกลงไปในน้ํา ผลที่เกิดขึ้นก็มีเพียงแรงกระเพื่อมเท่านั้น

“วิหารการสงคราม”

“นี่คือวิหารการสงครามในตํานาน!”

เมื่อเด็กหนุ่มเห็นฉากนี้ สีหน้าของเขาก็ดูเร่าร้อนขึ้นมาทันที

อีกสี่คนที่เหลือก็ตกใจ ความสามารถของวิหารการสงครามนั้นน่ากลัวเกินไป ต้องรู้ว่าสถานที่แห่งนี้อยู่ลึกเข้าไปในความว่างเปล่า เต็มไปด้วยพลังงานมิติมากมายที่คอยฉีกกระชากทุกสิ่งเป็นชิ้นๆ แต่วิหารการสงครามยังอยู่ที่นี่ได้เป็นพันเป็นหมื่นปี

“ตามข้ามา”

“ใช้ทักษะลับในการดึงวิหารการสงครามกลับคืนสู่โลกมนุษย์!”

เด็กหนุ่มระงับความยินดีภายในใจ ส่งเสียงตะโกนปลุกอีกสี่คนให้รู้ตัว

ในตอนนี้พวกเขาได้ใช้ทักษะลับเพื่อเข้ามาสู่ความว่างเปล่าในบริเวณที่ใกล้กับวิหารการสงคราม หากต้องการจะเข้าสู่วิหารการสงครามจริงๆ เพียงเท่านี้ยังไม่พอ

เฉพาะตอนที่วิหารการสงครามกลับคืนสู่โลก พวกเขาจึงจะสามารถเข้าสู่วิหารการสงครามได้

“ไม่มีปัญหา”

ชายร่างกําย่าและคนอื่นๆ ต่างมองหน้ากัน เรียกใช้ทักษะลับอีกครั้ง ทันใดนั้นพวกเขาก็ยืนนิ่ง ราวกับเป็นส่วนหนึ่งของวิหารการสงคราม และมันก็ค่อยๆเคลื่อนเข้าหาโลกมนุษย์

“มันได้ผล!”

เมื่อเห็นเช่นนี้ เด็กหนุ่มก็ตื่นเต้นดีใจ

ฉากที่เขากังวลมากที่สุดคือตอนที่ฉุดลากวิหารการสงครามมันจะไปดึงความสนใจของมังกรปีศาจที่อยู่ด้านใน แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าวิหารการสงครามจะไม่มีการต่อต้านแม้แต่น้อย ชัดเจนว่ามังกรปีศาจได้ตายไปแล้ว

ไม่เช่นนั้น หากมังกรปีศาจยังคงมีชีวิตอยู่ จะเคลื่อนวิหารการสงครามออกมาได้อย่างไร?

ในเวลาเดียวกัน

ส่วนลึกของเกาะเทพเจ้าสายฟ้า ใต้รูปปั้นเทพเจ้าสูงร้อยจ้าง
ซูฉินกําลังนั่งขัดสมาธิ พลังจิตวิญญาณแรกกําเนิดในร่างกายและพลังปราณเลือดค่อยๆกลับสู่สภาพดั้งเดิมอย่างช้าๆ ด้วยอํานาจของอาณาเขต

เมื่อเทียบกับพลังของจิตวิญญาณแรกกําเนิดอันบริสุทธิ์หรือพลังจากกายเนื้อ พลังใหม่นี้ยิ่งใหญ่และสง่างามกว่า หากไม่ใช่เพราะการควบคุมที่ทําได้อย่างพอเหมาะของซูฉิน เกรงว่าในเวลานี้ทั้งเกาะเทพเจ้าสายฟ้าคงถูกพลังนี้บดขยี้ไปแล้ว

“การคาดเดาของข้าถูกต้องจริงๆ”

“หากต้องการเข้าสู่ขั้นกลับคืนต้นกําเนิด วิธีเดียวคือการยับยั้งการต่อต้านกันระหว่างพลังปราณเลือดและพลังจิตวิญญาณแรกกําเนิดด้วยพลังของอาณาเขต

จิตใจของซูฉินค่อยๆแปรผันไป เข้าควบคุมจิตวิญญาณแรกก่าเนิดและปราณเลือดในร่างกายอย่างต่อเนื่อง

“เพียงแต่ว่าพลังปราณเลือดของข้านั้นแข็งแกร่งเกินไป แม้พลังของอาณาเขตจะสามารถยับยั้งการต่อต้านของจิตวิญญาณแรกกําเนิดได้ แต่ความเร็วก็ลดลงไปเยอะทีเดียว……”

ซูฉินขมวดคิ้วเล็กน้อย

ถ้าเขามีแค่กายแห่งธรรมชาติ อาศัยเพียงพลังจากอาณาเขตในตอนนี้ก็เพียงพอแล้วที่จะเข้าสู่ขั้นกลับคืนต้นกําเนิดในเวลาไม่กี่ปี

แต่น่าเสียดายที่ร่างกายของซูฉินไม่ใช่กายแห่งธรรมชาติธรรมดาๆ แต่เป็นร่างศักดิ์สิทธิ์อีกาทองค่า ทั้งยังขัดเกลาภายในสระสายฟ้าโบราณมาระยะหนึ่งแล้ว เรียกได้ว่าอยู่ไกลเกินกว่าร่างกายธรรมดาๆ

พลังปราณเลือดที่เกิดจากร่างกายเช่นนี้สูงส่งเพียงใด? แม้จะได้รับผลจากพลังของอาณาเขตจริง แต่มันก็ช้าราวกับเต่าคลาน

“ดูเหมือนว่าจะต้องปรับปรุงอาณาเขตเสียแล้ว”

ความคิดของซูฉินผันผวนไปมา คิดใคร่ครวญอยู่กับตนเอง
ฉับพลัน

ในตอนนั้นเอง

จิตใจของซูฉินก็ขยับวูบ และมองไปทางเทือกเขาคุนหลุน

“มีคนมาแตะต้องวิหารการสงครามงั้นหรือ?” ร่องรอยความประหลาดใจปรากฏขึ้นบนใบหน้าของซูฉิน

Sign in Buddha’s palm 332 (I) ความมั่นใจของสมาชิกประตูเซียน

เขาคุนหลุน

เซียนเทพปฐพีจากประตูเซียนทั้งห้าล้วนยืนอยู่บนอากาศ พลังปราณนั้นกว้างไกล ปกคลุมไป ทั่วทุกที่ราวกับมหาสมุทร

ความเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นย่อมทําให้จอมยุทธจํานวนมากบนเทือกเขาคุนหลุนตกใจเป็นธรรมดา

เทือกเขาคุนหลุนเป็นเทือกเขาที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในโลกแห่งหนึ่งหลังจากกระแส ปราณจีฟื้นคืน นอกจากนี้มันยังสามารถรวบรวมจิตวิญญาณปราณจีจํานวนมากจากระยะหลายร้อยลี้ ไม่รู้ว่าดึงดูดผู้ฝึกยุทธให้เข้ามาฝึกฝนที่นี่มากมายเท่าไหร่ และแม้แต่อาณาจักรถังยังส่งกองทัพขนาดใหญ่เข้ามาประจําการในที่แห่งนี้

ดังนั้น เมื่อเซียนเทพปฐพี่ทั้งห้าปรากฏกายขึ้นโดยไม่มีปิดบังใดๆ พวกเขาจึงดึงดูดความสนใจของผู้อื่นในทันที ทําให้หลายสิบร่างทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้ามุ่งหน้าไปยังยอดเขาเกือบจะในทันที

“ท่านทั้งห้าดูไม่ค่อยคุ้นหน้าคุ้นตาเท่าไหร่ คงจะมาจากดินแดนโพ้นทะเลเป็นแน่ แต่อย่างไรก็ตาม เขาคุนหลุนนี้เป็นสถานที่สําคัญของอาณาจักรถัง ผู้ฝึกยุทธจากต่างดินแดนที่ต้องการเข้าสู่เทือกเขาคุนหลุนจําเป็นต้องได้รับอนุญาตจากอาณาจักรถัง ไม่ทราบว่าท่านทั้งห้า…”

ชายชราที่มีใบหน้าผอมบางดูสุภาพอย่างยิ่ง โบกมือให้คนทั้งห้า

ชายชราหน้าตอบเป็นตํานานยุทธที่กําเนิดขึ้นในผืนแผ่นดินอาณาจักรถัง และอยู่ในระดับนภาชั้นที่สอง มีสถานะที่สูงมากในหมู่จอมยุทธภายในเทือกเขาคุนหลุน

เป็นเวลาหนึ่งปีแล้วนับจากเหตุการณ์ที่ซูฉินเหยียบย่าทําลายนิกายเทพเจ้าสายฟ้า ชาวยุทธจํานวนมากในอาณาจักรถังจึงค่อยๆ ยอมรับนิกายใหญ่จากดินแดนโพ้นทะเล และเนื่องจากอํานาจปราบปรามของซูฉิน จึงไม่มีใครในนิกายใหญ่กล้าสร้างปัญหาภายในอาณาจักรถัง

เป็นเพราะเหตุนี้นี่เอง ชายชราหน้าตอบจึงไม่ได้โจมตีคนทั้งห้าในทันที แต่ถามไถ่ว่ามาจากไหนถึงได้บุกรุกเข้ามาภายในเขาคุนหลุนโดยไม่ได้รับอนุญาต นอกจากนี้ส่วนยอดเขาของเทือกเขาคุนหลุนนั้นถือว่าเป็นพื้นที่หวงห้ามด้วย

“อาณาจักรถัง?”

“มันคือสิ่งใด?”

“การที่ข้าจะมาที่นี่ทําไมต้องขอความเห็นจากอาณาจักรถังด้วย?” ชายร่างกายที่อยู่ในกลุ่มคนทั้งห้านั้นไม่มีความกังวลใดๆ และไม่ได้สนใจเลยแม้แต่น้อย

“อย่าได้พูดจาไร้สาระ

เมื่อชายชราหน้าตอบได้ยินสิ่งนี้ ใบหน้าของเขาก็เปลี่ยนแปลงไปในทันที ดวงตาของเขามองไปที่ชายร่างกําย่าด้วยความเย็นชา

ในตอนนี้อาณาจักรถังครอบครองแผ่นดินแห่งพลังยุทธฯ ทั้งหมดแล้ว มีมนุษย์สวรรค์อย่างซูฉินประจําการอยู่ในเมืองหลวง แม้แต่นิกายใหญ่ที่ดื้อรั้นทั้งหลายในต่างดินแดนก็ต้องปฏิบัติตัวอย่างซื่อตรงและทําตามกฎที่ซูฉินได้วางเอาไว้

แต่คนทั้งห้าที่อยู่ด้านหน้านี้ พวกเขาไม่เพียงแต่บุกรุกเข้าไปภายในเขาคุนหลุนโดยไม่ได้รับอนุญาต แต่ยังกล่าวคําที่แสดงถึงความไม่เคารพต่ออาณาจักรถังด้วย

“เจ้ากล้าสั่งข้าหรือ?”

ชายร่างกายหรี่ตาลงเล็กน้อย จ้องไปที่ใบหน้าของชายชราหน้าตอบ

ทันใดนั้น ชายชราหน้าตอบก็กระเด็นออกไปหลายก้าว กระอักเลือดออกมาคําโต กลิ่นอายอ่อนแอลงทันทีด้วยความเร็วที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่า ชัดเจนว่าถูกกระแทกอย่างรุนแรง

“อ่อนแอเกินไป”

“เจ้ามันก็แค่มด ถ้าเป็นก่อนหน้านี้ข้าคงขี้เล่นจนสิ้นชีพแล้ว แต่วันนี้ข้าอารมณ์ดี ทําไมยังไม่รีบออกไปอีกเล่า?”

ชายร่างกําย่ามองดูฝูงชนที่เหลือ เสียงที่เปล่งราวกับฟ้าร้องอึกทึก ไอพลังที่น่าสะพรึงกลัวกระจายออกไปกระแทกจอมยุทธภายในเทือกเขาคุนหลุนโดยตรง

“นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เทือกเขานี้เป็นของข้า ใครกล้าเข้ามาใกล้จะต้องถูกฆ่าอย่างไร้ความ ปรานี้!”

ชายร่างกายกํายําเหยียดมือขวาออกไป สะบัดเบาๆ ทันใดนั้น พลังฟ้าดินก็เดือดพล่าน แผ่นดินแตกระแหง ภูเขาถล่มดินทลาย ก้อนหินดินพืชกระจายเป็นชิ้นๆ เทือกเขาคุนหลุนทั้งลูกสันสะเทือนเลือนลั่น

ฉับพลัน

จอมยุทธจํานวนนับไม่ถ้วนเคลื่อนตัวออกจากเขาคุนหลุนอย่างรวดเร็วด้วยความตื่นตระหนก ขณะนี้พวกเขารู้สึกเหมือนโลกกําลังจะถล่มลงมา ร่างกายสันสะท้าน

“คนผู้นั้นคือใครกัน?”

“มีพลังเช่นนี้ได้อย่างไร?”

ใบหน้าผอมบางของชายชราซีดเซียว ไร้ร่องรอยของเลือดฝาด และตํานานยุทธอีกหลายคนก็ รีบถอยห่างจากเทือกเขาคุนหลุน มองขึ้นไปบนยอดเขาด้วยความตกใจ

ชายผู้นี้แข็งแกร่งจนเกินไป

เพียงชาเลืองตาครั้งเดียวก็สร้างความสั่นสะเทือนให้แต่ตํานานยุทธระดับนภาชั้นที่สองอย่างรุนแรงได้ และเพียงแค่สะบัดมือเบาๆ ก็เขย่าเขาคุนหลุนทั้งลูกโดยตรง เกรงว่าคนที่ทําเช่นนี้ได้ คงมีแต่ตํานานยุทธขั้นสูงสุดใช่หรือไม่?

เทือกเขาคุนหลุนเป็นหุบเขาที่มีชื่อเสียงระดับโลกสูงตรงตั้งตระหง่าน แม้จะเป็นกลุ่มตํานานยุทธก็ยากที่จะสั่นคลอน แต่ชายร่างกายผู้นี้ไม่เพียงแต่สั่นคลอนมันเท่านั้น แต่พลังของเขายังดูเหลือเฟือ

“มนุษย์สวรรค์”

“ชายร่างกํายําผู้นั้นก็เป็นมนุษย์สวรรค์เช่นกัน”

ชายชราหน้าตอบสูดลมหายใจเข้าลึกเต็มปอด กล่าวทุกคําออกมา

ไม่กี่ปีก่อน เขาได้รับเกียรติให้ไปที่เมืองฉางอัน และได้รับชมการต่อสู้ระหว่างซูฉินกับเหลยเฉียนจือด้วยตาของตนเอง

แต่ในยามนี้ กลิ่นอายที่ชายร่างกายได้แผ่ออกมา คล้ายคลึงกับเหลยเฉียนจือเมื่อสองสามปีก่อน

กว้างใหญ่ไพศาลดุจเดียวกัน

เชื่อมต่อถึงฟ้าดินเหมือนกัน

“มนุษย์สวรรค์?”

ตํานานยุทธคนอื่นๆ จู่ๆก็เบิกตาโพลง ไม่อยากจะเชื่อสิ่งที่ได้ยิน

มนุษย์สวรรค์กําเนิดขึ้นมาได้เช่นไร? แม้แต่ในต่างดินแดนที่ศิลปะวิทยายุทธรุ่งเรืองก็ยังหาได้ยากยิ่งในรอบพันปี แล้วตอนนี้กลับมีใครก็ไม่รู้โผล่ขึ้นมาจากอากาศกลายเป็นมนุษย์สวรรค์?

ยิ่งกว่านั้น สิ่งที่ทําให้ทุกคนหวาดกลัวมากขึ้นไปอีกคือ ตอนนี้ไม่ได้มีเพียงชายร่างกําย่าเพียงคนเดียวเท่านั้นที่ปรากฏตัวขึ้นบนยอดเขาคุนหลุน แต่มีถึงห้า

กลุ่มชายร่างกําย่าทั้งห้าคนที่ยืนเคียงข้างกัน เห็นได้ชัดว่าแต่ละคนไม่ได้อ่อนแอไปกว่ากัน

ถ้าชายร่างกํายําเป็นมนุษย์สวรรค์ อีกสี่คนก็ควรจะเป็นมนุษย์สวรรค์ด้วย?

กล่าวอีกนัยหนึ่ง เทือกเขาคุนหลุนในตอนนี้มีมนุษย์สวรรค์ถึงห้าคน?

เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ ทุกคนรวมถึงชายชราหน้าตอบก็รู้สึกว่าเรื่องที่เกิดขึ้นมันเหลวไหลทั้งเพ

มนุษย์สวรรค์เป็นตัวตนที่สูงส่งยากที่จะกําเนิดขึ้นมาได้สักคนในรอบพันปี แต่บัดนี้ ไม่เพียงแต่มีมนุษย์สวรรค์กําเนิดขึ้น แต่ยังมีถึงห้าคนพร้อมกัน เป็นเรื่องที่น่าหวาดกลัวอย่างยิ่ง

เดิมที่พวกเขาคิดว่าการที่มีซูฉินและเหลยเฉียนจือเป็นมนุษย์สวรรค์ ในยุคเดียวกันก็นับว่าเป็นเรื่องหายากในรอบหมื่นปีแล้ว แต่ตอนนี้กลับมีถึงห้า….

“ห้าคนนี้ ไม่น่าจะมาจากดินแดนโพ้นทะเล” ในเวลานั้นตํานานยุทธอีกคนหนึ่งก็กล่าวออกด้วยเสียงต่ํา

หากยังคงมีมนุษย์สวรรค์ในยุทธภพต่างดินแดนอีกตั้งห้าคน เป็นไปได้อย่างไรที่จะยอมจํานนต่อซูฉิน?

“ไม่ว่ามนุษย์สวรรค์ทั้งห้าจะมาจากไหน ข้าเกรงว่าโลกนี้จะต้องเปลี่ยนไปอย่างมากที่ เดียว…” ชายชราหน้าตอบพยายามระงับลมหายใจ มองขึ้นไปบนยอดเขาคุนหลุนด้วยสีหน้ากังวล

เป็นเพียงเวลาแค่ปีเดียวที่ทุกอย่างเริ่มมั่นคง จากนั้นคนแปลกหน้าทั้งห้าก็ปรากฏตัวขึ้น ซึ่งนับเป็นอันตรายต่อการปกครองของอาณาจักรถัง มีความเป็นไปได้ว่าจะมีการต่อสู้ระหว่างขอบเขตเซียนเทพปฐพี่เกิดขึ้นอีกครั้ง

ยอดเขาคุนหลุน

“ขับไล่พวกมดปลวกออกไปหมดแล้ว” ชายร่างกํายําเผยใบหน้าดูถูกเหยียดหยามแล้วมองไปที่สี่คนที่เหลือ “ดูเหมือนว่าโลกนี้จะเสื่อมโทรมไปหมดสิ้นแล้ว กลุ่มเมื่อครู่ คนที่แข็งแกร่งที่สุดเป็นเพียงแค่ตํานานยุทธระดับนภาชั้นที่สอง ศิษย์ชั้นนอกของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ยังดีกว่านี้……”

“อย่าได้ประมาทไป”

ชายหนุ่มที่ดูอ่อนแอในชุดบัณฑิตส่ายศีรษะแล้วกล่าวว่า “กลุ่มคนเมื่อครู่ได้กล่าวถึงอาณาจักรถึง เมื่อไม่กี่เดือนก่อน ข้าได้สืบทราบมา อาณาจักรถังนั้นไม่ได้ง่ายอย่างตาเห็น มีมนุษย์สวรรค์ผู้หนึ่งคอยให้ความคุ้มครองอยู่”

“และมนุษย์สวรรค์จากอาณาจักรถังผู้นี้ก็เหมือนจะเคยสังหารมนุษย์สวรรค์อีกคนหนึ่งมาก่อนด้วย ซึ่งเรื่องนี้ไม่ควรมองข้าม” ชายท่าทางอ่อนแอกล่าวด้วยท่าทางเคร่งขรึม

“โอ?”

“ยังมีมนุษย์สวรรค์อยู่บนโลกด้วยหรือ?” ชายร่างกายกํายาขมวดคิ้ว แล้วกล่าวต่ออย่างเฉยเมย “ต่อให้มีมนุษย์สวรรค์แล้วอย่างไร? เมื่อหมื่นปีก่อน ยามที่ผู้ทรงพลังถึงขีดสุดหนีเข้าไปในประตูเซียน ก็ได้นําสมบัติส่วนใหญ่บนโลกเข้าสู่ประตูเซียนไปตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว”

“ในช่วงหมื่นปีที่ผ่านมานี้ เคล็ดวิชาที่ทรงพลังส่วนใหญ่ได้สูญหายไปนานแล้ว แม้ว่าจะมีมนุษย์สวรรค์กําเนิดขึ้น แต่จะเทียบกับศิษย์สาวกของดินแดนศักดิ์สิทธิ์อย่างพวกเราที่มีทักษะสังหารมากมายได้อย่างไร?

ร่างสูงกายหัวเราะเสียงดัง

แม้พวกเขาทั้งหมดจะเป็นเซียนเทพปฐพี แต่ก็มีความแตกต่าง มีทั้งระดับสูงและระดับต่ํา และเหล่าศิษย์สาวกดินแดนศักดิ์สิทธิ์ภายในประตูเซียนย่อมเป็นกลุ่มที่แข็งแกร่งที่สุดอย่างแน่นอน พวกเขามีเคล็ดวิชาทรงพลังมากมายที่สืบทอดมาจากผู้ทรงพลังถึงขีดสุดเซียนเทพปฐพี่คนอื่นๆจะมาเทียบได้เช่นไร?

“ตามนั้น”

รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของชายหนุ่มท่าทางอ่อนแอ

“เอาล่ะ”

“ไม่ต้องเถียงกันแล้ว”

เสียงเย็นชาดังขึ้นมาจากเทพธิดาไท่อิน นางมองไปยังเด็กหนุ่มซึ่งจ้องมองไปที่ความว่างเปล่า แล้วจึงกล่าวขึ้นว่า “หากไม่ใช่ช่วงที่วิหารการสงครามจะโผล่ขึ้นมา มันก็รวมเข้าไปอยู่ในส่วนลึกของความว่างเปล่า หากไม่มีวิธีการจําเพาะ แม้แต่ผู้ทรงพลังถึงขีดสุดก็ไม่สามารถจับตําแหน่งของวิหารการสงครามได้

“ข้าอยากจะรู้นักว่าทําไมเจ้าถึงคิดว่าจะหาต่าแหน่งของวิหารการสงครามพบ?”

Sign in Buddha’s palm 331 กลับคืนต้นกําเนิด

สระสายฟ้าโบราณนั้นน่ากลัวยิ่ง

แม้ว่าจะมีขนาดเพียงไม่กี่เมตร แต่น้ําในสระที่กระเพื่อมอยู่นั้นก็คือสายฟ้าที่ถูกควบแน่นสุดขั้วจนกลายเป็นของเหลว!

ช่างน่าเหลือเชื่ออะไรเช่นนี้?

สายฟ้าไม่ใช่สิ่งที่จับต้องได้ ผสานเข้าหากันไม่ได้ แม้จะเป็นสายฟ้าธรรมดาๆ ก็ตาม หากต้องการบีบอัดจนเป็นของเหลว เซียนเทพปฐพีวิถีสายฟ้าธรรมดาๆ ไม่สามารถทําได้ ไม่ต้องกล่าวถึงของเหลวสายฟ้าภายในสระสายฟ้าโบราณในตอนนี้ ที่อย่างน้อยๆก็เป็นระดับเดียวกับสายฟ้าสวรรค์เก้าชั้นฟ้า

“ไม่เลว”

รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของซูฉิน ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเขาพอใจอย่างมาก

แม้ว่าสระสายฟ้าโบราณจะไม่ใช่สมบัติล้ําค่าศักดิ์สิทธิ์ แต่มันก็เหนือกว่าสมบัติล้ําค่าธรรมดาอย่างแน่นอน ไม่ต้องพูดถึงสิ่งอื่น เพียงแค่น้ําในสระ ก็ไม่รู้ว่าควบแน่นสายฟ้าเข้าไปมากมายแค่ไหน หากเซียนเทพปฐพีวิถีสายฟ้าได้รับมันไป ด้วยความช่วยเหลือจากน้ําในสระ คงจะใช้เวลาแค่ไม่กี่ร้อยปีในการเข้าสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพีขั้นสถิตเทพระดับสูงสุดโดยตรง

นอกจากนี้ วัสดุที่ใช้สร้างตัวสระสายฟ้าโบราณเองก็มีความลึกลับอย่างยิ่ง ด้วยเส้นสายที่อธิบายไม่ได้ปกคลุมอยู่จางๆ มันราวกับมีค่ายกลฟ้าดินขนาดใหญ่ถูกตราเอาไว้บนนั้น

ในความเป็นจริง เมื่อเทียบกับน้ําในสระ ซูฉินให้ค่ากับตัวสระสายฟ้าเสียมากกว่า ท้ายที่สุด มันเป็นไปไม่ได้ที่จะบรรจุของเหลวสายฟ้าจํานวนมากไว้ในที่เดียวกันแบบนี้ แม้จะเป็นสมบัติล่าค่าของผู้ทรงพลังถึงขีดสุดก็ตาม

“ในช่วงเวลานี้ หากพอจะมีเวลา ก็สามารถใช้ของเหลวสายฟ้าภายในสระเพื่อฝึกฝนห้าหมัดสายฟ้าเทพเจ้าได้…”

ซูฉินคิดตัดสินใจ

ช่วงยี่สิบสามสิบปีที่แล้ว ซูฉินฝึกฝนห้าหมัดสายฟ้าเทพเจ้าอย่างเต็มที่ อาบร่างกายด้วยสายฟ้าต่างน้ํา หลอมกายาด้วยพลังจากสายฟ้าที่น่าสะพรึงกลัว

อย่างไรก็ตาม ในภายหลังเขายังได้รับกิ่งไม้อสนีบาตภัย และสมบัติธาตุสายฟ้าอื่นๆ อีกมากมาย ทําให้ห้าหมัดสายฟ้าเทพเจ้าสามารถยกระดับจนเกินขีดจํากัดไปได้อย่างต่อเนื่อง จนถึงตอนนี้ แม้แต่ซูฉินเองก็ไม่รู้ว่าห้าหมัดสายฟ้าเทพเจ้าจะไปถึงระดับใด

สิ่งที่ซูฉินรู้ก็คือแม้แต่สายฟ้าสวรรค์เก้าชั้นฟ้าในตํานานที่มีเพียงเซียนเทพปฐพีขั้นกลับคืนต้นกําเนิดในวิถีสายฟ้าเท่านั้นที่ควบคุมได้ ก็ยังทําร้ายเขาไม่ได้เลย

นี่ไม่ได้หมายความว่าซูฉินนั้นเหนือกว่าขั้นกลับคืนต้นกําเนิดไปมาก แต่ร่างกายของเขาสามารถต้านทานสายฟ้าจํานวนมากได้ ทั้งยังมีภูมิคุ้มกันต่อพลังสายฟ้าอยู่ในระดับหนึ่ง

“อย่างไรก็ตาม สิ่งที่สําคัญที่สุดในตอนนี้คือการพัฒนาต่อไปอีกขั้น ก้าวเข้าสู่ขั้นกลับคืนต้นกําเนิด”

ซูฉินหันมองกลับมาอย่างกะทันหัน คิดอย่างรวดเร็วภายในใจ

ขอบเขตเซียนเทพปฐพี่แบ่งออกเป็นสามขั้น แบ่งจิต กลับคืนต้นกําเนิด และสถิตเทพซึ่งเป็นขั้นสุดท้าย

แม้ว่าช่องว่างระหว่างขั้นจะไม่ได้ห่างไกลกันเหมือนก้าวจากขอบเขตตํานานยุทธขึ้นมาเป็นเซียนเทพปฐพี แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะก้าวข้ามไปได้ง่ายๆ

ซูฉินสามารถปราบเหลยเฉียนจอได้ด้วยมือเปล่า นอกเหนือจากไพ่ลับในมือที่แข็งแกร่งแล้ว อีกเหตุผลก็เป็นเพราะซูฉินมีฐานการบ่มเพาะสูงกว่าเหลยเฉียนจือไปมาก

ขณะที่เหลยเฉียนจือบุกเข้าเมืองฉางอันมา เขาเพิ่งเข้าสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพี เพิ่งก้าวเข้าสู่ขั้นแบ่งจิต และซูฉินในตอนนั้นอยู่ในจุดสูงสุดของขั้นแบ่งจิตแล้ว โดยที่ไม่ต้องคํานึงถึงความแข็งแกร่ง แค่ความห่างชั้นของฐานการบ่มเพาะก็มากอย่างยิ่ง

“หากต้องการจะเข้าสู่ขั้นกลับคืนต้นกําเนิด สิ่งแรกที่ต้องทําคือรวบรวมความแข็งแกร่งทั้งหมดให้กลายเป็นหนึ่งเดียว…..”

ความคิดของซูฉินผันผวน

ในตอนที่เขาเดินไปรอบเกาะเทพเจ้าสายฟ้า ก็ได้เปิดหนังสือโบราณจํานวนมหาศาลซึ่งนิกายเทพเจ้าสายฟ้ารวบรวมเอาไว้มาอ่านดู หนังสือโบราณเหล่านี้หาใช่มีเพียงแค่เคล็ดวิชาต่างๆ ที่สืบทอดต่อมาในนิกายเทพเจ้าสายฟ้าเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับการฝึกฝนวิทยายุทธที่สืบทอดต่อมาจากยุคเฟื่องฟูกระแสปราณฉีด้วย

ในยุคกระแสปราณฉีเฟื่องฟู มีผู้แข็งแกร่งนับไม่ถ้วน แม้เซียนเทพปฐพีจะมีพลังอํานาจ แต่พวกเขาก็มีอยู่อย่างมากมาย ทั้งยังมีผู้ทรงพลังถึงขีดสุดซึ่งอยู่ในขอบเขตทลายนภากาศอีก

หนังสือโบราณที่สืบทอดต่อมาตั้งแต่ยุคกระแสปราณฉีเฟื่องฟูนี้ทําให้ซูฉินพึงพอใจอย่างมาก

“กลับคืนต้นกําเนิด กลับคืนต้นกําเนิดคือสิ่งใด?”

“พลังทั้งหมดรวมอยู่ในที่เดียว ทั้งพลังจิตวิญญาณแรกกําเนิด พลังของปราณเลือด แม้กระทั่งพลังของอาณาเขต…”

ความคิดของซูฉินผันแปรไป จมเข้าไปอยู่ในความคิด

แม้คําพูดจะฟังดูง่าย อย่างการรวมพลังทั้งหมดเป็นหนึ่งเดียวได้ก็สามารถเข้าสู่ขั้นกลับคืนต้นกําเนิด แต่หากต้องการจะทําจริงๆ ก็นับได้ว่าเป็นเรื่องยาก

พลังของจิตวิญญาณแรกกําเนิดและพลังของกายเนื้อเป็นพลังที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง การรวมพลังทั้งสองเข้าด้วยกัน เท่ากับเป็นการรวมน้ําเข้ากับไฟ

แน่นอนว่า การรวมพลังของขั้นกลับคืนต้นกําเนิด จริงๆแล้วไม่ได้เป็นการผสานรวมกัน แต่เป็นการที่พลังต่างๆคอยเสริมส่งซึ่งกันและกัน สร้างพลังใหม่ที่แข็งแกร่งกว่าเดิมขึ้นมา

“คงต้องลองดูก่อน”

ซูฉินค่อยๆ ปิดเปลือกตาลง พินิจภายในร่าง พลังของจิตวิญญาณแรกกําเนิดเข้ามาบรรจบ และในขณะเดียวกันพลังปราณเลือดก็โผล่ขึ้นด้านในร่างกาย

ด้วยการควบคุมของซูฉิน พลังทั้งสองค่อยๆ รวมเข้าด้วยกัน

อย่างไรก็ตาม ในเวลาต่อมาขณะที่จิตวิญญาณแรกกําเนิดและปราณเลือดสัมผัสกัน พวกมันก็เริ่มระเหิดอย่างรุนแรง ราวกับน้ําถูกไฟเผาจนเดือด
“ไม่ไหว”

“เป็นไปไม่ได้เลยที่จะรวมจิตวิญญาณแรกกําเนิดกับปราณเลือดเข้าด้วยกัน” หลังจากพยายามหลายต่อหลายครั้ง ซูฉินก็ลืมตาขึ้นพร้อมกับขมวดคิ้ว

เหมือนกับที่เขาได้คาดเดาไปในตอนแรก ปราณชีวิตและเลือดเนื้อนั้นแตกต่างจากจิต วิญญาณแรกกําเนิดโดยสิ้นเชิง ซึ่งปกติแล้วต่อให้เป็นพลังที่ตรงข้ามกัน หากอยู่ภายในร่างกายของซูฉินก็เหมือนกับน้ําบ่อไม่ยุ่งกับน้ําคลอง ไม่ควรจะมีอะไรเกิดขึ้น

แต่ตอนนี้ซูฉินต้องการบังคับให้พวกมันเข้ามาอยู่ในที่เดียวกันย่อมเกิดปัญหา แม้ว่าทั้งสองจะมีต้นกําเนิดเดียวกันก็ตาม แต่มันย่อมต่อต้านกันเป็นธรรมดา

หากซูฉินยังคงฝืนบังคับต่อไป ผลคือพลังทั้งสองจะระเหยหายไป และในที่สุดความแข็งแกร่งของซูฉินจะถดถอยลง

“มันต้องมีวิธีอื่น”

เห็นได้ชัดว่าซูฉินไม่ได้ตื่นตระหนกแต่อย่างใด กําลังคิดต่อไปอย่างใจเย็น

เนื่องจากมีผู้ฝึกยุทธที่ก้าวเข้าสู่ขั้นกลับคืนต้นกําเนิดได้ในยุคเฟื่องฟูกระแสปราณฉีครั้งล่าสุด เขาก็ต้องทําได้เช่นกัน เพียงแต่ว่าอาจจะละเลยรายละเอียดบางอย่างไป

“หากแค่การรวมพลังของปราณเลือดเข้ากับพลังจากจิตวิญญาณแรกกําเนิดเป็นเรื่องยากจนแทบจะเป็นไปไม่ได้ แล้วถ้าเราเพิ่มพลังของอาณาเขตเข้าไปล่ะ?”

ดวงตาของซูฉินเป็นประกายระยิบระยับ พลังของอาณาเขตไม่ใช่พลังของจิตวิญญาณแรกกําเนิด ทั้งยังไม่ใช่พลังจากกายเนื้ออย่างปราณเลือดด้วย มันเป็นพลังอีกประเภทโดยสิ้นเชิง โดยเฉพาะพลังของอาณาเขตขนาดใหญ่มีความสามารถครอบคลุมระยะทางหลายร้อยลี้ ภายในอาณาเขตนี้ซูฉินมีอํานาจเหนือทุกอย่าง เข้าใจพลังภายในโลกหล้าได้อย่างง่ายดาย

“หากพลังของอาณาเขตสามารถประนีประนอมทั้งพลังของปราณเลือดและพลังจากจิตวิญญาณแรกกําเนิดได้ มันก็เท่ากับเป็นการทําให้พลังของทั้งสามกลับคืนสู่จุดแรกกําเนิดได้ในเวลาเดียวกัน……”

ยิ่งซูฉินคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้มากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งรู้สึกว่าวิธีนี้เป็นไปได้ นอกเหนือจากพลังของอาณาเขตแล้ว ซูฉินก็นึกถึงวิธีการอื่นที่สามารถบังคับให้จิตวิญญาณแรกกําเนิดและปราณเลือดกลับคืนสู่ต้นกําเนิดไม่ออก

เวลาผ่านไปอย่างช้าๆ

หนึ่งปีผ่านไปภายในพริบตา

ในหนึ่งปีนี้ซูฉินหมกมุ่นอยู่แต่กับการเข้าสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพี่ขั้นกลับคืนต้นกําเนิด ขอบเขตเซียนเทพปฐพี่นั้นมีอายุยืนยาวกว่าพันปี และซูฉินนั้นมีอายุขัยถึงสองพันปีซึ่งนี่ยังไม่นับผลท้อป้านที่เก็บเอาไว้อีก หนึ่งปีสําหรับซุฉินจึงไม่ได้มีค่าอะไรเลย เป็นเพียงแค่ช่วงกะพริบตาเท่านั้น

และในขณะที่ซูฉินพยายามทะลวงคอขวด เข้าสู่ขั้นกลับคืนต้นกําเนิด

บนยอดเขาคุนหลุน จู่ๆ ก็มีร่างห้าร่างปรากฏขึ้น ร่างทั้งห้านี้เหินลงมาจากฟ้า กลิ่นอายของพวกเขาเชื่อมโยงกับทะเลปราณอันกว้างใหญ่ในส่วนลึกของความว่างเปล่า พวกเขาทั้งห้าคือกลุ่มคนที่ออกมาจากประตูเซียน

“มันคือที่นี่แหละ”

“ข้าได้ใช้วิธีลับจากดินแดนศักดิ์สิทธิ์ในการค้นหา และสถานที่ที่วิหารการสงครามปรากฏขึ้นครั้งสุดท้ายก็อยู่ที่นี่”

ในบรรดาคนทั้งห้า เด็กหนุ่มในกลุ่มก็มองผ่านความว่างเปล่า มีความกระตือรือร้นฉายออกมาผ่านสีหน้าของเขา

Sign in Buddha’s palm 330 เข้าสู่ระบบ! สระสายฟ้าโบราณ!

“ตามคาด กระแสปราณฉีบนโลกเริ่มฟื้นตัวแล้ว” ในตอนนี้ ชายคนหนึ่งที่ดูยังหนุ่มยังแน่นหรี่ตาลง มองทอดสายตาออกไปไกล พูดด้วยเสียงต่า

“มิผิด”

ต่างคนต่างมองหน้ากัน สีหน้าแสดงอาการสั่นไหว

ช่วงสิบปีที่แล้ว ผู้อาวุโสของพวกเขาได้รับรู้ถึงความผันผวนของพลังจากโลกผ่านสมบัติลับ และคาดเดาว่ากระแสปราณฉีคงจะเริ่มฟื้นคืนแล้ว ดังนั้นจึงไม่รอช้า ใช้ตราประทับที่ผู้ทรงพลังถึงขีดสุดทิ้งเอาไว้ เพื่อพาพวกเขามาตรวจดูโลกมนุษย์ว่ากระแสปราณฉีเริ่มฟื้นคืนแล้วจริงๆหรือไม่

“นี่คือโลกอันยิ่งใหญ่ที่สมบูรณ์แบบอย่างแท้จริง แม้ว่าโลกใบเล็กของประตูเซียนจะเต็มไปด้วยปราณฉี มีชีวิตชีวาทั่วทุกหนแห่ง แต่เมื่อเวลาผ่านไปหมื่นปี มันก็เทียบกับโลกมนุษย์ไม่ได้เลย……”

หญิงคนหนึ่งที่สวมผ้าเนื้อโปร่ง มีบุคลิกเย็นชาราวกับน้ําแข็งกล่าวค่าออกมาพร้อมกับถอนหายใจ

แม้ว่าในแง่ของปราณฉีและจิตใจฟ้าดินตลอดช่วงหมื่นปีภายในโลกใบเล็กของประตูเซียนจะดีกว่าที่โลกมนุษย์มาก สําหรับการบ่มเพาะขอบเขตเซียนเทพปฐพีนั้น ปราณฉีและจิตใจฟ้าดินเป็นสิ่งสําคัญก็จริง แต่มันไม่ใช่ปัจจัยเดียวที่สําคัญ ขอบเขตเซียนเทพปฐพี่ต้องเข้าใจโลกเข้าใจฟ้าดินให้มากขึ้น ในจุดนี้แม้แต่โลกใบเล็กก็ไม่สามารถเทียบกับโลกมนุษย์ได้

แม้บนโลกมนุษย์ กระแสปราณจะเงียบงัน กฏเกณฑ์ธรรมชาตินับหมื่นจะแห้งเหี่ยว แต่ก็ยังเป็นโลกที่สมบูรณ์แบบ

“เอาล่ะ”

“อย่ากล่าวเรื่องไร้สาระกันอีกเลย”

“เนื่องจากเรารู้แน่ชัดแล้วว่ากระแสปราณฉีบนโลกได้เริ่มฟื้นคืน เราก็กลับไปยังดินแดนศักดิ์สิทธิ์เพื่อบอกกล่าวว่าเกิดสิ่งใดขึ้นบนโลกมนุษย์กันเถอะ”

ชายร่างกาย่าในตอนแรกหันกลับมา มองไปที่หญิงท่าทางเย็นชาผู้สวมใส่ผ้าเนื้อโปร่งแล้วถามขึ้นว่า “เทพธิดาไทอิน เจ้าคิดเห็นเช่นไร?”

ที่พวกเขาทั้งห้ามาในครั้งนี้ได้ เป็นเพราะตราประทับในมือของเทพธิดาไก่อิน จึงข้ามผ่านช่องว่างในอากาศเข้ามายังโลกมนุษย์ได้อย่างปลอดภัย

ดังนั้นในเวลานี้ หากพวกเขาต้องการย้อนกลับไป พวกเขาจําเป็นต้องพึ่งพาตราประทับที่เทพ ธิดาไท่อนถือครองอยู่

ไม่เช่นนั้น หากไม่มีตราประทับ แม้ว่าพวกเขาจะเป็นคนของประตูเซียน พวกเขาก็ไม่สามารถข้ามผ่านช่องว่างอากาศได้ ท้ายที่สุดพลังแห่งความว่างเปล่าจะบดขยทุกคน แหลกเหลวจนจําไม่ได้ว่าใครเป็นใคร

“ไม่ได้

เพียงแค่เทพธิดาไท่อินคิด ตราประทับขนาดเท่ากําปั้นก็ปรากฏขึ้นต่อหน้าพวกเขา หมุนวนไปมา

“ตราประทับไท่อนนี้ถูกทิ้งไว้โดยผู้ทรงพลังจากดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่อนของข้า มีพลังงานพื้นที่มิติอยู่ภายใน เพียงพอที่จะหักล้างกับพลังมิติจากภายนอก”

“แต่ตอนที่มันปกป้องพวกเราข้ามผ่านช่องว่างอากาศก่อนหน้านี้ มันกินพลังส่วนใหญ่ที่สะสมอยู่ไปหมดแล้ว และพลังพื้นที่มิติที่เหลือไม่เพียงพอจะพาเรากลับไปที่ประตูเซียน”

เทพธิดาไก่อินสายศีรษะพร้อมกับกล่าวค่า

“อะไรนะ?”

“แล้วตอนนี้ควรทําเช่นไรต่อไป?”

“พอจะเป็นไปได้ไหมที่จะส่งสักสองสามคนกลับไปก่อน?”

ใบหน้าของคนที่เหลือก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย พวกเขาต้องเสี่ยงอันตรายจากการถูกทําลายด้วยพลังแห่งพื้นที่มิติ เดินทางผ่านช่องว่างแห่งความว่างเปล่า เพื่อตรวจสอบว่ากระแสปราณฉีบนโลกมนุษย์นั้นเริ่มฟื้นคืนแล้วหรือไม่

เมื่อนําข่าวกลับไปยังดินแดนศักดิ์สิทธิ์ ย่อมจะได้รับรางวัลตอบแทนอย่างแน่นอน

แต่สิ่งนั้นจะเกิดขึ้นเมื่อพวกเขากลับไปยังประตูเซียน

หากไม่สามารถกลับไปยังประตูเซียนได้ รางวัลที่กล่าวไว้ข้างต้นย่อมหายไปเป็นธรรมดา

“ไม่ต้องกังวล”

เทพธิดาไท่อนเหลือบมองกลุ่มคนพร้อมทั้งกล่าวว่า “พลังพื้นที่มิติมีอยู่ทั่วทุกหนแห่ง เพียงแค่ต้องให้เวลากับตราประทับไทอินนี้สักพักหนึ่ง แล้วพลังพื้นที่มิติจะชดเชยกลับมาเองตามธรรมชาติ”

“เป็นเช่นนี้นี่เอง”

คนทั้งหลายต่างถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก

“ต้องรออีกสักพัก?” ชายที่ดูเหมือนเด็กหนุ่มก็ยนคิ้วเข้าหากันเล็กน้อย จากนั้นจึงยึดตัวขึ้นพูดเชื้อเชิญทุกคน “ทุกท่านสนใจจะออกไปหาโอกาสดีๆ กับข้าไหม?”

คําที่กล่าวออกมา

คนทั้งสี่รวมถึงเทพธิดาไท่อนผู้เยือกเย็นราวกับน้ําแข็งต่างก็หันมามองเด็กหนุ่ม

สิ่งที่เด็กหนุ่มเรียกว่าเป็นโอกาสดีๆนั้น อย่างน้อยก็ต้องเกี่ยวข้องกับเซียนเทพปฐพีขั้นสถิตเทพ และตัวตนระดับนี้แม้แต่ภายในประตูเซียนก็ยังนับเป็นยักษ์ใหญ่ มีเพียงจ้าวลัทธิจากดินแดนศักดิ์สิท“โอกาสอะไร?” ชายธิ์หลักๆเท่านั้นที่มีโอกาสไปถึง

ร่างสูงกําย่าอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามออกไป

“พวกเจ้ารู้จักวิหารการสงครามหรือไม่?” เด็กหนุ่มยิ้มอย่างมีเลศนัย พร้อมกับกระซิบค่าออกมา

“วิหารการสงคราม?”

รูม่านตาของอีกสี่คนที่เหลือพลันหดตัวลงกะทันหัน

“วิหารการสงคราม?”

“ถ้าจําไม่ผิด เจ้าของวิหารการสงครามจะเป็นผู้ทรงพลังถึงขีดสุดที่ใช้จ่ายอย่างมหาศาลเพื่อสร้างวิหารการสงครามขึ้น พื้นที่ภายในนั้นกว้างใหญ่ไพศาล ตามตํานานเล่าว่าภายในมีสมบัติของผู้ทรงพลังถึงขีดสุดบรรจุเอาไว้”

เทพธิดาไทอินคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงกล่าวออกมา

เมื่ออีกสามคนได้ยินสิ่งนี้ ดวงตาของพวกเขาก็ร้อนผ่าวทันที

นี่คือสมบัติของผู้ทรงพลังถึงขีดสุด! ภายในประตูเซียนนั้นหายากเพียงใด มีสิ่งใดบ้างที่ไม่ใช่มรดกสําคัญของดินแดนศักดิ์สิทธิ์หลัก? ศิษย์อย่างพวกเขาไม่แม้แต่จะรู้วิธีไปนํามันมาการแตะต้องสักนิดยังเป็นไปไม่ได้

“ถูกต้อง วิหารการสงครามอันนั้นแหละ!” เด็กหนุ่มพยักหน้าเล็กน้อยพร้อมกับตอบคํา

“แต่วิหารการสงครามแห่งนั้นมีมังกรปีศาจเฝ้าเอาไว้ มังกรปีศาจตนนี้อยู่ในขั้นสถิตเทพระดับสูงสุด ด้วยร่องรอยสายเลือดมังกรที่แท้จริงที่ไหวเวียนอยู่ในกายของมัน แม้ว่าเราจะพบวิหารการสงครามก็เป็นไปไม่ได้ที่จะเอาชนะมังกรและฝ่าเข้าไปภายใน

เสียงของเทพธิดาไม่อินยังคงเย็นชาและกล่าวออกเบาๆ

ในยุคเฟื่องฟุกระแสปราณฉีครั้งล่าสุด ไม่ใช่ว่าไม่มีเซียนเทพปฐพี่ที่ให้ความสนใจกับวิหารการสงคราม แต่พวกเขาทั้งหมดถูกขับไล่ออกมาโดยสัตว์อสูรที่อยู่ภายใน

เจ้าของวิหารการสงครามเคยตั้งกฏไว้ว่ามีเพียงขอบเขตตํานานยุทธเท่านั้นที่สามารถเข้าสู่วิหารการสงครามได้

ส่วนเหล่าผู้ทรงพลังถึงขีดสุด…

หากเหล่าผู้ทรงพลังถึงขีดสุดเข้าสู่วิหารการสงคราม มันจะทําให้พื้นที่มิติภายในวิหารการสงครามพังทลายโดยทันที ซึ่งเป็นกฎที่ตั้งเอาไว้โดยเจ้าของวิหารการสงคราม

แม้ว่าผู้ทรงพลังถึงขีดสุดจะควบคุมพลังมิติได้ แต่ด้วยความกว้างขวางของพื้นที่ที่อยู่ในวิหารการสงคราม เมื่อมันเริ่มพังทลายลงมาจริงๆ แม้ผู้ทรงพลังถึงขีดสุดจะไม่ตาย แต่อาจจะต้องหลงไปในพายุมิติ

เป็นเพราะเหตุนี้ ในยุคเฟื่องฟูกระแสปราณฉีครั้งล่าสุด จึงไม่มีผู้ทรงพลังถึงขีดสุดที่เคยเข้าไปภายในวิหารการสงคราม

สุดท้ายแล้ว สําหรับผู้ที่ทรงพลังถึงขีดสุด หากไม่มีสมบัติใดที่ต้องการ พวกเขาจะเสี่ยงหลงในพายุมิติ ผืนบุกเข้าไปภายในวิหารการสงครามทําไม?

“ฮ่าฮ่า…”

รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเด็กหนุ่ม ก่อนจะกล่าวขึ้นว่า “ถ้าเป็นยุคเฟื่องฟูกระแสปราณฉีครั้งล่าสุด ข้าย่อมไม่ให้ความสนใจวิหารการสงครามเป็นธรรมดา”

“แต่ตอนนี้เวลาผ่านไปกว่าหมื่นปีแล้ว แม้ว่ามังกรปีศาจในวิหารการสงครามจะมีสายเลือดของเผ่ามังกรจริงๆ ข้าเกรงว่ามันคงจะสูญหายไปในไม่ช้าใช่ไหมเล่า?”

เสียงของเด็กหนุ่มที่กล่าวออกมา

ใบหน้าซังกะตายของคนที่เหลือพลันสว่างขึ้นมาทันที

จริงดังว่า

แม้ว่าอายุขัยของสัตว์อสูรจะมากกว่าเผ่าพันธุ์มนุษย์ แต่ก็ไม่ได้แปลว่ามันจะอยู่ตลอดไป

“ข้ามีทักษะลับที่สามารถสัมผัสได้ว่าวิหารการสงครามอยู่ที่ไหน แต่ข้าต้องการความร่วมมือจากท่านอื่นๆ ด้วย” เด็กหนุ่มคลี่ยิ้ม

“เพียงแต่ว่า พวกเราอยู่ในดินแดนศักดิ์สิทธิ์มาตั้งหมื่นปีโดยที่ไม่ได้ข้ามมาโลกฝั่งนี้เลย หากจะตามหาวิหารการสงครามตามชอบใจ มันจะเป็นเรื่องดีอย่างนั้นหรือ…”

เทพธิดาไฟอินยังคงลังเล

แม้ว่าวิหารการสงครามถือเป็นโอกาสที่ดี แต่งานที่สําคัญที่สุดของพวกเขา คือการนําข่าวที่กระแสปราณฉีบนโลกนั้นฟื้นคืนกลับไปบอกประตูเซียน

“ท่านเทพธิดาไม่ต้องกังวล”

“มันไม่น่าจะใช้เวลานานจนเกินไป”

“สําหรับโลกมนุษย์นี้…” ร่องรอยดูถูกเหยียดหยามปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเด็กหนุ่ม “ปราณจี้เงียบงันไปนานถึงเพียงนั้น แม้กระแสปราณจะเริ่มฟื้นคืนมาแล้วในตอนนี้ แต่จะมีผู้แข็งแกร่งอยู่สักกี่คน? แม้จะสืบทอดมรดกมาจากผู้ทรงพลังถึงขีดสุด แต่ด้วยปราณฉีที่เงียบงันเช่นนี้ แทบจะไม่มีทางเข้าสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพี่ได้เลย”

ขณะที่เด็กหนุ่มพูด ความเย่อหยิ่งก็แฝงออกมาผ่านค่าพูดนั้นด้วย

พวกเขาทุกคนล้วนเป็นศิษย์ของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ เคล็ดวิชาสืบทอดมาจากผู้ทรงพลังถึงขีดสุด ทิฐสูงเพียงไหน จะเห็นโลกมนุษย์ที่ปราณฉีเงียบงันอยู่ในสายตาหรือ?

“ก็ได้”

เทพธิดาไท่อินคิดใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงพยักหน้าให้

นางไม่ได้กังวลว่าเด็กหนุ่มจะมีความคิดอื่นใด ตราประทับของผู้ทรงพลังถึงขีดสุดของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่อนอยู่ในมือของนาง มีเพียงเทพธิดาไท่อนเท่านั้นที่จะสามารถกระตุ้นมันได้ เว้นแต่ เด็กหนุ่มตั้งใจจะไม่กลับไปยังประตูเซียน ก็เป็นไปไม่ได้เลยที่จะคิดหลอกลวงนาง

ขณะที่ศิษย์สาวกดินแดนศักดิ์สิทธิ์จากประตูเซียนทั้งหลายก่าลังจะไปยังวิหารการสงคราม

ในส่วนลึกของเกาะเทพเจ้าสายฟ้า ซูฉินเดินไปรอบตัวเกาะทั้งหมดอย่างระมัดระวัง แล้วจึงเดินกลับไปยังรูปปั้นเทพเจ้าสูงร้อยจ้างที่อยู่บริเวณใจกลางจัตุรัส

“เกาะเทพเจ้าสายฟ้ามีขนาดหลายร้อยลี้ แต่มีเพียงสามร้อยแปดสิบแห่งเท่านั้นที่เหมาะแก่การลงชื่อเข้าใช้

ซูฉินนั่งขัดสมาธิอยู่ใต้รูปปั้นพลางคิดในใจเงียบๆ

แม้ว่าเกาะเทพเจ้าสายฟ้าจะมีอายุนับหมื่นปี แต่ก็ไม่ใช่ทุกแห่งที่จะมี ‘เต๋าสะสม

สถานที่ที่มี ‘เต๋าสะสม’ อยู่นั้นมันไม่ได้ง่ายดายเพียงแค่มีอายุยาวนาน

ไม่เช่นนั้น หินกรวดที่วางอยู่เป็นหมื่นปีก็คงลงชื่อเข้าใช้ได้ไม่ใช่หรือ? ทําไมซูฉินต้องขวนขวายพยายามเพื่อตามหาสถานที่ลงชื่อเข้าใช้ด้วย?

“เต๋าสะสม นั้นจับต้องไม่ได้ สัมผัสไม่ได้ ไร้ลักษณ์เสียยิ่งกว่าพลังของมิติ ไม่ใช่ทุกที่ที่จะสามารถแบกรับพลังของเต่าสะสม หรือสะสม เต่าสะสม ต่อไปได้

“ไม่รู้ว่า สถานที่สําหรับลงชื่อเข้าใช้ทั้งสามร้อยแปดสิบแห่งจะสร้างความประหลาดใจให้ข้าได้มากเท่าไหร่กัน?”

ใบหน้าของซูฉินเต็มไปด้วยความคาดหวัง

“ลงชื่อเข้าใช้เลยดีกว่า” ความคิดของซูฉินผันผวนไปมา มองไปที่รูปปั้นเทพเจ้าร้อยจ้างที่อยู่เบื้องหน้า

ตามการประเมินของซูจิน รูปปั้นนี้ควรจะเก็บเต่าสะสม เอาไว้เป็นจํานวนมาก ซึ่งน่าจะแข็งแกร่งที่สุดในบรรดาสถานที่บนเกาะทั้งสามร้อยแปดสิบแห่ง ดังนั้นเขาจึงวางแผนจะลงชื่อเข้าใช้ที่นี่ก่อน

เมื่อคิดได้ดังนี้ ซูฉินก็สงบใจลง แล้วในที่สุดก็กล่าวออกเบาๆว่า “ระบบ ลงชื่อเข้าใช้!”

[ขอแสดงความยินดี โฮสต์ลงชื่อเข้าใช้สําเร็จ ได้รับ สระสายฟ้าโบราณ]

เสียงจักรกลเย็นชาดังขึ้นในหูของซูฉิน

“สระสายฟ้าโบราณ?”

สีหน้าของซูฉินเปลี่ยนไปเล็กน้อย แม้ว่าเขาจะไม่รู้ว่าสระสายฟ้าโบราณนี้ใช้งานอย่างไร แต่คําว่า ‘โบราณ ก็ทําให้ซูฉินรู้สึกกดดันอย่างมาก เป็นความกดดันที่แม้แต่สมบัติล้ําค่าระฆังเทพสายฟ้าก็ให้ไม่ได้

เมื่อถึงจุดหนึ่ง ซูฉินก็ผสานเข้ากับคลังของระบบอย่างรวดเร็ว และพบสระน้ําขนาดหลายเมต รอยู่ที่มุมหนึ่ง

พูดให้ถูกต้องก็คือ แม้ว่าสระนี้จะรูปร่างเหมือนสระน้ํา แต่ไม่ได้มีน้ําอยู่ กลับมีสายฟ้าที่เข้มข้นถึงขีดสุดอยู่แทน

“นี่คือสระสายฟ้าโบราณงั้นรึ?”

ซูฉินรู้สึกหัวใจชาวาบเล็กน้อย ยามเมื่อจ้องมองไปเห็นว่าน้ําทุกหยดในสระเป็นสายฟ้าสีทองจางๆ ที่ควบแน่นกันจนถึงขีดสุด

และยิ่งมองลึกเข้าไปมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งเห็นสีสันของสายฟ้าที่เข้มขึ้นเรียงไปตั้งแต่ สีฟ้า สีม่วง และสีดํา มันไม่ได้มีขอบเขตที่ชัดเจน แต่มันมีการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจน เผยให้ได้รู้สึกถึงพลังทําลายอันน่ากลัวยิ่ง

หลังจากนั้นไม่นาน ซูฉินก็ลืมตาขึ้นแล้วถอนหายใจออกมา

“สระสายฟ้าโบราณนช่างน่าเหลือเชื่อจริงๆ…..”

ซูฉินเพียงมองดูมันอยู่ครู่หนึ่ง ก็รู้สึกได้ว่าห้าหมัดสายฟ้าเทพเจ้าของเขาได้เพิ่มระดับขึ้นไปอีกขั้น และใบหน้าของเขาก็ปรากฏความรู้สึกประหลาดใจออกมาอย่างเห็นได้ชัด

Sign in Buddha’s palm 329 ผู้มาเยือนจากประตูเซียน

เกาะเทพเจ้าสายฟ้านั้นใหญ่มาก

เป็นสถานที่ที่สืบทอดมรดกนิกายเทพเจ้าสายฟ้ามานับหมื่นปี เกาะเทพเจ้าสายฟ้ามีขนาดกว่าห้าร้อย

นอกจากนี้ยังมีค่ายกลฟ้าดินขนาดใหญ่จัดตั้งอยู่มากมายทั่วทั้งเกาะ รวมถึงค่ายกลสังหาร ค่ายกลเขาวงกต ค่ายกลภูตลวงตา ต่านานยุทธธรรมดาๆ หากหลงเข้าไปในค่ายกลเหล่านี้โดยบังเอิญ แม้ว่าจะไม่ตายก็ต้องบาดเจ็บสาหัส

น่าเสียดายที่ค่ายกลขนาดใหญ่จํานวนมากบนเกาะเทพเจ้าสายฟ้าได้ถูกทําลายลงจากผลของการต่อสู้ระหว่างซูฉินกับระฆังเทพสายฟ้า แม้จะหลงเหลือเศษเสียวเล็กๆ ของค่ายกลอยู่ แต่จะทําอะไรซูฉินได้?

ซูฉันเดินเข้ามาจนสุดทาง แต่ไม่พบศิษย์สาวกของนิกายเทพเจ้าสายฟ้าเลย

ทันทีที่ซูฉินทะลวงผ่านค่ายกลสังหารทั้งเก้าชั้นมาได้ ศิษย์นิกายเทพเจ้าสายฟ้าส่วนใหญ่ก็หนีไป และศิษย์บางส่วนที่เหลืออยู่ เมื่อเห็นว่าซุฉินปราบสมบัติล่าค่าระฆังเทพสายฟ้าได้ ก็ตระหนักได้ว่าพวกเขาไม่สามารถกลับคืนสู่ความรุ่งโรจน์ได้อีกแล้ว จึงหนีไปด้วย

แม้แต่ศิษย์สาวกที่ภักดีต่อนิกายเทพเจ้าสายฟ้าอย่างสุดหัวใจก็ไม่มีความคิดที่จะแก้แค้น

ซูฉันนั้นแข็งแกร่งเกินไป

ทําลายค่ายกลสังหารทั้งเก้าชั้นได้ในไม่กี่กระบวนท่า ใช้ร่างกายปะทะจนสมบัติล้ําค่าสั่นสะเทือน แม้มนุษย์สวรรค์นิกายเทพเจ้าสายฟ้าในแต่ละยุคจะฟื้นคืนชีพขึ้นมาก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของซูฉันอยู่ดี แล้วอย่างพวกเขาจะไปทําอะไรได้?

สิ่งเดียวที่เหล่าศิษย์นิกายเทพเจ้าสายฟ้าทําได้คือหนีไปที่อื่น เอาตัวรอดเพื่อรักษามรดกของนิกายเทพเจ้าสายฟ้าเอาไว้

แน่นอนว่าซูฉินทราบเรื่องนี้ดี ตราบเท่าที่เขาต้องการ ก็อาจจะใช้เวลาสักครู่หนึ่งในการลงทัณฑ์ศิษย์นิกายเทพเจ้าสายฟ้า แม้ศิษย์เหล่านั้นจะหนีไปจนสุดขอบโลกก็หนีไม่พ้นจากการจับตําแหน่งของดวงตาแห่งสัจจะ

โลกทั้งใบมีสิ่งมีชีวิตนับไม่ถ้วน แต่พลังฉีนั้นมีเอกลักษณ์หนึ่งเดียว ซูฉินได้ตรวจสอบไอพลังทั้งหมดบนเกาะเทพเจ้าสายฟ้าด้วยดวงตาแห่งสัจจะตั้งแต่ก่อนเริ่มโจมตีนิกายเทพเจ้าสายฟ้า

ด้วยความสามารถของดวงตาแห่งสัจจะ ตราบใดที่ซูฉินได้เห็นพลังฉีไปแล้ว เขาก็สามารถจับตําแหน่งได้โดยไม่เกี่ยงระยะทาง

แต่ซูฉินขี้เกียจเกินกว่าที่จะทําเช่นนั้น

ประการแรกเป็นเพราะความดูแคลน แม้ว่าศิษย์นิกายเทพเจ้าสายฟ้าจะได้รับอนุญาตให้หลบหนีออกไป แล้วมันจะเป็นเช่นไรเล่า? นิกายเทพเจ้าสายฟ้าเจริญรุ่งเรืองมาโดยตลอด แต่ก็ยังถูกทําลายลงได้โดยฝีมือของซูฉันไม่ใช่หรือไร? ตอนนี้หากอาศัยเพียงศิษย์นิกายเทพเจ้าสายฟ้าซึ่งไม่มีแม้แต่ตํานานยุทธขั้นสูงสุด จะเอาอะไรมาคุกคามซูฉินได้?

ประการที่สอง คือ การทําลายล้างนิกายเทพเจ้าสายฟ้านั้น แม้ว่าซูฉินจะไม่เคลื่อนไหว แต่นิกายใหญ่จํานวนมากก็จะเริ่มไล่ตามศิษย์สาวกที่หลบหนีเหล่านั้นเพื่อเอาใจซูฉินอยู่ดี

“นี่คือส่วนที่สําคัญที่สุดของนิกายเทพเจ้าสายฟ้า?” ซูฉินหยุดฝีเท้ากะทันหัน มองตรงไปด้านหน้า

ซูฉินได้มาอยู่ในจตุรัสหยกขาวขนาดใหญ่ ที่ใจกลางจตุรัสมีรูปปั้นเทพเจ้าสูงตระหง่านกว่าร้อยจ้าง

รูปปั้นเทพเจ้าสูงร้อยจ้างนี้ เปล่งประกายยิ่งใหญ่ มีไอพลังที่ดูเก่าแก่แผ่ออกมา เมื่อซูฉินได้ เห็นรูปปั้นนี้ ก็เหมือนได้มองเห็นทะเลสายฟ้าอันกว้างใหญ่ ตามมาด้วยประกายสายฟ้าสีทองอ่อนๆ อยู่ภายใน

“นี่ควรจะเป็นสถานที่ประทับของผู้ทรงพลังถึงขีดสุดภายในนิกายเทพเจ้าสายฟ้าหรือไม่?” ซูฉินแตะปลายคาง จิตใจของเขาฟื้นกลับมาอย่างรวดเร็ว

ในช่วงท้ายของยุคกระแสปราณฉีเฟื่องฟู นิกายเทพเจ้าสายฟ้าน่าจะมีความสัมพันธ์กับผู้ทรงพลังถึงขีดสุด และระฆังเทพสายฟ้าก็ได้รับมาจากผู้ทรงพลังถึงขีดสุดผู้นั้น

อย่างไรก็ตาม ซูฉินคาดการณ์ว่าความสัมพันธ์ระหว่างนิกายเทพเจ้าสายฟ้ากับผู้ทรงพลังถึงขีดสุดคงจะไม่ได้ลึกซึ้งนัก ไม่เช่นนั้นผู้ทรงพลังถึงขีดสุดจะไม่ใช่มอบเพียงระฆังเทพสายฟ้า แต่จะเป็นสมบัติล้ําค่าโดยกําเนิดให้แทน

“เมื่อเข้าสู่วิถีในขอบเขตเซียนเทพปฐพี่ ว่ากันตามจริงก็ไม่นับว่าเป็นผู้ฝึกยุทธแล้ว จิต วิญญาณแรกกําเนิดหลอมรวมเข้ากับทะเลปราณ ร่างกายถูกขัดเกลาด้วยพลังจากทะเลปราณ มีอายุขัยยาวนานกว่าหนึ่งพันปี ก้าวไปสู่การเป็นสิ่งมีชีวิตในระดับที่สูงขึ้นไปอีกขั้น……”

ซูฉันมองดูรูปปั้นเทพเจ้าสูงร้อยจ้าง ความคิดผันผวนไปมา

“ส่วนผู้ทรงพลังถึงขีดสุด…” ซูฉินส่ายศีรษะเล็กน้อย จมอยู่ภายในความคิด

ในมุมของซูฉิน ผู้ทรงพลังถึงขีดสุดในขอบเขตทลายนภากาศก็ไม่ต่างไปจากเทพเซียนในตํานาน ทําลายความว่างเปล่าและสร้างโลกขึ้นมา ถ้านี่ไม่ใช่เทพเซียนแล้วเทพเซียนคือสิ่งใดอีก?

ขณะที่ซูฉันมองดูรูปปั้นของผู้ทรงพลังถึงขีดสุดอยู่นั้น ผลการต่อสู้บนเกาะเทพเจ้าสายฟ้าก็กระจายไปทั่วทุกทิศทางด้วยความเร็วราวกับพาย

ชาวยุทธจํานวนนับไม่ถ้วนที่ได้ยินข่าวต่างตกตะลึง หัวใจหนาวเหน็บมาจากภายในลามออกมายันภายนอก

“นิกายเทพเจ้าสายฟ้าสืบทอดต่อกันมากว่าหมื่นปี ไม่ว่ามนุษย์สวรรค์อาณาจักรถังจะแข็งแกร่งแค่ไหน แต่จะเหยียบย่านิกายใหญ่ระดับสูงได้ง่ายดายเพียงนี้เชียวหรือ?” เพียงเวลาไม่นานก็มีเหล่าตํานานยุทธขั้นสูงสุดที่ไปชมฉากต่อสู้บนเกาะเทพเจ้าสายฟ้าได้กลับมา

“มันเป็นข่าวที่กขึ้นมาหรือเปล่า?” มีต่านานยุทธอีกคนหนึ่งที่สงสัยขึ้นมา

เพราะการที่ซฉินได้ก้าวข้ามนิกายเทพเจ้าสายฟ้านั้นมันน่าเหลือเชื่อจริงๆ นับตั้งแต่สิ้นสดยุคเฟื่องฟกระแสปราณฉี นิกายเทพเจ้าสายฟ้าก็ยืนอยู่บนจุดสูงสุดของโลก ไม่รู้ว่าพบเจอภัยพิบัติมาแล้วกี่ครั้งต่อกี่ครั้ง แต่ก็ผ่านพ้นมาได้ตลอด จะมาถูกทําลายด้วยฝีมือของซูฉินได้อย่างไร?

“กุข่าว?”

“จะเป็นการกุข่าวปลอมขึ้นมาได้อย่างไร?”

“มนุษย์สวรรค์อาณาจักรถังได้ทะลวงค่ายกลสังหารทั้งเก้าชั้นบนเกาะเทพเจ้าสายฟ้าด้วยตนเอง ในท้ายที่สุดก็ได้ใช้ร่างกายของตนเองเข้าปะทะกับสมบัติล้ําค่าอย่างสง่าผ่าเผย ผู้คนจํานวนมากได้เห็นมันกับตา จะบอกว่าเป็นของปลอมได้อย่างไร?”

ทันใดนั้นก็มีตํานานยุทธยืนขึ้นพร้อมกับกล่าวคําเย้ยหยัน “ถ้าเจ้าไม่เชื่อ เจ้าก็สามารถไปถาม พวกนิกายใหญ่ได้ ดูว่าพวกเขากล้าดูหมิ่นมนุษย์สวรรค์อาณาจักรถังหรือไม่”

เพียงครู่เดียว โลกยุทธภพต่างแดนก็สั่นสะเทือนหลังจากซูฉินเหยียบย่านิกายเทพเจ้าสายฟ้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งสมบัติล่าค่าของนิกายเทพเจ้าสายฟ้าเองก็ยังถูกระงับ ความแข็งแกร่งที่แสดงให้เห็นนี้เรียกได้ว่ามีอํานาจเหนือตะวันจันทรา สั่นสะเทือนฟ้าดิน ต่อจากนี้ไป ยังจะมีใครในโลกที่กล้าเป็นศัตรูกับซูฉัน?

“ดูท่า ดูท่าว่าจะมีเพียงประตูเซียนในต่านานเท่านั้นถึงจะเป็นขุมพลังที่เทียบเคียงได้กับมนุษย์สวรรค์อาณาจักรถัง…….” จอมยุทธชราถอนหายใจแล้วกล่าวออกมาช้าๆ

“ประตูเซียน……”

รูม่านตาของจอมยุทธคนอื่นๆ หดตัวลง

สําหรับประตูเซียน แม้จะถือเป็นความลับในยุทธภพดินแดนโพ้นทะเล แต่ก็ไม่ใช่ว่าไม่มีใครรู้ ก่อนจะหมดยุคเฟื่องฟูกระแสปราณฉี ครั้งหนึ่งผู้ทรงพลังถึงขีดสุดได้นํามรดกของตนเองหลบหนีเข้าไปในประตูเซียน หมื่นปีผ่านไป กระแสปราณฉีตกอยู่ในความเงียบงัน แม้แต่เซียนเทพปฐพี่ก็ยากที่จะเกิดขึ้นสักคนในช่วงพันปี

แต่ภายในประตูเซียน เกรงว่ายุคเฟื่องฟูกระแสปราณฉีจะยังคงมีอยู่ อาจจะไม่ถึงขึ้นที่มีผู้ทรงพลังถึงขีดสุด แต่จํานวนเซียนเทพปฐพี่ต้องมากเกินกว่าโลกมนุษย์ไปไกลอย่างแน่นอน

เมืองฉางอัน อาณาจักรถัง

“พี่สามได้เหยียบย่านิกายเทพเจ้าสายฟ้าเรียบร้อยแล้วหรือ?” จักรพรรดิถังนั่งอยู่บนบัลลังก์มังกร ดวงตาเบิกกว้าง ไม่อยากจะเชื่อสิ่งที่ได้ยิน

ในตอนที่ซูฉินออกจากเมืองฉางอันไป เขาไม่ได้แจ้งให้จักรพรรดิถังและคนอื่นๆ ทราบ

ดังนั้นในความคิดของจักรพรรดิถัง ซูฉินนั้นยังอยู่ในการปิดด่านฝึกตน

แต่บัดนี้ จู่ๆก็มีข่าวว่านิกายเทพเจ้าสายฟ้าถูกซูฉินทําลายลงแล้ว จักรพรรดิถังจึงตกใจไม่น้อย

“เป็นไปตามนั้นอย่างแน่นอน”

ชายชราเฟียยวที่ยืนอยู่ด้านข้างก็มีสีหน้าที่ตกตะลึงเช่นกัน

เดิมที่การที่ซูฉินสังหารขอบเขตเซียนเทพปฐพีอย่างเหลยเฉียนจือ ก็ทําให้ทั้งโลกต้องตกตะลึงแล้ว มันเป็นสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนนับตั้งแต่สิ้นยุคเฟื่องฟูกระแสปราณฉีครั้งสุดท้าย เซียนเทพปฐพี่นั้นหาได้ยากยิ่งในรอบพันปี ยากนักที่จะเกิดในยุคเดียวกัน นับประสาอะไรกับการที่เซียนเทพปฐพี่สองคนต่อสู้กันแต่ยามนี้

แม้แต่นิกายเทพเจ้าสายฟ้าที่สูงส่งสืบทอดมรดกมานับหมื่นปี ก็ยังถูกซูฉินเหยียบย่ลงกับพื้น ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าตกใจอย่างมาก

รู้หรือไม่ว่านิกายเทพเจ้าสายฟ้ามีภูมหลังมากมาย ยิ่งกว่านั้น เซียนเทพปฐพีที่ต้องการจะเหยียบนิกายเทพเจ้าสายฟ้าให้จมดิน จําเป็นจะต้องจัดการกับสมบัติล้ําค่า แต่นั่นจะเป็นไปได้เช่นไร?

สมบัติล้ําค่าที่ผู้ทรงพลังถึงขีดสุดทิ้งไว้เบื้องหลัง แม้แต่ในยุคเฟื่องฟูกระแสปราณฉีครั้งล่าสุด ยังสามารถใช้มันเพื่อเรืองอํานาจได้เลย แล้วเช่นนี้เซียนเทพปฐพี่จะทําอะไรได้?

“ฝีมือของพี่สามดูเหลือเชื่อมากขึ้นเรื่อยๆ …” จักรพรรดิถังเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนแววความตื่นเต้นจะปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขา

การเหยียบย่านิกายเทพเจ้าสายฟ้าของซูฉินนั้นเทียบเท่าการทําลายความมั่นใจด่านสุดท้ายของเหล่านิกายใหญ่

เดิมที่ตอนที่ซูฉินสังหารเหลยเฉียนจือ สําหรับนิกายใหญ่ระดับสูงอย่างสํานักผู้วิเศษ แม้จะเกรงกลัวอย่างยิ่ง แต่ก็รู้สึกว่ายังมีทางหนีทีไล่อยู่ สามารถหลบอยู่ภายในนิกายได้ อย่างไรเสีย การปกป้องจากสมบัติล้ําค่า ก็ทําให้เซียนเทพปฐพี่เข้ามาไม่ได้ในช่วงเวลาหลายร้อยปี

แต่ตอนนี้

ซูฉินเหยียบนิกายเทพเจ้าสายฟ้าจนจมดิน รวมถึงปราบสมบัติล้ําค่าของนิกายเทพเจ้าสายฟ้า นิกายใหญ่อย่างสํานักผู้วิเศษย่อมสั่นกลัว กลัวว่าเป้าหมายต่อไปของซูฉันอาจเป็นพวกเขา ดังนั้นจะกล้าไม่เชื่อฟังอาณาจักรถังได้อย่างไร?

การยอมจํานนของเหล่านิกายใหญ่จะเป็นประโยชน์อย่างมากต่อการพัฒนาอาณาจักรถัง แม้ว่านิกายใหญ่จะไม่ใช่อาณาจักร แต่ก็สืบทอดมรดกมานับพันนับหมื่นปี ไม่รู้ผ่านยุคสมัยมากี่ราชวงศ์แล้ว หากพวกเขาสามารถดึงพลังของนิกายใหญ่มาได้ มันก็เพียงพอแล้วที่จะยกระดับอาณาจักรถังขึ้นมาในระยะเวลาอันสั้น

“มานี้ซิ”

“ให้เหล่าขุนนางไปที่ท้องพระโรงไท่จี”

“ข้ามีเรื่องจะประกาศ” จักรพรรดิถังยังคงเดินไปเดินมาอยู่ภายในโถงชีวิตนิรันดร์ ในที่สุดก็มองไปยังขันที่ที่อยู่ใกล้มือ ก่อนจะกล่าวคําาสั่งออกไป

ขณะจักรพรรดิถังกําลังเตรียมจะประกาศแผนการอันยิ่งใหญ่

ตอนเหนือสุดของดินแดนโพ้นทะเล

ที่แห่งนี้แทบไม่มีปราณฉีอยู่เลย แม้ว่ากระแสปราณฉีบนโลกจะเริ่มฟื้นตัวแล้ว แต่ก็ไม่ได้แพร่กระจายเข้าไปในที่แห่งนี้

ในขณะนี้ ประตูหินตั้งตรงได้ปรากฏขึ้น ค่อยๆ โผล่ออกมาจากส่วนลึกของความว่างเปล่า เข้ามาสู่โลกมนุษย์

ช่วงเวลาต่อมา

ประตูหินนี้ก็สั่นไหว แหวกเปิดช่องว่างอากาศออกมา

ร่างห้าร่างเดินออกมาจากด้านใน ร่างทั้งห้านี้มีทั้งหญิงและชาย ชราและเยาว์ มีกลิ่นอายจางๆที่เชื่อมโยงเข้ากับทะเลปราณอันกว้างใหญ่ไพศาล
เมื่อคนทั้งห้าเดินออกมาจากช่องว่างอากาศ พวกเขาก็เห็นพายุมิติที่ก่อตัวอยู่ด้านหลังพวกเขา เพียงเศษเสี้ยวเล็กๆน้อยๆของมันก็มากพอจะฉีกเฉือนความว่างเปล่า พุ่งเข้าหาคนทั้งห้าอย่างต่อเนื่อง

แต่ก็เท่านั้น

พายมิติและเศษชิ้นส่วนของความว่างเปล่าทั้งหมด เมื่อเข้ามาถึงระยะสิบเมตรรอบตัวของคนทั้งห้า ดูเหมือนจะถูกระงับด้วยพลังบางอย่างและสลายหายไปอย่างรวดเร็ว

“ไม่คาดคิดเลย ช่องว่างที่เชื่อมประตูเซียนกับโลกมนุษย์ช่างน่ากลัวเหลือเกิน ไม่รู้ว่ามีเศษเสี้ยวมิตซ่อนอยู่มากเพียงใด ถ้าไม่มีตราประทับที่สืบทอดมาจากผู้ทรงพลังถึงขีดสุดอันนี้ เกรงว่าเราคงโดนทุบจนกระดูกแตกไปนานแล้ว”

ร่องรอยความกลัวปรากฏขึ้นบนใบหน้าของชายร่างสูงใหญ่กําย่า แม้ว่าเขาจะเข้าสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพี่และจิตวิญญาณแรกกําเนิดได้เชื่อมต่อกับทะเลปราณ ใช้พลังฟ้าดินได้ต่างมือต่างเท้า แต่เมื่อเจอเข้ากับพลังของความว่างเปล่า มันก็อ่อนแอราวกับเศษฝุ่น

“เจ้ากล่าวผิดไปแล้ว”

ในเวลานี้ ชายที่ดูท่าทางอ่อนแอคนหนึ่ง สวมใส่ชุดบัณฑิต สายศีรษะแล้วกล่าวว่า “หากไม่มีตราประทับนี้ อาศัยกําลังของพวกเรา หากต้องการผ่านช่องว่างอากาศ มันจะไม่ง่ายดายเหมือน กับแค่กระดูกแตกหักเป็นชิ้นๆแน่ อย่างน้อยลักษณ์จิตวิญญาณคงถูกทําลายจนหมด”

คําที่กล่าวออกมา

ชายที่มีร่างกําย่าก็หยุดนิ่ง เห็นได้ชัดว่าเห็นด้วยกับสิ่งที่ชายซึ่งดูท่าทางอ่อนแอได้กล่าว

พลังของมิติและความว่างเปล่านั้น ต่อให้เป็นผู้ทรงพลังถึงขีดสุดก็ยากจะมีอํานาจปกครอง มันมีอยู่ทุกหนแห่ง สามารถบดขยี้ได้ทุกสิ่ง นับประสาอะไรกับพวกเขา แม้แต่เซียนเทพปฐพีขั้นสถิตเทพระดับสูงสุดก็ไม่สามารถต้านทานพลังของมิติความว่างเปล่าได้แม้แต่น้อย

Sign in Buddha’s palm 328 ไร้พ่ายในรอบหมื่นปี

“มนุษย์สวรรค์อาณาจักรถังปราบสมบัติล้ําค่าของนิกายเทพเจ้าสายฟ้าได้แล้ว…” ภายในหัวของตํานานยุทธขั้นสูงสุดว่างเปล่าขณะจ้องมองไปยังซูฉิน ซึ่งยืนอยู่เหนือฟากฟ้าพร้อมกับระฆังโบราณที่ลอยอยู่บนมือขวา

แม้ว่าระฆังโบราณนี้จะมีขนาดเท่าฝ่ามือ แตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับระฆังเทพสายฟ้าใบเก่าที่มีขนาดหลายเมตร อย่างไรก็ตาม รัศมีอันเก่าแก่และยิ่งใหญ่ที่แผ่ออกมานั้นไม่ได้แตกต่างไปจากสมบัติล้ําค่าระฆังเทพสายฟ้าอันเก่าเลย

“มนุษย์สวรรค์อาณาจักรถังแข็งแกร่งเพียงนี้ได้เช่นไร……”

มีบรรพชนหลายคนบ่นพึมพําอยู่กับตนเอง

แม้ว่าพวกเขาคาดเดาทุกอย่างไว้ก่อนแล้ว แต่อย่างมากสุดก็เดากันไว้ว่ามนุษย์สวรรค์อาณาจักรถังจะหนีจากพลังของสมบัติล้ําค่าไปได้

ส่วนการปราบปรามสมบัติล้ําค่านั้น ไม่มีอยู่ในหัวเลย

สมบัติล้ําค่าคือสิ่งใด? สมบัติชิ้นนี้เป็นอาวุธวิเศษที่ผู้ทรงพลังถึงขีดสุดทิ้งกลิ่นอายและรอยประทับเอาไว้ แม้จะไม่สามารถเทียบกับสมบัติล้ําค่าโดยกําเนิดที่ผู้ทรงพลังถึงขีดสุดสรรสร้างอย่างอุตสาหะได้ แต่ก็ไม่ใช่สิ่งที่เซียนเทพปฐพีธรรมดาจะสามารถรับมือได้

แต่บัดนี้?

ซูฉินมีพลังยิ่งใหญ่เทียมฟ้า ปราบสมบัติล้ําค่าระฆังเทพสายฟ้าของนิกายเทพเจ้าสายฟ้าได้ นับเป็นเรื่องราวน่าตกใจอย่างยิ่ง ตั้งแต่สิ้นสุดยุคเฟื่องฟูกระแสปราณฉีจนถึงปัจจุบันนานนับหมื่นปี เรื่องราวเช่นนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

หลายพันปีในดินแดนโพ้นทะเล มีเซียนเทพปฐพี่จํานวนมากพยายามโจมตีนิกายใหญ่ แต่ก็ พวกเขาก็ล้วนหวั่นเกรงไอพลังของสมบัติล้ําค่าโดยไม่มีข้อยกเว้น จะสามารถปราบสมบัติล้ําค่าด้วยมือเปล่าอย่างที่ฉันทําได้อย่างไร?

“มนุษย์สวรรค์อาณาจักรถังไม่ถือว่าเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในโลกอีกต่อไป……” บรรพชนสํานักผู้วิเศษถอนหายใจออกมาเล็กน้อย มองดูร่างที่ยืนอยู่บนเกาะเทพเจ้าสายฟ้าซึ่งเปรียบประดุจเทพมาร ใบหน้าของเขาพลันแสดงสีหน้าตกตะลึงอย่างบอกไม่ถูก

“ท่านบรรพชน ทําไมท่านจึงบอกว่ามนุษย์สวรรค์ไม่ถือว่าเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในโลกอีกต่อไปเล่า?” ศิษย์สํานักผู้วิเศษกล่าวถามด้วยความงงงวย “ความแข็งแกร่งในปัจจุบันของมนุษย์สวรรค์อาณาจักรถังสมควรจะไร้เทียมทานแล้วไม่ใช่หรือ?”

“การจะบอกว่าเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในโลกคงเป็นการไม่ไว้หน้ามนุษย์สวรรค์อาณาจักรถังเกินไป” บรรพชนสํานักผู้วิเศษเหลือบมองศิษย์สาวก สูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วกล่าวต่อไปว่า “ในช่วงหนึ่งหมื่นปีที่ผ่านมานี้ ไม่มีใครสามารถนํามาเทียบกับมนุษย์สวรรค์แห่งอาณาจักรถังได้… ”

บรรพชนสํานักผู้วิเศษกล่าวคํา

ใบหน้าของบรรพชนคนอื่นๆ ในที่แห่งนี้ก็เปลี่ยนไป

ช่วงหนึ่งหมื่นปีที่ผ่านมา

ไม่มีใครสามารถนํามาเทียบกับมนุษย์สวรรค์อาณาจักรถังได้

บรรพชนสํานักผู้วิเศษได้ประเมินว่าซูฉินนั้นสูงเกินเอื้อมถึง

รู้หรือไม่ว่าการเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในโลกนั้นง่ายดายมากหาเป็นเช่นซูฉิน ทําให้นิกายใหญ่ทั้งหลายยอมจํานนก็เพียงพอแล้ว แต่การเป็นผู้แข็งแกร่งที่สุดในรอบหมื่นปีนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย
เป็นหนึ่ง

ไม่มีสอง

ในฐานะที่เป็นเซียนเทพปฐพี หากพวกเขาไม่ได้ต่อสู้กันเอง ใครจะบอกได้บ้างว่าผู้ใดแข็งแกร่งกว่ากัน?

เวลานับหมื่นปีที่ผ่านพ้นไปในต่างดินแดน เซียนเทพปฐพี่นับสิบได้ถือกําเนิดขึ้น ซึ่งทุก คนล้วนน่าทิ้งอย่างแท้จริง หากไม่ถูกจํากัดด้วยสภาพแวดล้อมที่กระแสปราณฉีเงียบงัน อาจจะมีความหวังในการทะลวงสู่ขอบเขตของผู้ทรงพลังถึงขีดสุด

เมื่อต้องเจอกับขุมอานาจที่น่าทึ่งในยุคต่างๆเหล่านี้ ใครจะกล้าอวดอ้างว่าคงกระพันไร้เทียมทาน?

แม้ว่าความแข็งแกร่งของซูฉินจะเหนือกว่าเซียนเทพปฐพีเหล่านั้นจริงๆ ตราบใดที่ไม่เกิดการต่อสู้ขึ้นจริงและเอาชนะคู่ต่อสู้ได้อย่างหมดจด ก็ไม่นับว่าเขานั้นไร้เทียมทาน

แต่ในเวลานี้ บรรพชนสํานักผู้วิเศษกลับพูดออกมาจากกันบึงของหัวใจว่าซูฉินนั้นไร้เทียมทานในรอบหมื่นปี

เพราะเวลาหมื่นปีที่ผ่านมา ไม่เคยมีเซียนเทพปฐพี่คนใดที่ปราบสมบัติล้ําค่าได้สําเร็จ แต่ตอนนี้ซูฉินกลับทํามันได้ นั่นพิสูจน์ให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของซูฉิน

ถ้านี่ไม่เรียกว่าไร้เทียมทานในรอบหมื่นปี

จะมีใครอื่นอีกที่สมควรเป็นผู้ไร้เทียมทานในรอบหมื่นปี?

เหล่าบรรพชนเงยหน้าขึ้นมองซูฉินด้วยดวงตาที่ซับซ้อน เต็มไปด้วยความกลัว ความสงสัย ความตื่นตระหนก แต่ทุกคนล้วนมีความครั่นคร้ามหวั่นเกรงอยู่ในดวงตากันทั้งนั้น

พี่บ!

ซูฉินค่อยๆ ลดระดับลง ปลายเท้าแตะลงบนเกาะเทพเจ้าสายฟ้า

“นี่คือสมบัติล้ําค่างั้นรึ?” ซฉินจ้องไปที่ระฆังโบราณซึ่งลอยอยู่บนฝ่ามือ ใบหน้าดูเคร่งขรึมเล็กน้อย

ในการปราบสมบัติล้ําค่าชิ้นนี้ ซูฉินแทบจะกระตุ้นภาพดวงตะวันขนาดมหึมาจนถึงขีดสุด เกือบแปลงเป็นร่างลวงตาของอีกาทองคําสามขา สัตว์ศักดิ์สิทธิ์ที่แข็งแกร่งที่สุดในด้านเปลวเพลิงแล้ว ด้วยเหตุนี้พลังของร่างศักดิ์สิทธิ์อีกาทองคําจึงถูกใช้ไปอย่างมหาศาล

อย่างไรก็ตาม เมื่อระฆังเทพสายฟ้าถูกระงับไป ร่างกายของซูฉินก็เริ่มฟื้นตัวขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ร่างศักดิ์สิทธิ์อีกาทองคําเปรียบเสมือนดวงตะวันที่แท้จริง เริ่มดูดซับแสงแดดและความร้อน จากทั่วทุกทิศทางอย่างบ้าคลั่ง พลังงานธาตุไฟจํานวนมหาศาลพุ่งเข้ามาชั่วขณะหนึ่ง จอมยุทธต่างแดนทั้งหลายก็พลันเห็นแสงจากบนฟ้ามืดมิดลง

ร่างศักดิ์สิทธิ์อีกาทองคําเป็นร่างกายที่กลั่นขึ้นมาใหม่หลังจากสําเร็จภาพดวงตะวันฯ ระดับเล็ก ด้วยความช่วยเหลือจากแก่นพลังของอีกาทองคําซึ่งโคจรอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าจะใช้พลังงานไปมากเพียงใด ตราบเท่าที่ได้รับแสงแดด ก็สามารถฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว

“นิกายเทพเจ้าสายฟ้าไม่ได้ใช้พลังที่แท้จริงของสมบัติล้ําค่าออกมา ไม่เช่นนั้นก็คงไม่ถูกข้าสะกดลงง่ายดายเพียงนี้”

ซูฉินมองดูระฆังเทพสายฟ้าที่ลอยอยู่บนฝ่ามืออย่างพินิจพิเคราะห์ ขบคิดในใจเงียบๆ

ตอนนี้ ถึงแม้เขาจะมองดูระฆังเทพสายฟ้าเพียงชั่วครู ซูฉินก็สามารถสัมผัสได้ถึงพลังอันมหาศาลที่บรรจุอยู่ภายในตัวระฆัง

หากพลังนี้มีเซียนเทพปฐพี่คอยควบคุม มันมbแกร่งกว่าที่เหลยตู้ฝ่าทําได้เป็นสิบเท่าเลยหรือ?

ส่วนด้านในระฆังโบราณนี้ แน่นอนว่าจิตวิญญาณแรกกําเนิดของเหลยตู้ฝ่าได้หายไปตั้งแต่ปtทะกับซุฉินแล้ว ทั้งร่างกายและจิตวิญญาณแรกกําเนิดล้วนสลายหายไปหมด

“น่าเสียดายนัก”

“ข้าทําได้เพียงสะกดสมบัติล้ําค่าชิ้นนี้เอาไว้ ส่วนการใช้งานจริงๆ จําเป็นจะต้องลบรอยประทับออกไปก่อน”

ความคิดของซูฉินผันผวนไปมา

สมบัติล้ําค่านี้ได้รับการปรับแต่งโดยผู้ทรงพลังถึงขีดสุด แม้จะเป็นการปรับแต่งอย่างลวกๆ ก็pyงทิ้งรอยประทับเอาไว้ หากไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของรอยประทับ แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่บุคคลอื่นจะเข้าถึงสมบัติล้ําค่านี้

นิกายเทพเจ้าสายฟ้าอยู่มาตั้งแต่ยุคเฟื่องฟูกระแสปราณฉีครั้งล่าสุด คนรุ่นก่อนได้รับมอบระฆังเทพสายฟ้ามาจากผู้ทรงพลังถึงขีดสุดผู้หนึ่ง และส่งต่อมาจนถึงทุกวันนี้

เป็นเช่นเดียวกับสํานักเอกะวิถีและสํานักผู้วิเศษ

“เซียนเทพปฐพี่คนอื่นๆ แม้แต่เซียนเทพปฐพี่ขั้นสถิตเทพระดับสูงสุด หากอยากจะก่าจัดรอยประทับออกไปจากสมบัติล้ําค่า มันก็ต้องใช้เวลาปรับแต่งอย่างช้าๆนับร้อยปี แต่ข้านั้นแตกต่างออกไป”

“เพียงแค่ปลกทิพยอานาจธาตุไฟอันที่สองขึ้นมาได้ ก็คงพอจะปรับแต่งรอยประทับภายในสมบัติล้ําค่านี้ได้”

ใบหน้าของซูฉินดูครุ่นคิด

ท้ายที่สุดผู้ทรงพลังถึงขีดสุดที่ทิ้งระฆังเทพสายฟ้านี้เอาไว้อาจจะตกตายไปนานแล้ว รอยประทับที่ทิ้งไว้จะสามารถสกัดกั้นการปรับแต่งด้วยทิพยอํานาจธาตุไฟได้อย่างไร?

แน่นอนว่ามองไปทั่วทั้งปฐพีนี้ แม้จะเป็นยุคเฟื่องฟูกระแสปราณฉี คงมีแต่ซูฉินเท่านั้นที่มีความมั่นใจว่าจะกระทําได้

ท้ายที่สุดการปรับแต่งรอยประทับด้วยทิพยอํานาจนั้น แม้จะเป็นผู้ทรงพลังถึงขีดสุดก็ตาม นับเป็นการกระทําที่สิ้นเปลืองอย่างยิ่ง เฉพาะซูฉินซึ่งมีระบบลงชื่อเข้าใช้ จึงทําให้ได้รับทิพยอํานาจที่ทรงพลังมา
เมื่อซูฉินได้รับระฆังเทพสายฟ้ามา เขาก็เตรียมจะนํามันไปตรวจสอบในอนาคต

บรรพชนสํานักผู้วิเศษกลายเป็นเส้นแสงพุ่งเข้ามาหาซูฉิน โค้งคํานับพร้อมกับกล่าวออกอย่างสดุดีว่า

“เจ้าสํานักผู้วิเศษลําดับที่สามสิบหก ขอแสดงความยินดีกับมนุษย์สวรรค์ที่ปราบสมบัติล้ําค่าได้ กลายเป็นผู้ไร้เทียมทานแห่งยุค”

บรรพชนสํานักผู้วิเศษเคยเป็นเจ้าสํานักผู้วิเศษคนที่สามสิบหก เขามีฐานการบ่มเพาะถึงระดับครึ่งก้าวเข้าสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพี แต่ในยามนี้กลับคารวะซูฉินราวกับเป็นข้ารับใช้

ซูฉินสามารถสะกดสมบัติล้ําค่าของนิกายเทพเจ้าสายฟ้าได้ ย่อมสามารถสะกดสมบัติล้ําค่าของสํานักผู้วิเศษได้เช่นกัน หากซูฉินต้องการปราบนิกายที่ถือครองสมบัติล้ําค่า แล้วพวกตนไปยั่วยุซูฉิน ชะตากรรมของนิกายเทพเจ้าสายฟ้าคงเป็นบทเรียนได้อย่างดี

โดยมีบรรพชนสํานักผู้วิเศษเป็นผู้น่า

ในไม่ช้า บรรพชนคนที่สอง คนที่สาม และคนที่สี่จากนิกายใหญ่ต่างก็บินตรงเข้ามาคารวะซูฉินด้วยความเคารพ

“ขอแสดงความยินดีกับมนุษย์สวรรค์ที่ปราบปรามสมบัติล้ําค่าได้ กลายเป็นผู้ไร้เทียมทานแห่ง
ยุค!!!”

จอมยุทธต่างแดนจํานวนมากไม่กล้าเข้ามาใกล้ซูฉินมากนัก ดังนั้นพวกเขาจึงทําได้เพียงยืนอยู่ที่เดิมแล้วโค้งคารวะซูฉินจากระยะไกล ตะโกนออกมาดังลั่น

ชั่วพริบตา ภายใต้ผืนฟ้าผืนดินนี้ จอมยุทธต่างดินแดนจํานวนหนึ่งได้คุกเข่าลงกับพื้น คารวะบูชาราวกับเจอเทพเซียนให้ความเคารพอย่างสูงยิ่ง

จอมยุทธต่างแดนเหล่านี้ล้วนมีความคิดที่ชัดเจนในจิตใจ ไม่ว่าพวกเขาจะเต็มใจหรือไม่ก็ตาม แต่หลังจากวันนี้ วันคืนที่นิกายใหญ่จะได้อยู่ในจุดสูงสุดอาจหายไปตลอดกาล และจะมีมนุษย์สวรรค์อาณาจักรถังที่ยิ่งใหญ่เหนือกว่านิกายใหญ่ทั้งหลาย กลายเป็นจ้าวพิภพ

ซูฉินผู้ที่ได้รับการคารวะจากจอมยุทธต่างดินแดนจํานวนนับไม่ถ้วน ไม่ได้แสดงอาการใดออกมา เพียงโบกมือแล้วพูดว่า “ทุกคนจงลุกขึ้นแล้วกลับไปเถอะ”

ไม่ว่าเมื่อใด ซูฉินก็รู้ว่าความแข็งแกร่งของเขานั้นคือรากฐาน หากไม่ใช่เพราะเขาปราบสมบัติล้ําค่าและทําลายนิกายเทพเจ้าสายฟ้าได้ ในตอนนี้จอมยุทธต่างดินแดนก็คงยังไม่รู้ตัวว่าพวกตนอยู่ในจุดไหน จะมาเคารพบูชาซูฉินอย่างตอนนี้ได้อย่างไร?

“พวกเจ้าก็ออกไปด้วย”

“แผ่นดินแห่งพลังยุทธอันยิ่งใหญ่เป็นของอาณาจักรถัง”

“นิกายใหญ่ของพวกเจ้าสามารถเข้าไปภายในได้ แต่ต้องปฏิบัติตามกฎหมายของราชวงศ์ถัง” ซูฉินกวาดตามองบรรพชนนิกายใหญ่ทั้งหลาย
“รับคําสั่งมนุษย์สวรรค์

เมื่อบรรพชนสํานักผู้วิเศษได้ยินเรื่องนี้ เขาก็รู้สึกยินดียิ่งและรีบคารวะอีกครั้งอย่างรวดเร็ว

สิ่งที่ซูฉินพูดหมายความว่าเขาจะไม่ขัดขวางการเข้าสู่แผ่นดินแห่งพลังยุทธฯ ของนิกายใหญ่

ด้วยเหตุนี้ แม้ว่าโอกาสส่วนใหญ่ในแผ่นดินแห่งพลังยุทธฯ จะตกอยู่ในกํามือของซูฉิน แต่นิกายใหญ่ของพวกเขาก็จะได้ดื่มน้ําซุปที่เหลือเช่นกัน ซึ่งดีกว่าไม่ได้อะไรเลย

บางที่หากซูฉินเห็นคุณค่าของพวกเขาในอนาคต อาจจะได้ของรางวัลอะไรบ้าง ซึ่งอาจจะทําให้ความรุ่งเรื่องนั้นทะยานขึ้นสู่ฟ้าก็เป็นได้
“ในเมื่อพวกเจ้าเข้าใจทุกสิ่งแล้ว ก็เชิญออกไปได้”

ซุฉินกล่าวออกเบาๆ

เขาไม่สนว่าศิษย์นิกายใหญ่จะเข้ามาในอาณาจักรถังหรือไม่ ท้ายที่สุดอาณาจักรถังก็ต้องปรับตัวให้เข้ากับกระแสปราณที่ฟื้นฟูให้ได้อย่างรวดเร็ว วิธีที่มีประสิทธิภาพที่สุดก็คือให้นิกายใหญ่เหล่านี้เข้ามา

การอนุญาตให้นิกายใหญ่ทั้งหลายเข้าร่วมกับอาณาจักรถัง และกลายมาเป็นส่วนหนึ่งเท่านั้น จึงจะทําให้อาณาจักรถังแข็งแกร่งขึ้นได้เร็วที่สุด

“ขอรับ”

เหล่าบรรพชนมองหน้ากันและออกจากเกาะเทพเจ้าสายฟ้าไปในทันที

จนกระทั่งทุกคนออกมาจากเกาะเทพเจ้าสายฟ้าจนหมด ซูฉินก็มองเข้าไปยังใจกลางเกาะเทพเจ้าสายฟ้า

“นิกายเทพเจ้าสายฟ้าสืบทอดมรดกมานับหมื่นปี ไม่ว่าจะเป็นรากฐานหรือสิ่งอื่นๆ ก็ย่อมยอดเยี่ยมกว่าพรรคหมื่นดาบมาก”

“ด้วยเหตุนี้ เต๋สะสม ที่กักเก็บเอาไว้คงจะมากเพียงพอ”

ความหวังปรากฏขึ้นบนใบหน้าของซูฉิน

ตั้งแต่แรกจนถึงตอนนี้ ซูฉินไม่เคยลืมว่านอกจากจะวางแผนมาคิดบัญชีกับนิกายเทพเจ้าสายฟ้าแล้ว ยังมีอีกเหตุผลหนึ่งคือการมาลงชื่อเข้าใช้เพื่อรับของรางวัลจากนิกายเทพเจ้าสายฟ้าแห่งนี้

แม้แต่พรรคหมื่นดาบซึ่งสืบทอดมรดกมาสี่พันกว่าปียังให้ผลประโยชน์มากมายแก่ซูฉิน นิกายเทพเจ้าสายฟ้ามีหรือจะไม่ให้มากยิ่งกว่า?

“โอกาสสําหรับการลงชื่อเข้าใช้ทั้งหมดในช่วงนี้ จะต้องเอามาใช้ที่นี่”

ซฉินขบคิดอย่างรวดเร็ว จากนั้นจึงเดินเข้าไปในส่วนลึกของนิกายเทพเจ้าสายฟ้า

Sign in Buddha’s palm 327 โลกทั้งใบไร้ขอบเขต ข้าผู้นี้ไร้เทียมทาน

ระฆังเทพสายฟ้าแข็งแกร่งมาก เหนือกว่าอาวุธวิเศษส่วนใหญ่ที่ซูฉันเคยเห็น ทุกครั้งที่ระฆังสั่นดังลั่น ทุกสิ่งบนโลกจะเริ่มปั่นป่วนไปหมด

อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าระฆังเทพสายฟ้าจะแข็งแกร่งเพียงใด ก็เป็นเพียงสมบัติที่เกี่ยวข้องกับพลังเสียง หากทิ้งระยะทางห่างออกไปสิบลี้หรือหลายร้อยลิ้มันย่อมได้ผลเป็นธรรมดา แต่เมื่อซูฉินเข้าใกล้ตัวสมบัติ ความสามารถด้านพลังเสียงส่วนใหญ่ของมันก็ถูกละทิ้งไป

นี่เป็นสาเหตุที่ซฉินยอมให้ร่างกายบาดเจ็บ ผลก็เพื่อเข้าประชิดให้มากขึ้น

สมบัติล้ําค่าประเภทคลื่นเสียงมีการโจมตีที่ไม่เหมือนอาวุธวิเศษประเภทดาบ ที่ไม่ว่าเป็นการต่อสู้ระยะใกล้หรือไกลก็สามารถใช้ได้ ระฆังเทพสายฟ้านั้นจําเป็นต้องรักษาระยะห่างจากศัตรู

ตัวอย่างเช่นในตอนนี้ มือขวาของซูฉันประทับบนตัวระฆังเทพสายฟ้า ระฆังที่สันไหวอยู่ตลอดเวลาก็พลันหยุดลง ถูกซูฉินบังคับพลังให้กลับเข้าไปในตัวระฆัง

“เจ้าทําอะไรลงไป?” ใบหน้าของเหลยุตู้ฝ่าเปลี่ยนเป็นบ้าคลั่ง

นิกายเทพเจ้าสายฟ้าได้ปรับแต่งระฆังเทพสายฟ้ามาเป็นหมื่นปี อาจไม่ถึงกับสามารถควบคุมระฆังเทพสายฟ้าได้อย่างสมบูรณ์ แต่ก็ไม่ได้ห่างไกลจากนั้นมากนัก ทว่าเหลยต้ฝ่าที่ผสานจิตวิญญาณแรกกําเนิดเข้ากับสมบัติล้ําค่าพลันรู้สึกว่าสายใยที่เชื่อมระหว่างเขากับระฆังเทพสายฟ้านั้นอ่อนแอลงอย่างมาก

ดวงตาของซูฉันสงบนิ่ง ไม่ได้ตอบอะไรออกไป

สมบัติล้ําค่าระฆังเทพสายฟ้านั้นมีรอยประทับที่ผู้ทรงพลังถึงขีดสุดทิ้งเอาไว้ นอกจากนิกายเทพเจ้าสายฟ้าแล้วนั้น หากคนอื่นคิดควบคุมระฆังเทพสายฟ้า สิ่งแรกที่พวกเขาต้องทําคือลบรอยประทับที่ผู้ทรงพลังถึงขีดสุดทิ้งไว้เสียก่อน

แต่นั่นเป็นสิ่งที่ยากเกินไป

บางที่ตัวตนที่ยืนอยู่บนจุดสูงสุดของขอบเขตเซียนเทพปฐพี่อย่างจ้าวทะเลบูรพาอาจต้องใช้เวลาหลายร้อยปีในการลบรอยประทับออกไป แต่นี่เป็นเพราะระฆังเทพสายฟ้าไม่ได้เป็นสมบัติล้ําค่าโดยกําเนิด รอยประทับของผู้ทรงพลังถึงขีดสุดจึงมีอยู่อย่างจํากัด

ส่วนเซียนเทพปฐพี่คนอื่นๆ เห็นได้ชัดว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะลบรอยประทับจากผู้ทรงพลังถึงขีดสุดในเวลาอันสั้น

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ซุฉินกําลังทําอยู่ตอนนี้ไม่ใช่เพื่อลบรอยประทับ แต่เป็นการรบกวนเหลยต์ ฝ่าไม่ให้ควบคุมระฆังเทพสายฟ้าอีกต่อไป

หากเหลยตู้ฝ่าอยู่ในขอบเขตเซียนเทพปฐพี จิตวิญญาณแรกกําเนิดจะหลอมรวมเข้ากับทะเลปราณ และจะสามารถเรียกใช้พลังจากทะเลปราณเพื่อควบคุมระฆังเทพสายฟ้าได้ในความคิดเดียว ซูฉินจะไม่สามารถเข้ามารบกวนการเชื่อมโยงนี้ได้

แต่ตอนนี้เหลยตู้ฝ่าเป็นเพียงครึ่งก้าวเข้าสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพี ฐานบ่มเพาะถูกสะกดข่ม โดยซฉินที่เหนือกว่า ต่อให้ควบคุมระฆังเทพสายฟ้าได้ไร้ที่ติ แต่จะหยุดซูฉันไม่ให้รบกวนได้อย่างไร?

“มนุษย์สวรรค์อาณาจักรถังต้องการทําอะไรกันแน่? เขาวางมือไว้บนสมบัติล้ําค่า?”

“น่าเหลือเชื่อยิ่งแล้ว เสียงระฆังที่ดังอย่างต่อเนื่องจากสมบัติล้ําค่าเริ่มช้าลงแล้ว นี่เป็นฝีมือของมนุษย์สวรรค์อาณาจักรถังหรือเปล่า?”
จอมยุทธดินแดนโพ้นทะเลจํานวนนับไม่ถ้วนที่เฝ้าดูการต่อสู้อยู่ก็ตกตะลึงไม่แพ้กัน

บรรพชนนิกายใหญ่ถึงกับขยี้ตา เกือบจะคิดว่าสิ่งที่พวกตนเห็นเป็นภาพลวงตาแล้ว

“นี่คือการใช้กายเนื้อปะทะเข้ากับสมบัติล้ําค่า?” เกิดคลื่นลมขนาดใหญ่ในใจบรรพชนสํานักผู้วิเศษ

สมบัติล้ําค่าคือสิ่งใด? อาวุธที่ปรับแต่งโดยผู้ทรงพลังถึงขีดสุดนั้น ไม่ใช่เรื่องเกินจริงเลยที่จะบอกว่ามีพลังมากดุจผืนฟ้า แม้ว่าระฆังเทพสายฟ้าจะไม่ใช่สมบัติล้ําค่าโดยกําเนิดของผู้ทรงพลังถึงขีดสุด แต่มันก็ไม่ใช่สิ่งที่ร่างกายของเซียนเทพปฐพี่จะสั่นคลอนมันได้

“ร่างกายของมนุษย์สวรรค์อาณาจักรถังดูเหมือนจะแกร่งกว่าที่ข้าคิดไว้ ไม่เช่นนั้นต่อให้เป็นเซียนเทพปฐพีขั้นสูงสุดก็ต้องได้รับบาดเจ็บสาหัสทันทีที่เข้าใกล์สมบัติล้ําค่า เป็นไปได้อย่างไรที่มนุษย์สวรรค์อาณาจักรถังไม่เพียงไม่ถอยกลับ แต่รุกคืบเข้าสะกดสมบัติล้ําค่าไว้ได้อย่างนุ่มนวล”

ท่าทีของบรรพชนสํานักผู้วิเศษผันผวน ความตกใจที่เกิดขึ้นภายในดวงตายากจะปิดบัง

เดิมที่สํานักผู้วิเศษนั้นเชี่ยวชาญเรื่องการบ่มเพาะร่างกาย และพ่อมดราชันรุ่นก่อนๆ ก็มีร่างกายผู้วิเศษซึ่งแข็งแกร่งยิ่งกว่าร่างกายของเซียนเทพปฐพี่ทั่วๆ ไป

ทว่า แม้ด้วยร่างกายของผู้วิเศษก็ยังไม่กล้าส่งตัวเองเข้าไปใกล้สมบัติล้ําค่าเช่นนี้

แม้ว่าสมบัติล้ําค่าที่เกี่ยวกับคลื่นเสียง เช่น ระฆังเทพสายฟ้า ระยะทางที่ลดลงจะสามารถสะ กดข่มพลังของระฆังได้ แต่ในขณะเดียวกันก็ต้องอดทนต่อแรงกดดันของเสียงที่มากขึ้นด้วย

เซียนเทพปฐพี่ที่มีร่างกายอ่อนแอจะไม่กล้าทําเช่นนี้ มีเพียงซูฉินที่มีร่างกายแข็งแกร่งและทิพยอํานาจคอยฟื้นฟูร่างกายอย่างต่อเนื่องเท่านั้น ถึงจะกล้าเอาตัวเองไปติดในกับดักนี้

“ทําลาย!”

ซูฉินแตะระฆังเทพสายฟ้าด้วยมือขวา และมือซ้ายก็กําแน่นเป็นหมัด ปราณเลือดของร่างศักดิ์สิทธิ์อีกาทองคํานั้นน่าสะพรึงกลัวมีพลังทําลายล้างสูง จากนั้นมันก็ระเบิดเข้าใส่ตัวระฆังเทพสายฟ้าอย่างรุนแรง

ต่ง!!!

เสียงระฆังที่แสนน่ากลัวดังขึ้นอีกครั้ง เหลยตู้ฝ่าซึ่งนั่งขัดสมาธิอยู่ใต้ระฆังรู้สึกว่าร่างของเขาแทบจะระเบิดออก ถ้าไม่ใช่เพราะจิตวิญญาณแรกกําเนิดที่ผสานเข้ากับระฆังเทพสายฟ้าคอยสะท้อนกลิ่นอายพลังออกจากร่างกายไป เกรงว่าเพียงเสียงระฆังนี้คงทําให้ร่างกายของเขาแตกสลายกลายเป็นอากาศธาตุไปแล้ว

“อ๊าาาาา!”

ทันใดนั้นเหลยตู้ฝ่าก็ร้องคารามเสียงแหบต่ํา ด้วยการสั่นสะเทือนของระฆัง แม้แต่จิตวิญญาณแรกกาเนิดที่หลอมรวมเข้ากับระฆังเทพสายฟ้าก็ยังสั่นสะท้าน

“มนุษย์สวรรค์อาณาจักรถัง”

“เป็นเจ้าที่บังคับข้าเอง”

“มาตายไปพร้อมกันเถอะ!”

เหลยตู้ฝ่ารู้สึกว่าสายสัมพันธ์ระหว่างเขากับระฆังเทพสายฟ้านั้นอ่อนกําลังลงเรื่อยๆ และตระหนักว่าหากยังเป็นเช่นนี้ต่อไป เขาอาจจะไม่มีพลังแม้แต่จะต่อต้านด้วยซ้ํา ทันใดนั้นสีหน้าที่ได้ ความปรานีก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขา

ช่วงเวลาต่อมา

ร่างกายของเหลยต้ฝ่าก็ระเบิดพลังออกมา แก่นแท้และเลือดเนื้อจํานวนมากหลั่งไหลเข้าสู่ระฆังเทพสายฟ้า

ด้วยพลังจากแก่นแท้และเลือดเนื้อ การเชื่อมต่อระหว่างเหลยตู้ฝ่ากับระฆังเทพสายฟ้าก็ชัดเจนมากขึ้น

ในชั่วพริบตา

บนตัวระฆังเทพสายฟ้าก็มีเส้นสายโยงใยนับไม่ถ้วนปรากฏให้เห็น ลวดลายเหล่านี้ดูเก่าแก่และทรงพลัง เต็มไปด้วยกลิ่นอายจากวิถีแห่งสายฟ้า

วิถีทางเหล่านี้ควบแน่นขึ้นมาราวกับมีตัวตน กลายเป็นสายฟ้ามืดมิดที่พร้อมจะบดขยี้ความว่างเปล่า แรงกดดันเหมือนจะเป็นอนันต์จนทําให้ความว่างเปล่านั้นปริแตก

สายฟ้าศักดิ์สิทธิ์ห้าธาตุทําลายล้าง!

ทรงพลังยิ่งกว่าสายฟ้าสวรรค์เก้าชั้นฟ้าในตํานานเสียอีก

นี่เป็นหนึ่งในท่าไม้ตายที่แข็งแกร่งที่สุดของระฆังเทพสายฟ้า สามารถควบแน่นสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์ห้าธาตุที่สาบสูญซึ่งอยู่ระหว่างชั้นฟ้าดินมาได้ มันมีพลังทําลายล้างทุกสิ่ง แม้จะเป็นเซียนเทพปฐพีก็ต้องปวดหัว หากกําจัดได้ไม่ทันเวลาล่ะก็ คงจะต้องทิ้งร่างกายไปเสียสิ้น

ครีน

สายฟ้านับไม่ถ้วนกระจายออกมาจากระฆังเทพสายฟ้า พุ่งเข้าหาซูฉิน

“มนุษย์สวรรค์อาณาจักรถัง มอบชีวิตมาให้ข้าเสียเถอะ” เหลยตู้ฝ่าใช้งานระฆังเทพสายฟ้าอย่างสิ้นหวัง ท่าทีของเขาเต็มไปด้วยความบ้าคลั่ง

สมบัติล้ําค่าระฆังเทพสายฟ้า แม้จะเป็นเซียนเทพปฐพี่ก็ไม่สามารถควบคุมได้ง่ายๆ หากเหลยตู้ฝ่าไม่ได้รับการสืบทอดวิธีการปรับแต่งนับหมื่นปีมาจากนิกายเทพเจ้าสายฟ้า จะเรียกใช้สมบัติล้ําค่านี้ได้อย่างไร?

ในคราวนี้ ร่างของเหลยตู้ฝ่าพลันระเบิดออกและจิตวิญญาณแรกกําเนิดก็ถูกเผาไหม้เมื่อตกอยู่ในพลังของสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์ห้าธาตุทําลายล้าง เมื่อสายฟ้าพุ่งฝ่าอากาศออกมา เหลยตู้ฝ่าก็ไม่สามารถทานทนต่อพลังของสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์ห้าธาตุทําลายล้างได้

“ไร้ประโยชน์

“ถ้าเจ้าเป็นเซียนเทพปฐพี ข้าคงหวาดกลัวสักเล็กน้อย แต่อาศัยแค่ครึ่งก้าวเข้าสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพี ไม่ต้องกล่าวถึงการมีสมบัติล้ําค่าเพียงชิ้นเดียวเลย ต่อให้เจ้าถือครองสมบัติล้ําค่าเป็นสิบชิ้น เจ้าจะทําอะไรข้าได้จริงๆน่ะหรือ?”

ดวงตาของซจินดสงบนิ่ง ไร้คลื่นลมผันผวน ทันใดนั้นดวงตะวันก็ลกโชนขึ้นอีกรอบ

ช่วงเวลาต่อมา

กลิ่นอายของซูฉันเปลี่ยนไป และพลังสายฟ้าที่น่าสะพรึงกลัวก็ถูกเปิดเผย ในตอนนี้ซูฉินได้ใช้ห้าหมัดสายฟ้าเทพเจ้าออกมา สายฟ้าวูบวาบไปทั่วทั้งร่าง ทรงพลังพอจะทําให้ฟ้าดินต้องสั่นสะเทือน

ก่อนหน้านี้ที่ซูฉินได้ดูดซับกิ่งไม้อสนีบาตภัยและดาบสายฟ้าของเหลยเฉียนจือ ห้าหมัดเทพเจ้าสายฟ้าก็ได้ทะลุขีดจํากัดของมันแล้ว ตอนนี้ซูฉันเหมือนกับเทพสายฟ้าที่แท้จริงท่องมายังโลกมนุษย์

“สายฟ้าแต่ละเส้นที่ปรากฏขึ้นบนร่างมนุษย์สวรรค์อาณาจักรถัง ในตอนนี้ใกล้เคียงกับกระบวนท่าสุดท้ายของเหลยเฉียนจ่อยิ่งนัก ทว่าสายฟ้าบนร่างของมนุษย์สวรรค์อาณาจักรมีนับร้อยนับพันไม่ใช่หรือ? กล่าวอีกนัยหนึ่ง นี่เทียบเคียงได้กับเหลยเฉียนจือนับร้อยคนลงมือร่วมกัน?”

บรรพชนตําหนักเทพเจ้าหิมะตกตะลึง

บรรพชนนิกายใหญ่แห่งอื่นๆ ก็ตกใจไม่แพ้กัน

แม้ว่าพวกเขาจะรู้ว่าซูฉินนั้นแข็งแกร่งมาก และสามารถปะทะกับสมบัติล้ําค่าได้ด้วยกายเนื้อ แต่ตอนนี้ทุกคนตระหนักดีว่าพวกเขายังประเมินซูฉินต่ําเกินไป

เทียบเท่ากับเหลยเฉียนจือเป็นร้อยเป็นพันคนหมายถึงสิ่งใด? มันเทียบเท่ากับการมีเซียนเทพปฐพีหลายร้อยคน พลังอํานาจระดับนี้เพียงพอที่จะครอบงําต่างดินแดนได้เลย แม้แต่ในยุคเฟื่องฟูกระแสปราณฉีครั้งล่าสุด ก็นับว่ามีอํานาจไม่ใช่น้อยๆ

แน่นอนว่ามีบรรพชนแค่ไม่กี่คนที่ตระหนักรู้ได้ว่าทุกเส้นสายฟ้ารอบตัวซูฉิน มีพลังใกล้เคียงกับเหลยเฉียนจือ แต่กระนั้นภาพรวมของพลังสายฟ้าทั้งหมดก็ดูทรงพลังมากกว่าเหลยเฉียนจือหลายสิบเท่าอยู่ดี ซึ่งขุมพลังดังกล่าวก็ยังสามารถทําให้ทั้งโลกตกตะลึง

ครีน

เมื่อซูฉินใช้ห้าหมัดสายฟ้าเทพเจ้า พลังฟ้าดินธาตุสายฟ้าก็อยู่ในการควบคุม และสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์ห้าธาตุทําลายล้างจากระฆังเทพสายฟ้าที่แผ่พุ่งออกมาก็ถูกซุฉินสูบกลืน

ในที่สุด

กลิ่นอายของซูฉันพลันเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วอีกครั้ง ดวงตะวันดวงยักษ์ในรูม่านตาก็ลุกโชนร้อนแรงเกือบจะเทียบเคียงดวงอาทิตย์บนฟากฟ้า และพลังเปลวเพลิงที่น่าสะพรึงกลัวนี้ก็ได้เผาผลาญทุกสิ่งอย่าง

เมื่อรัศมีพลังของซูฉินพุ่งสูงขึ้นจนถึงขีดสุด ภายในเปลวเพลิงอันไร้ที่สิ้นสุด อีกาทองคํา สามขาก็สยายปีก พลังแห่งเปลวเพลิงที่น่าสะพรึงกลัวก็เพิ่มระดับขึ้นอีกครั้ง โหมกระหนาเข้าใส่ ระฆังเทพสายฟ้าอย่างหนักหน่วง
หวัง!!

เหมือนดวงอาทิตย์พุ่งลงมาใส่

ฉากที่ไม่เคยเกิดขึ้นที่ไหน บัดนี้ได้เกิดขึ้นบนเกาะเทพเจ้าสายฟ้า

เห็นอีกาทองคําสามขากางปีกออกโบยบินแหวกว่ายในอากาศ อ้าปากกว้างเงยหน้าขึ้น เปลวเพลิงปริมาณมหาศาลพลันพุ่งออกมา ระฆังเทพสายฟ้าที่ถูกสะกดโดยเปลวเพลิงอันไร้ที่สิ้นสุด จู่ๆก็ระเบิดพลังออกมาเป็นสายฟ้าสวรรค์เก้าสิบเก้าสายปะทะกันอย่างต่อเนื่องทําลายเปลวเพลิงโดยรอบทิ้งไป

นี่เพราะเหลยตู้ฝ่าได้เผาจิตวิญญาณแรกกําเนิดเพื่อสร้างพลังให้กับสมบัติล้ําค่าระฆังเทพสายฟ้า ไม่เช่นนี้ยามเมื่อซูฉินกระตุ้นพลังของดวงตะวันขนาดมหึมาอย่างเต็มที่ ระฆังเทพสายฟ้าคงถูกปราบปรามไปแล้ว

ปราณฉีฟ้าดินระเหยเป็นไอ แม้แต่อากาศก็เริ่มบิดเบือน จอมยุทธต่างดินแดนจํานวนนับไม่ถ้วนที่เฝ้าดูอยู่รู้เพียงว่าภาพด้านหน้าของพวกตนพร่าเลือน รัศมีอันน่าสยดสยองแพร่กระจายไปทั่วทุกทิศทาง จอมยุทธบางส่วนที่หนีไม่ทันก็สลายกลายเป็นผุยผง

และเมื่อผลกระทบกระจายไปเป็นวงกว้าง ตํานานยุทธขั้นสูงสุดที่เฝ้าชมอยู่ก็พบเรื่องน่าประหลาดใจ

ทั้งจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ อาณาเขต หรือจิตวิญญาณแรกกําเนิด ล้วนไม่สามารถเข้าใกล้เกาะเทพเจ้าสายฟ้าได้เลย

“เกิดอะไรขึ้น?”

“ตอนนี้การต่อสู้เป็นเช่นไรบ้าง?”

“ใครเป็นผู้ชนะ มนุษย์สวรรค์อาณาจักรถังหรือสมบัติล้ําค่าระฆังเทพสายฟ้า?”

จิตใจของจอมยุทธดินแดนโพ้นทะเลทั้งหลายที่กําลังดูการต่อสู้อยู่ตึงเครียดอย่างชัดเจน ฉากเมื่อครู่นั้นเป็นจุดตัดสินระหว่างซูฉินกับระฆังเทพสายฟ้า

ไม่ว่าชัยชนะจะเป็นของฝ่ายใด ย่อมส่งผลต่อสถานการณ์บนโลกต่อจากนี้ หากซูฉินชนะ นิกายใหญ่จะต้องยอมจํานนต่อซูฉินโดยสมบูรณ์ แม้แต่สํานักผู้วิเศษก็ไม่มีข้อยกเว้น หากสมบัติล้ําค่ายังต้านซูฉินไม่ได้ แล้วสํานักผู้วิเศษจะเอาอะไรไปต่อต้านซูฉัน?

อย่างไรก็ตาม หากซูฉินพ่ายแพ้ แสดงว่าสิ่งต่างๆ จะเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น ยังมีโอกาสที่เหล่านิกายใหญ่จะกลับมาเห็นแสงเดือนแสงตะวันอีกครั้ง

“สมบัติล้ําค่านั้นสูงล้ําเหนือปฐพี มีผู้ทรงพลังถึงขีดสุดอยู่เบื้องหลัง มนุษย์สวรรค์อาณาจักรถังเป็นเพียงเซียนเทพปฐพี่จะมาเอาชนะพลังของสมบัติล้ําค่าได้อย่างไร?”

บรรพชนบางคนยังมีความหวังริบหรี่อยู่ในใจ และบางคนถึงกับคาดหวังให้ซูฉินและสมบัติล้ําค่าสูญสลายหายไปด้วยกัน

เวลาล่วงเลยผ่านไป

ขณะที่จอมยุทธต่างดินแดนยังคงจ้องมองไปยังเกาะเทพเจ้าสายฟ้า

พลังฟ้าดินที่ระเหยพวยพุ่ง ในที่สุดก็สงบลง บรรยากาศที่บิดเบี้ยวกลับคืนสู่สภาพแรกเริ่มเผย ให้เห็นทุกสิ่งบนเกาะเทพเจ้าสายฟ้า

มือซ้ายของซูฉินไพล่ไว้ด้านหลัง มือขวายกขึ้นเล็กน้อย มีระฆังโบราณขนาดเท่าฝ่ามือลอยอยู่เหนือมือของเขาอย่างเชื่อฟัง ยืนนิ่งอยู่อย่างนั้น ราวกับเหยียบย่าผืนฟ้าผืนปฐพีอันกว้างใหญ่ไว้ใต้ฝ่าเท้า

โลกทั้งใบไร้ขอบเขต ข้าผู้นี้ไร้เทียมทาน!

Sign in Buddha’s palm 326 (II) กายเนื้อโยกคลอนสมบัติ

“ไม่จําเป็น

น้ําเสียงของซูฉินสงบนิ่ง ก้าวเท้าขวาออกไป หายวับไปกับอากาศ

ในทันทีหลังจากนั้น

ร่างของซูฉันก็ไปปรากฏอยู่บนเกาะเทพเจ้าสายฟ้า

บูม!!!

ราวกับก้อนหินลงกระทบผิวน้ํา แม้ซุฉินจะโจมตีภาพลวงตาของสมบัติล้ําค่าด้วยดวงตาตะวันสีทอง แต่ทั้งเกาะเทพเจ้าสายฟ้าก็ยังคงอยู่ในขอบเขตอํานาจของสมบัติล้ําค่าระฆังเทพสายฟ้า เมื่อซุฉินปรากฏตัวขึ้นก็เท่ากับเป็นการต่อสู้แย่งชิงการควบคุมเกาะเทพเจ้าสายฟ้าจากสมบัติค่า

ต่ง!!!

เสียงระฆังที่น่าสะพรึงกลัวดังขึ้นอีกครั้ง ราวกับเทพเจ้าสายฟ้าลั่นระฆังโบราณอย่างรุนแรง คลื่นเสียงที่ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่ากวาดไปทั่วบริเวณใจกลางเกาะเทพเจ้าสายฟ้า ซูฉินถึงกับต้องถอยหลังกลับไปสองสามก้าว

ไม่เพียงเท่านั้น เสียงระฆังอันน่าสะพรึงกลัวยังคงปกคลุมไปทั่วทุกทิศทาง ไม่ว่าจะแผ่ไปที่ไหน ทุกที่ก็เหมือนจะพังทลาย จอมยุทธหลายคนร่างระเบิดออกเมื่อเผชิญกับเสียงระฆังอันน่ากลัวนี้

“สมบัติล้ําค่าน่ากลัวจนเกินไปแล้ว”

บรรพชนตําหนักเทพเจ้าหิมะและบรรพชนคนอื่นๆ ใบหน้าซีดเซียว รีบโคจรแก่นแท้แห่งพลังแทบจะต้านเสียงระฆังที่ดังลั่นไม่ไหว

ขนาดอยู่ห่างออกไปหลายสิบหลายร้อยลี้ หลังจากที่ซูฉินรับพลังไปเต็มๆ กว่าเก้าสิบเก้าในร้อยส่วน พลังจากระฆังส่วนที่เหลือยังก่อให้เกิดพลังทําลายล้างเช่นนี้

และในขณะที่จอมยุทธต่างดินแดนจํานวนนับไม่ถ้วนตกอยู่ในห้วงแห่งความหวาดกลัวจาก เสียงระฆังซูฉันยังคงไม่ถอย กลับก้าวเดินต่อไปข้างหน้า ก้าวต่อไปหลายก้าว ข้ามผ่านระยะทางหลายลี้

ครั้น!

การเคลื่อนไหวของซูฉันดูเหมือนจะทําให้ระฆังเทพสายฟ้าโกรธเกรี้ยวโดยสมบูรณ์ ระฆังดังลั่นต่อเนื่อง ราวกับเสียงฟ้าร้องนับแสนครั้งระเบิดก้องอยู่ภายในหูพร้อมๆกัน ฟ้าดินปั่นป่วนไปหมด

“ฮ่าฮ่าฮ่า!”

“ไม่มีประโยชน์!”

ซูฉันไม่ได้เกรงกลัวเลย คราวนี้ไม่มีแม้แต่ถอย ก้าวเดินเข้าหาจุดที่ระฆังเทพสายฟ้าตั้งอยู่

ในช่วงเวลานี้ ขณะที่ระฆังยังส่งเสียงออกมา ร่างกายของซูฉินก็เริ่มปริแตกออกอย่างต่อเนื่อง ราวกับทานทนไม่ไหว

ท้ายที่สุดแล้วระฆังเทพสายฟ้านั้นก็เป็นสมบัติล้ําค่า แม้จะไม่ได้อยู่ในการควบคุมของผู้ทรงพลังถึงขีดสุด แต่ก็ยังมีร่องรอยพลังของผู้ทรงพลังถึงขีดสุดอยู่ เพียงร่องรอยของพลังนี้ก็เพียงพอ แล้วที่จะทําให้เซียนเทพปฐพีธรรมดาๆหวาดกลัว ซูฉันสามารถต้านรับมันได้เป็นเวลานาน เพราะร่างศักดิ์สิทธิ์อีกาทองค่าซึ่งเหนือกว่ากายแห่งธรรมชาติมาก และแก่นแท้ของอีกาทองคํายังคงโคจรอย่างต่อเนื่องต้านรับพลังส่วนใหญ่ของระฆัง

กระนั้น ร่างกายของซูจินก็เริ่มปริแตก

“ทิพยอํานาจ กายเนื้อกําเนิดใหม่!”

ความคิดเคลื่อนคล้อย ฉับพลันกายเนื้อที่ปริแตกอย่างต่อเนื่องก็เริ่มฟื้นตัว พลังอันยิ่งใหญ่ก็โผล่ออกมาจากภายในร่างของซูฉิน ซ่อมแซมกายเนื้อที่เสียหายอย่างต่อเนื่อง

ในเวลาเดียวกัน

ด้านนอกเกาะเทพเจ้าสายฟ้า จอมยุทธต่างดินแดนจํานวนนับไม่ถ้วนที่เฝ้าดูการต่อสู้จากระยะไกลต่างตกตะลึง

“มนุษย์สวรรค์อาณาจักรถังเตรียมจะโจมตีสมบัติล้ําค่างั้นหรือ?” ตํานานยุทธขั้นสูงสุดเบิกตากว้างด้วยความรู้สึกไม่อยากเชื่อ

หากซูฉินทําลายร่างลวงตาของระฆังเทพสายฟ้าด้วยดวงตาตะวันสีทองเมื่อครู่เป็นเพียงการทดสอบขีดจํากัดพลัง แต่ตอนนี้ซูฉินกลับเข้าไปใกลสมบัติล้ําค่า เท่ากับเป็นการใช้กายเนื้อเข้าต่อกรกับสมบัติล้ําค่า

สิ่งนี้มันจะเป็นไปได้อย่างไร?!

“กายเนื้อของมนุษย์สวรรค์อาณาจักรถังฟื้นฟูตัวเองได้เร็วจนน่าเหลือเชื่อ” บรรพชนสํานักเทพโอสฤดูเหมือนจะค้นพบบางสิ่ง ม่านตาของเขาหดตัวกะทันหัน

ในตอนที่เหลยเฉียนจือต่อสู้กับซูฉินในเมืองฉางอัน

เหลยเฉียนจือเกือบจะฟันซูฉันขาดเป็นสองส่วนด้วยดาบสายฟ้าภายในมือ

ในตอนนั้น ซูฉินก็ฟื้นตัวอย่างรวดเร็วภายในเวลาสั้นๆ แต่ทุกคนคิดว่านั่นเป็นเพียงลักษณะพิเศษของร่างจําแลง ท้ายที่สุดร่างจําแลงก็ไม่ได้มีกายหยาบ มันเป็นสิ่งที่ถูกแยกออกมาจากจิตวิญญาณแรกกําเนิด ตราบใดที่ไม่ถูกทําลายลงอย่างสมบูรณ์ มันก็เป็นปกติที่จะฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว

แต่ตอนนี้ ภายใต้เสียงจากระฆังเทพสายฟ้าที่ดังอย่างต่อเนื่อง ร่างกายของมนุษย์สวรรค์อาณาจักรถังปริแตกออกอย่างรวดเร็วก็จริง แต่ก็ฟื้นตัวได้ด้วยความเร็วที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่าซึ่งน่าตกใจอย่างยิ่ง

รู้หรือไม่ว่ากายเนื้อนั้นต่างจากจิตวิญญาณแรกกําเนิดอย่างสิ้นเชิง
โดยพื้นฐานแล้วจิตวิญญาณแรกกําเนิดเป็นสิ่งที่จับต้องไม่ได้ ตราบใดที่มีพลังงานเพียงพอก็สามารถปรับเปลี่ยนทุกอย่างได้อย่างง่ายดาย

แต่กายเนื้อที่แปรสภาพพลังมาแล้ว ยิ่งแข็งแกร่งมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งฟื้นตัวได้ยากขึ้นเท่านั้น

แต่ซูฉันเล่า?

ถ้าไม่ใช่เพราะเห็นว่าร่างกายของซูฉินแตกออกตลอดเวลา บรรพชนหุบเขาเทพโอสถก็คงคิดว่าซูฉันไม่ได้รับบาดเจ็บแต่อย่างใด

และในตอนนี้

ซฉินก็ได้มาถึงระยะสิบเมตรห่างจากระฆังเทพสายฟ้า

ในบริเวณนี้แทบจะเต็มไปด้วยพลังของสมบัติล้ําค่า เหมือนหล่มลึกที่ดักจับซุฉินเอาไว้แน่น ทั้งยังพยายามแทรกซึมซูฉินด้วยพลังของสมบัติล่าค่า

หากไม่ใช่เพราะมีร่างศักดิ์สิทธิ์อีกาทองคําคอยสนับสนุนซึ่งมีศักดิ์สูงกว่าสมบัติล้ําค่า ควบคู่ไปกับการฟื้นฟูร่างกายด้วยทิพยอํานาจกายเนื้อกําเนิดใหม่อย่างต่อเนื่อง ไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องที่ฉันเป็นเพียงเซียนเทพปฐพขั้นแบ่งจิตระดับสูงสุดเลย ต่อให้เป็นเซียนเทพปฐพขั้นสูงสุดอย่างจ้าวทะเลบูรพาก็คงได้รับบาดเจ็บสาหัสแล้วในเวลานี้

ท้ายที่สุดแล้วเซียนเทพปฐพีขั้นสูงสุดก็ไม่ใช่ผู้ทรงพลังถึงขีดสุด แต่สมบัติล้ําค่านั้นได้รับการปรับแต่งมาจากผู้ทรงพลังถึงขีดสุด

ถึงแม้ซูฉินจะสามารถก้าวเดินภายในระยะสิบเมตรห่างจากระฆังเทพสายฟ้าได้ก็ตาม แต่มันก็ยากเย็นอย่างยิ่ง ในขณะที่เสียงระฆังยังดังลั่น ความเร็วในการฟื้นฟูร่างกายของซูฉินก็ช้ากว่าเดิมเล็กน้อย

“มนุษย์สวรรค์แห่งอาณาจักรถัง ทําไมเจ้าถึงทําเช่นนี้เล่า ถ้าเจ้าล่าถอยกลับไป แม้ว่าข้าจะถือสมบัติล้ําค่าเอาไว้ ข้าก็ทําอะไรเจ้าไม่ได้อยู่ดี”

เหลยตู้ฝ่านั่งขัดสมาธิอยู่ใต้ระฆังเทพสายฟ้า แม้ว่าเขาจะได้รับการคุ้มครองโดยสมบัติล้ําค่า ในตอนนี้พลันได้เห็นซูฉันเดินเข้ามาทีละก้าว ต่อต้านพลังอํานาจบีบบังคับของสมบัติล้ําค่า ก็ตระหนกตกใจไม่น้อย

“งั้นหรือ?”

“ข้าใกล้จะเข้าประชิดได้แล้ว”

ร่างกายของซูฉินเปล่งประกายออกมาเล็กน้อยด้วยแสงศักดิ์สิทธิ์ เมื่อมองไปที่เหลยตู้ฝ่าที่นั่งขัดสมาธิอยู่ใต้ระฆังเทพสายฟ้า รอยยิ้มก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขา

“ประชิดแล้ว?”

เหลยตู้ฝ่าตกตะลึงอยู่พักหนึ่ง ไม่ได้ตอบสนองอะไรไปพักใหญ่

ระฆังเทพสายฟ้าเป็นถึงสมบัติล้ําค่า จะเกิดอะไรขึ้นหรือถ้าซูฉินเข้ามาประชิดได้?

“มนุษย์สวรรค์อาณาจักรถัง”

เหลยต้ฝ่าตั้งสติ ใบหน้ากลับมาเย็นชา “ถ้าเจ้าจากไปตั้งแต่ก่อนหน้านี้ เจ้าจะยังสามารถล่าถอยกลับไปได้”

ถึงแม้นิกายเทพเจ้าสายฟ้าจะมีสมบัติล้ําค่า แต่สมบัติล้ําค่าที่ตื่นขึ้นนั้นก็เพียงพอแค่ปกป้องนิกายเทพเจ้าสายฟ้า ไม่สามารถดําเนินการตามล่าใครได้

“แต่ตอนนี้”

“ในเมื่อเจ้ากล้าเข้ามาลึกถึงในเขตของสมบัติล้ําค่า ก็จงตายอยู่ที่นี่เสียเถอะ” เหลยต้ฝ่าสูดลมหายใจเข้า พ่นเลือดออกมาจากปาก กระจายเข้าใส่ระฆังเทพสายฟ้า

เสียงดังลั่นเกิดขึ้นในชั่วพริบตา

กลิ่นอายของระฆังเทพสายฟ้าพุ่งสูงขึ้นเกือบครอบคลุมฟ้าดิน และครอบคลุมซูฉินเอาไว้

การระเบิดพลังครั้งนี้แม้จะเป็นแค่แรงกระตุ้นเล็กน้อยจากเหลยตู้ฝ่า แต่สิ่งที่ซูฉินต้องเผชิญ จริงๆคือพลังอันน่าสะพรึงกลัวของสมบัติล้ําค่าระฆังเทพสายฟ้า

“เจ้าไม่เข้าใจสิ่งที่ข้าต้องการจะสื่อ”

ซูฉินสายศีรษะเล็กน้อย ถอนหายใจออกมาเบาๆ “ถ้าข้าเข้าประชิดสมบัติล้ําค่าได้ แสดงว่าข้าได้ผ่านด่านที่แข็งแกร่งที่สุดของสมบัติล้ําค่ามาแล้ว……”

หลังจากซูฉินกล่าวจบ เขาก็ก้าวเท้าไปอีกก้าวและปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าระฆังเทพสายฟ้า จาก นั้นก็ยื่นฝ่ามือเรียวยาวและทรงพลังออกมา ท่ามกลางสายตาที่แสดงความรู้สึกเหลือเชื่อของ เหลยต้ฝ่าและจากจอมยุทธต่างดินแดนจํานวนนับไม่ถ้วนที่เฝ้าดูการต่อสู้อยู่ ฝ่ามือนั้นก็ประทับลง ไปบนตัวระฆังเทพสายฟ้าเบาๆ
ต่ง!!!

มีเสียงระฆังดังขึ้นอีกหนึ่งเสียง แต่เมื่อเทียบกับเสียงลั่นระฆังก่อนหน้านี้ คราวนี้เสียงระฆังดูทื่อขึ้นอย่างชัดเจน ราวกับเป็นเสียงกระทบที่เกิดจากภายนอกเข้าสู่ภายใน

“เจ้ากําลังจะทําอะไร?!!”

เหลยตู้ฝ่าที่ตอนแรกดูมั่นใจ เหมือนจะรู้สึกได้ถึงบางอย่าง ใบหน้าของเขาเปลี่ยนไปอย่างมาก และมองจ้องไปที่ซูฉันราวกับเห็นภูตผี

Sign in Buddha’s palm 326 (1) กายเนื้อโยกคลอนสมบัติ

สมบัติล้ําค่า!

ในส่วนที่ลึกที่สุดของนิกายเทพเจ้าสายฟ้า ระฆังขนาดใหญ่ที่มีกลิ่นอายเก่าแก่โบราณกำลังสั่นไหว ปล่อยไอพลังเขย่าฟ้าดิน จอมยุทธต่างดินแดนทั้งหลายที่ได้เห็นระฆังใบใหญ่ใบนี้ต่างตกตะลึง

“ระฆังเทพสายฟ้า!”

“นี่คือสมบัติล้ําค่าระฆังเทพสายฟ้า!”

“คําว่าเทพสายฟ้าสองค่านี้สื่อถึงสมบัติล้ําค่าของนิกายเทพเจ้าสายฟ้า!”

บรรพชนสํานักผู้วิเศษเงยหน้าขึ้นแล้วเอ่ยคําออกมา ภายใตไอพลังของสมบัติล้ําค่า แม้แต่ซูฉินที่เปรียบได้กับผืนฟ้าก็ยังต้องถูกบดบังไปชั่วคราว ราวกับว่าใต้ผืนฟ้าเหนือผืนดินนี้ไม่มีผู้ใดจะมาเทียบเทียมความเจิดจรัสของสมบัติล้ําค่าได้

“ว่ากันว่าผู้ทรงพลังถึงขีดสุดได้ใช้ความพยายามอย่างยิ่งยวดในการปรับแต่งสมบัติล้ําค่านี้ขึ้นมา หากมันฟื้นพลังกลับมาได้เต็มที่ จะสามารถใช้พลังฉีกกระชากความว่างเปล่าได้เลย แม้ว่าระฆังเทพสายฟ้าจะไม่ใช่สมบัติล้ําค่าที่แข็งแกร่งที่สุดของผู้ทรงพลังถึงขีดสุด แต่สุดท้ายแล้ว มันก็มาจากผู้ทรงพลังถึงขีดสุดอยู่ดี แม้จะผ่านเวลามานับหมื่นปี แต่ก็ยังมีกลิ่นอายของผู้ทรงพลังถึงขีดสุดแฝงอยู่”

“เพียงแค่อาศัยกลิ่นอายนี้ ก็เพียงพอแล้วที่จะบดขยทุกสิ่ง…….” บรรพชนสํานักเอกะวิถีจ้องไปที่ระฆังขนาดใหญ่ในส่วนลึกของนิกายเทพเจ้าสายฟ้าอย่างจดจ่อ

แม้ว่าสํานักเอกะวิถีจะมีสมบัติล้ําค่าที่ไม่ได้อ่อนแอไปกว่าระฆังเทพสายฟ้า แต่ส่วนใหญ่แล้ว สมบัติล้ําค่านั้นอยู่ในสภาวะนิ่งเงียบจะฟื้นพลังขึ้นมาเหมือนอย่างระฆังเทพสายฟ้าในตอนนี้ที่ไหนกันเล่า?

และในเวลานี้

เมื่อเทียบกับบรรพชนนิกายใหญ่คนอื่นๆ ที่แทบจะไม่สามารถรักษาอาการสงบของตนได้ คอยเฝ้าสังเกตระฆังเทพสายฟ้าอยู่ตลอดเวลา เหล่าจอมยุทธต่างดินแดนที่เฝ้าดูการต่อสู้มาเนิ่นนานบางส่วนถึงกับหันหลังกลับและวิ่งหนีไปเพราะกลัวว่าตนจะได้รับผลกระทบ

“สมบัติล้ําค่าของนิกายเทพเจ้าสายฟ้าโผล่ออกมาแล้ว คงถึงเวลาที่มนุษย์สวรรค์แห่งอาณาจักรถังจะต้องล่าถอยไปชั่วคราว” บรรพชนสํานักผู้วิเศษคิดออกมาอย่างรวดเร็ว

สมบัติล้ําค่านั้นน่ากลัวจนเกินไป แม้ว่าระฆังเทพสายฟ้าจะถูกสร้างขึ้นโดยผู้ทรงพลังถึงขีดสุด แต่มันก็ไม่ได้ครอบครองพลังของขอบเขตทลายนภากาศได้สมบูรณ์เหมือนอย่างสมบัติล้ําค่าที่มีชีวิต ทว่า ก็คงไม่มีเซียนเทพปฐพี่คนใดเลือกเผชิญหน้ากับระฆังเทพสายฟ้าตัวต่อตัวเป็นแน่

เพียงแต่ว่า

ในเวลาต่อมา

ต่อหน้าสายตาตื่นตะลึงของบรรพชนสํานักผู้วิเศษ

เห็นว่าดวงตาของซูฉินนั้นมีดวงตะวันสองดวงปรากฏขึ้นมาอย่างรวดเร็ว แพร่กระจายออกไปในความว่างเปล่า ในที่สุดก็กลายเป็นเสาเพลิงสองต้นพุ่งลงมาจากฟากฟ้า ชนเข้ากับสมบัติล้ําค่าระฆังเทพสายฟ้าอย่างรุนแรง

ดวงตาตะวันสีทอง!

ครั้น……

ฟ้าดินพังทลาย ตะวันจันทรากลับตาลปัตร

ไม่ว่าจะเป็นบรรพชนสํานักเอกะวิถีหรือจอมยุทธต่างดินแดนอีกมากมาย ทุกคนต่างรู้สึกว่าสายตาพร่ามัวลงในทันที ไม่นานนักก็ค่อยๆฟื้นตัวกลับมา

“เกิดอะไรขึ้น?”

จิตใจของจอมยุทธดินแดนโพ้นทะเลทั้งหลายล้วนว่างเปล่า และมีจอมยุทธเพียงไม่กี่คนที่หน้าเปลี่ยนสีไป จู่ๆพวกเขาก็นึกอะไรบางอย่างได้ รีบมองขึ้นไปบนท้องฟ้าอย่างรวดเร็ว

สังเกตเห็นว่าซูฉันยืนอยู่บนอากาศ แต่ดวงตาที่แต่เดิมร้อนแรงดั่งดวงอาทิตย์ก็หรี่ลงอย่างเห็นได้ชัด สําหรับในส่วนลึกของนิกายเทพเจ้าสายฟ้า ระฆังลวงตาขนาดใหญ่ก็เริ่มแตกสลายไป

“สิ่งนี้มันเกิดขึ้นได้อย่างไร?”

“สมบัติล้ําค่าของนิกายเทพเจ้าสายฟ้าถูกมนุษย์สวรรค์แห่งอาณาจักรถังทําลายได้ด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียวงั้นหรือ?”

“ว่ากันว่าสมบัติล้ําค่าเป็นสิ่งไร้เทียมทานไม่ใช่หรือ จะพังทลายได้ง่ายขนาดนั้นได้อย่างไร?”

จอมยุทธดินแดนโพ้นทะเลจํานวนมากรู้สึกไม่อยากเชื่อ ทว่าในไม่ช้า ก็มีคนสังเกตเห็นว่า เบื้องหลังเงาระฆังลวงตานั้น ในส่วนลึกของนิกายเทพเจ้าสายฟ้า ระฆังโบราณที่มีความสูงเท่าครึ่งหนึ่งของมนุษย์กําลังลอยขึ้นมาช้าๆ

และครึ่งก้าวเข้าสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพีของนิกายเทพเจ้าสายฟ้าอย่างเหลยตู้ฝ่าที่นั่งขัดสมาธิอยู่ใต้ระฆังโบราณก็มองไปที่ซูฉินซึ่งยืนอยู่บนอากาศด้วยความตกใจ

“สมบัติล้ําค่าไม่ได้ถูกทําลาย เงาลวงตาระฆังโบราณเมื่อครู่เป็นเพียงไอพลังของระฆังเทพสายฟ้าที่ควบแน่นออกมาจนมีรูปลักษณ์”

“ร่างที่แท้จริงของระฆังเทพสายฟ้า เป็นระฆังโบราณที่มีความสูงเท่ากับครึ่งหนึ่งของมนุษย์

มีตํานานยุทธตระหนักได้ในทันทีว่าเกิดอะไรขึ้นแล้วกล่าวออกมาอย่างฉับไว

“แต่ถึงแม้จะไม่ใช่สมบัติล้ําค่าที่ถูกทําลาย มนุษย์สวรรค์อาณาจักรถังก็ยังบังคับระฆังเทพสายฟ้าให้แสดงร่างแท้จริงออกมาได้ด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว ไม่ใช่เรื่องเกินจริงที่จะกล่าวว่าความแข็งแกร่งเช่นนี้ท้าทายสวรรค์ยิ่งนัก…….” ตํานานยุทธอีกคนเต็มไปด้วยความประหลาดใจ

คําที่กล่าวออกมา

จอมยุทธจากต่างดินแดนอีกหลายคนที่ได้ยินค่ากล่าวนี้ ท่าทีของพวกเขาก็เปลี่ยนเป็นตกตะลึงเช่นกัน

แม้ว่าระฆังใบใหญ่เมื่อครู่จะไม่ใช่ร่างที่แท้จริงของสมบัติล้ําค่า แต่ก็เป็นส่วนหนึ่งของพลังจากสมบัติล้ําค่า เป็นเรื่องเหลือเชื่อมากแล้วที่ซูฉันสามารถบดขยี้ภาพลวงตาระฆังใบใหญ่ได้

“สามารถปิดกั้นดวงตาตะวันสีทองได้อย่างนั้นหรือ?”

ซูฉันไม่ได้สนใจกับอาการตกอกตกใจของจอมยุทธจํานวนมาก ในตอนนี้เขาขมวดคิ้วเล็กน้อย และมองดระฆังโบราณที่สูงเท่าครึ่งหนึ่งของมนุษย์ภายในส่วนลึกของนิกายเทพเจ้าสายฟ้าอีกครั้ง

ในตอนที่ระฆังเทพสายฟ้าระเบิดพลังออกมา ซูฉินได้เบิกเนตรดวงตาตะวันสีทอง ใช้ทิพยอํานาจธาตุไฟนี้ในการระงับพลังจากสมบัติล้ําค่าในส่วนลึกของนิกายเทพเจ้าสายฟ้าโดยตรง

แต่น่าเสียดาย

พลังของดวงตาตะวันสีทองนั้นน่ากลัวก็จริง แต่หลังจากปะทะเข้ากับพลังของระฆังเทพสายฟ้า มันก็สลายหายไปอย่างรวดเร็ว

“หรือความแข็งแกร่งของข้ายังอ่อนแอเกินไป”

“ถึงแม้ดวงตาตะวันสีทองจะไม่ใช่ทิพยอํานาจระดับสูงสุดของอีกาทองคําสามขา แต่ก็พอจะติดอันดับทิพยอานาจธาตุไฟที่ดีที่สุดได้”

“หากพลังของข้ามได้สักหนึ่งในหมื่น หนึ่งในแสนของอีกาทองคําสามขา อย่าว่าแต่สมบัติล้ําค่าเลย แม้พื้นพิภพก็ต้องมอดไหม้กลายเป็นความว่างเปล่า”

ซูฉินส่ายศีรษะเล็กน้อย

ที่สมบัติล้ําค่าระฆังเทพสายฟ้าสกัดกั้นการโจมตีของเขาได้ ไม่ใช่เพราะทิพยอานาจของเขานั้นอ่อนแอ แต่ความแข็งแกร่งของซูฉินไม่เพียงพอที่จะใช้ทิพยอําานาจดวงตาตะวันสีทอง

“ในเมื่อเป็นเช่นนี้”

“ข้าก็ขอดูหน่อยเถอะ ว่าขีดจํากัดความแข็งแกร่งของข้าในตอนนี้มันอยู่ตรงจุดไหน”

ปราณเลือดของซูฉินเดือดพล่าน จิตวิญญาณการต่อสู้ยิ่งใหญ่เทียมฟ้า

ดวงตาตะวันสีทองเป็นเพียงหนึ่งในไฟลับมากมายใต้แขนเสื้อของเขา แม้ว่าจะไม่ใช่ไพ่ที่อ่อนแอที่สุด แต่ก็ยังห่างไกลจากไฟลับที่แข็งแกร่งที่สุดทั้งหลาย

ขณะที่ซูฉินจะก้าวเท้าออกไป

เหลยตู้ฝ่าที่นั่งขัดสมาธิอยู่ใต้ระฆังเทพสายฟ้าก็ตะโกนขึ้นอีกครั้ง

“มนุษย์สวรรค์อาณาจักรถัง การระเบิดพลังเมื่อครู่คงจะกินพลังของเจ้าไปมาก ถ้าเจ้าเต็มใจจะล่าถอยไปในยามนี้ คําสัญญาจากนิกายเทพเจ้าสายฟ้าก็ยังคงมีผลอยู่เหมือนเดิม”

เหลยตู้ฝ่าจ้องมองซูฉินขณะที่กล่าวคํา

ซูฉันทําลายพลังของระฆังเทพสายฟ้าด้วยดวงตาตะวันสีทอง พลังนั้นยิ่งใหญ่ราวกับท้องฟ้าแทบสะเทือนสมบัติล่าค่า ทําให้เหลยตู้ฝ่าผู้ปลุกระฆังเทพสายฟ้าด้วยจิตวิญญาณแรกกําเนิดยังต้องรู้สึกหวาดกลัว

อย่างไรก็ตาม จากมุมมองของเหลยตู้ฝ่า ซูฉินที่โจมตีได้แบบเมื่อครู่จะต้องทุ่มสุดตัวทั้งยังใช้ทักษะลับเพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งของตนเอง คงจะโจมตีอีกเป็นครั้งที่สองไม่ได้ในระยะเวลาอัน สั้น

“ไม่จําเป็น

น้ําเสียงของซูฉันสงบนิ่ง ก้าวเท้าขวาออกไป หายวับไปกับอากาศ

ในทันทีหลังจากนั้น

ร่างของซูฉินก็ไปปรากฏอยู่บนเกาะเทพเจ้าสายฟ้า
บูม!!!

ราวกับก้อนหินลงกระทบผิวน้ํา แม้ซุฉินจะโจมตีภาพลวงตาของสมบัติล้ําค่าด้วยดวงตาตะวันสีทอง แต่ทั้งเกาะเทพเจ้าสายฟ้าก็ยังคงอยู่ในขอบเขตอํานาจของสมบัติล้ําค่าระฆังเทพสายฟ้า เมื่อซุฉินปรากฏตัวขึ้นก็เท่ากับเป็นการต่อสู้แย่งชิงการควบคุมเกาะเทพเจ้าสายฟ้าจากสมบัติค่า

Sign in Buddha’s palm 325 (1) สมบัติล้ําค่าปรากฏ

คริน!

เกาะเทพเจ้าสายฟ้าสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงค่ายกลฟ้าดินจํานวนนับไม่ถ้วนที่อยู่ตรงหน้าซูฉีนพลันพังทลายลงอย่างรวดเร็วด้วยแรงกดดันจากซุฉินเพียงครั้งเดียว

ซูฉนวางแผนจะจมเกาะเทพเจ้าสายฟ้าทั้งเกาะด้วยฝ่ามือเดียว

“ไม่ดีแล้ว!”

เมื่อเหลยต้ฝ่าเห็นฉากนี้ หนังศีรษะของเขาก็ชาวาบเขาไม่คาดคิดว่าซูฉินจะเด็ดขาดขนาดนี้ลงมือโจมตีเกาะเทพเจ้าสายฟ้าโดยไม่ลังเล

“ค่ายกลสังหารจงตื่น!!!”

เหลยตู้ฝ่ารีบถอยกลับไปที่เกาะเทพเจ้าสายฟ้าและใช้จิตวิญญาณแรกกําเนิดรวมเข้ากับค่ายกลสังหารเก้าอัสนีบนเกาะเทพเจ้าสายฟ้า

ช่วงเวลาต่อมา

ท่ามกลางสายตาอึ้งทั้งของทุกคนม่านหมอกเก้าชั้นก็ลอยขึ้นสู่ฟ้าคอยกําบังเกาะเทพเจ้าสายฟ้าทั้งหมดไว้และฝ่ามือของซูฉันก็ทําให้รูปแบบค่ายกลสังหารชั้นนอกสุดสั่นไหว แต่ไม่นานนักก็กลับมาเงียบสงบ

ชั่วพริบตา

รัศมีจากค่ายกลสังหารเก่าอัสนี้เริ่มแทรกซึมไปทั่วแม้จอมยุทธจํานวนมากจะเฝ้าดูจากระยะไกลพวกเขาก็ยังรู้สึกว่าทั้งเกาะเทพเจ้าสายฟ้ากลายเป็นทะเลสายฟ้าเต็มไปด้วยสายฟ้าแพร่กระจายออกมาไม่ขาดสาย

“นี่คือภูมิหลังที่แท้จริงของนิกายใหญ่ใช่หรือไม่?”ตํานานยุทธจํานวนมากต่างกลืนน้ำลายลงคอในตอนนี้รัศมีจากเกาะเทพเจ้าสายฟ้าแทบจะครอบงําทุกสิ่ง ราวกับเป็นเซียนเทพปฐพีวิถี สายฟ้าลงมือเต็มกําลัง

“ค่ายกลสังหารเก้าอัสนี

“นิกายเทพเจ้าสายฟ้าสะสมมรดกมานับหมื่นปี นอกเหนือจากสมบัติล้ําค่าอันนั้น เกรงว่าค่าย กลสังหารเก้าอัสนีอันนี้คงจะแข็งแกร่งที่สุดแล้ว”

บรรพชนของสํานักผู้วิเศษพึมพําอยู่กับตนเอง แม้เขาจะรู้จักค่ายกลสังหารเก้าอัสนีของนิกาย เทพเจ้าสายฟ้ามานาน แต่บัดนี้เมื่อได้เห็นด้วยตาของตนเอง เขาก็ยังเกิดอาการตกใจจนไม่สา มารถอธิบายได้

ค่ายกลสังหารเก่าอัสนีของนิกายเทพเจ้าสายฟ้าคือค่ายกลสังหารในวิถีทางแห่งสายฟ้า การ เชื่อมต่อกับพลังฟ้าดินธาตุสายฟ้านั้นเป็นสิ่งที่น่ากลัวยิ่ง

“มนุษย์สวรรค์อาณาจักรถัง หากเจ้าหยุดมือเสียแต่ตอนนี้ นิกายเทพเจ้าสายฟ้าของข้ายินดีผน กที่แห่งนี้เป็นเวลาร้อยปี”

ภายในเกาะเทพเจ้าสายฟ้า เมื่อเหลยตู้ฝ่าเห็นว่าฝ่ามือของซูฉินถูกขวางกั้นไว้ได้ เขาก็ถอน หายใจด้วยความโล่งอกพร้อมทั้งตะโกนออกมาเสียงดังในทันที

แม้ว่าค่ายกลสังหารเก่าอัสนี้จะสามารถหยุดซูฉินได้ชั่วขณะหนึ่ง แต่ก็ไม่สามารถหยุดซูฉินได้ ถาวร ด้วยการทํางานของค่ายกลสังหารเก้าอัสนีนั้นบริโภคทรัพยากรในทุกช่วงเวลาอย่าง มากมายมหาศาลดุจเอาไปถมทะเล ดังนั้นเหลยตู้ฝ่ายินดีที่จะปิดผนึกที่แห่งนี้เป็นเวลาร้อยปี โดย หวังว่าสิ่งนี้คงพอที่จะทําให้ซูฉินหยุดมือลงได้

แม้ว่าหนึ่งร้อยปีจะไม่นานเท่าไหร่ในการปิดผนึก แต่ต้องทราบว่านี่คือยุคกระแสปราณจีฟื้นคืน นิกายเทพเจ้าสายฟ้าเลือกปิดผนึกตนเองเป็นเวลาหนึ่งร้อยปีก็นับเป็นการสละโอกาสครั้งใหญ่ใน ยุคกระแสปราณฟื้นคืนเช่นนี้แล้ว

“ปิดผนึกหนึ่งร้อยปีงั้นหรือ?”

“ให้ข้าช่วยกวาดล้างนิกายของพวกเจ้าจนเหี้ยนเตียนเถอะ”

ซูฉินหรือจะปล่อยให้นิกายเทพเจ้าสายฟ้ารอดไปได้ เขาเบิกเนตรดวงตาแห่งสัจจะ เฝ้าสังเก ตกลุ่มค่ายกลสังหารทั้งเก้าชั้นที่คอยหมุนวนไปรอบๆ เกาะเทพเจ้าสายฟ้า

จากสายตาของซูฉิน เป็นธรรมดาที่จะเห็นได้ว่านิกายเทพเจ้าสายฟ้าไม่สามารถต่อต้านได้ นานนัก แม้ว่าเขาจะไม่ทําอะไรเลย อย่างน้อยก็แค่ต้องรออีกสองถึงสามเดือน ค่ายกลสังหารเก่า อัสนีก็คงดับไปเอง เพราะนิกายเทพเจ้าสายฟ้าไม่สามารถจัดหาทรัพยากรมาทดแทนได้เพียงพอ

แต่เวลาของซฉินมีค่ามากแค่ไหนกัน? จะเป็นไปได้เช่นไรที่จะมาเสียเวลาหลายต่อหลายเดี อนที่นี่?

“ตัดออก!”

ซูฉันก้าวออกไป ยกมือขวาขึ้นคว้าจับไปยังส่วนลึกของความว่างเปล่าปรากฏเป็นมีดยาวรู ปร่างแปลกๆคล้ายเคียวโค้งเป็นวงดั่งจันทร์เต็มดวงออกมา

มันคือคมมีดเทพเจ้าปีศาจ

คมมีดเทพเจ้าปีศาจเล่มนี้คาดว่าน่าจะมีต้นตอมาจากเทพเจ้าปีศาจในส่วนลึกของโลกถ้ำปีศาจคมกริบจนไม่สามารถหาสิ่งใดมาเทียบได้แม้ว่ายามนี้ซูฉินก้าวเข้าสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพีแล้วแต่เมื่อถือมีดเทพเจ้าปีศาจนี้ไว้ในมือเขาก็ยังรู้สึกว่าตนยังใช้มันได้ไม่เต็มที่

ครด!

ทันใดนั้นฟ้าดินก็กลายเป็นสีดําสนิทช่องว่างในอากาศส่องประกายออกมา ฟาดฟันอย่างดุเดือดเข้าใส่กลุ่มค่ายกลสังหารทั้งเก้าชั้นที่ปกคลุมเกาะเทพเจ้าสายฟ้าเอาไว้

แกร็ก!!!

เห็นว่ากลุ่มค่ายกลสังหารเก้าชั้นที่แทบจะหลอมรวมเป็นเนื้อเดียวกับพลังงานฟ้าดินเกิดรอยผ่าออกยาวหลายสิบเมตรในแนวตั้ง

“อีกสักครั้ง!”

ดวงตาของซฉินสงบราวกับมันเป็นไปตามที่เขาคาดหวังไว้ทั้งหมด กระชับมีดเทพเจ้าปีศาจในมือแล้วฟันลงซ้ําอีกครั้ง

“มนุษย์สวรรค์แห่งอาณาจักรถังรู้จุดอ่อนของค่ายกลสังหารเก่าอัสนี้ได้เช่นไร?”

เหลยตู้ฝ่าผู้ซึ่งอยู่บนส่วนยอดของเกาะเทพเจ้าสายฟ้าเบิกตากว้างไม่อยากจะเชื่อ

ค่ายกลสังหารเก่าอัสนี้สร้างขึ้นจากความตั้งใจอย่างหนักของเซียนเทพปฐพี่สองคนซึ่งกําเนิดขึ้นในนิกายเทพเจ้าสายฟ้า ทั้งยังได้รับการทํานุบํารุงโดยศิษย์นิกายเทพเจ้าสายฟ้ามาเป็นเวลาหลายพันปีคอยดูแลทั้งภายนอกและภายในและเมื่อไม่นานมานี้ยามที่เหลยเฉียนจือกลับมาด้วยพลังของขอบเขตเซียนเทพปฐพีในที่สุดมันก็กลับมาแข็งแกร่งขึ้นอีกครั้ง

แม้แต่เหลยต้ฝ่าเองก็เพิ่งจะรู้ว่าจุดอ่อนของค่ายกลสังหารเก่าอัสนีอยู่ที่ใด แต่เขาก็ไม่สามารถป้องกันมันได้

ท้ายที่สุดแล้วเมื่อค่ายกลสังหารเก้าอัสนี้ทํางาน ถึงแม้จุดอ่อนจะไม่ได้รับการแก้ไขแต่ก็จะเปลี่ยนแปลงเคลื่อนไหวไปตลอดเวลาตามกลไกของค่ายกลสังหาร เหลยตู้ฝ่าไม่เคยคาดคิดว่าการฟันฝุ่มๆ ของซูฉินจะสามารถตัดเข้าที่จุดอ่อนของค่ายกลสังหารเก่าอัสนีซึ่งเปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลาได้อย่างแม่นยํา

นี่มันเป็นไปได้เช่นไร?

“บังเอิญ

“มันต้องเป็นเรื่องบังเอิญแน่ๆ”

เหลยตู้ฝ่ายังคงปลอบใจตนเองแต่ในขณะเดียวกันเขาก็คอยกระตุ้นค่ายกลสังหารเก้าอัสนีอย่างต่อเนื่อง

อย่างไรก็ตาม

ช่วงเวลาต่อมา

ประกายคมมีดอีกหนึ่งเฉือนช่องว่างในอากาศฟาดฟันอย่างรุนแรงเข้าใส่จุดอ่อนของค่ายกลสังหารเก้าอัสนีทันใดนั้นรอยผ่าเดิมที่ยาวหลายสิบเมตรก็ขยายออกไปเป็นร้อยเมตรในทันที

“ไม่ดีแล้ว”

“ค่ายกลสังหารเก้าอัสนี้เริ่มจะไม่เสถียรแล้ว”

สีหน้าของบรรพชนนิกายเทพเจ้าสายฟ้าทั้งหลายพลันเปลี่ยนไปตั้งแต่คมมีดเล่มที่สองของซูฉินถูกฟันออก พลังของคมมีดเล่มแรกก็ระเบิดออกทันที เกือบจะเขย่ารากฐานของค่ายกลสังหารเก้าอัสนี้ทั้งหมด

“เปลี่ยนตําแหน่งเร็วเข้า!”

ดวงตาของเหลยตู้ฝ่ากลายเป็นสีแดงตะโกนออกอย่างเร่งร้อน

ศิษย์นิกายเทพเจ้าสายฟ้าหลายคนหน้าซีดเซียวเดิมที่พวกเขาคิดว่าภายใต้การคุ้มกันของค่ายกลสังหารเก่าอัสนีถึงจะไม่แน่ว่าสามารถหยุดซูฉินได้ แต่อย่างน้อยก็ไม่น่าจะมีปัญหาในการป้องกันในช่วงระยะเวลาสั้นๆ แต่ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นตอนนี้กลับเป็นการโจมตีเพียงแค่สองครั้งเท่านั้น

ซฉินฟันมีดเพียงสองครั้งเท่านั้นก็สามารถเขย่าค่ายกลสังหารเก่าอัสนีที่ก่อตั้งอย่างอุตสาหะโดยเซียนเทพปฐพีถึงสองคนจากนิกายเทพเจ้าสายสายฟ้าได้แล้ว

น่าเหลือเชื่ออย่างยิ่ง

ขณะที่เหล่าศิษย์นิกายเทพเจ้าสายฟ้าจํานวนนับไม่ถ้วนกําลังตื่นตระหนก

“ครั้งที่สาม!!”

ด้านนอกเกาะเทพเจ้าสายฟ้าเสียงที่สงบและเยือกเย็นของซูฉินก็ดังขึ้น

พร้อมกับเสียงคมมีดที่ดังลั่นน่าสยดสยองพุ่งลงมาจากฟากฟ้าฟาดลงมาอย่างรุนแรงตรงจุดอ่อนของกลุ่มค่ายกลสังหารทั้งเก้าชั้น พลังของคมมีดสองเล่มก่อนหน้าและคมมีดเล่มที่สามก็ผสานรวมกันในทันที รอยผ่ายังคงขยายตัวออกไปอีกแทบจะทําลายชั้นค่ายกลจนหมดสิ้น

“มนุษย์สวรรค์อาณาจักรถังรู้จุดอ่อนของค่ายกลสังหารจริงๆหรือนี่?”

มือเท้าของเหลยตู้ฝ่าชาวาบราวกับร่วงลงไปในเหว

หากครั้งแรกพอจะคิดได้ว่าเป็นเรื่องบังเอิญแต่ครั้งที่สองและครั้งที่สามซูฉินก็ยังสามารถฟันเข้าที่จุดอ่อนของค่ายกลสังหารได้อีกจะเป็นเรื่องบังเอิญได้อย่างไร?

“เราจะรอต่อไปไม่ได้แล้ว”

ความคิดวบหนึ่งวาบเข้ามาในหัวของเหลยตู้ฝ่าใบหน้าของเขาดูตึงเครียดขึ้น
อย่าปล่อยให้ซูฉินโจมตีเป็นครั้งที่สี่เด็ดขาด

ไม่เช่นนั้น ด้วยอํานาจของคมมีดที่หลอมรวมกันทั้งสี่ครั้งแนวค่ายกลสังหารทั้งเก้าอาจจะต้องพังทลายลงอย่างสมบูรณ์

และหากปราศจากค่ายกลสังหารทั้งเก้าชั้นแล้ว เกาะเทพเจ้าสายฟ้าทั้งหมดคงเป็นเพียงฝุ่นผงที่ลบล้างได้อย่างง่ายดายด้วยตัวตนที่แข็งแกร่งกว่าเซียนเทพปฐพีธรรมดาๆอย่างซูฉิน

“พวกเจ้าลงมือร่วมกัน ใช้ทักษะลับชักนําสายฟ้าใช้พันสายฟ้าฉุดกระชากสร้างทะเลสายฟ้าพันเมตรจากนั้นก็ปิดกั้นมนุษย์สวรรค์อาณาจักรถังด้วยค่ายกลสังหารเก้าอัสนี”

เหลยตู้ฝ่ามองไปที่บรรพชนนิกายเทพเจ้าสายฟ้าคนอื่นๆ กล่าวออกด้วยน้ำเสียงที่ลึกล้ํา

ซูฉินแข็งแกร่งเกินไป

ค่ายกลสังหารเก่าอัสนีที่น่าภาคภูมิของนิกายเทพเจ้าสายฟ้า ไม่สามารถทานทนคมมีดเพียงไม่กี่เล่มได้เลยและกําลังจะพังทลายลงในไม่ช้า

ด้วยสถานการณ์เช่นนี้ มีเพียงวิธีเดียวเท่านั้นที่จะต้านซูฉินได้นั่นคือต้องสู้แบบแลกชีวิต

บรรพชนนิกายเทพเจ้าสายฟ้านั้นเป็นเพียงตํานานยุทธขั้นสูงสุด และความห่างชั้นระหว่างพวก เขากับเซียนเทพปฐพี่เป็นเหมือนฟ้ากับดินแต่ถ้าบรรพชนเหล่านี้ใช้ทักษะลับอย่างสิ้นหวังชักนําทะเลสายฟ้าพันเมตรออกมาหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับค่ายกลสังหารทั้งเก้าชั้นจะต้องทําให้ค่ายกลสังหารเก่าอัสนี้ทรงพลังมากยิ่งขึ้นอีกเป็นแน่

แต่แน่นอนว่า

ผลลัพธ์หลังการต่อสู้ในครั้งนี้ จะต้องสูญเสียค่ายกลสังหารเก้าอัสนี้ไปอย่างถาวร

ยิ่งกว่านั้น เมื่อบรรพชนทั้งหลายลงมือ ไม่ต้องกล่าวถึงว่าพวกเขาจะเอาตัวรอดจากทะเลสายฟ้าพันเมตรได้หรือไม่แต่ที่พวกเขาต้องเจอแน่ๆ คือการโต้กลับจากซุฉิน

ทว่า ไม่ว่าราคาที่ต้องจ่ายจะแพงสักแค่ไหน ตราบใดที่สามารถหยุดซุฉินเอาไว้ได้ แม้เป็นแค่ชั่วครู่นั่นก็นับว่าคุ้มค่า

ไม่เช่นนั้น หากยังปล่อยให้ซูฉินลงมือต่อไป นับประสาอะไรกับช่วงหลังจากวันนี้เกรงว่าภายในวันนี้ทั้งนิกายเทพเจ้าสายฟ้าอาจจะไม่รอด

Sign in Buddha’s palm 324 มีความสามารถใดบ้าง

บนเกาะเทพเจ้าสายฟ้า ศิษย์นิกายเทพเจ้าสายฟ้าทั้งหลายพากันตื่นตระหนก

แม้แต่จอมยุทธจํานวนมากในต่างดินแดนก็รู้ว่าซูฉินจะเดินทางมาที่นี่ด้วยตนเอง นับประสาอะไรกับศิษย์นิกายเทพเจ้าสายฟ้า?

“การที่มนุษย์สวรรค์อาณาจักรถังสังหารเซียนเทพปฐพีของนิกายเรายังไม่เพียงพออีกหรือต้องการจะทําลายพวกเราทั้งหมดเลยหรือไร?” บรรพชนนิกายเทพเจ้าสายฟ้าในชุดคลุมสีดําที่เพิ่งตื่นขึ้นกระซิบค่าออกมา

ในความคิดของเขา นิกายเทพเจ้าสายฟ้าได้สูญเสียเซียนเทพปฐพีไปแล้ว เพียงพอที่จะนับเป็นการสูญเสียที่หนักหน่วงแต่ซูฉินก็ยังปฏิเสธที่จะให้อภัย

แต่บรรพชนผู้นี้ไม่ได้คิดเรื่องที่นิกายเทพเจ้าสายฟ้ายั่วยุซูฉินครั้งแล้วครั้งเล่า ในที่สุดก็เป็นเหลยเฉียนจือที่โจมตีเมืองฉางอันหากซูฉินไม่มีความแข็งแกร่ง ทั้งอาณาจักรถังคงถูกทําลายลงไปแล้ว

“เอาล่ะ”

“ไม่จําเป็นต้องพูดคุยอะไรกันแล้ว”

“ค่ายกลสังหารเก้าอัสนีพร้อมหรือยัง?” หนึ่งในบรรพชนที่เก่าแก่ที่สุดในนิกายเทพเจ้าสายฟ้าส่ายศีรษะเล็กน้อยมองไปที่ผู้นํานิกายเทพเจ้าสายฟ้าแล้วเอ่ยถามออกมา

“เรียนบรรพชน ค่ายกลสังหารทั้งเก้าได้เตรียมพร้อมไว้แล้ว” ผู้นํานิกายกล่าวตอบในทันที

“ทําได้ดี”

ใบหน้าของบรรพชนเก่าแก่แห่งนิกายเทพเจ้าสายฟ้าในที่สุดก็ผ่อนคลายลงเล็กน้อย

ค่ายกลสังหารเก้าอัสนีของนิกายเทพเจ้าสายฟ้าเป็นค่ายกลสังหารที่ไร้เทียมทาน สืบทอดต่อกันมาเป็นเวลาหลายพันปีถูกสร้างขึ้นโดยเซียนเทพปฐพี่นิกายเทพเจ้าสายฟ้ารุ่นก่อนถึงสองคน

เมื่อค่ายกลสังหารเก้าอัสนีเปิดใช้งานอย่างสมบูรณ์ มันจะเชื่อมโยงกับฟ้าดินไปถึงกลุ่มเมฆสายฟ้าเพียงพอจะระเบิดพลังในขอบเขตเซียนเทพปฐพีออกมาได้ในระยะเวลาสั้นๆ

แน่นอน แม้แต่นิกายเทพเจ้าสายฟ้ายังต้องจ่ายราคามหาศาลเพื่อระดมพลังของค่ายกลสังหารเก่าอัสนีหลังจากวันนี้ไป แม้นิกายเทพเจ้าสายฟ้าจะขวางซูฉินไว้ได้ ก็คงจะตกต่ําไปอีกเป็นพันปีกว่าจะฟื้นตัว

ถ้าไม่ใช่เพราะแรงกดดันที่ซูฉินมีต่อนิกายเทพเจ้าสายฟ้า บรรพชนก็คงไม่เต็มใจให้กระตุ้นใช้ค่ายกลสังหารเก้าอัสนีนี้

เมื่อค่ายกลสังหารเก้าอัสนีถูกกระตุ้นใช้ จะเท่ากับพานิกายเทพเจ้าสายฟ้าให้ตกต่ําไปพันปีใครเล่าจะยอมรับผลที่ตามมาได้?

“ด้วยการคุ้มกันจากค่ายกลสังหารเก่าอัสนี ควบคู่ไปกับพลังปราบปรามของสมบัติล่าค่านิกายเทพเจ้าสายฟ้าของพวกเราควรจะต่อสู้กับมนุษย์สวรรค์อาณาจักรถังได้…”

บรรพชนเก่าแก่แห่งนิกายเทพเจ้าสายฟ้าพึมพํากับตนเอง

ในฐานะที่เป็นนิกายใหญ่ซึ่งมีความเป็นมายาวนานที่สุดแห่งหนึ่งในต่างดินแดนนิกายเทพเจ้าสายฟ้านั้นเหนือกว่าพรรคหมื่นดาบที่อ้างชื่อเซียนเทพปฐพีเพื่อก่อตั้งขึ้นมามากโขพวกเขาสามารถรักษาความแข็งแกร่งเอาไว้ได้อย่างมั่นคง เมื่อเวลาผ่านเลยไปนิกายเทพเจ้าสายฟ้าก็ได้สะสมสิ่งต่างๆไว้มากมายและเมื่อนําทั้งหมดออกมาใช้ในครานี้ใครจะจินตนาการได้ว่ามันจะสะเทือนฟ้าเพียงใด

“บางที่มนุษย์สวรรค์อาณาจักรถังอาจจะพูดออกมาเล่นๆ ในตอนนั้น และไม่ได้ตั้งใจจะลงมีอกับนิกายเทพเจ้าสายฟ้าของเราจริงๆ…”

ยังคงมีความหวังเล็กๆ อยู่ภายในใจของสมาชิกนิกายเทพเจ้าสายฟ้า

“พูดเล่นๆ งั้นหรือ?”

บรรพชนที่เก่าแก่ที่สุดส่ายศีรษะออกมาเล็กน้อย ทันใดนั้นสีหน้าเขาก็เปลี่ยนไป เงยหน้าขึ้นไปมองทิศทางหนึ่งจากระยะไกล“มนุษย์สวรรค์แห่งอาณาจักรถังมาที่นี่แล้ว”

พูดยังไม่ทันจบดี

พลันได้ยินเสียงคํารามก้องไปทั่วเกาะเทพเจ้าสายฟ้า และรอบตัวเกาะก็สั่นสะท้าน แตกออกเป็นเสี่ยงๆราวกับเจอกับพลังที่คาดไม่ถึง

“มนุษย์สวรรค์อาณาจักรถัง นั่นคือมนุษย์สวรรค์อาณาจักรถังใช่หรือไม่?!”

ศิษย์นิกายเทพเจ้าสายฟ้าหลายคนพบว่าซูฉินกําาลังขี่คลื่นยักษ์ความยาวกว่าหลายร้อยลี้เหมือนกับเทพมังกรข้ามผืนทะเลและแผ่นฟ้า

“น่ากลัวเกินไปแล้ว”

“น่ากลัวยิ่งนัก”

“มนุษย์สวรรค์แห่งอาณาจักรถังยังเป็นมนุษย์อยู่หรือเปล่าเนี่ย?”

ศิษย์นิกายเทพเจ้าสายฟ้าต่างรู้สึกสันสะท้านในใจ ถ้าหากไม่ใช่เพราะมีขุมกําลังจํานวนมากบนเกาะเทพเจ้าสายฟ้าเกรงว่าพวกเขาคงหนีไปแล้วในตอนนี้ เมื่อเผชิญหน้ากับพลังอันยิ่งใหญ่ได้เปรียบจะมีใครบนโลกบ้างที่ไม่ตกใจ?จะมีใครบ้างที่ไม่กลัว?

อันที่จริง ไม่ใช่แค่ศิษย์นิกายเทพเจ้าสายฟ้าเท่านั้นที่หวาดกลัว แต่จอมยุทธจํานวนมากจากทั่วทุกมุมโลกที่ได้เห็นฉากที่เซียนเทพปฐพี่เดินทางมาถึงก็ล้วนหวาดกลัวด้วยเช่นกัน

จากมุมของพวกเขา เห็นซูฉินขี่คลื่นทะเลมาและท้องฟ้าเบื้องหลังเขาก็มีเมฆปกคลุมไปหมดสายฟ้าปลิวว่อนคลื่นยักษ์ที่ใหญ่ราวกับกําแพง พายุมังกรที่กินอาณาบริเวณออกไปกว่า หลายร้อยลี้ สิ่งเหล่านี้ช่างเหนือจินตนาการโดยสมบูรณ์ มีเพียงเทพเซียนหรือปีศาจในตํานานเท่านั้นถึงจะทําสิ่งนี้ได้

“ตํานานว่าเอาไว้ว่า อาณาเขตขนาดใหญ่ของขอบเขตเซียนเทพปฐพี่สามารถครอบคลุมพื้นที่ร้อยลี้ได้เพียงความคิดเดียวภายในระยะหนึ่งร้อยล์นี้เซียนเทพปฐพี่เปรียบเสมือนเทพเซียนที่แท้จริง มีอํานาจเหนือทุกสิ่งเรียกลมเรียกฝนเรียกสายฟ้าได้อย่างง่ายดาย”

“แม้ว่ามนุษย์สวรรค์อาณาจักรถังจะสร้างฉากดังกล่าวด้วยความช่วยเหลือจากอาณาเขตขนาดใหญ่แต่อาณาเขตขนาดใหญ่สามารถครอบคลุมพื้นที่ได้มากสุดแค่ร้อยล์แต่คลื่นยักษ์ที่เห็นอยู่เบื้องหน้านั้นเห็นได้ชัดว่าเกินกว่าร้อยล์ไปมาก กลวิธีเช่นนี้ช่างเกินคาดคิดจริงๆ…”

บรรพชนสํานักเอกะวิถีซึ่งเป็นครึ่งก้าวเข้าสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพีถอนหายใจออกมาพร้อมทั้งพูดช้าๆ

“มิผิด”

“กลวิธีของมนุษย์สวรรค์อาณาจักรถังนั้นเหนือกว่าเซียนเทพปฐพีธรรมดาๆ ไม่น่าแปลกใจเลยว่าทําไมเหลยเฉียนจือจึงตกตายด้วยน้ํามือของเขา”

บรรพชนสํานักผู้วิเศษที่อยู่ถัดออกไปก็ถอนหายใจออกมา “แม้แต่พ่อมดราชันทั้งสองคนที่กําเนิดขึ้นจากสํานักผู้วิเศษก็ยังไม่สามารถทําเช่นนี้ได้หลังจากฝึกฝนอย่างขยันขันแข็งนานหลายร้อยปีจนกระทั่งถึงจุดสิ้นสุดของชีวิต”

“มนุษย์สวรรค์อาณาจักรถัง ยอดเยี่ยม ช่างยอดเยี่ยมจริงๆ!”

น้ําเสียงของบรรพชนสํานักผู้วิเศษนั้นซับซ้อนเป็นอย่างยิ่ง

แม้จะไม่รู้ว่าซูฉินมีอายุขัยเหลืออยู่เท่าไหร่ แต่อาศัยดูจากปราณเลือดที่พลุ่งพล่านออกมาก็เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายยังอยู่ห่างไกลจากจุดสิ้นสุดของชีวิตอีกนานโข

กล่าวอีกนัยหนึ่งซูฉินยังคงมีอายุขัยเหลือเฟือ

แค่เพียงเรื่องนี้เรื่องเดียวก็ไม่รู้ว่าเหนือกว่าพ่อมดราชันทั้งสองจากสํานักผู้วิเศษมากแค่ไหน

พลังที่แม้แต่พ่อมดราชันแห่งสํานักผู้วิเศษทั้งสองก็ไม่สามารถครอบครองได้แม้จวบจนสิ้นชีวิตแต่ซูฉินกลับสามารถมีได้ในขณะนี้

“ความกว้างใหญ่ของพายุลูกนี้กว้างไกลถึงหลายร้อยลี้ เป็นไปได้ไหมว่ามนุษย์สวรรค์แห่งอาณาจักรถังจะก้าวเข้าสู่ขั้นกลับคืนต้นกําเนิดในขอบเขตเซียนเทพปฐพี่แล้ว?”

บรรพชนสํานักเอกะวิถีที่เป็นครึ่งก้าวเข้าสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพี่ดูเหมือนจะคิดอะไรได้บางอย่างทันใดนั้นร่องรอยความตกใจก็ฉายออกผ่านสีหน้าของเขา

เซียนเทพปฐพีขั้นกลับคืนต้นกําเนิดไม่เคยปรากฏตัวขึ้นมาก่อนนับตั้งแต่สิ้นสุดยุคเฟื่องฟูกระแสปราณฉีครั้งล่าสุดเซียนเทพปฐพึกว่าสิบคนที่ตกตายกันไปหมดแล้วในดินแดนโพ้นทะเลต่างติดอยู่ในขั้นแบ่งจิตอย่างมากที่สุดก็ไปถึงขั้นแบ่งจิตระดับสูงสุดในวัยชราแทบสิ้นอายุขัย

สําหรับขั้นกลับคืนต้นกําเนิดที่อยู่เหนือชั้นแบ่งจิต มันเป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน

เพราะในยุคที่กระแสปราณจี้เงียบงันเช่นนี้ขอบเขตเซียนเทพปฐพี่ขั้นแบ่งจิตถือเป็นขีดจํากัดแล้วส่วนขั้นกลับคืนต้นกําเนิดและขั้นสถิตเทพที่อยู่เหนือขึ้นไปนั้นจะฝึกฝนไปถึงได้อย่างไร?

ครื้น

ขณะที่จอมยุทธนับไม่ถ้วนกําลังตื่นตะลึง

ในที่สุดคลื่นยักษ์ยาวหลายร้อยล์ก็เคลื่อนมาถึง

ในเวลานี้ราวกับโลกทั้งใบได้ถูกกดลง คลื่นยักษ์ปกคลุมท้องฟ้า โถมเข้าใส่เกาะเทพเจ้าสายฟ้าแต่จอมยุทธที่อยู่รอบๆกลับได้เห็นภาพหลอนว่าโลกกําลังจะพังทลายลงมา

พลังที่ครอบคลุมระยะทางหลายร้อยลี้ อย่างน้อยก็ต้องอยู่ในขอบเขตเซียนเทพปฐพี่ขั้นแบ่งจิตระดับสูงสุดแม้จะเป็นตํานานยุทธขั้นสูงสุดหรือแม้แต่ครึ่งก้าวเข้าสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพี่ก็ยังต้องรู้สึกว่าตนเล็กจ้อยราวกับฝุ่นผง

“ไม่ถูกต้อง”

“เกาะเทพเจ้าสายฟ้า”

จู่ๆ เหล่าตํานานยุทธก็มองไปทางเกาะเทพเจ้าสายฟ้า

ต่อหน้าคลื่นยักษ์ที่น่าสะพรึงกลัวเช่นนี้ แม้เกาะเทพเจ้าสายฟ้าจะมีขนาดหลายร้อยล์ ไม่สามารถถูกคลื่นโถมซัดจมได้ทั้งเกาะตั้งแต่คลื่นลูกแรก แต่บริเวณขอบของเกาะจะต้องถล่มลงมาอย่างแน่นอน และท้ายที่สุดมันย่อมส่งผลกระทบต่อตัวเกาะโดยตรง

อย่างไรก็ตาม

ท่ามกลางสายตาอึ้งทึ่งของทุกคน

ต่อหน้าคลื่นยักษ์ที่บดบังท้องฟ้าและดวงอาทิตย์เห็นประกายหมอกลอยขึ้นมาจากเกาะเทพเจ้าสายฟ้าในฉับพลันประกายหมอกปกคลุมทั่วทุกซอกทุกมุมของเกาะเทพเจ้าสายฟ้าไม่ว่าคลื่นยักษ์จะซัดสาดมามากเพียงใดก็มีประกายหมอกระลอกที่สองระลอกที่สามออกมาราวกับมันไม่มีที่สิ้นสุด

“โอ?”

ซูฉินยืนอยู่บนท้องฟ้า มองดูเกาะเทพเจ้าสายฟ้าที่ปิดกั้นคลื่นยักษ์ได้อยู่เงียบๆ ใบหน้าแสดงอาการครุ่นคิด

คลื่นยักษ์ที่ครอบคลุมรัศมีหลายร้อยลี้นี้ใช้สภาวะจิตของขอบเขตเซียนเทพปฐพีร่วมกับอาณาเขตขนาดใหญ่

พลังมันเทียบเท่ากับเหลยเฉียนจือที่เพิ่งเข้าสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพี่แล้วโจมตีด้วยพลังเต็ม

ในความคิดของซูฉิน แม้ว่าการโจมตีครั้งนี้จะไม่สามารถทําลายนิกายเทพเจ้าสายฟ้าได้แต่ก็น่าจะพอทําให้เกิดปัญหาได้บ้าง

แต่ยามนี้ดูเหมือนว่านิกายเทพเจ้าสายฟ้าจะมีค่าเหมาะสมกับที่สืบทอดมรดกมานานนับหมื่นปีภูมิหลังมากมายจนไม่อาจหยั่งถึงและสามารถต้านทานการโจมตีครั้งนี้ได้

“น่าสนใจ”

ซุฉินหรี่ตาและมองลงไปยังเกาะเทพเจ้าสายฟ้า

จากสายตาของซูฉิน มีจุดพลังฉีจํานวนนับไม่ถ้วนบนเกาะเทพเจ้าสายฟ้าจุดพลังฉีเหล่านั้นส่วนใหญ่อยู่ต่ํากว่าตํานานยุทธระดับนภาชนที่เจ็ดนอกจากพลังฉีแล้วซูฉินยังสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของค่ายกลสังหาร

คล้ายคลึงกับค่ายกลสังหารเปลวเพลิงบนเกาะหยิงโจวที่จัดตั้งโดยจ้าวทะเลบูรพา

แต่เห็นได้ชัดว่าค่ายกลสังหารบนเกาะเทพเจ้าสายฟ้าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับธาตุไฟ มันเหมือนกับค่ายกลสังหารธาตุสายฟ้าเสียมากกว่า

“มันเป็นค่ายกลสังหารที่เซียนเทพปฐพีได้จัดตั้งเอาไว้งั้นหรือ?”

ใบหน้าของซูฉินดูครุ่นคิด ค่ายกลสังหารธรรมดาจะสามารถปิดกั้นการระเบิดพลังของเซียนเทพปฐพีได้อย่างไร? ที่เห็นตรงหน้านี้อาจจะเป็นค่ายกลที่เซียนเทพปฐพี่ทิ้งเอาไว้

และไม่ใช่เซียนเทพปฐพี่ธรรมดาๆ ด้วย

ท้ายที่สุดไม่ว่าจะเป็นค่ายกลฟ้าดินขนาดใหญ่ หรือค่ายกลรูปแบบสังหาร พลังของมันย่อมลดลงตามกาลเวลา

“มนุษย์สวรรค์อาณาจักรถัง”

ขณะที่ซูฉินกําลังจะขยับตัวอีกครั้งเพื่อทําลายค่ายกลสังหารบนเกาะเทพเจ้าสายฟ้า ชายชราคนหนึ่งก็ปรากฏตัวขึ้นโค้งคํานับซุฉินพร้อมกับกล่าวขึ้นว่า“เหลยตู้ฝ่าจากนิกายเทพเจ้าสายฟ้าคารวะมนุษย์สวรรค์”

“ครึ่งก้าวเข้าสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพี?”

ซูฉินเหลือบมองชายชราที่ชื่อว่าเหลยต์ฝ่า ท่าทีของเขาไม่ได้เปลี่ยนแปลงแต่อย่างใด

ก่อนหน้านี้ที่ซูฉินตรวจสอบเกาะเทพเจ้าสายฟ้าด้วยดวงตาแห่งสัจจะ เขาก็พบว่ายังมีครึ่งก้าวเข้าสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพีอยู่อีก

ในสายตาของซูฉิน ระยะเวลาในการเป็นครึ่งก้าวเข้าสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพีของคนผู้นี้ยังมากยิ่งกว่าบรรพชนสายฟ้าเสียอีก

“นิกายเทพเจ้าสายฟ้าของข้ามีตาหามีแววไม่ ถึงกับมีเรื่องบาดหมางกับมนุษย์สวรรค์ หวังว่ามนุษย์สวรรค์จะยกโทษให้กับนิกายเทพเจ้าสายฟ้าของข้า…

เหลยตู้ฝ่ากล่าวออกด้วยเสียงต่ํา

“ให้อภัยพวกเจ้า?”

ซูฉินหัวเราะ ร่องรอยประชดประชันฉายออกมาทางสีหน้าของเขา “ถ้าข้านั้นไม่ใช่เซียนเทพปฐพีไม่มีความแข็งแกร่งเท่าตอนนี้ นิกายเทพเจ้าสายฟ้าของเจ้าจะปล่อยข้าไปหรือไม่เล่า?”

เมื่อกล่าวถึงเรื่องนี้ ความเย็นชาก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของซูฉิน กระแทกเสียงออกมาทุกถ้อยคํา “วันนี้ข้าต้องการจะดูซิว่านิกายใหญ่ที่สืบทอดมานับหมื่นปีจะมี! ความสามารถ!ทานทน!ได้เช่นไรบ้าง”

หลังจากที่ซูฉินกล่าวจบ เขาก็ก้าวไปข้างหน้า

ทันใดนั้น พลังปราณฉีฟ้าดินก็พลันระเบิดออก จอมยุทธต่างดินแดนจํานวนนับไม่ถ้วนที่เฝ้าดูการต่อสู้จากระยะไกลก็รู้สึกได้ว่าท้องฟ้าและผืนดินกลายเป็นภาพหลอน เหลือเพียงฝ่ามือขวาที่คล้ายกับเป็นดินแดนอันศักดิ์สิทธิ์กดทับลงไปบนเกาะเทพเจ้าสายฟ้า

Sign in Buddha’s palm 323 (II) มาถึง

“เกือบจะคุ้นเคยกับพลังหลังจากการทะลวงขอบเขตแล้ว รักษาเสถียรภาพของขอบเขตได้แล้วต่อไปคงจะถึงเวลาไปจัดการกับนิกายเทพเจ้าสายฟ้า”

ดวงตาของซูฉินนั้นลึกล่ำก้าวขาออกไปหนึ่งก้าว หายตัวไปจากโถงพระราชวังสูงตระหง่านสีด่าไปยืนอยู่บนท้องฟ้าเหนือเมืองฉางอัน

“นิกายเทพเจ้าสายฟ้า….”

ซูฉินเบิกเนตรดวงตาแห่งสัจจะ ทันใดนั้นฟ้าดินก็กลายเป็นเหมือนกับภาพลวงตาแสดงพลังที่ทั้งแข็งแกร่งและอ่อนแอนับไม่ถ้วนไอพลังทั้งใกล้และไกลปรากฏขึ้นในสายตา

หลังจากก้าวเข้าสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพี ทิพยอํานาจดวงตาแห่งสัจจะก็มีการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่เช่นกัน แม้ว่าจะมันจะห่างไกลออกไปเป็นระยะทางนับแสนลี้แต่ก็ยังสามารถจับตําแหน่งของนิกายเทพเจ้าสายฟ้าได้

ท้ายที่สุดเป็นเพราะซูฉันเคยเห็นศิษย์นิกายเทพเจ้าสายฟ้ามาก่อนหลังจากที่ศิษย์เหล่านั้นกลับไปยังนิกายเทพเจ้าสายฟ้าพวกเขาต่างก็กลายเป็น “ตัวบอกตําแหน่งให้กับซูฉินในการจับพิกัดของนิกายเทพเจ้าสายฟ้า

ในเวลาเดียวกัน

ด้านนอกเกาะเทพเจ้าสายฟ้า ขุมกําลังในต่างดินแดนจํานวนมากกําลังมารวมตัวกัน

หลังจากที่ซูฉินสังหารเหลยเฉียนจือ เขาก็ได้กล่าวต่อหน้าสาธารณชนว่าเขาจะเดินทางไปยังนิกายเทพเจ้าสายฟ้าด้วยตนเองเมื่อข่าวนี้ออกมา มันก็ทําให้คนในนิกายเทพเจ้าสายฟ้าตื่นตระหนก แต่สําหรับขุมกําลังอื่นที่ไม่ใช่นิกายเทพเจ้าสายฟ้า มันย่อมเป็นการต่อสู้ที่หาได้ยากยิ่งในรอบพันปีอย่างแน่นอน

ไม่รู้ว่ามีผู้ฝึกยุทธกคนต่อกี่คนที่รวมตัวกันอยู่นอกเกาะเทพเจ้าสายฟ้า อยากจะเห็นซูฉินลงมือด้วยตาของตนเอง

สุดท้ายแล้วเป็นเพราะชื่อเสียงของซูฉินนั้นยิ่งใหญ่เกินไป ไม่เพียงแต่เป็นเซียนเทพปฐพีซึ่งหายากในรอบพันปีแต่ยังสังหารตัวตนไร้เทียมทานอย่างเซียนเทพปฐพี่เหลยเฉียนจือด้วย

และนิกายเทพเจ้าสายฟ้าก็มิใช่อ่อนแอ เจริญรุ่งเรืองมาโดยตลอดนับตั้งแต่สืบทอดมรดกมาจากยุคเฟื่องฟูกระแสปราณฉีครั้งล่าสุด
ผู้ที่ไร้เทียมทานกับผู้ที่เจริญรุ่งเรืองมานับหมื่นปีทุกคนล้วนต้องการทราบผลของการต่อสู้ครั้ง

แม้แต่นิกายใหญ่แห่งอื่นๆ อย่าง สํานักผู้วิเศษ สํานักเอกะวิถี และนิกายอื่นๆ ที่อยู่ใกล้กับนกายเทพเจ้าสายฟ้าก็ล้วนมาถึงบริเวณนอกเกาะเทพเจ้าสายฟ้าแล้ว

“ทําไมที่นี่คนเยอะเช่นนี้……”

จอมยุทธหนุ่มคนหนึ่งยืนอยู่บนเกาะที่มีขนาดไม่กี่ลี้ มองดูตํานานยุทธที่เหาะเหินเดินอากาศลงมาอยู่ใกล้ๆ อดไม่ได้ที่จะเอ่ยออกไปสองสามค่า

เขารีบมาที่นี่เพราะได้ยินประมุขพรรคของตนกล่าวว่าจะเกิดเหตุการณ์สําคัญในรอบหมื่นปีที่เกาะเทพเจ้าสายฟ้า

“มนุษย์สวรรค์อาณาจักรถังต้องการจะลงมือปราบปรามนิกายเทพเจ้าสายฟ้าและพวกเราสามารถสังเกตการลงมือของมนุษย์สวรรค์ได้ แม้จะอยู่ห่างไกลแค่ไหนแต่ใครบ้างจะไม่รีบมา”

ชายวัยกลางคนที่มีสีหน้าเย็นชาด้านข้างก็กระซิบออกมา

“มนุษย์สวรรค์อาณาจักรถัง…..”

รูม่านตาของจอมยุทธหนุ่มหดตัวลงเล็กน้อย เป็นธรรมดาที่เขาจะรู้จักซูฉิน ดินแดนโพ้นทะเลในปัจจุบันซูฉันเป็นหนึ่งในตัวตนที่อหังการและไม่ควรยั่วยุที่สุด

“ข้าไม่รู้ว่านิกายเทพเจ้าสายฟ้าจะสามารถป้องกันพลังของมนุษย์สวรรค์อาณาจักรถังได้หรือไม่”จอมยุทธที่มีริ้วรอยบนใบหน้าถอนหายใจออกมาเล็กน้อยมองไปยังเกาะเทพเจ้าสายฟ้าจากระยะไกล

ในตอนนี้ แม้หน้าฉากของเกาะเทพเจ้าสายฟ้าจะดูสงบราบเรียบ แต่หากมองให้ลึกเข้าไปจะเห็นว่าเกาะเทพเจ้าสายฟ้ามีความผันผวนเล็กน้อยเนื่องจากการทํางานของค่ายกลฟ้าดินขนาดใหญ่

เพื่อต่อต้านซูฉิน เห็นได้ชัดว่านิกายเทพเจ้าสายฟ้าจะต้องใช้ค่ายกลฟ้าดินขนาดใหญ่ทั้งหมดและภูมิหลังทั้งหลายก็ต้องเผยออกมาจนหมดสิ้น

“จะปิดกั้นได้หรือไม่?”

“หากนิกายเทพเจ้าสายฟ้ารักษาตําแหน่งนี้โดยไม่หนีไปไหน แม้มนุษย์สวรรค์จะลงมือจนสะเทือนฟ้านิกายเทพเจ้าสายฟ้าก็คงจะไม่เป็นอะไร”

“อย่างไรเสีย ในส่วนลึกของนิกายเทพเจ้าสายฟ้า ก็มีสมบัติล่ำค่าถึงขีดสุดอยู่เมื่อสมบัติล่ำค่าตื่นขึ้นใครเล่าจะหยุดมันได้?”

ชายชุดชาวที่มีประกายปัญญาในดวงตากล่าวขึ้นอย่างช้าๆ

อะไรคือรากฐานที่สําคัญที่สุดที่นิกายใหญ่ระดับสูงอย่างนิกายเทพเจ้าสายฟ้าสํานักผู้วิเศษและสํานักเอกะวิถีสืบทอดต่อมาตั้งแต่ยุคเฟื่องฟูกระแสปราณฉีครั้งล่าสุด?

ครึ่งก้าวเข้าสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพี่?หรือเซียนเทพปฐพี?

ล้วนไม่ใช่ทั้งคู่

ครึ่งก้าวเข้าสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพี่สามารถปกป้องนิกายเทพเจ้าสายฟ้าได้เท่านั้น ส่วนเซียนเทพปฐพีแม้จะทําให้นิกายเทพเจ้าสายฟ้ารุ่งเรืองในดินแดนโพ้นทะเลได้แต่ก็อยู่ได้แค่พันปี

เพราะท้ายที่สุดแม้แต่เซียนเทพปฐพีก็มีช่วงชีวิตเพียงพันปีเท่านั้น

แต่มรดกนิกายเทพเจ้าสายฟ้ามีมาเป็นหมื่นปี

ด้วยระยะเวลายาวนานเช่นนี้ นิกายเทพเจ้าสายฟ้าอาศัยพลังยับยั้งของ สมบัติล่ำค่า

เฉพาะสมบัติล่ำค่าจากผู้ทรงพลังถึงขีดสุดเท่านั้นที่สามารถปกป้องนิกายเทพเจ้าสายฟ้าจนเจริญรุ่งเรืองมาได้ถึงทุกวันนี้

เซียนเทพปฐพีนั้นมีวันแก่ชราและตกตาย แต่สมบัติล่ำค่านั้นไม่มี

หรือบางทีสมบัติล่ำค่าก็อาจจะมีวันเสื่อมสลาย แต่ระยะเวลาของมันคงจะเป็นหลายหมื่นปีอย่างแน่นอน

“สมบัติล่ำค่า….”

จอมยุทธคนอื่นๆ ที่อยู่โดยรอบ เมื่อได้ยินคํากล่าวนั้น สีหน้าของพวกเขาก็ตึงขึ้นมา

ยืนหยัดอยู่ในดินแดนโพ้นทะเลมานับหมื่นปี มีเซียนเทพปฐพี่กําเนิดขึ้นมากกว่าสิบ และมีเหตุการณ์เมื่อหลายพันปีก่อน มีเซียนเทพปฐพี่มาเยือนนิกายเทพเจ้าสายฟ้าด้วยตนเอง

อย่างไรก็ตาม ในตอนสุดท้าย เหล่าบรรพชนนิกายเทพเจ้าสายฟ้าทั้งหมดต่างตื่นขึ้นมาพร้อมกันร่วมกันใช้ทักษะลับของนิกายเทพเจ้าสายฟ้า พันสายฟ้าฉุดกระชากเรียกสายฟ้ารัศมีนับ หมื่นเมตรใส่สมบัติล่ำค่าสร้างพลังให้กับสมบัติล่ำค่าจนเซียนเทพปฐพี่ที่บุกเข้ามานั้นต้อง สะเทือน

ในเวลานั้น รัศมีของสมบัติล่ำค่ากว้างใหญ่และทรงพลังจนเกือบจะบดบังท้องฟ้าและผืนดินเซียนเทพปฐพี่ที่มีเรื่องกับนิกายเทพเจ้าสายฟ้าก็ถอยหนีจากไปในทันที

“หากนิกายเทพเจ้าสายฟ้าปลุกสมบัติล่ำค่าขึ้นมาจริงๆ ก็มีโอกาสอย่างมากที่จะสกัดกั้นมนุษย์สวรรค์แห่งอาณาจักรถังได้…”

จอมยุทธส่วนใหญ่พยักหน้าเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่าค่อนข้างเห็นด้วย
แม้ว่าซูฉินจะสังหารเซียนเทพปฐพี่อย่างเหลยเฉียนจือได้แต่สมบัตินั้นถูกทิ้งไว้โดยผู้ทรงพลังถึงขีดสุดแม้ว่ามันจะฟื้นพลังขึ้นมาได้เพียงน้อยนิดแต่พลังที่ปลดปล่อยออกมาย่อมเหนือกว่าเซียนเทพปฐพทั่วไป

“แม้ว่านิกายเทพเจ้าสายฟ้าจะกระตุ้นสมบัติล่ำค่า อย่างมากที่สุดก็คงทําได้เพียงป้องกันตนเองเท่านั้น ไม่ควรเป็นปัญหาสําหรับมนุษย์สวรรค์อาณาจักรถังที่จะล่าถอยกลับไป”

ชายผู้มีประกายปัญญาในดวงตาก็พลันกล่าวต่อไป

“มิผิด”

“สมบัติล่ำค่านั้นทรงพลังอย่างแน่นอน แต่นิกายเทพเจ้าสายฟ้าในตอนนี้ไม่มีแม้แต่เซียนเทพปฐพีแม้ว่าสมบัติล่ำค่าจะถูกผืนปลุกให้ตื่นขึ้น มันจะใช้พลังออกมาได้มากแค่ไหนเชียว?”

“แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้น ก็ไม่เพียงจะได้เห็นมนุษย์สวรรค์แห่งอาณาจักรถังลงมือเท่านั้นแต่ยังได้เห็นพลังของสมบัติล่ำค่าด้วย การเดินทางมาในครั้งนี้ต้องคุ้มค่าอย่างแน่นอน”

จอมยุทธทั้งหลายต่างกล่าวออกด้วยเสียงเบา แต่ในใจเต็มไปด้วยความตื่นเต้น

นี่เป็นเหตุผลว่าทําไมพวกเขาจึงเดินทางไกลมาจากทั่วทุกมุมโลก เซียนเทพปฐพี่ยังเป็นตัวตนที่ยากจะเจอในรอบพันปี นับประสาอะไรกับสมบัติล่ำค่า?

“ถ้าสามารถเรียนรู้บางอย่างได้จากพลังของสมบัติล่ำค่า เกรงว่ามันจะเป็นประโยชน์ไปชั่วชีวิต….

จอมยุทธที่มีใบหน้าอ่อนโยนกล่าวออกด้วยน้ําเสียงที่เต็มไปด้วยความปรารถนา

“เรียนรู้?”

“นิกายเทพเจ้าสายฟ้าครอบครองสมบัติล่ำค่ามากว่าหมื่นปี ยังไม่เห็นจะเรียนรู้อะไรเลยแค่มองดูเฉยๆ จะเข้าใจอะไรได้หรือ?”

แววดูถูกปรากฏขึ้นบนใบหน้าของตํานานยุทธ แต่แล้วร่องรอยการดูถูกนั้นก็เปลี่ยนแปลงไปเป็นความคลั่งไคล้

“ข้ามารอที่นี่เพื่อได้พบมนุษย์สวรรค์แห่งอาณาจักรถัง หากเป็นมนุษย์สวรรค์แห่งอาณาจักรถังแล้วล่ะก็ต่อให้ถูกจับไปเป็นทาสก็คงจะได้รับผลประโยชน์ไปตราบชั่วชีวิต……”

ตํานานยุทธคนที่กล่าวออกมานี้เป็นตํานานยุทธระดับนภาชั้นที่ห้า ในอดีต ผู้เยี่ยมยุทธระดับนี้เพียงพอที่จะมองข้ามทุกสิ่งในต่างดินแดนแล้ว แต่ในเวลานี้เขากลับเต็มใจที่จะกลายเป็นทาส

อย่างไรก็ตาม

จอมยุทธคนอื่นๆ ที่อยู่ด้านข้าง พวกเขาไม่เพียงไม่รู้สึกแปลกใจ แต่ดวงตาของพวกเขากลับเป็นประกายไปด้วย

แม้ว่าพลังของสมบัติล่ำค่าจะสะเทือนฟ้าสะเทือนดิน แต่จะเป็นไปได้หรือที่จอมยุทธเหล่านี้ซึ่งไม่ได้เป็นแม้แต่เซียนเทพปฐพี่จะเข้าใจมันได้?

แต่ซูฉินนั้นต่างออกไป

หากได้เป็นคนรับใช้ของเซียนเทพปฐพีจริงๆ มันย่อมเป็นโอกาสที่ดีอย่างแน่นอน

สิ่งที่ตกหล่นออกมาจากมือของเซียนเทพปฐพี ก็เพียงพอที่จะช่วยเหลือพวกเขาต่อไปได้ตลอดชีวิตแล้ว

ยิ่งกว่านั้น นี่เป็นเพียงกรณีของการเป็นทาสรับใช้ หากมนุษย์สวรรค์แห่งอาณาจักรถังจู่ๆ ก็ตั้งใจจะรับศิษย์ สําหรับจอมยุทธจํานวนมากในพื้นที่แห่งนี้ มันคงเป็นโอกาสที่หาได้ยากในรอบพันปีหมื่นปี

การเป็นทาสของเซียนเทพปฐพี่ก็ทําให้ได้รับประโยชน์มากมายแล้ว นับประสาอะไรกับศิษย์สาวก?

เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ จอมยุทธในที่แห่งนี้ก็พากันตาร้อนผ่าว ไม่ใช่แค่ต้องการให้ซูฉินปรากฏตัวในตอนนี้ยังอยากจะแสดงให้เห็นด้วยว่าพวกเขานั้นเก่งกาจแค่ไหนต่อหน้าซูฉิน

เวลาผ่านเลยไปอย่างช้าๆ

ไม่กี่วันก็ผ่านไปในพริบตา

ท่ามกลางการตั้งหน้าตั้งตารอคอยของจอมยุทธนับไม่ถ้วนจากต่างดินแดน ท้องฟ้าพลันมืดลงทันใดนั้นละอองฝนก็โปรยปรายลงมา

“ฝนตก?”

จอมยุทธบางคนมองขึ้นไปบนท้องฟ้า

โลกยุทธภพต่างดินแดนนั้นมีทะเลและมหาสมุทรอยู่ทั่วไป ไม่ใช่เรื่องผิดปกติที่ฝนจะตกลงมา

ทันใดนั้น จอมยุทธจํานวนมากในที่แห่งนี้ก็โคจรกําลังภายใน บ่อยครั้งที่หยาดฝนสามารถทําให้แห้งระเหยไปได้ด้วยกําลังภายในก่อนที่มันจะตกลงสู่ร่างกาย

“ไม่ถูกต้อง

“ไม่ใช่ฝนตก”

“เป็นมนุษย์สวรรค์ที่มาถึงที่นี่แล้ว”

ตํานานยุทธระดับนภาชั้นที่หกดูเหมือนจะรู้สึกได้ถึงบางอย่าง ใบหน้าของเขาเปลี่ยนไปในทันใดและมองไปยังทิศทางหนึ่งด้วยอาการเคร่งขรึม

เช่นเดียวกับตัวตนอันแข็งแกร่งคนอื่นๆ ต่างก็มองไปในทิศทางเดียวกัน

เห็นเมฆดําค่อยๆ เคลื่อนตัวเข้ามา บดบังท้องฟ้าไปครึ่งหนึ่ง

ภายใต้เมฆดํามีพายุรุนแรง และในกลุ่มพายุทั้งหลายนี้ มีเส้นสีขาวเล็กๆโผล่ออกมาอย่างช้าๆ

หากมองดีๆ จะเห็นว่าเส้นสีขาวนี้เป็นคลื่นน้ําขนาดใหญ่ ยาวหลายร้อยลี้ คลื่นลูกใหญ่นี้ซัดสาดไปทั่วราวกับอานุภาพแห่งสวรรค์

“นั่นคือ?”

ดูเหมือนทุกคนจะค้นพบบางสิ่ง ใบหน้าของพวกเขาเปลี่ยนไปมาก ต่างกําลังตกตะลึง

เห็นชายร่างสูงเพรียวยืนอยู่บนคลื่นยักษ์ที่อยู่ห่างออกไปหลายร้อยล์ ข้ามผืนฟ้าผืนทะเลราวกับเทพเจ้ามังกรผู้ควบคุมมหาสมุทรและลมพายุ

มือทั้งสองไพล่ไปด้านหลัง กลิ่นอายนั้นไม่อาจหยั่งถึงราวกับขุมนรกไร่กันบึงและดูเหมือนจะมีดวงตะวันขนาดมหึมาอยู่ลึกลงไปในม่านตาของเขา ส่องแสงราวกับดวงอาทิตย์บนฟากฟ้า

Sign in Buddha’s palm 323 (1) มาถึง

ทะเลปราณเป็นสถานที่ที่ปราณจีบนโลกมาบรรจบกัน

หากร่างกายของซูฉินสามารถเข้าสู่ทะเลปราณได้ ประโยชน์ที่ได้รับไม่รู้ว่าจะมากเกินกว่าการบริโภคโอสถธาตุไฟไปมากเพียงใด ซึ่งเพียงพอแล้วที่จะผลักดันภาพดวงตะวันขนาดมหึมาไปสู่ความสําเร็จชั้นยอดในเวลาอันสั้น

สุดท้ายแล้ว การฝึกฝนภาพสิบสองสัตว์ศักดิ์สิทธิ์นั้นก็แตกต่างไปจากเคล็ดวิชาอื่นๆ

เคล็ดวิชาใดๆ ในโลกนี้ล้วนแต่มีคอขวดกันทั้งนั้น แม้แต่ฝ่ามือยไลก็ไม่มีข้อยกเว้น ซูฉินจําเป็นต้องทําความเข้าใจมันอยู่เสมอ

แต่ภาพสิบสองสัตว์ศักดิ์สิทธิ์นั้นแตกต่าง เพียงต้องการทรัพยากรจํานวนมากมายมหาศาลเท่านั้น

ตราบใดที่มีทรัพยากรในการบ่มเพาะเพียงพอ ซูฉินก็สามารถทะยานพุ่งขึ้นสู่ฟ้า ก้าวกระโดดไปด้านหน้าได้อย่างเต็มที่

แน่นอนมันไม่ได้หมายความว่าฝ่ามือยูไลไม่ดีเท่ากับภาพสิบสองสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ แต่วิธีการบ่มเพาะของทั้งสองสิ่งนั้นแตกต่างกัน

ยิ่งไปกว่านั้น ทรัพยากรที่ต้องใช้ไปกับภาพสิบสองสัตว์ศักดิ์สิทธิ์นั้นมากมายไร้ที่สิ้นสุด จอมยุทธธรรมดาๆ แม้แต่เซียนเทพปฐพี่จะใช้เวลาไปเป็นพันปีก็อาจจะไม่สามารถบ่มเพาะภาพดวงตะวันขนาดมหึมาให้ประสบความสําเร็จถึงระดับเล็กได้ นับประสาอะไรกับความสําเร็จชั้นยอด

ซูฉินได้พึ่งพิงระบบลงชื่อเข้าใช้เพื่อรับโอสถธาตุไฟและของวิเศษหลายสิ่งอย่างต่อเนื่อง ก็เพิ่งจะสําเร็จระดับเล็กในภาพดวงตะวันฯ ก่อนที่จะเข้าสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพีนี่เอง

อย่างไรก็ตาม เมื่อซูฉันพยายามใช้จิตวิญญาณแรกกําเนิดดึงร่างกายเข้าไปผสานในทะเลปราณ ก็พบว่าทําไม่ได้

จิตวิญญาณแรกกําเนิดก็คือจิตวิญญาณแรกก่าเนิด กายเนื้อก็คือกายเนื้อ
ทั้งสองสิ่งมีพื้นฐานที่แตกต่างกัน

ทะเลปราณอยู่ลึกลงไปในความว่างเปล่า มีสิ่งกีดขวางมิติอยู่มากมาย

และจิตวิญญาณแรกกําเนิดนั้นเดิมที่ก็เป็นร่างวิญญาณลวงตา หากสัมผัสได้ถึงตําแหน่งของทะเลปราณก็สามารถข้ามผ่านความว่างเปล่าเข้าไปหลอมรวมกับมันได้

แต่กายเนื้อ……

หากต้องการใช้ร่างกายเข้าสู่ทะเลปราณ สิ่งแรกที่ต้องทําคือ……ทําลายความว่างเปล่า

เพื่อทําลายความว่างเปล่า จําเป็นต้องกลายเป็นผู้ที่ทรงพลังถึงขีดสุดในขอบเขตทลายนภากาศเท่านั้นจึงจะทําได้

ส่วนเซียนเทพปฐพี แม้จะเป็นเซียนเทพปฐพี่ขั้นสถิตเทพระดับสูงสุด ซึ่งสัมผัสพลังของมิติได้ แต่การทําลายความว่างเปล่านั้นยังห่างไกลเกินกว่าที่จะไปถึง

“ทลายนภากาศ…

ซูฉินชันกายขึ้นเล็กน้อย ล้มเลิกความคิดที่จะเข้าสู่ทะเลปราณเป็นการชั่วคราว

บัดนี้เขาเพิ่งจะอยู่ในจุดสูงสุดของขอบเขตเซียนเทพปฐพี่ขั้นแบ่งจิต ห่างไกลจากเซียนเทพปฐพีขั้นสถิตเทพอยู่มาก

ยิ่งไปกว่านั้น ขอบเขตเซียนเทพปฐพี่ที่ต้องการกลายเป็นผู้ทรงพลังถึงขีดสุด มันแตกต่างอย่างสิ้นเชิงเมื่อเทียบกับขอบเขตตํานานยุทธทะลวงเข้าสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพี

หากตํานานยุทธต้องการจะเข้าสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพี ที่ต้องทําก็แค่ควบแน่นอาณาเขต และแปลงจิตวิญญาณแรกกําเนิดเท่านั้น

การควบแน่นอาณาเขตก็เกิดจากการที่ตํานานยุทธควบคุมพลังฟ้าดินอันไร้ที่สิ้นสุดมาไว้ในที่เดียว ส่วนการแปลงจิตวิญญาณแรกกําเนิดก็คือการเปลี่ยนแปลงจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์อย่างต่อเนื่อง

แม้ว่าทั้งสองสิ่งจะยากเย็นอย่างยิ่งจนปิดกั้นผู้ฝึกยุทธทั้งหลายเอาไว้ไม่ให้ไปต่อ แต่อย่าง น้อยก็มีทางเดินให้ติดตามรู้ว่าจะต้องทําอะไรต่อไป

แต่เซียนเทพปฐพี่ที่ต้องการก้าวเข้าสู่ขอบเขตทลายนภากาศและกลายเป็นผู้ทรงพลังถึงขีดสุด พวกเขาจําเป็นต้องรู้สึกถึงพลังของมิติ และในที่สุดก็ทําลายความว่างเปล่าทิ้งเสีย

ความว่างเปล่าคือสิ่งใด?

ความว่างเปล่ามีอยู่ทุกหนแห่ง แม้แต่คนทั่วไปก็ยังสัมผัสความว่างเปล่าอยู่ตลอดเวลา ไม่ต่างไปจากแสงแดดและลมฝน

แต่ยิ่งเป็นเช่นนั้น การรับรู้ถึงความว่างเปล่ายิ่งยากขึ้น เพราะไม่รู้ว่าจะต้องเริ่มต้นที่ตรงไหน

ความว่างเปล่าอยู่เบื้องหน้า แต่กลับสัมผัสไม่ได้ จะเอาอะไรมาเข้าใจเล่า?

แม้แต่การรับรู้ถึงความว่างเปล่ายังยากเย็นเพียงนี้ นับประสาอะไรกับการทําลายความว่างเปล่า

นี่เป็นเหตุผลว่าทําไมถึงมีผู้ทรงพลังถึงขีดสุดอยู่แค่ไม่กี่คนในช่วงสุดท้ายของยุคกระแสปราณฉีเฟื่องฟู

แม้แต่ในยุคเฟื่องฟูกระแสปราณฉี จิตใจฟ้าดินมากมายเอื้อต่อการบ่มเพาะ พลังฟ้าดินมีอยู่ทั่วไปหมด จิตวิญญาณมีอยู่ทุกหนแห่ง เซียนเทพปฐพีพากันกําเนิดขึ้นทีละคนสองคน แต่ผู้ทรงพลังถึงขีดสุดนั้นมีอยู่น้อยมาก

“ไม่เป็นไร”

“ไม่จําเป็นต้องกังวลไปในตอนนี้”

ซูฉันสงบใจลง คิดอยู่ภายในใจเงียบๆ

การทําลายความว่างเปล่าแล้วกลายเป็นผู้ทรงพลังถึงขีดสุดนั้นอยู่ไกลเกินไปสําหรับซูฉินใน

ยามนี้

นอกจากนี้ แม้แต่ผู้ทรงพลังถึงขีดสุดที่สามารถทะลวงความว่างเปล่าได้ บางทีก็อาจจะไม่กล้าเข้าไปภายในทะเลปราณจริงๆ

ท้ายที่สุดทะเลปราณก็ไม่ได้มีเพียงปราณฉีอันไร้ที่สิ้นสุดเท่านั้น แต่ยังมีสิ่งมีชีวิตปราณฉีด้วย

สิ่งที่เรียกว่าสิ่งมีชีวิตปราณ เกิดจากการที่ปราณฉีอันไร้ที่สิ้นสุดสะสมรวมกันนานปีจนก่อกำเนิดสิ่งมีชีวิตจิตวิญญาณขึ้นมา

เมื่อครั้งที่ซูฉินใช้จิตวิญญาณแรกกําเนิดหลอมรวมเข้ากับทะเลปราณ เขาก็ได้เห็นสิ่งมีชีวิตปราณฉีอยู่บ้างจากระยะไกล

เป็นเพียงว่าสิ่งมีชีวิตปราณฉีคงจะให้ความสนใจพลังงานทางจิตวิญญาณเช่นจิตวิญญาณแรกกําเนิดไม่มากนัก

ดังนั้นจิตวิญญาณแรกกําเนิดของซูฉินจึงประสบความสําเร็จในการเข้าไปถึงส่วนลึกของทะเลปราณ

ถึงสิ่งมีชีวิตปราณฉีจะไม่สนใจพลังงานทางจิตวิญญาณ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่ามันจะไม่สนใจสิ่งอื่น

หากผู้ทรงพลังถึงขีดสุดเข้าสู่ทะเลปราณด้วยกายเนื้อ เมื่อปราณฉีและเลือดเนื้อแผ่ออกมาจากร่างกาย เกรงว่าสิ่งมีชีวิตปราณฉีคงจะสัมผัสมันได้ตั้งแต่ทีแรก

ในกรณีนั้น แม้แต่ผู้ทรงพลังถึงขีดสุดก็ยังมีความเสี่ยงที่จะถูกฉีกกระชากออกเป็นชิ้นๆ ในชั่วพริบตาเดียว

รู้หรือไม่ว่าสิ่งมีชีวิตปราณฉีถือกําเนิดขึ้นมาจากจิตใจฟ้าดินอันไร้ที่สิ้นสุด แม้ว่ามันจะมีพลังน้อยกว่าอีกาทองคําสามขามาก แต่มันก็ทําให้ซูฉันรู้สึกคล้ายกับตอนที่เผชิญหน้ากับหยดโลหิตของเทพเจ้าปีศาจที่ได้รับจากการลงชื่อเข้าใช้ภายในโลกถปีศาจ

ซูฉันคาดการณ์ว่าแม้พลังของสิ่งมีชีวิตปราณจีจะไม่ได้เทียบเท่าเทพเจ้าปีศาจในโลกถ้ําปีศาจ แต่ก็น่าจะใกล้เคียงกันมาก ด้วยความแข็งแกร่งของสิ่งมีชีวิตปราณฉี มันก็เป็นไปได้ที่จะปราบผู้ทรงพลังถึงขีดสุด

ท้ายที่สุด ในช่วงสุดท้ายตอนที่โลกถปีศาจกําลังล่าถอยกลับไป เทพเจ้าปีศาจตนหนึ่งก็เบิกเนตรออกมา สร้างความเสียหายอย่างหนักหน่วงให้แก่ตัวตนที่แข็งแกร่งจํานวนนับไม่ถ้วน รวมถึงผู้ทรงพลังถึงขีดสุดที่มีอยู่ไม่กี่คน

“เกือบจะคุ้นเคยกับพลังหลังจากการทะลวงขอบเขตแล้ว รักษาเสถียรภาพของขอบเขตได้แล้ว ต่อไปคงจะถึงเวลาไปจัดการกับนิกายเทพเจ้าสายฟ้า”

Sign in Buddha’s palm 322 (II) แบ่งจิต! กลับคืนต้นกําเนิด! สถิตเทพ!

“เอาล่ะ”

“ข้าคงต้องขอตัวกลับก่อน

ซูฉินอธิบายให้หลีหว่านฟังอีกครั้งหนึ่ง และหลังจากพูดคุยกับจักรพรรดิถังรวมถึงคนอื่นๆ สักพัก เขาก็กลับไปยังโถงพระราชวังสูงตระหง่านใต้ดิน

“ในที่สุด คราวนี้ข้าก็จะได้ตรวจสอบความเปลี่ยนแปลงต่างๆ ในขอบเขตเซียนเทพปฐพีได้ละเอียดยิ่งขึ้น” ซูฉินนั่งขัดสมาธิ จิตใจของเขาจมดิ่งสํารวจกายเนื้ออย่างต่อเนื่อง

เหลยเฉียนจือมาเพื่อสังหาร และหลังจากซูฉินก้าวเข้าสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพี่เขาก็ออกจากด่านฝึกตนทันทีและทําการสังหารคู่ต่อสู้ เป็นผลให้ซูฉันไม่มีเวลาสัมผัสการเปลี่ยนแปลงของเขาอย่างเต็มที่

“ในขอบเขตเซียนเทพปฐพี จิตวิญญาณแรกกําเนิดได้หลอมรวมกับทะเลปราณในส่วนลึกของความว่างเปล่าและสามารถรวบรวมพลังจากทะเลปราณได้ตลอดเวลาทั้งยังรักษาสมดุลระหว่างความเป็นมนุษย์และธรรมชาติได้อย่างสม่ําเสมอช่างน่าเหลือเชื่อยิ่งนัก……”

ซูฉันลืมตาขึ้นทันทีเบิกตากว้างด้วยความประหลาดใจ
ในที่สุดเขาก็รู้ว่าทําไมเซียนเทพปฐพี่ถึงอยู่ยงคงกระพัน ปรากฏว่าเซียนเทพปฐพี่มีพลังจากทะเลปราณ

ทะเลปราณนั้นกว้างใหญ่เพียงใด? เป็นสถานที่ที่พลังปราณมาบรรจบกัน เป็นสัญลักษณ์ของความมีชีวิตชีวาของโลก และก็เป็นความผันผวนภายในทะเลปราณนี่เองที่ทําให้กระแสปราณฉีมีจุดฟื้นตัวและมีจุดลดลง

แม้เซียนเทพปฐพี่จะยอดเยี่ยม แต่พลังจากทะเลปราณที่นํามาใช้ได้ก็เป็นเพียงส่วนเล็กๆภายในทะเลปราณทั้งหมด แต่นั่นอยู่ไกลเกินจินตนาการของจอมยุทธในขอบเขตตํานานยุทธแล้ว

“ขอบเขตเซียนเทพปฐพี่แบ่งออกเป็นสามชั้น แบ่งจิต กลับคืนต้นกําเนิด และสถิตเทพ!”

“และตอนนี้ข้าควรจะอยู่ในขั้นแบ่งจิต ทั้งยังเป็นจุดสูงสุดของขั้นแบ่งจิตด้วย!”ซูฉินกําหมัดแน่น รู้สึกได้ถึงพลังงานอันไร้ขอบเขตภายในร่าง และเปี่ยมไปด้วยจิตวิญญาณแรกกําเนิดอันมหาศาล ความผันผวนก็เกิดขึ้นในใจ

สิ่งที่เรียกว่าขั้นแบ่งจิตก็คือมีความสามารถในการแบ่งแยกจิตวิญญาณแรกกําเนิดซึ่งเป็นสิ่งที่เซียนเทพปฐพี่ทุกคนมี ตราบใดที่พวกเขาเต็มใจจะทํา พวกเขาสามารถแบ่งจิตวิญญาณแรกกําเนิดออกมาเป็นร่างจําแลงจิตวิญญาณแรกกําเนิดได้

อย่างไรก็ตาม ผู้ที่เพิ่งเข้าสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพี่ในครั้งแรกปกติแทบจะไม่สามารถแบ่งจิตวิญญาณแรกกําเนิดออกมาเป็นร่างจําแลงได้ เนื่องจากต้องจ่ายราคาที่สูงจนเกินไป เซียนเทพ ปฐพี่ที่เพิ่งสู่ขั้นแบ่งจิต แม้แต่พลังของจิตวิญญาณแรกกําเนิดที่มียังไม่เพียงพอพวกเขาจะเต็มใจ ละทิ้งส่วนหนึ่งของจิตวิญญาณแรกกําเนิดได้อย่างไร?

เช่นเดียวกับนักพรตหมั่นดาบ การใช้จิตวิญญาณแรกกําเนิดส่วนหนึ่งในการปรับแต่งดาบนั้นก็ไม่ได้แบ่งจิตออกไปมากมายอะไรนัก

“จุดสูงสุดของขอบเขตเซียนเทพปฐพี่ขั้นแบ่งจิต…..”

ดวงตาของซูฉินดูลึกซึ้ง และมีรอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขา

ผู้ฝึกยุทธคนอื่นๆ ที่เพิ่งเข้าสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพี พวกเขาล้วนเข้าสู่ขั้นแบ่งจิต แต่ซูฉินนั้นต่างออกไป ด้วยความช่วยเหลือจากร่างศักดิ์สิทธิ์อีกาทองคําและทะเลปราณจิตวิญญาณแรกกําเนิดของซูฉินแทรกซึมเข้าไปภายในส่วนลึกของทะเลปราณได้อย่างง่ายดาย

กระทั่งมาหยุดอยู่ที่เส้นแบ่งก่อนจะไปด้านล่าง ด้วยความช่วยเหลือจากทะเลปราณ เมื่อทะลวงขอบเขตเข้าสู่ขั้นแบ่งจิต ก็ปรากฏว่าเขาก็ได้มาถึงจุดสูงสุดของขั้นแล้ว

หากสิ่งนี้ได้ล่วงรู้ถึงหูเซียนเทพปฐพี่คนอื่นๆ ดวงตาของพวกเขาจะต้องกลายเป็นแดงก่ำอย่างไม่อาจเลี่ยงควรรู้ว่าการบ่มเพาะในขอบเขตเซียนเทพปฐพีนั้นยากเย็นยิ่งกว่าขอบเขตตํานานยุทธหลายต่อหลายเท่า ตัวอย่างเช่นเซียนเทพปฐพี่ที่กําเนิดขึ้นมาบนโลกนับพันปีก็ไม่จําเป็นว่า พวกเขาจะสามารถเข้าสู่จุดสูงสุดของชั้นแบ่งจิตได้แม้จะล่วงเลยมาถึงช่วงบั้นปลายชีวิตแล้วก็ตาม

ขณะที่ซูฉันเพิ่งทะลวงขอบเขตเซียนเทพปฐพี กลับอยู่ในจุดสูงสุดของขั้นแบ่งจิตแล้วซึ่งน่าตกใจอย่างยิ่ง

แม้จะเป็นยุคเฟื่องฟูกระแสปราณฉี ที่มีจิตใจฟ้าดินเพียงพออยู่ทั่วทุกที่หากเซียนเทพปฐพี่ต้องการจะบ่มเพาะไปจนถึงจุดสูงสุดของขั้นแบ่งจิตก็ต้องฝึกฝนอย่างหนักเป็นเวลาหนึ่งหรือสองร้อยปี

“ดูเหมือนว่าการเลือกใช้ร่างศักดิ์สิทธิ์อีกาทองคําเป็นสื่อชักนําเข้าสู่ทะเลปราณในส่วนที่ลึกขึ้นจะเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง”

ซูฉินดูพึงพอใจอย่างมาก

อันที่จริงตั้งแต่ตอนที่ซูฉินเข้าสู่แหล่งกําเนิดธาตุดินที่ยังไม่เติบโตเต็มที่ภายในทะเลทรายตะวันตก เขาก็สามารถเลือกทะลวงขอบเขตเซียนเทพปฐพี่ได้ตั้งแต่ตอนนั้น

มีเพียงสองสิ่งเท่านั้นที่ต้องเตรียมก่อนทะลวงขอบเขตเซียนเทพปฐพี หนึ่งคือต้องควบแน่นอาณาเขตได้และอีกประการคือต้องแปลงจิตวิญญาณแรกกําเนิดเรียบร้อยแล้ว

หากซูฉันพึงพอใจจะทะลวงขอบเขตในเวลานั้น เมื่อรวมกับแหล่งกําเนิดธาตุดินแล้วก็ไม่มีปัญหาใดในการทะลวงขอบเขตเซียนเทพปฐพี

แม้ว่าแหล่งกําเนิดธาตุดินนั้นจะยังไม่เป็นรูปเป็นร่างดีนัก แต่ซูฉินก็สะสมทรัพยากรมาเพียงพอ

ด้วยวิธีนี้ซูฉินย่อมเข้าไปภายในทะเลปราณได้ก่อนอย่างแน่นอน ทว่า แม้สุดท้ายจะประสบความสําเร็จในการก้าวเข้าสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพี แต่ก็คงเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของขั้นแบ่งจิตเท่านั้นจะนํามาเทียบกับขั้นสูงสุดเหมือนในปัจจุบันได้อย่างไร?

“ความแข็งแกร่งในจุดสูงสุดของขั้นแบ่งจิต ประกอบกับไพ่ลับในมืออื่นๆแม้ว่าข้าจะพบกับเซียนเทพปฐพี่ขั้นกลับคืนต้นกําเนิด ข้าก็คงจะสามารถต่อกรได้……”

ซูฉันคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ด้วยความสบายใจ

ไม่ว่าจะเป็นเซียนเทพปฐพี่ขั้นแบ่งจิต เซียนเทพปฐพี่ขั้นกลับคืนต้นกําเนิด หรือเซียนเทพปฐพขั้นสถิตเทพซึ่งเป็นขั้นสูงสุด พวกเขาล้วนมีระดับที่แตกต่างกันแม้จะเป็นเซียนเทพปฐพี่เหมือนกันก็ตาม แต่ก็ไม่ได้ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงถึงยิ่งใหญ่อะไรอย่างน้อยช่องว่างระหว่างวันแบ่งจิตกับขั้นกลับคืนต้นกําเนิดก็ไม่ได้ต่างกันเหมือนฟ้ากับเหว

ส่วนขั้นสถิตเทพ…….

ขั้นสถิตเทพนั้นเป็นระดับขั้นที่พิเศษมากในขอบเขตเซียนเทพปฐพี

ขั้นสถิตเทพนั้นได้ยืนอยู่บนจุดสูงสุดของขอบเขตเซียนเทพปฐพี่แล้ว และขั้นสถิตเทพนี้ก็เริ่มสัมผัสได้ถึงพลังมิตพื้นที่ แม้จะไม่สามารถทําลายได้อย่างอิสระเหมือนอย่างผู้ทรงพลังถึงขีดสุดแต่ก็เหนือกว่าเซียนเทพปฐพีทั้งหลาย

แน่นอนว่าขอบเขตเซียนเทพปฐพี่ขั้นสถิตเทพส่วนใหญ่อาจจะไม่สามารถสัมผัสได้ถึงพลังมิติแม้จะใช้เวลาทั้งชีวิต แม้ว่าจะได้สัมผัสพลังมิติได้จริงๆ เพราะมีโอกาสครั้งใหญ่แต่ในท้ายที่สุดการสัมผัสพลังได้กับการกลายเป็นผู้ทรงพลังถึงขีดสุดได้นั้นเป็นสองสิ่งที่แตกต่างกัน

“เมื่อเทียบกับการพัฒนาของขอบเขต การพัฒนาของร่างกายนั้นยิ่งใหญ่กว่า……” ซูฉินนี้บางสิ่งออกมาได้และมองไปที่มือของตนเอง

ตํานานยุทธขั้นสูงสุดที่เข้าสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพี ทั้งร่างกายและจิตวิญญาณแรกกําเนิดล้วนพัฒนาสูงขึ้นหมด

จิตวิญญาณแรกกําเนิดผสานเข้ากับทะเลปราณ ถูกหล่อเลี้ยงด้วยทะเลปราณ จากนั้นจึงดึงพลังจากทะเลปราณมาขัดเกลาร่างกาย

“หลังจากประสบความสําเร็จระดับเล็กในภาพดวงตะวันขนาดมหึมา ก็ควบแน่นเป็นร่างศักดิ์สิทธิ์อีกาทองค่า”

“เมื่อจิตวิญญาณแรกกําเนิดดึงพลังงานธาตุไฟภายในทะเลปราณเข้ามาเสริมแกร่งร่างกายมันก็เป็นการบ่มเพาะภาพดวงตะวันขนาดมหึมาอย่างต่อเนื่อง……”

ซูฉินหลับตาลงและจิตใจก็จดจ่ออยู่กับแผ่นหินภาพดวงตะวันขนาดมหึมาที่อยู่ลึกลงไปในจิตใจ

“การฝึกฝนภาพดวงตะวันขนาดมหึมา แบ่งออกเป็นขั้นเริ่มต้น ความสําเร็จระดับเล็กและความสําเร็จชั้นยอดความสําเร็จชั้นยอดในภาพดวงตะวันฯ สามารถเปลี่ยนข้าให้กลายเป็นอีกาทองคําสามขาสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ที่แข็งแกร่งที่สุดในด้านเปลวเพลิง”

ซูฉันมองดูแผ่นหินภาพดวงตะวันขนาดมหึมาที่อยู่ลึกภายในจิตใจ จุดแสงนับหมื่นจุดบนแผ่นหินขณะนี้มันเรืองแสงจางๆ ออกมากว่าห้าร้อยจุดที่บริเวณขอบของแผ่นหิน

“จุดดวงไฟได้ห้าร้อยจุดแล้วงั้นหรือ?”

ดวงตาของซูฉินเป็นประกาย เผยรอยยิ้มที่ยากจะซ่อนออกมา

รู้หรือไม่ก่อนที่ซูฉินจะปิดด่านฝึกตน แผ่นหินภาพดวงตะวันขนาดมหึมายังอยู่ในขั้นความสําเร็จระดับเล็กมีจุดแสงเพียงร้อยจุดบริเวณขอบหิน

นี่เป็นผลจากการลงชื่อเข้าใช้อย่างต่อเนื่องของซูฉินมาหลายสิบปี รวมกับแหล่งกําเนิดธาตุไฟที่สูบกลืนเข้าไป

แต่ตอนนี้ เพียงแค่ก้าวเข้าสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพี จดแสงก็สว่างขึ้นกว่าสี่ร้อยจุดการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวทําให้ซูฉินมีความสุขอย่างมาก

แม้ว่าซูฉินจะสัมผัสได้ถึงการเปลี่ยนแปลงของร่างศักดิ์สิทธิ์อีกาทองคําอยู่เล็กน้อยและคาดว่ามันเป็นการพัฒนาที่ก้าวกระโดดแน่ๆ แต่เมื่อมาดูแผ่นหินภาพดวงตะวันขนาดมหึมาด้วยตาตน เอง เขาก็ยังเปี่ยมไปด้วยความสุขอยู่ดี

“พลังงานธาตุไฟภายในทะเลปราณนั้นมหาศาลยิ่ง”

ซูอินถอนหายใจออกมา

เพียงใช้จิตวิญญาณแรกกําเนิดเพื่อดึงพลังงานธาตุไฟมาขัดเกลาร่างกาย ถึงกับผลักดันภาพดวงตะวันขนาดมหึมาให้ก้าวหน้าตามที่เห็น…

“ถ้าร่างกายของข้าเข้าสู่ทะเลปราณและกลืนพลังงานธาตุไฟที่มหาศาลภายในเกรงว่าข้าจะสามารถบ่มเพาะภาพดวงตะวันขนาดมหึมาจนสําเร็จได้ในเวลาอันสั้น…….”

หัวใจของซูฉันเต้นถี่รัว

Sign in Buddha’s palm 322 (1) แบ่งจิต! กลับคืนต้นกําเนิด! สถิตเทพ!

ตั้งแต่รู้ว่า ประตูเซียน มีมาตั้งแต่ยุคเฟื่องฟูกระแสปราณฉีครั้งล่าสุด เกิดจากการที่ผู้ทรงพลังถึงขีดสุดหลายคนร่วมมือกันบุกทะลวงความว่างเปล่าและเปิดโลกใบเล็กขึ้นมา ซูฉินก็เริ่มสงสัยเกี่ยวกับประตูเซียนมากขึ้น

เพียงแค่ว่าเรื่องของ ประตูเซียน ถือเป็นความลับสุดยอดแม้แต่ในนิกายใหญ่จํานวนมาก รวมถึงสํานักชะตาฟ้าที่รู้เรื่องผู้คนมากมาย ก็ยังไม่รู้เกี่ยวกับประตูเซียนมากนัก

แต่วิญญาณดาบตรงหน้าที่นักพรตหมื่นดาบทิ้งเอาไว้นั้นแตกต่างกัน

ในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่งของจิตวิญญาณแรกกําเนิดของนักพรตหมื่นดาบ วิญญาณดาบได้สืบทอดความทรงจําของนักพรตหมั่นดาบมาด้วย และในสมัยนั้น นักพรตหมื่นดาบก็ได้เดินทางท่องไปทั่วโลก ความเข้าใจที่มีต่อประตูเซียนจะต้องมากกว่าสํานักชะตาฟ้ามาก

ท้ายที่สุดประตูเซียนก็ถูกสร้างโดยผู้ทรงพลังถึงขีดสุด และมีไอพลังของผู้ทรงพลังถึงขีดสุดคอยปกป้องเอาไว้ แม้จะเป็นการคํานวณชะตาของสํานักชะตาฟ้าก็ตาม ก็ไม่ได้รู้อะไรมากนัก จะนํามาเทียบกับนักพรตหมื่นดาบที่ค้นหาร่องรอยของประตูเซียนเป็นการส่วนตัวได้อย่างไร?

“เจ้าของได้พบประตูเซียนแล้ว”

ร่างลวงตาของชายวัยกลางคนเงียบอยู่นานก่อนจะพูดขึ้นมา

“โอ้?”

ดวงตาของซูฉินเป็นประกาย

“แค่ไม่รู้ว่าได้เข้าไปภายในประตูเซียนหรือไม่” ชายวัยกลางคนส่ายศีรษะพร้อมกับพูดออกมาว่า “แต่เจ้าของได้บอกกับข้าไว้ในตอนสุดท้าย ทางเข้าประตูเซียนนั้นอันตรายอย่างยิ่งจนแทบจะไม่สามารถเอาชีวิตรอดได้เลย เป็นเหตุผลที่มันยังคงอยู่ดีไม่มีใครไปแตะต้อง…….”

ร่างลวงตาวัยกลางคนเล่าสิ่งที่นักพรตหมื่นดาบเมื่อสี่พันปีก่อนได้บอกออกมาด้วยความรู้สึกที่ไม่ยินยอมและทําอะไรไม่ถูกแฝงอยู่

เพื่อให้สามารถฝ่าฟันอุปสรรคทั้งหมดในยุคกระแสปราณฉีเงียบงันและก้าวเข้าสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพี ผู้ใดบ้างที่ไม่ใช่ลูกรักสวรรค์? มีความภาคภูมิใจในตนเองแค่ไหน? แต่ผลลัพธ์กลับเป็นการเฝ้าดูตนเองถูกจํากัดไว้ด้วยสภาพแวดล้อมบนโลก ค่อยๆ โรยราสู่ความชราทีละก้าว เมื่อรู้ว่าใกล้จะตายก็ยังต้องตามหาประตูเซียนต่อไป……

อีกแง่หนึ่ง หากเซียนเทพปฐพีในยุคกระแสปราณฉีเงียบงันได้อยู่ในยุคเฟื่องฟูกระแสปราณนี้ สุดท้ายแล้ว อย่างน้อยก็ต้องก้าวไปสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพี่ขั้นสูงสุด ไม่อ่อนแอไปกว่าจ้าวทะเลบูรพา และมีหวังที่จะทะลวงไปสู่ขอบเขตทลายนภากาศของผู้ทรงพลังถึงขีดสุด

“อันตรายอย่างยิ่งแทบจะเอาชีวิตไม่รอด……”

ใบหน้าของซูฉินครุ่นคิด

นี่คล้ายกับการคาดเดาของเขาและสํานักชะตาฟ้า มันเป็นสถานที่ที่ผู้ทรงพลังถึงขีดสุดเปิดความว่างเปล่าออกมา แน่นอนว่าไม่ได้อยู่บนโลกมนุษย์ หากต้องการพื้นเข้าไปภายในประตูเซียนจากโลกมนุษย์ จะต้องผ่านช่องว่างแห่งความว่างเปล่า

ช่องว่างแห่งความว่างเปล่านั้นเต็มไปด้วยพลังของมิติ และตัวตนที่อยู่ต่ากว่าผู้ทรงพลังถึงขีดสุดไม่สามารถข้ามไปได้เลย มีแต่จะถูกทําลายด้วยพลังของมิติช่องว่างอันไร้ที่สิ้นสุดเท่านั้น

“นักพรตหมื่นดาบรู้ข้อมูลอื่นๆ เกี่ยวกับประตูเซียนหรือไม่?” ซูฉินแตะปลายคางพร้อมกับถามต่อไป

ตามความคิดของซูฉิน ในอนาคตเขาจะต้องได้ไปประตูเซียนด้วยตนเอง และลงชื่อเข้าใช้ในทุกๆ ที่ภายในประตูเซียนที่สามารถลงชื่อเข้าใช้ได้ ดังนั้นเขาจึงต้องการล่วงรู้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับประตูเซียนเอาไว้ล่วงหน้าเป็นธรรมดา

“ข้อมูลอื่นๆ เกี่ยวกับประตูเซียน?”

ร่างลวงตาวัยกลางคนก้มศีรษะครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “เจ้าของได้กล่าวออกมาโดยไม่ได้ตั้งใจว่า หากไม่ใช่เพราะประตูเซียน ช่วงเวลาที่กระแสปราณฉีจะเฟื่องฟูคงอยู่ต่อไปได้อีกสองพันปี”

“ผู้ทรงพลังถึงขีดสุดหลายคนบุกเข้าไปภายในความว่างเปล่าและเปิดโลกใบเล็กขึ้นมาเป็นประตูเซียน แต่ในตอนแรกสิ่งที่ผู้ทรงพลังถึงขีดสุดสร้างขึ้นมาได้ไม่ใช่โลกใบเล็ก อย่างมากสุดมัน ก็สามารถมองว่าเป็นพื้นที่อันกว้างใหญ่ได้ แม้จะสามารถรองรับสิ่งมีชีวิต แต่เนื่องจากกฎเกณฑ์ที่ไม่สมบูรณ์ ก็ยากนักที่จะเกิดผู้ฝึกยุทธขึ้นมาได้

ร่างลวงตาวัยกลางคนกล่าวออกอย่างช้าๆ

“งั้นรึ?”

ดวงตาของซูฉินเป็นประกาย

ทันใดนั้นเขาก็นึกไปถึงวิหารการสงคราม

ในฐานะที่มันเป็นสมบัติมิตพื้นที่ วิหารการสงครามก็ไม่ได้อยู่บนโลกเช่นกัน อย่างไรก็ตาม สิ่งที่แตกต่างจากโลกมนุษย์คือ ถึงแม้จะมีพลังงานฟ้าดินมากมายภายในวิหารการสงคราม แต่ก็เป็นเรื่องยากที่จะทะลวงขั้นต่อไปได้ เนื่องจากขาดแคลนพลังของกฎเกณฑ์

จอมยุทธทั้งหลายที่เข้าไปภายในวิหารการสงครามล้วนมีความก้าวหน้าอย่างรวดเร็วหลังออกมาจากวิหารการสงคราม

กล่าวอีกนัยหนึ่ง การอยู่ในวิหารการสงครามจะไม่มีความก้าวหน้า

แต่ตามที่สํานักชะตาฟ้าได้บอกซูฉินไว้ เห็นได้ชัดว่าโลกใบเล็กของประตูเซียนสามารถให้กําเนิดเซียนเทพปฐพี และแม้แต่ผู้ทรงพลังถึงขีดสุดก็สามารถพัฒนาต่อไปได้

“ปราณฉีฟ้าดินก็เปรียบได้กับกระแสน้ํา มีช่วงที่ลดต่าและมีช่วงที่ฟื้นตัว แต่ไม่ว่าจะเป็นช่วงฟื้นตัวหรือเสื่อมโทรม มันก็จะดําเนินไปอย่างช้าๆ ค่อยเป็นค่อยไป”

“แต่ในช่วงท้ายของยุคเฟื่องฟูกระแสปราณฉี หลังจากที่ประตูเซียนถูกสร้างขึ้น ผู้ทรงพลังถึงขีดสุดได้ใช้ทิพยอํานาจอันยิ่งใหญ่ของพวกเขา นําเศษเสี้ยวกฎเกณฑ์และจิตใจแห่งฟ้าดินจากโลกมนุษย์เข้าไปสู่โลกใบเล็ก”

“ด้วยเหตุนี้ ในเวลาเพียงสองสามปี กระแสปราณฉีภายในโลกมนุษย์จึงเงียบงันโดยสมบูรณ์……”

เมื่อชายวัยกลางคนล่าวเช่นนี้ ก็มีเสียงประชดประชันออกมาพร้อมกับมุมปากที่กระตุกขึ้น

แม้จะเป็นผู้ทรงพลังถึงขีดสุด แต่ก็ยังเห็นแก่ตัว ไม่เช่นนั้นจะมีประตูเซียนเกิดขึ้นได้อย่างไร?

“เป็นเช่นนี้นี่เอง”

ซูฉินพยักหน้าเล็กน้อย

ในตอนนี้ซูฉินรู้แล้วว่าประตูเซียนเป็นตัวตนเช่นไร

พูดให้ชัดๆ คือไม่มีความแตกต่างมากนักระหว่างประตูเซียนและวิหารการสงคราม แต่พื้นที่ภายในประตูเซียนนั้นกว้างขวางกว่าวิหารการสงครามมาก

ประตูเซียนเกิดจากผู้ทรงพลังถึงขีดสุดร่วมมือกันสร้างขึ้นมา และวิหารการสงครามได้รับการปรับแต่งจากผู้ทรงพลังถึงขีดสุดแค่คนเดียวเท่านั้น มีความห่างชั้นระหว่างทั้งค่อย

นอกจากนี้ การที่ประตูเซียนชักนํากฎเกณฑ์และจิตใจแห่งฟ้าดินเข้ามา ทําให้มั่นฝึกฝนได้ง่ายดายกว่าวิหารการสงคราม นี่คือเหตุผลว่าทําไมประตูเซียนถึงถูกเรียกว่า โลกใบเล็ก

“มนุษย์สวรรค์ ความจริงทุกสิ่งที่ข้ารู้ ได้บอกต่อแก่ท่านแล้ว ส่วนเรื่องการฝังรากอยู่ในร่างของหว่านเอ๋อ ทั้งหมดเป็นเพราะหว่านเอ๋อเหมาะสมกับมรดกของเจ้าของ…”

ร่างลวงตาชายวัยกลางคนโค้งคํานับซูฉินอย่างนอบน้อม “ข้าหวังว่ามนุษย์สวรรค์จะช่วยทําให้ข้าสมหวัง”

“มรดกของนักพรตหมื่นดาบ…” ดวงตาของซูฉินสงบลง และเหลือบมองไปทางหลีหว่านที่อยู่ด้านข้าง

ในตอนนี้หลีหว่านยังคงมึนงงอยู่ นางไม่ได้คาดคิดว่า ปู่หมื่นดาบที่มักปรากฏขึ้นภายในใจของนางจะกลายเป็นวิญญาณดาบที่ทิ้งไว้โดยเซียนเทพปฐพีวิถีดาบเมื่อสี่พันปีก่อน

สําหรับจักรพรรดิถัง ซูเยว่หยุนและคนอื่นๆ ไม่มีการตอบสนองใดเป็นเวลานาน พวกเขายังคงจ้องมองไปยังร่างลวงตาชายวัยกลางคน

ชายชราเฟ่ยยวี๋และตํานานยุทธอีกหลายคนมองหลีหว่านด้วยความอิจฉา

วิญญาณดาบเกิดจากการปรับแต่งส่วนหนึ่งของจิตวิญญาณแรกกําเนิดของนักพรตหมั่นดาบ

ได้รับการสั่งสอนจากวิญญาณดาบเทียบเท่ากับการที่เซียนเทพปฐพี่มาสอนด้วยตนเอง เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้เป็นสิ่งที่ตํานานยุทธในต่างดินแดนทั้งหมดไม่แม้แต่จะฝันถึง

“หวังว่าเจ้าจะไม่ได้มีความคิดเป็นอื่น” ซูฉินครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ยกมือขวาขึ้น ชี้ไปที่ร่างลวงตาของชายวัยกลางคน

ช่วงเวลาต่อมา

วิญญาณดาบที่นักพรตหมื่นดาบทิ้งเอาไว้ ก็กลายเป็นดาบศักดิ์สิทธิ์ลวงตาอีกครั้งและกลับเข้าสู่ร่างของหลีหว่าน

แม้ว่าวิญญาณดาบจะเกิดจากการขัดเกลาจิตวิญญาณแรกกําเนิดของนักพรตหมื่นดาบ แต่โดยพื้นฐานแล้ว มันแตกต่างไปจากนักพรตหมื่นดาบ วิญญาณดาบนั้นไม่ใช่นักพรตหมื่นดาบอีกต่อไป และไม่นับว่าเป็นมนุษย์ด้วยซ้ํา

ดังนั้น ซูฉินจึงไม่ต้องกังวลเรื่องการเกิดใหม่โดยอาศัยร่างกายของหลีหว่าน

กว่าสีพันปีได้ผ่านพ้น แม้แต่ผู้ทรงพลังถึงขีดสุดก็ยังแก่ตาย นับประสาอะไรกับเซียนเทพปฐพี?

ควบคู่ไปกับดัชนีครั้งสุดท้ายของซูฉิน ได้ทิ้งเคล็ดบางอย่างไว้ในร่างของวิญญาณดาบ ช่วยตัดช่องทางต่างๆ ออกไปในกรณีที่วิญญาณดาบมีความคิดเป็นอื่น

“เอาล่ะ”

“ข้าคงต้องขอตัวกลับก่อน”

ซูฉินอธิบายให้หลีหว่านฟังอีกครั้งหนึ่ง และหลังจากพูดคุยกับจักรพรรดิถังรวมถึงคนอื่นๆ สักพัก เขาก็กลับไปยังโถงพระราชวังสูงตระหง่านใต้ดิน

Sign in Buddha’s palm 321 นักพรตหมื่นดาบ

ขณะที่บรรพชนนิกายใหญ่และตํานานยุทธคนอื่นๆ กําลังมองจุดที่เกิดการต่อสู้สั่นสะเทือน เลือนลั่นของซูฉินเมื่อคร่อยู่นั้น

ซูฉินก็ได้กลับไปที่วังหลวงแล้ว

จักรพรรดิถัง ซูเยวหยุน และคนอื่นๆ พากันล้อมวงเข้ามาในทันที ลังเลกันอยู่ว่าจะพูดอะไรดี จ้องมองมาที่ซูฉินอย่างใกล้ชิด

“หากมีคําถามใดก็ถามมาได้เลย” ซูฉินยิ้มอย่างอ่อนโยน หลังจากที่เข้าสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพี ทุกย่างก้าวของเขาสอดรับกับพลังฟ้าดินไปหมด แม้จะไม่มีไอพลังออกมา มันก็ยังทําให้ผู้คนใจสั่น

ยิ่งมีความแข็งแกร่งมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งรับรู้มันได้ชัดมากขึ้นเท่านั้น

“พี่สาม ที่ปรากฏต่อหน้าพวกเราเมื่อครู่…” จักรพรรดิถังลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แต่ก็ยังถามออก อย่างระมัดระวัง

“นั่นคือร่างจําแลงของข้าเอง” ซูฉินกล่าวอย่างใจเย็น

ก่อนที่จะกลายเป็นเซียนเทพปฐพี ซูฉินจําเป็นต้องปกปิดการมีอยู่ของร่างจําแลง ท้ายที่สุด ร่างจําแลงก็มักจะเป็นสิ่งที่มีได้เพียงแค่ในขอบเขตเซียนเทพปฐพี่เท่านั้น ขอบเขตที่ต่ํากว่าเซียน เทพปฐพียังมีจิตวิญญาณแรกกําเนิดไม่เพียงพอด้วยซ้ํา จะกล้าแยกจิตวิญญาณแรกกําเนิดได้อย่างไร?

แต่ซูฉินอาศัย [จิตมารแยกวิถี] และโอสถจํานวนมากมายนับไม่ถ้วนเพื่อเสริมจิตวิญญาณของตนเอง เขาถึงกล้าที่จะแยกร่างจําแลงออกมาตั้งแต่ตอนที่อยู่ในขอบเขตตํานานยุทธ

ส่วนตอนนี้ที่ซูฉินได้ก้าวเข้าสู่ขอบเขตตํานานยุทธโดยสมบูรณ์แล้ว ไม่จําเป็นต้องปกปิดการมีอยู่ของร่างจําแลงอีกต่อไป

“ร่างจําแลง….

จักรพรรดิถังกะพริบตา

“ไม่ต้องกังวล ร่างจําแลงและตัวข้านั้นไม่ได้มีความแตกต่างใด” ซูฉันอธิบายอย่างอดทน

“นายท่าน เซียนเทพปฐพจากนิกายเทพเจ้าสายฟ้าได้ตายลงอย่างสมบูรณ์แล้วหรือ?” ชายชราเฟยยถามออกอย่างไม่ค่อยแน่ใจนัก หลังจากที่เห็นว่าคนอื่นไม่มีคําถามอื่นใด

“ตกตายโดยสมบูรณ์แล้ว” ซูฉินพยักหน้าเล็กน้อย

หลังจากเผาเหลยเฉียนฉือจนกลายเป็นความว่างเปล่าด้วยดวงตาตะวันสีทอง ซูฉินก็หยุดอยู่ที่เดิมชั่วครู่ ตรวจสอบพื้นที่ด้วยจิตวิญญาณแรกกําเนิดและอาณาเขตขนาดใหญ่อย่างต่อเนื่อง ปิดท้ายด้วยการใช้ดวงตาแห่งสัจจะสอดส่อง เมื่อยืนยันได้ว่าเหลยเฉียนจือถูกทําลายจนสิ้นแล้วจึงได้จากมา

ต้องตัดรากถอนโคนให้หมดจด ซูฉินจะไม่ทราบเรื่องที่แม้แต่ขอบเขตวิทยายุทธสามระดับล่างยังล่วงรู้ได้อย่างไร?

“ตกตายไปแล้วก็นับเป็นเรื่องดี” ชายชราเฟยยวและตํานานยุทธอีกหลายคนถอนหายใจด้วยความโล่งอก

เดิมที่พวกเขากังวลว่าเหลยเฉียนฉือจะหลบหนีไปด้วยจิตวิญญาณแรกกําเนิดและหันกลับมา แก้แค้นในอนาคต แต่ตอนนี้ดูเหมือนซูฉันจะขจัดความกังวลของพวกเขาไปจนสิ้นแล้ว

“ลุงสาม ท่านแข็งแกร่งเกินไปจริงๆ แม้แต่ปู่หมื่นดาบก็เทียบท่านไม่ได้…” หลีหว่านกล่าวออกอย่างตื่นเต้น

“ปู่หมื่นดาบ?”

ซูฉินตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง

ในเวลาต่อมา ซูฉินก็ค่อยๆมองไปที่หลีหว่าน มองดูเจตจํานงดาบภายในร่างของหลีหว่าน

เจตจํานงดาบนี้มาจากตอนที่หลีหว่านถูกพาตัวไปโดยพรรคหมื่นดาบ บรรพชนดาบได้ใส่มันเข้าไปภายในร่างของหลีหว่านเพื่อให้การยึดร่างเป็นไปได้โดยราบรื่น

เจตจํานงดาบนี้ได้ถูกบรรพชนดาบทําความเข้าใจมาแล้วบนยอดเขาดาบพันจ้างบนเกาะหมื่นดาบ ว่ากันว่าเป็นหนึ่งในมรดกของนักพรตหมื่นดาบที่มีค่ายิ่ง

เมื่อซูฉินพาหลีหว่านกลับมา ก็ได้ตรวจสอบเจตจํานงดาบนี้ด้วยความระมัดระวังแล้ว และไม่ได้สังเกตเห็นสิ่งใด เจตจํานงดาบนี้ลึกลับอย่างยิ่ง แม้มันจะเป็นลักษณะกาฝากฝังอยู่ในร่างกายของหลีหว่าน แต่ก็คงจะอยู่ได้ไม่กี่ร้อยปี หลังจากหลายร้อยปีต่อจากนี้ เจตจํานงดาบเล่มนี้คงจะพังทลายลงอย่างสมบูรณ์

อย่างไรก็ตาม ในขณะนี้ที่ซูฉินเข้าสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพี และจ้องไปที่เจตจํานงนี้อีกครั้ง เขาก็ได้พบเห็นสิ่งที่ไม่เคยเห็นมาก่อน
“หึ!”

ใบหน้าของซูฉินดูเย็นชา ยกมือขวาขึ้นแล้วกดลงมาเบาๆ

ฉับพลัน เจตจํานงดาบลวงตาภายในร่างของหลีหว่านก็ถูกดึงออกมาโดยพลังของซูฉินอย่างกะทันหัน

เจตจํานงดาบเป็นเพียงลักษณ์ลวงตา กลิ้งหมุนไปมาอย่างต่อเนื่อง ในที่สุดก็กลายเป็นร่างลวงตาของชายวัยกลางคนที่มีดวงตาเปรียบเสมือนดาบ

“นักพรตหมื่นดาบ?”

ซูฉันมองไปที่ชายวัยกลางคนก่อนที่จะกล่าวออกมาเบาๆ

แม้ว่าซฉันจะไม่เคยเห็นนักพรตหมื่นดาบมาก่อน แต่เขาก็เชื่อมั่นอย่างยิ่งว่าร่างลวงตาของชายวัยกลางคนที่อยู่เบื้องหน้าของเขานั้น แม้จะไม่ใช่นักพรตหมั่นดาบ แต่ก็ต้องมีความสัมพันธ์กับนักพรตหมื่นดาบเมื่อสี่พันกว่าปีก่อนเป็นแน่

ไม่เช่นนั้น ยกเว้นแต่เซียนเทพปฐพีวิถีดาบและนักพรตหมั่นดาบเมื่อสี่พันกว่าปีก่อน จะมีใครปลดปล่อยเจตจํานงดาบที่บริสุทธิ์ขนาดนี้ออกมาได้?

“เจ้าของตัวจริงนั้นตกตายไปนานแล้ว ข้าเป็นเพียงวิญญาณดาบที่เจ้าของได้หลงเหลือเอาไว้” ชายวัยกลางคนถอนหายใจออกมา กล่าวออกตามความจริง

วิญญาณดาบนั้นเรียกได้ว่าเป็นพลังส่วนหนึ่งของเซียนเทพปฐพีในวิถีแห่งดาบ ที่แยกจิตวิญญาณส่วนหนึ่งของตนเองออกมาปรับแต่งอาวุธวิเศษ

ในแง่หนึ่ง วิญญาณดาบนั้นเป็นสิ่งมีชีวิตที่เป็นอิสระ ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดกับนักพรตหมื่นดาบ แต่อาจจะสืบทอดบางส่วนจากความทรงจําของนักพรตหมื่นดาบมา สร้างขึ้นเป็นชีวิตใหม่

วิญญาณดาบไม่ใช่มนุษย์ แต่เป็นสสารรูปแบบวิญญาณเสียมากกว่า

แน่นอนมีหลายวิธีที่จะให้กําเนิดวิญญาณดาบ ที่พบบ่อยที่สุดคือการที่ดาบวิเศษได้คงอยู่มานานหลายพันหลายหมื่นปี จิตวิญญาณบางประเภทจะถือกําเนิดขึ้นเองตามธรรมชาติ

อย่างไรก็ตามวิญญาณดาบที่ควบแน่นขึ้นมาตามธรรมชาตินั้นใช้เวลานานเกินไป ใช้เวลาอย่างน้อยเป็นหมื่นปี ยิ่งกว่านั้น กลิ่นอายของชายวัยกลางคนตรงหน้าก็มาจากแหล่งพลังเดียวกันกับนักพรตหมั่นดาบ เป็นไปได้ว่านักพรตหมั่นดาบจะตัดบางส่วนของจิตวิญญาณเพื่อมาปรับแต่งมันจริงๆ

“วิญญาณดาบ?”

ซูฉินหรี่ตาลงเล็กน้อย แต่ภายในใจก็ค่อนข้างเชื่อ

นักพรตหมื่นดาบเป็นเซียนเทพปฐพี่ที่อยู่มาตั้งแต่สี่พันกว่าปีก่อน มันก็สมเหตุสมผลว่าเขาได้ตายไปนานแล้ว จะมีชีวิตมาจนถึงปัจจุบันได้อย่างไร?

ถ้ามันคือวิญญาณดาบ ก็ฟังดูสมเหตุสมผล

วิญญาณดาบไม่ใช่นักพรตหมื่นดาบ ไม่ใช่เผ่าพันธุ์มนุษย์ เป็นชีวิตจิตวิญญาณที่สามารถดํารงอยู่ได้เป็นพันๆปี

“จุดประสงค์ที่นักพรตหมั่นดาบทิ้งเจ้าไว้คือสิ่งใด?” ซูฉินกล่าวถามด้วยอาการเฉยเมย

“เจ้าของนั้นหวังจะถ่ายทอดมรดกของเขาสืบไป” ร่างลวงตาของชายวัยกลางคนกล่าวออกในทันที มันให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่
ความแข็งแกร่งของซูฉินนั้น แม้แต่นักพรตหมั่นดาบเมื่อสี่พันปีที่แล้วก็อาจจะไม่สามารถสู้ได้ นับประสาอะไรกับวิญญาณดาบในตอนนี้?

ดังนั้น หากชายวัยกลางคนต้องการจะรอดชีวิตต่อไป สิ่งเดียวที่ทําได้คือการตอบคําถามของ

ซูฉิน

“ถ่ายทอดมรดกสืบไป?”

“พรรคหมื่นดาบก็เป็นมรดกของนักพรตหมื่นดาบไม่ใช่หรือ?”

ซูฉันยังไม่ได้ปักใจเชื่อ

พรรคหมื่นดาบนั้นเขาทําลายมากับมือตนเอง เขาย่อมรู้ดีว่าพรรคหมื่นดาบเป็นนิกายที่ก่อตั้งโดยนักพรตหมั่นดาบ

“พรรคหมื่นดาบ?”

ร่างลวงตาชายวัยกลางคนส่ายศีรษะแล้วกล่าวว่า “พรรคหมื่นดาบไม่ใช่มรดกที่เจ้าของทิ้งไว้ เป็นทายาทที่ค้นพบถ้ําเซียนที่เจ้าของทิ้งเอาไว้จึงได้เรียนรู้เคล็ดวิชาจากเจ้าของมาเล็กน้อย จากนั้นจึงกล่าวอ้างชื่อเจ้าของอย่างไร้ยางอาย ก่อตั้งนิกายขึ้นมา”

เมื่อชายวัยกลางคนกล่าวออกเช่นนี้ ร่องรอยการดูหมิ่นก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขา

“เป็นเช่นนี้นี่เอง”

ใบหน้าของซูฉินแสดงอาการครุ่นคิดออกมาเมื่อได้ยินเช่นนี้

มันสามารถอธิบายได้ว่าทําไมพรรคหมื่นดาบจึงอ่อนแอ และแม้แต่บรรพชนดาบที่แข็งแกร่งที่สุดในนิกายยังอยู่ในขั้นแปลงจิตวิญญาณแรกกําเนิดเท่านั้น

รู้หรือไม่ แม้แต่นิกายเฮยหยวนที่ไม่เคยมีเซียนเทพปฐพี่กําเนิดขึ้นมา ปฐมบรรพชนยังเทียบเคียงได้กับครึ่งก้าวเข้าสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพี พรรคหมื่นดาบจะมีบรรพชนดาบแค่คนเดียวที่เป็นผู้แข็งแกร่งที่สุดได้อย่างไร ถ้ามันเป็นมรดกตกทอดจากเซียนเทพปฐพี่ในวิถีแห่งดาบ?

ต้องรู้ว่าถ้านิกายเป็นมรดกตกทอดจากเซียนเทพปฐพี่จริงๆ มันย่อมมีมรดกสะสมอยู่มากมายอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง ทําได้แม้กระทั่งผลักดันผู้คุมกฎภายในนิกายให้เป็นครึ่งก้าวเข้าสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพี จากนั้นจึงหลับใหลด้วยวิธีปิดผนึกตนเอง ค่อยตื่นขึ้นอีกครั้งยามเมื่อนิกายเผชิญภัยร้าย
แต่พรรคหมั่นดาบ…..

นักพรตหมื่นดาบเป็นเซียนเทพปฐพีที่กําเนิดขึ้นมาเมื่อสี่พันกว่าปีก่อน เมื่อเทียบกับเซียนเทพปฐพีคนอื่นๆ ที่เสียชีวิตไปนานแล้ว นี่นับว่าอายุน้อยมากแล้ว จะเป็นไปได้อย่างไรที่ไม่ต่อต้านซูฉินอย่างรุนแรง?

รู้หรือไม่ว่าตอนที่ซูฉันทําลายพรรคหมั่นดาบ ในตอนนั้นแม้แต่จิตวิญญาณแรกกําเนิดก็ยังไม่ได้เปลี่ยนแปลง หากพรรคหมื่นดาบมีขุมพลังระดับครึ่งก้าวเข้าสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพี แม้ซูฉินจะใช้ไพ่ลับออกมาหลายใบเพื่อทําลายพรรคหมื่นดาบ มันก็ยังต้องสูญเสียไม่น้อย

แม้ว่าครึ่งก้าวเข้าสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพี่จะไม่ได้แข็งแกร่งเท่าเซียนเทพปฐพจริงๆ แต่สุดท้ายพวกเขาก็ได้เห็นถึงวิถีทางของเซียนเทพปฐพี่แล้ว อยู่เหนือตํานานยุทธขั้นสูงสุดทั่วไป

เมื่อซูฉันกําลังพูดคุยอยู่กับวิญญาณดาบที่นักพรตหมื่นดาบทิ้งเอาไว้ ผู้คนที่อยู่รอบข้างต่างก็ตกตะลึง

ข้อมูลที่ร่างลวงตาชายวัยกลางคนพูดออกมานั้นนับเป็นความลับที่ยิ่งใหญ่ของยุทธภพต่างแดน

โดยเฉพาะชายชราเฟยยว เขาไม่ได้คาดคิดว่าพรรคหมื่นดาบจะไม่ใช่มรดกที่ทิ้งไว้โดยนักพรตหมื่นดาบ แต่กลับเป็นคนรุ่นหลังที่ก่อตั้งขึ้นมา

“ไม่น่าแปลกใจที่พ่อมดราชันจากสํานักผู้วิเศษที่โจมตีพรรคหมื่นดาบเมื่อสามพันปีก่อน สุดท้ายกลับหยุดอยู่หน้ายอดเขาดาบพันจ้าง บางทีในเวลานั้นพ่อมดราชันอาจจะค้นพบแล้วว่าพรรคหมี่นดาบไม่ใช่นิกายที่สืบทอดมาจากนักพรตหมื่นดาบ จึงจากไปอย่างไร้ความสุข”

ประกายความคิดผดขึ้นมาในหัวของชายชราเฟียยวหลังจากนั้นไม่นาน

“ถ้าเป็นเช่นนั้น เจ้าเข้ามาอยู่ในร่างหลีหว่านก็เพื่อถ่ายทอดมรดกของนักพรตหมั่นดาบให้แก่นาง?”

ซูฉันมองไปที่ร่างลวงตาของชายวัยกลางด้วยรอยยิ้ม

“แน่นอนว่าเป็นเช่นนั้น”

ชายวัยกลางคนกล่าวออกอย่างเคร่งขรึมว่า “แม้ว่าพรสวรรค์ของหลีหว่านจะเป็นเพียงร่างหัวใจดาบ แต่ความเข้าใจของนางเกี่ยวกับวิถีดาบนั้นช่างน่าเหลือเชื่อ แข็งแกร่งกว่าบรรพชนดาบมากนัก”

“บรรพชนดาบเรียนรู้มาหลายร้อยปียังไม่ถึงขั้นเริ่มต้นเลยด้วยซ้ํา แต่หว่านเอ๋อได้ก้าวข้ามผ่าน มันไปได้แล้วภายในเวลาไม่กี่ปี…” ร่างลวงตาของชายวัยกลางคนขณะที่กล่าวเช่นนี้ น้ําเสียงของเขาก็เปลี่ยนไปเป็นคลั่งไคล้

ด้วยความสามารถของหลีหว่าน ถ้าก้าวต่อไปทีละขั้น รับมรดกของนักพรตหมั่นดาบไปทีละขั้นไม่เกินร้อยปี นางสามารถก้าวข้ามบรรพชนดาบและทะลวงขอบเขตเซียนเทพปฐพี่ได้

ท้ายที่สุดแล้ว การจะก้าวเข้าสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพีได้หรือไม่นั้นก็ไม่มีใครรับรองได้ แม้แต่นักพรตหมื่นดาบที่เข้าสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพีก็ยังเป็นเพียงความบังเอิญ ไม่สามารถทําตามได้

อันที่จริง แม้กระทั่งในยุคเฟื่องฟูกระแสปราณฉีครั้งล่าสุด ก็ไม่มีใครสามารถมั่นใจได้ทั้งนั้นว่าจะก้าวเข้าสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพี่ได้

การก้าวเข้าสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพี พรสวรรค์และความเข้าใจเป็นสิ่งสําคัญ แต่โชคก็เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้

“งั้นหรือ?”

หลังจากที่ซูฉินใช้อาณาเขตขนาดใหญ่และจิตวิญญาณแรกกําเนิดเข้าปกคลุม เมื่อยืนยันได้ว่าร่างลวงตาชายวัยกลางคนไม่ได้โกหก เขาก็กล่าวถามต่อไปว่า “คําถามสุดท้าย”

“มนุษย์สวรรค์โปรดกล่าวออก”

ชายวัยกลางคนพูดออกมาอย่างรวดเร็ว “ตราบเท่าที่ข้ารู้ ข้าจะไม่ปิดบังสิ่งใด……”

“นักพรตหมั่นดาบเคยเข้าไปภายในประตูเซียนหรือไม่?” ซูฉินกล่าวพร้อมกับมีแสงลึกลับสาดออกมาจากดวงตา

เป็นเวลาหลายหมื่นปีในต่างดินแดน ขอบเขตเซียนเทพปฐพีทุกคนจะเดินทางไปทั่วโลกเมื่อเข้าสู่วัยชรา เพื่อค้นหาประตูเซียน และพยายามจะใช้พลังของประตูเซียนก้าวต่อไปอีกขั้น มีชีวิตใหม่อีกครั้ง

นักพรตหมั่นดาบเองก็ไม่มีข้อยกเว้น

สิ่งที่ซฉันอยากรู้คือนักพรตหมื่นดาบเคยเข้าไปภายในประตูเซียนหรือไม่?

“ประตูเซียน?”

ใบหน้าของร่างลวงตาชายวัยกลางคนเปลี่ยนไปเล็กน้อย

Sign in Buddha’s palm 320 ครองโลกเพียงผู้เดียว

“นะโม อมิตาพุทธ!”

ด้านนอกเมืองฉางอัน มีสงฆ์ชราคิ้วโค้งโก่งดูใจดี มองไปยังเหลยเฉียนจือที่ขณะนี้กลายเป็นความว่างเปล่าไปแล้วด้วยเปลวเพลิง อดไม่ได้ที่จะก้มศีรษะลงพร้อมกับร่ายคําออกมา

ในช่วงหมื่นปีที่ผ่านมานี้ เซียนเทพปฐพีอยู่เหนือทุกสิ่ง ไม่ต้องกล่าวถึงการตกตาย แม้จะอยู่ในยุคเฟื่องฟุกระแสปราณีฉครั้งล่าสุด เซียนเทพปฐพีก็ยังนับเป็นมหาอํานาจในระดับหนึ่ง ด้วยอายุขัยที่มีกว่าพันปี สามารถทําความเข้าใจฟ้าดินได้มากมาย

“พละกําลังของผู้เป็นใหญ่ในโลกแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ…” บรรพชนหกที่อยู่ถัดไปจากสงฆ์ชรา ดวงตาเต็มไปด้วยความประหลาดใจ

แม้วิหารหมื่นพุทธจะสืบทอดมรดกมากว่าหมื่นปี มีภูมิหลังมากมายนับไม่ถ้วน มีแม้กระทั่ง สมบัติพุทธคุณที่เต็มไปด้วยพลังสะกดข่ม แต่ก็มันก็ปิดกั้นขอบเขตเซียนเทพปฐพีได้ในช่วงเวลาสั้นๆเท่านั้น ส่วนการสังหาร…..เป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน

เว้นไว้แต่องค์ยูไลจากวิหารหมื่นพุทธจะฟื้นคืนชีพกลับมา ในยุคที่กระแสปราณฉีเงียบงันเช่นนี้ ใครเล่าจะสามารถสังหารเซียนเทพปฐพีได้?

“บรรพชนหนึ่ง ท่านต้องการให้พวกเราไปเยี่ยมเยียนผู้เป็นใหญ่ในโลกหรือไม่?” บรรพชนเจ็ดมองไปที่สงฆ์ชราที่ดูใจดี อดไม่ได้ที่จะถามออกมา

เหลยเฉียนจือหวนคืนกลับมาและเริ่มถมทะเลด้วยแผ่นดิน สร้างเกาะเทพเจ้าสายฟ้าให้ขยายออกไป การเคลื่อนไหวนั้นยิ่งใหญ่เพียงใด? บรรพชนทั้งสิบจากวิหารหมื่นพุทธย่อมรู้ตัวกันตั้งแต่ แรกๆ

สงฆ์ชราที่มีคิ้วโค้งดูใจดีเป็นบรรพชนล่าดับที่หนึ่งของวิหารหมื่นพุทธ ตามตํานานเล่าขาน เขาได้ก้าวเข้าไปยังขอบเขตยอดอรหันต์แล้ว ได้หยุดอยู่ในขอบเขตนั้นชั่วขณะหนึ่ง และสุดท้ายก็แตกพ่ายเพราะได้รับผลกระทบจากทะเลปราณ

เมื่อเทียบกับครึ่งก้าวเข้าสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพี่คนอื่นๆ บรรพชนลําดับที่หนึ่งของวิหารหมื่นพุทธแข็งแกร่งกว่า เหล่าครึ่งก้าวเข้าสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพี่คนอื่นๆ ก้าวเข้าสู่ขอบเขตนี้เพียงครึ่งเดียว แต่บรรพชนหนึ่งได้ก้าวเข้าไปอย่างสมบูรณ์ แต่เป็นเพราะฟันเฟืองภายในทะเลปราณจึงถูกบังคับให้ต้องแตกพ่ายกลับมา

“ไม่ต้อง

“ด้วยความสามารถของผู้เป็นใหญ่ในโลก คงสังเกตเห็นการมาถึงของพวกเราแล้ว ถึงจะต้องการไปเข้าพบ แต่พวกเราก็คงดื้อดึงเข้าไปพบไม่ได้”
สงฆ์ชราขมวดคิ้วมุ่นครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งส่ายศีรษะน้อยๆ ในที่สุดก็แสดงท่าทางหวั่นเกรงผสมกับความชื่นชมในน้ําเสียงที่เปล่งออกมาว่า “ชาตินี้ได้เห็นผู้เป็นใหญ่ในโลกลงมือ แม้จะเป็นเพียงร่างอวตารเท่านั้น ก็คุ้มค่าเกินบรรยายแล้ว”

บรรพชนนิกายใหญ่คนอื่นๆ ที่รับชมอยู่ก็หัวสมองว่างโล่งไปหมด ไม่สามารถกล่าวอะไรออ กมาได้สักค่า

ทุกคนจ้องไปยังชายผู้มีดวงตาอันร้อนแรง เหลยเฉียนจือก้าวเข้าสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพี่แล้ว ควรจะยิ่งใหญ่คับฟ้า ครองโลกไปได้อีกห้าร้อยปี แต่ผลลัพธ์กลับต้องมาตกตายอยู่ในที่แห่งนี้

ใครเล่าจะคาดคิดผลลัพธ์เช่นนี้ออกมาได้? ใครเล่าจะกล้าคาดคิด?

“ไร้เทียมทาน ไร้เทียมทานในใต้หล้าโดยแท้!”

บรรพชนสํานักเทพโอสถมือสั่นเทา มองไปที่ซุฉินด้วยความประหลาดใจ มีทั้งความกลัวและความตื่นเต้นที่มากมายไม่รู้จบยามเมื่อมองไปยังซูฉิน

นับตั้งแต่สิ้นสุดยุคกระแสปราณฉีครั้งล่าสุด มรดกได้ตกทอดอยู่ในต่างดินแดนมานับหมื่นปี เป็นหมื่นปีที่เซียนเทพปฐพี่ได้รับการขนานนามว่าอยู่ยงคงกระพัน

แต่ความอยู่ยงคงกระพันของเซียนเทพปฐพีเหล่านั้นล้วนมาจากขอบเขตพลังอันยิ่งใหญ่ ตัวอย่างเช่น เซียนเทพปฐพี่สามารถทําลายล้างตํานานยุทธขั้นสูงสุดนับร้อยนับพันได้เพียงการขยับ ตัว

แต่กับซูฉิน การสังหารเซียนเทพปฐพีในขอบเขตเดียวกัน นับเป็นความสามารถที่ไร้เทียมทานในใต้หล้าโดยแท้

บรรพชนที่เหลือต่างก็หน้าซีด โดยเฉพาะบรรพชนนิกายเทพเจ้าสายฟ้า ที่มีท่าทีหวาดกลัวสุดขีด

เหลยเฉียนจือได้ก้าวเข้าสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพี มันควรจะเป็นนิกายเทพเจ้าสายฟ้าที่ก้าวเข้าสู่ยุครุ่งเรือง ครอบงําใต้หล้า แต่ตอนนี้เหลยเฉียนจือกลับตกตายไปแล้ว ความห่างชั้นระดับนี้เพียงพอที่จะทําให้บรรพชนนิกายเทพเจ้าสายฟ้าต้องล้มหายตายจาก

ยิ่งไปกว่านั้น สิ่งที่ทําให้บรรพชนนิกายเทพเจ้าสายฟ้าหวาดกลัวคือซูฉินจะจัดการนิกายของพวกตนอย่างไร? รู้หรือไม่ว่าการที่เหลยเฉียนจือมาโจมตีเมืองฉางอันด้วยตัวเองเทียบเท่ากับการฉีกหน้าของซฉินอย่างสมบูรณ์ ตอนนี้ซูฉินได้สังหารเหลยเฉียนจือจนสิ้น เกรงว่าขั้นต่อไปคงจะไม่พ้นนิกายเทพเจ้าสายฟ้า

แม้ว่าเซียนเทพปฐพี่จะมองข้ามมนุษย์ปุถุชนและไม่ได้สนใจความคิดเห็นของหมู่มด แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะยอมให้ถูกคนอื่นรังแก

นิกายเทพเจ้าสายฟ้าได้ลงมือกับซูฉินสามถึงสี่ครั้งแล้ว แม้แต่เซียนเทพปฐพีก็ยังถูกส่งมาก่อความวุ่นวายให้ซูฉิน ซูฉินจะปล่อยเรื่องนี้ไปง่ายๆ ได้อย่างไร?

“พละกําลังของมนุษย์สวรรค์แห่งอาณาจักรถังช่างน่าย่าเกรงจริงๆ……”

บรรพชนตําหนักเทพเจ้าหิมะอดไม่ได้ที่จะกล่าวออกอย่างช้าๆ ด้วยน้ําเสียงที่แสดงความตกใจและอธิบายไม่ถูก

ทันทีที่ค่ากล่าวนี้ดังขึ้น บรรพชนคนอื่นๆก็ตัวสั่นทันที

คําว่า ‘น่าย่าเกรง” มักจะเอาไว้กล่าวถึงตัวตนในตํานาน เทพเซียน และองค์ยูไล สําหรับผู้ที่แข็งแกร่งในระดับธรรมดา แม้แต่เซียนเทพปฐพีอย่างมากก็ควรจะกล่าวถึงว่าน่ากลัวแค่เท่านั้น

วันนี้บรรพชนตําหนักเทพเจ้าหิมะกลับบรรยายลักษณะของซูฉินว่า น่ายําเกรง” เป็นไปได้ว่าในใจของนาง ซูฉินมีความสําคัญเพิ่มมากขึ้นจนถึงระดับเทพเซียนหรือองค์ยูไล

การที่อยู่ในยุคกระแสปราณจี้เงียบงัน กฏเกณฑ์ต่างๆ ก็เสื่อมถอย ไม่เพียงแต่เข้าสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพี่ได้ ยังสังหารเซียนเทพปฐพี่ด้วยเพียงการออกกระบวนท่า ความสามารถดังกล่าว ถ้าไม่ใช่เทพเซียนหรือองค์ยูไลแล้วจะให้เรียกว่าอะไร?

“มนุษย์สวรรค์อาณาจักรถัง……”

มีบรรพชนกระซิบค่าสี่คํานี้ออกมา เป็นคําที่ดูเหมือนจะครอบงําโลกได้ทั้งใบ

เมื่อเทียบกับบรรพชนนิกายเทพเจ้าสายฟ้าที่ตื่นตระหนก บรรพชนนิกายใหญ่แห่งอื่นๆ ดูสงบกว่ามาก ท้ายที่สุดเหลยเฉียนจือก็เป็นสมาชิกนิกายเทพเจ้าสายฟ้า และไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดกับบรรพชนคนอื่นๆ พวกเขาไม่ได้เป็นคนขอให้เหลยเฉียนจือมาโจมตีเมืองฉางอัน

แต่กระนั้น บรรพชนคนอื่นๆ ก็ยังตกตะลึงไม่หาย

เหลยเฉียนจือต่อสู้กับซูฉินได้อย่างเต็มที่ที่สุดแล้ว อย่างไรก็ตาม การต่อสู้ระหว่างเซียนเทพปฐพี แม้ว่าจะมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งพ่ายแพ้ไป แต่อย่างมากก็ควรจะถอยกลับไปได้

แต่ยามนี้เหลยเฉียนจือตกตายลงโดยสมบูรณ์ มนุษย์สวรรค์แห่งอาณาจักรถังเก่งกาจไร้เทียมทานเช่นนี้ เป็นเรื่องที่เหนือจินตนาการของทุกผู้ทุกคน

“พี่สามชนะ…

ในที่สุดรอยยิ้มก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของจักรพรรดิถังได้สักที

ซูเยวหยุนและสมาชิกตระกูลซูก็ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก การต่อสู้ครั้งนี้มันรุนแรงเกินไปสําหรับพวกเขา

โดยเฉพาะตอนที่ร่างจริงของซูฉันยังไม่ออกมา ใช้เพียงร่างจําแลงเพื่อเผชิญหน้ากับศัตรูอย่างเหลยเฉียนจือ มันยิ่งดูอันตรายเข้าไปใหญ่ ในช่วงสุดท้าย ดาบสายฟ้าของเหลยเฉียนจือเกือบจะตัดร่างของซูฉินขาดออกเป็นสองส่วน ทําให้ตระกูลซูทุกคนรู้สึกหัวใจแทบแตกสลาย

“ลุงสามน่าทึ่งจริงๆ” หลีหว่านกําดาบยาวในมือของตนแน่น กะพริบตาปริบๆ โดยไม่รู้ว่านางกําลังคิดสิ่งใดอยู่

“ด้วยความแข็งแกร่งของนายท่าน ถ้าประตูเซียนไม่ได้ออกมา ใครในโลกหล้านี้จะเป็นคู่ต่อสู้ของนายท่านได้กัน?” ชายชราเฟยยกลืนน้ําลาย และรู้ว่าเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องที่ยอมจํานนอย่างเต็มที่ตอนอยู่บนเกาะหมั่นดาบ มอบความลับเพื่อแลกกับการคุ้มกันจากซูฉิน

“ทิพยอานาจดวงตาตะวันสีทอง คู่ควรกับการเป็นทิพยอํานาจประเภทโจมตีจริงๆ……”

เหนือความสูงหลายพันเมตร ซูฉันยังไม่ได้จากไปในทันที ใช้จิตวิญญาณแรกกําเนิดและอาณาเขตขนาดใหญ่กวาดไปทั่วบริเวณเพื่อยืนยันว่าเหลยเฉียนจือตกตายอย่างสมบูรณ์แล้วหรือ

ท้ายที่สุด เมื่อเทียบกับขอบเขตตํานานยุทธ ความสามารถในการเอาตัวรอดของเซียนเทพปฐพีนั้นแข็งแกร่งกว่ามาก ไม่ใช่แค่เรื่องร่างกาย แต่จิตวิญญาณแรกกําเนิดก็ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะทําลาย

ตํานานยุทธขั้นสูงสุดยังกําเนิดใหม่ได้ แล้วเซียนเทพปฐพีจะทําไม่ได้หรือ? ตราบใดที่ร่องรอย จิตวิญญาณแรกกําเนิดหลบหนีไปได้ ก็สามารถฟื้นคืนความแข็งแกร่งได้หลังจากผ่านไปหลายสิบ

นี่ก็เป็นอีกสาเหตุที่ทําให้เซียนเทพปฐพีไม่ตกตายง่ายๆ แม้แต่ในยุคเฟื่องฟูกระแสปราณฉี

แม้จะเป็นเซียนเทพปฐพี่ขั้นสูงสุดอย่างจ้าวทะเลบูรพาก็จะไม่โจมตีเซียนเทพปฐพี่ตา มอําเภอใจ ไม่เช่นนั้น หากคู่ต่อสู้รอดไปได้ด้วยจิตวิญญาณแรกกําเนิด ซ่อนตัวอยู่ในเงามืดเพื่อแก้แค้นในอีกร้อยปีต่อมา มันจะไม่น่าปวดหัวหรอกหรือ?

แน่นอนด้วยความแข็งแกร่งของซูฉิน เขาไม่สนใจว่าเหลยเฉียนฉือจะเกิดใหม่อีกกี่ครั้ง สุดท้ายปัญหาก็ยังเป็นปัญหา

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ซูฉินไม่คาดคิดคือด้วยทิพยอํานาจดวงตาตะวันสีทองที่ตื่นขึ้นหลังจากเสร็จภาพดวงตะวันฯระดับเล็ก เหลยเฉียนจือได้ตกตายลงอย่างสมบูรณ์

นี่เป็นเพราะซูฉินประเมินดวงตาตะวันสีทองต่าเกินไป

แม้ว่าดวงตาตะวันสีทองจะไม่ใช่ทิพยอํานาจที่แข็งแกร่งที่สุดของสัตว์ศักดิ์สิทธิ์อย่างอีกา ทองคําสามขา แต่ก็ไม่ควรมองข้าม เหลยเฉียนจือที่เพิ่งกลายมาเป็นเซียนเทพปฐพี่ทั้งยังได้รับบาดเจ็บจากซูฉิน จะหยุดยั้งพลังของดวงตาตะวันสีทองได้อย่างไร?

แน่นอน ไม่ว่าจะเป็นดวงตาตะวันสีทองหรือทิพยอํานาจอื่นๆ ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับความแข็งแกร่งของซูฉินเอง หากซฉันมีความสามารถในระดับของอีกาทองคําสามขาตัวเต็มวัย ด้วยรังสีพลังของดวงตาตะวันสีทอง เกรงว่าแผ่นดินคงจะโดนเผาจนเหลือแต่ความว่างเปล่า

หลังจากยืนยันได้ว่าเหลยเฉียนจือตกตายลงอย่างสมบูรณ์ และไม่มีเศษเสี้ยวพลังอะไรเหลืออีกต่อไป ซูฉินก็ค่อยๆรับรู้ความแข็งแกร่งของตนเองโดยละเอียด

ต้องบอกว่าความแข็งแกร่งของเหลยเฉียนจือนั้นดีมากแม้จะเพิ่งเข้าสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพี และด้วยดาบสายฟ้าในมือบวกกับคมดาบคุกสายฟ้าสัมบูรณ์ที่ใช้ออกเป็นครั้งสุดท้ายก็เทียบเท่าได้กับตัวตนทรงอํานาจที่อยู่ในขอบเขตเซียนเทพปฐพี่มานมนาน

แต่ถึงเหลยเฉียนฉือจะแข็งแกร่ง ซูฉันก็แข็งแกร่งกว่าอยู่ดี

เวลาต่อมา ซูฉินได้ก้าวเท้าหายตัวไปจากระดับความสูงหลายพันเมตร และมาปรากฏตัวต่อหน้าบรรพชนนิกายใหญ่ที่กําลังเฝ้าดูการต่อสู้อยู่

“คารวะมนุษย์สวรรค์”

บรรพชนทุกคนต่างตกใจ รีบโค้งค่านับลงอย่างรวดเร็ว

ในตอนนี้ซูฉินไม่ต่างไปจากเทพเซียนหรือองค์ยูไลในหัวใจของบรรพชนทั้งหลาย พวกเขาจะกล้าทําตัวไม่เคารพได้อย่างไร?

“มนุษย์สวรรค์ ข้า ข้า ข้า……” มีเพียงบรรพชนนิกายเทพเจ้าสายฟ้าเท่านั้นที่เต็มไปด้วยความขมขื่น เมื่อซูฉินมาปรากฏตัวตรงหน้า พวกเขาก็พลันรู้สึกได้ถึงบางอย่าง

“นิกายเทพเจ้าสายฟ้าของพวกเจ้ายั่วยุข้ามาหลายต่อหลายครั้ง รู้จุดจบของตนเองหรือไม่?” ซูฉันพูดเบาๆ ขณะที่ก้มมองลงไปยังบรรพชนนิกายเทพเจ้าสายฟ้าด้วยท่าทางน่าเกรงขาม เอามือไพล่ไว้ด้านหลัง

“มนุษย์สวรรค์ ข้ารู้ว่านิกายเทพเจ้าสายฟ้าของข้านั้นผิด หวังว่ามนุษย์สวรรค์จะให้อภัย…” บรรพชนนิกายเทพเจ้าสายฟ้ากล่าวออกอย่างเร่งรีบ

“ไม่จําเป็นแล้วล่ะ”

ซูฉินส่ายศีรษะ เพียงความคิดแค่วูบเดียว อาณาเขตขนาดใหญ่ก็ได้แพร่กระจายออกไป มองไปก็เห็นทะเลปราณอันไร้ที่สิ้นสุดปรากฏขึ้นจางๆบดขยี้บรรพชนนิกายเทพเจ้าสายฟ้าโดยตรง

“ในอีกสามวัน ข้าจะไปเยี่ยมนิกายเทพเจ้าสายฟ้าด้วยตัวเอง”

ซูฉินเหลือบมองบรรพชนคนอื่นๆ และหลังจากสิ้นประโยคนี้ ร่างของเขาก็หายไปอีกครั้ง

อีกสามวัน…

ข้าจะไปเยี่ยมนิกายเทพเจ้าสายฟ้าด้วยตัวเอง…..

เหล่าบรรพชนต่างตกตะลึง คําพูดของซูฉันยังคงก้องอยู่ในหูของพวกเขาตลอดเวลา ความรู้สึกฝาดขมอวลอยู่ในปาก ไม่สามารถจะนึกสิ่งใดออกได้

ด้วยตัวตนขอบเขตเซียนเทพปฐพีอย่างซูฉิน การไปนิกายเทพเจ้าสายฟ้าในครั้งนี้ไม่ใช่การไปเยือนเฉยๆ เป็นแน่

ตามที่บรรพชนทั้งหลายคาดเดา การเดินทางไปยังนิกายเทพเจ้าสายฟ้าของซูฉินในอีกสามวันข้างหน้า คงจะเป็นเหมือนกับตอนที่จัดการกับพรรคหมื่นดาบ ทําลายล้างนิกายเทพเจ้าสายฟ้า ซึ่งเป็นนิกายใหญ่ที่สืบทอดมรดกมานับหมื่นปี

“มนุษย์สวรรค์แห่งอาณาจักรถังจะทําลายทุกสิ่งและสร้างโลกขึ้นใหม่…” มีบรรพชนบางคนกระซิบกระซาบคําออกมา

เมื่อบรรพชนคนอื่นๆ ได้ยินดังนั้นก็เหมือนมีคลื่นก่อตัวอยู่ในใจ

เมื่อยามที่ซูฉินทําลายพรรคหมื่นดาบ แม้ว่ามันจะสร้างความสั่นสะเทือนไปทั่วดินแดน แต่ในสายตาของบรรพชนนิกายใหญ่ มันก็แทบจะไม่ได้เป็นที่ยอมรับอะไรนัก

ท้ายที่สุด แม้ว่าพรรคหมื่นดาบจะเป็นมรดกที่เซียนเทพปฐพี่ทิ้งเอาไว้ แต่มันก็ยาวนานมาก แล้วตั้งแต่ที่มีผู้แข็งแกร่งกําเนิดขึ้น ในยามนี้ไม่มีแม้แต่ครึ่งก้าวเข้าสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพี ถึงแม้ซูฉินจะไม่ได้ลงมือ บางทีอีกหลายพันปีต่อจากนี้ มันก็คงล่มสลายไปเอง

แต่นิกายเทพเจ้าสายฟ้าต่างออกไป

นิกายเทพเจ้าสายฟ้าได้สืบทอดมรดกต่อมาเป็นหมื่นปีตั้งแต่ยุคเฟื่องฟูกระแสปราณฉีครั้งล่าสุด ยืนอยู่บนจุดสูงสุดในต่างดินแดน นิกายที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้ ยังจะถูกทําลายลงได้อีกหรือ?

เพียงแต่ว่า เมื่อซฉินกล่าวว่าพูดเช่นนี้ออกมา บรรพชนภายในที่แห่งนี้กลับรู้สึกจริงๆ ว่านิกายเทพเจ้าสายฟ้ากาลังจะจบสิ้น

ถ้าการที่ซูฉินเพียงผู้เดียว นําพานิกายใหญ่อย่างนิกายเทพเจ้าสายฟ้าไปสู่ความพินาศได้ แล้วยังไม่สามารถเปรียบเทียบได้กับการทําลายโลกแล้วสร้างขึ้นใหม่ จะมีอะไรเหมาะสมไปกว่านี้อีก เล่า?

“หลังจากวันนี้ไป มนุษย์สวรรค์แห่งอาณาจักรถังจะไร้เทียมทานในใต้หล้าอย่างแท้จริง” มีบรรพชนถอนหายใจเหม่อมองท้องฟ้า กล่าวออกด้วยรอยยิ้มที่แข็งขึ้น

Sign in Buddha’s palm 318 (II)

“เอาล่ะ”

“มาว่ากันเรื่องของเจ้าดีกว่า”

ซูฉินหันมองไปทางเหลยเฉียนจืออีกครั้ง

แม้ว่าผู้ที่ต่อสู้กับเหลยเฉียนจือเมื่อครู่จะเป็นเพียงร่างจําแลงของซูฉิน แต่เนื่องจากเหลยเฉียนจือกล้าที่จะเข้ามาตีประตูบ้านผู้อื่น ก็หมายความว่าเขาพร้อมที่จะตายแล้ว

เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ ซูฉินก็เงยหน้ามองเมฆเบื้องบน เมื่อครู่เหลยเฉียนจือได้ใช้ดาบสายฟ้าชักนําสายฟ้าสวรรค์เก้าชั้นฟ้าออกมา แม้ว่าสายฟ้าสวรรค์เก้าชั้นฟ้าจะยังไม่ฟาดลงมา แต่เมื่อเวลาผ่านเลยไป ความกดดันก็สะสมเพิ่มมากขึ้น ราวกับมันมีมังกรสายฟ้าอยู่ในส่วนลึกของเมฆดํานั้นจริงๆ

“ข้าไม่ชอบวันที่ครื้มฟ้าครึ้มฝนสักเท่าไหร่”

ดวงตาของซูฉินสงบนิ่ง และเขาก็พูดคําสองคําเบาๆ “เรียกลม”

ทันใดนั้น เหนือเก้าชั้นฟ้า ลมสีดําก็มารวมตัวกัน ควบแน่นเป็นมังกรสีดา ในเวลาต่อมามังกรดำนั้นก็คํารามก้อง พัดพากลุ่มเมฆออกไปในทันที

เคล็ดเรียกลมเป็นทิพยอํานาจที่สามารถเติบโตไปพร้อมกับความแข็งแกร่งของซูฉินได้ ในขณะนี้ซูฉันกลายเป็นเซียนเทพปฐพีแล้ว และด้วยความช่วยเหลือจากทะเลปราณเบื้องลึก ความแข็งแกร่งของเขาก็เหนือกว่าเซียนเทพปฐพีธรรมดาไปแล้ว

มันทําให้ตอนที่ซูฉินแสดงพลังทิพยอํานาจของเคล็ดเรียกลมออกมา ไม่รู้ว่ามันทรงพลังมากกว่าแต่ก่อนมากแค่ไหน ต่อหน้าเสียงคํารามของมังกรดํา กระทั่งสายฟ้าสวรรค์เก้าชั้นฟ้าที่เป็นสัญลักษณ์แห่งฟ้าดินก็พังทลายลงอย่างรวดเร็ว

“นี่?!”

ใบหน้าของเหลยเฉียนจือถึงกับไม่มั่นคง การใช้พลังของดาบสายฟ้าเพื่อชักนําสายฟ้าสวรรค์เก้าชั้นฟ้านั้นเป็นกระบวนท่าไม้ตายของเหลยเฉียนจือ เป็นกระบวนท่าที่ทรงพลังที่สุดของเขาแล้ว

แต่ยามนี้เหลยเฉียนจือกลับต้องมาเห็นสายฟ้าสวรรค์เก้าชั้นฟ้าที่ก่อตัวขึ้นมาพลันพังทลายลงด้วยค่าพูดของซูฉินเพียงแค่วลีเดียว

“หนี!”

ถ้าเป็นตอนที่ซูฉันปรากฏตัวครั้งแรก เหลยเฉียนจือยังพอมีความหวังอยู่ในใจ คิดว่าร่างจริงของซูฉันคงไม่แข็งแกร่งขนาดนั้น แต่ตอนนี้เมื่อสายฟ้าสวรรค์เก้าชั้นฟ้าพลันปลิวหายไปในอึดใจเดียว เหลยเฉียนจือก็มีเพียงความคิดเดียวภายในใจ

นั่นคือการหลบหนี!

แม้จะเป็นเซียนเทพปฐพี แต่มันก็มีทั้งระดับสูงและระดับต่ำ ตัวอย่างเช่น จ้าวทะเลบูรพาในยุคเฟื่องฟูกระแสปราณฉีนั้นเป็นถึงเซียนเทพปฐพีขั้นสูงสุด

พลังของซูฉินที่แสดงออกมาให้เห็นในตอนนี้ แข็งแกร่งกว่าเซียนเทพปฐพีทั่วๆ ไป อย่างน้อยก็เหนือกว่าเหลยเฉียนจือที่เพิ่งเข้าสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพี

ด้วยช่องว่างระหว่างพลังอํานาจเช่นนี้ หากเหลยเฉียนจือยังคงอยู่ ไม่เพียงแต่จะทําให้ตนเองอับอายขายหน้าเท่านั้น แต่ยังอาจจะเป็นอันตรายต่อชีวิตตนเองอีกด้วย
ดังนั้น

เหลยเฉียนฉือจึงหันหลังกลับและหนีไปโดยไม่ลังเล

ตึง!!!

ร่างของเหลยเฉียนจือถอยกลับอย่างรุนแรง พื้นก็เหมือนจะสั่นสะเทือนไปตามแรงกดเท้าของเหลยเฉียนจือ พุ่งตัวออกไปผ่านระยะทางนับพันเมตร

“เหลยเฉียนจือหนีไปแล้ว?”

“เซียนเทพปฐพียังต้องวิ่งหนี?”

ทุกคนที่ได้เห็นฉากนี้รู้สึกเหมือนว่าตนกําลังฝันอยู่ แม้แต่ในยุคเฟื่องฟูกระแสปราณฉีครั้งล่าสุด เซียนเทพปฐพีก็ยังเป็นขุมพลังที่ทรงพลังมากพอจะครอบงําดินแดนใดดินแดนหนึ่งได้ และสําหรับยุคปราณฉีเงียบงันที่แทบจะมีเซียนเทพปฐพีเพียงคนเดียวในรอบหนึ่งพันปีเช่นปัจจุบันนี้ เซียนเทพปฐพียังไม่ใช่ตัวตนที่ไร้เทียมทานอีกหรือ?

ตอนนี้ ทุกคนกําลังได้เห็นเซียนเทพปฐพีหลบหนีอยู่จริงๆ งั้นหรือ?

“ไม่ใช่ว่าเหลยเฉียนจืออ่อนแอ แต่มนุษย์สวรรค์แห่งอาณาจักรถังแข็งแกร่งเกินไป……”

บรรพชนนิกายใหญ่ต่างมีน้ำเสียงที่หนักอึ้ง ภายในใจเศร้าหมอง

เหลยเฉียนจืออ่อนแอเช่นนั้นหรือ?

เห็นได้ชัดว่าไม่ได้อ่อนแอ ไม่ว่าจะเป็นยุคไหนๆ เหลยเฉียนจือก็นับว่าอ่อนแอไม่ได้

แต่น่าเสียดายที่เหลยเฉียนจือต้องมาพบกับซูฉิน

ร่างจําแลงของซูฉิน ยังทําให้เหลยเฉียนจือต้องต่อสู้อย่างเอาเป็นเอาตาย นับประสาอะไรกับร่างจริง?

“หนี?”

“สายไปแล้ว”

เมื่อเห็นฉากนี้ ซูฉันก็ส่ายศีรษะเล็กน้อย

หากเหลยเฉียนจือหันหลังกลับและหนีไปก่อนที่เขาจะออกจากด่านฝึกตน ก็คงไม่มีปัญหาใด สุดท้ายร่างจําแลงของซูฉินนั้นทรงพลัง แต่ก็ยากที่จะรั้งเซียนเทพปฐพีเอาไว้ได้

แต่ตอนนี้…

ซูฉันทะลวงผ่านขอบเขตมาแล้ว เหลยเฉียนฉือจะหนีไปไหนได้เมื่ออยู่ใต้จมูกของเขาเช่นนี้?

ช่วงเวลาต่อมา

ซูฉินยกมือขวาขึ้นแล้วกดไปทางเหลยเฉียนจือที่อยู่ไกลออกไป

ตูม!

เห็นเป็นฝ่ามือที่ปกคลุมท้องฟ้าและดวงอาทิตย์ ครอบคลุมระยะทางทั้งหมด เข้าปกคลุมเหลยเฉียนจือที่กําลังหนีอยู่อย่างรวดเร็ว

“ไม่!!!”

ดวงตาของเหลยเฉียนจือเบิกกว้าง ใช้ดาบสายฟ้าฟันออกไปเบื้องหน้าโดยตรง

ในชั่วพริบตา ดาบสายฟ้าก็สั่นสะเทือนอย่างต่อเนื่อง พลังอันน่าสยดสยองก็ปลดปล่อยออกจากเหลยเฉียนจือผ่านอาวุธที่สร้างขึ้นโดยผู้ทรงพลังถึงขีดสุด

พลั่ก

เหลยเฉียนจือกระอักเลือดออกมาทันที มองไปที่ซูฉินอย่างไม่เชื่อสายตา

แม้ว่าดาบสายฟ้าจะปิดกั้นพลังส่วนใหญ่จากฝ่ามือของซูฉินเอาไว้ได้ แต่เหลยเฉียนจือก็ยังได้รับบาดเจ็บรุนแรง

Sign in Buddha’s palm 319 ดวงตาตะวันสีทองและการตายของเซียนเทพปฐพี

เหลยเฉียนจือแข็งแกร่งมากไม่ว่าจะเป็นกายเนื้อหรือพลังแห่งกฎเกณฑ์ล้วนได้ก้าวเข้าสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพีอย่างสมบูรณ์แล้วถือเป็นความสําเร็จอันยิ่งใหญ่ไม่ว่าจะเป็นที่ไหนๆแม้ครงก้าวเข้าสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพี่จะเข้ามาพวกเขาก็ต้องรู้สึกเหมือนติดอยู่ในกับดักยากที่จะขยับกายหนีไปไหนได้เว้นแต่จะละทิ้งร่างได้ทันและใช้จิตวิญญาณแรกกําเนิดหนีออกไปไกลแสนไกลไม่เช่นนั้นก็คงไม่ต่างไปจากหมูในอวย
ส่วนดาบสายฟ้าในมือของเหลยเฉียนจือมันถูกสร้างขึ้นโดยผู้ทรงพลังถึงขีดสุดด้วยการหล่อหลอมจากสายฟ้าสวรรค์เก้าชั้นฟ้าแม้จะต้องเผชิญหน้ากับเซียนเทพปฐพี่คนอื่นๆดาบสายฟ้านี้ก็สามารถเป็นตัวช่วยที่ยอดเยี่ยม สร้างความได้เปรียบให้ไม่น้อย

แต่น่าเสียดายที่เหลยเฉียนจือต้องมาพบกับซูฉินซึ่งประสานเข้ากับร่างศักดิ์สิทธิ์อีกาทองคํา

ร่างศักดิ์สิทธิ์อีกาทองคําถูกสร้างขึ้นจากการที่ซูฉินสําเร็จภาพดวงตะวันฯ ระดับเล็กเป็นการจําลองพลังดั้งเดิมของสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ที่แข็งแกร่งที่สุดในด้านเปลวเพลิงนั่นคืออีกาทองคําสามขายิ่งกว่านั้นซูฉันยังก้าวเข้าสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพีอย่างสมบูรณ์แล้วด้วย

เมื่อก้าวเข้าสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพีจิตวิญญาณแรกก่าเนิดจะผสานเข้ากับทะเลปราณดึงพลังจากทะเลปราณมาขัดเกลาเนื้อหนังทําให้ร่างกายของซูฉินพัฒนาขึ้นอีกครั้ง

นี่คือเหตุผลที่ซูฉินสามารถทําร้ายเหลยเฉียนจือได้ด้วยฝ่ามือเดียว
ฝ่ามือของซูฉินไม่เพียงแต่มีพลังของเซียนเทพปฐพีแต่ยังมีพลังจากร่างศักดิ์สิทธิ์อีกาทองคําด้วยด้วยการทับซ้อนกันของพลังทั้งสองพลังมันจะไม่มากขึ้นเป็นทวีคุณหรอกหรือ?

“เป็นไปไม่ได้?!”

“ร่างกายของเจ้าแข็งแกร่งปานนี้ได้อย่างไร?”

แม้ว่าเหลยเฉียนฉือจะกระอักเลือดออกมาแต่อาการบาดเจ็บของเขาก็ค่อยๆทรงตัวนี่คือกายธรรมชาติของเซียนเทพปฐพีปราณเลือดที่มีอยู่อย่างมากมายช่วยให้อาการบาดเจ็บต่างๆสามารถฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็วตราบเท่าที่ไม่ทําร้ายแก่นพลัง

แน่นอนว่าแม้จะมีกายแห่งธรรมชาติก็ยังด้อยกว่าทิพยอํานาจกายเนื้อกําเนิดใหม่ของซูฉินตัวอย่างเช่นตอนที่เหลยเฉียนจือเกือบจะตัดร่างของซูฉินออกเป็นสองส่วนด้วยดาบสายฟ้าหากเป็นเซียนเทพปฐพี่คนอื่นๆเกรงว่าร่างกายคงจะทรุดโทรมลงไปเสียนานแล้วจะฟื้นตัวกลับมาเช่นนี้ได้อย่างไร?

“มนุษย์สวรรค์อาณาจักรถังเอาเป็นว่าข้าจะหยุดมือแล้วได้หรือไม่?”

“นิกายเทพเจ้าสายฟ้าของข้าสาบานว่าจะไม่ก้าวเข้ามาในเขตแดนอาณาจักรถังอีกตลอดชีวิต”

เหลยเฉียนจือสมควรแล้วกับการเป็นเซียนเทพปฐพี่ที่นานครั้งจะมีสักคนหนึ่งในรอบหนึ่งพันปีเมื่อเห็นว่าสิ่งตรงหน้ายากเกินกว่าจะหักหาญจึงเตรียมไม้อ่อนไว้รับมือในทันทีแม้ว่าเหลยเฉียนฉือจะยังคงมีกระบวนท่าแลกชีวิตแต่ก็ไม่ได้ใช้ออกไปเพราะกระบวนท่านี้ทุกครั้งที่เขาใช้ออกมันจะต้องจ่ายราคามหาศาล และสุดท้ายก็บอกไม่ได้อยู่ดีว่าจะสามารถจัดการกับซูฉินได้

ดังนั้นเหลยเฉียนจือจึงไม่ลังเลที่จะยอมลงให้หนึ่งก้าว

สําหรับเหลยเฉียนจือ เขาได้เข้าสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพีก็ตอนที่อายุได้ราวๆห้าถึงหกร้อยปีไม่จําเป็นต้องต่อสู้กับซูฉินอย่างเอาเป็นเอาตาย

“หยุดมือ?”

เมื่อซูฉินได้ยินสิ่งนี้ สีหน้าประชดประชันก็ปรากฏให้เห็น

เหลยเฉียนจือมาทุบประตูบ้านเอง ตัวเขาเคยคิดจะหยุดมือกับอาณาจักรถังหรือไม่?

ถ้าไม่ใช่เพราะร่างจําแลงของซูฉันคอยขัดขวางถ่วงเวลาเหลยเฉียนจือเอาไว้ ผลที่ตามมาคงเป็นหายนะอย่างแน่นอน

แม้ว่าซูฉินจะปิดด่านฝึกตนอยู่ภายในโถงพระราชวังอันสูงตระหง่านใต้เมืองฉางอันมีการคุ้มกันด้วยตะเกียงพุทธหมื่นวิญญาณและธงปูฏทําให้เหลยเฉียนจือที่เป็นเซียนเทพปฐพี่ก็ไม่อาจหาเจอไปชั่วระยะเวลาหนึ่ง

แต่คนอื่นๆ เล่า?

หากเหลยเฉียนจือไม่พบซูฉิน แน่นอนจะต้องระบายความโกรธเกรี้ยวกับคนอื่นๆอย่างแน่นอนเมื่อถึงตอนนั้นทุกคนในตระกูลซูจักรพรรดิถังรวมถึงคนอื่นๆอาจจะตายกันจนหมด

ดังนั้นตั้งแต่ต้นจนจบ ซูฉันจึงไม่คิดที่จะหยุดมือต่อเหลยเฉียนจือแม้แต่น้อย

“ไม่จําเป็น

“เจ้าควรจะตายไปเสียดีกว่า”

ซูฉินเหยียดมือขวาออกไปอีกครั้ง และเห็นทะเลปราณอันกว้างใหญ่ปรากฏขึ้นราวกับภูเขาศักดิ์สิทธิ์ในยุคโบราณเข้าปราบปรามเหลยเฉียนจือ

ปีก!

เหลยเฉียนจอยกดาบสายฟ้าขึ้นอีกครั้งพยายามปิดกันฝ่ามือของซูฉิน พลังที่น่าหวาดกลัวยังคงแทรกทะลุลงมาเมื่อเทียบกับฝ่ามือก่อนหน้าของซูฉิน ฝ่ามือนี้ยิ่งใหญ่กว่าอย่างเห็นได้ชัด

“เมื่อครู่เจ้ายังออมมืออยู่งั้นหรือ”

ใบหน้าของเหลยเฉียนจือกลายเป็นสิ้นหวังอย่างยิ่ง

อัก

เหลยเฉียนลือกระอักเลือกออกมาอีกครั้ง

ตูม!!!

ก่อนที่เหลยเฉียนฉือจะฟื้นตัว เขาก็โดนฟาดใส่อีกครั้งหนึ่ง ร่างกระเด็นลอยไปด้านหลังอย่างไม่อาจควบคุม

บรรพชนนิกายใหญ่ทั้งหลายเฝ้าดูการต่อสู้จากระยะไกลด้วยความตกใจ

ในสายตาของพวกเขา เซียนเทพปฐพี่คือผู้ที่ไร้เทียมทานแต่เมื่อมาอยู่ต่อหน้าซูฉินกลับเป็นเหมือนก้อนหินที่กระเด็นกระดอนไปมา?

“ห่างชั้นกันเกินไปแล้ว”

ซูฉินฟาดฝ่ามือออกไปหลายสิบครั้งอย่างต่อเนื่องและพลังของแต่ละฝ่ามือก็เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องหลังจากฝ่ามือที่ยี่สิบเป็นต้นไปพลังก็ระเบิดออกมาจนฟ้าถล่มดินทลาย

โชคดีที่เหลยเฉียนจือเป็นเซียนเทพปฐพีที่มีกายแห่งธรรมชาติควบคู่ไปกับการปกป้องจากอาณาเขตขนาดใหญ่รวมถึงมีไพ่ลับมากมายกันตายไม่เช่นนั้นแม้จะเป็นภูเขาใหญ่ ภายใต้ฝ่ามือนับสิบของซูฉันมันก็คงต้องถูกพัดลอยปลิวไปไกลแล้ว

“ควรจะจบได้แล้ว”

ซูฉินเหลือบมองเหลยเฉียนจือ

ในขณะนี้เหลยเฉียนจืออยู่ในสภาพที่อนาถยิ่งเสื้อผ้าขาดรุ่งริ่งภายใต้พลังอันน่าสยดสยองใบหน้ากลายเป็นสีเทาราวกับคนตายไม่มีร่องรอยของเลือดฝาดเหลืออยู่แม้แต่ร่างกายก็มีบาดแผลอยู่ทั่วไปหมดแม้ว่าเขาจะปิดกั้นฝ่ามือของซูฉินหลายสิบฝ่ามือไว้ได้แต่เหลยเฉียนจือก็ถูกโจมตีอย่างหนักหน่วงเช่นกัน

ในความเป็นจริง การที่เหลยเฉียนจือสามารถต่อต้านได้เป็นเวลานานขนาดนี้ก็เป็นเรื่องเหนือความคาดหมายของซูฉันแล้ว

รู้หรือไม่ว่าพลังในทุกๆฝ่ามือของซูฉันคือการซ้อนทับกันของพลังจากขอบเขตเซียนเทพปฐพี่และร่างศักดิ์สิทธิ์อีกาทองคํามันเพียงพอที่จะทําลายภูเขาและผืนน้ํา

ด้วยการโจมตีที่รุนแรงเช่นนี้เหลยเฉียนจือยังสามารถรอดชีวิตอยู่ได้ ก็นับว่าเป็นตัวตนที่สูงล่าแล้วในสายตาของซุฉิน

“ตายเสียเถอะ”

ในที่สุดซูฉินก็เลือกจะลงมือขั้นเด็ดขาดเสียที ควบคุมอากาศในรัศมีร้อยลี้โดยรอบจนอาณาเขตของเหลยเฉียนจือถูกระงับไปและแม้แต่ดาบสายฟ้าในมือของเหลยเฉียนจือยังส่งเสียงร้องคร่ําครวญออกมา

“ไม่! แม้แต่ดินแดนต้องห้ามหุบเขาสายฟ้าสัมบูรณ์ก็ไม่สามารถสังหารข้าได้มนุษย์สวรรค์อาณาจักรถังจะสังหารข้าได้อย่างไร?!”

สายฟ้าสีม่วงปรากฏขึ้นระหว่างคิ้วของเหลยเฉียนจือ กลิ่นอายที่น่าสยดสยองก็พวยพุ่งออกมาจนทําให้หลุดออกจากการควบคุมของซูฉิน

“คมดาบคุกสายฟ้าสัมบูรณ์!!!”

เหลยเฉียนจือยกดาบสายฟ้าขึ้นอีกครั้ง และด้วยพลังสายฟ้าที่น่าสะพรึงกลัวพวยพุ่ง เขาก็ฟาดมันออกไปทางซูฉินอย่างรุนแรง

คมดาบนี้เผาผลาญพลังและจิตวิญญาณแรกกําเนิดของเหลยเฉียนจือ แม้แต่สายฟ้าสวรรค์เก้าชั้นฟ้าที่อยู่ภายในดาบสายฟ้าก็ยังลุกไหม้

รัศมีพลังเกินขอบเขตที่โลกจะรับได้ เกือบจะบุกทะลวงความว่างเปล่าอยู่รอมร่อ

คมดาบคุกสายฟ้าเป็นครึ่งกระบวนท่าที่เหลยเฉียนจอได้ตระหนักรู้มา หลังจากอยู่ภายในหุบเขาสายฟ้าสัมบูรณ์เป็นเวลาสามร้อยปี
ตามการคาดเดาของเหลยเฉียนจือ กระบวนท่าสังหารนี้ควรจะเป็นมรดกชิ้นหนึ่งที่ผู้ทรงพลังถึงขีดสุดทิ้งเอาไว้ภายในหุบเขาสายฟ้าสัมบูรณ์อย่างไรก็ตามเหลยเฉียนจือสามารถเข้าใจมันได้เพียงครึ่งเดียวเท่านั้น

ยิ่งกว่านั้น นี่คือกระบวนท่าสุดท้ายที่เมื่อใช้แล้วพลังของเหลยเฉียนจือจะเริ่มลุกไหม้รวมไปถึงพลังชีวิตและจิตวิญญาณแรกกําเนิดด้วย

นี่เป็นกระบวนท่าสังหารยามเมื่อเหลยเฉียนจือสิ้นหวัง เขาไม่เต็มใจจะใช้กระบวนท่านี้แม้จะเป็นในช่วงเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายด้วยซ้ำเว้นแต่จะเป็นทางเลือกสุดท้าย

ท้ายที่สุดแล้ว พลังชีวิตนั้นคือสัญลักษณ์ของอายุขัยเมื่อเผาไหมไปแล้วมันนํากลับคืนมาไม่ได้ด้วยอาการบาดเจ็บนี้เหลยเฉียนจือจะต้องเสียอายุขัยไปอย่างน้อยหนึ่งร้อยปีการสูญเสียเช่นนี้คงไม่ต้องให้กล่าวถึงว่ามากเพียงใด

ครั้น!

โลกมืดดําไปในทันที ประกายดาบก็ปรากฏขึ้นในสายตาของทุกคน ราวกับมันแตกแยกออก เป็นคมดาบนับแสนตัดผ่านฝ่ามือที่ซูฉินใช้ออกครั้งสุดท้ายไปจนสิ้น

“น่ากลัวเกินไปแล้ว”

“นี่คือเซียนเทพปฐพีอย่างนั้นหรือ?”

บรรพชนทั้งหลายที่ดูการต่อสู้อยู่พลันขนหัวลุก แม้ว่าประกายดาบจะไม่ได้เล็งมาทางพวกเขาแต่ทุกคนในที่แห่งนี้ก็ยังรู้สึกว่าร่างของพวกเขาแทบจะถูกตัดผ่าจิตวิญญาณแทบจะหยุดนิ่ง

แค่มองจากระยะไกลยังรู้สึกเช่นนี้ นับประสาอะไรกับซูฉินที่เผชิญหน้ากับกระบวนท่านี้อยู่?

“มนุษย์สวรรค์อาณาจักรถังจะหยุดมันได้หรือไม่?”

ผู้คนนับไม่ถ้วนคิดออกมาเช่นนี้อย่างรวดเร็ว

แม้ว่าความแข็งแกร่งของซูฉินที่แสดงให้เห็นเมื่อครู่จะระงับยังยั้งเหลยเฉียนจืออย่างสมบูรณ์แต่ประกายดาบคมดาบที่เหลยเฉียนจ่อฟันออกมานี้ก็เห็นได้ชัดว่ามันเป็นอีกระดับหนึ่งมันเป็นไฟตายที่เก็บซ่อนเอาไว้ซูฉินจะสามารถหยุดยั้งมันได้หรือไม่?

“ค่อนข้างน่าสนใจ?”

“มันเป็นกระบวนท่าที่ผู้ทรงพลังถึงขีดสุดทิ้งเอาไว้หรือเปล่านะ?”

ซูฉันเห็นประกายดาบที่กรีดเฉือนทุกสิ่ง ใบหน้าของเขาก็ดูครุ่นคิด

จอมยุทธคนอื่นอาจจะคิดว่ากระบวนท่านทรงพลัง แต่ในสายตาของซูฉิน ไอพลังของมันยังไม่ ถึงขนาดทําลายชั้นบรรยากาศของโลกจะฉีกความว่างเปล่าจริงๆได้อย่างไร?

แน่นอนว่าไอพลังของประกายดาบนี้ไม่ใช่พลังที่จะตัดผ่านความว่างเปล่าได้ มันเป็นเพียงกลิ่นอายบางๆไม่รู้ว่ามันห่างไกลจากการทําลายความว่างเปล่าได้จริงไปมากแค่ไหน แต่ไอพลังในกระบวนท่านี้มันหมายความว่ากระบวนท่าไม้ตายนี้เกี่ยวข้องกับผู้ทรงพลังถึงขีดสุดหรืออาจจะเป็นสิ่งที่ผู้ทรงพลังถึงขีดสุดทิ้งเอาไว้

“น่าเสียดายจริงๆ”

“ที่มันเป็นเพียงครึ่งกระบวนท่า…”

“ถ้าเจ้าสามารถออกกระบวนท่าได้ทั้งหมด ก็คงจะทําร้ายข้าได้ แต่ครึ่งกระบวนท่า….”

ซูฉินสายศีรษะเล็กน้อยดวงตะวันขนาดมหึมาลุกไหม้อยู่ในดวงตาของเขาและแผ่ขยายออกไปอย่างรวดเร็วในที่สุดมันก็ท่วมไปทั้งเบ้าตา

มองจากระยะไกลจะเห็นดวงตาของซูฉันลุกไหม้อย่างดุเดือด เหมือนกับเทพอัคคีเสด็จมาบนพื้นโลกเข้าควบคุมไฟทั้งหมดเผาผลาญทุกสิ่ง

ดวงตาตะวันสีทอง

หลังจากประความสําเร็จระดับเล็กในภาพดวงตะวันขนาดมหึมาซูฉันก็เริ่มเชี่ยวชาญทิพยอํานาจที่เกี่ยวข้องกับอีกาทองคําสามขาและในที่สุดมันก็ได้เฉิดฉายในยามนี้

หวิ่ง!!!

เหนือน่านฟ้า ราวกับมีดวงอาทิตย์อีกสองดวงโผล่ขึ้นมาเปลวเพลิงอันน่าสะพรึงกลัวค่อยๆกลายเป็นเสาเพลิงสองต้นพุ่งตรงออกไป เมื่อซูฉินกวาดสายตาอากาศก็เริ่มบิดเบี้ยวในทุกทิศทางที่เสาเพลิงพาดผ่านประกายคมดาบที่ฟันมาทางซูฉินก็ต้านรับได้เพียงครู่เดียวก่อนจะพังทลายลงกลายเป็นเชื้อเพลิงให้กับเปลวไฟ

“นี่นี่นี่….”

เมื่อเห็นฉากนี้ มือเท้าของเหลยเฉียนจือก็เย็นเยียบไม่อยากจะเชื่อสายตา
นี่เป็นกระบวนท่าระดับสูงที่เขาเรียนรู้มาจากหุบเขาสายฟ้าสัมบูรณ์ซึ่งเป็นไปได้ว่าถูกทิ้งไว้โดยผู้ทรงพลังถึงขีดสุดแม้ว่าเหลยเฉียนจือจะเข้าใจมันได้เพียงครึ่งทางแต่ก็ไม่ควรจะถูกปิดกั้นโดยง่ายด้วยฝีมือของเซียนเทพปฐพี่ธรรมดาๆ

เหลยเฉียนจือฟันคมดาบนี้ออกไปโดยยอมแลกกับทุกสิ่งทุกอย่าง อาจจะไม่ต้องถึงขั้นที่สั่งหารซูฉินได้แต่อย่างน้อยก็ควรได้รับบาดเจ็บสาหัสและเมื่อถึงตอนนั้นเหลยเฉียนฉือจะสามารถถอยกลับได้โดยสงบ

แต่ความจริงที่เกิดขึ้นเล่า?

กระบวนท่าไม้ตายกลับถูกเผาจนหมดสิ้นด้วยเปลวเพลิงจากดวงตาของซุฉิน

เพียงเท่านั้น

ไม่ทันที่เหลยเฉียนฉือจะตอบสนองสิ่งใดได้

เปลวเพลิงที่พุ่งออกมาจากดวงตาของซูฉันก็เข้าห่อหุ้มร่างของเหลยเฉียนลือ

หลังจากนั้นเพียงชั่วครู่

เหลยเฉียนจือก็กรีดร้องโหยหวนอย่างน่าสังเวช ร่างกายของเขาถูกเผาจนเหลือแต่ความว่างเปล่า

ในที่สุดจิตวิญญาณแรกกําเนิดของเหลยเฉียนจอก็หลบหนีออกไป พยายามกําจัดเปลวเพลิงที่น่าสะพรึงกลัวนี้

แต่ดวงตาตะวันสีทองเป็นทิพยอํานาจจากสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ธาตุไฟที่แข็งแกร่งที่สุด นั่นคืออีกาทองคําสามขาแม้จะอ่อนแอกว่าทิพยอํานาจธาตุไฟประเภทอื่นๆอย่างเปลวเพลิงที่แท้จริงหรือร่างอมตะจิตวิญญาณเพลิงแต่นั่นก็ไม่ใช่สิ่งที่เหลยเฉียนฉือจะหลบหนีได้

เมื่อเปลวเพลิงลุกลามไป จิตวิญญาณแรกกําเนิดของเหลยเฉียนจือก็ถูกเผาไหม้จนกลายเป็นอากาศธาตุ

ด้วยทิพยอํานาจของซูฉินขอบเขตเซียนเทพปฐพี่ที่ยากจะเจอสักหนึ่งคนในรอบพันปีได้ตกตายโดยสมบูรณ์ไม่เหลือแม้แต่จิตวิญญาณแรกกาเนิด

ผู้ชมเงียบกริบ

จอมยุทธที่ได้เห็นฉากดังกล่าวด้วยตาของตนเองล้วนหน้าตาหมองคล่าราวกับได้พบเห็นปาฏิหาริย์

Sign in Buddha’s palm 317 (II)

ซูฉิน : แข็งแกร่งไม่เลว ถึงกับผลักดันร่างอวตารของข้าให้จนมุม

“งั้นหรือ?”

ซฉินกําหมัดและฉวยโอกาสที่เหลยเฉียนจือชะลอการโจมตีกระแทกเข้าใส่ดาบสายฟ้าโดยตรง ทันใดนั้นดาบสายฟ้าของเหลยเฉียนจือก็ส่งเสียงร้องออกมากลิ่นอายของมันเริ่มอ่อนแอลง

แม้ว่าดาบสายฟ้าจะหล่อหลอมด้วยสายฟ้าสวรรค์เก้าชั้นฟ้า แต่หลังจากผ่านการต่อสู้มาเป็นเวลานานกับซูฉินปะทะเข้ากับเลือดเนื้อของซูฉินมันย่อมได้รับความสูญเสียเช่นกันตอนนี้ที่มันรับหมัดของซูฉินเข้าไปความเสียหายก็ยิ่งมากขึ้น

“มนุษย์สวรรค์อาณาจักรถัง เจ้าบังคับข้าเองนะ!”

เมื่อเห็นสิ่งนี้ เหลยเฉียนจือก็โกรธจัด

รู้หรือไม่ ดาบสายฟ้าไม่ใช่อาวุธสําหรับตัวเขาเท่านั้น สายฟ้าสวรรค์เก้าชั้นฟ้าภายในดาบเล่มนี้นับเป็นสมบัติในสายตาของเซียนเทพปฐพีที่เดินทางในวิถีสายฟ้าและอาจทําให้เซียนเทพปฐพี่ฝึกฝนต่อไปได้ในอนาคต

หมัดของซูฉินไม่เพียงแต่สร้างผลกระทบต่อดาบสายฟ้าเท่านั้น แต่ยังกระทบต่อเส้นทางในอนาคตของเหลยเฉียนจือด้วย สิ่งนี้จะไม่ทําให้เหลยเฉียนจือโกรธได้อย่างไร?

“ในเมื่อเจ้าไม่รู้ว่าสิ่งใดดีไม่ดี แม้ข้าจะต้องบาดเจ็บ แต่ข้าก็จะจัดการเจ้าให้สาสม”เหลยเฉียนจือมองตรงมาและดาบสายฟ้าที่ถืออยู่ก็เปล่งประกายแสงสีม่วงออกมามันพุ่งทะยานสู่ท้องฟ้าอย่างตระการตา

แม้ว่าดาบสายฟ้าจะมีพลังน้อยกว่าเมื่อก่อนมาก แต่ในตอนนี้พลังสายฟ้าก็ควบแน่นจนสุดขั้วอันตรายพอที่จะฉีกเฉือนอากาศ ภายใต้คมดาบนี้ เซียนเทพปฐพีธรรมดาย่อมไม่กล้าต่อต้านทําได้เพียงล่าถอยกลับไป

“ไป”

เหลยเฉียนจือสะบัดข้อมือ

ดาบสายฟ้าทะลวงผ่านระยะหนึ่งพันเมตรในทันที เร็วเหนือเสียง ช่างเป็นความเร็วที่น่าสะพรึงกลัวคมดาบนี้เหมือนกับสายฟ้าสวรรค์เก้าชั้นฟ้าจริงๆเหล่าเซียนเทพปฐพจะต้องหนาวสั่นเมื่อได้เห็นมัน
กระบวนท่านี้ถือเป็นที่สุดของเหลยเฉียนจือ

และกระบวนท่านี้ได้ใช้พลังดั้งเดิมของดาบสายฟ้าด้วย หากใช้หลายครั้งติดต่อกันในช่วงเวลาสั้นๆ สายฟ้าสวรรค์เก้าชั้นฟ้าภายในดาบสายฟ้าจะสุ่มเสี่ยงต่อการพังทลายได้

หากไม่ใช่ทางเลือกสุดท้าย เหลยเฉียนจือจะไม่ใช้กระบวนท่านี้

และในขณะนี้ เมื่อเผชิญหน้ากับคมดาบของเหลยเฉียนจือ ดวงตาของซูฉินก็ดูเหมือนจะมีแสงอาทิตย์แผดเผาออกมา พลังศักดิ์สิทธิ์พวยพุ่ง ร่างกายของเขาเริ่มลุกไหม้เปลวไฟอันร้อนแรงคอยเสริมกําลังเขาราวกับเป็นเทพอัคคี

ซูฉินยกมือขึ้น รวบรวมพลังทั้งหมดภายในร่าง ใช้สองมือประกบเข้ากับดาบสายฟ้าที่เหลยเฉียนจือฟาดฟันเข้ามา

“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า!”

“มนุษย์สวรรค์แห่งอาณาจักรถัง เจ้าถูกหลอกแล้ว”

เมื่อเห็นฉากนี้ เหลยเฉียนจือก็หัวเราะอย่างบ้าคลั่ง และดาบสายฟ้าอันที่สองก็ปรากฏขึ้นฟาดฟันอย่างรุนแรงไปทางซูฉิน

ครีด

สายฟ้าสวรรค์เก้าชั้นฟ้าสีม่วงนั้นเดือดพล่านทันที เปลี่ยนเป็นประกายแสงวาววับตัดผ่านอากาศฟาดเข้าใส่ระหว่างคิ้วของซูฉินโดยตรง

ฟิว!!!

ร่างของซูฉินกะพริบวูบไหว และปรากฏขึ้นอีกที่ห่างออกไปหลายลี้ภายในพริบตา แต่ก็สาย เกินไปแล้ว ท้ายที่สุดคมดาบสีม่วงนี้ก็ถูกฟันออกมาแล้วทว่าการหลบเลี่ยงเมื่อครู่ไม่ได้ไร้ประโยชน์อย่างน้อยก็สามารถใช้ไหล่และหน้าอกต้านทานคมดาบเอาไว้ได้

ฉีก!!!

เลือดจํานวนมากทะลักออกมา บาดแผลขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นบนร่างกายของซูฉินยาวกว่าหนึ่งเมตร ผ่าตั้งแต่ไหล่ ผ่านหน้าอก เฉือนต่อไปจนถึงท้องด้านซ้าย

เขาเกือบถูกผ่าครึ่งด้วยดาบเพียงเล่มเดียว!

“มนุษย์สวรรค์แห่งอาณาจักรถังกําลังจะพ่ายแพ้แล้ว”

หัวใจของบรรพชนทั้งหลายที่ดูการต่อสู้อยู่จมดิ่งลงทันที

อาการบาดเจ็บของซูฉินนั้นรุนแรงเกินไป หากไม่ใช่เพราะช่วงสุดท้ายหลบออกมาได้เกรงว่าทั้งร่างคงถูกผ่าออกเป็นสองส่วนไปแล้แต่กระนั้นกลิ่นอายของซูฉินก็ลดลงด้วยความเร็วที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่า

อันที่จริง หากมันถูกเปลี่ยนเป็นตํานานยุทธขั้นสูงสุดคนอื่นๆ ร่างกายคงจะพังทลายลงไปนานแล้วด้วยอาการบาดเจ็บเช่นนี้คงไม่เหลือลมหายใจไว้ได้เหมือนซุฉิน

“มนุษย์สวรรค์แห่งอาณาจักรถัง ดาบของข้าแข็งแกร่งหรือไม่เล่า?”

ใบหน้าของเหลยเฉียนจือซีดลงและไอพลังของเขาก็ลดลงไปหนึ่งระดับ เห็นด้ชัดว่าการฟันดาบสองครั้งติดต่อกัน ทําให้เขาต้องทิ้งแก่นพลังของดาบสายฟ้าไปส่วนหนึ่งซึ่งก่อผลกระทบต่อตัวเขาไม่น้อย

“ความสามารถไม่เลว”

“แต่มันไร้ประโยชน์ต่อตัวข้า”

ซูฉินพยักหน้าเล็กน้อยและมองไปที่เหลยเฉียนจือ

ช่วงเวลาต่อมา

ท่ามกลางสายตาเหลือเชื่อของทุกคน ร่างกายของซูฉันก็เริ่มฟื้นตัว เลือดจํานวนมหาศาลกลายเป็นละออง ผสานเข้ากับร่างกาย

ภายในไม่กี่วินาที เขาก็กลับสู่สภาพเดิม

นี่คือทิพยอํานาจ กายเนื้อกําเนิดใหม่

“มันเป็นไปได้อย่างไร?”

ตํานานยุทธจํานวนนับไม่ถ้วนล้วนตกตะลึงไม่เชื่อถือ

พวกเขาไม่ได้คาดคิดว่าซูฉินจะฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็วหลังจากเกือบถูกผ่าออกเป็นสองส่วน

แม้ว่าร่างของเซียนเทพปฐพี่จะผ่านการขัดเกลาจากทะเลปราณมาจนกลายเป็นกายแห่งธรรมชาติ แต่ยิ่งร่างกายแข็งแกร่งเท่าไหร่ก็ยิ่งฟื้นตัวได้ช้าเท่านั้นยิ่งกว่านั้นคมดาบของเหลยเฉียนจือนั้นประกอบด้วยสายฟ้าสวรรค์เก้าชั้นฟ้าตัดเข้าใส่ร่างของซูจินกลิ่นอายศักดิ์สิทธิ์ของสายฟ้าประเภทนี้เป็นเหมือนกับหนอนชอนไชเข้าไปทําลายร่างกายของซูฉินอย่างต่อเนื่อง

“มนุษย์สวรรค์แห่งอาณาจักรถังผู้นี้ อาจจะเป็นภูตอสูรหรือไม่?

มีเสียงสั่นเครือมาจากบรรพชนตํานานยุทธขั้นสูงสุด ร่างกายของซูฉินไม่เพียงแต่ทรงพลังได้เปรียบแต่ตอนนี้ยังมีความยืดหยุ่นที่น่ากลัว นอกจากเผ่าภูตอสูรในตํานานที่ครอบครองร่างกายเช่นนี้แล้ว บรรพชนเหล่านี้ก็ไม่สามารถนึกถึงความเป็นไปได้อื่นเลย

ขณะที่บรรพชนและตํานานยุทธทั้งหลายกําลังตกตะลึง

เหลยเฉียนจือก็ต้องการจะสังหารซูฉินอีกครั้งหนึ่ง

คราวนี้เหลยเฉียนจือมีโทสะเล็กน้อย เขาใช้พลังต้นกําเนิดของดาบสายฟ้าออกไปหลายครั้งอย่างไม่คิดชีวิต

“สายฟ้าสวรรค์เก้าชั้นฟ้า ให้ข้าได้ชักนําพลังออกมา”

เหลยเฉียนจือพ่นเลือดออกมาทันที ชโลมลงไปบนใบดาบ ท้องฟ้าพลันมืดครื้มเมฆสีดําขนาดใหญ่เข้ามารวมตัวกันและในระหว่างนั้น มังกรสายฟ้าสีม่วงก็ลอยอยู่เหนือเมฆดํา

เหลยเฉียนจือไม่ลังเลที่จะใช้เลือดส่วนหนึ่งในกาย และดาบสายฟ้าเป็นแนวทางเรียกสายฟ้าสวรรค์เก้าชั้นฟ้าที่แท้จริงออกมา

“มันจบแล้ว”

“วิ่งเร็ว!”

เมื่อเหล่าบรรพชนเห็นฉากนี้ หนังศีรษะของพวกเขาก็ชาหนีบ
ต่อหน้าสายฟ้าสวรรค์เก้าชั้นฟ้าที่แท้จริงแม้มันจะกระจายออกมาเพียงเล็กน้อยแต่ก็เพียงพอที่จะส่งพวกเขาไปสู่จุดจบ

“มนุษย์สวรรค์แห่งอาณาจักรถัง”

“ข้าอยากจะรู้นักว่าคราวนี้เจ้าจะฟื้นตัวได้อย่างไร”

เหลยเฉียนจือหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง ด้วยการโจมตีจากสายฟ้าสวรรค์เก้าชั้นฟ้าร่างกายของซูฉันจะสลายเป็นผุยผงทันทีเหลยเฉียนจือไม่เชื่อว่าภายใต้สถานการณ์ดังกล่าวซุฉินจะยังฟื้นตัวได้อีก

“พี่สาม”

จักรพรรดิถังยืนอยู่หน้าโถงไท่จู่ด้วยกันกับซูเยวหยุน มองขึ้นไปยังซูฉินซึ่งราวกับเป็นเม็ดฝุ่นภายใต้มังกรสายฟ้าสีม่วงพวกเขามีใบหน้าที่สิ้นหวัง

แม้ว่าพวกเขาจะอยู่ห่างไกลขนาดนี้ก็ยังแทบจะหายใจไม่ออก นับประสาอะไรกับซูฉินที่ต้องประสบกับแรงกดดันระดับนั้น?

“มนุษย์สวรรค์อาณาจักรถังเจอปัญหาใหญ่เสียแล้วครานี้”

บรรพชนทั้งหลายที่ถอยออกไปอย่างกะทันหันล้วนมีความคิดนี้ในใจภายใต้สายฟ้าสวรรค์เก่าชั้นฟ้าอันน่าสะพรึงกลัวแม้จะเป็นเซียนเทพปฐพีแต่หากประมาทก็อาจจะถูกทําลายร่างและแม้แต่จิตวิญญาณแรกกําเนิดก็คงได้รับผลกระทบ

อย่างไรก็ตาม

ขณะที่เหลยเฉียนจือกําลังหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง และเหล่าบรรพชนที่มองมาด้วยความสงสาร

มีอีกเสียงที่สงบนิ่งดังก้องขึ้นภายในโสตประสาทของทุกคน ฟังดูใจเย็นไม่รีบร้อน

“ความแข็งแกร่งนั้นไม่เลว ถึงกับสามารถผลักดันร่างอวตารของข้าให้จนมุม”

ทันทีที่คําพูดนี้กล่าวจบ ร่างสูงเพรียวก็ลอยพุ่งขึ้นมา โผล่มาอยู่ไม่ไกลจากเหลยเฉียนลือ

และนั่นก็คือซูฉิน

ในตอนนี้ รัศมีพลังของซูฉินแข็งแกร่งกว่าเมื่อก่อนหลายเท่า ราวกับยืนอยู่บนทะเลปราณอันกว้างใหญ่แม้แต่เหลยเฉียนจือซึ่งอยู่ในขอบเขตเซียนเทพปฐพี่ก็ยังรู้สึกหายใจไม่ออก

“เจ้า?!”

เหลยเฉียนจือตกตะลึง ดาบสายฟ้าแทบจะหลุดออกจากมือ ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความรู้สึกเหลือเชื่อ

Sign in Buddha’s palm 317 (1)

ซูฉิน : แข็งแกร่งไม่เลว ถึงกับผลักดันร่างอวตารของข้าให้จนมุม

เปรี้ยง

พลังฟ้าดินระเบิดออก เหลยเฉียนจือถือดาบสายฟ้าเอาไว้มั่น รอบดาบสายฟ้านั่นบิดเบี้ยวไปหมด ปลดปล่อยสายฟ้าสีม่วงสดใส ส่งเสียงร้องครวญอย่างต่อเนื่อง ฉายพลังแห่งการทําลายล้างออกมา

แม้แต่เซียนเทพปฐพี่ที่ฝึกฝนวิถีสายฟ้าก็ไม่สามารถควบคุมสายฟ้าสวรรค์เก้าชั้นฟ้าได้ แต่ด้วยดาบสายฟ้าเล่มนี้ที่สร้างขึ้นโดยผู้ทรงพลังถึงขีดสุด เหลยเฉียนจือจึงสามารถใช้พลังสายฟ้าสวรรค์เก้าชั้นฟ้าที่สะสมอยู่ภายในได้โดยตรง

บรรพชนทั้งหลายที่รับชมการต่อสู้อยู่รอบๆ เมื่อได้เห็นฉากนี้พวกเขาต่างก็ครั่นคร้ามหวั่นเกรง

เมื่อเทียบกับเหลยเฉียนจือแล้ว เหล่าครึ่งก้าวเข้าสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพี่ทั้งเจ็ดที่รวมกําลังปิดล้อมสังหารซูฉินเป็นเหมือนเพียงอากาศธาตุ แม้ครึ่งก้าวเข้าสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพี่ทั้งเจ็ดจะอาศัยทักษะโจมตีประสาน แต่พลังของมันก็เพียงแค่แตะขอบประตูของขอบเขตเซียนเทพปฐพีเท่านั้น พลังก็ไม่มั่นคง จะมาเปรียบเทียบกับเซียนเทพปฐพี่ที่มีพลังเต็มเปี่ยมได้อย่างไร?

“มนุษย์สวรรค์แห่งอาณาจักรถังต้องการจะจับดาบสายฟ้าของเหลยเฉียนจือด้วยกายเนื้ออย่างนั้นหรือ?”

“พวกเจ้ารู้สึกว่ากลิ่นอายของมนุษย์สวรรค์แห่งอาณาจักรถังแปลกๆไปหรือไม่ มันเหมือนว่าอ่อนแอกว่าครั้งที่แล้ว?”

“บางทีอาจจะเป็นกลวิธีบางอย่างของเหลยเฉียนจือหรือเปล่า?”

จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของเหล่าบรรพชนกวาดเข้าไปอย่างต่อเนื่อง จ้องมองไปยังสนามประลองอย่างใกล้ชิด

การต่อสู้ระหว่างเซียนเทพปฐพี่ทั้งสอง สถานการณ์กําลังเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ขนาดที่บรรพชนนิกายใหญ่ยังแทบจะจับตาดูไม่ทัน พวกเขาจึงไม่กล้าละสายตาไปแม้แต่นิดเดียว

ต่ง!!!

เสียงประหนึ่งระฆังทองสัมฤทธิ์ เลือดเนื้อของซูฉินเดือนพล่าน ราวกับมีดวงอาทิตย์แผดเผาภายในดวงตา หมัดที่ปล่อยออกไปก็กระแทกเข้าใส่คมดาบสายฟ้าที่เหลยเฉียนจือได้ฟันออกมา

ช่วงเวลาต่อมา

ท่ามกลางสายตาที่จ้องมองมาของทุกคน ดาบสายฟ้าที่เลื้อยมาเหมือนงูสายฟ้าสีม่วง ก็ถูกสะกดข่ม หดตัวลงในทันที กลับกลายเป็นรูปร่างดาบสายฟ้าอีกครั้ง และเหลยเฉียนจือถึงกับต้องถอยกลับไปหลายก้าวเพราะสิ่งนี้

อย่างไรก็ตาม เมื่อเทียบกับเหลยเฉียนจือ ซูฉินถอยหลังไปถึงห้าก้าว ลมหายใจของเขาดูไม่คงที่ แม้ว่ามันจะสงบลงในทันที แต่ก็ไม่สามารถหลุดรอดไปจากการสังเกตของบรรพชนที่อยู่รอบนอก

ลมหายใจของเซียนเทพปฐพีนั้นกว้างใหญ่เพียงใด? ถึงแม้จะเป็นเพียงระลอกคลื่นจากลมหายใจ บรรพชนเหล่านี้ก็แทบจะรู้สึกเหมือนโลกได้พังทลายลงมา แต่ลมหายใจของซูฉินนั้นกลับไม่มั่นคงเลยสักนิด?

“ไม่ดีแล้ว”

“มนุษย์สวรรค์แห่งอาณาจักรถังเสียเปรียบจริงๆ หรือนี่?”

“เหลยเฉียนจือแข็งแกร่งเกินไป ด้วยการโจมตีครั้งแรกก็สามารถปราบปรามตัวตนอย่างมนุษย์สวรรค์อาณาจักรถังไว้ได้ สมควรแล้วที่เป็นเซียนเทพปฐพีในวิถีสายฟ้า!”

บรรพชนหลายคนเบิกตากว้าง ร่ําร้องภายในใจ

ตั้งแต่ที่ซูฉินโผล่ขึ้นมา เขาก็วางตัวยิ่งใหญ่เสมอ แม้จะเป็นครึ่งก้าวเข้าสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพีเจ็ดคนที่รวมพลังกัน ซูฉินก็ยังสงบนิ่ง ใช้มือเดียวเข้าปราบปรามได้ ใครจะไปคิดว่าเหตุการณ์ดังกล่าวจะเกิดขึ้น?

เพียงแต่ว่าเมื่อเหล่าบรรพชนเห็นฉากนี้ พวกเขาก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก

เมื่อเทียบกับการที่ซูฉินครองโลก พวกเขาเอนเอียงไปทางเหลยเฉียนจือมากกว่า ท้ายที่สุด เหลยเฉียนจือก็เป็นสมาชิกของนิกายเทพเจ้าสายฟ้าถือว่ามีมิตรภาพอันดีกับเหล่านิกายใหญ่

หากบังเอิญมีเรื่องใหญ่เกิดขึ้นในแผ่นดินแห่งพลังยุทธฯ ในอนาคต บางที่พวกเขาอาจจะได้กินน้ําซุปบ้าง จะโดนผลักไสไล่ส่งไปบริเวณขอบของแผ่นดินใหญ่เหมือนอย่างซุฉินได้อย่างไร?

ในขณะนี้ แม้ว่าซูฉินจะเสียเปรียบแต่เขาไม่ได้ตื่นตระหนกเลย
“มาอีกครั้ง”

ซูฉินก้าวเท้าเหยียบอากาศลอยขึ้นสู่ท้องฟ้า ยืนอยู่เหนือน่านฟ้าหลายพันเมตร และเลือกที่จะไม่ต่อสู้ภายในเมืองฉางอันอีกต่อไป

จิตวิญญาณการต่อสู้ของเหลยเฉียนจือเดือดพล่าน ด้วยการ
เคลื่อนไหวเมื่อสักครู่ เหลยเฉียนจือพอจะจับความแข็งแกร่งของซูฉินได้เล็กน้อย แม้ว่าจะแข็งแกร่ง แต่ก็ยังอ่อนแอกว่าตัวเขาที่เคยอยู่ภายในหุบเขาสายฟ้าสัมบูรณ์มาเป็นเวลาสามร้อยปี
ชั่วพริบตา

ทั้งสองคนก็ต่อสู้กันอีกครั้ง

เลือดเนื้อของซูฉินลุกไหม้ ปกคลุมไปด้วยพลังศักดิ์สิทธิ์สีแดงเพลิง เต็มไปด้วยพลังงานไฟอันร้อนแรงพร้อมเผาไหม้ทุกสิ่ง แต่เหลยเฉียนจือมีพลังมากกว่า และใช้ทักษะสายฟ้าออกมานับไม่ถ้วน ควบคู่ไปกับการใช้ดาบสายฟ้าคอยควบคุมพลังสายฟ้าสวรรค์เก้าชั้นฟ้า จึงกลายเป็นเหมือนกับเทพเจ้าสายฟ้าที่ไม่สามารถจ้องมองตรงๆ ได้

แม้ว่าซูฉินจะกระตุ้นพลังจากร่างกายหลายต่อหลายครั้ง แต่ก็ยังไม่สามารถสะกดข่มเหลยเฉียนจือได้

ตรงกันข้าม ทุกครั้งที่เหลยเฉียนจือตวัดดาบสายฟ้าออกไป เขาสามารถบังคับให้ซูฉินถอยห่างได้หลายก้าว และรัศมีสายฟ้าสวรรค์เก้าชั้นฟ้าก็ปกคลุมไปทั่ว น่าหวาดกลัวยิ่งนัก

“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า”

“มนุษย์สวรรค์แห่งอาณาจักรถัง เจ้าไม่นับเป็นตัวอะไรเลย”

“ถ้าตอนนี้เจ้าร้องขอความเมตตา ยอมมอบแผ่นดินแห่งพลังยุทธอันยิ่งใหญ่นี้มา ก้มหัวให้กับนิกายเทพเจ้าสายฟ้า ข้าจะไว้ชีวิตเจ้า”

เหลยเฉียนจือหัวเราะร่า ชะลอการโจมตีชั่วคราว ไม่ได้บีบบังคับซูฉินมากจนเกินไป

แม้ว่าเหลยเฉียนจือจะอาศัยดาบสายฟ้าที่สร้างขึ้นโดยผู้ทรงพลังถึงขีดสุดเพื่อปราบปรามฉันด้วยสายฟ้าสวรรค์เก้าชั้นฟ้าจนเกิดความได้เปรียบ แต่เขาก็ไม่รังเกียจที่จะพูดคุย

ตัวตนของเหลยเฉียนจือหาใช่บุตรสวรรค์อัจฉริยะผู้หยิ่งผยอง มีพรสวรรค์ล่าเลิศเป็นที่หนึ่งในหมื่นล้านสรรพชีวิตไม่? ถึงจะมองว่าเขาสามารถปราบปรามซูฉินได้ แต่หากรีบร้อนจนเกินไป เหลยเฉียนฉือจะต้องปวดหัวแน่หากซูฉินใช้ทักษะทุกอย่างด้วยความสิ้นหวัง

หากซูฉินต่อสู้อย่างเต็มที่สุดชีวิต เหลยเฉียนจือไม่คิดว่าเขาจะสามารถหยุดยั้งเอาไว้ได้โดยไม่ต้องสูญเสียสิ่งใด ในตอนนั้นเหลยเฉียนลือคงจะต้องใช้ทักษะต้องห้ามโจมตีออกไปด้วยความสิ้นหวัง แม้จะเอาชนะซูฉินได้ ในท้ายที่สุดก็คงเป็นดั่งสังหารศัตรูพันแต่สูญเสียไปหนึ่งร้อย

สําหรับการล้างแค้นให้ศิษย์สาวกของนิกายเทพเจ้าสายฟ้าที่ตกตายด้วยน้ํามือของซูฉิน…

แน่นอนว่าเหลยเฉียนจือไม่ลืมแน่ แต่นั่นก็อยู่ภายใต้พื้นฐานที่จะต้องรักษาตัวรอดไว้ให้ได้ก่อน มันจะไม่สายเกินไปที่จะแก้แค้นเมื่อเหลยเฉียนลือครอบครองแผ่นดินแห่งพลังยุทธฯ และใช้สถานที่นี้เพื่อก้าวหน้าต่อไป ในยามนั้นความแข็งแกร่งของเขาย่อมเหนือกว่าซูฉิน

“งั้นหรือ?”

ซูฉินกําหมัดและฉวยโอกาสที่เหลยเฉียนจือชะลอการโจมตีกระแทกเข้าใส่ดาบสายฟ้าโดยตรง ทันใดนั้นดาบสายฟ้าของเหลยเฉียนจือก็ส่งเสียงร้องออกมา กลิ่นอายของมันเริ่มอ่อนแอลง

แม้ว่าดาบสายฟ้าจะหล่อหลอมด้วยสายฟ้าสวรรค์เก้าชั้นฟ้า แต่หลังจากผ่านการต่อสู้มาเป็นเวลานานกับซูฉิน ปะทะเข้ากับเลือดเนื้อของซูฉิน มันย่อมได้รับความสูญเสียเช่นกัน ตอนนี้ที่มันรับหมัดของซูฉินเข้าไป ความเสียหายก็ยิ่งมากขึ้น

“มนุษย์สวรรค์อาณาจักรถัง เจ้าบังคับข้าเองนะ!”

Sign in Buddha’s palm 316 ฟ้าดินอลหม่าน

“เข้ามาหาเรื่องตาย!”

เมื่อคํากล่าวได้หลุดออกมา ทุกคนในที่แห่งนี้พลันหน้าเปลี่ยนสี เหลยเฉียนจือที่มีท่าที่สงบ และลึกล้ําก็เริ่มเปลี่ยนเป็นบิดเบี้ยวน่าเกลียด

ตั้งแต่เหลยเฉียนจือถมทะเลด้วยแผ่นดินขยายเกาะเทพเจ้าสายฟ้าด้วยพลังอันยิ่งใหญ่ จนมันขยายออกไปหลายร้อยล์ในฉับพลัน ในยุทธภพต่างดินแดนมีใครไม่รู้บ้างว่าเหลยเฉียนจือเป็นเซียนเทพปฐพีแล้ว?”

ซูฉินกลับบอกให้เซียนเทพปฐพี เข้ามาหาความตาย ด้วยน้ําเสียงที่หนักแน่นเช่นนี้ หากมองไปทั่วยุทธภพต่างแดน ในรอบหลายพันปีที่ผ่านมานี้ เกรงว่าคงจะไม่มีคนที่สองที่ทําเช่นนี้
รู้หรือไม่ว่านี่คือเซียนเทพปฐพีไม่ใช่หมาแมว เซียนเทพปฐพี่ทุกคนเป็นตัวตนที่ไม่มีใครเทียบเทียม มีอํานาจเหนือผู้คนบนโลก แม้แต่ในยุคเฟื่องฟูกระแสปราณฉีครั้งล่าสุด ขอบเขตเซียนเทพปฐพีก็ยังเป็นตัวตนระดับสูง เซียนเทพปฐพีขั้นสูงสุดอย่างจ้าวทะเลบูรพายังยึดครองน่านน้ําทะเลบูรพาจับภูตอสูรไปเป็นทาสอย่างป่าเถื่อนได้ด้วยซ้ํา

“มนุษย์สวรรค์แห่งอาณาจักรถังไม่รู้หรือว่าเหลยเฉียนจือ ได้ก้าวเข้าสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพีแล้ว?”

“เป็นไปได้อย่างไรกัน? ไม่ต้องกล่าวถึงข่าวที่เหลยเฉียนจือถมทะเลด้วยแผ่นดินนั้นแพร่ก็จะไปทั่วมาตั้งนานแล้ว แม้ว่ามนุษย์สวรรค์แห่งอาณาจักรถังจะไม่รู้จริงๆ แต่เหลยเฉียนจือก็ได้มาถึงที่แห่งนี้แล้ว ด้วยกลิ่นอายระดับนี้ มนุษย์สวรรค์แห่งอาณาจักรถังจะไม่รู้ได้อย่างไร?”

จอมยุทธหลายคนมองไกลออกไป กล่าวออกด้วยน้ําเสียงแผ่วเบา

เซียนเทพปฐพีอย่างเหลยเฉียนจือนั้น ทั้งร่างกายและจิตวิญญาณแรกกําเนิดของเขาได้รับการขัดเกลาด้วยทะเลปราณในส่วนลึกของความว่างเปล่าแล้ว และในบางแง่มุมมันย่อมเหนือกว่าสิ่งมีชีวิตธรรมดาทั่วไป

เมื่อเผชิญหน้ากับตัวตนเช่นนี้ ตํานานยุทธระดับนภาชั้นที่สี่และชั้นที่ห้าคงไม่เป็นอะไร อย่างดีที่สุดก็แค่สามารถสัมผัสได้ แต่เมื่อก้าวเข้าสู่ขอบเขตตํานานยุทธระดับนภาชั้นที่หกไปจนถึงตำนานยุทธขั้นสูงสุด ย่อมจะสัมผัสถึงกลิ่นอายของเซียนเทพปฐพี่ที่แสนน่าสะพรึงกลัวได้

กลิ่นอายนี้คล้ายเป็นการรวมตัวกันของมนุษย์และฟ้าดิน เป็นตัวแทนของโลกทั้งใบ มันทรงพลังถึงขนาดที่ตํานานยุทธขั้นสูงสุดไม่กล้าแม้แต่จะจ้องมองโดยตรง

ตํานานยุทธขั้นสูงสุดยังสัมผัสได้ถึงความน่าสะพรึงกลัวของเซียนเทพปฐพี ไม่ต้องกล่าวถึงตัวตนอย่างซูฉินที่เทียบเคียงเซียนเทพปฐพีจะไม่รู้ได้อย่างไร?

เกรงว่าเมื่อเหลยเฉียนจือก้าวเข้าสู่แผ่นดินแห่งพลังยุทธฯ คงจะทําให้มนุษย์สวรรค์แห่งอาณาจักรถังตื่นตัวตั้งแต่แรกแล้ว
แต่กระนั้น หลังจากมนุษย์สวรรค์แห่งอาณาจักรถังรู้ถึงความแข็งแกร่งของเหลยเฉียนจือ เขาก็ยังทิ้งประโยคอย่างเข้ามาหาเรื่องตายเอาไว้ ช่างเป็นพฤติกรรมที่น่าเหลือเชื่อจริงๆ

นอกเมืองฉางอัน

สีหน้าของเหลยเฉียนจือกลับมาสงบอีกครั้ง เขาเหลือบมองไปยังส่วนลึกของเมืองฉางอันก้าวเท้าและหายตัวไปจากที่เดิมทันที

“เข้าไปแล้ว”

“เหลยเฉียนจือเข้าไปแล้ว”

“เกรงว่าจะมีการแสดงดีๆ ให้ได้รับชมในภายหลัง

“พวกเราออกห่างหน่อยดีกว่า กรณีที่ทั้งสองต่อสู้กัน ผลจากการต่อสู้คงจะรุนแรงยิ่ง ต่อให้ข้ามีสิบชีวิตก็คงต้องตายอยู่ดี”

จอมยุทธนับไม่ถ้วนดูเคร่งเครียด ถอยห่างออกไปหลายอย่างรวดเร็ว ความคาดหวัง ปรากฏขึ้นในแววตามองเข้าไปในเมืองฉางอัน

แม้ว่าจะเป็นนิกายใหญ่ ก็คิดเห็นว่าการที่เหลยเฉียนจือมาพบมนุษย์สวรรค์แห่งอาณาจักรถังเช่นนี้ หรือแม้แต่จอมยุทธธรรมดาที่ไม่รู้อะไรเลยก็ยังตระหนักได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ ประกอบกับวลีที่ว่า ‘เข้ามาหาเรื่องตาย” ที่เอ่ยออกมาโดยมนุษย์สวรรค์แห่งอาณาจักรถังซึ่งไม่ได้ปิดบังแม้แต่น้อย การเผชิญหน้ากันระหว่างมนุษย์สวรรค์ทั้งสองอาจจะเริ่มต้นขึ้นนานแล้วก็เป็นได้

ด้านนอกวังหลวง

ซูฉินในชุดดํายืนอยู่บนอากาศ มองลงไปที่เหลยเฉียนจอที่กําลังเดินอย่างช้าๆเข้ามาหา

“มนุษย์สวรรค์อาณาจักรถัง เจ้าปล่อยให้ข้าเข้ามาตาย ข้าอยากจะรู้นักว่าเจ้าจะใช้อะไรในการสังหารเซียนเทพปฐพี่”

เหลยเฉียนจือมองตรงไปที่ซฉิน รัศมีพลังของเขาส่องประกายเผยให้เห็นถึงพลังทําลายล้าง

“ใช้อะไรในการสังหาร?”

ซูฉินส่ายศีรษะเล็กน้อยแล้วกล่าวว่า “ก็ตามปกติ สังหารด้วยมือนี้แหละ”

“ฮ่าฮ่า”

ดวงตาของเหลยเฉียนจือเย็นชา ในตอนนี้เขาไม่สามารถปกปิดจิตสังหารในใจได้อีกต่อไป ไอพลังอันน่าสยดสยองแพร่กระจายออกไปในทันที เมฆก้อนใหญ่มารวมตัวกันทั่วเมืองฉางอัน และมองเห็นทะเลปราณอันไร้ที่สิ้นสุด

“เป็นวาจาที่ใหญ่โตเหลือเกิน

เสียงของเหลยเฉียนจือแผดคํารามราวกับฟ้าร้อง “ข้าฝึกฝนอย่างหนักเป็นเวลาสามร้อยปีในหุบเขาสายฟ้าสัมบูรณ์ ไม่รู้ว่าเจอวิกฤติความเป็นความตายมากี่ครั้งต่อกี่ครั้ง ในที่สุดข้าก็เข้าใจแก่นแท้ของหุบเขาสายฟ้าสัมบูรณ์และได้ก้าวเข้าสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพี่ก่อนจะออกมา”

“แม้แต่ดินแดนต้องห้ามก็ไม่สามารถสังหารข้าได้ แล้วมนุษย์สวรรค์แห่งอาณาจักรถังจะสังหารข้าได้อย่างไร?”

เสียงของเหลยเฉียนจือที่เหมือนกับฟ้าร้อง ดูเหมือนจะตั้งคําถามกับซูฉิน แต่ในความเป็นจริง มันกําลังวัดพลังของตนเอง

การเผชิญหน้าระหว่างเซียนเทพปฐพี่เมื่อเทียบกับตํานานยุทธยุทธแล้วนั้น จะให้ความสําคัญกับจิตใจและจิตวิญญาณแรกกําเนิดมากกว่า ในขณะที่ตํานานยุทธจะวัดกันที่อาณาเขตและร่างกายเพียงเท่านั้น

“หุบเขาสายฟ้าสัมบูรณ์?”

“ไม่คาดคิดเลยว่าเหลยเฉียนจือจะถูกกักขังอยู่ในหุบเขาสายฟ้าสัมบูรณ์?”

แม้ว่าผู้ฝึกยุทธส่วนใหญ่จะออกจากเมืองฉางอันไปเพื่อชมการต่อสู้จากระยะไกล เพราะพวกเขากลัวว่าจะได้ผลกระทบ แต่ยังมีจอมยุทธที่กล้าเข้าใกล้ นอกจากนี้ บรรพชนจากนิกายใหญ่ทั้งหลายก็ยืนอยู่ไม่ไกลเช่นกัน

“แน่นอนว่าหุบเขาสายฟ้าสัมบูรณ์นั้นเป็นดินแดนต้องห้ามในต่างดินแดนที่เซียนเทพปฐพีก็ไม่กล้าเข้าไป เหลยเฉียนจืออยู่ในนั้นมาสามร้อยปีโดยไม่ตกตาย ทั้งยังได้ก้าวเข้าสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพีเช่นนั้นหรือนี่?”

มีบรรพชนมองขึ้นไปบนฟ้าและถอนหายใจ ทอดถอนอารมณ์ออกมา

ในต่างดินแดนมีสถานที่ต้องห้ามเก้าแห่ง ดินแดนต้องห้ามทั้งเก้าแห่งนี้เกี่ยวข้องกับยุคเฟื่องฟูกระแสปราณฉีครั้งล่าสุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งดินแดนต้องห้ามอันดับหนึ่ง หุบเหวลึก ที่เป็นสนามรบที่มนุษย์และปีศาจจากโลกถ้ําปีศาจจํานวนนับไม่ถ้วนต่อสู้กัน

ไม่ต้องกล่าวถึงตํานานยุทธ แม้แต่เซียนเทพปฐพีก็ไม่ยอมเข้าใกล้พื้นที่ต้องห้ามเหล่านี้โดยไม่มีเหตุผล

ส่วนหุบเขาสายฟ้าสัมบูรณ์เป็นหุบเขาที่เต็มไปด้วยสายฟ้า ในส่วนลึกของหุบเขาสายฟ้าสัมบูรณ์ก็มีแม้แต่ร่องรอยของสายฟ้าสวรรค์เก้าชั้นฟ้า มีเซียนเทพปฐพี่นิกายเทพเจ้าสายฟ้าต้องการจะใช้พลังจากหุบเขาสายฟ้าสัมบูรณ์ในการฝึกเคล็ดวิชา แต่ผลที่ได้กลายเป็นต้องรับบาดเจ็บสาหัส ไม่ว่าใครก็คงนึกภาพความน่ากลัวของดินแดนต้องห้ามนี้ได้

บรรพชนทั้งหลายไม่เคยคาดคิดว่าเหลยเฉียนฉือจะพบโอกาสที่ดีเช่นนี้

ขณะที่ความคิดของผู้คนกําลังหลั่งไหลนั้น

นอกวังหลวง เหลยเฉียนจือก็ยกมือขวาขึ้น ค่อยๆดึงดาบยาวสองเมตรที่อยู่ด้านหลังออกมา

“ใครๆ ต่างก็คิดว่าหุบเขาสายฟ้าเป็นสถานที่ต้องห้าม แม้แต่เซียนเทพปฐพี่ที่เข้าไปภายในยังบาดเจ็บสาหัส แต่ในความเป็นจริง ในยุคเฟื่องฟูกระแสปราณฉีครั้งล่าสุด หุบเขาสายฟ้าสัมบูรณ์ เป็นสถานที่ที่ผู้ทรงพลังถึงขีดสุดได้ทิ้งมรดกเอาไว้”

“พลังสายฟ้าในหุบเขาสายฟ้าสัมบูรณ์เป็นเพียงบททดสอบของผู้ทรงพลังถึงขีดสุดเท่านั้น”

น้ําเสียงของเหลยเฉียนลือเย็นชาและไม่แยแส บอกความลับอันยิ่งใหญ่นี้ด้วยท่าทีเฉยเมย

ไม่รู้ว่ามีสายฟ้าสะสมอยู่ภายในหุบเขาสายฟ้าสัมบูรณ์มากแค่ไหน แม้แต่เซียนเทพปฐพีจากนิกายเทพเจ้าสายฟ้าก็เข้าไปด้านในสุดไม่ได้ นับประสาอะไรกับคนอื่น

แม้ทุกคนจะรู้ว่าหุบเขาสายฟ้าสัมบูรณ์เป็นสถานที่สืบทอดมรดกของผู้ทรงพลังถึงขีดสุดแล้ว มันอย่างไรเล่า?

“ผู้ทรงพลังถึงขีดสุด?”

หัวใจของซูจินกระตุก

ผู้ทรงพลังถึงขีดสุดสามารถทะลวงผ่านความว่างเปล่า และเปิดโลกใบเล็กอย่างประตูเซียนขึ้นมาเพื่อหลีกเลี่ยงยุคกระแสปราณฉีเงียบงันได้ วิธีการดังกล่าวไม่ต่างไปจากเทพเซียนไม่ใช่หรือ?

และตอนนี้เหลยเฉียนซื้อกล่าวว่าหุบเขาสายฟ้าสัมบูรณ์นั้นเกี่ยวข้องกับผู้ทรงพลังถึงขีดสุด ทั้งยังเป็นถึงสถานที่สืบทอดมรดกของผู้ทรงพลังถึงขีดสุด เป็นธรรมดาที่จะสร้างคลื่นลมขึ้นในใจของซูฉิน

เหลยเฉียนจือเพิกเฉยต่อท่าทีของซูฉิน แล้วดึงดาบยาวกว่าสองเมตรที่อยู่ด้านหลังออกมา ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความบ้าคลั่ง “เจ้ารู้หรือไม่ว่าดาบเล่มนี้มาจากไหน?”

“ข้าทนทุกข์ทรมานในหุบเขาสายฟ้าสัมบูรณ์มาเป็นเวลากว่าสามร้อยปี นอกจากการก้าวเข้าสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพีแล้ว ก่าไรที่ยิ่งใหญ่ที่สุดก็คือมันนี่แหละ”

“ดาบเล่มนี้คือดาบสายฟ้า ผู้ทรงพลังถึงขีดสุดถึงขนาดหล่อหลอมมันอย่างเต็มที่ด้วยสายฟ้า สวรรค์เก้าชั้นฟ้า แม้ว่าจะไม่ใช่สมบัติล้ําค่า แต่ก็อยู่ไม่ไกลมากแล้ว”

เหลยเฉียนจือถือดาบสายฟ้ายาวสองเมตรในมือขวาแล้วสะบัดออกอย่างสบายๆครีด

เมื่อคมดาบฟาดผ่านอากาศ ภายในความว่างเปล่าก็เหมือนกับมีสายฟ้าสีม่วงแลบออกมา ไม่ถึงขนาดฉีกความว่างเปล่าออก แต่ก็น่าสะพรึงกลัวไม่น้อย

เหลยเฉียนจือไม่ได้ใช้พลังอะไรของดาบสายฟ้า เพียงแค่โบกมันเบาๆ ก็ถึงกับเกิดฉากดังกล่าวขึ้น แสดงว่าพลังสายฟ้าที่มีอยู่ภายในดาบสายฟ้านั้นยิ่งใหญ่เพียงใด เมื่อมันปลดปล่อยพลังจริงๆ ก็เพียงพอแล้วที่จะคุกคามเซียนเทพปฐพี

“เกินหนึ่งหมื่นปีแล้ว”

“ดาบสายฟ้าเล่มนี้หลับใหลมานานกว่าหนึ่งหมื่นปีในหุบเขาสายฟ้าสัมบูรณ์ และตอนนี้ข้าจะปล่อยให้มันได้ดื่มเลือดมนุษย์สวรรค์”

พลังสายฟ้าของเหลยเฉียนจ่อยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ ราวกับมีสายฟ้าจริงๆ อยู่ภาย ในกลิ่นอายพุ่งทะยานขึ้นอย่างรวดเร็ว และในที่สุดก็ทะลักท่วมทุกพื้นที่ ราวกับเทพเจ้าสายฟ้าตัวจริงมาอยู่ที่นี่

ในเวลาเดียวกัน

ภายในรัศมีหนึ่งร้อยลี้ แม้แต่อากาศโดยรอบยังแข็งตัว

พลังปราณฉีฟ้าดินโดยรอบนั้นไม่สามารถไหลเวียนได้อย่างเต็มที่ รอบตัวในระยะร้อยล์ที่เหลยเฉียนจ่อยืนอยู่ เขาควบคุมทุกสิ่งราวกับเป็นพระเจ้า พลังต่างๆ ถูกเขาควบคุมไว้หมด

อาณาเขตขนาดใหญ่!

หากเป็นอาณาเขตขนาดเล็กของต่านานยุทธขั้นสูงสุดจะสามารถครอบคลุมได้เพียงระยะร้อยจ้าง หากชํานาญหน่อย ระยะร้อยจ้างนั้นก็สามารถควบคุมปราณฉีไว้ได้ทั้งหมด

ส่วนอาณาเขตขนาดใหญ่ของเซียนเทพปฐพี่ไม่เพียงแต่ใหญ่กว่า มีระยะร้อยล์ไปจนถึงหลายร้อยลี้ แต่ในแง่ของการควบคุม มันยังมีอํานาจเหนือกว่าอาณาเขตขนาดเล็กไปไกลโข

หลังจากที่เหลยเฉียนจ่อดึงดาบออกมา เขาก็ไม่ได้ตั้งใจจะเก็บออมกําลังของตนไว้ และเลือกปราบปรามซูฉินด้วยอาณาเขตขนาดใหญ่โดยตรง

แม้ว่าในสายตาของเหลยเฉียนจือ ซูฉินจะเป็นเซียนเทพปฐพีและมีอาณาเขตขนาดใหญ่คอยคุ้มกัน แต่อาณาเขตขนาดใหญ่แต่ละอันนั้นก็แตกต่าง

ตัวอย่างเช่น เหลยเฉียนจือเป็นเซียนเทพปฐพีวิถีสายฟ้า อาณาเขตขนาดใหญ่ของเขาเชียวชาญในการโจมตีมากกว่า จะเข้าใกล้ศัตรูทีละนิดด้วยสายฟ้าที่เลื้อยเข้าไปราวกับง

“ไร้สาระ

ดวงตาของซูฉินสงบนิ่ง และก้าวไปด้านหน้าเล็กน้อย

ตึง!

จังหวะนั้นเหมือนเหยียบเข้าไปโดนจุดใดจุดหนึ่ง เปลือกตาของเหลยเฉียนจือถึงกับกระตุก รู้สึกว่าอาณาเขตขนาดใหญ่ของเขาไม่สามารถปราบปรามซูฉินได้

การย่างก้าวของซูฉินนั้นดูเหมือนจะไม่ได้ตั้งใจ แต่จริงๆแล้วมันเหยียบลงบนรากฐานอาณาเขตขนาดใหญ่ของเหลยเฉียนจือ โชคดีที่อาณาเขตขนาดใหญ่นั้นเสถียรมาก ไม่เช่นนั้น หากมันถูกเปลี่ยนเป็นอาณาเขตขนาดเล็ก ป่านนี้คงพังทลายลงไปแล้ว

“มอบชีวิตมาให้ข้า!!” เหลยเฉียนจือตะโกนออกมาทันที ยกดาบสายฟ้าแล้วฟันไปทางซูฉินโดยไม่ลังเล

บูมบูม

ดาบสายฟ้าในมือของเหลยเฉียนจือปล่อยพลังสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ราวกับมันเป็นสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์จากสวรรค์เก้าชั้นฟ้าที่ต้องการจะมอบความพิโรธแห่งสวรรค์มาลงโทษซูฉิน

ในเวลานี้เหลยเฉียนจือได้ถ่ายเทพลังจิตวิญญาณแรกกําเนิดทั้งหมดของเขาเข้าไปในดาบสายฟ้าโดยตรง ซึ่งทําให้สายฟ้าสวรรค์เก้าชั้นฟ้าภายในดาบสายฟ้าถูกปลุกให้ตื่นขึ้น ไอพลังของสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์นั้นน่าสะพรึงกลัวจนทําให้ชั้นฟ้าดินสั่นสะเทือน

“มาได้ดี!!”

ดวงตาของซูฉินไม่มีความผันผวน แต่เลือดในกายของเขาเริ่มเดือดพล่าน ก้าวเท้าเข้าไปข้างหน้าหนึ่งก้าว พร้อมกับชกหมัดเข้าใส่เหลยเฉียนจือที่ถือดาบสายฟ้าอยู่

บูม

อากาศเดือดพล่าน พลังพลุ่งพล่าน และพลังฟ้าดินในรัศมีหลายร้อยล์เริ่มสั่นไหว เมื่อเท้าของซุฉินแตะลงไปบนช่องว่างของความว่างเปล่า กลิ่นอายของเขาก็ยิ่งใหญ่ ราวกับเทพเซียนท่องลงมาบนโลก

ความว่างเปล่าอันเงียบสงัด ทันใดนั้นก็สั่นสะท้าน บรรพชนทั้งหลายที่เฝ้าดูการต่อสู้อยู่ไม่ไกลก็รู้สึกว่าฟ้าดินปั่นป่วนอลหม่านกลับหัวกลับหางไปหมด ประหนึ่งโลกเข้าใกล้จุดสิ้นสุด

Sign in Buddha’s palm 315 (II) เข้ามาหาเรื่องตาย!

“แล้วตอนนี้พวกเราควรทําเช่นไร?”

“ควรจะบอกพี่สามหรือไม่?”

จักรพรรดิถังเดินไปเดินมา ถามออกด้วยน้ําเสียงที่ลึกล่า

“ตอนนี้เราไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องรอ” นักพรตเฒ่าสํานักเอกะวิถีและกล่าวออกมา

เมื่อเป็นการต่อสู้ระหว่างเซียนเทพปฐพี แม้จะเป็นตํานานยุทธขั้นสูงสุดนับร้อยก็จะไม่มีผลกับการต่อสู้

ดังนั้นต่อให้กังวลแค่ไหนก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้ ทางเดียวคือต้องรอผลอย่างเงียบๆ

“เหลยเฉียนจือ?”

“อีกเจ็ดวันจะมาหาข้า?”

ที่ด้านหน้าของพระราชวังตะวันออก ซูฉินในชุดดํามีแววตาอันสงบประดับอยู่บนใบหน้าไม่มีความกังวลใดๆ เลย

ด้วยร่างศักดิ์สิทธิ์อีกาทองคํา แม้ว่าซูฉินจะยังไม่ทะลวงขั้น แต่ก็สามารถเทียบเคียงกับเซียนเทพปฐพี่ได้ ไม่ต้องพูดถึงตอนที่ซูฉันสามารถทะลวงขอบเขตได้แล้ว

“อีกเจ็ดวันต่อจากนี้ คงจะได้ทดสอบกําลังของข้าดูเสียที”

ซูฉินสายศีรษะ จากนั้นก็ไม่ได้ให้ความสนใจอะไรต่อไป

ในเวลานี้ ความสนใจของซุฉินเกือบจะมุ่งเน้นไปที่ขอบเขตเซียนเทพปฐพี่ทั้งหมด

ส่วนการมาเยือนของเหลยเฉียนจือ?

ซูฉันไม่ได้เอามาใส่ใจเลย

เวลาผ่านไปอย่างช้าๆ

เจ็ดวันผ่านไปในพริบตา

และในวันนี้ จอมยุทธต่างแดนจํานวนนับไม่ถ้วนก็ได้มาอยู่นอกเมืองฉางอันอยากจะเห็นการต่อสู้อันน่าตกตะลึงระหว่างเซียนเทพปฐพี่ทั้งสองคนด้วยตาของตนเอง

แม้แต่นิกายใหญ่ก็ไม่มีข้อยกเว้น มีผู้นํานิกายหลายคนที่มารอที่นี่ล่วงหน้าสองสามวัน

ในที่สุด

วันนี้

ทุกคนต่างได้เห็นชายร่างสูงเดินมาทีละก้าว

ด้านหลังของชายร่างสูงสะพายดาบยาวสองเมตร แม้ว่าจะเดินมาเงียบๆ แต่ทะเลปราณอันไร้ที่สิ้นสุดก็ยังได้รับผลกระทบ รัศมีที่อธิบายไม่ได้แผ่ออกไปทั่วทิศทาง

“เหลยเฉียนจือ”

“เขาคือเหลยเฉียนจือ”

จอมยุทธหลายคนจ้องมองไปที่เหลยเฉียนจือด้วยดวงตาอันร้อนแรง

“นี่คือเซียนเทพปฐพงั้นหรือ?

มันทรงพลังจนน่าเหลือเชื่อ แม้ว่าจะไม่ได้ปลดปล่อยไอพลังอะ ไรออกมา แต่สภาวะการรวมกันระหว่างมนุษย์และสวรรค์นี้ก็เพียงพอแล้วที่จะทําให้ตํานานยุทธขั้นสูงสุดไม่สามารถต้านทานได้แม้แต่น้อย…”

จอมยุทธบางคนอทานและกระซิบอยู่กับตัวเอง

“มิผิด”

จอมยุทธที่เหลือพยักหน้ากันทีละคน ชัดเจนว่าเห็นด้วย

รัศมีที่เหลยเฉียนจือแสดงออกมาในตอนนี้แตกต่างจากตํานานยุทธขั้นสูงสุดหรือแม้แต่ครึ่งก้าวเข้าสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพีโดยสิ้นเชิง

หากเทียบกับความรู้สึกกดขี่ยามเผชิญกับครึ่งก้าวเข้าสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพี่ความรู้สึกกดขี่ในยามนี้ก็เป็นความห่างชั้นที่ใหญ่ยิ่ง

ดังนั้นเหลยเฉียนจือในยามนี้จึงทําให้พวกเขารู้สึกตกใจอย่างมาก และความรู้สึกนี้ไม่ได้มาจากความแข็งแกร่งส่วนตนเท่านั้น แต่มาจากโลกทั้งใบ

ท่ามกลางสายตาของทุกคน เหลยเฉียนจือก้าวเดินไปหลายสิบลี้ ในที่สุดก็หยุดอยู่นอกเมืองฉางอันฉับพลัน

ทุกคนก็ปิดปากเงียบ สงบจิตสงบใจ ด้านนอกเมืองฉางอันภายในรัศมีหลายสิบลี้เงียบกริบจนแม้แต่เสียงเข็มตกก็ยังไม่มี ทุกคนต่างจ้องมองไปที่เหลยเฉียนจืออยากรู้ว่าเขาจะทําอะไรต่อไป

“นิกายเทพเจ้าสายฟ้าเหลยเฉียนจือมาขอพบมนุษย์สวรรค์แห่งอาณาจักรถัง”

เสียงของเหลยเฉียนจือนั้นลึกซึ้งและทรงพลังอย่างมาก มันเข้าไปถึงหูทุกคนในทันที

เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว

หลังจากนั้นไม่นาน

ไม่มีการตอบสนองใดในเมืองฉางอัน ราวกับเหลยเฉียนจือถูกละเลยโดยสิ้นเชิง

“ฮ่าฮ่า…”

เมื่อเหลยเฉียนจือเห็นดังนี้ การแสดงออกบนใบหน้าก็กลายเป็นเย็นชา “ในเมื่อมนุษย์สวรรค์ไม่ต้องการจะพบข้าก็อย่าโทษข้าเลยเวลาที่ข้าสังหารเจ้า”

คําที่กล่าวออกมา

จิตสังหารที่น่าสะพรึงกลัวก็ออกมาจากเหลยเฉียนจือ เสียงฟ้าร้องก้องคํารามนับพันราวกับต้องการจะทําลายโลก

เมื่อจอมยุทธคนอื่นๆ นอกเมืองฉางอันได้ยินสิ่งนี้ หนังศีรษะของพวกเขาก็ชาวาบ

แม้ว่าเหลยเฉียนฉือจะกล่าวออกอย่างใจเย็น แต่ก็เป็นการข่มขู่ซูฉินโดยไม่มีการปิดบังใดๆ

ขณะที่จอมยุทธทั้งหลายจ้องมองไปที่เมืองฉางอันด้วยใบหน้าซีดเผือด พวกเขาต้องการจะรู้ว่าซูฉันจะตอบสนองอย่างไร

ปัง!

ประตูเมืองฝั่งที่ใกล้กับที่เหลยเฉียนจ่อยืนอยู่มากที่สุดพลันเปิดออก
นํามาด้วยเสียงที่สงบนิ่งไร้ซึ่งความผันผวนใดๆ

“เข้ามาหาเรื่องตาย!”

Sign in Buddha’s palm 314 บุกเบิกพื้นที่

นิกายเทพเจ้าสายฟ้า

ในฐานะที่เป็นหนึ่งในนิกายใหญ่ต่างแดน นิกายเทพเจ้าสายฟ้าได้รับการสืบทอดต่อกันมาเป็นเวลานับหมื่นปี ครอบครองจุดที่กระแสปราณฉีมาบรรจบกันเป็นสถานที่ตั้งของนิกาย

ปราณฉีฟ้าดินเปรียบเสมือนกระแสน้ําที่มีขึ้นมาลง มีจุดหนามีจุดที่เบาบาง

และสถานที่ที่เรียกกันว่าจุดบรรจบกันของกระแสปราณฉี คือสถานที่ที่ปราณฉีฟ้าดินมาบรรจบกันโดยธรรมชาติ และภายในขอบเขตของจุดบรรจบกระแสปราณฉี มันจะเต็มไปด้วยจิตใจฟ้าดินเข้มข้น เมื่อเทียบกับค่ายกลขนาดใหญ่ จุดบรรจบนี้จะเอื้อต่อการฝึกฝนบ่มเพาะของผู้ฝึกยุทธมากกว่า และยังมีแม้กระทั่งกลิ่นอายของยุคเฟื่องฟูกระแสปราณฉีอยู่ด้วย

น่าเสียดาย

เมื่อมองไปทั่วทั้งโลกแล้ว จุดบรรจบกันของกระแสปราณฉีเช่นนี้มีไม่เกินห้าแห่ง อย่างนิกายเฮยหยวนและพรรคหมื่นดาบนั้นไม่มีคุณสมบัติที่จะครอบครอง มีเพียงนิกายใหญ่ที่มีมรดกจํานวนมากอย่างนิกายเทพเจ้าสายฟ้าเท่านั้นที่สามารถมีได้

อย่างไรก็ตาม

ในขณะนี้ รอบนอกนิกายเทพเจ้าสายฟ้า ศิษย์นิกายเทพเจ้าสายฟ้าหลายคนที่กําลังลาดตระเวนอยู่ต่างก็มีสีหน้าเฉยเมย

“ศิษย์พี่ลู่ มนุษย์สวรรค์แข็งแกร่งขนาดนั้นเลยหรือ?

ถึงขนาดบังคับให้นิกายเทพเจ้าสายฟ้าต้องมอบหินแหล่งกําเนิดสายฟ้าให้ถึงสามชัง?”

ศิษย์นิกายเทพเจ้าสายฟ้าอดไม่ได้ที่จะถามออก

ซูฉินได้โบกมือไล่นิกายใหญ่อยู่บนกําแพงพระ ราชวังถั มีคนมากมายนับไม่ถ้วนได้เห็นมันและไม่อาจจะซ่อนเรื่องราวได้ ศิษย์นิกายเทพเจ้าสายฟ้าจึงได้ยินเรื่องนี้มาเป็นธรรมดา

ในสายตาของศิษย์สาวกทั้งหลาย นิกายเทพเจ้าสายฟ้ายืนอยู่เหนือสรรพชีวิตทั้งมวลในต่างแดน ในเวลานี้เมื่ออยู่ต่อหน้ามนุษย์สวรรค์แห่งอาณาจักรถัง ถึงกับต้องยอมเสนอหินแหล่งกําเนิดสายฟ้าเพื่อขออภัยโทษจากอาณาจักรถัง พฤติกรรมดังกล่าวทําให้ศิษย์สาวกนิกายเทพเจ้าสายฟ้าผิดหวังอย่างมาก

ในฐานะศิษย์ของนิกายเทพเจ้าสายฟ้า พวกเขาเป็นฝ่ายครอบงําผู้อื่นเสมอมา เมื่อไหร่กันที่พวกเขาต้องมาเจอเรื่องร้ายเช่นนี้?

“อา……”

ศิษย์นิกายเทพเจ้าสายฟ้าที่ถูกเรียกว่า “ศิษย์พี่ลู่ถอนหายใจพร้อมกับส่ายศีรษะ แล้วกล่าวว่า “เจ้าไม่รู้ด้วยซ้ําว่ามนุษย์สวรรค์นั้นหมายถึงอะไร…”

มนุษย์สวรรค์อยู่ในขอบเขตเซียนเทพปฐพี แม้แต่ในโลกยุทธภพต่างแดนก็เป็นไปได้ยากที่จะกําเนิดขึ้นสักคนหนึ่งในรอบหนึ่งพันปี แม้ว่าจะเป็นเหลยเฉียนจือที่มีพรสวรรค์มากที่สุดในรอบพันปีของนิกายเทพเจ้าสายฟ้า นั่นก็เพียงแค่มีหวังที่จะกลายเป็นเซียนเทพปฐพี ไม่ใช่เซียนเทพปฐพีจริงๆ

แม้แต่ในยุคเฟื่องฟูกระแสปราณฉีครั้งล่าสุด ในตอนที่ผู้ทรงพลังถึงขีดสุดครองโลก เซียนเทพปฐพีก็ยังนับเป็นตัวตนที่แข็งแกร่งมาก นับประสาอะไรกับในยามนี้?

“นิกายเทพเจ้าสายฟ้ามีสมบัติล้ําค่าอยู่ ถึงเซียนเทพปฐพีจะมาถึงหน้าประตู แต่สุดท้ายก็จะโดนสกัดกั้นมิใช่หรือ? ทําไมต้องกลัวมนุษย์สวรรค์แห่งอาณาจักรถัง?”

ศิษย์ร่างผอมจากนิกายเทพเจ้าสายฟ้ารู้สึกไม่มั่นใจ

เซียนเทพปฐพีนั้นอยู่ยงคงกระพันบนโลกใบนี้ แต่นิกายเทพเจ้าสายฟ้าก็ไม่ง่ายที่จะยั่วยุ แม้พวกเขาจะไม่สามารถต่อสู้กับเซียนเทพปฐพีได้โดยตรง แต่พวกเขาก็น่าจะไม่ถ่อมตนเช่นนี้

เมื่อได้ยินเช่นนั้น ศิษย์พี่ลู่ก็เงียบไปครู่หนึ่ง และในที่สุดก็กล่าวออกอย่างช้าๆ ว่า “มนุษย์สวรรค์แห่งอาณาจักรถังแตกต่างจากเซียนเทพปฐพีคนอื่นๆ”

“แตกต่าง?”

“แตกต่างอย่างไร?”

เมื่อศิษย์ที่เหลือของนิกายเทพเจ้าสายฟ้าได้ยินสิ่งนี้ ดวงตาของเขาก็สว่างขึ้นในทันใด

แม้ว่าศิษย์พี่ลู่จะเป็นศิษย์ลาดตระนเ แต่ตัวตน ของเขาไม่ธรรมดา เขาเป็นทายาทของผู้อาวุโสคนหนึ่งของนิกายเทพเจ้าสายฟ้า เขาอาจจะรู้ข่าวอื่นๆ จากผู้อาวุโสท่านนั้น

“ข้าก็แค่ได้ยินลุงกับปู่ของข้าคุยกัน”

เมื่อศิษย์พี่ลู่กล่าวเช่นนี้ เขาก็กวาดสองตามองไปรอบๆ พร้อมกับลดเสียงลง “ปกติแล้วเซียนเทพปฐพีธรรมดา จะต้องใช้จิตวิญญาณแรกกําเนิดเข้าไปถึงทะเลปราณมาหลอมตัวตนมนุษย์และพลังสวรรค์ร่วมกัน ย่อมมีกลิ่นอายนั้นในทุกการเคลื่อนไหว……”

“แต่มนุษย์สวรรค์แห่งอาณาจักรถัง ตั้งแต่ต้นจนจบ รัศมีพลังที่เชื่อมมนุษย์และสวรรค์ไม่เคยถูกเปิดเผยออกมา กล่าวคือ มนุษย์สวรรค์แห่งอาณาจักรถังไม่เคยหยิบยืมพลังจากทะเลปราณเลย”
“จากการคาดเดาของข้า มนุษย์สวรรค์แห่ง อาณาจักรถังผู้นี้ ยังไม่เคยแสดงความแข็งแกร่งที่แท้จริงของเขาเลย”

ศิษย์พี่ลู่สงบใจลงหยุดครู่หนึ่งก่อนจะพูดต่อ “พวกเขากล่าวว่า เมื่อเผชิญหน้ากับบุคคลที่ไม่อาจหยั่งรู้และซ่อนความแข็งแกร่งส่วนใหญ่เอาไว้ นิกายเทพเจ้าสายฟ้าของเราควรจะทําเช่นไรได้?”

“อะไร?”

“มนุษย์สวรรค์ยังไม่ได้เอาจริงเลยหรือ?”

ศิษย์นิกายเทพเจ้าสายฟ้าทั้งหลายตกใจ

ถ้าสิ่งที่ศิษย์พี่ลู่พูดเป็นความจริง

นั่นหมายความว่าแม้แต่ครึ่งก้าวเข้าสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพิจากนิกายใหญ่ทั้งเจ็ดร่วมมือกันปิดล้อมสังหารก็ยังไม่สามารถทําให้ซูฉินแสดงพลังออกมาได้มากนัก และแม้แต่พลังของทะเลปราณก็ยังไม่ได้ใช้ออก

แต่สิ่งนั้นจะเป็นไปได้อย่างไร?

รู้หรือไม่ว่าถึงแม้จะมีความแตกต่างระหว่างครึ่งก้าวเข้าสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพีอยู่มาก แต่หากเซียนเทพปฐพี่ต้องการสังหารครึ่งก้าวเข้าสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพี่ถึงเจ็ดคนอย่างเด็ดขาด โดยไม่ปล่อยใครไปเลยแม้แต่คนเดียวก็ต้องลงมือเต็มที่

และในสภาวะที่รวมความเป็นมนุษย์และพลังสวรรค์เข้าหากันแล้ว ทุกการลงมือย่อมดึงพลังของทะเลปราณออกมาอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง ซึ่งมันจะทําให้ทั้งโลกสั่นสะเทือนเป็นแน่

“เท่าที่ข้ามอง ความแข็งแกร่งของมนุษย์สวรรค์แห่งอาณาจักรถังนั้นน่าจะสูงกว่าเซียนเทพปฐพีธรรมดาๆ ไม่เช่นนั้น ถึงแม้นิกายเทพเจ้าสายฟ้าจะยอมโอนอ่อน แต่ทําไมสํานักผู้วิเศษและตําหนักเทพเจ้าหิมะจะต้องเชื่อฟังด้วย?”

ศิษย์พี่ลู่ถอนหายใจ

อันที่จริงศิษย์พี่ลู่ไม่เคยเห็นซูฉินต่อสู้หรือสังหารครึ่งก้าวเข้าสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพี่ทั้งเจ็ดด้วยตาตนเอง เขาเดาจากข้อมูลที่ได้รู้มา และสังเกตจากปฏิกิริยาของสํานักผู้วิเศษรวมถึงนิกายใหญ่แห่งอื่นๆ ทั้งหมดเป็นเพียงแค่การคาดเดาเท่านั้น

ในใจของศิษย์พี่ลู่คิดว่า หากไม่ใช่เพราะความแข็งแกร่งที่น่าสะพรึงกลัวของซูฉิน นิกายใหญ่จํานวนมากจะยอมรับสภาพเช่นนี้ได้อย่างไร?
ขณะที่ศิษย์สาวกนิกายเทพเจ้าสายฟ้าพูดคุยกันอยู่ จิตใจของพวกเขากําลังพรั่นพรึงกับสิ่งที่ศิษย์พี่ลู่ได้กล่าว ก็มีเสียงที่ฟังดูสงบนิ่งดังขึ้นมาในทันใด

“มนุษย์สวรรค์แห่งอาณาจักรถัง?”

“ในยุคสมัยนี้มีมนุษย์สวรรค์กําเนิดขึ้นด้วยอย่าง นั้นหรือ?”
“ผู้ใด?”

ศิษย์พี่ลู่ขมวดคิ้ว และมองเลยไปไม่ไกล เห็นชายร่างสูงยืนอยู่เงียบๆ สวมเสื้อผ้าขาดรุ่งรึ่ง สะพายดาบยาวสองเมตรไว้ด้านหลัง

“เจ้าเป็นใคร?”

“รู้หรือไม่ว่าที่นี่คือที่ไหน?”

ศิษย์พี่ลุ่มองดูร่างสูงอย่างชิดใกล้ ล้วพูดด้วย น้ําเสียงที่ลึกล้ํา “มนุษย์สวรรค์แห่งอาณาจักรดังนี้นอยู่ยงคงกระพัน เป็นที่รู้จักไปทั่วดินแดน ไม่เพียงแต่นิกายเทพเจ้าสายฟ้าของข้าเท่านั้นที่คิดเช่นนั้น แต่สํานักผู้วิเศษรวมถึงนิกายใหญ่แห่งอื่นๆ ก็คิดแบบเดียวกัน”

ศิษย์พี่ลู่ไม่ได้ประมาทเลินเล่อ เพราะเขาเห็นว่าร่างสูงที่อยู่ไม่ไกลนี้ไม่ใช่ตัวตนที่ง่ายดาย

“อยู่ยงคงกระพัน?” ร่างสูงส่ายศีรษะเล็กน้อยหลังจากได้ยินคํากล่าวนั้น “คาดไม่ถึงว่านิกายเทพเจ้าสายฟ้าจะตกลงมาจนถึงจุดนี้? แม้ว่าเซียนเทพปฐพจะมีอํานาจ แต่พวกเขาก็ไม่สามารถเพิกเฉยต่อทุกสิ่งได้

“เจ้ากล้าดูหมิ่นนิกายเทพเจ้าสายฟ้าของข้าหรือ?” ศิษย์พี่ลู่จ้องเขม็งไปที่ชายผู้นั้น

คําพูดของชายร่างสูงเผยให้เห็นความผิดหวังเล็กๆ ต่อนิกายเทพเจ้าสายฟ้า ท่าทีของศิษย์นิกายเทพเจ้าสายฟ้าทั้งหลายจึงมีแววหงุดหงิด ชายร่างสูงผู้นี้มีคุณสมบัติใดในการมาตัดสินการกระทําของนิกายเทพเจ้าสายฟ้า?

“นี่ถือเป็นการดูหมิ่นหรือ?” ร่างสูงหัวเราะเบาๆ แล้วกล่าวออกอย่างตรงไปตรงมา “ใครคือผู้นํานิกายในรุ่นนี้ ให้เขาออกมาหาข้าเถิด”

ร่างสูงเอามือไพล่หลัง แม้ว่าเสื้อผ้าของเขาจะฉีกขาด แต่รัศมีพลังฟ้าดินก็อวลอยู่รอบตัว

“เจ้าต้องการพบผู้นํานิกาย?”

สีหน้าของศิษย์พี่ลู่เปลี่ยนไป และมองร่างสูงด้วยความประหลาดใจ

การที่ชายร่างสูงเรียกหาผู้นํานิกายเทพเจ้าสายฟ้า มีความเป็นไปได้สองอย่างเท่านั้น หนึ่งคือรู้จักกับผู้นํานิกายจริงๆ และอีกอย่างคือต้องการจะหาเรื่องตาย

ศิษย์พี่ลู่รับรู้ได้โดยสัญชาตญาณว่าไม่ใช่อย่างหลัง

ศิษย์พี่ลู่เป็นตํานานยุทธระดับนภาชั้นที่สาม แต่กลับไม่อาจมองระดับพลังของชายร่างสูงออก อย่างน้อยก็ต้องเป็นระดับนภาชั้นที่สี่หรือชั้นที่ห้า ชายที่แข็งแกร่งเช่นนี้จะมาหาเรื่องตายโดยไร้เห ตุผลหรือ?
“เจ้ารอที่นี่ก่อน”

ท่าทีของศิษย์พี่ลู่เปลี่ยนไป จากนั้นเขาก็หันกายมุ่งหน้าเข้าสู่ส่วนลึกของนิกายเทพเจ้าสายฟ้า

หลังจากนั้นไม่นาน

ผู้นํานิกายเทพเจ้าสายฟ้าก็รีบออกมาทันที เมื่อเขาเห็นชายร่างสูง ใบหน้าของเขาก็เปลี่ยนไป รีบตบเท้าก้าวไปข้างหน้า โค้งคํานับแล้วกล่าวว่า “คารวะผู้อาวุโสเหลยเฉียนจือ”

“เหลยเฉียนจือ?”

“เขาคือเหลยเฉียนจ่อที่หายตัวไปกว่าสามร้อยปี?”

ศิษย์นิกายเทพเจ้าสายฟ้าจํานวนมากที่อยู่รอบข้างต่างตกตะลึงและไม่อยากจะเชื่อ

โดยเฉพาะศิษย์พี่ลู่ที่แทบจะล้มลงไปกับพื้น

เหลยเฉียนลือคือใคร?

ไม่มีศิษย์นิกายเทพเจ้าสายฟ้าคนใดไม่รู้จัก ในฐานะที่เป็นศิษย์นิกายเทพเจ้าสายฟ้าที่มีแนวโน้มจะเข้าสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพี่มากที่สุดในรอบหนึ่งพันปี แม้ว่าเหลยเฉียนจือจะหายตัวไป แต่ศักดิ์ศรียังคงอยู่ตลอดช่วงเวลาสามร้อยปี ภายในนิกายเทพเจ้าสายฟ้า

“เกิดอะไรขึ้นในช่วงสามร้อยปีที่ผ่านมานี้?”

“แล้วเกิดอะไรขึ้นกับมนุษย์สวรรค์แห่งอาณาจักรถึงผู้นั้น?”

เหลยเฉียนจือกล่าวออกอย่างสบายๆ แม้ว่าเมื่อครู่เขาจะได้ยินศิษย์สาวกบางส่วนคุยกัน แต่เขาก็ยังไม่ได้รู้เรื่องราวโดยละเอียด

“ศิษย์พี่เหลยเฉียนจือ…”

ความขมขื่นปรากฏขึ้นบนใบหน้าของผู้นํานิกายเทพเจ้าสายฟ้า

ช่วงสองร้อยปีแรกนั้นสงบสุขดี แต่เมื่อหลายสิบปีก่อนได้เกิดการต่อสู้ขึ้นที่แผ่นดินแห่งพลังยุทธ และการลงมือของซูฉินหลายต่อหลายครั้งก็ทําให้คนทั้งทวีปต้องตกตะลึง

“บรรพชนสายฟ้าตายแล้วอย่างนั้นหรือ?”

เหลยเฉียนจือมองเข้าไปในส่วนลึกของนิกายเทพเจ้าสายฟ้า ร่องรอยความเย็นชาพลันฉายวาบออกมาจากดวงตาของเขา

เหลยเฉียนจือเป็นผู้ที่มีความสามารถที่สุดในนิกายเทพเจ้าสายฟ้า และได้รับการสั่งสอนโดยบรรพชนสายฟ้า ความสัมพันธ์ของทั้งคู่แทบจะไม่ต่างไปจากบิดาและบุตรจริงๆ

“ที่จริงเรื่องมันเป็นเช่นนี้”

“บรรพชนสายฟ้าและครึ่งก้าวเข้าสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพีอีกหกคนล้อมสังหารตํานานยุทธอาณาจักรถัง แต่พวกเขากลับตกตายอยู่ในเมืองฉางอัน…”

เสียงของผู้นํานิกายเทพเจ้าสายฟ้าเบาหวิว

การต่อสู้ครั้งนั้นทําให้นิกายเทพเจ้าสายฟ้า สํานักผู้วิเศษ และนิกายใหญ่แห่งอื่นๆ หวาดกลัวอย่างสมบูรณ์ และมีความคิดที่จะไปยังเมืองฉางอันเพื่อขออภัยโทษ

“มนุษย์สวรรค์แห่งอาณาจักรถัง…” เหลยเฉียนจือพ่นคําออกมาสองคํา “สมควรตาย”

“ผู้อาวุโสเหลยเฉียนคือ…” ท่าทีของผู้นํานิกายเทพเจ้าสายฟ้าเปลี่ยนไป แต่เขาก็หยุดพูด

ซูฉินเป็นเซียนเทพปฐพี และหากคําพูดของเหยเฉียนจือแพร่กระจายออกไป เกรงว่านิกายเทพเจ้าสายฟ้าคงจะตกอยู่ในอันตราย

“สบายใจได้”

“ข้าจะจัดการมนุษย์สวรรค์แห่งอาณาจักรถังเอง…”
เหลยเฉียนจือเหลือบมองไปที่ผู้นํานิกายเทพเจ้าสายฟ้า ใบหน้าดูนิ่งเรียบ
“จัดการมนุษย์สวรรค์แห่งอาณาจักรถัง…”

ผู้นํานิกายเทพเจ้าสายฟ้ามองไปที่เหลยเฉียนจีออย่างไม่อยากจะเชื่อสายตา

“ส่วนตอนนี้……” เหลยเฉียนจือไม่สนใจผู้นํานิ กายเทพเจ้าสยฟ้า แต่มองไปยังเกาะที่ตั้งของนิกายเทพเจ้าสายฟ้าทั้งหมด “เกาะเทพเจ้าสายฟ้ายังเล็กเกินไปหน่อย…”

ทันทีที่สิ้นเสียงของเหลยเฉียนจือ ร่างของเขาก็หายไป และเมื่อปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง ก็ยืนอยู่บนท้องฟ้าแล้ว

“ผู้อาวุโส ท่านจะทําสิ่งใด?”

ความรู้สึกหวั่นกลัวก่อตัวขึ้นในใจของผู้นํานิกายเทพเจ้าสายฟ้า

ช่วงเวลาต่อมา

ท่ามกลางสายตาอันเหลือเชื่อของทุกคน

เห็นเหลยเฉียนจือยกมือขวาของเขาขึ้น ทันใดนั้นทะเลปราณอันไร้ที่สิ้นสุดก็ปรากฏ เห็นว่าเกาะเล็กๆ หลายแห่งที่อยู่ห่างออกไปหลายสิบลี้ก็พุ่งข้ามระยะทางทั้งหมดเข้ามา ทันใดนั้นก็กระทบเข้ากับเกาะเทพเจ้าสายฟ้า ค่อยๆขยายขนาดของเกาะออกไป

ฉับพลัน

คนทั่วทั้งนิกายเทพเจ้าสายฟ้าก็รู้สึกได้ ศิษย์สาวกของนิกายเทพเจ้าสายฟ้าจํานวนนับไม่ถ้วน รวมถึงเหล่าบรรพชนต่างก็รู้สึกถงการสั่นไหวของ ฟ้าดิน เสมือนเผชิญหน้าอยู่กับวันสิ้นโลก

“ถมทะเลเพื่อสร้างแผ่นดิน”

“นี่คือการถมทะเลเพื่อสร้างแผ่นดิน!”

มือทั้งสองข้างผู้นํานิกายเทพเจ้าสายฟ้าสั่นรัว เมื่อมองไปที่เหลยเฉียนจือผู้เป็นราวกับเทพเจ้า เสียงของเขาเองก็สั่นเครือไปด้วย
ศิษย์สาวกนิกายเทพเจ้าสายฟ้าทีเหลือต่างก็ตกตะลึงพอๆกัน ในตอนนี้ทุกล้วนมีความคิดอยู่ในใจ

นิกายเทพเจ้าสายฟ้ากําลังจะให้กําเนิดเซียนเทพปฐพีอีกครั้งหนึ่งแล้วในตอนนี้

Sign in Buddha’s palm 313 หุบเขาสายฟ้าสมบูรณ์

“โอ้?”

ดวงตาของซูฉินหรี่ลง

ประตูเชียนเป็นโลกใบเล็กที่สร้างขึ้นโดยผู้ที่ ทรงพลังถึงขีดสุดจากยุคกระแสปราณฉีเฟื่องฟู มันคล้ายคลึงกับดินแดนใหม่แรกเกิดที่บริสุทธิ์ สร้างขึ้นเพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบจากกระแสปราณฉีที่เงียบงันบนโลกมนุษย์ ทางเข้าออกระหว่างประตูเซียนกับโลกภายนอกควรจะถูกแบ่งแยกออกจากกันอย่างสิ้นเชิง

ซูฉินลองคิดตามไป และรู้สึกว่ามันก็น่าจะเป็นเช่นนั้น

ผู้ทรงพลังถึงขีดสุดสามารถทําลายความว่างเปล่าได้ด้วยการเหวี่ยงมือแกว่งเท้า พลังของพวกเขาแข็งแกร่งมากจนถึงขนาดแหวกมิติออกได้ แต่แท้ที่จริงแล้ว โลกที่ถูกสร้างขึ้นโดยผู้ทรงพลังถึงขีดสุดจะมาเปรียบเทียบกับโลกอันยิ่งใหญ่ได้อย่างไร?

หากโลกมนุษย์อยู่ในยุคสมัยที่กระแสปราณฉี เงียบงัน โลกใบเล็กนั้นย่อมเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ สําหรับการบ่มเพาะเพียงพอจะให้กําเนิด เซียนเทพปฐพี่และผู้ทรงพลังถึงขีดสุด แต่หากรอจนถึงยามที่กระแสปราณฉีฟื้นคืนจนแปรเปลี่ยนไปเป็นยุคเฟื่องฟูกระแสปราณฉีโลกใบเล็ก ย่อมด้อยกว่าโลกมนุษย์มาก

ไม่เช่นนั้นในยุคเฟื่องฟูครั้งสุดท้าย เหล่าผู้ทรง พลังถึงขีดสุดควรจะไปยังโลกใบเล็กก่อนเวลาแทนที่จะรอจนกระแสปราณฉีเข้าสู่ความเงียบงัน

“ในสมัยก่อน มีผู้ทรงพลังถึงขีดสุดกี่คนภายใน ประตูเซียน?”

ซูฉินครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วเอ่ยถามขึ้นมา

“ในยุคเฟื่องฟูกระแสปราณนี้ครั้งล่าสุด มีผู้ทรง พลังถึงขีดสุดด้วยกันทั้งสิ้นเจ็ดคนมีผู้ทรงพลัง ถึงขีดสุดสองคนที่ประสบกับการจ้องมองของ เทพเจ้าปีศาจจากส่วนลึกของโลกถ้ําปีศาจใน ช่วงการรบครั้งสุดท้าย พวกเขาจึงหลบหนีไปด้วยอาการบาดเจ็บสาหัส ผู้ทรงพลังถึงขีดสุดอีกห้า คนที่เหลือก็เข้าไปภายในประตูเซียน สืบทอดนิกายของพวกเขาต่อไป…”

เมื่อพูดถึงเรื่องนี้บุรุษชะตาฟ้าก็หยุดครู่หนึ่งแล้ วกล่าวต่อไปว่า “นอกจากผู้ทรงพลังถึงขีดสุดทั้งห้าและนิกายที่สืบทอดต่อมาแล้ว ยังมีกองกําลัง อื่นๆ ที่เข้าสู่ประตูเซียนด้วย”

“เจ้าทราบสถานการณ์ภายในประตูเซียนหรือ ไม่?”

ซูฉินถามอย่างไม่ได้คิดอะไรมาก

“ประตูเชียนถูกแยกออกจากโลกภายนอกอย่าง สิ้นเชิง แม้แต่บุคคลที่จะออกมาภายนอกยังทําได้ยาก นับประสาอะไรกับผู้คนที่อยู่ภายนอก”

“แม้ว่าสํานักชะตาฟ้าของข้าจะสามารถคํานวณ ความลับสวรรค์ได้ แต่ประตูเซียนนั้นมีไอพลัง ของผู้ทรงพลังถึงขีดสุดปราบปรามเอาไว้ การคํานวณชะตาจึงไม่อาจเข้าไปแตะต้อง….”

เมื่อบุรุษชะตาฟ้ากล่าวออกไปเช่นนี้ เขาก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ

เห็นได้ชัดว่ากลวิธีของผู้ทรงพลังถึงขีดสุดแข็งแกร่งเกินไป แม้ว่าความว่างเปล่าก็ยังถูกทําลายได้ แล้วสํานักชะตาฟ้าจะคํานวณอะไรได้เล่า?

“แต่หลายปีที่ผ่านพ้นไป ไม่ว่าประตูเซียนจะเป ลี่ยนแปลงไปเช่นไร แต่นิกายที่สืบทอดต่อมาจากผู้ทรงพลังถึงขีดสุดทั้งห้าจะยังคงอยู่….”

บุรุษชะตาฟ้ากล่าวออกมาอย่างหนักแน่น

ประตูเซียนที่เหล่าผู้ทรงพลังถึงขีดสุดสร้างขึ้น เมื่อหลายพันปีผ่านพ้น แม้ว่าผู้ทรงพลังถึงขีดสุดจะตกตาย แต่เคล็ดวิชาที่เขาทิ้งไว้เบื้องหลังก็ เพียงพอจะทําให้แน่ใจว่านิกายที่เหลืออยู่จะดูแลประตูเซียนต่อไปได้
“กว่าหมื่นปีแล้วในดินแดนโพ้นทะเล มีเซียนเทพปฐพีกําเนิดขึ้นนับสิบ แต่ไม่มีสักคนเลยหรือที่เข้าไปภายในประตูเซียน?”

ซูฉินถามออกทันที ราวกับครุ่นคิดอะไรบางอย่างอยู่

“มนุษย์สวรรค์ล้อกันเล่นแล้ว”

บุรุษชะตาฟ้าส่ายศีรษะแล้วกล่าวว่า “ประตูเซียนสร้างขึ้นโดยการที่ผู้แข็งแกร่งถึงขีดสุดบุกทะลวงเข้าไปเปิดมิติความว่างเปล่า มันไม่ได้อยู่ บนโลกนี้ หากต้องการจะก้าวเข้าประตูเซียน จําเป็นต้องมีพลัง ต้องก้าวข้ามผ่านความว่างเปล่าด้วยกายเนื้อ”

“แต่พลังมิติภายในความว่างเปล่านั้นมีอยู่มากมาย ยกเว้นแต่ผู้ทรงพลังถึงขีดสุดที่ครอบครองพลังห้วงมิติ ต่อให้มีเซียนเทพปฐพี่เป็นสิบ เป็นร้อยคนอยากผ่านเข้าไป พวกเขาก็จะต้องตกตายอย่างไม่มีข้อสงสัย”

ท่าทีของบุรุษชะตาฟ้าดูสิ้นหวัง “แน่นอนว่าการ ออกมาจากประตูเซียนนั้นจะไม่เป็นอันตราย แต่มันก็ไม่ง่าย มิฉะนั้น ในหมื่นปีมานี้ คงจะมีคนจาก ประตูเซียนออกมาสู่โลกมนุษย์บ้างแล้ว…”

“เข้าใจแล้ว”

ซูฉินขบคิด

หากเป็นเซียนเทพปฐพีอื่นๆ แม้แต่เซียนเทพ ปฐพี่ขั้นสูงสุดอย่างจ้าวทะเลบูรพาก็ไม่กล้าที่จะแตะต้องช่องว่างในความว่างเปล่า

แต่ซูฉินแตกต่างออกไป

ซูฉินมีภาพดวงตะวันขนาดมหึมา เมื่อเขาฝึก ฝนภาพดวงตะวันฯ จนถึงความสําเร็จชั้นยอดแล้ว เขาสามารถแปลงกายเป็นอีกาทองคําสามขา ซึ่ง เป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ที่แข็งแกร่งที่สุดในด้านเปลวเพลิง ด้วยร่างของอีกาทองคําสามขา เขาจะต้องเกรงกลัวกับอีแค่พลังของมิติความว่างเปล่าหรือ ไม่ แม้ว่าเขาจะเป็นเพียงสัตว์ศักดิ์สิทธิ์วัยเยาว์?

แม้ว่าการฝึกฝนภาพดวงตะวันฯ ไปจนถึงความ สําเร็จชั้นยอดจะอยู่ห่างไกลแสนไกล แต่ตอนนี้ซูฉินก็ได้ครอบครองวิหารการสงครามอยู่ด้วย

วิหารการสงครามเป็นสมบัติพื้นที่มิติที่ผู้ทรง พลังถึงขีดสุดทิ้งเอาไว้ ทั้งมันยังแตกต่างจากสมบัติพื้นที่มิติอื่นๆ วิหารการสงครามสามารถรองรับ สิ่งมีชีวิตได้ และถ้าซูฉินอยู่ภายในวิหารการสงครามย่อมไม่มีปัญหาในการควบคุมวิหารการสงครามเดินทางผ่านความว่างเปล่า

หลังจากนั้นซูฉินก็ถามคําถามเพิ่มเติมกับบุรุษ ชะตาฟ้า

เป็นธรรมดาที่บุรุษชะตาฟ้าย่อมรู้เรื่องราว มากมาย และแม้ว่าซูฉินจะไม่ได้ถาม บางอย่างก็เป็นบุรุษชะตาฟ้าที่เริ่มเล่าออกมาเอง

แม้ว่าสํานักชะตาฟ้าจะไม่ได้ต่อสู้เพื่อสิ่งของนอกกาย แต่ก็ใช่ว่าจะไม่ได้กลัวความตาย

ต่อหน้ามนุษย์สวรรค์อย่างซูฉิน แม้จะเป็นบุรุษ ชะตาฟ้าก็จําเป็นจะต้องเชื่อฟัง

“เอาล่ะ”

“พวกเจ้ากลับไปได้แล้ว”

หลังจากที่ซูฉินได้ข้อมูลที่ต้องการ เขาก็โบกมือไล่

“กลับไป?”

“พวกเรากลับไปได้แล้ว?”

บุรุษชะตาฟ้าสงบสติความปิติยินดีล้นทะลักใน หัวใจ

“ขอบคุณมนุษย์สวรรค์สําหรับความกรุณา สํานักชะตาฟ้าของข้าจะจดจําความเมตตาของมนุษย์สวรรค์ไว้เสมอ” บุรุษชะตาฟ้ารีบโค้งคารวะ
เฉิน

ต้องรู้ว่าบุรุษชะตาฟ้าแอบตรวจสอบซูฉินอย่างลับๆ พยายามใช้วิชาสําแดงสวรรค์เพื่อดูข้อมูลเกี่ยวกับซูฉิน แม้จะเป็นเพียงเวลาสั้นๆ แต่ก็เป็น พฤติกรรมที่น่ารังเกียจ

การที่ซูฉินจะสังหารเขาเสียเดี๋ยวนี้ก็ไม่ใช่เรื่องที่มากจนเกินเหตุ

ท้ายที่สุดไม่มีผู้แข็งแกร่งคนไหนอยากให้ความลับของเขาถูกคนอื่นตรวจสอบ

เมื่อได้รับอนุญาตจากซูฉิน บุรุษชะตาฟ้าและนักพรตหนุ่มก็รีบออกจากเมืองฉางอันไปอย่างรวดเร็ว

ภายในพระราชวัง
ซูฉินเดินอย่างเชื่องช้าไปตามทางเดินอันร่มรื่น แวดล้อมด้วยแมกไม้

“ตามที่บุรุษชะตาฟ้าได้กล่าวเอาไว้ ภายในประตูเซียนอย่างน้อยๆ ก็มีมรดกที่ผู้ทรงพลังถึงขีดสุดทั้งห้าได้ทิ้งเอาไว้……”

ซูฉันคิดอยู่ภายในใจอย่างช้าๆ

มรดกที่ผู้ทรงพลังถึงขีดสุดทั้งห้าได้ทิ้งเอาไว้ หากส่งต่อมาให้โลกยุทธภพต่างแดน คงจะทําให้เกิดความปั่นป่วนรุนแรง แม้จะเป็นเหล่านิกายใหญ่ก็ยังต้องสั่นสะท้าน

นี่คือมรดกของผู้ทรงพลังถึงขีดสุด แม้สํานักผู้ วิเศษและนิกายเทพเจ้าสายฟ้าจะสืบทอดมานานนับหมื่นปี แต่สมบัติของนิกายใหญ่ เมื่อนํามา เทียบกับมรดกของผู้ทรงพลังถึงขีดสุดก็ไม่มีอะไรให้กล่าวถึง

“อย่างไรเสีย ไม่ว่าผู้ทรงพลังถึงขีดสุดจะแข็ง แกร่งสักแค่ไหน มันก็มีขีดจํากัดเรื่องอายุขัย เซียนเทพปฐพีสามารถอยู่ต่อไปได้ราวๆ พันปี และอายุขัยของผู้ทรงพลังถึงขีดสุดควรจะอยู่ที่สามพันถึงสามพันห้าร้อยปี”

“ตอนนี้เวลาผ่านมานานนับหมื่นปีแล้วตั้งแต่ยุค เฟื่องฟูกระแสปราณฉีครั้งล่าสุด ผู้ทรงพลังถึงขีดสุดรุ่นแรกน่าจะสิ้นชีวิตด้วยวัยชราไปนานแล้ว ส่วนจะมีตัวตนเช่นนั้นกําเนิดขึ้นมาอีกหรือไม่….”

ซูฉินส่ายศีรษะ

บางที่ประตูเซียนอาจจะเต็มไปด้วยปราณฉีและ จิตใจแห่งฟ้าดิน กระแสปราณฉีคงจะใกล้เคียงกับยุคเฟื่องฟู แต่หากต้องการทลายนภากาศกลาย เป็นผู้ทรงพลังถึงขีดสุดมันไม่ได้ขึ้นอยู่กับจิตใจ แห่งฟ้าดินเท่านั้น แต่จําเป็นจะต้องเข้าใจวิถีฟ้าดินอันยิ่งใหญ่ด้วย

มีเพียงโลกมนุษย์เท่านั้นที่พอจะตอบสนอง เรื่องนี้ได้

สําหรับโลกใบเล็กอย่างประตูเซียน ในสายตา ของซูฉินมันคงจะกว้างใหญ่กว่าวิหารการสงครามมาก และมีปราณฉีและจิตใจฟ้าดินที่มากกว่าซึ่ง เพียงพอที่จะตอบสนองต่อการบ่มเพาะปกติของเซียนเทพปฐพี่และแม้แต่ผู้ทรงพลังถึงขีดสุด แต่หากต้องการจะทะลวงขอบเขต มันยังไม่เพียงพอ

“แต่เนื่องจากประตูเซียนเป็นโลกใบเล็ก ดังนั้น แผนบางอย่างของข้าก็ต้องเปลี่ยนแปลงไป…”

ซูฉินแตะปลายคางของตนเอง

ในตอนแรก ซูฉินวางแผนจะไปยังประตูเซียน จากนั้นจึงลงชื่อเข้าใช้ที่ประตูเซียนเพื่อรวบรวมเตสะสมที่อยู่มานับหมื่นปี

แต่ตอนนี้ดูเหมือนมันจะไม่สามารถทําได้

เนื่องจากประตูเซียนไม่ใช่สถานที่ใดสถานที่ หนึ่ง แต่เป็นโลกใบเล็ก หากฉันต้องการจะลงชื่อเข้าใช้ มันก็คงจะมีสถานที่มากมายภายในประตูเซียนที่มีเต๋าสะสมอยู่

ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นก็คงจะใช้เวลามาก

อย่างไรก็ตามสําหรับซูฉินตอนนี้ สิ่งที่ไม่ขาดแคลนที่สุดก็คือเวลา เมื่อเข้าสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพี อายุขัยของเขาจะเพิ่มขึ้นอย่างน้อยก็หนึ่ง พันปี และด้วยการเพิ่มอายุขัยด้วยผลไม้เซียนอย่าง ‘ผลท้อป้าน อายุขัยของเขาอย่างน้อยก็น่าจะไปถึงที่สามพันปี ในแง่ของอายุขัยเพียงอย่างเดียว เขาสามารถเทียบเท่าได้กับผู้ทรงพลังถึงขีดสุดแล้ว

ขณะที่ซูฉินกําลังคิดเกี่ยวกับประตูเซียน

ไกลออกไปในต่างดินแดน สถานที่แห่งหนึ่งมี เมฆดําทะมึนลอยอยู่เหนือหุบเขา สายฟ้าฟาดลงมาไม่หยุดหย่อน ราวกับเป็นจุดจบของโลก

หากมีตํานานยุทธอยู่ที่นี่ เขาจะจําได้ทันทีว่าส ถานที่แห่งนี้เป็นหนึ่งในเก้าสถานที่ต้องห้าม ภายในดินแดนโพ้นทะเลนั่นก็คือ หุบเขาสายฟ้าสัมบูรณ์

ที่เรียกกันว่าดินแดนต้องห้าม ย่อมต้องมีเหตุผล ไม่ว่าจะเป็นภัยธรรมชาติจากฟ้าดิน หรือเป็นภัยที่เกิดจากฝีมือมนุษย์ มันเป็นสถานที่ที่ผู้คน เข้ามาแล้วจะต้องจบชีวิตลง

ตัวอย่างเช่น ดินแดนต้องห้ามอันดับหนึ่งใน ต่างแดน รอยแยกหุบเหวลึก’ ว่ากันว่ามันเชื่อมโยงเข้ากับโลกถ้ําปีศาจใต้พิภพ แม้จะเป็น เซียนเทพปฐพีก็ไม่กล้าเข้าใกล้

หุบเขาสายฟ้าสัมบูรณ์ก็เป็นดินแดนต้องห้ามเช่นกัน

หุบเขาสายฟ้าสัมบูรณ์จะดึงดูดสายฟ้าธรรมชาติเข้ามาได้ จะมีฟ้าผ่าลงมาตลอดเวลา ไม่ต้องกล่าวถึงตํานานยุทธธรรมดาๆ ที่เข้าไป เพียงแค่อยู่ ใกล้ๆ ก็ได้รับผลกระทบจากสายฟ้าที่ฟาดลงมาจากท้องฟ้าแล้ว

แม้จะเป็นศิษย์นิกายเทพเจ้าสายฟ้า หุบเขา สายฟ้าสัมบูรณ์ก็ยังเป็นพื้นที่ต้องห้ามถึงนิกาย เทพเจ้าสายฟ้าจะฝึกฝนวิถีสายฟ้า แต่สายฟ้าในหุบเขาสายฟ้าสัมบูรณ์นั้นยิ่งใหญ่เกินไป และในส่วนลึกของหุบเขาสายฟ้าสัมบูรณ์ยังมีร่องรอยสายฟ้าสวรรค์เก้าชั้นฟ้าอยู่ด้วยซึ่งน่ากลัวอย่างยิ่งยวด

ว่ากันว่าครั้งหนึ่งเซียนเทพปฐพจากนิกายเทพ เจ้าสายฟ้าเคยเข้าไปในส่วนลึกภายในหุบเขาสายฟ้าสัมบูรณ์ เพียงไม่นานก็ได้รับบาดเจ็บ สาหัส หลังจากบ่มเพาะอยู่นับร้อยปีก็ยังไม่ฟื้นตัวเท่าที่ควร นับแต่นั้นมา เซียนเทพปฐพี่นิกายเทพ เจ้าสายฟ้าผู้นั้นก็ได้ตั้งให้หุบเขาสายฟ้าสัมบูรณ์ เป็นดินแดนต้องห้ามของนิกายเทพเจ้าสายฟ้า

หากไม่ใช่ทางเลือกสุดท้าย ศิษย์นิกายเทพเจ้า สายฟ้าจะไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปใกล้

และในตอนนี้

ในหุบเขาสายฟ้าสัมบูรณ์ที่มีเสียงฟ้าคํารามอย่างต่อเนื่อง จู่ๆ ก็มีร่างหนึ่งพุ่งออกมา ที่เบื้องหลังของร่างนี้ ราวกับมีสายฟ้านับพันพวยพุ่งออก มา

“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า!”

“สามร้อยปี ข้าติดอยู่ภายในมาสามร้อยปีแล้ว!”

หลังจากที่ร่างนี้พุ่งออกมาจากหุบเขาสายฟ้า สัมบูรณ์ มันก็หัวเราะขึ้นลั่นฟ้าแล้วพูดว่า “แต่ข้าก็ยังออกมาได้!!”

รูปลักษณ์ของมันเป็นชายร่างสูง เสื้อผ้าขาดรุ่ง ริงและดูแปลกตา ดูเหมือนว่าจะผ่านเวลามาหลายร้อยปี

ด้านหลังของชายผู้นั้นสะพายดาบยาวสอง เมตร ร่องรอยสายฟ้าสีม่วงกระจายไปทั่วคมดาบ

นอกจากนี้ ขณะที่ชายผู้นั้นกําลังหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง ความว่างเปล่าก็เริ่มสั่นสะท้าน ทะเลปราณอันกว้างใหญ่ไร้ที่สิ้นสุดก็ถูกกระชากออกมา ทันใดนั้นอากาศในระยะหลายร้อยล์ก็ถูกควบแน่น ทั้งหมดอยู่ภายใต้การควบคุมของคนผู้นี้

อาณาเขต

ชายคนนี้เป็นเซียนเทพปฐพี ครอบครองอาณาเขตขนาดใหญ่!

“อย่างไรก็ตาม หากไม่ใช่ว่าข้าถูกกักขังอยู่ ภายในถึงสามร้อยปี ข้าก็คงไม่สามารถก้าวเข้าสู่ ขอบเขตเซียนเทพปฐพี่ได้ง่ายดายเพียงนี้”

ชายคนนั้นสูดลมหายใจเข้า ราวกับกําลังเพลิด เพลินกับบางสิ่ง

แม้ว่าชายคนนี้จะมีพรสวรรค์สูงล้ํา ว่ากันว่ามีแนวโน้มที่จะเข้าสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพีในรอบ หนึ่งพันปีนี้ แต่ก็เพียงแค่มีโอกาสเท่านั้น

การที่จะเป็นเซียนเทพปฐพีได้หรือไม่นั้นก็ยังไม่แน่นอน

ด้วยการที่พบเจอปัญหาคอขวด เมื่อติดกับอยู่ภายในนั้นนับร้อยปี ก็อาจจะถึงจุดจบของชีวิตได้

“เอ๊ะ?”

“กระแสปราณฉีเริ่มฟื้นคืนแล้วหรือ?”

ไม่นานหลังจากที่ชายคนนั้นออกมา เขาก็รู้สึกได้ถึงปราณฉีที่เดือดพล่าน ทันใดนั้นก็เงยหน้าขึ้นและมองไปยังทิศทางหนึ่ง

“ช่างเถอะ”

“ได้เวลากลับไปยังนิกายเทพเจ้าสายฟ้าแล้ว”

“ไม่รู้ว่า สามร้อยปีที่ผ่านพ้นไป มีใครในโลกนี้ที่จะจําชื่อเหลยเฉียนคือของข้าได้บ้าง”

ดวงตาของชายผู้นั้นเปล่งประกายสายฟ้า รา วกับเทพเจ้าสายฟ้ามาเยือน มีอํานาจกดขี่ข่มเหงโลกมนุษย์อย่างยิ่ง

Sign in Buddha’s palm 312 ประตูเซียนและ ผู้ทรงพลังถึงขีดสุด

“มนุษย์สวรรค์แห่งอาณาจักรถัง?”

นักพรตเฒ่าแข็งที่อ ภายในใจเต็มไปด้วยความ ขมขื่น

เขาไม่ได้คาดหวังว่าทักษะลับซ่อนกลิ่นอาย ของสํานักชะตาฟ้าที่สืบทอดมาจากยุคเฟื่องฟูกระแสปราณฉีจะไม่สามารถปิดบังซูฉินได้

นี่เป็นทักษะปกปิดกลิ่นอายที่กล่าวอ้างว่าแม้ แต่เซียนเทพปฐพีก็ไม่มีทางจะจับสัมผัสได้

แต่เมื่อมันมาอยู่ต่อหน้าซูฉิน เขาไม่เพียงแต่ ปิดบังอีกฝ่ายไม่ได้ แต่อีกฝ่ายยังเดินมาหาเขาด้วยตนเองอีกด้วย

ประกายความคิดในหัวนักพรตเฒ่าลุกวาบ ในที่ สุดก็ลุกขึ้นโค้งคํานับซูฉินอย่างนอบน้อม “บุรุษชะตาฟ้าแห่งสํานักชะตาฟ้า คารวะมนุษย์สวรรค์”

“เขาคือมนุษย์สวรรค์แห่งอาณาจักรถัง?” นัก พรตหนุ่มที่อยู่ข้างๆ ขนลุกซู่ แม้ว่าเขาจะเห็นซูฉินบนกําแพงวังจากระยะไกล แต่มันก็เป็นเพียง การแอบมอง และตอนนี้ซูฉินมาปรากฏตัวต่อหน้าพวกเขา ความแตกต่างของทั้งสองสิ่งต่างกันราวฟ้ากับเหว

ตัวอย่างเช่น แม้ว่าซูฉินจะไม่ได้ปล่อยกลิ่นอายใดๆ เพียงแค่ยืนอยู่เฉยๆ นักพรตหนุ่มก็แทบจะ หายใจไม่ออกแล้ว แก่นแท้แห่งพลังและจิต สัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของเขาหยุดนิ่งราวกับเขาไม่ได้ เผชิญหน้าอยู่กับมนุษย์ แต่เป็นสัตว์ร้ายที่พร้อมจะขย้ําเหยื่อ

“สํานักชะตาฟ้า?”

ซูฉินนั่งสบายๆ อยู่บนเก้าอี้ไม้ของโรงเตี้ยม ‘ไหลฟู’ หรี่ตาลงเล็กน้อย

ในโลกยุทธภพต่างแดน สํานักชะตาฟ้านั้นพิเศษมาก พวกเขาไม่ได้อยู่ในทําเนียบนิกายใหญ่และมีศิษย์สาวกไม่มาก แต่พวกเขาแสวงหาความลับด้วยการคํานวณใช้พลังของตนเอง คํานวณชะตาชีวิตของผู้คน

ด้วยเหตุนี้ศิษย์สาวกของสํานักชะตาฟ้าจึง หมกมุ่นอยู่แต่การคิดคํานวณ ไม่มียุ่งเกี่ยวกับการต่อสู้ฆ่าฟัน ไม่ข้องแวะกับสิ่งอื่น

ช่วงสิบปีที่ผ่านมา โลกยุทธภพต่างแดนต่างก็ ได้ยินข่าวเรื่องที่แผ่นดินแห่งพลังยุทธฯ ได้กําเนิดขึ้น และหร่วนชิงเองก็มาที่เมืองฉางอันเพราะ สำนักชะตาฟ้าได้คํานวณเกี่ยวกับเรื่องแผ่นดิน แห่งพลังยุทธฯ เอาไว้

“ก็ยังน่าสนใจเหมือนกัน”

ซูฉินแย้มยิ้มเล็กน้อย และใช้มือขวาแตะลงบนโต๊ะ ทันใดนั้น ผู้คนภายในโรงเตี้ยมที่แข็งค้างไป ก็ฟื้นตัวกลับมาในไม่เวลาไม่นานราวกับไม่รู้ตัว สักนิดว่าพวกเขากําลังพูดคุยกันอยู่

“นี่คือ?”

เมื่อบุรุษชะตาฟ้าเห็นฉากนี้ ร่างของเขาก็สะดุ้ง ตกใจ หากเป็นตํานานยุทธคนอื่นๆ พวกเขาอาจจะไม่สังเกตเห็นอะไรเลย แต่บุรุษชะตาฟ้าตระ หนักดีว่าเมื่อครู่ซูฉินนั้นใช้พลังของจิตวิญญาณ แรกกําเนิดเพื่อบังคับจิตใจของทุกคนในโรงเตี้ยมให้หยุดนิ่ง

ทําให้เวลาเหมือนจะหยุดเดิน

ไม่ใช่ว่าเวลาหยุดเดินจริงๆ แต่จิตใจของทุก คนในที่แห่งนี้หยุดนิ่ง ทั้งชีพจรและการเต้นของหัวใจยังคงเคลื่อนไหวไปตามปกติ

แต่กระนั้น ความสามารถในการหยุดจิตใจคนหลายร้อยคนอย่างเงียบๆ ด้วยจิตวิญญาณแรกกําเนิดของซูฉินนั้นก็น่าทิ้งไม่แพ้กัน

นี่ไม่ใช่การสังหารคนหลายร้อยคนด้วยพลังจิต วิญญาณแรกกําเนิด แต่เป็นการหยุดจิตใจของคนหลายร้อย ความยากลําบากของมันมากกว่า อย่างแรกมหาศาล

“พูดมาสิ”

“ที่สํานักชะตาฟ้าของเจ้ามาที่นี่ ต้องการจะทําอะไร?”

ซูฉินกล่าวตัดเข้าประเด็น

หากบุรุษชะตาฟ้ามาที่เมืองฉางอันอย่างตรงไป ตรงมา ซูฉินก็ขี้เกียจเกินกว่าจะใส่ใจแต่บุรุษ ชะตาฟ้าระงับไอพลังของตนเองและสอดแนมซูฉินอย่างลับๆ

เป็นธรรมดาที่จะกระตุ้นความสนใจของซูฉิน

“ข้าแค่ต้องการจะรู้ว่าท่านมนุษย์สวรรค์นั้นมาจากที่แห่งนั้นหรือไม่…” บุรุษชะตาฟ้าลังเลอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดออกมาในทันที “ถ้ามันทําให้ท่าน มนุษย์สวรรค์ขุ่นเคืองสํานักชะตาฟ้าของข้ายินดี จะมอบสมบัติให้ และหวังว่ามันจะชดใช้ความผิดของพวกเราได้เพียงพอ…”

น้ําเสียงของบุรุษชะตาฟ้านั้นจริงใจอย่างยิ่ง

อันที่จริงบุรุษชะตาฟ้าไม่ได้มีทางเลือก ซูฉิน สามารถสังหารครึ่งก้าวเข้าสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพี่ทั้งเจ็ดคนได้ นับประสาอะไรกับสํานักชะตา ฟ้า? ถ้าบุรุษชะตาฟ้ากล้ายั่วยุซูฉิน เกรงว่าสํานักชะตาฟ้าทั้งหมดคงจะมีอันเป็นไป กลายเป็นฝุ่นผงธุลีกลับคืนสู่ธรรมชาติเหมือนเช่นพรรคหมื่นดาบ

“สถานที่แห่งนั้น?”

“สถานที่ไหน?”

ท่าทีของซูฉินเปลี่ยนไปเล็กน้อย เมื่อได้ยินคําถามนี้ บุรุษชะตาฟ้าก็ถามออกอย่างระมัดระวัง “มนุษย์สวรรค์รู้จักประตูเซียน หรือไม่?”

“ประตูเซียน?”

ดวงตาของซูฉินสั่นไหวเล็กน้อย

นี่เป็นครั้งที่สองที่ซูฉินได้ยินเกี่ยวกับประตู เซียน ครั้งแรกคือตอนที่ชายชราเฟียยวแจ้งเรื่องของประตูเซียนยามที่พรรคหมื่นดาบถูกทําลาย

ตามคําบอกเล่าของชายชราเฟยยฯ ประตู เซียนนั้นมีความลับในการทะลวงขั้นออกจากขอบเขตเซียนเทพปฐพี่อยู่ เป็นเวลาหลายพันปีใน

วัยชรา จะค้นหาประตูเชียนไปทั่วโลก พยายามจะเปิดเผยความลับของประตูเซียน

ตามการคาดเดาของซูฉิน ประตูเซียนควรจะ เกี่ยวข้องกับยุคเฟื่องฟูกระแสปราณฉีครั้งล่าสุดส่วนเรื่องที่มันเกี่ยวข้องกับประตูเซียนอย่างไรนั้น ไม่ค่อยชัดเจนนัก แม้แต่ชายชราเฟยยวก็รู้เรื่องประตูเซียนเพียงเล็กน้อย

“มนุษย์สวรรค์รู้จักประตูเซียนอย่างนั้นหรือ?”

“เป็นไปได้ไหมที่มนุษย์สวรรค์ได้ออกมาจากประตูเซียนจริงๆ?”

เมื่อเห็นปฏิกิริยาของซูฉิน ดวงตาของบุรุษชะ ตาฟ้าก็สว่างขึ้นในทันใด และบรรยากาศรอบตัวก็แสดงให้เห็นถึงความตื่นเต้น

“ทําไมเจ้าถึงคิดเช่นนั้น?”

ดวงตาของซูฉินสงบนิ่ง แต่การแสดงออกของ เขาค่อนข้างผันผวน มองไปที่บุรุษชะตาฟ้าพร้อมกับถามเบาๆ

“มนุษย์สวรรค์มีพลังครอบงําโลกหล้า กดขี่ ยุทธภพต่างแดนได้อยู่หมัด ก่อนหน้านี้กลับไม่มีร่องรอยใดๆ ของท่านรู้หรือไม่การฝึกวิทยายุทธนั้นต้องค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไป แต่มนุษย์สวรรค์ ได้ย่นระยะเวลาทั้งหมดไปสิ้น นอกจากประตูเซียนในตํานานแล้ว ข้ายังนึกเหตุผลอื่นไม่ออก เลยจริงๆ…”
บุรุษชะตาฟ้ากล่าวอย่างตรงไปตรงมา

แน่นอนว่าบุรุษชะตาฟ้าไม่ได้กล่าวถึงประเด็นที่ สําคัญที่สุด ตั้งแต่ซูฉินโผล่ขึ้นมา ก็ได้ทําลายรากฐานของนิกายใหญ่เกือบทั้งหมด ซูฉินจะต้อง ไม่ได้มาจากนิกายใหญ่อย่างแน่นอน

และสําหรับจอมยุทธในนิกายใหญ่ หากต้องการจะเข้าสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพี มันจะต้องใช้ ทรัพยากรมากมายอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง ต้องแข่งขันแย่งชิงทรัพยากรจากนิกายใหญ่แห่งอื่นๆ

ในช่วงเวลาหลายร้อยปีมานี้ สํานักชะตาฟ้าไม่เคยได้ยินเรื่องเกี่ยวกับซูฉินมาก่อน

และด้วยการคาดเดาต่างๆ นานา มีเพียงเรื่องที่ซูฉินมาจากประตูเซียนเท่านั้นถึงจะอธิบายเรื่องราวทั้งหมดนี้ได้

“ข้าไม่ได้มาจากประตูเซียน”

ซูฉินสายศีรษะ พร้อมกับกล่าวออกมา ด้วย ความแข็งแกร่งของเขาในปัจจุบันที่เทียบเคียงได้ กับเซียนเทพปฐพี ไม่จําเป็นจะต้องยืมชื่อของประตูเซียนมาใช้

“ท่านมนุษย์สวรรค์ไม่ใช่คนจากประตูเซียน?”

เมื่อได้ยินเช่นนี้ บุรุษชะตาฟ้าก็มีสีหน้าผิดหวัง

บุรุษชะตาฟ้าไม่เคยสงสัยในสิ่งที่ซูฉินกล่าว ด้วยความแข็งแกร่งของซูฉิน มันไม่จําเป็นต้องโกหก

“บอกข้าเกี่ยวกับประตูเซียน”

ซูฉินมองไปที่บุรุษชะตาฟ้าพร้อมกับกล่าวถาม

“ขอรับ”

บุรุษชะตาฟ้ารวบรวมคําพูดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงกล่าวด้วยน้ําเสียงที่ลึกล้ํา “ประตูเซียนมีมาตั้งแต่ ยุคกระแสปราณฉีเฟื่องฟู เป็นทางหนีทีไล่ที่ผู้ทรงพลังถึงขีดสุดทั้งหลายได้ทิ้งเอาไว้เบื้องหลังใช้เพื่อรับมือกับความเสื่อมโทรมของกระแสปราณฉีและเตรียมพร้อมสําหรับการสูญหายของ ทักษะวิชาต่างๆ”

“ทางหนีทีไล่ของเหล่าผู้ทรงพลังถึงขีดสุด?”

ใบหน้าของซูฉินดูครุ่นคิด มันสอดคล้องกับการ คาดเดาของซูฉินก่อนหน้านี้ ในตอนแรกซูฉินสงสัยว่าประตูเซียนนั้นจะคล้ายกับวิหารการสงครามและเกี่ยวข้องกับผู้ที่ทรงพลังถึงขีดสุด

“เหนือขอบเขตเซียนเทพปฐพี คือ ผู้ที่ทรงพลัง ถึงขีดสุด แต่ผู้ทรงพลังถึงขีดสุดไม่ใช่ชื่อของขอบเขต มันเป็นเพียงฉายาของขอบเขตนี้ เหมือนอย่างที่ในทางสายพุทธเรียกอรหันต์ว่าผู้ทรงสมณศักดิ์ และคนทั่วไปเรียกเซียนเทพปฐพีว่ามนุษย์สวรรค์”

เมื่อกล่าวถึงเรื่องนี้ บุรุษชะตาฟ้าก็ดูเคร่งขรึม แล้วพูดออกมาว่า “ขอบเขตที่อยู่หลังจากเซียนเทพปฐพี่เรียกว่าทลายนภากาศ”

“ทลายนภากาศ?”

ท่าทีของซูฉินยังไม่ได้เปลี่ยนแปลง แต่คลื่นลมก็ค่อยๆ ก่อตัวขึ้นในใจเขา

ที่เรียกว่า ทลายนภากาศ ก็หมายถึงการทําลาย มิติความว่างเปล่า คนที่มีอํานาจในระดับนี้ เพียงแค่การเหวี่ยงมือแกว่งเท้าก็สามารถทําให้ความ ว่างเปล่าแตกเป็นเสี่ยงๆ ได้แล้ว ประหนึ่งเทพผู้สร้างโลก

กลุ่มคนที่ทรงพลังถึงขีดสุดในขอบเขตทลายนภากาศ เริ่มเข้าใจถึงพลังของมิติแล้ว จึงอาศัยพลังมิตินี้ในการทําลายความว่างเปล่าได้

นี่จึงเป็นเหตุผลที่มีเพียงผู้ที่ทรงพลังถึงขีดสุด เท่านั้นจึงจะสามารถปรับแต่งสร้างสมบัติพื้นที่มิติ ได้หากปราศจากความเข้าใจที่ดีในด้านพลังมิติ มันจะขัดเกลาสมบัติหรืออาวุธชิ้นเล็กๆ ให้กลายเป็นสมบัติพื้นที่มิติได้อย่างไร?

“ปราณฉีฟ้าดินก็เปรียบดุจกระแสน้ํา มีทั้งขึ้น และลง ผู้ที่ทรงพลังถึงขีดสุดเข้าใจถึงพลังแห่งมิติจึงตระหนักในเรื่องนี้มาตั้งแต่เนิ่นๆ ดังนั้นใน ช่วงสุดท้ายของยุคกระแสปราณฉีเฟื่องฟูกลุ่มคน ที่ทรงพลังถึงขีดสุดที่เหลืออยู่ไม่กี่คนก็รวมพลังกันบุกเข้าไปภายในความว่างเปล่าและสร้างโลก ใบเล็กขึ้นมา ให้เชื่อมออกไปภายนอก เมื่อกระแสปราณฉีเริ่มลดลง กฎแห่งธรรมชาติทั้งหมด ค่อยๆเหี่ยวเฉา พวกเขาก็จะส่งทายาทที่เกี่ยวข้อ งกับตนเองเข้าไป…”

“โลกใบเล็กที่สร้างขึ้นโดยผู้ที่ทรงพลังถึงขีดสุด เป็นอิสระออกจากโลกมนุษย์ จึงไม่ได้รับผลกระทบจากกระแสปราณฉีภายในโลกมนุษย์ และ สามารถหลบเลี่ยงยุคสมัยที่กระแสปราณฉีซบเซาได้…”

บุรุษชะตาฟ้าพูดไปด้วยน้ําเสียงที่แสดงออกถึง ความกริ่งเกรง

เมื่อคิดถึงการสร้างโลกใบเล็กอีกใบของผู้ทรง พลังถึงขีดสุด แม้แต่เซียนเทพปฐพีก็ยังเป็นตัวตนที่เล็กจ้อยเปรียบประดุจฝุ่นธุลีในบางแง่มุม การที่ผู้ทรงพลังถึงขีดสุดสามารถทําลายความว่างเปล่าได้ ก็นับเป็นเทพเซียนที่แท้จริงได้แล้ว

“เป็นมาเช่นนี้นี่เอง”

ซูฉินพยักหน้าเล็กน้อย ความสงสัยในใจของ เขาไขกระจ่างแล้วในที่สุด

ซูฉินแปลกใจอยู่เสมอ ทําไมแทบจะไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับผู้ทรงพลังถึงขีดสุดอยู่บนโลกนี้เลย? อย่าลืมว่าอาณาจักรถังนั้น ก่อนที่กระแสปราณจะฟื้นคืน มันเป็นทวีปที่แสนห่างไกล อย่างไร ก็ตามมีมรดกนับหมื่นปีสืบทอดต่อมาในต่างดินแดน โดยเฉพาะสํานักผู้วิเศษและนิกายเทพเจ้าสายฟ้าที่สืบทอดมรดกมาตั้งแต่ยุคเฟื่องฟูกระแสปราณฉี แต่กลับมีข้อมูลเกี่ยวกับกลุ่มผู้ที่ทรงพลัง ถึงขีดสุดน้อยมาก

ตอนนี้ดูเหมือนว่าไม่ใช่นิกายใหญ่จงใจปกปิด ข้อมูลเกี่ยวกับผู้ทรงพลังถึงขีดสุด แต่พวกเขามีความสัมพันธ์กับผู้ทรงพลังถึงขีดสุดน้อยจนเกิน ไปทําให้ไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลที่แท้จริงได้

กว่าหนึ่งหมื่นปีที่แล้ว ผู้ทรงพลังถึงขีดสุดนําลูกหลานและผู้ที่เกี่ยวข้องกับตนเข้าสู่โลกใบเล็กที่สร้างเอาไว้ เพื่อหลีกหนีจากยุคกระแสปราณฉี เสื่อมโทรม

โลกใบเล็กนั้นมีชื่อว่า ประตูเชียน ถูกสร้างขึ้น โดยผู้ที่ทรงพลังถึงขีดสุดด้วยความพยายามอย่างหนัก แม้จะไม่สามารถรักษาความเข้มข้น ของกระแสปราณฉีเหมือนในตอนที่กระแสปราณ ฉีเฟื่องฟูไว้ได้ แต่สิ่งเหล่านี้ก็ยังพอจะรักษาเซียนเทพปฐพี่หรืออาจจะไปถึงระดับผู้ทรงพลังถึงขีดสุดเอาไว้ได้

นี่เป็นเหตุผลว่าทําไมในยุคต่อๆมา เซียนเทพ ปฐพีในดินแดนโพ้นทะเลจึงออกตามหาไปทั่วทั้งโลก ตามหาประตูเซียน เพราะมีเพียงพื้นที่ในประ ตูเซียนเท่านั้นที่มีจิตใจแห่งฟ้าดินและพลังงานฟ้าดินเพียงพอจะทําให้เซียนเทพปฐพีทะลวงขั้นต่อไปได้

ยิ่งกว่านั้น เนื่องจากผู้ทรงพลังถึงขีดสุดทั้ง หมดเข้าสู่ประตูเซียนเพื่อหลีกเลี่ยงความเสื่อมโทรมของกระแสพลัง แน่นอนว่าพวกเขาจะไม่ ทิ้งเคล็ดวิชาสําคัญๆ ไว้ภายนอกแน่ เพราะด้วยสภาพแวดล้อมที่กระแสปราณฉีเงียบงัน พลังฟ้า ดินไม่อํานวยต่อการฝึกฝนของพวกนั้นก็ไร้ความ หมาย

“ประตูเซียน?”

ซูฉินพูดสองคํานี้ด้วยเสียงต่ํา ในตอนแรก ซูฉันคิดว่าประตูเซียนจะเป็นชื่อ ของนิกายหรือสถานที่สักแห่ง แต่เขาไม่คาดคิดว่าประตูเซียนนั้นจะเป็นการร่วมมือกันของผู้ทรงพลังถึงขีดสุดที่ทำลายความว่างเปล่าเพื่อสร้างโลกใบเล็กขึ้นมา

เป็นการลงมือที่ยิ่งใหญ่…

“แต่ว่า”

บุรุษชะตาฟ้าลังเลอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดต่อ

“แม้ว่าประตูเซียนจะเป็นโลกใบเล็กที่สร้างขึ้น โดยผู้ทรงพลังถึงขีดสุด แต่ก็มันก็เป็นเพียงโลกใบเล็กๆ เท่านั้น มีความห่างชั้นอย่างใหญ่หลวง เมื่อเทียบกับโลกมนุษย์ซึ่งมีพลังปราณฉีอย่างไร้ที่สิ้นสุด และตามที่บรรพชนสํานักชะตาฟ้าได้กล่าวเอาไว้ว่า ยามใดที่กระแสปราณฉีฟื้นคืน ประตูเซียนจะเปิดขึ้นอีกครั้ง”

“เมื่อถึงตอนนั้น ตัวตนที่อยู่ภายในประตูเซียนจะครองพิภพ”

Sign in Buddha’s palm 311 (1) บุรุษชะตาฟ้า
ด้านบนหอดูดาว

ความคิดที่ผันผวนของซูฉินในที่สุดก็สงบลงอย่างช้าๆ

ไม่รู้ว่าพลังของสิบสองสัตว์ศักดิ์สิทธิ์จะแข็งแกร่งคับฟ้าเพียงใดหากสําเร็จวิชาแต่ละอันแต่ตอนนี้ซูฉินเพิ่งจะสําเร็จภาพดวงตะวันฯในระดับเล็กเท่านั้น ยังอยู่ห่างไกลจากความสําเร็จชั้นยอดไปอีกนับหมื่นลี้

“แต่การที่ผู้นํานิกายใหญ่มาขออภัยโทษดูเหมือนว่าจะไม่มีเซียนเทพปฐพีอยู่จริงๆ…”

ใบหน้าของซูฉินดูครุ่นคิด

ตราบใดที่นิกายใหญ่เหล่านั้นมีเซียนเทพปฐพีอยู่พวกเขาจะไม่มีวันมาขอโทษด้วยตนเองเช่นนี้และพวกเขายังยอมรับข้อเรียกร้องของซูฉินโดย ไม่มีคําโต้แย้งแต่อย่างใด

“น่าเสียดาย….”

ร่องรอยความผิดหวังปรากฏขึ้นภายในดวงตาของซูฉิน

เดิมที่เขาต้องการจะบีบบังให้เซียนเทพปฐพีออกมาเพื่อตรวจดูพลังที่แท้จริงของร่างศักดิ์สิทธิ์อีกาทองคําด้วยครึ่งก้าวเข้าสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพี่ทั้งเจ็ดที่ผนึกกําลังกันก่อนหน้านี้ ทําให้ซูฉินออกมือออกเท้าได้เพียงบางส่วนเท่านั้น แม้แต่ทิพยอํานาจดวงตาก็ยังไม่ได้ใช้ เป็นไปไม่ได้ ที่จะเห็นขีดจํากัดสูงสุดของร่างศักดิ์สิทธิ์อีกาทองคํา

“อย่างไรก็ตาม ในครานี้ นอกจากผู้นํานิกาย ใหญ่แล้ว ยังมีคนอื่นอยู่ที่นี่อีก….”

ซูฉินเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย เหม่อมองออกไป นอกพระราชวัง พินิจไปทางโรงเตี้ยมชื่อดังแห่งหนึ่งในเมืองฉางอัน

โรงเตี้ยมแห่งนี้มีชื่อว่า โรงเตี้ยม”ไหลสู่ ใน ขณะนี้ เบื้องหน้าลานสายตาของซูฉินพลังฉีนับร้อยก็ปรากฏขึ้น ซึ่งบ้างแข็งแกร่ง บ้างอ่อนแอ แต่มีพลังฉีจุดหนึ่งที่พิเศษอย่างยิ่งราวกับว่าได้ปกปิดส่วนใหญ่ของพลังเอาไว้ด้วยทักษะลับบางอย่างหากไม่ใช่เพราะดวงตาแห่งสัจจะที่เข้าใจเห็นแจ้งถึงพลังฉีชนิดต่างๆ บางทีซูฉินอาจจะละ เลยมันไปแล้วจริงๆ

แม้แต่ซูฉินที่มีดวงตาแห่งสัจจะก็แทบจะไม่ทัน สังเกต เห็นได้ชัดว่าคนผู้นี้เชี่ยวชาญในการใช้พลังฉีอย่างมาก

ต้องรู้ว่าพลังฉีเป็นส่วนหนึ่งของสิ่งมีชีวิต ตราบ ใดที่เป็นสิ่งมีชีวิตย่อมมีพลังฉีไม่มีข้อยกเว้นใดๆถึงแม้จะเป็นเซียนเทพปฐพีก็ตาม “มีคนแอบดูข้าอยู่งั้นรึ?”

ร่องรอยที่ไม่สามารถอธิบายได้ปรากฏขึ้นบนใบ หน้าของซูฉิน

แม้เจ้าของพลังฉีนี้จะไม่ได้ทําให้รู้สึกถึงภัย คุกคามใด แต่มันก็ค่อนข้างน่าสนใจในสายตาของซูฉินท้ายที่สุดมันก็เป็นครั้งแรกที่มีบางอย่างส่งผลกระทบต่อดวงตาแห่งสัจจะหลังจากที่ เขาใช้งานมันมาเป็นเวลาหลายปี

“ไม่ใช่เซียนเทพปฐพี…”

ซูฉินมองอย่างระมัดระวังอีกครั้งแล้วส่ายศีรษะ เล็กน้อย

หากเป็นเซียนเทพปฐพี จิตวิญญาณแรกกําเนิดจะต้องผสานเข้ากับทะเลปราณไม่ว่าจะปกปิดเพียงใดก็ยังต้องเผยกลิ่นอายเล็กๆที่เกิดจากการ ผสานเข้ากับทะเลปราณซึ่งเป็นเป็นไปไม่ได้เล ยที่จะหลบซ่อนจากสายตาซูฉินที่ตรวจสอบพลังงานฉีได้

“น่าสนใจ”

ซูฉินก้าวเท้าหายตัวไป และเมื่อปรากฏตัวอีก ครั้งซูฉินก็ยืนอยู่ด้านนอกของโรงเตี้ ยมไหลแล้ว

นอกเมืองฉางอัน

ผู้นํานิกายเทพเจ้าสายฟ้าได้กลับไปพบกับบรรพชนทั้งหลาย

ผู้นํานิกายเทพเจ้าสายฟ้าได้อธิบายทุกสิ่งให้ฟังเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดในเมืองฉางอัน

บรรพชนนิกายเทพเจ้าสายฟ้ารับฟัง แต่ท่าทีของเขาเปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลา โดยเฉพาะเมื่อได้ยินว่าซูฉินขอให้นิกายเทพเจ้าสายฟ้าเพิ่ม หินแหล่งกําเนิดสายฟ้าให้อีกสองชั่งก็ยิ่ง เจ็บปวดใจมากขึ้นไปอีก
แม้ว่านิกายเทพเจ้าสายฟ้าจะสะสมมรดกมานานนับพันปีแต่หินแหล่งกําเนิดสายฟ้าที่ครอบครองก็มีเพียงไม่กี่ชั่งการนําหินแหล่งกําเนิดสายฟ้าจํานวนหนึ่งออกไปให้ซูฉินถือเป็นการหลั่งเลือดชโลมดินรู้หรือไม่ว่าหินแหล่งกําเนิดสายฟ้าไม่ได้ใช้เพียงเพิ่มฐานการบ่มเพาะเท่านั้นแต่ยังมีบทบาทในการทลายคอขวดได้อีกด้วย

แม้แต่ในตอนที่ตํานานยุทธขั้นสูงสุดจะทะลวงขั้นขึ้นไปสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพีกองหินแหล่งกําเนิดสายฟ้าจํานวนหนึ่งก็ให้ผลเทียบเท่ากับแห ล่งกําเนิดธาตุสายฟ้ามันสามารถช่วยให้จิตวิญญาณแรกกําเนิดของตํานานยุทธขั้นสูงสุด สัมผัสถึงทะเลปราณในส่วนลึกของความว่างเปล่าได้ง่ายขึ้น

อาจกล่าวได้ว่าหินแหล่งกําเนิดสายฟ้าเป็นสมบัติที่ล้ําค่าที่สุดของนิกายเทพเจ้าสายฟ้าแล้วแม้แต่กิ่งอสนีบาตภัยก็ไม่อาจจะเทียบเทียม
ท้ายที่สุด หากสูญเสียกิ่งไม้อสนีบาตภัยผลกระทบที่เกิดขึ้นกับนิกายเทพเจ้าสายฟ้าก็ไม่ยิ่งใหญ่เท่าหินแหล่งกําเนิดสายฟ้าหายไปความเป็นไปได้ที่นิกายเทพเจ้าสายฟ้าจะให้กําเนิดเซียนเทพปฐพี่จะลดลงอย่างมหาศาล

“มนุษย์สวรรค์แห่งอาณาจักรถังจะมากเกินไปแล้วคิดว่านิกายเทพเจ้าสายฟ้าของข้าจะรังแกได้ตามต้องการงั้นหรือ?”

ความโกรธฉายชัดบนใบหน้าของบรรพชน

นิกายเทพเจ้าสายฟ้าที่ปกครองโลกมาหลายพันปีมาถูกปราบปรามเช่นนี้ได้อย่างไร? หินแหล่งกําเนิดสายฟ้าหนึ่งซึ่งไม่เพียงพอต้องเพิ่มเป็นสองชั่ง?

หินแหล่งกําเนิดสายฟ้าเป็นหินดาดๆ ที่หาได้ตามข้างถนนหรือไร?

ใบหน้าของบรรพชนคนอื่นๆ ก็แสดงความไม่พอใจเช่นกัน

ในที่สุด ทุกคนก็มองไปยังบรรพชนที่อาวุโสที่สุด

บรรพชนผู้นี้มีสถานะสูงที่สุดหลังจากที่นิกายเทพเจ้าสายฟ้าพ่ายแพ้
“ทําตามที่มนุษย์สวรรค์บอก”

บรรพชนอาวุโสเงียบไปครู่หนึ่งแล้วจึงพูดออกมา

“ท่านบรรพชนแต่ว่าหินแหล่งกําเนิดสายฟ้าที่เหลืออยู่มันได้เตรียมไว้สําหรับเหลยเฉียนจือหากเรานําไปให้มนุษย์สวรรค์อาณาจักรถังถ้าวันหนึ่งเหลยเฉียนจือกลับมาเล่า……”

มีบรรพชนบางคนลังเล

“เหลยเฉียนจือ…”

ผู้นํานิกายเทพเจ้าสายฟ้ารับฟังด้วยความเคารพแม้ว่าเขาจะเป็นผู้นํานิกาย แต่ก็ยังเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาไม่ได้มีความสําคัญใดเมื่ออยู่ต่อหน้าบรรพชน แต่เมื่อได้ยินคําว่าเหลยเฉียนจือ’ มันก็ยังสร้างคลื่นภายในใจให้กับตัวเขา

เหลยเฉียนจือเป็นคนที่มีความสามารถมากที่สุดของนิกายเทพเจ้าสายฟ้าในรอบเกือบหมื่นปีและยังเป็นที่รู้จักกันในฐานะผู้ที่มีแนวโน้มจะกลายเป็นเซียนเทพปฐพี่มากที่สุด

น่าเสียดายที่เหลยเฉียนจือได้หายตัวไปเมื่อสามร้อยปีก่อนถ้าไม่ใช่เพราะดวงไฟแห่งชีวิตของเหลยเฉียนจือในส่วนลึกของนิกายยังไม่ดับลงเกรงว่าทุกคนคงคิดว่าเหลยเฉียนจือตกตายไปแล้ว

อย่างไรก็ตาม แม้เหลยเฉียนฉือจะยังไม่ตาย แต่ก็ไม่ได้ปรากฏตัวมาเป็นเวลาสามร้อยปี ในสายตาของนิกายเทพเจ้าสายฟ้าส่วนใหญ่กว่า แปดในสิบส่วน คิดว่าคงจะติดอยู่ในสถานที่ลับไม่สามารถกลับออกมาได้หรืออาจจะถูกสะกดปิดผนึกซึ่งไม่ได้แตกต่างจากการตายเลย

“ไม่สําคัญว่าเหลยเฉียนฉือจะกลับมาในอนาคต หรือไม่”

“แต่ตอนนี้มนุษย์สวรรค์แห่งอาณาจักรถังกําลังเรืองอํานาจถ้านิกายเทพเจ้าสายฟ้ากล้าฝ่าฝืนความตั้งใจของมนุษย์สวรรค์แม้จะมีสมบัติล้ําค่าอยู่ในมือแต่ก็เป็นเรื่องยากที่จะหลบหนีจากการล่มสลาย”

บรรพชนอาวุโสกล่าวทุกคําออกมาตามนี้

“ขอรับ”

บรรพชนคนอื่นๆ มองหน้ากัน แล้วกล่าวคํากลับไปแบบนิ่งๆ

หากซูฉินแสดงความแข็งแกร่งของขอบเขตเซียนเทพปฐพีออกมาแม้ว่านิกายเทพเจ้าสายฟ้าจะหวั่นเกรงแต่ก็ไม่ได้หวาดกลัวหรือกังวลจนเกินไปนักเพราะก็มีเซียนเทพปฐพี่มากกว่าสิบคนกําเนิดขึ้นที่นี่แต่ตอนนี้เซียนเทพปฐพี่เหล่านั้นล้วนแก่ตายไปหมดแล้ว มีเพียงนิกายเทพเจ้าสายฟ้าเท่านั้นที่ยังคงยืนหยัดอยู่

อย่างไรก็ตาม

สิ่งที่น่าหวาดหวั่นสําหรับนิกายเทพเจ้าสายฟ้าก็คือตอนนี้เป็นยุคที่กระแสปราณฉีฟื้นคืนด้วยความแข็งแกร่งของซูฉินบางทีเขาอาจจะอาศัย จังหวะที่กระแสปราณฉีฟื้นคืนนี้ก้าวเข้าสู่ ขอบเขตผู้ที่ทรงพลังถึงขีดสุดก็เป็นได้

ผู้ที่ทรงพลังถึงขีดสุด…

แม้แต่ในยุคเฟื่องฟูกระแสปราณฉีครั้งล่าสุดผู้ที่ทรงพลังถึงขีดสุดก็เป็นบุคคลที่แข็งแกร่งที่สุดในโลกในตอนที่โลกปีศาจบุกรุกเข้ามาหากไม่ใช่เพราะผู้ที่ทรงพลังถึงขีดสุดคอยป้องกันกองทัพปีศาจกว่าร้อยล้านตน ปราบปีศาจที่แข็งแกร่งจํานวนนับไม่ถ้วนจากโลกถ้ำปีศาจเกรงว่าป่านนี้ทั่วทั้งโลกคงกลายเป็นสวรรค์ของโลกถ้ำปีศาจไปแล้ว

แน่นอน

การเป็นผู้ที่ทรงพลังถึงขีดสุดเป็นเรื่องยากแค่ไหน? แม้แต่ในยุคกระแสปราณฉีเฟื่องฟูก็ยังมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นพวกเขาทั้งหมดล้วนเป็นบุตรแห่งโชคลาภทั้งปวงบนโลก มีพรสวรรค์สูงล้ํา

แม้ว่าซูฉินจะแสดงให้เห็นแล้วว่าเขานั้นแข็งแกร่งเพียงใด แต่ความหวังที่จะไปยังขอบเขตผู้ทรงพลังถึงขีดสุดยังคงน้อยนิด

แต่นิกายเทพเจ้าสายฟ้าก็ไม่กล้าเสี่ยง

ไม่เพียงแต่นิกายเทพเจ้าสายฟ้า แต่เมื่อบรรพชนนิกายใหญ่แห่งอื่นๆได้ทราบถึงคําร้องขอของซูฉินพวกเขาก็ตอบรับโดยไม่ลังเลแม้แต่นิกายใหญ่อย่างตําหนักเทพเจ้าสายฟ้าและหุบเขาเทพอสูรก็ยังเสนอสมบัติอื่นๆ เพิ่มเพื่อเอาอกเอาใจซูฉิน

Sign in Buddha’s palm 310 คารวะมนุษย์ สวรรค์

“น้ําเต้ามิติ?”

ทันใดนั้น จิตใจของซูฉินก็ได้รับข้อมูลจํานวนมากเกี่ยวกับ น้ําเต้ามิติ” นี้

ในเวลาเดียวกันซูฉินก็ผสานเข้าไปในพื้นที่ของระบบอย่างรวดเร็ว เห็นน้ําเต้าขนาดเท่าฝ่ามือลอยอยู่เงียบๆ ที่มุมหนึ่ง

ตัวน้ําเต้ามีสีเหลืองเข้ม ผิวของมันเต็มไปด้วยร่องรอยของกาลเวลา ราวกับมันอยู่มานานนับพันนับหมื่นปีแล้ว ปล่อยบรรยากาศที่ดูโบราณออก
มา

“กลายเป็นว่ามันคือสมบัติพื้นที่มิติ?”

รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของซูฉินซึ่งดูพึงพอใจมาก

น้ําเต้ามิติอันนี้เป็นสมบัติพื้นที่มิติ ซึ่งมีพื้นที่ว่างเปล่าอยู่ ขนาดประมาณหนึ่งในสิบของพระราชวังตะวันออก

สิ่งนี้ทําให้ซูฉินมีความสุขมาก

ต้องรู้ว่าแม้คลังของระบบจะสามารถบรรจุได้ทุกสิ่ง แต่ก็สามารถเก็บเฉพาะสมบัติที่ได้จากการลงชื่อเข้าใช้เท่านั้น ตัวอย่างเช่น ซูฉินเคยสังหารมังกรปีศาจแต่ก็ไม่สามารถเก็บไว้ในคลังของระบบได้ ในที่สุดก็ทําได้เพียงกลั่นเลือดเนื้อมังกร มันเสียตรงนั้นจนได้ออกมาเป็นโลหิตมังกรเก้าหยด

การกลั่นอย่างเร่งรีบนี้ไม่เพียงแต่จะทําให้ใช้ ซากของมังกรได้ไม่เต็มประสิทธิภาพเท่านั้น แต่ยังเสียจังหวะด้วย หากมีคนที่แข็งแกร่งในระดับเดียวกันอยู่ในช่วงเวลานั้นด้วย จะปล่อยให้ซูฉินมีเวลากลั่นเลือดมังกรได้อย่างไร?

แม้สมบัติพื้นที่มิติจะมีเพียงความสามารถเดียว และโดยพื้นฐานแล้วไม่สามารถใช้โจมตีหรือป้องกันได้ แต่ก็สะดวกสบายมากสําหรับตํานานยุทธขั้นสูงสุดไปจนถึงขอบเขตเซียนเทพปฐพี อย่างน้อยการพกพาสิ่งของไปไหนมาไหนก็ไม่ต้องกังวลว่าจะต้องเอาไปเท่าใด

“เมื่อพูดถึงสมบัติพื้นที่มิติ หลังจากที่ข้าก้าวเข้าสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพี ข้าจะขึ้นไปบนยอดเขาคุนหลุนเพื่อนําวิหารการสงครามกลับคืนมา”

ซูฉินนึกขึ้นได้แล้วจึงตัดสินใจออกมาเช่นนี้

ระหว่างการเดินทางไปยังเทือกเขาคุนหลุน ซูฉินประสบความสําเร็จในการปรุงแต่งวิหารการสงคราม และด้วยความแข็งแกร่งที่จํากัดของเขา การควบคุมวิหารการสงครามจะต้องก้าวเข้าสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพี่แล้วเท่านั้นจึงจะเรียกมันกลับมาจากส่วนลึกของความว่างเปล่าได้

วิหารการสงครามเอง พูดให้ถูกก็เป็นสมบัติพื้นที่มิติเช่นกัน

แต่เมื่อเทียบกับพื้นที่ภายในน้ําเต้ามิติแล้ว วิหารการสงครามนั้นแข็งแกร่งกว่ามาก พื้นที่ภายในน้ําเต้ามิตินั้นรองนับได้เพียงขนาดหนึ่งในสิบของพระราชวังตะวันออกเท่านั้น เป็นพื้นที่ที่น้อยกว่าครึ่งหนึ่งของวิหารการสงครามเสียอีก

แน่นอน เมื่อเทียบกับสมบัติวิเศษอื่นๆ สมบัติพื้นที่มิติเป็นของที่พิเศษที่สุดในบรรดาสมบัติวิเศษทั้งหมด แม้แต่สมบัติพื้นที่มิติที่อ่อนแอก็ต้องเป็นผู้ที่ทรงพลังถึงขีดสุดเท่านั้นจึงจะสร้างมันขึ้นมาได้

นี่เป็นเหตุผลว่าทําไมสมบัติพื้นที่มิติจึงหายาก อย่างน้อยในยามที่ซูฉินทําลายพรรคหมื่นดาบ เขาก็ไม่พบร่องรอยของสมบัติพื้นที่มิติเลย

พรรคหมื่นดาบสืบทอดมรดกจากนักพรตหมื่นดาบเมื่อสี่ถึงห้าพันปีก่อน มันไม่มีสมบัติพื้นที่มิติแม้แต่ชิ้นเดียว สามารถจินตนาการถึงความล้ําค่าของสมบัติพื้นที่มิติได้ไม่ยาก

“ว่ากันว่าผู้ที่ทรงพลังถึงขีดสุดจะเชี่ยวชาญในด้านพื้นที่มิติอันลึกลับ และด้วยความช่วยเหลือของผลึกหินมิติ สมบัติพื้นที่มิติจึงถูกสร้างขึ้นมาได้…”
ซูฉินคิดอยู่กับตนเอง

“สําหรับสมบัติพื้นที่มิติธรรมดา พื้นที่ที่สามารถบรรจุได้โดยทั่วไปควรมีขนาดเท่ากับโถงไท่จี้ แต่น้ําเต้ามิติอันนี้มีขนาดถึงหนึ่งในสิบของพระราชวังตะวันออก มันควรเป็นสมบัติพื้นที่มิติระดับสูง หรืออาจจะเป็นแม้แต่สมบัติพื้นที่มิติชั้นยอด……

ซูฉินพยักหน้าเล็กน้อย

“ส่วนวิหารการสงคราม……”

ซูฉินส่ายศีรษะเล็กน้อย

ในแง่หนึ่ง แม้ว่าวิหารการสงครามจะเป็นสมบัติพื้นที่มิติ แต่ความล้ําค่าของมันนั้นสูงกว่า สมบัติส่วนใหญ่อย่างแน่นอน แค่ม้วนบันทึกภาพเทพสงครามในส่วนลึกของวิหารการสงครามก็เพียงพอแล้วที่จะเอาชนะทุกสิ่ง ทําให้ผู้ที่ทรงพลังแข็งแกร่งต้องทําความเข้าใจมันเป็นร้อยเป็นพันปี…

“ด้วยน้ําเต้ามิตินี้ มันจะช่วยหลายๆ เรื่องได้อีกมาก” ดวงตาของซูฉินหันเหไปเล็กน้อย มองไปยังผู้นํานิกายใหญ่ทั้งหลายที่ยังคงรอคอยอยู่ด้านนอกวังหลวงด้วยความเคารพ

ช่วงเวลาต่อมา

ร่างของซูฉินก็หายไป

ในเวลาเดียวกัน เหนือกําแพงพระราชวัง

จักรพรรดิถัง กองทหารและเหล่าขุนนางแห่งราชสํานักก็มองดูสมบัติที่ผู้นํานิกายทั้งหลายนํามา มอบให้หัวใจของพวกเขาตื่นตะลึง

แม้พวกเขาจะไม่ค่อยเข้าใจมรดกอาวุธวิเศษสิบชิ้นที่เสนอมาโดยผู้นํานิกายเฮยหยวน แต่โอสถจิตวิญญาณอายุห้าร้อยปีสิบขวดที่เสนอโดยสํานักเทพโอสถนั้นเกินจินตนาการของจักรพรรดิถังและคนอื่นๆไปหน่อย

แม้ว่าจะมีโสมโบราณอายุหลายร้อยหรือหลายพันปีภายในพระราชวังถัง แต่โสมโบราณไม่ว่าจะอายุเท่าไหร่ก็ยังด้อยกว่าหยดน้ําจิตวิญญาณอยู่มาก

หยดน้ําจิตวิญญาณนั้นจะเติบโตขึ้นในสภาพแวดล้อมที่เต็มไปด้วยจิตใจฟ้าดินและพลังงานฟ้าดินเท่านั้น สําหรับอาณาจักรถังนั้น…..

ก่อนกระแสปราณฉีฟื้นคืน อาณาจักรถังแทบจะไม่มีคุณสมบัติในการให้กําเนิดหยดน้ําจิตวิญญาณเลย ไม่เพียงแต่อาณาจักรถังเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงโลกยุทธภพต่างแดนด้วย

ยิ่งกว่านั้น นี่คือโอสถหยดน้ําจิตวิญญาณอายุห้าร้อยปีเชียวนะ?

สําหรับหินแหล่งกําเนิดสายฟ้าหนึ่งชั่งที่เสนอ โดยนิกายเทพเจ้าสายฟ้า และผลจิตวิญญาณหิมะสิบแปดผลที่เสนอมาโดยตําหนักเทพเจ้าหิมะ มันเหนือกว่าความรู้ความเข้าใจของจักรพรรดิถังและคนอื่นๆไปอย่างสมบูรณ์

หินแหล่งกําเนิดสายฟ้าเอย ผลจิตวิญญาณหิมะเอย อย่าว่าแต่จักรพรรดิถังและคนอื่นๆ ไม่เคยเห็นมาก่อนเลย แค่เคยได้ยินมาก็ยังไม่เคย

เพียงแต่นิกายเทพเจ้าสายฟ้า ตําหนักเทพเจ้าหิมะ รวมถึงนิกายใหญ่แห่งอื่นๆ มาถึงที่นี่อย่างเจียมเนื้อเจียมตัวขอร้องอ้อนวอนการอภัยโทษ อย่างน้อยมันย่อมไม่น่าด้อยค่าไปกว่าอาวุธวิเศษ และโอสถจิตวิญญาณอายุห้าร้อยปี…

“เราจะยอมรับไว้ดีไหม?”

จักรพรรดิถังมองลงไปยังผู้นํานิกายใหญ่ทั้งหลายที่อยู่นอกวังด้วยความเคารพ มีความลังเลใจเล็กน้อย

ฉับพลัน

ในตอนนั้นเอง

ซูฉินในชุดคลุมสีดําก็ปรากฏตัวขึ้นอย่างเงียบๆที่เบื้องหน้าเขา มองไปยังผู้นํานิกายใหญ่ทั้งหลาย

“พี่สาม” จักรพรรดิถังถอนหายใจด้วยความโล่งอก

ถ้าซูฉินไม่ปรากฏตัว เขาก็ไม่รู้จะหาวิธีจัดการกับเหล่าผู้นํานิกายอย่างไรดี
“คารวะมนุษย์สวรรค์!”

เมื่อเห็นซูฉินเจ้าสํานักผู้วิเศษและผู้นิกายใหญ่คนอื่นๆ ก็กล่าวออกอย่างนอบน้อมในทันที

“ไม่พอ” ซูฉินกวาดตามองไปอย่างสุ่มๆ กล่าวออกอย่างใจเย็น
หากผู้นํานิกายใหญ่ทั้งหลายต้องการจะขออภัยโทษโดยอาศัยสมบัติเพียงเท่านั้น มันคงไม่เพียงพอ

“มนุษย์สวรรค์มีคําสั่งใด พวกเราจะปฏิบัติตามอย่างแน่นอน” เจ้าตําหนักเทพเจ้าหิมะเห็นซูฉินกล่าวออกมาเช่นนี้ ใบหน้าของนางก็มีความสุขขึ้นมาทันที

สิ่งที่นางกังวลไม่ใช่เรื่องที่ซูฉินจะเรียกร้องเงี่อนไขอื่น แต่เป็นการที่เขาจะไม่พูดอะไรออกมาเลยมากกว่า

หากซูฉินไม่ได้พูดหรือไม่กล่าวออกมาอย่างชัดเจน ผู้นํานิกายเหล่านี้จะรู้สึกเหมือนมีดาบมาจ่อคอพวกเขาอยู่ตลอดเวลา กังวลใจเสมอว่าซูฉินจะมาตามหาพวกเขาในภายหลังหรือไม่

“ผลจิตวิญญาณหิมะอีกยี่สิบ”

“หินแหล่งกําเนิดสายฟ้าต้องมากกว่าสองชั่ง”

“อาวุธวิเศษต้องส่งมอบเพิ่มอีกสิบชิ้น”

ซูฉินกวาดตามองดูผู้นํานิกายใหญ่ทั้งหลาย แล้วกล่าวออกอย่างช้าๆ
ด้วยความแข็งแกร่งของเขา เพียงความคิดเดียวก็สามารถบดขยี้ผู้นํานิกายที่ไม่ได้เป็นแม้แต่ตํานานยุทธขั้นสูงสุดได้อย่างง่ายดาย
แต่นั่นไม่จําเป็นต้องทํา

แม้ว่านิกายใหญ่จะปิดล้อมซูฉินหลายต่อหลายครั้ง แต่ในความเป็นจริงซูฉินไม่ได้รับผลกระทบใดๆเลย ในทางกลับกันเป็นนิกายใหญ่ที่สูญเสียบรรพชนไปทีละคน และแม้แต่ตัวตนอย่างครึ่งก้าวเข้าสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพีสุดท้ายก็ต้องตกตาย

เมื่อได้ยินที่ซูฉินกล่าวออกมา ผู้นํานิกายใหญ่หลายคนก็หน้าซีด โดยเฉพาะผู้นํานิกายเฮยหยวน แม้ว่านิกายของพวกเขาจะสะสมมรดกมานับพันปี แต่ก็มีอาวุธวิเศษสืบทอดต่อมาเพียงสิบกว่าชิ้นเท่านั้น ตอนนี้ซูฉินกลับถามหาอาวุธวิเศษยสิบชั้น จํานวนเท่านั้นมันอยู่นอกเหนือขอบเขตของนิกายเฮยหยวนอย่างสมบูรณ์

ทว่า แม้ผู้นํานิกายเฮยหยวนจะทนทุกข์เพียงใด เขาก็ไม่กล้าหักล้างคํากล่าวนี้ แม้นิกายเฮยหยวนจะไม่มีอาวุธวิเศษที่สืบทอดต่อมา แต่นิกายใหญ่แห่งอื่นนั้นมี ก็แค่ต้องแลกเปลี่ยนสมบัติอื่นๆ ของนิกายเฮยหยวนเพื่ออาวุธเหล่านั้น

แต่ก็เท่านั้น ตอนนี้นิกายเฮยหยวนเจ็บหนัก ไม่เพียงแต่สูญเสียปฐมบรรพชนที่เป็นครึ่งก้าวเข้าสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพี่เท่านั้น แม้แต่ทรัพยากรบ่มเพาะที่สะสมมานับพันปีก็ยังใช้ไปกับซูฉินแล้ว

แน่นอน สําหรับนิกายเฮยหยวน ตราบใดที่ซูฉิน ไม่ติดใจเอาความนิกายเฮยหยวนของเขาต่อไป ทุกอย่างย่อมคุ้มค่า ต้องรู้ว่านิกายเฮยหยวนไม่มีสมบัติล้ําค่าที่ใช้ในการปราบปรามอย่างสํานักผู้วิเศษหรือนิกายเทพเจ้าสายฟ้า หากซูฉินต้องการที่จะลงมือจริงๆ ชะตากรรมของนิกายเฮยหยวนคงไม่ต่างไปจากพรรคหมื่นดาบ

ผู้นํานิกายคนอื่นๆ โดยปกติแล้วก็ไม่ได้ต่างไปจากนิกายเฮยหยวน
สําหรับนิกายใหญ่ทั้งหลาย ตราบใดที่นิกายยังคงอยู่ จะต้องมีวันที่รุ่งเรืองขึ้นใหม่ได้แน่

“มีอะไรผิดปกติหรือ?”

“พวกเจ้ามีข้อโต้แย้งใดหรือไม่?”

ซูฉินเหลือบมองบรรพชนทั้งหลายแล้วกล่าวออกเบาๆ

“มิกล้า”

“เรียนท่านมนุษย์สวรรค์ ข้าไม่ได้มีข้อโต้แย้งแต่อย่างใด”

“ถูกต้อง ข้าจะกลับไปยังนิกายแล้วนําสิ่งที่ท่านมนุษย์สวรรค์ต้องการกลับมาให้” ผู้นํานิกายใหญ่หลายคนตัวสั่นทันทีที่ได้ยินคํากล่าวนั้น จึงพูดไปด้วยโค้งคารวะไปด้วย

“ถ้าอย่างนั้นก็จงกลับกันไปเถอะ”

เพียงชั่วแวบเดียว ซูฉินก็นําสมบัติที่ผู้นํานิกายมอบเอาไว้ ใส่เข้าไปในน้ําเต้ามิติ

“นี่คือ?”

“พลังช่องว่างมิติ?”

“ท่านมนุษย์สวรรค์เชี่ยวชาญในการใช้สมบัติ พื้นที่มิติด้วยอย่างนั้นหรือ?”
เจ้าตําหนักผู้วิเศษรู้สึกได้ว่ากิ่งไม้ดินวิเศษ ที่อยู่เบื้องหน้าตนนั้นหายไป รูม่านตาของเขาหดลงอย่างกะทันหัน ความเคารพก็มีมากขึ้นไปอีก

สมบัติพื้นที่มิติมีค่ามาก แม้นิกายใหญ่ธรรมดาๆจะไม่สามารถมีได้ แต่ในฐานะที่เป็นนิกายใหญ่ ซึ่งสืบทอดมรดกมาตั้งแต่ยุคเฟื่องฟูกระแส ปราณฉีครั้งล่าสุด ก็มีสมบัติพื้นที่มิติระดับต่ําเก็บเอาไว้ภายในสํานักเหมือนกัน

พื้นที่จัดเก็บมันมีขนาดราวๆห้องห้องหนึ่ง

แต่กระนั้น สมบัติพื้นที่มิตินี้ก็ยังซ่อนอยู่ในส่วนลึกของสํานักผู้วิเศษ มันถูกวางไว้ในที่เดียวกันกับสมบัติล้ําค่าของสํานักผู้วิเศษ

ทําไมเจ้าสํานักผู้วิเศษจึงไม่คาดคิดว่าซูฉินจึงเชี่ยวชาญในการใช้สมบัติพื้นที่มิติน่ะหรือ?

เพราะสมบัติพื้นที่มิติสามารถปรุงแต่งได้เพียงผู้ที่ทรงพลังถึงขีดสุดเท่านั้น ถ้าซูฉินเชี่ยวชาญในการใช้สมบัติพื้นที่มิติ บางที่เขาอาจจะได้รับมันมาจากผู้ที่ทรงพลังถึงขีดสุดผู้หนึ่งหรือไม่?

ขณะที่ความคิดของเจ้าสํานักผู้วิเศษผันผวนไปมา

ผู้นํานิกายใหญ่คนอื่นๆ ก็โค้งคํานับพร้อมกับกล่าวคําว่า “ขอรับ”

ไม่นานนัก

ผู้นํานิกายใหญ่ก็ออกจากเมืองฉางอันไปอย่างรวดเร็วและกลับไปที่นิกายของตน

เมื่อผู้นํานิกายจากไป ก็เกิดความโกลาหลในหมู่จอมยุทธต่างแดนจํานวนมากที่เฝ้ามองอยู่ภายในเมืองฉางอัน

ซูฉินสั่งผู้นํานิกายหลายคนได้ในคราวเดียว แต่ผู้นํานิกายกลับไม่กล้าโต้แย้ง พวกเขาทําได้ เพียงตอบรับซ้ําแล้วซ้ําเล่า การที่ใช้พลังอํานาจของบุคคลเพียงคนเดียวกดทับนิกายใหญ่จากดินแดนโพ้นทะเลทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นยุคใดก็เพียงพอแล้วที่จะทําให้ผู้คนตกใจ

ขณะที่จอมยุทธจํานวนมากกําลังพูดถึงเรื่องนี้ ซูฉินก็กลับไปบนหอดูดาวอีกครั้ง

ส่วนเรื่องสมบัติที่ผู้นํานิกายมอบให้ เป็นธรรมดาที่ซูฉินจะไม่ปฏิเสธ

อย่างอาวุธวิเศษ แม้ซูฉินจะไม่สามารถใช้มันได้ แต่ก็สามารถมอบให้ผู้อื่นได้ ส่วนสมบัติอย่างหินแหล่งกําเนิดสายฟ้าและกิ่งไม้ดินวิเศษ เห็นได้ชัดว่าเป็นสมบัติที่เกี่ยวข้องกับธาตุสายฟ้าและธาตุไม้

แม้ซูฉินจะยังไม่ได้ใช้ในตอนนี้ แต่ในอนาคต ตอนนี้ฝึกฝนภาพดวงตะวันขนาดมหึมาสําเร็จแล้ว การฝึกฝนภาพสิบสองสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ที่เหลือ บางทีอาจจะมีความจําเป็นต้องใช้

ตามการคาดเดาของซูฉิน ภาพดวงตะวันขนาดมหึมาซึ่งเป็นภาพแรกในภาพสิบสองสัตว์ศักดิ์สิทธิ์เป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ที่แข็งแกร่งที่สุดในด้านเปลวเพลิง ซึ่งก็คืออีกาทองคําสามขา จากนั้น ภาพสัตว์ศักดิ์สิทธิ์อีกสิบเอ็ดภาพต่อจากนี้ก็ควรเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ที่แข็งแกร่งที่สุดในคุณลักษณะ ด้านอื่นๆ เช่น เป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ธาตุสายฟ้าที่แข็งแกร่งที่สุด สัตว์ศักดิ์สิทธิ์ธาตุไม้ที่แข็งแกร่งที่สุด เป็นต้น

การรวบรวมสมบัติเหล่านี้ในตอนนี้ เท่ากับเป็นการปูทางสู่ภาพสัตว์ศักดิ์สิทธิ์แผ่นอื่นๆ ในอนาคต อย่างน้อยก็ไม่เป็นเหมือนตอนนี้ ที่ต้องลงชื่อเข้าใช้เฉพาะหน้าเพื่อรวบรวมสมบัติธาตุไฟในการบ่มเพาะภาพดวงตะวันขนาดมหึมา

“ข้าเองก็ไม่รู้ว่าสัตว์ศักดิ์สิทธิ์หลังจากภาพดวงตะวันฯ จะเป็นตัวอะไร…” ซูฉินนั่งอยู่บนหอดูดาวด้วยใบหน้าที่คาดหวัง

ภาพดวงตะวันขนาดมหึมาเพียงอย่างเดียว ก็สร้างความประหลาดใจให้ซูฉินมากพอแล้ว ตัวเขาที่ยังไม่ก้าวเข้าสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพี ก็ทรงพลังมากพอจะเทียบเคียงได้กับเซียนเทพปฐพี แล้วสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ตัวอื่นๆเล่า?

รู้หรือไม่ว่าพลังของภาพสัตว์ศักดิ์สิทธิ์สามารถซ้อนทับกันได้

ถ้าซูฉินฝึกฝนภาพสัตว์ศักดิ์สิทธิ์สองภาพ เขาจะสามารถใช้พลังของสัตว์ศักดิ์สิทธิ์สองตัวได้ตามต้องการ และเมื่อซูฉินฝึกฝนภาพสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ครบสิบสองภาพ เขาจะสามารถใช้พลังของสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ทั้งสิบสองได้ในความคิดเดียว….

สิ่งที่เกิดขึ้นจะน่าตกใจเพียงไร?

Sign in Buddha’s palm 309 เข้าสู่ระบบ! น้ําเต้ามิติ!

โถงไท่จี้

ขุนนางทั้งฝ่ายพลเรือนและฝ่ายทหารต่างตกตะลึง เกือบจะคิดว่าตนได้ยินผิดไป

ผู้นํานิกายใหญ่หลายคนเช่นนี้ ในสายตาของเหล่าขุนนางก็รู้สึกได้ถึงแรงกดดันอยู่แล้ว แต่พวกเขาไม่คาดคิดว่าจุดประสงค์ของผู้นํานิกายใหญ่เหล่านี้จะกลายเป็นการมาขออภัย?

ไม่น่าแปลกใจเลยที่เหล่าขุนนางจะคิดเช่นนั้น แม้ว่าพวกเขาจะรู้ว่าซูฉินได้ต่อสู้กับครึ่งก้าวเข้าสู่ขอบเขตเชียนเทพปฐพีทั้งเจ็ดคนเมื่อไม่นานมานี้ แต่พวกเขาจะรู้ได้อย่างไรว่าครึ่งก้าวเข้าสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพี่เจ็ดคนนั้นหมายถึงสิ่งใด?

เช่นเดียวกับสงครามระหว่างสองอาณาจักร เพียงช่วงเวลาไม่นาน เมื่อเห็นว่าสถานการณ์ไม่ค่อยดีก็จะเดินทางมาเพื่อขออภัยโทษแล้วอย่างนั้นหรือ?

จากภูมิหลังของนิกายใหญ่ทั้งหลาย ถึงการที่ครึ่งก้าวเข้าสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพี่จะตกตายไปถึงเจ็ดคน ได้ทําลายรากฐานของพวกมันไปมาก แต่ก็ไม่ถึงกับสิ้นไร้ไม้ตอก นิกายใหญ่ที่มีความเป็นมานับหมื่นปีอย่างสํานักผู้วิเศษหรือนิกายเทพเจ้าสายฟ้ามีความสามารถสูงจนสามารถปิดกั้นเซียนเทพปฐพีได้ด้วยซ้ํา

“ขออภัยโทษ?”

“มาขออภัยโทษจากพี่สาม?”

ท่าทีของจักรพรรดิถังดูตกตะลึง และต้องใช้เวลาสักพักกว่าจะตอบสนองได้

แม้ว่าจักรพรรดิถังจะรู้สึกไม่อยากจะเชื่อกับการตัดสินใจมาขออภัยของนิกายทั้งหลาย อย่างไรก็ตาม ในฐานะจักรพรรดิแห่งอาณาจักรถัง ความคิดอ่านของเขาเหนือกว่าคนธรรมดาทั่วไป แม้ว่าจะคาดไม่ถึงแต่ก็คิดวิธีการจัดการเรื่องนี้ในทันที

“ให้พวกเขาเข้ามา”

จักรพรรดิถังครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วกล่าวออกมา

ผู้นํานิกายใหญ่ทรงเกียรติมากเพียงใด เมื่อพวกเขาริเริ่มจะมาขออภัยโทษ วางตัวต่ําเพียงนี้ จักรพรรดิถังก็ไม่ติดปัญหาใดที่จะพบพวกเขา

“ฝ่าบาท”

“พวกเขากล่าวว่าไม่กล้าที่จะเข้ามาภายในวัง หากไม่ได้รับอนุญาตจากพระมาตุลาแห่งอาณาจักร…” แม่ทัพแห่งวังหลวงกล่าวด้วยความขมขื่น

ในโลกยุทธภพต่างแดน ผู้แข็งแกร่งทุกคนมีถ้ําเซียนเป็นของตัวเอง และซูฉินก็อาศัยอยู่ภายในวังหลวง ในสายตาของผู้นํานิกายทั้งหลาย พระราชวังทั้งหมดจึงเป็นถ้ําเซียนของซูฉิน

หากไม่ได้รับความยินยอมจากเจ้าของถ้ํา จอมยุทธคนใดที่เข้าไปในถ้ําโดยไม่ได้รับอนุญาต ย่อมก่อให้เกิดความไม่พอใจกับเจ้าของถ้ํา ถึงขั้นที่เจ้าของถ้ําอาจจะสังหารทิ้งเลยก็เป็นได้

ดังนั้น หากปราศจากคําอนุญาตที่ชัดเจนของซูฉิน ผู้นํานิกายเหล่านี้จะกล้าเข้ามาได้อย่างไร? แม้แต่การที่พวกเขาเดินทางมายังเมืองฉางอันพร้อมกันนี้ พวกเขาก็เสี่ยงอันตรายมากพออยู่แล้ว อย่างไรเสีย หากว่ากันตามจริงเมืองฉางอันทั้งเมืองก็อาจจะจัดอยู่ในพื้นที่ถ้ําเซียนของซูฉินด้วย

“ไม่กล้าเข้ามาอย่างนั้นหรือ?”

จักรพรรดิถังเงียบไปครู่หนึ่ง

ในเวลานี้ เขาตระหนักถึงความน่ากลัวของอํานาจยับยั้งจากซูฉินได้มากขึ้นเรื่อยๆ โดยไม่ต้องพูดสิ่งใดกลับทําให้ผู้นํานิกายทั้งหลายต้องออกมาขออภัยโทษ และแม้แต่วังหลวงก็ไม่กล้าเข้ามา

ขุนนางราชสํานักทั้งหลายต่างมองหน้ากันอย่างไม่อยากจะเชื่อ

นับตั้งแต่ช่วงฟื้นคืนของกระแสปราณฉี ข่าวสารจากยุทธภพต่างแดนก็แพร่กระจายไปทั่วอาณาจักรถัง ในสายตาของเหล่าขุนนางนิกาย ใหญ่ที่ปกครองดินแดนโพ้นทะเลสามารถนับได้ ว่าเป็นจ้าวครองพิภพได้อย่างไม่มีปัญหา

แต่ตอนนี้

ภายในหัวใจของเหล่าข้าราชบริพารยักษ์ใหญ่ เหล่านี้เริ่มถูกลดทอนความยิ่งใหญ่ลงไปแล้ว

“พี่สามอยู่ภายในพระราชวังตะวันออกหรือไม่?”

จักรพรรดิถังลังเลอยู่ครู่หนึ่ง มองไปยังแม่ทัพแห่งวังหลวงแล้วจึงเอ่ยถาม

“ทูลฝ่าบาท พระมาตุลาแห่งอาณาจักรไม่ได้อยู่ในพระราชวังตะวันออก” แม่ทัพแห่งวังหลวงกระซิบตอบ

“ถ้าพี่สามไม่ได้อยู่ภายในพระราชวังตะวันออก ดังนั้นเขาน่าจะอยู่ในด่านฝึกตน” จักรพรรดิถังพูดอยู่กับตนเอง

“ถ้าเป็นเช่นนั้น เจ้าไม่จําเป็นต้องรบกวนพี่สาม ข้าจะไปเจอผู้นํานิกายเหล่านั้นด้วยตนเอง” จักรพรรดิถังคิดอยู่นาน และในที่สุดก็ตัดสินใจได้

ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เว้นแต่จะจําเป็นจริงๆ เขาจะไม่รบกวนการบ่มเพาะของซูฉินเด็ดขาด ส่ว
นเรื่องของผู้นํานิกาย จักรพรรดิถังก็อยากจะรู้เหมือนกันว่าพวกเขาคิดอะไรอยู่“ตามพระประสงค์”

แม่ทัพแห่งวังหลวงกล่าวออกอย่างเคารพ

และในตอนนี้

ภายนอกวังก็คราคร่ําไปด้วยจอมยุทธต่างดินแดนมาสักพักใหญ่แล้ว

จอมยุทธต่างดินแดนเหล่านี้ ส่วนใหญ่เข้ามาหลังจากได้ยินความเกรียงไกรของซูฉินในช่วงที่กระแสปราณฉีกําลังฟื้นคืนกลับมา และบางคนก็เป็นศิษย์สาวกของนิกายใหญ่

แต่ในเวลานี้ เมื่อผู้นํานิกายใหญ่หลายต่อหลายคนมาเยือนเมืองฉางอันด้วยตนเองและอยู่ด้านนอกพระราชวัง พวกเขาก็ได้ดึงดูดความสนใจของจอมยุทธต่างแดนเกือบทั้งหมดไปในทันที

ต้องรู้ว่าเพื่อแสดงความจริงใจ ผู้นํานิกายใหญ่เหล่านี้ไม่ได้ปกปิดพลังของตนเอาไว้ เฝ้ารออยู่ภายนอกวังโดยไม่มีการปิดบัง

“เจ้าตําหนักเทพเจ้าหิมะ?”

“ผู้นํานิกายเทพเจ้าสายฟ้า?”

“เจ้าสํานักผู้วิเศษ?”

“พวกเขามาที่นี่ได้อย่างไร?”

จอมยุทธนับไม่ถ้วนต่างรีบมาที่นี่เพื่อดูและพูดคุยกันอย่างต่อเนื่อง

แม้ว่าผู้นํานิกายใหญ่จะไม่ใช่จอมยุทธที่แข็งแกร่งที่สุด แต่การที่ขึ้นเป็นผู้นํานิกายได้ก็นับเป็นหน้าเป็นตาของนิกายใหญ่ ในตอนนี้ผู้นํานิกายเหล่านี้มารวมตัวกัน ผลกระทบที่เกิดย่อมขยายวงกว้าง

“เฮ่ๆ ครึ่งก้าวเข้าสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพี่ทั้งเจ็ดคนตกตายไปแล้วโดยตํานานยุทธอาณาจักรถัง ผู้นํานิกายใหญ่เหล่านี้รู้ตัวว่าพวกเขาไม่มีหวังจะต่อต้าน ดังนั้นพวกเขาจึงมาขออภัยโทษน่ะสิ..

ตํานานยุทธคนหนึ่งกล่าวเยาะเย้ย

“ขออภัยโทษ?”

“ตํานานยุทธอาณาจักรถังสังหารบรรพชนครึ่งก้าวเข้าสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพีของพวกเขาการที่ผู้นําเหล่านี้ไม่ได้มาแก้แค้นยังพอว่า แต่นี่ถึงกับมาที่นี่เพื่อขออภัยโทษเลยหรือ?”

มีจอมยุทธผู้หนึ่งแสดงสีหน้างุนงง อดไม่ได้ที่จะถามออกมา

“ตํานานยุทธอาณาจักรถัง?”

“เกรงว่าเจ้าจะกล่าวผิดไปแล้ว”

“ตอนนี้ไม่ควรจะเรียกว่าตํานานยุทธแห่งอาณาจักรถังอีกต่อไปแล้ว และควรจะเรียกว่ามนุษย์สวรรค์แห่งอาณาจักรถังเสียมากกว่า” จอมยุทธชรากะพริบตาหนึ่งครั้งพร้อมกับกล่าวคําหนงครงพร้อมกับกล่าวคํา

คําที่กล่าวออกมา

ทันใดนั้นทุกคนในที่แห่งนี้ก็ตกอยู่ในความเงียบงัน

มนุษย์สวรรค์ มนุษย์สวรรค์? มนุษย์สวรรค์คือสิ่งใด?

เซียนเทพปฐพีก็คือผู้ที่สามารถรวมความเป็นมนุษย์เข้ากับสวรรค์ได้ สามารถดึงทะเลปราณอันกว้างใหญ่ไร้ที่สิ้นสุดได้เพียงแค่เคลื่อนไหว ดังนั้นเซียนเทพปฐพี่จึงถูกเรียกว่ามนุษย์สวรรค์

จอมยุทธชราเรียกซูฉินว่ามนุษย์สวรรค์แห่งอาณาจักรถังก็แสดงให้เห็นว่าเขาเชื่ออย่างชัดเจนว่าซูฉินได้กลายเป็นเซียนเทพปฐพี่แล้ว

ความจริงที่ซูฉินสังหารครึ่งก้าวเข้าสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพีทั้งเจ็ดคนได้ในคราวเดียว ผู้คนนับไม่ถ้วนก็คาดเดาว่าซูฉินเข้าสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพีไปแล้ว แต่การคาดเดาก็เป็นเพียงเรื่องของการคาดเดา ทว่ายามนี้ผู้นํานิกายใหญ่ทั้งหลายกลับออกมาขออภัยโทษพร้อมๆกัน แค่นี้ก็พอจะพิสูจน์เรื่องที่คาดเดาเอาไว้ได้แล้ว

ถ้าซูฉินไม่ใช่ขอบเขตเซียนเทพปฐพี ผู้นํานิกายใหญ่ทั้งหลายจะยอมอ่อนข้อมาขออภัยโทษเช่นนี้หรือ?

แม้แต่ผู้นํานิกายใหญ่เหล่านี้ยังคิดว่าซูฉินเป็นเซียนเทพปฐพี ดังนั้นใครเล่าจะกล้าสงสัยเรื่องนี้ต่อไปอีก?

“เซียนเทพปฐพี ในที่สุดก็มีเซียนเทพปฐพี่อีก คนหนึ่งปรากฏขึ้นบนโลกใบนี้แล้ว และใช่แล้ว นอกจากเซียนเทพปฐพี ใครเล่าที่จะสามารถทําให้ผู้นํานิกายใหญ่มีความคิดริเริ่มที่จะขออภัยโทษได้?”

“นี่เป็นมนุษย์คนแรกในรอบเกือบพันปี น่าเสียดาย เดิมที่ข้าคิดว่าเหลยเฉียนจือจากนิกายเทพเจ้าสายฟ้าน่จะมาถึงจุดนี้ได้เหมือนกัน”

“เหลยเฉียนจือ มิผิด เหลยเฉียนจือมีหวังที่จะก ลายเป็นเซียนเทพปฐพี แต่มันก็เป็นเพียงแค่ความหวัง จะนํามาเปรียบเทียบกับมนุษย์สวรรค์แห่งอาณาจักรถังได้อย่างไร?”

จอมยุทธทั้งหลายมองมาด้วยสีหน้าตกตะลึง แม้แต่เสียงสนทนาก็เงียบลงอย่างมาก กลัวว่าจะไปรบกวนซูฉินเข้า

นี่คือพลังอันยิ่งใหญ่ของขอบเขตเซียนเทพปฐพี เขาสามารถครอบงําผู้คนได้โดยไม่ต้องก้าวออกไปไหนทั้งนั้น แม้แต่นิกายใหญ่ระดับสูง อย่างสํานักผู้วิเศษและนิกายเทพเจ้าสายฟ้าที่สืบทอดมรดกมาจากยุคเฟื่องฟูกระแสปราณฉีครั้งล่าสุด เมื่อต้องมาเผชิญหน้ากับเซียนเทพปฐพี่มันก็ต้องมีสั่นสะท้านกันบ้าง

แม้จะมีหวังที่จะใช้สมบัติปิดกั้นเซียนเทพปฐพี แต่สมบัตินั้นสุดท้ายก็เป็นแค่สิ่งของ จําเป็นต้องใช้ทรัพยากรมากมายเติมเข้าไป หากซูฉินต้องการจัดการกับสํานักผู้วิเศษและนิกายเทพเจ้าสายฟ้าจริงๆ เขาไม่จําเป็นต้องทําอะไรเลย แค่เพียงต้องปล่อยไอพลังอยู่หน้านิกายเท่านั้น

ใช้เวลาเพียงแค่ไม่กี่สิบปี นิกายใหญ่เหล่านี้ย่อมเสื่อมโทรมลง มรดกที่ตกทอดมาอาจจะถูกตัดขาด

แน่นอนว่าโดยทั่วไป ไม่มีเซียนเทพปฐพี่คนไหนที่จะทําเช่นนี้ ประการแรกคือสมบัติที่ผู้ทรงพลังอย่างถึงขีดสุดทิ้งเอาไว้นั้นพวกเขาไม่สามารถนํามาใช้ได้ประโยชน์ได้ แม้จะได้มันมาก็ตาม ประการที่สอง เซียนเทพปฐพี่มีอายุพันกว่าปีเท่านั้น จะไม่ยอมฉีกเนื้อเฉือนหนังของตนเองจนหมดแน่

ไม่เช่นนั้น หลังจากที่เซียนเทพปฐพี่เสียชีวิตไป มรดกที่เขาทิ้งไว้เบื้องหลังเกรงว่าจะต้องได้รับเคราะห์จากนิกายใหญ่แห่งอื่นๆด้วย

ในขณะที่จอมยุทธกําลังพูดคุยกันถึงเรื่องนี้

จักรพรรดิถังและเหล่าขุนนางก็เดินทางมาถึงกําแพงวัง และมองลงไปยังผู้นํานิกายใหญ่ที่อยู่นอกวัง

“คารวะองค์จักรพรรดิ

ผู้นํานิกายหลายคนเหลือบมองจักรพรรดิและโค้งคารวะให้เล็กน้อย ด้วยตัวตนของพวกเขาไม่จําเป็นต้องใส่ใจกับจักรพรรดิแห่งราชวงศ์ไหนๆเลย เพียงแต่เบื้องหลังของจักรพรรดิถังมีมนุษย์สวรรค์อย่างซูฉินยืนอยู่
“พวกท่านคิดจะมาขออภัยโทษเช่นนั้นหรือ?” จักรพรรดิถังถามอย่างตรงไปตรงมาไม่มีอ้อมค้อม

คําพูดนั้นจบลง

ผู้นํานิกายใหญ่ทั้งหลายก็มองหน้ากัน

ในที่สุดผู้นํานิกายเฮยหยวนก็ยกมือขวาขึ้น ทันใดนั้นสิ่งของสิบชิ้น เช่น ระฆัง ขวาน มีด ดาบก็หล่นออกมา

“นิกายเฮยหยวนของข้าเต็มใจจะเสนอมรดก นิกายอาวุธวิเศษสิบชิ้นเพื่อขออภัยโทษ”

ผู้นํานิกายเฮยหยวนโค้งคารวะไปทางส่วนลึกของพระราชวังด้วยความเคารพ

ในชั่วพริบตา

ทุกคนในที่แห่งนั้นก็เดือดพล่าน

“อาวุธวิเศษสิบชิ้น? นิกายเฮยหยวนสืบทอดมรดกมาไม่กี่พันปี และอาวุธวิเศษที่ครอบครองอยู่ก็มีรวมกันราวๆ สิบกว่าชิ้นใช่หรือไม่? ตอนนี้กลับเสนออาวุธวิเศษถึงสิบชิ้นในคราวเดียว?”

“นี่ นิกายเฮยหยวนบ้าไปแล้วหรือ? อาวุธวิเศษ ไม่ใช่ของทั่วๆไป มันสามารถใช้ปกป้องนิกาย และส่งต่อไปยังรุ่นต่อๆไปได้ ไม่ต้องกล่าวถึงสิบชิ้นเลย แม้จะเสนอเพียงชิ้นเดียวก็นับเป็นราคาที่สูงแล้ว……”

จอมยุทธหลายต่อหลายคนตกตะลึง รู้สึกไม่อยากจะเชื่อ

ต่อให้ตํานานยุทธขั้นสูงสุดใช้ความพยายามทั้งหมดก็ไม่สามารถสร้างอาวุธวิเศษขึ้นมาได้ คงจะมีแต่เซียนเทพปฐพี่เท่านั้นที่มีคุณสมบัติพอจะสร้างอาวุธวิเศษและสืบทอดมรดกต่อไป

ข้อบกพร่องของนิกายเฮยหยวนทําให้ไม่มี เซียนเทพปฐพีกําเนิดขึ้นเลย ฉะนั้นวิธีที่จะได้รับอาวุธวิเศษมาคือจะต้องแลกเปลี่ยนกับนิกายใหญ่แห่งอื่นๆ หรือไม่ก็ปล้นมาจากจอมยุทธคนอื่นๆ

หลังจากสะสมมรดกมานานนับพันปี พวกเขาก็มีอาวุธวิเศษแค่สิบกว่าชิ้นเท่านั้น

แต่ตอนนี้ เพียงแค่ขออภัยโทษจากซูฉิน ถึงกับมอบมรดกเป็นอาวุธวิเศษถึงสิบชิ้น นี่เทียบกับเป็นการหลั่งเลือดของนิกายเฮยหยวน…..

อย่างไรก็ตาม

ไม่ทันให้จอมยุทธจํานวนมากได้ตอบสนอง

เจ้าสํานักเทพโอสถก็ก้าวไปด้านหน้าและกล่าวด้วยความเคารพ “สํานักเทพโอสถของข้า ยินดีที่จะมอบโอสถจิตวิญญาณสิบขวดเพื่อไถ่บาปที่เคยทํากับท่านมนุษย์สวรรค์”

“โอสถจิตวิญญาณ?”

“สิบขวด?”

ตํานานยุทธต่างมือสั่น และจิตใจเองก็ไหวหวั่นไม่ต่างกัน

แม้แต่ในยุคเฟื่องฟูของกระแสปราณฉี โอสถจิตวิญญาณก็นับว่าล้ําค่าอย่างยิ่ง นับประสา อะไรกับยุคที่กระแสปราณฉีเงียบงันเช่นนี้ ตํานานยุทธธรรมดาๆ ตลอดชีวิตไม่เคยแม้แต่จะเห็นโอสถจิตวิญญาณแม้แต่หยดเดียว

“นิกายเทพเจ้าสายฟ้าของข้ายินดีเสนอหินแหล่งกําเนิดสายฟ้าหนึ่งซึ่งเพื่อไถ่บาปที่เคยก่อ..”

“สํานักผู้วิเศษของข้ายินดีมอบ…”

“ตําหนักเทพเจ้าหิมะของข้ายินดีเสนอ…

ชั่วครู่หลังจากนั้น ผู้นํานิกายใหญ่ทั้งหลายก็ยืนขึ้นเสนอสมบัติออกมาด้วยเคารพ ร้องขอการอภัยโทษจากซูฉิน

ขณะที่ผู้นํานิกายใหญ่กําลังร้องขออย่างกระวนกระวายใจ ซูฉินในชุดคลุมสีดําก็มาปรากฏตัวอยู่ที่ชั้นบนของหอดูดาว

“มาที่นี่เพื่อขออภัยโทษ?”

ซูฉินในชุดดํามองออกไปนอกวัง ด้วยท่าทีที่ไม่แยแส

“นานมากแล้วที่ข้าไม่ได้ลงชื่อเข้าใช้ภายในวังหลวง”

“ระบบ ลงชื่อเข้าใช้!”

ช่วงเวลาต่อมา

เสียงจักรกลเย็นชาก็ดังขึ้นในโสตประสาทของซูฉิน

[ขอแสดงความยินดี โฮสต์ลงชื่อเข้าใช้สําเร็จ ได้รับน้ําเต้ามิติ]

Sign in Buddha’s palm 307 ขีดจํากัด

“หากต้องการทะลวงขอบเขตเข้าสู่เซียนเทพปฐพี จะต้องใช้จิตวิญญาณแรกกําเนิดผสานเขากับทะเลปราณในส่วนลึกของความว่างเปล่า จากนั้นจึงค่อยๆ ดึงพลังปราณฉีจากทะเลปราณมาขัดเกลาร่างกาย…”
ความคิดของซูฉินผันผวนไปมา

ในตอนนี้โซ่ตรวนและคอขวดในการเข้าสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพี่มันอยู่ในสายตาของเขาทั้งหมด ไม่ต่างไปจากการดูเส้นลายมือของตนเอง
ยิ่งกว่านั้น สิ่งที่ยากที่สุดสําหรับการเข้าสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพีของคนอื่นๆ คือการนําจิตวิญญาณแรกกําเนิดเข้าไปยังส่วนลึกของความว่างเปล่า จับตําแหน่งของทะเลปราณ และรวมเข้ากับมันให้สําเร็จ แต่สําหรับซูฉินมันแทบจะไม่มีขั้นตอนนี้อยู่ด้วยซ้ํา

ท้ายที่สุด ร่างศักดิ์สิทธิ์อีกาทองคําซึ่งเป็นที่รักของพลังงานธาตุไฟ สามารถสัมผัสตําแหน่งของทะเลปราณได้อย่างเป็นธรรมชาติ เทียบได้กับการที่ซูฉินถือแหล่งกําเนิดธาตุไฟขนาดพกพาติดตัวเอาไว้ ด้วยร่างศักดิ์สิทธิ์อีกาทองคําที่สามารถตอบสนองต่อทะเลปราณ ยกเว้นไว้แต่ซูฉินจะไม่ได้ตั้งใจหา การชักนําจิตวิญญาณแรกกําเนิดไปยังทะเลปราณก็ง่ายเพียงแค่คิด

“ตามบันทึกจากพรรคหมื่นดาบ ในการทะลวงเข้าสู่ขอบเขตเชียนเทพปฐพี การรวมจิตวิญญาณแรกกําเนิดเข้าสู่ทะเลปราณนับเป็นขั้นตอนสําคัญ แต่จริงๆแล้วขั้นตอนการนําจิตวิญญาณแรกกําเนิดเข้าสู่ทะเลปราณ และขั้นตอนที่ใช้ทะเลปราณมาขัดเกลาร่างกายนั้นมีความสําคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน”

ดวงตาของซูฉินหลบต่ํา ครุ่นคิดอยู่ภายในใจอย่างรวดเร็ว

ในฐานะที่พรรคหมื่นดาบสืบทอดต่อมาจากเซียนเทพปฐพี แน่นอนว่ามีบันทึกเกี่ยวกับการทะลวงขั้นเข้าสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพีอยู่ และหลังจากที่ซูฉินทําลายพรรคหมื่นดาบ เขาก็ได้ปกคลุมทั่วทั้งพรรคหมื่นดาบด้วยจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ จากนั้นตอนที่เขาแปลงจิตวิญญาณแรกกําเนิดสําเร็จ ก็ปกคลุมทุกที่บนเกาะด้วยจิตวิญญาณแรกกําเนิดอีกครั้ง เปิดดูหนังสือโบราณของพรรคหมื่นดาบที่มีอยู่มากมายนับไม่ถ้วน
ซึ่งรวมไปถึงบันทึกเหล่านี้ด้วย

“การใช้จิตวิญญาณแรกกําเนิดผสานเข้ากับทะเลปราณ หยิบยืมทะเลปราณมาหล่อเลี้ยงจิตวิญญาณแรกกําเนิด จากนั้นจึงดึงทะเลปราณเข้ามาเติมเต็มร่างกาย กระบวนการเหล่านี้ไม่ได้เกิดขึ้นชั่วข้ามคืน จําเป็นต้องดําเนินการอย่างช้าๆ”

“นักพรตหมั่นดาบใช้เวลาเป็นสิบปี ในการใช้จิตวิญญาณแรกกําเนิดดึงพลังจากทะเลปราณเข้าสู่ร่างกาย ในที่สุดก็เข้าสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพี…”

ซูฉินคิดกับตนเอง

พลังของทะเลปราณยิ่งใหญ่เพียงใด? มันคือสัญลักษณ์ของพลังฟ้าดินของทั้งโลก แม้ว่าร่างศักดิ์สิทธิ์อีกาทองคําของซูฉินจะเหนือกว่าร่างกายธรรมดา แต่หากไม่ระวังก็อาจถูกพลังของทะเลปราณระเบิดร่างได้
ดังนั้นจึงต้องระมัดระวังในการดึงพลังจากทะเลปราณอย่างมาก นี่เป็นเหตุผลว่าทําไมมีเพียงแค่ไม่กี่คนเท่านั้นที่รอดชีวิตมาได้แม้การทะลวงขอบเขตเซียนเทพปฐพี่จะล้มเหลว

แน่นอนว่าตํานานยุทธขั้นสูงสุดส่วนใหญ่ไม่สา มารถดึงพลังจากทะเลปราณมาขัดเกลาเนื้อหนังได้ เมื่อยามที่พวกเขาค้นหาทะเลปราณ จิตวิญญาณแรกกําเนิดของพวกเขาก็อาจจะสูญหายไปในส่วนลึกของความว่างเปล่าตั้งแต่แรกแล้ว

“อย่างไรก็ตาม ด้วยความเร็วที่ร่างศักดิ์สิทธิ์ อีกาทองคําสามารถใช้ดูดซับพลังงานได้ มันจะใช้เวลาน้อยกว่าสิบปี ถ้าช้าหน่อยก็อาจจะเป็นปี ถ้าเร็วกว่านั้นก็อาจจะสําเร็จในไม่กี่เดือน….”

รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของซูฉิน

นักพรตหมื่นดาบใช้เวลาสิบปีในการดึงพลัง จากทะเลปราณมาขัดเกลาร่างกาย เพราะร่างกายของเขาอ่อนแอเกินไปและพลังที่ดูดซับได้ก็มีจํากัด แต่ความสามารถดูดซับพลังงานของร่างศักดิ์สิทธิ์อีกาทองคําของซูฉินในหนึ่งวัน เท่ากับสิ่งที่นักพรตหมั่นดาบทําได้ในเวลาหนึ่งหรือสองเดือน

อิงจากความแข็งแกร่งของร่างศักดิ์สิทธิ์อีกาทองคํา หลังจากสื่อสารกับทะเลปราณ พลังงานที่จําเป็นต้องใช้เองก็ย่อมต้องมากกว่าที่นักพรตหมื่นดาบต้องใช้ ไม่เช่นนั้นหากจํานวนพลังงานที่ต้องใช้นั้นเท่ากัน ซูฉินอาจจะใช้เวลาเพียงไม่กี่วันหรือไม่ก็หลายสิบวันในการก้าวจากตํานานยุทธขั้นสูงสุดไปเป็นเซียนเทพปฐพี

“แต่ถึงแม้เวลาในการพัฒนาจะสั้น แต่เมื่อเทียบกับผลลัพธ์แล้วนั้น แทบจะทิ้งห่างกันไม่เห็น

ฝุ่น”

ซูฉินแลดูเคร่งขรึม

ในช่วงการทะลวงขั้น จิตวิญญาณแรกกําเนิดของซูฉินจะต้องรวมเข้ากับทะเลปราณและไม่สามารถยุ่งเกี่ยวกับโลกภายนอกได้ ในขณะที่ร่างกายต้องทนต่อการขัดเกลาของทะเลปราณอยู่ตลอดเวลา ก็ทําให้ไม่สามารถเคลื่อนย้ายไปไหนได้เช่นกัน

และในช่วงเวลานั้น หากเลือกยอมแพ้ จิตวิญญาณแรกกําเนิดจะกลับคืนสู่ร่างกาย ไม่เพียงแต่ล้มเหลวในการทะลวงขั้นเท่านั้น แต่ยังต้องปะทะเข้ากับฟันเฟืองภายในทะเลปราณทั้งหลายอีกด้วย

ความสูญเสียนี้ แม้แต่ซูฉินก็ยังต้องขนลุกซู่ แม้ว่าจะมี ‘ลูกท้อป้าน” ผลไม้เซียนที่สามารถรักษาอาการบาดเจ็บทั้งหมดได้ แต่ซูฉินก็ไม่สามารถรับประกันได้ว่าเขาจะมีเวลากลืนลูกท้อป้านเมื่ออยู่ต่อหน้าฟันเฟืองภายในทะเลปราณหรือไม่

ดังนั้น สําหรับซูฉิน เมื่อเขาเลือกที่จะทะลวงขั้น หมายความว่าเขาจะไม่สามารถเคลื่อนไหวไปไหนได้อย่างน้อยสองสามเดือน หรืออาจจะเป็นปี
“มาดูกันว่าจิตวิญญาณแรกกําเนิดของข้าจะหลอมรวมเข้ากับทะเลปราณได้ลึกแค่ไหน” ซูฉินหลับตาลงช้าๆ

หวิ่ง!

จิตวิญญาณแรกกําเนิดของซูฉินพุ่งออกจากช่องว่างระหว่างคิ้ว เดินออกมาที่โถงพระราชวังสีดํา จากนั้นจึงก้าวเข้าไปผสานกับความว่างเปล่า
ในส่วนลึกของความว่างเปล่านั้นเวิ้งว้างไร้ขอบเขต

จิตวิญญาณแรกกําเนิดของซูฉินเดินเข้าไปในความว่างเปล่าอย่างไม่เร่งร้อน

ด้วยการนําทางของร่างศักดิ์สิทธิ์อีกาทองคํา พลังจิตวิญญาณแรกกําเนิดของซูฉินก็ได้เข้าไปในส่วนลึกของความว่างเปล่า จับตําแหน่งของทะเลปราณได้มั่น พุ่งตรงไปยังทิศทางที่แน่นอนโดยไม่มีความลังเลใดๆ
ไม่มีตัวกําหนดทิศทางในส่วนลึกของความว่างเปล่า มีความปั่นป่วนที่น่ากลัวของกระแสมิติอยู่ทั่วทุกหนแห่ง แต่จิตวิญญาณแรกกําเนิดของซูฉินนั้นแข็งแกร่งเพียงใด? เว้นแต่จะเจอเข้ากับพายุภายในความว่างเปล่าซึ่งหาได้ยากยิ่ง ความปั่นป่วนธรรมดาๆ นี้ไม่สามารถทําอะไรซูฉินได้เลย

เวลาผ่านไปครู่หนึ่ง

แต่ดูยาวนานราวกับหลายร้อยปีได้ผ่านพ้น

ในช่วงระยะเวลาหนึ่ง จิตวิญญาณแรกกําเนิดของซูฉินก็ถูกบีบให้เข้าสู่โลกที่มีสีสัน

โลกนี้เต็มไปด้วยพลังงานฟ้าดินอันไร้ที่สิ้นสุด มีทั้งพลังงานจากธาตุทองคํา ไม้ น้ํา ไฟ ดิน หยิน หยาง และสายฟ้า…..

“นี่คือทะเลปราณงั้นรึ?”

ซูฉินตกใจเล็กน้อย แม้ว่าเขาจะคาดการณ์สิ่งที่จะได้เห็นไว้อยู่นานแล้ว แต่ก็ยังอดตกใจไม่ได้

ทะเลปราณนั้นช่างกว้างใหญ่ พลังฟ้าดินก็มีอยู่อย่างไร้ที่สิ้นสุด กระจายไปทั่วทุกที่ และซูฉินยังรู้สึกว่ามีคุณลักษณะบางอย่างของพลังงานฟ้าดินที่กลายเป็นสิ่งมีชีวิตที่ล่องลอยอยู่ห่างไกลออกไปภายในทะเลปราณ

“สิ่งมีชีวิตปราณฉี!”

รูม่านตาของซูฉินหดตัวเล็กลงเล็กน้อย
สิ่งมีชีวิตปราณฉีเป็นการรวมตัวกันของพลังฟ้าดินที่ไร้ที่สิ้นสุด หลังจากผ่านเวลายาวนานไม่รู้จบ จะมีความเป็นไปได้เล็กน้อยที่จะให้กําเนิดสิ่งมีชีวิตปราณฉีขึ้นมา

สิ่งมีชีวิตปราณฉีเกิดมาในธรรมชาติที่เปี่ยมไปด้วยพลังงานฟ้าดิน แม้ว่ามันจะด้อยกว่าสัตว์ศักดิ์สิทธิ์อย่างอีกาทองคําสามขา แค่ก็แข็งแกร่งกว่าสิ่งมีชีวิตอื่นๆมาก อย่างน้อยๆ ตอนนี้แม้จะเป็นร่างศักดิ์สิทธิ์อีกาทองคําของซูฉินที่เต็มไปด้วยพลังงานธาตุไฟก็ไม่ได้ดีเท่ากับสิ่งมีชีวิตปราณฉี

ท้ายที่สุด ร่างศักดิ์สิทธิ์อีกาทองคําก็เป็นเพียงร่างกายที่สร้างขึ้นจากความสําเร็จระดับเล็กของภาพดวงตะวันขนาดมหึมาเท่านั้น ย่อมไม่อาจนํามาเทียบกับสิ่งมีชีวิตปราณฉีที่เติบโตมาในสภาพแวดล้อมที่มีพลังฟ้าดินอันไร้ที่สิ้นสุด

แน่นอนว่าหากซูฉินสําเร็จภาพดวงตะวันฯ ชั้นยอด มันจะกลายเป็นอีกเรื่องหนึ่งทันที

หลังจากฝึกฝนภาพดวงตะวันขนาดมหึมาจนสําเร็จเสร็จสิ้น จะสามารถแปลงเป็นอีกาทองคําสามขาได้ แม้ความแข็งแกร่งของซูฉินจะอยู่ในระดับของอีกาทองคําสามขาวัยเยาว์เท่านั้น แต่เมื่อเทียบกับสิ่งมีชีวิตปราณฉี ก็ไม่รู้ว่ามันเหนือกว่าเท่าไหร่

“นี่เป็นเพียงชั้นพื้นผิวของทะเลปราณเท่านั้น หากเป็นตํานานยุทธขั้นสูงสุดคนอื่นๆ ที่ค้นพบทะเลปราณ พวกเขาคงเลือกหยุดอยู่ตรงนี้”

ดวงตาของซูฉินกวาดไปทั่วทะเลปราณอันกว้างใหญ่

“แต่ข้าแตกต่างออกไป”

ซูฉินหัวเราะ ก้าวเท้าไปข้างหน้า และเริ่มต้นเข้าสู่ส่วนลึกของทะเลปราณ

ขณะที่ซูฉินกําลังเริ่มสํารวจทะเลปราณด้วยจิตวิญญาณแรกกําเนิด
เรื่องราวการต่อสู้ระหว่างซูฉินและครึ่งก้าวเข้าสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพี่ทั้งเจ็ดก็แพร่กระจายออกไปอย่างรวดเร็ว

ในยุทธภพต่างแดน นิกายใหญ่นั้นครองพิภพมาเนิ่นนานมั่นคง ก้มมองสิ่งมีชีวิตอื่นๆ จากบนฟ้า แต่ทั่วทั้งดินแดนโพ้นทะเลไม่ได้มีเพียงนิกายใหญ่เท่านั้น มีจอมยุทธจํานวนนับไม่ถ้วนและนิกายอื่นๆ อีกมากมายอยู่ด้วย
ในตอนนี้พวกเขาทั้งหมดต่างตกตะลึงและไม่อยากจะเชื่อเมื่อได้ยินว่าครึ่งก้าวเข้าสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพี่ทั้งเจ็ดของนิกายใหญ่ร่วมมือกัน แต่ก็ยังตกตายภายใต้ฝีมือของซูฉิน

“ตํานานยุทธแห่งอาณาจักรถังแข็งแกร่งขนาดนี้เลยหรือ?”

“เป็นไปได้อย่างไร?! หรือตํานานยุทธอาณาจักรถึงจะก้าวเข้าสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพีแล้วจริงๆ ?”

“มิผิด ครึ่งก้าวเข้าสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพี่ถึงเจ็ดคนร่วมมือกัน ยกเว้นก็แต่เซียนเทพปฐพี ใครเล่าจะต้านทานไหว?”

ผู้ฝึกยุทธจํานวนมากต่างไม่เชื่อข่าวนี้เพราะมันไร้สาระอย่างแท้จริง ไม่ว่าจะในยุคสมัยใด การตกตายของครึ่งก้าวเข้าสู่ขอบเขตเชียนเทพปฐพี ล้วนเป็นเรื่องใหญ่ ยิ่งไปกว่านั้น ในตอนนี้กลับตกตายไปเจ็ดคนติดต่อกัน? ทั้งยังตายด้วยฝีมือของคนคนเดียวกันอีก

อย่างไรก็ตาม เมื่อเวลาผ่านไป ข่าวลือเรื่องนี้ก็ยังเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะในยามที่ข่าวลือน่าเหลือเชื่อนี้แพร่กระจายไปทั่ว แต่นิกายใหญ่ทั้งหลายกลับเงียบนิ่ง การกระทําเช่นนี้เท่ากับเป็นคํายืนยัน

ไม่เช่นนั้น ด้วยความเย่อหยิ่งของนิกายใหญ่จะอยู่เฉยได้อย่างไรเมื่อมีข่าวลือเรื่องการตายของบรรพชนครึ่งก้าวเข้าสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพี? ไม่มีแม้แต่จะออกมาพูดอะไร?

ในทันที

จอมยุทธไร้สังกัดในโลกยุทธภพต่างแดนต่างก็ตื่นเต้น

นิกายใหญ่ทั้งหลายในต่างแดนล้วนอยู่บนจุดสูงสุด ผูกขาดทรัพยากรบ่มเพาะส่วนใหญ่ ไม่รู้ว่าจอมยุทธไร้สังกัดได้รับความเดือดร้อนจากนิกายใหญ่มาแล้วกี่คนต่อกี่คน ยามที่พวกเขาได้เห็นนิกายใหญ่เหล่านี้ตกจากจุดสูงสุดลงสู่โลกมนุษย์ จะมีความเห็นอกเห็นใจเกิดขึ้นได้อย่างไร?

“ตํานานยุทธอาณาจักรถังน่ากลัวเกินไปแล้ว เกรงว่าคงจะมีแต่เหลยเฉียนคือเมื่อสามร้อยปีก่อนเท่านั้นที่พอจะเทียบเคียงได้……”

ตํานานยุทธระดับนภาชั้นที่ห้าถอนหายใจออกมา

ทันทีที่คํากล่าวนั้นถูกพูดออกมา ใบหน้าของทุกคนก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย
เหลยเฉียนจือเป็นศิษย์ที่น่าสะพรึงกลัวที่สุดของนิกายเทพเจ้าสายฟ้าในช่วงหลายพันปีมานี้ เป็นที่รู้กันว่าเขาน่าจะเป็นตัวตนที่มีโอกาสเข้าสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพี

ว่ากันว่าถึงกับเกิดทะเลสายฟ้าในยามที่เหลยเฉียนจือเกิดขึ้นมา ถ้าไม่ใช่เพราะมีอาวุโสนิกายเทพเจ้าสายฟ้าได้ผ่านไปบริเวณนั้นทันเวลา เกรงว่าเหลยเฉียนลือคงกลายเป็นฝุ่นธุลีภายในทะเลสายฟ้าไปแล้ว

อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่าด้วยเหตุนี้เอง

เหลยเฉียนลือจึงมีการรับรู้ในวิถีสายฟ้าดีกว่าคนทั่วไป

หลังจากกราบเข้านิกายเทพเจ้าสายฟ้า อาศัยทรัพยากรบ่มเพาะที่จัดหามาให้โดยนิกายเทพเจ้าสายฟ้าโดยไม่คํานึงถึงค่าใช้จ่าย เขาก็ได้เข้าสู่ขอบเขตตํานานยุทธขั้นสูงสุดภายในเวลาที่น้อยกว่าสามร้อยปี และยังควบแน่นอาณาเขตรวมถึงแปลงจิตวิญญาณได้สําเร็จ มีแม้กระทั่งเรื่องราวที่เขาเคยจัดการกับครึ่งก้าวเข้าสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพี

อย่างไรก็ตาม

น่าเสียดายยิ่ง

เหลยเฉียนจือซึ่งแต่เดิมได้รับยกย่องว่าเป็นความหวังที่ยิ่งใหญ่ของนิกายเทพเจ้าสายฟ้า กลับหายตัวไปอย่างลึกลับเมื่อสามร้อยปีก่อน และไม่เคยปรากฏตัวขึ้นอีกเลย

“เหลยเฉียนจือ?”

“เหลยเฉียนจือจะเทียบเคียงตํานานยุทธอาณาจักรถังได้อย่างไร?”

มีตํานานยุทธโต้กลับทันที “ความแข็งแกร่งของเหลยเฉียนลือคือสามารถจัดการกับครึ่งก้าว เข้าสู่ขอบเขตเชียนเทพปฐพี่เท่านั้น แต่เมื่อไม่นานมานี้ตํานานยุทธอาณาจักรถังถึงกับสังหารครึ่งก้าวเข้าสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพี่ไปเจ็ดคนติดต่อกัน จะนําทั้งคู่มาเปรียบเทียบกันได้อย่างไร?”
“แต่ถ้าเหลยเฉียนจือยังมีชีวิตอยู่จนถึงตอนนี้ เขาคงจะเข้าสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพีไปแล้ว และมีคุณสมบัติเทียบเท่าตํานานยุทธอาณาจักรถัง…”
“ขอบเขตเซียนเทพปฐพี่สามารถตัดผ่านไปได้โดยง่ายหรือไร?”

ขณะที่จอมยุทธต่างแดนจํานวนมากกําลังโต้เถียงกัน

ภายในโถงพระราชวังสูงตระหง่านสีดําใต้เมืองฉางอัน ซูฉินก็กําลังนั่งขัดสมาธิ จิตวิญญาณแรกกําเนิดจมดิ่งสู่ทะเลปราณอันกว้างใหญ่

“ถึงขีดจํากัดแล้วหรือ?”

จิตวิญญาณแรกกําเนิดของซูฉินหยุดลงกะทันหัน มองดูรอบๆ ตัว

Sign in Buddha’s palm 308 (I) ทุกคนเดินทางมาถึง

ทะเลปราณ

ภายในนั้นกว้างใหญ่ไพศาลไร้ที่สิ้นสุด

ที่แห่งนี้ นอกจากสิ่งมีชีวิตปราณฉี แทบไม่มีร่องรอยของสิ่งมีชีวิตอื่นดํารงอยู่เลย มีเพียงแค่สิ่งมีชีวิตปราณฉีเท่านั้นที่อยู่ในสภาพแวดล้อมที่รุนแรงเช่นนี้ได้

แต่ในขณะนี้ จิตวิญญาณแรกกําเนิดของซูฉินหยุดนิ่งอยู่ในห้วงทะเลปราณ

“ที่นี่ เกรงว่ามันคงจะอยู่ใกล้กับก้นทะเลปราณแล้วใช่หรือไม่?” ซูฉินมองไปรอบๆ

ถ้ากล่าวถึงชั้นพื้นผิวของทะเลปราณเป็นโลกที่มีสีสันของพลังปราณฉีผสานผสานกัน

ดังนั้น หลังจากที่ดําดิ่งลงมาในทะเลปราณจะพบว่าพลังปราณฉีทั้งหมด ทั้งธาตุทอง ไม้ น้ํา ไฟ ดิน หยินหยาง สายฟ้า และอื่นๆ เริ่มเรียงตัวอย่างเป็นระเบียบกันชัดเจน

แต่ในตอนนี้ พลังงานปราณฉีจํานวนมากที่ด้านหน้าของซูฉินรวมตัวกันอย่างช้าๆ กลายเป็นควันสีเทาล่องลอยไปมา

“ไปต่อไม่ได้แล้ว”

ซูฉินต้องระมัดระวังอย่างมาก แม้ว่าควันสีเทาจะมีความเข้มข้นของพลังงานสูง ไกลเกินกว่าพลังงานปราณฉีใดๆที่เคยพบ แต่มันก็ทําให้ฉันรู้สึกได้ถึงความอันตรายอย่างยิ่ง

ตํานานยุทธขั้นสูงสุดที่พยายามทลวงขอบเขตเซียนเทพปฐพี หลักการสําคัญคือใช้จิตวิญญาณแรกกําเนิดผสานเข้ะากับทะเลปราณ จากนั้นจึงยืมพลังของทะเลปราณมาหล่อเลี้ยงจิตวิญญาณแรกกําเนิดรวมถึงเติมเต็มร่างกาย

พลังของทะเลปราณนั้นแตกต่างไปอย่างสิ้นเชิงเมื่อลงลึกไปเรื่อยๆ โดยปกติยิ่งอยู่ใกล้กับส่วนลึกของทะเลปราณมากเท่าไร พลังของมันก็จะยิ่งบริสุทธิ์มากยิ่งขึ้นเท่านั้น หากตํานานยุทธขั้นสูงสุดใช้สิ่งนี้ในการบํารุงหล่อเลี้ยงร่างกาย ผลประโยชน์ที่ได้รับก็จะมากขึ้น

แต่ข้อกําหนดเบื้องต้นในการรับผลประโยชน์ ก็คือเจ้าจะต้องทนรับกับผลประโยชน์นั้นได้ด้วย

ตัวอย่างเช่น ตําแหน่งที่ซูฉินอยู่ในตอนนี้ พลังฟ้าดินเริ่มหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียว ก่อตัวเป็นพลังงานชนิดใหม่ หากจิตวิญญาณแรกกําเนิดของตํานานยุทธขั้นสูงสุดคนอื่นๆ ลงมาลึกถึงที่นี่เพื่อเติมพลังกลับไปยังกายเนื้อ เกรงว่าร่างกายคงจะต้องระเบิดออกในทันที

สิ่งที่มากเกินพอดีมักจะให้โทษ

หากตํานานยุทธขั้นสูงสุดไม่มีกายเนื้อ ไม่ว่าจิตวิญญาณแรกกําเนิดจะแข็งแกร่งเพียงใด ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะเข้าสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพี และหากปราศจากกายเนื้อที่คอยเป็นตัวนําทาง จิตวิญญาณแรกกําเนิดก็ไม่สามารถกลับคืนสู่โลกได้เลย จะต้องติดอยู่ในทะเลปราณจนกว่าจิตวิญญาณแรกกําเนิดจะล่มสลายไป

นี่เป็นเหตุผลว่าทําไมตํานานยุทธขั้นสูงสุดคนอื่นๆ จึงเลือกผสานจิตวิญญาณแรกกําเนิดที่บริเวณพื้นผิวของทะเลปราณเท่านั้น

เป็นเพราะพวกเขาไม่สามารถทนต่อพลังของ ทะเลปราณในส่วนลึกได้

แน่นอน

ซูฉินนั้นต่างออกไป

ร่างกายของซูฉันคือร่างศักดิ์สิทธิ์อีกาทองคํา ซึ่งเหนือกว่ากายแห่งธรรมชาติทั่วๆ ไป ทั้งยังเชี่ยวชาญในการควบคุมธาตุไฟ เทียบเท่ากับเป็นกึ่งสิ่งมีชีวิตปราณฉี ด้วยร่างศักดิ์สิทธิ์อีกาทองคําเป็นรากฐาน ไม่มีปัญหาใดในการรับพลังงานจากส่วนลึกของทะเลปราณ

ยิ่งกว่านั้น ร่างศักดิ์สิทธิ์อีกาทองคํานั้นแข็งแกร่งยิ่ง มันได้ก้าวข้ามกายแห่งธรรมชาติธรรมดา ก่อนที่จะได้รับการขัดเกลาจากทะเลปราณด้วยซ้ํา ฉะนั้นพลังจากบริเวณพื้นผิวของทะเลปราณ ไม่สามารถปรับปรุงร่างศักดิ์สิทธิ์อีกาทองคําให้ดีขึ้นได้

เพียงแต่ว่า ไม่ว่าร่างศักดิ์สิทธิ์อีกาทองคําจะแข็งแกร่งเพียงใด ก็สามารถกักเก็บพลังงานธาตุไฟได้เท่านั้น แต่ในยามนี้ หากซูฉินลงลึกไปอีก
พลังงานฟ้าดินจะเริ่มหลอมรวมเข้าด้วยกัน ไม่ใช่เพียงการผสมผสานอย่างผิวเผิน แต่ก็เป็นผสมผสานอย่างละเอียด

ตําแหน่งปัจจุบันที่ซูฉินอยู่คือจุดเปลี่ยน ก่อนที่พลังงานจะผสมผสานกันเป็นอีกระดับหนึ่ง พลังงานในทะเลปราณเริ่มประสานเข้าด้วยกันอย่างสมบูรณ์

“หากข้าฝึกฝนภาพดวงตะวันขนาดมหึมาจนถึงความสําเร็จชั้นยอด ข้าจะสามารถก้าวไปอีกขั้นหนึ่งได้ ด้วยร่างกายของสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ที่แข็งแกร่งที่สุดชนิดหนึ่ง ย่อมสามารถบังคับพลังงานที่ผสมผสานให้แยกออกจากกันได้ ทว่าในยามนี้ก็ลืมมันไปก่อนเถอะ…”

ซูฉินส่ายศีรษะเล็กน้อย

แต่ก็เท่านั้น แม้ว่าเขาจะไม่สามารถไปต่อได้ แต่ซูฉินก็พอใจแล้ว ในตอนนี้ตําแหน่งของเขาอยู่ลึกลงมาในทะเลปราณแล้ว เพียงอีกไม่ไกลก็จะถึงกันทะเล

ถ้าซูฉินเลือกผสานพลังที่นี่ เมื่อก้าวเข้าสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพี ผลประโยชน์ที่ได้รับย่อมเหนือกว่าเซียนเทพปฐพีในทุกยุคทุกสมัยอย่างแน่นอน

“เอาเป็นที่นี่แหละ”

“อย่างไรก็ตาม ยังมีบางสิ่งที่ต้องทําก่อนจะทะลวงขั้น”

ทันทีที่คิดได้ จิตวิญญาณแรกกําเนิดของซูฉินก็เริ่มแยกตัวออกมาจากทะเลปราณ ข้ามผ่านความว่างเปล่า กลับคืนสู่กายเนื้อ

เมื่อครู่ ซูฉินใช้เพียงจิตวิญญาณแรกกําเนิดเท่านั้นในการลงไปยังทะเลปราณ และเลือกที่จะไม่ผสานเข้าไปในทะเลปราณเพื่อทะลวงขอบเขต จึงสามารถหลบหนีกลับมาได้ทุกเมื่อ

“เมื่อข้าเริ่มทะลวงขั้น ข้าจะไม่สามารถลงมือได้อย่างน้อยก็สองสามเดือน ถ้าในช่วงเวลานั้นมีอะไรเกิดขึ้น…”

ซูฉินหรี่ตาลงเล็กน้อย

แม้ว่าโกงพระราชวังสีดําที่เขาอยู่ในขณะนี้จะอยู่ใต้ดิน และมีสมบัติวิเศษอย่างตะเกียงพุทธหมื่นวิญญาณและธงวุ่ญ กล่าวตามเหตุผลแล้วก็คงจะไม่มีใครพบเจอมัน

เพียงแต่กันไว้ดีกว่าแก้ อย่าได้ประมาท

จะเกิดอะไรขึ้นหากมีคนบุกรุกเข้ามาในระหว่างที่ซูฉินปิดด่านฝึกตนอยู่?

ส่วนค่ายกลป้องกัน…

ไม่ว่าค่ายกลจะใหญ่แค่ไหน ถ้าแก่นกลางแตกพ่าย พลังจะลดลงอย่างมิอาจเลี่ยง มันไม่มีปัญหาที่จะจัดการกับตํานานยุทธขั้นสูงสุดที่อ่อนแอกว่าซูฉิน แต่ถ้าพบเจอกับคนที่แข็งแกร่งในระดับเดียวกัน อาจจะถูกทําลายลงได้

บนเกาะหยิงโจว ในฐานะจุดสูงสุดของขอบเขตเซียนเทพปฐพีอย่างจ้าวทะเลบูรพา ได้ทิ้งค่ายกลฟ้าดินไว้หลายต่อหลายชั้น กลับถูกซูฉันทําลายได้อย่างง่ายดาย แน่นอนว่ามันผ่านเวลามายาวนานเกินไป และค่ายกลฟ้าดินก็เริ่มจะเสื่อมสภาพลงแล้ว แต่แก่นของมันก็ยังคงอยู่

ดังนั้นหากซูฉันต้องการจะทะลวงขั้นต่อไปโดยไม่กังวลเรื่องใด เขาจะต้องหาคนที่ไว้ใจได้มาคอยคุ้มกัน

เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ ซูฉินก็เคลื่อนสายตาไปมองบ่อน้ําสีดำซึ่งตั้งอยู่ไม่ไกล
บ่อน้ําแห่งนี้เป็นทางเชื่อมระหว่างโลกมนุษย์กับโลกปีศาจใต้พิภพ เมื่อนับพันนับหมื่นปีก่อน ปีศาจจํานวนมากได้รุกรานโลกมนุษย์ด้วยเส้นทางนี้

เพียงแต่ว่า เมื่อปีศาจจากโลกถ้ําปีศาจพบว่ากระแสปราณฉีของโลกนั้นเสื่อมโทรมลง ความสนใจก็เริ่มจางหายไป พวกมันจึงถอนตัวกลับ

สําหรับโลกถ้ําปีศาจ เฉพาะยามที่โลกมนุษย์ อยู่ในช่วงเฟื่องฟูกระแสปราณฉีเท่านั้นจึงจะมีค่าควรแก่การบุกรุก ไม่เช่นนั้นในยามที่สภาพแวดล้อมบนโลกอ่อนด้อยยิ่งกว่าโลกถ้ําปีศาจเช่นนี้ กระแสปราณฉีก็ยังเป็นพิษกับปีศาจส่วนใหญ่ด้วยจะบุกรุกไปให้ได้อะไรขึ้นมา?
หลังจากนั้นไม่นาน

เบื้องหน้าลานสายตาของซูฉิน

ร่างในชุดดําเดินออกมาจากทางเข้าสู่โลกมนุษย์

ร่างนี้ดูเย็นชาอย่างยิ่ง แต่ก็มีลักษณะคล้ายกับซูฉิน ยกเว้นสภาวะอารมณ์ที่แตกต่างกันเล็กน้อย นอกนั้นก็แทบจะเหมือนซูฉินทุกประการ

นี่คือร่างจําแลงที่ซูฉินส่งไปลงชื่อเข้าใช้ภายในโลกปีศาจใต้พิภพ
สิ่งนี้เกิดจากทิพยอํานาจกายเนื้อกําเนิดใหม่ของซูฉิน ทั้งยังใช้จิตวิญญาณไปกว่าครึ่งหนึ่งกว่าจะสร้างขึ้นมาได้อย่างยากลําบาก

ร่างจําแลงแบ่งปันจิตสํานึกร่วมกันกับซูฉิน กล่าวให้ชัดๆ ร่างจําแลงนี้ก็คือซูฉิน เพียงแต่ใช้ร่างกายที่ต่างกัน

และในตอนนี้ ซูฉินกําลังวางแผนที่จะปล่อยร่างจําแลงไว้ป้องกันไม่ให้เขาถูกรบกวนขณะที่บุกทะลวงสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพี อีกประการคือคอยดูแลเมืองฉางอันให้อยู่รอดจากตัวตนทรงอํานาจทั้งหลาย

Sign in Buddha’s palm 308 (II) ทุกคนเดินทางมาถึง

ร่างในชุดดําเดินออกมาจากทางเข้าสู่โลกมนุษย์

ร่างนี้ดูเย็นชาอย่างยิ่ง แต่ก็มีลักษณะคล้ายกับซูฉิน ยกเว้นสภาวะอารมณ์ที่แตกต่างกันเล็กน้อย นอกนั้นก็แทบจะเหมือนซูฉินทุกประการ

นี่คือร่างจําแลงที่ซูฉินส่งไปลงชื่อเข้าใช้ภายในโลกปีศาจใต้พิภพ

สิ่งนี้เกิดจากทิพยอํานาจกายเนื้อกําเนิดใหม่ของซูฉิน ทั้งยังใช้จิตวิญญาณไปกว่าครึ่งหนึ่ง กว่าจะสร้างขึ้นมาได้อย่างยากลําบาก

ร่างจําแลงแบ่งปัน’จิตสํานึกร่วมกันกับซูฉิน กล่าวให้ชัดๆ ร่างจําแลงนี้ก็คือซูฉิน เพียงแต่ใช้ร่างกายที่ต่างกัน

และในตอนนี้ ซูฉันกําลังวางแผนที่จะปล่อยร่าง จําแลงไว้ป้องกันไม่ให้เขาถูกรบกวนขณะที่บุกทะลวงสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพี อีกประการคือคอยดูแลเมืองฉางอันให้อยู่รอดจากตัวตนทรงอํานาจทั้งหลาย

“ความแข็งแกร่งนั้นด้อยกว่า”

ซูฉินขมวดคิ้วเล็กน้อยและมองดูร่างจําแลงอย่างใกล้ชิด

หลายสิบปีภายในโลกถ้ําปีศาจ นอกเหนือจากการลงชื่อเข้าใช้ในทุกๆ วัน ร่างจําแลงนี้ยังปรับปรุงความแข็งแกร่งของตนเองตลอดและได้แปลงจิตวิญญาณแรกกําเนิดเรียบร้อยแล้ว ไม่ได้อ่อนแอไปกว่าครึ่งก้าวเข้าสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพี

ความแข็งแกร่งเช่นนี้ เมื่ออยู่บนโลกก็ย่อมเป็นขุมพลังชั้นยอด หากไม่มีเซียนเทพปฐพี่ปรากฏย่อมอยู่ยงคงกระพัน แม้แต่ในโลกถ้ําปีศาจที่มีตัวตนทรงพลังนับไม่ถ้วนก็ยังเหนือกว่าเผ่าปีศาจทั้งหลาย เทียบเคียงได้กับจ้าวดินแดนโม่ฮวา สามารถมองข้ามตัวตนทั้งหลายภายในดินแดน ทั้งยังมีโอกาสเข้าพบเทพเจ้าปีศาจด้วย

แต่เมื่อซูฉินพูดออกมา มันกลับเป็นคําว่า”ด้อย

กว่า…”

ถ้าความคิดของซูฉินถูกนําไปเล่าต่อ เกรงว่ากลุ่มผู้อาวุโสคงต้องอาเจียนเป็นเลือดแน่ ถ้าครึ่งก้าวเข้าสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพียังถูกมองว่าอ่อนแอ แล้วพวกมันจะนับเป็นตัวอะไร? ไม่ใช่ว่าเป็นกลุ่มคนที่ไม่มีคุณสมบัติแม้แต่จะเป็นผู้อ่อนแอหรอกหรือ?

อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าโลกภายนอกจะคิดเห็นอย่างไร ในสายตาของซูฉิน ครึ่งก้าวเข้าสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพี่ก็อ่อนแอมากจริงๆ

หลังจากควบแน่นร่างศักดิ์สิทธิ์อีกาทองคําขึ้นมาได้แล้ว ถึงซูฉินจะไม่ใช่เซียนเทพปฐพี แต่พลังต่อสู้และกลยุทธ์ต่างๆไม่ได้อ่อนแอไปกว่าเซียนเทพปฐพี่ที่แท้จริงเลย มีคุณสมบัติครบถ้วนที่จะประเมินว่าครึ่งก้าวเข้าสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพีนั้นอ่อนแอ

“สาเหตุหลักนั้นมาจากวิชาภาพดวงตะวันขนาดมหึมา….”

ซูฉินถอนหายใจเบาๆ คิดอยู่ภายในใจเงียบๆ

ภาพดวงตะวันขนาดมหึมาไม่ใช่ทิพยอํานาจ แต่เป็นเคล็ดบ่มเพาะชั้นสูง ในการฝึกฝนภาพดวงตะวันฯ จําเป็นจะต้องมีทรัพยากรธาตุไฟมากมายเป็นภูเขาเลากา

ดังนั้นแม้ร่างจําแลงจะเชี่ยวชาญในภาพดวงตะวันขนาดมหึมา แต่ก็ไม่มีทรัพยากรเพียงพอ ทําให้การบ่มเพาะภาพดวงตะวันยังไม่ถึงจุดเริ่มต้นเสียด้วยซ้ํา

“อย่างไรก็ตาม มันสามารถเพิ่มขอบเขตของภาพดวงตะวันฯ ชั่วคราวได้ด้วยพลังจากแก่นเลือด”

เพียงแค่คิด ร่างศักดิ์สิทธิ์อีกาทองคําก็เผยออกมาทันที รัศมีที่น่าสะพรึงกลัวแทรกซึมไปทั่วโถง พระราชวังสูงตระหง่านสีดํา ราวกับมีอีกาทองคํา สามขาตัวจริงขู่คํารามอยู่

ในตอนนั้นเอง

ซูฉินก็ยกมือขวาขึ้น เลือดสีแดงเข้มสองสามหยดถูกกลั่นออกมา ลอยอยู่เบื้องหน้าของซูฉิน

เลือดไม่กี่หยดตรงหน้านี้เป็นเลือดศักดิ์สิทธิ์อีกาทองคําที่ซูฉินนําออกมาจากสภาวะร่างศักดิ์สิทธิ์อีกาทองคํา ด้วยแก่นเลือดเหล่านี้ จะสามารถยกระดับร่างกายของร่างจําแลงให้เข้าใกล้กับร่างศักดิ์สิทธิ์อีกาทองคําได้ในช่วงเวลาสั้นๆ

แน่นอน เหตุผลที่ร่างจําแลงสามารถทําเช่นนี้ได้ ก็เพราะแต่เดิมร่างจําแลงนั้นก็มาจากเลือดเนื้อของซูฉิน นอกจากนี้ยังมีการแบ่งปันจิตสํานึกและความคุ้นเคยเกี่ยวกับร่างศักดิ์สิทธิ์อีกาทองคํา ทําให้พอจะบรรลุผลลัพธ์นี้ได้

ไม่เช่นนั้น หากเปลี่ยนเป็นตัวตนทรงพลังอื่น เลือดศักดิ์สิทธิ์อีกาทองคําจะต้องระเบิดออกอย่างแน่นอน และจิตวิญญาณแรกกําเนิดจะต้องถูกทําลายด้วยไอพลังที่น่าสะพรึงกลัวภายในหยดเลือด

ขณะที่ซูฉันกําลังจะปิดด่านฝึกตนเตรียมทะลวงขอบเขตเซียนเทพปฐพี

เมืองฉางอันก็เต็มไปด้วยความคึกคัก มีตํานานยุทธจากต่างแดนพากันหลั่งไหลเข้ามา มากันด้วยท่าทางเคารพหวั่นเกรงอย่างที่สุด สอดส่ายสายตามองไปทั่วเมืองฉางอัน

เนื่องจากซูฉินสังหารครึ่งก้าวเข้าสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพี่ถึงเจ็ดคน ทําให้โลกยุทธภพต่างแดนตกตะลึงสุดขีด และตํานานยุทธจากต่างแดนจํานวนมากก็เดินทางเข้ามาในเมืองฉางอันอย่างอ่อนน้อม ราวกับพวกเขาเป็นผู้จาริกแสวง

บุญวังหลวง

ขุนนางทั้งหลายต่างกําลังปวดเศียรเวียนเกล้า

จู่ๆ เมืองฉางอันก็มีตํานานยุทธจํานวนมากเข้ามาปะปนในช่วงเวลาสั้นๆ และถึงขนาดที่มีตํานานยุทธระดับนภาชั้นที่สี่กับชั้นที่ห้าเข้ามาแล้วด้วย จะไม่ให้ขุนนางเหล่านี้ปวดหัวได้อย่างไร?

รู้หรือไม่ หากพูดกันเมื่อยี่สิบสามสิบปีก่อน นับประสาอะไรกับตํานานยุทธ แม้จะเป็นยอดปรมาจารย์ขั้นสูงสุดก็ไม่ได้มีมากนัก แต่ตอนนี้ภายในเมืองฉางอันกลับปรากฏตํานานยุทธขึ้นมากมาย หากมีข้อพิพาทเกิดขึ้น ผลที่ตามมาก็ไม่อาจจะ คาดเดา

รู้หรือไม่ว่าทุกครั้งที่ตํานานยุทธมีปฏิสัมพันธ์หรีอมีการเคลื่อนไหว สิ่งที่น่ากลัวจะตามมาเป็นเงาตามตัว แค่ตํานานยุทธกลุ่มหนึ่งก็เพียงพอแล้วที่จะทําลายพื้นที่เมืองฉางอันส่วนใหญ่ในเวลาอันสั้น

“ทุกคนอย่าได้ตื่นตระหนกไป มีพี่สามอยู่ที่นี่ ตํานานยุทธทั้งหลายจะไม่กล้าสร้างปัญหา” จักรพรรดิถังดูไม่กังวลเลย

“หวังว่าจะเป็นเช่นนั้น”

ยังมีขุนนางบางคนที่ทําใจผ่อนคลายไม่ได้

ฉับพลัน

ในตอนนั้นเอง

แม่ทัพแห่งวังหลวงก็รีบเข้ามาภายในโถงไท่จี้

“ฝ่าบาท”

แม่ทัพแห่งวังหลวงรีบรายงาน “เจ้าตําหนักเทพเจ้าหิมะ ผู้นํานิกายเทพเจ้าสายฟ้า เจ้าสํานักเทพโอสถ ผู้นํานิกายเฮยหยวน เจ้าสํานักผู้วิเศษ…ได้รออยู่ภายนอกแล้ว…”

ทันทีที่แม่ทัพแห่งวังหลวงรายงาน ขุนนางทั้งหลายในท้องพระโรงก็เปลี่ยนสีหน้าไปทันที

ไม่ว่าจะเป็นตําหนักเทพเจ้าหิมะ นิกายเทพเจ้าสายฟ้า หรือสํานักผู้วิเศษ ทั้งหมดต่างก็เป็นนิกายใหญ่ เมื่อผู้นํานิกายจํานวนมากมารวมตัวกัน ไม่ว่าจะเรื่องดีหรือเรื่องร้ายก็มิอาจคาดเดา…..

“พวกเขามาทําอะไรที่เมืองฉางอัน?”

จักรพรรดิถังสงบใจลง มองไปที่แม่ทัพแห่งวังหลวงพร้อมกับถามคําถาม

“จุดประสงค์ในการมาของพวกเขาคือ….” แม่ทัพแห่งวังหลวงเหลือบมองจักรพรรดิถังอย่างระมัดระวัง กลืนน้ําลายลงคอก่อนจะกล่าวว่า “มาขออภัยโทษจากพระมาตุลาแห่งอาณาจักรพ่ะย่ะค่ะ….”

Sign in Buddha’s palm 306 ขออภัยโทษ

“เป็นไปไม่ได้?!” “เจ้าสํานักผู้วิเศษชิงหมางมีร่างกายที่ไร้เทียมทานยกเว้นจะเป็นขอบเขตเซียนเทพปฐพีใครกันที่จะสังหารเขาได้เขาจะตายได้อย่างไร?”

เจ้าสํานักผู้วิเศษไม่สามารถหลุดออกจากสภาวะตกใจ

ในฐานะที่เป็นครึ่งก้าวเข้าสู่ขอบเขตเชียนเทพปฐพี่ของสํานักผู้วิเศษเจ้าสํานักผู้วิเศษชิงหมางไม่เพียงแต่มีร่างกายคงกระพันแต่ยังมีความสามารถยากจะหยั่งถึงแม้จะเผชิญหน้ากับครึ่งก้าวเข้าสู่ขอบเขตเชียนเทพปฐพี่หลายคนก็ยังสามารถถอยกลับไปได้โดยไม่ร้อนรนผู้แข็งแกร่งในระดับนี้จะกล่าวว่าตกตายไปแล้วได้อย่างไร?

นอกจากนี้ยังมีครึ่งก้าวเข้าสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพีอีกหกคนเดินทางไปยังเมืองฉางอันพร้อมกับเจ้าสํานักผู้วิเศษชิงหมางยังจะมีใครในโลกนี้ที่จะเป็นศัตรูได้?

เจ้าสํานักผู้วิเศษไม่มีทางเชื่อถือเรื่องนี้
ถ้าบุคคลที่พูดไม่ใช่ศิษย์สายตรงสํานักผู้วิเศษที่มีพรสวรรค์สูงเกรงว่าเขาคงไม่อาจยั้งมือตบตีจนตายไปแล้ว

“ท่านเจ้าสํานัก นี่เป็นเรื่องจริงแท้แน่นอน ข้า เห็นด้วยตาตนเองว่าเจ้าสํานักผู้วิเศษชิงหมางถูกเจาะทะลวงร่างโดยตํานานยุทธแห่งอาณาจักรถัง ทั้งยังกําจัดจิตวิญญาณแรกกําเนิดได้ด้วย…” ดวงตาของศิษย์สํานักผู้วิเศษแสดงความหวาดกลัวออกมาอย่างมิอาจประมาณ
เมื่อเห็นสิ่งนี้เจ้าสํานักผู้วิเศษก็เงียบไปในทันที

บรรพชนระดับครึ่งก้าวเข้าสู่ขอบเขตเซียนเทพ ปฐพี่ตกตายพร้อมกันถึงเจ็ดคนนี่เป็นการทําลายล้างอย่างแท้จริงเป็นไปไม่ได้ที่ศิษย์สาวกคนใดจะกล้าหลอกลวงเขานอกจากนี้มันยังง่ายมากที่จะยืนยันว่าบรรพชนได้ตกตายลงหรือไม่เพียงแค่กลับไปยังนิกายแล้วตรวจสอบดวงไฟแห่งชีวิตของบรรพชนว่าดับไปแล้วหรือยัง

สิ่งนี้ไม่มีทางจะปลอมแปลงได้

ใบหน้าของผู้นํานิกายใหญ่หนักอึ้งเมื่อพวกเขา นึกถึงเรื่องนี้ โดยเฉพาะผู้นํานิกายเฮยหยวนที่ใบหน้าของเขาบิดเบี้ยวน่าเกลียดอย่างมาก

นิกายเฮยหยวนด้อยกว่านิกายใหญ่แห่งอื่นๆในเรื่องรากฐานไม่มีแม้แต่เซียนเทพปฐพี่กําเนิดขึ้นในนิกายทุกอย่างได้รับการหนุนหลังจากปฐม บรรพชนตอนนี้ปฐมบรรพชนกลับตกตายไปแล้วเป็นเรื่องร้ายแรงอย่างยิ่งสําหรับนิกายเฮยหยวน

หลังจากวันนี้ไป ไม่ว่านิกายใหญ่แห่งอื่นๆ จะ เผชิญกับชะตากรรมเช่นไร แต่นิกายเฮยหยวนจะต้องพบเจอกับจุดจบอย่างแน่นอน

หลายปีที่ผ่านมา นิกายเฮยหยวนได้กระทํา เรื่องไร้ยางอายมากมาย ไม่รู้ว่ายั่วยุศัตรูไปมากเท่าไหร่แล้วหากปฐมบรรพชนยังอยู่ศัตรูเหล่านั้นก็ได้แต่แค้นอยู่ในอกไม่ว่าในใจจะไม่ยินยอมเพียงใดแต่ตอนนี้ปฐมบรรพชนได้ล่วงลับไป แล้ว…

ผู้นํานิกายเฮยหยวนคิดถึงเรื่องนี้ พลันรู้สึกสั่น สะท้านในทันใด

“ตํานานยุทธอาณาจักรถัง เป็นไปได้ไหมว่าเขาคือเซียนเทพปฐพี…” เจ้าตําหนักเทพเจ้าหิมะเงียบไปนานในที่สุดก็พูดออกมาด้วยน้ําเสียงเรียบๆ

เมื่อผู้นํานิกายคนอื่นๆ ได้ยินคํากล่าวนั้นริมฝีปากของพวกเขาก็ขยับ พยายามจะพูดบางอย่างแต่สุดท้ายก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา’
ไม่ว่าซูฉันจะเป็นเซียนเทพปฐพีหรือไม่ก็ตามครึ่งก้าวเข้าสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพีทั้งเจ็ดก็ได้ตกตายไปแล้วสํานักผู้วิเศษและนิกายเทพเจ้า สายฟ้าแทบจะรับความสูญเสียนี้ไม่ไหวส่วนนกายใหญ่อื่นๆ เช่นตําหนักเทพเจ้าหิมะและนิกายเฮยหยวนแทบจะล่มสลายอย่างสมบูรณ์

นักพรตเจ้าสํานักเอกะวิถีเองก็รู้สึกไม่อยากจะเชื่อเช่นเดียวกันในตอนแรกเขาคิดว่าซูฉินจะสามารถรักษาชีวิตไว้ได้ท่ามกลางการล้อมสังหาร ของเหล่าครึ่งก้าวเข้าสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพีทั้งเจ็ดคนแต่ไม่ได้คาดคิดว่าตํานานยุทธเมืองฉางอันจะสังหารทั้งเจ็ดจนหมดเช่นนี้

การมีชีวิตรอดกับการฆ่าสังหารเป็นสองสิ่งที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง

มีหลายสาเหตุที่ทําให้รอดชีวิตไปได้ อาจจะมีเครื่องมือช่วยชีวิตที่ทรงพลังอย่างมากหรืออาจจะเกรงกลัวจนหลบเลี่ยงไปล่วงหน้า

แต่อย่างหลังคือ ต้องเกิดการปะทะกันด้วยพลังอย่างแท้จริง
โดยเฉพาะอย่างยิ่งนักพรตสํานักเอกะวิถีที่รู้ดีว่าครึ่งก้าวเข้าสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพีทั้งเจ็ดนั้นจะต้องเตรียมการมาอย่างดีไปยังเมืองฉางอันพร้ อมกับใช้ทักษะโจมตีผสานและด้วยผลของทักษะโจมตีผสานขนาดเจอกับเซียนเทพปฐพีก็ยังต่อกรได้จะตกตายลงได้อย่างไร?

“ตอนนี้พวกเราควรทําเช่นไรดี?”

ผ่านไปครู่หนึ่ง เจ้าสํานักเทพโอสถก็ถามออกมาด้วยความขมขื่น
การตกตายของครึ่งก้าวเข้าสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพี่ทั้งเจ็ดเป็นแรงสั่นสะเทือนที่ไม่เคยปรากฏขึ้นมาก่อนสําหรับนิกายใหญ่ถึงขนาดที่นิกายใหญ่หลายแห่งอาจล่มสลายจากเหตุการณ์นี้สิ่งที่สําคัญที่สุดยามนี้คือต้องรู้ว่าควรทําเช่น ไรต่อไป?

รู้หรือไม่ว่าครึ่งก้าวเข้าสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพีทั้งเจ็ดได้ตายไปแล้วแต่ซูฉินยังคงมีชีวิตอยู่

หากไม่รีบหามาตรการรับมือโดยเร็วที่สุดบทเรียนที่พรรคหมื่นดาบเคยประสบอาจจะตามมาถึงตัวนิกายใหญ่แห่งอื่นๆ ในที่แห่งนี้ได้

“ท่านเจ้าสํานัก ว่ากันว่าในส่วนลึกของสํานักผู้วิเศษของท่านมีสมบัติที่สืบทอดมาตั้งแต่ยุคเฟื่องฟูกระแสปราณฉีครั้งล่าสุดมิใช่หรือทําไมไม่นําสมบัติล้ําค่านั้นออกมาต่อสู้อีกสักครั้งเล่า?” ผู้นํานิกายเฮยหยวนมองไปที่เจ้าสํานักผู้วิเศษด้วยเสียงอันลึกล้ํา

สมบัตินี้ว่ากันว่าเป็นอาวุธวิเศษที่ผู้ทรงพลังถึงขีดสุดได้ทิ้งเอาไว้ และผู้ที่ทรงพลังถึงขีดสุดนี้ก็เป็นตัวตนที่เหนือกว่าขอบเขตเซียนเทพปฐพีแม้แต่ในช่วงสุดท้ายของยุคเฟื่องฟูกระแสปราณฉีกมีไม่มากนัก

แม้แต่สมบัติที่อ่อนแอที่สุดก็ยังเหนือกว่าอาวุธวิเศษมีแม้กระทั่งสมบัติที่เกิดปัญญาสามารถฟื้นฟูตัวเองได้อย่างอิสระ

“สมบัติล้ําค่า?”

ท่าทีของเจ้าสํานักผู้วิเศษเปลี่ยนไปอย่างมากเขาส่ายศีรษะโดยไม่ลังเล “สมบัติล้ําค่านี้คือรากฐานของสํานักผู้วิเศษของข้าเว้นแต่จะเกิดหายนะจนนิกายถูกทําลายอย่างแท้จริง ไม่มีใครสามารถกระตุ้นสมบัติล้ําค่านี้ได้”

สิ่งที่เจ้าสํานักผู้วิเศษกล่าวออกคือความจริง นอกจากผู้ที่ทรงพลังถึงขีดสุดแล้ว แม้แต่เซียนเทพปฐพีก็แทบจะไม่สามารถควบคุมสมบัติล้ําค่า สูงสุดนี้ได้ เพราะไม่ว่าอย่างไรสมบัติล้ําค่านี้ก็ไปถึงจุดสูงสุดแล้วมีชีวิตมีปัญญาเป็นของตนเองเป็นบางสิ่งที่น่าเหลือเชื่อยิ่ง

“ข้ามีข้อเสนอ” ในตอนนั้น นักพรตสํานักเอกะ วิถีก็พูดขึ้นในทันที
ฉับพลัน

ผู้นํานิกายใหญ่ทุกคนต่างก็มองไปยังนักพรต เจ้าสํานักเอกะวิถีที่มีทีท่าราวกับคิดอะไรบาง อย่างอยู่ พวกเขาก็พลันตกตะลึง

พวกเขาตระหนักได้ในทันใดว่าในบรรดานิกาย ใหญ่ทั้งหลาย สํานักเอกวิถีเป็นนิกายแห่งเดียวที่ไม่เคยยั่วยุซูฉินมาก่อน

นอกจากสํานักเอกะวิถีแล้ว วิหารหมื่นพุทธก็ เช่นเดียวกัน แต่กลุ่มลาหัวโล้นจากวิหารหมื่นพุทธนั้นมีพฤติกรรมแตกต่างจากคนปกติมาตลอดอยู่แล้ว

“ท่านจ้าววิถี ว่ามาเถิด”

ผู้นํานิกายใหญ่ทุกคนมองมายังนักพรตเจ้าสํา นักเอกะวิถีด้วยสายตาที่ร้อนแรงแผดเผา

แม้ว่าสํานักผู้วิเศษและนิกายเทพเจ้าสายฟ้าจะ ได้รับการปกป้องโดยสมบัติล้ําค่า แต่สมบัติล้ําค่าก็เป็นมรดกที่ใช้ปกป้องนิกายเท่านั้นไม่สามารถนํามันไปสังหารศัตรูได้

ถ้าซูฉันเลือกที่จะตัดหนทางของนิกายใหญ่แทนที่จะต่อสู้กับสมบัติล้ําค่า ลูกศิษย์ของสํานักผู้วิเศษและนิกายเทพเจ้าสายฟ้าที่ออกมาจากนิกายคงถูกดักฆ่าทีละคนและจะไม่มีใครหยุดมัน
ได้

“เรื่องนี้ง่ายมาก”

นักพรตเจ้าสํานักเอกะวิถีครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วกล่าวออกอย่างช้าๆ ว่า “หากพวกเจ้ายอมจํานนอย่างจริงใจ และเดินทางไปยังเมืองฉางอันเพื่อ ขอร้องอ้อนวอน ตํานานยุทธเมืองฉางอันอาจจะให้อภัยพวกเจ้าสักครั้ง…..”

นักพรตเจ้าสํานักเอกะวิถีกล่าวออกมา

ผู้นํานิกายใหญ่ต่างชําเลืองมองหน้ากันใบหน้าของพวกเขาแปรเปลี่ยนไปอีกครั้ง

เบื้องหลังพวกเขาคือนิกายใหญ่ที่สืบทอดมรดกมาหลายพันปี หากพวกเขายอมจํานนขอร้องอ้อนวอนจะมเสียชื่อเสียงของนิกายใหญ่แย่หรือ?

แต่ถ้าไม่ทําเช่นนี้ รอจนซูฉินมาเยือนหน้าประตูบ้านไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องชื่อเสียงของนิกายเลยเกรงว่านิกายใหญ่คงจะต้องหายไปจนสิ้น
ณ เมืองฉางอัน

หลังจากซูฉินรวบรวมอาวุธวิเศษที่หลงเหลือจากครึ่งก้าวเข้าสู่ขอบเขตเชียนเทพปฐพี่ทั้งเจ็ดเสร็จเรียบร้อยแล้วเขาก็กลับมาที่วังหลวง

“พี่สาม”

จักรพรรดิถังและซูเยว่หยุนก็เขามาทักทายทันที

ชายชราเฟยยวและนักพรตเฒ่าสํานักเอกะวิถีก็ตามมาอย่างใกล้ชิด
“พี่สาม ท่านสบายดีไหม”ซูเหยวหยุนอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามแม้นางจะรู้ว่าซูฉินเป็นฝ่ายชนะจาก คําบอกเล่าของนักพรตเฒ่าแต่ก็ยังแอบกังวลอยู่ เล็กน้อย

“ข้าสบายดี”

ซูฉินส่ายศีรษะ

ก่อนที่จะกลับมายังวังหลวง เขาได้ถอนร่างศักดิ์สิทธิ์อีกาทองคําออกไปแล้วไม่เช่นนั้นแม้แต่ตํานานยุทธขั้นสูงสุดอย่างชายชราเฟยยก็ยังทนไอพลังจากร่างศักดิ์สิทธิ์อีกาทองคําไม่ได้นับประสาอะไรกับจักรพรรดิถังและซูเยว่หยุนที่เป็นคนธรรมดา?

“ผู้อาวุโส”

ชายชราเฟยยวและนักพรตเฒ่าสํานักเอกะวิถีรวมถึงตํานานยุทธคนอื่นๆก็เข้ามาโค้งคํานับให้กับซูฉิน

ในสายตาของพวกเขา ซูฉินไม่ต่างไปจากเทพเซียน

ต่อจากนั้น

หลังจากสนทนากับจักรพรรดิถังและคนอื่นๆอยู่สองสามคําซูฉินก็เดินจากไปกลับไปยังโถงพระราชวังใต้ดินอันสูงตระหง่าน
จักรพรรดิถังเองก็กลับมายังตําหนักไท่จื้อย่างมีความสุข

ผลกระทบของการต่อสู้ระหว่างซูฉินกับครึ่งก้าวเข้าสู่ขอบเขตเชียนเทพปฐพีนั้นยิ่งใหญ่เกินไปหลังจากการอธิบายซ้ําหลายรอบจากนักพรตเฒ่า สํานักเอกะวิถีและชายชราเฟยยจักรพรรดิถังก็ตระหนักได้ว่าสถานการณ์แบบใดที่อาณาจักรถังกําลังจะต้องเผชิญต่อไป

หลังจากวันนี้ เกรงว่านิกายใหญ่ทุกแห่งจะไม่กล้าอวดดีในเขตแดนอาณาจักรถังอีก

ภายในโถงพระราชวังใต้ดินอันสูงตระหง่าน
ตะเกียงพุทธหมื่นวิญญาณเปล่งแสงพุทธคุณออกมาธงวูถูถูกปักอยู่กึ่งกลางโถงพระราชวังค่ายกลฟ้าดินขนาดใหญ่ก่อตัวขึ้นล้อมพระราชวัง สูงตระหง่านภายใต้การคุ้มกันของตะเกียงพุทธหมื่นวิญญาณและธงปูฏไอพลังมาบรรจบกันจนถึงขีดสุดแม้จะเป็นเซียนเทพปฐพี่เดินผ่านมาก็อาจจะไม่สามารถสังเกตเห็น นับประสาอะไรกับคนอื่นๆ

“เดินทางไปยังนิกายใหญ่ต่างดินแดนดีไหมจะได้ลองลงชื่อเข้าใช้ในทุกที่ไปเลย?”

ซูฉินนั่งขัดสมาธิ ขบคิดในใจเงียบๆ

หลังจากการตกตายของครึ่งก้าวเข้าสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพี่ทั้งเจ็ดคน นิกายใหญ่ในต่างแดนก็ไม่สามารถหยุดซูฉินได้อีกต่อไป

ดังนั้นซูฉินจึงมีความคิดที่จะไปยังที่ตั้งของนิกายใหญ่ที่ละแห่งเพื่อลงชื่อเข้าใช้

คราวที่แล้วที่ลงชื่อเข้าใช้ภายในเกาะหมื่นดาบซูฉินก็ได้รับสิ่งดีๆ กลับมามากมาย

ท่ามกลางบรรดานิกายใหญ่จํานวนมากในต่างแดนการสืบทอดมรดกของพรรคหมื่นดาบไม่ได้สั้นที่สุดแต่ก็ไม่ได้ยาวนานอย่างแน่นอนตัวอย่างเช่น นิกายใหญ่ที่สืบทอดมายาวนานนับหมื่นปีอย่างสํานักผู้วิเศษและนิกายเทพเจ้าสายฟ้าเตสะสมที่มีอยู่ภายในจะไม่ทําให้ซูฉินผิดหวังแน่นอน

“ตอนนี้ยังไม่ต้องรีบร้อน”

“เดี๋ยวค่อยคิดเรื่องนี้ตอนที่ก้าวเข้าสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพี”

หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ซูฉินก็ล้มเลิกความ คิดนั้นไป

หนึ่ง เป็นเพราะความแข็งแกร่งของซูฉินในปัจจุบันได้เข้าสู่ช่วงคอขวดแล้วเป็นการยากที่จะพัฒนาสิ่งใดก่อนที่จะเข้าสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพี ถึงแม้ซูฉินจะลงชื่อเข้าใช้และได้รับสิ่งดีๆกลับมาก็ตามมันคงยังไม่ได้ใช้เร็วๆ นี้

นอกจากนี้ นิกายใหญ่ในต่างแดนก็ยังตั้งอยู่ที่นั่นไม่มีทางหนีไปไหนพ้นซูฉินสามารถไปได้ทุกเมื่อไม่จําเป็นต้องรีบร้อน

ประการที่สองคือนิกายใหญ่ที่สืบทอดมรดกมาเป็นหมื่นปีอย่างสํานักผู้วิเศษและนิกายเทพเจ้าสายฟ้าอาจจะมีเบื้องหลังอื่นๆ เหลืออยู่ถ้าซูฉินรีบร้อนไปตอนนี้เขาอาจจะได้รับความสูญเสีย
ดังนั้น ตามความคิดของซูฉันคือเขาจะรอจนกว่าจะก้าวเข้าสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพีอย่างสมบูรณ์ความแข็งแกร่งของเขาจะเพิ่มขึ้นอีกขั้นทําให้มีความมั่นใจมากขึ้น มันคงจะไม่สายที่จะ ไปที่นั่นอีกครั้ง

อย่างไรก็ตาม ซูฉินอยู่ในจุดที่กําลังจะเปลี่ยนผ่านขอบเขตแล้วในตอนนี้ หากไม่ใช่เพื่อป้องกันเหตุไม่คาดฝันเขาคงเริ่มทะลวงขั้นไปแล้วแต่ถึงจะเป็นเช่นนั้นตามที่ซูฉินลองประเมินดูอย่างน้อยก็อีกไม่กี่เดือนเขาคงจะต้องเริ่มพัฒนาระดับพลังแล้ว

“ด้วยตอนนี้ที่ปราณฉีของข้ากลายเป็นธาตุไฟไปแล้วตอนที่จิตวิญญาณแรกกําเนิดหลอมรวมเข้ากับทะเลปราณจะต้องเข้าไปยังส่วนที่ลึกที่สุดให้ได้ ถึงเวลานั้นการก้าวเข้าสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพีของข้าจึงจะได้รับผลประโยชน์ที่ยิ่งใหญ่”

“บวกกับร่างศักดิ์สิทธิ์อีกาทองคํา……”

ดวงตาของซูฉินฉายแสงวาบ

“ตราบใดที่ข้าทะลวงผ่านได้สําเร็จก็ควรจะนับเป็นผู้แข็งแกร่งในหมู่เซียนเทพปฐพียังไม่ต้องกล่าวถึงไฟลับอื่นๆอีกหลายใบ…”

ซูฉินสงบใจลง ทันใดนั้นสายตาของเขาก็ดูมุ่งมั่น

ยามนี้ เขาพร้อมที่จะทะลวงขั้นแล้วในเวลาอันสั้นเขาจะพยายามก้าวเข้าสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพี่ให้ได้

Sign in Buddha’s palm 305 (II) ปิดฉาก

“แก้แค้นผู้อาวุโส?”

นักพรตเฒ่าตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นเขาก็ส่ายศีรษะแล้วพูดว่า “แค่ในตอนนี้มันสายก็เกินไป แล้วที่เหล่านิกายใหญ่จะร้องขอความเมตตา มีหรือจะกล้าตอบโต้ผู้อาวุโส?”

การตายของครึ่งก้าวเข้าสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพีทั้งเจ็ด ทําให้นิกายใหญ่ทั้งหลายสูญเสียหนักกว่าที่เคยเป็นมา แม้ว่านิกายใหญ่อย่างสํานักผู้วิเศษและนิกายเทพเจ้าสายฟ้าจะยังคงมีครึ่งก้าวเข้าสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพี่หลับใหลอยู่ แต่ซูฉินที่สังหารมาได้ถึงเจ็ดแล้ว การจะฆ่าอีกสักสองสามคนนั้นเป็นเรื่องง่ายดายอย่างยิ่ง

นิกายใหญ่จะกล้าปลุกบรรพชนขึ้นมาเพื่อรายงานเรื่องของซูฉินหรือ?

ไม่กลัวว่ามรดกนับหมื่นปีจะถูกทําลายลงไปอย่างพรรคหมื่นดาบบ้างหรือ?
ในขณะที่ผู้คนจํานวนนับไม่ถ้วนกําลังตื่นตกใจ

ซูฉินที่ยืนอยู่บนท้องฟ้าสูงหลายพันเมตรนั้นสงบกว่ามาก ราวกับการสังหารครึ่งก้าวเข้าสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพีของเขานั้นเป็นเรื่องที่ต้องใช้ความพยายามสักหน่อยเท่านั้น

ซึ่งที่จริงก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ

ตอนนี้ซูฉินรวมกับร่างศักดิ์สิทธิ์อีกาทองคําแล้ว และด้วยร่างกายนี้ก็เหนือกว่าร่างกายธรรมดาๆมาก มันสามารถเทียบเท่ากับเซียนเทพปฐพี่ที่แท้จริง

แม้แต่ตอนที่สู้กับครึ่งก้าวเข้าสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพีทั้งเจ็ด อย่างเจ้าสํานักผู้วิเศษชิงหมาง ซูฉินก็ใช้เพียงพลังกายล้วนๆ ส่วนทักษะอื่น แม้แต่ทิพยอํานาจจากดวงตาที่ตื่นขึ้นพร้อมกับร่างศักดิ์สิทธิ์อีกาทองคําก็ไม่ได้ถูกนําออกมาใช้

“จงมา”

จิตใจของซูฉินขยับวูบ ทันใดนั้นผนึกสายฟ้าสวรรค์ขนาดเท่ากําปั้นที่ได้มาจากบรรพชนสายฟ้าจากนิกายเทพเจ้าสายฟ้า ก็ลอยมาเบื้องหน้าของซูฉินอย่างรวดเร็ว “อาวุธวิเศษชิ้นนี้ค่อนข้างดี”

ซูฉินเหลือบมองผนึกสายฟ้าสวรรค์ พร้อมกับพยักหน้าเล็กน้อย
แม้ว่าผนึกสายฟ้าอันนี้จะถูกประทับรอยหมัด ด้วยฝีมือของซูฉินไปแล้ว แต่ก็ไม่อาจทําให้แก่นสําคัญของมันเสียหาย

รู้หรือไม่ด้วยร่างกายของซูฉิน เป็นเรื่องยากมากที่สิ่งใดจะทานทนหมัดของเขาได้ในตอนนี้ แต่สิ่งนี้กลับมีเพียงรอยหมัดเท่านั้น

“ถ้าได้กลืนพลังงานสายฟ้าจากผนึกเล็กๆชิ้นนี้ เกรงว่ามันจะทําให้ห้าหมัดเทพเจ้าสายฟ้าของข้าพุ่งสูงขึ้นไปอีกขั้น…”

รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของซูฉิน
สําหรับซูฉินในตอนนี้ ผลประโยชน์ที่ใหญ่ที่สุด จากผนึกสายฟ้าสวรรค์เป็นเพียงการสร้างความก้าวหน้าให้กับห้าหมัดเทพเจ้าสายฟ้า

หากนิกายเทพเจ้าสายฟ้าได้รู้ว่ามรดกนับหมื่นปีที่สูญเสียไป เมื่อมาอยู่ในมือของซูฉินกลับถูกดูดซับไปใช้ อาจจะเป็นลมหมดสติไปได้

หลังจากนั้น นอกจากผนึกสายฟ้าสวรรค์แล้ว ซูฉันก็ยังเก็บรวบรวมอาวุธวิเศษที่ครึ่งก้าวเข้าสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพี่ทั้งเจ็ดได้เหลือเอาไว้ ตัวตนเหล่านี้เป็นรากฐานที่แข็งแกร่งที่สุดของนิกายใหญ่ ย่อมพกพาอาวุธวิเศษติดตัวมาด้วย แต่อาวุธวิเศษส่วนใหญ่กลับสลายกลายเป็นผงด้วยหมัดของซูฉินไปแล้ว เหลืออยู่เพียงไม่กี่ชิ้นอย่างผนึกสายฟ้าสวรรค์ อาวุธชิ้นอื่นแทบไม่เหลือรอด

“น่าเสียดายหม้อยานี้…” ซูฉินเหลือบมองหม้อยาที่เคยเป็นของจ้าวโอสถพร้อมกับส่ายศีรษะเล็กน้อย

เขาลงชื่อเขาใช้มาเป็นเวลาหลายสิบปีแต่ได้รับอาวุธวิเศษกลับมาไม่มากนัก และหม้อยาใบนี้ก็ดูมีเนื้อสัมผัสที่ดี สุดท้ายกลับถูกซูฉินทุบแตก
ขณะที่ซูฉันกําลังเก็บเกี่ยวสิ่งของ

ห่างจากอาณาจักรถังไปไกลลิบ เหล่าผู้นํานิกายใหญ่ระดับสูงต่างมารวมตัวกันบนภูเขาแห่งหนึ่ง

“ครานี้ บรรพชนครึ่งก้าวเข้าสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพีเป็นคนลงมือ แม้ตํานานยุทธแห่งอาณาจักรถังจะสูงส่งเสียดฟ้า แต่อย่างไรก็ไม่มีทางรอดไปได้..”

ผู้นํานิกายเทพเจ้าสายฟ้าเอ่ยขึ้นอย่างช้าๆ

ครึ่งก้าวเข้าสู่ขอบเขตเชียนเทพปฐพี่ถึงเจ็ดคนร่วมมือกันสังหารตํานานยุทธเมืองฉางอัน เป็นปกติที่พวกเขาจะทราบเรื่องราวเหล่านั้น จึงรวมตัวกันที่นี่เพื่อรอข่าวการล่มสลายของอาณาจักรถัง

“คราวนี้ นิกายเทพเจ้าสายฟ้าของข้าได้นําผนึกสายฟ้าสวรรค์ออกมา นับเป็นการยอมจ่ายที่มหาศาล หลังจากวันนี้ไป นิกายเทพเจ้าสายฟ้าของข้าจะเข้ายึดเมืองฉางอัน” ผู้นํานิกายเทพเจ้าสายฟ้าเหลือบมองไปยังผู้นํานิกายคนอื่นๆ พร้อมกับกล่าวคํา

ในสายตาของเขา ด้วยการที่ครึ่งก้าวเข้าสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพีทั้งเจ็ดร่วมมือกันสังหารซูฉิน เมื่อซูฉินตกตาย อาณาจักรถังทั้งหมดย่อมแตกสลายอย่างไม่อาจเลี่ยง และจะกลายเป็นเขตปกครองของนิกายใหญ่

เวลานี้ ในสายตาของผู้นํานิกายใหญ่ทั้งหลาย สิ่งที่สําคัญที่สุดคือจะแบ่งแผ่นดินแห่งพลังยุทธฯอย่างไร

“เมืองฉางอัน?”

เมื่อผู้นํานิกายใหญ่คนอื่นๆ ได้ฟังเช่นนั้น คิ้วของพวกเขาก็ขมวดเข้าหากันเล็กน้อย

เมืองฉางอันเป็นเมืองหลวงโบราณมากว่าสิบราชวงศ์ เรียกได้ว่าเป็นแกนกลางของแผ่นดินแห่งพลังยุทธอันยิ่งใหญ่ สถานที่เช่นนั้นจะต้องได้รับประโยชน์สูงสุดอย่างแน่นอนจากสถานการณ์ที่กระแสปราณฉีฟื้นคืน นี่เพิ่งจะผ่านจุดเปลี่ยนผ่านครั้งแรกมาก็เกิดแหล่งกําเนิดธาตุไฟขึ้นมาในระยะร้อยล์ห่างจากเมืองฉางอันเสียแล้ว

การที่จะมอบสมบัติล้ําค่าดังกล่าวให้กับนิกายเทพเจ้าสายฟ้า แน่นอนว่าไม่มีผู้นํานิกายใหญ่คนไหนเต็มใจจะทํา

“สหายเต่สายฟ้า บรรพชนสายฟ้าของเจ้ายอมสูญเสียมหาศาล แล้วคิดว่าบรรพชนของสํานักผู้วิเศษของข้านั้นไม่ได้จ่ายอะไรออกไปเลยหรือ?” เจ้าสํานักผู้วิเศษเยาะเย้ย “เมืองฉางอันแห่งนี้ สํานักผู้วิเศษก็ต้องการมันด้วย”
ด้วยคําที่กล่าวออกมา

ทันใดนั้นผู้นํานิกายที่เหลือก็กล่าวออกมาพร้อมกัน พวกเขาต่างต้องการครองเมืองฉางอัน ทุกคนต่างมีครึ่งก้าวเข้าสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพี่หนู นหลัง ย่อมไม่มีใครยอมหลีกทางให้แก่กัน

ในท้ายที่สุดผู้นํานิกายใหญ่ทั้งหลายก็ตัดสินใจว่านิกายใหญ่แต่ละแห่งจะดูแลส่วนหนึ่งของเมืองฉางอัน และร่วมกับครองเมืองหลวงโบราณสิบราชวงศ์แห่งนี้

หลังจากที่แบ่งเมืองฉางอันกันได้ลงตัวแล้ว ต่อจากนั้นก็เริ่มแบ่งสันปันส่วนพื้นที่อาณาจักรถังที่เหลือ

“หนึ่งร้อยกับอีกสองเมืองทางตะวันตกเฉียงใต้ จะอยู่ในการปกครองภายใต้นิกายเฮยหยวนของข้า”

“หนึ่งร้อยสิบสามเมืองทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ตําหนักเทพเจ้าหิมะต้องการมันไว้ในการครอบครอง

“สองร้อยเก้าสิบเมืองทางทิศตะวันออกเฉียงใต้เป็นของสํานักผู้วิเศษ…”

ในชั่วพริบตา

ผู้นํานิกายใหญ่ก็ได้แบ่งพื้นที่ภายในอาณาจักรถังทั้งหมดเรียบร้อย จากนั้นจึงมองไปยังทิศทางของเมืองฉางอัน เต็มเปี่ยมไปด้วยความคาดหวัง

“ดูจากเวลา เหล่าบรรพชนควรจะกลับมาในเร็วๆนี้” พวกเขาต่างอยู่นอกเขตแดนของอาณาจักรถัง ห่างไกลร่วมแสนล้ําจากเมืองฉางอัน เป็นเรื่องปกติที่ไม่สามารถมองเห็นการต่อสู้ที่เกิดขึ้นในเมืองฉางอันได้

แน่นอน ในสายตาของผู้นํานิกาย พวกเขาไม่จําเป็นต้องรู้ก็ได้ เพราะครึ่งก้าวเข้าสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพี่ทั้งเจ็ดคนปิดล้อมสังหารซูฉินเอาไว้ ชะตากรรมของตํานานยุทธเมืองฉางอันย่อมถึงวาระแล้ว ไม่มีความเป็นไปได้อื่น

เมื่อทุกคนเฝ้ารออย่างอดทน

นักพรตเจ้าสํานักเอกะวิถีก็กล่าวขึ้น “เจ้าแน่ใจหรือว่าตํานานยุทธแห่งอาณาจักรถังจะตกตาย?”

เสียงของเจ้าสํานักเอกะวิถีเพิ่งจบลง

ผู้นํานิกายเฮยหยวนก็หัวเราะเยาะเย้ย “ท่านเจ้าวิถี ครั้งนี้นิกายใหญ่ต่างร่วมมือกัน แต่ท่านเป็นคนเดียวที่ปฏิเสธข้อเสนอนี้ ดังนั้นการครอบครองแผ่นดินแห่งพลังยุทธฯ นั้นไม่เกี่ยวข้องอะไรกับท่าน….”

แม้ว่าสํานักเอกะวิถีจะสืบทอดมรดกมาจากยุคเฟื่องฟูกระแสปราณฉีครั้งล่าสุด และมีภูมิหลังที่ไกลเกินกว่าสํานักเฮยหยวนจะมีได้ แต่เนื่องจากสํานักเอกะวิถีได้ปฏิเสธการร่วมมือหลายต่อหลายครั้งจนทําให้ผู้นํานิกายใหญ่คนอื่นๆไม่พอใจ และด้วยอํานาจของนิกายใหญ่ระดับสูงทั้งหลายแห่ง แม้จะเป็นสํานักเอกะวิถีก็ทําอะไรไม่ได้

“จ้าววิถี ท่านยังมองสถานการณ์ได้ไม่ชัดเจนงั้นหรือ?”

“บรรพชนครึ่งก้าวเข้าสู่ขอบเขตเชียนเทพปฐพีทั้งเจ็ดคนร่วมกันลงมือ จะมีใครในโลกนี้กันที่หยุดได้ ด้วยพลังท้าทายสวรรค์เช่นนี้ ตํานานยุทธแห่งอาณาจักรถังจะไม่ตายได้อย่างไร?”

เจ้าตําหนักเทพเจ้าหิมะส่ายศีรษะเล็กน้อย เหลีอบมองเจ้าสํานักเอกะวิถีด้วยความเห็นใจ 3

“งั้นรึ?”

ท่าทีของนักพรตเจ้าสํานักเอกะวิถีสงบนิ่ง แต่ก็เกิดคลื่นลมภายในดวงตาของเขา

ฉับพลัน

ในตอนนั้นเอง

จุดแสงหลายดวงที่เกิดจากการใช้ทักษะหลบหนีก็พุ่งออกมาจากใจกลางอาณาจักรถัง เร่งรีบมาหาผู้นํานิกายใหญ่

“ชิงโชวน กลับมาทําไม?”

ผู้นํานิกายเทพเจ้าสายฟ้าสังเกตเห็นว่าในบรรดาผู้ที่ใช้ทักษะหลบหนี มีคนจากนิกายเทพเจ้าสายฟ้าของเขา และยังเป็นศิษย์สายตรงของเขาด้วย ทําให้ต้องยนคิ้วเล็กน้อย

ศิษย์นิกายเทพเจ้าสายฟ้าผู้นี้ชื่อว่า “ชิงโชว” ตอนนี้ถึงเวลาเข้ายึดครองเมืองฉางอันแล้วไม่ใช่หรือ? ยังจะกลับมาทําไมตอนนี้

ผู้นํานิกายใหญ่คนอื่นๆ หลังจากพบว่ามีศิษย์นิกายตนหลบหนีกลับมา การแสดงออกของพวกเขาก็เต็มไปด้วยความสับสน

“เป็นไปได้ไหมว่าบรรพชนกําลังรอให้พวกเราย้ายนิกายไปยังเมืองฉางอัน?” เจ้าสํานักเทพโอสถอดไม่ได้ที่จะกล่าวออกมา

ผู้นํานิกายใหญ่คนอื่นๆ ต่างพยักหน้าเล็กน้อยหลังจากได้ยินคํากล่าวนั้น

อันที่จริง การคาดเดาของเจ้าสํานักเทพโอสถก็น่าจะเป็นความจริง ไม่เช่นนั้นจะอธิบายเรื่องที่ศิษย์สาวกรีบกลับกันมาได้อย่างไร?

แต่ก็ยังมีผู้นํานิกายใหญ่บางส่วนที่งุนงง เพราะพวกเขาพบว่าแสงจากการหลบหนีนั้นวิ่งกลับมาด้วยความเร็วที่ผิดปกติอย่างเห็นได้ชัด การที่จะบรรลุถึงความเร็วระดับนี้ได้ จะต้องใช้ทุกสิ่งโดยไม่คํานึงถึงสิ่งที่จะต้องสูญเสียไป ถึงกับใช้ทักษะลับต้องห้าม

แค่เพียงส่งข่าวจากบรรพชน ทําไมต้องใช้วิธีที่สิ้นหวังเช่นนี้?
รู้หรือไม่ว่าทักษะลับต้องห้ามทั้งหลายส่งผลเสียมากมาย หากไม่ใช่ทางเลือกสุดท้ายก็ไม่มีจอมยุทธคนไหนที่เต็มใจจะใช้ทักษะต้องห้าม

หลังจากนั้นไม่นาน

ผู้ที่ใช้ทักษะหลบหนีหลายต่อหลายคนก็มาถึง

“ผู้นํานิกาย!” ศิษย์ของนิกายเทพเจ้าสายฟ้าชิง โชว คุกเข่าลงต่อหน้าผู้นํานิกายเทพเจ้าสายฟ้าเป็นคนแรก ร้องไห้คร่ําครวญทันทีที่มาถึง “ผู้นํานิกาย จบแล้ว จบแล้วทุกอย่าง นิกายเทพเจ้าสายฟ้าเราจบสินแล้ว..”
เสียงร้องไห้ครวญไปถึงปอด แสดงความรู้สึกสูญเสียอย่างหาที่สุดมิได้
เมื่อเห็นเช่นนี้ ผู้นํานิกายเทพเจ้าสายฟ้าก็เปลี่ยนสีหน้าไปทันที

“มันเกิดบ้าอะไรขึ้น?”

“บรรพชนสายฟ้าอยู่ที่ไหน? เป็นบรรพชน สายฟ้าที่ขอให้เจ้ามางั้นหรือ?”

“สถานการณ์ในเมืองฉางอันเป็นเช่นไร ตํานานยุทธแห่งอาณาจักรถังยอมแพ้หรือไม่?” ผู้นํานิกายเทพเจ้าสายฟ้าถามออกหลายคําถามติดต่อกัน

ในตอนนี้ แม้ว่าผู้นํานิกายเทพเจ้าสายฟ้าจะรู้สึกได้ว่าสิ่งต่างๆ ไม่เป็นไปตามที่คาด แต่เขาก็ไม่ได้อยากจะเชื่อ พยายามหลอกตนเองต่อไป

“บรรพชนสายฟ้า?”

ศิษย์นิกายเทพเจ้าสายฟ้าที่ชื่อ ชิงโชว” ก็พลัน รู้สึกเศร้าในทันใด เขาเห็นกับตาว่าบรรพชนสายฟ้าถูกซูฉินโจมตี แม้แต่ผนึกสายฟ้าสวรรค์ก็เบียงกระเด็นออกไป พอผู้นํานิกายเทพเจ้า สายฟ้าถามคําถามเช่นนี้ มันก็ได้กระตุ้นความทรงจําของเขากลับมาอีกครั้ง

“ผู้นํานิกาย”

“บรรพชนสายฟ้าตายแล้ว”

“ตายแล้ว ตายกันหมดแล้ว”

ศิษย์นิกายเทพเจ้าสายฟ้าที่ชื่อชิงโชว” ตัวสั่นไปทั้งร่าง เสียงของเขาแหบพร่า
“ตายแล้ว?”

“บรรพชนสายฟ้าตายแล้วหรือ?”

ผู้นํานิกายเทพเจ้าสายฟ้าตัวสั่น จิตใจว่างเปล่า ไม่สามารถตอบสนองไประยะหนึ่ง

และในขณะนั้น

เสียงของศิษย์สาวกคนอื่นๆ ที่หนีออกจากเมืองฉางอันก็ดังขึ้น

“ผู้นํานิกาย ปฐมบรรพชนได้ล่วงลับไปแล้ว……”

“เจ้าสํานัก เจ้าสํานักผู้วิเศษชิงหมางตกตายเช่นกัน…”

“เจ้าตําหนัก บรรพชนหิมะได้จากไปแล้ว……”

ผู้นํานิกายใหญ่ทั้งหลายยืนอึ้งหน้าซีด ตัวสั่นไปทั้งกาย

Sign in Buddha’s palm 304 (II) ท้องฟ้าถล่ม

เท่านั้น

มันยังคงไม่จบ

หลังจากสังหารบรรพชนสายฟ้า ร่างของซูฉินก็หายตัวไปอีกครั้ง ไปโผล่อยู่ไม่ไกลจากบรรพชนหิมะแห่งตําหนักเทพเจ้าหิมะ

“ไม่ดีแล้ว!”

บรรพชนหิมะแห่งตําหนักเทพเจ้าหิมะยังคงตกใจกับการตายของบรรพชนสายฟ้าไม่หาย ก็พบว่าซูฉินเข้ามาใกล้นางเรียบร้อยแล้ว ทันใดนั้นพลังจิตวิญญาณที่น่ากลัวก็พลุ่งพล่านวังอันน้อยที่อยู่เหนือศีรษะก็หมุนวนอย่างรวดเร็ว

ซูฉินทุบวังอันน้อยด้วยหมัด และหมัดอันน่าสะพรึงกลัวนั้นก็ได้ทําลายจิตวิญญาณแรกกําเนิดของบรรพชนหิมะจนสิ้น

ฟูว!
ซูฉินประทับฝ่ามือเข้าใส่หม้อยาที่อยู่ด้านหน้าจ้าวโอสถแห่งสํานักเทพโอสถจนมันแตกออกเป็นชิ้นๆ เมื่อเทียบกับผนึกสายฟ้าสวรรค์และวังอันน้อยของบรรพชนหิมะหม้อยานี้ไม่ใช่อาวุธที่เหมาะสมแก่การป้องกันด้วยซ้ํา มันจะหยุดร่างศักดิ์สิทธิ์อีกาทองคําของซูฉินได้อย่างไร?

ชั่วพริบตา จ้าวโอสถก็ได้เดินตามรอยบรรพชนสายฟ้าและบรรพชนหิมะไปติดๆ ทั้งร่างกายและจิตวิญญาณแรกกําเนิดถูกทุบเป็นเสี่ยงๆไม่ทิ้งอะไรไว้เลย

ทันใดนั้น ครึ่งก้าวเข้าสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพีคนอื่นๆ ก็เริ่มส่งเสียงคร่ําครวญ เนื้อหนังแตกกระจายจิตวิญญาณแรกกําเนิดสลายกลายเป็นผุยผง
ครึ่งก้าวเข้าสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพีเหล่านี้อ่อนแอที่สุดในบรรดาคนทั้งเจ็ดอ่อนแอเสียยิ่งกว่าจ้าวโอสถที่เชี่ยวชาญด้านการปรุงกลั่นโอสถ หากไม่ได้อยู่ไกลจากซูฉินที่สุดเกรงว่าคงตกตายไปนานแล้ว แต่กระนั้นไม่ว่าอย่างไรก็คงไม่มีโอกาสรอดชีวิตไปจากที่นี่อยู่ดี

“นี่?”

ห่างออกไป ปฐมบรรพชนแห่งนิกายเฮยหยวนเบิกตากว้าง มองไปที่ซูฉินด้วยอาการขนพองสยองเกล้า

นับตั้งแต่เจ้าสํานักผู้วิเศษชิงหมางตายไปครี่งก้าวเข้าสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพีทั้งห้าต่างตกตายไปตามๆกันเดิมที่พวกเขาเหล่าครึ่งก้าวเข้าสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพี่ทั้งเจ็ดรวมตัวกันล้อมสังหาร คิดว่าตนมีแต้มต่อสามารถจัดการซูฉินได้เหมือนฆ่าไก่ แต่ในชั่วพริบตากลับเหลือตัวเขาอยู่เพียงคนเดียว

แม้จะเป็นผลมาจากทักษะโจมตีผสานได้ถูกทําลายแต่คนเหล่านี้ก็เป็นถึงครึ่งก้าวเข้าสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพีเชียวนะ? แม้ว่าเซียนเทพปฐพี่ที่แท้จริงต้องการสังหารครึ่งก้าวเข้าสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพี่ห้าคนพร้อมกัน อย่างน้อยจิตวิญญาณแรกกําเนิดก็ต้องเหลือรอดมาได้มิใช่หรือ?

“ครึ่งก้าวเข้าสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพี่ถึงห้าคนหากอยู่ต่อหน้าเซียนเทพปฐพี ถึงพวกเขาจะพ่ายแพ้อย่างน้อยก็ต้องมีหนึ่งถึงสองคนหลบหนีไปได้ แม้จะถูกเซียนเทพปฐพี่ตามล่าจนตายในที่สุดก็ตามแต่เจ้าเป็นใครกัน ไม่ใช่เซียนเทพปฐพีด้วยซ้ํา แต่มีความสามารถเทียบเท่าเซียนเทพปฐพี?”

ปฐมบรรพชนนิกายเฮยหยวนตั้งสติถามออกด้วยน้ําเสียงสั่นเครือ
ตัวตนระดับนี้ไม่รู้ว่านานเท่าไหร่แล้วที่เคยมีความสิ้นหวังแบบนี้ปรากฏในใจ แต่ในยามนี้ปฐมบรรพชนแห่งนิกายเฮยหยวนเหมือนกลับมาอยู่ในตอนที่ตนเองยังอยู่ในขอบเขตวิทยายุทธเก้าระดับชั้น แล้วต้องเผชิญหน้ากับตํานานยุทธขั้นสูงสุด มันเป็นความรู้สึกที่ทั้งกลัวและไร้ซึ่งอํานาจ
ซูฉันไม่ใช่เซียนเทพปฐพีและปฐมบรรพชนนิกายเฮยหยวนก็มั่นใจเรื่องนี้มากไม่เพียงแค่เขาเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงครึ่งก้าวเข้าสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพี่คนอื่นๆอย่างเจ้าสํานักผู้วิเศษชิงหมางจ้าวโอสถสํานักเทพโอสถบรรพชนหิมะตําหนักเทพเจ้าหิมะและคนที่เหลือล้วนยืนยันเรื่องนี้ได้

ไม่เช่นนั้นหากพวกเขารู้ว่าซูฉินเป็นเซียนเทพปฐพีพวกเขาคงคุกเข่าอ้อนวอนขอความเมตตา จะกล้าต่อต้านต่อไปได้อย่างไร

แม้ความแตกต่างระหว่างครึ่งก้าวเข้าสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพีกับเซียนเทพปฐพีจริงๆจะห่างกันเพียงครึ่งก้าว แต่ช่องว่างของความแข็งแกร่งนั้นเปรียบเสมือนผืนน้ํากว้าง
ทว่าตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้ซูฉินยังไม่ได้หลอมรวมเข้ากับธรรมชาติ เหมือนกับขอบเขตเซียนเทพปฐพีให้เห็นไม่มีกลิ่นอายอันทรงพลังของทะเลปราณ

ต้องรู้ว่าเชียนเทพปฐพีทุกคนย่อมใช้จิตวิญญาณแรกกําเนิดผสานเข้ากับทะเลปราณในส่วนลึกของความว่างเปล่า จึงจะสามารถดึงทะเลปราณออกมาได้ แต่ซูฉินนั้นไม่น่าจะเคยสัมผัสมันมาก่อน เห็นได้ชัดว่าไม่ได้มีแก่นทะเลปราณอยู่ในจิตวิญญาณแรกกําเนิดของเขาเลย

จุดนี้เองที่แสดงให้เห็นว่าซูฉันไม่ใช่เซียนเทพปฐพี

แม้ว่าซูฉินจะก้าวหน้าไปไกลกว่าขอบเขตตํานานยุทธ มันก็เป็นได้เพียงครึ่งก้าวเข้าสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพี ซึ่งมีความแข็งแกร่งใกล้เคียงกับพวกเขา

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ปฐมบรรพชนแห่งนิกายเฮยหยวนไม่คาดคิด คือแม้ซูฉินจะไม่ใช่เซียนเทพปฐพี แต่เมื่อเปรียบเทียบกับตัวตนขอบเขตเซียนเทพปฐพี่ธรรมดาๆก็ยังไม่นับว่าอ่อนแอแม้แต่น้อยซึ่งน่าเหลือเชื่ออย่างยิ่ง

เมื่อเทียบกับขอบเขตตํานานยุทธที่กําลังจะทะลวงผ่านขอบเขตเซียนเทพปฐพี แม้ในยุคเฟื่องฟูปราณฉีครั้งล่าสุดสิ่งเหล่านี้ก็ไม่เคยเกิด

ขึ้น

ถ้าเซียนเทพปฐพี่สามารถเอาชนะได้ง่ายๆ จะยังถูกเรียกว่าเซียนเทพปฐพีอีกหรือ?

“จงตายเสียเถอะ”

เป็นธรรมดาที่ซูฉินจะขี้เกียจเกินกว่าจะตอบคําถามของปฐมบรรพชนนิกายเฮยหยวนจึงต่อยออกไปตรงๆ

ด้วยสภาวะร่างศักดิ์สิทธิ์อีกาทองคําของซูฉินได้ก้าวข้ามร่างกายธรรมดาๆ ไปแล้วแค่ความแข็งแกร่งของร่างกายเพียงอย่างเดียวก็สามารถเทียบเคียงเซียนเทพปฐพีการสังหารครึ่งก้าวเข้าสู่ขอบเขตเชียนเทพปฐพี่จึงทําได้เพียงแค่เหวี่ยงหมัดเตะขาออกไป

“สู้ตาย!”

เมื่อเห็นฉากนี้ ปฐมบรรพชนนิกายเฮยหยวนก็ใจสั่น รีบใช้ทักษะต้องห้ามของนิกายเฮยหยวนในทันที

ชั่วพริบตา ร่างของปฐมบรรพชนนิกายเฮยหยวนก็ขยายออกหลายเท่า ราวกับยักษ์ขนาดย่อมสูงเกินกว่าสิบเมตรและรัศมีพลังอันน่ากลัวยังคงเพิ่มขึ้นอย่างบ้าคลั่ง

ช่วงเวลาต่อมา

หมัดของซูฉินก็พุ่งมาถึง

แกร็ก แกรีก

ร่างของปฐมบรรพชนนิกายเฮยหยวนก็ทรุดตัวลงกลายเป็นความว่างเปล่าไปอย่างรวดเร็ว

ภายในเมืองฉางอัน

ตํานานยุทธนับไม่ถ้วนที่เฝ้ามองการต่อสู้อยู่ต่างตกอยู่ในความเงียบ ไม่สามารถตอบสนองได้เป็นเวลานาน

แค่ครึ่งก้าวเข้าสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพี่ถึงเจ็ดคนผนึกกําลังกันเข้าสังหารซูฉินก็น่าตกใจพออยู่แล้ว อย่างน้อยในยุคที่ไม่มีเซียนเทพปฐพีก็ไม่เคยเกิดเหตุการณ์เช่นนี้มาก่อน ท้ายที่สุดแล้ว นอกจากเซียนเทพปฐพีที่แท้จริงแล้ว ยังจะมีใครบ้างที่คู่ควรให้ครึ่งก้าวเข้าสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพีถึงเจ็ดคนต้องร่วมมือกัน?

แต่ตอนนี้ซูฉินไม่เพียงแต่โดนล้อมโดยครึ่งก้าวเข้าสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพี่เจ็ดคนแต่ยังสามารถสังหารพวกมันด้วยกระบวนท่าเดียวจนเหล่าครึ่งก้าวเข้าสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพีทั้งเจ็ดตกตายไม่เหลือแม้แต่เศษเสี้ยวจิตวิญญาณแรกกําเนิดแม้แต่ปฐมบรรพชนแห่งนิกายเฮยหยวนที่ว่ากันว่า เป็นอันดับหนึ่งในเรื่องการหลบหนีก็ไม่อาจรอดพ้นตกตายอย่างสมบูรณ์เป็นเรื่องน่าตกใจอย่างยิ่ง

รู้หรือไม่ว่าแม้แต่ในยุคที่มีเซียนเทพปฐพีคงอยู่ก็เป็นไปไม่ได้ที่ครึ่งก้าวเข้าสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพีจะตกตายเป็นจํานวนมากขนาดนี้

ท้ายที่สุดแล้วครึ่งก้าวเข้าสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพี่ก็ไม่ได้โง่เขลาเป็นไปได้อย่างไรที่จะสร้างความขุ่นเคืองให้กับเซียนเทพปฐพีจนตนเองตกตาย?

เนื่องจากไม่มีความขัดแย้งกัน เซียนเทพปฐพีย่อมไม่ลงไม้ลงมือ

สําหรับขอบเขตเซียนเทพปฐพี พวกเขาได้แยกตัวออกจากสังคมมนุษย์ไปแล้วหากไม่จําเป็นพวกเขาจะไม่เข้ามายุ่งเกี่ยวกับโลกนี้เลย

“เรื่องใหญ่ เรื่องใหญ่แล้ว…”

มีตํานานยุทธหลายคนที่ไม่กล้าแม้แต่จะมองขึ้นไปดูซูฉินคลื่นพายุพลันก่อตัวในใจพวกเขา
โดยเฉพาะศิษย์นิกายใหญ่ที่ถูกฝังหัวมานมนานว่าความรุ่งโรจน์ของพวกเขา ล้วนมาจากครึ่งก้าวเข้าสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพี และตอนนี้ครึ่งก้าวเข้าสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพีกลับตกตายไปเช่นนี้ ศักดิ์ศรีความรุ่งโรจน์ล้วนมลายหายไปเช่นกัน

เหล่าตํานานยุทธอิสระเมื่อได้เห็นฉากนี้ใจของพวกเขาก็พลันสั่นไหว เรื่องราวในช่วงหลายพันปีมานี้นิกายใหญ่มักจะดูถูกสิ่งมีชีวิตในต่างดินแดน และตอนนี้การตายของครึ่งก้าวเข้าสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพีเหล่านั้น ก็เท่ากับเป็นการประกาศให้ทุกคนทราบว่า

ยุคที่นิกายใหญ่เรืองอํานาจได้ผ่านพ้นไปแล้ว

“ท่านปู่ เกิดอะไรขึ้นเมื่อครู่? ฝ่ายใดเป็นผู้ชนะ?”เด็กชายที่สวมหัวเสือเงยหน้ามองปู่ของตน พยายามแหงนหน้ามองบนท้องฟ้าน่าเสียดายที่เขาไม่ใช่ตํานานยุทธ จะสามารถเห็นเหตุการณ์บนท้องฟ้านับพันเมตรได้อย่างไร?

“เกิดอะไรขึ้น?”

ชายชราในชุดสามัญชนก้มศีรษะ วางมือลงบนหัวของเด็กน้อยกระซิบด้วยน้ําเสียงที่ไม่รู้จะอธิบายอย่างไร

“ท้องฟ้ากําลังถล่ม1]ลงมาแล้ว”

[1] ท้องฟ้าถล่ม อุปมาว่าเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นมีเรื่องร้ายแรงเกิดขึ้นสร้างความกดดันมหาศาลจนรู้สึกไม่มีกําลังพอจะรองรับสิ่งนี้คล้ายกับท้องฟ้าที่ถล่มลงมา

Sign in Buddha’s palm 305 (1) ปิดฉาก

“ท้องฟ้ากําลังถล่มลงมา….”

แม้ว่าน้ําเสียงของชายชราจะไม่มีความผันผวนร้อนใจ แต่ก็แฝงอารมณ์ที่ลึกซึ้งซับซ้อนยิ่ง

นับตั้งแต่สิ้นสุดยุคเฟื่องฟูกระแสปราณฉีครั้งล่าสุด พลังฟ้าดินบนโลกก็เงียบงัน ทุกอย่างแห้งเหี่ยวกินเวลายาวนานหนึ่งหมื่นปี

แต่ถึงกระนั้น นิกายใหญ่ทั้งหลายในต่างดินแดนอยู่เหนือสรรพชีวิตทั้งหมด มีภูมิหลังมากมาย เหมือนประหนึ่งท้องฟ้า’ ที่มองลงดูดวงวิญญาณนับหมื่น

แต่ตอนนี้

การตายของครึ่งก้าวเข้าสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพี ซึ่งเป็นดั่งสัญลักษณ์แห่ง “ท้องฟ้า” ของหมู่ศิษย์นิกายใหญ่ เมื่อมันล้มลงเทียบเท่ากับการล่มสลายที่แท้จริง

ไม่ใช่แค่ชายชราในชุดสามัญชนเท่านั้น แต่ตํานานยุทธอีกหลายคน รวมถึงศิษย์นิกายใหญ่ จอมยุทธพเนจร ต่างก็ตกตะลึงในหัวใจ

ครึ่งก้าวเข้าสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพี ไม่ว่าจะในยุคสมัยใดก็เกรียงไกรไม่อ่อนด้อย มีเพียงเซียนเทพปฐพี่เท่านั้นที่สามารถบดขยี้พวกเขาได้ แต่ตอนนี้กลับล้มตายกันไปถึงเจ็ดคน

ทุกคนจะไม่แปลกใจได้อย่างไร? จะไม่ให้กลัวได้อย่างไร? จะไม่ให้ผวาได้อย่างไร?

เมื่อเทียบกับความตื่นตระหนกของตํานานยุทธทั้งหลาย พรรคพวกฝั่งอาณาจักรถังกลับรู้สึกปีติยินดี

“ฝ่าบาท พระมาตุลาได้รับชัยชนะแล้ว” แม่ทัพแห่งวังหลวงที่เพิ่งเข้าสู่ขอบเขตตํานานยุทธก็รายงานต่อจักรพรรดิถังด้วยความตื่นเต้น

แม้ว่าแม่ทัพแห่งวังหลวงจะเพิ่งเข้าสู่ขอบเขตตํานานยุทธ แต่อาศัยจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ก็ยังพอรับรู้ถึงสถานการณ์ที่ความสูงหลายพันเมตรได้ ในตอนนี้รัศมีพลังของครึ่งก้าวเข้าสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพี่ทั้งเจ็ดได้ถูกกําจัดทิ้งไป เหลือเพียงกลิ่นอายของซูฉิน เห็นได้ชัดว่าซูฉินได้รับชัยชนะ
“มิผิด ครึ่งก้าวเข้าสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพี่ทั้งเจ็ดคนได้ตายไปแล้ว” นักพรตเฒ่าที่อยู่ด้านข้างโค้งคํานับ

แม่ทัพแห่งวังหลวงอาจไม่ทราบความหมายของการต่อสู้ในครั้งนี้ แต่ในฐานะผู้อาวุโสสํานักเอกะวิถี เขาจะไม่ทราบเรื่องนี้ได้อย่างไร?

ซูฉินใช้พลังของตนเองเพื่อสังหารครึ่งก้าวเข้าสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพจากนิกายใหญ่ถึงเจ็ดคน เทียบเท่ากับการครอบงําคนทั้งโลก นับแต่นี้ต่อไป จะยังมีใครหยุดซูฉินได้อีก?

นอกจากนี้นักพรตเฒ่าสํานักเอกะวิถียังมีความกังวลใจเล็กๆ ในการล้อมสังหารของครึ่งก้าวเข้าสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพี่ทั้งเจ็ดครั้งนี้ แม้จะไม่มีสํานักเอกะวิถี แต่เขาก็ยังไม่แน่ใจทัศนคติของซูฉินที่มีต่อสํานักเอกะวิถีดีนัก นักพรตเฒ่าสํานักเอกะวิถีจึงรู้สึกประหม่าอยู่เล็กน้อย

สําหรับเรื่องที่สํานักเอกะวิถีจะสามารถป้องกันซูฉินได้หรือไม่ นักพรตเฒ่าไม่เคยคิดเกี่ยวกับเรื่องนั้นเลย

ไม่ว่ารากฐานจะแข็งแกร่งเพียงใด ก็คงไม่ได้ดีไปกว่าการร่วมมือกันของครึ่งก้าวเข้าสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพี่ทั้งเจ็ดคน แม้แต่พวกเขาทั้งเจ็ดที่ร่วมมือกันยังตกตาย จะมีวิธีใดที่หยุดยั้งซูฉินได้?
เว้นแต่สํานักเอกะวิถีจะให้กําเนิดเซียนเทพปฐพีเสียเดี๋ยวนี้ อาจจะมีความหวังพอที่จะปิดกั้นได้…..

แต่ในช่วงหลายร้อยหลายพันปีที่ผ่านมา สํานักเอกะวิถีไม่ได้ให้กําเนิดเซียนเทพปฐพีขึ้นมาเลย จู่ๆจะกําเนิดขึ้นมาเดี๋ยวนี้ได้อย่างไร?
นอกจากนี้ไม่ว่าเซียนเทพปฐพีจะกําเนิดขึ้นในสํานักเอกะวิถีหรือไม่ การปิดกั้นซูฉินได้หรือไม่ได้นั้นก็เป็นสองสิ่งที่แตกต่างกัน ท้ายที่สุดซูฉินสามารถสังหารครึ่งก้าวเข้าสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพีทั้งเจ็ดคนได้ เห็นได้ชัดว่าความแข็งแกร่งของเขาอาจจะถึงขอบเขตเซียนเทพปฐพีแล้ว

นักพรตเฒ่าไม่ทราบว่าหลังจากครึ่งก้าวเข้าสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพี่ทั้งเจ็ดที่ร่วมมือกัน ก็ได้เพิ่มระดับความแข็งแกร่งด้วยทักษะโจมตีผสาน แต่ก็ยังถูกซูฉินสังหารจนตาย

หากนักพรตเฒ่าได้ทราบเรื่องนี้ จะไม่ประเมินซูฉินว่าอยู่ระดับเดียวกับขอบเขตเซียนเทพปฐพี แต่จะต้องเป็นเข้าสู่ขอบเขตเชียนเทพปฐพีไปแล้ว

“ข้าหวังว่าท่านเจ้าสํานักจะใช้วิธีละมุนละม่อม ด้วยวิธีนี้เท่านั้นที่จะทําให้มีโอกาสรอดชีวิตไปได้…” นักพรตเฒ่าคิดในใจตนเองเงียบๆ

“พี่สามชนะ?”

จักรพรรดิถังและซูเยว่หยุนชําเลืองมองหน้ากัน ถอนหายใจด้วยความโล่งอกและถามออกไปอย่างไม่ค่อยแน่ใจนัก “นิกายใหญ่เหล่านั้นยังจะกลับมาล้างแค้นพี่สามต่อไปหรือไม่?”

จักรพรรดิถังรู้ดีว่านิกายใหญ่ในต่างดินแดนรักศักดิ์ศรีมากแค่ไหน ตอนนี้ซูฉินชนะ แต่นิกายใหญ่เหล่านั้นจะยอมแพ้ง่ายๆได้อย่างไร

แน่นอนว่าเหตุผลที่จักรพรรดิถังสอบถามตามนั้น เป็นเพราะเขาไม่ทราบถึงสถานะของครึ่งก้าวเข้าสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพีทั้งเจ็ดในนิกายใหญ่ แม้ว่านักพรตเฒ่าสํานักเอกะวิถีและตํานานยุทธจากต่างดินแดนที่ได้อพยพเข้ามาในราชวงศ์ถัง จะบอกข้อมูลหลายๆอย่างเกี่ยวกับนิกายใหญ่ระดับสูงเอาไว้

แต่ข้อมูลของครึ่งก้าวเข้าสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพีก็มีอยู่น้อยมาก
ครึ่งก้าวเข้าสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพี่สูงส่งเพียงใด? ก่อนที่จะถึงวันนี้ แม้จะมอบความกล้าหาญให้กับนักพรตเฒ่าเป็นสิบเท่า เขาก็ไม่กล้าจินตนาการว่าครึ่งก้าวเข้าสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพีถึงเจ็ดคนจะตกตายใต้น้ํามือของซูฉิน

“แก้แค้นผู้อาวุโส?”

นักพรตเฒ่าตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นเขาก็ส่ายศีรษะแล้วพูดว่า “แค่ในตอนนี้มันสายก็เกินไปแล้วที่เหล่านิกายใหญ่จะร้องขอความเมตตา มีหรือจะกล้าตอบโต้ผู้อาวุโส?”

การตายของครึ่งก้าวเข้าสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพีทั้งเจ็ดทําให้นิกายใหญ่ทั้งหลายสูญเสียหนักกว่าที่เคยเป็นมา แม้ว่านิกายใหญ่อย่างสํานักผู้วิเศษและนิกายเทพเจ้าสายฟ้าจะยังคงมีครึ่งก้าวเข้าสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพี่หลับใหลอยู่ แต่ซูฉินที่สังหารมาได้ถึงเจ็ดแล้ว การจะฆ่าอีกสักสองสามคนนั้นเป็นเรื่องง่ายดายอย่างยิ่ง

นิกายใหญ่จะกล้าปลุกบรรพชนขึ้นมาเพื่อรายงานเรื่องของซูฉินหรือ?
ไม่กลัวว่ามรดกนับหมื่นปีจะถูกทําลายลงไปอย่างพรรคหมื่นดาบบ้างหรือ?

Sign in Buddha’s palm 302 (II) ซูฉิน : ข้า คงต้องจริงจังแล้ว

เจ็ดจอมยุทธครึ่งก้าวเข้าสู่ขอบเขตเซียนเทพ ปฐพีผนึกกําลังกัน แม้ตํานานยุทธเมืองฉางอันจะสูงส่งเสียดฟ้าก็ยากที่จะหยุดยั้งได้ หลังจากวันนี้ เกรงว่าแผ่นดินแห่งพลังยุทธอันยิ่งใหญ่คงจะถูกยึดครองโดยเหล่านิกายใหญ่เสียแล้ว

และเหล่าตํานานยุทธที่ไม่ได้อยู่ในนิกายใหญ่นั้น แน่นอนว่าจะต้องหาลู่ทางในอนาคตของตนเอง

และในตอนนี้

เหนือน่านฟ้าหลายพันเมตร

บรรพชนสายฟ้าแห่งนิกายเทพเจ้าสายฟ้าก็เป็นดั่งทูตสายฟ้า กลบโลกทั้งใบด้วยสายฟ้าจํานวนมาก

ปฐมบรรพชนของนิกายเฮยหยวนก็กลายเป็นกลุ่มควันมืดมิดปกคลุมรอบตัวซูฉินอย่างเงียบๆ

บรรพชนหิมะแห่งตําหนักเทพเจ้าหิมะก็ปลดปล่อยกลิ่นอายเย็นยะเยือกในทันที ทุกสิ่งที่เข้าใกล้จะถูกแช่แข็ง

เพียงชั่วครู่

ครึ่งก้าวเข้าสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพีทั้งเจ็ดคนก็ลงมือพร้อมกัน
พวกเขารู้ดีว่าการเผชิญหน้ากับซูฉินที่มีพลังระดับเดียวกัน แต่มีปราณเลือดและพลังชีวิตที่ยืนยาว ข้อห้ามที่สําคัญที่สุดคือการรั้งรอเวลา ดังนั้นเมื่อเริ่มลงมือ ครึ่งก้าวเข้าสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพีทั้งเจ็ดก็ต้องรีบฆ่าซูฉินพร้อมกันโดยเร็วที่สุด

แต่ก็เท่านั้น

ช่วงเวลาต่อมา

ทั้งเจ็ดก็ได้เห็นซูฉินหยิบมีดเทพเจ้าปีศาจออกมา ตวัดประกายแสงสีดําเข้าใส่ฉีก

ประกายแสงของคมมีดสีดําสนิทเหมือนกับจะฉีกช่องว่างในอากาศ ตัดผ่าสายฟ้าของบรรพชนสายฟ้าได้อย่างง่ายดาย สายฟ้าที่บรรพชนสายฟ้าเรียกมามันก็เป็นแค่ฟ้าผ่าธรรมดาๆ จะมาเป็นคู่ต่อสู้ของซูฉินได้อย่างไร?

แกร็ก

ประกายคมมีดสีดํานั้น แทนที่มันจะแตกสลาย มันกลับพุ่งเข้าหาบรรพชนหิมะ

“ไม่ดีแล้ว!”

สีหน้าของบรรพชนหิมะเปลี่ยนไปเล็กน้อย มีดของซูฉินนั้นคมกริบ แม้แต่สายฟ้าของบรรพชนสายฟ้าก็ยังตัดผ่านได้
เมื่อเห็นประกายคมมีดกะพริบเข้ามาหา บรรพชนหิมะก็ทําได้เพียงตวัดดัชนีเข้าปิดกั้นประกายคมมีดสีดําสนิทนั้น

ปีก

บรรพชนหิมะพ่นลมหายใจออกมา ร่างหายวับไปอย่างรวดเร็ว โผล่ขึ้นอีกทีในจุดที่ไม่ห่างออกไปเท่าไหร่นัก เห็นได้ชัดว่านางได้รับแรงกระแทกของคมมีดเทพเจ้าปีศาจ แม้ว่านางจะไม่ได้รับบาดเจ็บร้ายแรงอะไร แต่ก็ไม่ได้รู้สึกดีเช่นกัน

หวิ่ง!!!

ประกายคมมีดสีดําสนิทตัดผ่านภาพติดตาที่บรรพชนหิมะทิ้งเอาไว้ ฟาดฟันเข้าใส่ครึ่งก้าวเข้าสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพีที่เหลือ

ท้องฟ้าอันมืดมิดที่ถูกปกคลุมไปด้วยพลังของปฐมบรรพชนแห่งนิกายเฮยหยวนถูกนั่นออกเป็นชิ้นๆ ราวกับผ้าผืนหนึ่งที่นํามาทิ้งกันประกายแสงคมมีด

เจ้าสํานักผู้วิเศษชิงหมางตกตะลึง แม้จะหลบเลี่ยงจากคมมีดนี้ได้ก็ตาม
ใบหน้าของจ้าวโอสถแห่งสํานักเทพโอสถเปลี่ยนไป เขาหยิบโอสถเม็ดสีแดงเพลิงออกมาโยนเข้าใส่โดยตรง ไร้ซึ่งความลังเล จากนั้นจึงตะโกน เสียงดัง “ระเบิด!”

ตูม!

แรงระเบิดที่แสนน่ากลัวกระจายไปทุกทิศทาง กวาดผืนฟ้าจนราบ ด้วยการระเบิดครั้งนี้ ประกายคมมีดสีดําก็ค่อยๆหายไป แต่ถึงกระนั้นพลังของ คมมีดที่เหลืออยู่ก็ยังคงพุ่งทะลวงต่อไปได้อีกสิบลี้ น่ากลัวอย่างยิ่ง

“ไม่ตายสักคน?”

ร่องรอยความผิดหวังปรากฏขึ้นบนใบหน้าของซูฉิน

ด้วยการตวัดฟันเมื่อครู่ นอกจากไพ่ลับนับร้อยที่ยังไม่ได้ใช้ออกมา ก็นับว่าซูฉินลงมือเต็มที่แล้ว แต่กลับไม่มีใครตายเลยงั้นหรือ?

เมื่อเทียบกับความผิดหวังของซูฉิน เหล่าจอมยุทธครึ่งก้าวเข้าสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพี่ทั้งเจ็ดต่างหวาดกลัวอย่างสมบูรณ์

พวกเขาไม่คิดฝันว่าขนาดที่ร่วมมือกัน ด้วยการฟันเพียงครั้งเดียวของซูฉิน แม้แต่ปฐมบรรพชนแห่งนิกายเฮยหยวน บรรพชนหิมะแห่งตําหนักเทพเจ้าหิมะ รวมถึงคนอื่นๆ จะได้รับบาดเจ็บ?

เป็นไปได้อย่างไร?

ซูฉินต่อต้านศัตรูเจ็ดคนได้ด้วยตัวเองเพียงคนเดียว ไม่เพียงแต่ไม่ตาย แต่กลับบังคับครึ่งก้าวเข้าสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพี่ทั้งเจ็ดให้ถอยกลับ ได้ด้วยกระบวนท่าเดียว น่าเหลือเชื่ออย่างยิ่ง

“เขาแข็งแกร่งขนาดนี้ได้อย่างไร?”

ดวงตาของเจ้าสํานักผู้วิเศษชิงหมางเบิกกว้าง ถ้าไม่ใช่เพราะไอพลังที่ซูฉินแสดงออกมามันไม่ ได้เหมือนกับเซียนเทพปฐพี เกรงว่าเจ้าสํานักผู้วิเศษชิงหมางคงคิดว่าซูฉินได้ก้าวเข้าสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพี่เรียบร้อยแล้ว

นอกจากเซียนเทพปฐพีที่แท้จริง จะยังมีใครอีกเล่าที่สามารถบังคับพวกเขาทั้งหมดทั้งที่รวมพลังกันแล้วให้ถอยไปได้ด้วยกระบวนท่าเดียว?

“ทุกคน เราต้องใช้ทักษะลับออกมาแล้ว หากเราไม่ร่วมมือกัน เกรงว่าพวกเราคงจะตายกันอยู่ที่นี่” บรรพชนสายฟ้าพูดด้วยความหนักใจ

ความแข็งแกร่งที่ซูฉินแสดงออกมาช่างน่ากลัวเหลือคณา แค่กระบวนท่าเดียวก็ทําให้พวกเขาสั่นสะเทือน ถ้ายังมีกระบวนท่าที่สอง กระบวนท่าที่สาม พวกเขาจะสู้อย่างไร? คงทําได้แค่คุกเข่า ขอความเมตตาจริงไหม?

“ก็มีเพียงแต่ทางนี้แล้ว”

ใบหน้าของอีกหกคนแข็งเกร็ง

พวกเขาตื่นขึ้นมาหนึ่งปีแล้ว หลังจากผ่านไประยะเวลาหนึ่ง ความแข็งแกร่งของพวกเขาก็ฟื้นคืน เป็นปกติที่จะไม่ได้เตรียมตัวอะไรมากมายนัก

ช่วงเวลาต่อมา

ครึ่งก้าวเข้าสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพี่ทั้งเจ็ดคนก็เคลื่อนตัวเข้าหาตําแหน่งจําเพาะอย่างเงียบเชียบ ในเวลาเดียวกัน ทักษะแปลกๆ บางอย่างก็ถูกโคจรไปทั่วร่าง พลังของคนทั้งเจ็ดหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวอย่างรวดเร็ว ทันใดนั้นไอพลังที่น่าสะพรึงกลัวก็ระเบิดออกมาราวกับเกิดการระเบิดของพลังฟ้าดิน

เฉพาะในแง่มุมของไอพลังเพียงอย่างเดียว ในตอนนี้ครึ่งก้าวเข้าสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพี่ทั้งเจ็ดรวมถึงเจ้าสํานักผู้วิเศษชิงหมางก็ได้ก้าวเข้าสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพี่โดยสมบูรณ์

“ทักษะโจมตีผสาน?”

ซูฉินขมวดคิ้ว

เขาได้เคยเห็นการโจมตีในรูปแบบผสานเช่นนี้ จากหยกบันทึกที่จ้าวทะเลบูรพาได้ทิ้งเอาไว้

จอมยุทธแต่ละคน แม้พวกเขาจะฝึกฝนเคล็ดวิชาเดียวกัน แต่จะมีกลิ่นอายจากแก่นแท้ที่แตกต่างกันเนื่องจากร่างกายของพวกเขา อย่างไรก็ตาม ทักษะโจมตีผสานจะตัดเรื่องของกลิ่นอายที่แตกต่างกันออกไป
และครึ่งก้าวเข้าสู่ขอบเขตเชียนเทพปฐพี่ทั้งเจ็ดก็ได้ใช้ทักษะโจมตีผสาน ทําให้พลังเพิ่มขึ้นมาถึงขอบประตูของขอบเขตเซียนเทพปฐพีแล้ว

แน่นอน

ทักษะโจมตีผสานเช่นนี้ไม่ใช่ไม่มีข้อบกพร่อง

แก่นของทักษะโจมตีผสานคือการนํากลิ่นอายที่แตกต่างมาหลอมรวมกัน การรวมกันนั้นง่าย แต่การแยกออกนั้นยาก เมื่อใช้ทักษะโจมตีผสานจะเทียบเท่ากับการสร้างมลพิษให้แก่นแท้ปราณของตนเอง และผลที่ตามมานั้นร้ายแรงมหาศาล

กล่าวคือกลุ่มของเจ้าสํานักผู้วิเศษชิงหมางได้ ใช้ทักษะโจมตีผสานกับตนเอง เฉพาะผู้ที่รู้ว่าจะไม่สามารถทะลวงผ่านขอบเขตได้เท่านั้นจึงจะกล้าใช้ทักษะโจมตีผสานนี้
เมื่อซูฉินกําลังคิดถึงเรื่องนี้

เจ้าสํานักผู้วิเศษชิงหมางและคนอื่นๆก็เสร็จสิ้นทักษะโจมตีผสานอย่างสมบูรณ์

“พลังเช่นนี้แข็งแกร่งเกินไป…” ปฐมบรรพชนแห่งนิกายเฮยหยวนแสดงสีหน้าหมกมุ่น ใน ตอนที่เขารวบรวมพลังของครึ่งก้าวเข้าสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพี่ทั้งเจ็ด เขาก็เกือบทะลวงผ่านขอบเขตได้แล้ว

“จงมอบชีวิตให้แก่ข้า!!!”

ปฐมบรรพชนแห่งนิกายเฮยหยวนดูเย็นชา ค่อยๆยกมือขวาขึ้นมา กดลงไปทางซูฉิน

บรรพชนสายฟ้าจากนิกายเทพเจ้าสายฟ้าก็ทําสิ่งเดียวกัน ระดมสายฟ้าทั้งหมื่นสายในความคิดเดียว และแม้แต่สายฟ้าสีม่วงที่ดูลึกซึ้งก็ปรากฏขึ้น พุ่งเข้าหาซูฉินอย่างรวดเร็ว

บรรพชนหิมะแห่งตําหนักเทพเจ้าหิมะ….

เจ้าสํานักผู้วิเศษชิงหมาง….

จ้าวโอสถสํานักเทพโอสถ…

ภายใต้ผลจากทักษะโจมตีผสาน เหล่าครึ่งก้าวเข้าสู่ขอบเขตเชียนเทพปฐพี่ทั้งเจ็ดก็ลงมือพร้อม กัน พลังอันน่าสะพรึงกลัวรวมเข้ากับทุกสิ่งอย่าง สมบูรณ์ ทําให้เกิดพลังที่เหนือกว่าขอบเขตเดิม

ในตอนนี้ พลังที่ปรากฏขึ้นได้ฉีกเฉือนอากาศ จนหมด

ในทุกทิศทาง ภายในรัศมีหลายสิบลี้กลายเป็น ทะเลหมอกดํามืด และซูฉินซึ่งรับพลังนี้เข้าไป ตรงๆ ไม่รู้ว่ามีชีวิตอยู่หรือตายไปแล้ว

“ตํานานยุทธแห่งอาณาจักรถังน่าจะตายไปแล้ว ล่ะ”

เจ้าสํานักผู้วิเศษชิงหมางเห็นฉากนี้ รอยยิ้มก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้า
“มิผิด เมื่อครู่พวกเรารวมพลังกัน จนไปถึงขอบเขตเซียนเทพปฐพี มันเพียงพอที่จะสังหารศัตรูได้ทุกคนบนโลกใบนี้”

ปฐมบรรพชนแห่งนิกายเฮยหยวนพยักหน้ารับ

“ช่างน่าเสียดายกิ่งไม้อสนีบาตภัยยิ่งนัก…”

บรรพชนสายฟ้าส่ายศีรษะเล็กน้อย แต่ไม่ว่า เขาจะไม่ยินยอมเพียงใด ซูฉินก็ถูกกําจัดไปแล้ว ด้วยความแข็งแกร่งจากการโจมตีร่วมกันของพวกเขา ไม่ต้องกล่าวถึงกิ่งไม้อสนีบาตภัยที่ซูฉินกลืนเข้าไปเลย

ถ้าซูฉินทิ้งเนื้อหนังเอาไว้ เขาก็ยังสามารถดึงกลิ่นอายสายฟ้าสวรรค์เก้าชั้นฟ้าของกิ่งไม้อสนีบาตภัยออกมาจากกายเนื้อของซูฉินได้
นอของฉนได้

แต่ยามนี้ ในสายตาของบรรพชนสายฟ้า ซูฉินถูกกําจัดไปแล้วอย่างสมบูรณ์ และกลิ่นอายสายฟ้าจากกิ่งไม้อสนีบาตภัยก็คงหายไปด้วย

ขณะที่ครึ่งก้าวเข้าสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพีทั้งเจ็ดเตรียมที่จะเดินทางกลับไปยังเมืองฉางอัน และยึดครองแผ่นดินแห่งพลังยุทธฯให้สมบูรณ์

ท่ามกลางความมืดมิด ทันใดนั้นชายร่างบางก็ปรากฏตัวขึ้น

ฉับพลัน เจ้าสํานักผู้วิเศษชิงหมางและคนอื่นๆ รู้สึกได้ถึงกลิ่นอายอันร้อนแรงที่ปกคลุมไปทั่วราวกับมีดวงอาทิตย์ฉายแสงอยู่ใกล้ๆ

ก่อนที่เจ้าสํานักผู้วิเศษชิงหมางและคนอื่นๆ จะทันได้ตอบสนอง พวกเขาก็ได้เห็นฉากที่ยากจะลืมเลือนในช่วงชีวิตหนึ่ง

เห็นชายร่างสูงสง่าเดินออกมาอย่างช้าๆ มีดวงอาทิตย์ชั่วนิรันดร์แผดเผาอยู่ในดวงตาของชายผู้นั้น ผิวของเขาใสดุจอัญมณี ทุกย่างก้าวที่เดินออกมา พลังงานธาตุไฟในระยะหลายร้อยหลายพันพลันสั่นกระเพื่อม ประหนึ่งเทพพระเพลิงเสด็จลงมาบนโลก

ท่ามกลางสายตาที่ตื่นตกใจของเจ้าสํานักผู้วิเศษชิงหมางและคนอื่นๆ
ซูฉินมองไปที่พวกเขาแล้วกล่าวอย่างช้าๆ

“เป็นการลงมือที่ไม่เลวทีเดียว” “งั้นข้าคงต้องจริงจังแล้ว”

Sign in Buddha’s palm 303 ทุบตี

หลังจากที่ครึ่งก้าวสู่ขอบเขตเชียนเทพปฐพีทั้งเจ็ดใช้ทักษะโจมตีผสานเพื่อสร้างพลังที่เกินขีดจํากัดไม่เพียงแต่พวกเขาจะล้มเหลวในการสั่งหารซูฉินเท่านั้นแต่ยังไม่สามารถสร้างความเสียหายให้คู่ต่อสู้แม้แต่น้อย
นี่คือสิ่งที่ครึ่งก้าวสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพี่ทุกคนในที่แห่งนี้คาดไม่ถึง
การโจมตีของพวกเขาทรงพลังในระดับที่แตะขอบประตูของขอบเขตเซียนเทพปฐพีแล้วแม้ว่าซูฉินจะรอดตายมาได้โดยบังเอิญ แต่ก็ควรจะได้รับบาดเจ็บสาหัสจะดูเป็นปกติเช่นนี้ได้อย่างไร?

“ไม่ถูกต้อง”

“เขาแตกต่างไปจากเดิมแล้ว”

เจ้าสํานักผู้วิเศษชิงหมางมีสีหน้าที่เปลี่ยนไปมองซูฉินด้วยความรู้สึกเหลือเชื่อ

ในขณะนี้ แม้ว่ารูปลักษณ์โดยพื้นฐานของซูฉินจะไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปแต่ก็มีความแตกต่างในจุดเล็กๆหลายจุดนอกจากนี้การเปลี่ยนแปลงที่แสนละเอียดอ่อนนี้ทําให้ความรู้สึกที่ได้รับจากฉินนั้นเปลี่ยนไปหมดเปลี่ยนทั้งร่างของซูฉินให้เหมือนกับดวงตะวันลุกโชนโชติช่วงด้วยเพลิงผ ลาญอนันตกาล

โดยเฉพาะในส่วนลึกของดวงตาซูฉินภาพลวงตารูปดวงอาทิตย์ขนาดใหญ่ทําให้เจ้าสํานักผู้วิเศษชิงหมางรู้สึกเหมือนกับอยู่ต่อหน้าดวงอาทิตย์ที่แท้จริง

แต่สิ่งนั้นจะเป็นไปได้อย่างไรเล่า?

ดวงอาทิตย์อยู่สูงขึ้นไปเหนือน่านฟ้าเหนือท้องฟ้าทั้งหมดแม้แต่ในยุคเฟื่องฟูของกระแสปราณฉีผู้ที่ทรงพลังถึงขีดสุดยังไม่สามารถข้ามผ่านชั้นบรรยากาศออกไปได้และไม่เคยแม้แต่เข้าใกล้ดวงอาทิตย์

ขณะเดียวกันกับที่ครึ่งก้าวเข้าสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพี่ทั้งเจ็ดกําลังตกตะลึงและสงสัยใคร่รู้ไอพลังของซูฉินก็เพิ่มขึ้นอย่างไม่มีขอบเขต เกือบ ทุกตารางนิ้วในอากาศเต็มไปด้วยพลังที่แสนน่ากลัวเจ้าสํานักผู้วิเศษชิงหมางและคนอื่นๆแทบหายใจไม่ออก

“รอต่อไปไม่ได้แล้ว”

ปฐมบรรพชนแห่งนิกายเฮยหยวนแทบจะสติหลุดแม้ว่าเขาจะไม่รู้ว่าเกิดอะไรกับซูฉินในตอนนี้แต่สิ่งที่เขารู้คือตอนนี้ต้องป้องกันไม่ให้ซูฉินพัฒนาไอพลังของเขาต่อไปได้

ไม่เช่นนั้น ซูฉันอาจจะไม่จําเป็นต้องทําอะไรเลยแค่ปล่อยเวลาไปสักครึ่งชั่วโมง เมื่อผลของทักษะโจมตีรูปแบบผสานสิ้นสุดลงพวกเขาจะไม่อาจต้านทานได้

“ม่านฟ้ามืดทมิฬ!!!”

ปฐมบรรพชนแห่งนิกายเฮยหยวนยกมือขวาขึ้นมา

ทันใดนั้นความมืดมิดก็ปกคลุมไปทั่ว ม่านฟ้ามีดทมิฬเป็นทักษะลับของนิกายเฮยหยวนซึ่งเป็นอํานาจบางอย่างที่ได้มาจากรูปแบบฝันร้ายด้วย ความแข็งแกร่งของปฐมบรรพชนเมื่อม่านฟ้ามีดทมิฬปรากฏขึ้นแม้จะเป็นครึ่งก้าวเข้าสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพีก็ไม่อาจต่อต้านต้องสูญสลายไป ทันตา

สุดท้ายแล้วความแข็งแกร่งของปฐมบรรพชนกมาถึงขอบธรณีประตูของขอบเขตเซียนเทพปฐพีแล้วด้วยทักษะโจมตีผสานที่ทําให้พลังเพิ่มขึ้น ทุกกระบวนท่าก็เพียงพอจะเขย่าโลกบดขยี้ทุก

“งั้นๆ”

ดวงตาของซูฉินสงบนิ่ง ในตอนนี้เขาได้เข้าสู่สภาวะร่างศักดิ์สิทธิ์อีกาทองคําแล้วภายใต้พลังรับรู้ที่ยิ่งใหญ่ครอบคลุมออกไปทั่วนี้ทุกสิ่งบนโลกย่อมเห็นชัดเจนในสายตาของเขา

ซูฉินเหยียดมือออกไปจับม่านฟ้ามืดทมิฬอย่างสบายๆจากนั้นจึงค่อยๆ ดึงมันออกไปทั้งสองด้าน

“ฉีก!!”

เป็นเหมือนกับเสียงของอากาศที่ถูกฉีกขาดออกจากกันทันใดนั้นม่านฟ้ามืดทมิฬก็ถูกฉีกออกเป็นสองชิ้นด้วยมือเปล่าราวกับผ้าผืนหนึ่งในสายตาคนนอกมันเหมือนกับอากาศทั้งหมดถูกฉีกแยกออกจากกันด้วยน้ํามือของซูฉิน ทําให้หัว ใจของผู้คนต้องหวาดหวั่นตกตะลึง

“เป็นไปได้อย่างไร?”

ปฐมบรรพชนแห่งนิกายเฮยหยวนถูกพลังตึกลับพ่นเลือดออกมาเป็นฝอย แต่เมื่อเทียบกับ ฉากสยองขวัญตรงหน้าแล้วอาการบาดเจ็บทางกายก็ไม่นับเป็นอะไรเลย

ปฐมบรรพชนมองม่านฟ้ามืดทมิฬที่ถูกฉีกขาดและพังทลายลงในใจของเขาพลันรู้สึกเย็นวาบและไม่อยากจะเชื่อ

ม่านฟ้ามืดทมิฬนั้นไร้ลักษณ์ยากจับต้องแม้ว่าจะเป็นพลังของจิตวิญญาณแรกกําเนิดก็ไม่สามารถดักจับมันไว้ได้แต่ตอนนี้มันกลับถูกฉีกออกด้วยน้ํามือของซูฉินหากไม่ได้เห็นด้วยตาตนเองปฐมบรรพชนคงจะไม่เชื่อสิ่งที่เกิดขึ้นเลยแม้ตนเองจะอยู่ในเหตุการณ์ก็ตาม

“หมื่นสายฟ้า ฉุดกระชาก!”

เมื่อปฐมบรรพชนแห่งนิกายเฮยหยวนตกอยู่ในความรู้สึกหวาดกลัว อีกเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นตามมาบรรพชนสายฟ้าที่ดูระมัดระวังตัวก็เปล่งวาจาออก มาจากปากเขาด้วยความยากลําบาก

เกิดการปะทะกันที่เบื้องบน

ก้อนเมฆระเบิดคําราม

เห็นกระแสไฟฟ้านับหมื่นพุ่งขึ้นสู่ฟากฟ้าเหมือนมังกรคะนองแล้วพุ่งฟาดลงมาใส่ซูฉิน

พันสายฟ้าฉุดกระชากเป็นทักษะลับต้องห้ามของนิกายเทพเจ้าสายฟ้า และหมื่นสายฟ้าฉุดกระชากก็เป็นทักษะที่เซียนเทพปฐพี่เท่านั้นที่ใช้ออกได้

บรรพชนสายฟ้าใช้ประโยชน์จากทักษะโจมตีผสานสัมผัสได้ว่าตนแตะบานประตูขอบเขตเซียนเทพปฐพีแล้วจึงฝืนใช้กระบวนท่านี้ออกมาไม่เช่นนั้น หากไม่มีทักษะโจมตีผสานเกรงว่าในยามที่บรรพชนสายฟ้าเรียกใช้หมื่นสายฟ้าฉุดกระชากร่างจิตวิญญาณแรกกําเนิดของเขาคงถูกสายฟ้าขนาดใหญ่ฉีกออกเป็นชิ้นๆไปแล้ว

แต่การจ่ายราคามหาศาลของบรรพชนสายฟ้าเพื่อปล่อยหมื่นสายฟ้าฉุดกระชากอํานาจที่ได้มาก็สามารถทําลายล้างผืนแผ่นดินได้โดยแท้จริงหากไม่ได้อยู่บนท้องฟ้าหลายพันลี้อาจจะเปลี่ยนรัศมีหลายร้อยล้ําบนพื้นโลกให้กลายเป็นซากสุสานเลยก็เป็นได้
ครืน

สายฟ้านับหมื่นส่งเสียงคํารามก้องพร้อมกันฟ้าดินกลายเป็นดั่งทะเลสายฟ้า

“ดูซิว่าเขาจะเผชิญหน้ากับพลังสายฟ้าทําลายล้างนี้อย่างไร?”

เมื่อเห็นฉากนี้เจ้าสํานักผู้วิเศษชิงหมางก็จ้องไปที่ใจกลางทะเลสายฟ้าในทันที แม้ว่าซูฉินจะ แสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งด้วยการฉีกม่านฟ้ามืดทมิฬด้วยมือเปล่าแต่หมื่นสายฟ้าฉุดกระชากที่ชักนําโดยบรรพชนสายฟ้านั้นน่ากลัวจริงๆ

“แม้แต่ขอบเขตเซียนเทพปฐพีที่เผชิญหน้ากับกระบวนท่านี้ก็ต้องล่าถอยออกไปใช่หรือไม่?” บรรพชนหิมะพึมพํากับตนเอง

ถึงเซียนเทพปฐพีจะแข็งแกร่งแต่ก็ไม่โง่จะเอาตัวเข้ารับพลังสายฟ้าได้อย่างไร? มีหลากหลายวิธีที่ตัวตนขอบเขตเชียนเทพปฐพี่จะหลบเลี่ยง ทะเลสายฟ้า

อย่างไรก็ตาม
ช่วงเวลาต่อมา

ท่ามกลางสายตาเหลือเชื่อของทุกคน

ทะเลสายฟ้าค่อยๆ หายไปอย่างรวดเร็ว ราวกับมันถูกดูดกลืนด้วยเหวนรกอย่างต่อเนื่อง จากนั้นสักครู่ หลังจากสายฟ้าสายสุดท้ายเข้าไปใน ร่างของซูฉิน ความสามารถทั้งหมดก็ค่อยๆ ถูกกระตุ้น

“เหลยสิ่งไม่ได้บอกหรือว่าสายฟ้านั้นไร้ประโยชน์เมื่ออยู่ต่อหน้าข้า?” ซูฉินส่ายศีรษะเล็กน้อยเมื่อหลายสิบปีก่อนซูฉินได้อาบทะเลสายฟ้าด้วย ห้าหมัดสายฟ้าเทพเจ้ามาแล้วแล้วตอนนี้เล่า?

หากจะกล่าวถึงร่างศักดิ์สิทธิ์อีกาทองคําซูฉินสามารถเพิกเฉยต่อการโจมตีธาตุไฟส่วนใหญ่บนโลกได้ด้วยซ้ํายกเว้นแต่สายฟ้าสวรรค์เก้าชั้นฟ้า สายฟ้าธรรมดาไม่สามารถคุกคามซูฉินได้

“โอ”

“ใช่สิ”
“เหลยสิ่งนั้นตายไปแล้ว แน่นอนว่าคงจะไปบอกเจ้าไม่ได้”ซูฉินดูเหมือนจะนึกขึ้นมาได้ในทันทีรอยยิ้มค่อยๆปรากฏขึ้นบนใบหน้าแล้วมองไปทางบรรพชนสายฟ้าก่อนจะพูดต่อไป“ตอนนี้ถึงตาเจ้าแล้ว”
เสียงที่เปล่งออกมายังไม่ทันจบ

ร่างของซูฉินก็หายไป

“ไม่ดีแล้ว!!”

ร่างของบรรพชนสายฟ้าถอยกลับทันทีใบหน้าซีดลงอย่างเห็นได้ชัด
เขาคิดว่าหมื่นสายฟ้าฉุดกระชากที่ต้องจ่ายราคามหาศาลในการปลดปล่อยออกมาปรามารถปราบซูฉินได้แต่คู่ต่อสู้กลับกลืนมันจนหมดไม่เพียงแต่ปราบปรามไม่ได้ แต่ยังช่วยเสริมพลังให้กับอีกฝ่ายด้วย?

หวิ่ง!!!

ชั่วพริบตา!

ร่างของซูฉินก็ได้มาปรากฏอยู่หน้าบรรพชนสายฟ้าในระยะสิบเมตร
ระยะทางสิบเมตรแม้แต่คนธรรมดาก็สามารถข้ามมาด้วยการกระโดดเพียงครั้งเดียวนับประสาอะไรกับผู้แข็งแกร่งที่อยู่รวมกันตรงนี้?

“จบแล้ว”

บรรพชนสายฟ้าที่ได้เห็นฉากนี้ก็เหมือนตัวเองตกลงไปในก้นเหว
ด้วยความแข็งแกร่งของซูฉินในยามนี้ไม่ว่าบรรพชนสายฟ้าจะมั่นใจแค่ไหน ก็คงไม่คิดว่าตัวเขาจะสามารถหยุดซูฉินได้หรอกใช่ไหม?

แม้ว่าเขาจะได้รับผลจากทักษะโจมตีผสานทําให้อาการบาดเจ็บจะถูกส่งไปยังอีกหกคนที่เหลือด้วยแต่อย่างไรเสียเขาอาจจะต้องรับภาระอย่างน้อยครึ่งหนึ่งของอาการบาดเจ็บ

ขณะที่ฝ่ามือของซูฉันกําลังจะเข้ามา บรรพชนสายฟ้าก็หลับตาลงรอคอยความตายที่กําลังจะมาถึง

ชายสวมชุดคลุมผู้วิเศษพลันมายืนอยู่หน้าบรรพชนสายฟ้าในทันใดร่างของเขาพุ่งทะยานเข้ามา

เมื่อเห็นดังนี้ บรรพชนสายฟ้าก็หนีไปทันทีมองมาที่ซูฉินราวกับตนเองพ้นอันตรายแล้ว

“กายแห่งธรรมชาติ?”

ซูฉินเหลือบมองเจ้าสํานักผู้วิเศษชิงหมางรอยยิ้มพลันปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขา

มันคือเจ้าสํานักผู้วิเศษชิงหมางที่เข้ามาขวางฝ่ามือเอาไว้ ในตอนนี้ชุดคลุมผู้วิเศษของเจ้าสํานักผู้วิเศษชิงหมางถูกฉีกออกเป็นชิ้นๆไปตั้งนานแล้ว เหลือเพียงปราณเลือดในร่างที่ผันผวนราวกับเกลียวคลื่น แสดงพลังของร่างกายแห่งธรรมชาติที่มีเฉพาะเพียงขอบเขตเชียนเทพปฐพีเท่านั้น

“สํานักผู้วิเศษของข้าเชี่ยวชาญด้านการขัดเกลาร่างกายเมื่อหลายพันปีก่อนข้าได้ใช้โอสถที่ สํานักผู้วิเศษทิ้งไว้เพื่อก้าวเข้าสู่กายแห่งธรรมชาติกึ่งหนึ่งและตอนนี้มันก็ได้รับการพัฒนาขึ้นเพราะทักษะโจมตีผสานร่างกายก็เริ่มเข้าสู่กายแห่งธรรมชาติแล้วแต่เมื่อเทียบกับสหายเต่แล้วดูจะไม่มีค่าควรแก่การพูดถึง….”

เจ้าสํานักผู้วิเศษชิงหมางดูสงบกล่าวออกมาด้วยเสียงแผ่วเบา
ในบรรดานิกายใหญ่มากมายในต่างแดนบ้างก็เก่งในเชิงดาบบ้างเชี่ยวชาญทักษะมีดบ้างก็เชี่ยวชาญวิถีสายฟ้าบางแห่งก็เก่งในเรื่องปรุงก ลั่นโอสถ แต่สํานักผู้วิเศษเก่งกาจในการขัดเกลาร่างกาย

“โอ้?”

“ถ้าเจ้าใช้พลังอย่างเต็มที่มันก็น่าจะใช้ได้ไม่นานใช่ไหมเล่า?” ซูฉินส่ายศีรษะอย่างไม่ใส่ใจ

หากพลังชีวิตของเจ้าสํานักผู้วิเศษชิงหมางมีเพียงพอก็คงไม่มีปัญหาในการกระตุ้นปราณเลือดเช่นนี้ เหมือนอย่างซูฉินที่สามารถลงมือเต็มที่ ด้วยพละกําลังทั้งหมด

ทว่าเจ้าสํานักผู้วิเศษชิงหมางหลับใหลมานานนับพันปีและอายุขัยก็เหลือไม่มากนักปราณชีวิตและเลือดเนื้อก็ลดลงไปมากในช่วงพันปีนี้ภายใต้สถานการณ์ที่ต้องใช้ปราณเลือดอย่างเต็มที่แม้จะเป็นการใช้ร่วมกับทักษะโจมตีผสานก็เท่ากับเป็นการมองหาความตาย

“ถ้าข้าไม่ลงมือ และรอให้สหายเต่สังหารบรรพชนสายฟ้าจนทักษะโจมตีผสานพังทลายลงข้าก็ต้องตายอยู่ดี”
เจ้าสํานักผู้วิเศษชิงหมางพูดเบาๆ

ครึ่งก้าวเข้าสู่เซียนเทพปฐพี่ทั้งเจ็ดไม่สามารถต้านทานซูฉินได้เลยแม้จะใช้ทักษะโจมตีผสานแล้วหากพวกเขาหลุดออกจากทักษะโจมตี ผสาน ด้วยความแข็งแกร่งของซูฉินผลลัพธ์คงจะเป็นการตายในทันที

“ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ขอให้ข้าได้เห็นร่างกายจากสํานักผู้วิเศษของเจ้าหน่อยเถอะ”

รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของซูฉินเขาก้าวไปข้างหน้าโผล่ออกไปชกใส่เจ้าสํานักผู้วิเศษชิงหมางตรงๆ

ไม่ว่าจะเป็นบรรพชนสายฟ้าหรือปฐมบรรพชนนิกายเฮยหยวนพวกเขาทั้งหมดต่างโจมตีซูฉินจากระยะไกล

เป็นสาเหตุให้ซูฉินหงุดหงิดเล็กน้อย แม้การโจมตีระยะไกลเหล่านี้จะไม่สามารถโจมตีเขาได้แต่จะทําให้เขามีความสุขเท่ากับการต่อสู้ระยะประชิดได้อย่างไร?

เมื่อเห็นเช่นนี้ เจ้าสํานักผู้วิเศษชิงหมางจึงทําได้เพียงกัดฟันเข้าต่อสู้

ตึง ตึง ตึง!!!

ชั่วครู่เดียว เจ้าสํานักผู้วิเศษชิงหมางก็เสียเปรียบอย่างสิ้นเชิงถ้าไม่ใช่เพราะทักษะลับของสํานักผู้วิเศษควบคู่ไปกับทักษะโจมตีผสานเพื่อกระจาย ผลจากพลังของซูฉินเกรงว่าเจ้าสํานักผู้วิเศษชิงหมางคงถูกกําจัดในทันที

“ข้าจะลงมือขัดขวาง”

เมื่อเห็นฉากนี้ บรรพชนหิมะและคนอื่นๆ ก็ลงมือทันที

บรรพชนหิมะเรียกแรงระเบิดน้ําแข็งออกมาเพื่อลดอุณหภูมิรอบตัวในระยะสิบลี้พยายามจํากัดความเร็วของซูฉิน

จ้าวโอสถสํานักเทพโอสถหยิบเม็ดยาสีดําออกมาขว้างไปยังตําแหน่งของซูฉิน แล้วกระซิบคํา“ระเบิดออก”

ทันใดนั้นควันพิษที่น่าสะพรึงกลัวก็แพร่ออกมาพิษนี้ไม่ได้ส่งผลต่อเนื้อหนัง แต่ส่งผลต่อจิตวิญญาณแรกกําเนิด
สํานักเทพโอสถเป็นนิกายใหญ่ที่เชี่ยวชาญได้การปรุงกลั่นมีความสามารถในการกลั่นโอสถจิตวิญญาณจํานวนนับไม่ถ้วนที่ทั้งช่วยในการฝึกฝนและช่วยเหลือชีวิตได้ นอกจากนั้นยังปรุงแต่งยาพิษที่ใช้สังหารมนุษย์ได้ด้วยอย่างไรก็ตาม

น่าเสียดายยิ่ง

การโจมตีทุกวิถีทางของเหล่าครึ่งก้าวเข้าสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพี่ทั้งหกนั้น เมื่ออยู่ห่างจากซูฉินร้อยจ้างทั้งหมดก็สลายหายไปที่ละนิดและเมื่อมันไปถึงร่างของซูฉินจริงๆพลังก็ไม่เหลือแล้วกลายเป็นเพียงอากาศธาตุภายใต้พลังของปราณเลือดอันยิ่งใหญ่

“ถึงใจจริงๆ!”

ซูฉินต่อสู้กับเจ้าสํานักผู้วิเศษชิงหมาง
ท่วงท่าของซูฉินนั้นเรียบง่ายมากออกหมัดออกเท้าไม่มีความพลิกแพลงใดๆแม้แต่น้อยแต่ก็มีกลิ่นอายบรรพกาลไหลออกมาจางๆแม้ว่าเจ้าสํานักผู้วิเศษชิงหมางจะใช้กายแห่งธรรมชาติและทักษะโจมตีผสานร่วมกับครึ่งก้าวเข้าสู่เซียนเทพปฐพี่อีกหกคน แต่เขาก็ค่อยๆเสียเปรียบมากขึ้นเรื่อยๆ

กายแห่งธรรมชาตินั้นทรงพลัง แต่ร่างศักดิ์สิทธิ์อีกาทองคําของซูฉินนั้นอยู่เหนือกายแห่งธรรมชาติธรรมดาๆ ไปแล้วเพียงอาศัยร่างศักดิ์สิทธิ์อีกา ทองคําก็เทียบเคียงได้กับเซียนเทพปฐพี่คนหนึ่งกายแห่งธรรมชาติธรรมดาๆ จะมาเทียบเคียงได้อย่างไร?

ในที่สุด

ซูฉินก็ปล่อยหมัดออกไป พร้อมกับสายตาที่สิ้นหวังของเจ้าสํานักผู้วิเศษชิงหมาง หมัดทะลุหน้าอกยิงตรงยาวออกไปยังผืนฟ้าเบื้องหลัง

เพียงหนึ่งหมัด

เจ้าสํานักผู้วิเศษชิงหมางก็ตกตาย!

Sign in Buddha’s palm 301 แตกกระจายใน สัมผัสเดียว

เหนือพระราชวัง

ร่างทั้งเจ็ดเปรียบเสมือนเทพปีศาจ ยืนอยู่สูงเหนือฟากฟ้า มีไอพลังที่น่าสยดสยองแทรกซึมออกมา ปกคลุมจิตใจทุกคนให้รู้สึกเหมือนกับเกิดเภทภัยร้ายแรง

“ชิงหมางได้พบสหายเต่แล้ว”

ในบรรดาร่างทั้งเจ็ดนั้น มีเพียงเจ้าสํานักผู้วิเศษชิงหมางเท่านั้นที่แย้มยิ้มเล็กน้อยมองมาทางซูฉิน

สําหรับอีกหกร่างที่เหลือ ต่างก็มองซูฉินในลักษณะที่แตกต่างออกไป ไม่ว่าจะเป็นเยาะเย้ย เฉยชา หรือสงบนิ่ง

“นี่คือเบื้องหลังของนิกายใหญ่?”

ซูฉินสายศีรษะเล็กน้อย

เจ้าสํานักผู้วิเศษชิงหมางไม่ได้แข็งแกร่งที่สุด ในหมู่คนทั้งเจ็ด รัศมีของร่างทั้งหกที่เหลือนั้นลึกล้ํามาก ไม่ได้อ่อนแอไปกว่าเจ้าสํานักผู้วิเศษชิงหมาง ทุกคนล้วนเป็นขุมพลังที่ไม่สามารถเทียบเทียม ต่างมาถึงครึ่งก้าวเข้าสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพีกันแล้วทั้งนั้น

“สหายเต่ดูเหมือนจะพร้อมต่อสู้?”

เจ้าสํานักผู้ วิเศษชิงหมางหัวเราะคิกคัก
ในตอนที่ซูฉินปฏิเสธข้อเสนอของเขา เจ้าสํานักผู้วิเศษชิงหมางรู้ดีว่าซูฉินควรจะมีไพ่ลับของตนเองอยู่

อย่างไรก็ตาม ภายในใจของเจ้าสํานักผู้วิเศษ ชิงหมาง ถึงจะไม่รู้ว่าซูฉินมีไพลับประเภทใด แต่ก็ไม่มีทางจะช่วยให้รอดพ้นจากการร่วมมือกันของรากฐานทั้งหมดของนิกายใหญ่ได้

ซูฉินมีไพ่ลับ แล้วนิกายใหญ่จะไม่มีไพ่ลับในมือหรอกหรือ?

การสะสมยาวนานหลายร้อยปีของซูฉินจะมา เทียบกับนิกายใหญ่ที่สะสมมรดกมากว่าหมื่นปีได้อย่างไร?

“ที่นี่ไม่เหมาะสําหรับการต่อสู้

ซูฉินกวาดสายตาไปมองจักรพรรดิถังและคนอื่นๆ เขาก้าวไปด้านหน้าแล้วหายวับไป แต่ในการรับรู้ของเจ้าสํานักผู้วิเศษชิงหมางและคนอื่นๆ ร่างของซูฉินไปปรากฏเหนือท้องฟ้าหลายพันเมตรแล้ว
“ตามนั้น”

เจ้าสํานักผู้วิเศษชิงหมางเหลือบมองพระราชวังถังพร้อมกับพยักหน้าเล็กน้อย

หากพวกเขาต่อสู้ที่นี่ ผลที่ตามมาคงทําให้ทั้งเมืองฉางอันกลายเป็นซากปรักหักพัง และเมื่อเมืองฉางอันถูกทําลาย อาณาจักรถังจะต้องตกอยู่ในความวุ่นวายอย่างแน่นอน มันไม่ดีสําหรับนิกายใหญ่ที่จะเข้ายึดแผ่นดินแห่งพลังยุทธฯ เท่าไหร่นัก

อีกหกร่างเองก็ไม่ได้มีข้อขัดข้องใด สําหรับพวกเขาอาณาจักรถังเป็นเหมือนทรัพย์สมบัติของตนมานานแล้ว และพวกเขาก็ยินดีที่จะทําตาม
หลังจากที่ทั้งเจ็ดร่างหายไปจักรพรรดิถังและซูเยวหยุนก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก

เมื่อครู่ที่ร่างทั้งเจ็ดยืนอยู่บนอากาศ ดูเหมือนพวกเขาจะแปรเปลี่ยนเป็นแผ่นฟ้าอันยิ่งใหญ่ แม้จะยืนอยู่นิ่งๆ แต่ก็สร้างแรงกดดันอย่างมหาศาลให้กับจักรพรรดิถังและซูเยวหยุน

แรงกดดันประเภทนี้ไม่ใช่พลังงานที่เข้ากดดัน แต่เป็นแรงกดดันจากแก่นแท้ของชีวิต ดูเหมือนว่าร่างทั้งเจ็ดนั้นจะอยู่เหนือมนุษย์ธรรมดาไปอย่างสมบูรณ์

ซึ่งก็เป็นเรื่องจริง

แม้ว่าครึ่งก้าวสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพี่จะไม่ถึงกับควบคุมโลกได้ด้วยความคิดเดียวเหมือนเซียนเทพปฐพีจริงๆ แต่ความเข้าใจต่างๆเทียบเคียงได้กับขอบเขตเซียนเทพปฐพี่มิใช่หรือ?

“พี่สาม จะต้องไม่แพ้…” จักรพรรดิถังกําหมัดแน่น พึมพําด้วยเสียงต่ํา
แม้ว่าจักรพรรดิถังจะไม่ทราบที่มาของคนทั้งเจ็ด แต่เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายยากแท้หยั่งถึง ด้วยความพยายามร่วมกันเช่นนี้ คงจะเตรียมล้อมสังหารซูฉินอย่างเต็มที่

“พี่สามจะต้องชนะอย่างแน่นอน” ซูเยวหยุนที่ยืนอยู่ด้านข้างกล่าวออกด้วยความประหม่า

เหนือพระราชวังถังหลายพันเมตร

ในเวลานี้มีร่างแปดร่างยืนอยู่อย่างสบายๆ สายลมด้านบนที่สามารถฉีกร่างยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งได้นั้น เมื่ออยู่ต่อหน้าทั้งแปดร่างมันดูสงบเสงี่ยมยิ่ง ไม่สามารถเข้าใกล้พวกเขาในระยะร้อยเมตรได้เลย

“พวกข้าหลับใหลด้วยวิธีลับปิดผนึกตนมานับพันปีแล้ว สหายเต๋าคงไม่เคยได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับพวกเรา” เจ้าสํานักผู้วิเศษชิงหมางพูดอย่างอ่อนโยน ราวกับพวกเขาไม่ได้กําลังปิดล้อมสังหารซูฉินเลย เสมือนคุยเล่นกับเพื่อนมากกว่า

“นี่คือบรรพชนหิมะจากตําหนักเทพเจ้าหิมะ ศิษย์สายตรงของเซียนเทพปฐพีตําหนักเทพเจ้าหิมะเมื่อสองพันแปดร้อยปีก่อน แม้การทะลวงขอบเขตจะล้มเหลว แต่ก็มีทักษะหายากซึ่งสืบทอดมาจากเซียนเทพปฐพี่ตําหนักเทพเจ้าหิมะ….”

เจ้าสํานักผู้วิเศษชิงหมางมองไปที่หญิงชุดขาว แนะนํานางให้ฟังสั้นๆ
“คารวะสหายเต่า”

บรรพชนหิมะสวมผ้าคลุมหน้าแผ่นบางๆ บรรพชนหิมะนั้นดูธรรมดากว่าบรรพชนคนอื่นๆ ในตําหนักเทพเจ้าหิมะเสียอีก กลิ่นอายบรรจบกันอย่างสมบูรณ์ ไม่มีการรั่วไหลออกมาเลย สูงสุดคืนสู่สามัญอย่างแท้จริง

“นี่คือบรรพชนสายฟ้าจากนิกายเทพเจ้าสายฟ้า ในยุคของเขามีเซียนเทพปฐพีกําเนิดขึ้น และบรรพชนสายฟ้าก็เคยสู้กับเซียนเทพปฐพีผู้นั้นก่อนที่จะทะลวงขอบเขตมาก่อนด้วย ทั้งยังได้ชัยชนะมาจนตัวตนระดับนั้นหนีไปอยู่ดินแดนอื่นเป็นร้อย

เจ้าสํานักผู้วิเศษชิงหมางมองไปที่ชายคนหนึ่ง พร้อมกับกล่าวคําออกมา
บรรพชนสายฟ้าเป็นชายร่างสูง ดูเหมือนจะมีสายฟ้าแล่นวาบอยู่ในดวงตาของเขา ดูไม่ธรรมดาอย่างยิ่ง แม้เพียงชําเลืองตามอง ตํานานยุทธขั้นสูงสุดธรรมดาคงจะรู้สึกสั่นสะท้านอยู่ไม่น้อย แม้แต่จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ยังไม่สามารถเข้าใกล้ได้ น่ากลัวยิ่ง

“ส่วนท่านนี้เป็นบรรพชนคนแรกของนิกายเฮยหยวน…”

“ทั้งยังมีจ้าวโอสถจากสํานักเทพโอสถด้วย…”

เจ้าสํานักผู้วิเศษชิงหมางแนะนําทั้งหกร่างอ ย่างรวดเร็ว

“สํานักเทพโอสถ…”

ซูฉินมองไปยังชายชราที่สวมชุดคลุมสีขาวส่ายศีรษะแล้วกล่าวว่า “สํานักเทพโอสถของพวกท่านแสวงหาจุดสูงสุดของการปรุงโอสถมิใช่หรือ จะลงมาเดินจมในน้ําโคลนนี้ทําไม?”

ในบรรดานิกายใหญ่จํานวนมากในต่างแดน สํานักเทพโอสถนั้นมีสถานะที่พิเศษมาก แม้แต่นิกายใหญ่ที่สืบทอดมรดกมานานนับหมื่นปีอย่าง นิกายเทพเจ้าสายฟ้าและสํานักผู้วิเศษยังไม่กล้าหยาบคายเมื่ออยู่ต่อหน้าสํานักเทพโอสถ

สํานักเทพโอสถ ไม่ใช่แค่นิกายที่สร้างโดยเซียนเทพปฐพี มีเบื้องหลังที่ไม่อาจหยั่งถึงเท่านั้น ยิ่งกว่านั้นเป็นเพราะสํานักเทพโอสถควบคุมดูแลโอสถเกือบทั้งหมดที่อยู่ในต่างดินแดน

การฝึกฝน พรสวรรค์และความเข้าใจในวิทยายุทธนั้นมีความสําคัญอย่างแน่นอน แต่โอสถก็เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้เช่นกัน

ซูฉินไม่ได้คาดคิดว่าสํานักเทพโอสถที่เพิกเฉยต่อโลกภายนอกเสมอ บัดนี้กลับร่วมมือกับเจ้าสํานักผู้วิเศษชิงหมางและคนอื่นๆ

ด้วยสถานะของสํานักเทพโอสถในต่างดินแดน ตราบใดที่พวกเขาไม่ต้องการ เจ้าสํานักผู้วิเศษชิงหมางก็จะไม่กล้าข่มเหงอย่างแน่นอน
ความเป็นไปได้เพียงอย่างเดียว….นั่นก็คือ สํานักเทพโอสถจะต้องสนใจแผ่นดินแห่งพลังยุทธอันยิ่งใหญ่ด้วย

“ท่ามกลางการฟื้นคืนของกระแสปราณฉี มีเพียงแผ่นดินแห่งพลังยุทธฯ เท่านั้นที่จะให้กําเนิดโอสถอายุวัฒนะพันปี และแม้แต่โอสถศักดิ์สิทธิ์ในตํานาน สํานักเทพโอสถของเราต้องการปรับแต่งเม็ดยาที่ยอดเยี่ยมออกมา ฉะนั้นจึงไม่มาไม่ได้”

จ้าวโอสถมองมาที่ซูฉินด้วยท่าทางเคร่งขรึม

แม้ว่าสํานักเทพโอสถจะจดจ่ออยู่แต่กับการปรุงโอสถ แต่ก็มีหลายสิ่งให้ทํานอกเหนือจากการปรุงแต่งเม็ดยา นี่เป็นนิกายที่สืบทอดต่อมาจากเซียนเทพปฐพี หากทําได้เพียงปรุงกลั่น โอสถคงจะพ่ายแพ้ให้แก่นิกายใหญ่แห่งอื่นๆ เหล่านักปรุงยาคงถูกจับขังในกรง

“เข้าใจแล้ว”

ซูฉินถอนหายใจเบาๆ

แม้จะเป็นสํานักเทพโอสถที่แยกตัวโดดเดี่ยว ก็ยังกล่าวคําพูดเช่นนี้ออกมา

“สํานักผู้วิเศษ นิกายเทพเจ้าสายฟ้า นิกายเฮยหยวน สํานักเทพโอสถ……”

ซูฉินหัวเราะเบาๆ แล้วเปลี่ยนทิศทางการสนทนา “ทําไมสํานักเอกะวิถีไม่มาเล่า?”

ในตอนนี้พวกของเจ้าสํานักผู้วิเศษชิงหมางทั้งเจ็ดก็เกือบจะเป็นนิกายใหญ่ระดับสูงทั้งหมดในต่างแดนแล้ว แต่วิหารหมื่นพุทธกับสํานักเอกะวิถีไม่ได้ส่งใครมา

สามารถเข้าใจได้ว่าทําไมวิหารหมื่นพุทธจึงไม่ส่งคนเข้าร่วม หลังจากที่ซูฉินลงมือในทะเลทรายตะวันตก เขาก็ถูกมองว่าเป็นองค์ยูไลไปแล้ว แต่ กับสํานักเอกะวิถี…..

สํานักเอกะวิถีก็เป็นนิกายใหญ่ที่สืบทอดมรดก มาตั้งแต่ยุคเฟื่องฟูกระแสปราณฉีครั้งล่าสุด มีภูมิหลังไม่ต่ําต้อยไปกว่าสํานักผู้วิเศษและนิกายเทพเจ้าสายฟ้าอย่างแน่นอน จะต้องมีครึ่งก้าวสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพี่หลับใหลอยู่บ้าง

“สํานักเอกะวิถี……”

รอยยิ้มของเจ้าสํานักผู้วิเศษชิงหมางค่อยๆจางลง

เขาไปเยือนสํานักเอกะวิถี แต่อีกฝ่ายไม่เต็มใจจะโจมตีซูฉิน แม้เจ้าสํานักผู้วิเศษชิงหมางจะสัญญาว่าจะแบ่งสัดส่วนแผ่นดินแห่งพลังยุทธฯด้วยกันก็ตาม

“แค่พวกข้าทั้งเจ็ดคนที่อยู่ที่นี่ ยังไม่อยู่ในสายตาของสหายเต่ําอีกหรือ?”
เจ้าสํานักผู้วิเศษชิงหมางกล่าวออกช้าๆ

แม้ว่าจะไม่มีคนของสํานักเอกะวิถีเข้าร่วมในครั้งนี้ แต่เจ้าสํานักผู้วิเศษชิงหมาง บรรพชนหิมะ บรรพชนสายฟ้า ปฐมบรรพชนนิกายเฮยหยวน ล้วนเป็นขุมพลังครึ่งก้าวสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพี ที่ไม่มีใครเทียบเทียม ผู้ใดบ้างที่ไม่ใช่ภูมิหลังที่แข็งแกร่งที่สุดของนิกายของพวกเขาเอง?

ทั้งเจ็ดเรียกได้ว่าเกือบจะแข็งแกร่งที่สุดในหมู่นิกายใหญ่จํานวนมากแล้ว ในยุคที่ไม่มีเซียนเทพปฐพีเช่นนี้ คนทั้งเจ็ดต่างเป็นสัญลักษณ์แห่งภัยพิบัติ เป็นเรื่องง่ายมากที่จะทําลายนิกายใหญ่อย่างพรรคหมื่นดาบ

หากเป็นตํานานยุทธคนอื่นๆ ที่มายืนอยู่ที่นี่ เกรงว่าพวกเขาคงสั่นสะท้านมาตั้งนานแล้ว คนทั้งเจ็ดรวมถึงเจ้าสํานักผู้วิเศษชิงหมาง ไม่เพียงแต่เป็นสัญลักษณ์ของผู้ไร้เทียมทาน แต่ยังเป็นตัวแทนของนิกายใหญ่ที่อยู่เบื้องหลังของพวกเขาด้วย เป็นพลังอํานาจส่วนใหญ่ที่นิกายใหญ่ในต่างดินแดนมี

“เลิกพูดไร้สาระกันได้แล้ว”

“หากต้องการมีชีวิตรอดก็จงรีบมอบกิ่งไม้อสนีบาตภัย สมบัตินิกายของข้ามาได้แล้ว ไม่เช่นนั้น เมื่อสายฟ้าฟาดลงมาทั้งร่างกายและจิตวิญญาณของเจ้าจะต้องถูกทําลาย”

บรรพชนสายฟ้าเน้นทุกคําพูด เสียงที่เปล่งออกมาราวกับฟ้าร้องดังก้อง

ครานี้ที่เขาเข้าร่วมกับเจ้าสํานักผู้วิเศษชิงหมาง นอกเหนือจากการล้อมสังหารซูฉินเพื่อแบ่งสันปันส่วนดินแดนกันแล้วนั้น เขายังมีเป้าหมายที่จะน่ากิ่งไม้อสนีบาตภัยที่อยู่ในมือของซูฉินกลับมาด้วย

นับตั้งแต่บรรพบุรุษเหลยสิ่งตกตายด้วยน้ํามือของซูฉิน กิ่งไม้อสนีบาตภัยก็หายไป ซูฉินจึงเป็นเป้าหมายที่นิกายเทพเจ้าสายฟ้าจะต้องสังหาร

สําหรับนิกายเทพเจ้าสายฟ้า กิ่งไม้อสนีบาตภัย ไม่เพียงแต่ช่วยให้ฝึกฝนทักษะลับได้ แต่ยังมีร่องรอยของสายฟ้าสวรรค์เก้าชั้นฟ้าซึ่งเป็นความหวังที่จะทําให้ศิษย์นิกายเทพเจ้าสายฟ้าสามารถก้าวเข้าสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพี

หากปราศจากกิ่งไม้อสนีบาตภัยนี้ ศิษย์นิกายเทพเจ้าสายฟ้าที่ใช้จิตวิญญาณแรกกําเนิดหลอมรวมเข้าไปในทะเลปราณ คงจะไม่สามารถต้านทานพลังของทะเลปราณได้ มันเป็นพลังงานสายฟ้าที่รุนแรงยิ่ง

“กิ่งไม้อสนีบาตภัย?”

ซูฉินมองไปที่บรรพชนสายฟ้าพร้อมกับถอนหายใจ “พลังสายฟ้าภายในนั้นดีมาก ข้าใช้เวลา ตั้งหลายวันกว่าจะกลืนกินมันจนหมด…”

“ไอ้เด็กเมื่อวานซืน เจ้ากล้า!!!”

เมื่อบรรพชนสายฟ้าได้ยินสิ่งนี้ ดวงตาของเขาก็เบิกกว้าง
ความหมายจากคําพูดของซูฉินนั้นชัดเจนว่า เขาได้กลืนกินพลังงานสายฟ้าภายในกิ่งไม้อสนีบาตภัยไปหมดแล้ว

กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ กิ่งไม้อสนีบาตภัยไม่มีอยู่บนโลกนี้อีกแล้ว

สิ่งที่เกิดขึ้นจะไม่ทําให้บรรพชนสายฟ้าโกรธได้อย่างไร?
กลิ่นอายสายฟ้าสวรรค์เก้าชั้นฟ้าในกิ่งไม้อสนีบาตภัยนั้นล้ําค่าอย่างยิ่ง แม้จะเป็นนิกายเทพเจ้าสายฟ้าก็ทะนุถนอมมันอยู่ตลอดเวลา ไม่กล้าเสียไปแม้แต่นิดเดียว จะกลืนกินเข้าไปตรงๆ อย่างซูฉินได้ที่ไหนกัน
“ข้าจะดึงจิตวิญญาณแรกกําเนิดของเจ้าออกมา และดึงกลิ่นอายสายฟ้าสวรรค์เก้าชั้นฟ้าภายในร่างของเจ้าออกมาให้หมด”

สายตาของบรรพชนสายฟ้าคล้ายกับสายฟ้าฟาด มันคํารามก้องกังวาน
ก่อนที่จะพูดจบ บรรพชนสายฟ้าก็ยกมือขวาขึ้น พลันเห็นสายฟ้าที่น่าสะพรึงกลัวฟาดลงมา ราวกับมังกรเริงระบํา เคลื่อนตัวเข้าหาซูฉิน

แม้ว่าการโจมตีของบรรพชนสายฟ้าจะเป็นเพียงสายฟ้าธรรมดา แต่ก็แข็งแกร่งเกินกว่าบรรพบุรุษเหลยสิ่งจะเทียบได้ มันเกือบจะสร้างพลังได้ เทียบเท่าจิตวิญญาณแรกกําเนิดที่มีพลังมากที่สุด ส่วนครึ่งก้าวเข้าสู่เซียนเทพปฐพี่ที่เหลือต่างจับจ้องมองดูเหตุการณ์นี้

เพียงแต่ในสายตาของทุกคน สายฟ้าฟาดเมื่อครู่นี้ เมื่อผ่าลงมาสัมผัสรัศมีร้อยจ้างรอบตัวซูฉิน ทุกอย่างก็กระจายหายไปราวกับไม่เคยปรากฏขึ้นมาก่อน

พลังสายฟ้าที่บรรพชนสายฟ้าเรียกออกมานั้น ไม่สามารถเข้าถึงระยะร้อยจ้างรอบตัวซูฉินได้ด้วยซ้ํา สิ่งนี้ทําให้สีหน้าของบรรพชนหิมะและคนอื่นๆ ซึ่งเดิมมีท่าทีผ่อนคลายค่อยๆเปลี่ยนเป็นจริงจัง

แค่สิ่งนี้เพียงอย่างเดียว ซูฉินก็มีคุณสมบัติเพียงพอจะต่อกรกับพวกเขาแล้ว

“ลงมือพร้อมกัน”

ท่าทีของบรรพชนสายฟ้าไม่ได้เปลี่ยนไปเลย การโจมตีเมื่อครู่เป็นเพียงเพื่อการทดสอบซูฉินไม่ได้มุ่งหมายเอาชีวิต ในขณะที่บรรพชนสายฟ้าตะโกนเสียงดังก้อง ทันใดนั้นท้องฟ้าก็ปกคลุมไปด้วยกลุ่มเมฆมืดครึ้ม เสียงฟ้าร้องนับหมื่นคํารามก้องอยู่ภายใน

อีกหกคนมองหน้ากัน และพร้อมที่จะลงมือ

“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ หลังจากวันนี้ บนโลกจะไม่มีนิกายใหญ่อีกต่อไป” ดวงตาของซูฉินสาดเจตนาฆ่าออกมา

เขาก้าวไปด้านหน้า ใช้มือขวาคว้าจับไปยังส่วนลึกของความว่างเปล่า
ฉีก!

ทันใดนั้น ทั้งโลกก็เปลี่ยนเป็นสีดําสนิท เห็นประกายคมมีดที่วาบผ่านอากาศราวกับตัดทะลวงช่องว่างมิติ

Sign in Buddha’s palm 302 (1) ซูฉิน : ข้า คงต้องจริงจังแล้ว

ขณะที่บรรพชนสายฟ้าและคนอื่นๆ ต่อสู้กับซู ฉิน พวกเขาก็ดึงดูดความสนใจจากผู้คนจํานวนนับไม่ถ้วนภายในเมืองฉางอันทันที

ในยามที่กระแสปราณฉีฟื้นคืนเช่นนี้มีตํานานยุทธจํานวนมากจากต่างแดนเดินทางมาที่นี่อย่างต่อเนื่อง

ในฐานะเมืองหลวงของอาณาจักรถังแน่นอนว่าเมืองฉางอันก็มีตํานานยุทธปะปนอยู่มากมาย

อย่างไรก็ตาม เนื่องจากการปราบปรามของซูฉินตํานานยุทธต่างแดนเหล่านี้ย่อมอ่อนน้อมไม่กล้าที่จะใช้อํานาจของตนในฐานะตํานานยุทธ
ท้ายที่สุดเมื่ออยู่ต่อหน้าผู้มีอํานาจเช่นซูฉินเพียงความคิดเดียวก็ดับลมหายใจพวกเขาได้แล้วใครเล่าจะกล้าสร้างปัญหา?

“นั่นคือสิ่งใด?”

ในขณะนั้น ชายชราที่สวมใส่ชุดแบบสามัญชนแต่ดูแข็งแกร่งก็หยุดลงอย่างกะทันหัน เมื่อมองขึ้นไปบนฟ้ารูม่านตาของเขาก็หดตัวเล็กลงในทันที

เห็นว่าบนท้องฟ้าเหนือเมืองฉางอันในตอนนี้มีดคมลงและรัศมีทั้งเจ็ดก็เจิดจ้าราวกับดวงอาทิตย์ช่างเป็นรัศมีพลังที่น่าหวาดกลัวนัก

“ตํานานยุทธขั้นสูงสุด?” “ไม่ถูกต้องไม่ใช่ตํานานยุทธขั้นสูงสุด ตํานาน ยุทธขั้นสูงสุดจะปลดปล่อยแรงกดดันขนาดนี้ได้อย่างไร?”

ด้วยการลงมือของตํานานยุทธภายในวังหลวงตํานานยุทธขั้นสูงสุดธรรมดาต่างตกตายไปแล้วไม่น้อย

แม้แต่นิกายใหญ่อย่างพรรคหมื่นดาบยังถูกคนผู้นั้นทําลายล้าง ชายชราที่ดูธรรมดาผู้นี้คิดไม่ออกจริงๆว่ามีตํานานยุทธขั้นสูงสุดกล้ามาอวดดีที่นี่จริงๆ หรือ?

“นี่มันครึ่งก้าวสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพี” ชาย ชราสามัญชนแสดงสีหน้าที่ไม่อยากจะเชื่อ

เขาเป็นตํานานยุทธที่เดินทางจากต่างแดนมายังเมืองฉางอันแม้ว่าเขาจะไม่ใช่ตํานานยุทธขั้นสูงสุดแต่ฐานบ่มเพาะของเขาก็อยู่ในระดับนภาชั้นที่หกเขาจึงรู้สึกได้ว่าร่างคลุมเครือทั้งเจ็ดที่ยืนอยู่บนท้องฟ้าเกือบจะเทียบได้กับเซียนเทพปฐพีเมื่อเทียบกับกลิ่นอายเซียนเทพปฐพี่จริงๆ แล้วมันอาจจะด้อยกว่าเล็กน้อย

“หนึ่งสองสามสี่ห้าหกเจ็ด…”

“ครึ่งก้าวเข้าสู่เซียนเทพปฐพี่ถึงเจ็ดคนกําลังล้อมกรอบ…” ชายชราสามัญชนเมื่อกล่าวออกมาเช่นนี้น้ําเสียงของเขาก็สั่นสะท้านแสดงให้เห็นถึงความกลัวอย่างชัดเจน“ล้อมกรอบตํานานยุทธอาณาจักรถังงั้นหรือ?”

เมื่อรู้เช่นนี้ ชายชราสามัญชนก็หน้าซีด

นอกจากตํานานยุทธแห่งอาณาจักรถังแล้วชายชราสามัญชนไม่สามารถนึกถึงสิ่งอื่นที่สมควรจะทําให้เหล่าจอมยุทธครึ่งก้าวเข้าสู่เซียนเทพปฐพี่ทั้งเจ็ดมาร่วมมือกันได้

นอกจากนี้

ไม่ใช่เพียงแค่ชายชราสามัญชนผู้นี้เท่านั้น

ในเมืองฉางอัน ตํานานยุทธหลายๆคนที่มาจากต่างดินแดนต่างแสดงอาการตกตะลึง

“มีบางอย่างเกิดขึ้นแล้ว”

“ทั้งเจ็ดคนนั่นคือครึ่งก้าวเข้าสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพี่ที่อยู่เบื้องหลังนิกายใหญ่ใช่หรือไม่?”

“ตํานานยุทธอาณาจักรถังทําอะไรกันแน่ถึงคู่ ควรให้ครึ่งก้าวเข้าสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพี่ทั้ง เจ็ดต้องลงมือ?”

ตํานานยุทธต่างดินแดนจํานวนมากต่างพากันใจสั่นแต่เมื่อพวกเขาเห็นว่าครึ่งก้าวเข้าสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพีทั้งเจ็ดและซูฉินนั้นอยู่ห่างจากเมืองซูฉินไปหลายพันเมตรพวกเขาก็โล่งใจเล็กน้อย
ซูฉินสามารถดึงดูดครึ่งก้าวเข้าสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพี่ถึงเจ็ดคนให้ลงมือร่วมกัน เห็นได้ชัดว่า

ตัวเขาได้ก้าวเข้าสู่ครึ่งก้าวเข้าสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพี่เช่นเดียวกัน
และเมื่อครึ่งก้าวเข้าสู่ขอบเขตเชียนเทพปฐพีทั้งแปดต่อสู้กันเพียงลูกหลงจากการระเบิดพลังก็เพียงพอแล้วที่จะทําลายเมืองฉางอันจนรายซึ่งตํานานยุทธเหล่านี้ก็ไม่แม้แต่จะต้านทานได้

แต่ตอนนี้สนามต่อสู้อยู่สูงขึ้นไปหลายพัน เมตร……

ที่ความสูงระดับนี้ เก้าสิบเก้าในร้อยส่วนของผลจากการต่อสู้ จะกระจัดกระจายอยู่บนฟากฟ้าเศษเสี้ยวพลังเล็กน้อยที่เหลือรอดมาได้เมื่อผ่านระยะหลายพันเมตรมันย่อมลดทอนพลังลงอย่างน้อยมันก็ไม่สามารถทําลายเมืองฉางอันได้

“นี่คือครึ่งก้าวเข้าสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพีเมื่อเก้าร้อยปีก่อนตอนที่ข่าวเรื่องประตูเซียนแพร่กระจายออกไปมันก็ดึงดูดความสนใจของครึ่งก้าว เข้าสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพีอยู่บ้างแต่ยามนึกลับมีครึ่งก้าวเข้าสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพี่ถึงแปดคนต่อสู้กัน…”

มือของชายชราสามัญชนสั่นสะท้าน ถึงแม้จะเป็นสภาพจิตใจของตํานานยุทธระดับนภาชั้นที่หกก็ตามแต่ก็ค่อนข้างยากที่จะควบคุมตนเองได้ 4
“ท่านปู่ ครึ่งก้าวเข้าสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพีหายากหรือไม่?” ข้างๆชายชราที่สวมชุดแบบสามัญชนมีเด็กชายตัวเล็กๆที่สวมหน้ากากหัวเสือถามด้วยความสงสัย

“หายากหรือไม่?”

ชายชราในชุดสามัญชนส่ายศีรษะจิตใจผันผวนรีบกล่าวขึ้นว่า“ถึงแม้ครึ่งก้าวเข้าสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพี่จะไม่ใช่เซียนเทพปฐพีที่แท้จริงแต่ก็เป็นผู้ที่เคยทะลวงขอบเขตเข้าสู่เซียนเทพปฐพี่ ที่สุดท้ายล้มเหลวทําให้จิตวิญญาณแรกกําเนิดค่อยๆ พังทลายถ้าไม่ใช่ทางเลือกสุดท้ายพวกเขาจะออกมาลงมือหรือ?”

“ทุกครั้งที่ครึ่งก้าวเข้าสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพีลงมือหมายความว่าช่วงชีวิตจะลดน้อยลงไปอีกระยะหนึ่งถ้าเป็นเจ้าเจ้าจะยอมแลกช่วงชีวิตของ ตนเองกับการลงมือหนึ่งครั้งหรือไม่?”

ชายชราในชุดสามัญชนรู้สึกถึงความไม่แน่นอนในตอนนี้เขากําลังคิดที่จะถอนตัวออกจากเมือ ฉางอันโดยเร็วที่สุด

เจ็ดจอมยุทธครึ่งก้าวเข้าสู่ขอบเขตเชียนเทพปฐพีผนึกกําลังกันแม้ตํานานยุทธเมืองฉางอันจะสูงส่งเสียดฟ้าก็ยากที่จะหยุดยั้งได้ หลังจากวันนี้เกรงว่าแผ่นดินแห่งพลังยุทธอันยิ่งใหญ่คงจะถูกยึดครองโดยเหล่านิกายใหญ่เสียแล้ว

และเหล่าตํานานยุทธที่ไม่ได้อยู่ในนิกายใหญ่นั้นแน่นอนว่าจะต้องหาลู่ทางในอนาคตของตนเอง

Sign in Buddha’s palm 300 ปิดล้อมสังหาร อีกครั้ง

เมื่อตํานานยุทธขั้นสูงสุดธรรมดาๆเข้าสู่ขอบเขตเชียนเทพปฐพีมันเป็นเพราะความบังเอิญที่จิตวิญญาณแรกกําเนิดได้หลอมรวมเข้าสู่ทะเลปราณ กล้าดีอย่างไรที่จะเรียกร้องสิ่งอื่นเพิ่มเติม? แต่ซูฉินกลับสงสัยว่าหากเขาผสานจิตวิญญาณแรกกําเนิดเข้าสู่ส่วนลึกของทะเลปราณจะเป็นเช่นไร

ทะเลปราณนั้นอยู่ในส่วนลึกของความว่างเปล่าเหมือนกับวิหารการสงครามที่ไม่ได้อยู่บนโลกใบนี้สิ่งมีชีวิตทั่วไปยากที่จะเข้าถึงมันไปตลอดชั่วชีวิต เฉพาะเมื่อตํานานยุทธขั้นสูงสุดหมายจะทะลวงผ่านโซ่ตรวนใช้จิตวิญญาณแรกกําเนิดอันสมบูรณ์พุ่งเข้าไปในความว่างเปล่าสัมผัสถึงทะเลปราณอันกว้างใหญ่ไร้ที่สิ้นสุดเท่านั้นจึงจะสัมผัสได้

แม้ว่าทะเลปราณจะไม่ใช่ทะเลจริงๆ แต่ก็คล้ายกับทะเลอย่างมาก เป็นทะเลที่ประกอบขึ้นมาจากพลังงานฟ้าดินอันไร้ที่สิ้นสุด

ด้วยจิตวิญญาณแรกกําเนิดของตํานานยุทธขั้นสูงสุดธรรมดาๆมีความสามารถในการสัมผัสเพียงแค่พื้นผิวของทะเลปราณเท่านั้น

พลังงานฟ้าดินบริเวณพื้นผิวของทะเลปราณนมีอยู่มากมายก็จริง แต่เมื่อเปรียบเทียบกับในส่วนลึกแล้วย่ําแย่กว่ามาก
แน่นอน

สําหรับตํานานยุทธขั้นสูงสุดทั่วไป ย่อมไม่สนใจเรื่องเหล่านี้ เพราะเพียงแค่ผสานเข้ากับพื้นผิวของทะเลปราณก็ต้องใช้พลังไปแทบทั้งหมดแล้ว แต่ซูฉินนั้นต่างออกไป
ด้วยพลังของร่างศักดิ์สิทธิ์อีกาทองคําซูฉินมีพลังเทียบเคียงขอบเขตเซียนเทพปฐพี่แม้จะยังไม่ได้หลอมรวมเข้ากับทะเลปราณ ถ้าเป็นเหมือนตํา นานยุทธขั้นสูงสุดคนอื่นๆก็ทําได้แค่สัมผัส บริเวณขอบนอกแต่ทําไมซูฉินจะต้องก้าวเข้าสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพี่ด้วยวิธีเช่นนั้น?

“พลังงานฟ้าดินเปรียบประดุจมหาสมุทรกว้างยิ่งลึกลงไปมากเท่าไหร่ก็ยิ่งต้องทนแรงกดดันมากเท่านั้นการผสานพลังเข้าไปจะยิ่งมีความอันตรายมากขึ้นเรื่อยๆและหากไม่ระวังคงจะถูกบีบอัดเป็นผุยผงด้วยพลังของทะเลปราณทั้งหลาย”

ซูฉินดูเคร่งเครียด

นี่เป็นเหตุผลที่ทําไมเขาจึงไม่พยายามทะลวงขั้นทันทีหลังจากได้รับร่างศักดิ์สิทธิ์อีกาทองคําแม้ว่าร่างกายของซูฉินจะมีพลังมหาศาลแม้แต่กายแห่งธรรมชาติของเซียนเทพปฐพีทั่วๆไปก็ไม่สามารถต่อกรได้แต่จิตวิญญาณแรกกําเนิดยังไม่ได้มีการแปรสภาพครั้งใหญ่

นอกจากนี้ แม้ซูฉินจะสามารถแปรสภาพจิตวิญญาณแรกกําเนิดได้ หากไม่ถึงขั้นทําลายล้างผืนดินได้ในความคิดเดียวมันก็ยังเปราะบางยิ่งเมื่ออยู่ต่อหน้าทะเลปราณซึ่งเป็นสัญลักษณ์แห่งพลังงานฟ้าดินในโลกหล้านี้

“กระแสปราณฉีกําลังฟื้นคืน ทะเลปราณในส่วนลึกของความว่างเปล่าก็ทรงพลังขึ้นเช่นกันในเวลานี้หากจิตวิญญาณหลอมรวมเข้าไปและพบกับคลื่นพลังที่เปลี่ยนแปลงไป เกรงว่าจะถูกซัดจนแหลกสลาย…”

ซูฉินขบคิดอยู่เงียบๆ

แม้กระแสปราณฉีที่ฟื้นคืนจะส่งผลต่อทะเลปราณแต่เมื่อตํานานยุทธขั้นสูงสุดต้องการจะทะลวงผ่านมันจะรับรู้ถึงความผันผวนของทะเลปราณได้ง่ายขึ้นเป็นผลดีในการผสานเข้าหามัน

แต่ในข้อดีก็มีข้อเสีย

ได้ผลประโยชน์ก็ย่อมมีความเสี่ยง

“ร่างกายในปัจจุบันของข้า ที่ครั้งหนึ่งเคยเข้าสู่สภาวะร่างศักดิ์สิทธิ์อีกาทองคํามันสามารถควบคุมพลังงานธาตุไฟระหว่างฟ้าดินได้อย่าง ง่ายดาย และไวต่อพลังงานของทะเลปราณในส่วนลึกของความว่างเปล่าเป็นอย่าง ยิ่ง…”

การแสดงออกของซูฉินเต็มไปความรู้สึก

ในสถานการณ์เช่นนี้ซูฉินสามารถก้าวเข้าสู่ขอบ เขตเซียนเทพปฐพีได้เพียงแค่ใจคิดโดยไม่มีข้อผิดพลาดใดสาเหตุที่แหล่งกําเนิดธาตุทั้งห้าสา มารถช่วยให้ตํานานยุทธขั้นสูงสุดฝ่าฟันไปได้ก็เพราะมันมีพลังงานของธาตุทั้งห้าอยู่อย่างมหาศาลจนสามารถสัมผัสได้ถึงทะเลปราณในส่วนลึก ของความว่างเปล่าด้วยวิธีนี้สําหรับตํานานยุทธขั้นสูงสุดก็เป็นเหมือนเครื่องนําทางป้องกันความ เสี่ยงที่หลงทางในส่วนลึกของความว่างเปล่า

แต่ตอนนี้ร่างกายของซูฉินได้เข้ามาแทนที่แหล่งกําเนิดธาตุทั้งห้าเรียบร้อย ไม่เพียงเท่านั้นเมื่อเทียบกับแหล่งกําเนิดธาตุทั้งห้าแล้วร่างศักดิ์สิทธิ์อีกาทองคําสามารถสัมผัสทะเลปราณได้ แม่นยํายิ่งกว่า

ไม่ว่าแหล่งกําเนิดธาตุทั้งห้าจะมีค่าเพียงใดจะมาเปรียบเทียบกับร่างกายของสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ได้อย่างไร? แม้ว่าร่างกายของซูฉินจะยังคงเป็นร่าง กายมนุษย์ แต่ในบางแง่เขาก็เป็นประหนึ่งลูกรักของพลังงานธาตุไฟไปแล้ว

ขณะที่ซูฉินกําลังคิดว่าจะเข้าสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพีได้อย่างไรโดยไม่ล้มเหลว
นอกเขตแดนอาณาจักรถัง

ภายในหุบเขาแห่งหนึ่งที่มีกลิ่นหอมของโอสถลอยโชย

ร่างของเจ้าสํานักผู้วิเศษชิงหมางก็ปรากฏขึ้นเงียบๆ

“ชิงหมาง เจ้ามาแล้วรี? ตํานานยุทธแห่งอาณาจักรถังยอมรับข้อเสนอของเราหรือไม่?” ไม่นานหลังจากเจ้าสํานักผู้วิเศษชิงหมางปรากฏกายเสียง ของคนแก่ก็ดังขึ้น ชายชราในชุดขาวค่อยๆเดินออกมาถามไถ่เจ้าสํานักผู้วิเศษชิงหมาง

ไม่เพียงแค่ชายชราที่สวมชุดขาวเท่านั้น ยังมีร่างอื่นๆ อีกหลายร่างปรากฏตัวขึ้นอย่างแผ่วเบาจ้องมองมาที่เจ้าสํานักผู้วิเศษชิงหมาง

“ดูเหมือนจ้าวโอสถจะฟื้นตัวดีแล้ว?” เจ้าสํานักผู้วิเศษชิงหมางเหลือบมองชายชราที่สวมชุดขาวรอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขาส่ายศีรษะพร้อมกับกล่าวว่า “ตํานานยุทธอาณาจักรถังไม่ยอมรับข้อเสนอของเรา”

“หึ!”

“ในเมื่อไม่รับข้อเสนอก็จงไปลงนรกซะการผนึกกําลังของนิกายใหญ่ ต่อให้เป็นเซียนเทพปฐพีก็เพียงพอจะต่อกร ยังจะต้องกลัวตํานาน ยุทธขั้นสูงสุดคนหนึ่งงั้นรึ?” จ้าวโอสถในชุดสีขาว ยังไม่ทันได้พูดอะไร ร่างบางด้านข้างก็เปล่งเสียง เย็นชาราวกับกําลังประกาศชะตากรรมที่ซูฉินจะต้ องเผชิญ
“ถูกต้อง”

“เราได้ให้โอกาสสหายเต่ําจากอาณาจักรถังแล้

ชายชราในชุดคลุมสีขาวพยักหน้าเล็กน้อยร่องรอยความเห็นอกเห็นใจปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขา “น่าเสียดายที่สหายเตผู้นี้โลภมากจนเกินไป เขาต้องการจะกลืนแผ่นดินแห่งพลังยุทธอันยิ่งใหญ่เอาไว้คนเดียว…”

เมื่อร่างอื่นๆ ได้ยินคําพูดนี้ ท่าทีของพวกเขาก็ ดูเหมือนจะเห็นด้วย
ซูฉินแข็งแกร่งมากสามารถสังหารตํานานยุทธขั้นสูงสุดที่แปลงจิตวิญญาณแรกกําเนิดทั้งสามซึ่งรวมถึงบรรพบุรุษเหลยสิ่งได้เกรงว่าคนผู้นี้จะเป็นเหมือนพวกเขาที่ก้าวเข้าสู่ชายขอบของขอบเขตเซียนเทพปฐพี่แล้ว

แต่ไม่ว่าจะแข็งแกร่งสักเพียงใดจะเทียบกับนิกายใหญ่ที่สืบทอดมรดกมานับหมื่นปีได้หรือ?หากเป็นโอกาสหรือสมบัติอย่างอื่นนิกายใหญ่เหล่านี้อาจจะยอมปล่อยมันไปแต่แผ่นดินแห่งพลังยุทธฯนั้นแตกต่าง

“เมื่อไหร่กันที่เราจะมุ่งหน้าสู่อาณาจักรถัง”ในเวลานั้นเสียงหนึ่งก็ดังขึ้น

“อีกเจ็ดวันต่อจากนี้” เจ้าสํานักผู้วิเศษชิงหมางครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “ข้ายังต้องใช้เวลาอีกสักสองสามวันในการปรับตัว”

แม้ว่าจะบ่มเพาะมากว่าหนึ่งปี ความแข็งแกร่งของเจ้าสํานักผู้วิเศษชิงหมางเองก็ได้รับการฟื้นฟูเกือบจะเต็มที่แล้วทว่าหลังจากหลับใหลมานานกว่าสองพันปี เขายังต้องการเวลาในการปรับตัวต่อโลกภายนอกอีกสักพัก

“ดี”

“กําหนดการจะเริ่มต้นขึ้นในอีกเจ็ดวัน”

“จะให้ตํานานยุทธอาณาจักรถังได้มีชีวิตอยู่ต่อไปได้อีกเจ็ดวัน”

เสียงที่เย็นชาในตอนแรกก็ดังขึ้นมาอีกครั้ง

คําที่กล่าวออกมา

เจ้าสํานักผู้วิเศษชิงหมาง และคนอื่นๆ ไม่มีใครโต้ตอบกลับไป ราวกับมันตรงกับสิ่งที่อยู่ในใจของพวกเขามันคงจะถึงเวลาตายของซูฉินเสีย แล้ว เมื่อพวกเขารวมพลังมุ่งหน้าไปยังเมืองฉางอันจริงๆ

มันย่อมเป็นเรื่องที่แน่นอน

ครึ่งก้าวสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพี่มากกว่าห้าคนร่วมมือกัน ควบคู่ไปกับสมบัติล้ําค่าจากนิกายใหญ่นอกเหนือจากเซียนเทพปฐพีใครเล่าจะสา มารถเป็นศัตรูกับพวกเขาได้?
ไม่ว่าปราณเลือดของซูฉินจะแข็งแกร่งเพียงใดเขาก็ยังไม่ได้ก้าวเข้าสู่ขอบเขตเชียนเทพปฐพีอย่างแท้จริงจะอยู่รอดได้อย่างไรเมื่อเจอกับการ กดขี่เช่นนี้?

อาณาจักรถัง

เมืองฉางอัน

เป็นปกติที่ซูฉินจะไม่รู้ตัวว่าตัวเองเป็นเหมือนกับคนตายในสายตาของเหล่าจอมยุทธครึ่งก้าวสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพีจากนิกายใหญ่

แม้ว่าซูฉินจะรู้ แต่เขาคงส่งยิ้มเย็นๆไปให้

เหตุผลที่เขาไม่แสดงความแข็งแกร่งของเขาต่อหน้าเจ้าสํานักผู้วิเศษชิงหมางเพราะเจ้าสํานักผู้วิเศษชิงหมางไม่ได้ลงมือลงได้ภายในวังหลวงทั้งยังมีเหตุผลอีกอย่างที่สําคัญกว่าคือซูฉินต้องการจะจัดการผู้นํานิกายใหญ่ทั้งหมดในคราวเดียว

ถ้าซูฉินลงมือกับเจ้าสํานักผู้วิเศษชิงหมาง เหล่าจอมยุทธครึ่งก้าวสู่เซียนเทพปฐพี่จะยังกล้ายืนหยัดต่อสู้ต่อไปอีกหรือ?

ในเวลานั้น หากอีกฝ่ายซ่อนตัวอยู่ในเงามืดและจัดการกับอาณาจักรถังอย่างเงียบๆซูฉันคงจะต้องใช้เวลามากมายไล่ล่าอีกฝ่ายมันจะไม่เป็นปัญหาหรอกหรือ?

ในวันนี้เอง

ซูฉันกําลังเดินเล่นไปรอบๆ วังหลวงพร้อมกับเยวหยุนและจักรพรรดิถัง

หลังจากรวมเข้ากับร่างศักดิ์สิทธิ์อีกาทองคําในที่สุดซูฉินก็มีความมั่นใจที่จะเผชิญหน้ากับนิกายใหญ่ทั้งหลายนอกจากนี้เขาก็กําลังพิจารณาอยู่ด้วยว่าจะเข้าสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพีอย่างไรโดยไม่ล้มเหลวดังนั้นตัวเขาจึงระงับการฝึกฝนมุ่งความสนใจให้กับครอบครัวแทน

“พี่สาม เหล่าจอมยุทธจากต่างแดนล้วนบอกว่าท่านได้ทําลายล้างพรรคหมื่นดาบนี่เป็นเรื่องจริงหรือ?” ฮองเฮาซูเยวหยุนอดไม่ได้ที่จะถามออกมา

ทุกวันนี้ การฟื้นคืนของกระแสปราณฉีนั้นทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ ตํานานยุทธจากต่างดินแดนพากันหลั่งไหลเข้ามาในอาณาจักรถังมากขึ้น และแม้แต่ตํานานยุทธจากนิกายเล็กๆในต่างแดนก็หันมาสนใจอาณาจักรถัง

ในยุทธภพต่างแดน นิกายใหญ่ต่างอยู่เหนือทุกสรรพชีวิตอย่างแน่นอน แต่นอกเหนือจากนิกายใหญ่ก็ยังมีนิกายย่อยจํานวนมาก

นิกายเล็กๆ เหล่านี้ด้อยกว่านิกายใหญ่มาก ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกลี้ภัยมาอยู่อาณาจักรถัง

อาณาจักรถังเองก็เห็นด้วยกับเรื่องนี้

ด้วยพลังอํานาจของซูฉิน นิกายเล็กๆ เหล่านี้ย่อมไม่กล้าเล่นกลอุบายใด
เมื่อนิกายเล็กๆเหล่านี้เริ่มที่จะมาเข้าร่วมซูเยว่หยุนก็เริ่มรู้ถึงความสําเร็จของซูฉินในต่างดิน แดน

เสียงของซูเยวหยุนเพิ่งจะจบไป

จักรพรรดิถังก็เงี่ยหูฟังในทันทีเห็นได้ชัดว่าอยากทราบเรื่องนี้ไม่น้อย
ด้วยการติดต่อกับตํานานยุทธจากต่างดินแดนเหล่านั้นอย่างต่อเนื่อง จักรพรรดิถังจึงตระหนักถึงน้ําหนักของนิกายใหญ่ในต่างแดน

แม้แต่นิกายใหญ่ที่อ่อนแอที่สุดก็สืบทอดมรดกต่อมาเป็นเวลาหลายพันปี เหนือกว่าอาณาจักรถังหลายเท่า

หากไม่มีซูฉิน ศิษย์นิกายใหญ่ระดับล่างก็เพียงพอแล้วที่จะกวาดล้างอาณาจักรถังเหยียบย่าจักรพรรดิอย่างตัวเขาไว้ใต้ฝ่าเท้า

“ก็เป็นจริงดังว่า” ซูฉินยิ้มแล้วกล่าวออกอย่างเป็นกันเอง

หลังจากได้รับการยืนยันจากซูฉินจักรพรรดิถังและซูเยวหยุนก็มองหน้ากัน แสดงสีหน้าตกใจ

แม้ว่าพวกเขาจะยืนยันเรื่องราวนี้มาก่อนแล้วพวกเขาก็ยังคงเสียอาการเล็กน้อยหลังจากได้ฟัง คํายืนยันจากซูฉิน

นั่นคือนิกายใหญ่ที่ได้รับการสืบทอดมานับพันปีมีภูมิหลังนับไม่ถ้วน และมีตัวตนที่แข็งแกร่ง กําเนิดขึ้นมากมายพูดมาได้อย่างไรว่าถูกทําลาย ลงแล้ว?

“พี่สาม พี่กลายเป็นเทพเซียนแล้วหรือ?” ซูเยว่หยุนสงบใจลงและถามอย่างไม่แน่ใจ

“ข้าไม่ใช่เทพเซียน นั่นมันเป็นสิ่งที่มีอยู่ในตํานานเท่านั้น ข้าเป็นเพียงแค่ผู้ฝึกยุทธ
ซูฉินส่ายศีรษะ

ตามความเข้าใจของซูฉินเกี่ยวกับการฝึกฝนวิทยายุทธแม้แต่เซียนเทพปฐพีก็ไม่ใช่เทพเซียนที่แท้จริงไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องที่ซูฉินยังไม่ได้เป็น แม้แต่เซียนเทพปฐพี่ด้วยซ้ํา

ด้วยร่างศักดิ์สิทธิ์อีกาทองคําซูฉินสามารถเทียบเคียงได้กับเซียนเทพปฐพีแต่ก็ไม่ใช่เซียนเทพปฐพี

ซูเยวหยุนและจักรพรรดิถังเมื่อได้ยินดังนั้นพวกเข้าก็พยักหน้าตามคล้ายเข้าใจแต่ก็ไม่เข้าใจ

เมื่อซูเยว่หยุนต้องการจะกล่าวต่อ

ซูฉินก็เงยหน้าขึ้น มองไปรอบๆ พร้อมกับมีรอยยิ้มประดับบนใบหน้า
“ในที่สุดก็มากันหมดแล้ว”ซูฉินกระซิบคํา

“มากันหมดแล้ว? พี่สาม ท่านกําลังพูดถึงใครหรือ?”จักรพรรดิถังไม่ทันรับรู้สิ่งที่อยู่บนท้องฟ้า

นอกจากพวกเขาแล้ว ก็มีทหารลาดตระเวนอยู่แถวนี้ยังมีใครอื่นอยู่แถวนี้อีกหรือ?
ในขณะที่จักรพรรดิถังและซูเยวหยุนยังไม่เข้าใจเรื่องราว

จากอากาศอันว่างเปล่าเสียงที่ดูไม่แยแสก็ดังขึ้นในทันใด

“ฮ่าฮ่าฮ่า เคยได้ยินชิงหมางกล่าวถึงเมื่อนานมาแล้วสหายเต่ช่างมีสัมผัสที่เฉียบแหลมดูเหมือนจะไม่ธรรมดาจริงๆ”

จากนั้นจักรพรรดิถังและซูเยว่หยุนก็พากันเบิกตากว้างตื่นตกใจ

เห็นส่วนลึกของความว่างเปล่ามีร่างคนค่อยๆออกมาทีละคนจนสุดท้ายก็เผยตัวออกมาถึงเจ็ดร่างลอยอยู่สูงเหนือพระราชวังมองลงมาประหนึ่งทวยเทพมองมดบนดิน

ทันทีที่ร่างทั้งเจ็ดปรากฏขึ้น รัศมีพลังของพวกมันก็พุ่งสูงขึ้นราวกับจะทําลายสิ่งกีดขวางทุกสิ่งจนเผยให้เห็นทะเลปราณอันกว้างใหญ่ไร้ที่สิ้นสุด 24

Sign in Buddha’s palm 299 (II) เริ่มสงคราม ครั้งใหญ่

“ในเมื่อสหายเต่ไม่เห็นด้วย ข้าจะขอจากไปก่อน สําหรับการมาเยือนครั้งนี้ ขอขอบคุณสหายเต่ําที่เป็นเจ้าภาพต้อนรับอย่างดี”

ขณะที่เจ้าสํานักผู้วิเศษชิงหมางพูด ร่างของเขาก็ละลายหายไปกับความมืดอย่างสมบูรณ์

ในการรับรู้ของซูฉิน เจ้าสํานักผู้วิเศษชิงหมาง กําลังพุ่งตัวออกไปนอกเมืองฉางอันด้วยความเร็วที่น่าสะพรึงกลัว

“เป็นทักษะหลบหนีที่น่าสนใจดีนี่? มันเป็นทักษะหลบหนีที่คล้ายกันกับของวิหารหมื่นพุทธ?”

ซูฉินรับรู้อย่างระมัดระวัง ครุ่นคิดในใจเงียบๆ

ทักษะท่าเท้าหลบหนีศักดิ์สิทธิ์ของวิหารหมื่นพุทธสืบทอดมาตั้งแต่ยุคเฟื่องฟูกระแสปราณฉีครั้งล่าสุด รากฐานบางอย่างของวิหารหมื่นพุทธก็เป็นทักษะลับที่สร้างขึ้นมาจากทิพยอํานาจในพุทธศาสนา แม้จะอ่อนด้อยกว่าทิพยอํานาจไปมาก แต่ก็เหนือกว่าทักษะหลบหนีทั่วไป

อย่างไรก็ตาม วิธีการที่เจ้าสํานักผู้วิเศษชิงหมางใช้เมื่อครู่ คล้ายคลึงกับท่าเท้าหลบหนีศักดิ์สิทธิ์อย่างยิ่ง

“แต่ว่านี่ก็เป็นครั้งแรกที่ข้าได้เห็นผู้คนจากสํานักผู้วิเศษ…” ซูฉินเหม่อมองครุ่นคิด “เมื่อเทียบกับเทพจันทราที่ข้าพบในลัทธิบูชาจันทร์ มันก็ดูคล้ายๆกัน”

ความคิดของซูฉินเริ่มผันผวน

สิบปีที่ผ่านมา นักบุญจากลัทธิบูชาจันทร์ได้แทรกซึมเข้ามาภายในเมืองฉางอัน ต้องการจะควบคุมตระกูลซูรวมถึงอาณาจักรถัง

หลังจากที่ซูฉินรับรู้เรื่องนี้ เขาก็ได้สังหารนัก บุญลัทธิบูชาจันทร์ทันที และในไม่ช้าก็เดินทางไปยังอาณาจักรหนานจ้าวเพียงลําพัง เพื่อทําลายลัทธิบูชาจันทร์ทิ้ง

“เป็นไปได้ไหมว่า “เทพจันทรา” นั้นมาจากสํานักผู้วิเศษ?” ใบหน้าของซูฉันยังคงนิ่งเรียบ ไม่ได้คิดเรื่องราวเหล่านี้ต่อไป

ไม่ว่าเทพจันทราที่ลัทธิบูชาจันทร์คอยกราบ ไหว้บูชาจะมีความเชื่อมโยงกับสํานักผู้วิเศษหรือไม่ มันก็ไม่ได้อยู่ในสายตาของซูฉินอีกต่อไป

หากเทพจันทรานั้นเป็นศิษย์ของสํานักผู้วิเศษจริงๆ? สํานักผู้วิเศษกล้าที่จะแก้แค้นซูฉินเพียง เพราะศิษย์ขอบเขตตํานานยุทธหรือไม่?

หลังจากที่เจ้าสํานักผู้วิเศษชิงหมางจากไปอย่างสมบูรณ์
ชายชราเฟยย ที่อยู่ด้านข้างในที่สุดก็งัดความกล้าออกมาแล้วกล่าวว่า “นายท่าน เจ้าสํานักผู้วิเศษชิงหมางเป็นหนึ่งในผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในสํานักผู้วิเศษ ปล่อยเขาไปเช่นนี้จะดีหรือ?”

ชายชราเฟียยวมองซูฉินอย่างระมัดระวัง
แม้ซูฉินจะไม่ได้พูดคุยกับเจ้าสํานักผู้วิเศษชิงหมางมากนัก แต่ก็เห็นได้ชัดว่าการตัดสินใจไม่ได้ไปในทางเดียวกัน แทนที่จะปล่อยไป เลือกจัดการเจ้าสํานักผู้วิเศษชิงหมางให้ฝังร่างอยู่ในเมืองฉางอันไปตลอดไม่ดีกว่าหรือ

“ไม่เป็นไร”

ซูฉินส่ายศีรษะเล็กน้อยไม่ได้สนใจ

หากซูฉินยังไม่สําเร็จวิชาภาพดวงตะวันฯ ระดับเล็ก และยังไม่ได้หลอมรวมเข้ากับร่างศักดิ์สิทธิ์อีกาทองคํา เพื่อลดแรงกดดันในอนาคต เป็นธรรมดาที่เขาจะไม่ปล่อยเจ้าสํานักผู้วิเศษชิงหมางไป

แต่ตอนนี้ซูฉินไร้เทียมทานแล้ว แม้ว่าจะเป็นเซียนเทพปฐพีมาเอง ก็ยังต้องประมือดูก่อนเพื่อประเมินว่าจะชนะหรือแพ้ เป็นไปได้อย่างไรที่จะเห็นเจ้าสํานักผู้วิเศษชิงหมางอยู่ในสายตา?

นอกจากนี้หากเจ้าสํานักผู้วิเศษชิงหมางตกตายในเมืองฉางอัน มันย่อมทําให้ผู้แข็งแกร่งในระดับครึ่งก้าวสู่ขอบเขตเชียนเทพปฐพี่หวาดระแวงอย่างช่วยไม่ได้ บางทีพวกเขาอาจจะไม่กล้ามาที่เมืองฉางอันเลยก็เป็นได้
นี่คือความแตกต่างเมื่อมีความแข็งแกร่งและความมั่นใจ วิธีการที่เลือกใช้ย่อมแตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง

เมื่อเห็นเช่นนี้ เฟยยวก็ไม่กล้าพูดอะไรมากนัก ยืนอยู่ด้านข้างซูฉินที่กําลังเฝ้าดูบ้านเรือนนับหมื่นหลังด้วยความเคารพ
เวลาค่อยๆ เดินหน้าต่อไป

หนึ่งเดือนผ่านพ้นไปในชั่วพริบตา

ในช่วงเวลานี้ซูฉินกําลังปรับตัวกับพลังที่เพิ่มสูงขึ้นของตัวเขาเอง แม้ว่าร่างศักดิ์สิทธิ์อีกาทองคําจะทรงพลัง แต่ก็ต้องมีเวลาให้ซูฉินได้ ทําความคุ้นเคยกับพลังนี้อย่างเต็มที่

ท้ายที่สุดซูฉินก็ไม่ใช่อีกาทองคําสามขาที่แท้จริง ไม่ใช่สัตว์ศักดิ์สิทธิ์ที่ทรงพลังโดยกําเนิด

นอกเหนือจากการปรับตัวให้เข้ากับความแข็งแกร่งของตนเอง ซูฉินก็กําลังคิดว่าตัวเขาควรจะทําอะไรต่อไปดี

ตอนนี้ซูฉินมีสองทางเลือก

ละทิ้งตัวตนของผู้ฝึกยุทธไปอย่างสิ้นเชิง มุ่งเน้นไปที่เส้นทางของสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ ฝึกฝนภาพสิบสองสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ซึ่งถือเป็นสิ่งที่มีอํานาจมากที่สุดในโลกทั้งสิบสองชนิด ตอนนี้เขาฝึกฝนแค่ภาพดวงตะวันขนาดมหึมาเท่านั้นยังปรับปรุง ความสามารถของซูฉินถึงเพียงนี้ หากฝึกฝนต่อไป ย่อมมีศักยภาพมหาศาล เพียงไม่นานก็คงจะก้าวข้ามขอบเขตเซียนเทพปฐพี

เมื่อเทียบกับเส้นทางสายผู้ฝึกยุทธ เส้นทางของสัตว์ศักดิ์สิทธิ์นั้นง่ายกว่ามาก และช่วยปรับปรุงความสามารถได้ไกลกว่าที่เคยเป็น

ตัวอย่างเช่น หากจอมยุทธต้องการเข้าสู่ขอบ เขตเซียนเทพปฐพี เขาต้องผ่านความยากลําบากทุกรูปแบบ หลายพันหลายหมื่นล้านรูปแบบ แต่กับสัตว์ศักดิ์สิทธิ์……

เพียงลูกอีกาทองคําสามขาแรกเกิดก็มีพลังพอที่จะกวาดล้างเซียนเทพปฐพี่ส่วนใหญ่ได้แล้ว ช่องว่างระหว่างทั้งคู่ช่างแตกต่างยิ่งนัก
ผู้ฝึกยุทธทั่วทั้งโลกตลอดชั่วชีวิตแทบจะไม่มีโอกาสไปถึงจุดเริ่มต้นของสัตว์ศักดิ์สิทธิ์วัยเยาว์ด้วยซ้ํา……

“เส้นทางของสัตว์ศักดิ์สิทธิ์นั้นง่ายกว่ามาก แต่มันก็มีขีดจํากัดชัดเจน แต่เส้นทางผู้ฝึกยุทธมีศักยภาพไร้ขีดจํากัด ในอนาคตอาจจะมีโอกาสกลายเป็นบรรพชนเซียนอมตะก็เป็นได้

ซูฉินครุ่นคิดเป็นเวลานาน ทันใดนั้นภายในหัวใจของเขาก็รู้สึกมั่นคงมากขึ้น

ถ้าสัตว์ศักดิ์สิทธิ์นั้นอยู่ยงคงกระพันจริงๆแล้ว ภาพสิบสองสัตว์ศักดิ์สิทธิ์จะถูกสร้างขึ้นมาได้อย่างไร?

ภาพสิบสองสัตว์ศักดิ์สิทธิ์สามารถสร้างพลัง ของสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ได้ถึงสิบสองชนิด จะต้องมีความเข้าใจอย่างถ่องแท้เกี่ยวกับสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ทั้งสิบสอง บางทีกลุ่มสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ทั้งสิบสองชนิดอาจถูกจับตัวมาเพื่อสังเกตและทดลอง จึงสร้างขึ้นมาเป็นภาพสิบสองสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ได้
ดังนั้น

เพียงพิจารณาจากภาพสิบสองสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ แสดงให้เห็นว่า สัตว์ศักดิ์สิทธิ์ในตํานานไม่ได้อยู่ยงคงกระพันอย่างแท้จริง ในช่วงแรกสัตว์ศักดิ์สิทธิ์อาจจะสะดวกสบายเหลือคณา เพียงแค่เกิดขึ้นมาก็อยู่สูงกว่าเผ่าพันธุ์มนุษย์ส่วนใหญ่แล้ว แต่ยิ่งพัฒนาต่อไป ช่องว่างเหล่านั้นจะยิ่งแคบลงเรื่อยๆ

แน่นอน

นี่เป็นเพราะซูฉินมีระบบอยู่ ไม่รู้ว่ามีศักยภาพเหนือกว่าผู้ฝึกยุทธคนอื่นๆ สักแค่ไหน ไม่เช่นนั้น ไม่ว่าซูฉินจะมีความมั่นใจมากเท่าไร เขาก็ไม่กล้าคิดว่าตนเองจะก้าวข้ามสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ตัวเต็มวัยไปได้แม้เป็นเรื่องของอนาคต

“สัตว์ศักดิ์สิทธิ์ทั้งสิบสองเป็นเพียงเครื่องมือ ข้าจะยังใช้วิถีทางฝึกยุทธแบบมนุษย์เป็น “รากฐาน” ความคิดของซูฉินผันผวน เริ่มพิจารณาเรื่องนี้อย่างจริงจัง

“ในเมื่อข้าจะเดินตามเส้นทางของผู้ฝึกยุทธ สิ่งที่ต้องทําในยามนี้คือทะลวงคอขวดเพื่อข้ามผ่านเข้าสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพี”
ซูฉันคิดในใจอย่างรวดเร็ว

สําหรับผู้ฝึกยุทธคนอื่นๆ ขอบเขตเชียนเทพปฐพีเป็นดั่งตํานาน แม้แต่ในสายตาของเจ้าสํานักผู้วิเศษชิงหมาง ขอบเขตเซียนเทพปฐพีก็ยังเป็นขอบเขตที่เข้าไม่ถึง

เมื่อพวกเขาได้ใกล้ชิดกับขอบเขตเซียนเทพปฐพีอันกล้าแกร่ง สุดท้ายก็ล้มเหลว พากันตกตาย

แต่ซูฉันรู้สึกว่าขอบเขตเชียนเทพปฐพีนั้นไม่ยาก ตอนนี้ฐานพลังของเขาสมบูรณ์แล้ว และด้วยพลังของร่างศักดิ์สิทธิ์อีกาทองคํา เขาก็เป็นเหมือนกับทะเลผืนหนึ่งที่เต็มไปด้วยพลังงานธาตุไฟ มันเป็นเรื่องง่ายๆ ที่จะดึงทะเลปราณออกมา จากส่วนลึกของความว่างเปล่า

สิ่งที่ซูฉันคิดอยู่ในตอนนี้คือ หากจิตวิญญาณ แรกกําเนิดของเขารวมเข้ากับทะเลปราณ เขาจะเข้าไปในทะเลปราณได้ลึกเพียงใด

Sign in Buddha’s palm 299 (II) เริ่มสงคราม ครั้งใหญ่

“ในเมื่อสหายเต่ไม่เห็นด้วย ข้าจะขอจากไปก่อน สําหรับการมาเยือนครั้งนี้ ขอขอบคุณสหายเต่ําที่เป็นเจ้าภาพต้อนรับอย่างดี”

ขณะที่เจ้าสํานักผู้วิเศษชิงหมางพูด ร่างของเขาก็ละลายหายไปกับความมืดอย่างสมบูรณ์

ในการรับรู้ของซูฉิน เจ้าสํานักผู้วิเศษชิงหมาง กําลังพุ่งตัวออกไปนอกเมืองฉางอันด้วยความเร็วที่น่าสะพรึงกลัว

“เป็นทักษะหลบหนีที่น่าสนใจดีนี่? มันเป็นทักษะหลบหนีที่คล้ายกันกับของวิหารหมื่นพุทธ?”

ซูฉินรับรู้อย่างระมัดระวัง ครุ่นคิดในใจเงียบๆ

ทักษะท่าเท้าหลบหนีศักดิ์สิทธิ์ของวิหารหมื่นพุทธสืบทอดมาตั้งแต่ยุคเฟื่องฟูกระแสปราณฉีครั้งล่าสุด รากฐานบางอย่างของวิหารหมื่นพุทธก็เป็นทักษะลับที่สร้างขึ้นมาจากทิพยอํานาจในพุทธศาสนา แม้จะอ่อนด้อยกว่าทิพยอํานาจไปมาก แต่ก็เหนือกว่าทักษะหลบหนีทั่วไป

อย่างไรก็ตาม วิธีการที่เจ้าสํานักผู้วิเศษชิงหมางใช้เมื่อครู่ คล้ายคลึงกับท่าเท้าหลบหนีศักดิ์สิทธิ์อย่างยิ่ง

“แต่ว่านี่ก็เป็นครั้งแรกที่ข้าได้เห็นผู้คนจากสํานักผู้วิเศษ…” ซูฉินเหม่อมองครุ่นคิด “เมื่อเทียบกับเทพจันทราที่ข้าพบในลัทธิบูชาจันทร์ มันก็ดูคล้ายๆกัน”

ความคิดของซูฉินเริ่มผันผวน

สิบปีที่ผ่านมา นักบุญจากลัทธิบูชาจันทร์ได้แทรกซึมเข้ามาภายในเมืองฉางอัน ต้องการจะควบคุมตระกูลซูรวมถึงอาณาจักรถัง

หลังจากที่ซูฉินรับรู้เรื่องนี้ เขาก็ได้สังหารนัก บุญลัทธิบูชาจันทร์ทันที และในไม่ช้าก็เดินทางไปยังอาณาจักรหนานจ้าวเพียงลําพัง เพื่อทําลายลัทธิบูชาจันทร์ทิ้ง

“เป็นไปได้ไหมว่า “เทพจันทรา” นั้นมาจากสํานักผู้วิเศษ?” ใบหน้าของซูฉันยังคงนิ่งเรียบ ไม่ได้คิดเรื่องราวเหล่านี้ต่อไป

ไม่ว่าเทพจันทราที่ลัทธิบูชาจันทร์คอยกราบ ไหว้บูชาจะมีความเชื่อมโยงกับสํานักผู้วิเศษหรือไม่ มันก็ไม่ได้อยู่ในสายตาของซูฉินอีกต่อไป

หากเทพจันทรานั้นเป็นศิษย์ของสํานักผู้วิเศษจริงๆ? สํานักผู้วิเศษกล้าที่จะแก้แค้นซูฉินเพียง เพราะศิษย์ขอบเขตตํานานยุทธหรือไม่?

หลังจากที่เจ้าสํานักผู้วิเศษชิงหมางจากไปอย่างสมบูรณ์
ชายชราเฟยย ที่อยู่ด้านข้างในที่สุดก็งัดความกล้าออกมาแล้วกล่าวว่า “นายท่าน เจ้าสํานักผู้วิเศษชิงหมางเป็นหนึ่งในผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในสํานักผู้วิเศษ ปล่อยเขาไปเช่นนี้จะดีหรือ?”

ชายชราเฟียยวมองซูฉินอย่างระมัดระวัง
แม้ซูฉินจะไม่ได้พูดคุยกับเจ้าสํานักผู้วิเศษชิงหมางมากนัก แต่ก็เห็นได้ชัดว่าการตัดสินใจไม่ได้ไปในทางเดียวกัน แทนที่จะปล่อยไป เลือกจัดการเจ้าสํานักผู้วิเศษชิงหมางให้ฝังร่างอยู่ในเมืองฉางอันไปตลอดไม่ดีกว่าหรือ

“ไม่เป็นไร”

ซูฉินส่ายศีรษะเล็กน้อยไม่ได้สนใจ

หากซูฉินยังไม่สําเร็จวิชาภาพดวงตะวันฯ ระดับเล็ก และยังไม่ได้หลอมรวมเข้ากับร่างศักดิ์สิทธิ์อีกาทองคํา เพื่อลดแรงกดดันในอนาคต เป็นธรรมดาที่เขาจะไม่ปล่อยเจ้าสํานักผู้วิเศษชิงหมางไป

แต่ตอนนี้ซูฉินไร้เทียมทานแล้ว แม้ว่าจะเป็นเซียนเทพปฐพีมาเอง ก็ยังต้องประมือดูก่อนเพื่อประเมินว่าจะชนะหรือแพ้ เป็นไปได้อย่างไรที่จะเห็นเจ้าสํานักผู้วิเศษชิงหมางอยู่ในสายตา?

นอกจากนี้หากเจ้าสํานักผู้วิเศษชิงหมางตกตายในเมืองฉางอัน มันย่อมทําให้ผู้แข็งแกร่งในระดับครึ่งก้าวสู่ขอบเขตเชียนเทพปฐพี่หวาดระแวงอย่างช่วยไม่ได้ บางทีพวกเขาอาจจะไม่กล้ามาที่เมืองฉางอันเลยก็เป็นได้
นี่คือความแตกต่างเมื่อมีความแข็งแกร่งและความมั่นใจ วิธีการที่เลือกใช้ย่อมแตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง

เมื่อเห็นเช่นนี้ เฟยยวก็ไม่กล้าพูดอะไรมากนัก ยืนอยู่ด้านข้างซูฉินที่กําลังเฝ้าดูบ้านเรือนนับหมื่นหลังด้วยความเคารพ
เวลาค่อยๆ เดินหน้าต่อไป

หนึ่งเดือนผ่านพ้นไปในชั่วพริบตา

ในช่วงเวลานี้ซูฉินกําลังปรับตัวกับพลังที่เพิ่มสูงขึ้นของตัวเขาเอง แม้ว่าร่างศักดิ์สิทธิ์อีกาทองคําจะทรงพลัง แต่ก็ต้องมีเวลาให้ซูฉินได้ ทําความคุ้นเคยกับพลังนี้อย่างเต็มที่

ท้ายที่สุดซูฉินก็ไม่ใช่อีกาทองคําสามขาที่แท้จริง ไม่ใช่สัตว์ศักดิ์สิทธิ์ที่ทรงพลังโดยกําเนิด

นอกเหนือจากการปรับตัวให้เข้ากับความแข็งแกร่งของตนเอง ซูฉินก็กําลังคิดว่าตัวเขาควรจะทําอะไรต่อไปดี

ตอนนี้ซูฉินมีสองทางเลือก

ละทิ้งตัวตนของผู้ฝึกยุทธไปอย่างสิ้นเชิง มุ่งเน้นไปที่เส้นทางของสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ ฝึกฝนภาพสิบสองสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ซึ่งถือเป็นสิ่งที่มีอํานาจมากที่สุดในโลกทั้งสิบสองชนิด ตอนนี้เขาฝึกฝนแค่ภาพดวงตะวันขนาดมหึมาเท่านั้นยังปรับปรุง ความสามารถของซูฉินถึงเพียงนี้ หากฝึกฝนต่อไป ย่อมมีศักยภาพมหาศาล เพียงไม่นานก็คงจะก้าวข้ามขอบเขตเซียนเทพปฐพี

เมื่อเทียบกับเส้นทางสายผู้ฝึกยุทธ เส้นทางของสัตว์ศักดิ์สิทธิ์นั้นง่ายกว่ามาก และช่วยปรับปรุงความสามารถได้ไกลกว่าที่เคยเป็น

ตัวอย่างเช่น หากจอมยุทธต้องการเข้าสู่ขอบ เขตเซียนเทพปฐพี เขาต้องผ่านความยากลําบากทุกรูปแบบ หลายพันหลายหมื่นล้านรูปแบบ แต่กับสัตว์ศักดิ์สิทธิ์……

เพียงลูกอีกาทองคําสามขาแรกเกิดก็มีพลังพอที่จะกวาดล้างเซียนเทพปฐพี่ส่วนใหญ่ได้แล้ว ช่องว่างระหว่างทั้งคู่ช่างแตกต่างยิ่งนัก
ผู้ฝึกยุทธทั่วทั้งโลกตลอดชั่วชีวิตแทบจะไม่มีโอกาสไปถึงจุดเริ่มต้นของสัตว์ศักดิ์สิทธิ์วัยเยาว์ด้วยซ้ํา……

“เส้นทางของสัตว์ศักดิ์สิทธิ์นั้นง่ายกว่ามาก แต่มันก็มีขีดจํากัดชัดเจน แต่เส้นทางผู้ฝึกยุทธมีศักยภาพไร้ขีดจํากัด ในอนาคตอาจจะมีโอกาสกลายเป็นบรรพชนเซียนอมตะก็เป็นได้

ซูฉินครุ่นคิดเป็นเวลานาน ทันใดนั้นภายในหัวใจของเขาก็รู้สึกมั่นคงมากขึ้น

ถ้าสัตว์ศักดิ์สิทธิ์นั้นอยู่ยงคงกระพันจริงๆแล้ว ภาพสิบสองสัตว์ศักดิ์สิทธิ์จะถูกสร้างขึ้นมาได้อย่างไร?

ภาพสิบสองสัตว์ศักดิ์สิทธิ์สามารถสร้างพลัง ของสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ได้ถึงสิบสองชนิด จะต้องมีความเข้าใจอย่างถ่องแท้เกี่ยวกับสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ทั้งสิบสอง บางทีกลุ่มสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ทั้งสิบสองชนิดอาจถูกจับตัวมาเพื่อสังเกตและทดลอง จึงสร้างขึ้นมาเป็นภาพสิบสองสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ได้
ดังนั้น

เพียงพิจารณาจากภาพสิบสองสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ แสดงให้เห็นว่า สัตว์ศักดิ์สิทธิ์ในตํานานไม่ได้อยู่ยงคงกระพันอย่างแท้จริง ในช่วงแรกสัตว์ศักดิ์สิทธิ์อาจจะสะดวกสบายเหลือคณา เพียงแค่เกิดขึ้นมาก็อยู่สูงกว่าเผ่าพันธุ์มนุษย์ส่วนใหญ่แล้ว แต่ยิ่งพัฒนาต่อไป ช่องว่างเหล่านั้นจะยิ่งแคบลงเรื่อยๆ

แน่นอน

นี่เป็นเพราะซูฉินมีระบบอยู่ ไม่รู้ว่ามีศักยภาพเหนือกว่าผู้ฝึกยุทธคนอื่นๆ สักแค่ไหน ไม่เช่นนั้น ไม่ว่าซูฉินจะมีความมั่นใจมากเท่าไร เขาก็ไม่กล้าคิดว่าตนเองจะก้าวข้ามสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ตัวเต็มวัยไปได้แม้เป็นเรื่องของอนาคต

“สัตว์ศักดิ์สิทธิ์ทั้งสิบสองเป็นเพียงเครื่องมือ ข้าจะยังใช้วิถีทางฝึกยุทธแบบมนุษย์เป็น “รากฐาน” ความคิดของซูฉินผันผวน เริ่มพิจารณาเรื่องนี้อย่างจริงจัง

“ในเมื่อข้าจะเดินตามเส้นทางของผู้ฝึกยุทธ สิ่งที่ต้องทําในยามนี้คือทะลวงคอขวดเพื่อข้ามผ่านเข้าสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพี”
ซูฉันคิดในใจอย่างรวดเร็ว

สําหรับผู้ฝึกยุทธคนอื่นๆ ขอบเขตเชียนเทพปฐพีเป็นดั่งตํานาน แม้แต่ในสายตาของเจ้าสํานักผู้วิเศษชิงหมาง ขอบเขตเซียนเทพปฐพีก็ยังเป็นขอบเขตที่เข้าไม่ถึง

เมื่อพวกเขาได้ใกล้ชิดกับขอบเขตเซียนเทพปฐพีอันกล้าแกร่ง สุดท้ายก็ล้มเหลว พากันตกตาย

แต่ซูฉันรู้สึกว่าขอบเขตเชียนเทพปฐพีนั้นไม่ยาก ตอนนี้ฐานพลังของเขาสมบูรณ์แล้ว และด้วยพลังของร่างศักดิ์สิทธิ์อีกาทองคํา เขาก็เป็นเหมือนกับทะเลผืนหนึ่งที่เต็มไปด้วยพลังงานธาตุไฟ มันเป็นเรื่องง่ายๆ ที่จะดึงทะเลปราณออกมา จากส่วนลึกของความว่างเปล่า

สิ่งที่ซูฉันคิดอยู่ในตอนนี้คือ หากจิตวิญญาณ แรกกําเนิดของเขารวมเข้ากับทะเลปราณ เขาจะเข้าไปในทะเลปราณได้ลึกเพียงใด

Sign in Buddha’s palm 299 (I) เริ่มสงคราม ครั้งใหญ่

“เป็นสงครามหรือสันติภาพ?”

ซูฉินไม่ได้แสดงท่าทีใด

ทันทีที่สังเกตเห็นเจ้าสํานักผู้วิเศษชิงหมางซ่ อนตัวอยู่ในวังหลวง ซูฉินก็คาดเดาเจตนาของอีก ฝ่ายไว้แล้ว

“ถูกต้อง”

ใบหน้าของเจ้าสํานักผู้วิเศษชิงหมางดูเคร่งขรึม พูดอย่างจริงจังว่า “แผ่นดินแห่งพลังยุทธอันยิ่งใหญ่มีความสําคัญอย่างยิ่งเหล่านิกายใหญ่ ต่างไม่ยินยอมที่จะนั่งดูสหายเต่าครอบครองแผ่นดินแห่งพลังยุทธฯ แต่เพียงผู้เดียว”

เจ้าสํานักผู้วิเศษชิงหมางกล่าวเช่นนี้ก็หยุดไปชั่วครู่แล้วกล่าวต่อไปว่า “จุดเปลี่ยนผ่านแรกของกระแสปราณฉีมาถึงแล้ว และโลกอันยิ่งใหญ่กํา ลังอยู่ในจุดเริ่มต้น หากสหายเต่เต็มใจยอมมอบพื้นที่ที่ครอบครองอยู่ในปัจจุบันมาสักแปดส่วน เหล่านิกายใหญ่ก็จะไม่ทําให้เจ้าอับอาย”
เจ้าสํานักผู้วิเศษชิงหมางกล่าวออกอย่างจริงจัง

อันที่จริง การที่เหลือพื้นที่ไว้ให้ซูฉินถึงสองส่วน สําหรับนิกายใหญ่ก็ถือเป็นการสูญเสียที่ยิ่งใหญ่

ต้องรู้ว่านิกายใหญ่ก็ไม่ใช่เล็กๆ ยังต้องแบ่งสัด ส่วนของแผ่นดินแห่งพลังยุทธระหว่างกันด้วย ขนาดพื้นที่กว่าสองส่วนที่ซูฉินจะได้ครอบครองนั้นเทียบเท่ากับพื้นที่ที่จัดสรรให้กับนิกายใหญ่ระดับสูง ซึ่งมีเบื้องหลังกว่าหมื่นปีอย่างสํานักผู้วิเศษ

“งั้นรึ?”

“ข้าสังหารพวกเจ้าไปตั้งหลายคนแล้ว นิกายใหญ่ไม่สนใจเรื่องราวเหล่านั้นหรือไร?” ซูฉินถามอย่างสบายๆ โดยไม่ได้เปลี่ยนที่ท่าอะไร

ไม่ต้องพูดถึงพรรคหมื่นดาบที่ถูกทําลายจนสิ้นซาก แม้จะยังมีศิษย์พรรคหมื่นดาบหลงเหลืออยู่ในต่างแดน ถึงซูฉินไม่ได้เคลื่อนไหวอะไร แต่คนอื่นย่อมอยากรู้และต้องการมรดกของพรรคหมื่นดาบ

เมื่อยามที่พรรคหมื่นดาบยังมีอํานาจอยู่ในต่างดินแดน ไม่มีใครกล้าที่จะกล่าวว่าตนต้องการจะจัดการกับศิษย์พรรคหมื่นดาบ แต่ตอนนี้พรรคหมื่นดาบถูกทําลายลงแล้ว สําหรับจอมยุทธต่างแดน ศิษย์พรรคหมื่นดาบไม่ต่างไปจากสมบัติเคลื่อนที่

นอกเหนือจากพรรคหมื่นดาบ ซูฉินยังสังหารบรรพบุรุษเหลยสิง ตํานานยุทธขั้นสูงสุดที่แปลง จิตวิญญาณแรกกําเนิดได้ไปแล้ว

ไม่ใช่แค่นิกายเทพเจ้าสายฟ้าเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงนิกายเฮยหยวนที่ยังคงอยู่ เมื่อพวกเขารู้ว่าบรรพชนของตนตกตายด้วยน้ํามือของซูฉิน พวกเขาจะตัดใจยอมแพ้อย่างนั้นหรือ?
“ตราบใดที่สหายเต่เต็มใจที่จะสละพื้นที่แปดส่วน ข้าจะช่วยสหายเต่ําเกลี้ยกล่อมนิกายเทพ เจ้าสายฟ้าและนิกายใหญ่แห่งอื่นๆให้เอง”
เจ้าสํานักผู้วิเศษชิงหมางดูเหมือนจะไตร่ตรอง ถึงปัญหานี้อยู่ก่อนแล้ว กล่าวออกโดยไม่มีความลังเล

ในสายตาของนิกายเทพเจ้าสายฟ้าและนิกาย เฮยหยวนที่สูญเสียตํานานยุทธขั้นสูงสุดที่แปลงจิตวิญญาณแรกกําเนิดได้ไปนั้น นับว่าเป็นความเจ็บช้ําทุกข์ทรมานไปถึงกระดูก แต่เรื่องใหญ่ที่สุดของพวกเขาคือการจัดสรรปันส่วนแผ่นดินแห่งพลังยุทธฯ

ถ้าสามารถหลีกเลี่ยงการต่อสู้กับผู้ทรงพลังอํานาจอย่างซูฉินได้ เจ้าสํานักผู้วิเศษชิงหมางจะต้องได้รับผลประโยชน์อย่างแน่นอน

แม้ว่าเจ้าสํานักผู้วิเศษชิงหมางจะคิดว่าตนเองไม่ได้อ่อนแอกว่าซูฉิน แต่สุดท้ายชีวิตนั้นก็สั้นนัก เมื่อเทียบกับปราณเลือดที่มั่งคั่งของซูฉิน ความสามารถในการลงมือได้อย่างโหดเหี้ยมทรงพลัง เขาอาจจะด้อยกว่าหนึ่งช่วงตัว

แม้ว่าจะมีสหายในระดับเดียวกันหลายคนยืนอยู่ เบื้องหลังเจ้าสํานักผู้วิเศษชิงหมาง ทําให้ได้เปรียบด้านปริมาณ อาจจะทําให้ชนะศัตรูได้จริง แต่ก็ต้องแลกมากับความสูญเสียอย่างมากมาย ถ้าเป็นไปได้ก็ไม่ควรทํา

“ถ้าข้าปฏิเสธเล่า?”

น้ําเสียงของซูฉินสงบนิ่งราวกับบ่อน้ําที่ใสกระจ่าง

“ปฏิเสธ?”

เจ้าสํานักผู้วิเศษชิงหมางขมวดคิ้ว

เขาคาดไว้แล้วว่าซูฉินอาจจะปฏิเสธ แต่นั่นก็เป็นเรื่องที่เขาไม่อยากเห็นมากที่สุด

“หากสหายเต่ปฏิเสธมันก็คงมีแต่สงครามแล้ว”

“แม้ว่าสหายของข้าและตัวข้าเองจะเข้าสู่วัยชรา ปราณเลือดก็ไม่แข็งแกร่งเท่าสหายเต่า แต่เมื่อร่วมมือกัน เว้นแต่สหายเต่จะก้าวเข้าสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพี ไม่เช่นนั้นก็ไม่มีทางเป็นคู่ต่อสู้กับพวกข้าได้เลย”

เมื่อเจ้าสํานักผู้วิเศษชิงหมางกล่าวออกเช่นนี้ ใบหน้าของเขาก็มีร่องรอยแห่งความภาคภูมิใจปรากฏขึ้น

ขนาดที่เคยตัดผ่านก้าวไปแตะขอบเขตเซียนเทพปฐพี แม้แต่จิตวิญญาณแรกกําเนิดก็ได้ หลอมรวมเข้ากับทะเลปราณมาแล้ว มองเห็นเส้นทางของเซียนเทพปฐพี ถ้าจะให้กล่าวจริงๆ เจ้าสํานักผู้วิเศษชิงหมางก็ไม่นับว่าเป็นตํานานยุทธอีกต่อไปแล้ว

เป็นจุดที่อยู่กึ่งกลางระหว่างขอบเขตเซียนเทพปฐพีกับตํานานยุทธ หรือเรียกอีกอย่างว่าครึ่งก้าวสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพี

ถ้าไม่ใช่เพราะเจ้าสํานักผู้วิเศษชิงหมางมีปราณเลือดที่เสื่อมโทรมลง ปิดผนึกตนเองด้วยวิธีลับเพื่อให้มีชีวิตอยู่ต่อไป เกรงว่าซูฉินคงจะต้องเกรงกลัวบ้าง

“เซียนเทพปฐพี่?”

“เจ้าแน่ใจหรือว่าข้าไม่ใช่เซียนเทพปฐพี่?”

ซูฉินค่อยๆ หันหลังกลับมามองที่เจ้าสํานักผู้วิเศษชิงหมางแล้วกล่าวเบาๆ
“สหายเกล่าวถึงแหล่งกําเนิดธาตุไฟหรือ?” เจ้าสํานักผู้วิเศษชิงหมางยังคงส่ายศีรษะแล้วพูดว่า “ก่อนที่ข้าจะมาที่นี่ ข้าก็รู้สึกได้ว่าแหล่งกําเนิดธาตุไฟถูกดูดซับไปแล้ว มันคงจะเป็นฝีมือของสหายเต่สินะ?”

“แต่ก็เท่านั้น แหล่งกําเนิดธาตุไฟนั้นสามารถช่วยให้ตํานานยุทธขั้นสูงสุดทะลวงเข้าสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพได้อย่างแน่นอน แต่มันก็มีประโยชน์แค่ช่วยให้จิตวิญญาณแรกกําเนิดเข้าไปสู่แก่นทะเลปราณได้เท่านั้น”

“สําหรับขั้นตอนต่อไป แม้ทุกอย่างจะราบรื่น แต่ก็ต้องใช้เวลาเป็นสิบปีในการดึงพลังของทะเลปราณมาขัดเกลาร่างกาย”

“สหายเต่ใช้เวลาเพียงปีเดียวกันการเดินออกมาจากแหล่งกําเนิดธาตุไฟ สันนิษฐานว่าคงลองตัดผ่านแล้ว แต่สุดท้ายก็ล้มเหลว?”

เจ้าสํานักผู้วิเศษชิงหมางกะพริบตาพร้อมกับ พูดไปด้วย และเมื่อการตัดผ่านไปสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพี่ล้มเหลว มันย่อมไปถูกฟันเฟืองบางอย่างในทะเลปราณ พลังชีวิตของเจ้าจะได้รับบาดเจ็บ ปราณเลือดเริ่มเสื่อมสลาย ในเวลาเดียวกันทั้งร่างกายและจิตวิญญาณแรกกําเนิดจะถูกทําลายในทันที”

“ต่อให้สหายเต่ํามีแหล่งกําเนิดธาตุไฟคอยช่วย พวกมันก็จะปิดกั้นฟันเฟืองส่วนใหญ่ได้เท่านั้น คงจะได้รับบาดเจ็บอยู่บ้างในเวลานี้…”

เจ้าสํานักผู้วิเศษชิงหมางหยุดพูดไปครู่หนึ่ง จ้องมองซูฉินเขม็ง

นี่เป็นเหตุผลที่เขาเข้ามาในวังหลวงเพียงผู้เดียว ประการแรกเพราะเขามีความมั่นใจในความแข็งแกร่งของตนเอง อาจจะไม่ถึงกับเอาชนะซูฉินได้ แต่อย่างน้อยการหลบหนีก็คงไม่มีปัญหา

ประการที่สองคือแหล่งกําเนิดธาตุไฟ เจ้าสํานักผู้วิเศษชิงหมางคาดการณ์ว่าซูฉินคงได้รับบาดเจ็บและไม่สามารถออกไม้ออกมือได้เต็มที่

ด้วยสถานการณ์เช่นนี้ แม้ว่าเขาจะพูดคุยกับซูฉินจบ เขาก็สามารถยอมรับผลที่ตามมาได้

“ฮ่าฮ่า……”

ซูฉินหัวเราะเบาๆ

ในทางหนึ่ง เจ้าสํานักผู้วิเศษชิงหมางก็พูดถูก ซูฉินไม่ใช่เซียนเทพปฐพี ไม่มีอาณาเขตขนาดใหญ่ ไม่มีกายแห่งธรรมชาติ แต่ซูฉินรวมเข้ากับร่างศักดิ์สิทธิ์อีกาทองคํา เขาไม่มีความกลัวแม้แต่น้อยเมื่อเผชิญหน้ากับเซียนเทพปฐพี
“เอาล่ะ”

“เจ้ากลับไปเถอะ”

ซูฉินขี้เกียจจะพูดคุยเรื่องไร้สาระกับเจ้าสํานักผู้วิเศษชิงหมาง
ถ้าไม่ใช่เพราะเจ้าสํานักผู้วิเศษชิงหมางแอบเข้ามาในวังโดยไม่ทําร้ายใคร และไม่มีความคิดที่จะคุกคามชีวิตทุกคนในวัง เขาจะพูดคุยกันอย่างสงบเหมือนอย่างตอนนี้ได้เช่นไร?

เป็นธรรมดาที่เจ้าสํานักผู้วิเศษชิงหมางไม่รู้ว่า พฤติกรรมที่ทําไปโดยไม่ตั้งใจของตน ได้ช่วยชีวิตตัวเองเอาไว้

อันที่จริง เหตุผลที่เจ้าสํานักผู้วิเศษชิงหมางไม่ ได้ข่มขู่ซูฉินด้วยผู้คนภายในวัง เพราะในสายตาของเจ้าสํานักผู้วิเศษชิงหมาง สําหรับคนแข็งแกร่งอย่างพวกเขา หลงลืมความรักใคร่ใยดีไปนานแล้ว

“สหายเต่ นี่คือการปฏิเสธใช่หรือไม่?”

เจ้าสํานักผู้วิเศษชิงหมางถอนหายใจเบาๆ ฉากที่เขาไม่อยากจะเห็นในที่สุดก็มาถึง

แม้ว่าเขาจะคาดเดาว่าซูฉินนั้นได้รับบาดเจ็บ แต่เขาก็เพียงแต่คาดเดา ไม่อาจแน่ใจ ขณะที่พูดก็ลังเลใจกับสิ่งที่ตนพูด แต่ซูฉินไม่เผยได้แม้แต่น้อย ทําให้เขาไม่สามารถตัดสินได้

นอกจากนี้ แม้ว่าซูฉินจะล้มเหลวในการตัดผ่านจริงๆ แต่ด้วยแหล่งกําเนิดธาตุไฟที่ป้องกันร่างกายจากการตัดผ่าน ช่วยลดอาการบาดเจ็บจากสิบจนเหลือหนึ่ง หากไม่สนใจสิ่งใด ก็สามารถระเบิดพลังที่ใกล้เคียงกับเซียนเทพปฐพีออกมาได้

“เมื่อเป็นเช่นนั้น”

“ข้าหวังว่าสหายเต่จะไม่เสียใจในอนาคต”

เจ้าสํานักผู้วิเศษชิงหมางกล่าวด้วยความเคร่งขรึม
เมื่อมันเกี่ยวข้องกับแผ่นดินแห่งพลังยุทธอันยิ่งใหญ่ ไม่เพียงแค่ตัวเขาเท่านั้น แต่นิกายใหญ่ต่างแดนแห่งอื่นๆ ก็ไม่มีทางยอมถอย นี่เป็นโอกาสอันดี อาจมีโอกาสที่ข้องเกี่ยวกับเซียนเทพปฐพี หรือขอบเขตที่สูงกว่าซ่อนอยู่ และนั่นนับเป็นสมบัติที่ยิ่งใหญ่ที่สุดอย่างหนึ่งบนโลก

ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ซูฉินยังไม่ก้าวเข้าสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพี แม้ซูฉินจะก้าวเข้าสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพีแล้ว พวกเขาก็จะกัดฟันสู้ไม่ยอมให้โอกาสต่างๆและสมบัติเหล่านั้นต้องหายไป

“อะไร?”

“เจ้าข่มขู่ข้าหรือ?”

ซูฉินหรี่ตาลงเล็กน้อย กลิ่นอายที่ยากหยั่งถึงพลันแพร่กระจายออกมา

“ไม่กล้าไม่กล้า”

เจ้าสํานักผู้วิเศษชิงหมางปฏิเสธทันควัน “สหายเต่ทรงพลังมาก ข้าจะกล้าข่มขู่ได้อย่างไร น่าเสียดาย ถ้าสหายเต๋ายอมรับข้อเสนอของข้า ก็ไม่จําเป็นต้องต่อสู้ฆ่าฟันกัน”

“ในเมื่อสหายเต่ไม่เห็นด้วย ข้าจะขอจากไปก่อน สําหรับการมาเยือนครั้งนี้ ขอขอบคุณสหายเต๋าที่เป็นเจ้าภาพต้อนรับอย่างดี”

ขณะที่เจ้าสํานักผู้วิเศษชิงหมางพูด ร่างของเขาก็ละลายหายไปกับความมืดอย่างสมบูรณ์

ในการรับรู้ของซูฉิน เจ้าสํานักผู้วิเศษชิงหมาง กําลังพุ่งตัวออกไปนอกเมืองฉางอันด้วยความเร็วที่น่าสะพรึงกลัว

Sign in Buddha’s palm 298 (II) เจ้าสํานักผู้ วิเศษชิงหมาง? เป็นสงครามหรือสันติภาพ?

“เอ๋?”

“หลีหว่านก็ก้าวเข้าสู่ขอบเขตตํานานยุทธด้วยงั้นหรือ?” ท่าทีของซูฉินที่แสดงออกมาดูประหลาดใจ

กว่าหนึ่งปีแล้วที่พรรคหมื่นดาบได้พาตัวหลีหว่านไปยังต่างดินแดนในฐานะร่างที่จะให้บรรพชนดาบเข้ายึดครอง

เพื่อให้บรรพชนดาบเข้ายึดครองร่างได้ราบรื่นยิ่งขึ้น พรรคหมื่นดาบทําทุกอย่างเท่าที่ทําได้เพื่อปรับปรุงฐานบ่มเพาะของหลีหว่าน จึงให้โอสถศักดิ์สิทธิ์และสมบัตินับไม่ถ้วนแก่หลีหว่าน

เป็นผลให้ยามเมื่อซูฉินพาหลีหว่านกลับมา นางก็กลายเป็นยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งเสียแล้ว

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ซูฉินไม่คาดคิดก็คือในระยะ เวลาเพียงหนึ่งปี หลีหว่านจะสามารถข้ามคอขวด ทั้งการแปรสภาพร่างกายแปรสภาพจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ และแปรสภาพแก่นแท้แห่งพลัง จนสุดท้ายก้าวเข้าสู่ขอบเขตตํานานยุทธได้

“เป็นเพราะเจตจํานงดาบนั่นน่ะหรือ?”

อาการนึกคิดปรากฏขึ้นบนใบหน้าของซูฉิน

นอกจากโอสถศักดิ์สิทธิ์จํานวนนับไม่ถ้วนแล้ว บรรพชนดาบยังได้ใส่เจตจํานงดาบไว้ในร่างของหลีหว่าน

เจตจํานงดาบนี้เป็นมรดกของบรรพชนดาบที่สืบทอดต่อมาจากนักพรตหมั่นดาบ

“นั่นสินะ มันเป็นสิ่งที่ถูกทิ้งไว้โดยขอบเขต เซียนเทพปฐพี…” ซูฉินส่ายศีรษะเล็กน้อย ในที่สุดเขาก็นึกออก

เซียนเทพปฐพีเป็นตัวตนเช่นไร? ภายในชื่อมีตัวอักษรคําว่าเซียนด้วยซ้ํา แม้จะไม่ได้ยอดเยี่ยมเท่าเทพเซียนจริงๆ แต่ความสามารถนั้นก็น่าทึ่ง พรรคหมื่นดาบเดิมเป็นเกาะเล็กๆ ที่มีพื้นที่ไม่กี่ลี้ แต่เพราะนักพรตหมื่นดาบไล่น้ําทะเลออก เพื่อขยายที่ดินของเกาะ มันจึงกลายเป็นแผ่นดินเล็กๆ ที่มีรัศมีหลายร้อยล้ํา

วิธีดังกล่าวอยู่ไกลเกินจินตนาการของตํานานยุทธ

แน่นอน

การช่วยให้หลีหว่านตัดผ่านคอขวดของขอบเขตตํานานยุทธก็เป็นขีดจํากัดของเจตจํานงดาบนั้นแล้ว

ท้ายที่สุดเจตจํานงดาบนี้ก็อยู่มานับพันปีแล้ว และบรรพชนดาบก็ดูดซับไปจนเกือบหมด ที่ทิ้งไว้ให้หลีหว่านมีเพียงเจตจํานงดาบที่พอช่วยผลักดันให้นางขึ้นไปสู่ขอบเขตตํานานยุทธได้บ้าง ส่วนขอบเขตตํานานยุทธอีกทั้งเก้าระดับชั้นนั้น หลีหว่านต้องพึ่งพาตนเอง ก้าวไปทีละขั้น

ดวงตาของซูฉินสงบลง ก้าวเท้าไปปรากฏตัวบนหอดูดาวในพระราชวังถัง

หอดูดาวเป็นอาคารที่สูงที่สุดในพระราชวังถัง จักรพรรดิแห่งราชวงศ์ถังมักจะมาที่นี่เพื่อดูดาว ทว่าซูฉินมาที่นี่ไม่ใช่เพราะต้องการดูดวงดารา แต่มองลงไปดูแสงไฟจากบ้านเรือนนับหมื่นในเมืองฉางอัน
ชายชราเฟ่ยยวี๋ ติดตามซูฉินไปติดๆ โดยไม่กล้า พูดอะไรออกมา

ขณะที่เฟ่ยยวี๋ กําลังคิดว่าซูฉันคงจะเหม่อมองต่อไป

ฉับพลัน ในตอนนั้นเอง

ดวงตาของซูฉินก็ไม่ได้ขยับไปไหน แต่พูดอย่างสบายๆ ว่า “ท่านก็เฝ้ามองมาตั้งนานแล้ว เหตุใดยังไม่ออกมาเจอกันหน่อยเล่า?”

คําพูดของซูฉินนั้นสงบนิ่งมาก ไม่มีความผันผวนใดๆ แต่เมื่อได้ยินไปถึงหูของชายชราเฟ่ยยวี๋ มันก็ไม่ต่างไปจากเสียงระฆังใบใหญ่

“มีคนอยู่ที่นี่งั้นหรือ?” หนังศีรษะของเฒ่าเฟ่ยยวี๋ ชาวาบ มองไปรอบๆ อย่างระแวดระวัง

ช่วงเวลาต่อมา

ต่อหน้าสายตาที่มองอย่างเหลือเชื่อของชายชราเฟ่ยยวี๋

ชายร่างสูงที่สวมชุดคลุมผู้วิเศษเรียบๆ ก็เดินออกมาจากความมืด

ชายผู้นี้ไว้ผมยาว มีผ้าคลุมไหล่ที่พลิ้วไหวโบกสะบัด ตัวของเขากลมกลืนไปกับโลกหล้า แม้จะยืนอยู่ต่อหน้าเฟ่ยยวี๋ แต่เฟ่ยยวี๋กลับไม่รู้สึกตัวเลย

“คนผู้นี้คือใครกัน?”

เฟ่ยยวี๋ตั้งสติ แต่ความตื่นตระหนกก็ยังคงเกิดขึ้นภายในใจ

อย่างไรก็ตาม เมื่อเฟ่ยยวี๋ คิดว่ามีซูฉินอยู่เคียงข้างก็โล่งใจเล็กน้อย

“สหายเต๋าท่านนี้มีสายตาที่ดี”

ชายในชุดคลุมผู้วิเศษมองมาที่ซูฉิน รอยยิ้มประดับอยู่ที่มุมปากของเขา “สํานักผู้วิเศษ ชิงหมาง มาที่นี่โดยไม่ได้รับเชิญ ขอคารวะสหายเต๋า”

ชายที่ชื่อชิงหมางโค้งคารวะให้กับซูฉินเล็กน้อย

ที่เขาโค้งคารวะ ไม่ใช่ว่ากลัวซูฉิน แต่เป็นเพราะความเคารพและยอมรับ

“สํานักผู้วิเศษ?”

“ชิงหมาง?”

“เจ้าคือเจ้าสํานักผู้วิเศษชิงหมางใช่หรือไม่? ชายชราเฟ่ยยวี๋ที่อยู่ด้านข้าง เมื่อได้ยินชื่อนั้น จิตใจของเขาก็คํารามลั่นอุทานออกมาโดยไม่รู้

“คาดไม่ถึงจริงๆ ผ่านมาสองพันปีแล้ว แต่ก็ยังมีผู้คนจดจําข้าได้…” เจ้าสํานักผู้วิเศษชิงหมาง เหลือบมองชายชราเฟยยวและกล่าวด้วยน้ําเสียงที่อ่อนโยน

“เจ้าสํานักผู้วิเศษชิงหมาง?”

ซูฉินมองไปยังชายที่ใส่ชุดคลุมผู้วิเศษ ความคิดของเขาแล่นไปมา

เขามักจะได้ยินเรื่องราวในต่างแดนจากนักพรต สํานักเอกะวิถีเป็นครั้งคราว
นับตั้งแต่สิ้นสุดยุคเฟื่องฟูกระแสปราณฉีครั้งสุดท้าย ยุทธภพต่างแดนก็สืบทอดมรดกต่อมากว่าหมื่นปี

ในช่วงหนึ่งหมื่นปีที่ผ่านมา สิ่งที่น่าตื่นตาตื่นใจมากที่สุดเห็นทีจะไม่พ้นเซียนเทพปฐพีสิบกว่าคน

ทุกยุคทุกสมัยที่มีเซียนเทพปฐพี พวกเขาก็มักจะมีอํานาจครอบงําโลก แม้จะเป็นนิกายใหญ่ อย่างสํานักเอกะวิถีหรือนิกายเทพเจ้าสายฟ้า พวกเขาก็ไม่กล้าดูหมิ่นเซียนเทพปฐพี

นอกจากเซียนเทพปฐพี่สิบกว่าคนนี้แล้ว เจ้าสํานักผู้วิเศษชิงหมางก็ไม่ได้ห่างไกลมากนักจากตัวตนเหล่านั้น

สองพันกว่าปีที่แล้ว เจ้าสํานักผู้วิเศษชิงหมาง เรืองอํานาจกว่าสี่ร้อยปี มีทั้งอาณาเขตและจิตวิญญาณแรกกําเนิด เป็นตํานานยุทธขั้นสูงสุดในยุคสมัยนั้นที่มีแนวโน้มเป็นเซียนเทพปฐพีได้

น่าเสียดาย ในท้ายที่สุด เจ้าสํานักผู้วิเศษชิงหมางก็ล้มเหลวในการทะลวงขอบเขต ปราณเลือดเหี่ยวแห้ง จิตวิญญาณแรกกําเนิดก็แตกสลายก ระจายออกไปเหมือนหมู่ดาวพร่างพราย

แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าเจ้าสํานักผู้วิเศษชิงหมางไม่ได้ตกตายไป แต่รอดชีวิตมาได้ทั้งยังหลับใหลด้วยวิธีลับปิดผนึกตนเอง

“เจ้ามาคนเดียวเช่นนี้ เจ้าไม่กลัวข้าจะฆ่าเจ้าหรือ?” ซูฉินไม่ได้กลัวเจ้าสํานักผู้วิเศษชิงหมาง

ไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องที่ตอนนี้เจ้าสํานักผู้วิเศษ ชิงหมางไม่ได้อยู่ในช่วงรุ่งเรืองของตนเอง ปราณเลือดเองก็ลดลง แม้จะเป็นเจ้าสํานักผู้วิเศษชิงหมางผู้มีชื่อเสียงเมื่อสองพันปีก่อน หากได้พบกับซูฉินในร่างศักดิ์สิทธิ์อีกาทองคํา ก็คงต้องถูกฉีกทั้งเป็นชิ้นๆ

“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า”

“ทั้งโลกกล่าวกันว่าตํานานยุทธอาณาจักรถังล่า สังหารไร้ปรานี ไปที่ใดก็มักจะเข่นฆ่าทําลายไม่ต่างไปจากนิกายเฮยหยวน แต่ข้ารู้ว่าเจ้าไม่ได้เคลื่อนไหวโดยไม่มีเหตุผล อย่างพรรคหมื่น ดาบที่ถูกทําลายลงก็เพราะพรรคหมื่นดาบนั้นจับตัวลูกหลานของเจ้าไป”

เจ้าสํานักผู้วิเศษชิงหมางหัวเราะเสียงดัง

“โอ้?”

ซูฉินลืมตาขึ้นและมองไปยังเจ้าสํานักผู้วิเศษชิงหมางอีกครั้ง

เขาไม่คาดคิดว่าเจ้าสํานักผู้วิเศษชิงหมางจะมีทัศนคติเช่นนี้

อย่างไรเสีย สิ่งที่เจ้าสํานักผู้วิเศษชิงหมางพูดมาก็ไม่ผิด นับตั้งแต่ที่ซูฉินเปิดตัวมา เขาก็ไม่เคยหลีกเลี่ยงการฆ่าสังหาร แต่คนที่ถูกเขาฆ่าล้วนเป็นคนที่มายั่วยุเขา

“ถ้าข้ามองไม่ผิด เจ้าน่าจะสัมผัสปลายขอบของขอบเขตนั้นแล้วใช่ไหมเล่า?” ดวงตาของเจ้าสํานักผู้วิเศษชิงหมางเป็นประกาย จ้องมองไปที่ซูฉินอย่างใกล้ชิด

ในสายตาของเจ้าสํานักผู้วิเศษชิงหมาง แม้ร่างกายของซูฉินจะถูกระงับยับยั้งไว้อย่างเต็มที่ แต่เศษเสี้ยวกลิ่นอายที่ออกมาก็ทําให้ใจสั่น

“ฮ่าฮ่า…”

ซูฉินส่ายศีรษะเล็กน้อยไม่ตอบคํา แต่ถามกลับ ไปว่า “เจ้าสํานักผู้วิเศษชิงหมาง ท่านมาถึงที่นี่คงไม่ใช่แค่มาเจอข้าเท่านั้นกระมัง”

ซูฉินมองไปที่เจ้าสํานักผู้วิเศษชิงหมางด้วยรอยยิ้มบางๆ

แม้ว่าเจ้าสํานักผู้วิเศษชิงหมางจะเชื่อว่าซูฉิน ไม่ฆ่าผู้คนโดยไร้เหตุผล แต่สิ่งนี้ก็เกี่ยวพันถึงความเป็นความตายของเขาเอง ไม่ว่าเรื่องราว ต่างๆ จะมีน้ําหนักมากน้อยแค่ไหน แต่เจ้าสํานักผู้วิเศษชิงหมางจะยอมเสี่ยงกับมันได้อย่างไร?

“มิผิด”

“ข้ามาที่นี่ มีอีกเรื่องด้วยจริงๆ” เจ้าสํานักผู้วิเศษชิงหมางพยักหน้าเล็กน้อย ยอมรับอย่างตรงไปตรงมา

เมื่อชายชราเฟยย ที่อยู่ด้านข้างได้ยินเรื่องนี้ หัวใจของเขาก็เต้นถี่รัว แม้จะคิดด้วยเท้า เขาก็รู้ ว่าสิ่งที่ทําให้เจ้าสํานักผู้วิเศษชิงหมางเดินทางมาด้วยตนเองนั้นจะต้องหนักหนาไม่น้อย

“ว่ามา” ซูฉินพูดเบาๆ มองลงไปยังเมืองฉางอัน

“ไม่มีอะไรยาก”

เมื่อเจ้าสํานักผู้วิเศษชิงหมางกล่าวเช่นนี้ เขาก็หยุดไปครู่หนึ่ง และกล่าวด้วยท่าทางเคร่งขรึม “ข้ามาส่งข้อความแทนสหายเต่คนอื่นๆ อีกหลายคน ไม่ว่าจะเป็นสงครามหรือสันติภาพ ก็มีเพียงสหายเต่ําเท่านั้นที่จะตัดสินใจ”

Sign in Buddha’s palm 298 (I) เจ้าสํานักผู้วิเศษชิงหมาง? เป็นสงครามหรือสันติภาพ?

ด้านนอกแหล่งกําเนิดธาตุไฟ

ชายชราเฟยยี่กําลังนั่งขัดสมาธิ

ทันใดนั้น เฟยย ก็เหมือนจะค้นพบบางสิ่งและเงยหน้าขึ้นไปมองแหล่งกําเนิดธาตุไฟในทันที

“นี่คือ?”

ใบหน้าของชายชราเฟยยี่เปลี่ยนไปเล็กน้อย

ในขณะนี้แหล่งกําเนิดธาตุไฟได้ดับลงอย่างสมบูรณ์พลังงานธาตุไฟจํานวนนับไม่ถ้วนหลอมรวมกันอย่างรวดเร็วในที่สุดก็กระจุกตัวกันอยู่ที่ทางเข้า ซึ่งไม่รู้ว่ามีร่างบุคคลผู้หนึ่งมายืนอยู่ตั้งแต่เมื่อใด

“นายท่าน?”

ชายชราเฟยยวมองไปที่ร่างสูงเพรียวฉับพลันก็เบิกตากว้างอย่างไม่อยากจะเชื่อ

หน้าทางเข้าแหล่งกําเนิดธาตุไฟมีร่างของบุรุษผู้หนึ่งที่เปรียบประดุจรูปปั้นหยกยืนอยู่

บุรุษผู้นั้นยืนอยู่เงียบๆ ลึกล้ําราวกับทะเลปราณในส่วนลึกของความว่างเปล่าภายในดวงตาของเขามีดวงอาทิตย์แผดเผาร้อนแรงอยู่ จางๆ

ลักษณะโดยภาพรวมของบุรุษผู้นี้เหมือนซูฉินกว่าเก้าส่วนตามความทรงจําของเฟยย แต่มีความเปลี่ยนแปลงเล็กๆน้อยๆอยู่บ้างและการเปลี่ยนแปลงเล็กๆนี้เองที่ทําให้ความรู้สึกยามมองเห็นแปรเปลี่ยนราวพลิกหน้ามือเป็นหลังมือประหนึ่งเทพสุริยันผู้ร้อนแรงสมบูรณ์แบบ

ดิบเถื่อน

“ข้าเอง ซูฉินเหลือบมองเฟยยวพร้อมกับกล่าว เบาๆ

แม้ว่าเสียงจะเหมือนเดิมแต่ก็ทุ่มลึกและทรงพลังชายชราเฟียยวเพียงสดับฟังก็ทําให้รู้สึกว่าแก่นแท้แห่งพลังและเลือดเนื้อของเขารู้สึกร้อนผ่าวขึ้นมา

“เป็นนายท่านจริงๆหรือ?”

ชายชราเฟยย ตกตะลึงเขาตั้งสติกลับมาอย่างรวดเร็วระงับแก่นแท้แห่งพลังและเลือดเนื้อภายในกายเกิดคลื่นลมภายในใจ

ในเวลาแค่ปีเดียว ซูฉินปรากฏตัวต่อหน้าเขาอีกครั้งราวกับเกิดใหม่
ถูกต้องความคิดเดียวของเฟยยวในตอนนี้คือการผลัดเนื้อหนังเปลี่ยนไขกระดูกหากซูฉินคนก่อนเป็นเหมือนเหวลึกไม่อาจหยั่งถึงฉะนั้นยามนี้ก็เป็นราวกับดวงอาทิตย์ดวงโตบนฟากฟ้าแผดเผาดุเดือด ราวกับมันสามารถเผาโลกได้ทั้ง

เฟยย คิดไม่ถึงว่าจะมีใครบนโลกสามารถเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ได้มากเช่นนี้ถ้าไม่ใช่เพราะความคล้ายคลึงกันอย่างมากของซูฉินทั้งก่อนและหลัง เขาอาจจะคิดว่าทั้งคู่เป็นคนละคนกันเลยก็ได้
ในความเป็นจริงที่เฟยยี่คิดก็ไม่ผิด

ซูฉินได้ผลัดเนื้อหนังเปลี่ยนไขกระดูกแล้วจริงๆหลังจากถึงความสําเร็จระดับเล็กในภาพดวงตะวันขนาดมหึมาต้นกําเนิดธาตุไฟก็ได้ไปรับแก้ร่าง ของซูฉินไปอย่างสมบูรณ์แม้ว่าจะยังคงเป็นร่างกายดั้งเดิม แต่ก็มีการจัดระเบียบใหม่ในระดับจุลภาคด้วยต้นกําเนิดธาตุไฟเพื่อให้กลายเป็นร่างศักดิ์สิทธิ์อีกาทองคํา

“ยินดีกับนายท่านด้วยที่ได้ก้าวเข้าสู่ขอบเขต เซียนเทพปฐพี” ความคิดของชายชราเฟยยวเปลี่ยนผันไปอย่างรวดเร็ว และรีบคุกเข่าลงด้วยความ ยินดี
การเปลี่ยนแปลงของซูฉินนั้นยิ่งใหญ่เกินไปเปลี่ยนตั้งแต่ภายในสู่ภายนอกแม้กระทั่งอารมณ์ความรู้สึกที่ได้รับก็เปลี่ยนผันไม่มีทางอื่นที่จะ เป็นไปได้นอกเสียจากจะก้าวข้ามโซ่ตรวนที่ฉุดรั้งไว้แล้วกลายเป็นเซียนเทพปฐพี

มีเพียงความก้าวหน้าในระดับขอบเขตใหญ่เช่นนี้เท่านั้น จึงจะเปลี่ยนแปลงคนผู้หนึ่งไปได้อย่างสมบูรณ์

“เซียนเทพปฐพี่?” ซูฉินครุ่นคิดชั่วครู่มองที่มือของตนเองพร้อมกับส่ายศีรษะ “ตอนนี้ข้ายังไม่ได้เป็นเซียนเทพปฐพี่”

“ไม่ได้เป็นเซียนเทพปฐพี?” ชายชราเฟยยกะพริบตาไม่ตอบสนองไปพักใหญ่

“แม้ว่าข้าจะไม่ใช่เซียนเทพปฐพี แต่…” ซูฉันกําหมัดของเขาแน่น แสงประหลาดสว่างวาบผ่านใบหน้าของเขา “แม้แต่เซียนเทพปฐพี่ที่แท้จ ริง ข้าก็ยังสู้กับมันตัวต่อตัวได้”

ความสําเร็จระดับเล็กในวิชาภาพดวงตะวันขนาดมหึมานั้นส่งเสริมซูฉินอย่างมาก

ในตอนแรกซูฉันคิดว่าหลังจากสําเร็จภาพดวงตะวันฯ ระดับเล็กจะทําให้เขาเล่นแง่กับเซียนเทพปฐพีได้บ้าง แต่ในขณะนี้เมื่อได้รับร่างศักดิ์สิทธิ์อีกาทองคําควบคู่ไปกับทิพยอํานาจธาตุไฟที่ถูกปลุกให้ตื่นขึ้นแม้จะต้องเผชิญหน้ากับเซียนเทพปฐพีซูฉินก็มีความมั่นใจว่าจะต่อสู้ได้

ซูฉินในร่างศักดิ์สิทธิ์อีกาทองคําทั้งความแข็งแกร่งความเร็วและพลังป้องกันจะเพิ่มขึ้นอย่างมากทั้งยังมีปราณเลือดที่ยิ่งใหญ่ดุจมหาสมุทรอันกว้างขวางแม้แต่อาณาเขตขนาดใหญ่ของเซียนเทพปฐพีก็ทําเช่นนี้ไม่ได้

เมื่อคิดถึงสิ่งนี้ รอยยิ้มก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้า ของซูฉิน

แม้ว่าเขาจะมีไฟลับมากมาย ในหมู่พวกนั้นก็มีเคล็ดวิชาที่สามารถใช้พลังเทียบเท่าเซียนเทพปฐพีได้เช่นฝ่ามือยูไล

แต่กระนั้นมันก็แค่เทียบเท่าเซียนเทพปฐพีเท่านั้น

แต่ตอนนี้ซูฉินได้เข้าสู่พลังในระดับเดียวกับเซียนเทพปฐพีในทุกด้านทุกท่วงท่าทุกการลงมือย่อมไม่ต่างไปจากเซียนเทพปฐพี

แน่นอน

นี่ไม่ได้หมายความว่าฝ่ามือยไลไม่ดีเท่าภาพสิบสองสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ แต่ทั้งคู่มีส่วนที่ดีแตกต่างกัน

การฝึกฝนภาพสิบสองสัตว์ศักดิ์สิทธิ์จนถึงขีดสุดทําให้ซูฉินแปลงเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์และสามารถควบคุมพลังของสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ได้อย่างเต็มที่ไม่เหมือนกับกรณีของฝ่ามือยูไลพลังของฝ่ามือยูไลสามารถปรับปรุงต่อไปได้อีกไม่รู้จบถ้าฝึกทั้งสองสิ่งอย่างลึกซึ้งถ่องแท้ฝ่ามือยไลย่อมแข็งแกร่งกว่า

ถ้าจะพูดให้ง่ายเข้าในระยะแรกภาพสิบสองสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ทําให้ซูฉินมีพัฒนาการที่ดีขึ้นแต่ในแง่ขีดจํากัดที่แท้จริงภาพดวงตะวันขนาดมหึมาจะอ่อนแอกว่าฝ่ามือยไล

“อย่างไรก็ตาม ในตอนนี้สภาวะร่างศักดิ์สิทธิ์อีกาทองคําของข้าไม่สามารถคงสภาพไว้ได้อย่างไร้ขีดจํากัดมันต้องการปราณเลือดเป็นจํา นวนมาก?”
ซูฉินรับรู้พลังของตนอย่างระมัดระวังอนุมานสิ่งต่างๆอยู่ในใจ

ซูฉินที่อยู่ในสภาวะร่างศักดิ์สิทธิ์อีกาทองคําทั้งความเร็ว ความแข็งแกร่ง และพลังป้องกันล้วนเพิ่มขึ้นหลายสิบหรือหลายร้อยเท่ามีปราณเลือดมากมายมหาศาลแต่สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่จะได้มาอย่างไร้ราคา
มันจะกินปราณเลือดของซูฉินไปอย่างช้าๆ

ตามอัตราในปัจจุบัน ปราณเลือดของซูฉินจะหมดลงภายในเวลาไม่กี่เดือน

“พอแล้ว”

“ออกจากร่างศักดิ์สิทธิ์อีกาทองคําดีกว่า”

ทันทีที่ซูฉันคิด ไอพลังภายในร่างก็รวมตัวกันเข้ามาอย่างรวดเร็วและดวงอาทิตย์แผดเผาร้อนแรงในดวงตาของเขาก็เริ่มดับมอดลงอย่างช้าๆ ต้ นกําเนิดธาตุไฟรวมตัวกันกลับเข้าไปอยู่ที่ระหว่างคิ้วของซูฉินกลายเป็นอีกาทองคําสามขาตัวขนาดเท่าฝ่ามือเกาะอยู่บนไหล่ของจิตวิญญาณแรกกําเนิด

“ตราบใดที่ข้าปรารถนา ข้าสามารถกลับไปสู่สภาวะร่างศักดิ์สิทธิ์อีกาทองคําได้อย่างรวดเร็วสินะ?” ซูฉินแตะปลายคางพร้อมกับพยักหน้าเล็กน้อย
ในเวลานี้กลิ่นอายของเขาได้เปลี่ยนไปอีกครั้งจากเทพสุริยันกลับสู่สภาวะปกติ

“นายท่าน….”

ชายชราเฟยยวที่อยู่ด้านข้างกะพริบตาและถอนหายใจด้วยความโล่งอก
ซูฉินที่อยู่ในสภาวะร่างศักดิ์สิทธิ์อีกาทองคําทําให้เขารู้สึกถูกกดขอย่างรุนแรงราวกับตัวเขาอยู่ใกล้กับเตาหลอมตลอดเวลาแม้จะเป็นตํานานยุทธขั้นสูงสุดอย่างเฟยย ก็ยังรู้สึกไม่สบายใจเป็นอย่างยิ่งเหมือนเป็นความกดดันที่รุนแรงที่สุด ในชีวิตเขาเลยทีเดียว

แต่ตอนนี้ หลังจากที่ซูฉินกลับสู่สภาวะปกติมันทําให้เฟยยรู้สึกหายใจสะดวกขึ้นมากแม้จะมีความกดดันหลงเหลืออยู่ก็ตาม

“กลับกันเถอะ”

หลังจากที่ซูฉินถอนสภาวะร่างศักดิ์สิทธิ์อีกาทองคําเขาก็มุ่งหน้ากลับไปเมืองฉางอันอย่าง ช้าๆ

การกลืนกินแหล่งกําเนิดธาตุไฟทั้งหมดสําเร็จวิชาภาพดวงตะวันฯระดับเล็ก ตลอดจนได้รับการปรับแก้ไร่างกายทั้งหมดใช้เวลาถึงหนึ่งปี

“ขอรับ”

ชายชราเฟยยได้ยินดังนั้นก็กล่าวตอบรับทันที
ไม่ช้านาน

ซูฉินและเฟยย ก็กลับไปถึงวังหลวง

จิตวิญญาณแรกกําเนิดที่มีพลังมหาศาลก็ถูกกวาดออกไปทั่วทั้งพระราชวังอยู่ในสายตาของซูฉินทั้งหมด
“ไม่เลว”

“มียอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งหลายสิบคนทั้งยังมีตํานานยุทธถึงสามคนกําเนิดขึ้น?” ซูฉินเลิกคิ้ว

ในระหว่างที่ปิดด่านฝึกตนไปหนึ่งปีก็เป็นจุดเปลี่ยนผ่านของกระแสปราณจีพอดีด้วยพรจาก

ฟ้าดินคอขวดของขอบเขตวิทยายุทธเก้าระดับชั้นที่จะไปสู่ขอบเขตตํานานยุทธก็คลายออกนําไปสู่การเกิดขึ้นของตํานานยุทธทั้งสามคนอย่าง ต่อเนื่องภายในพระราชวังถัง

“เอ๋?”

“หลีหว่านก็ก้าวเข้าสู่ขอบเขตตํานานยุทธด้วยงั้นหรือ?” ท่าทีของซูฉินที่แสดงออกมาดูประหลาดใจ

Sign in Buddha’s palm 297 (II) ร่างศักดิ์ สิทธิ์อีกาทองคํา

ทันใดนั้น ด้วยประสาทสัมผัสทั้งห้าของซูฉิน โลกทั้งใบก็ต่างออกไป เขาสามารถควบคุมพลังแห่งไฟได้ และสัมผัสได้ถึงสิ่งเล็กๆน้อยๆภายในระยะทางหลายร้อยลี้ ตั้งแต่กลิ่นอายของจอมยุทธขอบเขตตํานานยุทธไปจนถึงเสียงกระซิบของมด แมลงวัน แมลงหวี่ ทั้งหมดนั้นดูเหมือนจะอยู่ใกล้หูของซูฉินอย่างมาก

ยิ่งกว่านั้น ซูฉินยังสัมผัสได้ว่าร่างกายของเขา คล้ายจะหลอมรวมเข้ากับพลังอันไร้ที่สิ้นสุดของธาตุทั้งห้า แม้ในขณะที่เขานอนหลับ พลังงานธาตุไฟจํานวนมากก็ยังหลั่งไหลเข้ามาบํารุงการบ่มเพาะของเขาอย่างช้าๆ

“ในหนังสือโบราณบันทึกไว้ว่า ลูกของสัตว์ศักดิ์สิทธิ์บางชนิดไม่จําเป็นต้องฝึกฝนเลย ทําเพียงแค่นอนหลับตลอดทั้งวัน เมื่อพวกมันโตเต็มที่ พวกมันก็จะมีพลังที่สามารถทําลายล้างโลกได้…..”

ซูฉินลืมตาขึ้น ดูประหลาดใจ

เดิมที่เขาคิดว่าคํากล่าวเหล่านั้นเป็นเพียงเรื่องเข้าใจผิด การฝึกฝนวิทยายุทธไปทีละก้าวยากเย็นเพียงไร? เป็นไปได้อย่างไรที่จะเพิ่มฐานการบ่มเพาะเพียงแค่นอนหลับ?

แต่ตอนนี้ ด้วยการรับรู้ของตัวซูฉินเอง เขาก็เริ่มเชื่อเรื่องราวทั้งหมดแล้ว

ตอนนี้เขามาถึงเพียงความสําเร็จระดับเล็กในภาพดวงตะวันขนาดมหึมา มีความสามารถและทิพยอํานาจของอีกาทองคําสามขาแค่บางอย่างเท่านั้น ยังมีผลในการ
ปรับปรุงการบ่มเพาะอย่างช้าๆ เช่นนี้ แล้วลูกของสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ที่ได้รับการสืบทอดความสามารถและทิพยอํานาจมาเต็มๆจะน่ากลัวขนาดไหน?

“แต่การบ่มเพาะเช่นนี้ไม่เหมาะกับข้า มันช้าเกินไป”

ซูฉินส่ายหัวเล็กน้อย ครุ่นคิดในใจเงียบๆ

ด้วยความเร็วในปัจจุบัน แม้ว่าเขาจะไม่ได้ทําอะไรเลย เพียงแค่นอนหลับไปวันๆ เขาจะเข้าสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพีได้ภายในอีกไม่กี่ร้อยปี

แต่เวลาหลายร้อยปี… อาจจะทําให้ซูฉินไปอยู่ในระดับที่สูงกว่านั้นไปแล้ว จะเสียเวลาไปเปล่าๆกับการนอนทําไม?

“ทั้งยังมีดวงอาทิตย์…”

ซูฉันค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมองไปบนท้องฟ้า

แม้ว่าจะมีแหล่งกําเนิดธาตุไฟปกคลุมอยู่ แต่ซูฉันก็ยังรู้สึกได้ถึงแสงแดดที่แผดเผาบนท้องฟ้า

ในตอนนี้ ซูฉินมองดูดวงอาทิตย์ ความปรารถนาในใจพลันผุดขึ้นมา เขาต้องการจะเข้าไปใกล้ดวงอาทิตย์ที่ลุกไหม้ร้อนแรงนั่นแน่นอน

ซูฉินหยุดความคิดของตนไว้ได้ทันเวลา

ซูฉินรู้อยู่แก่ใจถึงเหตุผลที่เกิดความรู้สึกนั้นขึ้น ทั้งหมดเป็นเพราะสัญชาตญาณลวงที่เกิดขึ้นหลังจากฝึกฝนภาพดวงตะวันขนาดมหึมา โดยเฉพาะยามที่สําเร็จภาพดวงตะวันฯ ระดับเล็ก ซึ่งเปลี่ยนแปลงร่างของเขาไปเป็นร่างศักดิ์สิทธิ์อีกาทองคํา

อุณหภูมิของดวงอาทิตย์สูงเพียงใด? แม้ว่าในปัจจุบัน การฝึกภาพดวงตะวันขนาดมหึมาจะถึงความสําเร็จระดับเล็กแล้ว แต่ก็ยังไม่ใช่อีกาทองคําสามขาตัวจริง ยังห่างไกลที่จะทานทนต่อความร้อนแรงของดวงอาทิตย์ได้

“เอาล่ะ”

“หลังจากที่สําเร็จภาพดวงตะวันฯในระดับเล็ก ข้าควรจะมีความสามารถและทิพยอํานาจของอีกาทองคําสามขา”

ซูฉินนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ ดวงตาของเขาก็เป็นประกายในทันที

ร่างศักดิ์สิทธิ์อีกาทองคํา คือการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติทันทีที่สําเร็จภาพดวงตะวันฯ ระดับเล็ก และไม่นับเป็นความสามารถหรือทิพยอํานาจ

กล่าวอีกอย่าง นอกจากร่างศักดิ์สิทธิ์อีกาทองคําแล้ว ซูฉินยังมีทิพยอํานาจอีกอย่างน้อยหนึ่งอย่างด้วย

รู้หรือไม่ว่าทิพยอํานาจที่ซูฉินได้รับมามีประโยชน์ทั้งนั้น และซูฉินยังได้รับทิพยอํานาจมาเพียงไม่กี่ประเภทเท่านั้นหลังจากการลงชื่อเข้าใช้มาหลายสิบปี นี่แสดงให้เห็นถึงความล้ําค่าของทิพยอํานาจ

เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ ซูฉินก็หลับตาลงช้าๆ รู้สึกถึงไอพลังภายในกาย

ช่วงกึ่งกลางของร่างกาย มีแก่นแท้แห่งพลังที่คล้ายแม่น้ําใหญ่ โคจรวนเวียนอยู่ แก่นแท้แห่งพลังเหล่านี้เผยกลิ่นอายแผดร้อนจางๆ ราวกับมังกรเพลิงแหวกว่าย ไหลเวียนอยู่ในร่างของซูฉินอย่างต่อเนื่อง

ซูฉันมีความรู้สึกว่าในขณะนี้แก่นแท้แห่งพลังของเขา พลังในการทําลายล้างน่าจะเพิ่มขึ้น อย่างมาก ตํานานยุทธขั้นสูงสุดธรรมดาอาจถูก เผาทั้งเป็นได้ด้วยเศษเสี้ยวแก่นแท้แห่งพลังนี้

“แก่นแท้แห่งพลังใกล้ชิดกับธาตุไฟมากยิ่งขึ้น แต่ก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ เพราะร่างกายปัจจุบันของข้าคือร่างศักดิ์สิทธิ์อีกาทองคํา ซึ่งส่งผลต่อคุณสมบัติของแก่นแท้แห่งพลัง นี่จึงเป็นเรื่องปกติ”

“แต่ข้าอยากรู้ว่านอกเหนือจากการเปลี่ยนแปลงนี้แล้ว ความสําเร็จระดับเล็กในภาพดวงตะวันขนาดมหึมายังมีพลังพิเศษอะไรอีก”

ซูฉินตั้งหน้าตั้งตารอ

ทิพยอํานาจนั้นยิ่งมีมากยิ่งดี ไม่มีประเภทไหน มีค่าน้อยเกินไป

“ข้าไม่ต้องการทิพยอํานาจอย่างเพลิงตะวัน หรือทิพยอํานาจอย่างร่างกายเทพสุริยัน แค่มอบทิพยอํานาจธาตุไฟที่ใช้ในการโจมตีมาก็พอ”

ซูฉันคิดอยู่เงียบๆ

ในบรรดาทิพยอํานาจทั้งหลายของซูฉิน พวกมันมักจะเอนเอียงไปในด้านการสนับสนุน
มีผลอันน่าอัศจรรย์เมื่ออยู่ต่อหน้าผู้ที่อ่อนแอกว่าซูฉิน แต่ไม่ได้มีผลอะไรมากนักเมื่อเผชิญหน้ากับผู้ที่แข็งแกร่งในระดับเดียวกัน

ครืน

เมื่อจิตใจของซูฉินผสานเข้ากับร่างกายอย่าง สมบูรณ์ ทันใดนั้น ลึกเข้าไปในดวงตา ดว งอาทิตย์ก็ค่อยๆ ลุกไหม้อย่างช้าๆ และทวีความ รุนแรงเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ความร้อนที่น่าสะพรึง กล้วพวยพุ่ง แม้แต่แหล่งกําเนิดธาตุไฟที่อยู่ใกล้ๆ ก็เริ่มหลอมละลาย

“นี่คือ?”

ซูฉินรีบหยุดการกระตุ้นทิพยอํานาจของตน จิตใจจดจ่ออยู่ที่ดวงตาของตนในทันที

“ทิพยอํานาจประเภทดวงตา?”

หัวใจของซูฉินกระตุกเล็กน้อย

พูดตามตรง พลังประเภทดวงตาก็นับเป็นทิพย อํานาจ เพียงแต่ว่าบทบาทของพลังประเภทดวงตาอย่างดวงตาแห่งสัจจะนั้นโน้มเอียงไปทาง ความสามารถในการตรวจจับพลังฉีเท่านั้น แต่ไม่สามารถเพิ่มความแข็งแกร่งในการต่อสู้ให้ซูฉินได้

แต่ทิพยอํานาจที่ซูฉินกระตุ้นใช้งานเมื่อครู่น่ากลัวถึงขีดสุด ก่อนที่มันจะทันได้ใช้พลังเต็มที่ มันก็สามารถหลอมละลายแหล่งกําเนิดธาตุไฟได้แล้ว เป็นเรื่องที่น่าตกใจอย่างยิ่ง

ต้องรู้ก่อนว่าแหล่งกําเนิดธาตุไฟนั้นเป็นการบรรจบกันของพลังงานธาตุไฟในชั้นฟ้าดินนี้ ต้องบอกว่าความทนทานต่อเปลวไฟนั้นสูงมาก แต่ในตอนนี้มันกลับหลอมละลายไปอย่างรวดเร็ว นี่แสดงให้เห็นถึงความน่ากลัวของทิพยอํานาจนี้

“ไม่เลวไม่เลว”

ซูฉินดูพึงพอใจ หันหน้ามองออกไปด้านนอก

“เมื่อสําเร็จภาพดวงตะวันฯ ระดับเล็ก ก็ไม่จําเป็นต้องอยู่ที่นี่อีก ได้เวลากลับออกไปแล้ว”

ซูฉินก้าวเท้าไปด้านหน้า พร้อมกับหายวับไป

Sign in Buddha’s palm 297 (I) ร่างศักดิ์ สิทธิ์อีกาทองคํา

ภายในแหล่งกําเนิดธาตุไฟ

เมื่อจุดแสงดวงที่หนึ่งร้อยสว่างขึ้น ภาพมายาของแผ่นหินดวงตะวันขนาดมหึมาก็ปรากฏขึ้นที่ด้านหลังของซูฉิน ทันใดนั้น แผ่นหินก็ระเบิดอ อกกลายเป็นประกายหมอก รัศมีอันเก่าแก่และยิ่งใหญ่ก็ค่อยๆแทรกซึม ราวกับทุกอย่างหยุดนิ่ง และเวลาเดินถอยหลังกลับ

ทันใดนั้นจิตใจของซูฉินก็พลันระเบิดพลังของภาพดวงตะวันขนาดมหึมาซึ่งลึกซึ้งยิ่งกว่าเปลวไฟธรรมดาออกมา มากยิ่งกว่าแหล่งกําเนิดธาตุไฟเสียอีก

“ข้าได้กลืนโอสถศักดิ์สิทธิ์และโอสถปีศาจธาตุ ไฟเข้าไปเป็นจํานวนมาก กอบโกยจากเมืองใหญ่ที่สืบทอดมานับพันปีในโลกถ้ําปีศาจจนเกลี้ยง ท้ายที่สุดยังกลืนกินแหล่งกําเนิดธาตุไฟเข้าไปทั้งหมด ความสําเร็จระดับเล็กในภาพดวงตะวันฯ เกรงว่ามันกําลังจะเกิดขึ้นในครานี้……”

ดวงตาของซูฉินปิดลง มองเข้าไปในจิตใจ เขาเห็นภาพดวงตะวันขนาดมหึมากําลังระเบิดพลังงานธาตุไฟที่ลึกซึ้งและยิ่งใหญ่ออกมาอย่างต่อเนื่อง

แม้จะมีความแตกต่างเพียงขั้นเดียวเท่านั้น ระหว่างความสําเร็จระดับเริ่มต้นและความสําเร็จระดับเล็กของภาพดวงตะวันขนาดมหึมา

แต่มันแทบจะเป็นคนละเรื่องกันเลย

ความสําเร็จระดับเริ่มต้นในภาพดวงตะวันขนาด มหึมาเพียงทําให้ซูฉินมีกลิ่นอายของอีกาทองคําสามขา ทั้งยังเป็นกลิ่นอายที่อ่อนแอที่สุดจากดวงตะวันขนาดมหึมาด้วย แต่ก็ทําให้ซูฉินมีความเข้าใจในพลังธาตุไฟในระดับหนึ่งและมีภูมิคุ้มกันต่อเปลวไฟ
แต่ก็เท่านั้น

มันมีค่า แต่ก็ไม่ใช่สิ่งที่พิเศษอะไร อย่างน้อยในยุคเฟื่องฟูกระแสปราณฉีครั้งล่าสุดก็มีสมบัติธาตุไฟจํานวนมากที่สามารถบรรลุผลลัพธ์เช่นนี้ได้

ทว่าการสําเร็จวิชาภาพดวงตะวันฯ ระดับเล็กทําให้ซูฉินสามารถสืบทอดความสามารถและทิพยอํานาจบางส่วนของอีกาทองคําสามขามาได้โดยตรง ทิพยอํานาจของสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ แม้จะเป็นประเภทที่อ่อนแอที่สุดก็เพียงพอจะทําให้ทั้งโลกต้องตกตะลึง และนอกจากจะได้รับความสามารถและทิพยอํานาจแล้ว เมื่อก้าวเข้าสู่ความสําเร็จระดับเล็กของภาพดวงตะวันขนาดมหึมา ร่างกายของซูฉินจะเริ่มเปลี่ยนแปลงไปตามธรรมชาติ เป็นการเปลี่ยนแปลงไปสู่ทิศทางของสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ที่แข็งแกร่งที่สุดในด้านเปลวไฟ

เมื่อความคิดของซูฉินกําลังแล่นไป

แก่นพลังงานธาตุไฟที่ลึกซึ้งและกว้างใหญ่ก็แผ่พุ่งออกมาจากส่วนลึกของภาพดวงตะวันขนาดมหึมา ผสานเข้ากับร่างของซูฉินอย่างรวดเร็ว
บูม!!!

ซูฉินรู้สึกได้ถึงการระเบิดอย่างกะทันหัน ราวกับเขาได้เห็นฉากที่สวรรค์และโลกก่อกําเนิด ดวงตะวันดวงหนึ่งค่อยๆปรากฏออกมา

ทันทีหลังจากนั้น

ร่างกายของซูฉินที่ยังคงมีพลังงานจากแหล่งกําเนิดธาตุไฟหลั่งไหลเข้ามา พลันระเบิดก้องราวกับฟ้าร้อง ทั่วทั้งร่างเริ่มบวมเป่ง เหมือนกับมีพลังงานมหาศาลกําลังก่อกําเนิดขึ้น

“ร่างกายของข้ากําลังถูกปรับแก้?”

ใบหน้าของซูฉินเปลี่ยนไปเล็กน้อย

เมื่อฝึกภาพดวงตะวันขนาดมหึมาสําเร็จ จะสามารถแปลงเป็นอีกาทองคําสามขา สัตว์ศักดิ์สิทธิ์ที่แข็งแกร่งที่สุดในด้านเปลวไฟ แต่สําหรับร่างกายของมนุษย์แล้ว หากอยากจะแบกรับพลังของอีกาทองคํา แม้จะเป็นเพียงอีกาทองคํา สามขาวัยเยาว์ก็ยังห่างไกลพอสมควร ต้องปรับเปลี่ยนจากภายในสู่ภายนอก

การเปลี่ยนแปลงเช่นนี้ไม่ได้ทําให้ซูฉินเปลี่ยนไปเป็นเผ่าพันธุ์อื่นโดยสมบูรณ์ แต่จะทําให้ร่างกายเหนือกว่ามนุษย์ขึ้นไปเรื่อยๆ จนกระทั่งรองรับพลังของอีกาทองคําผู้ยิ่งใหญ่ได้

แน่นอน

สิ่งนี้จะเกิดขึ้นอย่างช้าๆ เริ่มต้นขึ้นเมื่อสําเร็จ ภาพดวงตะวันฯ ระดับเล็ก นั่นจึงเป็นผลให้เกิดฉากเช่นนี้ขึ้น

เมื่อซูฉินรู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงภายในกายของตนเอง
ปัง!!

มือทั้งสองข้างระเบิดออกพร้อมกัน ทั้งผิวหนังและเนื้อเยื่อระเบิดออก แต่ในเวลาต่อมา เลือดเนื้อก็กระจายไปในอากาศ ไฟจํานวนมากพวยพุ่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง คอยจัดระเบียบเลือดเนื้อของซูฉิน

ในเวลาเพียงชั่วครู่ มือสีขาวราวกับหยกก็กลับมารวมตัวกันอีกครั้ง นิ้วทั้งห้าเรียวยาว พวกมันสามารถควบคุมทิศทางพลังงานธาตุต่างๆบนโลก ได้อย่างง่ายดาย และในตอนที่มือเรียวก่อตัวขึ้นมาสําเร็จ แหล่งกําเนิดธาตุไฟทั้งหมดก็สั่นสะเทีอน พลังงานธาตุไฟจํานวนนับไม่ถ้วนก็พากันหลั่งไหลเข้ามา

“นี่คือ?”

ซูฉินมองมือของตนที่กลับมารวมตัวกันอีกครั้งอย่างไม่อยากเชื่อ
มือคู่นี้ถ้ามองดูก็ไม่แตกต่างไปจากเมื่อก่อน แต่มันมีรายละเอียดเล็กๆที่เปลี่ยนไป ด้วยการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ทําให้ซูฉินรู้สึกว่าสามารถ ควบคุมพลังงานฟ้าดินธาตุไฟในโลกหล้านี้ได้

แม้ว่าซูฉินจะสามารถบังคับพลังงานฟ้าดินได้ โดยอาศัยจิตวิญญาณแรกกําเนิดและอาณาเขต แต่หากปราศจากพลังเหล่านั้น เช่น ซูฉินสูญเสียพลังจิตวิญญาณแรกกําเนิดอาณาเขต หรือความแข็งแกร่งลดลง ความสามารถเช่นนั้นก็จะหายไปเป็นธรรมดา

แต่ในตอนนี้

เมื่อซูฉินขยับมือคู่นี้ เขาก็รู้สึกเหมือนว่าเขากลายเป็นร่างสถิตของเทพเจ้าแห่งไฟ แม้จะไม่ได้ใช้พลังจากจิตวิญญาณแรกกําเนิดหรืออาณาเขต ก็สามารถบังคับเปลวไฟได้ น่าเหลือเชื่อยิ่ง

อย่างไรก็ตาม

ในช่วงเวลาต่อมา

ซูฉินยังไม่ทันได้ตั้งตัว

แขนทั้งสองข้างของเขาก็ระเบิดออก เลือดเนื้อรินไหล ทว่าท่ามกลางกระแสพลังงานธาตุไฟที่ไหลเข้ามาอย่างต่อเนื่อง แขนของเขาก็กลับคืนสู่รูปร่างเดิมอย่างว่องไว ยังคงเพรียวบางแต่ทรงพลังมากขึ้น นอกจากนี้มันยังเป็นเหมือนกับมือ ทั้งสองข้างที่มีความเชื่อมโยงกับพลังงานฟ้าดิน ธาตุไฟอันไร้ที่สิ้นสุด

ต่อมา

ฝ่าเท้าพลันแตกออก น่องระเบิด ต้นขาก็แตกกระจาย ตัวแตก อกแตก…..

ร่างของซูฉินเริ่มระเบิดออกมา ราวกับว่าตัวเขาอยู่ภายใต้พลังแห่งกฎที่แสนโหดร้าย แม้ด้วยจิตใจอันมุ่งมั่น ซูฉินก็ยังรู้สึกเจ็บปวดอย่างมาก ภายใต้การขัดเกลาด้วยพลังงานธาตุไฟอย่างต่อเนื่อง ความสามารถในการรับรู้ก็เพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล ความเจ็บปวดที่ซูฉินได้รับก็เพิ่มขึ้นเป็นสิบเป็นร้อยเท่าเช่นกัน

นี่คือการเปลี่ยนแปลงที่เกิดจากความสําเร็จระดับเล็กของภาพดวงตะวันขนาดมหึมา

ร่างกายของซูฉินเริ่มปรับแก้ และรวมตัวกันใหม่ ควบแน่นขึ้นมาภายใต้อํานาจของแผ่นหินภาพดวงตะวันขนาดมหึมา แม้ว่าจะยังคงเป็นเผ่าพันธุ์มนุษย์ แต่การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นทําให้ขึ้นไปยืนอยู่บนจุดสูงสุด เหนือกว่าเผ่าพันธุ์มนุษย์เสียแล้ว
เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้า

พลังโบราณกาลที่ล้ําลึกยังคงหลั่งไหลออกมาสร้างกายเนื้อและเส้นเลือดของซูฉินขึ้นใหม่ ซ่อมแซมผิวหนังและเส้นผม จนกระทั่งกลับสู่สภาพเดิมจากนั้นจึงหยุดลง
ซูฉินในยามนี้

แม้จะดูคล้ายกับก่อนหน้า แต่ก็มีการเปลี่ยนแปลงเล็กๆน้อยๆ ในเชิงโครงสร้าง การเปลี่ยนแปลงที่ละเอียดอ่อนเหล่านี้ถูกซ้อนทับกัน ทําให้ทั้งร่างของซูฉินดูแตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง เป็นเสมือนเทพสุริยัน ทั่วทั้งร่างมีกลิ่น อายเร่าร้อนรุนแรง โดยเฉพาะกึ่งกลางระหว่างคิ้ว มีรอยประทับจางๆ ปรากฏขึ้น สื่อถึงพลังแห่งไฟ อันไร้เปรียบใต้ผืนฟ้าเหนือผืนดินนี้

“นี่คือความสําเร็จระดับเล็กของภาพดวงขนาดม หึมางั้นรึ?”
ซูฉินค่อยๆ ลืมตาขึ้น

ม่านตาของเขาดําสนิทเหมือนเด็กทารก แต่มองลึกเข้าไปในดวงตา ดวงอาทิตย์ดวงใหญ่กําลังลุกไหม้สุกสว่าง ฉายรัศมีพลังอันน่ากลัวออกมาอย่างต่อเนื่อง

ซูฉินยืนขึ้นและมองไปที่ฝ่ามือของเขาอีกครั้ง 694 เห็นว่าฝ่ามือนั้นเรียบเนียนและละเอียดอ่อน เหมือนบัณฑิตผู้อ่อนแอ แต่เมื่อเขาโบกมือ พลังไฟที่อยู่รอบๆ ก็เข้ามาล้อมตัวเขาโดยธรรมชาติ ราวกับว่ามันกําลังบูชาองค์จักรพรรดิอยู่

“ในตอนนี้ เกรงว่าร่างกายของข้าคงเลื่อนขั้น เข้าสู่กายแห่งธรรมชาติอย่างสมบูรณ์แล้ว…”

ซูฉินถอนหายใจออกมาเบาๆ ใบหน้าสื่ออารมณ์ที่อธิบายเป็นคําพูดไม่ถูก

กายแห่งธรรมชาติที่เขาต้องการ กลับได้มันมาโดยธรรมชาติทันทีที่สําเร็จภาพดวงตะวันฯ ระดับเล็ก

“ไม่ถูกต้อง

“ตอนนี้ร่างกายของข้าน่าจะแบ่งแยกออกจากขอบเขตกายแห่งธรรมชาติ จะเหมาะสมกว่าถ้าจะเรียกว่า ร่างศักดิ์สิทธิ์อีกาทองคํา”

ซูฉินคิดอยู่เงียบๆ ในใจ
ตั้งแต่ที่สําเร็จภาพดวงตะวันฯ ระดับเล็ก ก็มีความทรงจําไหลเข้ามาเพิ่มในจิตใจของเขา ความทรงจําประเภทนี้คล้ายกับความทรงจําที่สืบทอดผ่านกลิ่นอาย แต่กลับหยั่งรากลึกลงในจิตใจของซูฉิน ราวกับเขาเคยประสบพบเจอด้วยตนเอง

ในความทรงจําใหม่นี้ ซูฉินได้รู้ว่าร่างกายใน ปัจจุบันของเขานั้น ได้ถูกปรับแก้” โดยพลังงานธาตุไฟ มันแตกต่างอย่างสิ้นเชิงจากร่างกายธรรมดาที่ถูกชําระล้างด้วยทะเลปราณ แต่มันมีความเอนเอียงไปทางร่างศักดิ์สิทธิ์อีกาทองคําเสียมากกว่า

ร่างศักดิ์สิทธิ์เรียกได้ว่าเป็นร่างแห่งกฎเกณฑ์ธรรมชาติอีกอย่างหนึ่ง เทียบเท่ากับอีกทิศทางหนึ่งอย่างกายแห่งธรรมชาติ

“น่าเสียดายที่ฝึกฝนภาพดวงตะวันขนาดมหึมาได้เพียงความสําเร็จระดับเล็ก ยังห่างไกลจากความสําเร็จชั้นยอด”

จิตใจของซูฉินผสานเข้าไปภายในจิต และมองไปยังแผ่นหินภาพดวงตะวันขนาดมหึมา ที่สูงทะลุผ่านผืนฟ้าผืนดิน

บนแผ่นหินมีจุดไฟนับหมื่นจุด และท่ามกลาง จุดไฟนับหมื่นจุดนี้ มีหนึ่งร้อยจุดบริเวณขอบของแผ่นหินที่สว่างขึ้นอย่างสมบูรณ์ เป็นสัญลักษณ์ที่บ่งบอกว่าฝึกภาพดวงตะวันฯ สําเร็จระดับเล็ก

ต่อจากนี้ หากซูฉินต้องการจะฝึกภาพดวงตะวัน ขนาดมหึมาให้ถึงความสําเร็จชั้นยอด เขาจะต้องจุดดวงไฟที่เหลืออีกเก้าพันเก้าร้อยจุด

จากประสบการณ์ที่ผ่านมาของซูฉินในการจุดไฟหนึ่งร้อยดวง ทรัพยากรที่จําเป็นต้องใช้นั้นมากกว่าตอนที่สําเร็จขั้นเริ่มต้นของภาพดวงตะวัน ขนาดมหึมาเป็นร้อยเท่า

จากการลงชื่อเข้าใช้ของซูฉิน เขาต้องใช้เวลา เป็นสิบปีเพื่อฝึกฝนภาพดวงตะวันขนาดมหึมาให้ ถึงความสําเร็จระดับเล็กอย่างยากลําบาก หากต้องการจะไปถึงความสําเร็จชั้นยอดในภาพดวงตะวันขนาดมหึมา เขาจะต้องใช้เวลาลงชื่อเข้าใช้มากกว่าพันปีจึงจะประสบความสําเร็จ

แน่นอน

นี่ไม่ใช่วิธีการคํานวณที่ถูกต้อง

เมื่อความแข็งแกร่งของซูฉินเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ เขามีโอกาสที่จะลงชื่อเข้าใช้ในสถานที่ที่อันตรายมากยิ่งขึ้น และสิ่งที่ได้รับกลับมาก็จะห่างไกล จากที่เคยได้รับเป็นธรรมดา แต่กระนั้น ตามการประมาณการของซูฉิน ก็อาจจะต้องใช้เวลาหลายสิบหรือหลายร้อยปี ไม่มีความคิดว่าการประสบความสําเร็จในการฝึกฝนภาพดวงตะวันฯ จะเป็นเรื่องง่าย

“มาดูการเปลี่ยนแปลงหลังจากฝึกภาพดวงตะวันฯ จนถึงความสําเร็จระดับเล็ก”

ซูฉินหลับตาลงช้าๆ รับรู้ถึงความเคลื่อนไหวในทุกทิศทาง

ไม่ใช้อาณาเขต ไม่ได้ใช้จิตวิญญาณแรกกําเนิด เพียงอาศัยการรับรู้ของร่างกาย ค่อยๆ แผ่ขยายมันออกไปในระยะไกล
ทันใดนั้น ด้วยประสาทสัมผัสทั้งห้าของซูฉิน โลกทั้งใบก็ต่างออกไป เขาสามารถควบคุมพลังแห่งไฟได้ และสัมผัสได้ถึงสิ่งเล็กๆน้อยๆ ภายในระยะทางหลายร้อยลี้ ตั้งแต่กลิ่นอายของจอมยุทธขอบเขตตํานานยุทธไปจนถึงเสียงกระซิบของมด แมลงวัน แมลงหวี่ ทั้งหมดนั้นดูเหมือนจะอยู่ใกล้หูของซูฉินอย่างมาก

ยิ่งกว่านั้น ซูฉินยังสัมผัสได้ว่าร่างกายของเขา คล้ายจะหลอมรวมเข้ากับพลังอันไร้ที่สิ้นสุดของธาตุทั้งห้า แม้ในขณะที่เขานอนหลับ พลังงานธาตุไฟจํานวนมากก็ยังหลั่งไหลเข้ามาบํารุงการบ่มเพาะของเขาอย่างช้าๆ

“ในหนังสือโบราณบันทึกไว้ว่า ลูกของสัตว์ศักดิ์สิทธิ์บางชนิดไม่จําเป็นต้องฝึกฝนเลย ทําเพียงแค่นอนหลับตลอดทั้งวัน เมื่อพวกมันโตเต็มที่ พวกมันก็จะมีพลังที่สามารถทําลายล้างโลกได้…

ซูฉินลืมตาขึ้น ดูประหลาดใจ

เดิมที่เขาคิดว่าคํากล่าวเหล่านั้นเป็นเพียงเรื่องเข้าใจผิด การฝึกฝนวิทยายุทธไปทีละก้าวยากเย็นเพียงไร? เป็นไปได้อย่างไรที่จะเพิ่มฐานกา รบ่มเพาะเพียงแค่นอนหลับ?

แต่ตอนนี้ ด้วยการรับรู้ของตัวซูฉินเอง เขาก็เริ่มเชื่อเรื่องราวทั้งหมดแล้ว

Sign in Buddha’s palm 296 กลืนกินแหล่งกําเนิดธาตุไฟภาพดวงตะวันขนาดมหึมา!

[ขอแสดงความยินดี โฮสต์ลงชื่อเข้าใช้สําเร็จได้รับ โอสถแหล่งกําเนิดธาตุไฟ]

เสียงจักรกลเย็นชาดังขึ้นในโสตประสาทของซูเฉิน

“โอสถแหล่งกําเนิดธาตุไฟ?”

ซูฉินรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย
“โอสถชนิดนี้…”

ซูฉินผสานจิตเข้าไปในพื้นที่ของระบบอย่างรวดเร็วและพบโอสถศักดิ์สิทธิ์ส่องแสงประกายไฟที่มุมหนึ่ง

“ในแง่ของกลิ่นอาย พลังนั้นมากกว่าโอสถเพลิงเทพปฏิปักษ์ถึงสิบเท่า….” ซูฉินแตะปลายคางคาดเดาอยู่ในใจ

“ดูเหมือนว่าเวลาในการก่อตัวของแหล่งกําเนิดธาตุไฟนั้นสั้นเกินไปและเต๋สะสมก็มีไม่มากนัก….”

ซูฉินสายศีรษะเล็กน้อย

จากประสบการณ์การลงชื่อเข้าใช้ร่วมหลายสิบปีของซูฉิน การลงชื่อครั้งแรกทุกครั้งจะได้รับสมบัติที่มีค่ามากที่สุด

ตัวอย่างเช่น ฝ่ามือยไลจากวัดเส้าหลินภาพสิบสองสัตว์ศักดิ์สิทธิ์จากเกาะหยิงโจว เป็นต้น
แม้ว่ามันจะเป็นแหล่งกําเนิดธาตุดินในทะเล ทรายตะวันตก ในการลงชื่อเข้าใช้ครั้งแรกยังให้ ทิพยอํานาจแก่ซูฉิน

สําหรับแหล่งกําเนิดธาตุไฟที่อยู่ตรงหน้า มัน กลับลงชื่อเขาใช้ได้เพียงโอสถธาตุไฟเท่านั้น

แน่นอนว่านี่ไม่ได้หมายความว่าโอสถแหล่งกํา เนิดธาตุไฟไม่ดี โอสถชนิดนี้มีความแข็งแกร่งกว่า โอสถเพลิงเทพปฏิปักษ์ถึงสิบเท่า ซึ่งเพียงพอ แล้วที่จะที่จะทําให้เชียนเทพปฐพีขั้นสูงสุดอย่าง จ้าวทะเลบูรพาออกมาต่อสู้แย่งชิง

แต่เมื่อเทียบกับรางวัลอย่างทิพยอํานาจหนึ่ง ชนิด เห็นได้ชัดว่าโอสถแหล่งกําเนิดธาตุไฟนั้น ไม่เพียงพอ

รู้หรือไม่ว่า ทิพยอํานาจสามารถเติบโตไป พร้อมกับผู้ฝึกยุทธได้ ตัวอย่างเช่นดวงตาแห่งสัจ จะของซูฉินที่ได้รับมาจากการลงชื่อเข้าใช้ จนถึง ตอนนี้มันก็ยังเป็นพลังหลักสําคัญของซูฉินอยู่ จะ เอามาเทียบกับโอสถเพียงเม็ดเดียวได้อย่างไร?

“แต่ข้ากําลังฝึกฝนภาพดวงตะวันขนาดมหึมา ด้วยโอสถศักดิ์สิทธิ์ธาตุไฟแบบนี้ ยิ่งมีมากยิ่งดี หาให้มากเข้าไว้เท่าที่ทําได้…”

ซูฉินพยักหน้าเล็กน้อย

แม้ว่าซูฉินจะกลืนแหล่งกําเนิดธาตุไฟเข้าไป ส่งเสริมภาพดวงตะวันฯ จนถึงความสําเร็จขนาด เล็ก แต่ความสําเร็จชั้นยอดเล่า?

ความต้องการพลังงานธาตุไฟยังคงมีมากมาย ราวกับภูเขาสูงและมหาสมุทรกว้าง โอสถแหล่ง กําเนิดธาตุไฟนี้จะไม่ไร้ประโยชน์แน่นอน

“เอาล่ะ”

“ต่อไปก็ถึงเวลาฝึกภาพดวงตะวันขนาดมหึมา

แล้ว”

ซูฉินละสายตาจากโอสถแหล่งกําเนิดธาตุไฟ สีหน้าของเขากลับมาเคร่งขรึม

ภาพดวงตะวันขนาดมหึมาเป็นแผ่นหินรูปแรก ในภาพสิบสองสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งอีกาทองคําสาม ขาเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ที่แข็งแกร่งที่สุดในด้านเปลว ไฟ เมื่อซูฉินสําเร็จวิชาภาพดวงตะวัน เขาจะสา มารถสร้างร่างอีกาทองคําขึ้นมาได้อย่างง่ายดาย

แน่นอนว่าด้วยความแข็งแกร่งระดับปัจจุบันของ ซูฉิน การแปลงเป็นอีกาทองคําสามขาก็คงจะเป็น เพียงร่างวัยเยาว์ เป็นไปไม่ได้เลยที่จะมีพลังของ อีกาทองคําสามขาที่สามารถเผาผลาญฟ้าดินได้ ในเร็ววัน

ไม่เช่นนั้น การฝึกภาพดวงตะวันขนาดมหึมา คงต้องการมากกว่าแค่โอสถศักดิ์สิทธิ์ธาตุไฟ

แต่ถึงแม้จะอยู่ในสถานะอีกาทองคําสามขาวัย เยาว์ก็เพียงพอแล้วสําหรับซูฉินที่จะบดขยี้เชียน เทพปฐพี่ส่วนใหญ่ได้อย่างง่ายดาย อาทิ เซียน เทพปฐพีธาตุไฟอย่างจ้าวทะเลบูรพา หากต้อ งมาเผชิญหน้ากับซูฉิน เขาคงไม่แม้แต่จะเงย หน้าขึ้นมาได้

“เพียงแต่ว่า!”

“หากข้ากลืนกินแหล่งกําเนิดธาตุไฟนี้และใช้ มันเสริมความแข็งแกร่งให้กับร่างกายแทนการ ฝึกฝนภาพดวงตะวันขนาดมหึมา เกรงว่าข้าคงสา มารถแปรสภาพร่างกายครั้งที่เจ็ดได้สําเร็จ และ พาร่างกายไปสู่ระดับกายแห่งธรรมชาติได้…”

หัวใจของซูฉินหวั่นไหว

หลังจากกลืนแหล่งกําเนิดธาตุดินที่วิหารหมื่น พุทธ ร่างกายของซูฉินก็มาถึงจุดสูงสุดของการ แปรสภาพครั้งที่หก และอีกเพียงครึ่งก้าวก็จะเข้า สู่ขอบเขตกายแห่งธรรมชาติ

หากครั้งนี้ได้กลืนกินแหล่งกําเนิดธาตุไฟ เข้าไป เกรงว่ามันคงจะแปรสภาพร่างกายไปเป็ นกายแห่งธรรมชาติได้จริงๆ

และร่างกายในระดับกายแห่งธรรมชาตินั้นเต็ม ไปด้วยพลังงานปราณเลือดที่น่าสะพรึงกลัว สา มารถกวาดล้างจอมยุทธที่อยู่ต่ํากว่าขอบเขต เซียนเทพปฐพี่ได้ทั้งหมด

“ไม่เป็นไร”

“ใช้ฝึกฝนภาพดวงตะวันขนาดมหึมาดีกว่า”

ซูฉันลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะล้มเลิกความคิดนั้น

ไป

ร่างกายในระดับกายแห่งธรรมชาตินั้นน่ากลัวจ ริงๆ แต่ท้ายที่สุดก็ไม่สามารถเทียบกับเซียนเทพ ปฐพีที่แท้จริงได้

แต่กับภาพดวงตะวันขนาดมหึมา ไม่ต้องพูดถึง เรื่องที่ทําให้จิตวิญญาณแรกกําเนิดของซูฉินห ลอมรวมเข้าสู่ทะเลปราณได้ แค่หลังจากไปถึง ความสําเร็จระดับเล็กเพียงอย่างเดียว ทั้งความสา มารถและทิพยอํานาจธาตุไฟที่ได้มาจากอีกา ทองคําสามขา ก็ไม่รู้ว่าแข็งแกร่งกว่ากายแห่งธร รมชาติไม่รู้เท่าไหร่ต่อเท่าไหร่

นั่นคือความสามารถและทิพยอํานาจของสัตว์ ศักดิ์สิทธิ์อย่างอีกาทองคําสามขาในตํานาน แม้ จะเป็นเพียงส่วนเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น แต่ก็ยอด เยี่ยมกว่ากายแห่งธรรมชาติ
ท้ายที่สุด การจะเปลี่ยนเป็นกายแห่งธรรมชา ติได้นั้น ก็เพียงต้องก้าวเข้าสู่ขอบเขตเซียนเทพ ปฐพี แบกรับพลังจากทะเลปราณ จากนั้นร่างกาย ก็จะแปรสภาพไปเองโดยธรรมชาติ

แต่ความสามารถและทิพยอํานาจบางอย่างที่ ได้รับมาจากการสําเร็จภาพดวงตะวันฯ ระดับเล็ก เป็นสิ่งที่มีเพียงอีกาทองคําสามขาเท่านั้นที่สา มารถมีได้

ทั้งสองสิ่งไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกันเลย เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ ซูฉินก็ค่อยๆ หลับตาลง

ในส่วนลึกของจิตใจซูฉิน แผ่นหินภาพดวงตะ วันฯ ก็ขยายตัวขึ้นสู่ฟากฟ้า แผ่นหินเริ่มสั่นไหว เหนือแผ่นหิน มีดวงตะวันขนาดมหึมาที่ปล่อย แสงร้อนแรงออกมาตลอดเวลา ภายในดวงตะวัน มีอีกาทองคําสามขาคํารามแว่วมาแต่ไกล ส่ง เสียงออกไปถึงฟากฟ้า

หวิ่ง!!!

ขณะที่แผ่นหินกําลังหมุนวน บรรดาจุดแสงนับ หมื่นบนพื้นผิวก็สว่างไสวขึ้นมากว่าเก้าสิบจุด

นี่เป็นผลจากการกลืนโอสถธาตุไฟและโอ สถศักดิ์สิทธิ์อย่างต่อเนื่อง

หากจะบอกว่าการจุดดวงไฟหนึ่งจุดบนแผ่นหิน ภาพดวงตะวันฯ เป็นความสําเร็จขั้นเริ่มต้น กา รจุดดวงไฟได้ร้อยจุดก็นับเป็นความสําเร็จระดับ เล็กในภาพดวงตะวันขนาดมหึมา

สําหรับการจุดไฟบนแผ่นหินได้ครบหมื่นจุด มัน คือความสําเร็จชั้นยอด
เมื่อถึงวันนั้น วันที่ซูฉินฝึกฝนภาพดวงตะวัน ขนาดมหึมาจนครบถ้วนทุกกระเบียดนิ้ว จะได้รับ ทั้งความสามารถ ทิพยอํานาจ พลังร่างกาย และ สิ่งอื่นๆ จากอีกาทองคําสามขา สัตว์ศักดิ์สิทธิ์ที่ แข็งแกร่งที่สุดในด้านธาตุไฟมาครอง

ต่ง!

ขณะที่แผ่นหินภาพดวงตะวันฯ กําลังทอดตัว ยาวสูงขึ้นไปถึงฟ้า พลังงานธาตุไฟอันไร้ที่สิ้นสุด ภายในแหล่งกําเนิดธาตุไฟก็แปรเปลี่ยนเป็นมังกร ไฟพุ่งเข้าใส่ร่างของซูฉินทั้งหมด

และภายในแผ่นหินภาพดวงตะวันขนาดมหึมา นั้น จุดไฟเล็กๆ จํานวนมากก็ค่อยๆ สว่างเรื่อขึ้น

ช้าๆ

ในเวลาเพียงชั่วครู่ ซูฉินก็ถูกห่อหุ้มไปด้วย เปลวไฟ มังกรไฟทั้งหลายยังคงพันไปรอบข้อมือ ข้อเท้าซูฉินอย่างต่อเนื่อง หลอมรวมเข้ากับ ร่างกายของซูฉิน ทําให้รัศมีพลังยิ่งมายิ่งร้อนแรง ราวกับดวงตะวันกําลังฟื้นตื่นจากช่วงเวลาดับมอด

เวลาผ่านไปช้าๆ

ครานี้ เวลาที่ซูฉินปิดด่านฝึกตน ยาวนานเสีย ยิ่งกว่าครั้งที่กลืนกินแหล่งกําเนิดธาตุดินเสียอีก

การกลืนกินแหล่งกําเนิดธาตุดิน ซูฉินเพียงนํา พลังทั้งหมดของแหล่งกําเนิดธาตุดินให้เคลื่อน เข้าสู่ร่างกายของเขา นอกจากนี้ แหล่งกําเนิดธา ตุดินแห่งนั้นยังไม่เติบโตเต็มที่ และพลังงานธาตุ ดินที่มีอยู่ก็น้อยกว่าพลังงานธาตุไฟในแหล่งกํา เนิดธาตุไฟแห่งนี้

ในชั่วพริบตา หนึ่งปีก็ผ่านพ้นไป ในช่วงหนึ่งปีนี้ เฒ่าเฟยยี่คอยเฝ้าที่หน้าแหล่ง กําเนิดธาตุไฟด้วยความอดทน

“ไอพลังอ่อนแรงลงแล้วรี?”

ชายชราเฟยยวเงยหน้าขึ้น และเหลือบมองไป ที่เทือกเขาไฟที่อยู่เบื้องหน้า คิดในใจตนเงียบๆ

หากเทียบกับหนึ่งปีก่อนที่พลังงานธาตุไฟใน เทือกเขาไฟแห่งนี้มีมากมายไร้ที่สิ้นสุด ราวกับ ทะเลเพลิงอันกว้างใหญ่ไพศาล บัดนี้ พลังงานธา ตุไฟอันน่าเกรงขามนั้นดูเหมือนจะถูกสูบลงเหว ไปหมด ลดลงไปอย่างน้อยก็สิบเท่า และยังคง ลดลงเรื่อยๆ

“ทําไมนายท่านยังไม่ออกจากด่านฝึกต นอีก…”

“นิกายใหญ่เหล่านั้นน่าจะเริ่มเคลื่อนไหวแล้ว”

ความวิตกกังวลฉายชัดไปทั่วไปใบหน้าของ ชายชราเฟียย

ในช่วงหนึ่งปีมานี้ เขาสัมผัสได้ถึงรัศมีพลังอัน ยิ่งใหญ่จากต่างแดนที่เข้ามาสู่บริเวณชายขอบ ของแผ่นดินแห่งพลังยุทธฯ ถ้าไม่มีอะไรผิด พลาด ก็คงจะมุ่งหน้าตรงมาที่อาณาจักรถัง

เฟยยวีรู้ดีว่าพวกเขาต่างก็เป็นบรรพชนจากนิ กายใหญ่

บรรพชนเหล่านี้หลับใหลมานับพันปีด้วยวิธีการ ปิดผนึกตนเอง ส่วนใหญ่ล้วนไปถึงขั้นแปลงจิต วิญญาณแรกกําเนิดแล้ว และยังมีกลิ่นอายบาง ส่วนที่เหมือนจะเข้าสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพีไป ครึ่งก้าวแล้ว

มรดกตกทอดมาในต่างดินแดนนับพันปี แม้ว่าผู้ ที่ไปถึงขอบเขตเซียนเทพปฐพี่จะหาได้ยากยิ่ง และไม่ค่อยได้พบเห็นในรอบหลายพันปี แต่ก็ยัง มีตํานานยุทธขั้นสูงสุดที่ควบแน่นอาณาเขตและ แปลงจิตวิญญาณแรกกําเนิดได้

ก่อนจะสิ้นชีวิต ตํานานยุทธขั้นสูงสุดเหล่านี้จะ พยายามทะลวงขอบเขตเซียนเทพปฐพี

ตํานานยุทธขั้นสูงสุดส่วนใหญ่ที่ล้มเหลวมัก จะตกตายในทันที แต่ก็มีบ้างที่รอดชีวิตมาได้ด้วย ความบังเอิญ

ตํานานยุทธขั้นสูงสุดเหล่านี้ไม่ประสบความสํา เร็จในการทะลวงขั้น แต่ในระหว่างการทะลวงขั้น นั้น จิตวิญญาณแรกกําเนิดก็ได้หลอมรวมเข้ากับ ทะเลปราณไปแล้ว เทียบเท่ากับการก้าวเข้าสู่ ขอบเขตเซียนเทพปฐพี่ไปครึ่งก้าว และมีความ เข้าใจในวิธีการบางอย่างของขอบเขตเซียนเทพ ปฐพี
หรือถ้าพูดให้ฟังง่ายๆ

ตํานานยุทธขั้นสูงสุดจําพวกนี้จะอยู่กึ่งกลางระ หว่างขอบเขตเซียนเทพปฐพีและขอบเขตตํานาน ยุทธ เหนือกว่าตํานานยุทธแต่ก็ยังไม่ใช่ เซียนเทพปฐพี

จอมยุทธต่างแดนทั้งหลายต่างเรียกขอบเขตนี้ ว่าครึ่งก้าวเข้าสู่เซียนเทพปฐพี

แม้จะไม่ใช่ขอบเขตเซียนเทพปฐพี แต่ก็ห่างจา กการเป็นเซียนเทพปฐพีแค่ครึ่งก้าวเท่านั้น

ก่อนหน้านี้ ร่างกายของซูฉินก็เทียบเท่ากับกาย แห่งธรรมชาติอยู่กึ่งหนึ่ง ปราณเลือดสูงเสียดฟ้า ถึงแม้จะยังไม่ได้ทะลวงขอบเขตเซียนเทพปฐพี แต่ก็อยู่ไกลเกินกว่าตํานานยุทธขั้นสูงสุดจะเอื้อม ถึง เทียบเคียงได้กับครึ่งก้าวเข้าสู่ขอบเขตเซียน เทพปฐพี

และนี่ก็เป็นหนึ่งในรากฐานที่แข็งแกร่งที่สุด ของนิกายใหญ่ระดับสูงเช่นกัน
ในยุคที่ไม่มีเซียนเทพปฐพีที่แท้จริงอยู่ มันก็ เป็นโลกของครึ่งก้าวเข้าสู่เซียนเทพปฐพี

เพียงแต่ว่าครึ่งก้าวสู่เซียนเทพปฐพี่ทุก คนล้วนเป็นผู้ที่ล้มเหลวจากการทะลวงขอบเขต เซียนเทพปฐพี อายุขัยก็จวนจะหมดลงเต็มที่ จะ สู้ซูฉินที่มีปราณชีวิตและเลือดเนื้อที่มากมายได้ เช่นไร?
แต่ไม่ว่าจะในกรณีใด ครึ่งก้าวสู่เซียนเทพปฐพี ก็ยังเป็นครึ่งก้าวสู่เซียนเทพปฐพี แม้จะด้อยกว่า เซียนเทพปฐพีอยู่มาก แต่พลังที่ควบคุมทุกสิ่งได้ เพียงแค่ขยับกายนั้นก็อยู่สูงเกินกว่าตํานานยุทธ จะเอื้อมถึง

เฒ่าเฟยยที่ไม่คาดคิดมาก่อนว่าคราวนี้นิกาย ใหญ่จะสิ้นหวังจนถึงขั้นยอมเปิดเผยเบื้องหลังทั้ง หมดออกมาเช่นนี้?

รู้หรือไม่ แม้ครึ่งก้าวสู่เซียนเทพปฐพี่จะทรง พลัง แต่พวกเขาก็ลงมือได้เพียงไม่กี่ครั้ง

“เป็นเพราะนายท่านได้คุกคามนิกายใหญ่เหล่า นั้นน่ะหรือ?” ชายชราเฟยยวดูเคร่งเครียด

ถ้าไม่ใช่เพราะว่าครึ่งก้าวเข้าสู่เซียนเทพปฐพี เหล่านั้นต้องฟื้นตื่นขึ้นอย่างยากลําบาก แม้กระ ทั่งหลังตื่นก็ยังต้องใช้เวลาปรับสภาพเพื่อฟื้นฟู ความแข็งแกร่งให้ได้มากที่สุด เกรงว่านิกายใหญ่ คงเข้ามาไล่ล่าสังหารแล้ว

แต่ถึงกระนั้นชายชราเฟยยวก็รู้สึกว่ามันคงอีก ไม่นาน อาจจะวันนี้ หรืออาจจะอีกหนึ่งเดือนก่อ นที่บรรพชนเหล่านั้นจะลงมือจริงๆ

ในเวลานั้น หากซูฉินยังคงปิดด่านฝึกตนต่อไป ด้วยความแข็งแกร่งในปัจจุบันของอาณาจักรถัง เมื่ออยู่ต่อหน้านิกายใหญ่ซึ่งยอมทุ่มกําลัง ทุ่ม รากฐานทั้งหมด จะต้องถูกฉีกกระชากออกเป็น ชิ้นเล็กชิ้นน้อยแน่
“ข้าหวังว่าทุกอย่างจะทันเวลา

ชายชราเฟยยี่สูดลมหายใจเข้าลึกๆ

ด้วยวิธีการอันโหดเหี้ยมของนิกายใหญ่ต่าง แดน ถ้าคิดจะทําลายอาณาจักรถังจริงๆ ก็เป็นไป ไม่ได้เลยที่จะปล่อยตัวเขาให้รอดชีวิตไป

ขณะที่โลกภายนอกกําลังเปลี่ยนแปลง
ซูฉินซึ่งนั่งขัดสมาธิอยู่ภายในแหล่งกําเนิดธาตุ ไฟไม่รับรู้สิ่งใด

ในตอนนี้ ร่างกายของซูฉินถูกปกคลุมไปด้วย เปลวไฟแผดเผา พลังงานธาตุไฟจํานวนนับไม่ถ้ วนกลายเป็นมังกรไฟ หลั่งไหลเข้าสู่ร่างของซูฉิน ตลอดเวลา ผสานเข้ากับภาพดวงตะวันขนาดมหึ มาที่อยู่ลึกภายในจิตใจ
ฉับพลัน

ในตอนนั้นเอง

ด้านหลังของซูฉิน แผ่นหินเลือนรางก็ปรากฏ ขึ้นในทันใด บริเวณจุดไฟนับหมื่นจุดบนแผ่นหิน ในตอนนี้มีจุดแสงที่ส่องสว่างถึงเก้าสิบเก้าจุด
นอกจากนี้ ด้วยการเติมพลังงานธาตุไฟจํานว นมาก จุดแสงที่หนึ่งร้อยก็ค่อยๆ ส่องสว่างขึ้น อย่างช้าๆ

บูม!!!

ราวกับโซ่พันธนาการได้หลุดออก ในขณะนี้จุด แสงทั้งหนึ่งร้อยบนแผ่นหินภาพดวงตะวันฯ ก็เริ่ม สั่นไหว มีกลิ่นอายบรรยากาศดึกดําบรรพ์เริ่มต้น ไหลเวียนออกมาอย่างช้าๆ

Sign in Buddha’s palm 295 เข้าสู่ระบบ! โอสถแหล่งกําเนิดธาตุไฟ!

ขณะที่ซูฉินต่อสู้กับบรรพชนขั้นแปลงจิตวิญญาณแรกกําเนิดทั้งสาม รัศมีไอพลังเพียงอย่างเดียวก็กระเพื่อมออกไปไกลเกินกว่าร้อยลี้ แรงสั่นกระเพื่อมนั้นใหญ่โตเพียงใดกัน? แม้แต่ปุถุชนคนธรรมดายังรู้สึกบางอย่างขึ้นมาได้จางๆ นับประสาอะไรกับบรรพชนคนอื่นๆ ที่แอบมองดูอยู่ไกลๆในเงามืด?

เพราะฉะนั้น ไม่นานนักหลังจากบรรพชนขั้นแปลงจิตวิญญาณแรกกําเนิดทั้งสามตกตายไป เรื่องราวก็ได้ถูกส่งกลับไปยังนิกายใหญ่ทั้งหลายเป็นที่เรียบร้อย

ผนวกกับเหล่าตํานานยุทธที่กลับออกมาจากแหล่งกําเนิดธาตุไฟ ทําให้ข่าวนี้ไม่สามารถระงับได้แม้แต่น้อย เกือบจะเหมือนพายุที่กวาดไปทั่ว ยุทธภพในต่างแดน
ทันใดนั้นโลกยุทธภพต่างแดนก็สั่นสะเทือน

ตํานานยุทธขั้นสูงสุดถึงสามคนที่แปลงจิตวิญญาณแรกกําเนิดได้แล้วกลับตกตายอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเกิดเรื่องราวเช่นนี้ในยุคใดก็ตาม ก็นับเป็นเหตุการณ์ที่สั่นสะเทือนแผ่นดิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งพรรคหมื่นดาบเพิ่งจะถูกทําลายลงไปเมื่อไม่นานมานี้ บรรพชนดาบเองก็ตายไปแล้ว

นี่เท่ากับว่า ภายในช่วงเวลาสั้นๆ บรรพชนขั้นแปลงจิตวิญญาณแรกกําเนิดถึงสี่คนได้ตกตายไป และเรื่องราวทั้งหมดก็เกิดขึ้นจากฝีมือของบุคคลคนเดียวกัน ซึ่งเป็นเรื่องน่าตกใจอย่างยิ่ง

“ตํานานยุทธจากอาณาจักรถังแข็งแกร่งเพียงใดกัน บรรพบุรุษเหลยสิ่งจากนิกายเทพเจ้าสายฟ้านั้นแข็งแกร่งมากแม้แต่ในหมู่ตํานานยุทธขั้นแปลงจิตวิญญาณแรกกําเนิดด้วยกัน พูดออกมาได้อย่างไรว่าเขาตายไปแล้ว”

“แผ่นดินแห่งพลังยุทธอันยิ่งใหญ่ เป็นเพียงทวีปที่แห้งแล้งก่อนการฟื้นคืนของกระแสปราณฉี ทําไมคนแข็งแกร่งเช่นนี้จึงกําเนิดขึ้นมาได้?”

“น่ากลัวเกินไปแล้ว คนที่แข็งแกร่งเช่นนี้แม้แต่ดินแดนโพ้นทะเลของพวกเราที่สืบทอดมรดกมา เป็นพันๆปีก็ยังมีไม่มากไม่ใช่หรือ?”

ตํานานยุทธจํานวนนับไม่ถ้วนต่างเต็มไปด้วยความรู้สึกเหลือเชื่อ

โลกยุทธภพต่างแดนเป็นศูนย์กลางของโลกใบนี้มาโดยตลอด

แม้ในช่วงกระแสปราณฉีซบเซา แต่เซียนเทพปฐพีก็ยังถือกําเนิดขึ้นได้ ซึ่งทําให้ตํานานยุทธต่างดินแดนรู้สึกว่าตนเหนือกว่าโดยธรรมชาติเมื่อเทียบกับจอมยุทธจากทวีปอื่น

แต่ในขณะที่ซูฉินเคลื่อนไหว ตํานานยุทธขั้นสูงสุดจากนิกายใหญ่ต่างดินแดน บรรพบุรุษผู้แปลงจิตวิญญาณแรกกําเนิดได้ก็ยังตกตาย ความรู้สึกว่าตนเองเหนือกว่าของพวกเขาพลันพังทลาย

จนถึงตอนนี้ นิกายใหญ่จํานวนมากในต่างแดนก็ยังสืบไม่พบร่องรอยของซูฉินในดินแดนโพ้นทะเล กล่าวคือซูฉินไม่ใช่จอมยุทธในดินแดนโพ้นทะเลนั่นเอง

“เป็นไปได้ไหมว่าตํานานยุทธอาณาจักรถังจะเป็นร่างอวตารมาเกิดใหม่ของเซียนเทพปฐพี่สักคน?” จอมยุทธคนหนึ่งที่ยังคงตกใจไม่หาย อดไม่ได้ที่จะคาดเดาออกไป

ตราบใดที่จอมยุทธแปลงจิตวิญญาณแรกกําเนิดได้แล้ว เขาสามารถกําเนิดใหม่อีกครั้งได้ด้วยจิตวิญญาณแรกกําเนิด

จิตวิญญาณแรกกําเนิดของเซียนเทพปฐพได้หลอมรวมเข้ากับทะเลปราณแล้ว เมื่อเทียบกับตํานานยุทธขั้นสูงสุดที่แปลงจิตวิญญาณแรกกําเนิดได้อย่างบรรพบุรุษเหลยสิง มันจะแข็งแกร่งมากกว่าสักกี่สิบเท่า?

สําหรับเซียนเทพปฐพี การกลับมาเกิดใหม่เป็นเพียงเรื่องของความคิด
เพียงแต่ว่า
โดยทั่วไปแล้ว เป็นไปไม่ได้ที่เซียนเทพปฐพี จะเลือกกลับมาเกิดใหม่ เว้นแต่จะจําเป็นจริงๆ
เนื่องจากอายุขัยพันปีของเซียนเทพปฐพีนั้น เป็นอายุขัยของจิตวิญญาณแรกกําเนิดด้วย ไม่ว่าเนื้อหนังจะถูกแทนที่ไปมากแค่ไหน แต่ผลในการยืดอายุขัยก็ไม่อาจบรรลุได้

อีกประการหนึ่งคือร่างกายของเซียนเทพปฐพีนั้นมีค่า และการกลับมาเกิดใหม่เท่ากับการสละร่างกายและเลือดเนื้อไปจนหมดสิ้น

ณ นิกายเฮยหยวน

เมื่อบรรพชนเฮยหยวนตกตาย

ดวงไฟแห่งชีวิตของบรรพชนเฮยหยวนในนิกายเฮยหยวนก็ดับไป
ในส่วนลึกของนิกายเฮยหยวนเกิดเสียงคําราม สั่นสะเทือนไปทั้งแผ่นดิน ก้องกังวานอยู่ในหูของศิษย์นิกายเฮยหยวนทั้งหมด

ไม่นานหลังจากนั้น

ด้านหน้าแท่นบูชาของนิกายเฮยหยวนก็มีร่างหนึ่งปรากฏขึ้นเงียบๆ
แม้ว่าร่างนี้จะดูเหมือนยืนอยู่ที่นั่น แต่ก็คล้ายกับยืนอยู่อีกโลกหนึ่ง ความน่าพรั่นพรึงและรัศมีอันลึกล้ําแผ่กระจายออกไปทุกทิศทาง

“ปฐมบรรพชน”

ผู้นํานิกายเฮยหยวนรีบเดินเข้ามาด้วยความเคารพ ราวกับได้เห็นสิ่งที่ตนศรัทธา
นิกายใหญ่หลายแห่งในต่างแดนนั้นเกี่ยวข้องกับเซียนเทพปฐพี ถ้าไม่ใช่เซียนเทพปฐพี่สร้างขึ้นมา ก็เป็นคําสอนที่ทําให้ศิษย์คนหนึ่งเข้าสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพีจนนําความรุ่งเรืองมาสู่นิกาย

มีเพียงนิกายเฮยหยวนเท่านั้นที่ตั้งแต่แรกจน ถึงตอนนี้ไม่มีเซียนเทพปฐพีกําเนิดขึ้น แต่กระนั้น นิกายเฮยหยวนก็ยังได้รับการจัดอันดับให้เป็นนิกายใหญ่ระดับสูงเนื่องจากปฐมบรรพชน

นิกายเฮยหยวนไม่สามารถแปลงจิตวิญญาณแรกกําเนิดได้เพราะข้อบกพร่องในเคล็ดบ่มเพาะ ทําให้เป็นไปไม่ได้ที่จะเข้าสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพี

อย่างไรก็ตามปฐมบรรพชนของนิกายเฮยหยวนนั้นได้ใช้แนวทางที่แตกต่าง ขยายการบ่มเพาะออกไปอย่างต่อเนื่อง และทําแม้แต่หยิบยืมปราณชีวิตจากเผ่าพันธุ์บางประเภทที่เคยมีอยู่ในยุคเฟื่องฟูกระแสปราณฉีครั้งล่าสุด นํามาเปลี่ยนแปลงตนเองไปสู่เผ่าพันธุ์นั้นๆ

“เกิดอะไรขึ้น?” ปฐมบรรพชนกวาดสายตาที่แสนเยือกเย็นไปทางผู้นํานิกายเฮยหยวน แล้วจึงกล่าวถามเบาๆ

“ปฐมบรรพชน บรรพบุรุษหยวนและบรรพบุรุษอีกสองคนจากนิกายเทพเจ้าสายฟ้าและตําหนักเทพเจ้าหิมะ เข้าปิดล้อมสังหารตํานานยุทธ อาณาจักรถัง….” ผู้นํานิกายเฮยหยวนตัวสั่นงันงก พูดทุกอย่างที่เขารู้ออกมาอย่างรวดเร็ว

“ตํานานยุทธแห่งอาณาจักรถัง?” เสียงของปฐมบรรพชนยังคงเย็นชาเรียบนิ่ง ไม่มีความผันผวนแม้แต่น้อย แต่ผู้นํานิกายเฮยหยวนที่คุกเข่าอยู่ ด้านข้างรู้สึกว่าความหนาวเย็นกําลังแทรกซึมลึกลงไปถึงกระดูก

ณ ตําหนักเทพเจ้าหิมะ

วังอัญมณีน้ําแข็งเริ่มสั่นไหว ไอพลังอันแสนน่ากลัวลอยทะลุไปถึงท้องฟ้า ราวกับธารน้ําแข็งร่วงลงมาขวางโลกเอาไว้

วิหารหมื่นพุทธ
บรรพชนหก บรรพชนเจ็ด และบรรพชนเก้านั่งมองหน้ากัน

“ฮิม”

“เจ้าคนพวกนี้ กล้าต่อต้านผู้เป็นใหญ่ในโลก”

บรรพชนหกหัวเราะเยาะ ยามเมื่อซูฉินสังหารบรรพชนขั้นแปลงจิตวิญญาณแรกกําเนิดทั้งสาม เขาก็เฝ้าดูจากระยะไกลและพบว่ามันเป็นกลิ่นอายของซูฉิน

“หรือเราจะปลุกบรรพชนอีกเจ็ดรูปขึ้นมา ด้วยบรรพชนทั้งสิบของวิหารหมื่นพุทธ ไม่ว่าจะเป็นนิกายใหญ่แห่งไหน พวกเราก็พร้อมจะเคลื่อนไหวตามที่ผู้เป็นใหญ่ในโลกต้องการ

น้ําเสียงของบรรพชนเจ็ดเต็มไปด้วยโทสะ

แม้แต่พระพุทธองค์ก็ยังมีปางวัชระพิโรธเลย ในตอนที่นิกายใหญ่เหล่านั้นเข้าปิดล้อมซูฉิน ลองนึกภาพตามถึงความโกรธภายในใจของบรรพชนหก บรรพชนเจ็ด และบรรพชนเก้าว่ามีมากมายเพียงใด?

ซูฉินคือ ‘องค์ยูไล” ที่วิหารหมื่นพุทธใฝ่หามาหลายสิบปี เมื่อนิกายใหญ่ต่างแดนต้องการจะจัดการซูฉิน ก็เหมือนกับการหยามเกียรติของวิหารหมื่นพุทธด้วย

“ไม่ต้องรีบร้อนไป”

แม้ว่าบรรพชนหกจะโกรธไม่ต่างกัน แต่เขายังคงส่ายศีรษะแล้วกล่าวว่า “ในเมื่อผู้เป็นใหญ่ในโลกไม่ได้ติดต่อมา ท่านก็คงไม่ได้ตั้งใจให้เราเข้าไปแทรกแซง

คําที่กล่าวออกมา

บรรพชนเจ็ดและบรรพชนเก้าต่างมองหน้ากัน และทันใดนั้นพลันรู้สึกว่าสิ่งที่บรรพชนหกกล่าวมานั้นมีเหตุผล

แม้ว่าวิหารหมื่นพุทธจะตั้งอยู่ในทะเลทรายตะวันตกอันแสนห่างไกล แต่ถ้าซูฉินต้องการติดต่อ พวกเขามันจะใช้เวลาเพียงไม่นาน

เหตุผลที่ซูฉินยังไม่ได้แจ้งเรื่องแก่พวกเขาจน ถึงตอนนี้คงเพราะมีแผนการบางอย่าง
หากพวกเขาดื้อดึงฝ่าฝืนแผนการของผู้เป็นใหญ่ในโลก พวกเขาจะมิถูกตําหนิจนตายหรอก หรือ?

“แม้ผู้เป็นใหญ่ในโลกไม่ได้ติดต่อมา เราก็ต้องเตรียมตัวให้พร้อมเสมอ ตราบใดที่ผู้เป็นใหญ่ในโลกออกคําสั่ง เราจะปล่อยให้กลุ่มนิกายใหญ่ดินแดนโพ้นทะเลได้รับรู้ความลึกซึ้งของธรรมจักรแห่งเรา”

บรรพชนหกหันกลับมากล่าวคํา

“ยอดเยี่ยมยิ่ง”

บรรพชนเจ็ดและบรรพชนเก้าพยักหน้าให้เล็กน้อย

นิกายเทพเจ้าสายฟ้า

“เหลยสิงตายแล้วหรือ?”

“นิกายเทพเจ้าสายฟ้าของเราทอดสายตามอง ข้ามผ่านโลกหล้ามาหลายพันปี ใครกันที่กล้ายั่วยุนิกายเทพเจ้าสายฟ้า?” บรรพชนนิกายเทพเจ้า สายฟ้าบางคนที่เพิ่งตื่นจากหลับใหล ไม่อาจปกปิดความรู้สึกได้อีกต่อไป

ในการต่อสู้ครั้งนี้ เมื่อเทียบกับนิกายเฮยหยวน และตําหนักเทพเจ้าหิมะแล้ว นิกายเทพเจ้าสายฟ้านั้นได้รับความเสียหายมากที่สุด

ไม่เพียงแต่จะสูญเสียกําลังหลักอย่างบรรพบุรุษเหลยสิงเท่านั้น แต่ยังสูญเสียสมบัติล้ําค่า อย่างกิ่งไม้อสนีบาตภัยไปด้วย

รู้หรือไม่ว่ากิ่งไม้อสนีบาตภัยไม่ใช่สมบัติของ บรรพบุรุษเหลยสิง แต่เป็นของที่บรรพชนนิกายเทพเจ้าสายฟ้าใช้ร่วมกัน ทุกๆยี่สิบปี บรรพชนแต่ละคนจะนํากิ่งไม้อสนีบาตภัยไปฝึกฝนและเมื่อครบยี่สิบปี เขาจะนํากิ่งไม้อสนีบาตภัยกลับมาคืน

และช่วงยี่สิบปีนี้ เป็นคราวของบรรพบุรุษเหลย สิ่งที่นํากิ่งไม้อสนีบาตภัยไปฝึก

แต่ตอนนี้บรรพบุรุษเหลยสิ่งตกตายลงแล้ว ไม่ใช่ว่ากิ่งไม้อสนีบาตภัยในมือของบรรพบุรุษเหลย สิ่งก็หายไปด้วยมิใช่หรือ?

เมื่อคิดถึงสิ่งนี้ ใบหน้าของบรรพชนนิกายเทพเจ้าสายฟ้าที่เพิ่งตื่นขึ้นมาก็หม่นหมองอย่างมาก

กิ่งไม้อสนีบาตภัยมีความข้องเกี่ยวกับการฝึกฝนทักษะลับบางชนิดของนิกายเทพเจ้าสายฟ้า เมื่อกิ่งไม้อสนีบาตภัยหายไป มันก็เทียบเท่ากับการสูญหายของเคล็ดวิชาลับนี้ จะไม่ให้เขาโกรธได้เช่นไร

ส่วนเรื่องการหากิ่งไม้อสนีบาตภัยชิ้นใหม่… โลกทั้งใบนี้ แม้แต่ในยุคเฟื่องฟูของกระแสปราณฉี ต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์หมื่นปีมีเพียงแค่ไม่กี่ต้นที่อยู่รอดมาได้ เป็นเรื่องยากมากที่จะรอดพ้นจากอสนีบาตภัย และแม้จะผ่านความล้มเหลวมาแล้ว กิ่งไม้ที่อาบด้วยพลังสายฟ้าก็หายากราวกับเป็นเพียงตํานาน

เป็นเรื่องบังเอิญที่นิกายเทพเจ้าสายฟ้าได้รับกิ่งไม้อสนีบาตภัยมาสักชิ้นหนึ่ง และการจะได้กิ่งไม้อสนีบาตภัยมาเพิ่มอีกสักชิ้นก็ไม่ต่างไปจากฝันอันโง่งม

“ข้าจะใช้มรดกเบื้องหลัง และนํากิ่งไม้อสนีบาตภัยกลับคืนมาจากตํานานยุทธอาณาจักรถัง” ในเวลานั้น บรรพชนอีกคนก็กล่าวขึ้นมา

“ตํานานยุทธอาณาจักรถังผู้นี้ทรงพลังถึงขั้นทําลายพรรคหมื่นดาบและนั่นหัวบรรพชนขั้นแปลงจิตวิญญาณแรกกําเนิดทั้งสามคนได้ แม้ว่านิกายเทพเจ้าสายฟ้าจะมีภูมิหลังมากมาย แต่การที่จะคว้ากิ่งไม้อสนีบาตภัยกลับมาจากตัวตนดังกล่าว หากประสบความสําเร็จก็ดีไป แต่หากล้มเหลว……”
บรรพชนคนที่สามพูดด้วยน้ําเสียงหนักแน่น

แม้ว่ากิ่งไม้อสนีบาตภัยจะล้ําค่า แต่ก็ด้อยกว่ามรดกนับหมื่นปีของนิกายเทพเจ้าสายฟ้า
เห็นได้ชัดว่ามันไม่คุ้มค่าที่จะส่งนิกายเทพเจ้าไปสู่บ่วงนี้ เพียงเพราะเห็นแก่กิ่งไม้อสนีบาตภัย

“หลังจากนี้ก็ติดต่อสํานักผู้วิเศษสํานักเอกะวิถี และนิกายใหญ่แห่งอื่นๆให้ไปพบตํานานยุทธ อาณาจักรถังด้วยกัน”

บรรพชนนิกายเทพเจ้าสายฟ้าคนแรกมีดวงตาที่เยือกเย็นและอาฆาต

ด้วยนิกายใหญ่จํานวนมากเช่นนี้ หากร่วมมือกันปิดล้อม ใครเล่าจะหยุดได้ เว้นแต่จะเป็นเพียงเซียนเทพปฐพี?

ขณะที่นิกายใหญ่ในต่างแดนจํานวนมากกําลังตื่นตกใจ

ซูฉินก็ได้เดินเข้าไปภายในแหล่งกําเนิดธาตุไฟแล้ว และเห็นเปลวไฟที่รวมตัวกันเป็นมังกรไฟ พากันโบยบินอยู่อย่างต่อเนื่อง พ่นลมหายใจอันร้อนระอุแทบจะเผาผืนดินระเหิดผืนน้ํา

“ไม่เลว

“ปราณไฟแข็งแกร่งเช่นนี้ สมควรที่จะเป็นแห ล่งกําเนิดธาตุไฟ”
รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของซูฉิน ทั่วทั้งตัว ของเขาเต็มไปด้วยเปลวเพลิงที่พอจะแผดเผาตํานานยุทธได้อย่างง่ายดาย แต่มันกลับลอยอ้อยอิ่ง อยู่รอบตัวเขาอย่างว่าง่าย

แม้ว่าความสําเร็จของภาพดวงตะวันฯ จะอยู่เพียงขั้นเริ่มต้น แต่อีกาทองคําสามขาเป็นถึงสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ที่แข็งแกร่งที่สุดในด้านเปลวไฟ แม้ว่าซูฉินจะมีเพียงกลิ่นอายของอีกาทองคําสามขา แต่ก็ไม่ใช่สิ่งที่เปลวไฟธรรมดาจะทําอะไรได้

แม้จะเป็นค่ายกลสังหารธาตุไฟที่จัดตั้งขึ้นโดยจ้าวทะเลบูรพา ก็ไม่สามารถทําร้ายซูฉินได้ นับประสาอะไรกับพลังงานธาตุไฟ?

“เอาล่ะ”

“แหล่งกําเนิดธาตุทั้งห้าคือการรวมตัวกันของพลังฟ้าดิน ย่อมมี ‘เต๋าสะสมมากมาย แม้ว่าแหล่งกําเนิดธาตุไฟนี้จะเกิดขึ้นเพราะจุดเปลี่ยนผ่านของกระแสปราณฉีโดยใช้เวลาไปไม่นาน แต่ตามหลักเหตุผลแล้ว ก็ควรมีเต่ําสะสม” ให้ลงชื่อเข้าใช้เช่นกัน…..”

จิตใจของซูฉินสั่นไหว ความคิดเปลี่ยนผันไปอย่างรวดเร็ว

ตอนนี้แหล่งกําเนิดธาตุไฟอยู่ตรงหน้าเขาแล้ว เขาสามารถเลือกดูดซับมันได้ทุกเมื่อ เมื่อเทียบกับสิ่งนี้ ซูฉินกังวลเรื่องการลงชื่อเข้าใช้ภายในแหล่งกําเนิดธาตุไฟนี้ว่าจะให้สมบัติอะไรแก่เขาเสียมากกว่า?

ครั้งล่าสุดที่ลงชื่อเข้าใช้ในแหล่งกําเนิดธาตุดินที่ทะเลทรายตะวันตกก็ได้ทั้งทิพยอํานาจคาถาดําดิน ธงวูถู และสมบัติอื่นๆอีกมากมาย แล้วแหล่งกําเนิดธาตุไฟแห่งนี้เล่า?

มาถึงจุดนี้ ซูฉินครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วกล่าวคําขึ้นในใจ

“ระบบ ลงชื่อเข้าใช้”

[ขอแสดงความยินดี โฮสต์ลงชื่อเข้าใช้สําเร็จ ได้รับโอสถแหล่งกําเนิดธาตุไฟ]

Sign in Buddha’s palm 294 (II) อยู่ยงคง กระพันและก้มมองโลกเบื้องล่าง

พลังจิตวิญญาณแรกกําเนิดที่ถูกดึงขึ้นมาเหนือกิ่งไม้อสนีบาตภัยก็ควบแน่นเป็นรูปลักษณ์ของบรรพบุรุษเหลยสิ่ง

ในเวลานี้ บรรพบุรุษเหลยสิงก็รู้ตัวในทันทีว่าตัวเขาได้ถูกค้นพบเสียแล้ว จึงรีบร้องขอความเมตตา “อย่าฆ่าข้า ตราบใดที่สหายเต๋าไว้ชีวิตข้าจะให้ข้าทําอะไรก็ยอม” บรรพบุรุษเหลยสิ่งอ้อนวอนอย่างขมขื่น

“ไม่แปลกใจเลยที่เจ้ารอดมาได้ กลายเป็นว่าซ่อนเศษเสี้ยวจิตวิญญาณแรกกําเนิดเอาไว้ในกิ่งไม้อสนีบาตภัยนี่เอง”

ซูฉินเหลือบมองไปที่บรรพบุรุษเหลยสิ่ง ใบหน้าของเขาดูครุ่นคิด

มีดเทพเจ้าปีศาจนั้นคมกริบเหนือสิ่งใด ทั้งยังมีกลิ่นอายจากขุมนรกที่สามารถกัดกร่อนพลังวิญญาณได้ทุกประเภท แต่บรรพบุรุษเหลยสิ่งซ่อนจิตวิญญาณแรกกําเนิดไว้ภายในกิ่งไม้อสนีบาตภัย และต่อต้านพลังการกัดกร่อนของคมมีดเทพเจ้าปีศาจด้วยไอพลังของสายฟ้าสวรรค์เก้าชั้นฟ้าภายในกิ่งไม้อสนีบาตภัย

ไอพลังของกิ่งไม้อสนีบาตภัยบรรจบลงตัวถึงขีดสุด ถึงแม้จะตรวจสอบดูด้วยจิตวิญญาณแรกกําเนิดก็อาจเป็นไปได้ที่จะตรวจไม่พบ ถ้าซูฉินไม่ใช้ดวงตาแห่งสัจจะตรวจจับอย่างถี่ถ้วน เขาอาจจะปล่อยให้บรรพบุรุษเหลยสิ่งหนีไปได้จริงๆ

แม้ว่าบรรพบุรุษเหลยสิ่งจะเหลือเพียงเศษเสี้ยวจิตวิญญาณในตอนนี้ แต่ที่ทําได้ก็เพียงเอาตัวให้รอดไปก่อนเท่านั้น ปัญหาที่ตามมาค่อยแก้ไขทีหลัง

“หนวกหู”

ซูฉินเหลือบมองบรรพบุรุษเหลยสิ่งซึ่งเต็มไป ด้วยความหวาดกลัว ยกมือขึ้นบดขยี้จิตวิญญาณแรกกําเนิดเศษเสียวสุดท้ายตรงๆ

จากนั้นเขาก็ตรวจสอบกิ่งไม้อสนีบาตภัยทั้ง ภายในและภายนอกอีกครั้ง หลังจากยืนยันได้ว่า ไม่มีปัญหาอะไรจึงเก็บมันไป

และในตอนนี้

ชายชราเฟยยวก็รีบปรี่เข้ามา

ยกเว้นชายชราเฟยยวี่ เหล่าตํานานยุทธที่เหลือที่เฝ้าดูการต่อสู้ไปก็ตัวสั่นไปพลาง

ตํานานยุทธเหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นศิษย์นิกายใหญ่ มีมากกว่าสิบคนที่เป็นศิษย์นิกายเฮยหยวน นิกายเทพเจ้าสายฟ้า และตําหนักเทพเจ้าหิมะ พวกเขามองดูบรรพชนของตนตกตายด้วยฝีมือของซูฉิน แทบจะจินตนาการได้ถึงความโศกเศร้า และความโกรธแค้นในใจพวกเขาที่ต้องประสบ

แต่ไม่ว่าพวกเขาจะเศร้าโศกขนาดไหน พวกเขาก็ทําได้เพียงเดินกลับมาหาซูฉินและรอคําสั่ง

ส่วนการวิ่งหนี?

แม้แต่บรรพชนนิกายเฮยหยวนที่หลบหนีไปไกลหลายร้อยลี้ก็ยังโดนซูฉินยิงใส่ด้วยลูกธนู พวกเขาจะเหลืออะไร?

“นายท่าน”

ชายชราเฟยยวเดินเข้าไปหาซูฉิน และกล่าวด้วยความเคารพ

ในขณะนี้ ซูฉินได้กลับมาอยู่ที่ด้านหน้าเทือกเขาไฟแล้ว กําลังมองไปที่แหล่งกําเนิดธาตุไฟซึ่งอยู่ตรงหน้า
“ลุกขึ้นเถอะ”

ซูฉินเหลือบมองชายชราเฟยยวจากนั้นจึงย้าย ไปมองตํานานยุทธทั้งหลายที่เดินตามเฟยยวมา จากนั้นจึงกล่าวด้วยความสนใจ “พวกเจ้าไม่ต้องการล้างแค้นให้บรรพชนของพวกเจ้าหรือ?”

คําที่กล่าวออกมา

ตํานานยุทธจํานวนมากต่างก็พากันขนหัวลุกซู่ คนที่อยู่แถวหน้ารีบส่ายหัวซ้ําแล้วซ้ําเล่า ก่อนจะกล่าวว่า “ผู้อาวุโสสูงส่งดุจฟากฟ้า คนธรรมดาเดินดินเช่นข้าจะกล้าแก้แค้นได้อย่างไร?”

“ถูกต้อง เป็นเกียรติของบรรพชนที่ได้ตาย

ใต้ เงื้อมมือของผู้อาวุโส นี่แทบจะรอขอบคุณท่านไม่ไหว จะให้ข้าแก้แค้นได้อย่างไร?”
ใบหน้าของตํานานยุทธหลายคนแดงกํา พวกเขารีบพูดออกมาอย่างรวดเร็ว

“ฮ่าฮ่า…”

ร่องรอยดูถูกปรากฏขึ้นบนใบหน้าของซูฉิน หากคนกลุ่มนี้จิตใจกล้าแข็ง กล่าวว่าอยากล้างแค้นให้บรรพชน เขาก็จะมองอีกฝ่ายให้สูงขึ้นสักหน่อย จากนั้นค่อยบดขยี้พวกมันทั้งหมดอย่างสมศักดิ์ศรี

แต่ตอนนี้เมื่อเห็นอาการสั่นเทาของคนเหล่านี้ ซูฉินก็ไม่สนใจจะลงมือต่อไป
ตํานานยุทธที่อยู่ตรงหน้านี้ ตลอดช่วงชีวิตของพวกเขาคงยากที่จะไปถึงจุดสูงสุดของขอบเขตตํานานยุทธด้วยซ้ํา พวกเขาทําไม่ได้แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมองซูฉิน

“ไสหัวกลับไปเถอะ”

ซูฉินไม่สนใจจะมองดูพวกมันอีกต่อไป และมองไปยังแหล่งกําเนิดธาตุไฟอีกครั้ง

“ขอรับ”

“ขอรับ ขอบคุณท่านผู้อาวุโส”

ตํานานยุทธจํานวนมากจากไปด้วยความนอบน้อมในทันทีหลังจากที่พวกเขาถูกปล่อยตัว

หลังจากตํานานยุทธเหล่านั้นจากไปจนหมดชายชราเฟยยวี่ ก็อดไม่ได้ที่จะกล่าวว่า “นายท่าน ให้พวกเขาได้ย้อนกลับไป เรื่องในวันนี้ย่อมถูกส่งกลับไปยังนิกายใหญ่….”

เมื่อเฟยยกล่าวเช่นนี้ ความกังวลก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขา

การทําลายพรรคหมื่นดาบของซูฉินเป็นเพียงการสร้างความตื่นตกใจให้ต่างดินแดน แต่ไม่ได้มีปัญหาใดในอนาคต เพราะหลังจากพรรคหมื่นดาบถูกทําลายลงไปแล้ว นิกายใหญ่อื่นๆ ก็ไม่ได้มีเรื่องบาดหมางใดกับซูฉิน และเนื่องจากซูฉิน แสดงความแข็งแกร่งมากเพียงพอ นิกายใหญ่เหล่านั้นจึงไม่คิดโจมตีซูฉิน
แต่ยามนี้

ซูฉินได้สังหารบรรพชนขั้นจิตวิญญาณแรกกําเนิดสามคนจากทั้งตําหนักเทพเจ้าหิมะ นิกายเฮยหยวน และนิกายเทพเจ้าสายฟ้าพร้อมๆกัน ซึ่งเท่ากับสร้างความโกรธเคืองให้นิกายใหญ่คราวเดียวถึงสามแห่ง

จะไม่พูดถึงตําหนักเทพเจ้าหิมะและนิกายเฮยหยวน แต่นิกายเทพเจ้าสายฟ้าไม่ธรรมดา มันสืบทอดมรดกมาตั้งแต่ยุคเฟื่องฟูกระแสปราณฉีครั้งล่าสุด และมีเซียนเทพปฐพีกําเนิดขึ้นมามากกว่าหนึ่งคน

ที่สําคัญกว่านั้น ซูฉินทั้งทําลายพรรคหมื่นดาบ และสังหารบรรพชนขั้นแปลงจิตวิญญาณแรกกําเนิดอย่างต่อเนื่องโดยไม่มีความลังเลใจ สิ่งเหล่านี้ต้องปลุกเร้าความหวาดกลัวให้กับนิกายใหญ่ระดับสูงที่เหลือ

หากเพิ่มการกระพือเรื่องราวของนิกายเทพเจ้าสายฟ้าเข้าไป มีความเป็นไปได้มากที่จะกระตุ้นนิกายใหญ่แห่งอื่นๆให้มาปิดล้อมซูฉินอีกครั้ง

เมื่อถึงตอนนั้น ซูฉินไม่เพียงแต่จะต้องเผชิญ หน้ากับศัตรูขั้นแปลงจิตวิญญาณแรกกําเนิดทั้งหมดสามคนเหมือนตอนนี้เท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงภูมิหลังมากมายของนิกายใหญ่ทั้งหมดในต่างดินแดน และอาจถึงขั้นที่เซียนเทพปฐพีออกตัว

นิกายใหญ่ระดับสูงทั้งหลายในต่างดินแดนได้สืบทอดมรดกมานับหมื่นปี มีแม้กระทั่งขอบเขตเซียนเทพปฐพี่ที่กําเนิดขึ้นมาเรื่อยๆ ในบางยุคสมัย แสดงให้เห็นถึงความสามารถที่พร้อมจะบดขยี้ทุกสิ่ง

โดยเฉพาะนิกายใหญ่ระดับสูงบางแห่งที่สืบทอดมรดกมาตั้งแต่ยุคเฟื่องฟูกระแสปราณฉีครั้งล่าสุด เช่น สํานักผู้วิเศษ สํานักเอกะวิถี และนิกายเทพเจ้าสายฟ้า ไม่รู้ว่ามีสิ่งของและกลวิธีอันน่าสะพรึงกลัวที่หลงเหลือมาจากยุคเฟื่องฟูกระแสปราณฉีมากเท่าไหร่

“ไม่เป็นไร”

“ข้ารู้เรื่องนั้นอยู่แก่ใจดี”

ซูฉินไม่ได้สนใจ ท่าทีของเขายังคงสงบ

ในขณะที่กระแสปราณฉียังคงฟื้นตัวขึ้นเรื่อยๆ ไม่ช้าก็เร็วเขาจะต้องต่อสู้กับนิกายใหญ่จํานว นมากในต่างแดน

เว้นแต่ซูฉินเต็มใจจะละทิ้งทุกสิ่งในแผ่นดินแห่งพลังยุทธฯ สละทุกสิ่งในราชวงศ์ถัง
แต่สิ่งนั้นจะเป็นไปได้อย่างไร?

สถานที่ที่ผู้คนต่างต้องการแย่งชิงอย่างจุดศูนย์กลางในการฟื้นฟูปราณฉี และมีบทบาทสําคัญในการส่งเสริมการบ่มเพาะของซูฉินเช่นนี้ หากไม่ใช่ทางเลือกสุดท้ายซูฉินจะไม่ละทิ้งแผ่นดินแห่งพลังยุทธอันยิ่งใหญ่ไปเด็ดขาด

แม้ว่าซูฉินจะมีระบบ ไม่ช้าก็เร็วเขาสามารถก้าวเข้าสู่ขอบเขตเชียนเทพปฐพีหรือแข็งแกร่งยิ่งขึ้นกว่านี้ไปได้อีก

แต่การเป็นเซียนเทพปฐพี่ภายในห้าร้อยปี กับการเป็นเซียนเทพปฐพี่ภายในร้อยปีนั้นเป็นสิ่งที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง

ถ้าซูฉินเข้าสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพี่ด้วยความยากลําบากภายในห้าร้อยปี เกรงว่าตระกูลและเพื่อนๆของเขาคงจะแก่ตายด้วยวัยชราไปแล้ว เมื่อถึงตอนนั้น ไม่ว่าซูฉินจะแข็งแกร่งเพียงใด เขาก็คงจะต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยว

“มันมีค่าควรแก่การเป็นแหล่งกําเนิดธาตุไฟ พลังงานธาตุไฟช่างกว้างใหญ่จนน่าเหลือเชื่อ ไม่น่าแปลกใจว่าเหตุใดหนังสือโบราณถึงบันทึกไว้ ว่าแหล่งกําเนิดธาตุทั้งห้าสามารถช่วยให้จอม ยุทธสื่อสารกับทะเลปราณได้?”

“พลังงานธาตุไฟมหาศาลเช่นนี้ แม้จะตั้งอยู่ เฉยๆ ก็สามารถเชื่อมต่อกับทะเลปราณในส่วนลึก ของความว่างเปล่าได้…”

ซูฉินมองไปที่แหล่งกําเนิดธาตุไฟอยู่สองสาม ครั้ง รู้สึกประหลาดใจอยู่ลึกๆ

แม้ว่าซูฉินเคยดูดกลืนแหล่งกําเนิดธาตุดินมาก่อน แต่แหล่งกําเนิดธาตุดินอันนั้นยังไม่เติบโตเต็มที่ มันจะเทียบกับแหล่งกําเนิดธาตุไฟที่เกือบจะเติบโตจนสมบูรณ์ได้อย่างไร

ซูฉินเหลือบมองชายชราเฟยยวี่คิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงพูดออกมาเบาๆ

ด้วยพลังงานธาตุไฟอันยิ่งใหญ่ที่มีอยู่ภายในแหล่งกําเนิดธาตุไฟ มันมากเกินพอที่จะผลักดันแผ่นหินภาพดวงตะวันขนาดมหึมาไปสู่ความสําเร็จระดับเล็ก

และความสําเร็จระดับเล็กของภาพดวงตะวันขนาดมหึมานี้ แม้ว่าซูฉินจะไม่สามารถแปลงเป็นอีกาทองคําสามขาซึ่งเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ที่แข็งแกร่งที่สุดด้านธาตุไฟได้ แต่ก็อาจทําให้ซูฉินได้รับความสามารถพิเศษ และทิพยอํานาจบางส่วนของอีกาทองคําสามขา

ด้วยความสามารถพิเศษและทิพยอํานาจเหล่านี้ทําให้ซูฉินคนเดียวก็เพียงพอที่จะกวาดล้างตํานานยุทธขั้นสูงสุดทั้งหมด และแม้จะเจอเข้ากับเซียนเทพปฐพี ก็พอจะเล่นแง่กลกันได้บ้าง

นี่เป็นเหตุผลว่าทําไมซูฉินถึงได้สังหารบรรพชนขอบเขตตํานานยุทธขั้นสูงสุดที่แปลงจิตวิญญาณแรกกําเนิดทั้งสามคนอย่างอุกอาจ
แค่ในตอนนี้ซูฉินก็สามารถสังหารบรรพชนขั้นแปลงจิตวิญญาณแรกกําเนิดได้ตามต้องการแล้ว ไม่ต้องกล่าวถึงหลังจากซูฉินกลืนกินแหล่งกําเนิดธาตุไฟตรงหน้านี้เข้าไปเลยว่ามันจะเป็นเช่นไร?

“ขอรับ”

ชายชราเฟยยวโค้งคํานับด้วยความเคารพ

ซูฉินค่อยๆ เดินไปที่ทางเข้าของแหล่งกําเนิดธาตุไฟ และเมื่อเขากําลังจะก้าวเดินไปอีกก้าว เขาก็หันศีรษะมามองโลกภายนอกอีกครั้ง

เมื่อยามที่ซูฉินเดินกลับออกมาอีกครั้ง เขาจะอยู่ยงคงกระพันในใต้หล้าอย่างแท้จริง อยู่สูงจนต้องก้มมองโลกเบื้องล่าง

Sign in Buddha’s palm 294 (I) อยู่ยงคงกระ พันและก้มมองโลกเบื้องล่าง

ฟู่!

พลังปราณฟ้าดินค่อยๆ สงบลง รัศมีพลังที่น่าหวาดกลัวก็แกว่งพัดไปมาอย่างต่อเนื่องก่อนจะค่อยๆ หายไป เหลือเพียงเทือกเขาไฟเท่านั้นที่ตั้งอยู่ที่เดิมคอยปล่อยไอพลังธาตุไฟออกมาเงียบๆ

ไม่ว่าจะเป็นตํานานยุทธจํานวนมากที่อยู่ห่างออกไปหลายสิบลี้ หรือบรรพชนนิกายใหญ่ที่แอบเฝ้าดูอยู่ลับๆ ไกลออกไปอีกหลายร้อยลี้ ดวงตาทุกคู่ดูหม่นหมอง จ้องมองไปบนท้องฟ้า

ตรงนั้นมีร่างสูงเพรียวยืนอยู่ ถือคันธนูขนาดใหญ่ที่ประกอบขึ้นมาจากแสงศักดิ์สิทธิ์แทบทั้งหมด เหมือนเทพเซียนในตํานานที่จุติลงมาเกิดบนโลกมนุษย์

ในความเป็นจริงแล้ว ซูฉินในตอนนี้ก็ไม่ได้ต่างไปจากเทพเซียนเลย

ตํานานยุทธขั้นสูงสุดถึงสามคนที่แปลงจิตวิญญาณแรกกําเนิดได้ ร่วมมือกันเตรียมพร้อมสําหรับการสังหาร พวกเขาต้องการจะปราบซูฉิน แต่ท้ายที่สุดกลับถูกฆ่าตายเสียเอง สิ่งเหล่านี้น่ากลัวยิ่งนัก

โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตอนสุดท้าย บรรพชนนิกายเฮยหยวนได้หลบหนีออกไปไกลหลายร้อยลี้ แต่เขาก็ยังถูกซูฉินสังหารด้วยลูกศรเพียงดอกเดียว…

ช่างเป็นวิธีการที่อหังการยิ่ง

ไม่ต่างไปจากเทพเซียน

ตรองดูอีกครั้งว่ามันคือสิ่งใด?

แม้ระยะทางหลายร้อยล้ําจะไม่มีปัญหาใดสําหรับตํานานยุทธ ตํานานยุทธขั้นสูงสุดสามารถโจมตีไกลหลายร้อยล้ําได้ หากพวกเขาตั้งใจจะทํา

แต่การระเบิดพลังในที่เดียวให้พุ่งไปไกลหลายร้อยลี้ พลังก็สลายไปมากโข ไม่ใช่เรื่องเกินจริงที่จะบอกว่าพลังที่ส่งออกมาย่อมถูกลดทอนอานุภาพลงไปกว่าพันกว่าหมื่นเท่า

แต่ลูกศรของซูฉิน หลังจากยิงออกไปในระยะหลายร้อยลี้ หมายฆ่าสังหารบรรพชนเฮยหยวน ผลที่ตามมากลับเขย่าโลกหล้าไปหมื่นลี้

หากพวกเขาไม่ได้เห็นด้วยตาตนเอง เกรงว่าจะมีใครบางคนคิดว่าเป็นเซียนเทพปฐพีสักคนหนึ่งที่เป็นผู้ลงมือ

“ตายกันหมดแล้ว…”

ตํานานยุทธทั้งหลายที่เฝ้าดูการต่อสู้อยู่พลันมีสีหน้าที่ดูว่างเปล่า สูญเสียจิตใจไป

ก่อนหน้านี้ที่บรรพบุรุษเหลยสิ่งและบรรพชนอีกสองคนมารวมตัวกัน พวกเขาแทบจะแน่ใจแล้วว่า ซูฉินถูกลิขิตมาให้ถูกปราบในวันนี้ และหากมีเหตุผิดพลาดทําให้ซูฉินสามารถหลบหนีไปได้โดยบังเอิญ อย่างน้อยก็ต้องบาดเจ็บสาหัส

ใครจะไปคิดว่าบรรพชนทั้งสามจากนิกายใหญ่จะตกตายไปหมดเช่นนี้?

“นายท่าน นายท่านแข็งแกร่งเกินไปแล้ว……” คลื่นลมพายุก่อตัวขึ้นในใจของชายชราเฟ่ยยวี๋ ซูฉินเผชิญหน้ากับศัตรูถึงสามคน ไม่เพียงแต่ไม่มีอาการอ่อนล้า แต่กลับสังหารบรรพชนทั้งสามลงได้ พลังอันยิ่งใหญ่ที่เผยให้เห็นเมื่อครู่เกือบจะก้าวเข้าสู่ขอบเขตเชียนเทพปฐพีแล้ว

และในขณะนี้

ซูฉินเหลือบมองไปที่คันธนูเก้าประกายในมือขวาของเขา เพียงแค่คิดคันธนูศักดิ์สิทธิ์นี้ก็ กลายเป็นแสงศักดิ์สิทธิ์อีกครั้งละลายหายไปในส่วนลึกของความว่างเปล่า

ธนูเก้าประกายเป็นอาวุธวิเศษที่ซูฉินได้รับมาจากการลงชื่อเข้าใช้ในวังหลวง

แตกต่างไปจากคมมีดเทพเจ้าปีศาจและตราประทับสะกดมาร ธนูเก้าประกายนี้เป็นอาวุธทางจิตวิญญาณ ตราบใดที่จิตวิญญาณแรกกําเนิดที่ซูฉินส่งเข้าไปนั้นแข็งแกร่งพอ พลังของลูกธนูก็สามารถพัฒนาได้อย่างไม่มีขีดจํากัด

หลังจากเข้าสู่ระดับนภาชั้นที่ห้า เขายังสามารถยิงกองทัพของเหล่าราชาหัวเมืองที่อยู่ห่างออกไปหลายพันล้ําได้ด้วยธนูเก้าประกาย ยิ่งกว่านั้น ตอนนี้ซูฉินอยู่ในจุดสูงสุดของระดับนภาชั้นที่เก้า ซึ่งแปลงจิตวิญญาณแรกกําเนิดได้แล้ว เมื่อเทียบกับจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ จิตวิญญาณแรกกําเนิด นั้นยิ่งใหญ่กว่า ทําให้พลังของธนูเก้าประกายเข้มข้น ก้าวกระโดดขึ้นไปอีกขั้น

เพราะเหตุนี้เองซูฉินจึงสามารถยิงบรรพชนเฮยหยวนด้วยธนูเก้าประกายโดยที่อีกฝ่ายอยู่ห่างออกไปหลายร้อยล้ําได้

ในความเป็นจริง หากบรรพชนเฮยหยวนไม่เลือกที่จะหนี แต่กลับมาสู้กับซูฉินตัวต่อตัว เขาอาจจะประมือไปได้อีกสักพัก ไม่ว่าจะอย่างไร บรรพชนเฮยหยวนก็นับเป็นตํานานยุทธขั้นแปลงจิตวิญญาณเช่นกัน ไม่ง่ายนักที่จะสังหาร

แต่บรรพชนเฮยหยวนกลับวิ่งหนีไป

เมื่อหลบหนีไปก็เทียบได้กับแสวงหาความตายโดยแท้ ด้วยพลังของธนูเก้าประกาย เว้นแต่บรรพชนเฮยหยวนจะพัฒนาไปได้ไกลกว่านี้เหมือนอย่างซูฉินที่ทั้งร่างกายและจิตวิญญาณแรกกําเนิดเข้าสู่ครึ่งก้าวขอบเขตเซียนเทพปฐพี ไม่เช่นนั้นก็ต้องตกตายอย่างไร้ข้อกังขา

ส่วนร่างกายรูปแบบฝันร้ายนั้น…..

ธนูเก้าประกายจัดเป็นอาวุธจิตวิญญาณ มันถูกออกแบบมาเพื่อพิชิตร่างลวงตาอยู่แล้ว และการโจมตีใส่รูปแบบฝันร้ายของบรรพชนเฮยหยวนก็ไม่ได้มีอุปสรรคใดๆ

“เอ๊ะ?”

หลังจากที่ซูฉินเก็บธนูเก้าประกายกลับคืน จิตวิญญาณแรกกําเนิดก็กวาดออกไป เหมือนจะพบอะไรเข้าบางอย่าง เขาก้มมองไปยังสถานที่ที่บรรพบุรุษเหลยสิ่งตกตายซึ่งห่างออกไปหนึ่งร้อย

หลังจากใช้พันสายฟ้าฉุดกระชาก ร่างกายของบรรพบุรุษเหลยสิ่งได้กลายเป็นผุยผงไปแล้วภายใต้ทะเลสายฟ้ารัศมีพันเมตร เหลือเพียงจิตวิญญาณแรกกําเนิดที่หลบหนีไป

หลังจากนั้น คมมีดเทพเจ้าปีศาจของซูฉินก็ตามไปจัดการอีกครั้ง สังหารจิตวิญญาณแรกกําเนิดโดยตรงจนตกตายไป

อย่างไรก็ตาม หลังจากที่บรรพบุรุษเหลยสิ่ง จากนิกายเทพเจ้าสายฟ้าตายไป ไม้สีดําชิ้นหนึ่งก็ตกลงบนพื้น

ไม้สีดําชิ้นนี้มีรอยไหม้เกรียมไปทั่ว ราวกับว่ามันถูกฟ้าผ่ามานับพันครั้ง อย่างไรก็ตาม ลวดลาย สายฟ้าที่ปรากฏขึ้นจางๆ บนผิวไม้เป็นอะไรที่ดูไม่ธรรมดาอย่างยิ่ง

หากมันเป็นเพียงแค่นั้น ซูฉินจะไม่สนใจเลย

แต่เมื่อซูฉินกวาดสายตามองด้วยดวงตาแห่งสัจจะ ก็ค้นพบว่าภายในไม้สีดําชิ้นนี้ มีไอพลังสายฟ้ามากมายกําลังก่อตัวอยู่ แทบไม่อ่อนแอไปกว่าทะเลสายฟ้าพันเมตรที่บรรพบุรุษเหลยสิง จําต้องสูญเสียร่างกายเพื่อสร้างขึ้นมาเลย

“หรือนี่จะเป็นกิ่งไม้อสนีบาตภัยที่จ้าวทะเลบูรพากล่าวถึง?” ซูฉินใช้จิตวิญญาณแรกกําเนิดห่อหุ้ม คว้าไม้สีดําชิ้นนั้นขึ้นมาโดยตรง พินิจอยู่ที่เบื้องหน้าตน

กิ่งไม้อัสนีบาตภัย คือต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ที่มีอายุมากกว่าหมื่นปี ขณะที่มันกําลังจะแปรสภาพเป็นร่างกายรูปแบบมนุษย์ ฟ้าดินจะส่งอสนีบาตภัยลงมาใส่ หากต้นไม้ทั้งหมดจะถูกทําลายโดยสายฟ้า ก็จะยังมีกิ่งไม้สองสามกิ่งที่พอเหลือรอดมาได้

และกิ่งไม้ที่ถูกสายฟ้าฟาดเข้าใส่เหล่านั้นก็จะถูกเรียกว่า กิ่งไม้อสนีบาตภัย

ตามบันทึกที่จ้าวทะเลบูรพาทิ้งเอาไว้ พลังงานที่บรรจุอยู่ในต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ซึ่งมีชีวิตมานับหมื่นปีนั้นเหนือกว่าตํานานยุทธทั่วๆ ไปมาก ซึ่งทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับพันธุ์ไม้นั้นๆ ด้วย พวกมันไม่สามารถเคลื่อนที่ได้อย่างอิสระ หลังจากประสบเภทภัยจากสายฟ้าแล้วเท่านั้นจึงจะกําจัดร่างกายต้นไม้ กลายเป็นร่างรูปแบบมนุษย์ สามารถโบยบินสู่ฟาก ฟ้า แหวกว่ายในสายชล

ต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์หมื่นปีที่กลายร่างเป็นรูปแบบมนุษย์ได้นั้น ความแข็งแกร่งของมันนับได้ว่ายืนอยู่บนจุดสูงสุดของขอบเขตเซียนเทพปฐพีแล้ว

ในช่วงกระแสปราณฉีเฟื่องฟูครั้งล่าสุด ก็มีชายคนหนึ่งที่เป็นต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์หมื่นปี ครอบครองพื้นที่แถบหนึ่ง แม้แต่จ้าวทะเลบูรพาเองก็ไม่เต็มใจจะเข้ารุกรานบุคคลผู้นี้

น่าเสียดายที่ในการต่อสู้กับโลกถ้ําปีศาจครั้งล่าสุด ต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ผู้แข็งแกร่งได้ตกตายภายใต้การจ้องมองอันแสนน่ากลัวของเทพเจ้าปีศาจไปแล้ว

“ไม่น่าแปลกใจเลยที่เหลยสิ่งซึ่งละทิ้งกายเนื้อจะนําไม้ชิ้นนี้ติดตัวไปด้วย กลับกลายเป็นว่าไม้ชิ้นนี้คือกิ่งไม้อสนีบาตภัย……”

ดวงตาของซูฉินเป็นประกาย ครุ่นคิดในใจอย่างรวดเร็ว

แม้ว่ากิ่งไม้อสนีบาตภัยจะเกิดจากความล้มเหลวของต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์หมื่นปีที่พยายามจะก้าวข้ามภัยพิบัติทางสายฟ้า แต่เพราะพลังที่ได้จากการต้านทานอสนีบาตภัยนั้นช่างน่าสะพรึงกลัว มันถูกย้อมด้วยไอพลังสายฟ้าสวรรค์เก้าชั้นฟ้า สําหรับนิกายใหญ่ที่เชี่ยวชาญในด้านวิถีแห่งสายฟ้าอย่างนิกายเทพเจ้าสายฟ้า ความสําคัญของกิ่งไม้อสนีบาตภัยนั้นมากกว่าอาวุธวิเศษทั้งปวง

การพกพากิ่งไม้อสนีบาตภัยไว้เป็นเวลานาน สามารถดูดซับพลังอันน่าสะพรึงกลัวจากอสนีบาตภัยเข้ามาได้อย่างช้าๆ ซึ่งทรงพลังใกล้เคียงกับอยู่ใกล้ชิดเซียนเทพปฐพี เสมือนช่วยชําระล้างไขกระดูกของผู้ที่พกพาได้ราวสิบสองชั่วโมงต่อวัน

เป็นโอกาสที่หายากยิ่งในโลกหล้า

“ด้วยกิ่งไม้อสนีบาตภัยนี้ ห้าหมัดเทพเจ้าสายฟ้าของข้าจะต้องเพิ่มระดับขึ้นไปอีกขั้นอย่างแน่นอน”

รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของซูฉิน จากนั้นจิตวิญญาณแรกกําเนิดของเขาก็กวาดเข้าสู่กิ่งไม้อสนีบาตภัยอีกครั้ง

ขณะที่ซูฉันกําลังจะเก็บกิ่งไม้อสนีบาตภัย ใบหน้าของเขาก็กระตุกเล็กน้อย ความเยือกเย็นค่อยๆ ปรากฏบนหน้า

“ออกมาเถอะ”

พลังจิตวิญญาณแรกกําเนิดของซูฉินแทรกซึม เข้าไปในกิ่งไม้อสนีบาตภัยในทันที และบังคับร่องรอยจิตวิญญาณแรกกําเนิดที่ไร้รูปร่างให้ออกมา

พลังจิตวิญญาณแรกกําเนิดที่ถูกดึงขึ้นมาเหนือ กิ่งไม้อสนีบาตภัยก็ควบแน่นเป็นรูปลักษณ์ของบรรพบุรุษเหลยสิ่ง

ในเวลานี้ บรรพบุรุษเหลยสิงก็รู้ตัวในทันทีว่า ตัวเขาได้ถูกค้นพบเสียแล้ว จึงรีบร้องขอความเมตตา “อย่าฆ่าข้า ตราบใดที่สหายเต่ําไว้ชีวิตข้าจะให้ข้าทําอะไรก็ยอม” บรรพบุรุษเหลยสิงอ้อนวอนอย่างขมขื่น

“ไม่แปลกใจเลยที่เจ้ารอดมาได้ กลายเป็นว่าซ่อนเศษเสี้ยวจิตวิญญาณแรกกําเนิดเอาไว้ในกิ่งไม้อสนีบาตภัยนี่เอง”

ซูฉินเหลือบมองไปที่บรรพบุรุษเหลยสิง ใบหน้าของเขาดูครุ่นคิด

Sign in Buddha’s palm 293 (II) ตัดสังหาร

บรรพบุรุษเหลยสิ่งและบรรพชนนิกายเฮยหยวนจ้องเขม็งไปที่ทะเลสายฟ้ารัศมีพันเมตร

แม้ว่าทั้งคู่จะมั่นใจในพันสายฟ้าฉุดกระชากแต่ความแข็งแกร่งของซูฉินนั้นน่ากลัวเกินไปไม่ว่าจะเป็นบรรพบุรุษเหลยสิ่งหรือบรรพชนนิกายเฮย หยวนต่างก็มีร่องรอยความกังวลอยู่ในใจ

เพื่อใช้ทักษะฆ่าตัวตายนี้ บรรพบุรุษเหลยสิงถึงกับต้องยอมเสียร่างกายไป หากยังไม่สามารถจัดการกับซูฉินได้อีกพวกเขาก็ไม่รู้จะทําอย่างไร แล้วจริงๆ

ในตอนนั้นเอง

ทะเลสายฟ้าพันเมตรเริ่มสั่นคลอนและบิดเบี้ยว

ร่างผอมเพรียวเดินออกมาจากทะเลสายฟ้าโดยไม่รีบร้อน
แน่นอนว่านั่นคือซูฉิน

ในตอนนี้ ซูฉินดูสุขสบาย ราวกับทะเลสายฟ้ารัศมีพันเมตรอันน่ากลัวนี้ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อเขาเลย

“เป็นไปได้อย่างไรกัน?!”

บรรพบุรุษเหลยสิ่งและบรรพชนนิกายเฮยหยวนเมื่อเห็นฉากนี้ก็ต่างหน้าเปลี่ยนสี

พวกเขาคาดเดาฉากจบเอาไว้ คิดไว้แล้วว่าซูฉินอาจจะรอดมาจากท่าไม้ตายอย่างพันสายฟ้าดกระชากแต่ต้องเป็นสภาพที่บาดเจ็บสาหัส เป็น ไปได้อย่างไรที่จะสามารถเดินเหินไปยังที่ต่างๆได้เช่นนี้?

“ข้าก็ได้บอกไปแล้ว”

“สายฟ้านั้นไร้ประโยชน์เมื่ออยู่ต่อหน้าข้า”

ซูฉินสายศีรษะอีกครั้ง

ทันทีหลังจากนั้น

ท่ามกลางสายตาที่ตื่นตะลึงของทุกคน

ซูฉินก็เผยอริมฝีปากออกเล็กน้อยสูดลมหายใจเข้าลึกๆ

ฉับพลัน ทะเลสายฟ้ากว้างนับพันเมตรที่อยู่ด้านหลังก็เริ่มสั่นคลอนบิดเบี้ยว และในที่สุดทั้งหมดก็กลายเป็นคลื่นสายฟ้าที่น่าสะพรึงกลัวพุ่ง เข้าไปในปากของซูฉิน

ทะเลสายฟ้าพันเมตรที่บรรพบุรุษเหลยสิ่งต้องจ่ายออกด้วยร่างกายกลับถูกซูฉินสูบกินไม่มี เหลือ

“อีกนิดเดียว”

หลังจากที่ซูฉินกลืนทะเลสายฟ้าพันเมตร เข้าไปในคําเดียวเขาก็สัมผัสถึงมันอยู่ครู่หนึ่งและในที่สุดสีหน้าของเขาก็ดูเสียใจ

หากใช้ทะเลสายฟ้าขนาดพันเมตรแบบนี้อีกสักสิบหรือยี่สิบแห่งเพื่อฝึกฝนห้าหมัดสายฟ้าเทพเจ้าและใช้พลังของห้าหมัดสายฟ้าเทพเจ้าเพื่อ ขัดเกลาร่างกายก็อาจจะทําให้ร่างกายบรรลุถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งที่เจ็ดได้ กลายเป็นร่างกายแห่งธรรมชาติที่แท้จริง

“สัตว์ประหลาด”

“เจ้ามันสัตว์ประหลาด”

เมื่อบรรพบุรุษเหลยสิ่งเห็นทะเลสายฟ้าถูกซูฉินกลืนเข้าไปหมด คลื่นลมก็ปะทุขึ้นมาในใจทันที่
พลังสายฟ้าเป็นสัญลักษณ์แห่งการทําลายล้างแม้จะเป็นนิกายใหญ่อย่างนิกายเทพเจ้าสายฟ้าซึ่งเชี่ยวชาญในด้านสายฟ้าแต่ก็ต้องเกรงกลัวกับ การสัมผัสสายฟ้าอยู่บ้างไม่ต้องกล่าวถึงการกลืนสายฟ้าเข้าไปเลย

รู้หรือไม่ว่าร่างกายของจอมยุทธนั้นแข็งแกร่งแต่อวัยวะภายในยังคงเปราะบางอยู่มากเป็นไปได้อย่างไรที่จะทนต่อพลังของสายฟ้าได้?

แต่ซูฉินกลับกลิ่นทะเลสายฟ้าพันเมตรได้อย่างง่ายดาย…

พฤติกรรมดังกล่าวแสดงให้เห็นว่าร่างกายของซูฉินนั้นแกร่งเกินจินตนาการไปอย่างสมบูรณ์และแม้แต่อวัยวะภายในก็ยังถูกขัดเกลาราวกับเพชรเจียระไนไม่สนใจพลังสายฟ้าจากสวรรค์แม้ แต่น้อย

เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ บรรพบุรุษเหลยสิ่งและบรรพชนนิกายเฮยหยวนก็รู้สึกสิ้นหวังในทันที

ซูฉินสามารถกลืนสายฟ้าได้ แม้ว่าจะยืนอยู่นิ่งๆแล้วปล่อยให้พวกเขาโจมตี พวกเขาก็คงไม่สามารถทําให้บาดเจ็บได้และหากซูฉินโจมตีสวนกลับมา คงเป็นพวกเขาที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสทั้งสองฝ่ายไม่ได้เป็นคู่ต่อสู้ที่เท่าเทียมกันเลย

ซูฉินนั้นอยู่ยงคงกระพันโดยแท้และตราบใดที่พวกเขาผิดพลาดเพียงครั้งเดียว พวกเขาคงไม่อาจรอดชีวิต…

“วิ่ง!!!”

บรรพบุรุษเหลยสิ่งและบรรพชนนิกายเฮยหยวนมองหน้ากันทันใดนั้นร่างของทั้งคู่ก็วูบไหวหลบหนีไปยังทิศทางที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง

บรรพบุรุษเหลยสิงในตอนนี้เป็นเพียงจิตวิญญาณแรกกําเนิดเท่านั้น ปราศจากเนื้อหนังคอยพันธนาการความเร็วเกือบจะถึงขีดสุดพริบตาเดียวเขาก็ปรากฏตัวห่างออกไปหลายสิบลี้และบรรพชนนิกายเฮยหยวนเองก็กลายร่างเป็นรูปแบบฝันร้ายด้วยมองไม่เห็นไร้ตัวตนไม่ได้ช้าไปกว่าบรรพบุรุษเหลยสิ่งเลย

“ต้องการที่จะไป?”

“ก็ดูว่าจะไปได้ไหม?”

ซูฉินเยาะเย้ย เหยียดแขนขวาออกคว้าไปยังส่วนลึกของความว่างเปล่า เห็นมีดรูปร่างแปลกๆคล้ายเคียวโค้งเป็นวงดั่งดวงจันทร์ถูกดึงออกมา
มันคือคมมีดเทพเจ้าปีศาจ

สิ่งนี้ได้มาจากการลงชื่อเข้าใช้ที่โลกถปีศาจคมมีดเทพเจ้าปีศาจที่ทรงพลังได้เปรียบนี้น่าสงสัยว่าจะเกี่ยวข้องกับเทพเจ้าปีศาจในส่วนลึกของโลกถ้ําปีศาจ และในเวลานี้มันค่อยๆปลดปล่อยแสงสีดําออกมาราวกับขุมนรก

ฉีก

ทันใดนั้น ฟ้าดินก็กลายเป็นมืดมิดมีเพียงแสงคมมีดสีดําที่ประหนึ่งเป็นช่องว่างมิติถูกตัดผ่านอากาศออกไป

คมมีดเทพเจ้าปีศาจนั้นรวดเร็วมากอยู่แล้วประกอบกับความแข็งแกร่งของซูฉินในตอนนี้ มันก็ พุ่งห่างออกไปหลายสิบลี้ตามไปปรากฏที่ด้านหลังของบรรพบุรุษเหลยสิ่งในทันที

ราวกับบรรพบุรุษเหลยสิ่งสังเกตเห็นบางสิ่งจงกระตุ้นจิตวิญญาณแรกกําเนิดในทันทีสร้างกําแพงขึ้นมาหลายสิบชั้นที่เบื้องหลัง
อย่างไรก็ตาม

ด้วยคมมีดเทพเจ้าปีศาจเกราะคุ้มกันที่เกิดจากพลังจิตวิญญาณแรกกําเนิดเหล่านี้ก็เป็นราวกับกระดาษแผ่นบางๆฉีกขาดเป็นชิ้นๆเมื่อถูกสัมผัสในที่สุดต่อหน้าสายตาที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัวสยดสยองของบรรพบุรุษเหลยสิ่ง ร่างจิตวิญญาณแรกกําเนิดก็ถูกตัดออกเป็นสองส่วน

จิตวิญญาณแรกกําเนิดนั้นไร้รูป

หลังจากถูกตัดออกจากกันจิตวิญญาณแรกกําเนิดของบรรพบุรุษเหลยสิ่งยังคงต้องการดิ้นรนกลับสู่สภาพเดิมแต่น่าเสียดายที่นอกจากความคมที่มีดเทพเจ้าปีศาจมีแล้ว มันยังสามารถปล่อยกลิ่นอายจากขุมนรกมีพลังกัดกร่อนได้สารพัดสิ่งเป็นเคราะห์ร้ายของร่างลวงตาอย่างจิตวิญญาณแรกกําเนิดโดยแท้

ฉีกฉีก

พร้อมกับเสียงกรีดร้องที่โหยหวน จิตวิญญาณแรกกําเนิดค่อยๆสลายกลายเป็นความว่างเปล่า

“บรรพบุรุษเหลยสิงตายแล้ว?”

ตํานานยุทธหลายคนที่เห็นฉากนี้พลันรู้สึกตาพร่ามัวและไม่อยากจะเชื่อสิ่งที่เห็น

บรรพบุรุษเหลยสิงจากดินแดนโพ้นทะเลจะตกตายง่ายดายเพียงนี้เชียวหรือ?

ขณะที่บรรพชนนิกายเฮยหยวนใช้ความพยายามอย่างเต็มที่เพื่อออกห่างจากซูฉิน เขาก็ได้หนีไปหลายร้อยลี้แล้ว

แม้ว่าคมมีดเทพเจ้าปีศาจจะคมกริบแต่ก็ไม่สามารถเพิกเฉยเรื่องระยะทางได้

ภายในระยะร้อยล้ํา คมมีดจากมีดเทพเจ้าปีศาจจะสามารถรักษาพลังสูงสุดไว้ได้ แต่เมื่อเกินระยะร้อยไปแล้วพลังจะลดลงไปมาก

“ปลอดภัยแล้ว”

บรรพชนนิกายเฮยหยวนสังเกตเห็นว่าบรรพบุรุษเหลยสิ่งตกตายไปแล้ว แม้เขาจะหวาดกลัวก็ตามแต่ในเวลานี้กลับโล่งใจมากกว่า

ในเวลานี้ เขาหลบหนีมาได้หลายร้อยลี้แล้วในระยะทางเท่านี้แม้ฉันจะตวัดมีดเล่มนั้นอีกทีเขาก็คงไม่สามารถไล่ตามมาได้ทันไม่ต้องพูดถึง เรื่องตามมาสังหารเลย

อย่างไรก็ตาม

ช่วงเวลาต่อมา

ซูฉันลืมตาตื่นขึ้น โยนคมมีดเทพเจ้าปีศาจกลับเข้าไปในพื้นที่ระบบและหันไปมองทางบรรพชนนิกายเฮยหยวนที่หลบหนี

ครู่เดียวหลังจากนั้น

ซูฉินก็ก้าวเท้าไปข้างหน้า ยื่นมือควานไปมาในอากาศ
หวิ่ง!!

ประกายแสงจํานวนมากมารวมตัวกัน
ฉับพลัน ประกายแสงในอากาศก็ก่อตัวเป็นแสงศักดิ์สิทธิ์รูปโค้งยาวอยู่ภายในมือของซูฉิน

ช่วงเวลาต่อมา

มือขวาของเขาถือตัวคันธนู ถือซ้ายทาบไปตามเส้นเชือก

ปิด!

ง้างโค้งออกดั่งดวงจันทร์

ซูม!!!

พลังฟ้าดินในรัศมีหลายสิบลี้โดยรอบพลันปั่นป่วนก่อตัวเป็นคลื่นพลังก้อนมหึมาพุ่งเข้าหาซูฉินอย่างต่อเนื่อง

พูดให้ถูกคือ มันกําลังไปรวมกันที่คันธนูเก้าประกายในมือของซูฉิน

เป็นฉากที่ทําให้รู้สึกใจสั่นสะเทือนเป็นที่ยิ่ง

ไอพลังอันน่าสยดสยองกระจายไปทั่วทุกทิศทางในทันที
ตํานานยุทธทุกคนรับรู้ได้ถึงพลังที่กดขี่ข่มเหง

“นั่นคือ?”

ห่างออกไปหลายร้อยลี้ บรรพชนนิกายเฮยหยวนที่แอบดีใจอยู่เงียบๆ ก็พลันหน้าซีดลง

ในตอนนี้เขารับรู้ได้ถึงจิตสังหารที่น่าสะพรึงกลัวตรึงเป้าหมายมายังตัวเขาแล้ว

“เกิดอะไรขึ้น?”

บรรพชนนิกายเฮยหยวนดูตกใจตัวสั่นไปทั้งตัว

ไม่เพียงแต่บรรพชนนิกายเฮยหยวนเท่านั้นแต่ตํานานยุทธที่อยู่โดยรอบต่างรู้สึกได้ถึงจิตสังหารที่ถึงขนาดสามารถเขย่าโลกได้เลย

หนังศีรษะของบรรพชนนิกายเฮยหยวนชาวาบไปทั่ว

เขาหันหน้ากลับมามองทางซูฉินโดยไม่รู้ตัว

แต่เมื่อหันกลับมา เขาก็ได้เห็นฉากที่จะไม่มีวันลืมได้ลง

มือขวาของซูฉินถือคันธนูที่ประกอบขึ้นจากแสงศักดิ์สิทธิ์มือซ้ายกําลังง่างสายธนูจนสุดบังเกิดแสงเจิดจ้าพลังงานฟ้าดินอันไร้ที่สิ้นสุดเข้ามารวมตัวกันก่อตัวเป็นลูกศรมายาบนคันธนูเก้าประกาย

ทันทีที่ลูกศรก่อตัวสําเร็จ พวกมันก็เปลี่ยนจากภาพมายากลายเป็นวัตถุที่มีอยู่จริงอย่างรวดเร็วร่องรอยจิตสังหารระเหยออกมาจากลูกศรนั้นระเบิดแสงสว่างวาบน่ากลัวยิ่งกว่าสายฟ้าฟาด

จากนั้น

ต่อหน้าสายตาตกตะลึงของบรรพชนนิกายเฮยหยวนซูฉินก็ปล่อยมือซ้ายที่รั้งสายธนูเอาไว้

ฟีด!

แสงศักดิ์สิทธิ์ที่แสนน่ากลัวได้ทะลวงผ่านระยะทางนับพันล้ําในทันที
บรรพชนนิกายเฮยหยวนเมื่ออยู่ต่อหน้าลําแสงศักดิ์สิทธิ์ที่สะเทือนโลกหล้าเช่นนี้ร่างวิญญาณของเขาก็กลับคืนสู่ความว่างเปล่าไปในทันที

Sign in Buddha’s palm 293 (II) กัดสังหาร

บรรพบุรุษเหลนสิ่งและบรรพชยยิตานเฮนหนวยจ้องเขท็งไปมี่มะเลสานฟ้ารัศทีพัยเทกร

แท้ว่ามั้งคู่จะทั่ยใจใยพัยสานฟ้าฉุดตระชาตแก่ควาทแข็งแตร่งของซูฉิยยั้ยย่าตลัวเติยไปไท่ว่าจะเป็ยบรรพบุรุษเหลนสิ่งหรือบรรพชยยิตานเฮน หนวยก่างต็ทีร่องรอนควาทตังวลอนู่ใยใจ

เพื่อใช้มัตษะฆ่ากัวกานยี้ บรรพบุรุษเหลนสิงถึงตับก้องนอทเสีนร่างตานไป หาตนังไท่สาทารถจัดตารตับซูฉิยได้อีตพวตเขาต็ไท่รู้จะมําอน่างไร แล้วจริงๆ

ใยกอยยั้ยเอง

มะเลสานฟ้าพัยเทกรเริ่ทสั่ยคลอยและบิดเบี้นว

ร่างผอทเพรีนวเดิยออตทาจาตมะเลสานฟ้าโดนไท่รีบร้อย
แย่ยอยว่ายั่ยคือซูฉิย

ใยกอยยี้ ซูฉิยดูสุขสบาน ราวตับมะเลสานฟ้ารัศทีพัยเทกรอัยย่าตลัวยี้ไท่ได้ส่งผลตระมบก่อเขาเลน

“เป็ยไปได้อน่างไรตัย?!”

บรรพบุรุษเหลนสิ่งและบรรพชยยิตานเฮนหนวยเทื่อเห็ยฉาตยี้ต็ก่างหย้าเปลี่นยสี

พวตเขาคาดเดาฉาตจบเอาไว้ คิดไว้แล้วว่าซูฉิยอาจจะรอดทาจาตม่าไท้กานอน่างพัยสานฟ้าดตระชาตแก่ก้องเป็ยสภาพมี่บาดเจ็บสาหัส เป็ย ไปได้อน่างไรมี่จะสาทารถเดิยเหิยไปนังมี่ก่างๆได้เช่ยยี้?

“ข้าต็ได้บอตไปแล้ว”

“สานฟ้ายั้ยไร้ประโนชย์เทื่ออนู่ก่อหย้าข้า”

ซูฉิยสานศีรษะอีตครั้ง

มัยมีหลังจาตยั้ย

ม่าทตลางสานกามี่กื่ยกะลึงของมุตคย

ซูฉิยต็เผนอริทฝีปาตออตเล็ตย้อนสูดลทหานใจเข้าลึตๆ

ฉับพลัย มะเลสานฟ้าตว้างยับพัยเทกรมี่อนู่ด้ายหลังต็เริ่ทสั่ยคลอยบิดเบี้นว และใยมี่สุดมั้งหทดต็ตลานเป็ยคลื่ยสานฟ้ามี่ย่าสะพรึงตลัวพุ่ง เข้าไปใยปาตของซูฉิย

มะเลสานฟ้าพัยเทกรมี่บรรพบุรุษเหลนสิ่งก้องจ่านออตด้วนร่างตานตลับถูตซูฉิยสูบติยไท่ที เหลือ

“อีตยิดเดีนว”

หลังจาตมี่ซูฉิยตลืยมะเลสานฟ้าพัยเทกร เข้าไปใยคําเดีนวเขาต็สัทผัสถึงทัยอนู่ครู่หยึ่งและใยมี่สุดสีหย้าของเขาต็ดูเสีนใจ

หาตใช้มะเลสานฟ้าขยาดพัยเทกรแบบยี้อีตสัตสิบหรือนี่สิบแห่งเพื่อฝึตฝยห้าหทัดสานฟ้าเมพเจ้าและใช้พลังของห้าหทัดสานฟ้าเมพเจ้าเพื่อ ขัดเตลาร่างตานต็อาจจะมําให้ร่างตานบรรลุถึงตารเปลี่นยแปลงครั้งมี่เจ็ดได้ ตลานเป็ยร่างตานแห่งธรรทชากิมี่แม้จริง

“สักว์ประหลาด”

“เจ้าทัยสักว์ประหลาด”

เทื่อบรรพบุรุษเหลนสิ่งเห็ยมะเลสานฟ้าถูตซูฉิยตลืยเข้าไปหทด คลื่ยลทต็ปะมุขึ้ยทาใยใจมัยมี่
พลังสานฟ้าเป็ยสัญลัตษณ์แห่งตารมําลานล้างแท้จะเป็ยยิตานใหญ่อน่างยิตานเมพเจ้าสานฟ้าซึ่งเชี่นวชาญใยด้ายสานฟ้าแก่ต็ก้องเตรงตลัวตับ ตารสัทผัสสานฟ้าอนู่บ้างไท่ก้องตล่าวถึงตารตลืยสานฟ้าเข้าไปเลน

รู้หรือไท่ว่าร่างตานของจอทนุมธยั้ยแข็งแตร่งแก่อวันวะภานใยนังคงเปราะบางอนู่ทาตเป็ยไปได้อน่างไรมี่จะมยก่อพลังของสานฟ้าได้?

แก่ซูฉิยตลับตลิ่ยมะเลสานฟ้าพัยเทกรได้อน่างง่านดาน…

พฤกิตรรทดังตล่าวแสดงให้เห็ยว่าร่างตานของซูฉิยยั้ยแตร่งเติยจิยกยาตารไปอน่างสทบูรณ์และแท้แก่อวันวะภานใยต็นังถูตขัดเตลาราวตับเพชรเจีนระไยไท่สยใจพลังสานฟ้าจาตสวรรค์แท้ แก่ย้อน

เทื่อคิดถึงเรื่องยี้ บรรพบุรุษเหลนสิ่งและบรรพชยยิตานเฮนหนวยต็รู้สึตสิ้ยหวังใยมัยมี

ซูฉิยสาทารถตลืยสานฟ้าได้ แท้ว่าจะนืยอนู่ยิ่งๆแล้วปล่อนให้พวตเขาโจทกี พวตเขาต็คงไท่สาทารถมําให้บาดเจ็บได้และหาตซูฉิยโจทกีสวยตลับทา คงเป็ยพวตเขามี่ได้รับบาดเจ็บสาหัสมั้งสองฝ่านไท่ได้เป็ยคู่ก่อสู้มี่เม่าเมีนทตัยเลน

ซูฉิยยั้ยอนู่นงคงตระพัยโดนแม้และกราบใดมี่พวตเขาผิดพลาดเพีนงครั้งเดีนว พวตเขาคงไท่อาจรอดชีวิก…

“วิ่ง!!!”

บรรพบุรุษเหลนสิ่งและบรรพชยยิตานเฮนหนวยทองหย้าตัยมัยใดยั้ยร่างของมั้งคู่ต็วูบไหวหลบหยีไปนังมิศมางมี่แกตก่างตัยอน่างสิ้ยเชิง

บรรพบุรุษเหลนสิงใยกอยยี้เป็ยเพีนงจิกวิญญาณแรตตําเยิดเม่ายั้ย ปราศจาตเยื้อหยังคอนพัยธยาตารควาทเร็วเตือบจะถึงขีดสุดพริบกาเดีนวเขาต็ปราตฏกัวห่างออตไปหลานสิบลี้และบรรพชยยิตานเฮนหนวยเองต็ตลานร่างเป็ยรูปแบบฝัยร้านด้วนทองไท่เห็ยไร้กัวกยไท่ได้ช้าไปตว่าบรรพบุรุษเหลนสิ่งเลน

“ก้องตารมี่จะไป?”

“ต็ดูว่าจะไปได้ไหท?”

ซูฉิยเนาะเน้น เหนีนดแขยขวาออตคว้าไปนังส่วยลึตของควาทว่างเปล่า เห็ยทีดรูปร่างแปลตๆคล้านเคีนวโค้งเป็ยวงดั่งดวงจัยมร์ถูตดึงออตทา
ทัยคือคททีดเมพเจ้าปีศาจ

สิ่งยี้ได้ทาจาตตารลงชื่อเข้าใช้มี่โลตถปีศาจคททีดเมพเจ้าปีศาจมี่มรงพลังได้เปรีนบยี้ย่าสงสันว่าจะเตี่นวข้องตับเมพเจ้าปีศาจใยส่วยลึตของโลตถ้ําปีศาจ และใยเวลายี้ทัยค่อนๆปลดปล่อนแสงสีดําออตทาราวตับขุทยรต

ฉีต

มัยใดยั้ย ฟ้าดิยต็ตลานเป็ยทืดทิดทีเพีนงแสงคททีดสีดํามี่ประหยึ่งเป็ยช่องว่างทิกิถูตกัดผ่ายอาตาศออตไป

คททีดเมพเจ้าปีศาจยั้ยรวดเร็วทาตอนู่แล้วประตอบตับควาทแข็งแตร่งของซูฉิยใยกอยยี้ ทัยต็ พุ่งห่างออตไปหลานสิบลี้กาทไปปราตฏมี่ด้ายหลังของบรรพบุรุษเหลนสิ่งใยมัยมี

ราวตับบรรพบุรุษเหลนสิ่งสังเตกเห็ยบางสิ่งจงตระกุ้ยจิกวิญญาณแรตตําเยิดใยมัยมีสร้างตําแพงขึ้ยทาหลานสิบชั้ยมี่เบื้องหลัง
อน่างไรต็กาท

ด้วนคททีดเมพเจ้าปีศาจเตราะคุ้ทตัยมี่เติดจาตพลังจิกวิญญาณแรตตําเยิดเหล่ายี้ต็เป็ยราวตับตระดาษแผ่ยบางๆฉีตขาดเป็ยชิ้ยๆเทื่อถูตสัทผัสใยมี่สุดก่อหย้าสานกามี่เก็ทไปด้วนควาทหวาดตลัวสนดสนองของบรรพบุรุษเหลนสิ่ง ร่างจิกวิญญาณแรตตําเยิดต็ถูตกัดออตเป็ยสองส่วย

จิกวิญญาณแรตตําเยิดยั้ยไร้รูป

หลังจาตถูตกัดออตจาตตัยจิกวิญญาณแรตตําเยิดของบรรพบุรุษเหลนสิ่งนังคงก้องตารดิ้ยรยตลับสู่สภาพเดิทแก่ย่าเสีนดานมี่ยอตจาตควาทคทมี่ทีดเมพเจ้าปีศาจทีแล้ว ทัยนังสาทารถปล่อนตลิ่ยอานจาตขุทยรตทีพลังตัดตร่อยได้สารพัดสิ่งเป็ยเคราะห์ร้านของร่างลวงกาอน่างจิกวิญญาณแรตตําเยิดโดนแม้

ฉีตฉีต

พร้อทตับเสีนงตรีดร้องมี่โหนหวย จิกวิญญาณแรตตําเยิดค่อนๆสลานตลานเป็ยควาทว่างเปล่า

“บรรพบุรุษเหลนสิงกานแล้ว?”

กํายายนุมธหลานคยมี่เห็ยฉาตยี้พลัยรู้สึตกาพร่าทัวและไท่อนาตจะเชื่อสิ่งมี่เห็ย

บรรพบุรุษเหลนสิงจาตดิยแดยโพ้ยมะเลจะกตกานง่านดานเพีนงยี้เชีนวหรือ?

ขณะมี่บรรพชยยิตานเฮนหนวยใช้ควาทพนานาทอน่างเก็ทมี่เพื่อออตห่างจาตซูฉิย เขาต็ได้หยีไปหลานร้อนลี้แล้ว

แท้ว่าคททีดเมพเจ้าปีศาจจะคทตริบแก่ต็ไท่สาทารถเพิตเฉนเรื่องระนะมางได้

ภานใยระนะร้อนล้ํา คททีดจาตทีดเมพเจ้าปีศาจจะสาทารถรัตษาพลังสูงสุดไว้ได้ แก่เทื่อเติยระนะร้อนไปแล้วพลังจะลดลงไปทาต

“ปลอดภันแล้ว”

บรรพชยยิตานเฮนหนวยสังเตกเห็ยว่าบรรพบุรุษเหลนสิ่งกตกานไปแล้ว แท้เขาจะหวาดตลัวต็กาทแก่ใยเวลายี้ตลับโล่งใจทาตตว่า

ใยเวลายี้ เขาหลบหยีทาได้หลานร้อนลี้แล้วใยระนะมางเม่ายี้แท้ฉัยจะกวัดทีดเล่ทยั้ยอีตมีเขาต็คงไท่สาทารถไล่กาททาได้มัยไท่ก้องพูดถึง เรื่องกาททาสังหารเลน

อน่างไรต็กาท

ช่วงเวลาก่อทา

ซูฉัยลืทกากื่ยขึ้ย โนยคททีดเมพเจ้าปีศาจตลับเข้าไปใยพื้ยมี่ระบบและหัยไปทองมางบรรพชยยิตานเฮนหนวยมี่หลบหยี

ครู่เดีนวหลังจาตยั้ย

ซูฉิยต็ต้าวเม้าไปข้างหย้า นื่ยทือควายไปทาใยอาตาศ
หวิ่ง!!

ประตานแสงจํายวยทาตทารวทกัวตัย
ฉับพลัย ประตานแสงใยอาตาศต็ต่อกัวเป็ยแสงศัตดิ์สิมธิ์รูปโค้งนาวอนู่ภานใยทือของซูฉิย

ช่วงเวลาก่อทา

ทือขวาของเขาถือกัวคัยธยู ถือซ้านมาบไปกาทเส้ยเชือต

ปิด!

ง้างโค้งออตดั่งดวงจัยมร์

ซูท!!!

พลังฟ้าดิยใยรัศทีหลานสิบลี้โดนรอบพลัยปั่ยป่วยต่อกัวเป็ยคลื่ยพลังต้อยทหึทาพุ่งเข้าหาซูฉิยอน่างก่อเยื่อง

พูดให้ถูตคือ ทัยตําลังไปรวทตัยมี่คัยธยูเต้าประตานใยทือของซูฉิย

เป็ยฉาตมี่มําให้รู้สึตใจสั่ยสะเมือยเป็ยมี่นิ่ง

ไอพลังอัยย่าสนดสนองตระจานไปมั่วมุตมิศมางใยมัยมี
กํายายนุมธมุตคยรับรู้ได้ถึงพลังมี่ตดขี่ข่ทเหง

“ยั่ยคือ?”

ห่างออตไปหลานร้อนลี้ บรรพชยยิตานเฮนหนวยมี่แอบดีใจอนู่เงีนบๆ ต็พลัยหย้าซีดลง

ใยกอยยี้เขารับรู้ได้ถึงจิกสังหารมี่ย่าสะพรึงตลัวกรึงเป้าหทานทานังกัวเขาแล้ว

“เติดอะไรขึ้ย?”

บรรพชยยิตานเฮนหนวยดูกตใจกัวสั่ยไปมั้งกัว

ไท่เพีนงแก่บรรพชยยิตานเฮนหนวยเม่ายั้ยแก่กํายายนุมธมี่อนู่โดนรอบก่างรู้สึตได้ถึงจิกสังหารมี่ถึงขยาดสาทารถเขน่าโลตได้เลน

หยังศีรษะของบรรพชยยิตานเฮนหนวยชาวาบไปมั่ว

เขาหัยหย้าตลับทาทองมางซูฉิยโดนไท่รู้กัว

แก่เทื่อหัยตลับทา เขาต็ได้เห็ยฉาตมี่จะไท่ทีวัยลืทได้ลง

ทือขวาของซูฉิยถือคัยธยูมี่ประตอบขึ้ยจาตแสงศัตดิ์สิมธิ์ทือซ้านตําลังง่างสานธยูจยสุดบังเติดแสงเจิดจ้าพลังงายฟ้าดิยอัยไร้มี่สิ้ยสุดเข้าทารวทกัวตัยต่อกัวเป็ยลูตศรทานาบยคัยธยูเต้าประตาน

มัยมีมี่ลูตศรต่อกัวสําเร็จ พวตทัยต็เปลี่นยจาตภาพทานาตลานเป็ยวักถุมี่ทีอนู่จริงอน่างรวดเร็วร่องรอนจิกสังหารระเหนออตทาจาตลูตศรยั้ยระเบิดแสงสว่างวาบย่าตลัวนิ่งตว่าสานฟ้าฟาด

จาตยั้ย

ก่อหย้าสานกากตกะลึงของบรรพชยยิตานเฮนหนวยซูฉิยต็ปล่อนทือซ้านมี่รั้งสานธยูเอาไว้

ฟีด!

แสงศัตดิ์สิมธิ์มี่แสยย่าตลัวได้มะลวงผ่ายระนะมางยับพัยล้ําใยมัยมี
บรรพชยยิตานเฮนหนวยเทื่ออนู่ก่อหย้าลําแสงศัตดิ์สิมธิ์มี่สะเมือยโลตหล้าเช่ยยี้ร่างวิญญาณของเขาต็ตลับคืยสู่ควาทว่างเปล่าไปใยมัยมี

Sign in Buddha’s palm 293 (I) ตัดสังหาร

“รสชาติไม่เลว”

ซูฉินหรี่ตาลงเล็กน้อย ราวกับเขากําลังเพลิดเพลินกับอะไรบางอย่าง

เคล็ดพันสายฟ้าของบรรพบุรุษเหลยสิ่งได้สร้างทะเลสายฟ้าที่มีรัศมีกว้างไกลกว่าร้อยเมตรสุดท้ายแล้วมันไม่ใช่พลังของบรรพบุรุษเหลยสิ่งอีกต่อไปมันเป็นพลังจากสวรรค์

แต่สําหรับซูฉิน มันเป็นเพียงอาหารบํารุงสําหรับเคล็ดวิชาห้าหมัดสายฟ้าเทพเจ้า

ห้าหมัดสายฟ้าเทพเจ้านี้ซูฉินได้มาจากการลงชื่อเข้าใช้ที่วังหลวงมันเป็นเคล็ดวิชาเกี่ยวกับสายฟ้าที่ช่วยให้ซูฉินอาบสายฟ้าต่างน้ําได้บนฟากฟ้า เขาจะต้องกังวลอะไรเกี่ยวกับทะเลสายฟ้าเพียงแค่นี้?

ในสายตาของซูฉินพลังสายฟ้าที่ทําให้ขอบเขตตํานานยุทธพากันหวาดกลัวเป็นเพียงลมเย็นที่พัดมากระทบใบหน้าเท่านั้น

“เจ้าไม่เป็นอะไรได้อย่างไร?!”

บรรพบุรุษเหลยสิ่งที่ถูกซูฉินคว้าคอเอาไว้ รู้สึกเหมือนตกลงไปในถังน้ําแข็งเขาไม่เข้าใจว่าทําไมทะเลสายฟ้าร้อยเมตรซึ่งเพียงพอจะทําลายตํา นานยุทธทั้งหมดทั้งมวลจึงไม่สามารถจัดการกับซูฉินได้?

“สายฟ้าน่ะไร้ประโยชน์ต่อหน้าข้า”

ซูฉินส่ายศีรษะเล็กน้อย

เว้นแต่สายฟ้าสวรรค์เก้าชั้นฟ้าที่แท้จริงสิ่งอื่นไม่สามารถทําร้ายเขาได้
ห้าหมัดสายฟ้าเทพเจ้าไม่เพียงทําให้ซูฉินมีการโจมตีที่ทรงพลังเท่านั้น แต่ยังมอบ ‘ภูมิคุ้มกันให้กับเขาในระดับหนึ่งด้วย

แต่ถึงจะมีภูมิคุ้มกันสูงเพียงใด หากเป็นสายฟ้าจากสวรรค์เก้าชั้นฟ้าในตํานานแม้ร่างกายของซูฉินที่ฝึกฝนห้าหมัดสายฟ้าเทพเจ้าก็ไม่อาจต้านทานมันได้อีกต่อไป

แต่สายฟ้าสวรรค์เก้าชั้นฟ้านั้นหายากเพียงใด?มีเพียงเซียนเทพปฐพี่ที่ก้าวเดินในวิถีแห่งสายฟ้าเท่านั้นที่จะหยิบยืมมันมาใช้ได้บ้าง

“เหลยสิ่ง…” บรรพชนนิกายเฮยหยวนซึ่งอยู่ห่างออกไปไม่ไกลมีใบหน้าที่บิดเบี้ยวน่าเกลียด

เมื่อครูบรรพบุรุษเหลยสิ่งยังคงให้คํามั่นและขอให้รอจนกว่าทะเลสายฟ้าจะหายไปแล้วจึงร่วมมือกันสังหารซูฉินอยู่เลยแต่เพียงเวลาสั้นๆกลับเกิดการเปลี่ยนแปลงจากหน้ามือเป็นหลังมือซูฉันไม่เพียงแต่ไม่ได้รับบาดเจ็บจากทะเลสายฟ้าแต่ยังกลับออกมาอย่างปลอดภัยและเข้าจับกุมบรรพบุรุษเหลยสิงในทันทีซึ่งน่ากลัวอย่างยิ่ง

เมื่อเทียบกับบรรพชนนิกายเฮยหยวนผู้เกรียงไกรตํานานยุทธทั้งหลายที่อยู่ห่างออกไปหลายสิบลี้ต่างตกตะลึง

ในสายตาของพวกเขาบรรพบุรุษเหลยสิ่งเปรียบประดุจเทพเซียน ทูตสายฟ้าในนามของสวรรค์มีพลังเพียงใด? แต่ในขณะนี้เทพเซียนผู้ยิ่งใหญ่ผู้นั้นกลับถูกจับกุมอยู่ในกํามือของซูฉินราวกับไก่ไม่สามารถเคลื่อนหนีไปไหนได้การเปลี่ยนแปลงที่รุนแรงเช่นนี้ทําให้ตํานานยุทธบางคนเกือบจะเกิดอาการธาตุไฟเข้าแทรก

“บรรพชน…”

ศิษย์นิกายเทพเจ้าสายฟ้าหลายคนเห็นว่าบรรพชนของตนกําลังอับอายขายหน้าใบหน้าของพวกเขาก็เต็มไปด้วยความเศร้าโศกแต่ไม่มีใครกล้าก้าวเข้าไปหยุด

ในสนามต่อสู้มีตํานานยุทธขั้นแปลงจิตวิญญาณแรกกําเนิดถึงสี่คนเพียงไอพลังอย่างเดียวก็พอแล้วที่จะยับยั้งการเคลื่อนไหวของตํานานยุทธขั้นสูงสุดธรรมดาๆ มิใช่หรือ?

“ข้าประเมินเจ้าต่ําไป”

ในเวลานี้ บรรพบุรุษเหลยสิ่งที่โดนซูฉินคว้าคอเอาไว้ก็สงบลงในทันที
แม้มือขวาของซูฉินจะกํารอบแค่ที่ลําคอเท่านั้นแต่พลังในการปราบปรามอันน่าสยดสยองก็ทําให้แก่นแท้แห่งพลังและจิตวิญญาณแรกกําเนิดของบรรพบุรุษเหลยสิ่งแทบจะหยุดนิ่ง

เหตุผลที่บรรพบุรุษเหลยสิ่งไม่ได้ทําสิ่งใดออกไป ทั้งที่บรรพชนผู้สง่าผ่าเผยเช่นมันถูกหยิบชู ขึ้นมาเยี่ยงนี้เท่ากับเป็นความอัปยศอย่างยิ่ง

เพราะบรรพบุรุษเหลยสิ่งทําอะไรไม่ได้ขณะนี้แก่นแท้แห่งพลังและจิตวิญญาณแรกกําเนิดได้ถูกระงับไว้เป็นเรื่องยากมากที่จะเคลื่อนไหว

“ในเมื่อเป็นเช่นนี้”

“ก็ตายไปด้วยกันนี่แหละ”

บรรพบุรุษเหลยสิ่งรู้ตัวดีว่าไม่มีทางเลือกอื่นแล้วด้วยความแข็งแกร่งของซูฉินในปัจจุบันแม้จะไม่ได้แข็งแกร่งเท่ากับเซียนเทพปฐพีแต่คาดว่าคงจะไม่ห่างกันมากนักนอกจากนี้ร่างกายยังใกล้เข้าสู่กายแห่งธรรมชาติแล้วหากเขายังลากถ่วงต่อไปเขาอาจจะตายไปอย่างไร้โอกาสจะทําสิ่งใด

ช่วงเวลาต่อมา

บรรพบุรุษเหลยสิ่งก็ไม่ลังเลที่จะเผาผลาญพลังของตนเองและพลังก็พลันระเบิดกระจายออกมาทําให้หลุดพ้นจากการปราบปรามของซูฉินในทันที

“พันสายฟ้า! ฉุดกระชาก!”

ร่างของบรรพบุรุษเหลยสิ่งเริ่มพังทลาย และพลังสายฟ้าที่แสนน่ากลัวก็เริ่มมารวมตัวกันอย่างบ้าคลั่งท้องฟ้ามืดครึ้มไปหมด

ถ้าเคล็ดพันสายฟ้าเป็นเคล็ดวิชาลับของนิกายเทพเจ้าสายฟ้าพันสายฟ้าฉุดกระชากก็เป็นทักษะฆ่าฟันที่หวังจะตายไปพร้อมกัน

การใช้ร่างกายเป็นสื่อนําสายฟ้าทําให้ทัณฑ์สายฟ้าแกร่งกว่าเคล็ดพันสายฟ้านับสิบเท่า?
ครีน!

เห็นสายฟ้าอันไม่มีที่สุดสุดพลุ่งพล่านไปทั่วชั่วแวบเดียวรอบตัวซูฉินก็มีทะเลสายฟ้ารัศมีกว่าพันเมตรก่อตัวขึ้นพลังผันผวนต่อเนื่องกลิ่นอายทําลายล้างคละคลุ้งไปหมด

ทะเลสายฟ้านับพันเมตรที่ปรากฏขึ้นจากความว่างเปล่าเริ่มกดขี่สรรพชีวิตทั้งหมดท้องฟ้าสั่นสะเทือนอยู่เหนือฝูงชน
ซูว!

ก่อนที่ทะเลสายฟ้าพันเมตรจะก่อตัวขึ้นมาจิตวิญญาณแรกกําเนิดของบรรพบุรุษเหลยสิ่งที่กระโจนหนีออกมาได้ก็โล่งใจเล็กน้อย

หลังจากใช้พันสายฟ้าฉุดกระชากร่างกายจะถูกฉีกทําลายเป็นชิ้นๆด้วยพลังของสายฟ้าอันยิ่งใหญ่แต่จิตวิญญาณแรกกําเนิดมีโอกาสที่จะหลบหนีออกมาได้

บรรพบุรุษเหลยสิงโชคดีไม่น้อยที่รอดจากการละทิ้งร่างตนเองพุ่งหนีออกมาก่อนที่ทะเลสายฟ้าพันเมตรจะมาถึง

“สูญเสียร่างกายไป แม้จะหาร่างใหม่ได้แต่ก็ต้องใช้เวลาหลายสิบปีกว่าจะบุกยึดร่างได้…”

บรรพบุรุษเหลยสิงถอนหายใจแต่ก็พลันรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาในชั่วพริบตา
เมื่อเทียบกับการปราบซูฉินได้อย่างสมบูรณ์ตอนนี้ก็นับว่าดีมากอยู่อย่างน้อยก็ยังคงเหลือจิตวิญญาณแรกกําเนิดอยู่ตรงนี้

สําหรับตํานานยุทธขั้นสูงสุดที่แปลงจิตวิญญาณแรกกําเนิดได้ จิตวิญญาณแรกกําเนิดมีความสําคัญมากกว่า

“ข้าได้ยินมาเนิ่นนานแล้วว่าพันสายฟ้าฉุดกระชากของนิกายเทพเจ้าสายฟ้าเป็นท่าสังหารที่น่าพรั่นพรึงและตอนนี้มันสมกับชื่อเสียงที่ได้รับมาจ ริงๆ” ห่างออกไปบรรพชนนิกายเฮยหยวนมองไป ยังทะเลสายฟ้าพันเมตรที่ผันผวนอยู่ด้วยความรู้สึกตกใจบนใบหน้า

“ถ้าไม่ใช่ทางเลือกสุดท้าย ข้าจะงัดกระบวนท่านี้ออกมาใช้ได้อย่างไร?” บรรพบุรุษเหลยสิงส่ายศีรษะกล่าวคําด้วยอารมณ์ความรู้สึก

พันสายฟ้าฉุดกระชากคือทักษะสังหารที่ต้องละทิ้งกายเนื้อถ้าไม่ใช่เพื่อหลบหนี ก็ไม่มีใครจะเต็มใจจะใช้

ท้ายที่สุดการสังหารศัตรูได้เช่นนี้ก็เทียบได้กับรับประโยชน์หนึ่งพันแต้มแต่ต้องสูญเสียไปแปดร้อย

แม้ว่าจะสังหารศัตรูได้? แต่ร่างกายก็ยังต้องแตกสลายอยู่ภายใต้พลังสายฟ้าอันยิ่งใหญ่มิใช่หรือ?

“มิผิด”

บรรพชนนิกายเฮยหยวนเห็นด้วยอย่างยิ่ง

ซูฉินแข็งแกร่งเกินไปจริงๆ ไม่เพียงแต่กายเนื้อที่ก้าวเข้าสู่ขอบเขตกายแห่งธรรมชาติแล้วเท่านั้นปราณเลือดยังสูงเสียดฟ้าเคล็ดวิชามากมายที่เขาเชี่ยวชาญก็น่าที่งยิ่งกว่าสามารถสลายจิตวิญญาณแรกกําเนิดของบรรพชนตําหนักเทพเจ้าหิมะได้ด้วยฝ่ามือเดียวเป็นความสามารถที่น่าตกใจโดยแท้จริง

“นี่คือ นี่คือพันสายฟ้าฉุดกระชากของนิกายเทพเจ้าสายฟ้า….” ห่างออกไปหลายสิบลตํานานยุทธจํานวนมากเห็นการก่อตัวของทะเลสายฟ้าอย่างรวดเร็วจนถึงพันเมตรพวกเขากลืนน้ําลายดังเอื้อกน้ำเสียงที่เปล่งออกมาสั่นเทา

“พันสายฟ้าฉุดกระชากนี่แข็งแกร่งมากไหม?”ตํานานยุทธที่มีประสบการณ์ค่อนข้างน้อยถามออกอย่างระมัดระวัง

“แข็งแกร่งมากไหม?” ตํานานยุทธอีกคนหนึ่งเย้ยหยัน“สองพันปีก่อนมีเซียนเทพปฐพี่ไปเยือนนิกายเทพเจ้าสายฟ้า”

“ด้วยเหตุนี้ บรรพชนนิกายเทพเจ้าสายฟ้าสิบคนจึงตื่นขึ้นมาร่วมมือกันใช้พันสายฟ้าฉุดกระชากจนเกิดทะเลสายฟ้ากว้างไกลหลายพันเมตรบังคับให้เซียนเทพปฐพี่ต้องถอยหนีไป”

“แม้แต่เซียนเทพปฐพี่ยังถูกบังคับให้ล่าถอยเจ้าคิดว่าพันสายฟ้าฉุดกระชากนี้แข็งแกร่งหรือไม่เล่า?”

คําที่กล่าวออกมา

ผู้เฝ้าดูต่างตกใจ

ในสายตาของทุกคน เซียนเทพปฐพี่นั้นไว้เทียมทานและการบังคับให้เซียนเทพปฐพี่ต้องถอยหนีไปได้ก็เพียงพอแล้วที่จะแสดงให้เห็นถึงพลังของพันสายฟ้าฉุดกระชากที่สามารถเขย่าโลกหล้า

“นายท่านกําลังตกอยู่ในอันตรายเสียแล้ว”

ชายชราเฟยย ดูเคร่งเครียด เขาเองก็เคยได้ยินเรื่องที่นิกายเทพเจ้าสายฟ้าใช้พันสายฟ้าฉุดกระชากเพื่อบังคับให้เซียนเทพปฐพีถอยหนีไป
แม้จะเป็นการลงมือร่วมกันของบรรพชนสิบคนทําให้รัศมีพลังกว้างไกลหลายพันเมตรมากกว่าพลังจากบรรพบุรุษเหลยสิ่งเพียงคนเดียวที่สร้าง ทะเลสายฟ้าได้เพียงพันเมตร

แต่ซูฉินก็ไม่ใช่เซียนเทพปฐพี่เช่นกัน
ด้วยกระบวนท่าไม้ตายที่หยิบยืมพลังจากสวรรค์นี้เป็นเรื่องยากที่จะบอกว่าซูฉินสามารถรอดได้หรือไม่

แม้ซูฉินจะรอดชีวิตจากทะเลสายฟ้ารัศมีพันเมตรนี้แต่บรรพชนนิกายเฮยหยวนก็จับจ้องโอกาสที่อยู่เบื้องหน้านี้ตลอด…..

หวิ่ง!!!

ขณะที่ทะเลสายฟ้านับพันเมตรยังคงผันผวนไม่หยุดรัศมีการทําลายล้างก็แผ่ขยายออกไปอย่างรวดเร็ว

“คงจะตายแล้วใช่หรือไม่?”

บรรพบุรุษเหลยสิ่งและบรรพชนนิกายเฮยหยวนจ้องเขม็งไปที่ทะเลสายฟ้ารัศมีพันเมตร

แม้ว่าทั้งคู่จะมั่นใจในพันสายฟ้าฉุดกระชากแต่ความแข็งแกร่งของซูฉินนั้นน่ากลัวเกินไปไม่ว่าจะเป็นบรรพบุรุษเหลยสิ่งหรือบรรพชนนิกายเฮยหยวนต่างก็มีร่องรอยความกังวลอยู่ในใจ

เพื่อใช้ทักษะฆ่าตัวตายนี้บรรพบุรุษเหลยสิงถึงกับต้องยอมเสียร่างกายไป หากยังไม่สามารถจัดการกับซูฉินได้อีกพวกเขาก็ไม่รู้จะทําอย่างไรแล้วจริงๆ

ในตอนนั้นเอง

ทะเลสายฟ้าพันเมตรเริ่มสั่นคลอนและบิดเบี้ยว

Sign in Buddha’s palm 292 รสชาติไม่เลว

ตํานานยุทธขั้นสูงสุดที่แปลงจิตวิญญาณแรกกําเนิดได้ เรียกได้ว่ายืนอยู่บนจุดสูงสุดในต่างดินแดนแล้ว และในยุคสมัยที่ไม่มีเซียนเทพปฐพีก็เพียงพอแล้วที่กวาดล้างได้ไปทั่วทั้งดินแดน

ตัวอย่างเช่น บรรพชนดาบเมื่อพันกว่าปีก่อนเขาใช้ดาบกดดันปราบปรามต่างดินแดนมาเป็นเวลากว่าสองร้อยปีมันทรงพลังเพียงไหน?ครอบงําผู้คนเพียงใด?

แต่เมื่อเผชิญหน้ากับมหาอํานาจขั้นสูงสุดเหล่านี้ ซูฉินที่ต่อสู้แบบหนึ่งต่อสามกับตํานานยุทธขั้นสูงสุดที่แปลงจิตวิญญาณแรกกําเนิดได้แล้วกลับ โจมตีพวกเขาจนบาดเจ็บสาหัส?

โดยเฉพาะบรรพชนตําหนักเทพเจ้าหิมะที่ร่างกายแตกสลาย มีเพียงจิตวิญญาณแรกกําเนิดเท่านั้นที่หนีรอดมาได้ ซึ่งแน่นอนว่าเป็นเพราะบรรพชนตําหนักเทพเจ้าหิมะนั้นประเมินศัตรูต่ําเกินไปและไม่ทันได้ใช้เคล็ดหลบหนีแต่นั่นก็ยังแสดงให้เห็นความน่ากลัวจากหมัดของซูฉินอยู่ดี

“น่าเสียดาย

ซูฉันค่อยๆ รั้งมือขวากลับมาถอนหายใจเล็กน้อย

ด้วยหมัดที่เขาเพิ่งส่งออกไปเมื่อครู่ได้รวบรวมพลังปราณเลือดจิตวิญญาณแรกกําเนิดและเคล็ดวิชาอีกมากมายพูดได้ว่านอกจากไฟลับที่เก็บเอาไว้หลายสิบใบ นี่ก็เรียกได้ว่าเป็นการลงมืออย่างเต็มที่แล้วทว่ามันยังไม่สามารถสังหารบรรพชนทั้งสามได้อย่างสมบูรณ์

ไม่ว่าอย่างไรบรรพชนทั้งสามก็เป็นถึงตํานานยุทธขั้นสูงสุดที่แปลงจิตวิญญาณแรกกําเนิดได้แล้วเปี่ยมไปด้วยประสบการณ์การต่อสู้เมื่อตอนที่ซูฉินปล่อยหมัดออกไปทุกคนต่างสังเกตเห็นความผิดปกติและมีเพียงบรรพชนตําหนักเทพเจ้าหิมะเท่านั้นที่ไม่มีเวลาหลบหนีจนประสบความสูญเสียครั้งใหญ่แต่ทั้งบรรพชนนิกายเฮยหยวนและบรรพบุรุษเหลยสิ่งนิกายเทพเจ้าสายฟ้าต่างหลบหนีได้ทัน

“หากข้าบรรลุการแปรสภาพร่างกายครั้งที่เจ็ดอย่างสมบูรณ์และกลายเป็นกายแห่งธรรมชาติพลังของหมัดนี้จะต้องเพิ่มขึ้นอย่างน้อยสิบเท่าเมื่อถึงตอนนั้นนับประสาอะไรกับบรรพชนทั้งสามที่แปลงจิตวิญญาณแรกกําเนิดได้ต่อให้มาอีกหกคนสิบคนก็ยังต้องโดนกวาดล้างจนไม่มีเหลือ

ซูฉันคิดในใจเงียบๆ

แม้ว่าร่างกายของเขาในตอนนี้จะเป็นเพียงครึ่งก้าวเข้าสู่กายแห่งธรรมชาติ แต่ก็ยังไม่ใช่กายแห่งธรรมชาติที่แท้จริงเพื่อจัดการกับร่างจิตวิญญาณแรกกําเนิดที่ไร้กายเนื้ออย่างบรรพชน ดาบ เขาย่อมรับมือได้เป็นธรรมดาแต่เมื่อเผชิญหน้ากับบรรพชนทั้งสามที่แปลงจิตวิญญาณแรกกําเนิดแล้ว กลับไม่สามารถบดขย์ได้

หากกลุ่มของบรรพบุรุษเหลยสิ่งรู้ว่าซูฉินกําลังคิดอะไรอยู่ในขณะนี้พวกเขาคงได้กระอักเลือดออกมาด้วยความโกรธซูฉินสามารถโจมตีศัตรูสามคนจนบาดเจ็บได้ แต่ก็ยังไม่พอใจคิดจะฆ่าพวกเขาทั้งหมดภายในหมัดเดียว?

“ปราณชีวิตและเลือดเนื้อพวยพุ่งขนาดนี้เลยหรือ?”

“เจ้าก้าวเข้าสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพี่แล้วงั้นรึ?”

รูม่านตาของบรรพชนนิกายเทพเจ้าสายฟ้าหดตัวลงอย่างไม่อยากเชื่อ

จากหมัดของซูฉินเขารู้สึกได้ถึงพลังปราณเลือดอันยิ่งใหญ่และต่อหน้าปราณเลือดระดับนี้แม้แต่ชายผู้แข็งแกร่งอย่างเขาก็ต้องตกใจ

“เป็นไปไม่ได้”

“หากเจ้าเป็นเซียนเทพปฐพี ภายใต้การคุ้มครองของอาณาเขตขนาดใหญ่ ข้าคงกลายเป็นเถ้าถ่านไปนานแล้วยังจะต้องปล่อยหมัดออกมาอีกหรือ?”

บรรพบุรุษเหลยสิ่งสงบใจลงอย่างรวดเร็ว จ้องมองซูฉินอย่างใกล้ชิด
ถ้าเซียนเทพปฐพี่ต้องการจะสังหารพวกเขามันก็ไม่จําเป็นต้องทําอะไรมากเลย

บรรพชนนิกายเฮยหยวนก้าวเดินช้าๆมาอยู่ ข้างๆบรรพบุรุษเหลยสิงมองซูฉินด้วยสีหน้าหวาดกลัวอย่างมาก

พลังรูปแบบฝันร้ายนับอยู่ในหมวดพลังหยินและพลังงานความชั่วร้าย สามารถถูกยับยั้ง ได้ด้วยปราณเลือด

หากเป็นปราณเลือดของตัวตนในระดับเดียวกันด้วยพลังรูปแบบฝันร้ายของบรรพชนเฮยหยวนเขาจะไม่หวาดกลัวเลยอย่างมากสุดก็อาจจะต่อสู้อย่างทุลักทุเลเล็กน้อยแต่พลังปราณเลือดของซูฉินนั้นเกินระดับเดียวกันไปอย่างสมบูรณ์มันชัดเจนว่าไปถึงขอบเขตใหม่แล้ว

“เป็นปัญหาแล้ว”

“ดูเหมือนจะหมดหวังเสียแล้ว”

บรรพบุรุษเหลยสิงกล่าวด้วยน้ําเสียงลึกล้ํา

แม้จะเห็นว่าซูฉินยังไม่ได้ก้าวเข้าสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพีแต่ร่างกายก็แทบจะแตะถึงขอบเขตนั้นแล้วซึ่งน่ากลัวอย่างมากถ้าไม่ใส่ทุกอย่างที่มีอย่างเต็มที่นับประสาอะไรกับการต่อสู้กับซูฉินแค่การจะเอาตัวรอดให้ได้ยังนับเป็นปัญหา

ทว่า ตั้งแต่ต้นจนจบ ไม่ว่าจะเป็นบรรพบุรุษเหลยสิงบรรพชนนิกายเฮยหยวนหรือบรรพชนตําหนักเทพเจ้าหิมะที่เหลือเพียงจิตวิญญาณก็ไม่เคยคิดจะหนี

สําหรับการต่อสู้กันระหว่างผู้แข็งแกร่งนอกจากความแข็งแกร่งของตนเองแล้วสิ่งที่สําคัญกว่าคือศักยภาพและความเชื่อมั่นในการต่อสู้
เมื่อพวกเขาล่าถอยกลับไปพวกเขาก็มีแต่จะต้องรอให้ตนเองถูกไล่ล่าสังหารโดยซูฉินแน่นอน

สิ่งสําคัญที่สุดคือ บรรพบุรุษเหลยสิ่งและบรรพชนนิกายเฮยหยวนพบว่าความแข็งแกร่งของซูฉินนั้นน่ากลัวก็จริงแต่ก็ยังอยู่ในระดับเดียวกันกับ พวกเขาช่องว่างระหว่างทั้งสองฝ่ายไม่ได้ห่างไกลกันนัก

ไม่เช่นนั้น หากซูฉินแสดงพลังของเซียนเทพปฐพีออกมาบรรพชนทั้งสามคงจะหันหลังจากไปอย่างแน่นอน

“ทําลายร่างของข้า ข้าอยากให้เจ้าตายซะ!!!”

บรรพชนตําหนักเทพเจ้าหิมะจ้องซูฉินเขม็ง กล่าวออกด้วยน้ําเสียงที่เย็นชา

แม้ว่าจิตวิญญาณแรกกําเนิดจะหลุดพ้นจากพันธนาการทางกายดํารงอยู่เป็นอิสระทั้งยังสามารถกําเนิดใหม่ได้แต่ความแข็งแกร่งระหว่างจิต วิญญาณแรกกําเนิดที่มีกับไม่มีร่างกายเป็นสองสิ่งที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง

แม้จะกําเนิดขึ้นใหม่แล้ว แต่ร่างกายของผู้อื่นจะเหมาะสมเท่ากับร่างกายของตนเองที่ฝึกฝนบ่มเพาะมาได้เช่นไร?

“เป็นแค่ภูตผีชั่ว กล้าเอ่ยวาจาต่อหน้าข้าอย่างนั้นหรือ?” ซูฉินเหลือบมองบรรพชนตําหนักเทพเจ้าหิมะแล้วจึงเยาะเย้ยใส่

ช่วงเวลาต่อมา

ซูฉินก้าวขาออกไปหนึ่งก้าวยกมือขวาขึ้นผลักออกไปทางบรรพชนตําหนักเทพเจ้าหิมะ

ครีน

มือขนาดใหญ่ก่อตัวขึ้นอย่างรวดเร็วพุ่งลงมาจากบนฟ้าอย่างช้าๆ

“หยุดเขา”

บรรพชนนิกายเฮยหยวนตะโกนเสียงดังลั่นและกลายร่างเป็นร่างกายรูปแบบฝันร้ายอีกครั้งพลังรูปแบบฝันร้ายที่พวยพุ่งออกมาราวขุมนรกพุ่งเข้าไปทางมือขนาดใหญ่ของซูฉินที่กําลังกดลงมา

ไม่ใช่ว่าบรรพชนนิกายเฮยหยวนเป็นห่วงบรรพชนตําหนักเทพเจ้าหิมะแต่ถ้าบรรพชนตําหนักเทพเจ้าหิมะตกตายด้วยน้ํามือของซูฉินแรงกดดันของพวกเขาจะเพิ่มขึ้นอย่างมากแม้ว่าบรรพชนตําหนักเทพเจ้าหิมะจะเหลือเพียงจิตวิญญาณแรกกําเนิดแต่ก็ยังคงแข็งแกร่งสามารถทําให้ซูฉันต้องแบ่งความสนใจได้

หากบรรพชนตําหนักเทพเจ้าหิมะตายไปซูฉินจะต้องใช้พลังทั้งหมดเพื่อจัดการกับพวกเขาทั้งสองคนแน่ชัดเจนว่าบรรพชนเฮยหยวนไม่ต้องการจะให้เป็นเช่นนั้น

บรรพบุรุษเหลยสิ่งแห่งนิกายเทพเจ้าสายฟ้าเองก็เล็งเห็นถึงเรื่องนี้อย่างชัดเจนท่าทีของเขาดูจริงจังและลงมือโดยไม่ลังเล
ครีน

พลังสายฟ้าอันน่าพรั่นพรึงสั่นสะเทือนไปทั่ว

ท้องฟ้ามืดครึ้มมาพร้อมกับเมฆดําสายฟ้าแลบวาบผ่านไปมา

“เคล็ดพันสายฟ้า!”

หลังจากที่บรรพชนเหลยสิงกล่าวสามคํานี้ไอพลังของเขาก็เริ่มสลายหายไปอย่างรวดเร็ว

ในเวลาเดียวกัน

เมฆสีดําบนฟ้าก็เริ่มหนาแน่นขึ้นเรื่อยๆสายฟ้าคลื่นแล้วคลื่นเล่าวาบผ่านไปมาราวกับมันทะลุทะลวงสวรรค์ได้พลังฟ้าดินราวกับกําลังพิโรธต้องการจะส่งสายฟ้ามาลงทัณฑ์ซูฉิน

“นี่คือเคล็ดพันสายฟ้าที่นิกายเทพเจ้าสายฟ้าใช้ในการหยัดยืนอยู่ในต่างดินแดนมานับพันปีมันสามารถสั่งสายฟ้าและลงทัณฑ์ในนามของสวรรค์ได้”

ห่างออกไปหลายสิบลี้ ตํานานยุทธหลายคนที่เฝ้าดูการต่อสู้จากระยะไกลต่างประหลาดใจ

ชายชราเฟยยวที่เชื่อมั่นในตัวซูฉินอยู่เสมอแอบหม่นหมองไปไม่น้อยในขณะนี้ไม่ว่าซูฉินจะแข็งแกร่งเพียงใดจะเอาชนะสวรรค์และโลกที่แท้จริงได้หรือ?

ไม่ใช่แค่ซูฉิน แม้แต่เซียนเทพปฐพีต่อหน้าสวรรค์และโลกที่แท้จริงก็เปรียบประดุจฝุ่นผง

เซียนเทพปฐพี่สามารถดํารงอยู่ได้เพียงแค่พันปีแต่การดํารงอยู่ของสวรรค์และโลกมีอยู่เป็นหมื่นเป็นล้านปีมิใช่หรือ?

ครืน

ตอนที่เสียงฟ้าร้องดังก้องพลังขุมนรกอันมืดมิดจากรูปแบบฝันร้ายของบรรพชนเฮยหยวนก็พุ่งเข้าไปทางมือขนาดใหญ่ที่ปกคลุมท้องฟ้า

และในตอนนี้

พลังสายฟ้าของบรรพบุรุษเหลยสิงก็ไม่รีรอลังเลที่จะโจมตีเข้าใส่ซูฉิน

ในสายตาของบรรพบุรุษเหลยสิงซูฉินมีสองทางเลือกหนึ่งคือเปลี่ยนทิศทางฝ่ามือและเข้าต่อต้านพลังสายฟ้าด้วยพลังทั้งหมดของตนและอีกทางคือเลือกรับพลังโจมตีจากสายฟ้าและจัดการกับบรรพชนตําหนักเทพเจ้าหิมะ

ทั้งสองตัวเลือกนี้ ไม่ว่าจะเลือกทางไหนก็อยู่ในความคาดหวังของบรรพบุรุษเหลยสิ่งทั้งหมด

ถ้าซูฉันเลือกอย่างแรกอันตรายของบรรพชนตําหนักเทพเจ้าหิมะจะคลี่คลาย

แต่ถ้าเลือกอย่างหลัง…

แม้จะเป็นร่างของเซียนเทพปฐพี่ที่แท้จริงเมื่อรับพลังสายฟ้าฟาดเข้าไป เกรงว่าคงจะได้รับบาดเจ็บอยู่บ้าง?

ร่างกายของซูฉินนั้นแข็งแกร่งแน่นอนแต่เห็นได้ชัดว่าเพิ่งจะแตะขอบเขตของกายแห่งธรรมชาติอย่างน้อยต้องได้รับบาดเจ็บจากการเข้ารับพลังสายฟ้าฟาด

เพื่อแลกชีวิตของบรรพชนตําหนักเทพเจ้าหิมะกับโอกาสที่ซูฉินจะได้รับบาดเจ็บสาหัสก็ไม่มีอะไรนอกเสียจากผลกําไรที่ได้รับ

พลังรูปแบบฝันร้ายอันมืดมิดของบรรพชนนิกายเฮยหยวนกวาดกระจายไปทั่วทุกทิศทางและสัมผัสเข้ากับฝ่ามือขนาดใหญ่ของซูฉินที่กดลงมาทั้งสองปะทะกันมือขนาดใหญ่เปรียบเสมือนมือของเทพเจ้าโบราณสามารถทําลายพลังรูปแบบฝันร้ายได้อย่างง่ายดาย

“ไม่!!!”

บรรพชนตําหนักเทพเจ้าหิมะกรีดร้องและภายใต้แรงกดดันของมือขนาดใหญ่นี้จิตวิญญาณแรกกําเนิดค่อยๆ ทรุดตัวลงทีละนิดจนในที่สุดก็ถูกกําจัดออกไปจนหมด

“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า!”

“เจ้าเสร็จแน่! ต่อให้ร่างกายจะแข็งแกร่งแค่ไหนก็ไม่มีทางร้านได้”

เมื่อเห็นฉากนี้บรรพบุรุษเหลยสิ่งไม่ได้แปลกใจแต่อย่างใดตรงข้ามกลับชื่นชมยินดี

การยืนกรานสังหารบรรพชนตําหนักเทพเจ้าหิมะของซูฉินนั้นเท่ากับการต้องทนรับพลังอันยิ่งใหญ่ของสายฟ้าฟาดซึ่งเป็นสิ่งที่เขาพึงปรารถนา

ทันทีหลังจากนั้น

ท่ามกลางสายตาของทุกคนสายฟ้าที่ร้องคํารามก็พุ่งลงมาจากเมฆสีดํา เข้าปกคลุมซูฉินอย่างสมบูรณ์

โดยมีซูฉินเป็นจุดศูนย์กลางภายในรัศมีหลายร้อยเมตรดุจทะเลสายฟ้า ฟ้าผ่าลงมาอย่างโหมกระหน่ําแผ่กลิ่นอายน่าสะพรึงกลัวจนใจสั่น

แม้แต่บรรพบุรุษเหลยสิ่งก็ไม่กล้าเข้าใกล้เขตทะเลสายฟ้าที่เพิ่งเกิดขึ้นแต่กลับมีขนาดหลาย ร้อยเมตรนี้

ทะเลสายฟ้าเกิดจากสายฟ้าจํานวนนับไม่ถ้วนมีอํานาจสะเทือนฟ้าสะเทือนดิน

“สายฟ้าจะฟาดลงมาอีกครึ่งก้านธูป เมื่อถึงเวลานั้นสายฟ้าจะหายไปและตํานานยุทธอาณาจักรถังจะได้รับบาดเจ็บอย่างรุนแรงเราจะร่วมมือกัน สังหารเขาโดยตรงในตอนนั้นเอาที่เดียวให้จบ”

บรรพบุรุษเหลยสิ่งแห่งนิกายเทพเจ้าสายฟ้าหันไปพูดกับบรรพชนนิกายเฮยหยวน

“เข้าใจแล้ว”

“ข้าจะใช้ทักษะต้องห้ามตามเข้าไปภายหลัง”

บรรพชนเฮยหยวนเงียบไปครู่หนึ่งแล้วจึงพยักหน้า

ความแข็งแกร่งของซูฉินนั้นเกินความคาดหมายของพวกเขาอย่างสิ้นเชิง แต่เนื่องจากพวกเขาได้เข้าปิดล้อมซูฉินไว้แล้วย่อมไม่อาจหวนกลับทําได้เพียงต้องจัดการฆ่าให้หมดจดเท่านั้น

ไม่เช่นนั้น หากซูฉินยังมีชีวิตรอดต่อไปจะมีปัญหาตามมาไม่รู้จบ
“ทะเลสายฟ้านี้สามารถทําร้ายเขาได้จริงๆหรือ?” บรรพชนเฮยหยวนลังเลครู่หนึ่งแล้วกล่าวถามด้วยเสียงต่ํา

“วางใจได้”

บรรพบุรุษเหลยสิ่งเยาะเย้ย “เคล็ดพันสายฟ้าเป็นทักษะลับของนิกายเทพเจ้าสายฟ้าเมื่อถูกโจมตีขอบเขตต่ํากว่าเซียนเทพปฐพี่แทบจะไม่มี ใครรอดชีวิตได้

“ถ้าไม่ใช่เพราะตํานานยุทธอาณาจักรถังแสดงให้เห็นถึงร่างกายที่ใกล้เคียงกับกายแห่งธรรมชาติข้าเกรงว่ามันคงตกตายไปอย่างสมบูรณ์ด้วย พลังสายฟ้านี้……..”

น้ําเสียงของบรรพบุรุษเหลยสิ่งเต็มเปี่ยมไป ด้วยความมั่นใจ
ฉับพลัน

ในตอนนั้นเอง

ทะเลสายฟ้าขนาดร้อยเมตรที่อยู่ด้านหน้าเริ่มบิดเบี้ยวร่างมนุษย์ปรากฏขึ้นที่ผิวขอบของทะเลสายฟ้า

“นี่คือ?”

คําพูดของบรรพบุรุษเหลยสิ่งหยุดลงอย่างกะทันหัน

แต่ยังไม่ทันที่บรรพบุรุษเหลยสิ่งจะทันได้ตอบสนอง

เท้าขวาของคนผู้นั้นก็ก้าวออกมาจากทะเลสายฟ้าอย่างช้าๆตามด้วยลําตัว มือ และใบหน้าสุดท้ายที่ก้าวออกมาก็คือเท้าซ้าย

ช่วงเวลาต่อมา

ท่ามกลางสายตาอันเหลือเชื่อของทุกคน

ร่างที่เดินออกมาจากทะเลสายฟ้าก็หายวับจากนั้นมือเรียวยาวแต่ทรงพลังก็คว้าหมับเข้าที่ลําคอของบรรพบุรุษเหลยสิ่งอย่างรุนแรงและจับยกขึ้น

“รสชาติไม่เลว”

ซูฉันมองไปยังบรรพบุรุษเหลยสิ่งที่กําลังตกใจด้วยรอยยิ้มบนใบหน้าของเขา

Sign in Buddha’s palm 291 เกินคาดคิด

ที่ด้านหน้าเทือกเขาไฟ

ทุกคนต่างตกอกตกใจ

แม้ว่าบรรพชนนิกายเฮยหยวนจะไม่ได้แปลงจิตวิญญาณแรกกําเนิด แต่ความแข็งแกร่งของเขาก็ไม่ได้อ่อนแอไปกว่าจิตวิญญาณแรกกําเนิดเลย รวมกับบรรพชนทั้งสองจากตําหนักเทพเจ้าหิมะ และนิกายเทพเจ้าสายฟ้าที่แปลงจิตวิญญาณแรกกําเนิดได้แล้ว การรวมตัวกันครั้งนี้เป็นเรื่องที่สร้างความสั่นสะเทือนครั้งใหญ่ แม้จะเป็นต่างดินแดนในรอบหลายร้อยหลายพันปีก็น้อยนักที่จะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้

รู้หรือไม่ว่าตํานานยุทธขั้นสูงสุดที่แปลงจิตวิญญาณแรกกําเนิดได้นั้นมีค่ามากเพียงใด? พวกเขาต่างก็ปลีกวิเวกปิดด่านฝึกตนมุ่งหวังพัฒนาต่อไปกันทั้งนั้น จะโผล่หน้ามาให้คนทั่วไปเห็นได้อย่างไร?

“มีม้วนบันทึกโบราณของนิกายเราเมื่อเก้าร้อยปีที่แล้ว นิกายใหญ่ทั้งหลายแห่งได้เล็งเห็นบางอย่าง จนเกิดการลงมือครั้งใหญ่ ต่างพากันเปิดเผยรากฐานที่ถูกซ่อนไว้ทั้งหมด ชีวิตของตํานานยุทธในยุคสมัยนั้นเป็นเปรียบเป็นเพียงใบไม้ใบหญ้าที่ร่วงกราวอยู่ตามพื้น หรือเรื่องราวคราวนี้จะซ้ํารอยเรื่องเมื่อเก้าร้อยปีที่แล้ว?”
เสียงของตํานานยุทธสั่นเทา ใบหน้าเต็มไปด้วยความรู้สึกสยดสยอง

เมื่อมีการปะทะกันระหว่างตํานานยุทธขั้นสูงสุด ที่แปลงจิตวิญญาณแรกกําเนิดได้ ด้วยพลังจิตวิญญาณแรกกําเนิดและพลังของอาณาเขต แม้ผลกระทบที่ตามมาเพียงเล็กน้อย ก็เพียงพอแล้วที่จะบดขยี้จอมยุทธที่ยังไม่ก้าวเข้าสู่ขอบเขตตํานานยุทธขั้นสูงสุด

“นิกายเทพเจ้าสายฟ้า?”

ซูฉินมองขึ้นไปเห็นบรรพบุรุษเหลยสิ่ง

ในบรรดาสามคน มีเพียงบรรพบุรุษเหลยสิ่ง เท่านั้นที่มีไอพลังรุนแรงที่สุด มันเป็นประกาย ราวกับสายฟ้าแล่นกระจายไปทั่ว ไม่ว่าจะเป็นบรรพชนจากนิกายเฮยหยวนหรือจากตําหนักเทพ เจ้าหิมะล้วนอ่อนแอกว่าเหลยสิ่ง

ที่ว่าอ่อนแอกว่าก็หาใช่ว่าความแข็งแกร่งจะอ่อนแอไม่ ท้ายที่สุดทุกคนก็เทียบเท่าพลังจิตวิญญาณแรกกําเนิด ซึ่งไม่แตกต่างกัน แต่ไอพลังของบรรพบุรุษเหลยสิ่งนั้นแข็งแกร่งเกินหน้าเกินตาผู้อื่นเท่านั้น

“ท่านเอ๋ย เมื่อพวกข้าได้มาถึงที่นี่ด้วยกันแล้ว ข้าจะไม่สร้างความอับอายให้แก่ท่าน แต่แหล่งกําเนิดธาตุไฟนี้ต้องเป็นของเรา”

“นอกจากนี้ พื้นที่ส่วนที่สําคัญที่สุดในแผ่นดินแห่งพลังยุทธอันยิ่งใหญ่ ก็เป็นอาณาจักรถังของเจ้าที่ครอบครอง ตราบใดที่เจ้ามอบพื้นที่นี้มา ข้าก็สามารถหาทางลงให้แก่เจ้าได้”

บรรพชนนิกายเฮยหยวนกล่าวคําเบาๆ

แม้ว่ารองผู้นํานิกายเฮยหยวนและบรรพชนบางคนจะตกตายด้วยน้ํามือของซูฉิน แต่บรรพชนเฮยหยวนผู้นี้ก็ไม่ได้ติดใจอะไร

นิกายเฮยหยวนสนใจแต่เรื่องของตนเองแล้ว จะมาสนใจเรื่องเล็กน้อยแค่นี้ได้อย่างไร?

“มิผิด”

บรรพชนตําหนักเทพเจ้าหิมะซึ่งดูเหมือนยืนอยู่บนทุ่งน้ําแข็งก็กล่าวออกมาเบาๆ จากระยะไกล

ไม่ว่าอย่างไรซูฉินก็เป็นตํานานยุทธขั้นสูงสุดที่แปลงจิตวิญญาณแรกกําเนิดแล้ว ทั้งสามต่างมั่นใจว่าจะร่วมมือกันจนปราบปรามสําเร็จ แต่ก็ไม่สามารถรับประกันได้ว่าพวกเขาจะรอดพ้นจากการโจมตีของซูฉินหรือไม่

บางทีหนึ่งถึงสองคนในหมู่พวกเขาอาจจะประสบความสูญเสียอย่างหนักถึงขั้นเสียชีวิต

เมื่อใดก็ตามที่ตํานานยุทธขั้นสูงสุดผู้แปลงจิตวิญญาณแรกกําเนิดได้นั้นหมดหวัง มันนับเป็นเรื่องที่น่ากลัวอย่างยิ่ง

“หึ! เจ้าสังหารบรรพชนดาบได้ ความแข็งแกร่งย่อมไม่อ่อนแอ แต่บรรพชนดาบสูญเสียร่างกายไปนานแล้ว เหลือเพียงจิตวิญญาณแรกกําเนิดเท่านั้น และจิตวิญญาณแรกกําเนิดที่ไร้ร่างจะเปรียบเทียบกับจิตวิญญาณแรกกําเนิดที่มีร่างได้อย่างไร?”

บรรพบุรุษเหลยสิ่งเยาะเย้ยและจ้องไปที่ซูฉินอย่างมั่นใจ

เมื่อบรรพชนอีกสองคนได้ยินคํากล่าวนั้น พวกเขาก็พยักหน้า เห็นได้ชัดว่าเห็นพ้องกับสิ่งที่บรรพบุรุษเหลยสิงกล่าวออกมา

แน่นอนจิตวิญญาณแรกกําเนิดทําให้หลุดพ้นข้อจํากัดของร่างกายได้ แต่ถ้าสูญเสียร่างกายไป พลังของจิตวิญญาณแรกกําเนิดก็ย่อมลดลง ไม่ว่าจะใช้เคล็ดวิชามากมายไหนก็ตาม
ไม่ต้องสงสัย

ไม่ว่าจะเป็นบรรพบุรุษเหลยสิ่งหรือบรรพชนอีกสองคน พวกเขาไม่เคยคิดว่าซูฉินจะยังไม่ได้แปลงจิตวิญญาณแรกกําเนิดยามที่ปั่นหัวบรรพชนดาบ

หากพวกเขารู้เรื่องนี้ พวกเขาจะหันหลังกลับ โดยไม่กล้าอยู่แม้เพียงนิด

แม้ร่างกายจะสูญสลาย แต่จิตวิญญาณแรกกําเนิดก็ยังคงเป็นจิตวิญญาณแรกกําเนิด พลังของมันนั้นกว้างใหญ่ไพศาลและสูงส่ง สามารถกวาดล้างตํานานยุทธขั้นสูงสุดที่ยังไม่ได้แปลงจิตวิญญาณแรกกําเนิดได้อย่างง่ายดาย

เป็นเรื่องเหลือเชื่อที่ซูฉินสังหารบรรพชนดาบ โดยยังไม่ได้แปลงจิตวิญญาณแรกกําเนิด

เมื่อเผชิญหน้ากับการกดดันของบรรพบุรุษเหลยสิ่งและบรรพชนอีกสองคน สีหน้าของซูฉินไม่เปลี่ยนแปลงแม้แต่น้อย ยังคงกล่าวถามออกไป

“ตอนที่ข้าเดินทางไปยังต่างดินแดน เป็นเจ้าสามคนใช่ไหมที่ติดตามมาเบื้องหลัง?”

“ทําไมเจ้าจึงไม่ลงมือตั้งแต่ตอนนั้นเล่า?” ซูฉินมองทั้งสามคนด้วยความสนใจ

“การทําลายพรรคหมื่นดาบจะไปเกี่ยวข้องกับ ข้าได้อย่างไร? ตราบใดที่สหายเต่ไม่ทําลาย นิกายใหญ่แห่งอื่นๆต่อไป มันก็ไม่เป็นไร” บรรพชนเฮยหยวนดูเฉยเมย “แต่แหล่งกําเนิดธาตุไฟบนแผ่นดินแห่งพลังยุทธนี้สําคัญกับพวกเรามาก มันอาจทําให้รากฐานของนิกายดํารงอยู่ต่อไปได้จนตลอดรอดฝั่ง”

“หากปล่อยให้อยู่ในมือสหายเต่ํา ข้าจะรู้สึกอึดอัดใจอย่างมาก…”

บรรพชนนิกายเฮยหยวนกล่าวออกมาไม่กี่คํา ก็ตรงเข้าสู่จุดประสงค์ของพวกเขาในทันที

พูดง่ายๆ คือมันไม่มีผลประโยชน์มากพอ ในระดับของพวกเขา มีเรื่องใดบ้างที่ไม่ชั่งน้ําหนักความสําคัญเสียก่อน? ตอนที่ซูฉินเดินทางออกจากต่างดินแดนไป ที่ไม่มีใครหยุดเขาเพราะมันไม่คุ้มค่า

แม้ว่าพวกเขาจะลงมือกับซูฉินในเวลานั้น แต่จุดประสงค์คือสิ่งใด? แก้แค้นให้กับพรรคหมื่นดาบงั้นหรือ? จะเป็นไปได้อย่างไร?

แต่ตอนนี้แหล่งกําเนิดธาตุไฟที่อยู่ตรงหน้านั้น เพียงพอแล้วให้หลายคนต้องแก่งแย่งช่วงชิง

แม้จะต้องสูญเสียไปบ้าง แต่มันก็ทนได้ ท้ายที่สุดนี่คือแหล่งกําเนิดธาตุไฟ แม้ในยุคเฟื่องฟูกระแสปราณฉีครั้งล่าสุด เหล่าเซียนเทพปฐพี่ผู้แข็งแกร่งยังต่อสู้เพื่อสิ่งนี้

แม้จะเป็นเซียนเทพปฐพีแล้ว แต่แหล่งกําเนิดธาตุทั้งห้าก็ยังนับว่าล้ําค่า ใช้ไม่ได้ก็ส่งต่อให้ศิษย์รุ่นหลังเพื่อเป็นประโยชน์สืบไป

“ข้าเข้าใจแล้ว”

ซูฉินเงยหน้าขึ้นมองทั้งสามคน “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเจ้าทุกคนก็ต้องฝังร่างอยู่ที่นี่”

นับตั้งแต่ที่เขาแปลงจิตวิญญาณแรกกําเนิดได้ ซูฉินก็กําลังคิดอยู่ว่าตนแข็งแกร่งเพียงไหนแล้ว แต่เขาไม่คาดคิดมาก่อนว่าในขณะนี้จะได้เจอกับสามตํานานยุทธขั้นสูงสุดที่แปลงจิตวิญญาณได้แล้ว

สิ่งนี้สมความตั้งใจของซูฉินเสียจริง

“โอ้?”

“ดูเหมือนสหายเต่ําจะไม่เห็นด้วยกับเงื่อนไขที่ข้าเสนอให้?”

ท่าทีของบรรพชนนิกายเฮยหยวนดูมืดคล้ําลง พลังอันยิ่งใหญ่พุ่งทะยานขึ้นสู่ฟากฟ้า ครอบคลุมพื้นที่รัศมีหนึ่งร้อยล์ทันที

ตํานานยุทธขั้นสูงสุดที่เทียบเคียงจิตวิญญาณแรกกําเนิดได้ ยามเมื่อปลดปล่อยพลังทั้งหมดออกมามันจะน่ากลัวเพียงใด? ตํานานยุทธทั้งหมดภายในพื้นที่แห่งนี้ต่างพากันหน้าซีด แม้จะเป็นตํานานยุทธขั้นสูงสุดอย่างเฟยยวี่ก็ไม่สามารถป้องกันได้
ซูม!

ถัดมา!

ไม่เพียงบรรพชนเฮยหยวนเท่านั้น บรรพชนตําหนักเทพเจ้าหิมะ และบรรพบุรุษเหลยสิ่งจากนิกายเทพเจ้าสายฟ้าต่างก็ปลดปล่อยไอพลังของตนออกมาเพื่อระงับยับยั้งซูฉิน

ในชั่วพริบตา ภายในรัศมีร้อยลี้ วิญญาณนับหมื่นต่างต้องก้มหัวลง แม้แต่เมืองฉางอันที่อยู่ไกลออกไปหลายร้อยลี้ ผู้คนนับล้านนับสิบล้าน ต่างรู้สึกหายใจไม่สะดวก ราวกับสวรรค์กําลังพิโรธ

“ไม่ดีแล้ว”

“ถอยกลับ!”

ตํานานยุทธหลายคนแทบจะหลุดออกมาไม่พ้น ขาแข้งอ่อนพยายามวิ่งหนีออกมาให้ห่าง

เมื่อทุกคนถอยห่างออกมาได้หลายสิบลี้ พวกเขาก็หยุดหันมามองพื้นที่ต่อสู้ด้วยหัวใจที่ยังคงสั่นไหวไม่หาย

“ตํานานยุทธแห่งอาณาจักรถังนั้นทรงพลังอย่างแน่นอน แต่กับผู้มีอํานาจในระดับเดียวกันถึงสามคน นี่คือช่วงเวลาฆ่าสังหาร แม้แต่เซียนเทพปฐพีก็ยังมีโอกาสพ่ายแพ้ แล้วตํานานยุทธแห่งอาณาจักรถังจะเป็นข้อยกเว้นได้อย่างไร?”

เมื่อทุกคนกําลังพูดคุยกระซิบกระซาบกันอยู่นั้น

ในพื้นที่ต่อสู้ รัศมีของบรรพบุรุษเหลยสิงก็เริ่มหนักหน่วงขึ้นเรื่อยๆ ราวกับกับท้องฟ้าถล่มลงมาทําลายทุกสิ่ง

“น่าเสียดายยิ่งแล้ว”

บรรพชนจากตําหนักเทพเจ้าหิมะส่ายศีรษะเล็กน้อยพร้อมกับกล่าวออกไปทางซูฉิน “เจ้ามีหวังที่จะกลายเป็นเซียนเทพปฐพี”

ด้วยความแข็งแกร่งที่ซูฉินแสดงออกมา ควบคู่กับปราณชีวิตและเลือดเนื้อที่แข็งแกร่ง ท่ามกลางกระแสปราณฉีที่ฟื้นคืนอาจจะมีความหวังที่จะตัดผ่านขอบเขตไปได้

แต่บรรพชนตําหนักเทพเจ้าหิมะกลับกล่าวว่าน่าเสียดาย

ทุกคนในที่แห่งนี้ต่างเข้าใจเหตุผล ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น หรือต่อให้ทุ่มสุดตัว เขาก็ต้องถูกปราบปราม แม้จะไม่ตายแต่ความเป็นไปได้ที่จะก้าวหน้าต่อจากนี้จะต้องถูกตัดขาด

ซูฉินยังคงยืนอยู่ที่จุดเดิมด้วยสีหน้าเรียบเฉย ไอพลังของบรรพชนทั้งสามกลายเป็นสายลมเมื่อเข้ามาใกล้ตัวเขาในรัศมีสิบจ้าง เหมือนเป็นเพียงสายลมอ่อนโยนเข้าโลมเลียใบหน้า

“หม?”

บรรพชนนิกายเฮยหยวนพบว่ามีบางสิ่งผิดปกติ ท่าทีของซูฉินสงบเกินไป ราวกับฉากตรงหน้าเป็นเรื่องปกติธรรมดาแทนที่จะเป็นฉากสังหารที่ทั้งสามตั้งใจสร้างขึ้น

“ลงมือพร้อมกันในที่เดียว!”

บรรพชนนิกายเฮยหยวนก้าวขาหนึ่งก้าว เห็นร่างของเขาแปรเปลี่ยนไป กลายเป็นสัตว์ประหลาดที่มีความสูงกว่าสามเมตร สัตว์ประหลาดตัวนี้เป็นร่างลวงตา แต่รัศมีพลังของมันลึกล้ําเหมือนหุบเหวลึก กลืนกินพลังงานทุกอย่างจากทั่วทุกทิศทาง

“ร่างกายรูปแบบฝันร้าย?”

ทุกคนที่หนีห่างออกมาหลายสิบลี้ จดจําทักษะของบรรพชนเฮยหยวนได้ ร่างกายรูปแบบฝันร้ายนั้นแข็งแกร่งยิ่งกว่าปีศาจ ทั้งยังแปลกประหลาดเสียยิ่งกว่า หากร่างปีศาจลวงตาเป็นเพียงการสับเปลี่ยนระหว่างความจริงและร่างลวงตา ร่างกาย รูปแบบฝันร้ายจะแยกตัวออกจากการเป็นเผ่าพันธุ์มนุษย์อย่างสิ้นเชิง เปลี่ยนเป็นเผ่าพันธุ์อื่นที่เรียกว่าฝันร้าย
เพียว!

เมื่อบรรพชนเฮยหยวนแสดงร่างรูปแบบฝันร้าย ไอพลังที่แปลกประหลาดและน่าสะพรึงกลัวก็ค่อยๆแผ่ออกมา โลกความจริงกลับกลายดูคล้ายฝัน

“ฮ่ย”

เมื่อเทียบกับบรรพชนเฮยหยวน การเคลื่อนไหวของบรรพชนตําหนักเทพเจ้าหิมะนั้นสงบนิ่งกว่ามาก

เห็นเป็นน้ําแข็งทรงกรวยปรากฏขึ้นตรงหน้า นางกรวยน้ําแข็งนี้มีขนาดเท่าฝ่ามือ แต่ความจริง มันอัดแน่นมาจากทุ่งน้ําแข็งอันยิ่งใหญ่ไพศาล กลิ่นอายของโลกเยือกแข็งหนาวสุดขั้วหลั่งไหลออกมาจากกรวยน้ําแข็งแห่งนี้

ในที่สุด

บรรพบุรุษเหลยสิ่งจากนิกายเทพเจ้าสายฟ้าก็ได้ลงมือ

พลังอันน่าสะพรึงของสายฟ้าพลันระเบิดออกมา ทั่วทั้งฟ้าดินเต็มไปด้วยสายฟ้าฟาดอย่างไม่มีที่สิ้นสุด แม้แต่พลังรูปแบบฝันร้ายของบรรพชนเฮยหยวน เมื่ออยู่ต่อหน้าพลังสายฟ้านี้ก็ยังหม่นหมองไปทันตาครีน

ตํานานยุทธทั้งสามที่แปลงจิตวิญญาณแรกกําเนิดแล้ว ลงมือร่วมกัน พลังเช่นนี้ทําให้แผ่นดินพลังทลาย แม้แต่ตํานานยุทธที่หนีออกไปหลายสิบลี้ก็ยังรู้สึกว่าพลังภายในร่างของพวกเขาโคจรช้าลง ได้รับผลกระทบจากการต่อสู้อย่างเห็นได้ชัด

“น่ากลัวเกินไปแล้ว”

“ตํานานยุทธแห่งอาณาจักรถังคงจะต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัย”

มีตํานานยุทธบางคนที่ปักธงอย่างมั่นใจ ไม่มีใครนึกถึงความเป็นไปได้ที่ซูฉินจะบุกทะลวงออกมาล่าสังหาร

อย่างไรก็ตาม

เมื่อเผชิญหน้ากับฉากที่แทบพลิกแผ่นดินนี้ สีหน้าของซูฉินยังคงไม่เปลี่ยนแปลง

เขายังคงมีสายตาที่สงบ ยกมือขึ้น กํามือเป็นหมัด ปราณเลือดอันน่าสยดสยองทั้งหมดก็ไหลมารวมกันที่หมัดขวา จากนั้นพลังงานจํานวนมากจากจิตวิญญาณแรกกําเนิดก็หลั่งไหลตามเข้ามา พลังปะทุขึ้นสุดฟากฟ้าเปรียบประหนึ่งคือ ค้อนของเทพเจ้าซูฉินเหวี่ยงหมัดเข้าปะทะกับกลุ่มของบรรพบุรุษเหลยสิ่งทั้งสามคน

แกร็ก แกร็ก

ท่ามกลางสายตาตกตะลึงของทุกคน

ร่างรูปแบบฝันร้ายของบรรพชนนิกายเฮยหยวน พลันระเบิดออกเป็นคนแรก พลังของรูปแบบฝันร้ายกะพริบวูบวาบ ในที่สุดบรรพชนเฮยหยวนก็รวมตัวกลับมาเป็นร่างเดิมแต่อยู่ห่างออกไปหลาย

ในเวลานี้ ใบหน้าของบรรพชนนิกายเฮยหยวนก็ซีดราวกับกระดาษ ไอพลังเดือดแห้ง เห็นได้ชัดว่าการปะทะครั้งนี้รุนแรงอย่างยิ่ง

แต่นี่หาใช่จุดจบไม่

ชั่วครู่หลังจากนั้น กรวยน้ําแข็งที่บรรพชนตําหนักเทพเจ้าหิมะส่งออกมาก็แตกเป็นเสี่ยงๆ และพลังส่วนที่เหลือของหมัดนั้นก็ยังคงอยู่ พุ่งกระแทกเข้าใส่ร่างของนาง

ทันใดนั้นร่างกายของนางก็เริ่มพังทลาย มีเพียงจิตวิญญาณแรกกําเนิดเท่านั้นที่หลบหนีออกมาได้อย่างรวดเร็ว หันกลับมาจ้องมองที่ซูฉินอย่างอัศจรรย์ใจ

และสุดท้าย บรรพบุรุษเหลยสิ่งแห่งนิกายเทพเจ้าสายฟ้าซึ่งอยู่ไกลจากซูฉินมากที่สุดก็ยังต้องต้านรับหมัดนี้อย่างไม่เต็มใจ เมื่อทุกสิ่งเกิดขึ้นเช่นนี้ มันก็ทําให้เขาอับอายไม่น้อย ไอพลังสั่นไหว เห็นได้ชัดว่าได้รับบาดเจ็บอยู่บ้าง

ฝูงชนเงียบงัน

ทุกคนตกตะลึงราวกับมองเห็นปาฏิหาริย์

ด้วยการชกออกเพียงหมัดเดียว ซูฉินก็ได้สร้างผลกระทบอันรุนแรงต่อตํานานยุทธขั้นสูงสุดทั้งสามคนที่แปลงจิตวิญญาณแรกกําเนิดได้แล้วงั้นหรือนี่?

มันช่างน่าเหลือเชื่ออะไรเช่นนี้?

Sign in Buddha’s palm 290 (II) ตามมาสมทบ

หลังจากที่ซูฉินมองดูแหล่งกําเนิดธาตุไฟสองสามรอบ เขาก็หันไปมองตํานานยุทธที่คุกเข่าอยู่ กับพื้น

“เมื่อครู่เจ้าบอกว่าข้าจะต้องอยู่ที่นี่และไม่ได้ก ลับออกไปอย่างนั้นหรือ?” ซูฉินมองไปยังผู้อาวุโสนิกายเทพเจ้าสายฟ้าและกล่าวคําอย่างใจเย็น

ก่อนที่จะมาถึงแหล่งกําเนิดธาตุไฟ ซูฉินก็ได้ใช้จิตวิญญาณแรกกําเนิดครอบคลุมพื้นที่หลายร้อยล้ําเอาไว้ การสนทนาระหว่างตํานานยุทธทั้งหลายในที่แห่งนี้จึงเข้ามาในโสตประสาทของซูฉินอย่างชัดเจน

“ไม่ ไม่ ไม่ ผู้อาวุโส ข้าผิดไปแล้ว โปรดไว้ชีวิตข้าด้วย” ผู้อาวุโสนิกายเทพเจ้าสายฟ้ากลัวมาก จนกระแทกหัวตนกับพื้นครั้งแล้วครั้งเล่า

“เพราะว่าเจ้าไม่ใช่ตํานานยุทธขั้นสูงสุด ถ้าข้าลงมือกับเจ้าก็จะเป็นเหมือนรังแกผู้อ่อนแอ” ซูฉินก้มศีรษะลง มองไปที่ผู้อาวุโสนิกายเทพเจ้าสายฟ้า ก่อนจะกล่าวคําช้าๆ

“ใช่”

“ใช่”

“หัวใจของผู้อาวุโสกว้างใหญ่ดุจมหาสมุทร แข็งแกร่งทรงพลานุภาพ…” ผู้อาวุโสนิกายเทพเจ้าสายฟ้าดีใจจนพูดออกมาอย่างรวดเร็ว

เมื่อตํานานยุทธคนอื่นๆ ในที่แห่งนี้ได้ยินดังนั้น ความหวังก็ผุดขึ้นในใจของพวกเขา

ถ้าซูฉินดูแคลนการรังแกผู้ที่อ่อนแอเพิกเฉย ต่อพฤติกรรมของผู้อาวุโสนิกายเทพเจ้าสายฟ้า ก็คงจะไม่ลงมือกับพวกตนแน่นอน

กล่าวอีกนัยหนึ่ง ตํานานยุทธเหล่านี้กําลังจะได้ รับการไว้ชีวิตจากผู้แข็งแกร่งไร้เทียมทานที่แปลงจิตวิญญาณแรกกําเนิดได้แล้ว

อย่างไรก็ตาม

ไม่ทันได้รอให้ทุกคนมีความสุขนานนัก

ซูฉันยังคงส่ายศีรษะแล้วกล่าวว่า “น่าเสียดาย…”

ในสายตาของซูฉิน เปลวไฟลุกโชน และเปลวไฟนั้นก็ยังพุ่งสูงขึ้นอีก ในที่สุดก็ระเบิดออก แผดเผาร่างผู้อาวุโสนิกายเทพเจ้าสายฟ้าตรงหน้าให้กลายเป็นความว่างเปล่า
ตั้งแต่ซูฉินเข้าสู่แวดวงวิทยายุทธ สิ่งที่เขาไม่สนใจมากที่สุดคือการที่ผู้แข็งแกร่งกลั่นแกล้งคนอ่อนแอ ไม่เช่นนั้น เมื่อครั้งอาณาจักรเหมิ่งหยวนมารุกราน เขาจะไม่เพียงเผากองทัพทั้งล้านนายจนเหี้ยน

สําหรับซูฉิน การฝึกฝนวิทยายุทธและแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ คือสิ่งที่เขาต้องการและหัวใจใฝ่หา เขาจะมาถูกขัดขวางด้วยสิ่งอื่นได้อย่างไร

ตํานานยุทธที่เหลือในที่แห่งนี้นั่งฟังเสียงกรีดร้องโหยหวนของผู้อาวุโสนิกายเทพเจ้าสายฟ้า

ไม่มีตํานานยุทธคนไหนคิดจะวิ่งหนี ในฐานะศิษย์นิกายใหญ่ พวกเขาย่อมรู้ดีว่าต่อหน้าชายผู้แข็งแกร่งอย่างซูฉิน ความเป็นไปได้เดียวที่จะอยู่รอดคือเชื่อฟังคําสั่งเท่านั้น

ส่วนเรื่องการหลบหนี?

จะให้หนีอะไร

แม้จะพยายามอย่างเต็มที่ ใช้ทักษะต้องห้ามออกมาทุกประเภท จะสามารถหลบหนีจากอาณาเขตได้จริงหรือ? จะรอดพ้นจากการเอื้อมคว้าของจิตวิญญาณแรกกําเนิดนั้นหรือ?
ต่อจากนั้น

ซูฉินก็ลงมือสังหารผู้คนอีกสองสามคน คนเหล่านี้ต่างพูดจาหยาบคาย ขู่จะให้บรรพชนมา สังหารทันทีที่เขาปรากฏตัว และไม่ละเว้นแม้แต่อาณาจักรถังในที่สุด

ซูฉินก็มองไปที่ใบหน้าของชายที่หน้าตาเย็น ชา

“ผู้อาวุโส ท่านลงมือเช่นนี้ไม่กลัวบรรพชนของพวกเราจะมาล้างแค้นหรือ?” เสียงจากชายหน้าตาเย็นชาสั่นเครือ กล่าวคําออกมาอย่างกล้าหาญ

ชายหน้าตาเย็นชารู้อยู่แก่ใจว่าหากเขายังไม่พูดอะไร เขาคงกลายเป็นเถ้าถ่านเหมือนคนอื่นๆก่อนหน้า

ภายใต้แรงกดดันระหว่างความเป็นกับความตาย แม้ว่าชายหน้าตาเย็นชาจะรู้ว่าคําพูดที่เขากล่าวออกมาจะมีโอกาสทําให้ซูฉินหงุดหงิด แต่เขาก็ไม่สนใจอะไรอีกแล้ว

อย่างไรเสีย ถ้าไม่พูดก็มีแต่จะต้องตาย และหากพูดไปก็คงตายเช่นกัน จะตายทั้งทีก็ต้องทําทุกอย่างให้ถึงที่สุด แต่ถ้าซูฉินมีความเกรงกลัวอยู่บ้างภายในใจ บางทีเขาอาจมีหวังที่จะมีชีวิตอยู่ต่อ

“แก้แค้น?”

“อาศัยนิกายเฮยหยวนของเจ้า กลุ่มคนไร้ประโยชน์ที่เป็นคนก็ไม่ใช่ ผีก็ไม่เชิงอย่างนั้นน่ะหรือ?”

ใบหน้าของซูฉินปรากฏร่องรอยของการเสียดสีออกมา

คนที่มีใบหน้าเย็นชาผู้นี้เป็นหนึ่งในผู้อาวุโสนิกายเฮยหยวน แต่ในตอนนี้นิกายเฮยหยวนที่อ้างว่าสามารถเปลี่ยนแปลงระหว่างความจริงและร่างลวงตาได้ตามใจนึก เมื่ออยู่ภายใต้การจ้องมองของซูฉินตัวมันก็ถูกตัดขาดจากร่างลวงตาไปโดยสิ้นเชิง แม้แต่ขยับตัวยังแทบจะเป็นไปไม่ได้ในชั่วพริบตา

ด้วยท่าทางที่สิ้นหวังของชายใบหน้าเย็นชา ร่างของเขาก็เริ่มลุกไหม้กลายเป็นอากาศธาตุอย่างรวดเร็ว

ในขณะที่หัวใจของตํานานยุทธจํานวนมากกําลังสั่นสะท้าน

ฉับพลันเสียงหนึ่งก็ลอยแว่วเข้ามาในหูของทุกผู้ทุกคน “ไร้ประโยชน์?”

“สหายเต่าผู้นี้วาจาใหญ่โตเหลือเกิน นิกายเฮย หยวนของข้าโด่งดังไปทั่วโลก ยืนอยู่บนจุดสูงสุดมานับพันปี แต่พอหลุดออกมาจากปากสหายเต๋ากลับกลายเป็นพวกไร้ประโยชน์?”

ท้องฟ้ามืดครึมลงอย่างกะทันหัน ร่างลึกลับ ลวงตาก็เคลื่อนตัวเข้ามาช้าๆ

ร่างนี้ราวกับเป็นทั้งร่างลวงตาและความเป็นจริง ทั้งสองดูจะอยู่ร่วมกัน แต่ก็แยกจากกัน ทําให้เกิดความรู้สึกขัดแย้งในใจสําหรับผู้พบเห็น

“นั่นคือ…”

“นั่นคือบรรพชนนิกายเฮยหยวนใช่หรือไม่?”

ทันทีที่ตํานานยุทธจํานวนมากเห็นร่างนี้ หนังศีรษะของเขาก็ชาวาบ เหงื่อไหลย้อยมาตามหน้าผากของพวกเขา

เมื่อเทียบกับตํานานยุทธขั้นสูงสุดคนอื่นที่แปลงจิตวิญญาณแรกกําเนิดได้ บรรพชนนิกายเฮยหยวนมีความน่ากลัวอย่างยิ่ง

วิชาบ่มเพาะของนิกายเฮยหยวนมีข้อบกพร่อง เป็นไปไม่ได้ที่จะแปลงจิตวิญญาณแรกกําเนิดด้วยเหตุนี้จึงเข้าสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพีไม่ได้

แต่หากฝึกเคล็ดวิชาหลักของนิกายเฮยหยวนจนถึงขีดสุดแล้ว สามารถแปรเปลี่ยนเป็นรูปแบบฝันร้ายได้

เมื่ออยู่ในรูปแบบฝันร้าย จะได้พลังแห่งฝันร้าย ซึ่งเพียงพอที่จะต่อกรกับจิตวิญญาณแรกกําเนิดความแปลกประหลาดของมันยากจะรับมือเสียยิ่ง กว่าจิตวิญญาณแรกกําเนิดหลายเท่า

นี่จึงเป็นเหตุผลที่นิกายเฮยหยวนอยู่ยั้งยืนยง ในต่างดินแดนมาหลายพันปี

แม้นิกายเฮยหยวนจะไม่เคยมีเซียนเทพปฐพีกําเนิดขึ้นมา แต่ในช่วงหลายพันปีนี้ก็มีบรรพช นที่แปรเปลี่ยนเป็นรูปแบบฝันร้ายได้อยู่

พลังในการปราบปรามผู้คนของบรรพชนที่มีรูปแบบฝันร้ายจะต้องอยู่เหนือตํานานยุทธขั้นสูงสุด ที่แปลงจิตวิญญาณแรกกําเนิดธรรมดาได้อย่างแน่นอน

“โอ้?”

ซูฉินมองไปที่บรรพชนนิกายเฮยหยวน

ด้วยสายตาของซูฉิน เป็นเรื่องปกติที่จะเห็นรายละเอียดต่างๆ ของบรรพชนผู้นี้ได้
ในเวลานี้ กลิ่นอายที่บรรพชนนิกายเฮยหยวนปลดปล่อยออกมา มีมากกว่าบรรพชนดาบเสียอีก ซึ่งนี่ก็เป็นเรื่องปกติ อย่างไรเสียบรรพชนดาบก็สูญเสียร่างกายมาหลายร้อยปีแล้ว และพลังของจิตวิญญาณแรกกําเนิดก็เริ่มจะสูญสลายไป จะเทียบกับบรรพชนเฮยหยวนได้อย่างไร?

“มีเพียงเจ้าคนเดียวเหรอที่จะเผชิญหน้ากับข้า? ไม่กลัวข้าจะทําลายเจ้าทิ้งหรือ?”

ซูฉินดูสงบนิ่ง กล่าวออกมาเบาๆ

หากเขายังไม่ได้แปลงจิตวิญญาณแรกกําเนิด และอาศัยเพียงครึ่งก้าวสู่กายแห่งธรรมชาติ เขาจะสามารถขับไล่บรรพชนเฮยหยวนได้ แต่ยากที่จะรั้งเอาไว้

“งั้นหรือ?”

“แล้วถ้าเพิ่มข้าเข้าไปด้วยเล่า?”

เสียงอันเย็นยะเยือกดังขึ้น ทุกคนพากันหันไปมองโดยไม่รู้ตัว เห็นหญิงคนหนึ่งยืนอยู่บนทุ่งน้ําแข็ง ค่อยๆเดินมาอย่างช้าๆ

หรือกล่าวให้ถูกต้องคือ หญิงผู้นี้ไม่ได้เดินอยู่บนทุ่งน้ําแข็ง แต่ทุกก้าวของนางมีรัศมีพลังที่ช่างน่าสยดสยอง แผ่ซ่อนออกมาทุกทิศทางจนอุณหภูมิโดยรอบลดลงไป

“นี่คือ?”

ทันใดนั้นสีหน้าของทุกคนก็เปลี่ยนไปมาก ศิษย์ตําหนักเทพเจ้าหิมะแทบจะตะโกนโห่ร้อง
“คารวะบรรพชน”

ทันใดนั้นศิษย์ตําหนักเทพเจ้าหิมะก็หันหลังกลับไปก้มคารวะด้วยเสียงอันดัง

“ตํานานยุทธขั้นสูงสุดที่แปลงจิตวิญญาณได้อีกคนหนึ่ง?” ชายชราเฟียยวที่อยู่ถัดไปจากซูฉินพลันมีท่าที่เคร่งขรึม

เพียงไม่นาน

ก่อนที่ชายชราเฟยยวี่ จะทันได้ตอบโต้อะไร

พลันได้ยินเสียงฟ้าร้องก้องมาแต่ไกล

ที่สุดปลายขอบฟ้า สายฟ้าอันน่ากลัวก็ปรากฏขึ้น

ทันใดนั้นสายฟ้าก็ฟาดลงมาต่อหน้าทุกคนกลายเป็นชายร่างสูงที่มีบรรยากาศดูยิ่งใหญ่

“ข้าได้ยินมาว่าสหายเต๋เก่งกาจในเรื่องวิถีแห่งสายฟ้า วันนี้เหลยสิ่งมาขอคําแนะนําจากสหายเต๋าว่าเคล็ดสายฟ้าของสหายเต่ําหรือของนิกายเทพเจ้าสายฟ้าของข้า ซึ่งสืบทอดต่อกันมานับหมื่นปีอย่างไหนจะยอดเยี่ยมกว่ากันดีหรือไม่?”

ชายร่างสูงมองมาที่ซูฉิน เน้นคําทุกพยางค์

ด้วยการปรากฏตัวของชายร่างสูงผู้นี้ ทั่วทั้งพื้นที่แห่งนี้ก็พากันประหวั่นพรั่นพรึง ผู้คนนับไม่ถ้วนต่างตกตะลึง มองไปยังสิ่งตรงหน้าอย่างไม่อยากจะเชื่อ

“บรรพบุรุษเหลยสิงจากนิกายเทพเจ้าสายฟ้า?” ชายชราเฟยยวี่สูดลมหายใจเข้าลึกเต็มปอด

ศักดิ์ศรีของบรรพบุรุษเหลยสิ่งนั้นยิ่งใหญ่กว่าสองคนก่อนหน้า ท้ายที่สุดวิถีแห่งสายฟ้าก็เป็นพลังสวรรค์รูปแบบหนึ่ง เมื่อเป็นการต่อสู้กับผู้แข็งแกร่งในระดับใกล้เคียงกัน คู่ต่อสู้จะไม่สามารถต้านทานพลังอันน่าสะพรึงกลัวของสายฟ้าได้

“นี่มันเรื่องใหญ่แล้ว……”

เฟยยวี่กระซิบคําขึ้นมา

Sign in Buddha’s palm 290 (1) ตามมาสมทบ

ที่ด้านหน้าเทือกเขาไฟ

ขณะที่ตํานานยุทธทั้งหลายกําลังจับจ้องแหล่งกําเนิดธาตุไฟตรงหน้าพวกเขาอยู่นั้น

ร่างเพรียวบางเคลื่อนกายมาจากที่ไกลลิบราวกับเซียนราชนที่เดินเตร่ไปทั่วผืนฟ้าสูงส่งและยิ่งใหญ่ตัวอยู่ไกลออกไปหลายร้อยลี้แต่เพียงกดิ์นอายอันน่ากลัวพัดผ่านมา ตํานานยุทธทั้งหมดต่างตัวสั่นงันงกไม่อาจฝืนต้านทานได้

“เป็นตํานานยุทธอาณาจักรถัง…” ชายหน้าตาเย็นชาพูดเสียงตะกุกตะกักเพราะฟันที่สั่นกระทบกันอยู่ตลอดเวลา

เมื่อคนอื่นๆได้ยินสิ่งนี้ มือเท้าของพวกเขาก็เย็นลงในทันทีราวกับจมลงสู่หุบเหวลึกที่ไร้ก้นบึง

แม้ว่าพวกเขาจะแสดงความมั่นใจในตนเองอย่างเต็มที่เมื่อก่อนหน้าแต่ยามต้องเผชิญหน้ากับชายผู้แข็งแกร่งไร้ต้านผู้ที่กวาดล้างพรรคหมื่นดาบจนเหี้ยนพวกเขาต่างตระหนักดีแล้วว่าพวกตนโง่เขลาเพียงใด

บางที่นิกายใหญ่ที่อยู่เบื้องหลังพวกเขาอาจจะสามารถพอเทียบเคียงซูฉินได้แต่สําหรับพวกเขาเมื่ออยู่ต่อหน้าซูฉินเกรงว่ามันจะไม่ต่างไปจากมดปลวก

“ทําไมตํานานยุทธอาณาจักรถังจึงมาถึงเร็วนัก?” ใครบางคนกลืนน้ําลายสีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความตกใจ

ติ้ง!

ถึง!
ตึง!

ในชั่วพริบตา ต่อหน้าต่อตาทุกคนซูฉินก็ข้ามผ่านระยะทางหลายร้อยลื้มาจะถึงด้านหน้าของเทือกเขาไฟ

“น้อมคารวะผู้อาวุโส”

ตํานานยุทธทั้งหลายต่างคุกเข่าลงกับพื้นรีบก้มคารวะ

ซูฉินหยุดนิ่ง เพิกเฉยต่อหน้าตํานานยุทธทั้งหลายที่คุกเข่าอยู่บนพื้นเขากลับมองไปยังเทือกเขาไฟที่อยู่ตรงหน้าแทน

“นี่คือแหล่งกําเนิดธาตุไฟอย่างนั้นหรือ?”

ซูฉินรู้สึกถึงพลังของเปลวไฟที่ลุกโชนอยู่ในเทือกเขาราวกับมหาสมุทรอันกว้างใหญ่ ใบหน้า ของเขาดูครุ่นคิด

แหล่งกําเนิดธาตุทั้งห้านั้นแบ่งออกได้เป็นห้าธาตุแต่รูปร่างที่ปรากฏขึ้นนั้นแตกต่างกัน

ตัวอย่างเช่นแหล่งกําเนิดธาตุดินจะอยู่ในรูปแบบของเนินเขาหุบเขาหรือแม้แต่เทือกเขาในขณะที่แหล่งกําเนิดธาตุน้ําอาจจะเป็นทะเลสาบแม่น้ําหรือแม้แต่ทะเล

แต่ที่แปลกประหลาดที่สุดคือแหล่งกําเนิดธาตุสายฟ้าแหล่งกําเนิดธาตุหยินและแหล่งกําเนิดธาตุหยางเหล่านี้ไม่มีรูปแบบที่ตายตัวอาจเป็นสายฟ้าหรือรังสีพลังหยินหยาง

เพียงแต่ว่า

แหล่งกําเนิดธาตุไฟที่อยู่ตรงหน้านี้มีการปลดปล่อยพลังออกมามากกว่าแหล่งกําเนิดธาตุดินที่ซูฉันเคยพบ

แหล่งกําเนิดธาตุดินภายในเขตวิหารหมื่นพุทธ ณ ดินแดนทะเลทรายตะวันตกพลังปราณนั้นเข้าหลอมรวมกันจนถึงขีดสุดแม้ว่าจะเป็นซูฉินเขาอาจจะละเลยไม่สนใจได้หากไม่ตั้งใจค้นหาแต่แหล่งกําเนิดธาตุไฟที่อยู่เบื้องหน้านี้เมื่อมันปรากฏขึ้นก็เล่นทําเอาทั้งอาณาจักรถังต้องตื่นระหนก

“นายท่าน แหล่งกําเนิดธาตุไฟนี้น่าจะยังเติบโตไม่เต็มที่”ชายชราเฟยยที่อยู่ด้านข้างสังเกตดู ด้วยสายตาของเขาอย่างระมัดระวังแล้วจึงกระซิบบอก

“มิผิด”

ซูฉินพยักหน้าเล็กน้อยและกล่าวออกเบาๆ “แต่อีกไม่นานแล้วล่ะ”

แหล่งกําเนิดธาตุไฟนี้ปรากฏขึ้นเมื่อกระแสปราณฉีถึงจุดเปลี่ยนผ่าน ความเร็วในการสะสมพลังของมันเร็วกว่าแหล่งกําเนิดธาตุทั้งห้าแห่งอื่นๆ มาก ตามการประมาณการของซูฉินแหล่งกําเนิดธาตุไฟจะเติบโตจนสมบูรณ์อย่างมากก็หลังจากนี้ อีกไม่กี่วัน..

“เป็นอย่างที่คิด”

“แหล่งกําเนิดธาตุไฟเป็นหนึ่งในทรัพยากรที่ดีที่สุดสําหรับการบ่มเพาะภาพดวงตะวันขนาดมหึมา”

ซูฉินแตะปลายคางของตนเองและสัมผัสถึงแผ่นหินภาพดวงตะวันฯ ที่สั่นไหวตลอดเวลา

แม้ว่าภาพดวงตะวันขนาดมหึมาจะกระหายที่จะกลืนกินแหล่งกําเนิดธาตุไฟเป็นอย่างมากแต่ซูฉินรู้ดีว่าเขาจะได้รับระสิทธิภาพสูงสุดก็ต่อเมื่อแหล่งกําเนิดธาตุไฟเติบโตอย่างเต็มที่เท่านั้นมันจะกลายเป็นตัวช่วยที่ยิ่งใหญ่ที่สุดสําหรับตน

ต่อจากนั้น

หลังจากที่ซูฉินมองดูแหล่งกําเนิดธาตุไฟสองสามรอบเขาก็หันไปมองตํานานยุทธที่คุกเข่าอยู่กับพื้น

“เมื่อครู่เจ้าบอกว่าข้าจะต้องอยู่ที่นี่และไม่ได้กลับออกไปอย่างนั้นหรือ?”ซูฉินมองไปยังผู้ อาวุโสนิกายเทพเจ้าสายฟ้าและกล่าวคําอย่างใจเย็น

ก่อนที่จะมาถึงแหล่งกําเนิดธาตุไฟซูฉินก็ได้ใช้จิตวิญญาณแรกกําเนิดครอบคลุมพื้นที่หลายร้อยลี้เอาไว้การสนทนาระหว่างตํานานยุทธทั้งหลายในที่แห่งนี้จึงเข้ามาในโสตประสาทของซูฉินอย่างชัดเจน

Sign in Buddha’s palm 289 (II)

ในเวลาเดียวกัน

ที่ด้านหน้าเทือกเขาไฟ

ด้วยพลังปราณฉีฟ้าดินอันเข้มข้น กลุ่มคนที่แข็งแกร่งเร่งรุดมาจนถึงที่แห่งนี้แล้ว

ส่วนใหญ่ขุมกําลังเหล่านี้ล้วนมาจากนิกายใหญ่ พวกเขาบังเอิญพบพลังฟ้าดินที่พวยพุ่งอยู่ใกล้ๆ จึงเดินทางมาที่นี่ได้ไวที่สุด

“นี่คือแหล่งกําเนิดธาตุไฟตามตํานานงั้นหรือ?” ชายร่างสูงที่มีสายฟ้าจางๆ แล่นอยู่ภายในดวงตากะพริบตาปริบๆ มองไปยังเทือกเขาเปลวไฟที่อยู่เบื้องหน้า

เขาเป็นผู้อาวุโสของนิกายเทพเจ้าสายฟ้า ซึ่งเป็นตํานานยุทธระดับนภาชั้นที่ห้า เขารู้ดีว่าแหล่งกําเนิดธาตุทั้งห้าหมายถึงสิ่งใด

“มิผิด”

“เหมือนกับที่บันทึกไว้ในนิกาย”

“ตามตํานานเล่าว่า เมื่อกระแสปราณฉีฟื้นคืน จะมีโอกาสที่ไม่เคยมีมาก่อนเกิดขึ้นในแผ่นดินแห่งพลังยุทธฯ ตอนนี้ดูเหมือนว่าตํานานเล่าขานจะเป็นจริง…”

ชายอีกคนที่มีใบหน้าเย็นชากล่าวออกด้วยอารมณ์ความรู้สึก

ในฐานะตํานานยุทธ พวกเขาควรจะเป็นผู้ควบคุมพลังฟ้าดิน แต่เวลานี้ ที่หน้าเทือกเขาเปลวไฟ มีความรู้สึกลวงเกิดขึ้นเล็กๆในใจ ทําให้รู้สึกว่าพวกตนไม่ต่างไปจากฝุ่นผง

ชายหน้าตาเย็นชารู้อยู่ภายในใจว่าทั้งหมดนี้ เป็นเพราะแหล่งกําเนิดธาตุไฟ มันเป็นการรวมตัวกันของพลังงานธาตุไฟทั้งหมดใต้ผืนฟ้าเหนือผืนดินนี้ นี่คือการเผชิญหน้าอยู่กับพลังฟ้าดินธาตุไฟอันไร้ที่สิ้นสุด

ต่อหน้ากลุ่มก้อนพลังงานปราณฉีมหาศาลขนาดนี้ แม้แต่เซียนเทพปฐพี่ก็ต้องรู้สึกว่าตนเองเป็นเพียงฝุ่นธุลี นับประสาอะไรกับพวกเขา?

“หึ มันเป็นแหล่งกําเนิดธาตุไฟก็จริง แต่อย่าลืมว่าที่นี่เป็นพื้นที่ในเขตแดนของอาณาจักรถัง เจ้าคิดหรือว่าจะแย่งชิงแหล่งกําเนิดธาตุไฟไปจากมือเขาได้?”

ในเวลานั้นหญิงคนหนึ่งซึ่งอยู่ห่างจากแหล่งกำเนิดธาตุไฟมากที่สุดก็พูดเยาะเย้ยขึ้นมา

ทันทีที่คํากล่าวนี้ถูกปล่อยออกมา ทุกคนก็หน้าเปลี่ยนสีกันไปหมด

ครึ่งปีที่ผ่านมานี้ พวกเขาล้วนได้ยินเรื่องการทําลายล้างพรรคหมื่นดาบของซูฉินมาตั้งนานแล้ว ทุกคนในที่แห่งนี้ล้วนรู้กันว่าตัวตนของซูฉินนั้นสูงเทียมฟ้าเพียงใด

“มิผิด”

“การลงมือของตํานานยุทธแห่งอาณาจักรถัง เป็นเรื่องยากที่ข้าจะต้านทานได้”

เมื่อชายหน้าตาเย็นชากล่าวเช่นนี้ คําพูดของเขาก็เปลี่ยนไปในทันที “แต่ถึงตํานานยุทธแห่งอาณาจักรถังจะทรงพลัง แต่นิกายใหญ่ของข้าไม่เคยหวาดกลัว

“ก่อนหน้านี้ไม่นาน ข้าได้ส่งข้อความถึงนิกายแล้ว และบรรพชนคงจะรีบมุ่งตรงมาที่นี่โดยพลัน”

ขณะที่พูด ชายหน้าตาเย็นชาก็มองไปยังภูเขา เปลวไฟด้วยอาการตะกละตะกลาม

แม้ว่ามันจะเป็นไปไม่ได้สําหรับเขาที่จะเพลิดเพลินไปกับผลประโยชน์จากแหล่งกําเนิดธาตุไฟ แต่ผลงานสําหรับการค้นพบแหล่งกําเนิดธาตุไฟก็เพียงพอแล้วที่จะได้เลื่อนตําแหน่งในนิกาย อาจจะถึงขั้นกลายเป็นหนึ่งในผู้เข้าชิงตําแหน่งผู้นํานิกายได้เลย

แม้ว่าผู้นํานิกายจะต้องคอยจัดการเรื่องเล็กๆน้อยๆมากมาย แต่ทรัพยากรก็จะได้รับการจัดสรรมากขึ้นไปด้วย

“ข้าก็คิดเช่นเดียวกัน”

“ตํานานยุทธแห่งอาณาจักรถัง แม้จะแปลงจิตวิญญาณแรกกําเนิดได้หรือทําลายพรรคหมื่นดาบได้แล้ว มันจะเป็นอย่างไร? นิกายใหญ่ของข้าสั่งสมรากฐานมานับหมื่นปี จอมยุทธเพียงคนเดียวไม่มีทางล้มล้างได้”

ผู้อาวุโสนิกายเทพเจ้าสายฟ้าที่พูดในตอนต้นก็กล่าวคําออกมาอย่างช้าๆ

คําพูดของเขาดังก้องกังวานสะท้อนไปถึงคนอื่นๆ ความรุ่งโรจน์ของนิกายใหญ่ระดับสูงที่อยู่บนจุดสูงสุดของดินแดนโพ้นทะเลมานับหมื่นปี คือสิ่งใด? แม้แต่ในยุคที่มีเซียนเทพปฐพี่กําเนิดขึ้นมา นิกายใหญ่เหล่านี้ก็ยังยืนหยัดอยู่ได้

ไม่ว่าซูฉินจะแข็งแกร่งเพียงใด เขาก็คงไม่แข็งแกร่งไปกว่าเซียนเทพปฐพีกระมัง?

ซูฉินจะสามารถสร้างแรงสั่นสะเทือนให้กับนิกายใหญ่ที่แม้แต่เซียนเทพปฐพียังทําไม่ได้ ได้อย่างไร?

เหตุผลที่นิกายใหญ่ต่างแดนไม่เคยลงมือมาก่อน ทั้งหมดเป็นเพราะไม่มีผลประโยชน์มากเพียงพอ ควบคู่กับความระแวงซึ่งกันและกัน คอยสอดส่องและถ่วงดุลอํานาจกันตลอด เพื่อรักษาสถานการณ์ปัจจุบันเอาไว้

นั่งมองอาณาจักรถังครอบครองเขตแดนที่สําคัญที่สุดในแผ่นดินแห่งพลังยุทธฯ เอาไว้

แต่ตอนนี้ การมีอยู่ของแหล่งกําเนิดธาตุไฟ ทําให้นิกายใหญ่ระดับสูงทั้งหลายมีเหตุผลเพียงพอที่จะออกมา

นอกจากนี้ เมื่ออยู่ต่อหน้าแหล่งกําเนิดธาตุไฟ นิกายใหญ่ย่อมลืมเลือนเรื่องเก่าก่อนอย่างสมบูรณ์ รวมพลังกันจัดการกับซูฉิน

อย่างไรเสีย ในสายตาของนิกายใหญ่ ไม่ว่าสุดท้ายแหล่งกําเนิดธาตุไฟนี้จะตกเป็นของผู้ใด ก็จะได้ไปแค่เฉพาะในหมู่พวกเขาเท่านั้น สําหรับซูฉินที่เป็นคนนอก จะให้มีส่วนข้องเกี่ยวกับสมบัตินี้ได้อย่างไร?

“หากตํานานยุทธแห่งอาณาจักรถังกล้าปรากฏตัว บรรพชนของข้าจะไม่ปล่อยให้มันกลับไป แน่!”

ผู้อาวุโสของนิกายเทพเจ้าสายฟ้าดูภาคภูมิใจ เขารู้ว่าเมื่อครึ่งปีก่อน บรรพบุรุษเหลยสิ่งได้มาถึงแผ่นดินแห่งพลังยุทธฯแล้ว

บรรพบุรุษเหลยสิ่งแปลงจิตวิญญาณแรกกําเนิดได้เมื่อหนึ่งพันปีก่อน เมื่อเทียบกับบรรพชนดาบที่สูญเสียร่างกายไปแล้ว การที่บรรพบุรุษเหลยสิ่งยังคงมีร่างกายอยู่เท่ากับสามารถสู้จนสุด แรงได้

การอยู่ในความดูแลของตํานานยุทธขั้นสูงสุดที่ แปลงจิตวิญญาณแรกกําเนิดได้อย่างบรรพบุรุษเหลยสิ่ง นิกายเทพเจ้าสายฟ้าจําเป็นต้องกลัวซูฉินหรือ?

อย่างไรก็ตาม

เมื่อทุกคนในที่แห่งนี้กําลังพูดคุยกันถึงแหล่งกําเนิดธาตุไฟ

หวิ่ง!!!

กลิ่นอายอันน่าสะพรึงกลัว ราวกับภูเขาศักดิ์สิทธิ์โบราณก็เข้ากดทับครอบคลุมพื้นที่ทั้งหมดเอาไว้

ใต้แรงกดดันนี้ ทุกคนในที่แห่งนี้ต่างคุกเข่าลง ราวกับถูกสายฟ้าฟาดใส่ คุกเข่าลงไปราวกับเตรียมต้อนรับเทพเซียนผู้หนึ่ง

“ผู้ใดกัน?”

ผู้อาวุโสนิกายเทพเจ้าสายฟ้าเงยหน้าขึ้นอย่างยากลําบาก มองไปยังที่ไกลๆ

ปลายสายตาของเขา มองเห็นร่างเพรียวเดินตรงมาอย่างไม่เร่งรีบ ทุกสิ่งบนโลกเหมือนถูกเขา เหยียบย่าอยู่ใต้ฝ่าเท้า ประหนึ่งเป็นเซียนราชันที่ท่องเที่ยวไปตามแผ่นฟ้าทอดสายตามองไปทั่วทั้งสามโลก

Sign in Buddha’s palm 289 (I)

“น่าเสียดาย….”

หลังจากเวลาผ่านไปครู่หนึ่ง ซูฉินก็หลับตาลง และเมื่อเขาลืมตาขึ้นอีกครั้งทุกอย่างก็กลับมา เป็นปกติ

ฉากที่เกิดขึ้นในดวงตาของซูฉินเป็นเพียงเศษ เสี้ยวความทรงจําของอีกาทองคําสามขา สัตว์ศักดิ์สิทธิ์ที่แข็งแกร่งที่สุดในด้านการใช้เปลวเพลิง ในตอนนี้เขาฝึกฝนภาพดวงตะวันขนาดมหึมาอยู่ แต่ที่เห็นก็เป็นเพียงภาพจําเท่านั้นไม่ใช่อีกา ทองคําสามขาจริงๆ

“มันยังได้น้อยไปที่จะฝึกฝนภาพดวงตะวันฯ ให้ ถึงความสําเร็จระดับเล็ก….” ซูฉินกระซิบคํากับ ตนเอง

ในช่วงหกเดือนที่ผ่านมา ซูฉินได้กลืนโอสถศัก ดิ์สิทธิ์และสมบัติธาตุไฟทั้งหมดที่มีในคลังระบบแล้ว ผลที่ได้คือการฝึกฝนภาพดวงตะวันขนาดมหึมาเดินหน้าไปอย่างมาก แต่ก็ยังอยู่ห่างจากความสําเร็จระดับเล็กอยู่บ้าง

“ต้องรอโอสถธาตุไฟจากการลงชื่อเข้าใช้อีกสักสองสามปีจึงจะเพียงพองั้นหรือ?” ซูฉินขมวดคิ้วเล็กน้อย

ช่วงนี้กระแสปราณฉีกําลังฟื้นตัว ประกอบกับกลิ่นอายของตํานานยุทธขั้นสูงสุดจากต่างแดนได้เดินทางมายังทวีปนี้แล้ว ซูฉินจึงรู้สึกถึงความเร่งด่วนในจิตใจ

อย่างพรรคหมื่นดาบเป็นนิกายใหญ่ที่สืบทอดมรดกมาเพียงสี่พันปีเท่านั้น ซูฉินไม่ได้เกรงกลัวแต่อย่างใด แต่นิกายใหญ่แห่งอื่นจากต่างแดน โดยเฉพาะนิกายใหญ่ที่สืบทอดมรดกมาตั้งแต่ยุคเฟื่องฟูกระแสปราณครั้งล่าสุด ในใจของซูฉันมีความเกรงกลัวอยู่บ้าง

ไม่รู้ว่านิกายโบราณเหล่านี้มีตื้นลึกหนาบางเท่าไหร่ บางทีถึงขั้นที่อาจจะมีเซียนเทพปฐพีดํารงอยู่

เมื่อซูฉินกําลังคิดถึงตรงนี้

หวิ่ง!!!

ก็เห็นปราณฉีฟ้าดินพวยพุ่ง ราวกับมีบางอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว

เห็นพลังงานธาตุไฟอันไร้ที่สิ้นสุดจากทั่วทุกทิศทาง รวมตัวกันพุ่งไปตกบริเวณหลายร้อยล้ํา นอกเมืองฉางอันควบแน่นเป็นเทือกเขาลูกใหญ่ มีเปลวไฟเผาไหม้โหมกระหน่ํา

เทือกเขานี้ไม่ได้กว้างใหญ่มากนัก แต่รัศมีหลายสิบลี้โดยรอยมีเปลวไฟมากมาย ควบแน่นเป็นขนดมังกรไฟ กวาดไปทั่วทุกมุมของเทือกเขาอย่างต่อเนื่องฉับพลัน

จอมยุทธที่อยู่ในขอบเขตสามระดับบนล้วนรู้สึกได้ถึงพลังฉีเงยหน้าขึ้นและมองไปทางเทือกเขาไฟ

จอมยุทธขอบเขตสามระดับบนเริ่มรับรู้พลังแห่งฟ้าดินได้แล้ว จึงสามารถสัมผัสพลังอันน่าเกรงขามที่อยู่ใต้ผืนฟ้าเหนือผืนดินนี้ได้จางๆ

พลังงานไฟอันไร้ที่สิ้นสุดถูกดึงดูดไปและก่อตัวขึ้นเป็นเทือกเขาไฟ ย่อมดึงดูดความสนใจของจอมยุทธจํานวนมากโดยธรรมชาติ

“นั่นคือ?”

ภายในวัง ชายชราเฟยยี่เต็มไปด้วยความประหลาดใจ ทุกสิ่งแสดงออกผ่านสีหน้าของเขา

นักพรตเฒ่าสํานักเอกะวิถีเหยียนไร่ หร่วนชิง และคนอื่นๆก็รู้สึกคล้ายกัน พวกเขาอยู่ที่เมืองฉางอันซึ่งอยู่ห่างเทือกเขาเปลวไฟที่เพิ่งก่อตัวขึ้นเมื่อสักครู่เพียงไม่กี่ร้อยลี้ ความรู้สึกที่ได้รับจึงแจ่มชัด

“นี่คือแหล่งกําเนิดธาตุไฟก่อกําเนิดขึ้นจากพลังฟ้าดินทั้งหลาย ควบแน่นจนเป็นแหล่งกําเนิดธาตุไฟ” เสียงของชายชราเฟยยวสั่นเทาอย่างไม่อยากจะเชื่อ

แหล่งกําเนิดธาตุไฟ ก็เป็นหนึ่งในแหล่งกําเนิดธาตุทั้งห้าเหมือนกันกับแหล่งกําเนิดธาตุดิน โดยปกติจะใช้เวลาหลายพันปีในการหล่อหลอมขึ้นมาจนเป็นรูปเป็นร่าง แต่ตอนนี้ด้วยพลังฟ้าดินที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง แหล่งกําเนิดธาตุไฟซึ่งหาได้ยากในรอบพันปีกําลังก่อตัวขึ้นด้วยความเร็วที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่า

“นี่คือโอกาสอันยิ่งใหญ่ โอกาสที่ยิ่งใหญ่อย่างแท้จริง โอกาสเช่นนี้จะปรากฏขึ้นในแผ่นดินแห่งพลังยุทธฯ เท่านั้น…”

ใบหน้าของชายชราเฟยยี่เต็มไปด้วยความรู้สึกคลั่งไคล้

แหล่งกําเนิดธาตุทั้งห้านั้นหายากมาก แม้แต่ในยุคเฟื่องฟูกระแสปราณฉีครั้งล่าสุดก็ไม่ได้มีมากนัก แหล่งกําเนิดธาตุทั้งห้าที่เติบโตเต็มที่จะช่วยให้ตํานานยุทธขั้นสูงสุดสามารถใช้จิตวิญญาณแรกกําเนิดเข้าสู่ส่วนลึกของทะเลปราณได้ง่ายขึ้น

ช่างเป็นเรื่องที่น่าเหลือเชื่ออะไรเช่นนี้? ต้องรู้ว่าการฝึกฝนวิทยายุทธ ยิ่งก้าวหน้าไปไกลมากขึ้นเพียงไร ความช่วยเหลือจากภายนอกก็ยิ่งน้อยลงมากเท่านั้น เมื่อนึกถึงแหล่งกําเนิดธาตุไฟที่ล้ําค่าอย่างมหาศาลถึงกับช่วยยกระดับความเป็นไปได้ที่จะไปถึงขอบเขตเซียนเทพปฐพี ก็ช่างเป็นเรื่องที่น่าหวาดกลัวยิ่ง

“แย่ล่ะ”

“นี่เป็นปัญหาแล้ว”

หลังจากคลายความตื่นเต้น สีหน้าของชายชรา เฟยยวี่ก็เปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน

ในช่วงครึ่งปีที่ผ่านมา ตํานานยุทธขั้นสูงสุด จากนิกายใหญ่ได้ทยอยเข้าสู่อาณาจักรถังอย่าง ต่อเนื่อง

แม่จักรพรรดิถังจะกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่ตราบใดที่ตํานานยุทธจากนิกายใหญ่เหล่านี้ไม่ก่อเรื่องใหญ่อะไร เขาก็จะไม่หยุดยั้งมัน

หนึ่งคือกังวลว่าจะไปกระตุ้นความไม่พอใจของนิกายใหญ่ต่างแดนทั้งหมด

สองคือถ้าอาณาจักรถังต้องการลดช่องว่างระหว่างนิกายใหญ่เหล่านี้ จะต้องติดต่อสื่อสารกันมากขึ้น

และภายใต้อํานาจยับยั้งของซูฉิน ตํานานยุทธจากนิกายใหญ่เมื่อเข้าสู่อาณาจักรถังก็จะปฏิบัติตัวอย่างจริงใจ แม้แต่ศิษย์นิกายเฮยหยวนที่ชื่นชอบการฆ่าฟันมาตลอด ก็ไม่กล้าฆ่าใครในเขตแดนของราชวงศ์ถัง เพราะกลัวว่าจะดึงดูดความสนใจจากซูฉิน

อย่างไรก็ตาม ชายชราเฟยยวีรู้ดีแก่ใจว่ามูลเหตุที่ตํานานยุทธเหล่านั้นไม่ลงมือทําอะไรเพราะอาณาจักรถังไม่มีอะไรดึงดูดพวกเขา

แต่ตอนนี้

แหล่งกําเนิดธาตุไฟที่ก่อตัวขึ้นใหม่นี้เพียงพอ จะกระตุ้นความโลภในใจตํานานยุทธทั้งหมด

แม้ว่าแหล่งกําเนิดธาตุไฟจะอยู่ห่างจากเมืองฉางอันเพียงไม่กี่ร้อยลี้ แต่ผลพวงจากพลังของมันมีโอกาสอย่างมากที่จะแพร่กระจายไปทั่วเมืองฉางอัน

ส่วนอํานาจยับยั้งของซูฉิน…

ต่อหน้าแหล่งกําเนิดธาตุไฟนี้ ย่อมดึงดูดนิกายใหญ่ออกมาอย่างแน่นอน เป็นไปได้อย่างไรที่จะยอมแพ้เพียงเพราะหวั่นเกรงต่อซูฉิน?

ขณะที่ใบหน้าของชายชราเฟยยกําลังบิดเบี้ยวน่าเกลียด

เสียงแผ่วเบาก็แว่วเข้ามาในหูของเขา

“มันคือแหล่งกําเนิดธาตุไฟใช่หรือไม่ที่ก่อตัวขึ้นเมื่อครู่?”

ร่างของซูฉินปรากฏขึ้นอย่างเงียบๆที่ด้านข้าง มองไปยังทิศทางเทือกเขาไฟ กล่าวคําออกมาเบาๆ

“นายท่าน” ชายชราเฟียยวรู้สึกตึงเครียด รีบโค้งคํานับให้กับซูฉินทันที

“เงยหน้าขึ้น” ซูฉินโบกมือ สีหน้าของเขาดูร้อนรน

ตอนนี้ภาพดวงตะวันขนาดมหึมาของเขายังห่างไกลจากความสําเร็จระดับเล็กอยู่เล็กน้อย ในตอนแรกซูฉันคิดว่าเขาจะต้องรออีกสองสามปี เพื่อลงชื่อเข้าใช้รอรับสมบัติธาตุไฟให้เพียงพอ จึงจะเข้าสู่ความสําเร็จระดับเล็กได้

แต่ตอนนี้การปรากฏตัวของแหล่งกําเนิดธาตุไฟทําให้ซูฉินมีความสุขมาก

แหล่งกําเนิดธาตุไฟคือการรวมตัวกันของพลังงานธาตุไฟอย่างถึงขีดสุด เป็นเชื้อเพลิงชั้นดีในการบ่มเพาะภาพดวงตะวันขนาดมหึมา

แหล่งกําเนิดธาตุไฟที่สมบูรณ์สามารถทําให้การบ่มเพาะภาพดวงตะวันฯ ก้าวหน้าอย่างก้าวกระโดด ไม่ต้องถึงขั้นความสําเร็จชั้นยอด อย่างน้อยความสําเร็จระดับเล็กก็ไม่มีปัญหา

เมื่อสําเร็จภาพดวงตะวันฯ ในระดับเล็ก ซูฉินสามารถใช้สิ่งนั้นเพื่อผสานเข้ากับทะเลปราณและฝ่าขอบเขตไปได้

“ติดตามออกไปกับข้า”

ซูฉินเหลือบมองเฟยยวแล้วพูดอย่างเป็นกัน
เอง

ชายชราเฟยยเป็นตํานานยุทธขั้นสูงสุด และพลังของเขาก็ไม่อ่อนแอ

เมื่อซูฉินกลืนกินแหล่งกําเนิดธาตุไฟ ในกรณีที่มีเหตุอะไรเกิดขึ้น เขาสามารถขอให้เฟยยวี่จัดการได้

“ขอรับ” ชายชราเฟยย กล่าวอย่างสุภาพหลังจากได้ฟัง

ในเวลาเดียวกัน

ที่ด้านหน้าเทือกเขาไฟ

ด้วยพลังปราณฉีฟ้าดินอันเข้มข้น กลุ่มคนที่แข็งแกร่งเร่งรุดมาจนถึงที่แห่งนี้แล้ว

Sign in Buddha’s palm 286 จุดเปลี่ยนผ่าน ของกระแสปราณฉี

ด้านในช่องว่างระหว่างคิ้ว

แก่นของจิตวิญญาณแรกกําเนิด ที่แทบไม่ต่างไปจากซูฉินจริงๆนั่งอยู่ภายใน พลังจิตวิญญาณแรกกําเนิดค่อยๆเพิ่มขึ้นราวกับมหาสมุทรอันยิ่งใหญ่

“เป็นความรู้สึกที่แปลกทีเดียว”

จิตใจของซูฉินผสานเข้ากับจิตวิญญาณแรกกําเนิด เข้าควบคุมร่างวิญญาณ ความรู้ความเข้าใจทั้งหลายหลั่งไหลเข้ามาภายในจิตใจของเขา

สําหรับซูฉิน ร่างจิตวิญญาณแรกกําเนิดนี้ เหมือนกับเป็นร่างกายที่สอง สามารถดํารงอยู่บนโลกได้อย่างอิสระ แต่แน่นอนว่าหากปราศจากร่างกายที่แท้จริง พลังในการต่อสู้ของร่างจิตวิญญาณแรกกําเนิดจะลดลงไปมากอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง

“ในเวลานี้ หากข้าเผชิญหน้ากับบรรพชนดาบอีกครั้ง ข้าไม่จําเป็นต้องใช้พลังงานปราณเลือดมากมายนักก็คงบดขยี้จิตวิญญาณแรกกําเนิดของมันได้ภายในสิบกระบวนท่า ซูฉินค่อยๆเงยหน้าขึ้นมองไปยังว่างองค์ยูไลทองคําที่มือหนึ่งชี้ขึ้นฟ้า อีกมือแตะพื้นพสุธา ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากตัวเขา

แม้ว่าซูฉินจะเป็นร่างจิตวิญญาณแรกกําเนิด แต่ต่อหน้าองค์ยูไลทองคําขนาดใหญ่ ตัวเขากลับดูเล็กลงไปทันตา

หากองค์ยูไลทองคําเปรียบประดุจดวงอาทิตย์ดวงโตเปล่งประกายแผดเผา ร่างจิตวิญญาณแรกกําเนิดนี้คงเปรียบได้กับดวงดาวที่หมุนอยู่รอบดวงอาทิตย์ดวงใหญ่ ความแตกต่างระหว่างทั้งคู่ห่างกันนับหมื่นเท่า

“ลองออกไปดูภายนอกดีกว่า”

เพียงแค่คิด ร่างจิตวิญญาณแรกกําเนิดก็พุ่งตัวแยกออกจากกึ่งกลางระหว่างคิ้ว ออกมาสู่โลกภายในนอกในชั่วพริบตา

ซูม!!!

ทันทีที่ร่างจิตวิญญาณแรกกําเนิดได้ออกจากร่าง ซูฉินก็รู้สึกถึงพลังแห่งฟ้าดินและจิตใจแห่งฟ้าดินทุกประเภทอย่างชัดเจน เพียงแต่พลังฟ้าดินและจิตใจแห่งฟ้าดินเหล่านั้นไม่สามารถทําอะไรร่างจิตวิญญาณแรกกําเนิดอันยิ่งใหญ่นี้ได้เลย

“ทุกอย่างแตกต่างออกไปจริงๆ”

ซูฉินค่อยๆ รับรู้ทุกสิ่งผ่านมุมมองของจิตวิญญาณแรกกําเนิด

จิตวิญญาณแรกกําเนิดนั้นแตกต่างจากจิต สัมผัสศักดิ์สิทธิ์ที่ต้องการสถานที่ในการพักพิง และไม่สามารถดํารงอยู่เป็นเอกเทศได้ ตัวอย่างเช่น ดาบไม้ที่ซูฉินมอบให้ “เฉียนขู่ ก็เป็นการฝังจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ไว้ที่วัตถุ

หากไม่มีสถานที่ที่ใช้พักพิง แม้จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์จะมีพลังอํานาจสูงสุด แต่สุดท้ายมันก็สลาย ไปในที่สุด

ทว่าจิตวิญญาณแรกกําเนิดนั้นแตกต่างออกไป อย่างเช่น ซูฉินสามารถอยู่บนเกาะหมื่นดาบแห่งนี้ และใช้จิตวิญญาณแรกกําเนิดเดินทางหลายหมื่นลี้กลับไปยังเมืองฉางอัน

ซึ่งแน่นอนว่าซูฉินจะไม่ทําเช่นนั้น

หากปราศจากจิตวิญญาณแรกกําเนิด ร่างกายก็เป็นเสมือนเปลือกนอกที่ถูกทิ้งเอาไว้ จะกลายเป็นเรื่องอันตรายอย่างยิ่ง

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ร่างกายของซูฉินได้มาถึง ครึ่งก้าวเข้าสู่กายแห่งธรรมชาติแล้ว พลังงานชีวิตและเลือดเนื้อนั้นมีมากมายมหาศาล ร่างกายเช่นนี้ สําหรับบรรพชนดาบที่สูญเสียร่างกายแต่จิตวิญญาณแรกกําเนิดยังคงอยู่ มันย่อมเป็นสมบัติหายากในรอบพันปี ควรค่าแก่การยึดครอง

จากนั้น จิตวิญญาณแรกกําเนิดของซูฉินก็เดินทางไปรอบๆเกาะหมื่นดาบอยู่สองสามรอบ หลังจากปรับตัวได้เต็มที่แล้วจึงกลับเข้ามาในร่างของตนเอง

“การแปลงจิตวิญญาณแรกกําเนิดเป็นไปโดยราบรื่นอย่างยิ่ง

รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของซูฉิน การแปลงจิตวิญญาณแรกกําเนิดไม่ใช่ความก้าวหน้าครั้งใหญ่อะไร มันไม่ได้มีความเสี่ยงมากนัก ส่วนใหญ่เป็นเพียงเรื่องของเวลาเท่านั้นก่อนที่มันจะสําเร็จ

ซูฉินได้สั่งสมความแข็งแกร่งมามากพอสมควรแล้ว จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของเขาเหนือกว่าตํานานยุทธขั้นสูงสุดปกติไปมากนัก ทั้งยังมีโอสถจิตวิญญาณแรกกําเนิดมากกว่าห้าสิบเม็ดให้ได้ใช้ หากการแปลงจิตวิญญาณครั้งนี้ยังล้มเหลว เกรงว่าคงไม่มีจอมยุทธคนใดบนโลกนี้ที่แปลงจิตวิญญาณแรกกําเนิดได้สําเร็จ

“ข้าน่าจะปิดด่านฝึกตนมานานกว่าสองเดือนแล้

ซูฉินดูเหมือนจะนึกอะไรบางอย่างได้ในทันที ความรู้สึกเล็กๆก่อตัวขึ้นในใจ

ในช่วงสองเดือนที่ผ่านมา ซูฉินไม่ได้ทุ่มเท ความตั้งใจทั้งหมดไปกับการฝึกฝนเสียทีเดียว

นอกเหนือจากการบ่มเพาะแล้ว ซูฉินยังลงชื่อเข้าใช้บนเกาะหมื่นดาบอย่างตรงเวลาทุกวันเป็นเวลาสองเดือน เขาลงชื่อเข้าใช้ได้มากถึงหกสิบครั้ง ได้รับคัมภีร์เคล็ดวิชาดาบมาเป็นจํานวนมากได้รับโอสถศักดิ์สิทธิ์ และแม้กระทั่งอาวุธวิเศษก็ออกมาด้วย
การเก็บเกี่ยวครั้งนี้ให้ผลลัพธ์ค่อนข้างสูง

“นิกายใหญ่ในต่างแดนสืบทอดมรดกมาเป็นเวลายาวนาน และมีเต่สะสมมากมาย เกือบทั้ง หมดที่ได้จากการลงชื่อเข้าใช้นั้นเป็นของล้ําค่า

ดวงตาของซูฉินเป็นประกาย

ขนาดนิกายใหญ่ที่สืบทอดมรดกมาเพียงสี่พันปี อย่างพรรคหมื่นดาบ ซูฉินยังได้รับสิ่งดีๆมามากมายและได้รับเคล็ดทางจิตวิญญาณที่หาได้ยากมาหนึ่งอย่าง ไม่รู้ว่าขุมกําลังที่สืบทอดมรดกมาตั้งแต่ยุคเฟื่องฟูกระแสปราณฉีครั้งล่าสุดอย่าง สํานักผู้วิเศษจะมี’เต๋าสะสม’ อยู่มากเพียงไร…ร

“น่าเสียดาย หากข้าต้องการจะลงชื่อเข้าใช้ให้ ประสบความสําเร็จจะต้องไปอยู่ใกล้กับแกนกลางของเต๋สะสม” เช่นเดียวกับพรรคหมื่นดาบสมบัติที่แท้จริงสามารถได้รับจากยอดเขาดาบแห่งนี้เพียงเท่านั้น”

ซูฉินถอนหายใจเบาๆ คิดอยู่ภายในใจตนเงียบๆ

โดยปกติสถานที่หลักที่มี ‘เต๋าสะสม คือสถานที่สําคัญของนิกายใหญ่ ตัวอย่างเช่น ยอดเขาดาบ นี่เป็นสถานที่สําหรับเหล่าบรรพชนของพรรคหมื่นดาบ บุคคลภายนอกจะสามารถเข้าไปได้อย่างไร?

หรือให้พูดอีกที

แม้ซูฉินจะได้รับเชิญจากนิกายใหญ่ ซูฉินก็จะไม่เข้าไป

การเข้าสู่แกนกลางของนิกายใหญ่ เทียบเท่ากับตกอยู่ในแผนการของอีกฝ่าย อาจมีกลุ่มตํานานยุทธขั้นสูงสุดที่แปลงจิตวิญญาณได้แล้ว หลบอยู่ภายในนิกายใหญ่ ควบคู่กับค่ายกลสังหารที่เตรียมพร้อมเอาไว้…..

เมื่อเป็นเช่นนั้น ฉันอาจต้องพบกับอันตรายจริงๆ

ดังนั้น หากซูฉินต้องการลงชื่อเข้าใช้จริงๆ มันก็ไม่ต้องทําอะไรมาก เพียงทําเหมือนกับที่ลงมือกับพรรคหมื่นดาบ ทําลายล้างนิกายใหญ่ให้ราบเรียบ ลงมือจนไม่สามารถต่อต้านได้….

แต่ถ้าซูฉินทําเช่นนั้นจริงๆ มันจะนําไปสู่การต่อต้านของนิกายใหญ่ทั้งหมดในต่างแดนโดยที่มิอาจเลี่ยง

การที่ซูฉินทําลายพรรคหมื่นดาบ ก็ทําให้ทุกคนรู้สึกตกอยู่ในอันตรายแล้ว ในระหว่างการปิดด่านฝึกตน ซูฉินสังเกตเห็นกลิ่นอายอันลึกล้ําโผล่มาที่เกาะหมื่นดาบมากกว่าหนึ่งครั้ง

ยอดฝีมือที่มีกลิ่นอายพลังอันล้ําลึกเหล่านี้ มีรัศมีที่ทรงพลังอย่างมากและจิตวิญญาณแรกกําเนิดแทรกซึมออกมาตลอด ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าพวกเขาต่างก็เป็นตัวตนผู้ไร้เทียมทานซึ่งแปลงจิตวิญญาณแรกกําเนิดได้แล้ว

แม้แต่ซูฉินยังรู้สึกได้จางๆ ว่าในบรรดาไอพลังจิตวิญญาณแรกกําเนิดเหล่านั้น มีหลายคนที่มีกลิ่นอายที่สมบูรณ์อย่างยิ่ง ห่างชั้นจากจิตวิญญาณแรกกําเนิดที่โรยราของบรรพชนดาบ เห็นได้ชัดว่าเจ้าของรัศมีพลังเหล่านี้ไม่เพียงแต่แปลงจิตวิญญาณแรกกําเนิดได้เท่านั้น แต่ยังเต็มไปด้วยพลังงานชีวิตและเลือดเนื้อ

กล่าวอีกนัยหนึ่ง ยุทธภพต่างแดนในยุคนี้ มีตํานานยุทธขั้นสูงสุดที่สามารถแปลงจิตวิญญาณแรกกําเนิดได้อยู่ด้วย

สิ่งนี้ทําให้ซูฉินแปลกใจเล็กน้อย แต่หลังจากขบคิดต่ออีกนิด ก็รู้สึกว่ามันปกติ

ตํานานยุทธขั้นสูงสุดที่แปลงจิตวิญญาณแรกกําเนิดได้นั้น ไม่เหมือนกับเซียนเทพปฐพีที่หาได้ยากเย็นอย่างยิ่งในรอบพันปี

ในทุกยุคทุกสมัยของยุทธภพต่างแดน ล้วนมีตํานานยุทธขั้นสูงสุดที่สามารถแปลงจิตวิญญาณแรกกําเนิดได้ผุดขึ้นมา

โดยเฉพาะสํานักผู้วิเศษและสํานักเอกะวิถีซึ่งสืบทอดมรดกมาตั้งแต่ยุคกระแสปราณฉีเฟื่องฟูครั้งล่าสุด อย่างน้อยก็ต้องมีตํานานยุทธขั้นสูงสุดที่แปลงจิตวิญญาณแรกกําเนิดได้นอกเหนือจากเหล่าบรรพชนผู้หลับใหล

เพียงแต่ตํานานยุทธขั้นสูงสุดที่แปลงจิตวิญญาณแรกกําเนิดได้เหล่านี้มักจะไม่ปรากฏตัว พวกเขาทั้งหมดต่างปิดด่านฝึกตนเตรียมทําลายโซ่ตรวน มุ่งเข้าสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพี

นี่เป็นเหตุผลว่าทําไมผู้นํานิกายใหญ่ทั้งหลาย ในปัจจุบันจึงเป็นเพียงตํานานยุทธระดับนภาชั้นที่หก

เมื่อเข้าสู่ขอบเขตที่เหนือกว่าระดับนภาชั้นที่หกและกลายเป็นตํานานยุทธขั้นสูงสุด พวกเขาจะไม่สนใจเรื่องราวในนิกายอีกต่อไป และจะเก็บตัวปิดด่านฝึกตนเพื่อหวังว่าจะก้าวหน้าในการบ่มเพาะ

ท้ายที่สุด ไม่ว่านิกายใหญ่แห่งไหนก็ตามที่ให้กําเนิดเซียนเทพปฐพีออกมาได้ จะนําพานิกายใหญ่ให้เจริญรุ่งเรืองไปนับพันปี มีบทบาทมากกว่าผู้นํานิกายเสียอีก

“แม้ว่าข้าจะแปลงจิตวิญญาณแรกกําเนิดได้แล้ว และพลังจิตวิญญาณยังมากกว่าตํานานยุทธขั้นสูงสุดคนอื่นๆที่แปลงจิตวิญญาณได้เหมือนกัน แต่ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะต่อกรกับการร่วมมือของนิกายใหญ่ในต่างแดนทั้งหมด

ซูฉินคิดอย่างจริงจังอยู่ครู่หนึ่ง และล้มเลิกความคิดที่จะทําลายนิกายใหญ่ทิ้งไปเพียงเพื่อเข้าไปลงชื่อเข้าใช้

เมื่อซูฉินทําเช่นนั้นจริงๆ เขาจะต้องเผชิญหน้ากับการไล่ล่าจากทั้งโลกยุทธภพต่างแดน

สิ่งนี้ขัดกับเจตนาเดิมของซูฉิน

“เอาล่ะ” “พวกเรากลับกันเถอะ”

ซูฉินเหลือบมองเฟยยวและหลีหว่านที่ยืนอยู่ ด้านข้างตัวเขาด้วยความเคารพ พร้อมกล่าวคําขึ้นมา

หลังออกจากเมืองฉางอันมากว่าสองเดือน เขาไม่เพียงแต่ช่วยหลีหว่านกลับมาได้เท่านั้น แต่ยังแปลงจิตวิญญาณแรกกําเนิดได้สําเร็จ ยังไม่รวมสมบัติที่ได้จากการลงชื่อเข้าใช้บนเกาะหมื่นดาบ นี่นับเป็นการเดินทางคุ้มค่าอย่างแน่นอน

“นายท่าน มีคนกําลังใกล้เข้ามา… “ชาย ชราเฟยยวี่ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง อดไม่ได้ที่จะกล่าวออกมา

*ไม่ต้องเป็นห่วง พวกนั้นไปกันหมดแล้ว“ซูฉินกล่าวออกด้วยท่าที่เฉยเมย

ในระหว่างที่ปิดด่านฝึกตน มีไอพลังจากหลายร่างค่อยๆเข้ามาใกล้ เพียงแต่ตอนที่ซูฉินออกจากด่านฝึกตนนั้นได้แผ่จิตวิญญาณแรกกําเนิดอันทรงพลังกว้างใหญ่ออกมา หลังจากจิตวิญญาณแรกกําเนิดแผ่ขยายไปทั่วรัศมีสองร้อยห้าสิบลี้ พวกเขาทั้งหมดก็จากไปอย่างรวดเร็ว

ในหมู่คนเหล่านั้น มีบางคนถูกกัดเซาะพลังจิตวิญญาณแรกกําเนิด ได้รับผลกระทบจากซูฉินไป

เต็มๆ

ไม่นานนัก

ซูฉิน หลีหว่าน และคนอื่นๆ ก็ค่อยๆออกจาก พรรคหมื่นดาบ มุ่งหน้ากลับไปยังอาณาจักรถัง

หลังจากเดินทางออกไป ก็มีสายตามากมาย แอบมองจากระยะไกล เมื่อยืนยันได้ว่าซูฉินไม่ได้ อยู่ดินแดนโพ้นทะเลแล้ว ก็ไม่มีใครกล้าคิดติดตามไปอีก

ซูฉินไม่สนใจที่จะใส่ใจเรื่องราวเหล่านี้

สําหรับซูฉิน สิ่งที่สําคัญที่สุดคือการกลับไปยังเมืองฉางอัน ค่อยๆ คิดเกี่ยวกับการทําลายคอขวดของขอบเขตระดับชั้น ส่วนเรื่องอื่นๆสามารถพักไว้ก่อนได้

จวบจนกระทั่งซูฉินได้เดินทางออกจากพื้นที่ของดินแดนโพ้นทะเลอย่างสมบูรณ์

หลังจากนั้นไม่กี่ชั่วยาม

ร่างที่ดูสูงส่งหลายร่างก็ปรากฏตัวขึ้น มองไปยังทิศที่ซูฉินจากไป ซึ่งเป็นแผ่นดินแห่งพลังยุทธอันยิ่งใหญ่

“กลับไปแล้วจริงๆ งั้นรึ? “เสียงหนึ่งกล่าวขึ้นช้าๆ ราวกับเขาโล่งใจเป็นอย่างยิ่ง

แม้ด้วยความแข็งแกร่งของพวกเขาจะทําให้ไม่เกรงกลัวตํานานยุทธขั้นสูงสุดที่แปลงจิตวิญญาณแรกกําเนิดได้ และสามารถร่วมมือกันเพื่อปิดล้อม แต่หากซูฉินต้องการโต้กลับ อย่างน้อยต้องมีหนึ่งถึงสองคนที่ถูกสังหารจนตาย พวกเขาล้วนเป็นภูมิหลังของนิกายใหญ่ ใครกันจะกล้ารุกรานบุคคลที่แข็งแกร่งในระดับเดียวกัน โดยไร้เหตุผล?

ส่วนพรรคหมื่นดาบ? นิกายใหญ่ที่ล่มสลายลงอย่างสมบูรณ์นั้น ไม่คุ้มค่าให้กลุ่มคนตรงนี้ต้องยอมเสี่ยงชีวิตแน่

“อย่างไรก็ตาม จากนี้อีกไม่นาน น่าจะเป็นจุดเป ลี่ยนของกระแสปราณฉีที่จะเกิดขึ้นบนโลกใช่ ไหม? จนถึงตอนนั้น จิตใจแห่งฟ้าดินภายในแผ่นดินแห่งยุทธฯ จะพุ่งทะยานขึ้นอีกครั้ง โอกาสครั้งใหญ่ที่หลงเหลือมาจากยุคเฟื่องฟูกระแสปราณฉีครั้งล่าสุดจะค่อยๆปรากฏขึ้นมาทีละอย่าง…”

ในเวลานี้ ร่างที่สองก็กล่าวคําออกมาช้าๆ

ท่าทีของคนอื่นๆ ก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย

กระแสปราณฉีมีขึ้นก็มีลง และยุคนี้เป็นช่วงที่กระแสปราณฉีกําลังเพิ่มขึ้น เพียงแต่ช่วงที่กระแสปราณฉีกําลังเพิ่มขึ้นนั้นมีจุดเปลี่ยนผ่านวิญญาณอยู่เก้าครั้ง

เมื่อผ่านจุดเปลี่ยนผ่านวิญญาณทั้งเก้าไปได้ กระแสปราณฉีจะฟื้นคืนจนกลับสู่ความรุ่งเรืองอีกครั้ง

และในตอนนี้ จากการคาดเดาของหลายๆคน จุดเปลี่ยนผ่านแรกของกระแสปราณฉีกําลังจะมาถึง

ในช่วงกระบวนการฟื้นฟูปราณฉี จุดเปลี่ยนผ่าน ทุกครั้งนั้นมีความสําคัญอย่างมาก เหตุผลที่แผ่นดินแห่งพลังยุทธฯ ถูกเรียกว่าแกนกลางของการฟื้นคืนปราณฉีก็เพราะเมื่อจุดเปลี่ยนผ่านมาถึง โอกาสอันยิ่งใหญ่ทั้งหมดจะปรากฏขึ้นบนแผ่นดินแห่งพลังยุทธอันยิ่งใหญ่

“ดูเหมือนว่าเราจะต้องเดินทางไปยังแผ่นดินแห่งพลังยุทธฯเสียแล้ว”

กลุ่มคนที่ยืนอยู่บนอากาศต่างก็หันหน้ามองกัน ราวกับตัวตนอันสูงส่ง

ในเวลาเดียวกัน

ทันทีที่ซูฉินกลับมายังแผ่นดินแห่งพลังยุทธฯ คิ้วของเขาก็ขมวดเข้าหากันเล็กน้อย

“ปราณฉีฟ้าดิน…ดูเหมือนมันกําลังพวยพุ่ง?” ซูฉินหรี่ตาลงเล็กน้อย และจิตใจของเขาก็ผสานเข้ากับจิตวิญญาณแรกกําเนิดที่อยู่กึ่งกลางระหว่างคิ้วโดยพลัน สังเกตทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่เบื้องหน้าด้วยมุมมองจากจิตวิญญาณแรกกําเนิด

หลังจากทําทุกอย่างแล้ว ซูฉินก็ยังไม่พอใจ และใช้ดวงตาแห่งสัจจะผ่านร่างจิตวิญญาณแรกกําเนิดโดยตรง

ดวงตาแห่งสัจจะคือทิพยอํานาจและผูกมัดเข้ากับจิตวิญญาณที่แท้จริงของซูฉิน ไม่ว่าจะเป็นร่างกาย ร่างจิตวิญญาณแรกกําเนิด หรือร่างอวตาร ก็สามารถใช้ทิพยอํานาจนี้ได้

ท่าทีของซูฉินเปลี่ยนไปเล็กน้อยหลังจากที่เบิกเนตรดวงตาแห่งสัจจะ

Sign in Buddha’s palm 287 คลื่นพลังที่เพิ่มขึ้น

ดวงตาแห่งสัจจะคือทิพยอํานาจแรกที่ซูฉินได้รับจากการลงชื่อเข้าใช้ มันมีพลังอํานาจที่น่าสะพรึงกลัวในแง่ที่สามารถใช้ตรวจสอบพลังฉีทั้งหมด

ซูฉินเบิกเนตรดวงตาแห่งสัจจะด้วยร่างจิตวิญญาณแรกกําเนิด และค้นพบสาเหตุที่พลังปราณฟ้าดินพวยพุ่งขึ้นมาในทันที

ในมุมมองของซูฉิน โลกทั้งใบเปรียบเสมือนผืนน้ําแห่งปราณฉี จิตใจแห่งฟ้าดินมีอยู่ทั่วไปหมด ทั้งหมดในลานสายตาดุจกระแสน้ําเชี่ยว

ในปัจจุบันมีกระแสปราณฉีเพิ่มมากขึ้น น้ําในกระแสธารเองก็ยกระดับสูงขึ้น เกือบจะล้นออกจากจุดเดิมแล้ว

“ในไม่ช้า กระแสปราณฉีจะเพิ่มขึ้นไปอีกหนึ่งระดับ” ซูฉินแตะปลายคาง ใบหน้าดูครุ่นคิด

รอจนกว่า ‘กระแสธารน้ํา ซึ่งเป็นตัวแทนของ พลังงานฟ้าดินและจิตใจแห่งฟ้าดินไหลมาบรรจบกันจนถึงจุดเปลี่ยน คาดว่าในยามนั้นพลังปราณฉีและจิตใจแห่งฟ้าดินจะเพิ่มเป็นเท่าทวี

“อย่างไรก็ตาม สิ่งนี้เป็นประโยชน์สําหรับข้าในการเข้าสู่ขอบเขตยอดอรหันต์” ซูฉินพยักหน้าเล็กน้อย ใบหน้าของเขาแสดงออกถึงความพึงพอใจ

ไม่ว่าจะเป็นขอบเขตเซียนเทพปฐพี่หรือยอดอรหันต์ ล้วนต้องใช้จิตวิญญาณแรกกําเนิดในการสื่อสารกับแก่นทะเลปราณในช่องว่างมิติ และนั่นเป็นเหตุผลที่จําเป็นจะต้องแปลงจิตวิญญาณแรกกําเนิด

ความแข็งแกร่งทางจิตอย่างการมีจิตวิญญาณแรกกําเนิดเท่านั้น จึงเป็นไปได้ที่จะผ่านช่องว่างมิติเข้าไปสู่แก่นทะเลปราณ
เพียงแต่ช่องว่างมิตินั้นช่างลึกลับอย่างยิ่ง ถึงแม้จะมีพลังจากจิตวิญญาณแรกกําเนิดก็ตาม แต่การจะทําได้หรือไม่ก็เป็นอีกเรื่อง

แต่ยามนี้ เมื่อกระแสน้ําแห่งปราณฉีผ่านจุดเปลี่ยนผ่าน ทะเลปราณในส่วนลึกของช่องว่างมิติก็จะเริ่มเพิ่มขึ้น ในกรณีนี้เท่ากับลดความยากลําบากสําหรับตํานานยุทธขั้นสูงสุดที่จะทะลวงผ่านไปยังขอบเขตเซียนเทพปฐพี ทําให้สามารถใช้จิตวิญญาณแรกกําเนิดชักนําเข้าสู่ทะเลปราณได้ง่ายขึ้น

แน่นอน

ไม่ว่ากระแสปราณฉีจะเพิ่มสูงขึ้นมากเพียงใด และเลยจุดเปลี่ยนผ่านไปมากเพียงไหน มันก็ลดเกณฑ์ขั้นต่ําในการเข้าสู่ขอบเขตเชียนเทพปฐพี หรือขอบเขตยอดอรหันต์ได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น

การจะเป็นเซียนเทพปฐพีนั้นยังคงยากเย็นแสนเข็ญ แทบจะเป็นไปไม่ได้เลย

“ลุงสาม ท่านเป็นอะไรหรือไม่?” หลีหว่านที่อยู่ด้านข้างซูฉินหยุดฝีเท้าลงเมื่อนางหันไปมองซูฉิน จากนั้นจึงถามด้วยเสียงต่ํา

“ไม่มีอะไรหรอก” ซูฉินแย้มยิ้มเล็กน้อย แล้วกล่าวเบาๆ “มันก็แค่รู้สึกอะไรบางอย่างได้เท่านั้น”

“รู้สึกอะไรหรือ?” หลีหว่านถามกลับไปโดยสัญชาตญาณ

เฒ่าเฟยยวและคนอื่นๆ ที่อยู่ข้างๆ พอได้ยินคํากล่าวนั้น พวกเขาก็เงี่ยหูฟังอยู่เงียบๆ สําหรับตัวตนเช่นซูฉิน เพียงประโยคเดียวก็มีความหมาย บางทีมันอาจจะเป็นประโยชน์อย่างมหาศาลให้กับพวกเขา

มีเพียงหลีหว่านเท่านั้น ที่ใช้สิทธิ์ความเป็นหลานสาวของซูฉินจึงกล้าถาม ไม่เช่นนั้นถ้าเป็นเฟยยี่หรือคนอื่นๆ แม้ว่าจะให้ความกล้าหาญแก่พวกเขาเพิ่มขึ้นอีกสิบเท่า ก็จะไม่มีใครกล้ากล่าวถามซูฉิน

“พลังฟ้าดินกําลังกลับสู่สภาพเดิมอีกครั้ง” ซูฉิน พูดคําบางอย่างที่แฝงความหมายเอาไว้ จากนั้นจึงรีบเดินทางไปยังเมืองฉางอัน

“พลังฟ้าดินกําลังกลับคืนสู่สภาพเดิมอีกครั้ง…” หลีหว่านกะพริบตา เหมือนจะเข้าใจแต่ก็ไม่เข้าใจ

รูม่านตาของชายชราเฟยยวและคนอื่นๆก็หดตัวลงราวกับพวกเขาเข้าใจอะไรบางอย่าง

ไม่นานนัก

ซูฉินก็กลับวังหลวงมาพร้อมกับคนกลุ่มหนึ่ง

หลังจากที่จักรพรรดิถังและคนอื่นๆทราบเรื่อง พวกเขาก็มาหาซูฉินทันที เมื่อพวกเขาเห็นหลีหว่านที่ยังมีชีวิตอยู่และสบายดี ต่างก็พากันถอนหายใจด้วยความโล่งอก

แม้ทุกคนจะมีความมั่นใจในตัวซูฉินมาก แต่คราวนี้ซูฉินไปยังต่างดินแดนและต้องเผชิญหน้ากับยักษ์ใหญ่อย่างพรรคหมื่นดาบ หากพวกเขาบอกว่าไม่กังวลเลยมันก็คงจะเป็นเรื่องโกหก

แม้จะเป็นนักพรตเฒ่าสํานักเอกะวิถี เขาก็รู้สึกไม่สบายใจเช่นกัน ซูฉินแข็งแกร่งมาก แต่พรรคหมื่นดาบอ่อนแอหรือ?

ในสายตาของนักพรตเฒ่า ซูฉินเป็นตํานานยุทธขันสูงสุดที่สามารถควบแน่น
อาณาเขตได้ ชายผู้แข็งแกร่งเช่นนี้สามารถอยู่อย่างเกรียงไกรในต่างแดนได้แน่นอน แต่การจะไปใช้อํานาจบังคับนิกายใหญ่ มันย่อมเป็นเพียงเรื่องตลก

นิกายใหญ่มีภูมิหลังมากมายนับไม่ถ้วน เป็นไปได้อย่างไรที่ตํานานยุทธขั้นสูงสุดผู้ควบแน่น อาณาเขตได้จะทําให้กลุ่มอํานาจนี้สั่นคลอน?

“ผู้อาวุโส พรรคหมื่นดาบยอมมอบองค์หญิงหลี หว่านกลับมาโดยง่ายหรือไม่?” นักพรตเฒ่ากล่าวถามอย่างระมัดระวัง

หลังจากที่นักพรตเฒ่าถาม ความสงสัยก็ปรากฏเด่นชัดบนใบหน้าของเขา ตามความเข้าใจเกี่ยวกับพรรคหมื่นดาบ อีกฝ่ายไม่ควรจะยอมปล่อยตัวมาง่ายๆ มิใช่หรือ?

ซูฉินยิ้มออกมาเมื่อได้ยินคําถามของนักพรตเฒ่า แต่ไม่ได้พูดอะไร

หลีหว่านรู้สึกช่วยไม่ได้ นางเหลือบมองซูฉิน และเมื่อเห็นว่าซูฉินไม่ได้ตั้งใจจะพูดอะไร นางจึงกล่าวออกมาตรงๆว่า “พรรคหมื่นดาบถูกทําลายโดยลุงสามเรียบร้อยแล้ว”

“ทําลายแล้ว

นักพรตเฒ่าตอบสนองไม่ถูกไปชั่วขณะหนึ่ง แต่ใบหน้าของเหยียนไร่กับหร่วนชิงกลับเปลี่ยนไปอย่างรุนแรง ตะลึงงันจ้องค้างไปที่หลีหว่าน

ช่วงเวลาต่อมา

ทันใดนั้นนักพรตเฒ่าก็รู้สึกตัว จิตใจยังคงยุ่งเหยิงปั่นป่วน

หลังจากผ่านไปอีกครู่หนึ่ง นักพรตเฒ่าก็รู้ตัว แต่ก็รู้สึกไม่อาจยอมรับ ถามออกมาด้วยเสียงสั่นเทา “พรรคหมื่นดาบ ถูกทําลายลงแล้วงั้นหรือ?”.

ทันทีที่คํานี้กล่าวออกมา เหยียนไห่และหร่วนชิงต่างก็จับจ้องไปที่หลีหว่านอย่างใกล้ชิด

เมื่อเทียบกับคนอื่นๆ อย่างจักรพรรดิถังที่ไม่เคยเดินทางไปยังต่างดินแดน เหยียนไห่และหร่วนซ่ง หนึ่งเป็นผู้ฝึกยุทธอิสระจากต่างดินแดน และอีกหนึ่งเป็นศิษย์จากสํานักเอกะวิถี รู้ดีว่าการล่มสลายของพรรคหมื่นดาบหมายถึงสิ่งใด

นี่คือนิกายใหญ่ระดับสูง

ยืนอยู่บนจุดสูงสุดของดินแดน สามารถมองผ่านจอมยุทธจํานวนนับไม่ถ้วนของนิกายใหญ่อื่นๆ

กล่าวออกมาได้อย่างไรว่าถูกทําลาย? แล้วมันปล่อยให้ซูฉินทําลายได้อย่างไร?

แม้ว่านักพรตเฒ่าจะประเมินซูฉินสูงแล้ว เขาก็ยังรู้สึกเหมือนว่าตนกําลังได้ยินเรื่องเล่าจากเทพนิยาย

“เป็นเช่นนั้นแน่นอน!”

หลีหว่านหยิบดาบยาวซึ่งเป็นอาวุธวิเศษที่ได้รับมาจากยอดเขาดาบพันจ้างบนเกาะหมื่นดาบออกมา และเหวี่ยงมันไปมาต่อหน้านักพรตเฒ่าผู้มากประสบการณ์

“ปราณดาบเช่นนี้? มันคืออาวุธวิเศษของพรรคหมื่นดาบอย่างนั้นหรือ?” นักพรตเฒ่าหรี่ตา พึมพําอยู่กับตนเอง

ปราณดาบของพรรคหมื่นดาบเป็นที่รู้จักดีในต่างแดน นอกจากนักพรตหมั่นดาบเมื่อสี่พันปีก่อนแล้ว ยังจะมีใครสามารถทิ้งอาวุธวิเศษที่เต็มไปด้วยปราณดาบเช่นนี้ได้

หากจะบอกว่าพรรคหมื่นดาบมอบมันให้หลีหว่าน เพื่อไม่ให้ซูฉินซึ่งเป็นตํานานยุทธขั้นสูงสุดที่ควบแน่นอาณาเขตได้นั้นขุ่นเคือง มันก็ดูจะไม่สมเหตุสมผลไปหน่อย

การที่หลีหว่านถืออาวุธวิเศษของพรรคหมื่นดาบไว้ในมือ มันหาสิ่งอื่นมาอธิบายไม่ได้เลย

พรรคหมื่นดาบจะมอบอาวุธวิเศษที่เป็นมรดกของตนให้แก่หลีหว่านได้อย่างไร?

รู้หรือไม่ ความสําคัญของอาวุธวิเศษยังอยู่เหนือยิ่งกว่าตํานานยุทธขั้นสูงสุด

สุดท้ายตํานานยุทธขั้นสูงสุดยังตายได้ด้วยความแก่ชรา แม้จะหลับใหลด้วยวิธีปิดผนึกพลัง แต่มันก็มีขีดจํากัด ทว่ามรดกอย่างอาวุธวิเศษสามารถส่งต่อไปได้หลายชั่วอายุคนเพื่อปกป้องพรรคหมื่นดาบ

เว้นเสียแต่ว่าสิ่งที่หลีหว่านพูดจะเป็นความจริง ซูฉินได้เข้าไปกวาดล้างพรรคหมื่นดาบจนสิ้น
หลังจากการล่มสลายของพรรคหมื่นดาบ ย่อมมีอาวุธวิเศษจํานวนมากให้ซูฉินได้เลือกสรร
เพียงแต่ว่า

นักพรตเฒ่าก็ยังคงไม่อาจเชื่อ

เพราะถ้าเป็นจริงตามนั้น พรรคหมื่นดาบคงถูกทําลายลงแล้วอย่างแน่นอน
แต่สิ่งนั้นจะเกิดขึ้นได้อย่างไร?

ตั้งแต่สมัยโบราณมาจนถึงปัจจุบัน จริงอยู่ว่ามีการล่มสลายของนิกายใหญ่อยู่บ้าง แต่โดยพื้นฐานแล้วมันเป็นฝีมือของเซียนเทพปฐพีบางคนที่ลงมือทําลายล้าง

แต่ซูฉิน…

นักพรตเฒ่ากลืนน้ําลาย มองไปยังซูฉิน ราวกับเห็นเทพเจ้า

หลังจากที่ซูฉินสามารถทําลายพรรคหมื่นดาบได้ เขาก็ปิดด่านฝึกตน จากนั้นจึงกลับเมืองฉางอัน เกรงว่าความแข็งแกร่งของเขานั้นคงมากเกินกว่าแค่ระดับควบแน่นอาณาเขตไปแล้ว

ต่อมา คนทั้งหลายก็พูดคุยกันอีกพักหนึ่งแล้ว จึงแยกย้ายกันไป

และซูฉินก็ได้เตือนจักรพรรดิถังเป็นพิเศษอยู่สองสามคํา เพื่อให้เขาใส่ใจสถานการณ์ของโลกในตอนนี้ให้มาก

ในขณะนี้ ซูฉินสังเกตเห็นได้ด้วยดวงตาแห่งสัจจะ และพบว่าปราณฉีจิตใจแห่งฟ้าดินดูเหมือนจะถึงจุดเปลี่ยนผ่าน ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อทั้งทวีปอย่างไม่อาจเลี่ยง

หลังจากนั้น ซูฉินก็ได้ถ่ายทอดเคล็ดวิชาดาบประเภทอื่นให้หลีหว่านเพิ่ม

เคล็ดวิชาดาบเหล่านี้ล้วนได้มาจากการลงชื่อเข้าใช้ของซูฉินในช่วงปีนี้ รวมถึงเคล็ดวิชาที่ลงชื่อได้จากพรรคหมื่นดาบ

ตอนนี้หลีหว่านมีเจตจํานงแห่งดาบของพรรคหมื่นดาบอยู่ในร่างแล้ว ในวิถีแห่งวิชาดาบ นางจะไม่ขาดแคลนสิ่งใดอีกต่อไป สิ่งที่จําเป็นต้องมีคือเคล็ดวิชาจํานวนมาก

และในทุกๆวันนี้ สิ่งที่ซูฉินไม่ขาดแคลนมากที่สุดก็คือเคล็ดวิชาการบ่มเพาะเหล่านั้น

ชายแดนทางตอนใต้ของอาณาจักรถัง

ภายในป่าเขาหนาทึบแห่งหนึ่ง

นี่คือฐานหลักของนิกายเทพเจ้าสายฟ้าจากต่างดินแดนที่ก่อตั้งขึ้นในแผ่นดินแห่งพลังยุทธอันยิ่งใหญ่

ในเวลานี้ ศิษย์นิกายเทพเจ้าสายฟ้าหลายร้อยคนกําลังนั่งขัดสมาธิอยู่ท่ามกลางสายฟ้าฟาดค่อยๆปรับปรุงความแข็งแกร่งของตนเอง

บนแท่นสูง รองผู้นํานิกายเทพเจ้าสายฟ้าในชุดคลุมสีน้ําเงินเข้มนั่งอยู่บนนั้นเงียบๆ

ฉับพลัน

ในตอนนั้นเอง

กลิ่นอายอันน่าสยดสยองก็พุ่งทะลุชั้นฟ้าดินทะลวงผ่านก้อนเมฆน้อยใหญ่ไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด สุดท้ายมันก็ฟาดกลับลงมาที่หน้านิกายเทพเจ้าสายฟ้า

เจ้าของกลิ่นอายนี้ดูสูงส่งยิ่งใหญ่ ทุกการขยับตัวมีสายฟ้าจางๆแล่นไปทั่ว ราวกับเป็นเทพเจ้าสายฟ้าในตํานาน

เมื่อรองผู้นํานิกายเทพเจ้าสายฟ้าเห็นฉากนี้ เขาก็ตกใจและรีบก้าวเท้าไปข้างหน้า โค้งคารวะ พร้อมกับกล่าวว่า “ศิษย์นิกายเทพเจ้าสายฟ้ารุ่น หนึ่งร้อยยี่สิบเก้า เหลยหงน้อมพบบรรพบุรุษ เหลยสิง”

หลังจากรองผู้นํานิกายอย่างเหลยหงโค้งคารวะ ศิษย์สาวกอีกหลายร้อยคนของนิกายเทพเจ้าสายฟ้าพลันตอบสนองตามทันที “น้อมพบบรรพบุรุษเหลยสิง”

ชายร่างสูงที่มาใหม่มีชื่อว่าเหลยสิง เป็นบรรพชนนิกายเทพเจ้าสายฟ้าที่แปลงจิตวิญญาณแรกกําเนิดได้ตั้งแต่พันกว่าปีก่อน

“ลุกขึ้นเถอะ”

ร่างของบรรพบุรุษเหลยสิงมีสายฟ้าปกคลุมโดยรอบอยู่ตลอดเวลา เหมือนกับมังกรสายฟ้าโอบรัดรอบกายของเขาอย่างต่อเนื่อง

“ท่านบรรพชน ข้าเป็นศิษย์ที่อกตัญญยิ่งนัก นิกายเทพเจ้าสายฟ้าของเราเกรียงไกรเพียงใดในต่างแดน? เป็นผู้เชี่ยวชาญในศาสตร์สายฟ้าควบคุมท้องฟ้า แต่ตอนนี้กลับยึดพื้นที่ได้เพียงมุมที่ห่างไกลของแผ่นดินแห่งพลังยุทธฯ ไกลจากแกนกลางกว่าหนึ่งหมื่นแปดพันลี้ ข้าละอายใจยิ่งที่ทําให้บรรพชนต้องผิดหวัง….”

รองผู้นํานิกายเทพเจ้าสายฟ้าคุกเข่าลงกับพื้นน้ําตาไหลอาบใบหน้า

“นี่โทษเจ้าไม่ได้ แม้แต่พรรคหมื่นดาบก็ถูกทําลายลงด้วยน้ํามือของตํานานยุทธจากอาณาจักรถัง เจ้าสามารถวางรากฐานได้เช่นนี้ ก็ค่อนข้างดีมากแล้ว”

บรรพบุรุษเหลยสิงกล่าวค่าช้าๆ

“อะไรนะ?”

“พรรคหมื่นดาบถูกทําลาย?”

รองผู้นํานิกายเหลยหงตกตะลึง

เขาไม่เคยคิดฝันว่าพรรคหมื่นดาบจะถูกทําลาย ทั้งยังถูกทําลายด้วยฝีมือของตํานานยุทธเมืองฉางอัน?

ไม่ใช่ว่าตํานานยุทธเมืองฉางอันเพิ่งควบแน่นอาณาเขต? มันจะแข็งแกร่งเช่นนี้ได้อย่างไร?

เหลยหงรู้สึกหวาดกลัว และสงบใจลงได้หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง

“ท่านบรรพชน ท่านมาที่นี่ด้วยเหตุใด?” เหลยหงกลืนน้ําลาย ถามออกอย่างไม่แน่ใจนัก

“การฟื้นคืนของกระแสปราณฉีกําลังจะถึงจุดเปลี่ยนผ่าน ข้าได้มาที่นี่ก็เพื่อคว้าโอกาสจากจุดเปลี่ยนผ่านให้แก่นิกายเทพเจ้าสายฟ้าของเรา”

เมื่อเหลยสิงพูดถึงเรื่องนี้ เขาก็หยุดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วพูดต่อว่า “แล้วอีกอย่าง ข้ากับสหายเต่สองสามคน จะไปพูดคุยกับตํานานยุทธเมืองฉางอันด้วย”

“ไม่เช่นนั้น หากปล่อยให้อีกฝ่ายครอบครอง แกนกลางของแผ่นดินแห่งพลังยุทธ นิกายใหญ่ของพวกเรายังจะเหลือผู้คนอยู่อีกหรือ?”

น้ําเสียงของบรรพบุรุษเหลยสิงนั้นเรียบง่าย แต่เต็มไปด้วยความมั่นใจในตนเองอย่างแรงกล้า

เหตุผลที่เขาไม่สนใจอาณาจักรถังในช่วงก่อนหน้านี้เป็นเพราะกระแสปราณฉีเพิ่งเริ่มฟื้นตัว และโอกาสต่างๆยังไม่ปรากฏขึ้น แม้นิกายเทพเจ้าสายฟ้าจะครอบครองพื้นที่ทั้งหมดไปก็ไม่มีประโยชน์

แต่ตอนนี้ จุดเปลี่ยนผ่านแรกของกระแสปราณฉีกําลังจะมาถึง โอกาสอันยิ่งใหญ่ที่เกี่ยวข้องกับยุคเฟื่องฟูปราณฉีครั้งล่าสุดกําลังจะปรากฏขึ้น และนิกายเทพเจ้าสายฟ้าย่อมเข้าร่วมการแก่งแย่งครั้งนี้เป็นธรรมดา

Sign in Buddha’s palm 288 ความสําเร็จระ ดับเล็ก

ไม่ใช่เพียงนิกายเทพเจ้าสายฟ้าเท่านั้น

แทบจะในเวลาเดียวกัน ทั้งตําหนักเทพเจ้าหิมะ นิกายเฮยหยวน และนิกายใหญ่แห่งอื่นๆ จากต่างแดน ก็ได้ส่งบรรพชนที่แข็งแกร่งที่สุดของพวกเขามา

ณ เขตแดนน้ําแข็งขั้วโลกตอนเหนือ ไม่รู้ว่าด้านนอกตําหนักเทพเจ้าหิมะมีหญิงสาว ในชุดชาววังคนหนึ่งมายืนอยู่ตั้งแต่เมื่อใด

หญิงที่แต่งกายในชุดชาววังยืนอยู่ตรงนั้นเงียบๆ กลิ่นอายดูอ่อนแอราวกับคนธรรมดาทั่วไป แต่ถ้ามองดีๆจะพบว่านัยน์ตาของหญิงสาวชุดชาววังมีเขตแดนน้ําแข็งกําลังเบ่งบานอยู่ภายใน

เมื่อเห็นหญิงในชุดชาววังผู้นี้ ศิษย์สาวกรวมถึงผู้อาวุโสทั้งหมดในตําหนักเทพเจ้าหิมะรีบออกไปด้านนอก ต่างพากันก้มลงกราบไหว้

“ท่านบรรพชน ที่ท่านตื่นขึ้นและเดินทางมาในครั้งนี้ เป็นเพราะจุดเปลี่ยนผ่านของกระแสปราณฉีที่กําลังจะมาถึงใช่หรือไม่?” รองหัวหน้า ตําหนักเทพเจ้าหิมะกล่าวถามหญิงในชุดชาววังอย่างระมัดระวัง

“มิผิด” หญิงสาวในชุดชาววังยังคงเฉยเมย ราวกับภูเขาน้ําแข็งที่จะอยู่ไปตราบชั่วนิจนิรันดร์และกระซิบคําต่อไปว่า “อย่างไรก็ตาม ตัวข้าและสหายเต่ําอีกสองสามคนจะไปพบตํานานยุทธแห่งอาณาจักรถังสักเล็กน้อย”

รองหัวหน้าตําหนักเทพเจ้าหิมะตกใจเล็กน้อย เมื่อได้ยินเรื่องนี้ กล่าวออกอย่างรวดเร็ว “แต่ท่านบรรพชนเพิ่งบอกว่าตํานานยุทธเมืองฉางอันเพิ่งจะทําลายพรรคหมีนดาบด้วยพลังของเขาเอง ความแข็งแกร่งของเขานั้นมิอาจหยั่งรู้ได้……”
รองหัวหน้าตําหนักเทพเจ้าหิมะลังเล และกล่าวออกอย่างไม่แน่ใจ

เมื่อนางรู้จากปากของหญิงสาวชุดชาววังว่าพรรคหมื่นดาบถูกทําลายลงภายใต้น้ํามือของซูฉิน นางก็ตกใจอย่างมาก

ตอนนี้พอได้ยินว่าบรรพชนต้องการจะพบซูฉิน ใจก็รู้สึกกังวลเล็กน้อย
“สบายใจได้”

หญิงที่แต่งกายด้วยชุดชาววังส่ายศีรษะเล็กน้อย และพูดอย่างดูถูก “พรรคหมื่นดาบสืบทอดมรดกมาเพียงสี่พันกว่าปีเท่านั้น จะเทียบกับตําหนักเทพเจ้าหิมะของเราได้เช่นไรกัน?”

“ในพรรคหมื่นดาบทั้งหมดตลอดช่วงสองพันปีที่ผ่านมา มีเพียงบรรพชนดาบเท่านั้นที่แปลงจิตวิญญาณแรกกําเนิดได้”

“แต่กระนั้นร่างของบรรพชนดาบก็เสื่อมสลายไปนานแล้ว หากปราศจากการหล่อเลี้ยงจากร่างกาย จิตวิญญาณแรกกําเนิดก็เหมือนกับจอกแหนที่ไร้ราก จอมยุทธเช่นข้า หากต้องการจะใช้กระบวนท่าขั้นสูงสุดทั้งหลาย ก็ต้องอาศัยกายเนื้อ”

“บรรพชนดาบไม่มีกายเนื้อ ด้วยเพียงจิตวิญญาณแรกกําเนิด แน่นอนเขาสามารถรักษาพลังการต่อสู้ส่วนใหญ่ไว้ได้ แต่การต่อสู้ของจอมยุทธในระดับเดียวกัน ความผิดพลาดเพียงนิดอาจกระทบต่อผลแพ้ชนะได้แล้ว ไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องที่มีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งสูญเสียร่างกายเลยมิใช่หรือ?”

น้ําเสียงของหญิงสาวในชุดชาววังนั้นเรียบง่าย ไม่มีความผันผวนขึ้นลงแม้แต่น้อย

บรรพชนดาบเป็นเพียงร่างจิตวิญญาณแรกกําเนิด สามารถจัดการกับตํานานยุทธขั้นสูงสุดที่อยู่ต่ํากว่าระดับการเปลี่ยนแปลงจิตวิญญาณแรกกําเนิดได้ แต่เมื่อเผชิญหน้ากับตัวตนระดับเดียวกัน ย่อมอ่อนแอกว่าเมื่อเข้าประมือ

เรื่องที่ซูฉินนั่นศีรษะบรรพชนดาบ หญิงสาวในชุดชาววังไม่แปลกใจ เพราะนางมั่นใจว่านางสามารถทําได้เช่นกัน ส่วนการทําลายพรรคหมื่นดาบ……

ท้ายที่สุดพรรคหมื่นดาบก็เป็นนิกายที่เซียนเทพปฐพีสร้างขึ้น ซูฉินสามารถทําลายพรรคหมื่นดาบได้ ความแข็งแกร่งของเขาจะต้องเหนือธรรมดาและแปลงจิตวิญญาณแรกกําเนิดได้แล้วอย่างแน่นอน

แต่คราวนี้หญิงสาวในชุดชาววังไม่ได้ไปที่เมืองฉางอันเพียงลําพัง แต่ไปกับสหายเต่จากนิกายใหญ่แห่งอื่นๆอีกสองสามคน

ตํานานยุทธขั้นสูงสุดที่แปลงจิตวิญญาณได้ แล้วรวมพลังกัน แม้ว่าซูฉินจะแข็งแกร่ง ตราบใดที่ไม่ได้เหยียบย่างเข้าสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพี พวกเขาย่อมไม่หวั่นเกรงอย่างแน่นอน

นี่เป็นความมั่นใจอันใหญ่ยิ่งของหญิงสาวในชุดชาววัง

และในตอนนี้

ที่เมืองฉางอัน

ภายในวังหลวง

ซูฉินปิดด่านอยู่ชั่วระยะหนึ่ง หลังจากปรับสมดุลจิตวิญญาณแรกกําเนิดแล้ว เขาก็กลับไปยังพระราชวังตะวันออกเพื่อชี้แนะแนวทางการฝึกฝนให้กับตระกูลซู

เป็นเวลาหลายเดือนแล้วนับตั้งแต่ซูฉินเดินทางไปต่างดินแดน ดังนั้นจึงเป็นเรื่องปกติที่จะติดตามความคืบหน้าด้านวิทยายุทธของตระกูล

“ฉินเฮ่อ เจ้าทะลวงขั้นอีกแล้วงั้นหรือ?” ด้านนอกตําหนักชุนฝั่งขวา ซูชื่อหมินกําลังฝึกหมัดอรหันต์

หมัดอรหันต์เป็นเคล็ดหมัดมวยที่ซูฉินนําออกมาจากวัดเส้าหลิน มันเป็นวิธีการออกหมัดพื้นฐาน แต่ในขณะนี้เมื่ออยู่ในมือของซูชื่อหมิน มันมีท่วงท่าที่แตกต่างออกไป คล้ายคลึงกับผู้ทรงสมณศักดิ์ขอบเขตอรหันต์ตัวจริงเลยทีเดียว การเหวี่ยงหมัดเรียบง่ายและสง่างาม พลังฟ้าดินจํานวนมากหลั่งไหลเข้าสู่ร่างกาย ปรับปรุงการฝึกฝนของซูชื่อหมินอยู่ตลอด

“ทะลวงขั้นเล็กน้อย” ซูฉินกล่าวอย่างสบายๆ

สําหรับตํานานยุทธขั้นสูงสุดคนอื่นๆ การแปลงจิตวิญญาณแรกกําเนิดนั้นเรียกได้ว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ เมื่อก่อเกิดจิตวิญญาณแรกกําเนิดเท่ากับกําจัดโซ่ตรวนทางกาย เดินทางท่องทั่วไปได้หลายพันลี้ มันราวกับได้เกิดใหม่อีกครั้ง น่าเหลือเชื่ออย่างยิ่ง

แต่ในสายตาของซูฉินมันเป็นเพียงความก้าวหน้าเล็กน้อย” ไม่ใช่เรื่องน่าดีใจอะไรนัก

“ฉันเอ่อ ความก้าวหน้าเล็กน้อยของเจ้า ในสายตาคนธรรมดาอย่างเรา เกรงว่ามันจะเป็นความก้าวหน้าที่เทียบได้กับคนธรรมดาก้าวเดินไปจนถึงขอบเขตตํานานยุทธ……”

ขณะที่ซูชื่อหมินกําลังพูดไปนั้น เขาก็ยังคงออกหมัดอรหันต์อย่างต่อเนื่อง

“ท่านพ่อ ความแข็งแกร่งของท่านกําลังจะก้าวเข้าสู่ขอบเขตตํานานยุทธในเร็ววันแล้ว” ซูฉินเหลือบมองหมัดอรหันต์ของซูชื่อหมิน รอยยิ้มพลันปรากฏขึ้นบนใบหน้า

ในช่วงไม่กี่ปีมานี้ ซูชื่อหมินได้ไต่จากระดับชั้นที่ห้าจนมาเป็นปรมาจารย์ระดับชั้นที่สอง มีเพียงเส้นขั้นบางๆ ก่อนจะกลายเป็นยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่ง

แน่นอนว่านี่เป็นเพราะกระแสปราณฉี และเคล็ด วิชาร่วมกับโอสถศักดิ์สิทธิ์ที่ซูฉินมอบให้ แต่ ความอุตสาหะของซูชื่อหมินก็เป็นส่วนหนึ่งที่ สําคัญ

“แม้ว่าพ่อจะชอบวิทยายุทธ แต่ก็รู้ดีว่าความสามารถมีจํากัด แต่ตอนนี้ที่พ่อได้รับความช่วยเหลือจากฉันเอ่อ หากยังไม่มีการพัฒนา เห็นทีคงต้องกลับไปนอนอยู่บนกองเงินกองทองดีกว่า ลืมชีวิตที่ต้องดิ้นรนนี้ไปเสีย”

เมื่อซูชื่อหมินกล่าวเช่นนี้ เขาก็หยุดไปครู่หนึ่ง ราวกับกําลังคิดอะไรบางอย่าง ถอนหายใจออกมาเล็กน้อย “น่าเสียดายที่หยวนเอ๋อไม่สนใจวิทยายุทธ ไม่เช่นนั้นคงจะลากตัวมาซ้อมมือกับพ่ออย่างแน่นอน”

หยวนเอ๋อ’ จากปากของซูชื่อหมินก็คือองค์รัชทายาทแห่งราชวงศ์ถัง
เมื่อเทียบกับหลีหว่านที่หมกมุ่นอยู่แต่กับวิทยายุทธมาตั้งแต่เด็ก คอยเดินติดตามซูฉินตลอดทั้งวัน หลี่หยวนนั้นตรงกันข้าม ไม่สนใจเรื่องราวของวิทยายุทธเลย อุทิศตนให้กับวิชาการบ้านการเมืองเสียมากกว่า

“ทุกคนมีทางของตนเอง” ซูฉินส่ายศีรษะเล็กน้อย กล่าวออกมาเบาๆ

เขาให้ทางเลือกแก่หลี่หยวนไปแล้ว และอีกฝ่ายก็ยืนกรานที่จะไม่เดินไปในเส้นทางการฝึกยุทธ ดังนั้นซูฉินจึงไม่คิดจะพูดอะไรอีกต่อไป

หลังจากนั้น

ซูฉินก็พูดคุยกับซูชื่อหมินอีกนิดหน่อย แล้วก็ปลีกตัวเดินเล่นไปรอบๆวัง จากนั้นจึงกลับมายังโถงพระราชวังอันสูงตระหง่านอีกครั้ง

“จัดตั้งตะเกียงพุทธนี่เสียก่อน”

กระแสจิตจากซูฉินสั่นไหว ทันใดนั้นก็เห็นตะเกียงพุทธค่อยๆลุกไหม้ขึ้นอย่างช้าๆที่เบื้องหน้า

ตะเกียงพุทธนี้ คือตะเกียงพุทธหมื่นวิญญาณที่ซูฉินได้รับมาจากวิหารหมื่นพุทธ

เมื่อไส้ตะเกียงติดไฟแล้ว ไม่มีทางที่ใครจะบุกรุกเข้ามาได้

แน่นอนว่าเรื่องที่ไม่สามารถบุกเข้ามาได้ ก็ไม่ใช่ทุกกรณี อย่างน้อยตะเกียงพุทธหมื่นวิญญาณนี้ก็ไม่สามารถหยุดการรุกรานจากซูฉินได้

แต่ไม่ว่าอย่างไร ตะเกียงพุทธนี้ก็ยังเป็นสมบัติ พุทธคุณที่หายากชิ้นหนึ่ง

หลังจากแขวนตะเกียงพุทธหมื่นวิญญาณไว้บนยอดพระราชวังอันสูงตระหง่าน และปล่อยให้แสงพุทธคุณกระจายล้อมรอบโถงทั้งหมดแล้ว ซูฉินก็ดึงธงสีเหลืองออกมา
มันคือธงวู่ถู

ธงวู่ถูเป็นอาวุธวิเศษที่ซูฉินได้รับจากการลงชื่อเข้าใช้ที่แหล่งกําเนิดธาตุดิน ภายในมีค่ายกลขนาดใหญ่หลายประเภท ที่ต้องทําเพียงแค่ปักธงวู่ถูไว้เท่านั้น และค่ายกลจะทํางานโดยอัตโนมัติ ไม่จําเป็นต้องกังวลสิ่งใด
หวิ่ง!

เมื่อธงวู่ถูปักลงไปบนโถงหลัก ทันใดนั้นทั่วทั้งห้องโถงก็ถูกปกคลุมไว้ด้วยแสงสีเหลืองนวลจางๆ คล้ายสีของชั้นดิน

เมื่อถูกปกคลุมไว้ด้วยค่ายกลขนาดใหญ่ภายในธงวู่ถู พระราชวังสีดําใต้ดินทั้งหมดราวกับอันตรธานหายไปอย่างอย่างสิ้นเชิง แม้ตํานานยุทธขั้นสูงสุดจะชําเลืองสายตามองมา ก็ไม่สามารถสังเกตเห็นได้

“ไม่เลว”

“มันยังมาพร้อมลูกเล่นที่ซ่อนอยู่ด้วย” รอยยิ้มพึงพอใจปรากฏขึ้นบนใบหน้าของซูฉิน

แม้ด้วยความรู้เรื่องค่ายกลที่มีอยู่มากมาย การจะก่อตั้งค่ายกลขนาดใหญ่ที่ใช้ในการซ่อนเร้นย่อมง่ายดายเพียงแค่คิด

แต่เมื่อก่อตั้งค่ายกลฟ้าดินสําเร็จแล้ว จะต้องคอยปรับปรุงอยู่เป็นระยะจะไปเหมือนธงวู่ถูนี้ได้อย่างไร ตราบใดที่ตัวอาวุธไม่ถูกทําลาย ค่ายกลก็จะยังคงอยู่ตลอดไป นี่ไม่ใช่ว่าสะดวกสบายอย่างมากหรอกหรือ?

“ตอนนี้จิตวิญญาณแรกกําเนิดของข้าได้ถูกสร้างขึ้นมาแล้ว อาณาเขตก็มั่งคง ถึงเวลาที่จะทะลวงขอบเขตยอดอรหันต์แล้ว” ซูฉินนั่งขัดสมาธิ หยุดพักการฝึกมานั่งขบคิดแทน

“หากต้องการก้าวเข้าสู่ขอบเขตยอดอรหันต์ ต้องใช้จิตวิญญาณแรกกําเนิดหลอมรวมเข้ากับทะเลปราณดึงพลังฟ้าดินอันอนันต์มาหล่อเลี้ยงร่างกาย…”

“แต่ทะเลปราณนั้นมีทั้งจุดที่ลึกและจุดที่ตื้น พลังของทะเลปราณเขตล็กกับทะเลปราณเขตตื้นนั้นไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกันอย่างเห็นได้ชัด”

ซูฉินครุ่นคิดเงียบๆ

เมื่อตํานานยุทธขั้นสูงสุดธรรมดาๆ มาถึงขอบเขตเชียนเทพปฐพี ตราบใดที่สามารถหลอมรวมเข้ากับทะเลปราณได้สําเร็จ นับว่าโชคดีอย่างยิ่งแล้ว จะกล้าพิจารณาเข้าไปในส่วนลึกของทะเลปราณได้อย่างไร

“เดิมที ข้าวางแผนจะใช้ภาพดวงตะวันขนาดมหึมาเป็นรากฐาน และใช้จิตวิญญาณแรกกําเนิดรวมเข้ากับทะเลปราณ”

“ภาพดวงตะวันขนาดมหึมามีแก่นแท้มาจากอีกาทองคําสามขา สัตว์ศักดิ์สิทธิ์ที่แข็งแกร่งที่สุดในธาตุไฟ มันสามารถนําจิตวิญญาณแรกกําเนิดของข้าไปสู่ส่วนที่ลึกที่สุดของทะเลปราณได้อย่างแน่นอน”

“แต่ตอนนี้ภาพดวงตะวันขนาดมหึมาของข้าเป็นเพียงขั้นเริ่มต้น ความสําเร็จระดับนี้ทําให้มีกลิ่นอายอีกาทองคําสามขา แต่ไม่สามารถมีบทบาทในการช่วยให้เข้าสู่ทะเลปราณได้…”

ซูฉินหรี่ตาลงเมื่อคิดถึงเรื่องนี้

หากเพียงแค่ต้องการก้าวเข้าสู่ขอบเขตยอดอรหันต์ ซูฉินสามารถทําได้ตั้งแต่อยู่ในแหล่งกําเนิดธาตุดินตอนที่เดินทางไปเยือนวิหารหมื่นพุทธ

แต่ซูฉินเลือกที่จะไม่ทํา

แม้แต่ในขอบเขตเซียนเทพปฐพี ก็มีความแตกต่างระหว่างระดับสูงและระดับต่ํา

หากซูฉินต้องการจะมุ่งหน้าเข้าสู่ขอบเขตนี้ เขาหวังว่าตนจะมีประสิทธิภาพยอดเยี่ยมจนทิ้งเซียนเทพปฐพีอื่นไว้เบื้องหลัง

“อย่างน้อยก็ต้องถึงความสําเร็จระดับเล็กในภาพดวงตะวันขนาดมหึมา จึงจะช่วยให้ข้าครอบครองความสามารถของอีกาทองคําสามขา และนั่นจะพาข้าไปสู่ห้วงลึกของทะเลปราณ”
ความคิดของซูฉินผันผวน

การฝึกฝนภาพดวงตะวันขนาดมหึมาแบ่งออกเป็นสามระดับ

เริ่มต้น ความสําเร็จระดับเล็ก ความสําเร็จชั้นยอด

ตราบใดที่ฝึกภาพดวงตะวันฯจนถึงความสําเร็จชั้นยอด เทียบเท่ากับฝึกฝนภาพดวงตะวันขนาดมหึมาได้จนสําเร็จครบถ้วนทุกกระบวนความ ในเวลานั้นซูฉินจะสามารถแปลงกายเป็นอีกาทองคําสามขา ซึ่งเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ที่แข็งแกร่งที่สุดในด้านเปลวเพลิงได้ตามใจนึก

สําหรับการเข้าสู่ความสําเร็จระดับเล็ก….

ภาพดวงตะวันขนาดมหึมาในระดับเริ่มต้น สามารถทําให้ซูฉินมีกลิ่นอายของอีกาทองคําสามขา

และความสําเร็จระดับเล็ก ทําให้ซูฉินมีความสามารถพิเศษและพลังเหนือธรรมชาติบางอย่างของอีกาทองคําสามขา

เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ ซูฉินก็ได้ตรวจสอบพื้นที่ระบบ และมองไปยังจุดหนึ่ง โอสถศักดิ์สิทธิ์และสมบัติธาตุไฟกองซ้อนทับกันอยู่อย่างกับภูเขา

ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา โอกาสในการลงชื่อเข้าใช้ของซูฉินส่วนใหญ่ถูกใช้ไปภายในภูเขาไฟใต้ดินของเมืองอินจีในโลกถ้ําปีศาจทําให้ได้ โอสถธาตุไฟและสมบัติธาตุไฟมาเป็นจํานวนมาก
อย่างไรก็ตาม ซูฉินไม่แน่ใจว่าโอสถปีศาจธาตุไฟและสมบัติเหล่านี้จะสามารถผลักดันภาพดวงตะวันขนาดมหึมาเข้าสู่ความสําเร็จระดับเล็กได้หรือไม่

เนื่องจากเวลาในการลงชื่อเข้าใช้ภายในภูเขาไฟใต้เมืองอินจีแห่งโลกถปีศาจนั้นสั้นเกินไป

ถ้าเขามีเวลาอีกสักสิบปีในการลงชื่อเข้าใช้และได้รับโอสถและสมบัติธาตุไฟเพิ่มเติม ซูฉินมั่นใจว่าจะผลักดันภาพดวงตะวันขนาดมหึมาไปถึงความสําเร็จระดับเล็กได้

“ไม่ต้องสนใจ”

“ก็แค่ลองดูก่อน”

ซูฉินสงบใจลง และตัดสินใจทุกสิ่งด้วยหัวใจของเขาเอง

ต่อจากนั้น ซูฉินก็ปิดด่านฝึกตนอีกครั้ง

เวลาผ่านไปอย่างช้าๆ

พริบตาเดียวก็ผ่านไปหกเดือน ในช่วงระยะเวลาหกเดือนนี้ซูฉินได้กลืนกิน โอสถศักดิ์สิทธิ์ธาตุไฟและสมบัติจํานวนนับไม่ถ้วน จนผลักดันภาพดวงตะวันขนาดมหึมาเข้าใกล้ความสําเร็จระดับเล็กอย่างต่อเนื่อง

วันหนึ่ง

ซูฉินเปิดเปลือกตาของเขาขึ้นมาอย่างเงียบเชียบ

ปร็ด!!

เสียงก้องคํารามพลันระเบิดออกมา และส่วนลึกภายในดวงตาของซูฉิน ดวงตะวันขนาดมหึมาที่ร้อนแรงแผดเผาก็โผล่ขึ้นมาจางๆ

ในส่วนลึกของดวงตะวัน อีกาทองคําสามขากู่ก้องคํารามโบยบินไปบนฟากฟ้า เปลวไฟอันน่าสะพรึงกลัวปะทุขึ้นในทันที แผดเผาฟ้าดินจนสิ้น

Sign in Buddha’s palm 285 พลังของจิต วิญญาณแรกกําเนิดอันน่าสยดสยอง

ณ พรรคหมื่นดาบ

เหนือยอดเขาดาบพันจ้าง

ภายในห้องโถงใหญ่

ซูฉินนั่งขัดสมาธิ ภายนอกดูสงบนิ่งไร้ความผันผวน เหมือนเป็นเพียงคนธรรมดาคนหนึ่งที่นั่งอยู่ตรงจุดนั้น

แต่ในความเป็นจริง ภายในร่างของซูฉินมีการเปลี่ยนแปลงที่แทบจะสั่นสะเทือนโลกได้เลยทีเดียว

จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ยังคงผสานเข้าด้วยกัน ควบแน่นเป็นร่างลวงตาอยู่กึ่งกลางระหว่างคิ้ว ยืนอยู่ข้างองค์ยูไลทองคําที่มือหนึ่งชี้ขึ้นฟ้าอีกมือเอื้อมแตะพสุธา

การแปลงจิตวิญญาณแรกกําเนิดเป็นการเปลี่ยนแปลงในเชิงคุณภาพในระดับจิตวิญญาณ ไม่เกี่ยวข้องกับจิตใจแห่งฟ้าดินภายนอก จึงไม่ได้เกิดการเปลี่ยนแปลงอะไรมากนัก

เวลาผ่านไปอย่างช้าๆ

เมื่อเม็ดโอสถจิตวิญญาณแรกกําเนิดหลายต่อหลายเม็ดถูกกลืนลงลําคอ กลายเป็นพลังงานจิตวิญญาณนับไม่ถ้วน ภายในส่วนลึกกึ่งกลางระหว่างคิ้ว ร่างที่ปรากฏขึ้นก็ค่อยๆ เปลี่ยนจากร่างลวงตากลายมาเป็นร่างที่มีอยู่จริง

และในตอนนี้

นอกห้องโถงที่ซูฉินใช้ในการปิดด่านฝึกตน
หลีหว่านและชายชราผมขาวกําลังรออยู่อย่างเงียบๆ

หลีหว่านจับตามองดูห้องโถงอย่างใกล้ชิด หลังจากยืนยันได้ว่าซูฉินคงยังไม่ได้ออกมา ก็มีความผิดหวังอยู่บนใบหน้าของนาง จากนั้นนางจึงหยิบดาบยาวที่มีความยาวเท่ากับครึ่งหนึ่งของความสูงมนุษย์ขึ้นมา นางพบดาบยาวเล่มนี้บนยอดเขาดาบ ดาบนี้มีจิตวิญญาณอยู่ภายใน ในตอนนั้นดาบยาวเล่มนี้โบยบินอยู่ในอากาศและเริ่มลอยเข้ามาขนาบที่ด้านข้างของหลีหว่าน ส่งเสียงร้องออกมาอย่างต่อเนื่อง

ชายชราที่มีผมและเคราสีขาวตกตะลึงเมื่อเห็นฉากนี้ เขารู้จักดาบยาวเล่มนี้ มันเป็นหนึ่งในอาวุธวิเศษที่สืบทอดต่อมาในพรรคหมื่นดาบ เพียงชิ้นเดียวก็เพียงพอแล้วที่จะทําให้หัวใจของตํานานยุทธขั้นสูงสุดเต้นแรง แต่บัดนี้มันกลับลอยไปหาหลีหว่านด้วยตัวเองราวกับพบเจ้าของ

หลีหว่านชอบดาบยาวเล่มนี้เช่นกัน และใช้มันฝึกฝนเคล็ดวิชาที่ซูฉินมอบให้นางก่อนจะปิดด่านฝึกตน

ในระหว่างที่นางฝึกฝนวิชาพร้อมกับดาบยาวเล่มนี้ หลีหว่านรู้สึกเล็กน้อยว่าเจตจํานงดาบในกาย นางยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทําให้เกิดบรรยากาศแปลกประหลาดสะท้อนก้องอยู่รอบตัวนาง

“เคล็ดวิชาที่ลุงสามมอบให้ข้านี้มีประโยชน์ยิ่งนัก”

หลีหว่านกําลังฝึกดาบอย่างมีความสุข โดยดึงเจตจํานงดาบในร่างออกมาใช้อย่างต่อเนื่องเพื่อสร้างความสอดคล้องระหว่างกัน

จนถึงตอนที่บรรพชนดาบจะตายไปแล้ว เขาคงอาจจะไม่ได้คาดคิดมาก่อนว่าทุกสิ่งที่เขาพยายามทํามาอย่างหนัก กลับกลายเป็นเข้ากับหลีหว่านได้อย่างดี

“ปู่เฟยยวี่ ท่านว่าลุงสามจะออกจากด่านฝึกตน เมื่อไหร่กัน….” หลีหว่านฝึกดาบพร้อมทั้งหันไปมองชายชราผมขาว

ในช่วงเวลาที่ได้พูดคุยกัน หลีหว่านก็ได้รู้ว่าชายชราผู้นี้ชื่อว่า “เฟยยวี่”

“มิกล้ามิกล้า” ชายชราเฟยยวี่โพล่งออกมา พร้อมหลั่งเหงื่อเย็นเยียบรีบโบกมือพัลวัน “เจ้า เรียกนายท่านว่าลุงสาม แต่กลับเรียกข้าว่าปู่ นี่ไม่ ใช่จะกลายเรื่องยุ่งยากหรอกหรือ?”

ในสายตาของเฟยยวี่ เขามองว่าซูฉินไม่ต่างไป จากเซียนเทพปฐพี จะกล้าให้ผู้อื่นมาเรียกตนเช่น นั้นได้อย่างไร?

“แต่หากนายท่านยังคงปิดด่านฝึกตนอยู่อย่างนี้ ต่อไป เกรงว่าจะมีปัญหาใหญ่…” เฟยยวี่ยังดูเหมือนจะคิดอะไรบางอย่างได้ ความกังวลฉายขึ้นมาบนใบหน้าของเขา

ตั้งแต่ซูฉินปิดด่านฝึกตน ตอนแรกก็ดีอยู่หรอก แม้ว่าโลกภายนอกจะรู้ว่าพรรคหมื่นดาบถูกทําลายลงแล้ว พวกเขาก็ยังไม่กล้าส่งใครมาสืบสวน ชายชราเฟยยวี่และหลีหว่านก็ยังสบายใจได้อยู่

แต่ในช่วงสองสามวันที่ผ่านมา ชายชราเฟยยวี่ รู้สึกได้ชัดเจนว่ามีจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์หลายสายพัดผ่านตนเองไป

นอกจากนี้ ชายชราเฟยยวี่ยังรู้สึกได้ถึงความรู้สึกที่ไม่สามารถอธิบายได้ มันเหมือนมีคนแอบเฝ้ามองอยู่ตลอด ทําให้หัวใจเขาสั่นไหวยิ่งขึ้นไปอีก

การที่มาแอบดูโดยที่เขาไม่สามารถค้นพบได้ เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายมีพลังเหนือกว่าชายชราเฟียยวมาก หากไม่ใช่เพราะซูฉินยังคงมีกิตติศัพท์ก้องไกลอยู่ เกรงว่าคงมีใครสักคนลงมาเหยียบเกาะหมื่นดาบนี้นานแล้ว

“ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น หว่านเอ๋อจะปกป้องลุงสามที่อยู่ในด่านเอง…” หลีหว่านได้ยินสิ่งที่ ชายชราเฟียยวี่พูด นางกําหมัดและโบกดาบยาวในมือไปมา กล่าวออกอย่างจริงจัง

“คงได้แต่ต้องมีความหวังล่ะนะ…” ชายชราเฟยยวี่ถอนหายใจเบาๆ ไม่ได้พูดอะไรมากนัก

หลังจากการล่มสลายของพรรคหมื่นดาบ คนพวกนั้นยังกล้ามาสํารวจพรรคหมื่นดาบและแม้กระทั่งเข้ามาในเขตเกาะหมื่นดาบ เห็นได้ชัดว่าไม่ธรรมดา อาจจะไม่ถึงขั้นที่พวกเขาสามารถแปลงจิตวิญญาณได้ทั้งหมด แต่อย่างน้อยก็ไม่ห่างจากจุดนั้นมากนัก

ตัวตนเช่นนี้ แม้แต่ในยุทธภพต่างแดน ก็นับว่ายืนอยู่บนจุดสูงสุด สามารถก้มมองสิ่งมีชีวิตได้ทั้งหมด เพียงความคิดเดียวก็ครอบงําทุกสิ่งได้ จะเป็นไปได้อย่างไรที่จอมยุทธตัวน้อยเช่นหลีหว่านที่ยังไม่ได้เข้าสู่ขอบเขตตํานานยุทธจะหยุดยั้งได้?

“น่าจะอีกสักหนึ่งเดือน ภายในหนึ่งเดือนนี้ แม้ว่าโลกภายนอกจะอยากรู้อยากเห็นแค่ไหน ไม่ว่าจะมาสํารวจเกาะหมื่นดาบด้วยวิธีใด แต่พวกเขาจะไม่ลงมาเหยียบเกาะแน่”

ชายชราเฟยยวี่ คิดอยู่เงียบๆ “หากใช้เวลานานเกินกว่าหนึ่งเดือน เกรงว่าจะมีคนเดินทางมายังเกาะหมื่นดาบเพื่อเยี่ยมเยียนนายท่าน เมื่ออีกฝ่ายพบว่านายท่านกําลังปิดด่านฝึกตนอยู่ คงจะเป็นเรื่องร้ายมากกว่าเรื่องดี…”

ความคิดของชายชราเฟียยวแปรเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว

แม้จะเป็นตํานานยุทธขั้นสูงสุด แต่เมื่ออยู่ในด่านฝึกตน กลับเป็นช่วงที่อ่อนแอที่สุด พลังงาน ส่วนใหญ่มุ่งเน้นไปที่การบุกทะลวงของตนเอง แม้จะตรวจพบการโจมตีจากศัตรู แต่ก็คงทําอะไรไม่ได้มาก

ถ้าหากการปิดด่านฝึกตนถูกขัดจังหวะเมื่อไหร่ ทุกสิ่งที่ทํามาคงถดถอย

และถ้าคนอื่นรู้ว่าซูฉินอยู่ในด่านฝึกตน ชายชราเฟยยวี่ไม่รู้จริงๆว่าจะเกิดสิ่งใดขึ้น

รู้หรือไม่ว่าการทําลายพรรคหมื่นดาบทําให้กองกําลังต่างๆ ในต่างแดนต่างก็กังวลกันไปมากมาย

หากซูฉินยังคงอยู่ในจุดสูงสุด กองกําลังต่างๆย่อมไม่กล้าเคลื่อนไหวเพื่อหลีกเลี่ยงการสูญเสียที่ไม่จําเป็น

แต่ตอนนี้ซูฉินไม่ได้เป็นเช่นนั้น

แม้ว่าชายชราเฟยยวี่จะกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่เขาก็ไม่สามารถไปเปลี่ยนแปลงอะไรได้มากนัก ทําได้เพียงหวังว่าซูฉินจะออกจากด่านฝึกตนโดยเร็วที่สุด
มีคนไม่กี่คนรออยู่ด้านนอกห้องโถง

ในช่วงเวลานี้ หลีหว่านฝึกฝนอย่างหนัก เพื่อให้เป็นไปตามคํามั่นสัญญาที่บอกว่าจะปกป้องซูฉิน และด้วยเจตจํานงดาบในร่างที่คอยหล่อเลี้ยง นางก็ได้ทะลวงระดับครั้งแล้วครั้งเล่า แปรสภาพร่างกายรวมถึงแปลงกําลังภายในเป็นแก่นแท้แห่งพลังได้ภายในเวลาอันสั้น กลายเป็นยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งที่แปรสภาพพลังถึงสองครั้ง

แน่นอนว่าหลีหว่านก็หยุดอยู่เพียงเท่านั้น

เหตุผลที่ทําให้ฝ่าฟันอุปสรรคได้อย่างรวดเร็ว นอกเหนือจากการฝึกฝนอันหนักหน่วงในช่วงไม่นานมานี้ ยังเป็นผลมาจากโอสถศักดิ์สิทธิ์ที่พรรคหมื่นดาบมอบให้ในช่วงก่อนหน้า
ฤทธิ์ยาของโอสถศักดิ์สิทธิ์เหล่านี้สะสมอยู่ในร่างของหลีหว่าน และหลังจากการฝึกฝนในช่วงที่ผ่านมา มันก็ถูกกระตุ้นอย่างสมบูรณ์ ยังผลให้ เกิดความก้าวหน้าอย่างก้าวกระโดด

แต่เมื่อการแปรสภาพทั้งสองครั้งเสร็จสมบูรณ์ พลังที่สะสมอยู่ภายในร่างก็ถูกใช้ไปหมดสิ้น

เวลาผ่านไปอย่างช้าๆ

หนึ่งวัน สองวัน สามวัน

สิบวัน ยี่สิบวัน สามสิบวัน

หลังจากรอคอยมาเป็นเวลาหนึ่งเดือน เฒ่าเฟยยวี่ ก็รู้สึกได้ถึงกลิ่นอายมวลใหญ่ใกล้กับเกาะหมื่นดาบ

ฉับพลัน

เหนือยอดเขาดาบพันจ้าง ภายในห้องโถงนั้น คลื่นพลังที่น่าสะพรึงกลัวก็แผ่ขยายออกไปทั่วทุกทิศทางอย่างรวดเร็ว

คลื่นพลังที่ผันผวนนี้หาใช่จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ไม่ และไม่ใช่อาณาเขตด้วยอีกเหมือนกัน คล้ายเป็นภาพลวงตา เพียงแต่แข็งแกร่งมากกว่านั้นมากนัก

“พลังจิตวิญญาณแรกกําเนิด?”

“นายท่านออกมาแล้ว” ชายชราเฟยยวี่ตกตะลึง จากนั้นใบหน้าของเขาก็เต็มไปด้วยความตื่นเต้น

อย่างไรก็ตาม

ในช่วงเวลาต่อมา

ต่อหน้าชายชราเฟยยวี่ที่กําลังมองด้วยความรู้ สึกเหลือเชื่อ พลังจิตวิญญาณแรกกําเนิดที่แผ่ ขยายออกจากห้องโถงใหญ่ก็กวาดผ่านครึ่งหนึ่งของเกาะหมื่นดาบ และพลังจิตวิญญาณแรกกําเนิดนี้ยังแผ่ขยายการปกคลุมออกไปอย่างต่อเนื่อง ราวกับมันไม่มีที่สิ้นสุด

กลิ่นอายที่เข้าใกล้เกาะหมื่นดาบมาอย่างช้าๆ หลังจากสัมผัสถึงจิตวิญญาณแรกกําเนิดได้ ทันใดนั้นพวกเขาต่างก็คร่ําครวญราวกับประสบความสูญเสียครั้งใหญ่ รีบถอยกลับไปอย่างรวดเร็ว และออกจากเกาะหมื่นดาบไปให้ห่างที่สุด

“ไม่ถูกต้อง”

“จิตวิญญาณแรกกําเนิดของนายท่านจะกว้างใหญ่ถึงเพียงนี้ได้อย่างไร? ตํานานยุทธขั้นสูงสุดธรรมดา แม้จะแปลงจิตวิญญาณแรกกําเนิดได้แล้ว ก็ควรจะครอบคลุมรัศมีหลายสิบลี้เท่านั้น และแม้จะเป็นบรรพชนดาบที่ได้รับมรดกมาจากนักพรตหมั่นดาบ ก็ขยายขอบเขตพลังจิตวิญญาณแรกกําเนิดได้แค่ประมาณร้อยลี้เท่านั้น”

“รัศมีหนึ่งร้อยลี้เป็นขีดจํากัดของจิตวิญญาณแรกกําเนิดแล้ว พลังจิตวิญญาณแรกกําเนิดของคนผู้หนึ่งจะไกลเกินกว่าร้อยล์ได้อย่างไร? นี่มันไกลออกไปเกือบสองร้อยแล้ว หรือจริงๆแล้วนายท่านปิดด่านเพื่อเข้าสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพึ่งั้นหรือ?”

ชายชราเฟยยวี่ตกใจมาก แทบจะซ่อนมันเอาไว้ได้ไม่มิด

พลังจิตวิญญาณแรกกําเนิดที่น่าสะพรึงกลัว กวาดไปทั่วทิศทางราวกับพายุ ไม่รู้ว่ามีตํานาน ยุทธที่อยู่ใกล้เกาะหมื่นดาบสักกี่คนที่รู้สึกได้เพียงเสียงคํารามก้องในใจ และจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ก็ถูกกระแทกเข้าอย่างแรง หมดสติกันไปในทันที

หลังจากผ่านไปหนึ่งก้านธูป จิตวิญญาณแรกกําเนิดที่กวาดผ่านครอบคลุมรัศมีกว่าสองร้อยห้าสิบลี้ก็ค่อยๆสลายไป แต่ชายชราเฟียยวรู้สึกได้ชัดเจนว่าพลังจิตวิญญาณแรกกําเนิดทั้งหมดกําลังหดตัวและไหลกลับเข้าไปในห้องโถง
กึก

ประตูห้องโถงใหญ่เปิดออกเงียบๆ ราวกับมีมือที่มองไม่เห็นกําลังผลักเปิดมันออกมา

“เข้ามาเถอะ”

เสียงที่ดูสงบนิ่งดังมาจากด้านในห้องโถง มันดังก้องอยู่ภายในหูเฒ่าเฟยยวี่ หลีหว่าน รวมถึงคนอื่นๆ

“ขอรับ”

หลีหว่านกะพริบตาปริบๆ เดินเข้าไปในห้องโถงอย่างรวดเร็ว ในขณะที่ชายชราเฟยยวี่และคนอื่นๆ ก็เดินตามมา

ภายในห้องโถง ยังคงมีแสงเงาสลัวๆ ไม่มีความแตกต่างจากตอนแรกที่เข้ามาที่นี่

แวบแรกที่ชายชราเฟยยวี่ เห็นร่างที่นั่งอยู่กลางห้องโถง

ในขณะที่เขาเห็นฉากนี้ ชายชราเฟยยวี่รู้สึกราวกับว่าทุกสิ่งบนโลกนั้นเป็นภาพลวงตา แม้แต่ตัวเองก็เป็นสิ่งลวงตา มีเพียงร่างนั้นเท่านั้นที่เป็นของจริง

“ฮ่ม!”

ขณะที่เฒ่าเฟยยวี่กําลังตกอยู่ในภาพลวงตาไม่รู้จบ ทันใดนั้นก็มีเสียงลมหายใจอันเย็นเยียบลอยมากระทบหู

ฉับพลัน ชายชราเฟยยวี่ก็ตื่นขึ้นทันที หน้าผากของเขาเต็มไปด้วยหยาดเหงื่อเกาะเต็มไปหมด เพียงแค่เหลือบมองซูฉินชั่วแวบเดียวก็แทบแย่แล้ว ช่างเป็นเรื่องที่น่ากลัวยิ่งนัก

ถ้าไม่ใช่เพราะเสียงลมหายใจเมื่อครู่ เฒ่าเฟยยวี่ คงจะทรุดตัวลงนอนตายไปแล้วในขณะนี้ แม้ว่า ร่างกายของเขาจะไม่ได้รับบาดเจ็บใดๆ แต่ก็คงไม่ต่างไปจากคนตาย

“ยินดีกับนายท่านด้วยที่ฝ่าฟันความสําเร็จได้ อย่างยิ่งใหญ่” ชายชราเฟยยวี่คุกเข่าลงกับพื้นอย่างรวดเร็ว กล่าวออกเสียงดัง

“ลุกขึ้น” ซูฉินเหลือบมองเฟยยวี่ที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัว แล้วพูดออกมาเบาๆ
นี่คือความน่ากลัวของจิตวิญญาณแรกกําเนิด หลังจากแปลงจิตวิญญาณแรกกําเนิด ผู้ที่ยังไม่ได้แปลงจิตวิญญาณแรกกําเนิดแทบจะรับมือไม่ได้เลย พลังจิตวิญญาณที่น่าสะพรึงกลัวจะบดขยี้จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของคู่ต่อสู้ด้วยพลังที่เหนือกว่า

ตัวอย่างเช่น ชายชราเฟยยวี่” เป็นถึงตํานานยุทธขั้นสูงสุดและมีจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ที่แข็งแกร่ง แต่ต่อหน้าซูฉินเขาไม่สามารถต่อต้านได้แม้แต่น้อย

แน่นอน

นี่เป็นเพราะซูฉินแตกต่างจากตํานานยุทธขั้นสูงสุดคนอื่นๆ ที่แปลงจิตวิญญาณได้

เขากลืนโอสถจิตวิญญาณแรกกําเนิดไป มากกว่าห้าสิบเม็ดเพื่อแปลงจิตวิญญาณแรกกําเนิด ในชั่วพริบตาพลังของจิตวิญญาณแรกกําเนิดก็ได้เพิ่มขึ้นไปหลายสิบถึงหลายร้อยเท่าของจิตวิญญาณแรกกําเนิดธรรมดา

ไม่เช่นนั้น

ด้วยความแข็งแกร่งของชายชราเฟยยวี่ แม้เขาจะพ่ายแพ้ต่อจิตวิญญาณแรกกําเนิด แต่ก็ไม่ควรเปราะบางขนาดนี้

“ในที่สุดก็แปลงจิตวิญญาณแรกกําเนิดสําเร็จแล้ว……”

ซูฉินถอนสายตาออกจากชายชราเฟยยวี่ สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยอารมณ์ความรู้สึก

หลังจากที่แปลงจิตวิญญาณแรกกําเนิดแล้ว ขั้นต่อไปคือการเข้าสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพี

ตั้งแต่สมัยโบราณจนถึงยุคปัจจุบัน เมื่อได้ชื่อว่าเชียนเทพปฐพี ก็เพียงพอแล้วที่สะกดทุกสิ่ง และในยุคที่กระแสปราณฉีเงียบงันเช่นนี้ เซียนเทพปฐพีก็หาได้ยากยิ่งในรอบพันปี

“ถ้าในยามนี้ข้าได้เจอกับบรรพชนดาบอีกครั้ง คงจะใช้เพียงสามกระบวนท่าเท่านั้นเพื่อชําระล้างจิตวิญญาณแรกกําเนิดทั้งหมด”

ซูฉินลุกขึ้นยืนชําๆ ค่อยๆคิดบางสิ่งในใจ

“แปลงจิตวิญญาณแรกกําเนิดสําเร็จแล้ว มาดูซิว่ามีการเปลี่ยนแปลงอะไรบ้าง”
จิตใจของซูฉินผสานเข้ากับช่องว่างระหว่างคิ้ว “มองไปทางร่างจิตวิญญาณที่เพิ่งแปรสภาพมาหมาดๆ

ฤSign in Buddha’s palm 284 โกลาหลไปทั่วโลก

ในขณะที่ซูฉินกําลังแปลงจิตวิญญาณแรกกําเนิด โลกภายนอกก็เกิดความโกลาหลมาสักพักใหญ่แล้ว

ซูฉินไม่ได้ปิดบังสิ่งใดเลยตอนที่เขาเข้าโจมตี เกาะหมื่นดาบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งวลีบรรพชนดาบ คลานออกมาพบข้า” นั้นไร้ยางอายเป็นอย่างยิ่ง ตราบใดที่มีคนอยู่ในรัศมีหลายสิบรอบ เกาะหมื่นดาบ พวกเขาจะได้ยินเสียงตะโกนที่ดังกึกก้องนี้ ไม่มีการปิดบังใดๆทั้งนั้น

นอกจากนี้ ซูฉินก็ไม่ได้ฆ่าผู้บริสุทธิ์อย่างไม่เลือกหน้า อย่างน้อยจอมยุทธที่เพิ่งมาถึงเกาะหมื่นดาบ เตรียมพร้อมจะกราบเข้าพรรคแต่ยังไม่ได้เป็นสมาชิกพรรคก็จะไม่ตาย จอมยุทธเหล่านี้หนีไปด้วยความหวาดกลัว และเป็นเพียงเรื่องของเวลาเท่านั้นที่ข่าวการทําลายล้างพรรคหมื่นดาบจะแพร่กระจายไปทั่วดินแดนโพ้นทะเล
ไม่ต้องกล่าวถึงว่าช่วงนี้เป็นช่วงที่พรรคหมื่นดาบคัดเลือกศิษย์เข้าพรรค จอมยุทธจํานวนมากทั่วทุกมุมโลกพากันหลั่งไหลเข้ามา เมื่อพวกเขาเห็นความเสียหายกระจายอยู่ทั่วเกาะหมี่นดาบ พวกเขาย่อมกระจายเรื่องราวที่ตนเห็นออกไปแน่นอนในทันที

ความตกใจแพร่ไปทั่วต่างดินแดน

แม้ว่าพรรคหมื่นดาบจะสืบทอดมรดกต่อมาเพียงสี่พันปีเท่านั้น เทียบไม่ได้กับเหล่านิกายใหญ่อย่างสํานักเอกะวิถีหรือสํานักผู้วิเศษที่สืบทอดมรดกต่อมาจากช่วงกระแสปราณฉีเฟื่องฟู แต่อย่างน้อยมันก็เป็นนิกายที่เซียนเทพปฐพีสร้างขึ้น มองไปทั่วดินแดนโพ้นทะเลนี้ก็นับเป็นขุมกําลังยักษ์ใหญ่อีกแห่งหนึ่ง ภายในมีตัวตนทรงพลังอํานาจหลับใหลอยู่อย่างบรรพชนดาบที่แปลงจิตวิญญาณแรกกําเนิดได้แล้ว จะถูกโค่นล้มลงได้อย่างไร?

นอกจากบรรพชนดาบแล้ว พรรคหมื่นดาบก็ยัง มีบรรพชนหลับใหลอยู่อีกเกือบยี่สิบคน ซึ่งในจํา นวนนั้นมีตํานานยุทธขั้นสูงสุดที่ควบแน่นอาณา เขตได้แล้วกว่าห้าคน
ควบคู่ไปกับค่ายกลสังหารอันหนาแน่นบนเกาะหมื่นดาบ และค่ายกลเก้าดาบหมุนวนที่นักพรตหมื่นดาบทิ้งเอาไว้เมื่อกว่าสี่พันปีก่อน…

การทําลายล้างขุมกําลังที่ยืนอยู่บนจุดสูงสุดของต่างแดนได้โดยเงียบเชียบเช่นนี้ ทําให้จอมยุทธจํานวนมากรู้สึกตกอยู่ในความเสี่ยง แม้แต่นิกายใหญ่แห่งอื่นๆเองก็ไม่มีข้อยกเว้น

ท้ายที่สุด ตัวตนที่สามารถทําลายพรรคหมnjนดาบได้ ก็ย่อมสามารถทําลายนิกายใหญ่แห่งอื่นๆที่เหลือได้เหมือนกัน การที่มีคนสังหารตํานานยุทธได้เป็นจํานวนมากเช่นนี้ ก็เหมือนมีดาบมาจ่อเข้าที่คอ มันส่งผลต่อสมดุลในยุทธภพต่างแดนไม่น้อย

เป็นเวลาหลายพันปีแล้วที่นิกายใหญ่ในต่างแดนทั้งหลายแห่งคานอํานาจซึ่งกันและกัน ครองดินแดนทั้งหมดด้วยการรักษาสมดุล

ไม่เช่นนั้นหากไม่มีความสมดุลดังกล่าว นิกายใหญ่ระดับสูงย่อมเคลื่อนไหวทุกสิ่งได้ตามอําเภอใจ และทั่วทั้งดินแดนคงต้องหลั่งเลือดไปทั่วทุกสารทิศมาเนิ่นนานแล้ว แม้แต่นิกายใหญ่ระดับสูงด้วยกันเองก็ไม่สามารถทนต่อความสูญเสียที่จะตามมาได้

ท้ายที่สุด เมื่อเกิดการฆ่าล้างแค้นกันไปมา แน่นอนว่าจะต้องมีนิกายใหญ่ปลุกบรรพชนของ ตนขึ้นมา และเมื่อบรรพชนตื่นขึ้นมา ผู้แข็งแกร่ง ขอบเขตตํานานยุทธขั้นสูงสุดจะมาเข้าร่วมการต่อ สู้ด้วยอย่างสมบูรณ์ ผลกระทบที่เกิดขึ้นย่อม สะเทือนไปถึงสวรรค์

จอมยุทธจํานวนนับไม่ถ้วนต่างตกตะลึง และบางคนเริ่มรู้ตัวว่าสถานการณ์ไม่ดีแล้วก็เริ่มหนีห่างออกจากดินแดนโพ้นทะเล เตรียมออกไปอยู่ในพื้นที่ห่างไกลสักหลายปีค่อยเดินทางกลับมา

ในเวลาเดียวกัน

ท่ามกลางทิวเขาหนาทึบ ชายคนหนึ่งสวมชุดคลุมผู้วิเศษ นั่งขัดสมาธิทอดสายตามองออกไปนอกห้องโถงโบราณ

หากมีตํานานยุทธคนใดจากต่างแดนมาเห็น ฉากนี้พวกเขาจะต้องตกใจเมื่อพบว่าที่แห่งนี้เป็นสถานที่ตั้งของสํานักผู้วิเศษที่สามารถมองทิวทัศน์ได้ทั่วทั้งดินแดน

สํานักผู้วิเศษ

ว่ากันว่าเป็นหนึ่งในนิกายใหญ่ระดับสูงในดินแดนโพ้นทะเลซึ่งสืบทอดมรดกมาตั้งแต่ยุคเฟื่องฟูปราณฉีครั้งล่าสุด มีรากฐานลึกซึ้ง และให้กําเนิดเซียนเทพปฐพีออกมามากกว่าหนึ่งคน

สามพันปีก่อน เป็นยุคของพ่อมดราชันแห่งสํานักผู้วิเศษ เขาเดินทางไปทั่วโลก ครอบงําดินแดนโพ้นทะเลไปหลายยุคหลายสมัย

แม้แต่ในยุคนี้ ถึงสํานักผู้วิเศษจะไม่ได้โด่งดังนัก แต่ก็ไม่มีใครกล้าเพิกเฉยต่อยักษ์หลับตนนี้

หลังจากสั่งสมรากฐานมานับหมื่นปี คงมีแต่เทพเจ้าเท่านั้นที่รู้ว่าสํานักผู้วิเศษเก็บซ่อนความลับใดไว้บ้าง

“พรรคหมื่นดาบถูกทําลายแล้ว?”

ชายที่นั่งขัดสมาธิอยู่หน้าห้องโถงโบราณกระซิบคําอยู่กับตนเอง

กลิ่นอายของเขาดุจขุนเขา กลมกลืนไปกับความว่างเปล่าของฟ้าดิน ผู้อาวุโสพรรคหมื่นดาบ หลายคนที่อยู่ใกล้ๆก็ก้มหน้าลง ใบหน้าของพวกเขาเต็มไปด้วยความเคารพ

“ใครเป็นผู้ลงมือกัน?” เค้าลางความประหลาดใจปรากฏขึ้นบนใบหน้าของชายผู้นั้น เขารู้จักพรรคหมื่นดาบดี แม้ว่าพื้นเพจะต่ํากว่าสํานักผู้วิเศษของเขามาก แต่ก็ไปไม่ได้ที่จะทําลายมันลง

โดยเฉพาะเมื่อสามพันปีก่อน หลังจากที่พ่อมด ราชันในยุคนั้นเดินทางไปทั่วดินแดน เขาก็กลับมายังสํานักผู้วิเศษและบันทึกทุกอย่างที่เคยประสบพบเจอไว้ภายในหนังสือโบราณ หนึ่งในนั้นก็มีเรื่องราวเกี่ยวกับพรรคหมื่นดาบด้วย

อาคารดาบเก้ายอดสูงพันจ้างบนเกาะหมื่นดาบ ได้ตั้งค่ายกลเก้าดาบหมุนวนเอาไว้ ซึ่งเพียงพอที่จะต่อต้านเซียนเทพปฐพีได้อยู่ครู่หนึ่ง แม้หลังผ่านไปสามพันปีมันจะอ่อนแอลง แต่ก็หาใช่สิ่งที่ตำนานยุทธขั้นสูงสุดธรรมดาจะจัดการได้

“ท่านเจ้าสํานักผู้วิเศษ”

ผู้อาวุโสสํานักผู้วิเศษหลายคนหันมองหน้ากัน ต่างก็รู้สึกงงงวย

ความเร็วในการทําลายพรรคหมื่นดาบนั้นเร็วมาก แค่เกือบครึ่งวันก็ต้านทานไว้ไม่อยู่แล้ว ไม่มีโอกาสที่จะขอความช่วยเหลือจากนิกายใหญ่แห่งอื่นๆในต่างแดนเลยด้วยซ้ํา

ดังนั้นแม่ในตอนนี้พวกเขาจะรู้ดีถึงการล่มสลายของพรรคหมื่นดาบ แต่ความเข้าใจของพวกเขาก็หยุดเพียงเท่านั้น เพราะเหตุแห่งการล่มสลายของพรรคหมื่นดาบยังไม่เป็นที่แน่ชัดในเวลานี้

“ท่านเจ้าสํานักผู้วิเศษ อาจเป็นการลอบโจมตีจากนิกายเฮยหยวนหรือไม่?” ผู้อาวุโสสํานักผู้วิเศษคนหนึ่งหยุดคิดไปชั่วครู่ และคาดเดาออกมา

ในบรรดานิกายใหญ่ต่างแดนจํานวนมาก นิกายเฮยหยวนนั้นรักการฆ่าฟันมากที่สุด แม้ว่าจะไม่มีใครแปลงจิตวิญญาณแรกกําเนิดได้ เพราะเคล็ดวิชาที่ใช้บ่มเพาะ แต่บรรพชนของนิกายเฮยหยวนต่างก็มีทักษะแปลกๆที่สามารถทําร้ายจิตวิญญาณแรกกําเนิดได้ ด้วยเหตุนี้เองจึงทําให้นิกายเฮยหยวนสามารถหยัดยืนในต่างดินแดน และกลายเป็นนิกายใหญ่ระดับสูงได้

“เป็นไปไม่ได้ นิกายเฮยหยวนจะทําได้อย่างไร พวกเขามีความสามารถในการทําลายพรรคหมื่นดาบหรือ? นอกจากนี้ แม้นิกายเฮยหยวนจะมีโอกาส แต่เขาจะกล้าทําเช่นนั้นหรือ?”

นิกายเฮยหยวนยืนหยัดมานับพันปี แม้ว่าจะชอบสังหารฆ่าฟัน แต่ก็สังหารเพียงคนธรรมดาหรือผู้ฝึกยุทธทั่วๆไป ส่วนศิษย์สาวกของนิกายใหญ่แห่งอื่น พวกเขาไม่กล้ายุ่ง

ไม่เช่นนั้น หากนิกายเฮยหยวนกล้าที่จะสังหารจริงๆ นิกายใหญ่ระดับสูงแห่งอื่นๆ คงจะทําลายมันทิ้งไปแล้ว ไม่มีทางอยู่มาจนถึงทุกวันนี้

“หรืออาจจะเป็นเซียนเทพปฐพี?” ผู้อาวุโสสํา นักผู้วิเศษเอ่ยถามอย่างไม่แน่ใจ

หากเป็นเซียนเทพปฐพี่ที่ลงมือ ปมปัญหาทุกอย่างจะถูกคลี่คลาย และมีเพียงเซียนเทพปฐพี่ผู้มีอํานาจเหนือทุกผู้ทุกคนเท่านั้นที่สามารถทําลายพรรคหมื่นดาบเพียงแค่ขยับมือขยับเท้า

“หากอยากจะทะลวงขอบเขตเซียนเทพปฐพี จะต้องสื่อสารกับทะเลปราณ ถ้ามีผู้ที่ไปถึงจุดนั้นจริงๆ และเริ่มดึงแก่นทะเลปราณในส่วนลึกของมิติความว่างเปล่า สํานักผู้วิเศษของพวกเราคงสัมผัสได้นานแล้ว” ในเวลานี้เจ้าสํานักผู้วิเศษที่สวมชุดคลุมในแบบฉบับของผู้วิเศษก็กล่าวออกมาอย่างช้าๆ

แม้กระทั่งในยุคเฟื่องฟูกระแสปราณฉีครั้งล่าสุด แม้ว่าเซียนเทพปฐพี่จะไม่ได้หายากเหมือนในยุคปัจจุบัน แต่ก็ถือได้ว่าเป็นตัวตนที่แข็งแกร่งไม่น้อยเลยทีเดียว

หากขอบเขตเซียนเทพปฐพีกําเนิดขึ้นในต่างดินแดน สํานักผู้วิเศษจะไม่รู้ได้อย่างไร?

ถัดจากนั้น

ผู้อาวุโสสํานักผู้วิเศษก็ผลัดกันเสนอความคิดเห็นของตนเอง แต่ทั้งหมดก็ถูกปัดตกไปหมด จริงๆแล้วมีกองกําลังในต่างดินแดนที่สามารถทําลายพรรคหมื่นดาบได้ อาทิ สํานักผู้วิเศษ

หากสํานักผู้วิเศษปลุกบรรพชนขึ้นมา มันก็คงเป็นเรื่องของเวลาก่อนที่พรรคหมื่นดาบจะถูกทําลาย

แต่เป็นไปไม่ได้ที่สํานักผู้วิเศษจะทําเช่นนั้น

แค่พรรคหมื่นดาบ ไม่คู่ควรให้สํานักผู้วิเศษต้องใช้มรดกของตนเอง

รากฐานต่างๆ เมื่อใช้ไปครั้งหนึ่งมันย่อมมีการสูญเสียเป็นธรรมดา เว้นแต่จะเป็นทางเลือกสุดท้าย ไม่เช่นนั้นก็ไม่มีนิกายใหญ่นิกายไหนเต็มใจจะใช้มัน

“อันนั้นก็ไม่ใช่ อันนี้ก็ไม่ใช่ เป็นไปได้ไหมว่าขุมกําลังที่ทําลายพรรคหมื่นดาบมาจากที่อื่น?” ผู้อาวุโสสํานักผู้วิเศษอีกคนขมวดคิ้ว

พวกเขาเพิ่งพูดคุยกันเกี่ยวกับนิกายใหญ่ในต่างดินแดนที่สามารถคุกคามพรรคหมื่นดาบจนไม่สามารถแม้แต่จะหลบหนีได้ แต่หลังจากที่คุยกันอยู่นานก็พบว่าไม่ใช่

“จากที่อื่น?”

ชายที่นั่งอยู่ในห้องโถงโบราณมีใบหน้าครุ่นคิด

เขาเป็นเจ้าสํานักผู้วิเศษรุ่นปัจจุบัน และควบคุมความเป็นไปในสํานักผู้วิเศษทั้งหมด มุมมองและความเข้าใจของเขาไม่สามารถเอาลงไปเทียบกับ ผู้อาวุโสคนอื่นๆ

ตอนนี้กระแสปราณฉีฟื้นคืนแล้ว ดินแดนโพ้นทะเลไม่ใช่สถานที่ศักดิ์สิทธิ์สําหรับการบ่มเพาะแห่งเดียวอีกต่อไป ตัวแปรหลายอย่างเพิ่มขึ้นมากมาย

ขณะที่เหล่าผู้อาวุโสสํานักผู้วิเศษหลายคนกําลังขมวดคิ้วมุ่นครุ่นคิด เสียงแผ่วเบาก็ดังลอยมาจากนอกทิวเขา

“ตัวตนที่ทําลายพรรคหมื่นดาบมาจากที่อื่น”

เห็นร่างที่สวมชุดคลุมสีขาวสลับดําอยู่นอกสํานักผู้วิเศษ กลิ่นอายของร่างนี้ประหนึ่งอากาศธาตุอันว่างเปล่า มีรอยตราประทับผึ้งแปดทิศอยู่กึ่งกลางหน้าผาก

“คนจากสํานักชะตาฟ้า?”

ท่าทีของเจ้าสํานักผู้วิเศษเปลี่ยนไป

สํานักชะตาฟ้านั้นพิเศษอย่างมากในโลกยุทธภพต่างแดน มันไม่ได้พิเศษในด้านวิทยายุทธ แต่ข้องเกี่ยวกับความลับสวรรค์ของบุคคลนับไม่ถ้วน

ช่วงทศวรรษที่ผ่านมา สํานักชะตาฟ้าในยุคนี้ก็เป็นผู้ทํานายว่าแผ่นดินแห่งพลังยุทธอันยิ่งใหญ่ได้กําเนิดขึ้นแล้ว เพียงแต่คนส่วนใหญ่ไม่คิดเชื่อถือในยามนั้น

แต่เมื่อเวลาผ่านไป กระแสปราณฉีที่ฟื้นกลับคืนก็เข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ และแผ่นดินแห่งพลังยุทธก็ปรากฏขึ้นจริงๆ

ไม่นานหลังจากนั้น

หลังจากที่ศิษย์สํานักชะตาฟ้าโผล่มาทักทายสํานักผู้วิเศษแล้ว เขาก็มาอยู่ที่ด้านหน้าของเจ้า สํานักและผู้อาวุโสสํานักผู้วิเศษคนอื่นๆ

“เจ้าเป็นอะไรกับบุรุษชะตาฟ้า?” เจ้าสํานักผู้วิเศษมองไปยังอีกฝ่ายแล้วเอ่ยถาม

“ท่านเป็นอาจารย์ของข้า” ชายที่มีรอยประทับผังแปดทิศระหว่างคิ้วพูดอย่างไม่ได้ถ่อมตัวแต่ก็ไม่โอ้อวด

แม้จะอยู่ภายในสํานักผู้วิเศษ ก็ไม่เห็นความกลัวบนใบหน้าเขาแม้แต่น้อย

“เจ้าเพิ่งบอกว่าตัวตนที่ทําลายพรรคหมื่นดาบมาจากที่อื่น” เจ้าสํานักผู้วิเศษถามออกไปตรงๆ “มันมาจากที่ไหน?”

“แผ่นดินแห่งพลังยุทธอันยิ่งใหญ่”

ชายที่มีรอยประทับผึ้งแปดทิศอยู่ระหว่างคิ้วค่อยๆพูดออกมา

คําที่กล่าวออกมา

ทุกคนในที่แห่งนี้ รวมไปถึงเจ้าสํานักผู้วิเศษต่างก็ประหลาดใจ

พวกเขาไม่คาดหวังว่าผลจะออกมาเป็นเช่นนี้ แต่เมื่อพวกเขาลองคิดต่ออีกนิด ก็พอจะยอมรับได้บ้าง

“เป็นไปได้ไหมว่าจะเป็นตํานานยุทธจากแผ่นดินแห่งพลังยุทธฯ?” เจ้าสํานักผู้วิเศษคิดออกมาอย่างรวดเร็ว

ข้อมูลเกี่ยวกับซูฉินได้กระจายไปทั่วสํานักผู้วิเศษมานานแล้ว แต่ในสายตาของทุกคน อย่างมากซูฉินก็เป็นตํานานยุทธขั้นสูงสุดที่ควบแน่นอาณาเขตได้ ไม่รู้ว่าห่างไกลแค่ไหนจากความสามารถที่จะทําลายพรรคหมื่นดาบลงได้

“บุรุษชะตาฟ้าเห็นอะไรมาอีก? การทําลายพรรคหมื่นดาบมันเกิดขึ้นได้อย่างไร? ใช้มรดกประเภทใดกัน?” เจ้าสํานักผู้วิเศษเอ่ยถาม

“ท่านอาจารย์ไม่สามารถเห็นข้อมูลใดๆ เกี่ยวกับเหตุการณ์การทําลายพรรคหมื่นดาบ” เมื่อชายที่มีรอยประทับผึ้งแปดทิศอยู่หว่างคิ้วกล่าวเช่นนี้ ความขมขื่นก็ฉายชัดบนใบหน้าของเขา

“ขณะที่ท่านอาจารย์คํานวณที่มาที่ไปของบุคคลผู้นั้น เขาเห็นเพียงความลับสวรรค์ที่แสนคลุมเครือ และหากยังบังคับการคํานวณชะตาต่อไปจะทําให้เกิดหายนะ” ชายที่มีรอยประทับผังแปดทิศอยู่ระหว่างคิ้วยังกล่าวต่อไปว่า

“เหตุผลที่อาจารย์ทราบว่าชายคนนั้นมาจากแผ่นดินแห่งพลังยุทธฯ คือเมื่อยามประเมินดูว่า ทําไมพรรคหมื่นดาบจึงล่มสลาย ท่านเห็นว่าเมื่อหลายเดือนก่อนพรรคหมื่นดาบพาเด็กสาวตัวเล็กๆ กลับมาจากแผ่นดินแห่งพลังยุทธฯ”

“และเด็กสาวตัวน้อยคนนี้นี่เองที่เป็นสาเหตุของการกวาดล้างพรรคหมื่นดาบ”

ชายที่มีรอยประทับผึ้งแปดทิศระหว่างคิ้วเผยเรื่องราวออกมา

เจ้าสํานักผู้วิเศษและอาวุโสทั้งหลายต่างตกตะลึง

เพียงเพราะพรรคหมื่นดาบพาเด็กสาวตัวเล็กๆคนหนึ่งไป พรรคหมื่นดาบทั้งหมดกลับถูกทําลายทิ้ง วิธีการเช่นนี้ไม่เอาแต่ใจไปหน่อยหรือ?

ไม่ใช่แค่สํานักผู้วิเศษ

ในตอนนี้ นิกายใหญ่มากมายในต่างแดน และตํานานยุทธจํานวนนับไม่ถ้วนก็ได้รับรู้แล้วว่าผู้ที่ลงมือทําลายพรรคหมื่นดาบมาจากแผ่นดินแห่งพลังยุทธอันยิ่งใหญ่

ในชั่วพริบตา ก็เกิดความโกลาหลไปทั่วทั้งโลก

ในเวลาเดียวกัน ซูฉินกําลังแปลงจิตวิญญาณแรกกําเนิดอยู่ภายในพรรคหมื่นดาบ และมันเป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อที่สําคัญเช่นกัน

Sign in Buddha’s palm 283 แปลงจิต วิญญาณแรกกําเนิด

“โอ้?”

“ประตูเซียนนี้ ดูลึกลับไม่น้อย แม้แต่เซียนเทพ ปฐพี่ยังต้องมองหามัน?” ซูฉินแตะปลายคาง ใบหน้าครุ่นคิด

สําหรับเซียนเทพปฐพี ยังจะขาดเหลือสิ่งใดอีก? กล่าวคําเพียงประโยคเดียว ตํานานยุทธนับพันในต่างดินแดนต่างก็เต็มจะที่จะทุ่มเททุกสิ่งเพื่อเอาอกเอาใจ

แต่ยามนี้ ชราผมขาวกลับบอกว่า ยังมีสิ่งที่แม้แต่เซียนเทพปฐพีก็ยังไม่สามารถหามาได้?

“ทําไมเซียนเทพปฐพีถึงมองหาประตูเซียน?” ซูฉินครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงถามออกอย่างแผ่วเบา

ซูฉินไม่คิดว่าชายชราผมขาวจะโกหก หากเหล่าเซียนเทพปฐพีออกค้นหาประตูเซียนจริงๆ นิกายใหญ่แห่งอื่นๆจะต้องรู้เรื่องนี้เช่นกัน การที่ซูฉินจะหาแหล่งข่าวยืนยันเป็นเรื่องง่ายดายอย่างยิ่ง

นอกจากนี้ ในสายตาของซูฉิน การสังเกตจิตใจที่ผันผวนขึ้นลงของชายชราผมขาวก็ไม่ต่างไป จากมองดูเส้นฝ่ามือของตนเอง เป็นไปไม่ได้เลยที่จะหลอกลวงตัวเขา

“มีเรื่องเล่ามากมาย บ้างก็ว่าภายในประตูเซียนเป็นโลกอีกโลกหนึ่ง บางคนก็บอกว่าเซียนเทพปฐพีที่ต้องการจะทะลวงขั้นต่อไป พวกเขาจะต้องเข้าไปยังประตูเชียน นอกเหนือจากนั้นก็เล่าลือกันว่าประตูเซียนเป็นคลังสมบัติที่สร้างโดยตัวตนทรงพลังจํานวนนับไม่ถ้วนในยุคกระแสปราณฉีเฟื่องฟู…”

ชายชราที่มีผมและเคราสีขาวพูดออกมาตามจริงเท่าที่ตนรู้

“เป็นเช่นนี้นี่เอง”

ดวงตาของซูฉินกะพริบสองสามครั้ง มีคลื่นลมก่อตัวในใจของเขา

ท่ามกลางกระแสปราณฉีที่เงียบงัน จิตใจแห่ง ฟ้าดินก็แห้งเฉา แม้ต่างดินแดนจะยังคงมีพลังงานปราณฉีหลงเหลืออยู่มากในระดับหนึ่ง แต่ก็ไร้ประโยชน์ แม้จะเป็นผู้ฝึกยุทธที่มีพรสวรรค์ ท่ามกลางสิ่งแวดล้อมเช่นนี้ การฝึกฝนในขอบเขตเซียนเทพปฐพีก็นับเป็นจุดสูงสุดแล้วยากที่จะไปต่อ

นี่ไม่ใช่เพราะผู้ฝึกยุทธขาดพรสวรรค์หรือมีความเข้าใจไม่เพียงพอ แต่เป็นข้อจํากัดของโลกใบนี้รวมถึงสิ่งแวดล้อม

และตามคํากล่าวของชายชราผมขาว สิ่งที่เรียกว่าประตูเซียน เกรงว่าจะเป็นความหวังของเซียนเทพปฐพี่ที่อยากจะไปสู่ขอบเขตต่อไป

“อย่างไรก็ตาม ประตูเซียนแห่งนั้น คงไม่ใช่สถานที่ที่ดีนัก……”

ความคิดของซูฉินเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว ขบคิดในใจอย่างลับๆ

แม้แต่เซียนเทพปฐพีก็จะไม่ออกเดินทางตามหาประตูเซียนหากยังไม่ใกล้สิ้นอายุขัย บ่งบอกได้ว่าสําหรับเซียนเทพปฐพีเหล่านั้น ประตูเซียนนี้คงจะมีความเสี่ยงอย่างใหญ่หลวงอยู่ และเมื่อยามใกล้ตาย ปล่อยวางทุกสิ่งได้แล้วเท่านั้นจึงจะลองไปตามหาดู

“นี่ยังไม่ใช่ความลับใหญ่ที่เจ้ารู้ใช่ไหม?” ซูฉินครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งจากนั้นจึงมองไปที่ชายชราผมขาวอีกครั้ง พร้อมกับกล่าวอย่างใจเย็น

เรื่องของประตูเซียน ในสายตาของตํานานยุทธทั่วไป มันจะต้องเป็นความลับที่ยิ่งใหญ่ แต่สําหรับขุมพลังอันทรงอํานาจอย่างซูฉินที่กําลังจะแปลงจิตวิญญาณแรกกําเนิด และอาจจะทะลวงขอบเขตเซียนเทพปฐพีในเร็วๆ นี้ ไม่ช้าก็เร็วคงได้รู้เรื่องประตูเซียนแห่งนี้

เป็นไปไม่ได้ที่พรรคหมื่นดาบจะขังเขาไว้ในคุกใต้ดินเพียงเพราะชายชรารู้เรื่องประตูเซียน

“แน่นอนว่าไม่ใช่สิ่งนี้”

ชายชราผมขาวสูดลมหายใจเข้า ระงับจิตใจที่เดือดพล่านของตนเองลงทีละน้อย และกล่าวออกช้าๆ ว่า “ข้ารู้ตําแหน่งคร่าวๆ ของประตูเซียน”

“ตําแหน่งคร่าวๆ ของประตูเซียน?”

ซูฉินหรี่ตาลงเล็กน้อย และมองไปที่ชายชรา

ในความเป็นจริง หลังจากที่ชายชรากล่าวถึง “ประตูเซียน” ซูฉินก็เดาว่าอีกฝ่ายอาจจะมีข้อมูลบางอย่างเกี่ยวกับประตูเซียน

แต่สิ่งที่ซูฉินคาดไม่ถึงคือชายชราจะรู้ตําแหน่งของประตูเซียน

ถ้าชายชราบอกว่าตนรู้ว่ามีสมบัติชนิดใดบ้างอยู่ภายในประตูเซียน ซูฉินจะต้องเยาะเย้ยเป็นแน่ เพราะสุดท้ายแล้วเพื่อให้ได้มาซึ่งสมบัติในประตูเซียน สิ่งแรกที่ต้องทําคือหาประตูเซียนให้ได้เสียก่อน ตัดสินจากที่เซียนเทพปฐพี่เดินทางค้นหาประตูเซียนไปทั่วทั้งโลกที่ซ่อนของประตูเซียนคงจะมิดชิดอย่างมาก หรืออาจจะซ่อนอยู่ในมิติความว่างเปล่าเหมือนกับวิหารการสงคราม

ด้วยวิธีนี้เท่านั้นจึงจะสามารถหลบซ่อนจากความสามารถของอาณาเขตขนาดใหญ่ที่เซียนเทพปฐพีแผ่ออกมาได้

“ในเมื่อเจ้ารู้ตําแหน่งของประตูเซียนแล้ว ทําไมเจ้าไม่หามันด้วยตนเองเล่า?” ซูฉินถามด้วยน้ําเสียงราบเรียบ จ้องมองไปที่ชายชรา

“นายท่าน”

ชายชราที่มีผมและเคราสีขาวยิ้มอย่างขมขื่น “สถานที่ที่ประตูเซียนตั้งอยู่นั้นอันตรายอย่างยิ่ง แม้ว่าข้าจะออกตามหามันจริงๆ ก็มีแนวโน้มว่าข้าคงจะต้องตาย”

ชายชราผมขาวรู้ระดับของตัวเองดี แม้แต่เซียนเทพปฐพีก็ยังเต็มใจที่จะเดินทางตามหาประตูเซียนเมื่อเข้าวัยชราเท่านั้น นับประสาอะไรกับตํานานยุทธขั้นสูงสุดที่ยังไม่ได้ควบแน่นอนอาณาเขตอย่างเขา?

“เอาล่ะ”

“เมื่อเป็นเช่นนั้น ก็บอกตําแหน่งของประตูเซียน มาสิ”

ซูฉินมองไปยังชายชรา

“ขอรับ”

ชายชราผมขาวโค้งคํานับทันที และกล่าวบอกตําแหน่งที่เขารู้ออกมาอย่างรวดเร็ว

“อยู่ที่นั่นงั้นหรือ?”

ซูฉินดูประหลาดใจเล็กน้อย

สถานที่ที่ชายชราผมขาวบอกไม่ได้อยู่ในโลกยุทธภพต่างแดน แต่อยู่ในทวีปที่ห่างไกลออกจากต่างแดนแห่งนี้ไปอีก

สิ่งนี้ทําให้ซูฉินรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย แต่เมื่อเขาลองคิดดู ก็พบว่ามันเป็นเรื่องปกติ หากประตูเซียนอยู่ในยุทธภพต่างแดนแห่งนี้ แม้ว่ากระแสปราณฉีจะเงียบงัน แต่เซียนเทพปฐพี่นับสิบก็กําเนิดขึ้นในหลายพันปีที่ผ่านมา เหล่าเซียนเทพปฐพีเดินทางไปได้ทั่วดินแดน เกรงว่ามันคงถูกหาพบไปนานแล้วหากตั้งอยู่ในยุทธภพต่างแดนแห่งนี้

ตราบใดที่พอจะมีเบาะแสของประตูเซียนแม้เพียงเล็กน้อย มันคงไม่สามารถรอดพ้นจากเซียนเทพปฐพีเหล่านั้นไปได้

“นายท่าน ความจริงแล้วบรรพบุรุษของข้าเดินทางมาจากทวีปแห่งนั้น ย้อนกลับไปเมื่อสมัยก่อน เขาได้เห็นประตูเซียนด้วยตาของเขาเอง พื้นที่รัศมีกว่าร้อยลี้พังทลาย ตอนนั้นบรรพบุรุษของข้าเพิ่งเข้าสู่ขอบเขตตํานานยุทธเท่านั้น จึงรีบหนีออกจากทวีปนั้นอย่างรวดเร็ว”

“แต่หลังจากเหตุการณ์นั้นผ่านมาหลายปี เรื่องราวก็ถูกส่งต่อมา ข้าเคยลองไปหาข่าวเรื่องประตูเซียนมาจากนิกายใหญ่หลายแห่ง ในที่สุดก็ยืนยันเรื่องราวนี้ได้ แต่พรรคหมื่นดาบกลับพบเบาะแสเล็กๆเข้า”

“พรรคหมื่นดาบเดาว่าข้าอาจจะล่วงรู้ความลับบางอย่างของประตูเซียน เพราะข้าดูอยากรู้เกี่ยว กับประตูเซียนมากเกินไป พวกเขาจึงปลุกตํานาน ยุทธขั้นสูงสุดที่ควบแน่นอาณาเขตได้ ให้มาจับ ตัวข้าไป บังคับให้เปิดเผยความลับ…”

เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ ชายชราผมขาวก็ส่ายศีรษะ จากนั้นจึงกล่าวต่อไปว่า “แต่ข้าจะให้เป็นไปตาม ความตั้งใจของพรรคหมื่นดาบได้อย่างไร? ข้าคือตํานานยุทธขั้นสูงสุด จิตวิญญาณก็มิใช่จะอ่อนแอ แม้จะเป็นบรรพชนดาบที่ตื่นขึ้นมา มันก็ไม่สามารถบังคับข่มขู่ข้าได้”

ชายชราผมขาวพูดอย่างช้าๆ

ซูฉินพยักหน้าเล็กน้อย ลองตรวจสอบทวีปที่ชายชราได้บอกออกมา แล้วจึงโบกมือของตน “ข้าทราบแล้ว เจ้าออกไปก่อนเถอะ”

“ข้าจะปิดด่านฝึกตนสักระยะ ในช่วงเวลาสําคัญนี้ อย่าได้รบกวนข้า” เมื่อสิ้นเสียงของซูฉิน

ทุกคนในที่แห่งนี้ รวมถึงหลีหว่านก็ออกจากห้องโถงไปอย่างนอบน้อม รอคอยอยู่บนยอดเขาดาบ

ใบหน้าของชายชราผมขาวดูโล่งใจอย่างเห็น ได้ชัด ราวกับปลดเปลื้องภาระบางอย่างออกไป ตําแหน่งของประตูเซียน แม้จะเป็นตัวตนอย่างเซียนเทพปฐพีก็ต้องกระตือรือร้นอย่างมากที่จะรู้ แต่ชายชรานั้นต่างออกไป

ด้วยความแข็งแกร่งของเขา แม้จะหาประตูเซียนพบ แต่เขาจะทําอะไรได้บ้าง?

ดังนั้น เมื่อเขาบอกความลับกับซูฉินไป เขาก็รู้สึกโล่งใจ

หลังจากที่ทุกคนจากไป ซูฉินก็ค่อยๆ นั่งขัดสมาธิอยู่ในห้องโถง
“ประตูเซียน……”

ซูฉินไม่สนใจว่าจะมีสมบัติจํานวนมากในประตูเซียนหรือไม่ เขาแตกต่างจากเซียนเทพปฐพี่เหล่านั้น

การบ่มเพาะของเซียนเทพปฐพีเหล่านั้นขึ้นอยู กับสภาพแวดล้อมพลังฟ้าดิน แต่ซูฉินนั้นไม่เหมือนกัน สําหรับซูฉินสภาพแวดล้อมพลังฟ้าดิน ไม่ค่อยมีผลกระทบแต่อย่างใด

ตราบใดที่ซูฉินสามารถลงชื่อเข้าใช้ เขาจะสามารถเติบโตและแข็งแกร่งขึ้นได้เรื่อยๆ ของรางวัลที่ได้จากการลงชื่อเข้าใช้ไม่ได้ถูกกําหนดโดยสภาพแวดล้อมบนโลก แต่กําหนดด้วย ‘เต๋าสะสม

พูดง่ายๆ ก็คือ แม้ว่ากระแสปราณฉีจะยังไม่ฟื้นคืนและอยู่ในช่วงเวลาแห่งความเงียบงัน ซูฉินก็ยังสามารถเข้าสู่ขอบเขตตํานานยุทธระดับนภาชั้นที่เก้าได้ เพียงแต่ใช้เวลานานขึ้น

ดังนั้น แรงดึงดูดใจของประตูเซียนที่มีต่อซูฉินจึงน้อยกว่าที่มีต่อเซียนเทพปฐพีคนอื่นๆ

“อย่างไรก็ตาม สามารถอยู่รอดมาจากยุคเฟื่องฟูกระแสปราณฉีครั้งล่าสุด เต๋าสะสม’ จะต้องมั่งคั่งมากอย่างแน่นอน อย่างน้อยก็ต้องมากกว่าวิหารการสงคราม…”

ซูฉินคาดเดาในใจ

ระดับของประตูเซียนกับวิหารการสงคราม ซูฉินรู้สึกเล็กๆ ในใจว่าอย่างแรกน่าจะสูงกว่าอย่างหลัง

วิหารการสงครามนั้นทรงพลังจริงๆ แม้แต่ในยุคกระแสปราณฉีเฟื่องฟูครั้งล่าสุดมันก็น่าทึ่งไม่น้อย

อย่างไรก็ตาม เซียนเทพปฐพี่หลายคนได้ร่วมมือกันบุกไปยังวิหารการสงคราม สุดท้ายก็ถูกขับไล่ออกมาในสภาพอเนจอนาถ ซึ่งบ่งชี้ได้ว่าวิหารการสงครามไม่น่าจะสามารถสังหารเซียนเทพปฐพีได้

แต่สําหรับประตูเซียน… แม้แต่เซียนเทพปฐพีเองก็เริ่มต้นค้นหามันเมื่อยามชราแล้วเท่านั้น อย่างน้อยความเสี่ยงของประตูเซียนก็ควรมีระดับความอันตรายที่ถึงแก่ชีวิต ต่อตัวตนขอบเขตเชียนเทพปฐพี

“ไม่เป็นไร

“ยังเร็วเกินไปที่จะคิดถึงประตูเซียน”

“อย่างน้อยก็เมื่อข้าเข้าสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพี จึงจะพิจารณาเรื่องประตูเซียนอีกครั้ง”
ซูฉินสงบใจลง ครุ่นคิดอยู่เงียบๆ

อย่างไรเสีย ‘เต๋สะสม ของประตูเซียนก็ยังอยู่ที่นั่นเหมือนเดิม บนโลกนี้ไม่มีใครสามารถใช้ เต๋าสะสมได้ ดังนั้นซูฉินจึงไม่ได้รีบร้อน
“ต่อไป”

“ได้เวลาแปลงจิตวิญญาณแรกกําเนิดแล้วล่ะ”

จิตใจของซูฉินสั่งการ เม็ดโอสถจิตวิญญาณแร กกําเนิดหลายสิบเม็ดก็ปรากฏขึ้นเบื้องหน้าเขา

โอสถจิตวิญญาณแรกกําเนิดนั้นโปร่งใสไร้ลักษณ์ ราวกับประกอบขึ้นมาจากจิตวิญญาณบริสุทธิ์ พลังที่แผ่ออกมาเบาๆ ทําให้ผู้คนรู้สึกสบายใจ น่าทึ่งอย่างยิ่ง

ถ้าชายชราผมขาวยังอยู่ที่นี่และพบว่าโอสถจิต วิญญาณแรกกําเนิดที่หายสาบสูญไปจากยุทธภพต่างแดนมานานแล้ว แม้แต่สํานักเทพโอสถก็ไม่สามารถปรุงมันขึ้นมาได้กลับวางเรียงรายอยู่ ตรงหน้าซูฉินราวกับขนมขบเคี้ยว ดวงตาของเขาคงแดงก่ําเป็นแน่

รู้หรือไม่ว่าโอสถจิตวิญญาณแรกกําเนิดเม็ดเดียวก็เพียงพอที่จะทําให้ตํานานยุทธขั้นสูงสุดแปลงจิตวิญญาณแรกกําเนิดได้ในเวลาอันสั้น นับประสาอะไรกับห้าสิบเม็ด

เมื่อซูฉินกลืนโอสถจิตวิญญาณแรกกําเนิดไปมากมายขนาดนี้ พลังจิตวิญญาณแรกกําเนิดที่สะสมได้จะต้องน่าสะพรึงกลัวอย่างแน่นอน

“น่าทึ่งจริงๆ”

“ไม่รู้เหมือนกันว่าโอสถจิตวิญญาณแรกกําเนิดนี้ปรุงขึ้นมาจากอะไรกันแน่?” ซูฉินเหลือบมองไปที่เม็ดโอสถจิตวิญญาณแรกกําเนิดอีกครั้ง ครุ่นคิดในใจ

โอสถจิตวิญญาณแรกกําเนิดให้ความรู้สึกที่ พิเศษมากต่อซูฉิน เหมือนกับเม็ดโอสถตรงหน้านี้เป็นวิญญาณ ซูฉินไม่เคยเห็นโอสถแผนโบราณที่พิเศษเช่นนี้มาก่อน

รอบตัวซูฉินรายล้อมไปด้วยโอสถจิตวิญญาณแรกกําเนิดมากกว่าห้าสิบเม็ด ซูฉินรู้สึกว่าจิต สัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของตนมีปริมาณเพิ่มขึ้นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ขนาดที่เขารู้สึกได้เลยว่า แม้จะไม่ได้กินโอสถจิตวิญญาณแรกกําเนิดนี้เข้าไป ก็สามารถแปลงจิตวิญญาณแรกกําเนิดได้ด้วยตนเองภายในห้าสิบปี

แน่นอนว่าซูฉินย่อมไม่ทําเรื่องโง่เขลาอย่างจัดเก็บโอสถจิตวิญญาณแรกกําเนิดไว้อย่างดี โดยหวังใช้มันฝ่าฟันอุปสรรคโดยไม่กินเข้าไป

“เอาตอนนี้ให้เสร็จทีเดียวเลย”

ซูฉินรู้สึกว่าจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ในร่างจํานวนมากค่อยๆพลุ่งพล่าน หยิบโอสถจิตวิญญาณแรกกําเนิดออกมาสองสามเม็ดโยนเข้าปากแล้วกลืนลงไปตรงๆ

หวิ่ง!!!

เมื่อโอสถจิตวิญญาณแรกกําเนิดละลายไหลลงคอ มันก็ระเบิดพลังจิตวิญญาณอันน่าสยดสยองออกมานับไม่ถ้วน ผสานเข้ากับจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของซูฉินอย่างต่อเนื่อง

พลังจิตวิญญาณนี้ละเลยกายเนื้อของซูฉินไปอย่างสมบูรณ์ และพุ่งตรงเข้าใส่จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของซูฉิน

ด้วยความช่วยเหลือจากพลังจิตวิญญาณนี้ จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของซูฉินค่อยๆหดตัวและ ควบแน่นเข้าหากัน ก้าวไปสู่รูปแบบที่สูงขึ้น

Sign Buddha’s palm 278 กระจุย

 

” บรรพชนดาบ! ” 

 

ในที่สุดประมุขพรรคหมื่นดาบและคนอื่นๆก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกได้เสียทีพวกเขาโค้งคำนับร่างที่ค่อยๆเดินออกมาจากอาคารดาบเก้ายอดพันจ้างแล้วจึงพากันพูดเสียงดังว่า” คารวะบรรพชนดาบ” 

 

ซูฉินแข็งแกร่งเกินไปเกือบสามพันปีก่อนฉากที่เซียนเทพปฐพจากสำนักผู้วิเศษบุกเกาะหมื่นดาบกำลังจะเกิดขึ้นซ้ำอีกครั้ง

 

ความตื่นตระหนกในใจของผู้คนในพรรคหมื่นดาบสามารถมองเห็นได้ไม่ยาก

 

อย่างไรก็ตามเมื่อบรรพชนดาบปรากฏตัวไม่ว่าจะเป็นประมุขพรรคหมื่นดาบหรือเหล่าบรรพชนพวกเขาทั้งหมดรู้สึกราวกับได้หลบอยู่หลังปรมาจารย์จิตใจที่ตื่นตระหนกก็สงบลง

 

” บรรพชนดาบ? ” 

 

” นั่นคือบรรพชนดาบหรือ? ” 

 

ที่จัตุรัสหยกขาวจิตวิญญาณของจอมยุทธจำนวนมากพากันสั่นสะท้านมองไปยังอาคารเก้ายอดสูงพันจ้างมีร่างหนึ่งก้าวเดินออกมาซ้ำๆ

 

บรรพชนดาบมีใบหน้าที่ผอมซูบสวมชุดคลุมสีขาวขนาดใหญ่แขนเสื้อกระพือพัดไปตามสายลมไม่มีกลิ่นอายของจอมยุทธเลยแต่เหมือนกับเซียนเดินดินเสียมากกว่า

 

” ในที่สุดเจ้าก็ยอมออกมาแล้ว? ” 

 

ซูฉินพูดโดยไม่ได้ใส่ใจอะไรนักแต่มองไปที่บรรพชนดาบด้วยความสนใจ” นี่คือจิตวิญญาณแรกกำเนิดงั้นรึ? ” 

 

ในสายตาของคนอื่นๆบรรพชนดาบเป็นชายชราร่างผอมในชุดคลุมสีขาวขนาดใหญ่อย่างไรก็ตามซูฉันรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าบรรพชนดาบไม่มีพลังปราณชีวิตและเลือดเนื้อจากร่างกายเลยสิ่งที่เขาแสดงให้ทุกคนเห็นคือจิตวิญญาณแรกกำเนิดที่ควบแน่นจนถึงขีดสุดเป็นร่างจิตวิญญาณแรกกำเนิด

 

แค่จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ก็เพียงพอจะแทรกแซงความเป็นจริงได้อยู่แล้วนับประสาอะไรกับจิตวิญญาณแรกกำเนิดที่หนาแน่นกว่าจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์อย่างมหาศาล? 

 

” ชีวิตคนเรามีจำกัดร่างกายแก่เฒ่าและตายไปไม่แข็งแกร่งเท่าสหายเต่ำที่มีปราณชีวิตและเลือดเนื้อทรงพลังจนกินรัศมีนับพันล้ำ” บรรพชนดาบถอนหายใจ” แม้แต่ขอบเขตเซียนเทพปฐพียังมีวันแก่เฒ่านับประสาอะไรกับตัวข้า? ” 

 

เมื่อบรรพชนดาบกล่าวเช่นนี้เขาก็เปลี่ยนคำพูดและมองไปยังซูฉิน” พลังปราณของสหายเต๋สมบูรณ์ยิ่งห่างจากขั้นตอนแปรสภาพเป็นจิตวิญญาณแรกกำเนิดอีกเพียงขั้นตอนเดียวเท่านั้นใช่หรือไม่? ข้าไม่รู้ว่าทำไมจึงต้องเข้ามาในพรรคหมื่นดาบและสังหารศิษย์ของพรรคเรา? ” 

 

ทุกครั้งที่บรรพชนดาบกล่าวออกมาพลังจิตวิญญาณแรกกำเนิดก็พวยพุ่งออกมาราวกับมหาสมุทรกว้างมีร่องรอยของความสงสัยไม่เข้าใจ

 

ชายที่แข็งแกร่งเช่นซูฉินอยู่ห่างจากการแปรเปลี่ยนจิตวิญญาณแรกกำเนิดเพียงแค่ขั้นเดียวทำไมไม่ปิดด่านฝึกตนแปรเปลี่ยนจิตวิญญาณแรกกำเนิดโดยเร็วที่สุดเพื่อทะลวงขั้นมาบุกรุกพรรคหมื่นดาบด้วยเหตุใด? 

 

” เมื่อไม่นานมานี้พรรคหมื่นดาบของเจ้าได้พาหญิงคนหนึ่งนามว่าหลีหว่านไปนางเป็นอนุชนรุ่นหลังของข้าและได้ครอบครองร่างหัวใจแห่งดาบ” 

 

ซูฉันมองตรงไปยังบรรพชนดาบอย่างใจเย็นพร้อมกับพูดออกมาเบาๆ

 

” เจ้ารุกรานพรรคหมื่นดาบของข้าเพียงเพราะประโยชน์ของเหล่าบริวารอย่างนั้นหรือ? ” 

 

ใบหน้าของบรรพชนดาบแสดงอาการเหลือเชื่อราวกับเขาได้ยินเรื่องน่าขันเรื่องหนึ่ง

 

คนที่ยืนอยู่บนจุดสูงสุดของโลกอย่างพวกเขานอกจากการฝึกฝนบ่มเพาะไปยังระดับที่สูงกว่าแล้วสิ่งอื่นก็แทบจะหลงลืมไปหมดไม่สนใจเกี่ยวกับชีวิตและความตายของคนอื่นๆเลย

 

เช่นเดียวกันบรรพชนดาบตราบใดที่มรดกของพรรคหมื่นดาบยังคงสืบทอดต่อไปแม้ศิษย์ธรรมดาจะเสียชีวิตหรือได้รับบาดเจ็บเป็นพันๆคนเขาก็จะไม่กะพริบตาด้วยซ้ำ

 

ร่างหัวใจแห่งดาบนั้นหายากแต่ก็มีคนอยู่มากมายในต่างดินแดนรวมถึงหลายร้อยทวีปที่ห่างไกลรอบนอกที่เป็นเหมือนแผ่นดินใหญ่สามารถหาคนจำพวกนี้ได้เสมออย่างมากสุดก็ต้องใช้เวลาสักพักในการค้นหา

 

ร่างหัวใจดาบมีประโยชน์ในการฝึกฝนบ่มเพาะอย่างแน่นอนแต่นั่นเป็นเรื่องของก่อนที่จะเข้าสู่ขอบเขตตำนานยุทธเมื่อเข้าสู่ขอบเขตตำนานยุทธแล้วความแตกต่างระหว่างร่างหัวใจดาบกับจอมยุทธขอบเขตตำนานยุทธคนอื่นๆก็มีน้อยมากท้ายที่สุดจอมยุทธคนใดที่เข้าสู่ขอบเขตตำนานยุทธได้แม้อาจจะไม่ได้มีพรสวรรค์น่าทึ่งแต่อย่างน้อยก็หาใช่ปุถุชนคนธรรมดา

 

ซูฉินไม่ลังเลที่จะมาเยือนเกาะหมื่นดาบเพื่ออนุชนที่ครอบครองร่างหัวใจดาบพร้อมต่อสู้เป็นตายกับพรรคหมื่นดาบซึ่งน่าเหลือเชื่อมาก

 

” ข้านั้นแตกต่างจากเจ้า” 

 

ซูฉินส่ายหัวเล็กน้อยก่อนจะพูดเบาๆ

 

ไม่ว่าจะเป็นบรรพชนดาบตรงหน้าหรือบรรพชนคนอื่นๆเขามีชีวิตอยู่มาหลายร้อยหลายพันปีเป็นอย่างน้อยถึงจะมีอนุชนคนรุ่นหลังอยู่แต่ก็ไม่รู้ว่าผ่านมากี่ชั่วอายุคนแล้วนอกจากนี้พวกเขายังหลับใหลมาตลอดจะไม่มีอารมณ์มาแยแสคนเหล่านั้นย่อมไม่แปลก

 

” ดังนั้นตำนานยุทธขั้นสูงสุดของพรรคหมื่นดาบที่ไปยังแผ่นดินแห่งพลังยุทธฯทั้งหมดนั้นก็เป็นฝีมือของเจ้าใช่หรือไม่? ” 

 

บรรพชนหรี่ตาลงเล็กน้อยกล่าวเน้นทีละคำ

 

” พวกเขา….” 

 

เสียงของซูฉินเรียบนิ่งและในที่สุดก็เผยให้เห็นร่องรอยของความเสียดาย” อ่อนแอเกินไป” 

 

” กล้าหาญนัก! ” 

 

ดวงตาของบรรพชนดาบกลายเป็นเย็นเยียบจ้องมองซูฉันเขม็ง” เจ้าไม่เพียงแต่สังหารตำนานยุทธขั้นสูงสุดของพรรคหมื่นดาบเท่านั้นเจ้าทำแม้กระทั่งบุกเข้ามาทำลายเกาะหมื่นดาบของพวกเราเจ้าคิดว่าไม่มีคนอยู่บนเกาะหมื่นดาบเลยหรืออย่างไร? ” 

 

หลังจากพูดจบบรรพชนดาบก็เหยียดมือขวาจรดนิ้วออกเหมือนคมดาบแล้วพันเข้าใส่ซูฉิน

 

ประกายแสงดาบอันน่าสยดสยองก็ระเบิดออกมาราวกับดาบศักดิ์สิทธิ์ที่ไม่มีใครต้านทานได้ฟาดลงมาจากสวรรค์เก้าชั้นฟ้าดาบยาวของศิษย์พรรคหมื่นดาบทุกคนพากันสั่นสะเทือนราวกับพวกมันรู้สึกได้ถึงพลังแห่งราชาประกายแสงดาบเฉียบคมพุ่งข้ามผ่านระยะทางกว่าหมื่นเมตรได้ในพริบตาหมายจะปั่นซูฉินให้เป็นสองส่วน

 

ดาบบุกทะลวงประการที่หนึ่ง

 

หนึ่งในสิบเจตจำนงดาบสิบประการแห่งพรรคหมั่นดาบ

 

ก่อนหน้านี้ที่ซูฉินสังหารบรรพชนพรรคหมื่นดาบหนึ่งในนั้นก็ใช่เจตจำนงดาบบุกทะลวงประการที่หนึ่งนี้เหมือนกันแต่เมื่อเปรียบเทียบกับเจตจำนงดาบบุกทะลวงประการที่หนึ่งของบรรพชนดาบที่ฟันออกมาตอนนี้แล้วมันอ่อนแอราวกับสายลมพัดผ่าน

 

แม้บรรพชนดาบจะเป็นเพียงร่างจิตวิญญาณแรกกำเนิดในขณะนี้ไม่มีร่างกายไม่มีแก่นแท้แห่งพลังแต่พลังจิตวิญญาณแรกกำเนิดยังคงอยู่และเป็นพลังงานชนิดหนึ่งที่อยู่ในระดับที่สูงกว่าเจตจำนงดาบที่ใช้ออกโดยพลังของจิตวิญญาณแรกกำเนิดเพียงพอจะตัดร่างของตำนานยุทธขั้นสูงสุดได้อย่างง่ายดาย

 

” แม้แต่จิตวิญญาณแรกกำเนิดก็ยังไม่ได้เปลี่ยนแปลงแต่ยังกล้าที่จะบุกเข้ามาในพรรคหมื่นดาบวันนี้ข้าจะให้เจ้าได้เห็นว่าพลังของจิตวิญญาณแรกกำเนิดมันเป็นเช่นไร” 

 

ร่างของบรรพชนดาบเต็มไปด้วยจิตวิญญาณแรกกำเนิดเขามองไปทางซูฉินอย่างเย็นชา

 

” อ่อนแอเกินไป” 

 

ท่าทีของซูฉินยังคงไม่เปลี่ยนแปลงยังคงยืนอยู่ที่เดิม

 

ครืน

 

วินาทีต่อมา

 

ร่างของซูฉินเหมือนกับเกลียวคลื่นซัดสาดปะทะกันภายในพลังอันน่าสยดสยองของเลือดเนื้อพวยพุ่งขึ้นสู่ฟากฟ้ากลายเป็นพลังอันกว้างใหญ่พุ่งเข้าหาบรรพชนดาบ

 

” นี่? ” 

 

ท่าทีของบรรพชนดาบตึงเครียดขึ้นรู้สึกว่าพลังของจิตวิญญาณแรกกำเนิดค่อยๆสลายไปด้วยอิทธิพลจากพลังอันกว้างใหญ่ที่ถาโถมเข้ามา

 

” เป็นไปไม่ได้” 

 

” ปราณชีวิตเลือดเนื้อช่างแข็งแกร่งอะไรเช่นนี้เจ้ามีร่างกายที่แข็งแกร่งเช่นนี้ได้อย่างไร? ” 

 

ใบหน้าของบรรพชนดาบดูตกตะลึงและไม่อยากเชื่อ

 

ขณะนี้ในสายตาของบรรพชนดาบร่างของซูจินเหมือนกลายเป็นเตาหลอมปลดปล่อยพลังเลอดเนื้อปราณชีวิตอันน่าสะพรึงกลัวออกมาทุกขณะ

 

เป็ง! 

 

เจตจำนงดาบบุกทะลวงประการที่หนึ่งที่บรรพชนดาบปล่อยออกไปกระทบเข้ากับเลือดเนื้อปราณชีวิตของซูฉินอย่างต่อเนื่องทันใดนั้นมันก็เริ่มสลายกลายเป็นอากาศธาตุ

 

ซูฉินเพียงอาศัยปราณจากเลือดเนื้อเพื่อปกป้องตนเองมันสามารถปิดกั้นเจตจำนงดาบของบรรพชนดาบได้

 

นี่คือความน่ากลัวของกายแห่งธรรมชาติ

 

แม้ว่าร่างกายในปัจจุบันของซูฉันจะเป็นเพียงกายแห่งธรรมชาติแค่กึ่งหนึ่งแต่ครึ่งก้าวเข้าสู่กายแห่งธรรมชาตินั้นก็มีเลือดเนื้อปราณชีวิตที่กว้างใหญ่แทบจะบดขยตำนานยุทธขั้นสูงสุดที่ยังไม่ได้แปลงจิตวิญญาณแรกกำเนิดได้ทั้งโลก

 

หากร่างกายของซูฉินเข้าสู่ขอบเขตกายแห่งธรรมชาติโดยสมบูรณ์เกรงว่าแค่กายเนื้ออย่างเดียวก็เพียงพอจะบดขยี้ตำนานยุทธที่อยู่ในขอบเขตที่ต่ำกว่าเซียนเทพปฐพีได้ทั้งหมด

 

ร่างกายที่เป็นจิตวิญญาณแรกกำเนิดบริสุทธิ์อย่างบรรพชนดาบเมื่อเผชิญหน้ากับกายแห่งธรรมชาติที่แท้จริงเพียงใช้ปราณเลือดเนื้อก็ชำระล้างได้อย่างสมบูรณ์ไม่มีสิ่งใดหลงเหลือ

 

หลังจากที่ตำนานยุทธขั้นสูงสุดแปลงจิตวิญญาณแรกกำเนิดได้แน่นอนพวกเขาจะสามารถปลดเปลื้องข้อจำกัดทางกายได้แม้จะละทิ้งร่างกายไปแต่ก็สามารถรักษาพลังต่อสู้ส่วนใหญ่ไว้ได้กระนั้นก็ยังมีอันตรายที่ซ่อนอยู่หลังสูญเสียร่างกาย

 

นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมบรรพชนดาบจึงเตรียมพร้อมที่จะยึดร่างหัวใจแห่งดาบ

 

มีเพียงร่างที่สอดคล้องกันเท่านั้นบรรพชนดาบจึงจะสามารถใช้พลังต่อสู้ได้ถึงขีดสุด

 

น่าเสียดายที่ซูฉินบุกมาก่อนที่บรรพชนดาบจะยึดครองร่างเมื่อเผชิญสถานการณ์เช่นนี้บรรพชนดาบจึงต้องออกมาเพื่อหยุดยั้ง

 

ไม่เช่นนั้นเกาะหมื่นดาบทั้งหมดอาจถูกซูฉินกวาดล้าง

 

” ดี! ” 

 

ท่าทีของบรรพชนดาบเย็นชาดวงตาเคร่งขรีมอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อนรู้แล้วว่าความแข็งแกร่งของซูฉินไม่ได้อยู่ต่ำกว่าตนเอง” แม้จะยังไม่แปลงจิตวิญญาณแรกกำเนิดแต่กายเนื้อแทบจะเหนือกว่าขอบเขตตำนานยุทธแล้วข้าเข้าใจแล้วทำไมตำนานยุทธขั้นสูงสุดของพรรคหมนดาบจึงตกตาย” 

 

น้ำเสียงของบรรพชนดาบดูเคร่งขรึมในทุกคำที่พูด

 

ด้วยพลังอันยิ่งใหญ่ของเลือดเนื้อปราณชีวิตที่ซูฉินแสดงออกมาในตอนนี้แม้เพียงการยืนอยู่เฉยๆก็ยังยับยั้งตำนานยุทธขั้นสูงสุดได้ตำนานยุทธขั้นสูงสุดธรรมดาๆเมื่ออยู่ต่อหน้าซูฉินก็ไม่มีคุณสมบัติจะต้านทานได้ด้วยซ้ำ

 

” แต่ถ้าพึ่งพาร่างกายของเจ้าเพียงอย่างเดียวเจ้าไม่ทางเอาชนะข้าได้” 

 

บรรพชนดาบกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ลุ่มลึก

 

” หนวกหูจริงๆ” 

 

ซูฉินขี้เกียจเกินกว่าจะพูดคุยกับบรรพชนดาบและกล่าวเบาๆว่า

 

” เรียกฝน! ” 

 

ในชั่วพริบตา

 

ท่ามกลางบรรยากาศที่ไม่มีเค้าลางใดมาก่อนรัศมีไม่กี่ลี้โดยรอบหยดน้ำฝนที่ดูราวกับอัญมณีก็ร่วงหล่นโปรยปราย

 

หยดน้ำฝนเหล่านี้เป็นสีแดงเหมือนเลือดปลดปล่อยจิตสังหารออกมา

 

” ไม่ดีแล้ว” 

 

ใบหน้าของบรรพชนดาบเปลี่ยนไปอย่างมากเขาสัมผัสได้ถึงพลังของหยาดฝนที่มีอยู่ทั่วท้องฟ้าหากปล่อยให้หยาดฝนเหล่านี้ตกลงมาตำนานยุทธพรรคหมื่นดาบตั้งแต่ระดับนภาชั้นที่หกลงไปจะต้องตายอย่างแน่นอน

 

” ปิดกั้น! ” 

 

บรรพชนดาบตะโกนเสียงดัง

 

พลังจิตวิญญาณแรกกำเนิดระเบิดออกมาก่อตัวเป็นเกราะคุ้มกันรัศมีหนึ่งเข้าปิดกั้นเม็ดฝนที่ใสราวอัญมณีเอาไว้ภายนอกทั้งหมด

 

ฟูว! 

 

เม็ดฝนจำนวนมากหล่นลงมากระทบกับเกราะคุ้มกันซึ่งสร้างขึ้นจากพลังจิตวิญญาณแรกกำเนิดทั้งสองปะทะกันและหลอมรวมเข้าด้วยกันในท้ายที่สุดหยาดฝนก็ถูกบรรพชนดาบขวางกั้นไว้ได้แม้จะสูญเสียพลังจากจิตวิญญาณแรกกำเนิดไปก็ตาม

 

เมื่อเห็นสิ่งนี้ซูฉินก็พูดออกมาอีกสองคำด้วยท่าที่เฉยเมย

 

” ไฟมา” 

 

อุณหภูมิทั่วพื้นที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วลูกไฟขนาดใหญ่เก้าลูกก็ลุกพรึ่บและในชั่วพริบตามันก็ขยายขนาดออกไปหลายสิบจ้างราวกับเป็นดวงอาทิตย์เก้าดวงสามารถมองเห็นได้จากทั่วทุกมุมของเกาะหมื่นดาบ

 

คัมภีร์เก้าสุริยัน

 

หลังจากที่ซูฉินฝึกฝนภาพดวงตะวันขนาดมหึมาทักษะธาตุไฟทั้งหลายก็รุนแรงอย่างยิ่งสามารถเผาภูเขาจนไหม้ต้มทะเลจนเดือด

 

หวิ่ง!!! 

 

ทันทีที่ดวงอาทิตย์เก้าดวงก่อตัวขึ้นมามันก็เข้าล้อมบรรพชนดาบและความร้อนที่น่าสะพรึงกลัวก็ทำให้อากาศถึงกับบิดเบี้ยวไปพุ่งเข้าดักบรรพชนดาบไว้ภายใน

 

” เจ้า?! ” 

 

ใบหน้าของบรรพชนดาบกลายเป็นน่าเกลียดแต่ก่อนที่เขาจะกล่าวอะไรต่อเขาก็เห็นซูฉินกำหมัดและพูดออกมาช้าๆ

 

” สายฟ้ามา! ” 

 

ในชั่วพริบตา

 

จู่ๆท้องฟ้าก็มืดครึ้ม

 

เสียงฟ้าร้องดังน่าหวาดกลัวสายฟ้าวาบผ่านอนเมฆฟาดผ่าลงมากลิ่นอายธาตุหยางเองก็พวยพุ่งขึ้นสู่ฟากฟ้า

 

สายตาที่ตกตะลึงของบรรพชนดาบได้เห็นร่างกายของซูฉินมีสายฟ้าแล่นทั่วตัวสาดประกายวาววับพุ่งเข้ามาหาในทันทีจากนั้นหมัดเบาก็กระแทกเข้าใส่แกรัก

 

ร่างจิตวิญญาณของบรรพชนดาบสั่นไหวรอยร้าวแพร่กระจายออกไปอย่างรวดเร็วในชั่วพริบตามันก็แตกร้าวไปทั่วทุกมุมของร่างจากนั้นแขนขวาของบรรพชนดาบก็ระเบิดออกเป็นชิ้นๆตามด้วยแขนซ้ายขาขวาขาซ้ายหัวและลำตัวก็ระเบิดออกทีละส่วนและยังมีพลังอันน่ากลัวของสายฟ้าสถิตอยู่ด้วย

 

ผู้ที่เฝ้าดูอยู่ต่างเงียบนิ่ง

 

ทุกคนที่ได้เห็นฉากนี้ขนลุกชันแทบไม่อยากจะเชื่อ

 

ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดอย่างบรรพชนดาบผู้ที่แปลงจิตวิญญาณแรกกำเนิดได้แล้วกลับถูกซูฉินชกจนร่างกระจุย? 

 

Sign Buddha’s palm 277 ศึกขั้นสุดยอด! 

 

เกาะหมั่นดาบ

 

เหนือจัตุรัสหยกขาว

 

บรรพชนพรรคหมื่นดาบที่เพิ่งตื่นจากหลับใหลต่างนิ่งอึ้ง

 

ค่ายกลสังหารที่พวกเขาใช้ในตอนนี้แม้จะเป็นแนวค่ายกลสังหารบริเวณขอบของเกาะหมื่นดาบด้อยกว่าค่ายกลสังหารหลักมากนักแต่มันก็มากเกินพอสำหรับปิดกั้นตำนานยุทธขั้นสูงสุดธรรมดาๆแม้ว่าซูฉินจะแข็งแกร่งแต่ก็ไม่ควรจะเพิกเฉยต่อค่ายกลได้

 

” คนผู้นี้แข็งแกร่งมาก” 

 

บรรพชนด้านขวามือตะโกนด้วยความตกใจจิตใจของเขาจะยังผสานเข้ากับค่ายกลฟ้าดินนับไม่ถ้วนบนเกาะหมื่นดาบใช้พลังของค่ายกลเพื่อต้านฝ่ามือยักษ์อย่างบ้าคลั่ง

 

ในที่สุดด้วยอิทธิพลของค่ายกลฟ้าดินอันได้ที่สิ้นสุดฝ่ามือขนาดยักษ์ของซูฉินก็ค่อยๆสลายหายไป

 

ประมุขพรรคหมื่นดาบและคนอื่นๆถอนหายใจออกมาอย่างรุนแรงหากเป็นพวกเขาเองที่ถูกโจมตีด้วยฝ่ามือยักษ์นั่นบรรพชนเองก็ไม่แน่ใจว่าเชาจะรอดหรือไม่แต่ตำนานยุทธระดับนภาชั้นที่หกต้องตกตายอย่างไม่ต้องสงสัย

 

” ศิษย์พรรคหมื่นดาบจงฟังคำสั่ง” 

 

บรรพชนที่อยู่ทางขวามือจ้องมองอย่างเคร่งเครียดและเสียงของเขาก็ดังก้องเข้าไปในโสตของศิษย์พรรคหมื่นดาบทุกคนที่อยู่บริเวณใกล้เคียง” จัดตั้งค่ายกลหมื่นดาบคืนซากเดี๋ยวนี้! ” 

 

” ขอรับ” 

 

ศิษย์พรรคหมื่นดาบจำนวนนับไม่ถ้วนตอบสนองในทันทีซูฉันทำตัวเอะอะเกินไปตะโกนก้องไปทั่วเกาะหมื่นดาบเป็นธรรมดาที่ศิษย์จำนวนมากจะมุ่งหน้ามาอย่างเร่งรีบครืน

 

ศิษย์ของพรรคหมื่นดาบจำนวนมหาศาลต่างไปยืนอยู่ในที่ต่างๆกันเจ็ดตำแหน่งดึงพลังของเกาะหมื่นดาบมาไว้ที่นี่ทำให้เกิดแรงกดดันอันน่าพรั่นพรึงเข้าปกคลุมซูฉิน

 

ในชั่วพริบตา

 

ซูฉินก็สัมผัสได้ถึงการเปลี่ยนแปลงของฟ้าดินและทันใดนั้นก็ตระหนักได้ว่าตนได้ออกจากเกาะหมื่นดาบมาอยู่ในความเวิ้งว้างกว้างใหญ่รอบตัวเขามีดาบศักดิ์สิทธิ์กว่าหมื่นเล่มล้อมไว้หมดพลังอันเฉียบคมน่าสะพรึงกลัวแทบจะฉีกกระชากมิติ

 

” รูปแบบค่ายกลหมื่นดาบคืนซากนั้นถูกทิ้งไว้โดยนักพรตหมื่นดาบซึ่งใช้ประโยชน์จากพลังอันไร้ขอบเขตของเกาะหมื่นดาบได้ทั้งหมดหากบุคคลใดตกอยู่ในนั้นจะไม่สามารถออกไปได้สักพัก” 

 

ประมุขพรรคหมื่นดาบที่เห็นฉากนั้นหัวใจที่บีบตัวแน่นในที่สุดก็คลายลง

 

แม้ว่าค่ายกลหมื่นดาบคืนซากจะไม่ใช่ค่ายกลสังหารที่แข็งแกร่งที่สุดของพรรคหมื่นดาบแต่ก็เป็นค่ายกลชุดที่ซับซ้อนที่สุดของพรรคหมื่นดาบอย่างแน่นอน

 

ผู้ที่ตกอยู่ภายในแม้จะเป็นตำนานยุทธขั้นสูงสุดแต่ประสาทสัมผัสทั้งห้าย่อมจะถูกจำกัดทิ้งไป

 

” เมื่อสามพันปีก่อนพ่อมดราชันจากสำนักผู้วิเศษที่รีบเร่งเข้ามาในพรรคหมื่นดาบของพวกเราก็ยังติดอยู่ในค่ายกลหมั่นดาบคืนซากอยู่พักหนึ่งเลยมิใช่หรือ? ” 

 

รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าผู้อาวุโสพรรคหมื่นดาบ

 

สำนักผู้วิเศษเป็นนิกายใหญ่ในต่างดินแดนเหมือนกันแต่รากฐานของสำนักผู้วิเศษนั้นยาวนานกว่าพรรคหมื่นดาบมากมันเป็นนิกายที่น่าสะพรึงกลัวสืบทอดรากฐานยืนยาวมาตั้งแต่ยุคเฟื่องฟูกระแสปราณฉีครั้งล่าสุด

 

และพ่อมดราชัน..

 

เป็นถึงเซียนเทพปฐพที่ออกมาจากสำนักผู้วิเศษย้อนกลับไปเมื่อครั้งนั้นพ่อมดราชนได้บรรลุวิถีและโลดแล่นไปทั่วยุทธภพเดินทางไปยังนิกายใหญ่หลายแห่งและพรรคหมื่นดาบก็เป็นหนึ่งในนั้น

 

ขณะที่คนของพรรคหมื่นดาบกำลังกระซิบกระซาบกันอยู่นั้น

 

ภายในค่ายกลหมื่นดาบคืนซากท่าทีของซูฉินยังคงสงบราวกับค่ายกลหมื่นดาบคืนซากที่อยู่เบี้องหน้าเป็นเหมือนกระดาษบางๆที่สามารถฉีกขาดได้เพียงสัมผัสเดียว

 

อันที่จริงสำหรับซูฉินที่มีดวงตาแห่งสัจจะค่ายกลฟ้าดินขนาดใหญ่ทั้งหลายในโลกส่วนใหญ่ก็ไม่อาจรอดพ้นไปจากสายตาของเขา

 

แม้แต่ค่ายกลฟ้าดินขนาดใหญ่ที่สร้างโดยเซียนเทพปฐพีขั้นสูงสุดอย่างจ้าวทะเลบูรพาซูฉีนก็ยังบุกฝ่าเข้าไปได้นับประสาอะไรกับค่ายกลฟ้าดินขนาดใหญ่ตรงหน้าเขา? 

 

” ยังไม่ลงมืออีกหรือ? ” 

 

ซูฉันเลิกคิ้วขึ้นเดิมที่เขาต้องการรอให้บรรพชนดาบเคลื่อนไหวแต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าบรรพชนดาบตั้งใจจะไม่เคลื่อนไหวไม่เช่นนั้นตั้งแต่ที่ซูฉันเริ่มโจมตีก็น่าจะลงมือได้แล้ว

 

” เมื่อเป็นเช่นนั้นข้าก็จะลงมือเข่นฆ่าเจ้า” 

 

ในส่วนลึกของรูม่านตามีวังวนที่อธิบายไม่ได้ค่อยๆหมุนวนไปฉับพลันความว่างเปล่าอันกว้างใหญ่ตรงหน้าก็หลุดลอกออกไปเขากลับมาที่เกาะหมื่นดาบอีกครั้ง

อย่างไรก็ตามแม้ซูฉินจะกำจัดรูปแบบภาพลวงตาไปได้แล้วแต่ค่ายกลหมื่นดาบคืนซากหาใช่มีเพียงรูปแบบภาพลวงตาไม่แรงกดดันยังแทรกซึมอยู่ทุกตารางนิ้วในอากาศ

 

” ทำลายมัน” 

 

ดวงตาของซูฉันสงบเยือกเย็นยกมือขวาขึ้นมาแล้วคว้าจับไปยังตำแหน่งหนึ่ง

 

ทันใดนั้นดาบศักดิ์สิทธิ์หลายสิบเล่มที่ศิษย์พรรคหมื่นดาบถือไว้ก็หลุดมือและศิษย์พรรคหมนดาบเหล่านั้นก็กระอักเลือดพร้อมกับกระเด็นลอยออกไป

 

นี่เป็นเพราะพลังที่ซูฉินปล่อยออกมาพุ่งเป้าไปที่ค่ายกลหมื่นดาบคืนซากไม่เช่นนั้นศิษย์พรรคหมื่นดาบจะไม่ใช่เพียงอาเจียนเป็นเลือดแต่คงจะกลายเป็นผุยผงปลิวว่อนไปทั่วเสียแล้ว

 

ทว่าแม้ฉันจะยั้งมือเหล่าศิษย์พรรคหมนดาบที่กระเด็นลอยออกไปล้วนสูญเสียพลังในการต่อสู้ไปอย่างสิ้นเชิงนอนหมดสติอยู่กับพื้นครีน

 

ดาบศักดิ์สิทธิ์อีกหมื่นเล่มที่ล้อมรอบซูฉินยังคงเคลื่อนเข้ามาใกล้เสริมเข้ากับดาบศักดิ์สิทธิ์หลายสิบเล่มที่สูญเสียไปในชั่วพริบตาแรงกดดันจากค่ายกลก็เพิ่มขึ้นอีกครั้ง

 

” น่าสนใจ” 

 

ซูฉินยกมือขวาขึ้นอีกครั้งและโจมตีตรงๆไปยังดาบอีกหลายพันเล่ม

 

เพียว! 

 

จิตวิญญาณของดาบศักดิ์สิทธิ์นับพันถูกทำลายค่ายกลหมื่นดาบคืนซากเริ่มสั่นคลอนเมื่อประมุขพรรคหมื่นดาบและบรรพชนอีกหลายคนได้เห็นฉากนี้หนังศีรษะของพวกเขาก็ชาวาบ

 

” ผลัดเปลี่ยนเอาศิษย์คนอื่นเข้ามาเพิ่ม

 

บรรพชนพรรคหมื่นดาบตะโกนเสียงดังเมื่อซูฉันสามารถหนีออกจากค่ายกลหมื่นดาบคืนซากได้พวกเขาก็ไม่มั่นใจว่าจะสามารถสร้างค่ายกลหมื่นดาบคืนซากครั้งต่อไปได้หรือเปล่า

 

ในช่วงเวลาต่อมาศิษย์พรรคหมื่นดาบจำนวนมากต่างกัดฟันเข้าเสริมทัพค่ายกลหมื่นดาบคืนซากน่าเสียดาย

 

ศิษย์พรรคหมื่นดาบจำนวนมากล้วนกระเด็นลอยกลับไปอยู่ตลอดเวลาแนวค่ายกลหมั่นดาบคืนซากทั้งหมดสั่นสะท้านราวกับกับมีสัตว์โบราณติดอยู่ภายใน

 

” นี่มันน่ากลัวเกินไปแล้ว” 

 

บริเวณจัตุรัสหยกขาวจอมยุทธที่ต้องการกราบเข้าพรรคหมื่นดาบต่างตกตะลึงมองดูฉากที่เกิดขึ้นตรงหน้าด้วยกายอันสั่นเทา

 

พวกเขาอยู่ไม่ไกลจากซูฉินเป็นธรรมดาที่จะตกอยู่ภายใต้พื้นที่ค่ายกลหมื่นดาบคืนซากด้วยเช่นเดียวกัน

 

แต่ก็เท่านั้น

 

ก่อนที่พวกเขาจะทันได้ตอบโต้อะไรก็เห็นซูฉินที่เป็นดั่งกับเทพผู้รังสรรค์ดาบหมื่นเล่มที่ปกคลุมพื้นที่โดยรอบสั่นไหวและสลายกลายเป็นฝุ่นผงอย่างรวดเร็ว

 

” ข้าเพิ่งจะข้าเพิ่งจะไปตีสนิทกับเขาฉันมิตร…” เหอหมิงเหยียนกลืนน้ำลายลงคอมองซูฉันราวกับกำลังมองเซียนเทพปฐพีตัวจริง

 

เขาไม่เคยคิดฝันว่าวันหนึ่งเขาจะได้พูดคุยกับซูฉินตัวตนที่เผชิญหน้าพรรคหมื่นดาบได้ด้วยความแข็งแกร่งของตนเอง

 

” ศิษย์ทุกคนจงเข้าไปในค่ายกลผู้ใดฝ่าฝืนจะถูกขับไล่ออกจากพรรค” บรรพชนพรรคหมื่นดาบมีใบหน้าบิดเบี้ยวน่าเกลียดยิ่งในยามนี้เขาออกคำสั่งอย่างเร็วพลัน

 

ค่ายกลหมื่นดาบคืนซากสามารถดึงพลังของเกาะหมื่นดาบออกมาได้ทั้งหมดในแง่ของความเข้มข้นของพลังงานนั้นเปรียบได้กับตำนานยุทธขั้นสูงสุดหลายสิบคนแม้จะเป็นในยามที่มีปราณเลือดเนื้อเต็มที่เหล่าบรรพชนที่ตื่นขึ้นมาอย่างเร่งด่วนก็หยุดยั้งพลังนี้ไม่ได้

 

ประมุขพรรคหมื่นดาบที่อยู่ถัดออกมาเห็นศิษย์พรรคหมื่นดาบลอยกระเด็นกลับหัวกลับหางดวงตาของเขาก็แดง…ศิษย์เหล่านี้คืออนาคตของพรรคหมื่นดาบแต่บัดนี้กลับกระเด็นกระดอนราวกับก้อนหินไม่รู้ว่าเป็นหรือตายนี่เท่ากับเป็นการทำลายรากฐานของพรรคหมื่นดาบ

 

มันอาจจะไม่ส่งผลในเวลาอันสั้นด้วยตำนานยุทธระดับนภาชั้นที่ห้าและชั้นที่หกรวมถึงบรรพชนแม้ว่าจะมีศิษย์ลดน้อยลงก็ไม่ได้เป็นอะไรมากนัก

 

แต่จะเกิดอะไรขึ้นในอีกร้อยปีพันปีต่อจากนี้? 

 

จนถึงตอนที่รุ่นของพวกเขาแก่ตายจากกันไปจะเป็นอย่างไร? 

 

หากไม่มีตำนานยุทธในระดับพอๆกับตอนนี้คอยปกครองพรรคหมื่นดาบจะเป็นอย่างไรไม่อาจนึกออกได้เลย

 

” มีปัญหาแล้ว” 

 

เมื่อสังเกตเห็นว่าศิษย์พรรคหมื่นดาบวิ่งกรูกันเข้ามาแม้จะเป็นซูฉินก็ยังแอบร้อนใจเล็กน้อย

 

หากในที่สุดค่ายกลหมื่นดาบคืนซากได้รวบรวมพลังของเกาะหมื่นดาบทั้งหมดเอาไว้เมื่อซูฉินถูกกักอยู่ภายในก็ย่อมส่งผลถึงความแข็งแกร่งเช่นกันอย่างน้อยกว่าการโจมตีจะสิ้นสุดลงพลังของเกาะก็ต้องอ่อนแอจนถึงที่สุดก่อน

 

แน่นอน

 

ด้วยความแข็งแกร่งของซูฉินถ้าเขามีเวลามันก็เป็นไปได้ที่จะบดขยี้ศิษย์สาวกพรรคหมื่นดาบให้จมดินแต่อย่างน้อยก็ต้องใช้เวลาสักครู่งก้านธูป

 

ซูฉินจะเสียเวลาขนาดนั้นไปกับเหล่าศิษย์พรรคหมื่นดาบได้อย่างไร? 

 

เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ซูฉินก็หยุดมือแหงนมองขึ้นไปบนท้องฟ้าราวกับรู้สึกถึงอะไรบางอย่าง

 

” เขาจะทำอะไร? ” 

 

ประมุขพรรคหมื่นดาบบรรพชนและคนอื่นๆล้วนเห็นฉากนี้ขณะที่พวกเขากำลังเตรียมจะถอนหายใจด้วยความโล่งอกหัวใจก็พลันบีบตัวแน่นขึ้นอีกครั้ง

 

สิ่งที่ซูฉินทำมาตลอดเกือบจะทำลายค่ายกลหมื่นดาบคืนซากได้อยู่แล้วทำไมเขาถึงหยุดเคลื่อนไหวกะทันหัน? 

 

แต่ก็เท่านั้น

 

ก่อนที่คนของพรรคหมื่นดาบจะตอบสนองอะไรพวกเขาก็ได้ยินเสียงทุ่มต่ำและทรงพลังดังก้องอยู่ในหู

 

” เรียกลม! ” 

 

เสียงเพิ่งจะเงียบลงไป

 

อากาศก็พลันหนาตัวขึ้นในทันที

 

เหนือฟากฟ้ามีพายุกำลังก่อตัว! 

 

ลมเปลี่ยนเป็นสีดำและหมุนวันพัดกระพือเรื่อยๆจากนั้นจึงค่อยๆกลายเป็นมังกรดำเก้าตัวพุ่งออกมา

 

ทันทีที่มังกรดำขนาดมหึมาก่อตัวขึ้นพวกมันทั้งหมดก็คำรามขึ้นไปบนฟากฟ้าคลื่นเสียงเหมือนจะดังสะท้อนไปถึงเก้าชั้นฟ้า

 

ช่วงเวลาต่อมา

 

ท่ามกลางสายตาอันเหลือเชื่อของทุกคนมังกรดำขนาดมหึมาทั้งเก้าตัวก็โฉบลงมายังเกาะหมื่นดาบ

 

หวึ่ง!! 

 

มันเป็นดั่งสายลมแห่งการทำลายล้างพัดผ่านไปที่ใดทุกสิ่งก็เหี่ยวเฉาค่ายกลหมื่นดาบคืนซากสั่นสะเทือนเลือนลั่นเกาะหมื่นดาบก็สั่นไหวเช่นกันรัศมีพลังมารวมตัวกันพยายามอย่างเต็มที่เพื่อต้านทานลมสีดำนี้

 

และในตอนนั้นเองศิษย์พรรคหมื่นดาบจำนวนมากที่รวมตัวกันในค่ายกลหมื่นดาบคืนซากก็ถูกลมสีดำพัดใส่ต่างล้มตายกันมากมายศิษย์พรรคหมื่นดาบกลายเป็นซากศพภายในพริบตา

 

” นี่นี่นี่….” 

 

บรรพชนพรรคหมื่นดาบตกตะลึงใจตกไปอยู่ตาตุ่ม

 

ซูฉินเพียงกล่าวคำว่า” เรียกลมค่ายกลหมื่นดาบคืนซากก็แทบจะพังทลายภายใต้ลมสีดำนี้เกาะหมื่นดาบยังต้องเรียกค่ายกลขนาดใหญ่ออกมาต้านด้วยพลังทั้งหมดเห็นได้ชัดว่าพลังของลมสีดำนี้อยู่สูงในระดับที่ทำลายเกาะหมื่นดาบได้ไม่เช่นนั้นมันจะไม่ต้านรับด้วยพลังที่มากมายเช่น

 

” ถอยถอยกลับเข้าไปในอาคารดาบ” 

 

ประมุขพรรคหมื่นดาบระงับความโศกเศร้าของตนเองและตะโกนออกมาเสียงดัง

 

ในยามนี้แม้ประมุขพรรคหมื่นดาบจะไม่เต็มใจเพียงไรพวกเขาก็ตระหนักดีว่าซูฉินไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาจะต้านทานได้และโอกาสรอดชีวิตเพียงอย่างเดียวคือหลบหนีไปยังส่วนลึกของเกาะหมื่นดาบด้านในอาคารดาบเก้ายอด

 

อาคารดาบเก้ายอดนั้นถูกทิ้งไว้โดยนักพรตหมื่นดาบเมื่อสี่พันปีก่อนแต่พลังที่มีอยู่ภายในแม้ผ่านเวลามาเป็นพันปีก็ไม่ควรมองข้ามอย่างน้อยมันก็เป็นความหวังเดียวที่จะป้องกันพวกเขาจากซูฉินได้

 

” อยู่ต่อหน้าข้าคิดว่าจะหนีพ้นหรือ? ” 

 

ซูฉินหัวเราะลั่นและลมสีดำที่พัดมาอย่างไร้ที่สิ้นสุดก็ยังคงโอบล้อมอยู่รอบตัว

 

แม้ทิพยอำนาจเรียกลม’จะดับไฟชีวิตของตำนานยุทธขั้นสูงสุดไม่ได้แต่ระดับชั้นที่ต่ำกว่าตำนานยุทธขั้นสูงสุดตำนานยุทธธรรมดาเหล่านั้นไม่สามารถต้านทานเคล็ดเรียกลม’ได้เลย

 

เมื่อซูฉันกำลังจะไล่สังหารศิษย์พรรคหมื่นดาบด้วยเคล็ดเรียกลม

 

ทันใดนั้นก็มีเสียงดังออกมาจากส่วนลึกของเกาะภายในอาคารดาบเก้ายอด

 

” พอแล้ว” 

 

ระหว่างนั้น

 

พลังอันยิ่งใหญ่ของจิตวิญญาณแรกกำเนิดก็ครอบคลุมไปทั่วทั้งเกาะหมื่นดาบและกระแสลมสีดำที่พัดทำลายอย่างไม่เลือกหน้าก็สลายหายไปทันทีภายใต้พลังของจิตวิญญาณแรกกำเนิดมันค่อยๆกลับคืนสู่มวลอากาศธรรมดา

 

ตึก ตึก ตึก! 

 

มีเสียงฝีเท้าดังขึ้น

 

เห็นร่างหนึ่งเดินออกมาจากอาคารดาบเก้ายอดอย่างช้าๆ

 

” บรรพชนดาบในที่สุดเจ้าก็ออกมาเสียที” 

 

ซูฉินเงยหน้าขึ้นมองสีหน้าของเขาดูคาดหวัง

 

Sign in Buddha’s palm 282 ประตูเซียน

[ขอแสดงความยินดี โฮสต์ลงชื่อเข้าใช้สําเร็จ ได้รับเคล็ดลับจิตวิญญาณเคล็ดหัวใจดาบ]

เสียงจักรกลเย็นชาดังขึ้นในหูของซูฉิน

“ลงชื่อเข้าใช้ได้จริงๆ”

รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของซูฉิน

เมื่อเทียบกับนิกายใหญ่แห่งอื่นๆ ที่สืบทอดมรดกมาตั้งแต่ยุคเฟื่องฟูกระแสปราณฉีครั้งล่าสุดอย่างสํานักผู้วิเศษ หรือสํานักเอกะวิถี พรรคหมื่นดาบมีประวัติความเป็นมาที่สั้นกว่ามาก และตามกฎของเต๋าสะสม ยิ่งสะสมไว้นานเท่าไหร่ รางวัลจากการลงชื่อเข้าใช้ยิ่งมีมากขึ้นเท่านั้น

แน่นอนว่าสิ่งเหล่านั้นไม่ใช่เรื่องแน่นอน เพียงแต่ส่วนใหญ่เป็นเช่นนั้น

แต่ไม่ว่าอย่างไร พรรคหมื่นดาบก็ดํารงอยู่มานับพันปี และช่วงเวลาส่วนใหญ่ก็ค่อนข้างเจริญรุ่งเรือง ‘เต๋าสะสม’ ที่มีก็น่าจะเพียงพอให้ซูฉินลงชื่อเข้าใช้

“เคล็ดหัวใจดาบ?”

“เคล็ดลับจิตวิญญาณ?”

ซูฉินคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเทพลังงานให้กับรางวัลที่รับมาจากการลงชื่อ

เคล็ดหัวใจดาบเป็นวิชาดาบแต่ก็ไม่เชิงว่าเป็นวิ าดาบ มันมีรากฐานจิตวิญญาณของตนเอง ควบแน่นออกมาเป็นวิญญาณดาบสามารถตัดได้ทุกสิ่ง

นี่เป็นเคล็ดลับที่น่าสะพรึงกลัวมาก มันเป็นจิตวิญญาณแรกกําเนิดในรูปแบบของดาบ ไม่สนใจ การป้องกันใดฟาดฟันโดยตรงเข้าใส่จิตวิญญาณแรกกําเนิดของศัตรู

ปิดกั้นได้ ก็มีชีวิตรอด

ปิดกั้นไว้ไม่ได้ ก็ตาย

แน่นอน

เคล็ดหัวใจดาบนี้ ไม่ใช่ว่าไม่มีข้อบกพร่อง มันสุดโต่งเกินไป เมื่อควบแน่นจิตวิญญาณแรกกําเนิดเป็นรูปแบบดาบ เตรียมเข้าโจมตีศัตรู แต่ถ้าจิตวิญญาณแรกกําเนิดของศัตรูแข็งแกร่งพอที่จะขัดขวางดาบจิตวิญญาณและทําลายมันได้ อาจ เป็นซูฉินเองที่เสียหายอย่างรุนแรง

“ถ้าบรรพชนดาบเชี่ยวชาญเคล็ดลับทางจิตวิญญาณนี้ ข้าคงจะต้องปวดหัวอย่างยิ่ง” ใจของซูฉินสั่นไหว

แม้ว่าจะมีองค์ยูไลทองคําคอยดูแลเขาอยู่ภายในกึ่งกลางระหว่างคิ้ว เมื่อเผชิญหน้ากับ เซียนเทพปฐพีที่ใช้เคล็ดหัวใจดาบนี้ ก็ยังไม่อาจทําให้องค์ยูไลทองคําที่ชี้มือจรดฟ้าสั่นไหวได้

แต่หากบรรพชนดาบหมดหวัง เผาหินดังหยก มันจะสามารถสร้างความเสียหายให้กับจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของซูฉินได้อย่างแน่นอน

ท้ายที่สุดจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของซูฉินก็ไม่ได้หลบซ่อนอยู่หลังองค์ยูไลทองคําระหว่างคิ้ว ส่วนใหญ่ยังคงแผ่ออกไปรอบๆ เกาะหมื่นดาบ และบรรพชนดาบจะสามารถตัดเฉือนจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์เหล่านี้ได้อย่างสมบูรณ์เพียงแค่ใช้เคล็ดหัวใจ ดาบ

“จิตวิญญาณแรกกําเนิด…”

ซูฉินกระซิบคําอยู่กับตนเอง

จิตวิญญาณแรกกําเนิดถูกเปลี่ยนแปลงมาจากจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์จํานวนมหาศาล มีความบริสุทธิ์เป็นอย่างยิ่ง เมื่อผู้ฝึกยุทธแปลงจิตวิญญาณแรกกําเนิดได้แล้ว เขาจะบรรลุความสามารถมบางอย่าง ไม่จําเป็นต้องพึ่งพาร่างกายมากนักอีกต่อไป

ยิ่งกว่านั้น จิตวิญญาณแรกกําเนิดก็เหมือนกับร่างลวงตา การโจมตีส่วนใหญ่บนโลกนี้ไม่มีผลกับจิตวิญญาณแรกกําเนิด ตัวอย่างเช่น ซูฉินที่สังหารตํานานยุทธขั้นสูงสุด สิ่งที่ต้องทําก็อาจจะใช้หมัดหรือฝ่ามือ แต่การสังหารบรรพชนดาบที่สูญเสียร่างกายมีเพียงจิตวิญญาณแรกกําเนิดกลับเสียเวลาไปหลายชั่วโมง

นั่นก็เป็นเพราะร่างกายของซูฉินได้ก้าวเข้าสู่กายแห่งธรรมชาติแล้วกึ่งหนึ่ง ปราณเลือดที่ท่วมท้นสามารถสะกดข่มจิตวิญญาณแรกกําเนิดได้ในระดับหนึ่ง ไม่เช่นนั้น หากไม่มีเลือดเนื้อ ปราณชีวิตของกายแห่งธรรมชาติ แม้ซูฉินจะเอาชนะบรรพชนดาบได้ แต่เขาก็ไม่สามารถฉุดรั้งอีกฝ่ายเอาไว้ได้อยู่ดี

เว้นแต่ซูฉินจะเต็มใจใช้ไม้ตายกันหีบอย่างฝ่ามือยูไล

แต่ที่นี่คือต่างดินแดนที่ไม่รู้ว่ามีบุคคลผู้ทรงอํานาจซ่อนตัวอยู่กี่คน กระบวนท่าของฝ่ามือยูไลนั้นยิ่งใหญ่เกินไป และซูฉินกังวลว่าจะทําให้เกิดปัญหาโดยไม่จําเป็น

“ดูเหมือนเราควรจะพิจารณาเรื่องการแปลงจิตวิญญาณแรกกําเนิดเสียแล้ว” ซูฉินคิดกับตนเอง

เขาเพิ่งเข้าสู่ระดับนภาชั้นที่เก้าได้ไม่นาน ต้องการจะใช้เวลาอีกสักสองถึงสามปีเพื่อให้ระดับพลังเสถียรเสียก่อน หลังจากนั้นจึงค่อยแปลงจิตวิญญาณแรกกําเนิดที่เดียว

แต่ยามนี้ดูเหมือนเวลาจะไม่คอยท่า

แม้ว่าซูฉินจะทําลายพรรคหมื่นดาบลงได้ด้วยความราบรื่น ใช้เวลาไม่ทันถึงครึ่งวันด้วยซ้ํา แต่เมื่อเริ่มลงมือ พลังผันผวนน่าสยดสยองก็ได้แพร่กระจายออกไปทุกทิศทางแล้ว

อีกไม่นานคนทั้งดินแดนก็คงจะรู้ว่าพรรคหมื่นดาบถูกทําลาย

ซูฉินยังไม่มีพลังที่จะป้องกันตัวเองได้มากพอ เมื่อต้องเจอกับสายตาสอดส่องของยักษ์ใหญ่แท้จริง ซึ่งซ่อนเร้นอยู่ในดินแดนโพ้นทะเลแห่งนี้มานานนับหมื่นปี

ดังนั้นการแปลงจิตวิญญาณแรกกําเนิดจึงต้องถูกร่นเข้ามา

ด้วยความแข็งแกร่งในปัจจุบันของซูฉิน หากแปลงจิตวิญญาณแรกกําเนิดได้และรวมกับครึ่งก้าวสู่กายแห่งธรรมชาติ แม้จะยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเซียนเทพปฐพี แต่หากได้พบกับเซียนเทพปฐพีจริงๆ อย่างน้อยก็สามารถทําใจเยือกเย็นขึ้นได้อีกนิด

“ข้าลงชื่อเข้าใช้ที่วิหารการสงครามและได้รับโอสถจิตวิญญาณแรกกําเนิดมามากกว่าห้าสิบเม็ด การแปลงจิตวิญญาณแรกกําเนิดไม่น่าจะมีปัญหาแต่อย่างใด”

ซูฉินขบคิดอยู่กับตนเอง

เป็นเพียงการแปลงจิตวิญญาณแรกกําเนิด หาใช่ทะลวงจากตํานานยุทธขั้นสูงสุดเข้าสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพีไม่

ถ้าอย่างหลังล้มเหลว มันอาจทําให้ถึงแก่ชีวิตได้ แต่การแปลงจิตวิญญาณแรกกําเนิดนั้นไม่เหมือนกัน มันเป็นเพียงขั้นตอนความสําเร็จอย่างหนึ่ง อย่างมากสุดก็ทําให้การฝึกฝนช้าลง แต่จะไม่ส่งผลถึงแก่ชีวิต

นอกจากนี้หากมันผ่านไปได้ด้วยดี จิตวิญญาณแรกกําเนิดจะเป็นตัวช่วยที่ดีอย่างแน่นอน

“หลังจากแปลงจิตวิญญาณแรกกําเนิดแล้ว แม้ว่าร่างกายข้าจะถูกทําลาย ก็จะยังสามารถเกิดใหม่ได้ด้วยวิชาลับย้ายร่างกําเนิดใหม่”

รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของซูฉิน

แต่การยึดร่างอื่นเป็นทางออกสุดท้าย

หากไม่ใช่ทางเลือกสุดท้ายจริงๆ ซูฉินจะไม่มีวันละทิ้งร่างกายนี้ สุดท้ายแล้วร่างกายนี้เขาก็เสียทรัพยากรมามากมายนับไม่ถ้วน และแม้แต่แหล่งกําเนิดธาตุดินก็กลืนกินมาแล้วหนึ่งแห่งจนกลายมาเป็นครึ่งก้าวสู่กายแห่งธรรมชาติ นอกจากนี้ ร่างกายของคนอื่นๆ แม้จะอยู่ในระดับเดียวกัน จะมาเทียบร่างของตนเองที่ใช้งานได้เป็นอย่างดีได้ อย่างไร?

เมื่อคิดถึงสิ่งนี้ ซูฉินก็ตัดสินใจ และพร้อมที่จะแปลงจิตวิญญาณแรกกําเนิด

หนึ่งเป็นเพราะพรรคหมื่นดาบ

ก่อนที่ข่าวการล่มสลายของพรรคหมื่นดาบจะแพร่กระจายออกไปอย่างสมบูรณ์ นิกายใหญ่ที่เหลือจะไม่เข้ามาในบริเวณใกล้เคียงโดยไม่ได้รับอนุญาต
นี่เป็นการซื้อเวลาให้กับตัวเองของซูฉิน

เวลาเท่านี้ห่างไกลจากคําว่าเพียงพอหากเป็นตํานานยุทธขั้นสูงสุดคนอื่นๆ ที่ต้องการจะแปลงจิตวิญญาณแรกกําเนิด แต่ซูฉินผู้ครอบครองโอสถจิตวิญญาณแรกกําเนิด สามารถแปลงจิตวิญญาณแรกกําเนิดได้อย่างสมบูรณ์ในเวลาอันสั้น

ประการที่สอง ซูฉินยังต้องรั้งรออยู่ที่นี่สักพัก เพื่อต้องการจะดูว่าสามารถลงชื่อเข้าใช้อีกครั้งได้หรือไม่

เคล็ดหัวใจดาบเป็นเคล็ดลับทางจิตวิญญาณ แม้แต่บรรพชนดาบที่เป็นตํานานยุทธขั้นสูงสุดซึ่งแปลงจิตวิญญาณแรกกําเนิดมาช้านานก็ยังไม่มีเคล็ดลับทางจิตวิญญาณนี้ สามารถจินตนาการถึงความล้ําค่าของมันได้เลยว่ามากเพียงใด

และพลังของเคล็ดหัวใจดาบจริงๆ แล้วมันก็ยิ่งใหญ่ทีเดียว

แม้ว่ามันจะสุดโต่งและมีข้อบกพร่อง แต่ก็เพียงพอแล้วที่จะใช้เป็นไฟลับใต้แขนเสื้ออีกสักใบ

ซูฉินวางแผนที่จะลงชื่อเข้าใช้อยู่ที่นี่อีกสักสองสามครั้ง เพื่อดูว่าเขาจะได้รับเคล็ดลับที่เกี่ยวข้องกับจิตวิญญาณแรกกําเนิดอีกหรือไม่

“แต่ก่อนที่จะแปลงจิตวิญญาณแรกกําเนิด……”

ซูฉินเหลือบตามองดูคนไม่กี่คนที่ยืนอยู่ด้วยความเคารพห่างออกไปไม่ไกลนัก

พวกเขาเป็นกลุ่มคนที่ถูกขังอยู่ในคุกใต้ดินหลุมทมิฬเหมือนหลีหว่าน ขณะนี้ซูฉินได้ทําลายพรรคหมื่นดาบไปแล้ว พวกเขาจึงเป็นอิสระ

“คุกใต้ดินพังแล้ว ทําไมพวกเจ้ายังไม่ออกไปจากที่นี่เล่า?” ซูฉินเหลือบมองกลุ่มคนแล้วจึงกล่าวออกอย่างสบายๆ

“นายท่านทรงพลานุภาพสะเทือนสวรรค์ หากไม่ได้รับอนุญาตจากนายท่าน ต่อให้ข้าจะหลบหนีไปยังสุดขอบโลกจะมีประโยชน์อันใด?” ชายชราที่มีผมและเคราสีขาวยิ้มอย่างขมขื่น

“ข้ามีความลับสุดยอดที่อยากจะบอกแก่นายท่าน” ชายชราผมขาวลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะกัดฟันแน่น กล่าวมันออกมา

“ความลับสุดยอด?”

ท่าทีของซูฉินยังคงไม่เปลี่ยนแปลง เขากล่าวทวนอย่างช้าๆ

“มิผิด เป็นความลับใหญ่เลยทีเดียว”

ชายชราผมเคราขาวกล่าวอย่างหนักแน่น “นิกายหมื่นดาบกักขังข้าเอาไว้ในคุกใต้ดินก็เพราะต้องการง้างความลับใหญ่นี้ออกจากปากของข้า แต่ข้าจะยอมให้มันสุขสันต์ได้อย่างไร?”

เมื่อชายชราผมขาวกล่าวเช่นนี้ ใบหน้าของเขาก็ส่อแววเยาะเย้ย

พรรคหมื่นดาบไม่ได้ใจดีเหมือนวัดเส้าหลินที่สร้างหอคอยสะกดมารขึ้นเพื่อกักขังเหล่ามารร้ายในยุทธภพ

มีความเป็นไปได้เดียวเท่านั้นที่ชายชราผมขาว และคนอื่นๆ ถูกขังเอาไว้ที่นี่

คือพวกเขาต่างมีสิ่งของหรือข้อมูลที่พรรคหมื่นดาบต้องการ

หากคนเหล่านี้ไม่มีค่าต่อพรรคหมื่นดาบ พวกเขาคงตกตายไปนานแล้ว

“เจ้าไม่บอกพรรคหมื่นดาบ แต่เจ้ากลับมาบอกข้าอย่างนั้นหรือ?” ซูฉินยิ้มให้กับชายชรา

“ถ้าข้าบอกความจริงแก่พรรคหมื่นดาบ ข้าจะมีชีวิตอยู่มาจนถึงปัจจุบันได้เช่นไร?” ชายชราส่ายศีรษะ การประชดประชันส่งผ่านออกมาทางน้ําเสียงของเขา

การที่พรรคหมื่นดาบขังชายชราไว้ในคุกใต้ดิน เท่ากับเป็นการฉีกหน้าเขาอย่างสมบูรณ์ แม้ว่าชายชราจะบอกความลับใหญ่เรื่องนี้ไป แต่พรรคหมื่นดาบก็ไม่มีทางปล่อยเขาไป

“แล้วเจ้ามาบอกข้า ไม่กลัวว่าข้าจะฆ่าทิ้งงั้นรึ?” น้ําเสียงของซูฉินราบเรียบ ไม่มีขึ้นมีลง ราวกับความลับจากปากของชายชราที่พรรคหมื่นดาบใฝ่ หาไม่ได้อยู่ในสายตาของเขา

“ด้วยความแข็งแกร่งของนายท่าน หากท่านอยากจะสังหารข้า ท่านคงทําไปเสียเนิ่นนานแล้ว” ชายชรายิ้มอย่างขมขื่น

“พูดเถอะ ว่าเจ้าต้องการสิ่งใด?” ซูฉินขบคิดอยู่ครู่หนึ่ง แต่การแสดงออกยังคงไม่แยแส

เขาไม่เชื่อว่าชายชราจะริเริ่มบอกความลับอันยิ่งใหญ่โดยไม่มีเหตุผล เขาจึงต้องถาม

“กระแสปราณฉีฟื้นคืนแล้ว แผ่นดินแห่งพลังยุทธฯ ปรากฏขึ้น และพรรคหมื่นดาบก็ถูกทําลาย ข้ากลัวว่าโลกนี้จะเกิดความสับสนวุ่นวาย แม้จะเป็นตํานานยุทธขั้นสูงสุด แต่ในยุคนี้ข้าก็ยังไม่อาจจะปกป้องตนเองได้ ข้าหวังว่าท่านผู้ยิ่งใหญ่จะปกป้องข้า”

ชายชราผมเคราขาวกล่าวด้วยความเคารพ

ตามหลักเหตุและผลแล้ว ตราบใดที่ตํานานยุทธขั้นสูงสุดนั้น ไม่ได้สร้างความบาดหมางกับนิกายใหญ่ มันก็ถือว่าเพียงพอที่จะอยู่ได้ทุกมุมโลก

สุดท้ายในปัจจุบันนี้ นิกายใหญ่หลายแห่งในต่างดินแดน ยกเว้นนิกายใหญ่ระดับสูง ผู้นํานิกาย ก็เป็นเพียงตํานานยุทธระดับนภาชั้นที่หก

ตราบใดที่ตํานานยุทธขั้นสูงสุดไม่สร้างปัญหาไปทั่ว โดยปกติแล้วก็ไม่ควรจะตกลงสู่วงล้อมของนิกายใหญ่

เพราะถึงแม้จะเป็นนิกายใหญ่ หากต้องการจะจัดการกับตํานานยุทธขั้นสูงสุดก็จําเป็นต้องจ่ายราคาที่แพงเอาเรื่อง หรืออาจจะต้องทําแม้กระทั่งปลุกบรรพชนให้ตื่นจากหลับใหล

แต่ตอนนี้ ชายชราผมขาวกลับรู้สึกกังวล และเตรียมจะแลกเปลี่ยนความลับใหญ่ที่สุดของตนกับความปลอดภัยจากซูฉิน

อันที่จริง ชายชราก็ต้องวางเดิมพันด้วยว่า หากซูฉินสนใจความลับของเขาจะฆ่าเขาทิ้งหรือไม่

ไม่เช่นนั้นจะไม่เป็นปัญหาหรอกหรือ หากชายชราบอกความลับแก่ซูฉินแล้วก็สังหารเขาทิ้งเพื่อไม่ให้มีปัญหาในอนาคต?

“พูดมาเถอะ” ซูฉินครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงกล่าวว่า “ถ้าความลับของเจ้ามีประโยชน์กับข้า ข้าจะลองพิจารณาดู”

สําหรับซูฉิน การดูแลชายชราผมขาวง่ายเพียงแค่คิด ก็แค่โยนไปไว้ในวังหลวง

ชายชราผมเคราขาวถอนหายใจด้วยความโล่งอก เขาสัมผัสได้ถึงเหงื่อเย็นเยียบที่ไหลย้อยผ่านหน้าผากไป กลัวว่าซูฉินจะปฏิเสธจึงพูดขึ้นทันทีว่า “นายท่านรู้จักประตูเซียนหรือไม่?”

เมื่อชายชรากล่าวคําว่า “ประตูเซียน” เขาก็เหลือบมองซูฉินอย่างระมัดระวัง

“ประตูเซียน?” ซูฉินขมวดคิ้วเล็กน้อย

บรรดานิกายใหญ่มากมายในต่างแดน ไม่มีขุมอํานาจใดที่ชื่อว่า “ประตูเซียน” เลย แต่ชายชรา กล่าวออกมาอย่างเคร่งขรึม เห็นได้ชัดว่าประตูเซียนนี้แปลกประหลาดอยู่ไม่น้อย

“นายท่าน”

ชายชราผมขาวสังเกตเห็นความสงสัยของซูฉิน จึงกล่าวต่อด้วยความเคร่งขรึม “ตั้งแต่ยุคกระแสปราณฉีเฟื่องฟูครั้งล่าสุดจบลง ก็ผ่านมานานกว่าหมื่นปีแล้ว และเกิดเซียนเทพปฐพี่ที่ทรงอํานาจมากกว่าสิบคนในหลายยุคหลายสมัย”

“แต่เซียนเทพปฐพีเหล่านี้เมื่อเข้าสู่วัยชรา พวกเขาจะออกจากนิกายและเดินทางไปทั่วโลกเพื่อมองหาประตูเซียน”

Sign in Buddha’s palm 281 เข้าสู่ระบบ! เคล็ดหัวใจดาบ!

ในตอนที่ซูฉินบุกเข้ามายังเกาะหมื่นดาบโดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนที่เขาตะโกนว่าบรรพชนดาบคลานออกมาพบข้า”ทุกคนในคุกใต้ดินล้วนได้ยินอย่างชัดเจน

อย่างไรก็ตามแม้ในยามนั้นทุกคนจะตกใจพวกเขาก็ไม่ได้เก็บมาใส่ใจคิดเพียงแค่ว่าพรรคหมื่นดาบคงจะปราบซูฉินได้ในไม่ช้าและบางทีอาจจะถูกคุมขังอยู่ในหลุมทมิฬนี่เหมือนพวกตนในท้ายที่สุด

อย่างไรก็ตามสิ่งที่เกิดขึ้นต่อจากนั้นได้ทําลาย ความคิดของทุกคนไปโดยสิ้นเชิง

แม้ว่าการต่อสู้ระหว่างซูฉินกับบรรพชนดาบจะ ไม่ได้ยาวนานนักแต่การระเบิดพลังก็เพียงพอจะเขย่าเกาะหมื่นดาบทั้งหมดรวมไปถึงหลุมทมิฬที่ สร้างไว้ใต้ดินด้วย

โดยเฉพาะในตอนสุดท้ายที่ซูฉินทะลวงค่ายกล เก้าดาบหมุนวนบนอาคารดาบเก้ายอดจนเสียงดังสนั่นภายในคุกใต้ดินซึ่งอยู่ใจกลางยอดเขาดาบก็เหมือนกับได้พบจุดจบของโลก

ก่อนที่ทุกคนในคุกใต้ดินจะทันได้ผ่อนคลาย พวกเขาก็ได้ยินเสียงของตัวคุกใต้ดินซึ่งทํามาจากเหล็กดําทมิฬทะเลเหนือระเบิดออกอย่างกะทันหันและทันใดนั้นทางออกสู่โลกภายนอกก็ปรากฏให้เห็น

ที่ปลายทางมีชายคนหนึ่ง ดวงตาสงบนิ่งแผ่กลิ่นอายที่น่าพรั่นพรึงยืนอยู่

ช่วงเวลาต่อมา

ชายผู้มีดวงตาสงบนิ่งและเต็มไปด้วยกลิ่นอายอันน่ากลัวนั้นก็ได้ก้าวเข้ามาในหลุมทมิฬจ้องมองไปยังหลีหว่านด้วยความตื่นเต้น

“ลุงสาม”

หลีหว่านกะพริบตาคู่น้อยๆ ของนาง

นางอยู่ภายในหลุมทมิฬแห่งนี้มาสองสามวัน แล้ว หลังจากสนทนากับคนอื่นๆ ที่ถูกขังอยู่ที่นี่เหมือนกันนางจึงเข้าใจได้ว่าพรรคหมื่นดาบเป็น ตัวตนประเภทใด

ต่อหน้าพรรคหมื่นดาบที่สืบทอดมรดกมากว่าสี่พันปีตํานานยุทธขั้นสูงสุดจะนับเป็นตัวอะไรได้?เว้นแต่จะแปลงจิตวิญญาณแรกกําเนิดได้เหมือนบรรพชนดาบผู้ซึ่งทรงพลังอํานาจในต่างแดนไม่เช่นนั้นก็ไม่สามารถสร้างความสะเทือนให้กายใหญ่ได้เลย

แม้หลีหว่านจะมีความหวังเล็กๆ ในใจของนางแต่ถ้ามองกันตามความเป็นจริงแล้วไม่ว่าซูฉินจะแข็งแกร่งแค่ไหนเขาจะสามารถเอาชนะบรรพชนดาบได้หรือ?

แต่ยามนี้ เมื่อมองไปยังซูฉินที่อยู่เบื้องหน้าหลีหว่านก็รู้สึกเหมือนตนกําลังอยู่ในฝัน

“หือ?”

ซูฉินเหลือบมองหลีหว่านและเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย

ก่อนที่จะทําสิ่งใด ซูฉินก็ตรวจสอบยืนยันสภาพร่างกายของหลีหว่านอย่างรอบคอบด้วยจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์

หลังจากตรวจดูอย่างถี่ถ้วน ซูฉินก็ไม่พบว่ามีสิ่งผิดปกติใดกับหลีหว่าน

ก่อนออกจากเมืองฉางอัน หลีหว่านเป็นเพียงผู้ฝึกยุทธระดับชั้นที่สี่ แต่ในเวลาเพียงไม่กี่เดือนฐานการบ่มเพาะของหลีหว่านก็พุ่งสูงขึ้นเป็นระดับชั้นที่หนึ่งอย่างรวดเร็ว

และซูฉินก็เห็นว่าหลีหว่านนั้นเต็มไปด้วยพลังงานปราณชีวิตและเลือดเนื้อมีกลิ่นอายที่แข็งแกร่งไม่มีอันตรายซ่อนเร้นจากการเร่งเพิ่มระดับฐานการบ่มเพาะนอกจากนี้หลีหว่านยังมีเจตจํานงดาบที่น่าตกใจอยู่ภายในร่าง

เจตจํานงดาบจางๆ นี้คล้ายจะเป็นเจตจํานงดาบชนิดเดียวกันกับที่อยู่บนยอดเขาดาบสูงพันจ้าง ของพรรคหมื่นดาบเห็นได้ชัดว่ามันเป็นไปในทิศทางเดียวกันมันมาจากนักพรตหมื่นดาบเมื่อสี่พันปีที่แล้ว

ซูฉันค่อยๆชําเลืองดูและพบว่าเจตจํานงดาบในร่างของหลีหว่านไม่เพียงแต่ไร้ซึ่งอันตรายซ่อนเร้นแต่ยังมีประโยชน์อย่างมากช่วยเสริมพลังให้กับแก่นแท้กําลังภายในของหลีหว่านอยู่ตลอดเวลา

“ลุงสาม”

หลีหว่านเริ่มอธิบายทุกอย่างหลังจากที่ตนถูกพามายังพรรคหมื่นดาบ

ตามคํากล่าวของหลีหว่าน คนของพรรคหมีนดาบไม่ได้สร้างความอับอายให้นางแม้แต่น้อยไม่เพียงเท่านั้นยังมอบโอสถและผลไม้จิตวิญญาณมากมายให้แก่นางด้วยสุดท้ายหลีหว่านก็ถูกพาไปยังแท่นบูชามันมีเจตจํานงดาบเล่มหนึ่งที่ลึกล้ํายากหยั่งถึงพุ่งเข้าใส่ร่างของ นาง..

“ลุงสาม เหล่าผู้เฒ่าพรรคหมื่นดาบดูแลหว่านเอ๋อเป็นอย่างดี…” หลีหว่านกล่าวอย่างระมัดระ

“ดูแลอย่างดี?”ซูฉินลองคิดตามจากนั้นจึงเข้าใจจุดประสงค์ของพรรคหมื่นดาบ

หลีหว่านมีร่างหัวใจแห่งดาบ เป็นหนึ่งในร่างกายที่เหมาะสมที่สุดสําหรับบรรพชนดาบ แต่จิตวิญญาณแรกกําเนิดของบรรพชนดาบนั้นทรงพลังเกินไปหากหลีหว่านยังคงเป็นผู้ฝึกยุทธระดับชั้นที่สี่แม้จะเป็นร่างหัวใจแห่งดาบก็ไม่สามารถรองรับพลังอันยิ่งใหญ่ของจิตวิญญาณแรกกําเนิดได้

ดังนั้นก่อนที่บรรพชนดาบจะยึดครองร่างจริงๆ เขาต้องปรับปรุงความแข็งแกร่งของหลีหว่านก่อนและการปรับปรุงนี้จะต้องไม่มีอันตรายใดซ่อนอยู่ไม่เช่นนั้นหลังจากที่บรรพชนดาบยึดร่างอันตรายที่แฝงเร้นเหล่านี้จะปะทุออกมาหากเป็นเช่นนั้นไม่ใช่จะทําให้บรรพชนดาบปวดหัวหรอกหรือ?

นี่เป็นเหตุผลว่าทําไมพรรคหมื่นดาบจึงยอมสูญเสียให้หลีหว่านได้กินโอสถและผลไม้จิตวิญญาณมากมาย

แต่ก็เท่านั้น

เกรงว่าทุกคนในพรรคหมื่นดาบจะไม่ได้คาดหวังว่าเมื่อพวกเขายกระดับการบ่มเพาะของหลีหว่านขึ้นเป็นระดับชั้นที่หนึ่งแล้วซูฉินจะมาทุบประตูบ้านและสังหารบรรพชนดาบด้วยพลังอันแข็งแกร่งรวมถึงทําลายขุมกําลังอันยิ่งใหญ่อย่างพรรคหมื่นดาบ

และหลีหว่านก็เหมือนโชคหล่นทับ ได้รับผลประโยชน์จากพรรคหมื่นดาบโดยไม่รู้ตัวไม่ต้องจ่ายราคาใดออกไปแม้แต่น้อย

“แต่เจตจํานงในร่างกายของเจ้า….” ซูฉินหรี่ตาลงเล็กน้อย และสังเกตเจตจํานงดาบภายในร่างของหลีหว่านอย่างระมัดระวัง

เมื่อเทียบกับโอสถและผลไม้จิตวิญญาณที่หลี หว่านได้รับเจตจํานงดาบนี้มีค่ามากที่สุด
แน่นอนว่า “มีค่า” ในที่นี้คือเมื่ออยู่กับหลีหว่านสําหรับซูฉินนั้นแม้ว่าจะมอบเจตจํานงดาบนี้แก่เขาเขาก็ไม่ได้ต้องการมัน

“เป็นนักพรตหมื่นดาบที่ทิ้งสิ่งนี้ไว้?” ซูฉินแตะ ปลายคาง ใบหน้าครุ่นคิด

เจตจํานงดาบนี้น่าจะเป็นมรดกของนักพรตหมี่นดาบที่บรรพชนดาบได้รับมาจากอาคารดาบเก้ายอดพันจ้าง

ก่อนที่จะยึดครองร่าง บรรพชนดาบคงฝากมันเอาไว้ในร่างของหลีหว่านชั่วคราว
ด้วยเจตจํานงดาบนี้ร่างกายของหลีหว่านจึงได้รับการขัดเกลาอย่างต่อเนื่องทําให้การยึดร่างของบรรพชนดาบดําเนินไปด้วยความราบรื่นแต่ก็น่าเสียดาย

การกระทําของบรรพชนดาบนั้นช่างไร้ประโยชน์ ไม่เช่นนั้นหากบรรพชนดาบยังคงมีเจตจํานงดาบนี้อยู่เมื่อต่อสู้กับซูฉินซูฉินอาจไม่สามารถจัดการอีกฝ่ายได้ง่ายดายเพียงนี้

นอกจากนี้เจตจํานงดาบนี้แตกต่างไปจากเจต จํานงดาบที่มีอยู่ในอาคารดาบเก้ายอดพันจ้าง

เจตจํานงดาบในอาคารดาบเก้ายอดพันจ้างได้หล่อเลี้ยงเกาะหมื่นดาบมาอย่างต่อเนื่องเป็นเวลาหลายพันปี

แต่เจตจํานงดาบเล่มนี้ได้รับการรักษาอย่างดี แม้พลังบางส่วนจะสูญหายไปนับพันปีแต่ก็ยังถือว่าแข็งแกร่งกว่าเจตจํานงดาบบนยอดเขาดาบพันจ้าง

“ทําความเข้าใจเจตจํานงดาบในร่างของเจ้าให้ ดี มันจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อตัวเจ้า”ซูฉินเตือนหลีหว่านลอยๆ

“เจ้าค่ะ”

ในตอนนี้ หลีหว่านเองก็ยังสังเกตเห็นประโย ชน์ของเจตจํานงดาบภายในร่างของนางจึงพยักหน้ารับอย่างรวดเร็ว

ขณะที่ซูฉินและหลีหว่านกําลังพูดคุยกันว่าจะออกจากคุกใต้ดิน

คนอื่นๆ ที่ถูกคุมขังอยู่ในคุกใต้ดินแห่งนี้ก็รวบ รวมความกล้า เดินมาเบื้องหน้าซูฉินโค้งคํานับพร้อมกับกล่าวว่า“คารวะท่านผู้ยิ่งใหญ่”

ในตอนนี้คุกใต้ดินหลุมทมิฬได้เปิดออกแล้ว และอาคารดาบเก้ายอดพ้นจ้างก็สูญเสียความสามารถในการปราบปราม คนเหล่านี้ย่อมฟื้นพลังก ลับมาได้เป็นธรรมดาแต่ไม่มีใครกล้าหนีออกจากคุกใต้ดินในเวลานี้

ด้านนอกคุกใต้ดินหลุมทมิฬ พรรคหมื่นดาบผู้ มั่งคั่งได้ถูกทําลายลงไปแล้วและเหตุที่ทําให้เกิดเรื่องนี้ขึ้นก็คือซูฉินมันฟังดูน่าเหลือเชื่อยิ่งนัก

“ลุงสาม พวกเขาทั้งหมดคือ…” หลีหว่านกระซิบบอกทันที

ซูฉินชําเลืองมองยังคนไม่กี่คนกลุ่มนี้ ในหมู่พวกเขาผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดคือชายชราที่มีผมและเคราสีขาวอยู่ในขอบเขตตํานานยุทธระดับนภาชั้นที่เจ็ดยังไม่ได้ควบแน่นอาณาเขต

“เงยหน้าขึ้น”

ซูฉินก้มหน้าเล็กน้อย

“ท่านผู้ยิ่งใหญ่ได้ทําลายล้างพรรคหมื่นดาบความน่าเกรงขามสะท้านไปถึงสวรรค์สมกับที่อเสียงของท่านพ่อมดราชนที่มีมาอย่างยาวนานกว่าสามพันปี…”ชายชราผมขาวกล่าวด้วยความเคารพ

“พ่อมดราชัน?”

ซูฉินยิ้ม

นักพรตเฒ่าสํานักเอกะวิถีได้บอกเขาเกี่ยวกับเรื่องราวของเซียนเทพปฐพีทั้งหมดที่กําเนิดขึ้นในยุทธภพต่างแดนแล้วพ่อมดราชันเป็นหนึ่งในคนเหล่านั้น

พ่อมดราชันเป็นเซียนเทพปฐพี่จากสํานักผู้วิเศษเขาเดินทางตะลอนไปตามนิกายใหญ่แห่งต่างๆทั่วดินแดนในที่สุดก็หายตัวไปอย่างลึกลับว่ากันว่าเขาค้นพบความลับจากยุคเฟื่องฟูกระแสปราณฉีครั้งล่าสุด

แต่ไม่มีใครรู้ว่าข้อเท็จจริงมันเป็นเช่นไร แม้แต่ สํานักผู้วิเศษเองการพูดคุยเรื่องนี้ก็ถือเป็นข้อห้ามดังนั้นเขาจึงไม่อยากพูดอะไรอีก

“ข้าไม่ใช่พ่อมดราชัน”

ซูฉินสายศีรษะ

แม้ว่าเขาจะสามารถเอาตัวรอดได้เมื่ออยู่ต่อหน้าเซียนเทพปฐพีแต่เขาก็ไม่ใช่เซียนเทพปฐพีการเอาตัวรอดก็ส่วนของการเอาตัวรอดส่วนการต่อสู้ได้อย่างสูสียังคงห่างไกลนัก

แม้ว่าฝ่ามือยไลจะเป็นเคล็ดวิชาล้ําเลิศที่ช่วยให้ซูฉินสามารถใช้พลังในระดับเซียนเทพปฐพี่ได้แต่นั่นก็เป็นแค่กระบวนท่าหนึ่ง

แน่นอนว่าถ้าซูฉินฝึกฝนภาพดวงตะวันขนาด มหึมาและกลายเป็นอีกาทองคําสามขา สัตว์ศักดิ์สิทธิ์ที่มีธาตุไฟแข็งแกร่งที่สุดแม้จะเป็นอีกาทองคําสามขาวัยเยาว์ก็เพียงพอแล้วที่จะกวาดล้างเซียนเทพปฐพี่ส่วนใหญ่

แต่ก็น่าเสียดาย

ในตอนนี้ ภาพดวงตะวันขนาดมหึมาของซูฉิน เพิ่งอยู่ในขั้นเริ่มต้นยังห่างจากความสําเร็จเล็กๆน้อยๆอยู่อีกมากไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องสําเร็จวิชาจนถึงขั้นสุดท้ายเลย

“ตามข้ามา”

ซูฉันพูดทิ้งท้ายเอาไว้เช่นนี้ แล้วจึงเดินออก จากคุกใต้ดินอย่างช้าๆ

เมื่อเห็นดังนี้หลีหว่านกตามซูฉินไปในทันที ขณะที่คนอื่นต่างชําเลืองมองหน้ากัน แล้วจึงกัดฟันเดินตามออกไปทันที

ไม่นาน

ซูฉินและคนอื่นๆ ก็เดินออกจากคุกใต้ดินจนมา ถึงกึ่งกลางของยอดเขาดาบ

ยอดเขาดาบนี้เป็นยอดเขาหลักของอาคารดาบ เก้ายอดพันจ้างเรียกได้ว่าเป็นใจกลางของค่ายกลเก้าดาบหมุนวนที่บรรพชนดาบพรรคหมื่นดาบคอยกระตุ้นการทํางานของค่ายกลครู่หนึ่ง

คนทั้งหลายก็มาถึงยอดเขาดาบโดยราบรื่น

แม้ว่าค่ายกลเก้าดาบหมุนวนจะโดนซูฉินทําลายไปแล้วแต่ก็ยังมีรังสีดาบอันแหลมคมแทรกซึมอยู่ในอากาศ

ไม่ไกลนักก็มีร่างของศิษย์พรรคหมื่นดาบนอนอยู่

ในตอนที่ซูฉินทะลวงค่ายกลเก้าดาบหมุนวน พลังอันน่าสะพรึงกลัวแทบจะทะลุถึงยอดเขาทั้งหมดและไม่รู้ว่ามีคนกี่คนตกตายภายใต้พลังอันนี้

“ตายกันหมดแล้ว……”

ชายชราผมขาวไม่คาดคิดว่าจะได้เห็นฉากดังก ล่าว ในเวลาเดียวกับที่มีความสุขล้นใจความกังวลก็ปรากฏขึ้นอย่างแผ่วเบา

พรรคหมื่นดาบยังพวกเขาไว้ในคุกใต้ดินสร้างความเกลียดชังให้พวกเขามาเป็นเวลานานในเวลานี้พรรคหมื่นดาบถูกทําลายลงอย่างสมบูรณ์จะไม่ให้พวกเขามีความสุขได้อย่างไร?

อย่างไรก็ตาม

ชายชราผมขาวผู้เปี่ยมสุขก็รู้ดีว่าวิธีการของซู ฉันนั้นรุนแรงและเด็ดขาด

ในฐานะที่พรรคหมื่นดาบเป็นนิกายใหญ่ มีศิษย์ หลายหมื่นคน ผู้คนจํานวนมากตกตายต่อหน้าเขาแต่ซูฉินไม่กะพริบตาแม้แต่น้อย

ถ้าไม่ใช่เพราะกลิ่นอายอันสูงส่งสง่างามของซูฉินชายชราผมขาวคงสงสัยไปแล้วว่าซูฉินอาจมาจากสถานที่ป่าเถื่อนเลือดเย็นอย่างนิกายเฮยหยวนหรือเปล่า?

ซูฉินเดินไปจนสุดทางก่อนจะมาถึงห้องโถง ใหญ่

ห้องโถงแห่งนี้เปรียบเสมือนดาบศักดิ์สิทธิ์กลับ หัว ตั้งตระหง่านอยู่ด้านหน้า พ่นกลิ่นอายที่ทําให้อกสั่นขวัญแขวนออกมา

“นี่ควรเป็นสถานที่ที่เก่าแก่ยาวนานที่สุดใน พรรคหมื่นดาบ”

ซูฉินหยุดยืนมองอย่างคร่าวๆ ครุ่นคิดในใจตนอ ย่างเงียบเชียบ

ไม่ว่าจะเป็นหลีหว่านหรือชายชราผมขาวที่ยืน อยู่ด้านหลัง ต่างก็รอคอยซูฉินเงียบๆ

ซูฉินตรึกตรองอยู่ในใจครู่หนึ่ง แล้วจึงกล่าวคํา ในใจว่า

“ระบบ ลงชื่อเข้าใช้

[ขอแสดงความยินดีโฮสต์ลงชื่อเข้าใช้สําเร็จได้รับเคล็ดลับทางจิตวิญญาณเคล็ดหัวใจดาบ]

Sign in Buddha’s palm 280 (II) พินาศ ย่อยยับ

“สหายเต๋า ข้ารู้ว่าข้านั้นผิด…”

เสียงของบรรพชนดาบอ่อนลงเรื่อยๆ เขายังคงอ้อนวอนขอความเมตตา

อย่างไรก็ตาม ซูฉินไม่ตั้งใจจะหยุดแม้แต่น้อย เนื่องจากเขาได้บุกรุกพรรคหมื่นดาบเสียขนาดนี้แล้ว ได้สร้างความบาดหมางครั้งใหญ่ จําเป็นจะต้องถอนรากถอนโคนเป็นธรรมดา

ซูฉินจะปล่อยบรรพชนดาบไปได้อย่างไร?

เวลาผ่านไปอย่างช้าๆ

หลายชั่วโมงผ่านไปภายในพริบตา

ในที่สุดเศษเสี้ยวสุดท้ายของจิตวิญญาณแรกกําเนิดของบรรพชนดาบก็หายไปพร้อมกับเสียงสาปแช่ง มันค่อยๆ สลายไป ถูกพลังงานอันได้ที่สิ้นสุดของปราณชีวิตและเลือดเนื้อแผดเผาจนสะอาดเอี่ยม

….

ณ อาคารดาบเก้ายอดสูงพันจ้าง

ประมุขพรรคหมื่นดาบและบรรพชนหลายคน เฝ้ามองการสลายตัวของบรรพชนดาบด้วยตาของพวกเขาเอง ใบหน้าพลันเศร้าโศก

บรรพชนดาบได้ปกป้องพรรคหมื่นดาบมาเป็นเวลากว่าพันปี แต่ตอนนี้พวกเขาทําได้เพียงมองดูเท่านั้น ความโศกเศร้าในใจมากเสียจนไม่อาจจินตนาการได้

อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจะเศร้าแค่ไหน ก็ไม่มีใครกล้าออกจากยอดเขาดาบ

หลังจากที่ซูฉินกลั่นเกลาบรรพชนดาบจนละเอียดยิบแล้ว เขาก็ก้าวเท้าเดินต่อไปข้างหน้า ไปปรากฏอยู่หน้าอาคารดาบเก้ายอดสูงพันจ้าง

ในขณะที่เขากําลังกัดเซาะร่างของบรรพชนดาบด้วยปราณชีวิตและเลือดเนื้อ พลังงานส่วนใหญ่เขาใช้ไปกับบรรพชนดาบ แต่ก็ไม่ใช่ว่าเขาจะไม่รู้อะไรเกี่ยวกับโลกภายนอก การกระทําของประมุขพรรคหมื่นดาบและคนอื่นๆ ชัดเจนอยู่ในสายตาของซูฉินทั้งหมด

“เร็วเข้า เคลื่อนค่ายกลขนาดใหญ่บนยอดเขาดาบ!”

ประมุขพรรคหมื่นดาบกลัวมากจนหนังศีรษะแทบระเบิด ร่วมมือกับบรรพชนทั้งหลายเติมแก่นแท้แห่งพลังเข้าไปในยอดเขาดาบ

ครืน

เห็นว่าอาคารดาบเก้ายอดพันจ้างถูกกระตุ้นได้ในที่สุด พลังงานดาบอันแหลมคมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง แม้แต่ตัวอาคารดาบเก้ายอดเองก็สั่นสะเทือน

หากมองจากระยะไกล อาคารดาบทั้งเก้ายอดนี้ดูราวกับเป็นดาบศักดิ์สิทธิ์ที่พร้อมจะตัดผ่าทุกสิ่ง

ดาบเก้าเล่มหมุนเวียนสับเปลี่ยนไปมา

นี่คือไพลับที่ทิ้งเอาไว้โดยนักพรตหมื่นดาบ เมื่อค่ายกลเปิดใช้งาน อาคารเก้ายอดพันจ้างจะได้รับการฟื้นพลังอย่างเต็มที่ อาคารดาบทั้งเก้ายอดนี้ แต่ละยอดจะมีเจตจํานงดาบของนักพรตหมื่นดาบอยู่ มันได้รับการหล่อเลี้ยงมานับพันปีจนมีจิตวิญญาณ ในช่วงที่มันฟื้นตัวนี้ ไม่ใช่เรื่องกล่าวเกินจริงๆ เลยที่จะบอกว่ามันมีพลังทําลายสะเทือนฟ้ายิ่งนัก

“ไร้สาระ”

“แม้แต่ค่ายกลฟ้าดินขนาดใหญ่ที่เซียนเทพปฐพีขั้นสูงสุดอย่างจ้าวทะเลบูรพาสร้างขึ้น ยังถูกข้าฟันทําลายได้ แค่ค่ายกลสังหารที่ไม่มีใครควบคุมได้อย่างเหมาะสม คิดว่าจะหยุดข้าได้หรือ?”

ดวงตาของซูฉินดูลึกล้ํา

ค่ายกลเก้าดาบหมุนวนนี้แข็งแกร่งมากจริงๆ ประกอบกับเจตจํานงดาบของนักพรตหมื่นดาบที่ฟื้นคืนกลับมา มันสามารถต่อกรกับเซียนเทพปฐพีได้ในเวลาสั้นๆ ด้วยซ้ํา เมื่อสามพันปีก่อน พ่อมดราชันแห่งสํานักผู้วิเศษไม่ได้เข้าโจมตีก็เพราะเหตุนี้

ไม่ใช่ว่าพ่อมดราชันไม่สามารถทําลายค่ายกลได้ แต่มันไม่จําเป็นจะเกิดอะไรขึ้นถ้าทําลายค่ายกลเก้าดาบหมุนวนนี่?

พ่อมดราชันไม่ได้เดินทางในวิถีแห่งดาบ เคล็ดวิชาจํานวนมากของพรรคหมื่นดาบไม่มีประโยชน์สําหรับเขา ส่วนทรัพยากรบ่มเพาะ…

สํานักผู้วิเศษสืบทอดมรดกมาตั้งแต่ยุคเฟื่องฟูกระแสปราณฉีครั้งล่าสุด ภูมิหลังยิ่งใหญ่กว่าพรรคหมื่นดาบมาก เป็นไปได้อย่างไรที่ทรัพยากรบ่มเพาะของพรรคหมื่นดาบจะอยู่ในสายตา?

นอกจากนี้ ในขอบเขตเซียนเทพปฐพี สมบัติส่วนใหญ่บนโลกก็แทบไม่มีประโยชน์อีกต่อไป
น่าเสียดาย

หากเป็นเมื่อสามพันปีก่อน ตอนที่ค่ายกลเก้าดาบหมุนวนยังคงรักษาสภาพจุดสูงสุดเอาไว้ได้ พ่อมดราชันก็ยังไม่อาจผ่านไปได้โดยง่าย

แต่ตอนนี้ผ่านไปสามพันปี ค่ายกลเก้าดาบหมุนวนได้สูญเสียพลังของมันไปนานแล้ว ยุครุ่งเรืองของค่ายกลเก้าดาบหมุนวนได้เสื่อมถอยไปตามกาลเวลา

พรรคหมื่นดาบไม่เหมือนจ้าวทะเลบูรพาที่มีน้ําพุจิตวิญญาณคอยหล่อเลี้ยงค่ายกลเอาไว้

อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจะอ่อนแอเพียงไร ค่ายกลเก้าดาบหมุนวนในตอนนี้ก็ไม่มีปัญหาในการปิดกันตํานานยุทธขั้นสูงสุด และแม้แต่ตํานานยุทธขั้นสูงสุดที่แปลงจิตวิญญาณแรกกําเนิดก็ไม่สามารถทําอะไรได้

แต่ต่อหน้าซูฉินที่มีดวงตาแห่งสัจจะ เขาสามารถเข้าใจจุดบกพร่องของค่ายกลขนาดใหญ่ได้อย่างง่ายดาย

ดวงตาแห่งสัจจะสามารถเห็นพลังทุกอย่างบนโลก และค่ายกลฟ้าดินก็มีพลังฟ้าดินอยู่เต็มไปหมด มันอยู่ในขอบเขตการสังเกตของซูฉิน

หากค่ายกลเก้าดาบหมุนวนอยู่ในจุดสูงสุด แม้ว่าซูฉินจะพบข้อบกพร่อง แต่ก็ไร้ประโยชน์ เพราะเขาไม่มีพลังแม้แต่จะเจาะทําลายข้อบกพร่อง

แต่ตอนนี้ หลังจากผ่านไปสามพันปี ค่ายกลเก้าดาบหมุนวนอ่อนแอลงไปหนึ่งช่วงใหญ่ ซูฉินจึงมีความมั่นใจเป็นธรรมดา

“แตกไปซะ!”

ซูฉินก้าวเท้าเข้าไปอีก กําหมัดแน่นราวกับเป็นค้อนยักษ์ เข้าโจมตีค่ายกลเก้าดาบหมุนวนอย่างรุนแรง

ตูม!

เสียงทุ่มแน่นดังขึ้น และค่ายกลเก้าดาบหมุนวนที่เพิ่งฟื้นตัวก็สั่นไหวอย่างกะทันหัน พลังอันน่าสะพรึงกลัวส่งผ่านทะลวงค่ายกลเก้าดาบหมุนวน พุ่งตรงเข้าสู่คนของพรรคหมื่นดาบที่พยายามจะป้องกัน

บรรพชนพรรคหมื่นดาบหลายคนพ่นเลือดออกมาเป็นฟูมฝอย ใบหน้าของพวกเขาซีดขาวราวกับกระดาษ พวกเขาตะโกนด้วยเสียงอันรุนแรงร้อนรนอย่างถึงที่สุด “ปิดกั้นมัน ปิดกั้นมันเอาไว้”

และในครั้งนี้

ซูฉินก็เหวี่ยงหมัด คอยมองอย่างระมัดระวัง แล้วกระแทกหมัดเข้าใส่อีกครั้ง

ตูม!

ตูม!

ตูม!!!

ซูฉินปล่อยหมัดหลายครั้งติดต่อกัน และทุกหมัดก็ตรงเข้าทําลายจุดบกพร่องของค่ายกลเก้าดาบหมุนวนทั้งสิ้น พลังอันน่าสะพรึงกลัวเกือบจะทะลวงอาคารดาบเก้ายอดพันจ้าง หากไม่ใช่ เพราะซูฉินต้องการยั้งมือเพราะเกรงว่าจะกระทบกับหลีหว่าน ในตอนนี้พวกพรรคหมื่นดาบทุกคนที่อยู่ในยอดเขาดาบคงถูกกระแทกจนตายด้วย พลังอันน่าสะพรึงกลัวนี้แล้ว

แต่กระนั้น ค่ายกลเก้าดาบหมุนวนก็พังทลายลงเกือบครึ่ง ทําให้ซูฉินมองผ่านค่ายกลขนาดใหญ่เข้าไปได้ ผู้คนพรรคหมื่นดาบที่อยู่ภายในยอดเขาดาบต่างเต็มไปด้วยความรู้สึกสยดสยอง

“อดทนไว้ ยอดเขาดาบถูกสร้างโดยนักพรตหมื่นดาบ มันปกป้องพรรคหมื่นดาบของพวกเรามาหลายต่อหลายรุ่นแล้ว มันจะต้องปกป้องเราได้อย่างแน่นอน……” ประมุขพรรคหมื่นดาบที่เลือดไหลออกทวารทั้งเจ็ด ยังคงให้กําลังใจ

เหล่าศิษย์ สาวกพรรคหมื่นดาบที่สิ้นหวัง

และในวินาทีต่อมา

ซูฉินก็ต่อยอีกครั้ง

พลังของหมัดไม่สามารถอธิบายเป็นคําพูดได้

ปราณเลือดของซูฉินสันสะเทือน มองดูคล้ายอีกาทองคําสามขา ยิ่งใหญ่คับฟ้า ควบแน่นขึ้นมาเป็นรูปร่างอยู่ด้านหลังของซูฉิน นอกจากพลังอันยิ่งใหญ่ของปราณชีวิตและเลือดเนื้อแล้ว ยังมีเปลวไฟลุกโชนเต็มไปหมด

ฉับพลัน

ค่ายกลเก้าดาบหมุนวนก็ถูกทําลายลงอย่างสมบูรณ์ ประกายแสงดาบจํานวนมากพังทลายลงอย่างรวดเร็ว บรรพชนพรรคหมื่นดาบที่กระตุ้นพลังของค่ายกลขนาดใหญ่ ทั้งร่างกายและจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของพวกเขาพลันแตกสลายไปหมดพร้อมกับความทุกข์ทรมาน

“ข้า…..พรรคหมื่นดาบของข้าถูกทําลายลงแล้ว…”

ประมุขพรรคหมื่นดาบไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ ก้าวถอยหลัง ล้มร่างลงนั่งบนพื้น ใบหน้าซีดเซียวเหมือนคนตาย สมองเหมือนจะไม่ประมวลผลอีกต่อไป

ในตอนนี้ ค่ายกลเก้าดาบหมุนวนได้พังทลายลง และประมุขพรรคหมื่นดาบก็ไม่สามารถคิดหาหนทางใดมาต่อต้านซูฉินได้อีกแล้ว

เว้นแต่นักพรตหมื่นดาบเมื่อสี่พันปีก่อนจะฟื้นคืนชีพขึ้นมา ก็ไม่มีทางรอดอื่นอีก

หลังจากทะลวงผ่านค่ายกลเก้าดาบหมุนวน ซูฉินก็มุ่งตรง บุกไปยังคุกใต้ดินที่เรียกขานกันว่า ลุมทมิฬ ซึ่งอยู่กึ่งกลางอาคารดาบสูงพันจ้างทั้งเก้านี้

แกร็ก แกร็ก

คุกใต้ดินสีดําสนิทที่สร้างขึ้นจากเหล็กดําทมิฬทะเลเหนือ เมื่ออยู่ต่อหน้าพลังดัชนีของซูฉิน มันก็ไม่อาจต่อต้านได้แม้แต่น้อย พลันแตกเป็นเสี่ยงๆ เผยให้เห็นหลี่หว่านที่อยู่ด้านล่าง

“ลุงสาม”

หลีหว่านที่อยู่ด้านล่างโบกมือให้ซูฉินทันที พร้อมทั้งตะโกนออกมาด้วยความตื่นเต้น

ชายชราที่มีผมและเคราสีขาวซึ่งถูกขังอยู่บนชั้นที่สิบเอ็ดของคุกใต้ดินสีดําเหลือบมองซูฉินอย่างลึกซึ้ง

“โลกนี้มีเทพเซียนอยู่จริงๆ งั้นรึ?”

ชายชราก้มศีรษะลงอย่างรวดเร็ว คิดในใจว่าหากมีเทพเซียนอยู่บนโลกนี้จริงๆ ก็คงต้องเป็นซูฉินผู้นี้เท่านั้น

 

Sign in Buddha’s palm 280 (1) พินาศย่อยยับ

 

เมื่อซูฉินกระตุ้นปราณชีวิตและเลือดเนื้อของเขาเกาะหมื่นดาบทั้งเกาะก็กลายเป็นดั่งดวงอาทิตย์อีกดวง พลังอันน่าพรั่นพรึงของเลือดเนื้อเติมเต็มพลังชีวิตให้กับพื้นที่ทุกตารางนิ้ว แม้แต่เหล่าบรรพชนที่หนีห่างออกไปหลายก็ยังรู้สึกว่าแก่นแท้แห่งพลังและจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของตนหยุดนิ่งและโคจรช้าลง

เพียงเท่านั้น

 

ในช่วงเวลาต่อมา

 

ท่ามกลางสายตาตกตะลึงของทุกคน

 

ซูฉันค่อยๆ เหยียดมือขวาออกมา กางนิ้วทั้งห้าออกราวกับเป็นภูเขานิ้วห้ายอดตามตํานานองค์ยูไลพลังจิตวิญญาณแรกกําเนิดระเหยออกมาอยู่ตลอดเวลา ตอนนี้มีเพียงบรรพชนดาบขนาดเท่าฝ่ามือเท่านั้นที่อยู่บนฝ่ามือนี้

 

ในสายตาของทุกคน ฝ่ามือของซูฉินมีขนาดเพียงไม่กี่ตารางนิ้ว แต่ภายในนั้นเหมือนเป็นอีกโลกหนึ่งไม่ว่าบรรพชนดาบจะต่อสู้หนักแค่ไหนภายในฝ่ามือนี้เขาก็ไม่สามารถบินหนีออกจากฝ่ามือขนาดไม่กี่ตารางนิ้วนี้ไปได้

 

“เป็นไปได้อย่างไร?!”

 

ดวงตาของประมุขพรรคหมื่นดาบจ้องมองไปยังบรรพชนดาบที่กําลังดิ้นรนอยู่ภายในฝ่ามือของซูฉินรู้สึกว่าทัศนคติของเขาทุกอย่างถูกล้มล้างโดยสมบูรณ์

 

นี่คือบรรพชนดาบแห่งพรรคหมื่นดาบผู้ที่ทําให้พรรคหมื่นดาบแข็งแกร่งจนถึงขีดสุด แปลงจิตวิญญาณแรกกําเนิดได้ตั้งแต่พันกว่าปีที่แล้วมีพลังอํานาจมากมายในต่างดินแดน ไม่รู้ว่าทรง พลังขนาดไหน?

 

แต่ในเวลานี้ บรรพชนดาบราวกับนกที่ถูกจับอยู่ ในกํามือช่างน่าตกใจยิ่ง

 

บรรพชนพรรคหมื่นดาบทั้งหลายต่างใบหน้าแข็งเป็นหิน

 

พวกเขาไม่ได้คาดหวังว่าผลลัพธ์จะเป็นเช่นนี้แม้ว่าบรรพชนดาบจะสูญเสียร่างกายไป ความแข็งแกร่งของจิตวิญญาณแรกกําเนิดก็เพียงพอจะกวาดล้างตํานานยุทธขั้นสูงสุดที่ยังไม่แปลงจิตวิญญาณแรกกําเนิดได้ทั้งหมดแม้ร่างกายของซูฉินจะแข็งแกร่งมากเพียงไรแต่จิตวิญญาณแรกกําเนิดนั้นไร้รูปลักษณ์รวมตัวได้กระจายตัวได้ ล่องหนได้ยังจะถูกกักขังอยู่ในฝ่ามือของซูฉินได้อย่างไร?

 

“ถอยกลับ”

 

“รีบกลับไปที่ยอดเขาดาบ”

 

ท่าทีของบรรพชนพรรคหมื่นดาบเปลี่ยนไปพวกเขาเลิกคิดที่จะต่อสู้กับซูฉินเพื่อช่วยบรรพชนดาบออกมา

นิยาย  เรื่องนี้อัพก่อนใครที่ 

ซูฉินน่ากลัวเกินไป

 

แม้แต่บรรพชนดาบที่เคยครองพิภพอยู่ยุคสมัยหนึ่งยังตกอยู่ในกํามืออีกฝ่าย พวกเขาจะไปเหลืออะไร?

 

กล่าวอีกครั้ง

 

แม้บรรพชนพรรคหมื่นดาบต้องการจะโจมตีซูฉินจริงมันก็จะไม่เป็นผล ในตอนนี้ซูฉินนั้นเต็มไปด้วยพลังงานเลือดเนื้อครอบคลุมรัศมีกว่าร้อยเมตร พวกเขาไม่สามารถเข้าไปในระยะร้อยเมต รนี้ได้เลย…..

“ใช่”

 

“กลับไปยังยอดเขาดาบ”

 

ประมุขพรรคหมื่นดาบและคนอื่นๆ ก็พลันรู้สึกตัวขึ้นมาได้เมื่อได้ยินสิ่งนี้

 

อาคารดาบเก้ายอดพันจ้างใจกลางเกาะหมื่นดาบถูกทิ้งไว้โดยนักพรตหมั่นดาบกว่าสี่พันปีก่อนแม้จะเป็นพ่อมดราชันจากสํานักผู้วิเศษเมื่อสาม พันปีที่แล้วก็ต้องหยุดอยู่ต่อหน้ายอดเขาดาบ แห่งนี้

 

แน่นอนว่าเพราะไม่มีสิ่งใดในยอดเขาดาบที่ดึงดูดใจพ่อมดราชันได้ แต่มันก็แสดงให้เห็นถึงความน่ากลัวของยอดเขาดาบสูงพันจ้างนี้ได้อย่างดีอย่างน้อยๆแม้แต่ผู้ที่เป็นเซียนเทพปฐพีอย่างพ่อมดราชันก็ไม่สามารถเข้าออกได้ตามใจต้องการ

 

เมื่อคิดได้ดังนี้ ประมุขพรรคหมื่นดาบและคนอื่นๆ ก็มองซูฉินอย่างระมัดระวังแล้วรีบกลับไปยัง ยอดเขาดาบ

 

การกระทําเล็กๆ น้อยๆ ของประมุขพรรคหมุนดาบไม่สามารถหลบซ่อนจากซูฉินได้ แต่ซูฉินขี้เกียจเกินกว่าจะจัดการพวกเขาในยามนี้

 

ปัจจุบันพลังงานส่วนใหญ่ของซูฉินกระจุกตัวอยู่กับบรรพชนดาบภายในฝ่ามือของเขา 

 

แม้ว่าจิตวิญญาณแรกกําเนิดของบรรพชนดาบจะเหลืออยู่น้อยมาก และโดนควบคุมโดยปราณเลือดของซูฉินโดยตรง แต่มันไม่ง่ายนักที่ซูฉินจะ สังหารบรรพชนดาบได้อย่างสมบูรณ์

 

บรรพชนดาบฃไม่เหมือนตํานานยุทธขั้นสูงสุดคนอื่นๆ ร่างจิตวิญญาณแรกกําเนิดรวมตัวก็ได้ กระจายตัวก็ได้ หลบซ่อนได้ด้วยซูฉินอาจจะปล่อยให้มันหลบหนีไปได้ หากมีความประมาทแม้เพียงเล็กน้อย

 

ด้วยสถานะปัจจุบันของบรรพชนดาบแม้เขาจะหลบหนีไปจริงๆก็คาดว่าจะไม่สามารถอยู่รอดต่อไปได้นานแต่ซูฉินจะปล่อยให้มีอันตรายซ่อนเร้นอยู่ได้เช่นไร?

 

“สหายเต๋ ทําไมเราไม่ถอยกันคนละก้าวข้าจะปล่อยอนุชนของเจ้าไม่สนใจเรื่องที่เจ้าสังหารตํานานยุทธขั้นสูงสุดของพรรคหมื่นดาบอีกต่อไปเจ้าปล่อยข้าไปได้หรือไม่?”

 

หลังจากที่บรรพชนดาบดิ้นรนอยู่เป็นเวลานานเขาพบว่าตนเองไม่สามารถหนีออกจากฝ่ามือของซูฉินพ้นดังนั้นเขาจึงต้องอ่อนข้อให้ในทันที

 

ในความเป็นจริง ถ้าบรรพชนดาบรู้ว่าซูฉินแข็งแกร่งเช่นนี้เขาจะไม่กล้าทําอะไรกับซูฉินแน่นอนแต่โลกนี้หาได้เมตตากับเจ้าไม่

 

“ถอยคนละก้าว?”

 

ซูฉินไม่ขยับ แต่กระตุ้นปราณเลือดในร่างค่อยๆกดเข้าไปในฝ่ามือพร้อมทั้งส่ายศีรษะแล้วพูดว่า “ข้าชอบที่จะทําสิ่งต่างๆด้วยตนเองมากกว่า”

 

เสียงพูดเพิ่งจบไป

 

พลังอันน่าสะพรึงกลัวของปราณเลือดก็พุ่งเข้าใส่ฝ่ามืออย่างบ้าคลั่งค่อยๆ กัดเซาะจิตวิญญาณแรกกําเนิดของบรรพชนดาบในทุกอณู

 

ในตอนแรก บรรพชนดาบก็แทบจะไม่สามารถต้านทานได้อยู่แล้วแต่อย่างไรก็ตามเขายังมีจิตวิญญาณแรกกําเนิดเพียงพอจะชดเชยพลังที่ถูกปราณเลือดบุกรุกได้ แต่เมื่อเวลาผ่านไปพลังจิตวิญญาณแรกกําเนิดก็ลดน้อยลงไปเรื่อยๆและพลังปราณเลือดของซูฉินก็ยิ่งใหญ่ขึ้นเรื่อยๆในที่สุดบรรพชนดาบก็เริ่มหวาดกลัว

 

“สหายเต๋ ข้ารู้ว่าข้านั้นผิด…”

 

เสียงของบรรพชนดาบอ่อนลงเรื่อยๆเขายังคงอ้อนวอนขอความเมตตา

 

อย่างไรก็ตาม ซูฉินไม่ตั้งใจจะหยุดแม้แต่น้อยเนื่องจากเขาได้บุกรุกพรรคหมื่นดาบเสียขนาดนี้แล้วได้สร้างความบาดหมางครั้งใหญ่ จําเป็นจะต้องถอนรากถอนโคนเป็นธรรมดา

 

ซูฉินจะปล่อยบรรพชนดาบไปได้อย่างไร?

 

เวลาผ่านไปอย่างช้าๆ

 

หลายชั่วโมงผ่านไปภายในพริบตา

 

ในที่สุดเศษเสี้ยวสุดท้ายของจิตวิญญาณแรกกําเนิดของบรรพชนดาบก็หายไปพร้อมกับเสียงสาปแช่งมันค่อยๆสลายไปถูกพลังงานอันได้ที่สิ้นสุดของปราณชีวิตและเลือดเนื้อแผดเผาจนสะอาดเอี่ยม

<span style=”color: #ff0000;”><strong><a style=”color: #ff0000;” href=”https:///”>อ่านนิยาย</a></strong></span>

Sign Buddha’s palm 279 เก้าหมัด

 

” บรรพชนดาบตายแล้ว? ” 

 

บรรพชนพรรคหมื่นดาบต่างตกตะลึงจิตใจของพวกเขาล้วนว่างเปล่า

 

บรรพชนดาบคือขุมพลังที่ไม่มีใครเทียบเทียมที่แปลงจิตวิญญาณแรกกำเนิดได้แล้วแม้จะอยู่ในระดับเดียวกันอาจจะไม่ยากที่จะเอาชนะแต่การจะสังหารนั้นยากแน่นอนแต่ตอนนี้บรรพชนดาบที่ไร้เทียมทานในสายตาพวกเขากลับถูกซูฉินชกจนกระจุยในหมัดเดียว? 

 

ศิษย์พรรคหมื่นดาบทั้งหลายต่างสั่นเทาใบหน้าซีดเผือดในใจของพวกเขาบรรพชนดาบเป็นเหมือนดั่งพระเจ้าปกป้องคุ้มครองพรรคหมื่นดาบมาเป็นเวลากว่าพันปีอาจกล่าวได้ว่าหากบรรพชนดาบไม่ได้ถือกำเนิดขึ้นเมื่อพันเก้าร้อยปีก่อนพรรคหมื่นดาบจะไม่ได้อยู่ในสถานการณ์ที่ดีอย่างนี้แน่นอน

 

แม้จะเป็นนิกายใหญ่ระดับสูงแต่ก็มีการต่อสู้กันตลอดทั้งในที่ลับและที่แจ้งหากบรรพชนไม่แข็งแกร่งพอเหตุไฉนนิกายใหญ่แห่งอื่นๆจึงจะต้องเต็มใจแบ่งปันทรัพยากรการบ่มเพาะในต่างดินแดนให้ด้วยเล่า? 

 

ในขณะนั้นบรรพชนพรรคหมื่นดาบก็พลันรู้สึกตัวขึ้นมาแล้วตะโกนว่า” ไม่ดวงไฟแห่งชีวิตของบรรพชนดาบยังไม่ดับ! ” 

 

หลังจากเห็นร่างของบรรพชนดาบระเบิดออกบรรพชนผู้นั้นก็ใช้จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์กวาดผ่านไปยังสถานที่ตั้งดวงไฟแห่งชีวิตทันใดนั้นก็พบว่าดวงไฟแห่งชีวิตของบรรพชนยังคงลุกไหม้อยู่

 

เมื่อดวงไฟแห่งชีวิตดับลงแสดงว่าเจ้าของดวงไฟแห่งชีวิตได้สิ้นชีพลงอย่างสมบูรณ์

 

แต่ถ้าดวงไฟแห่งชีวิตยังลุกไหม้อยู่แสดงว่าเจ้าของดวงไฟแห่งชีวิตก็ยังมีชีวิตอยู่

เป็นดังว่า

ไม่นานหลังจากคำพูดนั้นถูกกล่าวออกมาเห็นพลังจิตวิญญาณแรกกำเนิดที่กระจายไปทั่วพรรคหมื่นดาบเริ่มรวมตัวกันในที่สุดก็สร้างรูปลักษณ์ของบรรพชนดาบขึ้นมาใหม่

 

ใบหน้าร่างกายและกลิ่นอายยังคงเหมือนกับตอนที่ปรากฏตัวครั้งแรกราวกับซูฉันไม่เคยโจมตีเข้าใส่เลย

 

” บรรพชนดาบ! ” 

 

” บรรพชนดาบยังไม่ตาย! ” 

 

ศิษย์พรรคหมื่นดาบหลายคนพากันฉีกยิ้มออกมารู้สึกตื่นเต้นมากยิ่งขึ้นฉากที่บรรพชนดาบกลับมาจากความตายไม่เพียงแต่ไม่ลดทอนความรู้สึกเชื่อมั่นของศิษย์พรรคหมื่นดาบแต่ยังเพิ่มกำลังใจให้อีกด้วย

 

ในสายตาของศิษย์ทั้งหมดบรรพชนดาบไม่เพียงแต่ทรงพลังเท่านั้นแต่ยังมี’ร่างอมตะเขาจะแพ้ซูฉินได้อย่างไร? 

 

” ข้าดูเบาเจ้าเกินไปจริงๆ” แขนเสื้อสีขาวของบรรพชนดาบยังคงพัดกระพือไปตามสายลมราวกับเป็นเซียน” เจ้าไม่เพียงแต่มีร่างกายที่น่าสะพรึงกลัวจนคาดไม่ถึงในแง่ของกระบวนท่าเคล็ดวิชาก็ยอดเยี่ยมเกือบจะยืนอยู่บนจุดสูงสุดของเหล่าตำนานยุทธแล้ว” 

 

บรรพชนดาบกล่าวคำขณะจ้องมองซูฉินในความเห็นของเขาทุกกระบวนท่าที่ซูฉินปล่อยออกมาเมื่อครู่เป็นกระบวนท่าที่แตกต่างกันถึงห้าอย่างหลอมรวมเข้าด้วยกันและมีพลังที่สามารถทำลายทุกสิ่งได้ในทุกกระบวนท่า

 

” แต่น่าเสียดายไม่ว่าเจ้าจะแข็งแกร่งเพียงไหนเจ้าจะทำอะไรได้ท้ายที่สุดเจ้าก็ยังไม่ได้แปลงจิตวิญญาณแรกกำเนิดและไม่รู้ซึ้งถึงความน่ากลัวที่แท้จริงของจิตวิญญาณแรกกำเนิด” 

 

รอยยิ้มบางๆฉาบไว้บนใบหน้าของบรรพชนดาบ

 

แม้เมื่อครู่เขาจะถูกซูฉินต่อยแต่ในขณะเดียวกันมันก็ไม่ได้ไร้ประโยชน์ต่อบรรพชนดาบไปเสียที่เดียวเขายืนยันได้แน่ชัดว่าฉันยังไม่ได้แปลงจิตวิญญาณแรกกำเนิดและสาเหตุที่เป่าร่างเขาจนกระจุยได้นั้นทั้งหมดเป็นเพราะร่างกายและระดับของกระบวนท่านั้นสูงส่งเพียงพอ

 

และสิ่งเหล่านี้ในสายตาของบรรพชนดาบก็ไม่นับเป็นอะไรเลย

 

บรรพชนดาบที่แปลงจิตวิญญาณแรกกำเนิดได้นั้นอยู่ยงคงกระพันแม้เผชิญหน้ากับซูฉินแต่ซูฉินก็ไม่มีทางสังหารเขาได้

 

” เป็นเช่นนี้นี่เอง” 

 

” นี่สินะจิตวิญญาณแรกกำเนิด? ” 

 

ดวงตาของซูฉินยังคงสงบนิ่งมองไปยังบรรพชนดาบที่อยู่ไม่ไกลใบหน้าฉายแววครุ่นคิด

 

เขาเพิ่งใช้ห้าหมัดสายฟ้าเทพเจ้าใช้ทิพยอำนาจเรียกฝนและเก้าสุริยันแม้แต่มังกรปีศาจที่แสนทระนงในวิหารการสงครามก็ไม่อาจต้านทานได้นับประสาอะไรกับตำนานยุทธคนอื่นๆ

 

แม้จะมีตำนานยุทธขั้นสูงสุดเป็นสิบคนหากกล้ามาเผชิญหน้ากับหมัดของซูฉินก็มีแต่จะต้องถูกทำลายจนร่างแตกสลาย

 

แต่บรรพชนดาบนั้นแตกต่างออกไปเขาสูญเสียร่างกายไปนานแล้วกลายเป็นร่างจิตวิญญาณโดยสมบูรณ์สามารถรวมตัวแยกตัวและล่องหนตราบใดที่มีพลังจิตวิญญาณแรกกำเนิดเพียงพอแม้จะถูกทำลายสักกี่ครั้งก็สามารถกลับคืนสู่สภาพเดิมได้

 

นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมตำนานยุทธขั้นสูงสุดที่แปลงจิตวิญญาณแรกกำเนิดได้จึงกล่าวขานกันว่าสามารถปลดเปลื้องโซ่ตรวนทางกายได้

 

ตราบใดที่ยังมีจิตวิญญาณแรกกำเนิดย่อมเป็นอมตะ

 

” ข้าชื่นชมความแข็งแกร่งของสหายเต่แต่หมัดเมื่อครู่กินพลังงานไปเยอะไหมเล่า? ร่างของข้าคือร่างจิตวิญญาณแรกกำเนิดที่ฟื้นฟูกลับมาได้อย่างไม่มีขีดจำกัดเจ้าไม่มีทางสังหารข้าได้” 

 

แม้ว่าเสียงของบรรพชนดาบจะเบาแต่ก็เต็มไปด้วยความมั่นใจในตนเองอย่างแรงกล้า

 

เมื่อได้ฟังคำกล่าวซูฉินก็เพียงแค่พ่นลมหายใจออกมาอย่างเย็นชาไม่ได้ใส่ใจแต่ประการใด

 

” แม้แต่เซียนเทพปฐพีก็ยังตายได้นับประสาอะไรกับเจ้าที่ไม่แม้แต่จะแตะขอบเขตเซียนเทพปฐพี่ด้วยซ้ำกล้าดีอย่างไรมาอ้างตัวว่าเป็นอมตะ? ” ซูฉินเยาะเย้ย” เหตุผลที่เจ้าฟื้นคืนกลับมาได้ไม่มีอะไรมากไปกว่ามีพลังจิตวิญญาณแรกกำเนิดเพียงพอให้ใช้” 

 

” ข้าอยากจะดูเสียหน่อยว่าจิตวิญญาณแรกกำเนิดของเจ้าจะฟื้นฟูให้เจ้าได้กี่ครั้ง” 

หลังจากซูฉินกล่าวจบเขาก็ยื่นมือขวาออกมาอีกครั้งกำมือแน่นทันใดนั้นก็มีเสียงฟ้าร้องดังก้องจากฟากฟ้าสะท้อนถึงผืนดินทะลุทะลวงฝ่าอากาศมาถึงหน้าของบรรพชนดาบ

 

คราวนี้บรรพชนดาบเตรียมพร้อมจะถอยกลับอย่างรวดเร็วต้องการหนีจากการโจมตีของซูฉินน่าเสียดายที่บรรพชนดาบนั้นเกินไป

 

ห้าหมัดสายฟ้าเทพเจ้าเป็นสิ่งที่ซูฉินได้รับมาจากพระราชวังถังซูฉินเองก็อาบพายุสายฟ้ามามากมายในตอนนี้แม้ซูฉินจะปล่อยหมัดสายฟ้าเทพเจ้าได้ไม่เร็วเท่าสายฟ้าจริงๆที่แล่นข้ามระยะทางหลายหมื่นลี้ได้แต่อย่างไรเสียนี่ก็ไม่ใช่สิ่งที่บรรพชนดาบจะหลบได้

 

แกร็ก

 

หมัดของซูฉินกระแทกเข้าใส่บรรพชนดาบอีกครั้ง

 

ราวกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นมาก่อนได้เกิดซ้ำอีกครั้งร่างกายทุกส่วนของบรรพชนดาบเริ่มพังทลายกลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย

 

” หมัดที่สอง” 

 

ซูฉินถอนหมัดขวากลับมาพลังจิตวิญญาณแรกกำเนิดจำนวนมหาศาลก็มารวมตัวกันอีกครั้งก่อตัวเป็นร่างของบรรพชนดาบอย่างรวดเร็ว

 

” เจ้า….” 

 

ใบหน้าของบรรพชนดาบดูน่าเกลียดอย่างยิ่งกำลังจะกล่าวบางอย่างออกมา

 

อย่างไรก็ตาม

 

ในช่วงเวลาต่อมา

 

ก่อนที่บรรพชนดาบจะทันได้พูดจบความรู้สึกเจ็บปวดแล่นเข้ามาที่ทรวงอกซูฉินพุ่งเข้าใส่ทั้งยังมีเสียงกระซิบเบาๆที่ข้างหู

 

” หมัดที่สาม” 

 

แกร็ก

 

ร่างของบรรพชนดาบทรุดตัวลงอย่างรวดเร็ว

 

ครืน

 

ในไม่ช้า

 

ทั่วทั้งเกาะหมื่นดาบก็ดังก้องไปด้วยเสียงฟ้าร้องคำรามประหนึ่งเป็นทะเลสายฟ้า

 

” หมัดที่สี่” 

 

” หมัดที่ห้า” 

 

” หมัดที่หก” 

 

” หมัดที่เจ็ด” 

 

ร่างของบรรพชนดาบยังคงเปลี่ยนแปลงไปมาระหว่างฟื้นตัวกับแตกสลายเมื่อใดที่ร่างของบรรพชนดาบกลับมาเป็นปกติดังเดิมซูฉินก็จะชกหมัดอันรุนแรงซ้ำเข้าไปอีกครั้งจนมันสลายไป

 

เมื่อศิษย์สาวกพรรคหมื่นดาบหลายคนเห็นฉากนี้สายตาของพวกเขาก็มืดมัวบรรพชนเองก็ตัวสั่นมองไปยังบรรพชนดาบที่โดนซูฉินต่อยจนร่างระเบิดตกใจราวกับเห็นผี

 

พวกเขาไม่เคยคาดคิดว่าบรรพชนดาบจะไม่มีแม้แต่โอกาสต่อสู้เมื่ออยู่ต่อหน้าซูฉิน

 

” เป็นอย่างที่คิด” 

 

” พลังจิตวิญญาณแรกกำเนิดของเจ้าเหลืออยู่ไม่มากแล้ว” 

 

หลังจากที่ชกหมัดที่เก้าออกไปซูฉินก็กล่าวคำเบาๆพลางมองดูร่างลวงตาของบรรพชนดาบ

 

ในตอนนี้บรรพชนดาบสูญเสียรูปลักษณ์ที่มีแขนเสื้อสีขาวพลิ้วไหวไปมาดั่งเซียนมนุษย์ไปหมดสิ้นแล้วไอพลังอ่อนแอลงมากในตอนแรกที่มีพลังเพียงพอจะใช้ร่างวิญญาณกลับกลายเป็นร่างโปร่งใสเหมือนกับร่างลวงตา

 

” ให้ตายเถอะมันแข็งแกร่งขนาดนี้เลยหรือ? ” 

 

บรรพชนดาบแทบจะไม่สามารถคงสภาพร่างของตนเองไว้ได้คลื่นลูกใหญ่ถาโถมเข้ามาในใจ

 

หมัดของซูฉินที่สามารถทำลายร่างจิตวิญญาณแรกกำเนิดของเขาได้ก็น่ากลัวพอแล้วขอบเขตตำนานยุทธทั้งหมดไม่มีสิ่งใดจะป้องกันหมัดนั้นได้เดิมทีบรรพชนดาบคิดว่าซูฉินใช้กำลังทั้งหมดของเขาออกมาแล้วแต่ไม่คาดคิดว่าอีกฝ่ายจะปล่อยหมัดออกมาถึงเก้าครั้งติดต่อกัน

 

ในชั่วพริบตาร่างของบรรพชนดาบก็แตกสลายไปกว่าเก้าครั้งและใกล้จะพังทลายเต็มทนทว่า

 

บรรพชนสามารถรับรู้ได้ว่าแม้จะปล่อยหมัดออกมาถึงเก้าครั้งสำหรับซูฉินมันก็เป็นการสูญเสียพลังปราณชีวิตเลือดเนื้อไปเพียงเล็กน้อยเท่านั้นและจะฟื้นตัวขึ้นหลังจากช่วงสนทนานี้

 

” ท้ายที่สุดแล้วมันก็เป็นจิตวิญญาณแรกกำเนิด……” 

 

ซูฉินถอนหายใจเบาๆรู้สึกเสียดายเล็กๆ

 

จิตวิญญาณแรกกำเนิดคือการเปลี่ยนแปลงของจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์และมันสามารถรวบรวมและกระจายตัวได้อย่างไม่มีที่สิ้นสุดแปลกประหลาดและคาดเดาไม่ได้วิธีการปกติแทบไม่ส่งผลต่อจิตวิญญาณแรกกำเนิดเลย

 

หากซูฉินแปลงจิตวิญญาณแรกกำเนิดได้เขาจะสามารถดักจับบรรพชนดาบได้ด้วยพลังของจิตวิญญาณแรกกำเนิดจากนั้นจึงค่อยสลายพลังของบรรพชนดาบด้วยจิตวิญญาณแรกกำเนิดของตัวเอง

 

ซูฉินมีร่างกายที่คอยหล่อเลี้ยงจิตวิญญาณแรกกำเนิดอย่างต่อเนื่องในขณะที่บรรพชนดาบได้สูญเสียร่างกายไปก็เหมือนกับจอกแหนที่ไร้รากไม่ช้าก็เร็วมันจะต้องตกตายในมือของซูฉินน่าเสียดาย

 

ซูฉินยังไม่ได้แปลงจิตวิญญาณแรกกำเนิดดังนั้นเขาจึงทำได้เพียงวิธีโง่ๆนี่โดยใช้พลังจากร่างกายและจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์เพื่อกระตุ้นห้าหมัดสายฟ้าเทพเจ้าเข้าสลายร่างจิตวิญญาณแรกกำเนิดของบรรพชนดาบครั้งแล้วครั้งเล่าบังคับให้บรรพชนดาบต้องใช้พลังของจิตวิญญาณแรกกำเนิดออกมาอย่างเต็มที่

 

” ตอนนี้เจ้ายังกล้าบอกว่าไม่สามารถถูกฆ่าตายได้อยู่หรือไม่เล่า? ” ซูฉันค่อยๆสงบพลังงานที่กำลังเดือดพล่านในตอนนี้ลง

 

ด้วยการปล่อยหมัดเก้าครั้งติดต่อกันแม้ร่างกายของซูฉินจะเป็นกายแห่งธรรมชาติอยู่กึ่งหนึ่งแต่มันก็ยังใช้พลังไปไม่น้อยเป็นเหตุให้เขาหยุดมือ

 

ไม่ใช่เพียงแค่บรรพชนดาบเท่านั้นที่จำเป็นต้องฟื้นตัวแต่ซูฉินก็ต้องการฟื้นกำลังด้วย

 

อย่างไรก็ตามการฟื้นตัวของร่างกายทำได้ง่ายกว่าการฟื้นตัวของจิตวิญญาณแรกกำเนิดและซูฉันมีทิพยอำนาจกายเนื้อกำเนิดใหม่เขาจะฟื้นฟูกำลังกลับมาได้เพียงชั่วพริบตา

 

บรรพชนดาบเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นนี้ท่าทีของเขาก็กลายเป็นหนักอึ้งในความเป็นจริงถึงแม้เขาจะยังเหลือจิตวิญญาณแรกกำเนิดอยู่บ้างแต่เขาอาจจะทนไม่ได้หากซูฉินยังคงทำลายร่างเขาอีกเพียงไม่กี่ครั้ง

 

เมื่อคิดได้ดังนี้ใจของบรรพชนดาบก็คิดจะถอยกลับทันที

 

” รอข้ายึดครองร่างแล้วฟื้นพลังจนถึงจุดสูงสุดเมื่อไหร่ข้าจะกลับมาสู้กับเจ้าอีกครั้ง” ร่างของบรรพชนดาบพลันระเบิดพลังกลายเป็นเส้นแสงบินกลับไปยังอาคารดาบเก้ายอดพ้นจ้างในทันที

 

อาคารดาบเก้ายอดพันจ้างนี้ถูกทิ้งไว้โดยนักพรตหมื่นดาบเมื่อกว่าสี่พันปีที่แล้วมันเป็นสิ่งที่นักพรตหมั่นดาบทิ้งเอาไว้แม้จะเป็นพ่อมดราชันเมื่อสามพันปีก่อนก็ไม่สามารถทำลายอาคารดาบเก้ายอดลงได้

 

ความแข็งแกร่งของซูฉินน่ากลัวอย่างแน่นอนแต่ในสายตาของบรรพชนดาบตราบใดที่เขาหนีเข้าสู่อาคารดาบเก้ายอดพันจ้างได้ก็ถือว่าเขาปลอดภัยแล้ว

 

” ถ้าเจ้าวิ่งหนีไปตั้งแต่ที่พบกับข้าข้าเองก็คงไม่สามารถหยุดยั้งได้” ซูฉินส่ายศีรษะเล็กน้อยพรอมแววเย้ยหยันบนใบหน้า” แต่ตอนนี้เจ้าใช้พลังจิตวิญญาณแรกกำเนิดส่วนใหญ่ไปแล้วลองดูสิว่าเจ้าจะหลบหนีได้หรือไม่? ” 

 

ทันทีที่เสียงของซูฉันจบลงเขาก็กระตุ้นปราณเลือดเนื้อในกายของตนเอง

 

หวิ่ง! ! ! 

 

ปราณเลือดเนื้ออันน่าสยดสยองสาดแสงราวกับดวงอาทิตย์ส่องสว่างไปทั่วทุกทิศทางพลังของบรรพชนดาบสัมผัสเข้ากับปราณเลือดเนื้อนี้เขาก็ต้องกรีดร้องทุรนทุราย

 

เมื่อครู่นี้

 

เส้นลำแสงที่มีขนาดเท่ามนุษย์แต่เดิมค่อยๆละลายและเหลือขนาดเพียงเท่าฝ่ามือในพริบตา

 

ลำแสงขนาดเท่าฝ่ามือนี้กลับมาเป็นร่างบรรพชนดาบอีกครั้ง

 

อย่างไรก็ตามเนื่องจากใช้พลังจิตวิญญาณแรกกำเนิดไปอย่างมหาศาลบรรพชนดาบในตอนนี้ไม่ได้มีขนาดเท่าคนปกติอีกต่อไปแต่มีขนาดเท่ากับฝ่ามือเท่านั้นมันจ้องมองพลังปราณเลือดเนื้อที่อยู่ล้อมรอบตนราวกับมหาสมุทรด้วยความหวาดกลัว

ในเวลาเดียวกัน

 

ซูฉินก็ปรากฏกายขึ้นเงียบๆด้านหลังบรรพชนดาบยกมือขวาขึ้นมาคว้าจับบรรพชนดาบขนาดเท่าฝ่ามือเอาไว้ในกำมือ

 

Sign Buddha’s palm 276 หลุมทมิฬ ในส่วนลึกของเกาะหมื่นดาบ คมดาบสูงพันจ้างทั้งเก้าแห่งตั้งตระหง่านอยู่ที่นี่ อาคารดาบพันจ้างทั้งเก้ายอดนี้เล่าลือกันว่าถูกทิ้งไว้โดยนักพรตหมื่นดาบกว่าสี่พันปีที่แล้วและมันเชื่อมโยงเข้ากับเกาะหมื่นดาบทั้งหมดรัศมีวิถีดาบที่แผ่ไปทั่วเกาะก็มาจากอาคารดาบทั้งเก้ายอดแห่งนี้ ว่ากันว่าหลายปีก่อนออกจากพรรคหมื่นดาบนักพรตหมื่นดาบเคยซ่อนมรดกของตนส่วนหนึ่งไว้ในอาคารดาบเก้ายอดแห่งนี้ใครก็ตามที่สามารถทำความเข้าใจได้จะนับว่าเป็นศิษย์สายตรงของนักพรตหมื่นดาบคนต่อไป น่าเสียดายที่ในช่วงห้าพันปีที่ผ่านมามีเพียงบรรพชนดาบเท่านั้นที่เข้าใจมรดกในอาคารดาบเก้ายอดทำให้ทะยานขึ้นสู่ฟากฟ้าจนถูกขนานนามว่าบรรพชนดาบ และในตอนนี้ จุดกึ่งกลางที่ล้อมรอบไปด้วยอาคารดาบเก้ายอดลึกลงไปใต้ดินหลายลี้เป็นคุกใต้ดินที่แสนจะเหน็บหนาว คุกใต้ดินแบ่งออกเป็นสิบสองชั้นมีลวดลายสีดำลึกลับปรากฏอยู่ทุกมุมผนังเห็นได้ชัดถึงพลังในการปราบปรามอันน่าสะพรึงกลัวแทรกซึมอยู่ทุกตารางนิ้วในที่แห่งนี้ นอกจากนี้ยังมีดาบยาวสีดำสิบสองเล่มคอยแบ่งแยกคุกใต้ดินแต่ละชั้นออกจากกัน ในบรรดาคุกใต้ดินทั้งสิบสองชั้นนี้มีคนเก้าคนปะปนกันไปทั้งชายและหญิงทุกคนต่างกระสับกระส่ายและมีลมหายใจที่อ่อนแรง มีข้อยกเว้นเดียวคือชั้นล่างสุดของคุกใต้ดินมีหญิงสาวคนหนึ่งที่มีลักษณะสูงส่งกำลังนั่งหน้านิ่วคิ้วขมวดพยายามมองไปรอบๆคุกใต้ดินดูเหมือนอยากจะหนีออกไป
หญิงผู้นี้คือหลีหว่าน ตั้งแต่ถูกพรรคหมื่นดาบจับตัวมานางก็ถูกทิ้งไว้ที่นี่บางทีอาจเป็นเพราะนางกำลังจะกลายเป็นร่างของบรรพชนดาบคนของพรรคหมื่นดาบจึงไม่กล้าทำอะไรกับหลีหว่าน พรรคหมื่นดาบพยายามอย่างเต็มที่เพื่อตอบสนองความต้องการของหลีหว่านยกเว้นเพียงอยากเดียวคือการให้อิสระ ” สาวน้อยเจ้าอย่าได้ดิ้นรนไปเลยนี่คือหลุมทมิฬที่พรรคหมื่นดาบสร้างขึ้นไม่มีทางหนีจากที่นี่พ้น…” ขณะที่หลีหว่านมองไปรอบๆคุกใต้ดินแห่งนี้เสียงชราก็ลอยดังขึ้นใกล้ๆ หลีหว่านเงยหน้าขึ้นมองและเห็นชายชราที่มีผมและเคราสีขาวอยู่ในคุกใต้ดินชั้นบนกำลังพูดคุยกับนาง ” ผู้อาวุโส” ” ข้าจำเป็นต้องออกจากที่นี่” หลีหว่านพูดอย่างจริงจัง หลังจากที่หายตัวไปหลายวันแม้หลีหว่านไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องนี้ก็ตามแต่นางรู้ว่าจักรพรรดิถังและคนอื่นๆอาจจะตามหานางอยู่ทั่วทุกมุมโลก ” จำเป็นต้องออกไป? ” ชายชราผมขาวยิ้ม หากมองดูใกล้ๆจะพบว่าไหล่ของชายชราผมเคราขาวมีโซ่สีดำสองเส้นตรึงไว้ลวดลายที่ลึกลับซับซ้อนสลักอยู่ทั่วโซ่สีดำคอยระงับพลังชีวิตของชายชราผมขาว ” พวกเราทั้งหมดที่ถูกขังอยู่ในนี้จะไม่มีโอกาสได้ออกไปอีกจนกว่าชีวิตจะหาไม่เราจะออกไปได้อย่างไร? ” แม้ว่าชายชราผมขาวกำลังพูดด้วยรอยยิ้มแต่มีร่องรอยความสิ้นหวังแฝงอยู่ลึกในน้ำเสียง ” นี่เจ้าเฒ่าอย่าพูดมากน่ามีพวกเราคนใดบ้างที่ไม่มองหาทางออกเหมือนเด็กสาวคนนี้ตอนที่เพิ่งเข้ามา” ทันใดนั้นเสียงแหบแห้งก็ดังขึ้น หลีหว่านเงยหน้าขึ้นมองต่อไปจนเจอหญิงชราคนหนึ่งที่กำลังพูดอยู่ในระดับชั้นที่สูงกว่า หากคุกใต้ดินที่หลีหว่านอยู่นั้นเป็นชั้นที่สิบสองชายชราผมเคราขาวก็อยู่ในชั้นสิบเอ็ดและหญิงชราคนนั้นก็อยู่บนชั้นที่สิบ ” นั่นก็ใช่” ชายชราผมขาวยิ้มแล้วจึงหยุดพูด ” ถึงข้าจะหนีออกไปไม่พ้นแต่ลุงสามจะต้องมาช่วยข้า” หลีหว่านเงียบไปครู่หนึ่งแล้วจึงกระซิบคำออกมา ” ช่วยเจ้า? ” อาจเป็นเพราะชายชราผมขาวอยู่มานานเกินไปจึงอธิบายให้หลีหว่านฟังอย่างจริงจังว่า” ข้าไม่รู้ว่าลุงสามที่เจ้าพูดถึงคือใคร ” แต่คุกใต้ดินแห่งนี้เป็นสถานที่ที่พรรคหมนดาบตั้งใจสร้างเป็นพิเศษเพื่อกักขังศัตรูคนสำคัญ” ชายชราผมเคราขาวเย้ยหยันเวลาพูดถึงเรื่องนี้ถ้าเขาไม่มีความลับอันยิ่งใหญ่ที่พรรคหมื่นดาบอยากจะรู้เขาคงตายไปนานแล้วจะมีชีวิตรอดมาจนถึงตอนนี้ได้อย่างไร? อันที่จริงคนทั้งแปดที่ถูกขังอยู่ในหลุมทมิฬล้วนเป็นเช่นนี้ หากไม่ใช่ว่ามีค่ามีความหมายพรรคหมื่นดาบจะปล่อยพวกเขาให้มีชีวิตต่อไปได้อย่างไร? ” คุกใต้ดินทั้งหมดหล่อขึ้นมาจากเหล็กดำทมิฬทะเลเหนือสามารถระงับแก่นแท้แห่งพลังและจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ได้โดยธรรมชาติสำหรับตำนานยุทธธรรมดาๆที่มาอยู่ที่นี่แม้ว่าจะยังไม่ได้ทำอะไรความแข็งแกร่งก็จะถูกระงับเอาไว้อย่างดีที่สดก็รักษาพลังต่อสู้ไว้ได้แค่ครึ่งเดียว ชายชราผมขาวยังเล่าต่อไปอย่างช้าๆ ” เหล็กดำทมิฬทะเลเหนือ…” ใบหน้าของหลีหว่านดูครุ่นคิดนางไม่รู้ว่าเหล็กดำทมิฬคือสิ่งใดแต่นางก็รู้สึกได้ถึงความแข็งแกร่งของตนเองหลังจากถูกขังอยู่ในคุกใต้ดินนี้ดี ” นอกจากเหล็กดำทมิฬทะเลเหนือแล้วค่ายกลฟ้าดินอย่างน้อยสิบชั้นถูกจัดตั้งเอาไว้ภายในคุกใต้ดินทั้งหมดนี้ค่ายกลฟ้าดินเหล่านี้มีพลังในการปราบปรามขั้นสูงสุดหากเจ้าต้องการจะก้าวออกจากที่แห่งนี้ค่ายกลฟ้าดินทั้งหมดจะเปิดใช้งานทันทีหลังจากนั้นผลที่ตามมา……” นักพรตชราที่มีผมเคราขาวส่ายศีรษะ ” ถึงแม้เจ้าจะโชคดีพอที่จะหลบหนีออกจากคุกใต้ดินแห่งนี้ได้สามารถหลีกหนีจากการปราบปรามของเหล็กดำทมิฬและค่ายกลฟ้าดิน….” ” แต่ด้านนอกคุกใต้ดิน….” เมื่อกล่าวถึงเรื่องนี้ชายชราผมเคราขาวก็เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าด้านบน” นอกคุกใต้ดินยังมีอาคารดาบเก้ายอดสูงกว่าพันจ้างของพรรคหมื่นดา
บอีก” ” อาคารดาบทั้งเก้ายอดนี้ถูกทิ้งไว้โดยนักพรตหมื่นดาบก่อตั้งเป็นค่ายกลขนาดใหญ่เพื่อปราบปรามทุกสิ่ง” ชายชราผมเคราถอนหายใจเล็กน้อย ” ใครเล่าจะหนีจากค่ายกลฟ้าดินที่เซียนเทพปฐพี่ทิ้งเอาไว้ได้ใครเล่าจะหยุดมันได้? ” ชายชราผมขาวพูดต่อไปโดยไม่ชักช้าหันมองหลีหว่านอีกครั้ง” สาวน้อยบอกข้าที่ลุงสามที่เจ้าพูดถึงยังช่วยเจ้าออกไปได้หรือไม่? ” ชายชราผมเคราขาวรู้ดีว่าหลีหว่านกำลังคิดสิ่งใดพวกเขาต่างก็แทบไม่ต่างไปจากหลีหว่านตอนที่เข้ามาครั้งแรก หลีหว่านเงียบไป ตอนนี้นางไม่ใช่องค์หญิงอาณาจักรถังที่เพิ่งก้าวเข้าสู่เส้นทางสายยุทธผู้ไม่รู้เรื่องรู้ราว แม้ว่าหลีหว่านจะไม่เข้าใจสิ่งที่ชายชรากล่าวออกมาเท่าไหร่แต่ก็ชัดเจนว่าชายชรานั้นแน่ใจมากว่าไม่มีใครสามารถช่วยนางได้ ” สาวน้อยให้ข้าได้บอกแก่เจ้าเว้นแต่จะเป็นเซียนเทพปฐพีมันเป็นไปไม่ได้ที่ใครจะ…” ชายชราผมขาวกำลังจะพูดบางอย่าง ฉับพลัน ในตอนนั้นเอง เสียงคำรามกองราวกับพายุฝนก็แผ่ขยายผ่านระยะทางนับร้อยลี้ข้ามผ่านขุนเขาดังกังวานไปทั่วคุกใต้ดิน ” บรรพชนดาบ! ” ” บรรพชนดาบ! ” ” บรรพชนดาบ! ” ” บรรพชนดาบ! ” ” บรรพชนดาบ! ” ” บรรพชนดาบ! ” ” บรรพชนดาบ! ” … ในชั่วพริบตาทุกคนในคุกใต้ดินก็ได้ยินเสียงนี้อย่างชัดเจนอย่างไรก็ตามไม่ทันที่ทุกคนจะตอบสนองอะไรได้ ” คลานออกมาพบข้า! ” ” คลานออกมาพบข้า! ” ” คลานออกมาพบข้า! ” ” คลานออกมาพบข้า! ” เสียงนี้ดังก้องราวกับเสียงฟ้าร้องแม้จะข้ามผ่านระยะทางนับร้อยลี้แต่มันก็ไม่ได้แผ่วลงเลยกลับกลายเป็นยิ่งดังขึ้นเรื่อยๆ ” นี่คือ? ” ชายชราผมเคราขาวตื่นตะลึงคนอื่นๆในคุกใต้ดินก็ลืมตาขึ้นด้วยความตกใจเช่นกัน ” คนผู้นี้คือใครกัน? ” หญิงชราที่อยู่บนชั้นสิบไม่อยากจะเชื่อและเกีอบจะคิดไปเองว่าตนหลอนอะไรรึเปล่า พวกเขาไม่ได้คาดหวังว่าจะมีใครสักคนตะโกนสังให้บรรพชนดาบออกมา? บรรพชนดาบเป็นใคร? พรรคหมื่นดาบตั้งแต่ยุคของนักพรตหมี่นดาบเป็นต้นมาผู้ที่มีความสามารถสูงสุดเข้าใจถึงวิชาจากอาคารดาบเก้ายอดจะได้เป็นศิษย์ของนักพรตหมื่นดาบ! ตัวตนเช่นนี้ทั่วยุทธภพต่างดินแดนยังจะมีใครกล้าเรียกให้เขาออกไปเช่นนี้? คนอื่นๆอีกหลายคนภายในคุกใต้ดินต่างตัวสั่นแต่ชายชราผมขาวบนชั้นสิบเอ็ดพลันสังเกตเห็นว่าท่าทีของหลีหว่านเปลี่ยนไป ” สาวน้อยเจ้ารู้จักเจ้าของเสียงหรือ? ” ชายชราผมขาวอดไม่ได้ที่ถามออกมา ” เสียงนี้…” หลีหว่านยืนยันซ้ำอีกหลายครั้งแล้วกล่าวออกอย่างระมัดระวัง” ดูเหมือนว่าจะเป็นลุงสามของข้า….” คำที่กล่าวออกมา ทุกคนในที่แห่งนั้นพลันนิ่งเงียบไม่ไหวติงไปเป็นเวลานาน ในขณะเดียวกัน ณจัตุรัสหยกขาวหน้าเกาะหมื่นดาบ เมื่อซูฉินตะโกนให้บรรพชนดาบออกมา ทั่วทั้งเกาะหมั่นดาบพลันเดือดพล่านการรับรู้ของตำนานยุทธนั้นเฉียบแหลมเพียงใดเกือบจะในทันทีร่างจำนวนนับไม่ถ้วนก็พุ่งออกมาจากอาคารดาบเก้ายอดพันจ้างในส่วนลึกของเกาะหมื่นดาบ เหอหมิงเหยียนที่ยังอยู่ในท่าโค้งคารวะมองขึ้นไปที่ซูฉินด้วยความตกใจ ซูฉินในตอนนี้แม้ว่าจะยังยืนอยู่ที่เดิมแต่ไม่มีการกักเก็บไอพลังอีกต่อไปและรัศมีพลังอันน่าสะพรึงกลัวก็แผ่ขยายออกมาเกือบจะเทียบเคียงได้กับรัศมีพลังจากอาคารดาบเก้ายอดพันจ้างเลยทีเดียว ” เจ้าเจ้าเจ้าเป็นใครกัน? ” ผู้อาวุโสพรรคหมื่นดาบที่มาทำการคัดเลือกศิษย์ต่างตกตะลึงมากยิ่งขึ้นไปอีก สีหน้าของพวกเขาดูตกใจมากขาสั่นอยู่ตลอดเวลาและเข่าทรุดลงไปอยู่กับพื้น
และในตอนนั้นเอง ประมุขพรรคหมื่นดาบผู้อาวุโสจำนวนมากและแม้แต่บรรพชนที่หลับใหลอีกหลายคนพวกเขาต่างตกใจและรีบตรงมาที่จัตุรัสหยกขาวกันที่ละคนสองคน
เพียงไม่นาน คนเหล่านี้ก็มาถึงจัตุรัสหยกขาวและจ้องมองซูฉันราวกับเป็นศัตรู แม้ว่าตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้ซูฉินจะไม่ได้แสดงความแข็งแกร่งออกมาแต่เพียงแค่เสียงตะโกนเมื่อครู่ก็ไม่มีใครในที่แห่งนี้จะกล้าดูถูกซูฉินอีกต่อไป มีค่ายกลฟ้าดินมากมายในเกาะหมื่นดาบแต่ยังไม่สามารถหยุดเสียงของซูฉินได้มันผ่านไปได้แม้กระทั่งอาคารดาบเก้ายอดคนธรรมดาทำเรื่องเช่นนี้ได้หรือ? ” การกระทำของท่านน่าละอายนักคิดว่าในพรรคหมื่นดาบของข้าไม่มีผู้คนอยู่หรือไร? ” ประมุขพรรคหมื่นดาบจ้องมองซูฉินเขม็งและพูดด้วยน้ำเสียงที่ลึกล้ำ ในความเป็นจริงซูฉินทำตัวน่าละอายหรือ? เอาจริงๆการที่จะเหยียบพรรคหมื่นดาบไว้ใต้เท้าแล้วบดขยี้มันก็ไม่ยากเท่าไหร่ แต่สำหรับพรรคหมื่นดาบต่อหน้าศิษย์สาวกนับไม่ถ้วนในพรรคหากยอมให้บรรพชนดาบเปิดเผยตัวออกมาก็มต่างจากเอาพิมเสนไปแลกกับเกลือ ถ้าไม่ใช่เพราะเสียงตะโกนที่ทรงพลังของซูฉินเมื่อครูทำให้ประมุขพรรคหมั่นดาบลังเลใจเกรงว่าศิษย์พรรคหมื่นดาบจำนวนมหาศาลคงเข้าล้อมซูฉินไปแล้ว ” น่าละอาย? ” ซูฉินหัวเราะเบาๆ ประมุขพรรคหมื่นดาบเห็นท่าทีของซูฉินดังนี้ความคิดก็ผันผวนเรื่องราวของตำนานยุทธขั้นสูงสุดในช่วงสองพันปีที่ปรากฏในดินแดนโพ้นทะเลก็วาบผ่านเข้ามาในหัวทีละคนสองคน แต่สุดท้ายประมุขพรรคหมื่นดาบก็นึกอะไรไม่ออกเขาพบว่าซูฉินดูเหมือนจะไม่เคยปรากฏอยู่ในยุทธภพต่างแดนแห่งนี้เลย ” เจ้าต้องการสิ่งใด? ” ประมุขพรรคหมื่นดาบระงับความโกรธในใจเน้นคำทุกพยางค์ที่พูด ” พวกเจ้าไม่จำเป็นต้องทำอะไร” ซูฉินส่ายหัวเล็กน้อยเขาจับตำแหน่งของหลีหว่านด้วยจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ได้แล้วตอนนี้เพียงต้องกวาดทำลายพรรคหมื่นดาบและนำตัวหลีหว่านออกมา ” ข้าทำมันด้วยตัวเองได้” ทันทีที่สิ้นเสียงซูฉินก็ก้าวขาหนึ่งก้าวยกมือขวาขึ้นเล็งไปยังกลุ่มคนที่มีประมุขพรรคหมื่นดาบรวมอยู่ในนั้น
ซูม พลังฟ้าดินสั่นสะเทือนต่อเนื่องบรรจบรวมกันเป็นฝ่ามือขนาดใหญ่กดลงไปบนเกาะหมี่นดาบอย่างรวดเร็ว ” บังอาจ” ประมุขพรรคหมื่นดาบยังไม่ทันได้กล่าวคำบรรพชนที่ตื่นขึ้นมาและซ่อนตัวอยู่ในเงามืดก็โกรธจัดจิตใจของพวกเขารวมเข้ากับค่ายกลสังหารบนเกาะหมื่นดาบเข้าต้านรับฝ่ามือขนาดใหญ่ที่ปกคลุมทั่วท้องฟ้า ตู้ม ท่ามกลางสายตาที่เต็มไปด้วยความรู้สึกเหลือเชื่อของทุกคนค่ายกลสังหารได้พุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าสอดประสานกันวูบไหวต่อเนื่องเข้าปิดกั้นฝ่ามือขนาดยักษ์ อย่างไรก็ตามทันทีที่ทั้งสองปะทะกันค่ายกลสังหารก็สั่นสะเทือนและในที่สุดก็ยุบตัวลงไปไม่น้อยภายใต้แรงกดดันจากฝ่ามือขนาดยักษ์ ” นี่คือ!! ” ท่าทีของบรรพชนพรรคหมื่นดาบที่เข้าต้านทานพลันเปลี่ยนไปอย่างมาก

Sign Buddha’s palm 276 หลุมทมิฬ

ในส่วนลึกของเกาะหมื่นดาบ

คมดาบสูงพันจ้างทั้งเก้าแห่งตั้งตระหง่านอยู่ที่นี่

อาคารดาบพันจ้างทั้งเก้ายอดนี้เล่าลือกันว่าถูกทิ้งไว้โดยนักพรตหมื่นดาบกว่าสี่พันปีที่แล้วและมันเชื่อมโยงเข้ากับเกาะหมื่นดาบทั้งหมดรัศมีวิถีดาบที่แผ่ไปทั่วเกาะก็มาจากอาคารดาบทั้งเก้ายอดแห่งนี้

ว่ากันว่าหลายปีก่อนออกจากพรรคหมื่นดาบนักพรตหมื่นดาบเคยซ่อนมรดกของตนส่วนหนึ่งไว้ในอาคารดาบเก้ายอดแห่งนี้ใครก็ตามที่สามารถทำความเข้าใจได้จะนับว่าเป็นศิษย์สายตรงของนักพรตหมื่นดาบคนต่อไป

น่าเสียดายที่ในช่วงห้าพันปีที่ผ่านมามีเพียงบรรพชนดาบเท่านั้นที่เข้าใจมรดกในอาคารดาบเก้ายอดทำให้ทะยานขึ้นสู่ฟากฟ้าจนถูกขนานนามว่าบรรพชนดาบ

และในตอนนี้

จุดกึ่งกลางที่ล้อมรอบไปด้วยอาคารดาบเก้ายอดลึกลงไปใต้ดินหลายลี้เป็นคุกใต้ดินที่แสนจะเหน็บหนาว

คุกใต้ดินแบ่งออกเป็นสิบสองชั้นมีลวดลายสีดำลึกลับปรากฏอยู่ทุกมุมผนังเห็นได้ชัดถึงพลังในการปราบปรามอันน่าสะพรึงกลัวแทรกซึมอยู่ทุกตารางนิ้วในที่แห่งนี้

นอกจากนี้ยังมีดาบยาวสีดำสิบสองเล่มคอยแบ่งแยกคุกใต้ดินแต่ละชั้นออกจากกัน

ในบรรดาคุกใต้ดินทั้งสิบสองชั้นนี้มีคนเก้าคนปะปนกันไปทั้งชายและหญิงทุกคนต่างกระสับกระส่ายและมีลมหายใจที่อ่อนแรง

มีข้อยกเว้นเดียวคือชั้นล่างสุดของคุกใต้ดินมีหญิงสาวคนหนึ่งที่มีลักษณะสูงส่งกำลังนั่งหน้านิ่วคิ้วขมวดพยายามมองไปรอบๆคุกใต้ดินดูเหมือนอยากจะหนีออกไป
หญิงผู้นี้คือหลีหว่าน

ตั้งแต่ถูกพรรคหมื่นดาบจับตัวมานางก็ถูกทิ้งไว้ที่นี่บางทีอาจเป็นเพราะนางกำลังจะกลายเป็นร่างของบรรพชนดาบคนของพรรคหมื่นดาบจึงไม่กล้าทำอะไรกับหลีหว่าน

พรรคหมื่นดาบพยายามอย่างเต็มที่เพื่อตอบสนองความต้องการของหลีหว่านยกเว้นเพียงอยากเดียวคือการให้อิสระ

” สาวน้อยเจ้าอย่าได้ดิ้นรนไปเลยนี่คือหลุมทมิฬที่พรรคหมื่นดาบสร้างขึ้นไม่มีทางหนีจากที่นี่พ้น…”

ขณะที่หลีหว่านมองไปรอบๆคุกใต้ดินแห่งนี้เสียงชราก็ลอยดังขึ้นใกล้ๆ

หลีหว่านเงยหน้าขึ้นมองและเห็นชายชราที่มีผมและเคราสีขาวอยู่ในคุกใต้ดินชั้นบนกำลังพูดคุยกับนาง

” ผู้อาวุโส”

” ข้าจำเป็นต้องออกจากที่นี่” หลีหว่านพูดอย่างจริงจัง

หลังจากที่หายตัวไปหลายวันแม้หลีหว่านไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องนี้ก็ตามแต่นางรู้ว่าจักรพรรดิถังและคนอื่นๆอาจจะตามหานางอยู่ทั่วทุกมุมโลก

” จำเป็นต้องออกไป? ”

ชายชราผมขาวยิ้ม

หากมองดูใกล้ๆจะพบว่าไหล่ของชายชราผมเคราขาวมีโซ่สีดำสองเส้นตรึงไว้ลวดลายที่ลึกลับซับซ้อนสลักอยู่ทั่วโซ่สีดำคอยระงับพลังชีวิตของชายชราผมขาว

” พวกเราทั้งหมดที่ถูกขังอยู่ในนี้จะไม่มีโอกาสได้ออกไปอีกจนกว่าชีวิตจะหาไม่เราจะออกไปได้อย่างไร? ”

แม้ว่าชายชราผมขาวกำลังพูดด้วยรอยยิ้มแต่มีร่องรอยความสิ้นหวังแฝงอยู่ลึกในน้ำเสียง

” นี่เจ้าเฒ่าอย่าพูดมากน่ามีพวกเราคนใดบ้างที่ไม่มองหาทางออกเหมือนเด็กสาวคนนี้ตอนที่เพิ่งเข้ามา” ทันใดนั้นเสียงแหบแห้งก็ดังขึ้น

หลีหว่านเงยหน้าขึ้นมองต่อไปจนเจอหญิงชราคนหนึ่งที่กำลังพูดอยู่ในระดับชั้นที่สูงกว่า

หากคุกใต้ดินที่หลีหว่านอยู่นั้นเป็นชั้นที่สิบสองชายชราผมเคราขาวก็อยู่ในชั้นสิบเอ็ดและหญิงชราคนนั้นก็อยู่บนชั้นที่สิบ

” นั่นก็ใช่”

ชายชราผมขาวยิ้มแล้วจึงหยุดพูด

” ถึงข้าจะหนีออกไปไม่พ้นแต่ลุงสามจะต้องมาช่วยข้า” หลีหว่านเงียบไปครู่หนึ่งแล้วจึงกระซิบคำออกมา

” ช่วยเจ้า? ”

อาจเป็นเพราะชายชราผมขาวอยู่มานานเกินไปจึงอธิบายให้หลีหว่านฟังอย่างจริงจังว่า” ข้าไม่รู้ว่าลุงสามที่เจ้าพูดถึงคือใคร

” แต่คุกใต้ดินแห่งนี้เป็นสถานที่ที่พรรคหมนดาบตั้งใจสร้างเป็นพิเศษเพื่อกักขังศัตรูคนสำคัญ”

ชายชราผมเคราขาวเย้ยหยันเวลาพูดถึงเรื่องนี้ถ้าเขาไม่มีความลับอันยิ่งใหญ่ที่พรรคหมื่นดาบอยากจะรู้เขาคงตายไปนานแล้วจะมีชีวิตรอดมาจนถึงตอนนี้ได้อย่างไร?

อันที่จริงคนทั้งแปดที่ถูกขังอยู่ในหลุมทมิฬล้วนเป็นเช่นนี้

หากไม่ใช่ว่ามีค่ามีความหมายพรรคหมื่นดาบจะปล่อยพวกเขาให้มีชีวิตต่อไปได้อย่างไร?

” คุกใต้ดินทั้งหมดหล่อขึ้นมาจากเหล็กดำทมิฬทะเลเหนือสามารถระงับแก่นแท้แห่งพลังและจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ได้โดยธรรมชาติสำหรับตำนานยุทธธรรมดาๆที่มาอยู่ที่นี่แม้ว่าจะยังไม่ได้ทำอะไรความแข็งแกร่งก็จะถูกระงับเอาไว้อย่างดีที่สดก็รักษาพลังต่อสู้ไว้ได้แค่ครึ่งเดียว

ชายชราผมขาวยังเล่าต่อไปอย่างช้าๆ

” เหล็กดำทมิฬทะเลเหนือ…” ใบหน้าของหลีหว่านดูครุ่นคิดนางไม่รู้ว่าเหล็กดำทมิฬคือสิ่งใดแต่นางก็รู้สึกได้ถึงความแข็งแกร่งของตนเองหลังจากถูกขังอยู่ในคุกใต้ดินนี้ดี

” นอกจากเหล็กดำทมิฬทะเลเหนือแล้วค่ายกลฟ้าดินอย่างน้อยสิบชั้นถูกจัดตั้งเอาไว้ภายในคุกใต้ดินทั้งหมดนี้ค่ายกลฟ้าดินเหล่านี้มีพลังในการปราบปรามขั้นสูงสุดหากเจ้าต้องการจะก้าวออกจากที่แห่งนี้ค่ายกลฟ้าดินทั้งหมดจะเปิดใช้งานทันทีหลังจากนั้นผลที่ตามมา……”

นักพรตชราที่มีผมเคราขาวส่ายศีรษะ

” ถึงแม้เจ้าจะโชคดีพอที่จะหลบหนีออกจากคุกใต้ดินแห่งนี้ได้สามารถหลีกหนีจากการปราบปรามของเหล็กดำทมิฬและค่ายกลฟ้าดิน….”

” แต่ด้านนอกคุกใต้ดิน….”

เมื่อกล่าวถึงเรื่องนี้ชายชราผมเคราขาวก็เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าด้านบน” นอกคุกใต้ดินยังมีอาคารดาบเก้ายอดสูงกว่าพันจ้างของพรรคหมื่นดา
บอีก”

” อาคารดาบทั้งเก้ายอดนี้ถูกทิ้งไว้โดยนักพรตหมื่นดาบก่อตั้งเป็นค่ายกลขนาดใหญ่เพื่อปราบปรามทุกสิ่ง”

ชายชราผมเคราถอนหายใจเล็กน้อย

” ใครเล่าจะหนีจากค่ายกลฟ้าดินที่เซียนเทพปฐพี่ทิ้งเอาไว้ได้ใครเล่าจะหยุดมันได้? ”

ชายชราผมขาวพูดต่อไปโดยไม่ชักช้าหันมองหลีหว่านอีกครั้ง” สาวน้อยบอกข้าที่ลุงสามที่เจ้าพูดถึงยังช่วยเจ้าออกไปได้หรือไม่? ”

ชายชราผมเคราขาวรู้ดีว่าหลีหว่านกำลังคิดสิ่งใดพวกเขาต่างก็แทบไม่ต่างไปจากหลีหว่านตอนที่เข้ามาครั้งแรก

หลีหว่านเงียบไป

ตอนนี้นางไม่ใช่องค์หญิงอาณาจักรถังที่เพิ่งก้าวเข้าสู่เส้นทางสายยุทธผู้ไม่รู้เรื่องรู้ราว

แม้ว่าหลีหว่านจะไม่เข้าใจสิ่งที่ชายชรากล่าวออกมาเท่าไหร่แต่ก็ชัดเจนว่าชายชรานั้นแน่ใจมากว่าไม่มีใครสามารถช่วยนางได้

” สาวน้อยให้ข้าได้บอกแก่เจ้าเว้นแต่จะเป็นเซียนเทพปฐพีมันเป็นไปไม่ได้ที่ใครจะ…”

ชายชราผมขาวกำลังจะพูดบางอย่าง

ฉับพลัน

ในตอนนั้นเอง

เสียงคำรามกองราวกับพายุฝนก็แผ่ขยายผ่านระยะทางนับร้อยลี้ข้ามผ่านขุนเขาดังกังวานไปทั่วคุกใต้ดิน

” บรรพชนดาบ! ” ” บรรพชนดาบ! ” ” บรรพชนดาบ! ” ” บรรพชนดาบ! ” ” บรรพชนดาบ! ” ” บรรพชนดาบ! ” ” บรรพชนดาบ! ” …

ในชั่วพริบตาทุกคนในคุกใต้ดินก็ได้ยินเสียงนี้อย่างชัดเจนอย่างไรก็ตามไม่ทันที่ทุกคนจะตอบสนองอะไรได้

” คลานออกมาพบข้า! ” ” คลานออกมาพบข้า! ” ” คลานออกมาพบข้า! ” ” คลานออกมาพบข้า! ”

เสียงนี้ดังก้องราวกับเสียงฟ้าร้องแม้จะข้ามผ่านระยะทางนับร้อยลี้แต่มันก็ไม่ได้แผ่วลงเลยกลับกลายเป็นยิ่งดังขึ้นเรื่อยๆ

” นี่คือ? ”

ชายชราผมเคราขาวตื่นตะลึงคนอื่นๆในคุกใต้ดินก็ลืมตาขึ้นด้วยความตกใจเช่นกัน

” คนผู้นี้คือใครกัน? ”

หญิงชราที่อยู่บนชั้นสิบไม่อยากจะเชื่อและเกีอบจะคิดไปเองว่าตนหลอนอะไรรึเปล่า

พวกเขาไม่ได้คาดหวังว่าจะมีใครสักคนตะโกนสังให้บรรพชนดาบออกมา?

บรรพชนดาบเป็นใคร?

พรรคหมื่นดาบตั้งแต่ยุคของนักพรตหมี่นดาบเป็นต้นมาผู้ที่มีความสามารถสูงสุดเข้าใจถึงวิชาจากอาคารดาบเก้ายอดจะได้เป็นศิษย์ของนักพรตหมื่นดาบ!

ตัวตนเช่นนี้ทั่วยุทธภพต่างดินแดนยังจะมีใครกล้าเรียกให้เขาออกไปเช่นนี้?

คนอื่นๆอีกหลายคนภายในคุกใต้ดินต่างตัวสั่นแต่ชายชราผมขาวบนชั้นสิบเอ็ดพลันสังเกตเห็นว่าท่าทีของหลีหว่านเปลี่ยนไป

” สาวน้อยเจ้ารู้จักเจ้าของเสียงหรือ? ” ชายชราผมขาวอดไม่ได้ที่ถามออกมา

” เสียงนี้…” หลีหว่านยืนยันซ้ำอีกหลายครั้งแล้วกล่าวออกอย่างระมัดระวัง” ดูเหมือนว่าจะเป็นลุงสามของข้า….”

คำที่กล่าวออกมา

ทุกคนในที่แห่งนั้นพลันนิ่งเงียบไม่ไหวติงไปเป็นเวลานาน

ในขณะเดียวกัน

ณจัตุรัสหยกขาวหน้าเกาะหมื่นดาบ

เมื่อซูฉินตะโกนให้บรรพชนดาบออกมา

ทั่วทั้งเกาะหมั่นดาบพลันเดือดพล่านการรับรู้ของตำนานยุทธนั้นเฉียบแหลมเพียงใดเกือบจะในทันทีร่างจำนวนนับไม่ถ้วนก็พุ่งออกมาจากอาคารดาบเก้ายอดพันจ้างในส่วนลึกของเกาะหมื่นดาบ

เหอหมิงเหยียนที่ยังอยู่ในท่าโค้งคารวะมองขึ้นไปที่ซูฉินด้วยความตกใจ

ซูฉินในตอนนี้แม้ว่าจะยังยืนอยู่ที่เดิมแต่ไม่มีการกักเก็บไอพลังอีกต่อไปและรัศมีพลังอันน่าสะพรึงกลัวก็แผ่ขยายออกมาเกือบจะเทียบเคียงได้กับรัศมีพลังจากอาคารดาบเก้ายอดพันจ้างเลยทีเดียว

” เจ้าเจ้าเจ้าเป็นใครกัน? ”

ผู้อาวุโสพรรคหมื่นดาบที่มาทำการคัดเลือกศิษย์ต่างตกตะลึงมากยิ่งขึ้นไปอีก

สีหน้าของพวกเขาดูตกใจมากขาสั่นอยู่ตลอดเวลาและเข่าทรุดลงไปอยู่กับพื้น
และในตอนนั้นเอง

ประมุขพรรคหมื่นดาบผู้อาวุโสจำนวนมากและแม้แต่บรรพชนที่หลับใหลอีกหลายคนพวกเขาต่างตกใจและรีบตรงมาที่จัตุรัสหยกขาวกันที่ละคนสองคน
เพียงไม่นาน

คนเหล่านี้ก็มาถึงจัตุรัสหยกขาวและจ้องมองซูฉันราวกับเป็นศัตรู

แม้ว่าตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้ซูฉินจะไม่ได้แสดงความแข็งแกร่งออกมาแต่เพียงแค่เสียงตะโกนเมื่อครู่ก็ไม่มีใครในที่แห่งนี้จะกล้าดูถูกซูฉินอีกต่อไป

มีค่ายกลฟ้าดินมากมายในเกาะหมื่นดาบแต่ยังไม่สามารถหยุดเสียงของซูฉินได้มันผ่านไปได้แม้กระทั่งอาคารดาบเก้ายอดคนธรรมดาทำเรื่องเช่นนี้ได้หรือ?

” การกระทำของท่านน่าละอายนักคิดว่าในพรรคหมื่นดาบของข้าไม่มีผู้คนอยู่หรือไร? ” ประมุขพรรคหมื่นดาบจ้องมองซูฉินเขม็งและพูดด้วยน้ำเสียงที่ลึกล้ำ

ในความเป็นจริงซูฉินทำตัวน่าละอายหรือ? เอาจริงๆการที่จะเหยียบพรรคหมื่นดาบไว้ใต้เท้าแล้วบดขยี้มันก็ไม่ยากเท่าไหร่

แต่สำหรับพรรคหมื่นดาบต่อหน้าศิษย์สาวกนับไม่ถ้วนในพรรคหากยอมให้บรรพชนดาบเปิดเผยตัวออกมาก็มต่างจากเอาพิมเสนไปแลกกับเกลือ

ถ้าไม่ใช่เพราะเสียงตะโกนที่ทรงพลังของซูฉินเมื่อครูทำให้ประมุขพรรคหมั่นดาบลังเลใจเกรงว่าศิษย์พรรคหมื่นดาบจำนวนมหาศาลคงเข้าล้อมซูฉินไปแล้ว

” น่าละอาย? ”

ซูฉินหัวเราะเบาๆ

ประมุขพรรคหมื่นดาบเห็นท่าทีของซูฉินดังนี้ความคิดก็ผันผวนเรื่องราวของตำนานยุทธขั้นสูงสุดในช่วงสองพันปีที่ปรากฏในดินแดนโพ้นทะเลก็วาบผ่านเข้ามาในหัวทีละคนสองคน

แต่สุดท้ายประมุขพรรคหมื่นดาบก็นึกอะไรไม่ออกเขาพบว่าซูฉินดูเหมือนจะไม่เคยปรากฏอยู่ในยุทธภพต่างแดนแห่งนี้เลย

” เจ้าต้องการสิ่งใด? ” ประมุขพรรคหมื่นดาบระงับความโกรธในใจเน้นคำทุกพยางค์ที่พูด

” พวกเจ้าไม่จำเป็นต้องทำอะไร” ซูฉินส่ายหัวเล็กน้อยเขาจับตำแหน่งของหลีหว่านด้วยจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ได้แล้วตอนนี้เพียงต้องกวาดทำลายพรรคหมื่นดาบและนำตัวหลีหว่านออกมา

” ข้าทำมันด้วยตัวเองได้”

ทันทีที่สิ้นเสียงซูฉินก็ก้าวขาหนึ่งก้าวยกมือขวาขึ้นเล็งไปยังกลุ่มคนที่มีประมุขพรรคหมื่นดาบรวมอยู่ในนั้น
ซูม

พลังฟ้าดินสั่นสะเทือนต่อเนื่องบรรจบรวมกันเป็นฝ่ามือขนาดใหญ่กดลงไปบนเกาะหมี่นดาบอย่างรวดเร็ว

” บังอาจ”

ประมุขพรรคหมื่นดาบยังไม่ทันได้กล่าวคำบรรพชนที่ตื่นขึ้นมาและซ่อนตัวอยู่ในเงามืดก็โกรธจัดจิตใจของพวกเขารวมเข้ากับค่ายกลสังหารบนเกาะหมื่นดาบเข้าต้านรับฝ่ามือขนาดใหญ่ที่ปกคลุมทั่วท้องฟ้า

ตู้ม

ท่ามกลางสายตาที่เต็มไปด้วยความรู้สึกเหลือเชื่อของทุกคนค่ายกลสังหารได้พุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าสอดประสานกันวูบไหวต่อเนื่องเข้าปิดกั้นฝ่ามือขนาดยักษ์

อย่างไรก็ตามทันทีที่ทั้งสองปะทะกันค่ายกลสังหารก็สั่นสะเทือนและในที่สุดก็ยุบตัวลงไปไม่น้อยภายใต้แรงกดดันจากฝ่ามือขนาดยักษ์

” นี่คือ!! ”

ท่าทีของบรรพชนพรรคหมื่นดาบที่เข้าต้านทานพลันเปลี่ยนไปอย่างมาก

Sign Buddha’s palm 275 (II) บรรพชนดาบเจ้าจงคลานออกมาพบข้าเดี๋ยวนี้! ” ไม่รู้เหมือนกันว่าใครคือบุคคลผู้แข็งแกร่งเทียมฟ้าผู้นั้นสามารถสังหารบรรพชนพรรคหมื่นดาบไปได้หลายคน…” เหอหมิงเหยียนอุทานออกมาพร้อมสายศีรษะ รู้หรือไม่ว่าอีกฝ่ายไม่ได้ทำเพียงสังหารบรรพชนพรรคหมื่นดาบเท่านั้นแต่ยังเหยียบพรรคหมื่นดาบไว้ใต้ฝ่าเท้าด้วย นี่เทียบเท่ากับประกาศสงครามกับนิกายใหญ่อย่างพรรคหมื่นดาบที่สืบทอดมาสี่พันห้าพันปี ความหาญกล้าเช่นนี้ไม่ได้เกิดขึ้นในยุทธภพต่างแดนมาหลายพันปีแล้ว ” ใช่แล้ว” ” และท่านท่านมาเกาะหมื่นดาบในครั้งนี้ก็เพื่อกราบเข้าพรรคด้วยอย่างนั้นหรือ? ” เหอหมิงเหยียนถอนหายใจอยู่ครู่หนึ่งจากนั้นก็เหมือนคิดอะไรได้หันไปถามซูฉินอย่างไม่แน่ใจนัก เหตุผลที่เขาเข้ามาสนทนากับซูฉินแท้จริงก็ไม่ใช่การมาพูดคุยด้วยความบริสุทธิ์ใจเพียงแต่ในบรรดาผู้คนทั้งหมดในจัตุรัสหยกขาวตอนนี้มีเพียงซูฉินเท่านั้นที่ทำให้เขารู้สึกแปลกประหลาดที่สุด เหอหมิงเหยียนไม่สามารถจับกลิ่นอายของซูฉันได้เลยประหนึ่งว่าเป็นคนธรรมดาที่ไม่ได้ฝึกฝนวิทยายุทธ แต่สิ่งนั้นจะเป็นไปได้อย่างไร? คนธรรมดาจะสามารถข้ามทะเลมายังเกาะหมื่นดาบแห่งนี้ได้หรือ? ” กราบพรรคหมื่นดาบ? ” ซูฉินยิ้มเล็กน้อยไม่ได้พูดอะไร พรรคหมื่นดาบมีค่าควรให้เขากราบไหว้หรืออย่างไร? ซูฉินมาครั้งนี้ก็เพื่อเตรียมทำลายพรรคหมั่นดาบนิกายใหญ่ที่สืบทอดมรดกมากว่าสี่พันปีหากเหอหมิงเหยียนรู้จุดประสงค์ของซูฉินเกรงว่าเขาคงจะเข่าทรุดลงไปกองกับพื้นด้วยความตกใจ ในขณะที่เหอหมิงเหยียนกำลังจะพูดต่อ ก็เห็นร่างหลายร่างปรากฏตัวออกมาจากส่วนลึกของพรรคหมื่นดาบ ร่างเหล่านี้มีดาบยาวอยู่ใต้ฝ่าเท้าราวกับนักดาบในตำนานพวกเขาบินตรงมายังจัตุรัสหยกขาวด้วยความรวดเร็ว ” ผู้อาวุโสพรรคหมื่นดาบมาแล้ว” จอมยุทธหลายคนที่รอคอยในจัตุรัสหยกขาวมานานต่างส่งเสียงโห่ร้องออกมาพวกเขาโค้งคำนับให้กับผู้อาวุโสสองสามคนของพรรคหมื่นดาบที่บินตรงมาหา” คารวะผู้อาวุโส” แม้แต่สองพี่น้องอย่างเหอหมิงเหยียนกับเหอชิงหลิงยังโค้งคารวะอย่างเคารพและตะโกนตามเสียงของคนอื่นๆ ชั่วขณะนั้นทุกคนในจัตุรัสหยกขาวก้มหัวลงทั้งหมดและซูฉันยืนอยู่ท่ามกลางฝูงชนโดยไม่เคลื่อนไหวใดกลายเป็นโดดเด่นเห็นชัดนมาในทันที ” หืม? ” ผู้อาวุโสพรรคหมื่นดาบหลายคนขมวดคิ้วในความเห็นของพวกเขาพรรคหมื่นดาบได้อนุญาตให้คนอย่างซูฉินเหยียบขึ้นมาบนเกาะหมื่นดาบได้ก็เป็นพระคุณอย่างยิ่งแล้วแต่ซูฉินกลับไม่รู้จักการสำนึกรู้คุณยังคงยืนนิ่งโดยมิเกรงฟ้ากลัวดิน ขณะที่ผู้อาวุโสพรรคหมื่นดาบจับตาดูซูฉินจอมยุทธหลายคนในจัตุรัสหยกขาวก็เริ่มตระหนักแล้วว่าเกิดสิ่งใดขึ้น เพียงแต่จอมยุทธส่วนใหญ่ที่นี่กลับเย้ยหยันพวกเขาทั้งหมดในที่แห่งนี้มีความสัมพันธ์กันในแบบคู่แข่ง” ตอนนี้ซูฉินเป็นคนแรกที่ยั่วยผู้อาวุโสพรรคหมื่นดาบอาจกล่าวได้ว่าคงจะเป็นไปไม่ได้เสียแล้วที่จะกราบเข้าพรรคหมื่นดาบได้” คู่แข่งของพวกเขาลดลงไปแล้วหนึ่งคนจะไม่ดีใจก็กระไรอยู่ สองพี่น้องเหอหมิงเหยียนที่อยู่ใกล้ชิดซูฉินที่สุดหน้าซีดทันที เหอหมิงเหยียนมีความตั้งใจที่จะเตือนซูฉินแต่ภายใต้สายตาของผู้อาวุโสพรรคหมื่นดาบเหอหมิงเหยียนรู้สึกว่าเลือดเนื้อและพลังปราณของเขาถูกระงับหัวใจเขาค่อยๆเต้นช้าลงดังนั้นจึงไม่กล้าเอ่ยอะไร ” เจ้าเป็นใคร? ” ” เจ้ารู้กฎในการกราบเข้าพรรคหมื่นดาบของพวกเราหรือไม่? ” ผู้อาวุโสพรรคหมื่นดาบคนแรกมองซูฉินด้วยใบหน้าที่เย็นชา ผู้อาวุโสพรรคหมื่นดาบได้ตัดสินใจแล้วว่าเขาจะขับไล่ซูฉินออกจากเกาะหมื่นดาบเพื่อแสดงถึงความยิ่งใหญ่ของพรรคหมื่นดาบ เพียงเท่านั้น ในตอนนี้ ” ในที่สุดก็หาพบ” รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของซูฉินจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ที่เขาแผ่ออกไปในที่สุดก็สามารถหาตำแหน่งของหลีหว่านพบ ทันทีหลังจากนั้น ซูฉินก็เงยหน้าขึ้นและเหลือบมองอาวุโสพรรคหมื่นดาบทั้งหลายแล้วกล่าวอย่างสบายๆว่า” ข้าไม่ได้มาเพื่อกราบเข้าพรรคหมื่นดาบ” ” ข้ามาเพื่อตามหาคน” คำที่กล่าวออกมา ทุกคนในที่แห่งนี้ต่างตกตะลึงไปเล็กน้อย พวกเขาไม่ได้คาดหวังว่าซูฉินมาถึงที่นี่ไม่เพียงไม่ต้องการกราบเข้าพรรคหมื่นดาบเท่านั้นแต่วางแผนที่จะมาหาใครสักคนด้วย? แม้แต่ผู้อาวุโสพรรคหมื่นดาบก็ขมวดคิ้ว” เจ้าเป็นใครกัน? แล้วมาตามหาใครในพรรคหมื่นดาบของข้า” ซูฉินส่ายหัวเล็กน้อยโดยไม่ได้ตอบอะไร ขณะที่ผู้อาวุโสพรรคหมื่นดาบกำลังจะหมดความอดทน ซูฉินก็ก้าวเท้าออกไปอย่างกะทันหันและตะโกนไปทางอาคารดาบทั้งเก้าในส่วนลึกของเกาะหมื่นดาบ ” บรรพชนดาบเจ้าจงคลานออกมาพบข้าเดี๋ยวนี้! ” เมื่อพยางค์แรกถูกกล่าวออกมามันก็ยังเป็นปกติแต่เมื่อพูดครบทั้งบรรพชนและคำว่าดาบคนในพื้นที่แห่งนี้พลันขนลุกซู่เมื่อถึงคำว่า’ข้าคลื่นเสียงก็กระหมไปทั่วแม้แต่ผู้อาวุโสพรรคหมนดาบก็ยังวิงเวียนศีรษะและเมื่อพูดคำสุดท้ายออกมาท้องฟ้าผืนดินพลันแตกเป็นเสี่ยงๆเสียงดังราวกับฟ้าร้องศึกก้องอยู่ข้างหู ” เจ้า? ” ผู้อาวุโสพรรคหมื่นดาบหลายคนถึงกับเลือดไหลออกจากทวารทั้งเจ็ดจ้องมองไปยังซูฉินราวกับเห็นผี

Sign Buddha’s palm 275 (II) บรรพชนดาบเจ้าจงคลานออกมาพบข้าเดี๋ยวนี้!

” ไม่รู้เหมือนกันว่าใครคือบุคคลผู้แข็งแกร่งเทียมฟ้าผู้นั้นสามารถสังหารบรรพชนพรรคหมื่นดาบไปได้หลายคน…”

เหอหมิงเหยียนอุทานออกมาพร้อมสายศีรษะ

รู้หรือไม่ว่าอีกฝ่ายไม่ได้ทำเพียงสังหารบรรพชนพรรคหมื่นดาบเท่านั้นแต่ยังเหยียบพรรคหมื่นดาบไว้ใต้ฝ่าเท้าด้วย

นี่เทียบเท่ากับประกาศสงครามกับนิกายใหญ่อย่างพรรคหมื่นดาบที่สืบทอดมาสี่พันห้าพันปี

ความหาญกล้าเช่นนี้ไม่ได้เกิดขึ้นในยุทธภพต่างแดนมาหลายพันปีแล้ว

” ใช่แล้ว”

” และท่านท่านมาเกาะหมื่นดาบในครั้งนี้ก็เพื่อกราบเข้าพรรคด้วยอย่างนั้นหรือ? ” เหอหมิงเหยียนถอนหายใจอยู่ครู่หนึ่งจากนั้นก็เหมือนคิดอะไรได้หันไปถามซูฉินอย่างไม่แน่ใจนัก

เหตุผลที่เขาเข้ามาสนทนากับซูฉินแท้จริงก็ไม่ใช่การมาพูดคุยด้วยความบริสุทธิ์ใจเพียงแต่ในบรรดาผู้คนทั้งหมดในจัตุรัสหยกขาวตอนนี้มีเพียงซูฉินเท่านั้นที่ทำให้เขารู้สึกแปลกประหลาดที่สุด

เหอหมิงเหยียนไม่สามารถจับกลิ่นอายของซูฉันได้เลยประหนึ่งว่าเป็นคนธรรมดาที่ไม่ได้ฝึกฝนวิทยายุทธ

แต่สิ่งนั้นจะเป็นไปได้อย่างไร?

คนธรรมดาจะสามารถข้ามทะเลมายังเกาะหมื่นดาบแห่งนี้ได้หรือ?

” กราบพรรคหมื่นดาบ? ”

ซูฉินยิ้มเล็กน้อยไม่ได้พูดอะไร

พรรคหมื่นดาบมีค่าควรให้เขากราบไหว้หรืออย่างไร? ซูฉินมาครั้งนี้ก็เพื่อเตรียมทำลายพรรคหมั่นดาบนิกายใหญ่ที่สืบทอดมรดกมากว่าสี่พันปีหากเหอหมิงเหยียนรู้จุดประสงค์ของซูฉินเกรงว่าเขาคงจะเข่าทรุดลงไปกองกับพื้นด้วยความตกใจ

ในขณะที่เหอหมิงเหยียนกำลังจะพูดต่อ

ก็เห็นร่างหลายร่างปรากฏตัวออกมาจากส่วนลึกของพรรคหมื่นดาบ

ร่างเหล่านี้มีดาบยาวอยู่ใต้ฝ่าเท้าราวกับนักดาบในตำนานพวกเขาบินตรงมายังจัตุรัสหยกขาวด้วยความรวดเร็ว

” ผู้อาวุโสพรรคหมื่นดาบมาแล้ว”

จอมยุทธหลายคนที่รอคอยในจัตุรัสหยกขาวมานานต่างส่งเสียงโห่ร้องออกมาพวกเขาโค้งคำนับให้กับผู้อาวุโสสองสามคนของพรรคหมื่นดาบที่บินตรงมาหา” คารวะผู้อาวุโส”

แม้แต่สองพี่น้องอย่างเหอหมิงเหยียนกับเหอชิงหลิงยังโค้งคารวะอย่างเคารพและตะโกนตามเสียงของคนอื่นๆ

ชั่วขณะนั้นทุกคนในจัตุรัสหยกขาวก้มหัวลงทั้งหมดและซูฉันยืนอยู่ท่ามกลางฝูงชนโดยไม่เคลื่อนไหวใดกลายเป็นโดดเด่นเห็นชัดนมาในทันที

” หืม? ”

ผู้อาวุโสพรรคหมื่นดาบหลายคนขมวดคิ้วในความเห็นของพวกเขาพรรคหมื่นดาบได้อนุญาตให้คนอย่างซูฉินเหยียบขึ้นมาบนเกาะหมื่นดาบได้ก็เป็นพระคุณอย่างยิ่งแล้วแต่ซูฉินกลับไม่รู้จักการสำนึกรู้คุณยังคงยืนนิ่งโดยมิเกรงฟ้ากลัวดิน

ขณะที่ผู้อาวุโสพรรคหมื่นดาบจับตาดูซูฉินจอมยุทธหลายคนในจัตุรัสหยกขาวก็เริ่มตระหนักแล้วว่าเกิดสิ่งใดขึ้น

เพียงแต่จอมยุทธส่วนใหญ่ที่นี่กลับเย้ยหยันพวกเขาทั้งหมดในที่แห่งนี้มีความสัมพันธ์กันในแบบคู่แข่ง” ตอนนี้ซูฉินเป็นคนแรกที่ยั่วยผู้อาวุโสพรรคหมื่นดาบอาจกล่าวได้ว่าคงจะเป็นไปไม่ได้เสียแล้วที่จะกราบเข้าพรรคหมื่นดาบได้” คู่แข่งของพวกเขาลดลงไปแล้วหนึ่งคนจะไม่ดีใจก็กระไรอยู่

สองพี่น้องเหอหมิงเหยียนที่อยู่ใกล้ชิดซูฉินที่สุดหน้าซีดทันที

เหอหมิงเหยียนมีความตั้งใจที่จะเตือนซูฉินแต่ภายใต้สายตาของผู้อาวุโสพรรคหมื่นดาบเหอหมิงเหยียนรู้สึกว่าเลือดเนื้อและพลังปราณของเขาถูกระงับหัวใจเขาค่อยๆเต้นช้าลงดังนั้นจึงไม่กล้าเอ่ยอะไร

” เจ้าเป็นใคร? ”

” เจ้ารู้กฎในการกราบเข้าพรรคหมื่นดาบของพวกเราหรือไม่? ”

ผู้อาวุโสพรรคหมื่นดาบคนแรกมองซูฉินด้วยใบหน้าที่เย็นชา

ผู้อาวุโสพรรคหมื่นดาบได้ตัดสินใจแล้วว่าเขาจะขับไล่ซูฉินออกจากเกาะหมื่นดาบเพื่อแสดงถึงความยิ่งใหญ่ของพรรคหมื่นดาบ

เพียงเท่านั้น

ในตอนนี้

” ในที่สุดก็หาพบ”

รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของซูฉินจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ที่เขาแผ่ออกไปในที่สุดก็สามารถหาตำแหน่งของหลีหว่านพบ

ทันทีหลังจากนั้น

ซูฉินก็เงยหน้าขึ้นและเหลือบมองอาวุโสพรรคหมื่นดาบทั้งหลายแล้วกล่าวอย่างสบายๆว่า” ข้าไม่ได้มาเพื่อกราบเข้าพรรคหมื่นดาบ”

” ข้ามาเพื่อตามหาคน”

คำที่กล่าวออกมา

ทุกคนในที่แห่งนี้ต่างตกตะลึงไปเล็กน้อย

พวกเขาไม่ได้คาดหวังว่าซูฉินมาถึงที่นี่ไม่เพียงไม่ต้องการกราบเข้าพรรคหมื่นดาบเท่านั้นแต่วางแผนที่จะมาหาใครสักคนด้วย?

แม้แต่ผู้อาวุโสพรรคหมื่นดาบก็ขมวดคิ้ว” เจ้าเป็นใครกัน? แล้วมาตามหาใครในพรรคหมื่นดาบของข้า”

ซูฉินส่ายหัวเล็กน้อยโดยไม่ได้ตอบอะไร

ขณะที่ผู้อาวุโสพรรคหมื่นดาบกำลังจะหมดความอดทน

ซูฉินก็ก้าวเท้าออกไปอย่างกะทันหันและตะโกนไปทางอาคารดาบทั้งเก้าในส่วนลึกของเกาะหมื่นดาบ

” บรรพชนดาบเจ้าจงคลานออกมาพบข้าเดี๋ยวนี้! ”

เมื่อพยางค์แรกถูกกล่าวออกมามันก็ยังเป็นปกติแต่เมื่อพูดครบทั้งบรรพชนและคำว่าดาบคนในพื้นที่แห่งนี้พลันขนลุกซู่เมื่อถึงคำว่า’ข้าคลื่นเสียงก็กระหมไปทั่วแม้แต่ผู้อาวุโสพรรคหมนดาบก็ยังวิงเวียนศีรษะและเมื่อพูดคำสุดท้ายออกมาท้องฟ้าผืนดินพลันแตกเป็นเสี่ยงๆเสียงดังราวกับฟ้าร้องศึกก้องอยู่ข้างหู

” เจ้า? ”

ผู้อาวุโสพรรคหมื่นดาบหลายคนถึงกับเลือดไหลออกจากทวารทั้งเจ็ดจ้องมองไปยังซูฉินราวกับเห็นผี

Sign Buddha’s palm 275 (I) บรรพชนดาบเจ้าจงคลานออกมาพบข้าเดี๋ยวนี้!

เกาะที่ใช้เป็นที่ตั้งของพรรคหมื่นดาบมีชื่อเรียกว่าเกาะหมื่นดาบมีพื้นที่รัศมีไกลกว่าหลายร้อยลี้สามารถรองรับผู้คนนับล้านได้อย่างง่ายดาย

มีข่าวลือว่าเกาะหมื่นดาบเป็นเพียงเกาะเล็กๆขนาดไม่กี่ลื้มาก่อนแต่นักพรตหมื่นดาบได้ไล่พื้นที่ทะเลออกไปและสร้างแผ่นดินด้วยพลังงานทั้งหมดทันใดนั้นเกาะที่แต่เดิมกว้างเพียงแค่ไม่กี่ลี้ก็กลายเป็นเกาะใหญ่มีรัศมีหลายร้อยลี้และเกาะหมื่นดาบแห่งนี้ก็ประดุจเป็นทวีปเล็กๆสักแห่งหนึ่ง

นอกจากนี้เกาะหมื่นดาบนั้นเต็มไปด้วยเจตจำนงดาบนี่คือสิ่งที่นักพรตหมื่นดาบทิ้งเอาไว้ผู้ที่ฝึกฝนวิถีแห่งดาบทุกคนที่อยู่บนเกาะนี้จะมีผลลัพธ์ดีขึ้นเป็นสองโดยใช้ความพยายามเพียงครึ่งเดียว

“นักพรตหมื่นดาบช่างน่าอัศจรรย์…”

ซูฉินจ้องไปทั่วทั้งเกาะหมื่นดาบด้วยดวงตาแห่งสัจจะเกาะหมื่นดาบดูเหมือนจะกลายเป็นดาบศักดิ์สิทธิ์ที่ตัดผ่านท้องฟ้า

“น่าเสียดาย…”

ซูฉินสายศีรษะเล็กน้อยและก้าวเท้าไปยังเกาะหมื่นดาบอย่างสบายๆ

แม้นักพรตหมื่นดาบจะมีความสามารถเทียมฟ้าขีดจำกัดของช่วงชีวิตก็ได้หยุดเขาเอาไว้เมื่อเทียบกับตำนานยุทธเซียนเทพปฐพี่มีพลังชีวิตและเลือดเนื้อที่แข็งแกร่งยิ่งกว่าเป็นเพราะว่างกายของพวกเขาแม้แต่วิธีลับในการปิดผนึกตนเองก็ไม่สามารถผนึกการไหลเวียนของเลือดเนื้อและพลังปราณได้เว้นแต่จะได้รับสมบัติยืดอายุขัยเช่นผลไม้เซียนอย่างลูกท้อป้านไม่เช่นนั้นคงเป็นเรื่องยากที่จะอยู่รอดไปได้เป็นพันปี

หลังจากที่ซูฉินก้าวเท้าขึ้นไปเหยียบเกาะหมื่นดาบเขาก็เห็นว่าเกาะนี้ค่อนข้างมีชีวิตชีวาทีเดียวจอมยุทธต่างแดนจำนวนมากมารวมตัวกันที่ด้านหน้าจัตุรัสหยกขาวที่อยู่ส่วนหน้าของเกาะ

“ท่านผู้นี้ก็มากราบเข้าพรรคหมื่นดาบอย่างนั้นหรือ?”ไม่นานนักหลังจากที่ซูฉินก้าวเท้าลงไปเหยียบเกาะหมื่นดาบชายในชุดคลุมสีขาวก็เดินแย้มยิ้มเข้ามาไถ่ถาม

นอกจากชายชุดขาวแล้วยังมีเด็กสาววัยยี่สิบต้นๆที่กำลังมองซูฉินด้วยความสงสัยอยู่ด้วย

ซูฉินเพิกเฉยชายชุดขาวไปและแผ่ขยายจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ให้ปกคลุมไปทั่วทั้งเกาะหมื่นดาบ

แม้ว่าซูฉินจะยืนยันได้ว่าหลีหว่านอยู่บนเกาะหมื่นดาบผ่านดวงตาแห่งสัจจะแต่ดวงตาแห่งสัจจะสามารถตรวจจับได้เพียงพลังฉีเท่านั้น…

ส่วนเรื่องการยืนยันสภาพร่างกายของหลีหว่านในยามนี้ว่าหมดสติหรือได้รับบาดเจ็บหรือไม่จำเป็นต้องใช้จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ตรวจสอบ

และเกาะหมื่นดาบก็เป็นสถานที่ตั้งของพรรคหมื่นดาบไม่รู้ว่ามีค่ายกลฟ้าดินขนาดใหญ่คอยปกป้องอยู่กี่แห่งแม้ว่าซูฉินจะแผ่จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ออกไปแล้วแต่ก็ต้องใช้เวลาในการขยายจิตสัมผัสฯเสาะหาไปยังสถานที่ที่หลีหว่านอยู่

เป็นเพราะเหตุนี้เองซูฉินจึงไม่ได้ลงมือในทันที่ที่มาถึง

เมื่อชายชุดขาวเห็นว่าซูฉินเงียบเขาก็กล่าวขอโทษทันที“ข้าทำตัวมทะลุเกินไปแล้ว”

จากนั้นชายชุดขาวจึงได้บอกเหตุผลและจุดประสงค์ที่ตนมาที่นี่

ตามที่ชายชุดขาวได้บอกกล่าวชื่อของเขาคือ”เหอหมิงเหยียน”และหญิงสาวที่อยู่ถัดจากเขาคือน้องสาวของเขาเองเหอชิงหลิง’สองพี่น้องมาจากกลุ่มนิกายที่ชื่อว่าสำนักฮว่าหยวน

แตกต่างจากพรรคหมื่นดาบที่อยู่บนจุดสูงสุดของโลกสำนักฮว่าหยวนเป็นเพียงนิกายเล็กๆเท่านั้นสืบทอดมรดกมาเพียงไม่กี่ร้อยปีและผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดเป็นเพียงตำนานยุทธระดับนภาชั้นที่สาม

ที่เหอหมิงเหยียนมาพรรคหมื่นดาบในครานี้ก็เพราะเหอหมิงเหยียนค้นพบว่าน้องสาวของเขามีทักษะเชิงดาบที่ดีแต่สำนักฮว่าหยวนนั้นไม่เชี่ยวชาญวิถีแห่งดาบเขาจึงมาส่งเหอชิงหลิงเข้าพรรคหมื่นดาบ

พรรคหมื่นดาบในฐานะที่เป็นนิกายใหญ่ในต่างแดนที่เชี่ยวชาญเชิงดาบหากเหอชิงหลิงได้กราบเข้าพรรคแห่งนี้จริงๆพรสวรรค์เชิงดาบจะไม่เสียเปล่าอย่างแน่นอน

“น่าเสียดายที่ข้าได้เลือกเส้นทางการบ่มเพาะไปแล้วแม้จะกราบเข้าพรรคหมื่นดาบได้จริงๆอย่างมากสุดพวกเขาก็ให้ข้าได้เป็นเพียงศิษย์สายนอกเท่านั้นและไม่แม้แต่จะให้สัมผัสมรดกที่แท้จริงของพรรคหมื่นดาบตราบจนชั่วชีวิต……”เหอหมิงเหยียนถอนหายใจเบาๆ
แม้ว่ายุทธภพต่างดินแดนจะรุ่งเรืองแต่ก็มีมรดกตกทอดไม่มากนักที่ทำให้สามารถเข้าสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพี่ได้และสิ่งเหล่านี้ก็ล้วนอยู่ในกำมือของนิกายใหญ่

“งั้นหรือ?”

ซูฉินไม่ได้ใส่ใจนัก

แม้ว่าเคล็ดวิชาของพรรคหมื่นดาบจะมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวแต่ในความเห็นของซูฉินก็คิดว่ามันไม่เท่าไหร่เคล็ดวิชาศักดิ์สิทธิ์สองสามชิ้นที่เขาทิ้งไว้ในพระราชวังตะวันออกเพื่อให้ตระกูลซูศึกษาก็ไม่ได้อ่อนแอไปกว่าเคล็ดวิชาต่างๆในพรรคหมื่นดาบ
เห็นได้ชัดว่าซูฉันคิดว่าหมิงเหยียนผู้นี้เป็นคนพูดจาไร้สาระเมื่อเห็นซูฉินไม่เชื่อเขาก็รีบอธิบายต่อทันที“เมื่อเจ้ากลายเป็นศิษย์สายในของพรรคหมื่นดาบเจ้าสามารถฝึกฝนเคล็ดวิชาดาบศักดิ์สิทธิ์ได้และเมื่อฝึกฝนจนสำเร็จวิชาจะสามารถเข้าสู่ขอบเขตตำนานยุทธระดับนภาชนที่หกได้อย่างราบรื่น……”

มีร่องรอยความอิจฉาอยู่ในน้ำเสียงของเหอหมิงเหยียน

แม้แต่ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในสำนักฮว่าหยวนก็เป็นเพียงตำนานยุทธระดับนภาชั้นที่สามไม่รู้ว่าห่างไกลจากตำนานยุทธระดับนภาชั้นที่หกแค่ไหน

“ถ้าเจ้าได้เป็นศิษย์หลักของพรรคหมื่นดาบเจ้าจะมีโอกาสได้สัมผัสกับเคล็ดหัวใจหมื่นดาบ”

“เคล็ดหัวใจหมื่นดาบเป็นวิชาหลักของพรรคหมื่นดาบศิษย์ที่ไม่ใช่ศิษย์หลักภายในพรรคจะไม่ได้รับการสืบทอดวิชาว่ากันว่ามันเป็นเคล็ดวิชาที่หลงเหลือมาจากนักพรตหมื่นดาบ”

ขณะที่เหอหมิงเหยียนกล่าวเช่นนี้เขาก็ค่อยๆลดเสียงลงและพูดด้วยเสียงต่ำ“เท่าที่ข้ารู้มาคราวนี้พรรคหมื่นดาบจะมีการคัดเลือกศิษย์ที่แตกต่างจากปีก่อนๆ”

“พี่ชายมันต่างกันยังไง….”ก่อนที่ซูฉินจะได้กล่าวอะไรเหอชิงหลิงน้องสาวของเหอหมิงเหยียนที่อยู่ด้านข้างก็เอ่ยถามด้วยความสงสัย

“ข้าเพิ่งได้ยินเรื่องนี้แต่มันน่าจะเป็นความจริง”เหอหมิงเหยียนกล่าวด้วยเสียงต่ำ“ข้าเกรงว่าบรรพชนดาบจะถูกปลุกให้ตื่นขึ้น”

“นั่นคือบรรพชนดาบเมื่อพันกว่าปีที่แล้ว…”

เหอหมิงเหยียนไม่สามารถปกปิดความเกรงกลัวบนใบหน้าของเขาได้“ในยามนี้หากเจ้ากราบเข้าพรรคหมื่นดาบและได้รับการยอมรับจากบรรพชนดาบหรือผู้อาวุโสมิใช่ว่าอนาคตจะทะยานขึ้นสู่ฟ้าหรอกหรือ?”

บรรพชนดาบเป็นตัวตนระดับใดแค่สิ่งเล็กๆที่ได้จากเขาย่อมมอบผลประโยชน์บางอย่างที่เพียงพอให้ตำนานยุทธใช้ไปได้ตลอดชีวิตนี่ยังไม่กล่าวรวมถึงเรื่องตำแหน่งของบรรพชนดาบที่เป็นอันดับสองรองจากนักพรตหมั่นดาบเท่านั้นเมื่อบรรพชนดาบเห็นว่าใครควรค่าย่อมได้รับทุกสิ่งอย่างไปเป็นแน่แท้

“บรรพชนดาบยอดเยี่ยมมากเลยหรือ…”เหอชิงหลิงดูเหมือนจะไม่เข้าใจ

นางอายุยังน้อยและเป็นครั้งแรกที่นางออกจากรั้วสำนักฮว่าเหยียนเป็นธรรมดาที่นางจะไม่รู้ความเกรียงไกรของบรรพชนดาบ

“อะไรคือยอดเยี่ยมหรือไม่?”เหอหมิงเหยียนเบิกตากว้าง“เมื่อพันกว่าปีก่อนบรรพชนดาบเคยอาละวาดไปทั่วดินแดนแม้แต่นิกายใหญ่ระดับสูงอย่างสำนักเอกะวิถีก็ไม่คิดที่จะยั่วยุตัวตนเช่นนี้เจ้าคิดว่าเขายอดเยี่ยมไหมเล่า?”

“กลายเป็นว่าช่างน่าทิ้งอย่างมาก…..”เด็กสาวนามว่าเหอชิงหลิงหยักหน้า

เมื่อกล่าวถึง’บรรพชนดาบ’นางอาจจะไม่เคยได้ยินไม่รู้จักความเป็นมาของบรรพชนดาบผู้นี้แต่เมื่อพูดถึงสำนักเอกะวิถีเด็กสาวก็เข้าใจถึงระดับของบรรพชนดาบได้ในทันที

สำนักเอกะวิถีนั้นสืบทอดมานานตั้งแต่ยุคเฟื่องฟูกระแสปราณฉีครั้งล่าสุดแม้แต่เซียนเทพปฐพีที่มีพลังครอบงำทุกสิ่งก็ไม่สามารถทำลายสำนักเอกะวิถีได้ช่างน่ากลัวอะไรเช่นนี้?

แม้ว่าเด็กสาวเหอชิงหลิงจะไม่ได้เชี่ยวชาญความเป็นไปในโลกแต่นางก็ยังเคยได้ยินเกี่ยวกับสำนักเอกะวิถี

แม้ว่าสำนักเอกะวิถีจะไม่เต็มใจยั่วยุบรรพชนดาบแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาไม่สามารถจัดการบรรพชนดาบได้แต่อย่างน้อยก็แสดงให้เห็นว่าการที่สำนักเอกะวิถีต้องการจะสังหารบรรพชนดาบจำเป็นจะต้องจ่ายราคาที่แพงอย่างยิ่ง

“พี่ชายทำไมบรรพชนดาบถึงตื่นขึ้นเวลานี้……”เด็กสาวเหอชิงหลิงอดไม่ได้ที่จะถามต่อ

สีหน้าของเหอหมิงเหยียนคล้ำลงเมื่อได้ยินเรื่องนี้แล้วลดเสียงลงอีกครั้งจากนั้นจึงกล่าวออกมาอย่างรวดเร็ว“ข้าได้ยินมาว่าบรรพชนของพรรคหมื่นดาบที่ไปยังแผ่นดินแห่งพลังยุทธฯต่างก็ล้มตายกันหมด”

หลังจากที่เหอหมิงเหยียนพูดจบใบหน้าของเขาก็ยังคงมีร่องรอยความสะพรึงกลัวให้ได้เห็นอยู่

พรรคหมื่นดาบเป็นนิกายใหญ่ในต่างแดนและบรรพชนของพรรคอย่างน้อยก็ต้องเป็นตำนานยุทธขั้นสูงสุดตัวตนเช่นนี้กลับตกตายไปหลายคนถ้าบรรพชนดาบยังคงหลับใหลต่อไปเกรงว่าพรรคหมื่นดาบทั้งหมดคงจะวุ่นวายกันใหญ่โต

“ไม่รู้เหมือนกันว่าใครคือบุคคลผู้แข็งแกร่งเทียมฟ้าผู้นั้นสามารถสังหารบรรพชนพรรคหมื่นดาบไปได้หลายคน….”

เหอหมิงเหยียนอุทานออกมาพร้อมสายศีรษะ

รู้หรือไม่ว่าอีกฝ่ายไม่ได้ทำเพียงสังหารบรรพชนพรรคหมื่นดาบเท่านั้นแต่ยังเหยียบพรรคหมื่นดาบไว้ใต้ฝ่าเท้าด้วย

นี่เทียบเท่ากับประกาศสงครามกับนิกายใหญ่อย่างพรรคหมื่นดาบที่สืบทอดมาสี่พันห้าพันปี

ความหาญกล้าเช่นนี้ไม่ได้เกิดขึ้นในยุทธภพต่างแดนมาหลายพันปีแล้ว

Sign in Buddha’s palm 274 มาถึง

พรรคหมื่นดาบเป็นนิกายใหญ่ในดินแดนโพ้นทะเล

เมื่อเทียบกับบรรดานิกายใหญ่จํานวนมากในต่างแดน พวกเขายังคงตื้นเขินและอยู่ในอันดับที่ค่อนข้างต่ํา แต่อย่างไรก็เป็นนิกายใหญ่ระดับสูงอยู่ดี นักพรตหมื่นดาบผู้ก่อตั้งเป็นถึงนักดาบ ขอบเขตเซียนเทพปฐพีมีอํานาจปกครองยุทธภพต่างแดนนานถึงห้าร้อยปี เป็นหนึ่งไม่มีสอง

ถ้าไม่ใช่เพราะพรรคหมื่นดาบไม่เคยให้กําเนิด เซียนเทพปฐพีออกมาเลย เกรงว่าพรรคหมื่นดาบคงจะไม่ได้อยู่ในตําแหน่งที่ต่ําขนาดนี้ในหมู่นิกายใหญ่ต่างแดน

การมีเซียนเทพปฐพี่สักคน มีอิทธิพลอย่างมากต่อนิกายใหญ่

เซียนเทพปฐพไม่ใช่แค่ดํารงอยู่ได้เป็นพันปีเท่านั้น แต่ยังรวมถึงเคล็ดวิชาที่ได้ทิ้งเอาไว้ด้วย มันจะคงอยู่ตลอดไป อย่างเช่น บรรพชนดาบเมื่อพันกว่าปีก่อนที่บังเอิญได้รับมรดกจากนักพรตหมื่นดาบจึงพัฒนาได้อย่างก้าวกระโดด ในที่สุดก็สามารถแปรเปลี่ยนจิตวิญญาณแรกกําเนิดจนไร้เทียนทานในต่างดินแดนยุคนั้น

และในเวลานี้

ขณะที่ประมุขพรรคหมื่นดาบออกคําสั่งให้เตรียมการสําหรับการเข้ายึดร่างของบรรพชนดาบ บรรยากาศภายในพรรคหมื่นดาบค่อยๆตึงเครียดขึ้น ศิษย์พรรคหมื่นดาบจํานวนมากขวัญเสีย ไม่รู้ว่าเกิดเหตุอันใดขึ้น

“เจ้าได้ยินไหมว่าบรรพชนทั้งหมดของพรรคหมื่นดาบที่เดินทางไปแผ่นดินแห่งพลังยุทธฯต่างตกตายไปหมดแล้ว”

ศิษย์พรรคหมื่นดาบคนหนึ่งลดเสียงลงก่อนจะพูดออกมา

เมื่อดวงไฟแห่งชีวิตของบรรพชนพรรคหมี่นดาบได้ดับลง ศิษย์หลายคนก็บังเอิญผ่านมาเห็น รวมกับความจริงที่ว่าประมุขพรรคหมื่นดาบ ว่าบรรพชนดาบตื่นขึ้นจากหลับใหลแล้ว ดังนั้น เขาจึงไม่ได้ระงับข่าวนี้แต่อย่างใด

เพราะในสายตาของประมุขพรรคหมื่นดาบ การตายของบรรพชนพรรคหมื่นดาบทั้งหลายนั้นเกิดจากนิกายใหญ่แห่งอื่นๆ แม้เขาจะระงับข่าวไม่ให้รั่วไหล นิกายใหญ่แห่งอื่นๆ ที่ร่วมมือกันทําเรื่องนี้ก็คงจะกระจายข่าวออกไปอย่างอยู่ดี

ในเมื่อเป็นเช่นนั้นทําไมไม่ยอมรับเรื่องนี้อย่าง เปิดเผยไปเลยเล่า

ในทางตรงกันข้าม สําหรับประมุขพรรคหมื่นดาบแล้วนั้น บรรพชนดาบกําลังจะตื่นขึ้นอีกครั้ง นับประสาอะไรกับบรรพชนทั้งหลายที่ล่วงลับไป แม้จํานวนคนที่ตายจะเพิ่มไปอีกสองเท่า แต่บรรพชนดาบก็ยังคงอยู่ และพรรคหมื่นดาบจะยังสามารถยืนหยัดได้ในยุทธภพต่างแดน

และเมื่อข่าวการตายของบรรพชนขอบเขตตํานานยุทธขั้นสูงสุดแพร่กระจายในพรรคหมื่นดาบ ศิษย์พรรคหมื่นดาบต่างก็รู้สึกเหมือนระเบิดลง

“เกิดอะไรขึ้นภายในแผ่นดินแห่งพลังยุทธฯกัน ก่อนหน้านี้ก็เป็นศิษย์พรรค แล้วก็ผู้อาวุโส จากนั้นก็บรรพชน เป็นไปได้ไหมว่าแผ่นดินแห่งพลังยุทธฯนั้นเป็นถ้ําเสือสระมังกร?”

ศิษย์พรรคหมื่นดาบต่างหวาดกลัวและไม่สบายใจ รู้สึกดีใจอย่างยิ่งที่พวกตนไม่ได้ไปยังแผ่นดินแห่งพลังยุทธอันยิ่งใหญ่ด้วย

แม้ว่ายุทธภพในดินแดนโพ้นทะเลแห่งนี้จะมี การแข่งขันกันอย่างดุเดือด แต่ในฐานะศิษย์นิกายใหญ่ ตราบใดที่พวกเขาระมัดระวังตนให้ดี ก็จะไม่มีใครกล้าคุกคามพวกเขา

แต่แผ่นดินแห่งพลังยุทธอันยิ่งใหญ่นั้นไม่ เหมือนกัน

เวลาผ่านไปไม่นานเท่าไหร่ แต่บรรพชนต่างก็ล้มหายตายจากกันไปอีกแล้ว ช่างน่าเหลือเชื่อนัก

“ฮ่ม!”

“บรรพชนดาบของพวกเรากําลังจะตื่นแล้ว ถึงเวลาที่พรรคหมื่นดาบของพวกเราจะครอบครองพิภพนี้ด้วยคมดาบแล้ว”

ศิษย์อีกคนส่งเสียงเย้ยหยันและกล่าวว่า บรรพชนดาบกําลังจะตื่นขึ้น

อันที่จริงนี่เป็นสิ่งที่ประมุขพรรคหมื่น ดาบจงใจจัดวางไว้ การตายของบรรพชนจํานว นมากนั้นไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในพรรคหมื่นดาบ และเมื่อเป็นเช่นนี้พรรคหมื่นดาบยิ่งต้องฟื้นคืนขวัญกําลังใจให้กับเหล่าศิษย์สาวก

ในสายตาของประมุขพรรคหมื่นดาบ ไม่มีอะไรจะเพิ่มขวัญกําลังใจให้แก่ศิษย์ได้มากกว่าเรื่องของการปลุกบรรพชนดาบขึ้นมาอีกแล้ว

แม้เวลาจะล่วงเลยมาเป็นพันปี แต่ศักดิ์ศรีของบรรพชนดาบก็เป็นที่รู้ทั่วกันในหมู่ศิษย์พรรคหมื่นดาบ และไม่ใช่เพียงแต่ภายในพรรคหมื่นดาบเท่านั้น นี่ยังรวมไปถึงนิกายใหญ่จํานวนมากในต่างแดน ไม่มีใครสามารถละเลยการมีอยู่ของบรรพชนดาบได้

ตํานานยุทธขั้นสูงสุดผู้แปรเปลี่ยนจิตวิญญาณแรกกําเนิดได้ เป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดรองลงมาจากขอบเขตเซียนเทพปฐพี

“บรรพชนดาบตื่นขึ้นแล้วอย่างนั้นหรือ?”

“บรรพชนดาบยังคงมีชีวิตอยู่จริงๆ ใช่ไหม?”

“นั่นเป็นเรื่องปกติมาก บรรพชนดาบแปรเปลี่ยนจิตวิญญาณแรกกําเนิดได้แล้ว ปราศจากพันธนาการทางกาย ไม่ต้องพูดถึงเรื่องอายุขัย แต่การจะอยู่รอดต่อมาได้เป็นพันปีสองพันปีนั้นย่อมเป็นเรื่องง่าย”

ศิษย์พรรคหมื่นดาบจํานวนมากต่างรู้สึกตื่นเต้น ความกลัวและความวิตกกังวลในช่วงแรกตอนที่ได้ข่าวเรื่องการตายของเหล่าบรรพชนพลันหายไปในทันที

“บรรพชนพรรคหมื่นดาบของพวกเราได้ตกตายอยู่ในแผ่นดินแห่งพลังยุทธฯ ความแค้นครั้งนี้ต้องได้รับการชําระ เมื่อบรรพชนดาบตื่นขึ้นมา ข้าจะร้องขอให้ท่านบรรพชนดาบแก้แค้นให้พรรคของเรา”

“ถูกต้อง บรรพชนดาบจะต้องจัดการแทนพวกเราได้อย่างแน่นอน”

ศิษย์พรรคหมื่นดาบทุกคนล้วนมั่นอกมั่นใจ

การตายของกลุ่มบรรพชนที่ล้วนเป็นตํานานยุทธขั้นสูงสุดนั้นช่างน่าตกใจโดยแท้จริง แต่ศิษย์ทุกคนในพรรคหมื่นดาบต่างศรัทธาในตัวของบรรพชนดาบอย่างแรงกล้า คิดว่าต่อให้ผู้ที่สร้างเรื่องจะแข็งแกร่ง แต่ตราบใดที่บรรพชนดาบลงมือ ทุกสิ่งทุกอย่างจะต้องกลายเป็นเพียงฝุ่นผง

และเมื่อเวลาผ่านเลยไป ข่าวเรื่องที่บรรพชนดาบกําลังจะตื่นขึ้นก็แพร่กระจายจากพรรคหมื่นดาบมาสู่หูของนิกายใหญ่รวมถึงจอมยุทธทั่วๆไป

ในขณะที่ชาวยุทธต่างดินแดนหลายต่อหลายคนกําลังพูดคุยถึงเรื่องนี้

ซูฉินก็มาถึงยุทธภพต่างดินแดนอย่างเงียบๆ

เหนือน่านน้ํามหาสมุทร เห็นซูฉินเหยียบยืนอยู่บนใบกกกําลังมุ่งหน้าสู่ต่างดินแดนด้วยความรวดเร็ว

ซูฉันไม่รู้ว่าพรรคหมื่นดาบอยู่ที่ไหน หรือจะไปที่นั่นได้อย่างไร

ซูฉินเพียงต้องจับตําแหน่งของหลีหว่านด้วยดวงตาแห่งสัจจะเท่านั้น จากนั้นจึงมุ่งหน้าไปยังทิศทางนั้น

“วิชากระจุกกระจิกที่สร้างขึ้นโดยพระโพธิธรรม ตกม้อนี่ก็มีประโยชน์ไม่น้อย ไม่ต้องใช้แก่นแท้แห่งพลังหรือจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ แต่กลับช่วยเพิ่มความเร็วได้อย่างมาก….”

ซูฉันคิดในใจขณะที่ยืนอยู่บนใบต้นกก

เคล็ดวิชาที่เขาก็ใช้งานอยู่นี้เป็นวิชาเล็กๆน้อยๆ ที่สร้างขึ้นโดยผู้ก่อตั้งวัดเส้าหลินอย่างพระโพธิธรรมเพื่อข้ามแม่น้ําด้วยใบกก

ในตอนแรกซูฉินไม่ชอบเคล็ดวิชาเล็กๆน้อยๆนี่เท่าไหร่ ท้ายที่สุดตราบใดที่ก้าวเข้าสู่ขอบเขตตํานานยุทธได้ ย่อมสามารถเหาะเหินเดินอากาศ การใช้ใบกกเพื่อข้ามแม่น้ําจะเอาอะไรไปเทียบได้?

แต่ยามที่ซูฉินต้องรีบร้อนเดินทางไปต่างดินแดน เขาก็บังเอิญไปเห็นต้นกกเข้า และใช้มันในการเดินทางมุ่งหน้าสู่โพ้นทะเลอันกว้างใหญ่ไร้ที่สิ้นสุด

เป็นผลให้ซูฉินพึงพอใจมาก

วิชาเล็กๆน้อยๆ อย่างการใช้ใบกกข้ามแม่น้ํา เชื่อมโยงกับฐานการบ่มเพาะของซูฉินโดยตรง และไม่ได้กินพลังงานเลย

ซูฉินมีแก่นแท้แห่งพลังอันยิ่งใหญ่อยู่ในร่าง เมื่อใช้เหาะเหินเดินอากาศ มันสามารถกลับมาเติมเต็มได้ในไม่ช้า แต่การที่กินพลังงานหรือไม่กินพลังงานเลยนั้นแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง

“ด้วยความช่วยเหลือจากน้ําทะเลอันมหาศาล ใช้กระแสน้ําให้เป็นประโยชน์ มันกลับกลายเป็นพลังงานให้กับการเคลื่อนที่ได้ ดูเหมือนว่าข้าจะประเมินวิชานี้ต่ําไป”

รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของซูฉิน

ไม่นานนักหลังจากเข้านมัสการวัดเส้าหลิน เขาก็ได้ลงชื่อเข้าใช้ในศาลาพระคัมภีร์และได้รับวิ ชากระจุกกระจิกนี้มา แต่ซูฉันไม่ได้มีโอกาสใช้มันมากเท่าไหร่

วัดเส้าหลินอยู่ในส่วนลึกของแผ่นดินใหญ่ นับประสาอะไรกับทะเล แม้แต่แม่น้ําก็ไม่ได้มีให้เห็นมากนัก นอกจากนี้ซูฉินยังออกจากวัดเส้าหลินไปไม่กี่ครั้งเท่านั้น ก่อนจะเข้าสู่ขอบเขตอรหันต์ และก็ไม่เคยได้ใช้วิชากระจุกกระจิกเช่นนี้ในสภาวะวิกฤติด้วย

“ใกล้จะถึงต่างดินแดนแล้ว”

“ข้าสัมผัสได้ว่าพลังฟ้าดินค่อยๆ เพิ่มสูงขึ้น” ซูฉันเอามือไพล่หลัง ข้ามผ่านทะเลนับร้อยลี้ เกาะแก่งมากมายต่างโผล่ขึ้นที่ละเกาะสองเกาะ

“ไม่น่าแปลกใจที่มีตํานานยุทธมากมายในต่างแดน และมีแม้กระทั่งเซียนเทพปฐพี่ถือกําเนิดขึ้น”

“ด้วยสภาพแวดล้อมที่มีพลังเหลือเฟือเช่นนี้ ตราบใดที่ร่างกายไม่ได้บกพร่องจนถึงแก่น เพียงเวลาไม่นานก็คงจะเข้าสู่ระดับชั้นเก้าของขอบเขตวิทยายุทธเก้าระดับชั้นแล้ว”

ท่าทีของซูฉินเต็มไปด้วยอารมณ์ความรู้สึก

แม้แต่ในอาณาจักรถังที่กระแสปราณฉีเริ่มฟื้นตัว มีเพียงสามหรือสี่คนจากสิบคนเท่านั้นที่มีโอกาสจะเป็นจอมยุทธได้ ส่วนอีกหกถึงเจ็ดคนที่เหลือก็คงจะไม่สามารถก้าวหน้าในด้านวิชายุทธได้ตลอดชั่วชีวิต จะไปมีสภาพแวดล้อมดีเท่าต่างดินแดนที่ทุกคนสามารถกลายเป็นจอมยุทธได้เช่นไร?

“ว่ากันว่าเมื่อเทียบกับยุคเฟื่องฟูของกระแสปราณฉีครั้งล่าสุด สภาพแวดล้อมในต่างดินแดน เทียบไม่ได้แม้แต่มุมเล็กๆ ในพื้นที่ห่างไกลเสียด้วยซ้ํา…”

ความคิดของซูฉินผันผวนไปมา นึกเรื่องต่างๆอยู่ในใจเงียบๆ

“น่าจะถึงพรรคหมื่นดาบในไม่ช้า”

ด้วยดวงตาแห่งสัจจะคอยจับพลังฉีของหลีหว่านอยู่เสมอ หัวใจในซูฉินสันไหวเล็กน้อย
“ตั้งแต่พรรคหมื่นดาบก่อตั้งขึ้นมา มีเพียงสองคนเท่านั้นที่สามารถคุกคามข้าได้”

“หนึ่งคือนักพรตหมั่นดาบที่มีชีวิตอยู่เมื่อสี่พันกว่าปีก่อน ผู้เป็นเซียนเทพปฐพีที่เก่งกาจในเชิง

ดาบ”

ใบหน้าของซูฉินดูเคร่งขรึมขึ้นมาไม่น้อย

เซียนเทพปฐพี่นั้นก็น่ากลัวอยู่แล้ว และเซียนเทพปฐพีที่เชี่ยวชาญในเชิงดาบ เก่งกาจในการฆ่าฟัน พวกเขายิ่งมีพลังเหนือจินตนาการ

แต่ก็เท่านั้น

ในสายตาของซูฉิน นักพรตหมื่นดาบเป็นภัยคุกคามที่ต่ําที่สุด

กว่าสี่พันปีล่วงเลยมาแล้ว แม้ว่านักพรตหมี่ นดาบจะมีความสามารถที่ยอดเยี่ยม แต่เกรงว่า เขาคงจะตายด้วยวัยชราไปนานแล้ว ไม่จําเป็นต้องมานั่งคิดกังวล

“คนที่สองคือบรรพชนดาบเมื่อพันเก้าร้อยปีก่อน ซึ่งแปรเปลี่ยนจิตวิญญาณแรกกําเนิดเรียบร้อยแล้ว ในยุคหลังจากนักพรตหมั่นดาบ เขาคนนี้ก็คือคนที่มีพรสวรรค์และความแข็งแกร่งมากที่สุดในพรรคหมื่นดาบ”

ซูฉินหรี่ตาลงเล็กน้อย

สําหรับบรรพชนดาบ เขาเป็นอัจฉริยะจริงๆ แต่น่าเสียดายที่เขาก็ยังล้มเหลวในการทําลายคอขวดเพื่อเข้าสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพี

ตามหลักเหตุผลแล้วนั้น ตํานานยุทธขั้นสูงสุดธรรมดา แม้จะหลับใหลด้วยวิธีลับปิดผนึกตนเอง อย่างมากก็หลับไปได้นานสุดแค่มากกว่าพันปีไปนิดหน่อย แต่บรรพชนดาบได้แปรเปลี่ยนจิตวิญญาณแรกกําเนิดแล้ว เขาสามารถอยู่รอดบนโลกนี้ได้นานขึ้นเกือบจะถึงสองพันปี

นอกจากนี้ เมื่อตอนที่ซูฉินไล่สังหารบรรพชนพรรคหมื่นดาบ เขาได้ยินมาว่าจุดประสงค์ของพรรคหมื่นดาบในการพาตัวหลีหว่านไปก็เพื่อปลุกบรรพชนดาบให้ตื่นและค้นหาร่างกายที่สามารถบรรจุวิญญาณของเขาได้

ดังนั้นซูฉินจึงมั่นใจได้ว่าบรรพชนดาบยังคงอยู่ในส่วนลึกของพรรคหมื่นดาบ

“ยามนี้ดูเหมือนว่ามารพุทธะจะมีพรสวรรค์จริงๆ ตอนที่เขาเพิ่งเข้าสู่ขอบเขตอรหันต์ เขาสามารถสร้างจิตมารแยกวิถีขึ้นมาได้ ด้วยจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์อันแสนอ่อนแอของขอบเขตอรหันต์ เขากลับอยู่มาได้ถึงเก้าร้อยปี……”

ซูฉินดูประหลาดใจ

เขารู้สึกว่าหากไม่ใช่เพราะอรหันต์ถัวได้เล็งเห็นความเลวร้ายที่กําลังจะเกิดขึ้นและลงมือปิดผนึกมารพุทธะเอาไว้ เกรงว่าวัดเส้าหลินคงถูกทําลายไปนานแล้ว
ไม่ใช่เพียงเท่านั้น แต่ทั่วทั้งทวีปยังอาจตกอยู่ในการปกครองของมารพุทธะ

เมื่อซูฉันคิดถึงเรื่องนี้

กลิ่นอายของจอมยุทธมากมายจากทั่วทุกสารทิศก็ผ่านไปที่ละคนสองคน

กลิ่นอายของจอมยุทธเหล่านี้ผสมปนเปกันไป พวกที่อ่อนแอก็มีความแข็งแกร่งอยู่ที่ขอบเขตสามระดับกลางไม่ก็สามระดับบน ส่วนผู้ที่แข็งแกร่งก็ได้เข้าสู่ขอบเขตตํานานยุทธแล้ว

“เกิดอะไรขึ้น?”

ซูฉินขมวดคิ้วเล็กน้อยและแผ่จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ออกไปทั่วทุกทิศทาง ผ่านไปชั่วครู่สีหน้าของเขาก็ดูเหมือนครุ่นคิดบางอย่างอยู่

“ช่วงนี้เป็นเวลาที่พรรคหมื่นดาบรับสมัครศิษย์สาวกลั้นหรือ?”

ซูฉินแตะปลายคางของตนเอง

ด้วยจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ที่ซูฉินแผ่ออกไป ซูฉินจึงรู้ได้อย่างง่ายดายว่าคนกลุ่มนี้มีจุดประสงค์จะมุ่งหน้าไปรวมตัวกันที่พรรคหมื่นดาบ

ในความเป็นจริง ไม่เพียงแต่พรรคหมื่นดาบเท่านั้น แต่นิกายใหญ่แห่งอื่นๆก็เป็นเช่นนี้ เพื่อรักษาคนรุ่นใหม่ไว้ในนิกาย นานๆครั้งจึงมีการรับสมัครศิษย์ใหม่ๆ จากทั่วทุกมุมโลกอยู่เสมอ และนี่คือความมั่งคั่งของยุทธภพต่างแดน

ท้ายที่สุดเมื่อเข้าร่วมนิกายใดนิกายหนึ่ง ไม่เพียงจะได้รับคําแนะนําในการฝึกวิทยายุทธเท่านั้น แต่ยังได้รับการคุ้มครองจากนิกายอีกด้วย และยังไม่รู้ว่ามีผลประโยชน์อีกมากมายแค่ไหน

ฉับพลัน

ในตอนนั้นเอง

ซูฉันค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมองไปยังเกาะที่มีขนาด หลายร้อยลี้ข้างหน้า และยังเห็นอาคารเก้าแห่งที่ด้านบนมีรูปร่างคล้ายดาบปรากฏขึ้นที่ใจกลางเกาะ

พรรคหมื่นดาบตั้งอยู่ที่นี่นี่เอง!

Sign Buddha’s palm 273 (II) ฟื้นจากนิทรา

“พรรคหมื่นดาบ……”

แววตาของซูฉินเย็นชา

ด้วยความแข็งแกร่งของซูฉินในปัจจุบันแม้จะเผชิญหน้ากับเซียนเทพปฐพีเขาก็มีความมั่นใจว่าสามารถหลบหนีไปได้นับประสาอะไรกับอีแค่พรรคหมื่นดาบ?

เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ซูฉินก็ตบเท้าก้าวไปด้านหน้าหายวับไปในพริบตามุ่งหน้าตรงไปยังทางที่หลีหว่านอยู่

ในตอนที่ชายชุดเทาและตำนานยุทธขั้นสูงสุดคนอื่นๆเสียชีวิต

ในยุทธภพต่างแดนใจกลางเกาะขนาดหลายร้อยลี้มีอาคารเก้าแห่งด้านบนอาคารมีรูปร่างคล้ายดาบศักดิ์สิทธิ์

ประมุขพรรคหมื่นดาบนั่งขัดสมาธิบ่มเพาะอยู่อย่างเงียบๆทันใดนั้นก็ลืมตาขึ้นเผยให้เห็นสีหน้าที่ไม่อยากจะเชื่อ

“บรรพชนทั้งหลาย……”

“ชะตาชีวิตของบรรพชนทั้งหลายถูกทำลายลง
แล้ว?”

ประมุขพรรคหมื่นดาบตัวสั่นไปทั้งร่างก่อนหน้านี้เขาเพิ่งจะรู้สึกว่าวันนี้ช่างสุขสงบเสียจริง

จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของเขาได้ปกคลุมยอดเขาทั้งหมดไว้และจู่ๆก็ได้พบว่าชะตากรรมของบรรพชนที่ไปยังแผ่นดินแห่งพลังยุทธค่อยๆหายไปอย่างเงียบๆ

การตายของบรรพชนมีผลร้ายแรงต่อพรรคหมื่นดาบอย่างแน่นอน

รู้หรือไม่ว่าแม้พรรคหมื่นดาบจะก่อตั้งโดยเซียนเทพปฐพีอย่างนักพรตหมั่นดาบแต่ระยะเวลาที่สืบทอดมรดกต่อมาก็ไม่ได้นานนักอย่างน้อยเมื่อเทียบกับบรรพชนนิกายใหญ่อื่นๆที่สืบทอดรากฐานต่อกันมานับหมื่นปีพรรคหมื่นดาบถือว่ามีภูมิหลังที่อ่อนแอ

ดังนั้นบรรพชนทุกคนที่หลับใหลจึงมีความสำคัญอย่างยิ่งการเสียบรรพชนไปทำให้พรรคหมีนดาบตกต่ำลงอย่างมาก

“เกิดเรื่องใหญ่ขึ้นแล้ว”

ใบหน้าของประมุขพรรคหมื่นดาบเปลี่ยนเป็นซีดจางเขาไม่กล้าแม้แต่จะบอกเหล่าผู้อาวุโสเกี่ยวกับเรื่องนี้เพราะข่าวการตายของบรรพชนหลายคนเช่นนี้มีแต่จะสร้างความปั่นป่วนภายในนิกายหมื่นดาบและเมื่อมันแพร่กระจายออกไปบางทีมันอาจทำให้พรรคหมื่นดาบเสื่อมถอยลงได้

ไม่มีใครสามารถแบกรับผลที่ตามมาได้

“บรรพชนดาบ”

“อย่างไรเสียจิตวิญญาณแรกกำเนิดของบรรพช่นดาบก็ได้ตื่นขึ้นมาแล้ว”

ประมุขพรรคหมื่นดาบเหมือนจะคิดอะไรบางอย่างได้จึงลุกขึ้นทันทีและเดินไปยังส่วนที่ลึกที่สุดเดินมาจนถึงหน้าแท่นบูชาขนาดใหญ่

“ประมุขพรรคหมื่นดาบรุ่นที่ยี่สิบแปดขอเข้าพบบรรพชนดาบ”ประมุขพรรคหมื่นดาบกล่าวเสียงดัง

หลังจากผ่านไประยะหนึ่ง

เสียงแหบแห้งก็ดังขึ้นมา

“ว่าอย่างไร?”

เสียงนี้ไม่ได้เปล่งออกมาจริงๆมันถ่ายทอดเข้ามาในหัวของประมุขพรรคหมื่นดาบโดยตรงและในเวลาเดียวกันร่างเลือนรางที่ยังคงมีมืออยู่สองข้างก็ปรากฏขึ้นบนแท่นบูชาพลังของจิตวิญญาณแรกกำเนิดเดือดพล่านราวกับมหาศาลสมุทรอันยิ่งใหญ่ที่มีเกลียวคลื่นหมุนวนอยู่ตลอดเวลา

“บรรพชนดาบ”

“บรรพชนหลายคนที่ถูกส่งไปยังแผ่นดินแห่งพลังยุทธอันยิ่งใหญ่ดวงไฟแห่งชีวิตของพวกเขาภายในนิกายได้ดับลงแล้ว…”ประมุขพรรคหมื่นดาบกล่าวอย่างขมขึ้น

การที่ดวงไฟแห่งชีวิตดับลงเป็นสัญญาณว่าได้ตกตายไปอย่างสมบูรณ์และแม้แต่จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ก็ไม่รอดพ้น

เมื่อประมุขพรรคหมื่นดาบกล่าวเช่นนี้

ร่างเงาที่มีสองมือพลันเงียบไปแม้ว่าจะเป็นตัวตนเช่นนี้ก็ยังรู้สึกได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ
หลังจากร่างเงาขีดเขียนบางอย่างบนหลังมือแล้วมันก็เปิดปากพูด“ร่างหัวใจดาบเตรียมพร้อมแล้วหรือยัง?”

“เรียนบรรพชนดาบบรรพชนทั้งหลายได้พบร่างหัวใจดาบในแผ่นดินแห่งพลังยุทธเมื่อไม่นานมานี้และมันถูกส่งมายังพรรคหมื่นดาบแล้ว”

ประมุขพรรคหมื่นดาบลังเลอยู่ครู่หนึ่งและอดไม่ได้ที่จะกล่าวต่อไปว่า“การตายของเหล่าบรรพชนทั้งหลายอาจเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้?”

“มันไม่สำคัญแล้วล่ะ”

ร่างเงาโบกมือแล้วกล่าวคำช้าๆ“ออกไปเตรียมตัวให้พร้อมอีกสิบวันข้าจะเริ่มเข้ายึดร่าง”

“ขอรับ”

เมื่อประมุขพรรคหมื่นดาบได้ยินดังนี้ความตื่นตระหนกเพราะการตายของเหล่าบรรพชนก่อนหน้านี้ก็คลายลงได้ในคราวเดียว

ตราบใดที่บรรพชนดาบเกิดใหม่และฟื้นพลังคืนมาได้พลังในการปราบปรามย่อมแข็งแกร่งกว่าบรรพชนที่อยู่ในขอบเขตตำนานยุทธขั้นสูงสุดอย่างแน่นอน

เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ประมุขพรรคหมื่นดาบก็รีบออกจากแท่นบูชาในทันที

หลังจากที่กลับมายังโถงใหญ่ประมุขพรรคหมื่นดาบก็สงบใจและขบคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้อีกครั้ง

“บรรพชนทั้งหลายล้วนมีความแข็งแกร่งอยู่ในขอบเขตตำนานยุทธขั้นสูงสุดเป็นไปได้ไหมที่บรรพชนนิกายใหญ่คนอื่นๆจะร่วมมือกัน?”

ประมุขพรรคหมื่นดาบขมวดคิ้วเป็นปม

อย่างไรก็ตามเขาไม่ได้สนใจอะไรมากไม่ว่าจะเป็นนิกายใหญ่แห่งใดที่แอบจัดการกับพรรคหมั่นดาบเมื่อบรรพชนดาบตื่นขึ้นมาและออกจากพรรคหมื่นดาบไปผู้ที่สมรู้ร่วมคิดทั้งหมดจะต้องถูกกวาดล้างด้วยพลังอำนาจอันเด็ดขาดของบรรพชนดาบ

Sign Buddha’s palm 273 (I) ฟื้นจากนิทรา

ฉึก

ประกายแสงคมมีดที่ตัดผ่านมิติฉีกอาณาเขตที่ปกคลุมรอบกายกว่าสิบจ้างของชายชุดเทาได้อย่างง่ายดายมันถูกตัดออกอย่างเงียบๆ

“ไม่ดีแล้ว!”

หนังศีรษะของชายชุดเทาชาวาบทันทีที่เห็นประกายคมมีดสีดำชายในชุดเทารู้สึกได้ถึงความอันตรายที่รุนแรงถึงแก่ชีวิต

“ระเบิดดาบ!”

จิตใจของชายชุดเทาเปลี่ยนเป็นดุร้ายร่องรอยของดาบยาวปรากฏขึ้นจางๆในส่วนลึกของดวงตาจากนั้นภาพของดาบยาวนั้นก็แตกออกเป็นเสี่ยงๆพลังที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนก็ระเบิดออกมาไอพลังของชายชุดเทาพลันพุ่งทะยานอย่างต่อเนื่องในที่สุดก็มาถึงจุดสูงสุดก่อนที่เขาจะหลับใหลไปและเมื่อเวลาผ่านไปมันก็ยังแข็งแกร่งขึ้นได้อีก

“เจ้าบังคับให้ข้าทำเช่นนี้”

ชายชุดเทาแทบไม่มีเลือดฝาดหลงเหลืออยู่บนหน้าแต่ไอพลังของเขารุนแรงขึ้นเรื่อยๆ

เคล็ดระเบิดดาบเป็นวิชาต้องห้ามของพรรคหมั่นดาบใช้พลังการบ่มเพาะวิถีดาบของตนเองเป็นเชื้อเพลิงเพื่อระเบิดพลังที่แข็งแกร่งในระดับที่ทำให้ทั้งโลกตกตะลึงข้อบกพร่องอย่างเดียวของวิชาต้องห้ามนี้คือชายชุดเทาจะต้องหลับลึกลงไปอีกครั้งเกิดการสูญเสียครั้งใหญ่แม้แต่ลุกขึ้นมานั่งก็จะไม่สามารถกระทำได้

แต่อย่างไรเสียตอนนี้ชายชุดเทาก็ได้มาซึ่งความแข็งแกร่งที่ไม่เคยไปถึงมาก่อนทุกการเคลื่อนไหวของเขาสามารถยับยั้งตำนานยุทธขั้นสูงสุดธรรมดาๆได้อย่างง่ายดาย

บรรพชนพรรคหมั่นดาบคนอื่นๆเห็นฉากนี้ก็ตื่นตระหนกและลอบถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอกความแข็งแกร่งที่ซูฉินแสดงออกมานั้นน่ากลัวเกินไปเพียงแค่ฟาดฝ่ามือเดียวก็บดขยี้บรรพชนพรรคหมื่นดาบจนตกตายได้น่าตกใจอย่างยิ่ง

แต่ตอนนี้เคล็ดระเบิดดาบของชายชุดเทาทำให้ทุกคนรู้สึกมีความหวังประหนึ่งว่ามันเป็นเข็มวิเศษสมุทร1ก็มิปาน

แม้ว่าวิชาต้องห้ามอย่างเคล็ดระเบิดดาบจะอยู่ได้ไม่นานแต่อย่างน้อยก็คงรั้งซูฉินเอาไว้และเปิดโอกาสให้บรรพชนพรรคหมื่นดาบได้หลบหนี

ขณะที่บรรพชนพรรคหมื่นดาบทั้งหลายกำลังรอคอยให้ชายชุดเทาเข้าพัวพันกับซูฉินแล้วพวกเขาจะใช้โอกาสนั้นหนีไปจากที่นี่
ฉีก

ประกายคมมีดพาดผ่านแก่นแท้แห่งพลังและจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ที่เพิ่มสูงขึ้นนับสิบเท่าได้อย่างง่ายดายและแม้แต่กระดูกและกายเนื้อยังถูกตัดออกเป็นสองส่วน

หลังจากที่ชายชุดเทาใช้วิชาต้องห้ามความแข็งแกร่งของเขาก็เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วแต่คมมีดเทพเจ้าปีศาจนั้นคมกริบทั้งยังเกี่ยวพันกับเทพเจ้าปีศาจจากโลกถปีศาจใต้พิภพเมื่อซูฉินกระตุ้นมันด้วยปราณชีวิตเลือดเนื้อและแก่นแท้แห่งพลังแม้แต่สัตว์อสูรทรงพลังอย่างมังกรปีศาจที่มีเศษเสี้ยวสายเลือดมังกรที่แท้จริงก็ยังตัดให้ขาดได้นับประสาอะไรกับชายชุดเทา

“ข้า….”

ชายชุดเทาอ้าปากค้างกำลังจะพูดบางอย่างแต่ก็พบว่าเอวของเขาถูกตัดออกจนร่างขาดเป็นสองส่วน
พี่บ!

จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของชายชุดเทากำลังจะหลบหนีแต่ในขณะเดียวกันพลังอันลึกลับของคมมีดที่เหมือนกับหนอนชอนไชเข้าพันธนาการจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ไว้อย่างแน่นหนาสุดท้ายก็เข้าครอบงำจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ได้อย่างรวดเร็ว

ช่วงเวลาต่อมา

ท่ามกลางสายตาที่บ่งบอกได้ถึงความเหลือเชื่อของทุกคนจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของชายชุดเทาก็แตกสลายลงในทันใด

“น่ากลัวเกินไปแล้ว…”

หนังศีรษะของบรรพชนพรรคหมื่นดาบชาวาบเกิดคลื่นลูกใหญ่ซัดโถมในใจ

อย่างไรก็ตามก่อนที่พวกเขาจะทันได้ตอบสนองซูฉินก็ยกมีดในมือขึ้นอีกครั้งตวัดคมมีดเทพเจ้าปีศาจออกไปอีกหลายที

วิ้ง!!!

ประกายคมมีดสีดำสนิทราวกับสามารถตัดผ่านช่องว่างมิติพลันก่อตัวขึ้นมาอีกหลายวงฟันเข้าใส่บรรพชนพรรคหมื่นดาบ

เมื่อต้องเผชิญกับสิ่งที่เกิดตรงหน้าบรรพชนพรรคหมื่นดาบจะไม่รู้ชะตากรรมชีวิตตนเองได้อย่างไรพวกเขาทั้งหมดพยายามอย่างเต็มที่ที่จะต่อต้านบางคนเสียสละอาวุธวิเศษเพื่อพยายามปิดกั้นประกายคมมีดสีดำ

น่าเสียดายที่ภายใต้คมมีดเทพเจ้าปีศาจบรรพชนพรรคหมื่นดาบตำนานยุทธขั้นสูงสุดที่ครั้งหนึ่งเคยมีชื่อเสียงก้องยุทธภพต่างแดนล้วนไม่อาจจะทานทนค่อยๆเดินตามรอยเท้าของชายชุดเทาไปติดๆร่างกายถูกตัดขาดจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ก็ถูกทำลาย

ในตอนนี้ซูฉันมองไปที่บรรพชนพรรคหมื่นดาบสองคนสุดท้าย

บรรพชนพรรคหมื่นดาบทั้งสองคนนั้นมีประสบการณ์ไม่น้อยซ่อนตัวอยู่ด้านหลังตั้งแต่เนิ่นๆดังนั้นพวกเขาจึงยังมีชีวิตรอดอยู่จนถึงตอนนี้

“ท่านผู้ยิ่งใหญ่ข้าผิดไปแล้ว”

“พวกเราไม่ได้ตั้งใจจะนำร่างหัวใจดาบไป…..”

บรรพชนพรรคหมื่นดาบหวาดกลัวมากจนต้องร้องขอความเมตตา

ซูฉินเพิ่งจะลงมือสังหารบรรพชนหลายคนในที่แห่งนี้ได้ภายในกระบวนท่าเดียวแม้แต่ชายชุดเทาที่ใช้เคล็ดระเบิดดาบก็ไม่รอดชีวิตพวกเขายังจะกล้าต่อต้านอยู่อีกหรือ

น่าเสียดายที่ซูฉินลงมือไปแล้วเจตนาฆ่าของเขาก็กำหนดเป้าหมายไว้แล้วไม่จำเป็นต้องยั้งมืออีกต่อไปดังนั้นเขาจึงค่อยๆยกมีดเทพเจ้าปีศาจขึ้นช้าๆ

“ท่านผู้ยิ่งใหญ่”

“ข้ารู้ว่าร่างหัวใจดาบอยู่ที่ไหนข้าเต็มใจจะเป็นผู้นำทางให้กับท่านผู้ยิ่งใหญ่”

บรรพชนพรรคหมื่นดาบกลืนน้ำลายและกล่าวถึงไพ่ใบสุดท้ายในมือของพวกเขา

ในสายตาของบรรพชนพรรคหมื่นดาบเหตุผลที่ซูฉินเริ่มเข่นฆ่านั้นไม่มีอะไรมากกว่าร่างหัวใจแห่งดาบดังนั้นพวกเขาเพียงต้องบอกข่าวเกี่ยวกับร่างหัวใจแห่งดาบซูฉินจะต้องเกิดความกังวลขึ้นมาอย่างแน่นอน

แต่ก็เท่านั้น

ต่อหน้าสายตาอึ้งทึ่งของบรรพชนทั้งสองแห่งพรรคหมื่นดาบซูฉันค่อยๆยกมีดเทพเจ้าปีศาจขึ้นมาอย่างช้าๆโดยแทบไม่หยุดมือเลยด้วยซ้ำ

ในที่สุด

ประกายคมมีดสีดำสองวงก็กะพริบวูบไหวตัดบรรพชนพรรคหมื่นดาบสองคนสุดท้ายจนขาดครึ่งจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์โดนรัศมีสีดำอันลึกซึ้งจากคมมีดเทพเจ้าปีศาจจู่โจม

จนถึงวินาทีสุดท้ายก่อนจะตกตายบรรพชนพรรคหมื่นดาบทั้งสองยังคงสงสัยไม่หายที่ซูฉนลงมือเด็ดขาดเช่นนี้เป็นไปได้ไหมว่าจริงๆแล้วไม่ต้องการจะรู้ว่าร่างหัวใจดาบอยู่ที่ใด?

ถ้าซูฉันรู้ว่าบรรพชนทั้งสองคนของพรรคหมื่นดาบต้องการใช้ที่อยู่ของหลีหว่านเพื่อต่อรองและสุดท้ายมันก็สูญเปล่าเขาคงจะมอบรอยยิ้มที่แสดงความรังเกียจออกไปแน่นอน

ดวงตาแห่งสัจจะของเขาได้จับพลังฉีของหลีหว่านไว้ได้แล้วและรู้ถึงตำแหน่งของหลีหว่านในตอนนี้

เป็นเพราะว่าหลีหวานได้พำนักที่นี่เป็นครั้งสุดท้ายซูฉินจึงแวะหยุดอยู่ที่นี่เพื่อหาจุดประสงค์ของพรรคหมื่นดาบก่อนที่จะไล่ล่าสังหาร

ในเวลานี้ที่ด้านหน้าของตำหนักหินอ่อนบรรพชนหลายคนของพรรคหมื่นดาบต่างนอนตายกันอยู่ที่นี่บรรยากาศที่น่าสยดสยองและเศร้าสร้อยแทรกซึมไปทั่วเกือบจะเปลี่ยนยอดเขาทั้งลูกไปในทันที

รู้หรือไม่ว่าตำนานยุทธทั้งหลายล้วนมีความเข้าใจโลกอย่างลึกซึ้งเมื่อตกตายกลิ่นอายที่เกิดจากการผสมผสานของปราณเลือดเนื้อและจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์จะกระจายออกจนเกิดสนามพลัง

หากจอมยุทธธรรมดาเข้ามาที่นี่โดยไม่ได้ตั้งใจจะต้องเกิดจิตมารขึ้นและสร้างความวุ่นวายใหญ่โตต่อไป

“ตายไปแล้วยังกล้าที่จะสร้างปัญหาอีก?”

ซูฉินเย้ยหยันเมื่อเห็นการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นจิตใจของเขาขยับเคลื่อนไหวพลังของเลือดเนื้อเพิ่มขึ้นอีกครั้งพลังงานมหาศาลที่เหมือนกับมหาสมุทรได้เข้าชำระล้างทุกซอกทุกมุมบนยอดเขาแห่งนี้

ในที่สุด

ซูฉินก็ค่อยๆเงยหน้าขึ้นและมองไปยังต่างดินแดน

“จิตวิญญาณแรกกำเนิดเข้ายึดร่าง……”

ซูฉินหรี่ตาลงเล็กน้อย

หลังจากตำนานยุทธขั้นสูงสุดแปรเปลี่ยนจิตวิญญาณแรกกำเนิดมันจะขจัดข้อจำกัดทางกายและเดินทางไปได้ทั่วโลกด้วยจิตวิญญาณแรกกำเนิด

เพียงแต่ว่าหากต้องการจะเพิ่มพลังในการต่อสู้ให้สูงที่สุดต่อให้เป็นตำนานยุทธขั้นสูงสุดก็ต้องการร่างกายที่เหมาะสม

ยิ่งกว่านั้นหากต้องการจะทะลวงขอบเขตเซียนเทพปฐพี่จริงๆเห็นได้ชัดว่าการพึ่งพาจิตวิญญาณแรกกำเนิดเพียงอย่างเดียวยังห่างไกลจากความเป็นจริงที่จะทำได้

“ตอนนี้ถือว่ายังปลอดภัยอยู่พอสมควร

ซูฉินสังเกตพลังฉีของหลีหว่านจากระยะไกลด้วยดวงตาแห่งสัจจะพยักหน้าออกมาเล็กน้อย

ถ้าหลีหว่านถูกจิตวิญญาณแรกกำเนิดของบรรพชนดาบยึดครองร่างไปแล้วตอนนี้พลังฉีของนางควรจะถูกทำลาย

การที่ซูฉินยังสามารถเห็นพลังฉีของหลีหว่านได้หมายความว่าตอนนี้หลีหว่านยังคงปลอดภัยอยู่

“พรรคหมื่นดาบ……”

แววตาของซูฉินเย็นชา

ด้วยความแข็งแกร่งของซูฉินในปัจจุบันแม้จะเผชิญหน้ากับเซียนเทพปฐพีเขาก็มีความมั่นใจว่าสามารถหลบหนีไปได้นับประสาอะไรกับอีแค่พรรคหมื่นดาบ?

เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ซูฉินก็ตบเท้าก้าวไปด้านหน้าหายวับไปในพริบตามุ่งหน้าตรงไปยังทางที่หลีหว่านอยู่

[1]เข็มวิเศษ…สมุทรคือกระบองวิเศษของซุนหงอคงแต่ก่อนที่จะมาเป็นกระบองวิเศษของซุนหงอคงมันเคยเป็นเสาที่คอยค้ำยันมหาสมุทรของราชามังกรแห่งทะเลตะวันออกมาก่อน

Sign in Buddha’s palm 272 สังหาร!

ภายในตําหนักหินอ่อน

บรรพชนของพรรคหมื่นดาบเต็มไปด้วยความสุข รอคอยที่จะได้เห็นบรรพชนดาบถือกําเนิดขึ้น และพรรคหมื่นดาบก็จะกลับมายิ่งใหญ่บนผืนพิภพอีกครั้ง

“หากบรรพชนดาบตื่นขึ้นมาก็ไม่ต้องกังวล เรื่องตํานานยุทธเมืองฉางอันมากเท่าไหร่….” บรรพชนพรรคหมื่นดาบคนที่อยู่ด้านซ้ายสุดพยักหน้าเล็กน้อยพร้อมกับกล่าวออกมา

แม้ว่าพวกเขาจะไม่เคยเห็นซูฉินด้วยตาของพวกเขาเอง แต่ตอนที่ซูฉินสังหารบรรพบุรุษหยวนรวมถึงตํานานยุทธคนอื่นๆ มีคนจํานวนมากเฝ้าดูการต่อสู้อย่างลับๆ ไม่มีใครสังเกตเห็นการมีอยู่ของกลิ่นอายจิตวิญญาณแรกกําเนิด

“ไม่ใช่แค่ตํานานยุทธเมืองฉางอัน ข้าเกรงว่าทั่วทั้งโลกใบนี้ พรรคหมื่นดาบเราไม่จําเป็นต้องกังวลในเรื่องใดมากนักด้วยซ้ํา….”

บรรพชนอีกคนหนึ่งพูดออกมาซ้ําๆ เต็มไปด้วยความมั่นใจในตนเองอย่างแรงกล้า
“ฮ่ม! ถึงตํานานยุทธเมืองฉางอันจะเป็นคนที่น่าสนใจ และคิดริเริ่มที่จะยอมแพ้ในการต่อสู้ ข้าก็จะไม่ยอมรับให้เขามาอยู่ในพรรคเรา แม้แต่ตําแหน่งผู้อาวุโสสายนอกของพรรคหมื่นดาบก็ไม่….”

เสียงนี้ยังไม่ทันได้พูดจบ

หวิ่ง!!!

ก็พลันเห็นว่าแผ่นไม้ที่อยู่เหนือเสาหินเบื้องหน้าของบรรพชนพรรคหมื่นดาบสั่นขึ้นมา

พูดให้ถูกต้องก็คือ ไม่ใช่แผ่นไม้ที่สั่น แต่เป็นตราประทับรอยดาบบนผิวไม้ที่เริ่มสั่น และเจตจํานงดาบจํานวนมากมายนับไม่ถ้วนพลันเดือดพล่าน ราวกับจะผ่าทุกอย่างออกให้สิ้น

“เกิดอะไรขึ้น?”

“เจตจํานงดาบเล่มนี้ ถูกข้าปราบไว้แล้วไม่ใช่หรือ?”

“สิ่งที่เกิดขึ้นมันคืออะไร?”

ใบหน้าของบรรพชนพรรคหมื่นดาบที่อยู่ใกล้กับเสาหินที่สุดพลันเปลี่ยนแปลงไป

“เป็นเพียงเจตจํานงดาบเจ้าตั้งใจจะต่อต้านข้าอย่างนั้นหรือ?”

“แม้แต่เจ้าของของเจ้าก็ยังต้องกลายเป็นผงธุลี เมื่ออยู่ต่อหน้าพรรคหมื่นดาบของข้า!”

บรรพชนพรรคหมื่นดาบเยาะเย้ย และกําลังจะเหยียดมือออกไปเพื่อปราบปรามอีกครั้ง
ฉับพลัน

ในตอนนั้นเอง

ตูม

ยอดเขาลูกยักษ์พลันสั่นสะท้านไปทั่วค่ายกล ฟ้าดินรอบตําหนักหินอ่อนถล่มลงมาราวกับมีแรงระเบิดที่สะเทือนฟ้าดินเข้ามาทําลาย ไม่ว่าจะเป็นค่ายกลรอบนอกหรือค่ายกลที่ตั้งอยู่ในส่วนลึกของยอดเขา พวกมันเริ่มหายไปในเวลาอันรวดเร็ว

“มีคนกําลังทําลายค่ายกล?”

ชายผมสีเทาที่ไม่ได้พูดตั้งแต่ต้นก็เงยหน้าขึ้น และกล่าวอย่างเคร่งขรึม

“ทําลายค่ายกล?”

“ผู้ใดกัน? กล้ามาทําเรื่องเช่นนี้ต่อหน้าพวกเรา”

บรรพชนพรรคหมื่นดาบล้วนโกรธจัด เดินตามชายผมสีเทาออกไปทีละคน

เห็นชายร่างผอมสูงยืนอยู่บนอากาศเดินมา ทางตําหนักหินอ่อนทีละขั้น

ทุกครั้งที่ก้าวย่าง ค่ายกลฟ้าดินโดยรอบตําหนักหินอ่อนก็พังทลายลงจนหมด จนเมื่อเขาขึ้น มายืนบนยอดเขาค่ายกลฟ้าดินขนาดใหญ่พลันแตกออกเป็นเสี่ยงๆ และซูฉินที่ยืนอยู่บนซากปรักหักพังนั้นราวกับเป็นเทพเซียน

“ข้าก็อยากจะรู้ว่าพรรคหมื่นดาบของเจ้าจะทําให้ข้ากลายเป็นฝุ่นธุลีได้อย่างไร?” แววตาของซูฉินสงบนิ่ง มองดูบรรพชนพรรคหมื่นดาบราวกับเหยี่ยวมองเหยื่อ

ในช่วงเวลาที่บดขยี้ค่ายกลฟ้าดิน จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ที่น่าสะพรึงกลัวของซูฉินก็เข้าปกคลุมตําหนักหินอ่อนทั้งหมดไว้ จึงทําให้คําพูดสุดท้ายของบรรพชนพรรคหมื่นดาบเข้ามาในหูของเขา

“เจ้าคือตํานานยุทธขั้นสูงสุดแห่งเมืองฉางอันใช่หรือไม่?”

ทันทีที่ซูฉินกล่าวจบ รูม่านตาของชายชุดเทาก็หดตัวลงจากความรู้สึกเหลือเชื่อ

เขาไม่คิดมาก่อนว่าซูฉินจะพบสถานที่นี้ได้เร็วขนาดนี้ รู้หรือไม่ว่าหลังจากที่พาหลีหว่านมาที่นี่ เขาได้ร่วมมือกับบรรพชนอีกหลายคนใช้วิธีลับบางอย่างของพรรคหมื่นดาบในการปกปิดการเชื่อมโยงของเจตจํานงดาบ

ด้วยสถานการณ์เช่นนี้ การเชื่อมโยงระหว่างซูฉินกับเจตจํานงดาบย่อมหายไปอย่างสมบูรณ์ เป็นไปได้อย่างไรที่จะค้นพบสถานที่นี้ได้แม่นยําเช่นนี้?

บรรพชนคนอื่นๆของพรรคหมื่นดาบชําเลืองมองหน้ากัน เดินไปยังตําแหน่งต่างๆ โดยไม่แสดงท่าที่ใด ค่อยๆเข้าโอบล้อมซูฉินไว้ตรงกลางอย่างแผ่วเบา

แม้ว่าซูฉินจะมาได้เร็วเกินความคาดหมายของพวกเขา แต่บรรพชนพรรคหมื่นดาบก็ไม่กลัว แม้ว่าเลือดเนื้อพลังชีวิตของพวกเขาจะลดลง เมื่อร่วมมือกัน อาจจะไม่ถึงขนาดเอาชนะซูฉินได้ แต่อย่างน้อยการทําให้ซูฉินถอยกลับไปก็ทําได้อย่างแน่นอน

“ทําไม?”

“กล้าที่จะคุยกันลับหลังข้า ตอนนี้ไม่พูดเสียแล้วหรือ?”

จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของซูฉินปกคลุมไปทั่วบริเวณ เขารู้พฤติกรรมของบรรพชนพรรคหมื่นดาบทั้งหลาย แต่ไม่ได้มีความตั้งใจจะหยุดมัน

“เอาล่ะ”

“ข้าให้พวกเจ้าสองทางเลือก”

ซูฉินขี้เกียจเกินกว่าจะเสียเวลา เขาเหลือบมองบรรพชนพรรคหมื่นดาบแล้วพูดขึ้นเบาๆว่า “หนึ่ง คือมอบหลีหว่านมา แล้วข้าจะมอบโอกาสให้จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของพวกเจ้าหลบหนีหลังจากเป็นศพ”

“อย่างที่สอง ฝังร่างอยู่ที่นี่ตลอดไป”

ซูฉินพูดอย่างเร่งรีบ ราวกับพูดถึงเรื่องธรรมดาทั่วไป

“โอหัง!”

บรรพชนพรรคหมื่นดาบโกรธมาก เขาไม่คาดคิดว่าซูฉินจะมีวาจาสามหาวเช่นนี้
รู้หรือไม่ว่าบรรพชนเหล่านี้ยังไม่ได้แปรเปลี่ยนจิตวิญญาณแรกกําเนิด เมื่อจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์หลุดพ้นจากร่างไปแล้วก็สามารถมีชีวิตรอดอยู่ได้ไม่กี่เดือน

ซูฉินให้โอกาสพวกเขาหนีไปแต่จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ก็แทบจะไม่ต่างจากการสังหารพวกเขาทั้งหมด

“มีความมั่นใจดีนี่ ก็ลองดูว่าจะหยุดพวกข้าได้หรือไม่?” ชายชุดเทามองซูฉินอย่างเย็นชา

เขายอมรับว่าซูฉินนั้นแข็งแกร่ง ไม่เช่นนั้นจะสังหารตํานานยุทธขั้นสูงสุดอย่างบรรพบุรุษหยวนได้อย่างไร?

แต่ไม่ว่าซูฉินจะแข็งแกร่งเพียงไร เขาก็แค่คนคนเดียว จะแข่งกับรากฐานที่พรรค

หมื่นดาบ สะสมมากว่าสี่พันปีและศิษย์จํานวนมากมายมหาศาลได้อย่างไร?

บรรพชนพรรคหมื่นดาบมองไปที่ใบหน้าเฉยเมยของซูฉินพร้อมกับเย้ยหยัน “เจ้ากําลัง มองหาร่างหัวใจดาบอยู่ใช่หรือไม่?”

“สายไปแล้ว ร่างหัวใจดาบได้ถูกมอบให้กับบรรพชนดาบ และตอนนี้มันจะต้องถูกยึดครองโดยจิตวิญญาณแรกกําเนิดของบรรพชนดาบไปแล้วล่ะ”

บรรพชนพรรคหมื่นดาบเยาะเย้ย “บรรพชนดาบของข้ากําลังจะตื่นขึ้น นับเป็นพรของอาณาจักรถังแล้วที่มีร่างหัวใจแห่งดาบ ข้าไม่แนะนําให้เจ้าไปยุ่ง มอบแผ่นดินแห่งพลังยุทธฯมาแต่โดยดี บางทีเราอาจจะช่วยต่อชีวิตเจ้าได้หากอยู่ต่อหน้าบรรพชนดาบ”

บรรพชนของพรรคหมื่นดาบกล่าวถึง บรรพชนดาบ’ ทั้งโดยเจตนาและไม่เจตนา เพียงแค่ต้องการให้ซูฉินเกรงกลัวและไม่กล้าลงมือ

ในสายตาของเขา ผู้แข็งแกร่งเช่นซูฉินย่อมยังน้ําหนักผลดีผลเสีย และจะต้องหลีกเลี่ยงการเป็นศัตรูกับผู้แข็งแกร่งในระดับแปรเปลี่ยนจิตวิญญาณแรกกําเนิดอย่างบรรพชนดาบ ไม่เอาตัวไปเสี่ยงเพียงเพื่อร่างหัวใจแห่งดาบ
“อะไรนะ?!”
ดวงตาของซูฉินกลายเป็นดุร้าย

พลังปราณและเลือดเนื้ออันมหาศาลก็พวยพุ่งออกจากร่างของซูฉิน ทันใดนั้นมันก็ปกคลุมยอดเขาทั้งหมดในทันที ไม่ว่าจะเป็นชายชุดเทา หรีอบรรพชนคนอื่นๆ ของพรรคหมื่นดาบ ภายใต้พลังปราณและเลือดเนื้อนี้ พวกเขารู้สึกว่าตนเองตกลงไปในเหวลึก

หลังจากที่ร่างกายของซูฉินแปรสภาพครั้งที่หกได้อย่างสมบูรณ์ และกลืนกินแหล่งกําเนิดธาตุดิน จนสามารถมาถึงครึ่งก้าวสู่ร่างแห่งธรรมชาติได้ ความแข็งแกร่งทางกายภาพของร่างนี้ก็น่าทิ้งอย่างยิ่ง

“ปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไปไม่ได้แล้ว”

บรรพชนพรรคหมื่นดาบดูเคร่งเครียดอย่างมาก ในตอนนี้ท่ามกลางพลังเลือดเนื้อของซูฉิน มันเหมือนพวกเขาติดอยู่ในหลุ่มโคลน ทุกการเคลื่อนไหวตกอยู่ใต้แรงกดดันมหาศาล และแรงกดดันนี้ ยังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องด้วยความเร็วที่สามารถ สึกได้

ด้วยกระแสพลังนี้ หลังจากผ่านไปครู่หนึ่งบรรพชนพรรคหมื่นดาบจะถูกลดความเร็วลงอย่างมาก และพวกเขาจะไม่สามารถหลบหลีกได้

“ดาบบุกทะลวงประการที่หนึ่ง!”

บรรพชนพรรคหมื่นดาบที่กําลังคุกคามซูฉิน เพียงก้าวไปด้านหน้า เจตจํานงดาบก็เปล่ง ประกายควบแน่นออกมาทันที และทันทีที่เจตจํานงดาบปรากฏขึ้นมา พลังฉีฟ้าดินโดยรอบก็พลุ่งพล่านรวมเข้าเจตจํานงดาบนี้ทันที

หวิ่ง!!!

เจตจํานงดาบเปลี่ยนจากพลังงานไปเป็นรูปธรรม ฟันเข้าใส่ซูฉิน
ฟิว

เจตจํานงดาบที่น่าสะพรึงกลัวดูเหมือนจะกวาดล้างได้ทุกสิ่งพุ่งเข้าหาซูฉินอย่างรวดเร็ว

อย่างไรก็ตาม เมื่อเจตจํานงดาบบุกทะลวงประการที่หนึ่งนี้เข้าใกล้ซูฉินในระยะสิบเมตร ปราณชีวิตและเลือดเนื้ออันทรงพลังไร้ที่สิ้นสุดก็ชะล้างเจตจํานงดาบออกไปอย่างต่อเนื่อง

ท่ามกลางสายตาเหลือเชื่อของทุกคน เจตจํานงดาบของบรรพชนพรรคหมื่นดาบก็ถูกทําลายล้างที่ระยะแปดเมตรก่อนถึงร่างของซูฉิน ราวกับมันไม่มีอะไรเกิดขึ้นมาก่อน
“ช่างเป็นปราณชีวิตเลือดเนื้อที่น่ากลัวอะไรเช่นนี้?”

บรรพชนพรรคหมื่นดาบทั้งหมดต่างตื่นตะลึง ถ้าซูฉินปัดป้องเจตจํานงดาบ พวกเขาก็ยังพอยอมรับได้ เพราะอย่างไรก็ไม่มีใครคิดว่าเจตจํานงดาบเพียงเท่านี้จะสังหารซูฉินได้

แต่ซูฉินไม่ได้ขยับแม้แต่น้อยตอนที่ยืนอยู่ตรงนั้น อาศัยเพียงพลังของเลือดเนื้อที่แผ่ออกมาก็สามารถป้องกันเจตจํานงดาบได้ ช่างน่าตกตะลึง

“ตาข้าแล้ว”

ดวงตาของซูฉินเย็นชา และยื่นแขนขวาเข้าหา บรรพชนพรรคหมื่นดาบที่ลงมือเมื่อครู่
บูม

เห็นฝ่ามือขนาดใหญ่ราวกับเทพเซียนควบแน่น ขึ้นมาจากความว่างเปล่า ประหนึ่งภูเขาเทพเจ้า โบราณทุ่มลงมาใส่อย่างกะทันหัน

ไม่ว่าจะเป็นบรรพชนพรรคหมื่นดาบคนใดก็ ล้วนเป็นตํานานยุทธขั้นสูงสุดที่ควบแน่นอาณาเขตได้ แม้ร่างกายของซูฉินจะมาถึงครึ่งก้าวสู่กายแห่งธรรมชาติแล้วก็ตาม แต่ก็ไม่ใช่กายแห่งธรรมชาติที่แท้จริง ไม่สามารถสังหารได้ด้วยการใช้ปราณจากเลือดเนื้อเพียงอย่างเดียว

“ไม่ดีแล้ว!”
บรรพชนพรรคหมื่นดาบที่เพิ่งออกกระบวนท่า เมื่อครู่เมื่อเห็นฝ่ามือขนาดใหญ่นี้ หนังศีรษะก็ชาวาบ เขากลั่นเลือดเนื้อควบแน่นเป็นดาบปล่อยออกไปโดยไม่ลังเล จากนั้นจึงปลดปล่อยอาณาเขตออกมาขวางด้านหน้า

บรรพชนคนอื่นๆ ของพรรคหมื่นดาบต่างหน้าเปลี่ยนสีกันไปหมด แต่ก่อนที่เขาจะทันได้ตอบโต้อะไร ฝ่ามือขนาดยักษ์ก็ร่วงลงมาจากฟ้าแล้

แกร็ก

เห็นว่าอาณาเขตขนาดร้อยจ้างที่บรรพชนพรรคหมื่นดาบปล่อยออกมาป้องกัน เมื่อปะทะเข้ากับฝ่ามือจากฟากฟ้า มันก็ราวกับกระดาษแผ่นบางๆแตกสลายทันทีที่สัมผัส บรรพชนพรรคหมื่นดาบอาเจียนออกมาเป็นเลือด เทลงไปบนดาบที่อยู่เบื้องหน้าตน ส่งดาบนั้นพุ่งฝ่าอากาศเข้าปิดกั้นฝ่ามือขนาดยักษ์นั่น

น่าเสียดาย

พลังฝ่ามือนี้ของซูฉินไม่ได้ตั้งใจจะออมมือไว้เลย มันจะถูกป้องกันได้ด้วยดาบเลือดนั่นได้อย่างไร?

ท่ามกลางสายตาตกตะลึงของทุกคน ดาบเลือดที่ส่องประกายแหลมคมก็ค่อยๆ ยุบตัวลงตาม แรงกระทบของฝ่ามือขนาดใหญ่ ในท้ายที่สุดบรรพชนพรรคหมื่นดาบก็ถูกบดขยี้เป็นชิ้นๆ จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ยังถูกทําลายกลายเป็นอากาศธา“นี่….”

เมื่อเห็นฉากนี้ บรรพชนพรรคหมื่นดาบที่กําลังจะเคลื่อนไหวก็หยุดความคิดที่จะเคลื่อนไหวในทันที

ซูฉินฟาดบรรพชนพรรคหมื่นดาบซึ่งเป็นตํานานยุทธขั้นสูงสุดให้ตายได้ด้วยฝ่ามือเดียว หากพวกเขาลงมือต่อไป คงไม่ได้ทําให้สถานการณ์ดีขึ้นมากนัก

“ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับหลีหว่าน พรรคหมื่นดาบจะต้องถูกทําลายจนสิ้น”

ซูฉินดูเฉยเมย ยกมือขวาขึ้นเตรียมฟาดเข้าใส่บรรพชนพรรคหมื่นดาบอีกครั้ง

บรรพชนพรรคหมื่นดาบที่เหลืออยู่หน้าซีดรา วกับกระดาษตัวสั่นเทา ท่ามกลางแรงกดดันในอากาศอันรุนแรงจากปราณชีวิตเลือดเนื้อของซูฉิน ทําให้เป็นเรื่องยากที่จะหลบหนี ทําได้เพียงรอเงียบๆให้ความตายมาถึงตัว

“เจ้าลงมือกับพรรคหมื่นดาบเช่นนี้ เจ้าไม่กลัวว่าบรรพชนดาบจะมาชําระแค้นกับเจ้าในอนาคตหรือ?” ชายชุดเทาตัวสั่นไปทั้งตัว เสียงอันแหบแห้งพยายามรวบรวมความกล้า ยกบรรพชนดาบขึ้นมาอีกครั้ง เพื่อทําให้ซูฉินหวาดกลัว

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ตอบกลับมาเป็นเพียงประกายแสงจากคมมีดสีดําที่พุ่งทะลวงพื้นที่มิติ

Sign in Buddha’s palm 272 สังหาร!

ภายในตําหนักหินอ่อน

บรรพชนของพรรคหมื่นดาบเต็มไปด้วยความสุข รอคอยที่จะได้เห็นบรรพชนดาบถือกําเนิดขึ้น และพรรคหมื่นดาบก็จะกลับมายิ่งใหญ่บนผืนพิภพอีกครั้ง

“หากบรรพชนดาบตื่นขึ้นมาก็ไม่ต้องกังวล เรื่องตํานานยุทธเมืองฉางอันมากเท่าไหร่….” บรรพชนพรรคหมื่นดาบคนที่อยู่ด้านซ้ายสุดพยักหน้าเล็กน้อยพร้อมกับกล่าวออกมา

แม้ว่าพวกเขาจะไม่เคยเห็นซูฉินด้วยตาของพวกเขาเอง แต่ตอนที่ซูฉินสังหารบรรพบุรุษหยวนรวมถึงตํานานยุทธคนอื่นๆ มีคนจํานวนมากเฝ้าดูการต่อสู้อย่างลับๆ ไม่มีใครสังเกตเห็นการมีอยู่ของกลิ่นอายจิตวิญญาณแรกกําเนิด

“ไม่ใช่แค่ตํานานยุทธเมืองฉางอัน ข้าเกรงว่าทั่วทั้งโลกใบนี้ พรรคหมื่นดาบเราไม่จําเป็นต้องกังวลในเรื่องใดมากนักด้วยซ้ํา….”

บรรพชนอีกคนหนึ่งพูดออกมาซ้ําๆ เต็มไปด้วยความมั่นใจในตนเองอย่างแรงกล้า
“ฮ่ม! ถึงตํานานยุทธเมืองฉางอันจะเป็นคนที่น่าสนใจ และคิดริเริ่มที่จะยอมแพ้ในการต่อสู้ ข้าก็จะไม่ยอมรับให้เขามาอยู่ในพรรคเรา แม้แต่ตําแหน่งผู้อาวุโสสายนอกของพรรคหมื่นดาบก็ไม่….”

เสียงนี้ยังไม่ทันได้พูดจบ

หวิ่ง!!!

ก็พลันเห็นว่าแผ่นไม้ที่อยู่เหนือเสาหินเบื้องหน้าของบรรพชนพรรคหมื่นดาบสั่นขึ้นมา

พูดให้ถูกต้องก็คือ ไม่ใช่แผ่นไม้ที่สั่น แต่เป็นตราประทับรอยดาบบนผิวไม้ที่เริ่มสั่น และเจตจํานงดาบจํานวนมากมายนับไม่ถ้วนพลันเดือดพล่าน ราวกับจะผ่าทุกอย่างออกให้สิ้น

“เกิดอะไรขึ้น?”

“เจตจํานงดาบเล่มนี้ ถูกข้าปราบไว้แล้วไม่ใช่หรือ?”

“สิ่งที่เกิดขึ้นมันคืออะไร?”

ใบหน้าของบรรพชนพรรคหมื่นดาบที่อยู่ใกล้กับเสาหินที่สุดพลันเปลี่ยนแปลงไป

“เป็นเพียงเจตจํานงดาบเจ้าตั้งใจจะต่อต้านข้าอย่างนั้นหรือ?”

“แม้แต่เจ้าของของเจ้าก็ยังต้องกลายเป็นผงธุลี เมื่ออยู่ต่อหน้าพรรคหมื่นดาบของข้า!”

บรรพชนพรรคหมื่นดาบเยาะเย้ย และกําลังจะเหยียดมือออกไปเพื่อปราบปรามอีกครั้ง
ฉับพลัน

ในตอนนั้นเอง

ตูม

ยอดเขาลูกยักษ์พลันสั่นสะท้านไปทั่วค่ายกล ฟ้าดินรอบตําหนักหินอ่อนถล่มลงมาราวกับมีแรงระเบิดที่สะเทือนฟ้าดินเข้ามาทําลาย ไม่ว่าจะเป็นค่ายกลรอบนอกหรือค่ายกลที่ตั้งอยู่ในส่วนลึกของยอดเขา พวกมันเริ่มหายไปในเวลาอันรวดเร็ว

“มีคนกําลังทําลายค่ายกล?”

ชายผมสีเทาที่ไม่ได้พูดตั้งแต่ต้นก็เงยหน้าขึ้น และกล่าวอย่างเคร่งขรึม

“ทําลายค่ายกล?”

“ผู้ใดกัน? กล้ามาทําเรื่องเช่นนี้ต่อหน้าพวกเรา”

บรรพชนพรรคหมื่นดาบล้วนโกรธจัด เดินตามชายผมสีเทาออกไปทีละคน

เห็นชายร่างผอมสูงยืนอยู่บนอากาศเดินมา ทางตําหนักหินอ่อนทีละขั้น

ทุกครั้งที่ก้าวย่าง ค่ายกลฟ้าดินโดยรอบตําหนักหินอ่อนก็พังทลายลงจนหมด จนเมื่อเขาขึ้น มายืนบนยอดเขาค่ายกลฟ้าดินขนาดใหญ่พลันแตกออกเป็นเสี่ยงๆ และซูฉินที่ยืนอยู่บนซากปรักหักพังนั้นราวกับเป็นเทพเซียน

“ข้าก็อยากจะรู้ว่าพรรคหมื่นดาบของเจ้าจะทําให้ข้ากลายเป็นฝุ่นธุลีได้อย่างไร?” แววตาของซูฉินสงบนิ่ง มองดูบรรพชนพรรคหมื่นดาบราวกับเหยี่ยวมองเหยื่อ

ในช่วงเวลาที่บดขยี้ค่ายกลฟ้าดิน จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ที่น่าสะพรึงกลัวของซูฉินก็เข้าปกคลุมตําหนักหินอ่อนทั้งหมดไว้ จึงทําให้คําพูดสุดท้ายของบรรพชนพรรคหมื่นดาบเข้ามาในหูของเขา

“เจ้าคือตํานานยุทธขั้นสูงสุดแห่งเมืองฉางอันใช่หรือไม่?”

ทันทีที่ซูฉินกล่าวจบ รูม่านตาของชายชุดเทาก็หดตัวลงจากความรู้สึกเหลือเชื่อ

เขาไม่คิดมาก่อนว่าซูฉินจะพบสถานที่นี้ได้เร็วขนาดนี้ รู้หรือไม่ว่าหลังจากที่พาหลีหว่านมาที่นี่ เขาได้ร่วมมือกับบรรพชนอีกหลายคนใช้วิธีลับบางอย่างของพรรคหมื่นดาบในการปกปิดการเชื่อมโยงของเจตจํานงดาบ

ด้วยสถานการณ์เช่นนี้ การเชื่อมโยงระหว่างซูฉินกับเจตจํานงดาบย่อมหายไปอย่างสมบูรณ์ เป็นไปได้อย่างไรที่จะค้นพบสถานที่นี้ได้แม่นยําเช่นนี้?

บรรพชนคนอื่นๆของพรรคหมื่นดาบชําเลืองมองหน้ากัน เดินไปยังตําแหน่งต่างๆ โดยไม่แสดงท่าที่ใด ค่อยๆเข้าโอบล้อมซูฉินไว้ตรงกลางอย่างแผ่วเบา

แม้ว่าซูฉินจะมาได้เร็วเกินความคาดหมายของพวกเขา แต่บรรพชนพรรคหมื่นดาบก็ไม่กลัว แม้ว่าเลือดเนื้อพลังชีวิตของพวกเขาจะลดลง เมื่อร่วมมือกัน อาจจะไม่ถึงขนาดเอาชนะซูฉินได้ แต่อย่างน้อยการทําให้ซูฉินถอยกลับไปก็ทําได้อย่างแน่นอน

“ทําไม?”

“กล้าที่จะคุยกันลับหลังข้า ตอนนี้ไม่พูดเสียแล้วหรือ?”

จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของซูฉินปกคลุมไปทั่วบริเวณ เขารู้พฤติกรรมของบรรพชนพรรคหมื่นดาบทั้งหลาย แต่ไม่ได้มีความตั้งใจจะหยุดมัน

“เอาล่ะ”

“ข้าให้พวกเจ้าสองทางเลือก”

ซูฉินขี้เกียจเกินกว่าจะเสียเวลา เขาเหลือบมองบรรพชนพรรคหมื่นดาบแล้วพูดขึ้นเบาๆว่า “หนึ่ง คือมอบหลีหว่านมา แล้วข้าจะมอบโอกาสให้จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของพวกเจ้าหลบหนีหลังจากเป็นศพ”

“อย่างที่สอง ฝังร่างอยู่ที่นี่ตลอดไป”

ซูฉินพูดอย่างเร่งรีบ ราวกับพูดถึงเรื่องธรรมดาทั่วไป

“โอหัง!”

บรรพชนพรรคหมื่นดาบโกรธมาก เขาไม่คาดคิดว่าซูฉินจะมีวาจาสามหาวเช่นนี้
รู้หรือไม่ว่าบรรพชนเหล่านี้ยังไม่ได้แปรเปลี่ยนจิตวิญญาณแรกกําเนิด เมื่อจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์หลุดพ้นจากร่างไปแล้วก็สามารถมีชีวิตรอดอยู่ได้ไม่กี่เดือน

ซูฉินให้โอกาสพวกเขาหนีไปแต่จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ก็แทบจะไม่ต่างจากการสังหารพวกเขาทั้งหมด

“มีความมั่นใจดีนี่ ก็ลองดูว่าจะหยุดพวกข้าได้หรือไม่?” ชายชุดเทามองซูฉินอย่างเย็นชา

เขายอมรับว่าซูฉินนั้นแข็งแกร่ง ไม่เช่นนั้นจะสังหารตํานานยุทธขั้นสูงสุดอย่างบรรพบุรุษหยวนได้อย่างไร?

แต่ไม่ว่าซูฉินจะแข็งแกร่งเพียงไร เขาก็แค่คนคนเดียว จะแข่งกับรากฐานที่พรรค

หมื่นดาบ สะสมมากว่าสี่พันปีและศิษย์จํานวนมากมายมหาศาลได้อย่างไร?

บรรพชนพรรคหมื่นดาบมองไปที่ใบหน้าเฉยเมยของซูฉินพร้อมกับเย้ยหยัน “เจ้ากําลัง มองหาร่างหัวใจดาบอยู่ใช่หรือไม่?”

“สายไปแล้ว ร่างหัวใจดาบได้ถูกมอบให้กับบรรพชนดาบ และตอนนี้มันจะต้องถูกยึดครองโดยจิตวิญญาณแรกกําเนิดของบรรพชนดาบไปแล้วล่ะ”

บรรพชนพรรคหมื่นดาบเยาะเย้ย “บรรพชนดาบของข้ากําลังจะตื่นขึ้น นับเป็นพรของอาณาจักรถังแล้วที่มีร่างหัวใจแห่งดาบ ข้าไม่แนะนําให้เจ้าไปยุ่ง มอบแผ่นดินแห่งพลังยุทธฯมาแต่โดยดี บางทีเราอาจจะช่วยต่อชีวิตเจ้าได้หากอยู่ต่อหน้าบรรพชนดาบ”

บรรพชนของพรรคหมื่นดาบกล่าวถึง บรรพชนดาบ’ ทั้งโดยเจตนาและไม่เจตนา เพียงแค่ต้องการให้ซูฉินเกรงกลัวและไม่กล้าลงมือ

ในสายตาของเขา ผู้แข็งแกร่งเช่นซูฉินย่อมยังน้ําหนักผลดีผลเสีย และจะต้องหลีกเลี่ยงการเป็นศัตรูกับผู้แข็งแกร่งในระดับแปรเปลี่ยนจิตวิญญาณแรกกําเนิดอย่างบรรพชนดาบ ไม่เอาตัวไปเสี่ยงเพียงเพื่อร่างหัวใจแห่งดาบ
“อะไรนะ?!”
ดวงตาของซูฉินกลายเป็นดุร้าย

พลังปราณและเลือดเนื้ออันมหาศาลก็พวยพุ่งออกจากร่างของซูฉิน ทันใดนั้นมันก็ปกคลุมยอดเขาทั้งหมดในทันที ไม่ว่าจะเป็นชายชุดเทา หรีอบรรพชนคนอื่นๆ ของพรรคหมื่นดาบ ภายใต้พลังปราณและเลือดเนื้อนี้ พวกเขารู้สึกว่าตนเองตกลงไปในเหวลึก

หลังจากที่ร่างกายของซูฉินแปรสภาพครั้งที่หกได้อย่างสมบูรณ์ และกลืนกินแหล่งกําเนิดธาตุดิน จนสามารถมาถึงครึ่งก้าวสู่ร่างแห่งธรรมชาติได้ ความแข็งแกร่งทางกายภาพของร่างนี้ก็น่าทิ้งอย่างยิ่ง

“ปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไปไม่ได้แล้ว”

บรรพชนพรรคหมื่นดาบดูเคร่งเครียดอย่างมาก ในตอนนี้ท่ามกลางพลังเลือดเนื้อของซูฉิน มันเหมือนพวกเขาติดอยู่ในหลุ่มโคลน ทุกการเคลื่อนไหวตกอยู่ใต้แรงกดดันมหาศาล และแรงกดดันนี้ ยังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องด้วยความเร็วที่สามารถ สึกได้

ด้วยกระแสพลังนี้ หลังจากผ่านไปครู่หนึ่งบรรพชนพรรคหมื่นดาบจะถูกลดความเร็วลงอย่างมาก และพวกเขาจะไม่สามารถหลบหลีกได้

“ดาบบุกทะลวงประการที่หนึ่ง!”

บรรพชนพรรคหมื่นดาบที่กําลังคุกคามซูฉิน เพียงก้าวไปด้านหน้า เจตจํานงดาบก็เปล่ง ประกายควบแน่นออกมาทันที และทันทีที่เจตจํานงดาบปรากฏขึ้นมา พลังฉีฟ้าดินโดยรอบก็พลุ่งพล่านรวมเข้าเจตจํานงดาบนี้ทันที

หวิ่ง!!!

เจตจํานงดาบเปลี่ยนจากพลังงานไปเป็นรูปธรรม ฟันเข้าใส่ซูฉิน
ฟิว

เจตจํานงดาบที่น่าสะพรึงกลัวดูเหมือนจะกวาดล้างได้ทุกสิ่งพุ่งเข้าหาซูฉินอย่างรวดเร็ว

อย่างไรก็ตาม เมื่อเจตจํานงดาบบุกทะลวงประการที่หนึ่งนี้เข้าใกล้ซูฉินในระยะสิบเมตร ปราณชีวิตและเลือดเนื้ออันทรงพลังไร้ที่สิ้นสุดก็ชะล้างเจตจํานงดาบออกไปอย่างต่อเนื่อง

ท่ามกลางสายตาเหลือเชื่อของทุกคน เจตจํานงดาบของบรรพชนพรรคหมื่นดาบก็ถูกทําลายล้างที่ระยะแปดเมตรก่อนถึงร่างของซูฉิน ราวกับมันไม่มีอะไรเกิดขึ้นมาก่อน
“ช่างเป็นปราณชีวิตเลือดเนื้อที่น่ากลัวอะไรเช่นนี้?”

บรรพชนพรรคหมื่นดาบทั้งหมดต่างตื่นตะลึง ถ้าซูฉินปัดป้องเจตจํานงดาบ พวกเขาก็ยังพอยอมรับได้ เพราะอย่างไรก็ไม่มีใครคิดว่าเจตจํานงดาบเพียงเท่านี้จะสังหารซูฉินได้

แต่ซูฉินไม่ได้ขยับแม้แต่น้อยตอนที่ยืนอยู่ตรงนั้น อาศัยเพียงพลังของเลือดเนื้อที่แผ่ออกมาก็สามารถป้องกันเจตจํานงดาบได้ ช่างน่าตกตะลึง

“ตาข้าแล้ว”

ดวงตาของซูฉินเย็นชา และยื่นแขนขวาเข้าหา บรรพชนพรรคหมื่นดาบที่ลงมือเมื่อครู่
บูม

เห็นฝ่ามือขนาดใหญ่ราวกับเทพเซียนควบแน่น ขึ้นมาจากความว่างเปล่า ประหนึ่งภูเขาเทพเจ้า โบราณทุ่มลงมาใส่อย่างกะทันหัน

ไม่ว่าจะเป็นบรรพชนพรรคหมื่นดาบคนใดก็ ล้วนเป็นตํานานยุทธขั้นสูงสุดที่ควบแน่นอาณาเขตได้ แม้ร่างกายของซูฉินจะมาถึงครึ่งก้าวสู่กายแห่งธรรมชาติแล้วก็ตาม แต่ก็ไม่ใช่กายแห่งธรรมชาติที่แท้จริง ไม่สามารถสังหารได้ด้วยการใช้ปราณจากเลือดเนื้อเพียงอย่างเดียว

“ไม่ดีแล้ว!”
บรรพชนพรรคหมื่นดาบที่เพิ่งออกกระบวนท่า เมื่อครู่เมื่อเห็นฝ่ามือขนาดใหญ่นี้ หนังศีรษะก็ชาวาบ เขากลั่นเลือดเนื้อควบแน่นเป็นดาบปล่อยออกไปโดยไม่ลังเล จากนั้นจึงปลดปล่อยอาณาเขตออกมาขวางด้านหน้า

บรรพชนคนอื่นๆ ของพรรคหมื่นดาบต่างหน้าเปลี่ยนสีกันไปหมด แต่ก่อนที่เขาจะทันได้ตอบโต้อะไร ฝ่ามือขนาดยักษ์ก็ร่วงลงมาจากฟ้าแล้

แกร็ก

เห็นว่าอาณาเขตขนาดร้อยจ้างที่บรรพชนพรรคหมื่นดาบปล่อยออกมาป้องกัน เมื่อปะทะเข้ากับฝ่ามือจากฟากฟ้า มันก็ราวกับกระดาษแผ่นบางๆแตกสลายทันทีที่สัมผัส บรรพชนพรรคหมื่นดาบอาเจียนออกมาเป็นเลือด เทลงไปบนดาบที่อยู่เบื้องหน้าตน ส่งดาบนั้นพุ่งฝ่าอากาศเข้าปิดกั้นฝ่ามือขนาดยักษ์นั่น

น่าเสียดาย

พลังฝ่ามือนี้ของซูฉินไม่ได้ตั้งใจจะออมมือไว้เลย มันจะถูกป้องกันได้ด้วยดาบเลือดนั่นได้อย่างไร?

ท่ามกลางสายตาตกตะลึงของทุกคน ดาบเลือดที่ส่องประกายแหลมคมก็ค่อยๆ ยุบตัวลงตาม แรงกระทบของฝ่ามือขนาดใหญ่ ในท้ายที่สุดบรรพชนพรรคหมื่นดาบก็ถูกบดขยี้เป็นชิ้นๆ จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ยังถูกทําลายกลายเป็นอากาศธา“นี่….”

เมื่อเห็นฉากนี้ บรรพชนพรรคหมื่นดาบที่กําลังจะเคลื่อนไหวก็หยุดความคิดที่จะเคลื่อนไหวในทันที

ซูฉินฟาดบรรพชนพรรคหมื่นดาบซึ่งเป็นตํานานยุทธขั้นสูงสุดให้ตายได้ด้วยฝ่ามือเดียว หากพวกเขาลงมือต่อไป คงไม่ได้ทําให้สถานการณ์ดีขึ้นมากนัก

“ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับหลีหว่าน พรรคหมื่นดาบจะต้องถูกทําลายจนสิ้น”

ซูฉินดูเฉยเมย ยกมือขวาขึ้นเตรียมฟาดเข้าใส่บรรพชนพรรคหมื่นดาบอีกครั้ง

บรรพชนพรรคหมื่นดาบที่เหลืออยู่หน้าซีดรา วกับกระดาษตัวสั่นเทา ท่ามกลางแรงกดดันในอากาศอันรุนแรงจากปราณชีวิตเลือดเนื้อของซูฉิน ทําให้เป็นเรื่องยากที่จะหลบหนี ทําได้เพียงรอเงียบๆให้ความตายมาถึงตัว

“เจ้าลงมือกับพรรคหมื่นดาบเช่นนี้ เจ้าไม่กลัวว่าบรรพชนดาบจะมาชําระแค้นกับเจ้าในอนาคตหรือ?” ชายชุดเทาตัวสั่นไปทั้งตัว เสียงอันแหบแห้งพยายามรวบรวมความกล้า ยกบรรพชนดาบขึ้นมาอีกครั้ง เพื่อทําให้ซูฉินหวาดกลัว

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ตอบกลับมาเป็นเพียงประกายแสงจากคมมีดสีดําที่พุ่งทะลวงพื้นที่มิติ

Sign in Buddha’s palm 271 ลงมือ

ภายในตําหนักหินอ่อน

ตํานานยุทธขั้นสูงสุดที่นั่งอยู่ด้านซ้ายยังคงต้อง มองรอยบนดาบไม้ที่อยู่เบื้องหน้า สีหน้าดูตื่นตาตื่นใจราวกับเห็นสมบัติล้ําค่า

คนอื่นๆ ก็เช่นเดียวกัน มองดูตราประทับดาบ ด้วยสายตาไม่อยากจะเชื่อ

พวกเขาทั้งหมดเป็นบรรพชนพรรคหมื่นดาบ และความสําเร็จในวิชาดาบของพวกเขาก็เหนือกว่าตํานานยุทธขั้นสูงสุดคนอื่นๆอย่างแน่นอน เป็นธรรมดาที่จะมองเห็นได้ว่ารอยดาบบนแผ่นไม้ชิ้นนี้น่ากลัวเพียงใด

ไม่ใช่ว่าเจตจํานงดาบที่อยู่ภายในตราประทับ ดาบจะเหนือกว่าพรรคหมื่นดาบ

พรรคหมื่นดาบเป็นนิกายใหญ่ที่สืบทอดมรดกมาจากเทพเจ้าแห่งวิชาดาบ ผู้ทําให้พรรคหมื่นดาบครองยุทธภพต่างแดนมาได้กว่าห้าร้อยปี จะนํามาเปรียบเทียบกับรอยดาบที่ซูฉินทิ้งไว้โดยไม่ตั้งใจได้อย่างไร?

ที่บรรพชนพรรคหมื่นดาบตกตะลึงเป็นเพราะเจตจํานงในตราประทับดาบนั้นไม่ใช่เจตจํานงที่พวกเขารู้จัก และในแง่ของความเฉียบคมนั้นก็ เทียบเคียงหรืออาจจะมากกว่าเจตจํานงแห่งดาบสิบประการที่พรรคหมื่นดาบภูมิใจนักภูมิใจหนาเสียอีก

สิ่งนี้น่ากลัวเป็นอย่างยิ่งแล้ว

รู้หรือไม่ว่าเจตจํานงแห่งดาบสิบประการของ นิกายหมื่นดาบ ถูกทิ้งไว้โดยนักพรตหมื่นดาบ โดยอ้างว่าครอบคลุมวิชาดาบทุกประเภทบนโลกแล้ว แต่ตอนนี้ เจตจํานงดาบบนแผ่นไม้นี้กลับไม่ใช่หนึ่งในสิบเจตจํานงแห่งดาบอันยิ่งใหญ่ของ พรรคหมื่นดาบ อย่างไรก็ตามมันกลับเทียบเคียงวิชาในอดีตนั้นได้ทั้งในแง่พลังและความเฉียบคม

นี่แสดงให้เห็นสิ่งใด?

มันแสดงให้เห็นว่าผู้ที่ทิ้งรอยดาบนี้เอาไว้มี ความเข้าใจเรื่องวิชาดาบอย่างมาก ถึงแม้จะไม่ได้เก่งกาจเท่ากับนักพรตหมั่นดาบเมื่อครั้งกระโน้น แต่เกรงว่าคงจะอยู่ไม่ห่างไกลกันมากนัก อย่างน้อยนักพรตหมื่นดาบก็ไม่ได้คาดคิดถึงเจตจํานงดาบประเภทนี้

แน่นอนว่าความเข้าใจในเชิงดาบก็คือความเข้า ใจในเชิงดาบ ความแข็งแกร่งของฐานบ่มเพาะก็ส่วนความแข็งแกร่งของฐานบ่มเพาะ ทั้งสองอย่างไม่สามารถนํามาปะปนกันได้ แต่ไม่ว่ากรณีใด รอยดาบตื้นๆบนแผ่นไม้นี้ก็ทําให้บรรพชนพรรคหมื่นดาบหลายคนตกใจจริงๆ

“ฮิม!”

“แม้เจตจํานงดาบจะเฉียบคมกว่า แต่ข้าก็สามารถระงับมันไว้ได้ไม่ใช่หรือ?” ในเวลานี้บรรพชนพรรคหมื่นดาบที่มีผมสีแดงก็พ่นลมออกมาด้วยความเย็นชา

“นั่นก็จริง”

ความเย่อหยิ่งพลันปรากฏขึ้นบนใบหน้าของบรรพชนคนที่สามของพรรคหมื่นดาบ
ถ้าซูฉินมาด้วยตนเอง พวกเขาจะต้องระมัดระวังอย่างยิ่ง ท้ายที่สุดการตายของบรรพบุรุษหยวนเมื่อไม่นานมานี้ ก็ทําให้บรรพชนอย่างพวกเขาใจสั่นได้ชั่วขณะหนึ่ง และการที่ซูฉินสามารถสังหารบรรพชนชีหยวนได้ก็น่ากลัวขึ้นไปอีก

แต่เพียงว่า เจตจํานงดาบที่อีกฝ่ายทิ้งไว้ ในสายตาของบรรพชนพรรคหมื่นดาบเหล่านี้มันไม่ได้ทรงพลังอะไรเลย

“แต่องค์หญิงแห่งอาณาจักรถังหาใช่เป็นเพียง ร่างหัวใจดาบไม่ แต่ยังมีเจตจํานงดาบของตํานานยุทธขั้นสูงสุดเมืองฉางอันติดตัวอยู่ด้วย ความสัมพันธ์ของทั้งคู่คงจะไม่ตื้นเขิน”

“การที่พวกเรานําตัวองค์หญิงแห่งอาณาจักรถังมา และระงับเจตจํานงแห่งดาบนี้ไว้ ข้าเกรงว่ามันจะทําให้ตํานานยุทธเมืองฉางอันขุ่นเคืองใจ…..”

บรรพชนผมแดงอีกคนที่เพิ่งเริ่มพูดก็กล่าวออกมาโดยที่น้ําเสียงเพื่อความกังวลเอาไว้

แม้ว่าพวกเขาจะเป็นตํานานยุทธขั้นสูงสุด แต่ก็เป็นเพียงระดับเดียวกับซูฉิน ท้ายที่สุด พวกเขาหลับใหลด้วยวิธีลับทําให้เลือดเนื้อพลังชีวิตสลายไป อาจจะพอต่อสู้กับซูฉินได้ในเวลาสั้นๆ แต่เมื่อถูกลากถ่วงไปนานๆ พวกเขาจะสู้ตํานานยุทธขั้นสูงสุดที่เต็มไปด้วยพลังชีวิตและเลือดเนื้ออย่างซูฉินได้อย่างไร?

นี่ไม่ใช่ผลลัพธ์ที่แย่ที่สุด

เมื่อซูฉินเต็มใจที่จะฉีกหน้าตนเอง ลงมือกับเหล่าศิษย์พรรคหมื่นดาบ ใครเล่าจะหยุดความโกรธเกรี้ยวของตํานานยุทธขั้นสูงสุดได้?

ในเวลานั้น พวกเขาซึ่งเป็นบรรพชนพรรคหมื่นดาบ แม้ว่าต้องการจะหยุด แต่เกรงว่าคงจะหยุดมันไม่ได้

สุดท้ายบรรพชนก็มีเพียงไม่กี่คน แต่ศิษย์พรรคหมื่นดาบมีนับหมื่น พวกเขาไม่สามารถปกป้องคนทั้งหมดได้ เว้นแต่พรรคหมื่นดาบจะปิดภูเขา และไม่อนุญาตให้ศิษย์คนใดออกจากพรรคหมื่นดาบ จึงจะสามารถหยุดการสังหารหมู่ของซูฉินได้

แต่หากเป็นเช่นนั้น พรรคหมื่นดาบจะสูญเสียความสามารถในการควบคุมความเป็นไปในโลกภายนอกไปโดยสิ้นเชิง และทรัพยากรสําหรับบ่มเพาะที่ถือครองก็จะลดลงไปอย่างมาก และยิ่งเวลาผ่านไปนานมันมีแต่จะลดน้อยลงไปอีกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ใบหน้าของบรรพชนคนอื่นๆของนิกายหมื่นดาบเปลี่ยนไปเล็กน้อย พวกเขารู้สึกลําบากใจขึ้นมาในทันที

นี่แหละคือพลังของตํานานยุทธขั้นสูงสุด

หากล่วงเกินตํานานยุทธขั้นสูงสุด แม้ว่าจะเป็นนิกายใหญ่ก็ต้องปวดหัว ยังไม่ได้กล่าวถึงเรื่องที่ซูฉินหาใช่ตํานานยุทธธรรมดาๆ ไม่แม้แต่บรรพบุรุษชีหยวนก็ตกตายด้วยน้ํามือของเขา เขาจะเป็นตํานานยุทธขั้นสูงสุดธรรมดาไปได้อย่างไรกัน?

ในขณะที่เหล่าบรรพชนพรรคหมื่นดาบกําลังแสดงสีหน้าบิดเบี้ยวอยู่นั้น

ชายผู้เงียบขรึมในชุดสีเทาที่นั่งขัดสมาธิอยู่ตรงกลาง ค่อยๆเอ่ยออกมาช้าๆ “อย่าได้กังวลเรื่องตํานานยุทธเมืองฉางอันไปเลย”

เห็นได้ชัดว่าชายชุดเทาผู้นี้มีสถานะไม่ธรรมดา ทันทีที่เขาเปิดปาก บรรพชนคนอื่นๆก็สงบลงและหันกลับมามองทีละคน

เหตุผลที่พวกเขาต้องเสี่ยงลงมือล่วงเกินตํานานยุทธขั้นสูงสุดนําตัวหลีหว่านมาและระงับเจตจํานงดาบของซูฉิน ทั้งหมดก็เป็นความคิดของชายชุดเทาผู้นี้

ไม่เช่นนั้นหากบรรพชนในที่แห่งนี้ต้องการจะ ทําอะไรบางอย่างกับซูฉิน พวกเขาก็จะไม่เลือก ใช้วิธีนี้

“เราได้ระงับเจตจํานงแห่งดาบนี้รวมถึงตัดการเชื่อมต่อไปแล้ว แม้ว่าตํานานยุทธเมืองฉางอันจะรู้ว่านี่เป็นฝีมือของพรรคหมื่นดาบ แต่ก็คงไม่สามารถระบุตําแหน่งได้”

“ภายในเวลาอันสั้น อีกฝ่ายคงตามหาพวกเราไม่เจอ”

ชายในชุดเทาสายศีรษะและกล่าวคําเบาๆ

“หรือถ้าจะให้พูด”

เมื่อชายชุดเทากล่าวเช่นนี้ รอยยิ้มก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขา
“บรรพชนดาบรู้สึกได้ถึงกระแสปราณฉี จิตวิญญาณแรกกําเนิดได้ตื่นขึ้นแล้ว และต้องการใช้ร่างหัวใจแห่งดาบอย่างเร่งด่วน”

“ด้วยความแข็งแกร่งของบรรพชนดาบ หากท่านตื่นขึ้นจริงๆ เจ้าจะกลัวตํานานยุทธขั้นสูงสุดไปทําไม?”

ชายชุดเทามองไปรอบๆ พร้อมกับกล่าวคําเบาๆ

บรรพชนดาบ..

ทันทีที่กล่าวคํานี้ออกมา บรรพชนหลายคนในโถงก็ตัวสั่นงันงก

ในฐานะบรรพชนพรรคหมื่นดาบ พวกเขาจะไม่รู้จักบรรพชนดาบได้อย่างไร? นับตั้งแต่นักพรตหมื่นดาบก่อตั้งพรรคหมื่นดาบขึ้นมา บรรพชนดาบเป็นผู้ที่มีความสามารถมากที่สุดของพรรคหมื่นดาบในรอบหลายพันปี ไม่เพียงแต่สืบทอดมรดกทั้งหมดของนักพรตหมั่นดาบเท่านั้น แต่ยังเปลี่ยนจิตวิญญาณแรกกําเนิดได้แล้วด้วยอยู่ ห่างจากขอบเขตเซียนเทพปฐพีเพียงก้าวเดียวเท่านั้น

“ปรากฏว่าบรรพชนดาบต้องการที่จะลืมตาตื่นขี้นมา และก็ต้องการร่างกายด้วย…”

“ด้วยความแข็งแกร่งของบรรพชนดาบ กายเนื้อธรรมดาย่อมเป็นสิ่งไร้ค่า มีเพียงร่างหัวใจดาบที่เข้ากันได้ดีกับวิถีแห่งดาบเท่านั้น จึงจะบรรจุจิตวิญญาณแรกกําเนิดของบรรพชนดาบได้…

บรรพชนคนอื่นๆ ทั้งประหลาดใจและยินดี ในใจเต็มไปด้วยความตื่นเต้น

พวกเขายังสงสัยอยู่เลยว่าทําไมชายชุดเทาจึงยืนกรานที่จะเลือกทางเดินสายนี้ สร้างความขุ่นเคืองให้กับตํานานยุทธเมืองฉางอัน กลับกลายเป็นว่าบรรพชนดาบกําลังจะตื่นขึ้นนี่เอง

บรรพชนดาบมีชีวิตอยู่มานานกว่าพันเก้าร้อยปี เวลาที่ยาวนานเช่นนี้ แม้จะมีวิธีลับในการปิดผนึกเลือดเนื้อพลังชีวิต แต่เลือดเนื้อทั้งหมดนั้นก็ควรจะเสื่อมสลายไปนานแล้ว

เนื้อหนังของตํานานยุทธขั้นสูงสุดทั่วไปล้วนเน่าเปื่อย หากไม่มีวิธีลับปิดผนึกตนเอง คนผู้นั้นจะต้องตายแล้วตายอีกจนไม่สามารถตายได้อีก แต่บรรพชนดาบนั้นแตกต่างออกไป

บรรพชนดาบเปลี่ยนเป็นจิตวิญญาณแรกกําเนิด

จิตวิญญาณแรกกําเนิดนั้นมีพลังเข้มข้นมาก ตํานานยุทธขั้นสูงสุดที่สามารถเปลี่ยนจิตวิญญาณแรกกําเนิดได้ แม้ร่างกายจะถูกทําลาย แต่ก็สามารถเกิดใหม่ได้ด้วยการใช้จิตวิญญาณแรกกําเนิดยึดครองร่าง

นอกจากนี้ การดํารงอยู่ของจิตวิญญาณแรกกําเนิดนั้นยืนยาวกว่าร่างกายมาก บรรพชนดาบอาศัยจิตวิญญาณแรกกําเนิด เสริมด้วยวิธีลับปิดผนึกตนเองจึงสามารถอยู่รอดมาจนถึงทุกวันนี้

เพียงแต่ว่า หลังจากหลับใหลไปเป็นเวลานาน แม้จะเป็นจิตวิญญาณแรกกําเนิดก็ตาม มันย่อมอ่อนแอลงอย่างมาก จึงต้องการร่างกายใหม่เพื่อถือกําเนิดอีกครั้ง และร่างกายนั้นจะต้องเป็นร่างหัวใจดาบเท่านั้น เพราะกายเนื้ออื่นๆไม่สามารถรองรับจิตวิญญาณแรกกําเนิดของบรรพชนดาบที่เต็มไปด้วยเจตจํานงแห่งดาบอันทรงพลังมหาศาลได้

นี่จึงเป็นสาเหตุว่าทําไมพรรคหมื่นดาบจึงลักพาตัวหลีหว่านไปอย่างไม่มีทางเลือก เมื่อพบว่าหลีหว่านมีร่างหัวใจแห่งดาบ

ตราบใดที่บรรพชนดาบสามารถฟื้นขึ้นมาได้ พรรคหมื่นดาบจะครองใต้หล้าอีกครั้ง จะยอมพ่ายแพ้เพียงเพราะตํานานยุทธขั้นสูงสุดอย่างซูฉินได้อย่างไร?

มีเพียงบรรพชนผมแดงเท่านั้นที่ยังคงกังวลเล็กน้อย เขามองไปที่ชายชุดเทา อดไม่ได้ที่จะกล่าวขึ้นว่า “ตอนนี้กระแสปราณฉียังไม่ฟื้นคืนเต็มที่ จะเร็วเกินไปหรือไม่ที่บรรพชนดาบจะยืนขึ้นตอนนี้? หากจิตใจแห่งฟ้าดินไม่เพียงพอ จะทําให้จิตวิญญาณแรกกําเนิดเสียหายเอาได้…..

บรรพชนดาบเป็นรากฐานที่แข็งแกร่งที่สุดของ พรรคหมื่นดาบ ตราบใดที่บรรพชนดาบยังคงมีชีวิตอยู่ ก็คงไม่มีใครมีความคิดหาญกล้าต่อสู้กับพรรคหมื่นดาบ
“ไม่เร็วไปหรอก”

ชายชุดเทาสายศีรษะ แล้วกล่าวด้วยเสียงที่หนักแน่น “บรรพชนดาบสัมผัสได้ถึงความเข้มข้นของกระแสปราณฉีแล้ว และมันกําลังจะเกิดการเปลี่ยนแปลงบางอย่าง เมื่อถึงเวลานั้นจะมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่บนโลก และโอกาสมากมายจากยุคสมัยก่อนจะปรากฏขึ้นอีกครั้ง”

“และที่บรรพชนดาบตื่นขึ้นในเวลานี้ ก็เพียงเพื่อนําพรรคหมื่นดาบของเรา ยึดครองแผ่นดิน แห่งพลังยุทธอันยิ่งใหญ่ คว้าโอกาสครั้งสําคัญนี้ เอาไว้

ชายชุดเทากวาดตามองไปถ้วนทั่ว และกล่าวออกอย่างรวดเร็ว

หากพรรคหมื่นดาบต้องการจะกลับมารุ่งโรจน์อีกครั้ง พวกเขาจะต้องสร้างเซียนเทพปฐพีขึ้นมา แต่ด้วยสภาพแวดล้อมปัจจุบันบนโลก นับประสาอะไรกับเซียนเทพปฐพี แค่จะเปลี่ยนจิตวิญญาณแรกกําเนิดให้ได้ยังเป็นเรื่องยากเลย

แต่นั่นย่อมจะแตกต่างออกไปหากมีโอกาสจาก ยุคเฟื่องฟูของกระแสปราณฉีครั้งล่าสุด

อาจจะไม่ถึงกับสามารถเข้าสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพีได้อย่างแน่นอน แต่อย่างน้อยมันก็ย่อมง่ายกว่าที่เป็นอยู่ตอนนี้

“แล้วตอนนี้พวกเราควรทําเช่นไร?” บรรพชนคนอื่นๆของพรรคหมื่นดาบต่างก็ชําเลืองมอง หน้ากันและพูดออกมาด้วยน้ําเสียงร้อนรน

“รอ”

ชายชุดเทาเงยหน้าขึ้นมองไปทิศทางของดินแดนโพ้นทะเล “ยินดีต้อนรับบรรพชนดาบกลับสู่โลกนี้อีกครั้ง”

ในเวลาเดียวกัน

ร่างของซูฉินปรากฏขึ้นอย่างเงียบเชียบด้าน นอกยอดเขาขนาดยักษ์ซึ่งบริเวณปลายยอดเขามีตําหนักหินอ่อนตั้งอยู่

“นี่คือที่ที่พลังฉีของหลีหว่านคงอยู่เป็นที่สุดท้าย” ซูฉินมองไปยังยอดเขาขนาดยักษ์ตรงหน้าขบคิดในใจอย่างแผ่วเบา

“หม?”

ซูฉันค่อยๆ ปลดปล่อยจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ออกมาช้าๆ มันเคลื่อนตัวเข้าไปหายอดเขาขนาดยักษ์ “ยอดเขานี้ปกคลุมไปด้วยค่ายกลฟ้าดินขนาดใหญ่ ข้าสัมผัสได้ถึงพลังปราณของตํานานยุทธขั้นสูงสุดอยู่ภายใน

ดวงตาของซูฉินลุ่มลึก

ค่ายกลฟ้าดินขนาดใหญ่สามารถสกัดกั้นจิต สัมผัสศักดิ์สิทธิ์และอาณาเขตได้ แต่ไม่สามารถหยุดซูฉินจากการใช้ดวงตาแห่งสัจจะได้

นอกจากนี้เมื่อซูฉินตรวจสอบด้วยดวงตาแห่งสัจจะมันก็ไม่ทิ้งร่องรอยใดๆไว้เลย

“แล้วรอยดาบที่ข้าทิ้งเอาไว้ก็อยู่ที่นี่ด้วย?”

ซูฉินขมวดคิ้วเล็กน้อย

ภายในตราประทับดาบนั้นมีจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของซูฉินอยู่ หากอยู่ห่างกันเป็นระยะทางหลายหมื่นลี้ ควบคู่ไปกับมีตํานานยุทธขั้นสูงสุดคนอื่น คอยปราบปรามมันไว้ คงเป็นเรื่องยากที่ซูฉินจะรู้สึกได้

แต่ในเวลานี้ ซูฉันยืนอยู่ด้านนอกยอดเขาขนาดมหึมา ด้วยระยะที่ใกล้เท่านี้ แม้ว่าบรรพชนพรรคหมื่นดาบจะระงับยับยั้งเอาไว้ ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะหลบซ่อนจากตัวเขา

“ตํานานยุทธขั้นสูงสุดของพรรคหมื่นดาบได้มารวมตัวกันที่นี่……”

ซูฉินหรี่ตาเล็กน้อย เผยให้เห็นถึงความเยือกเย็น

ในตอนนี้ซูฉินรู้ได้โดยทันทีว่าพรรคหมื่นดาบไม่ได้ใจดีกับหลีหว่าน

หลีหว่านมีร่างหัวใจดาบจริง แต่ด้วยภูมิหลังของพรรคหมื่นดาบ หากต้องการรับหลีหว่านเป็นศิษย์จริงๆ ก็แค่บอกซูฉินตามตรง ทําไมต้องแอบนําตัวหลีหว่านออกไป ทั้งยังระงับเจตจํานงดาบที่ซูฉินทิ้งไว้กับหลีหว่าน?

“ข้าก็อยากรู้จริงๆ ว่าหลังจากนี้พรรคหมื่นดาบจะทําสิ่งใดได้”

ซูฉินเยาะเย้ย

หลังจากใช้ความพยายามอยู่ชั่วครู่ ใช้จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์กวาดผ่านรัศมีร้อยลี้โดยรอบ ควบคู่ไปกับดวงตาแห่งสัจจะและวิชาปราณฉีฟ้ากําหนด เมื่อยืนยันได้ว่าไม่มีกับดักใด เขาก็ก้าวเท้าตรงเข้าไปทันที เอื้อมแขนขวาออกไป คว้ามือไปยังยอดเขาขนาดยักษ์ที่สูงเสียดฟ้า

Sign in Buddha’s palm 270 บรรพชนดาบ 

 

ซูฉันเดินเข้าไปภายในโถงชีวิตนิรันดร์โดยไม่รีบร้อน

 

หลังจากออกจากวิหารหมื่นพุทธในทะเลทรายตะวันตกแล้วซูฉินก็แวะไปวัดเส้าหลินอีกครั้ง หนึ่งก่อนจะรีบกลับมายังเมืองฉางอัน

 

ระหว่างทางซูฉินก็ไม่ได้อยู่เฉย แต่ยังทําความคุ้นเคยกับทิพยอํานาจคาถาดําดินพยายามปรับ ตัวให้เคยชินกับสภาพแวดล้อมใต้ดิน

 

ทิพยอํานาจนั้นต่างจากคัมภีร์เคล็ดวิชามันคล้ายกับเป็นสัญชาตญาณเสียมากกว่า คล้ายกับการกินอาหารหรือดื่มน้ํามันเป็นเรื่องธรรมชาติแต่ก็ยังต้องสร้างความคุ้นเคย

 

โดยเฉพาะส่วนลึกใต้โลก มีพื้นที่พลังงานที่น่าสะพรึงกลัวอยู่ทุกรูปแบบแม้จะเป็นซูฉินเอง เขาก็ต้องหลบเลี่ยงเมื่อพบเจอเพราะหากเข้าไปใกล้ แม้จะไม่ได้มีอันตรายใดๆ แต่มันก็สร้างปัญหาให้อย่างมากอาจจะติดกับอยู่จุดนั้นชั่วระยะเวลา หนึ่ง

 

“พี่สาม”

 

จักรพรรดิถังสาวเท้าเดินเข้ามาหาอย่างรวดเร็วอธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมาและ หยิบยกการคาดคะเนต่างๆตามความเป็นจริง 

 

“หลีหว่านถูกพาตัวไป?”

 

ซูฉินขมวดคิ้วเล็กน้อย

 

แม้ว่าแหล่งกําเนิดธาตุดินจะเป็นการรวมตัวกันของพลังงานธาตุดินจํานวนมากแต่ไอพลังนั้นก็ถูกยับยั้งเอาไว้หากไม่ใช่เพราะบรรพชนหกบรรพชนเจ็ดและบรรพชนเก้าแห่งวิหารหมื่นพุทธพาเขาไปยังแหล่งกําเนิดธาตุดินเขาก็คงไม่พบสิ่งผิดปกติใดบริเวณแหล่งกําเนิดธาตุดินนั้น 

 

เป็นเรื่องยากที่บุคคลภายนอกจะสามารถหาแหล่งกําเนิดธาตุดินได้และในทํานองเดียวกันหากบุคคลใดเข้าไปอยู่ภายในแหล่งกําเนิดธาตุดินการรับรู้ถึงโลกภายนอกก็จะกลายเป็นคลุมเครือ

 

ซูฉินปิดด่านฝึกตนอยู่ในแหล่งกําเนิดธาตุดินเป็นเวลาสองเดือนการรับรู้ของเขาพร่ามัวนอก จากนี้ทะเลทรายตะวันตกยังอยู่ห่างจากเมืองฉางอันออกไปไกลมากดังนั้นเขาจึงไม่รู้เรื่องที่หลี หว่านไม่ได้อยู่ภายในเมืองฉางอัน

 

“มันเกิดอะไรขึ้น?”

 

ดวงตาของซูฉินสงบนิ่ง ค่อยๆ พูดเบาๆ

 

ไม่ว่าอย่างไรหลีหว่านก็เป็นหลานสาวของเขาด้วยเหมือนกันหลังจากใกล้ชิดนางมาหลายปีมักจะชี้แนะนางอยู่เป็นประจําไม่ว่าซูฉินจะเป็นคนเฉยชาแค่ไหนก็เป็นไปไม่ได้ที่จะนิ่งดูดาย หากหลีหว่านหายตัวไป

 

“ผู้อาวุโส”

 

นักพรตเฒ่าหัวใจสั่นไหว

 

แม้ว่าฉันยังคงดูสงบอยู่ในตอนนี้ราวกับไม่มีความผันผวนเลยแม้แต่น้อยแต่นักพรตเฒ่าก็รู้สึกได้จางๆว่าบรรยากาศรอบตัวของเขาเริ่มจะบีบตัวแน่นแม้แต่กระแสปราณฟ้าดินก็ถูกกดขี่เหยียบ

 

“ความแข็งแกร่งของผู้อาวุโสเพิ่มขึ้นอีกครั้งแล้ว…” นักพรตเฒ่ารู้สึกว่าตนกําลังเผชิญหน้า อยู่กับพลังแห่งผืนฟ้าอันกว้างใหญ่จึงรีบกล่าวออกมาอย่างรวดเร็ว “คนที่นําตัวองค์หญิงหลี หว่านไปควรจะเป็นคนของพรรคหมื่นดาบแต่คนของพรรคหมื่นดาบคงจะไม่ทราบตัวตนขององค์หญิงหลีหว่าน……”

 

นักพรตเฒ่ากัดฟันอธิบาย

 

ในใจนึกกลัวจริงๆ ว่าซูฉินจะไปเข่นฆ่าสังหารพรรคหมื่นดาบเพราะความโกรธ

 

แม้ว่าความแข็งแกร่งของซูฉินจะทรงพลังมากแม้แต่บรรพบุรุษชีหยวนที่ควบแน่นอาณาจักรได้ก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้แต่ถ้าต้องการจะบีบบังคับนิกายใหญ่สักแห่งเกรงว่ามันจะยังไม่เพียงพอ

 

นิกายใหญ่ในต่างแดนนั้นสืบทอดมรดกมายาวนานอย่างน้อยก็หลายพันปี ด้วยเวลาที่นานเพียงนี้ไม่รู้ว่ามีตํานานยุทธขั้นสูงสุดกําเนิดขึ้นมากี่คนไม่ว่าจะเป็นนิกายใหญ่แห่งใดล้วนเป็นถ้ําเสือสระมังกรทั้งนั้นอันตรายอย่างมาก

 

“พวกเขารู้ตัวตนของหลีหว่านแล้ว”

 

ดวงตาของซูฉินหันเหออกไปเล็กน้อยมองไปยังทิศตะวันออกเฉียงใต้

 

“รู้?” นักพรตเฒ่าผงะไปชั่วครู่ ซูฉินอยู่เบื้องหน้าพวกตนเขารู้ได้อย่างไรว่าพรรคหมื่นดาบรู้ ตัวตนของหลีหว่านแล้ว?

 

จักรพรรดิถังและตระกูลซูต่างก็เต็มไปด้วยความสงสัยจ้องมองซูฉินอย่างใกล้ชิด

 

“จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ที่ข้าทิ้งไว้ให้กับหลีหว่านได้หายไปแล้ว”ซูฉินเงียบไปครู่หนึ่ง ร่องรอย ความเย็นชาวาบผ่านใบหน้าของเขา

 

หลังจากที่รู้ว่าหลีหว่านหายตัวไปซูฉินก็ค้นหาแผ่นไม้ที่เคยมอบให้หลีหว่านโดยพลัน

 

หลีหว่านพกแผ่นไม้ชิ้นนี้ติดตัวเอาไว้มันมีตราประทับรูปดาบที่ซูฉินสลักไว้ เมื่อหลีหว่านตกอยู่ในอันตรายจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ภายในตราประทับจะถูกกระตุ้นทันที

 

ด้วยความแข็งแกร่งของเขา แค่จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์อย่างเดียวก็เพียงพอแล้วที่จะบดขยี้ตํานานยุทธระดับนภาชั้นที่ห้าและชั้นที่หก

 

มีเพียงตํานานยุทธขั้นสูงสุดเท่านั้นที่สามารถระงับจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของเขาได้อย่างเงียบเชียบแม้แต่ตํานานยุทธขั้นสูงสุดธรรมดาก็ไม่สามารถระงับได้อย่างสมบูรณ์บางทีอาจจะทําให้เจตจํานงดาบส่งข้อมูลกลับมาได้มีเพียงตํานานยุทธขั้นสูงสุดที่ควบแน่นอาณาเขตแล้วเท่านั้นจึงจะสามารถใช้มันควบคุมรัศมีร้อยจ้างและระงับจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ได้อย่างสมบูรณ์

 

“จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์หายไป?”

 

ใบหน้าของนักพรตเฒ่าซีดเซียว เขาเป็นตํานานยุทธแน่นอนย่อมรู้วิธีการใช้จิตสัมผัสศักดิ์ สิทธิ์ด้วยจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์อันทรงพลังกว้างใหญ่ไพศาลของตํานานยุทธขั้นสูงสุดเช่นซูฉินมันจะหายไปอย่างไร้ร่องรอยได้อย่างไร?

 

อาจจะเป็นตํานานยุทธขั้นสูงสุดบรรพชนของพรรคหมื่นดาบที่เป็นคนลงมือลบจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของซูฉินออกไปด้วยความว่องไวจนทําให้เกิดเรื่องทั้งหมดนี่

 

“พรรคหมื่นดาบกล้าดีอย่างไรถึงได้ฉีกหน้าผู้อาวุโสเช่นนี้?”ใบหน้าของนักพรตเฒ่าดูน่าเก ลียด

 

แม้ว่าร่างหัวใจดาบจะมีศักยภาพสูงแต่มันก็เป็นเพียงศักยภาพเท่านั้นพรรคหมื่นดาบจะมาส ร้างความขุ่นเคืองให้กับตํานานยุทธขั้นสูงสุดเช่นซูฉินเพียงเพราะศักยภาพแค่นี้ได้อย่างไร? 

 

“เป็นไปได้ไหมว่า พรรคหมื่นดาบต้องการร่างหัวใจดาบอย่างเร่งด่วนในยามนี้?”นักพรตเฒ่า ครุ่นคิดความเป็นไปได้มากมายแต่ก็คิดไม่ออก 

 

ด้วยทรัพยากรที่มากมายของพรรคหมื่นดาบหากตั้งใจฟูมฟักร่างหัวใจดาบอย่างเต็มที่ มันก็สามารถผลักดันเข้าสู่ขอบเขตตํานานยุทธได้อย่างรวดเร็ว

แต่ก็เท่านั้น

 

หากต้องการไปต่อในขอบเขตตํานานยุทธหรือแม้แต่เข้าสู่ขอบเขตตํานานยุทธขั้นสูงสุดร่างหัวใจดาบก็ยังห่างไกลจากคําว่าพึ่งพาได้ มันต้องใช้ความเข้าใจอย่างถ่องแท้และจังหวะโอกาสจึงจะเป็นไปได้

 

“บอกข้าเกี่ยวกับพรรคหมื่นดาบ” ซูฉันมองไปที่นักพรตเฒ่าและพูดออกมาช้าๆ

 

แม้ว่าร่างกายของซูฉินจะเป็นกายธรรมชาติอยู่กึ่งหนึ่งแล้วต่อให้เจอเซียนเทพปฐพีก็ยังหลบหนี้ได้ก็ตามแต่พรรคหมื่นดาบเป็นนิกายใหญ่ระดับสูงดังนั้นเขาจึงควรระมัดระวังตนให้มากขึ้นเพื่อไม่ให้ถูกจับกุมตัวไว้ได้

 

“ขอรับ” นักพรตเฒ่ารู้สึกตื่นเต้นและโค้งคารวะอย่างรวดเร็วจากนั้นจึงกล่าวขึ้นว่า“พรรคหมื่น ดาบตั้งขึ้นเมื่อสี่พันแปดร้อยปีก่อนผู้ก่อตั้งมีนามว่านักพรตหมั่นดาบเขาเป็นเทพเจ้าแห่งวิชาดาบที่ครองยุทธภพในต่างแดนนานถึงห้าร้อยปี”

 

“เมื่อนักพรตหมั่นดาบอายุมากขึ้น เขาก็รู้ตัวว่าไม่มีความหวังที่จะทะลวงขั้นจึงละทิ้งพรรคหมื่นดาบไป”

 

“หลังจากที่นักพรตหมั่นดาบได้จากไปจนถึงตอนนี้ก็เป็นเวลาสี่พันกว่าปีไม่มีใครในพรรคหม นดาบได้ก้าวเข้าสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพี”

 

เมื่อนักพรตเฒ่าได้กล่าวเช่นนี้ เขาก็หยุดไปชั่วครู่ก่อนจะกล่าวต่อไปว่า “อย่างไรก็ตามเมื่อหนึ่งพันเก้าร้อยปีก่อนพรรคหมื่นดาบได้ให้กําเนิดศิษย์ผู้ฉลาดเฉลียวและมีพรสวรรค์เป็นอย่างยิ่งเกิดมาพร้อมกับร่างหัวใจดาบเช่นกัน”

 

“ศิษย์ผู้นี้ได้เปิดสมบัติที่นักพรตหมั่นดาบได้ทิ้งเอาไว้ทําให้ความแข็งแกร่งของเขาเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดและในเวลาต่อมาคนผู้นี้ก็สามารถเปลี่ยนจิตวิญญาณแรกกําเนิดออกมาได้…” 

 

“เปลี่ยนจิตวิญญาณแรกกําเนิดออกมาได้?”

 

ซูฉินพยักหน้าเล็กน้อย

 

นอกจากสภาพแวดล้อมในต่างแดนและสมบัติที่นักพรตหมั่นดาบทิ้งเอาไว้พรสวรรค์และความ เข้าใจของคนผู้นั้นก็ต้องสูงมากไม่เช่นนั้นคงเป็นไปไม่ได้ที่จะไปถึงจุดนั้น

นักพรตเฒ่าเหลือบมองซูฉินอย่างระมัดระวังแล้วกล่าวต่อ “ศิษย์พรรคหมื่นดาบผู้นี้เป็นคนที่นํา พรรคหมื่นดาบให้เจริญรุ่งเรืองได้ในยุคนั้นรู้จักกันในนามบรรพชนดาบแต่สุดท้ายเขาก็ยังหยุดอยู่ที่ระดับการเปลี่ยนแปลงจิตวิญญาณแรกกําเนิด…”

 

นักพรตเฒ่าถอนหายใจเบาๆ

 

แม้แต่อัจฉริยะที่ไม่มีใครเทียบเทียมของพรรคหมื่นดาบก็ยังไปแตะขอบเขตเชียนเทพปฐพไม่ได้นี่แสดงให้เห็นถึงความยากลําบากของขอบเขตเซียนเทพปฐพี

 

ในยุทธภพต่างแดน แม้แต่ตํานานยุทธขั้นสูงสุดก็เกิดขึ้นมามากมายมีแม้กระทั่งผู้ที่เปลี่ยนแป ลงจิตวิญญาณแรกกําเนิดได้

 

อย่างไรก็ตามมันยากอย่างยิ่งที่จะมีเซียนเทพปฐพีกําเนิดขึ้นมาสักคนในรอบพันปีตั้งแต่จบยุค เฟื่องฟูของกระแสปราณฉีกกว่าหมื่นปีแล้วจํานวนเซียนเทพปฐพี่ที่กําเนิดขึ้นในโลกยุทธภพต่างแดนนั้นเกรงว่าจะนับได้ด้วยนิ้วมือ

 

“บรรพชนดาบ?”

 

ซูฉินขมวดคิ้ว จากนั้นจึงสงบใจลงแล้วถามต่อ “มีอะไรอีกไหม?”

 

“ผู้อาวุโส หลังจากยุคของบรรพชนดาบ พรรคหมื่นดาบก็อ่อนแอลงแม้ทุกๆยี่สิบสามสิบปีหรี อกว่าร้อยปีจะมีตํานานยุทธขั้นสูงสุดกําเนิดขึ้นแต่ก็ไม่มีใครน่าพึ่งเท่าบรรพชนดาบ”

 

นักพรตเฒ่ากระซิบคํา

 

ข้อมูลส่วนใหญ่เป็นความลับสุดยอด แม้แต่ในต่างแดนก็มีเพียงนิกายใหญ่เท่านั้นที่รู้เรื่องนี้ นักพรตเฒ่าสามารถรู้เรื่องทั้งหมดนี้ได้ก็เพราะเขาชอบเรียนรู้ใฝ่หาข้อมูลจากหนังสือโบราณ ซึ่งส่วนใหญ่มาจากหนังสือโบราณของสํานักเอกะวิถี

 

“ข้าเข้าใจแล้ว”

 

ท่าทีของซูฉินยังคงไม่เปลี่ยนแปลง และเกิดวังวนที่อธิบายไม่ได้ค่อยๆหมุนวนอยู่ในส่วนลึกของ รูม่านตา ฉับพลันพลังงานฉีทุกรูปแบบในโลกก็ประจักษ์แก่สายตาของซูฉิน

 

พรรคหมื่นดาบระงับจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของซูฉินไปนั้นไม่มีอะไรมากไปกว่าการปกปิดร่องรอยของหลีหว่าน หลีกเลี่ยงไม่ให้ซูฉินหาพบ

 

แต่น่าเสียดาย

 

แม้ว่าจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์จะถูกระงับ มันก็ไม่มีผลกับซูฉินเนื่องจากดวงตาแห่งสัจจะมีความสา มารถในการตรวจจับพลังฉีตราบใดที่ซูฉินได้เคยเห็นพลังฉีนั้นแล้ว แม้ว่าจะหลบนี้ไปยังสุดขอบโลกก็สามารถตรวจจับได้

 

ซูฉินอยู่กับหลีหว่านมานานแล้วและแน่นอนว่าย่อมคุ้นเคยกับพลังฉีในตัวอย่างมากสามารถยืน ยันตําแหน่งของหลีหว่านได้ด้วยการจับตําแหน่งพลังฉี

 

หวิ่ง!!!

 

จิตใจของซูฉินพุ่งพรวดขึ้นมาอย่างไรขอบเขตดวงตาของเขามองไปยังทิศตะวันออกเฉียงใต้ อย่างรวดเร็ว

 

“ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้…”

 

ความคิดของซูฉินผันผวนไปมา ในที่สุดเขาก็ได้ข้อสรุป

 

“ข้าจะออกไปพาหลีหว่านกลับมา” หลังจากซูฉินกล่าวประโยคนี้เขาก็ก้าวเท้าและหายตัวไปจาก

จุดเดิม

 

“พาองค์หญิงหลีหว่านกลับมา….” นักพรตเฒ่ากลืนน้ําลายลงคอรู้สึกเหลือเชื่อ

 

ตามการคาดเดาของเขา พรรคหมื่นดาบสามารถยอมรับแรงกดดันจากการสร้างความขุ่นเคืองให้กับซูฉินยังคงพาหลีหว่านไปด้วยมันคงเป็นเพราะหลีหว่านมีความสําคัญอย่างมาก

 

เมื่อเป็นเช่นนี้ หลังจากนี้อีกไม่นานหลีหว่านจะต้องได้รับการปกป้องจากนักดาบที่ทรงพลังจํานวนมากและพรรคหมีนดาบเองก็ไม่ได้ขาดแคลนตํานานยุทธขั้นสูงสุด

 

หากซูฉินต้องการนําหลีหว่านกลับมา มันก็เหมือนเข้าไปคว้าอาหารออกจากปากเสือโคร่ง ช่างอันตรายอย่างยิ่ง

 

“หวังว่าจะไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับผู้อาวุโส…”

 

ตอนนี้นักพรตเฒ่าได้แต่หวังว่าพรรคหมื่นดาบจะมีความกังวลขึ้นบ้าง และมอบหลีหว่านกลับมาไม่เช่นนั้นหากพรรคหมื่นดาบโจมตีซูฉินอย่างไรยางอายสถานการณ์ย่อมอันตรายเป็นที่สุด

 

ในเวลาเดียวกัน

 

นอกอาณาจักรถัง

 

พื้นที่แถบตะวันออกเฉียงใต้

 

มียอดเขาขนาดยักษ์พุ่งสูงทะลุท้องฟ้าเสมือนดาบศักดิ์สิทธิ์ที่ปักลงพื้นดินรัศมีแห่งความดุร้า ยแทรกซึมไปทั่วทุกอณูของชั้นบรรยากาศ

 

บนยอดเขา มีตําหนักหินอ่อนสูงกว่าสิบเมตรงดงามหาสิ่งอื่นใดมาเทียบเทียม มีร่างหลายร่างนั่งอยู่ภายใน

 

บุคคลเหล่านี้ล้วนสะพายดาบไว้กับตัว ใบหน้าเรียบเฉยแต่ไอพลังพลุ่งพล่าน ทั้งหมดล้วนเป็นตํานานยุทธผู้เกรียงไกร และยังมีตํานานยุทธนสูงสุดอยู่ในหมู่นักดาบเหล่านี้ด้วย

 

นักดาบนั้นเก่งกาจในการฆ่าฟัน นับประสาอะไรกับนักดาบขอบเขตตํานานยุทธขั้นสูงสุด? 3694

ในตอนนี้ร่างเหล่านี้ได้นั่งล้อมรอบเสาหินและมองหน้ากัน

 

เหนือเสาหินมีแผ่นไม้แผ่นหนึ่งค่อยๆ ลอยขึ้นอย่างช้าๆตรงกลางแผ่นไม้มีรอยดาบตื้นๆ สลักอยู่และเจตจํานงดาบที่ก่อตัวขึ้นมาจากตราประทับรูปดาบนี้ก็ให้ความรู้สึกว่ามันสามารถสังหารทุกอย่างได้โดยง่าย

 

“ความเป็นมาของตํานานยุทธขั้นสูงสุดในเมืองฉางอันแห่งราชวงศ์ถังนั้นเป็นเช่นไรกัน ทํา ไมเคล็ดวิชาดาบถึงน่าเหลือเชื่อเช่นนี้?” 

 

ในเวลานั้นตํานานยุทธขั้นสูงสุดที่นั่งอยู่ด้านซ้ายก็ลืมตาขึ้นมองดูตราประทับดาบที่ลอยอยู่บนเสาหินตรงหน้าพวกเขาพึมพําออกมาด้วยความตกใจ

 

SigninBuddha’spalm269(I)กายแห่งธรรมชาติ

 

“ผู้เป็นใหญ่ในโลก”

 

บรรพชนหกบรรพชนเจ็ดและบรรพชนเก้าจำได้ทันทีว่าร่างที่เดินออกมาคือผู้ใดจากนั้นจึงเดินเข้าไปคารวะพร้อมกับกล่าวว่า“ขอต้อนรับผู้เป็นใหญ่ในโลกกลับจากด่านฝึกตน”

 

“ผ่านไปนานแค่ไหนแล้ว”

 

ซูฉินค่อยๆรวบรวมเก็บพลังงานปราณชีวิตและเลือดเนื้อที่ผันผวนกลับมาเอ่ยถามขึ้นอย่างไม่ใส่ใจนัก

 

“การปิดด่านฝึกตนของผู้เป็นใหญ่ในโลกใช้เวลาไปทั้งสินสองเดือน”บรรพชนหกตอบคำถาม

 

“สองเดือน……”

 

ซูฉินหยุดเดินหันกลับไปมองหุบเขาด้านหลังใจเต็มไปด้วยอารมณ์ความรู้สึก

 

ในช่วงสองเดือนมานี้ซูฉินใช้เวลาทั้งฝึกฝนบ่มเพาะและลงชื่อเข้าใช้

 

“น่าเสียดาย”

 

“อย่างไรเสียแหล่งกำเนิดธาตุดินแห่งนี้ก็ยังเติบโตไม่เต็มที่ไม่เช่นนั้นหลังจากกลืนกินแหล่งกำเนิดธาตุดินทั้งหมดไปร่างกายของข้าควรจะเข้าสู่การแปรสภาพครั้งที่เจ็ด”

 

ซูฉันรู้สึกเสียใจเล็กน้อย

 

ร่างกายที่ผ่านการเปลี่ยนแปลงเจ็ดครั้งนั้นเทียบเท่ากับร่างกายของเซียนเทพปฐพีซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่อย่างแน่นอน

 

“อย่างไรก็ตามร่างกายของข้าในตอนนี้แม้ว่าจะยังไม่ผ่านการแปรสภาพครั้งที่เจ็ดแต่ก็น่าจะถึงจุดสูงสุดของการแปรสภาพครั้งที่หกแล้วสามารถนับเป็นร่างกายแห่งธรรมชาติอยู่กึ่งหนึ่งได้หรือไม่?”

 

รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของซูฉิน

 

หากว่าร่างกายของซูฉินเมื่อก่อนนั้นอยู่ใกล้กับกายแห่งธรรมชาติตอนนี้ก็เป็นครึ่งก้าวเข้าสู่ร่างกายแห่งธรรมชาติซึ่งหมายความว่าก็เป็นกายแห่งธรรมชาติอยู่กึ่งหนึ่ง

ในความเป็นจริงซูฉินสามารถเข้าถึงการแปรสภาพร่างกายครั้งที่เจ็ดได้แต่ในที่สุดเขาก็ยอมแพ้เพราะเมื่อทำเช่นนั้นมันจะเป็นการบังคับให้เกิดการแปรสภาพเสี่ยงที่จะล้มเหลวได้มาก

 

แม้ว่าซูฉินจะครอบครองทิพยอำนาจกายเนื้อกำเนิดใหม่แต่เมื่อเขาล้มเหลวในการแปรสภาพร่างกายร่างกายก็จะพังทลายลงอย่างสมบูรณ์ถึงจะมีทิพยอำนาจกายเนื้อกำเนิดใหม่แต่ซูฉินจะต้องสูญเสียพลังต่อสู้บางส่วนไปอีกนาน

 

ด้วยนิสัยระมัดระวังของซูฉินแน่นอนว่าเขาจะไม่ยอมตกอยู่ในอันตรายแม้ว่าจะมีลูกท้อบ้านซึ่งช่วยเพิ่มโอกาสให้อีกหนึ่งครั้งแต่ลูกท้อป้านนั้นเตรียมไว้เพื่อใช้ทะลวงขอบเขตไปสู่ยอดอรหันต์ซูฉินไม่ต้องการจะใช้มันหากไม่จำเป็น

 

กล่าวอีกครั้ง

 

ซูฉินมีความรู้สึกว่าแม้ร่างกายของเขาจะยังอยู่ในการแปรสภาพครั้งที่หกแต่มันก็ใกล้เคียงกับการแปรสภาพร่างกายเจ็ดครั้งมากแล้วบางทีหลังจากนี้ไม่กี่ปีเขาอาจจะสามารถบรรลุการแปรสภาพร่างกายครั้งที่เจ็ดได้โดยธรรมชาติก็เป็นได้

 

เมื่อเป็นเช่นนั้นซูฉินก็จะไม่จำเป็นต้องเสี่ยง

 

“นี่สินะคือแหล่งกำเนิดธาตุดิน…”ในที่สุดฉันก็เหลือบมองไปยังหุบเขาเล็กๆที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกล

 

แหล่งกำเนิดธาตุดินไม่สามารถเปลี่ยนย้ายปลูกถ่ายได้เหมือนน้ำพุจิตวิญญาณเหตุที่เกิดการก่อตัวของแหล่งกำเนิดธาตุดินก็เพราะการรวบรวมพลังธาตุดินของทะเลทรายตะวันตกทั้งหมดมาไว้ที่นี่หลังจากสะสมมานานมันก็ค่อยๆก่อตัวเป็นแหล่งกำเนิดธาตุดิน

 

ดังนั้นแม้ว่าซูฉินจะย้ายหุบเขาเล็กๆทั้งหมดนี้ไปยังเมืองฉางอันมันก็จะไม่เกิดประโยชน์อันใดเพราะทะเลทรายตะวันตกทั้งหมดไม่สามารถเคลื่อนย้ายได้

 

ยิ่งกว่านั้นตราบใดที่ซูฉินไม่ทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงในภูมิประเทศแถบนี้หลายพันปีต่อจากนี้เมื่อพลังงานของทะเลทรายตะวันตกทั้งหมดยังคงมารวมตัวกันที่นี่แหล่งกำเนิดธาตุดินก็จะเกิดขึ้นใหม่อีกครั้ง

 

ขณะที่ซูฉินกำลังครุ่นคิด

 

บรรพชนหกบรรพชนเจ็ดและบรรพชนเก้าต่างก็หวาดกลัวเสียยิ่งกว่าเดิม

 

ในตอนนี้แม้จะเป็นความแข็งแกร่งของตำนานยุทธขั้นสูงสุดก็ยังรู้สึกอึดอัดเมื่ออยู่ต่อหน้าซูฉิน

 

เลือดเนื้อในร่างของซูฉันราวกับกระแสคลื่นเชี่ยวกรากประกอบกับเขาไม่ได้ควบคุมเหนี่ยวรั้งมันเอาไว้ทำให้มันคล้ายกับเตาเผาที่มีไฟลุกไหมไปทั่ว

 

“ยินดีกับผู้เป็นใหญ่ในโลกด้วยที่กลับเข้าสู่ขอบเขตยอดอรหันต์อีกครั้ง”บรรพชนหกบรรพชนเจ็ดและบรรพชนเก้าต่างมองหน้ากันแล้วโค้งคารวะ

 

ในตอนนี้พลังปราณและเลือดเนื้อของซูฉินนั้นเกินกว่าขอบเขตตำนานยุทธไปอย่างชัดเจนเกรงว่ามีเพียงร่างกายแห่งธรรมชาติของขอบเขตยอดอรหันต์เท่านั้นที่จะเป็นเช่นนี้ได้

 

ดังนั้นบรรพชนหกและคนอื่นๆจึงตัดสินว่าซูฉินได้ฟื้นคืนความแข็งแกร่งกลับไปสู่ขอบเขตยอดอรหันต์แล้ว

 

ยกเว้นยอดอรหันต์ที่เทียบเคียงได้กับเซียนเทพปฐพีบรรพชนหกก็คิดไม่ออกว่าจะมีใครที่มีร่างกายที่ทรงพลังและสามารถกดขี่ข่มเหงผู้คนได้เพียงนี้

 

“ขอบเขตยอดอรหันต์……”

 

ท่าทีของบรรพชนเก้านั้นกลายเป็นซับซ้อนเล็กน้อย

 

วิหารหมื่นพุทธมีศิษย์ที่มีพรสวรรค์กำเนิดขึ้นมากมายแต่น้อยคนนักที่จะเข้าสู่ขอบเขตยอดอรหันต์ได้

 

อย่างไรก็ตามแม้จะมีศิษย์วิหารหมื่นพุทธที่โชคดีพอที่จะเข้าสู่ขอบเขตยอดอรหันต์แต่ก็เป็นไปด้วยความยากเย็นแสนเข็ญไม่รู้ว่าพวกเขาต้องจ่ายออกไปเท่าไหร่เป็นไปได้เช่นไรที่ซูฉินเพียงปิดด่านฝึกตนแค่สองเดือนก็สามารถเปลี่ยนจากอรหันต์ขั้นสูงสุดผู้ยังไม่ได้เปลี่ยนจิตวิญญาณแรกกำเนิดกลายเป็นขอบเขตยอดอรหันต์ได้?

 

“ยอดอรหันต์?”

 

ซูฉินไม่ได้แสดงอาการอะไรออกไป

 

ยอดอรหันต์นั้นก็เปรียบได้กับขอบเขตเซียนเทพปฐพีทั้งสองขอบเขตต่างก็มีอำนาจเท่าเทียมกันแค่มีชื่อเรียกที่ต่างกัน

 

“ข้ายังไม่ได้เข้าสู่ขอบเขตยอดอรหันต์”ซูฉินส่ายศีรษะเล็กน้อยพร้อมกับกล่าวออกมา

 

แม้ว่าร่างกายของเขาจะเป็นกายแห่งธรรมชาติเพียงกึ่งเดียวแต่ด้วยปราณชีวิตและเลือดเนื้อที่ทรงพลังก็เพียงพอที่จะทำลายพื้นพิภพกระนั้นก็ยังห่างไกลจากยอดอรหันต์ที่แท้จริง

 

“ท่านยังไม่ได้ก้าวเข้าสู่ขอบเขตยอดอรหันต์?”บรรพชนหกกะพริบตาอย่างงุนงง

 

“ทว่าแม้แต่ยอดอรหันต์ก็ไม่อาจจะหยุดข้าได้ซูฉินทอดสายตาไปมองหุบเขาเล็กๆแล้วกล่าวออกมาอย่างเชื่องช้า

 

ไม่ว่าจะเป็นยอดอรหันต์หรือขอบเขตเซียนเทพปฐพีความสามารถหลักคือสามารถครอบคลุมพื้นที่ทั้งหมดได้ด้วยอาณาเขตภายในความคิดแค่วูบเดียว

 

ตำนานยุทธขั้นสูงสุดจะไม่สามารถต่อต้านอะไรได้เลยหากอยู่ภายในอาณาเขตของเซียนเทพปฐพีแต่ร่างกายของซูฉันเข้าใกล้ระดับกายแห่งธรรมชาติแล้วมีความต้านทานต่ออาณาเขตที่แท้จริงซึ่งแตกต่างจากตำนานยุทธขั้นสูงสุดคนอื่นที่ไม่มีทางต่อต้านได้เลย

 

และตราบใดที่สามารถปัดป้องพลังปราบปรามจากอาณาเขตของเซียนเทพปฐพี่ซูฉินก็สามารถลอบลงไปใต้ดินได้ด้วยคาถาดำดิน

 

ในส่วนลึกใต้พื้นพิภพแม้ว่าอาณาเขตจะครอบคลุมไปถึงแต่พื้นที่ที่สามารถไปถึงได้ก็ลดน้อยลงและพลังก็ยังลดลงไปเป็นอันมากนอกจากนี้พลังของซูฉินยังเพิ่มขึ้นเมื่อเดินทางใต้พื้นดินด้วยคาถาดำดินเว้นแต่เซียนเทพปฐพี่ผู้นั้นจะเป็นขั้นสูงสุดของขอบเขตอย่างเช่นจ้าวทะเลบูรพาไม่เช่นนั้นก็ไม่มีทางสู้กับซูฉินได้

 

“ยอดอรหันต์ก็หยุดท่านไว้ไม่ได้”

 

บรรพชนหกบรรพชนเจ็ดและบรรพชนเก้าต่างตื่นตะลึง

 

พวกเขาเชื่อในคำพูดของซูฉิน

 

ซูฉินกล่าวว่าเขาไม่ได้ก้าวเข้าสู่ขอบเขตยอดอรหันต์ก็คงจะไม่ใช่ยอดอรหันต์จริงๆกล่าวคือซูฉันยังคงอยู่ในขอบเขตอรหันต์

 

แต่กรณีนี้ซูฉินยังกล่าวอีกว่ายอดอรหันต์ไม่สามารถต้านทานเขาได้ความมั่นใจในตนเองและพลังที่ครอบงำทุกผู้ทุกคนนี้คือสิ่งใดกัน?

 

“เอาล่ะ”

 

“ข้าควรจะจากไปได้แล้ว”

 

ซูฉินเหลือบมองบรรพชนหกบรรพชนเจ็ดและบรรพชนเก้ากล่าวออกอย่างนุ่มนวล

 

ในการปิดด่านฝึกตนครั้งนี้จุดมุ่งหมายหลักของเขาสำเร็จลุล่วงแล้วยกระดับร่างกายจนถึงจุดสูงสุดของการแปรสภาพครั้งที่หกและอีกครี่งก้าวก็จะเข้าสู่ร่างกายแห่งธรรมชาติ

 

นอกจากนี้ซูฉินยังได้ลงชื่อเข้าใช้ในแหล่งกำเนิดธาตุดินมากกว่าสิบครั้งในขณะที่อยู่ในด่านและยังสูบกลืนแหล่งกำเนิดธาตุดินไปจนหมดสิ้น

 

ในการลงชื่อมากกว่าสิบครั้งซูฉินได้รับโอสถธาตุดินมาเป็นจำนวนมากและได้รับธงคู่ถมาหนึ่งอันเมื่อนับรวมกับทิพยอำนาจคาถาดำดินในตอนเริ่มแรกก็อาจกล่าวได้ว่าเป็นการเก็บเกี่ยวที่เต็มเม็ดเต็มหน่วยดีจริงๆ

 

ธงวู่เป็นอาวุธวิเศษธาตุดินมีค่ายกลฟ้าดินขนาดใหญ่มากมายอยู่ในนั้นเมื่อถูกแทงลงไปที่ไหนสักแห่งภายในรัศมีสิบล้ำจะตกอยู่ในระยะของค่ายกลฟ้าดินขนาดใหญ่

 

“น้อมส่งผู้เป็นใหญ่ในโลก”

 

บรรพชนหกบรรพชนเจ็ดและบรรพชนเก้าทำได้เพียงกล่าวด้วยความเคารพแม้ในใจจะไม่ยินยอมมากเท่าไหร่ก็ตาม

 

Sign Buddha’s palm 269 (II) กายแห่งธรรมชาติ

 

ในการลงชื่อมากกว่าสิบครั้งซูฉินได้รับโอสถธาตุดินมาเป็นจนวนมากและได้รับธงคู่ถมาหนึ่งอันเมื่อนับรวมกับทิพยอนาจคาถาดดินในตอนเริ่มแรกก็อาจกล่าวได้ว่าเป็นการเก็บเกี่ยวที่เต็มเม็ดเต็มหน่วยดีจริงๆ

 

ธงคู่ถูเป็นอาวุธวิเศษธาตุดินมีค่ายกลฟ้าดินขนาดใหญ่มากมายอยู่ในนั้นเมื่อถูกแทงลงไปที่ไหนสักแห่งภายในรัศมีสิบลี้จะตกอยู่ในระยะของค่ายกลฟ้าดินขนาดใหญ่

 

“น้อมส่งผู้เป็นใหญ่ในโลก”

 

บรรพชนหกบรรพชนเจ็ดและบรรพชนเก้าได้เพียงกล่าวด้วยความเคารพแม้ในใจจะไม่ยินยอมมากเท่าไหร่ก็ตาม

 

ภายในพระราชวังถัง

 

จักรพรรดิถังมองไปที่นักพรตเฒ่าสนักเอกะวิถีแล้วพูดด้วยน้เสียงลึกล้ว่า“พรรคหมื่นดาบ?พรรคหมื่นดาบที่เป็นนิกายใหญ่ในต่างแดนน่ะหรือ?”

 

ในขณะที่กระแสปราณฉีฟื้นคืนตนานยุทธจากต่างแดนต่างก็เข้ามาสู่อาณาจักรถังและจักรพรรดิถังก็รู้ข้อมูลมากมายเกี่ยวกับนิกายใหญ่ในต่างแดนเหล่านี้

 

“องค์หญิงหลีหว่านมีร่างหัวใจดาบในบรรดานกายใหญ่จนวนมากในต่างแดนมีเพียงพรรคหมนดาบเท่านั้นที่ต้องการคนที่มีร่างกายเช่นนี้…”

 

นักพรตเฒ่าถอนหายใจเบาๆ

 

ครั้งแรกที่เขาได้พบกับหลีหว่านเขาก็ค้นพบว่าอีกฝ่ายมีร่างหัวใจดาบที่หายากแต่ไม่คาดคิดว่าพรรคหมื่นดาบจะค้นพบมันได้รวดเร็วเพียงนี้

“พรรคหมื่นดาบ?”

 

“แล้วต้องทเช่นไรต่อไป?”

 

จักรพรรดิถังเปิดปากพูดออกมาอย่างช่วยไม่ได้

 

หากเป็นเพียงกองกลังในยุทธภพแห่งนี้ที่พาหลีหว่านไปจักรพรรดิถังคงพอจะมีวิธีแค่ใช้พลังของกองทัพไปบดขยี้กองกลังนั้น

 

แต่นิกายใหญ่ในต่างดินแดน..

 

จากข้อมูลที่จักรพรรดิถังได้รู้มาพระองค์ทรงทราบดีว่านิกายใหญ่ต่างแดนเหล่านี้ไม่ได้ขาดแคลนตนานยุทธถ้าไม่ใช่เพราะซูฉินได้สร้างเรื่องน่าตกใจเอาไว้เกรงว่าอาณาจักรถังทั้งหมดจะถูกปราบปรามด้วยนิกายใหญ่ต่างดินแดนเหล่านี้เสียแล้ว

 

“ฝ่าบาทโปรดวางใจเถิด”

 

“พรรคหมื่นดาบให้ความสคัญอย่างยิ่งต่อร่างหัวใจดาบเมื่อองค์หญิงหลีหว่านตกอยู่ในมือของพรรคหมื่นดาบก็ไม่ต้องกังวลเรื่องความปลอดภัยของพระนางไปได้ชั่วระยะเวลาหนึ่ง”

 

ระยะเวลาหนึ่ง”นักพรตเฒ่าปลอบจักรพรรดิถังก่อนแล้วจึงหันไปถามขันที่ชุดแดงต่อ“เมื่อตอนที่องค์หญิงหลีหว่านถูกพาตัวไปพวกเจ้าได้เปิดเผยตัวตนออกไปหรือไม่?”

 

“ยังขอรับ”ขันที่ชุดแดงส่ายหัวและพูดอย่างขมขื่น

 

ในเวลานั้นทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมากและขันทีชุดแดงก็ไม่มีเวลาแม้แต่จะหยุดยั้งนับประสาอะไรกับการเปิดเผยตัวตน

 

“เข้าใจแล้ว”

 

นักพรตเฒ่าครุ่นคิดก่อนจะพูดต่อไปว่า“บรรพชนคนหนึ่งของพรรคหมื่นดาบได้ตกตายภายใต้เงื้อมมือของผู้อาวุโสถ้าพรรคหมื่นดาบรู้ว่าองค์หญิงหลีหว่านที่พวกเขาพาตัวไปนั้นเกี่ยวข้องกับผู้อาวุโสข้าเกรงว่ามันจะไม่กล้าทเช่นนี้เป็นแน่”

 

นักพรตเฒ่ากล่าวคช้าๆ

 

ซูฉันเป็นตนานยุทธที่ควบแน่นอาณาเขตได้หากพรรคหมื่นดาบไม่มีเหตุจเป็นพวกเขาก็จะไม่สร้างความขุ่นเคืองใดต่อกันและเป็นไปไม่ได้ที่จะพาตัวทายาทของซูฉินไป

 

ความเป็นไปได้เพียงอย่างเดียวคือพวกนั้นไม่ได้รู้ตัวตนของหลีหว่านเลย

 

“อย่างไรก็ตามเวลาผ่านไปนานเช่นนี้พรรคหมั่นดาบก็ควรจะตรวจสอบตัวตนขององค์หญิงหลีหว่านแล้วสิ……”

 

นักพรตเฒ่ามีสีหน้าแปลกใจเล็กน้อย

 

“แล้วตอนนี้ควรทเช่นไร?”

 

จักรพรรดิถังไม่สามารถทสิ่งใดได้เมื่อได้ยินสิ่งที่นักพรตเฒ่ากล่าวออกมา

 

“ควรทเช่นไร?”

 

นักพรตเฒ่าส่ายศีรษะเล็กน้อยแล้วกล่าวว่า“ตอนนี้คงทได้เพียงรอ”

 

พรรคหมื่นดาบเป็นนิกายใหญ่ในต่างแดนที่มีศิษย์และบรรพชนนอนหลับใหลอยู่มากมายด้วยความแข็งแกร่งของอาณาจักรถังในปัจจุบันการที่พยายามจะจัดการพรรคหมื่นดาบนั้นเท่ากับมดจะไปเขย่าท้องฟ้าเป็นไปไม่ได้ที่จะกระท

 

ส่วนนักพรตเฒ่านั้น…..

 

แม้ว่าเขาจะเป็นผู้อาวุโสของสนักเอกะวิถีแต่เขาก็ไม่ใช่ตัวแทนของสนักเป็นไปไม่ได้ที่จะอยู่ในสายตาของพรรคหมื่นดาบ

 

“ถ้าผู้อาวุโสเต็มใจที่จะออกหน้าพรรคหมื่นดาบก็ควรจะมอบองค์หญิงหลีหว่านกลับคืนมา”นักพรตเฒ่าคิดอยู่นานและในที่สุดก็พบว่ามีเพียงฉันเท่านั้นที่จะบังคับสัตว์ร้ายอย่างพรรคหมื่นดาบให้ก้มหัวลงได้

 

สหรับนิกายใหญ่ทั้งหลายในต่างแดนมันไม่มีวิธีอื่นใดนอกจากจะจัดการด้วยความแข็งแกร่งอย่างแท้จริง

 

“พี่สาม……”

 

ดวงตาของจักรพรรดิถังสว่างขึ้นแต่ในไม่ช้าก็หรี่ลง

 

ซูฉินออกจากพระราชวังดังไปหลายเดือนแล้วแม้ว่าซูฉินจะสามารถโน้มน้าวพรรคหมื่นดาบได้จริงแต่บัดนี้ก็ไม่มีประโยชน์

 

เพราะไม่มีใครหาซูฉินพบ

 

เมื่อจักรพรรดิถังและตระกูลซูกลังทอดถอนใจพวกเขาพร้อมที่จะรอต่อไปตามที่นักพรตเฒ่ากล่าวแล้ว

 

“พวกเจ้ากลังมองหาข้าอยู่หรือ?”

 

เสียงอันสงบแผ่กังวานไปทั่วโถงชีวิตนิรันดร์

 

เมื่อเสียงนั้นกล่าวคว่า’พวกเจ้า”ออกมาในทีแรกมันเหมือนห่างไกลเสียเหลือเกินราวกับอยู่ไกลออกไปนับพันลี้แต่เมื่อถึงท้ายประโยคระยะห่างมันก็ยิ่งใกล้เข้ามาเรื่อยๆโดยเฉพาะเมื่อพูดคสุดท้ายที่ว่า’ข้าอยู่หรือ”ก็เหมือนกับมายืนอยู่ใกล้แค่เอื้อม

 

“พี่สาม!”

 

จักรพรรดิถังลุกขึ้นและมองไปด้านนอกโถงชีวิตนิรันดร์ด้วยใจตื่นเต้น

 

ตระกูลซูและคนอื่นๆก็มองตามสายตาของจักรพรรดิถังไป

 

ท่ามกลางสายตาของทุกคนชายร่างผอมเพรียวก้าวเดินมาอย่างช้าๆเพียงหนึ่งก้าวก็ข้ามผ่านระยะทางสองสามลี้ในที่สุดก็ปรากฏตัวอยู่ที่หน้าโถงชีวิตนิรันดร์

 

Sign in Buddha’s palm 268 สูญหาย

“นี่คือกายเนื้อที่ผ่านการแปรสภาพมาหกครั้ง?”

ซูฉินกล่าวเสียงต่ําออกมาในขณะที่แปรสภาพร่างกายจนเป็นผลสําเร็จ
ในตอนนี้ซูฉันรู้สึกว่าร่างกายของเขาได้เข้าสู่ระดับใหม่จนหมดสิ้น เพียงการขยับกายก็ดูเหมือนจะทําลายได้ ทุกสิ่งอย่าง หากซูฉันต้องเจอกับตะเกียงพุทธหมื่นวิญญาณอีกครั้ง คงทําลายแสงพุทธคุณได้ในไม่เกินสิบหมัด

“ร่างกายที่แปรสภาพมาหกครั้งยังแข็งแกร่งเพียงนี้ แล้วร่างกายที่แปรสภาพเจ็ดครั้งจะแข็งแกร่งขนาด ไหน?”

ท่าทีของซูฉันเต็มไปด้วยความยินดีปรีดา
หากเป็นเมื่อก่อน การแปรสภาพร่างกายหกครั้งก็เป็นขีดจํากัดของเขาแล้ว เป็นไปไม่ได้ที่จะก้าวหน้าต่อไป ในช่วงสั้นๆ เว้นแต่จะฝึกภาพดวงตะวันขนาดมหึมาจนถึงความสําเร็จระดับเล็ก และใช้พลังเพลิงตะวันของอีกา ทองคําสามขามาขัดเกลาร่างกายอีกครั้ง ไม่เช่นนั้น การแปรสภาพร่างกายครั้งที่เจ็ดก็จะต้องถูกเลื่อนไปอย่าง ไม่มีกําหนด

แต่ตอนนี้มีแหล่งกําเนิดธาตุดินอยู่ใต้ฝ่าเท้า ท่าให้ทุกสิ่งแตกต่างออกไป
ถ้าซูฉันดูดกลืนพลังงานทั้งหมดจากแหล่งกําเนิดธาตุดิน อาจจะไม่สามารถกล่าวได้ว่าสามารถบรรลุการแปร สภาพร่างกายครั้งที่เจ็ด แต่อย่างน้อยก็มีความหวัง

การแปรสภาพร่างกายเจ็ดครั้ง จะมีร่างกายที่ใกล้เคียงกับเซียนเทพปฐพี แม้ว่ามันอาจจะไม่ได้เทียบเท่ากับ เซียนเทพปฐพี่จริงๆ แต่อย่างน้อยก็สามารถกวาดล้างตํานานยุทธขั้นสูงสุดทั้งหมดได้อย่างง่ายดาย

“ฝึกฝนต่อดีกว่า”
ซูฉันค่อยๆ หลับตาลง สูดลมหายใจเข้า
ซูม
พลังจากแหล่งกําเนิดธาตุดินนั้นไม่มีที่สิ้นสุด เปรียบเสมือนวาฬตัวใหญ่กําลังดูดกลืนน้ําเข้าไปในท้อง พลังงานจํานวนมากถูกดูดเข้าไปทั้งทางปากและทางจมูกของซูฉิน พลังงานจากแหล่งกําเนิดธาตุดินยังคงหล่อเลี้ยง เลือดเนื้อของซูฉินในทุกสัดส่วนอย่างต่อเนื่อง
ทันใดนั้น เกลียวพลังงานธาตุดินก็ปรากฏขึ้น ซูฉันดูดกลืนอย่างไม่บันยะบันยัง พลังธาตุดินที่ซูฉินดูดกลนมาทั้งหมดนี้เกิดมาจากแหล่งกําเนิดธาตุดินที่สั่งสมมานับร้อยนับพันปี หากมนุษย์ธรรมดากลืนพลังงานธาตุด นทั้งหมดนี้เข้าไป คงไม่อาจเลี่ยงสภาพที่ต้องทรุดร่างลงกลายเป็นแอ่งโคลน
แต่หากคนผู้นั้นโชคดีมากพอ และไม่ได้ปล่อยให้พลังงานธาตุดินอันน่าสะพรึงกลัวนี้มาครอบคลุมเนื้อหนัง แต่ดูดซับมันไว้ได้อย่างสมบูรณ์ มันก็เพียงพอแล้วที่จะผลักดันบุคคลนั้นไปเป็นยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่ง และอาจจะทําได้แม้กระทั่งผลักดันคนผู้นั้นข้ามผ่านโซ่ตรวน เข้าสู่ขอบเขตตํานานยุทธได้เลย

แน่นอนว่าไม่มีใครต้องการจะใช้พลังงานธาตุดินไปกับเรื่องเล็กน้อยอย่างการสร้างตํานานยุทธขึ้นมา

หนึ่งเป็นเพราะผู้ฝึกยุทธส่วนใหญ่ไม่สามารถรับพลังงานธาตุดินได้ และประการที่สองคือ การใช้พลังงานธา ตุดินอย่างถูกต้องควรเก็บไว้ให้ตํานานยุทธขั้นสูงสุดสามารถเข้าสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพี่ได้
แม้ว่าจะมีตํานานยุทธอยู่นับพันนับหมื่น แต่พวกเขาก็ยังด้อยกว่าเซียนเทพปฐพี่เพียงคนเดียว

ดู HENTAI ได้ที่ hanimeza.com

พูดง่ายๆ คือ พลังงานธาตุดินแต่ละเส้นแต่ละแขนงก็เพียงพอที่จะสร้างตํานานยุทธขึ้นมาได้ และแหล่งกํา เนิดธาตุดินนี้ก็มีพลังงานธาตุดินมาจากแขนงแยกย่อยนับพันนับหมื่น?
ซูฉินเพียงผู้เดียวกลับดูดซับพลังงานธาตุดินอันแข็งแกร่งที่คนนับร้อยนับพันสามารถดูดซับได้เข้าไปแล้ว

หวิ่ง!!!

ซูฉันรู้สึกเพียง ร่างกายของเขาถูกล้อมรอบไว้ด้วยพลังงานธาตุดินที่แข็งแกร่งมาก ให้ความรู้สึกสบายอย่าง ไม่เคยพบมาก่อน พลังงานธาตุดินค่อยๆ เปลี่ยนแปลงร่างกายของเขาไป
จิตใจของซูฉินล่องลอย รู้สึกได้ถึงทะเลอันกว้างใหญ่ไร้ที่สิ้นสุด

“นี่คือแก่นทะเลปราณ?”

ความคิดของซูฉันคมชัด ขบคิดทุกอย่างด้วยความรอบคอบ

ทะเลปราณแห่งนี้ไม่ใช่ทะเลในโลกแห่งความเป็นจริง มันประกอบขึ้นจากพลังปราณอันไร้ที่สิ้นสุด อยู่ในมิ ติลึกล้ํา แม้ว่ากระแสพลังในทะเลปราณจะเงียบสงบ แต่ก็มีแก่นทะเลปราณอยู่จริงๆ เพียงแต่มันแอบซ่อนตัวอยู่
หากตํานานยุทธขั้นสูงสุดต้องการทําลายพันธนาการ สิ่งแรกที่ต้องทําคือสัมผัสให้ได้ถึงแก่นทะเลปราณ จากนั้นผสานมันเข้ามาในจิตใจ และดึงดูดพลังของทะเลปราณเข้ามาเสริมความแข็งแกร่งให้กับร่างกาย

อย่างไรก็ตาม
พลังของทะเลปราณไม่สามารถตรวจจับเจอได้ที่นี้เลย แล้วการสัมผัสมันจะยากเพียงใด? แม้จะสามารถ สัมผัสได้จริงๆ ก็ยากนักที่จิตใจจะก้าวข้ามอุปสรรคต่างๆ ภายในพื้นที่มิติ และทําการหลอมรวมเข้าไปได้
แต่ยามนี้ ซูฉันสัมผัสได้ถึงการมีอยู่ของทะเลปราณได้ด้วยความช่วยเหลือของแหล่งกําเนิดธาตุดิน
แน่นอน ซูฉินเพียงสัมผัสได้ หากเขาต้องการจะผสานจิตใจเข้าไปหามันจริงๆ ความสามารถของเขายังห่าง ไกลที่จะทํามันได้

ประการแรก เนื่องจากแหล่งกําเนิดธาตุดินยังไม่เติบโตเต็มที่ จึงไม่มีพลังเพียงพอที่จะผลักดันให้ซูฉินเข้าสู่ แก่นทะเลปราณ
ประการที่สองคือซูฉันไม่เคยคิดที่จะใช้แหล่งกําเนิตธาตุดินนี้เพื่อมาหลอมรวมเข้ากับทะเลปราณ

มีทางเลือกที่ดีกว่า อาทิ ภาพดวงตะวันขนาดมหึมา

ทําไมฉันยังจะต้องเลือกแหล่งกําเนิดธาตุดินด้วย?

ขณะที่ซูฉันกําลังฝึกฝนอย่างชําๆ ภายในแหล่งกําเนิดธาตุดิน

บรรพชนหก บรรพชนเจ็ดและบรรพชนเก้าก็รออยู่ด้านนอกหุบเขาเล็กๆ อย่างเงียบๆ

แม้ว่าซูฉันจะไม่ได้ขอให้พวกเขาอยู่ที่นี่ แต่บรรพชนทั้งสามของวิหารหมื่นพุทธก็ยังคงปกป้องหุบเขาเล็กๆ แห่งนี้อยู่เพื่อให้แน่ใจว่าการปิดด่านฝึกตนของซูฉันจะไม่ถูกรบกวน

“พวกเจ้าจงจําไว้ นี่เป็นโอกาสอันดีของวิหารหมื่นพุทธเรา”

เมื่อบรรพชนหกเห็นว่าซูฉันไม่ได้มีเจตนาจะออกจากการปิดด่านนี้ในช่วงสั้นๆ เขาก็อดไม่ได้ที่จะมองไปยัง บรรพชนเจ็ดและบรรพชนเก้า แล้วกล่าวออกอย่างเคร่งขรึม “ผู้เป็นใหญ่ในโลกได้อวตารร่างลงมาที่นี่ ท่านมีประ สบการณ์มากมายทุกชนิด หากพวกเราคอยช่วยเหลือผู้เป็นใหญ่ในโลกให้บรรลุระดับขั้นได้ อนาคตข้างหน้าเมื่อ ท่านกลับสู่ตําแหน่งผู้เป็นใหญ่ในโลก จะต้องไม่ลืมวิหารหมื่นพุทธอย่างแน่นอน……..”
เมื่อบรรพชนหกกล่าวเช่นนี้ น้ําเสียงของเขาก็เผยให้เห็นถึงการเคารพบูชา

“ร่างอวตาร……
บรรพชนเจ็ดพยักหน้าเล็กน้อย
แม้ว่าระดับพลังที่ซูฉินจะแสดงให้เห็นตอนนี้จะยังไม่ถึงขอบเขตยอดอรหันต์ แต่พลังอํานาจนั้นสูงส่ง โดยเฉ พาะฝ่ามือสีทองในตอนสุดท้ายที่ปกคลุมท้องฟ้าและผืนดิน รวมไปถึงองค์ยูไลทองคําที่ชี้มือขึ้นฟ้า อีกมือเอื้อมพสุธา ในความเป็นจริงจะมีมนุษย์ธรรมดาคนใดทําได้เช่นนี้ หากไม่ใช่ผู้เป็นใหญ่ในโลก?
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าบรรพชนหก บรรพชนเจ็ด และบรรพชนเก้าจะคาดเดาว่าซูฉินเป็นร่างอวตาร แต่พวกเขาก็ไม่ได้แปลกใจอะไร เดิมที่พุทธศาสนาก็ตระหนักถึงการเวียนว่ายตายเกิด ทั้งยังเข้าใจเส้นทางของสวรรค์และ โลกอยู่แล้ว
“บรรพชนหก เราจําเป็นจะต้องแจ้งแก่บรรพชนลําดับที่หนึ่งหรือไม่?” ในตอนนั้นบรรพชนเก้าอดไม่ได้ที่จะ ถามออกไป
ตามเหตุผลแล้วเมื่อเขาได้พบกับผู้เป็นใหญ่ในโลกจริงๆ ผู้เป็นใหญ่ในโลกที่วิหารหมื่นพุทธใฝ่หามาโดยต ลอด ก็ควรจะส่งข่าวไปยังวิหารหมื่นพุทธโดยเร็วที่สุด

“บอกบรรพชนลําดับที่หนึ่ง?”
ใบหน้าของบรรพชนหกดูลังเลเล็กน้อยและในที่สุดก็ส่ายศีรษะพร้อมกับกล่าวว่า “ผู้เป็นใหญ่ในโลกก็เพิ่งก ล่าวไป ว่าอย่าได้ไปรบกวนคนอื่นๆ

“นั่นสินะ”
บรรพชนเก้าพยักหน้า
แม้ว่าบรรพชนลําดับที่หนึ่งจะเป็นบุคคลที่อยู่ลําดับสูงสุดในวิหารหมื่นพุทธ ทั้งยังมีความแข็งแกร่งสูงที่สุด แต่ผู้เป็นใหญ่ในโลกเป็นตัวตนเช่นไร?
“ข้าจะอยู่ที่นี่เพื่อปกป้องการปิดด่านฝึกตนของผู้เป็นใหญ่ในโลก”
บรรพชนหกกล่าวบอกอีกไม่กี่คํา ไม่มีอะไรนอกจากปล่อยให้บรรพชนเจ็ดและบรรพชนเก้าไปนั่งขัดสมาธิอยู่ สักจุดในหุบเขาเล็กๆ นี้
บรรพชนเจ็ดและบรรพชนเก้าก็เลือกอีกสองทิศทางคนละฝั่งกันภายในหุบเขาเล็กๆ
มีอรหันต์สามรูปคอยปกป้องหุบเขาเล็กๆ แห่งนี้ไว้ และแหล่งกําเนิดธาตุดินเองก็หลอมรวมเป็นหนึ่งเดีย วกับธรรมชาติ ซ่อนตัวไว้อย่างแนบเนียน กล่าวได้ว่าการปิดด่านฝึกตนของซูฉินในครั้งนี้ไม่ทางเป็นไปได้ที่จะถู กรบกวน ไม่ว่าในแง่ไหนๆ

ในเวลาเดียวกัน
ภายในพระราชวังถัง

จักรพรรดิถังเดินไปมาภายในโถงชีวิตนิรันดร์ ใบหน้าของพระองค์เต็มไปด้วยความกังวล

นอกจากนี้ ฮองเฮาซูเยวหยุน และตระกูลซูฉินทั้งหมดก็รวมตัวกันอยู่ที่นี่ ใบหน้าทุกคนบิดเบี้ยวน่าเกลียด

“เจ้าบอกว่าหว่านเอ๋อถูกใครบางคนน่าตัวไป?”

จักรพรรดิถังระงับความโกรธของเขาเอาไว้ มองไปยังขันที่ชุดแดงที่คุกเข่าอยู่บนพื้นห้องโถง กล่าวเน้นคํา ทุกพยางค์
กว่าหนึ่งเดือนก่อน หลีหว่านแอบออกจากวังหลวงเพื่อลับฝีมือคมดาบของนาง ไม่นานหลังจากนั้นจักรพรรดิ ถังก็ทรงทราบเรื่องทั้งหมด
อย่างไรก็ตาม ในยามนั้นจักรพรรดิถังไม่ได้ให้พาหลีหว่านกลับมาในทันที แต่ส่งขันที่ชุดแดงหลายคนให้ แอบตามไปปกป้องหลีหว่าน
หลีหว่านต้องการลับฝีมือดาบของตนเองในการต่อสู้จริง แม้ว่าจักรพรรดิถังจะกังวล แต่เขาก็รู้ดีว่าถ้าเขายับ ยั้งเรื่องนี้มันจะทําให้เกิดผลตรงกันข้าม
นอกจากนี้ จักรพรรดิถังได้ควบคุมทุกอย่างไว้หมดแล้ว และเกรงว่าคงจะไม่มีใครกล้าคิดลงมือกับคนใน อาณาจักรถังก่อน
ดังนั้น เมื่อพิจารณาถี่ถ้วนตามนี้ จักรพรรดิถังจึงยอมให้หลีหว่านออกจากวังไป
แน่นอนว่าถึงจักรพรรดิจะปล่อยไป แต่เขาก็ไม่สามารถเพิกเฉยได้จริงๆ ยังคงส่งยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่ หนึ่งและขันที่ชุดแดงระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสูงสุดให้ติดตามไปปกป้องหลีหว่านอย่างลับๆ
แม้กระแสปราณฉีในปัจจุบันจะฟื้นคืนขึ้นมาก มีผู้แข็งแกร่งโผล่ขึ้นมามากมาย แต่ยอดปรมาจารย์ขั้นสูงสุดก็ ยังเพียงพอที่จะปราบปรามคู่ต่อสู้ได้
ด้วยการปกป้องอย่างลับๆ แม้ว่าหลีหว่านจะก่อความวุ่นวายไปทั่วยุทธภพ แต่ก็จะไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับนาง
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่จักรพรรดิถังคาดไม่ถึงคือเมื่อช่วงเดือนที่ผ่านมา หลีหว่านเจอเข้ากับปัญหาและถูกนําตัว ไปต่อหน้าต่อตาขันที่ชุดแดงทั้งหลาย?
“ทูลฝ่าบาท ชายที่พาองค์หญิงไป มีพลังที่น่าหวาดกลัวยิ่ง ข้ารับใช้เฒ่าเหลือบมองเพียงครั้งเดียว ก็ถูกโจม ตีเข้าอย่างรุนแรง ไม่อาจหยุดมันไว้ได้……”
ขั้นที่ชุดแดงที่กําลังคุกเข่าอยู่กับพื้นตัวสั่นเทา รีบกล่าวออกมาอย่างรวดเร็ว
เขารู้ถึงความสําคัญของหลีหว่านในใจของจักรพรรดิถังดี การสูญเสี้ยหลีหว่านไปย่อมทําให้สถานะของ อาณาจักรถังสั่นคลอนอย่างมิอาจเลี่ยง

“ฝ่าบาทอย่าทรงกร็วไปเลย”

นักพรตเฒ่าสํานักเอกะวิถีที่ยืนอยู่ด้านข้างกล่าวออก

เขามองไปยังขั้นที่ชุดแดงที่คุกเข่าอยู่กับพื้นแล้วกล่าวถามด้วยอาการเคร่งขรึม “ใครกันที่พาองค์หญิงหลี หว่านไป? เจ้าจําได้หรือไม่ว่าคนเหล่านั้นมีลักษณะเช่นไร? เขาพูดอะไรกับเจ้าบ้าง?”

“ลักษณะเช่นไร?”

ขันที่ชุดแดงรีบกล่าวอย่างรวดเร็ว “ชายผู้นั้นแต่งกายด้วยชุดขาว สะพายดาบยาวไว้ด้านหลัง
เมื่อวันที่ชุดแดงกล่าวเช่นนี้ เขาก็หยุดไปชั่วครู่ จากนั้นจึงกล่าวต่อไปว่า “นอกจากนี้ เมื่อคนผู้นั้นเห็นองค์ หญิงหลีหว่าน เขาก็พูดอะไรบางอย่างออกมา……”

“ร่างหัวใจดาบ มีชะตาต้องกับนิกายของข้า”
“จากนั้นมันก็พาองค์หญิงไป ข้ารับใช้เฒ่ามสามารถติดตามไปได้ทัน……
ขันที่ชุดแดงพูดทุกสิ่งที่จําได้โดยไม่ขาดตกบกพร่องแม้แต่คําเดียว
ความทรงจําของยอดปรมาจารย์ขั้นสูงสุดนั้นเหนือกว่าคนธรรมดาไปไกลโข อาจจะไม่ถึงขนาดจําได้ไม่รู้ลืม แต่มันก็จะไม่ต่างไปจากต้นทางมากนัก ดังนั้นคําบอกเล่าของขันที่ชุดแดงควรจะถูกต้อง
“ร่างหัวใจดาบ?”
“มีชะตาต้องกับนิกายของข้า?”

ท่าทีของนักพรตเฒ่าเปลี่ยนไปเล็กน้อย
“ฝ่าบาท”
“ผู้ชราอาจจะพอทราบแล้วว่าใครเป็นผู้ที่พาตัวหลีหว่านไป”
นักพรตเฒ่าหันไปคารวะให้จักรพรรดิถังเล็กน้อยและกล่าวออกอย่างเคร่งขรึม

“บอกมาเร็ว” จักรพรรดิถังตกใจและมองไปยังนักพรตเฒ่าในฉับพลัน

“ถ้าจําไม่ผิด คนที่พาองค์หญิงหลีหว่านไปน่าจะมาจากพรรคหมื่นดาบ” นักพรตเฒ่าสํานักเอกะวิถีกล่าวครู่ หนึ่งแล้วจึงพูดออกมาอย่างช้าๆ

พรรคหมั่นดาบ?
เมื่อสามคํานี้ถูกกล่าวบอกออกมา

โถงชีวิตนิรันดร์ก็พลันเงียบลงอย่างกะทันหัน
ในเวลาเดียวกัน

วิหารหมื่นพุทธในทะเลทรายตะวันตก
บรรพชนหก บรรพชนเจ็ด และบรรพชนเก้ากําลังปกป้องอยู่นอกแหล่งกําเนิดธาตุดินเงียบๆ
ครืน
เห็นว่าแหล่งกําเนิดธาตุดินพลันสั่นสะท้าน
“เกิดอะไรขึ้น?”

บรรพชนหก บรรพชนเจ็ด และบรรพชนเก้ารวมตัวกันด้วยความว่องไว มองไปยังหบเขาเล็กๆ เบื้องหน้าด้วย ความตกใจ
เนื่องจากตั้งแต่ที่เขาค้นพบแหล่งกําเนิดธาตุดินแห่งนี้ก็ยังไม่เคยมีเหตุอันใดเกิดขึ้น ในตอนนี้กลับสัมผัสบางอย่างขึ้นมาได้ ทําให้บรรพชนหก บรรพชนเจ็ด และบรรพชนเก้าตื่นตระหนกทันที
ในเวลาต่อมา

ที่ปากทางเข้าหุบเขา ร่างสูงเพรียวก็เดินออกมาช้าๆ

ในขณะที่เห็นร่างนี้เดินออกมา บรรพชนหก บรรพชนเจ็ด และบรรพชนเก้ต่างก็รู้สึกได้ถึงกลิ่นอายอันหนา แน่นราวกับผืนแผ่นดินอันกว้างใหญ่ กลิ่นอายที่อันสูงส่งนี้พวยพุ่งสู่ฟากฟ้า ทั้งยังแผ่พุ่งเข้ากระแทกหน้าพวก เขาอย่างถ้วนทั่ว

Sign in Buddha’s palm 267 การแปรสภาพครั้งที่หก!กายเนื้อที่น่าหวาดกลัว!

 

[ขอแสดงความยินดี โฮสต์ลงชื่อเข้าใช้สําเร็จได้รับทิพยอํานาจคาถาดําดิน ]

 

เสียงจักรกลเย็นชาดังขึ้นในหูซูฉิน

 

“ทิพยอํานาจ?”

 

จิตวิญญาณของซูฉินถึงกับตื่นตะลึง

 

แม้ว่าเขาจะไม่ทราบความสามารถของคาถาดําดิน’แต่อาศัยเพียงแค่คําว่า ‘ทิพยอํานาจ ก็ เพียงพอแล้วที่จะทําให้ซูฉินมองมันสูงค่า

 

ซูฉินได้ลงชื่อเข้าใช้มานานหลายสิบปีและได้ทิพยอํานาจมาเพียงสามอย่างหนึ่งคือดวงตา แห่งสัจจะสองคือกายเนื้อกําเนิดใหม่และอีกอย่างคือความสามารถในการเรียกลมเรียกฝน 

 

ตอนนี้คาถาดําดินเป็นทิพยอํานาจอย่างที่สี่ของซูฉิน

 

“คาถาดําดิน…..”

 

จิตใจของซูฉันค่อยๆ จมดิ่งลงไปในเวลานั้นข้อมูลต่างๆ เกี่ยวกับคาถาดําดินก็ถูกส่งผ่านมาตามช่องทางของระบบ

 

หลังจากนั้นไม่นาน

 

ซูฉินลืมตาขึ้นอีกครั้ง ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความสุข

 

คาถาดําดินก็เป็นตามชื่อของมัน มันเป็นทิพยอํานาจที่ช่วยให้ซูฉินเดินทางใต้ดินได้ตามต้องการ

 

ควรรู้ว่าสิ่งกีดขวางใต้ดินมีมากมาย ไม่ต้องกล่าวถึงร่างกายเลยแม้แต่จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ 

 

เมื่อ แผ่ขยายลงไปใต้ดินความสามารถในการครอบคลุมพื้นที่ก็ถูกระงับลงไปหลายเท่าหรืออาจจะห ลายสิบเท่า

 

บนภาคพื้นดิน ซูฉินสามารถครอบคลุมพื้นที่หลายร้อยล้ําได้ในความคิดเดียว

 

แต่ถ้าใช้จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์แทรกซึมลงใต้ผืนดินเกรงว่าระยะทางที่ครอบคลุมได้จะลดลง และสามารถสํารวจใต้ดินเพียงไม่กี่สิบเท่านั้น

 

เหตุผลที่ซูฉินสามารถค้นพบโถงพระราชวังอันสูงตระหง่านใต้เมืองฉางอันได้ด้วยจิตสัมผัสศักดิ์ สิทธิ์ก็เพราะเขาได้รวมจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ให้กลายเป็นเส้นเดียวพุ่งตรงลงไปยังส่วนที่ลึกที่สุดเท่าที่ไปถึงได้ใต้ผืนโลก

 

พูดง่ายๆ คือ จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์เมื่ออยู่ใต้ดินจะถูกระงับความสามารถไปเป็นอันมาก

 

แม้แต่พลังวิญญาณที่จับต้องไม่ได้อย่างจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ยังเป็นเช่นนี้ ไม่ต้องพูดถึงร่าง กายของคนเราเลย

 

ใต้ดินไม่กี่ล็อาจจะไม่เท่าไหร่ ด้วยความแข็งแกร่งของซูฉิน แม้ว่าเขาจะถูกกีดขวางไว้ แต่มัน ก็ไม่ได้ลําบากอะไรนัก

 

แต่เมื่อยังคงมุ่งหน้าลึกลงไป แม้แต่ซูฉินก็ยังต้องถูกกดทับทั่วทุกทิศทาง ทั้งความเร็ว จิต สัมผัสศักดิ์สิทธิ์และร่างกายก็ถูกกดดันด้วยผืนดิ นอันยิ่งใหญ่ อาจจะไม่ถึงขั้นที่เคลื่อนไหวไปไหนไม่ได้แต่ความสามารถในการเคลื่อนที่จะลดลงอ ย่างมาก

 

แต่ในตอนนี้ซูฉินมีทิพยอํานาจคาถาดําดินเมื่อตัวของเขาหลอมรวมเข้าไปกับพื้นดินเมื่อลง ไปใต้ดินไม่เพียงแต่ความแข็งแกร่งจะไม่ได้รับผลกระทบแต่ยังถูกเสริมความแข็งแกร่งขึ้นอีกด้วย 

 

และในแง่ของการหลบหนี คาถาดําดินนี้ก็มีผลที่น่าทึ่งมากเช่นกัน

 

แม้ในอนาคตจะได้พบกับเซียนเทพปฐพีซูฉินก็แค่ทะลวงลงไปใต้ดินตรงๆอีกฝ่ายอาจจะทําอะไรไม่ถูกเลยก็เป็นได้

 

ในส่วนลึกใต้ผืนดิน แม้แต่เซียนเทพปฐพี่ก็ยังออกมือออกไม่ได้ไม่เต็มที่เพราะต้องอยู่ใต้แร งกดดันจากผืนดินอันยิ่งใหญ่ตลอดเวลา

 

แต่กับซูฉินมันกลับกลายเป็นการเสริมพลัง แรงกดดันจากผืนพิภพจะไม่ส่งผลอะไรเลย และการ ผลุบโผล่ไปมาจะต้องทําให้เซียนเทพปฐพี่หดหูเสียจนอาเจียนออกมาเป็นเลือดอย่างแน่นอน 

 

“ไม่เลว”

 

“ทิพยอํานาจนี้เหมาะแก่การเอาตัวรอดยิ่ง” 

 

ซูฉินพยักหน้าเล็กน้อย รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขา

 

บังเอิญว่าสถานที่ปิดด่านฝึกตนของเขาก็อยู่ใต้ผืนดินเมืองฉางอันประกอบกับทิพยอํานาจคาถาดําดินเขาจะสามารถรับมือได้ทุกสิ่งแม้ว่าเซียนเทพปฐพี่จะโจมตีไล่ฆ่า เขาก็แน่ใจว่าสามารถซ่อนตัวและหลบหนีได้

 

บรรพชนหก บรรพชนเจ็ดและบรรพชนเก้าที่ยืนอยู่ด้านข้างด้วยความเคารพก็เห็นรอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของซูฉิน

 

ซูฉินสงบใจลง ละทิ้งความคิดที่จะลองใช้คาถาดําดินไปในทันทีและมุ่งเป้าไปยังหุบเขาเล็กๆ ตรงหน้าอีกครั้ง

 

หุบเขาเล็กๆ แห่งนี้ดูเหมือนจะประกอบด้วยทรายผสมกับดินแต่แท้ที่จริงแล้วมันคือพลังธาตุดนที่บริสุทธิ์ถึงขีดสุด

 

“น่าเสียดาย…”

 

ซูฉินมองอย่างระมัดระวังครู่หนึ่ง ส่ายศีรษะเล็กน้อย

 

“ผู้เป็นใหญ่ในโลก อะไรที่น่าเสียดายหรือ……” บรรพชนหกอดไม่ได้ที่จะถามสิ่งนี้ออกไป

 

“แหล่งกําเนิดธาตุดินแห่งนี้ยังไม่เติบโตเต็มที่อย่างน้อยก็ต้องใช้เวลามากกว่าพันปี……”

 

ซูฉินส่ายหัวและถอนหายใจเล็กน้อย

 

แม้ว่าวิหารหมื่นพุทธจะมีบันทึกเกี่ยวกับแหล่งกําเนิดธาตุดินแต่มันก็ผ่านเวลามานานหลาย หมื่นปีแล้ว

 

เวลาที่ยาวนานเช่นนี้ มันยังยาวนานยิ่งกว่าอายุขัยของระดับเซียนเทพปฐพีที่กําเนิดขึ้นมาในวิหารหมื่นพุทธรวมกันเสียอีก

 

หนังสือโบราณหลายเล่มที่ส่งต่อมาในวิหาร หมื่นพุทธจึงไม่สมบูรณ์

 

จะเหมือนเช่นซูฉินที่ “เรียกดู ข้อมูลที่ตัวตน ขอบเขตเชียนเทพปฐพีอย่างจ้าวทะเลบูรพาบัน ทึกไว้ในหยกอย่างครอบคลุมได้อย่างไร?

 

บรรพชนหก บรรพชนเจ็ด และบรรพชนเก้ารู้เพียงว่าหุบเขาเล็กๆแห่งนี้เป็นแหล่งกําเนิดธาตุ ดิน แต่ข้อมูลอื่นๆเช่นแหล่งกําเนิดธาตุดินนั้นเติบโตเต็มที่หรือไม่นั้นยังไม่ค่อยเข้าใจนัก 

 

“ยังเติบโตต่อได้อีกในหนึ่งพันปี?”

 

บรรพชนหก บรรพชนเจ็ดและบรรพชนเก้ามองหน้ากันมีร่องรอยความผิดหวังปรากฏขึ้นบน ใบหน้าของพวกเขา

 

แม้ว่าพวกเขาจะใช้วิธีลับส่วนตัว ตัดความหวัง ในการก้าวหน้าต่อไปแต่สําหรับผู้เป็นใหญ่ในโลกการที่แหล่งกําเนิดธาตุดินยังไม่เติบโตเต็มที่เช่นนี้มิกลายเป็นไร้ประโยชน์หรอกหรือ? 

 

“อย่างไรก็ตาม แม้ว่าแหล่งกําเนิดธาตุดินจะยัง ไม่เติบโตเต็มที่แต่พลังธาตุดินอันมหาศาลที่อัด แน่นอยู่ภายในเป็นของจริงสําหรับตัวข้าหากกลืนกินมันลงไปจะต้องเป็นการพัฒนาครั้งใหญ่อย่างแน่นอนอย่างน้อยก็ในด้านร่างกาย” 

 

ความคิดของซูฉินผันผวน ขบคิดในใจอย่าง รวดเร็ว

นิยาย เรื่องนี้อัพเดตก่อนที่อื่น เว็ปแรกที่ลง novelza.com

ซูฉันไม่เคยมีความคิดที่จะรอให้แหล่งกําเนิดธาตุดินเติบโตอย่างเต็มที่

 

ล้อเล่นหรือเปล่า? หากจะรอให้แหล่งกําเนิดธาตุดินนี้โตเต็มที่ก็ต้องใช้เวลาอย่างน้อยหนึ่งพันปี 

 

เวลาหนึ่งพันปี ด้วยความเร็วในการบ่มเพาะ ของซูฉินอาจจะพูดไม่ได้ว่าจะไปถึงระดับเทพ เซียน แต่ก็ต้องก้าวเข้าสู่ขอบเขตที่ทรงพลังอย่างน่าเหลือเชื่อเกรงว่าเมื่อถึงตอนนั้น แหล่งกําเนิดธาตุดินจะไม่มีประโยชน์อีกต่อไปแล้ว

 

เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ ซูฉินก็เหลือบมองบรรพชนหกบรรพชนเจ็ดและบรรพชนเก้าจากนั้นจึงกล่าวว่า“ข้าจะเข้าไปภายในก่อนที่ข้าจะออกมาหากไม่มีเรื่องสําคัญอย่าได้รบกวนข้า”

 

“ขอรับ”

 

บรรพชนหก บรรพชนเจ็ด และบรรพชนเก้ากระซิบคําด้วยความเคารพจากนั้นจึงมองซูฉินเดิน เข้าไปภายในหุบเขาเล็กๆ นั่น

 

ภายในแหล่งกําเนิดธาตุดินนั้นไม่ได้ธรรมดาเหมือนที่เห็นภายนอกทุกซอกทุกมุมเต็มไปด้วยพ ลังธาตุดินที่แข็งแกร่ง เมื่อซูฉินเข้ามาภายในหุบเขาเล็กๆ นี้เขาก็จะคิดว่าตนเดินเข้ามาในทะเลที่เต็มไปด้วยพลังงานธาตุดินล้วนๆ

 

“พลังธาตุดินที่มหาศาลเช่นนี้…” ซูฉินยิ้มเล็กน้อยและมองหาพื้นที่เพื่อลงไปนั่งขัดสมาธิ 

 

นี่ช่างเป็นความสุขที่มาอย่างคาดไม่ถึงจริงๆ 

 

เดิมทีการมายังทะเลทรายตะวันตกก็เพื่อขัดขวางวิหารหมื่นพุทธ แต่ในท้ายที่สุดกลับมาเจอเข้ากับแหล่งกําเนิดธาตุดินและยังได้รับทิพยอํา นาจอย่างที่สี่จากการลงชื่อเข้าใช้ 

 

นอกจากนี้ พลังงานธาตุดินที่ลอยฟังอยู่ทั่วแหล่งกําเนิดธาตุดินนี้ก็สามารถช่วยปรับปรุงร่างกาย ของซูฉินได้อย่างมากแน่ๆ

 

“ตั้งแต่เข้าสู่ระดับเริ่มต้นของวิชาภาพดวงตะวันขนาดมหึมาร่างกายของข้าก็อยู่ใกล้กับการแปรสภาพครั้งที่หกแล้วเมื่อไม่นานมานี้ในขณะที่ฝึกฝนภาพดวงตะวันฯ ร่างกายของข้าก็ยังค่อยๆดีขึ้นเรื่อยๆเกรงว่าอีกเพียงครึ่งก้าวก็จะถึงการแปรสภาพครั้งที่หก”

 

ซูฉินนั่งขัดสมาธิ ครุ่นคิดอยู่ในใจเงียบๆ

 

“ด้วยการใช้เลือดมังกรปีศาจในวิหารการสงครามร่างกายของข้าน่าจะเข้าใกล้การแปรสภาพ ครั้งที่หกได้ง่ายมากขึ้นอย่างแน่นอน” 

 

“ถ้าหากกลืนกินพลังงานจากแหล่งกําเนิดธาตุดินนี้เข้าไปอีกล่ะก็ข้ารู้สึกว่าข้าอาจจะลองทะ ลวงไปถึงการแปรสภาพร่างกายครั้งที่เจ็ดดูได้”

 

ความเร่าร้อนฉายผ่านใบหน้าของซูฉิน

 

ตามการประเมินของซูฉิน เมื่อร่างกายได้รับบารแปรสภาพถึงเจ็ดครั้งแล้ว ก็น่าจะสามารถ เทียบเคียงได้กับร่างกายแห่งธรรมชาติของเซียนเทพปฐพี ในเวลานั้นเพียงเลือดเนื้อปราณ ชีวิตของซูฉินก็เพียงพอจะกวาดล้างทุกสิ่ง

 

ร่างกายของขอบเขตเซียนเทพปฐพี่ถูกเรียกว่าร่างกายแห่งธรรมชาติมันทรงพลังอํานาจอย่างที่สุดเพราะเมื่อเข้าสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพีผู้ฝึกยุทธจะสามารถผสมผสานจิตใจเข้ากับทะเลปราณได้จากนั้นจึงสามารถใช้ทะเลปราณที่ไร้ที่สิ้นสุดเข้ามาเสริมพลังของกายเนื้อได้ 

 

นี่กุญแจสู่ความแข็งแกร่งของขอบเขตเซียน เทพปฐพี

 

ความสามารถของซูฉินในการขัดเกลาร่างกายให้อยู่ในระดับของร่างกายแห่งธรรมชาติโดยไม่พึ่งพาแก่นทะเลปราณนั้นช่างน่ากลัวอย่างยิ่ง 

 

“น่าเสียดายที่แหล่งกําเนิดธาตุดินแห่งนี้ยังเติบโตไม่สมบูรณ์ไม่เช่นนั้นมันจะมีมูลค่ามหาศาล ขอบเขตเซียนเทพปฐพิทั้งหลายจะต้องเข้าต่อสู้เพื่อแย่งชิงมัน” ซูฉินทอดถอนใจ

 

ประโยชน์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของแหล่งกําเนิดธาตุ ดินคือเพิ่มโอกาสที่ตํานานยุทธขั้นสูงสุดจะสา มารถเข้าสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพีด้วยแหล่งกําเนิดธาตุดินความยากในการเข้าถึงทะเลปราณจะลดลงอย่างมากเมื่อตํานานยุทธขั้นสูงสุดพยายามจะทะลวงขั้น

 

และเมื่อสัมผัสได้ถึงแก่นทะเลปราณ มันก็เท่า กับสําเร็จไปครึ่งหนึ่ง

 

แต่สําหรับซูฉิน ไม่ต้องกล่าวถึงการใช้แหล่งกําเนิดธาตุดินเพื่อจะประสบความสําเร็จ แม้ว่าต้อ งการจะประสบความสําเร็จจริงๆ เขาก็จะไม่ใช้แหล่งกําเนิดธาตุดินเพื่อทะลวงขั้น

 

แม้ว่าแหล่งกําเนิดธาตุดินจะช่วยให้ผู้ฝึกยุทธสัมผัสถึงแก่นทะเลปราณได้ง่ายขึ้น แต่มันก็เป็น เพียงผิวชั้นนอกของแก่นทะเลปราณเท่านั้นจะสามารถทะลวงไปได้ไกลแค่ไหนก็ขึ้นอยู่กับโชค

 

อย่างไรก็ตาม ตราบใดที่ซูฉินบ่มเพาะภาพด วงตะวันขนาดมหึมาเมื่อเข้าสู่ความสําเร็จระดับ เล็กเขาจะสามารถดึงความสามารถของอีกาทองคําสามขาออกมาได้อย่างแท้จริง

 

จากนั้นจึงใช้พลังของอีกาทองคําสามขาเพื่อ สัมผัสถึงแก่นทะเลปราณด้วยพลังของสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ธาตุไฟที่แข็งแกร่งที่สุดจะต้องสามารถเข้าสู่ส่วนลึกของแก่นทะเลปราณได้อย่างแน่นอน

 

ในเวลานั้นประโยชน์ที่ซูฉินจะได้รับย่อมเหนือกว่าเซียนเทพปฐพีทุกผู้ทุกคนในประวัติศาสตร์ 

 

เพราะมีเพียงเผ่าพันธุ์มนุษย์เท่านั้นที่จําเป็นต้องสัมผัสถึงแก่นทะเลปราณก่อนที่จะทะลวงไป ยังขอบเขตเชียนเทพปฐพี

 

สําหรับสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ธาตุไฟอย่างอีกาทองคําสามขา แม้ว่าจะเป็นเพียงวัยแรกเกิด แต่ก็มีพลัง พอที่จะกวาดล้างเซียนเทพปฐพีได้แล้วไม่จําเป็นต้องทะลวงผ่านทีละขั้น

 

“มาทําให้การแปรสภาพร่างกายครั้งที่หกสําเร็จ เสียก่อนดีกว่า…”

 

ซูฉินสูดลมหายใจเข้าหยิบขวดหยกออกมาค่อยๆรินเลือดสีทองซีดๆออกมาเก้าหยด

 

เลือดทั้งเก้าหยดนี้มีเมฆหมอกรูปร่างคล้ายกับ มังกรปรากฏขึ้นซูฉินเป็นผู้กลั่นเลือดเนื้อของ มังกรปีศาจจากวิหารการสงครามจนได้มาซึ่งส่วนที่สําคัญที่สุด

 

“ถึงแม้มังกรปีศาจจะได้ชื่อว่าเป็นมังกรแต่สายเลือดมังกรที่แท้จริงภายในกายนั้นแทบจะเรีย กได้ว่าอ่อนแอเสียเหลือเกิน…”

 

สายตาของซูฉินกวาดมองเลือดทั้งเก้าหยดอย่างช้าๆ “อย่างไรก็ตามเท่านี้ก็เพียงพอสําหรับ ข้าแล้ว”

 

ช่วงเวลาต่อมา

 

ซูฉินก็กลืนเลือดมังกรเข้าไปตรงๆ

 

เลือดสีทองซีดจางไหลลงคอ ซูฉินพลันรับรู้ได้ถึงแรงระเบิดที่กระจายอยู่ภายในร่าง กล้ามเนื้อ ของเขาฉีกขาด กระดูกแตกร้าวทั่วทั้งร่างเหมือนจะระเบิด

 

บูม!

 

ขณะที่ร่างกายของซูฉินถูกฉีกทําลายอย่างต่อเนื่องก็มีพลังบางอย่างที่ไม่สามารถอธิบายได้ กระจายออกไปทั่ว เมื่อพลังเหล่านี้ผ่านไปกล้ามเนื้อทุกส่วนก็ค่อยๆ ฟื้นตัว กระดูกทุกข้อได้รับการรักษา

 

ยิ่งกว่านั้น ร่างกายหลังการรักษากลับยิ่งแข็งแกร่งกระปรี้กระเปร่าขึ้นกว่าเดิม

 

เวลาผ่านไปอย่างช้าๆ

 

เมื่อซูฉินได้ดื่มเลือดมังกรทั้งเก้าหยดติดต่อกันไอพลังทั่วร่างกายก็เริ่มเดือดพล่านเลือดในกายสั่นสะท้านราวกับมีคลื่นยักษ์สาดโถมอยู่ทั่วร่าง

 

ในที่สุด

 

เมื่อมาถึงจุดหนึ่ง

 

ราวกับพุ่งทะลุคอขวดบางอย่างไอพลังของซูฉันเริ่มสงบลงอย่างรวดเร็ว

 

ในเวลาเดียวกัน

 

แรงกดดันที่ไม่สามารถอธิบายได้จากร่างกาย ของซูฉินก็ได้แพร่กระจายไปทั่วทุกทิศทาง 

 

“ในที่สุดการแปรสภาพร่างกายครั้งที่หกก็เสร็จสิ้น……”

 

ซูฉันค่อยๆลืมตาลอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้า ของเขา

SigninBuddha’spalm266(II)เข้าสู่ระบบ!คาถาดำดิน!

 

“ผู้เป็นใหญ่ในโลกจะกลับแล้วหรือ?”

 

บรรพชนหกประหลาดใจเล็กน้อย

 

ในที่สุดพวกเขาก็ได้พบกับผู้เป็นใหญ่ในโลกได้บรรลุผลสำเร็จในสิ่งที่วิหารหมื่นพุทธทำไม่ได้มาเป็นเวลานับหมื่นปีพวกเขาจะเต็มใจยอมให้ซูเฉินจากไปอย่างรวดเร็วได้อย่างไร?

 

“ผู้เป็นใหญ่ในโลกมันมีความลับที่ยิ่งใหญ่อยู่ที่

 

บรรพชนหกเหมือนจะคิดอะไรบางอย่างออกและพูดออกมาอย่างรวดเร็ว

 

“ความลับยิ่งใหญ่?”

 

ซูฉันมองไปยังบรรพชนหกเลิกคิ้วขึ้นพร้อมกับกล่าวถามออกไป

 

แม้อยู่ต่อหน้าฝ่ามือยูไลของซูฉินบรรพชนหกจะไม่สามารถขัดขืนแม้แต่น้อยแต่แท้ที่จริงแล้วความแข็งแกร่งของบรรพชนหกนั้นทรงพลังอย่างยิ่งแม้ว่าเลือดเนื้อพลังชีวิตจะแทบไม่เหลือแล้วแต่เคล็ดวิชาต่างๆนั้นดียิ่งกว่าตำนานยุทธขั้นสูงสุดอย่างบรรพบุรุษชีหยวน

 

หากไม่มีฝ่ามือยูไลซูฉินก็ต้องใช้กลอุบายเล็กน้อยเพื่อปราบบรรพชนหกส่วนเรื่องการปราบปรามและสังหารนั้น……

 

ถ้าบรรพชนหกตั้งใจจะหนีเอาชีวิตรอดและซูฉันต้องการจะสังหารคู่ต่อสู้เกรงว่าเขาคงต้องใช้เล่ห์กลบางอย่าง

 

ไม่ว่าจะเป็นเหตุการณ์ใดการเอาชนะและสังหารเป็นสองแนวคิดที่แตกต่างกันอย่างสมบูรณ์

 

ตราบใดที่ความแข็งแกร่งนั้นห่างกันเล็กน้อยก็สามารถเอาชนะได้แต่ถ้าต้องการสังหารให้สิ้นมันจะต้องบดขยี้ด้วยพลังที่มากกว่าอย่างสมบูรณ์

 

ด้วยระดับพลังและวิสัยทัศน์ของบรรพชนหกคงจะมีไม่กี่สิ่งบนโลกนี้ที่สามารถเรียกได้ว่าเป็นความลับยิ่งใหญ่

 

“บอกมาสิ”

 

ซูฉินให้ความสนใจ

 

“เหตุผลที่เราเลือกสร้างวิหารหมื่นพุทธที่นี่ก็เพราะการค้นพบแหล่งกำเนิดธาตุดินแห่งหนึ่ง!”

 

บรรพชนหกพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น

 

“แหล่งกำเนิดธาตุดิน?”

 

ใบหน้าของซูฉินดูขรึมขึ้นเล็กน้อยจิตใจฟ้าดินนั้นกว้างใหญ่ไร้ขอบเขตแต่โดยทั่วไปแล้วมันจะถูกแบ่งออกเป็นคุณลักษณะต่างๆเช่นทองไม้น้ำไฟดินหยินหยางและสายฟ้า

 

แน่นอนสำหรับจอมยุทธจะว่าไปก็ไม่จำเป็นต้องเข้าใจจิตใจแห่งฟ้าดินเลยแม้แต่ตำนานยุทธขั้นสูงสุดก็ไม่ได้ต้องใส่ใจคุณลักษณะธาตุของจิตใจฟ้าดินมากนัก

 

แต่เมื่อไปถึงขอบเขตเซียนเทพปฐพี่หรือขอบเขตยอดอรหันต์แล้วจะต้องใช้คุณลักษณะธาตุบางอย่างเพื่อสร้างรากฐาน

 

ในหนังสือโบราณบันทึกไว้ว่าเมื่อตำนานยุทธขั้นสูงสุดทะลวงผ่านโซ่ตรวนและเข้าสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพีจะตกอยู่ในสภาวะลึกลับจิตใจจะรวมเข้ากับทะเลแห่งแก่นแท้ปราณเพื่อเลือกคุณลักษณะธาตุที่เหมาะสมผสานเข้ากับตนเอง

 

เหตุผลที่เซียนเทพปฐพี่แข็งแกร่งมากนอกเหนือจากอาณาเขตขนาดใหญ่ที่ครอบคลุมพื้นที่หลายร้อยล้ำได้ในความคิดเดียวแล้วนั่นคือเขาได้รวมเข้ากับพลังฟ้าดินที่มีคุณลักษณะธาตุบางอย่างได้อย่างสมบูรณ์

 

ตัวอย่างเช่นจ้าวทะเลบูรพาบนเกาะหยิงโจวเป็นเซียนเทพปฐพีที่มีพลังไฟ

 

และแหล่งกำเนิดธาตุดินก็เป็นที่ที่พลังธาตุดินเดินทางมาบรรจบกันจนถึงขีดสุดสำหรับตำนานยุทธขั้นสูงสุดที่ต้องการจะเดินไปในเส้นทางของธาตุดินแหล่งกำเนิดธาตุดินนี้จะต้องเป็นการค้นพบที่ยิ่งใหญ่อย่างแน่นอนเพียงพอที่จะส่งตนเองให้หลุดพ้นจากพันธนาการของระดับชั้นได้ง่ายขึ้นสัมผัสถึงทะเลปราณได้ง่ายขึ้น

 

แม้แต่ในยุคเฟื่องฟูของกระแสปราณฉีครั้งล่าสุดแหล่งกำเนิดธาตุดินก็ยังหาได้ยากมากแทบไม่มีโอกาสพบเจอและระดับความหายากของมันก็อยู่เหนือกว่าน้ำพุจิตวิญญาณ”บนเกาะหยิงโจวเสียอีก

 

“พาข้าไปดูที่”

 

ซูฉินครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงกล่าวออกไป

 

ในหยกจดบันทึกที่จ้าวทะเลบูรพาทิ้งไว้แหล่งกำเนิดของธาตุทั้งห้านั้นมีค่าสูงส่งและเขายังคิดอีกว่าหากหาแหล่งกำเนิดธาตุไฟเจอบางที่การทะลวงขั้นอาจจะลดภาระไปได้กว่าครึ่งหนึ่ง

 

“ตามความประสงค์ของผู้เป็นใหญ่ในโลก”

 

บรรพชนหกโค้งคารวะ

 

ต่อจากนั้นบรรพชนหกบรรพชนเจ็ดและบรรพชนเก้าก็ให้ศิษย์สาวกจำนวนมากออกจากโถงวิหารและนำซูฉินไปด้านหลังของวิหารหมื่นพุทธ

 

ด้านหลังวิหารหมื่นพุทธเป็นชั้นเนินทรายอันกว้างใหญ่และเงียบเหงาข้างเนินทรายมีหุบเขาเล็กๆที่ไม่ได้โดดเด่นเท่าไรนัก

 

หุบเขาเล็กๆนี้ดูธรรมดามากทั้งหมดประกอบด้วยทรายสีเหลืองทองแม้แต่ซูฉินก็ไม่ได้สังเกตเห็นลักษณะพิเศษของหุบเขานี้ในแวบแรก

 

“หือ?”

 

รูม่านตาของซูฉินเหมือนจะมีคลื่นน้ำหมุนวนอยู่ในส่วนลึกเมื่อมองไปยังหุบเขาเล็กๆนี้ร่องรอยความประหลาดใจก็พลันปรากฏบนใบหน้าของเขา

 

“ผู้เป็นใหญ่ในโลกหุบเขาเล็กๆนี้คือแหล่งกำเนิดธาตุดิน”

 

เมื่อบรรพชนหกเห็นดวงตาของซูฉินจับจ้องที่หุบเขาเล็กๆนี้ท่าทีของเขาก็ยิ่งเคารพมากขึ้น

 

ไม่ว่าจะเป็นแหล่งกำเนิดธาตุดินหรือแหล่งกำเนิดธาตุทั้งห้าไอพลังนั้นจะถูกควบคุมอย่างเข้มงวดราวกับมันรวมเข้ากับอากาศโดยรอบอย่างสมบูรณ์เว้นแต่จะเข้าไปในหุบเขานั้นจริงๆไม่เช่นนั้นก็ไม่สามารถพบสิ่งผิดปกติได้เลย

 

เหตุที่วิหารหมื่นพุทธค้นพบแหล่งกำเนิดธาตุดินแห่งนี้ล้วนเป็นเรื่องบังเอิญหลังจากที่บรรพชนเก้ามาถึงแผ่นดินแห่งพลังยุทธอันยิ่งใหญ่เขาก็ลงมาหยุดอยู่ที่จุดนี้และเข้าสู่หุบเขาเพื่อพักผ่อนชั่วครู่หนึ่งก่อนที่จะค้นพบความพิเศษของหุบเขาเล็กๆแห่งนี้

 

แต่ถึงกระนั้นบรรพชนเก้าก็ดำเนินการอย่างระมัดระวังในที่สุดก็ยืนยันได้ว่าหุบเขาเล็กๆแห่งนี้เป็นแหล่งกำเนิดธาตุดินตามที่เคยได้ยินมา

 

เหตุนี้เองบรรพชนเก้าจึงได้ให้บรรพชนหกและบรรพชนเจ็ดเดินทางมาที่นี่ด้วยตนเองและยังได้นำสมบัติพุทธคุณจำนวนหนึ่งของวิหารหมื่นพุทธมาด้วย

 

ไม่เช่นนั้นคงเป็นไปไม่ได้เลยที่หลังจากกระแสปราณฉีเพิ่งฟื้นคืนไม่นานเช่นนี้วิหารหมื่นพุทธจะต้องส่งบรรพชนถึงสามคนมายังแผ่นดินแห่งพลังยุทธฯ

 

“ข้าทราบแล้ว”

 

ดวงตาแห่งสัจจะของซูฉินกำลังทำงานอย่างเต็มที่พร้อมกับใช้วิชาปราณฉีฟ้ากำหนดควบคู่ไปด้วยมองตรงไปยังหุบเขาเล็กๆเบื้องหน้า

นิยาย เรื่องนี้อัพเดตก่อนที่อื่น เว็ปแรกที่ลง novelza.com

หุบเขาเล็กๆที่มีขนาดไม่ถึงหนึ่งก็มีพลังพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็วราวกับเป็นดวงอาทิตย์ที่ประกอบขึ้นมาจากพลังธาตุดินทั้งหลายแหล่ที่มาบรรจบกันมันส่องสว่างไปทั่วทะเลทรายตะวันตก

 

หลังจากนั้นไม่นาน

 

ซูฉินก็ค่อยๆปิดตาลงและเปิดเปลือกตาขึ้นอีกครั้งหุบเขาเล็กๆตรงหน้านี้ก็กลับคืนสู่สภาพเดิมๆ

 

ฉากที่ซูฉินเห็นไม่ได้เกิดขึ้นจริงแต่เขามองเห็นแก่นสำคัญบางอย่างภายในหุบเขาเล็กๆนี้

 

“แหล่งกำเนิดธาตุดินแห่งนี้เกรงว่ามันคงจะกำเนิดขึ้นมานานนับพันปีแล้วใช่ไหม?”

 

ซูฉันมองไปที่หุบเขาและครุ่นคิดพลางเอ่ยปากถาม

 

“ผู้เป็นใหญ่ในโลกต้องใช้เวลานานมากในการก่อตัวของแหล่งกำเนิดธาตุทั้งห้าแต่ละแห่งตั้งแต่หลายพันปีไปจนถึงหลายหมื่นปีหล่อเลี้ยงจนกว่ามันจะสำเร็จเสร็จสมบูรณ์

 

“แหล่งกำเนิดธาตุดินแห่งนี้ข้าคิดว่ามันจะต้องก่อตัวมาอย่างน้อยก็หลายพันปีแล้ว…..”

 

บรรพชนหกกล่าวอย่างระมัดระวัง

 

“หลายพันปี….”

 

รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของซูฉิน

 

หลังจากเวลาผ่านไปนานขนาดนี้ก็ควรจะสั่งสม’เต่าสะสม”ไว้มากมาย…..

 

ดวงตาของซูฉินเป็นประกาย

 

สำหรับสถานที่ธรรมดาๆแม้ว่าจะอยู่มาเป็นหมื่นปีแต่ก็ไม่ได้มี”เต๋สะสมอยู่มากนักเพราะสถานที่เหล่านั้นไม่สามารถรักษา’เต๋สะสมเอาไว้ได้

 

แต่แหล่งกำเนิดธาตุทั้งห้าอย่างแหล่งกำเนิดธาตุดินนั้นไม่ใช่สถานที่ธรรมดาอย่างแน่นอน

 

แม้แต่เมืองหลวงโบราณที่ข้ามผ่านมาสิบราชวงศ์อย่างเมืองฉางอันก็สามารถช่วยให้ซูฉินลงชื่อเข้าใช้ได้เป็นเวลานานแหล่งกำเนิดธาตุดินแห่งนี้จะมีเหตุผลอะไรที่ไม่สามารถกักเก็บเต่าสะสม’ไว้ได้

 

“และวันนี้โอกาสในการลงชื่อเข้าใช้ก็ยังไม่ได้ถูกใช้ไป…”

 

ซูฉินเหลือบมองบรรพชนหกบรรพชนเจ็ดและบรรพชนเก้าจากนั้นจึงค่อยๆเดินไปหน้าหุบเขาเล็กๆนี้

 

“นี่คือแหล่งกำเนิดธาตุดิน……”

 

ซูฉันมองไปที่หุบเขาเล็กๆนั้นในสายตาของคนทั่วไปหุบเขานี้ก็เป็นเพียงหุบเขาเล็กๆธรรมดาแต่ซูฉินกลับรู้สึกกดดันอย่างหนักราวกับกองดินก้อนใหญ่เข้ามากดทับ

 

ซูฉินเพิกเฉยต่อแรงกดดันแล้วกล่าวในใจเงียบๆว่า“ระบบข้าขอลงชื่อเข้าใช้!”

 

[ขอแสดงความยินดีโฮสต์ลงชื่อเข้าใช้สำเร็จได้รับทิพยอำนาจคาถาดำดิน’]

 

Sign in Buddha’s palm 266 (1) เข้าสู่ระบบ!คาถาดําดิน!

 

จิตวิญญาณของตะเกียงพุทธหมื่นวิญญาณนั้น กลัว” ฝ่ามือยูไลจนหนี้ไปอยู่ในส่วนที่ลึกที่สุดของตัวตะเกียงกล่าวตามหลักแล้วเป็นไปไม่ได้ที่จะ ฟื้นฟูหากไม่ได้ใช้เวลาสักหลายร้อยหลายพันปี

 

แม้แต่ในสายตาของบรรพชนหก บรรพชนเจ็ด และบรรพชนเก้าการที่จิตวิญญาณของตะเกียงพุทธหมื่นวิญญาณสิ้นไปก็แทบจะไม่ต่างจากความ เสียหายต่อตัวตะเกียงทั้งหมด

 

อย่างไรก็ตาม สําหรับซูฉินเขาต้องใช้เพียงกลิ่นอายของฝ่ามือยไลในการ”ฉุดดึง”กลับมาการนําจิตวิญญาณตะเกียงพุทธหมื่นวิญญาณออกจากส่วนลึกของตะเกียงก็เป็นเพียงเรื่องของความพยายาม

 

หากกระตุ้นใช้ฝ่ามือยไลอย่างเต็มที่ มันจะใช้พลังเป็นจํานวนมากแม้ว่า แก่นแท้แห่งพลังของซูฉินจะกว้างใหญ่ไพศาลก็ต้องใช้มันอย่างระมัดระวัง แต่การปล่อยกลิ่นอายออกมาเพียงเล็กน้อยเป็นเรื่องง่ายเพียงแค่คิดก็ทําได้แล้ว

 

ไม่เพียงเท่านั้น ตะเกียงพุทธหมื่นวิญญาณที่เจือปนด้วยพลังจากฝ่ามีอยู่ ไลนั้นดูเหมือนจะผ่านการเปลี่ยนแปลงบางอย่างตัวตะเกียงสว่างไสวไปด้วย แสงพุทธคุณส่องสว่างไปทั่ววิหารหมื่นพุทธ

 

นี่คือฝ่ามือยูไลสามารถทําลายได้ ก็ให้กําเนิดได้เช่นกัน

 

เป็นเวลาหลายพันปีที่อรหันต์จากวัดเส้าหลินใช้ฝ่ามือยูไลได้อย่างเชี่ยว ชาญ

 

แต่ไม่ว่าจะเป็นอรหันต์รูปใด ฝ่ามือยูไลที่พวกเขาถือครองอยู่ก็เหมือนกับ ชั้นวางของที่โล่งว่าง

 

มีเพียงซูฉินที่ลงชื่อเข้าใช้หน้าโถงประชุมใหญ่เท่านั้นที่ได้รับฝ่ามีอยูไลค รบทั้งเก้ารูปแบบรวมถึงความหมายจริงแท้แห่งตถาคตการมีอยู่ของทั้งสอง สิ่งนี้จึงจะเป็นฝ่ามือยูไลที่แท้จริงที่สืบทอดมาจากองค์ยูไล

 

ด้วยความหมายจริงแท้แห่งตถาคตเท่านั้น ฝามือยไลจึงจะปลดออกมาได้ เต็มอานุภาพทรงพลังอย่างแท้จริงไม่เช่นนั้นก็เป็นได้เพียงเคล็ดวิชาสาย พุทธที่ทรงพลังขึ้นมาหน่อยก็เท่านั้น

 

ตัวอย่างเช่นตอนที่อรหันต์ถัวได้ใช้ฝ่ามือยูไลผนึกมารพุทธะเอาไว้เมื่อเก้า ร้อยปีก่อน

 

ถ้าอรหันต์ตัวเมื่อยามนั้นเข้าใจความหมายจริงแท้แห่งตถาคตด้วยและ ใช้ฝ่ามือยูไลในการผนึกแม้ความแข็งแกร่งของมารพุทธะจะแข็งแกร่งกว่านี้ อีกเป็นสิบเท่าก็เป็นไปไม่ได้ที่จะทําลายตราประทับนับประสาอะไรกับกา รปล่อยจิตมารออกมาคอยบ่อนทําลายวัดเส้าหลิน

 

“ส่งกลับให้เจ้า”

 

ซูฉินมองตะเกียงพุทธหมื่นวิญญาณคร่าวๆแล้วโยนมันไปเบื้องหน้าขอ งบรรพชนหก

 

แม้ว่าตะเกียงพุทธหมื่นวิญญาณจะเป็นสมบัติของวิหารหมื่นพุทธแต่ใน สายตาของซูฉินมันก็งั้นๆ

 

แม้ว่าซูฉินจะต้องใช้เวลาพอสมควรในการทําลายแสงจากตะเกียงพุทธ หมื่นวิญญาณ แต่นั่นก็เพราะซูฉินได้ใช้พลังจากกายเนื้อของเขา

 

ถ้าซูฉินลงมือสุดกําลังด้วยไพ่ลับในมือทั้งหมดตะเกียงพุทธหมื่นวิญญาณ คงอยู่ได้ไม่นาน

 

แม้ว่าตะเกียงพุทธหมื่นวิญญาณจะสามารถสกัดกั้นการโจมตีของเซียน เทพปฐพี่บางคนได้เมื่อหลายพันปีก่อนแต่สุดท้ายมันก็ยังไม่ได้ฟื้นตัวเต็มที่ และการโจมตีที่แข็งแกร่งที่สุดของซูฉินในแง่ของพลังล้วนๆเกรงว่ามันจะ ถึงธรณีประตูของขอบเขตเซียนเทพปฐพีแล้ว…เกินขีดจํากัดสูงสุดที่ตะ เกียงพุทธหมื่นวิญญาณจะป้องกันได้

 

ดังนั้นตะเกียงพุทธหมื่นวิญญาณถือเป็นสมบัติล้ําค่าของวิหารหมื่นพุทธแต่ในสายตาของซูฉินนั้นไม่นับเป็นสิ่งใด

 

“ผู้เป็นใหญ่ในโลก”

 

“ตะเกียงพุทธหมื่นวิญญาณนี้ หลังจากผ่านการชําระโดยผู้เป็นใหญ่ในโลก ย่อมเชื่อมโยงกับจิตใจของผู้เป็นใหญ่ในโลกวิหารหมื่นพุทธของข้าจะ กล้ารับไว้ได้อย่างไร ”

 

บรรพชนหกตกตะลึง มือไม้สั่นขณะที่ถือตะเกียงพุทธหมื่นวิญญาณซึ่งเปล่งแสงพุทธคุณออกมาจางๆ

 

ในเวลานี้ หลังจากผ่านมือซูฉินมาแล้ว แสงที่ออกมาจากตะเกียงพุทธหมื่นวิญญาณยิ่งลึกล้ํายิ่งขึ้น และบรรพชนหกก็รู้สึกได้ว่าตะเกียงพุทธหมื่นวิญญาณนี้ได้ฟื้นคืนสู่จุดรุ่งโรจน์แล้ว

 

“ได้โปรดนําตะเกียงพุทธหมื่นวิญญาณกลับไปเถิด”

 

บรรพชนเจ็ดและบรรพชนเก้ากระซิบคํา

นิยาย เรื่องนี้อัพเดตก่อนที่อื่น เว็ปแรกที่ลง novelza.com

แม้พวกเขาจะมีความกล้าหาญ แต่ก็ไม่กล้าฉกฉวยของจากผู้เป็นใหญ่ใน โลก บัดนี้กลิ่นอายของตะเกียงพุทธหมื่นวิญญาณนั้นไม่แน่นอน เครื่องหมายทั้งหมดในตัวโคมไฟก็ได้หายไปหมดแล้ววิหารหมื่นพุทธจะกล้ารับของมาได้อย่างไร?

 

“พวกเจ้าไม่ต้องการมันหรือ?”

 

ซูฉินลังเล แต่ในที่สุดก็รับตะเกียงพุทธหมื่นวิญญาณกลับคืนมาแม้ว่าตะ เกียงพุทธหมื่นวิญญาณนี้จะมีประโยชน์เพียงเล็กน้อยสําหรับเขาแต่มันก็ยัง พอใช้ได้อย่างน้อยก็สามารถใช้ปกป้องถ้ําเซียนหรือสถานที่ปิดด่านฝึกตนได้

 

ตัวอย่างเช่นโถงพระราชวังสีดําอันสูงตระหง่านใต้ผืนดินซูฉินยังขาดสิ่งที่คอยปกป้องดูแลและตะเกียงพุทธหมื่นวิญญาณก็ตรงตามข้อกําหนดพอดี 

 

“เอาล่ะ”

 

“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าก็คงต้องกลับไปก่อนแล้ว”

 

ซูฉินเหลือบมองบรรพชนหกบรรพชนเจ็ดบรรพชนเก้าและกล่าวคํา

เบาๆ

 

การมาของเขาในครั้งนี้เพียงเพื่อมาขัดขวางวิหารหมื่นพุทธไม่ให้เข้ามาวุ่น วายในอาณาจักรถังในอนาคตและต้องการสร้างความตื่นตะลึงให้กับนิกาย ใหญ่อื่นๆที่มาตั้งถิ่นฐานอยู่ในทะเลทรายตะวันตก

 

เมื่อคราวที่ซูฉินพุ่งเข้ามาในทะเลทรายตะวันตก เขาจึงจงใจเปิดเผยรัศ มีพลัง โดยหลังจากนั้น ร่างกายทั้งหมดถูกกระตุ้น ใช้พลังเลือดเนื้อเข้าเจาะ ทําลายตะเกียงพุทธหมื่นวิญญาณ ยิงออกแรง พลังก็ยิงพวยพุ่ง เกรงว่ามันคง จะไปกระตุ้นความสนใจจากนิกายใหญ่แห่งอื่นๆ ในทะเลทรายตะวันตกเป็น ที่เรียบร้อยแล้ว

 

แม้ว่าฝ่ามือยไลจะถูกใช้ออกในตอนสุดท้าย แต่มันก็ทําให้พลังฉีวุ่นวายสับสน สามารถบดบังสายตาที่มองมาจากสถานที่อื่นๆได้แต่เรื่องราวก่อน หน้านี้เพียงอย่างเดียวก็เพียงพอแล้วที่จะดึงความสนใจจากนิกายใหญ่

 

“ผู้เป็นใหญ่ในโลกจะกลับแล้วหรือ?”

 

บรรพชนหกประหลาดใจเล็กน้อย

 

ในที่สุดพวกเขาก็ได้พบกับผู้เป็นใหญ่ในโลกได้บรรลุผลสําเร็จในสิ่งที่วิ หารหมื่นพุทธทําไม่ได้มาเป็นเวลานับหมื่นปีพวกเขาจะเต็มใจยอมให้ซูฉิน จากไปอย่างรวดเร็วได้อย่างไร?

 

“ผู้เป็นใหญ่ในโลก มันมีความลับที่ยิ่งใหญ่อยู่ที่นี่”

 

Sign in Buddha’s palm 265 น้อมสักการะผู้เป็นใหญ่ในโลก

 

ที่หน้าวิหารหมื่นพุทธ

 

ฝ่ามือยูไลสีทองอร่ามปกคลุมฟ้าดิน แสงสว่างพุทธคุณส่องขจรขจาย สว่างไสวไปทั่วทุกทิศ

 

ในขณะที่ซูฉินได้ใช้ฝ่ามือยไลรูปแบบแรก จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของเขาก็พุ่ง สูงขึ้นเป็นอนันต์ประหนึ่งว่าหลอมรวมเข้ากับองค์ยูไลทองคําที่ชี้มือขึ้นฟ้า อีกมือเอื้อมลงพื้นพสุธา

 

“ความรู้สึกนี้?”

 

ซูฉินได้ยินเสียงดังมาจากส่วนลึกระหว่างคิ้ว องค์ยูไลทองคําเป็ นสัญลักษณ์สื่อถึงมรดกฝามือยไลเก้ารูปแบบและความหมายจริงแท้แห่งต ถาคตจู่ๆความรู้มากมายก็หลั่งไหลเข้ามาในจิตใจ ในตอนนี้ซูฉินดูเหมือน เป็นร่างประทับขององค์ยูไลอย่างแท้จริง

 

“นี่คือฝามีอยู่ไล?”

 

ซูฉันรู้สึกมีนหัวเล็กน้อย พลังฝ่ามีอยู่ไลนั้นวิ่งวนอยู่ในฝ่ามือ รู้สึกได้ว่าท กสิ่งบนโลกอยู่ภายใต้การควบคุมของเขา ราวกับพื้นที่มิติจะต้องแตกเป็น เสี่ยงๆเมื่อฝ่ามือผ่านไป

 

แน่นอนว่าซูฉินรู้ดีว่านั้นเป็นเพียงภาพลวงตา พื้นที่มิติมีอยู่ทุกหนแห่ง พวกมันมั่นคงเพียงใด? แม้ว่าจะเป็นเซียนเทพปฐพีก็ไม่สามารถจะทําลายมิติ ได้แล้วเขาจะเอาอะไรมาทําได้?

 

ฝ่ามือยไลนั้นทรงพลัง แต่มันก็ขึ้นอยู่กับความแข็งแกร่งของซูฉินเองด้วย หากซูฉินแข็งแกร่งฝ่ามีอยู่ไลก็จะแข็งแกร่งเช่นกัน

นิยาย เรื่องนี้อัพเดตก่อนที่อื่น เว็ปแรกที่ลง novelza.com

ในทางตรงกันข้าม หากความแข็งแกร่งของซูฉินอ่อนแอลงกว่านี้ แม้ว่า เขาจะเชี่ยวชาญในเคล็ดวิชาได้เปรียบอย่างฝ่ามือยูไล เขาก็ไม่สามารถแสดง พลังของมันได้มากนัก

 

“ถ้าฝ่ามือถูกปล่อยออกไปจริงๆ ข้าเกรงว่าแม้แต่เซียนเทพปฐพี ก็ยังต้องล่าถอยกลับไปเป็นพันลี้มิใช่หรือ?”

 

รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของซูฉิน

 

แม้ว่าเขาจะไม่เคยเผชิญหน้ากับเซียนเทพปฐพีตรงๆ แต่ก็ได้เห็นร่างของ จ้าวทะเลบูรพาบนเกาะหยิงโจว

 

จ้าวทะเลบูรพามีชีวิตอยู่ในช่วงสุดท้ายของยุคกระแสปราณฉีเฟื่องฟู แต่ ด้วยการเป็นเซียนเทพปฐพีขั้นสูงสุด ร่างที่ทิ้งไว้แม้จะผ่านไปเป็นหมื่นปีที่ ยังคงรักษากลิ่นอายส่วนหนึ่งของขอบเขตเซียนเทพปฐพีไว้ได้

 

ซูฉินมองผ่านกลิ่นอายที่เหลืออยู่ ก็พอเข้าใจบ้างเล็กน้อย แม้ว่าจะเป็นไป ไม่ได้ที่จะระบุถึงการมีอยู่และความแข็งแกร่งของตัวตนในขอบเขตเซียนเทพปฐพีแต่ในตอนนี้ ด้วยฝ่ามือยูไล อํานาจของมันนั้นไปถึงระดับของเซียนเทพปฐพีอย่างชัดเจน

 

“แต่นี่มันกินพลังมากเกินไปหน่อย…”

 

หัวใจของซูฉินจมดิ่ง

 

ในเวลาชั่วครู่เดียวที่เขาได้ดึงเคล็ดฝ่ามือยไลออกมา ยังไม่ทันได้โจมตี จริงๆแก่นแท้แห่งพลังในร่างของเขาก็ถูกใช้ไปเป็นจํานวนที่บ้าคลั่งเสียแล้ว ด้วยอัตราการใช้พลังนี้เมื่อซูฉินโจมตีออกไปจริงๆ เป็นไปได้ไหมว่าจะต้อง เสียแก่นแท้แห่งพลังไปถึงสองส่วนจากสิบส่วน?

 

“อย่างไรก็ตาม มันนับเป็นไฟลับได้เช่นกัน แม้ว่าจะเจอเซียนเทพปฐพี่จ ริงๆในอนาคตก็ยังสามารถประมือกันได้สองถึงสามกระบวนท่า”

 

ซูฉันคิดอยู่เงียบๆ ในใจ

 

ในขณะที่ซูฉินกําลังคิดอยู่นั้น “นี่คือองค์ยูไล”

 

“นี่คือองค์ยูไลจริงๆ”

 

บรรพชนหกมือไม้สั่น น้ําตาไหลพราก เมื่อเขามาถึงระดับที่เป็นอยู่ตอนนี้ เขากละทิ้งความหวังที่จะเข้าสู่ขอบเขตยอดอรหันต์มานานแล้ว และสิ่งเดียวที่ไปหาคือการบูชาองค์ยูไลอยู่ในวิหารหมื่นพุทธมาเป็นเวลาหลายพันปี

 

ในความเป็นจริง นี่ก็เป็นสิ่งที่อรหันต์ขั้นสูงสุดของวิหารหมื่นพุทธในอดีต ตามหาเช่นกัน

 

อย่างไรก็ตาม น่าเสียดายที่แม้แต่ในช่วงสุดท้ายของยุคกระแสปราณฉี เฟื่องฟูช่วงที่วิหารหมื่นพุทธเจริญรุ่งเรืองก็ไม่เคยพบองค์ยูไลที่แท้จริง นับประสาอะไรกับยามนี้?

 

แต่ตอนนี้ รัศมีที่ซูฉินเปล่งออกมา โดยเฉพาะองค์ยูไลทองคําที่น่าตื่นตระ หนกนั้นเกือบจะเหมือนสิ่งที่วิหารหมื่นพุทธใฝ่หามานับพันนับหมื่นปี 

 

พรบ

 

ศิษย์ทั้งหลายของวิหารหมื่นพุทธก็คุกเข่าลงทีละคน ก้มหน้าไม่สามาร ถมองได้อีก

 

“คนผู้นี้เป็นร่างอวตารขององค์ยูไลหรือไม่?” นัยน์ตาของบรรพชนเจ็ด แข็งที่อหัวใจของเขาสั่นสะท้าน

 

ในสายตาของบรรพชนเจ็ด ถ้าเป็นองค์ยูไลจริงๆ คงกวาดล้างทุกสิ่งไปได้ ตั้งนานแล้วแม้ว่าพละกําลังของซูฉินจะแข็งแกร่ง แต่เห็นได้ชัดว่าห่างไกล จากองค์ยูไลที่แท้จริง

 

แต่ฉากที่เห็นตรงหน้านี้ ซูฉินเปรียบประหนึ่งองค์ยูไลที่ทอดสายตามอง สิ่งมีชีวิตทั้งปวงใครเล่าจะทําสิ่งนี้ได้นอกจากองค์ยูไลจริงๆ?

 

นั่นเป็นเหตุผลที่บรรพชนเจ็ดคิดว่าซูฉินเป็นร่างอวตารขององค์ยูไล

 

หวิ่งหวิ่งหนึ่ง!

 

จิตใจและจิตวิญญาณของซูฉินรวมเข้ากับร่างสีทองขององค์ยูไลทองคํา และสามารถเหนี่ยวรั้งฝ่ามือยูไลได้ตลอดเวลา ด้วยพลังของ “ตัวตถาคตประเสริฐสุด” เมื่อใช้ออกจริงๆ วิหารหมื่นพุทธจะต้องถูกกําจัดไปอย่างแน่นอนบรรพชนหกบรรพชนเจ็ด บรรพชนเก้า และศิษย์สาวกของวิหารหมื่นพุทธ จะกลายเป็นอากาศธาตุไปพร้อมๆกับวิหารหมื่นพุทธ

 

แต่ซูฉินก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย ไม่ได้เริ่มลงมือในทันที

 

แม้ว่าบรรพชนเก้าจะบุกเข้าไปในวัดเส้าหลิน เขาก็ไม่ได้ทําร้ายศิษย์วัดเส้ าหลินคนใดแม้แต่หัวหน้าตําหนักยุทธสงฆ์ที่เข้าไปโจมตีก็ยังถูกจับตัวไว้ครู่หนึ่งเท่านั้นสามารถฟื้นตัวในภายหลังได้

 

แม้ว่าบรรพชนเก้าจะเป็นฝ่ายผิดอยู่ส่วนหนึ่ง แต่ความผิดก็ไม่ได้ร้าย แรงถึงแก่ชีวิตแม้ว่าซูฉินจะเด็ดขาดและไม่เคยหลีกเลี่ยงการสังหาร แต่เขาก็ ไม่ได้สังหารผู้คนไม่เลือกหน้า

 

เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ ซูฉินก็ค่อยๆ รั้งฝ่ามือยูไลกลับมา แสงพุทธคุณที่ท่วม เต้มท้องฟ้าไหลกลับเข้าสู่ร่างกายของซูฉิน หัตถ์สีทองอร่ามและองค์ยูไลทองคําที่ชี้มือขึ้นฟ้าอีกมือเอื้อมพสุธาก็ค่อยๆ สลายหายไป

 

จากสภาพภายนอก ซูฉินยังคงยืนอยู่ที่เดิมโดยไม่ได้ขยับเขยื้อนไปไหนแม้ แต่น้อยแต่ทุกคนในวิหารหมื่นพุทธตั้งแต่ศิษย์ธรรมดาไปจนถึงบรรพชนหก บรรพชนเจ็ดและบรรพชนเก้าต่างลงไปคุกเข่าอยู่กับพื้น สั่นสะท้านไปทั้งตัว ราวกับเผชิญหน้ากับความศรัทธาลึกๆ ในใจ

 

“แค่ฝ่ามือยไลรูปแบบแรกเท่านั้นยังมีพลังน่าสะพรึงกลัวเช่นนี้ แล้ว รูปแบบที่สองรูปแบบที่สามไปจนถึงรูปแบบสุดท้ายจะเป็นเช่นไร?”

 

ความหวังปรากฏขึ้นบนใบหน้าของซูฉิน

 

ฝ่ามีอยู่ไลมีทั้งหมดเก้ารูปแบบ ทั้งเก้ารูปแบบล้วนไม่มีสิ่งใดสูงสิ่งใดต่ํา กว่ากัน

 

ตัวอย่างเช่น ฝ่ามีอยู่ไลรูปแบบแรกนั้นแสดงให้เห็นถึงอํานาจจู่โจมขั้นสูง สุด และรูปแบบที่สาม ฝ่ามือแดนพิสุทธิ์ ได้แสดงให้เห็นถึงความสุดยอดใน ด้านการปิดผนึก

 

ฝ่ามือยูไลทั้งเก้ารูปแบบ มีความแตกต่างกัน และแต่ละรูปแบบก็มีผลอัน น่าอัศจรรย์ในแบบของตนเอง

 

ซูฉินเดินช้าๆ ไปที่หน้าวิหารหมื่นพุทธ สายตาของเขากวาดไปตามศิษย์ สาวกของวิหารหมื่นพุทธ

 

เมื่อสายตาของซูฉินกวาดผ่านไปที่ศิษย์วิหารหมื่นพุทธคนใด ศิษย์ผู้นั้นก็ จะตัวสั่นและก้มศีรษะลง ไม่กล้าสบตากับเขาโดยตรง

 

กลิ่นอายที่ซูฉินเปิดเผยออกมาเมื่อครู่คล้ายคลึงกับองค์ยูไลที่ ประดิษฐานอยู่ในวิหารหมื่นพุทธ

 

แม้ว่าจิตใจของศิษย์สาวกเหล่านี้จะยังคงยุ่งเหยิง แต่พวกเขามีความยําเก รงซูฉินไปถึงก้นบึง เสมือนได้มองตรงไปยังองค์ยูไลทองคําที่ประดิษฐานอยู่ในวิหารหมื่นพุทธ

 

หลังจากนั้นไม่นาน ซูฉินเหลือบมองไปทั่วโถงของวิหารหมื่นพุทธ ไม่มีผู้ใดกล้ามองซูฉินตอบเมื่อบรรพชนหกเห็นสิ่งนี้ เขาก็ทําได้เพียงโค้งตัว ระงับความตื่นเต้นในหัวใจเข้าคารวะซูฉิน “น้อมสักการะผู้เป็นใหญ่ในโลก วิหารหมื่นพุทธเรานั้นช่างผิดบาปหาญกล้าต่อต้านผู้เป็นใหญ่ในโลก….”

 

ผู้เป็นใหญ่ในโลกเป็นคําเรียกขานองค์ยูไล หมายถึงผู้ที่ประเสริฐที่สุด ในโลกในเวลานี้บรรพชนหกได้ถือว่าซูฉินเป็นประหนึ่งองค์ยูไลจริงๆ ไม่ เช่นนั้นคงไม่เรียกซูฉินด้วยคําเรียกขานนี้

 

“ผู้เป็นใหญ่ในโลก…”

 

บรรพชนเจ็ดและบรรพชนเก้าตัวสั่นงันงก

 

สําหรับคําเรียกขานที่ว่า ผู้เป็นใหญ่ในโลก พวกเขาเคยเห็นแต่ในพระคัม ภีร์เท่านั้นแม้แต่ในยุคเฟื่องฟูของกระแสปราณฉีครั้งล่าสุด ผู้นําวิหารหมื่น พุทธที่พานิกายไปสู่ความเจริญรุ่งเรืองก็ไม่มีค่าควรที่จะถูกเรียกขานว่า “ผู้ เป็นใหญ่ในโลก” แต่ตอนนี้ตัวตนที่อยู่ตรงหน้าพวกเขา แทบจะไม่ต่างจาก ความฝัน

 

การเป็นผู้เป็นใหญ่ในโลกไม่ได้กําหนดด้วยความแข็งแกร่งเท่านั้น ต่อให้ท รงพลังสะเทือนฟ้ามีกําลังทําลายฟ้าดิน ก็ยังเป็นไปไม่ได้ที่จะเรียกขานว่า 

“ผู้เป็นใหญ่ในโลก” นี่เป็นตัวตนที่สูงส่งและมีเกียรติ

 

“ผู้เป็นใหญ่ในโลก?”

 

ซฉินสายศีรษะเล็กน้อย เขาอยู่วัดเส้าหลินมานานกว่ายี่สิบปี จะไม่เข้าใจ ความหมายของผู้เป็นใหญ่ในโลกได้อย่างไร?

 

เพียงแต่ว่าซูฉินขี้เกียจเกินกว่าจะปฏิเสธ ฝ่ามือยูไลได้ชื่อว่าเป็นวิชาที่ ถ่ายทอดมาจากองค์ยูไลโดยตรงการที่ซูฉินครอบครองฝามือยูไลทั้งเก้ารูป แบบก็เทียบได้กับการเป็นศิษย์ขององค์ยูไลไปกึ่งหนึ่งบวกกับความหมาย จริงแท้แห่งตถาคตที่อยู่ในองค์ยูไลทองคําภายในส่วนลึกหว่างคิ้ว

 

แม้ว่าซูฉินจะบอกว่าเขาเป็นร่างอวตารขององค์ยูไล เกรงว่าก็คงจะมีบาง คนเชื่อเป็นจริงเป็นจัง

 

“วิหารหมื่นพุทธที่อยู่ที่นี่มีเพียงพวกเจ้าเป็นอรหันต์ขั้นสูงสุดเพียงสาม รูปหรือ?”ซูฉินเหลือบมองไปที่วิหารหมื่นพุทธและกล่าวถามอย่างไม่ใส่ใจ

มากนัก

 

เห็นได้ชัดว่าวิหารหมื่นพุทธไม่ได้ถูกสร้างมาเป็นเวลานาน และไม่ได้มี “เต๋สะสม”มากนักดังนั้นซูฉินจึงไม่ได้สนใจ

 

“เรียนผู้เป็นใหญ่ในโลก”

 

บรรพชนหกกล่าวด้วยความเคารพ “เป็นดังที่ท่านว่า กระแสปราณฉีเริ่ม ฟื้นคืน วิหารหมื่นพุทธของพวกเราเพิ่งย้ายเข้ามาที่นี่เพื่อต้อนรับการมาถึง ของโลกอันยิ่งใหญ่ในอนาคต”

 

“โลกอันยิ่งใหญ่?”

 

ดวงตาของซูฉินสงบนิ่ง และถามซ้ําด้วยน้ําเสียงทุ่มต่ํา

 

เขาเคยได้ยินคํานี้มามากกว่าหนึ่งครั้ง นักพรตเฒ่าสํานักเอกะวิถีเคยพูด ถึง และยังถูกกล่าวถึงในหยกจดบันทึกที่จ้าวทะเลบูรพาทิ้งเอาไว้ด้วย

 

ดูเหมือนว่าในสายตาของจอมยุทธทุกผู้โลกอันยิ่งใหญ่จะเป็นยุคที่สดใส อย่างยิ่ง

 

แต่สําหรับซูฉิน มันไม่ได้เป็นอย่างนั้น

 

ซูฉินสัมผัสได้ถึงโลกนี้มานานหลายสิบปีแล้วตั้งแต่ทวีปนี้เริ่มฟื้นตัว พลังชี วิตของเขาพุ่งสูงขึ้นและจิตใจแห่งฟ้าดินที่มีอยู่ทั่วทุกหนทุกแห่ง เขาคอยเฝ้าดูมันที่ละน้อย

 

โลกอันยิ่งใหญ่ไม่ได้ดํารงอยู่ชั่วนิรันดร์

 

แม้แต่กระแสปราณฉียังมีวันเสื่อมโทรม ไม่ต้องพูดถึงการควบคุมกระแส ปราณผีที่แปรผันขึ้นลงเลย

 

“ผู้เป็นใหญ่ในโลก ข้าสามารถแจ้งบรรพชนหนึ่งให้มาพบผู้เป็นใหญ่ในโล กได้หรือไม่?” บรรพชนหกพูดด้วยน้ําเสียงสั่นเครือ พยายามระงับความ

ตื่นเต้น

 

ต่อหน้าผู้เป็นใหญ่ในโลก อย่าว่าแต่อรหันต์ขั้นสูงสุดเลย แม้แต่ยอดอ รหันต์ในยุคเฟื่องฟูของกระแสปราณฉี เกรงว่าคงจะแสดงอาการออกมาไม่ ได้ดีไปกว่าเขามากนัก

 

“บรรพชนหนึ่ง?”

 

ซูฉินหรีตาลงเล็กน้อย

 

ก่อนออกจากเมืองฉางอัน นักพรตเฒ่าสํานักเอกะวิถีได้กล่าวถึงวิหารหม นพุทธให้ซูฉินได้ทราบไว้ก่อนแล้ว

 

มีบรรพชนเก้ารูปหลับใหลอยู่ในวิหารหมื่นพุทธ เรียกว่าบรรพชนทั้งเก้า

ลําดับ

 

ในหมู่พวกเขา บรรพชนหนึ่งถึงบรรพชนสามนั้นแข็งแกร่งที่สุด โดย เฉพาะบรรพชนรูปแรกถึงขนาดเคยพยายามฝ่าด่านเข้าสู่ขอบเขตยอด อรหันต์เมื่อครั้งเก่าก่อนอีกก้าวเดียวก็จะไปถึงขอบเขตยอดอรหันต์

 

แม้ว่าสุดท้ายจะล้มเหลวและหลุดออกจากการเป็นยอดอรหันต์ แต่ความ เข้าใจในธรรมชาติของพลังนั้นมากกว่าอรหันต์ขั้นสูงสุดอย่างแน่นอน

“ไม่จําเป็น”

 

ซูฉินสายศีรษะเล็กน้อย ก้าวเดินไปช้าๆ ไม่ได้ไปไหนไกลนัก หยุดอยู่ ตรงหน้าตะเกียงพุทธหมื่นวิญญาณที่ตกลงมาอยู่บนพื้น

 

“ผู้เป็นใหญ่ในโลก ตะเกียงพุทธหมื่นวิญญาณน่าจะได้รับความเสียหาย แล้ว”บรรพชนหกมองดูตะเกียงพุทธหมื่นวิญญาณอย่างระมัดระวังและ กล่าวด้วยความเจ็บปวดใจ

 

ตะเกียงพุทธหมื่นวิญญาณเป็นสมบัติของวิหารหมื่นพุทธและคอยปกป้อง วิหารหมื่นพุทธมาโดยตลอดในแง่หนึ่งความสําคัญของตะเกียงพุทธหมื่น วิญญาณนั้นสูงกว่าเหล่าบรรพชนอย่างพวกเขาเสียด้วยซ้ํา

 

ท้ายที่สุดไม่ว่าจะเป็นบรรพชนเก้าบรรพชนแปด หรือบรรพชนหนึ่งบร รพชนสองแม้พวกเขาจะหลับใหลไปด้วยวิธีลับ พวกเขาก็จะตกตายไปในที่ สุดมันก็เป็นเพียงการยืดเวลาออกไปอีกหลายร้อยหลายพันปีเท่านั้นเอง

แต่ตะเกียงพุทธหมื่นวิญญาณนั้นแตกต่างออกไป

 

ในฐานะที่เป็นสมบัติพุทธคุณ ตราบใดที่ได้รับการดูแลอย่างถูกต้อง มันก็ สามารถดํารงอยู่ได้หลายพันปีและคอยปกป้องวิหารหมื่นพุทธต่อไป

ดังนั้นสําหรับวิหารหมื่นพุทธที่สืบทอดมานานกว่าหมื่นปี ตะเกียงพุทธ หมื่นวิญญาณนั้นมีความสําคัญมากกว่าบรรพชนอย่างแน่นอน

“งั้นหรือ?”

 

ซูฉินยิ้มเล็กน้อย เมื่อสังเกตด้วยดวงตาแห่งสัจจะ เขาก็มองเห็นได้ชัดเจ นยิ่งกว่าบรรพชนหก

 

มองจากพื้นผิว ดูเหมือนกลิ่นอายของตะเกียงพุทธหมื่นวิญญาณนี้จะ สลายหายไป จิตวิญญาณก็ถูกทําลาย แต่แท้ที่จริงแล้ว จิตวิญญาณของตะ เกียงพุทธหมื่นวิญญาณทั้งหมดซ่อนอยู่ในส่วนที่ลึกที่สุดของตะเกียง

 

จุดที่ลึกที่สุดนี้ แม้แต่อรหันต์ขั้นสูงสุดอย่างบรรพชนหกก็ไม่อาจรับรู้ได้

พูดตรงๆที่ตะเกียงพุทธหมื่นวิญญาณมีจุดจบเช่นนี้ก็เป็นเพราะซูฉิน ในตอนที่ซูฉินปลดปล่อยฝ่ามีอยูไลรัศมีที่น่าตื่นตระหนกได้ระงับยับยั้งทุ กสิ่งอย่างสมบูรณ์ ตะเกียงพุทธหมื่นวิญญาณก็ “หวาดกลัว” และจิตวิญ ญาณของมันก็หนีเข้าไปในส่วนลึกที่สุดของตะเกียงและไม่กล้าที่จะออกมา

 

ซูฉินดูสงบ หยิบตะเกียงพุทธหมื่นวิญญาณขึ้นมา และเคาะตัวตะเกียง เบาๆด้วยมือขวาสองสามครั้ง

 

ในชั่วพริบตา

 

ท่ามกลางการจ้องมองอย่างตะลึงงันของบรรพชนหก บรรพชนเจ็ด บร รพชนเก้าและคนอื่นๆ

 

ตะเกียงพุทธหมื่นวิญญาณซึ่งดับสนิทก็กลับมาติดไฟอีกครั้ง

 

Sign in Buddha’s palm 264 (II) หวาดผวา

 

เมื่อเหล่าบรรพชนกําลังจะหันกลับไปยังนิกายของตน

 

“นั่นคือ?”

 

บรรพชนในชุดคลุมสีแดงเลือดเหลือบสายตาไปเห็น ทันใดนั้น ม่านตาของเขาก็หดตัวลงในทันที

 

เมื่อบรรพชนคนอื่นๆ เห็นเช่นนี้ เขาก็มองตามบรรพชนในชุดคลุมสีเลือดไปยังวิหารหมื่นพุทธทันที

 

ฉับพลัน

 

บรรพชนทั้งหลายต่างหน้าเปลี่ยนสี

 

เพราะพวกเขาตกใจที่ผู้ทรงสมณศักดิ์วัดเส้าหลินพุ่งเข้าใส่ตะเกียงพุทธหมื่นวิญญาณ

 

และฉากต่อมาก็ทําให้บรรพชนทั้งหลายต้องตกตะลึง ราวกับพวกเขาได้พบเจอภูตผี

 

“คนผู้นี้แข็งแกร่งเกินไปหรือไม่ เขาสร้างความสะเทือนให้กับตะเกียงพุทธหมื่นวิญญาณได้จริงๆ?”

 

“สั่นสะเทือนหรือ? ยิ่งกว่าสั่นสะเทือนอีก ข้ารู้สึกว่าตะเกียงพุทธหมื่นวิญญาณแทบจะทนไม่ไหวแล้ว แสงพุทธคุณก็เริ่มสลายหายไปแล้ว”

 

“น่ากลัว น่ากลัวเกินไปแล้ว”

 

เหล่าบรรพชนกลืนน้ําลายลงคอ หันหน้ามองกัน สีหน้าของแต่ละคนไม่สามารถปกปิดความตกใจเอาไว้ได้

 

ความน่ากลัวของซูฉินนั้นเกินขีดจํากัดจินตนาการของพวกเขาไปแล้ว

ระหว่างที่ออกกระบวนท่า พลังเลือดเนื้อปราณชีวิตก็พวย พุ่งท่ามกลางอากาศที่ร้อนระอุ มันสง่างามและน่าตกใจพอๆกับเทพโบราณ

 

“เป็นร่างกายที่น่าสะพรึงกลัวอะไรเช่นนี้ ข้ากลัวว่ามันเข้าใกล้ขอบเขตเซียนเทพปฐพี่เต็มที่แล้วใช่หรือไม่?”

 

บรรพชนที่ดูเหมือนหญิงงามมีสีหน้าเคร่งเครียด กล่าวออกมาทีละคํา

 

สําหรับบรรพชนคนอื่นๆ พวกเขาต่างก็มีดวงตาที่ดูหนักอึ้ง ไม่ได้หักล้างประโยคเมื่อครู่ เพราะในความเห็นของพวกเขา ร่างกายของซูฉินนั้นใกล้เคียงกับร่างกายของเซียนเทพปฐพี่จริง

 

“ไม่น่าแปลกใจที่วิหารหมื่นพุทธใช้ตะเกียงพุทธหมื่นวิญญาณตั้งแต่ที่แรก…”

ท่าทีของบรรพชนแต่ละคนต่างครุ่นคิดเรื่องนี้

 

ในตอนแรกพวกเขายังมีข้อสงสัยอยู่บ้างว่าทําไมวิหารหมื่น พุทธจึงยอมให้ซูฉินมาถึงหน้าประตูโดยไม่ขัดขึ้น ทั้งยังป้องกันตนเองด้วยตะเกียงพุทธหมื่นวิญญาณโดยตรง..

 

ตอนนี้ดูเหมือนว่า วิหารหมื่นพุทธจะรู้ถึงความน่ากลัวของซูฉินอยู่แล้ว…….

 

“อา ถ้าร่างกายของบุคคลผู้นี้ใกล้เคียงกับเซียนเทพปฐพี จริงๆข้าเกรงว่าตะเกียงพุทธหมื่นวิญญาณจะหยุดเขาไม่ได้”

 

ใบหน้าของบรรพชนในชุดคลุมสีแดงเปลี่ยนไปเล็กน้อย

 

ในขณะที่พลังชีวิตและเลือดเนื้อของซูฉินกําลังเดือดพล่าน และชกหมัดสุดท้ายออกไป ก็ทําให้เกิดรอยร้าวที่ตัวตะเกียงพุทธหมื่นวิญญาณ

 

ในเวลาเดียวกัน

 

ภายในวิหารหมื่นพุทธ กลิ่นอายของบรรพชนหก บรรพชนเจ็ด และบรรพชนเก้าก็พวยพุ่งออกมา ทั้งสามลอยขึ้นไปบนฟ้าและใช้อาณาเขตสามแห่ง กักขังซูฉินไว้ภายใน

 

“บรรพชนหก บรรพชนเจ็ด และบรรพชนเก้า”

 

“วิหารหมื่นพุทธจ่ายออกในราคามหาศาลจริงๆ ครั้งนี้ ส่งบรรพชนมาถึงสามคนพร้อมกัน”

 

บรรพชนทั้งหลายต่างจดจําตัวตนบรรพชนหก บรรพชน เจ็ด และบรรพชนเก้าได้

 

“เหตุผลที่ผู้ทรงสมณศักดิ์แห่งวัดเส้าหลินสามารถสร้าง ความสั่นสะเทือนให้กับตะเกียงพุทธหมื่นวิญญาณได้ทั้งหมด เป็นเพราะร่างกายของเขาที่ใกล้เคียงกับเซียนเทพปฐพี”

 

“แต่บัดนี้ทั้งบรรพชนหก บรรพชนเจ็ด และบรรพชนเก้า จากวิหารหมื่นพุทธได้ร่วมมือกัน ใช้อาณาเขตเข้าปราบปรามจนผู้ทรงสมณศักดิ์แห่งวัดเส้าหลินไม่สามารถใช้ประโยชน์จากกายเนื้อได้ ”

 

เหล่าบรรพชนเมื่อเห็นฉากนี้ก็โล่งใจเล็กน้อย

 

ต้องบอกว่าบรรพชนทั้งสามจากวิหารหมื่นพุทธตอบสนองได้รวดเร็วและเลือกวิธีการที่เหมาะสมที่สุดในการจัดการกับซูกิน

 

“บางทีอาจจะเก็บคนผู้นี้ไว้ได้…”

 

บรรพชนที่พูดคนสุดท้าย ยังไม่ทันจะได้พูดจนจบ

 

ก็เห็นซูฉินค่อยๆ เหยียดมือขวาออก และกดนิ้วทั้งห้าลงมา พลังฟ้าดินเข้าห่อหุ้มฝามือจนกลายเป็นสีทองอร่าม รัศมีพลังอันน่ากลัวขยายออก ควบแน่นจนมีรูปลักษณ์เป็นองค์ยูไลทองคํา เหลือบมองลงมายังวิหารหมื่นพุทธ

 

ในทันที พลังอาณาเขตของบรรพชนหก บรรพชนเจ็ด และบรรพชนเก้าแห่งวิหารหมื่นพุทธก็พังทลายลง

 

ช่วงเวลาต่อมา

 

ที่ชายขอบของทะเลทรายตะวันตก

 

กลุ่มบรรพชนที่เฝ้าดูการต่อสู้จากระยะไกลไม่สามารถตอบสนองอะไรได้อีกแล้ว

 

เพราะด้วยรูปลักษณ์ขององค์ยูไลทองคํา ผืนฟ้าผืนดินกลายเป็นยุ่งเหยิง กลิ่นอายกระจายทั่ว และพื้นที่ที่เคยเป็นวิหารหมื่นพุทธนั้นเหมือนกับจะหายไปจากการรับรู้ของพวกเขาในทันที

 

เงียบดังป่าช้า

 

บรรพชนทั้งหลายเงียบกริบ อดไม่ได้ที่จะแสดงความหวาดกลัวออกมาผ่านแววตา

 

เมื่อครู่ ร่างองค์ยูไลสีทองจู่ๆก็ปรากฏขึ้น ชี้มือขึ้นฟ้า อีกมือเอื้อมพสุธา ช่างน่ากลัวจนถึงขีดสุด แม้ว่าเหล่าบรรพชนจะอยู่ห่างไกลมาก และเหลือบตามองไปเห็นเพียงชั่วแวบเดียว จิตใจของพวกเขาก็สั่นรัวราวระเบิดลง ไม่ต้องพูดถึงวิหารหมื่น พุทธที่ประจันหน้าอยู่กับอานุภาพขององค์ยูไลทองคําเลย

ผ่านไปสักพัก บรรพชนคนหนึ่งก็พูดด้วยน้ําเสียงสั่นๆว่า “เรายังต้องร่วมมือกันจัดการผู้ทรงสมณศักดิ์จากวัดเส้าหลินอีกไหม เพื่อถามไถ่ความลับจากเขา…”

 

ไม่มีบรรพชนคนใดตอบคําถามนี้ แม้แต่บรรพชนที่เป็นผู้เสนอความคิดก็นิ่งเงียบ

 

บรรพชนที่เหลือเหลือบมองหน้ากัน ไม่กล้าพูดถึงหัวข้อนี้ อีกต่อไป

 

Sign in Buddha’s palm 264 (1) หวาดผวา!

ในขณะที่ซูฉินโจมตีวิหารหมื่นพุทธ

ที่ชายขอบของทะเลทรายตะวันตก ร่างหลายร่างก็ปรากฏตัวขึ้นอย่างเงียบๆ ร่างเหล่านี้แผ่กลิ่นอายที่ทําให้อึดอัดคล้ายดั่งขุมนรก แต่ก็เผยให้เห็นถึงความเสื่อมโทรมบางอย่างพวกเขาเป็นบรรพชนที่หลับใหลด้วยวิธีลับจากนิกายใหญ่ต่างดินแดน

เมื่อซูฉินก้าวเข้าไปในทะเลทรายตะวันตก เขาก็ม้วนเกลียวคลื่นทรายสีเหลืองทองไปทั่วท้องฟ้าไอพลังสยดสยองโอบล้อมไปทั่วทุกที่ไม่ใช่แค่วิหารหมื่นพุทธเท่านั้นที่ตื่นตระหนก

ยังมีนิกายใหญ่แห่งอื่นๆ ที่ย้ายถิ่นฐานมาจากต่างดินแดนก็ได้พํานักอยู่ในสถานที่ใกล้เคียง

เพื่อแย่งชิงสิทธิ์ในแผ่นดินแห่งพลังยุทธอันยิ่งใหญ่นิกายใหญ่หลายแห่งในต่างแดนได้ปลุกบรรพชนของพวกตนให้มายังแผ่นดินแห่งพลังยุทธฯ

ส่วนวิหารหมื่นพุทธ

ก็เป็นเช่นเดียวกับนิกายใหญ่แห่งอื่นๆ

“จากความแข็งแกร่งของบุคคลนี้ เขาสามารถควบแน่นอาณาเขตได้แล้วอย่างแน่นอน และพลังชีวิตเลือดเนื้อที่แข็งแกร่งควรจะเป็นตํานานยุทธที่เพิ่งเกิดในยุคนี้”

“แปลก เมื่อไหร่กันที่ผู้ทรงพลังอํานาจเช่นนี้ปรากฏตัวขึ้นในแดนโพ้นทะเล?”

เหล่าบรรพชนนิกายใหญ่ต่างพูดคุยกันด้วยความสงสัย

“เป็นไปได้ไหมว่าบุคคลนี้จะไม่ใช่ตํานานยุทธขั้นสูงสุดจากดินแดนโพ้นทะเล?”

“มิผิด ข้าได้ยินมาว่าภายในแผ่นดินแห่งพลังยุทธฯตํานานยุทธที่ประจําการอยู่ในอาณาจักรถังก็ได้ควบแน่นอาณาเขตเรียบร้อยแล้ว เป็นไปได้ไหมว่าเขามาที่นี่?”

“ไม่น่าจะเป็นไปได้ วิหารหมื่นพุทธไม่ได้ยุ่งเกี่ยวอะไรกับ อาณาจักรถัง เป็นไปได้อย่างไรที่จะดึงดูดให้ตํานานยุทธขั้นสูง สุดมาด้วยตนเอง ข้าคิดว่าอาจจะเป็นผู้ทรงสมณศักดิ์แห่งวัดเส้าหลิน? ทั้งคู่เป็นชาวพุทธเช่นกัน ก็ไม่แปลกที่จะมาเยี่ยมเยือนวิหารหมื่นพุทธ…”

“เป็นไปได้ยังไง? วัดเส้าหลินก็มีอรหันต์ขั้นสูงสุดด้วยอย่างนั้นหรือ?”

บรรพชนหลายคนพูดคุยกันอย่างรวดเร็ว แสดงความเห็นเกี่ยวกับซูฉินด้วยน้ําเสียงสบายๆ

แม้ว่าความแข็งแกร่งของซูฉินจะน่ากลัวถึงขีดสุดแต่คนใดบ้างในที่นี้ที่ไม่ใช่ตํานานยุทธขั้นสูงสุด? อยู่มาห้าร้อยปี มุมมองของพวกเขาย่อมอยู่สูงไม่น้อยมิใช่หรือ?

แม้ว่าซูฉินจะรู้สึกได้ถึงสายตาที่แอบมองมาจากชายขอบของทะเลทรายตะวันตกมาเนิ่นนานแล้ว

แต่เขาก็ไม่ได้สนใจ ในครั้งนี้เขาพุ่งเป้ามาที่วิหารหมื่นพุทธ ประการแรกคือเขาต้องการคําอธิบายจากวิหารหมื่นพุทธประการที่สองก็ต้องการจะทําให้บรรพชนต่างดินแดนเหล่านี้หวาดกลัว
ไม่เช่นนั้นจะเป็นเหมือนอย่างวันนี้ที่บรรพชนเก้ามาหาพรุ่งนี้อาจจะมีบรรพชนนิกายใหญ่คนอื่นๆ มาอีก แล้วซูฉินจะปิดด่านฝึกตนอย่างไร? จะบ่มเพาะได้หรือ?

“มิถูกต้อง”

“ลักษณะของคนผู้นี้ดูข่มขู่คุกคาม เขาต้องการสร้างปัญหาให้กับวิหารหมื่นพุทธหรือไม่?”

บรรพชนในชุดคลุมสีแดงเลือดผู้หนึ่งขมวดคิ้วเล็กน้อยยามเมื่อได้ยินประโยคของซูฉิน “พระผู้ต่ําต้อยเงินกวน มานมัสการวิหาร” คําพูดเต็มไปด้วยอาการยั่วยุอารมณ์

“ข้าไม่รู้ว่าเขาต้องการมาสร้างปัญหาให้กับวิหารหมื่นพุทธหรือไม่ แต่คนผู้นี้น่าจะเป็นผู้ทรงสมณศักดิ์จากวัดเส้าหลินจริงๆ”

บรรพชนอีกคนที่อยู่ถัดออกมาทอดถอนใจด้วยอารมณ์ความรู้สึก

ไม่ว่าจะเป็นยุทธภพต่างแดนหรือในแผ่นดินแห่งพลังยุทธฯมีเพียงพระภิกษุเท่านั้นที่สามารถอ้างตนว่าเป็นพระผู้ต่ําต้อย

“อย่างไรก็ตาม แม้ว่าบุคคลนี้จะเป็นอรหันต์ขั้นสูงสุดจริงๆหากต้องการท้าทายวิหารหมื่นพุทธด้วยตําแหน่งเพียงแค่นั้นอาจจะต้องพ่ายแพ้…”

บรรพชนคนที่สามที่ดูเหมือนจะเป็นหญิงสาวส่ายศีรษะ

ไม่ว่าจะเป็นวิหารหมื่นพุทธหรือนิกายใหญ่แห่งอื่นๆในต่างแดนก็อยู่มาไม่ต่ํากว่าหลายพันปี เภทภัยใดบ้างที่ไม่เคยประสบ? หากอรหันต์ขั้นสูงสุดวางแผนที่จะสร้างความสั่นสะเทือนให้กับนิกายใหญ่ก็นับเป็นเพียงความฝันที่โง่งม

ตํานานยุทธขั้นสูงสุดนั้นแข็งแกร่งมากจริงๆ สามารถโด่งดังไปทั่วโลก แต่การที่โด่งดังไปทั่วโลกไม่ได้หมายความว่าจะกําจัดทุกอย่างได้เสียเมื่อไหร่

นอกจากเซียนเทพปฐพีที่แท้จริงแล้ว นิกายใหญ่จํานวนมากก็นับเป็นขุมกําลังที่ยิ่งใหญ่ที่สุด สามารถผ่านอุปสรรคต่างๆมาได้หลายพันปีในต่างแดน

“แม้ว่าวิหารแห่งนี้จะไม่ใช่วิหารหลักของวิหารหมื่นพุทธแต่อย่างน้อยบรรพชนหนึ่งในเก้าก็น่าจะอยู่ประจําการ ทั้งยังมีสมบัติพุทธคุณอีกมากมายหลายชิ้น ผู้ทรงสมณศักดิ์วัดเส้าหลินผู้นี้ไม่เพียงแต่จะเรียกร้องอะไรกลับไปไม่ได้ ยังต้องประสบความสูญเสียครั้งใหญ่ด้วย”

บรรพชนในชุดคลุมสีแดงเลือดพูดเบาๆ ราวกับเห็นจุดจบของซูฉินเรียบร้อยแล้ว

บรรพชนคนอื่นๆ ก็พยักหน้าเล็กน้อยเพื่อแสดงอาการเห็นด้วย

กลุ่มลาหัวโล้นวัดหมื่นพุทธนั้นมีชื่อเสียงขจรขจายไปทั่วโลกซูฉินที่ไม่ทราบความเป็นมาแต่รีบตรงมาเคาะประตูบ้านผู้อื่นเช่นนี้นับเป็นเรื่องที่โง่มาก

“เฮเฮ”

“ใช้โอกาสนี้ตรวจสอบวิหารหมื่นพุทธสักหน่อย ให้รู้ว่าแท้ที่จริงแล้วบรรพชนทั้งเก้าลําดับอยู่ที่นี่จริงๆ หรือเปล่า”

บรรพชนอีกคนหัวเราะร่า

ซูฉินที่พรวดพราดเข้าไป สามารถช่วยพวกเขาสํารวจพื้นลีกหนาบางของวิหารหมื่นพุทธได้เป็นอย่างดี

ก่อนที่กระแสปราณฉีจะฟื้นคืนอย่างสมบูรณ์ นิกายใหญ่จํานวนมากในต่างแดนจะไม่ย้ายมรดกทั้งหมดของพวกเขามาที่นี่อย่างแน่นอน

และในเวลานี้การเข้าใจตื้นลึกหนาบางของกันและกันเป็นสําคัญมาก

แม้ว่าจะเป็นไปไม่ได้ที่จะคาดการณ์ขอบเขตของศัตรูได้ทั้งหมด แต่อย่างอย่างน้อยในอนาคต เมื่อต้องน้ํานั่นกันเองจะได้ไม่ต้องรั้งรอเฝ้าดูจังหวะ
“รอประเดี๋ยว พวกเราควรร่วมมือกัน เมื่อผู้ทรงสมณศักดิ์แห่งวัดเส้าหลินถอยกลับมาพวกเราจะจัดการมันด้วยกัน…”

“บุคคลผู้นี้ฝึกฝนไปยังขอบเขตระดับนั้นได้ในแผ่นดินแห่งพลังยุทธฯ จะต้องมีความลับที่ยิ่งใหญ่บางอย่างเราสามารถถือโอกาสนี้ไถ่ถามมันได้…”

บรรพชนคนสุดท้ายกล่าวขึ้นมาในทันใด แววตาแห่งความโลภปรากฏออกมา

คําที่กล่าวออก

บรรพชนทั้งหลายต่างก็ตกตะลึง เห็นได้ชัดว่ามันเย้ายวนใจอย่างมาก

“ดูเร็ว”

“ทั้งสองฝ่ายจะลงมือแล้ว”

ดวงตาของบรรพชนที่ดูเหมือนหญิงสาวแสนสวยพลันเปล่ง
ประกาย

บรรพชนคนอื่นๆ ได้ยินดังนั้นก็จ้องไปที่วิหารหมื่นพุทธ

แม้ว่าวิหารหมื่นพุทธจะอยู่ห่างไกลจากพวกเขามากแต่ในฐานะที่เป็นตํานานยุทธขั้นสูงสุด บรรพชนเหล่านี้ย่อมมีวิธีการหลากหลายในการค้นหาว่าเกิดอะไรขึ้นที่วิหารหมื่นพุทธเป็นธรรมดา

“นั่นคือ?”

“ตะเกียงพุทธหมื่นวิญญาณ?”

“วิหารหมื่นพุทธนําตะเกียงพุทธหมื่นวิญญาณมาที่นี่จริงๆหรือนี่?”

เหล่าบรรพชนต่างผงะไปครู่หนึ่ง มองหน้ากันด้วยความเหลือเชื่อ
แม้จะเป็นวิหารหมื่นพุทธ ตะเกียงพุทธหมื่นวิญญาณก็ยังนับเป็นสมบัติล้ําค่า ล้ําค่ายิ่งกว่าสมบัติพุทธคุณทั่วไปถ้าพูดตามหลักแล้วมันควรเก็บไว้ที่วิหารหลัก

“ดูเหมือนวิหารหมื่นพุทธจะชนะการต่อสู้ในครั้งนี้รพชนในชุดสีแดงเลือดกล่าว

” บร

“ด้วยที่พึ่งพิงอย่างตะเกียงพุทธหมื่นวิญญาณ ข้าเกรงว่าผู้ทรงสมณศักดิ์วัดเส้าหลินจะไม่สามารถแตะต้องประตูวิหารหมื่นพุทธได้ ฉะนั้นเขาคงจะต้องถูกปิดกั้นไว้ได้ตั้งแต่ภายนอกเสียแล้ว………….”

บรรพชนอีกคนถอนหายใจด้วยอารมณ์ความรู้สึกน้ําเสียงของเขาดูเสียใจ

เดิมที่เขาคิดว่าจะได้เห็นการต่อสู้กันระหว่างอรหันต์สองรูปแต่เมื่อตะเกียงพุทธหมื่นวิญญาณถูกจุดแล้วจะมีการต่อสู้อะไรเกิดขึ้นอีก?

แม้ผู้ทรงสมณศักดิ์แห่งวัดเส้าหลินจะไม่รู้ว่าควรเดินหน้าต่อหรือถอยกลับ แต่หากได้รู้ถึงพลังอันน่าสะพรึงกลัวที่แผ่ออกมาจากตะเกียงพุทธหมื่นวิญญาณจะต้องล่าถอยกลับไปแน่

“อย่างไรก็ตาม มันไม่ได้ไร้ประโยชน์ไปเสียที่เดียว”

“ถึงจะไม่แน่ใจว่าผู้ที่ประจําการอยู่ในวิหารหมื่นพุทธเป็นหนึ่งในบรรพชนทั้งเก้าหรือไม่ แต่อย่างน้อยก็ได้รู้ว่าวิหารหมื่นพุทธได้นําตะเกียงพุทธหมื่นวิญญาณมายังแผ่นดินแห่งพลังยุทธอันยิ่งใหญ่ ”
บรรพชนคนที่สองกล่าวออกอย่างช้าๆ

“มิผิด”

“นี่คือตะเกียงพุทธหมื่นวิญญาณ…”

บรรพชนที่ดูเหมือนหญิงสาวรูปงามบ่นกับตนเอง

หลายพันปีก่อน เซียนเทพปฐพีได้โจมตีวิหารหมื่นพุทธการโจมตีธรรมดาๆ ถูกขัดขวางไว้ด้วยตะเกียงพุทธหมื่นวิญญาณ

แม้จะปิดกั้นการโจมตีของเซียนเทพปฐพีได้ แต่ตะเกียงพุทธหมื่นวิญญาณก็หรี่แสงลงอย่างสมบูรณ์ แต่นั่นเป็นถึงเซียนเทพปฐพีเชียวนะ!

แม้กระทั่งในยุคปราณฉีเฟื่องฟู เซียนเทพปฐพีก็เป็นขุมพลังที่สามารถปราบผู้ใดก็ได้อย่างแน่นอน นับประสาอะไรกับยุคที่กระแสปราณฉีเงียบงันเช่นนี้

เมื่อเหล่าบรรพชนกําลังจะหันกลับไปยังนิกายของตน

“นั่นคือ?”

บรรพชนในชุดคลุมสีแดงเลือดเหลือบสายตาไปเห็นทันใดนั้นม่านตาของเขาก็หดตัวลงในทันที

เมื่อบรรพชนคนอื่นๆ เห็นเช่นนี้ เขาก็มองตามบรรพชนในชุดคลุมสีเลือดไปยังวิหารหมื่นพุทธทันที

ฉับพลัน

บรรพชนทั้งหลายต่างหน้าเปลี่ยนสี

Sign in Buddha’s palm 264 (II) หวาดผวา

 

เมื่อเหล่าบรรพชนกําลังจะหันกลับไปยังนิกายของตน

 

“นั่นคือ?”

 

บรรพชนในชุดคลุมสีแดงเลือดเหลือบสายตาไปเห็น ทันใดนั้น ม่านตาของเขาก็หดตัวลงในทันที

 

เมื่อบรรพชนคนอื่นๆ เห็นเช่นนี้ เขาก็มองตามบรรพชนในชุดคลุมสีเลือดไปยังวิหารหมื่นพุทธทันที

 

ฉับพลัน

 

บรรพชนทั้งหลายต่างหน้าเปลี่ยนสี

 

เพราะพวกเขาตกใจที่ผู้ทรงสมณศักดิ์วัดเส้าหลินพุ่งเข้าใส่ตะเกียงพุทธหมื่นวิญญาณ

 

และฉากต่อมาก็ทําให้บรรพชนทั้งหลายต้องตกตะลึง ราวกับพวกเขาได้พบเจอภูตผี

 

“คนผู้นี้แข็งแกร่งเกินไปหรือไม่ เขาสร้างความสะเทือนให้กับตะเกียงพุทธหมื่นวิญญาณได้จริงๆ?”

 

“สั่นสะเทือนหรือ? ยิ่งกว่าสั่นสะเทือนอีก ข้ารู้สึกว่าตะเกียงพุทธหมื่นวิญญาณแทบจะทนไม่ไหวแล้ว แสงพุทธคุณก็เริ่มสลายหายไปแล้ว”

 

“น่ากลัว น่ากลัวเกินไปแล้ว”

 

เหล่าบรรพชนกลืนน้ําลายลงคอ หันหน้ามองกัน สีหน้าของแต่ละคนไม่สามารถปกปิดความตกใจเอาไว้ได้

 

ความน่ากลัวของซูฉินนั้นเกินขีดจํากัดจินตนาการของพวกเขาไปแล้ว

ระหว่างที่ออกกระบวนท่า พลังเลือดเนื้อปราณชีวิตก็พวย พุ่งท่ามกลางอากาศที่ร้อนระอุ มันสง่างามและน่าตกใจพอๆกับเทพโบราณ

 

“เป็นร่างกายที่น่าสะพรึงกลัวอะไรเช่นนี้ ข้ากลัวว่ามันเข้าใกล้ขอบเขตเซียนเทพปฐพี่เต็มที่แล้วใช่หรือไม่?”

 

บรรพชนที่ดูเหมือนหญิงงามมีสีหน้าเคร่งเครียด กล่าวออกมาทีละคํา

 

สําหรับบรรพชนคนอื่นๆ พวกเขาต่างก็มีดวงตาที่ดูหนักอึ้ง ไม่ได้หักล้างประโยคเมื่อครู่ เพราะในความเห็นของพวกเขา ร่างกายของซูฉินนั้นใกล้เคียงกับร่างกายของเซียนเทพปฐพี่จริง

 

“ไม่น่าแปลกใจที่วิหารหมื่นพุทธใช้ตะเกียงพุทธหมื่นวิญญาณตั้งแต่ที่แรก…”

ท่าทีของบรรพชนแต่ละคนต่างครุ่นคิดเรื่องนี้

 

ในตอนแรกพวกเขายังมีข้อสงสัยอยู่บ้างว่าทําไมวิหารหมื่น พุทธจึงยอมให้ซูฉินมาถึงหน้าประตูโดยไม่ขัดขึ้น ทั้งยังป้องกันตนเองด้วยตะเกียงพุทธหมื่นวิญญาณโดยตรง..

 

ตอนนี้ดูเหมือนว่า วิหารหมื่นพุทธจะรู้ถึงความน่ากลัวของซูฉินอยู่แล้ว…….

 

“อา ถ้าร่างกายของบุคคลผู้นี้ใกล้เคียงกับเซียนเทพปฐพี จริงๆข้าเกรงว่าตะเกียงพุทธหมื่นวิญญาณจะหยุดเขาไม่ได้”

 

ใบหน้าของบรรพชนในชุดคลุมสีแดงเปลี่ยนไปเล็กน้อย

 

ในขณะที่พลังชีวิตและเลือดเนื้อของซูฉินกําลังเดือดพล่าน และชกหมัดสุดท้ายออกไป ก็ทําให้เกิดรอยร้าวที่ตัวตะเกียงพุทธหมื่นวิญญาณ

 

ในเวลาเดียวกัน

 

ภายในวิหารหมื่นพุทธ กลิ่นอายของบรรพชนหก บรรพชนเจ็ด และบรรพชนเก้าก็พวยพุ่งออกมา ทั้งสามลอยขึ้นไปบนฟ้าและใช้อาณาเขตสามแห่ง กักขังซูฉินไว้ภายใน

 

“บรรพชนหก บรรพชนเจ็ด และบรรพชนเก้า”

 

“วิหารหมื่นพุทธจ่ายออกในราคามหาศาลจริงๆ ครั้งนี้ ส่งบรรพชนมาถึงสามคนพร้อมกัน”

 

บรรพชนทั้งหลายต่างจดจําตัวตนบรรพชนหก บรรพชน เจ็ด และบรรพชนเก้าได้

 

“เหตุผลที่ผู้ทรงสมณศักดิ์แห่งวัดเส้าหลินสามารถสร้าง ความสั่นสะเทือนให้กับตะเกียงพุทธหมื่นวิญญาณได้ทั้งหมด เป็นเพราะร่างกายของเขาที่ใกล้เคียงกับเซียนเทพปฐพี”

 

“แต่บัดนี้ทั้งบรรพชนหก บรรพชนเจ็ด และบรรพชนเก้า จากวิหารหมื่นพุทธได้ร่วมมือกัน ใช้อาณาเขตเข้าปราบปรามจนผู้ทรงสมณศักดิ์แห่งวัดเส้าหลินไม่สามารถใช้ประโยชน์จากกายเนื้อได้ ”

 

เหล่าบรรพชนเมื่อเห็นฉากนี้ก็โล่งใจเล็กน้อย

 

ต้องบอกว่าบรรพชนทั้งสามจากวิหารหมื่นพุทธตอบสนองได้รวดเร็วและเลือกวิธีการที่เหมาะสมที่สุดในการจัดการกับซูกิน

 

“บางทีอาจจะเก็บคนผู้นี้ไว้ได้…”

 

บรรพชนที่พูดคนสุดท้าย ยังไม่ทันจะได้พูดจนจบ

 

ก็เห็นซูฉินค่อยๆ เหยียดมือขวาออก และกดนิ้วทั้งห้าลงมา พลังฟ้าดินเข้าห่อหุ้มฝามือจนกลายเป็นสีทองอร่าม รัศมีพลังอันน่ากลัวขยายออก ควบแน่นจนมีรูปลักษณ์เป็นองค์ยูไลทองคํา เหลือบมองลงมายังวิหารหมื่นพุทธ

 

ในทันที พลังอาณาเขตของบรรพชนหก บรรพชนเจ็ด และบรรพชนเก้าแห่งวิหารหมื่นพุทธก็พังทลายลง

 

ช่วงเวลาต่อมา

 

ที่ชายขอบของทะเลทรายตะวันตก

 

กลุ่มบรรพชนที่เฝ้าดูการต่อสู้จากระยะไกลไม่สามารถตอบสนองอะไรได้อีกแล้ว

 

เพราะด้วยรูปลักษณ์ขององค์ยูไลทองคํา ผืนฟ้าผืนดินกลายเป็นยุ่งเหยิง กลิ่นอายกระจายทั่ว และพื้นที่ที่เคยเป็นวิหารหมื่นพุทธนั้นเหมือนกับจะหายไปจากการรับรู้ของพวกเขาในทันที

 

เงียบดังป่าช้า

 

บรรพชนทั้งหลายเงียบกริบ อดไม่ได้ที่จะแสดงความหวาดกลัวออกมาผ่านแววตา

 

เมื่อครู่ ร่างองค์ยูไลสีทองจู่ๆก็ปรากฏขึ้น ชี้มือขึ้นฟ้า อีกมือเอื้อมพสุธา ช่างน่ากลัวจนถึงขีดสุด แม้ว่าเหล่าบรรพชนจะอยู่ห่างไกลมาก และเหลือบตามองไปเห็นเพียงชั่วแวบเดียว จิตใจของพวกเขาก็สั่นรัวราวระเบิดลง ไม่ต้องพูดถึงวิหารหมื่น พุทธที่ประจันหน้าอยู่กับอานุภาพขององค์ยูไลทองคําเลย

ผ่านไปสักพัก บรรพชนคนหนึ่งก็พูดด้วยน้ําเสียงสั่นๆว่า “เรายังต้องร่วมมือกันจัดการผู้ทรงสมณศักดิ์จากวัดเส้าหลินอีกไหม เพื่อถามไถ่ความลับจากเขา…”

 

ไม่มีบรรพชนคนใดตอบคําถามนี้ แม้แต่บรรพชนที่เป็นผู้เสนอความคิดก็นิ่งเงียบ

 

บรรพชนที่เหลือเหลือบมองหน้ากัน ไม่กล้าพูดถึงหัวข้อนี้ อีกต่อไป

 

Sign in Buddha’s palm 264 (1) หวาดผวา!

ในขณะที่ซูฉินโจมตีวิหารหมื่นพุทธ

ที่ชายขอบของทะเลทรายตะวันตก ร่างหลายร่างก็ปรากฏตัวขึ้นอย่างเงียบๆ ร่างเหล่านี้แผ่กลิ่นอายที่ทําให้อึดอัดคล้ายดั่งขุมนรก แต่ก็เผยให้เห็นถึงความเสื่อมโทรมบางอย่างพวกเขาเป็นบรรพชนที่หลับใหลด้วยวิธีลับจากนิกายใหญ่ต่างดินแดน

เมื่อซูฉินก้าวเข้าไปในทะเลทรายตะวันตก เขาก็ม้วนเกลียวคลื่นทรายสีเหลืองทองไปทั่วท้องฟ้าไอพลังสยดสยองโอบล้อมไปทั่วทุกที่ไม่ใช่แค่วิหารหมื่นพุทธเท่านั้นที่ตื่นตระหนก

ยังมีนิกายใหญ่แห่งอื่นๆ ที่ย้ายถิ่นฐานมาจากต่างดินแดนก็ได้พํานักอยู่ในสถานที่ใกล้เคียง

เพื่อแย่งชิงสิทธิ์ในแผ่นดินแห่งพลังยุทธอันยิ่งใหญ่นิกายใหญ่หลายแห่งในต่างแดนได้ปลุกบรรพชนของพวกตนให้มายังแผ่นดินแห่งพลังยุทธฯ

ส่วนวิหารหมื่นพุทธ

ก็เป็นเช่นเดียวกับนิกายใหญ่แห่งอื่นๆ

“จากความแข็งแกร่งของบุคคลนี้ เขาสามารถควบแน่นอาณาเขตได้แล้วอย่างแน่นอน และพลังชีวิตเลือดเนื้อที่แข็งแกร่งควรจะเป็นตํานานยุทธที่เพิ่งเกิดในยุคนี้”

“แปลก เมื่อไหร่กันที่ผู้ทรงพลังอํานาจเช่นนี้ปรากฏตัวขึ้นในแดนโพ้นทะเล?”

เหล่าบรรพชนนิกายใหญ่ต่างพูดคุยกันด้วยความสงสัย

“เป็นไปได้ไหมว่าบุคคลนี้จะไม่ใช่ตํานานยุทธขั้นสูงสุดจากดินแดนโพ้นทะเล?”

“มิผิด ข้าได้ยินมาว่าภายในแผ่นดินแห่งพลังยุทธฯตํานานยุทธที่ประจําการอยู่ในอาณาจักรถังก็ได้ควบแน่นอาณาเขตเรียบร้อยแล้ว เป็นไปได้ไหมว่าเขามาที่นี่?”

“ไม่น่าจะเป็นไปได้ วิหารหมื่นพุทธไม่ได้ยุ่งเกี่ยวอะไรกับ อาณาจักรถัง เป็นไปได้อย่างไรที่จะดึงดูดให้ตํานานยุทธขั้นสูง สุดมาด้วยตนเอง ข้าคิดว่าอาจจะเป็นผู้ทรงสมณศักดิ์แห่งวัดเส้าหลิน? ทั้งคู่เป็นชาวพุทธเช่นกัน ก็ไม่แปลกที่จะมาเยี่ยมเยือนวิหารหมื่นพุทธ…”

“เป็นไปได้ยังไง? วัดเส้าหลินก็มีอรหันต์ขั้นสูงสุดด้วยอย่างนั้นหรือ?”

บรรพชนหลายคนพูดคุยกันอย่างรวดเร็ว แสดงความเห็นเกี่ยวกับซูฉินด้วยน้ําเสียงสบายๆ

แม้ว่าความแข็งแกร่งของซูฉินจะน่ากลัวถึงขีดสุดแต่คนใดบ้างในที่นี้ที่ไม่ใช่ตํานานยุทธขั้นสูงสุด? อยู่มาห้าร้อยปี มุมมองของพวกเขาย่อมอยู่สูงไม่น้อยมิใช่หรือ?

แม้ว่าซูฉินจะรู้สึกได้ถึงสายตาที่แอบมองมาจากชายขอบของทะเลทรายตะวันตกมาเนิ่นนานแล้ว

แต่เขาก็ไม่ได้สนใจ ในครั้งนี้เขาพุ่งเป้ามาที่วิหารหมื่นพุทธ ประการแรกคือเขาต้องการคําอธิบายจากวิหารหมื่นพุทธประการที่สองก็ต้องการจะทําให้บรรพชนต่างดินแดนเหล่านี้หวาดกลัว
ไม่เช่นนั้นจะเป็นเหมือนอย่างวันนี้ที่บรรพชนเก้ามาหาพรุ่งนี้อาจจะมีบรรพชนนิกายใหญ่คนอื่นๆ มาอีก แล้วซูฉินจะปิดด่านฝึกตนอย่างไร? จะบ่มเพาะได้หรือ?

“มิถูกต้อง”

“ลักษณะของคนผู้นี้ดูข่มขู่คุกคาม เขาต้องการสร้างปัญหาให้กับวิหารหมื่นพุทธหรือไม่?”

บรรพชนในชุดคลุมสีแดงเลือดผู้หนึ่งขมวดคิ้วเล็กน้อยยามเมื่อได้ยินประโยคของซูฉิน “พระผู้ต่ําต้อยเงินกวน มานมัสการวิหาร” คําพูดเต็มไปด้วยอาการยั่วยุอารมณ์

“ข้าไม่รู้ว่าเขาต้องการมาสร้างปัญหาให้กับวิหารหมื่นพุทธหรือไม่ แต่คนผู้นี้น่าจะเป็นผู้ทรงสมณศักดิ์จากวัดเส้าหลินจริงๆ”

บรรพชนอีกคนที่อยู่ถัดออกมาทอดถอนใจด้วยอารมณ์ความรู้สึก

ไม่ว่าจะเป็นยุทธภพต่างแดนหรือในแผ่นดินแห่งพลังยุทธฯมีเพียงพระภิกษุเท่านั้นที่สามารถอ้างตนว่าเป็นพระผู้ต่ําต้อย

“อย่างไรก็ตาม แม้ว่าบุคคลนี้จะเป็นอรหันต์ขั้นสูงสุดจริงๆหากต้องการท้าทายวิหารหมื่นพุทธด้วยตําแหน่งเพียงแค่นั้นอาจจะต้องพ่ายแพ้…”

บรรพชนคนที่สามที่ดูเหมือนจะเป็นหญิงสาวส่ายศีรษะ

ไม่ว่าจะเป็นวิหารหมื่นพุทธหรือนิกายใหญ่แห่งอื่นๆในต่างแดนก็อยู่มาไม่ต่ํากว่าหลายพันปี เภทภัยใดบ้างที่ไม่เคยประสบ? หากอรหันต์ขั้นสูงสุดวางแผนที่จะสร้างความสั่นสะเทือนให้กับนิกายใหญ่ก็นับเป็นเพียงความฝันที่โง่งม

ตํานานยุทธขั้นสูงสุดนั้นแข็งแกร่งมากจริงๆ สามารถโด่งดังไปทั่วโลก แต่การที่โด่งดังไปทั่วโลกไม่ได้หมายความว่าจะกําจัดทุกอย่างได้เสียเมื่อไหร่

นอกจากเซียนเทพปฐพีที่แท้จริงแล้ว นิกายใหญ่จํานวนมากก็นับเป็นขุมกําลังที่ยิ่งใหญ่ที่สุด สามารถผ่านอุปสรรคต่างๆมาได้หลายพันปีในต่างแดน

“แม้ว่าวิหารแห่งนี้จะไม่ใช่วิหารหลักของวิหารหมื่นพุทธแต่อย่างน้อยบรรพชนหนึ่งในเก้าก็น่าจะอยู่ประจําการ ทั้งยังมีสมบัติพุทธคุณอีกมากมายหลายชิ้น ผู้ทรงสมณศักดิ์วัดเส้าหลินผู้นี้ไม่เพียงแต่จะเรียกร้องอะไรกลับไปไม่ได้ ยังต้องประสบความสูญเสียครั้งใหญ่ด้วย”

บรรพชนในชุดคลุมสีแดงเลือดพูดเบาๆ ราวกับเห็นจุดจบของซูฉินเรียบร้อยแล้ว

บรรพชนคนอื่นๆ ก็พยักหน้าเล็กน้อยเพื่อแสดงอาการเห็นด้วย

กลุ่มลาหัวโล้นวัดหมื่นพุทธนั้นมีชื่อเสียงขจรขจายไปทั่วโลกซูฉินที่ไม่ทราบความเป็นมาแต่รีบตรงมาเคาะประตูบ้านผู้อื่นเช่นนี้นับเป็นเรื่องที่โง่มาก

“เฮเฮ”

“ใช้โอกาสนี้ตรวจสอบวิหารหมื่นพุทธสักหน่อย ให้รู้ว่าแท้ที่จริงแล้วบรรพชนทั้งเก้าลําดับอยู่ที่นี่จริงๆ หรือเปล่า”

บรรพชนอีกคนหัวเราะร่า

ซูฉินที่พรวดพราดเข้าไป สามารถช่วยพวกเขาสํารวจพื้นลีกหนาบางของวิหารหมื่นพุทธได้เป็นอย่างดี

ก่อนที่กระแสปราณฉีจะฟื้นคืนอย่างสมบูรณ์ นิกายใหญ่จํานวนมากในต่างแดนจะไม่ย้ายมรดกทั้งหมดของพวกเขามาที่นี่อย่างแน่นอน

และในเวลานี้การเข้าใจตื้นลึกหนาบางของกันและกันเป็นสําคัญมาก

แม้ว่าจะเป็นไปไม่ได้ที่จะคาดการณ์ขอบเขตของศัตรูได้ทั้งหมด แต่อย่างอย่างน้อยในอนาคต เมื่อต้องน้ํานั่นกันเองจะได้ไม่ต้องรั้งรอเฝ้าดูจังหวะ
“รอประเดี๋ยว พวกเราควรร่วมมือกัน เมื่อผู้ทรงสมณศักดิ์แห่งวัดเส้าหลินถอยกลับมาพวกเราจะจัดการมันด้วยกัน…”

“บุคคลผู้นี้ฝึกฝนไปยังขอบเขตระดับนั้นได้ในแผ่นดินแห่งพลังยุทธฯ จะต้องมีความลับที่ยิ่งใหญ่บางอย่างเราสามารถถือโอกาสนี้ไถ่ถามมันได้…”

บรรพชนคนสุดท้ายกล่าวขึ้นมาในทันใด แววตาแห่งความโลภปรากฏออกมา

คําที่กล่าวออก

บรรพชนทั้งหลายต่างก็ตกตะลึง เห็นได้ชัดว่ามันเย้ายวนใจอย่างมาก

“ดูเร็ว”

“ทั้งสองฝ่ายจะลงมือแล้ว”

ดวงตาของบรรพชนที่ดูเหมือนหญิงสาวแสนสวยพลันเปล่ง
ประกาย

บรรพชนคนอื่นๆ ได้ยินดังนั้นก็จ้องไปที่วิหารหมื่นพุทธ

แม้ว่าวิหารหมื่นพุทธจะอยู่ห่างไกลจากพวกเขามากแต่ในฐานะที่เป็นตํานานยุทธขั้นสูงสุด บรรพชนเหล่านี้ย่อมมีวิธีการหลากหลายในการค้นหาว่าเกิดอะไรขึ้นที่วิหารหมื่นพุทธเป็นธรรมดา

“นั่นคือ?”

“ตะเกียงพุทธหมื่นวิญญาณ?”

“วิหารหมื่นพุทธนําตะเกียงพุทธหมื่นวิญญาณมาที่นี่จริงๆหรือนี่?”

เหล่าบรรพชนต่างผงะไปครู่หนึ่ง มองหน้ากันด้วยความเหลือเชื่อ
แม้จะเป็นวิหารหมื่นพุทธ ตะเกียงพุทธหมื่นวิญญาณก็ยังนับเป็นสมบัติล้ําค่า ล้ําค่ายิ่งกว่าสมบัติพุทธคุณทั่วไปถ้าพูดตามหลักแล้วมันควรเก็บไว้ที่วิหารหลัก

“ดูเหมือนวิหารหมื่นพุทธจะชนะการต่อสู้ในครั้งนี้รพชนในชุดสีแดงเลือดกล่าว

” บร

“ด้วยที่พึ่งพิงอย่างตะเกียงพุทธหมื่นวิญญาณ ข้าเกรงว่าผู้ทรงสมณศักดิ์วัดเส้าหลินจะไม่สามารถแตะต้องประตูวิหารหมื่นพุทธได้ ฉะนั้นเขาคงจะต้องถูกปิดกั้นไว้ได้ตั้งแต่ภายนอกเสียแล้ว………….”

บรรพชนอีกคนถอนหายใจด้วยอารมณ์ความรู้สึกน้ําเสียงของเขาดูเสียใจ

เดิมที่เขาคิดว่าจะได้เห็นการต่อสู้กันระหว่างอรหันต์สองรูปแต่เมื่อตะเกียงพุทธหมื่นวิญญาณถูกจุดแล้วจะมีการต่อสู้อะไรเกิดขึ้นอีก?

แม้ผู้ทรงสมณศักดิ์แห่งวัดเส้าหลินจะไม่รู้ว่าควรเดินหน้าต่อหรือถอยกลับ แต่หากได้รู้ถึงพลังอันน่าสะพรึงกลัวที่แผ่ออกมาจากตะเกียงพุทธหมื่นวิญญาณจะต้องล่าถอยกลับไปแน่

“อย่างไรก็ตาม มันไม่ได้ไร้ประโยชน์ไปเสียที่เดียว”

“ถึงจะไม่แน่ใจว่าผู้ที่ประจําการอยู่ในวิหารหมื่นพุทธเป็นหนึ่งในบรรพชนทั้งเก้าหรือไม่ แต่อย่างน้อยก็ได้รู้ว่าวิหารหมื่นพุทธได้นําตะเกียงพุทธหมื่นวิญญาณมายังแผ่นดินแห่งพลังยุทธอันยิ่งใหญ่ ”
บรรพชนคนที่สองกล่าวออกอย่างช้าๆ

“มิผิด”

“นี่คือตะเกียงพุทธหมื่นวิญญาณ…”

บรรพชนที่ดูเหมือนหญิงสาวรูปงามบ่นกับตนเอง

หลายพันปีก่อน เซียนเทพปฐพีได้โจมตีวิหารหมื่นพุทธการโจมตีธรรมดาๆ ถูกขัดขวางไว้ด้วยตะเกียงพุทธหมื่นวิญญาณ

แม้จะปิดกั้นการโจมตีของเซียนเทพปฐพีได้ แต่ตะเกียงพุทธหมื่นวิญญาณก็หรี่แสงลงอย่างสมบูรณ์ แต่นั่นเป็นถึงเซียนเทพปฐพีเชียวนะ!

แม้กระทั่งในยุคปราณฉีเฟื่องฟู เซียนเทพปฐพีก็เป็นขุมพลังที่สามารถปราบผู้ใดก็ได้อย่างแน่นอน นับประสาอะไรกับยุคที่กระแสปราณฉีเงียบงันเช่นนี้

เมื่อเหล่าบรรพชนกําลังจะหันกลับไปยังนิกายของตน

“นั่นคือ?”

บรรพชนในชุดคลุมสีแดงเลือดเหลือบสายตาไปเห็นทันใดนั้นม่านตาของเขาก็หดตัวลงในทันที

เมื่อบรรพชนคนอื่นๆ เห็นเช่นนี้ เขาก็มองตามบรรพชนในชุดคลุมสีเลือดไปยังวิหารหมื่นพุทธทันที

ฉับพลัน

บรรพชนทั้งหลายต่างหน้าเปลี่ยนสี

Sign in Buddha’s palm 263 (II) เพียงตัวตถาคตประเสริฐสุด!

 

ไม่ดีแล้ว”

 

“เราจะลากถ่วงต่อไปไม่ได้แล้ว”

 

บรรพชนหกที่เห็นฉากนี้ หนังหัวของเขาก็แทบจะระเบิดลุกเป็นไฟ

 

เดิมที่พวกเขาต้องการรอคอยเพื่อให้ตะเกียงพุทธหมื่นวิญญาณกินพลังงานบางส่วนไปจากซู

ฉิน เพื่อให้ง่ายแก่การจัดการซูฉันด้วยอาณาเขตในภายหลัง

 

แต่บรรพชนหกรวมถึงคนอื่นๆ ไม่คาดคิดว่าหมัดสุดท้ายของซูฉันเหมือนจะควบแน่นพลังบาง

อย่าง กระแทกเข้าใส่ตะเกียงพุทธหมื่นวิญญาณโดยตรง และแม้แต่ตัวตะเกียงยังเกิดรอยร้าว

 

หากยังเป็นเช่นนี้ต่อไป เกรงว่าตะเกียงพุทธหมื่นวิญญาณทั้งหมดคงจะถูกทําลายด้วยหมัดของซูฉิน

 

หากยังเป็นเช่นนี้ต่อไป เกรงว่าตะเกียงพุทธหมื่นวิญญาณทั้งหมดคงจะถูกทําลายด้วยหมัดของซูฉิน

 

“ลุย?”

 

บรรพชนหกบรรพชนเจ็ด และบรรพชนเก้าทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้า พลังชีวิตและเลือดเนื้อไหลเวียนอยู่ในสภาวะสูงสุด ในเวลาเดียวกันอาณาเขตทั้งสามร้อยจ้างก็ปรากฎขึ้นในทันที ปกคลุม สภาพแวดล้อมทั้งหมด ผนึกซูฉินไว้ทุกทิศทั้งซ้ายขวาหน้าหลัง

 

หืม?

 

ซูฉันเล็กคิ้วแล้วปล่อยอาณาเขตออกมา

 

อย่างไรก็ตามไม่ว่าซูฉันจะแข็งแกร่งเพียงใด พลังของคนเพียงคนเดียว อาณาเขตก็เป็นเพียง

อาณาเขตขนาดเล็กภายใต้การปราบปรามของบรรพชนทั้งสาม แม้ว่าจะบอกได้ยากว่าเสียเปรียบ

แต่ก็เห็นได้ชัดว่ามันไม่มีประโยชน์มากนัก

 

“ผู้แสวงบุญ เหตุไฉนไม่ถอยคนละก้าวถอยกลับไปเสียมีดีกว่าหรือ?”

 

บรรพชนหกยืนอยู่บนท้องฟ้า มองดูซูฉินพร้อมกับกล่าวคํา

 

แม้ว่าพวกเขาจะระงับซูฉันไว้ด้วยพลังของอาณาเขตแต่ก็มีกังวลบ้างว่าซูฉันจะแลกเลือด เผา

เลือดเนื้อและพลังชีวิตพร้อมตายไปด้วยกันอย่างสิ้นหวัง

 

ด้วยเหตุนี้แม้บรรพชนหกและพรรคพวกจะปราบปรามได้แต่ก็เกรงว่าจะสูญเสียอายุขัยไปแทบจะหมดสิ้น

 

ซูฉินนั้นมีแก่นแท้เหลือพอให้เผาผลาญแต่พวกเขาไม่สามารถสูญเสียได้

 

“ถอยกลับไป?”

 

ซูฉันแย้มยิ้มเล็กน้อย ไม่ได้มีท่าที่จริงจัง

 

“มิผิด” บรรพชนเจ็ดยังกล่าวย้ําอีกครั้ง“ร่างกายของเจ้าอาจจะแข็งแกร่ง แต่พวกข้าสามารถ

ปราบได้ด้วยอาณาเขต ในเวลานี้เจ้าจะไม่สามารถใช้ประโยชน์จากร่างกายได้เลย”

 

“ย้ําอีกครั้ง…”

 

เมื่อบรรพชนเจ็ดพูดเรื่องนี้ขึ้นมาเขาก็หยุดครู่หนึ่งเหลือบมองซูฉินแล้วพูดเบาๆว่า “เจ้าจะ

ต้องใช้พลังไปมากมายเพื่อทําลายตะเกียงพุทธหมื่นวิญญาณตอนนี้เจ้ากับพวกเราก็หนึ่งต่อสาม

หากสามารถต่อรองได้มันก็เป็นประโยชน์มิใช่หรือ?”

 

บรรพชนเจ็ดดูเหมือนจะพิจารณาปัญหาทั้งหมดจากมุมของซูฉิน

 

“ใช่หรือ?”

 

รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของซูฉิน เขาส่ายศีรษะแล้วกล่าวว่า“เดิมที่ข้าตั้งใจจะเล่นอีกสัก

พักท้ายที่สุดแล้วกระสอบทรายที่มีประโยชน์เช่นนี้ช่างหาได้ยาก…..”

 

ซูฉันเหลือบมองตะเกียงพุทธหม็นวิญญาณแล้วกล่าวเบาๆ

 

“ตั้งใจจะปฏิเสธงั้นหรือ?”

 

บรรพชนเจ็ดได้ยินดังนั้น สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปเล็กน้อยและแม้ว่าจะไม่เข้าใจว่ากระสอบ

ทรายที่ซูฉินกล่าวถึงนั้นหมายถึงอะไรแต่ก็ชัดเจนว่าอีกฝ่ายไม่ได้ตั้งใจจะยอมแพ้

 

“ไม่ใช่ต้องการจะปฏิเสธ

 

ซูฉันถอนหายใจเบาๆ และพูดอย่างจริงจัง “ข้าต้องการจะจบเรื่องทั้งหมดนี้

 

“โอ้? เจ้าคิดว่าเจ้าคนเดียวจะสามารถต้านทานการปราบปรามของอาณาเขตของเราสามได้?”

ดวงตาของบรรพชนเจ็ดกะพริบพร้อมกับคิ้วที่ขมวดเป็นปม

 

ในขอบเขตที่ต่ํากว่าเซียนเทพปฐพี่ไม่ว่าจะเป็นตํานานยุทธขั้นสูงสุดหรืออรหันต์ที่แข็งแกร่งก็ครอบครองเพียงอาณาเขตขนาดเล็กเท่านั้น

 

อาณาเขตขนาดเล็กในระดับเดียวกันบรรพชนเจ็ดไม่เชื่อว่าซูฉันจะสามารถต้านทานการปราบปรามของทั้งสามคนได้

 

“อาณาเขต?”

 

ซูฉินหัวเราะเบาๆ “อาณาเขตนี้แข็งแกร่งมากหรือไร?”

 

ช่วงเวลาต่อมา

 

ท่ามกลางสายตาที่สั่นคลอนของบรรพชนเจ็ตและคนอื่นๆ

 

ซูฉันค่อยๆ ยกแขนขวาขึ้นมาเหยียดนิ้วทั้งห้าออกจนกลายเป็นฝ่ามือ จากนั้นจึงกดลงมาช้าๆ

 

ครัน

 

ผืนฟ้าผืนปฐพี่พลันคํารามก้อง

 

โดยมีซูฉินเป็นศูนย์กลางพลังฟ้าดินก็เคลือบมือขวาจนกลายเป็นสีทองอร่าม

 

มีดอกสาละสีทองบานทั่วทุกทิศทางหนึ่งดอกดุจหนึ่งโลกกลีบใบดุจหนึ่งจักรวาลเปลี่ยนผืน

ดินให้กลายเป็นดินแดนอันพิสุทธิ์กว้างใหญ่ไพศาล

 

นี่คือแก่นแท้แห่งแดนพิสุทธิ์มีองค์ยูไลทองคําตั้งอยู่เสมือนองค์ยูไลนั้นทอดมองทุกสรรพ

ชีวิต แววตานั้นเฉยเมยไร้ล่าเอียงไร้เกลียดชังไม่มีรักไม่มีสงสาร กลิ่นอายทรงพลังกว้างใหญ่แผ่

พุ่งขึ้นสู่ฟากฟ้า

 

เหนือฟ้าเหนือปฐพี่ มีเพียงตถาคตเพียงผู้เดียว!

 

ต่อหน้าหัตถ์สีทองเข้มพลังของอาณาเขตที่เกิดจากการรวมกันของบรรพชนทั้งสามก็สลาย

หายไปในทันใด เมื่อเผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้ตะเกียงพุทธหมื่นวิญญาณพลันลุกไหม้ยังคงปล่อยแสง

พุทธคุณอย่างต่อเนื่องสุดท้ายก็ตกลงสู่พื้นดิน

 

ราวกับกลายเป็นตะเกียงธรรมดาๆไปโดยสิ้นเชิง

 

“นี่นั่น

 

บรรพชนหกและคนอื่นๆ ที่ยืนอยู่บนอากาศมองมาที่ซูฉินภายในใจราวกับถูกสายฟ้าฟาดจ้อง

ไปที่ร่างองค์ยูไลสีทองมือหนึ่งชี้ขึ้นฟ้าอีกมือเอื้อมสู่พสุธาต่างก็กระซิบคําด้วยเสียงที่สับสนไม่อาจ

จะอธิบายได้ถูก

 

“นี่คือองค์ยูไล!”

 

“นี่คือองค์ยูไลที่แท้จริง!”

 

Sign in Buddha’s palm 263 (I)เพียงตัวตถาคตประเสริฐสุด!

 

ในวิหารหมื่นพุทธ

 

ภายใต้แสงพุทธคุณ

 

ทั้งบรรพชนหกและคนอื่นๆ ประสาทสัมผัสทั้งห้าของพวกเขาต่างตื่นตัวอย่างมากเมื่อได้ยินสิ่งที่ซูฉินกระซิบอยู่กับตนเอง

 

“อะไร?”

 

“หมัดกับมีดเมื่อครู่ยังไม่ได้ใส่มาเต็มที่หรอกหรือ?”

 

บรรพชนเจ็ดดูตกใจ

 

มีดที่ซูฉันฟันและหมัดที่ซูฉินต่อยยังเขย่าตะเกียงพุทธหมื่นวิญญาณจนยังไม่หายสั่นสะเทือนเลย โดยเฉพาะหมัดสุดท้ายที่น่าสะพรึงกลัว มันแทบจะพุ่งทะลุแสงพุทธคุณมาถึงวิหารหมื่นพุทธอยู่แล้ว สร้างพลังถล่มทลายขนาดนี้ได้ด้วยหมัดเพียงแค่หมัดเดียวเท่านั้น แต่จากที่ซูฉินพูดเมื่อครู่

 

นี่เขายังไม่ได้เอาจริง?

 

บรรพชนเก้าและบรรพชนเจ็ดมองหน้ากัน แทบไม่อยากเชื่อ

 

พวกเขาประเมินซูฉินสูงมากแล้ว และใช้ตะเกียงพุทธหมื่นวิญญาณโดยตรง แต่พลังต่อสู้ที่ซูฉินแสดงออกมาตอนนี้ช่างน่ากลัวเหลือเกิน

และในขณะที่บรรพชนเก่าและบรรพชนเจ็ดมองหน้ากัน

 

ซูฉินก็ลงมืออีกครั้ง

 

ครั้งนี้ซูฉันไม่ได้พึ่งพาอาวุธจิตวิญญาณใดใช้มือเปล่า ทิ้งหมัด ฝ่ามือ เข่า และดัชนีระดมโจมตี

ระเบิดพลังเข้าใส่แสงพุทธคุณที่มาจากตะเกียงพุทธหมื่นวิญญาณ

 

ปัง ปัง ปัง!

 

ในชั่วพริบตาซูฉินก็ออกหมัดมวยไปแล้วหลายสิบหลายร้อยกระบวนท่า

 

ทันใดนั้นแสงพุทธคุณที่ปกคลุมวิหารหมื่นพุทธเอาไว้ก็สั่นสะเทือนเลือนลั่น บิดเบี้ยวไปตามการโจมตีของซูฉิน

 

ถ้าไม่ใช่บรรพชนหก บรรพชนเจ็ด และบรรพชนเก่าที่คอยหยุดยั้งพลังที่แพร่กระจายเข้ามา

เกรงว่าพลังระดับนี้เพียงอย่างเดียวก็สามารถทุบศิษย์วิหารหมื่นพุทธที่อยู่ต่ํากว่าระดับนภาชนที่เจ็ดจนแบน

 

แต่ถึงแม้จะได้รับการปกป้องจากบรรพชนทั้งสาม ศิษย์หลายคนที่ซ่อนตัวอยู่ในวิหารหมื่นพุทธ

ก็สั่นเทา มองดูแสงพุทธคุณที่ค่อยๆ บิดเบี้ยวราวกับกําลังประสบกับหายนะ

 

ซูฉินแข็งแกร่งเกินไป

 

ทุกกระบวนท่า พลังที่ระเบิดออกมาทําให้แผ่นดินแยก และในตอนนี้ไส้ตะเกียงพุทธหมื่น

วิญญาณก็ลุกไหม้อย่างรวดเร็ว พยายามจะฟื้นฟูพลังกลับมา

 

แม้ว่าตะเกียงพุทธหมื่นวิญญาณจะทรงพลัง ในจุดรุ่งเรืองของมัน มันสามารถป้องกันการโจมตีธรรมดาๆ จากเซียนเทพปฐพี่ได้เลย เพียงแต่ตอนนี้มันไม่ได้อยู่ในจุดรุ่งเรือง

 

นอกจากนี้ซูฉันยังออกกระบวนท่ามาหลายร้อยกระบวนท่าในอดใจเดียว แม้ทุกกระบวนท่าจะ

ไม่ได้ทรงพลังเท่ากับการระเบิดพลังของขอบเขตเซียนเทพปฐพี แต่กระบวนท่าที่มากมายมหาศาลนี้ก็เป็นการทดแทนในเชิงจํานวนจนทําให้เกิดความรุนแรงมากขึ้น เพียงพอที่จะทําลายทุกสิ่ง

 

“เป็นไปได้อย่างไร!?”

 

บรรพชนหกมองดูแสงพุทธคุณที่สันสะท้าน ในใจเต็มไปด้วยความเหลือเชื่อ

 

ถ้าบอกว่าหมัดแรกของซูฉินเพียงหมัดเดียวก็สามารถเขย่าตะเกียงพุทธหมื่นวิญญาณได้แล้ว

แต่แท้ที่จริงแล้วมันยังห่างไกลจากการทําให้ตะเกียงพุทธหมื่นวิญญาณสันสะเทือนได้จริงๆ

 

ทว่าในขณะนี้ ทุกๆการโจมตีของซูฉินทําให้ตะเกียงพุทธหมื่นวิญญาณสันสะเทือนอย่างแท้จริง ในช่วงเวลาสั้นๆ หลังจากตะเกียงพุทธหมื่นวิญญาณดูดซับพลังมาหลายพันปีจนพลังงานส่วนใหญ่กลับคืนมา แต่พลังที่กลับคืนมานั้นกลับถูกใช้ไปกว่าหกส่วนแล้วในตอนนี้

 

“จะให้เป็นแบบนี้ต่อไปไม่ได้แล้ว”

 

“ไม่เช่นนั้นตะเกียงพุทธหมื่นวิญญาณจะถูกทําลายลงจริงๆ”

 

บรรพชนหกใบหน้าบิดเบี้ยว มองไปทางบรรพชนเจ็ดและบรรพชนเก่ากล่าวด้วยน้ําเสียงอันหนักแน่น

 

ตะเกียงพุทธหมื่นวิญญาณไม่อาจน่าไปเทียบกับสมบัติพุทธคุณอย่างลูกประคํา มันเป็นมรดก

ที่แท้จริงของวิหารหมื่นพุทธ การมีตะเกียงพุทธหมื่นวิญญาณคอยคุ้มกัน แม้ว่าวิหารหมื่นพุทธจะถูกล้อมรอบด้วยกลุ่มตํานานยุทธขั้นสูงสุดก็สามารถต้านทานไว้ได้ชั่วระยะเวลาหนึ่ง และมันไม่ควรจะถูกทําลายลงในวันนี้

 

“พวกเจ้าและข้าจะต้องลงมือ”

 

บรรพชนหกดูเคร่งขรึม กล่าวออกมาอย่างเคร่งเครียด

 

“บรรพชนหก แม้ว่าเราจะร่วมมือกัน เราจะหยุดเขาได้อย่างนั้นหรือ?” บรรพชนเก้าไม่มีความมั่นใจแม้แต่น้อย

 

ด้วยพลังในปัจจุบันของซูฉิน นอกเหนือจากอรหันต์ขั้นสูงสุดที่สามารถแปรเปลี่ยนจิตวิญญาณแรกก่าเนิดได้แล้ว ใครจะยังหยุดเขาได้อีก?

 

“ถ้าสู่ในระยะประชิด ก็คงจะไม่เป็นผล

 

บรรพชนหกหรี่ตาลง ส่ายหัวพร้อมทั้งกล่าวออกมา

 

ร่างกายของซูฉินนั้นน่ากลัวเกินไป เลือดเนื้อพลังชีวิตมากมายดุจมหาสมุทร แม้ว่าทั้งสามจะ

ร่วมมือกันจริงๆ ซึ่งไม่ว่าจะชนะหรือไม่ก็ตาม ก็ต้องใช้ทักษะลับต้องห้ามอย่างไม่มีทางเลือกเพื่อฟื้นฟูความแข็งแกร่ง

 

เมื่อพวกเขาไม่สามารถชนะซูฉันได้จนเกินเวลาของทักษะต้องห้าม เกรงว่าบรรพชนทั้งสามคงจะโดนกลบฝังอยู่ที่นี่แล้วจริงๆ

 

“คนผู้นี้ตั้งแต่ต้นจนจบเขาใช้เพียงแต่พลังกายเท่านั้น ส่วนเคล็ดวิชาอื่นๆ ไม่ได้มีมากนัก พวกเราสามารถแยกจากกัน ปราบอีกฝ่ายด้วยอาณาเขต ค่อยๆ กลืนเข้าหาฝ่ายตรงข้าม”

 

แสงสว่างฉายวาบออกมาจากใบหน้าของบรรพชนหก

 

เมื่อมาถึงระดับเดียวกันกับพวกเขา การต่อสู้เริ่มมีสิ่งอื่นมากขึ้น มันไม่ได้จํากัดอยู่แค่การต่อสู้แบบธรรมดาอีกแล้ว และส่วนใหญ่ก็มักจะปะทะกันด้วยอาณาเขตมากกว่า

 

ร่างกายของซูฉินนั้นทรงพลังจริงๆ เหนือจินตนาการของบรรพชนหกและคนอื่นๆ แต่บรรพชนหกเลือกที่จะไม่ปะทะกับซูฉินในด้านร่างกาย

 

เมื่อสูญเสียความได้เปรียบเรื่องพลังทางกาย ซูฉินย่อมมีพลังต่อสู้ลดลงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ส่วนเรื่องอาณาเขต……

 

แม้ว่าอายุขัยของบรรพชนหกนั้นใกล้จะสิ้นสุดแล้ว พลังชีวิตและเลือดเนื้อก็ลดลง แต่มันไม่มีผลกับอาณาเขต ตรงกันข้าม เนื่องจากประสบการณ์ชีวิตอันยาวนาน ความสามารถในการใช้อาณาเขตของเขานั้นเหนือกว่าตํานานยุทธขั้นสูงสุดทั้งหลายไปมาก

 

หากมีเพียงบรรพชนหก มันอาจจะเป็นไปไม่ได้ที่จะสู้ด้วยอาณาเขต ท้ายที่สุดซูฉันก็ไม่ได้โง่งม

 

เขาจะละทิ้งความได้เปรียบและมาเผชิญหน้าด้วยข้อด้อยได้อย่างไร

 

แต่พรรคพวกของบรรพชนหกมีสามคน

 

เป็นอรหันต์ขั้นสูงสุดสามรูปที่ควบแน่นอาณาเขตได้แล้ว และการที่มีต้นกําเนิดเดียวกัน ก็มีความเป็นไปได้ที่จะรวมอาณาเขตทั้งสามเป็นหนึ่งเดียว เข้าปราบปรามซูฉินได้ในทันที

 

ในเวลานั้นอาณาเขตของซูฉันก็จะถูกกักขังอยู่เดียวดาย แม้ว่าร่างกายจะแข็งแกร่ง แต่แล้วมันจะเป็นเช่นไรได้เล่า?

 

เว้นแต่กายเนื้อของเซียนเทพปฐพี่ที่แท้จริงจึงจะสามารถฉีกกระชากอาณาเขตขนาดเล็กได้

เพียงอาศัยพลังชีวิตและเลือดเนื้อ ไม่เช่นนั้นก็มีแต่จะถูกดักจับอยู่ภายใน

 

ส่วนร่างกายที่เทียบเคียงขอบเขตเซียนเทพปฐพี.

 

ถ้าร่างกายซูฉินไปถึงระดับนั้นจริงๆ เกรงว่าคงจะทุบตะเกียงพุทธหมื่นวิญญาณได้เพียงใช้แค่หมดไปแล้ว……

 

“ไม่เลว”

 

ดวงตาของบรรพชนเจ็ดเป็นประกาย และเห็นได้ชัดว่าเขาเห็นด้วยกับแผนการที่บรรพชนหกเสนอ

 

ไม่ว่าจะเป็นตํานานยุทธหรืออรหันต์ อาณาเขตที่ควบแน่นได้นั้นก็เป็นเพียงอาณาเขตขนาดเล็ก

แม้ว่าจะมีความแตกต่างระหว่างระดับสูงและระดับต่ํา แต่มันก็ไม่ได้แตกต่างกันมากนัก และด้วยความพยายามของทั้งสามคนจะต้องสามารถปราบปรามซุฉินได้อย่างแน่นอน

 

ทั้งบรรพชนหก บรรพชนเจ็ด และบรรพชนเก่าก็ตัดสินใจได้ในทันที

 

และในตอนนี้

 

เป้ง เป้ง เป้ง!

 

ซูฉินขยับร่างอย่างต่อเนื่อง กระแทกเข้าใส่แสงพุทธคุณที่ปล่อยออกมาจากตะเกียงพุทธหมื่นวิญญาณ อุปสรรคที่สร้างจากแสงพุทธคุณไม่สามารถทําลายได้ แต่ในสายตาของซูฉิน พวกมันไม่นับเป็นอะไรนอกจากเป้าหมายให้ปัดทําลาย

 

“ให้ข้าได้ท่าลายมัน!!”

 

จิตวิญญาณการต่อสู้ของซูฉินเดือดพล่าน พลังชีวิตและเลือดเนื้อไหลทะลักออกมาราวกับคลื่น

สมุทร พลังทางกายอันทรงพลัง แก่นแท้แห่งพลัง และจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์รวมเป็นหนึ่งเดียวกันเข้าก่าจัดทุกสิ่ง ส่งพลังเข้ากระทบแสงพุทธคุณทันที

 

แกร็ก

 

หมัดที่ตกลงกระทบก็สร้างเสียงเอี๊ยดอ๊าดขึ้นมา

 

เห็นตะเกียงพุทธหมื่นวิญญาณที่ลอยอยู่เหนือวิหารหมื่นพุทธพลันแตกร้าว

 

หมัดของซูฉินได้ท่าลายไส้ตะเกียงพุทธหมื่นวิญญาณไปจนหมดสิ้น และเพื่อซ่อมแซมรอยร้าวนี้ ลูกศิษย์ของวิหารหมื่นพุทธจํานวนนับไม่ถ้วนจะต้องบ่มเพาะต่อไปอีกหลายร้อยปี

 

“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า!”

 

“ยอดเยี่ยม! ยอดเยี่ยมจริงๆ!!!”

 

ซูฉินหัวเราะ เนื่องจากร่างกายของเขาได้แปรสภาพไปถึงห้าครั้ง เขาจึงไม่ได้ใช้พลังของกาย

เนื้อตามอําเภอใจ แม้แต่ตอนที่จัดการมังกรปีศาจในวิหารการสงครามก็ไม่ได้ทําให้เลือดสูบฉีดขนาดนี้

 

“ไม่ดีแล้ว”

 

“เราจะลากถ่วงต่อไปไม่ได้แล้ว”

 

บรรพชนหกที่เห็นฉากนี้ หนังหัวของเขาก็แทบจะระเบิดลุกเป็นไฟ

 

เดิมที่พวกเขาต้องการรอคอยเพื่อให้ตะเกียงพุทธหมื่นวิญญาณกินพลังงานบางส่วนไปจากซู

เฉิน เพื่อให้ง่ายแก่การจัดการซุฉินด้วยอาณาเขตในภายหลัง

 

แต่บรรพชนหกรวมถึงคนอื่นๆ ไม่คาดคิดว่าหมัดสุดท้ายของซูฉันเหมือนจะควบแน่นพลังบางอย่าง กระแทกเข้าใส่ตะเกียงพุทธหมื่นวิญญาณโดยตรง และแม้แต่ตัวตะเกียงยังเกิดรอยร้าว

 

หากยังเป็นเช่นนี้ต่อไป เกรงว่าตะเกียงพุทธหมื่นวิญญาณทั้งหมดคงจะถูกทําลายด้วยหมัดของซูฉิน

 

“ลุย!”

 

บรรพชนหก บรรพชนเจ็ด และบรรพชนเก่าทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้า พลังชีวิตและเลือดเนื้อไหล

เวียนอยู่ในสภาวะสูงสุด ในเวลาเดียวกันอาณาเขตทั้งสามร้อยจ้างก็ปรากฏขึ้นในทันที ปกคลุม

สภาพแวดล้อมทั้งหมด ผนึกซูฉินไว้ทุกทิศทางทั้งซ้ายขวาหน้าหลัง

 

“หืม?”

 

ซูฉันเลิกคิ้วแล้วปล่อยอาณาเขตออกมา

 

อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าซูฉินจะแข็งแกร่งเพียงใด พลังของคนเพียงคนเดียว อาณาเขตก็เป็นเพียงอาณาเขตขนาดเล็ก ภายใต้การปราบปรามของบรรพชนทั้งสาม แม้ว่าจะบอกได้ยากว่าเสียเปรียบ

แต่ก็เห็นได้ชัดว่ามันไม่มีประโยชน์มากนัก

 

“ผู้แสวงบุญ เหตุไฉนไม่ถอยคนละก้าว ถอยกลับไปเสียมิดีกว่าหรือ?”

 

Sign in Buddha’s palm 262 หนึ่งมีด หนึ่งหมัด!

 

มาสักการะวิหาร!

 

เมื่อมองไปยังซูฉินที่ยืนอยู่ห่างวิหารหมื่นพุทธไปไม่กี่ลี้ เขาก็รู้สึกได้ว่าทรายสีเหลืองในทะเลทรายตะวันตกนั้นสั่นสะเทือน เสียงดังก้องยังดังอยู่ในหูของเขาเรื่อยๆ

 

บรรพชนหก บรรพชนเจ็ด และบรรพชนเก้าเงียบเสียงไปในทันที

 

โดยเฉพาะบรรพชนเก้า เขาเพิ่งเห็นพลังของซูฉินในวัดเส้าหลินด้วยหมัดเพียงหมัดเดียวก็สามารถทําลายการโจมตีจากสมบัติพุทธคุณที่สืบทอดมาหลายพันปีในวิหารหมื่นพุทธ ซึ่งน่าสะพรึงกลัวสุดขีด

 

ถ้าไม่ใช่เพราะบรรพชนเก่าวิ่งได้อย่างรวดเร็วและหนีจากวัดเส้าหลินได้ทันเวลาด้วยเคล็ดท่าเท้าหลบหนีศักดิ์สิทธิ์ผลที่ตามมาจะต้องเป็นหายนะอย่างแน่นอน

 

ร่างกายของซูฉินนั้นแข็งแกร่งเกินไป

 

แม้บรรพชนเก้าจะมีสมบัติพุทธคุณอยู่หลายชิ้น แต่จะมีประโยชน์อะไรถ้าไม่สามารถทําลายร่างกายที่คงทนของซูฉินได้? ให้อีกฝ่ายลากถ่วงเวลาต่อไปจนพลังชีวิตและเลือดเนื้อของเขาสลายไปก็มีแต่แย่กับแย่

 

“ ปรากฏว่าที่เจ้าไม่ได้ไล่ตามตั้งแต่แรก เพราะเจ้าต้องการให้ข้านําทาง…” ความคิดของบร รพชนเก้าเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว จ้องมองซูฉินอย่างใกล้ชิดในที่สุดก็แสดงอาการขมขื่นออก มาทางสีหน้า

 

ในขณะนี้ บรรพชนเก้าจะไม่สามารถเดาได้อย่างไรว่าเหตุใดซูฉินจึงจับตําแหน่งของวิหารหมื่นพุทธได้อย่างง่ายดายนัก?

 

แม้ว่าทะเลทรายตะวันออกจะเจริญน้อยกว่าที่ราบตอนกลางมาก แต่อาณาบริเวณของมันก็กว้างใหญ่ไพศาล มีพื้นที่กว่าล้านลี้ แม้จะเป็นเซียนเทพปฐพีหากต้องการค้นหาบางสิ่งในพื้นที่ที่กว้างใหญ่เช่นนี้ก็ต้องใช้เวลาอย่างน้อยครึ่งวัน

 

ยิ่งกว่านั้น ในวิหารหมื่นพุทธก็วางค่ายกลขนาดใหญ่ไว้มากมาย กลิ่นอายถูกเก็บซ่อนไว้อย่างดีแม้แต่เซียนเทพปฐพีก็อาจจะมองข้ามผ่านไปได้หากไม่ดูให้ละเอียด

 

แต่ซูฉินเล่า?

 

เพียงไม่กี่ชั่วโมงหลังจากบรรพชนเก้ากลับมายังวิหารหมื่นพุทธ ซูฉินก็มาสักการะที่วิหารทันทีถ้าบอกว่าไม่ใช่บรรพชนเก้าเป็นผู้นําทางมา ก็คงไม่มีใครเชื่อ

 

“เพียงแต่ว่า ก่อนที่จะกลับถึงวิหาร ข้าได้ตรวจสอบตนเองหลายครั้งแล้ว ไม่ปล่อยให้มีร่องรอยของเคล็ดวิชาหรือเครื่องหมายติดตามใดๆ แม้แต่ลูกประคําก็ยืนยันถี่ถ้วนแล้วว่าไม่มีอะไรผิดปกติก่อนที่จะกลับมาวิหารหมื่นพุทธนี่เขายืนยันที่อยู่ของข้าด้วยวิธีใดกัน?”

 

ความสงสัยผุดขึ้นในใจของบรรพชนเก้า

 

แม้จะหลับใหลมาหลายร้อยปี แต่เขาก็ไม่ได้โง่เขลา ในฐานะอรหันต์ขั้นสูงสุดในต่างดินแดนมีกลวิธีใดบ้างที่บรรพชนเก้าไม่เคยเห็น? เคล็ดวิชาลับในการติดตามจะสามารถรอดพ้นสายตาของเขาไปได้อย่างไร?

 

วิชาลับในต่างแดนจํานวนมากก็ไม่มีอะไรมากไปกว่าการทิ้งตราประทับไว้ที่เป้าหมายจากนั้นจึงใช้ตราประทับนั้นเพื่อค้นหาเป้าหมาย

 

แต่ตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้ บรรพชนเก้ากลับไม่พบร่องรอยใดๆ เลย มิใช่หรือ?

 

หากซูฉันรู้ว่าบรรพชนเก้ามีความคิดเช่นไร เขาจะต้องอมยิ้มอยู่เล็กๆ เป็นแน่การที่เขาจับตําแหน่งของบรรพชนเก้าได้ ไม่ใช่การใช้วิชาลับในการติดตาม แต่ด้วยดวงตาแห่งสัจจะ

 

ดวงตาแห่งสัจจะเป็นทิพยอํานาจ ความแตกต่างที่ใหญ่ที่สุดเมื่อเทียบกับเคล็ดวิชาลับในการติดตามคือมันสามารถจับพลังฉีของสิ่งมีชีวิตได้

 

ทุกสิ่งบนโลก ตราบใดที่ยังคงมีชีวิตอยู่ย่อมมีพลัง และสิ่งมีชีวิตทุกตัวก็มีพลังที่แตกต่างกันตราบใดที่ซูฉินเห็นบรรพชนเก้าและจดจํารัศมีได้ครั้งหนึ่งแล้วเขาก็จะสามารถตามหาบรรพชนเก้าได้แม้จะเป็นสุดขอบโลกก็ตาม

 

นี่คือสิ่งที่น่ากลัวสําหรับดวงตาแห่งสัจจะ

 

“เรื่องแค่นี้เอง อย่าได้โทษตนเองเลย”

 

ในเวลานี้ เสียงของบรรพชนหกก็ค่อยๆ ลอยไปถึงหูของบรรพชนเก้า เขามองไปที่ซูฉิน ดวงตาหรี่ลงเล็กน้อยแล้วพูดอย่างใจเย็น “ผู้ทรงสมณศักดิ์ถึงกับมานมัสการพระวิหารวิหารหมื่นพุทธของพวกเราก็ควรให้การต้อนรับ แต่วันนี้มีเรื่องไม่สะดวกบางอย่าง ได้โปรดท่านกลับไปก่อนเถิด”

 

แม้ว่าซูฉินจะเดินทางลึกเข้ามาถึงทะเลทรายตะวันตกและมาจนถึงหน้าวิหารหมื่นพุทธมีรัศมีที่ไร้รูปลักษณ์น่าสะพรึงกลัวปกคลุมทุกสิ่งโอบล้อมทุกอย่าง

 

แต่วิหารหมื่นพุทธคือสิ่งใด?

 

นิกายใหญ่ต่างดินแดนซึ่งได้รับการสืบทอดต่อมาตั้งแต่ช่วงสุดท้ายของยุคกระแสปราณีเพื่องฟูมีผู้ทรงพลังอํานาจกําเนิดขึ้นมาในช่วงเวลาหลายพันปีนี้ และแม้แต่เซียนเทพปฐพีก็มีมากกว่าหนึ่งคนกําเนิดขึ้นจากวิหารหมื่นพุทธด้วยเหตุนี้วิหารหมื่นพุทธจึงยังคงสภาพอํานาจตามเดิมไว้ได้

 

ด้วยรากฐานของวิหารหมื่นพุทธเช่นนี้ เมื่อมีคนบอกว่าต้องการจะมานมัสการพระวิหารคิดอยากจะมาก็มาได้อย่างนั้นหรือ?

 

แม้ว่าวิหารหมื่นพุทธจะตั้งอยู่ในทะเลทรายตะวันตก แต่ที่แห่งนี้ก็เพิ่งสร้างขึ้นมาไม่นานยังด้อยกว่าวิหารหมื่นพุทธในดินแดนโพ้นทะเลอยู่มาก

 

แต่ซูฉินนั้นไม่ใช่เซียนเทพปฐพี และไม่ได้มีอํานาจที่จะเอาชนะทุกสิ่งทุกอย่างได้

 

นอกจากนี้ยังมีบรรพชนหก บรรพชนเจ็ด บรรพชนเก้า อรหันต์สามรูปรวมกับสมบัติพุทธคุณจํานวนมากบรรพชนหกไม่เชื่อว่าซูฉินจะกล้าทําอะไรกับวิหารหมื่นพุทธจริงๆ

 

“ไม่สะดวก?”

 

ซูฉินยิ้มเล็กน้อย “ถ้าเป็นกรณีนี้ข้าก็จะเข้าไปในวิหารเอง”

 

เมื่อกล่าวเช่นนี้ ซูฉินก็ก้าวเท้าไปข้างหน้า ตรงเข้าไปหลายลี้ ไปถึงหน้าวิหารหมื่นพุทธ

 

“ไม่ดีแล้ว!”

 

รูม่านตาของบรรพชนหกหดตัวลง

 

จากที่บรรพชนเก้าเคยเล่าเอาไว้ เขาได้รู้ว่าซูฉินมีร่างกายที่แข็งแกร่งไร้เทียมทานสามารถสั่นสะเทือนสมบัติพุทธคุณเป็นธรรมดาที่ไม่ควรให้ซูฉินเข้าไปภายในวิหารหมื่นพุทธ

 

ไม่เช่นนั้น เมื่อซูฉินเข้ามาในระยะประชิด ด้วยพลังงานพลุ่งพล่านเต็มไปด้วยพลังชีวิตและเลือดเนื้ออรหันต์ทั้งสามรูปอาจจะไม่ได้กลัวแต่ศิษย์สาวกคนอื่นๆ ในวิหารหมื่นพุทธรวมถึงตัววิ หารหมื่นพุทธด้วยอาจจะถูกซูฉินทําลายลงได้

 

“ตะเกียงพุทธหมื่นวิญญาณ”

 

บรรพชนเจ็ดยกมือขวาขึ้นมา เห็นตะเกียงลอยขึ้นมาเงียบๆ อยู่หน้าวิหารหมื่นพุทธ

 

ตะเกียงพุทธหมื่นวิญญาณเริ่มสั่นสะท้าน

 

มันเปล่งแสงพุทธคุณนวลตา เข้าล้อมรอบวิหารหมื่นพุทธทั้งหมด

 

ภายนอกวิหารหมื่นพุทธ รัศมีพลังของซูฉินยังคงสร้างความข่มขู่ แต่ภายในวิหารหมื่นพุทธซึ่งปกคลุมด้วยแสงนวลกลับมีบรรยากาศสงบผ่อนคลาย

 

ทันใดนั้นศิษย์สาวกของวิหารหมื่นพุทธก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก

 

ศิษย์ส่วนใหญ่ที่มาจากวิหารใหญ่ในต่างดินแดน ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดอยู่ในขอบเขตอรหันต์ระดับนภาชั้นที่สาม ดังนั้นพวกเขาจะทนต่อไอพลังของซูฉินได้อย่างไร?

 

หากไม่ได้ตะเกียงพุทธหมื่นวิญญาณช่วยไว้ทันเวลา ศิษย์เหล่านี้คงจะต้องคุกเข่าลงกับพื้นภายใต้ไอพลังนี้โดยที่ซูฉินยังไม่ได้ลงมือทําอะไร

 

“น่ากลัวเกินไปแล้ว”

 

“คนที่แข็งแกร่งเช่นนี้มาเกิดอยู่ในทวีปที่ห่างไกลอย่างนี้ได้อย่างไร?”

 

“ใช่ แม้ว่าทวีปนี้จะเป็นแผ่นดินแห่งพลังยุทธอันยิ่งใหญ่ แต่กระแสปราณฉีก็เพิ่งจะฟื้นคืนในช่วงเวลาสั้นๆ เช่นนี้ไม่ควรมีคนที่แข็งแกร่งขนาดนี้ ”

 

ศิษย์หลายคนของวิหารหมื่นพุทธพูดกันด้วยเสียงเบาๆ มองผ่านแสงพุทธคุณที่ปกคลุมวิหารหมื่นพุทธสายตาที่พวกเขามองซูฉินเต็มไปด้วยความกลัวและวิตกกังวลอย่างลึกซึ้ง

 

.“อย่ากังวลไปเลย ไม่ว่าวิหารหมื่นพุทธจะอยู่ที่ใดผู้คนก็ยําเกรง แม้แต่เซียนเทพปฐพียังต้องหันหลังจากไปแล้วคนอื่นจะทําอะไรได้?”

 

ศิษย์วิหารหมื่นพุทธพูดด้วยเสียงที่เต็มไปด้วยความมั่นใจอย่างแรงกล้า

 

“ถูกต้อง

 

“มีบรรพชนหก บรรพชนเจ็ด และบรรพชนเก้า ข้ายังจะต้องกังวลสิ่งใดอีก?”

ศิษย์หลายคนในวิหารหมื่นพุทธพยักหน้าให้กันเพื่อปลอบโยนศิษย์คนอื่นๆ

 

และในตอนนั้นเอง

 

ซูฉินก็หยุดและมองดูด้วยความสนใจ เขามองแสงนวลที่ปกคลุมทั่วทั้งวิหารหมื่นพุทธ มันเปล่งพลังแห่งพุทธคุณออกมา

 

“น่าสนใจ”

 

ซูฉินยิ้มเล็กน้อย

 

ตะเกียงพุทธหมื่นวิญญาณนี้มีกลิ่นอายคล้ายกับลูกประคําของบรรพชนเก้า แต่ในแง่ของพลังที่ผันผวนมันแข็งแกร่งกว่าลูกประคํานับร้อยเท่า

 

ช่ว!

 

ซูฉินสะบัดนิ้วของตน แก่นแท้แห่งพลังถูกดึงออกไปใช้ในชั่วพริบตา พุ่งเข้าใส่แสงพุทธคุณที่ปกคลุมวิหารหมื่นพุทธ

 

แต่ผลที่ได้คือพลังจากแก่นแท้เหมือนจมลงสู่กันมหาสมุทร แสงพุทธคุณกลืนกินพลังงานไปอย่างรวดเร็วราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น

 

“เมื่อผู้จาริกบุญต้องการจะบุกเข้ามาในวิหารหมื่นพุทธของพวกเรา มันย่อมเป็นไปไม่ได้”

 

“ ตราบใดที่ไม่สามารถทําลายตะเกียงพุทธหมื่นวิญญาณ จะเข้ามาได้อย่างไร?”

 

บรรพชนหกมองไปที่ซูฉินแล้วกล่าวเบาๆ

 

ตะเกียงพุทธหมื่นวิญญาณเคยป้องกันการระเบิดพลังของเซียนเทพปฐพี่มาก่อน

 

แม้หลังจากที่ถูกระเบิดพลังครั้งนั้น ตะเกียงจะหมดพลังลง และยังไม่ฟื้นพลังกลับมาเต็มที่

 

แต่ในแง่ของการป้องกันเพียงอย่างเดียว ตะเกียงพุทธหมื่นวิญญาณนี้มีเอกลักษณ์โดดเด่นแม้จะเป็นในต่างดินแดน

 

ถ้าไม่ใช่เพราะตะเกียงพุทธหมื่นวิญญาณนี้ทําได้เพียงป้องกัน แต่สามารถโจมตีได้ เกรงว่าสมบัติชิ้นนี้จะเป็นสมบัติล้ําค่าอันดับหนึ่งของวิหารหมื่นพุทธไปแล้ว

 

“ได้ตามที่ขอ”

 

ซูฉินหัวเราะเบาๆ

 

การโจมตีของเขาเมื่อครู่นี้เป็นเพียงการกะประมาณคร่าวๆ ว่าตะเกียงพุทธหมื่นวิญญาณนี้มีความสามารถในการป้องกันระดับใด

 

ช่วงเวลาต่อมา

 

ซูฉินเหยียดแขนขวาออกไป และคว้าจับไปที่ช่องว่างมิติ

 

เขาค่อยๆ ดึงมีดยาวออกมา มันมีรูปร่างแปลกประหลาดคล้ายกับเคียว โค้งเป็นวงดวงจันทร์เต็มดวง

 

“ตัด!!”

 

ซูฉินถือคมมีดเทพเจ้าปีศาจไว้ในมือแล้วฟันเข้าใส่วิหารหมื่นพุทธ

ครีด!

 

ท้องฟ้าและผืนดินดูเหมือนจะกลายเป็นมหาสมุทรแห่งความมืดมิด และประกายคมมีดจากมีดเทพเจ้าปีศาจก็เฉือนตัดช่องว่างมิติพุ่งไปยังวิหารหมื่นพุทธ

 

“นั่นคือ?”

 

บรรพชนหกเห็นมีดของซูฉินที่มืดมิดราวกับขุมนรก ใบหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย

 

“กลิ่นอายเช่นนี้ มันมาจากโลกปีศาจงั้นหรือ?”

 

บรรพชนหกวางท่าทางเคร่งขรึม ช่วงสิ้นสุดยุคกระแสปราณีครั้งล่าสุด โลกถ้ําปีศาจได้บุกโจมตีและทําสงครามกับโลกมนุษย์ แม้ว่าโลกถ้ําปีศาจจะล่าถอยไปในที่สุดแต่โลกมนุษย์ก็เสียหายอย่างหนักและแม้แต่ผู้ที่ทรงพลังอย่างถึงขีดสุดก็ตกตายไปหลายคน

 

สิ่งต่างๆ เกี่ยวกับโลกถ้ําปีศาจถูกจัดเก็บเป็นความลับสุดยอด เก็บซ่อนไว้ในส่วนลึกของนิกายใหญ่ดินแดนโพ้นทะเลและผู้อาวุโสทั่วๆไปก็ไม่สามารถรู้สิ่งนี้ได้

 

แต่ในเวลานี้คมมีดในมือของซูฉินทําให้บรรพชนหกได้นึกถึงโลกถ้ําปีศาจ

 

ถ้าไม่ใช่เพราะซูฉันไม่ได้มีกลิ่นอายของโลกถ้ําปีศาจ บรรพชนหกอาจจะสงสัยว่าซูฉินเป็นเผ่าพันธุ์ปีศาจในโลกถ้ําปีศาจ

 

ขณะที่ความคิดของบรรพชนหกกําลังเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว

 

ประกายคมมีดอันรุนแรงของซูฉินฟันออกมากระทบเข้ากับแสงพุทธคุณที่ปล่อยออกมาจากตะเกียงพุทธหมื่นวิญญาณ

แกร็ก

 

แสงสว่างของแสงพุทธคุณวูบวาบ

 

ที่จุดกระทบของคมมีดกับแสงพุทธคุณ มีเสียงฉีกขาดดังขึ้นมา แสงพุทธคุณและประกายคมมีดได้หลอมรวมเข้าด้วยกัน

 

ในท้ายที่สุดประกายคมมีดที่ซูฉินตวัดออกไปก็โดนแสงที่ครอบคลุมวิหารหมื่นพุทธอันสว่างไหวกลืนกินในทันที

 

“น่ากลัวยิ่งนัก

 

บรรพชนเจ็ดและบรรพชนเก้าชําเลืองมองหน้ากัน เหงื่อเย็นเยียบค่อยๆ ไหลออกมา

 

โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนที่ความมืดมิดของคมมีดถูกตวัดฟันออก พวกเขาก็เห็นภาพลวงตามา กมายในนั้น

 

อย่างไรก็ตาม

 

ไม่ทันที่ทุกคนจะตอบสนอง

 

ซูฉินก็เก็บคมมีดเทพเจ้าปีศาจกลับคืน เปลี่ยนจากฝ่ามือเป็นกําปั้นแล้วค่อยๆ ส่งมั่นเข้าหาวิหารหมื่นพุทธ

 

หมัดนี้เรียบง่ายและหนักแน่น ราวกับผืนดินอันกว้างใหญ่ได้หลอมรวมเข้ากับหมัดนี้ประหนึ่งเทพเจ้าโบราณตีกลองศึกกําหมัดไว้แน่นแล้วกระแทกเข้ากับแสงพุทธคุณที่เปล่งออกมาจากตะเกี่ยงพุทธหมื่นวิญญาณ

 

ตูม!

 

เสียงดังก้องราวกับระฆังยักษ์สั่นสะเทือน จิตใจของศิษย์สาวกหลายคนในวิหารหมื่นพุทธพลัน ว่างเปล่า

 

ท่ามกลางสายตาที่หวาดกลัวของทุกคน หมัดของซูฉินกระทบเข้ากับแสงพุทธคุณแสงพุทธคุณถูกเจาะทะลวงเป็นช่อง หมัดขวาของซูฉินค้างอยู่ที่ตรงช่อง หมัดอันน่าสะพรึงกลัวแทบจะทะลุแสงพุทธคุณที่คอยปกป้องวิหารหมื่นพุทธ

 

แม้ว่าหลังจากที่ซูฉินถอนหมัดนี้ออกไป แสงพุทธคุณจะเคลื่อนกลับที่เดิมอย่างรวดเร็วแต่หมัดของซูฉินที่โจมตีออกมาได้ฝังลึกอยู่ในใจของทุกคนไปแล้ว

 

“หมัดนี้น่ากลัวเกินไป มันเกือบจะทะลวงพลังจากตะเกียงพุทธหมื่นวิญญาณ” หัวใจของบรรพชนเจ็ดเกิดคลื่นลมพายุโหมกระหน่ํา

 

เพียงแต่ว่าซูฉินก็ได้ถูฝ่ามือของเขาและพูดอะไรบางอย่างที่ทําให้บรรพชนหกบรรพชนเจ็ดและบรรพชนเก้าตกใจ

 

“ไม่เป็นไร”

 

“ข้าจะลงมือครั้งต่อไปให้จริงจังขึ้น”

 

ซูฉินขยับร่างจิตวิญญาณการต่อสู้ค่อยๆพุ่งสูงขึ้น

 

Sign in Buddha’s palm 261 (II) เงินกวนพระผู้ต่ําต้อย มานมัสการวิหาร

 

เมื่อบรรพชนเจ็ดได้ยินเช่นนี้ ท่าทีของเขาก็เชื่องช้าลงไปเล็กน้อย มองดูรอยหมัดตื้นๆ บนลูกประคําอย่างพินิจพิเคราะห์ ขมวดคิ้วพร้อมกับกล่าวว่า “หากไม่มีการเปลี่ยนจิตวิญญาณแรกกําเนิดรอยหมัดนี้ข้าก็เกรงว่ามันจะมาจากพลังกายล้วนๆ”

 

แร่างกายที่น่าสะพรึงกลัวเช่นนี้ น่าจะใกล้เคียงกับขอบเขตยอดอรหันต์เต็มทนแล้ว”

 

บรรพชนเจ็ดมองด้วยความประหลาดใจ

 

เมื่อเทียบกับพลังที่แปลกประหลาดและคาดเดาไม่ได้ของจิตวิญญาณแรกกําเนิดการรับมือสี่ งอื่นๆ ด้วยพลังก็ยังพอกระทําได้ เว้นแต่ซูฉินจะมีพละกําลังจากร่างกายที่ไปถึงขอบเขตเชียนเทพปฐพีซึ่งนั้นจะเป็นสิ่งรับมือได้ยากที่สุด

 

“ลูกประคํามีจิตวิญญาณอยู่ มันเป็นเพียงรอยกําปั้นเล็กๆ จะไม่ทําลายแก่นของสมบัติพุทธ คุณสามารถฟื้นตัวได้หลังจากดูดซับพลังสักหลายร้อยปี”

 

บรรพชนหกพูดอย่างช้าๆ ที่ด้านข้าง

 

ในฐานะที่เป็นสมบัติพุทธคุณที่ยอดอรหันต์ทิ้งไว้ มันจึงเข้ากันได้ดีกับวิชาบ่มเพาะภายในวิหารหมื่นพุทธ สามารถใช้ประโยชน์จากพลังของบรรดาผู้ทรงสมณศักดิ์มากมายในวิหารหมื่นพุทธเพิ่มบํารุงหล่อเลี้ยงพวกมันได้อย่างสมบูรณ์

 

“ข้าไม่ได้กังวลเรื่องลูกประคํา”

 

บรรพชนเก้าเก็บลูกประคําไปแล้วส่ายศีรษะ “ข้าเป็นกังวลว่าผู้ทรงสมณศักดิ์วัดเส้าหลินจะใช้เหตุผลนี้ในการมาสร้างปัญหายังวิหารหมื่นพุทธหรือไม่….”

 

“สร้างปัญหาให้กับวิหารหมื่นพุทธของพวกเรา?” บรรพชนหกหัวเราะเบาๆ หลังจากได้ยินคํากล่าวนั้น “เจ้ากังวลเกินไปแล้ว วิหารหมื่นพุทธเป็นตัวตนเช่นไร หากมีคนสามารถมาสร้างปัญหาได้ ที่นี่จะสืบทอดต่อมานับหมื่นปีได้หรือ?”

 

“มิผิด”

 

บรรพชนเจ็ดพยักหน้าเล็กน้อย สีหน้าผ่อนคลายแล้วกล่าวขึ้นว่า “ก่อนที่บรรพชนหกและตัวข้าจะมาที่นี่ได้นําตะเกียงพุทธหมื่นวิญญาณติดมาด้วย”

 

“ ตะเกียงพุทธหมื่นวิญญาณ?”

 

บรรพชนเก้ารู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย

 

ต้นกําเนิดของตะเกียงพุทธหมื่นวิญญาณนั้นลึกลับอย่างยิ่ง ว่ากันว่าสร้างขึ้นด้วยความอุตสาหะของยอดอรหันต์

 

ตะเกียงพุทธหมื่นวิญญาณทําหน้าที่เดียวเท่านั้น

 

คือป้องกัน

 

เมื่อตะเกียงไฟถูกจุด มันจะปล่อยสิ่งกีดขวางออกมาเพื่อหยุดการโจมตีทั้งหมด

 

หลายพันปีก่อน วิหารหมื่นพุทธเคยใช้ตะเกียงพุทธหมื่นวิญญาณในการสกัดกั้นการระเบิดพลังของขอบเขตเซียนเทพปฐพี

 

แน่นอนว่าหลังจากการระเบิดพลังในครั้งนั้น ไส้ตะเกียงก็ถูกเผาจนไหม้เกรียม และยังไม่นตัวเต็มที่จนถึงทุกวันนี้

 

แต่ไม่ว่าสิ่งใดจะเกิดขึ้น ชื่อของตะเกียงพุทธหมื่นวิญญาณก็ได้ทําให้โลกยุทธภพต่างแดนตกตะถึงตั้งแต่สมัยนั้นเป็นต้นมา

 

“เจ้าจงดู”

 

บรรพชนเจ็ดก็ได้ยกมือขวาขึ้นมา และเห็นตะเกียงพุทธหมื่นวิญญาณลอยอยู่เบื้องหน้า

 

ตะเกียงพุทธหมื่นวิญญาณค่อยๆ สว่างขึ้น ไส้ตะเกียงลุกไหม้ ปล่อยไอพลังอุ่นๆออกมา

 

“ด้วยตะเกียงนี้ ไม่ต้องกังวลว่าผู้ทรงสมณศักดิ์จะมา ถ้าเขากล้ามาจริงๆ ก็คงต้องปล่อยให้เขาเหน็ดเหนื่อยทรมานแล้ว”

 

รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของบรรพชนหกแล้วกล่าวคําออกมาแผ่วเบา

 

ด้วยตะเกียงพุทธหมื่นวิญญาณที่คอยรักษาสถานที่แห่งนี้ ทั้งยังมีอรหันต์ขั้นสูงสุดเช่นพวกเขาสามคนพวกเขาก็ไม่เคยคิดถึงเหตุไม่คาดฝันใดๆ อีก

 

“ ตะเกียงพุทธหมื่นวิญญาณข้าสบายใจขึ้นแล้ว…” บรรพชนเก้าพยักหน้า

 

แม้ว่าเขาจะเห็นความแข็งแกร่งของซูฉินด้วยตนเอง เขาก็ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะเจาะทะลวงตะเกียงพุทธหมื่นวิญญาณนี้ได้

 

“เจ้าคิดมากเกินไปแล้ว” บรรพชนหกมองไปทางบรรพชนเก้าแล้วกล่าวอย่างช้าๆ “ข้าอยู่ยั้งยีนยงในวิหารหมื่นพุทธมานับพันปี คลื่นลมแรงระดับไหนที่มิเคยสัมผัส? อดีตศัตรูต่างก็สิ้นอายุขัยไปจนหมดหลังจากตายก็มลายสิ้น”

 

“มีแต่วิหารหมื่นพุทธของเราเท่านั้นที่ยังคงอยู่ เจริญรุ่งเรืองจากรุ่นสู่รุ่น”

 

“ถึงแม้ว่าผู้ทรงสมณศักดิ์วัดเส้าหลินจะทรงพลังอํานาจเหนือโลกหล้า แต่จะเปรียบเทียบกับความรุ่งโรจน์ของวิหารหมื่นพุทธของพวกเราได้อย่างไร?”

 

แม้ว่าเสียงของบรรพชนหกจะเบา แต่ก็ยังดังก้องอยู่ภายในหูของบรรพชนเก้าและบรรพชนเจ็ด

 

“ถ้ามีโอกาส ข้าก็อยากให้ผู้ทรงสมณศักดิ์แห่งวัดเส้าหลินได้มาสัมผัสพลังของวิหารหมื่นพุทธเป็นการส่วนตัว…”

 

ก่อนที่บรรพชนหกจะพูดจบ ทั้งตัวเขา บรรพชนเจ็ด บรรพชนเก้า ตลอดจนศิษย์สาวกคนอื่นๆ ที่ประจําการอยู่ภายในวิหารหมื่นพุทธก็รู้สึกสั่นสะท้าน กระวนกระวายใจ

 

บรรพชนหกได้หายตัวไปและปรากฏตัวอีกทีด้านนอกวิหารหมื่นพุทธ ตามมาด้วยบรรพชนเจ็ดและบรรพชนเก้า ต่างก็เงยหน้ามองขึ้นไปด้านบน

 

บูม!

 

บูม!

 

บูม!

 

ราวกับอุกกาบาตตกลงมา แผ่นดินสะเทือน เสมือนมีพายุขนาดยักษ์พุ่งเข้ามาทําลายพื้นดินให้แตกเป็นเสี่ยงๆ

 

บรรพชนหกดูเคร่งขรึม จับตามองสิ่งที่อยู่เบื้องหน้าอย่างใกล้ชิด

 

เห็นทะเลทรายตะวันตกที่เมื่อก่อนเคยมีทรายสีเหลืองทองอยู่เต็มท้องฟ้า บัดนี้กลับแจ่มใสเกิดระลอกคลื่นท่ามกลางทรายสีเหลืองอันไร้ที่สิ้นสุด กระจายออกเป็นวงเปิดช่องทางสู่โลกภายนอก

 

ทรายสีเหลืองกระจายออกไปจากระยะร้อยลี้ ปกคลุมท้องฟ้าและดวงตะวัน

 

“นั่นคือ?”

 

บรรพชนเก้าดูเคร่งขรึม จ้องมองไกลออกไป

 

เห็นสุดปลายทางอุโมงค์ที่ประกอบไปด้วยทรายสีเหลือง มีชายร่างสูงเพรียวกําลังสูดลมหายใจเข้าไป

 

ทุกย่างก้าวของเขาได้ก้าวข้ามผ่านระยะกว่าร้อยลี้

 

เพียงครู่เดียวก็มาหยุดอยู่หน้าวิหารหมื่นพุทธด้วยสายตาลึกล้ํา มองดูผู้คนในวิหารหมื่นพุทธแล้วจึงกล่าวคําเบาๆ

 

“ภิกษุเฉินกวนผู้ต่ําต้อย มาสักการะวิหาร!”

 

Sign in Buddha’s palm 261 (1) เฉินกวนพระผู้ต่ําต้อย มานมัสการวิหาร

วัดเส้าหลิน

 

ซูฉินได้กระจายหยดน้ําจิตวิญญาณพฤกษาหนึ่งหยดออกเป็นล้านๆ ส่วน ละลายเข้าไปในเม ฆหมอก และแทรกซึมเข้าไปในตัวของเหล่าศิษย์วัดเส้าหลินในรูปของฝนโปรยปราย

 

แม้ว่าพลังชีวิตในหยดน้ําจิตวิญญาณกําเนิดพฤกษาจะมีคุณค่าเล็กน้อยในสายตาของซูฉิน แต่ในมุมของศิษย์วัดเส้าหลินเหล่านี้มันไม่ต่างไปจากน้ําอมฤต ศิษย์ทุกคนที่ได้อาบน้ําฝนแห่งชีวิต ล้วนเปี่ยมไปด้วยความมีชีวิตชีวาและรู้สึกได้ถึงพลังฉีอันนับไม่ถ้วน

 

ในเวลาต่อมา ซูฉินก็เพิกเฉยต่อการกราบไหว้เคารพของเหล่าศิษย์สาวก และมองดูค่ายกลฟ้า ดินขนาดใหญ่ที่ล้อมรอบพื้นที่หวงห้ามภูเขาด้านหลังแทน

 

ค่ายกลฟ้าดินเหล่านี้ถูกจัดเรียงไว้ในยามที่ซูฉินอยู่ในระดับนภาชั้นที่สาม และตอนนี้ถูกทํา ลายลงแล้วโดยบรรพชนเก้า แม้จะยังคงมีผลในการรวบรวมพลังฟ้าดินแต่ก็ไม่ดีเหมือนเก่าก่อน

 

“จัดตั้งขึ้นใหม่อีกรอบแล้วกัน”

 

ซูฉินแตะปลายคางและตัดสินใจ

 

นับตั้งแต่ออกจากวัดเส้าหลินไป เขาก็ได้รับผังค่ายกลฟ้าดินมากมายหลายร้อยหลายพันแบบ จากการลงชื่อเข้าใช้ และความเข้าใจของซูฉินเกี่ยวกับค่ายกลนับร้อยนับพันเหล่า นั้นก็พัฒนาจนสมบูรณ์ และบรรลุผลลัพธ์ชั่วชีวิตของคนสองสามชั่วชีวิตคนเลยทีเดียว

 

ช่วงเวลาต่อมา

 

ซูฉินยกมือขวาขึ้นมา และจุดแสงนับไม่ถ้วนก็ปรากฏขึ้นทันที พื้นที่หวงห้ามภูเขาด้านหลังของ วัดเส้าหลินก็ปกคลุมไปด้วยเมฆหมอกอีกครั้ง

 

“จัดตั้งค่ายกลใหม่เพิ่มเข้าไปเก้าแห่งเรียบร้อย

 

ค่ายกลฟ้าดินทั้งเก้านี้ แม้ว่าซูฉินจะไม่ได้จัดตั้งอย่างพิถีพิถันมากนัก แต่ด้วยความแข็งแกร่งใน ระดับปัจจุบันของเขา หากบรรพชนเก้าต้องการทําลายค่ายกลอีกครั้งเกรงว่ามันจะไม่ง่ายดายนัก

 

อาจจะไม่ถึงขั้นที่ปิดกั้นบรรพชนเก้าได้อย่างสมบูรณ์ แต่อย่างน้อยก็กักตัวบรรพชนเก้าไว้ได้ อย่างน้อยครึ่งวัน

 

ด้วยความเร็วของซฉิน ครึ่งค่อนวันก็เพียงพอแล้วที่จะวิ่งวนทั่วทั้งทวีปได้สองสามรอบ

 

เวลาค่อยๆ ผ่านเลยไป

หลังจากผ่านไปเกือบครึ่งวัน

ซูฉินเงยหน้าขึ้นและมองไปยังทิศทางของทะเลทรายตะวันตก คิดสงสัยอยู่กับตนเอง “ไม่ ขยับไปไหนแล้ว ไปถึงวิหารหมื่นพุทธแล้วอย่างนั้นรึ?”

เกือบตลอดทั้งวัน ซูฉินไม่เพียงแต่รักษาศิษย์วัดเส้าหลิน จัดตั้งค่ายกลเสียใหม่ แต่ยังคงแบ่ง ความสนใจไปกับสถานที่ที่บรรพชนเก้าเดินทางไปด้วย

ด้วยดวงตาแห่งสัจจะและวิชาปราณฉีฟ้ากําหนด หลังจากที่บรรพชนเก้าออกจากวัดเส้าหลิน ทุกๆ สถานที่ที่เขาไปก็อยู่ภายใต้การตรวจสอบของซูฉินทั้งหมด

แต่ตอนนี้ซูฉันค้นพบว่าบรรพชนเก้าอยู่ที่เดิมมานานกว่าหนึ่งชั่วโมงแล้ว

เห็นได้ชัดว่ามีเพียงวิหารหมื่นพุทธเท่านั้นที่บรรพชนเก้าจะอยู่ได้นานขนาดนี้

“ได้เวลาไปทะเลทรายตะวันตกแล้ว”

ซูฉันคิดตัดสินใจ เขาหันหน้าไปมองเจ้าอาวาสอุ่ยเหวินและหัวหน้าตําหนักที่ยืนอยู่ด้านข้าง ค่อยๆ พูดอย่างใจเย็น “ข้าจะไปยังทะเลทรายตะวันตก”

“ทะเลทรายตะวันตก?”

เจ้าอาวาสชุ่ยเหวินและหัวหน้าตําหนักต่างมองหน้ากัน สุดท้ายจึงเอ่ยปากถามอย่างระมัดระ วัง “ท่านผู้ทรงสมณศักดิ์จะไปทําสิ่งใดในทะเลทรายตะวันตก?”

“ไปวิหารหมื่นพุทธ…”

ซูฉินก้าวเท้าไปข้างหน้า และหายตัวไปจากวัดเส้าหลิน

เจ้าอาวาสชุ่ยเหวินและหัวหน้าตําหนักพยายามนึกว่าซูฉินจะพูดอะไรต่อ “ข้าต้องการคําอธิ บาย….”

ส่วนลึกของทะเลทรายตะวันตก

ภายในวิหารหมื่นพุทธ

ร่างสามร่างนั่งขัดสมาธิทํามุมกันเป็นสามเหลี่ยมอยู่ในห้องโถงใหญ่ ลมหายใจของพวกเขาลึก ซึ้งและทรงพลังอย่างยิ่ง

ที่มุมซ้ายสุดของห้องโถง บรรพชนเก้าอยู่ในมุมปลายแหลมระหว่างสองร่างที่เหลือ แล้วกล่า วอย่างเคร่งขรึมว่า

“บรรพชนหก บรรพชนเจ็ด ก็เป็นตามที่ข้ากล่าวไปเมื่อครู่”

“แผ่นดินแห่งพลังยุทธอันยิ่งใหญ่แห่งนี้อันตรายจริงๆ ไม่เพียงแต่ตํานานยุทธเมืองฉางอันที่สา มารถเอาชนะตํานานยุทธขั้นสูงสุดอย่างบรรพบุรุษชีหยวนได้เท่านั้น ผู้ทรงสมณศักดิ์จากวัดเส้าหลิ นก็ไม่ได้อ่อนแอไปกว่ากันมากนัก…”

 

ตั้งแต่ที่บรรพชนเก้ากลับมา เขาก็ได้พบบรรพชนหกและบรรพชนเจ็ดจากวิหารหมื่นพุทธที่รีบ เดินทางมาจากต่างแดน จากนั้นจึงเล่าเรื่องราวทั้งหมดที่ได้ประสบมาในวัดเส้าหลินให้ฟัง

 

“แผ่นดินแห่งพลังยุทธฯ นี้ค่อนข้างน่าสนใจ”

 

“กระแสปราณฉีเสื่อมโทรมมานานหลายต่อหลายปีแล้ว ค่อนข้างไม่สมเหตุสมผลที่ จะให้กําเนิดผู้ที่แข็งแกร่งเช่นนี้”

 

บรรพชนหกดูเป็นพระชราใจดีรูปหนึ่ง ในตอนนี้เขาพูดช้าๆ ด้วยน้ําเสียงที่อยากรู้อยากเห็น “ข้าก็คิดเช่นนั้นเหมือนกัน”

 

บรรพชนเก้ายิ้มอย่างขมขื่น เขาไม่เชื่อว่าว่าวัดเส้าหลินจะมีผู้ทรงสมณศักดิ์ที่ทรงพลังเช่นนั้น ไม่ทีแรก แต่สิ่งที่เจอทําให้เขาตกตะลึง

 

ซูฉินไม่เพียงแต่เป็นผู้ทรงสมณศักดิ์ แต่ยังแข็งแกร่งท่ามกลางผู้ทรงสมณศักดิ์ทั้งหลาย

 

“เจ้าคิดว่าผู้ทรงสมณศักดิ์แห่งวัดเส้าหลินแข็งแกร่งเพียงใด?” ในเวลานี้ บรรพชนเจ็ดที่ไม่พูด อะไรเลยตั้งแต่แรก ก็กล่าวถามออกมา

 

บรรพชนเก้าเพิ่งจะเล่าถึงเรื่องที่ต่อสู้กับซูฉินแล้วรีบหนีออกมาในทันทีด้วยเคล็ดวิชาท่าเท้า หลบหนีศักดิ์สิทธิ์ แต่ไม่ได้ลงรายละเอียดระหว่างการต่อสู้

 

“แข็งแกร่งเพียงใด?”

 

บรรพชนเก้าเงียบไป แล้วยกสายลูกประคําที่คล้องไว้กับข้อมือของเขาขึ้นมา

 

“ข้าได้อัญเชิญลูกประคําเส้นนี้เพื่อต่อสู้กับผู้ทรงสมณศักดิ์วัดเส้าหลิน ผลคือผู้ทรงสมณศักดิ์ กระแทกสมบัติพุทธคุณเส้นนี้กลับมาได้ด้วยมือเปล่า…”

 

คําที่กล่าวออกมา

 

ไม่ว่าจะเป็นบรรพชนหกหรือบรรพชนเจ็ด รูม่านตาของพวกเขาพลันหดตัวลงอย่างรวดเร็ว

 

การขับไล่บรรพชนเก้าออกมา กับการขับไล่บรรพชนเก้าที่ใช้สมบัติพุทธคุณร่วมด้วยแล้วนั้น เป็นสองสิ่งที่แตกต่างกัน

 

แม้ว่าบรรพชนเก้าจะเป็นอรหันต์ขั้นสูงสุด เขาก็ยังไม่ได้เปลี่ยนจิตวิญญาณแรกกําเนิด ประ กอบกับเลือดเนื้อตกต่ําลง ทําให้ความแข็งแกร่งของเขาไม่ได้อยู่ในจุดสูงสุดอีกต่อไป และเมื่อต้อง เผชิญหน้ากับผู้ที่แข็งแกร่งในระดับเดียวกัน ด้วยพละกําลังที่ถดถอยจึงเลือกที่จะหนีกลับ เป็นเรื่อง ที่เข้าใจได้

นั่นหมายความว่าบรรพชนเก้าไม่ได้ด้อยกว่าซูฉิน

แต่บรรพชนเก้าที่ใช้สมบัติพุทธคุณ การที่ใช้สมบัติพุทธคุณจะช่วยเสริมความแข็งแกร่ง เพิ่มขึ้นไปอีกหลายระดับ ในกรณีนี้ซูฉินยังคงขับไล่ออกไปได้ เป็นเรื่องที่น่าตกใจมาก

“ไม่เพียงเท่านี้”

บรรพชนเก้าส่ายศีรษะเล็กน้อย แล้วส่งแก่นแท้แห่งพลังเข้าไปในลูกประคํา ทันใดนั้น สายลูก ประคําก็ขยายขนาดอย่างรวดเร็ว

ในเวลานี้ บรรพชนหกและบรรพชนเจ็ดก็เห็นรอยหมัดตื้นๆ ที่อยู่บนลูกประคํา

“นี่คือ?”

ใบหน้าของบรรพชนหกและบรรพชนเจ็ดเปลี่ยนไปอย่างมาก

สายตาของพวกเขานั้นมองเห็นได้ลึกซึ้งกว่าบรรพชนเก้าแน่นอน เขาตระหนักดีว่าการที่สามา รถทิ้งรอยไว้บนลูกประคําเส้นนี้ได้หมายความเช่นไร

“เป็นไปได้ไหมว่าผู้ทรงสมณศักดิ์ของวัดเส้าหลินได้เปลี่ยนเป็นจิตวิญญาณแรกกําเนิดแล้ว?” บรรพชนเจ็ดกล่าวด้วยท่าทีที่เคร่งขรึม

ตํานานยุทธขั้นสูงสุดธรรมดา วิหารหมื่นพุทธย่อมไม่สนใจ แต่ตํานานยุทธขั้นสูงสุดที่เปลี่ยนจิ ตวิญญาณแรกกําเนิดได้แล้วก็เพียงพอจะกวาดล้างยุทธภพต่างแดนได้ง่ายดายในยุคปัจจุบันนี้

 

ในยุคที่ไม่มีเซียนเทพปฐพีกําเนิดขึ้นมา ตํานานยุทธขั้นสูงสุดที่เปลี่ยนจิตวิญญาณแรกกําเนิด ได้ ย่อมเป็นตัวตนที่อยู่ยงคงกระพัน

 

พลังของจิตวิญญาณแรกกําเนิดลึกซึ้งเกินกว่าจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์

 

เมื่อแปรเปลี่ยนเป็นจิตวิญญาณแรกกําเนิดได้ จอมยุทธไม่เพียงแต่จะหลุดออกจากพันธนาการ ของร่างกายเท่านั้น ยังสามารถพึ่งพาจิตวิญญาณแรกกําเนิดเพื่อมีชีวิตอยู่ต่อไปได้ด้วย

 

จอมยุทธธรรมดาๆ ถึงแม้จะเป็นตํานานยุทธขั้นสูงสุด เมื่อตกตายไปนั้น เว้นแต่จะมีทักษะลับ จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ก็ไม่สามารถดํารงอยู่ได้นานนักหากปราศจากร่างกาย จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์จะ ค่อยๆ สลายไปด้วยความเร็วที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่า

 

แต่จิตวิญญาณแรกกําเนิดนั้นต่างออกไป

 

แม้จิตวิญญาณแรกกําเนิดจะยังอยู่กับกายเนื้อ แต่อีกแง่หนึ่งมันก็ไม่ได้มีร่างกายมาเป็นข้อจํา กัด

 

สําหรับตํานานยุทธขั้นสูงสุดที่เปลี่ยนจิตวิญญาณแรกกําเนิดได้ แม้ว่าจะสูญเสียร่างกายไป แต่ก็สามารถพึ่งพาจิตวิญญาณแรกกําเนิดเพื่อรักษาพลังต่อสู้ส่วนใหญ่เอาไว้ได้ ไม่ต้องกังวลต่อกา รเน่าเปื่อยของสังขารอย่างบรรพชนเก้า บรรพชนหก หรือบรรพชนเจ็ดที่ต้องคอยระวังเกี่ยวกับ พลังชีวิตเลือดเนื้อของตนเองอยู่ตลอดเวลา ไม่กล้าต่อสู้ด้วยกําลังทั้งหมด

“ข้าไม่ได้สัมผัสถึงพลังของจิตวิญญาณแรกกําเนิดแม้แต่น้อย” หลังจากได้ยินคําถามนั้น บร รพชนเก้าก็ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งและกล่าวยืนยันอย่างจริงจังว่า “ยิ่งไปกว่านั้น หากผู้ทรงสมณศักดิ์ แห่งวัดเส้าหลินแปลงจิตวิญญาณแรกกําเนิดแล้วจริงๆ ข้าคงไม่สามารถรับมือได้โดยง่าย”

 

เมื่อบรรพชนเจ็ดได้ยินเช่นนี้ ท่าทีของเขาก็เชื่องช้าลงไปเล็กน้อย มองดูรอยหมัดตื้นๆ บนลูก ประคําอย่างพินิจพิเคราะห์ ขมวดคิ้วพร้อมกับกล่าวว่า “หากไม่มีการเปลี่ยนจิตวิญญาณแรกกํา เนิด รอยหมัดนี้ข้าก็เกรงว่ามันจะมาจากพลังกายล้วนๆ”

 

“ร่างกายที่น่าสะพรึงกลัวเช่นนี้ น่าจะใกล้เคียงกับขอบเขตยอดอรหันต์เต็มทนแล้ว”

 

บรรพชนเจ็ดมองด้วยความประหลาดใจ

เมื่อเทียบกับพลังที่แปลกประหลาดและคาดเดาไม่ได้ของจิตวิญญาณแรกกําเนิด การรับมือ งอื่นๆ ด้วยพลังก็ยังพอกระทําได้ เว้นแต่ซูฉินจะมีพละกําลังจากร่างกายที่ไปถึงขอบเขตเซียนเทพ ปฐพีซึ่งนั้นจะเป็นสิ่งรับมือได้ยากที่สุด

 

“ลูกประคํามีจิตวิญญาณอยู่ มันเป็นเพียงรอยกําปั้นเล็กๆ จะไม่ทําลายแก่นของสมบัติพุทธ คุณ สามารถฟื้นตัวได้หลังจากดูดซับพลังสักหลายร้อยปี”

บรรพชนหกพูดอย่างช้าๆ ที่ด้านข้าง

 

ในฐานะที่เป็นสมบัติพุทธคุณที่ยอดอรหันต์ทิ้งไว้ มันจึงเข้ากันได้ดีกับวิชาบ่มเพาะภายในวิ หารหมื่นพุทธ สามารถใช้ประโยชน์จากพลังของบรรดาผู้ทรงสมณศักดิ์มากมายในวิหารหมื่นพุทธ เพิ่มบํารุงหล่อเลี้ยงพวกมันได้อย่างสมบูรณ์

 

“ข้าไม่ได้กังวลเรื่องลูกประคํา”

 

บรรพชนเก้าเก็บลูกประคําไปแล้วส่ายศีรษะ “ข้าเป็นกังวลว่าผู้ทรงสมณศักดิ์วัดเส้าหลินจะใช้ เหตุผลนี้ในการมาสร้างปัญหายังวิหารหมื่นพุทธหรือไม่….”

เข้าสู่ระบบ “ฝ่ามือยูไล [Sign in Buddha’s palm]

 

Sign in Buddha’s palm 260 (II)

 

Sign in Buddha’s palm 260 (II) ฝนในฤดูใบไม้ผลิ

 

“เจ้าอาวาส”

 

หัวหน้าลานโพธิ์เดินไปหาเจ้าอาวาสอุ่ยเหวินอย่างรวดเร็ว และพูดด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นว่า “ศิษย์ที่หมดสติไปอยู่ในสภาวะที่แปลกมาก ดูเหมือนว่าจะเกิดอาการธาตุไฟเข้าแทรกเสียแล้ว”

 

คำที่กล่าวออกมา

 

ท่าทีของเจ้าอาวาสอุ่ยเหวินก็เปลี่ยนไป

 

เจ้าอาวาสขี่ยเหวินจะไม่เข้าใจความหมายของสิ่งนี้ได้อย่างไร กว่าหลายสิบปีที่แล้ว เพราะกระหายที่จะประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็ว เขาเกือบจะสร้างปัญหาเข้าแล้ว หากไม่ใช่ว่าซูฉินได้ยื่นมือเข้าช่วยไว้ได้ทันเวลา เกรงว่าจะไม่มีเจ้าอาวาสฮ่ยเหวินอีกต่อไป

 

“มีปัญหาแล้ว”

 

เจ้าอาวาสฮียเหวินเข้าใจถ่องแท้ถึงอันตรายที่ซ่อนอยู่ แม้ว่าพวกเขาจะสามารถรอดชีวิตได้โดยบังเอิญจริงๆ พวกเขาก็จะกลายเป็นบุคคลไร้ค่าไปในทันที

 

ในขณะที่เจ้าอาวาสขี่ยเหวินและหัวหน้าตำหนักกำลังจินตนาการภาพเลวร้าย ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรต่อดี

 

ซูฉินก็ก้าวออกไปโดยไม่รีบร้อน

 

ศิษย์วัดเส้าหลินเหล่านี้ถือเป็นชนรุ่นหลังของซูฉิน และเป็นธรรมดาที่ฉันจะไม่ปล่อยให้ตกตาย

 

จิตของซูฉินเคลื่อนไหว หยดน้ำจิตวิญญาณกำเนิดพฤกษาหนึ่งหยดก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าซูฉิน

 

หยดน้ำจิตวิญญาณกำเนิดพฤกษานี้ได้มาจากการลงชื่อเข้าใช้ในช่วงยี่สิบสามสิบปีที่ผ่านมาพวกมันเหลืออีกไม่กี่ชั่งเท่านั้น ภายในเต็มไปด้วยพลังอันมากล้น

 

“กระจายออกไป!”

 

ซูฉินเบาเบาๆ

 

ทันใดนั้นจิตวิญญาณกำเนิดพฤกษาที่อยู่เบื้องหน้าเขาก็กลายเป็นหมอกหนาฟังเต็มไปหมดค่อยๆ ลอยขึ้นไปรวมกับหมู่เมฆฟูวว

 

เห็นหมอกและก้อนเมฆเริ่มบรรจบกัน และแล้วฝนก็เริ่มลงเม็ด เป็นฝนโปรยปรายลงมาดั่งฝนในฤดูใบไม้ผลิ

 

ทุกที่ที่สายฝนฤดูใบไม้ผลินี้พัดพาไป ทุกสิ่งก็ดูเหมือนจะฟื้นคืนและเต็มไปด้วยพลัง ศิษย์วัดเส้าหลินหลายคนที่หมดสติไป ก็รู้สึกได้ถึงกระแสความอบอุ่นไหลเวียนอยู่ในกายยามเมื่อหยาดฝนนับร้อยๆ หยดโปรยลงมาตามแขนขา

 

“ข้า ข้าไม่ได้เป็นอะไรหรอกหรือ?”

 

ศิษย์วัดเส้าหลินที่เพิ่งกราบเข้ามาเป็นศิษย์ ไม่ได้เป็นแม้แต่ผู้ฝึกยุทธด้วยซ้ำ ค่อยๆ ลืมตาขึ้นมาด้วยอาการมึนงง เขามองไปที่มือของตนเองและรู้สึกว่ามันอยู่ในสภาพที่ดีขึ้นกว่าแต่ก่อน ทั้งยังรู้สึกได้ถึงกำลังภายในเส้นเล็กๆ ที่อยู่ภายในร่างกาย

 

ไม่ใช่เพียงแค่ศิษย์วัดเส้าหลินคนนี้เท่านั้น แต่ศิษย์ที่ถูกปกคลุมไปด้วยเม็ดฝนฤดูใบไม้ผลิต่างก็ฟื้นจากอาการหมดสติ ไม่เพียงแต่กำจัดอาการธาตุไฟเข้าแทรก แต่ยิ่งเพิ่มพูนระดับการฝึกฝนของพวกเขาอีกด้วย

 

เจ้าอาวาสขี่ยเหวินและหัวหน้าตำหนักมองดูทุกสิ่งนี้ด้วยความประหลาดใจราวกับเห็นปาฏิหารย์ ต้องเข้าใจว่าอาการธาตุไฟเข้าแทรกนั้นซับซ้อนมาก ทุกคนล้วนมีอาการที่ต่างกัน หากต้องการช่วยก็ต้องดูเป็นรายๆ ไป วิเคราะห์สาเหตุ และจะรักษาได้หรือไม่นั้นก็ขึ้นอยู่กับโชค

 

แต่ตอนนี้?

 

เพียงฝนโปรยปรายที่ร่วงหล่นลงมา เป็นดั่งของขวัญจากฟ้า ศิษย์ของวัดเส้าหลินที่มีอาการธาตุไฟเข้าแทรกกลับยืนขึ้นมาได้อีกครั้ง สิ่งที่เกิดขึ้นราวกับอยู่ในตำนานเรื่องเล่าสักเรื่องหนึ่งอย่างไรอย่างนั้น

 

“ขอบคุณผู้ทรงสมณศักดิ์อย่างยิ่ง”

 

เจ้าอาวาสคารวะให้กับซูฉินอีกครั้ง

 

จนถึงตอนนี้เขาจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าเป็นฝีมือของซูฉิน?

 

“ขอบคุณผู้ทรงสมณศักดิ์อย่างยิ่ง” ศิษย์วัดเส้าหลินที่ตื่นจากอาการหมดสติจำนวนมากต่างคารวะให้กับซูฉินด้วยความสำนึกอย่างสูง

 

ซูฉินไม่ได้เปิดปากกล่าวคำ ไม่มีคำพูดใดออกไป

 

หยดน้ำจิตวิญญาณกำเนิดพฤกษาหนึ่งหยดมีพลังมากพอที่จะทำให้ตำนานยุทธอิจฉาตาร้อนและการช่วยเหลือศิษย์วัดเส้าหลินในครั้งนี้ก็ง่ายดายพอๆ กับการกินดื่ม

 

ในเวลาเดียวกัน

 

ห่างจากวัดเส้าหลินหลายพัน

 

ร่างของบรรพชนเก้าปรากฏขึ้นอย่างเงียบงัน ปลายเท้าของเขาแตะลงบนพื้นเบาๆ ระยะทางหลายสิบลี้ย่นระยะมาได้ภายในขั้นตอนเดียว เมื่อก้าวเท้าวิ่งมาข้างหน้า เขาก็อยู่ห่างจากวัดเส้าหลินมาหลายพันล้ำเสียแล้ว

 

“เป็นไปได้ไหมว่าผู้ทรงสมณศักดิ์แห่งวัดเส้าหลินจะเปลี่ยนจิตวิญญาณแรกกำเนิดได้แล้ว? ไม่เช่นนั้นจะน่ากลัวเช่นนี้ได้อย่างไร?”

 

จนถึงตอนนี้บรรพชนเก้าก็ยังไม่มีเวลาคิดเกี่ยวกับการต่อสู้ของเขากับซูฉินมากเท่าไหร่

 

“แต่ข้าไม่รับรู้ถึงกลิ่นอายของจิตวิญญาณแรกกำเนิด…” บรรพชนเก้าส่ายศีรษะ ใจเต็มไปด้วยความสงสัย

 

เมื่อตำนานยุทธขั้นสูงสุดที่เปลี่ยนจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ให้กลายเป็นจิตวิญญาณแรกกำเนิดได้แล้วนั้น รัศมีของจิตวิญญาณแรกกำเนิดจะถูกเปิดเผยออกมาเพื่อระงับทุกสิ่ง แต่บรรพชนเก้าไม่ได้รู้สึกถึงรัศมีของจิตวิญญาณแรกกำเนิดเลยตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้

 

“ยังไม่ได้เปลี่ยนเป็นจิตวิญญาณแรกกำเนิดอย่างนั้นหรือ?”

 

บรรพชนเก้าขมวดคิ้วและครุ่นคิดอย่างหนัก และในท้ายที่สุดก็สรุปได้เพียงเท่านี้

 

“โดยไม่ต้องพึ่งจิตวิญญาณแรกกำเนิดแต่กลับทิ้งรอยหมัดไว้บนสมบัติพุทธคุณได้ ร่างกายของผู้ทรงสมณศักดิ์รูปนั้นน่ากลัวเพียงใดกัน?”

 

บรรพชนเก้าดูประหลาดใจ

 

ในอดีตมียอดอรหันต์มากมายที่กำเนิดจากวิหารหมื่นพุทธ โดยเฉพาะในช่วงสุดท้ายของยุคเฟื่องฟูกระแสปราณี ก็ยิ่งมีกำลังมาก

 

ทว่าตั้งแต่สมัยโบราณ บรรพชนเก้าไม่เคยได้ยินว่ามีอรหันต์ขั้นสูงสุดคนใดที่สามารถใช้พลังของกายเนื้อสร้างร่องรอยไว้บนสมบัติพุทธคุณของยอดอรหันต์ได้

 

นี่ยังตั้งอยู่บนข้อสันนิษฐานด้วยเกณฑ์ของวิหารหมื่นพุทธที่ให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับการขัดเกลาร่างกาย มิฉะนั้นหากเป็นนิกายใหญ่แห่งอื่นๆ กายเนื้อจะยิ่งอ่อนแอลงไปอีก

 

“อย่างไรก็ตาม เคล็ดท่าเท้าหลบหนีศักดิ์สิทธิ์ของวิหารหมื่นพุทธนั้นดีที่สุดในยุคสมัยนี้แล้วแม้แต่ในช่วงสุดท้ายของยุคกระแสปราณฉีเฟื่องฟูก็ยังนับว่ามีชื่อเสียงขจรขจาย”

 

รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของบรรพชนเก้า

 

เคล็ดท่าเท้าหลบหนีศักดิ์สิทธิ์เป็นเคล็ดวิชาที่บรรพชนเก้าใช้ในการหลบหนีออกจากวัดเส้าหลิน ภายในเวลาอันสั้นมันก็สามารถหลบหนีมาได้ถึงหลายพันลี้ เป็นการทลายขีดจำกัดอย่างแท้จริง

 

ว่ากันว่าเคล็ดท่าเท้าหลบหนีศักดิ์สิทธิ์เป็นเคล็ดวิชาของยอดอรหันต์แห่งวิหารหมื่นพุทธ ซึ่งพัฒนามาจากทิพยอำนาจสายพุทธ แม้ว่าจะด้อยกว่าทิพยอำนาจมาก แต่ก็เป็นเคล็ดวิชาท่าเท้าที่หาได้ยากยิ่ง

 

“น่าเสียดายที่สิ่งที่ต้องสูญเสียไปจากการใช้เคล็ดท่าเท้าหลบหนีศักดิ์สิทธิ์นั้นแพงจนเกินไป”

 

บรรพชนเก้าถอนหายใจแผ่วเบา ในเวลาเพียงชั่วครู่เดียวแก่นแท้ภายในกายก็แทบจะสูญเสียไปจนหมด

 

เหตุผลที่บรรพชนเก้าหยุดอยู่ที่นี่ก็เพื่อสังเกตว่าซูฉินติดตามมาหรือไม่ และอีกเหตุผลก็เพื่อใช้โอกาสนี้กู้คืนแก่นแท้แห่งพลังที่สูญเสียไปกลับคืนมา

 

“ดูเหมือนว่าผู้ทรงสมณศักดิ์วัดเส้าหลินจะไม่ไล่ตามมา” บรรพชนเก้ารอสักครู่ แต่หลังจากที่ไม่พบไอพลังของซูฉิน เขาก็โล่งใจเล็กน้อย

 

ถ้าซูฉินไม่ยอมแพ้ในการติดตาม บรรพชนเก้าคงไม่กล้ากลับไปที่วิหารหมื่นพุทธเป็นแน่

 

ไม่แน่ใจว่าบรรพชนหกและบรรพชนเจ็ดมาถึงแล้วหรือยัง หากฉันรู้ที่ตั้งของวิหารหมื่น พุทธมันจะยิ่งแย่ไปกว่านี้

 

จากนั้น

 

บรรพชนเก้าไม่กล้าที่จะอยู่ในอาณาจักรถังเป็นเวลานาน จึงรีบกลับไปยังส่วนลึกของทะเลทรายตะวันตก

 

แต่ในช่วงระหว่างทางนี้ บรรพชนเก้าก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องใช้สิ่งสิ้นเปลืองกำลังอย่างท่าเท้าหลบหนีศักดิ์สิทธิ์ หลังจากที่ยืนยันได้ว่าซูฉินไม่ได้ตามมา บรรพชนเก้าก็ผ่อนคลายขึ้นมากและกลับไปยังวิหารหมื่นพุทธอย่างช้าๆ

 

หลังจากผ่านไปครึ่งวัน

 

บรรพชนเก้าก็มาถึงทะเลทรายตะวันตก

 

เขามองไปที่วิหารหมื่นพุทธในส่วนลึกของทะเลทรายตะวันตก ความสุขสาดประกายออกมาทางสีหน้า

 

“บรรพชนหกและบรรพชนเจ็ดมาถึงแล้ว?” บรรพชนเก้ากระซิบกับตนเอง แล้วก้าวเท้าไปยังวิหารหมื่นพุทธ

 

[1] ฝนในฤดูใบไม้ผลิ การที่ฝนตกในฤดูใบไม้ผลิแปลว่าหลังจากนั้นอากาศที่หนาวเหน็บจะค่อยๆ อุ่นขึ้น จึงน่าจะเปรียบเป็นของขวัญจากฟ้าที่มีให้แก่ผู้คนทั้งหลาย หรือไม่ก็เป็นน้ำฝนที่อุดมไปด้วยพลังชีวิต ความมีชีวิตชีวาต่างๆ

 

เข้าสู่ระบบ “ฝ่ามือยูไล [Sign in Buddha’s palm]

Sign in Buddha’s palm 260 (1)

Sign in Buddha’s palm 260 (1) ฝนในฤดูใบไม้ผลิ

“ไม่ดีแล้ว!”

บรรพชนเก้าดูเหมือนจะสังเกตเห็นอะไรบางสิ่ง สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปอย่างมาก เขาต้องการเรียกคืนลูกประคํา

น่าเสียดายที่มันสายเกินไป

ภาพตอนนี้คือหมัดที่ดูเบาบางของซูฉินกระทบเข้ากับลูกประคําเรียบร้อยแล้ว ลูกประคําเส้นนี้สืบทอดต่อมาตั้งแต่ช่วงสุดท้ายของยุคกระแสปราณฉีเฟื่องฟู ยอดอรหันต์แห่งวิหารหมื่นพุทธได้ทิ้งมันเอาไว้เบื้องหลัง แม้จะผ่านเวลามานับหมื่นปี ก็ยังคงรักษาสภาพพลังอันน่ากลัวเอาไว้ได้ การที่มีบรรพชนเก้าเป็นผู้ครอบครองก็เพียงพอแล้วที่จะขับไล่ตํานานยุทธขั้นสูงสุดอย่างบรรพบุรุษหยวนไปได้อย่างง่ายดาย

จากสิ่งนี้เพียงอย่างเดียว บรรพชนเก้าก็ควรค่าแก่การเป็นบรรพชนแห่งวิหารหมื่นพุทธแล้ว แค่กระบวนท่าเดียวก็เหนือกว่าตํานานยุทธขั้นสูงสุดธรรมดาๆ

นี่คือรากฐานที่แท้จริงของพุทธศาสนาในดินแดนโพ้นทะเล

แต่ในเวลานี้หมัดของซูฉินก็ถูกปล่อยออกไปแล้วเช่นกัน

ปัง!!

วัสดุของลูกประคําเหมือนจะทําจากไม้บางชนิด แต่แท้จริงมันกลับดูคล้ายโลหะ เมื่อกําปั้นของซูฉินเข้ากระทบ เสียงที่คล้ายกับระฆังทองสัมฤทธิ์ก็ดังลั่นกระจายไปทั่วทุกทิศ

ศิษย์วัดเส้าหลินจํานวนนับไม่ถ้วนรู้สึกเพียงว่ามีเสียงฟ้าร้องดังสนั่นในหูของพวกเขา ทําให้ต่างก็ตื่นตกใจ แม้แต่ยอดปรมาจารย์ขั้นสูงสุดอย่างเฉียนข่ยังมีนงง สมองว่างเปล่า จิตใจจมดิ่งลงในทันที

สําหรับศิษย์เส้าหลินคนอื่น มันไม่ได้มีผลกระทบเบาบางเหมือนเช่นเฉียนขู่ มันรุนแรงจนถึงขั้นล้มลงไปกับพื้น บางคนเป็นลมไปเลยก็มี

หลังจากนั้นไม่นาน

 

ดวงใจพุทธะในกายของเฉียนขู่ก็เต้นถี่ การรับรู้ค่อยๆฟื้นตัว เขาเงยหน้าขึ้นมอง เห็นซูฉินยังคงยืนอยู่ที่เดิม ดวงตาสงบนิ่ง ราวกับว่าเขาไม่ได้ขยับเขยื้อนไปไหนเลย

อย่างไรก็ตาม บรรพชนเก้ากลับถอยห่างออกไปนับพันเมตร เกือบจะหลุดออกจากเขตหวงห้ามภูเขาด้านหลัง ลูกประคําทั้งเส้นดูซีดจางลงอย่างเห็นได้ชัด และหยุดลงอยู่หน้าบรรพชนเก้า

“ผู้ทรงสมณศักดิ์ชนะแล้ว?”

ศิษย์วัดเส้าหลินก็ค่อยๆ มีสติกลับมาเมื่อเห็นฉากนี้ พวกเขาโล่งใจเล็กน้อย การระเบิดพลังของลูกประคํานั้นน่ากลัวเกินไป มันเหมือนกับโลกกลับตาลปัตร

อย่างไรก็ตาม เมื่อดูจากสถานการณ์ภายในสนามต่อสู้แล้ว การโจมตีของบรรพชนเก้าถูกซูฉินสกัดกั้นไว้ได้อย่างสมบูรณ์ และบรรพชนเก้าเองก็คงต้องพ่ายแพ้อย่างหมดรูป ไม่เช่นนั้นเขาจะไม่ถอยห่างออกไปกว่าพันเมตรเช่นนี้แน่

“ท่านผู้ทรงสมณศักดิ์แข็งแกร่งเกินไปแล้ว”

ศิษย์วัดเส้าหลินจํานวนนับไม่ถ้วนมีความยินดีภายในใจ แม้แต่ผู้อาวุโสภายในวัดเส้าหลินก็ยังไม่เคยเห็นซูฉินยามลงมือในหลายๆครั้ง นับประสาอะไรกับศิษย์สาวกที่เข้ามายังวัดเส้าหลินในภายหลังเล่า?

บรรพชนเก้ายืนอยู่ห่างออกไปนับพันเมตร จ้องมองซูฉินที่ดูสง่าผ่าเผย โดยเฉพาะเมื่อเขาสังเกตเห็นลูกประคําที่อยู่เบื้องหน้าตนมีรอยหมัดตื้นๆอยู่รอยหนึ่ง แววแห่งความสยดสยองก็ลอยอยู่ในดวงตาของเขา

นี่คือสมบัติพุทธคุณที่ยอดอรหันต์ได้ทิ้งไว้ หลังจากผ่านมาเป็นหมื่นปีพลังอาจจะลดลงบ้าง ไม่ ได้ทรงพลังเท่ากับยุครุ่งเรือง แต่วัสดุทั้งหมดก็เป็นของระดับยอดอรหันต์แท้ๆ

ซูฉินสามารถทิ้งรอยไว้บนสมบัติพุทธคุณและสร้างความเสียหายให้ตัวของสมบัติพุทธคุณได้ แม้ความแข็งแกร่งจะไม่ใช่เซียนเทพปฐพี แต่เกรงว่าคงจะไม่ห่างไกลมากนัก บางทีเขาอาจจะเปลี่ยนพลังเป็นจิตวิญญาณแรกกําเนิดได้และพร้อมทะลวงขอบเขตเซียนเทพปฐพี่แล้วก็เป็นได้

บรรพชนเก้าทั้งกลัวและกระวนกระวายใจ

แม้ว่าเขาจะมีไพ่ในมืออยู่อีก แต่ก็ไม่ต่างจากลูกประคํานี้มากนัก ซูฉินสามารถจัดการลูกประคําได้ด้วยหมัดเดียว สําหรับวิธีการอื่นๆ ก็คงสามารถจัดการได้เพียงแค่ยกมือขึ้นมาเช่นเดียวกัน

ที่สําคัญกว่านั้น บรรพชนเก้าไม่กล้าที่จะลากถ่วงต่อไป ท้ายที่สุดเขาก็ใกล้ถึงจุดสิ้นสุดของชีวิตแล้ว ถึงแม้ว่าจะสามารถหลับใหลด้วยวิธีลับ แต่ก็เป็นการทําให้เลือดเนื้อและพลังชีวิตลดลง

ในเวลาอันสั้นเขามั่นใจว่าจะสามารถคงสภาพของตนเองไว้ได้ แต่หากผ่านไปนานๆ อันตรายแอบแฝงจากการที่เลือดเนื้อพลังชีวิตลดลงย่อมปรากฏให้เห็นอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง

จนถึงตอนนั้น บางทีเขาอาจจะไม่เหลือเลือดเนื้อพลังชีวิตพอจะกระตุ้นการทํางานของสมบัติพุทธคุณก็เป็นได้ และจะต่อสู้กับซูฉินที่เป็นอรหันต์ผู้เปี่ยมไปด้วยพลังชีวิตและเลือดเนื้ออย่างเต็มภาคภูมิได้อย่างไร?

เมื่อคิดได้ดังนั้น ใจของบรรพชนเก้าก็คิดจะล่าถอยกลับไป

ในฐานะที่เป็นบรรพชนเก้าแห่งวิหารหมื่นพุทธ เขาไม่ได้โง่เขลา ถ้าไม่สามารถสู้ได้ก็แค่ถอย

“ข้าแพ้แล้ว”

บรรพชนเก้าเก็บลูกประคํากลับคืน ประสานมือมาทางซูฉิน เขากระซิบคําออกมาว่า “ความแข็งแกร่งของผู้ทรงสมณศักดิ์นั้นหาได้ยากยิ่งในโลกหล้า”

บรรพชนเก้ายอมรับออกมาโดยตรง

หากเป็นหลายร้อยปีก่อน ก่อนที่เขาจะหลับใหล ด้วยพลังชีวิตและเลือดเนื้อที่แข็งแกร่ง เขาอาจจะลงมือได้อย่างไม่ต้องกลัว บางทีอาจจะโจมตีซูฉินได้หลายครั้งด้วยสมบัติพุทธคุณสองสามชิ้นที่พกมา

แต่ยามนี้

ซูฉินไม่จําเป็นต้องทําอะไรมาก ตราบใดที่เขาลากถ่วงเวลาออกไป หลังจากไม่เกินหนึ่งก้านธูป พลังชีวิตและเลือดเนื้อของบรรพชนเก้าจะหมดลงและพละกําลังของเขาก็จะลดลงเช่นเดียวกัน

“ลูกประคําของเจ้าก็ค่อนข้างแข็งเช่นกัน”

ซูฉินส่ายศีรษะพร้อมออกความเห็น

ร่างกายที่แปรสภาพเกือบหกครั้ง ควบคู่ไปกับหมัดที่หลอมรวมเคล็ดวิชานับพันไม่อาจเจาะทลายลูกประคํานั้นได้ กลับมีเพียงรอยหมัดเล็กๆเท่านั้น มันย่อมแข็งมากพอสมควร

“แข็ง….”

มุมปากของบรรพชนเก้ากระตุกขึ้นวูบหนึ่ง

ในฐานะที่มันเป็นสมบัติพุทธคุณที่สืบทอดมานับหมื่นปีภายในวิหารหมื่นพุทธ ไม่รู้ว่าวิหารหมื่นพุทธใช้มันปราบศัตรูมาแล้วกี่คน ด้วยพลังอันมหาศาลของมันนี้ กลับเหลือเพียงคําว่า “แข็ง” เพียงอย่างเดียวจากปากของซูฉิน?

แต่ก็เท่านั้น

แม้ว่าบรรพชนเก้าจะไม่ได้รู้สึกเห็นด้วย แต่เขารู้ดีว่าซูฉินมีคุณสมบัติที่จะกล่าวเช่นนั้น สามารถทําลายผิวของลูกประคําได้ด้วยหมัดเดียว ความแข็งแกร่งนี้หากอยู่ในอดีตก็เพียงพอจะเกรียงไกรไปได้หลายชั่วอายุคน ยกเว้นเพียงแต่ตัวตนขอบเขตเซียนเทพปฐพี นอกนั้นจะมีใครต้านทานเขาได้?

 

“เมื่อเป็นเช่นนั้น”

“ข้าต้องขอตัวลาไปก่อนแล้ว”

บรรพชนเก้ามองอย่างลึกซึ้งไปยังซูฉิน ร่างของเขาค่อยๆจางลงๆ และหายไป

“นี่?!”

เจ้าอาวาสขุ่ยเหวินและหัวหน้าตําหนักยุทธตื่นตกใจ

บรรพชนเก้ายังคงยืนอยู่ตรงนั้นเมื่อครู่นี้ พูดคุยกับซูฉิน แล้วจู่ๆวินาทีต่อมาเขากลับหายตัว ไปอย่างเงียบๆ ราวกับไม่เคยปรากฏตัวมาก่อน

“เป็นวิธีหลบหนีที่น่าสนใจ”

 

มีเพียงซูฉินเท่านั้นที่มีรอยยิ้มบนใบหน้า

ในสายตาของเจ้าอาวาสขี่ยเหวินและคนอื่นๆ บรรพชนเก้าได้หายวับไปในอากาศ ไม่อาจคาดเดาได้ แต่ในมุมมองของซูฉิน นี่เป็นเพียงการสําแดงเดชด้านความเร็วจนถึงขีดสุดของบรรพชนเก้าเท่านั้น

ชั่วครู่ก่อนหน้านี้ บรรพชนเก้าใช้ทักษะลับบางอย่างในการเคลื่อนย้ายหลบหนีไปทางทิศตะวันตกด้วยความเร็วที่น่าเหลือเชื่อ

และแม้แต่ร่างของบรรพชนเก้าที่เลือนหายไปในตอนสุดท้าย ก็ไม่มีอะไรมากกว่าภาพติดตาที่ถูกทิ้งไว้เบื้องหลังเพราะความเร็วที่สูงอย่างยิ่ง

ซูฉินชําเลืองมองไปทางที่บรรพชนเก้าหลบหนีไปอย่างครุ่นคิด สายศีรษะแล้วกล่าวว่า “อย่างไรก็ตาม เจ้าไม่มีทางหนีพ้น”

ไม่ว่าจะเป็นดวงตาแห่งสัจจะหรือวิชาปราณฉีฟ้ากําหนด ก็สามารถตรวจจับพลังได้ทุกประเภทบนโลก

ตราบใดที่ซูฉินได้เห็นบรรพชนเก้าครั้งหนึ่งแล้ว แม้ว่าอีกฝ่ายจะหนีไปจนสุดขอบโลก เขาก็สามารถจับตําแหน่งเฉพาะได้ในระยะทางไกลแสนไกล

นี่คือเหตุผลที่ฉันยังไม่ได้ไล่ตามไป

เว้นแต่บรรพชนเก้าจะออกจากโลกใบนี้ ซ่อนตัวอยู่ภายในสมบัติพื้นที่มิติที่แยกตัวเป็นอิสระจากโลกนี้อย่างวิหารการสงคราม ไม่เช่นนั้นบรรพชนเก้าจะอยู่ในสายตาของซูฉินตลอด ง่ายดายราวกับพลิกฝ่ามือขึ้นดูเท่านั้น

“ท่านผู้ทรงสมณศักดิ์”

ในเวลานี้ เจ้าอาวาสขี่ยเหวินและหัวหน้าตําหนักต่างก็รวมตัวกันโค้งคารวะมาทางซูฉินด้วยความเคารพ

“ทุกคนลุกขึ้นเถอะ”

ซูฉินโบกมือ และมองไปยังศิษย์วัดเส้าหลินคนอื่นๆ

แม้ว่าซูฉินและบรรพชนเก้าจะทําเพียงแค่ประมือกันเท่านั้น แต่ก็หลอมรวมเคล็ดวิชาไว้มากมาย สําหรับศิษย์วัดเส้าหลินบางคนที่เพิ่งเข้าสู่ระดับชั้นที่เก้าก็นับเป็นหายนะไม่น้อย

โดยเฉพาะอย่างยิ่งยามที่หมัดขวาของซูฉินปะทะเข้ากับสายประคําของบรรพชนเก้า ผลที่ตามมาคือแรงระเบิด ขนาดยอดปรมาจารย์ขั้นสูงสุดที่มีดวงใจพุทธะยังสิ้นสติไปครู่หนึ่ง ศิษย์ธรรมดาคนอื่นๆจะเป็นเยี่ยงไรเล่า?

ศิษย์วัดเส้าหลินในขอบเขตสามระดับกลางและสามระดับบนนั้นปกติดี แต่ใบหน้าของพวกเขาก็ซีดเซียว ดูอ่อนระโหยโรยแรง ต้องพักฟื้นสักครู่ใหญ่ แต่ศิษย์ที่อยู่ในขอบเขตสามระดับล่างนั้นถึงกับหมดสติไป

ถ้าไม่ใส่ใจเรื่องนี้ในภายหลัง ศิษย์ที่อยู่ในขอบเขตสามระดับล่างเหล่านี้จะก่อเกิดอาการธาตุไฟเข้าแทรกขึ้นมาอย่างแน่นอน และเป็นการยากที่จะก้าวหน้าต่อไป บางทีอาจจะทําให้คลุ้มคลั่งได้อีกด้วย

หลังจากที่ซูฉินกวาดตามองไป หัวหน้าตําหนักก็ตอบสนองทันทีและรีบก้าวเข้าไปตรวจสอบศิษย์ที่หมดสติ

หัวหน้าลานโพธิ์นั้นเก่งในเรื่องการปรุงโอสถและมีทักษะทางการแพทย์ ในขณะที่เขาตรวจสอบเหล่าศิษย์วัดเส้าหลินหลายสิบคนที่หมดสติไป คิ้วของเขาก็ยื่นเข้าหากันเล็กน้อย

“เจ้าอาวาส”

หัวหน้าลานโพธิ์เดินไปหาเจ้าอาวาสขี่ยเหวินอย่างรวดเร็ว และพูดด้วยน้ําเสียงที่หนักแน่นว่า “ศิษย์ที่หมดสติไปอยู่ในสภาวะที่แปลกมาก ดูเหมือนว่าจะเกิดอาการธาตุไฟเข้าแทรกเสียแล้ว”

คําที่กล่าวออกมา

ท่าทีของเจ้าอาวาสขี่ยเหวินก็เปลี่ยนไป

เจ้าอาวาสขี่ยเหวินจะไม่เข้าใจความหมายของสิ่งนี้ได้อย่างไร กว่าหลายสิบปีที่แล้ว เพราะกระหายที่จะประสบความสําเร็จอย่างรวดเร็ว เขาเกือบจะสร้างปัญหาเข้าแล้ว หากไม่ใช่ว่าซูฉินได้ยื่นมือเข้าช่วยไว้ได้ทันเวลา เกรงว่าจะไม่มีเจ้าอาวาสขุ่ยเหวินอีกต่อไป

 

เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล [Sign in Buddha’s palm]

 

Sign in Buddha’s palm 259 ลูกประคำ

 

“นั่นคือผู้ทรงสมณศักดิ์แห่งวัดเส้าหลินงั้นหรือ?”

 

บรรพชนเก้าเคร่งขรึมขึ้น กลิ่นอายที่เขาจับได้นั้นเหมือนกับกลิ่นอายที่ออกมาจากดาบไม้เมื่อครู่ เห็นได้ชัดว่าเป็นคนคนเดียวกัน

 

“ช่างเถอะ ข้าก็อยากจะรู้เหมือนกัน ว่าอรหันต์ในแผ่นดินแห่งพลังยุทธ มีความพิเศษอย่างไร?”

 

ดวงตาของบรรพชนเก้ามีความสั่นไหวเล็กน้อย

 

ในฐานะที่เป็นบรรพชนลำดับที่เก้าของวิหารหมื่นพุทธจากดินแดนโพ้นทะเล แม้จะหลับใหลมาตลอด แต่ครั้งหนึ่งเขาก็เคยกำราบทั่วหล้ามาแล้ว ไม่คิดว่าจะพ่ายแพ้ให้กับขอบเขตตำนานยุทธขั้นสูงสุดคนใด

 

“เอ๋?”

 

“ทำไมคนผู้นี้ไม่เคลื่อนไหวต่อแล้ว?”

 

หัวหน้าตำหนักวัดเส้าหลินและเจ้าอาวาสชุ่ยเหวินเห็นบรรพชนเก้ายืนอยู่เงียบๆ พวกเขาก็งุนงงเล็กน้อย

 

ไม่ใช่เรื่องเกินจริงเลยที่จะบอกว่าไอพลังที่บรรพชนเก้าแสดงออกมานั้นช่างน่ากลัว ไม่ว่าจะเป็นค่ายกลฟ้าดินขนาดใหญ่บริเวณภูเขาด้านหลังหรือดาบไม้ขนาดเท่าฝ่ามือที่ห้อยอยู่รอบคอเฉียนอู่ซึ่งผู้ทรงสมณศักดิ์ทิ้งเอาไว้ล้วนถูกปราบปรามอย่างรวดเร็ว ตัวตนไร้พ่ายเช่นนี้ ไม่มีเหตุผลใดเลยที่จะต้องลังเลใจ เหตุใดจึงหยุดลงกะทันหัน

 

ในขณะที่ศิษย์วัดเส้าหลินเต็มไปด้วยความสงสัย เฉียนก็รู้สึกว่าหัวใจสั่นกระตุก รู้สึกได้ถึงบางอย่าง จากนั้นจึงหันมองไปยังทิศทางที่บรรพชนเก้ามอง

 

เขาเป็นเพียงยอดปรมาจารย์ขั้นสูงสุด ดังนั้นจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของเขาไม่มีทางจะครอบคลุมระยะทางหลายร้อยลี้ได้เหมือนบรรพชนเก้า แต่เขาตรวจสอบกลิ่นอายของซูฉินล่วงหน้าได้

 

เฉียนขู่มีดวงใจพุทธะ และการรับสัมผัสต่อสิ่งภายนอกได้อย่างเฉียบคม สามารถคาดเดาได้คร่าวๆ ว่าบรรพชนเก้ากำลังรอคอยใครบางคนอยู่

 

“ใครคนนั้นอาจจะเป็น…”

 

ดวงตาของเฉียนขู่เป็นประกาย

 

ด้วยความแข็งแกร่งในระดับของบรรพชนเก้า ที่ทำให้วัดเส้าหลินตกอยู่ในวิกฤตด้วยการลงมือเพียงครั้งเดียว การที่ทำให้เขารอคอยเช่นนี้ เกรงว่าจะมีแต่ซูฉินเพียงคนเดียวที่ทำได้

 

ตามที่คาดการณ์

 

หลังจากนั้นเพียงครู่หนึ่ง

 

ลมปราณศักดิ์สิทธิ์ที่แผ่แรงกดดันราวกับกรงขังก็แผ่พุ่งมาจากที่ไกลๆ เจ้าอาวาสชุ่ยเหวินและหัวหน้าตำหนักต่างเงยหน้ามองไปทางที่ไอพลังนี้แผ่ขยายออกมา ทันใดนั้นสีหน้าของพวกเขาก็แปรเปลี่ยนไป

 

“นั่นคือ?!”

 

เจ้าอาวาสอุ่ยเหวินรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง

 

“ผู้ทรงสมณศักดิ์ เป็นผู้ทรงสมณศักดิ์”

 

หัวหน้าตำหนักวัดเส้าหลินก็เห็นเช่นเดียวกัน ก่อเกิดกำลังใจขึ้นมาในทันใด

 

ซูฉินเป็นผู้ทรงสมณศักดิ์แห่งวัดเส้าหลิน ถ้าไม่ใช่เพราะซุฉิน วัดเส้าหลินคงถูกทำลายไปโดยทายาทมารพุทธะตั้งแต่หลายสิบปีก่อนแล้ว

 

ในเวลานี้ ก่อนที่บรรพชนเก้าจะปราบปรามวัดเส้าหลินทั้งหมดซูฉินก็เข้ามาเป็นผู้กอบกู้ ความปิติยินดีของเหล่าหัวหน้าตำหนักนั้นไม่สามารถจะจินตนาการได้

 

“ผู้ทรงสมณศักดิ์กลับมาแล้ว!”

 

“วัดเส้าหลินของพวกเรารอดแล้ว!”

 

ท่าทีของศิษย์วัดเส้าหลินหลายคนต่างตะลึง บรรพชนเก้ามีพลังมากก็จริง แต่ในสายตาของศิษย์วัดเหล่านี้ ซูฉินอยู่ยงคงกระพันแท้จริงบนโลกนี้ ต่อหน้าซูฉินแม้แต่บรรพชนเก้าก็ไม่มีหน้ามาสู้ได้

 

“เลือดเนื้อพลังชีวิตแข็งแกร่งมาก”

 

“ควบแน่นอาณาเขตแล้วด้วย”

 

มีแสงเรื่อๆ ส่องสว่างออกมาจากดวงตาของบรรพชนเก้า เมื่อซูฉินเข้ามาใกล้ เขายิ่งรับรู้ข้อมูลมากขึ้นเท่านั้น

 

แน่นอนว่าซูฉินขี้เกียจเกินกว่าจะปกปิด และแสดงความผันผวนของเลือดเนื้อและพลังชีวิตออกมาอย่างเปิดเผย

 

ไม่เช่นนั้น หากซูฉันต้องการปกปิดพลัง นับประสาอะไรกับบรรพชนเก้า แม้จะอยู่ในอาณาเขตของขอบเขตเซียนเทพปฐพี่ถ้าหากไม่ได้สังเกตจริงๆ ก็ไม่มีทางที่พวกเขาจะตรวจพบ

 

“ด้วยพลังชีวิตและเลือดเนื้อระดับนี้ จะต้องมีอายุขัยเหลืออย่างน้อยก็หนึ่งร้อยปี…” บรรพชนเก้าไม่สามารถระบุอายุขัยของซูฉินได้อย่างแม่นยำ แต่จากเลือดเนื้อที่แข็งแกร่งของซูฉิน เขาก็ตระหนักว่าอีกฝ่ายควรจะมีอายุขัยเหลือเยอะพอสมควร

 

เมื่อถึงขอบเขตตำนานขั้นสูงสุดแล้ว แม้จะต้องเผชิญกับขีดจำกัดของอายุขัย ก็ยังคงรักษาสภาพความแข็งแกร่งเอาไว้ได้ จะไม่มีทางที่จะเห็นสภาพเดินเหินไม่ไหวเหมือนคนทั่วไปเด็ดขาด

 

แต่กระนั้นการสลายไปของเลือดเนื้อและพลังชีวิตก็ไม่ใช่สิ่งที่จะหลีกเลี่ยง

 

ยิ่งใกล้ถึงจุดสิ้นสุดของชีวิต ปราณชีวิตและเลือดเนื้อยิ่งสูญสลายเร็วมากขึ้นเท่านั้น และความผันผวนของพลังชีวิตและเลือดเนื้อที่ซูฉันแสดงออกมา อย่างน้อยก็มากกว่าร้อยปีกว่าจะถึงจุดสิ้นสุดของชีวิต

 

บรรพชนเก้าคาดเดาอยู่ในใจ เค้าลางความอิจฉาปรากฏขึ้นอย่างไม่คาดคิด

 

บรรพชนเก่าไม่ทราบว่าอายุขัยที่เหลืออยู่ของซูฉินหาใช่แค่ร้อยปีไม่ แต่มากกว่าเก้าร้อยสี่สิบปี และหากเพิ่มผลของลูกท้อบ้านเข้าไปอีก อายุขัยของซูฉินก็จะเพิ่มขึ้นอีกเป็นหนึ่งพันเก้าร้อยสี่สิบปี

 

หนึ่ง!

 

ซูฉินก้าวเข้ามาปรากฏตัวที่หน้าพื้นที่หวงห้ามภูเขาด้านหลัง

 

นักพรตเฒ่ารู้ว่าด้วยระยะทางหลายหมื่นลี้ แม้แต่ตำนานยุทธขั้นสูงสุดยังต้องใช้เวลาไปกว่าครึ่งก้านธูป

 

แต่ซูฉินไม่ใช่ตำนานยุทธขั้นสูงสุดธรรมดา การเดินทางในระยะหมื่นลี้ใช้เวลาน้อยกว่าครึ่งก้านธูปมากนัก

 

นับตั้งแต่ซูฉินเข้าสู่ระดับนภาชั้นที่เก้า ซูฉินไม่เพียงรักษาฐานของระดับชั้นให้มั่นคงเท่านั้น แต่ยังกลืนโอสถศักดิ์สิทธิ์ธาตุไฟและโอสถวิเศษส่วนใหญ่ที่เขาลงชื่อเข้าใช้ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาลงไป ใช้มันเพื่อบ่มเพาะภาพดวงตะวันขนาดมหึมาจากภาพสิบสองสัตว์ศักดิ์สิทธิ์

 

ในวันนี้ แม้ภาพดวงตะวันขนาดมหึมาของซูฉินจะยังไม่ถึงความสำเร็จระดับเล็ก แต่ก็มาไกลกว่าระดับเริ่มต้นไปมากแล้ว

 

ด้วยภาพดวงตะวันฯ นี้ ซูฉินสามารถใช้ประโยชน์จากความสามารถส่วนหนึ่งของอีกาทองคำสามขา

 

ตัวอย่างเช่นความเร็ว?

 

แม้ว่าอีกาทองคำสามขาจะเป็นที่รู้จักในด้านความแข็งแกร่งในเรื่องเปลวเพลิง มันเพียงพอที่จะแผดเผาท้องฟ้าและผืนปฐพีแต่เปลวเพลิงก็เป็นเพียงวิธีการที่แข็งแกร่งที่สุดของอีกาทองคำสามขาเท่านั้น

 

นอกจากเปลวเพลิงแล้ว ความเร็วของอีกาทองคำสามขายังเร็วมากอีกด้วย

 

ในฐานะของสัตว์ปีก แม้ว่าอีกาทองคำจะไม่รวดเร็วเท่าสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ที่เด่นด้านความเร็ว แต่ความเร็วของมันก็อยู่ไกลเกินกว่าสิ่งมีชีวิตอื่นๆ

 

แม้ซูฉินจะใช้ความช่วยเหลือจากมันเพียงเล็กน้อย แต่ก็เพียงพอที่จะระเบิดพลังของตนเองพุ่งออกไปได้หลายต่อหลายครั้ง และมันเกือบจะเท่ากับที่เซียนเทพปฐพี่ทำได้

 

“ในที่สุดข้าก็ได้กลับมาอีกครั้ง…” ซูฉินไม่สนใจบรรพชนเก้าสายตาของเขากวาดไปทั่วทุกมุมของวัดเส้าหลิน

 

วัดเส้าหลินที่ซูฉินเคยอยู่อาศัยมามากกว่ายี่สิบปี เขานั้นคุ้นเคยกับทุกซอกทุกมุมเป็นอย่างดี

 

“ท่านผู้ทรงสมณศักดิ์”

 

เจ้าอาวาสขี่ยเหวินเดินเข้าไปหาซูฉินด้วยความเคารพ

 

“ท่านผู้ทรงสมณศักดิ์”

 

“น้อมคารวะ ผู้ทรงสมณศักดิ์”

 

“ข้าขอคารวะ ผู้ทรงสมณศักดิ์”

 

ศิษย์วัดเส้าหลินหลายคนจ้องมาไปยังซูฉินด้วยแววตาสดใส คุกเข่าลงคารวะซูฉินกันที่ละคน

 

ฉับพลันซูฉินก็กลายเป็นศูนย์กลาง ศิษย์นับหมื่นของวัดเส้าหลินคุกเข่าลง ผู้คนนับไม่ถ้วนร้องห่มร้องไห้ด้วยความดีใจ หลายคนเป็นผู้อาวุโสที่อยู่มาตั้งแต่ซูฉินเป็นพระภิกษุ พวกเขามีความทรงจำร่วมกับซูฉินเป็นการส่วนตัว ซูฉินช่วยเหลือวัดเส้าหลินจากการถูกทำลายครั้งแล้วครั้งเล่า

 

“ท่านผู้ทรงสมณศักดิ์”

 

เฉียนขู่ก็โค้งตัวลงคารวะซูฉินเช่นกัน

 

ซูฉินไม่ได้กล่าวอะไร แต่ค่อยๆ เพ่งมองไปยังบรรพชนเก้า แล้วพูดด้วยที่ท่าสนใจว่า “เจ้าเป็นบรรพชนคนใดในวิหารหมื่นพุทธ?”

 

“ข้าคือบรรพชนลำดับที่เก้า”

 

ใบหน้าของบรรพชนเก้าแสดงอาการประหลาดใจเล็กน้อย เขาไม่ได้คาดหวังว่าซูฉินจะรู้ตัวตนของเขา

 

จนถึงตอนนี้ บรรพชนเก้าก็ยังไม่ได้ตั้งใจจะล่าถอยไปเลยแม้แต่น้อย

 

แม้ว่าซูฉินจะแข็งแกร่งและเต็มไปด้วยพลังชีวิต แต่ตัวเขาเองก็ไม่ได้แย่ ในฐานะที่เป็นบรรพชนลำดับที่เก้าแห่งวิหารหมื่นพุทธ ไม่เพียงแต่จะฝึกฝนบ่มเพาะวิชาสายพุทธเท่านั้น ยังถือครองสมบัติพุทธคุณจากวิหารหมื่นพุทธอีกหลายชิ้นด้วย

 

สำหรับจอมยุทธ เลือดเนื้อพลังชีวิตเป็นปัจจัยที่สำคัญอย่างแน่นอน ฝ่ายที่มีเลือดเนื้อพลังชีวิตเข้มข้นกว่าย่อมได้เปรียบ ในทางตรงกันข้าม ฝ่ายที่มีเลือดเนื้อพลังชีวิตเสื่อมถอยจะกังวลมาก เพราะกลัวว่าเลือดเนื้อและพลังชีวิตตนจะหมดสิ้นเสียก่อนและตกตายลงที่จุดนั้น

 

แต่นอกเหนือจากปราณชีวิตและเลือดเนื้อแล้ว ยังมีปัจจัยอื่นๆ อีกมากมายที่ส่งผลต่อผลลัพธ์ของการต่อสู้ เช่น เคล็ดวิชาที่ฝึกฝนความแข็งแกร่งของอาวุธวิเศษ

 

โดยเฉพาะอย่างหลัง อาวุธวิเศษที่ทรงพลังสามารถเพิ่มความสามารถในการต่อสู้ได้หลายระดับอย่างแน่นอน

 

“เพราะเจ้าไม่ได้ทำร้ายใครในวัดเส้าหลิน ข้าจะให้โอกาสเจ้าลงมือก่อน”

 

การแสดงออกของซูฉินไม่มีทั้งสุข ไม่มีทั้งเศร้า กล่าวออกอย่างใจเย็น

 

“ยอมให้ข้าชนะแล้ว”

 

เมื่อบรรพชนเก้าได้ยินสิ่งนี้ ก็ไม่คิดจะอ่อนน้อมถ่อมตนอีกต่อไปสำหรับจอมยุทธทุกสิ่งแก้ไขได้ด้วยการต่อสู้ เนื่องจากซูฉินต้องการให้เขาลงมือก่อน บรรพชนเก้าจึงไม่ลังเลใจ

 

ครืน!!

 

บรรพชนเก้าใช้เคล็ดวิชาของตนอย่างสุดกำลัง และรัศมีพลังที่น่าสะพรึงกลัวก็ได้ปกคลุมไปทั่ววัดเส้าหลินอย่างรวดเร็ว มันแพร่กระจายไปทุกทิศทาง

 

ต่อหน้าอรหันต์ที่เต็มเปี่ยมไปด้วยปราณชีวิตและเลือดเนื้ออย่างซูฉิน แม้ว่าบรรพชนเก้าจะมีสมบัติพุทธคุณอยู่ถึงสองสามชิ้นที่นำติดตัวมาจากวิหารหมื่นพุทธ แต่เขาก็ไม่กล้านำของชิ้นใหญ่เกินไปมาดังนั้นจึงต้องพยายามอย่างเต็มที่ในคราแรก

 

ด้านหลังของบรรพชนเก้ามีเสียงดังหนักแน่นดั่งฟันเฟืองเครื่องจักร มีพระพุทธรูปขนาดสิบจ้าง ดวงตาโกรธเคืองปรากฏขึ้นจากอากาศ

 

พระพิโรธองค์นี้มีรัศมีที่ด้อยกว่าองค์ยูไลทองคำที่มือหนึ่งชี้ขึ้นฟ้าอีกมือลงพื้นพสุธาของซูฉิน แต่ตอนนี้บรรพชนเก้าก็พยายามอย่างเต็มที่ที่สุดแล้ว มันก็นับว่ามีพลังอำนาจเกินกว่าตำนานยุทธขั้นสูงสุดอย่างบรรพบุรุษชีหยวน

 

“เป็นไปได้ไหมว่าบุคคลผู้นี้คือองค์ยูไล?”

 

เจ้าอาวาสชุ่ยเหวินและคนอื่นๆ ที่เห็นฉากนี้ต่างตื่นตกใจ

 

ในเวลานี้หลังจากที่ได้สัมผัสพลังที่แท้จริงของบรรพชนเก้า พวกเขาก็ตระหนักว่าบรรพชนเก้าได้ออมมือไว้แล้ว ไม่เช่นนั้นหากแสดงความสามารถที่แท้จริง วัดเส้าหลินคงพินาศไปเสียนานแล้ว จะรอดปลอดภัยจนถึงตอนที่ซูฉินมาได้อย่างไร?

 

“วิหารหมื่นพุทธ?”

 

“บรรพชนลำดับที่เก้า?”

 

เจ้าอาวาสอุ่ยเหวินกลืนน้ำลาย

 

พวกเขาได้ยินการสนทนาระหว่างซูฉินและบรรพชนเก้าก่อนหน้านี้

 

จากการเสวนาเพียงไม่กี่ครั้งเมื่อครู่ ไม่ยากเลยที่จะเข้าใจว่าบรรพชนเก้านั้นมาจากขุมอำนาจที่เรียกว่าวิหารหมื่นพุทธ และในขุมอำนาจนี้บรรพชนเก้าเพียงอยู่ในลำดับที่เก้าเท่านั้น

 

ขนาดบรรพชนลำดับที่เก้ายังมีพลังที่น่ากลัวเช่นนี้ แล้วบรรพชนลำดับที่ห้าลำดับที่หกเล่า?

 

เจ้าอาวาสชุ่ยเหวินไม่สามารถจินตนาการได้

 

เพียงเท่านั้น

 

ขณะที่ทุกคนกำลังคิดว่าสงครามใหญ่กำลังจะเริ่มต้นขึ้น

 

ซูฉินที่ยืนอยู่เงียบๆ ก็ส่ายหัวเล็กน้อยแล้วกล่าวว่า “ไม่เพียงพอ”

 

“อาศัยเพียงแค่เท่านั้นยังไม่เพียงพอ”

 

คำที่กล่าวออกมา

 

ใบหน้าของบรรพชนเก้าก็บิดเบี้ยวน่าเกลียดขึ้นเล็กน้อย

 

ในตอนนี้เขาได้รวบรวมพลังอย่างเต็มที่ด้วยเคล็ดวิชาที่มี ยกเว้นก็แต่สมบัติพุทธคุณสองสามชิ้น เขาแทบจะเรียกได้ว่าลงมือเต็มที่ที่สุดแล้ว แต่คำพูดจากปากซูฉินกลับบอกว่ามันยังไม่เพียงพอ

 

บรรพชนเก้าสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ยกมือขวาขึ้นเห็นสายลูกประคำปรากฏออกมา

 

สายลูกประคำเส้นนี้มีสีออกจางๆ และดูทรุดโทรมมาก แต่เมื่อมันโผล่ออกมากลับเผยกลิ่นอายที่โอบล้อมทุกผู้ทุกคนให้ต้องใจสั่น

 

“สายลูกประคำเส้นนี้ ยอดอรหันต์เป็นผู้ทิ้งเอาไว้ เป็นหนึ่งในสมบัติของวิหารหมื่นพุทธของข้า มันแข็งแกร่งพอที่จะทำให้เซียนเทพปฐพี่ต้องมีสั่นสะเทือนกันบ้างไม่มากก็น้อย”

 

บรรพชนเก้ามองลูกประคำในมือ ร่องรอยความน่าเกรงขามแฝงอยู่ในน้ำเสียงของเขา

 

ที่เขากล่าวมาคือเรื่องจริง ลูกประคำสายนี้เป็นสมบัติที่ยอดอรหันต์ได้ทิ้งเอาไว้ แต่หากต้องการจะใช้ลูกประคำนี้ในการสร้างความสั่นสะเทือนให้แก่เซียนเทพปฐพี ก่อนอื่นตัวผู้ใช้จะต้องแข็งแกร่งเพียงพอ

 

แม้ว่าบรรพชนเก้าจะเป็นอรหันต์ขั้นสูงสุด แต่ก็ยังห่างไกลจากขอบเขตยอดอรหันต์ และห่างไกลจากความสามารถในการใช้ลูกประคำได้อย่างเต็มที่

 

แม้บรรพชนเก้าจะไม่สามารถสร้างความสั่นสะเทือนให้แก่เซียนเทพปฐพี่ได้ แต่ก็ไม่มีปัญหาในการจัดการกับตำนานยุทธขั้นสูงสุดธรรมดาๆ

 

เมื่อลูกประคำโผล่ออกมา ท้องฟ้าและผืนดินก็เหมือนจะถูกแช่แข็ง ลูกประคำหมุนวนไปเรื่อยๆ ในท้ายที่สุดมันก็พุ่งลงเข้าหาซูฉิน

 

ลูกประคำขนาดใหญ่กดทับอากาศเบื้องล่าง ค่อยๆ กดลงไปยังซูฉิน ด้วยพลังอันรุนแรงนี้ แม้ว่าบรรพบุรุษซีหยวนจะมาอยู่ที่นี่ เขาก็ต้องหันหน้าหนี หมุนตัวจากไปแน่นอน ไม่คิดเข้าขวางทางลูกประลัก

 

เจ้าอาวาสอุ่ยเหวินและคนอื่นๆ ในวัดเส้าหลินต่างมือเท้าชาเมื่อได้เห็นลูกประคำเส้นนี้

 

แม้ว่าพวกเขาจะมั่นใจในตัวซูฉิน แต่ลูกประคำนั้นน่ากลัวเกินไปแม้ว่าจะมองดูจากระยะไกลเพียงไม่นาน จิตใจของพวกเขาก็ถูกครอบงำด้วยอำนาจของลูกประคำแล้ว แล้วซูฉินที่ต้องเผชิญหน้ากับพลังทั้งหมดของลูกประคำเล่า?

 

ท่ามกลางสายตาที่ตื่นกลัวของทุกคน

 

ซูฉินก้าวเท้าเดินช้าๆ ยกมือขึ้นอย่างเบาสบาย หดนิ้วเข้าหากันจนเป็นกำปั้น แล้วโจมตีไปทางลูกประคำ

 

ช่วงเวลาต่อมา

 

หมัดนี้ก็ปะทะเข้ากับลูกประคำ

 

ทันใดนั้นลูกประคำก็สั่นไหว และแรงกดดันที่กดทับลงมาก็หยุดลงอย่างกะทันหัน

 

“นี่คือ?”

 

บรรพชนเก้าซึ่งแต่เดิมมีความมั่นใจอยู่เต็มเปี่ยม บัดนี้สีหน้าของเขาเปลี่ยนแปลงไปทันที มองไปที่ซูฉินอย่างเหลือเชื่อ

 

เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล [Sign in Buddha’s palm]

Sign in Buddha’s palm 258 (II) รีบไป

ดาบไม้ด้ามน้อยลอยคว้างอยู่กลางอากาศ หลุดออกจากการครอบครองของเฉียนขู่ไป เจตจํานงแห่งดาบสั่นสะเทือนออกมาเบาๆ

เฉียนขู่กะพริบตา ไม่สามารถตอบสนองไปได้ระยะหนึ่ง

 

ในสายตาของเขา ดาบไม้ด้ามนี้จะถูกกระตุ้นก็ต่อเมื่อเขาตกอยู่ในอันตรายที่ถึงแก่ชีวิตเท่านั้นมิใช่หรือ? ทําไมจู่ๆ มันถึงมีปฏิกิริยาในตอนนี้ได้?

“เป็นผู้ทรงสมณศักดิ์เ”

เฉียนข่นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้

ในตอนที่แยกทางจากซูฉินหลังจากออกจากเขาคุนหลุน ซูฉินเคยขอดาบไม้กลับไป แต่จากนั้นไม่นานก็ส่งมันกลับคืนมา

ในเวลานี้ เกิดปรากฏการณ์ดังกล่าวกับดาบไม้ อาจจะเป็นฝีมือของซูฉิน

นอกเหนือจากเฉียนขู่ เจ้าอาวาสอุ่ยเหวินและหัวหน้าตําหนักคนอื่นๆ ต่างก็ตื่นเต้นและเต็มไปด้วยความคาดหวังหวิ่ง!

ดาบไม้ลอยอยู่บนอากาศ เจตจํานงดาบอันน่าสะพรึงกลัวพลันก่อตัวขึ้น

บรรพชนเก้าที่กําลังจะทะลวงผ่านค่ายกลฟ้าดินขนาดใหญ่ก็หยุดลงกะทันหัน

 

บรรพชนเก้าค่อยๆ หันหน้าของเขากลับมามองดาบไม้ที่ลอยอยู่บนอากาศร่องรอยความประหลาดใจปรากฏบนใบหน้าของเขา

“เจตจํานงดาบเล่มนี้?”

 

“เป็นวิถีแห่งพรรคหมื่นดาบสั้นหรือ?”

บรรพชนเก้าขมวดคิ้วเล็กน้อย

บรรดานิกายใหญ่มากมายในต่างแดน มีเพียงพรรคหมื่นดาบเท่านั้นที่เชี่ยวชาญในวิถีแห่งดาบ ในขณะที่บรรพชนเก้าเห็นเจตจํานง แห่งดาบที่แหลมคมนี้ความคิดแรกจึงคิดว่าผู้คนจากพรรคหมื่น

ดาบเข้ามาแทรกแซง

“ไม่ถูกต้อง”

 

“ไม่ใช่พรรคหมื่นดาบ”

ความแหลมคมของ

“วิถีดาบของพรรคหมื่นดาบ ยังห่างไกลจากความแหลมคมของดาบเล่มนี้!”

 

สีหน้าของบรรพชนเก้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย นี่เป็นครั้งแรกที่สีหน้าของเขาเปลี่ยนแปลงไปหลังจากเข้ามาที่วัดเส้าหลิน

“น่าจะเป็นอรหันต์จากวัดเส้าหลิน เป็นอรหันต์ขั้นสูงสุดจริงๆงั้นหรือนี่?”

บรรพชนเก้าไม่ค่อยอยากจะเชื่อ

ด้วยสายตาของบรรพชนเก้า ย่อมเห็นได้เป็นธรรมดาว่าตัวตนของดาบไม้นี้ควรจะเป็นของคนที่อยู่ในระดับเดียวกับตัวเขาเอง

กล่าวอีกนัยหนึ่ง ความแข็งแกร่งของผู้ทรงสมณศักดิ์จากวัดเส้าหลินได้บรรลุถึงขอบเขตอรหันต์ขั้นสูงสุดแล้ว

 

แต่สิ่งนี้มันเป็นไปได้อย่างไร?

แม้ว่าแผ่นดินแห่งพลังยุทธอันยิ่งใหญ่จะฟื้นคืนกระแสปราณฉีกลับมาแต่หลังจากที่กระแสปราณฉีฟื้นคืนอย่างแท้จริงในระดับหนึ่งแล้วเท่านั้นถึงจะเปิดเผยสิ่งพิเศษทั้งหมดขึ้นมาได้

แต่ตอนนี้?

 

เป็นเวลาเพียงยี่สิบปีที่กระแสปราณฉีฟื้นคืน กลับมีตํานานยุทธขั้นสูงสุดถึงสองคน ซึ่งเป็นเรื่องที่คาดไม่ถึง

เมื่อบรรพชนเก้ากําลังคิดถึงเรื่องนี้อยู่

ดาบไม้ด้ามน้อยนั้น เมื่อก่อร่างเจตจํานงดาบขึ้นมามากพอแล้วปลายดาบก็ยกขึ้น แล้วค่อยๆ ฟันลงมา

 

ในเวลาเดียวกัน

ที่ตําแหน่งดาบจับ ก็มีมือขวาที่เป็นเงาลวงตาปรากฏขึ้นเงียบๆ

มือขวาที่เป็นเงาลวงตายังคงแผ่ขยายต่อไป ก่อตัวเป็นร่างเพรียวบางมีลักษณะพร่ามัว

เห็นร่างผอมเพรียวถือดาบไม้อยู่ในมือ ราวกับถือดาบศักดิ์สิทธิ์อันไร้เปรียบ ฟาดฟันไปทางบรรพชนเก้า

 

“ฮีม!”

เมื่อเห็นฉากนี้ บรรพชนเก้าก็พ่นลมหายใจออกมาอย่างเย็นชาอาณาเขตค่อยๆ แผ่ขยายออกมาในรัศมีร้อยจ้าง

แกรัก!

และในขณะนั้น

ดาบไม้ที่ลอยอยู่กลางอากาศก็ดูเหมือนจะสูญเสียพลังงานไปทั้งหมด แตกร้าวเป็นเสี่ยงๆ กระจายหายไปในอากาศ

 

เหล่าผู้ชมต่างนิ่งงัน

ศิษย์สาวกของวัดเส้าหลินต่างหน้าซีด

 

ทุกคนรวมถึงเจ้าอาวาสชุ่ยเหวินดูสิ้นหวัง

 

แม้แต่ดาบไม้ที่ท่านผู้ทรงสมณศักดิ์ทิ้งไว้ยังแตกเป็นเสี่ยงๆจะมีใครหยุดบรรพชนเก้าได้อีกเล่า?

 

“ถ้าเจ้าของของมันมาที่นี่ด้วยตัวเอง ก็คงจะทําให้ข้าหวาดกลัวได้นิดหน่อย แต่กับอีแค่ดาบไม้ด้ามหนึ่ง…”

 

บรรพชนเก้าส่ายหัวเล็กน้อย มองไปยังร่างพร่ามัวที่ก่อตัวขึ้นมาจากดาบไม้

ดาบไม้นั่นเป็นสิ่งที่ใช้พิฆาตตัวตนระดับตํานานยุทธคนอื่นๆได้แม้แต่ตํานานยุทธระดับนภาชั้นที่หกยังอาจจะถูกเฉือนตัดออกด้วยดาบไม้ด้ามนั้น

แต่ถ้าหากต้องการจะใช้ดาบไม้ด้ามนั้นกับบรรพชนเก้ามันเป็นไปไม่ได้

“ใช่หรือ?”

 

ร่างที่พร่ามัวนี้สร้างเสียงที่อยู่ในระดับจิตวิญญาณส่งตรงออกไปมันดังก้องอยู่ภายในหูของบรรพชนเก้าก่อนจะหายตัวไปอย่าง

รวดเร็ว

“หม?”

บรรพชนเก้าขมวดคิ้วมุ่น

 

อย่างไรก็ตาม ก่อนที่บรรพชนเก้าจะทําความเข้าใจได้ สีหน้าของเขาก็ต้องเปลี่ยนไปอีกครั้ง

บรรพชนเก้าเงยหน้าขึ้นในทันทีและมองไปยังทิศทางหนึ่ง ประสาทสัมผัสของเขารับรู้ได้ถึงกลิ่นอายอันน่าสะพรึงกลัวได้ มันกําลังตัดผ่านความว่างเปล่าเข้ามาจากระยะทางหลายร้อยลี้และพุ่งเข้ามาทางวัดเส้าหลินด้วยความเร็วที่น่าหวาดกลัว

 

เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล [Sign in Buddha’s palm]

Sign in Buddha’s palm 258 (1)

Sign in Buddha’s palm 258 (1) รีบไป

“มีขอบเขตตํานานยุทธเข้าไปสัมผัสค่ายกลฟ้าดินขนาดใหญ่ภาย ในพื้นที่หวงห้ามภูเขาด้านหลังงั้นหรือ?”

ดวงตาของซูฉินกลายเป็นลึกซึ้ง เขาเบิกเนตรดวงตาแห่งสัจจะผนวกรวมกับวิชาปราณฉีฟ้ากําหนดในพริบตา รังสีพลังนี่นับพันถูกเปิดเผยต่อหน้าเขา

แม้ว่าซูฉินจะออกจากวัดเส้าหลินมากว่าสามสิบปีแล้ว แต่ค่ายกลฟ้าดินที่ปกคลุมเขตหวงห้ามภูเขาด้านหลังก็ยังคงเปิดใช้งานอยู่ตลอด ค่ายกลฟ้าดินขนาดใหญ่นี้จัดตั้งด้วยมือของเขาเอง แม้จะอยู่ในพื้นที่ที่ห่างไกล แต่ก็รับข้อมูลถึงกันได้

“เป็นพลังฉีของตํานานยุทธขั้นสูงสุด?”

ซูฉินขมวดคิ้วเล็กน้อย มองผ่านดวงตาแห่งสัจจะไปยังวัดเส้าหลินเป็นระยะทางนับหมื่นลี้ เขาเห็นพลังฉีที่พวยพุ่งไปถึงท้องฟ้ากินพื้นที่นับร้อย

สําหรับซูฉิน พลังปราณฉีของสิ่งมีชีวิตมีอยู่มากมาย ตราบใดที่มันเป็นสิ่งมีชีวิตย่อมมีปราณฉี ซึ่งทุกสิ่งนั้นสามารถมองเห็นได้ด้วยดวงตาแห่งสัจจะ แต่ปราณฉีของตํานานยุทธมันยังด้อยกว่านี้มาก เขาอาจจะรับรู้มันได้จางๆ เมื่อพวกนั้นเดินทางมายังแผ่นดินใหญ่ บางครั้งพลังฉีของตํานานยุทธก็หายไปในพริบตาเลยก็มี

ส่วนตํานานยุทธขั้นสูงสุด มันมีเอกลักษณ์มาก ปราณฉีของตํานานยุทธขั้นสูงสุดในวัดเส้าหลินนั้นเจิดจ้าราวกับดวงอาทิตย์

“ตํานานยุทธขั้นสูงสุดจะไปวัดเส้าหลินเพื่อการใด?”

 

ซูฉินขมวดคิ้วเล็กน้อยดวงตาแห่งสัจจะสามารถสังเกตได้เพียง พลังเท่านั้น ไม่สามารถมองเห็นทุกสิ่งได้

“หืม?”

 

ขณะที่ซูฉินกําลังจะไปที่วัดเส้าหลิน ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกได้ถึงบางอย่าง เงยหน้าขึ้นมองไปยังวังหลวง ก้าวขาหนึ่งก้าว หายตัวไปจากพระราชวังสูงตระหง่าน

พระราชวังตะวันออก

 

ร่างของซูฉินโผล่ขึ้นเงียบๆ นอกตําหนักขุนฝั่งขวา

มองเห็นจักรพรรดิถังเดินมาด้วยความกังวลใจ

 

“พี่สาม”

 

“เกิดเรื่องใหญ่ที่ไม่ค่อยสู้ดีขึ้นแล้ว” เมื่อจักรพรรดิถังเห็นซูฉินปรากฏกายขึ้นมา เขาก็เดินตรงเข้าไปหาทันทีและกล่าวคําออกมาไม่มีอ้อมค้อม “มีคนจากวิหารหมื่นพุทธไปยังวัดเส้าหลินแล้วตอนนี้”

“วิหารหมื่นพุทธ?”

 

“วัดเส้าหลิน?”

 

ซูฉินหรี่ตาลงเล็กน้อย

เขายังสงสัยอยู่เลยว่าตํานานยุทธขั้นสูงสุดคนใดที่ไปยังวัดเส้าหลิน และจักรพรรดิถังก็ได้มาแจ้งให้เขารู้ว่านั่นคือคนจากวิหารหมื่นพุทธ

 

“ข้าเข้าใจแล้ว”

ซูฉินกล่าวคําเบาๆ

 

ในความเป็นจริง แม้ว่าจักรพรรดิถังจะไม่ได้นําความมาบอก ซูฉินก็พอจะเดาได้ว่าควรจะเป็นบรรพชนนิกายใหญ่ในต่างแดนสักแห่ง เพราะไม่ได้มีตํานานยุทธในทวีปนี้ นับประสาอะไรกับตํานานยุทธขั้นสูงสุด

 

มีเพียงยุทธภพต่างแดนที่สืบทอดมรดกมาจากช่วงสุดท้ายของยุคกระแสปราณฉีเฟื่องฟูเท่านั้นที่จะมีตํานานยุทธขั้นสูงสุดเหลือรอดมาจนถึงทุกวันนี้

“ผู้อาวุโส”

 

“ต้องการให้ข้าดําเนินการเรื่องนี้หรือไม่?”

 

นักพรตเฒ่าสํานักเอกะวิถีที่อยู่ด้านข้างกล่าวออกมาอย่างระมัดระวัง

นักพรตเฒ่าไม่ทราบความสัมพันธ์ระหว่างซูฉินกับวัดเส้าหลิน แต่เนื่องจากจักรพรรดิถังกังวลใจถึงขนาดรีบมาแจ้งซูฉินทันที นักพรตเฒ่าจึงต้องการจะอาสารับใช้ซูฉิน

 

“ไม่เป็นไร”

ซฉินสายศีรษะเล็กน้อย “ผู้ที่ไปยังวัดเส้าหลินเป็นตํานานยุทธขั้นสูงสุด เจ้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา”

นักพรตเฒ่าเป็นผู้อาวุโสในสํานักเอกะวิถี แต่ความแข็งแกร่งของเขาอยู่เพียงระดับนภาชั้นที่สี่ อาจจะไม่มีปัญหาในการจัดการเรื่องทั่วๆไป แต่หากต้องไปพบกับตํานานยุทธขั้นสูงสุด…”

 

“ตํานานยุทธขั้นสูงสุด…” นักพรตเฒ่าตกตะลึง

 

ประกายความคิดวาบผ่านสมอง นักพรตเฒ่าหน้าซีดทันที อดไม่ได้ที่จะกล่าวขึ้นว่า “บรรพชนลําดับที่เก้าของวิหารหมื่นพุทธตื่นขึ้น แล้วหรือ?”

“บรรพชนลําดับที่เก้า?” จักรพรรดิถังผงะไปชั่วขณะหนึ่ง

นักพรตเฒ่าระงับความตกใจ แล้วเล่าเรื่องราวของบรรพชนทั้งเก้าออกไป

สีหน้าของจักรพรรดิถังก็เปลี่ยนไปเมื่อได้ยินเรื่องนี้

 

หากเป็นอรหันต์ธรรมดา แน่นอน จักรพรรดิถังย่อมเชื่อว่าซูฉินจะสามารถปราบปรามได้อย่างง่ายดาย แต่บรรพชนเก้าจากวิหารหมื่นพุทธ แม้จะอ่อนแอที่สุดแต่ก็แข็งแกร่งกว่าบรรพบุรุษชีหยวน

“ผู้อาวุโส ถ้าบรรพชนลําดับที่เก้าของวิหารหมื่นพุทธเคลื่อนไหวจริงๆ วัดเส้าหลินคงตกอยู่ในอันตรายแล้ว” ใบหน้าของนักพรตเฒ่าเปลี่ยนเป็นหนักอึ้ง

เมืองฉางอันไปยังวัดเส้าหลินแม้ไม่ห่างไกลเท่าไปยังเทือกเขาคุนหลุน แต่ก็มีระยะทางเกือบหมื่นลี้ทีเดียว

แม้ซูฉินจะเป็นถึงตํานานยุทธขั้นสูงสุด หากเป็นระยะทางดังกล่าวก็ยังต้องเสียเวลาไปสักครึ่งก้านธูปน้อยๆ

และหากบรรพชนเก้าแห่งวิหารหมื่นพุทธคิดจะลงมือ มีเจตนาร้ายจริงๆ เวลาเพียงครึ่งก้านธูปก็เพียงพอจะบดขยี้วัดเส้าหลินได้เป็นร้อยๆครั้ง

 

เมื่อถึงตอนนั้น แม้ว่าซูฉินจะไปถึงมันก็สายเกินไปแล้ว

“สบายใจได้”

 

ซูฉินส่ายหัวโดยไม่ได้กล่าวบอกอะไรมาก

เหตุผลที่ซูฉินไม่รีบเร่งไปยังวัดเส้าหลินในทันทีเพราะเขาคอยสังเกตอยู่เรื่อยๆ ว่ามีตํานานยุทธขั้นสูงสุดคนอื่นๆดักซุ่มเตรียมโจมตี อยู่ใกล้วัดเส้าหลินหรือไม่ผ่านดวงตาแห่งสัจจะ

ตามที่นักพรตเฒ่าบอกว่ามีอรหันต์ถึงเก้ารูปที่หลับใหลอยู่ในวิหารหมื่นพุทธ

 

จะเกิดอะไรขึ้นถ้าบรรพชนทั้งเก้านิ้วางกับดักเพื่อล่อซูฉินออกไป?

แม้ว่าซูฉินจะก้าวเข้าสู่นภาชั้นที่เก้าแล้ว แต่ก็ยังไม่ได้ไปถึงขอบ เขตเซียนเทพปฐพีไม่เช่นนั้นคงจะดําเนินการสิ่งต่างๆได้โดยไม่ต้อ งกลัว

อย่างไรก็ตาม วิหารหมื่นพุทธเป็นพุทธศาสนสถานที่สืบทอดมาจากช่วงสุดท้ายของยุคกระแสปราณฉีเฟื่องฟูเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน ไม่อาจหยั่งรู้ตื้นลึกหนาบางได้ ดังนั้นซูฉินต้องระวังตนโดยธรรมชา

 

หลังจากนั้นไม่นาน

ซูฉินดูเหมือนจะแน่ใจอะไรบางอย่างแล้ว เขาเหลือบมองไปที่จักรพรรดิถังและนักพรตเฒ่า จากนั้นจึงพูดออกมาเบาๆว่า “ข้าจะออกไปสักระยะหนึ่ง อาจจะครึ่งวันหรืออาจจะหลายวันจึงจะกลับมา”

 

เสียงเพิ่งจะพูดจบ

 

ร่างของซูฉินก็หายวับไปต่อหน้าต่อตาจักรพรรดิถังและนักพรตเฒ่า

 

“พี่สาม พี่สามเขาไปที่วัดเส้าหลินอย่างนั้นหรือ?” จักรพรรดิถัง อดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม

 

“เกรงว่าจักเป็นเช่นนั้น” นักพรตเฒ่ากล่าวออกโดยยังคงรักษาใบหน้าที่เคร่งขรึมเอาไว้

แม้ว่าซูฉินจะสามารถสังหารบรรพบุรุษชีหยวนจากนิกายเฮยหยวนได้ แต่บรรพชนเก้าจากวิหารหมื่นพุทธนั้นไม่สามารถนําไปเทียบกับบรรพบุรุษชีหยวน

“หวังว่าวิหารหมื่นพุทธจะไม่ฉีกเนื้อเฉือนหนังของตนออกมาจนหมด” นักพรตเฒ่าถอนหายใจครุ่นคิดอยู่ในใจเงียบๆ

วัดเส้าหลิน

ด้านหน้าพื้นหวงห้ามภูเขาด้านหลัง

เมฆหมอกอันไร้ที่สิ้นสุดรวมตัวกันเป็นมังกรหมอกยืดยาวนับไม่ถ้วน หมุนวนรอบบรรพชนเก้า แรงกดดันอันน่าสยดสยองปกคลุมไปทั่ว

 

ภายใต้แรงกดดันนี้ ตํานานยุทธธรรมดานั้นอย่าว่าแต่บุกเข้าไป ต้องถามว่าจะล่าถอยกลับไปได้อย่างครบสามสิบสองหรือไม่

แต่บรรพชนเก้านั้นไม่ใช่ตํานานยุทธธรรมดา

 

เขาเป็นบรรพชนเก้าของวิหารหมื่นพุทธ และเป็นอรหันต์ที่ควบแน่นอาณาเขตได้แล้ว เกรียงไกรในโลกยุทธภพต่างแดน

ด้วยความแข็งแกร่งของบรรพชนเก้า ค่ายกลฟ้าดินขนาดใหญ่ตรงหน้าจะทําให้เขาชะงักงันได้อย่างไร?

“เปิดทาง!”

 

ใบหน้าของบรรพชนเก้าดูสงบนิ่ง ก้าวเท้าต่อไปด้านหน้า

ทันใดนั้น เมื่อบรรพชนเก้าได้ก้าวเท้าออกไป พื้นที่หวงห้ามภูเขาด้านหลังทั้งหมดก็แผดเสียงคําราม มีเสียงฉีกขาดออกมาจากภูเขาทั้งห้าที่ล้อมรอบอยู่ราวกับพวกมันไม่อาจทานทนกับแรงกดดันอันมหาศาลได้ไหว

“ไม่ดีแล้ว!”

ท่าทีของเจ้าอาวาสขี่ยเหวินเปลี่ยนไปอย่างมาก

 

ค่ายกลฟ้าดินขนาดใหญ่ที่แต่เดิมมีพลังบดขยี้ทุกสิ่ง เมื่ออยู่ต่อหน้าบรรพชนเก้ากลับบอบบางราวกระดาษ พังทลายลงอย่างง่ายดาย

 

ไม่ว่าเจ้าอาวาสอุ่ยเหวินจะมีความรู้สึกช้าเพียงใด ก็ยังเห็นได้ชัดว่าค่ายกลฟ้าดินกําลังจะแตกสลาย

“เจ้าอาวาส เราควรทําอย่างไรดี?” เฉียนขู่ที่อยู่ด้านข้างดูกังวล

ไม่นานหลังจากกลับจากเขาคุนหลุน เฉียนขู่ก็ได้เข้าสู่ระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสูงสุด

 

อย่างไรก็ตาม ในเวลานี้เมื่อเผชิญหน้ากับบรรพชนเก้าที่สามารถทะลวงผ่านค่ายกลฟ้าดินขนาดใหญ่ได้อย่างง่ายดาย สิ่งที่เรียกว่ายอดปรมาจารย์ขั้นสูงสุดกลับเป็นเพียงเรื่องตลก

 

ในสายตาของเฉียนข่ ทุกอิริยาบถของบรรพชนเก้าล้วนสอดประสานไปกับพลังฟ้าดินซึ่งเป็นสิ่งที่น่ากลัวอย่างยิ่ง

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าเขาจะรู้ว่าตนเองห่างชั้นกับคู่ต่อสู้อย่างบรรพชนเก้าเพียงใด แต่เฉียนขู่ก็ไม่ได้มีความตั้งใจจะถอยหนี

 

พื้นที่หวงห้ามภูเขาด้านหลังไม่ใช่เพียงสถานที่สําคัญของวัดเส้าหลิน แต่ยังเป็นที่บิดด่านฝึกตนของซูฉินจะเป็นไปได้อย่างไรที่จะให้คนนอกบุกรุกเข้ามา?

เมื่อเฉียนขู่พร้อมที่จะป้องกันไม่ให้บรรพชนเก้าทําลายค่ายกลต่อ

 

ดาบไม้ที่คอของเขาก็เปล่งแสงออกมา ไอพลังพรั่งพรูแผ่กระจาย

 

ดาบไม้ด้ามน้อยลอยคว้างอยู่กลางอากาศ หลุดออกจากการครอบครองของเฉียนไป เจตจํานงแห่งดาบสั่นสะเทือนออกมาเบาๆ

“นี่?”

เฉียนขู่กะพริบตา ไม่สามารถตอบสนองไปได้ระยะหนึ่ง

 

ในสายตาของเขา ดาบไม้ด้ามนี้จะถูกกระตุ้นก็ต่อเมื่อเขาตกอยู่ในอันตรายที่ถึงแก่ชีวิตเท่านั้นมิใช่หรือ? ทําไมจู่ๆมันถึงมีปฏิกิริยาในตอนนี้ได้?

 

เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล [Sign in Buddha’s palm]

Sign in Buddha’s palm 257

Sign in Buddha’s palm 257 เป็นผู้ใด

วิหารหมื่นพุทธเป็นหนึ่งในพุทธศาสนสถานที่ยิ่งใหญ่ในต่างแดนสืบทอดมรดกต่อมาจากช่วงสุดท้ายของยุคกระแสปราณฉีเฟื่องฟูเป็นที่รู้จักกันดีว่าเป็นแหล่งก่อกําเนิดของพุทธศาสนาในต่างแดนย่อมมีบันทึกของ “วิหารการสงคราม” เป็นธรรมดา

 

ในฐานะที่เป็นหนึ่งในบรรพชนของวิหารหมื่นพุทธบรรพชนเก้าเข้าใจชัดแจ้งว่าวิหารการสงครามคือสิ่งใดนั่นเป็นสถานที่ที่แม้แต่ผู้แข็งแกร่งในขอบเขตเซียนเทพปฐพีก็ไม่สามารถฝาเข้าไปได้หากไม่ได้รับอนุญาต ซึ่งเรื่องราวนี้ได้ถูกบันทึกไว้โดยผู้ที่ทรงพลังจนถึงขีดสุด

อย่างไรก็ตาม เมื่อสิ้นสุดช่วงยุคเฟื่องฟูของกระแสปราณฉี วิหารการสงครามก็ได้หายไปอย่างไร้ร่องรอย

สิ่งที่บรรพชนเก้าไม่คาดหวังก็คือ จะมาได้ยินคําว่าวิหารการสงครามในทวีปนี้

ใบหน้าของบรรพชนเก้าเคร่งขรึมขึ้นเล็กน้อย ความคิดแรกของเขาคือวิหารการสงครามจากปากของเจ้าอาวาสอารามวัชระคือสิ่งเดียวกับวิหารการสงครามที่เขารู้มาหรือไม่

ท้ายที่สุดแม้คําว่าวิหารการสงครามจะไม่ธรรมดา แต่ก็คงไม่ได้มีเพียงที่เดียวในโลก

อย่างไรก็ตาม มังกรปีศาจที่เจ้าอาวาสอารามวัชระกล่าวถึงทําให้บรรพชนเก้าตกใจ

ถ้าเป็นเพียงวิหารการสงครามอาจจะบังเอิญมีชื่อเหมือนกันแต่เมื่อเพิ่มมังกรปีศาจเข้าไปก็สอดคล้องกับวิหารการสงครามในบันทึกของวิหารหมื่นพุทธ

“เจ้าคงไม่ได้โกหกข้าหรอกใช่ไหม?”

บรรพชนเก้ามองอย่างเคร่งเครียด จ้องไปที่เจ้าอาวาสอารามวัชระกล่าวทุกคําออกมาอย่างชัดถ้อยชัดคํา

มังกรปีศาจในวิหารการสงครามในช่วงสุดท้ายของยุคกระแสปราณฉีเฟื่องฟูแม้แต่เซียนเทพปฐพีก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากจะต้องร่วมมือกันต่อต้านและสุดท้ายก็ยังโดนขับไล่ออกมาด้วยสภาพทุเรศทุรัง

 

สัตว์อสูรที่ดุร้ายเช่นนี้ต่อให้เป็นอรหันต์ลงมือก็คงไม่สามารถทําได้สําเร็จเช่นกันจะตกตายภายใต้น้ํามือของผู้ทรงสมณศักดิ์ขอบเข ตอรหันต์ได้เช่นไร?

 

“ภิกษุไม่กล่าวคําโป้ปด” เจ้าอาวาสอารามวัชระประสานมือและกระซิบคําออกมา

 

“จริงสิ” บรรพชนเก้าเหมือนจะคิดบางอย่างขึ้นมาได้ “ช่วงสุดท้ายของยุคกระแสปราณฉีเฟื่องฟูก็หมื่นกว่าปีมาแล้ว”

 

“แม้ว่าวิหารการสงครามจะอยู่คงอยู่ได้อย่างยาวนาน แต่มังกรปีศาจก็ต้องมีบ้างที่พลังชีวิตและเลือดเนื้อเสื่อมสลายลงไปความแข็งแกร่งก็น่าจะหล่นลงมาอยู่ในขอบเขตตํานานยุทธ”

เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ บรรพชนเก้าก็พยักหน้าเล็กน้อยพลันเข้าใจเรื่องราว

 

ในฐานะของเผ่าพันธุ์สัตว์อสูร อายุขัยของมังกรปีศาจนั้นเหนือกว่าเผ่าพันธุ์มนุษย์มาก แต่ไม่ได้หมายความว่าอายุขัยจะไร้ขีดจํากัด

ไม่เช่นนั้นโลกนี้คงถูกปกครองด้วยสัตว์อสูรไปเสียตั้งนานแล้วจะยังมีมนุษย์เหลือรอดได้เช่นไร?

อย่างไรก็ตาม ด้วยเงื่อนไขที่พลังชีวิตและเลือดเนื้อเสื่อมถอยความแข็งแกร่งลดลง ทําให้อรหันต์ผู้หนึ่งสามารถสังหารมันลงได้ก็ยังทําใจได้ยากที่จะยอมรับจริงๆ

 

“เพียงแต่ว่า”

 

“ถึงแม้มังกรปีศาจจะแก่ชราจนใกล้ตาย แต่พรสวรรค์และพลังเหนือธรรมชาติของมันก็ยังคงอยู่ อรหันต์จากวัดเส้าหลินจะต้องมีวิธีการบางอย่างถึงสามารถสังหารมังกรปีศาจลงได้”

บรรพชนเก้าขบคิดอยู่ในใจ

 

เขาไม่ได้สงสัยว่าเจ้าอาวาสอารามวัชระจะโกหก

ในตอนนี้ บรรพชนเก้าได้เฝ้าสังเกตอากัปกิริยาของเจ้าอาวาสอารามวัชระด้วยอาณาเขต หากอีกฝ่ายได้กล่าวคําโกหกออกมาก็เป็นไปไม่ได้ที่จะหลบซ่อนจากตัวเขา

 

นอกจากนี้ ตามคําอธิบายของเจ้าอาวาสอารามวัชระเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องที่คนทั่วไปจะคุยกัน แต่อย่างน้อยก็ไม่ใช่ความลับ หากต้ องการรู้เขาก็แค่ต้องไปตรวจสอบซ้ําอีกครั้งไม่ใช่หรือ?

เจ้าอาวาสอารามวัชระจะกล้าหลอกลวงตัวเขาในเรื่องนี้ได้อย่างไร?

“บางที่ “องค์ยูไลที่ข้ากําลังตามหาอาจจะเกี่ยวข้องกับสิ่งนี้”

 

ความคิดของบรรพชนเก้าเปลี่ยนแปลงไปมาอย่างรวดเร็ว ในที่สุดก็เงยหน้าขึ้น มองไปยังทิศทางหนึ่ง “ดูเหมือนว่าข้าจะต้องไปยังวัดเส้าหลิน”

บรรพชนเก้าเสี่ยงที่จะต้องกระทบกระทั่งกับตํานานยุทธเมืองฉางอันโดยการเข้ามายังอาณาจักรถังเพราะรู้สึกได้ถึงกลิ่นอายแห่งองค์ยูไล” ตอนนี้เขาพบเบาะแสบางอย่างแล้ว จะให้ยอมแพ้ได้อย่างไร?

 

เมื่อคิดได้ดังนี้ บรรพชนเก้าก็ก้าวเดินไปข้างหน้า หายวับรีบเดินทางไปยังวัดเส้าหลิน

เจ้าอาวาสอารามวัชระและผู้พิทักษ์อารามต่างก็มองหน้ากันในที่สุดผู้พิทักษ์อารามก็อดไม่ได้และถามขึ้นว่า “ท่านเจ้าอาวาสคนผู้นี้มีความแข็งแกร่งอยู่ที่ขั้นใดกัน?”

“แข็งแกร่งขั้นใด?”

 

เจ้าอาวาสอารามวัชระมองไปยังผู้พิทักษ์อาราม “เจ้าคิดว่าผู้ที่สามารถปราบศิษย์วัดกว่าพันคนภายในอารามวัชระได้ด้วยกลิ่นอายเพียงอย่างเดียวจะมีความแข็งแกร่งในขั้นใดกันเล่า?”

 

คําที่กล่าวออกมา

ใบหน้าของภิกษุหลายคนซีดเผือด พวกเขาได้แต่เดาในใจแต่ไม่กล้ายืนยัน แต่ในเวลานี้ พวกเขากลับต้องมาตกใจเมื่อได้ยินคําตอบของเจ้าอาวาส

“ท่านเจ้าอาวาส หากนักบวชผู้นี้เป็นผู้ทรงสมณศักดิ์สายพุทธเหตุไฉนข้าจึงไม่เคยได้ยินเรื่องของเขามาก่อน?” ผู้พิทักษ์อารามกล่าวอย่างไม่แน่ใจ

“ข้าเองก็ไม่รู้เช่นกัน”

เจ้าอาวาสอารามวัชระส่ายศีรษะเล็กน้อย ความกังวลเกาะอยู่เต็มใบหน้า “แต่วัดเส้าหลินนั้น เกรงว่าจะประสบปัญหาบางอย่างเข้าแล้ว”

 

วังหลวง

จักรพรรดิถังขมวดคิ้วและมองไปยังข้อมูลที่อยู่ในเอกสารราชการ

“ พระหนุ่มผู้หนึ่ง?”

 

“ตบยอดปรมาจารย์ขั้นสูงสุดจนตกตายในฝ่ามือเดียว?”

 

จักรพรรดิถังพึมพําอยู่กับตนเอง โดยทั่วไปแล้วไม่ว่าจะเป็นยอดปรมาจารย์ที่แปรสภาพพลังหนึ่งครั้ง หรือแปรสภาพพลังได้จนสมบูรณ์คือสามครั้งนั้น แม้จะมีความแข็งแกร่งที่แตกต่างกัน แต่ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะบดขยี้กันได้ง่ายดายเพียงนี้

 

และจากรายงานฉบับนี้ ความเป็นไปได้มีเพียงสิ่งเดียว

พระหนุ่มผู้นี้ได้ก้าวผ่านขอบเขตวิทยายุทธทั้งเก้าระดับชั้นและเข้าสู่ขอบเขตอรหันต์แล้ว

 

ส่วนจะเป็นอรหันต์ในระดับใดจักรพรรดิถังล้วนไม่ทราบ ท้ายที่สุดอรหันต์รูปใดก็ตบยอดปรมาจารย์ขั้นสูงสุดจนตกตายได้ทั้งนั้น

 

“ฝ่าบาท พระหนุ่มผู้นี้อาจจะมาจากวิหารหมื่นพุทธ” นักพรตเฒ่าสํานักเอกะวิถีกล่าวคํา

“วิหารหมื่นพุทธ?”

จักรพรรดิวางรายงานในมือลงและมองไปยังนักพรตเฒ่า

 

นักพรตเฒ่ามาจากสํานักเอกะวิถี เขามีความรู้ที่กว้างขวาง ดังนั้นเมื่อใดก็ตามที่จักรพรรดิมีข้อสงสัย เขาจะขอให้นักพรตเฒ่ามาช่วยไขข้อสงสัยให้แก่เขา

 

นักพรตเฒ่าก็ยินดีเช่นกัน หลังจากอยู่ที่นี่มาสักพัก เขาก็สามารถเห็นความสัมพันธ์ที่จักรพรรดิถังมีต่อซูฉินได้อย่างชัดเจน

 

ด้วยวิธีนี้ย่อมเป็นโอกาสอันดีที่จะสร้างสัมพันธ์กับจักรพรรดิถังนักพรตเฒ่าจะปล่อยมันไปได้อย่างไร?

ดังนั้นนักพรตเฒ่าจึงตอบทุกคําถามของจักรพรรดิถังถึงแม้จะเป็นความลับของสํานักเอกะวิถี ตัวเขาก็ไม่ลังเลที่จะกล่าวออกไป

 

“มีผิด”

นักพรตเฒ่าพยักหน้า

“พระหนุ่มผู้นี้ได้ไปอารามวัชระเมื่อไม่นานมานี้ เมื่อออกจากอารามวัชระก็มุ่งหน้าลงใต้…”

 

จักรพรรดิถังยังคงมองข้อมูลอย่างตั้งใจต่อไป

 

ในทุกวันนี้ เครือข่ายข่าวกรองของอาณาจักรถังแพร่กระจายไปทั่วทวีป และบรรพชนเก้าก็ไม่ได้ปิดบังตัวตนของตนเอง กลับเดินตามท้องถนนอย่างโอ่อ่า เขาไม่ได้เหาะเหินเดินอากาศด้วยซ้ําแน่นอนว่าจักรพรรดิถึงจึงรู้ข้อมูลที่อยู่ของเขา

 

“ไม่ถูกต้อง”

 

“เป้าหมายของบุคคลนี้คือวัดเส้าหลิน!”

รูม่านตาของจักรพรรดิถังหดตัว ใบหน้าของเขาเปลี่ยนไปอย่างมาก

จากข้อมูลการกระทําของพระหนุ่มผู้นี้ น่าจะมีความสนใจในด้านพุทธศาสนาบางอย่าง แต่ตอนนี้ได้เดินทางลงไปทางทิศใต้มีแต่วัดเส้าหลินเท่านั้นที่เป็นสํานักพุทธที่อยู่ทางตอนใต้

“เกรงว่ามันจะสายเกินไปแล้ว”

 

ใบหน้าของจักรพรรดิถังดูหนักอึ้ง

ข้อมูลที่เขาได้รับมาเป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นสองสามวันก่อนตอนนี้พระหนุ่มน่าจะเดินทางไปถึงวัดเส้าหลินแล้ว

“ไม่ได้การ”

“เรื่องนี้จะต้องรีบแจ้งให้พี่สามรู้”

 

จักรพรรดิถังลุกขึ้นในทันทีและเดินไปยังพระราชวังตะวันออกอย่างรวดเร็ว

ความสัมพันธ์ระหว่างซูฉินกับวัดเส้าหลินนั้นไม่ได้เป็นที่ล่วงรู้ในวงกว้าง แต่จักรพรรดิถังเป็นหนึ่งในคนที่ล่วงรู้สิ่งนี้อย่างชัดเจน

 

ดังนั้นเมื่อจักรพรรดิถังตระหนักได้ว่าวัดเส้าหลินอาจจะมีปัญหาเขาจึงวางแผนที่จะไปแจ้งให้ซูฉินทราบโดยเร็วที่สุด

 

ในเวลาเดียวกัน

 

เหนือภูเขาเส้าชื่อ

ร่างของบรรพชนเก้าเปรียบประดุจร่างเงามายา เดินเข้าไปในวัดเส้าหลินอย่างไม่รีบร้อน

ด้วยความแข็งแกร่งของบรรพชนเก้า จึงไม่ยากที่จะซ่อนตัวจากผู้คนในวัดเส้าหลิน

“หืม?”

 

“มีค่ายกลฟ้าดินมากมายตั้งอยู่ภายใน?”

 

บรรพชนเก้ามองไปยังพื้นที่หวงห้ามภูเขาด้านหลัง ท่าทีของเขาประหลาดใจเล็กน้อย

“น่าสนใจ”

 

บรรพชนเก้าก้าวเท้าออกไป และปรากฏตัวอีกครั้งที่หน้าปากทางเขตหวงห้ามภูเขาด้านหลัง จากนั้นจึงก้าวอีกหนึ่งครั้งเพียงพริบตาก็ข้ามผ่านค่ายกลกว่าเก้าในสิบส่วนมาถึงภูเขาด้านหลัง

“ค่ายกลฟ้าดินขนาดใหญ่แห่งนี้ แม้จะจัดวางได้อย่างชาญฉลาดแต่ผู้ครอบครองอย่างมากสุดก็เป็นอรหันต์ในระดับนภาชั้นที่สี่ไม่กินภาชั้นที่ห้าเท่านั้นไม่ใช่องค์ยูไล” ที่ข้ากําลังมองหา…”

บรรพชนเก้าดูผิดหวัง

เขาแบกความหวังเอาไว้ในใจยามเมื่อเดินทางมายังวัดเส้าหลินแต่เมื่อผลลัพธ์เป็นเช่นนี้ จะไม่ให้ผิดหวังได้อย่างไร?

ขณะที่บรรพชนเก้ากําลังตริตรอง เขาก็ก้าวเท้าไปด้านหน้าอีกหนึ่งก้าวโดยไม่รู้ตัว และเข้าไปไปในเขตหวงห้ามด้านหลังภูเขาซึ่งเป็นสถานที่ที่ซูฉินใช้ในการปิดด่านฝึกตนหวิ่ง!

 

ฉับพลัน!

บรรพชนเก้าก็ดูเหมือนจะสัมผัสเข้ากับพลังต้องห้ามบางอย่าง

ค่ายกลฟ้าดินขนาดใหญ่ที่ปกคลุมทั่วทั้งเขตหวงห้ามภูเขาด้านหลังก็เริ่มส่งเสียงคํารามก้อง

ชั่วครู่เดียว เมฆหมอกเริ่มหมุนวนไปรอบๆ ควบแน่นกลายเป็นมังกรหมอกออกมาที่ละตัว ล้อมกรอบบรรพชนเก้าอย่างต่อเนื่องค่อยๆ วนเวียนไปมา

“ค่ายกลฟ้าดินที่จัดตั้งโดยอรหันต์ระดับนภาชั้นที่สื่นภาชั้นที่ห้ากลับสามารถค้นหาข้าพบ?” บรรพชนเก้าตกตะลึง

และในตอนนั้นเอง

 

ทั่วทั้งวัดเส้าหลินก็รับรู้บางสิ่งได้แล้ว

ภูเขาด้านหลังเป็นสถานที่ที่ซูฉินใช้บิดด่านฝึกตน และปัจจุบันมันยังเป็นสิ่งที่ข้องเกี่ยวกับการฝึกฝนบ่มเพาะที่รวดเร็วมากขึ้นของ เหล่าศิษย์วัดเส้าหลินเรียกได้ว่าเป็นสถานที่สําคัญแห่งหนึ่งในวัด เส้าหลิน

หากเกิดการเปลี่ยนแปลงอะไรบางอย่างขึ้นมาย่อมดึงดูดความสนใจของทั้งวัดเส้าหลินได้ตั้งแต่แวบแรก

ทันใดนั้น เจ้าอาวาสชุ่ยเหวิน หัวหน้าตําหนัก และลูกศิษย์วัดเส้าหลินทั้งหลายก็รีบเดินทางมายังพื้นที่หวงห้ามภูเขาด้านหลังและมองไปยังบรรพชนเก้าที่ยืนอยู่ด้านนอกภูเขาด้านหลัง

 

“บรรดาผู้ที่ล่วงล้ําไปยังสถานที่สําคัญของวัดเส้าหลินจะต้อง

ตาย!!!”

หัวหน้าตําหนักยุทธสงฆ์ผู้มีบุคลิกใจร้อนก็ได้เริ่มต้นลงมือเป็นคนแรกสําหรับวัดเส้าหลิน เขตหวงห้ามภูเขาด้านหลังมีความสําคัญที่พิเศษ

 

ในทันทีที่มีคนนอกปรากฏตัวขึ้น หัวหน้าตําหนักยุทธสงฆ์จึงต้องการที่จะปราบมันให้อยู่หมัด

 

“หม?”

บรรพชนเก้าขมวดคิ้ว ความคิดของเขาขยับวูบ

ฉับพลัน

หัวหน้าตําหนักยุทธสงฆ์ที่พุ่งเข้าไปก็รู้สึกเพียงว่า อากาศโดยรอบพลันแข็งตัวและถูกกักขังไว้ ไม่สามารถขยับไปไหนได้

“นี่?”

ลูกตาของหัวหน้าตําหนักยุทธสงฆ์พลันหดตัวลงอย่างกะทันหันสามสิบปีมานี้ ด้วยความช่วยเหลือจากค่ายกลสวรรค์เขตแดนพิสุทธิ์ในพื้นที่หวงห้ามภูเขาด้านหลัง รวมกับกระแสปราณีที่ฟื้นคืนทําให้เขาเข้าสู่ระดับชั้นที่หนึ่งมาตั้งนานแล้ว และยังเป็นระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสูงสุด

แต่บัดนี้พระหนุ่มที่อยู่เบื้องหน้ากลับสามารถเหนี่ยวรั้งเขาเอาไว้ได้ด้วยการปรายตามองเพียงครั้งเดียว

“ระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสมบูรณ์?”

“ไม่ใช่ เป็นผู้ทรงสมณศักดิ์ขอบเขตอรหันต์?”

 

ความคิดของหัวหน้าตําหนักยุทธสงฆ์เปลี่ยนไปมาอย่างรวดเร็วแม้ว่าร่างกายจะถูกคุมขังแต่ความคิดของเขายังคงตีกันวุ่นในหัวและตระหนักได้ถึงความแข็งแกร่งของพรหนุ่ม

 

ไม่ไกลนัก เจ้าอาวาสอุ่ยเหวินและหัวหน้าตําหนักที่เห็นฉากนี้ สีหน้าของพวกเขาก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย และไม่ได้ดําเนินการโจมตีบรรพชนเก้าต่อไป

 

และในตอนนี้

บรรพชนเก้าก็ขี้เกียจเกินกว่าจะสนใจทุกคนในวัดเส้าหลิน

 

เขาหันไปมองภูเขาด้านหลังและกระซิบคํากับตนเอง “ข้ามเชื่อหรอก ว่าค่ายกลฟ้าดินขนาดใหญ่นี้จะสามารถหยุดข้าได้”

 

ทันทีที่บรรพชนเก้ากล่าวเช่นนั้น เขาก็ก้าวเข้าไปอีกและต้องการจะเข้าสู่ภูเขาด้านหลังซึ่งเป็นสถานที่ในการปิดด่านฝึกตนของซูฉิน

 

ครืน!

 

เพียงครู่เดียว!

 

ค่ายกลฟ้าดินทั้งหมดบริเวณภูเขาด้านหลังก็สั่นสะเทือนไปทั่ว

 

พลังฟ้าดินที่สั่งสมมานานหลายสิบปีเริ่มพวยพุ่ง ต้องการจะปีดกั้นการบุกรุกของบรรพชนเก้า

ในช่วงเวลาที่พื้นที่หวงห้ามภูเขาด้านหลังสั่นสะเทือน

ใต้เมืองฉางอัน เหนือห้องโถงพระราชวังสีดําอันสูงตระหง่านซูฉันค่อยๆ ลืมตาตื่นขึ้นอย่างเงียบๆ

 

“เป็นผู้ใด?”

ซูฉินมองไปยังทิศทางของวัดเส้าหลิน

 

เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล [Sign in Buddha’s palm]

Sign in Buddha’s palm 256 (II)

Sign in Buddha’s palm 256 (II) เข้าสู่ระบบที่เบื้องลึกปล่องภูเขาไฟ

 

“หากแม้ว่าข้าเดาผิดพลาดไป มันก็ไม่ใช่การเดินทางที่เสียเปล่าไปซะทีเดียว”

 

เพียงความคิดวูบเดียว ซูฉินก็นําโอสถจิตวิญญาณเหล่านั้นขึ้นมาใบหน้าของเขาดูค่อนข้างพึงพอใจ

 

โอสถจิตวิญญาณธาตุไฟเหล่านี้ไม่รู้ว่าก่อร่างสร้างตนมานานกี่ปีมันมีพลังงานธาตุไฟเป็นจํานวนมาก และเป็นทรัพยากรที่ดีอย่างยิ่งสําหรับการฝึกฝนวิชาภาพดวงตะวันฯ

 

“เอาล่ะ”

 

“ต่อจากนี้ ข้าก็แค่ต้องรอจนกว่าจะถึงวันถัดไป เพื่อยืนยันการคาดเดาของข้า” ใบหน้าของซูฉินดูเคร่งขรึมเขาเลือกที่จะรออยู่ที่นี่

 

เหตุผลที่ซุฉินลงเข้ามาลึกถึงภายในนี้ แน่นอนว่าเขามาตรวจสอบว่าภายในภูเขาไฟนั้นสามารถลงชื่อเข้าใช้ได้หรือไม่

ถ้าเขาสามารถลงชื่อเข้าใช้ได้ ซูฉินก็ไม่จําเป็นต้องวิ่งวุ่นเสาะหาอีกต่อไป สุดท้ายแล้วนี่ก็คือโลกถ้ําปิศาจ หาใช่โลกมนุษย์ไม่ บนพื้นผิวโลกซูฉันรู้สึกได้ถึงความแข็งแกร่งขั้นสูงสุด แม้จะมีนิกายใหญ่ใน ต่างแดนอยู่แต่ก็ไม่มีใครที่แข็งแกร่งในระดับเซียนเทพปฐพี

แต่สําหรับโลกถ้ําปิศาจ..

เทพเจ้าปีศาจในส่วนลึกของโลกนี้ ตามที่ซูฉินจะสัมผัสได้ก็นับเป็นขุมพลังที่มีความสามารถในการต่อสู้ทรงพลังสูงสุด

และแม้จะไม่นับตัวตนอย่างเทพเจ้าปีศาจ โลกถ้ําปิศาจก็ยังมีราชาปีศาจอาศัยอยู่มากมาย แค่เพียงดินแดนโม่ฮวาอย่างเดียวก็เพียงพอจะบดขยีโลกมนุษย์ในปัจจุบันจนสิ้นแล้ว

ถ้าซูฉินยังคงเที่ยวตระเวนไปทั่วโลกถ้ําปีศาจ สภาพจะไม่น่าสังเวชหรอกหรือเมื่อไปยั่วยุปีศาจเก่าแก่บางตนที่ปลีกวิเวกออกจากสังเคมไปแล้ว?

 

แม้ว่าซูฉินในโลกถ้ําปิศาจจะเป็นเพียงร่างจําแลง แต่ก็กินพลังจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์และจิตวิญญาณของซูฉินไปเกือบครึ่งหากสูญเสียไปย่อมต้องปวดใจอย่างแน่นอน

ดังนั้นภายในโลกถ้ําปีศาจซูฉินจึงพยายามทําตนให้ต่ําต้อยเข้าไว้ เว้นเสียแต่ว่าหมดหนทางจริงๆเขาจึงจะต้องเที่ยวตระเวนไปเรื่อย

 

เวลาค่อยๆ ผ่านเลยไป

 

หนึ่งวันผ่านไปในพริบตา

 

ในส่วนลึกของภูเขาไฟใต้เมืองอินจี้

ซูฉันค่อยๆ เปิดเปลือกตาขึ้น มองไปรอบๆ ตัว

“ใกล้แล้ว”

 

“โอกาสในการลงชื่อเข้าใช้ของวันนี้กําลังจะเริ่มนับใหม่อีกครั้ง”

 

ซูฉินสงบใจลง พูดอยู่คนเดียวเงียบๆ “ระบบ ลงชื่อเข้าใช้

 

[ขอแสดงความยินดี โฮสต์ลงชื่อเข้าใช้สําเร็จ ได้รับ โอสถปีศาจเพลิง”*100]

เสียงจักรกลดังขึ้นในหูของซูฉิน

 

“โอสถปีศาจเพลิง?”

 

ซูฉันอดไม่ได้ที่จะจ้องเขม็งไปที่มัน

เม็ดโอสถปีศาจเพลิงที่เขาได้รับ นั้นแทบจะไม่ต่างไปจากโอสถปีศาจเพลิงสีชาด การลงชื่อเข้าใช้ที่นี่ทําให้ซูฉินได้รับโอสถปีศาจเพลิงมาเป็นร้อยเม็ด

รู้หรือไม่ตลอดการลงชื่อเข้าใช้ของซูฉินในเมืองอินจี้ แม้ว่าเขาจะได้รับสมบัติอื่นๆ บ้างเป็นครั้งคราว แต่สําหรับโอสถปีศาจธาตุไฟโดยเฉลี่ยแล้วการลงชื่อเข้าใช้หนึ่งครั้งจะได้รับมาเพียงแค่ห้าถึงแปดเม็ดเท่านั้น

 

แต่ยามนี้?

ในการลงชื่อเข้าใช้เพียงครั้งเดียว ซูฉินก็ได้รับโอสถปีศาจเพลิงมากว่าหนึ่งร้อยเม็ด มากกว่าการลงชื่อเข้าใช้ในเมืองอินจี้เป็นสิบเท่า

“นี่เป็นเพียงการลงชื่อเข้าใช้ครั้งแรก ยังได้รับรางวัลขนาดนี้หากยังลงชื่อเข้าใช้ต่อไป ย่อมคุ้มค่ายิ่งแล้ว”

หัวใจของซูฉินร้อนผ่าว

 

แผ่นหินภาพดวงตะวันฯ รูปแรกของภาพสิบสองสัตว์ศักดิ์สิทธิ์พลังของมันช่างน่าสะพรึงกลัวจนไม่อาจจะจินตนาการได้ และเมื่อ ฝึกฝนมันแล้วสามารถเปลี่ยนร่างเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ที่แข็งแกร่งได้อย่างแท้จริง

ข้อเสียเพียงอย่างเดียวคือมันใช้ทรัพยากรมากเกินไป

แต่ตอนนี้ ซูฉินมีความรู้สึกว่า บางที่ความสําเร็จเล็กๆ ในวิชาภาพดวงตะวันขนาดมหึมาอาจจะไม่ได้รอนานอย่างที่คิด?

“หลังจากที่เมืองอินจี้หมดความสามารถในการลงชื่อเข้าใช้อย่างสมบูรณ์ สถานที่นี้เหมาะที่จะเป็นสถานที่สําหรับการลงชื่อเข้าใช้ต่อไปในระยะยาว”

ซูฉินตัดสินใจอย่างรวดเร็ว

 

อาณาจักรถัง

 

กระแสปราณฉียังคงฟื้นตัวต่อไปอย่างไม่เอ้อระเหย สภาพแวดล้อมบนโลกกลายเป็นเรื่องง่ายที่จะฝึกฝนบ่มเพาะวิทยายุทธ เดิมที่ขอบเขตสามระดับบนก็เพียงพอแล้วที่จะควบคุมเหนือจรดใต้แต่ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ในเขตชุมชนเล็กๆ บางทีก็อาจจะมีจอมยุทธที่อยู่ในขอบเขตสามระดับบนให้ได้เห็นกันอยู่บ้าง

และในขณะที่อาณาจักรถังกําลังเจริญรุ่งเรืองยิ่งๆ ขึ้นไปนั้น

พระหนุ่มคนหนึ่งก็ได้เดินทางจากทะเลทรายทิศตะวันตกเข้าสู่อาณาจักรถัง พระหนุ่มผู้นี้ดูติดดินยิ่ง เดินผ่านแม่น้ําและภูเขาน้อยใหญ่เหมือนกําลังมองหาอะไรบางอย่าง

 

ถ้าไม่ใช่เพราะมียอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งฝ่ายอธรรมเข้าไปยั่วยุพระหนุ่มผู้นี้จนโดนตบตาย ก็เกรงว่าจะไม่มีใครทราบว่ามีบุคคลที่แข็งแกร่งเช่นนี้อยู่ในอาณาจักรถัง

 

อารามวัชระ

อารามวัชระเป็นหนึ่งในสี่สํานักสายพุทธบนทวีปนี้แม้ว่าอารามวัชระจะไม่ได้สืบทอดมรดกมายาวนานเท่าวัดเส้าหลินแต่ก็ยังยาวนานหลายพันปีในช่วงเวลานั้นก็ให้กําเนิดอรหันต์ขึ้นมาเป็นจํานวนมากเช่นกัน

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อห้าสิบปีที่แล้วบุตรศักดิ์สิทธิ์จากอารามวัชระได้ไปถูกปัญหาธรรมที่วัดเส้าหลินผลที่ได้รับคือความพ่ายแพ้ครั้งยิ่งใหญ่ตั้งแต่นั้นอารามวัชระก็เก็บตัวเงียบอย่างสมบูรณ์ความรุ่งโรจน์ลดลงไปกว่าครึ่ง

 

อย่างไรก็ตาม เมื่อกระแสปราณฉีฟื้นคืน สงฆ์ศักดิ์สิทธิ์หลายรูปก็ถือกําเนิดขึ้นมาในอารามวัชระ

 

โดยเฉพาะเจ้าอาวาสอารามวัชระได้เสร็จสิ้นการแปรสภาพพลังบรรลุถึงระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสูงสุดมีชื่อเสียงขจรขจายไปทั่วหล้า

 

แต่วันนี้

ศิษย์สาวกของอารามวัชระทั้งหมดต่างมารวมตัวกันหน้าประตูเจ้าอาวาสรวมถึงผู้พิทักษ์มีท่าที่ประหนึ่งเจอศัตรูตัวฉกาจ

ด้านหน้ามีพระภิกษุรูปหนึ่งยืนอยู่

พระหนุ่มผู้นี้ดูเด็กมาก แต่มีความผันผวนมากมายในสายตาของ

เขา

การที่พระหนุ่มยืนอยู่ตรงจุดนั้น ทําให้ศิษย์อารามวัชระทุกคนรวมถึงเจ้าอาวาสหน้าซีดเผือด

ในสายตาของทุกคนจากอารามวัชระ พระหนุ่มที่ยืนอยู่ไม่ไกลรูปนี้มองลงมาที่พวกเขาประหนึ่งพระพุทธรูปที่เหลือบพระเนตรลงมองพื้นดิน

“น่าเสียดาย ที่นี่ไม่มีอะไรที่ข้ากําลังมองหาอยู่” ดวงตาของพระหนุ่มสงบลง กวาดสายตาผ่านผู้คนภายในอารามวัชระ แล้วจึงกล่าวออกมาเบาๆ

พระหนุ่มผู้นี้เป็นบรรพชนลําดับที่เก้าแห่งวิหารหมื่นพุทธหลังจากที่เข้าสู่อาณาจักรถัง เขาก็ได้ค้นหากลิ่นอายของ ”องค์ยูไล” ที่เขาสัมผัสได้

แต่น่าเสียดายที่หาไม่เจอเลย

 

หนทางสุดท้าย บรรพชนเก้าก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกเสียจากต้องมาลองเสี่ยงโชคที่อารามวัชระ หนึ่งในสี่สํานักพุทธของทวีปนี้

 

ศิษย์หลายคนของอารามวัชระเห็นแววเวทนาบนใบหน้าของบรรพชนเก้า ในใจของพวกเขาก็เต็มไปด้วยโทสะ แต่ทําอะไรไม่ได้

ตั้งแต่ต้นที่บรรพชนเก้ามาถึงอารามวัชระ เขาก็ปล่อยกลิ่นอายออกมาปราบปรามทั่วทั้งอารามวัชระ

แม้ว่าเหล่าศิษย์เหล่านี้ต้องการจะลงมือกับบรรพชนเก้าเพื่อปกป้องศักดิ์ศรีของอารามวัชระ แต่ทําไปก็คงไร้ความหมาย

 

“นักบวชรูปนี้เป็นใคร? เขาก็เป็นชาวพุทธด้วยงั้นหรือ? ทําไมจึงไม่เคยพบเห็นเขามาก่อน? เป็นอรหันต์หรือไม่? แต่ทุกวันนี้มีเพียงอรหันต์เพียงรูปเดียวที่ยังคงมีชีวิตอยู่คืออรหันต์จากวัดเส้าหลินไม่ใช่หรือ?”

 

ความคิดของผู้พิทักษ์อารามวัชระหลายคนแปรเปลี่ยนกลับไปกลับมา

ในเวลานี้ เจ้าอาวาสอารามวัชระตั้งข้อสงสัยขึ้นมา “พระคุณเจ้าเป็นผู้ทรงสมณศักดิ์จากวัดเส้าหลินอย่างนั้นหรือ?”

“วัดเส้าหลิน?”

บรรพชนเก้าผงะไปครู่หนึ่ง ส่ายหัวแล้วกล่าวออกไปว่า “ข้าไม่ได้มาจากวัดเส้าหลิน”

 

“เจ้าหมายความว่ามีอรหันต์อยู่ในวัดเส้าหลินอย่างนั้นหรือ?” บรรพชนเก้าแสดงความสนใจออกทางสีหน้า ราวกับเขากําลังครุ่นคิดสิ่งใดอยู่

“มิผิด ผู้ทรงสมณศักดิ์แห่งวัดเส้าหลินเป็นตัวตนทรงพลังอํานาจเทียบเคียงได้กับตํานานยุทธเมืองฉางอัน และเป็นที่รู้จักในฐานะผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในยุทธภพอีกผู้หนึ่ง”

เมื่อเจ้าอาวาสอารามวัชระเห็นบรรพชนเก้าปฏิเสธ เขาก็รีบกล่าวต่อไปตามจริงทันที

“โอ้”

 

“เป็นไปได้อย่างไรกัน?”

 

บรรพชนเก้าขมวดคิ้วมั่น “ตํานานยุทธขั้นสูงสุดแห่งเมืองฉางอันนับเป็นตัวตนที่ผิดปกติ เป็นไปได้หรือที่มีความผิดปกตินี้มากกว่าหนึ่งคน?”

แม้ว่าบรรพชนเก้าพูดออกไปเช่นนั้น แต่ตัวเขากลับไม่อยากจะเชื่อเลย

ตํานานยุทธขั้นสูงสุดนั้นหาได้ยากยิ่ง แม้แต่ในยุทธภพต่างแดนที่วิทยายุทธรุ่งเรืองก็ยังมีโอกาสน้อยนักที่จะเกิดขึ้นมาในยุคเดียวกัน

 

แต่แรกการที่ตํานานยุทธขั้นสูงสุดแห่งเมืองฉางอันสามารถสังหารบรรพบุรุษชีหยวนได้ก็น่าเหลือเชื่อพอแล้ว

แต่เมื่อฟังคําจากปากของเจ้าอาวาสอารามวัชระ กลับมีบุคคลผู้แข็งแกร่งเช่นเดียวกับตํานานยุทธเมืองฉางอันมากกว่าหนึ่งคน?

นี่มันเป็นไปได้อย่างไร?

 

เป็นเวลาเพียงแค่สิบกว่าปีเท่านั้นที่กระแสปราณฟื้นคืนดังนั้นจะมีตํานานยุทธขั้นสูงสุดถึงสองคนบังเกิดขึ้นในเวลาอันสั้นเช่นนี้ได้เช่นไร?

“อาตมาไม่รู้ว่าผู้ใดแข็งแกร่งกว่ากัน ระหว่างตํานานยุทธเมืองฉางอันหรืออรหันต์แห่งวัดเส้าหลิน” เจ้าอาวาสอารามวัชระก้ม หน้าลงครุ่นคิดไม่กล้าสรุปความ

เมื่อบรรพชนเก้าได้ยินเช่นนี้ สีหน้าของเขาก็ค่อยๆ คลายออกในความเห็นของเขาเห็นได้ชัดว่าเจ้าอารามวัชระนั้นบอกข้อมูลมาผิดอันที่จริงความแข็งแกร่งของอรหันต์จากวัดเส้าหลินไม่น่าจะ แข็งแกร่งถึงขนาดนั้น

 

“แต่ผู้ทรงสมณศักดิ์แห่งวัดเส้าหลินเคยขึ้นไปบนยอดเขาคุนหลุนและสังหารผู้ที่คอยปกป้องวิหารการสงครามเอาไว้อย่างมังกร ปีศาจ”

 

เจ้าอาวาสอารามวัชระมองไปที่บรรพชนเก้าอย่างระมัดระวัง

 

ตอนแรกสีหน้าของบรรพชนเก้านั้นสงบนิ่ง แต่เมื่อได้ยินคําสามคําที่ว่าวิหารการสงคราม ใบหน้าของเขาก็เปลี่ยนเล็กน้อยจากนั้นเขาก็ได้ยินว่ามังกรปีศาจถูกสังหารโดยอรหันต์จากวัดเส้าหลินใบหน้าของเขาก็แข็งค้างไปในทันที

 

เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล [Sign in Buddha’s palm]

Sign in Buddha’s palm 256 (1)

Sign in Buddha’s palm 256 (1) เข้าสู่ระบบที่เบื้องลึกปล่องภูเขาไฟ

 

ในส่วนลึกของทะเลทรายทิศตะวันตก

ที่หน้าวิหารหมื่นพุทธ

สงฆ์ชราตกใจอย่างมาก

 

เขาไม่คาดหวังว่าบรรพชนเก้าจะค้นพบรัศมีแห่งองค์ยูไล” ที่แท้จริงในทวีปแห่งนี้

 

แม้ว่าวิหารหมื่นพุทธจะสืบทอดมรดกต่อมาจากช่วงสุดท้ายของยุคกระแสปราณฉีเฟื่องฟู และส่วนลึกของวิหารหมื่นพุทธก็ยังเป็นที่ประดิษฐานของพระบรมสารีริกธาตุ แต่พวกเขาล้วนรู้เรื่องราว ภายในดีสงฆ์ชรารู้ดีว่าสิ่งที่คนกล่าวขานกันว่าเป็นศาสนสถานทาง พุทธที่ยิ่งใหญ่ก็ไม่มีอะไรมากไปกว่านิกายใหญ่แห่งหนึ่งที่มีขอบ เขตเหนือกว่าอรหันต์กําเนิดขึ้นมาเพียงเท่านั้น

เมื่อเทียบกับ “องค์ยูไล” ที่แท้จริง มันมีความแตกต่างอย่างใหญ่

หลวง

 

“ข้าเองก็ไม่แน่ใจ”

บรรพชนเก้าที่ดูเหมือนคนวัยแรกรุ่นส่ายศีรษะและกล่าวด้วยเสียงต่ําว่า “นั่นเป็นเหตุผลที่ข้าต้องเข้าไปยังอาณาจักรถังเพื่อค้นหา”องค์ยูไลที่แท้จริง”

 

บรรพชนเก้ามองไปยังอาณาจักรถังแล้วกล่าวเบาๆ ว่า “และที่นี่คือรากฐานวิหารหมื่นพุทธของเรา พวกเราไม่สามารถกระทําการสิ่งใดได้หากปราศจากอรหันต์ขั้นสูงสุด ข้าจึงได้ติดต่อบรรพชนหกและบรรพชนเจ็ดเรียบร้อยแล้ว”

 

“เมื่อข้าจากที่นี่ไป พวกเขาจะมาที่นี่แทนข้าในอีกไม่กี่วัน”

 

บรรพชนเก้ากล่าวออกมาเบาๆ

“บรรพชนหกและบรรพชนเจ็ด?” สงฆ์ชราตกใจ

 

วิหารหมื่นพุทธนั้นแตกต่างจากนิกายใหญ่ในต่างแดนแห่งอื่นๆ

สําหรับนิกายใหญ่แห่งอื่นๆ ตราบใดที่บรรพชนเข้าสู่ระดับนภาชั้นที่เจ็ดบรรลุถึงตํานานยุทธขั้นสูงสุด ก็สามารถใช้วิธีลับเพื่อปดผนึกตนเองให้หลับใหลไปนับพันปีได้ แม้แต่นิกายใหญ่ที่ค่อนข้าง อ่อนแอยังมีบรรพชนนับสิบคนและนิกายใหญ่ที่แข็งแกร่งหน่อยก็อาจจะมีบรรพชนถึงยี่สิบคนเลยก็เป็นได้

แต่วิหารหมื่นพุทธนั้นแตกต่างออกไป

อรหันต์ทั่วไปในวิหารหมื่นพุทธนั้นไม่จําเป็นต้องใช้วิธีลับ เพราะภิกษุที่มรณภาพไปสามารถกลั่นฐานการบ่มเพาะของตนฝากไว้กับพระบรมสารีริกธาตุซึ่งช่วยปกป้องคุ้มครองวิหารหมื่นพุทธได้

ด้วย

มีเพียงอรหันต์ที่ควบแน่นอาณาเขตได้เท่านั้นจึงจะพิจารณาว่าควรจะหลับใหลหรือไม่

 

ดังนั้นในช่วงเวลาหมื่นปีมานี้ ถึงแม้จะมีบรรพชนหลับใหลอยู่ไม่ มากนักภายในวิหารหมื่นพุทธ นับรวมทั้งหมดก็มีเพียงเก้ารูป เรีย งกันไปตามลําดับการหลับใหล มีตั้งแต่บรรพชนที่หนึ่งถึงบรรพชนที่

เก้า

 

แต่ไม่ว่าจะเป็นบรรพชนที่เก่าแก่ที่สุดหรือบรรพชนเก้าที่อายุน้อยที่สุดอย่างน้อยก็ต้องเป็นอรหันต์ขั้นสูงสุดที่ควบแน่นอาณาเขตได้แล้ว

ในหมู่บรรพชน บรรพชนที่หนึ่ง บรรพชนที่สอง และบรรพชนที่สามนั้นแข็งแกร่งที่สุด แม้ว่าพวกท่านจะไม่ได้เป็นยอดอรหันต์ แต่ก็เริ่มสัมผัสถึงขอบเขตนั้นได้อย่างแผ่วเบา อาณาเขตและจิตวิญญาณแรกกําเนิดล้วนก่อตัวขึ้นมาจนเสร็จสมบูรณ์บรรพชนที่ เก่าแก่ลึกลับที่สุดแต่ละท่านนี้ เกรงว่าจะไปถึงครึ่งก้าวสู่ขอบเขตยอดอรหันต์กันหมดแล้ว

สําหรับบรรพชนที่สี่ บรรพชนที่ห้า จนไปถึงบรรพชนที่เก้านั้นอาจจะแข็งแกร่งน้อยกว่า แต่ไม่ว่าจะอ่อนแอเพียงใดก็ยังเป็นอรหันต์ขั้นสูงสุดที่ควบแน่นอาณาเขตได้แล้ว ความแข็งแกร่งของพวกท่านนั้นน่ากลัวถึงขีดสุด

 

บรรพบุรุษชีหยวนจากนิกายเฮยหยวนก็แข็งแกร่งเช่นกันแต่มันก็ยังอยู่ห่างไกลจากบรรพชนทั้งเก้าของวิหารหมื่นพุทธ

แม้ว่าจะควบแน่นอาณาเขตได้เหมือนกัน แต่ก็มีความสูงต่ําแตกต่างกันเนื่องจากความต่างด้านวิชาบ่มเพาะและเคล็ดวิชาที่ใช้

หากบรรพชนเก้าได้ติดต่อกับบรรพชนหกและบรรพชนเจ็ดแห่งวิหารหมื่นพุทธ เมื่อมีอรหันต์ขั้นสูงสุดถึงสองรูป รวมถึงบรรพชนเก้าด้วยเกรงว่าคงจะไม่มีปัญหาเกิดขึ้นกับวิหารหมื่นพุทธภายในทวีปนี้ได้แน่

“เอาล่ะ”

 

“ขอฝากเรื่องของที่นี่ไว้ให้แก่เจ้าแล้ว”

 

บรรพชนเก้าเหลือบมองสงฆ์ชรา ก่อนจะก้าวเท้าออกและหายตัวไป

 

“น้อมส่งบรรพชนเก้า………..”

เมื่อเห็นฉากนี้ สงฆ์ชราก็โค้งคํานับทันที และยังโค้งคารวะส่งไปทางอาณาจักรถัง

 

ในเวลาเดียวกัน

 

ณ โลกถ้ําปิศาจใต้พิภพ

 

ซูฉินเดินออกมาจากโถงใหญ่ภายในเมือง และยืนอยู่บนกําแพงเมืองอินจี้โม่จียืนเคียงข้างด้วยความเคารพเช่นเดียวกับราชาปีศาจอีกนับโหลภายในเมืองอินจี่

 

หลังจากลงชื่อเข้าใช้มาหลายปี ซูฉันรู้สึกได้ว่ากิ่งก้านของต้นไม้ปีศาจโบราณภายในเมืองอินจี้แทบจะไม่สามารถลงชื่อเข้าใช้ต่อไปได้แล้ว

ในช่วงไม่กี่ปีมานี้ ซูฉินได้ลงชื่อเข้าใช้ที่เมืองอินจี้ ได้รับโอสถศักดิ์สิทธิ์ธาตุไฟมาจํานวนมากแม้แต่หยดโลหิตของเทพเจ้าปีศาจที่มีไอพลังธาตุไฟระอุออกมาจางๆ ก็ยังได้รับมาถึงสองสาม หยด

 

“น่าเสียดาย

 

“ถ้าต้องการจะบ่มเพาะวิชาภาพดวงตะวันขนาดมหึมาให้บรรลุถึงความสําเร็จระดับเล็ก โอสถศักดิ์สิทธิ์ธาตุไฟจํานวนเท่านี้ไม่เพียงพอ”

 

ท่าทีของซูฉินยังคงไม่เปลี่ยนแปลง แต่ภายในก็แอบทอดถอนใจ

อยู่บ้าง

 

แม้ว่าหลังจากฝึกฝนภาพดวงตะวันขนาดมหึมาจนสําเร็จซูฉินจะสามารถให้กําเนิดอีกาทองคําสามขา ซึ่งเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ที่แข็งแกร่งที่สุดด้านเปลวไฟมันสามารถท่องเที่ยวไปทั่วผืนฟ้าและผืนดินเผาผลาญได้ทุกสิ่งทุกอย่าง

 

แต่ปัญหาที่ซูฉันกําลังเผชิญอยู่ตอนนี้ นับประสาอะไรกับการสําเร็จวิชาภาพดวงตะวันขนาดมหึมา แม้แต่สําเร็จขั้นตอนเล็กๆ ในวิ ชาภาพดวงตะวันๆก็ยากมากๆแล้ว

 

ในความเป็นจริง หากซูฉินสามารถกลืนโลหิตเทพเจ้าปีศาจธาตุ ไฟได้อาจได้รับผลประโยชน์ที่ไม่คาดฝั อาจจะไม่ถึงขั้นทําให้สําเร็จวิชาภาพดวงตะวันขนาดมหึมา แต่ความสําเร็จเพียงขั้นเล็กๆก็น่าจะไม่มีปัญหา

แต่ตอนนี้สําหรับซูฉิน ไม่ต้องพูดถึงการกลืนมันลงไปแม้แต่การสัมผัสโลหิตเทพเจ้าธาตุไฟสองสามหยดนี้ ก็ไม่สามารถกระทําได้

 

ไม่ว่าจะเป็นโลหิตเทพเจ้าที่ได้รับจากการลงชื่อเข้าใช้ในเมืองเมฆาปีศาจ หรือโลหิตเทพเจ้าปีศาจที่ได้จากการลงชื่อเข้าใช้ในเมืองอินจี้ก็ราวกับพวกมันไม่ได้มีอยู่จริงในที่แห่งนี้ ซูฉินมองเห็นได้ด้วย ตาเปล่าเท่านั้นแต่เมื่อเขาต้องการสัมผัสโอบล้อมด้วยจิตสัม ผัสศักดิ์สิทธิ์หรืออาณาเขตก็ไม่สามารถทําอะไรกับมันได้เลย

“ได้เวลาเตรียมหาสถานที่ลงชื่อเข้าใช้ครั้งใหม่แล้ว”

ความคิดของซูฉินผันผวน มองดูภูเขาไฟที่อยู่ใต้เมืองอินจี้ ขบคิดในใจอย่างรวดเร็ว

ในช่วงไม่กี่ปีมานี้ ซูฉินเองนั้นไม่ได้อยู่เฉยได้ขอให้โม่จไปสอบ ถาม ค้นหาสถานที่ภายในดินแดนโมฮวามาคร่าวๆ

ข้อกําหนดคือภายในบริเวณดินแดนโมฮวาทั้งหมด ที่ไหนก็ได้ที่เต็มไปด้วยพลังงานปีศาจธาตุไฟเหมือนกับเมืองอินจี้ และต้องเป็นสถานที่ที่มี “เต๋สะสม” จํานวนมาก ซึ่งก็มีอยู่บ้างแต่ส่วนใหญ่ล้วนมีปีศาจที่ทรงพลังอํานาจยึดครองเอาไว้แทบทั้งหมด

ปีศาจผู้ทรงพลังเหล่านี้อย่างน้อยก็เป็นราชาปีศาจขั้นสูงสุดโดยเฉพาะอย่างยิ่งในสถานที่แห่งหนึ่งที่เรียกขานกันว่า “หุบเขาเทพแห่งไฟ” นั้นมีแนวโน้มว่าจะมีตัวตนที่อยู่เหนือกว่าราชาปีศาจอาศัยอยู่อย่างสันโดษ

ขณะที่ซูฉันค่อยๆ คิดใคร่ครวญไตร่ตรองตามเป้าหมายอยู่นั้นทันใดนั้นเขาก็จ้องมองไปที่ภูเขาไฟใต้เมืองอินจี่

“ภูเขาไฟนี้ก่อตัวขึ้นเมื่อใด?” ซูฉินเอ่ยถาม สายตาหรี่เล็กลง

 

“นายท่าน…” โม่จีกะพริบตาปริบๆ นางไม่คิดว่าซูฉินจะสนใจภูเขาไฟใต้เมืองอินจี่แห่งนี้ “นายท่าน ไม่มีใครรู้เวลาที่แน่ชัดว่าภูเขาไฟแห่งนี้ก่อตัวขึ้นเมื่อใด แต่อย่างน้อยก็ยาวนานกว่าเมืองอินจี้แน่นอน”

“โอ้ว”

ความคิดหนึ่งวาบเข้ามาในหัวของซูฉิน ทันใดนั้นเขาก็พบว่าตนเองละเลยสิ่งที่สุดแสนสําคัญไป

 

ภูเขาไฟใต้เมืองอินจี้นั้นอาจจะมี เต้าสะสม”อยู่เช่นกัน

รู้หรือไม่ ตั้งแต่ซูฉินย้ายเข้ามายังเมืองอินจี้ ก็มักจะลงชื่อเข้าใช้อยู่ใต้กิ่งก้านของต้นไม้ปีศาจโบราณภายในโถงใหญ่ประจําเมือง

 

ซูฉันรู้สึกว่า เต่าสะสม” จากกิ่งก้านของต้นไม้ปีศาจโบราณเป็น“เต๋าสะสม” ที่ได้มาจากภูเขาไฟรวมเข้ากับของเมืองอินจี

 

แต่ในความเป็นจริง การมีอยู่ของภูเขาไฟใต้ฝ่าเท้านี้ยาวนานยิ่งกว่าเมืองอินจอย่างสิ้นเชิง และทั้งสองสิ่งอาจจะไม่ใช่สิ่งเดียวกันอย่างที่ซูฉันคิด

“ข้าจะออกไปดูที่นั่นสักหน่อย”

 

ดวงตาของซูฉินสว่างวาบ ก้าวเท้าออกไปด้านหน้าก่อนจะหายตัวไปจากเมืองอินจี้ภายในพริบตา

“นี่ ” โม้จีและราชาปีศาจอีกนับสิบตนต่างมองหน้ากันใบหน้าเต็มไปด้วยความสับสน

 

ตั้งแต่ซูฉินมาถึงเมืองอินจี้ เขาก็ใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการปิดด่านฝึกตนอยู่ภายในห้องโถงประจําเมืองอินจี้ ไม่ต้องกล่าวถึงการออกจากเมืองอินจี้แม้แต่จํานวนครั้งที่ออกมานอกห้องโถ งยังนับครั้งได้

ขณะที่โม่จีและเหล่าราชาปีศาจกําลังงงงวยซูฉินก็เข้ามาในส่วนลึกของภูเขาไฟใต้พิภพแล้ว

ความร้อนแผดเผาน่าสะพรึงกลัวโรมเร้าอยู่ทั่วทุกตารางนิ้วแม้ว่าจะเป็นราชาปีศาจ ถ้าหากมาอยู่ในสถานที่แห่งนี้เป็นเวลานานก็เกรงว่าไม่ช้าก็เร็วคงถูกความร้อนแผดเผาได้เช่นกัน

 

แต่ซูฉินนั้นแตกต่างออกไป ร่างกายของเขาแข็งแกร่ง มีทิพยอํานาจกายเนื้อกําเนิดใหม่ ควบคู่ไปกับการมีอาณาเขตคอยป้องกันแทบจะเดินอยู่ภายในนี้ได้อย่างสบายๆ

 

“ภายในนี้มีโอสถจิตวิญญาณธาตุไฟอยู่กี่ประเภทกันนะ?”

หลังจากกวาดตาดูสองสามครั้ง ซูฉินก็พบว่าบางมุมของแผ่นหินภายในภูเขาไฟ ลึกลงไปใต้หินหนืดหลอมเหลว มันมีความผันผวนที่อธิบายได้ยากอยู่เมื่อใช้จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ตรวจดู ทันใดนั้นก็ทราบว่ามันเป็นโอสถจิตวิญญาณธาตุไฟที่ก่อร่างสร้างตัวขึ้นมาที่นี่

“หากแม้ว่าข้าเดาผิดพลาดไป มันก็ไม่ใช่การเดินทางที่เสียเปล่าไปซะทีเดียว”

 

เพียงความคิดวูบเดียว ซูฉินก็นําโอสถจิตวิญญาณเหล่านั้นขึ้นมาใบหน้าของเขาดูค่อนข้างพึงพอใจ

โอสถจิตวิญญาณธาตุไฟเหล่านี้ไม่รู้ว่าก่อร่างสร้างตนมานานกี่ปีมันมีพลังงานธาตุไฟเป็นจํานวนมาก และเป็นทรัพยากรที่ดีอย่างยิ่งสําหรับการฝึกฝนวิชาภาพดวงตะวัน”

 

“เอาล่ะ”

“ต่อจากนี้ ข้าก็แค่ต้องรอจนกว่าจะถึงวันถัดไป เพื่อยืนยันการคาดเดาของข้า” ใบหน้าของซูฉินดูเคร่งขรึมเขาเลือกที่จะรออยู่ที่นี่

 

เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล [Sign in Buddha’s palm]

 

Sign in Buddha’s palm 255

 

Sign in Buddha’s palm 255 วิหารหมื่นพุทธ

 

กรึบกริบ

 

เม็ดโอสถศักดิ์สิทธิ์มากมายถูกโยนเข้าไปในปากซูฉันราวกับเป็นลูกอมขนมขบเคี้ยว

 

โอสถศักดิ์สิทธิ์ไหลผ่านลําคอลงไป ทันใดนั้นพวกมันก็กลายเป็นพลังงานและจิตใจแห่งฟ้าดินพุ่งไปตามแขนขา ช่วยยกระดับพลังในร่างของซูฉินอย่างต่อเนื่อง

 

การฝึกฝนตลอดหนึ่งวันของซูฉิน เขากลืนโอสถศักดิ์สิทธิ์ลงไปเป็นจํานวนมากพอที่ตํานานยุทธธรรมดาจะใช้ได้เป็นเดือนๆ

 

หลังจากปิดด่านฝึกตนมาหลายปี โอสถศักดิ์สิทธิ์ที่เขาใช้ไปทั้งหมดเพียงพอที่จะทําให้สํานักเทพโอสถจากต่างแดนตกตะลึง

 

มีเพียงซูฉินซึ่งลงชื่อเข้าใช้มาหลายสิบปี สะสมโอสถศักดิ์สิทธิ์จํานวนนับไม่ถ้วนเท่านั้นจึงจะมีคุณสมบัติที่จะฟุ่มเฟือยได้มากเพียงนี้แต่กระนั้น เมื่อผ่านการปิดด่านฝึกตนมาหลายปี โอสถศักดิ์สิทธิ์ที่ซูฉันเก็บสะสมไว้ก็ลดลงในระดับที่สังเกตเห็นได้ด้วยตาเปล่า ใช้ไปเกือบหนึ่งส่วนจากสิบส่วนที่เดียว

 

“บ่มเพาะมาหลายปีแล้ว ทุกอย่างสมบูรณ์ พร้อมที่จะก้าวเข้าสู่นภาชั้นที่เก้า วันนี้ต้องเริ่มทําให้สําเร็จในคราวเดียว”

 

ซูฉินลืมตาขึ้นในทันใด เพียงแค่คิดโอสถศักดิ์สิทธิ์ทั้งเก้าเม็ดก็ปรากฏขึ้นต่อหน้าซูฉิน

 

โอสถทั้งเก้าเม็ดนี้ทันทีที่ออกจากคลังระบบเผยสู่โลกภายนอกมันก็เริ่มสร้างปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติให้เห็นเล็กน้อย

 

เมื่อซูฉินนําโอสถทั้งเก้าเม็ดนี้ออกมา ความเจ็บปวดก็ฉายออกมาผ่านใบหน้า โอสถทั้งเก้าเม็ดนี้เป็นโอสถเทพที่จะใช้เมื่อยามก้าวข้ามขอบเขต แต่เพื่อไม่ให้เกิดข้อผิดพลาด ซูฉินทําได้เพียงควักมันออกมาแม้ไม่เต็มใจเท่าไหร่นัก

 

ท้ายที่สุดโอสถเทพก็สามารถหามาเพิ่มจากการลงชื่อเข้าใช้ แต่ถ้าการทะลวงระดับล้มเหลว จะเกิดผลกระทบครั้งใหญ่ต่อซูฉินและมันเป็นเรื่องใหญ่ยิ่งกว่าการสูญเสียโอสถเทพไปอย่างแน่นอน

 

เมื่อคิดได้ดังนั้น ซูฉินก็กลืนโอสถเทพลงไปทันที

 

ซูฉันรู้สึกได้ว่าภายในร่างของเขามีเปลวเพลิงที่หนาวเย็นกําลังแผดเผาอยู่ แก่นแท้แห่งพลังที่กลั่นตัวจนถึงขั้นสูงสุดเริ่มแปรสภาพไปอีกครั้งภายใต้เปลวเพลิงกลุ่มนี้

 

บูม!

 

ช่วงเวลาต่อมา

 

ซูฉินก็เริ่มทะลวงคอขวดของระดับนภาชั้นที่เก้า

 

มีการรวมพลังของแก่นแท้แห่งพลัง และจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ก็หลั่งไหลเข้ามา ทั้งหมดนั้นพุ่งเข้าหาผนึกที่คอยปิดกั้นระดับนภาชั้นที่เก้าเอาไว้

 

เวลาค่อยๆ ผ่านเลยไป

 

ผ่านไปอีกหลายเดือนในชั่วพริบตา

 

ในช่วงไม่กี่เดือนมานี้ ซูฉินได้กลืนโอสถเทพไปทั้งสิ้นแปดเม็ดและฤทธิ์ยาที่น่าสะพรึงกลัวก็ยังคงสะสมอยู่ในร่างกายของเขา

 

เพียงแต่วันนี้

 

ซูฉันรู้สึกได้ถึงเสียงคํารามก้องภายในหู และพริบตาหลังจากนั้นแก่นแท้แห่งพลังยังคงควบแน่นอย่างต่อเนื่องราวกับมันถึงจุดสูงสุดแล้ว

 

ซูฉินมองเข้าไปภายในกาย เมื่อเขาเห็น” แก่นแท้เหล่านี้ จิตวิญญาณของเขาถึงกับเปี่ยมสุข ตระหนักได้ว่าตอนนี้เขาได้กลั่นแก่นแท้แห่งพลังจนสุดขั้วแล้ว เว้นแต่จะข้ามขอบเขตใหญ่ ไม่เช่นนั้นแก่นแท้แห่งพลังจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงอีกต่อไป

 

“นี่คือระดับนภาชั้นที่เก้า?”

 

ซูฉินถอนหายใจด้วยความโล่งอก

 

หลังจากเข้าสู่ระดับนภาชั้นที่เก้า เป็นธรรมดาที่ซูฉินจะรู้สึกว่าไม่อาจก้าวหน้าต่อไปได้อยู่ท่วมท้นในจิตใจ

 

ในขณะนี้เขาได้เหยียบย่างเข้าสู่ระดับนภาชั้นที่เก้าแล้ว เกือบจะอยู่ในจุดสูงสุดของขอบเขตอรหันต์ แม้แต่ในยุทธภพต่างดินแดนก็มีตํานานยุทธไม่กี่คนที่มาถึงระดับเดียวกับซูฉินตอนนี้ได้ แต่พวกเขาส่วนใหญ่ก็ได้ใช้วิธีลับปิดผนึกตนเองให้หลับใหลกันไปหมดแล้ว

 

“ต่อจากนี้ ข้าจะต้องเปลี่ยนจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ให้กลายเป็นจิตวิญญาณแรกกําเนิด จากนั้นจึงจะสามารถทะลวงขอบเขตเซียนเทพปฐพี่ได้ ”

 

ซูฉินแสดงความตื่นเต้นออกทางสีหน้า

 

เทียบการบ่มเพาะในระดับนภาชั้นที่เก้า และระดับก่อนหน้าอย่างนภาชั้นที่เจ็ดและแปด ก็เหมือนกับเป็นขั้นสูงสุดในช่วงต้นและช่วงปลาย

 

ไม่ว่าผู้ฝึกยุทธคนใด เมื่อก้าวเข้าสู่ระดับนภาชั้นที่เก้าก็เท่ากับยืนอยู่บนจุดสูงสุด อย่างน้อยในแง่ของแก่นแท้แห่งพลังก็ถึงขีดสุดแล้ว และไม่มีทางที่จะเพิ่มพลังให้กับมันได้อีก

 

สําหรับผู้ฝึกยุทธในระดับนภาชั้นที่เก้ามีสองสิ่งเท่านั้นให้ทํา

 

หนึ่งคือควบแน่นอาณาเขต

 

สองคือกลันจิตวิญญาณแรกกําเนิด

 

เงื่อนไขทั้งสองข้อนี้เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้หากต้องการจะเข้าสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพี

 

โดยทั่วไปแล้วผู้ฝึกยุทธที่มาถึงระดับนภาชั้นที่เก้าส่วนใหญ่จะมีอายุอยู่ที่สี่ร้อยถึงห้าร้อยปี หรือไม่ก็จวนจะสิ้นอายุขัยแล้ว การที่จะควบแน่นอาณาเขตให้สมบูรณ์หรือการเปลี่ยนแปลงจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ก็ไม่ต่างจากความฝัน

 

บางที่อาจจะมีวิธียืดอายุในต่างดินแดน แต่ตามคํากล่าวของนักพรตเฒ่าสํานักเอกะวิถี วิธีการยืดอายุขัยในต่างดินแดนสามารถยึดอายุขัยได้เพียงไม่กี่สิบปี ทั้งยังไม่สามารถกระทําซ้ําได้

 

หลายสิบปีสําหรับคนธรรมดาอาจจะมากกว่าครึ่งชีวิต แต่ในสายตาของตํานานยุทธระดับนภาชั้นที่เก้าผู้มีความปรารถนาจะขึ้นไปถึงขอบเขตเซียนเทพปฐพี มันจะไปมีค่าอันใด?

 

“ข้ามีโอสถจิตวิญญาณแรกกําเนิด และไม่มีปัญหาในการกลั่นจิตวิญญาณแรกกําเนิด” รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของซูฉิน

 

สาหรับตํานานยุทธระดับนภาชั้นเก้าส่วนใหญ่ หากต้องการจะกลั่นจิตวิญญาณแรกกําเนิด แม้ว่าจะมีทรัพยากรเพียงพอ และทุกสิ่งดําเนินไปอย่างราบรื่น ไม่มีปัญหาคอขวดหรือสิ่งอื่นๆ มากวนใจก็ต้องใช้เวลาไม่น้อยกว่าหลายสิบปีในการค่อยๆ กลั่นมันออกมา

 

ทั้งยังต้องควบแน่นอาณาเขตด้วย.

 

หรือพูดง่ายๆ คือ จอมยุทธที่ต้องการจะทะลวงเข้าสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพี หลังจากเข้าสู่ตํานานยุทธระดับนภาชั้นที่เก้าแล้วจะต้องมีอายุขัยเหลืออย่างน้อยๆ ก็ร้อยปี จึงจะพอมีความหวังอยู่บ้าง

 

แต่ก็เป็นเพียงความหวังอันริบหรี่เหลือแสน

 

อย่างไรก็ตาม ซูฉินครอบครองโอสถจิตวิญญาณแรกกําเนิดเพียงพอที่จะย่นระยะเวลาหลายสิบปีให้เหลือเพียงไม่กี่ปี หรืออาจจะแค่หนึ่งปี นี่เป็นเพราะว่าซูฉินต้องการจะสัมผัสกระบวนการการเปลี่ยนแปลงของจิตวิญญาณแรกกําเนิดไปทีละขั้น ไม่เช่นนั้นด้วยโอสถจิตวิญญาณแรกกําเนิดกว่าห้าสิบเม็ด คาดว่าใช้เวลาเพียงสามเดือนก็พอแล้ว

 

“ไม่รู้ว่า โอสถจิตวิญญาณแรกกําเนิดทั้งห้าสิบเม็ดจะช่วยพัฒนาจิตวิญญาณแรกกําเนิดของข้าได้มากขนาดไหน”

 

ใบหน้าของซูฉินปรากฏความคาดหวังขึ้นมา

 

แม้จะกล่าวกันว่า ตราบใดที่จิตวิญญาณแรกกําเนิดถูกกลั่นออกมาแล้ว ก็เข้าถึงเงื่อนไขขั้นต่ําในการทะลวงขอบเขตเซียนเทพปฐพีแต่ถ้าต้องการให้กระบวนการในการเข้าสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพีราบรื่นมากยิ่งขึ้น และได้รับประโยชน์อย่างสูงล้ําหลังเข้าสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพี มันจะต้องเพิ่มปริมาณของจิตวิญญาณแรกกําเนิดอย่างต่อเนื่อง

 

ยิ่งจิตวิญญาณแรกกําเนิดยิ่งใหญ่มากเท่าไหร่ ก็ยิ่งได้ประโยชน์มากหลังการก้าวข้ามขอบเขต

 

อย่างไรก็ตาม ในประเด็นดังกล่าว แม้ว่าซูฉินจะค้นหนังสือโบราณภายในเกาะหยิงโจว หรือฟังมาจากสิ่งที่นักพรตเฒ่าสํานักเอกะวิถีรู้ มันก็มีเพียงรายละเอียดคร่าวๆ เท่านั้น ไม่มีข้อมูลลงลึกไปมากนัก ไม่มีอะไรให้ทําความเข้าใจ

 

สุดท้ายแล้ว ไม่ว่าจะเป็นผู้ฝึกยุทธในระดับนภาชั้นที่เก้าคนใดหลังจากกลั่นจิตวิญญาณแรกกําเนิดสําเร็จแล้ว ก็คงกลัวว่าอายุขัยจะหมดลง เมื่อเป็นเช่นนี้จึงไม่อาจทนรอได้ไหว ต้องทะลวงขอบเขตให้ได้โดยเร็วที่สุด จะมัวมาหยุดปรับปรุงพลังจิตวิญญาณได้อย่างไร?

 

ย้ําอีกครั้ง

 

นอกจากโอสถจิตวิญญาณแรกกําเนิดแล้ว ก็มีโอสถอีกเพียงไม่กี่ชนิดที่ช่วยเสริมจิตวิญญาณแรกกําเนิด จอมยุทธในระดับนภาชั้นที่เก้านั้น แม้ว่าพวกเขาอยากจะเพิ่มความแข็งแกร่งของจิตวิญญาณแรกกําเนิดจริง ก็ทําอะไรได้ไม่มากนัก

 

“ข้ามีลูกท้อบ้านอยู่ จะต้องสร้างความมั่นคงให้ได้มากที่สุดภายในสิบปีเพื่อทะลวงขอบเขต แม้ว่าจะล้มเหลว แต่ก็ยังมีโอกาสฟื้นกลับมาได้”

 

เมื่อซูฉินเผชิญหน้ากับคอขวดขอบเขตเซียนเทพปฐพี ท่าทีของเขาก็เป็นปกติมาก ไม่เหมือนกับผู้ฝึกยุทธระดับนภาชั้นที่เก้าคนอื่นๆ ที่ราวกับว่าตนกําลังเผชิญหน้ากับศัตรู มีอันตรายร้ายแรงถึงแก่ชีวิต

 

สุดท้ายแล้วซุฉินนั้นแตกต่างจากตํานานยุทธคนอื่นๆ เขามีอายุขัยเหลือมากกว่าเก้าร้อยปี และถ้ากินลูกท้อบ้านก็จะมีชีวิตอยู่ได้อีกหนึ่งพันเก้าร้อยปี

 

ด้วยระยะเวลาที่ยาวนานเพียงนั้น แม้แต่หมูก็ยังสามารถก้าวเข้าสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพีได้ นับประสาอะไรกับซูฉินเล่า?

 

“แต่ตอนนี้ข้าไม่รีบ”

 

“เมื่อเข้าสู่ระดับนภาชั้นที่เก้า ข้าควรจะทําให้พื้นฐานของระดับขั้นมีเสถียรภาพเสียก่อน แล้วจึงเตรียมใช้โอสถจิตวิญญาณแรกกําเนิดในภายหลัง

 

ซูฉินเป็นบุคคลที่ระมัดระวังตนอย่างยิ่ง แม้ว่าเขาจะมีความมั่นใจเต็มเปี่ยม เขาก็ต้องพยายามทําให้ดีที่สุด จะไม่ปล่อยให้เกิดโอกาสล้มเหลวขึ้นมาได้

 

เมื่อคิดถึงจุดนี้ ซูฉินก็หลับตาลงอีกครั้ง และเริ่มปรับลมหายใจของตนเองให้คงที่

 

ในส่วนลึกของทะเลทรายทิศตะวันตก

 

บนน่านฟ้าเต็มไปด้วยทรายสีเหลือง ปกติมันมักจะเต็มไปด้วยพายุทรายอันน่ากลัว หากจอมยุทธธรรมดาหาญกล้าเข้าไปในส่วนลึกไม่นานเท่าไหร่นักอาจจะพบพายุทรายที่ทําลายร่างพวกเขาจนแหลกเป็นชิ้นๆ

 

และในตอนนี้

 

สถานที่ที่มีผืนทรายกว้างไกลไร้ที่สิ้นสุดกลับถูกยึดครอง

 

มีการก่อสร้างวิหารขึ้นมาอย่างช้าๆ

 

วิหารแห่งนี้ไม่ได้ใหญ่มากนัก เห็นได้ชัดว่าเพิ่งสร้างขึ้นและไม่ค่อยมีใครผ่านมาพบเห็นมากนัก แต่ภายใต้ทรายสีเหลืองที่หมุนวนพัดไปมาเต็มท้องฟ้า มันกลับหยุดนิ่งที่นี่ พายุทรายสีเหลืองเมื่อเข้ามาในระยะไม่กี่ร้อยเมตรจากตัววิหาร กลับสลายหายไปตามธรรมชาติ

 

และทั้งสี่ทิศรอบวิหาร มีแท่นศิลาตั้งตระหง่านอยู่ เหนือศิลามีอักขระจารึกไว้สามคําว่า วิหารหมื่นพุทธ

 

“บรรพชนเก้า”

 

“คราวนี้ท่านได้ตื่นจากการหลับใหลเพื่อมายังแผ่นดินแห่งพลังยุทธอันยิ่งใหญ่ ใช้เวลาหลายเดือนกว่าจะสร้างวิหารแห่งนี้ขึ้นมาด้วยฝีมือของท่าน ช่วยวางรากฐานให้กับวิหารหมื่นพุทธของพวกเรา”

 

สงฆ์ชราพูดขึ้นอย่างช้าๆ และในที่สุดแววให้ความสงสัยก็ปรากฏขึ้นในน้ําเสียงของเขา “แต่ว่า ทําไมท่านบรรพชนเก้าถึงวางแผนที่จะเข้าสู่อาณาจักรถัง?” สงฆ์ชรามองไปที่ร่างที่อยู่เบื้องหน้าของเขา

 

ร่างเบื้องหน้านี้เป็นภิกษุเช่นกัน แต่ยังดูเด็กอยู่มาก ราวกับเพิ่งอายุได้สิบห้าสิบหกปีเท่านั้น ริมฝีปากแดงระเรื่อ ฟันขาวสะอาด

 

แต่สงฆ์ชราไม่เคยคิดว่าพระหนุ่มตรงหน้าจะเป็นเด็กจริงๆ ตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้

 

สงฆ์ชรารู้ดีว่า แม้พระหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าของเขาจะดูเยาว์วัย แต่แท้จริงแล้วเป็นถึงอรหันต์ระดับสูงสุดรูปหนึ่ง ท่านคือบรรพชนเก้าแห่งวิหารหมื่นพุทธ

 

“บรรพชนเก้า”

 

“ตํานานยุทธขั้นสูงสุดในอาณาจักรถังมีความแข็งแกร่งที่ไม่อาจหยั่งรู้ แม้แต่มารร้ายอย่างบรรพบุรุษชีหยวนก็ยังตกตายในมือของเขา หากท่านไปโดยไม่ได้เตรียมตัว มันอาจจะทําให้อีกฝ่ายตื่นตัวนี่ย่อมเป็นผลร้ายมากกว่าผลดี ”

 

สงฆ์ชราอดไม่ได้ที่จะกล่าวขึ้นมา

 

แม้เขาจะมั่นใจในความแข็งแกร่งของบรรพชนเก้า เนื่องจากท่านเป็นหนึ่งในรากฐานสําคัญของวิหารหมื่นพุทธ จึงแข็งแกร่งกว่าบรรพบุรุษชีหยวนอย่างแน่นอน แต่ทุกวันนี้ไม่ได้มีเพียงตํานานยุทธขั้นสูงสุดของอาณาจักรถังที่อยู่ในแผ่นดินแห่งพลังยุทธอันยิ่งใหญ่แห่งนี้

 

นิกายใหญ่อื่นๆ ในต่างดินแดนก็ส่งบรรพชนของพวกเขาเข้ามาแก่งแย่งแข่งขันสร้างพื้นที่ของตนเองที่นี่ และค่อยๆ โยกย้ายมรดกจากต่างแดนมา เตรียมพร้อมรับกับโลกอันยิ่งใหญ่ที่กําลังจะมาถึงในอนาคต

 

หากในเวลานี้ตํานานยุทธขั้นสูงสุดอย่างบรรพชนเก้าและตํานานยุทธแห่งอาณาจักรถังมีความเคลื่อนไหวครั้งใหญ่ ไม่ว่าจะแพ้หรือชนะ ไม่ใช่ว่ามันย่อมเปิดโอกาสให้บรรพชนนิกายใหญ่คนอื่นๆ เข้ามาฉกฉวยผลประโยชน์หรอกหรือ?

 

ในกรณีที่บรรพชนเก้าและตํานานยุทธขั้นสูงสุดแห่งอาณาจักรถังได้รับบาดเจ็บทั้งคู่ หรือบรรพชนเก้าเป็นฝ่ายชนะแต่ได้รับบาดเจ็บรุนแรง ในเวลานั้นก็ไม่อาจคาดเดาท่าที่ของผู้ที่แข็งแกร่งในระดับเดียวกันได้อย่างแน่นอน

 

นี่เป็นเหตุผลที่ทําไมนิกายใหญ่จํานวนมากจึงหยุดอยู่ที่ชายขอบของแผ่นดินแห่งพลังยุทธอันยิ่งใหญ่ และไม่ได้รีบดําเนินการใดๆ กับอาณาจักรถังในทันที

 

แน่นอนว่าเป็นเพราะซูฉินสังหารบรรพบุรุษชีหยวนลงไปในแง่ของความแข็งแกร่ง ซูฉินถือว่าอยู่ในจุดที่สูงไม่น้อยในสายตาของนิกายใหญ่

 

แต่เหตุผลที่สําคัญยิ่งกว่านั้นคือ นิกายใหญ่ต่างระแวงซึ่งกันและใน

 

“ที่ข้าไปยังอาณาจักรถังไม่ใช่จะตั้งตนเป็นศัตรูกับตํานานยุทธขั้นสูงสุดผู้นั้น แต่ในทวีปนี้ ข้าสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายขององค์ยูไล”

 

ความกระตือรือร้นปรากฏชัดขึ้นบนใบหน้าของพระหนุ่มที่ถูกเรียกว่า “บรรพชนเก้วิหารหมื่นพุทธเรียกได้ว่าเป็นแหล่งกําเนิดของพุทธศาสนาตั้งแต่ช่วงสุดท้ายของยุคกระแสปราณฉีเฟื่องฟู แต่ในความเป็นจริงแล้ว ปรมาจารย์ทั้งหลายจากวิหารหมื่นพุทธรวมถึงบรรพชนเก้าก็ไม่เคยสัมผัสถึงการมีอยู่ขององค์ยูไล” จริงๆ สักครั้ง

 

แต่ยามนี้ ไม่น่าเชื่อจริงๆ บรรพชนเก้าเริ่มรู้สึกได้อย่างบางเบายิ่งกลิ่นอายของ องค์ยูไล” บนแผ่นดินแห่งพลังยุทธอันยิ่งใหญ่แห่งนี้

 

ถ้าไม่ใช่เวลานี้ กลิ่นอายนั้นเบาบางอย่างถึงขีดสุด แม้แต่บรรพชนเก้าเองก็ไม่แน่ใจ มีเพียงความรู้สึกคลุมเครือเท่านั้น ไม่เช่นนั้นปานนี้เกรงว่าบรรพชนทั้งเก้าที่หลับใหลอยู่ภายในวิหารหมื่นพุทธคงออกจากนิทรามาพร้อมกันแล้ว

 

“องค์ยูไล?”

 

รูม่านตาของสงฆ์ชราหดตัว สีหน้าดูประหลาดใจ

เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล [Sign in Buddha’s palm]

 

Sign in Buddha’s palm 254

 

Sign in Buddha’s palm 254 สถานการณ์ในใต้หล้า! นภาชั้น ที่เก้า!

 

ต่างดินแดน

 

นิกายเฮยหยวน

 

ผู้นำนิกายเฮยหยวนนั่งอยู่บนแท่นบัลลังก์ หน้าตาของเขาดูไม่ออกว่าสุขหรือทุกข์

 

ในความเป็นจริง เมื่อไม่กี่วันก่อนนิกายเฮยหยวนก็ได้ถูกตัดสินว่าล่มสลายลงแล้ว เพราะบรรพบุรุษชีหยวนที่อยู่ในส่วนลึกของนิกายได้เสียชีวิตลง

 

การที่ดวงไฟแห่งชีวิตดับนั้นหมายความว่าเจ้าของดวงไฟแห่งชีวิตได้ตายจากไปอย่างสมบูรณ์ ทั้งร่างกายและจิตวิญญาณ

 

“ตอนนี้ข้าควรทำเช่นไร?” ผู้นำนิกายเฮยหยวนเงียบไปครู่หนึ่งมองไปยังเหล่าอาวุโสแล้วจึงกล่าวออกมา

 

การตายของบรรพบุรุษชีหยวนเป็นความสูญเสียที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในนิกายเฮยหยวน นิกายเฮยหยวนไม่ได้สูญเสียเพียงแค่บรรพชนไปเท่านั้น แต่ยังได้ทำลายภาพลักษณ์ว่าบรรพชนจะอยู่ยงคงกระพันในหัวใจของเหล่าศิษย์สาวกนิกายเฮยหยวนจำนวนนับไม่ถ้วนไปด้วย

 

มันก็คล้ายการเลื่อมใสศรัทธา

 

“ท่านผู้นำ ข้าคิดว่าพวกเราไม่ควรจะยั่วยุตำนานยุทธขั้นสูงสุดในแผ่นดินแห่งพลังยุทธอันยิ่งใหญ่อีกต่อไป” ในเวลานั้น ผู้อาวุโสนิกายเฮยหยวนก็เอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงที่แฝงอารมณ์แปรปรวน

 

“ยั่วยุต่อไปไม่ได้?”

 

ผู้นำนิกายเฮยหยวนไม่ได้เคลื่อนไหวอะไร เขาทำได้เพียงทอดถอนใจ

 

ด้วยภูมิหลังของนิกายเฮยหยวน เป็นธรรมดาที่ต้องมีบรรพชนที่แข็งแกร่งยิ่งกว่าบรรพบุรุษชีหยวน แต่บรรพชนเหล่านั้นล้วนเสื่อมถอยกันทั้งหมดแล้วไม่ว่าจะเป็นพลังชีวิต เลือดเนื้อ และอายุขัยก็แทบจะสิ้น เป็นไปไม่ได้เลยที่จะลงมือจัดการเรื่องราวบางอย่าง แม้เพียงเรื่องเล็กน้อย

 

เพื่อล้างแค้นให้กับบรรพบุรุษชีหยวน มันไม่คุ้มค่ากับการที่จะต้องสูญเสียรากฐานแท้จริงของนิกายไป

 

นอกจากนี้ ไม่มีใครรู้ได้เลยว่า เมื่อนิกายเฮยหยวนใช้พลังที่เก็บซ่อนไว้อย่างเต็มที่ ท้ายที่สุดจะสามารถสังหารตำนานยุทธขั้นสูงสุดในแผ่นดินแห่งพลังยุทธฯ ได้หรือไม่

 

ในกรณีที่ไม่สามารถสังหารได้ หลังจากที่บรรพชนลงมือไปแล้วพลังชีวิตและเลือดเนื้อย่อมเสื่อมสลาย และหลังจากที่พวกท่านสิ้นใจไป นิกายเฮยหยวนจะต้องรับมือกับการแก้แค้นที่น่ากลัวของซูฉินเป็นแน่

 

ในเวลานั้น เกรงว่ามันจะกลายเป็นจุดจบที่แท้จริงของนิกายเฮยหยวน

 

เพียงชั่วพริบตาเดียว ความคิดมากมายก็ไหลบ่าเข้ามาในหัวของผู้นำนิกายเฮยหยวน “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เราจะหยุดพูดถึงเรื่องนั้น จะไม่พูดถึงมันอีกต่อไป”

 

“รับคำสั่ง”

 

ในที่สุดผู้นำนิกายเฮยหยวนก็ตัดสินใจครั้งสุดท้าย

 

ผู้อาวุโสที่เหลือและลูกศิษย์จำนวนนับไม่ถ้วนต่างแอบถอนหายใจด้วยความโล่งอก

 

พวกเขามองหน้ากัน เห็นความสุขที่ฉายผ่านใบหน้าของกันและ

 

ในเวลาเดียวกัน

 

ภายในนิกายเทพเจ้าสายฟ้า

 

ผู้นำนิกายเทพเจ้าสายฟ้าเป็นชายที่ดูสง่างามมีลวดลายสายฟ้าจางๆ อยู่บนใบหน้าของเขา

 

เขามองขึ้นไปยังท้องฟ้าเบื้องบน ในที่สุดก็เปลี่ยนทิศทางไปมองยังทิศแผ่นดินแห่งพลังยุทธอันยิ่งใหญ่ แล้วส่ายศีรษะไปมา

 

“ไม่คาดคิดเลยว่าแม้แต่บรรพบุรุษชีหยวนก็ตกตายลงแล้ว”

 

“แผ่นดินแห่งพลังยุทธฯ สมแล้วที่เป็นแผ่นดินแห่งพลังยุทธฯ แม้จะฟื้นคืนพลังกลับมาได้เพียงสิบปีแต่ก็ยังอันตรายอย่างยิ่ง…”

 

เสียงของผู้นำนิกายเทพเจ้าสายฟ้าแผดคำรามดุจฟ้าร้อง ส่งเสียงดังไปทั่วห้องโถง

 

“ผู้นำนิกาย”

 

“แล้วพวกเราควรจะทำเช่นไรดีในยามนี้”

 

ผู้อาวุโสของนิกายเทพเจ้าสายฟ้าคนหนึ่งขมวดคิ้วแล้วเอ่ยถามออกมา

 

นิกายเทพเจ้าสายฟ้าเป็นที่รู้จักในนามของทูตสายฟ้า เป็นศัตรูตัวฉกาจของเหล่าผู้ฝึกฝนวิชาชั่วร้าย แม้แต่ในช่วงที่นิกายเฮยหยวนรุ่งเรืองที่สุด ก็จะไม่มีความคิดที่จะยั่วยุนิกายเทพเจ้าสายฟ้าแม้แต่น้อย

 

แต่สำหรับบรรพบุรุษชีหยวน แม้ว่าบรรพชนของนิกายเทพเจ้าหิมะตื่นขึ้นมา ก็เป็นไปไม่ได้เลยที่จะทำลายทั้งร่างกายและจิตวิญญาณโดยง่ายเช่นนี้

 

“ตามข่าวที่ได้รับมา ตำนานยุทธขั้นสูงสุดนั้นปกป้องเพียงอาณาจักรถัง สวนรอบนอกอาณาจักรถัง เขาจะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยว”

 

“แผ่นดินแห่งพลังยุทธฯ เพิ่งจะฟื้นคืนกลับมา และจะขยายตัวต่อไปในอนาคต เราจะหาพื้นที่บริเวณชายขอบของแผ่นดินแห่งพลังยุทธฯ ค่อยๆ ย้ายนิกายเทพเจ้าสายฟ้ากลับคืนสู่อดีต ไม่ต้องทำทั้งหมดนั่นในครั้งเดียว จงค่อยเป็นค่อยไป”

 

ผู้นำนิกายเทพเจ้าสายฟ้าไม่สนใจเรื่องเล็กน้อย

 

ด้วยความแข็งแกร่งที่ซูฉินแสดงออกมา แม้ว่าจะแข็งแกร่งพอๆกับนิกายเทพเจ้าสายฟ้า แต่ด้วยความที่ยังไม่รู้ตื้นลึกหนาบาง พวกเขาก็ไม่อยากจะยั่วยุตัวตนเช่นนี้ หากมีบรรพชนตกตายเหมือนนิกายเฮยหยวนหรือตำหนักเทพเจ้าหิมะ มันจะไม่เป็นการสูญเสียครั้งใหญ่หรอกหรือ

 

แต่การที่ไม่อยากจะยั่วยุ ก็ไม่ได้หมายความว่าจะยอมแพ้ต่อแผ่นดินแห่งพลังยุทธอันยิ่งใหญ่

 

แผนการในปัจจุบันของผู้นำนิกายเทพเจ้าสายฟ้าคือการครอบครองพื้นที่บางส่วนในแผ่นดินแห่งพลังยุทธฯ เป็นการชั่วคราว แม้ว่าจะเป็นพื้นที่ชายขอบสุดแสนห่างไกลก็ตาม ส่วนเรื่องอื่น ค่อยพูดคุยกันในภายหลัง

 

อย่างไรเสีย สำหรับนิกายใหญ่อย่างพวกเขา เมื่อกระแสปราณฉีฟื้นตัว ความแข็งแกร่งย่อมจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และในท้ายที่สุด มันอาจจะกลับมาสู่ความรุ่งโรจน์เหมือนดั่งช่วงสุดท้ายของยุคกระแสปราณฉีเฟื่องฟู

 

“รับคำสั่ง”

 

เหล่าศิษย์ของนิกายเทพเจ้าสายฟ้าโค้งคารวะ

 

สำนักเทพโอสถ

 

ชายชราคนหนึ่งนั่งขัดสมาธิอยู่หน้าเตาหลอมโอสถขนาดใหญ่เขาค่อยๆ ลืมตาขึ้น ชายชราผู้นี้ทั้งผมบนหัวและหนวดเคราล้วนเป็นสีขาว นอกจากตัวเขาเองแล้ว ยังมีผู้อาวุโสสานักเทพโอสถจำนวนมากนั่งอยู่ด้วย

 

ในบรรดานิกายใหญ่จำนวนมากมายในต่างดินแดน สำนักเทพโอสถเป็นตัวตนที่พิเศษมาก

 

นิกายใหญ่แห่งอื่นๆ อาจจะมีทั้งกองกำลังที่เป็นมิตรและเป็นศัตรูต่อกันอยู่ แต่นิกายเทพโอสถนั้นแตกต่าง แม้แต่นิกายเฮยหยวนซึ่งเป็นนิกายใหญ่ที่มุ่งหมายแต่จะสังหาร ก็ต้องสุภาพเมื่อเจอเข้ากับนิกายเทพโอสถ

 

เพราะนิกายเทพโอสถถือครองแหล่งทรัพยากรและโอสถศักดิ์สิทธิ์กว่าหกส่วนจากทั้งหมดในต่างดินแดน

 

ถ้าเป็นเพียงเท่านั้นก็มิใช่เรื่องใหญ่อะไรนัก สำหรับนักปรุงโอสถที่ทำได้เพียงแค่ปรับแต่งโอสถ นิกายใหญ่ที่ยืนอยู่บนจุดสูงสุดไม่นับคนเหล่านี้เป็นสิ่งใด การจะจับตัวคนเหล่านี้มาเป็นทาสก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไรเช่นกัน

 

อย่างไรก็ตาม นอกจากจะเก่งเรื่องการปรุงโอสถแล้ว สำนักเทพโอสถก็ไม่ได้อ่อนแอแต่ประการใด มีข่าวลือว่าผู้ก่อตั้งสำนักเทพโอสถเป็นถึงเซียนเทพปฐพี สิ่งที่เขาทิ้งไว้เบื้องหลังในสำนักเทพโอสถ ไม่ต้องกล่าวถึงสิ่งอื่น แค่ค่ายกลผู้พิทักษ์เพียงอย่างเดียวก็เพียงพอแล้วที่จะทำลายทุกสิ่ง

 

“แผ่นดินแห่งพลังยุทธฯ ได้ปรากฏขึ้นแล้ว เป็นไปได้มากว่าจะมีน้ำยาอายุวัฒนะพันปีถือกำเนิดขึ้น หากสำนักเทพโอสถของเราได้รับมันมา คาดว่าจะสามารถหลอม โอสถเซียนเทพ” ขึ้นมาได้”

 

ชายชราผมเคราขาวมองไปยังนักปรุงโอสถหลายคนภายในสำนักเทพโอสถ กล่าวออกมาช้าๆ

 

“สำหรับที่อื่น สำนักเทพโอสถเราอาจจะไม่สนใจที่จะต่อสู้แย่งชิง แต่เพราะมีตัวตนที่ทรงพลังเกิดขึ้นแล้วในแผ่นดินแห่งพลังยุทธฯ เพราะฉะนั้นสำนักเทพโอสถของเราจึงจำจะต้องต่อสู้เสียแล้ว

 

หลังจากที่ชายชราผมเคราขาวกล่าวจบ นักปรุงโอสถคนอื่นๆ ก็ลุกขึ้นที่ละคน เตรียมพร้อมที่จะเดินทางไปยังแผ่นดินแห่งพลังยุทธ

 

ด้วยการแพร่กระจายของข่าวจากแผ่นดินแห่งพลังยุทธฯ โดยเฉพาะเรื่องการของบรรพชนทั้งสามคน ซึ่งรวมถึงบรรพบุรุษชีหยวนก็เท่ากับการยืนยันความถูกต้องของข่าวเรื่องแผ่นดินแห่งพลังยุทธฯ นอกจากแผ่นดินแห่งพลังยุทธอันยิ่งใหญ่ จะมีสถานที่ไหนอีกบ้างที่ทำให้ตำนานยุทธขั้นสูงสุดตกตายพร้อมกันถึงสามคนเช่นนี้?

 

เป็นผลให้ทั่วทั้งโลกยุทธภพต่างแดนตกอยู่ในความสับสนวุ่นวายกันอย่างสมบูรณ์

 

หากแรกเริ่มมีเพียงแค่นิกายใหญ่บางส่วนอย่างตำหนักเทพเจ้าหิมะและนิกายเฮยหยวนที่ตระหนัก นับเป็นผลกระทบที่เล็กน้อยแต่กับตอนนี้ นิกายใหญ่ทั้งหมดในต่างดินแดนต่างตื่นตัว

 

แผ่นดินแห่งพลังยุทธฯ เป็นแกนกลางหลักในการฟื้นฟูกระแสปราณฉี เป็นการนำมาซึ่งโลกอันยิ่งใหญ่ในอนาคต ซึ่งจะส่งผลกระทบอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนกับกองกำลังทั้งหลายหรือบุคคลใดๆ ทั้งหมด

 

ดังนั้นนิกายใหญ่ทั้งหมดในต่างดินแดนจึงเริ่มเคลื่อนกำลังไปสู่แผ่นดินแห่งพลังยุทธกันอย่างลับๆ เนื่องจากมีการปกป้องคุ้มครองจากซูฉินอยู่ นิกายใหญ่เหล่านี้จึงไม่เต็มใจจะขัดแย้งกับอาณาจักรถัง พวกเขาเพียงเลือกสถานที่รอบนอกของราชวงศ์ถังให้เป็นที่พำนักชั่วคราวของนิกาย

 

อาณาจักรถัง

 

เมื่อซูฉินปิดด่านฝึกตน โลกก็กลับเข้าสู่ความสงบอีกครั้ง

 

การที่ซูฉินสังหารบรรพบุรุษชีหยวนและบรรพชนจากต่างแดนอีกสองคน ทำให้หลายฝ่ายตกใจไม่น้อย แต่สำหรับคนส่วนใหญ่ในอาณาจักรถังก็แทบไม่ได้รับผลกระทบนั้นเลย

 

ไม่ว่าจะเป็นบรรพบุรุษซีหยวนหรือนิกายใหญ่ต่างดินแดนล้วนอยู่ไกลเกินเอื้อมสำหรับจอมยุทธธรรมดาๆ

 

แต่ในชั่วพริบตา เมื่อเวลาผ่านไปหลายปี ผู้คนบริเวณชายแดนอาณาจักรถังก็ค่อยๆ ค้นพบว่านอกพรมแดนนั้นดูเหมือนจะค่อยๆ มีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น

 

แม้ว่าอาณาจักรถังจะครองทั้งทวีป แต่ในความเป็นจริงก็ยังมีพื้นที่ขนาดใหญ่ที่ไม่ได้ถูกควบคุมโดยอาณาจักรถัง

 

ไม่ใช่ว่าอาณาจักรถังไม่ต้องการพิชิตดินแดนเหล่านี้ แต่ดินแดนเหล่านี้มีสภาพแวดล้อมที่เลวร้ายรุนแรง ไม่เหมาะที่ผู้คนจะเข้าไปอยู่อาศัย

 

เช่น ปลายสุดทางทิศตะวันตก สุดลูกหูลูกตาเต็มไปด้วยผืนทรายสีเหลือง ไม่ต้องพูดถึงคนธรรมดา แม้แต่จอมยุทธยังไม่กล้าอยู่อาศัยเป็นเวลานาน ยังมีเขตแดนน้ำแข็งทางตอนเหนืออันหนาวเหน็บ น้ำที่หยดลงมายังกลายเป็นน้ำแข็ง สภาพแวดล้อมเลวร้ายเสียยิ่งกว่าปลายสุดของทิศตะวันตกเสียอีก

 

แต่ยามนี้ พื้นที่ต้องห้ามในสายตาของคนทั่วไป กลับมีบางอย่างเปลี่ยนแปลงไป

 

มีจอมยุทธที่อยู่ในหุบเขาทางตะวันออกอันไกลโพ้น ได้กลิ่นโอสถลอยโชยเต็มไปด้วยพลังแห่งชีวิต ราวกับเป็นแดนสวรรค์บนดิน จอมยุทธบางคนยังค้นพบวังที่ทำจากผลึกน้ำแข็งในทุ่งน้ำแข็งขนาดใหญ่ทางตอนเหนือสุด เปรียบประดุจวังหยกสวรรค์

 

แม้แต่ในทิศตะวันตกที่เต็มไปด้วยทรายสีเหลืองทอง ยากที่จะใช้ชีวิตอยู่ พวกเขาก็ยังได้ยินเสียงสวด ราวกับองค์ยูไลได้เสด็จมาโปรดโลก

 

และในตอนนี้ภายในพระราชวังถัง จักรพรรดิถังมองสาส์นกราบทูลประทับตรามังกรด้วยใบหน้ากังวล

 

มันเป็นเรื่องเกี่ยวกับสิ่งผิดปกติที่เกิดขึ้นบริเวณนอกชายแดนของอาณาจักรถัง เขาตระหนักรู้มาระยะหนึ่งแล้ว และได้รับการยืนยันจากนักพรตเฒ่าสำนักเอกะวิถีว่าเหตุผลที่เกิดสิ่งผิดปกติเหล่านั้นมาน่าจะเป็นแผนการของเหล่านิกายใหญ่ในต่างแดน

 

อย่างไรก็ตาม หลังจากที่เขาทราบเรื่องนี้แล้ว จักรพรรดิถังก็ไม่มีวิธีจัดการใดๆ

 

สุดท้ายแล้วในระยะปัจจุบัน นิกายใหญ่เหล่านี้ก็ไม่ได้มายุ่งวุ่นวายอะไรกับอาณาจักรถัง ไม่ได้กวนน้ำให้ขุ่น เพียงใช้พื้นที่รอบนอกอาณาจักรถังเท่านั้น ดูเหมือนไม่ได้มีอะไรผิดปกติ

 

แต่จักรพรรดิถังรู้ดีแก่ใจว่าทำไมนิกายใหญ่เหล่านี้จึง “ประพฤติตัวดี” เพราะพวกเขาไม่รู้ถึงตื้นลึกหนาบาง ไม่รู้ถึงขีดจำกัดความแข็งแกร่งสูงสุดของซูฉิน ควบคู่ไปกับการถ่วงดุลอำนาจระหว่างนี้กายใหญ่จำนวนมาก ทำให้ไม่มีใครกล้าออกตัวลงมือเป็นคนแรกเมื่อสมดุลเสียไป ผลที่ตามมาก็ไม่อาจคาดคำนึงถึง

 

“ฝ่าบาท ทุ่งน้ำแข็งทางตอนเหนือน่าจะถูกครอบครองโดยตำหนักเทพเจ้าหิมะและนิกายเทพเจ้าสายฟ้า ส่วนหุบเขาทางตะวันออกสุดขั้วเกรงว่าจะเป็นสำนักเทพโอสถที่ลงมือยึดครอง ส่วนปลายสุดทางตอนใต้…”

 

ไม่ไกลจากจักรพรรดิถัง นักพรตเฒ่าสำนักเอกะวิถีกล่าวออกมารวดเร็ว แจ้งจักรพรรดิถังถึงนิกายใหญ่ทั้งหมดที่เขาจดจำได้

 

“ส่วนสุดทางทิศตะวันตก มีเสียงสวดดุจองค์ยุไลมาโปรด……….”

 

เมื่อนักพรตเฒ่ากล่าวถึงตรงนี้ก็หยุดครู่หนึ่ง แล้วกล่าวอย่างเคร่งขรึมว่า “ข้าเกรงว่าที่นี่คือพุทธศาสนสถานในต่างดินแดน วิหารหมื่นพุทธได้มาถึงแล้ว”

 

“วิหารหมื่นพุทธ?”

 

จักรพรรดิถังผงะไปชั่วขณะหนึ่ง เขารู้ว่าซูฉินอยู่วัดเส้าหลินมานานหลายปี นอกจากนี้ยังเป็นผู้ทรงสมณศักดิ์ของวัดเส้าหลินด้วยดังนั้นเขาจึงมีความสงสัยเล็กน้อยเกี่ยวกับพุทธศาสนสถานในต่างดินแดน

 

“มิผิด”

 

“มีพุทธศาสนสถานเพียงแห่งเดียวในบรรดานิกายใหญ่ทั้งหลายในต่างดินแดน”

 

น้ำเสียงของนักพรตเฒ่ามีร่องรอยความรู้สึกที่อธิบายไม่ได้อยู่

 

“วิหารหมื่นพุทธนี้แข็งแกร่งหรือไม่?” จักรพรรดิถังอดไม่ได้ที่จะถามเมื่อสังเกตเห็นสิ่งนี้

 

“แข็งแกร่งอย่างยิ่ง”

 

นักพรตเฒ่าพยักหน้าด้วยอาการเคร่งขรึม “อย่างน้อยนิกายเฮยหยวนและตำหนักเทพเจ้าหิมะก็ไม่เต็มใจที่จะต่อสู้กับวิหารหมื่นพุทธเป็นแน่”

 

“วิหารหมื่นพุทธนั้นได้ชื่อว่าเป็นแหล่งกำเนิดแห่งพุทธ สืบทอดมาตั้งแต่ช่วงสุดท้ายของยุคกระแสปราณฉีเฟื่องฟู ตามตำนานว่าเอาไว้ว่าในส่วนลึกของวิหารหมื่นพุทธ มีพระบรมสารีริกธาตุแท้ขององค์ยูไลประดิษฐานเอาไว้ ”

 

สีหน้าของนักพรตเฒ่าดูมีอารมณ์ร่วม

 

“เป็นพุทธศาสนสถานที่ทรงพลังแท้จริง…”

 

จักรพรรดิถังเงียบไปนาน ก่อนจะถอนหายใจออกมา “ข้าหวังว่าวิหารหมื่นพุทธนี้จักไม่สร้างปัญหาใด”

 

“ควรจะไม่มีปัญหา”

 

“เหล่าพระเฒ่าในวิหารหมื่นพุทธสนใจแต่พุทธศาสนาเท่านั้นส่วนเรื่องอำนาจการปกครองต่างๆ พวกเขาค่อนข้างจะไม่สนใจเท่าไรนัก”

 

นักพรตเฒ่ากล่าวปลอบขวัญ

 

“ข้าก็หวังให้เป็นเช่นนั้น” จักรพรรดิถังพยักหน้า

 

ในขณะที่โลกกำลังเปลี่ยนแปลงไป นิกายใหญ่ต่างแดนเริ่มส่งคน มาที่รอบนอกอาณาจักรงที่ละคนสองคน

 

ใต้เมืองฉางอัน

 

ในห้องโถงพระราชวังอันสูงตระหง่านสีดำสนิท

 

ความก้าวหน้าของซูฉินก็มาถึงจุดเปลี่ยนสำคัญแล้วเช่นกัน

 

เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล [Sign in Buddha’s palm]

Sign in Buddha’s palm 253

Sign in Buddha’s palm 253 หวาดกลัว

“เซียนเทพปฐพี อา…”

นักพรตเฒ่าสํานักเอกะวิถีตกอยู่ในภวังค์

แม้ว่าวิทยายุทธจะรุ่งเรืองในต่างดินแดน ขอบเขตเซียนเทพปฐพีก็ยังนับเป็นตัวตนในตํานานซึ่งไม่ได้พบเห็นกันมาเป็นพันปี นิกายใหญ่หลายแห่งที่สืบทอดต่อมานับพันปีนั้นหลายแห่งก็เป็นนิกายที่เซียนเทพปฐพีเป็นผู้ก่อตั้งเอาไว้

ในขณะที่นิกายเฮยหยวนนั้นไม่เคยมีเซียนเทพปฐพีกําเนิดขึ้นเลย

 

มีข้อบกพร่องในวิชาบ่มเพาะของนิกายเฮยหยวน ทําให้ไม่สามารถเปลี่ยนจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์เป็นจิตวิญญาณแรกกําเนิดได้ แม้แต่ศิษย์อัจฉริยะผู้น่าพึ่งยังติดอยู่ในระดับนภาชั้นที่เก้า แต่ในทางกลับกันมันก็แสดงให้เห็นถึงความยากลําบากในการเข้าสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพีด้วย

หากต้องการทะลวงขอบเขตเซียนเทพปฐพี ไม่เพียงแต่จะต้องก้าวเข้าสู่ขอบเขตตํานานยุทธระดับนภาชั้นที่เก้า แต่จะต้องควบแน่นอาณาเขตและแปลงจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ให้กลายเป็นจิตวิญญาณแรกกําเนิดด้วย

 

ยิ่งกว่านั้น แม้ว่าจะทําตามขั้นตอนเหล่านี้ครบถ้วนหมดแล้ว การที่จะสามารถเข้าสู่ขอบเขตเชียนเทพปฐพีได้หรือไม่นั้น ท้ายที่สุดก็เป็นคนละเรื่องกัน มีอัจฉริยะที่มีความสามารถมากจนถึงขนาดไม่มีใครเทียบเทียมได้จํานวนมาก ในหน้าประวัติศาสตร์ของนิกายใหญ่ล้มเหลวในการทะลวงเข้าสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพี

และผลที่ตามมาจากความล้มเหลวก็คือการที่พลังชีวิตและเลือดเนื้อเสื่อมถอย จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์เสื่อมสลาย และในที่สุดก็ต้องประกาศตัวว่าจะเข้าสู่การกลับหลับใหล

ความคิดของนักพรตเฒ่าสํานักเอกะวิถีพลันเปลี่ยนแปลงไปมาอย่างรวดเร็วจนน่าตกใจ

ถ้าไปคนอื่น นักพรตเฒ่ารู้สึกว่าต่อให้เตรียมพร้อมทุกสิ่งแล้ว ก็ไม่อาจแน่ใจได้ว่าจะสามารถเข้าสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพีได้สําเร็จ แต่กับซูฉิน…

ตั้งแต่ได้พบกับซูฉิน นักพรตเฒ่าก็ตกตะลึงมานับครั้งไม่ถ้วน ถ้าแม้แต่ซูฉินยังก้าวเข้าสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพีไม่ได้ เกรงว่าผู้ฝึกยุทธบนโลกนี้คงไม่มีใครไปแตะขอบเขตเซียนเทพปฐพีได้อีกแล้ว

ซูฉินเพิกเฉยต่ออาการตกใจของนักพรตเฒ่า หลังจากเขากําชับบางสิ่งบางอย่างเอาไว้เรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากไปและกลับมาสู่ห้องโถงพระราชวังอันสูงตระหง่านใต้เมืองฉางอัน

“บรรพบุรุษชีหยวนแท้จริงแล้วก็มีเคล็ดลับบางอย่างที่ไม่เลว”

 

ขณะที่ซูฉินนั่งขัดสมาธิ ความรู้สึกร้อนรนก็ผุดขึ้นในใจ อย่าเห็นเพียงว่าเขาสามารถสังหารบรรพบุรุษชีหยวนได้ง่ายดาย ในความเป็นจริงแล้วเคล็ดวิชาของบรรพบุรุษชีหยวนนั้นแพ้ทางให้เขาอย่างสมบูรณ์

เมฆหมอกสีดําที่รวบรวมมาจากพลังงานความตายอันไร้ที่สิ้นสุด นั้นสามารถระงับยับยั้งตํานานยุทธขั้นสูงสุดส่วนใหญ่บนโลกนี้ได้ แต่เห็นได้ชัดว่าซูฉินไม่ได้อยู่ในกลุ่มนั้น ด้วยภาพดวงตะวันขนาดมหึมาของซูฉินจึงสามารถยับยั้งพลังชั่วร้ายเหล่านี้ได้อย่างสมบูรณ์

ไม่เช่นนั้น หากบรรพบุรุษชีหยวนใช้ไม้ตายอื่น ซูฉินคงไม่สามารถแก้ทางคู่ต่อสู้ได้อย่างง่ายดายเพียงนี้ อย่างน้อยก็ต้องออกกระบวนท่าอีกสองสามครั้ง

 

“ข้ายังอ่อนแอเกินไป”

 

“ยุทธภพต่างแดนนั้นเจริญรุ่งเรืองสืบทอดมรดกมาจากช่วงสุดท้ายของยุคเฟื่องฟูของกระแสปราณฉี จะต้องมีไพ่ลับในมืออีกจํานวนมาก”

หัวใจของซูฉินดําดิ่ง

หากเขาเข้าสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพี บรรพบุรุษชีหยวนจะไม่สามารถเข้าใกล้เมืองฉางอันได้ เพียงเข้ามาในระยะร้อยล้ํารอบเมืองก็คงถูกอาณาเขตบดขยี้เป็นผุยผงไปแล้ว ทําไมยังจะต้องให้ซูฉินลงมือด้วยตัวเองอีก?

 

“ข้านั้นมีวิธีการมากมายในมือ แต่จะสามารถใช้พลังที่แท้จริงได้ก็ต่อเมื่อเข้าสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพีแล้วเท่านั้น”

ความคิดของซูฉินผันผวน และตัวเขาก็กระตือรือร้นที่จะก้าวหน้าต่อไปมากขึ้นเรื่อยๆ

ตัวอย่างเช่น ในม้วนบันทึกภาพเทพสงคราม ข้อกําหนดขั้นต่ําคือต้องมีอาณาเขตขนาดใหญ่ และอาณาเขตขนาดใหญ่ก็เป็นสิ่งที่มีเพียงเซียนเทพปฐพีเท่านั้นที่มีได้ เมื่อ เทียบกับเซียนเทพปฐพี ซูฉินมีเพียงอาณาเขตขนาดเล็กที่ครอบคลุมรัศมีหนึ่งร้อยจ้างเท่านั้น ส่วนอาณาเขตขนาดใหญ่สามารถครอบคลุมได้เป็นร้อยลี้ ไม่รู้ว่ามันห่างไกลกันเพียงใด

อีกตัวอย่างหนึ่งก็เช่น ฝ่ามือยูไลที่ว่ากันว่าเป็นเคล็ดวิชาที่แข็งแกร่งที่สุดที่ตกทอดมาจากองค์ยูไล ปัจจุบันซูฉินมีเพียงรูปแบบแรกที่ได้รับมานั่นคือ “เพียงตัวตถาคตประเสริฐสุด ส่วนอีกแปดรูปแบบที่เหลือซูฉินจําต้องก้าวหน้าต่อไปเพื่อรับมันมาเพิ่มทีละอัน

นอกจากนี้ยังมีแผ่นหินภาพดวงตะวันขนาดมหึมาจากภาพสิบสองสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ ตอนนี้ภาพดวงตะวันฯ ของซูฉินยังเพิ่งถึงขั้นเริ่มต้นเท่านั้น แต่กระนั้นมันก็ช่วยซูฉินได้มากทีเดียว ตอนที่แผดเผาบรรพบุรุษชีหยวน มันแฝงกลิ่นอายของอีกาทองคําสามขาลงไปด้วย มิฉะนั้นหากเป็นเพียงเพลิงศักดิ์สิทธิ์เก้าสุริยัน มันจะคุกคามตัวตนที่อยู่ในจุดสูงสุดผู้นั้นได้เช่นไร?

ภาพดวงตะวันขนาดมหึมานั้นไม่แพ้ใครหน้าไหนแน่นอน แต่ด้วย “ความร่ํารวย” ในปัจจุบันของซูฉิน นับประสาอะไรกับการฝึกฝนจนสําเร็จวิชา แม้จะเป็นความสําเร็จเพียงเล็กน้อย ก็ไม่สามารถทําได้ในเวลาอันสั้น

 

“เตรียมทะลวงนภาชั้นที่เก้าเถอะ”

 

“ตราบใดที่ข้าเข้าสู่ระดับนภาชั้นที่เก้า ข้าจะสามารถเปลี่ยนจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ให้กลายเป็นจิตวิญญาณแรกกําเนิดได้ด้วยโอสถจิตวิญญาณแรกกําเนิด จากนั้นข้าจะสามารถไปยังขอบเขตที่สูงขึ้นได้ในเวลาอันสั้น”

 

ซูฉินมั่นใจอย่างยิ่ง เขาค่อยๆหลับตาลง แก่นแท้แห่งพลังภายในกายเริ่มหมุนวนโคจรและเดือดพล่าน

ในขณะเดียวกันโอสถศักดิ์สิทธิ์และหยดน้ําจิตวิญญาณจํานวนมากก็ปรากฏขึ้นต่อหน้าซูฉิน ซึ่งพวกมันสามารถส่งเสริมการบ่มเพาะให้กับตํานานยุทธขั้นสูงสุด แม้แต่ในต่างดินแดนเอง พวกมันก็หาได้ยากมาก และบางชิ้นยังหายสาบสูญไปแล้วด้วยซ้ํา

 

แต่ในขณะนี้ โอสถศักดิ์สิทธิ์เหล่านี้ได้ถูกวางกองรวมกันไว้ตรงหน้าของซูฉินเหมือนกองผลึกน้ําตาล ให้ซูฉินหยิบฉวยขึ้นกัดกินได้ตามต้องการ

 

เมื่อซูฉินบิดด่านฝึกตนอีกครั้ง พร้อมจะเข้าสู่ขอบเขตตํานา

ในป่าไผ่แห่งหนึ่งซึ่งอยู่ห่างจากเมืองฉางอันไปหลายร้อยลี้ มีร่างสามร่างยืนอยู่อย่างเงียบๆ

เป็นอีกครั้งแล้วที่มีตํานานยุทธมายังดินแดนแห่งนี้ และจะเห็นได้ว่ากลิ่นอายของทั้งสามร่างนี้ช่างน่ากลัวยิ่ง สูงส่งราวกับฟ้าดิน พวกเขาทั้งสามคนเป็นตํานานยุทธขั้นสูงสุด

อย่างไรก็ตาม

ในตอนนี้ทั้งสามตํานานยุทธขั้นสูงสุดซึ่งมีอํานาจควบคุมทุกสิ่งพากันหลั่งเหงื่อเย็นเยียบไหลย้อยมาตามหน้าผาก

 

“บรรพบุรุษชีหยวนตายแล้วจริงๆหรือนี่?”

 

ตํานานยุทธขั้นสูงสุดที่อยู่ด้านซ้ายมือมีใบหน้าบิดเบี้ยวน่าเกลียด

ตํานานยุทธขั้นสูงสุดทั้งสามนั้นต่างก็เป็นบรรพบุรุษจากนิกายใหญ่ดินแดนโพ้นทะเล

เนื่องจากบรรพชนทั้งสามจากนิกายเฮยหยวน ตําหนักเทพเจ้ามะ และพรรคหมื่นดาบได้ตื่นขึ้นจากหลับใหลและเรื่องนี้ก็แพร่กระจายไปทั่วโลกพร้อมกับข่าวของแผ่นดินแห่งพลังยุทธฯ พวกเขาซึ่งเป็นบรรพชนนิกายใหญ่ย่อมต้องการที่จะต่อสู้เพื่อครอบครองพื้นที่ในแผ่นดินแห่งนี้เป็นธรรมดา เขาต้องต่อสู้แย่งชิงพื้นที่บางส่วนสําหรับนิกายของพวกเขา ดังนั้นจึงตื่นขึ้นมารวมตัวกันเพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับเหตุการณ์ที่โลกอันยิ่งใหญ่กําลังจะมาถึง

ในตอนแรก ตํานานยุทธขั้นสูงสุดทั้งสามนั้นเพิ่งมาถึงและกําลังเฝ้ารอดูสิ่งต่างๆ พวกเขาไม่ต้องการจะแข็งขันกับบรรพบุรุษชีหยวนรวมถึงคนอื่นๆ

 

สุดท้ายแล้วบรรพบุรุษชีหยวนก็เป็นตํานานยุทธขั้นสูงสุดมานานกว่าพันปีทั้งยังควบแน่นอาณาเขตได้แล้วด้วย ความแข็งแกร่งย่อมมากกว่าพวกตน แม้จะมีการต่อสู้เกิดขึ้น พวกเขาก็ไม่สามารถยื้อแย่งแขjงขันได้

 

เพียงแต่ตํานานยุทธขั้นสูงสุดทั้งสามไม่คาดคิดมาก่อนว่า เมื่อเผชิญหน้ากับอันตรายใหญ่หลวงอย่างบรรพบุรุษชีหยวนและบรรพชนอีกสองคน ตํานานยุทธเมืองฉางอันทั้งไม่เกรงกลัวและไม่ถอยหนี หยัดยืนด้วยตนเพียงคนเดียวต่อหน้าศัตรูสามคน สังหารสิ้นทั้งสามคนซึ่งรวมถึงบรรพบุรุษชีหยวนด้วย

 

ช่างเป็นพลังที่น่ากลัวอะไรเช่นนี้?

โดยเฉพาะยามที่ซูฉินเดินออกมาจากเมฆหมอกมรณะสีดํา เปลวเพลิงที่เขาเรียกออกมานั้นราวกับสามารถเผาทุกสิ่งโดยรอบได้พร้อมกัน แม้พวกเขาจะอยู่ห่างไกลออกมาหลายร้อยลี้ แต่อดใจสั่นเพราะความหวั่นกลัวไม่ได้

“รุนแรงเกินไป น่ากลัวเกินไปแล้ว”

 

สีหน้าของตํานานยุทธขั้นสูงสุดคนที่สองนั้นเต็มไปด้วยอารมณ์ความรู้สึก

ถ้าไม่ใช่เพราะกลิ่นอายของซูฉินที่ยังอยู่ในขอบเขตตํานานยุทธ เกรงว่าตัวมันคงจะคิดว่าซูฉินนั้นได้ก้าวหน้าและกลายเป็นเซียนเทพปฐพีไปแล้ว

 

“โชคดีที่พวกเราไม่ได้รอบรรพบุรุษชีหยวน และร่วมมือกับพวกเขา……”

 

น้ําเสียงของตํานานยุทธขั้นสูงสุดคนที่สามเต็มไปด้วยความรู้สึกยินดี

 

พวกเขาล้วนเป็นตํานานยุทธขั้นสูงสุด

แม้จะไม่ได้แข็งแกร่งเท่ากับบรรพบุรุษชีหยวน แต่ก็ไม่ได้อ่อนแอไปกว่าบรรพบุรุษเฉวซินหรือบรรพชนพรรคหมื่นดาบมากนัก

 

แต่ด้วยความแข็งแกร่งที่ซูฉินแสดงออกมา แม้ว่าทั้งสามจะผนวกกําลังเข้าไป มันก็ไม่มีอะไรมากไปกว่าการที่ซูฉินจะต้องลงมือตวัดมีดเพิ่มอีกสามครั้ง

 

“แผ่นดินแห่งพลังยุทธอันยิ่งใหญ่เพิ่งปรากฏขึ้นในช่วงสิบปีที่ผ่านมานี้เอง ตัวตนที่ทรงพลังน่าสะพรึงกลัวเช่นนี้ถือกําเนิดขึ้นมาได้เช่นไร?” ตํานานยุทธขั้นสูงสุดคนแรกเอ่ยถึงความสงสัยในหัวใจของเขาออกมา

รู้หรือไม่ ก่อนที่กระแสปราณฉีจะฟื้นคืน ก่อนที่แผ่นดินแห่งพลังยุทธจะถือกําเนิด พื้นที่จุดตัดแห่งนี้เรียกได้ว่าเป็นทวีปที่แห้งแล้ง ไม่ต้องกล่าวถึงตํานานยุทธขั้นสูงสุด แม้แต่จอมยุทธขอบเขตตํานานยุทธยังหาได้ยากยิ่ง มันด้อยกว่ายุทธภพในต่างแดนอย่างมาก

แต่ในสถานที่ที่เปรียบประหนึ่งคูน้ําเล็กๆนี่ กลับมีมังกรที่แท้จริงอย่างซูฉินปรากฏตัวขึ้น

“แล้วพวกเราควรทําเช่นไรในตอนนี้?” ตํานานยุทธขั้นสูงสุดคนที่สองพูดขึ้นอย่างระมัดระวัง

 

เหตุผลพวกเขามารวมตัวกันที่นี่ นอกเหนือจากมาเฝ้าดูบรรพบุรุษชี่หยวนลงมือแล้ว ก็คิดที่จะยึดครองพื้นที่บางส่วนเอาไว้ด้วย

 

แต่ตอนนี้

 

แม้ว่าจะมีความกล้าหาญกว่านี้อีกเป็นสิบเท่า แต่เขาก็ไม่กล้าต่อสู้แย่งชิงดินแดนมาจากราชวงศ์ถัง

บรรพบุรุษชีหยวนและบรรพชนอีกสองคนจากทั้งตําหนักเทพ เจ้าหิมะและพรรคหมื่นดาบล้วนเป็นบทเรียนที่ดี

 

“ในอาณาบริเวณของอาณาจักรถังมีเมืองฉางอันคอยพิทักษ์อยู่ แน่นอนว่าข้าย่อมไม่หาเรื่องตายให้ตนเอง”

 

ตํานานยุทธขั้นสูงสุดคนที่สามขบคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงพูดต่อ “แต่ในทวีปนี้ อาณาจักรถังครอบครองเพียงพื้นที่ที่เจริญรุ่งเรืองที่สุดในแถบตอนกลางเท่านั้น”

“ส่วนพื้นที่ชายขอบนั้น อาณาจักรถังไม่ได้เป็นเจ้าของ ถ้าพวกเรายึดครองพื้นที่ห่างไกลเหล่านั้น อาณาจักรถังคงไม่ว่ากล่าวอะไร และเมืองฉางอันเองก็คงลงมือกับข้าไม่ได้”

 

เมื่อกล่าวออกมาเช่นนั้น

ดวงตาของตํานานยุทธขั้นสูงสุดอีกสองคนก็พลันสว่างไสวขึ้นมา

 

แม้ว่าพื้นที่ห่างไกลจะมีทรัพยากรน้อยกว่าจุดศูนย์กลาง แต่ก็ยังนับเป็นส่วนหนึ่งของแผ่นดินแห่งพลังยุทธ หากพวกเขาสามารถครอบครองมันได้ย่อมเป็นประโยชน์ต่อพวกเขาเอง

ดีกว่าไม่ได้อะไรกลับไปเลย

 

หลายวันผ่านไป

ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในเมืองฉางอันก็แพร่กระจายไปทั่วโลกโดยสมบูรณ์

ทันใดนั้นโลกยุทธภพต่างดินแดนก็พลันร้อนระอุ

“ บรรพบุรุษชีหยวนตายแล้ว?”

“กว่าเก้าร้อยปีแล้วนะที่นิกายใหญ่ไม่ได้ฉีกเนื้อเฉือนหนังของตนเองปลุกบรรพชนขึ้นมาเพื่อกระทําการเคลื่อนไหวครั้งใหญ่ และนานแค่ไหนกันแล้วที่ตํานานยุทธขั้นสูงสุดได้ตกตายไป?”

“ตํานานยุทธขั้นสูงสุดภายในแผ่นดินแห่งพลังยุทธช่างน่ากลัวเหลือเกิน ขนาดบรรพบุรุษชีหยวนที่ควบแน่นอาณาเขตได้แล้ว ไม่รู้ว่ามีความสามารถในการเอาตัวรอดมากกว่าตํานานยุทธขั้นสูงสุดทั่วไปแค่ไหน แต่ก็ยังตกตาย”

 

ตํานานยุทธในต่างแดนจํานวนนับไม่ถ้วนต่างพูดคุยกัน ระบายความตื่นตะลึงในใจตนออกมา

 

ตํานานยุทธขั้นสูงสุดนั้นเป็นตัวตนเช่นไร? ทั้งบรรพบุรุษชีหยวนเองก็เป็นตํานานยุทธที่เหนือกว่าตํานานยุทธขั้นสูงสุดธรรมดา เป็นตัวตนที่น่าสะพรึงกลัว เมื่อไปยังแผ่นดินแห่งพลังยุทธฯ พวกเขากลับตกตายจากฝีมือของชายผู้แข็งแกร่งคนหนึ่ง เรื่องราวเป็นเช่นนี้ จะไม่ให้จิตใจสั่นไหวได้อย่างไร

“เห้อ”

“คราวนี้นิกายเฮยหยวนได้ตกต่ําลงแล้วจริงๆ ตอนที่หมิงโยวตายไปมันก็ยังพอทนได้ แต่ตอนนี้แม้แต่บรรพบุรุษชีหยวนก็ตายไป ด้วยเรียบร้อย จีจี้ ”

 

ตํานานยุทธต่างพากันมองไปยังทิศทางของนิกายเฮยหยวน พวกเขาต่างแฝงความนัยอันลึกซึ้งเอาไว้

นิกายเฮยหยวน

 

ทุกสิ่งเงียบประหนึ่งปาช้า

 

ตั้งแต่ผู้นํานิกายเฮยหยวน ไปจนถึงศิษย์สาวกจํานวนมากภายในนิกายเฮยหยวน ใบหน้าของพวกเขาเต็มไปด้วยความโศกเศร้า ทั้งยังแฝงร่องรอยของความหวาดกลัวเอาไว้ถ้ากล่าวว่าการที่ศิษย์นิกายเฮยหยวนตกตายในแผ่นดินแห่งพลังยุทธฯ เป็นการสร้างศัตรูกับนิกายเฮยหยวน รองผู้นํานิกายเฮยหยวนอย่างหมิงโยวตกตายอยู่ในแผ่นดินแห่งพลังยุทธฯ ก็ยิ่งทวีความโกรธแค้นให้กับนิกายเฮยหยวนมากขึ้นไปอีก

แต่ตอนนี้ แม้แต่บรรพบุรุษชีหยวนแห่งนิกายเฮยหยวนก็ยังถูกฝังกลบอยู่ในดินแดนแห่งพลังยุทธอันยิ่งใหญ่ ผู้คนในนิกายเฮยหยวน รวมถึงผู้นํานิกายต่างรู้สึกหวาดกลัว

ถูกต้อง

 

มันคือความหวาดกลัว

ไม่โกรธ ไม่เกลียด ไม่เศร้า มีเพียงความหวาดกลัว

 

เนื่องจากการตายของบรรพบุรุษชีหยวนนั้นเกินขีดจํากัดของนิกายเฮยหยวนไปแล้ว ทุกคนในนิกายเฮยหยวนไม่เหลือความคิดที่จะแก้แค้นอีกต่อไป

 

เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล [Sign in Buddha’s palm]

Sign in Buddha’s palm 252 ปิดด่านฝึกตน! นภาชั้นที่เก้า!

บรรพบุรุษชีหยวน!

นี่คือตัวตนที่น่าสะพรึงกลัวติดหนึ่งในห้าอันดับแรกอย่างแน่นอนในแง่ของความแข็งแกร่ง ในนิกายเฮยหยวนตั้งแต่ก่อตั้งขึ้นมาเกรงว่าจะมีอีกเพียงสองสามคนเท่านั้นที่สามารถเอาชนะบรรพบุรุษหยวนได้

 

แต่มหาอํานาจน่าสะพรึงกลัวชื่อก้องยุทธภพในต่างแดนกลับสิ้นใจลง

 

หากบอกว่าชายผมหงอกและตํานานยุทธคนอื่นๆ ที่ซุ่มอยู่รอบเมืองฉางอันนั้นตกใจมากแล้ว บรรพบุรุษเฉวซินและบรรพชนพรรคหมื่นดาบเรียกได้ว่าตื่นตระหนกกันโดยสมบูรณ์

 

“เป็นไปไม่ได้!”

“บรรพบุรุษชีหยวนตายได้อย่างไร เขาตายได้อย่างไร?”

บรรพชนพรรคหมื่นดาบดูหมดสิ้นความหวัง เสียงของเขาสั่นเทา

ความคิดหนึ่งเดียวในหัวของบรรพชนพรรคหมื่นดาบมีเพียงบรรพบุรุษชีหยวนตายไปแล้วเช่นนี้ พวกเขาควรจะทําเช่นไรดี?

 

แม้แต่บรรพบุรุษชีหยวนก็ไม่สามารถหยุดยั้งซูฉินได้ ดังนั้นพวกเขาทั้งคู่จะเอาอะไรไปเผชิญหน้ากับซูฉิน?

 

ไม่ว่าจะเป็นบรรพชนพรรคหมื่นดาบหรือบรรพบุรุษเฉวซินต่างก็ไม่มีความคิดว่าซูฉินจะปล่อยพวกเขาไปแม้แต่แวบเดียว

 

“ชีหยวน..”

 

ใบหน้าของบรรพบุรุษเฉวซินกลายเป็นซีดเทาราวกับศพ

ซูฉันมองไปยังจุดที่บรรพบุรุษชีหยวนเคยอยู่ก่อนโดนเผาจนสิ้นใบหน้าของเขายังคงสงบนิ่ง

บรรพบุรุษชีหยวนแข็งแกร่งมากจริงๆ

แต่เขานั้นตัดสินใจได้โง่เขลาอย่างยิ่ง ด้วยการใช้ศาสตร์แห่งความตายอันชั่วร้ายและพลังธาตุหยินมาจัดการกับซูฉิน

เมฆมรณะสีดําที่บรรพบุรุษชีหยวนเรียกมานั้นแปลกประหลาดมากพอที่จะจัดการตํานานยุทธธรรมดาได้อย่างสมบูรณ์ แต่ในสายตาของซูฉินมันไม่นับเป็นสิ่งใดเลย

ซูฉินลงชื่อเข้าใช้มานานหลายสิบปี มีเคล็ดวิชามากกว่าพันชนิดจะไม่มีวิธีกําจัดพลังเหล่านี้เลยหรือ? หลายวิชาที่มีฤทธิ์ยับยั้งความชั่วร้ายและทักษะแปลกๆ

 

โดยเฉพาะหลังจากซูฉันเริ่มต้นฝึกฝนภาพดวงตะวันขนาดมหึมาที่มีกลิ่นอายของอีกาทองคําสามขา สัตว์ศักดิ์สิทธิ์ที่มีธาตุไฟ แข็งแกร่งที่สุดซึ่งทําให้พลังของเก้าสุริยันแข็งแกร่งขึ้นไปอีกหลายระดับ

เพลิงศักดิ์สิทธิ์ของดวงไฟทั้งเก้าที่ก่อกําเนิดมาจากเคล็ดเก้าสุริยันเป็นดวงไฟที่รุนแรงมากแล้ว ควบคู่ไปกับกลิ่นอายของอีกาทองคําสามขาแม้ว่าจะด้อยกว่าดวงตะวันที่ร่ําลือกันอยู่มาก แต่การเผาพลังแห่งความตายเผาพลังธาตุหยินนั้นง่ายพอๆ กับการกินดื่ม

หากบรรพบุรุษชีหยวนไม่ได้ใช้พลังแห่งความตายมาจัดการซูฉินตัวมันก็คงไม่ตายอย่างน่าอนาถในเวลาอันสั้นเช่นนี้คงจะสามารถประมือกันได้สองสามกระบวนท่า แต่เมื่อมันริเริ่มจะโอบล้อมซูฉินด้วยพลังแห่งความตาย เมื่อนั้นพลังแห่งความตายที่คุมขังซูฉินไว้ก็ถูกเพลิงเก้าสุริยันที่แฝงกลิ่นอายอีกาทองคําสามขาเผาจนกลายเป็นความว่างเปล่า

แน่นอนว่าเพลิงเก้าสุริยันนั้นทรงพลัง แต่นั่นก็เป็นในกรณีที่สามารถแตะต้องร่างของคู่ต่อสู้ได้เท่านั้น แต่พฤติกรรมของบรรพบุรุงชีหยวนที่อ้าแขนรับเพลิงจากเคล็ดเก้าสุริยันเช่นนี้ก็สมควรแล้วที่จะต้องตายไปด้วยสภาพเช่นนั้น

“หนี!”

เมื่อซูฉินกําลังคิดถึงเรื่องนี้

บรรพบุรุษเฉวซินและบรรพชนพรรคหมื่นดาบที่อยู่ตรงนั้นก็ล่าถอยออกไปเผาผลาญพลังชีวิตเลือดเนื้อและจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์หนีไปด้วยความเร็วที่น่าหวาดกลัว

 

ตอนนี้บรรพบุรุษชีหยวนได้ตกตายไปแล้ว ไม่ว่าทั้งสองคนจะโง่เพียงไหนพวกเขาก็คงไม่คิดว่าตนจะต่อต้านซูฉินได้แน่ดังนั้นบรรพบุรุษเฉวซินและบรรพชนพรรคหมื่นดาบจึงหนีออกไปไกลกว่าร้อยลี้แทบจะภายในเวลาเดียวกัน

 

และเพื่อที่จะคว้าแสงแห่งความหวังเอาไว้ บรรพบุรุษเฉวซินและบรรพชนพรรคหมื่นดาบถึงกับหนี้ไปในทิศทางตรงกันข้ามกันอย่างสิ้นเชิงเพียงแค่ต้องการให้ซูฉินเสียเวลามากขึ้นในการไล่ตามตน

ไม่ว่าจะเป็นบรรพบุรุษเฉวซินหรือบรรพชนพรรคหมื่นดาบพวกเขาค่อนข้างที่จะแน่ใจในความสามารถของซูฉินแล้วจากการสังหา รบรรพบุรุษชีหยวนเมื่อโดนตามล่าพวกเขาคงมิอาจเอาชีวิตรอด

 

แต่ถ้าทั้งสองกระจายตัวกันหนี แม้ว่าซูฉินจะไล่ล่าสังหารแต่เขาก็คงเลือกได้เพียงทิศทางเดียวเท่านั้น ซึ่งเท่ากับซื้อเวลาให้อีกคนหนึ่งได้มากโข

“พวกเจ้าหนีไม่พ้นหรอก”

ซูฉินขยับมือขวาอยู่กลางอากาศ ดึงคมมีดเทพเจ้าปีศาจออกมาอีกครั้งแล้วตวัดมีดสองครั้งไปยังทิศทางที่บรรพบุรุษเฉวซินและบรรพชนพรรคหมื่นดาบกําลังหนีไป

หวิ่ง!!

 

ประกายคมมีดอันน่าสยดสยองหายวับไปในทันทีราวกับมันทะลุผ่านช่องว่างมิติไป

ในขณะนั้น เมื่อความแข็งแกร่งของซูฉินปะทุออกมาพลังของคมมีดเทพเจ้าปีศาจก็เพิ่มขึ้นเป็นเท่าทวี ทรงพลังยิ่งกว่าตอนที่ซูฉันเคยฟาดฟันคมมีดออกไปในโลกถ้ําปิศาจเสียอีก

 

“ไม่!!”

ไม่คาดคิด บรรพบุรุษเฉวซินอดไม่ได้ที่จะหันกลับไปมองพลันได้เห็นประกายคมมีดตามติดตนเองมา

 

ในชั่วพริบตา

 

สติสตั้งของบรรพบุรุษเฉวซินพลันเตลิดไปหมด

 

นางจําได้ว่าตอนที่ซูฉินฟันเข้าใส่อาณาเขตของบรรพบุ รุษชีหยวนแม้แต่อาณาเขตก็ไม่สามารถหยุดยั้งประกายคมมีดเล่ม นี้ได้

“ถอนตัว!”

จิตใจของบรรพบุรุษเฉวซินผันผวน ในที่สุดจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์เริ่มสั่นไหวละทิ้งกายเนื้อของตน และพุ่งหายไปด้วยความเร็วที่น่าสะพรึงมากยิ่งขึ้นไปอีก

 

บรรพบุรุษเฉวซินได้สลายพลังชีวิต และเลือดเนื้อไปจนเกือบจะหมดและตอนนี้ที่นางละทิ้งร่างกาย แม้ว่าจะรอดชีวิตไปได้สุดท้ายนางก็คงอยู่ได้เพียงไม่กี่เดือน แต่บรรพบุรุษเฉวซินก็ยังคงเลือกที่จะทําเช่นนั้น

เพราะนางต้องการนําข่าวเรื่องความแข็งแกร่งของซูฉินกลับไปบอกตําหนักเทพเจ้าหิมะ

น่าเสียดาย

 

แม้ว่าบรรพบุรุษเฉวซินจะละทิ้งร่างของนาง แต่ก็ยังมิอาจจะหลบหนีคมมีดเทพเจ้าปีศาจไปได้ บริเวณขอบชายฝั่งทะเลบูรพาจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของบรรพบุรุษเฉวซินก็ได้ถูกทําลาย และผลกระทบจากประกายคมมีดที่ทะลุทะลวงออกไปก็ถึงกับทําให้เกิด คลื่นยักษ์ขนาดมหึมาขึ้นในทะเล

ส่วนบรรพชนพรรคหมื่นดาบเองก็เช่นเดียวกัน เขาถูกตัดออกเป็นสองส่วนโดยตรงด้วยคมมีดเทพเจ้าปีศาจ

บรรพบุรุษเฉวซินตกตาย

 

บรรพชนพรรคหมื่นดาบก็ไม่รอดเช่นกัน

 

เมื่อนับรวมบรรพบุรุษชีหยวนที่ตายไปก่อนหน้าบรรพชนทั้งสามคนที่เดินทางมายังแผ่นดินใหญ่ในครั้งนี้ ล้วนตกตายจนหมดสิ้นไม่มีเหลือ

 

นอกเมืองฉางอัน

ชายผมสีดอกเลาตัวสั่นเทา แม้ว่าซูฉินจะไม่เคยเบนสายตามามองพวกเขาเลยตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้แต่ชายผมหงอกก็ยังรู้สึกเย็นวาบไปถึงกระดูก

 

“ตํานานยุทธทั้งสามตายกันจนหมด และนั่นยังรวมไปถึงตํานานยุทธขั้นสูงสุดที่ควบแน่นอาณาเขตได้แล้วอย่างบรรพบุรุษชีหยวนด้วยนี่มันกลายเป็นเรื่องใหญ่แล้ว

ชายผมหงอกรู้สึกว่าฟันของเขาสั่นกระทบกัน

 

เมื่อตํานานยุทธคนอื่นๆ ได้ยินสิ่งนี้ หัวใจของเขาก็พลันดิ่งวูบในฉับพลัน

ไม่ว่าจะเป็นบรรพบุรุษชีหยวน บรรพบุรุษเฉวซิน หรือบรรพชนพรรคหมื่นดาบ ทุกคนล้วนเป็นตํานานยุทธที่โด่งดังในต่างแดนและตอนนี้กลับมาตกตายพร้อมกันที่นี่ สําหรับพวกเขาแล้วนี่มันราวฟ้าผ่าลงมากลางวันแสกๆ ในวันที่ท้องฟ้าแจ่มใสก็มิปาน

 

“แผ่นดินแห่งพลังยุทธอันยิ่งใหญ่แห่งนี้อันตรายเกินไปแล้ว”

 

ชายผมหงอกกระซิบกับตนเอง ใบหน้าซีดเซียว

แม้แต่ในยุทธภพต่างแดนที่มีตํานานยุทธอยู่มากมายการตายของตํานานยุทธขั้นสูงสุดยังถือเป็นเหตุการณ์ที่หาได้ยากยิ่งในรอ บร้อยปีมันต้องเป็นการที่สองนิกายใหญ่หักหน้ากันจนต้องยอมเสีย เลือดเนื้อกันไปข้างไม่ต้องพูดถึงการตายพร้อมกันของตํานานยุทธขั้นสูงสุดถึงสามคน

 

กล่าวได้เลยว่าถ้าไม่ใช่ยุคสมัยที่มีบรรพชนมากมายต่อสู้กันอย่างไม่รู้จบหรือเป็นยุคที่มีเซียนเทพปฐพีกําเนิดขึ้นมาเรื่องเช่นนี้จะไม่เกิดขึ้นเลยในยุคสมัยอื่นๆ

ตํานานยุทธขั้นสูงสุดเป็นตัวตนเช่นไร? เพียงพอที่จะเป็นรากฐานให้กับนิกายใหญ่ไปได้หลายร้อยปี ถึงแม้จะก้าวเข้าสู่จุดจบของชีวิตก็ยังสามารถใช้วิธีลับในการยืดชีวิตต่อไปได้อีก

 

ดังนั้นในต่างดินแดนนั้นแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะสูญเสียตํานานยุทธไปถึงสามคนในช่วงเวลาสั้นๆ

 

แต่ตอนนี้

พวกเขาเห็นฉากนี้เกิดขึ้นทันทีที่มาถึงแผ่นดินแห่งพลังยุทธฯด้วยสถานการณ์เช่นนี้ ยังจะกล่าวว่าแผ่นดินแห่งพลังยุทธไม่อันตรายอีกหรือ มันไม่อันตรายตรงไหน?

วันนี้เป็นคราวของตํานานยุทธขั้นสูงสุดสามคนตกตายไปพรุ่งนี้อาจจะเป็นวันล่มสลายของนิกายใหญ่ที่สืบทอดมรดกยาวนานมากว่าพันปีสักนิกายหนึ่งก็เป็นได้

เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ ชายผมหงอกและตํานานยุทธคนอื่นๆก็ยอมศิโรราบกลับไป

 

กลับไปยังดินแดนโพ้นทะเล ด้วยความแข็งแกร่งของพวกเขา ตราบใดที่ไม่ยั่วยุนิกายใหญ่ อย่างน้อยก็คงจะไม่บาดเจ็บล้มตายกันไป

แตทน.

 

แม้แต่บรรพบุรุษชีหยวนก็ตกตายไปเรียบร้อยแล้ว ใครจะรับประกันได้ว่าพวกเขาจะรอดชีวิตต่อไปได้หากยังรั้งรออยู่?

 

ในเวลาเดียวกัน

 

เหนือกําแพงพระราชวัง

นักพรตเฒ่าสํานักเอกะวิถีดูตื่นตะลึงยิ่ง

 

“นี่มันอะไรกัน?”

 

นักพรตเฒ่าแทบไม่อยากจะเชื่อ

 

เดิมที่เขาคิดว่าบรรพบุรุษชีหยวนและซูฉินจะต่อสู้กันฟาดฟันกันด้วยพลังของอาณาเขต ใช้ความพยายามมากมายหลายต่อหลายครั้งต่างฝ่ายต่างต้องเลือดตกยางออก แต่แล้วตอนนี้มันเกิดอะไรขึ้นเล่า?

 

นักพรตเฒ่าไม่สามารถตอบสนองอะไรได้ทัน บรรพบุรุษชีหยวนตายแล้วอย่างนั้นหรือ?

 

จากนั้นก็เป็นคราวของบรรพบุรุษเฉวซินและบรรพชนพรรคหมีนดาบ

 

จักรพรรดิถังมองดูนักพรตเฒ่าด้วยสีหน้าประหลาด คําพูดก่อนหน้านี้ทําให้ตัวของเขากลัวจริงๆ แต่เมื่อเห็นฉากที่เกิดขึ้น จักรพรรดิถังก็ถึงกับพูดอะไรไม่ออก

 

สีหน้าของหร่วนชิงและเหยียนให้ก็คล้ายคลึงกันกับนักพรตเฒ่าจักรพรรดิถังไม่เคยไปยังต่างดินแดนและไม่อาจทราบความน่าเกรงขามของเหล่าบรรพชน แต่พวกเขานั้นแต่เดิมก็เป็นตํานานยุทธจากต่างแดนทําไมจะไม่ทราบความนี้กันเล่า?

 

“นายท่าน….นายท่านแข็งแกร่งเกินไปแล้ว…” เหยียนให้กลืนน้ําลายลงคออดไม่ได้ที่จะกล่าวคําออกมา

 

“ใช่….”

 

หร่วนซิงที่อยู่ข้างๆ ก็พยักหน้าเห็นด้วย

 

พวกเขายอมรับสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้าได้อย่างรวดเร็ว แม้บรรพชนเหล่านั้นจะแข็งแกร่งไม่ต่างไปจากเทพเจ้า แต่ซูฉินนั้นแข็งแกร่งกว่าเมื่อคิดได้แบบนี้ทั้งหร่วนชิงและเหยียนไร่ก็ผ่อนคลายมากขึ้น

 

มีเพียงนักพรตเฒ่าที่ยังคนบ่นพึมพําอยู่คนเดียว

“เป็นไปไม่ได้….บรรพบุรุษชีหยวน….นิกายเฮยหยวน…”

 

ในที่สุดนักพรตเฒ่าก็ถอนหายใจออกมา “นิกายเฮยหยวนเอ๋ยในครานี้ข้าเกรงว่าพวกเขาจะต้องประสบกับการสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่แล้วจริงๆ ”

สําหรับนิกายใหญ่อย่างนิกายเฮยหยวน แม้ว่าผู้นํานิกายจะตายไปแต่มันก็จะตกต่ําอยู่เพียงครู่เดียวเท่านั้น สุดท้ายก็ไม่ได้ทําลายรากฐานของนิกาย

อย่างไรก็ตาม การสูญเสียบรรพบุรุษชีหยวนไปนับเป็นความเสียหายขั้นรุนแรงแม้แต่รากฐานเบื้องหลังก็สลายหายไปเช่นนี้ จะไม่นับเป็นการสูญเสียร้ายแรงได้เช่นไร?

 

และในตอนนี้

หลังจากที่ซูฉินได้สังหารบรรพบุรุษเฉวซินและบรรพชนพรรคหมื่นดาบด้วยความราบรื่น เขาก็มองไปยังทิศทางอื่นด้วยแววตาที่แฝงความนัยลึกซึ้ง

“มีสามตํานานยุทธขั้นสูงสุดอยู่อีก….”

 

ซูฉินครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงเพิกเฉยมันไป

 

ตํานานยุทธขั้นสูงสุดทั้งสามคนนี้ซูฉันรู้สึกไม่ค่อยจะคุ้นเคยนักทั้งยังไม่ได้มาจากตําหนักเทพเจ้าหิมะ พรรคหมื่นดาบ หรือนิกาย

เฮยหยวน

เมื่ออยู่ต่อหน้าตํานานยุทธที่ไม่ได้มีความแค้นความเกลียดชังต่อกันตราบใดที่อีกฝ่ายไม่เริ่มลงมือก่อน ซูฉินก็ขี้เกียจเกินกว่าจะไปยุ่งวุ่นวาย

 

“ได้เวลากลับแล้ว”

 

เพียงแค่คิด ท่ามกลางสายตาตื่นตกใจของทุกคนร่างของซูฉินก็กลับมาภายในวังเป็นที่เรียบร้อย

 

“พี่สาม”

 

จักรพรรดิถังเดินเข้าไปหา

นักพรตเฒ่า เหยียนไร่ หร่วนชิง รวมถึงคนอื่นๆก็เดินล้อมวงกันเข้ามา

“เรียบร้อยแล้วแหละ”

 

“ช่วงไม่กี่ปีต่อจากนี้ ข้าจะปิดด่านฝึกตนยาวนานสักระยะหนึ่งถ้าไม่มีเรื่องราวอะไรก็อย่าได้มารบกวนข้า”

 

หลังจากพูดคุยเรื่องราวทั่วๆ ไปนิดๆ หน่อย ซูฉินก็ประกาศเรื่องราวนี้ออกมา

ตอนนี้ไอพลังที่เขารวบรวมใกล้จะสมบูรณ์แล้วได้เวลาก้าวเข้าสู่นภาชั้นที่เก้าเสียที

และเมื่อยามที่ซูฉินก้าวเข้าสู่นภาชั้นที่เก้า ด้วยเม็ดโอสถจิตวิญญาณแรกกําเนิดจํานวนมากก็เพียงพอที่จะเปลี่ยนจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ให้กลายเป็นจิตวิญญาณแรกกําเนิดได้ในเวลาอันสั้น

 

การมีจิตวิญญาณแรกกําเนิดเพียงหนึ่งส่วน พลังในการต่อสู้ของซูฉินก็จะก้าวกระโดดอีกครั้ง และเมื่อรวมกับไพ่ลับในมีอีกมากมายหลายชนิดเกรงว่าตัวของเขาจะเทียบเคียงได้กับเซียนเทพปฐพี่แล้วจริงๆ

 

“ปิดด่านฝึกตน?”

นักพรตเฒ่าตกตะลึง

 

ด้วยความแข็งแกร่งที่ซูฉินได้แสดงให้เห็นเมื่อครู่มันแทบจะสั่นสะเทือนโลกได้แล้ว แม้แต่ในโลกยุทธภพต่างแดน ก็มีคนไม่มากที่เทียบชั้นกับซูฉินได้ ขนาดเป็นเช่นนี้แล้ว ซูฉินยังจะปิดด่านฝึกตนอีกครั้ง?

 

โดยทั่วไปแล้วการปิดด่านฝึกตนหมายถึงการพัฒนาการบ่มเพาะจนเข้ามาใกล้จุดเปลี่ยนผ่าน และในสายตาของนักพรตเฒ่าเมื่อดูจากความแข็งแกร่งในปัจจุบันของซูฉิน หากยังพัฒนาระดับต่อไปเป็นไปได้ไหมว่าขั้นต่อไปเป็นการก้าวเข้าสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพี่?

 

เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล [Sign in Buddha’s palm]

Sign in Buddha’s palm 251 (II)

Sign in Buddha’s palm 251 (I) ดับชีวิต

“มันจบแล้ว”

“มันจบสิ้นแล้ว”

เมื่อนักพรตเฒ่าเห็นฉากนี้ มือและเท้าของเขาก็เย็นเยียบ

 

ตํานานยุทธขั้นสูงสุดที่ควบแน่นอาณาเขตได้ถึงสองคนต่อสู้กันแม้ว่าจะเป็นในต่างดินแดน เหตุการณ์เช่นนี้ก็ยังหาได้ยากยิ่ง หลายร้อยปีอาจจะมีสักครั้งสําหรับขุมพลังระดับนี้ด้วยการต่อสู้น้ํานั่นเต็มรูปแบบเพียงแค่การปะทะกันของอาณาเขตก็อาจเปลี่ยนพื้นที่หลายสิบล้ําให้กลายเป็นดินแดนแห่งความตายได้เลย

หากเป็นช่วงก่อนที่บรรพบุรุษชีหยวนและซูฉินจะต่อสู้กัน นักพรตเฒ่าค่อนข้างมั่นใจว่าจะพาจักรพรรดิถังและตระกูลซูฉินออกจากเมืองฉางอันเพื่อหลีกเลี่ยงภัยพิบัติได้ แต่ในตอนที่การต่อสู้เริ่มรุนแรงขึ้นแล้ว นับประสาอะไรกับการที่นักพรตเฒ่าจะพาผู้คนออกไปด้วย แค่การรักษาตนเองให้รอดไปได้ก็เป็นปัญหายิ่งแล้ว

 

และในครั้งนี้

ท่ามกลางสายตาของผู้คนนับไม่ถ้วน แววดูถูกก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของซูฉิน

 

“ถ้าเจ้ามีกําลังวังชาเต็มเปี่ยม มีความแข็งแกร่งเหมือนตอนอยู่ในยุครุ่งเรืองข้าก็พอจะสนใจอยู่ ทว่าตอนนี้ ”

 

ซูฉินสายศีรษะ

ในสายตาของซูฉิน ไม่ว่าจะเป็นบรรพบุรุษชีหยวน บรรพบุรุษเฉวซินหรือบรรพชนพรรคหมื่นดาบ พวกเขาไม่นับเป็นตัวอะไรเลยนอกเสียจากหนอนน้อยที่น่าสงสารพยายามมีชีวิตรอดต่อไปด้วยวิธีลับจนเลือดเนื้อและพลังชีวิตของมันเสื่อมสลาย ความแข็งแกร่งเองก็ลดลง

 

“สารเลว!”

 

บรรพบุรุษชีหยวนโกรธจัด เขาจะไม่สังเกตเห็นการดูถูกที่แฝงอยู่ในคําพูดของซูฉินได้อย่างไร?

ในสายตาของบรรพบุรุษชีหยวน การที่ซูฉินฟันอาณาเขตของเขาจนกระจุยมันจะต้องใช้พลังออกไปอย่างเต็มที่ และด้วยกระบวนท่าที่เขากําลังจะใช้ออกในยามนี้เป็นพลังจากการสั่งสมมาอย่างยาวนาน จะต้องทําให้อีกฝ่ายเตรียมรับมือด้วยทุกอย่างที่มี ไฉนเลยยังจะมาหัวเราะเยาะตัวเขาที่พลังชีวิตเสื่อมถอยลงเช่นนี้ได้?

 

“จงมอบชีวิตมาให้ข้า!”

 

บรรพบุรุษชีหยวนลืมตาขึ้น วิญญาณสีดําชั่วร้ายก็พลันปรากฏขึ้นบนร่างของเขา

 

หมอกสีดําอันมิรู้ประมาณพุ่งออกมาจากแขนเสื้อของบรรพบุรุษชีหยวน และรวมตัวกันอย่างต่อเนื่องเหมือนกับเป็นก้อนเมฆสีดําขนาดใหญ่หากมองดูจากระยะไกล เมฆกลุ่มนี้มีขนาดใหญ่มากจริงๆ ครอบคลุมแผ่นฟ้าได้ถึงครึ่งหนึ่ง

 

บูมม

 

เมฆสีดํากว้างใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ และเริ่มเคลื่อนตัวเข้าไปปกคลุม

 

เมฆสีดําเหล่านี้เต็มไปด้วยพลังแห่งความตายอันไม่สิ้นสุดซึ่งเป็นผลมาจากความพยายามหลายต่อหลายปีของบรรพบุรุษชีหยวน ไม่รู้ว่ามีสิ่งมีชีวิตมากมายเท่าไหร่ที่ถูกสังหารและดูดซึมพลังงานความตายทั้งหมดเอาไว้ หากตํานานยุทธธรรมดาเจอเข้ากับสิ่งนี้จะต้องกลายเป็นปีศาจที่บ้าคลั่งอย่างแน่นอน แม้จะเป็นตํานานยุทธระดับ นภาชั้นที่เก้าเมื่อเมฆหมอกแห่งความตายลอยมาเบื้องหน้าก็ต้อง ยอมถอยหนีออกไปหลายพันลี้ ไม่กล้าเผชิญหน้าโดยตรง

เมื่อรวมกับความแข็งแกร่งของบรรพบุรุษชีหยวน อาจจะกล่าวได้ว่าแม้ตัวซูฉินจะเป็นตํานานยุทธขั้นสูงสุดที่ควบแน่นอาณาเขตได้แล้วก็ยังตกอยู่ในอันตรายเมื่อเจอสถานการณ์เช่นนี้

พริบตาต่อมา

เมฆสีดําอันไร้ที่สิ้นสุดก็พัดพาไปทั่วอย่างรวดเร็ว ซูฉินจมหายเข้าไปในทันที เมื่อมองจากเบื้องล่าง ร่างกายของซูฉินดูเหมือนจะถูกเมฆสีดํากลืนเข้าไปทั้งร่าง

 

“บรรพบุรุษชีหยวนชนะแล้ว”

 

นอกเมืองฉางอัน ชายผมหงอกปรากฏรอยยิ้มขึ้นบนใบหน้า“เมฆสีดํากลุ่มนี้เป็นกระบวนท่าไม้ตายของบรรพบุรุษชีหยวนมีตํานานยุทธขั้นสูงสุดมากกว่าหนึ่งคนที่ถูกฝังกลบด้วยวิชาลับอันนี้”

“ตํานานยุทธเมืองฉางอันน่ะ แม้จะสามารถเจาะทะลวงอาณาเขตด้วยการโจมตีเดียว แต่เมื่อตกอยู่ในกลุ่มเมฆมรณะสีดํานี่ เกรงว่าคงจะต้องดิ้นรนอยู่ในภายใน ออกมือออกเท้าลําบากแล้วหากไม่ระวังก็มีโอกาสสูงมากที่จะตายด้วยน้ํามือของบรรพบุรุษซี่หยวน”

 

ชายผมหงอกดูเหมือนจะรู้จักบรรพบุรุษชีหยวนเป็นอย่างดีและพูดคุยออกมาอย่างสบายๆ

“เป็นเช่นนี้นี่เอง”

 

ตํานานยุทธที่เหลือพยักหน้าตามที่ละคน มองดูบรรพบุรุษที่หยวนขยับมือควบคุมก้อนเมฆสีดําด้วยสีหน้าหวาดกลัว

 

บรรพบุรุษชีหยวนในตอนนี้มีไอพลังที่แข็งแกร่งราวกับย้อนกลับไปสู่สมัยที่พลังชีวิตของตนเองเคยรุ่งเรืองเมื่อพันปีก่อน

 

บนกําแพงเมืองฉางอัน

ใบหน้าของจักรพรรดิถังและคนอื่นๆ เปลี่ยนไป แม้ว่าพวกเขาจะไม่รู้ว่าเมฆสีดํานี้คืออะไร แต่คงไม่ใช่เรื่องดีนักที่ซูฉินจมลงไปภายใน

 

ในขณะนี้ ด้านหลังบรรพบุรุษชีหยวน บรรพบุรุษเฉวชนและบรรพชนพรรคหมื่นดาบหันมายิ้มให้แก่กัน “ชีหยวนอย่างไร ก็เป็นชีหยวนจริงๆตํานานยุทธเมืองฉางอันควบแน่นอาณาเขตได้แล้วแม้แต่ในดินแดนโพ้นทะเลเขาก็ยังนับเป็นมหาอํานาจคนหนึ่ง แต่สุดท้ายก็ต้องมาตกอยู่ในเงื้อมมือของชีหยวนอยู่ดียอดเยี่ยมยอดเยี่ยมจริงๆ ”

“แน่นอน”

 

“หลายพันปีก่อน บรรพบุรุษชีหยวนมีชื่อเสียงมากมาย ตํานานยุทธในดินแดนห่างไกลเช่นนี้จะต้านทานได้เช่นไร?”

 

บรรพชนพรรคหมื่นดาบยิ้มออกมา

ก่อนที่เขาจะทันได้พูดจบ เขาก็เห็นเมฆสีดําที่ปิดกั้นชั้นบรรยากาศทั้งหมดเริ่มเดือดพล่าน

 

ฟ้าว!

เกิดช่องว่างขึ้นอย่างกะทันหันตรงกลางกลุ่มเมฆสีดําอันไร้ที่สี่นสุด โดยมีซูฉันค่อยๆ เดินออกมาช้าๆ ทั้งที่มือยังคงไพล่หลังอยู่

 

รอบร่างกายของซูฉินมีเปลวไฟสีแดงเข้มล่องลอยไปมาคอยเผาไหม้เมฆสีดําที่มีพลังแห่งความตายคละคลุ้ง เมื่อเจอกับการเผาไหม้ของเปลวไฟสีแดงเข้ม เมฆดําเหล่านั้นก็เหมือนกับกระดาษลนไฟเปลวเพลิงแพร่กระจายออกไปในกลุ่มเมฆดําอย่างรวดเร็ว

 

“นี่คืออะไรกัน?”

บรรพชนพรรคหมื่นดาบและบรรพบุรุษเฉวซินตกตะลึงไม่อยากเชื่อ

“เคล็ดวิชาลับนี้ข้าสร้างขึ้นมาจากรัศมีแห่งความตาย มันจะถูกเผาด้วยไฟได้เช่นไร?” บรรพบุรุษชีหยวนเองก็ประหลาดใจเช่นเดียวกัน หากเขาไม่ได้เห็นด้วยตาของตนเอง เขาคงไม่มีวันเชื่อว่าจะมีสิ่งไร้สาระเช่นนี้อยู่จริงๆ

 

หากอาศัยเพียงแค่เปลวไฟก็สามารถจัดการกับกระบวนท่าไม้ตายของเขาได้ บรรพบุรุษชีหยวนผู้นี้คงตกตายไปตั้งแต่พันปีก่อน แล้วจะมีชื่อเสียงโด่งดังจนถึงทุกวันนี้ได้อย่างไร?

 

ในขณะที่ซูฉินเดินออกมา เมฆสีดําก็ถูกเผาด้วยเปลวไฟสีแดงสดและมันติดตามเผาไปตามกลุ่มเมฆสีดําที่เชื่อมต่อกัน กลายเป็นเส้นทางแห่งเพลิงทอดยาวราวกับมังกรไฟกําลังพุ่งเข้าหาบรรพบุรุษชีหยวน

“ไม่ดีแล้ว!”

บรรพบุรุษชีหยวนหวาดกลัวอย่างยิ่ง แม้แต่เมฆสีดําที่กลั่นมีจากพลังแห่งความตายบริสุทธิ์ก็ยังถูกเผาได้ ไม่ต้องพูดถึงร่างกายและเลือดเนื้อของเขาเลย

 

“วิ่ง!”

บรรพบุรุษชีหยวนต้องการถอยหนีออกไป แต่เปลวเพลิงนั้นลุกลามรวดเร็วเกินไป และเปลวเพลิงเหล่านี้เองก็ดูเหมือนจะมีสติปัญญาคอยดักทางหนีทีไล่ของบรรพบุรุษชีหยวนไว้อย่างแน่นหนา

ช่ว!

สะเก็ดไฟดวงเล็กๆ กระเด็นเข้าใส่ร่างของบรรพบุรุษชีหยวนทันใดนั้นเปลวไฟสีแดงก็ลุกไหม้อย่างรุนแรงเลือดเนื้อ แก่นแท้แห่ง พลังรวมถึงจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของบรรพบุรุษชีหยวนพลันถูกเผาโดยพลัน ลามไปทุกจุด แผดเผาไปยังกระดูกและอวัยวะภายใน

และในที่สุด

ท่ามกลางเสียงกรีดร้องอันน่าสังเวชของบรรพบุรุษชีหยวนเปลวไฟสีแดงก็ลุกลามอย่างรวดเร็ว เผาร่างของมันจนกลายเป็นความว่างเปล่าในทันที

ก่อนสิ้นใจ บรรพบุรุษชีหยวนต้องการจะหนีจากการถูกเผาในที่สุดเขาก็เลือกละทิ้งร่างกายของตนและคิดจะหนีไปด้วยจิตสัม ผัสศักดิ์สิทธิ์แต่การดิ้นรนของเขานั้นก็เหมือนกับเป็นเพียงกระดาษ บางๆ แผ่นหนึ่งไม่สามารถทานทนต่อเปลวไฟได้เพียงนิด

บรรพบุรุษชีหยวน สิ้นชีพ!

 

ทุกคนที่ได้เห็นฉากนี้ล้วนรู้สึกโหวง จิตใจว่างเปล่าในทันใด ดวงตาของพวกเขาพลันแข็งที่อราวกับเห็นผี

“บรรพบุรุษชีหยวน ตายแล้วอย่างนั้นหรือ?”

นอกเมืองฉางอัน ชายผมหงอกยืนอยู่ที่เดิม กระซิบกระซาบอยู่กับตนเอง

 

ตํานานยุทธด้านข้างไม่กี่คนก็เงียบนิ่ง พวกเขามองหน้ากัน ไม่อาจคาดเดาได้เลยว่าเรื่องนี้จะกลายเป็นเรื่องน่าตกใจแค่ไหนเมื่อข่าวแพร่สะพัดไปทั่วต่างแดน

 

เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล [Sign in Buddha’s palm]

Sign in Buddha’s palm 251 (1) ดับชีวิต

 

อํานาจของบรรพบุรุษชีหยวนเป็นที่รู้กันดีในยุคสมัยนั้น ไม่เพียงแต่จะเข้าสู่ขอบเขตตํานานยุทธระดับนภาชั้นที่เก้าเท่านั้น แต่ยังควบแน่นอาณาเขตได้อีกด้วย มีอํานาจท่วมท้นในต่างดินแดน

พันกว่าปีที่แล้ว แม้จะเป็นนิกายใหญ่ห้าอันดับแรก ก็ไม่เต็มใจหาเรื่องดึงดูดความสนใจของบรรพบุรุษชีหยวนผู้โด่งดังแน่

ถ้าไม่ใช่เพราะข้อบกพร่องในวิชาบ่มเพาะของนิกายเฮยหยวน ซึ่งทําให้ไม่อาจเปลี่ยนจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ให้กลายเป็นจิตวิญญาณแรกกําเนิดได้ บรรพบุรุษชีหยวนอาจจะกลายเป็นเซียนเทพปฐพีไปแล้ว

 

ซึ่งในทางกลับกันแน่นอนว่าถ้าไม่ใช่เพราะวิชาบ่มเพาะของนิกายเฮยหยวนที่เป็นวิถีมาร ทําให้ความรวดเร็วในการบ่มเพาะนั้นคืบหน้าเร็วมากทั้งยังไม่มีคอขวด ไม่เช่นนั้นบรรพบุรุษชีหยวนก็คงไม่มาถึงระดับนี้ได้

 

แต่อย่างไรเสีย ความแข็งแกร่งของบรรพบุรุษชีหยวนนั้นนับเป็นที่สุดอย่างแน่นอนในระดับที่ต่ํากว่าเซียนเทพปฐพี ด้วยพลังของอาณาเขตควบคู่กับทักษะแปลกๆของนิกายเฮยหยวนก็เพียงพอจะอยู่เหนือตํานานยุทธระดับนภาชั้นที่เก้า…

 

แต่ตอนนี้ บรรพบุรุษชีหยวนซึ่งเปรียบเสมือนเทพเจ้าในสายตาของชายผมหงอกและตํานานยุทธจากต่างดินแดน กลับถูกเฉือนตัดอาณาเขตเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยด้วยคมมีด ไอพลังก็ยังลดลงอีกด้วย

“เมื่อครู่มันเกิดอะไรขึ้น?”

 

รูม่านตาของชายผมหงอกหดตัวลงกะทันหัน และตํานานยุทธคนอื่นๆที่อยู่ตรงนั้นก็สะเทือนใจยิ่งกว่า ต่อหน้าคมมีดที่ตัดผ่าอาณาเขตแห่งความมืด พวกเขาแทบจะล้มลงนั่งกับพื้นด้วยความตกใจ

ในขณะที่ทุกคนกําลังตกใจอยู่นั้น

ด้านในเมืองฉางอัน ไอพลังหลายจุดก็พุ่งออกมาอย่างเต็มที่ ท่ามกลางสายตาที่จ้องมองอย่างเหลือเชื่อของชายผมหงอกและคนอื่นๆ รัศมีพลังสี่ดวงก็พุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า และหยุดอยู่ที่ระดับความสูงหนึ่งพันเมตรเหนือเมืองฉางอัน

 

“นั่นคือบรรพบุรุษชีหยวนงั้นหรือ?”

 

ชายผมหงอกเงยหน้าขึ้น เพ่งสายตาไปเห็นร่างสี่ร่างยืนอยู่ที่ระดับความสูงพันเมตรเหนือพื้นดิน และหนึ่งในนั้นคือบรรพบุรุษชีหยวน

ในขณะนี้บรรพบุรุษชีหยวนรู้สึกอับอายอย่างยิ่ง พลังผันผวนแปรปรวน แม้จะยังคงยืนอยู่บนอากาศ แต่ไอพลังเริ่มลดลงอย่างเห็นได้ชัด

ฝั่งตรงข้ามที่เผชิญหน้าอยู่กับบรรพบุรุษชีหยวนเป็นชายหนุ่มผู้หนึ่งที่มีปราณชีวิตยืนยาว แม้ว่าชายผมหงอกจะไม่เคยเห็นบุคคลผู้นี้มาก่อน แต่เขาก็เดาได้ว่าชายหนุ่มคนนี้คือตํานานยุทธเมืองฉางอัน บุคคลผู้แข็งแกร่งที่ทําลายอาณาเขตของบรรพบุรุษชีหยวน

“สามารถปราบปรามบรรพบุรุษชีหยวนได้ เกรงว่าเขาคงจะควบแน่นอาณาเขตได้แล้วเหมือนกัน..”

 

ชายผมหงอกยืนอยู่กับที่ มองขึ้นไปเห็นร่างของซูฉิน ท่าทางของเขาเหม่อลอย

ทุกวันนี้ยุทธภพในต่างแดนนั้นไม่ต้องกล่าวผู้ที่สามารถควบแน่นอาณาเขตได้ แค่ตํานานยุทธระดับนภาชั้นที่เจ็ดก็แทบจะไม่มีอยู่แล้ว ยกเว้นก็แต่บรรพบุรุษที่หลับใหลในนิกายใหญ่ ส่วนตํานานยุทธขั้นสูงสุดที่ยังคงมีพลังชีวิตเหลืออยู่อีกเยอะนั้นมีไม่มากนัก

“ไม่เลว”

“สามารถทานทนต่อคมมีดของข้าได้และยังไม่ตกตายไป?”

ซูฉินถือคมมีดเทพเจ้าปีศาจไว้ในมือ มองไปที่บรรพบุรุษชีหยวนด้วยความสนใจ จากนั้นจึงพูดออกมาอย่างแผ่วเบา

 

แม้ว่าชิงชิวชิงหลิงและมังกรปีศาจในวิหารการสงครามจะสามารถป้องกันคมมีดเทพเจ้าปีศาจได้ แต่พวกมันก็ต้องพึ่งพาร่างกายอันทรงพลังของเผ่าพันธุ์สัตว์อสูร

 

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง มังกรปีศาจนั้นลําตัวยาวหลายร้อยเมตร และคมมีดเทพเจ้าปีศาจนั้นยาวเพียงไม่กี่เมตรเท่านั้น เชือดเฉือนคู่ต่อสู้ไป แม้ว่าจะทําให้ได้รับบาดเจ็บ แต่ก็ไม่ได้ทําร้ายไปถึงแก่นชีวิต

แต่บรรพบุรุษชีหยวนนั้นต่างออกไป

บรรพบุรุษชีหยวนนั้นเป็นเผ่ามนุษย์ เลือดเนื้อและพลังชีวิตของเขาก็ลดลงมากแล้ว อาศัยทักษะลับเฉพาะตัวจึงรอดมาได้จนป่านนี้ เขาสามารถสกัดกั้นใบมีดของคมมีดเทพเจ้าปีศาจได้ ทําให้ซุฉินต้องมองเขาด้วยความชื่นชม

 

“แข็งแกร่งนัก…”

ท่าทีของบรรพบุรุษชีหยวนดูสั่นไหว มีดของซูฉินที่ตวัดออกไป เมื่อครู่ได้ทุบทําลายอาณาเขตของเขาตรงๆ และเมื่อเจตจํานงจากมีดกระจัดกระจายออก อํานาจของอาณาเขตก็ย้อนกลับกระแทกเข้าหาตัวเขาเอง

ถ้าไม่ใช่เพราะทักษะร่างปีศาจลวงของบรรพบุรุษชีหยวนที่ทําให้สามารถเปลี่ยนแปลงระหว่างร่างลวงตาและความเป็นจริง เกรงว่ามีดในมือซูฉินคงสังหารเขาจนสิ้นใจไปแล้ว

 

บรรพบุรุษชีหยวนได้ต่อสู้กับซูฉินด้วยความรวดเร็ว และในตอนนี้เมื่อพวกเขาขึ้นมายืนอยู่เหนือพื้นดินกว่าพันเมตร ทําให้ผู้คนในเมืองฉางอันตกใจเป็นธรรมดา

 

“นั่นคืออะไร?”

 

“ พ่อครับ มีคนลอยอยู่บนฟ้า!”

“จะไปมีใครลอยอยู่บนฟ้า? นี่เจ้าไปฝึกวิชามาแล้วโง่ลงรึเปล่า?”

 

ผู้คนมากมายในเมืองฉางอันแหงนหน้าขึ้นมองบนฟ้า คนส่วนใหญ่นั้นเป็นคนธรรมดา ปกติแล้วพวกเขาไม่สามารถมองเห็นสิ่งที่อยู่เหนือพื้นดินกว่าพันเมตรได้ แต่อย่างน้อยก็สามารถเห็นได้รางๆ ว่ามีจุดสีดําสี่จุดตั้งอยู่ตรงนั้น มีเสียงลมพัดหวีดหวิวไปมา แต่ทั้งสี่จุดยังคงยืนนิ่ง

 

“พี่สามลงมือ?”

ภายในวังหลวง จักรพรรดิถังรีบไปที่กําแพงเมือง แหงนหน้าขึ้นมองท้องฟ้า เห็นจุดสีดําสี่จุดรางๆ

 

“ใครกันที่กําลังต่อสู้กับพี่สาม?” จักรพรรดิถังอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม

“ฝ่าบาท นั่นคือบรรพบุรุษชีหยวนแห่งนิกายเฮยหยวน ส่วนอีกสองคนเป็นบรรพชนของพรรคหมื่นดาบและตําหนักเทพเจ้า มะ….”

 

ใบหน้าของนักพรตเฒ่าสํานักเอกะวิถีเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว กลายเป็นใบหน้าตกตะลึงเหลือเชื่อ

เมื่อซูฉินสังหารผู้อาวุโสตําหนักเทพเจ้าหิมะและรองหัวหน้านิกายเฮยหยวนบนเกาะหยิงโจว นักพรตเฒ่าก็คาดเดาเอาไว้แล้วว่านิกายใหญ่เหล่านั้นจะยังไม่ยอมแพ้

โดยเฉพาะในตอนนี้ที่นักพรตเฒ่าได้อยู่ในเมืองฉางอันมาระยะหนึ่ง เขาก็ตระหนักได้ถึงประโยชน์อันยิ่งใหญ่ในการบ่มเพาะภายในแผ่นดินแห่งพลังยุทธฯ เขายิ่งเชื่อมั่นมากขึ้นเรื่อยๆ ว่านิกายเฮยหยวนและนิกายใหญ่อื่นๆจะต้องส่งคนออกมาอีก

 

แต่สิ่งที่นักพรตเฒ่าไม่คาดฝันคือ ทั้งพรรคหมื่นดาบและตําหนักเทพเจ้าหิมะก็ได้ปลุกบรรพชนของเขาขึ้นมาด้วย

 

โดยเฉพาะนิกายเฮยหยวนที่ถึงกับปลุกบรรพบุรุษชีหยวนผู้ชั่วร้ายที่เคยอาละวาดไปทั่วจนไม่มีใครในต่างแดนหยุดได้เมื่อพันกว่าปีก่อนขึ้นมา

นักพรตเฒ่าดูซีดเซียว ตัวสั่นไปทั้งตัว

หากเป็นเพียงบรรพชนตําหนักเทพเจ้าหิมะหรือพรรคหมื่นดาบ เขาก็ยังพอมีความมั่นใจในตัวซูฉินอยู่ ท้ายที่สุดแล้วซูฉินก็ควบแน่นอาณาเขตได้ การจะจัดการกับตํานานยุทธขั้นสูงสุดที่ยังไม่ได้ควบแน่นอาณาเขตก็คงไม่ได้ลําบากเท่าไหร่กระมัง?

แต่การปรากฏตัวของบรรพบุรุษชีหยวนทําให้นักพรตเฒ่าขนหัวลุก ซูฉินนั้นควบแน่นอาณาเขตได้จริง แต่บรรพบุรุษชีหยวนก็ควบแน่นอาณาเขตได้เช่นเดียวกัน ซึ่งตามศักดิ์ศรีแล้วบรรพบุรุษชีหยวนเกิดก่อนซูฉินเป็นพันปี หากซูฉินต้องเผชิญหน้ากับคนผู้ นี้ก็คงจะยากสักหน่อย ไหนจะยังมีบรรพชนอีกสองคนอยู่เคียงข้างด้วย……

นักพรตเฒ่าเริ่มคิดแล้วว่าเขาจะนําจักรพรรดิถังและสมาชิกตระกูลซูหนีออกจากเมืองฉางอันเงียบๆ เพื่อหลีกเลี่ยงภัยพิบัติได้อย่างไรดี

สําหรับผู้คนนับล้านภายในเมืองฉางอัน นักพรตเฒ่าก็ทําได้เพียงกล่าวคําขอโทษ ด้วยความแข็งแกร่งของเขานั้นจํากัดอยู่แค่สามารถช่วยจักรพรรดิถังและครอบครัวตระกูลซูได้เท่านั้น เขาจะมีปัญญาอะไรไปช่วยคนนับล้าน?

 

“คนพวกนี้แข็งแกร่งหรือไม่?”

เมื่อเห็นใบหน้าของนักพรตเฒ่าดูบิดเบี้ยวน่าเกลียด จักรพรรดิถังจึงถามด้วยเสียงต่ํา

 

“แข็งแกร่งหรือไม่?” นักพรตเฒ่าถอนหายใจเบาๆ ไม่ต้องกล่าวถึงบรรพบุรุษชีหยวนซึ่งเป็นสัตว์ประหลาดดุร้ายไร้เทียมทานในยุทธภพ แค่บรรพบุรุษเฉวซินแห่งตําหนักเทพเจ้าหิมะเพียงคนเดียวก็อยู่เหนือสิ่งมีชีวิตทั้งมวลแล้ว

หากไม่มีซูฉินคอยปกปักคุ้มครอง ต่อให้อาณาจักรถังจะเล่นแง่มากแค่ไหนก็ไม่สามารถหยุดตัวตนทรงอํานาจระดับนี้ได้

หร่วนชิงและเหยียนไห่เองก็หน้าซีดเซียว พวกเขาก็รู้เรื่องราวของบรรพชนจากนิกายใหญ่ แม้จะไม่ได้รู้เรื่องราวมากมายเท่ากับนักพรตเฒ่า แต่ก็รับรู้ถึงความน่าสะพรึงกลัวของบรรพชนเหล่านี้ดี

ทําไมนิกายใหญ่ในต่างแดนจึงสามารถเข้าครอบครองทรัพยากรบ่มเพาะมากมายในดินแดนโพ้นทะเลได้ตามอําเภอใจ? ก็อาศัยการมีอยู่ของบรรพชนเหล่านี้ภายในนิกายมิใช่หรือ?

“ฝ่าบาท รีบรวบรวมคนสําคัญทั้งหมดมาที่นี่ เราต้องรีบหนีออกจากเมืองฉางอันโดยเร็วที่สุด” นักพรตเฒ่ากล่าวออกมาทันทีด้วยท่าทีเคร่งเครียด

 

“ออกจากเมืองฉางอัน?” สีหน้าของจักรพรรดิถังเปลี่ยนไป

 

ที่นักพรตเฒ่าพูดออกมาก่อนหน้าเขาฟังได้ไม่ชัดเจนเท่าไหร่นัก แต่ประโยคเมื่อครู่นี้ทําให้จักรพรรดิถังตระหนักได้ถึงความจริงจังของเรื่องราวที่เกิดขึ้น

 

อย่างไรก็ตาม

ในตอนนั้นเอง

ฟูมมม….

บนท้องฟ้าเหนือพื้นดินกว่าพันเมตร บรรพบุรุษชีหยวนก็เริ่มเคลื่อนไหว เขายกมือขวาที่ผอมบางขึ้นมา มันเต็มไปด้วยพลังงานสีดําที่น่าสะพรึงกลัวไหลหลากออกมา พุ่งเข้าหาซูฉิน

ทันใดนั้นอากาศโดยรอบก็กระจายตัวออก เห็นเพียงนิ้วของบรรพบุรุษชีหยวนที่ค่อยๆกดลงช้าๆ

“มันจบแล้ว”

“มันจบสิ้นแล้ว”

 

เมื่อนักพรตเฒ่าเห็นฉากนี้ มือและเท้าของเขาก็เย็นเยียบ

 

ตํานานยุทธขั้นสูงสุดที่ควบแน่นอาณาเขตได้ถึงสองคนต่อสู้กัน แม้ว่าจะเป็นในต่างดินแดน เหตุการณ์เช่นนี้ก็ยังหาได้ยากยิ่ง หลายร้อยปีอาจจะมีสักครั้ง สําหรับขุมพลังระดับนี้ด้วยการต่อสู้น้ํานั่นเต็มรูปแบบ เพียงแค่การปะทะกันของอาณาเขตก็อาจเปลี่ยนพื้นที่หลายสิบล้ําให้กลายเป็นดินแดนแห่งความตายได้เลย

 

หากเป็นช่วงก่อนที่บรรพบุรุษชีหยวนและซูฉินจะต่อสู้กัน นักพรตเฒ่าค่อนข้างมั่นใจว่าจะพาจักรพรรดิถังและตระกูลซูฉินออกจากเมืองฉางอันเพื่อหลีกเลี่ยงภัยพิบัติได้ แต่ในตอนที่การต่อสู้เริ่มรุนแรงขึ้นแล้ว นับประสาอะไรกับการที่นักพรตเฒ่าจะพาผู้คนออกไปด้วย แค่การรักษาตนเองให้รอดไปได้ก็เป็นปัญหายิ่งแล้ว

 

และในครั้งนี้

ท่ามกลางสายตาของผู้คนนับไม่ถ้วน แววดูถูกก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของซูฉิน

“ถ้าเจ้ามีกําลังวังชาเต็มเปี่ยม มีความแข็งแกร่งเหมือนตอนอยู่ในยุครุ่งเรือง ข้าก็พอจะสนใจอยู่ ทว่าตอนนี้…”

 

Sign in Buddha’s palm 250 อุบัติการณ์

ภายในเมืองฉางอัน

บนถนนทางเดิน

ผู้คนสัญจรไปมามากมาย ท้องถนนเต็มไปด้วยชีวิตชีวา

 

แต่ทั้งบรรพบุรุษเฉวซินและบรรพชนพรรคหมื่นดาบกลับมีคลื่นลูกใหญ่ซัดโถมเข้าเต็มหัวใจทั้งหมดมองไปที่ซูฉินด้วย ความตกใจ

 

อย่างน้อยๆ พวกเขาก็เป็นถึงตํานานยุทธระดับนภาชั้นที่เจ็ดโดยเฉพาะบรรพบุรุษเฉวซินที่เป็นถึงตํานานยุทธระดับนภาชั้นที่ แปดขั้นสูงสุดสามารถใช้จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ครอบคลุมรัศมีหลาย สิบลี้ได้อย่างง่ายดายแต่ไม่ว่าจะเป็นบรรพชนพรรคหมื่นดาบหรือบรรพบุรุษเฉวซินก่อนที่ซูฉินจะกล่าวคําออกมา เขาก็ไม่ได้สังเกตเห็นเลยว่ามีซูฉินอยู่ใกล้ๆ

 

ซูฉินโผล่ขึ้นมาจากอากาศราวกับภูตผี

 

สิ่งนี้หมายความว่าอย่างไร?

 

หมายความว่าหากซุฉินตั้งใจ เขาสามารถกลายเป็นมือลอบสังหารที่น่าสะพรึงกลัวที่สุดในโลกอย่างแน่นอน ก่อนที่เขาจะลงมือแม้แต่ตํานานยุทธระดับนภาชั้นที่แปดอย่างบรรพบุรุษเฉวซินยังไม่อาจรับรู้

 

“พวกเจ้าคือบรรพชนผู้หลับใหลในต่างแดนใช่หรือไม่?”

ซูฉินมองดูกลุ่มของบรรพบุรุษเฉวซินทั้งสามคนอย่างสนอกสนใจดวงตาแห่งสัจจะช่วยให้เขาเข้าใจกลไกของพลังฉีทั้งหมด และแม้แต่แก่นแท้แห่งพลังที่โคจรอยู่ภายในร่างของบรรพชนทั้งสามก็เห็นได้ชัดเจน

 

ในสายตาของซูฉินไม่ว่าจะเป็นบรรพบุรุษเฉวซิน ชีหยวนจากนิกายเฮยหยวน หรือบรรพชนพรรคหมื่นดาบความแข็งแกร่งของพวกเขาล้วนเป็นตํานานยุทธขั้นสูงสุด แต่เลือดเนื้อของทั้ง สามนั้นเสื่อมถอยลงไปแล้วไม่ใช่จุดรุ่งเรืองที่สุดของพวกเขา

แทบจะเหมือนที่นักพรตเฒ่าแห่งสํานักเอกะวิถีบอกว่าบรรพชนที่หลับใหลด้วยวิธีการลับนั้นจะทําให้เลือดเนื้อเสื่อมถอยลง

 

“เจ้าคือตํานานยุทธเมืองฉางอันอย่างนั้นหรือ?”

 

บรรพบุรุษเฉวซินแห่งตําหนักเทพเจ้าหิมะมองไปที่ซูฉินอย่างจริงจังกล่าวคําทั้งหมดออกมา

 

ในตอนนี้ ทําไมพวกเขาจะยังเดาไม่ออกว่าตํานานยุทธที่พวกเขากําลังตามหานั้นอยู่ตรงหน้าพวกเขาแล้ว?

เพียงแต่บรรพบุรุษเฉวซินนั้นคิดว่าซูฉินเป็นเพียงตํานานยุทธระดับนภาชั้นที่เจ็ด แต่ตอนนี้ดูเหมือนฝ่ายตรงข้ามจะเหนือกว่าระดับนภาชั้นที่เจ็ดเสียแล้ว

ตํานานยุทธระดับนภาชั้นที่เจ็ดจะซ่อนตัวจากการรับรู้ของบรรพบุรุษเฉวซินและเข้ามาใกล้ๆ อย่างเงียบงันเช่นนี้ได้เยี่ยงไร?

ซูฉินแย้มยิ้มเล็กน้อย ไม่ตอบคําถามของบรรพบุรุษเฉวซินแต่มองทั้งสามด้วยอาการครุ่นคิด

 

ซูฉินเข้าสู่วิถีทางการฝึกยุทธมาหลายสิบปี และศัตรูที่พบมักจะอยู่ในระดับที่ต่ํากว่าเขามากพวกของบรรพบุรุษเฉวซินทั้งสามคนเป็นเผ่าพันธุ์มนุษย์ที่แข็งแกร่งในระดับเดียวกันกับซูฉินซึ่งเป็นครั้งแรกที่เขาได้พบคนที่มีฐานบ่มเพาะใกล้เคียงกันเช่นนี้

แน่นอนว่าชิงชิวชิงหลิงบนเกาะหยิงโจวและมังกรปีศาจไม่ใช่เผ่าพันธุ์มนุษย์จึงไม่ได้นับรวมเข้าไปด้วย

 

“เฮเฮ สหายช่างมีวิธีการที่ดี ” บรรพบุรุษชีหยวนที่อยู่ด้านข้างก็ส่งเสียงเยาะเย้ย“ไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องอื่นๆเพียงแค่ทักษะลับในการปกปิดกลิ่นอายก็เพียงพอที่จะทําให้อยู่ในระดับบนสุดของโลกนี้แล้ว…………..”

แสงแห่งปัญญาส่องประกายออกมาจากดวงตาของบรรพบุรุษชีหยวนในความเห็นของเขาการที่ซูฉินมาปรากฏตัวที่นี่อย่างเงียบๆ จะต้องซ่อนตัวอยู่ตั้งแต่แรกด้วยทักษะลับในการปกปิดกลิ่นอาย

 

เมื่อมองแวบแรกอาจจะดูน่าเหลือเชื่อ แต่จริงๆ แล้วมันไม่คุ้มค่าให้กล่าวถึง

 

เพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุดในการใช้ทักษะปกปิดกลิ่นอายจําเป็นต้องควบคุมกลิ่นอายเอาไว้ ถ้าซูฉินนิ่งเงียบ จากนั้นจึงค่อยๆล่าถอยกลับไปอาจจะทําให้บรรพบุรุษชีหยวนอารมณ์เสียได้แต่ตอนนี้ซูฉินกลับคิดจะหยัดยืนขึ้นสู้ เท่ากับละทิ้งสิ่งที่ตนถนัดและมองหา

ความตาย

“ทักษะลับในการปกปิดกลิ่นอาย?”

 

บรรพชนพรรคหมื่นดาบถอนหายใจด้วยความโล่งอก

 

ทักษะลับปกปิดกลิ่นอายนั้นสามารถซ่อนกลิ่นอายได้อย่างไม่น่าเชื่อแต่ไม่ว่ามันจะน่าเหลือเชื่อเพียงใดมันก็เป็นเพียงแค่ทักษะลับไม่มีอะไรมากไปกว่าการปกปิดกลิ่นอาย ไม่ได้ช่วยในเรื่องการต่อสู้เท่าไหร่นัก

ในเวลานี้ความคิดนับพันวาบผ่านเข้ามาในจิตใจของบรรพชนพรรคหมื่นดาบ และยิ่งแนใจมากขึ้นเรื่อยๆ ว่าการคาดเดาของบรรพบุรุษชีหยวนนั้นถูกต้อง

ถ้าซูฉินไม่ได้ใช้ทักษะลับปกปิดกลิ่นอาย ทําไมจู่ๆ พวกเขาจึงเพิ่งเริ่มรู้ตัวในตอนที่ซูฉินส่งเสียง?

บรรพชนพรรคหมื่นดาบยิ่งคิดก็ยิ่งเริ่มแน่ใจมากขึ้น ปรากฏเป็นร่องรอยของความอับอายขึ้นในดวงตายามเมื่อมองไปยังซูฉินบรรพชนนักดาบผู้ยิ่งใหญ่อยู่ในขอบเขตตํานานยุทธขั้นสูงสุดมาตั้งแต่พันปีก่อนกลับต้องมาหวาดกลัว คนรุ่นหลัง” อย่างซูฉิน หากเรื่องนี้แพร่กระจายออกไปย่อมทําให้คนอื่นหัวเราะเยาะเป็นแน่

 

“ทักษะลับปกปิดกลิ่นอาย?”

 

มันทําให้ซูฉินหัวเราะแห้งๆ

ตอนนี้เขากําลังอยู่ในช่วงพัฒนาขั้น ไม่ว่าจะเป็นพลังชีวิตเลือดเนื้อหรือจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ล้วนซ่อนตัวลึกอยู่ภายในกายทําให้ดูไม่ต่างจากคนทั่วไปนักนั่นเป็นเหตุที่ทําให้บรรพบุรุษชีหยวนคิดว่าเขา ใช้ทักษะลับปกปิดกลิ่นอาย

อนึ่ง บรรพบุรุษซีหยวนก็ไม่ได้พูดอะไรผิด

 

“ไม่ว่าเจ้าจะมีทักษะลับอะไร แต่การมาสังหารผู้อาวุโสของข้าก็จะไม่ได้รับการให้อภัย จงยอมจํานนอย่างเชื่อฟังบางทีมันอาจจะทําให้เจ้ามีชีวิตอยู่ต่อไปได้”

บรรพบุรุษเฉวซินก้าวเท้าไปข้างหน้าตะโกนออกมาอย่างรุนแรง

“ลงมือ!”

 

ไอพลังอันน่าสะพรึงกลัวสามสายพุ่งเข้ามาหาซูฉินพร้อมกันดุจมังกรโอบกอดตวัดรัดรึง

ไม่ว่าจะเป็นบรรพชนพรรคหมื่นดาบ บรรพบุรุษเฉวซินหรือบรรพบุรุษชีหยวนล้วนแต่เป็นตํานานยุทธขั้นสูงสุด แม้ว่าเลือดเนื้อและพลังชีวิตจะลดลงแต่ด้วยการลงมือร่วมกันแม้จะยังไม่ลงมือเต็มที่ก็เพียงพอแล้วที่จะปราบตํานานยุทธระดับนภาชั้นที่เจ็ดและ นภาชั้นที่แปดธรรมดาๆ

หวิ่ง!!!

 

อากาศเริ่มบิดเบี้ยวเล็กน้อยราวกับว่าไม่สามารถทนต่อแรงกดดันได้แต่ไม่ว่าบรรพชนทั้งสามจะรวมพลังกันโจมตีอย่างไรในสายตาของชาวเมืองฉางอันที่เดินอยู่ใกล้ๆ ก็ดูเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

 

นี่คือการต่อสู้ระหว่างผู้แข็งแกร่งที่แท้จริง

 

สําหรับตํานานยุทธขั้นสูงสุดเช่นบรรพบุรุษชีหยวน เว้นแต่จะต้องพยายามต่อสู้อย่างเต็มที่ เผชิญหน้ากับวิกฤตชีวิตทุกร่องรอยจะถูกปกปิดไว้เฉพาะเมื่อเกิดการปะทะของพลังเท่านั้นพลังจึงจะปะทุขึ้นมาแต่ก่อนหน้าการปะทะจะไม่เกิดผลกระทบใดๆ ออก มาให้รับรู้เลย

เมื่อเผชิญหน้ากับเหตุการณ์นี้ ท่าทีของซูฉินยังคงสงบนิ่งไม่เคลี่อนไหว

ท่ามกลางสายตาจ้องมองของบรรพชนทั้งสามการโจมตีทั้งหมดของพวกเขาอยู่ห่างของร่างของซูฉินเพียงไม่ถึงสิบจ้างแต่การโจมตีทั้งหมดกลับสลายหายไปอย่างเงียบๆ ราวกับมันจมลงไปในก้น

ทะเล

 

“นี่คือ?”

บรรพบุรุษเฉวซินและบรรพชนพรรคหมื่นดาบไม่สามารถซ่อนอาการตกใจได้

ทั้งสามคนนั้นร่วมมือกัน แม้จะไม่ได้ใช้กําลังเต็มที่ แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องที่ตํานานยุทธขั้นสูงสุดธรรมดาๆ จะสามารถทนการโจมที่นี้ได้ถ้าซูฉินใช้วิธีการมากมาย จ่ายราคาแสนแพงเพื่อปิดกั้นการโจมตีร่วมกันของพวกเขา บรรพบุรุษเฉวซินก็ยังพอทําความเข้าใจ ได้แต่ความจริงมันน่าเหลือเชื่อตรงที่ซูฉันยืนอยู่ที่เดิมโดยไม่ได้ทํา อะไรเลย และทุกอย่างก็จบลงทันที

 

“อาณาเขต!”

“นี่เจ้าควบแน่นเรียบร้อยแล้ว?”

 

บรรพบุรุษซีหยวนที่อยู่ด้านข้างจ้องมองใบหน้าของซูฉินเขม็ง

“อาณาเขต?”

 

บรรพบุรุษเฉวซินและบรรพชนพรรคหมื่นดาบมองหน้ากันในความเป็นจริงแม้บรรพบุรุษชีหยวนจะไม่พูดแต่พวกเขาก็พอเดาได้การที่สามารถสลายการโจมตีของสามบรรพชนที่ลงมือพร้อมกันได้อย่างเงียบเชียบด้วยการลงมือเพียงครั้งเดียว ยังจะมีสิ่งอื่นใดอีกหากมิใช่อาณาเขต?

 

“มีสายตาที่ไม่เลว”

ซูฉินพยักหน้าเล็กน้อยก่อนจะพูดเบาๆ

“น่าเสียดายที่มันสายเกินไปแล้ว จงตายเสียเถิด”

 

จิตใจของซูฉินเคลื่อนไหว พลังของอาณาเขตแผ่ขยายออกอย่างรวดเร็วเคลื่อนเข้าหากลุ่มของบรรพบุรุษชีหยวนทั้งสามคน

เมื่อบรรพบุรุษชีหยวนตกอยู่ในอาณาเขตของซูฉิน ก็เท่ากับความเป็นความตายนั้นจะอยู่ในกํามือของซูฉิน

“ไม่ดีแล้ว!”

ท่าทีของบรรพบุรุษเฉวซินเปลี่ยนไปอย่างมากหากปล่อยให้อาณาเขตของซูฉินเข้าปกคลุมจริงๆตัวนางและบรรพชนพรรคหมื่นดาบต้องตายอย่างแน่นอน

 

ส่วนการวิ่งหนี?

ต่อหน้าตํานานยุทธที่ควบแน่นอาณาเขตได้นั้น

การหลบหนีเป็นพฤติกรรมที่โง่เขลาที่สุด ไม่ว่าเจ้าจะวิ่งได้เร็วเท่าไหร่อาณาเขตก็ย่อมขยายตัวได้เร็วกว่าเจ้ามิใช่หรือ?

 

เว้นแต่จะละทิ้งกายเนื้อและหลบหนีออกไปหมื่นลี้ด้วยจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ แต่วิธีนี้ต้องจ่ายด้วยราคาที่แพงจนเกินไปโดยเฉพาะบรรพบุรุษเฉวซินที่พลังเสื่อมถอยและมีอายุขัยที่น้อยนิดไม่ว่าจะพยายามมากแค่ไหนก็คงอยู่ได้อีกไม่กี่เดือนแล้ว

“ชีหยวน!”

บรรพบุรุษเฉวซินมองไปยังบรรพบุรุษชีหยวนที่อยู่ด้านข้าง

“เฮ้อ!”

 

บรรพบุรุษชีหยวนถอนหายใจออกมาเล็กน้อย และพลังแห่งความมืดก็เข้ามาปิดกั้นอาณาเขตของซูฉิน พลังทั้งสองสายอยู่ในจังห วะชะงักงัน

“หม?”

ซูฉินมองไปที่บรรพบุรุษชีหยวนด้วยความประหลาดใจ เขาไม่ได้คาดหวังว่าอีกฝ่ายจะควบแน่นอาณาเขตได้ด้วย

 

แม้ว่าดวงตาแห่งสัจจะจะมีความลึกซึ้งในการมองเห็นกลไกพลังฉีแต่พลังของอาณาเขตนั้นซ่อนอยู่ในห้วงแห่งจิตใจเว้นแต่จะเริ่ม เปิดเผยพลังของมันออกมาแม้จะเป็นซูฉินเองก็ไม่อาจมองเห็น

 

“อย่างไรก็ตาม พลังชีวิตและเลือดเนื้อของเจ้าลงลดมากแล้วเจ้าจะอยู่ต่อไปได้นานแค่ไหนหากยังใช้อาณาเขตต่อไปเช่นนี้?” ซูฉินเหลือบมองไปที่บรรพบุรุษชีหยวนและยิ้มดูถูก

 

สําหรับจอมยุทธอย่างซูฉินที่มีพลังชีวิตและเลือดเนื้อแข็งแกร่งการใช้อาณาเขตนั้นทําได้เพียงแค่นึกคิดแต่สําหรับบรรพบุรุษชีหยวนทุกครั้งที่ใช้อาณาเขตเป็นระยะเวลาหนึ่งมันจะลดพลังชีวิตและเลือดเนื้อลงไปอีกครั้งซึ่งทั้งหมดนี้ก็ไม่ต่างไปจากการใช้เครื่องรางคอยคุ้มกัน

 

“ช่างเถอะ”

“คราวที่แล้วข้ายังไม่ค่อยตื่นเต้นในการต่อสู้กับมังกรปีศาจเท่าไหร่พวกเจ้ามาช่วยข้าซ้อมมือใหม่อีกครั้งเถอะ”ซูฉินถูฝ่ามือพร้อมกับครุ่นคิดในใจ

ในสายตาของซูฉิน อาณาเขตก็เป็นเครื่องมือที่สะดวกสบายมากที่สุดแต่ก็ยังห่างไกลจากความสามารถที่แท้จริงของซุฉิน

 

เหตุผลที่เขาใช้อาณาเขตในยามนี้ก็เพราะเขาขี้เกียจจนเกินไปและคิดจะปราบปรามด้วยอาณาเขตในความคิดเพียงวูบเดียว

แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าสิ่งที่คิดจะไม่เกิดขึ้น ซูฉินยังคงต้องใช้กลอุบายอื่นในการจัดการ

ในเวลาเดียวกัน

 

ด้านนอกเมืองฉางอัน

ตํานานยุทธจากต่างแดนมากมายหลายคนมารวมตัวกันที่นี่มองดูเมืองฉางอันที่สวยงามจากระยะไกล

“สี่สี่ บรรพบุรุษชีหยวนจากนิกายเฮยหยวน บรรพบุรุษเฉวซินจากตําหนักเทพเจ้าหิมะและบรรพชนพรรคหมื่นดาบเข้าไปในเมืองฉางอันแล้วอย่างนั้นหรือ?”

 

รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของชายผมหงอก

 

หลังจากที่บรรพบุรุษชีหยวนแห่งนิกายเฮยหยวนและคนอื่นๆตื่นขึ้นพวกเขาก็ไม่ได้ตรงไปที่แผ่นดินแห่งพลังยุทธในทันที พวก เขาไม่ได้ขยับร่างมานานหลายสิบปีเมื่อจู่ๆ ต้องตื่นขึ้นอีกครั้งก็ต้อง มีการปรับตัวอยู่บ้างอย่างแน่นอน

 

ดังนั้น

เหล่าตํานานยุทธที่พร้อมใจกันมาที่แผ่นดินแห่งพลังยุทธก็แข่งขันกันเพื่อที่จะมาให้ถึงที่นี่ก่อนบรรพบุรุษชีหยวนและคนอื่นๆ

 

“ดูจากเวลา พวกเขาควรจะมาถึงที่นี่แล้ว”

ตํานานยุทธอีกหลายคนพยักหน้าเล็กน้อย มองไปที่เมืองฉางอันอย่างคาดหวัง

 

โดยปกติแล้วพวกเขาไม่กล้าแข่งขันกับตํานานยุทธขั้นสูงสุดอย่างบรรพบุรุษชีหยวนที่จะเข้ายึดเมืองฉางอันแต่การเฝ้ามองอยู่ไกลๆและรอให้บรรพบุรุษซีหยวนสู้กับตํานานยุทธขั้นสูงสุดของเมืองฉางอันก็ไม่มีปัญหาอะไร

 

“ข้าไม่รู้ว่าตํานานยุทธแห่งเมืองฉางอันจะสามารถขัดขวางกลุ่มของบรรพบุรุษชีหยวนได้หรือไม่….”

 

หญิงอวบอ้วนที่ดูคล้ายคนอายุสามสิบปีถอนหายใจ

 

“ขัดขวางงั้นหรือ?”

ชายผมหงอกในตอนแรกส่งเสียงเย้ยหยัน “บรรพบุรุษชีหยวนอยู่ในต่างแดนเมื่อพันกว่าปีก่อน และมีตํานานยุทธขั้นสูงสุดหลายคนตกตายภายใต้ฝีมือของเขาถ้าไม่ใช่เพราะวิชาของนิกายเฮยหยว นมีข้อบกพร่องเกรงว่าเขาคงจะเข้าสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพี่ไปนาน แล้ว”

 

“แต่ถึงกระนั้น บรรพบุรุษชีหยวนก็ควบแน่นอาณาเขตได้เรียบร้อย”

 

“ใครเล่าจะหยุดชายผู้ไร้เทียมทานเช่นนี้ได้?”

 

ชายผมหงอกส่ายหัวเล็กน้อยแล้วพูดต่อ “ด้วยลักษณะนิสัยของบรรพบุรุษชีหยวน เมื่อตํานานยุทธเมืองฉางอันถูกปราบเขาย่อมจะสังหารสิ่งมีชีวิตทั้งหมดในเมืองฉางอันเพื่อฝึกฝนวิชามาร ”

 

“มันกลายเป็นเช่นนี้”

 

ตํานานยุทธจํานวนมากพลันตระหนักขึ้นมา

 

“ในความคิดของข้า ในตอนนี้บรรพบุรุษชีหยวนอาจจะ ” เมื่อชายผมหงอกกําลังจะพูดออกมาเขาก็เห็นอาณาเขตสีดําสนิทโผล่ออกมาจากใจกลางเมืองกระจายไปทั่วทิศทางอย่างบ้าคลั่ง

 

“นั่นคืออาณาเขตของบรรพบุรุษชีหยวน?”

 

ชายผมหงอกตกตะลึงครู่หนึ่งแล้วยิ้มออกมา “ดูเหมือนการต่อสู้กําลังจะจบลง บรรพบุรุษขี่หยวนตั้งใจจะสังเวยชีวิตนับล้านด้วยอาณาเขตของเขา……”

ฉับพลัน

 

ในตอนนั้นเอง

แกร็กแกรักแกร็ก

 

เห็นประกายคมมีดที่เหมือนกับเป็นช่องว่างในอากาศเฉือนตัดอาณาเขตแห่งความมืดของบรรพบุรุษชีหยวนออกเป็นสองส่วน

 

ตูม!

อาณาเขตแตกออก ไอพลังของบรรพบุรุษชีหยวนก็ยิ่งอ่อนแอลงไปอีก

ใบหน้าของชายผมหงอกนึ่งค้างตะลึงงันจ้องมองสิ่งที่เกิดขึ้นไม่

วางตา

Related

“ไม่ต้องรีบเร่ง”

“ใจเย็นๆ เอาไว้”

“ถึงอย่างไรก็ต้องใช้เวลาอย่างน้อยยี่สิบปีก่อนที่ข้าจะทะลวงขึ้นไปได้ จนถึงตอนนั้นค่อยกลับมาฝึกฝนก็ยังไม่สาย”

แม้ว่าซูฉินจะผิดหวังเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้รู้สึกเสียใจอะไรมาก ม้วนบันทึกภาพเทพสงครามยังอยู่เหมือนเดิม เมื่อขอบเขตของซูฉินถึงเกณฑ์กําหนด ก็แค่ต้องกลับมาทบทวนมันซ้ําอีกครั้ง

“ต่อจากนี้ ข้าจะบ่มเพาะเพื่อก้าวเข้าสู่นภาชั้นที่เก้า”

 

ท่าทางของซูฉินกลายเป็นเคร่งครัดมากขึ้น และได้นําโอสถศักดิ์สิทธิ์หลายร้อยชิ้นออกมาจากคลังของระบบ จากนั้นจึงเริ่มบ่มเพาะ

 

เวลาค่อยๆผ่านเลยไป

หลายเดือนผ่านไปภายในพริบตา

ในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมานี้ ซูฉินไม่ได้ปิดด่านฝึกตนตลอดเวลา เพราะก็มีบางครั้งที่กลับมาที่วังหลวงเพื่อชี้แนะการฝึกฝนให้กับตระกูล

 

นอกจากนี้ซูฉินยังออกจากวัง แวะเดินเล่นรอบเมืองฉางอันอีกด้วย

การฝึกฝนวิทยายุทธนั้นไม่ใช่เพียงแค่การเปลี่ยนแปลงแก่นแท้และร่างกายเท่านั้น แต่ยังเป็นการเปลี่ยนแปลงปรับสภาพอารมณ์ของตนเองอีกด้วย ยิ่งซูฉินเข้าใกล้การพัฒนามากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งต้องปรับอารมณ์มากเท่านั้น

 

ในขณะที่ซูฉินยังคงฝึกฝนอยู่อย่างเงียบๆ

ณ ยุทธภพต่างแดน ภายในสํานักเอกะวิถี

 

เจ้าสํานักเอกะวิถีหยิบน้ําเต้าที่ข้างเอวออกมา รินเหล้าเข้าไปในปาก พึมพําอยู่กับตนเองขณะที่เหม่อมองออกไปแสนไกล “คํานวณจากเวลาแล้ว ตอนนี้บรรพชนจากตําหนักเทพเจ้าหิมะและนิกายเฮยหยวนน่าจะไปถึงพื้นที่จุดตัดแล้วใช่ไหมนะ?”

 

“เจ้าสํานัก ข้าไม่เข้าใจเลยว่าทําไมพวกเราถึงไม่ปลุกบรรพชนสํานักเอกะวิถีขึ้นมา…” นักพรตหนุ่มคนหนึ่งที่ยืนอยู่ด้านข้างอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามออกมา

 

ในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา ตอนที่บรรพชนของตําหนักเทพเจ้า มะ นิกายเฮยหยวน และพรรคหมื่นดาบได้ตื่นขึ้น ทั้งสามนิกาย ใหญ่ก็แทบจะครอบงําได้ทั่วดินแดน

โดยเฉพาะบรรพบุรุษชีหยวนที่ถูกปลุกขึ้นมาโดยคนของนิกาย เฮยหยวน ว่ากันว่าเมื่อหนึ่งพันแปดร้อยปีก่อน เขาเคยเป็นผู้ให้ เทียมทานในยุคนั้น ถ้าไม่ใช่เพราะเคล็ดวิชาของนิกายเฮยหยวนมี ข้อบกพร่อง เกรงว่าเขาคงพัฒนาตนเอง ทะลวงขั้นกลายเป็นเซียน เทพปฐพี่ไปแล้ว

 

“ปลุก?”

 

“ทําไมสํานักเอกะวิถีของพวกเราจะต้องปลุกบรรพชนขึ้นมาด้วย

เล่า?”

 

เจ้าสํานักเอกะวิถีเพียงมองอย่างไม่รู้อธิบายอย่างไร ยังคงดื่มเหล้าจากน้ําเต้าต่อไปอีกครั้ง “ไม่ว่าจะเป็นนิกายเฮยหยวน ตําหนักเทพเจ้าหิมะ หรือพรรคหมื่นดาบ ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นก็เพราะมีผู้อาวุโสภายในนิกายที่ตกตายไป นั่นเป็นเหตุผลว่าทําไมพวกเขาจึง

ตื่นตัว”

 

“แต่สําหรับสํานักเอกะวิถีของเรา…”

เมื่อเจ้าสํานักเอกะวิถีพูดถึงเรื่องนี้ สีหน้าของเขาก็ปรากฏอาการแปลกๆ

 

ตั้งแต่ที่ผู้อาวุโสของนิกายเฮยหยวนและตําหนักเทพเจ้าหิมะเสียชีวิตไป เขาก็มักจะตรวจสอบดวงไฟแห่งชีวิตของเหยียนไห่ และของนักพรตเฒ่าที่เดินทางไปยังพื้นที่จุดตัดเสมอ

อาจจะดับลงเมื่อไรก็ได้

 

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ทําให้เจ้าสํานักแปลกใจก็คือ จนถึงตอนนี้ดวงไฟแห่งชีวิตของทั้งคู่ก็ยังลุกโชนอย่างเป็นปกติดี

บ่อยครั้ง เจ้าสํานักถึงกับต้องใช้วิธีลับที่ทําให้ดวงไฟแห่งชีวิตลุกโชนมากยิ่งขึ้นเพื่อติดตามสถานะของเจ้าของดวงไฟแห่งชีวิตในช่วงเวลานั้น

 

และผลก็ทําให้พบว่าศิษย์เหยียนไห่และผู้อาวุโสสํานักเอกะวิถีล้วนอยู่ในสภาพที่ดีขึ้นอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ความแข็งแกร่งของพวกเขายังมากขึ้นอีกเล็กน้อยด้วย ซึ่งน่าเหลือเชื่ออย่างยิ่ง

 

ศิษย์และอาวุโสจากนิกายใหญ่อื่นๆ ไม่สามารถหนีจากความตายได้แม้จะเป็นในรูปแบบของจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ก็ตาม แต่ทั้งศิษย์และผู้อาวุโสของสํานักเอกะวิถีไม่เพียงแต่จะไม่ตาย แต่เหมือนว่าชีวิตของพวกเขายังอยู่ดีมีสุขอีกด้วย?

หากเรื่องนี้แพร่กระจายออกไปถึงหูนิกายเฮยหยวนและตําหนักเทพเจ้าหิมะเข้า เกรงว่าบรรพชนเหล่านั้นคงไม่ได้ไปยังพื้นที่จุดตัดเป็นที่แรก แต่จะมุ่งเป้ามาที่สํานักเอกะวิถีแทน

“แต่ว่า แผ่นดินแห่งพลังยุทธ.” นักพรตหนุ่มลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แล้วกล่าวออกมาอย่างระมัดระวัง

 

“เจ้าอยากจะบอกว่า เจ้ากลัวว่านิกายเฮยหยวนและตําหนักเทพเจ้าหิมะจะได้ครอบครองแผ่นดินแห่งพลังยุทธไปอย่างนั้นน่ะหรือ?” เจ้าสํานักกล่าว

 

“เป็นเช่นนั้น” นักพรตหนุ่มพยักหน้ารับในทันที

 

แผ่นดินแห่งพลังยุทธอันยิ่งใหญ่คือแกนหลักของการฟื้นคืนกระแสปราณฉี และเป็นส่วนสําคัญเมื่อยุคแห่งโลกอันยิ่งใหญ่มาถึงในอนาคต หากปล่อยให้นิกายใหญ่อย่างตําหนักเทพเจ้าหิมะครอบครอง ก็เกรงว่ามันจะไม่ส่งผลดีต่อสํานักเอกะวิถี

“สบายใจได้”

 

“ตอนนี้กระแสปราณฉีเพิ่งเริ่มฟื้นคืน ยังอีกนานกว่าจะถึงช่วงรุ่งโรจน์ โอกาสที่แท้จริงภายในพื้นที่จุดตัดยังไม่ปรากฏขึ้น ปล่อยให้ตําหนักเทพเจ้าหิมะและคนอื่นๆกรุยทางไปก่อนเถอะ…”

 

นักพรตเจ้าสํานักดูไม่สนใจ

การกําเนิดขึ้นของแผ่นดินแห่งพลังยุทธไม่ได้เกิดขึ้นในชั่วข้ามคืน แต่ค่อยเป็นค่อยไป เมื่อกระแสปราณฟื้นคืนทุกสิ่งจะค่อยๆเปิดเผยออกมา

“แล้วก็……”

เมื่อนักพรตเฒ่าได้กล่าวออกไปเช่นนี้ รอยยิ้มก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขา “ไม่ใช่สํานักเอกะวิถีของเราแค่กลุ่มเดียว แต่ยังมีเฒ่าชราอีกตั้งหลายคนกําลังเฝ้าดูการแสดงอยู่ด้วยมิใช่หรือ?”

เฒ่าชราอีกหลายคน…..

นักพรตหนุ่มรู้สึกประหม่าและไม่กล้าถามอะไรต่อไปอีก

ในตอนนั้นเอง

 

ด้านนอกเมืองฉางอัน

 

“เทพธิดาปิงหลิงแห่งตําหนักเทพเจ้าหิมะของข้าได้มาตกตายที่นี่?” บรรพบุรุษเฉวซินแห่งตําหนักเทพเจ้าหิมะมองไปที่เมืองฉางอันด้วยสายตาเย็นชา

ไม่กี่ปีที่ผ่านมา เทพธิดาปิงหลิงแห่งตําหนักเทพเจ้าหิมะได้ นําศิษย์นิกายเฮยหยวน ศิษย์พรรคหมื่นดาบ และศิษย์สาวกของนิกายใหญ่อื่นๆมายังเมืองฉางอันแห่งนี้เพื่อจะปราบปรามราชวงศ์ถัง และครอบครองพื้นที่จุดตัด แต่ตํานานยุทธเมืองฉางอันก็ออกมาโจมตี ซึ่งด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียวก็สังหารทุกคนจนหมด เรื่องราวนี้แพร่กระจายไปทั่วทวีปมานานแล้ว

 

ใช้เวลาสืบสวนเพียงเล็กน้อยเท่านั้นก็ทราบเรื่องราวทั้งหมดแล้ว

ดังนั้นบรรพบุรุษเฉวซินแห่งตําหนักเทพเจ้าหิมะและคนอื่นๆ จึงมุ่งตรงมายังเมืองฉางอัน และต้องการจะร่วมมือกันปราบปรามตํานานยุทธเมืองฉางอัน

“ฮ่ม!”

“ก็เข้าไปฆ่าตรงๆ เลย คงไม่เป็นอะไรกระมัง?” ชายที่หน้าตาธรรมดาๆ คนหนึ่งยืนอยู่ด้านข้างกล่าวออกมาด้วยเสียงเย็นเยียบ ดุจใบดาบอันศักดิ์สิทธิ์

 

“เข้าไปฆ่า?”

ในเวลานั้น ชายหนุ่มที่มีไอพลังดูเยือกเย็นราวกับผีสางก็พูดออกมา จากรูปลักษณ์ดูเหมือนเขาจะอายุเพียงสิบแปดเท่านั้น แต่รัศมีพลังของเขาราวกับขุมนรกที่ไร้ก้นบึงมืดมิด ยากหยั่งถึง เขาคือหยวนแห่งนิกายเฮยหยวน

 

“มีคนมากมายอยู่ที่นี่ มันคงจะน่าเสียดายที่จะไม่ฆ่าพวกมันให้หมด? ปล่อยให้ชายชราผู้นี้ได้กลืนกินแก่นแท้และเลือดเนื้อ ฝึกฝนเคล็ดมารคงจะดีกว่า…”

น้ําเสียงของบรรพบุรุษซีหยวนนั้นเรียบง่ายแต่ก็ดูโหดร้ายอย่างยิ่ง

 

เมื่อบรรพบุรุษเฉวซินได้ยินสิ่งนี้ หัวคิ้วก็ยื่นเข้าหากันเล็กน้อย แต่ไม่กล้าพูดอะไรออกไป

ในครานี้ที่สามบรรพชนแห่งตําหนักเทพเจ้าหิมะ นิกายเฮยหยวน และพรรคหมื่นดาบมาร่วมมือกัน ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดก็คือชีหยวน

 

แม้บรรพบุรุษเฉวซินจะเย่อหยิ่งไม่น้อย แต่เมื่อเผชิญหน้ากับบรรพบุรุษชีหยวนมันก็ต้องมีเกรงกลัวกันบ้าง

 

ไม่เพียงเพราะบรรพบุรุษชีหยวนแข็งแกร่งที่สุดจึงถูกปลุกให้ตื่น ยิ่งกว่านั้น ที่บรรพบุรุษชีหยวนตื่นขึ้นมาในครั้งนี้ ก็เพราะแก่นชีวิตใกล้จะถึงจุดจบอย่างสมบูรณ์แล้ว

 

หากยังหลับต่อก็มีแต่จะต้องตายไปเพราะวัยชรา

“ไม่ต้องกังวล

“จนกว่าจะได้พบตํานานยุทธเมืองฉางอัน ข้าจะยังไม่ฆ่าคนให้มันมากมายนัก”

บรรพบุรุษชีหยวนเหลือบมองไปที่บรรพบุรุษเฉวซินและบรรพชนพรรคหมื่นดาบแล้วจึงกล่าวพร้อมกับรอยยิ้มตรงมุมปาก

“เข้าไปกันเถอะ”

บรรพบุรุษชีหยวนก้าวเดินช้าๆ ไปทางเมืองฉางอัน “ข้าอยากจะเห็นสักหน่อยว่าจะมีคนที่แข็งแกร่งกําเนิดขึ้นจากที่นี่ได้อย่างไร”

บรรพบุรุษเฉวซินและบรรพชนพรรคหมื่นดาบ เมื่อได้ยินคําพูดนั้นก็มองหน้ากัน และเดินตามเข้าไปในเมืองฉางอัน

ผู้คนย้ายเข้ามามากมาย เมืองฉางอันในปัจจุบันจึงครึกครื้น

บรรพชนทั้งสามเดินทอดน่องไปตามถนน

 

“ที่นี่ไม่มีกลิ่นอายของตํานานยุทธอยู่?” บรรพบุรุษเฉวซินแพร่จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ไปทุกทิศทาง ขมวดคิ้วเล็กน้อย

“ควรจะเป็นที่พระราชวัง มันพอจะมีกลิ่นอายของตํานานยุทธอยู่บ้าง แต่ก็ยังห่างไกลจากตํานานยุทธขั้นสูงสุด” บรรพบุรุษชีหยวนหรี่ตาแล้วมองไปที่วังหลวง “ด้วยความแข็งแกร่งของพวกเขา ต่อให้แข็งแกร่งกว่านี้สิบเท่าก็เป็นไปไม่ได้ที่จะฆ่าหมิงโยว”

 

“มิผิด”

 

ใบหน้าของบรรพชนพรรคหมื่นดาบดูมืดครึ้มลง “ตอนนี้เราควรจะทําอย่างไร?”

บรรพชนทั้งสามนั้นมารวมตัวกันเพื่อตามหาตํานานยุทธขั้นสูงสุด แต่ตอนนี้กลับไม่สามารถหาตัวตํานานยุทธขั้นสูงสุดได้

“ทําอย่างไร?”

 

“รอดูต่อไป หากเราขุดทําลายที่นี่ลงไปสักสามฟุต ชโลมพื้นที่นับพันด้วยเลือด ชายชราผู้นี้ไม่เชื่อว่าคนที่พวกเราตามหาจะยังไม่โผล่หัวออกมา!”

 

บรรพบุรุษชีหยวนใบหน้ามืดมน กระแทกเสียงในทุกคําที่พูด

ท่าทีของบรรพบุรุษเฉวซินและบรรพชนพรรคหมื่นดาบหม่นหมองลงหลังจากพวกเขารับรู้ได้ถึงจิตสังหารอันยิ่งใหญ่ของบรรพบุรุษชีหยวน

 

บรรพบุรุษชีหยวนอาจจะสังหารผู้คนนับล้านในที่แห่งนี้ และขุด ทําลายเมืองฉางอันลงไปสามฟุตจริงๆ

 

ในขณะที่บรรพบุรุษเฉวซินและบรรพชนพรรคหมื่นดาบกําลังจะไปยังวังหลวง เพื่อปราบตํานานยุทธที่อยู่ภายใน และกดดันให้จักรพรรดิถังบอกข่าวเรื่องของตํานานยุทธขั้นสูงสุดมานั้น

เสียงที่ฟังดูสบายๆ ไม่เร่งร้อนก็ดังขึ้น

“พวกเจ้ากําลังมองหาสิ่งใด?”

 

เห็นบุคคลผู้มีสายตาอันกว้างไกลกําลังมองดูพวกเขาอยู่เงียบๆห่างออกไปไม่กี่เมตร

 

“เจ้าคือ?!” บรรพชนทั้งสาม รวมถึงบรรพบุรุษชีหยวนต่างก็มองมาที่ซูฉินอย่างเหลือเชื่อ

Related

เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล [Sign in Buddha’s palm]

Sign in Buddha’s palm 249 (II) พวกเจ้ากําลังมองหาอะไร?

 

“ไม่ต้องรีบเร่ง”

“ใจเย็นๆ เอาไว้”

“ถึงอย่างไรก็ต้องใช้เวลาอย่างน้อยยี่สิบปีก่อนที่ข้าจะทะลวงขึ้นไปได้ จนถึงตอนนั้นค่อยกลับมาฝึกฝนก็ยังไม่สาย”

แม้ว่าซูฉินจะผิดหวังเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้รู้สึกเสียใจอะไรมาก ม้วนบันทึกภาพเทพสงครามยังอยู่เหมือนเดิม เมื่อขอบเขตของซูฉินถึงเกณฑ์กําหนด ก็แค่ต้องกลับมาทบทวนมันซ้ําอีกครั้ง

“ต่อจากนี้ ข้าจะบ่มเพาะเพื่อก้าวเข้าสู่นภาชั้นที่เก้า”

 

ท่าทางของซูฉินกลายเป็นเคร่งครัดมากขึ้น และได้นําโอสถศักดิ์สิทธิ์หลายร้อยชิ้นออกมาจากคลังของระบบ จากนั้นจึงเริ่มบ่มเพาะ

 

เวลาค่อยๆผ่านเลยไป

หลายเดือนผ่านไปภายในพริบตา

ในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมานี้ ซูฉินไม่ได้ปิดด่านฝึกตนตลอดเวลา เพราะก็มีบางครั้งที่กลับมาที่วังหลวงเพื่อชี้แนะการฝึกฝนให้กับตระกูล

 

นอกจากนี้ซูฉินยังออกจากวัง แวะเดินเล่นรอบเมืองฉางอันอีกด้วย

การฝึกฝนวิทยายุทธนั้นไม่ใช่เพียงแค่การเปลี่ยนแปลงแก่นแท้และร่างกายเท่านั้น แต่ยังเป็นการเปลี่ยนแปลงปรับสภาพอารมณ์ของตนเองอีกด้วย ยิ่งซูฉินเข้าใกล้การพัฒนามากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งต้องปรับอารมณ์มากเท่านั้น

 

ในขณะที่ซูฉินยังคงฝึกฝนอยู่อย่างเงียบๆ

ณ ยุทธภพต่างแดน ภายในสํานักเอกะวิถี

 

เจ้าสํานักเอกะวิถีหยิบน้ําเต้าที่ข้างเอวออกมา รินเหล้าเข้าไปในปาก พึมพําอยู่กับตนเองขณะที่เหม่อมองออกไปแสนไกล “คํานวณจากเวลาแล้ว ตอนนี้บรรพชนจากตําหนักเทพเจ้าหิมะและนิกายเฮยหยวนน่าจะไปถึงพื้นที่จุดตัดแล้วใช่ไหมนะ?”

 

“เจ้าสํานัก ข้าไม่เข้าใจเลยว่าทําไมพวกเราถึงไม่ปลุกบรรพชนสํานักเอกะวิถีขึ้นมา…” นักพรตหนุ่มคนหนึ่งที่ยืนอยู่ด้านข้างอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามออกมา

 

ในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา ตอนที่บรรพชนของตําหนักเทพเจ้า มะ นิกายเฮยหยวน และพรรคหมื่นดาบได้ตื่นขึ้น ทั้งสามนิกาย ใหญ่ก็แทบจะครอบงําได้ทั่วดินแดน

โดยเฉพาะบรรพบุรุษชีหยวนที่ถูกปลุกขึ้นมาโดยคนของนิกาย เฮยหยวน ว่ากันว่าเมื่อหนึ่งพันแปดร้อยปีก่อน เขาเคยเป็นผู้ให้ เทียมทานในยุคนั้น ถ้าไม่ใช่เพราะเคล็ดวิชาของนิกายเฮยหยวนมี ข้อบกพร่อง เกรงว่าเขาคงพัฒนาตนเอง ทะลวงขั้นกลายเป็นเซียน เทพปฐพี่ไปแล้ว

 

“ปลุก?”

 

“ทําไมสํานักเอกะวิถีของพวกเราจะต้องปลุกบรรพชนขึ้นมาด้วย

เล่า?”

 

เจ้าสํานักเอกะวิถีเพียงมองอย่างไม่รู้อธิบายอย่างไร ยังคงดื่มเหล้าจากน้ําเต้าต่อไปอีกครั้ง “ไม่ว่าจะเป็นนิกายเฮยหยวน ตําหนักเทพเจ้าหิมะ หรือพรรคหมื่นดาบ ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นก็เพราะมีผู้อาวุโสภายในนิกายที่ตกตายไป นั่นเป็นเหตุผลว่าทําไมพวกเขาจึง

ตื่นตัว”

 

“แต่สําหรับสํานักเอกะวิถีของเรา…”

เมื่อเจ้าสํานักเอกะวิถีพูดถึงเรื่องนี้ สีหน้าของเขาก็ปรากฏอาการแปลกๆ

 

ตั้งแต่ที่ผู้อาวุโสของนิกายเฮยหยวนและตําหนักเทพเจ้าหิมะเสียชีวิตไป เขาก็มักจะตรวจสอบดวงไฟแห่งชีวิตของเหยียนไห่ และของนักพรตเฒ่าที่เดินทางไปยังพื้นที่จุดตัดเสมอ

อาจจะดับลงเมื่อไรก็ได้

 

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ทําให้เจ้าสํานักแปลกใจก็คือ จนถึงตอนนี้ดวงไฟแห่งชีวิตของทั้งคู่ก็ยังลุกโชนอย่างเป็นปกติดี

บ่อยครั้ง เจ้าสํานักถึงกับต้องใช้วิธีลับที่ทําให้ดวงไฟแห่งชีวิตลุกโชนมากยิ่งขึ้นเพื่อติดตามสถานะของเจ้าของดวงไฟแห่งชีวิตในช่วงเวลานั้น

 

และผลก็ทําให้พบว่าศิษย์เหยียนไห่และผู้อาวุโสสํานักเอกะวิถีล้วนอยู่ในสภาพที่ดีขึ้นอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ความแข็งแกร่งของพวกเขายังมากขึ้นอีกเล็กน้อยด้วย ซึ่งน่าเหลือเชื่ออย่างยิ่ง

 

ศิษย์และอาวุโสจากนิกายใหญ่อื่นๆ ไม่สามารถหนีจากความตายได้แม้จะเป็นในรูปแบบของจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ก็ตาม แต่ทั้งศิษย์และผู้อาวุโสของสํานักเอกะวิถีไม่เพียงแต่จะไม่ตาย แต่เหมือนว่าชีวิตของพวกเขายังอยู่ดีมีสุขอีกด้วย?

หากเรื่องนี้แพร่กระจายออกไปถึงหูนิกายเฮยหยวนและตําหนักเทพเจ้าหิมะเข้า เกรงว่าบรรพชนเหล่านั้นคงไม่ได้ไปยังพื้นที่จุดตัดเป็นที่แรก แต่จะมุ่งเป้ามาที่สํานักเอกะวิถีแทน

“แต่ว่า แผ่นดินแห่งพลังยุทธ.” นักพรตหนุ่มลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แล้วกล่าวออกมาอย่างระมัดระวัง

 

“เจ้าอยากจะบอกว่า เจ้ากลัวว่านิกายเฮยหยวนและตําหนักเทพเจ้าหิมะจะได้ครอบครองแผ่นดินแห่งพลังยุทธไปอย่างนั้นน่ะหรือ?” เจ้าสํานักกล่าว

 

“เป็นเช่นนั้น” นักพรตหนุ่มพยักหน้ารับในทันที

 

แผ่นดินแห่งพลังยุทธอันยิ่งใหญ่คือแกนหลักของการฟื้นคืนกระแสปราณฉี และเป็นส่วนสําคัญเมื่อยุคแห่งโลกอันยิ่งใหญ่มาถึงในอนาคต หากปล่อยให้นิกายใหญ่อย่างตําหนักเทพเจ้าหิมะครอบครอง ก็เกรงว่ามันจะไม่ส่งผลดีต่อสํานักเอกะวิถี

“สบายใจได้”

 

“ตอนนี้กระแสปราณฉีเพิ่งเริ่มฟื้นคืน ยังอีกนานกว่าจะถึงช่วงรุ่งโรจน์ โอกาสที่แท้จริงภายในพื้นที่จุดตัดยังไม่ปรากฏขึ้น ปล่อยให้ตําหนักเทพเจ้าหิมะและคนอื่นๆกรุยทางไปก่อนเถอะ…”

 

นักพรตเจ้าสํานักดูไม่สนใจ

การกําเนิดขึ้นของแผ่นดินแห่งพลังยุทธไม่ได้เกิดขึ้นในชั่วข้ามคืน แต่ค่อยเป็นค่อยไป เมื่อกระแสปราณฟื้นคืนทุกสิ่งจะค่อยๆเปิดเผยออกมา

“แล้วก็……”

เมื่อนักพรตเฒ่าได้กล่าวออกไปเช่นนี้ รอยยิ้มก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขา “ไม่ใช่สํานักเอกะวิถีของเราแค่กลุ่มเดียว แต่ยังมีเฒ่าชราอีกตั้งหลายคนกําลังเฝ้าดูการแสดงอยู่ด้วยมิใช่หรือ?”

เฒ่าชราอีกหลายคน…..

นักพรตหนุ่มรู้สึกประหม่าและไม่กล้าถามอะไรต่อไปอีก

ในตอนนั้นเอง

 

ด้านนอกเมืองฉางอัน

 

“เทพธิดาปิงหลิงแห่งตําหนักเทพเจ้าหิมะของข้าได้มาตกตายที่นี่?” บรรพบุรุษเฉวซินแห่งตําหนักเทพเจ้าหิมะมองไปที่เมืองฉางอันด้วยสายตาเย็นชา

ไม่กี่ปีที่ผ่านมา เทพธิดาปิงหลิงแห่งตําหนักเทพเจ้าหิมะได้ นําศิษย์นิกายเฮยหยวน ศิษย์พรรคหมื่นดาบ และศิษย์สาวกของนิกายใหญ่อื่นๆมายังเมืองฉางอันแห่งนี้เพื่อจะปราบปรามราชวงศ์ถัง และครอบครองพื้นที่จุดตัด แต่ตํานานยุทธเมืองฉางอันก็ออกมาโจมตี ซึ่งด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียวก็สังหารทุกคนจนหมด เรื่องราวนี้แพร่กระจายไปทั่วทวีปมานานแล้ว

 

ใช้เวลาสืบสวนเพียงเล็กน้อยเท่านั้นก็ทราบเรื่องราวทั้งหมดแล้ว

ดังนั้นบรรพบุรุษเฉวซินแห่งตําหนักเทพเจ้าหิมะและคนอื่นๆ จึงมุ่งตรงมายังเมืองฉางอัน และต้องการจะร่วมมือกันปราบปรามตํานานยุทธเมืองฉางอัน

“ฮ่ม!”

“ก็เข้าไปฆ่าตรงๆ เลย คงไม่เป็นอะไรกระมัง?” ชายที่หน้าตาธรรมดาๆ คนหนึ่งยืนอยู่ด้านข้างกล่าวออกมาด้วยเสียงเย็นเยียบ ดุจใบดาบอันศักดิ์สิทธิ์

 

“เข้าไปฆ่า?”

ในเวลานั้น ชายหนุ่มที่มีไอพลังดูเยือกเย็นราวกับผีสางก็พูดออกมา จากรูปลักษณ์ดูเหมือนเขาจะอายุเพียงสิบแปดเท่านั้น แต่รัศมีพลังของเขาราวกับขุมนรกที่ไร้ก้นบึงมืดมิด ยากหยั่งถึง เขาคือหยวนแห่งนิกายเฮยหยวน

 

“มีคนมากมายอยู่ที่นี่ มันคงจะน่าเสียดายที่จะไม่ฆ่าพวกมันให้หมด? ปล่อยให้ชายชราผู้นี้ได้กลืนกินแก่นแท้และเลือดเนื้อ ฝึกฝนเคล็ดมารคงจะดีกว่า…”

น้ําเสียงของบรรพบุรุษซีหยวนนั้นเรียบง่ายแต่ก็ดูโหดร้ายอย่างยิ่ง

 

เมื่อบรรพบุรุษเฉวซินได้ยินสิ่งนี้ หัวคิ้วก็ยื่นเข้าหากันเล็กน้อย แต่ไม่กล้าพูดอะไรออกไป

ในครานี้ที่สามบรรพชนแห่งตําหนักเทพเจ้าหิมะ นิกายเฮยหยวน และพรรคหมื่นดาบมาร่วมมือกัน ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดก็คือชีหยวน

 

แม้บรรพบุรุษเฉวซินจะเย่อหยิ่งไม่น้อย แต่เมื่อเผชิญหน้ากับบรรพบุรุษชีหยวนมันก็ต้องมีเกรงกลัวกันบ้าง

 

ไม่เพียงเพราะบรรพบุรุษชีหยวนแข็งแกร่งที่สุดจึงถูกปลุกให้ตื่น ยิ่งกว่านั้น ที่บรรพบุรุษชีหยวนตื่นขึ้นมาในครั้งนี้ ก็เพราะแก่นชีวิตใกล้จะถึงจุดจบอย่างสมบูรณ์แล้ว

 

หากยังหลับต่อก็มีแต่จะต้องตายไปเพราะวัยชรา

“ไม่ต้องกังวล

“จนกว่าจะได้พบตํานานยุทธเมืองฉางอัน ข้าจะยังไม่ฆ่าคนให้มันมากมายนัก”

บรรพบุรุษชีหยวนเหลือบมองไปที่บรรพบุรุษเฉวซินและบรรพชนพรรคหมื่นดาบแล้วจึงกล่าวพร้อมกับรอยยิ้มตรงมุมปาก

“เข้าไปกันเถอะ”

บรรพบุรุษชีหยวนก้าวเดินช้าๆ ไปทางเมืองฉางอัน “ข้าอยากจะเห็นสักหน่อยว่าจะมีคนที่แข็งแกร่งกําเนิดขึ้นจากที่นี่ได้อย่างไร”

บรรพบุรุษเฉวซินและบรรพชนพรรคหมื่นดาบ เมื่อได้ยินคําพูดนั้นก็มองหน้ากัน และเดินตามเข้าไปในเมืองฉางอัน

ผู้คนย้ายเข้ามามากมาย เมืองฉางอันในปัจจุบันจึงครึกครื้น

บรรพชนทั้งสามเดินทอดน่องไปตามถนน

 

“ที่นี่ไม่มีกลิ่นอายของตํานานยุทธอยู่?” บรรพบุรุษเฉวซินแพร่จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ไปทุกทิศทาง ขมวดคิ้วเล็กน้อย

“ควรจะเป็นที่พระราชวัง มันพอจะมีกลิ่นอายของตํานานยุทธอยู่บ้าง แต่ก็ยังห่างไกลจากตํานานยุทธขั้นสูงสุด” บรรพบุรุษชีหยวนหรี่ตาแล้วมองไปที่วังหลวง “ด้วยความแข็งแกร่งของพวกเขา ต่อให้แข็งแกร่งกว่านี้สิบเท่าก็เป็นไปไม่ได้ที่จะฆ่าหมิงโยว”

 

“มิผิด”

 

ใบหน้าของบรรพชนพรรคหมื่นดาบดูมืดครึ้มลง “ตอนนี้เราควรจะทําอย่างไร?”

บรรพชนทั้งสามนั้นมารวมตัวกันเพื่อตามหาตํานานยุทธขั้นสูงสุด แต่ตอนนี้กลับไม่สามารถหาตัวตํานานยุทธขั้นสูงสุดได้

“ทําอย่างไร?”

 

“รอดูต่อไป หากเราขุดทําลายที่นี่ลงไปสักสามฟุต ชโลมพื้นที่นับพันด้วยเลือด ชายชราผู้นี้ไม่เชื่อว่าคนที่พวกเราตามหาจะยังไม่โผล่หัวออกมา!”

 

บรรพบุรุษชีหยวนใบหน้ามืดมน กระแทกเสียงในทุกคําที่พูด

ท่าทีของบรรพบุรุษเฉวซินและบรรพชนพรรคหมื่นดาบหม่นหมองลงหลังจากพวกเขารับรู้ได้ถึงจิตสังหารอันยิ่งใหญ่ของบรรพบุรุษชีหยวน

 

บรรพบุรุษชีหยวนอาจจะสังหารผู้คนนับล้านในที่แห่งนี้ และขุด ทําลายเมืองฉางอันลงไปสามฟุตจริงๆ

 

ในขณะที่บรรพบุรุษเฉวซินและบรรพชนพรรคหมื่นดาบกําลังจะไปยังวังหลวง เพื่อปราบตํานานยุทธที่อยู่ภายใน และกดดันให้จักรพรรดิถังบอกข่าวเรื่องของตํานานยุทธขั้นสูงสุดมานั้น

เสียงที่ฟังดูสบายๆ ไม่เร่งร้อนก็ดังขึ้น

“พวกเจ้ากําลังมองหาสิ่งใด?”

 

เห็นบุคคลผู้มีสายตาอันกว้างไกลกําลังมองดูพวกเขาอยู่เงียบๆห่างออกไปไม่กี่เมตร

 

“เจ้าคือ?!” บรรพชนทั้งสาม รวมถึงบรรพบุรุษชีหยวนต่างก็มองมาที่ซูฉินอย่างเหลือเชื่อ

 

Sign in Buddha’s palm 249 (1) พวกเจ้ากำลังมองหาอะไร?

 

“นี่คือลูกท้อบ้าน?”

 

ซูฉินมองดูผลไม้จิตวิญญาณที่เต็มไปด้วยพลังเบื้องหน้าเขาอย่างระมัดระวัง

 

นับตั้งแต่ที่ได้ลูกท้อบ้านมาจากการลงชื่อเข้าใช้บนยอดเขาคุนหลุนซูฉินก็เพิ่งจะเอามันออกมาจากพื้นที่ระบบเป็นครั้งแรก

 

แม้แต่ในวิหารการสงครามอย่างมากซูฉินก็ทำแค่ผสานจิตใจเข้าไปในพื้นที่ของระบบเพื่อสังเกตดู สุดท้ายแล้ววิหารการสงครามก็ถูกทิ้งเอาไว้โดยโหวหยาน อาจจะมีบางอย่างภายในนั้นก่อนที่ซูฉินจะปรับแต่งมันอย่างสมบูรณ์ ซูฉินจะไม่เปิดเผยความลับของตนเองมากจนเกินไปเมื่ออยู่ในวิหารการสงคราม

 

โดยเฉพาะลูกท้อบ้าน ผลไม้เซียนที่สามารถยืดอายุขัยได้นับพัน

 

รู้หรือไม่ว่าสำหรับผู้ฝึกยุทธที่ทรงพลังอย่างแท้จริง สิ่งที่ล้ำค่าหาใช่เคล็ดวิชาหรืออาวุธวิเศษ

 

แต่มันคืออายุขัย

 

เฉพาะตอนที่ยังมีชีวิตอยู่ต่อไปได้เท่านั้นจึงจะมีเวลาไปพิจารณาเสาะหาอาวุธวิเศษต่อไป ไม่เช่นนั้นเมื่อขีดจำกัดของช่วงชีวิตมาถึง ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมจบสิ้น

 

“พลังชีวิตจากลูกท้อป่านนี้ช่างทรงพลังน่ากลัวยิ่งนัก แต่ก็ไม่น่าแปลกใจ หากไม่มีพลังชีวิตขนาดนี้จะสามารถยืดอายุได้เป็นพันปีได้อย่างไร?”

 

ซูฉินนั่งขัดสมาธิ มองดูลูกท้อบ้านตรงหน้าอย่างเงียบๆ พลางคิดในใจไปด้วย

 

“เมื่อใช้ลูกท้อบ้านนี้ นอกจากจะยืดอายุขัยได้หนึ่งพันปีแล้วพลังชีวิตอันไร้ที่สิ้นสุดของลูกท้อป่านนี้ยังจะมีประโยชน์ในการรักษาอาการบาดเจ็บอีกด้วย ไม่ว่าจะเป็นร่างกายหรือจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ก็สามารถฟื้นฟูกลับคืนสู่สภาพดั้งเดิมได้โดยพลัน”

 

ซูฉินดูประหลาดใจ

 

แม้จะเป็นมุมมองของซูฉิน เขาก็ยังรู้สึกประทับใจมาก บาดแผลทางกายนั้นรักษาได้ง่าย แต่บาดแผลที่เกี่ยวข้องกับจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์นั้นไร้สภาพ จับต้องไม่ได้ พึ่งพาได้เพียงการฟื้นฟูด้วยตนเองเท่านั้น

 

การที่ลูกท้อบ้านสามารถซ่อมแซมความเสียหายทั้งหมดในจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ เพียงสิ่งนี้สิ่งเดียวที่เหนือกว่าโอสถวิเศษหรือน้ำอมฤตส่วนใหญ่บนโลกนี้แล้ว

 

อย่างไรก็ตามผลลัพธ์นั้นไม่ได้สลักสำคัญอะไรเลยเมื่อเทียบกับผลในการยืดอายุขัยของลูกท้อบ้าน

 

“ข้ามีอายุขัยมากเพียงพอ ดังนั้นจึงยังไม่จำเป็นจะต้องกินลูกท้อบ้านผลนี้ รอจนกว่าจะถึงช่วงที่ทะลวงขั้นเสียก่อนดีกว่า เมื่อถึงตอนนั้นค่อยพิจารณาเรื่องนี้อีกที”

 

ซูฉันคิดอยู่ในใจ

 

ไม่มีการย้อนกลับเมื่อก้าวผ่านขอบเขตใหญ่ หากประสบความสำเร็จนั่นก็เป็นสิ่งที่ดี แต่หากล้มเหลว ในกรณีที่รุนแรงที่สุดอาจจะตายทันที หรืออาจจะได้รับบาดเจ็บสาหัสในกรณีที่เบากว่านั้น ซึ่งจะทำให้เลือดเนื้อและพลังชีวิตลดลง จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์อาจจะล่มสลาย ความแข็งแกร่งลดฮวบ

 

นักพรตเฒ่าเคยกล่าวเอาไว้ว่าเป็นเวลาหลายพันปีแล้วที่ตำนานยุทธระดับนภาชั้นที่เก้าจำนวนมากได้กำเนิดขึ้นในต่างดินแดนและตำนานยุทธที่อยู่ในจุดสูงสุดเหล่านี้ก็ได้ควบแน่นอาณาเขตและจิตวิญญาณแรกกำเนิดเพื่อเตรียมพร้อมบรรลุสู่ความสำเร็จ แต่สุดท้ายก็พากันล้มเหลวเมื่อทะลวงเข้าสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพี หลังจากนั้นพวกเขาก็ล้วนเงียบหายไป

 

ซูฉินถือครองทิพยอำนาจกายเนื้อกำเนิดใหม่ สำหรับอาการบาดเจ็บทางกายนั้นเขาไร้ซึ่งความกลัว แต่พอเป็นจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์แล้ว เขาก็อดที่จะปวดหัวไม่ได้

 

แต่การมีลูกท้อบ้านอยู่กับตัว ทำให้ซูฉินมีหนทางมากขึ้นอีกหนึ่ง

 

แม้ว่าซูฉินจะล้มเหลวเมื่อพยายามทะลวงขั้น แต่เขาก็ยังมีโอกาสฟื้นตัวกลับมาได้ในระยะเวลาอันสั้น

 

“การกินลูกท้อบ้านในตอนนี้เท่ากับการสูญเสียผลประโยชน์ในการรักษาอาการบาดเจ็บทั้งหมดไป ยังไม่คุ้มค่าที่จะใช้

 

ซูฉินสายศีรษะแล้วโยนลูกท้อบ้านกลับเข้าไปในคลังระบบ

 

“น่าเสียดายที่มีลูกท้อบ้านเพียงผลเดียว หากมีมากกว่านี้ก็สามารถแบ่งปันให้กับพวกน้องเล็กได้”

 

ซูฉินถอนหายใจเบาๆ

 

ลูกท้อบ้านนั้นมีค่ามาก แต่ซูฉินรู้ดีว่าความแข็งแกร่งนั้นคือพื้นฐานของทุกสิ่ง ตราบใดที่เขาพัฒนาขั้นต่อไปได้เขาจะยังกังวลว่าจะไม่มีสมบัติที่ช่วยยืดอายุขัยในอนาคตอีกหรือ?

 

ไม่ว่าจะเป็นซูเยวหยุนหรือตระกูลซู แม้แต่ทั่วทั้งอาณาจักรถัง ทุกสิ่งล้วนขึ้นอยู่กับความแข็งแกร่งของซูฉินในการปราบปรามทุกอย่าง และเป็นเพราะซูฉินแข็งแกร่งมากพอ ที่แห่งนี้จึงสงบสุขเหมือนดังปัจจุบัน

 

“นอกจากลูกท้อบ้านและโอสถจิตวิญญาณกำเนิดพฤกษาแล้ว ยังมีโอสถชนิดอื่นๆ อีกหลายชนิด”

 

เม็ดยาหลายเม็ดปรากฏขึ้นตรงหน้าของซูฉินอีกครั้ง สายตาของเขากวาดมองไปทั่ว “เม็ดโอสถจิตวิญญาณแรกกำเนิดสามารถช่วยให้ควบแน่นจิตวิญญาณแรกกำเนิดได้ เป็นเม็ดยาที่ควรจะเก็บไว้ใช้ในตอนที่เข้าสู่ระดับนภาชั้นที่เก้า ส่วนโอสถฮว่าเฉินและโอสถยวเฉินนี้คือสิ่งใดกัน?”

 

ซูฉินเหลือบมองโอสถอีกสองชนิดที่เหลือ

 

“ไม่เป็นไร”

 

“ยังเร็วเกินไปที่จะพิจารณาสิ่งเหล่านี้ ในตอนนี้ข้าควรจะรีบเข้าสู่ระดับนภาชั้นที่เก้าให้ได้เร็วที่สุด”

 

ซูฉินเก็บเม็ดโอสถกลับคืนไป และจิตใจของเขาก็จมลงสู่การพิจารณาม้วนบันทึกภาพเทพสงครามอีกครั้ง

 

พูดกันตามจริง ม้วนบันทึกภาพเทพสงครามเป็นผลกำไรที่ใหญ่ที่สุดของซูฉินในครั้งนี้ ถึงขนาดที่ของวิเศษพื้นที่มิติอย่างวิหารการสงครามยังเป็นเพียงแค่สถานที่จัดเก็บม้วนบันทึกภาพเทพสงคราม

 

สำหรับเม็ดโอสถจิตวิญญาณแรกกำเนิด มันก็มีประโยชน์กับตำนานยุทธในระดับนภาชั้นที่เก้าเท่านั้น เมื่อก้าวข้ามขอบเขตนี้ไปมันก็เหลือประโยชน์เพียงเล็กน้อย

 

แต่สำหรับม้วนบันทึกภาพเทพสงคราม แม้แต่เจ้าของวิหารการสงครามอย่างโหวหยานก็ยังปรารถนาที่จะได้รับการสืบทอดมรดกศักดิ์สิทธิ์ชิ้นนี้

 

แต่ซูฉินจะไม่รู้ว่าโหวหยานนั้นอยู่ในระดับใด แต่เห็นได้ชัดว่าเหนือกว่าจ้าวทะเลบูรพาที่เป็นถึงจุดสูงสุดของเซียนเทพปฐพีเป็นไปได้มากว่าอยู่ในขอบเขตผู้ที่ทรงพลังอย่างถึงขีดสุด

 

“ม้วนบันทึกภาพเทพสงครามเป็นกฎเกณฑ์ในวิถีทางหนึ่งแห่งอาณาเขต”

 

“การฝึกฝนม้วนบันทึกภาพเทพสงครามจะสามารถเปลี่ยนอาณาเขตของตนเองให้กลายเป็นอาณาเขตเทพสงครามได้”

 

ซูฉินรู้สึกได้ถึงข้อมูลของม้วนบันทึกภาพเทพสงครามผ่านเข้าหัวมาอยู่ตลอดเวลา หลังจากการฝังข้อมูลของระบบ รายละเอียดยิบย่อยทั้งหลายภายในม้วนบันทึกภาพเทพสงครามก็ไหลเวียนอยู่ในจิตใจของเขา ซูฉินไม่ได้รู้สึกสับสนุนงงแม้แต่น้อย หากเจ้าของวิหารการสงครามทราบเรื่องนี้เขาจะต้องโกรธจัดจนอาเจียนออกมาเป็นเลือดอย่างแน่นอน

 

เขาจ่ายทรัพยากรออกไปมหาศาลแต่ก็ยังไม่สามารถเข้าใจม้วนบันทึกภาพเทพสงครามได้ แต่พอเป็นคราวของซูฉิน มันกับง่ายดายและน่ารื่นรมย์ราวกับกินดื่ม

 

“ม้วนบันทึกภาพเทพสงครามมีรอยสลักทั้งสิ้นสี่สิบเก้ารูปร้อยเรียงไปตามลำดับ หากฝึกฝนรอยสลักครบทั้งสี่สิบเก้ารูป ทั้งหมดจะถูกรวมกลายเป็นโพรงสวรรค์เทพสงคราม…”

 

ซูฉินมองไปที่ม้วนบันทึกภาพเทพสงครามอย่างคร่าวๆ ใบหน้าของเขาตกตะลึง

 

ในที่สุดเขาก็รู้ว่าทำไมเจ้าของวิหารการสงครามผู้มีอำนาจแข็งแกร่งอย่างถึงขีดสุดก็ยังสนใจม้วนบันทึกภาพเทพสงครามจนถึงขนาดใช้สมบัติพื้นที่มิติเพื่อบรรจุมวนบันทึกภาพเทพสงครามเอาไว้

 

ปรากฏว่าหลังจากฝึกม้วนบันทึกภาพเทพสงครามจนเสร็จสมบูรณ์ มันจะสามารถควบแน่นโพรงสวรรค์เทพสงครามออกมาได้

 

เป็นเรื่องที่น่าเหลือเชื่ออย่างยิ่ง

 

โพรงสวรรค์คือสิ่งใด?

 

เมื่อนำมาเทียบกับอาณาเขตแล้ว โพรงสวรรค์นั้นเสมือนเป็นโลกใบเล็กๆ ใบหนึ่งที่ภายในเต็มไปด้วยพลังชีวิต มีจิตวิญญาณอยู่ทั่วทุกที่ มีแม้กระทั่งกฎเกณฑ์ข้อบังคับที่เป็นเอกเทศ

 

“น่าเสียดายที่โพรงสวรรค์เทพสงครามอยู่ห่างไกลจากระดับของข้าเกินไป ไม่ต้องพูดถึงโพรงสวรรค์เทพสงครามเลย แม้แต่อาณาเขตเทพสงครามข้ายังฝึกฝนไม่ได้ด้วยซ้ำ…”

 

ซูฉินส่ายศีรษะ

 

ตามแนวทางในม้วนบันทึกภาพเทพสงคราม ขั้นแรกก่อนที่จะฝึกฝนม้วนบันทึกภาพเทพสงครามได้นั้นจะต้องมีอาณาเขตขนาดใหญ่

 

และอาณาเขตขนาดใหญ่นั้นจะมีได้ก็ต่อเมื่อเข้าสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพี่อย่างแท้จริงแล้วเท่านั้น

 

ส่วนอาณาเขตที่ซูฉินควบแน่นได้นั้น เป็นเพียงอาณาเขตขนาดเล็ก ซึ่งอยู่ห่างไกลจากอาณาเขตขนาดใหญ่ที่สามารถครอบคลุมพื้นที่ได้นับร้อยไปมากโข

 

“ไม่ต้องรีบเร่ง”

 

“ใจเย็นๆ เอาไว้”

 

“ถึงอย่างไรก็ต้องใช้เวลาอย่างน้อยยี่สิบปีก่อนที่ข้าจะทะลวงขึ้นไปได้ จนถึงตอนนั้นค่อยกลับมาฝึกฝนก็ยังไม่สาย”

 

แม้ว่าซูฉินจะผิดหวังเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้รู้สึกเสียใจอะไรมากม้วนบันทึกภาพเทพสงครามยังอยู่เหมือนเดิม เมื่อขอบเขตของซูฉันถึงเกณฑ์กำหนด ก็แค่ต้องกลับมาทบทวนมันซ้ำอีกครั้ง”

 

“ต่อจากนี้ ข้าจะบ่มเพาะเพื่อก้าวเข้าสู่นภาชั้นที่เก้า”

Related

เข้าสู่ระบบ “ฝ่ามือยูไล [Sign in Buddha’s palm] Sign in Buddha’s palm 249 (1) พวกเจ้ากำลังมองหาอะไร?

 

Sign in Buddha’s palm 249 (1) พวกเจ้ากำลังมองหาอะไร?

 

“นี่คือลูกท้อบ้าน?”

 

ซูฉินมองดูผลไม้จิตวิญญาณที่เต็มไปด้วยพลังเบื้องหน้าเขาอย่างระมัดระวัง

 

นับตั้งแต่ที่ได้ลูกท้อบ้านมาจากการลงชื่อเข้าใช้บนยอดเขาคุนหลุนซูฉินก็เพิ่งจะเอามันออกมาจากพื้นที่ระบบเป็นครั้งแรก

 

แม้แต่ในวิหารการสงครามอย่างมากซูฉินก็ทำแค่ผสานจิตใจเข้าไปในพื้นที่ของระบบเพื่อสังเกตดู สุดท้ายแล้ววิหารการสงครามก็ถูกทิ้งเอาไว้โดยโหวหยาน อาจจะมีบางอย่างภายในนั้นก่อนที่ซูฉินจะปรับแต่งมันอย่างสมบูรณ์ ซูฉินจะไม่เปิดเผยความลับของตนเองมากจนเกินไปเมื่ออยู่ในวิหารการสงคราม

 

โดยเฉพาะลูกท้อบ้าน ผลไม้เซียนที่สามารถยืดอายุขัยได้นับพัน

 

รู้หรือไม่ว่าสำหรับผู้ฝึกยุทธที่ทรงพลังอย่างแท้จริง สิ่งที่ล้ำค่าหาใช่เคล็ดวิชาหรืออาวุธวิเศษ

 

แต่มันคืออายุขัย

 

เฉพาะตอนที่ยังมีชีวิตอยู่ต่อไปได้เท่านั้นจึงจะมีเวลาไปพิจารณาเสาะหาอาวุธวิเศษต่อไป ไม่เช่นนั้นเมื่อขีดจำกัดของช่วงชีวิตมาถึง ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมจบสิ้น

 

“พลังชีวิตจากลูกท้อป่านนี้ช่างทรงพลังน่ากลัวยิ่งนัก แต่ก็ไม่น่าแปลกใจ หากไม่มีพลังชีวิตขนาดนี้จะสามารถยืดอายุได้เป็นพันปีได้อย่างไร?”

 

ซูฉินนั่งขัดสมาธิ มองดูลูกท้อบ้านตรงหน้าอย่างเงียบๆ พลางคิดในใจไปด้วย

 

“เมื่อใช้ลูกท้อบ้านนี้ นอกจากจะยืดอายุขัยได้หนึ่งพันปีแล้วพลังชีวิตอันไร้ที่สิ้นสุดของลูกท้อป่านนี้ยังจะมีประโยชน์ในการรักษาอาการบาดเจ็บอีกด้วย ไม่ว่าจะเป็นร่างกายหรือจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ก็สามารถฟื้นฟูกลับคืนสู่สภาพดั้งเดิมได้โดยพลัน”

 

ซูฉินดูประหลาดใจ

 

แม้จะเป็นมุมมองของซูฉิน เขาก็ยังรู้สึกประทับใจมาก บาดแผลทางกายนั้นรักษาได้ง่าย แต่บาดแผลที่เกี่ยวข้องกับจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์นั้นไร้สภาพ จับต้องไม่ได้ พึ่งพาได้เพียงการฟื้นฟูด้วยตนเองเท่านั้น

 

การที่ลูกท้อบ้านสามารถซ่อมแซมความเสียหายทั้งหมดในจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ เพียงสิ่งนี้สิ่งเดียวที่เหนือกว่าโอสถวิเศษหรือน้ำอมฤตส่วนใหญ่บนโลกนี้แล้ว

 

อย่างไรก็ตามผลลัพธ์นั้นไม่ได้สลักสำคัญอะไรเลยเมื่อเทียบกับผลในการยืดอายุขัยของลูกท้อบ้าน

 

“ข้ามีอายุขัยมากเพียงพอ ดังนั้นจึงยังไม่จำเป็นจะต้องกินลูกท้อบ้านผลนี้ รอจนกว่าจะถึงช่วงที่ทะลวงขั้นเสียก่อนดีกว่า เมื่อถึงตอนนั้นค่อยพิจารณาเรื่องนี้อีกที”

 

ซูฉันคิดอยู่ในใจ

 

ไม่มีการย้อนกลับเมื่อก้าวผ่านขอบเขตใหญ่ หากประสบความสำเร็จนั่นก็เป็นสิ่งที่ดี แต่หากล้มเหลว ในกรณีที่รุนแรงที่สุดอาจจะตายทันที หรืออาจจะได้รับบาดเจ็บสาหัสในกรณีที่เบากว่านั้น ซึ่งจะทำให้เลือดเนื้อและพลังชีวิตลดลง จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์อาจจะล่มสลาย ความแข็งแกร่งลดฮวบ

 

นักพรตเฒ่าเคยกล่าวเอาไว้ว่าเป็นเวลาหลายพันปีแล้วที่ตำนานยุทธระดับนภาชั้นที่เก้าจำนวนมากได้กำเนิดขึ้นในต่างดินแดนและตำนานยุทธที่อยู่ในจุดสูงสุดเหล่านี้ก็ได้ควบแน่นอาณาเขตและจิตวิญญาณแรกกำเนิดเพื่อเตรียมพร้อมบรรลุสู่ความสำเร็จ แต่สุดท้ายก็พากันล้มเหลวเมื่อทะลวงเข้าสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพี หลังจากนั้นพวกเขาก็ล้วนเงียบหายไป

 

ซูฉินถือครองทิพยอำนาจกายเนื้อกำเนิดใหม่ สำหรับอาการบาดเจ็บทางกายนั้นเขาไร้ซึ่งความกลัว แต่พอเป็นจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์แล้ว เขาก็อดที่จะปวดหัวไม่ได้

 

แต่การมีลูกท้อบ้านอยู่กับตัว ทำให้ซูฉินมีหนทางมากขึ้นอีกหนึ่ง

 

แม้ว่าซูฉินจะล้มเหลวเมื่อพยายามทะลวงขั้น แต่เขาก็ยังมีโอกาสฟื้นตัวกลับมาได้ในระยะเวลาอันสั้น

 

“การกินลูกท้อบ้านในตอนนี้เท่ากับการสูญเสียผลประโยชน์ในการรักษาอาการบาดเจ็บทั้งหมดไป ยังไม่คุ้มค่าที่จะใช้

 

ซูฉินสายศีรษะแล้วโยนลูกท้อบ้านกลับเข้าไปในคลังระบบ

 

“น่าเสียดายที่มีลูกท้อบ้านเพียงผลเดียว หากมีมากกว่านี้ก็สามารถแบ่งปันให้กับพวกน้องเล็กได้”

 

ซูฉินถอนหายใจเบาๆ

 

ลูกท้อบ้านนั้นมีค่ามาก แต่ซูฉินรู้ดีว่าความแข็งแกร่งนั้นคือพื้นฐานของทุกสิ่ง ตราบใดที่เขาพัฒนาขั้นต่อไปได้เขาจะยังกังวลว่าจะไม่มีสมบัติที่ช่วยยืดอายุขัยในอนาคตอีกหรือ?

 

ไม่ว่าจะเป็นซูเยวหยุนหรือตระกูลซู แม้แต่ทั่วทั้งอาณาจักรถัง ทุกสิ่งล้วนขึ้นอยู่กับความแข็งแกร่งของซูฉินในการปราบปรามทุกอย่าง และเป็นเพราะซูฉินแข็งแกร่งมากพอ ที่แห่งนี้จึงสงบสุขเหมือนดังปัจจุบัน

 

“นอกจากลูกท้อบ้านและโอสถจิตวิญญาณกำเนิดพฤกษาแล้ว ยังมีโอสถชนิดอื่นๆ อีกหลายชนิด”

 

เม็ดยาหลายเม็ดปรากฏขึ้นตรงหน้าของซูฉินอีกครั้ง สายตาของเขากวาดมองไปทั่ว “เม็ดโอสถจิตวิญญาณแรกกำเนิดสามารถช่วยให้ควบแน่นจิตวิญญาณแรกกำเนิดได้ เป็นเม็ดยาที่ควรจะเก็บไว้ใช้ในตอนที่เข้าสู่ระดับนภาชั้นที่เก้า ส่วนโอสถฮว่าเฉินและโอสถยวเฉินนี้คือสิ่งใดกัน?”

 

ซูฉินเหลือบมองโอสถอีกสองชนิดที่เหลือ

 

“ไม่เป็นไร”

 

“ยังเร็วเกินไปที่จะพิจารณาสิ่งเหล่านี้ ในตอนนี้ข้าควรจะรีบเข้าสู่ระดับนภาชั้นที่เก้าให้ได้เร็วที่สุด”

 

ซูฉินเก็บเม็ดโอสถกลับคืนไป และจิตใจของเขาก็จมลงสู่การพิจารณาม้วนบันทึกภาพเทพสงครามอีกครั้ง

 

พูดกันตามจริง ม้วนบันทึกภาพเทพสงครามเป็นผลกำไรที่ใหญ่ที่สุดของซูฉินในครั้งนี้ ถึงขนาดที่ของวิเศษพื้นที่มิติอย่างวิหารการสงครามยังเป็นเพียงแค่สถานที่จัดเก็บม้วนบันทึกภาพเทพสงคราม

 

สำหรับเม็ดโอสถจิตวิญญาณแรกกำเนิด มันก็มีประโยชน์กับตำนานยุทธในระดับนภาชั้นที่เก้าเท่านั้น เมื่อก้าวข้ามขอบเขตนี้ไปมันก็เหลือประโยชน์เพียงเล็กน้อย

 

แต่สำหรับม้วนบันทึกภาพเทพสงคราม แม้แต่เจ้าของวิหารการสงครามอย่างโหวหยานก็ยังปรารถนาที่จะได้รับการสืบทอดมรดกศักดิ์สิทธิ์ชิ้นนี้

 

แต่ซูฉินจะไม่รู้ว่าโหวหยานนั้นอยู่ในระดับใด แต่เห็นได้ชัดว่าเหนือกว่าจ้าวทะเลบูรพาที่เป็นถึงจุดสูงสุดของเซียนเทพปฐพีเป็นไปได้มากว่าอยู่ในขอบเขตผู้ที่ทรงพลังอย่างถึงขีดสุด

 

“ม้วนบันทึกภาพเทพสงครามเป็นกฎเกณฑ์ในวิถีทางหนึ่งแห่งอาณาเขต”

 

“การฝึกฝนม้วนบันทึกภาพเทพสงครามจะสามารถเปลี่ยนอาณาเขตของตนเองให้กลายเป็นอาณาเขตเทพสงครามได้”

 

ซูฉินรู้สึกได้ถึงข้อมูลของม้วนบันทึกภาพเทพสงครามผ่านเข้าหัวมาอยู่ตลอดเวลา หลังจากการฝังข้อมูลของระบบ รายละเอียดยิบย่อยทั้งหลายภายในม้วนบันทึกภาพเทพสงครามก็ไหลเวียนอยู่ในจิตใจของเขา ซูฉินไม่ได้รู้สึกสับสนุนงงแม้แต่น้อย หากเจ้าของวิหารการสงครามทราบเรื่องนี้เขาจะต้องโกรธจัดจนอาเจียนออกมาเป็นเลือดอย่างแน่นอน

 

เขาจ่ายทรัพยากรออกไปมหาศาลแต่ก็ยังไม่สามารถเข้าใจม้วนบันทึกภาพเทพสงครามได้ แต่พอเป็นคราวของซูฉิน มันกับง่ายดายและน่ารื่นรมย์ราวกับกินดื่ม

 

“ม้วนบันทึกภาพเทพสงครามมีรอยสลักทั้งสิ้นสี่สิบเก้ารูปร้อยเรียงไปตามลำดับ หากฝึกฝนรอยสลักครบทั้งสี่สิบเก้ารูป ทั้งหมดจะถูกรวมกลายเป็นโพรงสวรรค์เทพสงคราม…”

 

ซูฉินมองไปที่ม้วนบันทึกภาพเทพสงครามอย่างคร่าวๆ ใบหน้าของเขาตกตะลึง

 

ในที่สุดเขาก็รู้ว่าทำไมเจ้าของวิหารการสงครามผู้มีอำนาจแข็งแกร่งอย่างถึงขีดสุดก็ยังสนใจม้วนบันทึกภาพเทพสงครามจนถึงขนาดใช้สมบัติพื้นที่มิติเพื่อบรรจุมวนบันทึกภาพเทพสงครามเอาไว้

 

ปรากฏว่าหลังจากฝึกม้วนบันทึกภาพเทพสงครามจนเสร็จสมบูรณ์ มันจะสามารถควบแน่นโพรงสวรรค์เทพสงครามออกมาได้

 

เป็นเรื่องที่น่าเหลือเชื่ออย่างยิ่ง

 

โพรงสวรรค์คือสิ่งใด?

 

เมื่อนำมาเทียบกับอาณาเขตแล้ว โพรงสวรรค์นั้นเสมือนเป็นโลกใบเล็กๆ ใบหนึ่งที่ภายในเต็มไปด้วยพลังชีวิต มีจิตวิญญาณอยู่ทั่วทุกที่ มีแม้กระทั่งกฎเกณฑ์ข้อบังคับที่เป็นเอกเทศ

 

“น่าเสียดายที่โพรงสวรรค์เทพสงครามอยู่ห่างไกลจากระดับของข้าเกินไป ไม่ต้องพูดถึงโพรงสวรรค์เทพสงครามเลย แม้แต่อาณาเขตเทพสงครามข้ายังฝึกฝนไม่ได้ด้วยซ้ำ…”

 

ซูฉินส่ายศีรษะ

 

ตามแนวทางในม้วนบันทึกภาพเทพสงคราม ขั้นแรกก่อนที่จะฝึกฝนม้วนบันทึกภาพเทพสงครามได้นั้นจะต้องมีอาณาเขตขนาดใหญ่

 

และอาณาเขตขนาดใหญ่นั้นจะมีได้ก็ต่อเมื่อเข้าสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพี่อย่างแท้จริงแล้วเท่านั้น

 

ส่วนอาณาเขตที่ซูฉินควบแน่นได้นั้น เป็นเพียงอาณาเขตขนาดเล็ก ซึ่งอยู่ห่างไกลจากอาณาเขตขนาดใหญ่ที่สามารถครอบคลุมพื้นที่ได้นับร้อยไปมากโข

 

“ไม่ต้องรีบเร่ง”

 

“ใจเย็นๆ เอาไว้”

 

“ถึงอย่างไรก็ต้องใช้เวลาอย่างน้อยยี่สิบปีก่อนที่ข้าจะทะลวงขึ้นไปได้ จนถึงตอนนั้นค่อยกลับมาฝึกฝนก็ยังไม่สาย”

 

แม้ว่าซูฉินจะผิดหวังเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้รู้สึกเสียใจอะไรมากม้วนบันทึกภาพเทพสงครามยังอยู่เหมือนเดิม เมื่อขอบเขตของซูฉันถึงเกณฑ์กำหนด ก็แค่ต้องกลับมาทบทวนมันซ้ำอีกครั้ง”

 

“ต่อจากนี้ ข้าจะบ่มเพาะเพื่อก้าวเข้าสู่นภาชั้นที่เก้า”

 

เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล [Sign in Buddha’s palm]

Sign in Buddha’s palm 248 (II)

Sign in Buddha’s palm 248 (II) ตรวจนับผลกําไร

“หึ!”

“พวกเจ้าอย่าได้คิดในแง่ดีจนเกินไป”

“พื้นที่จุดตัดอาจจะไม่ใช่สถานที่ที่ดีนัก หากไม่ใช่เพราะเจ้าตําหนักเทพเจ้าหิมะประสบกับความสูญเสียครั้งใหญ่พวกเขาจะปลุกบรรพชนของพวกเขาไปทําไมกัน?”

ยังคงมีตํานานยุทธที่พอจะฉลาดเฉลียว ไม่ถูกล่อลวงด้วยคําว่าแผ่นดินแห่งพลังยุทธอันยิ่งใหญ่

หากแผ่นดินแห่งพลังยุทธฯ นั้นง่ายแก่การครอบครองจริงเหตุใดเจ้าตําหนักเทพเจ้าหิมะ และประมุขพรรคหมื่นดาบจึงต้องปลุกบรรพชนของพวกเขาด้วยเล่า?

รู้หรือไม่ว่าบรรพชนที่หลับใหลเหล่านี้ทุกครั้งที่ตื่นขึ้นเวลาในการนอนครั้งต่อไปของพวกเขาจะสั้นลงไประยะหนึ่ง

แต่ก็เท่านั้น

ท้ายที่สุดก็มีตํานานยุทธเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่สามารถเข้าใจเรื่องนี้ได้และตํานานยุทธที่เหลืออีกจํานวนมากก็พากันสอบถามถึงพื้นที่จุดตัดจากนั้นจึงเดินทางออกทะเลไป

เพราะอย่างไรก็แล้วแต่ สําหรับตํานานยุทธส่วนใหญ่ แหล่งในการฝึกฝนบ่มเพาะต่างถูกนิกายใหญ่ในต่างแดนยึดครองไว้เกือบหมดแล้วเป็นไปไม่ได้ที่จะเหลือทรัพยากรมากพอเพื่อมาสนับสนุ นการบ่มเพาะของขอบเขตตํานานยุทธอย่างพวกเขา

การกําเนิดขึ้นของแผ่นดินแห่งพลังยุทธฯ ทําให้เหล่าตํานานยุทธมองเห็นความหวังโดยเฉพาะตอนนี้ที่นิกายใหญ่ยังไม่เข้ายึดครองพื้นที่ซึ่งหมายความว่าพวกเขาจะมีโอกาสมากขึ้นภายในแผ่นดินแห่งพลังยุทธฯ

ในขณะที่ยุทธภพต่างแดนกําลังวุ่นวาย

ซูฉินก็ได้ออกจากเทือกเขาคุนหลุนกลับมาเมืองฉางอัน

สําหรับเฉียนขู่เขาก็ได้ถูกส่งตัวกลับวัดเส้าหลินโดยซูฉินและแน่นอนก่อนหน้านั้นซูฉินก็ได้ให้คําแนะนําบางอย่างกับเฉียนขู่เป็นการส่วนตัว

ครั้งล่าสุดที่เขาชี้แนะเฉียนขู่ ตอนนั้นตัวเขาอยู่ในระดับนภาชั้นที่สามและตอนนี้เขาอยู่ในระดับนภาชั้นที่แปดแล้ว เมื่อเทียบกับครั้งก่อนคําแนะนําของซูฉินลึกซึ้งและเรียบง่ายกว่าเดิมมากทุกๆ คํานั้นทําให้เฉียนขู่กระจ่างชัดขึ้นมากหลังจากผ่านไปไม่กี่ชั่วโมง แม้ว่าซูฉินจะไม่ได้บอกอะไรแต่เฉียนขู่ก็อยากจะรีบกลับวัดเส้าหลินเพื่อปิดด่านฝึกตนโดยเร็วที่สุด

“ไม่น่าผิดพลาด คาดว่าจะสําเร็จถึงขอบเขตอรหันต์

ซูฉินเหลือบมองเฉียนขู่เป็นครั้งสุดท้าย ลอบประเมินในใจ

เฉียนขู่ครอบครองดวงใจพุทธะ แม้ว่าการบ่มเพาะในขั้นต้นจะง่าย การก้าวเข้าสู่ยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งนั้นง่ายราวกับการกินดื่มแต่เมื่อถึงก้าวสุดท้ายก่อนที่จะขึ้นสู่ขอบเขตอรหันต์ ดวงใจพุทธะจะเป็นดั่งเครื่องพันธนาการ

วัดเส้าหลินอยู่มานานนับพันปี ให้กําเนิดผู้ที่มีดวงใจพุทธะเจ็ดถึงแปดรูปแต่ไม่มีผู้ใดก้าวเข้าสู่ขอบเขตอรหันต์ได้สักราย

ในความเห็นของซูฉิน การที่เฉียนขู่จะก้าวไปถึงขั้นนั้นก็ยากมากๆแม้จะไม่ถึงขั้นสิ้นหวัง แต่เส้นทางก็ไม่ชัดเจน

เฉพาะในยุคนี้ ยุคที่กระแสปราณีฟื้นคืน ประกอบกับคําแนะนําของซูฉินตํานานยุทธระดับนภาชั้นที่แปดความเป็นไปได้ที่เฉียนขี่จะสําเร็จอรหันต์นั้นก็เพิ่มขึ้นอย่างมาก

แน่นอน

แม้ทุกอย่างจะผ่านไปได้ด้วยดี หากว่าเฉียนขู่ต้องการจะทะลวงขอบเขตอรหันต์ก็คงจะใช้เวลาต่อไปอีกหลายสิบปีจากนี้เมื่อถึงตอนนั้นซูฉินก็อาจจะเข้าสู่ขอบเขตยอดอรหันต์ซึ่งมีพลังเทียบเคียงกับเซียนเทพปฐพี่แล้ว

ขอบเขตยอดอรหันต์คือขอบเขตที่อยู่ถัดจากขอบเขตอรหันต์ซึ่งเทียบเท่าได้กับเซียนเทพปฐพีแม้ทั้งสองอย่างจะมีชื่อเรียกที่ต่างกันแต่สาระสําคัญและพลังอํานาจนั้นเหมือนกัน

ยิ่งกว่านั้น เมื่อซูฉินกลายเป็นยอดอรหันต์ ด้วยไพ่ลับทั้งหมดที่เขามีเซียนเทพปฐพีย่อมไม่ใช่คู่ต่อสู้อย่างแน่นอน โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่ซูฉินทะลวงระดับ มรดกฝ่ามือยไลกระบวนท่าที่สองจะถูกเปิดผนึก และนั่นจะช่วยเสริมพลังในการต่อสู้ของซูฉินจนถึง ระดับที่น่าเหลือเชื่ออย่างแน่นอน

เมื่อซูฉันคิดถึงเรื่องนี้ เขาก็ได้พาหลีหว่านกลับมาที่วังเรียบร้อย

ไม่นานหลังจากซูฉินกลับมาถึงพระราชวังตะวันออกจักรพรรดิถังและฮองเฮาซูเยวหยุนก็รีบเข้ามาหาด้วยอาการประหม่าผ่านไปกว่าหนึ่งเดือนแล้วตั้งแต่เกิดเหตุการณ์บนยอดเขาคุนหลุนและข่าวได้แพร่กระจายออกไปเป็นวงกว้าง

แม้จะมีข่าวลือว่าคนที่ลงมือบนยอดเขาคุนหลุนนั้นเป็นผู้ทรงสม ณศักดิ์จากวัดเส้าหลิน แต่ซูเยว่หยุนและคนอื่นๆ ต่างก็รู้มานาน แล้วว่าผู้ทรงสมณศักดิ์แห่งวัดเส้าหลินก็มิใช่อะไรนอกเสียจากอี กตัวตนหนึ่งของซูฉิน

ทั่วโลกต่างถกเถียงกันอย่างดุเดือดว่าตํานานยุทธเมืองฉางอันนั้นแข็งแกร่งกว่าผู้ทรงสมณศักดิ์แห่งวัดเส้าหลินหรือไม่ทําให้มันเป็นเรื่องราวใหญ่โตแต่ในสายตาของซูเยวหยุนและคนอื่นๆมันเป็นเรื่องน่าขันที่สุด

ไม่ว่าจะเป็นผู้ทรงสมณศักดิ์จากวัดเส้าหลินหรือตํานานยุทธเมืองฉางอันต่างก็คือซูฉิน จะมีคนใดแข็งแกร่งคนใดอ่อนแอกว่าอีกหรือ?

“พี่สาม ข้าได้ยินว่ามีมังกรปีศาจปรากฏตัวออกมาจากวิหารการสงคราม……” จักรพรรดิถังอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม

แม้ว่าเขาจะรู้ว่าซูฉินนั้นล้ําลึกไม่อาจหยั่งถึง ตํานานยุทธทั้งหลายไม่ว่าจะสูงส่งแค่ไหน เมื่ออยู่ต่อหน้าซูฉิน การแก้ปัญหาทั้งหมดก็ใช้เพียงแค่มีดเล่มเดียว

แต่มังกรปีศาจไม่ใช่ตํานานยุทธธรรมดาสุดท้ายก็ยังถูกซูฉินเชีอดทิ้งอยู่ดี ซึ่งมันน่าตกใจยิ่ง

“อย่ากังวลไปเลย ไม่ว่าจะเป็นมังกรปีศาจหรือวิหารการสงครามทุกอย่างล้วนได้รับการแก้ไขแล้ว”

ซูฉินยิ้มอย่างอ่อนโยน

ตอนนี้มังกรปีศาจไม่เหลือแม้แต่กระดูก ส่วนวิหารการสงครามได้รับการปรับแต่งโดยซูฉินเรียบร้อย รอเพียงซูฉินมีพลังมากพอเมื่อถึงตอนนั้นแล้ววิหารการสงครามทั้งหมดจะถูกครอบครองแน่นอนว่าความกังวลที่จักรพรรดิถังมีจะไม่เกิดขึ้น

“ขอบคุณพี่สามมากที่ลงมือ”

จักรพรรดิถังถอนหายใจด้วยความโล่งอก รีบกล่าวขอบคุณออก

มา

“ไม่เป็นไรหรอก”

แม้จะไม่ได้มีการร้องขอจากจักรพรรดิถัง เขาก็จะไปที่ยอดเขาคุนหลุนอยู่ดี

นอกจากนี้ การไปยังเทือกเขาคุนหลุนในครั้งนี้ยังทําให้เขาได้รับผลประโยชน์ตามมามากมาย เหนือสิ่งอื่นใด เพียงโอสถจิตวิญญาณแรกกําเนิดกว่าห้าสิบเม็ดที่ได้จากการลงชื่อเข้าใช้ในวิหารการสงครามก็เพียงพอแล้วที่ซูฉินจะเสร็จสิ้นการบ่มเพาะในระดับนภาชั้นที่เก้าด้วยความรวดเร็วและเข้าสู่ขอบเขตที่สูงขึ้นในเวลาอันสั้น

เท่านี้ก็คุ้มค่ามากแล้วสําหรับซูฉินที่ได้เดินทางไปในครานี้ ยิ่งกว่านั้นเมื่อเทียบกับผลประโยชน์อื่นๆ ที่ได้รับ โอสถจิตวิญญาณแรกกําเนิดก็ไม่นับเป็นสิ่งล้ําค่าอันใดเลย

แม้แต่วิหารการสงครามก็ตกมาอยู่ในมือของซูฉิน ด้วยการคงอยู่มาอย่างยาวนานของวิหารการสงคราม “เต๋าสะสม” ที่เก็บไว้ภายในนั้นเทียบได้กับเหมืองทองคําที่ขุดออกมาใช้ได้อย่างต่อเนื่อง

แตกต่างจากท่าที่ผ่อนคลายของจักรพรรดิถังและคนอื่นๆนักพรตเฒ่าสํานักเอกะวิถีตื่นตะลึงอย่างสมบูรณ์

เขาไม่รู้ว่าซูฉินได้ปรับแต่งวิหารการสงครามไปแล้ว แต่เพียงแค่เรื่องการเชือดมังกรปีศาจภายในวิหารการสงครามก็ทําให้ภายในใจของนักพรตเฒ่ามีพายุก่อตัวขึ้น

พลังของมังกรปีศาจนั้นน่ากลัวถึงขีดสุด ในช่วงสุดท้ายของยุคกระแสปราณฉีเฟื่องฟู เซียนเทพปฐพี่หลายคนได้ร่วมมือกันเข้าสู่วิ หารการสงครามแต่ก็ถูกขับไล่กระเจิงออกมาก็เพราะมังกรปีศาจ

แต่ตอนนี้มังกรปีศาจที่สามารถขัดขวางกลุ่มของเซียนเทพปฐพีได้กลับถูกสังหารโดยซูฉิน

นี่คือการสังหาร มิใช่การพ่ายแพ้จนล่าถอย

ความยากลําบากของสองสิ่งนี้ไม่เท่ากัน

“ผู้อาวุโสมีพลังที่น่าสะพรึงกลัวเช่นนี้ได้อย่างไร

นักพรตเฒ่ากลืนน้ําลาย ใจเต็มไปด้วยความสยอง

แม้ว่าเขาจะพอตระหนักได้ว่า ด้วยเวลาที่ผ่านไปนับหมื่นปีพลังชีวิตและเลือดเนื้อของมังกรได้สลายหายไป ความแข็งแกร่งก็ลดลงอย่างมาก แต่ไม่ว่ามันจะอยู่ในสภาพเลวร้ายแค่ไหนแต่มันก็เป็นมังกรปีศาจ

ซูฉินสามารถสังหารมังกรปีศาจได้ตรงๆ แม้ว่าเขาจะไม่ใช่เซียนเทพปฐพีแต่ก็คงจะอีกไม่ไกลแล้ว

“เอาล่ะ”

“พวกเจ้าทั้งหมดออกไปเถอะ”

“ข้าจะปิดด่านฝึกตนสักพักหนึ่ง”

ซูฉินพูดคุยอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่จะโบกมือประกาศว่าจะปิดด่านฝึกตนจากนั้นจึงกลับมายังที่โถงพระราชวังอันสูงตระหง่านใต้เมืองฉางอัน

“ตอนนี้ถึงเวลานับผลกําไรแล้ว”

รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของซูฉิน การไปยังเทือกเขาคุนหลุนของเขาพร้อมผู้ติดตามในครานี้ใช้เวลาไปหนึ่งเดือนเต็มแน่นอนว่าสิ่งที่เก็บเกี่ยวมาได้ก็สร้างความยินดีเป็นอย่างยิ่ง อย่างน้อยก็ได้มากกว่าที่ครั้งที่ไปเกาะหยิงโจว

“มาดูกันที่ “ลูกท้อบ้าน ก่อน”

เพียงแค่คิด ผลไม้จิตวิญญาณสีแดงขนาดเท่ากําปั้นก็ปรากฏขี้นตรงหน้าของซูฉิน

ในตอนที่ผลไม้วิญญาณปรากฏขึ้นมา พลังที่น่าพรั่นพรึงก็กระจายออกไปทุกทิศทาง อวลตลบถ้วนทั่วทุกตารางนิ้ว

Related

เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล [Sign in Buddha’s palm]

Sign in Buddha’s palm 248 (1)

Sign in Buddha’s palm 248 (1) ตรวจนับผลกําไร

 

หน้าแท่นบูชาในส่วนลึกของตําหนักเทพเจ้าหิมะ

เมื่อเจ้าตําหนักเทพเจ้าหิมะและคนอื่นๆ ได้ยินว่าบรรพชนยอมรับคําขอของพวกนาง ความหนักอึ้งในหัวใจก็เหมือนถูกยกออก

ผู้อาวุโสคนอื่นๆ ของตําหนักเทพเจ้าหิมะก็ดูมีความสุขเช่นกัน ตามบันทึกโบราณพื้นที่จุดตัดเป็นแกนหลักของกระแสปราณฉีที่ฟื้นคืน หากตําหนักเทพเจ้าหิมะสามารถครอบครองพื้นที่บางส่วนภายในพื้นที่เหล่านั้นได้ในอนาคตรากฐานของตําหนักจะต้องเพิ่มมากขึ้นอย่างแน่นอน ไม่รู้ว่าจะมีเซียนเทพปฐพีกําเนิดขึ้นอีกคน?

 

ตอนนั้นเหล่าผู้อาวุโสตําหนักเทพเจ้าหิมะก็จะสามารถเชิดหน้าชูตาได้อีกครั้ง ทรัพยากรในการบ่มเพาะที่ได้รับก็จะเพิ่มขึ้นอย่างมาก และคาดหวังว่าจะมีความก้าวหน้าต่อไปได้แน่

 

ขณะที่เจ้าตําหนักเทพเจ้าหิมะและผู้อาวุโสทั้งหลายพากันตื่นเต้น พวกเขาก็เห็นร่างหนึ่งเดินออกจากแท่นบูชามาอย่างช้าๆ

ร่างนี้เดินหลังค่อมออกมาด้วยความเชื่องช้า ทําให้ผู้คนรู้สึกว่าร่างตรงหน้านั้นชราภาพเหลือเกิน

ท่ามกลางสายตาของเจ้าตําหนักเทพเจ้าหิมะและคนอื่นๆ ร่างนี้ค่อยๆเผยออกมาต่อหน้าทุกคน

 

“คารวะบรรพชน”

 

เจ้าตําหนักเทพเจ้าหิมะและผู้อาวุโสทั้งหลายต่างกล่าวด้วยเสียงอันดัง

 

“ปรากฏว่าเป็นบรรพบุรุษเฉวซิน….”

 

เจ้าตําหนักเทพเจ้าหิมะเงยหน้าขึ้นเหลือบมองอย่างระมัดระวัง จิตใจพลันตื่นตะลึง

 

บรรพบุรุษเฉวซินเป็นตํานานยุทธระดับนภาชั้นที่แปดของตําหนักเทพเจ้าหิมะตั้งแต่เมื่อเก้าร้อยปีที่แล้ว ซึ่งทําให้โลกยุทธภพต่างแดนพากันตื่นตะลึง ก่อนที่บรรพบุรุษเฉวซินจะหลับใหล ตัวนางได้ประจําการอยู่ภายในตําหนักเทพเจ้าหิมะ เมื่อมองไปทั่วดินแดน แม้แต่สํานักเอกะวิถีที่มีเซียนเทพปฐพี่กําเนิดขึ้นมาจํานวนไม่น้อย หรือเหล่านิกายใหญ่ห้าอันดับแรกต่างก็ไม่ได้อยู่ในสายตา

 

ถ้าไม่ใช่เพราะบรรพบุรุษเฉวซินที่ต่อสู้ สร้างชื่อเสียงมากมายให้ตําหนักเทพเจ้าหิมะ ตําหนักเทพเจ้าหิมะก็คงจะไม่มีอํานาจเด็ดขาดเหมือนในยามนี้

 

“พวกเจ้าทั้งหมดลุกขึ้นเถิด”

“ข้านั้นหลับใหลค่อนข้างช้าแล้ว สามารถกลับเข้าสู่นิทราได้อีกสองสามครั้ง แต่สถานะของบรรพชนคนอื่นนั้นแย่กว่ามาก โดยเฉพาะบรรพชนแรกเริ่ม …”

 

เมื่อบรรพบุรุษเฉวซินกล่าวเช่นนี้ ร่องรอยความกังวลก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของนาง

เมื่อเทียบกับบรรพชนคนอื่นๆที่หลับใหลไปอย่างน้อยก็เป็นพันปีแล้ว บรรพบุรุษเฉวซินเพิ่งจะหลับใหลไปเพียงเก้าร้อยปี ยังนับว่า ‘อ่อนวัย” อยู่พอสมควร นอกจากนี้ บรรพบุรุษเฉวซินยังทรงพลังถึงจุดสูงสุดของระดับนภาชั้นที่แปด และในตอนที่สัมผัสถึงธรณีประตูของระดับนภาชั้นที่เก้าก็เริ่มตัดสินใจที่จะเข้าสู่นิทรา

 

“บรรพชนแร

ใบหน้าของเจ้าตําหนักเทพเจ้าหิมะก็เปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อย

“บรรพชนแรกเริ่ม” นั้นเป็นบรรพชนผู้หลับใหลที่เก่าแก่ที่สุดภาย ในแท่นบูชาตําหนักเทพเจ้าหิมะ ว่ากันว่าท่านหลับใหลมานานกว่าสองพันปีแล้ว

 

เป็นดั่งเสาค้ํายันที่แท้จริงของตําหนักเทพเจ้าหิมะ

 

ตามบันทึกโบราณที่ส่งต่อมากันมาในตําหนักเทพเจ้าหิมะกว่าสองพันปีที่แล้ว “บรรพชนแรกเริ่ม” อยู่ในจุดสูงสุดของนภาชั้นที่เก้าเรียบร้อยแล้ว และเตรียมที่จะทะลวงขอบเขตเซียนเทพปฐพี

 

อย่างไรก็ตาม น่าเสียดายที่ บรรพชนแรกเริ่ม” ล้มเหลวในการทะลวงขอบเขตเซียนเทพปฐพี่ สําหรับทางเลือกสุดท้าย ท่านจึงจําจะต้องปิดผนึกตนเองและหลับใหลไป 

วิธีการปิดผนึกตนเองในต่างดินแดนก็มีข้อจํากัดเช่นกัน ระยะเวลายาวนานกว่าสองพันปีเทียบเท่าอายุขัยของเซียนเทพปฐพี่ถึงสองชั่วอายุคน “บรรพชนแรกเริ่มของตําหนักเทพเจ้าหิมะ ไม่ใช่มังกรปีศาจในวิหารการสงครามที่มีร่องรอยสายเลือดสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ แม้จะอยู่ในสภาพแวดล้อมเช่นวิหารการสงครามก็ยังอยู่รอดมาได้นับหมื่นปี

 

อายุขัยของเผ่าพันธุ์สัตว์อสูรนั้นยาวนานกว่าเผ่าพันธุ์มนุษย์มาก ยิ่งกว่านั้นมังกรปีศาจยังมีความเกี่ยวข้องเล็กๆน้อยๆ กับสัตว์ศักดิ์สิทธิ์อีกด้วยมิใช่หรือ?

ส่วน บรรพชนแรกเริ่ม” ไม่ว่าจะเป็นปราณชีวิต เลือดเนื้อและจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ แม้จะปิดผนึกตนเองอย่างไร สุดท้ายมันก็จะค่อยๆลดหายไปอยู่ดี และท้ายที่สุดก็จะตายด้วยวัยชรา แต่อาจจะช้าสักหน่อยสําหรับการแก่ตายตามปกติ

นี่เป็นปัญหาที่บรรพชนผู้หลับใหลในนิกายใหญ่ทั้งหลายจะต้องเผชิญ วิธีการลับในการปิดผนึกตนเองไม่สามารถทําให้นอนหลับไปได้ตลอด หลังจากผ่านเวลาอันยาวนาน ปราณชีวิต เลือดเนื้อและจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ก็ยังคงสลายตัวไปอยู่ดี

 

“บรรพชนแรกเริ่มเป็นอย่างไรบ้าง” เจ้าตําหนักเทพเจ้าหิมะถามด้วยความเป็นห่วง

หากไม่สามารถรักษา “บรรพบุรุษแรกเริ่ม” ไว้ได้ ย่อมหมายถึงความสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ของตําหนักเทพเจ้าหิมะอย่างแน่นอน แม้ว่าเป็นเจ้าตําหนักเทพเจ้าหิมะที่ตกตายไปก็ยังเป็นการสูญเสียที่เล็กน้อยกว่ากันมาก

 

“สบายใจได้”

“ ท่านยังสามารถอยู่ได้อีกหลายสิบปี”

 

บรรพบุรุษเฉวซินสายศีรษะพร้อมกล่าวคําออกมา

 

ในเวลาเดียวกัน

 

เวลาห่างจากกันไม่มากเท่าไหร่ นิกายเฮยหยวน พรรคหมื่นดาบ และเจ้านิกายใหญ่ที่เหลือต่างปลุกบรรพชนผู้หลับใหลของเขาให้ตื่นขึ้น

บรรพบุรุษเฉวซินแห่งตําหนักเทพเจ้าหิมะค่อนข้างจะวางตัวต่ําถ่อมตน เมื่อตื่นขึ้นมาก็ไม่ได้สร้างความวุ่นวายอะไร แต่บรรพชนของพรรคหมื่นดาบ เมื่อเขาออกจากการนิทรา เขาก็ได้เรียกดาบทั้งหมื่นเล่มควบแน่นเป็นดาบศักดิ์สิทธิ์พุ่งออกจากพรรคหมื่น ดาบแทงทะลุฟากฟ้า ปราณดาบกระจายไปทั่วบริเวณร้อยลี้

ส่วนบรรพชนของพรรคเฮยหยวนนั้นน่ากลัวยิ่งกว่า ในช่วงเวลานั้นทั้งโลกพลันมืดมิดโดยมีนิกายเฮยหยวนเป็นศูนย์กลาง ลมปราณของตํานานยุทธขั้นสูงสุดถูกปลดปล่อยออกมาอย่างไม่เกรงกลัวฟ้าดิน ราวกับกําลังระบายอารมณ์อัดอั้นบางอย่าง

ทันใดนั้น

ชาวยุทธในยุทธภพต่างแดนต่างตื่นตระหนก

โดยทั่วไปแล้วบรรพชนที่หลับใหลอยู่ภายในนิกายใหญ่นั้นถือเป็นรากฐานสูงสุด และเป็นไปไม่ได้ที่จะโผล่ออกมา แต่ยามนี้ บรรพบุรุษเหล่านี้ต่างตื่นขึ้นมากันทีละคนสองคน เห็นได้ชัดว่ากํา ลังมีเหตุการณ์ที่สั่นสะเทือนโลกเกิดขึ้น

“ในตอนนี้มีบรรพชนจากนิกายใหญ่ที่ตื่นขึ้นมาทั้งหมดหกคน ในบรรดาบรรพชนเหล่านั้นเป็นบรรพชนจากตําหนักเทพเจ้าหิมะ นิกายเฮยหยวน และพรรคหมื่นดาบที่ตื่นขึ้นมาก่อนสามคน และมีอีกสามคนที่ตื่นขึ้นหลังจากนั้นไม่นาน…”

ชาวยุทธขอบเขตตํานานยุทธในต่างแดนต่างขนลุกชัน ในต่างแดนมีนิกายใหญ่สักกี่แห่งกัน? ตอนนี้มีมหาอํานาจหกคนพลันโผล่ออกมาในทันที ซึ่งมันน่าเหลือเชื่ออย่างยิ่ง

 

“นี่มันเกิดบ้าอะไรขึ้น ทําไมบรรพชนของนิกายใหญ่ถึงตื่นขี้นมา?” มีตํานานยุทธบางคนพูดออกมาด้วยความสงสัย

“ข้าได้ยินมาว่าเทพธิดายุคปัจจุบันและผู้อาวุโสของตําหนักเทพเจ้าหิมะได้เสียชีวิตไป พรรคหมื่นดาบเองก็สูญเสียผู้อาวุโสและศิษย์ไปส่วนนิกายเฮยหยวน แม้แต่รองเจ้านิกายก็ได้ตายไปแล้ว………..”

 

“บรรพชนเหล่านั้นตื่นขึ้นเพราะเหตุนี้งั้นหรือ?”

 

ตํานานยุทธคนอื่นๆ ต่างก็เสนอมุมมองของตนเอง

 

“เป็นไปไม่ได้เ” ทันใดนั้นตํานานยุทธคนหนึ่งก็โต้กลับไป “บรรพชนของนิกายใหญ่เหล่านั้นเป็นตัวตนเช่นไร? นับประสาอะไรกับผู้อาวุโสตกตาย แม้ว่าจะเป็นเจ้านิกายที่เสียชีวิต ตราบใดที่นิกายยังสืบทอดต่อไปได้ พวกเขาก็จะไม่ยอมออกมาแน่”

 

เมื่อตํานานยุทธคนอื่นๆได้ยินดังนี้ พวกเขาก็พยักหน้าเห็นด้วย

เป็นเช่นนั้นจริงๆ

 

ถ้าการที่แค่ผู้อาวุโสไม่กี่คนตกตายไป ทําให้บรรพชนผู้หลับใหลต้องตื่นขึ้น เกรงว่าบรรพชนของนิกายใหญ่คงต่างพากันตายไปหมดแล้ว จะยังหลับใหลแบบนี้มาตลอดได้เช่นไร?

 

“เป็นไปได้ไหมว่าเป็นเพราะแผ่นดินแห่งพลังยุทธ? คําทํานายของสํานักชะตาฟ้าเป็นเรื่องจริงงั้นหรือ? แผ่นดินแห่งพลังยุทธได้ปรากฏขึ้นมาแล้ว?” สีหน้าของตํานานยุทธที่เพิ่งจะกล่าวออกมานั้นเริ่มเปลี่ยนไปเล็กน้อย

 

ตั้งแต่แรก เรื่องที่เทพธิดาแห่งตําหนักเทพเจ้าหิมะและศิษย์หลายคนของนิกายใหญ่กําลังมองหาพื้นที่จุดตัดกันยกใหญ่นั้นก็ไม่ใช่ความลับ ตํานานยุทธคนอื่นๆ ต่างรู้เรื่องนี้กันมานานแล้ว แต่เรื่องราวเหล่านั้นก็ถูกกลบด้วยเหตุการณ์ที่เหล่าอาวุโสพากันเสียชีวิต

คําที่กล่าวออกมา

 

ใบหน้าของตํานานยุทธจํานวนมากล้วนเปลี่ยนสี

 

หากเป็นเพราะแผ่นดินแห่งพลังยุทธอันยิ่งใหญ่จริงๆ พฤติกรรมของตําหนักเทพเจ้าหิมะและนิกายใหญ่อื่นๆที่ปลุกบรรพชนของพวกเขาขึ้นมานั้นก็สามารถอธิบายได้แล้ว

 

ตามบันทึกที่หลงเหลือมาจากยุคกระแสปราณฉีเฟื่องฟูครั้งล่าสุด แผ่นดินแห่งพลังยุทธเป็นแกนกลางสําคัญของโลกในทุกๆครั้งที่กระแสปราณฉีเฟื่องฟู แผ่นดินแห่งพลังยุทธจะเกิดขึ้นในที่แตกต่างกันไปทุกครั้ง แต่หากไม่มีอะไรผิดพลาด พื้นที่จุดตัดนั้นจะเจิดจรัสภายใต้กระแสปราณฉีที่ฟื้นคืน ทุกผู้ทุกคนจะเติบโตเปล่งประกายอย่างถึงที่สุด

เมื่อนิกายใหญ่สามารถยึดตําแหน่งบนแผ่นดินแห่งพลังยุทธได้ พวกเขาก็จะทรงอิทธิพลกว้างไกล มีรากฐานที่ดีต่อไปในอนาคต

“ดูเหมือนว่าพื้นที่จุดตัดแผ่นดินแห่งพลังยุทธอันยิ่งใหญ่จะกําเนิดขึ้นแล้วจริงๆ”

 

“หรือข้าควรจะลองไปยังพื้นที่จุดตัดดูดีล่ะ?”

ตํานานยุทธทั้งหลายต่างตกตะลึง พวกเขาค่อนข้างตระหนักถึงจุดยืนของตนเอง รู้ว่าไม่สามารถเทียบกับนิกายใหญ่อย่างตําหนักเทพเจ้าหิมะได้ แต่ตํานานยุทธเหล่านี้ไม่ได้ต้องการครอบครองพื้นที่กว้างใหญ่อะไรนักในแผ่นดินแห่งพลังยุทธ

พวกเขาวางแผนแค่จะครอบครองเนินเขาเล็กๆเอาไว้ก่อน และพยายามจะไม่ขัดแย้งกับเหล่านิกายใหญ่

“หึ!”

“พวกเจ้าอย่าได้คิดในแง่ดีจนเกินไป”

“พื้นที่จุดตัดอาจจะไม่ใช่สถานที่ที่ดีนัก หากไม่ใช่เพราะเจ้าตําหนักเทพเจ้าหิมะประสบกับความสูญเสียครั้งใหญ่ พวกเขาจะปลุกบรรพชนของพวกเขาไปทําไมกัน?”

 

ยังคงมีตํานานยุทธที่พอจะฉลาดเฉลียว ไม่ถูกล่อลวงด้วยคําว่า แผ่นดินแห่งพลังยุทธอันยิ่งใหญ่

หากแผ่นดินแห่งพลังยุทธฯนั้นง่ายแก่การครอบครองจริง เหตุใดเจ้าตําหนักเทพเจ้าหิมะ และประมุขพรรคหมื่นดาบจึงต้องปลุกบรรพชนของพวกเขาด้วยเล่า?

 

รู้หรือไม่ว่าบรรพชนที่หลับใหลเหล่านี้ ทุกครั้งที่ตื่นขึ้น เวลาในการนอนครั้งต่อไปของพวกเขาจะสั้นลงไประยะหนึ่ง

แต่ก็เท่านั้น

 

ท้ายที่สุดก็มีตํานานยุทธเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่สามารถเข้าใจเรื่องนี้ได้ และตํานานยุทธที่เหลืออีกจํานวนมากก็พากันสอบถามถึงพื้นที่จุดตัด จากนั้นจึงเดินทางออกทะเลไป

 

เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล [Sign in Buddha’s palm]

Sign in Buddha’s palm 247

Sign in Buddha’s palm 247 ม้วนบันทึกภาพเทพสงครามและบรรพชนจากนิกายใหญ่ในต่างแดน

“ผู้ทรงสมณศักดิ์”

“เป็นผู้ทรงสมณศักดิ์”

“ผู้ทรงสมณศักดิ์ออกมาแล้ว”

จิตใจของเฉียนขู่ตื่นตะลึง สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความตื่นเต้น

 

เขายังคงกังวลอยู่ว่าซูฉินจะติดอยู่ในวิหารการสงครามหรือไม่แต่ตอนนี้ซูฉินได้ออกมาแล้ว จะไม่ให้เขาถอนหายใจอย่างโล่งอกได้อย่างไร?

 

“ลุงสาม”

ดวงตาของหลีหว่านเบิกกว้าง ไม่รู้ว่าทําไมซูฉินถึงดูแปลกไปในสายตานางยามนี้ ราวกับว่าวิหารการสงครามอันยิ่งใหญ่กําลังถูกเหยียบย่ําอยู่ใต้ฝ่าเท้า

 

“ในที่สุดก็ออกมาแล้ว…”

 

รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของซูฉิน ส่วนเรื่องการปรับแต่งจิตวิญญาณเทียมของวิหารการสงคราม มันมีเหตุขัดข้องเล็กน้อย ทําให้ล่าช้าไปสองสามวัน ความว่องไวในการปรับแต่งจึงช้าลงอย่างไรก็ตามสุดท้ายก็ปรับแต่งจนเสร็จก่อนช่วงเวลาหนึ่งเดือนจะหมดลง

 

ในช่วงเดือนที่ผ่านมาซูฉินไม่ได้ทําอะไรอย่างอื่นเลย ยกเว้นแต่การปรับแต่งจิตวิญญาณเทียมและลงชื่อเข้าใช้อย่างสม่ําเสมอทุกคืนวัน

นอกจากโอสถจิตวิญญาณแรกกําเนิดที่ได้จากการลงชื่อเข้าใช้ในวันแรกแล้ว ซูฉินก็ได้รับโอสถจิตวิญญาณแรกกําเนิดมากว่าห้าสิบเม็ดซึ่งการลงชื่อเข้าใช้แต่ละครั้งก็ได้มาครั้งหนึ่งหลายเม็ดและมีบางครั้งก็ได้มาเกือบสิบเม็ด

 

นอกจากโอสถจิตวิญญาณแรกกําเนิดแล้ว ซูฉินยังลงชื่อเข้าใช้และได้รับโอสถชนิดอื่นๆ อีก เช่น โอสถยวเฉิน โอสถฮว่าเฉินและโอสถอื่นๆอีกมากมาย

เพียงแต่ว่าโอสถเหล่านี้โดยพื้นฐานแล้วไม่มีประโยชน์เท่าไรสําหรับซูฉินในระดับปัจจุบัน ไม่ได้จําเป็นต้องใช้เท่าไหร่เมื่อเทียบกับ โอสถจิตวิญญาณแรกกําเนิด

“ใช่แล้ว”

“วันนี้ยังไม่ได้ลงชื่อเข้าใช้เลยนี่นา”

 

ซูฉินนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้แล้วจึงหยุดยืนอยู่หน้าทางเข้าวิหารการสงคราม จากนั้นก็พึมพําอยู่ในใจ “ระบบ ลงชื่อเข้าใช้”

[ขอแสดงความยินดี โฮสต์ลงชื่อเข้าใช้สําเร็จ ได้รับ ม้วนบันทึกภาพเทพสงคราม” ]

เสียงจักรกลเย็นชาดังขึ้นในหูของซูฉิน

“ม้วนบันทึกภาพเทพสงคราม?”

ใบหน้าของซูฉินเปลี่ยนไปเล็กน้อย

 

ถ้าเขาจําไม่ผิด รอยสลักภาพสี่สิบเก้าส่วนที่อยู่ในส่วนลึกของวิหารการสงครามนั้นเป็นมรดกที่เรียกว่า “ม้วนบันทึกภาพเทพสงคราม”

 

แม้แต่ชื่อของวิหารการสงครามก็ได้ถูกเจ้าของวิหารการสงครามตั้งชื่อตาม “ม้วนบันทึกภาพเทพสงคราม” ซึ่งสื่อความหมายถึงวิหารที่จัดเก็บม้วนบันทึกภาพวิหารการสงคราม

ซูฉินไม่คาดคิดมาก่อนว่าในครั้งนี้เขาจะลงชื่อเข้าใช้และได้รับมรดกที่แม้แต่เจ้าของวิหารการสงครามยังไม่สามารถทําความเข้าใจได้แม้จะผ่านไปหลายร้อยปี

 

ต้องรู้ก่อนว่า ไม่ว่าทักษะวิเศษที่ได้รับมาจากการลงชื่อเข้าใช้จะเข้าใจได้ยากเพียงใด ซูฉินก็จะเข้าใจมันได้อย่างเป็นธรรมชาติตัวอย่างเช่น คัมภีร์อมิตาภาบรรพกาลซึ่งเป็นเวลากว่าหลายพันปีแล้วที่ไม่มีใครสามารถฝึกฝนมันได้สําเร็จ

เจ้าของวิหารการสงครามทุ่มทรัพยากรไปอย่างมหาศาลแต่ก็ยังไม่เข้าใจถึงม้วนบันทึกภาพเทพสงครามแม้แต่อัจฉริยะรุ่นหลังจํา นวนนับไม่ถ้วนก็ถูกบังคับให้มาทําความเข้าใจร่วมกัน แต่ผลที่ได้ก ลับมานั้นน้อยมากอย่างน้อยซูฉินก็ไม่เคยได้ยินว่ามีจอมยุทธคนใดที่เข้ามาภายในวิหารการสงครามแล้วได้รับม้วนบันทึกภาพเทพสง ครามกลับไป

เดิมที่ซูฉินก็ไม่ได้หวังอะไรกับม้วนบันทึกภาพเทพสงครามนี้

สุดท้ายแล้วไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องที่ว่าม้วนบันทึกภาพเทพสงครามนั้นหักพังเสียหาย แม้ว่ามันจะไม่ได้รับความเสียหาย เมื่อมาวางไว้ตรงหน้าซูฉินด้วยสภาพสมบูรณ์ ซูฉินก็ไม่คาดหวังว่าตนเองจะสามารถทําความเข้าใจได้อยู่ดี

แต่ตอนนี้ ด้วยระบบลงชื่อเข้าใช้ทําให้เขาได้รับม้วนบันทึกภาพเทพสงครามแม้ว่าม้วนบันทึกภาพเทพสงครามจะเป็นคัมภีร์ส วรรค์อะไรเทือกนั้นซูฉินก็ยังสามารถเข้าถึงและเชี่ยวชาญได้

 

หวิ่ง!

ขณะที่ซูฉินกําลังคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่นั้น ความเข้าใจบางอย่างจนถึงระดับถ่องแท้ก็วูบผ่านเข้ามาภายในจิตใจ

 

“ไม่ดีแล้ว”

ท่าทีของซูฉินเปลี่ยนแปลงไป แล้วรีบปิดผนึกการทําความเข้า ใจภายในจิตทันที ด้วยสาระสําคัญที่ซูฉินได้ซึมซับข้อมูลมาเมื่อครู่ เขาเกรงว่าตนเองจะถอนตัวไม่ทัน

ดังนั้นซูฉินจึงกวาดตามองข้อมูลมากมายเกี่ยวกับม้วนบันทึก ภาพเทพสงครามนั้นเพียงชั่วครู่ จากนั้นจึงตัดสินใจว่าจะไปเรียนรู้ เพิ่มเติมในตอนที่กลับไปยังเมืองฉางอันแล้ว

 

“ม้วนบันทึกภาพเทพสงครามไม่ใช่กฎเกณฑ์แห่งกายเนื้อไม่ใช่กฏเกณฑ์แห่งแก่นแท้ฯ ไม่ใช่ทั้งกฎเกณฑ์แห่งจิตสัมผัสศักดิ์สิท

“มันคือวิถีทางหนึ่งของเคล็ดวิชาศักดิ์สิทธิ์ในการบ่มเพาะอาณาเขต

ใบหน้าของซูฉินดูครุ่นคิดหนักหน่วง แม้ว่าเขาจะได้รับความรู้อันลึกซึ้งของม้วนบันทึกภาพเทพสงครามมาเพียงเล็กน้อยเท่านั้นแต่ก็ยังเข้าใจบางสิ่งได้คร่าวๆ จากเคล็ดวิ ชาศักดิ์สิทธิ์ภายในม้วนบันทึกภาพเทพสงคราม

ตามข้อมูลที่ซูฉินเพิ่งได้รับมา เคล็ดวิชาในม้วนบันทึกภาพเทพสงครามสามารถควบแน่นอาณาเขตเทพสงครามขึ้นมาได้ และอาณาเขตเทพสงครามนั้นน่ากลัวกว่าอาณาเขตทั่วไปอย่างมาก

อาณาเขตในที่นี้หมายถึงอาณาเขตขนาดใหญ่ของจริงไม่ใช่อาณาเขตขนาดเล็กของเหล่าจอมยุทธในขอบเขตตํานานยุทธ

“มัวนบันทึกภาพเทพสงครามเล่มนี้ ช่างน่าที่งยิ่งนัก…”

ซูฉินดูประหลาดใจ ครุ่นคิดสิ่งต่างๆ อย่างรวดเร็ว

พลังอาณาเขตของเขาแม้จะยังห่างไกลเมื่อเทียบกับตัวตนในขอบเขตเซียนเทพปฐพี่ที่เชี่ยวชาญอาณาเขตขนาดใหญ่ สา มารถควบคุมพื้นที่รัศมีร้อยล้ําได้ด้วยความคิดเดียว เป็นดั่งกับเทพ เซียนที่แท้จริง

อาจกล่าวได้ว่า แม้แต่ตัวตนขอบเขตเซียนเทพปฐพีอาณาเขตนก็ยังเป็นเครื่องมือที่ทรงพลังอย่างยิ่ง

 

“มิผิด”

 

“แต่มันก็เป็นแค่อาณาเขต เหตุใดเจ้าของวิหารการสงครามถึงจ ริงจังกับมันถึงเพียงนี้?” ซูฉินขมวดคิ้วเล็กน้อย

 

ตามการคาดเดาของเขา เจ้าของวิหารการสงครามอาจจะเหนีอกว่าขอบเขตเชียนเทพปฐพี น่าจะเข้าถึงระดับผู้ที่ทรงพลังอย่างถึงขีดสุดไปแล้ว

สําหรับผู้ที่แข็งแกร่งเช่นนี้ ถึงอาณาเขตจะเป็นเรื่องสําคัญแต่ก็ไม่ใช่ทั้งหมด ไม่จําเป็นต้องใช้สมบัติพื้นที่มิติขนาดใหญ่เพื่อมาส่งต่อเคล็ดวิชาอันนี้ก็ได้

“ไม่ต้องรีบร้อน”

“ใจเย็นๆ เอาไว้ก่อน”

“เมื่อข้ากลับไปยังเมืองฉางอัน ข้าจะกลับมาทําความเข้าใจม้วนบันทึกภาพเทพสงครามให้ละเอียดถี่ถ้วน”

ซูฉินสงบลง ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความพึงพอใจ

การเดินทางมายังเขาคุนหลุนครั้งนี้ ซูฉินได้ผลตอบแทนมากมายไม่เพียงแต่ได้รับ ลูกท้อบ้าน” ที่ช่วยยืดอายุขัยได้เป็นพันปี ยังได้รับโอสถจิตวิญญาณแรกกําเนิดมาถึงห้าสิบเม็ด และรวมไปถึงโอสถชนิดอื่นๆ ด้วย

ด้วยโอสถทั้งหลายเหล่านี้ เมื่อซูฉินเข้าสู่ระดับนภาชั้นที่เก้าเขาสามารถกลั่นจิตวิญญาณแรกกําเนิดได้โดยตรงและยังสามารถผลักดันพลังของจิตวิญญาณแรกกําเนิดไปสู่ระดับที่สูงมากๆ ได้ในยามนั้นตราบใดที่ซูฉินก้าวเข้าสู่ระดับนภาชั้นสูงสุดและทะลวงผ่านเข้าสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพี จะต้องกลายเป็นผู้แข็งแกร่งในหมู่ เซียนเทพปฐพีได้ในระยะเวลาอันสั้นอย่างแน่นอน

นอกจากนี้ ซูฉินยังได้รับม้วนบันทึกภาพเทพสงครามเคล็ดวิชาศักดิ์สิทธิ์ที่แม้แต่เจ้าของวิหารการสงครามก็ยังไม่สามารถเข้าใจ

ได้

ซูฉันคิดเรื่องราวเหล่านี้ระหว่างเดินออกมาจากวิหารการสงคราม

 

“ผู้ทรงสมณศักดิ์”

“ลุงสาม”

เฉียนขู่และหลีหว่านเริ่มทักทายขึ้นก่อน

“ลุงสาม วิหารการสงครามกําลังจะหายไป…” หลีหว่านมองไปที่วิหารการสงคราม ในตอนนี้วิหารการสงครามค่อยๆ กลายเป็นภาพเงาราวกับว่ามันจะสามารถหนีหายเข้าไปในส่วนลึกของความว่างเปล่าได้ทุกเมื่อ

“มันก็แค่ชั่วคราว” ซูฉินส่ายศีรษะและกล่าวอย่างเป็นกันเอง

แม้ว่าซูฉินจะปรับแต่งจิตวิญญาณเทียม ประสบความสําเร็จในการควบคุมวิหารการสงคราม แต่วิหารการสงครามนั้นใหญ่เกินไปแม้ว่าซูฉินจะเป็นเจ้าของวิหารการสงคราม แต่หากเขาก็ต้องการจะเก็บวิหารการสงครามกลับไปด้วย ด้วยความแข็งแกร่งในปัจจุบันของเขานั้นยังยากที่จะสามารถกระทําได้

“อีกไม่นาน”

 

“เมื่อข้าก้าวเข้าสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพี ข้าจะสามารถดึงวิหารการสงครามออกมาได้อย่างสมบูรณ์” ในหัวใจของซูฉินนั้นไม่ได้ยอมแพ้แต่ประการใด

 

ตามการประมาณการของเขา ในอีกห้าสิบปีให้หลัง เขาจะสามารถทะลวงขอบเขตเซียนเทพปฐพีถึงเวลานั้นค่อยกลับมาเอาวิหารการสงครามกลับไปด้วยก็คงไม่สายจนเกินไป

 

อย่างไรเสียวิหารการสงครามก็ยังอยู่ที่นี่ไม่ได้วิ่งหนีไปไหนและถึงจะพลาด เต่าสะสม” ที่อยู่ภายใน แต่ซูฉินก็ไม่ได้กังวลอะไรมากนัก

สุดท้ายแล้ว ก่อนที่ซูฉินจะเข้าสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพีเขาก็ไม่ได้ขาดทรัพยากรในการบ่มเพาะใดๆ และไม่จําเป็นที่จะต้องลงชื่อเข้าใช้ภายในวิหารการสงคราม

แน่นอนว่านั่นไม่นับภาพสิบสองสัตว์ศักดิ์สิทธิ์

 

“ได้เวลากลับแล้ว”

ซูฉันคิดอยู่กับตนเองเงียบๆ หลังจากมองดูวิหารการสงครามหายไปอย่างสมบูรณ์

ครั้งนี้ เขาและพวกได้พํานักอยู่ภายในเทือกเขาคุนหลุนแม้จะเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ได้อย่างดี แต่ก็ใช้เวลานานถึงหนึ่งเดือนและตอนนี้ก็ถึงเวลาจากไปแล้ว

 

ในขณะที่ซูฉันกําลังเดินทางกลับไปยังฉางอัน

 

ยุทธภพในต่างแดน ส่วนลึกของตําหนักเทพเจ้าหิมะ ผู้อาวุโสหลายคนซึ่งนําโดยเจ้าตําหนักเทพเจ้าหิมะก็ได้มายืนกันอยู่หน้าแท่นบูชาขนาดใหญ่ด้วยความเคารพ

“เจ้าตําหนักเทพเจ้าหิมะรุ่นที่หนึ่งร้อยแปดมาที่นี่เพื่อร้องขอให้ ท่านผู้อาวุโสตื่นจากหลับใหล ช่วยปกป้องตําหนักเทพเจ้าหิมะให้ผ่านพ้นภัยพิบัติ

 

เจ้าตําหนักเทพเจ้าหิมะมีท่าที่เคร่งขรึมตะโกนออกด้วยเสียงอันดัง

หลังจากเวลาผ่านไปครู่ใหญ่

 

เสียงที่ดูเก่าแก่คร่ําครีก็ดังขึ้นอย่างช้าๆ

 

“ผ่านมาร้อยแปดชั่วอายุคนแล้วรี…”

 

เสียงอันเก่าแก่นี้ดูมีอารมณ์ที่อ่อนไหว มันดังเข้ามาถึงโสตประสาทของทุกคนที่อยู่ภายในตําหนักเทพเจ้าหิมะ

 

เจ้าตําหนักเทพเจ้าหิมะยังคงยืนอยู่ที่เดิมด้วยท่าทางเคารพไม่กล้าตอบกลับออกไป

ภายในแท่นบูชาแห่งนี้เป็นสถานที่หลับใหลของบรรพชนเก่าแก่ของตําหนักเทพเจ้าหิมะ

“ว่ามาเถอะ เกิดอะไรขึ้น ถึงกับขนาดจะต้องมาปลุกข้า”ในขณะนั้นเสียงที่ฟังดูเก่าแก่ก็เอ่ยกล่าวต่อไป

แม้ว่าพวกเขาจะหลับใหลเพื่อผลทางอ้อมในการยืดอายุขัยแต่ทุกครั้งที่ตื่นขึ้น เวลาที่จะสามารถหลับใหลต่อไปได้จะลดน้อยลงทุกครั้ง

เจ้าตําหนักเทพเจ้าหิมะและคนอื่นๆ มาที่นี่เพื่อปลุกนางขึ้นมาเช่นนี้ ย่อมต้องมีเหตุการณ์สําคัญที่ส่งผลกระทบต่อตําหนักเทพเจ้ามะทั้งหมด

“เรียนบรรพชน เทพธิดาแห่งตําหนักเทพเจ้าหิมะในยุคสมัยนี้รวมถึงผู้อาวุโสต่างตกตายไป…” เจ้าตําหนักเทพเจ้าหิมะสงบอาการประหม่าแล้วกล่าวคําออกมา

“มีอะไรอีกไหม”

 

เสียงที่ฟังดูเก่าแก่เหมือนจะไม่ได้สนใจนัก

สําหรับตําหนักเทพเจ้าหิมะแล้วนั้น นับประสาอะไรกับการตก ตายของเทพธิดาหรือผู้อาวุโส แม้จะเป็นเจ้าตําหนักเทพเจ้าหิมะ เสียชีวิตไปก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร

เป้าหมายอีกอย่างที่บรรพชนหลับใหลไปก็เพื่อให้แน่ใจว่าตํา หนักเทพเจ้าหิมะนั้นจะสืบทอดต่อไป เจริญรุ่งเรืองต่อไป ส่วนเรื่อ งอื่นนั้นไม่นับเป็นแก่นสารใด

“สถานที่จุดตัดที่จะเป็นแหล่งรวมพลังยุทธอันยิ่งใหญ่ได้ปรา กฏขึ้นมาแล้ว” เจ้าตําหนักเทพเจ้าหิมะกล่าวออกมาทีละคํา

คําที่กล่าวออกมา

 

ทําให้เสียงเก่าแก่ในแท่นบูชาเงียบไป เมื่อผ่านไปครู่หนึ่งนางก็ พูดอีกครั้งด้วยน้ําเสียงที่เคร่งขรึมขึ้นอย่างเห็นได้ชัด “เจ้าหมายความว่าเทพธิดาในยุคนี้รวมถึงผู้อาวุโสของตําหนักเทพเจ้ามะของพวกเราตกตายอยู่ในพื้นที่จุดตัดแผ่นดินแห่งพลังยุทธอันยิ่งใหญ่งั้นรึ?”

 

พื้นที่จุดตัดนั้นเกี่ยวพันถึงกระแสปราณฉีที่ฟื้นฟูขึ้นมา หากตําหนักเทพเจ้าหิมะต้องการจะสืบทอดมรดกต่อไปจากรุ่นสู่รุ่น จะต้องครอบครองพื้นที่แผ่นดินแห่งพลังยุทธอันยิ่งใหญ่นี้ให้ได้

 

ด้วยวิธีนี้เท่านั้นจึงจะสามารถเพลิดเพลินกับโอกาสอันยิ่งใหญ่ที่มาจากช่วงปราณีฟื้นคืนมากที่สุด

 

แน่นอนว่าตําหนักเทพเจ้าหิมะก็เลือกที่จะไม่ยื้อแย่งแข่งขันได้เช่นกันผลลัพธ์ของการไม่แข่งขันนั้นอาจจะไม่ได้เห็นในเวลาอันสั้นแต่หากเป็นเช่นนี้ต่อไป นิกายใหญ่อื่นๆ จะได้รับโอกาสอันยิ่งใหญ่จากแผ่นดินแห่งพลังยุทธฯ เมื่อเทียบกับตําหนักเทพเจ้าหิมะที่ไม่สนใจหลังจากเวลาผ่านไปหลายร้อยหลายพันปี ตําหนักเทพเจ้า หิมะจะเสื่อมโทรมลงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

มผิด

เจ้าตําหนักเทพเจ้าหิมะมีท่าทีที่เงียบขรึม “ในทุกวันนี้มีตํานานยุทธที่อย่างน้อยก็อยู่ในระดับนภาชั้นที่เจ็ดอยู่ในพื้นที่จุดตัดเทพธิดาและผู้อาวุโสตําหนักเทพเจ้าหิมะที่ล่วงลับไปนั้นอาจจะเข้าไปเกี่ยวพันกับการปรากฏตัวของตํานานยุทธระดับนภาชั้นที่เจ็ดผู้นี้ ”

เมื่อเจ้าตําหนักเทพเจ้าหิมะกล่าวออกไปเช่นนี้ก็หยุดไปชั่วขณะหนึ่งแล้วจึงพูดต่อไปว่า

“แผ่นดินแห่งพลังยุทธอันยิ่งใหญ่นั้นสําคัญมาก ตําหนักเทพเจ้าหิมะของพวกเราจะต้องย้ายไปยังพื้นที่จุดตัดนั้นเพื่อที่จะได้รับประโยชน์สูงสุดเมื่อกระแสปราณฉีฟื้นคืนสู่จุดเฟื่องฟู”

“และหากตําหนักเทพเจ้าหิมะของพวกเราต้องการจะย้ายไปยังแผ่นดินแห่งพลังยุทธอันยิ่งใหญ่ สิ่งแรกที่ต้องจัดการก็คือตํานานยุทธระดับนภาชั้นที่เจ็ดผู้นั้น…”

ความหมายของเจ้าตําหนักเทพเจ้าหิมะนั้นชัดเจนอยู่ในตัว

หวังจะให้บรรพชนผู้หลับใหลดําเนินการวางรากฐานให้กับตําหนักเทพเจ้าหิมะภายในพื้นที่จุดตัด

 

นี่เป็นตัวแปรสําคัญว่าจะสามารถนําพาตําหนักเทพเจ้าหิมะย้ายไปได้หรือไม่ตราบใดที่บรรพชนบดขยี้ทุกสิ่ง จัดการทุกอย่างให้แล้วการดําเนินการต่างๆก็มั่นใจได้เลยว่าจะทําต่อไปได้ด้วยดี

“เข้าใจแล้ว”

 

“ข้าจะไปที่พื้นที่จุดตัดด้วยตัวของข้าเอง”

 

หลังจากเวลาผ่านไปครู่ใหญ่ เสียงอันเก่าแก่ก็ยังคงดังก้องต่อไป

Related

เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล [Sign in Buddha’s palm] Sign in Buddha’s palm 246 (II) ปรับแต่งวิหารการสงคราม

Sign in Buddha’s palm 246 (II) ปรับแต่งวิหารการสงคราม

 

เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้า

เจ็ดวันผ่านไปภายในพริบตา

ในช่วงเวลาหนึ่ง จู่ๆ ซูฉินก็ลืมตาขึ้นแล้วหัวเราะลั่น “ฮ่าฮ่าฮ่า ในที่สุดข้าก็เจอตัวเจ้าแล้ว”

 

ซูฉินเหยียดมือขวาออกมาคว้าจับไปยังอากาศว่างเปล่าเบื้องหน้า ทันใดนั้นก็มีรัศมีบางอย่างที่ไม่สามารถมองเห็นได้ปรากฏขึ้นในฝ่ามือของซูฉิน

 

“นี่คือจิตวิญญาณเทียมของวิหารการสงคราม?”

ซูฉินจ้องมองอย่างระมัดระวัง

จิตวิญญาณเทียมของวิหารการสงครามนั้นมองไม่เห็น ไร้ตัวตน แต่ซูฉินกลับรู้สึกถึงมันได้อย่างชัดเจน อีกฝ่ายโยงสายใยแผ่วเบาไปทั่วทั้งวิหารการสงคราม หากไม่ใช่เพราะวิหารการสงครามกําลังเสื่อมสภาพลง และแม้แต่จิตวิญญาณเทียมก็ยังอ่อนระโหยโรยแรง ซูฉินคงไม่สามารถจับมันมาได้ง่ายๆ

สุดท้ายแล้วจิตวิญญาณเทียมของวิหารการสงครามในยุครุ่งเรืองก็สามารถระดมกําลังทั้งหมดภายในวิหารได้อย่างง่ายดาย พลังมันเทียบเท่ากับถูกพื้นที่มิติขนาดมากกว่าร้อยล้ําบดขยี้ลงมา เท่านั้นก็เพียงพอที่จะสังหารตํานานยุทธส่วนใหญ่ และแม้แต่เซียนเทพปฐพีก็ต้องล่าถอยหนีหัวซุกหัวซุนไปหลายพันลี้

“ต่อจากนี้ก็ถึงเวลาปรับแต่งแล้ว”

ซูฉินดูเคร่งขรึมขึ้น ตราบใดที่จิตวิญญาณเทียมได้รับการปรับแต่ง วิหารการสงครามทั้งหมดก็จะตกอยู่ในมือของเขา และจิตวิญญาณเทียมนี้ก็ไม่ได้ปรับแต่งยากมากมายอะไรนัก ตามการคาดการณ์ของซูฉิน นานสุดก็ไม่เกินสิบวัน

 

เมื่อคิดได้ดังนี้ จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของซูฉินก็กลายเป็นโซ่พันธนาการ ตรึงไอพลังที่ไร้รูปร่างเอาไว้ในฝ่ามืออย่างแน่นหนา จากนั้นจึงค่อยๆ เริ่มทําการปรับแต่ง

ด้านนอกวิหารการสงคราม

 

เฉียนขู่และหลีหว่านกําลังรอคอยให้ซูฉินออกมา

“ท่านผู้ทรงสมณศักดิ์เข้าไปภายในเกือบหนึ่งเดือนแล้ว เหตุไฉนจึงยังไม่ออกมาอีก” เฉียนขี่มองไปยังวิหารการสงครามที่ตั้งตระหง่านด้วยความกังวลบนใบหน้า

 

หลังจากวิหารการสงครามกําเนิดขึ้น มันจะอยู่ได้เพียงเดือนเดียวและหลังจากผ่านหนึ่งเดือนนั้นไปมันก็จะหายไปอีกครั้ง ถ้าซูฉินไม่ออกมาก่อนเวลานั้น เกรงว่าเขาคงจะต้องหายไปพร้อมกับวิหารการสงคราม

 

ตามกฏของวิหารการสงคราม มันจะถือกําเนิดขึ้นทุกๆหนึ่งพันปี กว่าวิหารการสงครามจะเกิดใหม่อีกครั้งก็กว่าหนึ่งพันปีให้หลัง ซึ่งเวลาอันยาวนานขนาดนี้ก็เทียบเท่ากับความตายสําหรับซูฉิน

“ไม่ต้องกังวล ลุงสามจะออกมาได้อย่างแน่นอน” หลีหว่านกล่าวปลอบประโลม

 

ได้กังวลเรื่องซูฉินเลยแม้แต่น้อย

“จริงด้วย ท่านผู้ทรงสมณศักดิ์มีพลังอํานาจมหาศาล แม้แต่มังกรปีศาจก็ยังถูกสังหาร กะอีแค่วิหารการสงครามก็คงจะทําอะไรท่าน ผู้ทรงสมณศักดิ์ไม่ได้”

ขณะที่เฉียนขู่กําลังคิดเรื่องนั้น ใบหน้าของเขาก็คลายกังวลไปได้เล็กน้อย

ฉับพลัน

เมื่อเฉียนขี่กําลังจะพูดอะไรออกมาอีก

วิหารการสงครามที่เดิมเคยตั้งอยู่อย่างสงบเงียบ ก็เริ่มเปล่งแสงสว่างไสวนับไม่ถ้วน แสงเริ่มต้นพุ่งออกมาจากวิหารการสงคราม และแผ่กระจายออกไปทั่วทุกทิศทาง ครอบคลุมทั่วทั้งเทือกเขาคุนหลุนเอาไว้ภายในเวลาชั่วครู่เดียว

เห็นว่าวิหารการสงครามเปล่งแสงสลัวๆ เฉกเช่นท้องฟ้าสีครามอันคงอยู่ชั่วนิจนิรันดร์ เข้าปกคลุมทุกสรรพชีวิต

“นี่?!”

เฉียนขู่ตกตะลึงเมื่อเห็นฉากนี้

ขนาดหลีหว่านที่ไม่สนใจสิ่งใด ก็ยังกะพริบตาปริบๆ เบิกตากว้างมองดูสิ่งนั้น

 

ไม่ใช่เพียงแค่เฉียนขู่และหลีหว่านเท่านั้นที่ตกใจ แต่จอมยุทธจํานวนมากที่ยังอยู่บริเวณเทือกเขาคุนหลุนต่างก็ตกใจไม่แพ้กันที่เห็นฉากนี้

แม้ว่าซูฉินจะบอกให้ยอดปรมาจารย์ขั้นสูงสุดทั้งหลายออกจากยอดเขาคุนหลุนไป แต่เขาก็ไม่ได้บอกว่าไม่สามารถอยู่ภายในเทือกเขาคุนหลุนได้

 

ยอดเขาคุนหลุนก็ส่วนยอดเขาคุนหลุน เทือกคุนหลุนก็ส่วนเทือกเขาคุนหลุน

“นี่ นี่ นี่มันคืออะไรกัน?”

 

“วิหารการสงคราม เกิดอะไรขึ้นกับวิหารการสงคราม?”

“เป็นไปได้ไหมที่วิหารการสงครามกําลังจะปิด นับจากระยะเวลา นี่ก็เกือบจะเดือนแล้ว…”

 

“ไม่น่าใช่ หนังสือโบราณบันทึกไว้ว่าวิหารการสงครามที่กําเนิดขึ้นหลายต่อหลายครั้งในอดีตนั้นบิดตัวและหายไปเลย ไม่มีปรากฏการณ์หรือนิมิตใด ทําไมถึงมีสิ่งนี้เกิดขึ้นในยามนี้ได้?”

 

จอมยุทธมากมายนับไม่ถ้วนต่างพูดคุยกัน พวกเขาต่างงงงวย

 

โดยเฉพาะยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสูงสุดหลายคน แม้ว่าเขาจะไม่เคยเข้าไปภายในวิหารการสงคราม แต่ก่อนที่พวกเขาจะมาถึงที่นี่ พวกเขาก็ได้ตรวจสอบข้อมูลทุกอย่างเกี่ยวกับวิหารการสงครามมาก่อนแล้ว มันเคยมีฉากเช่นนี้เกิดขึ้นมาก่อนด้วยหรือ?

 

“หรือว่า…”

ยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสูงสุดทั้งหลายต่างชําเลืองมองหน้ากัน มีความคิดหนึ่งแวบเข้ามาในหัวของพวกเขา

เป็นไปได้ไหมว่าการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวภายในวิหารการสงครามเกิดจากผู้ทรงสมณศักดิ์แห่งวัดเส้าหลิน?

และในตอนนี้เอง

บนยอดเขาคุนหลุน

เฉียนขู่และหลีหว่านก็จ้องไปยังทางเข้าของวิหารการสงคราม

เมื่อเทียบกับคนอื่นที่เห็นเพียงภาพจางๆ เห็นเป็นแสงสว่างอันสดใสพุ่งออกจากวิหารการสงคราม แต่พวกเขาที่อยู่บนยอดเขาสามารถเห็นการเปลี่ยนแปลงทุกอย่างภายในวิหารการสงครามได้

 

“นั่นคือ?!”

 

รูม่านตาของเฉียนขู่หดตัวลงอย่างกะทันหัน

 

ในสายตาที่กําลังเบิกกว้างของเขา เห็นร่างสูงโปร่ง ดูสูงส่งราวกับเทพเซียนเดินออกมาจากส่วนลึกของวิหารการสงครามอย่างไม่เร่งร้อน

 

เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล [Sign in Buddha’s palm]

Sign in Buddha’s palm 246 (1) ปรับแต่งวิหารการสงคราม

 

สมบัติพื้นที่มิติเป็นของวิเศษชนิดหนึ่ง

พูดให้ชัดเจน อาวุธจิตวิญญาณอย่างเช่นธนูเก้าประกายและคมมีดเทพเจ้าปีศาจที่ซูฉินถือครองนั้นก็เป็นของวิเศษเป็นของวิเศษที่ใช้สําหรับการโจมตีไม่ใช่ของวิเศษที่มีพลังพื้นที่มิติ

 

ในการสร้างสมบัติพื้นที่มิตินั้น นอกจากจะต้องการผลึกหินมิติแล้วสิ่งที่จําเป็นยิ่งกว่าก็คือผู้สร้างจําเป็นต้องมีความเข้าใจเกี่ยวกับ พื้นที่มิติไม่เช่นนั้นต่อให้มีผลึกหินมิติมากเพียงไร ก็ไม่สามารถหลอมสร้างสมบัติพื้นที่มิติออกมาได้เพราะไม่มีทางที่จะเปิดพื้นที่ด้านในผลึกหินมิติได้เลย

 

แม้แต่ในช่วงเฟื่องฟูของกระแสปราณฉีครั้งล่าสุด ก็ยังไม่มีการค้นพบสมบัติพื้นที่มิติใด อย่างน้อยๆ ซูฉินก็ไม่พบในถ้ําเซียนของจ้าวทะเลบูรพา

 

อย่างไรก็ตาม จากข้อมูลที่จ้าวทะเลบูรพาทิ้งเอาไว้ เดิมที่เขาเองก็มีสมบัติพื้นที่มิติ แต่ของวิเศษนั้นได้รับความเสียหายเมื่อตอนที่เกิดสงครามกับโลกถ้ําปิศาจใต้พิภพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเทพเจ้าปีศาจกวาดสายตาจ้องมายังโลกมนุษย์ ไม่ต้องกล่าวถึงสมบัติพื้นที่มิติแม้แต่คนที่แข็งแกร่งที่สุดก็ยังถูกโจมตีจนสาหัส

และวิหารการสงครามแห่งนี้ควรจะนับเป็นสุดยอดสมบัติพื้นที่มิติแค่พื้นที่ที่ซูฉินเดินผ่านมาก็มีขนาดหลายสิบลี้แล้วถ้านับรวมพื้นที่ทั้งหมดภายในวิหารการสงคราม เกรงว่าคงมีรัศมีมากกว่าร้อยลี้เหมือนกับโลกขนาดย่อมๆอีกใบ

รู้หรือไม่ว่าสมบัติพื้นที่มิติของจ้าวทะเลบูรพาก็ใหญ่กว่าโพรงถ้ําโพรงหนึ่งไม่มากนัก และมักจะใช้สําหรับเก็บสมบัติที่สําคัญที่สุดเอาไว้จะมีขนาดกว้างใหญ่เหมือนอย่างวิหารการสงครามได้อย่างไร?

 

“สมบัติพื้นที่มิตินั้นช่างน่าเหลือเชื่อ แม้แต่สิ่งมีชีวิตก็ยังบรรจุใส่เข้าไปภายในได้ แต่ท้ายที่สุดมันก็ไม่ใช่โลกแห่งความจริงอยู่ดีไม่ว่ามันจะเต็มไปด้วยปราณฉีหรือจิตใจแห่งฟ้าดินมากมายเท่าไหร่ภายในนั้นแต่ก็ไม่มีทางรับรู้ได้ถึงวิถีแห่งฟ้าดินที่แท้จริงได้”

ซูฉันคิดอยู่กับตนเอง

ในการฝึกฝนวิทยายุทธที่อยู่ต่ํากว่าขอบเขตตํานานยุทธอาจจะไม่จําเป็นต้องสนใจวิถีแห่งฟ้าดิน แต่หากก้าวเข้าสู่ขอบเขตตํานานยุทธเรียบร้อยแล้วมันจําเป็นต้องทําความเข้าใจกับโลกหล้านี้ให้ชัดแจ้งแท้จริง

 

การเข้าใจโลกหล้าให้แจ่มชัด เป็นเรื่องลึกลับซับซ้อนอย่างยิ่งแม้ว่าจะเป็นขอบเขตเซียนเทพปฐพีอย่างจ้าวทะเลบูรพาก็กล่าวบอกมันออกมาให้เป็นรูปธรรมไม่ได้ แต่มันมีอยู่จริง จอมยุทธขอบเขตตํานานยุทธหากต้องการทะลวงขั้นขึ้นไป จําเป็นจะต้องสัมผัสได้ถึงวิถีอันยิ่งใหญ่แห่งฟ้าดิน

 

พูดให้เข้าใจได้ง่ายก็คือ หากตํานานยุทธติดอยู่ภายในวิหารการสงคราม แม้ว่าเขาจะมีความสามารถมากเพียงไร เขาก็ไม่สามารถจะตัดผ่านคอขวดไปได้เพราะไม่มีเงื่อนไขที่เอื้ออํานวยให้ทะลวงผ่า นขึ้น

ในอีกแง่ สภาพแวดล้อมภายในสมบัติพื้นที่มิตินั้นน่ากลัวยิ่งกว่าช่วงเงียบงันของกระแสปราณฉีเสียอีก ช่วงที่กระแสปราณเงียบงันมีเพียงพลังปราณฉีและจิตใจแห่งฟ้าดินเท่านั้นที่ลดลงแต่ก็ไม่ได้หายไปส่วนวิถีแห่งฟ้าดินยังคงมีอยู่เหมือนเดิมไม่เปลี่ยน แปลง

 

ความแข็งแกร่งของมังกรปีศาจภายในวิหารการสงครามนั้นด้อยกว่ายุคที่มันรุ่งเรืองอย่างมาก นอกเหนือจากการเสื่อมถอยของพลังชีวิตและเลือดเนื้อของมันเองแล้ว อีกสิ่งเป็นเพราะวิหารการสงครามจํากัดหนทางที่มังกรปีศาจจะพัฒนาต่อจนหมดสิ้น

“ถ้ายังมีสมบัติพื้นที่มิติเช่นนี้อยู่ นิกายใหญ่ที่สืบทอดมรดกมาจากยุคกระแสปราณฉีเฟื่องฟูครั้งล่าสุด ก็จะต้องมีสมบัติพื้นที่มิติถูก ส่งต่อมาด้วยและมันอาจจะมีไพ่ลับที่มาจากช่วงกระแสปราณฉีเฟื่องฟูอยู่ก็ได้ ”

 

ความคิดของซูฉินผันผวน

 

ในตอนแรกที่เขาได้รู้มาจากนักพรตเฒ่าแห่งสํานักเอกะวิถีว่าในต่างดินแดนนั้นตํานานยุทธในระดับนภาชั้นที่เจ็ดหาได้ยากมากและมีเพียงบรรพชนผู้หลับใหลเท่านั้นที่ไปถึง

แต่ยามนี้ดูเหมือนว่าที่นิกายใหญ่เหล่านี้สามารถอยู่รอดต่อมาได้ถึงทุกวันนี้เป็นเพราะมรดกตกทอดที่อยู่เบื้องหลัง

“มันก็แค่ ข้าต้องปรับแต่งวิหารการสงครามแห่งนี้ภายในหนึ่งเดือน…

 

ซูฉินขมวดคิ้วเล็กน้อย

 

หลังจากการปรากฏขึ้นของวิหารการสงคราม มันจะอยู่ต่อไปได้อีกหนึ่งเดือน และหลังจากหนึ่งเดือนผ่านพ้น วิหารการสงครามจะหวนคืนสู่ส่วนลึกของความว่างเปล่าอีกครั้ง กล่าวอีกนัยหนึ่ง ซูฉินต้องปรับแต่งวิหารการสงครามให้แล้วเสร็จภายในหนึ่งเดือน มิ ฉะนั้น หากทําไม่สําเร็จภายในหนึ่งเดือน เกรงว่าเขาจะต้องรอวิหารการสงครามปรากฏขึ้นอีกครั้งจึงจะปรับแต่งต่อไปได้…

ตามกําหนดการที่วิหารการสงครามจะปรากฏขึ้นในครั้งต่อไปอย่างน้อยก็อีกหนึ่งพันปีต่อจากนี้ และด้วยอัตราการเติบโตของซูฉินหลังจากผ่านไปพันปีก็คาดว่าคงจะกลายเป็นบรรพบุรุษเซียนไปเสียแล้วยังจะต้องการสมบัติพื้นที่มิติไปเพื่ออะไร?

“ตามข้อความที่เจ้าของวิหารการสงครามทิ้งเอาไว้ มีสอนวิธีการปรับแต่งวิหารการสงครามเอาไว้ด้วยกันสองวิธี วิธีแรกคือขัดเกลาที่ละนิดด้วยจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ และวิธีที่สองคือควบคุมจิตวิญญาณเทียมของวิหารการสงครามด้วยอาณาเขต…”

ซูฉินพยักหน้าเล็กน้อย

สิ่งที่เรียกว่าจิตวิญญาณเทียมนั้นไม่ใช้สิ่งมีชีวิต มันเป็นเพียงจิตวิญญาณของอาวุธหรืออุปกรณ์วิเศษ มีเพียงสัญชาตญาณ ตัวอย่างเช่นธนูเก้าประกายของซูฉิน หรือแม้แต่คมมีดเทพเจ้าปีศาจก็มีจิตวิญญาณฝังอยู่ แต่อาวุธจิตวิญญาณเหล่านี้ได้รับมาจากการที่ซูฉันลงชื่อเข้าใช้ จิตวิญญาณเทียมของอาวุธได้ถูกควบคุมไว้โดยซูฉิน เรียบร้อยไม่มีกระด้างกระเดื่องเลยแม้แต่น้อย

 

แต่หากผู้อื่นต้องการจะควบคุมคมอาวุธจิตวิญญาณเหล่านี้แค่กล่าวถึงคมมีดเทพเจ้าปีศาจอย่างเดียวก็สามารถครอบงําตํานานยุทธส่วนใหญ่ได้แล้ว

 

แน่นอน

จิตวิญญาณเทียมของวิหารการสงครามไม่ได้ชั่วร้ายเท่าคมมีดเทพเจ้าปีศาจทั้งยังถูกระยะเวลาอันยาวนานกัดเซาะเกาะกินจิตวิญญาณเทียมของวิหารการสงครามจึงอ่อนแออย่างมาก

แต่ถึงกระนั้น มันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายสําหรับซูฉินที่จะค้นหาจิตวิญญาณเทียมโดยมีเวลาจํากัดเพียงแค่หนึ่งเดือน ไม่ต้องพูดถึงตํานานยุทธต่อให้เป็นเซียนเทพปฐพี มันก็ยังยากเย็นประดุจปืนปายสู่ท้องฟ้า

 

“วิหารการสงครามอย่างน้อยก็มีพื้นที่เป็นร้อยลี้ หากต้องการขัดเกลาด้วยจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ เป็นสิบปีก็อาจจะยังไม่แล้วเสร็จ…”

ใบหน้าของซูฉินดูไม่สบอารมณ์อยู่เล็กน้อย

การขัดเกลาด้วยจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ไม่ใช่เพียงห่อหุ้มมันเอาไว้แต่ต้องทะลวงลึกไปถึงภายในวิหารการสงครามซึ่งใช้เวลานานจนเกินไป

 

“ตามที่ตราประทับของโหวหยานหรือเจ้าของวิหารการสงครามได้บอกเอาไว้ว่าจะมอบวิหารการสงครามให้แก่ข้าอันที่จริงก็คงจะฝืนใจอยู่ไม่น้อย…”

 

สีหน้าของซูฉินแปลกไป

 

หากเจ้าของวิหารการสงครามเต็มใจที่จะส่งมอบวิหารการสงครามมาให้ ก็ควรจะนําจิตวิญญาณเทียมของวิหารการสงคราม มามอบให้แต่โดยดีแทนที่จะปล่อยให้ซูฉันค้นหาจิตวิญญาณเทียมด้วยตัวเองเช่นนี้

 

“ถ้าเป็นตํานานยุทธคนอื่นๆ คงเป็นไปไม่ได้เลยที่จะค้นหาจิตวิญญาณเทียมให้พบภายในหนึ่งเดือน แต่ข้านั้นต่างออกไป”

ซูฉันคิด ใบหน้าของเขาค่อยๆ เผยรอยยิ้มออกมา

เขามีทั้งดวงตาแห่งสัจจะและวิชาปราณฉีฟ้ากําหนดที่สามารถตรวจจับพลังใดๆ ในโลกหล้านี้ หากเขาตั้งใจก็ไม่มีสิ่งใดในโลกนี้ที่ปิดบังต่อหน้าเขาได้

 

ส่วนจิตวิญญาณเทียมของวิหารการสงคราม ตราบใดที่มันยังคงอยู่ภายในวิหารก็ไม่สามารถหลบลี้หนีการตรวจจับของซูฉินไปได้

“มาเริ่มเลยเถอะ”

ซูฉินไม่เสียเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์ แม้ว่าเขาจะมั่นใจแต่ก็ไม่ควรประมาท

หวิ่ง!!!

 

กระแสผันผวนที่ไม่อาจอธิบายได้กระจายออกไปทั่วทุกทิศทุกทางโดยมีซูฉินอยู่เป็นศูนย์กลาง

 

ในเวลาเดียวกัน ซูฉินก็เบิกเนตรดวงตาแห่งสัจจะ และใช้วิชาปราณฉีฟ้ากําหนดเพื่อมองไปยังทุกซอกทุกมุมภายในวิหารการสงครามอย่างต่อเนื่อง

ในเวลาต่อมา นอกจากการลงชื่อเข้าใช้ในทุกๆวันแล้วซูฉินก็ใช้เวลาทั้งหมดไปเพื่อค้นหาจิตวิญญาณเทียมของวิหารการสงคราม

 

แม้ว่าวิหารการสงครามจะมีพลังปราณและจิตใจแห่งฟ้าดินเหลือเฟือเผลอๆ มากเสียยิ่งกว่าเกาะหยิงโจว แต่งานเร่งด่วนที่สุดในตอนนี้คือการปรับแต่งวิหารการสงคราม ตราบใดที่ปรับแต่งวิหา รการสงครามสําเร็จทุกสิ่งทุกอย่างก็จะตกเป็นของซูฉิน เหตุไฉนจะ ต้องสนใจจิตใจแห่งฟ้าดินเพียงอย่างเดียวเล่า?

เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้า

 

เจ็ดวันผ่านไปภายในพริบตา

ในช่วงเวลาหนึ่ง จู่ๆ ซูฉินก็ลืมตาขึ้นแล้วหัวเราะลั่น “ฮ่าฮ่าฮ่าในที่สุดข้าก็เจอตัวเจ้าแล้ว”

ซูฉินเหยียดมือขวาออกมาคว้าจับไปยังอากาศว่างเปล่าเบื้องหน้าทันใดนั้นก็มีรัศมีบางอย่างที่ไม่สามารถมองเห็นได้ปรากฏขึ้นในฝ่ามือของซูฉิน

 

เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล [Sign in Buddha’s palm]

Sign in Buddha’s palm 245

Sign in Buddha’s palm 245 สมบัติพื้นที่มิติ

 

หลังจากนั้นไม่นาน

ซูฉินเดินจนถึงสุดโถงทางเดิน

“ที่นี่คือ?”

 

ใบหน้าของซูฉินเคร่งขรึม มองไปรอบข้าง บรรยากาศภายในมีกลิ่นอายจางๆ ที่ทําให้ผู้คนต้องใจสั่นขวัญแขวน

 

“นี่คือส่วนที่ลึกที่สุดของวิหารการสงคราม?”

ซูฉินหยุดแล้วมองตรงไปข้างหน้า

 

เห็นกําแพงหินขนาดใหญ่ตั้งตระหง่านอยู่ไม่ไกล บนกําแพงมีภาพสลักเรียงรายเต็มผนัง

 

น่าเสียดายที่ภาพสลักส่วนใหญ่ได้รับความเสียหายไปแล้วและแม้แต่ตัวกําแพงเองก็มีรอยร้าวรอยหักไปทั่วทั้งหมด

“หืม?”

 

ซูฉินขมวดคิ้วมุ่น

 

เขารู้สึกรางๆ ว่ากําแพงหินขนาดใหญ่นี้จะต้องเกี่ยวข้องกับมรดกตกทอดบางอย่างที่ทรงพลัง แต่มันได้รับความเสียหายไปมากแล้ว

 

“เป็นไปได้ไหมว่าการเดินทางมาที่นี่ของข้าจะสูญเปล่า?”

 

ซูฉินขมวดคิ้วเล็กน้อย และเดินเข้าไปใกล้กําแพงหินมากขึ้นอยากจะเข้าไปดูรอยสลักบนกําแพงหินใกล้ๆ

ทันใดนั้น

 

ในตอนนั้นเอง

สิ่งผิดปกติก็เกิดขึ้น

 

เห็นดวงดาวในดาราจักรด้านบนของห้องโถงเริ่มหมุนวนช้าๆเปล่งแสงดุจดวงดาราที่แท้จริง เป็นดวงดาวทอแสงสุกสกาวจนบดบังทุกสิ่งอย่าง

 

ท่ามกลางแสงดาวระยิบระยับไร้ที่สิ้นสุด ร่างเงาเลือนรางในชุดคลุมตัวใหญ่ก็เผยโฉมออกมา

 

ร่างนี้ราวกับกระโดดพุ่งออกมาจากความว่างเปล่า มองดูซูฉินด้วยความยิ่งใหญ่โอ่อ่า

ฟูม!!

 

เมื่อสายตาของร่างเงาเลือนรางสบลงบนร่างของซูฉิน เสียงที่ฟังดูแสนไพเราะก็ดังเข้ามาในหูของซูฉิน

 

“คุกเข่าลง!!!”

 

“ยอมรับการถ่ายทอดจากเป็นซุน !”

เสียงที่ราวกับคําต้องมนต์ สะท้อนดังต่อเนื่องไปทั่ววิหารการสงครามไม่หยุดหย่อน

 

หากเป็นตัวตนทรงพลังทั่วๆ ไป แม้จะเป็นตํานานยุทธในระดับนภาชั้นที่เจ็ด นภาชั้นที่แปด หรือแม้แต่นภาชั้นที่เก้าทุกคนย่อมต้องคุกเข่าลงเมื่ออยู่ภายใต้คลื่นเสียงนี้

ก็เท่านั้น

ร่องรอยความเย็นชาปรากฏขึ้นบนใบหน้าของซูฉิน

ส่วนลึกระหว่างคิ้วอันเป็นที่ประทับขององค์ยูไลทองคํามือหนึ่งชี้ขึ้นฟ้าอีกมือแตะพื้นพสุธา พลันมีเสียงคํารามก้องออกมาอย่างกะ ทันหัน

 

มิว่าสวรรค์หรือพิภพ ตัวตถาคตเหนือทุกสิ่ง!

 

“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า!”

ดวงตาของซูฉินสงบลง ลมหายใจกลับกลายเป็นลึกซึ้ง “คุกเข่า

ลง?”

“อาศัยแค่ตราประทับของเจ้าเพียงอย่างเดียว จะควรแก่การทําให้ข้าคุกเข่าอย่างนั้นหรือ?”

 

ท่าทีของซูฉินดูไม่แยแส ราวกับว่าเขากําลังฟังเรื่องตลกครั้งยิ่งใหญ่เรื่องหนึ่ง

ทันใดนั้นร่างของซูฉินก็เปล่งแสงศักดิ์สิทธิ์ออกมา มีอักขระมากมาย คําสอนนับไม่ถ้วน เสียงสวดดังไม่รู้จบ ทุกสิ่งเลือนรางยากจะ มองเห็นได้ชัดแต่สุดท้ายก็กลับคืนสู่องค์ยุไลดังเดิม สัมผัสผืนฟ้า แตะพื้นพสุธาในสามโลกนี้มีเพียงตัวตถาคตประเสริฐที่สุด!

ในวิหารการสงคราม อากาศโดยรอบพลันสั่นสะท้าน แม้แต่พลังแห่งดวงดาวยังถูกองค์ยูไลทองคําองค์ใหญ่บดบังไว้ได้อย่างสมบูรณ์

องค์ยูไลทองคํามีนัยน์ตาลุ่มลึกไม่แยแส วางเฉยต่อทุกสิ่ง เหมีอนอยู่บนท้องนภาเบื้องบน มองลงดูสรรพชีวิต ไอพลังแข็งแกร่งสูงส่งกว้างขวาง และทรงพลังพุ่งตรงขึ้นสู่ฟากฟ้า

 

ครืน!!

ทันทีที่องค์ยูไลทองคําปรากฏขึ้น ทั่วทั้งวิหารการสงครามก็เริ่มสั่นสะเทือนส่งเสียงคํารามลั่น ราวกับไม่สามารถรองรับตัวตนอันน่าเหลือเชื่อนี้ได้

 

ใต้แสงทอประกายจากหมู่ดาว ร่างที่ประกอบตัวขึ้นมาจากแสงดาวเมื่อได้เห็นฉากนี้ แววตาที่แต่เดิมดูแข็งที่อ พลันปรากฏร่องรอยแห่งปัญญาขึ้นมา

“องค์ยูไล.”

 

ร่างแสงดาวผู้นี้ดูเหมือนจะฟื้นคืนสติ และโค้งคํานับมาทางซูฉินเล็กน้อย

“มิได้คาดหวังว่าจะเป็นผู้สืบทอดขององค์ยูไล…”

 

“วิหารการสงครามแห่งนี้ หากเจ้าต้องการ ข้าก็จะมอบให้แก่เจ้า”

หลังจากร่างแสงดาวกล่าวเช่นนั้นออกมา ร่างคลุมเครือนั้นก็จางหายไป กลายเป็นกระแสแสงรวมตัวกันเป็นภาพเงาหนังสือโบราณลอยมาอยู่ต่อหน้าซูฉิน!

 

“หม?”

ซูฉินขมวดคิ้ว รู้สึกเพียงว่าองค์ยูไลทองคําที่อยู่ส่วนลึกระหว่างคิ้วค่อยๆ สงบลง

“เมื่อครู่เป็นการกระตุ้นฝ่ามือยไลออกมางั้นหรือ?”

ซูฉันรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย เมื่อครู่ตอนที่ร่างประกายแสงดาวปรากฏขึ้น เสียงต้องมนต์ก็ดังก้องเข้าไปในโสตประสาทของเขาและสะเทือนไปถึงส่วนลึกระหว่างคิ้ว ทําให้องค์ยูไลทองคําเกิดปฏิกิริยาขึ้น

 

ไม่เช่นนั้น ถึงแม้ซูฉินจะสามารถป้องกันพลังเสียงจากร่างแสงดาวได้แต่มันก็คงจะไม่ง่ายดายเหมือนเช่นตอนนี้

 

“ร่างแสงดาวเมื่อครู่เป็นเพียงตราประทับเท่านั้น ไม่ได้นับว่าเป็นจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ด้วยซ้ํา แต่กลับสามารถสร้างภัยคุกคามต่อข้าได้…….”

ซูฉินเงียบนิ่ง

จนถึงตอนนี้ ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดที่ซูฉันเคยเห็นก็คงเป็นจ้าวทะเลบูรพาแห่งเกาะหยิงโจว

จ้าวทะเลบูรพาเป็นเซียนเทพปฐพี่ขั้นสูงสุด แม้จะเป็นในยามที่กระแสปราณเฟื่องฟูก็ยังนับว่าแข็งแกร่ง แต่จ้าวทะเลบูรพานั้นไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกันกับร่างแสงดาวเมื่อครู่เลย

ในบางแง่มุม อย่างเช่นค่ายกลสังหารที่จ้าวทะเลบูรพาทิ้งเอาไว้อาจจะแข็งแกร่งกว่าตราประทับของร่างแสงดาว แต่ถ้านับที่ความแข็งแกร่งส่วนตัวไม่รู้ว่าอย่างหลังนั้นแข็งแกร่งกว่าจ้าวทะเลบูรพามากเท่าไหร่ต่อเท่าไหร่

“ร่างแสงดาวนั้นน่าจะเป็นเจ้าของวิหารการสงคราม

ซูฉินคาดคิดในใจ

“จ้าวทะเลบูรพาเป็นจุดสูงสุดของขอบเขตเซียนเทพปฐพี่แล้วแต่ตราประทับที่เจ้าของวิหารการสงครามทิ้งไว้ยังคงมีอํานาจขนาดนั้นความแข็งแกร่งของเขาน่าจะสูงเกินกว่าจ้าวทะเลบูรพาเป็นแน่”

 

ซูฉินหรี่ตาลงเล็กน้อย

 

“นอกจากนี้เจ้าของวิหารการสงครามดูเหมือนจะรู้จักฝามือยูไลเสียด้วย?”

ความคิดของซูฉินผันผวน

 

ก่อนที่ร่างแสงดาวจะสลายหายไป เขาได้พูดอะไรไว้บางอย่างผู้สืบทอดขององค์ยูไล” และฝ่ามือยไลก็เป็นสิ่งที่กล่าวขานกันว่าเป็นวิชาที่สืบทอดมาจากองค์ยูไลโดยตรง

 

“เอาล่ะ”

 

“ตอนนี้คงไม่มีประโยชน์ที่จะคิดอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้”

 

สายตาของซูฉินหันกลับมาสนใจภาพเงาหนังสือโบราณที่อยู่เบี้องหน้าเขา

 

เมื่อแสงดาวทั้งหลายหายไป พวกมันก็ทิ้งหนังสือโบราณเล่มนี้

เอาไว้

ซูฉินสะบัดนิ้ว คลื่นแก่นแท้แห่งพลังพัดผ่านสสารของตัวเล่มของหนังสือโบราณลวงตานี้ไป

“แก่นแท้แห่งพลังไม่สามารถใช้ได้”

“อย่างนั้นก็ควรจะใช้จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์แล้ว”

ซูฉันค่อยๆ ปลดปล่อยจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ออกมา

รังสีจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์นี้เป็นเพียงเศษเสี้ยวส่วนน้อยของจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของซูฉิน เมื่อเกิดเหตุไม่คาดฝันใดขึ้น เขาสามารถละทิ้งมันไปได้ทุกเมื่อ ไม่ว่าเจ้าของวิหารการสงครามจะบรรจุอะไรเอาไว้ในหนังสือโบราณเล่มนี้ ซูฉินก็จะสามารถ หลีกเลี่ยงได้อย่างทันท่วงที

หวิ่ง!!

 

แม้จะเป็นเพียงเศษเสี้ยวจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ แต่ทุกสิ่งในหนังสือโบราณก็ถูกเปิดเผยออกมาในทันที

 

“ตัวข้ามีนามว่าโหวหยาน…”

 

หลังจากนั้นไม่นาน

 

ซูฉินก็ลืมตาขึ้นมาในทันที

สิ่งที่บันทึกไว้ในเงาหนังสือโบราณนี้คือข้อความที่เจ้าของวิหารการสงครามทิ้งเอาไว้

ตามที่กล่าวมานั้น เจ้าของวิหารการสงครามมีนามว่าโหวหยานและจุดประสงค์ในการสร้างวิหารการสงครามขึ้นมาก็เพื่อสืบทอดทายาทส่งต่อมรดกรอยแกะสลักสี่สิบเก้าส่วนบนกําแพงหิน

 

สําหรับที่มาของรอยแกะสลักสี่สิบเก้าส่วนนี้ เจ้าของวิหารการสงครามไม่ได้อธิบายเอาไว้ละเอียดนัก ซูฉินรู้เพียงว่ารอยแกะสลักสี่สิบเก้าส่วนนี้เป็นวัตถุประหลาดที่โหวหยานได้รับมาตอนที่เหาะสูงขึ้นไปยังท้องนภาก็พบสิ่งแปลกประหลาดนี้อยู่เหนือฟากฟ้า

อย่างไรเสีย โหวหยานไม่สามารถทําความเข้าใจรอยแกะสลักทั้งสี่สิบเก้าส่วนนี้ได้ด้วยตนเอง

 

แต่เขารู้ว่าการทําความเข้าใจภาพแกะสลักไม่ใช่เรื่องธรรมดามันอาจจะเป็นตัวแทนของมรดกอันทรงพลัง จากนั้นเขาจึงตั้งใจตั้งภาพแกะสลักนี้เอาไว้ด้านในวิหารการสงคราม และให้มันปรากฏนทุกๆ พันปีเพื่อให้อัจฉริยะรุ่นต่อๆ ไป สามารถเข้ามาศึกษารอยสลักสี่สิบเก้าส่วนแห่งนี้

 

เมื่อเข้าใจดังนี้ ซูฉินจึงมองไปที่กําแพงหินขนาดใหญ่ซึ่งตั้งอยู่ไม่ไกล

เห็นภาพแกะสลักหลายสิบภาพอยู่บนกําแพงหินอย่างไรก็ตามภาพแกะสลักทั้งนูนสูงนูนต่ําเหล่านี้ได้รับความเสียหายไปแล้วไม่ต้องพูดถึงว่าจะสามารถเข้าใจมันได้ แค่มองเห็นให้ชัดเจนยังเป็นปัญหาเลย

“น่าเสียดายจริง……”

ซูฉินส่ายหัวเล็กน้อย

เจ้าของวิหารการสงครามซ่อนรอยแกะสลักสี่สิบเก้าส่วนไว้ในวิหารการสงคราม หวังว่าจะส่งมอบต่อไป แต่เกรงว่าตัวเขาเองก็คงจะไม่คาดคิดว่ารอยแกะสลักเหล่านี้จะเสียหายเช่นนี้

 

“มันเป็นเพราะอะไรกันนะ…”

ซูฉินสัมผัสปลายคาง ครุ่นคิดอยู่ในใจ

รอยสลักสี่สิบเก้าส่วนนั้นซ่อนอยู่ในส่วนลึกของวิหารการสงครามตามหลักเหตุผลแล้ว สิ่งเหล่านี้ไม่น่าจะเสียหายได้เลย

 

“เป็นไปได้ไหมว่ากระแสปราณฉีที่เงียบงันจะทําให้วิหารการสงครามได้รับผลกระทบ และส่งผลให้ภาพแกะสลักนี้เสียหายไปด้วย?”

 

ความคิดของซูฉินเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว แต่ก็คิดความเป็นไปได้อย่างอื่นไม่ออก

เพราะหลังจากที่เมื่อครู่เขาได้รับข้อมูลมาจากหนังสือโบราณลวงตาที่เจ้าของวิหารการสงครามทิ้งเอาไว้ ซูฉินก็ได้รู้แล้วว่าวิหารการสงครามไม่ได้ถูกซ่อนไว้ยังมิติอื่น แต่ซ่อนอยู่ในความว่างเปล่าบนโลกนี้

 

โดยพื้นฐานแล้ววิหารการสงครามนั้นก็ยังคงอยู่บนโลก เพียงแต่ไม่มีใครสามารถค้นหาได้พบเท่านั้นเอง

และเนื่องจากมันอยู่บนโลกมนุษย์ มันจึงได้รับผลกระทบจากกระแสปราณฉี หลังจากผ่านช่วงกระแสปราณฉีฟื้นฟูและช่วงเงียบงันมาหลายครั้ง แม้ว่าจะมีสิ่งที่โหวหยานสร้างไว้ป้องกันมากมายภายในวิหารการสงคราม แต่ก็เป็นไปไม่ได้ถ้าจะไม่ให้ได้รับความเสียหายเลย

โลกเกิดการเปลี่ยนแปลง ส่งผลต่อวิหารการสงครามและในที่สุดก็ส่งผลกระทบต่อไปยังรอยสลักสี่สิบเก้าส่วน…

 

สายตาของซูฉินกวาดไปทั่วทุกมุมของวิหารการสงครามอย่างต่อเนื่องเหตุผลที่เขาเดาเช่นนี้ไม่ได้มาจากการนึกคิดไปเองแต่นอกเหนือจากรอยสลักสี่สิบเก้าส่วนแล้ว ยังมีรอยร้าวในที่อื่นๆ ภายในวิหารการสงครามอีก โดยเฉพาะห้องโถงใหญ่ ราวกับมันถูกทุบตีอย่างรุนแรง

“ไม่ว่าภาพสลักจะเสียหายหรือไม่ก็แทบจะไม่ต่างกัน

“สําหรับข้าสิ่งล้ําค่าที่สุดในวิหารการสงครามแห่งนี้

 

ดวงตาของซูฉินลุกโชน มองไปที่วิหารการสงครามทั้งหมด

 

บางที่รอยสลักสี่สิบเก้าส่วนอาจจะเป็นตัวแทนของเคล็ดวิชาบางอย่างแต่แล้วอย่างไรเล่า? สิ่งที่ซูฉินมีอย่างไม่ขาดมือมากที่สุดก็คือเหล่าเคล็ดวิชาศักดิ์สิทธิ์ ไม่ว่าจะเป็น ฝ่ามือยูไล เคล็ดมารเก่าวิถีหรือแม้แต่ภาพสิบสองสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ สิ่งใดบ้างที่ไม่ใช่เคล็ดวิชาศักดิ์สิทธิ์อันน่าทิ้ง?

ส่วนรอยแกะสลักสี่สิบเก้าส่วนจะเป็นตัวแทนของเคล็ดวิชาที่แข็งแกร่งยิ่งกว่าเคล็ดวิชาวิเศษเหล่านั้นหรือไม่เล่า?

 

“วิหารการสงครามแห่งนี้เป็นสมบัติวิเศษที่เกี่ยวข้องกับพื้นที่มิ

 

ซูฉินพึมพํากับตนเองด้วยท่าทางดีอกดีใจ

 

ไม่ว่าจะเป็นจ้าวทะเลบูรพาบนเกาะหยิงโจว หรือเงาหนังสือโบราณที่เจ้าของวิหารการสงครามทิ้งไว้ล้วนกล่าวถึงสมบัติพื้นที่มี ติกันทั้งนั้น

 

สมบัติพื้นที่มิติใดๆ ก็ตามล้วนมีพื้นที่มิติภายใน สามารถเก็บสิ่งของเข้าไปได้ แม้ว่าคลังระบบของซูฉินจะสามารถเก็บของได้ที่กสิ่งแต่ข้อกําจัดของมันคือเก็บได้เพียงของรางวัลจากการลงชื่อเข้าใช้เท่านั้นซึ่งค่อนข้างไม่สะดวกสําหรับซูฉินเท่าไหร่

แต่สมบัติพื้นที่มิตินั้นต่างออกไปเมื่อซูฉินแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆเขาก็ยิ่งตระหนักได้ถึงความสําคัญของสมบัติพื้นที่มิติมากขึ้น ตัวอย่างเช่น เลือดและเนื้อของมังกรปีศาจด้านนอกวิหารการสงครามก่อนหน้านี้

หากซูฉินมีสมบัติพื้นที่มิติ เขาก็ไม่จําเป็นต้องกลั่นเลือดเนื้อมังกรในทันทีที่ต้องทําก็แค่โยนมันเข้าไปในสมบัติพื้นที่มิติ

 

Sign in Buddha’s palm 244 ฮือฮา

เมื่อซูฉินเข้าสู่วิหารการสงคราม และยอดปรมาจารย์ขั้นสูงสุดได้ออกจากยอดเขาคุนหลุนไปทุกสิ่งที่เกิดขึ้นบนเทือกเขาคุนหลุนก็ เหมือนกับคลื่นพายุพัดผ่าน แพร่กระจายไปทั่วโลก

 

“เจ้าได้ยินเรื่องนั้นมาหรือเปล่า?”

 

“จักรพรรดิมารร้ายที่สร้างความพินาศไปทั่วยุทธภพเมื่อเจ็ดสิบปีก่อนได้ตายไปแล้ว?”

“จักรพรรดิมารร้ายจะนับเป็นตัวอะไรกัน? ให้ข้าบอกให้เจ้าฟังยังมีผู้ทรงสมณศักดิ์แห่งวัดเส้าหลินได้ไปปรากฏตัวที่เทือกเขาคุนหลุนอีกด้วย”

“อะไรนะ? ไม่ใช่ว่าผู้ทรงสมณศักดิ์แห่งวัดเส้าหลินได้ข้ามน้ําข้ามทะเลไปแล้วหรอกหรือ เหตุไฉนจึงมาปรากฏตัวบนเทือกเขาคุนหลุนได้?”

 

“เฟยเฟย ความคิดของผู้ทรงสมณศักดิ์ ปุถุชนคนธรรมดาอย่างข้าจะไปกล้าคาดเดาได้อย่างไร?”

ภายในร้านอาหาร จอมยุทธหลายต่อหลายคนต่างพูดคุยกันทุกวันนี้กระแสปราณฉีที่ฟื้นฟูยิ่งชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ และสภาพแวดล้อมก็ทําให้การฝึกฝนนั้นง่ายขึ้น แม้ว่าจะยังไม่มีตํานานยุทธปรากฏขึ้นแต่จอมยุทธที่ระดับต่ํากว่าขอบเขตตํานานยุทธมีมากกว่าสิบปี ก่อนอย่างไม่รู้เท่าไหร่ต่อเท่าไหร่

ประกอบเข้ากับความจริงที่ว่าอาณาจักรถังได้ครอบครองทวีป ก่อตั้งสถานที่สอนวิทยายุทธขั้นพื้นฐานมากมาย ทําให้ผู้ฝึกยุทธระดับต่ํามีจํานวนเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว

แม้ว่าจะไม่ถึงขั้นที่ทุกคนเป็นจอมยุทธแต่จากคนธรรมดาสิบคนจะมีคนที่เป็นผู้ฝึกยุทธอยู่สามถึงสี่คนเป็นเรื่องปกติ

 

“ข่าวที่พวกเจ้ารู้มันล้าหลังจนเกินไปแล้ว”

“ผู้ทรงสมณศักดิ์แห่งวัดเส้าหลินไม่เพียงแต่ปรากฏตัวบนเขาคุนหลุนเท่านั้นแต่ยังฉีกร่างมังกรปีศาจจากวิหารการสงครามด้วยสองมือทรงพลังยิ่งใหญ่ประดุจทวยเทพไร้เทียมทานใต้ผืนฟ้า…”

ในเวลานั้นชายที่สวมใส่ชุดคลุมผ้า เห็นได้ชัดว่าเป็นคนของตระกูลใหญ่หรือสุดยอดพรรค ค่อยๆ กล่าวออกมาอย่างช้าๆ ใบหน้า เต็มไปด้วยอารมณ์ความรู้สึก

 

“วิหารการสงคราม?”

“มังกรปีศาจ?”

จอมยุทธทั้งหลายภายในร้านอาหารต่างมองหน้ากัน ดูไม่ค่อยรู้เรื่องรู้ราว

 

พวกเขารู้ว่าช่วงนี้มีข่าวลือเกี่ยวกับวิหารการสงครามมากมายและแม้แต่ศิษย์หน้าใหม่ที่เพิ่งเข้าสู่ยุทธภพก็เตรียมพร้อมที่จะออกเดินทางไปยังเทือกเขาคุนหลุน ต้องการเห็นการถือกําเนิดของวิหารการสงครามด้วยตาของพวกเขาเอง

แต่มังกรปีศาจ..

มังกรปีศาจที่คอยเฝ้าอยู่ภายในวิหารการสงครามนั้นเป็นความลับสุดยอดสําหรับจอมยุทธธรรมดา แม้จะเป็นขอบเขตสามระดับบนหากไม่มีเส้นสายก็เป็นไปไม่ได้ที่จะล่วงรู้

 

มีจอมยุทธเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่สีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อยและดวงตาของพวกเขาก็ฉายแววไม่เชื่อถือ

“มังกรปีศาจคืออะไร…” หลังจากนั้นไม่นาน ก็มีจอมยุทธอดใจไม่ได้ที่จะเอ่ยถามชายในชุดคลุมผ้า

 

“มังกรปีศาจ?”

 

ชายในชุดคลุมผ้าสายศีรษะ “ไม่มีใครรู้ที่มาของมังกรปีศาจรู้เพียงว่าครั้งแรกที่วิหารการสงครามถือกําเนิดขึ้นเมื่อแปดพันปีก่อนมังกรปีศาจก็อยู่ภายในวิหารการสงครามเรียบร้อยแล้ว บรรพบุรุษบางคนคาดการณ์ว่ามังกรปีศาจตนนี้อาจจะมีความเกี่ยวข้องกับสัตว์ศักดิ์สิทธิ์และมังกรที่แท้จริง ”

คําที่กล่าวออกมา

 

จอมยุทธในร้านอาหารต่างก็ตกใจ

มังกรแท้หรือมังกรไม่แท้ พวกเขานั้นล้วนไม่เข้าใจแต่ตามที่ชายในชุดคลุมผ้าได้กล่าวเอาไว้ มังกรปีศาจตนนี้อยู่มาตั้งแต่แปดพันปีก่อนจนถึงปัจจุบันนั่นก็เพียงพอที่จะทําให้ผู้คนสยองแล้ว แปดพันปีแปดพันปีเต็มๆ! ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่มังกรปีศาจนั้นเกี่ยวข้องกับสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ ถึงแม้จะเป็นหมูที่มีชีวิตอยู่มาแปดพันปีก็นับเป็น สิ่งมีชีวิตที่เหนือธรรมชาติแล้วไม่ใช่รี?

“แล้วความแข็งแกร่งของมังกรปีศาจตัวนี้”

จอมยุทธผู้นั้นถามอย่างระมัดระวัง

 

“มันเหนือกว่าตํานานยุทธทั่วๆ ไป” ชายในชุดคลุมผ้ากล่าวอย่างจริงจัง “เป็นคนในยุคหลายพันปีก่อนคาดเดาเอาไว้ว่าตํานานยุทธธรรมดาเมื่ออยู่ต่อหน้ามังกรปีศาจ เกรงว่าจะหนีไม่พ้น ถ้าไม่ใช่เพราะครั้งก่อนที่วิหารการสงครามปรากฏขึ้น มังกรปีศาจขี้เกียจจนแทบจะไม่ขยับตัวไปไหน ข้าเกรงว่าบัดนี้คงไม่มีใครกล้าเข้า ไปภายในวิหารการสงคราม”

“ในเมื่อมังกรปีศาจมีกําลังมากเช่นนั้น มันจะตกตายลงได้อย่างไร?” จอมยุทธบางคนเอ่ยถาม “อาจจะเป็นข้อมูลเท็จอันที่จริงผู้ทรงสมณศักดิ์แห่งวัดเส้าหลินไม่ได้สังหารมังกร?”

“ใช่ ใช่”

จอมยุทธหลายคนพยักหน้าเห็นด้วย

 

จากที่ชายในชุดคลุมผ้าพูดมา มังกรปีศาจนั้นสมบูรณ์แบบราวกับจะเป็นเทพแล้ว เกือบเทียบเท่าเหล่าเทพเซียนเสียด้วยซ้ํา ผู้ทรงสมณศักดิ์นั้นทรงพลังก็จริง แต่ไม่มีทางเกินขอบเขตตํานานยุทธจะสังหารมังกรปีศาจได้อย่างไร?

 

“ข้อมูลเท็จ?”

ใบหน้าของชายชุดคลุมผ้ามีแววถากถางวาบผ่าน “นี่เป็นข่าวที่บรรพบุรุษพรรคเฉินสิ่งของข้านํากลับมา”

 

“บรรพบุรุษพรรคเฉิงสิ่งของข้าท่องเดินทางไปทั่วโลก ท่านเป็นยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสูงสุดครั้งนี้ท่านได้ไปเทือกเขาคุนหลุนกับเพื่อนอีกสองสามคนและประสบเหตุการณ์นั้นด้วยตนเองยังจะเป็นข่าวเท็จได้อีกหรือ?”

 

ชายในชุดคลุมผ้าดูภูมิใจ

 

เมื่อจอมยุทธคนอื่นๆ ได้ยินเรื่องนี้ สีหน้าของพวกเขาก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย และสายตาที่จ้องมองไปยังชายในชุดคลุมผ้าก็กลายเป็นเคารพมากยิ่งขึ้น

ตอนแรกพวกเขาไม่ทราบว่าชายในชุดคลุมผ้านี้เป็นศิษย์ของพรรคเฉินสิ่ง

พรรคเฉินสิ่งเป็นสุดยอดพรรคที่สืบทอดความเป็นมานับพันปีมียอดฝีมือมากมาย และเมื่อไม่นานมานี้บรรพบุรุษของพรรคก็ได้ออกจากด่านฝึกตน เขาได้สําเร็จวิชาครั้งยิ่งใหญ่ ทรงพลังเป็นอย่างยิ่ง

 

เนื่องจากชายในชุดคลุมผ้าได้ข่าวมาจากบรรพบุรุษของเขาเรื่อง ต่างๆ ที่พูดมานั้นอาจจะเป็นจริง

“ข้าไม่เคยกล่าวว่ามังกรปีศาจนั้นไม่แข็งแกร่งจากที่ข้าได้ฟังมา แม้ว่าจะเป็นบรรพบุรุษพรรคเฉินสิ่งของข้าเองตัวตนของมังกรปี ศาจก็ไม่ได้ต่างไปจากเทพเซียน”

 

“มังกรปีศาจนั้นแข็งแกร่งจริงๆ เพียงแต่ผู้ทรงสมณศักดิ์แห่งวัดเส้าหลินนั้นแข็งแกร่งกว่า!”

 

เมื่อชายชุดคลุมผ้าพูดถึงตรงนี้เขาก็ไม่ได้พูดอะไรต่อที่ตัวเขาอธิบายออกมามากมายขนาดนี้ก็เพราะยามที่เขาได้ฟังข่าวมาตัวเขาก็ตกใจมากเช่นกัน เลยต้องปลดปล่อยมันออกมาบ้างเพื่อคลายอารมณ์อัดอั้นในใจ

เมื่อคํากล่าวของชายในชุดคลุมผ้าจบลง

 

จอมยุทธในร้านอาหารทั้งหมดก็เงียบกริบ โดยเฉพาะคําพูดสุดท้ายของชายในชุดคลุมผ้า

 

มังกรปีศาจนั้นแข็งแกร่ง แต่ผู้ทรงสมณศักดิ์แห่งวัดเส้าหลินนั้นแข็งแกร่งกว่า

มันทําให้จอมยุทธหลายคนตกใจอย่างบอกไม่ถูกราวกับกําลังฟัง เรื่องเล่าจากหนังสือตํานานสวรรค์

เวลาผ่านไปครู่ใหญ่ เหล่าจอมยุทธก็ทอดถอนหายใจออกมา“ในเมื่อผู้ทรงสมณศักดิ์แห่งวัดเส้าหลินสามารถสังหารมังกรปีศาจได้ก็คงจะไร้เทียมทานในใต้หล้านี้แล้วมิใช่หรือ?”

คําพูดนี้ทําให้จอมยุทธส่วนใหญ่พากันเห็นด้วยในทันที แต่จอมยุทธบางคนก็โต้กลับไปว่า “แน่นอนว่าผู้ทรงสมณศักดิ์จากวัดเส้าหลินนั้นแข็งแกร่ง แต่ตํานานยุทธเมืองฉางอันก็หาได้อ่อนแอไม่ยังเร็วเกินไปที่จะกล่าวว่าไร้เทียมทานในใต้หล้า”

 

“ใช่ ข้าก็คิดว่าตํานานยุทธเมืองฉางอันนั้นแข็งแกร่งกว่า”

 

“แต่ข้าก็ยังคิดว่าผู้ทรงสมณศักดิ์แห่งวัดเส้าหลินนั้นแข็งแกร่งกว่า เขาสามารถสังหารมังกรปีศาจได้ ตํานานยุทธเมืองฉางอันทําได้หรือไม่เล่า?”

“เจ้ายังไม่เคยเห็นตํานานยุทธเมืองฉางอันลงมือ เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าเขาทําไม่ได้?”

ทันใดนั้น จอมยุทธภายในร้านอาหารต่างก็โต้เถียงกันหน้าดําหน้าแดง ว่าตํานานยุทธเมืองฉางอันหรือผู้ทรงสมณศักดิ์แห่งวัดเส้าหลินใครแข็งแกร่งกว่ากัน

แม้ว่าตํานานยุทธเมืองฉางอันจะไม่เคยสังหารมังกรปีศาจ อย่างไรก็ตาม มีตํานานยุทธมากมายที่ตกตายภายใต้ฝีมือของเขาแม้ว่าเขาจะไม่เคยต่อสู้กับอรหันต์จากวัดเส้าหลิน แต่ก็ยังมีจอมยุทธหลายต่อหลายคนที่รู้สึกว่าตํานานยุทธเมืองฉางอันนั้นแข็งแกร่งกว่า

 

วัดเส้าหลิน

 

ยังมีโคมไฟสีฟ้าและพระพุทธรูปโบราณเก่าแก่

ระฆังทองแดงยังคงเปล่งเสียงดังเหง่งหง่างเหมือนเก่าก่อน

เจ้าอาวาสอุ่ยเหวินและหัวหน้าตําหนักต่างมาชุมนุมกันที่ลานธรรมใบหน้าของพวกเขาดีอกดีใจอย่างยิ่ง

 

“ผู้ทรงสมณศักดิ์ปรากฏตัวขึ้นงั้นหรือ?”

 

หัวหน้าตําหนักยุทธสงฆ์ยังคงใจร้อนเช่นเคย เป็นผู้เปิดประเด็นขึ้นมาด้วยใบหน้าเปี่ยมสุข

 

“มิผิด”

 

เจ้าอาวาสชุ่ยเหวินถึงกับหลั่งน้ําตาแห่งความปีติ ซูฉินไม่ได้เป็นเพียงผู้ทรงสมศักดิ์แห่งวัดเส้าหลินเท่านั้น ยังเป็นผู้อุปถัมภ์ค้ําชูวัดเส้าหลินอีกด้วย การปรากฏตัวของซูฉินบนเทือกเขาคุนหลุนนั้นเท่ากับเป็นการประกาศให้ทั่วโลกได้รู้ว่าเบื้องหลังอันแข็งแกร่งของวัดเส้าหลินยังคงอยู่

“ไปที่เทือกเขาคุนหลุนโดยพลัน ไปเข้าพบผู้ทรงสมณศักดิ์” จู่ๆหัวหน้าตําหนักยุทธสงฆ์ก็เหมือนจะคิดอะไรขึ้นมาได้โพล่งคําออกมาทันที

“รอก่อนๆ”

แต่เจ้าอาวาสอุ่ยเหวินได้หยุดเอาไว้ ส่ายหัวแล้วกล่าวว่า “ท่านผู้ทรงสมณศักดิ์จะต้องมีธุระบางอย่างภายในเทือกเขาคุนหลุนเป็นแน่ถ้าพวกเราไปรอ มันจะเป็นการรบกวนท่านมากเกินไปหากผู้ทรงสมณศักดิ์ตําหนิขึ้นมา ใครจะรับผิดชอบ?”

“จริงด้วย”

หัวหน้าตําหนักคนอื่นๆ ต่างพยักหน้าออกมาเล็กน้อย

 

ซูฉินไม่ทราบว่าโลกภายนอกกําลังตกใจกับการเคลื่อนไหวของเขาในการสังหารมังกรในครั้งนี้

ยามนี้ ซูฉันเดินเข้ามาในวิหารการสงครามอย่างไม่เร่งรีบ หยกหลายสิบชิ้นก็ลอยมาอยู่ตรงหน้าเขา

 

“หินหยกเหล่านี้กระจัดกระจายไปทั่วทุกหนทุกแห่งภายในวิหารการสงคราม และมีเคล็ดวิชาระดับตํานานยุทธอยู่ภายใน

ซูฉินเหลือบมองดูก้อนหยกเหล่านั้น คิดอยู่ภายในใจตนเองเงียบๆ

“นอกจากนี้ ผลตอบแทนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดก็คือ “โอสถจิตวิญญาณแรกกําเนิด” ที่ได้รับมาจากการลงชื่อเข้าใช้ภายในวิหารการสง

คราม…..”

จิตใจของซูฉินผสานเข้ากับพื้นที่ของระบบ มองดูเม็ดโอสถสีขาวขุ่น เป็นโอสถที่มีลักษณะไม่ชัดราวกับเป็นภาพลวงตา

 

เม็ดโอสถจิตวิญญาณแรกกําเนิดนี้ ดูราวกับไม่ใช่ของจริง ประกอบไปด้วยจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ที่อัดแน่น ดูน่าทิ้งอย่างยิ่ง

 

“โอสถจิตวิญญาณแรกกําเนิด…”

ซูฉินถอนหายใจเบาๆ ดวงตาของเขาสว่างวาบ

ตามบันทึกของจ้าวทะเลบูรพาบนเกาะหยิงโจว ตํานานยุทธขั้นสูงสุดที่ต้องการจะก้าวเข้าสู่ขอบเขตเชียนเทพปฐพี นอกเหนือจากการควบแน่นอาณาเขตขนาดเล็กแล้ว ยังต้องแปรเปลี่ยนจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ให้กลายเป็นจิตวิญญาณแรกกําเนิดอีกด้วย

การเปลี่ยนแปลงจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ให้กลายเป็นจิตวิญญาณแรกกําเนิดนั้นเป็นสิ่งที่อันตรายอย่างยิ่ง ความประมาทเพียงเล็กน้อยอาจจะทําให้จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์เสียหาย ไม่ต้องพูดถึงการเข้าสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพี แค่รักษาสภาพปัจจุบันให้คงอยู่ได้โดยไม่ตกตายไปเสียก่อนนั้นก็เป็นปัญหาใหญ่แล้ว

แต่โอสถจิตวิญญาณแรกกําเนิดสามารถเร่งเวลา และช่วยให้ก้าวผ่านขั้นตอนนี้ไปได้

“ข้าไม่คิดเลยว่าจะได้โอสถจิตวิญญาณแรกกําเนิดมาจากการลงชื่อเข้าใช้!”

 

ซูฉินดูยินดีและพึงพอใจเป็นอย่างมาก

โอสถวิเศษอย่างโอสถจิตวิญญาณแรกกําเนิดนั้นได้สูญหายไปนานมากแล้วแม้จะเป็นในต่างดินแดนก็ตามที

แม้จะเป็นนิกายใหญ่ที่เชี่ยวชาญในด้านการปรุงกลั่นโอสถก็ทําได้เพียงเก็บรักษาเศษเสี้ยวของสูตรตํารับโอสถจิตวิญญาณแรกกําเนิดเท่านั้นซึ่งแตกต่างห่างไกลจากตํารับการปรุงโอสถที่แท้จริงไปนับแสนนับหมื่นลี้

 

“อย่างไรก็ตาม ตามบันทึกของจ้าวทะเลบูรพา ก่อนที่ทํานานยุทธจะก้าวเข้าสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพี ยิ่งสะสมพลังจิตวิญญาณแรกกําเนิดได้มากเท่าไหร่ก็ยิ่งดี ด้วยวิธีเช่นนี้ เมื่อก้าวเข้าสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพีก็ยิ่งจะได้รับประโยชน์ไปอีกมากโข”

จิตใจของซูฉินผสานเข้ากับพื้นที่ของระบบ สัมผัสกับโอสถจิตวิญญาณแรกกําเนิดอย่างระมัดระวัง ใคร่ครวญกับมันอยู่แบบนั้น

โอสถจิตวิญญาณแรกกําเนิดสามารถช่วยเปลี่ยนจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของซูฉินให้กลายเป็นจิตวิญญาณแรกกําเนิดได้ในเวลาอันสั้นแต่หากเขาต้องการจะสร้างจิตวิญญาณแรกกําเนิดที่ทรง พลังอย่างแท้จริงเห็นได้ชัดว่าโอสถจิตวิญญาณแรกกําเนิดเพียงเม็ด เดียวไม่เพียงพอ

“ตอนนี้ยังไม่ต้องรีบร้อน”

“อย่างไรเสียนี่ก็เป็นเพียงแค่วันแรก เต๋าสะสม ในวิหารการสงครามแห่งนี้สะสมมานับหมื่นปี อาจจะไม่ถึงขั้นต้องลงชื่อเข้าใช้ได้หลายพันหลายหมื่นครั้ง แต่อย่างน้อยก็ต้องลงชื่อเข้าใช้ได้หลายร้อยครั้งอย่างไม่มีปัญหาใดๆ”

“บางทีข้าอาจจะสามารถได้รับโอสถจิตวิญญาณแรกกําเนิดจากการลงชื่อเข้าใช้เพิ่มเติมในภายหลัง”

ซูฉินพยักหน้าเล็กน้อยและเดินต่อไปด้านหน้าอย่างช้าๆ

 

“ที่นี่น่าจะเป็นสถานที่ที่มังกรปีศาจเคยหลับใหลใช่หรือไม่?” ซูฉินหยุดฝีเท้าลงกะทันหัน และมองไปยังทางเดินหุบเขาเบื้องหน้าหุบเขาแห่งนี้มีกลิ่นอายของมังกรปีศาจอยู่จางๆ

“ด้านหลังนี้ควรจะเป็นส่วนลึกของวิหารการสงครามความลับที่แท้จริงของวิหารการสงครามอาจจะซ่อนอยู่ภายในนี้”

ซูฉันมองไกลเข้าไปในหุบเขาอย่างสบายๆ

ตั้งแต่ที่ซูฉินเข้ามาในวิหารการสงครามจนถึงตอนนี้เขาได้เดิน เล่นไปรอบๆ ซึ่งเป็นที่ที่จอมยุทธทุกยุคทุกสมัยที่เข้ามาภายในวิหา รการสงครามล้วนผ่านมาแล้วทั้งนั้น แต่ด้านหลังหุบเขานี้มันคือส่วนลึกของวิหารการสงคราม

“ไม่มีปราณฉีของสิ่งมีชีวิตใดๆ เลยงั้นหรือ?”

 

ซูฉินเบิกเนตรดวงตาแห่งสัจจะ และใช้วิชาปราณฉีฟ้ากําหนดเพื่อใช้ในการตรวจสอบส่วนลึกของวิหารการสงครามซึ่งเต็มไปด้วยหมอกหนาทึบ

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าซูฉินจะไม่รู้ว่าส่วนลึกของวิหารการสงครามนั้นมีอะไร แต่เขามั่นใจว่าไม่มีสิ่งมีชีวิตใดอยู่ภายในไม่เช่นนั้นมันคงไม่อาจหลบรอดจากดวงตาแห่งสัจจะไปได้

“ข้าต้องรู้ให้ได้ว่ามีความลับอะไรซ่อนอยู่ในวิหารการสงคราม”

 

ซูฉินครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงก้าวเท้าเดินเข้าไปยังส่วนลึกของวิหารการสงคราม

 

Sign in Buddha’s palm 243 เข้าสู่ระบบ! โอสถจิตวิญญาณแรกกําเนิด!

มังกรปีศาจตายลงแล้ว

 

หลังจากที่ร่างมังกรขนาดมหึมาได้ถูกฉีกออกโดยซูฉินร่างจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ที่เป็นเงาสลัวๆ ก็ปรากฏขึ้น มันต้องการจะรีบกลับเข้าไปยังวิหารการสงครามแต่ซูฉินที่เตรียมพร้อมมาตั้งนานแล้ว สามารถหยุดเอาไว้ได้ทัน และทั้งรูปร่างและพลังงานของจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ล้วนถูกทําลายเป็นเถ้าถ่านอย่างสมบูรณ์

 

มังกรปีศาจนั้นแข็งแกร่งมาก

แม้ว่าพลังชีวิตจะลดลงและใกล้สิ้นอายุขัย แต่ตํานานยุทธทั่วไปก็ไม่มีความสามารถที่จะต้านทานได้เลยเมื่อต้องอยู่ต่อหน้ามังกรปีศาจหากไม่ได้มีกฎของวิหารการสงคราม เกรงว่าสิ่งมีชีวิตทั่วทั้งทวีปคงจะถูกมันสังหารจนสิ้น

 

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในช่วงสุดท้ายที่มังกรปีศาจระเบิดพลังชีวิตและเลือดเนื้อออกมา พลังต่อสู้ที่แสดงออกมานั้นก็ได้ไปถึงระดับภาชั้นที่เก้าของขอบเขตตํานานยุทธแล้ว มันทั้งดุร้ายและทรงพลังในยุคที่กระแสปราณฉีเงียบงันเช่นนี้ มันคือผู้ไร้เทียมทานในโลกใบนี้อย่างแน่แท้

น่าเสียดาย

ที่มังกรปีศาจได้มาพบซูฉิน

ร่างกายของซูฉินเกือบจะเสร็จสิ้นการแปรสภาพครั้งที่หกแล้วและหากเทียบแค่กายเนื้อเพียงอย่างเดียวแน่นอนว่าแม้แต่เซียนเทพปฐพีธรรมดาๆ ก็ไม่ได้แข็งแกร่งเท่าซูฉิน

แม้ว่ามังกรปีศาจจะมีสายเลือดของสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ แต่ซูฉินเองก็ฝึกฝนดวงตะวันขนาดมหึมาจนถึงระดับเริ่มต้นด้วยเช่นกันกลิ่นอายสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ของซูฉินนั้นแข็งแกร่งยิ่งกว่ามังกรปีศาจเสียอีก

นอกจากนี้ พลังชีวิตและเลือดเนื้อของมังกรปีศาจนั้นเสื่อมโทรมลงมากแล้ว แม้ว่าจะกระตุ้นพลังออกมาจนถึงขีดสุด แต่ก็ยังห่างไกลจากความสามารถที่จะบดขยี้ซูฉินได้ในท้ายที่สุด ซูฉินก็ได้ใช้วิชาอันไร้เทียมทานนับร้อยนับพันวิชาหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวจากนั้นจึงหนุนเสริมด้วยพลังจากดวงตะวันขนาดมหึมาเพื่อสังหารมัน

ในความเป็นจริง

หากมังกรปีศาจยังไม่ตาย ซูฉินก็อยากจะลองใช้ฝ่ามือยไลดูเสียจริงๆ หลังจากผ่านมาหลายสิบปีในการทําความเข้าใจรูปแบบที่หนึ่งของฝ่ามือยไล เพียงตัวตถาคตประเสริฐสุด” จนเชี่ยวชาญถี่ถ้วน เมื่อใช้ออก ท้องฟ้าและผืนดินจะปกคลุมไปด้วยแสงแห่งองค์ยูไลปกครองทุกสิ่งเพียงตัว” ข้าวเพียงผู้เดียว

สิ่งนี้กล่าวได้ว่าเป็นเคล็ดวิชาที่แข็งแกร่งที่สุดที่สืบทอดต่อมาจากองค์ยูไลแม้แต่ซูฉินเองก็ไม่ทราบว่าขีดจํากัดพลังของมันจะไปหยุดอยู่ที่ใด

 

“แต่เลือดและเนื้อหนังของมังกรสามารถเก็บเอาไว้ได้”

ซูฉินแตะปลายคาง ใบหน้าของเขาครุ่นคิด

 

และขณะที่ซูฉันคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่

ทุกคนในที่แห่งนี้ต่างจ้องมองที่เกิดเหตุด้วยความประหลาดใจ

“มังกรปีศาจ.ตายแล้ว?”

 

หญิงชราที่ถือไม้เท้ากลืนน้ําลายดังเอื้อก แหงนหน้ามองซูฉินที่ยืนอยู่บนอากาศ คลื่นพายุลูกใหญ่ก็โหมกระหน่ําอยู่ในใจ!

นั่นคือมังกรปีศาจเชียวนะ!

ตั้งแต่วิหารการสงครามกําเนิดขึ้นครั้งแรก มังกรปีศาจตนนี้ก็มีตัวตนอยู่มาตั้งแต่สมัยโบราณจนถึงยุคปัจจุบัน ไม่รู้ว่าผ่านเวลามานานเท่าไหร่ มันเป็นสัตว์อสูรที่แข็งแกร่งแซงหน้าตัวตนในขอบเขตตํานานยุทธไปแล้ว แต่ตัวตนดังกล่าวกลับตายไปแล้วจริงๆ งั้นหรือ?

 

การตายก็ส่วนหนึ่ง แต่สิ่งที่สําคัญที่สุดคือมันทําไม่ได้แม้แต่จะต่อสู้ กลับถูกฉีกกระชากจนเลือดมังกรสาดกระจาย?!!

 

บนยอดเขาคุนหลุน ยอดปรมาจารย์ขั้นสูงสุดบางคนที่มีความคิดเป็นอื่นเมื่อพวกเขาได้เห็นฉากนี้ต่อหน้าต่อตาตนเองมือและเท้าก็เย็นเยียบเหมือนกับกําลังจมดิ่งลงไปในเหวลึก

เมื่อตอนที่มังกรปีศาจปรากฏตัวขึ้น พวกมันไม่ได้แปลกใจเลยมีแต่ดีใจกันทั้งนั้น

 

ถ้าไม่มีมังกรปีศาจ วลีที่ซูฉินกล่าวว่า “วิหารการสงครามนี้ยกให้แก่ข้า” นั้นคงจะไม่มีใครต่อต้านได้

แต่มังกรปีศาจทําให้ผู้คนในที่แห่งนี้มีโอกาส

ยอดปรมาจารย์ขั้นสูงสุดบางส่วนไม่ได้คิดจะให้มังกรปีศาจสังหารซูฉิน แต่อย่างน้อยก็สามารถลากถ่วงซูฉิน หรือต่อสู้กับซูฉินอย่างรุนแรงจนบาดเจ็บทั้งสองฝ่าย

 

ด้วยวิธีนี้ ซูฉินจะไม่สามารถรั้งพวกเขาไม่ให้เขาไปภายในวิหารการสงครามได้ และภายในวิหารการสงคราม เมื่อสูญเสียมังกรปีศาจที่คอยปกป้องมันเอาไว้โอกาสที่จะได้เข้าไปภายในส่วนลึกของวิหารก็จะตกเป็นของพวกเขา เป็นเรื่องที่ดีที่สุดในโลกเลยที่ เดียว

และในขณะที่ทุกคนยังตกใจอยู่นั้น

ซูฉินก็เริ่มเก็บเลือดมังกรเนื้อมังกรที่กระจายอยู่บนพื้น

มังกรปีศาจภายในวิหารการสงคราม หรือจะเรียกให้ถูก มันไม่ได้เป็นแม้แต่มังกรน้ํา พูดได้แค่ว่ามีแค่เศษเสี้ยวของมังกรที่แท้จริงอยู่เท่านั้นด้วยอิทธิพลของปราณมังกรนี้จึงทําให้มังกรปีศาจสามารถมีชีวิตอยู่ภายในวิหารการสงครามมาได้จนถึงปัจจุบัน

ควรรู้ว่าแม้แต่อายุขัยของสัตว์อสูรก็ยังมากเกินกว่าอายุขัยของมนุษย์ นับประสาอะไรกับมังกรปีศาจ

อย่างไรก็ตาม เมื่อเทียบกับเผ่าพันธุ์มนุษย์ การฝึกฝนบ่มเพาะของเผ่าพันธุ์อื่นนั้นเชื่องช้ากว่ามาก อัจฉริยะของเผ่าพันธุ์มนุษย์อาจจะขึ้นไปแตะขอบเขตเซียนเทพปฐพี่ได้ในเวลาหลายร้อยปี แต่สําหรับเผ่าพันธุ์สัตว์อสูร หากต้องการจะไปถึงขอบเขตเดียวกันอาจจะใช้เวลามากกว่าพันปี

“ถ้าซึมซับเลือดและเนื้อมังกรทั้งหมดเข้าไป ร่างกายของข้าอาจจะเข้าสู่การแปรสภาพครั้งที่หกก็เป็นได้”

 

ความคิดของซูฉินผันผวน

ตอนนี้ร่างกายของเขาเกือบจะเสร็จสิ้นการแปรสภาพครั้งที่หกแล้วหากได้อาบด้วยเลือดมังกรอาจจะก้าวหน้าไปอีกขั้นและทําให้การแปรสภาพร่างกายครั้งที่หกเสร็จสมบูรณ์

แน่นอนว่านี่เป็นเพราะว่าระดับของมังกรปีศาจภายในวิหารการสงครามนั้นไม่สูง รวมกับเรื่องที่พลังชีวิตและเลือดเนื้อของมันเสี่อมโทรมลงมากแล้ว แก่นแท้และสายเลือดมังกรก็มีอยู่อย่างจํากัดซึ่งแน่นอนว่าเป็นประโยชน์กับซูฉิน แต่ก็ไม่ได้ถึงขนาดทําให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่

 

ไม่เช่นนั้น หากเป็นมังกรปีศาจในสมัยก่อน หรือเป็นเพียงมังกรน้ําที่แท้จริง ซูฉินจะได้ประโยชน์จากมันอย่างมากอาจจะไม่ถึงขั้นสําเร็จการแปรสภาพร่างกายครั้งที่เจ็ด แต่อย่างน้อยก็สามารถก้าวเข้าสู่การแปรสภาพร่างกายครั้งที่เจ็ดได้

“เลือดและเนื้อมังกรนี้มีปริมาณมากเกินไป”

 

ซูฉินขมวดคิ้วเล็กน้อยขณะที่ครอบคลุมพื้นที่ทั่วเขาคุนหลุนด้วยอาณาเขตของเขา

ร่างของมังกรปีศาจนั้นยาวหลายร้อยเมตร บดบังท้องฟ้าและดวงอาทิตย์ แค่เลือดของมันอย่างน้อยก็หนักร่วมหมื่นชั่งแล้ว

เมื่อรวมเข้ากับร่างของมังกรปีศาจแล้ว เกรงว่ามันจะมีขนาดใหญ่เท่าเนินเขาสักลูกหนึ่ง

แม้ว่าน้ําหนักจะไม่เป็นปัญหาอะไรนักสําหรับซูฉิน แต่ก็ลําบากมากที่จะพกมันติดตัวไปไหนมาไหน

ส่วนพื้นที่ระบบของซูฉิน

 

พื้นที่ของระบบรองรับเพียงแค่สมบัติที่ได้รับจากการลงชื่อเข้าใช้เท่านั้นส่วนสิ่งของอื่นๆ ไม่สามารถเก็บเข้าไปได้

“กลั่นมันตรงนี้เลยแล้วกัน”

“กลั่นสิ่งเจือปนในเลือดและเนื้อมังกรทิ้งไป”

ในที่สุดซูฉินก็ตัดสินใจได้

ในเวลาต่อมา

จิตใจของซูฉินขยับวูบ เลือดและเนื้อของมังกรที่กระจายอยู่ภายในอาณาเขตก็ค่อยๆ เริ่มพุ่งเข้าหากันอย่างช้าๆ

ในขณะนั้น กลุ่มก้อนเปลวไฟก็ลุกโชนขึ้นเบื้องหน้าของซูฉิน

 

กลุ่มเปลวไฟนี้เป็นไฟศักดิ์สิทธิ์เก้าดวงจากเคล็ดเก้าสุริยันนอกจากนี้เมื่อซูฉินฝึกฝนภาพดวงตะวันขนาดมหึมาทําให้มีกลิ่นอายของอีกาทองคําสามขาอยู่จางๆ มันทําให้พลังของเคล็ดก้าวสุริยันฟูงสูงขึ้นไปอีกหลายระดับ การกลั่นเลือดเนื้อของมังกรปีศาจจึงทําได้อย่างสมบูรณ์แบบในคราวเดียว

 

ฟูวววว

 

เลือดเนื้อมังกรปริมาณมหาศาลถูกไฟศักดิ์สิทธิ์เก้าสุริยันแผดเผาเลือดมังกรสีดําก็ลดปริมาณลงอย่างต่อเนื่อง

 

เมื่อยอดปรมาจารย์ขั้นสูงสุดคนอื่นๆ ได้มองเห็นสิ่งนี้จากในระยะไกลพวกเขาก็รู้สึกตกใจกันอย่างล้นหลาม

ซูฉินไม่เพียงแต่ฉีกทิ้งมังกรปีศาจอย่างกะทันหัน แต่ยังกลั่นเลือดเนื้อมังกรด้วยมือของเขาเอง

รู้หรือไม่ว่าแม้มังกรปีศาจจะตายไปแล้ว แต่ก็ยังมีไอพลังอันน่าสะพรึงกลัวอยู่ภายในเลือดและเนื้อ แม้ว่าตํานานยุทธโดยทั่วไปจะสามารถกลั่นมันได้แต่ก็ต้องใช้เวลาหลายสิบปีกว่าจะสําเร็จ

 

แต่ซูฉินใช้เปลวไฟเพื่อกลั่นเลือดมังกรโดยตรงเป็นวิธีที่หยาบเหลื่อคณา

หวง!

เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว

หลังจากนั้นครึ่งชั่วโมง

 

เลือดมังกรนับหมื่นชั่ง เมื่อถูกเผาด้วยเคล็ดเก้าสุริยัน พวกมันก็ลดลงจนเหลือเพียงแค่เก้าหยด

เลือดมังกรทั้งเก้าหยดนี้สีดําสนิทราวกับน้ําหมึก และดูเหมือนจะมีภาพเงาของมังกรคํารามก้องอยู่ภายใน

“ไม่เลว”

ซูฉินพยักหน้าเล็กน้อย หน้าตาดูพึงพอใจ

เลือดมังกรทั้งเก้าหยดนี้เป็นสิ่งที่มีค่าที่สุดเมื่อนับจากทั่วทั้งร่างของมังกรปีศาจความยาวกว่าหลายร้อยเมตร

ที่ยิ่งกว่านั้น ไอพลังอันน่าสยดสยองภายในเลือดมังกรได้ถูกซูฉันกําจัดไปหมดสิ้น หากคนธรรมดาได้ดูดกลืนเข้าไปก็สามารถกําเนิดใหม่ได้อย่างแน่นอน ร่างกายจะแข็งแกร่งกว่าคนที่อยู่ในระดับเดียวกันอย่างมาก เพียงกายเนื้ออย่างเดียวอาจจะสามารถสั่นสะเทือนตํานานยุทธได้เลย

ซูฉินมองเลือดทั้งเก้าหยดนั้น แล้วจึงหยิบขวดหยกออกมาใส่เลือดทั้งหมดลงไป และเหน็บไว้ข้างตัว หลังจากเขาพร้อมที่จะกลับเมืองฉางอันเขาจะนําเลือดมังกรนี้มาใช้เพื่อแปรสภาพร่างกายครั้งที่หกจนเสร็จสมบูรณ์

 

หลังจากที่ทุกสิ่งเรียบร้อยสมบูรณ์ ซูฉินก็เหลือบมองเฉียนขู่และหลีหว่านจากนั้นจึงพูดอย่างเป็นกันเอง “ข้าจะเข้าไปสํารวจภายในวิหารการสงครามสักหน่อย ภายในสิบวันถ้ายังไม่ออกมาพวกเจ้าก็กลับกันเองได้เลย”

“ขอรับ”

 

เฉียนขู่และหลีหว่านมองหน้ากันและตอบรับทันที

 

“ส่วนพวกเจ้า?”

 

ซูฉินเหลือบมองยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสูงสุดทั้งหลาย แล้วจึงพูดด้วยน้ําเสียงสบายๆ ว่า “พวกเจ้าทุกคนจงกลับไป

เถิด”

“ขอรับ”

 

“ท่านผู้ทรงสมณศักดิ์”

ยอดปรมาจารย์ขั้นสูงสุดทุกคนโค้งคํานับและกล่าวคําจากนั้นจึงค่อยๆ ทยอยออกจากเขาคุนหลุนภายใต้การจ้องมองของซูฉิน

“ก่อตั้ง!”

 

ซูฉินมองไปรอบๆ และค่ายกลฟ้าดินขนาดใหญ่ก็ก่อตัวขึ้นล้อมรอบเทือกเขาคุนหลุนทั้งหมด ค่ายกลฟ้าดินขนาดใหญ่นี้ไม่ใช่ค่ายกลสังหารเป็นเพียงค่ายกลที่พอจะหยุดจอมยุทธทุกคนที่มีระดับอยู่ต่ํากว่าตํานานยุทธระดับนภาชั้นที่สี่ และแม้แต่ตํานานยุทธในระดับนภาชั้นที่หกถึงเจ็ดก็ยังต้องติดกับอยู่ชั่วขณะหากต้องการบุกรุก เข้ามา

นอกจากนี้ เมื่อสัมผัสเข้ากับค่ายกลขนาดใหญ่นี้ แม้ว่าซูฉินจะอยู่ภายในวิหารการสงคราม เขาก็จะรู้ตัวเป็นคนแรก

“ขั้นต่อไป”

 

“ก็ได้เวลาเข้าสู่วิหารการสงครามแล้ว…”

ซูฉันค่อยๆ เงยหน้าขึ้น มองไปยังวิหารการสงคราม

ตอนนี้มังกรปีศาจที่คอยปกป้องวิหารการสงครามได้ตกตายภายใต้ฝีมือของซูฉินไปแล้ว ภายในวิหารการสงครามจึงไม่ควรจะมีสิ่งใดที่มาขวางทางซูฉินได้

 

เมื่อคิดได้ดังนี้ ซูฉินก็ก้าวเท้าไปด้านหน้าและปรากฏตัวขึ้นเบื้องหน้าวิหารการสงคราม จากนั้นจึงก้าวเดินอีกหนึ่งก้าวเพื่อเข้าสู่วิ

หาร

ภายในวิหารการสงคราม

แผ่นฟ้าสูง ผืนแผ่นดินกว้างใหญ่ พลังปราณและจิตใจแห่งฟ้าดินมีมากกว่าผืนแผ่นดินใหญ่และไม่อ่อนแอไปกว่าบนเกาะหยิงโจว

 

สายตาของซูฉินกวาดไปทั่วทุกมุม มีดอกไม้และพืชพันธุ์แปลกๆที่ไม่ได้มีอยู่ในโลกภายนอกขึ้นอยู่เต็มไปหมด ด้านบนของห้องโถงมีภาพแกะสลักของดวงดาวในดาราจักรอยู่ทั่วเพดาน

 

“เต็มไปด้วยปราณฉี มีจิตใจแห่งฟ้าดินอยู่ทุกส่วน แต่วิหารการสงครามก็ไม่น่าจะเป็นที่หมายตาของตัวตนในระดับเซียนเทพปฐพ่อยู่ดีไม่ใช่หรือ?”

ซูฉันค่อยๆ ปลดปล่อยจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของเขาออกไปทั่วบริเวณ

นักพรตเฒ่าเคยกล่าวเอาไว้ว่าในช่วงสุดท้ายของยุคเฟื่องฟูกระแสปราณฉีเซียนเทพปฐพี่หลายคนหมายตาวิหารการสงครามเอาไว้แต่สุดท้ายพวกเขาก็ถูกโยนออกมาด้วยสภาพทุเรศทุรัง

 

สําหรับเซียนเทพปฐพี พลังงานและจิตใจแห่งฟ้าดินในที่แห่งนี้มันก็เป็นเพียงขนมขบเคี้ยวเท่านั้นตัวอย่างเช่นจ้าวทะเลบูรพาได้จัดตั้งค่ายกลฟ้าดินที่ทําให้เกาะหยิงโจวอยู่รอดได้ในช่วงเวลาที่กระแสปราณฉีเสื่อมโทรม

แม้ว่าจะต้องยกความดีความชอบให้กับน้ําพุจิตวิญญาณแต่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเมื่อพูดถึงขอบเขตเซียนเทพปฐพีสิ่งที่มีค่าที่สุดหาใช้ปราณฉีหรือจิตใจแห่งฟ้าดินไม่

“หม?”

ดูเหมือนซูฉินจะค้นพบอะไรบางอย่าง อาณาเขตถูกปลดปล่อยออกไปอย่างรวดเร็ว ในที่สุดหยกก้อนหนึ่งก็ปรากฏขึ้นต่อหน้าซูฉิน

“หยกที่ใช้บันทึกเคล็ดวิชา?”

จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของซูฉินเจาะทะลวงเข้าไป และพบว่ามีเทพวิชาระดับตํานานยุทธบรรจุไว้

 

“นี่น่าจะเป็นโอกาสอันยิ่งใหญ่ในสายตาของจอมยุทธจํานวนมากที่เข้ามาภายในวิหารการสงคราม”

 

ซูฉินคาดเดาในใจ

ด้วยเคล็ดวิชาระดับตํานานยุทธ ควบคู่ไปกับพลังปราณและจิตใจแห่งฟ้าดินในที่แห่งนี้ก็เพียงพอแล้ว ไม่น่าแปลกใจเลยว่าทําไมจอมยุทธจํานวนนับไม่ถ้วนจึงต้องการเข้ามาภายในนี้

“เอาล่ะ”

 

“ตอนนี้ข้าได้เข้ามาวิหารการสงครามเรียบร้อยแล้ว”

 

“น่าจะลงชื่อเข้าใช้ตรงนี้ได้เลยนะ”

 

ซูฉินหรี่ตาลงเล็กน้อย เงยหน้าขึ้น มองไปรอบๆ

“ระบบ ลงชื่อเข้าใช้!” ซูฉันคิดอยู่ภายในใจครู่หนึ่ง แล้วจึงพูดออกมาเบาๆ

 

[ขอแสดงความยินดี โฮสต์ลงชื่อเข้าใช้สําเร็จ ได้รับ โอสถจิตวิญญาณแรกกําเนิด*1]

 

ซูฉินเก็บคมมีดเทพเจ้าปีศาจกลับไป ก้าวย่างไปด้านหน้าลอยขึ้นบนอากาศเดินเข้าหามังกรปีศาจ

“อะไร?!”

 

เมื่อยอดปรมาจารย์ขั้นสูงสุดทั้งหลายได้เห็นฉากนี้ ดวงตาของพวกเขาก็เบิกกว้างอย่างไม่เชื่อสายตา

มังกรปีศาจเก่งกาจในด้านการต่อสู้ด้วยกําลังกายระยะประชิดหากซูฉันต้องการจัดการกับมังกรปีศาจวิธีที่ดีที่สุดคือการหลบหนีจากการปะทะของมัน และเฉือนมังกรปีศาจอย่างต่อเนื่องด้วยคมมีดในมือของเขา

 

แต่ตอนนี้ซูฉินกลับพุ่งตรงเข้าหามังกรปีศาจ

“กร้าซ!”

เมื่อมังกรปีศาจเห็นดังนั้น ดวงตาใหญ่ยักษ์ของมันก็ฉายแววตื่นเต้นออกมา ทีแรกมันลังเลที่จะเข้าใกล้ซูฉินแต่บัดนี้อีกฝ่ายกลับเสนอตัวเข้ามาหามันตรงๆ

 

หวิ่ง!!

 

ทั่วร่างอันใหญ่โตของมังกรปีศาจพลันระเบิดพลังชีวิตและเลือดเนื้อออกมาอย่างไร้ที่สิ้นสุด เงามังกรพาดผ่านไปถึงฟากฟ้า มันแหงนหน้าขึ้นมองท้องฟ้า คํารามก้องเปล่งรัศมีอันน่าสะพรึงกลัวออกมากดดันทั่วทุกพื้นที่บนเทือกเขาคุนหลุน

เวลาช่วงเวลานี้

 

ตั้งแต่บนยอดจนถึงตีนเขา สิ่งมีชีวิตทั้งหมดต่างรู้สึกอยากจะคุกเข่าลงกับพื้นราวกับถูกกดขี่ด้วยแก่นแท้แห่งพลังจนจิตใจของสิ่งมีชีวิตทั้งหลายล้วนว่างเปล่า

 

เห็นได้ชัดว่ามังกรปีศาจนั้นสิ้นหวังเต็มที่พลังงานชีวิตและเลือดเนื้อของมันเสื่อมถอยลงมากแล้ว แต่มันยังต้องกระตุ้นพลังของตนเองด้วยวิธีการเช่นนี้เท่ากับเป็นการมองหาความตาย อย่างไรก็ตาม ตราบใดที่มันสามารถดูดกลืนซูฉินเข้าไปได้ด้วยพลังอันมหาศาล ของซุฉินจะต้องทําให้มันได้รับสิ่งตอบแทนกลับมาอย่างแน่นอน

ไม่เพียงแต่จะสามารถมีชีวิตยืนยาวขึ้นได้อีกหลายร้อยหลายพันปีแต่ยังเป็นไปได้ที่จะสลัดพันธนาการของวิหารการสงครามและเรียกคืนอิสรภาพกลับมาได้

หลังจากผ่านเวลามาหลายหมื่นปี แม้แต่วิหารการสงครามก็ไม่สามารถคงอยู่ได้ตลอดไป และมันกําลังเสื่อมโทรมลงอย่างมากไม่เช่นนั้นมังกรปีศาจจะไม่สามารถออกมานอกวิหารการสงครามเช่น

นี้ได้

 

อย่างไรก็ตาม

เมื่อเผชิญกับฉากที่ยิ่งใหญ่เทียมฟ้า ท่าทีของซูฉินยังคงสงบนิ่งไม่แยแสเขาเพียงยกมือขวาขึ้นเบาๆ

“ตายเสีย”

ซูฉินค่อยๆ ยึดฝ่ามือออกมา

 

เมื่อฝามือกางออกจนสุด มีพลังของห้าหมัดเทพเจ้าสายฟ้าที่แข็งแกร่งผสานเข้ากับพลังสายพุทธอันยิ่งใหญ่ที่มีฤทธิ์ปราบพลังของมารปีศาจนอกจากนี้ยังมีพลังของคัมภีร์มารเก่าวิถีอันลึกซึ้งกว้าง ขวางในชั่วพริบตาก็มีเคล็ดวิชาอันยิ่งใหญ่ได้เปรียบอย่างน้อยก็หลายร้อยหลายพันวิชาถูกเผยออกมาจากฝ่ามือนี้ ซู ฉันเชี่ยวชาญเคล็ดวิชาอันทรงพลังเหล่านี้อย่างสมบูรณ์กระทั่งเหนือไปกว่าผู้ที่คิดค้นวิชา

สุดท้าย เคล็ดวิชาอันไร้ที่เปรียบหลายร้อยหลายพันชิ้นก็รวมกันเป็นหนึ่งเดียวผสานเข้ากับฝ่ามือของซูฉิน ประกอบกับกายเนื้อที่ ทรงพลังมหาศาลอาจกล่าวได้ว่าพละกําลังทั้งหมดกว่าครึ่งของซูฉินได้ทุ่มออกไปในคราวเดียว

หวิ่ง!!

พลังฝ่ามือของซูฉินนั้นหลอมรวมกันจนถึงขีดสุด คนนอกที่ได้เห็นก็จะคิดว่าเป็นเพียงฝ่ามือธรรมดา เมื่อเปรียบเทียบกับมังกรปีศาจที่กระตุ้นทั้งพลังชีวิตและเลือดเนื้อทั่วร่างจนเกิดเป็นภาพเงามังกรจางๆผ่ามือของซูฉินนั้นแลดูไม่โดดเด่นไปในทันที

อย่างไรก็ตาม

ช่วงเวลาต่อมา

ทั้งสองฝ่ายก็เข้าปะทะกัน

 

พลังอันน่าหวาดกลัวปะทุแผ่กระจายออกมาทันทีราวกับท้องฟ้าและผืนดินถูกฉีกออกเป็นชิ้นๆ คลื่นพลังจากจุดศูนย์กลางการปะทะระหว่างซูฉินและมังกรปีศาจก็แพร่กระจายออกไปทั่วทุก ทิศทาง

 

ฝามือของซูฉินหยุดนิ่ง พลังจากการรวมเคล็ดวิชาอันไร้เทียมทานนับร้อยนับพันได้ถูกเปิดเผยออกมาในเวลานี้ พลังของมันเพียงพอที่จะทําลายตํานานยุทธในระดับนภาชั้นที่แปดและสะเทือนขอบเขตตํานานยุทธระดับนภาชั้นที่เก้า

“ตูม!!”

ท่ามกลางสายตาอันตื่นตะลึงของทุกคน

ด้วยฝ่ามือของซูฉิน ร่างมังกรขนาดยักษ์เริ่มปริแตก เกิดเป็นบาดแผลอันน่ากลัวเกิดขึ้นเรื่อยๆ

หากไม่ใช่เพราะในช่วงวิกฤติ มีแสงจางๆ ปรากฏออกมาจากร่างของมังกรปีศาจ ปานนี้มันคงถูกฉีกออกเป็นชิ้นๆไปแล้ว

 

ผู้ชมต่างเงียบกริบ

ยอดปรมาจารย์ขั้นสูงสุดต่างตกตะลึง

ไม่มีใครคาดคิดว่าซูฉินจะน่ากลัวมากเพียงนี้ แม้แต่มังกรปีศาจที่คอยปกป้องวิหารการสงครามมาจนถึงทุกวันนี้ก็ไม่สามารถหยุดยั้ง

เขาได้

 

“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า!”

“ถึงอกถึงใจจริงๆ! มา มาลองอีกสักตั้ง!”

หลังจากที่ซูฉินฟาดฝ่ามือออกไป จิตวิญญาณการต่อสู้ภายในใจเขาก็เดือดพล่าน พลังชีวิตและเลือดเนื้อที่เทียบเทียมหรืออาจจะเหนือกว่ามังกรปีศาจปรากฏขึ้นและล้อมรอบทุกคนเอาไว้

 

ซูฉินก้าวเดินไปข้างหน้า ตรงเข้าหามังกรปีศาจ ยกมือขวาขึ้นอีกครั้งแล้วคว้าออกอย่างเชื่องช้า

“กร้าซ!!!”

มังกรปีศาจส่งเสียงครวญคร่ํา ในตอนนี้ทําไมมันจะไม่รู้ว่าตนไม่ใช่คู่ต่อสู้ของซูฉิน ไม่มีแม้แต่คุณสมบัติเพียงพอที่จะเข้าไปต่อสู้พัวพันด้วย

ในพริบตาหลังจากนั้น

มังกรปีศาจก็เปลี่ยนไปเป็นสายฟ้าสีดําอีกครั้ง และหนีไปยังวิหารการสงคราม ซูฉินน่ากลัวอย่างยิ่ง ถ้ายังอยู่ต่อ เกรงว่าตัวมันคงตกตายลงไปจริงๆ

 

“หนีแล้วงั้นหรือ?”

 

ซูฉินขมวดคิ้วเล็กน้อย ต้องบอกว่าความเร็วของมังกรปีศาจที่กลายเป็นสายฟ้าสีดํานั้นรวดเร็วมาก หากไม่ใช่เพราะอาณาเขตของซูฉินบางที่อาจจะตอบสนองไม่ทันก็เป็นได้

“จะหนีไปได้จริงๆ งั้นหรือ?”

 

ซูฉินเปล่งประกายเจิดจ้าราวกับเป็นดวงตะวันขนาดมหึมาพลังซ้อนทับกันจนในที่สุดดวงตะวันสีทองก็ควบแน่นออกมา และเป็นซูฉินที่ยืนอยู่ตรงกลางของดวงตะวัน มีอีกาทองคําสามขาโบยบินอยู่ภายในปลดปล่อยกลิ่นอายอันแข็งแกร่งแห่งอมตะนิรันดร์

ภายใต้การเสริมพลังของอีกาทองคําสามขานี้ ไอพลังของซูฉินก็เพิ่มขึ้นอย่างไม่รู้จบ และมือขวาที่ยื่นออกมาก็คว้าจับมังกรปีศาจไว้ได้อย่างง่ายดายจากนั้นจึงดึงมังกรปีศาจด้วยมือซ้ายฉีกมังกรปีศาจที่มีความยาวหลายร้อยเมตรออกเป็นสองส่วน

เลือดมังกรสีดําร่วงหล่นโปรยปรายลงจากฟากฟ้า

ไม่ว่ามังกรปีศาจจะดิ้นรนเพียงใด มันก็เปรียบเหมือนแผ่นกระดาษบางๆภายใต้น้ํามือของซูฉินที่สามารถฉีกมันให้ขาดออกจากกันได้อย่างง่ายดาย

ในปีที่เก้าของราชวงศ์ถังรัชสมัยปัจจุบันซูฉินได้ฉีกกระชากร่างของมังกรปีศาจบนยอดเขาคุนหลุน

เข้าสู่ระบบ “ฝ่ามือยูไล

Sign in Buddha’s palm 242 (1)

การสงคราม

 

ซูฉินยืนเอามือไพล่หลัง

ภายในระยะไม่กี่จ้างรอบกายของเขา เปลวไฟสีดําสนิทมารวมตัวกัน ค่อยๆเผาไหม้อย่างช้าๆ โค้งตัวเข้ามาราวกับดวงจันทร์

เปลวเพลิงจากปากของมังกรปีศาจที่สามารถเผาผลาญได้ทุกสิ่ง หลังจากที่เข้ามาใกล้ซูฉิน ไม่เพียงแต่จะไม่ทําร้ายเขา แต่ไฟนั้นยังหลุดพ้นออกจากการควบคุมของมังกรปีศาจอีกด้วย?

“นี่

ยอดปรมาจารย์ขั้นสูงสุดทุกคนต่างตกตะลึง มังกรปีศาจอยู่ภายในวิหารการสงครามมาอย่างน้อยก็หลายพันปี และในสายตาของพวกเขา มังกรปีศาจนั้นเหนือกว่าตํานานยุทธทั่วๆ ไปมาตั้งนมนานแล้ว แม้ว่าซูฉินจะสามารถป้องกันเปลวไฟที่มังกรปีศาจพ่นออกมาได้ เขาควรจะต้องใช้ทุกวิถีทางเพื่อต้านรับอย่างไม่อาจเลี่ยง และอาจจะถูกโจมตีเข้าอย่างจัง

 

แต่บัดนี้?

 

ซูฉินยังคงยืนอยู่ที่เดิม ไม่แม้แต่ขยับตัวไปไหน ก็ยังสามารถหยุดเปลวเพลิงของมังกรปีศาจไว้ภายในรัศมีไม่กี่จ้างรอบตัว นี่มันเป็นวิธีการเช่นไรกัน? ต้องมากความสามารถเพียงไหน?

“ผู้ทรงสมณศักดิ์”

 

เฉียนขู่ยังคงตกใจ เขาอยู่ใกล้กับซูฉินมากที่สุด สิ่งที่เขาได้เห็นนั้นชัดเจนกว่ายอดปรมาจารย์ขั้นสูงสุดคนอื่นๆ ในสายตาของเฉียนขู่ การกระทําของซูฉินไม่ได้ง่ายดายอย่างการป้องกันเปลวไฟมืดทะมึนนั้น แต่ยังเป็นการควบคุมเปลวไฟที่มาจากมังกรปีศาจ ซึ่งมันน่าเหลือเชื่ออย่างมาก

 

เมื่อเทียบกับคนอื่นๆที่ตกอกตกใจกันอยู่ ซูฉินดูสงบนิ่ง กวาดตามองไปยังเปลวไฟสีดําที่ลุกไหม้อยู่รอบๆร่างของเขาก่อนที่จะมองไปยังมังกรปีศาจอีกครั้ง

 

“น่าเสียดายจริง…”

“ภาพดวงตะวันขนาดมหึมาของข้าเพิ่งถึงจุดเริ่มต้นเท่านั้น อย่างมากก็ทําได้แค่สร้างผลกระทบต่อเปลวไฟเหล่านี้เท่านั้น ทําให้รับประกันได้แค่ว่าจะไม่ถูกทําร้าย”

ซูฉินคิดอยู่ภายในใจเงียบๆ

สุดท้ายแล้ววิชาภาพดวงตะวันขนาดมหึมาก็ช่วยเหลือซูฉินได้อย่างจํากัด แต่หากฝึกฝนจนถึงความสําเร็จระดับเล็ก ซูฉินจะสามารถควบคุมเปลวไฟบนโลกนี้ได้อย่างแท้จริง สามารถจุดระเบิดได้ตั้งแต่มังกรปีศาจยังไม่พ่นไฟออกมา ซึ่งน่ากลัวจนถึงขีดสุด

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าจะเป็นเพียงภาพดวงตะวันขนาดมหึมาระดับเริ่มต้น ก็ไม่ใช่สิ่งที่มังกรปีศาจจะจัดการได้ หากมังกรปีศาจต้องการสังหารซูฉินด้วยเปลวเพลิง มันก็เท่ากับพยายามจะทําให้ปลาจมน้ําตาย

“กร้าซ!”

 

แววตาของมังกรปีศาจดูประหลาดใจมากกับมนุษย์ที่อยู่ตรงหน้า ดูเหมือนมันจะสงสัยว่าทําไมเปลวไฟสีดําของมันจึงกลายเป็นเช่นนี้

 

ในเวลาต่อมา

มังกรปีศาจตัวนี้ยึดร่างของมันขึ้น เขาบนหัวของมันเหมือนกับดาบชี้ตรงขึ้นบนฟ้า กรงเล็กที่แหลมคมส่องประกายแวววับ เกล็ดสีดําสนิทมีความมันวาวราวกับโลหะ

 

แม้ว่าพลังชีวิตและเลือดเนื้อของมันจะสลายไปมากแล้ว แต่ปราณภายในร่างก็เหมือนกับภูเขาไฟที่เงียบสงบแต่อาจจะปะทุได้ทุกเมื่อ ซึ่งเป็นสิ่งที่ตํานานยุทธทั่วไปไม่สามารถต้านทานได้

 

บูม!

มังกรปีศาจโฉบออกมาด้านนอกวิหารการสงคราม ปราณของมันแทรกซึมไปทั่วชั้นบรรยากาศน่าสยดสยอง แผ่พุ่งเข้าหาซูฉิน แม้ว่ามังกรปีศาจจะไม่ใช่มังกรที่แท้จริง แต่สายเลือดที่ไหลเวียนอยู่ในตัวมันนั้นเกี่ยวพันกับมังกรที่แท้จริง ซึ่งมีศักยภาพมากจนน่าเหลือเชื่อ และทําให้ร่างกายของมันมีพลังมหาศาล

ด้วยเหตุนี้ แม้ว่าซูฉินจะป้องกันเปลวไฟสีดําที่มันพ่นออกมาได้ มังกรปีศาจก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรนัก เพราะมันยังไม่ได้ใช้วิธีการอื่นที่ทรงพลังยิ่งกว่า

 

ในเวลานี้ทุกคนก็ได้รับชมภาพสุดสะพรึง เห็นมังกรยาวหลายร้อยเมตร ลําตัวของมันราวกับสายฟ้าสีดําทมิฬที่พร้อมจะกวาดล้างทุกสิ่งบนโลก แม้แต่ชั้นบรรยากาศยังเริ่มบิดเบี้ยว

ส่วนซูฉินนั้น

เมื่อเทียบกับฉากอันยิ่งใหญ่อลังการนี้ ซูฉินนั้นไม่มีความโดดเด่น เป็นประหนึ่งเศษฝุ่น

“ผู้ทรงสมณศักดิ์”

 

ใบหน้าของเฉียนขู่แข็งเกร็ง เขาเต็มไปด้วยความกังวล

 

“ลุงสามนั้นไร้เทียมทาน” หลีหว่านที่อยู่ข้างๆ ไม่ได้กังวลแต่ประการใด แม้ว่านางจะกลัวมังกรปีศาจที่โฉบลงมา และใบหน้าของนางเองก็ขาวซีด แต่หลีหว่านมีความมั่นใจในตัวซูฉินอย่างเปี่ยมล้น

 

“วิ่ง!”

ยอดปรมาจารย์ขั้นสูงสุดหลายคนต่างมือเท้าอ่อนแรง เมื่อเทียบกับเปลวเพลิงสีดําเมื่อครู่ ในตอนนี้มังกรปีศาจพุ่งเข้าใส่ซูฉินด้วยตนเอง ร่างมังกรนั้นใหญ่จนบดบังท้องฟ้าและดวงอาทิตย์ พลังมันน่าตื่นตะลึงยิ่งกว่าเปลวเพลิงสีดํา

“ฝึบ!”

ซูฉินไม่พูดพร่ําทําเพลง ดึงมีดยาวรูปร่างแปลกๆคล้ายกับเคียว โค้งโก่งไปดั่งพระจันทร์เต็มดวง เขาหยิบมันออกมาจากคลังระบบ แล้วฟันไปทางมังกรปีศาจโดยไม่ลังเล

 

เพียว

ท้องฟ้าและผืนดิน แลดูเหมือนจะเปลี่ยนเป็นมหาสมุทรอันมืดมิด เพียงช่องว่างในอากาศเสี้ยวหนึ่งเท่านั้นก็สามารถปิดกั้นแสงทั้งมวล ตัดฝาอากาศออกไป

มีบาดแผลปรากฏขึ้นบนร่างขนาดใหญ่ของมังกรปีศาจ ใบมีดจากคมมีดเทพเจ้าปีศาจแทงตรงเข้าทะลุร่างของมังกรปีศาจ

 

“กร้าซซซซ!!!”

 

ด้วยความเจ็บปวด มันจึงคํารามลั่น โชคไม่ดีที่ใบมีดของคมมีด เทพเจ้าปีศาจนั้นมีความยาวเพียงไม่กี่เมตร มันเพียงพอที่จะผ่าคนออกเป็นสองส่วน แต่ร่างมังกรปีศาจนั้นใหญ่โตเกินไป มีความยาวกว่าหลายร้อยเมตร บาดแผลแค่ไม่กี่เมตรนั้นนับเป็นเพียงรอยแผลตื้นๆบนร่างที่ใหญ่โตของมังกรปีศาจเท่านั้น

 

ถ้าไม่ใช่เพราะคมมีดเทพเจ้าปีศาจนั้นมาพร้อมกับไอพลังที่คล้ายจะมาจากขุมนรก สามารถแผ่ขยายการโจมตีออกไปยังส่วนอื่นๆ เกรงว่าบาดแผลเท่านี้คงจะสมานกันในชั่วพริบตา

 

“ฟันอีกครั้ง!”

ซูฉินไม่ลังเล ถือคมมีดเทพเจ้าปีศาจ และฟาดฟันต่ออีกครั้ง มันเหมือนกับประกายมีดนั้นตัดผ่ามิติ ในพริบตาเดียวก็ไปปรากฏอยู่ใกล้ๆกับมังกรปีศาจแล้ว

 

คราวนี้มังกรปีศาจเกิดการเรียนรู้ โดยมันรู้ว่าร่างกายของมันไม่สามารถหยุดคมมีดเทพเจ้าปีศาจได้ ทันใดนั้นทั้งร่างของมันก็กลายเป็นเงาดําหนาทึบ หลบเลี่ยงการฟาดฟันของคมมีดเทพเจ้าปีศาจ

 

ฉากนั้นทําให้ผู้คนตื่นตะลึง มังกรปีศาจที่คอยพิทักษ์โถงภายในวิหารการสงคราม ถูกสะกดภายใต้คมมีดของซูฉินซึ่งมันน่ากลัวมาก

 

“มีดเล่มนั้น”

 

ยอดปรมาจารย์ขั้นสูงสุดบางคนจ้องมองไปที่คมมีดเทพเจ้าปีศาจที่ซูฉินถืออยู่ หัวใจพวกเขาพลันสั่นสะท้าน

 

แม้ว่าตอนแรกพวกเขาจะไม่รู้ว่าทําไมภิกษุอย่างซูฉินจึงใช้มีดเป็นอาวุธ แต่ในเวลานี้ ประกายมีดที่เกิดจากคมมีดเล่มนี้เฉียบคมมาก ฉีกกระชากทุกอย่างแตกออกเป็นเสี่ยงๆ

“ก็ยังถือว่าไม่โง่จนเกินไป”

 

ซูฉินเห็นว่ามังกรปีศาจไม่กล้าเผชิญหน้ากับคมมีดเทพเจ้าปีศาจตรงๆ รอยยิ้มก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขา คมมีดเทพเจ้าปีศาจนี้ได้มาจากซูฉินภายในโลกถ้ําปีศาจ ซึ่งมันดูเหมือนว่าจะมีความสัมพันธ์บางอย่างกับเทพเจ้าปีศาจระดับสูงภายในส่วนลึกของโลก จนถึงปัจจุบันนี้ซูฉินยังไม่เคยเห็นว่าจะสิ่งมีชีวิตใดที่คมมีดเทพเจ้าปีศาจไม่สามารถแทงทะลุได้

 

แม้แต่รอบนอกของเกาะหยิงโจว ค่ายกลฟ้าดินจํานวนมากที่จัดตั้งโดยเซียนเทพปฐพี่อย่างจ้าวทะเลบูรพา ด้วยคมมีดเทพเจ้าปีศาจ มันก็ถูกผ่าออกเป็นสองส่วนอยู่ดี

“ในเมื่อเป็นเช่นนี้”

ซูฉินเก็บคมมีดเทพเจ้าปีศาจกลับไป ก้าวย่างไปด้านหน้า ลอยขึ้นบนอากาศเดินเข้าหามังกรปีศาจ

“อะไร?!”

 

เมื่อยอดปรมาจารย์ขั้นสูงสุดทั้งหลายได้เห็นฉากนี้ ดวงตาของพวกเขาก็เบิกกว้างอย่างไม่เชื่อสายตา

 

มังกรปีศาจเก่งกาจในด้านการต่อสู้ด้วยกําลังกายระยะประชิด หากซูฉินต้องการจัดการกับมังกรปีศาจ วิธีที่ดีที่สุดคือการหลบหนีจากการปะทะของมัน และเฉือนมังกรปีศาจอย่างต่อเนื่องด้วยคมมีดในมือของเขา

แต่ตอนนี้ซูฉินกลับพุ่งตรงเข้าหามังกรปีศาจ

“กร้าซ!”

เมื่อมังกรปีศาจเห็นดังนั้น ดวงตาใหญ่ยักษ์ของมันก็ฉายแววตื่นเต้นออกมา ทีแรกมันลังเลที่จะเข้าใกล้ซูฉิน แต่บัดนี้อีกฝ่ายกลับเสนอตัวเข้ามาหามันตรงๆ

หวิ่ง!!

ทั่วร่างอันใหญ่โตของมังกรปีศาจพลันระเบิดพลังชีวิตและเลือดเนื้อออกมาอย่างไร้ที่สิ้นสุด เงามังกรพาดผ่านไปถึงฟากฟ้า มันแหงนหน้าขึ้นมองท้องฟ้า คํารามก้องเปล่งรัศมีอันน่าสะพรึงกลัวออกมา กดดันทั่วทุกพื้นที่บนเทือกเขาคุนหลุน

 

Sign in Buddha’s palm 241 (II) ซูฉินและมังกรปีศาจ

 

ด้วยพลังอันไม่ธรรมดาของเผ่าพันธุ์มังกร ก็พอจะเทียบกับนภาชั้นที่เก้าได้แล้ว

“กร้าส!”

เมื่อซูฉินกําลังคิดสิ่งนั้นอยู่

เสียงคํารามของมังกรก็พลันดังก้องสะท้อนผืนฟ้าสะท้านผืนดิน

 

ในทันทีหลังจากนั้น

 

มังกรปีศาจตัวใหญ่ก็พุ่งตรงออกมาจากวิหารการสงคราม ร่างกายที่ยาวกว่าหลายร้อยเมตรนั้นได้แสดงอานุภาพศักดิ์ศรีแห่งมังกรได้อย่างน่าตื่นตะลึง

 

และในที่สุด

ดวงตาสีฟ้าขนาดใหญ่ของมังกรปีศาจก็จ้องลงมาที่ซูฉิน

หนึ่งคนหนึ่งมังกรเริ่มจ้องมองกัน

 

จากสายตาของยอดปรมาจารย์ขั้นสูงสุดคนอื่นๆ ในที่แห่งนี้ มังกรปีศาจนั้นใหญ่โตมโหฬาร เมื่อเทียบกับขนาดของมังกรปีศาจแล้ว ซูฉินไม่ต่างไปจากมด

มังกรปีศาจนั้นเรียกได้ว่ามองต่ําลงไปยังซูฉิน

 

แต่ความเป็นจริงนั้นทั้งคู่ต่างจดจ้องกันด้วยความเท่าเทียม

ยิ่งกว่านั้น เมื่อเวลาผ่านไป ดวงตาของซูฉินยังคงสงบนิ่งลุ่มลึก ราวกับหลุมลึกไร้ก้นบึง มังกรปีศาจมีแต่จะกังวลมากขึ้นเรื่อยๆ

มังกรปีศาจตระหนักได้รางๆ ว่ามนุษย์ที่เขามองว่าเป็นอาหารนั้น มีกลิ่นอายที่ชวนอึดอัดเล็กน้อยไหลออกมาจากร่าง!

 

ในความทรงจําอันเนิ่นนานของมังกรปีศาจ เจ้าของวิหารการ สงครามก็ให้ความรู้สึกเดียวกันนี้กับมัน

ในตอนนั้น

 

ตอนที่ที่มังกรปีศาจยังคงเป็นอิสระ อย่างไรก็ตาม เจ้าของวิหารการสงครามได้บังคับให้มันเป็นทาสและสร้างกฎเกณฑ์ต่างๆ ในร่างของมัน และปล่อยให้มันมีชีวิตอยู่ต่อไปโดยต้องปกป้องวิหารการสงครามไปชั่วชีวิต

 

ตั้งแต่นั้นมา มังกรปีศาจก็ไม่มีอิสระเหลืออยู่อีกต่อไป

 

กลับถูกกักขังไว้ภายในวิหารการสงครามยาวนานหลายต่อหลาย

ภาพในอดีตผ่านเข้ามาในจิตใจของมังกรปีศาจ

มังกรปีศาจยิ่งกังวลมากขึ้น อานุภาพมังกรที่ปล่อยออกมาจากร่างก็รุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ

“คิดจะลงมืองั้นหรือ?”

 

ซูฉินมองดูมังกรปีศาจอยู่เงียบๆ มีแววถากถางวาบผ่านดวงตาของเขา

 

แท้จริงแล้ว

 

ซูฉินนั้นได้ประเมินมังกรปีศาจตนนี้สูงเกินไป

อันที่จริง มังกรปีศาจตนนี้มีสติปัญญาต่ํามาก และเลือดสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ภายในร่างก็เจือจางจนแทบมองไม่เห็น มันเหมือนกับไม่ใช่มังกรจะดีกว่าถ้าจะเรียกมันว่าเผ่าพันธุ์อสรพิษ

“กร้าซ!”

 

ในที่สุดมังกรปีศาจก็ทนไม่ไหว มันรู้สึกถึงภัยคุกคามจากซุฉิน และมันก็ไม่สามารถจัดการกับอารมณ์ได้อีกต่อไป

ซูม!!!

บนยอดเขาคุนหลุน ความร้อนอันน่าสยดสยองได้แพร่กระจายออกมาอย่างดุเดือด ภายในปากมังกรเห็นเป็นกลุ่มเปลวไฟมืดทมิฬ ที่ลุกโชนพลิ้วไหวอยู่

ในขณะที่เปลวไฟที่มืดมิดและลึกล้ํานี้ปรากฏขึ้น

 

พลังฟ้าดินก็เริ่มปั่นป่วนหลอมละลาย ท่ามกลางเปลวไฟอันมืดทะมึนนี้ แม้แต่พลังฟ้าดินก็ถูกเผาจนกลายเป็นอากาศธาตุ

“มังกรปีศาจมันกําลังจะทําอะไร?”

“ทําไมเปลวไฟสีดํานั้นถึงให้ความรู้สึกน่ากลัวเช่นนี้?”

“มิผิด กําลังภายในของข้าเริ่มถูกเผาทําลายไปแล้ว ไม่ดีๆ รีบหนี!”

 

ยอดปรมาจารย์ขั้นสูงสุดที่อยู่ในพื้นที่แห่งนี้ต่างตกใจตื่นตะลึง

ในสายตาของพวกเขา เปลวไฟในปากของมังกรปีศาจสามารถเผาผลาญได้ทุกสิ่งอย่าง ราวกับว่ามันมาจากขุมนรก

 

“ผู้ทรงสมณศักดิ์ ผู้ทรงสมณศักดิ์กําลังเจอปัญหาแล้ว!”

 

หญิงชราที่ถือไม้เท้าสงบใจลง แล้วจ้องไปทางซูฉิน

ภายใต้เปลวไฟมืดมิดและลึกล้ํานี้ ทุกสิ่งบนโลกราวกับเป็นเชื้อเพลิงให้มันเผาผลาญ ช่างน่าหวาดกลัวยิ่ง แม้หญิงชราจะมีความมั่นใจในตัวซูฉิน นางก็ไม่คิดว่าเขาจะหยุดเปลวไฟอันน่ากลัวนี้ได้

 

“ผู้ทรงสมณศักดิ์

เฉียนขู่ตัวสั่นไปทั้งตัว เขาเหลือบมองซูฉินสลับกับเปลวไฟที่ทั้งมืดทะมึนและลึกล้ํา เขารู้สึกว่ากําลังภายในของเขาเริ่มจะเผาไหม้ ในช่วงเวลาสั้นๆนี้ก็สูญเสียกําลังภายในส่วนใหญ่ไปแล้ว

 

“ลุงสาม..”

หลีหว่านก็หวาดกลัวเช่นกัน มองไปยังซูฉินผู้ซึ่งไร้เทียมทานในใจนาง

“กร้าซ!!”

 

ช่วงเวลาต่อมา

 

มังกรปีศาจก็รวบรวมพลังสําเร็จ เปลวไฟมืดทะมึนลึกล้ําภายใน ปากก็พวยพุ่งออกมา เข้าปกคลุมร่างซูฉิน

 

“จบแล้ว”

เมื่อยอดปรมาจารย์ขั้นสูงสุดหลายสิบคนได้เห็นฉากดังกล่าว ใจของพวกเขาก็ตกไปอยู่ตาตุ่ม

ดู HENTAI ได้ที่ hanimeza.com

หลังจากที่มังกรปีศาจสังหารซูฉินได้ เป้าหมายต่อไปย่อมต้องเป็นพวกเขา ด้วยความแข็งแกร่งที่มังกรปีศาจแสดงออกมานี้ ไม่ว่าจะเป็นจอมยุทธคนใดในที่แห่งนี้ จะมีใครกันที่มั่นใจว่าตนเองจะรอดไปได้?

 

“นี่เจ้ามาเล่นจะไฟต่อหน้าข้าหรือ?”

 

ในเวลานี้ รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของซูฉิน มองตรงไปยังเปลวไฟอันมืดมิดและลึกล้ําที่กําลังเข้ามาปกคลุมตัวเขาอย่างรวดเร็ว ภายในม่านตาของเขามีภาพดวงตะวันจางๆ แขวนเด่นดั่งรูปวาดที่พรรณนาถึงโลกของอีกาทองคํา

หวิ่ง!!!

 

ท่ามกลางสายตาที่ตื่นตะลึงของทุกคน

 

เปลวไฟมืดมิดลึกล้ําที่ดูเหมือนจะเผาไหม้ได้ทุกอย่าง ก็แผ่พุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็วโอบเข้ารอบตัวซูฉิน และในระยะสิบจ้างเปลวไฟ เหล่านั้นพลันลดความรุนแรงลง กลายเป็นอ่อนน้อมเชื่อฟัง ลุกไหม้เอื่อยๆ อยู่ด้านข้างของซูฉิน

ท่ามกลางเปลวเพลิงสีดําที่ล้อมรอบ ดวงตาของซูฉินสงบนิ่งราวกับเป็นเทพเจ้าแห่งเพลิงที่ปกครองเปลวไฟนับหมื่นชนิดบนโลกหล้า

 

เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล [Sign in Buddha’s palm]

Sign in Buddha’s palm 241 (1)

Sign in Buddha’s palm 241 (1) ซูฉินและมังกรปีศาจ

บนยอดเขาคุนหลุน

วิหารการสงครามอันงดงามก็โผล่ออกมาจากความว่างเปล่าและแรงกดดันอันน่ากลัวก็แพร่กระจายออกมาอย่างรวดเร็วทั้งเขาคุนหลุนถูกแรงกดดันนี้ปกคลุมในทันที

“วิหารการสงครามแห่งนี้ดูเหมือนจะไม่ได้แยกออกจากดินแดนนี้อย่างสิ้นเชิงเพียงแต่ซ่อนอยู่ในส่วนลึกของห้วงมิติเฉพาะเวลาที่ถูกต้องเท่านั้นจึงจะโผล่ออกมา?”

 

ซูฉินดูเคร่งขรึม

 

ในตอนนี้เขาเฝ้าสังเกตการกําเนิดของวิหารการสงครามด้วยดวงตาแห่งสัจจะและวิชาปราณฉีฟ้ากําหนด เขาได้สังเกตเห็นรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ บางอย่างเกี่ยวกับวิหารการสงคราม

ยอดปรมาจารย์ขั้นสูงสุดที่อยู่ภายใต้ไอพลังของวิหารการสงคราม กําลังภายในจะถูกชะลอตัวให้ไหลช้าลง

 

“สมควรแล้วที่เป็นวิหารการสงคราม”

 

“เพียงแค่ไอพลังระเหยออกมาก็สามารถปราบพวกเราได้อย่างง่ายดาย..”

 

มียอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสูงสุดบางคนจ้องตรงไปอย่างคลั่งไคล้ พึมพําไปมาอยู่กับตนเอง

ต้องทราบก่อนว่าตอนนี้พวกเขาอยู่ห่างจากวิหารการสงครามพอสมควรหากพวกเขาเข้าไปภายในวิหารการสงครามความแข็งแกร่งของพวกเขาอาจจะเหลือไม่ถึงหนึ่งในสิบ

 

เมื่อเวลาผ่านไปสักพัก

วิหารการสงครามที่เดิมที่เลือนรางคล้ายภาพลวงตา

ในที่สุดก็ควบแน่นกลายเป็นสสารจับต้องได้

 

และในตอนนี้วิหารการสงครามก็ปรากฏขึ้นอย่างสมบูรณ์แบบ

ฉับพลัน

 

มีร่างหลายร่างทะยานฝ่าอากาศพุ่งเข้าหาวิหารการสงครามด้วยความเร็วที่น่าสะพรึงกลัว

 

ร่างเหล่านี้อยู่ใกล้กับวิหารการสงครามมาก จู่ๆ ก็เคลื่อนไหวอย่างกะทันหันสร้างความตกใจให้คนทุกคน ยอดปรมาจารย์ขั้นสูงสุดคนอื่นยังไม่ทันได้ตอบสนองพวกเขาก็เกือบจะเข้าไปถึงวิหารการสงครามแล้ว

“ท่านอรหันต์ผู้ทรงสมณศักดิ์”

“โรคชรากําลังพรากชีวิตข้าไปแล้ว”

 

“ในเวลานี้ แม้แต่ผู้ทรงอํานาจอย่างราชาแห่งสรวงสวรรค์ก็ไม่สามารถหยุดข้าจากการเข้าไปภายในวิหารการสงครามได้!”

ไอพลังจากร่างเหล่านี้ล้วนทรงพลัง อย่างน้อยพวกเขาก็เป็นยอดปรมาจารย์ขั้นสูงสุดที่แปรสภาพพลังได้ถึงสองครั้ง และที่น่าแปลกใจคือหนึ่งในนั้นมีกระทั่งไอพลังของยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสมบูรณ์ที่แปรสภาพพลังมาแล้วสามครั้งอยู่ด้วย

 

ยอดปรมาจารย์ขั้นสูงสุดคนอื่นๆ มีช่วงชีวิตเหลืออีกเป็นสิบปีหรืออาจจะหลายสิบปี ปกติแล้วพวกเขาย่อมไม่กล้าไม่เชื่อฟังซูฉินอรหันต์ผู้อยู่ยงคงกระพันในโลกใบนี้

แตกต่างกับยอดปรมาจารย์ขั้นสูงสุดเหล่านี้เขามีชีวิตอยู่ได้อีกไม่กี่ปีวิหารการสงครามเป็นความหวังเดียวของพวกเขาจะยอมแพ้ง่ายๆ ได้อย่างไร?

 

สําหรับยอดปรมาจารย์ขั้นสูงสุดเหล่านี้ โอกาสรอดหนึ่งเดียวของพวกเขาคือการวิ่งเข้าไปภายในวิหารการสงครามคว้าโอกาสภายในวิหารพัฒนาตนอย่างรวดเร็วและกลายเป็นตํานานยุทธ ด้ว ยวิธีนี้ แม้ซูฉินจะโกรธแต่ก็คงจะทําอะไรไม่ได้

เมื่อเวลานั้นมาถึง

ซูฉินนั้นเป็นอรหันต์

 

พวกเขาก็เป็นตํานานยุทธเช่นเดียวกัน

เมื่อทุกคนอยู่ในขอบเขตเดียวกัน แม้จะมีระยะห่าง แต่คงไม่ได้ห่างไกลอะไรมากนัก และคงไม่มีใครทําอะไรพวกเขาได้

การยอมแพ้ตั้งแต่ก่อนเข้าวิหารการสงครามจะต้องทําให้พวกเขาตายด้วยวัยชรา

 

จึงเป็นการบังคับให้ต้องเข้าสู่วิหารการสงครามอย่างไม่คิดชีวิต

ดังนั้นเหล่ายอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสูงสุดที่จวนจะหมดอายุขัยจึงต้องเลือกวิธีนี้เป็นธรรมดา

ซูฉินขมวดคิ้วเล็กน้อยเมื่อเห็นฉากนี้ แต่วินาทีต่อมาดูเหมือนเขาจะรู้สึกอะไรได้บางอย่างจึงไม่ได้เคลื่อนไหวในทันที แต่สีหน้าของเขาแปลกไปเล็กน้อย

 

“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า!”

 

“เข้ามาแล้ว พวกเราเข้ามาได้แล้ว”

 

หลังจากยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสูงสุดเหล่านั้นเข้าไปภายในวิหารการสงครามได้ พวกเขาก็โห่ร้องด้วยความยินดีความรู้สึกถึงชัยชนะปรากฏชัดอยู่บนใบหน้าของพวกเขา

 

เป็นอรหันต์ผู้ทรงสมณศักดิ์แล้วอย่างไร?

ไม่ใช่ว่าตอนนี้พวกเขาก็สามารถวิ่งเล่นกันได้ตามใจชอบหรอกหรือ?

ในขณะที่ยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสูงสุดเหล่านี้กําลังจะแยกย้ายกันเข้าไปในวิหารการสงครามเพื่อมองหาโอกาสอันดี

“กร้าส!”

เสียงคํารามของมังกรก้องสะเทือนไปถึงฟ้า

 

มังกรขนาดใหญ่มีความยาวหลายร้อยเมตรค่อยๆ ทะยานออกมาจากส่วนลึกของวิหารการสงคราม

อานุภาพลมหายใจมังกรแผ่ออกมาจากร่างของมังกรปีศาจ

 

ภายใต้ศักดาแห่งมังกรนี้

 

ยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสูงสุดที่รีบวิ่งเข้าไปภายในวิหารการสงครามต่างรู้สึกเพียงว่ามือและเท้าของตนแข็งที่อพลังภายในแทบจะหยุดนิ่ง

 

ความกลัวถูกถมจนท่วมจิตใจ

 

ยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสูงสุดเหล่านี้ต้องการจะหันหลังกลับและหลบหนีออกจากวิหารการสงคราม แต่ภายใต้อานุภาพศักดาแห่งมังกรพวกเขาไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ด้วยซ้ําจะเอาอะไรไปหลบหนี

ในเวลาต่อมา

 

ท่ามกลางสายตาของทุกคนที่จ้องมองภาพตรงหน้าอย่างเหลือ

 

มังกรปีศาจตนนั้นเปิดปากออกอย่างเกียจคร้านและดูดยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสูงสุดที่รีบเข้าไปภายในวิหาร กลืนลงท้องจนหมดสิ้น

 

เหล่าผู้ชมต่างเงียบกริบ

ยอดปรมาจารย์ทั้งหลายที่ได้เห็นฉากนี้ต่างรู้สึกมือเท้าชาวาบเดิมที่ยอดปรมาจารย์ขั้นสูงสุดบางคนยังแอบอิจฉาอยู่ภายในใจแต่เมื่อเห็นสภาพของผู้ที่รีบวิ่งเข้าไปในวิหารการสงครามเป็นเช่นนี้ใบหน้าของพวกเขาก็ซีดเผือดทันที

ยอดปรมาจารย์ขั้นสูงสุดที่รีบเข้าไปภายในวิหารการสงครามอย่างน้อยก็สําเร็จการแปรสภาพถึงสองครั้งแล้ว และถึงกับมีหนึ่งในนั้นที่สําเร็จการแปรสภาพพลังสามครั้ง เป็นยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสมบูรณ์

บุคคลที่แข็งแกร่งเช่นนั้นยังพบจุดจบเช่นนี้ หากคนอื่นในที่นี้ทะเล่อทะล่าเข้าไปภายในวิหารการสงครามโดยไม่ได้มีการเตรียมตัวเอาไว้ก่อนเกรงว่าทุกคนจะต้องเดินตามรอยเท้าคนเหล่านั้นและถูกมังกรปีศาจกลืนกินไปเสียแล้ว

 

“มังกรปีศาจ!”

 

“มันคือมังกรปีศาจภายในวิหารการสงคราม!”

“บัดซบ ไม่ใช่ว่ามังกรปีศาจมันหลับอยู่ตลอดเวลาหรอกหรือ? ตราบใดที่ไม่ก้าวเข้าไปยังส่วนลึกของวิหารการสงคราม ก็จะไม่ดึงดูดความสนใจของมัน ทําไมคราวนี้มันถึงเริ่มโจมตีตั้งแต่ต้นเล่า?”

มียอดปรมาจารย์ขั้นสูงสุดบางคนที่รู้ความเป็นมาของมังกรปีศาจอุทานขึ้นมา

 

ยอดปรมาจารย์ขั้นสูงสุดคนอื่นๆ ก็ใบหน้าบิดเบี้ยวไปทันทีที่ได้ยินเรื่องนี้ตามบันทึกโบราณ มีมังกรปีศาจคอยปกป้องวิหารการสง ครามแห่งนี้จริงเพียงแต่มังกรตัวนั้นหลับสนิทเกือบจะตลอดเวลาและไม่สนใจจอมยุทธที่เข้าไปภายในวิหารการสงครามเลย

 

นี่เป็นเหตุผลว่าทําไมยอดปรมาจารย์ขั้นสูงสุดบางคนจึงรีบเข้าไปภายในวิหารการสงครามโดยไม่ได้เตรียมตัวป้องกันเพราะตราบใดที่พวกเขาระมัดระวังมากพอและไม่คิดที่จะเข้าไปย่ามในส่วนลึกของวิหารการสงคราม มังกรปีศาจก็จะไม่ถูกยั่วยุ

แต่ตอนนี้

ยอดปรมาจารย์ขั้นสูงสุดเหล่านั้นไม่ทันจะได้เข้าไปยังส่วนลึกของวิหารการสงคราม พวกเขาเพียงก้าวเข้าไปในวิหารก็ถูกมังกรปีศาจกลืนกินเสียแล้ว สิ่งนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

“โง่เง่า!”

ดวงตาของซูฉินสงบนิ่ง สีหน้าของเขาฉายแววดูถูก

มังกรปีศาจหลับก็เพราะเลือดเนื้อและพลังชีวิตของมันอ่อนกําลังลงดังนั้นมันจึงต้องใช้วิธีการเข้าสู่นิทราเพื่อลดอัตราการใช้พลังชี วิตและเลือดเนื้อ

แต่ต่อให้หลับลึกแค่ไหน มันก็ต้องสูญเสียพลังไปอยู่ดี

โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคซบเซาของกระแสปราณฉี มังกรปีศาจประสบกับการขาดแคลนพลังงานมาเป็นเวลานาน

 

และเมื่อวิหารการสงครามกําเนิดขึ้นอีกครั้ง สิ่งแรกที่มังกรปีศาจจะทําก็คือการมองหาอาหารทดแทนไปโดยธรรมชาติ และในโลกนี้จะมีสิ่งใดเติมเต็มอัตราการสูญเสียพลังของมังกรปีศาจได้ดีเท่าเลือดเนื้อของจอมยุทธ?

แน่นอนว่าการที่มังกรปีศาจกระตือรือร้นออกมาถึงที่นี่ก็มีความเกี่ยวกับการปรากฏตัวของซูฉินด้วย

ร่างกายของซูฉินได้รับการแปรสภาพมาถึงห้าครั้ง และหลังจากเริ่มต้นเส้นทางแห่งดวงตะวันขนาดมหึมา ร่างกายของเขาก็เกือบจะแปรสภาพเป็นครั้งที่หกอยู่รอมร่อ พลังของเขานั้นพุ่งทะยานฟ้าไม่ว่าเขาจะซ่อนเร้น จํากัดพลังไว้เพียงไหน มันก็ไม่สามารถแอบซ่อนจากมังกรปีศาจภายในวิหารการสงครามได้

ในสายตาของมังกรปีศาจ ซูฉินเป็นขนมหวานที่มีกลิ่นหอมหวนเต็มไปด้วยเลือดเนื้อและพลังงานชีวิต ตราบใดที่กลืนกินซูฉินเข้าไปได้อย่างน้อยก็สามารถอยู่รอดไปได้อีกหลายพันปี

แต่มังกรปีศาจเองก็ไม่แน่ใจว่าจะสามารถจัดการกับซูฉินได้ดังนั้นโดยธรรมชาติแล้วจึงเลือกกลืนยอดปรมาจารย์ขั้นสูงสุดที่บุกเข้าไปภายในวิหารการสงครามเพื่อชดเชยเลือดเนื้อที่สูญเสียไปสักเล็กน้อยจากนั้นจึงค่อยหาวิธีว่าจะกลืนซูฉินเข้าไปด้วยวิธีใด

 

“ท่านผู้ทรงสมณศักดิ์ มังกรปีศาจตัวนี้นั้นมิอ่อนแอเลย!” เฉียนข์กล่าวออกด้วยท่าทางเคร่งเครียด

 

“ไม่มีอันตรายหรอก!”

 

ซูฉินพูดอย่างไม่ใส่ใจ

เมื่อเทียบกับยอดปรมาจารย์ขั้นสูงสุดทั้งหลายในที่แห่งนี้มีความแข็งแกร่งไม่อ่อนแอหรือ? มังกรปีศาจนั้นมีความแข็งแกร่งที่มากกว่านั้นอีกมันบดขยี้คนเหล่านั้นได้อย่างง่ายดาย

 

แต่เรื่องที่มังกรปีศาจหลับใหลภายในวิหารการสงครามมาอย่างยาวนาวนับหมื่นๆ ปี มีเพียงซูฉินเท่านั้นที่รู้

 

เวลานับหมื่นปี แม้แต่หมูก็มีโอกาสกลายเป็นตัวตนทรงพลังได้ไม่ต้องกล่าวถึงมังกรปีศาจที่มีสายเลือดที่ไม่ธรรมดาตนนี้?

แต่ก็เท่านั้น

 

แม้ว่ามังกรปีศาจจะมีเลือดของมังกรที่แท้จริง แต่ซูฉินก็สัมผัสได้ว่าเลือดภายในกายของมังกรปีศาจได้มาถึงขีดจํากัดแล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะสายเลือดพิเศษของสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ เกรงว่ามันคงจะแก่ตายไปตั้งแต่หลายปีก่อนแล้ว

และด้วยความสามารถในการรับรู้ของซูฉิน เขาคาดเดาความแข็งแกร่งของมังกรปีศาจได้คร่าวๆ

ขอบเขตตํานานยุทธ จุดสูงสุดของระดับนภาชั้นที่แปด

 

ด้วยพลังอันไม่ธรรมดาของเผ่าพันธุ์มังกร ก็พอจะเทียบกับนภาชั้นที่เก้าได้แล้ว

 

“กร้าส!!!”

 

เมื่อซูฉินกําลังคิดสิ่งนั้นอยู่

 

เสียงคํารามของมังกรก็พลันดังก้องสะท้อนผืนฟ้าสะท้านผืนดิน

 

เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล [Sign in Buddha’s palm]

Sign in Buddha’s palm 240

Sign in Buddha’s palm 240 กําเนิด

 

ยอดเขาคุนหลุน

ชายผิวคล้ํานั้นมีกลิ่นอายที่น่าสะพรึงกลัว แต่ภายในระยะร้อยจ้างห่างจากตัวของเฉียนขู่ มันกลับกลายเป็นฝุ่นผงไปอย่างเงียบๆ

 

“นี่คือ?!”

 

แม้ว่าชายผิวคล้ําจะเป็นเพิ่งก้าวเข้าสู่ระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสูงสุด แต่อย่างไรก็ตาม เขาได้เดินตามเส้นทางปกติ กําลังภายในได้แปรสภาพเรียบร้อย แค่เพียงกระบวนท่าเดียวก็เพียงพอที่จะกวาดล้างกลุ่มยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งได้แล้ว และแม้ว่าจะเป็นยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสมบูรณ์ ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะสังหารเขาในเวลาอันสั้นเช่นนี้

ยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสูงสุดทั้งหลายต่างชําเลืองมองกัน สีหน้าของพวกเขาเคร่งขรึมราวกับผิวน้ําที่สงบนิ่ง เป็นเรื่องน่าเหลือเชื่ออย่างยิ่งที่ชายผิวคล้ําได้ตกตายลงอย่างกะทันหันเช่นนี้

“เป็นเฉียนขู่จากวัดเส้าหลินจริงๆ อย่างนั้นหรือ?”

หญิงชราที่ถือไม้ค้ํายันสงบใจลงแล้วกระซิบถาม

 

“เฉียนขู่?”

 

ท่าที่ของยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งคนอื่นๆ ก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย ข้อสงสัยของหญิงชราไม่ได้ไร้เหตุผลไปเสียที่เดียว ฉากที่เห็นนั้นเกิดขึ้นในระหว่างที่ชายผิวคล้ํากําลังจะโจมตีเฉียนขู่ ถ้าทุกคนไม่ได้อยู่ที่นี่ ใครจะเชื่อถือเรื่องดังกล่าวบ้าง?

“เฉียนขู่ไม่ได้ทรงพลังขนาดนี้!” ชายชราในชุดแปลกตาส่ายศีรษะ แม้ว่าจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์จะถูกระงับไว้เมื่ออยู่ในที่แห่งนี้ แต่มองด้วยตาเปล่าก็เห็นได้ชัดว่าเฉียนขู่ยังไม่ได้แปรสภาพพลังเลยด้วยซ้ํา อย่างมากที่สุดก็เป็นชนชั้นแนวหน้าในระดับชั้นที่หนึ่ง ไม่ต้องกล่าวถึงการสังหารชายผิวคล้ําเลย ต่อให้ป้องกันการโจมตี ยังเป็นเรื่องยากอย่างยิ่ง

“ไม่ใช่เฉียนขู่…”

หญิงชราที่ถือไม้เท้าหันหน้าไปมอง สายตาตกลงบนแผ่นลัหงของหลีหว่านและซูฉิน ไอพลังของหลีหว่านนั้นอ่อนแอกว่าเฉียนขู่ ส่วนของซูฉิน..

ในตอนนี้ซูฉินหันหลังให้กับทุกคน แม้แต่หญิงชราก็มองเห็นแค่แผ่นหลังของซูฉินเท่านั้น

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่น่าแปลกใจอย่างมากสําหรับหญิงชราคือ ซูฉินนั้นเหมือนกับคนธรรมดา แต่คนธรรมดาที่ไหนจะสามารถยืนอยู่บนยอดเขาคุนหลุนในเวลานี้ได้? เกรงว่าคงถูกแรงกดดันบดขยี้เป็นชิ้นๆไปแล้ว

 

“เฉียนขู่….”

“วัดเส้าหลิน…”

สีหน้าของยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสูงสุดทั้งหลายต่างก็เปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อย ราวกับพวกเขากําลังครุ่นคิดอะไรอยู่ รูม่านตาของพวกเขาพลันหดแคบลง

และในตอนนั้น

 

เฉียนขู่ก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก ชายผิวคล้ําที่พุ่งเข้ามาหาเขาเมื่อครู่เต็มไปด้วยกลิ่นอายของระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสูงสุด มันสร้างแรงกดดันให้ตัวเขามากจริงๆ หากไม่มีซูฉินอยู่ด้านข้าง เฉียนขู่คงจะหันหลังวิ่งหนีไปนานแล้ว

 

แม้ว่าเฉียนขู่จะเป็นศิษย์วัดเส้าหลินและเคยอ่านเพียงคัมภีร์ในวัดตั้งแต่ยังเด็ก แต่ก็ไม่ใช่คนโง่ ในสถานการณ์ที่ไม่อาจเอาชนะได้ เป็นธรรมดาที่จะไม่ได้หุนหันพลันแล่น

“ขอบคุณผู้ทรงสมณศักดิ์ที่ลงมือ…” เฉียนขู่โค้งคารวะซูฉินอย่างสุดซึ้ง

ชายผิวคล้ําเป็นยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสูงสุด ในตอนนี้เขากลับกลายเป็นเพียงฝุ่นผง มีเพียงอรหันต์เช่นซูฉินเท่านั้นที่ทําได้

 

เพียงเท่านั้น

สิ่งที่เฉียนขู่ไม่รู้คือการกระทําของเขาทําให้เกิดคลื่นพายุภายในใจยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสูงสุดทั้งหลาย

“ผู้ทรงสมณศักดิ์”

ยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสูงสุดทั้งหลายพากันสั่นสะท้านในใจ แทบจะคุกเข่าลงไปเสียเดี๋ยวนั้น

พวกเขาไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าอรหันต์ที่ว่ากันว่าได้ออกจากวัดเส้าหลินและข้ามน้ําข้ามทะเลไปยังดินแดนอื่นเมื่อนานมาแล้ว บัดนี้ได้มาอยู่เบื้องหน้าของพวกเขา

 

“ข้าควรจะคิดได้ว่าเฉียนขู่ที่อยู่ระดับชั้นที่หนึ่งแต่กล้ามาที่นี่ จะต้องมีที่พึ่งพิง และที่พึ่งพิงที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของวัดเส้าหลินนั้นก็ไม่ใช่ใคร แต่เป็นผู้ทรงสมณศักดิ์…”

 

หญิงชราที่ถือไม้เท้า ยิ้มออกมาอย่างขมขึ้น และย่างเท้าเข้าไปอย่างรวดเร็วจนกระทั่งอยู่ห่างซูฉินออกไปหนึ่งร้อยจ้าง

 

ในขณะที่เฉียนขู่คิดว่าหญิงชราต้องการจะแก้แค้นให้ชายผิวคล้ํา หญิงชราที่ถือไม้เท้าก็ดูนอบน้อมและโค้งคารวะ จากนั้นจึงกล่าวว่า “น้อมคารวะผู้ทรงสมณศักดิ์”

ยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสูงสุดจํานวนมากที่เหลืออยู่ เมื่อได้เห็นฉากนี้ ก็คล้ายกับตื่นขึ้นจากความฝัน แอบสบถให้กับคําเยินยอของหญิงชราในใจ จากนั้นต่างก็เดินไปด้านข้างหญิงชรากัน ที่ละคนแล้วกล่าวด้วยความเคารพว่า “น้อมคารวะผู้ทรงสมณศักดิ์

 

ยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสูงสุดต่างก้าวไปหยุดด้านหน้า และโค้งคํานับอย่างเคารพ ราวกับพบเทพเจ้า

ยี่สิบกว่าปีที่แล้ว เรื่องที่วัดเส้าหลินให้กําเนิดอรหันต์นั้นแพร่กระ จายไปทั่วโลกมาเนิ่นนาน ยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสูงสุดในที่แห่งนี้ล้วนเคยได้ยินเรื่องนี้มานานแล้ว เมื่อได้พบอรหันต์ตัวเป็นๆจะกล้าดูหมิ่นได้เยี่ยงไร?

 

“ลุงสาม…..”

 

หลีหว่านกะพริบตา แน่นอนว่านางรู้ว่าซูฉินนั้นแข็งแกร่งมาก แต่ในตอนนี้ท่าที่เคารพนอบน้อมของเหล่ายอดยุทธพวกนี้ทําให้นางรู้สึกทําตัวไม่ถูกไปเล็กน้อย

 

“หือ?”

“ บนยอดเขาคุนหลุนนั้นมีเต๋สะสมเพียงพอให้ข้าลงชื่อเข้าใช้ได้เพียงครั้งเดียว?”

 

ซูฉินถอนหายใจ ไม่ได้สนใจยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสูงสุดทั้งหลายที่กําลังโค้งคํานับเขาอยู่เลย

 

เมื่อวานเขาได้ลงชื่อเข้าใช้ครั้งแรกบนยอดเขาคุนหลุนและได้รับ “ลูกท้อบ้าน” มา เขาคิดว่าจะสามารถลงชื่อเข้าใช้และได้ลูกท้อบ้านเช่นนี้ต่อไปอีกได้ ถ้าเขาได้รับลูกท้อบ้านนี้หลายสิบลูกติดต่อกัน และใช้มันอย่างต่อเนื่อง เขาก็จะได้รับอายุขัยนับหมื่นปี นับเป็นกําไรที่มหาศาลอย่างมาก

แต่น่าเสียดายที่หลังจากผ่านไปหนึ่งวัน โอกาสในการลงชื่อเข้าใช้ในวันนี้ก็กลับมาอีกครั้ง แต่ซูฉินก็ได้พบว่ายอดเขาคุนหลุนไม่สามารถลงชื่อเข้าใช้ได้อีกต่อไป

 

“เป็นไปได้ไหมว่าเขาคุนหลุนแห่งนี้ไม่ใช่เขาคุนหลุนในตํานาน?” ซูฉินแตะปลายคาง ใบหน้าครุ่นคิด

ถ้าเป็นจริงตามตํานานต้นกําเนิดหมื่นขุนเขา นี่คือดินแดนแห่งทวยเทพ เป็นไปได้อย่างไรที่” เต๋าสะสมจะหมดลงยามเมื่อซูฉินลง ชื่อเข้าใช้ไปได้เพียงครั้งเดียว?

ลูกท้อบ้านที่สามารถยืดอายุขัยได้พันปีเป็นสิ่งล้ําค่า แต่ก็ไม่ได้ดีเท่ากับฝ่ามือยูไลหรือภาพสิบสองสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ แม้แต่บนเกาะหยิงโจว ซูฉินก็ยังลงชื่อเข้าใช้ได้ตั้งหลายสิบครั้ง แต่นี่คือเขาคุนหลุนเชียวนะ?

“กระแสปราณฉีกําลังฟื้นคืน แผ่นฟ้ากําลังสูงขึ้น แผ่นดินกําลังขยายออก ทวีปนี้กําลังขยายตัวออกไปทุกขณะ บางทีเขาคุนหลุนที่แท้จริงอาจจะปรากฏขึ้นเมื่อกระแสปราณฉีเข้าสู่จุดรุ่งเรือง”

ซูฉินคิดอยู่ในใจ

ที่จริงในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ กระแสปราณฉีก็ฟื้นตัวขึ้นเรื่อยๆ หลายสถานที่ก็แสดงให้เห็นถึงลักษณะที่ไม่ธรรมดา ซูฉินอยู่ในเมืองฉางอัน สามารถรับรู้ความเป็นไปในโลกหล้า รู้สึกได้ว่าบางสถานที่กําลังจะเกิดบางสิ่งขึ้นอย่างคลุมเครือ

 

ในขณะที่ซูฉินกําลังคิดเรื่องนี้อยู่

ยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสูงสุดทั้งหลายที่กําลังก้มลงคํานับ ซูฉินก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา แน่นอนว่าพวกเขาไม่กล้าแม้แต่จะลุกขึ้นยืน ทั้งหมดต่างยังคงคํานับอย่างเคารพนบนอบอยู่อย่างนั้น

 

หลังจากนั้นไม่นาน

 

หลังจากที่ซูฉินยืนยันอีกครั้งว่าเขาคุนหลุนไม่สามารถลงชื่อเข้า ใช้ได้ เขาก็ค่อยมองไปที่ยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสูงสุด

งหลาย

เมื่อเห็นซุฉินหันมามองพวกเขา เหล่ายอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสูงสุดที่นําโดยหญิงชราถือไม้เท้าก็ตกใจ และรีบกล่าวเสียงดังอีกครั้งว่า “คารวะผู้ทรงสมณศักดิ์”

“ทุกคนลุกขึ้นเถิด”

ดวงตาของซูฉินสงบนิ่ง กล่าวคําออกมาเบาๆ

ด้วยจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของซูฉิน แน่นอนว่าเขาได้ค้นพบกลุ่มยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสูงสุดกลุ่มนี้มาตั้งนานแล้ว

 

เพียงแค่ไม่ได้อยากจะสนใจเท่าไหร่

ยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสูงสุดเหล่านี้ต่างเป็นตัวตนที่สูงส่งบนโลกใบนี้ แต่ในสายตาของซูฉินก็ไม่ได้ต่างไปจากมดแมลงมากนัก แน่นอนว่าเขาไม่จําเป็นต้องใส่ใจอะไรมากเกินจําเป็น

“วิหารการสงครามนี้ควรส่งมอบมาให้ข้า พวกเจ้ามีความเห็นใดไหม?”

ซูฉินมองไปที่ยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสูงสุดทั้งหลาย และในที่สุดก็เปิดปากพูดออกมา

 

ไม่ว่าเขาจะมองไปที่ไหน ไม่ว่าจะเป็นยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสูงสุดที่แปรสภาพเพียงครั้งเดียว หรือเป็นระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสมบูรณ์ที่แปรสภาพพลังได้สามครั้ง ทุกคนล้วนก้มศีรษะลงและกล่าวคําวนซ้ําไปซ้ํามา

 

“ไม่มีความเห็นใด ไม่มีความเห็นใด”

 

ตามกฏของวิหารการสงคราม อนุญาตให้คนยี่สิบคนเข้าไปได้ แต่ตอนนี้ซูฉินเพียงคนเดียวกลับต้องการครอบครองที่ว่างทั้งยี่สิบแห่ง ซึ่งเรียกได้ว่าเอาแต่ใจอย่างยิ่ง

แต่ก็เท่านั้น

 

ถึงเป็นเช่นนั้นก็ไม่มีใครกล้าพูดคําว่า “ไม่” แม้แต่หญิงชราที่ถือไม้เท้าก็ยืนอยู่ตรงจุดเดิมด้วยความเคารพ

 

ทุกคนรู้ดีว่าตราบใดที่พวกเขามีความคิดเป็นอื่น เกรงว่าจะซ้ํารอยบทเรียนของชายผิวคล้ําเมื่อครู่

 

แต่ในบรรดายอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสูงสุด บางคนก็ยังมีความไม่เต็มใจภายในหัวใจพวกเขาอยู่บ้าง

อายุขัยของพวกเขากําลังจะหมดลง ต่างหวังว่าวิหารการสงครามจะช่วยให้พวกเขาได้พัฒนาระดับต่อไป แต่ตอนนี้ความหวังนั้นกลับถูกซูฉินฉีกขาดจนไม่เหลือชิ้นดี จะให้พวกเขาเต็มใจได้อย่างไร?

 

อย่างไรก็ตาม ต่อให้คนเหล่านี้มีความขุ่นข้องหมองใจ แต่พวกเขาก็ไม่กล้าแสดงมันออกมา กลับก้มหน้าก้มตาลงพื้นแทน

“วิหารการสงครามนั้นเป็นโอกาสอันหายากในรอบพันปี มีเพียงผู้ที่ยืนอยู่บนจุดสูงสุดของโลกอย่างท่านผู้อาวุโสเท่านั้นที่มีสิทธิ์เข้า….” ขณะที่หญิงชราถือไม้เท้ากําลังจะพูด

 

ฉับพลัน

 

ในตอนนั้นเอง

ครืน!

 

คลื่นพลังที่น่าสะพรึงกลัวก็ไหลทะลักออกมาอย่างช้าๆ และฉากอันงดงามก็ค่อยๆ เผยออกมาบนยอดเขาคุนหลุน

“นั่นคือ?”

ใบหน้าของยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสูงสุดต่างเปลี่ยนไป ไม่อยากจะเชื่อสิ่งที่เห็น

บนยอดเขาคุนหลุน เห็นเป็นวังอันวิจิตรตระการตาค่อยๆ โผล่ออกมา ราวกับภาพลวงตาที่แปรเปลี่ยนเป็นความจริง

 

ตัววังนั้นกว้างใหญ่ เพดานด้านบนโถงถูกสลักไว้ด้วยรูปดวงดาวในดาราจักร มีพืชพันธุ์ไม้แปลกๆ จํานวนนับไม่ถ้วนขึ้นอยู่ทุกมุมของวัง

 

“วิหารการสงคราม

“วิหารการสงครามถือกําเนิดแล้ว”

เมื่อยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสูงสุดทั้งหลายได้เห็นฉากนี้ พวกเขาก็ตกใจจนอธิบายไม่ถูก

เขารู้เพียงวิธีที่วิหารการสงครามจะโผล่ออกมาจากบันทึกโบราณ แต่ในบันทึกโบราณเพียงกล่าวว่า โผล่ออกมาจากความว่างเปล่า” ซึ่งฟังดูแล้วจับต้องไม่ได้อย่างยิ่ง จะมาเทียบกับการได้เห็นด้วยตาตนเองได้อย่างไร?

ฉากที่เกิดขึ้นนั้นราวกับหลุดออกมาจากอีกโลกหนึ่ง แทบจะทําลายมุมมองความรู้ความเข้าใจของจอมยุทธทั้งหลายในที่แห่งนี้ไปจนหมดสิ้น

ในสายตาของจอมยุทธส่วนใหญ่ แม้ว่าจะเป็นยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสมบูรณ์ ตํานานยุทธหรืออรหันต์ที่สามารถต่อกรกับคนนับล้านได้ แต่อย่างไรตํานานยุทธก็ยังคงมีระยะห่างเมื่อเทียบกับเทพเซียน

 

แต่ในขณะนี้ เมื่อพวกเขาได้เห็นวิหารการสงครามอันยิ่งใหญ่โผล่ออกมา จู่ๆจอมยุทธทั้งหลายต่างก็มีความคิดผุดขึ้นในใจ

สิ่งที่เรียกว่าเทพเซียนนั้น เป็นผู้ฝึกยุทธที่แข็งแกร่งเพียงใดกัน?

 

“ว่ากันว่าส่วนลึกของวิหารการสงครามมีความลับอันยิ่งใหญ่ซุกซ่อนเอาไว้อยู่ แต่น่าเสียดายที่มีมังกรปีศาจคอยคุ้มกันตลอดเวลา เป็นเวลาหลายพันปีแล้วที่ไม่มีใครสามารถล่วงรู้ความลับนั้นได้ )

หญิงชราที่ถือไม้เท้าสงบใจลง ระงับร่องรอยความโลภที่เกิดขึ้นในใจตน

แม้ว่าวิหารการสงครามจะเป็นสิ่งที่ดี แต่ก็ไม่ใช่สิ่งที่นางจะแตะต้องได้

ก่อนหน้านี้ซูฉินได้ทิ้งคําพูดเอาไว้ ประกาศความเป็นเจ้าของวิหารการสงคราม หากพวกเขาที่เป็นเพียงยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสูงสุดยังคงคิดฝันถึงวิหารการสงคราม ก็พูดได้อย่างเดียวว่าช่างไม่รู้จักความตายเสียแล้ว

 

“บางทีเมื่อวิหารการสงครามเบิดออก ท่านผู้ทรงสมณศักดิ์อาจจะสามารถเดินทางไปยังส่วนลึกของวิหารการสงครามนี้ได้ ” หญิงชราที่ถือไม้เท้าก็พลันนึกถึงบางสิ่ง และเหลือบมองไปที่ซูฉินอย่างระมัดระวัง

 

แม้ว่าตอนนี้นางจะหมดสิ้นความคิดที่จะเข้าไปภายในวิหารการสงครามแล้ว แต่นางก็ยังอยากรู้อยากเห็นอย่างมากเกี่ยวกับวิหารการสงคราม เป็นเวลาหลายพันปีแล้วที่เหล่าจอมยุทธต่างหมุนเวียนเปลี่ยนหน้ากันเข้าไปในวิหารการสงคราม และไม่มีใครผ่านมังกรปีศาจไปยังส่วนลึกของวิหารการสงครามได้

 

“แต่ว่า มันมีมังกรปีศาจคอยปกปักรักษาอยู่ ผู้ทรงสมณศักดิ์ ” อีกความคิดหนึ่งแวบเข้ามาในหัวของหญิงชรา

 

และในขณะที่ทุกคนกําลังให้ความสนใจวิหารการสงครามอยู่นั้น ซูฉินก็แสดงความประหลาดใจออกมาบนใบหน้า

 

Sign in Buddha’s palm 239 (II)

Sign in Buddha’s palm 239 (11) ยืดอายุพันปี!

เมื่อเวลาผ่านเลยไป

ยิ่งผ่านไปนานเท่าไหร่ เวลาที่วิหารการสงครามจะถือกําเนิดขึ้นก็ใกล้เข้ามาทุกที

ในเวลานี้ เหล่าผู้ทรงพลังอํานาจต่างก็ขึ้นมาบนยอดเขามากขึ้นเรื่อยๆ ยึดพื้นที่ของตนไว้มั่น ระแวงซึ่งกันและกัน

ตัวตนทรงพลังอํานาจเหล่านี้อย่างน้อยก็เป็นยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสูงสุด และมีหลายคนในนี้ก็แปรสภาพพลังได้มากกว่าหนึ่งครั้งในเวลานี้พวกเขาก็มารวมตัวกันที่นี่โดยคิดว่าจะใช้โอกาสอันดีภายในวิหารการสงครามเพื่อก้าวหน้าขึ้นไปอีกขั้นหลังจากนั้นก็จะสามารถมีอายุขัยมากขึ้นเป็นห้าร้อยปี

“คราวนี้ที่วิหารการสงครามได้ถือกําเนิดขึ้น ตามบันทึกก่อนหน้านี้มันสามารถเข้าไปได้เพียงแค่ยี่สิบคนเท่านั้นพวกเจ้าแน่ใจหรือว่าต้องการจะแข่งขันกับข้า?” ชายผิวคล้ําคนหนึ่งที่มีกลิ่นอายชวนน่าอึดอัดเหลือบมองคนอื่นๆ แล้วพูดอย่างเย็นชา

เขาเป็นยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสูงสุดที่เพิ่งแปรสภาพพลังในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา

อันที่จริงแล้ว ยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสูงสุดทั้งหมดที่อยู่ในที่แห่งนี้โดยพื้นฐานแล้วก็เหมือนกัน

พวกเขาอาศัยช่วงที่กระแสปราณีฟื้นฟูเพื่อก้าวหน้าขึ้นไปอีกขั้นแปรสภาพพลัง เข้าสู่ระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสูงสุด

“เฮเฮ”

“วิหารการสงครามนั้นเป็นโอกาสใหญ่ยิ่งที่ไม่อาจจะพบเห็นได้ง่ายๆในรอบพันปี ทําไมข้าจะต้องมอบให้เจ้า?” ชายชราที่แต่งกายแปลกตาอีกคนก็กล่าวขึ้นมาเบาๆ ในขณะที่เขายืนอยู่นั้นก็ได้แผ่กลิ่นอายที่ทําให้ยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสูงสุดไม่กล้าเข้าใกล้

“อิ่ม!”

ชายผิวคล้ําแค่นเสียงเย็นชา แต่ก็ไม่ได้กล่าวอะไรต่อไปอีก

ชายชราที่แต่งตัวแปลกตานั้นต่างไปจากเขา เข้าถึงระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสูงสุดตั้งแต่ยี่สิบปีที่แล้ว มีความแข็งแกร่งที่ไม่อาจหยั่งถึง

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าชายผิวคล้ําจะไม่ได้พูดอะไรต่อ แต่ใบหน้าของเขากลับไม่แสดงอาการเกรงกลัวมากนัก

แม้เขาจะคิดว่าความแข็งแกร่งของชายชรานั้นไม่ธรรมดาแต่ปัจจุบันมียอดปรมาจารย์ขั้นสูงสุดมากมายมารวมตัวกันบนภูเขาแม้ด้วยความแข็งแกร่งของชายชราก็ต้องให้ความสําคัญกับสถานกา รณ์ตรงหน้าเมื่อวิหารการสงครามถือกําเนิดขึ้นเขาอาจจะถูกกํา จัดโดยยอดฝีมือคนอื่นๆจนทําให้สูญเสียโอกาสในการเข้าสู่วิหารการสงครามก็เป็นได้

ยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสูงสุดแบ่งออกเป็นสามระดับแปรสภาพพลังหนึ่งครั้ง แปรสภาพพลังสองครั้งและแปรสภาพพลังสามครั้ง

แม้จะมีช่องว่างระหว่างสามระดับนี้ แต่ก็ไม่ได้ห่างกันไกลราวกับผืนดินและแผ่นฟ้า อย่างน้อยยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสูงสุดที่แปรสภาพพลังหนึ่งครั้งก็สามารถร่วมมือกัน ไม่ต้องถึงกับเอาชนะระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสูงสุดที่แปรสภาพพลังได้สองครั้ง แต่อย่างน้อยก็ไม่มีปัญหาในการยื้อเวลาไว้ในช่วงสั้นๆ

ต้นไม้ยิ่งใหญ่ยิ่งต้องต้านลมแรงมากเท่านั้น

ยิ่งชายชราโดดเด่นมากเพียงไร เขาก็ยิ่งต้องพบเจออุปสรรคในการก้าวเข้าสู่วิหารการสงครามมากเท่านั้น แต่สําหรับชายผิวคล้ําที่เป็นระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสูงสุดที่แปรสภาพพลังหนึ่งครั้งนี้ นมันเป็นเรื่องง่ายกว่ามาก

“ยี่สี่ ข่าววิหารการสงครามถือกําเนิดขึ้นในครั้งนี้ได้แพร่กระจายไปทั่วโลกมาเป็นเวลาเนิ่นนานแล้ว พวกเจ้าคิดว่าตํานานยุทธเมืองฉางอันจะมาไหม?” หญิงชราถือไม้เท้าเป็นคนที่สามที่กล่าวออกมาอย่างช้าๆ

คําที่กล่าวออกมา

ท่าทีของยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสูงสุดก็เปลี่ยนไป

มาก

ในระดับของพวกเขา แม้จะได้รับอิทธิพลมาจากการฟื้นตัวของกระแสปราณฉีช่วยให้เลื่อนระดับขั้นแต่พวกเขาก็ล้วนฉลาดเฉลียวย่อมมีความรู้ความเข้าใจเป็นธรรมดาว่า เมื่อใดที่ตํานานยุทธเมือง ฉางอันมาถึงที่นี่สถานการณ์อาจจะพลิกกลับได้

แม้จะต้องเจอยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสมบูรณ์ที่มีการแปรสภาพพลังสามครั้งยอดฝีมือเหล่านี้ก็พอจะมั่นใจว่าสามารถจัดการได้

แต่ตํานานยุทธนั้น

แม้ยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งทั้งหมดในที่นี้จะร่วมมือกันก็ไม่เพียงพอที่จะสู้รบตบมือกับตํานานยุทธ

ระหว่างขอบเขตวิทยายุทธเก้าระดับชั้นกับขอบเขตตํานานยุทธไม่ใช่เรื่องเกินจริงเลยที่จะบอกว่ามันแตกต่างกันราวกับก้อนเมฆบนฟ้ากับโคลนตมในดิน

“ข้าได้ข่าวมา เมื่อไม่นานมานี้ที่ตีนเขาคุนหลุนมีร่องรอยของตํานานยุทธที่น่าสงสัยปรากฏตัวขึ้น”

ยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสูงสุดผู้นั้นพูดออกมาอย่างช้าๆ“ข้าได้ยินมาว่าจักรพรรดิมารร้ายที่เพิ่งออกมาจากด่านกตนเรียกคนผู้นั้นว่าท่านผู้ยิ่งใหญ่….”

ยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสูงสุดคนนี้ก็ไม่ได้รู้อะไรเจาะลึกมากนัก ในเวลานั้นมีจอมยุทธหลายร้อยคนมารวมตัวกันที่โรงเตี้ยมแห่งนั้นไม่รู้ว่ามีข่าวลือออกไปมากมายเพียงใด

“เจ็ดสิบปีที่แล้ว จักรพรรดิมารร้ายกําลังจะถึงจุดแปรสภาพพลังและหลังจากปิดด่านฝึกตนไปกว่าเจ็ดสิบปี แม้ว่าจะไม่ได้เป็นระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสมบูรณ์ แต่ก็ต้องอยู่ไม่ไกลแล้ว…”

ชายผิวคล้ําดูเคร่งขรึม

ด้วยความแข็งแกร่งของจักรพรรดิมารร้าย เขากลับถูกบังคับให้ต้องเรียกว่า “ท่านผู้ยิ่งใหญ่” ก็เห็นจะมีแต่ตํานานยุทธเท่านั้นที่ทําได้

“เมื่อเป็นเช่นนั้น หากตํานานยุทธต้องการจะเข้าไปภายในวิหารการสงคราม จะมีใครในหมู่พวกเจ้าที่กล้าขัดขวางด้วยหรือ?” ใบหน้าของยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสูงสุดผู้นั้นมีแววเยาะเย้ยอยู่ในที

จอมยุทธคนอื่นๆ ที่ได้ยินก็ต่างเงียบ

พวกเขาหรือจะกล้าไปขัดขวาง ล้อเล่นหรืออย่างไร? การเข้าไปขัดขวางตํานานยุทธ ไม่คิดจะมีอายุยืนแล้วหรือไร?

“แม้ว่าตํานานยุทธจะมาที่นี่จริงๆ เราจะไปทําอะไรได้? ทุกครั้งที่วิหารการสงครามปรากฏขึ้น มีที่ว่างให้เข้าไปได้ถึงยี่สิบที่แม้จะเป็นตํานานยุทธก็ใช้เพียงที่เดียวเท่านั้น ยังมีที่เหลืออีกตั้งสิบเก้าที่”

ชายผิวคล้ําเย้ยหยัน “แล้วเจ้าพอจะบอกได้ไหมว่าหากมีตํานานยุทธมาด้วยกันทั้งหมดยี่สิบคนทุกคนจะได้เข้าวิหารการสงครามกันหมดทุกที่หรือเปล่า?”

ท่าทีของยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสูงสุดต่างผ่อนคลายลงอย่างกะทันหัน จริงๆ แล้วมันเป็นเรื่องยากมาก ไม่ว่าจะเป็นอดีตหรือในปัจจุบันที่ยุคๆ หนึ่งจะมีตํานานยุทธปรากฏตัวมากถึงยีสิบคน? มันจึงเป็นเรื่องที่ค่อนข้างไร้สาระ

ต่อให้นับรวมตํานานยุทธที่ถือกําเนิดมาแล้วเป็นพันปีมันก็ยังไม่ถึงยี่สิบ

“เอาล่ะ”

“อย่าได้พูดเรื่องไร้สาระกันต่อไปเลย ตามบันทึกที่อ่านมาตอนนี้วิหารการสงครามใกล้จะปรากฏขึ้นแล้ว” หญิงชราที่ถือไม้เท้าพูดต่อไปว่า “วิหารการสงครามที่กําเนิดขึ้นในครั้งนี้ มีทั้งหมดยี่สิบ คนที่จะได้เข้าไปและตอนนี้ก็มีผู้คนมากมายหลายสิบคนรออยู่ในที่แห่งนี้ ”

หญิงชราที่ถือไม้เท้าตรวจสอบผู้คนโดยรอบ ทันใดนั้นก็ส่งเสียงแปลกใจออกมา ดวงตาของนางกวาดไปเห็นจุดหนึ่งที่กึ่งกลางของภูเขา

ในตอนนี้มีสามร่างด้วยกัน โดยที่หันหลังให้กับยอดปรมาจารย์ขั้นสูงสุดมากมายในพื้นที่แห่งนี้

มันคือซูฉินและผู้ติดตาม

บนยอดเขา ความผันผวนของชั้นบรรยากาศกระจายไปทั่วแม้แต่จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของซูฉินยังถูกระงับไปหนึ่งในหมื่นส่วน ไม่ต้องกล่าวถึงจอมยุทธในขอบเขตวิทยายุทธทั้งเก้าระดับชั้นที่ยังไม่เคยแตะถึงขอบเขตตํานานยุทธด้วยซ้ํา

ยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสูงสุดเหล่านี้เพิ่งจะขึ้นมาถึงส่วนยอดเขาดังนั้นจึงเพิ่งค้นพบการมีอยู่ของซูฉินและคนอื่นๆ

“พวกเขาคือ?”

หญิงชราที่ถือไม้เท้าค้ํายันขมวดคิ้วมุ่น ซูฉินได้หันหลังให้พวกเขาโดยสิ้นเชิงไม่สามารถเห็นรูปร่างหน้าตาได้เลย

“เฉียนขู่จากวัดเส้าหลิน?”

เป็นที่รู้กันว่าเฉียนขู่นั้นเป็นยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งความไม่พอใจปรากฏขึ้นบนใบหน้าของพวกเขา

ในความเห็นของพวกเขา เฉียนขู่ก็เป็นเพียงชนรุ่นหลังและไม่ได้เป็นแม้แต่ระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสูงสุด เขามีคุณสมบัติอะไรที่จะยืนต่อหน้ายอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสูงสุดเหล่านี้?

“เป็นเฉียนขู่จริงๆ”

หญิงชราที่ถือไม้เท้าขมวดคิ้ว แม้ว่าวัดเส้าหลินจะเป็นสุดยอดพรรคในยุทธภพ และมีอรหันต์กําเนิดขึ้นเมื่อยี่สิบปีที่แล้วแต่เฉียนขู่เป็นเพียงยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งเท่านั้น กล้าดีอย่างไรมาปรากฏตัวที่นี่?

“เจ้าหนู เดี๋ยวข้าจะช่วยสั่งสอนเจ้าแทนเจ้าอาวาสชุ่ยเหวินเองต่อหน้าผู้อาวุโสก็ต้องรู้จักการให้ความเคารพ!”

ชายผิวคล้ําโกรธจัด เดิมทีการมีที่ว่างเพียงยี่สิบที่ภายในวิหารการสงครามก็ทําให้เขาเครียดมากพออยู่แล้ว นอกจากนี้ยังมีตํานานยุทธปริศนาอีกหนึ่งจนที่ให้ที่ว่างเหลือแค่สิบเก้า และตอนนี้เขาเห็นว่าเฉียนขู่เพียงอยู่ในระดับชั้นที่หนึ่งเท่านั้น แต่กลับอยู่ใกล้กับวิหา รการสงครามมากแน่นอนมันทําให้เขาไม่พอใจอย่างยิ่ง

หากยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสูงสุดคนอื่นๆ เป็นคนกุมที่ว่างภายในวิหารการสงครามไว้ แม้ว่าเขาจะไม่เต็มใจ แต่เขาก็จะไม่มีความคิดอื่นใด แต่กับคนรุ่นหลังอย่างเฉียนขู่ หากคว้าที่ว่างในการเข้าสู่วิหารการสงครามไปได้ มันคงเป็นความอัปยศต่อยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสูงสุดอย่างชายผิวคล้ํา

เมื่อคิดได้ดังนั้น ชายผิวคล้ําก็ก้าวออกไปด้านหน้า วิ่งเข้าหาเฉียนขู่ภายในพริบตา ในขณะเดียวกันก็ยกมือขวาพร้อมที่จะสอนบทเรียนให้แก่เฉียนขู่ แล้วโยนมันออกจากเขาคุนหลุนไป

เบื้องหลังของเฉียนขู่คือวัดเส้าหลิน เขาจึงไม่กล้าสังหารแต่การโยนออกไปนั้นไม่จําเป็นต้องกังวลแต่ประการใด

เมื่อเห็นฉากนี้ ยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสูงสุดคนอื่นๆก็ส่ายศีรษะเล็กน้อยแล้วหยุดดู

แม้ว่าชายผิวคล้ําจะเพิ่งเลื่อนระดับมา แต่ท้ายที่สุดเขาก็เป็นถึงยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสูงสุด มันไม่ยากในการที่จะจัดการเฉียนขู่ที่อยู่ระดับชั้นที่หนึ่ง

ในขณะที่ทุกคนกําลังมองด้วยสายตาเย็นชาเหมือนกับเห็นภาพ ที่พรรคพวกของเฉียนขู่ทั้งสามคนจะถูกโยนออกไปเรียบร้อยแล้ว

ชายผิวคล้ําที่วิ่งเข้าไปในระยะหนึ่งร้อยจ้างรอบตัวเฉียนขู่สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วราวกับรู้สึกถึงอะไรบางอย่าง

ในช่วงเวลาต่อมา

แกรัก แกรัก

สายลมพัดโชยผ่านไป

เห็นรอยร้าวปรากฏขึ้นบนร่างของชายผิวคล้ําอย่างต่อเนื่องและในที่สุดมันก็แตกกระจายออกกลายเป็นผุยผง

Related

Sign in Buddha’s palm 239 (1) ยืดอายุพันปี!

[ขอแสดงความยินดี โฮสต์ลงชื่อเข้าใช้สําเร็จ ได้รับผลเซียน ‘ลูกท้อป้าน’]

 

เสียงจักรกลเย็นชาดังขึ้นในหูของซูฉิน

 

“ลูกท้อป้าน?”

 

“ผลไม้เซียน?”

 

รูม่านตาของซูฉินหดตัวลงเล็กน้อย

 

แม้ว่าซูฉินจะรู้สึกได้ถึงการมีอยู่ของ ‘เต๋าสะสม’ บนยอดเขาคุนหลุนได้เล็กน้อย และสามารถลงชื่อเข้าใช้เอาสิ่งดีๆ ออกมาได้ แต่เขาไม่ได้คาดหวังว่ามันจะกลายเป็นผลไม้เซียนในตํานานผลนี้

 

“ตามตํานานเล่าว่าผลเซียนลูกท้อบ้านนั้นเติบโตมาจากสวนท้อป้าน สวนท้อป้านนั้นมีเจ้าแม่ซีหวังหมู่คอยดูแลอยู่ และภูเขา คุนหลุนแห่งนี้ก็เป็นสถานที่ที่ซีหวังหมู่อาศัยอยู่ หากจะลงชื่อเข้าใช้ แล้วได้ลูกท้อบ้านมาก็พอเข้าใจได้…”

 

ชั่วแวบเดียว ความคิดของซูฉินก็ใคร่ครวญไปอย่างรวดเร็ว จิตใจของเขาผสานเข้ากับพื้นที่ของระบบ และพบผลไม้จิตวิญญาณขนาดเท่ากําปั้นวางอยู่ที่มุมหนึ่ง

 

ผลไม้วิญญาณนี้ ทั่วทั้งผลเป็นสีแดง มีไอพลังที่ไม่สามารถอธิบายได้เปล่งกระจายออกมาอย่างแผ่วเบา

 

“นี่คือลูกท้อป้าน? ลูกท้อป้านที่รู้จักกันในนามของผลไม้แห่งชีวิตนิรันดร์?”

 

ซูฉินดูประหลาดใจ

 

ตามข้อมูลของระบบที่บอกเขามา เมื่อใดที่ซูฉินกลืนลูกท้อป้านผลนี้เข้าไป มันจะสามารถยืดอายุขัยของเขาออกไปได้เป็นพันปีโดยไม่มีผลข้างเคียงแอบแฝง

 

การยืดอายุให้ยืนยาวได้เป็นพันปี สิ่งนี้มันคืออะไรกัน?

 

โดยทั่วไปมีเพียงมนุษย์ที่อยู่ในขอบเขตเชียนเทพปฐพี่เท่านั้นที่มีอายุขัยนับพันปี

 

และเซียนเทพปฐพี่หาได้ยากเพียงใด? แม้แต่ในช่วงกระแสปราณฉีเฟื่องฟูครั้งล่าสุดก็มีเพียงหนึ่งในพันล้านเท่านั้น

 

ตรองอีกที

 

ถึงแม้จะเป็นที่รู้กันว่าเซียนเทพปฐพี่สามารถอยู่ได้มากถึงพันปี แต่ความจริงแล้ว เซียนเทพปฐพี่ใช้เวลาส่วนใหญ่ในการปิดด่านฝึกตนและฝึกฝนบ่มเพาะ ไม่ได้มีเวลามากพอที่จะมาใช้ไปเพื่อความเพลิดเพลิน

 

และตอนนี้

 

ผลเซียนลูกท้อบ้านผลนี้กลับเทียบเท่ากับอายุขัยอันยืนยาวของเซียนเทพปฐพี แม้ในช่วงรุ่งเรืองของกระแสปราณฉีครั้งล่าสุด มันก็ยังนับว่าเป็นสิ่งของหายาก หากเรื่องราวนี้แพร่กระจายออกไปยอมต้องทําให้ผู้แข็งแกร่งเข้าต่อสู้น้ําหั่นกันอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง

 

“ลูกท้อป้าน…”

 

ซูฉินแตะปลายคาง เกิดความสงสัยขึ้นภายในใจ

 

ตามที่เขารู้มา ลูกท้อป้านที่แท้จริงนั้นไม่ได้มีผลลัพธ์ธรรมดาๆ อย่างเพิ่มพูนอายุขัยของผู้คนได้เพียงพันปีอย่างแน่นอน แต่สามารถทําให้ผู้คนเป็นอมตะได้ในทันที และลูกท้อป้านที่มีคุณภาพสูงบางผลสามารถทําให้ผู้กินสามารถมีชีวิตอยู่ได้ประดุจผืนฟ้าผืนปฐพี

 

อย่างไรก็ตามเมื่อซูฉินลองคิดๆ ดูบางทีลูกท้อป้านที่เขาลงชื่อได้รับมาอาจจะไม่ใช่ลูกท้อป้านที่โตเต็มที่จึงเป็นปกติที่มันจะไม่ได้ มีผลเช่นเดียวกับลูกท้อบ้านของจริง

 

แต่แค่ได้รับลูกท้อป้านที่ช่วยยืดอายุขัยได้พันปี ซูฉินก็พึงพอใจมากแล้ว ตอนนี้เขามีอายุขัยหนึ่งพันปี และเมื่อกลืนลูกท้อป้านผลนี้ เข้าไปอายุขัยก็จะเพิ่มขึ้นเป็นสองพันปี

 

เวลาสองพันปีที่ซูฉินมีชีวิตอยู่ เซียนเทพปฐพีก็คงตายไปแล้วสองชั่วอายุคน

 

“ในการเดินทางมาที่เขาคุนหลุนในครั้งนี้ แม้จะยังไม่ได้ลงชื่อเข้าใช้ในวิหารการสงคราม แต่มันก็นับเป็นการเดินทางที่คุ้มค่าแล้ว…..”

 

ซูฉินพยักหน้าเล็กน้อย มองไปยังใจกลางของภูเขาและครุ่นคิดอยู่ภายในใจตน

 

ในช่วงเวลาที่เหลือ ซูฉินก็นั่งขัดสมาธิรอคอยการกําเนิดขึ้นของวิหารการสงครามอย่างเงียบๆ

 

สําหรับเฉียนขู่และหลีหว่าน พวกเขายืนอยู่ด้านหลังของซูฉินอย่างเคารพนบนอบ แม้ว่าพวกเขาจะไม่สามารถกินลมกินอากาศ เพื่ออยู่รอดได้เหมือนกับซูฉิน แต่ด้วยกําลังภายในของพวกเขาก็ทําให้ไม่จําเป็นต้องดื่มกินเป็นเวลาหลายวันไปจนถึงหลายสิบวัน

 

เมื่อเวลาผ่านเลยไป

 

ยิ่งผ่านไปนานเท่าไหร่ เวลาที่วิหารการสงครามจะถือกําเนิดขึ้นก็ใกล้เข้ามาทุกที

 

ในเวลานี้ เหล่าผู้ทรงพลังอํานาจต่างก็ขึ้นมาบนยอดเขามากขึ้นเรื่อยๆ ยึดพื้นที่ของตนไว้มั่น ระแวงซึ่งกันและกัน

 

ตัวตนทรงพลังอํานาจเหล่านี้อย่างน้อยก็เป็นยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสูงสุด และมีหลายคนในนี้ก็แปรสภาพพลังได้มากกว่าหนึ่งครั้ง ในเวลานี้พวกเขาก็มารวมตัวกันที่นี่โดยคิดว่าจะใช้โอกาสอันดีภายในวิหารการสงครามเพื่อก้าวหน้าขึ้นไปอีกขั้นหลังจากนั้นก็จะสามารถมีอายุขัยมากขึ้นเป็นห้าร้อยปี

 

“คราวนี้ที่วิหารการสงครามได้ถือกําเนิดขึ้น ตามบันทึกก่อนหน้านี้ มันสามารถเข้าไปได้เพียงแค่ยี่สิบคนเท่านั้น พวกเจ้าแน่ใจหรือว่าต้องการจะแข่งขันกับข้า?” ชายผิวคล้ําคนหนึ่งที่มีกลิ่นอายชวนน่าอึดอัดเหลือบมองคนอื่นๆ แล้วพูดอย่างเย็นชา

 

Sign in Buddha’s palm 238 (II)

 

Sign in Buddha’s palm 238 (11) เข้าสู่ระบบ! ผลเซียน” ลูกท้อบ้าน!

 

“อย่านะ!”

 

“ท่านผู้ยิ่งใหญ่ ไว้ชีวิตข้า!”

 

ทันทีที่จักรพรรดิมารร้ายร้องขอความเมตตา ทั้งร่างก็ถูกทําลายด้วยพลังอันน่าสะพรึงกลัว แม้แต่จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ก็ไม่อาจหนีรอดถูกกําจัดออกไปกลายเป็นเถ้าถ่าน

 

เฉียนขู่ที่เฝ้ามองอยู่ด้านข้าง ไม่ได้มีความตั้งใจจะหยุดแต่ประการใด

 

จักรพรรดิมารร้ายแต่เดิมก็เป็นบุคคลที่ทําเรื่องเลวร้ายภายในโลกหล้านี้ไว้มากมาย เจ็ดสิบปีที่แล้วไม่รู้ว่ามีคนถูกสังหารไปแล้วกี่คน การที่ต้องมาตายเช่นนี้ก็เป็นเรื่องสมควรแล้ว

 

“เอาล่ะ”

 

“พวกเราไปที่ยอดเขาคุนหลุนกันเถอะ”

 

ซูฉินพูดอย่างสบายๆ เดินตรงไปยังเขาคุนหลุน

 

เมื่อเห็นดังนี้ หลีหว่านก็รีบเร่งฝีเท้า แม้ว่านางจะยังไม่เติบใหญ่เป็นเพียงเด็กวัยแรกรุ่น แต่นางก็เป็นถึงผู้ฝึกยุทธในขอบเขตสามระดับกลาง เมื่อโคจรกําลังภายในแล้วออกแรงวิ่ง จะไม่สามารถพบเห็นฉากที่นางเหนื่อยจนต้องหอบหายใจได้เลย

 

“ท่านผู้ทรงสมณศักดิ์”

 

“มังกรปีศาจภายในวิหารการสงคราม…”

 

สีหน้าของเฉียนขู่เปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อย แม้ว่าเขาจะไม่เคยเข้าไปภายในวิหารการสงคราม แต่จักรพรรดิมารร้ายได้บอกข้อมูลอันล้ำค่ามา อย่างความแข็งแกร่งของมังกรปีศาจที่คาดเดาไม่ได้ ภายในวิหารการสงครามนั้นไม่ปลอดภัย ไม่รู้ว่ามีผู้คนมากมายเท่าไหร่ที่ตกตายภายใต้พลังของมังกรปีศาจตนนั้น

 

เฉียนขู่ไม่ได้กังวลว่ามังกรปีศาจจะสังหารซูฉินได้ แต่ถ้ามังกรปีศาจลากถ่วงซูฉินเอาไว้จนวิหารการสงครามปิดตัวลง เป็นไปได้ไหมว่าซูฉินจะถูกขังอยู่ภายในวิหารการสงครามตลอดไป?

 

“สบายใจได้”

 

ซูฉินเหมือนจะเห็นถึงความกังวลของเฉียนขู่โดยไม่ได้หันกลับไปมอง “สัตว์ร้ายที่อยู่ด้านในไม่สามารถพรากชีวิตข้าได้”

 

แม้ว่าน้ำเสียงของซูฉินจะเรียบนิ่ง แต่ก็เผยความมั่นใจอยู่เล็กๆ

 

แม้ว่ามังกรปีศาจจะแข็งแกร่ง แต่ปัจจุบันซุฉินก็ไม่ได้อ่อนแอ เขาถือไพ่ลับไว้ในมือจํานวนนับไม่ถ้วน หากมังกรปีศาจรู้ความ ยอมซ่อนตัวอยู่ในมุมมืดอย่างเชื่อฟัง ซูฉินจะไม่ใส่ใจอีกฝ่ายเลย แต่ถ้ามันมีความคิดเว้าวอนใฝ่หาความตาย ซูฉินก็ไม่รังเกียจที่จะสังหารมัน

 

ไม่นาน

 

ทั้งสามต่างก็รีบเดินไปที่เขาคุนหลุน

 

เมื่อเข้าใกล้ยอดเขาคุนหลุนมากขึ้นเรื่อยๆ แรงกดดันที่อธิบายไม่ถูกก็เริ่มก่อตัวอยู่ในอากาศ แรงกดดันนี้มีอยู่ทั่วทุกหนทุกแห่ง ทุกตารางนิ้วในชั้นบรรยากาศ

 

เฉียนขู่นั้นไม่ได้เป็นอะไร อย่างไรเสียเขาก็เป็นแนวหน้าของยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่ง ควบคู่ไปกับผลของกําลังภายในสายพุทธที่ช่วยทําให้จิตใจสงบตั้งมั่น จึงไม่ได้รับผลกระทบอะไรมาก

 

แต่หลีหว่านไม่สามารถทนได้อีกต่อไป ใบหน้าเล็กๆ ของนางซีดเผือด และรู้สึกว่ากําลังภายในของนางแทบจะหยุดโคจรเมื่อเจอกับแรงกดดันนี้

 

“ลุงสาม ข้ารู้สึกเหมือนกําลังจะตาย…” หลีหว่านเดินช้าลงเรื่อยๆ และแม้แต่การเปิดปากพูดก็กลายเป็นเรื่องยากอย่างมาก

 

“เอาแผ่นไม้ที่สลักสัญลักษณ์รูปดาบที่ข้าได้มอบให้มาถือไว้” ซูฉินเหลือบมองหลีหว่านแล้วกล่าวคํา

 

“เจ้าค่ะ”

 

หลีหว่านหยิบแผ่นไม้ขึ้นมาทันที และถือมันไว้แน่น มีความอบอุ่นเล็กๆ แผ่ซ่านออกมาและหลีหว่านก็รู้สึกว่าแรงกดดันรอบข้างพลันหายไปหมดในพริบตาเดียว

 

“ลุงสาม นี่มันเกิดอะไรขึ้น” หลีหว่านโล่งอก เอ่ยถามออกมาด้วยความสงสัย

 

เมื่อได้ยินเช่นนี้ เฉียนขู่ที่อยู่ถัดออกไปก็เงี่ยหูฟังทันที ตัวเขาเองก็อยากรู้เช่นกันว่าแรงกดดันในอากาศนี้มันคืออะไร

 

ก่อนหน้านี้เขาเคยมาที่เขาคุนหลุน แต่ไม่เคยพบว่าเขาคุนหลุนจะมีสิ่งผิดปกติอะไรเช่นนี้?

 

“วิหารการสงครามกําลังถือกําเนิด มันแทรกทะลวงมิติออกมาเกิดระลอกคลื่นในชั้นบรรยากาศ จึงส่งผลให้เกิดปรากฏการณ์ครั้งยิ่งใหญ่บนโลก ดังนั้นเจ้าจึงรู้สึกอึดอัด…”

 

ซูฉินเงยหน้าขึ้นมองยอดเขาคุนหลุน ดวงตาของเขาลุ่มลึก

 

มุมมองของเขาแตกต่างจากคนอื่นๆ ด้วยดวงตาแห่งสัจจะและวิชาปราณฉีฟ้ากําหนด บนยอดเขาคุนหลุนนั้นในสายตาของซูฉินเห็นเป็นระลอกคลื่นจํานวนนับไม่ถ้วน

 

“ดูเหมือนว่าวิหารการสงครามนั้นจะเกี่ยวข้องกับผู้ที่ทรงพลังแข็งแกร่งจนถึงขีดสุดจริงๆ ”

 

ความคิดของซูฉินผันผวนเล็กน้อย นึกเรื่องราวภายในใจอย่างรวดเร็ว

 

นักพรตเฒ่าแห่งสํานักเอกะวิถีได้กล่าวว่าในยุคกระแสปราณฉีเฟื่องฟูครั้งล่าสุด มีคนคาดเดาว่าวิหารการสงครามเป็นสิ่งที่สุดยอดผู้แข็งแกร่งเป็นผู้สร้างขึ้นมา

 

ตอนนี้ซูฉินได้เห็นฉากที่วิหารการสงครามกําลังจะปรากฏออกมา เขาก็รู้สึกว่าคํากล่าวของนักพรตเฒ่ามีความน่าเชื่อถืออยู่บ้าง

 

แม้ว่าซูฉินจะไม่ใช่เซียนเทพปฐพี แต่เขาก็พอเข้าใจระดับของเซียนเทพปฐพีอย่างคร่าวๆ อย่างกลวิธีที่จ้าวทะเลบูรพาใช้เพื่อไต่ขึ้นไปถึงจุดสูงสุดของขอบเขตเซียนเทพปฐพี

 

เวลาผ่านไปอย่างช้าๆ

 

หนึ่งชั่วโมงต่อมา ซูฉินและคนอื่นๆ ก็มาถึงส่วนยอดเขาคุนหลุน

 

ความกดดันในชั้นบรรยากาศเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ส่งผลให้แทบไม่มีจอมยุทธคนใดขึ้นมาเลย นักรบส่วนใหญ่ที่มาต่างก็รอกันอยู่ที่ตีนเขาคุนหลุนและรอจนกว่าวิหารการสงครามจะปรากฏออกมาอย่างสมบูรณ์ก่อนจะทะยานขึ้นสู่ยอดเขา

 

แน่นอน

 

ว่านั่นเป็นเพียงคนส่วนใหญ่

 

ยังมีจอมยุทธซ่อนเร้นมากมายอยู่บนไหล่เขา จอมยุทธเหล่านี้มีรัศมีพลังอันลึกซึ้ง อย่างน้อยก็เป็นยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งที่แปรสภาพพลังหนึ่งครั้ง เมื่อเฉียนขู่เห็นเข้าก็แอบตื่นตระหนกในใจ

 

ถ้าไม่ใช่เพราะมีซูฉินอยู่เคียงข้าง เกรงว่าเฉียนขู่จะหันหลังจากไปนานแล้ว แม้ว่าวิหารการสงครามจะเป็นสิ่งที่ดี แต่สิ่งที่ดีกว่าคือการมีชีวิตรอด

 

“มันเริ่มกดดันจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์แล้ว”

 

ซูฉินแอบใช้จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ตรวจสอบ เมื่อใดก็ตามที่มันถูกปลดปล่อยออกมา เขาสามารถครอบคลุมระยะทางได้อย่างน้อยกร้อยลี้ แต่ตอนนี้กลับรู้สึกว่าถูกจํากัดพลังไปหนึ่งส่วนจากหมื่นส่วน

 

ขณะนี้

 

ในที่สุดก็มาถึงจุดสูงสุดของยอดเขาคุนหลุน

 

“ที่นี่คือ?”

 

หลีหว่านเบิกตากว้างด้วยความตกใจ

 

ตอนนี้ส่วนยอดของเขาคุนหลุนเต็มไปด้วยระลอกคลื่นอยู่ทั่วทุกหนทุกแห่ง ทุกอย่างสั่นสะเทือน ไอพลังที่น่าหวาดกลัวกระจายอยู่ทุกที่ เพียงแค่มองดูก็รู้สึกสยดสยองเหมือนตกลงไปอยู่ในขุมนรก

 

“น่ากลัวเกินไปแล้ว…”

 

ร่างของเฉียนขู่สั่นเทา

 

ตอนแรกเขายังสงสัยว่าทําไมยอดปรมาจารย์เหล่านั้นจึงต้องซ่อนตัวอยู่บนไหล่เขาแทนที่จะขึ้นไปอยู่บนยอดเขา ตอนนี้ดูเหมือนจะพอเข้าใจแล้วว่าไม่ใช่พวกเขาไม่ต้องการ แต่พวกเขาแค่ไม่กล้า

 

ในสภาพที่มีระลอกคลื่นหนาแน่นในชั้นบรรยากาศเช่นนี้ แม้แต่ยอดปรมาจารย์ขั้นสูงสุดก็ยังเกรงกลัว

 

“น่าจะปรากฏออกมาอย่างสมบูรณ์ภายในหนึ่งวัน”

 

สีหน้าของซุฉินยังคงไม่เปลี่ยนแปลง ทั้งยังประมาณเวลาการเกิดวิหารการสงครามเสียอย่างนั้น

 

จอมยุทธทั่วไปอาจจะหวาดกลัวกับระลอกคลื่นในชั้นบรรยากาศนี้ แต่ซูฉินได้มองทะลุทุกสิ่งได้ด้วยดวงตาแห่งสัจจะและวิชาปราณฉีฟ้ากําหนด แม้ระลอกคลื่นในชั้นบรรยากาศนี้จะน่ากลัว แต่มันก็กําหนดพิกัดเฉพาะเอาไว้บนยอดเขา เพียงเท่านั้นตราบใดที่ไม่ ผืนเข้าไปหามันก็จะไม่มีอันตรายใด

 

“ถึงแม้ว่าวิหารการสงครามจะยังไม่ถือกําเนิดขึ้น แต่ก็ใช่ว่าจะลงชื่อเข้าใช้ไม่ได้ ที่นี่คือยอดเขาคุนหลุนที่มีประวัติศาสตร์อันยาวนาน จะมี” เต่าสะสม ให้ข้าได้ลงชื่อเข้าใช้หรือไม่นะ?”

 

ซูฉินคิดเรื่องนี้แววตาของเขาก็เป็นประกาย

 

เขาคุนหลุนนั้นขึ้นชื่อว่าเป็นหมื่นขุนเขาโบราณ เป็นดินแดนแห่งทวยเทพ ตามตํานานเล่าลือว่าเจ้าแม่ซีหวังหมู่[1] ได้อาศัยอยู่ในภูเขาคุนหลุน

 

แม้ว่าซูฉินจะอยู่บนยอดเขาในตอนนี้ แต่ก็ไม่พบร่องรอยค่ายกลฟ้าดินขนาดใหญ่ใดบนเขาคุนหลุน ทว่าภูเขาคุนหลุนมีตํานานเล่าขานมากมาย เรื่องราวจึงไม่ง่ายดายนัก อาจจะมีถ้ำเซียนของตัวตนทรงพลังคล้ายๆ กับบนเกาะหยิงโจวก็เป็นได้

 

เมื่อคิดได้ดังนี้ ซูฉินก็ก้าวเท้าออกไปก้าวหนึ่งแล้วพึมพําอยู่ภายในใจ

 

“ระบบ ลงชื่อเข้าใช้!”

 

[ขอแสดงความยินดี โฮสต์ลงชื่อเข้าใช้สําเร็จ ได้รับผลเซียน” ลูกท้อบ้าน]

 

[1] ซีหวังหมู่ เป็นเทพธิดาที่คอยดูแลนางฟ้านางสวรรค์ และเป็นตัวแทนของธาตุหยิน เจ้าแม่ชีหวังหมู่ประทับอยู่บนเขากูซานหรือไท้ซานบนเทือกเขาคุนหลุน ซึ่งเจ้าแม่ก็ได้ปลูกต้นท้อเอาไว้มากมาย และจะจัดงานเลี้ยงลูกท้อฉลองวันเทวสมภพของพระนางเองที่ตําหนักเหยาฉือ

 

เข้าสู่ระบบ “ฝ่ามือยูไล [Sign in Buddha’s palm] Sign in Buddha’s palm 238 (I) เข้าสู่ระบบ! ผลเซียน’ลูกท์…

Sign in Buddha’s palm 238 (1) เข้าสู่ระบบ! ผลเซียนลูกท้อบ้าน!

“อนุมัติโดยมังกรปีศาจ?” ซูฉินตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง

 

จากความทรงจําในชาติก่อนของซูฉิน เขารู้ว่าวิหารการสงครามได้รับการปกป้องโดยมังกร แต่ความแข็งแกร่งของมังกรปีศาจนั้น มากเพียงไรเป็นมังกรสายเลือดแท้หรือไม่ ทั้งหมดนั้นไม่ชัดเจน

 

ตอนที่ได้ยินคํากล่าวของจักรพรรดิมารร้าย ใบหน้าของเขาก็ดูครุ่นคิด

“มิผิด” เมื่อเห็นว่าซูฉินกําลังสนใจ จักรพรรดิมารร้ายก็รีบพูดต่ออย่างรวดเร็ว“มังกรปีศาจตนนั้น ว่ากันว่าอยู่มาตั้งแต่วิหารการสงครามปรากฏตัวขึ้นเมื่อแปดพันปีก่อน และบางคนก็สงสัยว่ามันอาจจะมีชีวิตอยู่มานานกว่าแปดพันปีแล้วโดยปกติมังกรปีศาจนั้นจะหลับสนิทแม้ว่าวิหารการสงครามจะเปิดออก ตราบใดที่ไม่มีใคร ไปยั่วยุมัน ก็จะไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น…”

จักรพรรดิมารร้ายเค้นสมองอย่างหนักและพูดทุกสิ่งที่เขารู้ออกมาอย่างนอบน้อม “อย่างไรก็ตาม หากท่านต้องการเข้ไปยังส่วนลึกของวิหารการสงคราม มันก็จําจะต้องเผชิญหน้ากับมังกรปีศาจตนนี้แต่ตามที่บรรพบุรุษวิถีอธรรมได้บันทึกไว้เมื่อหลายพันปีก่อนบอกได้เพียงว่า ต่อหน้ามังกรปีศาจ ยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งนั้นเปราะบางราวกับผงธุลี”

“บรรพบุรุษสงสัยว่าความแข็งแกร่งของมังกรปีศาจตนนี้อาจจะเหนือกว่าตํานานยุทธทั่วๆ ไป และอยู่ในจุดสูงสุดของขอบเขตตํานานยุทธ

เมื่อจักรพรรดิมารร้ายกล่าวออกมาเช่นนี้ นัยน์ตาของเขาก็สว่างวาบขึ้นมาเล็กน้อยและกล่าวต่อไปว่า “ท่านผู้ยิ่งใหญ่แม้ว่ามังกรปีศาจจะทรงพลังจนไม่สามารถจัดการกับมันได้ แต่ด้วยความแข็งแกร่งของท่านผู้ยิ่งใหญ่ อย่างน้อยก็สูสีกับมังกรปีศาจตนนั้น ตราบใดที่ท่านผู้ยิ่งใหญ่เข้าไปภายในวิหารการสงครามโอกาสอันยิ่งใหญ่ภายในวิหารจะต้องตกเป็นของท่าน ”

ขณะที่จักรพรรดิมารร้ายกล่าวออกไปเช่นนี้ ความคิดหนึ่งก็แวบเข้ามาในใจของเขา

“คนผู้นี้น่ากลัวอย่างยิ่ง อย่างน้อยเขาก็สามารถเป็นคู่ต่อสู้กับมังกรปีศาจได้ ด้วยวิธีนี้ ข้าก็อาจจะฉวยโอกาสแอบเข้าไปภายในส่วนลึกของวิหารการสงครามได้ ”

จักรพรรดิมารร้ายคิดอยู่ภายในใจ ความร้อนแรงพลันปรากฏขึ้นในดวงตาของเขา

ตั้งแต่วิหารการสงครามกําเนิดขึ้นเมื่อแปดพันปีก่อน ไม่เคยมีใครก้าวล้ําเข้าไปในส่วนลึกของวิหารการสงครามมาก่อนทุกคนที่มีความคิดที่จะเข้าไปล้วนถูกปราณของมังกรปีศาจปนเป็นผงกันเสียทั้งหมด

“เป็นอย่างนั้นหรือ?”

ซูฉินแตะปลายคาง ความคิดของเขาผันผวนรวนเร

เดิมที่ซูฉันคิดว่ามังกรปีศาจภายในวิหารการสงครามน่าจะอยู่ในขอบเขตเซียนเทพปฐพี ต้องรู้ว่า ถึงมังกรปีศาจจะมีเพียงร่องรอยสายเลือดของมังกรที่แท้จริง แต่อย่างน้อยมันก็เป็นถึงสายเลือดของสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ มีศักยภาพไร้ขีดจํากัด บางที่อาจจะครอบครองพลังบางอย่างจากมังกรที่แท้จริงซึ่งทําให้มีพลังมากพอที่จะทํา ลายล้างโลก

 

แต่เมื่อได้ยินสิ่งที่จักรพรรดิมารร้ายกล่าวเอาไว้ว่ามังกรปีศาจเป็นเพียงจุดสูงสุดของตํานานยุทธ? แน่นอนว่ามีความเป็นไปได้ที่บรรพบุรุษวิถีอธรรมเมื่อหลายพันปีก่อนอาจจะคาดเดาผิดแต่ตามข้อมูลของสํานักเอกะวิถีในช่วงต้นของยุคกระแสปราณฉีเฟื่องฟูครั้งล่าสุดมีเซียนเทพปฐพี่หลายคนเคยร่วมมือกัน ต้องการจะเข้า ไปสู่วิหารการสงครามแต่สุดท้ายต่างก็หลบหนีกลับไปด้วยสภาพที่เรศทุรัง

ถ้ามังกรปีศาจนั้นอยู่ในขอบเขตเชียนเทพปฐพี่จริงๆด้วยพลังสายเลือดสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ในร่างก็เพียงพอแล้วที่จะบดขยี้เซียนเทพปฐพี่ธรรมดาๆเหล่าเซียนเทพปฐพี่ที่พยายามฝาเข้าสู่วิหารการสงครามจะต้องสูญเสียไปอย่างมหาศาลเพื่อให้หลบหนีออกมาได้ไม่ใช่แค่” หลบหนีออกมาในสภาพทุเรศทุรัง เป็นแน่

“บางทีมังกรปีศาจตนนี้อาจจะเป็นเซียนเทพปฐพี่จริงๆหรืออาจจะอยู่สูงเกินกว่าขอบเขตเซียนเทพปฐพี่ด้วยซ้ําแต่มันมีชีวิตอยู่มาเนิ่นนานจนเกินไป เลือดเนื้อของมันเสื่อมถอยและความแข็งแกร่งลดลงจนแม้แต่เซียนเทพปฐพีไม่กี่คนก็รั้งเอาไว้ไม่ได้?” ซูฉันคิดอยู่ภายในใจเงียบๆ

 

ตามข้อมูลที่ซูฉินรู้มา วิหารการสงครามแห่งนี้มีมานานแล้ว อย่างน้อยก็หลายหมื่นปี แค่นับตั้งแต่ยุคกระแสปราณฉีเฟื่องฟูครั้งล่าสุดมังกรปีศาจนั้นก็น่าจะอยู่มานานนับหมื่นปี

 

ด้วยระยะเวลานานเพียงนี้ แม้มังกรปีศาจจะมีร่องรอยสายเลือดสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ที่แท้จริง แต่มันก็เป็นไปไม่ได้ที่จะถือครองไว้ได้นานมันจะสลายไปพร้อมพลังชีวิตและเลือดเนื้ออย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้และมันก็จะสูญเสียความแข็งแกร่งไปเป็นอันมาก

 

ดังนั้นแม้ว่าซูฉินจะมีฐานบ่มเพาะอ่อนแอกว่ามังกรปีศาจจริงๆเขานั้นกลับเต็มไปด้วยพลังชีวิตและเลือดเนื้อทั้งยังมีไพ่ลับในมือมากมายเพื่อปกป้องตนเองจึงเป็นเรื่องปกติที่จะไม่กลัวมังกรปีศาจ

 

แน่นอนว่าสิ่งที่สําคัญที่สุดคือตอนนี้ซูฉินได้เข้าสู่จุดเริ่มต้นของวิชาภาพดวงตะวันขนาดมหึมาแล้ว แม้ว่ายังห่างไกลจากการสร้างร่างจําแลงอีกาทองคําสามขา แต่มังกรปีศาจก็ไม่ใช่มังกรเลือดบริสุทธิ์ที่แท้จริงทั้งสองต่างคล้ายกัน เพียงแต่กลิ่นอายของสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ในร่างของซูฉินนั้นชัดเจนยิ่งกว่ากลิ่นอายในร่างขอ งมังกรปีศาจ

“เอาล่ะ”

 

“ในเมื่อเจ้าพูดทุกอย่างที่รู้ออกมาหมดแล้ว เจ้าก็ตายได้แล้วล่ะ ”ซูฉินเหลือบมองจักรพรรดิมารร้ายแล้วกล่าวออกมาเบาๆ

 

ด้วยความแข็งแกร่งของซูฉิน แม้ว่าเขาจะไม่สามารถอ่านความคิดของผู้อื่นได้ แต่ก็เข้าใจดีถึงสภาพอารมณ์ของจักรพรรดิมารร้ายว่าคิดดีหรือคิดร้าย

 

จักรพรรดิมารร้ายจงใจจะให้ซูฉินจัดการกับมังกรปีศาจแล้วตัวมันจะซ่อนความรู้สึกที่คิดเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ต่อหน้าจิตสัมผัสของซูฉินได้อย่างไร?

“อะไรกัน?!”

หัวใจของจักรพรรดิมารร้ายรู้สึกเย็นวาบ สัญญาณร้องเตือนดังลั่นภายในใจเขาพยายามเผาผลาญพลังชีวิตและเลือดเนื้อเพื่อหลบหนีไปแต่ก็พบว่าอากาศโดยรอบนั้นแน่นไปหมดไม่ว่าจะเป็นบนล่างซ้ายขวาประหนึ่งเขาเป็นนักโทษที่ถูกคุมขัง

 

“อย่านะ!”

“ท่านผู้ยิ่งใหญ่ ไว้ชีวิตข้า!”

ทันทีที่จักรพรรดิมารร้ายร้องขอความเมตตาทั้งร่างก็ถูกทําลายด้วยพลังอันน่าสะพรึงกลัว แม้แต่จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ก็ไม่อาจหนีรอดถูกกําจัดออกไปกลายเป็นเถ้าถ่าน

 

Sign in Buddha’s palm 237 มังกรปีศาจ

 

ตีนเขาคุนหลุน

ด้านนอกโรงเตี้ยม

จอมยุทธทุกคนล้วนมีนงงและตกใจ

ประการแรกสงฆ์ศักดิ์สิทธิ์เฉียนขู่ไล่ล่าสังหารยอดปรมาจารย์ฝ่ายอธรรมทั้งสี่คนมาเป็นระยะทางหลายหมื่นลี้ จากนั้นจักรพรรดิมารร้ายที่บิดด่านฝึกตนไปตั้งแต่เจ็ดสิบปีที่แล้วก็ปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง แต่เมื่อจักรพรรดิมารร้ายโผล่ออกมา ไม่เพียงไม่ลงมือต่อเฉียนขู่ แต่กลับตบยอดปรมาจารย์ฝ่ายอธรรมทั้งสี่จนตกตายด้วยฝ่ามือเดียว

สุดท้าย สิ่งที่ทําให้จอมยุทธทั้งหลายตกใจยิ่งกว่าก็คือ จักรพรรดิมารร้ายคํานับใครสักคนภายในโรงเตี้ยมด้วยความเคารพ และเรียกขานว่า “ท่านผู้ยิ่งใหญ่”

 

เจ็ดสิบปีที่แล้วจักรพรรดิมารร้ายอยู่ในชั้นแนวหน้าของยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งเกือบจะแปรสภาพพลังได้แล้ว เป็นตัวตนที่ทรงพลังจนไม่มีใครเทียบเทียม ตอนนี้ก็ผ่านมากว่าเจ็ดสิบปีแล้ว แม้ว่าจักรพรรดิมารร้ายจะไม่ได้เป็นยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสมบูรณ์แต่เกรงว่าคงอยู่ไม่ไกลแล้ว คงมีคนที่มีพลังอํานาจเทียบเท่าจักรพรรดิมารร้ายไม่มากนักบนทวีปนี้ แต่เขากลับเรียกใครบางคนว่าท่านผู้ยิ่งใหญ่

หากเรื่องราวตรงหน้าได้แพร่กระจายออกไป โลกจะต้องสั่นสะเทือนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

 

หัวใจของจอมยุทธจํานวนนับไม่ถ้วนเต้นถี่รัว สายตากวาดไปทั่วโรงเตี้ยม และความคิดก็แวบเข้ามาในหัวอย่างรวดเร็ว ต้องยิ่งใหญ่เพียงไหนจึงจะสามารถทําให้จักรพรรดิมารร้ายที่ท่องอยู่ในโลกหล้ามาเป็นเวลานานต้องเรียกขานว่า “ท่านผู้ยิ่งใหญ่” ด้วยความเคารพ?

ในขณะนี้ เจ้าของโรงเตี้ยมอ้วนซึ่งอยู่บนชั้นสองของโรงเตี้ยมก็ตัวแข็งที่อและสั่นเทา

การที่จักรพรรดิมารร้ายก้มลงคารวะโรงเตี้ยมหมายความเช่นไร เจ้าของโรงเตี้ยมอ้วนจะไม่ทราบได้อย่างไร?

 

“ตํานานยุทธ”

 

“อย่างน้อยก็ต้องมีตํานานยุทธอยู่ภายในโรงเตี้ยม…”

เจ้าของโรงเตี้ยมอ้วนหลั่งเหงื่อเย็นเยียบไหลย้อยไปตามหน้าผาก รู้สึกได้ว่าตนเดินผ่านช่วงเวลาแห่งความเป็นความตายมาแล้ว

 

ตํานานยุทธเข้ามาภายในโรงเตี้ยมของเขา หากสร้างความไม่พอใจให้ละก็ เกรงว่าเจ้าของโรงเตี้ยมคงตายไปนานแล้ว ตายจนไม่สามารถจะตายได้อีก

“ไม่น่าแปลกใจ ไม่น่าแปลกใจเลยที่ไอพลังปราณของจักรพรรดิมารร้ายได้หายไปภายในพริบตา กลับกลายเป็นว่าถูกตํานานยุทธจับตัวไว้ได้…” เจ้าของโรงเตี้ยมอ้วนรู้สึกได้ว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นคลายข้อสงสัยของเขาได้หมดแล้ว

 

จอมยุทธที่เหลือภายในโรงเตี้ยมต่างตกตะลึงพากันตัวสั่น

พวกเขาอาจจะไม่ได้คาดคิดได้มากเท่าเจ้าของโรงเตี้ยม แต่ก็ตระหนักได้ว่ามีตัวตนที่ไม่สามารถยั่วยุได้อยู่ภายในโรงเตี้ยม

“แท้จริงแล้วคือใครกัน?!”

 

เฉียนขู่เหมือนกับเผชิญหน้าอยู่กับศัตรูตัวฉกาจ หากเป็นเพียงจักรพรรดิมารร้าย เขาคิดว่าดาบไม้ขนาดเท่าฝ่ามือด้ามนี้ที่ซูฉินทิ้งไว้ให้ก็เพียงพอที่จะจัดการกับมันได้ แต่ตอนนี้ เมื่อเห็นท่าทีของจักรพรรดิมารร้าย เห็นได้ชัดว่ามีผู้อื่นที่ยืนอยู่เบื้องหลังของ เขาอีกที

ยิ่งกว่านั้น ความแข็งแกร่งของบุคคลนี้จะต้องเหนือกว่าจักรพรรดิมารร้ายอย่างมาก และเป็นไปได้ว่าจะเป็นการดํารงอยู่ในขอบเขตตํานานยุทธ

 

ช่วงเวลาต่อมา

 

ท่ามกลางสายตาที่จ้องมองมาของจอมยุทธทุกคน ร่างสูงเพรียวก็ค่อยๆเดินออกมาจากโรงเตี้ยม

 

ซูม!!!

 

ความรู้สึกสยดสยองดูเหมือนระเบิดออกมาจากส่วนลึกภายในใจของทุกๆคน จอมยุทธจํานวนมากต่างกระแทกเข่าลงกับพื้น รู้สึกว่าร่างที่ออกมาจากโรงเตี้ยมนั้นเป็นเหมือนกับเทพเซียน

 

ไม่อาจจ้องมองตรงๆ

 

ไม่อาจหยั่งถึง

 

“ท่าน ท่านผู้ทรงสมณศักดิ์”

 

มีเพียงเฉียนขู่เท่านั้นที่เบิกตากว้างมองอย่างเหลือเชื่อ

ในเวลานี้ ไม่น่าเชื่อว่าร่างสูงเพรียวที่เดินออกมาจากโรงเตี้ยมจะ เป็นสงฆ์ผู้ทรงสมณศักดิ์ที่ออกจากวัดเส้าหลินไปกว่ายี่สิบปีแล้ว

“ตามมาเถอะ”

 

“ตรงนี้ไม่สะดวกแก่การพูดคุย”

ซูฉินเหลือบมองเฉียนขู่แล้วเดินจากไป

“ขอรับ”

 

เฉียนขู่รีบตามไปทันที

จักรพรรดิมารร้ายลังเลอยู่ครู่หนึ่ง และไม่มีความกล้าพอที่จะฉวยโอกาสในตอนนี้หลบหนีไป ดังนั้นจึงทําได้เพียงเดินตามเฉียนขู่ไปในลักษณะเดียวกัน

จนกระทั่งซูฉินเดินจากไปอย่างสมบูรณ์

จอมยุทธทั้งหลายในที่แห่งนี้ต่างยังไม่ฟื้นคืนสติเต็มที่ ทันทีที่พวกเขาเห็นร่างเพรียวเดินออกมาจากโรงเตี้ยม พวกเขาก็เหมือนกับจ้องเข้าไปที่ดวงอาทิตย์ ดวงตาของพวกเขาเริ่มพร่ามัว ไม่ต้องกล่าวถึงความหวาดกลัวที่แทรกซึมอยู่ในใจพวกเขาเลย

“ตํานานยุทธ นั่นคือตํานานยุทธ ” จอมยุทธบางคนสั่นสะท้านไปทั้งตัว พูดออกมาด้วยความตื่นเต้น

 

เมื่อจอมยุทธที่เหลือได้ยินเช่นนี้ หัวใจของพวกเขาก็เต้นถี่รัว

 

ทําให้จักรพรรดิมารร้ายต้องยําเกรงจนเรียกว่า “ท่านผู้ยิ่งใหญ่ และหยุดอยู่ตรงนั้นไม่กล้าไปไหน ทั้งยังทําให้จอมยุทธในที่แห่งนี้ ทุกคนต้องคุกเข่าลงกับพื้นไม่กล้าจ้องมองไปตรงๆ เกรงว่าจะมีเพียงตํานานยุทธเท่านั้นที่สามารถทําเช่นนี้ได้

“ไม่รู้ว่าเขาเป็นใคร? ตํานานยุทธเมืองฉางอัน? หรือผู้ทรงสมณศักดิแห่งวัดเส้าหลิน?”

เมื่อเวลาผ่านไป จอมยุทธบางคนก็ค่อยๆฟื้นสติขึ้นมาทีละคน และเข้าร่วมบทสนทนา

 

สําหรับจอมยุทธเหล่านี้ นับประสาอะไรกับตํานานยุทธ แม้แต่ขอบเขตสามระดับบนยังห่างไกล ในตอนนี้เมื่อได้พบขอบเขตตํานานยุทธก็เพียงพอแล้วที่จะใช้คุยโวไปได้ชั่วชีวิต

 

“ผู้ทรงสมณศักดิ์แห่งวัดเส้าหลินไม่ได้ข้ามน้ําข้ามทะเลไปแล้วหรอกหรือ มันควรจะเป็นตํานานยุทธเมืองฉางอันมากกว่า?” จอมยุทธคนหนึ่งออกความเห็นของตน

“ไม่น่าใช่ ถ้าเป็นตํานานยุทธเมืองฉางอันจริง ก็ไม่จําเป็นต้องช่วยชีวิตสงฆ์ศักดิ์สิทธิ์เฉียนขู่ก็ได้นี่”

 

จอมยุทธคนที่สองเอ่ยออกมา

 

ในขณะนี้ จอมยุทธบางคนได้เริ่มโต้เถียงกัน ให้เหตุผลเรื่องการที่จักรพรรดิมารร้ายลงมือจัดการยอดปรมาจารย์ฝ่ายอธรรมทั้งสี่นั้น น่าจะเป็นการช่วยเฉียนขู่

แต่ตํานานยุทธเมืองฉางอันไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับเฉียนขู่ ควรจะมีแต่ผู้ทรงสมณศักดิ์แห่งวัดเส้าหลินเท่านั้นที่น่าจะทําเช่นนี้

“ไม่ว่าจะเป็นตํานานยุทธเมืองฉางอันหรือผู้ทรงสมณศักดิ์แห่งวัดเส้าหลิน การปรากฏขึ้นของวิหารการสงครามครั้งนี้ ก็นับว่ามีการแสดงดีๆให้ได้ดูชม…”

ดวงตาของจอมยุทธหลายคนเป็นประกาย

 

จริงดังว่า

ตอนนี้วิหารการสงครามใกล้จะโผล่ออกมาแล้ว และเวลานี้ตัวตนขอบเขตตํานานยุทธก็ได้มาอยู่ที่นี่ เกรงว่ามันคงจะเป็นเพราะวิหารการสงครามแห่งนี้แน่

 

……

 

และในขณะที่เหล่าจอมยุทธกําลังพูดคุยกันต่อนั้น

 

ซูฉินก็พาเฉียนขู่และคนอื่นๆ มาที่ใต้ต้นไม้เก่าแก่ต้นหนึ่ง

 

“ศิษย์น้อมพบผู้ทรงสมณศักดิ์” เฉียนขู่แสดงความเคารพต่อซูฉินตามระเบียบปฏิบัติทางศาสนา เขารู้สึกตื่นเต้นมาก หากซูฉินไม่ได้เสริมดวงใจพุทธะและนําทางจิตวิญญาณของเขา เขาคงสวดมนต์นั่งท่องคัมภีร์อยู่ภายในวัดเส้าหลินอยู่ในขณะนี้ จะประสบความสําเร็จจนถึงขนาดนี้ได้เยี่ยงไร

 

“ลุกขึ้นเถิด”

 

ซูฉินโบกมือ

จากนั้นซูฉินก็สอบถามเพิ่มเติมเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นภายในวัดเส้าหลินในปีที่ผ่านๆมา และเฉียนขู่ก็ตอบออกไปตามความจริง

 

เป็นเวลากว่ายี่สิบปีแล้วที่วัดเส้าหลินพึ่งพิงมรดกที่ซูฉินได้ทิ้งเอาไว้ และร่วมด้วยกับความช่วยเหลือของกระแสปราณฉีที่ฟื้นคืน ก็มียอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งเพิ่มขึ้นอีกสองสามคน และแม้แต่เจ้าอาวาสอุ่ยเหวินก็สัมผัสได้จางๆ ถึงการแปรสภาพพลัง

 

ส่วนเรื่องอื่นๆ

วัดเส้าหลินยังคงมีพระพุทธรูปโบราณ มีโคมไฟสีฟ้า ทุกสิ่งยังคงดําเนินไปอย่างเนิบช้า นอกจากการที่มียอดปรมาจารย์เพิ่มขึ้นหลายคน ทุกสิ่งก็เกือบจะเหมือนกับยี่สิบปีที่แล้ว

 

และอีกสิ่งที่น่าพูดถึงก็คือ วัดเส้าหลินได้เริ่มรับสมัครศิษย์รุ่น “หมิง” แล้ว

ศิษย์รุ่น “หมิง” เป็นศิษย์ที่อยู่ถัดจากรุ่นเฉียน” และในฐานะที่ซูฉินเป็นศิษย์รุ่น”เฉิน” เขานั้นก็อยู่ในตําแหน่งของผู้อาวุโสเป็นที่เรียบร้อย

“เจ้ารู้อะไรเกี่ยวกับวิหารการสงครามบ้าง”

 

ซูฉินเหลือบมองไปบนยอดเขาคุนหลุนและถามอย่างไม่ใส่ใจ

 

“วิหารการสงคราม?”

เฉียนขู่สายศีรษะแล้วกล่าวตามจริง “ผู้ทรงสมณศักดิ์ ในครั้งนี้ ข้าไม่ได้มาที่เขาคุนหลุนเพื่อมาวิหารการสงคราม”

 

การกําเนิดขึ้นของวิหารการสงครามนั้นทําให้โลกตื่นตะลึง ในตอนนี้ไม่รู้ว่ามีตัวตนระดับสัตว์ประหลาดที่ซ่อนเร้นอยู่ทั้งหมดมากมายเท่าใด หากอยากจะเข้าไปภายในวิหารการสงครามและได้รับโอกาสอันยิ่งใหญ่ อย่างน้อยก็ต้องเป็นยอดปรมาจารย์ที่ผ่านการแปรสภาพพลังมาแล้วอย่างน้อยหนึ่งครั้งจึงจะมีหวัง

 

แม้ว่าเฉียนขู่จะมีศักยภาพไร้ขีดจํากัด แต่เขาก็ยังเด็กเกินไป แม้ว่าพรสวรรค์จะน่ากลัวแต่ก็เทียบไม่ได้กับสัตว์ประหลาดเฒ่าที่มีชีวิตมานมนานถึง ร้อยเจ็ดสิบ – ร้อยแปดสิบปี และขนาดบางคนที่ใกล้ถึงช่วงสุดท้ายของชีวิตก็ยังมี ส่วนตัวเขาตอนนี้ยังสั่งสมประสบการณ์มาน้อยเกินไป

 

“ท่านผู้ยิ่งใหญ่”

 

“ข้ารู้บางสิ่งเกี่ยวกับวิหารการสงคราม”

ในเวลานี้ จักรพรรดิมารร้ายที่ยืนอยู่ด้านข้างอย่างเคารพก็กล่าวออกมาด้วยความระมัดระวัง

 

“พูดมันออกมา” ซูฉินมองไปที่จักรพรรดิมารร้ายและกล่าวออกมาเบาๆ ไม่ว่าอย่างไรวิหารการสงครามก็ได้รับการสืบทอดมาจากยุคกระแสปราณฉีเฟื่องฟูครั้งล่าสุด ลากยาวมาจนถึงทุกวันนี้ มันจึงไม่ควรมองข้าม

แม้ว่าซูฉินจะมั่นใจในตนเอง แต่เขาก็ไม่ได้หยิ่งผยอง ยังต้องการจะทราบข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับวิหารการสงครามแห่งนี้

 

“ท่านผู้ยิ่งใหญ่”

 

“เท่าที่ข้ารู้มา”

 

รการสงคราม ไม่ใช่

 

จักรพรรดิมารร้ายลังเลอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงกล่าวออกมาอย่างรวดเร็ว

“โอ้ว”

“ว่าต่อไป!”

 

ท่าทีของซูฉินยังคงไม่เปลี่ยนแปลง

 

“เจ้าหมายความว่ามีสิ่งมีชีวิตอยู่ภายในวิหารการสงครามอย่างนั้นหรือ?” เฉียนขู่ประหลาดใจและไม่อยากจะเชื่อ

วิหารการสงครามเปิดออกเพียงครั้งเดียวในรอบหนึ่งพันปี ด้วยระยะเวลาที่ยาวนานเช่นนี้ แม้แต่ตํานานยุทธหรืออรหันต์ก็ล้วนแก่ตายกันไปหมด แล้วจะมีสิ่งมีชีวิตอยู่ได้เช่นไร?

“เมื่อหลายพันปีก่อน บรรพบุรุษของฝ่ายอธรรมได้เข้าไปภายในวิหารการสงครามและรอดชีวิตกลับออกมา โดยเขียนบันทึกเอาไว้ว่าภายในวิหารการสงครามมีสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่ามังกรปีศาจ”

 

จักรพรรดิมารร้ายรู้สึกได้ถึงการจ้องมองของซูฉิน จึงรีบพูดทุกอย่างที่ตนรู้ออกมาโดยไม่ลังเล

 

“มังกรปีศาจ?”

 

รูม่านตาของเฉียนขู่หดตัว

 

ตั้งแต่โบราณกาลมา มังกรเป็นสิ่งมีชีวิตในตํานานศักดิ์สิทธิ์มาโดยตลอด เมฆเคลื่อนคล้อยทะยานไปท่ามกลางสายฝน เป็นสัญลักษณ์ของความแข็งแกร่งโดยแท้ สําหรับมังกรปีศาจภายในวิหารการสงคราม เนื่องจากมันมีคําว่า “มังกร” อยู่ในชื่อ เห็นได้ชัด ว่ามันเป็นสิ่งที่เหนือเกินกว่าจินตนาการของจอมยุทธทั่วๆไป

“มิผิด”

จักรพรรดิมารร้ายพยักหน้าเคร่งขรึม “ในวิหารการสงคราม มีมังกรปีศาจคอยเฝ้าอยู่ หากต้องการรับโอกาสที่ดีภายในวิหารการสงคราม จําเป็นต้องได้รับการอนุมัติจากมังกรปีศาจ”

เมื่อจักรพรรดิมารร้ายกล่าวออกเช่นนี้ สีหน้าของเขาก็ขื่นขมเล็กน้อย “ตามบันทึกของบรรพบุรุษฝ่ายอธรรมของข้า มังกรปีศาจในวิหารการสงครามน่ากลัวอย่างยิ่ง เกรงว่ามันน่าจะเหนือเกินไปกว่าตํานานยุทธธรรมดาๆแล้ว..”

 

เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ จักรพรรดิมารร้ายก็ลอบมองซูฉินอย่างระมัดระวัง

 

Sign in Buddha’s palm 236 (II) ท่านผู้ยิ่งใหญ่

 

“ในเมื่อเป็นเช่นนั้น เจ้าก็จงแก้ปัญหาด้วยตัวเจ้าเถอะ” ซูฉินพูดออกมาด้วยเสียงที่ไม่เนิบช้าแต่ก็ไม่เร่งรีบ

 

เขาเห็นตอนที่เฉียนขู่ต่อสู้แล้ว และพอจะทราบคร่าวๆ ถึงการเติบโตของเฉียนขู่ในช่วงยี่สิบปีที่ผ่านมา ดังนั้นเป็นธรรมดาที่เขาจะไม่สนใจรับชมต่อไป

“แก้ปัญหา?”

 

จักรพรรดิมารร้ายผงะไปชั่วครู่ แต่แล้วเขาก็พลันรู้สึกว่าภูเขาขนาดใหญ่หลายพันจ้างบนบ่าของเขาได้คลายออก และทั่วทั้งร่างก็กลับมาเคลื่อนไหวได้ดังเดิม

 

“ข้าจะไม่ทําให้ท่านผู้ยิ่งใหญ่ต้องผิดหวังแน่นอน!”

 

จักรพรรดิมารร้ายสูดลมหายใจเข้าลึกๆ สงบใจแล้วเดินออกไปนอกโรงเตี้ยม

 

“นี่ไม่มีใครเห็นข้าเลยหรือ?”

 

จักรพรรดิมารร้ายกลืนน้ําลาย เพราะเขาสัมผัสได้ว่าจอมยุทธทั้งหลายในโรงเตี้ยมไม่ได้สังเกตเห็นการมีอยู่ของเขาเลย และแม้แต่เจ้าของโรงเตี้ยมอ้วนก็ไม่ได้มองมาที่ตัวเขา

 

“นี่มันอะไรกันเนี่ย?”

หนังศีรษะของจักรพรรดิมารร้ายชาวาบ แผ่นหลังของเขาเปียกโชกไปด้วยเหงื่อเย็นเยียบ

และในตอนนี้

ด้านนอกโรงเตี้ยม

หลังจากที่ยอดปรมาจารย์ฝ่ายอธรรมที่นําโดยจอมยุทธเจ็ดสามานย์ตะโกนว่า “ขอจักรพรรดิมารร้ายโปรดลงมือ” หลายต่อหลายครั้ง บรรยากาศในพื้นที่ต่อสู้ก็แปลกไปในทันที

ผู้ชมต่างตกใจกลัวอย่างยิ่ง หันหน้ามองกัน กะพริบตาถี่รัว และพบว่าจักรพรรดิมารร้ายที่พวกเขาหวาดกลัวนั้นไม่ปรากฏตัวออกมา

“เกิดอะไรขึ้น?”

“เป็นไปได้ไหมว่าจอมยุทธฝ่ายอธรรมทั้งสี่กําลังโกหก และจักรพรรดิมารร้ายไม่ได้อยู่ที่นี่ตั้งแต่แรก?”

 

“ไม่น่าจะเป็นไปได้? พวกเขากล้าลงมือกันที่นี่ พวกเขาต้องมีแผนการบางอย่าง แม้ว่าจะไม่ใช่จักรพรรดิมารร้าย แต่ก็ต้องเป็นยอดปรมาจารย์ขั้นสูงสุดคนอื่น…”

 

จอมยุทธจํานวนมากมองไปรอบตัวอย่างระมัดระวังและพูดด้วยเสียงต่ํา

“ไม่มีกลิ่นอายชั่วร้ายในระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสูงสุดในบริเวณใกล้เคียง…” เฉียนขู่จับสัมผัสอย่างระมัดระวังด้วยดวงใจพุทธะ เขาขมวดคิ้วเล็กน้อย

เขามีดวงใจพุทธะซึ่งอ่อนไหวต่อพลังงานในโลกอย่างยิ่ง เมื่อจอมยุทธเจ็ดสามานย์กล่าวคําว่า “จักรพรรดิมารร้าย” เฉียนขู่ก็ตรวจสอบสภาพแวดล้อมด้วยดวงใจพุทธะทันที

 

อย่างไรก็ตามภายในโรงเตี้ยมมีไอพลังจางๆ ที่เขาไม่อาจจะมองออกอยู่ แต่แน่นอนว่านั่นไม่ใช่จอมยุทธฝ่ายอธรรม ถ้าบอกว่าเป็นจักรพรรดิมารร้ายก็ยิ่งเป็นไปไม่ได้

 

ในขณะที่เฉียนขู่งงงวยอยู่นั้น

“หนี!”

 

ยอดปรมาจารย์ฝ่ายอธรรมทั้งสี่ที่คุกเข่าอยู่กับพื้น พวกเขาไม่ได้พุ่งเข้าใส่เฉียนขู่แต่อย่างใด แต่รีบวิ่งออกไปโดยรอบแทน

 

หลังจากที่จักรพรรดิมารร้ายไม่ตอบสนองเป็นเวลานานสองนาน จอมยุทธฝ่ายอธรรมทั้งสี่ยังจะกล้ารังรออยู่อีกหรือ พวกมันรีบหนีไปอย่างไม่รีรอ

“ไม่ดีแล้ว!”

 

สีหน้าของเฉียนขู่เปลี่ยนไปเล็กน้อย สิ่งที่เขากังวลใจมากที่สุดคือสิ่งนี้ จังหวะที่ยอดปรมาจารย์ฝ่ายอธรรมทั้งสี่พากันกระจัดกระจายหนีไป ถึงจะเป็นความเร็วในระดับของเฉียนขู่ ก็สามารถรับประกันได้ว่าจะสามารถติดตามได้เพียงทิศทางใดทิศทางหนึ่งเท่านั้น และค่อนข้างมั่นใจว่าจะจัดการยอดปรมาจารย์ฝ่ายอธรรมในทิศทางนั้นได้

 

แต่จอมยุทธฝ่ายอธรรมอีกสามคนที่เหลือก็น่าจะเหมือนปลาที่ได้กลับสู่ท้องทะเล

 

“จอมยุทธเจ็ดสามานย์”

“ในบรรดายอดปรมาจารย์ฝ่ายอธรรมทั้งสี่ เขาเป็นผู้ที่สังหารผู้คนมามากที่สุด”

เฉียนขู่คิดภายในใจอย่างเร็วจี้ และกําลังจะไล่ติดตามไปยังทิศทางที่จอมยุทธเจ็ดสามานย์จากไป

ฉับพลัน

ในตอนนั้นเอง

กลิ่นอายที่น่าสะพรึงกลัวและชั่วร้ายก็พุ่งออกมาจากภายในโรงเตี้ยม และมีชายคนหนึ่งก้าวเท้าเดินออกมา

“เขาคือ….จักรพรรดิมารร้าย?”

ทันทีที่เฉียนขู่เห็นชายผู้นี้ เขาก็หยุดไล่ตามจอมยุทธเจ็ดสามานย์ทันที และจ้องเขม็งกลับมา

ใบหน้าของจอมยุทธที่เหลือก็ดูซีดเซียว พวกเขาไม่คาดคิดว่าจักรพรรดิมารร้ายจะซ่อนตัวอยู่ในโรงเตี้ยม

“จักรพรรดิมารร้าย?”

เจ้าของโรงเตี้ยมอ้วนเบิกตากว้าง เขาใช้จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ปกคลุมไปทั่วโรงเตี้ยม แต่เขาไม่ได้สังเกตเห็นด้วยซ้ําว่าจักรพรรดิมารร้ายมาจากทางไหน

“ท่านปรมาจารย์จักรพรรดิมารร้าย”

“ในที่สุดท่านปรมาจารย์จักรพรรดิมารร้ายก็ปรากฏตัวแล้ว”

ยอดปรมาจารย์ฝ่ายอธรรมทั้งสี่ที่หนีไปก็พลันมีความสุขขึ้นมา และกําลังจะรีบกลับไปหาจักรพรรดิมารร้าย

“ฮีม!!”

 

จักรพรรดิมารร้ายเหลือบมองยอดปรมาจารย์ฝ่ายอธรรมทั้งสื่อย่างเย็นชา ท่ามกลางสายตาอึ้งทั้งของทุกคน เขาได้ยกมือขวาขึ้น และกดลงไปยังยอดปรมาจารย์ฝ่ายอธรรมทั้งสี่

 

ตูม!

ในชั่วพริบตา กําลังภายในวิถือธรรมก็เดือดพล่าน กลายเป็นฝ่ามือขนาดใหญ่บดขยี้ยอดปรมาจารย์ฝ่ายอธรรมทั้งสี่จนร่างแตกกระจายเป็นชิ้นๆ

“จักรพรรดิมารร้าย ท่าน?!!”

 

ก่อนที่จอมยุทธเจ็ดสามานย์จะตาย สีหน้าของเขาแปรเปลี่ยนเป็นตกตะลึง ยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งฝ่ายอธรรมทั้งสี่อยู่ไกลจากจักรพรรดิมารร้ายพอสมควร หากพวกเขาหนีเอาตัวรอดอย่างจริงจัง ก็คงไม่ง่ายนักที่จักรพรรดิมารร้ายจะจัดการกับพวกเขา

เพียงแต่ว่ายอดปรมาจารย์ฝ่ายอธรรมทั้งสี่ไม่เคยคิดว่าจักรพรรดิ มารร้ายจะลงมือกับพวกตน และด้วยเหตุนี้จึงไม่ได้ตั้งการป้องกันเอาไว้แม้แต่น้อย ทั้งหมดต่างตกตายภายใต้ฝีมือของจักรพรรดิมารร้าย

ผู้ชมโดยรอบเงียบงัน

 

ทุกคนต่างตกตะลึง

นิยาย เรื่องนี้อัพเดตก่อนที่อื่น เว็ปแรกที่ลง novelza.com

พวกเขาคิดว่าหลังจากที่จักรพรรดิมารร้ายออกมา มันจะปราบปรามเฉียนขู่ด้วยมือเดียวจนสร้างความตกใจให้ผู้คน หรือไม่ก็เป็นฉากที่เฉียนขู่สามารถหลบหนีจากเงื้อมมือของจักรพรรดิมารร้ายได้ ด้วยเครื่องรางที่ทิ้งไว้โดยผู้ทรงสมณศักดิ์แห่งวัดเส้าหลิน หรือแม้แต่จักรพรรดิมารร้ายตกตายด้วยเครื่องรางที่ผู้ทรงสมณศักดิ์ทิ้งเอาไว้

 

ความเป็นไปได้มากมายโผล่มาในความคิดของทุกคน ต่างคาดเดากันไปต่างๆนานา

อย่างไรก็ตาม ไม่มีใครคิดว่าสิ่งแรกที่จักรพรรดิมารร้ายจะทํา หลังจากโผล่ออกมาจะเป็นการหันมาฆ่ายอดปรมาจารย์ฝ่ายอธรรมทั้งสี่คน

 

“นี่……”

 

เฉียนขู่ได้แอบจับดาบไม้ขนาดเท่าฝ่ามือที่ห้อยคอเอาไว้ แต่ในตอนนั้นเองเขาก็ถึงกับสติหลุดไปชั่วขณะหนึ่ง

ไม่เพียงแต่จอมยุทธคนอื่นๆ ที่เฝ้าชมการต่อสู้อยู่เท่านั้นที่คาดไม่ถึง แม้แต่เฉียนขู่เองก็ไม่คาดคิดว่าทุกสิ่งมันจะออกมาเป็นเช่นนี้ เพราะมันเหลือเชื่อเกินไป

อย่างไรก็ตาม

ในเวลาต่อมา

ท่ามกลางสายตาที่จ้องมองมาด้วยความตกใจของทุกคน จักรพรรดิมารร้ายที่เพิ่งตบยอดปรมาจารย์ฝ่ายอธรรมทั้งสี่จนตกตาย หันหลังกลับไปแล้วโค้งคํานับไปทางโรงเตี้ยมแล้วจึงกล่าวออกมาด้วยความเคารพว่า

“ท่านผู้ยิ่งใหญ่ มันจบลงแล้ว”

 

Sign in Buddha’s palm 235 ท่านปรมาจารย์ได้โปรดลงมือ!

 

“เมื่อครู่เกิดอะไรขึ้น?!”

จักรพรรดิมารร้ายพบว่าตนเองคุกเข่าอยู่กับพื้น เขาต้องการจะลุกขึ้นยืน แต่รู้สึกเหมือนไหล่ของเขาแบกภูเขาขนาดใหญ่หลายพันจ้างไว้บนบ่า ไม่สามารถเคลื่อนไหวได้

 

“นี่นี่นี่?”

 

จักรพรรดิมารร้ายตัวสั่นไปทั่วทั้งตัว สีหน้าของเขาดูหวาดกลัว

เขานั้นจําได้อย่างชัดเจนว่าเขาอยู่นอกโรงเตี้ยมและกําลังจะลงมnอสังหารเฉียนขู่ แต่ในชั่วพริบตา สภาพแวดล้อมรอบด้านก็เปลี่ยนไป และตัวเขาก็มาปรากฏตัวอยู่ด้านในโรงเตี้ยมในท่าคุกเข่า ไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ นี่มันช่างน่าเหลือเชื่อเกินไป

 

ถ้าไม่ใช่เพราะว่าจักรพรรดิมารร้ายรู้สึกตัวอยู่ตลอดเวลา เกรงว่าเขาคงจะคิดว่าตนเองกําลังฝันไป

และในตอนนี้ เสียงแจ่มชัดเจือไปด้วยความงุนงงดังเข้ามาที่ข้างหูของจักรพรรดิมารร้าย “ลุงสาม ทําไมจู่ๆคนผู้นี้ถึงได้มาปรากฏตัวที่นี่ แล้วทําไมเขาถึงนั่งคุกเข่าอยู่ตรงนั้น…”

 

หลีหว่านมองไปที่จักรพรรดิมารร้ายด้วยความสงสัย ใบหน้าเล็กๆของนางเต็มไปด้วยความงุนงง

“เขา….”

ซูฉินไม่ได้สนใจแม้แต่จะมองดูจักรพรรดิมารร้าย และกล่าวออกอย่างสบายๆ “มันก็เพียงมดตัวหนึ่ง ไม่ต้องเป็นกังวลไป”

 

แน่นอนว่าซูฉินค้นพบจักรพรรดิมารร้ายที่ซ่อนตัวอยู่ใกล้ๆ

เหตุผลที่ซูฉินยอมให้เฉียนขู่สู้กับจอมยุทธฝ่ายอธรรมทั้งสี่ ก็เพราะต้องการจะเห็นความสามารถในการต่อสู้ของเฉียนขู่

ถ้าจักรพรรดิมารร้ายทําตัวสงบเสงี่ยม ซูฉินจะไม่สนใจมันเลย

แต่ถ้าจักรพรรดิมารร้ายมีแผนจะเคลื่อนไหว

 

จักรพรรดิมารร้ายเป็นยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสมบูรณ์ และเฉียนขู่เป็นเพียงยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งผู้เก่งกาจ ไม่ใช่แม้แต่ระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสูงสุด พวกเขามีช่องว่างห่างกันหลายระดับ

 

หากจักรพรรดิมารร้ายได้รับอนุญาตให้ลงมือ ไม่ว่าความสามารถของเฉียนขู่จะแข็งแกร่งเพียงใด เกรงว่าคงทําได้เพียงถูกจักรพรรดิมารร้ายบดขยี้ ซึ่งแน่นอนว่าไม่ใช่สิ่งที่ซูฉินอยากจะเห็น

“โอ้

 

หลีหว่านพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง ไม่สนใจจักรพรรดิมารร้ายที่คุกเข่าอยู่บนพื้นอีกต่อไป

อย่างไรก็ตาม บทสนทนาระหว่างซูฉินและหลีหว่านถูกส่งผ่านไปยังหูของจักรพรรดิมารร้ายทั้งหมดอย่างชัดเจน

 

“จบแล้ว”

 

ในเวลานี้ จักรพรรดิมารร้ายไม่รู้ด้วยซ้ําว่าตนมาอยู่ที่ไหน แต่เหตุผลที่มาอยู่ที่นี่ ทั้งหมดน่าจะเป็นเพราะชายที่ดูสงบนิ่งตรงหน้า

“ความแข็งแกร่งของคนผู้นี้”

 

มือเท้าของจักรพรรดิมารร้ายเย็นเยียบ ใบหน้าของเขาสิ้นหวัง สามารถเพิกเฉยต่อการต่อต้านของเขา ย้ายเขาเข้ามาภายในที่แห่งนี้ได้เพียงพริบตา การเคลื่อนไหวทั้งหมดถูกระงับไว้ได้ด้วยความคิดเดียว มันเป็นความแข็งแกร่งที่เหนือกว่าเขามาก

“ตํานานยุทธ”

“อย่างน้อยก็ต้องเป็นตํานานยุทธ!”

 

มีเพียงความคิดนี้ความคิดเดียวในจิตใจของจักรพรรดิมารร้าย

 

เหตุผลที่เติมคําว่า “อย่างน้อย” ก็เพราะจักรพรรดิมารร้ายเองก็ไม่คิดว่าตํานานยุทธธรรมดาๆจะสามารถล้อเล่นกับเขาได้โดยง่าย

ในสายตาของจักรพรรดิมารร้าย แน่นอนว่าการดํารงอยู่ของตํานานยุทธนั้นสามารถสังหารเขาได้อย่างง่ายดาย

 

เพียงแต่การสังหารและล้อเล่นเป็นสองสิ่งที่แตกต่างกันอย่างสมบูรณ์

 

จักรพรรดิมารร้ายเป็นยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสมบูรณ์ ห่างจากตํานานยุทธเพียงก้าวเดียว แม้ว่าเขาจะเจอเข้ากับจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของตํานานยุทธ แต่ก็แน่ใจว่าสามารถรอดชีวิตไปได้ แม้ว่าจะพ่ายแพ้ต่อตํานานยุทธ อย่างน้อยก็รู้ว่าพ่ายแพ้ได้อย่าง

แต่ตอนนี้จักรพรรดิมารร้ายไม่รู้สึกตัวเลยเมื่อถูกย้ายเข้ามาอยู่ภายในโรงเตี้ยม

“การเคลื่อนย้ายผ่านความว่างเปล่า ตํานานยุทธธรรมดาทําไม่ได้แน่ เกรงว่าคงมีแต่ผู้แข็งแกร่งในขอบเขตตํานานยุทธเท่านั้นที่จะทําได้.”

จักรพรรดิมารร้ายคุกเข่าอยู่กับพื้นตัวสั่นงันงก ความคิดมากมายไหลผ่านจิตใจ ในที่สุดทุกสิ่งก็ตกลงสู่ความสิ้นหวัง

ขนาดตํานานยุทธธรรมดาๆ ก็สามารถสังหารเขาได้อย่างง่ายดาย ไม่ต้องพูดถึงตํานานยุทธผู้ทรงพลังเลย

 

และในขณะนี้

 

สถานการณ์ด้านนอกโรงเตี้ยมก็ค่อยๆ ชัดเจนขึ้น

ในตอนแรกเริ่ม จอมยุทธฝ่ายอธรรมทั้งสี่ได้เปรียบเฉียนขู่ แต่เมื่อเวลาผ่านไป พวกเขาค่อยๆเปลี่ยนจากได้เปรียบเป็นเสมอกัน และในที่สุดเฉียนขู่ก็กลายมาเป็นฝั่งได้เปรียบ

 

“วิชาสายพุทธของสงฆ์ศักดิ์สิทธิ์เฉียนขู่ทําให้โลกตกตะลึง สามารถได้เปรียบแม้เป็นการสู้สองต่อหนึ่ง…” จอมยุทธหลายคนมองดูการต่อสู้อย่างตื่นเต้น

ในตอนแรกหลายคนยังสงสัยอยู่เมื่อได้ยินว่าเฉียนขู่สังหารยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งฝ่ายอธรรมไปเกือบสิบคน ท้ายที่สุดจอมยุทธฝ่ายอธรรมเหล่านั้นต่างก็ยอดปรมาจารย์ ถ้าพวกเขาไม่สามารถเอาชนะเฉียนขู่ได้ เขาย่อมต้องหนีไปอย่างแน่นอน

 

หากยอดปรมาจารย์ฝ่ายอธรรมหนีเอาชีวิตรอดอย่างสุดความสามารถ มันก็เป็นไปได้ยากที่ผู้แข็งแกร่งในระดับเดียวกันจะไล่ล่าจนสังหารได้

แต่ตอนนี้ เมื่อเห็นฉากที่เฉียนขู่ใช้พลังของตนเองปรามยอดปรมาจารย์ฝ่ายอธรรมทั้งสี่ จอมยุทธจํานวนมากก็เชื่อถือเรื่องราวข้างต้นทันที

 

พลังการต่อสู้ที่เฉียนขู่แสดงออกมาในวันนี้ ควรจะเรียกได้ว่าไร้เทียมทานในระดับที่อยู่ต่ํากว่าระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสูงสุด

“แม้แต่สงฆ์ศักดิ์สิทธิ์เฉียนขู่ยังมีความสามารถลึกล้ําเพียงนี้ ไม่รู้ว่าผู้ทรงสมณศักดิ์ในวัดเส้าหลินจะเป็นเช่นไร…”

เหล่าจอมยุทธถอนหายใจด้วยอารมณ์ความรู้สึก

จอมยุทธที่เหลือต่างให้ความเคารพยําเกรงในทันที เฉียนขู่ในเวลานี้ยังดูส่องสว่างสง่างามเช่นนี้ ไม่ต้องพูดถึงผู้ทรงสมณศักดิ์ภายในวัดเส้าหลินเลยว่าจะยิ่งใหญ่กว่าเฉียนขู่เพียงไหน?

 

แล้วไหนจะยังองค์ยูไล?

 

ในระหว่างที่ผู้คนกําลังสนทนากันอยู่นั้น

สถานการณ์ในพื้นที่ต่อสู้ก็พลิกกลับโดยสิ้นเชิง

 

“ฝ่ามือเมตตาแผ่ไพศาล!”

 

เฉียนขู่ดูเคร่งขรึม ยกมือขวาขึ้นมา พลังภายในมหาศาลพรั่งพรู กลายเป็นฝ่ามือของพระพุทธรูปขนาดใหญ่ สะกดไปทางจอมยุทธอธรรมทั้งสี่

 

“ไม่ดีแล้ว!!!”

สีหน้าของยอดปรมาจารย์ฝ่ายอธรรมทั้งสี่เปลี่ยนไป พวกเขาไม่กล้าที่จะหลบแม้แต่น้อย ทําได้เพียงต้านด้วยกําลังทั้งหมดที่มี

หากยังลังเลต่อไป พวกเขาอาจจะปะทะเข้ากับฝ่ามือองค์พระพุทธรูปเข้าอย่างจัง มีความเป็นไปได้ที่พวกเขาจะตกตายเพราะฝ่ามือของเฉียนขู่ฝ่ามือนี้

 

ตูม!!!

พลังภายในสายพุทธเปล่งประกายงดงามจนบดบังทุกสิ่ง แม้ว่ายอดปรมาจารย์ฝ่ายอธรรมต้องการจะต่อต้าน แต่ทั่วทั้งร่างก็ถอยกลับไปอย่างบ้าคลั่ง และในที่สุดก็หยุดนิ่งห่างออกไปหลายร้อยเมตร มองดูเฉียนขู่ด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความสยดสยอง

 

“ลาน้อยหัวโล้นเฉียนขู่ ไม่ได้คาดคิดเลยว่าเจ้ายังซ่อนความแข็งแกร่งเอาไว้จนถึงตอนนี้?”

จอมยุทธเจ็ดสามานย์จ้องไปที่เฉียนขู่ กระแทกเสียงออกมา

ยอดปรมาจารย์ฝ่ายอธรรมอีกสามคนก็หน้าซีดและมองไปที่เฉียนขู่อย่างไม่อยากเชื่อ

เฉียนขู่ไล่ตามพวกเขามาหลายเดือนแล้ว และทั้งสองฝ่ายต่างก็เข้าใจกระบวนยุทธของกันและกัน แต่กระบวนท่าฝ่ามือเมตตาแผ่ไพศาลนี้เฉียนขู่ไม่เคยแสดงให้เห็นมาก่อน

“นะโม อมิตาพุทธ

เฉียนขู่ประสานมือและกล่าวอย่างจริงจัง “หากประสกทั้งหลายเต็มใจจะเข้าไปยังหอคอยสะกดมาร คําสัญญาของพระผู้น้อยผู้นี้ก็ยังคงเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง

“หอคอยสะกดมาร?”

“ลาน้อยหัวโล้น ให้ข้าเข้าไปยังหอคอยสะกดมาร ให้ข้าตายเสียยังจะดีกว่า”

 

ชายร่างสูงเหยียดยิ้ม หอคอยสะกดมารแห่งวัดเส้าหลินนั้น ปราบปรามมารร้ายไว้ทั่วโลก เมื่อถูกคุมขังอยู่ภายใน ไม่มีใครเคยหลบหนีออกไป

 

“เมื่อเป็นเช่นนั้น”

 

“พระผู้น้อยทําได้เพียงแต่ต้องลงมือ”

เฉียนขู่ถอนหายใจเบาๆ

 

อย่างไรก็ตาม

ในตอนนี้

จอมยุทธเจ็ดสามานย์ก็หัวเราะอย่างบ้าคลั่ง

“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า”

 

“ลาน้อยหัวโล้นเฉียนขู่ เจ้ารู้หรือไม่ทําไมข้าถึงรอเจ้าอยู่ที่นี่?” จอมยุทธเจ็ดสามานย์มองไปที่เฉียนขู่ด้วยความพึงพอใจวาบผ่านใบหน้า “ถ้าเราทั้งสี่คนกระจายกันหลบหนี ข้าเกรงว่าเจ้าจะไม่อดทนพอที่จะติดตามข้าน่ะสิ?”

 

คําที่จอมยุทธเจ็ดสามานย์กล่าวออกมายวกับเรื่องนี้ แต่ยังไม่ทันจะคิดออก พวกเขาก็เริ่มต่อสู้กันแล้ว แต่ใบหน้าของเฉียนขู่เปลี่ยนไปเล็กน้อย ก่อนหน้าเขาก็คิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ เมื่อได้ยินจอมยุทธเจ็ดสามานย์พูดถึงเรื่องนี้ขึ้นมา เฉียนขู่ก็ตระหนักได้ว่ามันเป็นเรื่องไม่ดีเสียแล้ว

 

หลายเดือนที่ผ่านมา ไม่ใช่ว่ายอดปรมาจารย์ฝ่ายอธรรมทั้งสี่ไม่เคยร่วมมือกัน แต่ในการร่วมมือนั้นพวกเขาล้มเหลว และในทางกลับกันยังเกือบได้รับบาดเจ็บสาหัสจากฝีมือของเฉียนขู่ด้วย

พูดตามหลักเหตุและผลแล้ว หลังจากการร่วมมือกันก่อนหน้านี้ ยอดปรมาจารย์ฝ่ายอธรรมทั้งสี่ก็ได้รับความสูญเสียไปมาก พวกเขาก็ไม่ควรจะร่วมมือกันอีกมิใช่หรือ?

จอมยุทธที่เฝ้าชมกันอยู่ต่างมองหน้ากัน ทันใดนั้นความหนาวเหน็บก็เข้าเกาะกุมจิตใจพวกเขา

 

ในเวลาต่อมา

ท่ามกลางสายตาเหลือเชื่อของทุกคน

 

ทันใดนั้นจอมยุทธเจ็ดสามานย์ก็คุกเข่าลงข้างหนึ่ง แล้วตะโกนไปยังทิศทางหนึ่งเสียงดังลั่น “ได้โปรดท่านจักรพรรดิมารร้าย สังหารมันผู้นี้ ส่งเสริมเส้นทางอธรรมของพวกเราให้รุ่งโรจน์!”

“ได้โปรดปรมาจารย์จักรพรรดิมารร้ายลงมือสังหารคนผู้นี้ ส่งเสริมเส้นทางสายอธรรมของพวกเรา!”

จอมยุทธฝ่ายอธรรมอีกสามคนต่างคุกเข่าลงข้างหนึ่ง เปล่งตะโกนเสียงดังลั่น!

 

Sign in Buddha’s palm 234 สั่นไหว

 

สําหรับซูฉิน การได้พบกับเฉียนขู่ที่นี่ เป็นความสุขที่มาโดยไม่คาดคิด เหตุผลที่ทําเป็นไม่รู้จักก็เพราะอยากจะเห็นว่าเฉียนขู่เติบโตขึ้นมากเท่าไหร่ในช่วงยี่สิบปีที่ผ่านมา

ด้วยขอบเขตของซูฉินในตอนนี้ เป็นเรื่องปกติที่สามารถมองผ่านระดับพลังของเฉียนขู่ได้อย่างง่ายดาย

แต่ระดับก็อยู่ส่วนระดับ ส่วนความสามารถในการต่อสู้ ก็ต้องลองดูอีกสักหน่อย จะเป็นการดีที่สุดถ้าได้เห็นผ่านการต่อสู้จริง

 

“จริงแท้”

“คนเหล่านี้เป็นคนเลวจริงๆ ร่วมมือกันรังแกคนคนหนึ่ง มองอย่างไรก็ไม่มีทางเป็นคนดีไปได้”

หลีหว่านกําหมัดแน่นและพูดออกมาอย่างโกรธเคือง

 

“การต่อสู้ของเหล่าจอมยุทธนะ เพื่อให้ตนเองมีชีวิตรอด เป็นเรื่องปกติที่จะพึ่งพาความแข็งแกร่งของผู้อื่นเพื่อรังแกผู้ที่อ่อนแอกว่า” ซูฉินเหลือบมองหลีหว่านและกล่าวออกมาเบาๆ

 

“เข้าใจแล้ว ลุงสาม…” หลีหว่านลดหัวของตนลง

และในตอนนั้น

 

ไม่ใช่แค่หลีหว่านเท่านั้นที่อยากรู้อยากเห็นถึงการต่อสู้ระหว่างสงฆ์จากวัดเส้าหลินกับสี่มารร้าย จอมยุทธทั้งหลายไม่ว่าจะแข็งแกร่งหรืออ่อนแอ ทุกคนที่เฝ้าดูการต่อสู้ต่างคาดเดากันอย่างลับๆ

 

ที่ชั้นสองของโรงเตี้ยม

 

ในมุมหนึ่งที่ไม่ได้โดดเด่นนัก เจ้าของโรงเตี้ยมเอามือไพล่หลัง มองไปยังพื้นที่ต่อสู้ด้านนอกอย่างสบายๆ

 

“พวกเจ้าลองบอกมาหน่อย ภิกษุเฉียนขู่หรือจอมยุทธฝ่ายอธรรมทั้งสี่ใครจะเป็นผู้ชนะ?”

 

เจ้าของโรงเตี้ยมที่มีรูปร่างอ้วนท้วนกล่าวถามอย่างสนอกสนใจ

หากมียอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งคนอื่นหันมาสังเกตมุมนี้ พวกเขาจะต้องตกใจเมื่อพบว่าทุกคําที่เจ้าของโรงเตี้ยมกล่าวออกมา สามารถฟังได้เพียงในระยะสามเมตรเท่านั้น และเมื่อเสียงห่างไปไกลกว่านี้ก็เหมือนตัดขาด เงียบสนิท

นี่เป็นวิธีการใช้จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์รูปแบบหนึ่ง เจ้าของโรงเตี้ยมผู้อ้วนท้วนผู้นี้ไม่ธรรมดา อย่างน้อยก็เป็นถึงยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งที่สามารถกลั่นจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ได้

 

“คุณชาย แม้ว่าจอมยุทธฝ่ายอธรรมทั้งสี่จะมีพลังและกลเม็ดมากมาย แต่เฉียนขู่ก็เป็นถึงสงฆ์ศักดิ์สิทธิ์ วิชาสายพุทธทําให้มีกําลังภายในที่แข็งแกร่งอย่างมาก มีความสามารถในการยับยั้งพลังของจอมยุทธฝ่ายอธรรมโดยเฉพาะ

บัณฑิตผู้หนึ่งที่ยืนอยู่ด้านข้างก็คิดไปสักพัก ก่อนจะพูดตอบออกไปว่า “ตามการคาดเดาของข้า แม้จอมยุทธฝ่ายอธรรมจะได้เปรียบในการประมือกับสงฆ์ศักดิ์สิทธิ์เฉียนขู่ แต่ท้ายที่สุดผู้ชนะย่อมเป็นสงฆ์ศักดิ์สิทธิ์เฉียนขู่”

“ที่เจ้ากล่าวมาก็ไม่ผิด”

 

เจ้าของโรงเตี้ยมอ้วนพยักหน้าเล็กน้อย แล้วเปลี่ยนหัวข้อการสนทนาไปในบัดดล “แต่ในเมื่อขนาดเจ้ายังมองเห็นสิ่งนี้ได้ ทําไมจอมยุทธฝ่ายอธรรมทั้งสี่ถึงยังลงมืออยู่อีกเล่า?”

ตามวิสัยของจอมยุทธฝ่ายอธรรม หากพวกมันรู้ว่าไม่สามารถเอาชนะได้ เหตุใดยังลงมือต่อสู้อีก?

 

แม้แต่คนนอกอย่างบัณฑิตยังสามารถเข้าใจสถานการณ์ในการต่อสู้ได้ จอมยุทธฝ่ายอธรรมทั้งสี่ที่ทั้งถูกพัวพันทั้งหลบหนี สงฆ์ศักดิ์สิทธิ์เฉียนขู่มาเป็นเวลาหลายเดือน ผ่านระยะทางหลายหมื่นลี้ พวกมันจะไม่ทราบช่องว่างฝีมือระหว่างตนเองกับเฉียนขู่หรือ?

หากสามารถร่วมมือกันกําจัดสงฆ์ศักดิ์สิทธิ์เฉียนขู่ได้ จะถูกบังคับให้ต้องหนีมานับหมื่นลี้ได้อย่างไร?

 

เมื่อบัณฑิตได้ยินเช่นนั้น สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย เขามองไปที่เจ้าของโรงเตี้ยมอ้วนแล้วกระซิบถาม “คุณชาย ท่านหมายความว่าอย่างไร?”

 

“จอมยุทธฝ่ายอธรรมทั้งสี่นั้นเป็นเพียงแค่เหยื่อล่อ”

 

เจ้าของโรงเตี้ยมอ้วนสายศีรษะแล้วพูดว่า “เฉียนขู่ก่อความแค้นเอาไว้มาก กว่าสิบกว่าปีแล้วที่เขาได้สังหารปรมาจารย์ฝ่ายอธรรมไปเกือบสิบคน ลงมือหลายต่อหลายครั้ง ทําลายโอกาสอันดีของเหล่ามารเฒ่า”

 

เมื่อเจ้าของโรงเตี้ยมอ้วนกล่าวเช่นนี้ เขาก็หยุดครู่หนึ่ง ถอนหายใจออกมาเบาๆ แล้วกล่าวว่า “ถ้าไม่ใช่เพราะวัดเส้าหลินให้กําเนิดผู้ทรงสมณศักดิ์ขึ้นมา เกรงว่ามารเฒ่าคงจะโจมตีเฉียนขู่ไปตั้งนานแล้ว

 

“ในเมื่อรู้ทั้งรู้ว่าวัดเส้าหลินมีผู้ทรงสมณศักดิ์อยู่ ทําไมจอมยุทธฝ่ายอธรรมทั้งสี่จึงยังออกมาเป็นเหยื่อล่ออีก?” บัณฑิตกล่าวด้วยความสงสัย

“เป็นเรื่องปกติ เพราะผู้คนได้ค้นพบแล้วว่าผู้ทรงสมณศักดิ์ไม่ได้อยู่ภายในวัดเส้าหลินอีกต่อไปแล้ว” เจ้าของโรงเตี้ยมอ้วนโพล่งออกมา “ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ไม่ว่าจะตํานานยุทธหรืออรหันต์ พวกเขาทั้งหมดล้วนเดินทางข้ามน้ําข้ามทะเลออกไปทั้งนั้น”

“ตั้งแต่ที่ท่านผู้ทรงสมณศักดิ์จากไป ก็คงไม่ได้กลับมาเลยในช่วงยี่สิบปีมานี้ ฉะนั้นมันแสดงให้เห็นว่าเรื่องราวก็คงไม่ต่างไปจากเดิม”

“ดังนั้นเหล่ามารเฒ่าคงอดใจต่อไปไม่ไหว”

เจ้าของโรงเตี้ยมอ้วนมีแววเยาะเย้ยในน้ําเสียง “มารเฒ่าเหล่านั้นคงไม่กล้าทําอะไรหากมีผู้ทรงสมณศักดิ์อยู่ภายในวัดเส้าหลิน”

“แต่ตอนนี้ท่านจากไปแล้ว…”

 

เมื่อเจ้าของโรงเตี้ยมพูดมาจนถึงจุดนี้ เขาก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ แต่สิ่งที่เขาต้องการจะสื่อนั้นชัดเจนยิ่ง

 

“แน่นอน แม้ว่าผู้ทรงสมณศักดิ์จะจากไป ก็ไม่มีมารเฒ่าตนใด กล้าโจมตีวัดเส้าหลิน”

 

“ใครจะรู้บ้างว่าภายในวัดเส้าหลินจะมีสิ่งที่ผู้ทรงสมณศักดิ์ทิ้งไว้ เบื้องหลังกอย่าง”

“ถึงจะไม่กล้าโจมตีวัดเส้าหลิน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเฉียนขู่ จะสามารถไล่ล่าสังหารจอมยุทธฝ่ายอธรรมเช่นนี้ได้”

เจ้าของโรงเตี้ยมอ้วนค่อยๆ พูดขึ้นว่า “เท่าที่ข้ารู้ จักรพรรดิมารร้ายที่บิดด่านฝึกตนไปเมื่อเจ็ดสิบปีก่อนได้ออกจากด่านฝึกตนแล้ว เมื่อไม่นานมานี้ ครั้งหนึ่งข้าเคยพบเจอมันจากที่ไกลๆ ตอนนี้ความแข็งแกร่งของจักรพรรดิมารร้ายน่าจะอยู่ในระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสมบูรณ์แล้ว”

 

“จักรพรรดิมารร้าย…”

บัณฑิตผู้นั้นถอนหายใจออกมา

 

เจ็ดสิบปีที่แล้ว จักรพรรดิมารร้ายได้กวาดล้างโลกด้วยความโหดเหี้ยม แม้แต่ผู้นําอาณาจักรต่างๆก็ยังต้องหวาดกลัว

 

แม้ว่ากองทัพของอาณาจักรต่างๆ จะสามารถเข้าปราบปรามได้ แต่สําหรับตัวตนที่แข็งแกร่งอย่างจักรพรรดิมารร้ายนั้นมันมีความยุ่งยากเป็นอย่างมาก ตราบใดที่จักรพรรดิมารร้ายระมัดระวังสักนิด กองทัพก็ไม่มีทางล้อมกรอบปราบปรามได้ และเมื่อใดที่ไปก่อกวนจักรพรรดิมารร้ายเข้า มันก็สามารถเปลี่ยนไปเป็นนักฆ่าที่แสนน่ากลัวที่สุดและลอบสังหารราชวงศ์ของอาณาจักรต่างๆในเวลานั้นได้

หากไม่ใช่เพราะในเวลาเดียวกัน มีจอมมารที่ทรงพลังแข็งแกร่งปรากฏตัวขึ้นในพรรคมาร เกิดเป็นการคานอํานาจกันกับจักรพรรดิมารร้าย เกรงว่าโลกนี้คงตกอยู่ในความวุ่นวายไปนานแล้ว

 

น่าเสียดายที่ไม่ว่าจะเป็นจักรพรรดิมารร้ายหรือจอมมาร ไม่นานหลังจากนั้นพวกมันต่างปลีกตัวปิดด่านฝึกตนเพื่อไล่ตามไปยังขอบเขตที่สูงขึ้น

“คุณชาย เมื่อจักรพรรดิมารลงมือ เราจะรั้งรออยู่นี่เพื่อที่ขัดขวางใช่หรือไม่?”

“ขัดขวาง?”

 

“ข้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของจักรพรรดิมารร้าย แม้อยากจะขัดขวางก็ขวางไม่ได้”

 

เจ้าของโรงเตี้ยมอ้วนส่ายศีรษะ

 

แม้เขาจะเป็นยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสูงสุด แต่อย่างไรเมื่อเทียบกับการดํารงอยู่ของระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสมบูรณ์อย่างจักรพรรดิมารร้าย มันก็ยังด้อยกว่ามาก ทําได้มากสุดก็เพียงปกป้องดูแลตนเอง แต่การช่วยเหลือเฉียนขู่นั้นเป็นไปไม่ได้

 

“คุณชาย ถ้าจักรพรรดิมารร้ายสังหารเฉียนขู่ เขาไม่เกรงกลัววัดเส้าหลินเลยหรือ…” บัณฑิตด้านข้างอดไม่ได้ที่จะพูดออกมา

เฉียนขู่หาใช่จะตัวคนเดียวไม่เบื้องหลังเขาคือวัดเส้าหลิน ในฐานะที่เป็นสุดยอดพรรคที่มีอรหันต์กําเนิดขึ้นมา ยุคนี้เป็นยุคที่วัดเส้าหลินเจริญรุ่งเรืองอย่างยิ่ง

นอกจากนี้ยังมีข่าวลือว่าเฉียนขู่เป็นศิษย์ของอรหันต์รูปนั้นอีก………..

 

“วัดเส้าหลิน?”

 

เจ้าของโรงเตี้ยมอ้วนหัวเราะแล้วพูดว่า “จักรพรรดิมารร้ายมีอายุตั้งร้อยยี่สิบปีแล้วก่อนที่จะปิดด่านฝึกตน หลังจากผ่านไปเจ็ดสิบปี เขาก็อายุได้ร้อยเก้าสิบปี และอายุขัยก็ไม่น่าจะเกินกว่าสองร้อย

 

“เจ้าคิดว่าจักรพรรดิมารร้ายในเวลานี้ยังจะสนใจวัดเส้าหลินอยู่หรือไม่?”

 

เจ้าของโรงเตี้ยมอ้วนพูดออกมาเบาๆ

 

นี่เป็นเหตุผลที่เขาไม่เต็มใจจะลงมือหยุดจักรพรรดิมารร้าย

อายุขัยของจักรพรรดิมารร้ายในปัจจุบันงวดเข้ามาแล้ว มันก็แค่คนบ้าคนหนึ่ง ไม่ต้องพูดถึงความแข็งแกร่งของเขาที่ไม่ได้แกร่งเท่ากับจักรพรรดิมารร้าย แม้ว่าความแข็งแกร่งของเขาจะเท่ากัน หรือแข็งแกร่งกว่าจักรพรรดิมารร้ายสักเล็กน้อย เขาก็ไม่เต็มใจที่จะทําอะไรกับจักรพรรดิมารร้าย

“ดูเหมือนภิกษุเฉียนขู่ยากที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไปแล้ว” บัณฑิตเต็มไปด้วยอารมณ์ความรู้สึก เฉียนขู่อาจจะกล่าวได้ว่าเป็นสงฆ์ที่แข็งแกร่งที่สุดในบรรดาศิษย์รุ่นใหม่ของวัดเส้าหลิน มีศักยภาพไร้ที่สิ้นสุด และมีความเป็นไปได้ที่จะบรรลุถึงขอบเขตอรหันต์

อย่างไรก็ตาม ศักยภาพก็อยู่ส่วนของศักยภาพ ตอนนี้ยังเปราะบางเหลือเกิน ก่อนที่จะเปลี่ยนเข้าสู่ความแข็งแกร่ง

 

“จักรพรรดิมารร้ายกําลังจะลงมือแล้ว”

เจ้าของโรงเตี้ยมอ้วนมองออกไปนอกโรงเตี้ยม ใบหน้าของเขาดูครุ่นคิด จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ผันผวน เขาสามารถรับรู้ได้จางๆ ว่ามีไอพลังชั่วร้ายขนาดมหึมาที่ซ่อนเร้นอยู่ที่มุมหนึ่ง

 

มันคือจักรพรรดิมารร้าย

 

ในเวลาเดียวกัน

 

ในทิศทางที่เจ้าของโรงเตี้ยมอ้วนมองไป ก็มีชายคนหนึ่งที่แววตา ลึกล้ํายืมเอามือไพล่หลังไว้อยู่

“วัดเส้าหลิน?”

“มรดกตกทอดของผู้ทรงสมณศักดิ์?”

ชายที่มีแววตาลึกล้ําผู้นี้คือจักรพรรดิมารร้าย และตอนนี้เขากําลังมองเฉียนขู่กําลังต่อสู้กับจอมยุทธฝ่ายอธรรมทั้งสี่อย่างเพลิดเพลิน

 

“ทั้งโลกคงคิดว่าเหตุผลที่ข้าลงมือเป็นเพราะยอดฝีมือฝ่ายอธรรมล้มตายกันทีละคนสองคน”

 

ความคิดของจักรพรรดิมารร้ายเปลี่ยนแปลงไปมา มีร่องรอยของการถากถางปรากฏบนใบหน้า “แต่สําหรับข้า วิถือธรรมคือสิ่งใด? แม้ว่าฝ่ายอธรรมจะโดนกําจัดจนสิ้น มันจะไปส่งผลอะไรกับข้าเล่า?”

ใบหน้าของจักรพรรดิมารร้ายเต็มไปด้วยความเย็นชา

“เฉียนขู่เป็นศิษย์ที่แข็งแกร่งที่สุดในพระรุ่นใหม่ของวัดเส้าหลิน และเข้าสู่ระดับยอดปรมาจารย์ตั้งแต่อายุน้อยกว่าห้าสิบปี”

 

“มันจะต้องมีมรดกของผู้ทรงสมณศักดิ์อยู่กับตัวแน่”

จักรพรรดิมารร้ายเลียริมฝีปาก แล้วพึมพําอยู่กับตนเอง “หากข้าสังหารเฉียนขู่และนํามรดกของผู้ทรงสมณศักดิ์ไปได้ บางทีข้าอาจจะพัฒนาระดับขึ้นไปได้อีก”

เมื่อคิดถึงสิ่งนี้ จิตวิญญาณของจักรพรรดิมารร้ายก็สั่นไหว

มันไม่ใช่พุทธศาสนิกชน แม้จะเป็นมรดกตกทอดจากผู้ทรงสมณศักดิ์มันก็อาจจะไม่เข้าใจ เพียงแต่ก็ดีกว่ามันหาวิธีด้วยตัวเองคนเดียว

 

นอกจากนี้แม้ว่าเฉียนขู่จะไม่มีมรดกตกทอดจากผู้ทรงสมณศักดิ์ จักรพรรดิมารร้ายก็จะทําเช่นเดิม เป็นการจงใจบังคับให้วัดเส้าห ลินต้องใช้มรดกออกมา คงจะเป็นการดีที่สุดหากนําเอามรดกที่ผู้ ทรงสมศักดิ์ทิ้งไว้ออกมาตามล่าเขา

“มรดกที่ผู้ทรงสมณศักดิ์ทิ้งไว้นั้นบรรจุรัศมีจิตของผู้ทรงสมณศักดิ์เอาไว้ สามารถแสดงพลังบางส่วนของผู้ทรงสมณศักดิ์ออกมาได้”

 

“หากข้าต้องเผชิญหน้ากับผู้ทรงสมณศักดิ์ ข้าต้องตายอย่างไม่มีข้อสงสัย แต่นี่เป็นเพียงมรดกที่ถูกทิ้งไว้เท่านั้น ภายใต้พลังกดขี่ที่ถึงแก่ชีวิตความเป็นความตาย ข้าอาจจะสามารถก้าวเข้าสู่ขอบเขตใหม่”

ความคิดของจักรพรรดิมารร้ายผันผวน ครุ่นคิดหลายสิงอยู่ภายในใจอย่างรวดเร็ว

 

เขามีอายุขัยเหลือน้อย และจะจากไปด้วยวัยชราภายในไม่เกินสองถึงสามปี ดังนั้นจึงมีเพียงต้องเสี่ยงเคลื่อนไหวในครั้งนี้ แม้จะอันตรายอย่างมากก็ตาม

“ตราบใดที่ข้าก้าวหน้าต่อไปได้ ต่อให้เป็นการฉีกหน้าวัดเส้าหลินข้าก็ทํา แม้ผู้ทรงสมณศักดิ์กลับมาจากต่างดินแดน มันจะสามารถทําอะไรข้าได้?”

ความบ้าคลั่งปรากฏขึ้นบนใบหน้าของจักรพรรดิมารร้าย

 

ความจริงแล้วไม่ว่าจะเป็นยุคสมัยใด ก็เป็นเรื่องโง่เขลาอย่างยิ่งที่จะยั่วยุกองกําลังที่มีอรหันต์กําเนิดขึ้น

แต่จักรพรรดิมารร้ายไม่มีทางเลือก ถ้าเขายังลากถ่วงตัวเองอยู่ต่อไป เขาจะต้องตายด้วยวัยชรา แทนที่จะเฝ้ามองร่างตนเองทรุดโทรม เขาควรจะต่อสู้ หากล้มเหลวก็แค่ตาย แต่ถ้าเขาทําสําเร็จ จักรพรรดิมารร้ายก็เหมือนกับจะได้ชีวิตใหม่

 

“น่าเสียดาย

 

“ศักยภาพของเจ้าแข็งแกร่งกว่าข้ามาก”

 

“ถ้าเจ้าค่อยเป็นค่อยไป เดินไปทีละขั้น เจ้าสามารถเข้าสู่ระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสมบูรณ์ได้ก่อนอายุร้อยห้าสิบปีอย่างแน่นอน และมีเวลามากพอที่จะไต่ขึ้นไปยังขอบเขตที่สูงขึ้น”

จักรพรรดิมารร้ายมองเฉียนขู่จากระยะไกลด้วยใบหน้าที่โหดเหี้ยม “แต่น่าเสียดายที่เจ้าจะต้องมาเจอกับข้า”

“เพื่อความก้าวหน้าของข้า เจ้าจําเป็นต้องตาย”

จักรพรรดิมารร้ายก้าวเดินไปอย่างเชื่องช้า เตรียมพร้อมที่จะสังหารเฉียนขู่” จากนั้นเขาก็จะค้นหามรดกของผู้ทรงสมณศักดิ์จากคู่ต่อสู้

 

อย่างไรก็ตาม

 

เมื่อจักรพรรดิมารร้ายกําลังจะเคลื่อนไหว

 

บรรยากาศก็ผันผวน โลกเริ่มบิดเบี้ยว จักรพรรดิมารร้ายรู้สึกเพียงว่าทุกสิ่งรอบตัวเขาเหมือนกับหยุดนิ่ง

 

จักรพรรดิมารร้ายไม่ทันได้ตอบสนองอะไร รู้ตัวอีกทีก็พบว่าตนเข้ามาภายในโรงเตี้ยมแล้ว

 

“นี่คือ?”

 

จักรพรรดิมารร้ายเบิกตากว้าง มีพายุพัดโหมกระหน่ําอยู่ภายใน

เขาเงยหน้าขึ้นมองอย่างไม่รู้ตัว และเห็นชายที่ดูสงบนิ่งอยู่ไม่ไกล และด้านข้างของชายคนนั้นมีเด็กหญิงตัวเล็กๆ ที่งดงามราวกับหยกสลัก กําลังจ้องมองเขาด้วยความประหลาดใจ

 

Sign in Buddha’s palm 233 ต่อสู้

ตั้งแต่มาถึงเชิงเขาคุนหลุน จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ส่วนใหญ่ของซูฉิน ได้ใช้ไปเพื่อรับรู้ความผันผวนบนยอดเขาคุนหลุน

 

ส่วนจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ที่เหลือมาบรรจบกันที่ร่างกาย และตอนนี้ซูฉินก็สังเกตได้ถึงกลิ่นอายที่คุ้นเคยใกล้ๆ

 

“ลุงสาม ท่านมองอะไรอยู่ ” เมื่อเห็นซูฉินที่กําลังจ้องมองบางอย่างอยู่ที่ด้านข้าง หลีหว่านก็รีบขยับตัวมองออกไปนอกโรงเตี้ยมทันที

 

เป็นอย่างที่คิด

 

เพียงหลังจากนั้นไม่นาน

 

พระภิกษุห่มจีวรสีเทาก็เดินเข้ามา

 

พระรูปนี้ไม่ได้ดูโดดเด่นอะไร ดูเหมือนคนธรรมดา แต่ราชาดาบชิงเฉิงที่นั่งอยู่บนชั้นสองเกือบจะร้องอุทานออกมา เมื่อเห็นใบหน้าของภิกษุรูปนั้น

“เฉียนขู่!”

ราชาดาบชิงเฉิงลุกขึ้นและจ้องตรงไปยังภิกษุที่สวมจีวรสีเทาอย่างไม่อยากจะเชื่อ

เขาไม่ได้คาดหวังว่าจะได้พบสงฆ์ศักดิ์สิทธิ์ เฉียนขู่ จากวัดเส้าหลินที่นี่

 

เมื่อคําพูดของราชาดาบชิงเฉิงได้กระจายออกไป

จอมยุทธทุกคนในโรงเตี้ยมต่างตกตะลึง ดวงตาของเขาจับจ้องไปที่ภิกษุผู้สวมจีวรสีเทาที่เพิ่งก้าวเดินเข้ามาอย่างรวดเร็ว

“เฉียนขู่?”

“เขาผู้นี้คือสงฆ์ศักดิ์สิทธิ์ เฉียนขู่”จากวัดเส้าหลินงั้นหรือ?”

“สงฆ์ศักดิ์สิทธิ์ เฉียนขู่”ยังดูเด็กเกินไปไหมเนี่ย?”

“สงฆ์ศักดิ์สิทธิ์ เฉียนขู่” ก็มาที่นี่ด้วย เขาต้องการจะต่อสู้เพื่อเข้าวิหารการสงครามนี้ด้วยหรือ?”

 

จอมยุทธจํานวนมากโพล่งออกมาอย่างรวดเร็ว ดวงตาของพวกเขากวาดมองไปที่เฉียนขู่ตลอดเวลา

 

“นะโม อมิตาพุทธ”

 

“เฉียนขู่ที่ห่มจีวรสีเทาโค้งตัวลงเล็กน้อยแล้วกล่าวว่า “พระผู้น้อยไม่ได้มาที่นี่เพราะวิหารการสงคราม”

คําที่เฉียนขู่ได้กล่าวออกมา

 

เหล่าจอมยุทธยิ่งงุนงงมากขึ้นไปอีก

 

จอมยุทธที่มายังเขาคุนหลุนในช่วงนี้ก็ล้วนมาเพราะวิหารการสงครามกันทั้งนั้น หากเฉียนขู่ไม่ได้สนใจวิหารการสงคราม เหตุใดจึงมาปรากฏตัวที่นี่เวลานี้

 

ท่ามกลางสายตาของทุกคน เฉียนขู่ก็เงยหน้าขึ้นเล็กน้อย แล้วพูดออกมาเสียงดัง “พระผู้น้อยได้พบตัวเจ้าแล้ว ยังไม่โผล่หน้าออกมาอีกหรือ?”

 

“ลาน้อยหัวโล้นเฉียนขู่ เจ้าไล่ตามข้ามาหลายเดือนแล้ว ผ่านระยะทางมาหลายหมื่นลี้ นี่ต้องการจะฆ่าพวกเราให้หมดเลยหรือไร?”

เสียงแหบแห้งเสียงหนึ่งดังแว่วมา

 

เห็นชายท่าทางเย็นชาเดินออกมา ใบหน้าของชายผู้นี้ดูธรรมดา แต่ให้ความรู้สึกชั่วร้ายอย่างอธิบายไม่ถูก ทําให้ผู้คนที่พบเห็นต้องตกอยู่ในภวังค์

“จอมยุทธเจ็ดสามานย์เป็นเขา!?”

สีหน้าของจอมยุทธต่างเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก ร่องรอยความกลัวปรากฏขึ้น

 

จอมยุทธเจ็ดสามานย์เป็นจอมยุทธฝ่ายอธรรมที่มีชื่อเสียงในยุทธภพ ครั้งหนึ่งเขาเคยสังหารคนไปหลายหมู่บ้านเพื่อฝึกฝนวิชามาร และแม้แต่อาณาจักรถังก็ต้องการจะจับตัวเขา หากไม่ใช่เพราะเจ็ดสามานย์เป็นยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่ง และทุกครั้งที่มีอะไรไม่ชอบมาพากล เขาจะหนีไปทันที ไม่เช่นนั้นเกรงว่าปานนี้มันคงจะตกอยู่ในเงื้อมมือของอาณาจักรถังไปแล้ว

 

“เจ็ดสามานย์ ตลอดทางลาน้อยหัวโล้นนี้ไม่เคยรามือเลย เขาต้องการจะฆ่าข้าหรือไม่นั้น ใจเจ้าย่อมรู้ดีที่สุด”

 

ชายร่างผอมลุกขึ้นอย่างช้าๆ ยืนเคียงข้างกับจอมยุทธเจ็ดสามานย์ ชายร่างผอมมีโหนกแก้มที่ยื่นออก ผิวซีดขาว แต่ประกายในดวงตามีความเผด็จการแผ่ออกมาเล็กน้อย

 

“มนุษย์ซีด ทําไมเขาถึงมาอยู่ที่นี่ด้วย…”

จอมยุทธทั้งหลายต่างมือเท้าเย็นเยียบ แม้แต่ราชาดาบชิงเฉิงเองก็มีความกลัววาบผ่านดวงตาของเขา

ไม่ว่าจะเป็นเจ็ดสามานย์หรือมนุษย์ซีด พวกเขาล้วนเป็นยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งที่เดินตามวิถีมารอันชั่วร้าย วิธีการของพวกมันโหดร้ายมาก ทุกครั้งที่พวกมันลงมือ มันจะฆ่าอย่างป่าเถื่อน ไม่รู้ว่ามีจอมยุทธกี่คนต่อกี่คนที่ต้องตกอยู่ในความหวาดผวา

“ พระผู้น้อยไม่ได้พยายามจะสังหาร หากพวกท่านเต็มใจจะกลับไปวัดเส้าหลินและเข้าไปในหอคอยสะกดมาร ท่านย่อมมีชีวิตรอด”

 

“เฉียนขู่” ประสานมือและกล่าวคําออกมาเบาๆ

“ฮ่ม!”

“หอคอยสะกดมาร?”

 

“คิดว่าพวกเราจะแพ้ให้แก่เจ้างั้นหรือ?”

ในเวลานั้นเอง ร่างอีกสองร่างก็เดินออกมาจากโรงเตี้ยม คนหนึ่งเป็นหญิงหน้าตาดี อีกหนึ่งเป็นชายร่างสูง ทั้งคู่เป็นเหมือนกับเจ็ดสามานย์ เดินทางในวิถีแห่งความชั่วร้าย เป็นจอมยุทธฝ่ายอธรรม

โดยเฉพาะหญิงที่มีใบหน้างดงามนั้น เชี่ยวชาญในการดูดกลืนปราณหยาง ไม่รู้ว่ามีจอมยุทธชายมากเท่าไหร่ที่ถูกดูดจิตวิญญาณไป

“โอ้สวรรค์ นี่เรากําลังคุยกันอยู่ต่อหน้ามารร้ายทั้งสิ่งั้นหรือ?”

 

ขาแข้งของเหล่าจอมยุทธอ่อนระทวย หัวใจของพวกเขาสั่นสะทาน

ถ้าไม่ใช่เพราะการปรากฏตัวขึ้นอย่างกะทันหันของสงฆ์ศักดิ์สิทธิ์อย่างเฉียนขู่” เกรงว่าคงไม่มีใครในที่แห่งนี้รู้ตัวว่าชีวิตกําลังตกอยู่ในระหว่างความเป็นความตายแล้ว

ตามวิสัยของจอมยุทธฝ่ายอธรรมทั้งสี่นี้ หากไม่ใช่เพราะกําลังถูกสงฆ์ศักดิ์สิทธิ์เฉียนขู่ไล่ตามอยู่ เกรงว่าพวกมันคงลงมือไปนานแล้ว ไล่สังหารจอมยุทธทั้งโรงเตี้ยมเพื่อใช้เลือดเนื้อและแก่นพลังไปหล่อเลี้ยงบาดแผลของพวกมัน

แม้ว่าจะเป็นราชาดาบชิงเฉิง ท่าทีของเขาก็ดูเคร่งเครียดอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

 

แม้เขาจะสังเกตได้นานแล้วว่ามีกลิ่นอายทรงพลังซ่อนตัวอยู่ในโรงเตี้ยม แต่ก็ไม่รู้ว่ามันคือจอมยุทธฝ่ายอธรรมผู้ฉาวโฉ่

“เฉียนขู่ เจ้าจัดการมันได้หรือไม่?”

ราชาดาบชิงเฉิงแตะด้ามดาบบริเวณเอว และมองลงไป

 

ไม่ว่าอย่างไรเฉียนขู่ก็มาจากวัดเส้าหลินเป็นสุดยอดพรรคฝั่งธรรมะ ตอนนี้ถูกปิดล้อมด้วยจอมยุทธฝั่งอธรรม จะให้เขานิ่งเฉยได้อย่างไร?

 

นอกจากนี้ หากจอมยุทธฝ่ายอธรรมเหล่านี้สังหารเฉียนขู่ได้จริงๆ เกรงว่ามันจะหันกลับมาโจมตีเขา

 

“ไม่ว่าจะแพ้หรือชนะ ก็ต้องดูความสามารถของคนเหล่านี้เสียหน่อย”

เฉียนขู่เงยหน้าขึ้นมองไปยังจอมยุทธฝ่ายอธรรมทั้งหลาย ยกมือขวาขึ้น พลังภายในอันน่าสะพรึงกลัวก็แผ่พุ่งออกมา ครอบคลุมไปทั่วทั้งโรงเตี้ยม

ต่อหน้าพลังปราณอันยิ่งใหญ่สายพุทธ จอมยุทธฝ่ายอธรรมทั้งหลายรู้สึกว่าพลังของพวกมันถูกระงับ

“ลาน้อยหัวโล้นเฉียนขู่ อย่าได้เย่อหยิ่งเกินไปนัก ตอนที่ข้าตะลอนไปทั่วยุทธภพ เจ้ายังดื่มนมแม่อยู่เลย”

เท้าของเจ็ดสามานย์กระทืบลงพื้นอย่างดุเดือด ทั้งร่างเคลื่อนคล้อยไปดุจอสรพิษกระโจนเข้าหาเฉียนขู่

 

อีกสามคนต่างก็ใช้วิธีการของตัวเอง ล้อมกรอบเฉียนขู่ไว้ตรงกลาง

บูม!

ไอพลังของการต่อสู้ระหว่างยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งกระจายออกไป ถ้าไม่ใช่เพราะเฉียนขู่ไม่ต้องการจะทําร้ายผู้บริสุทธิ์และออกจากโรงเตี้ยมได้ทันเวลา เกรงว่าป่านนี้โรงเตี้ยมคงพังทลายลงไปแล้ว

เมื่อจอมยุทธทั้งหลายในโรงเตี้ยมเห็นฉากนี้ ตาของพวกเขาก็สว่างขึ้น และรีบออกจากโรงเตี้ยมเพื่อมาดูเฉียนขู่ต่อสู้กับเหล่าจอมยุทธฝ่ายอธรรม

การต่อสู้ระหว่างยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งนั้นหาได้ยากอย่างยิ่ง โดยเฉพาะการใช้คนหมู่มากโจมตีคนหมู่น้อยยิ่งพบเห็นได้ยากขึ้นไปอีก

 

ยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งไม่ใช่คนโง่ พวกเขาจะริเริ่มต่อสู้กับกลุ่มคนที่มีพลังในระดับเดียวกันได้อย่างไร

มีเพียงอัจฉริยะสายพุทธอย่างเฉียนขู่เท่านั้นที่มีพลังยับยั้งวิถีมาร และมีความมั่นใจในการไล่ตามจอมยุทธฝ่ายอธรรมทั้งหลาย

 

ราชาดาบชิงเฉิงลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แต่ไม่ได้เคลื่อนไหวในทันที

ที่เขาไม่ลงมือในเวลานี้ ประการแรกเป็นเพราะเขายังมีความกลัวในจอมยุทธฝ่ายอธรรมอยู่

ประการที่สองคือเขาต้องการจะรู้ความแข็งแกร่งของเฉียนขู่ เพราะความแข็งแกร่งของเฉียนขู่นั้น ระดับชั้นที่หนึ่งธรรมดาๆ ไม่ใช่คู่ต่อสู้เลย และในเวลานี้ ทั้งสี่คนต่างก็เป็นยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่ง พวกเขาควรจะสามารถบังคับเฉียนขู่ให้แสดงพลังออกมาได้อย่างเต็มที่

 

“เมื่อเฉียนขู่รับมือไม่ไหว ข้าจะเข้าไปช่วย”

 

ราชาดาบชิงเฉิงคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงมองออกไปนอกโรงเตี้ยม

“ลุงสาม”

“ท่านว่าในหมู่พวกเขา ใครจะเป็นผู้ชนะ…”

 

หลี่หว่านเอ่ยถามด้วยเสียงต่ํา ดวงตาสดใส

 

แม้ภายในวัง หลีหว่านจะเคยเฝ้ามองการประมือกันระหว่างวันที่ชุดแดงกับรองแม่ทัพ

 

แต่จะมาเทียบกับเฉียนขู่ที่ต่อสู้เอาชีวิตกันกับเหล่าจอมยุทธฝ่ายอธรรมด้วยกําลังทั้งหมดได้อย่างไรเล่า?

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง จิตสังหารอันรุนแรงที่ปล่อยออกมาจากจอมยุทธฝ่ายอธรรมเหล่านั้น มันทําให้หลีหว่านตื่นตระหนกอย่างบอกไม่ถูก

“ใครจะเป็นผู้ชนะ?”

ซูฉินนั่งอยู่บนเก้าอี้อย่างสบายใจ ใบหน้าของเขาปรากฏคําใบ้ที่มีความหมายลึกซึ้งแฝงอยู่

 

Sign in Buddha’s palm 232 สงฆ์ศักดิ์สิทธิ์ เฉียนขู่”

ตีนเขาคุนหลุน

ภายในโรงเตี้ยมแห่งหนึ่ง

 

ในเวลานี้ เนื่องจากการกําเนิดขึ้นของวิหารการสงคราม ไม่รู้ว่ามีจอมยุทธจํานวนมากเท่าไหร่ที่มารวมตัวกับรอบเขาคุนหลุน ต้องการจะเห็นวิหารการสงครามตามข่าวลือด้วยตาของตนเอง เป็นเวลานับพันปีมาแล้ว ตราบใดที่จอมยุทธที่ออกมาจากวิหารการสงครามยังมีชีวิตอยู่ อย่างน้อยเขาก็จะไปถึงยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสมบูรณ์ หรือแม้แต่ไปถึงขอบเขตตํานานยุทธซึ่งเป็นตัวตนที่ขาดหายไปนาน

ไม่มีจอมยุทธคนไหนจะเพิกเฉยต่อโอกาสอันยิ่งใหญ่ที่หาได้ยาก ในรอบพันปีเช่นนี้ ส่งผลให้โรงเตี้ยมรอบเชิงเขาคุนหลุนพลุกพล่านไปด้วยผู้คน ดูมีชีวิตชีวาเป็นอย่างมาก

และในตอนนั้นเอง

ด้านนอกโรงเตี้ยมมีร่างสองร่างกําลังก้าวเดินมาอย่างช้าๆ ด้านซ้ายเป็นชายที่ดูสงบนิ่ง ด้านขวาเป็นเด็กสาววัยรุ่นที่งดงามราวกับรูปสลักหยก

“ลุงสาม”

“เรามาทําอะไรกันที่นี่หรือ?”

เด็กสาวตัวเล็กแหงนหน้าขึ้นมองชายคนนั้นเอ่ยถามออกมาด้วย เสียงอันเบา

“พาเจ้ามาดูว่าจิตสังหารคือสิ่งใด” สายตาของชายผู้นี้กว้างไกลนัก เขากล่าวคําออกมาอย่างแผ่วเบา

สองคนนี้ย่อมเป็นซูฉินและหลี่หว่าน

หลี่หว่านทําความเข้าใจเจตจํานงแห่งดาบที่ซูฉินทิ้งไว้ให้ทั้งยามกลางวันและยามกลางคืน เส้นทางดาบของนางไว้ที่สิ้นสุด แต่ขาดจิตสังหาร ซูฉินจึงใช้โอกาสที่วิหารการสงครามโผล่ขึ้นมานี้พาหลี่หว่านออกมาสู่โลกภายนอก

การฝึกฝนวิทยายุทธ โดยเฉพาะเส้นทางแห่งดาบต้องผ่านการต่อสู้ที่ถึงแก่ชีวิตมากมาย ในฐานะองค์หญิงแห่งราชวงศ์ถังหลี่หว่านมีสถานะเป็นที่นับหน้าถือตาภายในวัง ไม่ว่าจะเป็นเหล่าขันทีชุดแดงหรือรองแม่ทัพแห่งวังหลวง ใครเล่าจะกล้าโจมตีหลี่หว่านอย่างจริงจัง?

ดังนั้นซูฉินจึงพาหลี่หว่านออกมา อย่างไรเสีย ถึงแม้จะไม่มีหลี่หว่าน เขาก็ต้องมายังเขาคุนหลุนแห่งนี้อยู่แล้ว

 

“โอ้…”

หลี่หว่านได้ยินคํากล่าวของซูฉินก็มายืนด้านข้างของซูฉินอย่างเชื่อฟังทันที

เมื่อทั้งสองเดินเข้าไปในโรงเตี้ยม เสี่ยวเอ้อนประจําร้านก็เดิน เข้ามาทักทายในทันที กล่าวคําออกมาอย่างเคารพว่า “ทั้งสองท่าน โปรดขึ้นมาที่ด้านบนเถิดขอรับ”

 

ดวงตาของเสี่ยวเอ้อดูเคร่งขรึม แม้ว่าเขาจะไม่เห็นอะไรในตัวของซูฉิน ทว่ายิ่งเป็นเช่นนั้นเขาก็ยิ่งไม่กล้าไม่ใส่ใจ

ในช่วงเวลานี้ ไม่รู้ว่ามีจอมยุทธผ่านมามากมายเพียงใด บางที่ซูฉินอาจจะเป็นปรมาจารย์ผู้ซ่อนเร้นก็เป็นได้

 

ไม่นานนัก

หลังจากที่ซูฉินนั่งลง หลี่หว่านก็ไปนั่งอยู่ข้างๆ

“ยังเหลือเวลาอีกหลายวัน”

ซูฉินเงยหน้าขึ้นและมองไปยังยอดเขาคุนหลุน ด้วยการสังเกตอย่างใกล้ชิดนี้ เขาสัมผัสได้ถึงเวลาจําเพาะของการกําเนิดของวิหารการสงครามได้เด่นชัดมากยิ่งขึ้น

เมื่อครั้งยังอยู่ภายในเมืองฉางอันที่อยู่ห่างจากเขาคุนหลุนถึงแสนลี้ แม้จะใช้ดวงตาแห่งสัจจะและวิชาปราณฉีฟ้ากําหนด ก็สามารถสัมผัสความผันผวนของชั้นบรรยากาศได้เพียงแผ่วเบาเท่านั้น ทําได้แค่อนุมานเวลาที่วิหารการสงครามจะปรากฏขึ้น

แต่นั้นก็เพียงการคาดเดาคร่าวๆ มีโอกาสเกิดข้อผิดพลาดอยู่ราวๆครึ่งเดือนถึงหนึ่งเดือน แต่ตอนนี้ซูฉินมาอยู่ที่เชิงเขาคุนหลุนแล้ว สามารถทํานายเวลาการกําเนิดขึ้นของวิหารการสงครามได้อย่างแม่นยําภายในช่วงสองสามวัน

“อย่างไรเสียตอนนี้ทุกสิ่งอยู่ในจุดที่พบทางตัน รอต่อไปอีกไม่กี่วันก็ไม่ได้เสียหายอะไร” ซูฉินวางมือไว้บนโต๊ะไม้แล้วเคาะเบาๆ

ตอนนี้ภาพดวงตะวันขนาดมหึมาได้เข้าสู่จุดเริ่มต้นแล้ว และไม่สามารถทําอะไรได้ในช่วงสั้นๆ ส่วนการพัฒนาระดับสู่นภาชั้นที่เก้า มันก็ไม่ใช่เรื่องที่จะสามารถทําได้ในทันที

 

“ไม่รู้ว่าวิหารการสงครามจะมีสิ่งใดทําให้ข้าประหลาดใจได้บ้าง?”

มีแสงสว่างเลือนรางในดวงตาของซูฉินครุ่นคิดอยู่กับตนเอง

 

ขณะที่ซูฉินกําลังครุ่นคิดอยู่นั้น

ภายในโรงเตี้ยมก็เหมือนโดนระเบิดลง

จอมยุทธจํานวนมากที่มารวมตัวกันก็เริ่มพูดคุย

“พวกเจ้าคิดว่าการปรากฏตัวของวิหารการสงครามในครั้งนี้ ราชาดาบชิงเฉิงจะมาหรือไม่?” ชายชุดดําถามด้วยความสนอกสนใจ

ราชาดาบชิงเฉิงเป็นยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งที่เพิ่งปรากฏตัวขึ้นในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เขาเก่งกาจในเรื่องการฆ่าฟัน

 

“ราชาดาบชิงเฉิง?”

มีจอมยุทธคนหนึ่งหัวเราะออกมา “วิหารการสงครามนั้นเป็นโอกาสอันหาได้ยากในช่วงเวลานับพันปี ไม่ใช่แค่ราชาดาบชิงเฉิง แม้แต่สัตว์ประหลาดเฒ่าที่อยู่ในจุดสูงสุดของระดับชั้นที่หนึ่งพวกนั้น ข้าเกรงว่าก็ไม่สามารถทนความปรารถนาที่จะมาได้”

“ระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสูงสุด…”

เกิดความเงียบงันทั่วโรงเตี้ยมอย่างกะทันหัน

แม้กระแสปราณฉีจะเริ่มฟื้นตัวขึ้นมากแล้วในตอนนี้ สภาพแวดล้อมทําให้การบ่มเพาะกลายเป็นเรื่องง่าย แต่ยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสูงสุดก็ยังหาได้ยากยิ่ง ยังนับเป็นตัวตนที่แข็งแกร่งอยู่

“แล้วเหนือกว่าระดับชั้นที่หนึ่งล่ะ?” จอมยุทธอีกคนหนึ่งถามด้วยดวงตาที่เร่าร้อน

“เหนือกว่าระดับชั้นที่หนึ่ง

ใบหน้าของทุกคนเปลี่ยนไปเล็กน้อย

แม้จะเป็นยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสูงสุด แต่ก็ยังนับว่าเป็นระดับชั้นที่หนึ่งอยู่ดี และสิ่งเดียวที่สามารถเรียกได้ว่าอยู่เหนือระดับชั้นที่หนึ่งจริงๆ ก็น่าจะเป็นตํานานยุทธและอรหันต์

“ในยุคนี้ ข้ารู้เพียงว่าผู้ที่อยู่เหนือระดับชั้นที่หนึ่งมีเพียงสองท่าน หนึ่งคือวัดเส้าหลิน อีกท่านเป็นตํานานยุทธในเมืองฉางอัน”

ในเวลานี้ ที่ชั้นสองของโรงเตี้ยม ชายคนหนึ่งที่สวมชุดสีฟ้า ก็ค่อยๆกล่าวออกมา

เมื่อชายในชุดสีฟ้าพูดขึ้น ทุกคนในโรงเตี้ยมก็มองมาที่เขา

“เขาคือ?”

สีหน้าของจอมยุทธต่างก็เปลี่ยนไป มองไปที่ชายชุดฟ้าอย่างไม่อยากจะเชื่อ

“ราชาดาบชิงเฉิง ข้าไม่คาดคิดเลยว่าราชาดาบชิงเฉิงจะมาถึงเขาคุนหลุนแล้ว…” จอมยุทธบางคนหันหน้ามองกัน สีหน้าเต็มไปด้วยอาการตกตะลึง

ชายในชุดสีฟ้าผู้นี้ก็คือราชาดาบชิงเฉิงที่พวกเขาเพิ่งพูดถึงไปเมื่อสักครู่

ราชาดาบชิงเฉิงเป็นยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งที่เพิ่งปรากฏตัวขึ้นและมีชื่อเสียงอย่างมาก แทบจะกลบชื่อเสียงของยอดยุทธรุ่นเก่าไปหมดเลย

“ราชาดาบ เจ้าคิดว่าระหว่างอรหันต์จากวัดเส้าหลินกับตํานานยุทธแห่งเมืองฉางอัน ผู้ใดแข็งแกร่งผู้ใดอ่อนแอกว่ากัน?”

 

ชายชุดดําที่เพิ่งพูดจบไป ก็ถามขึ้นมา ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความสงสัย

เมื่อจอมยุทธคนอื่นๆ ได้ยิน พวกเขาก็รีบเงี่ยหูฟังทันที เห็นได้ชัดว่าพวกเขาก็อยากจะทราบเรื่องนี้ด้วยเช่นกัน

ตํานานยุทธและอรหันต์เป็นขีดจุดสูงสุดของวิทยายุทธมาโดยตลอด แม้ว่าทั้งสองจะมีชื่อต่างกัน แต่ก็มีอํานาจในระดับเดียวกัน

“ผู้ใดแข็งแกร่งกว่า…

ราชาดาบชิงเฉิงลังเล แม้ว่าเขาจะรู้อะไรมากกว่าคนส่วนใหญ่ในที่แห่งนี้ แต่เขาจะไปรู้ถึงความแข็งแกร่งระดับตํานานยุทธได้อย่าง

“จากเรื่องราวที่เห็นในปัจจุบัน ตํานานยุทธเมืองฉางอันน่าจะแข็งแกร่งกว่า” ราชาดาบชิงเฉิงก้มหน้าลง ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงกล่าวตอบ

 

เหตุผลที่เขาสรุปออกมาเช่นนี้ ทั้งหมดเป็นเพราะมีตํานานยุทธมากมายตกตายอยู่ภายในเมืองฉางอัน

 

ไม่ว่าจะเป็นราชครูแห่งอาณาจักรเหมิ่งหยวนหรือตํานานยุทธบรรพบุรุษของสํานักสังหารโลหิต ทุกสิ่งล้วนแสดงให้เห็นถึงความน่าสะพรึงกลัวของตํานานยุทธภายในเมืองฉางอัน

ส่วนผู้ทรงสมณศักดิ์วัดเส้าหลินนั้นตั้งแต่แรกจนถึงตอนนี้ ก็มีแต่จัดการกับจอมมารที่บุกมาถึงหน้าประตูวัดเท่านั้น

เมื่อเทียบกับตํานานยุทธเมืองฉางอัน แน่นอนว่าดูอย่างไรก็อ่อนแอกว่า

“เป็นเช่นนี้นี่เอง”

 

จอมยุทธหลายคนภายในโรงเตี้ยมครุ่นคิดตาม

 

“ราชาดาบ ท่านยังไม่ได้บอกเลยว่าการกําเนิดขึ้นของวิหารการสงครามในครั้งนี้ อรหันต์จากวัดเส้าหลินและตํานานยุทธเมืองฉางอันจะมาหรือไม่?

จอมยุทธบางคนเหมือนจะคิดอะไรขึ้นมาได้ แล้วถามออกมาเสียงดัง

 

“ข้าไม่แน่ใจเกี่ยวกับตํานานยุทธเมืองฉางอัน” ราชาดาบชิงเฉิง เหลือบมองฝูงชนแล้วพูดด้วยเสียงต่ําว่า “แต่ผู้ทรงสมณศักดิ์จากวัดเส้าหลินไม่น่าจะมา”

คําที่กล่าวออกมา

จอมยุทธจํานวนมากในที่แห่งนี้ต่างงงงวย

พวกเขาไม่คาดคิดว่าราชาดาบชิงเฉิงจะมีความมั่นใจว่าผู้ทรงสมณศักดิ์จากวัดเส้าหลินจะไม่มา

“ข้าได้ศึกษาตําราโบราณมาก่อน ตํานานยุทธและอรหันต์ที่กําเนิดขึ้นมาในสมัยก่อน มักจะไม่มีใครอยู่ในทวีปนี้เป็นเวลานาน แต่จะข้ามน้ําข้ามทะเลไปยังดินแดนระดับที่สูงกว่า”

 

ราชาดาบชิงเฉิงไม่ได้ปิดบังอะไร กล่าวอย่างตรงไปตรงมา “เมื่อยี่สิบปีที่แล้ว ตั้งแต่ที่ผู้ทรงสมณศักดิ์ปรากฏตัวที่วัดเส้าหลิน ในช่วงสองทศวรรษที่ผ่านมาก็ไม่มีข่าวคราวเกี่ยวกับท่านอีกเลย”

 

“ข้าคิดว่ามันเป็นไปได้สูงที่ผู้ทรงสมณศักดิ์ออกจากวัดเส้าหลิน และออกจากทวีปนี้ไปแล้ว ”

แม้ว่าน้ําเสียงของราชาดาบชิงเฉิงจะเบามาก แต่ก็กระจายไปทั่วโรงเตี้ยม ก้องเข้าไปในหูของทุกคน

 

นี่ไม่ใช่แค่ราชาดาบชิงเฉิงเท่านั้นที่คิดเช่นนี้ แต่ยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งหรือระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสูงสุดก็คิดเช่นนี้

อรหันต์จากวัดเส้าหลินได้จากไปแล้ว

“มิผิด”

 

“ถ้าผู้ทรงสมณศักดิ์ยังคงอยู่ในวัดเส้าหลิน เกรงว่าจะเผยแผ่ศาสนาไปทั่วโลกนานแล้ว จะเก็บตัวกันมากว่ายี่สิบปีได้อย่างไร?”

จอมยุทธหลายคนพยักหน้าเห็นด้วยเล็กน้อย

แม้พุทธศาสนาจะไม่แสวงหาความขัดแย้ง แต่ก็ใช่จะไม่มีข้อพิพาทเลย แม้เส้าหลินจะไม่สนใจอํานาจทางโลกแต่อย่างน้อยก็ช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้กับอารามสายพุทธทั้งสี่แห่งได้

 

“ราชาดาบพูดมานั้นมีเหตุผลอย่างมาก”

มีจอมยุทธทอดถอนใจ “อย่างไรก็ตาม วัดเส้าหลินเพิ่งจะมีผู้ทรงสมณศักดิ์ไป ไม่นานก็ปรากฏสงฆ์ศักดิ์สิทธิ์คนหนึ่งขึ้นมา นามว่า “เฉียนขู่” ทําไมสวรรค์จึงโปรดปรานพุทธศาสนาเช่นนี้ ”

 

“เฉียนขู่” สงฆ์ศักดิ์สิทธิ์ ?

ทันทีที่สี่คํานี้กล่าวออกมา ทั้งโรงเตี้ยมก็เงียบอีกครั้ง

ในสายพุทธ มีเพียงยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งเท่านั้นที่มีคุณ สมบัติพอที่จะเรียกว่าสงฆ์ศักดิ์สิทธิ์

และสงฆ์ศักดิ์สิทธิ์ เฉียนขู่ผู้นี้ก็เกือบจะแข็งแกร่งที่สุดในหมู่คนรุ่นใหม่ และแม้แต่ยอดปรมาจารย์อย่างราชาดาบชิงเฉิงก็ยังต้องตกเป็นรอง

สิบปีที่แล้ว “เฉียนขู่” ได้เปิดตัวที่วัดเส้าหลิน แต่ปรากฏตัวในฐานะปรมาจารย์ระดับชั้นที่สอง

อย่างไรก็ตาม ในช่วงสิบปีที่ผ่านมา “สงฆ์ศักดิ์สิทธิ์”เฉียนขู่ได้ก้าวเข้าสู่ระดับชั้นที่หนึ่งอย่างรวดเร็วและเข้าสู่แนวหน้าของระดับชั้นที่หนึ่ง อีกเพียงครึ่งก้าวก็จะไปถึงระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสมบูรณ์ ในช่วงเวลาเพียงไม่กี่เดือนหลังจากนั้น เขาก็ได้กําจัดจอมยุทธผู้ชั่วร้ายในระดับชั้นที่หนึ่งไปถึงเจ็ดจน สิ่งนี้ทําให้ทั่วโลกตื่นตะลึง

“เฉียนขู่….”

รูม่านตาของราชาดาบชิงเฉิงหดตัวเล็กน้อย ครั้งหนึ่งเขาเคยประมือกับเฉียนขู่อย่างลับๆ เป็นการประมือไม่กี่กระบวนท่าก่อนที่เขาจะถอยหนีไป อาจกล่าวได้ว่าการต่อสู้ในครั้งนั้นกลายเป็นเงามืด แฝงอยู่ในชีวิตเขาไปเลย

 

“ว่ากันว่าสงฆ์ศักดิ์สิทธิ์ เฉียนขู่ เป็นศิษย์ของผู้ทรงสมณศักดิ์แห่งวัดเส้าหลิน จะไม่แข็งแกร่งได้เช่นไร?” มีความลับมากมายในวิธีการของผู้ทรงสมณศักดิ์

“ลูกศิษย์ของผู้ทรงสมณศักดิ์”

 

ทุกคนเงียบไปในทันที แต่เมื่อลองคิดดูแล้ว มันก็สมเหตุสมผล

วิธีการของผู้ทรงสมณศักดิ์ จอมยุทธอย่างพวกตนจะไปเข้าใจได้อย่างไร การเป็นศิษย์ของผู้ทรงสมณศักดิ์ นับประสาอะไรกับการไปถึงยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่ง ต่อให้เป็นยอดปรมาจารย์ขั้นสมบูรณ์ก็สมเหตุสมผล

“ลุงสาม”

“สงฆ์ศักดิ์สิทธิ์ เฉียนขู่” ข้าเองก็ได้เคยได้ยินมาจากเสด็จพ่อ…” หลี่หว่านฟังด้วยความเพลิดเพลิน มองไปที่ซูฉินแล้วกล่าวออกมาอย่างตื่นเต้น

“เฉียนขู่?”

“สงฆ์ศักดิ์สิทธิ์?”

 

ซูฉินแตะปลายคางของตนเอง

เขาไม่ได้คาดหวังว่าเฉียนขู่” จะก้าวเข้าสู่ยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งได้อย่างรวดเร็ว

ตามที่ซูฉินเคยประเมินเอาไว้ตอนที่อยู่วัดเส้าหลิน แม้ว่าเฉียนขู่จะครอบครองดวงใจพุทธะ ก็ต้องใช้เวลาอย่างน้อยห้าสิบปีกว่า จะถึงระดับชั้นที่หนึ่ง และอีกร้อยปีกว่าจะก้าวเท้าขึ้นไปแตะระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสมบูรณ์ จากนั้นจึงสามารถทะลวงขอบเขตอรหันต์ได้

แต่ตอนนี้ในเวลาเพียงยี่สิบปี เฉียนขู่ ก็กลายเป็นระดับชั้นที่หนึ่งได้แล้ว……..

“มันคือผลจากกระแสปราณีฟื้นคืนงั้นหรือ?”

ใบหน้าของซูฉินครุ่นคิด

การฟื้นคืนของกระแสปราณฉีได้เกิดขึ้นในช่วงสิบปีที่ผ่านมาเท่านั้น “เฉียนขู่ ก็ได้รับประโยชน์จากกระแสปราณ ทําให้ก้าวเข้าสู่ระดับชั้นที่หนึ่งล่วงหน้าเร็วกว่าที่ควรจะเป็น

 

“เป็นเวลานานแล้วที่ข้าไม่ได้กลับไปวัดเส้าหลิน…” ซูฉินถอนหายใจเบาๆ ในพริบตาต่อมา เขาก็พลันรู้สึกถึงบางอย่างและมองไปยังทิศทางหนึ่ง

“หืม?”

 

ร่องรอยความประหลาดใจปรากฏขึ้นบนใบหน้าของซูฉิน

 

[1] เสี่ยวเอ้อ บริกรประจําโรงเตี้ยม หรือโรงน้ําชา

 

เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล [Sign in Buddha’s palm] Sign in Buddha’s palm 231 (II) วิหารการสงครามถือกําเนิด

Sign in Buddha’s palm 231 (II) วิหารการสงครามถือกําเนิด

“วิชาศักดิ์สิทธิ์นี้ช่างน่าเหลือเชื่อจริงๆ”

ซูฉินจมลงไปในส่วนลึกของจิตใจ และเหลือบมองภาพแผ่นหินทั้งสิบสองรูปที่ค่อยๆหมุนอยู่ภายในจิตอีกครั้ง

“แต่เพียงแค่จุดเริ่มต้นของภาพดวงตะวันขนาดมหึมาก็ใช้เวลาในการลงชื่อเข้าใช้ไปกว่าหนึ่งปีแล้ว ส่วนต่อจากนี้ทั้งความสําเร็จระดับเล็กกับความสําเร็จอันยิ่งใหญ่ ข้าควรจะทําเช่นไรจึงจะบรรลุถึงมันได้?”

สีหน้าของซูฉินกลายเป็นหนักอึ้ง

“ในช่วงที่ลงชื่อเข้าใช้ นอกจากจะได้รับโอสถปีศาจธาตุไฟแล้ว ยังได้รับโลหิตเทพเจ้าปีศาจมาหยดหนึ่งด้วยงั้นหรือ?”

จิตใจของซูฉินเคลื่อนไหว ทันใดนั้นเลือดหยดหนึ่งก็ลอยอยู่ตรงหน้าของเขา

เลือดหยดนี้ไม่เหมือนกับโลหิตเทพเจ้าปีศาจที่ซูฉินเคยได้รับมาก่อน เห็นได้ชัดว่าไม่ได้มาจากเทพเจ้าปีศาจตนเดียวกัน

โลหิตเทพเจ้าปีศาจที่ได้รับจากการลงชื่อเข้าในเมืองอินจีนั้นยังคงมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า แต่ก็มองได้ไม่ชัดเช่นเดิม ทว่าสิ่งที่แตกต่างคือมันเต็มไปด้วยพลังของเปลวเพลิงที่ทรงพลังอย่างยิ่ง

พลังของเปลวเพลิงนี้ย่อมด้อยกว่าไฟของดวงตะวันที่แท้จริงจาก อีกาทองคําสามขาที่สลักไว้บนแผ่นหินภาพดวงตะวัน” แต่มันย่อมเหนือกว่าพลังของจ้าวทะเลบูรพาอย่างแน่นอน

“เทพเจ้าปีศาจที่เดินในเส้นทางแห่งไฟ?”

ซูฉินแตะปลายคาง ใบหน้าครุ่นคิด

“ข้ารู้สึกว่าโลหิตเทพเจ้าปีศาจหยดนี้น่าจะช่วยให้ข้าฝึกภาพดวงตะวันขนาดมหึมาได้อย่างดี…..”

ซูฉินมองดูโลหิตเทพเจ้าปีศาจที่อยู่เบื้องหน้าของเขา ร่องรอยความสิ้นหวังก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขา “แต่ขากลับสัมผัสมันไม่ได้ ”

โลหิตเทพเจ้าปีศาจไม่สามารถใช้จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์เข้าถึงได้ สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าเท่านั้น เป็นธรรมดาที่จะสัมผัสมันไม่

“ไว้พูดเรื่องนี้ที่หลัง”

ซูฉินครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงนําโลหิตเทพเจ้าเก็บกลับเข้าไปในคลังระบบ

อย่างไรก็ตาม เลือดของเทพเจ้าปีศาจได้ตกมาอยู่ในกํามือของเขาแล้ว อย่างไรมันก็ไม่หนีไปไหนอยู่ดี

หลังจากที่บรรลุความสําเร็จเล็กๆน้อยๆ ในวิชาภาพดวงตะวันขนาดมหึมาแล้ว ซูฉินก็ถอนหายใจอย่างโล่งอกและไม่ได้อุทิศเวลาทั้งหมดไปกับการฝึกฝนอีกต่อไป เขามักจะออกไปที่วังหลวง เพื่อเดินเล่นไปรอบๆ คอยชี้แนะการฝึกฝนให้กับตระกูลซู

“พี่สาม ข้ารู้สึกว่าตนเองอ่อนวัยลงในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมานี้ ” ซูเยวหยุนพูดด้วยความดีใจเมื่อพบเข้ากับซูฉิน

ซูฉินยิ้มและไม่ได้พูดอะไร

แม้ว่าหยดน้ําจิตวิญญาณกําเนิดพฤกษาจะไม่มีผลกับซูฉิน แต่นั่นเป็นเพราะระดับของซูฉินนั้นสูงเกินไป หากเปลี่ยนเป็นตํานานยุทธคนอื่นๆ แม้ว่าจะเป็นผู้เยี่ยมยุทธ แต่ถ้าเป็นหยดน้ําจิตวิญญาณ กําเนิดพฤกษาพวกเขาย่อมปรารถนาแน่นอน ไม่ต้องถึงขนาดช่วยยืดอายุขัย อย่างน้อยการช่วยปรับปรุงสมรรถภาพทางก็เพียงพอ แล้วที่จะทําให้จิตใจของผู้คนสั่นไหว

ซึ่งในฐานะคนธรรมดาอย่างซูเยวหยุนที่ซึมซับหยดน้ําจิตวิญญาณกําเนิดพฤกษาเข้าไป มิใช่จะช่วยฟื้นฟูความอ่อนเยาว์ตลอดไปเลยหรือไร?

“มีหยดน้ําจิตวิญญาณกําเนิดพฤกษาเหลืออยู่อีกสามชั่ง จะให้ตระกูลซูสักหยดดีหรือไม่?”

ซูฉินคิดกับตนเองว่าในตอนนี้เขาก็อยู่ระดับนภาชั้นที่แปดแล้ว และสามารถควบแน่นอาณาเขตได้ด้วย ไม่จําเป็นต้องรออย่างยาวนานเหมือนตอนที่มอบให้ซูเยวหยุนก่อนหน้านี้

เมื่อนึกเรื่องนี้ได้ ซูฉินก็แอบแบ่งหยดน้ําจิตวิญญาณกําเนิดพฤกษาสามหยด กระจายออกไปให้หลอมรวมเข้ากับร่างของคนในตระกูลซู

หลังจากให้ตระกูลซูเรียบร้อยแล้ว ซูฉินก็มอบให้จักรพรรดิถังอีกหยดหนึ่ง อย่างไรเสียหยดน้ําจิตวิญญาณแรกกําเนิดก็มีอีกสองสามชั่ง นอกจากนี้มันยังไร้ประโยชน์กับซูฉิน เขาจึงไม่ได้รู้สึกทุกข์ใจอะไร

จากนั้นซูฉินก็มอบแผ่นไม้ให้กับหลีหว่านอีกครั้ง คราวนี้ซูฉินทิ้งเจตจํานงดาบเพิ่มไว้ให้อีกเล็กน้อย ซึ่งเพียงพอให้หลีหว่านศึกษาไปได้อีกสองสามปี

– CC

“เจ้ารู้หรือไม่ว่าตอนนี้เจ้าขาดอะไรมากที่สุด”

ซูฉินขมวดคิ้วเมื่อมองไปเห็นหลีหว่านที่กําลังฝึกดาบอยู่ไม่ไกล

“ลุงสาม ข้าขาดอะไร” ใบหน้าของหลีหว่านดูเสียศูนย์

“จิตสังหาร”

ซูฉินพูดออกมาช้าๆ

ทักษะดาบของหลีหว่านเกือบจะถึงขอบเขตสามระดับบนแล้ว แต่ไร้ซึ่งร่องรอยของจิตสังหาร

เดิมที่วิชาดาบเป็นที่รู้จักในด้านการต่อสู้และฆ่าฟัน การที่หลี่หว่านไม่มีจิตสังหารในวิชาดาบเลย มันจะไม่เป็นการวางเกวียนไว้หน้าม้าหรอกหรือ?

“จิตสังหาร

” หลีหว่านมีสีหน้าที่ว่างเปล่า

เมื่อซูฉินเห็นเช่นนี้ ก็ไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดบนใบหน้าของเขาเช่นกัน

จิตสังหารจะมีได้ก็ต่อเมื่อผ่านการต่อสู้ดิ้นรนเอาชีวิตรอดมาแล้วเท่านั้น

และหลีหว่านในฐานะองค์หญิงแห่งราชวงศ์ถัง ทั่วทั้งวังหลวงนี้ ใครจะกล้าปล่อยให้หลีหว่านตกอยู่ในการต่อสู้ที่อันตรายถึงตาย?

แม้แต่ขันที่ชุดแดงที่คอยซ้อมมือกับหลีหว่านอยู่บ่อยๆ ก็ไม่กล้าใช้จิตสังหารมองดูหลีหว่านด้วยซ้ํา นับประสาอะไรกับการต่อสู้ที่อันตรายถึงแก่ชีวิต

เมื่อเป็นเช่นนี้ หลีหว่านจึงไม่สามารถสร้างจิตสังหารที่แท้จริงออกมาได้เลย

และหากปราศจากจิตสังหาร วิชาดาบก็เหมือนสูญเสียจิตวิญญาณ ไม่ว่ามันจะงดงามเพียงใด มันก็เป็นเพียงเปลือกที่ว่างเปล่า

“ลุงสาม ข้าควรทําเช่นไรดี…”

หลีหว่านดูเหมือนจะเข้าใจ และถามออกมาอย่างรวดเร็ว

“ทําเช่นไร?”

ซูฉินกําลังจะกล่าวต่อ

ฉับพลัน

ในตอนนั้นเอง

ท่าทีของซูฉินก็เปลี่ยนไป และทันใดนั้นเขาก็เงยหน้าขึ้น มองไปยังทิศทางหนึ่ง

“เขาคุนหลุน..

ซูฉินหรี่ตาลงเล็กน้อย แล้วเบิกเนตรดวงตาแห่งสัจจะพร้อมเรียกใช้วิชาปราณฉีฟ้ากําหนด ก็รู้สึกได้จางๆว่าความผันผวนขนาดใหญ่นั้นมาจากเทือกเขาคุนหลุน

“วิหารการสงครามกําลังจะถือกําเนิดแล้ว……..”

Sign in Buddha’s palm 231 (1) วิหารการสงคราม อกําเนิด

 

“นายท่านแข็งแกร่งถึงเพียงนี้เชียว?”

 

เหยียนไห่กลืนน้ําลาย พูดออกมาด้วยเสียงกระซิบ

 

เฉพาะเมื่อก้าวเข้าสู่ระดับนภาชั้นที่เจ็ดจึงจะมีคุณสมบัติพอที่จะเป็นตํานานยุทธขั้นสูงสุด

 

ทุกวันนี้บรรพชนที่หลับใหลในนิกายใหญาต่างแดนล้านอยู่

 

เฉพาะเมื่อก้าวเข้าสู่ระดับนภาชั้นที่เจ็ดจึงจะมีคุณสมบัติพอที่จะเป็นตํานานยุทธขั้นสูงสุด

 

แม้จะมีบันทึกกล่าวเอาไว้ว่าตํานานยุทธระดับนภาชั้นที่เจ็ดก็สามารถควบแน่นอาณาเขตได้ ตัวอย่างเช่น ในยุคเฟื่องฟูของกระแสปราณฉีครั้งล่าสุด บุตรแห่งสวรรค์ ตัวตนที่น่าภาคภูมิหลายคนสามารถรวบรวมพลังฟ้าดินควบแน่นเป็นอาณาเขตขนาดเล็กได้

 

แต่บันทึกก็เป็นเพียงแค่บันทึก ในสมัยโบราณมีตํานานยุทธสักกี่คนกันที่สามารถควบแน่นอาณาเขตในระดับนภาชั้นที่เจ็ดได้?

 

“สิ่งเดียวที่ข้าหวังในตอนนี้คือ สํานักเอกะวิถีอย่าได้ส่งใครมาเพิ่มอีกเลย…”

 

นักพรตเฒ่ากล่าวขึ้นหลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วจึงถอนหายใจออกมา

 

คํากล่าวนั้น

 

ทําให้เหยียนไห่ตกใจ

 

ตามคํากล่าวของนักพรตเฒ่า ซูฉินเป็นตํานานยุทธขั้นสูงสุดที่ควบแน่นอาณาเขตได้แล้ว ตัวตนเช่นนี้น่าสะพรึงกลัว ยิ่งยกเว้นจะมีเซียนเทพปฐพีกําเนิดขึ้นในรอบพันปีนี้ จะมีใครทําอะไรเขาได้?

 

หากสํานักเอกะวิถียังคงส่งคนมาเพิ่มอีก ก็เท่ากับส่งคนมาหาเรื่องตาย…

 

แม้ว่าเขาและนักพรตเฒ่าจะยอมก้มหัวได้ทันเวลาจนรอดชีวิตมาได้ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าซูฉินจะไว้ชีวิตนักพรตสํานักเอกะวิถีคนอื่นๆ

 

และที่สําคัญกว่านั้น ในอนาคตหากสํานักเอกะวิถียังคงมุ่งเป้ามาที่ซูฉินโดยไม่ยั้งคิด เกรงว่าสํานักเอกะวิถีคงจะถูกทําลายลงทั้งสํานัก

 

“ในอนาคต หากเจ้าพบว่าศิษย์คนใดของสํานักเอกะวิถีเข้ามาในเมืองฉางอัน เจ้าต้องรีบหยุดพวกเขาทันที และพาเขาไปคํานับผู้อาวุโส เพื่อพิสูจน์ว่าพวกเราไม่ได้มีเจตนาจะ “ระราน” นักพรตเฒ่ากล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง

 

“ดีขอรับ”

 

เหยียนไห่พยักหน้าเล็กน้อย กล่าวตอบอย่างเคร่งขรึม

 

ตอนที่เขาถูกซูฉินปราบ เหยียนไห่ยังคงเหลือความหวังในใจ เขาคิดว่าถ้าสานักเอกะวิถีได้สื่อสารกับซูฉินในอนาคต เขาอาจจะได้รับการไถ่ตัว”

 

แต่ตอนนี้ความคิดนั้นถูกลบไปจากใจของเหยียนไห่เรียบร้อยแล้ว ซูฉินแข็งแกร่งอย่างมาก สํานักเอกะวิถีคงต้องการส่งศิษย์เพื่อมาเอาใจซูฉินเสียมากกว่า จะไถ่ตัวเขากลับไปทําไม?

 

“อย่างไรก็ตาม ความแข็งแกร่งของข้าตอนนี้พัฒนาได้อย่างรวดเร็วเทียบเท่ากับฝึกฝนอย่างหนักภายในสํานักเอกะวิถี”

 

เหยียนไห่คิดอย่างลับๆในใจ จิตวิญญาณเขาถึงกับประหวั่นพรั่นพรึง

 

แม้ว่าชีวิตความเป็นความตายของเขาจะอยู่ในกํามือของซูฉิน แต่ซูฉินก็ไม่เคยเรียกร้องอะไรมากเกินไป และบางครั้งก็คอยชี้แนะการฝึกฝนให้แก่เขา

 

ตํานานยุทธขั้นสูงสุดที่ควบแน่นอาณาเขตได้มาชี้แนะแนวทางการบ่มเพาะให้ ถ้าเรื่องนี้ไปถึงต่างดินแดน มันก็เพียงพอแล้วที่จะทําให้ตํานานยุทธระดับผู้เยี่ยมยุทธอิจฉา ไม่ต้องพูดถึงการตกเป็นทาส แม้ว่าจะเป็นช้างม้าวัวควายก็ยอม

 

“เจ้าพวกมนุษย์ เจ้าจะมารู้จักนายท่านดีแค่ไหนกันเชียว?”

 

ชิงชิวเฉียนเฉียนเยาะเย้ยอยู่ในใจ หลังจากที่นางรับใช้ซูฉินเป็นเวลานานบนเกาะหยิงโจว เป็นธรรมดาที่นางจะรู้ว่าน อกจากตัวตนของตํานานยุทธแล้วนั้น ซูฉินยังมีความสัมพันธ์บางอย่างกับสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ที่ลือกันว่ามีธาตุไฟที่แข็งแกร่งที่สุดอย่างอีกาทองคําสามขา

 

แม้ว่าซูฉินจะปฏิเสธอย่างชัดถ้อยชัดคําว่าเขาไม่ใช่อีกาทองคําสามขา แต่ในมุมมองของชิงชิวเฉียนเฉียน แม้ว่าซูฉินจะไม่ใช่อีกาทองคําสามขาเลือดบริสุทธิ์ เขาก็ต้องมีสายเลือดสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ที่ทรงพลังอย่างอีกาทองคําสามขาไหลเวียนอยู่ในกาย ทั้งยังใกล้เคียงกับเลือดบริสุทธิ์มากอีกด้วย

 

นั่นคือสัตว์ศักดิ์สิทธิ์เชียวนะ!

 

อีกาทองคําสามขา สัตว์ศักดิ์สิทธิ์ที่แข็งแกร่งที่สุดในด้านการใช้ไฟ จะเอาไปเปรียบเทียบกับตํานานยุทธได้อย่างไร?

 

อีกาทองคําสามขาที่โตเต็มวัยสามารถแปลงกายเป็นดวงตะวันขนาดมหึมา แผดเผาท้องฟ้าและผืนดิน พื้นดินที่เหยียบย่างยังถูกเผา นับประสาอะไรกับสิ่งมีชีวิต

 

“อย่างไรก็ตาม ความสัมพันธ์ของนายท่านกับอีกาทองคําสามขาควรเก็บเป็นความลับสุดยอด ไม่ควรเปิดเผยออกมา”

 

ความคิดของชิงชิวเฉียนเฉียนผันผวน นึกอยู่ในใจอย่างรวดเร็ว

 

เวลาค่อยๆผ่านเลยไปอย่างช้าๆ

 

พริบตาก็ผ่านไปหลายเดือน

 

เหนือพระราชวังอันสูงตระหง่านใต้ผืนดิน

 

หลังจากฝึกฝนอย่างหนักมาหลายเดือน กลิ่นอายของซูฉินลึกซึ้งเสียยิ่งกว่าหลายเดือนก่อน โดยเฉพาะแผ่นหินขนาดใหญ่ด้านหลัง จุดแสงบริเวณขอบสองสว่างออกมา

 

ฉับพลัน

 

ในตอนนี้เอง

 

ดูเหมือนว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงเชิงคุณภาพบางอย่างเกิดขึ้นแล้ว

 

จุดแสงที่ขอบของแผ่นหินพลันสว่างวาบ เห็นเหมือนอีกาทองคําสามขาที่ดูร้อนแรงราวดวงตะวันกําลังสยายปีก พลังไฟอันน่าสะพรึงกลัวเกือบจะหลอมละลายโถงพระราชวังสูงตระหง่าน

 

“เกือบหนึ่งปีในการฝึกฝนภาพดวงตะวันขนาดมหึมาอย่างหนักหน่วง ในที่สุดก็เข้าสู่จุดเริ่มต้นได้แล้วเสียที…”

 

ซูฉินค่อยๆลืมตาขึ้น เครื่องหมายจางๆรูปเปลวเพลิงปรากฏขึ้นตรงกลางหว่างคิ้วของเขา

 

หลังจากกลับมาที่เมืองฉางอันเป็นเวลาหลายเดือน รวมกับเวลาหลายเดือนบนเกาะหยิงโจวเป็นเวลาเกือบหนึ่งปี แล้วที่ซูฉินใช้สิทธิ์ลงชื่อเข้าใช้ทั้งหมดไปในเมืองอินจี๋โลกถ้ําปีศาจ เพื่อรับโอสถปีศาจธาตุไฟมาใช้กับภาพดวงตะวันขนาดมหึมา

 

“ร่างกายของข้า หลังจากถูกหล่อหลอมด้วยเปลวไฟ ดูเหมือนว่าได้แปรสภาพเป็นครั้งที่หกแล้ว…”

 

ซูฉินดูมีความสุข ในตอนนี้ร่างกายของเขาได้เพิ่มระดับขึ้นไปอีกครั้ง ดูเหมือนว่าไม่ว่าจะเป็นมือหรือเท้าของเขาก็สามารถฉีกอากาศออกจากกันได้ ซูฉินเชื่อว่าถ้าชิงชิวชิงหลิงยังอยู่และมายืนอยู่เบื้องหน้าของเขาในตอนนี้ เขาไม่จําเป็นต้องพึ่งห้าหมัดสายฟ้าเทพเจ้าอีกต่อไป สามารถใช้กายเนื้อล้วนๆบดขยี้ได้โดยตรง

 

แต่นี่ไม่ใช่ผลประโยชน์ใหญ่สุดที่ซูฉินได้รับ

 

เขาค่อยๆ เหยียดมือขวาออกมา และในฝ่ามือสีขาวนวลของเขา นอกจากประกายแสงสีทองแล้ว ยังมีแสงสีแดงที่ร้อนแรงราวกับเปลวไฟอยู่ด้วย นี่แสดงให้เห็นว่าร่างกายของซูฉินในยามนี้ใกล้เคียงกับพลังแห่งไฟโดยกําเนิดแล้ว เมื่อใดที่ฝึกฝนเคล็ดวิชาหรือใช้ทักษะธาตุไฟ ความก้าวหน้าจะมีมากกว่าปกติเป็นพันเท่าอย่างแน่นอน

 

“ในเวลานี้ ร่างกายของข้าแข็งแกร่งพอที่จะป้องกันการโจมตีประเภทไฟได้เกือบทั้งหมด แม้ว่าจ้าวทะเลบูรพาจะฟื้นคืนชีพขึ้นมาแล้วโจมตีข้าด้วยเปลวไฟ เกรงว่าพลังก็จะอ่อนแอลงกว่าครึ่ง”

 

ซูฉินดูประหลาดใจ กระซิบกระซาบอยู่กับตนเอง

 

หลังจากที่เข้าสู่จุดเริ่มต้นของภาพดวงตะวันขนาดมหึมา ซูฉินก็รู้สึกว่าโลกทั้งใบนั้นเปลี่ยนไป แม้ว่าซูฉินจะยังคงสามารถควบคุม ดิน น้ํา ลม ไฟทุกอย่างได้ด้วยพลังของอาณาเขต

 

แต่นั่นก็การบังคับด้วยพลังอํานาจ แต่ตอนนี้ซูฉินรู้สึกว่า แม้เขาจะไม่ได้ใช้พลังจากแก่นแท้แห่งพลัง จิตสัมผัสศักดิ์สิท ธิ์ และอาณาเขต ก็ยังสามารถควบคุมพลังแห่งไฟได้

 

| การควบคุมนี้เป็นการควบคุมได้โดยธรรมชาติ คล้ายๆกับเป็นสัญชาตญาณ

 

“นี่เพิ่งขั้นเริ่มต้น แล้วถ้าฝึกฝน “ภาพดวงตะวัน” จริงๆ มันจะเป็นอย่างไรกันหนอ?”

 

หลังจากที่ซูฉินคุ้นเคยกับการเปลี่ยนแปลงของตนเองแล้ว ใบหน้าของเขาก็ดูปลื้มใจอยู่เล็กๆ

 

“วิชาศักดิ์สิทธิ์นี้ช่างน่าเหลือเชื่อจริงๆ”

 

ซูฉินจมลงไปในส่วนลึกของจิตใจ และเหลือบมองภาพ แผ่นหินทั้งสิบสองรูปที่ค่อยๆหมุนอยู่ภายในจิตอีกครั้ง

 

“แต่เพียงแค่จุดเริ่มต้นของภาพดวงตะวันขนาดมหึมาก็ใช้เวลาในการลงชื่อเข้าใช้ไปกว่าหนึ่งปีแล้ว ส่วนต่อจากนี้ทั้งความสําเร็จระดับเล็กกับความสําเร็จอันยิ่งใหญ่ ข้าควรจะทําเช่นไรจึงจะบรรลุถึงมันได้?”

 

สีหน้าของซูฉินกลายเป็นหนักอึ้ง

 

“ในช่วงที่ลงชื่อเข้าใช้ นอกจากจะได้รับโอสถปีศาจธาตุไฟแล้ว ยังได้รับโลหิตเทพเจ้าปีศาจมาหยดหนึ่งด้วยงั้นหรือ?”

 

Sign in Buddha’s palm 230 น่าหวาดกลัว! เผด็จการ! เข้าใจโลก!

 

“การบ่มเพาะวิชาภาพดวงตะวันขนาดมหึมาต้องการ โอสถวิเศษธาตุไฟจํานวนมาก”

 

“ในทางทฤษฎี ตราบใดที่มีโอสถธาตุไฟเพียงพอ ภาพดวงตะวันขนาดมหึมาก็สามารถฝึกฝนได้ในเวลาอันสั้น และสามารถแปลงกายเป็นอีกาทองคําสามขา สัตว์ศักดิ์สิทธิ์ธาตุไฟที่แข็งแกร่งที่สุดได้”

 

ซูฉินคิดอยู่เงียบๆ ขณะที่รวมจิตเข้าไปในภาพแผ่นหินดวงตะวันขนาดมหึมา

 

ขั้นแรกของการฝึกภาพดวงตะวันฯ นั้นง่ายมาก ไม่จําเป็นต้องมีความรู้ซึ้ง ไม่ต้องใช้ร่างกาย ไม่ต้องใช้เลือดเนื้อ

 

ข้อกําหนดเพียงอย่างเดียวคือทรัพยากร

 

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ดูเหมือนจะง่ายนี้ก็เพียงพอแล้วที่จะทําให้ผู้ฝึกยุทธเกือบทุกคนบนโลกรู้สึกว่ามันยากแสนยาก

 

เนื่องจากความต้องการใช้ทรัพยากรของภาพดวงตะวันขนาดมหึมานั้นมากเกินไป เรียกได้ว่ามหาศาลไม่ต่างจากขุนเขาหรือท้องทะเล

 

ซูฉินลงชื่อเข้าใช้มาหลายสิบปีและถือว่าตนเองนั้นค่อนข้าง”ร่ํารวย” แม้แต่ของสะสมชั่วชีวิตของเซียนเทพปฐพีธรรมดาๆ ก็ไม่ได้มีมากเท่าเขา นอกจากนี้เขายังลงชื่อได้รับโอสถเพลิงเทพปฏิปักษ์มาหลายสิบเม็ดจากเกาะหยิงโจว แต่สุดท้ายก็ยังเติมจุดดวงแสงบนภาพดวงตะวันขนาดมหึมาได้ไม่มากนัก ยังคงมืดสลัวไม่ต่างจากเดิม

 

เพียงเท่านี้ก็จินตนาการได้แล้วว่าวิชาภาพดวงตะวันขนาดมหึมานั้นกินทรัพยากรมากมายเพียงไร

 

ยิ่งไปกว่านั้น นี่เป็นเพียงแผ่นหินแผ่นแรกจากภาพสิบสองสัตว์ศักดิ์สิทธิ์เท่านั้น แผ่นหินแผ่นถัดไปยิ่งต้องใช้ทรัพยากรมากกว่าภาพดวงตะวันขนาดมหึมานี้อีกมาก

 

“น่าเสียดายที่ทรัพยากรธาตุไฟเท่านั้นที่มีประโยชน์ต่อการบ่มเพาะวิชาภาพดวงตะวันฯ” ซูฉินถอนหายใจออกมาเบาๆ

 

เขาลงชื่อมานานหลายสิบปีไม่ว่าจะเป็นในวัดเส้าหลินห รือภายในวังหลวง สมบัติส่วนใหญ่ที่ได้รับไม่ได้เป็นธาตุไฟ แม้โอสถเพลิงเทพปฏิปักษ์ที่ได้รับมาจากการลงชื่อเข้าใช้บนเกาะหยิงโจวจะอุดมไปด้วยธาตุไฟ แต่ก็มีเพียงไม่กี่สิบเม็ดเท่านั้น เติมไปอย่างไรก็ไม่เต็ม

 

“อย่างไรก็ตาม ในช่วงเวลานี้ที่ข้าได้ลงชื่อเข้าใช้ในเมืองอินจี๋โลกถ้ําปิศาจ ข้าก็ได้รับโอสถธาตุไฟมาเป็นจํานวนมาก”

 

จิตใจของซูฉินสั่งการ จู่ๆ โอสถวิเศษจํานวนมากที่เปล่งไอความร้อนก็โผล่ออกมาอยู่เบื้องหน้าของเขา นี่คือสิ่งที่ได้มาจากลงชื่อเข้าใช้ในเมืองอินจี๋ช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมานี้

 

เมืองอินจี๋สร้างทับภูเขาไฟ พลังธาตุไฟมีอยู่เป็นจํานวนมาก นอกจากนี้กิ่งก้านของต้นไม้ปีศาจโบราณในเมืองอินจี๋ ยังเกี่ยวข้องกับธาตุไฟ ดังนั้นสมบัติส่วนใหญ่ที่ลงชื่อเข้าใช้จากที่นี่จึงเป็นสมบัติธาตุไฟ

 

แม้ว่าโอสถปีศาจธาตุไฟเหล่านี้จะเทียบไม่ได้กับโอสถเพลิงเทพปฏิปักษ์ แต่ปริมาณมากกว่ากันมาก ทุกครั้งที่เขาลงชื่อเข้าใช้ในเมืองอินจี๋ ซูฉินจะได้รับโอสถวิเศษหรือสมบัติอื่นๆมาทีละหลายสิบเม็ด

 

หลังจากผ่านไปสองสามเดือน โอสถปีศาจธาตุไฟที่สะสมได้จึงมีจํานวนหลายร้อยเม็ดเลยทีเดียว

 

ยิ่งไปกว่านั้น นี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น เมื่อเวลาผ่านไป ซูฉินยังสามารถได้รับโอสถปีศาจธาตุไฟจํานวนมากจากการลงชื่อเข้าใช้ในทุกๆวัน

 

สําหรับปีศาจตนอื่นๆ เมืองอินจี๋ถูกสร้างขึ้นบนภูเขาไฟ มีสภาพอากาศที่ร้อนระอุ การอยู่อาศัยในระยะยาวอาจทําให้เกิดอาการเป็นพิษจากธาตุไฟได้ อย่างไรก็ตาม ในสายตาของซูฉินเมืองอินจี๋นั้นอุดมสมบูรณ์อย่างยิ่ง!

 

สามารถมอบโอสถปีศาจธาตุไฟให้แก่เขาโดยที่ไม่ต้องเดินทางไปด้วยตนเองเพื่อนํามาใช้ฝึกฝนวิชาภาพดวงตะวันขนาดมหึมา ถ้านี้ไม่เรียกว่าอุดมสมบูรณ์ แล้วที่ไหนจะเรียกว่าอุดมสมบูรณ์ได้อีก?

 

“เมืองเมฆาปีศาจนั้นสามารถลงชื่อเข้าใช้ได้นานกว่าสองปี และเมืองอินจี๋คงไม่มีทางน้อยกว่านั้นเป็นแน่”

 

“ในเวลาสองปี ถ้ายังลงชื่อเข้าใช้ต่อไปเช่นนี้ อาจจะฝึกฝนภาพดวงตะวันขนาดมหึมาจนประสบความสําเร็จเล็กๆน้อยๆก็เป็นได้?”

 

ดวงตาของซูฉินร้อนแรงขึ้นเล็กน้อย

 

แม้ว่าการสําเร็จวิชาเล็กๆ น้อยๆ จากแผ่นหินภาพดวงตะวันขนาดใหญ่จะยังห่างไกลจากพลังที่แท้จริงของภาพดวงตะวัน ทั้งยังห่างไกลจากการเปลี่ยนซูฉินให้กลายเป็นอีกาทองคําสามขาที่แท้จริงได้

 

แต่อย่างน้อยก็สามารถใช้ความสามารถบางอย่างของอีกาทองคําสามขาได้

 

ตัวอย่างเช่น เมื่อสําเร็จวิชาเล็กๆ น้อยๆ ในภาพดวงตะวันขนาดมหึมา ความเข้าใจและการรับรู้ของซูฉินเกี่ยวกับพลังของเปลวเพลิงจะล้ําหน้ายิ่งกว่าจ้าวทะเลบูรพาในทันที

 

แน่นอนว่าการรับรู้ก็คือการรับรู้ และความแข็งแกร่งก็อยู่ ส่วนความแข็งแกร่ง ในฐานะที่จ้าวทะเลบูรพาเป็นเซียนเทพปฐพีขั้นสูงสุด แม้ว่าเขาจะไม่ใช้พลังจากฐานบ่มเพาะ ซูฉินก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้อยู่ดี

 

แต่ก็มองเห็นได้ว่าความแข็งแกร่งที่จะมีได้นั้น เป็นเพียงเรื่องของเวลาเท่านั้น

 

“โอสถเพลิงปีศาจสีชาด โอสถปีศาจธาตุไฟ หยดน้ําประกายเพลิงปีศาจ…”

 

สายตาของซูฉินกวาดมองไปทั่ว สีหน้าปรากฎความพึงพอใจ

 

ทรัพยากรธาตุไฟนั้นหาใช่มีเพียงแค่โอสถเทพหรือโอสถปีศาจเท่านั้น ทรัพยากรอื่นๆตราบใดที่มีธาตุไฟ ก็ล้วนมีประโยชน์ต่อการบ่มเพาะวิชาภาพดวงตะวันขนาดมหึมาทั้งสิ้น

 

“โอสถวิเศษเหล่านี้ล้วนได้มาจากโลกถ้ําปีศาจ แม้พวกมันจะมีปราณธาตุไฟ แต่ก็ยังคละคลุ้งไปด้วยกลิ่นอายของโลกถ้ําปิศาจ”

 

ซูฉินสัมผัสถึงปราณภายในตัวยาอย่างระมัดระวัง และเปรียบเทียบความแตกต่างระหว่างโอสถเทพธาตุไฟและโอสถปีศาจธาตุไฟ

 

แม้ว่าโอสถเพลิงเทพปฏิปักษ์จะให้ความร้อนแรงพอๆกัน แต่โดยภาพรวมมีเสถียรภาพมากกว่า ส่วนโอสถปีศาจที่อยู่ด้านหน้าของซูฉินนั้นมีกลิ่นอายของพลังแห่งการกดขี่อย่างมาก

 

“ถ้าเป็นโอสถชนิดอื่น ข้าอาจจะต้องใช้ร่างทองมารพุทธะเพื่อเปลี่ยนแปลงร่างกาย แต่สําหรับธาตุไฟนั้น…”

 

ซูฉินสูดลมหายใจเข้าลึกๆ

 

ในทันใดนั้น เม็ดโอสถปีศาจทั้งหลายก็ลุกพรึบกลายเป็นเปลวไฟปีศาจขนาดใหญ่พุ่งเข้าหาร่างของซูฉิน

 

อีกาทองคําสามขาเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ธาตุไฟที่แข็งแกร่งที่สุด ตราบใดที่มันเป็นพลังงานธาตุไฟ จะสายเทพหรือสายมารก็ไม่มีความแตกต่างอะไร สามารถกลืนกินทั้งหมดเข้าไปได้โดยง่าย

 

ฟูมม!!

 

ไม่นานหลังจากเม็ดโอสถจํานวนมากไหลเข้าสู่ร่างกาย ด้านหลังของซูฉินก็มีแผ่นหินขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นมารางๆ มีดวงตะวันขนาดมหึมาสลักอยู่บนแผ่นหินนั้น นอกจากนี้มันยังมีจุดแสงอีกนับหมื่น

 

ในเวลานั้น จุดแสงบางส่วนบริเวณขอบของแผ่นหินก็ค่อยๆสว่างขึ้น

 

หากใช้โอสถเหล่านี้ที่ละเม็ด อาจจะไร้ประโยชน์เพราะไม่สามารถมองเห็นผลลัพธ์ของมันได้ แต่นั่นก็ไม่ได้เป็นจริงเสมอไป เมื่อใช้ใน “ปริมาณ” ที่มากถึงขนาดนี้

 

ซูฉินจะใช้วิธีนี้ต่อไปเรื่อยๆ เมื่อใช้โอสถปีศาจที่สะสมไว้หลายร้อยเม็ดนี้ในการบ่มเพาะ หลังจากนี้ก็จะลงชื่อเข้าใช้ในโลกถ้ําปีศาจไปเรื่อยๆ และใช้วิธีเช่นนี้ต่อไป

 

ด้วยวิธีนี้ ไอพลังในร่างกายของซูฉินจะลึกซึ้งมากขึ้นเรื่อยๆ และภาพแผ่นหินด้านหลังก็จะชัดเจนขึ้น โดยเฉพาะจุดแสงบนแผ่นหินที่ดูมีแนวโน้มว่าจะสว่างขึ้นอย่างสมบูรณ์ได้ในไม่ช้า

 

เมื่อจุดแสงส่องสว่างขึ้นอย่างสมบูรณ์ หมายความว่าซูฉินได้เข้าสู่จุดเริ่มต้นของการบ่มเพาะภาพดวงตะวันขนาดมหึมาแล้ว

 

ขณะที่ซูฉินกําลังฝึกฝนไปอย่างเชื่องช้านั้น

 

ในพระราชวังถัง หร่วนซิงก็พาชิงชิวเฉียนเฉียนและนักพรตเฒ่าเดินเล่นรอบวังเพื่อทําความคุ้นเคยกับสภาพแวดล้อมที่จะต้องอยู่ในอนาคต

 

ในที่สุดเหยียนให้ที่อยู่ด้านข้างก็อดไม่ได้ เอ่ยถามด้วยเสียงต่ําว่า “ท่านอาจารย์อา ทําไมท่านถึงถูกนายท่านจับตัวมาได้?”

 

นักพรตเฒ่าเป็นผู้อาวุโสของสํานักเอกะวิถี อยู่ในระดับนภาชั้นที่สี่ มีสถานะเหนือกว่าศิษย์อย่างเหยียนไห่มาก

 

แม้ว่าเหยียนไห่จะอยู่ในระดับนภาชั้นที่สาม แต่คอขวดระหว่างนภาชั้นที่สามกับนภาชั้นที่สี่ก็เป็นคอขวดที่ใหญ่นัก

 

ในบรรดานิกายใหญ่ทั้งหลายในต่างแดน มีเพียงนภาชั้นที่สี่เท่านั้นที่สามารถเป็นผู้อาวุโสของแต่ละนิกายได้

 

ดังนั้นในมุมมองของเหยียนไห่ ผู้อาวุโสอย่างนักพรตเฒ่า ถ้าว่ากันตามเหตุผลแล้วควรจะประจําการอยู่ภายในสํานัก เป็นไปได้อย่างไรที่จะวิ่งโร่มาให้ซูฉินจับได้?

 

นักพรตเฒ่ายิ้มอย่างขมขื่นเมื่อได้ฟังเรื่องนี้

 

ถ้าเขารู้ว่าความแข็งแกร่งของซูฉินน่ากลัวเช่นนี้ ให้ตายอย่างไรเขาก็ไม่มา แต่น่าเสียดายที่คําว่าถ้ามันไม่มีอยู่จริง

 

“ผู้อาวุโสทรงพลังเทียมฟ้า ข้าสามารถรอดชีวิตมาได้ก็ดีมากแค่ไหนแล้ว ดีกว่าหมิงโยวและเฉว่ยวี่ที่จบชีวิตอยู่ตรงนั้น…”

 

นักพรตเฒ่ากล่าวคําที่เต็มไปด้วยอารมณ์ความรู้สึก

 

แม้ว่าตอนนี้ความเป็นตายของเขาจะขึ้นอยู่กับผู้อื่นไปแล้ว แต่อย่างน้อยก็รอดชีวิตมาได้

 

“หมิงโยว?”

 

หร่วนชิงและเหยียนไห่ชําเลืองมองหน้ากัน รูม่านตาของเขาหดตัวแคบลงในทันที

 

ในต่างดินแดน จอมยุทธขอบเขตตํานานยุทธที่ชื่อหมิงโยวมีเพียงรองผู้นํานิกายเฮยหยวนเท่านั้น เป็นตัวตนที่ถูกกล่าวขานว่าใกล้เคียงกับการเป็นผู้เยี่ยมยุทธที่สุด

 

“นายท่านสังหารหมิงโยว?”

 

เสียงของเหยียนไห่สั่นเครือไม่อยากจะเชื่อถือ

 

แม้แต่ศิษย์เช่นเขายังทราบถึงความน่ากลัวของหมิงโยวในต่างดินแดน นิกายเฮยหยวนนั้นโหดเหี้ยมนัก และรองผู้นําของนิกายเฮยหยวนก็สร้างชื่อเสียงให้นิกายมามากมาย

 

“เจ้าไม่รู้ถึงความแข็งแกร่งของผู้อาวุโสหรือ?” นักพรตเฒ่างุนงงเล็กน้อย ซูฉินเป็นตํานานยุทธขั้นสูงสุดที่ควบแน่นอาณาเขตได้แล้ว การจะสังหารหมิงโยวที่ยังไม่ได้เป็นผู้เยี่ยมยุทธนั้น ย่อมทําได้ดั่งใจคิดไม่ใช่หรือ?

 

“ความแข็งแกร่งของนายท่าน………”

 

เหยียนไห่เงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะเลียบเคียงถามออกมาอย่างระมัดระวัง “นายท่านเป็นตํานานยุทธระดับผู้เยี่ยมยุทธมิใช่หรือ?”

 

กว่าหนึ่งปีที่ผ่านมาที่ซูฉินได้สังหารเทพธิดาจากตําหนักเทพเจ้าหิมะและศิษย์ระดับนภาชั้นที่สามของนิกายเฮยหยวน เขาไม่ได้แสดงความแข็งแกร่งที่แท้จริงของเขาออกมา ดังนั้นแม้แต่เหยียนไห่ก็ไม่รู้ว่าซูฉินแข็งแกร่งเพียงไหน

 

ดังนั้นเมื่อนักพรตเฒ่าถามคําถามนี้ออกมา เหยียนไห่จึงคาดเดาดู นี่เป็นเพราะเขาเห็นนักพรตเฒ่าถูกจับกุมมาด้วยเช่นกัน จึงพอจะคาดเดาระดับคร่าวๆออกมาได้

 

ถึงแม้จะเป็นในต่างดินแดน จอมยุทธระดับผู้เยี่ยมยุทธก็นับได้ว่าเป็นตัวตนอันทรงพลังอํานาจไร้ต้านแล้ว ไม่ว่าเหยียนไห่จะมองซูฉินสูงส่งอย่างไร เขาก็ยังไม่แน่ใจเท่าไหร่ว่าซูฉินได้เข้าสู่ระดับผู้เยี่ยมยุทธแล้วหรือยัง

 

“ตํานานยุทธระดับผู้เยี่ยมยุทธ?”

 

เมื่อได้ยินเช่นนี้ นักพรตเฒ่าก็ผงะไปครู่หนึ่ง สายหัวแล้วตอบกลับไปว่า “ตํานานยุทธระดับผู้เยี่ยมยุทธ เมื่อต้องเผชิญหน้ากับผู้อาวุโส เขาก็ไม่มีคุณสมบัติที่ยืนหยัดได้ด้วยซ้ํา”

 

คําที่กล่าวออกมา

 

ทําให้เหยียนไห่ลูกตาแทบจะถลน

 

ตํานานยุทธระดับผู้เยี่ยมยุทธเป็นตัวตนในระดับใดกัน? เพียงพอที่จะอาละวาดไปทั่วในต่างดินแดน แม้แต่ผู้นํานิกายใหญ่ก็ไม่กล้ารุกรานตํานานยุทธระดับผู้เยี่ยมยุทธ

 

ถึงแม้ว่านิกายใหญ่จะมีผู้เยี่ยมยุทธเช่นกัน แต่หากไม่ไว้หน้าตํานานยุทธระดับผู้เยี่ยมยุทธเหล่านั้น มันจะเป็นเช่นไร หากเขาเพ่งเล็งเล่นงานไปที่ศิษย์สาวกแทนเล่า?

 

ผู้เยี่ยมยุทธนั้นคือตัวตนที่แข็งแกร่ง การรับมือผู้เยี่ยมยุทธเพียงกระบวนท่าเดียวก็ทําให้ไม่มีเวลามากพอไปช่วยเหลือ ใครอื่นแล้ว

 

ดังนั้น

 

ในยุทธภพต่างแดน ตํานานยุทธระดับผู้เยี่ยมยุทธจึงลอยตัวอยู่เหนือนิกายใหญ่

 

แต่เหยียนไห่ไม่ได้คาดคิดว่าสิ่งนี้จะออกมาจากปากนักพรตเฒ่า ผู้เยี่ยมยุทธจากต่างดินแดนไม่มีคุณสมบัติพอจะยืนอยู่ต่อหน้าซูฉินด้วยซ้ํา?

 

ถ้าไม่ใช่เพราะเป็นอาจารย์อาของเขา เป็นผู้อาวุโสในสำนักเอกะวิถีที่ไม่น่าจะโกหก ไม่เช่นนั้นเหยียนไห่จะไม่มีวันเชื่อสิ่งนี้แน่นอน

 

“อาจารย์อา ท่านหมายความว่า….” เหยียนไห่ร้องออกมาเป็นเวลานาน แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก

 

“ผู้อาวุโสเป็นตํานานยุทธขั้นสูงสุดและยังเป็นตํานานยุทธขั้นสูงสุดที่ควบแน่นอาณาเขตได้แล้ว ไม่ต้องพูดถึงตํานานยุทธระดับเยี่ยมยุทธ แม้ว่าจะเป็นบรรพชนที่หลับใหลอยู่ภายในนิกายใหญ่ดินแดนโพ้นทะเล ส่วนใหญ่ก็ล้วนไม่ใช่คู่ต่อสู้ของผู้อาวุโส…”

 

นักพรตเฒ่าไม่ได้ปิดบังอะไร เขาบอกทุกอย่างที่ตนเองรู้ออกมาตรงๆ

 

“ตํานานยุทธขั้นสูงสุด…”

 

“ตํานานยุทธขั้นสูงสุดที่ควบแน่นอาณาเขตได้…”

 

ท่าทีของเหยียนไห่กลายเป็นตกใจมากจนจะเซล้มไปกับเขาไม่คิดว่าซูฉินจะแข็งแกร่งขนาดนี้ ไม่ ไม่ใช่แค่แข็งแกร่งแล้ว ระดับของซูฉินมันเกินขีดจํากัดจินตนาการของพวกเขาไปแล้ว

 

“นายท่าน……”

 

หร่วนชิงกลืนน้ําลายดังเอื้อก

 

เขาก็ได้รับผลกระทบอย่างใหญ่หลวงเช่นกัน

 

แม้ว่าหร่วนซึ่งจะได้เห็นซูฉินอาบสายฟ้า เขาก็เดาว่าซูฉินอาจจะเป็นระดับเดียวกับบรรพชนเป็นอย่างมาก

 

แต่เมื่อได้ยินสิ่งที่นักพรตเฒ่ากล่าวออกมา ซูฉินนั้นยืนอยู่เหนือบรรพชนส่วนใหญ่เสียแล้ว

 

ภูมิหลังที่ทรงพลังที่สุดของนิกายใหญ่ในต่างแดนก็คือบรรพชนที่หลับใหลภายในนิกาย ตราบใดที่บรรพชนยังมีชีวิตอยู่ พวกเขาก็สามารถยืนอยู่เหนือสรรพชีวิตทั้งหมดในต่างแดนได้อยู่เสมอ

 

แต่ตอนนี้ซูฉินไม่เพียงแต่อยู่ในระดับนี้เท่านั้น แต่ยังทะลุเกินกว่าระดับนี้ไปอีก มันจะน่ากลัวขนาดไหน? เผด็จการเพียงไร? มองโลกในรูปแบบใดกัน?

 

Sign in Buddha’s palm 229 รอคอย

 

จักรพรรดิถังที่ให้คนเฝ้าดูเขาคุนหลุนทั้งกลางวันและยามค่ําคืน จะรวดเร็วเท่ากับซูฉินที่มีทั้งดวงตาแห่งสัจจะและวิชาปราณฉีฟ้ากําหนดได้อย่างไร?

 

ตอนนี้ซูฉินอยู่ในระดับนภาชั้นที่แปดแล้ว ดวงตาแห่งสัจจะนั้นเป็นทิพยอํานาจที่สามารถพัฒนาตนเองได้เมื่อความแข็งแกร่งของซูฉินมีมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นความสามารถในการจับพลังฉี ความละเอียดอ่อน และขอบเขตที่สามารถรับรู้ได้ ทั้งหมดจะถูกเสริมกําลังตามขึ้นไป

 

“รับรู้ได้?”

 

จักรพรรดิถังดูตกใจ

 

เขาคุนหลุนอยู่ห่างจากเมืองฉางอันเกือบแสนลี้ แม้จักรพรรดิถังจะใช้ทุกวิถีทาง กระทั่งใช้ยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งในการส่งข่าว เขาก็รับประกันได้เพียงว่าจะรู้สิ่งที่เกิดขึ้นบนยอดเขาคุนหลุนภายในหนึ่งวันเพียงเท่านั้น

 

นี่ยังยึดตามข้อเท็จจริงเรื่องที่ว่าอาณาจักรถังได้ครอบครองแผ่นดินเข้าไปด้วยแล้ว ไม่เช่นนั้น หากอาณาจักรต่างๆยังมีอํานาจพอๆกันเหมือนในอดีต อย่าว่าแต่หนึ่งวันเลย สิบวัน ครึ่งเดือนก็ยังไม่สามารถทราบข้อมูลของเทือกเขาคุนหลุนได้แต่ตอนนี้

 

ซูฉินไม่ได้ก้าวออกจากเมืองฉางอันแม้แต่ก้าวเดียว แต่กลับกล่าวว่าเขาสามารถสัมผัสได้ถึงเขาคุนหลุน ซึ่งมันน่าตกใจมาก

 

แม้จะมีบันทึกโบราณมากมายที่บอกว่าตํานานยุทธนั้นมีความสามารถที่เหนือธรรมดา แต่เหนือธรรมดาในที่นี้ไม่ได้หมายความว่าจะเป็นเทพเซียนจริงๆเสียเมื่อไหร่

 

แต่ในเวลานี้ ซูฉินรู้ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นห่างออกไปกว่าแสนลี้ ถ้านี่ไม่ใช่เทพเซียน แล้วสิ่งใดกันถึงจะเป็นเทพเซียน

 

แม้แต่นักพรตเฒ่าที่คิดว่าตัวเขาพอจะเข้าใจเกี่ยวกับซูฉินบ้างแล้วก็มีอึ้งไปเหมือนกัน

 

ในสายตาของนักพรตเฒ่า ซูฉินนั้นทรงพลังอย่างแท้จริง เป็นตํานานยุทธขั้นสูงสุดที่สามารถควบแน่นอาณาเขตได้ แม้ว่าจะเป็นในต่างดินแดนมันก็เพียงพอแล้วที่จะบดขยี้ตัวตนอันไร้เทียมทานจากหลายยุคหลายสมัย

 

แต่ไม่ว่าซูฉินจะแข็งแกร่งแค่ไหน ก็ไม่ได้หมายความว่าจะมีอํานาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาดทุกอย่าง ระดับที่ต่ํากว่าขอบเขตเซียนเทพปฐพี แม้ว่าจะมีอาณาเขต แต่ก็เป็นเพียงอาณาเขตขนาดเล็กและขอบเขตที่สามารถควบคุมได้อย่างสมบูรณ์นั้นมีระยะเพียงหนึ่งร้อยจ้างเท่านั้น

 

แน่นอนว่าระยะของจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของตํานานยุทธขั้นสูงสุดนั้นกว้างมาก กว้างไกลเกินกว่าร้อยลี้

แต่ระหว่างร้อยส์กับแสนนั้น เป็นช่องว่างที่ห่างไกลกันเกินไป

 

มีเพียงหลีหว่านเท่านั้นที่ยังคงดูไม่รู้เรื่อง นางไม่ได้ไปถึงขอบเขตสามระดับบน เป็นธรรมดาที่จะไม่รู้ความหมายภายในคําพูดของซูฉิน

 

“การรับรู้ของข้า แตกต่างจากที่พวกเจ้าคิด”

 

ซูฉินส่ายหัวเล็กน้อยแล้วกล่าวออกมาเบาๆ

 

ไม่ว่าจะเป็นดวงตาแห่งสัจจะหรือวิชาปราณฉีฟ้ากําหนดล้วนแต่สัมผัสได้เพียงแต่พลังฉีเท่านั้น ส่วนเรื่องอื่นๆก็ไม่ได้ช่วยอะไรมากนัก

 

ตัวอย่างเช่น ห่างออกไปแสนลี้ ซูฉินสัมผัสได้เพียงพลังปราณที่ผันผวนบนเขาคุนหลุน ส่วนเขาคุนหลุนจะมีลักษณะอย่างไร มีหินกี่ก้อน เขาล้วนแต่ไม่ทราบ

 

พูดง่ายๆคือ มุมมองของซูฉินนั้นแตกต่างจากคนทั่วๆไป บางแง่มุม ซูฉินก็เหมือนยืนอยู่บนจุดสูงสุดเหนือยิ่งกว่าสิ่งมีชีวิตใดก้มลงมามองดูโลก

 

“แตกต่าง….”

 

จักรพรรดิถังและคนอื่นๆ กลืนคําที่จะพูดลงคอไป แม้ว่าเขาจะไม่รู้ว่าอะไรที่แตกต่าง แต่การกระทําของซูฉินในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ทําให้พวกเขาต้องคอยทําความเข้าใจสิ่งต่างๆใหม่อยู่อย่างต่อเนื่อง เมื่อคิดจากสิ่งเหล่านั้นก็ไม่ใช่เรื่องยากที่จะเข้าใจว่าทําไมซูฉินถึงรับรู้สิ่งที่เกิดขึ้นห่างออกไปกว่าแสนลี้ได้

 

ในเวลาต่อมา

 

หลังจากพูดคุยกับซูฉินอีกไม่กี่คํา จักรพรรดิถังก็กล่าวคําอําลา

 

หลังจากการรวบรวมอาณาจักรเป็นปึกแผ่นงานบ้านงานเมืองที่เขาจะต้องจัดการในทุกๆวันก็เกลื่อนกลาดเต็มโถงชีวิตนิรันดร์ หากจักรพรรดิถังไม่ได้ไปพักผ่อนในพระราชวังตะวันออกเป็นครั้งคราว ฝึกเคล็ดวิชาที่ซูฉินทิ้งไว้ให้อยู่ระยะหนึ่ง และเสวยโอสถบํารุง เกรงว่าคงจะเหน็ดเหนื่อยจนร่างกายทรุดโทรมลงไปเสียแล้ว

 

หลังจากที่จักรพรรดิถังและคนอื่นๆจากไป ซูฉินก็ยังคงยืนอยู่ที่เดิม

 

ชิงชิวเฉียนเฉี่ยนและคนอื่นๆ ยังคงยืนอยู่ด้านข้างด้วยความเคารพ ก่อนที่ซูฉินจะออกคําสั่ง พวกเขาจะกล้าทําอะไรตามใจตนเองได้อย่างไร

 

แม้แต่หร่วนชิงที่เคยอยู่ในเมืองฉางอันมาระยะหนึ่งก็ยังยืนอยู่ตรงนั้นด้วยความเคารพ

 

“ตาน้ําพุจิตวิญญาณ จะฝังเอาไว้ที่ไหนดี?”

 

จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของซูฉินถูกกวาดออกไปทั่วเมือง ฉางอันคิดใคร่ครวญอยู่กับตนเอง

 

หลังจากที่ซูฉินกลืนกินน้ําพุจิตวิญญาณจนเกือบจะเหือดแห้ง มันน่าจะหมดสภาพไประยะเวลาหนึ่ง แต่ถ้ามันฟื้นพลังกลับมาในอนาคต มันจะเปล่งประกายเจิดจรัสอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนอย่างแน่นอน

 

“ฝังไว้ใต้ตําหนักชุนฝั่งขวาดีกว่า”

 

ซูฉินเงยหน้าขึ้นและมองไปยังตําหนักขุนฝั่งขวาซึ่งอยู่ไม่ไกลนัก

 

ตําหนักชุนฝั่งขวาเคยเป็นที่พํานักของซูฉินมาก่อน และเป็นแกนหลักของค่ายกลฟ้าดินจํานวนมากที่ล้อมรอบพระราชวังตะวันออกทั้งหมด

 

เมื่อเทียบกับสถานที่อื่นๆ ในพระราชวังตะวันออก พลังปราณฉีและจิตใจแห่งฟ้าดินในตําหนักชุนฝั่งขวานั้นมีมากมายยิ่งกว่า ซึ่งเหมาะมากสําหรับการหล่อเลี้ยงน้ําพุจิตวิญญาณและช่วยในการฟื้นตัวด้วยอย่างรวดเร็ว

 

เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ จิตใจของซูฉินก็ขยับสั่งการ ทันใดนั้นกล่องหยกที่นักพรตเฒ่าถืออยู่ก็ระเบิดออกทันที

 

มีกลุ่มหมอกแสงปรากฏขึ้น

 

กลุ่มแสงนี้คือปราณฉีและจิตใจแห่งฟ้าดินที่วนเวียนอยู่ล้อมรอบ แต่พลังของมันค่อนข้างอ่อนแอ หลังจากนั้นซูฉินก็ส่งตาน้ําพุจิตวิญญาณเข้าไปในตําหนักชุนฝั่งขวา

 

“เสร็จเกือบหมดแล้ว”

 

ซูฉินพยักหน้าเล็กน้อย

 

ตาน้ําพุจิตวิญญาณได้รับการปลูกฝังลงไปแล้ว และตอนนี้เขาก็ได้แต่เพียงรอวันที่มันจะฟื้นตัวเต็มที่

 

ตามการประเมินของซูฉิน ด้วยกระแสปราณฉีที่ฟื้นฟูในระดับปัจจุบัน เวลาในการฟื้นฟูน้ําพุจิตวิญญาณจะไม่นานเกินไปอย่างแน่นอน

 

“เอาล่ะ”

 

“มีอะไรเกิดขึ้นตอนที่ข้าไม่อยู่หรือไม่?

 

ซูฉินสงบนิ่ง มองไปที่หร่วนชิงและเหยียนไห่ กล่าวคําออกมาเบาๆ

 

ไม่ว่าจะเป็นเหยียนไห่หรือหร่วนชิง ทั้งคู่ต่างเป็นตํานานยุทธในระดับนภาชั้นที่สาม เป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุดในเมืองฉางอันหากไม่นับซูฉิน

 

เหตุผลที่ซูฉินอยู่ในทะเลบูรพาตลอดเวลาหลายเดือนที่ผ่านมาโดยไม่รีบร้อนอะไร นอกจากสิ่งที่เขาทิ้งเอาไว้ในเมืองฉางอันแล้ว ก็เป็นเพราะมีสองคนนี้อยู่ในเมืองฉางอัน

 

ไม่ใช่ว่าหร่วนชิงกับเหยียนไห่แข็งแกร่งมากมายอะไรนัก แต่ด้วยระดับการฟื้นคืนของกระแสปราณในปัจจุบัน อย่างน้อยหร่วนชิงและเหยียนไร่ก็แก้ปัญหาส่วนใหญ่ได้อีกเป็นร้อยปีโดยที่ซูฉินไม่ต้องมาคอยกังวล

 

“เรียนนายท่าน ไม่มีอะไรเกิดขึ้นในช่วงสองสามเดือนที่ผ่านมานี้ขอรับ”

 

หร่วนชิงคิดอยู่ครู่หนึ่งและกล่าวออกมาด้วยความเคารพ เหยียนไห่ที่ยืนอยู่ข้างๆก็พูดอย่างเดียวกัน

 

แม้กระแสปราณฉีจะเริ่มฟื้นตัว แต่ก็ยังต้องใช้เวลาอีกหลายร้อยหลายพันปีก่อนที่จะขึ้นไปถึงช่วงเฟื่องฟู แม้แต่จอมยุทธในขอบเขตตํานานยุทธยังไม่กําเนิดขึ้นบนแผ่นดินใหญ่เลยด้วยซ้ํา หากไม่ใช่เพราะวิหารการสงครามที่กําลังจะปรากฏในอีกไม่ช้า จักรพรรดิถังก็คงไม่รีบมาแจ้งเรื่องนี้กับซูฉิน

 

“เอาล่ะ พวกเจ้าออกไปเถอะ”

 

หลังจากที่ซูฉินถามคําถามเล็กๆน้อยๆเพิ่มเติม เขาก็โบกมือให้หร่วนชิงกับคนอื่นๆ พานักพรตเฒ่าและชิงชิวเฉียนเฉี่ยนออกไปเพื่อทําความเข้าใจกับกฎเกณฑ์บางอย่างภายในรั้วในวัง

 

ซูฉินเองก็ก้าวเท้าหนึ่งก้าว และโผล่กลับมาที่ห้องโถงพระราชวังอันสูงตระหง่านใต้เมืองฉางอัน

 

“ตามกระแสลมปราณที่ผันผวนบนเขาคุนหลุน พื้นที่มิติจะถูกฉีกกระชากออกอย่างสมบูรณ์ในเวลาไม่เกินหนึ่งปี หรืออาจจะนานกว่านั้นเล็กน้อย”

 

“เมื่อถึงตอนนั้น น่าจะเป็นวันที่วิหารการสงครามถือกําเนิดขึ้น”

 

ซูฉินนั่งขัดสมาธิ หันหน้าไปทางภูเขาคุนหลุน ดวงตาสงบนิ่ง คิดอยู่ในหัวอย่างรวดเร็ว

 

วิหารการสงครามเกี่ยวพันถึงสถานที่สําหรับลงชื่อเข้าใช้ของซูฉิน และแน่นอนว่าซูฉินจะไปที่นั่นด้วยตัวเองอย่างแน่นอน

 

“เพียงแต่ว่าตามบันทึกโบราณ ระยะเวลาในการคงอยู่ของวิหารการสงครามดูเหมือนจะไม่นานเท่าไรนัก ไม่เกินหนึ่งเดือน…”

 

ซูฉินขมวดคิ้วเล็กน้อย

 

หากวิหารการสงครามสามารถลงชื่อเข้าใช้ได้เพียงครั้งเดียวหรือสองสามครั้งมันก็คงไม่เป็นอะไร หนึ่งเดือนก็เพียงพอแล้วที่จะดึงเอา“เต๋าสะสม” ที่สะสมในวิหารการสงครามมานับหมื่นปีออกมา

 

แต่ถ้าวิหารการสงครามสามารถลงชื่อเข้าใช้ซ้ําได้ จะนับเป็นการสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่หากลงชื่อเข้าใช้ได้เพียงแค่เดือนเดียว

 

“อย่างไรก็ช่าง”

 

“รออีกหนึ่งปี ค่อยพูดเรื่องนี้หลังจากวิหารการสงครามปรากฏออกมาดีกว่า”

 

ซูฉินสงบใจลง ความคิดเริ่มผันผวน “ในช่วงที่ผ่านมา มีโอสถธาตุไฟจํานวนมากได้รับมาผ่านการลงชื่อเข้าใช้ที่เมืองอินจี๋ในโลกถ้ําปีศาจ”

 

“ขั้นต่อไป เริ่มสร้างภาพดวงตะวันฯ จากภาพสิบสองสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ดีกว่า”

 

ซูฉินปิดเปลือกตาลงช้าๆ ภายในใจมีแผ่นหินจางๆโผล่ขึ้นมา มันสูงขึ้นจากผืนแผ่นดินทะลุเลยแผ่นฟ้า มีรูปดวงตะวันขนาดมหึมาสลักอยู่บนนั้น มันเร่าร้อนแผดเผาราวกับจะหลอมทุกสิ่งทุกอย่างให้เป็นจุณ

 

Sign in Buddha’s palm 228 ความลับที่ข้ามผ่านยุคเฟื่องฟูของกระแสปราณฉีมาหลายยุคหลายสมัย

 

“พี่สาม ผู้นี้คือ?”

 

จักรพรรดิถังมองดูนักพรตเฒ่าด้วยความประหลาดใจ และถามขึ้นมาอย่างสงสัย

 

ทันทีที่เขารู้ว่าซูฉินกลับมา เขาก็รีบวิ่งมาด้วยความกังวลใจ โดยไม่ทันได้สังเกตเห็นนักพรตเฒ่าและชิงชิวเฉียนเฉียนที่อยู่ถัดไปจากซูฉินเลย

 

“ผู้อาวุโสคนหนึ่งจากนิกายใหญ่นะ”

 

ซูฉินพูดอย่างไม่ได้ใส่ใจและหันไปมองนักพรตเฒ่า “เจ้ารู้จักวิหารการสงครามงั้นหรือ?”

 

“ผู้อาวุโส มีบันทึกเกี่ยวกับวิหารการสงครามอยู่ ในคัมภีร์เก่าแก่ที่สุดภายในสํานักเอกะวิถี สิ่งนี้เกี่ยวข้องกับความลับที่อยู่มาตลอดทุกช่วงของยุคปราณฉีฟื้นฟูหลายต่อ หลายยุค ข้าเองก็ไม่รู้เช่นกันว่าสองสิ่งนี้ใช้สิ่งเดียวกันหรือไม่…………”

 

นักพรตเฒ่ากล่าวอย่างระมัดระวัง

 

แม้คําว่า “วิหารการสงคราม” จะค่อนข้างพิเศษ แต่ก็อาจจะมีสิ่งอื่นที่ชื่อเหมือนกัน นักพรตเฒ่าจึงไม่กล้าด่วนสรุป

 

คลื่นลูกเล็กๆ ก่อตัวขึ้นในใจของซูฉิน เขาเป็นคนที่เกิดมาสองชีวิตแล้ว แน่นอนว่าเขาพอจะรู้ที่มาของวิหารการสงคราม แต่ท่าทีของนักพรตเฒ่าทําให้เขาไม่แน่ใจอยู่เล็กๆว่าวิหารการสงครามจากปากของจักรพรรดิถังคือวิหารการสงครามเดียวกันกับในความทรงจําของเขาหรือไม่

 

“ลองเล่ารายละเอียดเกี่ยวกับวิหารการสงครามมาซิ”

 

“พี่สาม”

 

แม้ว่าจักรพรรดิถังจะไม่ทราบว่านักพรตเฒ่าเป็นผู้อาวุโสจากนิกายใหญ่แห่งไหน แต่เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่เรื่องที่จะต้องมาสนใจในตอนนี้ จึงบอกข้อมูลทุกสิ่งเกี่ยวกับวิหารการสงครามที่เขารู้มาในทันที

 

ตามที่จักรพรรดิถังได้เล่าออกมา วิหารการสงครามนั้นโผล่ขึ้นมาครั้งแรกเมื่อแปดพันปีก่อน และตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาวิหารการสงครามจะปรากฏขึ้นทุกๆหนึ่งพันปีหรือพันปีกว่า

 

ครั้งสุดท้ายที่มันปรากฏขึ้นก็เมื่อหนึ่งพันห้าร้อยปีก่อน

 

ตามข้อมูลที่ได้รับจากอาณาจักรถัง วิหารการสงครามนั้นลึกลับอย่างยิ่ง และดูเหมือนไม่ได้มาจากโลกนี้ ทุกครั้งที่มันโผล่ขึ้นมา มันจะปรากฏอยู่บนยอดเขาคุนหลุน

 

วิหารการสงครามนั้นกว้างใหญ่ไร้ขอบเขต มีดอกไม้และพืชพรรณแปลกๆขึ้นอยู่ตามมุมต่างๆ ซึ่งหาที่ไหนไม่ได้บนโลกใบนี้ ส่วนบนของวิหารมีการแกะสลักเป็นรูปดวงดาวในดาราจักร และใครก็ตามที่มีโอกาสเข้าไปภายในวิหารการสงครามจะได้รับมรดกกลับมาชิ้นหนึ่ง

 

“พี่สาม หลังจากอาณาจักรถังได้ครอบครองทวีป ก็ได้รวบรวมข่าวสารมาจากอาณาจักรต่างๆ ในช่วงแปดพันปีที่ผ่านมา เกือบครึ่งหนึ่งของตํานานยุทธที่ถือกําเนิดขึ้นมาล้วนได้เข้าสู่วิหารการสงครามมาแล้วทั้งสิ้น”

 

“โดยเฉพาะอย่างยิ่งในบางยุคสมัย ตํานานยุทธต่างกําเนิดขึ้นมากมาย เรียงรายตามกันมา มองดูโลกหล้าไปพร้อมๆกัน ทุกอย่างนี้เกิดขึ้นราวสิบปีหลังจากการปรากฏขึ้นของวิหารการสงคราม”

 

จักรพรรดิถังกล่าวด้วยน้ําเสียงทุ้มลึก

 

ส่วนใหญ่จอมยุทธที่เข้าไปภายในวิหารการสงครามนั้น อ ย่างน้อยก็เป็นยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสมบูรณ์ และมากกว่าครึ่งนั้นอยู่ในขอบเขตตํานานยุทธ เหล่าตัวตนผู้ ทรงพลังอํานาจเหล่านี้พวกเขามักไม่ค่อยเปิดเผยสิ่งที่ตนประสบภายในวิหารการสงคราม ที่จักรพรรดิถังสามารถรู้ได้มากขนาดนี้ เป็นเพราะข้อมูลที่ได้สั่งสมมาจากราชวงศ์ของอาณาจักรต่างๆ

 

ซูฉินหรี่ตาลงเล็กน้อยเมื่อได้ฟังคําเหล่านั้น

 

เมื่อกระแสปราณฉีเริ่มฟื้นตัว โลกและสิ่งแวดล้อมเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก ปราณฉีมีอยู่อย่างมากมาย จิตใจแห่งฟ้าดินเพิ่มขึ้นมากทําให้ง่ายต่อการทะลวงเข้าสู่ขอบเขตตํานานยุทธ

 

แต่เมื่อหลายพันปีก่อน โดยเฉพาะเมื่อแปดพันปีก่อน กระแสปราณฉีได้ซบเซาลงอย่างสมบูรณ์แล้ว กล่าวได้ว่าพลังฟ้าดินทั้งหมดเที่ยวเฉาเป็นจุดสิ้นสุดของเหล่าผู้ฝึกยุทธอย่างแท้จริง

 

บางที่สําหรับขอบเขตสามระดับล่างและสามระดับกลาง อาจจะไม่ได้รับผลกระทบอะไรมากนัก แต่สําหรับผู้ฝึกยุทธในขอบเขตสามระดับบน โดยเฉพาะระดับชั้นที่หนึ่งซึ่งเริ่มเข้าถึงพลังฟ้าดินแล้วนั้น มันนับเป็นความสิ้นหวังอย่างแท้จริง

 

พลังปราณฉีนิ่งสนิท ผลที่ตามมาคือทําให้เข้าสู่ขอบเขตสามระดับบนได้ยากมาก

 

ส่วนตํานานยุทธนั้น

 

ก็เรียกได้ว่าเป็นตํานานจริงๆ

 

แต่ถึงกระนั้น จอมยุทธที่เข้าไปภายในวิหารการสงครามยังสามารถทะลวงขั้นได้อย่างต่อเนื่อง ก้าวเข้าสู่ขอบเขตสามระดับบน ยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่ง ยอดปรมาจารย์ขั้นสมบูรณ์ และไปถึงแม้แต่ขอบเขตตํานานยุทธ

 

แม้ว่าส่วนใหญ่จะไม่ได้ไปถึงขั้นตํานานยุทธ แต่เท่านี้ก็เหลือเชื่อมากพอแล้ว

 

“วิหารการสงคราม……”

 

ซูฉินแตะปลายคาง ดวงตาครุ่นคิด

 

เขาเข้าสู่ขอบเขตตํานานยุทธโดยอาศัยความจริงที่ว่าเขาสามารถลงชื่อเข้าใช้ในวัดเส้าหลินมาเกือบสามสิบปี และได้รับโอสถวิเศษมามากมาย รวมถึงเคล็ดวิชาอันไร้เทียมทาน

 

ราชครูแห่งอาณาจักรเหมิ่งหยวนกลายเป็นตํานานยุทธได้ ก็เพราะการบําเพ็ญเพียรมากว่าร้อยปีควบคู่ไปกับกระแสปราณฉีที่ฟื้นตัวอย่างก้าวกระโดด

 

แต่ตํานานยุทธคนอื่นๆ ในประวัติศาสตร์นั้นเข้าสู่ขอบเขตตํานานยุทธกันได้อย่างไร?

 

“พี่สาม”

 

“การถือกําเนิดของวิหารการสงครามในครั้งนี้ มันคงคละคลุ้งไปด้วยคาวเลือดอย่างแน่นอน”

 

จักรพรรดิถังถอนหายใจเบาๆ

 

ด้วยภูมิหลังของอาณาจักรถังในขณะนี้ ยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งธรรมดาๆ ไม่สามารถสั่นคลอนได้เลย มีเพียงตํานานยุทธเท่านั้นถึงจะพอสร้างความสั่นสะเทือนต่อสถานะของอาณาจักรถังได้

 

ครั้นเมื่อมีตํานานยุทธมากขึ้นภายในอาณาจักรถัง จักรพรรดิถังจะต้องมีเรื่องน่าปวดหัวเพิ่มขึ้นอีกมากเป็นแน่

 

แม้จะมีซูฉินคอยดูแลอาณาจักรถังอยู่ แต่จักรพรรดิถังก็รู้ดีว่าซูฉินไม่สามารถที่จะอยู่ปกป้องอาณาจักรไปได้ตลอด ถ้าต้องการจะปกป้องผืนแผ่นดินนี้จริงๆ เขาต้องทําให้อาณาจักรถังแข็งแกร่งขึ้น

 

นักพรตเฒ่าที่อยู่ด้านข้าง ยังคงหน้าเปลี่ยนสีไม่หาย ในที่สุดก็ถอนหายใจและโค้งคํานับมาทางซูฉิน “ผู้อาวุโส ข้ารู้แล้วว่าวิหารการสงครามคือสิ่งใด…”

 

“ลองเล่ามา”

 

แม้ว่าซูฉินจะคาดเดาทุกอย่างได้บ้างแล้ว แต่เขาก็ยังต้องการได้ยินสิ่งที่นักพรตเฒ่าจะพูดอยู่ดี

 

“ผู้อาวุโส สานักเอกะวิถีของข้าได้รับมรดกตกทอดมาจากยุคกระแสปราณฉีเฟื่องฟูครั้งล่าสุด”

 

นักพรตเฒ่าสงบใจลง ท่าที่เปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมแล้วกล่าวว่า “ในยุคเฟื่องฟูของกระแสปราณฉีครั้งล่าสุดก็มีวิหารการสงครามอยู่เช่นกัน ไม่มีใครรู้ที่มาของวิหารการสงคราม ทราบเพียงว่าวิหารการสงครามจะปรากฏขึ้นทุกๆพันปี หรืออาจจะพันกว่าปี”

 

“นอกจากนี้ ตามบันทึกในสํานักเอกะวิถีของข้า ไม่ใช่แค่ยุคเฟื่องฟูของปราณฉีครั้งล่าสุดเท่านั้นที่มี แต่ในระยะสุดท้ายของยุคเฟื่องฟูปราณฉีครั้งก่อนๆ ก็มีวิหารการสงครามนี้ปรากฏขึ้น”

 

เมื่อนักพรตเฒ่ากล่าวเช่นนี้ ก็หยุดไปชั่วขณะก่อนจะกล่าวต่อไปว่า

 

“จอมยุทธทุกคนที่เข้าสู่วิหารการสงครามจะพบโอกาสอันดีและมีความก้าวหน้าอย่างมากในการบ่มเพาะพลัง”

 

“น่าเสียดายที่ระดับของวิหารการสงครามนั้นอยู่สูงเกินไป ดูเหมือนจะเป็นวิธีการบางอย่างที่ถูกทิ้งไว้เบื้องหลังโดยตัวตนที่แข็งแกร่ง แม้จะอยู่บนโลกนี้ แต่ก็เหมือนไม่ได้มาจากโลกนี้ ลึกลับซับซ้อนอย่างมาก”

“ยิ่งไปกว่านั้น วิหารการสงครามยังอนุญาตให้เพียงตํานานยุทธเท่านั้นที่เป็นขอบเขตสูงสุดที่เข้าไปได้ เซียนเทพปฐพีหรือผู้ที่อยู่เหนือกว่าตํานานยุทธไม่สามารถเข้าไปได้เลย”

 

“เมื่อวิหารการสงครามปรากฏขึ้น มีเซียนเทพปฐพีหลายคนต้องการจะเข้าไปภายใน พวกเขาจึงปรึกษาหารือกัน รวมตัวผนึกกําลังกันบุกเข้าไป แต่ในที่สุดก็ต้องหมดหวังและจากไป หลังจากนั้นก็ไม่เคยพูดถึงวิหารการสงครามกันอีกเลย……”

 

“ต่อมา หลังจากช่วงท้ายของยุคเฟื่องฟูปราณฉีสิ้นสุดลง วิหารการสงครามก็ไม่เคยปรากฏในต่างดินแดนอีกเลย จนถึงตอนนี้ จอมยุทธทั้งหลายในต่างดินแดนต่างก็คิดกันว่า วิหารการสงครามได้หายไปอย่างสมบูรณ์แล้ว แต่พวกเขาคงไม่คาดคิดว่ามันเพียงเปลี่ยนสถานที่ใหม่…”

 

นักพรตเฒ่าเหม่อมองด้วยอารมณ์ความรู้สึก แล้วพูดออกมาอย่างรวดเร็ว

 

“ทรงพลังเพียงนั้น? ขนาดเซียนเทพปฐพีก็ยังทําอะไรไม่ได้?”

 

ชิงชิวเฉียนเฉียนเบิกตากว้างอย่างไม่อยากเชื่อ

 

จ้าวทะเลบูรพาซึ่งเป็นเจ้านายของจิ้งจอกตระกูลชิงชิวทั้งหมดเมื่อหลายพันปีก่อนก็เป็นเซียนเทพปฐพีเช่นกัน ในสายตาของเผ่าจิ้งจอกตระกูลชิงชิว แทบจะแยกจ้าวทะเลบูรพากับเทพเซียนไม่ออก

 

“ช่วงสุดท้ายของยุคเฟื่องฟูปราณฉี…”

 

หร่วนชิงเองก็ตกใจไม่แพ้กัน

 

แม้ว่าเขาจะเป็นเพียงผู้ฝึกยุทธขอบเขตตํานานยุทธที่ไร้สังกัดจากต่างแดน แต่อย่างมากที่สุดเขาก็รู้เพียงเรื่องยุคเฟื่องฟูของปราณฉีเมื่อหมื่นปีก่อน ส่วนเรื่องราวก่อนหน้านั้นเขาไม่เคยรับรู้เกี่ยวกับมันเลย

 

ส่วนจักรพรรดิถังและคนอื่นๆ พวกเขาก็ยังไม่ค่อยเข้าใจนักหลังจากรับฟังมาเป็นเวลานาน สําหรับพวกเขานั้น ยุทธภพในดินแดนโพ้นทะเลเอย เซียนเทพปฐพีเอย หรือยุคเฟื่องฟูกระแสปราณฉีล้วนอยู่ไกลตัวเกินไป

 

มีเพียงซูฉินเท่านั้นที่ได้ยินเรื่องราวของวิหารการสงครามที่ปรากฏในช่วงสุดท้ายของยุคเฟื่องฟูกระแสปราณฉี แล้วเกิดความรู้สึกตื่นเต้นเล็กๆฉายวาบอยู่ภายในดวงตา

 

แม้ว่าซูฉินจะสนใจมรดกในวิหารการสงคราม แต่มันก็เป็นเพียงความสนใจเล็กๆน้อยๆเท่านั้น มันไม่ได้จําเป็นอะไรขนาดนั้น สุดท้ายแล้ว ไม่ว่ามรดกในวิหารการสงครามจะล้ําค่าเพียงใด มันจะเทียบกับฝ่ามือยูไลได้หรือไม่? เทียบกับคัมภีร์มารเก่าวิถีได้หรือไม่? สามารถเทียบกับภาพสิบสองสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ได้หรือไม่? หรือสามารถเทียบกับเคล็ดวิชาอื่นๆที่ซูฉินลงชื่อเข้าใช้ได้มาหรือไม่?

 

สิ่งที่ซูฉินต้องการจริงๆ คือวิหารการสงครามนั่นเอง

 

หากเป็นจริงตามที่นักพรตเฒ่ากล่าว วิหารการสงครามได้ปรากฏขึ้นในยุคเฟื่องฟูของกระแสปราณฉี แสดงว่าวิหารการสงครามต้องผ่านยุคผ่านสมัยมาแล้วไม่น้อยกว่าหลายหมื่นปี

 

ในช่วงเวลาอันยาวนานขนาดนี้ “เต๋าสะสม” ในวิหารการสงครามจะมากมายเพียงใด?

 

ถ้าซูฉินสามารถลงชื่อเข้าใช้ใน “วิหารการสงคราม” ได้สมบัติล้ําค่าอะไรกันที่เขาจะได้รับ?

 

ตอนนี้ซูฉินเป็นตํานานยุทธระดับนภาชั้นที่แปดแล้ว หลังจากที่ก้าวเข้าสู่นภาชั้นที่เก้า เขาก็พร้อมจะกลั่นจิตวิญญาณแรกกําเนิดจากนั้นจึงทะลวงเข้าขอบเขตเซียนเทพปฐพี

 

และทรัพยากรที่จําเป็นในการฝึกฝนในขอบเขตเซียนเทพปฐพีก็จะยิ่งมากมายจนน่าหวาดกลัวเข้าไปอีก หากซูฉินต้องการจะพัฒนาขึ้นไปอย่างรวดเร็วเหมือนในตอนนี้ การลงชื่อเข้าใช้ภายในเมืองฉางอันอาจจะไม่เพียงพอ

 

อย่างไรก็ตาม วิหารการสงครามที่สะสม พลังงานเต๋า” มานับหมื่นปีนั้นตอบสนองความต้องการของซูฉินได้พอดี

 

“ที่เจ้าพูดมานั่นเรื่องจริงใช่หรือไม่?”

 

“วิหารการสงครามนั้นมีมาตั้งแต่ยุคเฟื่องฟูของปราณฉียุคก่อนๆ จริงหรือ?”

 

ซูฉินจ้องเขม็งไปยังนักพรตเฒ่า

 

เมื่อนักพรตเฒ่าได้ยินสิ่งนี้เขาก็ตกใจ เขาไม่เคยได้ยินซูฉินใช้น้ําเสียงเช่นนี้มาก่อน จึงรีบกล่าวตอบอย่างจริงจังว่า “ผู้อาวุโส ทั้งหมดที่ข้ากล่าวออกมาคือบันทึกที่มาจากสํานักเอกะวิถี”

 

“ไม่น่าจะมีข้อผิดพลาดใด”

 

หมื่นปีที่แล้ว ในช่วงเฟื่องฟูของปราณฉีครั้งล่าสุด สํานักเอกะวิถียังคงเป็นสํานักที่ยิ่งใหญ่มีชื่อเสียงไปทั่วโลก ข้อมูลที่ถูกรวบรวมและบันทึกไว้ได้รับการสืบต่อมาจนถึงทุกวันนี้ ก็เห็นได้ชัดเจนว่ามันน่าเชื่อถือมากพอสมควร

 

“ข้าเข้าใจแล้ว”

 

ซูฉินประเมินคร่าวๆ ว่าอีกฝ่ายไม่ได้โกหกผ่านจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ที่ฝังอยู่ภายในร่างของนักพรตเฒ่าแล้ว จึงพยักหน้าเล็กน้อย

 

ในความเป็นจริง เมื่อเผชิญหน้ากับซูฉิน ตํานานยุทธขั้นสูงสุดที่สามารถควบแน่นอาณาเขตได้ แม้ว่าเขาจะมีความกล้าหาญกว่านี้เป็นสิบเท่า นักพรตเฒ่าก็ไม่กล้าพูดโป้ปดแต่อย่างใด

 

แล้วอีกอย่าง

 

ที่นักพรตเฒ่าพูดออกมาทั้งหมดนี้ ก็ไม่ได้มีความลับที่เกี่ยวข้องกับสํานักเอกะวิถีเลย

 

แม้ว่าวิหารการสงครามจะลึกลับ แต่ในช่วงเฟื่องฟูของกระแสปราณฉีครั้งล่าสุด มันก็ไม่ได้เป็นความลับอะไร

 

“วิหารการสงครามจะกําเนิดขึ้นเมื่อใด?”

 

ซูฉินเงยหน้าขึ้นและมองไปทางภูเขาคุนหลุนพร้อมตั้งคําถาม

 

“พี่สาม”

 

“ตามบันทึกโบราณ เมื่อใดที่เกิดระลอกคลื่นในชั้นบรรยากาศบนเขาคุนหลุน ก็อยู่ไม่ไกลจากช่วงวันที่วิหารการสงครามจะปรากฏขึ้นแล้ว”

 

“ในเวลาหนึ่งถึงสองปี วิหารการสงครามจะถือกําเนิดขึ้น”

 

ก่อนที่จักรพรรดิถังจะมาถึงที่นี่ เขาได้ตรวจสอบทุกอย่างมาอย่างถี่ถ้วนแล้ว จึงตอบได้โดยไร้ซึ่งความลังเล

 

“แต่พี่สามอย่าได้กังวลไป ข้าได้ให้คนเฝ้าดูเขาคุนหลุนอย่างใกล้ชิด หากมีการเคลื่อนไหวใดๆเกิดขึ้น ข้าจะรู้ได้ภายในหนึ่งวัน”

 

จักรพรรดิถังตบอกลั่นคํามั่นสัญญา

 

ทุกวันนี้อาณาจักรถังมีอํานาจควบคุมโลก รวมถึงมีการปฏิรูปและแก้ไขหลายสิ่งหลายอย่างจากจักรพรรดิถังในช่วงไม่กี่ปีก่อน อาณาจักรถังในยามนี้ไม่ได้เป็นเหมือนเดิมอีกต่อไป

 

ถ้าไม่ใช่เพราะกระแสปราณฉีฟื้นคืนที่จะทําให้เกิดจอมยุทธผู้ทรงพลังเพิ่มขึ้นมาทีละคนๆ ในตอนนี้ แค่เพียงอํานาจของอาณาจักรถังก็เพียงพอจะสยบได้ทุกสิ่ง

 

“ไม่เป็นไร”

 

“ข้าจับสัมผัสมันได้แล้ว”

 

ซูฉินเบิกเนตรดวงตาแห่งสัจจะและใช้วิชาปราณฉีฟ้า กําหนดไปพร้อมๆกัน พลังรับรู้ของเขาก็เพิ่มขึ้นอย่างไร้ที่สิ้นสุด รู้สึกได้จางๆว่าบนเขาคุนหลุนมีกระแสลมปราณล่องลอยอยู่จริงๆ ราวกับพื้นที่แถบนั้นกําลังสั่นสะเทือนวัตถุแปลกปลอมบางอย่างกําลังผลักตัวเองออกมาสู่โลกภายนอก

 

เข้าสู่ระบบ “ฝ่ามือยูไล [Sign in Buddha’s palm]

 

เป็นธรรมดาที่ซูฉินจะไม่รู้ว่าการที่เขาสังหารคนสองสามคนโดยไม่ตั้งใจนั้นจะทําให้เกิดความพรั่นพรึงในต่างดินแดน กระทั่งลามไปถึงการปลุกบรรพชนที่หลับใหลในส่วนลึกของนิกายใหญ่

 

หรือแม้ซูฉินจะรู้ ก็คงทําได้เพียงยิ้มอย่างไม่ได้ใส่ใจอะไรนัก

 

ด้วยเคล็ดวิชาทั้งหมดที่เขามีในปัจจุบัน เว้นแต่จะเป็นเซียนเทพปฐพี ต่อให้เป็นตํานานยุทธระดับนภาชั้นที่เก้าก็ไม่มีหวั่น

 

นอกจากนี้บรรพชนที่หลับใหลภายในนิกายใหญ่ต่างดินแดนก็ไม่มีอะไรมากไปกว่ากลุ่มหนอนน่าสงสารที่พลังชีวิต และเลือดเนื้อลดลงจนใกล้จะถึงจุดสิ้นสุดของชีวิตแล้ว พวกมันไม่อยู่ในสายตาของซูฉินด้วยซ้ํา

 

หลังจากที่ซูฉินทะลวงขั้นสําเร็จ เขาก็ยืนยันจนแน่ชัดแล้ว ว่าเกาะหยิงโจวไม่สามารถลงชื่อเข้าใช้ได้อีกต่อไป ดังนั้นจึงรีบเดินทางกลับเมืองฉางอันพร้อมกับน้ําพุจิตวิญญาณที่บรรจุอยู่ในกล่องหยก

 

สําหรับเกาะหยิงโจว ตาน้ําพุจิตวิญญาณได้หายไปแล้ว จิตใจแห่งฟ้าดินบนเกาะหยิงโจวย่อมจะค่อยๆลดลงอย่างช้าๆ แต่อย่างไรก็ตาม กระแสปราณฉีในปัจจุบันกําลังฟื้นคืนกลับมา แม้ว่าเกาะหยิงโจวจะเสื่อมโทรมลง แต่ตราบใดที่เวลาผ่านไปอีกหลายสิบปี เกาะแห่งนี้ก็จะหวนคืนสู่ชื่อ “เกาะเซียน” ได้ในที่สุด

 

เหตุที่จ้าวทะเลบูรพาเลือกที่จะตั้งตาน้ําพุจิตวิญญาณไว้บนเกาะหยิงโจวก็เพราะว่า แม้จะไม่มีน้ําพุจิตวิญญาณ เกาะหยิงโจวก็ถือได้ว่าเป็นแดนศักดิ์สิทธิ์ สามารถรวบรวมพลังงานธรรมชาติและจิตใจแห่งฟ้าดินได้

 

ก่อนที่จะออกเดินทาง ซูฉินได้สร้างค่ายกลฟ้าดินปกคลุมนอกเกาะหยิงโจวเพิ่มเป็นพิเศษด้วยค่ายกลขนาดใหญ่สองสามรูปแบบที่เขาเชี่ยวชาญ รอบเกาะหยิงโจวตอนนี้กล่าวได้ว่าค่อนข้างจะไร้จุดอ่อน

 

อย่างน้อยๆ ถ้าเป็นหมิงโยวและคนอื่นๆ ต่อให้แข็งแกร่งแค่ไหนก็ไม่สามารถทําลายค่ายกลได้โดยง่ายอีกแล้ว

 

“ได้เวลากลับแล้ว”

 

ซูฉินออกจากเกาะหยิงโจว มองไปยังทะเลสีฟ้าคราม มุ่งหน้าตรงไปยังเมืองฉางอัน

 

ส่วนชิงชิวเฉียนเฉียนและนักพรตเฒ่าก็ติดตามไปอย่างรวดเร็ว

 

แม้ว่านักพรตเฒ่าจะใช้แก่นแท้แห่งพลังส่วนใหญ่ในการถือกล่องหยก แต่เขาก็ยังเป็นตํานานยุทธระดับนภาชั้นที่สี่ การเหาะเหินเดินอากาศจึงทําได้ราวกับความสามารถขั้นพื้นฐาน ประกอบกับซูฉินจงใจชะลอความเร็วลง ทําให้เขาพอจะติดตามไปได้ แม้จะยากลําบากสักเล็กน้อย

 

หนึ่งวันต่อมา

 

ต่างก็มาถึงหน้าเมืองฉางอัน

 

เมืองฉางอันยังคงเหมือนเดิม ทว่า ตั้งแต่ครั้งที่อาณาจักรถังยึดครองทวีปได้ กําแพงเมืองฉางอันก็ได้รับการขยายตัวออกไปหลายต่อหลายครั้ง ต้องออกแบบใหม่เป็นพิเศษ เพื่อรองรับผู้ที่เดินทางเข้ามาจากทั่วทุกมุมโลก

 

หลังจากที่ซูฉินสู่เมืองฉางอันโดยไม่ได้รบกวนผู้ใด เขาก็กลับไปที่วังหลวงและหยุดอยู่ที่พระราชวังตะวันออก

 

“ค่ายกลฟ้าดินขนาดใหญ่ในที่แห่งนี้”

 

นักพรตเฒ่ายังคงถือกล่องหยกไว้ในมือทั้งสองข้าง ใบหน้าของเขาตกตะลึง

 

ค่ายกลฟ้าดินครอบคลุมไปทั่วทั้งพระราชวังตะวันออก แม้ว่าจะเทียบกับค่ายกลฟ้าดินจํานวนมากที่จัดตั้งบนเกาะหยิงโจวโดยจ้าวทะเลบูรพาไม่ได้ อย่างไรก็ตาม ค่ายกลฟ้าดินนับสิบๆรูปแบบถูกผสมผสานเข้ากันได้อย่างลงตัว มีความกลมกลืนอย่างยิ่ง ซึ่งเป็นเรื่องที่เหนือความคาดหมายไปไกลโข

 

ซูฉินเพิกเฉยต่อความตกใจของนักพรตเฒ่า ทันทีที่มาถึงเมืองฉางอัน ซูฉินก็ใช้จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์กวาดไปทั่วเมืองฉางอัน

 

แม้ซูฉินจะเป็นคนสร้างทางเดินไว้ให้กับคนในตระกูลซูและคนอื่นๆ แต่สุดท้ายแล้ว เมื่อมาเห็นด้วยตาตัวเองเช่นนี้ ก็รู้สึกว่าไม่จําเป็นต้องกังวลอะไรนัก

 

“มีจอมยุทธเพิ่มมากขึ้นไม่น้อย…” ซูฉินแตะปลายคาง ใบหน้าครุ่นคิด

 

ในช่วงไม่กี่เดือนที่เขาจากไป จํานวนผู้ฝึกยุทธในเมืองฉางอันเพิ่มขึ้นอย่างน้อยก็ครึ่งเท่าตัว และมียอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งกว่าหลายร้อยคน ยอดปรมาจารย์ขั้นสูงสุดอีกนับสิบ

 

เพียงแต่ว่ายอดปรมาจารย์ขั้นสูงสุดทั้งหมดล้วนอยู่ในช่วงแปรสภาพพลังหนึ่งถึงสองครั้งเท่านั้น ส่วนยอดปรมาจารย์ขั้นสมบูรณ์ที่แปรสภาพพลังครบสามครั้งยังไม่มีปรากฏ ไม่ต้องพูดถึงตํานานยุทธเลย ไม่มีเช่นเดียวกัน

 

ไม่ว่ากระแสปราณฉีจะฟื้นคืนกลับมามากเท่าไหร่ ขนาดหมื่นปีที่แล้ว ตํานานยุทธก็ยังมีราวๆหนึ่งในแสน หนึ่งในล้านคน ไม่ใช่ว่าเดินไปที่ไหนก็เจอตํานานยุทธเสียเมื่อไหร่

 

“กระแสพลังนั้นชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ…” ซูฉินสายศีรษะเล็กน้อย

 

หากเป็นเมื่อสองสามปีก่อน กระแสปราณฉีนั้นคลุมเครือเป็นอย่างยิ่ง มีเพียงซูฉินซึ่งเป็นตํานานยุทธระดับสูงเท่านั้นที่รับรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงของพลังฟ้าดินได้รางๆ

 

และในเวลานี้ เกรงว่าแม้แต่คนธรรมดาในเมืองฉางอันยังรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ

 

ตัวอย่างเช่น ขาและเท้าเดินได้กระฉับกระเฉงว่องไวขึ้น ความเจ็บป่วยทุเลาลงอย่างกะทันหัน หรือจอมยุทธที่เห็นได้นานๆครั้ง บัดนี้สามารถพบเห็นได้ทั่วทุกที่

 

กระแสปราณีที่ฟื้นคืนนั้นไม่ได้มุ่งเป้าไปที่ผู้ฝึกยุทธ แต่เป็นสิ่งมีชีวิตทั้งหมดบนโลกนี้ ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์ สัตว์อสูรหรือแม้แต่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ก็ด้วย

 

“ท่านพ่อเข้าสู่ขอบเขตสามระดับบนแล้ว?”

 

จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของซูฉินกวาดไปทั่วพระราชวังตะวันออก แม้ว่าพระราชวังตะวันออกจะถูกรายล้อมไปด้วย ค่ายกลฟ้าดินมากมาย ตํานานยุทธคนอื่นไม่สามารถใช้จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ตรวจสอบได้เลย แต่ซุฉินในฐานะที่เป็นเจ้าของค่ายกลฟ้าดินขนาดใหญ่เหล่านี้ ย่อมไม่ถูกนับรวมเข้าไปด้วย

 

ดังนั้นซูฉินจึงค้นพบได้ทันทีว่า ซูซื่อหมินได้เข้าสู่ระดับชั้นที่สามแล้ว

 

แน่นอนว่าซูฉินรู้ดีว่าการที่ซูชื่อหมินพัฒนาได้อย่างรวดเร็วนั้นเกิดจากการสั่งสมประสบการณ์มาหลายทศวรรษ ผนวกกับแนวทางการฝึกฝนที่ซูฉินได้ให้เอาไว้ ยังผลให้เกิดการพัฒนาที่เร็วเช่นนี้

 

“วังหลวงไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปมากนัก”

 

ซูฉินพยักหน้าเล็กน้อย

 

ก่อนที่จะออกจากวังและมุ่งหน้าไปยังทะเลบูรพา เขาได้แจ้งจักรพรรดิถังและคนอื่นๆ ให้ทราบเรื่องไว้ก่อนแล้ว

 

เมื่อซูฉินกําลังนึกถึงเรื่องนั้น

 

“ลุงสาม”

 

เสียงใสแจ๋วของหลีหว่านก็ดังขึ้นมา

 

“หว่านเอ๋อไม่ได้พบลุงสามมานานมากแล้ว…” หลีหว่านวิ่งเข้ามาหาซูฉินอย่างรวดเร็ว พร้อมกับกล่าวคําออกมาเล็กน้อย

 

“อย่างไรก็ตาม ช่วงที่ลุงสามไม่อยู่ หว่านเอ๋อก็ไม่ได้หย่อนยาน พยายามฝึกดาบอย่างหนัก…” หลี่หว่านกะพริบตา

 

“ดี ไม่มีหย่อนยานเลยนี่ในช่วงเวลานี้”

 

ซูฉินเหลือบมองหลีหว่านและรู้ว่าสิ่งที่หลีหว่านพูดนั้นถูกต้อง ในตอนนี้กําลังภายในทั้งหมดภายในร่างของหลีหว่านกลายเป็นพลังงานดาบ และบางส่วนก็เริ่มควบแน่นเป็นหัวใจดาบไปแล้ว

 

เมื่อหัวใจแห่งดาบสามารถสร้างขึ้นมาได้สําเร็จ แปลว่าทางเดินในเส้นทางแห่งดาบนั้นกําลังจะเต็มไปด้วยศักยภาพอันไร้ขีดจํากัด

 

การที่หลีหว่านสามารถก้าวเข้าสู่ขั้นตอนนี้ได้ ไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องอื่น อย่างน้อยก็แปลว่านางทําความเข้าใจเจตจํานงดาบที่ซูฉินทิ้งเอาไว้บนแผ่นไม้ได้อย่างดี

 

“ดูท่าจะสามารถเพิ่มเจตจํานงดาบเข้าไปได้อีก”

 

ซูฉินคิดในใจอย่างเงียบๆ

 

“นี่คือ?”

 

“ร่างหัวใจแห่งดาบ?”

 

ช่วงเวลาที่นักพรตเฒ่าเห็นหลีหว่าน รูม่านตาของเขาก็หดแคบลงในทันที

 

แม้ว่าเขาจะเป็นตํานานยุทธระดับนภาชั้นที่สี่ เมื่อสายตาของเขาจับจ้องไปที่หลีหว่าน มันก็ยังรู้สึกเจ็บแปลบขึ้นมาเบาๆ ราวกับกําลังมองไปที่คมดาบ

 

“ถ้าคนของพรรคหมื่นดาบรู้ว่ามีคนที่มีร่างหัวใจแห่งดาบอยู่ที่นี่ ข้าเกรงว่าพวกเขาจะรีบเข้ามาฉกตัวไปอย่างเอาเป็นเอาตาย……”

 

ความคิดของนักพรตเฒ่าก็ผุดขึ้นมาในใจอย่างรวดเร็ว

 

“อย่างไรก็ตาม ด้วยการปรากฏตัวของผู้อาวุโส แม้ว่าพรรคหมื่นดาบจะยกกันมาทั้งนิกาย เกรงว่าคงทําได้เพียงคว้าน้ําเหลวกลับไปเท่านั้น…”

 

นักพรตเฒ่าเหลือบมองไปที่ซูฉินอีกครั้ง ร่องรอยความเกรงกลัวปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขา

 

เขารู้ว่าซูฉินควบแน่นอาณาเขตได้แล้ว และเป็นตํานานยุทธที่มีพลังชีวิตที่แข็งแกร่ง อายุยืนยาว แม้ว่าพรรคหมื่นดาบจะเป็นนิกายใหญ่ เขาก็ทําได้เพียงถอยหนีเท่านั้นเมื่ออยู่ต่อหน้าซูฉิน

 

แม้ว่าพรรคหมื่นดาบปลุกบรรพชนที่หลับใหลขึ้นมา ก็ทําอะไรไม่ได้อยู่ดีเมื่อต้องเผชิญหน้ากับซูฉิน

 

สุดท้ายแล้วบรรพชนที่แข็งแกร่งที่สุดในพรรคหมี่นดาบก็มีพลังชีวิตเหลือเพียงแค่เล็กน้อย ด้วยความสามารถในการลงมือที่มีอยู่อย่างจํากัดควบคู่กับพลังงานและเลือดเนื้อที่ลดลง ความแข็งแกร่งที่ใช้ออกได้ก็มีเพียงครึ่งเดียวเท่านั้น มันจะไปสู้ซูฉินได้อย่างไร?

 

แค่ไม่ถูกซูฉินกวาดล้างไปจนเหี้ยนก็โชคดีมากแล้ว

 

ขณะที่นักพรตเฒ่ากําลังคิดอะไรอยู่นั้น จู่ๆก็มีเสียงแปลกใจดังขึ้น “ท่านผู้อาวุโส ทําไมท่านเองก็มาที่นี่ด้วยเล่า?”

 

เมื่อเหยียนไห่ทราบว่าซูฉินกลับมาแล้ว เขาก็เข้ามาหาซูฉินด้วยความดีใจ แต่สุดท้ายแล้วเขาก็เห็นนักพรตเฒ่าที่ยืนก้มหัวอยู่ด้านหลังซูฉิน

 

“ศิษย์หลานเหยียนไห่….”

 

นักพรตเฒ่าก็ตกตะลึงเช่นกัน เขาไม่คิดว่าวันหนึ่งเขาจะได้พบเข้ากับศิษย์หลานในสถานการณ์เช่นนี้”

 

“นายท่าน เขาคืออาจารย์อาในสํานักเอกะวิถีขอรับ เหยียนไห่อธิบายแก่ซูฉิน

 

“นายท่าน…”

 

นักพรตเฒ่าเงยหน้าขึ้นมอง สํานักเอกะวิถีเป็นนิกายใหญ่ในต่างแดนที่มีเซียนเทพปฐพีกําเนิดขึ้นมามากกว่าหนึ่งคน หากเรื่องราวที่ศิษย์ในนิกายเรียกคนอื่นว่านายท่านนี้กระจายออก แน่นอนว่ายุทธภพในต่างแดนจะต้องตื่นตะลึงอย่างแน่นอน

 

แต่เมื่อนักพรตเฒ่านึกถึงความแข็งแกร่งของซูฉิน จู่ๆก็คิดว่ามันสมเหตุสมผล

 

ก่อนหน้านี้ตอนที่เขารู้ว่าศิษย์ของนิกายเฮยหยวนและตําหนักเทพเจ้าหิมะถูกสังหารโดยซูฉิน นักพรตเฒ่าก็ยังสงสัยอยู่ว่าทําไมศิษย์สํานักของเขาถึงไม่ตาย?

 

พอมาตอนนี้ ดูเหมือนว่าเหยียนไห่จะมีวิสัยทัศน์ รู้ว่าความแข็งแกร่งของซูฉินนั้นยากจะหยั่งถึงและสามารถก้มหัวยอมรับซูฉินเป็นนายท่านเพื่อหลีกเลี่ยงความตายได้ทันเวลา

 

เรื่องการที่เหยียนไห่ยอมรับซูฉินเป็นเจ้านายนั้น นักพรตเฒ่าก็ไม่ได้รู้สึกแปลกใจอะไร

 

ด้วยความแข็งแกร่งของซูฉิน ไม่ใช่แค่เหยียนไห่ ต่อให้เป็นตัวเขาเองที่ต้องก้มหัวยอมรับ นักพรตเฒ่าก็จะทําโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย

 

หลังจากที่เหยียนให้เห็นซูฉิน เขาก็เดินเข้ามายืนข้างๆนักพรตเฒ่าแล้วกล่าวถามอย่างสงสัย “อาจารย์อา ท่านก็โดนนายท่านจับตัว…เอ่อ ติดตามนายท่านมาด้วยหรือ?”

 

ทันทีที่กล่าวคําออกไป เหยียนไห่ก็รู้ว่าเขาพูดอะไรผิดไป และรีบเปลี่ยนเรื่องทันที “ท่านอาจารย์อา ท่านถืออะไรเอาไว้อยู่นั้น……….”

 

เหยียนให้มองไปที่กล่องหยกในมือของนักพรตเฒ่า

 

กล่องหยกถูกปิดสนิท เหยียนให้ไม่รู้ว่ามีสิ่งใดอยู่ข้างใน แต่จากใบหน้าของนักพรตเฒ่านั้น พบว่ามันน่าจะหนักเอาการอยู่

 

“อย่าเข้ามาใกล้เชียว สิ่งนี้เป็นของของท่านผู้อาวุโส” นักพรตเฒ่าจ้องมองที่เหยียนให้ด้วยสายตาดุๆ

 

“ได้ๆ”

 

หนังศีรษะของเหยียนไร่ชาวาบ รีบไปยืนอยู่ข้างๆอย่างเชื่อฟังทันที

 

กล่องหยกใบนี้บรรจุตาน้ําพุจิตวิญญาณเอาไว้ แม้ตอนนี้จะเหือดแห้งไปแล้ว แต่ก็ยังนับเป็นสมบัติล้ําค่า ไม่รู้ว่ามีนิกายใหญ่มากมายแค่ไหนที่ต้องการน้ําพุจิตวิญญาณนี้

 

“ลุงสาม ใครคือพี่สาวคนนี้ นางสวยงามยิ่งนัก…” หลีหว่านมองไปที่ชิงชิวเฉียนเฉียนและถามด้วยเสียงต่ํา

 

ชิงชิวเฉียนเฉียนเป็นเผ่าพันธุ์จิ้งจอกตระกูลชิงชิว และเผ่าจิ้งจอกเมื่ออยู่ในร่างมนุษย์ย่อมมีเสน่ห์โดยธรรมชาติ

 

แม้ว่าเสน่ห์เย้ายวนนี้ ในสายตาของซูฉินนั้นจะไม่มีอะไรควรค่าแก่การพูดถึงเลย เป็นเพียงหนังหุ้มกระดูก

 

แต่คนอื่นไม่ได้คิดเช่นนั้น โดยเฉพาะหลีหว่าน นางกําลังควบแน่นหัวใจดาบและการรับสัมผัสของนางก็อ่อนไหวต่อโลกภายนอกอย่างยิ่ง อาจจะเทียบได้กับยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งบางคนเลยด้วยซ้ํา แน่นอนว่าย่อมพบคุณลักษณะพิเศษของชิงชิวเฉียนเฉียนได้ไม่ยาก

 

“นาง…”

 

ซูฉินปรายตาไปมอง

 

“ข้าเป็นเพียงข้ารับใช้ของนายท่าน” ชิงชิวเฉียนเฉียนตอบกลับในทันที

 

“ข้ารับใช้

 

” หลีหว่านดูเหมือนจะเข้าใจแต่ก็ไม่เข้าใจ

 

และในตอนนั้นเอง

 

จักรพรรดิถังก็รีบออกมาจากห้องบรรทม

 

” จักรพรรดิถังดีใจมาก

 

“พี่สาม ท่านกลับมาแล้วจริงๆ เมื่อได้พบซูฉิน

 

“พี่สาม มีเรื่องใหญ่เกิดขึ้นแล้ว”

 

จักรพรรดิถังรีบเดินมาหาซูฉินและกล่าวคําอย่างเคร่งขรึม

 

“เรื่องใหญ่?”

 

ซูฉินเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ท่าทีของเขาค่อนข้างประหลาดใจ

 

การที่จักรพรรดิถังถึงกับพูดออกมาว่า “เรื่องใหญ่” ด้วยตัวเองเช่นนี้ ย่อมเกี่ยวพันถึงกิจการภายในอาณาจักรถังทั้งหมดอย่างแน่นอน และตอนที่ซูฉินกลับมาที่วังหลวง เขาก็ได้ใช้จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ตรวจสอบดูแล้ว และไม่ได้พบเหตุการณ์สําคัญใดเกิดขึ้น

 

“เรื่องอะไร?”

 

ซูฉินถามออกไปตรงๆ

 

“ข้าได้ข่าวมา”

 

จักรพรรดิถังสูดลมหายใจและกล่าวคําอย่างเคร่งเครียด “วิหารการสงครามได้กําเนิดขึ้นแล้ว”

 

“วิหารการสงคราม?”

 

ซูฉินยังไม่ทันได้พูดอะไรต่อ

 

นักพรตเฒ่าที่ถือกล่องหยกด้วยสองมือก็อุทานออกมา ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความตกใจ ราวกับคําสามคําอย่าง “วิหารการสงคราม” เป็นคําต้องมนต์

 

Sign in Buddha’s palm 226 ความหวาดหวั่น และบรรพชนเก่าแก่

 

“ผู้อาวุโสหมิงโยวได้สิ้นชีพลงแล้ว…”

 

ศิษย์นิกายเฮยหยวนพูดจนจบด้วยเสียงอันสั่นเครือ หลับตาลง ดูยอมจํานนกับโชคชะตา

 

ดวงไฟแห่งชีวิตได้ดับลง

 

หมายถึงการตกตายอย่างสมบูรณ์

 

แม้แต่จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ก็ไม่รอดพ้น

 

ด้วยเหตุผลนี้เอง ที่ทําให้ศิษย์คนที่มาแจ้งข่าวรู้สึกว่ายิ่งพูดก็ยิ่งสิ้นหวังมากขึ้นเรื่อยๆ เขาตระหนักดีถึงตําแหน่งตัวตนของหมิงโยวภายในนิกายเฮยหยวน

 

ในฐานะของหนึ่งในตํานานยุทธที่ใกล้เคียงกับระดับผู้เยี่ยมยุทธมากที่สุดในดินแดนโพ้นทะเล การเสียชีวิตของหมิงโยวจะปลุกความโกรธเกรี้ยวของผู้นํานิกายเฮยหยวนขึ้นมาอย่างแน่นอน

 

และด้วยความโกรธเคืองของผู้นํานิกาย คงจะเป็นเรื่องยากที่ชีวิตน้อยๆของศิษย์ธรรมดาๆเช่นเขาจะอยู่รอด

 

ที่นี่คือนิกายเฮยหยวน หนึ่งในนิกายใหญ่ดินแดนโพ้นทะเล ไม่มีความดี ไม่มีความชั่ว มีเพียงผู้แข็งแกร่งเป็นที่เคารพนับถือ ผู้อ่อนแอถูกกําหนดให้เป็นทาส เป็นเป้าสังหาร

 

“เจ้าพูดว่าอะไรนะ?”

 

เกิดความเงียบขึ้นในโถง จากนั้นไม่นานผู้อาวุโสนิกายเฮยหยวนก็ตอบสนองออกมาในทันที จ้องมองไปที่ศิษย์ผู้ส่งข่าวอย่างไม่อยากเชื่อ หมิงโยวเกือบจะกลายเป็นตัวตนระดับผู้เยี่ยมยุทธอยู่แล้ว ชื่อเสียงก็มีมาก พูดออกมาได้อย่างไรว่าจบชีวิตแล้ว?

 

นอกจากนี้ การที่ดวงไฟแห่งชีวิตดับลง หมายความว่าจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์และร่างกายได้สูญสลายไปอย่างสิ้นเชิง การที่จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ก็ยังหนีไม่พ้นมันจะเป็นไปได้อย่างไร?

 

“เป็นไปไม่ได้ ร่างปีศาจลวงตาของศิษย์พี่หมิงโยวเกือบจะสมบูรณ์แล้ว เขาสามารถสลับปรับเปลี่ยนไปมาระหว่างความเป็นจริงและร่างลวงตาได้ดั่งใจนึก แม้จะเป็นตัวตนระดับผู้เยี่ยมยุทธลงมือเองก็ไม่มีทางสังหารเขาได้ เขาจะตายได้อย่างไร?

 

“ถูกต้อง ต่อให้มีผู้เยี่ยมยุทธหลายคนร่วมมือกัน อย่างมากที่สุดก็ทําลายได้เพียงแค่กายหยาบ อย่างไรจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ก็สามารถหนีกลับมาได้อย่างสมบูรณ์

 

“เจ้าชื่ออะไร เป็นศิษย์ฝ่ายไหน หากข้ารู้ว่าเจ้ารายงานข้อมูลเท็จล่ะก็ จะต้องถูกนิกายเฮยหยวนของพวกเราทรมานทั้งเป็น ให้เจ้าได้รู้ว่าการมีชีวิตอยู่ก็ไม่ดี ตายก็ไม่ได้ มันเป็นเยี่ยงไร เจ้าพร้อมที่จะโดนแล้วรึยังเล่า?”

 

ผู้อาวุโสหลายคนจ้องมองไปที่ศิษย์คนนั้น และมีกระทั่งผู้อาวุโสที่อารมณ์ฉุนเฉียว พร้อมที่จะลงมือสังหารมันเสียบัดนี้เลยทีเดียว

 

ในใจของผู้อาวุโสนิกายเฮยหยวน หากได้ยินว่าใครสักคนจะสิ้นชีพลงก็คงพอเข้าใจได้ แต่สําหรับหมิงโยวนั้นมันเป็นไปไม่ได้เด็ดขาด

 

“เอาล่ะ”

 

“ทุกคนจงเงียบ”

 

ในขณะที่ศิษย์ส่งข่าวกําลังจะโดนผู้อาวุโสหัวรุนแรงตบจนตาย ผู้นํานิกายเฮยหยวนก็กล่าวคําออกมาในที่สุด

 

ระหว่างที่พูดออกมา ไอพลังที่ไม่สามารถหยั่งถึงก็กระจายออกมา ผู้อาวุโสที่จ้างมือกําลังจะตบก็หน้าซีด หยุดมือในทันที และหยุดฟังด้วยความเคารพ

 

ผู้อาวุโสคนอื่นๆ ก็ทําแบบเดียวกัน และทันใดนั้นห้องโถงที่อึกทึกครึกโครมเมื่อครู่ก็เงียบลงในทันใด

 

“ก่อนหน้านี้เจ้าเห็นอะไรมา?” ผู้นํานิกายเฮยหยวนมองไปที่ศิษย์ผู้ส่งข่าว ไม่มีความผันผวนใดในน้ําเสียงของเขาเลย

 

แต่ผู้อาวุโสทุกคนรู้ดีว่า ยิ่งเป็นเช่นนั้นมากเท่าไหร่ ผู้นํานิกายเฮยหยวนก็ใกล้ระเบิดอารมณ์มากเท่านั้น

 

“ท่านผู้นํา”

 

“ข้าคอยดูแลดวงไฟชีวิตของผู้อาวุโสตลอดทั้งวันทั้งคืน และข้าก็ได้เห็นว่าดวงไฟชีวิตของผู้อาวุโสหมิงโยวเพิ่งจะดับมอดไป”

 

ศิษย์ส่งข่าวกล่าวออกมาอย่างกล้าหาญ

 

“เข้าใจแล้ว………”

 

ผู้นํานิกายเฮยหยวนไม่ได้แสดงสีหน้าใดๆออกมา

 

อันที่จริงตอนที่ศิษย์ส่งข่าวได้กล่าวว่าดวงไฟแห่งชีวิตมอดดับลงแล้วนั้น เขาก็ได้ใช้จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ตรวจสอบเรียบร้อยแล้ว และตัดสินได้ว่าสิ่งที่อีกฝ่ายกล่าวมานั้นเป็นความจริง

 

เมื่อผู้อาวุโสคนอื่นๆ ได้ฟังสิ่งนั้น ก็ดึงจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ออกมาทีละคน จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของจอมยุทธที่เพิ่งเข้าสู่ขอบเขตตํานานยุทธยังสามารถครอบคลุมพื้นที่ในรัศมีสิบลี้ได้ ถ้าเช่นนั้นเหล่าผู้อาวุโสแห่งนิกายเฮยหยวนเล่า?

 

ในการเป็นอาวุโสของนิกายเฮยหยวนได้นั้น อย่างน้อยก็ต้องเป็นตํานานยุทธระดับนภาชั้นที่สี่ และส่วนใหญ่ก็อยู่ในจุดสูงสุดของระดับนภาชั้นที่สี่

 

ในสายตาของพวกเขา นิกายเฮยหยวนทั้งหมดไม่มีสิ่งใดเป็นความลับ ยกเว้นบางสถานที่ที่ถูกปิดผนึก สามารถต้านทานการตรวจสอบจากจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ได้ไม่นาน

 

ในขณะที่จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของเหล่าผู้อาวุโสกวาดไปทั่วสถานที่สําหรับเก็บดวงไฟแห่งชีวิต ผู้อาวุโสทุกคนก็เงียบลง

 

ดวงไฟแห่งชีวิตของหมิงโยวมอดดับลงแล้วจริงๆ

 

หลังจากที่ผู้อาวุโสจํานวนมากได้ตรวจสอบดู ก็พบว่ามันเป็นเรื่องจริง

 

“ศิษย์พี่หมิงโยวตกตายลงแล้วจริงๆ”

 

หลังจากผ่านไปครู่ใหญ่ ผู้อาวุโสนิกายเฮยหยวนก็กล่าวออกมาอย่างขมขึ้น

 

พวกเขาเชื่อมั่นในตัวของหมิงโยวอย่างมาก และคาดคิดไปแล้วว่าอย่างไรเสียถ้ําเซียนของจ้าวทะเลบูรพาจะต้องถูกยึดเอาไว้ในกํามือพวกตน แต่หลังจากนั้นไม่นานก็พบว่าหมิงโยวได้ตกตายไปแล้ว………

 

ผู้อาวุโสที่เหลือก็แสดงสีหน้าโศกเศร้าเช่นกัน

 

“ท่านผู้นํา เรื่องนี้”

 

ผู้อาวุโสต้องการจะพูดอะไรบางอย่างกับผู้นํานิกายเฮยหยวน

 

ในท้ายที่สุด เขาก็ถูกขัดจังหวะโดยผู้นํานิกายเฮยหยวน “เอาล่ะ พวกเจ้าทุกคนจงออกไปก่อนเถอะ”

 

“ขอรับ” ผู้อาวุโสหลายคนมองหน้ากัน โค้งคารวะแล้วจากไปพร้อมกับความสงสัย

 

ในเวลาเดียวกัน

 

ไม่ใช่เพียงนิกายเฮยหยวน

 

ตําหนักเทพเจ้าหิมะ พรรคหมื่นดาบ และนิกายใหญ่แห่งอื่นๆต่างก็ตื่นตะลึงจากเรื่องที่ดวงไฟแห่งชีวิตนั้นดับมอดลงไป

 

เจ้าตําหนักเทพเจ้าหิมะถึงกับโกรธเคืองสุดขีด โลกเยือกแข็งปกคลุมไปทั่วรัศมีสิบลี้ ท้องฟ้าทั้งหมดกลายเป็นน้ําแข็ง น้ําที่หยดลงมาก็กลายเป็นน้ําแข็ง ยกเว้นแต่เพียงศิษย์สาวกของตําหนักเทพเจ้าหิมะ ตํานานยุทธคนใดที่เข้าใกล้บริเวณนั้นต่างถูกแช่แข็งอย่างฉับพลัน

 

มีนิกายใหญ่มากมายในต่างดินแดนแต่ก็ไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้นมากนัก แม้บางครั้งเกิดข้อพิพาทกันแต่อย่างมากที่สุดก็เป็นเพียงการต่อสู้กันของศิษย์สาวก ไม่ต้องกล่าวถึงการสิ้นชีวิตของผู้อาวุโส ขนาดการประมือกันยังแทบไม่มี

 

ตอนนี้นิกายเฮยหยวน ตําหนักเทพเจ้าหิมะ และนิกายใหญ่อื่นๆ ล้วนแต่มีผู้อาวุโสตกตายกันไป โดยเฉพาะนิกายเฮยหยวนที่เป็นถึงระดับรองผู้นํานิกาย สิ่งนี้สร้างความตกใจอย่างมิรู้ประมาณ

 

มีการถกเถียงกันอย่างมากมายในวงการยุทธภพต่างแดน ผู้ฝึกยุทธพเนจรและผู้นํานิกายคนอื่นๆ ต่างพูดกันอย่างเป็นการลับ

 

“ตําหนักเทพเจ้าหิมะ พรรคหมื่นดาบ และนิกายเฮยหยวนได้รับความสูญเสียอย่างหนักหน่วงในครั้งนี้ ตําหนักเทพเจ้าหิมะยังพอทําเนา แต่นิกายเฮยหยวนนั้นสูญเสียรองผู้นํานิกายไปเลยทีเดียว…”

 

“ตําหนักเทพเจ้าหิมะยังพอทําเนางั้นหรือ? เจ้าไม่รู้หรือว่าเทพธิดารุ่นปัจจุบันของตําหนักเทพเจ้าหิมะนั้นได้ตกตายไปแล้วเช่นเดียวกัน?”

 

“อะไรนะ? เทพธิดาก็ตกตายไปแล้วงั้นหรือ?”

 

จอมยุทธจํานวนมากต่างตื่นตกใจ

 

เทพธิดาแห่งตําหนักเทพเจ้าหิมะเป็นสถานะที่พิเศษ นางเป็นทายาทคนต่อไปในตําแหน่งเจ้าตําหนัก สถานะของนางสูงยิ่งกว่าผู้อาวุโสเสียอีก

 

“ไม่ว่านิกายใหญ่จะสูญเสียไปมากเท่าไหร่ แต่สิ่งที่ข้าอยากรู้จริงๆ ก็คือใครเป็นผู้ลงมือกันแน่…”

 

มีหลายคนตั้งข้อสงสัย

 

“เป็นไปได้หรือไม่ว่านี้เป็นฝีมือของนิกายใหญ่อื่นๆ ที่ดําเนินการอย่างลับๆ”

 

“เป็นไปไม่ได้ นิกายใหญ่มิใช่โง่เง่า ต่อให้จะต้องการลงมือจริงๆ ก็ควรจะจัดการทีละคน เป็นไปได้อย่างไรที่จะประกาศสงครามกับกองกําลังในระดับเดียวกัน ทั้งตําหนักเทพเจ้าหิมะ พรรคหมื่นดาบ และนิกายเฮยหยวนเช่นนี้?”

 

ผู้คนจํานวนมากต่างยังคงพูดคุยถกเถียงกันต่อไป แต่ก็ไม่ได้รับคําตอบจริงๆสักที ท้ายที่สุด สิ่งเดียวที่พอจะคาดเดาได้คือผู้ที่ลงมือจะต้องเป็นตัวตนที่แข็งแกร่งในระดับที่คาดเดาไม่ได้

 

ขณะที่โลกภายนอกกําลังถกเถียงกันอยู่

 

บนเกาะแห่งหนึ่งในดินแดนโพ้นทะเล ผู้นํานิกายเฮยหยวน เจ้าตําหนักเทพเจ้าหิมะ ประมุขพรรคหมื่นดาบ และนักพรตเฒ่าแห่งสํานักเอกะวิถีก็ได้มารวมตัวกันอยู่ที่นี่

 

ในเวลานี้ ยกเว้นก็แต่เจ้าสํานักเอกะวิถี ใบหน้าของคนอื่นๆล้วนหม่นหมอง

 

“เกิดบ้าอะไรขึ้น?” เจ้าตําหนักเทพเจ้าหิมะจ้องไปที่ใบหน้าของผู้นํานิกายเฮยหยวน และกระแทกคําพูดออกมา “รองผู้นํานิกายเฮยหยวนของเจ้า หมิงโยวกล่าวว่ามันได้ พบถ้ําเซียนของจ้าวทะเลบูรพาเมื่อหมื่นปีก่อน ด้วยเหตุนี้ผู้อาวุโสที่ข้าส่งไปจึงล้วนตกตายเสียทั้งหมด”

 

ทันทีที่เจ้าตําหนักเทพเจ้าหิมะกล่าวออกมาเช่นนี้ สายตาของประมุขพรรคหมื่นดาบที่อยู่ข้างๆก็หันมามองเช่นกัน

 

ตัวตนระดับผู้เยี่ยมยุทธถึงสองคนสร้างแรงกดดันต่อตนในเวลาเดียวกัน แม้เป็นผู้นํานิกายเฮยหยวนก็ต้องขมวดคิ้วเล็กน้อย

 

“ข้าจะรู้ได้อย่างไรว่าเกิดอะไรขึ้น?”

 

“โปรดอย่าลืมว่าตอนที่ผู้อาวุโสของเจ้าได้ตายไป นิกายเฮยหยวนของข้าก็สูญเสียรองผู้นํานิกายไปเช่นกัน” ผู้นํานิกายเฮยหยวนระงับความโกรธของตนเอง และกล่าวออกมาด้วยเสียงที่ลึกล้ํา

 

“มิผิด”

 

ท่าทีของประมุขพรรคหมื่นดาบผ่อนคลายลงเล็กน้อย

 

หากจะว่ากันตามความสูญเสียจริงๆ การสูญเสียของนิกายเฮยหยวนนั้นใหญ่หลวงที่สุด และมันมากเกินกว่าตําหนักเทพเจ้าหิมะ

 

เทพธิดาแห่งตําหนักเทพเจ้าหิมะได้ตายไปแล้ว แต่สุดท้ายแล้วเทพธิดาก็เป็นเพียงเทพธิดาเท่านั้น ไม่ว่าจะมีศักยภาพที่ยิ่งใหญ่เพียงใด มันก็เป็นเพียงศักยภาพเท่านั้น และหมิงโยว รองผู้นํานิกายเฮยหยวนนั้นเป็นตัวตนทรงพลังที่แท้จริง การตายของหมิงโยวจึงมีน้ําหนักมากกว่ามาก

 

“ท่านนักพรต มันสองครั้งติดต่อกันแล้วนะ” ผู้นํานิกายเฮยหยวนมองไปที่นักพรตสํานักเอกะวิถีด้วยน้ําเสียงเย็นชา “ครั้งแรกอาจจะนับว่าเป็นเรื่องบังเอิญ แต่ครั้งที่สองนี้ คนของข้าและคนอื่นๆที่ถูกส่งไปกลับตายหมด มีแต่คนของเจ้าเท่านั้นที่ยังมีชีวิตอยู่จนถึงตอนนี้”

 

“ผู้ชราอย่างข้าก็มิรู้เหมือนกัน…”

 

นักพรตสํานักเอกะวิถีค่อนข้างทําอะไรไม่ถูก แม้ว่าจะเป็นเรื่องดีที่ผู้อาวุโสของสํานักยังมีชีวิตอยู่ แต่ก็เห็นได้ชัดว่า ผู้นํานิกายเฮยหยวน เจ้าตําหนักเทพเจ้าหิมะ และประมุขพรรคหมื่นดาบเริ่มจะสงสัยในตัวเขาเสียแล้ว

 

“ถ้าจะบอกว่าข้าต้องการจัดการกับพวกเจ้าจริงๆ จะเป็นไปได้อย่างไรที่ข้าจะลงมือเฉพาะศิษย์กับผู้อาวุโส?”

 

นักพรตสํานักเอกะวิถีเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วกล่าวคําออกมาช้าๆ

 

สําหรับตําหนักเทพเจ้าหิมะและนิกายเฮยหยวนนั้น การตายของเทพธิดาและรองผู้นํานิกายย่อมเป็นการสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ แต่ก็ไม่ได้ทําให้รากฐานเสียหาย

 

ผู้ที่สามารถกําหนดอนาคตของนิกายใหญ่ทั้งนิกายได้อย่างแท้จริงนั่นก็คือผู้นํานิกายและบรรพชนที่หลับใหล

 

ส่วนผู้อาวุโส?

 

มีผู้คนมากมายนับไม่ถ้วน และตัวตนที่เรียกได้ว่าอัจฉริยะ ก็ปรากฏขึ้นในทุกๆปี ถ้าเทพธิดาหายไป มันก็แค่ต้องปลุกปั้นคนใหม่อีกสักคนหนึ่งไม่ใช่หรือ?

 

“ข้าหวังว่าเจ้าจะไม่ได้โกหกข้านะ?”

 

เจ้าตําหนักเทพเจ้าหิมะครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดออกมาเบาๆ

 

นางครุ่นคิดและรู้สึกว่าหากต้องการจะจัดการกับพวกตน จริงๆก็ต้องวางแผนจัดการผู้แข็งแกร่งในระดับผู้เยี่ยมยุทธ ไม่จําเป็นต้องโจมตีศิษย์รุ่นหลัง

 

“เอาล่ะ”

 

“เมื่อเป็นเช่นนั้น”

 

“ พวกเรามาคุยกันเถอะว่าจะต้องทําอย่างไรต่อไป?”

 

ประมุขพรรคหมื่นดาบเหลือบมองคนอื่นอีกสองสามคน แล้วถามอย่างใจเย็น

 

“แม้ว่าผู้อาวุโสสํานักเอกะวิถีจะยังไม่ตาย แต่พึงรู้ไว้ว่าการที่จะสามารถทําให้ผู้อาวุโสของพวกเจ้าตกตายกันไปอย่างเงียบๆเช่นนี้ อย่างน้อยก็ต้องเป็นระดับผู้เยี่ยมยุทธจึงจะกระทําได้”

 

เพื่อขจัดข้อสงสัยที่มุ่งมาทางตน เจ้าสํานักเอกะวิถีกล่าว การคาดเดาของเขาออกมาทันที

 

เจ้าตําหนักเทพเจ้าหิมะและประมุขพรรคหมื่นดาบก็พยักหน้าเล็กน้อย ยอมรับความคิดเห็นนั้น

 

เกรงว่าคงจะมีเพียงผู้เยี่ยมยุทธที่แท้จริงเท่านั้นที่สามารถลงมือได้อย่างสะอาดหมดจดเช่นนี้ จัดการผู้อาวุโสที่พวกเขาส่งไปได้ทั้งหมดและแม้แต่จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ก็ไม่เหลือรอดกลับมา

 

“ไม่ใช่แค่ผู้เยี่ยมยุทธเท่านั้น”

 

ในเวลานั้น ผู้นํานิกายเฮยหยวนก็ส่ายหัวและกล่าวว่า “ข้ารู้ถึงความแข็งแกร่งของหมิงโยวดี ผู้เยี่ยมยุทธทั่วๆไปไม่สามารถรั้งเขาไว้ได้ อย่างน้อยก็ต้องผู้เยี่ยมยุทธขั้นสูงสุด”

 

คําที่ผู้นํานิกายเฮยหยวนเพิ่งกล่าวออกไป

 

เจ้าตําหนักเทพเจ้าหิมะและคนอื่นๆต่างก็หน้าเปลี่ยนสี

 

ผู้เยี่ยมยุทธขั้นสูงสุด?

 

โดยทั่วไปแล้วตํานานยุทธระดับนภาชั้นที่ห้าและระดับนภาชั้นที่หกจะนับเป็นระดับผู้เยี่ยมยุทธ ส่วนผู้เยี่ยมยุทธขั้นสูงสุดคือจุดสูงสุดของนภาชั้นที่หก ซึ่งอยู่ห่างจากระดับนภาชั้นที่เจ็ดเพียงก้าวเดียวเท่านั้น เกรงว่าคงจะมีผู้เยี่ยมยุทธระดับนี้ไม่มากในนิกายใหญ่ต่างดินแดน

 

“มีปัญหาแล้ว”

 

ประมุขพรรคหมื่นดาบรู้สึกได้ถึงความยุ่งยาก

 

ถ้าเป็นเพียงผู้เยี่ยมยุทธที่แข็งแกร่งกล้าที่จะลงมือกับพวกเขา ต่อให้ไม่ตายก็ต้องถูกพวกเขาปราบ

 

แต่ผู้เยี่ยมยุทธขั้นสูงสุด

 

ถ้าผู้เยี่ยมยุทธขั้นสูงสุดต้องการจะหนี ก็ไม่มีผู้เยี่ยมยุทธคนใดจะหยุดมันได้

 

สิ่งที่ทําให้ผู้นํานิกายเฮยหยวน เจ้าตําหนักเทพเจ้าหิมะ และประมุขพรรคหมื่นดาบรู้สึกกลัวมากยิ่งขึ้นคือ จนถึงตอนนี้พวกเขาก็ยังไม่รู้ว่าผู้เยี่ยมยุทธขั้นสูงสุดที่ลงมือนั้นเป็นใคร? มาจากกองกําลังฝ่ายไหน?

 

“นี่ไม่ใช่เรื่องที่พวกเราจะตัดสินใจได้อีกต่อไป”

 

เจ้าตําหนักเทพเจ้าหิมะกล่าวออกมาอย่างเคร่งเครียด “ข้าจะต้องไปรายงานบรรพชนของข้า”

 

Sign in Buddha’s palm 225 (I) กลับคืนสู่ความตื่นตระหนกอีกครั้ง

 

“พวกเจ้าเข้ามาเถอะ”

 

“เจ้าค่ะ” ชิงชิวเฉียนเฉียนและนักพรตเฒ่าเหลือบมองซี่งกันและกัน จากนั้นจึงเดินอย่างสํารวมเข้าไปภายในถ้ํา

 

ในเวลานี้ เมื่อเทียบกับสิ่งที่เกิดขึ้นภายนอก ไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ เกิดขึ้นภายในถ้ํา ความแตกต่างเพียงอย่างเดียวคือ หลุมลึกที่เป็นที่ตั้งของตาน้ําพุจิตวิญญาณได้หายไป

 

“นายท่าน ตาน้ําพุจิตวิญญาณไปอยู่ที่ใดแล้ว?”

 

ชิงชิวเฉียนเฉียนสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงตั้งแต่ที่แรกที่เข้ามา และถามออกอย่างระมัดระวัง

 

“ใส่เข้าไปแล้ว” ซูฉินเหลือบตามองไปที่กล่องหยกข้างๆ แล้วกล่าวตอบออกมาเบาๆ

 

หากไม่ใช่เพราะซูฉินได้ก้าวเข้าสู่นภาชั้นที่แปดเรียบร้อยแล้ว เกรงว่าการพยายามย้ายน้ําพุจิตวิญญาณในครั้งนี้จะต้องใช้ความพยายามอย่างมาก

 

จ้าวทะเลบูรพาที่ฝั่งตาน้ําพุจิตวิญญาณไว้บนเกาะหยิงโจวเมื่อหมื่นปีก่อน ได้รวมตาน้ําพุจิตวิญญาณเข้ากับเกาะหยิงโจวทั้งเกาะ

 

ซูฉินต้องการโอนย้ายตาน้ําพุจิตวิญญาณก็เท่ากับเป็นการเขย่าทั่วทั้งเกาะหยิงโจว

 

แม้ว่าเกาะหยิงโจวจะมีขนาดใหญ่ไม่เท่ากับแผ่นดินใหญ่ แต่ก็มีขนาดหลายร้อยลี้ ด้วยเกาะขนาดเท่านี้ตํานานยุทธระดับนภาชั้นที่เจ็ดหรือชั้นที่แปดทั่วๆไปไม่สามารถกระทําการเช่นนี้ได้

 

“ใส่เข้าไปแล้ว?” ชิงชิวเฉียนเฉียนมองไปที่กล่องหยก

 

“หยิบกล่องหยกขึ้นมา”

 

ซูฉินมองไปที่กล่องหยกแล้วออกคําสั่ง

 

แม้ว่าคลังของระบบจะสามารถเก็บของได้ทุกอย่าง แต่มันก็มีประโยชน์เฉพาะสมบัติที่ได้รับมาจากการลงชื่อเข้าใช้เท่านั้น ส่วนอย่างอื่นไม่สามารถใส่เข้าไปได้

 

“เจ้าค่ะ”

 

ชิงชิวเฉียนเฉียนก้าวเท้าไปข้างหน้าในทันที และมองไปที่กล่องหยกด้วยความสงสัย จากนั้นจึงก้มลงไปจะยกกล่องหยกขึ้นมาถือเอาไว้

 

“โอ้โห”

 

“นายท่าน ทําไมกล่องหยกถึงหนักเยี่ยงนี้?”

 

ใบหน้าของชิงชิวเฉียนเฉียนแดงก่ําเล็กน้อย หลังจากผ่านไประยะหนึ่ง นางก็ขยับกล่องหยกได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น ไม่ต้องพูดถึงว่าจะยกขึ้นมาได้อย่างไรเลย

 

“แม้ว่าน้ําพุจิตวิญญาณจะเป็นการรวมตัวกันของจิตใจแห่งฟ้าดินอันมากมายไร้ที่สิ้นสุด แต่มันก็เกี่ยวข้องกับชีพจรธรณีด้วย ถึงแม้จะเป็นเพียงเศษเสี้ยวส่วนเล็กๆ มันก็หนักนับพันชั่งแล้ว ไม่ต้องพูดถึงว่าตอนนี้มันมากกว่าแค่เศษเสี้ยวแน่นอน”

 

นักพรตเฒ่าอธิบาย หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็ลอง ถามซูฉินดูว่า “ผู้อาวุโส ท่านอยากให้ข้าลองดูหรือไม่?”

 

แม้ว่าชิงชิวเฉียนเฉียนจะเป็นภูตอสูร แต่ฐานการบ่มเพาะก็เพิ่งเข้าสู่ขอบเขตตํานานยุทธเท่านั้น อย่างไรเสียนักพรตเฒ่าก็เป็นถึงตํานานยุทธระดับนภาชั้นที่สี่ขั้นสูงสุด แม้ว่าร่างกายจะไม่ได้แข็งแกร่งเป็นพิเศษ แต่ความแข็งแกร่งนั้นไม่ได้ถูกกําหนดด้วยร่างกายเพียงอย่างเดียวเสียเมื่อไหร่

 

“ลองดู”

 

ซูฉินพยักหน้าเล็กน้อย

 

เมื่อได้ยินคําอนุมัติ นักพรตเฒ่าก็ก้าวเท้าไปด้านหน้าในทันที แก่นแท้แห่งพลังโคจรไปถึงมือ คว้าหมับเข้าที่ด้านข้างของกล่องหยก

 

“ขึ้นมา!”

 

นักพรตเฒ่าตะโกนเสียงดัง ค่อยๆยกกล่องหยกขึ้นมา แล้วถือมันเอาไว้ในมือ

 

“ผู้อาวุโส”

 

“แบบนี้ได้หรือไม่?”

 

นักพรตเฒ่าถอนหายใจอย่างโล่งอก กล่าวต่อซูฉินด้วยความเคารพ

 

“ไม่เลว” ซูฉินกล่าวพร้อมรอยยิ้มที่ปรากฏขึ้นบนใบหน้า แล้วจึงปรบมือให้ “ข้าจะมอบหน้าที่นี้ให้เจ้าในการเดินทางครั้งนี้”

 

“นี่ย่อมเป็นสิ่งที่ผู้น้อยพึงกระทํา”

 

นักพรตเฒ่าดีใจ รีบกล่าวออกมาอย่างรวดเร็ว

 

สิ่งที่เขากลัวมากที่สุดคือการที่เขาไม่สามารถช่วยเหลือซูฉินได้เลย ด้วยวิธีนี้ เขาจะไปที่ไหนทําอะไรก็ได้ เพียงแต่อยู่ภายใต้อํานาจคนไม่กี่คนเท่านั้น

 

“ตลอดทางไหวนะ?”

 

นักพรตเฒ่าชะงักไปชั่วครู่ แล้วถามออกมาโดยไม่รู้ตัว “ผู้อาวุโส เราจะไปที่ไหนกัน?”

 

“กลับฉางอัน”

 

ซูฉินเงยหน้ามองไปยังทิศทางเมืองฉางอัน แล้วกล่าวตอบเบาๆ

 

ต่างดินแดน

 

นิกายเฮยหยวน

 

ผู้นํานิกายเฮยหยวนนั่งอยู่บนแท่นบัลลังก์หลัก ดวงตาของเขาดูลึกล้ํา ไม่รู้ว่ากําลังคิดอะไรอยู่

 

ในเวลานี้ ชายคนหนึ่งลงไปนั่งคํานับแล้วกล่าวว่า “ท่านผู้นํา ศิษย์พี่หมิงโยวสําเร็จวิชาร่างปีศาจจนถึงระดับลึกซึ้งแล้ว การให้เขาไปยังพื้นที่จุดตัดจะต้องสามารถค้นหาความจริงที่เกิดขึ้นได้อย่างแน่นอน”

 

“แน่นอนว่าข้าไม่ได้กังวลเรื่องของพื้นที่จุดตัด” ผู้นํานิกายเฮยหยวนส่ายหัวพร้อมกับกระซิบคําออกมา

 

สําหรับผู้นํานิกายเฮยหยวน แม้ว่าพื้นที่จุดตัดจะสําคัญ แต่ก็ไม่ได้มีความสําคัญสูงสุด

 

“ไม่ใช่เรื่องของพื้นที่จุดตัดหรอกหรือ?”

 

ผู้อาวุโสในชุดคลุมสีดําด้านล่างต่างมองหน้ากันด้วยความสงสัย

 

ปัจจุบัน นิกายเฮยหยวนนั้นยืนอยู่แนวหน้าในต่างดินแดน เทียบเคียงได้กับนิกายใหญ่ๆจํานวนมาก เช่น นิกายเทพเจ้าสายฟ้า สํานักเอกะวิถี ทั้งยังควบคุมทรัพยากรส่วนใหญ่ในยุทธภพต่างดินแดนเอาไว้อีกด้วย นอกเหนือจากพื้นที่จุดตัดแล้ว ยังจะมีอะไรควรค่าให้ท่านผู้นําครุ่นคิดเช่นนี้?

 

“คราวนี้ที่ข้าปล่อยให้หมิงโยวได้ลงมือ นอกจากเรื่องพื้นที่จุดตัดแล้ว ยังเกี่ยวข้องกับถ้ําเซียนของจ้าวทะเลบูรพาด้วย” ผู้นํานิกายเฮยหยวนเหลือบมองฝูงชนเบื้องล่างแล้วกล่าวคําช้าๆ

 

แม้ว่าถ้ําเซียนของจ้าวทะเลบูรพาจะเป็นความลับสุดยอด แต่อย่างน้อยผู้อาวุโสภายในนิกายเฮยหยวนก็ทราบเรื่องนี้

 

“ถ้ำเซียนของจ้าวทะเลบูรพา?”

 

รูม่านตาของผู้คนที่อยู่ด้านล่างก็หดตัวลงเล็กน้อย ใบหน้าของพวกเขาตื่นตะลึง

 

จ้าวทะเลบูรพาเป็นเซียนเทพปฐพีตั้งแต่เมื่อหมื่นปีที่แล้ว และยังเป็นเซียนเทพปฐพีขั้นสูงสุด ถ้ําเซียนของเขาย่อมมีโอกาสดีๆที่หาได้ยากยิ่งอย่างแน่นอน และยังอาจจะมีวิธีที่ช่วยชดเชยข้อบกพร่องของวิชาภายในนิกายเฮยหยวน

 

ในตอนแรก นิกายเฮยหยวนตั้งใจจะใช้ความแข็งแกร่งของทั้งนิกายเพื่อร่วมมือกันยึดครองถ้ําเซียนของจ้าวทะเลบูรพา แต่ตามที่ผู้นํานิกายได้บอกออกมาเช่นนี้ หมายความว่าเขาได้ปล่อยให้หมิงโยวเดินทางไปก่อนเวลากําหนด

 

“ถูกต้อง”

 

ผู้นํานิกายเฮยหยวนพยักหน้าแล้วกล่าวว่า “ตอนนี้กระแสปราณีฟื้นคืนแล้ว ถ้ําเซียนของจ้าวทะเลบูรพาอาจจะมีการรั่วไหลของไอพลังออกมาให้โลกได้รับรู้ ถ้าข้ายังรอต่อไป มีความเป็นไปได้มากว่าจะมีผู้คนชิงตัดหน้าไปก่อน”

 

“เข้าใจแล้ว”

 

เหล่าผู้อาวุโสเข้าใจได้ในทันที

 

ผู้นํานิกายเฮยหยวน ในฐานะที่เป็นผู้เยี่ยมยุทธผู้มีอํานาจสั่งการ จึงจําเป็นจะต้องประจําการอยู่ภายในนิกายเฮยหยวน และนอกเหนือจากผู้นํานิกายแล้ว ก็เห็นจะมีแต่หมิงโยวเท่านั้นที่เหมาะสมที่สุดสําหรับงานนี้

 

ในฐานะที่หมิงโยวเป็นตํานานยุทธที่ใกล้เคียงกับการเป็นผู้เยี่ยมยุทธมากที่สุดในต่างแดน มีความสามารถในการเอาตัวรอดได้ดี แม้ว่าจะเจอการโจมตีจากผู้เยี่ยมยุทธ มันก็ไม่สามารถทําอะไรเขาได้

 

“ในเมื่อศิษย์พี่หมิงโยวเป็นผู้ออกไปทําภารกิจ เหตุใดท่านผู้นําจึงเป็นกังวลเล่า?”

 

มีผู้อาวุโสชุดดําคนหนึ่งที่งุนงงและกล่าวถามออกไป

 

“ข้ากังวลเกี่ยวกับถ้ําเซียนของจ้าวทะเลบูรพา” ผู้นํานิกายเฮยหยวนถอนหายใจออกมาเบาๆ แล้วกล่าวตอบ

 

นิกายโบราณหลายแห่งเช่น นิกายเทพเจ้าสายฟ้า สํานักเอกะวิถี และตําหนักเทพเจ้าหิมะต่างเคยมีเซียนเทพปฐพีกําเนิดขึ้นมาแล้วกันทั้งนั้น แต่นิกายเฮยหยวนไม่เคยมีเซียนเทพปฐพีกําเนิดขึ้นมาเลย เป็นเพราะข้อบกพร่องในวิชาบ่มเพาะของพวกเขา

 

เมื่อเทียบกับนิกายใหญ่อื่นๆ นิกายเฮยหยวนต้องการมรดกของจ้าวทะเลบูรพามากที่สุด

 

“ท่านผู้นํา ท่านจะกังวลเกินไปแล้ว”

 

ผู้อาวุโสนิกายเฮยหยวนยิ้มออกมาก่อนจะกล่าวว่า “ข้ารู้ดีถึงความแข็งแกร่งของศิษย์พี่หมิงโยว แม้ว่าจะมีสิ่งไม่คาดฝันเกิดขึ้นที่ถ้ําเซียนของจ้าวทะเลบูรพา หรือมีใครครอบครองถ้ําเซียนได้ก่อนพวกเรา ถ้าศิษย์พี่หมิงโยวเคลื่อนไหวจริงๆล่ะก็ ไม่มีทางที่ใครจะจับตัวเขาไว้ได้”

 

“ถูกต้อง”

 

“หากมีผู้มิรู้จักกลัวความตายกล้าครอบครองถ้ําเซียนจริง ก็ต้องรีบมอบสมบัติของจ้าวทะเลบูรพาออกมาโดยสัตย์ซื่อ ไม่เช่นนั้นนิกายเฮยหยวนของเราจะไม่มีวันปล่อยให้มันได้พ้นโทษตายอย่างแน่นอน”

 

“นิกายเฮยหยวนเราก็เป็นนิกายใหญ่ในดินแดนโพ้นทะเลแห่งนี้ แม้ว่าจะเป็นสํานักเอกะวิถีก็ตาม ก็ต้องยอมถอยให้เราสักสามก้าว ข้าอยากจะรู้เหลือเกินว่ามันจะมีใครกล้าครอบครองถ้ําเซียนจ้าวทะเลบูรพาของพวกเราหรือไม่?

 

ผู้อาวุโสนิกายเฮยหยวนทั้งดูถูกดูหมิ่นผู้คน และมั่นใจในตนเองเหลือประมาณ

 

“นั่นสินะ ดูเหมือนข้าจะกังวลมากเกินไป”

 

รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของผู้นํานิกายเฮยหยวน ความแข็งแกร่งในระดับของหมิงโยว แม้จะเป็นตัวเขาเอง การเอาชนะนั้นไม่ได้ยาก หากแต่การจะสังหารให้ได้นั้น ยากราวกับปืนปายสวรรค์

 

ไม่ว่าจะเกิดเหตุไม่คาดฝันใดขึ้นที่ถ้ําเซียนของจ้าวทะเลบูรพา หมิงโยวก็ย่อมรับมือได้

 

นอกจากนี้ แม้ว่าหมิงโยวจะจัดการไม่ได้ แต่ด้วยความสามารถในการเอาตัวรอดของเขา เขาก็สามารถหนีกลับมาที่นิกายเฮยหยวนได้ เมื่อเวลานั้นมาถึง จะมีใครในโลกนี้ที่สามารถต้านทานอํานาจของนิกายเฮยหยวนได้?

 

ยิ่งคิดก็ยิ่งสุขใจ

 

ขณะที่ผู้อาวุโสกําลังเริ่มพูดคุยเกี่ยวกับสมบัติภายในถ้ําเซียนของจ้าวทะเลบูรพา

 

ศิษย์ของนิกายเฮยหยวนก็รีบวิ่งเข้ามา

 

“ท่านผู้นํา

 

ศิษย์ผู้นี้คุกเข่าลงกับพื้นพร้อมกับเอ่ยออกมาด้วยเสียงอันสั่นเทา

 

“ไม่ต้องตื่นกลัวไป เพียงแค่กล่าวออกมา” ผู้นํานิกายเฮยหยวนกล่าวคํา

 

ตอนนี้นิกายเฮยหยวนกําลังจะได้รับสมบัติจากถ้ําเซียนของจ้าวทะเลบูรพา เขาย่อมอารมณ์ดีเป็นธรรมดา ไม่เช่นนั้น ถ้าศิษย์คนใดกล้าบุกเข้ามาเช่นนี้ เขาจะตบมันเสียให้แดดิ้น

 

“ผู้นํา”

 

“ผู้อาวุโสหมิงโยว ผู้อาวุโสหมิงโยวเขา…เขา…”

 

ศิษย์นิกายเฮยหยวนลังเลใจ พูดออกมาตะกุกตะกัก

 

“ศิษย์พี่หมิงโยวได้รวบรวมสมบัติจากถ้ําเซียนของทะเลบูรพามาแล้วรึ?” ผู้อาวุโสนิกายเฮยหยวนรู้สึกยินดีอย่างยิ่ง และจ้องมองศิษย์นิกายเฮยหยวนด้วยดวงตาที่ลุกโชนไปด้วยเปลวไฟ

 

ดวงตาของผู้นํานิกายเฮยหยวนก็เป็นประกายสดใสเช่นกันเมื่อคิดถึงเรื่องนั้น จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์เริ่มแผ่ปกคลุมไปทั่วทุกทิศทาง

 

“ท่านผู้นํา ผู้อาวุโสหมิงโยว…”

 

ท่ามกลางสายตาคาดหวังของทุกคน ศิษย์นิกายเฮยหยวนเกือบจะร้องไห้ออกมา “ผู้อาวุโสหมิงโยวได้สิ้นชีพลงแล้ว”

 

คําที่กล่าวออกมา

 

ผู้อาวุโสหลายต่อหลายคนในห้องโถง รวมถึงผู้นํานิกายเฮยหยวนก็ตัวแข็งที่อ ทั้งหมดต่างตื่นตะลึง

 

Sign in Buddha’s palm 225 (1) กลับคืนสู่ความตื่นตระหนกอีกครั้ง

 

“ถูกต้องตามที่ผู้อาวุโสกล่าว”

 

นักพรตเฒ่ากระซิบคําด้วยความเคารพ

 

“เอาล่ะ”

 

ซูฉินไม่ได้ถามอะไรนักพรตเฒ่าต่อ แต่หันไปมองชิงชิวเฉียนเฉียนแทน “บนเกาะหยิงโจวนี่มีกล่องที่ทําจากหยกบ้างไหม?”

 

“กล่องหยก?”

 

แม้ว่าชิงชิวเฉียนเฉียนจะไม่รู้ว่าซูฉินต้องการสิ่งนี้ไปเพื่อการใด แต่นางก็ยังตอบไปตามจริงว่า “นายท่าน ข้าจะนํามันมาให้ท่าน

 

แม้ว่าเผ่าจิ้งจอกชิงชิวจะเป็นภูตอสูร แต่ก็รักของสวยๆงามๆมาก บนเกาะมีปะการังสีทอง มันมีทุกอย่างอยู่ภายในนั้น ส่วนกล่องหยก แน่นอนว่ามันรวมอยู่ในรายการของสวยๆงามๆเหล่านั้นด้วยไม่นาน

 

ชิงชิวเฉียนเฉียนนํากล่องหยกที่สูงเท่าครึ่งหนึ่งของความสูงของคนปกติมา วัสดุของตัวกล่องหยกนี้มีความวิจิตรงดงามยิ่ง มีรูปแบบคล้ายกับสิ่งของในสมัยราชวงศ์ถัง มูลค่าของมันย่อมล้ําค่าอย่างมาก แต่ในสายตาของซูฉิน ไม่มีอะไรมากไปกว่าอุปกรณ์สําหรับจัดเก็บสิ่งของ

 

“ตามข้ามา”

 

ซูฉินเหลือบมองกล่องหยก จากนั้นจึงหันหลังเดินไปยังเกาะเล็กๆกลางทะเลสาบ

 

“เจ้าค่ะ” ชิงชิวเฉียนเฉียนถือกล่องหยกเดินตามซูฉินไปอย่างไม่มีติดขัด

 

นักพรตเฒ่าลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แต่สุดท้ายก็กัดฟันเดินตามไป แม้ว่าซูฉินจะไม่ได้บอกให้เขาอยู่ต่อ แต่ก็ไม่ได้บอกว่าสามารถจากไปได้เช่นกัน ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ นักพรตเฒ่าไม่กล้ากระทําการใดหุนหันพลันแล่น

 

ไม่นานนัก

 

ทั้งสามก็มาอยู่หน้าถ้ําเซียนของจ้าวทะเลบูรพา

 

ครืน!

 

ประตูหินสีดําค่อยๆเปิดออก

 

“นี่คือถ้ําเซียนของจ้าวทะเลบูรพา?”

 

นักพรตเฒ่าชําเลืองมองดูอย่างระมัดระวังและพบว่าสิ่งของส่วนใหญ่เสื่อมสภาพไปหมดแล้วโดยเฉพาะขวดและไหบางอัน ซูฉินอาจจะไม่รู้อะไรมากนัก แต่สิ่งเหล่านี้เมื่ออยู่ในสายตาของนักพรตเฒ่า มันกลับทําให้เขาทุกข์ระทม

 

“โอสถจิตวิญญาณพฤกษา โอสถแปรผันศักดิ์สิทธิ์ โอสถเพลิงทองคํา.. สิ่งเหล่านี้เป็นโอสถที่หาได้ยากยิ่ง เพียงพอที่จะสร้างนิกายใหญ่ขึ้นมาอีกนิกายได้เลย โอสถพวกนี้บางตัวก็ได้สูญหายไปหลายพันปีแล้ว ”

 

ยิ่งนักพรตเฒ่าจ้องมองมากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งใจสลายมาก ขึ้นเท่านั้น บางทีเขาอาจจะไม่สามารถใช้ขวดและไหภายใน ถ้ํานี้ได้ แต่สําหรับนิกาย มันก็เพียงพอแล้วที่จะยกระดับราก ฐานของนิกายขึ้นได้หนึ่งถึงสองระดับ

 

ตอนนี้โอสถเหล่านี้กลับถูกทําลายให้สูญค่าไปตามเวลา จะไม่ให้นักพรตเฒ่ารู้สึกปวดใจได้อย่างไร?

 

“หือ?”

 

นักพรตเฒ่ายังมองลึกเข้าไปอีก เมื่อสายตาปะทะเข้ากับร่างของจ้าวทะเลบูรพา รูม่านตาของเขาก็หดแคบลงในทันที หากซูฉินไม่ได้อยู่ข้างหน้า นักพรตเฒ่าคงจะรีบหนีไปแล้วในตอนนี้

 

“ทะเลบูรพา จ้าวทะเลบูรพา…” นักพรตเฒ่ากลืนน้ําลาย รู้สึกว่าขาแข้งสั่นเทาอ่อนแรง

 

“ก็ใช่ที่ว่านั่นคือจ้าวทะเลบูรพา แต่เหลือเพียงร่างกายเท่านั้น จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ได้สลายหายไปหมดแล้ว” เมื่อชิงชิวเฉียนเฉียนเห็นอาการของนักพรตเฒ่าที่เป็นเช่นนั้นก็ยึดอกขึ้นเล็กน้อย แสร้งทําเป็นไม่สนใจอีกฝ่าย

 

“ร่างกาย……”

 

“จริงด้วย จ้าวทะเลบูรพาจะมีชีวิตมาจนถึงทุกวันนี้ได้อย่างไร มันจะต้องเป็นเพียงร่างกายเท่านั้น” นักพรตเฒ่ารู้สึกว่าเหงื่อเย็นไหลย้อยลงตามหน้าผาก และพูดออกมาอย่างiวดเร็ว

 

ซูฉินหยุดตรงหน้าศพของจ้าวทะเลบูรพา จมอยู่ในความคิด

 

“นายท่าน ทําไมถึงไม่ย้ายเขาออกไปด้านนอกกันเล่า” ชิงชิวเฉียนเฉียนคิดว่าซูฉินกําลังรู้สึกว่าร่างนี้ขวางทางอยู่จึงพูดขึ้นมาอย่างรวดเร็ว

 

“ไม่จําเป็น”

 

ซูฉินส่ายศีรษะเล็กน้อย แล้วกล่าวออกมาเบาๆ “ธุลีกลับสู่ธุลี ดินกลับสู่ผืนดิน แม้ว่าจะเป็นเซียนเทพปฐพี หลังจากถึงจุดสิ้นสุดของชีวิต ก็ต้องจมฝังอยู่ในดินเช่นกัน”

 

ซูฉินพูดเบาๆ กระทืบเท้าขวาออกไปตามใจตน

 

ฉับพลัน

 

ตําแหน่งที่ร่างของจ้าวทะเลบูรพาเคยอยู่ก็พังทลายลง และร่างของจ้าวทะเลบูรพาก็ถูกฝังอยู่ในนั้น

 

เมื่อชิงชิวเฉียนเฉียนเห็นฉากนี้ ร่องรอยความซับซ้อนก็ปรากฏขึ้นบนหน้าของนาง

 

เมื่อเปรียบเทียบกับคนอื่นๆ ในสายตาของชิงชิวเฉียนเฉียน ตัวตนของจ้าวทะเลบูรพานั้นส่งผลกระทบเป็นพิเศษ จ้าวทะเลบูรพาได้กดขี่จิ้งจอกตระกูลชิงชิวมาเกือบหมื่นปี มันยังคงทิ้งเงามืดบางอย่างไว้ในใจของจิ้งจอกตระกูลชิงชิว

 

“เฮ้อ……”

 

เมื่อเห็นฉากนี้ นักพรตเฒ่าก็ได้แต่ทอดถอนใจ

 

สิ่งที่เรียกว่าจอมยุทธ ต่อให้อยู่ในขอบเขตเซียนเทพปฐพี เหมือนอย่างจ้าวทะเลบูรพา และแม้แต่ผู้ที่เหนือกว่าเซียนเทพปฐพีก็ไม่ได้ต่างไปจากคนธรรมดา เมื่อสิ้นอายุขัยย่อมกลายเป็นเถ้าธุลี

 

หลังจากที่ซูฉินจัดการร่างของจ้าวทะเลบูรพาจนเสร็จสิ้นแล้ว เขาก็หันกลับมา เดินไปยังตาน้ําพุจิตวิญญาณ

 

หลังจากที่ซูฉินดื่มกินเพื่อใช้ในการทะลวงขั้น ในตอนนี้น้ําพุจิตวิญญาณได้เดือดแห้งไปจนหมดแล้ว หากไม่ใช่เพราะละอองจิตวิญญาณจางๆ ที่ยังคงกระจายตัวอยู่ เกรงว่าบางคนอาจจะไม่สนใจมันเลยก็ได้

 

“ผู้อาวุโส นี่คือจิตใจแห่งฟ้าดินที่หลอมรวมกลายเป็นตาน้ําพุจิตวิญญาณงั้นหรือ?” ท่าทีของนักพรตเฒ่าเปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อย สุดท้ายก็อดใจไม่ได้ที่จะถามออกไป

 

“นับว่าเจ้ามีสายตาที่ดี”

 

ซูฉินหันไปมองนักพรตเฒ่าแล้วกล่าวออกมาเบาๆ

 

ในตอนนี้ ตาน้ําพุจิตวิญญาณดูไม่เหมือน “น้ําพุ” เลย ถ้าไม่ได้ใส่ใจมากพอ จะรู้สึกว่าตรงจุดนี้เป็นเพียงแค่จุดที่จิตใจแห่งฟ้าดินมาบรรจบกันเฉยๆ

 

นักพรตเฒ่าสามารถรับรู้ต้นกําเนิดของมันได้อย่างรวดเร็ว เห็นได้ชัดว่ามีความรู้ไม่เบา

 

“สํานักเอกะวิถีของข้าเคยมีน้ําพุจิตวิญญาณเช่นกัน แต่มันแห้งเหือดไปตั้งแต่ห้าพันปีที่แล้ว…” นักพรตเฒ่ารีบพูดต่อ “ดังนั้นจึงมีบันทึกรายละเอียดเกี่ยวกับน้ําพุจิตวิญญาณอยู่ภายในสํานัก”

 

ในฐานะมหาอํานาจจากต่างดินแดน สํานักเอกะวิถีนับเป็นนิกายใหญ่ที่สืบทอดมรดกมาตั้งแต่ยุคสุดท้ายของช่วงกระแสปราณฉีฟื้นฟู ไม่น่าแปลกใจที่จะครอบครองน้ําพุจิตวิญญาณอยู่

 

“ผู้อาวุโสต้องการจะย้ายน้ําพุจิตวิญญาณงั้นหรือ?”

 

นักพรตเฒ่ามองไปยังกล่องหยกที่ชิงชิวเฉียนเฉียนต้องถือเอาไว้ด้วยมือทั้งสองข้าง และถามอย่างไม่แน่ใจนัก

 

ตาน้ําพุจิตวิญญาณเกิดจากการรวมตัวของจิตใจแห่งฟ้า ดินอันมหาศาลมากมายได้ที่สิ้นสุด สิ่งของธรรมดาๆ ไม่สามา รถเก็บรักษามันเอาไว้ได้ มีเพียงหยกบริสุทธิ์เท่านั้นที่สามา รถกักเก็บตาน้ําพุจิตวิญญาณเอาไว้

 

ซูฉินได้ขอให้ชิงชิวเฉียนเฉียนหากล่องหยกก็เพื่อการนี้

 

“มิผิด”

 

ซูฉินกล่าวคํา

 

บัดนี้น้ําพุจิตวิญญาณใกล้จะหมดลงแล้ว แทนที่จะเก็บไว้บนเกาะหยิงโจว สู้นําไปตั้งไว้ที่เมืองฉางอันดีกว่า บางทีสักวันน้ําพุจิตวิญญาณจะฟื้นฟูกลับมา จิตใจแห่งฟ้าดินจะได้กระจายออกไปทั่วเมืองฉางอัน ทําให้เมืองฉางอันกลายเป็นแดนศักดิ์สิทธิ์สําหรับการฝึกยุทธ

 

“เอาล่ะ”

 

“วางกล่องหยกลง

 

“แล้วพวกเจ้าก็ถอยออกไปให้ห่างๆ หน่อย”

 

ซูฉินเหลือบมองชิงชิวเฉียนเฉียนแล้วพูดออกมาอย่างช้าๆ

 

“เจ้าค่ะ”

 

ชิงชิวเฉียนเฉียนวางกล่องหยกไว้ด้านหน้าตาน้ําพุจิตวิญญาณทันที แล้วถอยกลับไปอย่างนอบน้อม

 

นักพรตเฒ่าเต็มไปด้วยความกลัวหลังจากออกจากถ้ํา เขาก็มองไปรอบๆ ราวกับกังวลอะไรบางอย่าง

 

“เจ้ากําลังมองหาสิ่งใด?”

 

ชิงชิวเฉียนเนี่ยนมองไปที่นักพรตเฒ่าอย่างสงสัย และกล่าวถามออกมาอย่างใครรู้

 

“ผู้อาวุโสต้องการย้ายน้ําพุจิตวิญญาณ เจ้าไม่เข้าใจอะไรเลยงั้นหรือ?” นักพรตเฒ่างุนงง แล้วย้อนถามกลับไป

 

“หืม?” ชิงชิวเฉียนเฉียนกะพริบตาปริบๆ

 

“เห้อ…” เมื่อนักพรตเฒ่าได้เห็นสิ่งนี้ เขาก็ทําได้เพียงอธิบายเพื่อคลายความสับสนของชิงชิวเฉียนเฉียนอย่างอดทน “น้ําพุจิตวิญญาณนั้นหยั่งรากลึกลงไปในผืนแผ่นดินแล้ว และการที่ผู้อาวุโสต้องการย้ายตาน้ําพุจิตวิญญาณไปก็เหมือนกับการถอนต้นไม้เก่าแก่ออกไป รู้ไหมว่ามันหมายถึงสิ่งใด?”

 

“หมายความว่าเช่นไร?” ชิงชิวเฉียนเฉียนดูเหมือนจะเข้าใจ แต่ก็ยังไม่เข้าใจ

 

“หมายความว่า..” นักพรตเฒ่ากําลังจะเอ่ยตอบ

 

ในตอนนั้นเอง

 

ตูมมม!

 

ทั่วทั้งเกาะหยิงโจวก็สั่นสะเทือนอย่างกะทันหัน และน้ําทะเลก็สั่นกระเพื่อม แม้ว่าชิงชิวเฉียนเฉียนจะเป็นเผ่าภูตอสูร ก็ยังรู้สึกว่าตนกําลังเผชิญหน้ากับจุดสิ้นสุดของโลก

 

ถ้าไม่ใช่เพราะมีค่ายกลฟ้าดินขนาดใหญ่รอบเกาะหยิงโจว ที่พอจะต้านทานแรงกระแทกอันรุนแรงนี้ได้อยู่บ้าง เกรงว่ายามนี้ทั้งเกาะคงจะแหลกสลายไปแล้ว

 

หลังจากนั้นอีกครึ่งชั่วโมง

 

การสั่นสะเทือนก็ค่อยๆ หยุดลง

 

จนถึงตอนนี้ นักพรตเฒ่าค่อยมีโอกาสได้กล่าวประโยคครึ่งหลังออกมา “มันหมายความว่าฟ้าดินจะกลับตาลปัตร”

 

“ความแข็งแกร่งของผู้อาวุโสช่างยากจะหยั่งถึงจริงๆ…”

 

นักพรตเฒ่ามองไปที่ถ้ําเซียนของจ้าวทะเลบูรพาที่ตั้งอยู่บนเกาะเล็กๆกลางทะเลสาบ แล้วกล่าวออกมาจากใจจริง

 

ย้อนกลับไปตอนที่น้ําพุจิตวิญญาณภายในสํานักเอกะวิถีได้เดือดแห้งลงไป ตอนที่จะย้ายน้ําพุ จําเป็นจะต้องร่วมแรงร่วมใจกันภายในสํานักเป็นเวลาหลายเดือนกว่าจะแล้วเสร็จ

 

แต่ซูฉินกลับทําได้ดีกว่านั้น สามารถจัดการปัญหาทุกอย่างได้ในเวลาเพียงครึ่งชั่วโมง

 

เมื่อนักพรตเฒ่าและชิงชิวเฉียนเฉียนกําลังตกใจอย่างมิรู้ประมาณอยู่นั้น เสียงของซูฉินก็แว่วผ่านหูมา

 

“พวกเจ้าเข้ามาเถอะ”

 

“เจ้าค่ะ” ชิงชิวเฉียนเฉียนและนักพรตเฒ่าเหลือบมองซี่งกันและกัน จากนั้นจึงเดินอย่างสํารวมเข้าไปภายในถ้ํา

 

Sign in Buddha’s palm 224 สอบถาม

 

นักพรตเฒ่าไม่เคยรู้สึกไร้อํานาจเช่นนี้มาก่อน

 

เขาเป็นผู้อาวุโสของสํานักเอกะวิถี ถ้านับศิษย์ในสํานักเอ กะวิถีทั้งหมด ยกเว้นก็แต่บรรพชนที่หลับใหล เขาไม่เคยเกร งกลัวผู้ใดเลย และแม้แต่ผู้อาวุโสในนิกายใหญ่คนอื่นๆ ก็ไม่ กล้าล่วงเกินเมื่อพบกับเขา เนื่องด้วยมีสํานักเอกะวิถีอยู่เบื้อ งหลัง

 

แต่ในตอนนี้ ความมั่นใจในตัวตนของเขาดูทั้งจืดจางและอ่ อนแอเพราะชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้า

 

นักพรตผู้มากประสบการณ์ไม่รู้ทั้งชื่อและที่มาของซูฉิน และแม้แต่ความสัมพันธ์ระหว่างซูฉินกับจ้าวทะเลบูรพาก็ไม่ชัดเจน สิ่งเดียวที่เขารู้คือซูฉินเป็นตํานานยุทธขั้นสูงสุดที่สามารถควบแน่นอาณาเขตได้อาณาเขต

 

ตํานานยุทธขั้นสูงสุด!

 

ในยุทธภพต่างแดน คําเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งโดยเฉพาะอย่างยิ่งคือเมื่อสองสิ่งนี้อยู่ร่วมกัน มันก็เพียงพอแล้วที่จะอยู่เหนือสุดในยุทธภพต่างแดน

 

ตํานานยุทธขั้นสูงสุดที่สามารถควบแน่นอาณาเขตได้นั้น แม้ว่าจะนับบรรพชนที่หลับใหลภายในนิกายใหญ่เข้าไปแล้ว เกรงว่าก็คงจะมีไม่มากนัก

 

สิ่งที่น่ากลัวก็คือพลังและเลือดเนื้อของซูฉินนั้นยังอยู่ในช่วงรุ่งเรือง แม้ว่านักพรตเฒ่าจะมองอายุที่แท้จริงของซูฉินไม่ออก แต่เขาก็พอจะรู้ว่าซูฉินยังห่างไกลจากบั้นปลายชีวิตนัก

 

ความแข็งแกร่งของฐานการบ่มเพาะนั้นแน่นอนว่าเป็นส่วนหลักของเหล่าจอมยุทธ แต่ระดับพลังชีวิตและเลือดเนื้อก็มีความสําคัญไม่แพ้กัน

 

“หากผู้อาวุโสมีข้อสงสัยใดให้ถามข้าได้โดยตรงเลย ผู้น้อยจะไม่ปิดบังแม้แต่ครึ่งคํา”

 

นักพรตผู้เจนโลกสงบใจลง แสดงตนเป็นผู้น้อยอย่างสมบูรณ์ แสดงให้เห็นถึงความนับถืออย่างยิ่ง

 

ในสายตาของนักพรตเฒ่า แม้ซูฉินจะดูเด็ก แต่ด้วยความแข็งแกร่งดังกล่าว เขาจะต้องเป็นสัตว์ประหลาดเฒ่าที่อยู่มาสี่ร้อยถึงห้าร้อยปีแล้วเป็นแน่

 

ส่วนรูปลักษณ์

 

สําหรับตํานานยุทธ การคงความอ่อนเยาว์ก็เพียงต้องอาศัยวิธีการเล็กๆน้อยๆเท่านั้น

 

“ผู้อาวุโส?”

 

ซูฉินส่ายศีรษะเล็กน้อย อายุที่แท้จริงของเขายังไม่ถึงห้าสิบปีด้วยซ้ํา อายุโดยรวมของเขาคงเทียบไม่ได้แม้แต่เศษเสี้ยวของอายุของนักพรตเฒ่าที่อยู่ตรงหน้า แต่กลับถูกอีกฝ่ายเรียกว่าผู้อาวุโส?

 

เพียงแต่ในทางการฝึกยุทธ ผู้เชี่ยวชาญย่อมถูกยกย่องเป็นครูบาอาจารย์ซูฉินเหนือกว่านักพรตเฒ่าทั้งในด้านความแข็งแกร่งและฐานการบ่มเพาะ ก็ควรจะเรียกซูฉินว่าผู้อาวุโสได้

 

“พวกเจ้ามาทําอะไรที่นี่?” ซูฉินเหลือบมองนักพรตเฒ่า แล้วถามอย่างไม่ใส่ใจอะไรนัก

 

ไม่ว่าจะเป็นหมิงโยว จอมยุทธอีกสองคน แม้กระทั่งนักพรตเฒ่าที่อยู่ตรงหน้า พวกเขาล้วนเป็นตํานานยุทธในระดับนภาชั้นที่สี่ขั้นสูงสุด โดยเฉพาะหมิงโยวที่ก้าวเท้าเข้าสู่ระดับนภาชั้นที่ห้าไปครึ่งก้าวแล้ว

 

บุคคลผู้ทรงพลังอํานาจเช่นนี้ ปกติจะไม่ได้พบเห็นได้โดยง่ายแม้จะผ่านไปหลายยุคหลายสมัย แต่บัดนี้กลับบุกเข้ามาในเกาะหยิงโจวกันเป็นกลุ่ม

 

“ผู้อาวุโส”

 

“ข้ามาที่นี่เพื่อค้นหาสาเหตุการตายของกลุ่มศิษย์ในนิกายที่ตกตายกันอย่างกะทันหัน”

 

นักพรตเฒ่าครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงเรียบเรียงคําพูด กระซิบตอบออกไป

“ศิษย์นิกายที่ตกตายอย่างกะทันหัน?”

 

ใบหน้าของซูฉินครุ่นคิดและพูดออกมาเบาๆ “ตํานานยุทธระดับนภาชั้นที่สามที่มีกลิ่นอายคล้ายๆกับเจ้า?”

 

“เป็นเช่นนั้น”

 

นักพรตเฒ่าตกใจเล็กน้อยและถามอย่างระมัดระวัง “ผู้อาวุโสเคยเห็นพวกเขาหรือ?”

 

“ข้าน่าจะเคยเห็นจริงๆ”

 

น้ําเสียงของซูฉินสงบ ไม่มีความสั่นไหวใดๆ “ข้าน่าจะเป็นคนสังหารพวกเขาเอง”

 

นานมาแล้ว ตํานานยุทธจากต่างแดนหลายคนต้องการจะเข้ายึดครองเมืองฉางอัน เป็นผลให้ซูฉินต้องออกจากด่านฝึกตนเพื่อมาสังหารพวกเขาโดยไม่ได้ตั้งใจ น่าจะเป็นเหล่าศิษย์นิกายที่ตกตายลงอย่างกะทันหันตามที่นักพรตเฒ่าได้บอกออกมา

 

“ผู้อาวุโส…”

 

นักพรตเฒ่าหน้าแดงก่ํา และสุดท้ายก็กล่าวว่า “เป็นโชคของพวกเขาแล้วที่ได้ตายด้วยน้ํามือของผู้อาวุโส”

 

แม้แต่ในยุทธภพต่างแดน ตํานานยุทธขั้นสูงสุดที่ควบแน่นอาณาเขตได้ก็หาได้ยากแม้จะผ่านไปนับร้อยนับพันปี ศิษย์นิกายใหญ่เหล่านั้นเป็นเพียงตํานานยุทธระดับนภาชั้นที่สาม แต่กลับสามารถทําให้ซูฉินต้องลงมือสังหารเป็นการส่วนตัว นั่นก็เพียงพอแล้วที่จะได้รับความภาคภูมิใจ

 

“อย่างนั้นรึ?”

 

ซูฉินไม่รู้จะพูดเกี่ยวกับเรื่องพวกนั้น จึงถามต่อไปว่า “ในต่างดินแดนของพวกเจ้า มีสมบัติที่ใช้ในการยืดอายุขัยบ้างไหม?”

 

ซูฉินมองไปที่นักพรตเฒ่าด้วยความสนใจ ตั้งแต่ช่วงที่เขา อยู่วัดเส้าหลิน หลังจากสังหารจอมมาร ซูฉินก็ได้รับ ชิ้นส่วนหนังสัตว์มาแผ่นหนึ่ง ซึ่งบันทึกเกี่ยวกับกลิ่นอายข องสมบัติอายุวัฒนะเมื่อแปดร้อยปีก่อนในดินแดนโพ้นทะเล

 

ซฉินเคยถามเหยียนไฟมาก่อนหน้านี้ แต่อีกฝ่ายบอกว่า เขาไม่ทราบเรื่องนี้

 

ซูฉินไม่ได้แปลกใจอะไร

 

ไม่ว่าจะอย่างไร แม้จะเป็นในต่างดินแดนเองก็เป็นไปไม่ได้ที่ตํานานยุทธทุกคนจะมีโอกาสได้รับสมบัติที่ช่วยยืดอายุ

 

แม้ว่าเหยียนไห่จะเป็นศิษย์สํานักเอกะวิถี แต่ความแข็งแกร่งของเขาก็ยังไม่เพียงพอ ความรอบรู้คงไม่ใช่ระดับสูงสุดแน่นอน และเป็นปกติที่จะไม่ทราบเรื่อง

 

แต่นักพรตเฒ่าตรงหน้าแข็งแกร่งกว่าเหยียนไห่เล็กน้อย บางทีเขาอาจจะรู้ก็ได้ว่ามีอะไรเกิดขึ้นบ้าง

 

“ต่างดินแดน?”

 

นักพรตเฒ่าจับบางอย่างในประโยคของซูฉินไว้ได้อย่างดี

 

“ผู้อาวุโสไม่ได้มาจากยุทธในดินแดนของพวกเราหรอกหรือ?”

 

นักพรตเฒ่าตกตะลึงและไม่อยากเชื่อ

 

ในสายตาของนักพรตเฒ่า ความแข็งแกร่งของซูฉินอาจจะเทียบได้กับบรรพชนผู้หลับใหลบางคน จนทําให้ตอนแรก เขาคิดไปว่าซูฉินเป็นผู้แข็งแกร่งในดินแดนโพ้นทะเลที่ปลีกวิเวกอยู่ แต่ในยามนี้ ดูเหมือนว่าซูฉินจะไม่ได้เป็นเช่นนั้น

 

“ผู้อาวุโสมาจากที่ใดกันนะ?”

 

นักพรตเฒ่าหัวใจสั่นไว และให้ความเคารพมากยิ่งขึ้น “ผู้อาวุโส มันมีสมบัติที่ช่วยเพิ่มอายุขัยในต่างดินแดน อย่างไรก็ตาม จํานวนของพวกมันมีอยู่น้อยมาก และอย่างน้อยๆก็ต้องเป็นจอมยุทธขอบเขตตํานานยุทธถึงจะต้านทานพลังของมันได้”

 

“นอกจากนี้ แต่ละคนยังใช้ได้เพียงแค่ครั้งเดียว ซึ่งสามารถยืดอายุได้มากสุดก็หลายสิบปี”

 

นักพรตเฒ่ากล่าวออกอย่างรวดเร็ว

 

“ตํานานยุทธ?”

 

“สามารถยืดอายุได้เพียงครั้งเดียว?”

 

ซูฉินสายหัวเล็กน้อย

 

ในความเป็นจริง มันก็เป็นเรื่องปกติ หากสามารถยืดอายุให้ยาวออกไปได้อย่างต่อเนื่อง ผู้คนก็มิใช่จะมีชีวิตได้เป็นนิรันดร์เลยหรือ?

 

“อย่างไรก็ตาม หลายสิบปีก็ไม่เลวร้ายนัก เมื่อมีโอกาสข้าจะลองไปยังต่างดินแดนดู”

 

ซูฉินคิดกับตนเอง

 

แม้ในปัจจุบันเขาจะมีอายุขัยหนึ่งพันปี แต่ไม่ว่ายุงจะตัวเล็กแค่ไหน แต่มันก็ยังนับเป็นเนื้อสัตว์ และอายุหลายสิบปี ย่อมมีค่าอย่างแน่นอน รู้หรือไม่ว่าในขณะนี้ซูฉินก็ใช้ชีวิตมาหลายสิบปีแล้ว

 

“ข้าได้ยินมาว่าบรรพชนของเจ้าในต่างดินแดนกําลังหลับใหลอยู่ บอกข้าเกี่ยวกับบรรพชนของเจ้า”

 

ซูฉินเหมือนจะคิดอะไรได้ แล้วมองไปยังนักพรตเฒ่าด้วยความสนใจ

 

เหยียนให้ได้เคยบอกเขาเอาไว้ว่าในสํานักเอกะวิถี มีบรรพชนอย่างน้อยก็เก้าคนกําลังหลับใหลอยู่ บรรพชนเหล่านี้เป็นไฟลับสุดท้ายของสํานักเอกะวิถี เว้นแต่สานักเอกะวิถีจะตกอยู่ในอันตรายจนถึงขั้นถูกทําลายสํานัก พวกเขาเหล่านั้นก็จะไม่มีทางตื่นขึ้นมา

 

ตามข้อมูลที่เหยียนให้ทราบ บรรพชนที่หลับใหลไปนั้น ปกติแล้วจะเป็นตํานานยุทธในระดับนภาชั้นที่เจ็ด และยังมีตํานานยุทธระดับนภาชั้นที่แปด มีแม้กระทั่งระดับนภาชั้นที่เก้า

 

“เรียนผู้อาวุโส”

 

นักพรตเฒ่าไม่รู้ว่าซูฉินต้องการอะไรจากการถามคําถามเหล่านี้ ดังนั้นเขาจึงทําได้เพียงระงับความกังวลในใจแล้วตอบออกไปตามจริงว่า “ในนิกายของข้ามีบรรพชนที่ใช้วิธีการลับในการรวมเลือดเนื้อและพลังชีวิตเพื่อหลับใหลไปอยู่จริงๆ”

 

“วิธีการลับ?”

 

ดวงตาของซูฉินเป็นประกาย

 

“มิผิด” นักพรตเฒ่าค้อมศีรษะลงด้วยความเคารพ “เมื่อใช้วิธีลับนี้แล้วพลังงานจะนิ่งสนิทและในขณะเดียวกัน จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ก็จะตกอยู่ในสภาวะว่างเปล่า ไม่มีความคิดใดเกิดขึ้น”

 

“การอยู่สภาวะนี้ช่วยชะลออายุได้อย่างมาก แต่ในขณะเดียวกันพลังชีวิตและเลือดเนื้อก็จะถูกหยุดยั้งตลอดไป ทําให้สูญเสียโอกาสในการพัฒนาฐานการบ่มเพาะต่อไป”

 

“ดังนั้นจึงไม่มีใครอยากจะใช้วิธีลับนี้ ยกเว้นจุดสิ้นสุดของชีวิตใกล้เข้ามา”

 

เมื่อนักพรตเฒ่ากล่าวเช่นนี้ เขาก็หยุดไปชั่วขณะแล้วจึงกล่าวต่อไปว่า “นอกจากนี้หากท่านต้องการใช้วิธีลับในการหลับใหลไป ท่านต้องใช้ทรัพยากร สมบัติฟ้าดินจํานวนมหาศาล แม้จะเป็นสํานักเอกะวิถีก็ตาม เมื่อใดที่บรรพชนเตรียมตัวเข้าสู่นิทรา ทั้งสํานักก็ต้องจ่ายสมบัติออกมา และใช้เวลาหลายสิบปีกว่าจะฟื้นสภาพคล่องกลับมาได้”

 

นักพรตเฒ่ายิ้มอย่างขมขื่น

 

ถ้าวิธีลับนี้สามารถทําได้โดยง่าย เกรงว่าบรรพชนของสํานักเอกะวิถีคงคาหน้าเข้าสู่ห้วงนิทรากันเรียงคนไปแล้ว

 

“เข้าใจแล้ว”

 

ซูฉินพยักหน้าเล็กน้อย

 

วิธีลับที่นักพรตเฒ่าได้บอกมา ซูฉินก็เคยเห็นมันมาก่อน เช่นกันที่ภูเขาด้านหลังวัดเส้าหลิน ด้านหน้าเขตหวงห้ามที่มารพุทธะถูกผนึกเอาไว้ เคยมีสงฆ์วัดเส้าหลินห้ารูปนั่งสงบนิ่งอยู่ตรงนั้น

 

สงฆ์ทั้งห้ารูปนี้ล้วนหลับใหลด้วยวิธีลับเช่นกัน ทําให้ยืดอายุออกไปได้หลายชั่วอายุคน

 

เพียงแต่วิธีลับของสงฆ์ศักดิ์สิทธิ์ทั้งห้านั้นแตกต่างจากวิธีลับจากต่างดินแดนเล็กน้อย

 

ยิ่งกว่านั้น หลังจากที่สงฆ์ศักดิ์สิทธิ์ทั้งห้าฟื้นคืนสติกลับมาได้ไม่นาน พวกท่านก็พากันมรณภาพไปที่ละคน ในขณะที่บรรพชนต่างแดนสามารถรักษาความแข็งแกร่งส่วนใหญ่เอาไว้ได้เมื่อฟื้นคืนสติกลับมา

 

“ดังนั้นก็ควรจะมีเซียนเทพปฐพี่หลับใหลอยู่สินะ?”

 

ซูฉินนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ จึงหรี่ตาลงเล็กน้อยแล้วถามออกไปอย่างช้าๆ

 

แม้แต่ตํานานยุทธในระดับนภาชั้นที่เจ็ดก็สามารถมีชีวิตอยู่ต่อไปได้หลายร้อยหลายพันปีด้วยวิธีลับนี้ แล้วขอบเขตเซียนเทพปฐพีเล่า?

 

ถ้าเป็นแบบที่ซูฉินคิดจริงๆ เกรงว่าระดับความอันตราย ในต่างดินแดนจะเกินความคาดหมายของซูฉินไปอีก

 

แม้ซูฉินจะเข้าสู่นภาชั้นที่แปดได้แล้วในตอนนี้ รวมกับไพ่ลับในมือทุกใบ มันเพียงพอที่จะต่อกรคู่ต่อสู้ในระดับที่สูงกว่า แต่ขอบเขตเซียนเทพปฐพีนั้น…….

 

เว้นแต่ซูฉินจะสําเร็จวิชาภาพดวงตะวันขนาดมหึมา เมื่อเขาสามารถกําเนิดใหม่เป็นอีกาทองคําสามขาวัยเยาว์ได้ ด้วยพรสวรรค์โดยกําเนิดและพลังอันน่าสะพรึงกลัว อย่างเช่น พลังแห่งดวงตะวันและเปลวไฟที่แท้จริงเหล่านี้ เท่านั้นจึงจะมีความมั่นใจที่จะปราบเซียนเทพปฐพีได้

 

ส่วนอย่างอื่น?

 

ขอบเขตเซียนเทพปฐพีที่แท้จริงสามารถครอบคลุมพื้นที่หลายร้อยล์ได้ในความคิดเดียว หากซูฉินเจอกับเซียนเทพปฐพีจริงๆ แน่นอนว่าจะต้องหันหลังหนีไปโดยไม่ลังเล

 

“เซียนเทพปฐพี? ที่หลับใหลอยู่?” เมื่อได้ยินสิ่งนี้นักพรตเฒ่าก็ผงะไปเล็กน้อย แล้วรีบพูดออกมาว่า “ผู้อาวุโสล้อเล่นแล้ว”

 

“เลือดเนื้อของเซียนเทพปฐพี่แข็งแกร่งเพียงใด จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์กว้างใหญ่เพียงไหน เป็นไปได้อย่างไรที่วิธีลับนั้นจะสามารถทําให้หลับใหลลงได้?”

 

“โอ้?”

 

ดวงตาของซูฉินเป็นประกาย มองไปยังนักพรตเฒ่าแล้ว กล่าวว่า “บอกวิธีลับมาให้ข้าฟัง”

 

“ขอรับ” นักพรตเฒ่ารีบกล่าวบอกทันทีถึงวิธีลับ

 

วิธีลับนี้ไม่ได้เป็นความลับอะไรในยุทธภพต่างแดน ผู้อาวุโสทุกคนในนิกายใหญ่ทุกคนล้วนรู้วิธีการนี้ และมีแม้แต่จอมยุทธทั่วๆไปบางคนก็ยังทราบเรื่องนี้

 

ตัวของวิธีลับนั้นไม่ได้มีค่าอะไร แต่เมื่อต้องการจะใช้วิธีลับนี้จริงๆ จะต้องใช้ทรัพยากรและสมบัติมากมาย แค่นั้นก็แทบจะเท่ากับการใช้ทรัพยากรในการฝึกฝนตลอดช่วงชีวิตของจอมยุทธคนหนึ่งแล้ว

 

นอกจากนี้ หลังจากหลับใหลไปแล้ว ห้ามไม่ให้ถูกรบกวนเลยแม้แต่น้อย มิฉะนั้นไม่เพียงความพยายามทั้งหมดที่ผ่านมาจะสูญเปล่า แต่ชีวิตอาจจะตกอยู่ในอันตรายอีกด้วย

 

“มันกลายเป็นวิธีการปิดผนึกตนเอง”

 

ซูฉินพยักหน้าเล็กน้อย เมื่อได้ยินวิธีลับที่นักพรตเฒ่าอธิบายออกมาตามความเป็นจริง

 

ในมุมของซูฉิน วิธีลับที่นักพรตเฒ่าได้กล่าวออกมาก็ไม่มีอะไรมากไปว่าการปิดผนึกเลือดเนื้อ พลังชีวิต และจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของตนเองเพื่อชะลอความแก่ชรา

 

วิธีการปิดผนึกตนเองเช่นนี้อย่างมากที่สุดก็ทําได้เฉพาะขอบเขตตํานานยุทธเท่านั้น เมื่อไปถึงขอบเขตเซียนเทพปฐพี พลังงานและเลือดเนื้อจะมีอยู่อย่างมหาศาลจะปิดผนึกตัวเองได้อย่างไร?

 

แม้แต่ตัวซูฉินเองก็ยังรู้สึกว่า วิธีลับนี้ไม่สามารถใช้กับเขา

 

ยามนี้ร่างกายของซูฉินได้ผ่านการแปรสภาพมาถึงห้าครั้ง แม้จะไม่ได้ดีเท่ากับร่างกายของเซียนเทพปฐพี แต่ก็ไม่หนีห่างกันไกลนัก แม้ซุฉินเต็มใจจะทําตามวิธีลับ แต่การไหลเวียนของพลังฉีและเลือดเนื้อนั้นก็เพียงพอแล้วที่จะทําลายผนึกของวิธีลับนี้ได้อย่างง่ายดาย

 

Sign in Buddha’s palm 223 ไฟลับในมือหมิงโยว

 

“เขาแข็งแกร่งขนาดนี้ได้เยี่ยงไร?”

 

ขณะนี้ความอัศจรรย์ใจท่วมท้นอยู่ในความรู้สึกของนักพรตเฒ่าสํานักเอกะวิถี

 

เขาคิดว่าตนเองประเมินซูฉินสูงพอแล้ว คาดเดาไปว่าควรจะเป็นตัวตนในระดับผู้เยี่ยมยุทธขั้นสูงสุด

 

ถึงแม้จะเป็นผู้เยี่ยมยุทธขั้นสูงสุด เมื่อเผชิญกับทักษะก้นหีบที่ใช้เฉพาะยามสิ้นหวังของหมิงโยวแห่งนิกายเฮยหยวน รวมถึงผู้อาวุโสนิกายใหญ่ทั้งสองคนเช่นนี้ มันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะเอาชนะได้ในพริบตา อย่างน้อยก็ต้องใช้ชั้นเชิงบางอย่างเข้าช่วย

 

ในความเห็นของนักพรตเฒ่า ซูฉินไม่จําเป็นต้องต่อสู้กับพวกหมิงโยวอย่างเต็มกําลัง เพียงแต่ต้องลากถ่วงการต่อสู้ออกไปให้นานที่สุด จนกว่าพลังของคู่ต่อสู้จะหมดลง ก็สามารถเข้าจัดการได้อย่างง่ายดาย

 

อย่างไรก็ตาม นักพรตเฒ่าไม่ได้คาดหวังว่าหมิงโยวและผู้อาวุโสนิกายใหญ่อีกสองคน เมื่ออยู่ต่อหน้าซูฉินจะอ่อนแอราวกับกระดาษ แม้จะใช้ทักษะลับต้องห้ามจนหมดก็ยังไม่สามารถต่อกรได้เลยแม้แต่น้อย

 

“เขาแข็งแกร่งมาก ทําไมเขาไม่ลงมือตั้งแต่แรก? อยากจะรอดูพวกเราบุกเข้ามาในเกาะงั้นหรือ?”

 

ฝ่ามือฝ่าเท้าของนักพรตเฒ่าเย็นเยียบ ร่องรอยของความพิศวงงงงวยสาดวาบเข้ามาในใจ เพราะหลังจากค่ายกลฉีกขาด มันก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นตามมา พวกเขาจึงตรงเข้ามาถึงที่นี่

 

นักพรตเฒ่าไม่ทราบว่าซูฉินอยู่ในช่วงปิดด่านฝึกตนก่อนหน้านี้ จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมดถูกดึงกลับเข้าไปภายในร่าง ในเวลาต่อมาหลังจากชิงชิวเฉียนเฉียนแจ้งว่ามีผู้บุกรุกเข้ามา ซูฉินจึงปล่อยจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ออกไปตรวจสอบ และเมื่อรู้ว่าผู้รุกเป็นพวกเขา ซูฉินก็ไม่ได้สนใจจะลงมือในทันที แต่เลือกสัมผัสประสบการณ์ ทําความคุ้นชินกับรายละเอียดต่างๆของระดับนภาชั้นที่แปดแทน

 

สําหรับซูฉิน ไม่ว่าจะเป็นหมิงโยวจากนิกายเฮยหยวนหรือคนอื่นอีกสองสามคน พวกเขาก็ไม่ต่างไปจากมดแมลง สามารถเหยียบย่ําจนตายเมื่อไหร่ก็ได้ มันจะเทียบกับการสัมผัสความรู้สึกหลังพัฒนาขั้นได้อย่างไร?

 

ไม่ต้องสงสัย

 

นี่เป็นเพราะความแข็งแกร่งของกลุ่มหมิงโยวนั้นอ่อนแอเกินไป หากเป็นกลุ่มตํานานยุทธระดับนภาชั้นที่เจ็ด ชั้นที่แปด หรือระดับนภาชั้นที่เก้าฝ่าเข้ามา ซูฉินจะไม่ทําตัวใหญ่โตเช่นนี้แน่นอน

 

“แต่เดิมข้าก็คิดจะให้เจ้ารออีกสักหน่อย”

 

ดวงตาอันสงบนิ่งของซูฉินมองไปที่หมิงโยว

 

ที่จริงแล้วนอกจากหมิงโยวที่ยังคงยืนอยู่ได้ ผู้อาวุโสเฉว่ยวี่จากตําหนักเทพเจ้าหิมะ นักดาบจากพรรคหมื่นดาบต่างล้วนลงไปนอนกองอยู่กับพื้น บาดเจ็บรุนแรงและกําลังจะตาย

 

“พลังของเจ้าช่างน่ากลัวนัก น่าจะเหนือกว่าระดับผู้เยี่ยมยุทธไปแล้ว…”

 

หมิงโยวแห่งนิกายเฮยหยวนสงบใจลง ยิ่งเขาเข้าใกล้ความเป็นความตายมากเท่าไหร่ เขายิ่งสงบขึ้นมากเท่านั้น เพราะหมิงโยวรู้แก่ใจว่ามีเพียงต้องทําเช่นนี้เท่านั้นจึงจะรอดชีวิตไปได้

 

“ข้ามาจากนิกายเฮยหยวนในดินแดนโพ้นทะเล เจ้าคงจะเคยได้ยินชื่อนี้มาบ้าง” หมิงโยวประมวลผลในสมอง และเปิดปากพูดออกมาอย่างรวดเร็ว

 

“ตราบใดที่เจ้าปล่อยข้าไป นิกายเฮยหยวนของข้า ขอให้คําสัตย์สัญญาว่า หากเจ้าต้องการสั่งการสิ่งใดในอนาคต นิกายของข้าจะปฏิบัติตามที่เจ้าต้องการ”

 

เหงื่อเย็นซึมออกมาตามหน้าผากของหมิงโยว

 

เขารู้ดีว่าชายผู้แข็งแกร่งเช่นซูฉิน การข่มขู่นั้นย่อมไม่ได้ผล รังแต่จะทําให้อีกฝ่ายขุ่นเคืองใจ

 

แน่นอนว่าย่อมมีบรรพชนในนิกายเฮยหยวนที่เหนือกว่าระดับผู้เยี่ยมยุทธ แต่แล้วอย่างไรเล่า? บรรพชนเฒ่าเหล่านั้น เลือดเนื้อและปราณฉีถดถอยไปนานแล้ว ใกล้สิ้นอายุขัยเต็มทน เว้นแต่นิกายเฮยหยวนจะประสบภัยพิบัติ หากไม่ใช่เช่นนั้นก็เป็นไปไม่ได้ที่จะตื่นจากหลับใหล ไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องที่จะมาคุกคามซูฉินเลย

 

“สัญญา?”

 

“เจ้าคู่ควรที่จะทําสัญญากับข้าด้วยหรือ?”

 

ซูฉินหัวเราะเบาๆ ก่อนจะใช้ความคิดสั่งการ ทันใดนั้นอากาศในรัศมีหลายพันจ้างก็เริ่มรวมตัวเข้ามา กลายเป็นเหมือนกับกรงขัง

 

แกรัก

 

แกรัก

 

ภายในช่วงเวลานี้ ร่างของผู้อาวุโสเฉว่ยวี่แห่งตําหนักเทพเจ้าหิมะและนักดาบจากพรรคหมื่นดาบก็สลายกลายเป็นผุยผงในทันที และแม้แต่จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ก็ไม่อาจรอดพ้นไป

 

“อ๊ากกก!”

 

“เป็นเจ้าที่บังคับข้า!!”

 

เมื่อเห็นฉากนี้ หมิงโยวจากนิกายเฮยหยวนก็รู้ว่าซูฉินไม่ได้วางแผนจะปล่อยเขาไป จึงคํารามออกมา

 

เห็นปราณปีศาจสีดําจํานวนนับไม่ถ้วนเข้าคลุมร่างของหมิงโยว และปราณปีศาจเหล่านั้นก็แทรกซึมเข้าสู่ร่างกาย ค่อยเปลี่ยนแปลงสภาพร่างกายไปอย่างรวดเร็ว

 

หลังจากนั้นร่างกายของหมิงโยวก็ค่อยๆเลือนรางลงเรื่อยๆ ราวกับหายไปจากโลกนี้อย่างสิ้นเชิง

 

ในขณะนี้ แม้ว่าหมิงโยวจะยืนอยู่ตรงจุดนั้น สวมชุดคลุมสีดําเหมือนเดิม แต่ก็ไม่มีใครรับรู้ถึงการมีอยู่ของเขา

 

หากจะบอกว่าสภาพก่อนหน้านี้ของเขาเป็นกึ่งร่างลวงตาถึงความเป็นจริง ในตอนนี้มันได้แปรเปลี่ยนเป็นร่างลวงตาอย่างสมบูรณ์

 

“เคล็ดวิชาต้องห้ามอย่างสุดท้ายของนิกายเฮยหยวน ร่างปีศาจลวงตา สละเนื้อหนังบวงสรวงต่อร่างลวงตา ละทิ้งกายหยาบแล้วกลายเป็นร่างลวงตาตลอดไป”

 

เมื่อนักพรตเฒ่าสํานักเอกะวิถีเห็นฉากนี้ที่ไกลๆ ร่องรอยความขมขื่นก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขา

 

ร่างปีศาจลวงตาของนิกายเฮยหยวน สามารถเปลี่ยนแปลงตนเองไปมาระหว่างความเป็นจริง และร่างลวงตาเป็นผลให้สามารถหลีกเลี่ยงการโจมตีส่วนใหญ่ในโลกหล้านี้

 

อาจกล่าวได้ว่าในหมู่ศิษย์นิกายเฮยหยวนผู้ที่ควบคุมร่างปีศาจลวงตาได้นั้น ยากเย็นอย่างยิ่งที่จะสังหารให้สิ้น โดยเฉพาะหมิงโยวที่ฝึกฝนร่างปีศาจลวงตาจนถึงขอบเขตความสําเร็จอันยิ่งใหญ่ แม้ว่าจะเป็นระดับผู้เยี่ยมยุทธลงมือเองก็ตาม ก็ไม่อาจจะทําอะไรได้

 

แน่นอน ไม่ว่าร่างปีศาจลวงตาจะพิสดารสักแค่ไหน แต่อย่างไรมันก็ยังมีความเป็นจริงซ่อนอยู่ ไม่ว่าศิษย์นิกายเฮยหยวนจะกลายร่างเป็นร่างลวงตามากเท่าไหร่ พวกเขาย่อมต้องเก็บบางส่วนที่เป็นความจริงเอาไว้ เพื่อที่จะเปลี่ยนจากร่างลวงตาให้กลับเป็นร่างจริงได้อีกครั้ง

 

แต่ตอนนี้หมิงโยวได้ละทิ้งเศษเสี้ยวของความเป็นจริงไปหมดสิ้นแล้ว หลังจากวันนี้ แม้ว่าหมิงโยวจะมีชีวิตรอดไปได้ เขาก็จะไม่มีปราณชีวิต ไม่มีเลือดเนื้อ หรือร่างกายที่สมบูรณ์อีกต่อไป แม้แต่จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของเขาก็ถูกหลอมรวมเข้าไปด้วย จากนี้ความแข็งแกร่งของเขาจะหยุดนิ่ง ทุกสิ่งจะจมอยู่ในภาพลวงตาตลอดไป

 

ศิษย์นิกายเฮยหยวนบางคน แม้จะต้องเสียชีวิตจากการต่อสู้ ก็ไม่เต็มใจจะเลือกสิ่งนี้ เป็นคนที่ไม่ใช่ ผีก็ไม่เชิง

 

และแน่นอน

 

หมิงโยวเลือกที่เปลี่ยนเป็นร่างลวงตาอย่างสมบูรณ์ แม้ว่าเขาจะต้องจ่ายด้วยราคามหาศาลอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

 

แต่ในทางกลับกัน สภาวะของหมิงโยวตอนนี้ สามารถเพิกเฉยต่อการโจมตีใดๆก็ตามเกือบทั้งหมดบนโลกนี้

 

เว้นแต่จะเป็นมหาอํานาจผู้ไร้เปรียบที่สามารถควบแน่น อาณาเขตขนาดเล็ก ยืนอยู่บนจุดสูงสุดของเหล่าตํานานยุทธ ไม่เช่นนั้นแม้จะเป็นเหล่าบรรพชน ก็ไม่มีทางทําอะไรเขาได้

 

“แม้แต่หมิงโยวยังต้องถูกบังคับให้เอาตัวรอดด้วยวิธีนี้ ข้าควรทําเช่นไรดี?” นักพรตเฒ่าสํานักเอกะวิถีถอนหายใจออกมาเบาๆ

 

แม้ว่าเขาจะอยู่ไกลออกมาจากซูฉิน แต่เขาก็ยังอยู่ในเกาะหยิงโจว

 

“สหายเต้าหมิงโยวช่างกล้าหาญ”

 

นักพรตเฒ่าสายหัวเล็กน้อย ในความเห็นของเขา หมิงโยวน่าจะรอดชีวิตแน่แล้ว ไม่ว่าซูฉินจะแข็งแกร่งแค่ไหน ก็คงทําอะไรหมิงโยวที่อยู่ในสภาวะลวงตาอย่างสมบูรณ์ไม่ได้

 

“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า!”

 

“เจ้าไม่ได้พยายามจะสังหารข้าหรอกหรือ?”

 

“มาสิ มาสังหารข้าสิ!”

 

หมิงโยวแห่งนิกายเฮยหยวนขู่คํารามใสซูฉินราวกับคนบ้า

 

เขาละทิ้งซึ่งความเป็นจริงและกลายเป็นร่างลวงตา ชีวิตของเขาได้พังพินาศเพราะต้องอยู่ในสภาพร่างลวงตาตล อดไป ซึ่งทั้งหมดก็เป็นซูฉินที่บีบบังคับ

 

ดังนั้นแม้ว่าความแข็งแกร่งของซูฉินจะเหนือกว่าผู้เยี่ย มยุทธ เข้าถึงระดับที่เหล่าบรรพชนเท่านั้นที่เคยไปถึง แต่ห มิงโยวก็ไม่ได้เกรงกลัวเลยแม้แต่น้อย

 

ซูฉินแข็งแกร่งแล้วอย่างไร?

 

ตราบใดที่ไม่มีอาณาเขตขนาดเล็ก ก็ไม่มีทางจะทําอะไรได้ ทําได้แค่จ้องมองเฉยๆเท่านั้น

 

แม้ว่าการบรรลุถึงขอบเขตตํานานยุทธระดับนภาชั้นที่เจ็ด จะมีความหวังในการควบแน่นอาณาเขตขนาดเล็ก

 

แต่ความหวังนั้นมันก็ช่างริบหรี่เหลือเกิน

 

ในความเป็นจริง มีเพียงจุดสูงสุดของตํานานยุทธระดับนภาชั้นที่เก้าเท่านั้นที่สามารถทําได้

 

ดังนั้น

 

หมิงโยวในตอนนี้ จึงทําตัวไร้ยางอายได้อย่างเต็มที่

 

ในขณะนี้ หมิงโยวก็บังเอิญสังเกตเห็นชิงชิวเฉียนเฉียนที่ยืนอยู่ถัดจากซูฉิน

 

ในตอนนี้เจ้าภูตอสูรจิ้งจอกตัวน้อยกําลังมองเขาด้วยความเวทนา

 

เวทนา?

 

หมิงโยวตกตะลึงไปครู่หนึ่ง ตอบสนองไม่ถูกไปสักพักใหญ่

 

อย่างไรก็ตาม ยังไม่ทันที่หมิงโยวจะหาสาเหตุของความ “เวทนา” จากชิงชิวเฉียนเฉียนได้

 

เสียงที่สงบและเย็นเยียบก็ดังผ่านเข้ามาในหู

 

“ได้ตามที่ขอ”

 

“อะไร?” จู่ๆ ความรู้สึกราวกับเจอภัยร้ายก็แวบเข้ามาในใจของหมิงโยว และต้องการหลบหนีจากไป ในตอนนี้เขาได้แปลงเป็นร่างลวงตาอย่างสมบูรณ์ ความเร็วก็เพิ่มสูงขึ้นโดยธรรมชาติ เพียงชั่วพริบตาเดียวก็เพียงพอแล้วที่จะหนีไปได้ไกลหลายร้อยลี้

 

แต่ก็เท่านั้น

 

ในตอนนี้เอง

 

หมิงโยวก็รู้ว่าอากาศรอบตัวเขานั้นแข็งราวกับเหล็ก กักขังเขาไว้แน่น เคลื่อนที่ไปไหนไม่ได้

 

“เป็นไปได้เยี่ยงไร?”

 

“ข้ากลายเป็นร่างลวงตาอย่างสมบูรณ์แล้ว จะมาถูกกักขังเอาไว้ได้อย่างไร?”

 

หมิงโยวเบิกตากว้างด้วยความไม่อยากเชื่อ ทันใดนั้นเขาก็มองไปทางซูฉินด้วยใบหน้าที่สิ้นหวัง “อาณาเขต?”

 

“เขาควบแน่นอาณาเขตได้แล้ว?”

 

บนโลกใบนี้ นอกเหนือจากอาณาเขตแล้ว หมิงโยวก็ไม่อาจจะคิดออกว่า ยังจะมีวิธีการใดที่สามารถกักขังเขาเอาไว้ได้ดังเช่นตอนนี้อีก?

 

ในเวลาต่อมา

 

แรงกดดันอันน่าหวาดกลัวก็ถูกบีบอัดเข้ามา

 

ภายใต้แรงกดดันอันหนักหน่วงนี้ แม้ว่าหมิงโยวจะแปลงเป็นร่างลวงตาแล้วก็ตาม รูปร่างของเขาก็ค่อยๆแตกเป็นเสี่ยงๆ รอยร้าวแพร่กระจายไปทั่วทุกตารางนิ้ว จากนั้นก็หายไปจากโลกนี้อย่างสิ้นเชิง

 

“ร่างลวงตา?”

 

ใบหน้าของซูฉินเคลือบฉาบไว้ด้วยความดูถูก

 

สิ่งที่เรียกว่าร่างลวงตา มันก็แค่ลมปาก แม้ว่าซูฉินจะไม่ใช้อาณาเขต แต่ก็มีวิธีอื่นอีกมากมายนับสิบวิธีที่สามารถจัดการกับหมิงโยวได้ เพียงแค่การใช้อาณาเขตนั้นเป็นสิ่งที่ง่าย และมีประสิทธิภาพมากที่สุด

 

ตัวอย่างเช่น ฝ่ามือยไลเคล็ดวิชาที่แข็งแกร่งที่สุดของวัดเส้าหลิน หรือคัมภีร์มารเก่าวิถี และอีกอย่างก็คือเปลวไฟที่แท้จริงของอีกาทองคําสามขา

 

“อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนความเป็นจริงให้กลายเป็นร่างลวงตานั้นมีความข้องเกี่ยวกับวิถีมาร” ซูฉินแตะปลายคาง ใบหน้าของเขาครุ่นคิด

 

“วิถีมาร” จากปากของซูฉินไม่ใช่วิถีมารของพรรคมาร แต่เป็นเผ่าปีศาจในโลกถ้ําใต้ดิน

 

“นายท่านช่างทรงพลังไร้เปรียบจริงๆ”

 

ชิงชิวเฉียนเฉียนที่อยู่ด้านข้างก็กล่าวออกด้วยความเคารพ

 

ก่อนที่ซูฉินจะปิดด่านฝึกตน เขาก็สามารถสังหารชิงชิวชิงหลิงได้ด้วยหมัดเพียงหมัดเดียว หลังจากที่เพิ่งจะฟาดฟันค่ายกลฟ้าดินขนาดใหญ่บนเกาะหยิงโจวจนฉีกขาด

 

สภาวะของหมิงโยวเมื่อครู่อาจจะพิสดารก็จริง แต่หากจะคิดว่าสามารถทําให้ซูฉินอับอายได้ล่ะก็ คงจะเป็นเรื่องตลกแล้ว

 

“นี่คือ?”

 

นักพรตเฒ่าสํานักเอกะวิถีมองดูซูฉินจากระยะไกลอย่างไม่อยากเชื่อ

 

เขาได้เห็นกับตาของตนเองว่าหมิงโยวในสภาวะร่างลวงตาได้กลายเป็นความว่างเปล่าอย่างแท้จริงเมื่อครู่นี้เอง

 

“ตาเจ้าแล้ว….

…”

ซูฉินมองไปที่นักพรตเฒ่าสํานักเอกะวิถี จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ก็เคลื่อนออกไป

 

ทันใดนั้น นักพรตเฒ่าก็รู้สึกว่าสภาพแวดล้อมได้เปลี่ยนไป และเมื่อมองรอบๆ เขาก็พบว่าตนมายืนอยู่เบื้องหน้าของซูฉินแล้ว

 

“การเคลื่อนย้ายมวลสารเช่นนี้ ข้าคิดว่ามันคงเป็นพลังของอาณาเขต

 

ใบหน้าของนักพรตเฒ่าซีดเซียว เขายังตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับหมิงโยวไม่หาย แต่พอรู้ตัวอีกทีปรากฏว่าอีกฝ่ายได้ตายไปเสียนานแล้ว

 

สิ่งที่เข้าใจได้ยากที่สุดสําหรับร่างปีศาจลวงตาของนิกายเฮยหยวนก็คือการเปลี่ยนแปลงไปมาระหว่างร่างลวงตาและความเป็นจริง แต่ทั้งหมดนั้นก็ล้วนอยู่ในโลก ณ ปัจจุบันขณะอยู่ดี

 

อย่างไรก็ตาม พลังของอาณาเขตสามารถเข้าแทรกแซงโลกหล้าใต้ผืนฟ้าเหนือแผ่นนี้ได้อย่างสมบูรณ์ ร่างปีศาจลวงตาจะอย่างไรก็ยังอยู่บนโลกใบนี้ เทียบเท่ากับอยู่ในเป้าหมายของอาณาเขตโดยตรง สามารถจินตนาการได้ไม่ยากเลย ว่ามันจะจบลงเช่นไร

 

อาจกล่าวได้ว่าพลังของอาณาเขตนั้นควบคุมร่างปีศาจลวงตาเอาไว้ได้อย่างสมบูรณ์

 

“คารวะผู้อาวุโส”

 

จิตใจของนักพรตเฒ่าผู้มากประสบการณ์ก็กลับมาสงบลงอย่างรวดเร็วและกล่าวออกด้วยความเคารพ “ไม่ว่าผู้ อาวุโสต้องการจะทราบสิ่งใด ผู้น้อยย่อมตอบได้ทุกเรื่อง”

 

นักพรตเฒ่ารู้ดีอยู่แก่ใจตน ว่าถ้าซูฉินควบแน่นอาณาเขตได้แล้วจริงๆ เพียงแค่ความคิดเดียวก็สามารถสังหารตนได้อย่างง่ายดาย

 

ภายในอาณาเขตนั้น ซูฉินเป็นนายเหนือหัวแต่เพียงผู้เดียว

 

และตอนนี้เขาก็ยังไม่ตาย มีความเป็นไปได้เดียวคือ ซูฉินไม่ต้องการจะสังหารเขาในเวลานี้

 

Sign in Buddha’s palm 222

 

“พวกเจ้าช่างเป็นมนุษย์ที่ไร้ยางอาย”

 

ก่อนที่ซูฉินจะทันได้พูดอะไร ชิงชิวเฉียนเฉียนที่อยู่ด้านข้างก็ยิ้มออกมา

 

ซูฉินได้มายังเกาะหยิงโจวแห่งนี้ก่อน และไม่ว่าจะเป็นค่ายกลฟ้าดินภายนอกหรือแนวค่ายกลสังหารในทะเลสาบก็ล้วนเป็นฝีมือของซูฉินทั้งสิ้นที่ทําลายไปจนหมด คนเหล่านี้ มาทีหลังกล้าดียังไงที่จะมาบอกให้ซูฉินมอบสมบัติให้

 

“เจ้าภูตอสูรที่เพิ่งจะเข้าสู่ขอบเขตตํานานยุทธ…”

 

หมิงโยวแห่งนิกายเฮยหยวนเหลือบมองชิงชิวเฉียนเฉียนทันใดนั้นก็ตะโกนขึ้นมาว่า “ถ้ายังไม่ลงมือในตอนนี้จะให้รอไปจนถึงเมื่อไหร่?”

 

เมื่อเสียงเงียบลง

 

ไม่ไกลนัก ทั้งเฉวยผู้อาวุโสจากตําหนักเทพเจ้าหิมะและชายที่สะพายดาบยาวจากพรรคหมื่นดาบก็ระเบิดไอพลังออกมาเฮือกใหญ่

 

“บูม!”

 

ผู้อาวุโสเฉว่ยวจากตําหนักเทพเจ้าหิมะลงมือเป็นคนแรกนางเป็นเหมือนดังภูเขาน้ําแข็งนิรันดร์กาลความหนาวเย็นนั้นแผ่กระจายออกมาอย่างน่าสะพรึงกลัว โดยมีตัวนางเป็นจุดศูนย์กลางมันแผ่พลังออกไปทั่วทุกทิศ

 

“โลกเยือกแข็ง!”

 

ผู้อาวุโสเฉวยวี่แห่งตําหนักเทพเจ้าหิมะกระแทกคําออกมาทีละคําทุกครั้งที่นางพูดออกมา อุณหภูมิรอบตัวจะลดลงอย่างรวดเร็วและเมื่อกล่าวคําสุดท้ายออกมา ก็มีผลึก น้ําแข็งกระจายไปทั่วบริเวณ

 

“หนาวอะไรขนาดนี้ ”

 

ชิงชิวเฉียนเฉียนตัวสั่นขึ้นมาทันที รู้สึกเพียงอุณหภูมิรอบตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง

 

“ตัวของท่านผู้อาวุโสยังคงอบอุ่นอยู่…”

 

ชิงชิวเฉียนเฉียนเขยิบเข้าไปใกล้ซูฉินโดยไม่รู้ตัว

 

ตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้ ไม่ว่าอากาศอันหนาวเหน็บที่อาวุโสเฉว่ยวแห่งตําหนักเทพเจ้าหิมะปล่อยออกมาจะแพร่กระจายไปไกลเท่าไหร่แต่ในระยะสามจ้างรอบตัวซูฉินนั้น อบอุ่นเหมือนกับฤดูใบไม้ผลิก็มิปานราวกับอยู่กันคนละโลก

 

“โลกเยือกแข็งของตําหนักเทพเจ้าหิมะยอดเยี่ยมสมคําร่ําลือจริงๆ…” นักพรตเฒ่าแห่งสํานักเอกะวิถีถึงกับต้องก้าวถอยห่างออกไปในใจรู้สึกทิ้ง

 

เมื่อหลายร้อยปีก่อน ผู้นําตําหนักเทพเจ้าหิมะรุ่นที่แล้วได้ใช้เคล็ดวิชานี้เพื่อเปลี่ยนเกาะที่มีสิ่งมีชีวิตมากมายหลายแสนตัวให้กลายเป็นผลึกน้ําแข็งเหตุการณ์ในครั้งนั้นทําให้ยุทธภพในต่างดินแดนต้องตื่นตกใจ

 

ผู้อาวุโสเฉวยวี่แห่งตําหนักเทพเจ้าหิมะได้แสดงพลังนั้นออกมาเช่นกันในยามนี้ แม้ว่าจะด้อยกว่าอดีตผู้นําตําหนักเทพเจ้าหิมะมากแต่ก็ไม่ใช่สิ่งที่ตํานานยุทธธรรมดาๆ จะต้านทานได้

 

ชายสะพายดาบยาวจากพรรคหมื่นดาบถอนหายใจออกมาเล็กน้อยก่อนจะค่อยๆ ดึงดาบยาวด้านหลังออกมา

 

ในชั่วพริบตา

 

ประกายแสงดาบอันแหลมคมก็ผงาดขึ้นมา ปกคลุมรอบตัวในระยะหลายสิบเมตร ค่อยๆ รวมตัวกันกลายเป็นดาบเล่มใหญ่ที่มีความยาวมากกว่าสิบเมตร ฟาดฟันไปทางซูฉินจากระยะไกล

 

“พรรคหมื่นดาบนั้นเก่งในการฆ่าฟัน ทันทีที่ดาบศักดิ์สิทธิ์ถูกเรียกออกมามันจะฆ่าสังหารสิ่งมีชีวิตทั้งหมดและหมื่นดาบรวมหนึ่งนั้นก็มีความเฉียบคมถึงขีดสุด แม้มีภูเขา ขวางกั้นก็สามารถผ่ามันออกเป็นสองซีก”

 

นักพรตสํานักเอกะวิถีออกความเห็นขณะมองดูฉากตรงหน้า

 

ในตอนนี้ เขาไม่ได้ต้องการจะขัดจังหวะการต่อสู้แย่งชิงสมบัติของจ้าวทะเลบูรพา จึงเป็นเรื่องธรรมดาที่เขาจะไม่ลงมือ

 

“แล้วก็หมิงโยว?”

 

นักพรตเฒ่าหรี่ตามองมองดูชายชุดดําที่เหมือนกับหายวับไปจากโลกนี้

 

กว่าสิบปีแล้วที่หมิงโยวเป็นที่รู้จักในฐานะตํานานยุทธที่ใกล้เคียงกับระดับผู้เยี่ยมยุทธมากที่สุดในต่างแดน บัดนี้ก็ผ่านไปนับสิบปีความแข็งแกร่งของหมิงโยวนั้นมีแต่จะสูงขึ้นไม่มีต่ําลงแม้ว่าเขาจะไม่ได้เข้าสู่ระดับผู้เยี่ยมยุทธจริงๆ แต่ ก็เกรงว่ามันแทบจะไม่ห่างไปไกลนัก

 

หวิ่ง!!

 

เห็นร่างหมิงโยวยังยืนอยู่ที่เดิม แต่ก็มีอีกร่างหนึ่งเป็นเงาดํากระโจนเข้าหาซูฉิน

เงาดํานี้เงียบเชียบไร้กลิ่นอายและถ้าไม่ใช่ว่านักพรตเฒ่าเฝ้าติดตามหมิงโยวอยู่ตลอดเกรงว่าคงจะไม่รู้ตัวว่าอีกฝ่ายได้ลงมือไปแล้ว

 

“เงาดํานั้น?”

 

นักพรตเฒ่าจากสํานักเอกะวิถีหนังศีรษะชาวาบ สีหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม

 

ขณะเฝ้าดูเฉว่ยวจากตําหนักเทพเจ้าหิมะและนักดาบจากพรรคหมื่นดาบ นักพรตเฒ่าสามารถแสดงความเห็นต่อกระบวนท่าต่างๆได้อย่างใจเย็นเพราะถึงแม้กระบวนท่าสัง หารของทั้งสองจะน่ากลัวแต่พวกเขาก็ไม่สามารถคุกคามตนได้

 

แต่ในตอนนี้ เมื่อเห็นเงาดําที่หมิงโยวปล่อยออกมานักพรตเฒ่าก็รู้สึกถึงความอันตรายที่ถึงแก่ชีวิต จิตใจภายในคอยกระตุ้นเตือนเขาอยู่ตลอดเวลา

 

“นิกายเฮยหยวนนี่มันกลุ่มคนบ้า ถึงกับสร้างกระบวนท่าที่แปลกพิสดารเช่นนี้ ”

 

ขณะที่นักพรตเฒ่ากําลังด่าทอในใจ ก็หันไปมองซูฉินและคิดอยู่ในใจว่า “ด้วยการร่วมมือของทั้งสามคนโดยเฉพาะกระบวนท่าสังหารของหมิงโยวเว้นแต่ชายผู้นี้จะเป็นผู้แข็งแกร่งระดับผู้เยี่ยมยุทธเขาควรจะรีบวิ่งหนีไปเสียตั้งแต่ตอน

 

นักพรตสํานักเอกะวิถีส่ายหัวไปมา

 

ผู้อาวุโสเฉวยวี่แห่งตําหนักเทพเจ้าหิมะและนักดาบพรรคหมื่นดาบยังพอทําเนา แต่หมิงโยวนี่สิ…

 

กล่าวตามตรงว่านักพรตเฒ่ามีความรู้สึกเล็กๆว่าหมิงโยวได้มาถึงครึ่งก้าวสู่ระดับผู้เยี่ยมยุทธแล้วและต้องมีความมั่นใจที่จะเอาชนะอีกด้วยไม่เช่นนั้นเขาคงไม่หุนหันพลันแล่น ล งมือต่อซูฉินโดยไม่ลังเลเช่นนี้

 

และในตอนนั้นเอง

 

เมื่อเผชิญหน้ากับผลึกน้ําแข็งที่โหมกระหน่ํา ประกายแสงดาบอันแหลมคมและเงาประหลาดอันลึกลําซูฉันยังคงยืนนิ่งราวกับไม่ทันได้สังเกตเห็นการโจมตีที่เกิดขึ้น

 

“ไอ้โง่เอ้ย”

 

เมื่อหมิงโยวเห็นฉากตรงหน้า สีหน้าของมันก็ฉายแววเย้ยหยัน

 

เดิมที่เขาเกรงกลัวซูฉินอย่างมาก แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าคู่ต่อสู้คงจะโชคดีที่สามารถเข้ามาที่ถ้ําเซียนของจ้าวทะเลบูรพาได้โดยบังเอิญ

 

รู้หรือไม่ว่ากระบวนท่าเปิดของจอมยุทธนั้นสําคัญอย่างยิ่งซูฉินช่างโง่งมที่ปล่อยให้พวกมันรวมพลังกันอย่างเต็มที่

 

อย่างไรก็ตาม

 

ในช่วงเวลาถัดมา

 

สีหน้าของหมิงโยวก็พลันแข็งค้าง

 

ท่ามกลางสายตาอันตื่นตะลึง ไม่ว่าจะเป็นกระบวนท่าโลกเยือกแข็งของผู้อาวุโสเฉว่ยวแห่งตําหนักเทพเจ้าหิมะหรือหมื่นดาบรวมเป็นหนึ่งของนักดาบจากพรรคหมื่นดาบ และแม้แต่เงาดําของตัวเขาเองเมื่อเข้าใกล้ร่างซูฉินในระยะสามจ้างพวกมันทั้งหมดกลับสลายหายไปราวกับระยะสามจ้างนี้เป็นพื้นที่ห้ามสําหรับการต่อสู้ความชั่วร้ายทั้งปวงจะถูกกําจัดเหมือนกับตรากฏไว้ว่าห้ามบุกรุกเด็ดขาด

 

“นี่คือ?”

 

นักพรตเฒ่าสํานักเอกะวิถีเฝ้ามองจากที่ไกลๆก็ต้องตกตะลึงและไม่อยากจะเชื่อถือสายตาตนเอง

 

เขาคิดเอาไว้ว่าการซูฉินจะสกัดกั้นการโจมตีจากทั้งสามคนได้คงจะต้องพยายามอย่างเต็มที่โดยใช้แก่นแท้แห่งพลังจนหมดสิ้น

 

แต่ตอนนี้ ซูฉินกลับยืนนิ่งอยู่เฉยๆ ให้พวกหมิงโยวโจมตีอย่างเต็มกําลังแต่กลับไม่เป็นอะไรแม้แต่น้อย ซึ่งมันน่าหวาดกลัวยิ่ง

 

“คนผู้นี้มีความแข็งแกร่งเพียงใดกัน?”

 

ชายที่สะพายดาบจากพรรคหมื่นดาบใจสั่นระรัวแม้ว่าจะเป็นตัวตนระดับผู้เยี่ยมยุทธก็ยังต้องขยับมือเพื่อป้องกันการโจมตีนี้

 

แต่ซูฉินเล่า?

 

ผู้อาวุโสเฉว่ยวแห่งตําหนักเทพเจ้าหิมะก็ดูตกใจเช่นกันนางไม่ได้คาดคิดว่าความแข็งแกร่งของซูฉินจะน่ากลัวขนาดนี้กระบวนท่าโลกเยือกแข็งจากตําหนักเทพเจ้าหิมะ ไม่ส่งผลกระทบใดต่ออีกฝ่ายเลย

 

เมื่อนึกถึงสิ่งนี้ ใจของเฉวยวี่ก็อยากจะถอยหนีไปเสียเดี่ยวนี้เลย

 

แม้ว่านางจะโหยหาสมบัติของจ้าวทะเลบูรพาแต่นั่นก็เป็นกรณีที่นางสามารถมีชีวิตรอดไปได้ตอนนี้ความแข็งแกร่งของซูฉินเกินขีดจํากัดที่นางกําหนดไว้ในใจไปเสีย แล้ว

 

“ลงมือต่อ”

 

หมิงโยวแห่งนิกายเฮยหยวนมีสีหน้าที่ดูเย็นชาแล้วรีบพูดขึ้นว่า“คนผู้นี้น่าจะอยู่ในสถานะ “ตระหนักรู้ตอนนี้จึงเป็นโอกาสดีที่สุดในการสังหารเขา”

 

“ไม่เช่นนั้นเมื่ออีกฝ่ายฟื้นจากสถานะ “ตระหนักรู้” ก็ไม่มีใครหนีพ้นอีก…”

 

เสียงของหมิงโยวแห่งนิกายเฮยหยวนร้อนรนอย่างยิ่ง

 

เมื่อพิจารณาจากมูลเหตุทั้งหลายแล้ว ความแข็งแกร่งของซูฉินอย่างน้อยก็ต้องอยู่ในจุดสูงสุดของระดับผู้เยี่ยมยุทธตัวตนผู้ทรงอํานาจระดับนี้แม้แต่ในต่างดินแดนก็มีไม่ มากนัก

 

หากซูฉินฟื้นสติกลับมาได้ สิ่งที่พวกเขาต้องเผชิญนับจากนี้คือการต่อสู้กับผู้เยี่ยมยุทธขั้นสูงสุด

 

ในตอนนั้น แม้จะมีความสามารถในการเอาตัวรอดที่แข็งแกร่งก็ยังต้องรู้สึกปวดหัวไม่น้อยกับปัญหาที่ตามมา

 

แม้ว่าหมิงโยวจะไม่เกรงกลัวต่อตัวตนระดับผู้เยี่ยม ยุทธทั่วๆไปแต่ผู้เยี่ยมยุทธขั้นสูงสุดนั้นสามารถบดขยี้เขาได้อย่างง่ายดาย

 

“สถานะตระหนักรู้

 

ผู้อาวุโสเฉว่ยวจากตําหนักเทพเจ้าหิมะดูลังเล

 

หมิงโยวกล่าวได้ถูกต้อง มันสายเกินไปที่พวกเขาจะหยุดในเวลานี้เนื่องจากพวกเขาได้ลงมือไปแล้ว และซูฉินก็ยืนอยู่ เบื้องหน้าพวกตนหากพวกเขาคิดหลบหนีในตอนนี้ จะกลับกลายเป็นว่าพวกเขาเปิดโอกาสให้ซูฉินได้ฆ่าสังหารพวกเขาที่ละคน

 

มีเพียงแค่การใช้ประโยชน์จากช่วงที่ซูฉินอยู่ในสภาวะตระหนักรู้นี้เท่านั้นเข้ากลุ้มรุมสังหารคู่ต่อสู้นั่นจึงพอมีหวังที่จะรอดชีวิตไปได้

 

เหล่าตํานานยุทธนั้นต่างก็มีจิตใจและความรู้สึกนึกคิดที่ว่องไวผู้อาวุโสเฉว่ยวจากตําหนักเทพเจ้าหิมะและชายสะพายดาบยาวจากพรรคหมื่นดาบก็ตระหนักได้ในทันทีว่า พวกเขาควรเลือกทางใด

 

“อาณาเขตเยือกแข็ง…”

 

ผู้อาวุโสเฉว่ยวกระอักเลือดออกมาในทันทีผมสีดําขลับเริ่มเปลี่ยนเป็นสีเทาจากนั้นก็กลายเป็นสีขาวในขณะเดียวกันความหนาวเย็นอย่างสุดขั้วก็พุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว

 

“อาณาเขตเยือกแข็ง…”

 

“บรรพชนเก่าแก่ของตําหนักเทพเจ้าหิมะได้เลียนแบบอาณาเขตขนาดเล็กของตํานานยุทธขั้นสูงสุดสร้างเคล็ดวิชาที่ไม่มีใครทําได้เสมอเหมือนนี้ขึ้นมา…”

 

นักพรตเฒ่าจากสํานักเอกะวิถีพึมพํากับตนเองอยู่ในที่ห่างไกลออกไป

 

แน่นอนว่าเมื่อเทียบกับอาณาเขตขนาดเล็ก สิ่งที่เรียกว่าอาณาเขตเยือกแข็งนั้นไม่ได้นับเป็นสิ่งเลิศเลอแต่ประการใดเลย

 

แต่ก็ต้องยอมรับว่าอาณาเขตเยือกแข็งนั้นมีพลังเทียบเท่าหนึ่งในสิบส่วนของอาณาเขตขนาดเล็กที่แท้จริงแม้จะไม่สามารถตัดขาดการใช้พลังฟ้าดินของตํานานยุทธได้แต่อย่างน้อยมันก็ช่วยกดดันตํานานยุทธคนอื่นๆได้

 

“ใจดาบคืนซ่ง”

 

นักดาบจากพรรคหมื่นดาบกัดฟัน เหวี่ยงดาบยาวที่ถืออยู่ในมือทะลวงเข้าไปในทรวงอกของตนเอง ทันใดนั้น เจตจํานงดาบอันไร้ตัวตนก็รวมเป็นหนึ่ง

 

“หมดหวังแล้ว”

 

“เป็นจุดที่ไม่เหลือความหวังแล้วจริงๆ”

 

นักพรตเฒ่าสํานักเอกะวิถีกลืนน้ําลายลงคอ วิชาใจดาบคืนซ่งของพรรคหมื่นดาบนั้น ทุกครั้งที่ใช้ออกฐานการบ่มเพาะจะถดถอยลงอย่างน้อยหนึ่งระดับ หากมิใช่ว่าไร้หนทางจริงๆจะไม่มีศิษย์พรรคหมื่นดาบคนไหนเต็มใจที่จะใช้เคล็ดวิชานี้

 

“ร่างลวงตายมโลก กงล้อวัฏจักรชีวิต”

 

หมิงโยวจากนิกายเฮยหยวนก้าวเท้าออกไปเจ็ดก้าวติดต่อกันทุกย่างก้าวไอพลังจะพวยพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็วเมื่อก้าวครบเจ็ดก้าวหมิงโยวก็ได้ก้าวเข้าสู่ระดับใหม่ไปแล้ว

 

“ผู้เยี่ยมยุทธ”

 

“หมิงโยวได้กลายเป็นผู้เยี่ยมยุทธไปแล้ว?”

 

นักพรตสํานักเอกะวิถียืนนิ่งงันอยู่ที่เดิม

 

ในขณะนี้ กลิ่นอายที่ออกมาจากหมิงโยวแห่งนิกายเฮยหยวนนั้นแม้จะยังอ่อนด้อยกว่าตัวตนระดับผู้เยี่ยมยุทธที่แท้จริงแต่เห็นได้ชัดว่ามันสูงลํากว่าพวกเขามาก

 

“ตายซะ!”

 

พลังของหมิงโยวนั้นพวยพุ่งรุนแรง รูปลักษณ์ของเขาเปลี่ยนแปลงไปมาตลอดเวลาระหว่างภาพลวงตาและความเป็นจริงจากนั้นจึงซัดหมัดเข้าโจมตีซูฉินอย่างเต็มกําลัง

 

“ยามนี้ นักพรตแก่ๆ ผู้นี้ขอถอนตัวออกไปก่อน”

 

ร่างของนักพรตเฒ่าสํานักเอกะวิถีเริ่มออกตัววิ่งกลับหลังหนีไปอย่างรวดเร็วหนีไปยังสุดขอบของเกาะหยิงโจว

 

“ชายหนุ่มคนนั้น เห็นทีว่าจะต้องประสบกับอันตรายเข้าให้แล้ว”นักพรตเฒ่าสํานักเอกะวิถีพลันคิดขึ้นมาได้หลังจากหนีห่างออกมาได้หลายลี้จึงหันศีรษะกลับไปมองยังพื้นที่ต่อสู้

 

จากมุมนี้ นักพรตเฒ่าผู้มากประสบการณ์ก็ได้พบเห็นฉากที่ยากจะลืมเลือนได้ลงแม้จะผ่านไปชั่วชีวิต

 

เห็นซูฉินยังยืนอยู่ที่เดิม ดูเหมือนจมอยู่กับสภาวะใดสภาวะหนึ่ง ฉับพลันเขาก็ขมวดคิ้วขึ้นมาเล็กน้อยแล้วมองไปที่หมิงโยวกับคนอื่นๆอย่างเหลืออด

 

“หนวกหู!”

 

หวิ่ง!!

 

กระแสพลังไร้ลักษณ์ได้แผ่กระจายออกมา

 

ภายใต้กระแสพลังที่มองไม่เห็นนี้ ผู้อาวุโสเฉว่ยวแห่งตําหนักเทพเจ้าหิมะก็กระอักเลือดออกมาเป็นฟุมฝอย กระเด็นลอยกลับไปกระแทกพื้นอย่างแรงดาบยาวในมือของนักดาบพรรคหมื่นดาบก็ถูกทําลายโดยตรง จากนั้นก็เหมือนว่าเขาจะหมดลมหายใจลงในทันทีและสุดท้ายหมิงโยวจําต้องกลายเป็นร่างลวงตาโดยสมบูรณ์ เพื่อหลีก เลี่ยงการโจมตีบางส่วนแต่กระนั้นปราณฉีของร่างลวงตาก็ ยังสับสนมึนงงถอยหลังกลับไปหลายก้าวแทบจะล้มลงไปนั่งอยู่กับพื้น

 

“นี่?”

 

นักพรตเฒ่าเบิกตากว้างราวกับเห็นผี

 

Related

Sign in Buddha’s palm 221 ร่วมมือกัน

 

ด้านนอกเกาะหยิงโจว

 

หมิงโยวจากนิกายเฮยหยวนดูมีความสุขยิ่ง “ค่ายกลขนาดใหญ่กําลังจะแตกแล้ว!”

 

พวกเขาทั้งหมดล้วนเป็นผู้อาวุโสของนิกายใหญ่ในต่างแดนเป็นรองเพียงผู้นํานิกายเท่านั้น เคล็ดวิชาและความสามารถล้วนไม่ธรรมดาและในตอนนี้ด้วยความร่วมมือกันระหว่างพวกเขาทั้งหมดค่ายกลฟ้าดินที่คอยปกคลุมเกาะหยิงโจวก็พังลงในทันที

 

ฉีกกก!

 

เมื่อเห็นค่ายกลฟ้าดินถูกฉีกกระชากออก หมิงโยวจากนิกายเฮยหยวนและคนอื่นๆ ก็ก้าวผ่านรอยแยกนี้ เข้าไปภายในเกาะหยิงโจว

 

“ในที่สุดก็เข้ามาได้ ค่ายกลฟ้าดินขนาดใหญ่นั้นน่ากลัวเกินไปถ้าข้าไม่รู้จุดอ่อนเกรงว่าคงถูกพลังของค่ายกลฟ้าดินกดทับไปเสียนานแล้ว”

 

ชายที่สะพายดาบยาวจากพรรคหมื่นดาบดูเหมือนจะเกรงกลัวพลังของค่ายกลไม่น้อย

 

คนอื่นๆ ก็ใจสั่นไม่แพ้กัน เพิ่งรู้ซึ้งถึงพลังของค่ายกลฟ้าดินขนาดใหญ่ก็ยามนี้ และทําให้ยิ่งเกรงกลัวจ้าวทะเลบูรพาที่หายสาบสูญไปเมื่อหลายพันปีก่อนมากขึ้นไปอีก ตัวตนเช่นไรกันขนาดค่ายกลฟ้าดินขนาดใหญ่ที่ตั้งทิ้งไว้เบื้องหลังยัง น่ากลัวถึงขนาดนี้แม้จะผ่านมาเป็นระยะเวลานาน

 

“อิ่ม!”

 

“ถ้าหากมีแค่ข้าเพียงผู้เดียว แม้รู้ว่ามีจุดอ่อนอยู่ที่ใดในค่ายกลฟ้าดินขนาดใหญ่แห่งนี้ แต่ก็คงเป็นไปไม่ได้ที่จะทําลาย ไม่เช่นนั้นจะมีเหตุผลใดที่ข้าต้องเชิญชวนพวกท่านมาร่วมแบ่งสมบัติในครั้งนี้กับข้า?”

 

หมิงโยวจากนิกายเฮยหยวนเหลือบมองคนอื่นๆอย่างเย็นชา

 

นิกายเฮยหยวนต่างสั่งสอนศิษย์ให้เห็นแก่ตัว ไม่ต้องถามว่าตัวเขาเป็นเช่นไร? ถ้าไม่ใช่ว่าหมิงโยวไร้ทางเลือกเขาก็ไม่มีทางบอกความลับของถ้ําเซียนนี้ให้ผู้อื่นฟัง

 

“น่าเสียดาย…”

 

หมิงโยวจากนิกายเฮยหยวนเหลือบมองไปที่ประกายแสงสีเลือดที่ค่อยๆจางหายไปต่อหน้าต่อตาด้วยความทุกข์เล็กน้อย

 

ประกายแสงสีเลือดนี้กลั่นมาจากเลือดของทายาทศิษย์จ้าวทะเลบูรพาด้วยวิธีการลับของนิกายเฮยหยวน เมื่อใช้ไปแล้วไม่ว่าผลจะเป็นอย่างไรมันจะสลายหายไปกลับคืนสู่ฟ้าดิน

 

“โชคดีที่ข้าได้พบถ้ําเซียนของจ้าวทะเลบูรพาเรียบร้อยประกายแสงสีเลือดนี้ถือว่าทําหน้าที่ของมันแล้วแม้ว่ามันจะไม่สลายหายไปแต่ก็จะไม่ถูกนํามาใช้อีกในอนาคต”

หมิงโยวจากนิกายเฮยหยวนแอบพูดกับตัวเองคนเดียวใน

 

“ปราณฉีภายในเกาะแห่งนี้ดีกว่าโลกภายนอกมาก” เฉว่ยวอาวุโสจากตําหนักเทพเจ้าหิมะมีสีหน้าครุ่นคิด

 

แม้ว่าซูฉินจะกลืนกินน้ําพุจิตวิญญาณจนแทบเกลี้ยงและเกาะหยิงโจวก็สูญเสียแหล่งพลังงานไปแล้วแต่ปราณฉีและจิตใจแห่งฟ้าดินที่มีอยู่บนเกาะก่อนหน้าก็ไม่ได้หาย ไปในทันทีแต่จะค่อยๆลดลงไปตามเวลา

 

“ไม่เลว”

 

“สภาพแวดล้อมที่นี่เทียบได้กับในดินแดนของพวกเรา”

 

นักพรตสํานักเอกะวิถีพยักหน้าเล็กน้อยแสดงอาการเห็นด้วย

 

“เอาล่ะ หยุดพูดเรื่องไร้สาระได้แล้ว พวกเรารีบไปยังใจกลางของเกาะกันเถอะถ้ําเซียนของจ้าวทะเลบูรพาตั้งอยู่ตรงจุดนั้นโปรดจําไว้ว่ารอบถ้ําเซียนน่าจะมีค่ายกลสังหารล้อมไว้อยู่ระวังอย่าไปแตะต้องค่ายกลสังหารนั้นเข้าล่ะไม่เช่นนั้นแม้แต่ข้าเองก็ไม่อาจช่วยพวกเจ้าได้”

 

หมิงโยวจากนิกายเฮยหยวนกล่าวเตือน

 

หากกล่าวถึงค่ายกลฟ้าดินขนาดใหญ่จํานวนมากมายที่โอบล้อมเกาะหยิงโจวไว้ มันก็ยังพอมีทางหนีไปได้แต่สิ่งที่เรียกว่าค่ายกลสังหารนั้นย่อมไม่ให้โอกาสในการหลบหนีแก่พวกเขาแน่

 

“เข้าใจแล้ว”

 

ผู้อาวุโสคนอื่นๆ จากนิกายใหญ่รู้สึกตึงเครียดขึ้นมาเล็กน้อยพยักหน้ารับฟัง

 

ค่ายกลสังหารนั้นมีจุดประสงค์ก็เพื่อฆ่าสังหารเท่านั้นเมื่อนึกถึงความรู้ความเข้าใจของจ้าวทะเลบูรพาแล้วนั้นการจัดตั้งค่ายกลสังหารย่อมน่ากลัวอย่างยิ่ง

 

ในเวลาต่อมา

 

กลุ่มคนเหล่านี้ก็ตรงไปยังใจกลางเกาะหยิงโจว

 

ทุกคนต่างเป็นตํานานยุทธ สามารถฝ่าอากาศกลายเป็นเงาแสงหลายดวงพุ่งออกไปอย่างว่องไว

 

“หือ?”

 

ฉับพลัน

 

หมิงโยวจากนิกายเฮยหยวนก็หยุดฝีเท้า ร่องรอยความสงสัยปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขา

 

“สหายหมิงโยว ท่านหยุดทําไม?” ชายสะพายดาบยาวจากพรรคหมื่นดาบกล่าวถามออกมา

 

“แปลกยิ่งนัก

 

หมิงโยวจากนิกายเฮยหยวนสอดส่ายสายตาอย่างต่อเนื่องเพื่อตรวจสอบพื้นที่ใกล้เคียง

 

“ตามความเข้าใจของข้าจากข้อมูลที่รวบรวมไว้ในนิกายเฮยหยวน เกาะแห่งนี้มีชื่อเรียกว่าหยิงโจว เป็นลานพํานักข องจ้าวทะเลบูรพาเกาะแห่งนี้เต็มไปด้วยปราณฉีและจิตใจ แห่งฟ้าดินกระจายอยู่ทั่วทุกที่ถ้าว่ากันตามจริงแล้วควรจะ มีสิ่งมีชีวิตอยู่บ้าง”

 

“ตอนนี้เราเดินมาจนจะสุดทางแล้วแต่ยังไม่เห็นสิ่งมีชีวิตใดๆเลย”

 

หมิงโยวจากนิกายเฮยหยวนขมวดคิ้วและกล่าวออกมา

 

สิ่งมีชีวิตที่เขากล่าวถึงนั้นไม่ได้หมายถึงเผ่าพันธุ์มนุษย์เพียงเท่านั้น

 

“เมื่อสหายเต๋ได้กล่าวออกมาเช่นนี้ ข้าก็รู้สึกได้เช่นเดียวกัน” นักพรตเฒ่าจากสํานักเอกะวิถีก็กล่าวต่อไปว่า “ข้าเพิ่งจะใช้ทักษะลับในการสํารวจไปเมื่อครู่ ยืนยันได้เลยว่าเพิ่งจะมีกลิ่นอายของสิ่งมีชีวิตบนเกาะเมื่อไม่นานมานี้”

 

“แต่บัดนี้นั้น”

 

หลังจากนักพรตได้บอกออกมาเช่นนี้ก็ไม่ได้กล่าวต่อไป อีก

 

มีสิ่งมีชีวิตอยู่ แต่พวกเขาหาไม่พบ เห็นได้ชัดว่านี่เป็นปัญหาแล้ว

 

“อิ่ม!”

 

หลังจากนั้นไม่นาน หมิงโยวจากนิกายเฮยหยวนก็หัวเราะเยาะเย้ย“ทําตัวลับๆ ล่อๆ ถ้าสิ่งมีชีวิตบนเกาะนี้สามารถบดขยี้เราได้ง่ายๆ มันก็คงออกมาโจมตีเราตั้งแต่ที่ค่ายกลถูกฉีกขาดไปแล้วทําไมต้องรอคอยมาจนถึงตอนนี้เล่า?”

 

เมื่อหมิงโยวแห่งนิกายเฮยหยวนพูดเช่นนั้น มันก็เปลี่ยนเป็นร่างเงาดํามืดอีกครั้ง กระโดดพุ่งไปยังใจกลางของเกาะหยิ่งโจว

 

เมื่อคนอื่นๆ ได้ยินเช่นนี้ ต่างก็ชําเลืองมองหน้ากันกัดฟันแล้วรุดหน้าไปต่อ

 

ตอนนี้ถ้ําเชียนของจ้าวทะเลบูรพาอยู่ตรงหน้าแล้วความหวังที่จะทะลวงขั้นต่อไปก็แทบจะมองเห็นได้ชัดเจนถ้าจะมาหันหลังกลับเอาเสียตอนนี้คงไม่มีใครยินยอมมากกว่านั้น

 

ก็เป็นอย่างที่หมิงโยวได้พูดไป ถ้าเกาะนี้มีสิ่งมีชีวิตที่ทรงพลังกว่าพวกเขาจริงๆมันจะปล่อยให้พวกเขาเข้ามาง่ายๆ ได้อย่างไร?

 

ไม่ช้านาน

 

คนทั้งหลายก็มาถึงทะเลสาบใจกลางเกาะหยิงโจว

 

“อยู่ที่นี่งั้นหรือ?”

 

หมิงโยวจากนิกายเฮยหยวนแลดูตื่นเต้น จ้องมองไปที่เกาะเล็กๆกลางทะเลสาบ

 

ในเวลานั้นผู้อาวุโสทั้งหลายต่างก็รีบตามหมิงโยวมาดูเกาะเล็กๆที่อยู่ตรงกลางทะเลสาบด้วย

 

“นี่คือถ้ําเซียนงั้นหรือ?”

 

แม้ว่าจะเป็นเฉวยวี่ ผู้อาวุโสจากตําหนักเทพเจ้าหิมะดวงตาของนางก็ยังกลายเป็นร้อนแรง ถ้ําเซียนของเซียนเทพปฐพี่ได้มาอยู่ตรงหน้าพวกตนแล้วใครเล่าจะอดใจไหว?

 

“ข้าบอกแล้วนะว่าทะเลสาบแห่งนี้มันเป็นกลุ่มค่ายกลสังหารที่จัดตั้งโดยจ้าวทะเลบูรพาและไม่มีสิ่งมีชีวิตใดที่จะข้า มมันไปได้อย่าว่าแต่การไปยังเกาะเล็กๆกลางทะเลสาบนั้น เลย……

 

หมิงโยวแห่งนิกายเฮยหยวนพูดได้ถึงเท่านี้

 

ครืน

 

เสียงคํารามก้องก็ดังออกมาจากเกาะเล็กๆกลางทะเลส

 

ประตูหินสีดําค่อยๆ เปิดออก และชายร่างเพรียวที่มีดวงตาสงบนิ่งก็เดินออกมาจากด้านใน

 

ทุกคนตกตะลึง

 

โดยเฉพาะชายที่สะพายดาบด้ามยาวจากพรรคหมื่นดาบใบหน้าของเขาซีดเซียว

 

“จ้าว..จ้าวทะเลบูรพา?”

 

ชายสะพายดาบยาวกล่าวคําออกมา น้ําเสียงฟังดูคร่ําครวญ

 

คนอื่นๆ เองก็หน้าเปลี่ยนสี

 

ตามบันทึกของนิกายเฮยหยวน ทะเลสาบนั้นวางค่ายกลสังหารเอาไว้โดยจ้าวทะเลบูรพาและไม่มีทางที่ใครจะสามารถข้ามไปได้ในเวลานี้กลับมีชายคนหนึ่งเดินออกมาจากภายในใครๆ ก็ย่อมคิดว่าชายผู้นี้จะต้องเป็นจ้าวทะเลบูรพา

 

“เวลาผ่านไปตั้งเกือบหมื่นปีแล้ว”

 

“แม้จะมีจ้าวทะเลบูรพาอีกสักสิบคน อย่างไรก็ต้องแก่ตายกันไปหมดแล้ว”

 

หมิงโยวแห่งนิกายเฮยหยวนตอบสนองได้ก่อนจ้องตรงไปที่ซูฉินแล้วถามอย่างเย็นชาว่า “เจ้าเป็นใคร?”

 

ผู้อาวุโสจากตําหนักเทพเจ้าหิมะอย่างเฉวยวี่และผู้อาวุโสคนอื่นๆก็รู้ตัวแล้วเช่นกัน

เป็นจริงดังว่า

 

ไม่ว่าจ้าวทะเลบูรพาจะแข็งแกร่งเพียงใด ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะมีชีวิตอยู่มาจนถึงยุคนี้ แม้แต่ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุด เหนือล้ํา ยิ่งกว่าขอบเขตเซียนเทพปฐพีเมื่อผ่านไปหลายพันปี พวกเขาก็ย่อมต้องตายกันจนหมดสิ้นแล้วไม่ต้องพูดถึงจ้าวทะเลบูรพาเลย

 

“ข้าเป็นใคร?”

 

ซูฉินขี้เกียจเกินกว่าจะตอบคําถามนี้ ในตอนนี้เขาเพิ่งจะเข้าสู่ระดับนภาชั้นที่แปดและอยู่ในอารมณ์ที่ดีมีเพียงควา มรู้สึกที่ว่าโลกทั้งใบนั้นสดใสยิ่ง

 

ความรู้สึกครั้งเก่าก่อนที่เหมือนจะเข้าใจ แต่ก็คล้ายมิเข้าใจบัดนี้ได้เข้าใจจนหมดแล้ว เป็นความรู้สึกที่เหมือนกับได้เห็นท้องฟ้าสดใสหลังเมฆหมอกบดบัง

 

“ไม่บอกงั้นรึ?”

 

ท่าทีของหมิงโยวแห่งนิกายเฮยหยวนไม่ค่อยจะสบอารมณ์เท่าไรนัก

 

ตามหลักเหตุผลแล้ว เขาควรจะรีบหนีไปเสียตั้งแต่ตอนนี้แม้ว่าชายตรงหน้าจะไม่ใช่จ้าวทะเลบูรพา แต่ด้วยความสามารถในการข้ามค่ายกลสังหารแล้วเข้าสู่ถ้ําเซียนของจ้าวทะเลบูรพาได้นั้นไม่ใช่สิ่งที่มันจะหยั่งถึงได้

 

เพียงแต่เขาไม่เต็มใจจริงๆ

 

หลังจากนิกายเฮยหยวนจับทายาทของศิษย์จ้าวทะเลบูรพาไว้ได้พวกเขาก็รอคอยวันนี้มาโดยตลอด รอจนกว่าสภาพกระแสฟ้าดินจะเปลี่ยนแปลงรอจนถ้ําเซียนจะเผยไอ พลังออกมา

 

หลังจากทําทุกสิ่งทุกอย่างไปมากมายโดยไม่คาดคิดท้ายที่สุดกลับมีคนเข้ามาที่นี่ก่อนนิกายเฮยหยวน

 

“นายท่าน คนเหล่านี้นี่แหละที่บุกรุกเข้ามาที่นี่ทั้งยังรู้จุดอ่อนภายนอกของค่ายกลฟ้าดินขนาดใหญ่ด้วย จะต้องเตรียมการมาอย่างดีแน่นอน”

 

ทันใดนั้นเสียงอันคมชัดก็ดังขึ้นมาจากด้านข้างของซูฉินเป็นชิงชิวเฉียนเฉียนที่คอยกระซิบอยู่ข้างๆ

 

“ภูตอสูร?”

 

หมิงโยวจากนิกายเฮยหยวนเหลือบมองชิงชิวเฉียนเฉียนชั่วครู่หัวใจก็พลันกระตุกวูบ

 

ในยุทธภพต่างแดน การมีอยู่ของเผ่าพันธุ์ภูตอสูรไม่ใช่ความลับอย่างไรก็ตาม ในสงครามที่ต่อสู้กับโลกถ้ําปิศาจเมื่อหมื่นปีที่แล้วเผ่าภูตอสูรประสบกับความสูญเสียยิ่งเสียกว่าเผ่ามนุษย์และมรดกตกทอดก็ถูกตัดขาด ถ้าไม่มีสายเลือดของภูตอสูรสืบทอดต่อมา เกรงว่าพวกมันก็คงสูญพันธุ์ไปนานแล้ว

 

“แนวค่ายกลสังหารน่าจะพังทลายลงไปแล้ว…” หมิงโยวจากนิกายเฮยหยวนรู้ได้ด้วยวิธีการลับทําให้ใบหน้าของเขาค่อยๆผ่อนคลายลง

 

หากค่ายกลสังหารยังคงอยู่ภายในทะเลสาบและซูฉินบุกทะลวงค่ายกลสังหารของจ้าวทะเลบูรพาจนเข้าไปในถ้ําได้เขาจะหันหลังจากไปทันทีโดยไม่พูดอะไรสักคํา

 

การทะลวงค่ายกลฟ้าดินขนาดใหญ่จากภายนอกและการฝ่าแนวค่ายกลสังหารที่วางไว้โดยจ้าวทะเลบูรพานั้นเป็นสองสิ่งที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง

 

สําหรับตํานานยุทธที่เชี่ยวชาญในเรื่องค่ายกล แม้ว่าจะไม่รู้จุดอ่อนของค่ายกลฟ้าดินขนาดใหญ่ด้านนอกนั้นตราบใดที่มีเวลาหลายสิบปีนั่งคิดทั้งวันทั้งคืนควบคู่ไปกับความจริงที่ไม่มีใครคอยควบคุมค่ายกลฟ้าดินขนาดใหญ่อยู่ก็มีแนวโน้มที่จะทําลายค่ายกลฟ้าดินนั้นได้

 

แต่สําหรับค่ายกลสังหาร…

 

การฝาค่ายกลสังหารไปได้นั้นแสดงถึงความแข็งแกร่งอย่างแท้จริง ค่ายกลสังหารที่จัดตั้งโดยจ้าวทะเลบูรพาแม้จะเป็นเวลาหนึ่งหมื่นปีก่อนก็ไม่ใช่ทุกคนที่สามารถฝามันไปได้

 

ตัวตนที่สามารถฝ่าค่ายกลสังหารไปได้ แม้จะไม่ใช่ผู้แข็งแกร่งในขอบเขตเซียนเทพปฐพีก็ตาม แต่เกรงว่าคงจะอยู่ไม่ไกลแล้ว

 

แต่ตอนนี้หมิงโยวรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าค่ายกลสังหารได้พังทลายลงเมื่อเป็นเช่นนี้ ความแข็งแกร่งของซูฉินอาจจะไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด

 

“ท่านได้เข้าสู่ถ้ําเซียนของจ้าวทะเลบูรพา ต้องได้อะไรติดมือมามากมายเลยสิท่า?” หมิงโยวแห่งนิกายเฮยหยวนจู่ๆก็พูดขึ้นมาโดยฉับพลันขณะที่กําลังพูดนั้นก็ส่งสายตาให้กับผู้อาวุโสที่อยู่ใกล้ๆ

 

เฉว่ยว ผู้อาวุโสจากตําหนักเทพเจ้าหิมะพยักหน้าเล็กน้อยค่อยๆ เคลื่อนไหวอย่างเงียบๆ พร้อมกันนักดาบแห่งพรรคหมื่นดาบเข้าโอบล้อมซูฉินที่อยู่ตรงกลาง

 

นักพรตสําานักเอกะวิถีลังเลอยู่ครู่หนึ่งแต่ไม่ได้กระทําการใดออกไปโดยประมาท

 

เมื่อเทียบกับคนอื่นๆ สํานักเอกะวิถีมีภูมิหลังที่มั่งคั่งที่สุดและมีเซียนเทพปฐพีกําเนิดขึ้นมากกว่าหนึ่งคนดังนั้นแม้นักพรตเฒ่าจะกระหายในสมบัติของจ้าวทะเลบูรพาด้านในถ้ําเซียนแต่ความรู้สึกนั้นก็น้อยกว่าคนอื่นๆ มาก

 

อย่างน้อยก็ไม่คุ้มค่าที่จะเสี่ยงด้วยชีวิตของตน

 

“ท่านได้รับสมบัติของจ้าวทะเลบูรพามา ทําไมไม่แบ่งมันให้แก่พวกเราบ้าง?”

 

หมิงโยวจากนิกายเฮยหยวนจ้องตรงไปยังซูฉิน

 

คนตายเพราะเงิน นกตายจากความตะกละ

 

ด้วยการร่วมมือของพวกเขา แม้จะต้องเผชิญหน้ากับตัวตนระดับเดียวกับผู้นํานิกายที่แข็งแกร่งหากใช้กลอุบายเข้าช่วยก็อาจจะมีหวังได้ชัยชนะ

 

หมิงโยวจากนิกายเฮยหยวนเองก็เกรงกลัวซูฉินอยู่บ้างแต่เขาอยากจะเสี่ยงเพื่อที่จะได้รับสมบัติที่เหลืออยู่ของจ้าวทะเลบูรพามากกว่า

 

อย่างไรเสีย หมิงโยวก็คิดว่าความสามารถในการเอาตัวรอดของตนนั้นเป็นอันดับหนึ่งในต่างแดนแม้ว่าความแข็งแกร่งของซูฉินจะไปถึงระดับผู้เยี่ยมยุทธแล้วแต่เขาก็มั่นใจว่าสามารถหลบหนีกลับไปได้

 

Related

]Sign in Buddha’s palm 220

 

“หาถ้ําเซียนของจ้าวทะเลบูรพาเจอแล้วอย่างนั้นหรือ?”

 

ผู้อาวุโสคนอื่นๆ ต่างมองหน้ากัน แสดงสีหน้าตกใจ

 

พวกเขาค้นหาทั่วทะเลบูรพามานานกว่าหนึ่งเดือนแล้วตอนนี้กลับพบมันอย่างกะทันหัน?

 

หมิงโยวดูเหมือนจะล่วงรู้ถึงความสงสัยในใจทุกคน จึงอธิบายออกมาอย่างรวดเร็ว “ประกายแสงสีเลือดนี้เป็นทักษะ ลับของนิกายเฮยหยวนของข้าสกัดเลือดของลูกหลา นศิษย์จ้าวทะเลบูรพาออกมาปรับแต่ง”

 

“ตราบใดที่มันอยู่ในระยะหนึ่งลี้ห่างจากถ้ําเซียนมันจะสามารถจับตําแหน่งได้ นอกจากนี้เมื่อกลิ่นอายของถ้ําเซียนรั่วไหลออกมามันก็สามารถสัมผัสได้เช่นเดียวกัน”

 

เมื่อหมิงโยวพูดมาถึงตอนนี้ รอยยิ้มก็ปรากฏขึ้นมาบนใบหน้าของเขาและพูดต่อไปว่า “เดิมที่กระแสปราณฉีค่อยๆฟื้นฟูขึ้นมาแล้วข้าเดาว่าค่ายกลฟ้าดินขนาดใหญ่ภายในถ้ําเซียนของจ้าวทะเลบูรพาจะต้องเสื่อมถอยลงแต่ก็ยังไม่แน่ใจ”

 

“แต่ตอนนี้เหมือนว่าข้าจะคาดเดาได้ถูกต้องแล้ว”

 

ขณะที่หมิงโยวพูดออกมา น้ําเสียงของเขาเต็มไปด้วยความตื่นเต้น

 

เนื่องจากกลิ่นอายของถ้ําเซียนรั่วไหลออกมาในเวลานี้หมายความว่าค่ายกลนั้นยังคงทํางานมาโดยตลอด

 

ตราบใดที่ค่ายกลฟ้าดินที่ถูกสร้างขึ้นโดยเซียนเทพปฐพียังไม่เสื่อมสภาพจนกลายเป็นขยะ ในช่วงที่กระแสปราณฉี แห้งเหือดเช่นนี้ใครจะสามารถฝาเข้าไปได้บ้าง?

 

ดังนั้นหมิงโยวจึงตัดสินว่า สมบัติมากมายภายในถ้ําเซียนของจ้าวทะเลบูรพาควรจะยังอยู่และไม่มีใครมาจับจองเอาไป

 

“ในเมื่อเป็นเช่นนั้น”

 

“สหายหมิงโยว พวกเรายังจะรออะไรกันอยู่อีก?”

 

ชายที่สะพายดาบยาวจากพรรคหมื่นดาบรีบกล่าวออกโดยทันที

 

“ไม่ต้องรีบ

 

“ประกายแสงสีเลือดจับตําแหน่งได้แล้ว อย่างไรก็หนีไม่พ้นหรอก”

 

หมิงโยวค่อยๆ เดินทางตามประกายแสงสีเลือดไป และผู้อาวุโสคนอื่นๆ ก็ติดตามไปอย่างใกล้ชิด

 

ไม่ช้านาน

 

คนทั้งหลายก็มาถึงน่านน้ําอันว่างเปล่า

 

“มันคือที่นี่หรือ?”

 

เมื่อเห็นว่าประกายแสงสีเลือดยังคงหมุนวนต่อไป หมิงโยวก็มั่นใจว่าถ้ําเซียนของจ้าวทะเลบูรพาต้องอยู่ใกล้ๆ นี้

 

เฉว่ยว ผู้อาวุโสจากตําหนักเทพเจ้าหิมะและผู้อาวุโสคน อื่นๆต่างมองไปรอบๆ ขมวดคิ้วแล้วพูดขึ้นว่า “ทําไมข้าไม่เห็นรู้สึกถึงกลิ่นอายอะไร?”

 

“หึ!”

 

หมิงโยวเยาะเย้ย “จ้าวทะเลบูรพาเป็นตัวตนเช่นไรด้วยความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับค่ายกลของเขา เจ้าจะสามารถหยังถึงได้อย่างไร?”

 

“มิผิด”

 

นักพรตจากสํานักเอกะวิถีพยักหน้าเล็กน้อย “มีบันทึกในสํานักของข้ากล่าวว่าจ้าวทะเลบูรพานั้นสูงส่งเสียดฟ้า เป็นรองก็แต่ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดเท่านั้น ถ้าไม่ใช่เพราะสงครามในยุคนั้นจ้าวทะเลบูรพาก็น่าจะกลายเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดใน เวลาต่อมาตามการคาดการณ์ของทุกคน……”

“สงครามครั้งนั้น…..

 

หมิงโยวมองนักพรตสํานักเอกะวิถีด้วยความสนใจ “ฝ่ายใดที่ชนะการต่อสู้?”

 

เมื่อเทียบกับนิกายอื่นๆ ในต่างแดนที่สืบทอดมรดกมาหลายหมื่นปีหรือแม้กระทั่งสืบทอดมรดกมาตั้งแต่ยุคเฟื่องฟูของกระแสปราณฉีครั้งล่าสุด

 

มรดกของนิกายเฮยหยวนนั้นมีอายุสั้นกว่ามากแม้จะยาวนานเช่นกันแต่ก็รู้เพียงว่าสงครามในยุคนั้นช่างเป็นเรื่องน่าเศร้าอย่างยิ่งและแม้แต่จอมยุทธผู้ไร้เทียมทาน เป็นที่กล่าวขานกันว่าแข็งแกร่งที่สุดอยู่เหนือขอบเขตเซียนเทพปฐพี่ต่างตกตายกันราวกับใบไม้ร่วง

 

ไม่เช่นนั้นแล้ว แม้กระแสปราณฉีจะซบเซาลงพวกเขาก็คงจะยังไม่ตาย

 

“แน่นอนว่าพวกเราชนะ”

 

นักพรตสํานักเอกะวิถีส่ายหัวแล้วกล่าวว่า “ไม่เช่นนั้นโลกนี้คงถูกปีศาจเข้ายึดครองไปแล้ว พวกเรายังจะได้มายืนพูดคุยกันอยู่ที่นี่หรือ?”

 

นักพรตเฒ่ากล่าวออกมาเช่นนี้ก็หยุดไปชั่วครู่ ถอนหายใจออกมา “ถึงแม้โลกของเราจะขับไล่โลกถ้ําปิศาจไปได้มันก็ต้องจ่ายราคามหาศาลจนน่าสลดใจเช่นกัน โดยเฉ พาะในช่วงท้ายของสงครามซึ่งได้สร้างความรําคาญใจให้กับเทพเจ้าปีศาจแห่งโลกถ้ําปีศาจ อีกฝ่ายจึงลืมตาตื่นขึ้นมาจากส่วนลึกของโลกถ้ําปีศาจจ้องมายังโลก….”

 

“ด้วยการจ้องมองที่น่าสะพรึงกลัวนั้น สนามรบก็พลันถล่มลงมาผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในหมู่มวลมนุษย์ต่างล้มหายตายจากสร้างความเสียหายอย่างรุนแรงให้แก่พวกเรา….”

 

นักพรตเฒ่าเหม่อมอง เต็มไปด้วยอารมณ์ความรู้สึก

 

หลังจากผ่านเวลาไปเนิ่นนาน ความเป็นจริงในช่วงนั้นก็ไม่สามารถเรียกคืนกลับมาได้หมด แม้ว่าจะเป็นนิกายใหญ่เองก็ตามพวกเขาก็แทบไม่สามารถสรุปได้อย่างแน่ชัดจริงๆว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ทําได้เพียงอนุมานเอาจากบันทึกโบ ราณภายในนิกายของตนเท่านั้น

 

“เข้าใจแล้ว”

 

ท่าทีของหมิงโยวนั้นเคร่งขรึม

 

แม้ร่างปีศาจลวงตาของนิกายเฮยหยวนจะแข็งแกร่งที่สุดในด้านการเอาตัวรอดแต่หมิงโยวก็รู้ตัวเองดีเช่นกัน

 

สิ่งที่เรียกว่าจุดแข็งในการเอาตัวรอดนั้น ในอีกแง่ หากมองย้อนไปเมื่อหนึ่งหมื่นปีก่อน เมื่อต้องเผชิญกับการจ้องมองของเทพเจ้าปีศาจแม้ว่าบรรพชนของนิกายเฮยหยวน จะฟื้นคืนชีพขึ้นมาเขาก็ต้องตายแล้วตายอีกจนไม่รู้จะตายอย่างไรแล้วเป็นแน่

 

“ไม่ต้องพูดคุยกันให้มากความแล้ว”

 

“รีบทําลายค่ายกลกันเถอะ”

 

หมิงโยวครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งแล้วจึงยื่นมือขวาไปด้านหน้าทันใดนั้นกลุ่มหมอกสีดําก็ปรากฏขึ้นมา

 

กลุ่มหมอกสีดํานี้ถูกขว้างออกไปตรงๆ

 

ในชั่วพริบตา

 

ชั้นของค่ายกลฟ้าดินจํานวนมากก็ปรากฏขึ้น มันถูกเผยออกมาให้เห็นเมื่อสัมผัสเข้ากับกลุ่มหมอกสีดํา

 

“อยู่ตรงนี้งั้นรึ?”

 

ท่าทีของหมิงโยวเปี่ยมไปด้วยความยินดี

 

ค่ายกลฟ้าดินขนาดใหญ่ที่จัดตั้งโดยจ้าวทะเลบูรพานั้นช่างซ่อนเร้นเสียจริง แม้มันอยู่ตรงหน้าพวกเขาแล้วก็ยังไม่สามารถรู้สึกได้เลยแม้แต่น้อย

 

การที่มองไม่เห็นไม่ได้หมายความว่าไม่มีอยู่จริง

 

หมิงโยวต้องอาศัยประกายแสงสีเลือดเท่านั้นจึงจะยืนยันได้ว่ามันอยู่ที่นี่จริงๆ

 

“ค่ายกลฟ้าดินที่มีขนาดใหญ่เช่นนี้ เมื่อเทียบกับค่ายกลที่คอยคุ้มกันนิกายใหญ่ก็ยังไม่ยอดเยี่ยมเท่าค่ายกลหลังนี้”

 

นักพรตเฒ่าพยักหน้าเล็กน้อย กระซิบเบาๆ ด้วยความตกใจ

 

“แล้วตอนนี้พวกเราควรทําเช่นไรต่อ?”

 

เฉวยวี ผู้อาวุโสจากตําหนักเทพเจ้าหิมะถามออกไปตรงๆ

 

“พวกเจ้าจงยืนตามตําแหน่งเหล่านี้ พยายามอย่างเต็มที่ในการโจมตีค่ายกลฟ้าดินขนาดใหญ่นี่ซะ” หมิงโยวไม่ได้ตั้งใจจะปกปิดอะไร “ทําลายค่ายกลฟ้าดินขนาดใหญ่นี้ด้วยกําลังของพวกเราดูจากพลังของพวกเราแล้ว เมื่อโจมตีอย่า งเต็มที่ ไม่เกินครึ่งชั่วโมงก็คงฝาค่ายกลขนาดใหญ่นี้เข้าไปได้”

 

หมิงโยวเหลือบมองทุกๆ คน

 

นี่เป็นข้อมูลที่ค่าที่สุดที่เขาได้รับมาจากทายาทของศิษย์จ้าวทะเลบูรพา

 

ยกเว้นแต่ศิษย์ที่ใกล้ชิดกับจ้าวทะเลบูรพามากๆคนอื่นจะรู้ได้อย่างไรว่าจุดอ่อนของค่ายกลฟ้าขนาดใหญ่นั้นอยู่ตรงไหน?

 

“ยอดเยี่ยมยิ่ง”

 

ชายที่สะพายดาบยาวจากพรรคหมื่นดาบถอนหายใจด้วยความโล่งอก

 

ถ้าหากพวกเขาเข้าโจมตีค่ายกลฟ้าดินที่จัดตั้งโดยเซียนเทพปฐพีนี้ ก็คงเหมือนกับกลุ่มมดต้องการจะสั่นสะเทือนท้องฟ้า พวกเขาไม่สามารถสร้างผลกระทบใดได้เลย

 

บางทีเมื่ออยู่ต่อหน้าค่ายกลขนาดใหญ่เช่นนี้พวกเขาอาจจะบาดเจ็บสาหัสหรือไม่ก็ถึงขั้นเสียชีวิตก็เป็นได้

 

แต่ก็เท่านั้น

 

บัดนี้ล่วงเลยมาเกือบหมื่นปี พลังของค่ายกลฟ้าดินขนาดใหญ่ก็เริ่มเสื่อมโทรมลง ประกอบกับจุดอ่อนบนค่ายกลที่หมิงโยวได้บอกกล่าวออกมาก็เป็นไปได้ที่จะทํา ลายค่ายกลฟ้าดินขนาดใหญ่นี้ภายในครึ่งชั่วโมง

 

“มาเริ่มกันเลย”

 

หมิงโยวยืนอย่างสง่าผ่าเผยอยู่ในตําแหน่งหนึ่งยกมือขวากระแทกเข้าใส่เกราะป้องกันของค่ายกลฟ้าดิน

 

ผู้อาวุโสคนอื่นๆ ต่างมองหน้ากันและตัดสินใจลงมือ

 

ทันใดนั้น

 

ผู้อาวุโสจากนิกายใหญ่ทั้งหมดก็ลงมือพร้อมกัน

 

ในชั่วพริบตา ค่ายกลฟ้าดินขนาดใหญ่ที่คอยครอบคลุมเกาะหยิงโจวก็สว่างไสวไปด้วยแสงอันเจิดจ้า

 

ในเวลาเดียวกัน

 

ชิงชิวเฉียนเฉียนกําลังนั่งขัดสมาธิและฝึกฝนบ่มเพาะเคล็ดวิชาของเผ่าภูตอสูรอยู่อย่างเงียบๆ

 

“หือ?”

 

“มีคนกําลังโจมตีค่ายกลฟ้าดิน?”

 

ชิงชิวเฉียนเฉียนลืมตาขึ้น มองขึ้นไปบนท้องฟ้าด้วยความประหลาดใจ

 

เห็นระลอกคลื่นจางๆ บนท้องฟ้า เหมือนกับก้อนหินที่ถูกเหวี่ยงตกลงไปในแม่น้ํา ชิงชิวเฉียนเฉียนเห็นร่างหลายร่างกําลังโจมตีค่ายกลฟ้าดินอย่างต่อเนื่อง

 

“เมื่อเทียบกับตอนที่นายท่านโจมตี มันเทียบไม่ได้แม้แต่หนึ่งในร้อยส่วน.” ชิงชิวเฉียนเฉียนสายศีรษะ

 

ซูฉินตอนที่อยู่นอกเกาะหยิงโจว เกือบแยกเกาะหยิงโจวงหมดออกเป็นสองส่วนด้วยคมมีดเทพเจ้าปีศาจ สิ่งที่ตามมามันยิ่งกว่าฟ้าถล่มดินทลายอีกไม่ใช่หรือ?

 

“แต่อย่างไรก็ตาม มนุษย์ที่กําลังโจมตีค่ายกลอยู่นั้นก็ไม่ได้อ่อนแอ หากจับเป็นพวกมันได้ บางทีอาจจะทําให้ผู้อาวุโสพึงพอใจ?”

 

หัวใจของชิงชิวเฉียนเฉียนกระตุกเล็กน้อย

 

นางไม่รู้จะทําตัวมีประโยชน์ต่อซูฉินอย่างไรดีเช่นนั้นนางควรจะจับพวกมันมาสักสองสามคนคงจะดี

 

เมื่อชิงชิวเฉียนเฉียนกําลังเตรียมจะใช้พลังของค่ายกลฟ้าดินขนาดใหญ่เพื่อกําจัดหมิงโยวและผู้อาวุโสนิกายใหญ่คนอื่นๆใบหน้าของนางก็พลันเปลี่ยนไป

 

“ไม่ถูกต้อง”

 

“ทําไมคนพวกนี้จึงรู้จักจุดอ่อนของค่ายกลฟ้าดินขนาดใหญ่?”

 

ชิงชิวเฉียนเฉียนรู้สึกไม่อยากจะเชื่อ

 

ค่ายกลฟ้าดินขนาดใหญ่ที่ครอบคลุมเกาะหยิงโจวอยู่นั้นกสร้างด้วยฝีมือของจ้าวทะเลบูรพา เป็นไปไม่ได้ที่บุคคลภายนอกจะทราบจุดอ่อนของค่ายกลฟ้าดินนี้ ยกเว้นผู้ที่ใกล้ชิดกับจ้าวทะเลบูรพาเท่านั้น

 

เนื่องจากจุดอ่อนของค่ายกลฟ้าดินขนาดใหญ่ก็เหมือนกับข้อบกพร่องของค่ายกล ตราบใดที่จับจุดอ่อนได้การทําลายค่ายกลก็เป็นเพียงเรื่องของเวลาเท่านั้น

แม้ว่าชิงชิวเฉียนเฉียนจะเป็นผู้ควบคุมค่ายกลแต่อย่างน้อยก็ทําได้เพียงยืดระยะเวลาออกไปได้ชั่วขณะหนึ่งไม่ช้าก็เร็วค่ายกลจะต้องถูกทําลาย

 

“คนพวกนี้น่าจะเตรียมตัวมาแต่แรกแล้ว”

 

ท่าทีของชิงชิวเฉียนเฉียนกลายเป็นเคร่งขรึมไม่มีความลังเลใจ รีบมุ่งหน้าไปยังเกาะเล็กๆกลางทะเลสาบ “เรื่องนี้ควรแจ้งให้ผู้อาวุโสทราบโดยเร็วที่สุด”

 

ก่อนที่จะปิดด่านฝึกตน ซูฉินได้บอกชิงชิวเฉียนเฉียนเอาไว้ว่าหากมีสิ่งใดที่ไม่สามารถจัดการได้ก็ให้มาแจ้งตัวเขา

 

และเรื่องในตอนนี้ เป็นเรื่องที่ชิงชิวเฉียนเฉียนไม่สามารถแก้ไขได้แกลางทะเลสาบ

 

ซูฉันค่อยๆเปิดเปลือกตาขึ้น

 

ในเวลานี้ รัศมีพลังในร่างของเขาลดลงอย่างสมบูรณ์และดูเหมือนกับคนธรรมดาไม่ผิดเพี้ยน จะมีก็แต่ซูฉินเท่านั้นที่รู้ ว่ามีพลังอันน่าสะพรึงกลัวเท่าใดที่อยู่ภายในร่างของเขา

 

“ในที่สุดก็ก้าวเข้าสู่ระดับนภาชั้นที่แปดได้แล้ว”

 

ซูฉินถอนหายใจ ร่องรอยแห่งความสุขปรากฏขึ้นบนใบหนา

 

การมายังทะเลบูรพาในครั้งนี้ ไม่เพียงแต่ได้รับ ภาพสิบสองสัตว์ศักดิ์สิทธิ์” ซึ่งเป็นเคล็ดวิชาที่แข็งแกร่งที่สุดรองลงมาจากฝามือยูไลแต่ฐานการบ่มเพาะของเขายังเพิ่มขึ้นอีกด้วยซูฉินจะไม่พึงพอใจได้อย่างไร

 

ตอนนี้ซูฉินอยู่ห่างจากระดับนภาชั้นที่เก้าอีกเพียงหนึ่งก้าวเท่านั้น เมื่อเข้าสู่ระดับนภาชั้นที่เก้าแล้ว เขาจะสามารถกลั่นจิตวิญญาณแรกกําเนิดเพื่อเข้าทะลวงขอบเขต เซียนเทพปฐพี่ได้

 

“น่าเสียดายที่น้ําพุจิตวิญญาณมีเพียงเท่านี้”

 

ซูฉินก้มศีรษะและเหลือบมองลงไป

 

เห็นว่าตาน้ําพุจิตวิญญาณที่แต่เดิมไหลหลากออกมาได้เดือดแห้งไปหมดแล้ว และจิตใจแห่งฟ้าดินที่เคยพุ่งออกมาอย่างต่อเนื่องบัดนี้ก็เหลือเพียงแค่เศษเสี้ยวเล็กๆ เท่านั้น

 

“หากรออีกสักพันปี หลังจากกระแสปราณฉีกลับมารุ่งเรืองอีกครั้ง ตาน้ําพุจิตวิญญาณกลุ่มนี้ก็อาจจะฟื้นตัวกลับมาอีกครั้ง”

 

ซูฉินแตะปลายคางแววตาครุ่นคิด

 

เหตุผลที่เรียกตาน้ําพุจิตวิญญาณว่า “น้ําพุ นั่นก็เพราะว่ามันเหมือนกับน้ําพุจริงๆ ที่สามารถพ่น “น้ําแร่” ออกมาได้อย่างต่อเนื่อง

 

ตราบใดที่ตาน้ําพุยังคงมีอยู่ จะต้องมีสักวันที่มันฟื้นกลับคืนมาอีกครั้ง สิ่งสําคัญคือเรื่องของเวลาเพียงเท่านั้น

 

“จะดีไหมถ้าย้าย”น้ําพุ ที่เดือดแห้งนี้ไปยังเมืองฉางอันที่นั่นมีค่ายกลฟ้าดินจํานวนมากคอยหล่อเลี้ยงบางทีตาน้ําพุนี้อาจจะฟื้นตัวเร็วขึ้น?”

 

ความคิดของซูฉินผันผวนอยู่ภายในใจ

 

ในตอนที่จ้าวทะเลบูรพาพบตาน้ําพุจิตวิญญาณนี้ในทางตอนเหนือที่แสนไกล เขาสามารถย้ายมันมาไว้ที่นี่ได้ และตอนนี้การที่ซูฉินจะย้ายน้ําพุจิตวิญญาณกลับไปยังเมืองฉางอันได้ด้วยก็ไม่ใช่เรื่องแปลก

 

ขณะที่ซูฉันกําลังคิดเรื่องราวนั้นอยู่อย่างเพลินๆเสียงร้องเรียกของชิงชิวเฉียนเฉียนก็ดังอยู่ด้านนอก

 

“หืม?”

 

ซฉินขมวดคิ้ว

 

“เข้ามา”

 

เพียงแค่ซูฉินนึกคิด ประตูหินสีดําด้านหน้าถ้ําก็เปิดออกอย่างช้าๆ

 

“ผู้อาวุโส”

 

“ผู้อาวุโส ไม่ดีแล้ว มีคน มีคนกําลังบุกเข้ามา”

 

ชิงชิวเฉียนเฉียนเดินเข้าไปในถ้ําอย่างรวดเร็ว ยืนสํารวมอยู่ตรงหน้าของซูฉิน จากนั้นจึงกล่าวออกมาอย่างเร่งรีบ

 

“มีคนบุกเข้ามา?”

 

ซูฉินประหลาดใจเล็กน้อย จ้องมองไปยังท้องฟ้าเบื้องบนจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์เริ่มครอบคลุมไปทั่วทุกทิศทาง

 

ตอนที่ 169 : ฉากการผลิกผันครั้งใหญ่!

 

เจียงเฉินมองมู่เฉิงเฉิงอยู่ซักพักก่อนจะหันไปมองจ้าวห ยวน

 

จ้าวหยวนก็เข้าใจเจียงเฉินได้ทันที่เขาหันไปพูดกับหวงซาน “คุณหวงผมมีคําแนะนําครับ”

 

“โอ้?”

 

หวงซานพอใจกับท่าทีของจ้าวหยุนมาก “งั้นคุณก็พูดมาเถอะคุณจ้าว”

 

จ้าวหยวนยิ้มแล้วพูดออกมา “ที่จริงแล้วผมคิดว่าไหนๆคุณหวงก็พาสองสาวกับหนึ่งหนุ่มาเลี้ยงทั้งที่จะเลี้ยงจานธรรมดาๆแบบนี้ได้ยังไงกันครับ?”

 

“โอ้?”

 

หวงซานรู้สึกอารมณ์เสียเล็กน้อย เขาจะโอ้อวดด้วยอาหารจานธรรมดาๆแบบนี้ได้ยังไงกัน? ถ้าเป็นแบบนี้เขาจะไปดูดีกว้าเจียงเฉินได้ยังไง?

 

“แล้วคุณจะให้ผมทํายังไงล่ะ?”

 

“ความจริงแล้ว…”

 

จ้าวหยวนยิ้มแล้วพูดออกมา “ซินหลงจีของเรานั้นมีทั้งเมนูอาหารแบบปกติที่ให้ลูกค้าเข้ามาสั่งและพวกเราก็ยังมีเมนูพิเศษอีกด้วย!ซึ่งมันเป็นเมนูที่มีไว้สําหรับนักชิมชั้นนําจากทั่วโลก!”

 

“งั้นหรอ?!”

 

เมื่อหวงซานได้ยินเขานั้นก็ราวกับได้รับแรงบันดาลใหม่ทันที!

 

นี่แหละสิ่งที่เขาต้องการ!

 

อาหารสําหรับนักชิมระดับโลก!

 

“เอามาเลย!”

 

หวงซานโบกมือของเขา “มันจะต้องเป็นอาหารที่ดีระดับโลกแน่ๆ! ซินหลงจีที่เป็นถึงร้านอาหารมิชลินระดับ 3 ดาวคงไม่เสิร์ฟแต่ผักกําหล่ําปลีหรอกมั้ง?

 

ลูกค้าที่อยู่รอบๆกําลังเคี้ยวกะหล่ําปลีกันอยู่ก็ได้ยินหวงซานพูดดูถูกออกมา!

 

แม่แกเถอะ!

 

นี่แกคงไม่ได้ด่าพวกเราอยู่ใช่ไหม?

 

“ได้เลยครับ! พวกเรามีทั้งเห็ดทรัฟเฟิลดําไข่ปลาคาเวียร์เนื้อโกเบตับห่านจากประเทศฝรั่งเศษและยังมีอื่นๆอีกมากมายพวกเรารับประกันเลยว่าส่วนผสมทุกอย่า งล้วนเป็นของระดับโลกและพ่อครัวระดับมิชลินก็จะปรุงให้คุณด้วยตัวเอง!

 

จ้าวหยวนกล่าวออกมาอย่างสุภาพ

 

“ดี ดี ดี!”

 

หวงซานอดใจรอไม่ไหว “ไปเลย! เอามาให้ฉันให้หมด!”

 

จ้าวหยวนตอบตกลงทันที “ได้ครับ เราจะเตรียมอาหารให้ทันที!”

 

หวงซานในตอนนี้มีใบหน้าที่เปร่งปลั่งและเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ “เฉิงเฉิง เค่อเฉียน วันนี้พวกเธอโชคดีจริงๆถึงได้มากินอาหารระดับโลกกับฉัน!”

 

มู่เฉิงเฉิงมองเขาอย่างดูถูกส่วนเฉินเค่อเฉียนก็ยิ้มออกมาแต่ไม่ได้พูดอะไร

 

แต่เจียงเฉินนั้นยิ้มและพูดออกมา “ขอบคุณมากนะครับคุณหวงสําหรับน้ําใจในครั้งนี้ แต่ผมจําได้ว่าอาหารพวกนี้ราคาไม่ต่ําเลยและเมื่อมาถึงร้านซินหลงขี่มันจะต้องแพงขี้ นมากแน่!”

 

“เงินเล็กๆน้อยๆแบบนี้มันก็แค่เรื่องเล็กๆน้อยๆ!”

 

หวงซานยิ้มแล้วโบกมือไปมา “เงินน่ะคือสิ่งที่ฉันมีไม่เคยขาด! ในเมื่อเฉินเชิญสองสาวสวยมาทานอาหารด้วยกันแล้วพวกเธออยากสังเท่าไหร่ก็ตามใจเลย!”

 

ราคาแพงแล้วยังไง มันก็แค่เท่านั้นแหละ!

 

และเขาเองก็กําลังจะบรรลุเหตุผลจากการโอ้อวดในครั้งนี้แล้ว

 

ซักพักจานก็ถูกนํามาเสิร์ฟมาทีละจาน

 

จ้าวหยวนอธิบายออกมาเป็นการส่วนตัว “นี่คือเห็ดทราฟเฟิลดําที่ดีที่สุด! และมันยังได้รับการยกย่องให้เป็นเพรชเม็ดงามของห้องครัว! เนื่องจากเรานั้นไม่สามารถปลูกมันได้การที่จะหามันมาได้นั้นเราจําเป็นต้องใช้หมูหรือสุนัขที่มีประสาทที่ไวต่อกลิ่นเป็นพิเศษเท่านั้นในการหาและเห็ดทรัฟเฟิงดําน้ําหนัก 500 กรัมของเรานั้นพวกเราได้ทําการ ประมูลมันมาที่ราคาหลายหมื่นดอลลาร์! แน่นอนว่าพวกมันล้วนแล้วแต่เป็นเห็ดที่มีคุณภาพมากที่สุดในโลก!และลูกค้ามีทั้งหมด 4 ท่านดังนั้นก็จะรับเป็นอาหารชุดนี้ 4 ชุดนะครับ”

 

“หลายหมื่นดอลลาร์?”

 

รอยยิ้มของหวงซานค่อยๆหายไป

 

“วัตถุดิบชั้นยอดของเรานั้นถูกส่งทางอากาศตรงมาจากประเทศฝรั่งเศษ!และแน่นอนว่าราคาหลายหมื่นที่ได้กล่าวไปก่อนหน้านี้เป็นเพียงแค่ราคาของวัตถุดิบต่อจานฮ่าฮ่าฮ่า”

 

จ้าวหยวนถูมือไปมาพร้อมกับรอยยิ้ม “คุณหวงคงไม่ใส่ใจกับเงินเพียงเท่านี้หรอกใช่ไหมครับ?”

 

“ใช่แล้วๆ”

 

ทันทีที่หวงซานได้ยินคําว่าไม่ใส่ใจ ความตกใจก็เปลี่ยนเป็นสงบนิ่งทันที “ไม่สนใจหรอก!”

 

“นี่คือไข่ปลายคาเวียร์จากแบรนด์อัลมาสครับ”

 

จ้าวหยวนนํากล่องๆเล็กหนึ่งกล่องออกมาให้คนทั้งสี่ได้ดู!

 

ตัวกล่องนั้นทํามาจากทองคําบริสุทธิ์ 24 KI

 

หวงซานที่เห็นก็ยังต้องตกใจ!

 

“นี่คือไข่ปลาคาเวียร์ที่มีราคาแพงที่สุดในโลก มันทํามาจากไข่ปลาเบลูก้าสเตอเจี้ยน มันถูกจัดจําหน่ายอยู่ที่กรุงลอนดอนเท่านั้นราคาไข่ปลาคาเวียร์ 1 กล่องขนาด 32 อ อนซ์กล่องนี้อยู่ที่ 23,308 ดอลลาร์สหรัฐราคาแพงยิ่งกว่าทองคําและเพื่อให้มันได้ถูกบรรจุอยู่ในสิ่งที่คู่ควรดังนั้นกล่องที่ถูกนํามาใช้ทําเป็นบรรจุภัณฑ์นั้นจึงทํามาจาก ทองคํา 24 K!

 

จ้าวหยวนพูดออกมาอย่างสุภาพ “คําว่า Almas นั้นหมายถึงเพรชในภาษารัสเซีย ซึ่งเหมาะสมที่สุดสําหรับการนํามาตั้งชื่อให้กับไข่ปลาคาเวียร์ที่แพงที่สุดในโลก!”

 

หวงซานมองดูกล่องคาเวียร์สีทอง “…”

 

ทันใดนั้นกล้ามเนื้อบนใบหน้าของเขาก็เริ่มหดเกร็ง–

 

แค่ตัวกล่องยังทํามาจากทองคําบริสุทธิ์แถมไข่ปลาข้างในยังมีค่าเสียยิ่งกว่าทอง

 

“คุณเป็นอะไรรึเปล่าครับ?”

 

จ้าวหยวนพูดออกมาอย่างใจเย็น “ดูจากสีหน้าของคุณแล้วดูเหมือนจะรู้สึกอึดอัดนะครับ?”

 

หวงซานปาดเหงื่อออกแล้วยิ้มออกมา “ไม่ๆ ผมสบายดี”

 

“แล้วทําไมถึงได้มีเหงื่อออกเยอะขนาดนี้ล่ะครับ?”

 

จ้าวหยวนยิ้มแล้วพูดออกมา “คุณ คุณคงไม่คิดว่ามันแพงเกินจนจ่ายไม่ไหวใช่ไหม?”

 

หวงซานรู้สึกอับอาย เขาตบโต๊ะแล้วพูดออกมาอย่างโกรธเคือง“ทําไมฉันหวงซานคนนี้จะจ่ายไม่ได้?!”

 

เจียงเฉินที่เห็นก็แอบยกนิ้วโป้งให้กับจ้าวหยวนอย่างลับๆ

 

เมื่อจ้าวหยวนได้เห็นว่าเถ้าแก่ของตัวเองกําลังชื่นชมเขาเขาก็นยิ่งรู้สึกตื่นเต้น!

จ้าวหยวนยิ้มแล้วพูดออกมา“พวกเรายังมี ”

 

“นี่คือฟัวกราชั้นเลิศจากประเทศฝรั่งเศษ! ราคาของมันนั้นเมื่อเทียบกับทองคําแล้วมันอยู่สูงกว่าถึง 3 เท่า!”

 

“และนี่ก็คือเนื้อโกเบ ราคาขายต่อชิ้นอยู่ที่ 100,000เยน!”

 

“ส่วนนี่ก็คือกาแฟขี้ชะมด กาแฟที่มีราคาแพงที่สุดในโลก…”

 

“ส่วนอันนี้ก็คือ…แล้วนี่ก็คือ…”

 

เมื่อจ้าวหยวนยกจานที่ 11 ขึ้นมาหวงซานก็เริ่มนั่งไม่ติดทันที!

 

ใบหน้าของเขาแข็งค้างโดยสมบูรณ์!

 

พระเจ้า!

 

อาหารทุกจานเพียงแค่วัตถุดิบของพวกมันก็มีราคาแพงกว่าทองแล้ว!

 

ฉันควรจะกินมันจริงๆหรอ? กินขนาดนี้กินทองทั้งก้อนไปเลยไม่ดีกว่ารึไง?

 

เมื่อเห็นใบหน้าของหวงซานที่เริ่มเปลี่ยนเป็นสีเขียวคล้ําจากความหงุดหงิด มู่เฉิงเฉิงกับเฉินเค่อเฉียนก็หัวเราะกันออกมาะ

 

สองเทพธิดาหัวเราะออกมากันอย่างสนุกสนาน

 

โอ้อวดแทบตายสุดท้ายกลับกลายเป็นเรื่องตลก!

 

เฉินเค่อเฉียนพูดออกมาด้วยน้ําเสียงประหลาดใจ “เป็นอะไรไปคะหัวหน้าหวง? คุณกําลังกินอาหารที่ทําจากวัตถุดิบที่ แพงที่สุดในโลกอยู่ไม่ใช่รึไง!มันสดมากเลยนะ! ดูสิขนาดบนเห็ดทรัฟเฟิลยังมีน้ําค้างเกาะอยู่เลย”

 

เจียงเฉินในตอนนี้ก็กําลังกินอาหารอยู่อย่างเอร็ดอร่อย “ใช่แล้วมันอร่อยจริงๆ”

 

มู่เฉิงเฉิงที่ไม่ได้อยากกินตั้งแต่แรกแต่เมื่อเห็นสีหน้าลําบากใจของหวงซานเธอก็เริ่มกินและดื่มก่อนจะพยักหน้าไปซ้ํามา

 

ผู้คนที่อยู่รอบๆต่างถูดดึงดูดด้วย “เมนูหรูหราระดับโลก”ที่วางอยู่บนโต๊ะดวงตาของพวกเขาจ้องมองไปที่โต๊ะด้วยความประหลาดใจ

 

ความอิจฉาเริ่มบังเกิด–

 

แต่เมื่อพวกเขาได้เห็นสีหน้าที่กําลังลําบากใจพวกเขาก็ต้องเปลี่ยนมาหัวเราะกันทันที

 

“ฮ่าฮ่าฮ่า พลังมีไม่พอแต่กลับยื่นโอ้อวดออกมาอีก!”

 

“เขาไม่รู้ราคาของพวกนี้แต่กลับกล้าสั่งมันมา กินเนี่ยนะ?”

 

“คิดว่าตัวเองเจ๋งแต่สุดท้ายเป็นยังไงล่ะ?”

 

รอยยิ้มของหวงซานเต็มไปด้วยความกระอักกระอ่วนเขาดึงตัวจ้าวหยวนมากระซิบถาม

 

“ที่กินมาถึงตอนนี้ ราคาเท่าไหร่แล้ว?”

 

จ้าวหยวนยิ้มก่อนจะแสดงตัวเลขให้เขาดู

 

“อะไรกัน?”

 

หวงซานตบโต๊ะทันที่เขาหัวเราะอย่างพร้อมกับลุกขึ้นยืน“ฮ่าฮ่าฮ่า! แค่ 390,000 เองหรอทั้งโต๊ะแค่ 390,000 เท่านั้นเองไม่มากเลยจริงๆ!”

 

“กรุณาดูใหม่ด้วยครับ มันเป็นสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐนะครับ!”

 

จ้าวหยวนยิ้มออกมาอย่างสุภาพ “เพียงแค่คาเวียร์กล่องนี้ก็กว่า 20,000 ดอลลาร์แล้วและก็ตามที่เห็น ”

 

เขาชี้ไปที่โต๊ะ

 

หวงซานมองไปที่โต๊ะด้วยแววตาที่ว่างเปล่า

 

กล่องคาเวียร์ที่ทํามาจากทองคํา 24K กําลังวางซ้อนกันเป็นราวกับกําลังเล่นเกมไม้ตึกถล่ม!

 

เจียงเฉินเปิดกล่องที่ 4 ออกมากิน!

 

เฉินเค่อเฉียนเองก็กินมันราวกับกําลังกินขนมโดยไม่สนใจภาพลักษณ์เทพธิดาแม้แต่น้อย เธอเริ่มเปิดกล่องที่ 5 ทันที!

 

แม้แต่มู่เฉิงเฉิงที่เป็นเทพธิดาสุดแสนจะเย็นชาก็กินไป 2กล่องแล้ว!

 

หวงซานร้องไห้ออกมาโดยไร้น้ําตา!

 

เขาอดไม่ได้ที่จะคํารามใส่คนทั้งสาม!

 

“พวกเธอเป็นนักกินจุกันรึยังไง? ไม่มี มโนธรรมหน่อยหรอ?รู้ไหมว่าคาเวียร์นี่แพงกว่าทองซะ อีก?”

 

“พวกเธอกินเล่นแบบนี้ได้ยังไง? ฉันเองยังกินไปแค่กล่องเดียวเท่านั้นเอง!!”

 

เสียงคํารามทําให้คนทั้งร้านตกใจ

 

ผู้คนต่างเดินมารวมกันเพื่อดูฉากอันแสนน่าตื่นเต้น!

 

“เกิดอะไรขึ้น?”

 

“โอ้ พอดีเขาเป็นพวกคนรวยที่ชอบอวดดี เขาพาหญิงสาวสองคนมาเลี้ยงอาหารระดับโลกแต่หลังจากกินไปแล้วเขาก็ถามราคาก่อนจะตกใจแบบนี้!”

 

“หะ? ฮ่าฮ่าฮ่า! นี่มันฉากพลิกผันครั้งใหญ่เลยนะเนี่ย!”

 

“ทั้งที่ไม่ได้มีพลังมากมายอะไร แต่กลับมาจีบเทพธิดาเนี่ยนะ?”

 

Sign in Buddha’s palm 218 ทะลวงด่าน! นภาชั้นที่แปด!

 

ห่างจากเมืองอินจีหลายสิบลี้

 

ดวงตาของซูฉินลุกเป็นไฟ ความคิดแปรเปลี่ยนผันไม่หยุด

 

สําหรับซูฉิน เมื่อเขาฝึกฝนภาพดวงตะวันขนาดมหึมา จะสามารถแปลงกายเป็นอีกาทองคําสามขาสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ที่ทรงพลังอย่างยิ่งแม้แต่อีกาทองคําสามขาวัยเยาว์ก็เพียงพอแล้วที่จะสามารถเอาชนะเซียนเทพปฐพีได้

 

น่าเสียดาย…..

 

แม้จะไม่มีคอขวดในการฝึกฝนภาพดวงตะวันขนาดมหึมาแต่ทรัพยากรที่จําเป็นต้องใช้ก็มากมายดุจขุนเขาและทะเลกว้าง

 

แน่นอนว่าเมื่อซูฉินสําเร็จวิชาในภาพดวงตะวันขนาดมหึมาจะเกิดการเปลี่ยนแปลงเชิงคุณภาพซึ่งเป็นโอกาสที่หาได้ยากยิ่งในโลกใบนี้

 

เดิมที่ซูฉินก็กําลังคิดที่จะเสาะหาสถานที่ที่มีพลังงานธาตุไฟเพียงพอสําหรับการลงชื่อเข้าใช้เพื่อนํามาเตรียมการสําหรับบ่มเพาะวิชาในภาพดวงตะวันขนาดมหึมา

 

ด้วยเหตุผลดังที่กล่าวมา เมื่อพบเมืองอินจี่แห่งนี้จะไม่ให้มีความสุขได้อย่างไร?

 

“นายท่าน”

 

“เจ้าเมืองอินจีนําราชาปีศาจใต้อาณัติไปด้วยเป็นจํานวนมากและทุกคนล้วนตกตายอยู่นอกเมืองเมฆาปีศาจเมืองอินจี้จึงไม่ควรมีผู้ที่แข็งแกร่งในยามนี้…”

 

โม่จีกล่าวคําออกมาอย่างระมัดระวังอยู่ด้านข้าง

 

“เข้าใจแล้ว”

 

ซูฉินพยักหน้าเล็กน้อยแล้วจึงมุ่งหน้าไปยังเมืองอินจี้

 

หลังจากออกจากเมืองเมฆาปีศาจ ซูฉินไม่ได้มุ่งตรงไปยังเมืองอินจีในทันที แต่เดินดูทัศนียภาพรอบๆดินแดนโม่ฮวาแทนมองดูว่ามีสถานที่อื่นใดที่สามารถลงชื่อเข้าใช้ได้บ้างหลังจากเดินทางอย่างไม่รีบร้อนอยู่นานกว่าหนึ่งปีจึงมาถึงเมีองอินในที่สุด

เมื่อโม่จีเห็นซูฉินเดินหน้าเข้าไปก็ตามติดไปในทันที

 

ไม่นาน

 

ซูฉินก็ถึงด้านหน้าของเมืองอินจี้

 

เมื่อเทียบกับเมืองเมฆาปีศาจแล้ว เมืองอินจี้มีความเจริญรุ่งเรืองยิ่งกว่ามากแม้ว่าเจ้าเมืองอินจไม่ได้กลับมาเป็นเวลานานแต่ก็ยังมีปีศาจจํานวนมากเข้าออกเมืองอยู่ทุกวัน

 

“ราชาปีศาจแปดตน?”

 

ซูฉินเบิกเนตรดวงตาแห่งสัจจะเหลือบมองผ่านๆจึงรู้รายละเอียดภายในเมืองอินจี้ในยามนี้

 

ตอนนี้ทั่วทั้งเมืองอินจีมีราชาปีศาจอยู่แค่แปดตนที่คอยประจําการและราชาปีศาจทั้งแปดนี้ก็เป็นปีศาจที่เพิ่งเข้าสู่ขอบเขตราชาปีศาจไม่นานมานี้เอง

 

ซูฉินปรากฏตัวอยู่หน้าเมืองอินจี้และไม่ได้ปิดบังตัวตนในไม่ช้าปีศาจกลุ่มหนึ่งก็รีบพุ่งออกจากเมืองอินจี้ มายืนต่อหน้าซูฉินและกล่าวด้วยความเคารพ

 

“พวกเรารอท่านอยู่แล้ว เจ้าเมืองเมฆาปีศาจ”

 

ซฉินสังหารเจ้าเมืองอินจี่และราชาปีศาจจํานวนมากที่นอกเมืองเมฆาปีศาจมานานกว่าหนึ่งปีแล้ว และข่าวนี้ก็กระ จายไปทั่วดินแดนโม่ฮวาแน่นอนว่าเมืองอินได้ทราบข่าว นี้ตั้งแต่ช่วงแรกๆ

 

ดังนั้นในปีที่ผ่านมา ราชาปีศาจที่เหลืออยู่ภายในเมืองอินจี้จึงเฝ้ากังวลทั้งวันทั้งคืนเพราะกลัวว่าซูฉินจะบุกมาอย่างกะทันหันและเข่นฆ่าพวกมันทีละคนเช่นเดียวกับที่ทํากับเจ้าเมืองอิน

 

ดังนั้น

 

ราชาปีศาจเหล่านี้จึงออกคําสั่งตั้งแต่ช่วงแรกๆให้ปีศาจเฝ้าประตูบางตนรับหน้าที่พิเศษ คอยตรวจสอบด้านนอกเมืองเมื่อมีร่างใดที่คล้ายคลึงซูฉินให้รีบแจ้งพว กมันในทันที

 

“โอ้?”

 

“เจ้ารู้จักข้ารึ?”

 

ซูฉินเหลือบมองไปที่ราชาปีศาจตนที่กําลังทําความเคารพแล้วจึงกล่าวออกมาอย่างสบายๆ

 

“ความเกรียงไกรของท่านเจ้าเมืองได้แผ่ไปทั่วดินแดนโม่ฮวาจะมีปีศาจตนใดไม่รู้กัน?” ราชาปีศาจตนนั้นกล่าวด้วยความนอบน้อม “ข้ามาที่นี่เพื่อรอท่านเจ้าเมืองมาประจํา การเมืองอินจี้”

 

“เจ้าเป็นคนฉลาดนะ”

 

ซูฉินเหลือบตามองปีศาจที่อยู่ตรงหน้าแล้วเดินอย่างช้าๆเข้าไปในเมืองอินจี่

 

เมื่อซูฉินเข้าไป ราชาปีศาจตนที่ออกมาพบรู้สึกโล่งใจอย่างมาก สิ่งที่พวกมันกลัวที่สุดคือซูฉินเข้ามาโจมตีพวกตนโดยไม่เจรจาพูดคุยอะไรสักคํา

 

หากเป็นดังเช่นที่กล่าวมา พวกมันไม่มีโอกาสยอมจํานนเสียด้วยซ้ํา

 

แต่เมื่อซูฉินปล่อยให้พวกมันมีชีวิตรอด ตราบใดที่ไม่ฆ่าตัวตายก็ไม่ควรจะมีอันตรายใดเกิดขึ้น

 

“ฮ่าฮ่า…”

 

โม่จีเหลือบมองไปที่ราชาปีศาจในเมืองอินจี้ จู่ๆ ก็ผุดความรู้สึกถึงวิกฤตบางอย่างในใจ

 

ในเวลาต่อมา

 

โม่จีและราชาปีศาจทั้งหลายต่างก็ตามซูฉินไปอย่างรวดเร็ว

 

เมื่อพวกเขาไปกันหมดแล้ว

 

ก็เกิดความวุ่นวายขึ้นนอกเมืองอิน

 

ปีศาจจํานวนมากที่กําลังเดินทางเข้าออกต่างตกตะลึงนี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาได้เห็นราชาปีศาจในเมืองอินจี้กล่าวคําอย่างแผ่วเบาเมื่อเผชิญหน้ากับซูฉินราชาปีศาจเหล่านี้ แทบจะคุกเข่าลงไปเบื้องหน้าซูฉินอยู่แล้ว

 

“ยิ้ม”

 

“พวกเจ้าจะไปรู้อะไร?”

 

“คนเมื่อครู่เป็นเจ้าเมืองเมฆาปีศาจ เป็นมหาอํานาจไร้เปรียบที่สังหารเจ้าเมืองอินจีไป!”

 

ปีศาจที่จําซูฉินได้อย่างแม่นยําก็ลดเสียงลดพร้อมกับกล่าวบอกออกมา

 

“อะไรนะ?”

 

“เขาคือเจ้าเมืองเมฆาปีศาจ?”

 

เมื่อปีศาจที่เหลือได้ยินสิ่งนี้ รูม่านตาของพวกมันก็หดตัวลงทันทีใบหน้าของพวกมันเต็มไปด้วยความรู้สึกสยดสยอง

 

แม้ว่าพวกมันไม่สามารถจําซูฉินได้ในทันทีแต่พวกมันจะไม่เคยได้ยินความเกรียงไกรของซูฉินได้เช่นไร?

 

ในฐานะที่เจ้าเมืองอินจี้เป็นผู้มีอํานาจในรัศมีหนึ่งล้านนี้กลับตกตายอย่างกะทันหัน เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อนานมาแล้ว

 

“นี่ แล้วเราควรจะทําเช่นไร?”

 

“เจ้าเมืองเมฆาปีศาจผู้นี้คงไม่ได้ชอบเข่นฆ่าสังหารมากนักหรอกใช่ไหม?”

 

ปีศาจขี้ขลาดตาขาวอดไม่ได้ที่จะพูดออกมา

 

“ควรทําเช่นไร?”

 

ปีศาจอีกตนส่งเสียงขู่คําราม “ถ้าเจ้าเมืองเมฆาปีศาจต้องการเข่นฆ่าจริงๆ เจ้าจะทําอะไรได้?”

 

“มิผิด แม้ว่าเจ้าเมืองเมฆาปีศาจจะเด็ดขาด แต่เขาคงจะดูแคลนการสังหารผู้ที่อ่อนแอกว่า ไม่เช่นนั้นเมืองเมฆาปีศาจคงจะกลายเป็นเมืองร้างไปเสียนานแล้ว”

 

ปีศาจตัวที่สามพยักหน้าแล้วกล่าวคําตามที่คิด

 

“อย่างไรก็ตาม เมืองอินจี่ของข้าคราวนี้ มีตัวตนที่ยิ่งใหญ่อยู่จริงๆ…” ปีศาจที่พูดออกมาตนแรกก็ถอนหายใจออกมาด้วยเสียงแหบต่ํา

 

ปีศาจตนที่เหลือต่างนิ่งเงียบ แสดงออกถึงความหวาดกล้ว

 

ขณะที่เมืองอินจี่กําลังตกอยู่ในความวุ่นวายเพราะการมาถึงของซูฉิน

ซูฉินก็มาถึงห้องโถงใหญ่ของเมืองเรียบร้อยแล้ว และราชาปีศาจทั้งหมดก็กําลังรออยู่นอกห้องโถงใหญ่รวมถึงโม่จีด้วย

 

“พวกเจ้าออกไปก่อน”

 

“ถ้านายท่านมีอะไรเรียกใช้ ข้าจะแจ้งให้พวกเจ้าทราบ”โม่จีเหลือบมองไปที่ราชาปีศาจทั้งหลายอย่างไม่สบายใจแล้วจึงพูดออกไป

 

“ขอรับ”

 

ราชาปีศาจมองหน้ากัน แล้วจึงโค้งคํานับก่อนจากไป

 

และในตอนนี้

 

ที่ส่วนลึกของโถงใหญ่ในเมือง

 

ต้นไม้เก่าแก่กําลังแกว่งไกวไปมา มีแสงระยิบระยับเปล่งประกายซึ่งดูพิเศษอย่างมาก

 

เมื่อเทียบกับต้นไม้โบราณในเมืองเมฆาปีศาจ กิ่งก้านและใบของต้นไม้ในเมืองอินจี้นั้นมีสีแดงจางๆ และบรรยากาศที่กระจายออกมาค่อนข้างเร่าร้อนแผดเผา

 

“กิ่งก้านของต้นไม้ปีศาจโบราณนั้นแตกต่างกันมากถึงเพียงนี้”

 

ซูฉันยืนอยู่ใต้ต้นไม้โบราณด้วยสีหน้าครุ่นคิด

 

ต้นไม้โบราณในเมืองอินจี้ยังคงเป็นกิ่งก้านของต้นไม้ปีศาจโบราณในส่วนลึกของโลกนี้ แต่ด้วยเหตุผลใดไม่อาจทราบได้ทําให้ต้นไม้โบราณมีลักษณะเช่นนี้

 

“มันเป็นเพราะภูเขาไฟข้างใต้ หรือเพราะต้นปีศาจโบราณจริงๆแล้วแบ่งตามธาตุมีทั้งทอง ไม้ น้ํา ไฟและดิน?”

 

ซูฉินแตะปลายคาง ความคิดผันผวนไปมา

 

“เอาล่ะ”

 

“อย่าเพิ่งไปคิดมากเลย”

 

“แค่ลงชื่อเข้าใช้แล้วลองดู”

 

ซูฉันคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงพูดออกมาภายในใจ“ระบบลงชื่อเข้าใช้”

 

[ขอแสดงความยินดี โฮสต์ลงชื่อเข้าใช้สําเร็จได้รับโอสถปีศาจเพลิงสีชาด” ]

 

เสียงจักรกลไร้อารมณ์ดังอยู่ในหูของซูฉิน

 

“โอสถปีศาจเพลิงสีชาด?”

 

ซูฉินผสานจิตเข้ากับคลังระบบด้วยความรวดเร็วพบเม็ดโอสถสีแดงปรากฏขึ้นที่มุมหนึ่งของคลัง

 

โอสถปีศาจเพลิงสีชาดนี้ ในแง่ของไอพลังเพียงอย่างเดียวไม่ได้ดีเท่ากับโอสถเพลิงเทพปฏิปักษ์ แต่ก็ไม่ได้ต่างกันมากนัก

 

สิ่งที่ทําให้ซูฉันรู้สึกว่าที่นี่ดีกว่าคือจํานวนครั้งในลงชื่อเข้าใช้น่าจะมากกว่าที่สามารถลงชื่อเข้าใช้ได้จากถ้ําเซียนบนเกาะหยิงโจว

 

ดูจากต้นไม้โบราณในเมืองเมฆาปีศาจ ซูฉินสามารถลงชื่อเข้าใช้ได้เป็นเวลาหลายปี ยิ่งกว่านั้นเมืองอินจี้ยังมีขนาดใหญ่กว่าเมืองเมฆาปีศาจมากมิใช่หรือ?

 

“ไม่เลวไม่เลว”

 

“บางที่ความหวังในการสําเร็จวิชาภาพดวงตะวันขนาดมที่มาของข้าอาจจะอยู่ที่นี่แล้ว”

 

รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของซูฉินยิ่งคิดก็ยิ่งพึงพอใจ

 

“ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ข้าจะปิดด่านฝึกตนที่นี่และลงชื่อเข้าใช้ต่อไป”

 

ซูฉันคิดตัดสินใจ และแจ้งโม่จีที่อยู่ด้านนอกโดยตรงด้วยจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ จากนั้นจึงนั่งขัดสมาธิ เข้าสู่ห้วงบ่มเพาะ

 

เกาะหยิ่งโจว

 

ภายในถ้ําเซียน

 

ลมหายใจของซูฉินค่อยๆ สงบลง

 

“ในที่สุดระดับนภาชั้นที่เจ็ดก็มาถึงจุดสูงสุดแล้วและยามนี้ข้าก็พร้อมที่จะทะลวงไปสู่นภาชั้นที่แปด”

 

ซูฉินถอนหายใจด้วยความโล่งอก ครุ่นคิดภายในใจอย่างรวดเร็ว

 

“การขึ้นมาถึงจุดสูงสุดของนภาชั้นที่เจ็ด มันใช้น้ําพุจิตวิญญาณไปถึงหนึ่งในสิบ ที่เหลือนี่ก็คงเพียงพอให้ข้าทะลวงเข้าสู่นภาชั้นที่แปดได้”

 

ซูฉินนั่งขัดสมาธิ คิดอยู่กับตนเอง

 

“น้ําพุจิตวิญญาณนี้ช่วยให้ข้าย่นระยะเวลาในการฝึกฝนอย่างหนักหน่วงไปได้ถึงห้าปี”

 

ซูฉินพยักหน้าเล็กน้อย

 

การฝึกฝนวิทยายุทธ โดยเฉพาะในขอบเขตตํานานยุทธมันไม่ใช่เพียงแค่การกลืนกินพลังงานฟ้าดินเท่านั้น

 

พลังฟ้าดินมีอยู่ทั่วทุกหนทุกแห่งบนโลก แม้แต่ช่วงที่กระแสปราณฉีเดือดแห้งก็ยังมีพลังฟ้าดินมากมาย แต่สําหรับตํานานยุทธผู้ทรงพลังพลังฟ้าดินก็ช่วยเพียงแค่ชดเชยพลังที่สูญเสียไปในแต่ละวันเท่านั้นไม่สามารถคาดหวังไปไกลได้ มากกว่านั้น

 

ตํานานยุทธที่ต้องการจะทะลวงขั้นนั้น นอกจากจะต้องเข้าใจความเป็นไปของโลกแล้ว สิ่งที่สําคัญที่สุดคือจิตใจแห่งฟ้าดิน

 

จิตใจแห่งฟ้าดินจะปรากฏขึ้นจํานวนมากในช่วงกระแสปราณฉีฟื้นคืนเท่านั้น และน้ําพุจิตวิญญาณคือการรวมตัวกันของจิตใจแห่งฟ้าดินจํานวนนับไม่ถ้วน

 

แม้แต่ในช่วงรุ่งเรืองของกระแสปราณฉีก็ยังมีจิตใจแห่งฟ้าดินไม่มากนักที่จ้าวทะเลบูรพาสามารถหามันพบได้ไม่ใช่

ดีอีกด้วย

 

มิฉะนั้น ถึงแม้จะมีพลังที่สามารถทําลายล้างโลกได้ทั้งใบหากแต่หาน้ําพุจิตวิญญาณไม่เจอจะไปมีประโยชน์อันใด?

 

“ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ข้าได้เข้าใจเคล็ดวิชาจํานวนมากในหลายมุมของโลก ฐานการบ่มเพาะก็ได้รับการสะสมอย่างเพียงพอการที่จะทะลวงขั้นเพื่อให้ก้าวหน้า ต่อไปก็เป็นเรื่องเหมาะสมอย่างยิ่ง”

 

ความคิดของซูฉินผันผวน และความรู้สึกที่จะต้องลงมือทําอะไรสักอย่างก็ผุดขึ้นในใจ

 

ในขณะที่กระแสปราณฉียังทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆจะมีผู้แข็งแกร่งปรากฏมากยิ่งขึ้นเช่นกันอาทิในยุทธภพต่างแดนและเกาะหยิงโจวนอกจากนี้ยังมีสถานที่ลับต่างๆ ที่มี มาตั้งแต่ยุคสมัยกระแสปราณฉีเฟื่องฟูครั้งล่าสุด

 

แม้ว่าซูฉินจะยังคงอยู่ยงคงกระพันไม่ต้องกลัวสิ่งใดแต่ก็มีกังวลในข้อผิดพลาดต่างๆ อยู่ดี

 

ตัวอย่างเช่น ชิงชิวชิงหลิงซึ่งเป็นหัวหน้าเผ่าจิ้งจอกตระกูลชิงชิวแม้ดูเหมือนซูฉินจะสามารถสังหารคู่ต่อสู้ได้ด้วยหมัดเดียว

 

แต่ที่จริงแล้ว หากว่านี่เป็นบรรพบุรุษของจิ้งจอกตระกูลชิงชิวที่แข็งแกร่งกว่านี้หลายพันเท่า คงเป็นเรื่องยากที่ซูฉินจะสังหารได้ด้วยหมัดเพียงหมัดเดียว

 

“ต้องทรงพลังให้มากขึ้นไปอีก”

 

“หากข้าบรรลุถึงระดับเดียวกับองค์ยูไลได้ สัตว์ร้ายหรือปีศาจใดในโลกก็จะมิอาจแผ้วพาน”

 

ซูฉินหลับตาลงอีกครั้ง ไอพลังในร่างยังคงกลั่นตัวต่อไปเรื่อยๆ และน้ําพุจิตวิญญาณก็กลายเป็นจิตใจฟ้าดินจํานวนนับไม่ถ้วนไหลบ่าเข้าสู่ร่างของซูฉิน

 

ในเวลาเดียวกัน

 

สุดปลายขอบของทะเลบูรพา

 

หมิงโยว วิญญาณยมโลกจากนิกายเฮยหยวน และเหล่าผู้อาวุโสของนิกายใหญ่ต่างดินแดนก็เดินทางมาถึงที่นี่

 

“ตามข้อมูลที่ได้รับมาจากนิกายเฮยหยวน ถ้ําเซียนของจ้าวทะเลบูรพาอยู่ในพื้นที่ทะเลแถบนี้”

 

ท่าทีของชายในชุดคลุมสีดําดูดีอกดีใจ

 

“ทะเลแห่งนี้กว้างใหญ่ไพศาลนัก ข้าจะรู้ได้อย่างไรว่าถ้ําเซียนของจ้าวทะเลบูรพาอยู่ที่ไหน” เฉวยวี่ผู้อาวุโสจากตําหนักเทพเจ้าหิมะเลิกคิ้วขึ้น

 

คนอื่นก็พยักหน้าตามเล็กน้อย

 

จริงดังว่า

 

ทะเลบูรพามีขนาดใหญ่จนเกินไป

 

ถ้ําเซียนของจ้าวทะเลบูรพาจะต้องห้อมล้อมด้วยค่ายกลฟ้าดินขนาดใหญ่หลีกเลี่ยงการจับสัมผัสของจิตสัม ผัสศักดิ์สิทธิ์พวกเขาจําเป็นจะต้องหาทั่วทะเลบูรพาทุกตา รางนิ้วหรือไม่?

 

หากเป็นเช่นนั้น แม้ด้วยความเร็วของตํานานยุทธก็ต้องใช้เวลานานหลายร้อยปีในการค้นหาจนทั่วทะเลบูรพาทั้งหมด

 

“สบายใจได้”

วิญญาณยมโลกในชุดคลุมสีดําเหลือบมองคนอื่นๆแล้วพูดเบาๆว่า “ข้ามีวิธีการลับ ตราบใดที่เข้าไปใกล้ถ้ําเซียนภายในรัศมีหนึ่งลี้ข้าจะสามารถจับตําแหน่งที่แน่นอน ได้”

 

 

Sign in Buddha’s palm 217 เมืองอินจีที่สร้างทับภูเขาไฟ

 

“จ้าวทะเลบูรพา?”

 

ผู้อาวุโสทั้งหลายของเหล่านิกายใหญ่ต่างมองหน้ากันและมีร่องรอยความตกใจวาบออกมาผ่านดวงตา

 

พวกเขาทั้งหมดต่างมาจากนิกายใหญ่ มรดกตกทอดของนิกายได้รับการสืบทอดมาอย่างสมบูรณ์ แน่นอนพวกเขารู้เรื่องเกี่ยวกับช่วงกระแสปราณฉีฟื้นคืนครั้งล่าสุด นอกจากนี้ยังรู้จักจ้าวทะเลบูรพา

 

แม้แต่ในยุครุ่งเรืองของกระแสปราณฉี เซียนเทพปฐพีนั้นก็ยังหายากอย่างยิ่ง นับประสาอะไรกับจ้าวทะเลบูรพาที่ เป็นถึงมหาอํานาจผู้ไร้เทียมทานอยู่จุดสูงสุดของขอบเขตเซียนเทพปฐพี

 

“นิกายเฮยหยวนของเจ้ารู้ที่ตั้งถ้ําเซียนของจ้าวทะเลบูรพาได้อย่างไร?” เฉว่ยว ผู้อาวุโสแห่งตําหนักเทพเจ้าหิมะองมองไปที่หมิงโยวแล้วถามออกมา

 

จ้าวทะเลบูรพานั้นเป็นตัวตนระดับใดกัน ถ้ําเซียนของเขาย่อมเป็นความลับสุดยอด แม้จะมีคนรู้ความลับนี้จริงๆ ก็ต้องเป็นเซียนเทพปฐพี่ในระดับเดียวกัน

 

ถ้าจะกล่าวว่านิกายใหญ่ทั้งหมดล้วนแล้วแต่มีเซียนเทพปฐพีกําเนิดขึ้นมาแล้วทั้งนั้นภายในนิกาย แต่วิชาบ่มเพาะของนิกายเฮยหยวนนั้นจํากัดพลัง ทําให้ไม่เคยมีผู้ที่ก้าวเข้าสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพี่มาก่อน

 

ถ้าไม่ใช่เพราะวิชาอันแปลกประหลาดของนิกายเฮยหยวนและมีบรรพชนมากมายที่หลับใหลอยู่ในนิกายเกรงว่าบัดนี้พวกเขาคงถูกถอดออกจากการเป็นนิกายใหญ่ไปแล้ว

 

“เฮเฮ”

 

หมิงโยวในชุดคลุมสีดํายิ้มเยาะ “เมื่อหลายพันปีก่อน ผู้นําเฮยหยวนบังเอิญได้พบกับลูกหลานคนหนึ่งของศิษย์จ้าวทะเลบูรพาดังนั้นจึงชักชวนคนผู้นั้นเข้าสู่นิกายเฮยหยวนของข้านิกายของข้าจึงได้รับฟังเรื่องราวและความเป็นจริ งบางอย่างมาโดยง่าย….”

 

หมิงโยวไม่ได้ใส่ใจแม้จะต้องบอกความลับนี้ออกไป

 

เนื่องจากถ้ําเซียนของจ้าวทะเลบูรพานั้นลึกลับมากแม้นกายเฮยหยวนจะรู้วิธีการไปถึง แต่มันก็จําเป็นต้องอาศัยประโยชน์จากสภาพแวดล้อมบางอย่างที่ค่อนข้างจําเพาะ

 

ถึงคนอื่นจะค้นพบถ้ําเซียน ก็เข้าไปไม่ได้

 

ผู้อาวุโสทั้งหลายจากนิกายใหญ่ เมื่อได้ยินเรื่องราวเหล่านั้นอยู่ดีๆ ก็รู้สึกหนาวเหน็บ

 

แม้หมิงโยวจะบอกว่าเป็นเรื่องง่ายมากที่จะเชิญ” ลูกหลานของศิษย์จ้าวทะเลบูรพาเข้าสู่นิกายเฮยหยวน แต่ในความ เป็นจริงด้วยวิธีการของนิกายเฮยหยวน อีกฝ่ายคงถูกทร มานอย่างน่าอดสูอย่างไรเสียการมีชีวิตอยู่คงดีกว่าความ ตาย เพียงแต่ต้องบอกเล่าความลับเรื่องถ้ําเซียนของจ้าว ทะเลบูรพาออกไป

 

“นิกายเฮยหยวนของเจ้าใช้วิธีการเช่นนี้ เจ้าไม่กลัวจ้าวทะเลบูรพามาชําระแค้นหรือ?” เฉวยวี่ ผู้อาวุโสแห่งตําหนักเทพเจ้าหิมะขมวดคิวเล็กน้อย

 

“ชําระแค้น?”

 

หมิงโยวที่สวมชุดคลุมสีดําหัวเราะออกมาแปลกๆ “หลายพันปีผ่านพ้น จ้าวทะเลบูรพาหายสาบสูญไปนานแล้ว หรือ อาจจะตายไปแล้วก็ได้จะเอาอะไรมาแก้แค้นนิกายเฮยห ยวนเล่า?”

 

ด้วยคําที่กล่าวออกมา

 

คนอื่นๆ ก็เงียบลง

 

เป็นจริงดังว่า

 

แม้เซียนเทพปฐพี่จะคงอยู่ได้เป็นพันปี แต่บัดนี้เวลาก็ล่วงเลยมาเกือบหมื่นปีแล้วนับจากจุดรุ่งเรืองของกระแสปราณฉีครั้งล่าสุดเป็นธรรมดาที่จ้าวทะเลบูรพาคงจะตกตายไปนานแล้ว

 

“ถ้ําเชียนของเซียนเทพปฐพี่ขั้นสูงสุด…”

 

สายตาของหมิงโยวในชุดคลุมสีดําไม่สามารถเก็บซ่อนความโลภจากภายในเอาไว้ได้

 

เนื่องจากนิกายเฮยหยวนถูกพันธนาการไว้ด้วยวิชาบ่มเพาะไร้ความหวังที่จะเข้าสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพี แต่ในฐานะที่จ้าวทะเลบูรพาเป็นเซียนเทพปฐพี ภายในถ้ําเซียนของเขาอาจจะซ่อนวิธีการปลดเปลื้องพันธนาการของวิชาบ่ม เพาะภายในนิกายเฮยหยวนได้

 

แม้จะไม่มีสิ่งเหล่านั้น ถ้ําเซียนของตัวตนขอบเขตเซียนเทพปฐพีก็เพียงพอที่จะทําให้เหล่าตํานานยุทธต่อสู้กันด้วยชีวิตของพวกเขา

 

ทุกวันนี้ผู้เยี่ยมยุทธในต่างแดนจําเป็นต้องประจําตําแหน่งอยู่ในนิกายของตน ม่สามารถออกไปไหนมาไหนได้โดยง่ายโดยเฉพาะนิกายใหญ่ที่มีชื่อเสียงอย่างนิกายเฮยหยวน

 

นั่นเป็นเหตุผลที่ผู้นํานิกายเฮยหยวนจึงยอมให้หมิงโยววิญญาณยมโลกไปตรวจสอบและรวบรวมสิ่งของภายในถ้ําเซียนของจ้าวทะเลบูรพา

 

หมิงโยวเป็นหนึ่งในตํานานยุทธที่ใกล้เคียงกับการเป็นผู้เยี่ยมยุทธในยุทธภพต่างแดนมากที่สุด

 

มันสมบูรณ์แบบทีเดียว ที่ให้เขาเป็นผู้ดําเนินการเรื่องนี้

 

“หลังจากเข้าไปในถ้ําเซียนของจ้าวทะเลบูรพาหากพวกเจ้าเชื่อฟังคําสั่งข้า มันอาจจะเป็นไปได้นะที่ข้าจะแจกจ่ายสมบัติของจ้าวทะเลบูรพาให้พวกเจ้าทุกคน”

 

หมิงโยว วิญญาณยมโลกเหลือบมองทุกคนอย่างเย็นชาและพูดออกมาช้าๆ

 

นี่คือเป้าหมายสูงสุดที่ทําให้เขาพูดออกมามากมายเพียงนี้ไม่ว่าจะอย่างไรจ้าวทะเลบูรพาก็คือเซียนเทพปฐพีขั้นสูงสุดแม้จะผ่านไปหนึ่งหมื่นปีวิชาที่เขาทิ้งไว้เบื้องหลังก็ยังทําให้ผู้คนกระวนกระวายใจ

 

ในเวลานี้ หากมีผู้อาวุโสจากนิกายใหญ่คนอื่นๆไปด้วยโอกาสที่จะได้รับสมบัติของจ้าวทะเลบูรพาก็ยิ่งมีมากขึ้น

 

“แจกจ่ายสมบัติของจ้าวทะเลบูรพา…”

 

ผู้อาวุโสหลายคนจากนิกายใหญ่ต่างมองหน้ากันหัวใจเต้นแรงอยู่ในทรวง

 

ในฐานะผู้อาวุโสจากนิกายใหญ่ พวกเขาย่อมดูแคลนสมบัติธรรมดาๆ แต่จ้าวทะเลบูรพานั้นเป็นขั้นสูงสุดของขอบเขตเซียนเทพปฐพี

 

สมบัติที่เขาทิ้งเอาไว้เบื้องหลัง มันจะหน้าตาเป็นเช่นไรกันนะ?

 

“เมื่อเป็นเช่นนั้น ข้าต้องขอรบกวนสหายเต้าหมิงโยวแล้วในครั้งนี้” ชายที่สะพายดาบยาวจากพรรคหมื่นดาบก็กระซิบบอกออกมาเบาๆ

 

คนอื่นๆ อีกหลายคนก็พยักหน้ากันทีละคน เห็นได้ชัดว่ายอมรับข้อเสนอจากหมิงโยว แม้จะเป็นผู้อาวุโสเฉว่ยวผู้หยิ่งผยองจากตําหนักเทพเจ้าหิมะก็ไม่ได้ปฏิเสธแต่ประการใด

 

ในระดับของพวกเขา นอกจากการฝึกตนให้ก้าวหน้าแล้วก็ไม่มีสิ่งใดให้ไล่ตามไขว่คว้าอีกต่อไปแล้ว แต่สมบัติล้ําค่าชั่วชีวิตของจ้าวทะเลบูรพานั้น แม้พวกมันจะไม่สามาร ถช่วยให้พวกเขาเข้าสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพีได้แต่ก็เป็นเรื่องง่ายที่จะก้าวเข้าสู่ขอบเขตผู้เยี่ยมยุทธ

 

“งั้นพวกเราไปกันเลยเถอะ”

 

รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของชายในชุดดําหมิงโยว

 

เกาะหยิงโจว

 

ภายในถ้ําเซียน

 

แน่นอนว่าซุฉินไม่ทราบว่ามีคนกําลังจับจ้องมายังเกาะหยิงโจวแห่งนี้อยู่

 

ในตอนนี้ซูฉินกําลังนั่งขัดสมาธิอยู่หน้าน้ําพุจิตวิญญาณโดยเอาโอสถศักดิ์สิทธิ์แปดเก้าเม็ดออกมาวางเพิ่มไว้ที่ด้านหน้า พวกมันลุกโชนไปด้วยเปลวเพลิง

 

แน่นอนมันคือโอสถเพลิงเทพปฏิปักษ์

 

ตามที่ซูฉินคาดเอาไว้ ถ้ําเซียนแห่งนี้สามารถลงชื่อเข้าใช้ซ้ําได้ในช่วงเวลาที่ผ่านมาซูฉินลงชื่อเข้าใช้และได้รับโอสถเพลิงเทพปฏิปักษ์มาจํานวนห้าสิบสองเม็ด

 

น่าเสียดายที่ดูเหมือนว่าโอสถเพลิงเทพปฏิปักษ์ทั้งห้าสิบสองเม็ดที่ลงชื่อเอามาได้จะทําให้”เต๋สะสม”ของถ้ําเซียนแห่งนี้หมดลงและซูฉินไม่สามารถลงชื่อเข้าใช้ต่อไปได้อีก

 

แกรัก

 

แกรัก

 

ในเวลานี้ เม็ดโอสถเพลิงเทพปฐพีทั้งห้าสิบสองเม็ดที่วางอยู่ด้านหน้าของซูฉินก็ระเบิดออกกลายเป็นมังกรไฟห้าสิบสองตัวพุ่งเข้าสู่ร่างของซูฉิน

 

ในเวลาเดียวกัน

 

แผ่นหินขนาดใหญ่ก็ปรากฏขึ้นด้านหลังของซูฉิน

 

ในแผ่นหินมีดวงไฟนับพันจุด ในตอนนี้ส่วนขอบของ แผ่นหินมีจุดแสงเล็กๆค่อยๆ สว่างขึ้นเป็นส่วนใหญ่และจากนั้นก็ค่อยๆจางลงอย่างช้าๆ

 

“ค่ายกลสังหารเก้าชั้น บวกกับเม็ดโอสถเพลิงเทพปฏิปักษ์กว่าห้าสิบเม็ดไม่สามารถเติมจุดแสงได้จนเต็ม?”

 

ซูฉินลืมตาขึ้น แล้วถอนหายใจออกมาเบาๆ

 

ในตอนนี้เขาสัมผัสได้ถึงความยากลําบากในการฝึกฝนวิชาดวงตะวันขนาดมหึมาอีกครั้ง ด้วยทรัพยากรบ่มเพาะจํา นวนมหาศาลที่ใช้ไปมันเพียงพอสําหรับเหล่าตํานานยุทธ เพื่อใช้ในการฝึกฝนไปได้หลายร้อยปีแต่ผลลัพธ์ที่น่าผิดหวังคือมันไม่สามารถเติมเต็มจุดแสงได้?

 

แต่ซูฉินก็เปลี่ยนความคิดและยอมรับมัน

 

สุดท้ายหลังจากฝึกฝนภาพดวงตะวันขนาดมหึมาซูฉินสามารถแปลงกายเป็นอีกาทองคําสามขาสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ที่แข็งแกร่งที่สุดในบรรดาสัตว์ธาตุไฟในตํานานทั้งหลายสา มารถควบคุมความสามารถอันน่าสะพรึงกลัว มีพลัง เหนือธรรมชาติสยบทุกสิ่งเช่น พลังเพลิงศักดิ์สิทธิ์จากดวงตะวันหากทุกคนสามารถฝึกฝนมันได้อย่างง่ายดายซูฉินต้ องสงสัยได้แล้วว่ามันมีอะไรผิดปกติหรือไม่

 

“อย่างไรก็ตาม ข้ารู้สึกได้ว่าจุดแสงกําลังจะได้รับการเติมเต็มตราบใดที่มีเม็ดโอสถเพลิงเทพปฏิปักษ์อีกสักหลายร้อยเม็ดก็น่าจะเพียงพอ”

 

ความคิดของซูฉินผันผวนไปมา ประมาณการคร่าวๆในใจ

 

“ดูเหมือนว่าในอนาคต ข้าจะต้องไปยังสถานที่ที่มีพลังงานธาตุไฟที่เพียงพอให้ลงชื่อเข้าใช้ มีเพียงวิธีนี้ที่พอจะหาโอสถศักดิ์สิทธิ์ธาตุไฟให้มากขึ้นได้”

 

ซูฉันคิดในใจเงียบๆ

 

หลังจากลงชื่อเข้าใช้มานานหลายสิบปี ซูฉินพอจะเข้าใจกฎของการลงชื่อเข้าใช้โดยทั่วไปแล้ว เมื่อซูฉินลงชื่อเข้าใช้ที่ใดเขาจะได้รับสมบัติที่เกี่ยวข้องสอดคล้องกันมา

 

ตัวอย่างเช่น ซูฉินลงชื่อเข้าใช้ที่วัดเส้าหลินมานานกว่าสิบปีและสิ่งของส่วนใหญ่ที่ได้รับมานั้นเป็นสมบัติทางสายพุทธ

 

แน่นอนว่ามันไม่มีอะไรตายตัว

 

ซูฉินยังเคยลงชื่อเข้าใช้ในวิหารพระสหัสพุทธและลงชื่อได้รับดวงตาแห่งสัจจะ” ซึ่งเห็นได้ชัดว่าไม่ได้เกี่ยวข้องกับสายพุทธไปเสียทีเดียว

 

อย่างไรก็ตาม นั่นเป็นเพียงแค่ส่วนน้อยเท่านั้น หากซูฉินต้องการโอสถธาตุไฟจํานวนมาก เขาต้องหาสถานที่ที่มีพลังงานธาตุไฟเพียงพอและมี”เต๋สะสม” เพื่อให้ลงชื่อเข้าใช้ได้

 

“ไม่เป็นไร”

 

“ภาพดวงตะวันขนาดมหึมาคงไม่สามารถฝึกฝนสําเร็จได้ในเวลาอันสั้นขนาดนั้นหรอก”

 

“ทะลวงระดับนภาชั้นที่แปดเสียก่อน หากยังลากถ่วงต่อไปเกรงว่าน้ําพุจิตวิญญาณบางส่วนจะสูญหายไปอีก”

 

ซูฉินเหลือบมองน้ําพุจิตวิญญาณที่อยู่ตรงหน้าและตัดสินใจเลือก

 

น้ําพุจิตวิญญาณนั้นปล่อยพลังงานออกมาตลอดเวลาและซูฉันคงจะต้องลําบากใจแน่หากเขายังคงล่าช้าเช่นนี้

 

“มาเริ่มกันเลย”

 

ซูฉินค่อยๆ หลับตาลง

 

ในชั่วพริบตา น้ําพุจิตวิญญาณที่พวยพุ่งออกมาอย่างเขื่อยๆ ก็เริ่มสั่นสะเทือน และ น้ําพุ’ปริมาณมหาศาลก็ลอยขึ้นไปในอากาศเทรดร่างของซูฉินในทันใด

 

ด้านนอกถ้ํา

 

ชิงชิวเฉียนเฉียนตรวจดูท้องฟ้าถ้วนทั่วด้วยความรอบคอบ จากนั้นจึงหันศีรษะไปมองเกาะเล็กๆ ที่กลางทะเลสาบ

 

“ผู้อาวุโสไม่ได้มาจากตระกูลอีกาทองคําจริงๆหรือ?”

 

ชิงชิวเฉียนเฉียนกะพริบตา ใจเต็มไปด้วยความสงสัย

 

ในช่วงเวลานี้ ชิงชิวเฉียนเฉียนรู้สึกได้ถึงความร้อนแรงจากบนเกาะกลางทะเลสาบ

 

ราวกับว่าดวงตะวันที่น่าสะพรึงกลัวกําลังก่อตัวขึ้นบนเกาะเล็กๆนั่น

 

“ผู้อาวุโสน่ากลัวเกินไปแล้ว…”

 

ชิงชิวเฉียนเนี่ยนมองดูอยู่ครู่หนึ่ง แล้วรีบก้มศีรษะลงอย่างรวดเร็ว ยืนด้วยอาการสํารวม จับตาดูความ ผันผวนของพลังฟ้าดิน

 

ซูฉินไว้ชีวิตนาง จุดประสงค์ก็เพื่อให้นางควบคุมดูแลค่ายกลฟ้าดินจํานวนมากบนเกาะหยิงโจว

 

ถ้าชิงชิวเฉียนเฉียนไม่สามารถทําสิ่งเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้ได้เมื่อซูฉินออกจากด่านฝึกตน จุดจบของนางคงสามารถจะคาดการณ์ได้ไม่ยาก

 

ดังนั้นเพื่อให้ซุฉินพึงพอใจ ชิงชิวเฉียนเฉียนจึงดูแลค่ายกลฟ้าดินขนาดใหญ่ทั้งหมดอย่างใส่ใจเพื่อไม่ให้มีเหตุผิดพลาดใดเกิดขึ้น

 

โลกถ้ําปิศาจใต้พิภพ

 

ท้องฟ้ามืดครึ้ม บรรยากาศกดดัน

 

“นายท่าน นั่นคือเมืองอินจี้”

 

โม่จีเดินไปขนาบข้างซูฉินอย่างนอบน้อม และชี้ไปทิศด้านหน้า

 

เห็นภูเขาไฟขนาดมหึมา มีเมืองอันสวยงามตั้งตระหง่านอยู่บนนั้น

 

เมืองแห่งนี้มีขนาดใหญ่กว่าเมืองเมฆาปีศาจหลายเท่ากําแพงเมืองสีดําสนิท และมีกลิ่นอายอันลึกล้ําแผ่ออกมา

 

“เมืองอินจี้สร้างขึ้นบนภูเขาไฟอย่างนั้นหรือ?”

 

หัวใจของซูฉินกระตุกวูบ มองไปที่เมืองอินจี้ พร้อมกับพิ่มพําอยู่กับตนเอง

 

แม้ว่าจุดที่ซูฉินอยู่จะห่างจากเมืองอินจีหลายสิบลี้ แต่เขาก็ยังสัมผัสได้ถึงอากาศที่ร้อนแผดเผาโชยมาถึงใบหน้าของเขาได้

 

“นายท่าน” โม่จีที่อยู่ด้านข้างรีบอธิบายในทันที “เจ้าเมืองอินจี้ทุกคนที่ผ่านมาล้วนฝึกฝนวิชาปีศาจธาตุหยิน หากต้องการให้การบ่มเพาะประสบผลสําเร็จ นอกจากการรวบรวมพลังหยินบริสุทธิ์แล้ว จะต้องมีสภาพแวดล้อมธาตุห ยางอันยอดเยี่ยม เมื่อหยินและหยางเติบโตไปด้วยกันย่อมเสริมความหวังให้แก่การฝึกฝน..”

 

“เข้าใจแล้ว”

 

ซูฉินพยักหน้าเล็กน้อย

 

เขาตระหนักได้ถึงความสําคัญของหยินและหยางตั้งแต่อยู่ในขอบเขตวิทยายุทธทั้งเก้าระดับชั้น

 

อย่างไรก็ตาม สําหรับสิ่งมีชีวิตอื่นๆ ก็ยังมีบางชนิดที่มีหยินหยางไม่สมดุล เช่น อีกาทองคําสามขามันถือกําเนิดมาจากดวงตะวันขนาดยักษ์เป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ตั้งแต่กําเนิด

 

อย่างไรก็ตาม สัตว์ศักดิ์สิทธิ์ธาตุไฟที่แข็งแกร่งที่สุดอย่างดีกาทองคําสามขานั้นเป็นเพียงสิ่งมีชีวิตส่วนน้อย สิ่งมีชีวิตส่วนใหญ่เกิดจากครรภ์มารดา ไม่ได้เชี่ยวชาญในพลังธาตุเพียงหนึ่งเดียวเสมอไป

 

แม้จะเป็นขอบเขตเซียนเทพปฐพีธาตุไฟอย่างจ้าวทะเลบูรพาวิชาที่เขาใช้ก็ไม่ได้มีเพียงแค่เปลวเพลิง ไม่เช่นนั้นคําว่า “ทะเล” คงไม่ปรากฏในชื่อเรียกขานของจ้าวทะเล บูรพา

 

“ด้วยภูเขาไฟแห่งนี้ พลังงานธาตุไฟมีอยู่อย่างมากล้นและเมืองอินจี้ก็เป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในโลกถ้ําปิศาจแน่นอนว่าจะต้องมีกิ่งก้านของต้นไม้ปีศาจโบราณ และ เต่าสะสม” ที่มีอยู่คงเพียงพอ”

 

“ถ้าได้ลงชื่อเขาใช้ เกรงว่าข้าคงจะได้รับโอสถวิเศษธาตุไฟมาเป็นจํานวนมาก

 

“ด้วยวิธีนี้มันจะช่วยเร่งการบ่มเพาะของภาพดวงตะวันขนาดมหึมาได้อย่างแน่นอน”

 

ดวงตาของซูฉินเป็นประกาย

 

Sign in Buddha’s palm 216 (11)

 

“นายท่าน นอกจากร่างของจ้าวทะเลบูรพา สิ่งอื่นภายในถ้ําล้วนแต่หมดสภาพไม่มีเหลือแล้ว…”

 

ชิงชิวเฉียนเฉี่ยนมองดูขวดและไหบนพื้นชั่วครู่ ก่อนจะเอ่ยออกมาด้วยความเสียดาย

 

ด้วยความแข็งแกร่งของจ้าวทะเลบูรพา โอสถวิเศษที่ทิ้งเอาไว้ภายในถ้ําจะต้องเป็นสิ่งหายากอย่างยิ่ง น่าเสียดายที่ในตอนนี้ โอสถทั้งหลายเหล่านี้ได้กลายเป็นเพียงเศษซากไร้ประโยชน์

 

“จะใช่เช่นนั้นจริงๆหรือ?”

 

ซูฉินไม่ได้เห็นด้วยกับความคิดของนาง

 

ตั้งแต่ก่อนที่จะเข้ามาในถ้ําแห่งนี้ ซูฉินรู้สึกว่าหลังจากผ่านไปนานหลายพันปี มันคงไม่สามารถเก็บรักษาสิ่งต่างๆไว้ได้

 

“ไม่ใช่หรอกหรือ?” ชิงชิวเฉียนเฉี่ยนกะพริบตา ใบหน้าสะสวยของนางเต็มไปด้วยความสับสน

 

ในตอนนี้ที่ชิงชิวเฉียนเฉี่ยนได้รู้ว่าซูฉินจะไม่สังหารนาง ก็ทําให้นางโล่งใจมากขึ้น จนกล้าพูดคุยตอบโต้อย่างรวดเร็ว

 

“เจ้าคิดว่าสิ่งใดเป็นสิ่งที่มีค่าที่สุดในถ้ําเชียนทั้งหมดนี้?”

 

ซูฉินยิ้มเล็กน้อย แล้วกล่าวคําแฝงความนัยอันลึกซึ้ง

 

“อะไรคือสิ่งที่มีค่าที่สุด?” ชิงชิวเฉียนเฉี่ยนเหลือบมองขวดและไหที่วางระเกะระกะอยู่ จากนั้นสายตาจึงไปตกลงบน <<เทพวิชาเพลิงปฏิปักษ์>> ที่ซูฉินโยนทิ้งไว้ข้างๆ แต่ไม่กล้าพูดออกมา

 

“มันคือถ้ําเซียนแห่งนี้”

 

ซูฉินขี้เกียจเกินกว่าจะใส่ใจชิงชิวเฉียนเฉี่ยน เขายกมือขวาขึ้นแล้วกดมือกระแทกลงไปด้านล่างอย่างรุนแรง

 

ในชั่วพริบตา พื้นถ้ํากระเบิดออกเผยให้เห็นโพรงมืดๆ

 

ในโพรงนั้น พลังงานปราณฉีมากมายรวมตัวกัน อัดแน่นจนเป็นตาน้ําพุ พลังงานมันทะลักออกมาทุกทิศทาง

 

เหตุผลที่พลังงานปราณฉีทั่วทั้งเกาะหยิงโจวมีอยู่อย่างมากมาย นอกเหนือไปจากค่ายกลฟ้าดินขนาดใหญ่ที่ตัดขาด จากโลกภายนอกคอยช่วยป้องกันการรั่วไหลของพลังงานแล้วนั้น สิ่งสําคัญที่สุดคือตาน้ําพุในที่แห่งนี้ที่คอยทด แทนพลังงานที่เสียไปภายในเกาะอยู่ตลอดเวลา

 

ไม่เช่นนั้น ด้วยพลังงานบนเกาะหยิงโจวที่มีปริมาณไม่ได้มากมายอะไรนัก จิ้งจอกตระกูลชิงชิวคงสูบกลืนจนหมดเกลี้ยงไปนานแล้ว จะมีพลังงานเหลือเฟือหลังจากผ่านมาเกือบหมื่นปีได้อย่างไร?

 

“ในตอนที่จ้าวทะเลบูรพาขึ้นไปทางตอนเหนือ เขาก็ได้พบตาน้ําพุจิตวิญญาณแห่งนี้ และพยายามอย่างเต็มที่ในการนํามันกลับมาไว้ใต้ถ้ํา”

 

รอยยิ้มเปี่ยมสุขปรากฏขึ้นบนใบหน้าของซูฉิน

 

น้ําพุจิตวิญญาณเกิดจากการรวมตัวของพลังงานปราณฉีจํานวนมาก โดยทั่วไปมันจะกําเนิดขึ้นเฉพาะช่วงรุ่งเรืองของกระแสปราณ

 

แม้ซูฉินจะพอรู้สึกได้ว่าเมื่อเข้ามาในถ้ํามีพลังงาน จํานวนมหาศาลผันผวนอยู่ใต้พื้นของถ้ําเซียน แต่เขาก็ไม่ทราบว่ามันคืออะไรกันแน่

 

จนกระทั่งซูฉินค้นพบเกี่ยวกับตาน้ําพุจิตวิญญาณจากหยกที่จ้าวทะเลบูรพาได้ทิ้งเอาไว้

 

“นี่คือ?”

 

ชิงชิวเฉียนเฉี่ยนเบิกตากว้างอย่างไม่อยากเชื่อ

 

นางไม่คิดว่าจะมีบางสิ่งอยู่ใต้ถ้ําเซียน และแม้ว่าชิงชิวเฉียนเฉี่ยนจะไม่รู้ว่าน้ําพุตรงหน้าตนคืออะไร แต่การที่นางได้อยู่กับมันเพียงชั่วขณะหนึ่ง นางก็รู้สึกว่าสบายเนื้อสบายตัว แม้แต่ฐานการบ่มเพาะก็เริ่มเพิ่มพูนขึ้นมาเสียอย่างนั้น

 

“นี่คือสมบัติที่แท้จริงของจ้าวทะเลบูรพา”

 

ดวงตาของซูฉินลุกโชนไปด้วยเปลวไฟ

 

แน่นอนว่าสําหรับซูฉิน นอกเหนือจากตาน้ําพุจิตวิญญาณแล้ว โอกาสในการลงชื่อเข้าใช้ภายในถ้ําเซียนก็สําคัญไม่แพ้กัน หรือบางทีอาจจะสําคัญเกินกว่าตาน้ําพุจิตวิญญาณไปอีกก็เป็นได้

 

“น่าเสียดาย หลังจากที่ใช้มายาวนานกว่าหมื่นปี ตาน้ําพุจิตวิญญาณแห่งนี้ใกล้จะเหือดแห้งลงแล้ว” ซูฉินสายศีรษะถอนหายใจออกมาเล็กน้อย

 

หากตาน้ําพุจิตวิญญาณยังคงอยู่ในยุครุ่งเรืองของกระแสปราณฉี มันก็เพียงพอที่จะนําไปใช้เพื่อเพิ่มระดับพลังในระดับนภาชั้นที่แปดชั้นที่เก้าของซูฉิน และได้แม้กระทั่งขอบเขตเซียนเทพปฐพี

 

สาเหตุที่จ้าวทะเลบูรพากลับมาที่นี่ เพราะเขาต้องการพึ่งพาน้ําพุจิตวิญญาณเพื่อดํารงชีวิตต่อไป

 

พลังของเทพเจ้าปีศาจภายในส่วนลึกของโลกถ้ําปิศาจนั้น น่ากลัวจนเกินไป เพียงแค่ชําเลืองมองมา จ้าวทะเลบูรพาก็ต้องทนทุกข์ทรมานจากสายตาของมัน ได้รับบาดเจ็บสาหัสที่ร้ายแรงเกือบถึงแก่ชีวิต

 

“อย่างไรก็ตาม ต่อให้มันใกล้จะเหือดแห้ง แต่ก็เพียงพอแล้วที่จะใช้เพื่อก้าวเข้าสู่ระดับนภาชั้นที่แปด”

 

ซูฉินประมาณการคร่าวๆ คํานวณในใจอย่างรวดเร็ว

 

จากการคํานวณในตอนแรกของเขา ต้องใช้เวลาอย่างน้อยสองถึงสามปีเพื่อเข้าสู่ระดับนภาชั้นที่แปด แต่ตอนนี้การมีน้ําพุจิตวิญญาณอยู่ก็ช่วยให้กระบวนการดังกล่าวสั้น ลงอย่างมาก

 

น้ําพุจิตวิญญาณไม่ใช่พลังงานฟ้าดิน

 

แต่เป็นพลังงานที่อยู่สูงกว่าพลังฟ้าดิน ซูฉินเคยดึงพลังงานทั้งหมดภายในเมืองฉางอัน เมื่อรวมกันแล้วได้พลัง งานขนาดเท่าหนึ่งฝ่ามือเท่านั้น

 

แต่ยามนี้ เมื่อมองดูน้ําพุจิตวิญญาณตรงหน้า ไม่ว่ามันจะเดือดแห้งเพียงใด แต่ก็ยังหลั่งไหลออกมาราวกับน้ําพุ

 

ด้วยเหตุนี้เอง ที่ทําให้ซูฉินกล้าที่จะมั่นใจว่าน้ําพุที่เกือบ จะเหือดแห้งนี้เพียงพอผลักดันให้เขาขึ้นสู่ระดับนภาชั้นที่แปด

 

“เจ้าออกไปก่อนเถอะ”

 

ซูฉินเหลือบมองชิงชิวเฉียนเฉี่ยนครู่หนึ่งก่อนจะกล่าวออกมา

“เจ้าค่ะ” ชิงชิวเฉียนเฉี่ยนกล่าวด้วยความเคารพแล้ว จึงเดินออกจากถ้ํา

 

หลังจากชิงชิวเฉียนเฉี่ยนออกไปแล้ว ซูฉินก็นั่งขัดสมาธิ ด้านข้างของตาน้ําพุจิตวิญญาณเตรียมที่จะปิดด่านฝึกตน

 

“ในระหว่างช่วงปิดด่านฝึกตน ข้าสามารถลงชื่อเข้าใช้ที่นี่ได้ ดูซิว่าข้าจะได้รับโอสถเพลิงเทพปฏิปักษ์อีกครั้งหรือไม่”

 

ซูฉินเพียงคิด เม็ดโอสถที่ลุกไหม้ด้วยไฟอันร้อนแรงก็ปรากฏขึ้นต่อหน้าซูฉิน

 

“ไม่รู้ว่าโอสถเพลิงเทพปฏิปักษ์นี้จะสามารถจุดไฟบริเวณขอบของแผ่นหินได้อย่างสมบูรณ์หรือไม่…”

 

ความคิดของซูฉินผันผวน

 

นอกจากบริเวณขอบของแผ่นหินภาพดวงตะวันขนาดมหึมาแล้ว ยังมีจุดแสงจํานวนนับพันที่กระจายอยู่ทั่วแผ่นหินภาพดวงตะวัน”

 

ตราบใดที่ซูฉินเติมเต็มจุดแสงเหล่านี้ได้ครอบคลุมครบถ้วน เขาสามารถนับได้ว่าเป็นผู้สําเร็จวิชาในภาพดวงตะวันขนาดมหึมา สามารถแปลงกายเป็นอีกาทองคําสามขาที่แท้จริงได้

 

เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ ซูฉินก็มองไปที่เม็ดโอสถเพลิงเทพปฏิปักษ์ เปลวไฟที่ลุกท่วมเม็ดโอสถขนาดใหญ่เท่ากําปั้นก็ระเบิดออก กลายเป็นไอพลังธาตุไฟ ซึมหายเข้าไปในร่างของซูฉิน

 

ในขณะที่ซูฉินปิดด่านฝึกตน

 

ในต่างดินแดน

 

นิกายเฮยหยวนกําลังจะออกมา

 

มีหลายร่างกําลังเฝ้ารออยู่อย่างเงียบๆ

 

“หมิงโยววิญญาณยมโลกทําเช่นนี้มันหมายความว่าอย่างไร?”

 

“ผู้นํานิกายของเจ้าให้พวกเราร่วมมือกันเข้าไปยังพื้นที่จุดตัด นี่เขาให้พวกเรารอมานานกว่าหนึ่งปีแล้วนะ ยังไม่ออกมาอีกหรือ?”

 

หญิงที่ดูเย็นชากล่าวคําออกมาด้วยน้ําเสียงเย็นเยียบ

 

ชื่อของนางคือเฉว่ยวี่ จากตําหนักเทพเจ้าหิมะ นางเป็นผู้อาวุโสตําหนักเทพเจ้าหิมะที่อายุน้อยที่สุด ในอนาคตถูกคาดหวังว่าจะกลายเป็นบุคคลผู้แข็งแกร่งระดับเยี่ยมยุทธ

 

“อย่าได้กังวลไปเลยสหายเต่เฉว่ยวี่ สหายเหมิงโยวกําลังอยู่ในช่วงปิดด่านฝึกตน พวกเรารอสักพักไม่เป็นอะไรหรอก”

 

ชายคนหนึ่งที่สะพายดาบยาวเปิดปากพูดออกมา

 

“รออีกสักพัก?”

 

เฉว่ยวี่เย้ยหยัน “เขาใช้เวลาของเขาได้ แล้วเวลาของข้าเล่า?”

 

ฉับพลัน

 

ในตอนนั้นเอง

 

เงามืดทะมึนร่างหนึ่งออกมาจากส่วนลึกของนิกายเฮยหยวน

 

เงานี้เหมือนกับซ่อนตัวอยู่ในชั้นบรรยากาศ เคลื่อนเข้ามาใกล้เฉว่ยวี่ และคนอื่นๆอย่างรวดเร็ว

 

เมื่อเงาดํานั้นเคลื่อนเข้ามาใกล้ในระยะสิบเมตร นักพรตที่สวมชุดคลุมแบบเต่ก็ดูเหมือนจะค้นพบบางอย่าง ขมวดคิ้ว แล้วตะโกนออกไป “นั่นใคร?”

 

คําที่กล่าวออกมา

 

คนอื่นก็สะดุ้งเล็กน้อย กวาดสายตามองไปรอบๆกันยกใหญ่

 

“เฮเฮ้”

 

เสียงแหบแห้งดังออกมา “ไม่ได้เจอกันหลายปี วิชาของสํานักเอกะวิถียังคงน่ารังเกียจเหมือนเดิม………..”

 

เพราะถูกเปิดเผยจากนักพรตเต๋ ร่างชายในชุดดํา จึงเดินออกมาอย่างช้าๆ

“หมิงโยววิญญาณยมโลก?”

 

ม่านตาของเฉว่ยวี่แห่งตําหนักเทพเจ้าหิมะหดแคบลงเล็กน้อย

 

แม้นางจะแสดงออกว่าไม่สนใจหมิงโยวเลย แต่ในความเป็นจริงหมิงโยวหรือวิญญาณยมโลกแห่งนิกายเฮยหยวน ในฐานะตํานานยุทธแล้วนั้น มันใกล้เคียงกับตัวตนผู้เยี่ยมยุทธมากที่สุดในต่างดินแดน สามารถจินตนาการถึงพลังอํานาจที่ใช้ข่มเหงผู้คนได้ไม่ยาก

 

“ผู้นําได้กล่าวบอกแก่ข้าแล้ว”

 

หมิงโยวเพิกเฉยต่อความไม่พอใจของเฉว่ยวี่ หันมามองคนอื่นแล้วพูดเบาๆว่า “ตามหนังสือโบราณของนิกายเฮยหยวนของข้า บันทึกไว้ว่าพื้นที่จุดตัดในยุคล่าสุดที่มีการฟื้นฟูกระแสปราณจี้ตั้งอยู่ที่ถ้ําเซียนของจ้าวทะเลบูรพา”

 

“ถ้าเป็นยามปกติจะมีค่ายกลขนาดใหญ่อยู่ที่ถ้ําเซียนของจ้าวทะเลบูรพา และข้าจะไม่มีทางหาพบเลย”

 

“แต่ตอนนี้กระแสปราณฉีฟื้นกลับมาอีกครั้งและโลกนั้น ได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก ถ้ําเซียนของจ้าวทะเลบูรพาอาจจะเปิดเผยร่องรอยออกมา”

 

“ดังนั้น ก่อนที่จะเข้าสู่พื้นที่จุดตัดในครั้งนี้ ต้องหาถ้ําเซียนของจ้าวทะเลบูรพาเสียก่อน”

 

หมิงโยวพูดทั้งหมดออกมาในคราวเดียว

 

Related

Sign in Buddha’s palm 216 (1) ตาน้ําพุจิตวิญญาณ!

 

[ขอแสดงความยินดี โฮสต์ลงชื่อเข้าใช้สําเร็จ ได้รับ โอสถเพลิงเทพปฏิปักษ์]

 

เสียงเย็นชาราวกับเครื่องจักรดังขึ้นในหูของซูฉิน

 

“โอสถเพลิงเทพปฏิปักษ์?”

 

จิตใจซูฉินเข้าไปยังพื้นคลังของระบบ และพบเม็ดโอสถที่ลุกไหม้ท่วมทั่วไปด้วยเปลวไฟวางอยู่ที่มุมหนึ่ง

 

เม็ดโอสถนี้มีขนาดเท่ากับกําปั้นของผู้ใหญ่ แผ่ความร้อนอันน่าสะพรึงออกมา

 

“นี่คือโอสถเพลิงเทพปฏิปักษ์?”

 

ตอนที่ซูฉินได้เห็นเม็ดโอสถเม็ดนี้ ไม่รู้ว่าทําไม กลับมีความโหยหาอยู่ลึกๆภายในใจ

 

“ดูเหมือนว่าโอสถเพลิงเทพปฏิปักษ์จะมีประโยชน์กับข้าอย่างมากในการพัฒนาวิชาในภาพดวงตะวันขนาดมหึมา” ซูฉินพยักหน้าเล็กน้อย ใบหน้าของเขาแสดงความพึงพอใจ

 

ก่อนหน้านี้เขากังวลเกี่ยวกับทรัพยากรในการฝึกฝนภาพดวงตะวันขนาดมหึมา และตอนนี้เขาก็ลงชื่อได้รับโอสถเพลิง เทพปฏิปักษ์นับว่าโชคดีมาก

 

แต่พอซูฉินคิดว่าถ้ําเซียนแห่งนี้คือเคหาสน์ลับของจ้าวทะเลบูรพา และจ้าวทะเลบูรพาก็คือเซียนเทพปฐพีที่เชี่ยวชาญในธาตุไฟ

 

ถ้ําเซียนที่เขาปิดตายตัวเองอยู่ภายในมายาวนานหลายปี เช่นนี้ แม้ว่าจะไม่ได้ลงชื่อเข้าใช้แล้วได้รับโอสถเพลิงเทพปฏิปักษ์ แต่ก็ย่อมได้รับโอสถจิตวิญญาณธาตุไฟประเภทอื่นๆ ที่คล้ายคลึงกับโอสถเพลิงเทพปฏิปักษ์อยู่ดี ซึ่งทุกอย่างเป็นที่เข้าใจได้ไม่ยาก

 

ซูฉินสงบใจลง ระงับความปรารถนาที่จะกลืนกินโอสถเพลิงเทพปฏิปักษ์ลงไปในทันที จากนั้นจึงหันไปมองชิงชิวเฉียนเฉี่ยนที่ยืนอยู่ด้านข้าง

 

“ตั้งแต่เจ้าพาข้ามาที่นี่ด้วยความซื่อตรงและไม่มีเล่ห์เหลี่ยมใดๆ ข้าจะให้โอกาสเจ้า”

 

ซูฉินพูดออกมาเบาๆ ด้วยสายตาอันสงบนิ่ง

 

“ตราบใดที่ผู้อาวุโสเต็มใจจะไว้ชีวิตข้า เฉียนเฉี่ยนก็สามารถทําทุกสิ่งเพื่อผู้อาวุโสได้” ชิงชิวเฉียนเฉี่ยนกล่าวออกโดยไม่ลังเล

 

“โอ้?”

 

“ข้าสังหารจิ้งจอกตระกูลชิงชิวไปทั้งตระกูล เจ้าไม่โกรธเกลียดข้าหรอกหรือ?”

 

ซูฉินมองไปที่ชิงชิวเฉียนเฉี่ยนด้วยความสนใจ

 

“ผู้อาวุโส จิ้งจอกตระกูลชิงชิวของข้านั้นสนับสนุนผู้แข็งแกร่งอยู่เสมอ ท่านผู้นํามิรู้จักรักตัวกลัวตาย กล้าล่อลวงสังหารท่านผู้อาวุโส เรื่องราวจบลงเช่นนี้นับว่าเป็นเรื่องที่สมควรยิงแล้ว”

 

ชิงชิวเฉียนเฉี่ยนกล่าวคําในทันทีดี

 

รอยยิ้มของซูฉินค่อยๆจางไป ก่อนจะเปิดปากพูดขึ้นว่า “เมื่อเป็นเช่นนี้ ในระหว่างการปิดด่านฝึกตนของข้า หน้าที่ดูแลเกาะหยิงโจวแห่งนี้จะถูกส่งมอบให้แก่เจ้า”

 

เหตุผลที่ซูฉินไว้ชีวิตชิงชิวเฉียนเฉี่ยนอยู่ตนหนึ่งนั้นไม่ใช่ทําไปตามอารมณ์แต่อย่างใด บนเกาะหยิงโจวนั้น แม้จะถูกปกคลุมด้วยค่ายกลฟ้าดิน แต่ค่ายกลฟ้าดินขนาดใหญ่เหล่านี้ได้เชื่อมต่อกับโลกภายนอก ซึ่งเป็นช่วงกระแสปราณฉีผันผวน มีโอกาสอย่างยิ่งที่จะส่งผลกระทบต่อการทํางานของค่ายกลฟ้าดินขนาดใหญ่

 

ก่อนหน้านี้ตอนที่ซูฉินอยู่ในเมืองฉางอัน เขารับรู้ถึงไอพลังที่รั่วไหลออกมาจากค่ายกลฟ้าดินขนาดใหญ่

 

แม้ว่าจิ้งจอกตระกูลชิงชิวบนเกาะหยิงโจวจะสามารถป้องกันไอพลังไม่ให้รัวไหลต่อได้อย่างทันท่วงที่ แต่มันก็นับว่าสายเกินไปเมื่อเจอเข้ากับประสาทสัมผัสของตัวตนที่แข็งแกร่งเช่นซูฉิน

 

ในเวลานี้ ซูฉินตั้งใจจะมอบหน้าที่การดูแลรักษาจัดการทุกสิ่งเกี่ยวกับค่ายกลขนาดใหญ่ให้กับชิงชิวเฉียนเฉี่ยน

 

แต่ชิงชิวเฉียนเฉี่ยนจะมีใจคิดเป็นอื่น คิดแก้แค้นให้กับคนของตนเองหรือไม่นั้น…..

 

ประการแรกแกนกลางการควบคุมค่ายกลฟ้าดินของเกาะหยิงโจวยังคงอยู่ในมือของซุฉิน เพียงแค่ความคิดของซูฉินวูบเดียวก็สามารถลบชิงชิวเฉียนเฉี่ยนให้หายไปได้แล้ว

 

นอกจากนี้จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ที่ซูฉินฝังไว้ในหัวใจของชิงชิวเฉียนเฉี่ยนยังทําให้รู้ความรู้สึกนึกคิดของชิงชิวเฉียนเฉี่ยนได้ตลอดเวลา ซึ่งเป็นการหยิบยืมเคล็ดบางส่วนมาจากการฝังจิตมารในคัมภีร์กลมารฟ้า

 

เมื่อใดที่ชิงชิวเฉียนเฉี่ยนคิดร้ายต่อซูฉิน ซูฉินจะรู้เรื่องนี้เป็นคนแรก

 

เมื่อเวลานั้นมาถึง ซูฉินไม่จําเป็นต้องลงมือเองเลย เศษเสี้ยวจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์นั้นจะระเบิดออกโดยตรง และจิตวิญญาณของชิงชิวเฉียนเฉี่ยนจะถูกทําลาย

 

“เจ้าค่ะ นายท่าน”

 

ชิงชิวเฉียนเฉี่ยนกล่าวด้วยความเคารพ

 

หลังจากที่อาศัยอยู่ในเกาะหยิงโจวมานานปี เป็นเรื่องธรรมดาที่นางย่อมไม่ใช่สิ่งแปลกปลอมต่อค่ายกลฟ้าดิน ซูฉินจึงขอให้นางจัดการในบางภาคส่วนของค่ายกลขนาดใหญ่ได้โดยไม่มีปัญหาใด

 

“นายท่าน นอกจากร่างของจ้าวทะเลบูรพาสิ่งอื่นภายใน ถ้ําล้วนแต่หมดสภาพไม่มีเหลือแล้ว…”

 

ชิงชิวเฉียนเฉี่ยนมองดูขวดและไหบนพื้นชั่วครู่ ก่อนจะเอ่ยออกมาด้วยความเสียดาย

 

ด้วยความแข็งแกร่งของจ้าวทะเลบูรพา โอสถวิเศษที่ทิ้งเอาไว้ภายในถ้ําจะต้องเป็นสิ่งหายากอย่างยิ่ง น่าเสียดายที่ในตอนนี้ โอสถทั้งหลายเหล่านี้ได้กลายเป็นเพียงเศษซากไร้ประโยชน์

 

“จะใช่เช่นนั้นจริงๆหรือ?”

 

ซูฉินไม่ได้เห็นด้วยกับความคิดของนาง

 

ตั้งแต่ก่อนที่จะเข้ามาในถ้ําแห่งนี้ ซูฉินรู้สึกว่าหลังจากผ่านไปนานหลายพันปี มันคงไม่สามารถเก็บรักษาสิ่งต่างๆไว้ได้

 

“ไม่ใช่หรอกหรือ?” ชิงชิวเฉียนเฉี่ยนกะพริบตา ใบหน้าสะสวยของนางเต็มไปด้วยความสับสน

 

ในตอนนี้ที่ชิงชิวเฉียนเฉี่ยนได้รู้ว่าซูฉินจะไม่สังหารนาง ก็ทําให้นางโล่งใจมากขึ้น จนกล้าพูดคุยตอบโต้อย่างรวดเร็ว

 

“เจ้าคิดว่าสิ่งใดเป็นสิ่งที่มีค่าที่สุดในถ้ําเซียนทั้งหมดนี้?”

 

ซูฉินยิ้มเล็กน้อย แล้วกล่าวคําแฝงความนัยอันลึกซึ้ง

 

“อะไรคือสิ่งที่มีค่าที่สุด?” ชิงชิวเฉียนเฉี่ยนเหลือบมองขวดและไหที่วางระเกะระกะอยู่ จากนั้นสายตาจึงไปตกลงบน <<เทพวิชาเพลิงปฏิปักษ์>> ที่ซูฉินโยนทิ้งไว้ข้างๆ แต่ไม่กล้าพูดออกมา

 

“มันคือถ้ําเซียนแห่งนี้

 

Related

Sign in Buddha’s palm 215 เทพเจ้าปีศาจลืมตาตื่น

 

“นั่นคือ…”

 

ดวงตาของซูฉินหรี่แคบ

 

ในถ้ําแห่งนี้ ยกเว้นไว้แต่ร่างของจ้าวทะเลบูรพาไม่ว่าจะเป็นโอสถวิเศษและคัมภีร์เคล็ดวิชาต่างก็เสื่อมสลายไปแล้วในช่วงหมื่นปีที่ผ่านมา

 

อย่างไรก็ตาม ซูฉินค้นพบว่าจ้าวทะเลบูร พากําลังถือของสองชิ้นอยู่ในมือและมันไม่ได้เสื่อมสลายเหมือนสมบัติชิ้นอื่นๆ

 

สองสิ่งนี้ หนึ่งคือม้วนคัมภีร์โบราณ อีกสิ่งคือหยกชิ้นหนึ่ง

 

ซูฉินเบิกเนตรดวงตาแห่งสัจจะและกวาดตา มองทั้งม้วนคัมภีร์และหินหยกแล้วตรวจซ้ําด้วยวิชาปราณฉีฟ้ากําหนด

 

“ไม่มีอันตรายอะไร”

 

ด้วยจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของซูฉิน หินหยกและคัมภีร์โบราณที่อยู่ใต้การครอบครองของจ้าวทะเลบูรพาทั้งหมดต่างก็ลอยขึ้นไปในอากาศแล้วมาหยุดอยู่ตรงหน้าซูฉิน

 

“คัมภีร์โบราณเล่มนี้”

 

ซูฉินเลือกดูคัมภีร์โบราณก่อน

 

เห็นได้ชัดว่าคัมภีร์โบราณนี้ทํามาจากวัสดุพิเศษ เหมือนทองแต่ก็ไม่ใช่ทอง เหมือนทองแดงแต่ก็ไม่ใช่ทองแดง ขนาดผ่านมาหนึ่งหมื่นปีมันยังรักษารูปทรงเดิมเอาไว้ได้ และตัวอักษรภายในก็ยังอยู่ครบถ้วนสมบูรณ์

 

“<<เทพวิชาเพลิงปฏิปักษ์>>.”

 

ซูฉินมองดูคร่าวๆ และไม่ได้สนใจอะไรนัก

 

คัมภีร์โบราณเล่มนี้บันทึกเคล็ดวิชาที่เรียกว่า “เทพวิชาเพลิงปฏิปักษ์” เป็นเคล็ดวิชาพื้นฐานของจ้าวทะเลบูรพา หากฝึกฝนจนถึงระดับที่ลึกซึ้งจะสามารถเข้าสู่ขอบเขต เซียนเทพปฐพีได้ และยังพอมีความหวังอันเลือนรางที่จะสามารถปลดเปลื้องพันธนาการและก้าวเดินไปยังขอบเขตต่อไป

 

หากตํานานยุทธคนอื่นได้รับคัมภีร์เล่มนี้ไปพวกเขาคงจะนับว่ามันเป็นสมบัติเฝ้าอ่านทําความเข้าใจมันทั้งวันทั้งคืนแต่ในสายตาของซูฉิน มันไม่ได้ล้ําค่าไปกว่าผลไม้จิตวิญญาณธาตุไฟหนึ่งผลเลยด้วยซ้ํา

 

ซูฉินลงชื่อเข้ามาหลายสิบปี และได้รับสุดยอดเคล็ดวิชามานับไม่ถ้วนเทพวิชาเพลิงปฏิปักษ์” เล่มนี้เป็นเคล็ดวิชาขั้นพื้นฐานสําหรับขอบเขตเซียนเทพปฐพี และมันแทบจะไม่สามารถติดหนึ่งในร้อยเมื่อเทียบกับบรรดาวิชาจํานวนมากที่ซูฉินเชี่ยวชาญ

 

ถ้าเป็นเมื่อก่อน ซูฉินอาจจะพลิกดูสักสองสามรอบ

 

แต่ตอนนี้ซูฉินสามารถทําความเข้าใจแผ่นหินภาพดวงตะวันขนาดมหึมาและสัมผัสถึงพลังเปลวเพลิงของสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ในตํานานอย่างอีกาทองคําสามขาได้ทีละนิด สิ่งที่เรียกว่า”เทพวิชาเพลิงปฏิปักษ์” นั้นก็ไม่ควรค่าแก่การพูดถึงอีกเลย

 

แม้จะฝึกฝน<<เทพวิชาเพลิงปฏิปักษ์>>จนถึงขีดสุดและกลั่นเพลิงปฏิปักษ์ออกมาได้ เมื่อเทียบกับเปลวไฟที่เผาได้ทุกสิ่งอย่างเพลิงปฏิปักษ์จะนับเป็นสิ่งใดได้?

ชิงชิวเฉียนเฉียนเห็นซูฉินโยนคัมภีร์ทิ้งไปด้วยอาการที่ไม่เห็นว่าคัมภีร์นี้มีความสําคัญมากมายอะไรนักนางจึงรวบรวมความกล้าเอ่ยถามออกไปว่า “นายท่านนี่คือสิ่งใดกัน?”

 

“ก็แค่คัมภีร์วิชานะ” ซูฉินไม่ได้หันหน้าไปมองยังคงก้มหน้ามองหยกที่อยู่เบื้องหน้าของตน

 

“คัมภีร์วิชา?”

 

ชิงชิวเฉียนเฉียนเบิกตากว้าง แอบมองไปที่คัมภีร์โบราณจนกระทั่งเห็นคําสีคํา <<เทพวิชาเพลิงปฏิปักษ์>> ที่เขียนไว้ด้านหน้าของคัมภีร์โบราณนางตกใจมาก

 

“นายท่าน นี่ไม่ใช่เคล็ดวิชาธรรมดา นี่เป็นเคล็ดวิชาที่แข็งแกร่งที่สุดที่จ้าวทะเลบูรพาใช้ฝึกฝนบ่มเพาะ” ชิงชิว เฉียนเฉียนอธิบายออกมาอย่างรวดเร็วเมื่อเห็นว่าซูฉินไม่ได้ให้ความสําคัญกับคัมภีร์มากนัก

 

ชิงชิวเฉียนเฉียนคิดว่าซูฉินไม่ได้ค้นพบความลับอันน่าที่นตะลึงของ “เทพวิชาเพลิงปฏิปักษ์” นางจึงต้องเตือนเขา

 

จิ้งจอกตระกูลชิงชิวเป็นภูตอสูรที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นทาสของจ้าวทะเลบูรพาและแน่นอน พวกเขาย่อมรู้ดีว่าจ้าวทะเลบูรพาสามารถผลาญภูเขาเผาทะเลจนเดือดได้

 

“โอ้”

 

ซูฉินกล่าวอย่างไม่ใส่ใจ “ข้ารู้แล้ว”

 

ชิงชิวเฉียนเฉียนกะพริบตาปริบๆ รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ

 

ท่าทีของซูฉินต่อเคล็ดวิชาหลักของจ้าวทะเลบูรพา นธรรมดาเกินไปและรู้สึกได้ถึงความขยะแขยงอยู่เล็กน้อย

 

“เมินเฉย?”

 

ชิงชิวเฉียนเฉียนตกตะลึง

 

แม้แต่ในช่วงรุ่งเรืองของกระแสปราณฉีครั้งล่าสุด “เทพวิชาเพลิงปฏิปักษ์”ก็เป็นเคล็ดวิชาที่ควรค่าแก่การครอบครองแม้กระทั่งผู้ที่อยู่เหนือกว่าขอบเขตเซียนเทพปฐพี่ก็ ยังนับว่ามีค่าทําไมเมื่อมาอยู่ในมือของซูฉิน เขาจึงไม่สนใจที่ จะชายตาแล?

 

ถ้าไม่ใช่เพราะชิงชิวเฉียนเฉียนรู้ถึงความน่ากลัวของซูฉินเกรงว่าคงคิดว่าซูฉินไม่ตระหนักถึงความสําคัญของเคล็ดวิชาเล่มนี้เสียแล้ว

 

อย่างไรก็ตาม เนื่องจากซูฉินไม่สนใจในเทพวิชาเพลิงปฏิปักษ์เท่าไหร่ชิงชิวเฉียนเฉียนจึงไม่กล้าพูดอะไรต่อและยืนอยู่เคียงข้างซูฉินอย่างเชื่อฟัง

 

และในตอนนั้นเอง

 

ซูฉินกําลังมองหยกที่อยู่ตรงหน้าและจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของเขาก็ค่อยๆ หลอมรวมเข้าไป

 

ทันใดนั้นเสียงก็ดังก้องในหัว

 

กระแสข้อมูลไหลบ่าจากหินหยกเขามาในจิตใจของซูฉิน

 

“….นับตั้งแต่มีการบุกรุกจากโลกถ้ําปิศาจใต้พิภพข้าและเหล่าจอมยุทธคนอื่นๆต่อสู้อย่างหนักหน่วงเข้าปราบปราม… ต้องใช้เวลาไปหลายสิบปีเพื่อบังคับเผ่าปีศาจให้ถอยกลับไป….”

 

“แต่ในตอนนั้น ในส่วนลึกของโลกถ้ําปีศาจ สิ่งมีชีวิต ที่น่าสะพรึงกลัวที่เรียกขานกันว่า “เทพเจ้าปีศาจ” ก็ได้ มตาตื่นและจับจ้องมองมายังโลกมนุษย์…”

 

ซูฉินหน้าตาเคร่งเครียด ซึมซับข้อมูลภายในหยกนั้นมาอย่างรวดเร็ว

 

หยกชิ้นนี้ถูกทิ้งไว้โดยจ้าวทะเลบูรพาเป็นบันทึกประสบการณ์ชีวิตของจ้าวทะเลบูรพาและยังมีเรื่องราวการบุกรุกโลกมนุษย์จากโลกถ้ําปีศาจครั้งล่าสุดเหล่าจอมยุทธ ภายในโลกมนุษย์เข้าต่อสู้น้ํานั่นกับเหล่าปีศาจ

 

ตามคําบอกเล่าของจ้าวทะเลบูรพา การรุกรานของโลกถ้ําปิศาจใต้พิภพได้นําความสูญเสียมาสู่โลกอย่างแท้จริงกองทัพจักรกลปีศาจไร้ที่สิ้นสุดประกอบกับราชาปี ศาจจํานวนมากทําให้เหล่ามนุษย์เริ่มสูญเสียดินแดน

 

อย่างไรก็ตาม

 

ด้วยการฟื้นคืนของกระแสปราณฉี เส้นทางในการฝึกฝนบ่มเพาะกลายเป็นเรื่องง่ายขึ้น ควบคู่ไปกับความ กดดันที่เหล่าปีศาจนํามาผู้คนที่แข็งแกร่งเริ่มกําเนิดขึ้นที่ละคนสองคนอย่างฉับพลัน

 

ผู้แข็งแกร่งเหล่านี้ผนึกกําลังกันเพื่อปราบปราม เหล่าปีศาจสูญเสียไปอย่างมหาศาลเพื่อแลกกับการขับไล่เหล่าปีศาจให้ล่าถอยกลับไปยังโลกถ้ําปิศาจใต้พิภพ

 

แต่ในเวลานั้น ในที่สุดก็มีบางสิ่งเปลี่ยนแปลงไป

 

เมื่อเห็นเช่นนี้ซูฉินก็ขมวดคิ้วมุ่น

 

“เทพเจ้าปีศาจตนหนึ่งในโลกถ้ําปีศาจลืมตาตื่น ในชั่วพริบตามันก็สร้างความเสียหายให้แก่ผู้แข็งแกร่งบนโลกไปหลายต่อหลายคนจ้าวทะเลบูรพาอยู่ถึงปลายขอบของสนามรบแต่ก็ยังได้รับผลกระทบจากดวงตาปีศาจนั้นด้วยแม้ว่าเขาจะไม่ตายแต่เขาก็ต้องรีบหนีกลับมายังถ้ําเซียนบนเกาะหยิงโจวอย่างไม่คิดชีวิตหลังจากนั้นไม่นานอาการบาดเจ็บของ เขาก็รุนแรงขึ้นจนถึงขั้นวิกฤติ…”

 

ซูฉินเงียบไปชั่วครู่

 

“การบุกรุกของปีศาจตั้งแต่ต้นจนจบ เทพเจ้าปีศาจไม่เคยเคลื่อนไหวเลยบางทีความแข็งแกร่งของพวกเขานั้นอาจจะสูงล้ําจนเกินไปและต้องจ่ายราคามหาศาลเพื่อโจ มตีข้ามเขตแดน?”

 

ซูฉินเดาออกมาอย่างรวดเร็ว “จนถึงตอนสุดท้ายของการรบเผ่าพันธุ์ปีศาจกําลังพ่ายแพ้อย่างแน่นอนแล้ว และหนึ่งในเทพเจ้าปีศาจก็อดไม่ได้ที่จะลืมตาขึ้นมามองโลกม นุษย์”

 

“จุดประสงค์ก็เพื่อระบายความโกรธเกรี้ยวภายในใจทําให้เหล่าตัวตนผู้แข็งแกร่งจํานวนมากบนโลกในยุคนั้นถูกโจมตีจนเสียหายอย่างหนัก?”

 

ซูฉินแตะปลายคางของตน คิดว่าพอจะเข้าใจเรื่องรา วทั้งหมดแน่นอนว่าเป็นการคาดเดาของซูฉินเองทั้งหมดเขาไม่ได้พบเจอกับประสบการณ์นั้นตรงๆ จึงไม่ได้เข้าใจ เรื่องนี้ดีมากนัก

 

“เทพเจ้าปีศาจแห่งโลกถ้ําปิศาจนั้นแข็งแกร่งมากเช่นนั้นหรือ?”

 

หลังจากที่ซูฉินเห็นข้อมูลภายในหยก ความคิดของเขาก็ผันผวน

 

แม้ว่าด้วยมีดเทพเจ้าปีศาจและโลหิตเทพเจ้าปีศาจจะทําให้ซูฉินประเมินเทพเจ้าปีศาจไว้สูงมากแล้วและเชื่อว่าเทพเจ้าปีศาจเป็นสิ่งมีชีวิตที่ไม่มีสิ่งใดเทียบเทียม อยู่ไกลเกินกว่าขอบเขตเซียนเทพปฐพี

 

แต่ตามคําอธิบายของจ้าวทะเลบูรพา มันยังห่างไกลไปยิ่งกว่านั้นอีก

 

อยู่ห่างกันคนละมิติ แต่เพียงการชําเลืองตามองเพียงครั้งเดียวก็สร้างความเสียหายให้แก่ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในโลกในยุคนั้นได้เกรงว่าคงไม่ต่างไปจากเทพเซียนจริงๆ

 

“โชคดีที่ข้ายังไม่ปล่อยให้ร่างจําแลงถลําลึกไปยัง ส่วนลึกของโลก…”

 

ซูฉันรู้สึกว่าตนเองโชคดีอยู่เล็กน้อย

 

หลังจากที่ซูฉินได้รับสมบัติจํานวนมากมาจากกิ่งก้านสาขาของต้นไม้ปีศาจโบราณภายในเมืองเมฆาปีศาจเขาก็วางแผนจะไปสํารวจส่วนลึกของโลกถ้ําปิศาจและลงชื่อเข้าใช้ต่อหน้าเทพเจ้าปีศาจผู้ควบคุมผืนฟ้าอย่างแท้จริง

 

แต่ตอนนี้ ดูเหมือนว่าเขาคงจะถูกค้นพบโดยเทพเจ้าปีศาจเสียตั้งแต่ก่อนจะได้เข้าไปใกล้ชิดต้นไม้ปีศาจโบราณ

 

แม้ว่าร่างจําแลงของซูฉินภายในโลกถ้ําปีศาจจะสามารถฟื้นตัวกลับมาได้หากตกตายไป แต่สุดท้ายแล้วมันก็ใช้จิตวิญญาณและพลังจากเลือดเนื้อของซูฉินไปเป็นจํานวนมาก

 

“เราจะยังไม่พูดถึงการบุกรุกไปยังส่วนลึกของโลกถ้ําปีศาจในตอนนี้”

 

“ในยุคปัจจุบัน แม้ว่ากระแสปราณฉีจะเริ่มฟื้นตัว แต่ก็ยังอยู่ห่างไกลจากความรุ่งเรืองที่แท้จริงอย่างน้อยๆก็หลายร้อยปี”

 

“ในช่วงเวลานี้ โลกถ้ําปิศาจคงยังไม่คิดที่จะบุกรุก”

 

ซูฉินครุ่นคิดอยู่เงียบๆ

 

การฟื้นตัวของกระแสปราณฉีนั้นไม่ได้เกิดได้ชั่วข้ามคืนมันเหมือนกับกระแสน้ําที่ค่อยๆ เพิ่มขึ้นอย่างช้าๆ จําเป็ นต้องใช้เวลา

 

สําหรับโลกถ้ําปีศาจ เฉพาะยามเมื่อโลกมนุษย์อยู่ในช่วงที่กระแสปราณีฟื้นฟูจนมั่งคั่งอย่างแท้จริงเท่านั้น จึงจะคุ้ มค่าต่อการบุกรุก

 

“นอกจากนี้ หินหยกยังบันทึกความรู้สึกของจ้าวทะเลบูรพายามที่ทะลวงผ่านขอบเขตตํานานยุทธขึ้นไปสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพีไว้อีกด้วย…”

 

จิตใจของซูฉินสั่นไหวตกตะลึง

 

ไม่ว่าจะเป็นการบุกรุกของโลกถ้ําปิศาจใต้พิภพหรือการมตาตื่นขึ้นของเทพเจ้าปีศาจ สิ่งเหล่านั้นล้วนห่างไกลตัวซูฉินมากเกินไป

 

เมื่อเทียบกันแล้ว ซูฉินเต็มใจที่จะทราบรายละเอียดเกี่ยวกับความก้าวหน้าในการบ่มเพาะมากกว่า

 

“จากประสบการณ์ของจ้าวทะเลบูรพา จําเป็นต้องมีข้อกําหนดเบื้องต้นสองประการเพื่อก้าวเข้าสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพี”

 

“หนึ่งคือการควบแน่นอาณาเขตขนาดเล็ก นี่คือจุดที่สําคัญที่สุดมันสําคัญที่สุดเพราะหากไม่มีการปกป้องจากอาณาเขตผู้ฝึกจะต้องตายอย่างแน่นอนเมื่อทะลวงขั้น”

 

ซูฉันคิดอยู่ในใจเงียบๆ

 

นี่ไม่ใช่เรื่องยากแม้แต่น้อยเพราะตอนนี้เขาได้ควบแน่นอาณาเขตเสร็จเรียบร้อยแล้ว

 

“และข้อกําหนดที่สองคือต้องเปลี่ยนจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ให้เปลี่ยนเป็นจิตวิญญาณแรกกําเนิด มีเพียงจิตวิญญาณ แรกกําเนิดควบคู่กับการปกป้องด้วยพลังของอาณาเขตเท่านั้นจึงจะมีโอกาสเข้าสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพี่ได้”

 

ซูฉันคิดกับตัวเอง

 

สิ่งที่เรียกว่าจิตวิญญาณแรกกําเนิด ซูฉินทําความเข้าใจได้ไม่ยาก มันเป็นพลังเกี่ยวกับจิตวิญญาณที่ต้องกลั่นจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์จนถึงขีดสุด

 

อันที่จริง ตั้งแต่ฝึกฝน เทพวิชาหลอมจิตวิญญาณจันทรา” ก็ทําให้จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของเขามีความเสถียรมากขึ้นและรู้สึกได้จางๆว่าจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของเขายังกลั่นไปได้มากกว่านั้นอีก

 

เพียงแต่ว่าจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์เกี่ยวข้องกับรากฐานภายในตนถ้าเป็นเรื่องของร่างกาย หากได้รับความเสียหายมันสามารถฟื้นฟูได้ด้วยพลังจากภายนอกแต่จิตสัมผัสศักดิ์สิ ทธิ์นั้นพึ่งพาได้เพียงตนดังนั้นก่อนหน้านี้ซูฉินจึงรู้สึกว่าไม่ควรฝึกฝนอย่างประมาทเลินเล่อ

 

“แต่สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นข้อกําหนดหลังจากเข้าสู่นภาชั้นที่เก้าแล้วแต่ตอนนี้ข้ายังอยู่ระดับนภาชั้นที่เจ็ดเท่านั้นจึงไม่ต้องรีบร้อนนัก”

 

ซูฉินไม่ได้รีบร้อนที่จะกลั่นจิตวิญญาณแรกกําเนิด

 

โดยทั่วไปแล้ว ยิ่งจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์แข็งแกร่งมากเท่าใดจิตวิญญาณแรกกําเนิดที่กลั่นออกมาได้ก็ยิ่งแข็งแกร่งขึ้นเท่านั้นตอนนี้ซูฉินเป็นเพียงตํานานยุทธระดับนภาชั้นที่เจ็ด เฉพาะเมื่ออยู่บนจุดสูงสุดของนภาชั้นที่เก้าที่ไม่สา มารถเพิ่มพลังจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์แล้วเท่านั้นจึงควรพิจารณากลั่นจิตวิญญาณแรกกําเนิดออกมา

 

“จิตวิญญาณแรกกําเนิด.”

 

“อาณาเขต……”

 

ซูฉินครุ่นคิดอยู่เล็กน้อย

 

เมื่อเทียบกับการทะลวงสู่ขอบเขตตํานานยุทธมันต้องแปรสภาพพลังถึงสามอย่าง ร่างกายกําลังภายในและจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์

 

“เอาล่ะ”

 

“ถึงแม้ว่าเกาะแห่งนี้จะตั้งอยู่บนเกาะหยิงโจวแต่จริงๆแล้วเกาะแห่งนี้ก็ไม่ได้ขึ้นตรงต่อเกาะหยิงโจวไปซะทีเดียว”

 

“ข้าลงชื่อเข้าใช้ในส่วนนอกของเกาะหยิงโจวและได้รับแผ่นหิน “ภาพสิบสองสัตว์ศักดิ์สิทธิ์” มาจนทําให้เสะสมของเกาะหยิงโจว”หมดไปแต่มันอาจจะยังมี”เต๋ สะสม เหลืออยู่บนเกาะเล็กกลางน้ําแห่งนี้ไม่ใช่หรือ?”

 

ดวงตาของซูฉินเป็นประกาย

 

ถ้ําเซียนของจ้าวทะเลบูรพาแห่งนี้ตั้งอยู่กลางทะเลสาบบนเกาะหยิงโจวมันถูกแยกออกด้วยค่ายกลสังหาร ตามหลักแล้วมันไม่ควรจะขึ้นตรงต่อเกาะหยิงโจวเป็นเหตุผลว่าทําไมจิ้งจอกตระกูลชิงชิวที่ครอบครองทั้งเกาะหยิงโจวแต่กลับไม่มีความเกี่ยวข้องใดกับถ้ําเซียนแห่งนี้

 

เนื่องจากมันแยกออกจากเกาะหยิงโจว หมายความว่ามันยังมี “เต๋สะสม” อยู่

 

เมื่อมาถึงจุดนี้ ซูฉินก็เหลือบมองรอบๆ อีกครั้งเพื่อความแน่ใจก่อนจะพึมพําในใจว่า

 

“ระบบลงชื่อเข้าใช้!”

 

 …

Sign in Buddha’s palm 214 พบเจ้าของดินแดน!

 

“แข็งแกร่งเกินไปแล้ว………….”

 

ชิงชิวเฉียนเฉียนกลืนน้ําลายลงคอ พูดต่อไม่ออกด้วยยังอยู่ในอาการตกใจ

 

ซูฉินทําลายกลุ่มค่ายกลสังหารเก้าชั้นของจ้าวทะเลบูรพาในทันทีที่มาถึงซึ่งการทําเช่นนี้ได้แม้จะเป็นช่วงรุ่งเรื่องของกระแสปราณฉีก็ยังน่าตกใจมาก

 

ใครคือจ้าวทะเลบูรพา?

 

แม้เขาจะไม่ใช่ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในโลกยุคนั้นแต่เขาก็ค่อนข้างมีชื่อเสียงไม่น้อย แต่กลับมีคนทําลายค่ายกลสังหารที่เขาตั้งขึ้นได้?

 

แม้ว่าเวลาจะผ่านไปเกือบหมื่นปี ทําให้ค่ายกลสังหารอ่อนกําลังลงจนไม่สมบูรณ์เต็มร้อย แต่ฉากตรงหน้าที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ก็ช่างน่าเหลือเชื่อเหลือเกิน

 

ถ้าซูฉินรู้ถึงความคิดในใจชิงชิวเฉียนเฉียนล่ะก็เขาจะต้องหัวเราะออกมาเสียงดังแน่ๆ

 

หากกลุ่มค่ายกลสังหารมีคุณสมบัติธาตุชนิดอื่นๆซูฉินอาจจะต้องนิ่งงันไปพักใหญ่ แต่ค่ายกลสังหารประเภทเปลวเพลิงเป็นเหมือน “สารอาหาร” อันอุดมสมบูรณ์สําหรับซูฉันเลยทีเดียว

 

อีกาทองคําสามขาเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ที่กําเนิดมาจากดวงตะวันขนาดมหึมา และกินเปลวไฟของดวงตะวันตั้งแต่กําเนิดแม้ซูฉินจะด้อยกว่าอีกาทองคําสามขาตัวจริงแต่หลัง จากที่เขาเข้าใจแผ่นหินภาพดวงตะวันขนาดมหึมาได้เขาก็เกือบจะจําลองพลังของอีกาทองคําสามขาได้อย่างไม่ผิดเพี้ยนสามารถเพิกเฉยต่อเปลวเพลิงส่วนใหญ่ในโลกนี้ได้

 

“ถ้ามีค่ายกลรูปแบบสังหารเก้าชั้นอีกสักหมื่นอันข้าคงจะฝึกวิชาจากแผ่นหินดวงตะวันขนาดมหึมาสําเร็จแล้ว…”

 

ซูฉินลองประเมินดูคร่าวๆ จากนั้นใบหน้าของเขาก็เปลี่ยนเป็นสีดําคล้ํา

 

แนวค่ายกลสังหารเก้าชั้นในทะเลสาบนั้นถูกจัดตั้งด้วยฝีมือของเซียนเทพปฐพีอย่างจ้าวทะเลบูรพาไม่ต้องถามหาอีกหนึ่งหมื่นอันเลยแม้แต่หลายสิบอันก็คงไม่อาจหาพบ

 

หัวใจของซูฉินหนักอึ้ง

 

แค่ภาพดวงตะวันขนาดมหึมาภาพแรก ทรัพยากรที่จําเป็นต้องใช้ก็มหาศาลดุจขุนเขาและมหาสมุทร แล้วแผ่นหินอีกสิบเอ็ดภาพถัดจากนี้สิ่งที่ใช้ในการบ่มเพาะจะมากมายขนา ดไหน

 

ตามที่ซูฉินได้ทําความเข้าใจมาจาก “สิบสองภาพสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ในการบ่มเพาะวิชาตามสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ทั้งสิบสองความต้องการใช้ทรัพยากรในอนาคตจะเพิ่มขึ้นไปอีกเรื่อยๆ

 

ตัวอย่างเช่น เปรียบการใช้ทรัพยากรในการบ่มเพาะสําหรับภาพดวงตะวันขนาดมหึมาภาพแรกเป็นหนึ่งหน่วยฉะนั้นทรัพยากรที่จําเป็นต้องใช้ในการบ่มเพาะแผ่นหินภาพ ที่สองคือสิบหน่วยและภาพที่สามคือหนึ่งร้อยหน่วย

 

“มีปัญหาซะแล้วสิ…”

 

ซูฉินถอนหายใจเบาๆ รู้สึกทําอะไรไม่ถูก

 

ตอนที่ซูฉินได้รับภาพสิบสองสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ครั้งแรกเขารู้เพียงว่ามันต้องใช้ทรัพยากรในการบ่มเพาะจํานวนมหาศาล แต่ก็ยังไม่ชัดเจนว่ามันมากเพียงใด

 

ซูฉินรู้เพียงแค่ว่ามันต้องใช้เยอะ เยอะจนซูฉินในปัจจุบันไม่สามารถตอบสนองความต้องการนั้นได้ เพียงแต่ไม่รู้ว่ามัน มากแค่ไหน

แต่ตอนนี้ เมื่อเปรียบเทียบกับค่ายกลสังหารเก้าชั้นซูฉันก็รู้สึกขมขึ้นอย่างสุดหัวใจ

 

ไม่ต้องพูดถึงแผ่นหินที่เหลือในภาพสิบสองสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ดูจากการบริโภคพลังงานของแผ่นหินแผ่นแรกไปจนถึงแผ่ นหินแผ่นที่สามเกรงว่าทรัพยากรทั้งโลกคงจะถูกล้างผลาญไปจนหมดและสุดท้ายการบ่มเพาะอาจจะไม่ประสบความสําเร็จ

 

“แต่เมื่อฝึกฝนบ่มเพาะแล้ว แม้จะเป็นเพียงภาพดวงตะ วันขนาดมหึมาแผ่นแรกมันก็สามารถช่วยเสริมความแข็งแกร่งได้อย่างแน่นอน”

 

เมื่อซูฉันคิดเช่นนั้น ใบหน้าของเขาก็ค่อยๆ ผ่อนคลายลงในทันที

 

ภาพสิบสองสัตว์ศักดิ์สิทธิ์นั้นใช้ทรัพยากรมากมายจริงๆแต่ทั้งหมดมันก็เป็นเพียงเรื่องของการหาทรัพยากรเท่านั้น แค่ต้องหามาให้ได้มากพอ

 

หากซูฉินสามารถกําเนิดร่างอีกาทองคําได้จริงๆแม้จะเป็นอีกาทองคําวัยเยาว์ ก็เพียงพอที่จะกดดันตัวตนขอบเขตเซียนเทพปฐพี

 

“กลุ่มค่ายกลสังหารถูกทําลายลงแล้ว”

 

“เข้าไปดูกันเถอะว่าจ้าวทะเลบูรพาทิ้งอะไรไว้เบื้องหลัง”

 

ซูฉินเหลือบมองไปยังเกาะเล็กๆ ที่อยู่ห่างออกไปไม่กี่เมตรก้าวเท้าออกไปก็ปรากฏตัวอยู่บนเกาะเรียบร้อย

 

เมื่อเทียบกับทะเลสาบอันเป็นที่ตั้งค่ายกลสังหารแล้วเกาะแห่งนี้ดูปลอดภัยอย่างยิ่ง ในมุมมองของจ้าวทะเลบูร พาคงไม่คิดว่าจะมีใครสามารถผ่านกลุ่มค่ายกลสังหารเก้าชั้นที่อยู่ใต้ทะเลสาบมาได้

 

“นายท่าน”

 

“รอข้าด้วย”

 

ชิงชิวเฉียนเฉียนกัดฟันกลั้นใจ รีบเดินข้ามทะเลสาบตามซูฉินไป

 

จิ้งจอกตระกูลชิงชิวเฝ้าดูสถานที่ลับบนเกาะหยิงโจวแห่งนี้มาเกือบหมื่นปีแล้วแต่น่าเสียดายที่พวกเขาถูกปิดกั้นโดย กลุ่มค่ายกลสังหาร

 

ตอนนี้ซูฉินบุกฝ่าค่ายกลสังหารเรียบร้อยแล้ว แน่นอนว่าชิงชิวเฉียนเฉียนเองก็ต้องการทราบว่ามีอะไรอยู่บนเกาะแห่ง

 

ไม่ใช่ว่าชิงชิวเฉียนเฉียนมีความต้องการจะหยิบฉวยสิ่งใดบนเกาะไปนางแค่อยากเห็นว่า สิ่งใดกันแน่ที่จิ้งจอกตระกูลชิงชิวหมายตามาเกือบหมื่นปี

 

ไม่ช้านาน

 

ชิงชิวเฉียนเฉียนก็ย่ําเท้าลงบนเกาะ

 

เมื่อเดินมาจนถึงที่นี่ ชิงชิวเฉียนเฉียนอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ไม่คุ้นเคยเป็นอย่างยิ่ง

 

เป็นเวลาเกือบหมื่นปีที่เผ่าจิ้งจอกตระกูลชิงชิวนับไม่ถ้วนต่างใฝ่หาแต่ไม่เคยได้สัมผัส

 

ชิงชิวเฉียนเฉียนเองก็เคยมาดูเกาะกลางน้ําแห่งนี้อยู่ หลายครั้งจากที่ไกลๆแต่ตอนนี้เป็นครั้งแรกที่ได้เหยียบย่าง ขึ้นมาบนเกาะ

 

“ปราณฉีฟ้าดินอุดมสมบูรณ์มาก….”

 

ชิงชิวเฉียนเฉียนกล่าวด้วยเสียงต่ํา

 

“พลังงานกว่าหกส่วนของทั้งเกาะหยิงโจวถูกรวบรวมเอามาไว้ที่นี่มันจะไม่อุดมสมบูรณ์ได้อย่างไร?”

 

ซูฉินเหลือบมองชิงชิวเฉียนเฉียนแล้วกล่าวอย่างสบายๆ

 

แม้ซูฉินจะก้าวเท้าขึ้นมาเหยียบเกาะแล้ว แต่เขาก็ยังไม่เข้าไปในทันที

 

แม้ว่าเกาะแห่งนี้จะดูปลอดภัยอย่างยิ่ง และจ้าวทะเลบูรพาไม่น่าจะวางค่ายกลสังหารเอาไว้บนเกาะแห่งนี้ แต่ซูฉินไม่เคยนําความปลอดภัยของตนไปแขวนไว้กับผู้อื่น

 

ผ่านไปหลายชั่วโมง ซูฉินกวาดสายตาไปทั่วทั้งเกาะหลายร้อยครั้งด้วยดวงตาแห่งสัจจะควบคู่ กับวิชาปราณฉีฟ้ากําหนดในที่สุดหลังจากทดสอบด้วยวิธีการมากมายหลายสิบวิธี อาทิจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์เมื่อพบว่ามันปลอดภัยแล้วจริงๆเขาจึงเริ่มก้าว เท้าออกเดินอย่างช้าๆ

 

ส่วนชิงชิวเฉียนเฉียน นางติดตามซูฉินมาด้วยความสงสัยใคร่รู้และมองกวาดสํารวจทุกอย่างบนเกาะอย่างต่อเนื่อง

 

ซูฉินไม่ได้สนใจอีกฝ่าย และเดินไปบนเกาะอย่างไม่ได้รีบร้อน

 

“บนเกาะไม่มีอะไร”

 

ชิงชิวเฉียนเฉียนพูดขึ้นมาเบาๆ หลังจากมองหาอยู่เป็นเวลานาน

 

ไม่นาน

 

ทั้งสองก็มาถึงใจกลางของเกาะ

 

เห็นถ้ําเซียนปรากฏขึ้นอยู่เบื้องหน้าพวกเขา

 

“ที่นี่ คือถ้ําเซียนของจ้าวทะเลบูรพาเช่นนั้นหรือ?” ชิงชิวเฉียนเฉียนจ้องมองอย่างว่างเปล่า มีความรู้สึกมากมายอยู่ลึกๆภายในใจ

 

“นายท่าน รอยประทับฝ่ามือที่ทางเข้าถ้ําเซียนควรจะถูกทิ้งไว้โดยจ้าวทะเลบูรพาที่แท้จริง” ชิงชิวเฉียนเฉียนสังเกตเห็นรอยฝ่ามือสีแดงเพลิงบริเวณประตูหินสีดําหน้าถ้ําเซียนในทันที

 

“นายท่าน จะต้องมีเล่ห์กลใดที่จ้าวทะเลบูรพาทิ้งเอาไว้ แน่ดังนั้นจึงต้องระวัง ”

 

ชิงชิวเฉียนเฉียนปรากฏอาการประหม่าเด่นชัดบนใบหน้า

 

มาได้ถึงขนาดนี้แล้ว ชิงชิวเฉียนเฉียนไม่อยากที่จะพลั้งพลาดอย่างแน่นอน

อย่างไรก็ตาม

 

ในเวลาต่อมา

 

พลันปรากฏความรู้สึกเหลือเชื่อขึ้นในดวงตาของชิงชิวเฉียนเฉียน

 

ซูฉินยกมือขึ้นและกดลงบนรอยฝ่ามือ ประตูหินสีดําหน้าถ้ําเซียนค่อยๆเปิดออกอย่างช้า เสียงคํารามลั่นเอี้ยดอ๊าด

 

ชิงชิวเฉียนเฉียนยืนนิ่งอยู่กับที่ สายตาว่างเปล่า

 

“มันไม่ได้ซับซ้อนอะไรขนาดนั้น” ซูฉินส่ายหัวเล็กน้อย “รอยฝ่ามือนั่นเชื่อมโยงกับค่ายกลสังหารภายนอกและค่ายกลฟ้าดินขนาดใหญ่ แต่ตอนนี้ค่ายกลสังหารทั้งเก้าชั้นได้ถูกทําลายลงและค่ายกลฟ้าดินขนาดใหญ่ก็ถูกข้าควบคุมเอาไว้แล้วรอยประทับฝ่ามือนี้จึงกลายเป็นเพียงรอยฝ่ามือธรรมดาๆ”

 

ซูฉินส่ายศีรษะเล็กน้อย พร้อมกับร่ายยาวคําอธิบายยากๆ ให้เข้าใจได้ง่ายเพียงไม่กี่ประโยค

 

ในขณะนี้ซูฉินก็มีความคาดหวังเช่นเดียวกันถ้ําเซียนแห่งนี้เห็นได้ชัดว่าสร้างจากวัสดุพิเศษบางอย่างซึ่งสา มารถปิดกั้นจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของซูฉินได้

 

ดังนั้นก่อนที่ประตูถ้ําเซียนแห่งนี้จะถูกเปิดออกโดยสมบูรณ์ซูฉินจึงมิอาจรู้ว่ามีอะไรอยู่ภายในถ้ํา

 

หลังจากที่ประตูถูกเปิดออก ด้านหน้าก็พบห้องหนึ่งห้องที่ทําจากหิน

 

มีขวดและโหลมากมายภายในห้อง มีแม้แต่คัมภีร์โบราณความลับมากมายถูกวางทิ้งไว้ แต่น่าเสียดายที่เวลาผ่า นไปเกือบหมื่นปีทุกอย่างสลายไปจนเหลืออยู่ไม่มากแล้ว

 

โดยเฉพาะขวดเหล่านั้น โอสถภายในได้หายไปเกือบหมดและตอนนี้ก็เหลือโอสถแค่บางส่วนเท่านั้น

 

“ทั้งหมดมีแค่นี้หรือ…”

 

ใบหน้าของชิงชิวเฉียนเฉียนเต็มไปด้วยความผิดหวัง

 

จิ้งจอกตระกูลชิงชิวหมายตาถ้ําเซียนแห่งนี้มาเกือบหมื่นปีแล้วตั้งตารอโอสถวิเศษน่าอัศจรรย์หรือไม่ ก็คัมภีร์วิชาอันไร้เทียมทาน

 

แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าหลังจากที่จ้าวทะเลบูรพาได้จากไปเวลาได้ผ่านไปหลายปี พลังของโอสถวิเศษน่า อัศจรรย์ต่างก็หมดฤทธิ์ไปเคล็ดวิชาไร้เทียมทานต่างก็ เสื่อมสลายหายไปเช่นกัน

 

ภายใต้อํานาจของกาลเวลานั้น ก็ไม่ได้เหลือสิ่งเหล่านั้นมากมายเหมือนเก่าอีกแล้ว

 

และเมื่อเวลายังผ่านไปอีกร้อยปี พันปีค่ายกลฟ้าดินและค่ายกลสังหารบนเกาะหยิงโจวก็จะเสื่อมสภาพกลายเป็นเพียงเศษดินเศษหินเท่านั้น

 

ในขณะนั้นสายตาของชิงชิวเฉียนเนี่ยนมองลึกเข้าไปในถ้ําเห็นร่างร่างหนึ่งกําลังนั่งขัดสมาธิอยู่กลางถ้ํา

 

ร่างนั้นสวมชุดคลุมสีแดง ดวงตาหลุบต่ํานั่งอยู่เงียบๆราวกับกําลังจ้องมองนางอยู่

 

“นั่นคือ!”

 

“นั่นคือจ้าวทะเลบูรพา!!”

 

ใบหน้าของชิงชิวเฉียนเฉียนซีดราวกับกระดาษ เสียงของนางสั่นเครือเมื่อมองไปเห็นร่างในท่านั่งขัดสมาธิ

 

บนเกาะหยิงโจวยังคงมีภาพเหมือนของจ้าวทะเลบูรพาเก็บเอาไว้ดังนั้นชิงชิวเฉียนเฉียนจึงจําได้ในทันทีว่าอีกฝ่ายเป็นจ้าวทะเลบูรพา

 

ในขณะที่ขาแข้งของชิงชิวเฉียนเฉียนกําลังอ่อนแรงแทบจะคุกเข่าลงไปอยู่กับพื้น ในตอนนั้น เสียงสงบนิ่งก็ดังขึ้นมาจากที่ใกล้ๆ

 

“ไม่ต้องห่วง จ้าวทะเลบูรพาได้ตายไปแล้ว”

 

ดวงตาของซูฉินสงบอยู่เสมอ กล่าวออกมาอย่างสบายๆ

 

ผ่านมากว่าหมื่นปี ไม่ต้องพูดถึงการที่จ้าวทะเลบูรพาเป็นเซียนเทพปฐพี แม้ว่าเขาจะทะลวงขึ้นไปเหนือขอบเขตเซียนเทพปฐพี่เขาก็คงไม่มีชีวิตอยู่มาจนถึงบัดนี้

 

นอกเหนือจากตํานานเทพเซียนหรือตํานานองค์ยูไลซูฉินไม่เคยได้ยินว่าสิ่งมีชีวิตใดจะสามารถมีชีวิตอยู่ได้ นานนับหมื่นปี

 

บางที่กลุ่มสัตว์อสูรพิเศษบางชนิดอาจจะเป็นไปได้แต่จ้าวทะเลบูรพานั้นเห็นได้ชัดว่าเป็นมนุษย์ที่แข็งแกร่งผู้หนึ่ง

 

นอกจากนี้ ซูฉินยังสังเกตพลังฉีด้วยดวงตาแห่งสัจจะและไม่พบพลังชีวิตใดๆ ภายในถ้ํา ดังนั้นเขาจึงสรุปว่าจ้าวทะเลบูรพานั้นได้ตายไปแล้ว

 

“ตายแล้ว?”

 

ชิงชิวเฉียนเฉียนตกตะลึง กัดฟันมองไปที่จ้าวทะเลบูรพาอีกครั้งก็เห็นว่าอีกฝ่ายไม่หายใจ

 

“จ้าวทะเลบูรพา จ้าวทะเลบูรพากําลังนั่งอยู่ที่นี่จริงๆ”ชิงชิวเฉียนเฉียนสงบลง กล่าวกับตนเองด้วยน้ําเสียงสั่นเทา

 

เป็นเวลาเกือบหมื่นปีที่จิ้งจอกตระกูลชิงชิวคิดว่าจ้าวทะเลบูรพาได้ตกตายอยู่เบื้องนอกแล้วแต่กลายเป็นว่าอีกฝ่ายไม่เคยออกไปจากเกาะหยิงโจวเลย

 

เมื่อนึกถึงเรื่องที่จิ้งจอกตระกูลชิงชิวอาจจะครอบครองเกาะหยิงโจวต่อหน้าต่อตาจ้าวทะเลบูรพามาตลอด

 

หนังศีรษะของชิงชิวเฉียนเฉียนก็ชาวาบ

 

เมื่อเทียบกับชิงชิวเฉียนเฉียนที่กําลังตกใจซูฉินนั้นสงบนิ่งกว่ามาก

บางทีในสายตาของจิ้งจอกเผ่าชิงชิวจ้าวทะเลบูรพาอาจจะเคยเป็นนายเหนือหัวมีอํานาจสูงสุดในการควบคุมทะเลบูรพาครอบครองชีวิตความเป็นความตายของเหล่าจิ้งจอกตระกูลชิงชิว

 

ส่วนซูฉิน จ้าวทะเลบูรพานั้นก็เป็นเพียงเซียนเทพปฐพี

 

แม้ว่าจะควรค่าแก่การเคารพ แต่สําหรับ “ความกลัว” ก็ไม่มีอะไรต้องพูดให้มากความ ตราบใดที่ซูฉินมีเวลาย่อมต้องก้าวเข้าสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพี่ไม่ช้าก็เร็ว

 

“มันคือการฝึกฝนร่างกายบางประเภทเพื่อเสริมสร้างร่างกายให้อยู่ยงคงกระพันยาวนานนับหมื่นปีหรือเปล่า?

 

ซูฉินแตะปลายคาง ใบหน้าแลดูครุ่นคิด

 

ด้วยสายตาของเขา จะเห็นได้ว่าจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของจ้าวทะเลบูรพาได้หายไปแล้ว หลงเหลือเพียงแค่กายเนื้อเพียงเท่านั้น

 

โดยทั่วไปแล้วอายุขัยของกายเนื้อจะสั้นกว่าจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ตัวอย่างเช่นมารพุทธะที่ถูกผนึกอยู่ในภูเขาด้านหลังวัดเส้าหลินมาอย่างยาวนาน

 

แต่ตอนนี้จ้าวทะเลบูรพาสามารถรักษาร่างกายของตนให้คงอยู่มาอย่างยาวนาน เห็นได้ชัดว่าแปลกพิกล

 

“หือ?”

 

ขณะที่ซูฉินกําลังคิดเกี่ยวกับเรื่องนั้นอยู่ สายตาของเขากวาดไปพบสิ่งที่จ้าวทะเลบูรพาถือครองไว้อยู่โดยไม่ตั้งใจทันใดนั้นเขาก็ส่งเสียงที่เต็มไปด้วยความประหลาดใจออกมา

 

Sign in Buddha’s palm 213 ทําลายแนวค่ายกล เข้าสู่ ถ้ําเซียน

 

“นายท่าน….”

 

“นายท่านออกจากด่านฝึกตนแล้ว

 

ชิงชิวเฉียนเฉี่ยนเดินเข้าไปหาซูฉินในทันที แล้วกล่าวถามสิ่งที่ตนสงสัยภายในใจออกมาอย่างระมัดระวัง “นายท่าน ท่านมาจากตระกูลอีกาทองคําเช่นนั้นหรือ?”

 

เมื่อครู่ ด้านในเปลวเพลิงจากดวงตาของซูฉิน นางเห็นร่องรอยอีกาศักดิ์สิทธิ์สามขาล่องลอยอยู่จางๆ ซึ่ง คล้ายคลึงกับอีกาทองคําสามขาในตํานานอย่างมาก นางจึง รวบรวมความกล้าเพื่อถามออกมา

 

“ตระกูลอีกาทองคํา”

 

ซูฉินเหลือบมองชิงชิวเฉียนเฉี่ยน ส่ายศีรษะพร้อมกับ กล่าวว่า “ไม่ใช่”

 

แม้ว่าจะฝึกฝนแผ่นหินภาพดวงตะวันขนาดมหึมาในภาพ สิบสองสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ที่ทําให้แปลงกายเป็นอีกาทองคําได้ ซึ่งก็ไม่ได้ต่างจากอีกาทองคําสามขาที่แท้จริงในตํานานสัตว์ศักดิ์สิทธิ์เลย

 

ทั้งซูฉินยังได้ครอบครองพลังของอีกาทองคําสามขา และเชี่ยวชาญไม่น้อย

 

แต่ความจริงแล้วซูฉินก็ยังคงเป็นเผ่าพันธุ์มนุษย์

 

การแปลงกายเป็นอีกาทองคํานั้นเป็นเพียงเคล็ดวิชาอย่างหนึ่งเท่านั้น

 

“ไม่ได้เป็น………”

 

ร่องรอยความผิดหวังปรากฏขึ้นบนใบหน้าของชิงชิวเฉียนเฉี่ยน

 

ถ้าซูฉินอยู่ในตระกูลอีกาทองคําจริงๆ บางทีนางอาจจะถูกปล่อยตัวไป เพราะนางเองก็อยู่ในเผ่าพันธุ์สัตว์อสูร..

 

แต่ตอนนี้ซูฉินได้ปฏิเสธ

 

ชิงชิวเฉียนเฉี่ยนไม่คิดว่าซูฉินจะโกหก

 

ด้วยความแข็งแกร่งของซูฉิน เขาคงจะสังหารนางทิ้งตราบใดที่เขาต้องการ เขาจะโกหกนางไปทําไม?

 

“นายท่าน”

 

“ข้าจะพาท่านไปยังเคหาสน์ลับหลังนั้น”

 

ชิงชิวเฉียนเฉี่ยนกล่าวด้วยความเคารพในทันที แล้วจึงเสนอตัวทําประโยชน์ให้แก่ซูฉิน

 

ไม่นานนัก

 

ซูฉินและชิงชิวเฉียนเฉี่ยนก็มาถึงส่วนลึกของเกาะหยิงโจว

 

ในความเป็นจริง แม้ว่าจะไม่มีชิงชิวเฉียนเฉี่ยน ซูฉินก็สามารถจับตําแหน่งที่ตั้งของถ้ําเซียนนี้ได้ เพียงแต่เกาะหยิงโจวค่อนข้างใหญ่ อาจจะต้องใช้เวลาสักครู่หนึ่ง

 

แต่อย่างไรก็ตามจิ้งจอกตระกูลชิงชิวได้ครอบครองสถานที่แห่งนี้มาเป็นเวลานาน และพวกเขาจะต้องรู้อะไรมากกว่าที่ซูฉินรู้

 

“นายท่าน”

 

“ถ้ําเชียนตั้งอยู่ที่นี่

 

ชิงชิวเฉียนเฉี่ยนชี้มือด้านหน้า ตรงจุดจุดหนึ่ง

 

ในส่วนลึกของเกาะหยิงโจว มีทะเลสาบขนาดใหญ่กว้างกว่าสิบลี้ น้ําในทะเลสาบใสสะอาดมาก และที่กึ่งกลางทะเล สาบมีเกาะเล็กๆ ลอยอยู่

 

เกาะแห่งนี้มีพื้นที่น้อยกว่าเกาะหยิงโจวมาก มีรัศมีเพียง ไม่กี่ลี้ แต่แอบสังเกตได้ว่าปราณฉีภายในเกาะหยิงโจว เข้า มารวมตัวกันอยู่ที่เกาะเล็กๆ แห่งนี้

 

“นายท่าน ทะเลสาบแห่งนี้ไม่สามารถดูแคลนได้ ถ้ามีสิ่งมี ชีวิตก้าวเข้าไปจะต้องประสบคราวเคราะห์ถึงแก่ชีวิต ต่อให้ มีนับสิบชีวิตก็ไม่รอดพ้นความตาย”

 

ความกลัวแฝงอยู่ในน้ําเสียงของชิงชิวเฉียนเฉี่ยน

 

“ค่ายกลสังหารอยู่ที่ก้นทะเลสาบอย่างนั้นหรือ?”

 

ซูฉินมองดูทะเลสาบด้วยความสนใจ เขาได้ใช้ดวงตาแห่ง สัจจะและวิชาปราณฉีฟ้ากําหนดมองลงก็ไปก็พบว่ามีไอพลัง จางๆ ซ่อนอยู่ใต้ทะเลสาบผืนนี้

 

พลังนี้คลุมเครืออย่างยิ่ง และการใช้จิตสัมผัสศักดิ์สิ ทธิ์ธรรมดาๆ จะไม่สามารถตรวจสอบพบ แม้ว่าจะใช้อาณาเขตเข้าปกคลุม แต่หากไม่ได้ดูอย่างละเอียดถี่ถ้วนก็อาจจะไม่ทันสังเกตเห็น

 

เฉพาะซูฉินผู้ที่มีดวงตาแห่งสัจจะควบคู่ไปกับวิชาปราณฉีฟ้ากําหนดเท่านั้น ถึงจะรับรู้ถึงความผิดปกตินั้นได้

 

“จ้าวทะเลบูรพาจจ…”

 

ซูฉินสายศีรษะเล็กน้อย แม้ว่าเขาจะไม่เคยพบจ้าวทะเลบูรพา แต่ด้วยค่ายกลสังหารใต้ทะเลสาบ ก็รู้สึกได้ว่าอีกฝ่ายน่าจะชอบกลั่นแกล้งผู้คนไม่น้อย

 

โดยทั่วไปแล้ว ค่ายกลที่ใช้ปกป้องคุ้มกันสถานที่ควรจะแสดงถึงพลังอันน่าหวั่นเกรง เพื่อให้คนที่มีความคิดรักตัวกลัวตายสามารถถอยหนีไปได้

 

แต่จ้าวทะเลบูรพานั้นรวมพลังปราณให้มาบรรจบกันอย่างถึงขีดสุด ด้วยวิธีเช่นนี้ สิ่งมีชีวิตที่ไม่รู้เรื่องรู้ราว เมื่อได้เห็นปราณผีที่มากล้นก็จะรีบเข้าไปในทะเลสาบด้วยความปีติยินดี จากนั้นจึงถูกบีบรัดด้วยกลุ่มค่ายกลสังหาร

 

“นายท่าน”

 

“มีแนวค่ายกลสังหารถึงเก้าชั้นในทะเลสาบแห่งนี้ กลวิธีของจ้าวทะเลบูรพาเป็นรูปแบบเปลวเพลิง และค่ายกลสังหารทั้งหมดที่ตั้งไว้ส่วนใหญ่ก็เป็นรูปแบบเปลวเพลิงเช่นกัน”

 

“ค่ายกลชั้นแรกจะมีทะเลเพลิงท่วมสุดลูกหูลูกตา หากต้องการจะผ่านค่ายกลชั้นแรกไปให้ได้ ท่านต้องต่อต้านเปลวเพลิงเหล่านั้น”

 

“แต่มันก็เป็นไปไม่ได้”

 

“ทะเลเพลิงที่ก่อตั้งโดยจ้าวทะเลบูรพานั้น แม้เป็นขอบเขตเซียนเทพปฐพีก็ไม่อาจต้านทานได้”

 

ชิงชิวเฉียนเฉี่ยนกล่าวด้วยเสียงต่ํา

 

จิ้งจอกตระกูลชิงชิวของพวกตนนั้นถูกสกัดกั้นด้วยค่ายกลสังหารอันนี้เป็นครั้งแรกเมื่อเกือบหมื่นปีก่อน แม้แต่เมื่อหกพันปีก่อน มีจิ้งจอกสี่หางกําเนิดขึ้นในตระกูล และมันต้องการจะเจาะทะลวงค่ายกลนี้ไป แต่ก็ถูกเผาทําลายจนสิ้น

รู้หรือไม่ว่า แม้ความแข็งแกร่งของจิ้งจอกสี่หางจะไม่ได้เทียบเท่าเซียนเทพปฐพี แต่ก็ไม่ได้ห่างไกลนัก แต่มันก็ยังอ่อนแอเกินไปเมื่ออยู่ต่อหน้าค่ายกลสังหารชั้นแรก นั่นจึงแสดงให้เห็นถึงความน่ากลัวของค่ายกลสังหารนี้

แน่นอนว่าด้วยเหตุผลนี้ บรรพบุรุษเผ่าจิ้งจอกจึงเชื่อว่าเกาะเล็กๆ กลางทะเลสาบนี้ต้องเป็นที่เก็บรักษาซึ่งสิ่งสําคัญของจ้าวทะเลบูรพาเป็นแน่

 

ไม่เช่นนั้น เหตุใดจ้าวทะเลบูรพาจึงต้องใช้ความพยายามอย่างมากเพื่อสร้างค่ายกลสังหารมากมายขนาดนี้ไว้ในทะเลสาบ

 

“เผ่าจิ้งจอกของเจ้าจะใช้วิธีใดจัดการกับค่ายกลสังหารแห่งนี้”

 

ซูฉินยังไม่ได้เคลื่อนไหวอะไร แต่เขาตรวจสอบทะลุลงไปยังกลุ่มค่ายกลสังหารใต้ทะเลสาบด้วยดวงตาแห่งสัจจะ

 

“นายท่าน เมื่อหลายพันปีก่อน บรรพบุรุษเผ่าจิ้งจอกของข้าค้นพบว่าพลังของค่ายกลสังหารนั้นอ่อนแอลง”

 

“ตามการคาดเดาของบรรพบุรุษในยุคนั้น จะต้องรอจนกว่าพลังของค่ายกลสังหารลดลงไปอีกระดับหนึ่ง………..”

 

เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ ชิงชิวเฉียนเฉี่ยนก็เผยสีหน้าที่ขมขื่นเล็กน้อย

 

ตั้งแต่ครั้งนั้น พวกเขาก็เฝ้ารอมาหลายพันปี และกระทั่งรอจนหลายพันปีผ่านไป เผ่าจิ้งจอกตระกูลชิงชิวก็ยังคงอยู่จุดเดิม ไม่สามารถฝ่าชั้นแรกของค่ายกลสังหารได้ด้วยซ้ํา……

 

“เป็นวิธีที่ไม่เลว”

 

ซูฉินพยักหน้าเล็กน้อย

 

ค่ายกลสังหารแห่งนี้เป็นค่ายกลฟ้าดินขนาดใหญ่

 

เนื่องจากเป็นค่ายกลฟ้าดินขนาดใหญ่ หากผู้เป็นเจ้าของไม่ได้บํารุงรักษาเป็นระยะเวลานาน มันก็จะเสื่อมโทรมลงและกลายเป็นค่ายกลที่พังทลายไปในที่สุด

 

ค่ายกลสังหารที่จัดตั้งโดยตํานานยุทธระดับนภาชั้นที่หนึ่ง หรือชั้นที่สองจะสูญเสียประสิทธิภาพของมันภายในเวลาหลายสิบปี หรืออาจจะหลายร้อยปีเป็นอย่างมาก

 

ยิ่งความแข็งแกร่งของตํานานยุทธผู้ก่อตั้งยิ่งสูง การดํารงอยู่ของค่ายกลฟ้าดินก็จะยิ่งยาวนานขึ้น

 

ตัวอย่างเช่น ค่ายกลฟ้าดินขนาดใหญ่ที่จัดตั้งโดนตํานานยุทธระดับนภาชั้นที่เก้า สามารถคงอยู่ในโลกได้อย่างน้อยก็หลายพันปี

 

ในฐานะจุดสูงสุดของขอบเขตเซียนเทพปฐพี ค่ายกลสังหารที่ถูกจัดตั้งโดยจ้าวทะเลบูรพาก็คงไม่มีปัญหาหากผ่านไปนานหลายพันปี

 

นอกจากนี้ พลังปราณฉีบนเกาะหยิงโจวยังช่วยยืดอายุขัยของค่ายกลสังหารอีกด้วย

 

แต่ก็เท่านั้น

 

แม้จะเป็นดังที่กล่าวมาข้างต้น ไม่ว่าจะเป็นค่ายกลฟ้าดินที่คุ้มกันเกาะหยิงโจวหรือค่ายกลสังหารเก้าชั้นในทะเลสาบ มันก็จะเสื่อมถอยลงอย่างช้าๆ

 

ตามการคาดคะเนของซูฉิน อย่างน้อยก็หลายร้อยไม่ก็หลายพันปี ค่ายกลฟ้าดินขนาดใหญ่ทั้งหมดนี้คงจะเกือบพังทลายเต็มที

 

“เข้าใจเกือบทั้งหมดแล้ว”

 

ความคิดของซูฉินผันผวน

 

ด้วยดวงตาแห่งสัจจะควบคู่กับวิชาปราณฉีฟ้ากําหนด และด้วยประสบการณ์ที่ได้จากการปรับแต่งแผ่นศิลาสีดําก่อนหน้า ทําให้เขาเข้าใจขีดจํากัดพลังของกลุ่มค่ายกลสังหารเกือบทั้งหมดแล้ว

 

หากเป็นเมื่อหลายพันปีก่อน ตอนที่พลังของค่ายกลสังหารเพิ่งเริ่มจะเสื่อมโทรมลง ซูฉันคงไม่กล้าบุกเข้าไปภายในค่ายกล

 

แต่ตอนนี้

 

ซูฉินก้าวเท้าเดินไปข้างหน้า ก้าวไปยังทะเลสาบที่เต็มไปด้วยพลังผันผวน

 

“แย่แล้ว!”

 

ชิงชิวเฉียนเฉี่ยนที่อยู่ด้านข้าง เมื่อได้เห็นฉากนี้ รูม่านตาของนางก็หดตัวแคบ

 

นางไม่คาดคิดว่าซูฉินจะหุนหันพลันแล่นถึงขนาดที่กล้าบุกเข้าไปภายในค่ายกลสังหารเช่นนี้

 

“นายท่าน โปรดกลับมาก่อน ยังมีอีกหลายเรื่องเกี่ยวกับค่ายกลสังหารนี้ที่ข้ายังไม่ได้บอกแก่ท่าน”

 

ชิงชิวเฉียนเฉี่ยนตะโกนด้วยความกังวล

 

เป็นเวลากว่าหมื่นปีแล้ว ไม่รู้ว่าจิ้งจอกตระกูลชิง ชิวทดลองจนตกตายมากี่ตนแล้ว ชิงชิวเฉียนเฉี่ยนยังไม่ ได้กล่าวถึงบทเรียนราคาแพงที่ต้องเสียเลือดเนื้อไปอย่างนับ ไม่ถ้วนเลย

 

ในความเห็นของชิงชิวเฉียนเฉี่ยน แม้ว่าซูฉันต้องการจะ บุกเข้าไปในค่ายกลสังหารจริงๆเขาก็ควรจะรอจนกว่านางจะเล่าสิ่งเหล่านั้นจนหมด เพื่อให้มีความเข้าใจเกี่ยวกับค่ายกลสังหารให้มากขึ้นอีก ไม่ต้องถึงขั้นที่สามารถฝ่าฟันเข้าไปได้ แต่อย่างน้อยหลังจากเข้าไปแล้วยังสามารถเอาตัวรอดกลับมาได้ก็ยังดี

 

อย่างไรก็ตาม

 

ในขณะนี้

 

ฟูมมมม!

 

เห็นเปลวไฟที่น่าสะพรึงกลัวพุ่งขึ้นมาในอากาศ ครอบคลุมไปทั่วทุกทิศทางอย่างรวดเร็ว กลายเป็นทะเลเพลิงเข้าห้อมล้อมซูฉิน

 

“จบแล้ว”

 

มือเท้าของชิงชิวเฉียนเฉี่ยนเย็นเยียบ

 

ซูฉินได้ฝังเศษเสี้ยวจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ไว้ในร่างนางแล้ว เมื่อซูฉินตกอยู่ในค่ายกลสังหาร จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์นั้นจะระเบิดออก และชิงชิวเฉียนเฉี่ยนจะตายตามไปอย่างแน่นอน

 

ขณะที่ชิงชิวเฉียนเฉี่ยนกําลังจะหลับตารอคอยความตาย

 

หวิ่ง!!!

 

เห็นว่าทะเลเพลิงอันกว้างใหญ่ไพศาลนั้นก็ค่อยๆลดน้อยลงอย่างรวดเร็ว ในที่สุดร่างของซูฉินก็ปรากฏขึ้น

 

เปลวไฟทั้งหมดกลายเป็นเสาเพลิง พวกมันไหลบ่าเข้าไปในปากและจมูกของซูฉิน

 

ต่อหน้าการจ้องมองอย่างประหลาดใจของชิงชิวเฉียนเฉี่ยน

 

ซูฉันค่อยๆ เดินออกจากทะเลเพลิง เปลวไฟทั้งหมดไม่สามารถเข้าใกล้ตัวเขาได้เกินกว่าระยะสามฟุต

 

ทะเลเพลิงจํานวนมหาศาลถูกดูดกลืนอย่างบ้าคลังห่างออกไปในระยะสามฟุตรอบตัว ราวกับเขาเป็นเทพพระเพลิง

 

ตัวเขายืนอยู่ตรงจุดนั้น แต่มันทําให้ผู้คนรู้สึกได้ถึงดวงตะวันอันเป็นนิรันดร์ ที่ส่องแสงเปล่งประกายมาทุกยุคทุกสมัย

 

“นี่คือ?!”

 

ชิงชิวเฉียนเฉี่ยนเบิกตากว้างอย่างไม่อยากจะเชื่อ

 

ค่ายกลสังหารนี้ ในชั้นแรกเป็นทะเลเพลิงที่ไม่มีที่สิ้นสุด ไม่รู้ว่ามีบรรพบุรุษเผ่าจิ้งจอกถูกเผาไปกี่ตนแล้ว และแม้แต่จิ้งจอกสี่หางผู้แข็งแกร่งก็ยังถูกฝังกลบอยู่ภายในนั้น

 

แต่ทะเลเพลิงอันไร้ที่สิ้นสุดในยามนี้ ต่อหน้าซูฉิน มันราวกับเป็นกระต่ายขาวตัวน้อยแสนเชื่อง นี่เกือบจะพังทลายความรู้ความเข้าใจของชิงชิวเฉียนเฉี่ยนในเรื่องของค่ายกลสังหารไปเลยทีเดียว

 

ซูฉินแข็งแกร่งจริงๆ

 

สามารถสังหารหัวหน้าเผ่าจิ้งจอกตระกูลชิงชิวยุคปัจจุบันอย่างชิงชิวชิงหลิงได้ในหมัดเดียว

 

แต่ในความคิดของชิงชิวเฉียนเฉี่ยน ไม่ว่าซูฉินจะ แข็งแกร่งเพียงใด อย่างมากที่สุดก็ทําได้แค่ฝ่าค่ายกลเข้าไป แต่ตอนนี้เล่า?

 

ชิงชิวเฉียนเฉี่ยนตะลึงงัน

 

อย่างไรก็ตาม

 

เหตุการณ์ถัดไป

 

ฉากที่น่าเหลือเชื่อก็เกิดขึ้นอีกครั้ง

 

“น้อยเกินไป”

 

“เปลวไฟมีน้อยขนาดนี้เลยหรือ?”

 

ซูฉินขมวดคิ้ว แม้ว่าเขาจะไม่ได้ฝึกฝนแผ่นหินดวงตะวันขนาดมหึมา แต่เขาก็เข้าไปทําความเข้าใจมันมาอยู่ครู่หนึ่ง ความเข้าใจพลังแห่งเพลิงเทพสุริยันของอีกาทองคําสามขาก็เพิ่มขึ้นไม่น้อย

 

ในสถานการณ์ปัจจุบัน สิ่งที่เรียกว่าเปลวไฟนั้น สําหรับซูฉินแล้ว ไม่เพียงแต่ไม่ก่อให้เกิดอันตราย แต่ยังให้ “สารอาหาร” มาบํารุงหล่อเลี้ยงตัวเขาอีกด้วย

 

เป็น “สารอาหาร” ที่ช่วยส่งเสริมการบ่มเพาะวิชาในภาพ ดวงตะวันขนาดมหึมา

 

เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ ซูฉินก็เหลือบมองไปยังค่ายกลรูปแบบสังหารอีกแปดชั้นที่เหลือคม

 

ซูฉินก้าวเข้าไปทีละชั้นจนไปอยู่ตรงใจกลางของทะเลสาบ ห่างจากเกาะกลางน้ําเพียงไม่กี่เมตร

 

ฉับพลัน

 

แนวค่ายกลสังหารใต้ทะเลสาบก็เริ่มทํางานอย่างบ้าคลั่ง เปลวไฟที่ไร้ที่สิ้นสุดเริ่มลุกโชน และแม้แต่ชั้นบรรยากาศยังบิดเบี้ยว

 

บนเกาะหยิงโจว พลังฟ้าดินหลั่งไหลเข้ามาอย่างต่อเนื่อง เติมเต็มพลังงานให้กับค่ายกลสังหาร

 

อย่างไรก็ตาม

 

ใจกลางเปลวเพลิงที่พุ่งเข้ามาอย่างไร้ที่สิ้นสุด ท่าทีของซูฉินดูสบายอย่างมาก เปลวเพลิงจํานวนมากถูกกลืนเข้าไป ภายในร่าง และเขาก็ค่อยๆ ฝึกฝนตามวิธีการในภาพตะวันข นาดมหึมา

 

ทันใดนั้น

 

ภาพแผ่นหินขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นที่เบื้องหลังของซูฉิน

 

บนแผ่นหินนี้มีรูปดวงตะวันขนาดมหึมาสลักเอาไว้รางๆ มันกระจายละอองแสงออกมานับพันจุด

 

จุดแสงไฟเหล่านี้หนาแน่นและแลดูสลัวอย่างมาก

 

ในตอนนั้นเอง ท่ามกลางดวงไฟนับพันจุด ดวงไฟบริเวณที่อยู่ขอบนอกสุดค่อยๆ ส่องสว่างขึ้น

 

อย่างไรก็ตาม

 

เมื่อพวกมันเปล่งแสงมาได้ครึ่งทาง พวกมันก็หยุดลง และกลับมาสลัวอีกครั้ง

 

เพราะในตอนนี้รอบกายของซูฉิน เหนือน่านน้ําทะเลสาบไม่หลงเหลือเปลวไฟอีกต่อไป

 

ทะเลสาบทั้งหมดว่างเปล่า และกลุ่มค่ายกลสังหารเก้าชั้น ที่ปิดกั้นกลุ่มจิ้งจอกตระกูลชิงชิวมาเกือบหมื่นปีก็พังทลายลงจนเหลือเพียงแค่เรื่องราวในประวัติศาสตร์

 

ดวงตาของชิงชิวเฉียนเฉี่ยนแทบจะถลนออกจากเบ้า ยืนนิ่งงัน จ้องภาพตรงหน้าอย่างตื่นตะลึง

 

Sign in Buddha’s palm 212 ดวงตะวันขนาดมหึมา

 

“ภาพสิบสองสัตว์ศักดิ์สิทธิ์”

 

ใบหน้าของซูฉินพลันแข็งค้างไป

 

สัตว์ศักดิ์สิทธิ์ราวกับเป็นเทพเจ้าที่อยู่ในตํานานมาโดยตลอด ไม่มีตัวตนจริง และสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ทุกชนิดก็แสดงถึงอํานาจอันสูงสุดในแต่ละสาย

 

ขณะที่ซูฉินกําลังคิดถึงเรื่องนี้

 

ข้อมูลมากมายที่เกี่ยวข้องกับ “ภาพสิบสองสัตว์ศักดิ์สิทธิ์” ก็ปรากฏขึ้น

 

“เจ้ารออยู่ที่นี่ก่อน”

 

ซูฉินกวาดตามองชิงชิวเฉียนเฉี่ยนแล้วนั่งขัดสมาธิลงหน้า แผ่นศิลาสีดํา ก่อตั้งค่ายกลสังหารสามชั้นในรัศมีสามจ้างรอบตัว

 

ค่ายกลสังหารสามชั้นนี้อาศัยการบังคับจากแผ่นศิลาสีดํา แม้ว่าชิงชิวชิงหลิงจะเกิดใหม่อีกครั้ง ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะทําลายมันด้วยพละกําลัง

 

“เจ้าค่ะ”

 

ชิงชิวเฉียนเฉี่ยนโค้งคํานับพร้อมกับกล่าวคํา

 

แม้ว่านางจะสงสัยเล็กน้อยว่าทําไมซูฉินจึงไม่ไปยังถ้ํา ในส่วนลึกของเกาะหยิงโจว

 

แต่ในตอนนี้ คําพูดของซูฉินต่อชิงชิวเฉียนเฉี่ยนก็ไม่ต่างไปจาก ‘คําสั่งศักดิ์สิทธิ์” นางผู้ไม่รีรอที่จะปฏิบัติตาม จะกล้าตั้งคําถามได้อย่างไร?

 

ชิงชิวเฉียนเฉี่ยนคุ้มกันซูฉินอยู่ในระยะสิบเมตร คอยดูแลไม่ให้มีสิ่งมีชีวิตใดเข้าไปรบกวนซูฉิน

 

บนเกาะหยิงโจวไม่ได้มีเพียงเผ่าจิ้งจอกตระกูลชิงชิวเป็น สิ่งมีชีวิตชนิดเดียว แต่ยังมีสิ่งมีชีวิตอื่นๆด้วย แต่สิ่งมีชีวิตเหล่านั้นเป็นสัตว์ร้าย แม้แต่ภูมิปัญญาก็ยังไม่ตื่นขึ้นมา

 

ในเวลาเดียวกัน

 

ซูฉินนั่งขัดสมาธิอยู่ด้านหน้าแผ่นศิลาสีดํา

 

“ภาพสิบสองสัตว์ศักดิ์สิทธิ์”

 

ภายในจิตใจของซูฉิน ปรากฏแผ่นภาพหินสลัก แผ่นหินทั้งสิบสองชิ้นฝังอยู่ภายในจิตใจของเขา ค่อยๆหมุนตัว ปลดปล่อยบรรยากาศที่แสนโบราณและปาเถื่อนออกมา

 

“ภาพสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ทั้งสิบสองแผ่นนี้ แม้จะไม่ได้ดีเท่ากับฝ่ามือยูไล แต่ก็เทียบได้กับคัมภีร์มารเก่าวิถี”

 

ซูฉินรู้สึกทิ้ง

 

นี่คือเหตุผลที่เขารีบนั่งลงในทันทีเพื่อทําความเข้าใจกับ “ภาพสิบสองสัตว์ศักดิ์สิทธิ์

 

ซูฉินไม่สามารถลงชื่อเข้าใช้แล้วได้รับเคล็ดวิชาชั้นสูง ที่ใกล้เคียงกับฝ่ามือยไลมานานถึงสิบปีแล้ว เมื่อได้พบมันแล้วแน่นอนเขาต้องรีบทําความเข้าใจมันในทันที

 

ส่วนเคหาสน์ลับในส่วนลึกของเกาะหยิงโจว ยังไงก็ยังอยู่ ตรงนั้นไม่หนีไปไหน จะไปตอนนี้หรือไปตอนไหนก็ไม่ต่างกัน

 

จิ้งจอกตระกูลชิงชิวรอมาได้เป็นหมื่นปี ฉะนั้นซูฉินไม่จําเป็นต้องสนใจเรื่องเวลาแต่ประการใดเลย

 

“อย่างไรก็ตาม จากแผ่นหินทั้งสิบสองชิ้นนี้ มีเพียงแผ่นแรกเท่านั้นที่มองเห็นภาพได้อย่างชัดเจน ส่วนอีกสิบเอ็ดภาพที่เหลือ…”

 

สายตาของซูฉินมองกวาดภาพสิบสองสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ไปทุกแผ่น โดยที่แผ่นหินสิบเอ็ดแผ่นปกคลุมไปด้วยม่านหมอก ไม่ว่าจะใช้ตามองหรือใช้จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ พวกมันก็ไม่สามารถมองฝ่าชันหมอกเข้าไปได้

 

“ดูเหมือนว่าหลังจากฝึกฝนแผ่นหินภาพแรกสําเร็จแล้ว จึงจะสามารถเห็นแผ่นหินต่อไปได้ชัดเจน”

 

ซูฉินแตะปลายคาง ใบหน้าแลดูครุ่นคิด

 

เมื่อคิดเรื่องราวต่างๆแล้ว สายตาของซูฉินก็เพ่งไปที่แผ่นหินรูปแรก

 

แผ่นหินนั้นโบราณเก่าแก่อย่างมิอาจประมาณ ราวกับว่ามันผ่านระยะเวลามายาวนานนับอนันต์ บนแผ่นหินมีดวงตะวันขนาดมหึมาอยู่หนึ่งดวง กําลังลุกไหม้อย่างช้าๆ เหมือนกับมันกําลังเผาโลกทั้งใบ

 

“นี่เป็นแผ่นหินแผ่นแรกในภาพสิบสองสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ ภาพดวงตะวันขนาดมหึมา?”

 

ซูฉินซึมซับมันเข้ามา ชิ้นส่วนความรู้ความเข้าใจของแผ่นหินนี้ไหลเข้ามาในจิตของซูฉิน

 

“เดี๋ยวก่อนนะ ดวงตะวันขนาดมหึมานี้เกี่ยวอะไรกับสัตว์ศักดิ์สิทธิ์”

 

ทันทีที่ความสงสัยผุดขึ้นในใจของซูฉิน เขาก็รู้สึกได้ถึงแรงดึงดูดอันน่าหวาดกลัวของภาพดวงตะวันขนาดมหึมาพุ่งเข้ามา ดูดกลืนจิตใจของเขาเข้าไปจนหมด

 

“ที่นี่คือ?”

 

ใบหน้าของซูฉินเปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อย ในตอนนี้เขาไม่ได้อยู่ภายในจิตใจตนเองอีกแล้ว แต่เป็นสถานที่เวิ้งว้างว่างเปล่า

 

และด้านหน้าก็มีลูกไฟขนาดมหึมากําลังลุกโชน

 

“นี่ข้าถูกดึงเข้ามาอยู่ในภาพสลักแผ่นหินงั้นหรือ?”

 

ซูฉินเข้าใจสถานการณ์ของตนได้ในทันที

 

ขณะที่ซูฉินคิดว่าจะทําอะไรต่อไปดี

 

“แกว้ก!!”

 

เป็นเสียงร้องคํารามที่แสนน่ากลัว

 

เห็นเป็นนกศักดิ์สิทธิ์ อีกาสามขาในส่วนลึกของดวงตะวันขนาดมหึมา อีกาศักดิ์สิทธิ์สามขาโบยบินออกมาพร้อมด้วยเปลวเพลิงท่วมทั้งตัวดูน่าหวาดกลัวยิ่ง เปลวไฟบนตัวมันเผาอากาศธาตุจนทิ้งรอยสีดําเป็นปั่นไปตามทางที่มันบิน

 

แต่กระนั้นรอยร้าวสีเทาดําเหล่านั้นก็ยังคงลุกไหม้ต่อไป ราวกับว่าต่อหน้าอีกาสามขานี้ สิ่งมีชีวิตใดๆในโลกก็ล้วนสามารถถูกมันเผาผลาญจนสิ้นได้

 

เมื่อนํามาเทียบกับอีกาศักดิ์สิทธิ์สามขานี้ เคล็ดเก้าสุริยันของซูฉินกลายเป็นบอบบางราวกับแสงเทียน

 

เคล็ดเก้าสุริยันเมื่อฝึกจนถึงจุดสูงสุด ก็สามารถสร้างลูกไฟขนาดยักษ์ได้เพียงเก้าลูกเท่านั้น มันจะมาเทียบกับดวงตะวันขนาดมหึมาที่แท้จริงได้อย่างไร

 

“นี่คืออีกาทองคําสามขาที่ร่ําลือกันว่าเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งมีเปลวไฟที่แข็งแกร่งที่สุดอย่างนั้นหรือ?”

 

ซฉินจ้องไปที่อีกาศักดิ์สิทธิ์สามขาอย่างชิดใกล้ พร้อมกับพึมพําอยู่กับตนเอง

 

อีกาทองคําสามขา เป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ที่มีเปลวไฟ แข็งแกร่งที่สุดในหมู่ตํานานสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ถือกําเนิดขึ้น จากใจกลางดวงตะวันขนาดมหึมา สามารถแปลงร่างเป็นดวงอาทิตย์ส่องแสงสว่างไปทั่วทั้งสามโลก

 

เปลวเพลิงจากดวงตะวันขนาดมหึมาของอีกาทองคําสามขา สามารถเผาผลาญทุกสิ่งทุกอย่างได้ แม้ว่าจะเป็นหมู่สัตว์ศักดิ์สิทธิ์ด้วยกัน ก็มีเพียงไม่กี่ประเภทเท่านั้นที่จะมีเปลวเพลิงเทียบเท่าอีกาทองคําสามขาได้ อาทิ หงส์เพลิง

 

“แผ่นหินดวงตะวันขนาดมหึมานี้เป็นคัมภีร์วิธีการฝึกฝนของอีกาทองคําสามขา ตราบใดที่ข้าบ่มเพาะ ตามวิธีการข้างต้น และทําตามขั้นตอนของแผ่นหินดวงตะวันขนาดมหึมานี้อย่างละเอียด ข้าก็จะได้รับพลังของอีกาทองคําสามขามา”

 

ซูฉินไม่ทันได้คาดคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้

 

เดิมที่เขาคิดว่าภาพสิบสองสัตว์ศักดิ์สิทธิ์จะเป็นบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ในตํานาน แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าแผ่นหินดวงตะวันขนาดมหึมาซึ่งเป็นแผ่นหินแผ่นแรกนี้ หลังจากฝึกฝนตาม จะทําให้เขากลายเป็นอีกาทองคําสามขาได้จริงๆ ช่างน่าตกใจอย่างยิ่ง

 

ต้องรู้ก่อนว่าการจะเปลี่ยนแปลงพลังครั้งนี้ของซูฉินไม่ใช่เรื่องธรรมดาๆ มันมีรูปแบบรูปร่างของมัน และการที่ได้รับพลังของอีกาทองคําสามขา รวมถึงพลังของดวงตะวันขนาดมหึมา มันเพียงพอที่จะทําให้เขาเผาผลาญทุกสรรพสิ่ง

 

แน่นอนว่า

 

แม้ฉันจะฝึกฝนตามแผ่นหินดวงตะวันขนาดมหึมานี้แล้ว แต่ด้วยความแข็งแกร่งของตัวเขาเอง พลังในครอบครองจะไม่ใช่พลังของอีกาทองคําสามขาที่แท้จริง อย่างมากที่สุดก็เป็นเพียงอีกาทองคําสามขาวัยเยาว์เท่านั้น

 

“อย่างไรก็ตาม ผู้ที่สร้างสิ่งวิเศษขนาดนี้ขึ้นมาได้ ต้องสร้างความเกลียดชังต่อเหล่าสัตว์ศักดิ์สิทธิ์มากเพียงใด…”

 

ซูฉินส่ายศีรษะเล็กน้อย

 

ในการสร้างสุดยอดวิชาที่สามารถแปลงกายเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ได้อย่างง่ายดายนั้น อย่างน้อยก็ต้องมีความเข้าใจในสัตว์ศักดิ์สิทธิ์อย่างดีเยี่ยม

 

และแน่นอนว่าการเข้าใจได้ขนาดนี้ สิ่งที่ขาดไม่ได้คือการจับสัตว์ศักดิ์สิทธิ์เหล่านี้มาสังเกตอย่างใกล้ชิด

 

“แผ่นหินแผ่นแรกคืออีกาทองคําสามขาที่ร่ําลือกันว่ามีพลังเปลวเพลิงที่แข็งแกร่งที่สุด แล้วแผ่นหินที่เหลือเล่า? สัตว์ศักดิ์สิทธิ์ที่แข็งแกร่งที่สุดมันจะเป็นตัวอะไรกัน?”

 

ซูฉินค่อยๆ ถอนจิตออกจากแผ่นหินภาพดวงตะวันขนาดมหึมา มองดูภาพแผ่นหินอีกสิบเอ็ดแผ่นที่เหลือซึ่งปกคลุมไปด้วยหมอกควัน ดูผ่อนคลายและน่าหลงใหล

 

หากซูฉินสามารถฝึกฝนแผ่นหินภาพสิบสองสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ได้ทั้งหมด สามารถกลายร่างเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ทั้งสิบสองตัวได้อย่างง่ายดาย พลังของมันคงน่าสะพรึงกลัวจนไม่อาจจะจินตนาการได้

 

“น่าเสียดาย แผ่นหินภาพสิบสองสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมดนั้นทรงพลังอย่างน่าเหลือเชื่อ แต่มันก็ยากพอๆกับปีนปายสวรรค์เพื่อจะฝึกฝนมันทั้งหมด”

 

ซุฉินถอนหายใจเบาๆ

 

ไม่ต้องกล่าวถึงภาพแผ่นหินถัดไปทั้งสิบเอ็ดแผ่นเลย เพียงต้องการฝึกฝนภาพดวงตะวันขนาดมหึมา ทรัพยากรที่ต้องใช้นั้นมากมายราวกับมหาสมุทร และทรัพยากรทั้งหมดต้องเป็นสมบัติเป็นโอสถธาตุไฟเท่านั้น

 

แม้แต่ซูฉินที่คิดว่าตน ร่ํารวย” ก็ต้องเกิดอาการคันที่หัวใจเมื่อเขาเห็นทรัพยากรที่จําเป็นต้องใช้

 

“ภาพดวงตะวันขนาดมหึมาแผ่นแรกนี้ แม้ว่าข้าจะไม่ได้ฝึกฝนมัน แต่เพียงได้เข้าใจก็ดูเหมือนจะช่วยให้ข้าได้ เข้าใจพลังแห่งเปลวเพลิงเพิ่มขึ้นอย่างมาก อย่างน้อยก็สามารถยกระดับเคล็ดเก้าสุริยันที่หยุดนิ่งมานาน เพิ่มระดับขึ้นไปได้หลายระดับเลยทีเดียว”

 

ความคิดของซูฉินผันแปรไปอย่างรวดเร็ว และจิตใจของเขาก็รวมเข้ากับแผ่นหินภาพดวงตะวันขนาดมหึมาอีกครั้ง สัมผัสได้ถึงอีกาทองคําสามขาที่ถือกําเนิดขึ้นมาจากดวงตะวัน เผาผลาญท้องฟ้าและผืนดิน

 

“นายท่านนั่งอยู่ตรงนี้มาหนึ่งวันแล้ว…”

 

ชิงชิวเฉียนเฉี่ยนหันมองซูฉินซึ่งกําลังนั่งขัดสมาธิอยู่หน้าแผ่นหินอย่างระมัดระวัง

 

“ข้าเองก็ไม่รู้ว่า นายท่านจะทําอะไรกับข้าบ้าง…”

 

หลังจากที่ชิงชิวเฉียนเฉี่ยนเหลือบมองอยู่ครู่หนึ่ง จิตใจของนางก็เริ่มหดหู่

 

ในตอนนี้ ชีวิตความเป็นความตายของนางขึ้นอยู่กับการ ตัดสินใจของซูฉิน หากซูฉินตั้งใจจะสังหารนางชิงชิวเฉียนเฉี่ยนก็ไม่สามารถต้านทานได้เลย

 

สําหรับการใช้ประโยชน์จากการที่ซูฉินกําลังปิดด่านฝึกตนหลบหนีไปเสีย

 

ตอนนี้ทั่วทั้งเกาะหยิงโจวห้อมล้อมไปด้วยค่ายกลฟ้าดินมากมาย ชิงชิวเฉียนเฉี่ยนไม่สามารถหลบหนีไปได้ แม้นางจะต้องการก็ตาม

 

นอกจากนี้จะเกิดอะไรขึ้นหากชิงชิวเฉียนเฉี่ยนสามารถหลบหนีไปได้จริงๆ?

 

เมื่อซูฉินออกจากการฝึกตน และพบว่านางไม่อยู่แล้ว ไม่ใช่ว่าเวลานั้นจะเป็นวันตายของนางหรอกหรือ?

 

ฉับพลัน

 

ทันใดนั้นเอง

 

ซูฉินที่กําลังนั่งขัดสมาธิ ค่อยๆลืมตาขึ้น

 

ในส่วนลึกของดวงตา ดวงตะวันขนาดมหึมาที่กําลังแผดเผาลุกไหม้ได้ปรากฏขึ้น

 

ดวงตะวันขนาดมหึมาดวงนี้เริ่มใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ และในที่สุดก็พุ่งออกมาจากดวงตาของซูฉิน และโผล่ขึ้นไปอยู่เหนือหัวของเขา

 

กึ่งกลางของดวงตะวันขนาดมหึมานี้สามารถมองเห็นอีกาศักดิ์สิทธิ์สามขาได้รางๆมันกําลังโบยบินอย่างอิสรเสรี

 

ทุกครั้งที่อีกาสามขาสยายปีก เปลวเพลิงอันน่าสะพรึงกลัวปะทุออกมา ราวกับจะแผดเผาทุกสิ่งเผาผลาญทุกอย่าง

 

“นี่คือ?”

 

ชิงชิวเฉียนเฉี่ยนบังเอิญหันมาเห็นฉากดังกล่าว ยืนนิ่งงันอยู่กับที่ในทันที

 

“นี่คืออีกาทองคําสามขาไม่ใช่หรือ?”

 

เกิดคลื่นลูกใหญ่ขึ้นในใจของชิงชิวเฉียนเฉี่ยน

 

นางไม่เคยคิดฝันว่าสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ที่มีอยู่แต่เพียงในบันทึก โบราณของเผ่าจิ้งจอกตระกูลชิงชิวจะมีอยู่จริง

 

ต้องรู้ว่าแม้สัตว์ศักดิ์สิทธิ์จะอยู่เหนือกว่าภูตอสูรมาก แต่ในอีกแง่หนึ่ง ก็มีภูตอสูรมากมายที่มีร่องรอยสายเลือดของสัตว์ศักดิ์สิทธิ์อยู่ในตัวอย่างไม่รู้ตัว

 

ตัวอย่างเช่น หากเผ่าจิ้งจอกตระกูลชิงชิวเติบโตจนมีเก้าหางและชําระสายเลือดของมันให้บริสุทธิ์มากที่สุด มันก็สามารถเข้าใกล้ระดับของสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ในตํานานได้

 

น่าเสียดายที่จิ้งจอกอสูรเก้าหางนั้นหายากถึงขีดสุด แม้จะเป็นชิงชิวชิงหลิงที่ตกตายไปเมื่อไม่นานมานี้ ก็ไม่ได้มีอะไรไปมากกว่าจิ้งจอกสามหาง

 

ส่วนเก้าหางนั้น

 

บางทีมันอาจจะไม่มีอยู่เลยก็ได้

 

“เป็นไปได้ไหมว่านายท่านไม่ใช่เผ่าพันธุ์มนุษย์ แต่เป็นอีกาทองคําสามขา…” ชิงชิวเฉียนเฉี่ยนสงบใจลง และเริ่มใคร่ครวญอย่างรวดเร็ว

 

เพียงเท่านั้นใจของชิงชิวเฉียนเฉี่ยนก็รู้สึกสยดสยอง

 

ตอนนั้น ดวงตะวันขนาดมหึมา” ที่ลอยอยู่บนหัวซูฉินก็ค่อยๆกระจายออก เคลื่อนกลับมาที่ดวงตาของซูฉิน

 

“หลังจากที่เข้าใจภาพดวงตะวันขนาดมหึมาแล้ว เคล็ดเก้าสุริยันของข้าก็มีกลิ่นอายของดวงตะวันขนาดมหึมา ติดมาเล็กน้อย ตํานานยุทธระดับนภาชั้นที่สี่และนภาชั้นที่ห้าจะไม่สามารถหยุดเปลวเพลิงแผดเผาของเคล็ดเก้าสุริยันได้”

ซูฉินลุกขึ้นโดยไม่รอช้า

 

แม้ว่าเขาจะยังไม่สามารถฝึกฝนดวงตะวันขนาดมหึมาได้ในขณะนี้ แต่เขาสามารถเพิ่มพลังของเคล็ดเก้าสุริยันจนสมบูรณ์ได้

 

“หลังจากที่ทําความเข้าใจจนนํามาปรับปรุงวิชาจนมีพลังตามที่เห็นได้เช่นนี้ หากฝึกฝนดวงตะวันขนาดมหึมาจริงๆ มันจะมีพลังขนาดไหนกันนะ?”

 

ซูฉินปล่อยลมหายใจที่เต็มไปด้วยอารมณ์ความรู้สึกออกมา

 

“ผ่านไปหนึ่งวันแล้วอย่างนั้นหรือ?”

 

ซฉินเหลือบมองไปที่ชิงชิวเฉียนเฉี่ยนซึ่งกําลังตกตะลึงอยู่ไม่ไกลเท่าไรนัก จากนั้นจึงหันกลับมามองแผ่นศิลาสีดําอีกครั้ง

 

“น่าเสียดายที่ไม่สามารถลงชื่อเข้าใช้ซ้ําได้อีกต่อไป”

 

ซูฉินส่ายหัวเล็กน้อย ดูเหมือนว่าการลงชื่อเข้าใช้และ ได้รับ ‘ภาพสิบสองสัตว์ศักดิ์สิทธิ์” จากระบบ ได้ใช้ “เต๋าสะสม” บนเกาะหยิงโจวไปจนหมดสิ้น และไม่เพียงพอที่จะช่วยให้ซูฉินลงชื่อเข้าใช้ต่อไปได้

 

“อย่างไรเสีย คราวนี้ข้าได้รับ “ภาพสิบสองสัตว์ศักดิ์สิทธิ์มา ก็เรียกได้ว่าเป็นการเดินทางที่คุ้มค่าแล้ว”

 

ซูฉินพยักหน้าเล็กน้อย ดูพึงพอใจอย่างมาก

 

ซูฉินลงชื่อเข้าใช้มาหลายสิบปี เขาไม่เคยขาดแคลนโอสถและผลไม้จิตวิญญาณ เคล็ดวิชาวิเศษภายใน “ภาพสิบสองสัตว์ศักดิ์สิทธิ์” เพียงอย่างเดียวก็พอแล้ว สําหรับชดเชยสิ่งของจํานวนมากมายนับไม่ถ้วน

 

“ได้เวลาไปเยี่ยมถ้ําเซียนแห่งนั้นแล้ว”

 

เมื่อคิดได้ ซูฉินก็มองไปยังส่วนลึกของเกาะหยิงโจว

 

ตามการคาดเดาของเผ่าจิ้งจอกชิงชิว ถ้ําแห่งนั้นคือที่อยู่ของจ้าวทะเลบูรพาที่แท้จริง และตอนนี้ก็ผ่านไปหลายหมื่นปีแล้ว ไม่รู้ว่าจะมีอะไรหลงเหลืออยู่ภายในนั้นบ้าง

 

Sign in Buddha’s palm 211 (11) เข้าสู่ระบบ! ภาพ สิบสองสัตว์ศักดิ์สิทธิ์

“เจ้าแน่ใจหรือว่าจ้าวทะเลบูรพานั้นตายไปแล้ว?”

ซูฉินคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงถามต่อ

“ไม่แน่ใจ”

ชิงชิวเฉียนเฉียนกล่าวตามความจริงว่า “จ้าวทะเลบูรพา มีความสามารถสูงเสียดฟ้า แม้ว่าเขาจะตายไป แต่ก็มีหนทางที่จะฟื้นคืนชีพกลับมาได้ หากเขากลับมาเห็นห้องลับใน ถ้ําเซียนถูกครอบครองโดยเผ่าจิ้งจอกของข้าล่ะก็ คงจะไม่ปล่อยพวกข้าไปแน่”

เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ชิงชิวเฉียนเฉียนเงยหน้าขึ้นและมองไปที่ซูฉินอย่างระมัดระวัง “ดังนั้นบรรพบุรุษเผ่าจิ้งจอกของข้าจึงรอคอยเกือบสองพันปีกว่าจะกล้าเข้าครอบครองเกาะหยิงโจวแห่งนี้ทีละนิด”

“สองพันปี?”

“ตระกูลจิ้งจอกของเจ้านี่ระวังตัวดีจริงๆ”

รอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าของซูฉิน

เซียนเทพปฐพี่มีอายุขัยเพียงหนึ่งพันปี แม้ว่าจ้าวทะเลบูรพาจะมีหนทางยืดอายุขัยออกไปได้ แต่การยืดอายุขัยออกไปได้สี่ถึงห้าร้อยปีก็ถึงขีดสุดแล้ว ยังไม่นับระยะเวลาก่อนหน้าที่จ้าวทะเลบูรพาใช้ในการบ่มเพาะเรื่อยมา

เผ่าจิ้งจอกตระกูลชิงชิวรอเกือบสองพันปีก่อนถึงจะกล้าเคลื่อนไหว แม้เผ่าพันธุ์ภูตอสูรจะมีอายุยืนยาวเกินกว่าเผ่าพันธุ์มนุษย์ แต่หลังจากระยะเวลาอันยาวนานเช่นนี้ สําหรับเผ่าพันธุ์จิ้งจอกก็ยังต้องใช้เวลาไปหลายชั่วอายุคน

แน่นอน ยิ่งจิ้งจอกตระกูลชิงชิวระมัดระวังตนมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งอธิบายถึงความน่าสะพรึงกลัวของจ้าวทะเลบูรพาในยุคนั้นได้มากขึ้นเท่านั้น

แม้ว่าบรรพบุรุษเผ่าจิ้งจอกในยุคนั้นจะเชื่อว่าจ้าวทะเลบูรพามีแนวโน้มที่จะตกตายไปแล้ว แต่มันก็ยังรอจนถึงขีดจํากัดอายุขัยของอีกฝ่ายจึงจะรวบรวมความกล้า เข้ายึดครองเกาะหยิงโจว

“เซียนเทพปฐพีขั้นสูงสุด…”

ซูฉินรู้สึกทึ่ง แม้ว่าเขาจะแน่ใจว่าตนสามารถขึ้นสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพีได้ และก็ไม่ใช่ปัญหาที่จะไปยังจุดสูงสุด แต่การก้าวไปสู่จุดนั้นอาจใช้เวลาไปหลายร้อยหลายพันปี

“เจ้าคิดเห็นอย่างไรกับเคหาสน์ลับภายในถ้ําเซียน?”

ซูฉินถอนหายใจออกมาแล้วจึงลอบถาม

“นายท่าน” ชิงชิวเฉียนเฉียนรีบกล่าวตอบทันที “ท่านหัวหน้าเผ่าคิดเอาไว้ว่า ถ้ําแห่งนั้นเป็นสมบัติล้ําค่าของจ้าวทะเลบูรพา แต่น่าเสียดายที่นางไม่สามารถผ่าแนวค่ายกลสังหารที่ล้อมรอบอยู่เข้าไปได้”

“บรรพบุรุษเผ่าจิ้งจอกของข้าก็ไม่สามารถกําจัดค่ายกลเก้าชั้นออกไปได้ ทําได้แค่มองดูสมบัติที่ซ่อนอยู่ใต้ฝ่าเท้า แต่ไม่สามารถแตะต้องได้”

ชิงชิวเฉียนเฉียนกระซิบบอก

“สมบัติ?”

ซูฉินส่ายหัวเล็กน้อย

ถึงแม้ว่าเขาจะไม่รู้ว่ามันผ่านมานานแค่ไหนแล้วตั้งแต่ยุครุ่งเรืองของกระแสปราณฉีครั้งล่าสุด แต่อย่างน้อยก็หลายหมื่นปี

เป็นพันๆ ปีผ่านพ้นไป จะมีสมบัติอะไรเล่าถึงเก็บไว้ได้ ยาวนานขนาดนั้น?

“เสร็จเรียบร้อย

ดวงตาของซูฉินเป็นประกายในทันที เมื่อมองไปยังแผ่นศิลาสีดําเบื้องหน้า และตะโกนออกมาเสียงดัง “จงฟื้นคืน!”

ทันใดนั้น

เห็นค่ายกลฟ้าดินขนาดใหญ่สั่นสะเทือนและเข้าปกคลุม เกาะหยิงโจวทั้งหมดอีกครั้ง

พลังของค่ายกลขนาดใหญ่เข้าปกคลุมเกาะหยิงโจว ช่วยปกปิดเกาะหยิงโจวให้กลืนไปกับทะเลบูรพาอีกครั้ง กลับมาเป็นสรวงสวรรค์บนดินอีกครั้ง

ค่ายกลขนาดใหญ่ที่ซูฉินผ่าทําลายก่อนหน้าเป็นเพียงค่ายกลที่คอยปกคลุมเกาะเอาไว้ แต่มันไม่ได้ทําลายแกนหลักของค่ายกลไปด้วย

ดังนั้นเมื่อซุฉินเพิ่มพลังให้กับแผ่นศิลาสีดํา ค่ายกลฟ้าดินที่หักพังจึงค่อยๆฟื้นกลับมาอีกครั้ง

ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อเทียบกับค่ายกลฟ้าดินที่ควบคุมโดย จิ้งจอกตระกูลชิงชิวกับที่ควบคุมโดยซูฉิน ในครั้งนี้มันครอบคลุมได้อย่างสมบูรณ์แบบมากกว่า

ท้ายที่สุดจิ้งจอกตระกูลชิงชิวก็เป็นเพียงสัตว์อสูร แม้ว่าจะมีความฉลาดเฉลียวโดยกําเนิด แต่ไม่มีทางที่จะควบคุมค่ายกลของมนุษย์ที่จ้าวทะเลบูรพาเป็นผู้สร้างเอาไว้ได้อย่างสมบูรณ์

หลายปีที่ผ่านมานี้ ซูฉินได้ลงชื่อเข้าใช้และได้รับคัมภีร์ ค่ายกลรูปแบบต่างๆมามากมาย ความรู้นั้นสะสมจนเขาก้าวเข้าสู่ระดับปรมาจารย์ด้านค่ายกลแล้ว ประกอบกับดวงตาแห่งสัจจะและวิชาปราณฉีฟ้ากําหนดที่ช่วยให้จับกระแสพลังของค่ายกลขนาดใหญ่ได้

ในเวลานี้ค่ายกลฟ้าดินที่ปกคลุมเกาะหยิงโจวนั้น กว้างใหญ่ไพศาล แม้จะไม่ได้ดีเท่ากับยุครุ่งเรือง แต่ก็แข็งแกร่งกว่าของเผ่าจิ้งจอกก่อนหน้านี้มาก

“นี่คือ?”

ชิงชิวเฉียนเฉียนกลืนน้ําลายลงคอ ตะลึงงันกับสิ่งที่เห็น

หากซูฉินไม่ได้ถามคําถามมากมายกับนางขนาดนี้ จนทําให้ค่อนข้างแน่ใจว่าซูฉินไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับจ้าวทะเลบูรพา…

ไม่เช่นนั้นนางคงจะคิดว่าซุฉินเป็นทายาทของจ้าวทะเลบูรพาที่แท้จริงไปแล้ว

“เอาล่ะ”

“เกือบจะสมบูรณ์แบบทีเดียว”

ซูฉินปาดเหงื่อ มองขึ้นไปบนค่ายกลฟ้าดินที่สร้างขึ้นมาใหม่ด้วยความพึงพอใจ

ในขณะนี้เขาได้ปรับแต่งศิลาสีดําอย่างสมบูรณ์แล้ว ซึ่งเทียบเท่ากับการเป็นเจ้าของคนใหม่ของเกาะหยิงโจว ยกเว้นก็แต่ถ้ําเซียนในส่วนลึกของเกาะ ไม่มีสิ่งใดที่อยู่นอกเหนือขอบเขตการตรวจสอบของซูฉิน

“พาข้าไปยังถ้ําเซียนที่มีห้องลับนั่นซะ”

หลังจากซูฉินเข้าควบคุมเกาะหยิงโจวเรียบร้อย เขาก็หันไปพูดกับชิงชิวเฉียนเฉียน

“เจ้าค่ะ”

ชิงชิวเฉียนเฉียนโค้งคารวะพร้อมกับกล่าวคํา

เมื่อชิงชิวเฉียนเฉียนกําลังจะพาซูฉินไปที่ถ้ําเซียนในส่วนลึกของเกาะหยิงโจว

ซูฉินก็หยุดอย่างกะทันหัน

“เกือบลืมไปเลย”

ดวงตาของซูฉินตกลงไปบนแผ่นศิลาสีดําอีกครั้ง

เหตุผลสําคัญที่สุดที่ซูฉินออกจากเมืองฉางอันเพื่อค้นหา เกาะหยิงโจวก็เพราะเขาต้องการหาสถานที่ใหม่สําหรับการลงชื่อเข้าใช้

“เกาะหยิงโจวเป็นหนึ่งในสิบทวีปและสามเกาะดํารงอยู่ มายาวนานหลายหมื่นปี มันจะต้องมี “เต๋าสะสม” เป็นจํานวนมากแน่”

ความคิดของซูฉินผันผวนไปมา และรีบกระซิบคําภายในใจทันที “ระบบ ลงชื่อเข้าใช้”

[ขอแสดงความยินดี โฮสต์ลงชื่อเข้าใช้สําเร็จ ได้รับภาพ “สิบสองสัตว์ศักดิ์สิทธิ์” ]

Sign in Buddha’s palm 211 (1) เข้าสู่ระบบ! ภาพ สิบสองสัตว์ศักดิ์สิทธิ์

ชิงชิวชิงหลิงนั้นแข็งแกร่งมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งยามที่นางเปิดเผยร่างภูตอสูรจิ้งจอกที่แท้จริง ไอพลังของนางถึงกับสามารถต่อต้านอาณาเขตของซูฉินได้ ไม่เช่นนั้น ด้วยความสามารถในการควบคุมอาณาเขตขนาดเล็กของซูฉิน เขาย่อมสามารถบดขยี้คู่ต่อสู้โดยแทบจะไม่ต้องทําสิ่งใด

นอกจากนี้ความว่องไวของชิงชิวชิงหลิงก็น่าพึ่งเช่นกัน สามารถหลบคมมีดเทพเจ้าปีศาจได้

น่าเสียดายที่นางได้มาพบกับซูฉินที่มีไพ่ลับมากมาย เช่น หมัดสายฟ้าเทพเจ้า และเทพวิชาหลอมจิตวิญญาณจันทรา รวมถึงการแปรสภาพร่างกายถึงห้าครั้ง ไม่ต้องพูดถึงด้านอื่นๆเลย เพียงแค่กายเนื้ออย่างเดียวซูฉินก็เทียบเคียงหรือ บางทีอาจจะเหนือกว่าภูตอสูรในระดับเดียวกันแล้ว

เดิมที่ชิงชิวชิงหลิงคิดว่าซูฉินโง่มากที่ไม่ใช้มีดเทพเจ้าปีศาจ แต่ที่จริงแล้วสําหรับซูฉิน การใช้เพียงมีดเทพเจ้าปีศาจเป็นการจํากัดความสามารถของตนเองไว้ถึงเก้าส่วน

“เป็นไปไม่ได้?!

ชิงชิวเฉียนเฉียนหน้าซีดเทา ไม่อยากจะเชื่อสิ่งที่เห็น

นางรู้ถึงความแข็งแกร่งของชิงชิวชิงหลิงดี เดิมที่กลุ่มภูตอสูรนั้นต่างก็เคารพผู้แข็งแกร่งอยู่แล้ว และชิงชิวชิงหลิงในฐานะที่เป็นหัวหน้าเผ่าจิ้งจอกตระกูลชิงชิว จึงเป็นจิ้งจอกภูตที่ทรงพลังที่สุดในปัจจุบัน

อย่างไรก็ตามชิงชิวเฉียนเฉียนไม่ได้คาดหวังว่าชิงชิวชิงหลิงจะไม่สามารถรับหมัดของซูฉินได้ และถูกกําจัดสลายหายไปอย่างสมบูรณ์

ชิงชิวเฉียนเฉียนคิดถึงสิ่งต่างๆ ตั้งแต่ต้นจนจบ นางไม่ได้คาดคิดว่าเรื่องราวทั้งหมดจะกลายมาเป็นแบบนี้

“มีวิธีการเช่นนี้ด้วย”

หลังจากซูฉินชกหมัดขวาออกไป ท้องฟ้าที่มืดครึ้มก็ค่อยๆหายไป ดวงอาทิตย์ค่อยๆสาดแสงลงมา สว่างจ้าราวกับฟ้าหลังฝน

“น่าเสียดายที่ห้าหมัดสายฟ้าเทพเจ้าเป็นการระดมพลังสายฟ้าทั้งหมดบดบังดวงอาทิตย์ วิธีการของภูตอสูรอย่างเจ้านั้นก็กลายเป็นไร้ความหมาย”

ซูฉินส่ายศีรษะเล็กน้อย พึมพํากับตนเอง

ในขณะที่เขากําลังจัดการชิงชิวชิงหลิงนั้น เขารู้สึกได้อยู่เล็กน้อยว่ามีคลื่นจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์กระเพื่อมอยู่ในร่างของคู่ต่อสู้ มันต้องการจะละทิ้งกายหยาบออกมาและหนีไปให้ไกล

แต่ก่อนที่จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์จะหนีออกจากร่าง พลังสายฟ้าก็ตามติดราวกับเงาตามตัวเข้าไปทําลายล้างจนสลายหายไป

เมื่อคิดเรื่องเมื่อครู่เสร็จสิ้น ซูฉินก็เบนสายตาเล็กน้อย มองไปที่ชิงชิวเฉียนเฉียนซึ่งอยู่ไม่ไกลนัก

เผ่าพันธุ์จิ้งจอกบนเกาะหยิงโจวได้ล่มสลายลงอย่างสมบูรณ์แล้วตั้งแต่ที่ซูฉินผ่าทําลายค่ายกลสังหาร

และชิงชิวชิงหลิงที่เหลือรอดชีวิตมาได้ก็ถูกหมัดของซูฉินสังหารตามไปเช่นกัน

พูดง่ายๆ คือ ในบรรดาจิ้งจอกตระกูลชิงชิวนั้น ผู้ที่รอดชีวิตหนึ่งเดียวในวันนี้ก็คือ ชิงชิวเฉียนเฉียน

“มันจบแล้ว”

เมื่อชิงชิวเฉียนเฉียนเห็นซูฉินจ้องมองมา ใจนางก็ตกลงไปอยู่ตาตุ่ม

ขาทั้งสองข้างของชิงชิวเฉียนเฉียนอ่อนแรงแทบจะล้มคะมำลงด้วยความตกใจ ทันใดนั้นก็มีเสียงสงบนิ่งลอยผ่านหูมา

“อยากจะตายหรือมีชีวิตอยู่?”

เสียงนั้นดังก้องอยู่ข้างหูของชิงชิวเฉียนเฉียน ทําให้นางตกใจขวัญกระเจิง ในตอนนั้นเองชิงชิวเฉียนเฉียนจะไม่รู้ ได้อย่างไรว่าโอกาสรอดชีวิตของนางกําลังจะมาถึงแล้ว จึงรีบแสดงอาการนอบน้อมในทันที

“นายท่าน ข้าอยากจะมีชีวิตอยู่”

ชิงชิวเฉียนเฉียนกล่าวคําไม่มีลังเล

เผ่าจิ้งจอกชอบที่จะติดตามผู้แข็งแกร่ง ในช่วงรุ่งเรืองของกระแสปราณฉีครั้งล่าสุด เผ่าจิ้งจอกตระกูลชิงชิว สามารถครองใต้หล้าได้มาจนถึงปัจจุบันเพียงเพราะอาศัยร่มชายคาของผู้แข็งแกร่งเผ่าพันธุ์มนุษย์

ตอนนี้ แม้ว่าซูฉินจะสังหารเผ่าจิ้งจอกตระกูลชิงชิวจนหมดเกาะ แต่ชิงชิวเฉียนเฉียนก็ไม่กล้าคิดเคืองแค้นแต่อย่างใดในขณะนี้

สําหรับเผ่าพันธุ์มนุษย์อาจมีมุมมองความคิดหวงแหนชาติพันธุ์ของตน แต่เผ่าพันธุ์จิ้งจอกนั้นเป็นสัตว์อสูร ตราบใดที่พวกมันสามารถรักษาชีวิตรอดได้ มันก็ยินดีที่จะทําทุกวิถีทาง

“ถ้าอยากจะมีชีวิตอยู่ก็จงติดตามข้ามา”

ซูฉินเหลือบมองชิงชิวเฉียนเฉียนชั่วครู่ จากนั้นจึงหันหลังกลับเข้าสู่เกาะหยิงโจว

ก่อนหน้านี้ที่เขาผ่าทําลายค่ายกลสังหารบนเกาะหยิงโจว เขาก็จงใจไม่ให้มันส่งผลกระทบต่อเกาะหยิงโจว

ดังนั้นแม้ว่าค่ายกลฟ้าดินภายนอกเกาะหยิงโจวจะพังทลายลง อันที่จริงตัวเกาะหยิงโจวเองก็ไม่ได้รับผลกระทบแต่ประการใด

“เจ้าค่ะ”

ชิงชิวเฉียนเฉียนปฏิบัติตามคําสั่งของซูฉินด้วยความเคารพ

ตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้ ชิงชิวเฉียนเฉียนไม่เคยคิดที่จะวิ่งหนีไปไหน เพราะนางรู้ว่าต่อหน้าชายที่แข็งแกร่งถึงขนาดสังหารชิงชิวชิงหลิงได้ด้วยหมัดเดียว การวิ่งหนีนับว่าเป็นเรื่องไร้สาระ

ไม่นาน

ทั้งคู่ก็เข้ามาที่เกาะหยิงโจว

“นี่คือ?”

ชิงชิวเฉียนเฉียนตัวสั่นเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าภายในเกาะยังคงเต็มไปด้วยพลังงานปราณฉีอยู่ทุกที

เมื่อตอนที่นางเห็นค่ายกลฟ้าดินถูกตัดทําลาย นางคิดว่าเกาะหยิงโจวก็คงจะถูกทําลายไปด้วยเช่นกัน แต่เมื่อนางเข้ามา นางพบว่าเกาะหยิงโจวแทบไม่ได้รับผลกระทบใด

ความสามารถในการควบคุมพลังในระดับนี้ช่างน่ากลัวจริงๆ

ชิงชิวเฉียนเฉียนรวบรวมความกล้าเพื่อมองไปที่แผ่นหลังของซูฉินแล้วจึงก้มศีรษะลงอย่างรวดเร็ว ให้ความเคารพคนตรงหน้ามากยิ่งขึ้น

“แผ่นศิลาสีดํานี้เป็นแกนกลางค่ายกลฟ้าดินขนาดใหญ่ของเกาะหยิงโจวใช่หรือไม่?”

ซูฉินหยุดอยู่หน้าแผ่นหินสีดําแล้วพูดขึ้นเบาๆ

“ใช่เจ้าค่ะนายท่าน” ชิงชิวเฉียนเฉียนกล่าวอย่างเคารพ “ศิลานี้เป็นศูนย์กลางของค่ายกลฟ้าดินขนาดใหญ่ หลังจากปรับแต่งแผ่นศิลานี้แล้ว ท่านจะสามารถควบคุมทั้งเกาะได้อย่างง่ายดาย”

“ไม่ใช่แค่นั้น…”

เมื่อพูดถึงจุดนี้ ชิงชิวเฉียนเฉียนลังเลอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงกล่าวต่อ “ในส่วนลึกของเกาะหยิงโจวมีถ้ําเซียนอยู่และมีห้องลับภายในถ้ําเซียน เพียงแต่มันถูกล้อมรอบไว้ด้วยค่ายกลเก้าชั้น”

“ในบรรดาค่ายกลทั้งเก้าชั้น แต่ละชั้นเป็นค่ายกลรูปแบบสังหารที่ทรงพลัง ท่านหัวหน้าใช้เวลาไปหลายร้อยปี แต่ทําลายไม่ได้แม้แต่ชั้นแรกของค่ายกลสังหาร”

ชิงชิวเฉียนเฉียนบอกทุกอย่างที่นางรู้โดยไม่ลังเล

“ถ้ําเซียน?”

“ค่ายกลสังหารเก้าชั้น?”

ซูฉินแตะปลายคาง แววตาของเขาครุ่นคิด

ในความเป็นจริง ตั้งแต่ที่ซูฉินก้าวเข้าสู่เกาะหยิงโจวในตอนแรกและใช้ดวงตาแห่งสัจจะผสานกับวิชาปราณฉี

ฟ้ากําหนด เขาก็ได้ค้นพบว่าตําแหน่งส่วนลึกของเกาะนั้นมีไอพลังของค่ายกลที่แข็งแกร่ง

เพียงแต่ว่าซูฉินไม่ได้สนใจสนใจมากนักในตอนนั้น แต่ในยามนี้ ดูเหมือนว่าถ้ําเซียนในส่วนลึกของเกาะหยิงโจวจะไม่ธรรมดาอย่างที่คิด

“เกาะหยิงโจวแห่งนี้ไม่ได้เป็นของเผ่าจิ้งจอกของเจ้าหรือ?”

ซูฉินเอ่ยถามอย่างไม่ใส่ใจ ขณะที่ค่อยๆ ใช้จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์เข้าไปปรับแต่งแผ่นศิลาสีดําตรงหน้า

หากจิ้งจอกตระกูลชิงชิวเป็นเจ้าของเกาะหยิงโจวที่แท้จริง แน่นอนว่าจะไม่มีค่ายกลสังหารใดภายในเกาะที่พวกเขาจัดการไม่ได้

ชิงชิวเฉียนเฉียนยิ้มอย่างขมขึ้นเมื่อได้ยินเรื่องนี้ “นายท่านล้อเล่นแล้ว นี่คือเกาะเซียนของราชาผู้ยิ่งใหญ่แห่งทะเลบูรพา จะเป็นสิ่งของของเผ่าจิ้งจอกได้อย่างไร?”

“เผ่าจิ้งจอกตระกูลชิงชิวเราเป็นเพียงภูตอสูรทรงเลี้ยงของจ้าวทะเลบูรพาที่อยู่บนเกาะเซียนนี้ต่างหาก หากไม่เพราะจ้าวทะเลบูรพาที่แท้จริงได้หายตัวไป พวกเราก็หาได้กล้าครอบครองมันไม่”

ชิงชิวเฉียนเฉียนกล่าวคํากระซิบ

“จ้าวทะเลบูรพาที่แท้จริง?”

“เขาแข็งแกร่งมากหรือไม่?”

ซูฉินหันหน้าไปมองชิงชิวเฉียนเฉียน และถามอย่างสบายๆ

“ในช่วงรุ่งเรืองของกระแสพลังครั้งล่าสุด จ้าวทะเลบูรพาไม่ใช่ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในโลก แต่ก็มีชื่อเสียงมากไม่น้อย”

“ว่ากันว่าจ้าวทะเลบูรพานั้นเป็นจุดสูงสุดของขอบเขตเซียนเทพปฐพีแล้ว หากไม่ใช่เพราะการบุกรุกของโลกถ้ํา ปีศาจ จ้าวทะเลบูรพาอาจจะสามารถก้าวข้ามขอบเขตเซียนเทพปฐพีและเข้าสู่ขอบเขตที่สูงกว่าเดิม”

ชิงชิวเฉียนเฉียนพูดตามจริง ไม่กล้าปิดบังอะไร

“จุดสูงสุดของขอบเขตเซียนเทพปฐพี..”

ซูฉินพยักหน้าเล็กน้อย

แม้ว่าซูฉินจะไม่ได้เป็นเซียนเทพปฐพี แต่เขาก็จินตนาการได้ว่ามันยากเพียงใดที่จะขึ้นไปถึงจุดสูงสุดของขอบเขตเซียนเทพปฐพี

แม้กระทั่งในยุครุ่งเรืองของกระแสปราณฉี เซียนเทพปฐพีก็ยังเป็นตัวตนทรงพลังไร้ผู้ต้าน ในพันล้านคนจะมีกําเนิดขึ้นมาสักคน

“เจ้าแน่ใจหรือว่าจ้าวทะเลบูรพานั้นตายไปแล้ว?”

ซูฉินคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงถามต่อ

“ไม่แน่ใจ”

ชิงชิวเฉียนเฉียนกล่าวตามความจริงว่า “จ้าวทะเลบูรพา มีความสามารถสูงเสียดฟ้า แม้ว่าเขาจะตายไป แต่ก็มีหนทางที่จะฟื้นคืนชีพกลับมาได้ หากเขากลับมาเห็นห้องลับในถ้ําเซียนถูกครอบครองโดยเผ่าจิ้งจอกของข้าล่ะก็ คงจะไม่ปล่อยพวกข้าไปแน่”

เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ชิงชิวเฉียนเฉียนเงยหน้าขึ้นและมองไปที่ ซูฉินอย่างระมัดระวัง “ดังนั้นบรรพบุรุษเผ่าจิ้งจอกของข้าจึง รอคอยเกือบสองพันปีกว่าจะกล้าเข้าครอบครองเกาะหยิงโจวแห่งนี้ทีละนิด”

Sign in Buddha’s palm 209 (II) แผ่นดินสะเทือน

 

“โอ้?”

 

“หาทางลงให้แก่ข้า?”

 

อย่างไรก็ตาม ในเวลานี้มีร่องรอยของการประชดประชั้นปรากฏบนใบหน้าของซูฉิน เขามองไปที่ชิงชิวชิงหลิงด้วยความสนใจ“เจ้าไม่ต้องการจะรู้หรือว่าทําไมข้าที่รู้ว่าเกาะหยิงโจวถูกครอบครองโดยกลุ่มภูตอสูรและมีค่ายกลสังหารภายในกลับยังกล้าเข้ามา?”

 

เมื่อซูฉินกล่าวออกไปเช่นนี้

 

ใบหน้าของชิงชิวชิงหลิงก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย

 

ถูกต้อง

 

หากซูฉินทราบว่ามีอันตรายที่นี่ ทําไมเขาถึงยังเข้ามา?

 

ยิ่งชิงชิวชิงหลิงคิด ก็ยิ่งรู้สึกว่าบางสิ่งไม่ถูกต้องซูฉินรู้ถึงอันตรายแต่ก็ยังเข้ามามีความเป็นไปได้เพียงสองทางเท่านั้น

 

หนึ่งคือโง่

 

ประการที่สองคือมีความมั่นใจ

 

ด้วยความสามารถของซุฉินที่ปีนป่ายขึ้นมาถึงตํานานยุทธระดับนภาชั้นที่เจ็ดได้นั้น เป็นธรรมดาที่จะไม่ได้โง่เง่า ดังนั้นความเป็นไปได้จึงมีเพียงประการหลังเท่านั้น

 

อย่างไรก็ตาม ไม่ทันที่ชิงชิวชิงหลิงจะตอบกลับอะไร

 

“นั่นเป็นเพราะข้ากังวลว่าถ้าเจ้ายังอยู่ข้างใน หยกเนื้อดีจะถูกเผาทําลายดั่งหินน่ะสิ!” ซูฉินส่ายศีรษะเล็กน้อยก้าวเท้าไปข้าวหน้าพร้อมกับกล่าวเบาๆ “แต่ตอนนี้เจ้าไม่สา มารถเผาหยกดั่งหินได้แล้ว”

 

ในชั่วพริบตา

 

ซูฉินก็ยกมือขึ้น ดึงมีดเทพเจ้าปีศาจออกมาผสานแก่นแท้แห่งพลังเข้าไปและตวัดมีดฟาดฟัน

 

เปรี้ยง

 

ซูฉินนั้นราวกับเป็นเทพเจ้าปีศาจ ด้วยรัศมีพลังที่พลุ่งพล่านราวกับน้ําในมหาสมุทร แผ่ขยายออกไปอย่างรวดเร็วทุกทิศทาง

 

ขณะปัจจุบัน

 

นอกเกาะหยิงโจว

 

ร่างงามชุดแดงยืดตัวตรงขึ้น มองดูค่ายกลฟ้าดินขนาดใหญ่เริ่มมีความผันผวนอย่างช้าๆ

 

“ดูเหมือนว่าพวกหัวหน้าเผ่าจะลงมือแล้ว”

 

ร่างงามในชุดแดงมีชื่อว่า ชิงชิวเฉียนเฉียน เป็นจิ้งจอกตระกูลชิงชิวเช่นเดียวกัน

 

“ข้าไม่เข้าใจว่าทําไมหัวหน้าเผ่าต้องใช้ค่ายกลสังหารบนเกาะลงมือตรงๆก็ดีเยี่ยมแล้ว การใช้ค่ายกลสังหารไม่ใช่ว่าสิ้นเปลืองพลังงานบนเกาะหรอกหรือ…”

 

ชิงชิวเฉียนเฉียนสายศีรษะและพึมพํากับตนเองต่อ “อย่างไรเสียนี่ก็เป็นตํานานยุทธระดับนภาชั้นที่เจ็ดและท่านหัวหน้าเผ่าคงต้องการใช้ค่ายกลสังหารเพื่อป้องกันความผิดพลาด

 

ชิงชิวเฉียนเฉียนคิดไปเรื่อยเปื่อย

 

จากมุมของชิงชิวเฉียนเฉียน ตราบใดที่ซูฉินเข้าไปในเกาะหยิงโจวเขาก็เหมือนกับคนที่ตายไปแล้วภายใต้พื้นที่ครอบคลุมของค่ายกลสังหารเป็นไปไม่ได้ที่ซูฉินจะ หาทางหลบหนี

 

“เอ๋?”

 

“มีมนุษย์อยู่ที่นี่อีกหรือ?”

 

ชิงชิวเฉียนเฉียนเหลือบมองเรือประมงที่อยู่ไม่ไกลและกล่าวอย่างเป็นกันเองว่า “พวกเจ้ารีบไปเถอะ”

 

สําหรับชิงชิวเฉียนเฉียน นางไม่ได้สนใจแม้แต่จะโจมตีมนุษย์ที่ราวกับมดปลวก นอกจากนี้นางยังอยู่ในอารมณ์ที่ดีจึงคิดจะไว้ชีวิตพวกเขาและเปิดเขตแดนให้ออกไป

 

ด้านบนเรือประมง

 

หญิงสาวอย่างอาถั่วตัวสั่น และเมื่อได้ยินคํากล่าวของชิงชิวเฉียนเฉียนที่ปล่อยให้พวกตนจากไป พวกเขาก็ถอนหาย ใจด้วยความโล่งอก

 

“ท่านเทพธิดา..”

 

อาตัว หญิงสาวกัดฟันแล้วกล่าวถามออกมาว่า “พี่ชายคนเมื่อครู่นี้จะออกมาเมื่อไหร่… ”

 

อาตั๋วหมายถึงซูฉินที่เพิ่งเข้าสู่เกาะหยิงโจว

 

“เทพธิดา?”

 

รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของชิงชิวเฉียนเฉียน ในเผ่าพันธุ์จิ้งจอกนางอาศัยอยู่บนเกาะหยิงโจวตลอดเวลาจะมีเวลาไหนบ้างที่ถูกเรียกขานว่าเทพธิดา?

 

“เขาหรอ…”

 

“น่าจะตายไปแล้วล่ะ…”

 

หาได้ยากนักที่ชิงชิวเฉียนเฉียนจะอดทนขนาดนี้

 

“ตายแล้ว?”

 

อาตั๋วใจสั่น

 

ใบหน้าของชายวัยกลางคนที่อยู่ด้านข้างก็เปลี่ยนไป

 

ในมุมมองของเขา ทั้งซูฉินและชิงชิวเฉียนเฉียนผู้ทรงเสน่ห์เย้ายวนทั้งคู่ต่างก็เป็น “เซียนอมตะ

 

ชิงชิวเฉียนเฉียนกล่าวว่าซูฉินตายแล้ว เห็นได้ชัดว่ามีการต่อสู้ระหว่างเซียนอมตะเกิดขึ้น

 

ในการต่อสู้ของเซียนอมตะ นับประสาอะไรกับการที่มนุษย์จะเข้าไปแทรกแซงหากพวกเขาอยู่ ใกล้เกินไปสักหน่อยอาจจะตายกันหมดโดยไม่เหลือร่างทิ้งเอาไว้

 

“ย้อนทิศทางเรือ”

 

“พวกเรารีบไปกันเถอะ”

 

ชายวัยกลางคนตื่นตระหนก

 

หญิงสาวอย่างอาตัวเหมือนจะยังไม่ยอมแพ้นางเงยหน้าขึ้นมองชิงชิวเฉียนเฉียนและถามต่อว่า “ท่านเทพธิดาพี่ชายคนนั้นตายแล้วจริงๆ หรือ?”

 

“แน่นอนว่าตายแล้ว”

 

“ติดอยู่ในค่ายกลสังหาร ทั้งยังถูกท่านหัวหน้าเผ่าโจมตีเขาน่าจะหมดสิ้นเรี่ยวแรงแล้วในตอนนี้คงตายจนไม่รู้จะตายอย่างไรแล้ว”

 

ชิงชิวเฉียนเฉียนขมวดคิ้วกําลังจะกล่าวต่อ

 

ฉับพลัน!

 

ตูมมม!

 

เห็นใบมีดสีดําฟาดฟันออกมา ราวกับจะตัดทั้งเกาะหยิงโจวออกเป็นสองส่วน

 

ท่ามกลางสายตาไม่อยากจะเชื่อของทุกคนชิงชิวชิงหลิงบินหนีออกมาอย่างตื่นตระหนกสภาพกระเซอะกระเซิงเลือดสีน้ําเงินไหลย้อยย้อมน้ําทะเลให้กลายเป็นสีฟ้าอ่อน

 

“นี่คือ?”

 

ชิงชิวเฉียนเฉียนเบิกตากว้าง ใบหน้าตกตะลึง

 

นี่มันเกิดอะไรขึ้น? ตอนนี้หัวหน้าเผ่าควรจะกลืนกินเลือดเนื้อของตํานานยุทธระดับนภาชั้นที่เจ็ดอยู่ไม่ใช่หรือ?

 

ขณะนั้นเอง

 

ซูฉินกํามีดเทพเจ้าปีศาจเอาไว้ในมือ คว่ําปลายมีดลงเดินออกจากเกาะหยิงโจวอย่างไม่รีบร้อน ดวงตาของเขา สงบนิ่ง

 

“ข้าบอกแล้ว ตอนนี้เจ้าไม่มีคุณสมบัติที่จะเผาหยกดั่งหินด้วยซ้ํา”

 

เผาหยกดั่งหิน มีความหมายคือ นําหยกที่เป็นของสูงค่าไปเผารวมกับหินที่เป็นของด้อยค่า แน่นอนว่าย่อมทําให้หยกสูญเสียความงดงามหรือพังทลายลง

 

 

Sign in Buddha’s palm 208 (II) เกาะภูตหยิงโจว

 

“สหายเต่า เชิญ

 

ท่าที่แปลกๆ ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของร่างงามและนางก็ก้มศีรษะลงอย่างรวดเร็ว

 

คลิก

 

เมื่อซูฉินเดินผ่านช่องทางเข้าไปทางเดินที่โผล่ออกมานั้นก็หายไปอย่างรวดเร็วราวกับว่ามันไม่เคยมีอยู่มาก่อน 

 

“ชื่อ!”

 

ถึงตอนนี้ ร่องรอยความพึงพอใจก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของร่างงามชุดแดงที่แสดงท่าทีนอบน้อมมาโดยตลอดราวกับว่าแผนการประสบความสําเร็จ

 

ซูฉินเข้าไปในค่ายกลขนาดใหญ่โดยไม่ได้รีบร้อนหรือชักช้า

 

เห็นเกาะที่ห้อมล้อมด้วยเมฆหมอก มีพื้นรัศมีราวๆร้อยลี้เต็มไปด้วยดอกไม้และพืชที่ผิดแผกแปลกตา เต็มไปด้วยปราณีเป็นเหมือนดั่งแดนสวรรค์บนพื้นพิภพก็มิปาน

 

ด้านหน้าเกาะมีเสาเหล็กสีดําขนาดมหึมา มีตัวอักษรขนาดใหญ่สองตัวสลักอยู่บนแผ่นหินที่ตั้งอยู่ติดกับเสาเหล็ก

 

หยิงโจว

 

ตัวอักษรสองตัวนี้ไม่ใช่อักขระที่ซูฉินเคยเห็นมาก่อนแต่เมื่อมองไปแล้วก็เข้าใจความหมายของมันได้อย่างรวดเร็ว 

 

“ที่นี่คือเกาะหยิงโจวในตํานานเล่าขานว่าอยู่กึ่งกลางสิบทวีปและสามเกาะงั้นหรือ?”

 

ซูฉินครุ่นคิดกับตนเองและก้มมองลงไป

 

ด้านล่างแผ่นเหล็กสีดํา มีกลุ่มสตรีสวมชุดแพรยืนอยู่หญิงเหล่านี้น่าหลงใหล มีชีวิตชีวาและสง่างามผิวสวยใสดุจอัญมณีเปล่งประกายมีเสน่ห์ไร้ที่ติ

 

ท่ามกลางกลุ่มสตรีเหล่านี้ มีหญิงคนหนึ่งแลดูบอบบางยิ่ง แววตาของนางราวกับสายน้ําและไอหมอกให้ความรู้สึกชวนฝัน

 

เมื่อเทียบกับความเย้ายวนของสตรีนางอื่น หญิงคนนี้ดูสูง สง่ามากกว่า

 

มีเสน่ห์กับสูงสง่านั้นแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงมันกลับกลายเป็นว่าหญิงผู้นี้มีทั้งสองสิ่งอยู่เคียงคู่กันอย่างลงตัว

 

“ตัวข้า ชิงชิวชิงหลิงน้อมพบสหายเต”สตรีที่ดูคล้ายจะเป็นหัวหน้าโค้งคารวะมาทางซูฉินเล็กน้อย

 

“ชิงชิวชิงหลิง?”

 

ดวงตาของซูฉินสงบ ปรากฏรอยยิ้มที่แฝงความนัยบนใบหน้า

 

“สหายเมาถึงที่นี่ ต้องการมาเพื่อสํารวจความลับในอดีตใช่หรือไม่?” ชิงชิวชิงหลิงพูดขึ้นมา

 

“ในสมัยโบราณ ยามที่กระแสพลังอยู่ในจุดสูงสุดตอนนั้นมีเผ่าพันธุ์นับพันผู้คนที่แข็งแกร่งและทรงพลังอํานาจกําเนิดขึ้นมากมายน่าเสียดายที่พวกเขาต้องเผชิญกับ การบุกรุกของโลกถ้ําปีศาจ”

 

ชิงชิวชิงหลิงถอนหายใจเบาๆ แล้วกล่าวคําออกมาช้าๆ

 

“โอ้ว”

 

ซูฉินให้ความสนใจเล็กน้อย

 

เดิมที่เขาคิดที่จะกําราบทันทีหลังจากที่เข้ามาแต่เมื่อชิงชิวชิงหลิงเกริ่นขึ้นมาเช่นนี้ เขาก็ไม่ได้รีบร้อนแต่อย่างใด

 

ตั้งแต่แรกๆ ที่ซูฉินแยกร่างจําแลงเข้าสู่โลกถ้ําปิศาจเขาก็รู้จากโม่จีแล้วว่าโลกถ้ําปีศาจต้องการจะบุกโลกมนุษย์

 

อย่างไรก็ตาม ซูฉินไม่เคยเห็นที่ไหนที่บันทึกเรื่องนี้เอาไว้เลยเนื่องจากชิงชิวชิงหลิงต้องการให้คําอธิบายแก่เขาในตอนนี้เขาก็ยินดีจะรับฟังเป็นธรรมดา

 

“การต่อสู้ครั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นท้องฟ้าหรือผืนดินก็มืดคริ้มไปหมดคลาคล่ําไปด้วยหุ่นจักรกลสงครามจากโลกถ้ําปีศาจมากมายจนบดบังท้องฟ้าแม้ในท้ายที่สุดจะขับไล่โลกถ้ําปิศาจกลับไปได้แต่ก็ทําให้ผู้แข็งแกร่งบนโลกนั้นแทบจะสูญสิ้น”

 

“นอกจากนั้น กระแสปราณได้เปลี่ยนจากจุดรุ่งโรจน์ไปสู่ความเสื่อมโทรมธรรมชาติเสื่อมโทรมเที่ยวเฉา…มรดกนับไม่ถ้วนถูกทําลายเสื่อมลงอย่างมากเพียงไม่กี่ปี…”

 

เมื่อชิงชิวชิงหลิงพูดมาถึงเท่านี้ก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ

 

“แล้วเจ้ารู้เรื่องเหล่านี้ได้อย่างไร?” ซูฉินถามในทันที

 

“เกาะเซียนหยิงโจวนั้นไม่เหมือนกับโลกภายนอกมรดกที่นี่ค่อนข้างสมบูรณ์แน่นอนว่าเช่เชินย่อมรู้เป็นธรรมดา”

 

ชิงชิวชิงหลิงกล่าวออกมา

 

“เป็นเช่นนั้นสินะ”

 

ซูฉินพยักหน้าเล็กน้อย

 

“สหายเต่สามารถเข้าถึงระดับนี้ได้ในช่วงที่ธรรมชาติ เสื่อมโทรมย่อมเป็นผู้ที่มีความสามารถแน่นอน และเช่เป็นผู้นี้ก็เต็มใจจะสละเกาะเซียนหยิงโจวมอบให้สหายเต่า”

 

น้ําเสียงของชิงชิวชิงหลิงเต็มไปการล่อลวงสร้างความสับสนอย่างยิ่ง

 

เกาะเซียนหยิงโจวเป็นหนึ่งในสิบทวีปและสามเกาะครั้งหนึ่งเคยเป็นของเซียนเทพปฐพี รายล้อมไปด้วยค่ายกลฟ้าดินอันยิ่งใหญ่เป็นพื้นที่ส่วนตัวที่เต็มไปด้วยปราณฉีมากมายราวกับสวรรค์บนดิน

 

ไม่ว่าจะเป็นตํานานยุทธคนใด หรือขนาดตํานานยุทธระ ดับนภาชั้นที่เจ็ดนภาชั้นที่แปด และแม้แต่นภาชั้นที่เก้าเมื่อได้ฟังคําพูดของชิงชิวชิงหลิงก็ย่อมทําให้คนเหล่านั้นมีความสุข

 

เพื่อให้ได้มาซึ่งดินแดนสวรรค์บนพื้นพิภพเช่นนี้ไม่ว่าจะจ่ายราคาแพงเพียงไหนมันก็คุ้มค่าไม่ต้องพูดถึงคํากล่าวของชิงชิวชิงหลิงที่ว่านางต้องการจะมอบให้ซูฉินมาเปล่าๆ เลย

 

สิ่งดีงามเช่นนี้ จะมีตํานานยุทธคนใดปฏิเสธ?

 

“สหายเต่า เจ้ารีบลงมาเถิด ถือแผ่นหินสีดําแผ่นนี้ไว้เพื่อควบคุมศูนย์กลางของค่ายกลขนาดใหญ่ เกาะ เซียนทั้งหมดจะเป็นของเจ้า”

 

ชิงชิวชิงหลิงมองไปที่แผ่นศิลาสีดําที่มีตัวอักษรสลักคําว่า “หยิงโจว” อยู่ด้านหลังยังคงล่อหลอกและทําให้สับสนต่อไป

 

“เช่เชินเข้าใจว่าตนเองอ่อนแอนัก ไม่สามารถรักษาเกาะเซียนหยิงโจวแห่งนี้ได้ข้าจึงต้องการผูกไมตรีกับสหายเต่ําเอาไว้หวังว่าสหายเต่จะปกป้องเช่เชินในอนาคต ”

 

การแสดงออกของชิงชิวชิงหลิงกลายเป็นน่าสงสารราวกับนางเป็นสตรีผู้อ่อนแอจริงๆ ที่ต้องการการคุ้มครองจากซูฉิน

 

อย่างไรก็ตาม ซูฉินได้ส่ายศีรษะ

 

“ชิงชิวชิงหลิง หากเป็นจอมยุทธธรรมดา เกรงว่าข้าคงถูกเจ้าหลอกไปนานแล้วแต่ข้าหาใช่จอมยุทธธรรมดาไม่”

 

รอยยิ้มบนใบหน้าของซูฉันค่อยๆ จางหายไป ในที่ สุดก็เปลี่ยนเป็นเย็นชา“ไม่ว่าจะมองจากทางซ้ายมือหรือทางขวามันก็เป็นเกาะเซียนหยิงโจวนั่นแหละ”

 

“แต่ในความเห็นข้า”

 

“เรียกว่าเกาะภูตหยิ่งโจวคงจะเหมาะสมกว่าเกาะเซียนหยิงโจว ว่าไหม?”

 

ทันทีที่เสียงของซูฉินเงียบไป ก็เกิดภาวะนิ่งงันขึ้นทั่วบริเวณ

 

ชิงชิวชิงหลิงผู้ซึ่งเดิมที่กําลังทําหน้าตาน่าสงสารเหมือนก ระต่ายขาวตัวน้อยไร้พิษสง เมื่อได้ยินซูฉินพูดเช่นนั้น ดวงตาที่สวยงามก็กลับเยือกเย็นขึ้นอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน

 

ซีเช่เชิน คําแทนตัวแบบถ่อมตนของหญิงจีนโบราณ

 

Sign in Buddha’s palm 207 (II) เกาะเซียนทะเลบูรพา

 

“ไม่เป็นไร”

 

ซูฉินโบกมือ ไม่ได้พูดอะไรมาก

 

“ไม่เป็นไร?” หญิงสาวเบิกตากว้างอย่างไม่อยากเชื่อ

 

“อาตั่ว ในเมื่อเขาต้องการอยู่เป็นอาหารสัตว์ทะเล พวกเราก็ปล่อยเขาไปเถอะ” ชายหนุ่มคนหนึ่งเดินเข้ามา เหลือบมองมาทางซูฉินจากบนเรือแล้วจึงกล่าวคํา

 

“แต่ถ้าเราไป คนคนนี้จะไม่รอด” ความรู้สึกที่ทนเห็นสิ่งนั้นเกิดขึ้นไม่ได้ฉายออกมาบนหน้าของหญิงสาวที่ถูกเรียกว่าอาตั่ว

 

“อาเตี่ย ช่วยเขาเถอะนะ” อาตั่วหันไปมองชายวัยกลางคนที่อยู่ข้างๆ

 

“ช่วยเขา?” ชายวัยกลางคนดูลังเล บรรดาคนที่ใช้ชีวิตในท้องทะเลต่างเชื่อมั่นอย่างยิ่งว่ากรรมดีจะช่วยเหลือพวกตนแน่ หากตนสามารถช่วยเหลือผู้คนได้ก็ควรช่วย แต่ซูฉินกลับปฏิเสธความช่วยเหลือจากพวกเขา

 

“เอาอย่างนี้เป็นไง”

 

“เราตามเขาไปอีกครึ่งวัน ด้วยคลื่นจากท้องทะเล แพของเขาจะต้องพลิกคว่ำภายในไม่เกินครึ่งวัน”

 

“ในตอนนั้น เมื่อไม่มีแพแล้ว เขาจะต้องขึ้นมากับพวกเราแน่ๆ”

 

ชายวัยกลางคนพิจารณาเรื่องราวแล้วจึงกล่าวออกไป

 

“ขอบคุณอาเตี่ย”

 

รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของหญิงสาว

 

“เฮ้อ.” ชายวัยกลางคนส่ายหัว “ข้าหวังว่าในอนาคต ถ้าเรามีปัญหา จะมีคนมาช่วยพวกเราเช่นนี้บ้างนะ”

 

ในเวลาต่อมา

 

เรือประมงก็ตามซูฉินมาห่างๆ

 

เป็นธรรมดาที่ซูฉินจะรู้ตัวอยู่นานแล้ว และเขาก็ไม่ได้ใส่ใจอะไร

 

ตราบใดที่ไม่รบกวนการค้นหาสิบทวีปและสามเกาะของเขา ก็ไม่เป็นอะไร

 

ไม่นานนัก

 

หลายชั่วโมงผ่านไป

 

ด้านบนเรือประมง ชายวัยกลางคนรู้สึกผิดปกติมากขึ้นเรื่อยๆ ในที่สุดก็ดูเหมือนจะค้นพบอะไรบางอย่างที่ทําให้ใบหน้าของเขาซีดเผือดราวกับกระดาษ

 

“ไปเร็ว”

 

“เราจะต้องรีบไปเดี๋ยวนี้”

 

เสียงของชายวัยกลางคนสันเทา

 

“อาเตีย เกิดอะไรขึ้น?” อาตั่วรีบเดินไปหาชายวัยกลางคนอย่างรวดเร็ว กล่าวถามด้วยความสงสัย “ พวกเราจะไม่ช่วยเขาแล้วหรอ?”

 

ชายหนุ่มอีกคนก็เดินเข้ามาด้วยความสงสัยเช่นกัน

 

“ช่วยเขา?”

 

ชายวัยกลางคนยิ้มอย่างขมขืน “ที่เราอยู่รอดมาจนถึงตอนนี้ก็โชคดีแค่ไหนแล้ว”

 

“อาเตี่ยหมายความว่าอย่างไร?” สีหน้าชายหนุ่มข้างๆ เริ่มเปลี่ยนไป

 

“พวกเจ้าดูสิ”

 

ชายวัยกลางคนสงบลง ระงับความตกใจที่อยู่ภายในและกระซิบคําออกมา “มีร่องรอยของน้ำกระเซ็นขึ้นมาบนแพรึเปล่า?”

 

“แล้วก็นั่น…ร่างของท่านผู้นั้นได้เปื้อนน้ำทะเลหรือไม่?” 

 

เมื่อชายวัยกลางคนกล่าวเรียกซูฉิน เขาใช้คําว่า “ท่านผู้นั้น” กระซิบบอกด้วยความหวาดกลัวอย่างยิ่ง

 

ชายหนุ่มและหญิงสาวจนถึงตอนนี้ก็ไม่ทันสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงในน้ำเสียงของชายวัยกลางคน แต่ใบหน้าของพวกเขาก็ยังเปลี่ยนสี

 

“จริงด้วย ชายคนนี้เนื้อตัวสะอาดมาก

 

ชายหนุ่มพึมพํากับตนเองด้วยความรู้สึกเหลือเชื่อ

 

ขนาดพวกเขาที่อยู่บนเรือประมง พวกเขายังต้องถูกน้ำทะเลซัดขึ้นมาบ้างเลย แต่แพของซูฉินไม่มีแม้แต่น้ำกระเด็นเข้าไป

 

นี่เป็นเรื่องที่น่าเหลือเชื่อมาก

 

“นอกจากนี้ หลังจากที่เราตามท่านผู้นี้มา เจ้าได้เห็นสัตว์ทะเล หรือรู้สึกถึงคลื่นทะเลบ้างไหม?”

 

ชายวัยกลางคนกลืนน้ำลาย ตัวสั่น

 

คําที่กล่าวออกมา

 

ไม่ว่าจะเป็นอาตั่วหรือชายหนุ่มต่างก็หน้าเปลี่ยนสีไปหมดแล้ว

 

“อาตั่ว ท่านจะบอกว่า?” หญิงสาวมองดูไปที่ซูฉินที่ยังคงนอนอยู่บนแพจากไกลๆ แล้วจึงกล่าวขึ้นมา

 

“ท่านผู้นี้ เกรงว่าจะไม่ใช่ชาวประมงที่ประสบภัยจนเรืออับปางอย่างที่เราคิด แต่เป็นเซียนอมตะตัวเป็นๆ”

 

ชายวัยกลางคนคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงกระซิบบอก

 

“งั้นไปกันเถอะ อย่าได้รบกวนท่านเซียน”

 

ชายวัยกลางคนตื่นตระหนก

 

“ได้”

 

หญิงสาวกับชายหนุ่มก็ตระหนักได้ถึงความตึงเครียดเช่นกัน พวกเขามองหน้ากันแล้วรีบพูดออกมาทันที

 

อย่างไรก็ตาม

 

ในตอนนั้นเอง

 

ขณะที่นอนอยู่บนแพอย่างสบายๆ ดวงตาของซูฉินพลันเป็นประกาย

 

“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า!”

 

“ในที่สุดข้าก็หาเจอแล้ว”

 

ทันใดนั้นแพกระเบิดออก ท่ามกลางสายตาที่ตื่นตะลึงของทุกคน ซูฉินก้าวเท้าออกไปทีละก้าวราวกับมีบันไดที่มองไม่เห็นตั้งอยู่ในอากาศ จ้องมองออกไปยังที่ห่างไกล

 

พระอาทิตย์ที่กําลังส่องสว่างก็เข้าปกคลุมซูฉินทั้งตัว กลิ่นอายแพร่กระจายออกมาราวกับเทพเซียน

 

ปล. เนื่องจากไม่แน่ใจว่าชาวประมงมีความสัมพันธ์ทางเครือญาติกันหรือไม่จึงขออนุญาตใช้ อาตั่วเป็นชื่อของหญิงสาว และอาเสียเป็นการเรียกผู้อาวุโสที่เคารพแทนการใช้คําว่าพ่อ

Sign in Buddha’s palm 210 ดับชีวิต

 

เกาะหยิงโจว

 

ซูฉินเดินออกมาทีละก้าว รัศมีพลังนั้นลึกซึ้งราวกับเทพเซียนด้านหลังของเขาค่ายกลฟ้าดินขนาดใหญ่ที่ครอบคลุมเกาะหยิงโจวเอาไว้เริ่มพังทลายลง

 

เหตุผลที่ซูฉินเข้าไปภายในค่ายกลฟ้าดินขนาดใหญ่ตั้งแต่แรกเป็นเพราะเขากังวลว่าเผ่าพันธุ์ภูตอสูรบนเกาะหยิงโจวจะตกอยู่ในความสิ้นหวังแล้วเลือกที่จะเผาทําลายหยกดั่งหินใช้พลังของค่ายกลฟ้าดินทั้งหมดของเกาะหยิงโจวจนเกาะพังทลาย

 

รู้หรือไม่ เหตุผลที่ซูฉินเดินทางมาหลายหมื่นลื้มายังทะเลบูรพาและใช้เวลาหลายต่อหลายวันเพื่อค้นหาเกาะหยิงโจวเฝ้าใฝ่หาเต่าสะสม” บนเกาะแห่งนี้

 

ถ้าเกาะหยิงโจวถูกทําลายลง ไม่ใช่ว่าที่ผ่านมาซูฉินใช้เวลาไปอย่างเปล่าประโยชน์หรือ?

 

ด้วยเหตุนี้ ซูฉินจึงตั้งใจเข้าไปโดยมีเป้าหมายที่จะทําลายเผ่าภูตอสูรบนเกาะหยิงโจวจากภายใน

 

ด้านบนดาดฟ้าเรือประมง

 

กลุ่มของอาตัวทั้งสามคนต่างตกตะลึง

 

พวกเขารู้มาจากชิงชิวเฉียนเฉียนว่า ผู้นํา” ที่อยู่บนเกาะหยิงโจวได้สังหารซูฉินไปแล้ว

 

แต่ตอนนี้ซูฉันค่อยๆ เดินออกจากเกาะหยิงโจวดังนั้นร่างที่ลอยออกมาก่อนหน้าคงจะเป็น “ผู้นํา” ที่ชิงชิวเฉียนเฉียนพูดถึง?

 

“เป็นไปได้อย่างไร?!!”

 

เกิดคลื่นลูกใหญ่ก่อตัวขึ้นในใจชิงชิวเฉียนเฉียน

 

ชิงชิวชิงหลิงเป็นหัวหน้าเผ่าจิ้งจอกตระกูลชิงชิว แม้ความแข็งแกร่งส่วนใหญ่ของพวกมันจะถูกสะกดไว้ แต่ก็มิสามารถดูแคลนนอกจากนี้ยังมีค่ายกลรูปแบบสังหารบนเกาะหยิงโจวการจัดการจอมยุทธขอบเขตตํานานยุทธเช่นซูฉินไม่ควรจะมีข้อผิดพลาดใดไม่ใช่หรือ?

 

แต่ในเวลานี้ชิงชิวชิงหลิงได้บินออกมาและค่ายกลฟ้าดินบนเกาะหยิงโจวก็เริ่มพังทลายลงมาซึ่งเป็นเรื่องที่น่าตกใจมาก

 

อย่างไรก็ตาม แม้ชิงชิวเฉียนเฉียนจะตกใจแต่นางก็ไม่ได้กังวลมากนักเพราะรู้ว่าชิงชิวชิงหลิงนั้นไม่ง่ายที่จะจัดการ

 

“ข้าไม่รู้ว่าท่านหัวหน้าจะจัดการกับมนุษย์ผู้นี้ได้หรือไม่”

 

ชิงชิวเฉียนเฉียนมองดูเกาะหยิงโจวอย่างจริงจังน่าเสียดายในเวลานี้ค่ายกลได้พังทลายลงแล้ว แต่ยังไม่เห็นสิ่งใดชัดเจนนัก

 

“อีก!!”

 

ในเวลานั้น เสียงร้องคร่ําครวญก็ดังขึ้น ชิงชิวชิงหลิงก็ค่อยๆลอยตัวขึ้นมาเสื้อผ้าของนางขาดรุ่งริ่ง เผยให้ เห็นสัดส่วนภายในที่ขาวเนียนราวหิมะและในตอนนั้นเองไอพลังอันน่าสยดสยองก็ค่อยๆกระจายออกมา

 

ลมหายใจเหล่านี้ช่างน่าหวาดกลัวอย่างยิ่งยวดและมันกําลังหักล้างกับพลังอาณาเขตของซูฉินอย่างต่อเนื่อง

 

“มนุษย์ เจ้าทําให้ข้าโกรธแล้วจริงๆ”

 

“กี่ปีแล้ว ผ่านมากี่ปีแล้วกันนะ”

 

ผมสีดําของชิงชิวชิงหลิงค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีขาว และด้านหลังของนางก็มีหางจิ้งจกขนาดใหญ่สามหางโผล่ขึ้นมาอ ย่างแผ่วเบา

 

ในตอนนี้ชิงชิวชิงหลิงยังคงรักษาร่างมนุษย์เอาไว้แต่กลับดูไม่เหมือนมนุษย์เลย ราวกับเป็นสัตว์ประหลาดจิ้งจอกตัวใหญ่ที่ยืนอยู่ตรงจุดนั้น

 

นี่คือร่างที่แท้จริงของชิงชิวชิงหลิง

 

จิ้งจอกสามหาง!

 

“ท่านหัวหน้าโกรธแล้วจริงๆ”

 

ไม่ไกลนัก ชิงชิวเฉียนเฉียนกลืนน้ําลายลงคอ ในช่วงที่กระแสปราณแห้งเหือดเช่นนี้ เหล่าภูตอสูรจําต้องปิดผนึกพลังส่วนใหญ่เพื่อไม่ให้ระดับชั้นตกลงไป

 

และชิงชิวชิงหลิงกลับเผยร่างแท้จริงอย่างเกรี้ยวกราดแม้จะทําให้พลังเพิ่มขึ้นจนถึงจุดสูงสุด แต่หลังจากนี้ไม่กี่วันนางจะถูกพลังฟ้าดินปราบปรามและความแข็งแกร่งจะลดลงไปหนึ่งระดับ

 

ที่ชิงชิวชิงหลิงต้องจ่ายด้วยราคาเช่นนี้เห็นได้ชัดว่านางกําลังโกรธจัดและต้องการสังหารซูฉินอย่างร้อนใจ

 

“เจ้ามนุษย์

 

“แม้ในช่วงสุดท้ายของจุดที่กระแสปราณฉีรุ่งเรืองเผ่าจิ้งจอกของข้าก็ยังคงรอดพ้นวิกฤตมาได้ แม้ตอนนี้จะเสื่อมโทรมลงไปมากแต่มรดกมากมายและพลังอํานาจยัง คงอยู่”

 

ชิงชิวชิงหลิงค่อยๆ พูดออกมาทีละคําและจู่ๆก็กรีดร้องออกมาอย่างกะทันหันกระแสความผันผวนอันน่าหวาดกลัวจากตัวนางก็พุ่งเข้าใส่ซูฉิน

 

“นี่คือทักษะลับจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของท่านหัวหน้า?”

 

ชิงชิวเฉียนเฉียนถอยห่างไปหลายร้อยเมตรอย่างรวดเร็วทักษะลับจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์นี้ไม่แยกแยะมิตรศัตรูหากชิงชิวเฉียนเฉียนอยู่ใกล้มากเกินไปอาจได้รับผลกระทบไปด้วย

 

“ทักษะลับจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์นี้มีเพื่อใช้ต่อกรกับจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์โดยเฉพาะ สามารถควบคุมชีวิตความเป็นความตาย แม้ว่ามนุษย์ผู้นี้จะทรงพลังอํานาจและสามารถบังคับให้ท่านหัวหน้าแสดงร่างที่แท้จริงได้แต่เขาไม่น่าจะอายุมากเท่าไหร่ จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของเขาจะ แข็งแกร่งสักเท่าไหร่กันเชียว?”

 

ชิงชิวเฉียนเฉียนมองไปที่ซูฉินอย่างคาดหวังคิดว่าซูฉันคงจะต้องตกอยู่ภายใต้พลังของทักษะลับจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์

 

อย่างไรก็ตาม

 

ถัดจากนั้นเพียงครู่เดียว

 

ต่อหน้าสายตาที่ไม่อยากจะเชื่อของชิงชิวเฉียนเฉียนทักปะลับจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์อันน่าสะพรึงกลัวถูกกวาดออกไปแต่ซูฉินยังคงยืนอยู่ที่เดิมด้วยท่าที่สงบพลังงานคงที่ ถ้านางไม่ได้เห็นชิงชิวชิงหลิงปลดปล่อยทักษะลับจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ออกไปก่อนหน้านี้ ก็คงไม่รู้ว่ามีสิ่งใดเกิดขึ้น

 

“สกัดกั้นได้อย่างนั้นหรือ?”

 

ชิงชิวเฉียนเฉียนอดไม่ได้ที่จะร้องอุทานออกมา

 

เมื่อเทียบกับชิงชิวเฉียนเฉียน ผู้ที่ปลดปล่อยทักษะลับจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์อย่างชิงชิวชิงหลินนั้นตกใจยิ่งกว่า

 

“จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของเจ้ามั่นคงและยิ่งใหญ่ขนาดนี้ได้อย่างไร?” ชิงชิวชิงหลิงไม่อยากจะเชื่อ

 

นางสัมผัสถึงจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของซุฉินได้ในชั่วขณะหนึ่งและรู้สึกได้ว่าจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์อันนั้นช่างทรงพลัง กว้างใหญ่ไร้ขอบเขตทําให้ตัวนางตกใจอย่างยิ่ง

 

“จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์?”

 

ซูฉินส่ายหัวเล็กน้อย

 

ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ว่าเขาได้ฝึกฝน เทพวิชาหลอมจิตวิญญาณจันทรา” เพื่อทําให้จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของเขาเสถียรมั่นคงเลยเพียงแค่กล่าวถึงองค์ยูไลทองคําขนาดใหญ่ที่อยู่ กึ่งกลางระหว่างคิ้วของเขาก็สามารถรับประกันได้ว่าจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของเขาจะไร้เทียมทานอยู่ยงคงกระพันไปตลอด

 

ดวงตาของซูฉินสงบนิ่ง จากนั้นเขาก็ยกมีดเทพเจ้าปีศาจขึ้นมาค่อยๆฟันลงไปทางชิงชิวชิงหลิงอย่างไม่รีบร้อน

 

“แย่แล้ว!”

 

ท่าทีของชิงชิวชิงหลิงเปลี่ยนไปอย่างมาก

 

ตอนที่อยู่บนเกาะหยิงโจว นางเห็นด้วยตาตนเองว่าซูฉินใช้มีดวิเศษเล่มนี้ในการตัดทําลายค่ายกลสังหาร และค่ายกลฟ้าดิน

 

ตอนนี้ซูฉินจะใช้กระบวนท่าเดิมซ้ําอีกครั้ง ชิงชิวชิงหลิงจะไม่หวาดกลัวได้อย่างไร?

 

เสี้ยว

 

ร่างของชิงชิวชิงหลิงวูบไหวอย่างรวดเร็วราวกับประกายไฟแทบจะหนีคมมีดจากมีดเทพเจ้าปีศาจไม่พ้น

 

“เจ้ามนุษย์”

 

“พึ่งพาอาศัยกําลังของอาวุธ จะไปนับว่ามีความสามารถได้อย่างไร!!”

 

ชิงชิวชิงหลิงตกใจปนโกรธเกรี้ยวคมดาบนั้นเร็วเหลือเกิ อีกเพียงนิดเดียวนางก็จะถูกคมดาบเนื้อนตัดไปเสียแล้ว

 

พลังอันน่าสยดสยองของคมดาบนั้น ถ้ามันยังสามารถนั่นค่ายกลเป็นชิ้นๆได้หากกระทบมาที่ตัวของชิงชิวชิงหลิงผลที่ตามมาคงมีแต่หายนะ

 

ทันทีที่เสียงของชิงชิวชิงหลิงกล่าวจบซูฉินก็หยุดมือครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงพยักหน้าพร้อมกับกล่าวว่า “เจ้าพูดถูกข้าไม่ได้ใช้มือเปล่ามานานแล้ว”

 

ซูฉินเก็บมีดเทพเจ้าปีศาจกลับไป

 

หลังจากนั้น ซูฉินยกมือขวาขึ้นกําหมัดแน่น “พอเป็นเช่นนี้ข้าก็จะได้ใช้หมัดของข้าได้”

 

“อะไรนะ?”

 

“ไม่ใช้อาวุธน่ากลัวอันนั้นแล้วหรอ?”

 

ชิงชิวชิงหลิงหยุดนิ่งไปครู่หนึ่งนางแค่พูดไปอย่างนั้นเองไม่คิดว่าซูฉินจะทําตามที่นางบอกจริงๆ?

 

“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า”

 

“มนุษย์ เจ้าถูกหลอกแล้ว!”

 

ชิงชิวชิงหลิงหัวเราะออกมา ซูฉันเลิกใช้อาวุธและต้องการจะจัดการนางโดยใช้เพียงกายเนื้อล้วนๆซึ่งมันเป็นความคิดที่โง่เขลานัก

 

ต้องรู้ว่าร่างกายของสัตว์อสูรนั้นทรงพลังมาตั้งแต่แรกแม้ว่าภูตอสูรเผ่าจิ้งจอกจะไม่ได้ขึ้นชื่อเรื่องร่างกายที่แข็งแกร่งนักเมื่อเทียบกับภูตอสูรหรือสัตว์อสูรอื่นๆ แต่เมื่อ เทียบกับมนุษย์อย่างไรกายเนื้อของภูตอสูรจิ้งจอกก็ยังเหนือกว่าอยู่ดี

 

“มนุษย์ผู้นี้ตายแน่แล้ว”

 

ห่างไปหลายร้อยเมตร ชิงชิวเฉียนเฉียนส่ายหัวเล็กน้อย

 

เมื่อเฝ้าดูมาถึงตอนนี้ นางก็รู้ว่าซูฉินแข็งแกร่งมากแม้ว่าชิงชิวชิงหลิงจะเปิดเผยร่างที่แท้จริง แต่นางก็ไม่สามารถจัด การกับซูฉินได้กลับถูกซูฉินทุบตีเสียด้วยซ้ํา

 

แต่ที่ซูฉินทําเช่นนั้นได้ก็เพราะพึ่งพาอาวุธที่แสนน่ากลัวในมือของเขาเมื่อครู่

 

ตั้งแต่ต้น ชิงชิวเฉียนเฉียนไม่เคยเห็นซูฉินใช้วิธีการอื่นใด

 

ตอนนี้ซูฉินละทิ้งอาวุธที่น่าสะพรึงกลัวแล้วหันไปต่อสู้ด้วยร่างกายกับชิงชิวชิงหลิง ก็เท่ากับใช้จุดด้อยของตนเองไปต่อสู้กับศัตรูด้วยความโง่เขลา

 

“พี่ชาย”

 

บนเรือประมง หญิงสาวอย่างอาตัวกําหมัดแน่นด้วยความรู้สึกบางอย่างที่เกิดขึ้นในใจ นางหวังจริงๆว่าซูฉินจะเอาชนะได้

 

ท่ามกลางสายตาของทุกผู้ทุกคน

 

ซูฉินกระชับหมัดของตนเบาๆ

 

เมื่อหมัดนี้ถูกปล่อยออกไป มันทั้งบางเบาและแสนธรรมดาแม้แต่เด็กเล็กก็ยังเลียนแบบตามได้เจ็ดถึงแปดส่วนแต่หลังจากนั้นเพียงฉับพลันก็มีเสียงฟ้าคํารามระเบิดดังก้อง

 

ชั่วพริบตา

 

จู่ๆ ทั่วทั้งผืนฟ้าก็มืดครื้ม

 

เสียงฟ้าร้องน่าสะพรึงกลัวแว่วดังสายฟ้าวาบผ่านชั้นเมฆที่ละสายไอพลังแผ่พุ่งสูงสุดฟ้า

 

“นี่คือ?”

 

ม่านตาของชิงชิวชิงหลิงหดตัวลงเรื่อยๆ ดวงตาฉายแววที่นตระหนกร่างของซูฉินที่เปรียบประดุจสายฟ้าพราวระยับก็เข้าประชิดนางในทันทีจากนั้นหมัดก็กระทบเข้ากับร่างของนางเบาๆ

 

ฉีกกก!!!

 

หลังจากที่ร่างสัตว์อสูรจิ้งจอกของชิงชิวชิงหลิงรับหมัดนี้เข้าไป ทั้งร่างก็สะเทือนในทันใด รอยแยกปรากฏขึ้นที่กึ่งกลางพื้นที่ที่หมัดของซูฉินตกกระทบรอยแยกนี้ยังคง แตกแขนงแผ่กระจายออกไปขยายตัวปริแตกอย่างต่อเนื่องในที่สุดรอยปริแตกก็กระจายไปทั่วร่างของชิงชิวชิงหลิง

 

เมื่อสายลมพัดผ่านมา

 

ร่างของชิงชิวชิงหลิงก็เริ่มแตกสลายและถูกทําลายหายไปจากโลกนี้อย่างสมบูรณ์

 

ผู้ชมโดยรอบเงียบกริบ โดยเฉพาะชิงชิวเฉียนเฉียนที่ดวงตาทั้งสองข้างแข็งที่อด้วยความไม่อยากเชื่อกับสิ่งที่เห็นตรงหน้า

 

Sign in Buddha’s palm 209 (1) แผ่นดินสะเทือน

 

เมื่อซูฉินพูดขึ้นมาสี่คํา “เกาะภูตหยิงโจว” ชิงชิวชิงหลิ งก็เปลี่ยนท่าทีไปทันที ท่าทางที่แสนน่าสงสารก่อนหน้า ก็กลายเป็นเย็นชา

 

“เจ้ารู้ได้อย่างไร?”

 

ชิงชิวชิงหลิงกล่าวออกมา เสียงของนางยังคงคมชัดและห วานซาบซ่าน แต่ไร้ซึ่งอารมณ์ใดๆ

 

“ข้ารู้ได้อย่างไร?”

 

ดวงตาของซูฉินสงบนิ่งและไม่ได้พูดอะไรออกมา

 

ไอพลังของชิงชิวชิงหลิงผสานกันได้อย่างลงตัวมาก ไม่ แตกต่างจากคนทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นการเคลื่อนไหวการยั่วยวนการสร้างความสับสนและกิริยาอันสูงสง่าเป็นไปไม่ได้เลยที่ผู้คนจะสงสัยนาง

 

ถึงชิงชิวชิงหลิงจะสามารถซ่อนลมหายใจของนางได้ แต่ปราณฉีประจําตัวนั้นยากจะปกปิด

 

ปราณฉีนั้นยากที่จะปิดบังกันได้

 

กลิ่นอายสามารถปิดซ่อนได้ง่าย แต่ปราณนั้นมีมาแต่กําเนิด

 

มนุษย์ก็มีปราณฉีของมนุษย์ สัตว์ก็มีปราณฉีของสัตว์พฤกษาก็มีปราณฉีของพฤกษา ตราบใดที่ยังมีชีวิตย่อมมีปราณฉี

 

และด้วยดวงตาแห่งสัจจะของซูฉินไม่ว่าจะเป็นชิงชิวชิว หลิงกลุ่มสตรีที่อยู่ด้านหลังนาง หรือร่างงามในชุดคลุมสีแดงที่ออกมาเชื้อเชิญเขาเมื่อครู่ปราณฉีที่เผยให้ เห็นนั้นแตกต่างจากของมนุษย์อย่างสิ้นเชิง

 

ปราณฉีที่ซูฉินเห็นในร่างเหล่านี้ คล้ายคลึงกับสัตว์บางชนิด

 

แต่ไอพลังในร่างของชิงชิวชิงหลิงนั้นทรงพลังยิ่งกว่าสัตว์ธรรมดาๆไปมากโข

มันคล้ายคลึงกับเรื่องราวสัตว์อสูรหรือภูตอสูรในตํานานมาก

 

เกาะหยิงโจว เป็นหนึ่งในสิบทวีปและสามเกาะเป็นเกาะเซียนในตํานานศักดิ์สิทธิ์แต่บัดนี้เกาะแห่งนี้ถูกกลุ่มภูตอสูรเข้ายึดครองจึงถูกซูฉินเรียกว่าเกาะภูตหยิงโจว

 

สิ่งเดียวที่ซูฉินประหลาดใจก็คือ กลุ่มภูตอสูรนั้นปรากฏตัวขึ้นเร็วมาก

 

ในความเห็นของเขา จากแนวโน้มกระแสปราณฉีที่ฟื้นคืนแม้ว่าสัตว์ร้ายบางตัวจะสามารถก่อกําเนิดปัญญาขึ้นมาได้ที่ตามแต่การก่อเกิดปัญญาหาใช่ว่ามันจะกลายเป็นสัตว์อสูรหรือภูตอสูรไม่หากต้องการให้มีเผ่าพันธุ์สัตว์อสูรเกิดขึ้นจริงๆอย่างน้อยก็ต้องหลายสิบปีให้หลัง

 

ซูฉินมีเพียงข้อสันนิษฐานเดียวเมื่อนึกถึงเกาะหยิงโจวที่ตอนนี้ถูกยึดครองเอาไว้ คงจะมีปราณคงเหลืออยู่เรื่อยมาจนถึงยุคฟื้นคืนของกระแสปราณฉีอีกครั้งผนวกกับ การแยกตัวเป็นเอกเทศของพื้นที่เกาะพอจะเข้าใจได้ว่าคงจะมีสัตว์อสูรบางเผ่าพันธุ์รอดมาได้

 

“เหตุผลที่เจ้าอยากให้ข้าสัมผัสกับแผ่นหินสีดํานั่นเพราะมันมีค่ายกลสังหารอยู่ใช่หรือไม่จึงชักนําให้ข้าเข้าไปหา มัน?”

 

ซุฉินมองแผนการของชิงชิวชิงหลิงออก

 

ด้วยดวงตาแห่งสัจจะร่วมกับวิชาปราณฉีฟ้ากําหนดทั้งยังมีจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์และอาณาเขต ยังจะมีสิ่งใดในโลกที่สามารถซ่อนตัวจากซูฉินได้

 

ชิงชิวชิงหลิงไม่ลังเลที่จะเลือกใช้เกาะหยิงโจวเป็นเหยื่อล่อเพื่อดึงดูดซูฉินให้เข้ามา ทุกอย่างดูราบรื่นไม่มีติดขัดแต่ในสายตาของซูฉินมันก็ไม่ได้ต่างอะไรไปจากการจ้อง เส้นลายมือของตนเองทุกอย่างเป็นไปตามขั้นตอนทั้งหมด

 

ใบหน้าของชิงชิวชิงหลิงเริ่มบิดเบี้ยวน่าเกลียดมากขึ้นเรื่อยๆ

 

หากซูฉินเพียงคาดเดาได้ถึงตัวตนของพวกมัน ก็อาจจะกล่าวได้ว่าเป็นเรื่องบังเอิญ แต่บัดนี้ซูฉินถึงกลับรู้ ตําแหน่งของค่ายกลสังหารบนเกาะหยิงโจวนี่ไม่ใช่เรื่องบัง เอิญแล้ว

 

“น่าเสียดาย…”

 

ชิงชิวชิงหลิวสูดลมหายใจเข้าลึกๆ และท่าทีก็ค่อยๆสงบลง “ข้าไม่รู้ว่าเจ้ารู้เรื่องนี้มาจากที่ไหนแต่ในเมื่อเข้ามาเหยียบที่นี่แล้วก็คงจะออกไปไหนไม่ได้อีก”

 

“เลือดของตํานานยุทธชั้นยอดหนึ่งหยดก็เพียงพอแล้วที่จะผลักดันความแข็งแกร่งของข้าไปสู่ระดับที่สูงขึ้น”

 

ชิงชิวชิงหลิงเลียริมฝีปากสีแดงตาที่เต็มไปด้วยความปรารถนา

 

มองไปยังซูฉินด้วยแวว

 

“เจ้ากล่าวได้ถูกต้อง

 

“มีค่ายกลรูปแบบสังหารอยู่ที่นี่จริงๆ”

 

“แต่ขอบเขตของค่ายกลสังหารไม่ใช่ศิลาสีดําเหตุผลที่ข้าเรียกให้เจ้ามาตรงนี้ก็ไม่มีอะไรมากไปกว่าการป้องกันความผิดพลาด”

 

“อันที่จริง ตั้งแต่เจ้าเข้ามา มันก็ได้อยู่ในเขตแดนสังหารเรียบร้อยแล้ว”

 

เมื่อชิงชิวชิงหลิงกล่าวจบ ก็กระทืบเท้าอย่างรุนแรงและตะโกนด้วยเสียงทุ้มต่ํา “จงขึ้นมา!”

ในชั่วพริบตา

 

ทั้งโลกก็มืดมิด

 

พลังฟ้าดินแตกออกเป็นเสี่ยงๆ พลังธาตุทั้งห้าทองคํา ไม้ น้ํา ไฟและดินต่างกระจายตัวออกไปอัดแน่นอยู่ทั่วทุกตารางนิ้วในอากาศ

 

“เป็นอย่างไรบ้าง?”

 

“ตอนนี้ถ้าเจ้าลองร้องขอความเมตตาข้าก็จะช่วยเมตตาเจ้าสักหน่อย”

 

“แต่หาไม่แล้ว ข้าจะทําให้เจ้าสัมผัสกับความเจ็บปวดของการถูกดูดกลืนปราณชีวิตและเลือดเนื้อให้ความตายค่อยๆคืบคลานมาเยือน”

 

ชิงชิวชิงหลิงเย้ยหยัน

 

ในขณะที่ค่ายกลสังหารถูกปกคลุมไว้ทั้งหมด ชิงชิวชิงหลิงได้กุมชัยชนะไว้ในมือแล้ว แม้ว่าซูฉันต้องการจะวิ่งหนีไปตอนนี้ มันก็สายเกินไป

 

“ค่ายกลรูปแบบการสังหารนี้น่าสนใจจริงๆ”

 

ซูฉินไม่ได้สนใจชิงชิวชิงหลิง ยังคงมองไปรอบๆดูค่ายกลสังหารที่ล้อมรอบไปทั่วบริเวณ

 

ค่ายกลสังหารนี้มีพื้นฐานมาจากพลังของธาตุทั้งห้าทอง ไม้ น้ํา ไฟ ดินและธาตุทั้งห้าก็หมุนเวียนเปลี่ยนผันไม่รู้จบ ถ้าไม่ใช่เพราะความเสียหายของรูปแบบหยินหยางตรงกึ่งกลางและสามารถรวบรวมพลังหยินหยางเข้ากับทั้งห้าธาตุเกรงว่ามันอาจจะสร้างปัญหาให้กับซูฉินได้จริงๆ

 

“เจ้าสมควรตาย!”

 

เจตนาฆ่าปรากฏขึ้นบนใบหน้าของชิงชิวชิงหลิงและมันก็ควบคุมค่ายกลสังหารให้พุ่งเข้าใส่ซูฉินโดยตรง

 

เสี้ยว

 

ธาตุทั้งห้าหมุนวนราวกับเครื่องโม่หินขนาดใหญ่ที่มีพลังทําลายรุนแรง

 

อย่างไรก็ตาม

 

พลังของธาตุทั้งห้าได้หายไปอย่างรวดเร็ว เมื่ออยู่ใกล้ฉินในระยะหนึ่งร้อยจ้าง

 

ดูเหมือนว่าภายในหนึ่งร้อยจ้างรอบตัวซูฉินกฎธรรมชาติไม่อาจเข้าถึงศัตรูนับหมื่นก็ไม่อาจหักหาญราวเป็นเซียนเทพองค์หนึ่งก็มิปาน

 

“นี่คือ?”

 

“นี่คืออาณาเขต?”

 

ใบหน้าของชิงชิวชิงหลิงเปลี่ยนไปในทันทีดูไม่อยากจะเชื่อสิ่งที่เห็น

 

นางจะไปคาดคิดได้อย่างไรว่าซูฉินควบแน่นอาณาเขตได้แล้ว?

 

ชิงชิวชิงหลิงนั้นสามารถตรวจสอบโดยวิธีการบางอย่างของเผ่าพันธุ์ภูตอสูรทําให้ทราบได้ว่าซูฉินนั้นเป็นตํานานยุทธระดับนภาชั้นที่เจ็ด

 

ตํานานยุทธระดับนภาชั้นที่เจ็ดหากว่ากันตามทฤษฎีแล้วจะสามารถควบแน่นอาณาเขตขนาดเล็กได้

 

แต่ทฤษฎีอย่างไรก็เป็นทฤษฎีในความเป็นจริงชิงชิวชิงหลิงไม่เคยได้ยินตํานานยุทธระดับนภาชั้นที่เจ็ดที่สามารถควบแน่นอาณาเขตขนาดเล็กได้มาก่อน

 

แม้ว่าจะเป็นช่วงกระแสพลังรุ่งเรืองเฟื่องฟูในยุคที่แล้วพวกผู้ทรงพลังอย่างผิดปกติต่างก็กําเนิดขึ้นมากมายมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่เรียกได้ว่าได้รับความโปรดปรานจากสวรรค์ ก็ยังสามารถควบแน่นอาณาเขตขนาดเล็กได้ตอนอยู่ในขั้นสูงสุดของระดับนภาชั้นที่เจ็ดแล้วเท่านั้น

 

ทว่าเหล่าบุตรแห่งสวรรค์พวกนั้นได้ควบแน่นอาณาเขตขนาดเล็กในช่วงที่กระแสปราณฉีรุ่งโรจน์ถึงขีดสุด

 

แต่ซูฉินเล่า?

 

แม้กระแสปราณฉีจะฟื้นคืนมาแล้วก็ตาม แต่ก็ยังห่างไกล จากจุดสูงสุดนัก ความสามารถของซูฉินในการควบแน่นอาณาเขตในสภาพแวดล้อมเช่นนี้ช่างน่าประหลาดใจยิ่ง 

 

“ความลับใหญ่!”

 

“เจ้าจะต้องซ่อนความลับอันยิ่งใหญ่เอาไว้แน่”

 

ดวงตาของชิงชิวชิงหลิงกลายเป็นร้อนแรง แทบอดรนทน ไม่ไหวที่จะกลืนซูฉินเข้าไปทั้งเป็น

 

“อย่างไรเสีย ตราบใดที่เจ้าตาย ความลับของเจ้าก็ จะกลายมาเป็นของข้า” น้ําเสียงของชิงชิวชิงหลิงนั้นดูตื่นเต้นอย่างมาก

 

เดิมที่มันคิดว่าซูฉินเป็นเพียงตํานานยุทธระดับนภาชั้น ที่เจ็ด มันไม่ได้คาดหวังว่าเรื่องราวจะเป็นเช่นนี้

 

“เจ้ามีอาณาเขตคอยคุ้มกัน ค่ายกลสังหารไม่สามารถทํา อะไรเจ้าได้”

 

“แต่ตราบใดที่ค่ายกลสังหารยังดําเนินการต่อไป เจ้าก็ห นีไปไหนไม่พ้นเช่นกัน”

 

ชิงชิวชิงหลิงเลียริมฝีปากของตน และพูดอย่างดุดัน “ช่วง ชีวิตของเผ่าพันธุ์มนุษย์อย่างเจ้าขอบเขตตํานานยุทธมีอายุ ขัยไม่เกินห้าร้อยปี ข้าจะกลืนกินเจ้าจนตาย คว้าความลับอันยิ่งใหญ่ที่เจ้ากุมไว้มา”

 

ชิงชิวชิงหลิงได้ตัดสินใจแล้ว

 

สําหรับเผ่าพันธุ์ภูตอสูร โดยเฉพาะเผ่าจิ้งจอกภูต ช่วงชี วิตของชิงชิวชิงหลิงนั้นยาวไกลกว่าตํานานยุทธเผ่าพันธุ์มนุษย์มากนักเวลาหลายร้อยปีสําหรับนางแม้ว่าจะต้องเจ็บปวดใจอยู่เล็กน้อยแต่ก็เทียบไม่ได้กับความลับอันยิ่งใหญ่ที่สามารถควบแน่นอาณาเขตขนาดเล็กได้ในระดับ นภาชั้นที่เจ็ด

 

“หรืออีกทาง ข้าจะให้ทางเลือกแก่เจ้ามอบความลับนั้นของเจ้ามาแล้วข้าจะหาทางลงให้กับเจ้าไม่เช่นนั้นก็รอคอยความตายอยู่ที่นี่เสียเถอะ”

 

ชิงชิวชิงหลิงกล่าวคําออกมา ฟังดูเหมือนต้องการจะมีเมต ตา

 

แต่ในความจริง ชิงชิวชิงหลิงไม่เคยคิดจะปล่อยซูฉินไปตั้งแต่ต้นเหตุผลที่นางกล่าวเช่นนั้นก็ไม่มีอะไรมากไปกว่าการมอบความหวังอันน้อยนิดให้ซูฉิน

 

“โอ้ว”

 

“หาทางลงให้แก่ข้า?”

 

อย่างไรก็ตาม ในเวลานี้มีร่องรอยของการประชดประชั้นปรากฏบนใบหน้าของซูฉิน เขามองไปที่ชิงชิวชิงหลิ งด้วยความสนใจ “เจ้าไม่ต้องการจะรู้หรือว่าทําไมข้าที่รู้ ว่าเกาะหยิงโจวถูกครอบครองโดยกลุ่มภูตอสูรและมีค่ายกลสังหารภายในกลับยังกล้าเข้ามา?”

 

เมื่อซูฉินกล่าวออกไปเช่นนี้

 

ใบหน้าของชิงชิวชิงหลิงก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย

 

[1] KEะภูตอสูร สิ่งมีชีวิตที่แต่เดิมไม่ใช่มนุษย์อาจเป็นสัตว์,พืช แต่แปลงร่างเป็นมนุษย์ได้ส่วนใหญ่จะเป็นจึงจอกพืชพันธุ์บางชนิด

 

Sign in Buddha’s palm 208 (1) เกาะภูตหยิงโจว

 

ทะเลบูรพา

 

“นี่?!”

 

คนทั้งหลายบนเรือประมงต่างตกตะลึง

 

มองดูฉากตรงหน้าด้วยความประหวั่นพรั่นพรึง

 

“นี่…นี่มันเซียนอมตะจริงๆ”

 

ชายหนุ่มพูดตะกุกตะกัก เมื่อครู่เขายังสงสัยอยู่เลยว่าชายวัยกลางคนพูดเกินจริงไปหรือเปล่า เพราะอย่างไรพวกเขาก็ท่องทะเลมาหลายปีแล้ว อย่าว่าแต่เซียนอมตะเลย แม้แต่ผู้คนก็ไม่ได้มีให้พบเห็นมากนัก

 

ทะเลบูรพานั้นกว้างใหญ่เกินไป

 

แต่ตอนนี้ชายหนุ่มแทบจะตบหน้าตัวเองเสียบัดนี้ ยามที่เห็นซูฉินโบยบินขึ้นไปบนอากาศ หากนี้ยังไม่ใช่เซียนอมตะแล้วตัวตนแบบไหนถึงจะเป็นเซียนอมตะเล่า?

 

อาตั่ว หญิงสาวที่ยืนอยู่ด้านข้างก็รู้สึกว่าจิตใจว่างเปล่าโดยพลัน

 

ทันใดนั้นนางก็นึกขึ้นได้ ยามที่นางบอกให้ซูฉินขึ้นมาบนเรือ แต่อีกฝ่ายกลับปฏิเสธ ในเวลานั้นนางยังสงสัยอยู่เลยว่าทําไมซูฉินถึงปฏิเสธตนเช่นนั้น มีทางให้รอดชีวิต กลับเลือกส่งตนเองสู่จุดจบ

 

แต่ตอนนี้ เมื่อเห็นฉากที่อีกฝ่ายราวกับเป็นเซียนอมตะโบยบินขึ้นไปบนท้องฟ้า อาตั่วก็ได้รู้แล้วว่าอีกฝ่ายไม่ต้องการให้นางช่วยจริงๆ

 

“หือ?”

 

“เขาจะทําอะไรน่ะ?”

 

ใบหน้าของหญิงสาวเต็มไปด้วยความตกใจเมื่อเห็นซูฉินลอยอยู่บนฟ้า เหยียดมือขวาล้วงเข้าไปในอากาศ

 

ฉับพลัน

 

มีดยาวรูปร่างแปลกเหมือนกับเคียว ใบมีดโค้งราวพระจันทร์เต็มดวงก็ถูกดึงออกมา

 

เมื่อนางเห็นมีดยาวที่มีไอพลังราวกับขุมนรก อาตั่ว หญิงสาวก็รู้สึกเหมือนจิตใจของตนถูกฉุดรั้งลงไปเบื้องลึก

 

ครืด

 

ราวกับสายฟ้าฟาดพาดผ่าน

 

ซูฉินถือมีดเทพเจ้าปีศาจในมือ และฟันอย่างเชื่องช้าไปทางทะเลที่โล่งกว้างในระยะไกลลิบ

 

แสงสีดําราวกับหมึก เลื่อนออกไปในชั่วพริบตา และมันเหมือนกับว่าสัมผัสเข้ากับอะไรบางอย่างจนเกิดเสียงเอี๊ยดอ๊าดดังขึ้นมา จากนั้นพื้นที่โดยรอบก็สั่นสะเทือน วงคลื่นกระเพื่อมเป็นระลอกราวกับหินกระทบผิวน้ำ

 

“อยู่ตรงนี้นี่เอง”

 

ดวงตาของซูฉินเป็นประกาย

 

เมื่อเขาใช้อาณาเขตครอบคลุมพื้นที่ส่วนนี้ เขาพบว่ามันมีแรงต่อต้านเล็กน้อยที่นี่ สามารถต้านการบุกรุกของอาณาเขตได้ หลังจากทดสอบดูครู่หนึ่ง ซูฉินจะไม่ทราบได้อย่างไรว่ามันมีปัญหาอะไรบางอย่าง

 

“สามารถสกัดกั้นการบุกรุกด้วยอาณาเขตของข้าได้ และคมดาบของข้าก็ไม่สามารถทําลายมันลงได้ อย่างน้อยค่ายกลฟ้าดินขนาดใหญ่นี้ก็ต้องถูกก่อตั้งโดยตํานานยุทธในระดับนภาชั้นที่เก้าหรือแม้แต่ตัวตนระดับเซียนเทพปฐพี”

 

ซูฉินยิ่งคิดถึงเรื่องนี้ เขาก็ยิ่งดูสดใสขึ้น

 

“น่าเสียดายที่ค่ายกลแห่งนี้อยู่มานานเกินไป และไม่สามารถแม้แต่ปิดบังไอพลังของมัน แล้วมันจะหยุดข้าได้อย่างไร?”

 

ซูฉินเมื่อนึกได้เช่นนี้ ก็ยกมีดเทพเจ้าปีศาจขึ้นมาฟาดฟันกระแสคมมีดออกไปติดต่อกันมากกว่าสิบครั้ง

 

เพียงครู่เดียว ทั่วทุกพื้นที่ก็เต็มไปด้วยแสงสีดํา ราวกับที่แห่งนี้กําลังแยกออกเป็นชิ้นๆ ไอพลังอันน่าขนพองสยองเกล้ากระจายออกมาอย่างท่วมท้น

 

ค่ายกลฟ้าดินขนาดใหญ่แห่งนี้สร้างขึ้นมาจากฝีมือเซียนเทพปฐพี ทั้งผู้ก่อตั้งยังเป็นจุดสูงสุดของขอบเขตเซียนเทพปฐพี บางทีแม้ซูฉินจะทุ่มสุดตัวก็คงเป็นไปไม่ได้ที่จะทําให้ค่ายกลฟ้าดินขนาดใหญ่แห่งนี้สะเทือนได้

 

แต่หลังจากผ่านไปหลายพันปี ค่ายกลขนาดใหญ่แห่งนี้ก็เสื่อมโทรมลงไปเสียนานแล้ว แม้แต่ส่วนสําคัญที่สุดก็เริ่มจะหักพัง

 

นี่เป็นเหตุผลที่ซูฉินจับสัมผัสของไอพลังที่เปล่งออกมาจากที่แห่งนี้ได้แม้ตัวเองจะอยู่ในเมืองฉางอัน

 

“น่าหวาดกลัวเหลือเกิน”

 

บนเรือประมงที่อยู่ห่างออกไป ทุกคนรู้สึกราวกับว่าตกอยู่ในวันโลกาวินาศ ไม่ว่าจะเป็นอาตั่วหรือคนอื่นๆ พวกเขารู้สึกได้เพียง เหมือนมีฟ้าถล่ม โลกดํามืดไปหมด ความปั่นป่วนภายในท้องทะเลมีแต่จะเพิ่มขึ้น เพิ่มขึ้น

 

ขณะที่ซูฉินตวัดคมมีดออกไปนับสิบครั้ง ก็ได้กระตุ้นพลังของค่ายกลที่ไม่สมบูรณ์นี้ออกมา เผยให้เห็นส่วนหนึ่งของเกาะที่มีรัศมีหนึ่งร้อยลี้ขึ้นมาจางๆ

 

“มันควรจะเป็นสิบทวีปและสามเกาะตามตํานานของทะเลบูรพา”

 

“แต่ว่า เป็นส่วนไหนของสิบทวีปและสามเกาะกันแน่?”

 

ซูฉินแตะปลายคางของตนเองและไม่ได้เคลื่อนไหวทําอะไรอีก

 

ไม่ใช่เพราะซูฉินใช้แก่นแท้แห่งพลังจนหมด แต่เพราะกังวลว่าหากยังโจมตีต่อไป จะไม่ใช่แค่ค่ายกลฟ้าดินขนาดใหญ่เท่านั้น แต่ทั้งเกาะเซียนจะพังทลายไปพร้อมกับค่ายกลฟ้าดินที่ปกคลุมอยู่

 

“ดูเหมือนว่าเราจะไม่สามารถพึ่งพาได้เพียงกําลังเท่านั้น”

 

ซูฉินค่อยๆ เบิกเนตรดวงตาแห่งสัจจะ จากนั้นจึงผสานวิชาปราณฉีฟ้ากําหนด ทันใดนั้นก็เห็นถึงการสลายตัวสลับกับการก่อกําเนิดใหม่ของค่ายกลฟ้าดินตรงหน้าซูฉิน

 

“ส่วนใหญ่เป็นคุณสมบัติที่ใช้ในการซ่อนเร้นงั้นรึ?”

 

ใบหน้าของซูฉินดูครุ่นคิด

 

อันที่จริงนี่ก็ล่วงเลยมาหลายพันปีแล้ว หากไม่ใช่เพราะค่ายกลฟ้าดินขนาดใหญ่นี้ เกาะแห่งนี้ก็คงถูกค้นพบไปนานแล้ว แม้ว่าทะเลบูรพาจะกว้างใหญ่ แต่ก็ไม่สามารถหยุดการเดินเรือของชาวประมงหลายชั่วอายุคนได้ นอกจากนี้ ยังมีตํานานยุทธกําเนิดขึ้นมาอยู่ตลอดเป็นระยะจะปกปิด มาได้นานขนาดนี้ได้อย่างไร?

 

“ตรงนี้?”

 

ซูฉินยกมีดเทพเจ้าปีศาจฟันไปยังตําแหน่งหนึ่ง ตามจุดที่เห็นไอพลังรัวไหลผ่านการมองด้วยดวงตาแห่งสัจจะและปราณฉีฟ้ากําหนด

 

เป๊ง

 

ทันใดนั้นค่ายกลฟ้าดินก็ส่งเสียงออกมา ภายในม่านค่ายกล ภาพเกาะมัวๆ ก็ค่อยๆ ชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ

 

ขณะที่ซูฉินกําลังจะฟันเข้าไปอีกสองสามครั้งเพื่อทําลาย ค่ายกลฟ้าดินนี้ให้สิ้นซาก

 

หวึ่ง!!

 

ก็เห็นได้ว่าค่ายกลฟ้าดินพลันสั่นสะเทือน ค่ายกลฟ้าดินหลายชิ้นเกี่ยวพันกันผสานตัวกลายเป็นช่องทางเข้าออก

 

เห็นร่างเงาที่แสนงดงามเดินออกมาจากช่องทางนี้อย่างช้าๆ

 

ร่างที่แสนงดงามนี้แต่งกายด้วยชุดสีแดง ฟันของนางขาวราวกับหยก ผิวสวยผมดําขลับเกล้ามวยขึ้นสูงดูน่าดึงดูดใจมากขึ้นไปอีก รูปร่างอรชรอ้อนแอ้น เดินนวยนาดออกมาโค้งคารวะให้กับซูฉินเล็กน้อย แล้วจึงกล่าวขึ้นว่า “คารวะสหายเต๋า”

 

น้ำเสียงของร่างงามนั้นไพเราะมาก ราวกับมีแรงดึงดูดบางอย่าง ชวนให้รู้สึกสบายหูยิ่งนัก

 

“โอ้?”

 

“มีสิ่งมีชีวิตอยู่บนเกาะนี้ด้วยหรือ?”

 

ซูฉินหยุดความเคลื่อนไหว มองไปที่ร่างอันงดงามด้วยความสนใจ

 

“นี่คือเกาะเซียนทะเลบูรพา แม้กระแสปราณฉีจะซบเซา ธรรมชาติจะเหี่ยวเฉา แต่ผลกระทบที่เกิดขึ้นภายในเกาะก็ไม่ได้มากนัก เป็นธรรมดาที่จะมีสิ่งสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่”

 

ร่างอันงดงามเผยรอยยิ้มและกล่าวต่อ “เช่เป็น ผู้นี้ แต่เดิมคิดว่าโลกภายนอกอยู่ในจุดสิ้นสุดของกฏเกณฑ์ธรรมชาติไม่ได้คาดหวังว่าจะมีผู้ทรงพลังเช่นสหายเต๋ากําเนิดขึ้น

มา”

 

“เช่เชินอยากจะชวนสหายเต๋าไปนั่งพูดคุยกันภายในเกาะไม่รู้สหายจะคิดเห็นอย่างไร”

 

ร่างงามเฉียงตัวออกด้านข้างเล็กน้อย เผยให้เห็นช่องทางเข้าออก เชื้อเชิญซูฉินเข้าไปด้านใน

 

“จะให้ข้าเข้าไปรึ?”

 

ซูฉินมองลึกเข้าไปด้านใน

 

แม้ว่าทางเข้านี้จะเชื่อมต่อเข้ากับเกาะ แต่ก็ยังมีพลังมากมายแทรกซึมกั้นขวางอยู่ สามารถขัดขวางจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์เอาไว้ได้ และแม้แต่อาณาเขตก็ยากที่จะเจาะทะลุเข้าไป

 

แต่ก็เท่านั้น แม้อาณาเขตหรือจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์นั้นไม่ได้สามารถ แต่ดวงตาแห่งสัจจะควบคู่ไปกับวิชาปราณฉีฟ้ากําหนดนั้นสามารถมองทะลุ เห็นสรรพสิ่งบนเกาะได้ในทันที

 

“เมื่อเป็นเช่นนั้น”

 

“ข้าก็ไม่เกรงใจล่ะนะ”

 

ซูฉินไม่รู้ว่าเขาจะต้องพบเจอกับอะไร แต่รอยยิ้มก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าและนํามีดเทพเจ้าปีศาจเก็บกลับไป เดินเข้าไปยังช่องทางที่เปิดออกอย่างสบายๆ

 

“สหายเต๋า เชิญ”

 

ท่าที่แปลกๆ ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของร่างงาม และนางก็ก้มศีรษะลงอย่างรวดเร็ว

 

คลิก

 

เมื่อซูฉินเดินผ่านช่องทางเข้าไป ทางเดินที่โผล่ออกมานั้นก็หายไปอย่างรวดเร็วราวกับว่ามันไม่เคยมีอยู่มาก่อน

 

“ฮื่อ!”

 

ถึงตอนนี้ ร่องรอยความพึงพอใจก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของร่างงามชุดแดงที่แสดงท่าที่นอบน้อมมาโดยตลอด ราวกับว่าแผนการประสบความสําเร็จ

 

[1] เช่เชิน คําแทนตัวแบบถ่อมตนของหญิงจีนโบราณ

 

“นั่นคือ…”

ซูฉินแตะปลายคาง แววตาครุ่นคิด

ในชั่วพริบตา ซูฉันรู้สึกได้รางๆ ถึงบางสิ่งมาจากทางทะเลทิศบูรพาไอพลังอันเก่าแก่จู่ๆ ก็ปรากฏขึ้น

ไอพลังนี้ช่างกว้างใหญ่ไพศาล แต่หาใช่สิ่งมีชีวิตไม่หากไม่ใช่เพราะวิชาปราณฉีฟ้ากําหนดที่สามารถตรวจจับไอพลังปราณได้ทั่วทุกพื้นที่ ควบคู่ไปกับการเบิกเนตรดวงตาแห่งสัจจะเกรงว่าคงจะไม่ทันสังเกตเห็นไอพลังนี้

“มันเกี่ยวข้องกับการที่ปราณฉีฟื้นคืนหรือเปล่านะ?”

ใบหน้าของซูฉินครุ่นคิด

ก่อนที่ไอพลังอันเก่าแก่จากทะเลบูรพาจะปรากฏขึ้นกระแสปราณฉีระหว่างฟ้าดินได้พุ่งสูงขึ้นอีกระลอก

ซูฉินคาดเดาว่าเป็นเพราะกระแสพลังที่พุ่งสูงขึ้นทําให้ไอพลังนี้ปรากฏขึ้นตามมา

“น่าสนใจ”

“ดูเหมือนข้าจะต้องไปที่ทะเลบูรพาสักหน่อยแล้ว”

ความคิดของซูฉินผันผวน ใคร่ครวญอยู่ในใจเงียบๆ

ในระดับของซุฉิน นอกจากการข้ามผ่านคอขวดของขอบเขตอรหันต์แล้ว สิ่งอื่นที่พึงกระทําคือการหาสถานที่ลงชื่อเข้าใช้ที่มี “เต๋สะสม”เพียงพอ

และไอพลังจากทะเลบูรพานั้นเก่าแก่โบราณยิ่งหากซูฉินหามันพบจะต้องลงชื่อเข้าใช้ ได้รับของมาอีกมากแน่นอน

เป็นไปได้ว่าอาจจะช่วยซูฉินให้ฝ่าคอขวดขึ้นไปถึงขอบเขตยอดอรหันต์ได้

“ทะเลบูรพา……

ซูฉินกระซิบคํากับตนเอง

ทะเลบูรพาไม่ใช่ต่างดินแดน แต่เป็นพื้นที่ทะเลขนาดใหญ่ใกล้กับทิศตะวันออกของแผ่นดินใหญ่ ตั้งแต่โบราณกาลมามีตํานานมากมายเล่าขานเกี่ยวกับทะเลบูรพา เช่น วังมังกรแห่งทะเลบูรพาหรือเซียนแห่งทะเลบูรพา

ซูฉินยิ้มเยาะสิ่งเหล่านี้ สิ่งที่เรียกว่าเซียนอมตะในสายตาของซูฉินก็เป็นเพียงจอมยุทธผู้ทรงพลังเท่านั้น

สําหรับปุถุชนไม่ว่าจะเป็นจอมยุทธในขอบเขตตํานานยุทธขอบเขตเซียนเทพปฐพี และเซียนอมตะแท้จริงแล้วอะไรคือความแตกต่างระหว่างสิ่งเหล่านี้เล่าพวกเขาจะรู้หรือไม่?

เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ ซูฉินก็ก้าวเท้าหายไปจากโถงพระราชวังใต้ดินอันสูงสง่าและปรากฏตัวขึ้นเหนือน่านฟ้ากว่าพันเมตรมองเห็นเมืองฉางอันทั้งเมือง

ในเวลานี้ เมืองฉางอันมีหร่วนชิงและเหยียนไฟที่เป็นตํานานยุทธระดับนภาชั้นที่สามคอยเฝ้าอยู่เป็นตัวตนที่สูงส่งอย่างยิ่งแม้จะต้องเจอศัตรูตัวฉกาจแต่ก็สามารถรั้งเอาไว้ ได้ชั่วขณะหนึ่งเพียงพอสําหรับซูฉินที่จะเร่งรุดกลับมา

ในเวลาต่อมา

“พุ่งไป”

ซูฉินแหวกอากาศพุ่งไปยังทะเลบูรพา

หากเป็นตํานานยุทธระดับนภาชั้นที่หนึ่งหรือชั้นที่สองการเหาะเหินเดินอากาศในระยะยาวอาจจะกินพลังงาน มากเกินไปแต่สําหรับนภาชั้นที่เจ็ดที่สามารถควบแน่น อาณาเขตได้แล้วอย่างซูฉินการโบยบินบนท้องฟ้าไม่ต่างไป จากความสามารถพื้นฐาน

ง่ายดายราวกับกินดื่มหรือเดินเล่น

ไม่นานนัก

ยังไม่ทันจะถึงหนึ่งชั่วโมง

ซูฉินก็มาถึงทะเลบูรพา

นี่ซูฉินจงใจลดความเร็วลงหน่อยแล้ว มิฉะนั้นคงมาถึงเร็วกว่านี้

“นี่คือทะเลบูรพา…”

ซูฉินกระซิบกับตนเองขณะมองไปยังผืนทะเลอัน กว้างใหญ่

คัมภีร์โบราณบันทึกเกี่ยวกับตํานานในทะเลบูรพาเอาไว้ไม่เพียงแต่มีวังมังกรแห่งทะเลบูรพาเท่านั้น แต่ยังมีสิบทวีปและสามเกาะซึ่งเซียนอมตะได้อาศัยอยู่ไม่รู้ว่าสมัยก่อนมียอดจักรพรรดิมากมายเพียงใดที่ส่งผู้คนออกไปยังท้องทะเลยามที่ตนแก่ชรา เพื่อตามหาเซียนอมตะพยายามจะค้น หาวิธีต่อชีวิตอีกครั้ง

น่าเสียดายที่ไม่มีจักรพรรดิพระองค์ใดบรรลุความปรารถนานี้ได้

ดูเหมือนว่าสิบทวีปและสามเกาะ จะมีอยู่จริงเพียงในตํานานเท่านั้น

“ถ้าสิบทวีปและสามเกาะมีอยู่จริง มันคงจะเป็นดินแดนของผู้ฝึกยุทธขอบเขตตํานานยุทธหรือแม้กระทั่งเซียนเทพปฐพีแน่นอนว่าที่นั้นจะต้องถูกปกคลุมไปด้วยค่ายกล ฟ้าดินจํานวนมากคนธรรมดาต่อให้ตามหาเท่าไหร่ก็ไม่มีวัน หาพบ”

ซูฉินเดินไปบนทะเลบูรพา ในใจก็ใคร่ครวญอย่างรวดเร็ว

“นั่นแหละปัญหา…”

ซุฉินรู้สึกว่ามันค่อนข้างยุ่งยากทีเดียว

หากไอพลังที่เขารู้สึกนั้นมาจากสิบทวีปและอีกสามเกาะตามตํานานเล่าขานจริงๆ มันคงจะรายล้อมไปด้วยค่ายกล ฟ้าดินอันกว้างใหญ่ไพศาลและคงเป็นเรื่องยากที่จะค้นหาพบจากการใช้จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์เพียงอย่างเดียว

“จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ใช้ไม่ได้ งั้นก็ต้องใช้อาณาเขต

ซูฉินตัดสินใจเปลี่ยนแปลงวิธีการ

ค่ายกลฟ้าดินนั้นสามารถหลบเลี่ยงการตรวจจับจากจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ได้แต่เมื่ออยู่ภายใต้พื้นที่ของอาณาเขตย่อมไม่มีอะไรให้หลบซ่อนอีก

อาณาเขตคือสิ่งใด?

ภายในอาณาเขต ซูฉินเป็นนายเหนือหัวแต่เพียงผู้เดียวสามารถควบคุมทุกสิ่งจะมีอะไรซ่อนตัวจากเขาได้?

“แต่ทว่า หากต้องการจะค้นหาด้วยอาณาเขตจริงๆ คง จะครอบคลุมรัศมีแค่ร้อยจ้างเท่านั้นไม่ได้…”

อาณาเขตในรัศมีร้อยจ้างเป็นระยะที่แข็งแกร่งที่สุดของซูฉินภายในระยะนี้ซูฉินสามารถจัดการกับความสามารถในการควบคุมฟ้าดินของเหล่าตํานานยุทธได้อย่างง่าย ดาย กดระดับพวกเขาให้ต่ําลงไปจนไม่ต่างจากขอบเขตวิทยายุทธทั้งเก้าระดับชั้น

แต่เมื่อเพิ่มระยะอาณาเขตออกไป ความสามารถในการควบคุมของซูฉินจะลดลงไปเรื่อยๆ

ตัวอย่างเช่น ในอาณาเขตรัศมีร้อยจ้าง ซูฉินสามารถตัดการใช้พลังฟ้าดินของตํานานยุทธระดับนภาชั้นที่หกได้ในความคิดเดียวแต่จะเป็นเรื่องที่ยากมากหากขยายอาณา เขตออกไปเป็นพันจ้าง

แน่นอนว่าซูฉินกําลังจะตรวจสอบพื้นที่เท่านั้นในตอนนี้ไม่ใช่เพื่อกําจัดศัตรูไม่จําเป็นจะต้องควบคุมอาณาเขตมากขนาดนั้น

“งั้นก็ขยายระยะให้กว้างขึ้น”

เพียงซูฉันคิด อาณาเขตรัศมีร้อยจ้างก็แพร่ขยายออกไป

หากเขายังคงค้นหาด้วยอาณาเขตระยะร้อยจ้างต่อไปท่ามกลางน่านน้ําอันกว้างใหญ่ไพศาลของทะเลบูรพาเกรงว่าคงเป็นปีกว่าจะพบ

อาณาเขตระยะร้อยจ้างเป็นระยะที่ซูฉันเข้าใจอย่างถ่องแท้ซูฉินสามารถรับรู้ทุกสิ่งได้อย่างดีเยี่ยม

“ตอนนี้ก็ทําได้เพียงแค่รอ”

ซูฉินพบเกาะเล็กๆ แห่งหนึ่ง จึงตัดต้นไม้แก่สองสามต้นมาสร้างแพเขานั่งแพล่องลอยไปตามทะเล

พระอาทิตย์สาดแสงมา สําหรับคนทั่วไปอาจจะรู้สึกได้ว่าร้อนเหลือทนแต่เมื่อแสงส่องกระทบร่างของซูฉินมันก็ทําให้เขารู้สึกเพียงอุ่นขึ้นมาเล็กน้อยเท่านั้น

แพลอยเอื่อยเฉื่อย และอาณาเขตก็ขยายระยะออกไปใหญ่ขึ้นเรื่อยๆเพียงไม่กี่วันก็กวาดไปถึงครึ่งหนึ่งของทะเลบูรพา

ในช่วงสองสามวันมานี้ ซูฉินไม่ได้ลงชื่อเข้าใช้เลยโอกาสในการลงชื่อเข้าใช้รายวันจึงถูกใช้ไปโดยร่างจําแลงภายในโลกถ้ําปีศาจ

“ด้วยความเร็วขนาดนี้ น่าจะสามารถกวาดไปทั่วทะเลบูรพาทั้งหมดได้ในเวลาไม่เกินสองวัน”

ซูฉินนอนอยู่บนแพ ล่องลอยไปตามกระแสน้ําครุ่นคิดไปมาอย่างช้าๆ

ไม่กี่วันมานี้ เขาไม่ได้ฝึกฝน ไม่ได้ปิดด่านฝึกตนได้แต่นอนบนแพล่องไปมองดูฟ้าดูทะเลที่กว้างไกลไร้ที่สิ้นสุดอึดอัดดีเหมือนกัน

ในช่วงเวลานี้ เขาได้พบสัตว์ทะเลบางตัวที่หมายตาตัวเขาไว้แต่จิตสังหารที่ส่งผ่านไอพลังออกไปทําให้พวกมันตื่นกลัวและหนีห่างไปจากซูฉินทันที

เมื่อเทียบกับเผ่าพันธุ์มนุษย์สัตว์เหล่านี้ไวต่ออันตรายมากกว่า

“กระแสพลังกําลังฟื้นคืนขั้นรุนแรงแม้กระทั่งสัตว์ทะเลเหล่านี้ก็เริ่มเกิดปัญญาขึ้นมาแล้ว”

ยามที่จ้องมองไปยังน้ําทะเลสีฟ้าซูฉินก็คิดอยู่ภายในใจ

“การฟื้นคืนของกระแสปราณฉีเป็นโอกาสที่ดีสําหรับเผ่าพันธุ์มนุษย์แต่ไม่ใช่แค่มนุษย์เท่านั้นที่ได้รับประโยชน์จากการฟื้นคืนของกระแสปราณฉีนี้ ”

มุมมองของซูฉินนั้นกว้างไกล

ตามการคาดเดาของเขาในอีกไม่กี่ปีต่อจากนี้เมื่อกระแสพลังฟื้นคืนจะมีสัตว์ร้ายผุดขึ้นตามรายทางฝึกฝนบ่มเพาะกลายเป็นเผ่าพันธุ์สัตว์อสูรตามที่มีในตํานานอย่างแน่นอน

“ดูเหมือนตํานานเล่าขานจะไม่ใช่เรื่องแต่งเติมไปเสียทั้งหมด……..”

ซูฉินพยักหน้าเล็กน้อย

กลุ่มสัตว์อสูรถูกบันทึกไว้ในคัมภีร์โบราณหลายเล่มแต่ซูฉินกลับไม่เคยพบสัตว์อสูรใดๆเลยหลังจากที่เขากลายเป็นอรหันต์มาหลายปี

แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าเหตุผลที่ซูฉินไม่เห็นนั้นไม่ใช่เพราะไม่มีอยู่จริงแต่เพราะสภาพแวดล้อมไม่เอื้ออํานวย

และตอนนี้ ด้วยการฟื้นฟูของกระแสปราณฉีสภาพแวดล้อมภายในโลกมีความอุดมสมบูรณ์มากยิ่งขึ้นการกําเนิดของเหล่าสัตว์อสูรคงใช้เวลาอีกไม่นาน

ขณะที่ซูฉินกําลังคิดเรื่องเหล่านี้อยู่นั้น

เรือประมงก็แล่นเข้ามาหาอย่างช้าๆ

บนเรือประมงมีหญิงสาวคนหนึ่งยืนอยู่ ผิวออกคล้ําเล็กน้อยและพอมองเห็นได้ว่างดงามไม่น้อย

“พี่ชาย”

“ขึ้นมาเถอะ เราจะพาเจ้ากลับไปเอง”

หญิงสาวโบกมือ ตะโกนมาทางซูฉิน

ในมุมของหญิงสาว ซูฉินน่าจะเป็นชาวประมงบนเรือสินค้าสักลําแต่เมื่อออกทะเลไปอาจพบอุบัติเหตุทําให้เรืออับปาง ขาจึงต้องต่อแพขึ้นมาพยายามหาทางกลับเข้า ฝั่งด้วยแพนี้

ดังนั้นหญิงสาวจึงเสนอให้ซูฉินขึ้นเรือมากับพวกตน

ทะเลนั้นเต็มไปด้วยอันตราย แม้แต่เรือประมงขนาดใหญ่เท่ากับของนางก็ยังจมอยู่ก้นทะเลได้ นับประสาอะไรก็แพที่ซูฉินเหยียบอยู่?

เกรงว่าคลื่นซัดมา แพก็คงจมหายไปแล้ว

และถ้าไม่มีแพ แม้ว่าซูฉินจะไม่จมลงไปในน้ําแต่ไม่ช้าก็เร็วคงต้องตกลงไปอยู่ในท้องของสัตว์ทะเลสักตัว

“ไม่เป็นไร”

ซูฉินโบกมือ ไม่ได้พูดอะไรมาก

“ไม่เป็นไร?” หญิงสาวเบิกตากว้างอย่างไม่อยากเชื่อ

“อาตั๋ว ในเมื่อเขาต้องการอยู่เป็นอาหารสัตว์ทะเลพวกเราก็ปล่อยเขาไปเถอะ” ชายหนุ่มคนหนึ่งเดินเข้ามาเหลือบมองมาทางซูฉินจากบนเรือแล้วจึงกล่าวคํา

เจ้าเมืองอินจี่ตายแล้ว!

ราชาปีศาจภายในเมืองเมฆาปีศาจต่างชําเลืองมองกันเองทุกคนต่างตกตะลึง

เจ้าเมืองอินจี้คือใคร? เขาคือทรราชผู้ครองดินแดนในรัศมีล้านนี้และได้เข้าสู่ขอบเขตราชาปีศาจระดับสูงตั้งแต่ เมื่อสองร้อยปีที่แล้ว

และเมื่อกว่าสองร้อยปีก่อน เจ้าเมืองอินจี้ยังได้ไปยังส่วนลึกของโลกเพื่อเข้าคารวะเทพเจ้าปีศาจและได้รับของขวัญมาจากเทพเจ้าปีศาจอีกด้วย

เป็นเรื่องเหลือเชื่อที่ชายผู้แข็งแกร่งเช่นนี้มาตกตายด้วยน้ํามือของซูฉิน

“นายท่าน…………”

ราชาปีศาจหลายตน ก้มศีรษะลงอย่างนอบน้อม

ก่อนหน้านี้ซูฉินกดขี่พวกมันด้วยจิตมาร แม้ว่าราชาปีศาจเหล่านี้จะเชื่อฟังคําสั่ง แต่ก็ยังมีความคับแค้นภายในใจอยู่

แต่ยามนี้ เจ้าเมืองอินจี้ที่ราวกับภูเขาสูงใหญ่ในสายตาพวกมันได้ตกตายด้วยน้ํามือของซูฉิน ราชาปีศาจเหล่านี้จึงยอมจํานนอย่างสมบูรณ์

ในโลกถ้ําปิศาจนั้นเคารพผู้ที่แข็งแกร่งกว่าเสมอเมื่อซูฉินมีความแข็งแกร่งมากมายเพียงนี้ ย่อมไม่มีเผ่าพันธุ์ปีศาจตนใดกล้าคิดแค้นเป็นอริศัตรู

ซูฉินเพิกเฉยต่อการนอบน้อมของเหล่าราชาปีศาจเขาหันมองออกไปนอกเมืองเมฆาปีศาจ

ในขณะนี้ ภายใต้ทิพยอํานาจ “เรียกลมเรียกฝน” กองทัพจักรกลของเผ่าปีศาจนับล้านแทบจะสลายหายไปหมดแล้ว

เมื่อเห็นเช่นนั้นซูฉินก็สั่งการด้วยจิตจากนั้นทิพยอํานาจ“เรียกลมเรียกฝน”ก็ค่อยๆหายไป

“มันกินแก่นแท้แห่งมารไปเกือบหนึ่งส่วน…”

จิตใจของซูฉินดําดิ่งอยู่ในภวังค์

ทิพยอํานาจแบ่งออกเป็นสองประเภทหนึ่งคือประเภทเรียกใช้และอีกประเภทคือทักษะติดตัว

ประเภทแรกกินพลังงาน ส่วนประเภทหลังไม่ต้องจ่ายพลังงานแต่อย่างใด

ตัวอย่างเช่น ดวงตาแห่งสัจจะเป็นทิพยอํานาจเป็นประเภททักษะติดตัวตราบใดที่ซูฉินต้องการเขาสามารถใช้ดวงตาแห่งสัจจะได้สิบสองชั่วโมงต่อวัน

ส่วน “เรียกลมเรียกฝน” นั้นกินพลังงานประเภทนี้ส่วนใหญ่จะใช้แก่นแท้แห่งพลัง บางครั้งก็ใช้จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์หรือใช้ทั้งคู่ประกอบกัน

“โอ้?”

ซูฉันเลิกคิ้วขึ้น เหมือนกับค้นพบบางสิ่งมองไปยังจุดที่เจ้าเมืองอินจีสลายหายไป

ช่วงเวลาต่อมา

กําไลข้อมือสีดําก็ลอยมาอยู่เบื้องหน้าซูฉิน

“นี่คือ?”

ซูฉินมองไปที่กําไลข้อมือสีดําอันนี้ ใบหน้าดูครุ่นคิด

กําไลข้อมือสีดําวงนี้ มันให้ความรู้สึกคล้ายคลึงกับมีดเทพเจ้าปีศาจ

แน่นอนว่ามันก็เป็นเพียงความรู้สึกกลิ่นอายของกําไลข้อมือสีดํานั้นด้อยกว่ามีดเทพเจ้าปีศาจมากคล้ายกับของที่ยังไม่สมบูรณ์

“เป็นอุปกรณ์ของเทพเจ้าปีศาจ?”

ซูฉินแตะปลายคางคาดเดาภายในใจ

นอกจากนี้ซูฉินยังรู้สึกได้ถึงไอพลังเดียวกับของกองทัพจักรกลปีศาจทั้งสิบล้านอยู่บนตัวกําไลข้อมือสีดําสนิทนี้ด้วย

“น่าสนใจ”

ซูฉินตรวจสอบกําไลข้อมือซ้ําหลายครั้งจนแน่ใจแล้วว่าไม่มีใครแสดงความเป็นเจ้าของมันเอาไว้เขาจึงเก็บมันไปพร้อมเดินกลับไปยังส่วนลึกของโถงใหญ่ใจกลางเมือง

“นายท่าน..”

ร่องรอยความผิดหวังปรากฏขึ้นบนใบหน้าของโม่จีซูฉินไม่ได้ชายตาแลตัวนางเลยตั้งแต่ปรากฏตัวออกมาจนกระทั่งจากไปสิ่งนี้ทําให้โม่จีสงสัยว่านางทําอะไรผิดไปหรือเปล่า

ในตอนนั้นเอง

เสียงอันสงบนิ่งก็ลอยเข้ามาในหูของโม่จี

“เจ้าก็ตามเข้ามาด้วย”

“เจ้าค่ะ นายท่าน” ดวงตาของโม่จีเป็นประกายนางรีบสาวเท้าอย่างรวดเร็วตามไปยังโถงใหญ่ภายในเมืองทันที

และในยามนี้

ข่าวการล่มสลายของเจ้าเมืองอินจี้ก็แพร่กระจายออกไปทั่วทุกสารทิศอย่างรวดเร็วดุจสายฟ้าฟาด

เจ้าเมืองอินจี้เป็นบุรุษที่ทุกคนรู้กันดีว่าแข็งแกร่งในรัศมีหนึ่งล้านนี้เป็นธรรมดาที่จะเขาดึงดูดความสนใจได้เป็นจํานวนมากโดยเฉพาะศัตรูเก่าแก่

ในโลกถ้ําปีศาจ ยกเว้นไว้แต่ส่วนลึกของโลก ราชาปีศาจระดับสูงยังถือว่าเป็นตัวตนที่หายากในหลายพื้นที่และหาได้ยากยิ่งกว่าที่ราชาปีศาจระดับสูงจะต่อสู้กันถึงแก่ชีวิต

นอกจากนี้ซูฉินยังไม่ได้ปิดบังการต่อสู้ระหว่างตนกับเจ้าเมืองอินจี้กลับลงมือต่อหน้าผู้คนมากมายในเมืองเมฆาปีศาจ

ดังนั้น เพียงไม่นานหลังจากที่เจ้าเมืองอินจี่ตายไปข่าวนี้ก็ล่วงรู้ถึงหูเจ้าเมืองใหญ่คนอื่นๆ เรียบร้อย

“เจ้าเมืองคนใหม่ของเมืองเมฆาปีศาจจะแข็งแกร่งปานนั้นได้เยี่ยงไรไร้เหตุผลสิ้นดี เจ้าเมืองอินจี้เข้าสู่ขอบเขตราชาปีศาจระดับสูงมานานกว่าสองร้อยปีแล้วไม่ใช่หรือ?”

มีร่างหนึ่งสวมชุดคลุมสีดําผืนใหญ่ ร่างของมันสูงชะลูดปกคลุมไปด้วยไปด้วยความมืดมิดทั่วทั้งตัว กําลังทําหน้างนงงอยู่

“ท่านเจ้าเมือง มีข่าวลือมากมายในตอนนี้บอกว่าเจ้าเมืองเมฆาปีศาจคนใหม่ออกมาพร้อมกับพายุและฝนห่าใหญ่เจ้าเมืองอินจี้และราชาปีศาจในอาณัติมากกว่าสิบตนถูกทําลายภายใต้สายลมและหยาดฝนกลุ่มนี้”

ปีศาจตัวอ้วนที่อยู่ด้านข้างเป็นผู้พูด

“ถูกทําลายภายใต้สายลมและหยาดฝน?” ร่างสูงใหญ่ในชุดคลุมสีดําส่ายหัวเล็กน้อยอย่างไม่เชื่อถือ

แม้เขาจะรู้สึกว่าข่าวลือนั้นเหลือเชื่อเกินไปสายลมและหยาดฝนประเภทใดกันที่สามารถสังหารราชาปีศาจระดับสูงได้?

“อย่างไรก็ตาม การตายของเจ้าเมืองอินจี้เป็นความจริงและเจ้าเมืองเมฆาปีศาจคนใหม่นี้เป็นไปได้ก็อย่าไม่ไปยั่วยุมันเด็ดขาด”

ร่างสูงในชุดคลุมสีดําตัวใหญ่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงออกคําสั่ง

เขาไม่สนใจว่าจะเกิดอะไรขึ้นในช่วงเวลานั้นแต่เนื่องจากเจ้าเมืองเมฆาปีศาจคนใหม่สามารถสังหารเจ้าเมืองอินจีได้แสดงให้เห็นว่ามันแข็งแกร่งยิ่งกว่าคู่ต่อสู้

เจ้าเมืองอินจี้เป็นราชาปีศาจระดับสูงมานานกว่าสองร้อยปีแล้วแต่เจ้าเมืองเมฆาปีศาจคนใหม่ก็ยังรั้งเอาไว้ได้แสดงให้เห็นว่าอีกฝ่ายอยู่ไม่ไกลจากขอบเขตราชาปีศาจขั้นสูงสุดแล้ว

หรือเจ้าเมืองเมฆาปีศาจคนใหม่อาจจะเป็นขั้นสูงสุดของขอบเขตราชาปีศาจก็เป็นได้

การเป็นราชาปีศาจขั้นสูงสุดเพียงพอที่จะออกเดินทางไปตามดินแดนต่างๆ แม้แต่ราชาปีศาจระดับสูงก็ยังเต็มใจจะอยู่ใต้อาณัติซึ่งไกลเกินกว่าพวกเขาจะเทียบได้

มีเพียงสิ่งนี้ที่อธิบายได้ว่าทําไมเจ้าเมืองอินจี้จึงทําไม่ได้แม้แต่จะหลบหนี ทั้งยังสิ้นชีพลงอย่างสมบูรณ์

รู้หรือไม่ว่าการเอาชนะราชาปีศาจระดับสูงนั้นไม่ยากแต่หากต้องการจะสังหารราชาปีศาจระดับสูงนั้นกลับยากเย็นราวกับเอื้อมให้ถึงท้องฟ้า

ไม่มีปีศาจตนใดที่สามารถไปถึงขอบเขตราชาปีศาจระดับสูงแล้วยังเป็นตัวโง่งม เมื่อรู้ว่าไม่สามารถเอาชนะได้พวกมันย่อมต้องหนีอย่างแน่นอน

และหากราชาปีศาจระดับสูงตั้งใจจะหนีเอาชีวิตรอดเว้นแต่จะมีความห่างชั้นที่มากเกินไป อย่างไรก็สามารถมีชีวิตอ ยู่ต่อไปได้

“ขอรับ” ปีศาจอ้วนโค้งคํานับ

และในเมืองใหญ่อื่นๆ เหล่าราชาปีศาจต่างอยู่ในอาการเคร่งขรึมจริงจัง

“เจ้าเมืองอินจีนั้นข้าเคยพบเขามาแล้วความแข็งแกร่งของเขานั้นยอดเยี่ยมมาก และคาดว่าจะเข้าสู่ขอบเขตราชาปีศาจขั้นสูงสุดได้ภายในร้อยปี”

“น่าเสียดายที่ต้องมาจบชีวิตด้วยน้ํามือของเจ้าเมืองเมฆาปีศาจคนใหม่ เจ้ารู้หรือไม่ว่าเจ้าเมืองเมฆาปีศาจคนใหม่คือใคร?”

“ไม่แน่ใจเลย ข้าไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อน”

ปีศาจที่มีกลิ่นอายถึงขอบเขตราชาปีศาจต่างมาพูดคุยกันจู่ๆ ก็มีผู้แข็งแกร่งในระดับเดียวกันปรากฏตัวขึ้น เป็นธรรมดาที่จะสงสัยใคร่รู้

“บางที หลังจากนี้ข้าคงต้องหาเวลาไปเยี่ยมเยียนเจ้าเมืองเมฆาปีศาจคนใหม่เสียแล้ว?”

หนึ่งในราชาปีศาจกระซิบคํา แน่นอนว่าการเยี่ยมเยียนในที่นี้ไม่ได้หมายถึงการยั่วยุถึงหน้าประตูเมืองแต่เป็นการเยี่ยมเยียนตามปกติ

“ในดินแดนปีศาจของข้า จู่ๆก็มีบุคคลผู้แข็งแกร่งที่มีโอกาสเป็นถึงราชาปีศาจขั้นสูงสุดโผล่ขึ้นมาหรือนี้อาจจะเป็นการวางหมากอย่างลับๆของดินแดนใหญ่แห่งอื่นก็เป็นได้”

“ดูเหมือนว่าจะต้องแจ้งจ้าวดินแดนโม่ฮว่าให้ทราบเรื่องนี้เสียแล้ว”

บนหน้าผาสูงชันมีปีศาจที่ใบหน้ารางเลื่อนบ่นพึมพําอยู่กับตนเอง

แม้ว่าปีศาจใบหน้ารางเลื่อนผู้นี้จะไม่ได้แผ่ไอพลังใดๆออกมาแต่ปราณปีศาจฟ้าดินซึ่งปกติจะผันผวนรุนแรงกลับสงบนิ่งเชื่องเชื่ออย่างยิ่งเมื่ออยู่ต่อหน้าปีศาจตนนี้

ขณะที่ภายนอกกําลังปั่นป่วนพูดคุยกันว่าจะต้องนําซูฉินเข้าไปอยู่ในรายการของผู้ที่ไม่ควรยั่วยุ

ซูฉินได้กลับเข้ามายังส่วนลึกของโถงใหญ่ใจกลางเมือง

ต้นไม้โบราณแกว่งไกวไปมา ปราณปีศาจจํานวนมากมารวมตัวกันและหลั่งไหลเข้าสู่ร่างกายของซูฉินอย่างต่อเนื่อง

“น่าเสียดายนัก”

“ที่ไม่สามารถลงชื่อเข้าใช้ที่นี่ได้อีกต่อไป”

“มิเช่นนั้นมันจะเป็นขุมสมบัติชั้นยอดสําหรับการฝึกฝนเลยทีเดียว”

ซูฉินถอนหายใจเบาๆ

ต้นไม้โบราณต้นนี้เป็นกิ่งก้านสาขาของต้นไม้ปีศาจโบราณที่แท้จริง มีความสามารถในการช่วยควบรวมป ราณปีศาจตามธรรมชาติไม่ว่าปีศาจตนใดที่มา บ่มเพาะใต้ร่มไม้โบราณนี้ จะได้รับผลเป็นสองเท่าโดยใช้ความพยายามแค่ครึ่งเดียวเท่านั้น

และนี่ก็เป็นเหตุผลว่าเหตุใดจึงมีราชาปีศาจอยู่ในทุกๆเมืองใหญ่

สมัยก่อน เทพเจ้าปีศาจในส่วนลึกของโลกได้กระจายกิ่งก้านของต้นไม้ปีศาจโบราณไปยังสถานที่ต่างๆภายในโลกถ้ําปีศาจโดยตั้งกิ่งไม้เป็นแกนหลักและสร้างเมืองใหญ่มากมายในโลกถ้ําปิศาจ

ขณะที่ซูฉินกําลังคิดเรื่องนี้อยู่

โม่จีก็เดินเข้ามาด้วยความเคารพ

“นายท่าน” โม่จีลังเลเล็กน้อยและในที่สุดก็กัดฟันกล่าวคําออกมา “นายท่านได้สังหารเจ้าเมืองอินจี มันจะต้องดึงดูดความสนใจของจ้าวดินแดนอย่างแน่นอน ”

“จ้าวดินแดน?” ซูฉินขมวดคิ้ว

“มิผิด” โม่จีกล่าวคําอย่างรวดเร็ว “แน่นอนว่านายท่านไม่ต้องกังวลจ้าวดินแดนเป็นตัวตนเช่นไร? อีกครึ่งก้าวก็ จะออกจากขอบเขตราชาปีศาจแล้วสําหรับจ้าวดินแดนนั้น ไม่ต้องกล่าวถึงการตายของเจ้าเมืองอินจี้ แม้ว่าจะมีเจ้าเมืองตายไปนับแสนเขาก็จะไม่เคลื่อนไหว”

ซูฉินฟังอยู่พักใหญ่ก็พอเข้าใจคร่าวๆ ว่าตัวตนของจ้าวดินแดนภายในโลกถ้ําปีศาจคือสิ่งใด

ในโลกถ้ําปิศาจ นอกเหนือจากส่วนลึกของโลกแล้วทุกๆรัศมีสิบล้านจะนับเป็นดินแดนใหญ่

ไม่ว่าจะเป็นเมืองเมฆาปีศาจหรือเมืองอินจี้ก็ล้วนอยู่ภายในดินแดนโม่ฮว่าทั้งนั้น

ส่วนจ้าวดินแดนโม่ฮว่า

คือผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในดินแดนโม่ฮว่าทั้งหมด

เกือบจะหลุดพ้นออกจากขอบเขตราชาปีศาจแล้ว

“เกือบจะหลุดพ้นจากขอบเขตราชาปีศาจ?”

“ครึ่งก้าวสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพี?”

ซูฉันคิดอยู่ครู่หนึ่ง แต่ไม่ได้คิดเป็นจริงเป็นจังจนเกินไป

ตราบใดที่จ้าวดินแดนโม่ฮว่ายังไม่เลยขอบเขตราชาปีศาจอย่างสมบูรณ์ ซูฉินก็ไม่ได้สนใจอะไรมาก และเขาเองก็มี ไฟลับมากมายในมือโดยเฉพาะตอนนี้อาณาเขตก็ได้ควบแน่ นสําเร็จแล้วแม้จะได้เผชิญหน้ากับจ้าวดินแดนโม่ฮว่าจริงๆก็มีความมั่นใจว่าสามารถต่อต้านได้

“เอาล่ะ”

“ข้ามีเรื่องบางอย่างที่จะต้องแจ้ง”

ซูฉินมองไปที่โม่จีและกล่าวคําออกมาเบาๆ

“นายท่าน พูดมาได้เลย” นางรีบกล่าวตอบทันที

“ข้าจะออกจากเมืองเมฆาปีศาจไปยังเมืองอินจ์” ซูฉินกล่าวออกอย่างไม่ลีลา

เนื่องจากไม่สามารถลงชื่อเข้าใช้ที่เมืองเมฆาปีศาจได้อีกต่อไป ซูฉินจึงต้องไปที่อื่น บังเอิญว่าเจ้าเมืองอินจี้ได้ตกตายภายใต้น้ํามือเขาไปแล้วดังนั้นเขาจึงเลือกที่จะไปยังเมืองอินจี้

อย่างไรเสีย เมืองใหญ่ๆภายในโลกถ้ําปิศาจล้วนมีกิ่งก้านของต้นไม้ปีศาจโบราณ

หลังจากที่ซูฉิน กอบโกย จากกิ่งก้านต้นไม้ปีศาจโบราณ ภายในเมืองเมฆาปีศาจจนเกลี้ยงแล้ว เขา ก็ย่อมเปลี่ยนไปกอบโกย” ที่อื่นแทน

“อะไรนะ?”

โม่จีเบิกตากว้างไม่อยากจะเชื่อสิ่งที่ได้ยิน

นางนึกไม่ถึงว่าซุฉินกําลังจะออกจากเมืองเมฆาปีศาจไป

“ข้าจะมอบทางเลือกให้เจ้าสองทาง” ซูฉินเหลือบมองโม่จีแล้วจึงพูดต่อ“หนึ่งคือการอยู่ในเมืองเมฆาปีศาจต่อไปเจ้าสามารถเป็นรองเจ้าเมืองต่อไปได้”

“นายท่านอยู่ที่ไหน โม่จีก็จะอยู่ที่นั่น นายทานอย่าได้ทอดทิ้งโมจี”นัยน์ตาของโม่จีรื้นแดงมัวไปด้วยคราบน้ําตานางสะอื้นไห้

แน่นอนโม่จีรู้ดีว่าเหตุผลที่นางเป็นรองเจ้าเมืองเมฆาปีศาจได้นั้นทั้งหมดเป็นเพราะมีซูฉันยืนอยู่เบื้องหลัง

“ถ้าอย่างนั้นก็ตามข้ามา” ซูฉินพิจารณาอย่างถี่ถ้วนแล้วจึงกล่าวคํา

สําหรับซูฉิน แม้ว่าโม่จีจะไม่ได้แข็งแกร่งมากนักแต่อย่างน้อยระหว่างที่เขาปิดด่านฝึกตนก็ยังสามารถจัดการเมืองเมฆาปีศาจได้อย่างเป็นระบบระเบียบ

อย่างน้อยก็สามารถปิดด่านได้ครู่หนึ่งไม่ต้องกังวลว่าจะต้องถูกรบกวนจนออกจากด่านฝึกตน

และการที่ซูฉินไปยังเมืองอินจีครานี้ คาดว่าเขาก็ยังคงต้องปิดด่านฝึกตนต่อไปยามนี้หากมีผู้ช่วยอย่างโม่จีคอยดูแลเรื่องจุกจิกทั้งหลายภายในเมืองอินจีให้ก็คงจะช่วยเขา ประหยัดแรงไปได้เยอะ

ในเวลาเดียวกัน

ใต้เมืองฉางอัน

ภายในโถงพระราชวังอันสูงตระหง่านใต้ดิน

ซูฉินพลันลืมตาขึ้น มองไปยังทิศทางหนึ่ง

“นั่นคือ?!”

 

Sign in Buddha’s palm 205 เจ้าเมืองอินจี๋ผู้สิ้นหวัง

 

นอกเมืองเมฆาปีศาจ

 

ทันทีที่มังกรดําขนาดมหึมาทั้งเก้าก่อตัวขึ้น พวกมันก็คํารามไปทั่วฟากฟ้า คลื่นเสียงสะท้อนไปมาราวกับมีแผ่นฟ้าให้สะท้อนไปถึงเก้าชั้น แผ่คลุมไปทั่วทั้งสนามรบในพริบตา 

 

“นั่นมันคืออะไร?”

 

ด้านข้างเจ้าเมืองอินจี๋ ราชาปีศาจมากกว่าสิบตนเต็มไปด้วยความสงสัย พวกเขามองไปยังมังกรดําทั้งเก้าตัวที่อยู่เหนือฟากฟ้าแล้วจึงส่งเสียงพูดคุยกัน

 

“มันอาจจะเป็นฝีมือของเจ้าเมืองเมฆาปีศาจคนใหม่ก็ได้?”

 

มีราชาปีศาจบางตนคาดเดาขึ้นมา

 

ในระดับของพวกเขานั้นเป็นธรรมดาที่จะไม่หวาดกลัวต่อมังกรดําที่ก่อตัวขึ้นมาจากสายลม

 

แม้แต่ในส่วนลึกของโลกนี้ก็ไม่มีมังกรดําที่แท้จริงอยู่ อย่างมากสุดก็เป็นเพียงสัตว์ที่สืบเชื้อสายมาจากมังกรน้ำ

 

“มันกินพื้นที่ใหญ่เพียงนี้เชียวหรือ?”

 

เจ้าเมืองอินจี๋ขมวดคิ้วเล็กน้อย

 

ขนาดตัวของมังกรดําทั้งเก้านั้นใหญ่มาก เกือบจะครอบคลุมกองทัพจักรกลของเผ่าปีศาจทั้งสิบล้านตัวได้เลย

 

อย่างไรก็ตาม

 

ขณะที่เจ้าเมืองอินจี๋กําลังคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้

 

มังกรดําทั้งเก้าตัวที่อยู่เหนือฟากฟ้าก็บินโฉบลงมา

 

ฟู่วว!!

 

เห็นเป็นลมสีดําพัดมาอย่างเชื่องช้า ราวกับสายลมจากฤดูใบไม้ผลิ

 

“นี่คือ?”

 

ใบหน้าของเจ้าเมืองเปลี่ยนไปอย่างฉับพลัน และรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าภายใต้ลมกระโชกสีดํานี้ ทั้งจิตมาร แก่นแท้ปราณปีศาจ และร่างกายเริ่มค่อยๆ สลายไปที่ละนิด

 

ขนาดเจ้าเมืองอินจี๋ยังรู้สึกเช่นนี้ ไม่ต้องกล่าวถึงราชาปีศาจทั้งหลายที่อยู่เคียงข้างเลย

 

เหล่าราชาปีศาจทั้งสิบกว่าตนต่างหวาดกลัวเมื่ออยู่ภายใต้สายลมสีดํา มันพัดทําลายกายเนื้อ แก่นแท้ปราณปีศาจและจิตมารอย่างรวดเร็ว

 

“สิ่งนี้มันคืออะไรกัน?”

 

“บ้าเอ้ย รีบหนีเร็ว!”

 

ราชาปีศาจต่างหวาดกลัวและโกรธจัด พวกเขาพยายามใช้ทุกวิถีทาง แต่อย่างมากที่สุดก็ทําได้เพียงชะลอความเร็วจากการถูกทําลายเท่านั้น

 

“ลุกขึ้นมา!”

 

ในเวลานี้ เจ้าเมืองอินจี๋ก็หยิบอัญมณีสีดําที่มีรูปร่างเหมือนกับหัวใจออกมา อัญมณีสีดําอันนี้เปล่งประกายเจิดจรัสขึ้นในทันที ห่อหุ้มทุกคนเอาไว้

 

ฉับพลัน

 

สายลมสีดําก็ถูกต้านไว้นอกแสงสีดํา

 

“มันเป็นไปได้อย่างไรกัน?”

 

ท่าทีของเจ้าเมืองอินไม่ได้หวั่นไหว แต่ใจหวั่นอย่างที่สุด 

 

เขาเข้าสู่ขอบเขตราชาปีศาจระดับสูงมานานกว่าสองร้อยปีแล้ว ไม่รู้ว่าเห็นเคล็ดวิชามามากมายเท่าใด แต่ไม่เคยเห็นเคล็ดวิชาอะไรแบบนี้มาก่อน อาศัยเพียงแค่กระแสลมสีดําก็ทําให้เกิดพลังอันยิ่งใหญ่ได้เช่นนี้

 

“โชคดีที่มีชิ้นส่วนหัวใจปีศาจ ไม่เช่นนั้นจะต้องลําบากอย่างแน่นอน”

 

เจ้าเมืองอินจี๋ถอนหายใจด้วยความโล่งอกและพลันสังเกตเห็นว่าอัญมณีรูปหัวใจสีดําที่อยู่ในมือปรากฏรอยร้าวขึ้นมา

 

เจ้าเมืองอินจี๋เห็นสิ่งนี้ใจเขาก็ฝ่อในทันที

 

แม้จะมีรอยร้าว แต่อัญมณีรูปหัวใจสีดําก็ยังใช้ได้อยู่ เพียงว่า หากลมสีดํายังคงพัดอยู่เช่นนี้ อย่างเร็วที่สุดก็สองถึงสามชั่วโมง หัวใจปีศาจสีดํานี้จะต้องสลายกลายเป็นผุยผงอย่างสมบูรณ์

 

ใบหน้าของเจ้าเมืองอินจี๋เคร่งขรึม ขณะที่ในใจกําลังคิดว่าจะสามารถซ่อมแซมอัญมณีรูปหัวใจสีดําชิ้นนี้ได้หรือไม่

 

เสียงของราชาปีศาจที่อยู่ด้านข้างก็สั่นสะท้าน “ท่านเจ้าเมือง จักรกลสงคราม จักรกลสงคราม..”

 

คําที่กล่าวออกมา

 

เจ้าเมืองอินจี๋ก็ตกตะลึง

 

หากเป็นเวลาอื่น เจ้าเมืองอินจี๋ย่อมไม่รู้สึกกังวลเกี่ยวกับจักรกลสงคราม การที่ถูกกองทัพจักรกลปีศาจล้อมเอาไว้ไม่ต้องกล่าวถึงราชาปีศาจระดับสูงเลย แม้แต่ราชาปีศาจระดับสูงสุดก็ไม่อาจจะทําอะไรได้

 

แต่ยามนี้ หลังจากที่ได้เห็นความแปลกประหลาดของลมสีดํา ใจของเจ้าเมืองอินจี๋ก็รู้สึกหนาวเหน็บ

 

ช่วงเวลาต่อมา

 

เจ้าเมืองอินจได้ใช้จิตมารกวาดผ่านไปทั่วบริเวณ และเห็นฉากที่จะไม่มีวันลืม

 

เขาเห็นว่าภายในกระแสลมสีดําอันไร้ที่สิ้นสุด กองทัพจักรกลปีศาจจํานวนนับไม่ถ้วนกําลังสลายกลายเป็นอากาศธาตุอย่างรวดเร็ว ช่างบอบบางราวกับกระดาษ

 

ในช่วงเวลานั้น กองทัพจักรกลปีศาจก็ระเบิดพลังแสงสีดําออกมา พยายามจะครอบคลุมกลุ่มจักรกลสงครามเพื่อสลายพลังจากลมสีดําทิ้งไป

 

แต่น่าเสียดาย

ลมสีดําไม่ได้ปกคลุมจักรสงครามกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง แต่เป็นกองทัพจักรกลปีศาจทั้งหมด

 

สุดท้ายมันก็จะกระจายไปยังจักรกลปีศาจตัวอื่นๆ อยู่ดี ซึ่งเท่ากับเป็นการกระทําที่ไร้ประโยชน์

 

ในที่สุด

 

เวลาเพียงชั่วครู่ กองทัพจักรกลปีศาจอย่างน้อยๆ ก็สองล้านตัว แปรสภาพกลายเป็นอากาศธาตุด้วยเคล็ด “เรียกสายลม”

 

ด้านบนเมืองเมฆาปีศาจ

 

ปีศาจทั้งหมดต่างตกตะลึง

 

รวมถึงโม๋จี ทั้งหมดมองไปยังพื้นที่เบื้องล่างด้วยท่าทางไม่อยากจะเชื่อ

 

พวกเขาไม่เคยคิดฝันว่ากองทัพจักรกลปีศาจนับสิบล้านตัวที่สามารถบุกถล่มเมืองเมฆาปีศาจได้อย่างง่ายดาย เมื่อมาเจอกับซูฉิน พวกมันกลับเปราะบางมาก เพียงคําพูดเพียงสองคําก็ทําให้ทั้งกองทัพต้องพ่ายแพ้

 

“นายท่าน………….”

 

โม๋จีเงยหน้าขึ้นและมองไปที่ซุฉินด้วยความหวั่นกลัว

 

ในตอนนี้ดวงตาของซูฉินสงบนิ่ง มองไปด้านนอกเมืองเมฆาปีศาจด้วยท่าที่สบายๆ

 

ตั้งแต่ที่ได้รับทิพยอํานาจ “เรียกลมเรียกฝน” มา ซูฉินก็ไม่ได้ใช้มันออกมาอีกเลย เพราะพลังของทิพยอํานาจนี้สร้างผลกระทบขนาดใหญ่เกินไป หากนําไปใช้บนโลกมนุษย์ จะต้องมีสิ่งมีชีวิตมากมายเดือดร้อนหรือตกตายเป็นแน่

 

แต่ภายในโลกถ้ำปีศาจ ซูฉินไม่สนใจเรื่องเหล่านั้น

 

แม้ว่าซูฉินจะมีพลังปีศาจอยู่ภายในร่างตอนนี้ ไม่ต่างไปจากปีศาจจริงๆ แต่เขาไม่เคยคิดว่าตนเป็นเผ่าปีศาจ

 

“ท่านเจ้าเมือง เราควรทําเช่นไรดี?”

 

ในตอนนี้ ราชาปีศาจนับสิบที่อยู่เคียงข้างเจ้าเมืองอินจี๋ต่างหน้าถอดสี ตัวสั่นไปทั่วทั้งตัว

 

แม้ว่าตอนนี้พวกเขาจะอยู่ภายใต้การคุ้มครองของเจ้าเมืองอินจี๋ ทําให้ปลอดภัยเป็นการชั่วคราว แต่ราชาปีศาจเหล่านี้ก็ยังคงหวาดกลัว

 

พวกเขากังวลว่าหลังจากพายุสีดําได้คร่าสังหารกองทัพจักรกลปีศาจทั้งสิบล้านไปแล้ว มันจะทําทุกทางเพื่อจัดการกับพวกเขาเป็นรายต่อไป

 

“จะทําอย่างไร?”

 

เจ้าเมืองอินจิ้มองกองทัพจักรกลปีศาจทั้งสิบล้านซึ่งกําลังสลายไปด้วยความเร็วที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่า ภายในใจของเขาก็เหมือนถูกกรีดแทงจนเลือดอาบ

 

“ข้าต้องไปฆ่ามัน!”

 

เจ้าเมืองอินจี๋กล่าวเน้นคํา

 

“อะไรนะ?” ราชาปีศาจทั้งหลายต่างตกใจ

 

“โง่เขลา!”

 

เจ้าเมืองอินจี๋เหลือบมองราชาปีศาจและกล่าวออกมาอย่างเย็นชา “พายุสีดํานี้สามารถพัดทุกสิ่งให้สลายไปได้ แม้แต่จักรกลสงครามยังถูกทําลาย เจ้าคิดว่าเจ้าเมืองเมฆาปีศาจคนใหม่ต้องจ่ายออกไปมากเท่าไหร่เพื่อทําเช่นนั้น?”

 

เมื่อกล่าวเช่นนี้ เจ้าเมืองอินจี๋ก็มองดูเมืองเมฆาปีศาจจากระยะไกล “เพื่อรักษาการโจมตีนี้เอาไว้ มันจะต้องเสียพลังงานไปอย่างมิอาจหลีกเลี่ยง ในเวลานี้พละกําลังของมันจะต้องร่อยหรอเป็นแน่ ถ้าข้าลงมือในตอนนี้ ข้ามั่นใจว่าจะต้องสังหารมันได้”

 

“ตราบใดที่เจ้าเมืองเมฆาปีศาจคนใหม่ตาย พายุสีดํานี่ก็ย่อมสลายไปตามธรรมชาติ”

 

เมื่อเจ้าเมืองอินจี๋พูดจบ

 

ราชาปีศาจมากกว่าโหลก็มองหน้ากัน ทันใดนั้นพวกมันก็รู้สึกว่าคํากล่าวนี้สมเหตุสมผลมาก

 

“ท่านเจ้าเมือง ท่านจะให้พวกเราทําอะไรบ้าง?”

 

ราชาปีศาจตนหนึ่งถามอย่างระมัดระวัง

 

“งานง่ายๆ” เจ้าเมืองอินจี๋กล่าวด้วยน้ำเสียงอันหนักแน่น “ข้าจะพยายามบุกเข้าไปภายในเมืองเมฆาปีศาจ พวกเจ้าเมืองแค่ต้องขัดขวางค่ายกลภายในเมืองเมฆาปีศาจก็เท่านั้น”

 

“ไม่ต้องกังวล มันจะใช้เวลาเพียงไม่นาน แค่ไม่กี่นาทีเท่านั้น”

 

เจ้าเมืองอินจี๋เปิดปากพูดออกมา

 

เขาต้องใช้ความพยายามอย่างเต็มที่เพื่อสังหารซูฉิน และไม่สามารถเบี่ยงความสนใจไปกับสิ่งอื่นได้ ดังนั้นเขาจึงปล่อยให้ราชาปีศาจกว่าสิบตนคอยต่อต้านค่ายกลที่ปกป้องเมืองเมฆาปีศาจเอาไว้

 

“ได้”

 

ราชาปีศาจกัดฟันพูด

 

แม้ว่าค่ายกลที่ปกปักเมืองเมฆาปีศาจจะน่ากลัว แต่หากร่วมมือกันคงพอจะถ่วงเวลาได้สักพัก

 

“เมื่อเป็นเช่นนั้น”

 

เจ้าเมืองอินจี๋ก็เหลือบมองอัญมณีรูปหัวใจสีดําในมือ

 

ในตอนนี้ อัญมณีสีดําได้สลายไปกว่าครึ่งแล้ว และเห็นได้ชัดว่าคงทนได้อีกไม่นาน

 

ในเวลาต่อมา

 

เจ้าเมืองอินจี๋และกลุ่มราชาปีศาจในอาณัติ จู่ๆ ก็กลายเป็นลําแสง พุ่งเข้าหาเมืองเมฆาปิศาจด้วยความเร็วที่น่าสะพรึงกลัว ฝ่าพายุสีดําไป

 

“ข้านั้นมา…”

 

“เพื่อฆ่าเจ้า!!”

 

เจ้าเมืองอินจี๋แผ่พุ่งจิตสังหารเข้ามาที่เมืองเมฆาปีศาจ บรรยากาศพลันตึงเครียด ให้ความรู้สึกกดดันอย่างไม่อาจหาสิ่งใดมาเทียบ

 

“แย่แล้ว!”

 

ใบหน้าของโม๋จีเปลี่ยนสี แม้จะมีค่ายกลมากมายที่คอยป้องกันเมืองเมฆาปีศาจอยู่ แต่นางก็ยังรู้สึกกดดันอยู่ดี

 

ต่อหน้าเจ้าเมืองอินจี๋ นางที่ไม่ได้แม้แต่จะอยู่ในขอบเขตราชาปีศาจ ไม่มีคุณสมบัติใดที่จะต่อต้าน

 

“นายท่าน……”

 

โม๋จีหันไปพูดกับซูฉิน

 

ซูฉินมองไปยังเจ้าเมืองอินจี๋ที่ส่งจิตสังหารเข้ามา ไม่ได้รู้สึกกลัวแม้แต่น้อย ท่าทีก็ไม่มีการเปลี่ยนแปลง เพียงพูดออกมาสองคําเบาๆ

 

“เรียกฝน!”

 

ในชั่วพริบตา

 

ในชั้นบรรยากาศ รัศมีหนึ่งร้อยลี้ หยาดฝนที่ดูเหมือนกับอัญมณีเม็ดใสก็ปรากฏขึ้น

 

หยาดฝนเหล่านี้เป็นสีแดงดุจเลือด เต็มไปจิตสังหารอันคละคลุ้ง

 

ซ่า!!!

 

หยาดฝนร่วงหล่นมิรู้จบ ซัดสาดเข้าใส่กองทัพจักรกลที่เหลือ ฝนแต่ละหยดเข้าหลอมละลายคู่ต่อสู้อย่างสมบูรณ์

 

หยาดฝนตกลงมาห่าใหญ่ ท่วมท้นบดบังลานสายตาไปหมด ราวกับเป็นฤดูฝนที่ฝนตกทั้งวัน

 

แกร๊ก

 

แกร๊ก

 

อัญมณีหัวใจปีศาจสีดําที่อยู่ด้านหน้าของเจ้าเมืองอินจี๋พลันแตกออกไปสองส่วน มีเพียงส่วนที่เล็กกว่าเท่านั้นที่ยังพอเปล่งแสงออกมาบ้าง ราวกับแสงเทียนริบหรี่

 

พื้นที่ที่อัญมณีสีดําคอยคุ้มกันก็ลดลงไปอย่างมาก ครอบคลุมเฉพาะเจ้าเมืองอินจี๋ สําหรับราชาปีศาจมากกว่าสิบตนพวกเขาถูก “หยาดฝน” ซัดสาดเข้าอย่างจัง

 

“อ้า!”

 

“อ๊ากกกกกก!”

 

“นี่มันอะไรกัน?”

 

ราชาปีศาจทั้งหลายต่างคร่ำครวญโหยหวน

 

แม้ว่าฝนที่ตกลงมาจากเคล็ด เรียกฝน” จะสามารถสังหารได้แค่ยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่ง ส่วนราชาปีศาจทําได้เพียงคุกคามเท่านั้น

 

แต่ในยามนี้ เม็ดฝน” ที่ตกลงมาใส่เหล่าราชาปีศาจนั้นมีมากเท่าไรกัน มากกว่าสิบล้านหยด?

 

การเพิ่มปริมาณทําให้เกิดคุณภาพที่มากขึ้น ประกอบกับเคล็ด “เรียกสายลม” อย่างต่อเนื่อง ราชาปีศาจเหล่านี้คงจะทนอยู่ได้ชั่วขณะหนึ่งก่อนที่พวกมันจะสลายหายไปอย่างสิ้นเชิง

 

“ไม่ดีแล้ว!”

 

ขนหัวของเจ้าเมืองอินจี๋ลุกชัน มองดูอัญมณีสีดําที่เพิ่งแตกออกเป็นสองชิ้นตรงหน้า

 

แม้ว่าเจ้าเมืองอินจี๋จะเป็นราชาปีศาจระดับสูง เขาก็ไม่คิดว่าจะอยู่ได้นานภายใต้ “หยาดฝน” เหล่านี้

 

“หนี!”

 

“หนีเร็ว!”

 

ในตอนนี้ เจ้าเมืองอินไม่มีความคิดที่จะสังหารซูฉินเหลืออยู่ในหัวสมองแล้ว เขาเพียงต้องการจะหลบหนีจาก “หยาดฝน” ห่าใหญ่นี่ก่อนที่หัวใจปีศาจสีดําในมือจะแตกสลายไปอย่างสมบูรณ์

 

ร่างของเจ้าเมืองอินจี๋กลายเป็นเงา กระโจนหนีออกไปอย่างรีบร้อน

 

“เจ้าเมืองอินจี๋หลบหนี?”

 

ปีศาจจํานวนมากเบิกตากว้าง

 

โม๋จีเองก็ทิ้ง นางไม่อยากจะเชื่อสิ่งที่เห็นเลย

 

“อยากจะหนี?”

 

มือขวาของซูฉินยืดออก คว้ามีดยาวรูปร่างแปลกๆ ออกมา เป็นมีดที่คล้ายเคียว ใบมีดโค้งเป็นวงดั่งดวงจันทร์

 

เห็นเป็นคมมีดสีดําสนิทราวกับหมึกพุ่งหายออกไป

 

“จะถึงแล้ว”

 

“อีกนิดเดียวก็จะถึงแล้ว”

 

เจ้าเมืองอินจี๋มองดูหัวใจปีศาจสีดําครึ่งชิ้นที่อยู่ตรงหน้าหัวใจของเขาก็ผ่อนคลายลงเล็กน้อย

 

ด้วยความเร็วของเขา จะใช้เวลาเพียงครู่เดียวในการหลบหนีออกห่างจากที่นี่ไปได้หลายร้อยลี้ และเจ้าเมืองอินจี๋ก็จะหลุดพ้นจากรัศมีของ “หยาดฝน” ห่าใหญ่นี้ในไม่ช้า

 

อย่างไรก็ตาม

 

ขณะที่รอยยิ้มของเจ้าเมืองอินจี๋กําลังเผยอออกมา

 

แกรัก

 

คมมีดสีดําก็สว่างวาบขึ้นมา

 

คมมีดสีดํานี้ทะลุผ่านม่านแสงคุ้มกันของหัวใจปีศาจได้อย่างง่ายดาย และทะลุผ่านร่างเจ้าเมืองอินจีไป

 

เพล้ง!

 

หัวใจปีศาจสีดําที่อยู่ตรงหน้าของเจ้าเมืองอินจี๋แตกสลายไปหมด

 

“เจ้าคือ ราชาปีศาจขั้นสูงสุด?”

 

ร่างของเจ้าเมืองอินจี๋หยุดลง หันมองย้อนกลับมาที่เมืองเมฆาปีศาจด้วยใบหน้าที่แสดงถึงความสิ้นหวัง ทันใดนั้น ร่างทั้งร่างก็ค่อยๆ แตกสลายหายไปอย่างเงียบๆ ท่ามกลาง “หยาดฝน” ที่ยังคงโปรยปรายลงมาไม่หยุดหย่อน

 

Sign in Buddha’s palm 203 (II) กําไลสงคราม

 

“วิญญาณยมโลก?”

 

ผู้นํานิกายใหญ่หลายคนได้ฟังดังนั้นก็มองหน้ากัน

 

ในยุทธภพต่างแดน ผู้เยี่ยมยุทธถือว่าเป็นระดับสูงสุด แต่ต่ํากว่าระดับผู้เยี่ยมยุทธก็ยังมีจอมยุทธขอบเขตตํานานยุทธที่ยอดเยี่ยมอีกมากมาย

 

วิญญาณยมโลกของนิกายเฮยหยวนก็เป็นหนึ่งในนั้น

 

กล่าวได้ว่าหน่วยวิญญาณยมโลกนั้นเป็นตํานานยุทธที่ใกล้เคียงกับผู้เยี่ยมยุทธที่สุด แม้แต่ตํานานยุทธระดับนภา ชั้นที่สองหรือชั้นที่สามต้องการจะเอาชนะวิญญาณ ยมโลกก็จําเป็นต้องอาศัยจํานวนที่เหนือกว่ามาก จึงจะเป็นไปได้

 

วิชาพื้นฐานของนิกายเฮยหยวนคือ “ร่างปีศาจลวงตา” สามารถเปลี่ยนแปลงร่างกายสลับไปมาระหว่างร่างจริงและร่างลวงตาได้ และวิญญาณยมโลกนั้นได้ฝึกฝน ‘ร่างปีศาจลวงตา’ จนเชี่ยวชาญแล้ว ตํานานยุทธธรรมดาๆ ไม่สามารถสัมผัสวิญญาณยมโลกได้เลย นับประสาอะไรกับการเอาชนะคน เหล่านี้

 

“ข้าจะส่งตํานานยุทธจากนิกายเรา ไปยังพื้นที่พิพาทพร้อมกับวิญญาณยมโลกจากนิกายเฮยหยวนด้วย”

 

ผู้นํานิกายใหญ่หลายคนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะกล่าวออกมา

 

“ข้าต้องการจะรู้นัก ว่าใครที่กล้าสั่งสอนลูกศิษย์ของข้า” แสงสว่างวาบฉายผ่านดวงตาของผู้นํานิกายเฮยหยวน

 

รอยยิ้มเย็นเยียบก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเจ้าตําหนักเทพเจ้าหิมะ และคนอื่นๆ

 

ในยุทธภพดินแดนโพ้นทะเลแห่งนี้ นิกายใหญ่ถือว่าเป็นผู้ปกครองไปทั่วปฐพี มีคนมากมายเข้าร่วมขุมอํานาจของพวกเขา ไม่ต้องกล่าวถึงในพื้นที่พิพาทนั่นเลย ต่อให้เป็นคนในดินแดนโพ้นทะเลเอง จะมีสักกี่คนเชียวที่จะหยุดพวกเขาได้

 

….

 

โลกถ้ําปีศาจ

 

ท้องฟ้าหมองหม่น

 

เจ้าเมืองอินจี๋และราชาปีศาจมากกว่าสิบตนกําลังมุ่งหน้าไปยังเมืองเมฆาปีศาจ

 

“ท่านเจ้าเมือง”

 

ในเวลานั้น ราชาปีศาจอดที่จะกล่าวขึ้นมาไม่ได้ “พวกเราจะจัดการกับราชาปีศาจระดับสูงในเมืองเมฆาปีศาจจริงๆ หรือ?”

 

“โอ้?”

 

เจ้าเมืองอินจี้หยุดฝีเท้า หันกลับมา เหลือบตามองอีกฝ่าย “เจ้าไม่เชื่อมั่นในความแข็งแกร่งของข้าหรือ?”

 

“แน่นอนว่ามิใช่!”

 

ใบหน้าของราชาปีศาจตนนั้นซีดเซียว “เพียงแต่ว่ามีค่ายกลชั้นยอดมากมายที่ปกป้องเมืองเมฆาปีศาจเอาไว้ แม้ท่านเจ้าเมืองจะแข็งแกร่ง แต่ถ้าอีกฝ่ายซ่อนตัวอยู่ภายในเมืองคอยจัดแจงค่ายกลอยู่ด้านใน ข้าคิดว่าเราคงหาทางเข้าไปไม่ง่ายดายนักมิใช่หรือ?”

 

คําที่กล่าวออกมา

 

ราชาปีศาจอีกนับสิบพยักหน้าเห็นด้วยอย่างลับๆ

 

ถึงเจ้าเมืองอินจี๋จะเข้าสู่ขอบเขตปีศาจระดับสูงมาหลายร้อยปีแล้ว แม้แต่ในหมู่ราชาปีศาจระดับสูงด้วยกันเองถือว่าแข็งแกร่งมาก

 

แต่เจ้าเมืองเมฆาปีศาจก็เป็นปีศาจระดับสูงเช่นกัน

 

ต่อให้มีความห่างชั้นระหว่างฝีมือ มันก็คงไม่ได้ห่างกัน มากราวฟ้ากับดิน

 

หากฝ่ายตรงข้ามไม่เต็มใจจะออกมาจากเมืองเมฆาปีศาจ เจ้าเมืองอินจี๋จะทําอะไรได้?

 

ค่ายกลใหญ่ในเมืองเมฆาปีศาจถูกก่อตั้งโดยเจ้าเมืองเมฆาปีศาจรุ่นก่อนๆ หากเป็นเพียงค่ายกลเปล่าๆ ก็คงไม่สามารถหยุดเจ้าเมืองอินจได้

 

แต่ถ้าเพิ่มราชาปีศาจระดับสูงเข้าไปด้วย มันย่อมแตกต่างออกไป

 

เมื่อมีราชาปีศาจระดับสูงเป็นผู้ขับเคลื่อนค่ายกลขนาดใหญ่เหล่านี้ ค่ายกลพวกนี้มิทรงพลังขึ้นเป็นสิบเท่าเลยหรือ?

 

เมื่อถึงตอนนั้น เกรงว่าเจ้าเมืองอินจี้จะต้องพบปัญหาในการฝ่าค่ายกลที่คุ้มครองเมืองเมฆาปีศาจเป็นแน่

 

“พวกเจ้ากังวลกันเรื่องนี้หรือ?”

 

เจ้าเมืองอินจี๋ส่ายหัวเล็กน้อย ลังเลครู่หนึ่งแล้วจึงกล่าวว่า “ก็ใช่ว่าจะบอกพวกเจ้าไม่ได้”

 

เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ เจ้าเมืองอินจี๋ก็ยกมือขวาขึ้นมา มองเห็นกําไลข้อมือสีดําคล้องอยู่ที่ข้อมือของเขา

 

กําไลข้อมือนี้มีขนาดค่อนข้างเล็กและดูเหมือนสร้างขึ้นมาอย่างประณีตบรรจง แต่กลับมาแผ่กลิ่นอายที่ทั้งลึกลับและลุ่มลึกออกมาอย่างแผ่วเบา

 

“นี่คือ?”

 

ราชาปีศาจต่างมองหน้ากัน มีแววของความประหลาดใจอยู่บนใบหน้าของพวกเขา

 

แม้ว่าจะมองดูกําไลของเจ้าเมืองจากระยะไกล กําไลข้อมือสีดําอันนี้ยังทําให้รู้สึกว่าจิตใจของพวกเขาถูกมันดึงดูดเข้าไปหา

 

“ท่านเจ้าเมือง นี่มันคือสิ่งใดกัน?”

 

ราชาปีศาจตนที่เพิ่งเอ่ยปากพูดก็เริ่มตัวสั่นกลัว

 

“นี่เป็นจักรกลสงครามของเผ่าพันธุ์ปีศาจเรา!” เจ้าเมืองอินจี๋กดเสียงต่ํา แสดงให้เห็นถึงความน่าเกรงขาม

 

“จักรกลสงคราม?”

 

ราชาปีศาจมากกว่าสิบตนมองหน้ากัน ดวงตาเบิกกว้างตะลึงพรึงเพริด

 

“มิผิด”

 

เจ้าเมืองอินจี๋พยักหน้าเล็กน้อย “สองร้อยปีก่อน ตอนที่ข้าก้าวข้ามมาถึงขอบเขตราชาปีศาจระดับสูง ครั้งหนึ่งเคยเข้าไปในส่วนลึกของโลกเพื่อคารวะเทพเจ้าปีศาจอาวุโสทั้งหลาย”

 

“และหนึ่งในเทพเจ้าปีศาจก็ได้มอบกําไลสงครามให้แก่ข้า”

 

น้ําเสียงของเจ้าเมืองอินจี้ดูเหมือนจะล่องลอยผันผวนไปตามกระแสความทรงจํา และกล่าวขึ้นอย่างเชื่องช้าว่า “ในสมัยโบราณ มีการฟื้นคืนของกระแสปราณฉีบนโลกม นุษย์หลายต่อหลายครั้ง มีผู้แข็งแกร่งกําเนิดขึ้นเป็นจํานวนมาก และปกครองโลกทั้งใบ”

 

“แต่ถึงกระนั้น เผ่าพันธุ์ปีศาจก็ยังทําสงครามและบุกรุกโลกมนุษย์ต่อไปได้ รู้ไหมว่าพวกเราทําได้อย่างไร?”

 

เจ้าเมืองอินจีมองไปยังเหล่าราชาปีศาจ

 

“เป็นเพราะสิ่งนี้หรือ…”

 

เหล่าราชาปีศาจมองไปที่กําไลสีดําบนข้อมือของเจ้าเมืองอินจี๋โดยไม่รู้ตัว

 

“ถูกต้อง”

 

เจ้าเมืองอินจี๋พยักหน้าเล็กน้อย ก่อนจะกล่าวว่า “สิ่งที่พวกเราพึ่งพึ่งก็คือจักรกลสงครามเหล่านี้”

 

เจ้าเมืองอินจี๋ยกมือขึ้นอีกครั้ง เพื่อให้เห็นกําไลข้อมือ “พวกเจ้าไม่รู้หรอกว่าภายในของมันกว้างใหญ่เพียงไหน แต่ภายในกําไลข้อมือวงนี้มีจักรกลสงครามของเผ่าปีศาจอยู่สิบล้านตัว”

 

“จักรกลสงครามสิบล้านตัว?”

 

รูม่านตาของเหล่าราชาปีศาจหดตัวลงอย่างกะทันหัน และจ้องไปที่ข้อมือของเจ้าเมืองอินจี้ พินิจกําไลข้อมือขนาดเล็กนั่นอย่างไม่อยากจะเชื่อ

 

“ อันที่จริง กําไลสงครามที่ข้าได้มาชิ้นนี้ถือเป็นของที่มี ตําหนิ กําไลสงครามที่แท้จริงจะสามารถบรรจุจักรกลสงค รามได้อย่างน้อยก็หลายร้อยล้านตัว”

 

เจ้าเมืองอินจี้ถอนหายใจ “นอกจากนี้ กองทัพจักรกลสงครามในกําไลข้อมือยังมาพร้อมกับค่ายกลปีศาจโบราณ”

 

“ค่ายกลปีศาจโบราณรูปแบบนี้สามารถเชื่อมโยง กองกําลังสิบล้านเป็นหนึ่งเดียวกัน เมื่อได้รับการโจมตีหนึ่งครั้ง ความเสียหายจะกระจายไปสู่กองกําลังทั้งสิบล้านตัว”

 

คําที่เจ้าเมืองอินจี๋กล่าวออกมานั้น

 

ราชาปีศาจมากกว่าสิบตนอ้าปากค้างอย่างไม่อยากเชื่อ

 

หากเป็นกองกําลังสิบล้านนาย เมื่อเจอเข้าราชาปีศาจที่มีความสามารถควบคุมพลังฟ้าดิน เรียกได้ว่าไม่ได้เป็นอุปสรรคอะไรมากนัก เพียงแต่ต้องใช้เวลาที่มากขึ้น เท่านั้นในการกําจัดสังหาร

 

สุดท้ายแล้ว ราชาปีศาจก็สามารถกวาดล้างกองทัพสิบล้านได้อย่างง่ายดายเพียงอาศัยพลังฟ้าดิน

 

ทหารสิบล้านนายจะยืนหยัดต่อหน้าราชาปีศาจได้นานแค่ไหนกันเชียว?

 

อย่างไรก็ตาม

 

ความสามารถของค่ายกลปีศาจโบราณได้ตัดความได้เปรียบของราชาปีศาจในการต่อสู้กับฝูงชนนับล้านไป

 

ด้วยการเชื่อมต่อของค่ายกลปีศาจโบราณ กองทัพนับสิบล้านก็เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน แม้พลังของราชาปีศาจจะสะเทือนโลก แต่ถ้าพลังถูกแบ่งออกไปสิบล้านส่วน เขาจะสังหารได้สักกี่คนกัน?

 

ร้อยคน?

 

สองร้อยคน?

 

ดังนั้นค่ายกลปีศาจโบราณชนิดนี้จึงเป็นดาวข่มที่ยับยั้งตัวตนของราชาปีศาจได้อย่างสมบูรณ์ ด้วยค่ายกลปีศาจโบราณนี้ แม้ว่าจะเป็นราชาปีศาจก็ตาม คงยากที่ทําอะไรกองทัพสิบล้านนี้ได้

 

ที่ผ่านมา ปีศาจได้บุกรุกโลกมนุษย์อย่างไม่มีสิ้นสุด มากมายดุจกองทัพหนอนแมลง กองทัพจักรกลของเผ่าปีศาจบังคับมหาอํานาจในโลกมนุษย์ให้ล่าถอยไปได้

 

“เมื่อข้าไปถึงเมืองเมฆาปีศาจ ข้าจะปล่อยกองทัพ จักรกลทั้งสิบล้านตัวออกมา ในเวลานั้น แม้เจ้าเมืองเมฆาปีศาจจะปิดกั้นเมืองไว้อย่างเต็มที่ แต่จะปิดกั้นต่อไปได้อีกนานเท่าไหร่กัน?” เจ้าเมืองอินจี๋พูดออกมาด้วยความมั่นใจ

 

“ท่านเจ้าเมืองช่างไร้เทียมทาน”

 

เหล่าราชาปีศาจต่างเชื่อมั่นและกล่าวสรรเสริญเจ้าเมืองของตน

 

เมืองเมฆาปีศาจ

 

ในส่วนลึกของโถงใหญ่ใจกลางเมืองใต้ต้นไม้โบราณ

 

ซูฉินที่กําลังนั่งขัดสมาธิเบิกเนตรดวงตาแห่งสัจจะมองไปทั่วทั้งเมืองเมฆาปีศาจ

 

เห็นปราณนับไม่ถ้วนทั้งใกล้และไกล แข็งแกร่งและอ่อนแอ มากมายเต็มไปหมด

 

 

Sign in Buddha’s palm 204 (1) ทิพยอํานาจ เรียก สายลม!

 

“ไม่คาดคิดว่า ดวงตาแห่งสัจจะมีผลเช่นเดียวกันเมื่อนํามาใช้ในโลกถ้ําปิศาจ”

 

ซูฉินกวาดสายตามองด้วยดวงตาแห่งสัจจะไปทั่วทั้งเมืองเมฆาปีศาจ ก่อนจะพยักหน้าเล็กน้อย

 

ทิพยอํานาจไม่ใช่เคล็ดวิชา ไม่ใช่ทั้งทักษะลับ มันเป็นเหมือนความสามารถตามธรรมชาติ

 

ตราบใดที่ซูฉินเชี่ยวชาญในทิพยอํานาจแล้ว การใช้พลังย่อมสามารถควบคุมได้โดยธรรมชาติ ราวกับการเหวี่ยงแขนขา

 

“ต่อไปก็ลองควบแน่นอาณาเขตด้วยร่างจําแลงนี้”

 

ท่าทีของซูฉินจริงจังขึ้น ก่อนจะหยิบดวงจิตรู้แจ้งพันปีออกมาจากคลังระบบ

 

“ตัวข้าได้ควบแน่นอาณาเขตมาครั้งหนึ่งแล้ว บัดนี้ หากควบแน่นอีกสักครั้งก็ไม่มีอะไรยากเย็น แม้จะไม่มีดวงจิตรู้แจ้งพันปีก็ยังสามารถควบแน่นได้อย่างราบรื่นและ จะแล้วเสร็จภายในหนึ่งถึงสองปี”

 

ความคิดของซูฉินผันผวน

 

มันก็เหมือนกับการที่ซูฉันเคยเดินในถนนเส้นนี้มาแล้วครั้งหนึ่ง เมื่อต้องเดินอีกเป็นครั้งที่สองแน่นอนว่าต้องรวดเร็วกว่าเดิมมาก การควบแน่นอาณาเขตก็เช่นเดียวกัน

 

“ด้วยความช่วยเหลือของดวงจิตรู้แจ้งพันปี แค่หนึ่งถึงสองเดือนก็คงพอแล้ว”

 

ซูฉินมองดูดวงจิตรู้แจ้งพันปีที่ฉายแสงสว่างออกมาเบื้องหน้าตน

 

หากซูฉินเป็นปีศาจย่อมไม่สามารถใช้วัตถุมงคลสายพุทธชิ้นนี้ได้ แต่ซูฉินสามารถเปลี่ยนปราณปีศาจทั้งหมดให้กลายเป็นแก่นแท้แห่งพลังสายพุทธได้ผ่านร่างทองมารพุทธะ

 

จากนั้นก็รอจนอาณาเขตสร้างสําเร็จแล้วจึงเปลี่ยนสลับพลังกลับมา

 

“อย่างไรก็ตาม ก่อนที่เปลี่ยนเป็นแก่นแท้แห่งพลังสายพุทธ จะต้องสร้างค่ายกลฟ้าดินจํานวนมากเพื่อป้องกันไม่ให้พลังรั่วไหลเสียก่อน”

 

ซูฉินหรี่ตาลงเล็กน้อย

 

ในโลกถ้ําปิศาจเต็มไปด้วยปราณปีศาจ หากจู่ๆ กลิ่นอายพุทธะโผล่ขึ้นมา มันคงจะสว่างพร่างพราวราวกับแสงสว่าง ในยามกลางวัน และมีแนวโน้มสูงมากที่จะดึงดูดความสนใจ จากราชาปีศาจตนอื่นๆ

 

แม้ว่าซูฉินจะไม่สนใจเรื่องพวกนี้ แต่เขาก็ไม่ต้องการจะสร้างความลําบากให้ตนเองจนเกินไป

 

เมื่อคิดได้ดังนั้น ซูฉินก็เริ่มใช้จิตควบคุม ไม่นานค่ายกลฟ้าดินก็ถูกจัดตั้งอยู่รอบๆ ตัวของเขา

 

ภายใต้ค่ายกลฟ้าดินอันยิ่งใหญ่ กลิ่นอายจากโถงทั้งหมดจะกลายเป็นว่างเปล่า สิ่งมีชีวิตใดก็ตามที่บุกเข้ามาจะหลงทิศหลงทาง ไม่สามารถบุกเข้ามาได้

 

“เสร็จเรียบร้อย”

 

ซูฉินสูดลมหายใจ หลับตาลง เริ่มควบแน่นอาณาเขตอย่างช้าๆ

 

….

 

ในเวลาเดียวกัน

 

โม๋จียืนอยู่บนกําแพงเมืองเมฆาปีศาจ มองไปทางท้องฟ้าที่มืดสลัว

 

“ไม่รู้ว่านายท่านจะออกมาเมื่อไหร่” โม๋จีเฝ้านึกอยู่ ตลอดเวลา

 

ในเวลานั้นเอง ราชาปีศาจก็เดินเข้ามาอย่างรวดเร็ว โค้งคารวะแล้วกล่าวว่า “รองเจ้าเมือง มีหลายส่วนภายในเมืองกําลังจัดตั้งแนวสํารวจเอาไว้ ตราบใดที่มีความผันผวนของพลังปีศาจเข้ามาใกล้ ข้าจะรับรู้ได้ในทันที”

 

“ข้าทราบแล้ว”

 

โม๋จีเหลือบมองไปที่ราชาปีศาจ

 

ราชาปีศาจตนนี้ถูกซูฉินฝังจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ลงไปแล้ว กลายเป็นผู้ภักดีอย่างแท้จริง และยังเป็นแม่ทัพปีศาจคนปัจจุบัน

 

ที่โม๋จีสามารถควบคุมเมืองเมฆาปีศาจทั้งหมดได้อย่างรวดเร็ว นอกจากความสามารถของตนเองแล้ว ยังอาศัยราชาปีศาจหลายตนที่อยู่ใต้อํานาจของนางด้วย

 

“วิธีการของนายท่านนั้นยากจะหยั่งถึงจริงๆ แม้แต่ราชาปีศาจยังต้องยอมจํานน” โม๋จีอุทานเบาๆ

 

แน่นอน โม๋จีรู้ดีว่าที่ราชาปีศาจตรงหน้าหรือราชาปีศาจตนอื่นๆ ปฏิบัติต่อนางด้วยความเคารพ ทั้งหมดเป็นเพราะคําสั่งของซูฉิน

 

ไม่เช่นนั้น พึ่งพาเพียงตัวนางผู้เดียว ต่อหน้าราชาปีศาจเหล่านี้ นางคงถูกกินจนไม่เหลือกระดูกไปนานแล้ว ไม่ต้องพูดถึงการออกคําสั่งเลย

 

“ไม่ได้การ ข้าจะต้องขยันฝึกฝน เพื่อช่วยเหลือนายท่านให้ได้โดยเร็วที่สุด มิฉะนั้นในอนาคตจะลําบากเอาได้”

 

ทันใดนั้นหัวใจของโม่จีก็บีบตัวแน่นขึ้นมา

 

โม๋จีรู้ดีว่าเหตุผลใดนางจึงได้มาเป็นรองเจ้าเมืองเมฆาปีศาจ นั่นเป็นเพราะนางมีประโยชน์ต่อซูฉิน

 

หากวันหนึ่งซูฉินเห็นว่าโม่จีไร้ประโยชน์ขึ้นมา เกรงว่าโม๋จีผู้นี้คงจะถูกทอดทิ้งแล้ว

 

ขณะที่โม๋จีกําลังจะกลับไปฝึกฝน

 

ทันใดนั้น

 

เมืองเมฆาปีศาจทั้งหมดจู่ๆ ก็สั่นไหว

 

ค่ายกลหนึ่งถูกกระตุ้น และตามมาด้วยค่ายกลอื่นๆ เปล่งแสงพวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า ปกป้องเมืองเมฆาปีศาจเอาไว้

 

“เกิดอะไรขึ้น?”

 

ใบหน้าของโม๋จีเปลี่ยนสี

 

ราชาปีศาจที่อยู่ถัดจากนางดูเคร่งเครียด “ราชาปีศาจกําลังมา และอย่างน้อยๆ ต้องเป็นราชาปีศาจระดับสูง ไม่เช่นนั้นจะไม่ทําให้ค่ายกลทั้งหมดทํางานได้”

 

“ราชาปีศาจระดับสูง?”

 

ใบหน้าของโม๋จีกลายเป็นบิดเบี้ยว

 

ในขณะที่ค่ายกลเกือบทั้งหมดของเมืองเมฆาปีศาจถูกเปิดใช้งาน ห่างจากเมืองเมฆาปีศาจไปไม่กี่ลี้ มีร่างไม่ต่ํากว่าสิบร่างปรากฏตัวขึ้น

 

เป็นเจ้าเมืองอินจี่และพรรคพวก

 

“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า”

 

“ตอนแรกข้าก็สงสัยอยู่ว่าจะเข้าไปได้หรือไม่ แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าจะไม่ใช่เรื่องยากแล้ว… ”

 

รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเจ้าเมืองอินจี่ ไม่เห็นสิ่งตรงหน้าอยู่ในสายตา

 

“เป็นดังที่ท่านเจ้าเมืองว่า ตราบใดที่พวกเราย่างกรายมาถึงที่นี่ ชะตากรรมของเมืองเมฆาปีศาจก็ถึงจุดสิ้นสุดแล้ว” 

 

ราชาปีศาจมากกว่าสิบตนที่อยู่ด้านข้างกล่าวด้วยความเคารพ

 

เมื่อเห็นความมั่นใจของเจ้าเมืองอินจี่ ในสายตาของราชาปีศาจเหล่านี้ก็เหมือนกับเมืองเมฆาปีศาจได้ล่มสลายไปแล้ว

 

“นั่นคือ…”

 

ในเวลานั้นโม๋จีและราชาปีศาจอีกหลายตนก็พบเจ้าเมืองอินจี่และพรรคพวกที่อยู่ห่างไกลออกไปหลายสิบลี้

 

“เจ้าเมืองอินจี่”

 

หัวใจของโม๋จีชาวาบ

 

นางรู้ว่าเจ้าเมืองอินจี่จะต้องมาล้างแค้นเมืองเมฆาปีศา แน่ แต่ไม่ได้คาดคิดว่าอีกฝ่ายจะมารวดเร็วเช่นนี้

 

“ไปที่โถงกลางเจ้าเมือง บอกนายท่านว่าเจ้าเมืองอินได้ มาอยู่ที่นี่แล้ว” โม๋จีพูดอย่างรวดเร็ว

 

“ขอรับ”

 

ปีศาจตนนั้นโค้งคํานับเล็กน้อย แล้ววิ่งตรงไปยังโถงใหญ่ของเจ้าเมืองทันที

 

และในตอนนั้นเอง

 

เสียงของเจ้าเมืองอินจี้ก็ดังก้องอยู่ในหูของปีศาจทุกตน

 

“ข้าจะให้สองทางเลือกแก่เจ้า หนึ่งคือมอบร่างหยินบริสุทธิ์มา หรืออีกทางหนึ่ง หลังจากข้าทําลายเมืองเมฆาปีศาจแล้วข้าจะนําร่างหยินบริสุทธิ์ไปด้วยตัวข้าเอง”

 

น้ําเสียงของเจ้าเมืองอินจี้แสดงอํานาจบาตรใหญ่ กดขี่ผู้คนอย่างถึงที่สุด

 

“ร่างหยินบริสุทธิ์”

 

โม๋จีหน้าซีด

 

จนบัดนี้ นางจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าเจ้าเมืองอินจี่กําลังตามหานางอยู่?

 

และในตอนนี้

 

เจ้าเมืองอินจี่ก็เริ่มหมดความอดทนเสียแล้ว

 

“ถ้าอยากจะตายนัก ก็อย่าได้โทษข้าเลย”

 

เจ้าเมืองอินจี่ไม่สนใจว่าเจ้าเมืองเมฆาปีศาจจะอยู่หรือไม่ เขายกมือขวาตั้งตรงจิตใจผสานเป็นหนึ่งกับกําไลข้อมือสีดําสนิท

 

ฉับพลัน!

 

กองทัพจักรกลเป็นสิบล้านตัวก็ปรากฏขึ้นบนพื้นแผ่นดิน เรียงรายทอดยาวออกไปไม่รู้จบ

 

หากมองจากมุมของเจ้าเมืองอินจี้ จะพบกองทัพจักรกลปีศาจสงครามนับสิบล้านเบียดเสียดกันอยู่อย่างหนาแน่นราวกับมหาสมุทรสีดํา และหากเปรียบเมืองเมฆาเป็นเกาะ ก็คงเป็นเกาะโดดเดี่ยวท่ามกลางมหาสมุทรที่จะโดนคลื่นซัดจนพลิกคว่ําเมื่อไหร่ก็ได้

 

“พวกนี้คือ!”

 

“กองทัพจักรกลปีศาจสงครามของข้า”

 

“สร้างขึ้นมาโดยเทพเจ้าปีศาจ เป็นเครื่องจักรกลสงครามที่ใช้ต่อต้านมนุษยชาติ!”

 

เจ้าเมืองอินจี่มองตาเป็นมัน บ่นพึมพํากับตนเอง

 

แม้ว่าเจ้าเมืองอินจี่จะไม่เคยเห็นภาพเหตุการณ์ที่เหล่าปีศาจและมนุษย์สู้กัน ไม่ได้เห็นกองทัพจักรกลจํานวนมากมายได้ที่สิ้นสุดเข้ากวาดล้างโลกมนุษย์

 

แต่ตอนนี้ เขาพอจะมองเห็นภาพผ่านกําไลข้อมือสงครามวงนี้แล้ว ว่าสมัยก่อนกองทัพจักรกลจํานวนมากมายมหาศาลนั้นเป็นเช่นไร

 

รู้หรือไม่ว่ากําไลสงครามบนข้อมือของเจ้าเมืองอินจี่ ตอนนี้เป็นเพียงจักรกลสงครามที่มีตําหนิ จักรกลสงครามที่สมบูรณ์ย่อมมีกองกําลังจักรกลของเผ่าปีศาจอยู่ภายในถึง หลายร้อยล้านตัว

 

แต่ในตอนที่ปีศาจขึ้นไปยังโลกเบื้องบน ไม่รู้ว่ากําไลสงครามถูกใช้ไปกี่ชิ้น กองทัพจักรกลสงครามที่ปล่อยออกมามีมากมายจนเต็มโลกทั้งใบ

 

กองทัพจักรกลเหล่านี้ไม่กลัวความตาย ไม่รู้จักความเจ็บปวด และยังมีค่ายกลโบราณสามารถยับยั้งตํานานยุทธคนหนึ่งได้เลย และสกัดกั้นได้แม้กระทั่งเซียนเทพปฐพี

 

ราชาปีศาจมากกว่าสิบตนที่ยืนอยู่ด้านข้างเจ้าเมืองอินจี่ เมื่อเห็นกองทัพจักรกลนับสิบล้านตัวออกมามากมายนับไม่ถ้วน พวกเขาก็กลืนน้ําลายลงคอไปอย่างยากลําบาก

 

ในระดับของพวกเขา เป็นปกติที่ไม่อาจล่วงรู้ถึงความลับเบื้องลึกของโลกถ้ําปิศาจได้

 

Sign in Buddha’s palm 203 (1) กําไลสงคราม

 

เกาะแห่งหนึ่งในต่างดินแดน

 

มีร่างหลายร่างแยกตัวกันยืนอยู่คนละมุม

 

แต่ละร่างมีกลิ่นอายที่แตกต่างกันออกไป บางคนเย็นยะเยือกราวกับภูเขาน้ําแข็ง บางคนลึกลับดํามืด บางคนก็แหลมคมราวกับคมดาบศักดิ์สิทธิ์ พวกเขายืนอยู่ในมุมของตนอย่างเงียบๆ ทําให้ผู้คนรู้สึกราวเผชิญหน้าอยู่กับพลังแห่งฟ้าดินอันยิ่งใหญ่

 

หลังจากผ่านไปครู่ใหญ่

 

นักพรตสวมชุดคลุมแบบเต๋าที่มีน้ําเต้าสุราห้อยอยู่ข้างเอวก็รีบก้าวเข้ามาภายในห้อง

 

เจ้าตําหนักเทพเจ้าหิมะขมวดคิ้วและกล่าวขึ้นว่า “นักพรตเต๋า ท่านมาช้า”

 

“ข้าเจอสัตว์ทะเลหายากระหว่างทางน่ะ นักพรตชราผู้นี้ดีใจยิ่งจึงแวะพักครู่หนึ่งเพื่อปราบมันเตรียมเอามาเป็นกับแกล้มกับสุรา อย่าได้โกรธเคืองไป…” นักพรตเต๋าตบเข้าที่น้ําเต๋าที่ข้างเอวพร้อมกับหัวเราะออกมา

 

“ฮ่ม!”

 

เจ้าตําหนักเทพเจ้าหิมะพ่นลมออกมาอย่างเย็นชา ไม่สนใจอีกต่อไป

 

บุคคลในระดับของพวกเขา สามารถเพิกเฉยต่อนิกายใหญ่ที่มีความแข็งแกร่งในระดับใกล้เคียงกัน ไม่มีใครถือสาเอาความกันได้

 

อย่าว่าแต่นักพรตเต๋ามาช้าเลย แม้นักพรตเต๋าชราจะไม่มา ก็คงไม่มีใครทําอะไรได้

 

“เอาล่ะ”

 

“เจ้าตําหนักเทพเจ้าหิมะ เจ้าเรียกพวกเรามา ต้องการจะพูดคุยเรื่องใด ได้โปรดบอกกล่าวข้าหน่อยได้หรือไม่?” ชายคนหนึ่งที่มีกลิ่นอายแห่งความมืดลึกซึ้งพูดขึ้นมา น้ําเสียงของเขาแหบแห้ง

 

เขาคือผู้นํานิกายเฮยหยวน ถ้าจะกล่าวว่าผู้ใดมีชื่อเสียงมากที่สุดในที่แห่งนี้ก็ไม่ต้องสงสัยเลยว่าคือผู้นํานิกายเฮยหยวน นี่ไม่ใช่เพราะว่าเขาแข็งแกร่งที่สุด แต่เป็นเพราะมือของเขาที่เปื้อนเลือดมามากที่สุด

 

ไม่ว่าจะเป็นเจ้าตําหนักเทพเจ้าหิมะหรือเจ้านิกายคนอื่นๆ แม้พวกเขาจะอยู่ตําแหน่งที่สูงส่งจนถือว่าสิ่งมีชีวิตอื่นถือเป็นเพียงมด เขาก็จะไม่ฆ่าคนอย่างไร้เหตุผล แต่ผู้นํานิกายเฮยหยวนนั้นต่างจากคนอื่นๆ เขาเคยฆ่าผู้คนนับล้านเพียงเพราะความโกรธเกรี้ยวที่ตนทะลวงผ่านขั้นไม่ได้ ซึ่งหลายต่อหลายคนที่เขาฆ่าไปเป็นถึงระดับตํานานยุทธเสียด้วยซ้ํา

 

เพียงแต่ว่าผู้นํานิกายเฮยหยวนนั้นฉลาดพอ เขาฆ่าเพียงคนธรรมดาหรือตํานานยุทธธรรมดาๆเท่านั้น ไม่เคยท้าทายขีดจํากัดของนิกายใหญ่อื่นๆ

 

“ก็ไม่มีอะไรมาก” เจ้าตําหนักเทพเจ้าหิมะเงียบไปครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “เทพธิดาหิมะของข้าได้ตายไปแล้ว และก่อนที่นางจะตายไป นางก็ได้ไปพื้นที่แห่งนั้นกับ เหล่าศิษย์ของพวกเจ้า”

หลังจากที่เจ้าตําหนักเทพเจ้าหิมะพูดจบ นางก็จ้องไปที่คนอื่นๆเขม็ง

 

“ท่านเจ้าตําหนัก ไม่เพียงแต่เทพธิดาแห่งตําหนักเทพเจ้าหิมะเท่านั้นที่ตายไป แต่ดวงไฟแห่งชีวิตของศิษย์ข้าก็ดับลงเช่นกัน” ชายที่สะพายดาบยาว แววตาเฉียบคม ได้แต่ส่าย

 

“ศิษย์นิกายเฮยหยวนก็ตายแล้วเช่นกัน” ผู้นํานิกายเฮยหยวนกล่าวด้วยเสียงต่ําไม่ช้า

 

ผู้นํานิกายหลายคนก็ต่างพูดขึ้นมาทีละคน

 

หลังจากนั้นครู่หนึ่ง เจ้าตําหนักเทพเจ้าหิมะและผู้นํานิกายคนอื่นๆ ต่างก็มองหน้ากันพร้อมทั้งขมวดคิ้วเป็นปม

 

เพราะศิษย์ที่พวกเขาส่งให้ไปสํารวจพื้นที่ต่างก็ตกตายกันทั้งหมด ไม่ง่ายนักที่จะทําใจเชื่อได้ลง

 

“ใช่แล้ว”

 

“นักพรตเต๋า ข้าจําได้ว่าท่านส่งศิษย์จากสํานักเอกะวิถีไปด้วยนี่ น่าจะชื่อว่าเหยียนไห่ ตอนนี้เขายังมีชีวิตอยู่หรือไม่?”

 

ประมุขพรรคหมื่นดาบหันเหสายตาของตนไปมองนักพรตเต๋าที่กําลังคลึงน้ําเต้าที่ข้างเอว

 

ผู้นํานิกายคนอื่นๆ ได้ฟังถ้อยคํานั้นก็หันไปมองที่นักพรต เฒ่ากันทุกคน

 

“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า”

 

นักพรตเต๋าดูเขินอาย ลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดออกไปตามความจริง “เหยียนไห่ยังไม่ตาย”

 

หากเหยียนไห่ตายไปแล้ว ดวงไฟแห่งชีวิตที่อยู่ในสํานัก เอกะวิถีจะต้องมอดดับลงอย่างแน่นอน และเขาผู้เป็นเจ้า สํานักจะต้องรับรู้มันเป็นคนแรก

 

แต่น่าเสียดาย จนถึงตอนที่นักพรตเต๋าออกจากสํานักเอกะวิถี ดวงไฟชีวิตของเหยียนไฟยังคงลุกไหม้อย่างเอื้อยเลื่อย ไม่มีวี่แววว่าจะดับแต่ประการใด

 

อะไรนะ?

 

เสียงของนักพรตเฒ่าจบลง

 

สีหน้าของผู้นํานิกายต่างก็เปลี่ยนไปจ้องมองไปที่นักพรตเต๋า

 

ศิษย์หลายคนไปยังพื้นที่จุดตัดครั้งยิ่งใหญ่ ทุกคนล้วนตายหมดยกเว้นศิษย์สํานักเอกะวิถี เรื่องราวเช่นนี้ไม่แปลกไปหน่อยหรือ

 

“พวกเจ้าคงไม่คิดว่าเหยียนไห่สังหารลูกศิษย์ของพวกเจ้าหรอกใช่ไหม?” นักพรตเต๋าส่ายศีรษะ “ข้ารู้ความแข็งแกร่งของเหยียนไม่ดี แม้ว่าเขาจะแข็งแกร่งกว่านี้นับสิบเท่าก็ยังไม่สามารถกระทําได้”

 

คําที่กล่าวออกมา

 

ผู้นํานิกายทั้งหลายก็คิดตาม

 

ก็จริง

 

ศิษย์ที่พวกเขาส่งไปยังพื้นที่จุดตัดในครั้ง นี้ล้วนเป็นศิษย์ชั้นยอด อย่างน้อยๆก็เป็นศิษย์สายตรง

 

โดยเฉพาะตําหนักเทพเจ้าหิมะที่ถึงขนาดส่งเทพธิดาของตนออกไป

 

“เป็นไปได้ไหมที่จะถูกจอมยุทธระดับผู้เยี่ยมยุทธสักคนลอบสังหาร?” ผู้นํานิกายเฮยหยวนแสดงเจตนาอันชั่วร้ายผ่านทางน้ําเสียงของเขา

 

มีตํานานยุทธอยู่มากมายในต่างดินแดน และมีเพียงตํานานยุทธระดับนภาชั้นที่ห้าเท่านั้นจึงจะมีคุณสมบัติพอที่จะกล่าวขานว่าผู้เยี่ยมยุทธ

 

อันที่จริงผู้นํานิกายส่วนใหญ่ก็อยู่ในระดับนี้เช่นเดียวกัน

 

“ไม่น่าจะเป็นเช่นนั้น” นักพรตเต๋ากล่าวขึ้นว่า “ผู้เยี่ยมยุทธทั้งหมดที่อยู่ในดินแดนนี้ ข้ารู้ดีว่าแต่ละคนอยู่ที่ไหนกันบ้าง ในช่วงเวลานี้ไม่มีใครได้เดินทางไปยังพื้นที่นั้นสักคน” 

 

“บางทีตํานานยุทธผู้นั้นอาจจะเป็นผู้เยี่ยมยุทธที่กําเนิดขึ้นมาในพื้นที่จุดตัด?” ประมุขพรรคหมื่นดาบคาดเดา

 

“เป็นไปไม่ได้” เจ้าตําหนักเทพเจ้าหิมะกล่าวขัดขึ้นมาเป็นครั้งแรก “พื้นที่จุดตัดแห่งนั้นเพิ่งเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา เป็นไปได้เยี่ยงไรที่จะให้กําเนิดตํานานยุทธระดับนภาชั้นที่ห้าได้รวดเร็วเช่นนี้”

 

ก่อนที่กระแสปราณฉีจะฟื้นคืน พื้นที่จุดตัดเป็นเพียงทวีปที่แห้งแล้ง มีตํานานยุทธเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่กําเนิดขึ้นมาได้ แม้ว่าปราณฉีจะฟื้นคืนขึ้นมาแล้ว แต่ก็ยังต้องใช้เวลาหลายสิบหรือหลายร้อยปีก่อนที่จะมีตํานานยุทธระดับนภาชั้นที่ห้ากําเนิดขึ้นจริงๆ

 

“ถึงแม้จะไม่ใช่ระดับนภาชั้นที่ห้า แต่เกรงว่าจะไม่ห่างชั้นจากระดับนั้นมากนัก” ผู้นํานิกายเฮยหยวนกล่าวด้วยเสียงต่ํา

 

“เอาล่ะ งั้นตอนนี้พวกเราควรทําอย่างไร?” ผู้นํานิกายเฮยหยวนกะพริบตา สาดสายตามองไปยังผู้นํานิกายคนอื่นๆ แล้วจึงพูดว่า “ข้าจะส่งหน่วยวิญญาณยมโลกของข้าไปสืบความเป็นไปในพื้นที่พิพาทเพื่อหาข้อสรุป

 

“วิญญาณยมโลก?”

 

Sign in Buddha’s palm 202 เรียกลมเรียกฝนและโล หิตเทพเจ้าปีศาจ

 

วังหลวง

 

ด้านหน้าจัตุรัสหยกขาว

 

ซูฉินเต็มไปด้วยความสุข

 

เขาลงชื่อเข้าใช้มาหลายสิบปี และได้รับทิพยอํานาจมาเพียงสองประเภทเท่านั้น อย่างแรกคือดวงตาแห่งสัจจะ และอย่างที่สองคือกายเนื้อกําเนิดใหม่

 

ทิพยอํานาจทั้งสองชนิดช่วยซูฉินเอาไว้อย่างมาก อย่างแรกช่วยให้ซูฉินเข้าใจกลไกของพลังในทุกๆสิ่งได้อย่างง่ายดาย อย่างหลังช่วยให้ซูฉินสร้างร่างจําแลงเพื่อเข้าไปภายในโลกถ้ําปีศาจได้

 

โดยเฉพาะอย่างหลัง ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ด้วยร่างจําแลงที่สร้างขึ้นไม่รู้ว่าซูฉินเก็บเกี่ยวสินทรัพย์ได้มากเท่าไหร่ในโลกถ้ําปีศาจ จนกระทั่งซูฉินเก็บเกี่ยวจากกิ่งก้านต้นไม้โบราณที่ว่ากันว่ามาจากส่วนลึกของโลกแห่งนี้จนหมดสิ้น แน่นอนว่าสิ่งที่เก็บเกี่ยวมาได้นั้นน่าพึงใจมิน้อย

 

และในตอนนี้ ในที่สุดซูฉินก็ลงชื่อเข้าใช้และได้รับทิพยอํานาจอย่างที่สาม

 

เมื่อคิดเรื่องราวทั้งหมดนี้จบ ซูฉินก็กลับไปยังโถงพระราชวังใต้ดินอันสูงตระหง่าน

 

“อย่างไรก็ตาม คราวนี้ชื่อของทิพยอํานาจมันฟังดูจืดชืดไปสักหน่อย…”

 

ซูฉินนั่งขัดสมาธิ ครุ่นคิดอยู่ภายในใจเงียบๆ

 

ทิพยอํานาจที่เขาลงชื่อได้รับมาจากจัตุรัสหยกขาวคือ “เรียกลมเรียกฝน” สําหรับคนธรรมดาหรือแม้แต่ในขอบเขตวิทยายุทธทั้งเก้าระดับชั้น ความสามารถในการเรียกลม เรียกฝนนั้นราวกับเทพเซียน ถ้าไม่ใช่เทพเซียนแล้วจะเป็นอะไรได้?

 

แต่เมื่อมาถึงขอบเขตตํานานยุทธแล้ว การเรียกลมเรียกฝนก็ราวกับเป็นเรื่องตลก

 

ตัวอย่างเช่น ซูฉินที่ฝึกหมัดสายฟ้าเทพเจ้าเข้าอาบทะเลแห่งสายฟ้า แม้ตํานานยุทธคนอื่นอาจจะไม่สามารถทําเช่นซูฉินได้ แต่ก็เป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะกลัวของอย่างพวก “การเรียกลมเรียกฝน”

 

ใบหน้าอันสุขสันต์ของซูฉินค่อยๆจากหายไป และกําหนดจิตเข้าไตร่ตรอง “เรียกลมเรียกฝน” ทิพยอํานาจชนิดใหม่ภายในใจของตนเอง

 

หลังจากผ่านไปสักพัก

 

ซูฉินก็เปิดเปลือกตาขึ้นทันที

 

“ทิพยอํานาจนี้ หาใช่ธรรมดาไม่…”

 

ดวงตาของซุฉินเป็นประกาย เห็นได้ชัดว่าประหลาดใจเล็กน้อย

 

ซุฉินเริ่มศึกษาทิพยอํานาจ เรียกลมเรียกฝน” เขาก็ค้นพบว่า การเรียกสายลม” ในทิพยอํานาจชนิดนี้มิใช่ลมธรรมดาสามัญ แต่เป็นลมสวรรค์เก้าชั้นฟ้า

 

ลมสวรรค์เก้าชั้นฟ้าคืออะไร?

 

เป็นลมพายุอันน่าสะพรึงกลัวที่กั้นระหว่างโลกและมิติอวกาศเหนือท้องฟ้าอันเวิ้งว้างไร้ที่สิ้นสุด

 

เพื่อที่จะรับรู้สึกกระแสปราณฉีที่ฟื้นคืนและการเปลี่ยนแปลงของพลังในโลกหล้า ซูฉินเคยลอยตัวขึ้นไปสูงจนเกือบจะถึงเขตลมสวรรค์เก้าชั้นฟ้า เพื่อจ้องมองพื้นแผ่นดินอันกว้างใหญ่

 

ในเวลานั้น ซูฉินทราบดีถึงความน่ากลัวของลมสวรรค์เก้าชั้นฟ้า

 

ด้วยความแข็งแกร่งของซุฉินในตอนนั้น แม้ว่าเขาจะสามารถผ่าข้ามลมสวรรค์เก้าชั้นฟ้านี้ไปได้ แต่ก็ต้องได้รับบาดเจ็บเช่นกัน

 

ไม่ต้องกล่าวถึงว่าลมที่ซูฉินเห็นนั้นเป็นเพียงเขต แดนลมสวรรค์เก้าชั้นฟ้าในระดับที่ตื้นเขิน ยิ่งระดับสูงขึ้นไป ลมสวรรค์เก้าชั้นฟ้าก็ยิ่งน่ากลัวมากขึ้นเป็นเท่าทวี และลมสวรรค์เก้าชั้นฟ้าที่จุดสูงสุดสามารถพัดทําลายฝูงชนได้เลยทีเดียว

 

และผลอันน่าสยดสยองของมันคือดับดวงไฟแห่งชีวิตจนมอด

 

ตํานานยุทธทั้งหลายท่องยุทธภพไปทั่ว เย่อหยิ่งไม่เกรงกลัวสิ่งใด แม้จะเป็นพลังธรรมชาติอันยิ่งใหญ่อย่างหิมะถล่ม ก็ไม่สามารถคุกคามตํานานยุทธได้

 

แต่ลมสวรรค์เก้าชั้นฟ้านั้นต่างออกไป

 

สําหรับตํานานยุทธระดับสูงคงจะไม่เป็นอะไรมากเพราะสามารถสกัดกั้นเอาไว้ด้วยแก่นแท้แห่งพลังและร่างกายที่แข็งแกร่ง แต่ถ้าเป็นตํานานยุทธระดับนภาชั้นที่หนึ่งหรือชั้นที่สองถูกลมสวรรค์เก้าชั้นฟ้าพัดเข้าใส่ แม้จะไม่ตายในทันที แต่ก็คงมีสภาพอเนจอนาถอย่างยิ่ง

 

อาจกล่าวได้ว่าความสามารถในการเรียกสายลม” เป็นดาวข่มตํานานยุทธได้อย่างสิ้นเชิง

 

หากซูฉินสามารถเรียกลมสวรรค์เก้าชั้นฟ้าออกมาได้ถึงระดับสูงสุดก็เพียงพอที่จะกวาดล้างตํานานยุทธ และทําได้แม้แต่คุกคามเซียนเทพปฐพี

 

แน่นอนว่าเพื่อเรียกลมสวรรค์เก้าชั้นฟ้าระดับสูงสุดออกมาได้ ซูฉินจะต้องก้าวไปถึงขอบเขตยอดอรหันต์เป็นอย่างน้อยจึงจะกระทําได้

 

ไม่ว่าจะเป็นทิพยอํานาจชนิดใด จะเป็นดวงตาแห่งสัจจะหรือกายเนื้อกําเนิดใหม่ ทุกชนิดจะเพิ่มพูนพลังอํานาจยิ่งขึ้นไปตามความแข็งแกร่งของผู้ใช้ที่เพิ่มมากขึ้น

 

“ไม่เลว”

 

ซูฉินดูพึงพอใจ

 

ในตอนแรก เขาคิดว่าความสามารถในการเรียกลม จะเป็นเพียงการเรียกลมธรรมดาๆ ไม่ได้คาดหวังว่ามัน จะเป็นลมสวรรค์เก้าชั้นฟ้าเช่นนี้

 

“เรียกฝน……”

 

ซูฉินหันเหความคิดอีกครั้ง เข้าไปอยู่ในภวังค์

 

ถ้ากล่าวว่าซูฉินเข้าใจความสามารถในการ “เรียกลม” บ้างแล้ว ส่วนที่เกี่ยวกับความสามารถในการ “เรียกฝน” นั้น ซูฉินยังสับสนอยู่เล็กน้อย

 

“ทิพยอํานาจชนิดนี้ ในส่วนความสามารถของการ “เรียกฝน” เป็นการชักนําจิตสังหารความอาฆาตพยาบาทใต้ผืน ฟ้าเหนือผืนดิน ควบแน่นเป็นเม็ดฝน ส่งลงไปทําลายล้างทุกสิ่ง

 

ใบหน้าของซูฉินมีแววครุ่นคิด

 

ในช่วงเวลาต่อมา

 

ซูฉินก็กล่าวคําออกมาเบาๆ

 

“เรียกฝน!”

 

หวิ่ง!!!

 

ที่อากาศด้านหน้าของซูฉินค่อยๆ ควบแน่นกลายเป็นเม็ดฝนเม็ดหนึ่งที่ดูเหมือนกับอัญมณีปรากฏขึ้น

 

เม็ดฝนหยดนี้สีแดงดั่งเลือด ปลดปล่อยเจตนาฆ่าออกมาอย่างรุนแรง

 

“ฝนหยดนี้เพียงพอที่จะสังหารยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่ง รวมถึงคุกคามตํานานยุทธได้” ซูฉินจ้องมองไปที่เม็ดฝนที่ลอยอยู่ตรงหน้า และประเมินมันอยู่ภายในใจ

 

ทําลายยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่ง คุกคามตํานานยุทธ

 

ดูเหมือนจะไม่เท่าไหร่เมื่อเทียบกับตัวตนเช่นซูฉิน แต่ต้องรู้ว่าความสามารถในการเรียกฝนที่แท้จริงสามารถเรียกได้มากกว่าฝนแค่หยดเดียว

 

แต่กลับไร้ที่สิ้นสุด เม็ดฝนบนท้องฟ้าก็เหมือนกับพายุฝนที่ตกกระหน่ํา

 

ด้วยความสามารถในการเรียกฝน” แม้จะเป็นตํานานยุทธระดับสูง ก็เกรงว่าจะเหมือนติดอยู่ในหลุม เป็นการยากที่จะก้าวเดินต่อไปข้างหน้าได้

 

“ไม่เลว”

 

ซูฉินพยักหน้าเล็กน้อย และใช้จิตสั่งการให้เม็ดฝนที่อัดแน่นไปด้วยจิตสังหารเม็ดนี้ค่อยๆกระจายหายไป

 

“ในที่สุดข้าก็มีทิพยอํานาจที่สามารถใช้ในการต่อสู้ได้จริงๆเสียที…”

 

ซูฉินถอนหายใจออกมา

 

ไม่ว่าจะเป็นดวงตาแห่งสัจจะหรือกายเนื้อกําเนิดใหม่ พวกมันล้วนเป็นทิพยอํานาจสายสนับสนุน เป็นสิ่งที่อยู่ของมันแบบนั้น” ไม่ได้ช่วยเพิ่มพูนความสามารถในการต่อสู้ตรงๆ

 

แต่ทิพยอํานาจเรียกลมเรียกฝน” เป็นทิพยอํานาจสําหรับจู่โจมโดยแท้

 

อย่างน้อยซูฉินก็มีความสามารถในการต่อสู้ซึ่งๆหน้าได้หลากหลายมากขึ้น

 

“ตอนนี้ร่างกายนี้ได้เสร็จสิ้นการแปรสภาพครั้งที่ห้าแล้ว รวมถึงอาณาเขตขนาดเล็กก็ควบแน่นจนแล้วเสร็จเป็นที่เรียบร้อย”

 

“ขั้นต่อไปคือต้องพัฒนาระดับพลัง พยายามเข้าสู่ระดับนภาชั้นที่แปดและชั้นที่เก้าให้ได้เร็วที่สุด จากนั้นจึงผ่านคอขวดไปถึงขอบเขตยอดอรหันต์ให้ได้”

 

ซูฉินคิดตัดสินใจ

 

ในช่วงเวลาต่อมา

 

แสงพลันสว่างจ้าต่อหน้าซุฉิน โอสถวิเศษและผลไม้จิตวิญญาณจํานวนมากถูกวางกองเอาไว้ด้วยกัน

 

สิ่งเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของสมบัติที่ซูฉินลงชื่อได้รับมาในช่วงหลายปีที่ผ่านมา

 

ซูฉินจําแนกสมบัติทั้งหมดเอาไว้ และนําสมบัติที่เป็นทรัพยากรสําหรับบ่มเพาะในระดับปัจจุบันออกมาวางไว้ด้านหน้า

 

สําหรับของที่ได้จากการลงชื่อเข้าใช้ในช่วงแรกๆของซูฉิน อย่างโอสถระดับต่ําเล็กๆ น้อยๆ ซูฉินเอาบางส่วนออกมาเก็บไว้ที่พระราชวังตะวันออกเพื่อใช้ในการบ่มเพาะของตระกูลซู

 

อย่างไรเสียโอสถระดับต่ําเหล่านี้ก็ยังมีประโยชน์ สําหรับขอบเขตสามระดับล่างและสามระดับกลาง ส่วนในสามระดับนั้นบนมันก็เริ่มจะใช้ไม่ได้ผลแล้ว นับประสาอะไร กับขอบเขตตํานานยุทธระดับนภาชั้นที่เจ็ดอย่างซูฉิน

 

ซูฉินดูดกลืนพลังฟ้าดินอย่างไม่ตั้งใจไปเฮือกหนึ่งก็ได้ผลลัพธ์สูงกว่าโอสถระดับต่ําแล้ว

 

แทนที่จะวางเอาไว้ให้เปลืองพื้นที่ในคลังระบบ ทําไมไม่ใช้เพื่อเพิ่มพูนความแข็งแกร่งของตระกูลซูเล่า

 

“ผลแก่นปีศาจมีทั้งสิ้นเก้าพันแปดร้อยเก้าสิบสองผล และผลไม้สีแดงอีกแปดพันสามร้อยห้าสิบผล…”

 

ซูฉินคํานวณอยู่ในใจ

 

แม้ว่าปราณฉีจะฟื้นคืนและสภาพ แวดล้อมของโลกกําลังเปลี่ยนแปลงไป เส้นทางการฝึกยุทธก็ง่ายขึ้น แต่ไม่ได้หมายความว่าผลไม้จิตวิญญาณและโอสถวิเศษจะสูญเสียผลประโยชน์ของมันไป

 

ตรงกันข้าม เมื่อปราณฉีฟื้นคืนมากเท่าไหร่ ผลของโอสถวิเศษเหล่านี้ก็ยิ่งจะเพิ่มมากขึ้นเท่านั้น

 

“ผลไม้จิตวิญญาณและโอสถวิเศษเหล่านี้เพียงพอจะผลักดันข้าให้ไปถึงระดับนภาชั้นที่เก้า แต่การก้าวข้ามโซ่ตรวนเพื่อไปสู้ขอบเขตยอดอรหันต์นั้นไม่สามารถพึ่งพาเพียง “สิ่งของจากภายนอก”

 

“ปัจจุบันข้ารู้เพียงว่าการจะเข้าสู่ขอบเขตยอดอรหันต์จําเป็นต้องควบแน่นอาณาเขตขนาดเล็ก แต่ส่วนอื่นๆ ข้าไม่มีความรู้เลยสักนิด”

 

ดวงตาของซูฉินดูเหม่อลอย

 

ขอบเขตยอดอรหันต์นั้นยากเย็นจนเกินไป

 

หากบอกว่าตํานานยุทธจะกําเนิดขึ้นสักหนึ่ง คนในหลายชั่วอายุคน เช่นนั้นยอดอรหันต์หรือเซียนเทพปฐพีก็เรียกได้ว่าไม่เคยได้ยินว่ามีผู้ใดไปถึงมาก่อน

 

แม้แต่ในต่างแดนที่วิทยายุทธเฟื่องฟูมานาน เซียนเทพปฐพีก็ยังเป็นเรื่องในตํานาน และไม่ได้แสดงตัวให้โลกภายนอก ได้รับรู้มานานหลายพันปีแล้ว

 

“ไม่เป็นไร”

 

“ไม่ควรคิดให้มันมากมายอะไร”

 

“ค่อยคิดจริงจังอีกทีตอนที่ข้าเข้าสู่ระดับนภาชั้นที่เก้าได้แล้ว ข้าจะไปต่างดินแดนด้วยตัวของข้าเองและลองถามผู้นํานิกายใหญ่เหล่านั้นดู”

 

ซูฉินส่ายหัวเล็กน้อย ไม่ได้คิดเรื่องนี้อีกต่อไป

 

ตามที่เขารู้มาในตอนนี้ ผู้ที่มีพลังต่อสู้สูงที่สุดในต่างแดนคือเหล่าบรรพชนที่หลับใหลอยู่ในนิกายใหญ่เหล่านั้น

 

ปราณชีวิตและเลือดเนื้อของบรรพชนเหล่านี้กําลังลดลงไปเรื่อยๆ พวกเขาสามารถอาศัยเพียงการหลับใหลเพื่อยื้อเวลาต่อเท่านั้น

 

เมื่อต้องมาเผชิญหน้ากับซูฉินก็เป็นเพียงหมูในอวยที่ป ราบปรามได้อย่างสบายๆ

 

นอกจากนี้ ถ้าซูฉินไปถึงระดับนภาชั้นที่เก้าได้จริงๆ การที่เขามีไพ่ลับมากมายในมือ ไม่ต้องพูดถึงบรรพชนเหล่านั้นเลย แม้จะเป็นเซียนเทพปฐพีจริงๆ ถึงจะไม่สามารถเอาชนะได้ แต่ก็ยังหลบหนีได้

 

“อย่างไรก็ตาม ในบรรดาสมบัติมากมายที่ได้จากการลงชื่อเข้าใช้ภายในโลกถ้ําปีศาจ สิ่งที่มีค่าที่สุดไม่ใช่ผลแก่นปีศาจหรือมีดเทพเจ้าปีศาจ แต่เป็นสิ่งนี้ ”

 

ซูฉินหรี่ตาลง ทันใดนั้นก็มีเลือดหยดหนึ่งปรากฏขึ้นต่อหน้าเขา

 

แม้ว่าเลือดหยดนี้จะลอยอยู่นิ่งๆ แต่จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์รวมถึงพลังจากอาณาเขตกลับสูญเสียความสามารถไปอย่างสิ้นเชิงเมื่อทดลองใช้กับหยดเลือดเบื้องหน้านี้

 

ราวกับเลือดหยดนี้ไม่มีอยู่จริง

 

“สามารถมองเห็นด้วยตาเปล่าเท่านั้น จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์และอาณาเขตไม่สามารถจับสัมผัสมันได้เลย นี่คือโลหิตเทพเจ้าปีศาจของจริงเช่นนั้นหรือ?”

 

ซูฉินรู้สึกทิ้งไม่น้อย

 

ค่ายกลฟ้าดินนั้นสามารถขัดขวางการตรวจจับของจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ได้ แต่หากค่ายกลฟ้าดินอยู่ภายในอาณาเขตล่ะก็ ไม่ว่าจะเป็นค่ายกลประเภทใดก็สามารถมองเห็นได้ทะลุปรุโปร่งราวกับอยู่บนฝ่ามือตนเอง

 

ตั้งแต่ที่ซูฉินควบแน่นอาณาเขตได้ เขาไม่เคยเห็นสมบัติใดที่หลีกเลี่ยงการตรวจจับของเขาได้มาก่อน

 

แต่โลหิตเทพเจ้าปีศาจนั้นเป็นข้อยกเว้น

 

ไม่ว่าซูฉินจะใช้อาณาเขตครอบคลุมเพียงใด เขาก็ไม่สามารถรู้สึกได้ถึงโลหิตเทพเจ้าปีศาจเลย

 

“เทพเจ้าปีศาจ เป็นตัวตนในระดับใดกันนะ?”

 

ซูฉินมองดูโลหิตเทพเจ้าปีศาจที่อยู่ตรงหน้าอย่างระมัดระ

 

โลหิตเทพเจ้าปีศาจไม่ได้ปลดปล่อยกลิ่นอายอะไรออกมา แต่ดูเหมือนจะเป็นอิสระจากพื้นที่แห่งนี้ และสามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าเท่านั้น

 

“เดิมที่ข้าคิดว่าเทพเจ้าปีศาจในโลกถ้ําปีศาจอย่างมากที่สุดก็ไม่ต่างไปจากเซียนเทพปฐพี่มากนัก แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าเทพเจ้าปีศาจจะอยู่เหนือเซียนเทพปฐพีไปอีก”

 

ซูฉินคิดอยู่เงียบๆ

 

ซูฉินอยู่ในระดับนภาชั้นที่เจ็ดและควบแน่นอาณาเขตได้แล้ว จึงพอจะกะประมาณความสูงส่งของเซียนเทพปฐพีได้อย่างคร่าวๆ

 

แต่เทพเจ้าปีศาจนั้น

 

ซูฉินไม่เคยพบเห็นมาก่อน แต่เมื่อได้พบโลหิตเทพเจ้าปีศาจหยดนี้ เขาก็ตระหนักได้ว่าเทพเจ้าปีศาจเป็นตัวตนที่น่าเหลือเชื่ออย่างแน่นอน

 

“ในช่วงปีที่ผ่านมานั้นได้รับโลหิตเทพเจ้าปีศาจจากการลงชื่อเข้าใช้มาเจ็ดถึงแปดหยด”

 

ซูฉินดึงโลหิตเทพเจ้าปีศาจออกมาจากคลังระบบเพียงหนึ่งหยด เพื่อที่จะพิจารณามันให้เข้าใจ

 

“โลหิตเทพเจ้าปีศาจยังไม่มีประโยชน์กับข้าในตอนนี้ อย่างน้อยก็จนกว่าจะเข้าสู่ขอบเขตยอดอรหันต์ถึงจะพอ นําออกมาใช้ได้”

 

“เอาล่ะ ฝึกฝนต่อไปดีกว่า”

 

ซูฉินค่อยๆหลับตาลง และในครั้งหนึ่งที่เขาคว้ามือออกไป ก็จะหยิบผลแก่นปีศาจหรือไม่ก็ผลไม้สีแดงติดมาด้วยหลายสิบผล เพื่อช่วยพัฒนาระดับขั้นของเขาอย่างต่อเนื่อง

 

และในครั้งนี้

 

ขณะที่ซูฉินกําลังปิดด่านฝึกตน

 

ณ ยุทธภพในต่างดินแดน บนเกาะแห่งหนึ่ง

 

เจ้าตําหนักเทพเจ้าหิมะ ผู้นํานิกายเฮยหยวน เจ้าสํานักเอกะวิถี และผู้นํานิกายใหญ่หลายคนต่างก็มารวมตัวกัน

Sign in Buddha’s palm 201 เข้าสู่ระบบ! ทิพยอํานา จชนิดที่สามของซูฉิน!

 

ในช่วงเวลานี้

 

ศิษย์ทุกคนของตําหนักเทพเจ้าหิมะที่อยู่ในวังน้ําแข็งก็พลันรู้สึกได้ถึงความเย็นที่เสียดแทงลึกลงไปถึงกระดูก

 

“ไม่ดีแล้ว”

 

“มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่เนี่ย?”

 

“เจ้าตําหนัก เจ้าตําหนักโกรธเกรี้ยวอย่างหนักเลย”

 

ศิษย์ตําหนักเทพเจ้าหิมะรีบคุกเข่าลงอย่างเร่งรีบ มิกล้าที่จะเงยหน้าขึ้น

 

ในสายตาพวกเขา เจ้าตําหนักเทพเจ้าหิมะเปรียบเสมือนเทพสูงส่ง ควบคุมชีวิตความเป็นความตายของศิษย์ทุกคนไว้ในกํามือ

 

หากเจ้าตําหนักเทพเจ้าหิมะโกรธเกรี้ยวก็ราวกับท้องฟ้าถล่มลงมาใส่พวกเขา

 

“ทําไมเจ้าตําหนักถึงโกรธขึ้นมา ในช่วงสิบปีมานี้ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นภายในตําหนักเทพเจ้าหิมะของข้านี่นา…”

 

ศิษย์หลายคนงงงวย

 

“เป็นไปได้หรือไม่ที่มันเกี่ยวพันกับผู้สืบทอด?”

 

ใบหน้าของศิษย์บางคนเปลี่ยนแปลงไป ก่อนหน้านี้ เทพธิดาได้รับคําสั่งจากเจ้าตําหนักให้ไปสํารวจสถานที่พิพาทตามคําทํานายของสํานักชะตาฟ้า พร้อมๆกับศิษย์นิกายใหญ่อีกหลายคน

 

ไม่นานหลังจากนั้น เจ้าตําหนักเทพเจ้าหิมะก็โกรธเกรี้ยว ศิษย์หลายคนอดที่จะคาดเดาไม่ได้ว่ามันอาจจะเกี่ยวข้องกัน

 

บรรดาศิษย์ที่คาดเดาไปตามนี้ก็เริ่มไม่สบายใจกันยกใหญ่

 

ในส่วนลึกของวังน้ําแข็งเกือบจะกลายเป็นน้ําแข็งเกือบทั้งหมด ความหนาวเย็นเพิ่มขึ้นมหาศาล

 

“เจ้า…เจ้าตําหนักไว้ชีวิตด้วย…”

 

ศิษย์ตําหนักเทพเจ้าหิมะที่เข้ามารายงานเรื่องดวงไฟของเทพธิดามอดดับ รู้สึกว่าร่างกายของตนแข็งที่อ เลือดและแก่นแท้แห่งพลังไหลเวียนช้าลง แม้แต่สติก็เริ่มไม่ชัดเจน

 

แม้ว่าวิชาส่วนใหญ่ที่ศิษย์ตําหนักเทพเจ้าหิมะฝึกฝนจะเป็นธาตุน้ําแข็ง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะสามารถเพิกเฉยต่อความหนาวเย็นได้

 

“ท่านเจ้าตําหนัก ความแข็งแกร่งของเจ้าตําหนักเพิ่มขึ้นอีกแล้ว…” ผู้อาวุโสที่อยู่ด้านข้างอดไม่ได้ที่จะหันหน้ามองกัน ร่องรอยความหวาดกลัวปรากฏขึ้นบนใบหน้าของพวกเขา

 

เจ้าตําหนักเทพเจ้าหิมะในตอนนี้ เพียงแค่ไอพลังก็ทําให้เกิดผลกระทบมากถึงเพียงนี้ แม้จะยังไม่แตะระดับนภาชั้นที่เจ็ดขั้นสูงสุดในขอบเขตตํานานยุทธ แต่เกรงว่าคงอีกไม่ห่างไกล

 

“อื้ม!”

 

เจ้าตําหนักเทพเจ้าหิมะเหลือบมองสาวกคนนั้น ไอพลังค่อยๆลดลง และกล่าวอย่างเย็นชาว่า “ไปเอาเทียนดวงไฟชีวิตของหลิงเอ๋อมา”

 

“เจ้าค่ะ”

 

ศิษย์ตําหนักเทพเจ้าหิมะตัวสันกลัว รีบเดินออกไปอย่างรวดเร็ว ไม่นานหลังจากนั้น นางก็ถือเชิงเทียนที่ดูคล้ายจะทํามาจากผลึกน้ําแข็งเดินเข้ามา

 

“มันดับแล้วจริงๆ”

 

เจ้าตําหนักเทพเจ้าหิมะมองดูแล้วนิ่งเงียบไป

 

เมื่อดวงไฟแห่งชีวิตดับลง หมายความว่าเจ้าของดวงไฟได้ดับสูญโดยสมบูรณ์ แม้แต่จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ก็มิรอดพ้น

 

“มันเป็นใคร มันเป็นใคร?!!”

 

แม้เจ้าตําหนักเทพเจ้าหิมะไม่ได้แสดงสีหน้าอะไร แต่คําพูดนั้นเผยจิตสังหารออกมาอย่างแผ่วเบา

 

เทพธิดาปิงหลิงเป็นลูกศิษย์ที่นางเลือกสรรเป็นการส่วนตัว เพื่อฝึกฝนให้เป็นเจ้าตําหนักเทพเจ้าหิมะคนต่อไป

 

อาจกล่าวได้ว่า เจ้าตําหนักเทพเจ้าหิมะใช้ความพยายามอย่างมหาศาลไปกับปิงหลิง

 

แต่ตอนนี้ปิงหลิงกลับตายไปแล้ว?

 

“เจ้าตําหนัก”

 

ในเวลานั้น ผู้อาวุโสที่อยู่ด้านข้างก็กัดฟันและพูดขึ้นว่า “เทพธิดาได้บรรลุถึงจุดสูงสุดของนภาชั้นที่สามควบคู่ไปกับวิชาลับของตําหนักเทพเจ้าหิมะของพวกเรา แม้ว่าจะพบเข้ากับตํานานยุทธในระดับนภาชั้นที่สี่ทั่วๆไป การหลบหนีก็คงมิใช่ปัญหา…”

 

“ถ้าเข้าใจไม่ผิด ท่านเจ้าตําหนัก การที่สามารถสังหารเทพธิดาได้ อย่างน้อยๆ ความแข็งแกร่งก็ต้องใกล้เคียงกับระดับผู้นํานิกาย”

 

ผู้อาวุโสอีกคนหนึ่งเปิดปากพูด วิเคราะห์ความเป็นไปได้

 

“ผู้นํานิกาย?”

 

เจ้าตําหนักเทพเจ้าหิมะหรี่ตาลง ประกายแสงวาบผ่านดวงตา “หลิงเอ๋อมีสิ่งของช่วยชีวิตที่บรรพชนมอบให้ เมื่อถูกกระตุ้น แม้ว่าจะเป็นตํานานยุทธในระดับนภาชั้นที่เจ็ดก็ไม่สา มารถตามนางได้ทัน”

 

เสียงของเจ้าตําหนักเทพเจ้าหิมะดับไป

 

รูม่านตาของเหล่าผู้อาวุโสก็หดตัวลง

 

“ระดับนภาชั้นที่เจ็ด ใช่บรรพชนของนิกายใหญ่บางแห่ง ที่ตื่นขึ้นมาเพื่อลงมือกับเทพธิดาเช่นนั้นหรือ?”

 

“เป็นไปไม่ได้ คนเหล่านั้นอายุตั้งเท่าไหร่กันแล้ว หวงแหนชีวิตกันแค่ไหน? เป็นไปไม่ได้เลยที่จะยอมสูญเสียอายุขัยที่มีอยู่น้อยนิดเพื่อมาลงมือกับเทพธิดา”

 

“ถ้าอย่างนั้น สถานการณ์ที่เกิดขึ้นตอนนี้มันคืออะไรกันเล่า?”

 

ผู้อาวุโสหลายคนเริ่มโต้เถียงกันในทันที

 

ในเวลานั้น ผู้อาวุโสที่ไม่ได้พูดอะไรเลยตั้งแต่แรกก็กล่าวขึ้นมา “บางทีเทพธิดาอาจจะไม่มีเวลาใช้สิ่งของช่วยชีวิต?”

คําที่กล่าวออกมา

 

ผู้อาวุโสหลายคนมองหน้ากันและรู้สึกว่ามันก็เป็นไปได้มากเช่นกัน

 

“ไม่ทันได้ใช้?”

 

ดวงตาของเจ้าตําหนักเทพเจ้าหิมะเป็นประกาย

 

อันที่จริง ตัวนางเองก็คิดว่าเหตุผลนี้น่าจะเป็นไปได้มากที่สุด ตํานานยุทธระดับนภาชั้นที่เจ็ดหาได้ยากเย็นแค่ไหนกัน แม้ว่าตัวตนเช่นนี้จะเคลื่อนไหวจริง ก็ควรจะลงมือกับผู้ที่แข็งแกร่งเช่นนาง ส่วนเทพธิดาปิงหลิงนั้น

 

ระดับของปิงหลิงยังไม่คู่ควรให้ตํานานยุทธระดับนภาชั้นที่เจ็ดลงมือเอง

 

“แต่ว่า”

 

“มันถึงขนาดสามารถทําให้หลิงเอ๋อใช้สิ่งของช่วยชีวิตได้ไม่ทันการณ์”

 

เจ้าตําหนักเทพเจ้าหิมะครุ่นคิด

 

“เจ้าตําหนัก”

 

ผู้อาวุโสที่กล่าวเป็นคนสุดท้ายเหมือนจะคิดอะไรบางอย่างออก แล้วจึงพูดออกมาอย่างระมัดระวัง “มีศิษย์หลายคนของนิกายใหญ่ที่ไปยังสถานที่แห่งนั้นพร้อมกับ เทพธิดา”

 

“หากมีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้นกับเทพธิดา พวกเขาย่อมรู้ดีกว่าเราแน่นอน แทนที่จะมัวแต่มาเดาว่าใครลงมือ ไปถามนิกายใหญ่สักสองสามแห่งดูไม่ดีกว่าหรือ…”

 

“ข้าเข้าใจแล้ว”

ดวงตาของเจ้าตําหนักเทพเจ้าหิมะเป็นประกาย ตบขาก้าวเท้าออกไป หายวับไปทันตา

 

ในช่วงเวลาที่เหล่านิกายใหญ่ในต่างดินแดนเกิดความวุ่นวายสับสนอยู่นั้น

 

ซูฉินเดินช้าๆ อยู่ภายในวังหลวง ตอนนี้เขาออกจากการปิดด่านฝึกตนแล้ว ซูฉินไม่ได้วางแผนจะกลับไปฝึกต่อในทันที

 

“กระแสปราณฉี…”

 

ซูฉินยกมือขวาขึ้น ค่อยๆ คว้าหมับจับเข้าไปที่อากาศที่ว่างเปล่า

 

ทันใดนั้น ซูฉินก็คว้าจับหมอกในอากาศมาไว้ในฝ่ามือได้กลุ่มหนึ่ง

 

กลุ่มหมอกเหล่านี้มองด้วยตาเปล่าไม่เห็น จับต้องไม่ได้ ดูเหมือนสามารถเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา และพยายามจะหนีออกจากฝ่ามือของซูฉิน

 

หากมีตํานานยุทธนิกายใหญ่ในต่างแดนได้มาเห็นฉากนี้ พวกเขาจะต้องตกใจเมื่อพบว่าหมอกในมือของซูฉินคือจิตใจแห่งฟ้าดิน

 

จิตใจแห่งฟ้าดินและพลังฟ้าดินนั้นแตกต่างกัน

 

เมื่อเทียบกับพลังฟ้าดินแล้ว จิตใจแห่งฟ้าดินนั้นเป็นนามธรรมมากกว่า

 

มันเป็นเหมือนสสารชนิดพิเศษที่กระจายอยู่ใต้ผืนฟ้าเหนือผืนแผ่นดิน แม้จะเป็นตํานานยุทธระดับนภาชั้นที่เจ็ดก็ยังยากที่จะจับเค้าลางของมันได้

 

แต่ตอนนี้

 

ซูฉินกําลังเล่นกลุ่มหมอกในมือซึ่งมีจํานวนมากจนน่าตกใจ

“น่าเสียดาย

 

“ในรัศมีหลายสิบลี้นี้ มีจิตใจแห่งฟ้าดินเพียงเล็กน้อยเท่านั้น”

 

ซูฉินสูดลมหายใจ จิตใจแห่งฟ้าดินกลุ่มนี้ก็ไหลเข้าไปในรูจมูกที่ละหย่อม

 

ขณะที่ซูฉินกําลังเดินทอดน่องอยู่ภายในวัง

 

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเมืองฉางอันก็แพร่กระจายไปทั่วอย่างรวดเร็ว

 

แม้ว่าจักรพรรดิถังจะสั่งห้ามไม่ให้กระจายข่าว แต่การต่อสู้นั้นก็สะเทือนฟ้าเกินไป ตํานานยุทธถึงห้าคนตกตายลง ทั้งยังมองเห็นกันได้อย่างชัดเจน แม้จักรพรรดิถังต้องการจะปิดกั้นข่าวสาร แต่ก็ไม่สามารถกระทําได้

 

จะอย่างไรก็คงปิดเมืองฉางอันทั้งเมืองอย่างสมบูรณ์ไม่ได้

 

ข่าวจึงแพร่กระจายไปทั่ว ทั้งทวีปต่างก็สั่นสะเทือนอีกครั้ง

 

“ตํานานยุทธหกคนมาที่เมืองฉางอันเพื่อต้องการจะปราบอาณาจักรถัง แต่ตํานานยุทธในเมืองฉางอันตวัดมีดเพียงไม่กี่ครั้ง ตํานานยุทธเหล่านั้นก็ล้มลงทีละคนราวกับใบไม้ร่วง?”

 

ผู้คนนับไม่ถ้วนต่างอยู่ในอาการตกตะลึง

 

สิ่งนี้เกินขอบเขต เกินจินตนาการของพวกเขา

 

การต่อสู้ของเหล่าตํานานยุทธเกิดขึ้นได้อย่างไร? ไม่ใช่ว่าตัวตนระดับนี้ควรจะมีแค่คนเดียวในยุคๆ หนึ่งมิ ใช่หรือ

 

และตัวตนเหล่านั้นปรากฏขึ้นมาถึงหกคนโดยที่ยังไม่ทันได้บอกความเป็นมา กลับถูกฆ่าตายอย่างรวดเร็วอยู่ภายในเมืองไปเสียแล้ว?

 

นี่มันน่าเหลือเชื่อมากเหลือเกิน!

 

“จริงอยู่ที่ล่าสุดราชครูอาณาจักรเหมิ่งหยวนตกตายอยู่ภายในเมืองฉางอัน แต่ก็พอจะอธิบายได้ว่าเขาเพิ่งจะทะลวงขั้นขึ้นไปและระดับพลังยังไม่เสถียร แต่ยามนี้มีตํานานยุทธถึงหกคน ตํานานยุทธเมืองฉางอันทําเช่นไรกันถึงสังหารคนเหล่านั้นได้?”

 

จอมยุทธบางคนเอ่ยถามขึ้นมา

 

“เจ้าไม่เชื่ออั้นหรือ? ในเวลานั้นข้าอยู่นอกเมืองฉางอัน และเห็นตํานานยุทธทั้งหกเข้าปิดล้อมพระราชวังทั้งหมด พวกเขาใช้ท้องฟ้าเป็นเสมือนม้านั่งเอนหลัง”

 

“แล้วตํานานยุทธในวังหลวงก็ปรากฏตัวขึ้น ในเวลาต่อมาตํานานยุทธก็ตกตายไปห้าคน”

 

จอมยุทธคนดังกล่าวตบอกสาบานว่าเขาเห็นมาด้วยตาของตนเองจริงๆ

 

“ตายไปห้าคน แต่ทั้งหมดมีหกคนนี้ ไม่ใช่ว่าอีกคนรอดไปได้อย่างนั้นหรือ?” มีคนจับประเด็นบางอย่างได้ จึงกล่าวถามขึ้นมา

 

“ไม่ใช่”

 

“ตํานานยุทธที่เหลือรอดนั้น เป็นเพราะตํานานยุทธภายในวังหลวงจงใจปล่อยให้มีชีวิตรอด คงเพราะมีประโยชน์บางอย่าง ”

 

จอมยุทธที่กําลังเล่าอยู่นั้น หยุดไปครู่หนึ่ง ก่อนจะลดเสียงของเขาลง “อีกประการหนึ่ง ในบรรดาตํานานยุทธทั้งหกที่มาเยือนเมืองฉางอัน หนึ่งในนั้นน่าจะเป็นบรรพบุรุษแห่งสํานักสังหารโลหิต…”

 

พูดออกมาได้เท่านั้น

 

ก็เกิดความโกลาหลขึ้นในทันใด

 

บรรพบุรุษสังหารโลหิตเป็นตํานานยุทธตั้งแต่ สองร้อยปีก่อน ไม่ว่าจะเป็นความแข็งแกร่งหรือฝีมือ ย่อมอ ยู่ไกลเกินกว่าราชครูเหมิ่งหยวนจะเทียบได้

 

ขนาดชายผู้แข็งแกร่งในขอบเขตตํานานยุทธ ต่อหน้าตํา นานยุทธในวังถัง ก็ไม่มีความสามารถพอจะต้านทานได้ นี่มันน่าเหลือเชื่อเกินไปหรือไม่?

 

“ตํานานยุทธในอาณาจักรถังของพวกเรานั้นแข็งแกร่ง เพียงใดกัน…”

 

ในที่สุดก็มีจอมยุทธบางคนอดไม่ได้ที่จะเอ่ยออกมา

 

ไม่ว่าจะเป็นราชครูเหมิ่งหยวนหรือตํานานยุทธทั้งหก ในตอนนี้พวกเขาก็ดูอ่อนแอราวกับเด็กทารกเมื่ออยู่ต่อหน้าตํานานยุทธในวังหลวง

 

เมื่อเป็นเช่นนี้เหล่าจอมยุทธจึงอยากจะรู้ความแข็งแกร่งของซูฉินเป็นธรรมดา

 

“แข็งแกร่งเพียงใด?”

 

จอมยุทธที่ได้พบเห็นเหตุการณ์ต่อสู้ภายในเมืองฉางอันเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวด้วยน้ําเสียงจริงจังว่า “ความแข็งแกร่งอันน่าหวาดกลัวนี้ คงจะมีเพียงตํานานยุทธ ที่ตกตายภายในเมืองฉางอันเท่านั้นที่ล่วงรู้ได้”

 

“หรือไม่ ตํานานยุทธเหล่านั้นก็คงไม่รู้เช่นกัน” จอมยุทธคนนั้นต่อเติมประโยคไปอีกหนึ่งประโยค เพียงแต่อยู่ในใจ

 

แน่นอนว่าซูฉินไม่ได้ล่วงรู้ว่าผู้คนนับไม่ถ้วน ต่างกําลังตกใจกับการที่เขาสังหารตํานานยุทธไปหลายต่อหลายคนอยู่ในขณะนี้

 

“ต้นไม้โบราณภายในเมืองเมฆาปีศาจไม่สามารถลงชื่อเข้าใช้ได้อีกต่อไปแล้ว.”

ซูฉินถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะออกจากโถงพระราชวังใต้ดิน เข้ามาที่วังหลวง

ในโลกถ้ําปีศาจ ต้นไม้โบราณในเมืองเมฆาปีศาจเป็นที่รู้กันว่ามันคือกิ่งก้านแตกแขนงมาจากต้นไม้ปีศาจโบราณในส่วนลึกของโลกถ้ําปีศาจ ที่คอยแบกรับโลกทั้งใบเอาไว้อยู่

 

เดิมที่ซูฉินคิดว่ากิ่งก้านที่แตกแขนงออกมานี้จะสามารถสนับสนุนการลงชื่อเข้าใช้ของเขาได้นานหลายสิบปี

 

แต่ผลก็คือ ไม่ทันจะถึงสองปีด้วยซ้ํา “เต๋าสะสม” ก็หมดลงเสียแล้ว

 

“อย่างไรก็ตาม ในช่วงปีที่ผ่านมา ข้าก็ได้ลงชื่อรับของดีๆจากต้นไม้โบราณนี้มากมาย”

 

ซูฉินแตะปลายคาง แลดูพึงพอใจ

 

นอกเหนือจากการลงชื่อจนได้รับผลแก่นปีศาจนับพันแล้วก็ยังมีสมบัติอีกมากมาย เช่น ผลึกปราณปีศาจ หยดน้ํา มารสวรรค์ โลหิตเทพเจ้าปีศาจ และสมบัติอื่นๆอีกมากมาย

 

มีของหลายสิ่งในหมู่สมบัติเหล่านี้ที่ไม่ได้ด้อยไปกว่ามีดเทพเจ้าปีศาจเลย

 

“สุดท้ายแล้วมันก็เป็นเพียงกิ่งก้านสาขาของต้นไม้ปีศาจโบราณที่แท้จริง เกรงว่าพลังของมันอาจจะเทียบได้แค่หนึ่งในล้านส่วนของต้นหลักกระมัง ลงชื่อเข้าใช้ได้มากขนาดนี้ก็ค่อนข้างดีแล้ว”

 

ซูฉินพยักหน้าเล็กน้อยเพื่อปลอบใจตัวเอง

 

“ไม่รู้จริงๆ ว่าหากลงชื่อเข้าใช้ที่หน้าต้นไม้ปีศาจโบราณของจริง จะได้สมบัติอะไรมาบ้าง”

 

ซูฉินรู้สึกถึงความเย้ายวนใจ

 

อย่างไรก็ตาม ซูฉินรู้ว่าในช่วงเวลาสั้นๆนี้ เป็นไปไม่ได้ที่ตนจะเข้าไปในส่วนลึกของโลกถ้ําปิศาจ

 

“ในโลกถ้ําปิศาจลงชื่อเข้าใช้ไม่ได้แล้ว ถ้าอย่างนั้นก็ลงชื่อเข้าใช้ที่นี่ดีไหมนะ?” ซูฉินหยุดและมองไปที่จัตุรัสหยกขาวที่อยู่เบื้องหน้า

 

“ระบบ ลงชื่อเข้าใช้!”

 

ซูฉินยืนคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดขึ้นในใจ

 

[ขอแสดงความยินดี โฮสต์ลงชื่อเข้าใช้สําเร็จ ได้รับทิพยอํานาจ เรียกลมเรียกฝน]

 

เสียงจักรกลที่แสนเย็นชาดังขึ้นด้านในหูของซูฉิน

 

“ทิพยอํานาจ?”

 

รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของซูฉิน

Sign in Buddha’s palm 200 ความโกรธเกรี้ยวของนิกายใหญ่

 

ที่หน้าพระราชวัง

 

ซูฉินยกมือขวาขึ้น และละอองจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของเทพธิดายุคปัจจุบันแห่งตําหนักเทพเจ้าหิมะค่อยๆสลายตัวไป

 

ถ้าซูฉินไม่ได้ครอบครองอาณาเขตปิงหลิงอาจจะหนีไปได้จริงๆ แต่น่าเสียดาย ภายใต้อาณาเขตแห่งนี้ ซูฉินเป็นนายเหนือหัว อยากจะพลิกผืนปฐพีหรือทําลายโลกก็ทําได้เพียงแค่คิด

 

ไม่ว่าปิงหลิงจะเร็วแค่ไหนก็ไร้ความหมาย ยกเว้นจะสามารถพุ่งทะลุมิติ แหวกอาณาเขตออกไปได้

 

“เป็นคลื่นปราณที่น่าสนใจ…”

 

ซูฉินมองไปที่จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของปิงหลิง หรือจะบอกว่าเขามองคลื่นปราณที่ห่อหุ้มจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของปิงหลิงเอาไว้ต่างหากจึงจะถูก

 

ด้วยคลื่นปราณอันนี้นี่เองที่ทําให้ปิงหลิงสามารถถอดจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์หนีออกจากร่างกายด้วยความเร็วที่น่าสะพรึงกลัวได้

 

ซูฉินเหลือบมองครู่หนึ่งจากนั้นก็ไม่ได้สนใจอีก

 

หากคลื่นปราณนี้สามารถชักนําร่างกายให้หนีไปด้วยได้ ซูฉินก็คงจะสนใจอยู่บ้าง แต่นี่หลบหนีได้เพียงจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ…..

 

ซูฉินจึงไม่สนใจที่จะพินิจพิจารณา

 

หลังจากที่ซูฉินเปลี่ยนจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของปิงหลิงเป็นเศษละออง เขาก็เงยหน้าขึ้นมองนักพรตในชุดคลุม แบบฉบับเต๋าเป็นคนสุดท้าย

 

จนถึงตอนนี้ ในบรรดาผู้ที่มาจากต่างดินแดน เหลือเขาเพียงคนเดียวที่ยังคงมีชีวิตอยู่

 

นอกจากซูฉินที่ยืนอยู่ในพื้นที่แห่งนี้แล้ว ก็เหลือเขายืนอยู่อย่างเดียวดาย

 

“น่ากลัวเกินไปแล้ว!”

 

เมื่อเห็นซูฉินจ้องมองมา มือและเท้าของนักพรตในชุดคลุมเต๋าก็สั่นเทา

 

เพียงการเคลื่อนไหวไม่กี่กระบวนท่าของซูฉินก็เพียงพอที่จะกวาดล้างศิษย์นิกายใหญ่เหล่านั้นแล้ว โดยเฉพาะเทพธิดาคนปัจจุบันแห่งตําหนักเทพเจ้าหิมะ เห็นได้ชัดว่านางมีวิธีการหลบหนีบางอย่าง ยอมแม้กระทั่งละทิ้งร่างของนางเอง แต่ผลลัพธ์ก็คือหนีไม่พ้นเงื้อมมือของซูฉินอยู่ดี ซึ่งสําหรับนักพรตเต๋าผู้นี้ นี่ราวกับเป็นระเบิดลูกใหญ่ตกลงมาในจิตใจ

 

“เจ้ารู้หรือไม่ทําไมข้าถึงไม่สังหารเจ้า” น้ําเสียงของซูฉินราบเรียบ ไม่มีขึ้นไม่มีลง แต่เสียงที่มาถึงใบหูของนักพรตเต๋านั้นราวกับสายฟ้าฟาด

 

“ผู้อาวุโสคงต้องการจะทราบความบางสิ่ง” นักพรตเต๋าคิดอย่างรวดเร็วก่อนจะตอบด้วยความเคารพ

 

“ฉลาดใช้ได้” รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของซูฉิน “จงมากับข้า”

 

แม้ว่าซูฉินจะไว้ชีวิตนักพรตเต๋าด้วยเหตุผลนี้ แต่ที่มากกว่านั้นคือนักพรตเต๋าเป็นเพียงคนเดียวในที่แห่งนี้ที่ไม่มีเจตนาฆ่า

 

แม้ว่าจะมีการประมือกับหร่วนชิง เขาก็เพียงแค่ทดลองฝีมือกันเท่านั้น และหร่วนซิงไม่ได้รับบาดเจ็บสาหัสอะไร

 

ไม่ช้า

 

หลังจากที่ซูฉินพูดคุยกับจักรพรรดิถังสองสามคํา เขาก็พาหร่วนซิง นักพรตเต๋า รวมถึงคนอื่นๆกลับไปยังพระราชวัง

 

จักรพรรดิถังประจําตําแหน่งเรียกระดมกําลังพลเพื่อเข้าแก้ไขความวุ่นวายที่เกิดจากตํานานยุทธทั้งหก

 

ภายในพระราชวังตะวันออก ซูฉินมองไปทางนักพรตเต๋าด้วยท่าทางน่าเกรงขาม กล่าวออกอย่างสบายๆ “บอกทุกสิ่งที่เจ้ารู้มา”

 

“ขอรับ”

นักพรตเต๋าโค้งคารวะก่อนจะกล่าวออกมา “ข้ามีนามว่า เหยียนไฟ และมาจากสํานักเอกะวิถีในต่างดินแดน”

 

“สํานักเอกะวิถี” ใบหน้าของหร่วนชิงที่อยู่ด้านข้างเปลี่ยนไปเล็กน้อย

 

“เจ้ารู้จัก สํานักเอกะวิถี” หรือ?” ซูฉินเหลือบมองไปที่หร่วนชิงพร้อมกับเอ่ยถามเบาๆ

 

“นายท่าน สํานักเอกะวิถีมีชื่อเสียงมากในยุทธภพต่างแดน ข้าจะไม่รู้จักได้อย่างไร?” หร่วนชิงกล่าวด้วยความเคารพ “แม้แต่ในหมู่นิกายใหญ่จํานวนมากในต่างแดน สํานักเอกะวิถีก็นับได้ว่าติดหนึ่งในห้าอันดับแรก”

 

“นักพรตแต่ละรุ่นของสํานักเอกะวิถี ต่างก็ทรงพลัง สามารถปราบปรามตํานานยุทธมากมายในต่างดินแดนได้”

 

“และได้ยินมาว่า เมื่อสามพันปีก่อน สํานักเอกะวิถีถึงกับให้กําเนิดเซียนเทพปฐพีออกมาด้วยซ้ําไป”

 

หร่วนชิงอธิบายทุกสิ่งที่ตนรู้เกี่ยวกับ สํานักเอกะวิถี” อย่างรวดเร็ว

 

“เซียนเทพปฐพี่?”

 

“ดูเหมือนว่าสํานักเอกะวิถีนี่ค่อนข้างแข็งแกร่งทีเดียว?”

 

ซูฉินแตะปลายคาง ใบหน้าฉายแววครุ่นคิด

 

ในระดับของซูฉิน เป็นธรรมดาที่เขาจะรู้ดีว่าการเข้าสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพีนั้นยากเย็นเพียงใด

 

เมื่อหร่วนชิงได้ฟังความเห็นของซูฉินเกี่ยวกับสํานักเอกะวิถี หนังศีรษะของเขาก็ชาวาบ ในฐานะที่สํานักเอกะวิถีเป็นนิกายใหญ่ในต่างแดน ข้ามผ่านเวลามานานหลายหมื่นปี ไม่รู้ว่ามีผู้แข็งแกร่งกี่คนต่อกี่คนก้าวออกมาจากสํานักแห่งนี้ แต่ซูฉินกลับกล่าวว่าค่อนข้างแข็งแกร่ง?

 

ยิ่งไปกว่านั้นหร่วนชิงยังสังเกตเห็นได้รางๆ ว่า ยามที่ซูฉินประเมินด้วยคําว่า “ค่อนข้างแข็งแกร่ง” ซูฉินเหมือนจะแสดงความคิดเห็นต่อเซียนเทพปฐพีแห่งสํานักเอกะวิถีเมื่อสามพันปีก่อน

 

ส่วนสํานักเอกะวิถี

 

ไม่รู้ว่าตนเองคิดมากไปเองรึเปล่า แต่หร่วนชิงแอบสังเกตเห็นว่าซูฉินไม่ได้สนใจนิกายใหญ่ในต่างแดนแห่งนี้เลย

 

นักพรตเต๋าเหยียนไห่ยิ้มอย่างขมขื่น เขาไม่ได้คิดมากอย่างที่หร่วนซิงคิด แต่ในตอนนี้ เหยียนไห่รู้ดีว่าชีวิตความเป็นความตายของตนขึ้นอยู่กับความคิดวูบเดียวของซูฉินเท่านั้น ไม่ว่าสํานักเอกะวิถีจะแข็งแกร่งเพียงใดมันก็ไร้ประโยชน์

 

“เล่าต่อไป”

 

ซูฉินเพียงถอนหายใจแล้วไม่ได้พูดอะไรอีก

 

สําหรับซูฉินแล้ว ขอบเขตเซียนเทพปฐพี่เป็นเพียงเรื่องของเวลา ไม่มีอะไรต้องกังวล

 

“ข้ามายังทวีปนี้พร้อมกับเทพธิดายุคปัจจุบันของตําหนักเทพเจ้าหิมะ ศิษย์สายตรงของนิกายเฮยหยวนและคนอื่นๆ ได้มายังทวีปนี้ตามคําสั่งของครูบาอาจารย์เพื่อเข้าสํารวจพื้นที่จุดตัดที่มีการฟื้นฟูกระแสปราณฉีครั้งใหญ่”

 

เหยียนไห่กล่าวทุกสิ่งอย่างตรงไปตรงมา รวมถึงจุดประสงค์ของตนเองและคนอื่นๆ เขาไม่กล้าหมกเม็ดสักเรื่องเดียว

 

เพราะเหยียนไห่รู้แก่ใจว่าต่อหน้าซูฉินผู้แข็งแกร่งไม่น้อยไปกว่าผู้อาวุโสระดับสูง การกระทําการใดๆ เพราะคิดว่าตนฉลาดพอนั้นเท่ากับการแสวงหาความตาย

 

ท่าทีของซูฉินไม่ได้เปลี่ยนไปมากนัก แต่การแสดงออกของหร่วนชิงกลับเปลี่ยนไปมากเมื่อได้ฟัง

 

โดยเฉพาะหลังจากได้ยินว่าหญิงสาวในชุดขาวเป็นถึงเทพธิดายุคปัจจุบันของตําหนักเทพเจ้าหิมะ ใบหน้าของเขาก็ซีดเซียวยิ่งขึ้น

 

“นายท่าน นายท่านเจอปัญหาร้ายแรงแล้ว…” หร่วนชิงพูดไปขนหัวก็ลุกพรึบ

 

เดิมที เขาคิดว่าคนที่มาที่นี่ในครั้งนี้ล้วนแต่เป็นศิษย์ธรรมดาของนิกายใหญ่ต่างดินแดน อย่างมากที่สุดก็คงเป็นศิษย์หลัก

 

หร่วนชิงไม่ได้คาดคิดว่าเหยียนไห่และคนอื่นๆ ต่างก็เป็นศิษย์สายตรงที่น่าภาคภูมิใจในยุคสมัยนี้

 

หร่วนซึ่งเข้าใจดีว่าคนเหล่านี้เป็นตัวแทนของสิ่งใด

 

หากเป็นศิษย์ธรรมดา ถ้าซูฉินสังหารไป ก็เป็นเพียงแค่การสังหาร แม้ว่าเหล่าอาวุโสนิกายใหญ่จะไม่พอใจ แต่พวกเขาจะไม่มาขัดแย้งกับซูฉินเพียงเพื่อศิษย์ธรรมดาๆเป็นแน่

 

แต่ตอนนี้

 

คนเหล่านี้ใช่ศิษย์ทั่วไปที่ไหนเล่า?

 

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ปิงหลิงในฐานะเทพธิดายุคสมัยปัจจุบันของตําหนักเทพเจ้าหิมะที่ได้รับการหมายมั่นให้เป็นเจ้าตําหนักในอนาคต การที่นางตกตายไปเช่นนี้ อย่างน้อยๆ เรื่องราวระหว่างซูฉินและตําหนักเทพเจ้าหิมะจะต้องไม่มีวันจบวันสิ้นเป็นแน่

 

ไม่มีแม้แต่คําว่าประนีประนอม

 

สําหรับศิษย์คนอื่นๆพวกเขาต่างก็เป็นศิษย์สายตรงจากนิกายใหญ่ แม้ศิษย์เหล่านี้จะไม่ได้มีคนเดียวในนิกาย แต่การสูญเสียไปหนึ่งก็เป็นเรื่องที่บอบช้ําไม่น้อย

 

การที่ซูฉินสังหารคนเหล่านี้เทียบเท่ากับการยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามกับนิกายใหญ่ในต่างแดน

มั่นใจในตัวซูฉิน แต่ตอนนี้เขาก็เริ่มรู้สึกหวาดกลัวแล้วจริงๆ

 

ไม่ว่าซูฉินจะแข็งแกร่งแค่ไหน เขาก็ตัวคนเดียว จะสามารถต่อสู้กับนิกายใหญ่ในต่างแดนทั้งหมดได้หรือ?

 

“ไม่เป็นไร

 

ซูฉินโบกมือ ไม่ใส่ใจ

 

ตามที่เหยียนไห่ได้บอกมาในตอนนี้ ยอดฝีมือระดับสูงที่ สุดในนิกายใหญ่ก็เป็นเพียงตํานานยุทธในระดับนภาชั้นที่ห้า ไม่ก็นภาชั้นที่หก จะมากี่คนซูฉินก็เพียงตบจนแดดิ้นไปเสีย ให้หมด

 

ส่วนเหล่าบรรพชนที่หลับใหลอยู่ภายในนิกาย อาจจะมี บางคนที่ก้าวเข้าสู่นภาชั้นที่เจ็ดและชั้นที่แปด แต่พลังชี วิตและเลือดเนื้อของพวกเขาเสื่อมถอยลงมากแล้ว ความ แข็งแกร่งก็ถดถอยอย่างหนัก

 

ในสายตาของหร่วนชิง นิกายใหญ่ในต่างแดนนั้นสูงส่งเทียมฟ้า แต่ในสายตาของซูฉินก็มองเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยที่กําจัดทิ้งไปได้ง่ายๆ

 

“จริงสิ การตายของเหล่าศิษย์เหล่านั้น พวกนิกายใหญ่คงไม่รู้หรอกกระมัง?” หร่วนชิงเหมือนได้พบแสงแห่งความหวัง และหันไปมองที่เหยียนไห่อย่างคาดหวัง

 

เหยียนไห่ลังเลอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงพูดออกมาตามจริง “ข้าและศิษย์นิกายใหญ่ได้ประทับร่องรอยจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ลงในดวงไฟแห่งชีวิต เก็บไว้ภายในส่วนลึกของนิกาย เมื่อตกตายอยู่ภายนอกนิกาย ดวงไฟแห่งชีวิตจะมอดดับลง และตอนนี้การตายของเทพธิดาปิงหลิงรวมถึงคนอื่นๆ อาจจะล่วงรู้ไปถึงนิกายของพวกเขาแล้ว…”

 

เมื่อหร่วนซึ่งได้ยินคํากล่าวนั้น มือเท้าของเขาก็เย็นเยียบ

 

“ไม่เป็นไร”

 

ซูฉินขัดจังหวะการสนทนาของหร่วนชิงกับเหยียนไห่ ก่อนจะถามตรงๆ “ข้าให้เจ้าสองทางเลือก ยอมจํานนหรือจะยอมตาย”

 

เมื่อเหยียนไห่ไม่ได้ยินคํากล่าวนั้น

 

แม้ว่าสถานะภายในสํานักเอกะวิถีของเขาจะไม่ได้สูงสุด แต่ก็ไม่ได้ต่ําตม และคงไม่ใช่การพูดเกินจริงหากกล่าวว่าเขาเองก็เป็นความภาคภูมิใจแห่งสวรรค์

 

แต่ตอนนี้เมื่อต้องเอาศักดิ์ศรีมาเปรียบเทียบกับชีวิต เหยียนไห่ก็อยู่สภาวะลังเลสองจิตสองใจ

 

“ผู้อาวุโส ข้าเลือกยอมจํานน” ในท้ายที่สุด เหยี่ยนไห้ก็ถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะโค้งคํานับ

 

ไม่ใช่ทุกผู้ทุกคนที่หาญกล้าเมื่ออยู่ต่อหน้าความตาย โดยเฉพาะตํานานยุทธผู้สูงส่ง ผู้ที่สามารถเพลิดเพลินกับทุกสิ่งทุกอย่างบนโลก พวกเขาจะเต็มใจตายได้อย่างไร?

 

“อย่าได้ต่อต้าน”

 

เพียงความคิด ซูฉินก็ได้แบ่งจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ออกมา ส่วนหนึ่ง ฝังลงไปในร่างกายของเหยียนไห่

 

“คารวะนายท่าน” เหยียนไห่นั่งลงก้มหัวให้กับซูฉิน

 

เมื่อเทียบกับหร่วนชิง เหยียนไห่รู้ดีกว่าเศษเสี้ยวจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ที่ซูฉินฝังมาในร่างนั้นเป็นการเชื่องโยงกับจิตใจโดยตรง ตราบที่หาญกล้ามีความคิดเป็นอื่น เศษเสี้ยวจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์นี้ย่อมระเบิดออกอย่างมิอาจเลี่ยง และทําลายจิตวิญญาณของเหยียนไห่จนสิ้น

 

“พวกเจ้าออกไปได้แล้ว”

 

ซูฉินโบกมือพร้อมกับกล่าวคํา

 

“ขอรับ”

 

เหยียนไห่และหร่วนชิงเหลือบมองหน้ากัน ก่อนจะโก้งคํานับและหันหลังจากไป

 

หลังจากที่ทั้งสองจากไปอย่างสมบูรณ์ ซูฉินก็เงยหน้าขึ้นเล็กน้อย มองไปทางต่างดินแดน ดวงตาของเขาสงบนิ่งเหม่อมองออกไปไกล

 

“นิกายใหญ่ สํานักระดับสูงในต่างแดน…”

 

หลังจากที่ซูฉินสังหารศิษย์นิกายใหญ่ต่างแดนหลายต่อหลายคนด้วยคมมีด

 

ในส่วนลึกของต่างแดน ภายในวังขนาดใหญ่ที่ทําจากผลึกน้ําแข็ง เจ้าตําหนักเทพเจ้าหิมะกําลังนั่งคุยอยู่กับเหล่าผู้อาวุโสหลายคน

 

“คราวนี้พวกเราจะต้องระวังให้ดีเรื่องสถานที่ในข้อพิพาท เรื่องราวนี้เกี่ยวพันกับมรดกหลายหมื่นปีของตําหนักเทพเจ้าหิมะของข้า ”

 

เสียงของเจ้าตําหนักเทพเจ้าหิมะนั้นคมชัด แต่เยือกเย็นดุจภูเขาน้ําแข็ง

 

“รับคําสั่งเจ้าตําหนัก”

 

ผู้อาวุโสหลายคนที่ดูเคร่งขรึมกล่าวออกมาอย่างเคร่งเครียด

 

แม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้แข็งแกร่งเท่ากับเจ้าตําหนักเทพเจ้า

 

พลังในที่แห่งนี้นั้นเริ่มไหลช้าลง ไม่เพียงเท่านั้น ปราณฉีที่มีมากมายไร้ที่สิ้นสุดของดินแดนโพ้นทะเลแห่งนี้เริ่มจะไหลออกไปอย่างกะทันหัน

 

สิ่งนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

 

ดังนั้นเมื่อเหตุการณ์นี้ปรากฏขึ้นเป็นครั้งแรก หัวหน้านิกายใหญ่ในต่างดินแดนต่างประชุมหารือกัน ท้ายที่สุดก็ได้ข้อสรุป คําทํานายของสํานักชะตาฟ้าควรจะเป็นเรื่องจริง

 

พื้นที่จุดตัดสําคัญนั้นมีอยู่จริง

 

“ท่านเจ้าตําหนักไม่ต้องกังวลไป ปิงหลิงได้ไปยังพื้นที่จุดตัดสําคัญแล้ว นางต้องจัดการได้” ผู้อาวุโสคนหนึ่งกําลังจะกล่าวคํา

 

ฉับพลัน

 

ในตอนนั้นเอง

 

ศิษย์ตําหนักเทพเจ้าหิมะก็รีบเข้ามา

 

“ท่านเจ้าตําหนัก ผู้อาวุโส แย่แล้ว แย่แล้ว” ศิษย์คนนั้นดูสับสนงุนงง มีร่องรอยของความหวาดกลัวแฝงอยู่

 

“เกิดอะไรขึ้น?” เจ้าตําหนักเทพเจ้าหิมะขมวดคิ้ว มองไปยังศิษย์คนดังกล่าว

 

“ท่านเจ้าตําหนัก เจ้าตําหนัก ดวงไฟแห่งชีวิตของเทพธิดา…มอดดับแล้ว.” ศิษย์ตําหนักเทพเจ้าหิมะกล่าวด้วยน้ําเสียงอันสั่นเทา

 

คําที่กล่าวออกมา

 

ใบหน้าของเจ้าตําหนักเทพเจ้าหิมะก็กลายเป็นแข็งตึง

 

ในทันทีหลังจากนั้น อุณหภูมิภายในวังน้ําแข็งทั้งหมดก็ลดฮวบ โดยมีเจ้าตําหนักเป็นจุดศูนย์กลาง

 

Sign in Buddha’s palm 198 (1) รังสีแห่งคมมีด

 

ซูฉินนั่งขัดสมาธิ โดยมีรอยยิ้มแขวนประดับอยู่บนใบหน้า

 

ในช่วงเวลาที่ผ่านมานี้ ซูฉินไม่เพียงแต่ทําให้อาณาเขตที่ก่อตัวขึ้นมาใหม่นั้นมั่นคง แต่ยังตรวจสอบความสามารถของอาณาเขตของตนไปด้วย

 

นี่เป็นสิ่งที่อย่างน้อยๆ ก็ต้องเป็นตํานานยุทธระดับนภาชั้นที่เจ็ดเท่านั้นที่มีความหวังจะจับจุดวิธีการต่างๆ ได้ อาณาเขตนั้นทําได้มากกว่าการสังหารศัตรู

 

อย่างน้อยตอนนี้ซูฉินก็ได้ใช้เวลาศึกษาพิจารณาดูจนพบว่าอาณาเขตมีความสามารถอื่นๆ เช่น การป้องกัน การปกปิด และยังช่วยชีวิตผู้คนได้ด้วย

 

นอกจากนี้ ซูฉินยังพบว่า หากเขาต้องการจริงๆ อาจจะขยายขอบเขตออกไปไกลกว่าหนึ่งร้อยจ้างได้

 

ระยะหนึ่งร้อยจ้างเป็นเพียงรัศมีที่ซูฉินควบคุมได้อย่างสมบูรณ์แบบ

 

ภายในร้อยจ้างนี้ ซูฉินเป็นนายเหนือหัว มีอํานาจทุกสิ่งอย่าง

 

แต่เมื่อขยายขอบเขตออกไปเกินกว่าหนึ่งร้อยจ้าง การควบคุมของซูฉินจะลดลง

 

พูดอย่างง่ายๆ หากตํานานยุทธระดับนภาชั้นที่เจ็ดคนใดตกอยู่ในอาณาเขตของซูฉินในระยะร้อยจ้าง มันผู้นั้นจะไม่สามารถหยิบยืมพลังจากรอบด้านได้ และถูกซูฉินสังหารอย่างแน่นอน ไม่มีทางหนีพ้น

 

อย่างไรก็ตาม หากซูฉินขยายอาณาเขตให้ไกลออกไปหลายพันจ้าง แม้ตํานานยุทธในระดับนภาชั้นที่เจ็ดเข้ามาในเขตแดน แน่นอนว่าถูกจํากัดพลังไปมาก แต่ก็ไม่ถึงกับไร้หนทางดิ้นรน

 

อย่างน้อยก็ต่อสู้ได้สักหลายกระบวนท่า

 

“ต่อจากนี้ นอกจากฝึกฝนบ่มเพาะ ข้ายังจะต้องบีบอัดพลังฟ้าดินต่อไป เติมพลังงานให้กับอาณาเขต สร้างพื้นที่ให้กว้างใหญ่ ครอบคลุมพื้นที่ให้มากขึ้น”

 

ในใจของซูฉินเต็มไปด้วยความคิดที่จะทําหลายสิ่งมากมายเต็มไปหมด

 

ในขอบเขตพลังของเขา แม้ว่าหนทางข้างหน้าจะไม่ชัดเจน แต่ก็ยังพอรู้วิธีที่จะไปต่อ

 

แน่นอนว่าสําหรับตํานานยุทธส่วนใหญ่ การที่พวกเขารู้วิธีที่จะเดินไป กับการเดินไปถึงจริงๆ เป็นสองสิ่งที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง

 

ตัวอย่างเช่น ขุนนางระดับเก้าในราชวงศ์ถังรู้ว่าจะต้องทํางานอย่างหนักหน่วงให้กับอาณาจักรถัง หรือแม้แต่ประจบสอพลอเลียแข้งเลียขาเพื่อขึ้นสู่ตําแหน่งขุนนางระดับ

สาม

 

แต่จะมีขุนนางระดับเก้าภายในราชสํานักสักกี่คนที่สามารถปีนป่ายขึ้นไปถึงตําแหน่งขุนนางระดับสามได้?

 

การฝึกวิทยายุทธนั้นยากเย็นแสนเข็ญ โดยเฉพาะขอบเขตตํานานยุทธยิ่งยากขึ้นไปอีก

 

เพียงแค่รู้วิธี ใช่จะไปถึง

 

อาจมองเห็น แต่สัมผัสไม่ได้

 

“บิดด่านฝึกตนต่ออีกสักสองเดือน”

 

ซูฉินพร้อมที่จะทําความคุ้นเคยกับพลังของอาณาเขตต่ออีกครั้ง ยังไม่รีบร้อนจะออกไปไหน

 

อย่างไรเสียตอนนี้เมืองฉางอันก็มีหร่วนชิง ตํานานยุทธระดับนภาชั้นที่สามคอยดูแล ย่อมไม่มีปัญหาใดเกิดขึ้น ซูฉินจึงปิดด่านฝึกตนได้อย่างมีความสุข

 

ขณะที่ซูฉินอยู่ในช่วงปิดด่านฝึกตน

 

จักรพรรดิถังอยู่ในท้องพระโรงตําหนักไท่จี๋ กําลังหารือกิจการภายในอยู่กับเหล่าขุนนาง

 

ฉับพลัน

 

ทหารรักษาพระองค์ก็รีบวิ่งเข้ามาและเข้าไปกระซิบที่ด้านข้างของจักรพรรดิถัง

 

“อะไรนะ?”

 

ใบหน้าของจักรพรรดิถังเปลี่ยนไปอย่างมาก

 

ในตอนนั้นจักรพรรดิถังก็เพิกเฉยต่อการประชุมในทันทีแล้วรีบเดินออกจากตําหนักไท่จี๋  มาที่ส่วนหน้าของวังหลวง

 

“พวกเขา?”

 

สีหน้าของจักรพรรดิถังบิดเบี้ยว

 

เห็นหกร่างยืนอยู่บนท้องฟ้า ร่างทั้งหกนั้นเปรียบประหนึ่งสิ่งมีชีวิตที่เหนือกว่าสรรพชีวิตทั้งมวล มองสิ่งมีชีวิตอื่นจากเบื้องบน มองลงมาเห็นเมืองฉางอัน เห็นองค์จักรพรรดิ

 

“พวกเขาเป็นใครกัน?”

 

จักรพรรดิถังสูดหายใจลึก ถามด้วยเสียงต่ำ

 

“ฝ่าบาท แม่ทัพผู้นี้ก็มิทราบเช่นกัน” แม่ทัพแห่งวังหลวงที่อยู่ด้านข้างดูเคร่งเครียด สงบคําไปชั่วครู่ก่อนจะกระซิบต่อไปว่า “อย่างไรก็ตาม คนเหล่านี้น่าจะเป็นตํานานยุทธกันทั้งหมด”

 

มีเพียงตํานานยุทธเท่านั้นที่สามารถควบคุมคลื่นลมได้

 

ดังนั้น แม้แม่ทัพแห่งวังหลวงจะไม่อาจหยั่งถึงพลังของทั้งหกร่างที่อยู่บนท้องฟ้า แต่ก็เป็นที่แน่ชัดว่าคู่ต่อสู้นั้นเป็นตัวตนที่แข็งแกร่งในระดับตํานานยุทธ

 

เมื่อแม่ทัพกล่าวออกมาเช่นนั้น

 

ใบหน้าของจักรพรรดิถังก็ซีดลงในทันที

 

ตามปกติ การปรากฏตัวของตํานานยุทธเพียงหนึ่งคนก็ทําให้ทั้งโลกต้องสั่นสะเทือนแล้ว แต่ตอนนี้มีถึงหกคนที่มาอยู่ในเมืองฉางอันตอนนี้

 

จะให้จักรพรรดิถังสงบใจลงได้อย่างไร

 

“ฝ่าบาท คนทางซ้ายสุดควรจะเป็นอดีตเจ้าสํานักสังหารโลหิต” ดูเหมือนแม่ทัพแห่งวังหลวงจะค้นพบบางสิ่งแล้วจึงกระซิบไปที่ข้างพระกรรณอย่างรวดเร็ว

 

เมื่อจักรพรรดิถังได้ยินสิ่งนี้ สายตาของพระองค์ก็เพ่งไปที่ด้านซ้ายในทันที และเห็นร่างที่สวมชุดคลุมสีแดงยืนอยู่บนนภากาศ

 

“มีปัญหาแล้ว”

 

จักรพรรดิถังรู้สึกเย็นเยียบในหัวใจ

 

หากไม่มีบรรพบุรุษสังหารโลหิตก็พอจะคิดได้ว่านี่เป็นเรื่องบังเอิญ ตํานานยุทธทั้งหกอาจจะผ่านทางมาและแวะดูอะไรไปตามเรื่องตามราว

 

แต่ตอนนี้

 

จักรพรรดิถังเหมือนหล่นลงไปในก้นเหวลึก

 

“ฝ่าบาท”

 

“เราจะทําเช่นไรกันต่อดี?”

 

แม่ทัพกล่าวถามเสียงแผ่ว

 

“รอก่อน”

 

จักรพรรดิถังรู้สึกไร้ซึ่งอํานาจ “รอดูว่าพวกเขาจะทําอะไรกันต่อไป”

 

พวกเขาจะทําอะไรได้อีกนอกจากรอ?

 

ตํานานยุทธทั้งหกนั้นยืนอยู่บนอากาศ กองทัพธรรมดาไม่สามารถแตะต้องได้ นับประสาอะไรกับการนําคนเข้าห้องล้อมปราบปราม

 

แม้จะมีคันธนูและหน้าไม้มากมายเก็บไว้ในเมืองฉางอัน แต่ใครจะกล้าเอามาใช้กับตํานานยุทธทั้งหกคนเช่นนี้ ?

 

เมื่อใช้ธนูหรือหน้าไม้จริงๆ ก็เท่ากับเป็นการฉีกหน้าตํานานยุทธทั้งหก หากอีกฝ่ายต้องการจะฆ่าสังหารหมู่ ใครเล่าจะ หยุดยั้งได้?

 

ตํานานยุทธเพียงหนึ่งคนก็รับมือกองทัพนับล้านได้แล้ว นี่มีถึงหก!

 

และในตอนนั้นเอง

 

เหนือฟากฟ้า

 

ศิษย์จากนิกายใหญ่จากต่างแดนดูจะเบื่อหน่ายกับสภาพภายในเมืองฉางอันเบื้องล่าง

 

“มีระดับนภาชั้นที่สามอยู่ น่าจะเป็นตํานานยุทธภายในเมืองฉางอัน” ชายชุดเขียวที่กําลังถือดาบ พูดออกมาเบาๆ

 

“นภาชั้นที่สาม?”

 

“น่าอัศจรรย์”

 

นักพรตในชุดคลุมลัทธิเต๋าพยักหน้าเล็กน้อย

 

การที่จะก้าวเข้าสู่ขอบเขตตํานานยุทธในทวีปที่แห้งแล้งเช่นนี้ หรือก้าวเข้าสู่ขอบเขตตํานานยุทธระดับนภาชั้นที่สามนั้น บ่งบอกได้ว่า ไม่ว่าจะเป็นพรสวรรค์หรือความสามารถล้วนอยู่ในจุดที่ยอดเยี่ยมอย่างที่สุด

 

“น่าเสียดายที่เข้าสู่ขอบเขตตํานานยุทธไปแล้ว รากฐานถูกวางไว้หมดแล้ว เป็นไปไม่ได้ที่จะเข้าสู่นิกายของข้าได้” ชายที่ดูเย็นชาในชุดคลุมสีดํากล่าวขึ้นมา

 

“เอาล่ะ เราควรจะทําเช่นไรในตอนนี้ ลงมือปราบโดยตรงเลยหรือไม่?” ชายที่ท่าทางดุดันกล่าวอย่างไม่ค่อยจะพอใจนัก

 

“ลงมือปราบโดยตรง?”

 

หญิงชุดขาวปรายตามาอย่างเยือกเย็น คิดอยู่พักหนึ่งก่อนจะเปิดปากพูดว่า “แจ้งพวกเขาให้รู้ก่อน ถ้าหากปฏิเสธล่ะก็ คงจะไม่สายเกินไปที่จะสังหารเสีย”

 

ปิงหลิงเป็นเทพธิดาในยุคปัจจุบันของตําหนักเทพเจ้าหิมะซึ่งเป็นนิกายใหญ่ในต่างแดน หากไม่มีเหตุผิดพลาด นางจะกลายเป็นเจ้าตําหนักเทพเจ้าหิมะในอนาคต เป็นผู้มีตําแหน่งสูงสุดในนิกาย

 

“ในเมื่อเป็นเช่นนั้น”

 

“ก็ลงไปพูดคุยสักหน่อย”

 

ชายที่ดูเย็นชาในชุดคลุมสีดําเหลือบมองไปทางบรรพบุรุษสังหารโลหิตที่อยู่ริมสุด

 

ถ้าเทียบด้วยสถานะและตัวตนกันแล้ว บรรพบุรุษสังหารโลหิตไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกับพวกเขาเลย

 

ไม่ว่าจะเป็นชายชุดดําหรือคนอื่นๆ ล้วนเป็นบุตรแห่งสวรรค์ที่น่าภาคภูมิใจของนิกายทั้งสิ้น

 

สําหรับบรรพบุรุษสังหารโลหิตเป็นเพียงผู้ฝึกยุทธธรรมดาๆ แม้ว่าความแข็งแกร่งจะถึงระดับนภาชั้นที่สาม

 

แต่ถ้าหากงานนี้มิต้องการคนนําทาง

 

และบรรพบุรุษสังหารโลหิตไม่ใช่คนที่มาจากทวีปนี้ พวกเขาย่อมไม่ร่วมเดินทางมากับบรรพบุรุษสังหารโลหิตเช่นนี้

 

“ขอรับ”

 

หารโลหิตกล่าวด้วยความเคารพ

 

ไม่ช้า

 

บรรพบุรุษสังหารโลหิตก็ก้าวเท้าออกไปและปรากฏตัวอีกทีอยู่บนกําแพงเมือง

 

“เจ้านายของข้าได้ให้ทางเลือกสองทางแก่อาณาจักรถัง” บรรพบุรุษสังหารโลหิตมองไปที่จักรพรรดิถังและคนอื่นๆ ก่อนจะกล่าวต่อ “หนึ่งคือยอมจํานน และอีกทางคือยอมจํานนหลังจากถูกผู้ยิ่งใหญ่ปราบปราม คิดให้ดี ข้าจะให้เวลาครึ่งชั่วยาม ก่อนที่จะกล่าวตอบ”

 

บรรพบุรุษสังหารโลหิตไม่แม้แต่จะมองไปที่จักรพรรดิถัง จากนั้นจึงหันหลังเดินจากไป

 

[1] หนึ่งชั่วยามเท่ากับสองชั่วโมง ฉะนั้นครึ่งชั่วยามเท่ากับหนึ่งชั่วโมง มาจากการแบ่งช่วงเวลาแบบจีนโบราณ จะแบ่งยามกลางวันและยามราตรีรวมทั้งวันออกเป็นสิบสองส่วน ส่วนละสองชั่วโมง โดยช่วงยามแรกจะเริ่มที่ห้าทุ่มไปจนถึงตีหนึ่ง ไล่ไปทีละสองชั่วโมงจนกลับมาถึงห้าทุ่มอีกครั้ง

 

 

Sign in Buddha’s palm 199 (1) บดขยี้

 

ภายในพระราชวังถัง

 

หลีหว่านตกตะลึง มองไปที่เกราะคุ้มกันที่ปกป้องนางเอาไว้ และก็พบที่มาของเกราะคุ้มกันนั้นได้อย่างรวดเร็ว มันมาจากรอยสัญลักษณ์รูปดาบที่นางพกติดตัวเอาไว้

 

ในเวลานี้ ชิ้นไม้แผ่นนั้นเปล่งแสงสลัวๆ ออกมา คล้ายแสงเทียนกําลังส่องสว่างอยู่กลางความมืด

 

“ลุงสาม?”

 

หลีหว่านกะพริบตาปริบๆ

 

ซูฉินมอบแผ่นไม้ชิ้นนี้ให้กับนาง และรอยสัญลักษณ์รูปดาบเองก็ถูกทิ้งไว้โดยซูฉิน

 

ในเวลานั้น

 

ชายท่าทางดุดันที่ลอยอยู่บนท้องฟ้าก็ขมวดคิ้วขึ้นมาเล็กน้อย “เกราะคุ้มกันนี้…”

 

ฉับพลัน

 

ชายท่าทางดุดันก็เหมือนจะรู้ถึงบางสิ่งขึ้นมาได้ จากนั้นก็หันไปมองอีกทิศทางหนึ่ง

 

เห็นเป็นปราณมีดสีดําสนิท คมมีดสีดําสนิทอันนี้ดูราวกับพลังฉีกกระชากที่ทั้งยาวและคมกริบ ทันทีที่ชายท่าทางดุดันสังเกตเห็น มันก็เข้ามาอยู่ในระยะสิบเมตรเสียแล้ว

 

“ไม่”

 

ชายท่าทางดุดันสมแล้วที่เป็นศิษย์แห่งนิกายใหญ่ในต่างแดน ในจุดวิกฤติใกล้ขอบเหวความตายเช่นนี้ มันได้กระตุ้นทักษะลับต้องห้าม ร่างของมันค่อยๆ สูง ใหญ่ขึ้นกลายเป็นเหมือนกับยักษ์ขนาดย่อมๆ ซึ่งสูงกว่าห้าเมตร กลิ่นอายอันทรงพลังแผ่ออกมาคละคลุ้ง

 

นิกายใหญ่ในต่างแดนที่ชายท่าทางดุดันสังกัดอยู่นั้นขึ้นชื่อเรื่องวิชาบ่มเพาะร่างกาย มีทักษะลับในการเพิ่มพละกําลังให้มากขึ้น โดยทักษะลับนี้เป็นวิธีต้องห้ามที่จําจะต้องเผาแก่นแท้และเลือดเนื้อของตนเองเพื่อยกระดับของกายเนื้อให้ไปถึงขีดสุด

 

ในช่วงเวลาต่อมา

 

ก่อนที่ชายท่าทางดุดันจะตอบโต้

 

แสงจากคมมีดที่ทั้งคมกริบและมืดมิดก็มาถึง

 

ฉึกกก

 

แสงจากคมมีดทะลวงผ่านร่างกายของชายท่าทางดุดันไปได้อย่างง่ายดาย และตัดผ่านกระดูกที่ดูทรงพลังไปได้อีกด้วยร่างกายที่แสนภาคภูมิของชายท่าทางดุดันนั้น เมื่ออยู่ต่อหน้าคมมีดนี้ก็ราวกับเป็นกระดาษแผ่นหนึ่ง

 

ครืด!

 

ร่างของชายผู้ดุดันขาดออกเป็นสองส่วน ร่วงหล่นลงมาจากฟากฟ้า เลือดของจอมยุทธในขอบเขตตํานานยุทธหลั่งไหลโปรยปราย

 

ในเวลาเดียวกัน

 

ทันทีที่จิตวิญญาณของชายท่าทางดุดันต้องการจะหลบหนี เขารู้สึกได้ถึงไอพลังที่เหมือนกับจะมาจากขุมนรก แผ่กระจายออกมาอย่างบ้าคลั่ง ในชั่วพริบตาทั้งกายเนื้อและจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ก็สลายหายไปอย่างสมบูรณ์

 

“นี่คือ?”

 

ไม่ไกลนัก รูม่านตาของศิษย์ทั้งหลายจากนิกายใหญ่ในต่างแดนก็หดแคบ รวมถึงเทพธิดาปิงหลิงแห่งตําหนักเทพเจ้าหิมะเองก็ด้วย การตอบสนองของทุกคนกลายเป็นแข็งทื่อ

 

ในฐานะที่พวกเขาเป็นตํานานยุทธ จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของพวกเขาห้อมล้อมพื้นที่ในรัศมีหลายสิบเมตรโดยรอบเอาไว้แล้ว แต่ถึงกระนั้นก็ไม่มีใครสังเกตเห็นว่าเหตุใดชายผู้ดุดันผู้นี้จึงถูกฉีกร่างออกเป็นสองส่วนในฉับพลัน

 

“เกิดอะไรขึ้น?”

 

ชายชุดคลุมสีเขียวที่ถือดาบยาวเต็มไปด้วยความประหลาดใจ

 

การที่ชายท่าทางดุดันตกตายไป เป็นเรื่องที่ทําให้ทุกคนตกใจมากที่สุด เพราะความตายที่เกิดขึ้นนั้นอธิบายไม่ได้ไร้ซึ่งคําเตือน

 

“มีคนลงมือแน่แล้ว”

 

ปิงหลิง เทพธิดาแห่งตําหนักเทพเจ้าหิมะพูดออกมาด้วยท่าทางเคร่งขรึม

 

เมื่อคนอื่นได้ยินเช่นนี้ต่างก็กลอกตา ใช่ ชายผู้ดุดันตายไปแล้ว แน่นอนว่าต้องมีใครสักคนเป็นผู้ลงมือ

 

แต่คําถามในตอนนี้คือ ใครเป็นผู้ลงมือ?

 

เมื่อเทียบกับศิษย์นิกายใหญ่ที่กําลังไม่สบายใจกันอยู่นั้นทางด้านจักรพรรดิถังและคนอื่นๆ กลับมีความสุขขึ้นมา 

 

“พี่สาม พี่สามคงเป็นผู้ลงมือแน่แล้ว” จักรพรรดิถังกล่าวออกมาด้วยความมั่นใจเป็นอย่างมาก

 

แม้ตั้งแต่ต้นจนจบ ถึงเขาจะไม่ได้เห็นซูฉินปรากฏตัวออกมา แต่เขารู้สึกได้ว่าคนที่สังหารชายท่าทางดุดันผู้นั้นต้องเป็นซูฉินแน่ๆ

 

“นายท่าน?”

 

หร่วนชิงค่อยๆ ยืนขึ้น แต่ใบหน้ายังคงซีดเซียวอยู่

 

เขาได้ต่อสู้กับนักพรตเต๋า แม้จะเสียเปรียบอยู่เสมอเมื่อประมือกัน แต่เนื่องจากอีกฝ่ายไม่ได้ต้องการจะหักหาญ จึงไม่ได้บาดเจ็บสาหัสแต่อย่างใด ไม่เช่นนั้นตอนนี้คงลุกขึ้นยืนไม่ไหวเป็นแน่

 

ในตอนนั้นเอง

 

ร่างสูงผอมเพรียวค่อยๆ ปรากฏตัวออกมาอย่างช้าๆ

 

ร่างนี้มีมีดรูปร่างแปลกๆ คล้ายกับเคียว ตัวใบมีดโค้งเป็นวงดั่งดวงจันทร์อยู่ในมือขวา ชี้ใบมีดไปที่พื้น เดินมาอย่างไม่รีบร้อน

 

“เขาคือ?”

 

เมื่อเทพธิดายุคปัจจุบันแห่งตําหนักเทพเจ้าหิมะเห็นร่างนั้นปรากฏขึ้น ดวงตาก็จับจ้องไปที่คู่ต่อสู้อย่างรวดเร็ว

 

ศิษย์นิกายใหญ่คนอื่นๆ ก็ทําเช่นเดียวกัน ใบหน้าของพวกเขาเคร่งเครียดราวกับเผชิญหน้ากับศัตรู มันแปลกเกินไปที่จู่ๆ ชายท่าทางดุดันก็ตกตายลง ศิษย์ของนิกายใหญ่แม้จะทระนงดื้อรั้น แต่พวกเขาก็ไม่ได้โง่เง่า

 

“เป็นพี่สาม”

 

จักรพรรดิถังถอนหายใจด้วยความโล่งอก

 

จนถึงตอนนี้ จักรพรรดิถังก็โล่งใจได้อย่างเต็มที่แล้ว

 

“ท่านผู้แข็งแกร่งคงจะเป็นตํานานยุทธที่พํานักอยู่ในเมืองฉางอัน?” ชายผู้เย็นชาในชุดคลุมสีดํายิ้มออกมา ประสานมือไปทางซูฉิน

 

ท่าที่ของเขาถ่อมตัวอย่างยิ่ง ปราศจากความเย่อหยิ่งในฐานะศิษย์นิกายใหญ่

 

ด้วยความจริงที่ซูฉินสามารถสังหารชายดุดันได้อย่างเงียบเชียบ เพียงแค่สิ่งนี้ก็บอกได้แล้วว่าความแข็งแกร่งของซูฉินเหนือกว่าพวกเขามาก อย่างน้อยๆ ก็คงเป็นระดับเดียวกับผู้อาวุโสอันดับต้นๆ ภายในนิกายใหญ่

 

“ในเมื่อท่านอยู่ที่นี่ พวกเราคงจะไม่รบกวนท่านอีกต่อไป” ชายผู้เย็นชาในชุดคลุมดํารีบกล่าวออก

 

ในความเห็นของมัน ในเมื่อพวกตนยอมถอยขนาดนี้ก็ถือว่าโอนอ่อนผ่อนตามมากแล้ว ถ้าซูฉินคิดให้ไกลสักหน่อย ก็คงจะไม่ไล่ต้อนพวกมันไปมากกว่านี้ 

 

“ฮึ่ม”

 

“เมื่อข้ากลับไปที่นิกายได้ ข้าจะต้องไปเชิญท่านอาจารย์ให้มาลงมือสังหารคนทั้งเมืองนี้ให้สิ้น” ชายชุดดําท่าทางเย็นชาครุ่นคิดอยู่ภายในใจอย่างรวดเร็ว แต่การแสดงออกกลับยิ่งดูอ่อนน้อมถ่อมตนมากขึ้นไปอีก

 

นิกายที่เขาสังกัดอยู่ไม่นับว่าเป็นผู้มีคุณธรรมอะไร เป็นเรื่องธรรมดาที่จะเช่นฆ่าสังหารสิ่งมีชีวิต

 

ปิงหลิงซึ่งเป็นเทพธิดายุคปัจจุบันของตําหนักเทพเจ้าหิมะก็จ้องไปที่ซูฉิน และดูว่าซูฉินจะมีปฏิกิริยาอย่างไร

 

“พี่สาม…” จักรพรรดิถังมองซูฉินอย่างเป็นกังวล

 

ท่ามกลางความสนใจของทุกผู้ทุกคน ในที่สุดซูฉินก็พูดขึ้นมา

 

“ต้องการที่จะจากไป?”

 

ใบหน้าของซูฉินฉายแววประชดประชัน “มาถึงที่นี่ ยังต้องการจะกลับไปอย่างมีชีวิตอยู่อีกหรือ?”

 

ทันทีที่สิ้นเสียง ซูฉินก็โบกสะบัดมีดเทพเจ้าปีศาจในมือขวาเบาๆ ตวัดเข้าใส่ชายชุดดํา

 

“เจ้า?!”

 

ชายชุดดําที่ดูเย็นชาพลันตกใจ จากนั้นมันก็รู้สึกถึงวิกฤตชีวิตความเป็นความตายที่ไม่เคยเผชิญมาก่อน

 

วิกฤตชีวิตครั้งนี้เหนือกว่าที่ชายชุดดําเคยเจอมาทั้งชีวิตชายผู้เคยเดินทางข้ามน้ำข้ามทะเลไปมาหลายต่อหลายที่ เห็นทั้งผืนฟ้า ผืนดิน และแม้แต่สัตว์ทะเลที่รอดชีวิตมาจากสมัยดึกดําบรรพ์ก็ยังเจอมาแล้ว

 

ในช่วงเวลาต่อมา

 

ชายผู้เย็นชาในชุดคลุมสีดําก็เผชิญหน้ากับคมมีดที่สีดําสนิทราวกับหมึก

 

“เชือดเฉือนมัน!”

 

ชายชุดดําไม่มีเวลาคิดว่าเหตุใดซูฉินจึงตัดสินใจเด็ดขาดเช่นนี้ เพราะในตอนนี้มีเพียงความคิดเดียวภายในใจ

 

นั่นคือต้องมีชีวิตอยู่ให้ได้

 

ต้องรอดไปให้ได้

 

ทันใดนั้นร่างของชายชุดดําผู้เย็นชาจู่ๆ ก็กลายเป็นสีดําสนิท ราวกับเปลี่ยนความจริงให้เป็นสิ่งลวงตา

 

“ร่างปีศาจลวงตา?”

 

ใบหน้าของเทพธิดาในยุคปัจจุบันของตําหนักเทพเจ้าหิมะก็เปลี่ยนไป

 

ร่างปีศาจลวงตาคือวิชาพื้นฐานของนิกายใหญ่ที่ชายชุดดําผู้เย็นชาสังกัดอยู่ เมื่อฝึกฝนไปได้ระดับหนึ่ง สามารถทําให้ผู้ฝึกฝนสามารถเปลี่ยนร่างตนเองระหว่างความเป็นจริงและภาพลวงตาได้ตามใจปรารถนา ซึ่งสามารถทําให้เพิกเฉยต่อการโจมตีต่างๆ ได้

 

ฉึก

 

ในเวลานั้นเอง คมดาบสีดําของซูฉินก็ได้ตัดผ่านร่างเงาลวงตาของชายชุดดํา

 

ทันใดนั้น

 

ร่างเงาลวงตาสีดําก็ถูกตัดออกเป็นสองส่วนโดยตรง และร่างของชายชุดดําที่ท่าทางเย็นชาก็หวนคืนกลับมา จากนั้นจึงค่อยๆ ร่วงหล่นลงจากฟ้า

 

“ตายแล้ว!”

 

เทพธิดาคนปัจจุบันของตําหนักเทพเจ้าหิมะหน้าเปลี่ยนสีทันที

 

“วิ่ง!”

 

บรรพบุรุษสังหารโลหิตที่อยู่ด้านข้าง ตกใจกลัว ไม่มีรีรอแต่ประการใด กลายร่างเป็นแสงสีแดงเลือดพุ่งหนีไปในระยะไกล

 

ซูฉินแลดูไร้อารมณ์ ไม่มีสุข ไม่มีเศร้า กระชับมีดเทพเจ้าปีศาจในมือแล้วฟันออกไปทางบรรพบุรุษสังหารโลหิต

 

ครืด

 

ปรากฎวงสีดําสนิทฉีกกระชากจนเหมือนเป็นรอยแยกบนท้องฟ้า

 

หลังจากฆ่าบรรพบุรุษสังหารโลหิตด้วยการผ่าออกเป็นสองส่วน เขาก็ไม่มีความลังเลใจแต่อย่างใด สาวเท้าก้าวข้ามผ่านร่างของชายชุดดําผู้เป็นชาไป

 

Sign in Buddha’s palm 199 (II) บดขยี้

 

ครืด

 

ปรากฏวงสีดําสนิทฉีกกระชากจนเหมือนเป็นรอยแยกบนท้องฟ้า

 

หลังจากฆ่าบรรพบุรุษสังหารโลหิตด้วยการผ่าออกเป็นสองส่วน เขาก็ไม่มีความลังเลใจแต่อย่างใด สาวเท้าก้าวข้ามผ่านร่างของชายชุดดําผู้เย็นชาไป

 

“และเจ้า”

 

ซูฉินหันเหสายตาไปทางชายชุดเขียวที่ถือดาบยาวในมือ 

 

“ตาย”

 

ซูฉินกําด้ามมีดเทพเจ้าปีศาจไว้แน่น ก่อนจะสับลงตามใจต้องการ

 

“อาอาอาอา!”

 

“หมื่นดาบคืนซ่ง!!”

 

ชายชุดคลุมเขียวที่กําลังถือดาบอยู่กลายเป็นคลุ้มคลั่งในทันที เห็นตํานานยุทธถึงสามคนตกตายติดต่อกันต่อหน้าต่อตาตนเอง และโดยไม่ทันรู้ตัว ก็มาถึงตาของตนเสียแล้ว

 

ดาบยาวที่ชายชุดเขียวถืออยู่จู่ๆ ก็ระเบิดพลังออกมาเป็นแสงอันเจิดจ้า ส่องประกายจากหนึ่งเป็นสอง สองเป็นสี่ สี่เป็นแปด

 

แทบจะในทันที ประกายแสงดาบจํานวนนับไม่ถ้วนก็แยกกระจายออกมาล้อมรอบร่างของมัน

 

“วิถีแห่งดาบนั้นไม่เลว แต่น่าเสียดาย ที่มันยังไม่เพียงพอ” ซูฉินส่ายหัวเล็กน้อย

 

เพล้ง

 

คมมีดสีดําสนิทดุจหมึก ปนประกายแสงทั้งหลายออกในทันที ตัดดาบยาวที่ชายชุดเขียวชักออกมาหักเป็นสองซีก จากนั้นก็พุ่งตรงเข้าตัดร่างชายในชุดเขียวไปด้วย

 

ผู้ชมโดยรอบถึงกับเงียบกริบ

 

สีหน้าทุกคนต่างให้ความรู้สึกว่าฉากตรงหน้าช่างน่าสยดสยอง

 

พวกเขาไม่เคยคิดฝันว่าเหล่าตํานานยุทธผู้ทรงพลังไร้เทียมทาน เมื่อมาอยู่ต่อหน้าซูฉิน ก็เหมือนกับไก่ที่กําลังโดนเชือด

 

“พี่สาม พี่สามแข็งแกร่งเกินไปแล้ว…” จักรพรรดิถังตกตะลึงเช่นเดียวกัน

 

หากจะกล่าวถึงชายท่าทางดุดันที่ตกตายไปเป็นคนแรก อาจมองได้ว่าเกิดจากการฉวยโอกาส “ลอบจู่โจม” แต่หลังจากนั้นซูฉินก็ยังสังหารตํานานยุทธต่อเนื่องไปอีกสามศพ 

 

ขณะที่ทุกคนกําลังตกใจ

 

การแสดงออกของซูฉินยังคงไม่เปลี่ยนแปลงไป จากนั้นเขาจึงค่อยๆ มองไปที่ปิงหลิงเทพธิดายุคปัจจุบันแห่งตําหนักเทพเจ้าหิมะ

 

“เจ้ายังมีความกล้าที่จะยืนอยู่ที่นี่อีกหรือ?” ซูฉินมองปิงหลิงด้วยความสนใจ

 

เมื่อครู่ แม้เทพธิดาแห่งตําหนักเทพเจ้าหิมะจะหวาดกลัวจนหน้าซีดดุจเดียวกัน แต่นางก็ไม่ได้รีบหนีไปเฉกเช่นบรรพบุรุษสํานักสังหารโลหิต

 

“ท่านผู้แข็งแกร่งช่างน่าสะพรึงกลัว แม้ว่าข้าจะหนีไปก็คงหนีมิพ้น”

 

ปิงหลิง เทพธิดาคนปัจจุบันแห่งตําหนักเทพเจ้าหิมะสูดหายใจเข้า ก่อนจะกล่าวคําด้วยเสียงเรียบนิ่ง

 

“ให้ข้าเดา เหตุผลที่เจ้าไม่หนีไป ไม่ใช่เพราะเจ้าไม่เกรงกลัวความตาย แต่เพราะเจ้ามีไฟลับที่อาจารย์ของเจ้ามอบเอาไว้ให้เสียมากกว่า?”

 

ซูฉินไม่เชื่อคํากล่าวที่ว่า เพราะหนีไม่ได้ จึงไม่หนี”

 

แม้แต่มดยังรักตัวกลัวตาย นับประสาอะไรกับศิษย์ที่น่าภาคภูมิใจของนิกายใหญ่?

 

“เจ้ารู้ได้อย่างไร?”

 

สีหน้าของปิงหลิงเปลี่ยนไปมาก

 

นางมีสิ่งของสําหรับปกป้องชีวิตที่บรรพบุรุษในตําหนักเทพเจ้าหิมะได้มอบไว้ให้

 

สิ่งที่ต้องจ่ายออกในการใช้เครื่องช่วยชีวิตนี้ช่างมากมายเกินไปจริงๆ ปิงหลิงต้องละทิ้งร่างกายของตน และแปรเปลี่ยนเป็นจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์เพื่อที่จะสามารถหลบหนีออกไปไกลหลายพันได้อย่างรวดเร็ว

 

ครานั้น บรรพบุรุษตําหนักเทพเจ้าหิมะจึงเตือนปิงหลิงเอาไว้ว่าไม่ควรใช้ไฟลับนี้ ยกเว้นจะอยู่ในช่วงที่ร้ายแรงถึงแก่ชีวิต เพราะการสูญเสียร่างกายย่อมก่อผลกระทบที่ไม่อาจจะคาดเดาได้ต่อผู้ฝึกยุทธ

 

แม้ว่าร่างกายใหม่จะได้รับการฟื้นฟูขึ้นมาสําเร็จ แต่ปัญหาในเรื่องการรักษาสภาวะสมดุลระหว่างกายใจจะทําให้ความสําเร็จในอนาคตถูกจํากัด ในกรณีร้ายแรงอาจถึงขึ้นที่ระดับพลังลดลงไปหลายระดับขั้น

 

อย่างไรก็ตาม บรรพบุรุษยังกล่าวอีกว่า ตราบใดที่ใช้ไฟลับนี้ จะไม่มีใครบนโลกที่จะหยุดยั้งนางได้

 

นี่เป็นความมั่นใจที่ทําให้ปิงหลิงยังคงยืนหยัดอยู่ที่นี่

 

นางไม่เหมือนกับคนอื่นที่ถ้าไม่หนีก็คงตกตาย แต่ตัวนางนั้นมีทางเลือก ถ้าเรื่องราวมันร้ายแรงจริงๆ นางก็จะใช้ไฟลับนั้นในการช่วยชีวิตตนเอง

 

สูญเสียร่างกายไปดีกว่าตกตายอย่างสมบูรณ์

 

“ท่านนั้นทรงพลังดุจท้องฟ้ากว้าง ปิงหลิงผู้นี้ขอจากลาไปก่อน หวังว่าในอนาคตจะมีโอกาสได้พบพานกับท่านอีก”

 

เทพธิดาคนปัจจุบันของตําหนักเทพเจ้าหิมะ เห็นความมั่นใจในดวงตาของซูฉินยามที่มองมาที่ตัวนางได้อย่างรวดเร็ว และไม่กล้าที่จะอยู่ต่อ รีบกระตุ้นไอพลังบางอย่างภายในร่าง

 

ทันใดนั้น

 

ปิงหลิงก็รู้สึกเพียงว่าจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของนางได้รับการยกระดับอย่างมหาศาล จึงรวมจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมดของตน หลบหนีออกจากร่าง พุ่งกลับไปยังต่างดินแดนด้วยความเร็วที่น่าสะพรึงกลัวอย่างยิ่ง

 

“รวดเร็วจริงๆ”

 

ซูฉินพยักหน้าเล็กน้อย แสดงความคิดเห็น

 

แม้แต่ตัวเขาเอง ถ้าเทียบกันในแง่ของความเร็วก็เทียบไม่ได้กับวิธีการละทิ้งร่างกายจนเหลือแต่จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์เช่นนี้

 

“แต่ก็เท่านั้น”

 

“ในอาณาเขตของข้า เจ้ายังคิดว่าจะหลบหนีได้อีกหรือ?”

 

รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของซูฉิน ความคิดสั่งการพลังที่มองไม่เห็นก็แผ่พุ่งออกไป

 

“บรรพบุรุษบอกว่าตราบใดที่ตราสัญลักษณ์ถูกกระต้นจนละทิ้งร่างออกมาได้สําเร็จ แม้จะเป็นตํานานยุทธระดับนภาชั้นที่เจ็ดหรือระดับนภาชั้นที่แปดก็ไม่สามารถติดตามข้าได้ทัน”

 

ความคิดของปิงหลิงเปลี่ยนผันไปมา และรู้สึกว่าตนเองปลอดภัยอย่างสมบูรณ์แล้ว

 

“เมื่อข้าได้กลับไปที่ตําหนักเทพเจ้าหิมะ ข้าจะแจ้งผู้อาวุโสให้มาแก้แค้นให้ข้า”

 

ปิงหลิงยังคิดเรื่องนี้ไม่ทันจบ ก็ต้องตกตะลึงพรึงเพริด 

 

เพราะตัวนางหนีออกมานานแล้ว แต่เหตุใดยังคงอยู่ภายในวัง

 

“นี่คือ?”

 

ปิงหลิงสัมผัสได้อย่างแผ่วเบาว่ามีแรงที่มองไม่เห็นได้ห้อมล้อมนางเอาไว้ ภายใต้พลังอํานาจนี้ มิติตรงหน้าราวกับทางยาวไกลไร้ที่สิ้นสุดแม้จะเป็นระยะทางเพียงแค่เอื้อมมือก็ตาม

 

“อาณาเ…”

 

จู่ๆ ปิงหลิงก็นึกถึงบันทึกบางเล่มภายในตําหนักเทพเจ้าหิมะได้ คลื่นลมพลันก่อตัวขึ้นในใจนาง

 

อย่างไรก็ตาม ก่อนที่ปิงหลิงจะได้กล่าวคําออกมาจนจบรอบข้างก็กลายเป็นมืดมิด ความคิดดับวูบตกลงสู่ความดํามืดอันไร้ที่สิ้นสุด

 

 

Sign in Buddha’s palm 198 (II) รังสีแห่งคมมีด

 

“เจ้านายของข้าได้ให้ทางเลือกสองทางแก่อาณาจักรถัง” บรรพบุรุษสังหารโลหิตมองไปที่จักรพรรดิถังและคนอื่นๆ ก่อนจะกล่าวต่อ “หนึ่งคือยอมจํานน และอีกทางคือยอมจํานนหลังจากถูกผู้ยิ่งใหญ่ปราบปราม คิดให้ดี ข้าจะให้เวลาครึ่งชั่วยามก่อนที่จะกล่าวตอบ”

 

บรรพบุรุษสังหารโลหิตไม่แม้แต่จะมองไปที่จักรพรรดิถัง จากนั้นจึงหันหลังเดินจากไป

 

“ยอมจํานน?”

 

“ยอมจํานนหลังจากถูกปราบปราม?”

 

ใบหน้าของจักรพรรดิถังซีดขาว ร่างกายสั่นเทาด้วยความโกรธ

 

“ฝ่าบาท….” แม่ทัพที่อยู่ด้านข้างก็รู้สึกว่าทุกสิ่งช่างหนักอึ้งเช่นกัน

 

แทนที่บรรพบุรุษสังหารโลหิตจะให้สองทางเลือกแก่พวกตน ถ้าทําเช่นนี้ บอกให้พวกเขายอมจํานนตรงๆ ยังจะดีซะกว่า

 

“พี่สามจะปรากฏตัวออกมาหรือไม่?”

 

จักรพรรดิถังสูดลมหายใจเข้าเต็มปอด กล่าวถามเสียงต่ำ

 

“ฝ่าบาท ข้าน้อยยังไม่พบพระมาตุลาในยามนี้” แม่ทัพแห่งวังหลวงส่ายศีรษะ

 

คําที่กล่าวออกมา

 

ทําให้ใบหน้าของจักรพรรดิถังซีดมากขึ้นไปอีก

 

“เป็นไปได้ไหมว่าสวรรค์ต้องการให้อาณาจักรถังของข้าพังพินาศ?” ท่าทีของจักรพรรดิถังกลายเป็นน่าสังเวช

 

และในตอนนี้

 

เหนือฟากฟ้า

 

ชายชุดเขียวที่ถือดาบขมวดคิ้ว “ผ่านไปครึ่งชั่วยามแล้ว อาณาจักรถังให้คําตอบมาหรือยัง?”

 

“นายท่าน ยังเลยขอรับ” บรรพบุรุษสังหารโลหิตโค้งคํานับ

 

“เมื่อเป็นเช่นนี้ก็แค่ปราบมันให้อยู่หมัด” ชายชุดดําท่าทางเย็นชากล่าวออกมา

 

“หึ!”

 

“ข้าบอกแล้วว่าให้จัดการมันไปเลย นี่ต้องมาเสียเวลาไปอีกตั้งครึ่งชั่วยาม” ชายท่าทางดุดันกล่าวขึ้นอย่างเย็นชา ก้าวเท้าไปด้านหน้าแล้วกระทืบลงอย่างรุนแรง

 

ฉับพลัน

 

พลังฟ้าดินก็สั่นสะเทือน คลื่นพลังค่อยๆ โถมเข้าหาเมืองหลวง

 

ในตอนนั้นเอง

 

พลังฟ้าดินแบบเดียวกันก็ปรากฏขึ้น สกัดกั้นการโจมตีของชายท่าทางดุดันเอาไว้ได้

 

เป็นหร่วนชิงที่เดินออกมาอย่างช้าๆ จากพระราชวังตะวันออก เดินทางมาถึงกําแพงเมืองและมองไปที่เหล่าตํานาน ยุทธ

 

“คุณชายหร่วน”

 

จักรพรรดิถังถอนหายใจออกมาเล็กน้อย

 

” ฝ่าบาท ข้าจะทําให้ดีที่สุด ไม่ว่าจะสามารถปิดกั้นได้หรือไม่ก็คงทําได้แค่ปล่อยให้โชคชะตานําพาไป…” หร่วนชิงท่าทางโศกเศร้า

 

ในสายตาของหร่วนชิง ศิษย์นิกายใหญ่เหล่านี้ได้รับการสั่งสอนมาตั้งแต่เด็ก ไม่ว่าจะเป็นวิธีฝึกฝน ทักษะลับ หรือแม้แต่รากฐาน ล้วนเหนือกว่าผู้ฝึกยุทธทั่วๆ ไปอย่างหร่วนชิงไปมาก

 

“ให้ข้าได้ลองดู”

 

“นานแล้วที่ข้าไม่ได้ต่อสู้กับใคร”

 

บนฟากฟ้า นักพรตในชุดคลุมแบบเต่ก็ลุกขึ้น

 

เมื่อเห็นแบบนี้ หร่วนชิงก็ลอยขึ้นไปบนอากาศ เข้าต่อสู้กับนักพรตเต๋า

อย่างไรก็ตาม

 

ผลลัพธ์เป็นไปตามที่คาดการณ์ เขาไม่ใช่คู่ต่อสู้ของนักพรตเต๋าเลย เขาถูกไล่ต้อนหลังจากผ่านไปเพียงสิบกระบวนท่า และหลังจากกระบวนท่าที่ยี่สิบ หร่วนซิงก็กระอักเลือดออกมา ถูกกระแทกลอยกลับไป

 

นี่เป็นเพราะนักพรตเต๋ได้ยั้งมือเอาไว้ ไม่เช่นนั้นหร่วนชิงจะไม่เพียงลอยออกไปเช่นนั้น แต่จะต้องได้รับบาดเจ็บสาหัสเป็นแน่แท้

 

“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า”

 

“แค่ยอมจํานนก็ไม่เป็นทุกข์แล้ว จะดิ้นรนทําไมกันนะ?”

 

ชายท่าทางดุดันมองไปที่จักรพรรดิถังและคนอื่นๆ ด้วยความเยาะเย้ย

 

ใบหน้าของจักรพรรดิถังกลายเป็นสีเทา เขากํามือทั้งสองไว้แน่น ไม่กล้าต่อปากต่อคํา

 

เพราะรู้ดีว่าชีวิตผู้คนหลายร้อยครัวเรือนในเมืองฉางอันตกอยู่ในกํามือของชายท่าทางดุดันผู้นี้แล้ว

 

“ฮึ่ม!”

 

ชายท่าทางดุดันเยาะเย้ย ก่อนจะสุ่มตรวจสอบทั่วทั้งวังด้วยจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์

 

“เอ๋?”

 

ในขณะนั้น ชายท่าทางดุดันก็แสดงความสงสัยและตกใจออกมา จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์จดจ่อไปที่ใครบางคนในชั่วพริบตา

 

“ช่างเป็นอัจฉริยะที่มีเส้นลมปราณปลอดโปร่งอะไรเช่นนี้ จงกลับไปกลับข้าแต่โดยดีเสียเถิด”

 

ชายท่าทางดุดันยื่นมือขวาออกไป ส่งพลังออกไปราวกับฝ่ามือขนาดใหญ่ที่ทรงพลัง คว้าออกไปยังสถานที่แห่งหนึ่งภายในวังหลวง

 

“ไม่ดีแล้ว นั่นมันหว่านเอ๋อ” จักรพรรดิถังตกใจ และตระหนักว่าสถานที่ที่ชายท่าทางดุดันพุ่งเป้าไปนั่นก็คือที่พํานักขององค์หญิงหลีหว่าน

 

“นี่มันคืออะไรกัน?”

 

หลีหว่านกําลังบ่มเพาะอยู่ แต่จู่ๆ นางก็เห็นฝ่ามือขนาดใหญ่ที่คว้าจับเข้ามาอย่างรวดเร็ว

 

“ไม่ดีแล้ว!”

 

หลีหว่านตระหนักว่าตัวนางตกอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่สู้ดีเสียแล้ว จึงพยายามจะหลบหนี

 

อย่างไรก็ตามหลีหว่านเป็นเพียงจอมยุทธในขอบเขตสามระดับกลาง นางจะสามารถหนีการจับกุมของผู้ฝึกยุทธในขอบเขตตํานานยุทธได้เยี่ยงไร?

 

ขณะที่ใบหน้าของหลีหว่านเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง

 

ฝ่ามือขนาดใหญ่ที่มาจากชายท่าทางดุดันก็ประชิดเข้าหาร่างของหลีหว่าน แต่ถูกสกัดกั้นเอาไว้ด้วยเกราะคุ้นกันจางๆ

 

“โอ้?”

 

“ยังมีตํานานยุทธอยู่อีกคนหนึ่งงั้นรึ?”

 

ชายที่ท่าทางดุดันรู้ได้ทันทีว่าเกราะที่คุ้มกันหลีหว่านอยู่เป็นสิ่งที่ตํานานยุทธได้ทิ้งเอาไว้

 

“แต่แล้วมันอย่างไร?”

 

ชายท่าทางดุดัน แสดงสีหน้าดื้อรั้นไม่ยอมแพ้ พยายามที่จะทําลายเกราะคุ้มกันนั้น

 

ด้านใต้เมืองฉางอัน

 

ภายในโถงพระราชวังสูงตระหง่าน

 

ซูฉินเปิดเปลือกตาขึ้นอย่างช้าๆ

 

“มีใครบางคนมาแตะต้องตราประทับจิตวิญญาณที่ข้าทิ้งไว้ให้กับหลีหว่าน?”

 

ซูฉินเงยหน้าขึ้นมองเบื้องบน จากนั้นจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ก็กระจายออกไปภายในพริบตา

 

“เจ้ามันรนหาที่ตาย!”

 

ดวงตาซูฉินค่อยๆ สงบลง เหยียดมือขวาออกไป ปรากฏมีดยาวที่มีรูปร่างแปลกๆ เหมือนกับเคียวโค้งรูปพระจันทร์เต็มวงโผล่ขึ้นมาในมือ

 

ตัวมีดนั้นสีดําราวกับหมึก ดูลึกลับอย่างมาก ราวกับหลุมดําที่พร้อมจะกลืนกินสิ่งมีชีวิตทั้งหมดเข้าไป

 

ในเวลาต่อมา

 

ซูฉินกระชับมีดเทพเจ้าปีศาจในมือแล้วฟันออกไปเบาๆ

 

ครืด!

 

ไม่ว่าใครก็คงไม่สามารถอธิบายความคมของมีดเล่มนี้ได้

 

ท้องฟ้าและผืนดินกลายเป็นดั่งทะเลลึกที่แสนมืดมิด ช่องว่างสีดํายาวคมกริบปรากฏขึ้นในอากาศ คมมีดที่ดูราวกับหมึกนั้นดูเหมือนจะแยกชั้นบรรยากาศและผืนดินออกจากกันได้ในชั่วพริบตา

 

Sign in Buddha’s palm 197 นิกาย

 

ตํานานยุทธนั้นสูงส่งควบคุมปราณฉีขี่คลื่นลมได้ราวกับ

เซียนเทพ

 

เพียงแต่ ไม่ว่ามันจะ คล้ายคลึง” เพียงใด มันก็เป็นได้แค่คล้ายคลึง”หาใช่เซียนเทพที่แท้จริงไม่

 

ตํานานยุทธก็เป็นคนเหมือนกัน และพวกเขาต่างก็มีข้อจํากัดส่วนตนเช่นเดียวกัน

 

ตัวอย่างเช่น บรรพบุรุษของสํานักสังหารโลหิตเป็นตํานานยุทธในระดับนภาชันที่สาม แม้ว่าจะใช้ความพยายามอย่างเต็มที่มากสุดก็ได้แค่สิบถึงยี่สิบลี้เท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้นมันยังเป็นการโจมตีที่ไม่ทรงพลังสักเท่าไหร่

 

สําหรับตํานานยุทธในเมืองฉางอัน เขาสามารถโจมตีไกลออกไปกว่าหลายพันลี้ซึ่งช่างน่าเหลือเชื่อตัวมันไม่เคยได้ยินสิ่งนี้มาก่อน

 

“ไร้สาระ!”

 

อดีตเจ้าสํานักสังหารโลหิตดูไม่มั่นใจในที่แรก แล้วในที่ สุดก็เปลี่ยนเป็นเยาะเย้ย “เจ้าเห็นด้วยตาตนเองหรือไม่?”

 

ด้วยคํากล่าวของอดีตเจ้าสํานักสังหารโลหิต

 

ทําให้ศิษย์ของสํานักสังหารโลหิตผงะไปชั่วค รู่แล้วกล่าวตอบทันทีว่า “อดีตเจ้าสํานัก ข้าเพียงแต่ได้ยินมาเท่านั้น”

 

“ห์”

 

“ข้าเข้าใจแล้ว”

 

อดีตเจ้าสํานักสังหารโลหิตแค่นเสียงเย็นชา “ระดับของ เจ้าตําเกินไป ไหนเลยจะล่วงรู้ความสามารถของตํานานยุทธได้”

 

ท่าทีของอดีตเจ้าสํานักสังหารโลหิตกลับมาเป็นเห มือนเดิมอีกครั้ง และคิดใคร่ครวญทุกสิ่งใหม่อีกครั้ง

 

พวกคนธรรมดาชอบกระจายข่าวโคมลอย พูดเกินจริง อ ดีตเจ้าสํานักสังหารโลหิตจะไม่รู้เรื่องนี้ได้อย่างไร?

 

อาทิ จอมยุทธในขอบเขตตํานานยุทธสองคนต่อสู้ น้ํานั่นกัน แผ่นดินพังทลาย ความเสียหายแพร่กระจายออกไปหลายสิบลี้

 

ถ้าคนธรรมดามาเห็นฉากนั้นเข้าก็คงคิดว่าเทพพิโรธหรือ เซียนเทพต่อสู้กัน แล้วข่าวสารก็จะยิ่งทวีความใหญ่โตขึ้นไปเรื่อยๆ

 

แต่แท้จริงแล้วในสายตาของตํานานยุทธอย่างบรรพบุรุษ แห่งสํานักสังหารโลหิตเป็นเพียงคนที่แข็งแกร่งระดับเดียวกันตนกําลังต่อสู้กันเท่านั้น

 

มันไม่ได้มีอะไรมากกว่านั้น

 

ตามคํากล่าวของศิษย์แห่งสํานักสังหารโลหิต ตํานานยุ ทธในเมืองฉางอันอาจจะพอมีความสามารถอยู่บ้างแต่ย่อมไม่ถึงขนาดลงมือจากระยะไกลถึงหลายพันลี้ได้เช่นนั้นหรอก

 

“ไม่ต้องห่วง ข้าจะต้องล้างแค้นให้กับคนที่มันสัง หารคนของสํานักสังหารโลหิตแน่ แต่ตอนนี้ยังไม่ใช่เวลา ข้าต้องรอคําอนุมัติจากพวกท่านเหล่านั้นก่อน”

 

อดีตเจ้าสํานักสังหารโลหิตครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่า วคําอย่างแผ่วเบา

 

“พวกท่านเหล่านั้น?”

 

เมื่อได้ยินคําพูดดังกล่าว ศิษย์ของสํานักสังหารโลหิตก็ห น้าซีด

 

ในสายตาของเขา อดีตเจ้าสํานักสังหารโลหิตเป็นตัวตนป ระหนึ่งเทพเซียน แต่ตอนนี้อดีตเจ้าสํานักกลับใช้คําว่า “พวกท่านเหล่านั้น” เพื่อกล่าวถึงคนอื่น…

 

“บอกเจ้าไปคงไม่เป็นอะไรหรอก”

 

อดีตเจ้าสํานักสังหารโลหิตเหลือบมองศิษย์สํานักสัง หารโลหิตแล้วกล่าวอย่างเป็นกันเอง “คราวนี้ที่ข้ากลับมายังแผ่นดินใหญ่ มิใช่มาเพียงลําพัง แต่กลับมาพร้อมบุคคลสําคัญและสูงส่งจํานวนหนึ่ง”

 

เมื่อกล่าวถึงเรื่องนี้ อดีตเจ้าสํานักสังหารโลหิตก็หยุ ดไปชั่วขณะแล้วกล่าวต่อไปว่า “ผู้ยิ่งใหญ่เหล่านี้ต่างก็เป็นผู้สูงศักดิ์หากเจ้าพบเห็นจะต้องไม่กระทําการอันใดที่เป็น การล่วงเกิน”

 

“ไม่เช่นนั้น ไม่เพียงเจ้าที่จะถูกกําจัดจนกลายเป็นผงธุลี แต่มันอาจส่งผลร้ายมาถึงข้าด้วย”

 

บรรพบุรุษแห่งสํานักสังหารโลหิตเอ่ยเตือน

 

“ขอรับ”

 

ใบหน้าของศิษย์สํานักสังหารโลหิตขาวซีดราวกับกระดาษ เขาผงกหัวซ้ําแล้วซ้ําเล่า

 

บรรพบุรุษตํานานยุทธแห่งสํานักสังหารโลหิตปรากฏตัว

 

ข่าวนี้แพร่กระจายไปทั่วยุทธภพรวดเร็วปานสายฟ้าแลบ

 

ตอนนี้ราชวงศ์ถังได้รวมทุกอาณาจักรเป็นปึกแผ่น เป็นห นึ่งไม่มีสอง ศิษย์ของสํานักสังหารโลหิตถูกบังคับให้หนีตายเพื่อหนีการชําระแค้นของอาณาจักรถัง

 

และในเวลานี้บรรพบุรุษสํานักสังหารโลหิตก็ป รากฏตัวขึ้นโดยไม่คาดคิด เหล่าศิษย์สํานักสังหารโลหิตที่ซ่อนตัวอยู่ราวกับสุนัขก็เหมือนได้เห็นรุ่งอรุณแห่งความหวัง

 

“ทําไมบรรพบุรุษสํานักสังหารโลหิตถึงกลับมาอีกครั้ง?”

 

“ไม่แน่ใจ เป็นเพราะมีคนของสํานักสังหารโลหิตเสียชี วิตไปหรือไม่?”

 

“จบแล้ว บรรพบุรุษสํานักสังหารโลหิตกลับมาที่นี่ และ สํานักสังหารโลหิตก็ทรงพลังมากวันเวลาดีๆที่พวกเรามีกําลังจะสิ้นสุดลง”

 

จอมยุทธจํานวนนับไม่ถ้วนต่างตกอยู่ในความรู้สึกระ ทมทุกข์

 

ตลอดมาสํานักสังหารโลหิตมักจะสนุกสนานในการสุม ไฟให้กับยุทธภพ ยิ่งสํานักสังหารโลหิตรุ่งเรืองขึ้นมากเท่าไหร่ก็หมายความว่าบนโลกนี้การเข่นฆ่าสังหารจะเพิ่มมากขึ้นไปอีก

 

“อย่างไรก็ตาม เมื่อบรรพบุรุษสํานักสังหารโลหิตกลับมา เช่นนี้ ข้าไม่รู้ว่าตํานานยุทธเมืองฉางอันจะคิดเห็นเช่นไร?”

 

มีบางคนอดที่จะกล่าวถึงไม่ได้

 

คําที่กล่าวออกมา

 

จอมยุทธทุกคนเงียบกริบ

 

ผู้อาวุโสสูงสุดสามคนของสํานักสังหารโลหิตตกตายภายใต้น้ํามือของตํานานยุทธในเมืองฉางอันและเนื่องจากเหตุการณ์นี้เหล่าศิษย์สํานักสังหารโลหิตจึงถูกบังคับให้ยุบสํานัก

 

บรรพบุรุษสํานักสังหารโลหิตจะเพิกเฉยต่อความคับข้องใจนี้ได้อย่างไร?

 

“เจ้าคิดว่าผู้ใดเก่งกว่ากัน ตํานานยุทธสํานักสังหารโลหิตหรือตํานานยุทธในเมืองฉางอัน?”

 

จอมยุทธคนหนึ่งกล่าวถามอย่างกระตือรือร้น

 

“ข้าคิดว่าน่าจะเป็นตํานานยุทธเมืองฉางอัน เพราะไม่กี่ปีก่อน ราชครูแห่งเหมิงหยวนซึ่งเป็นตํานานยุทธเช่นเดียวกันก็ถูกตํานานยุทธเมืองฉางอันสังหาร…”

 

“ราชครูอาณาจักรเหมิ่งหยวนเพิ่งเข้าสู่ขอบเขตตํานานยุทธเท่านั้น จะเอามาเทียบกับบรรพบุรุษสํานักสังหารโลหิต ได้อย่างไร?”

 

“ใช่ บรรพบุรุษสํานักสังหารโลหิตเป็นตํานานยุทธตั้งแต่สองร้อยปีที่แล้ว ตอนนี้เขากลับมาจากต่างดินแดนหลังจากสองร้อยปีความแข็งแกร่งของเขาจะต้องเพิ่มมากขึ้นอย่างแน่นอน ตํานานยุทธเมืองฉางอันสามารถสังหารราชครู อาณาจักรเหมิ่งหยวนได้ด้วยนิ้วเดียวแต่อาจจะไม่สามารถเอาชนะบรรพบุรุษสํานักสังหารโลหิตได้”

 

จอมยุทธจํานวนนับไม่ถ้วนต่างพูดความคิดเห็นของตนออกมาอย่างรวดเร็ว

 

ในความเห็นของพวกเขา ความแข็งแกร่งของซูฉินนั้นยากแท้หยังถึง แต่บรรพบุรุษสํานักสังหารโลหิตก็มิใช่จะอ่อนแอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลาที่ผ่านไปสองร้อยปี คงมีเพียงฟ้าเท่านั้นที่ล่วงรู้ว่าเขาแข็งแกร่งขึ้นเพียงไหน

 

“ในความคิดของข้า ตํานานยุทธแห่งเมืองฉางอันไม่ควรเป็นคู่ต่อสู้ของอดีตเจ้าสํานักสังหารโลหิต”

 

จอมยุทธอาวุโสผู้หนึ่งกล่าวสรุปจบปิดท้าย

 

แม้ว่าซูฉินจะมีพลังถล่มฟ้าสะเทือนดิน แต่อดีตเจ้าสํานักสังหารโลหิตนั้นอยู่ยงคงกระพันมากว่าสองร้อยปีแล้วหากไม่มีการต่อสู้กันตัวต่อตัวจริงๆ เกิดขึ้นทุกคนย่อมรู้สึกว่าบรรพบุรุษสํานักสังหารโลหิตนั้นแข็งแกร่งกว่า

 

ท้ายที่สุดอีกฝ่ายก็ฝึกฝนวิทยายุทธมานานกว่าสองร้อยปีเห็นได้ชัดเจนว่าฝ่ายไหนแข็งแกร่งฝ่ายไหนอ่อนแอกว่ากัน

 

ในขณะที่ทั่วทั้งแผ่นดินกําลังพูดถึงเรื่องนี้

 

เมืองฉางอัน

 

ภายในวังหลวง

 

“เป็นบรรพบุรุษสํานักสังหารโลหิตจริงๆ”

 

จักรพรรดิถังดูเคร่งขรึมราวกับสายน้ํานิ่ง มองดูรายงานในมือตนและกล่าวออกด้วยเสียงอันหนักแน่น

 

ตอนนี้อาณาจักรถังกําลังครองแผ่นดิน เมื่อมีข่าวเกี่ยวกับการปรากฏตัวของบรรพบุรุษสํานักสังหารโลหิตข้อมูลที่เกี่ยวข้องทั้งหมดก็ถูกส่งตรงถึงจักรพรรดิถังทันที

 

แม้จักรพรรดิถังจะยังคงมีความสงสัยภายในใจ แต่เมื่อเวลาผ่านไป ข้อมูลไหลเข้ามาเพิ่มขึ้นเรื่อยๆจักรพรรดิถังทําได้เพียงแต่ต้องเชื่อ

 

“ฝ่าบาท พวกเราควรทําเช่นไรดี?”

 

ขุนนางคนหนึ่งลุกขึ้น มองไปที่จักรพรรดิแล้วจึงเอ่ยถาม

 

จักรพรรดิถังเงียบไปครู่หนึ่งก่อนตรัสว่า “จงระดมพลกองทัพเพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งเพิ่มกําลังพลเพื่อตรวจสอบเมืองฉางอันให้มากขึ้น”

 

ขุนนางคนอื่นๆ ได้ยินดังนั้นก็มองหน้ากัน ริมฝีปากพวกเขาเผยอเบิดออก แต่ไม่ได้พูดอะไรออกมา

 

อันที่จริงก็ได้แต่ทําตามที่จักรพรรดิถังตรัสไว้ ไม่เช่นนั้นควรจะทําเช่นไรงั้นหรือ? เป็นไปได้หรือไม่ที่จะค้นหาตวบรรพบุรุษแห่งสํานักสังหารโลหิตจากนั้นค่อยกําจัดเขา?

 

อย่าเพิ่งกล่าวถึงเรื่องที่อาณาจักรถังจะสามารถกําจัดบรรพบุรุษสังหารโลหิตได้หรือไม่ แค่เพียงตามตําแหน่งที่อยู่ของบรรพบุรุษสังหารโลหิตอย่างเดียวนั้น จ ริงๆ แล้วจะมีใครไปทําได้?

 

ตํานานยุทธคุมปราณเคลื่นลมเดินทางได้นับหมื่นลี้ในห นึ่งวัน บางวันอยู่สุดขอบตะวันตก พรุ่งนี้อาจจะอยู่สุดขอบทางตอนเหนือ

 

หลังจากการประชุมสภาขุนนางสิ้นสุด

 

จักรพรรดิถังก็เดินทางไปยังพระราชวังตะวันออก

 

“คุณชายหร่วนชิง พี่สามยังไม่ได้ติดต่อท่านมาอีกหรือ?” จักรพรรดิถังพบหร่วนชิงจึงเอ่ยถามขึ้นมา

 

แม้หร่วนซึ่งจะบอกว่าตนเองเป็นข้ารับใช้ของซูฉิน แต่ จักรพรรดิถังก็ไม่กล้านับว่าตํานานยุทธคนหนึ่งเป็นข้ารับใช้และเรียกว่า “คุณชาย” แทน

 

ในอาณาจักรถัง คุณชาย” เป็นคําเรียกที่ให้เกียรติประหนึ่งครูอาจารย์

 

“ยังเลย”

 

หร่วนชิงเหลือบมองจักรพรรดิถังและถามด้วยความสงสัย “เจ้ากําลังมองหานายท่านอยู่อย่างนั้นรึ?”

 

“บรรพบุรุษสังหารโลหิตที่จากไปตั้งแต่สองร้อยปีก่อนได้กลับมาโดยไม่รู้ว่าสาเหตุที่กลับมาคืออะไร?” จักรพรรดิถังกล่าวคํารวบรัดในสิ่งที่ตนล่วงรู้มา

 

“ดูเหมือนว่านิกายใหญ่ต่างดินแดนจะเข้ามาแทรกแซงเสียแล้ว” หร่วนซิงคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงถอนหายใจออกมาเบาๆ

 

“ตอนนี้ควรทําเช่นไรดี?”

 

แม้ว่าจักรพรรดิถังจะไม่รู้ว่า “นิกายใหญ่” ที่หร่วนชิงพูดเมื่อครู่หมายความว่าอะไร แต่รู้ว่ามันไม่ใช่เรื่องดีแน่

 

“ถ้าเป็นเพียงเฒ่าสังหารโลหิต ข้าสามารถจัดการเรื่องนี้ได้แต่นอกเหนือจากเฒ่าสังหารโลหิตแล้ว นิกายใหญ่จะ ต้องส่งศิษย์คนอื่นมาอีกแน่”

 

หร่วนซึ่งส่ายศีรษะ

 

เพียงรอนายท่านออกจากด่านฝึกตน

หร่วนชิงกล่าวอย่างช่วยไม่ได้

 

แทบจะในเวลาเดียวกัน ข่าวที่น่าเหลือเชื่อก็แพร่กระจายไปทั่วดินแดน

 

ตัวอย่างเช่น มีผู้พบเห็นหญิงชุดขาวโบยบินอยู่บนฟากฟ้าราวกับนางฟ้านางสวรรค์มีคนเห็นชายสะพายดาบในชุดเขียวก้าวเท้าครั้งหนึ่งพุ่งไปได้ไกลหลายร้อยเมตรดูเห มือนกําลังทดสอบบางอย่างอยู่ส่วนคนอื่นๆก็เห็นนักพรต ที่ยืนอยู่เหนือเมฆ มองดูสรรพชีวิตอย่างเฉยเมยราวกับกําลังมองหาอะไรบางอย่าง

 

ฉับพลัน ทั่วทั้งแผ่นดินก็สั่นสะเทือน

 

หากจะบอกว่าบรรพบุรุษสังหารโลหิตที่ปรากฏตัวขึ้นครั้ง แรกเป็นกระแสลมพัดผ่าน ก็ทําให้ผู้คนตกใจกันทั่วทวีปแล้ว ตอนนี้ยังมีตัวตนขอบเขตตํานานยุทธที่ไร้ที่มาที่ไปผุดขึ้นอีกที่ละคนสองคน ทําให้ผู้คนแตกตื่นกันยกใหญ่

 

“เกิดอะไรขึ้น?”

 

“เป็นไปได้ไหมที่คนเหล่านี้จะกลับมาจากต่างดินแดนเหมือนบรรพบุรุษสังหารโลหิต?”

 

“มีเพียงความเป็นไปได้นี้เท่านั้นจึงจะอธิบายได้ว่าทําไมตํานานยุทธที่หาได้ยากเย็นในยุคนี้ถึงโผล่มาอย่างมากมายขนาดนี้?”

 

จอมยุทธทั้งหลายตื่นตระหนก

 

และในขณะนี้

 

บนภูเขาสูงมีร่างหลายร่างกําลังยืนกันอย่างผ่อนคลาย

 

หนึ่งในนั้นมีหญิงสาวชุดขาวที่ดูราวกับนางฟ้านางสวรรค์ชายถือดาบใส่ชุดเขียว และนักพรตเต๋รวมอยู่ด้วย

 

ในตอนนี้ การดํารงอยู่ของเหล่าตัวตนบนยอดเขาแผ่บรรยากาศที่ไม่สามารถบรรยายได้ออกมา

 

“ตรวจสอบอะไรมาได้บ้าง?”

 

เสียงของหญิงชุดขาวนั้นชัดเจน แม้จะพูดด้วยเสียงเบา

 

นางคือเทพธิดาองค์ปัจจุบันจากตําหนักเทพเจ้าหิมะนิกายใหญ่ในต่างดินแดน มีนามว่าชิงหลิงครั้งนี้มาตามคําสั่งของสํานักเพื่อตรวจสอบว่าทวีปนี้เป็นโลกอันยิ่งใหญ่ตามตํานานใช่หรือไม่

 

ส่วนคนอื่นๆ ต่างก็เป็นบุตรแห่งสวรรค์ของนิกายใหญ่ต่างๆ

 

“แม้ว่าพลังในปัจจุบันจะยังด้อยกว่านิกายใหญ่ในดินแดนของพวกเรามากแต่อัตราการเติบโตของพลังก็สูง กว่าเป็นอย่างยิ่ง

 

พูดถึงจุดนี้ ชายถือดาบในชุดเขียวก็หยุดพูดไปชั่วครู่แล้วจึงกล่าวต่อ“ตามกระแสพลังตอนนี้อย่างน้อยก็อีกหนึ่งร้อยปีพลังและจิตวิญญาณของสถานที่แห่งนี้จะเทียบเท่า กับต่างดินแดนและในอีกสองร้อยไปจะแซงหน้าดิน แดนของพวกเราไปอย่างสิ้นเชิง

 

คําที่กล่าวออกมา

 

ทุกคนในที่แห่งนี้ต่างเปลี่ยนท่าทีไป

 

“แล้วจะยังรออะไรอีกล่ะ? เรามาร่วมมือกัน เข้าสู่ อาณาจักรถังควบคุมทวีปนี้อย่างสมบูรณ์ จากนั้นก็นั่งร อต้อนรับคนจากนิกาย” ชายท่าทางดุดันคนหนึ่งพูดด้วยรอยยิ้ม

 

เมื่อทุกคนมาถึงที่นี่ต่างก็ได้รับรู้ว่าทวีปนี้ถูกปกครองด้วยมหาอํานาจที่เรียกว่าอาณาจักรถัง

 

“เข้าครอบครองอาณาจักรถัง?”

 

นักพรตเต๋ขมวดคิ้วเล็กน้อย “แต่ข้าได้ยินมาว่าเหมือนจะมีตํานานยุทธอยู่ในเมืองฉางอันแห่งอาณาจักรถัง และความแข็งแกร่งของเขาก็มิใช่จะอ่อนแอ…”

 

“มีความแข็งแกร่งที่ไม่อ่อนแอ?” ชายท่าทางดุดันยิ้ม แล้วพูดขึ้นว่า“เมื่อเทียบกับพวกเราที่มาจากต่างดินแดนข้าไม่ได้จะหยิ่งทระนงอะไรนะแต่ตํานานยุทธทุกคนก็ได้ เทียมทานได้เมื่ออยู่ในที่แห่งนี้”

 

“ต่อหน้าศิษย์สาวกอย่างพวกเรามันจะนับเป็นอะไร?”

 

“พวกเราคนใดคนหนึ่งก็สามารถกวาดทําลายที่นี่จนราบเป็นหน้ากลองได้แล้ว”

 

น้ําเสียงของชายท่าทางดุดันนั้นแข็งกระด้าง แสดงถึงความเย่อหยิ่ง

 

“ไม่เลว” ชายชุดเขียวที่ถือดาบอยู่ก็พยักหน้าเล็กน้อย“ในฐานะศิษย์ของนิกายใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นเคล็ดวิชา วิชาบ่มเพาะหรือมรดกตกทอดล้วนแข็งแกร่งจะนํามาเปรียบ เทียบกับของธรรมดาๆ ในดินแดนแห่งนี้ได้เช่นไร?”

 

“ยอดเยี่ยม”

 

ปิงหลิงเทพธิดาในยุคสมัยนี้ของตําหนักเทพเจ้าหิมะพยักหน้าเล็กน้อย “เมื่อเป็นเช่นนี้เราจะไปที่เมืองฉางอันหากตํานานยุทธผู้นั้นฉลาดพอและยอมก้มหัวให้พวกเราอ ย่างแข็งขันเขาก็สามารถมีชีวิตต่อไปได้ไม่เช่นนั้นเขาจะต้องถูกสังหารลงทันที”

 

ใต้เมืองฉางอัน

 

ในโถงพระราชวังอันสูงตระหง่าน

 

ซูฉันค่อยๆ ลืมตาขึ้น

 

“ในที่สุดอาณาเขตก็เสถียรเต็มที่แล้ว”

 

สีหน้าของซูฉินเปล่งประกาย แสดงถึงความพึงพอใจ

 

 

เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล [Sign in Buddha’s palm] Sign in Buddha’s palm 196 (II) อาณาเขตที่น่าหวาดผวา

 

“อย่างไรก็ตาม ด้วยความแข็งแกร่งของนายท่านต่อหน้านิกายใหญ่ที่สืบทอดต่อกันมานับพันปีก็ควรจะมีคุณสมบัติพอที่จะเจรจากันได้…”

 

หร่วนชิงคาดเดาอยู่ภายในใจ

 

ในตอนที่ซูฉินยังอยู่ในช่วงปิดด่านฝึกตนโลกยุทธภพก็ค่อยๆปรับตัวเข้าสู่ความมั่นคง

 

ชายในชุดคลุมสีแดงเลือดปรากฏตัวขึ้นกลางอากาศล่องลอยไปตามสายลมทุกที่ที่เขาเคลื่อนผ่านก็จะมีกลิ่นอายที่ทรงพลังคอยกดทับทุกสิ่ง

 

จอมยุทธทุกคนต่างหวาดกลัว ภายใต้รัศมีของชายชุดแดงพวกเขาไม่แม้แต่จะกล้าเงยหน้าขึ้นทําได้เพียงคุกเข่าลงกับพื้นทีละคนราวกับว่าเขากําลังต้อนรับการกลับมาของราชาเหนือหัว

 

หลังจากที่ชายชุดแดงจากไป มีเพียงเหล่าจอมยุทธเท่านั้นที่พอจะยืดตัวกลับขึ้นมาได้

 

“เขา เขาเป็นใครกัน?”

 

“ทําไมกลิ่นอายจึงน่ากลัวถึงเพียงนี้ว”

 

“คุมปราณฉีขี่คลื่นลม เขาเป็นตํานานยุทธอย่างนั้นหรือ?”

 

จอมยุทธจํานวนมากต่างสั่นไหวในหัวใจและยังพูดคุยกันต่อไป

 

แม้ว่าปราณฉีจะฟื้นคืนและการฝึกฝนบ่มเพาะทําได้ง่ายขึ้นในตอนนี้แต่ตัวตนในระดับตํานานยุทธก็ยังไม่สา มารถบรรลุถึงได้โดยง่าย

 

นับตั้งแต่ราชครูแห่งเหมิงหยวนตกตายในพริบตาด้วยฝีมือของซูฉินนอกเมืองฉางอัน ก็ไม่มีตํานานยุทธค นใหม่เกิดขึ้นอีกในใต้หล้า

 

แต่ตอนนี้ ชายในชุดคลุมสีเลือดได้ก่อคลื่นลมในหัวใจของคนทุกผู้

 

ในตอนนั้นเอง ก็มีข้อมูลใหม่เพิ่มขึ้นมา

 

“เขาเป็นบรรพบุรุษตํานานยุทธของสํานักสังหารโลหิตเมื่อสองร้อยปีก่อนไม่ใช่หรือ?”

 

ข้อมูลที่ถูกปล่อยออกมานั้น ทําให้ยุทธภพถึงกับแตกตื่น

 

บรรพบุรุษขอบเขตตํานานยุทธของสํานักสังหารโลหิตหายตัวไปหลังข้ามน้ําข้ามทะเลตั้งแต่สองร้อยปีก่อน

 

ไม่เพียงแต่บรรพบุรุษของสํานักสังหารโลหิตเท่านั้นแต่จอมยุทธในขอบเขตตํานานยุทธทุกคนในอดีตที่ข้ามน้ําข้าม ทะเลไปไม่เคยกลับมาอีกเลย

 

“ใต้หล้า จะกลับมาสู่ความโกลาหลอีกครั้งแล้ว”

 

ความคิดของจอมยุทธเฒ่าผู้หนึ่งแฝงความเศร้าโศกไว้ภาย

 

และในขณะนี้

 

บรรพบุรุษตํานานยุทธของสํานักสังหารโลหิตที่สวมชุดคลุมสีแดงเลือดเดินทางมาที่ฐานหลักของสํานักสังหารโลหิต

 

“โอ้?”

 

“ไม่มีใครอยู่?”

 

บรรพบุรุษของสํานักสังหารโลหิตขมวดคิ้วจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์อันน่าสะพรึงกลัวเข้าปกคลุมทุกซอกกระเบียดนิ้วในที่สุดเขาก็พบศิษย์ของสํานึกสังหารโลหิตที่ซ่อนตัวอยู่ใกล้ๆ

 

“อดีตเจ้าสํานัก

 

“อดีตเจ้าสํานัก ในที่สุดท่านก็กลับมาแล้ว…”

 

ศิษย์สํานักสังหารโลหิตหลั่งน้ําตาโดยพลัน

 

เมื่อเริ่มต้นเป็นศิษย์ของสํานักสังหารโลหิต ทุกคนจะต้องคุกเข่าบูชารูปเคารพของบรรพบุรุษสังหารโลหิต

 

ดังนั้นศิษย์ในสํานักสังหารโลหิตผู้นี้จึงจดจําบรรพบุรุษของตนได้ในทันที

 

“ล่าสุดมันเกิดอะไรขึ้น?”

 

อดีตเจ้าสํานักสังหารโลหิตขมวดคิ้ว

 

“อดีตเจ้าสํานัก เหล่าศิษย์สํานักสังหารโลหิตได้กระจัดกระจายกันไปเพราะถูกข่มเหงโดยตํานานยุทธแห่งอาณาจักร

 

ศิษย์สํานักสังหารโลหิตรีบอธิบายอย่างรวดเร็วถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในช่วงหลายปีที่ผ่านมา

 

“อาณาจักรถัง?”

 

“ตํานานยุทธ?”

 

“ไม่เลว ข้าไม่คาดคิดว่าสองร้อยปีหลังจากที่ข้าจากไปตํานานยุทธอื่นจะถือกําเนิดขึ้น”

 

อดีตเจ้าสํานักสังหารโลหิตพยักหน้าเล็กน้อยราวกับกําลังชื่นชมรุ่นน้อง

 

“แต่ว่า”

 

“ในเมื่อกล้ายั่วยุสํานักสังหารโลหิตของข้า ก็เท่ากับเจ้ากําลังมองหาความตาย”

 

เจตนาฆ่าสาดวาบอยู่ในส่วนลึกของดวงตาอดีตเจ้าสํานักสังหารโลหิต

 

“อดีตเจ้าสํานัก ตํานานยุทธแห่งอาณาจักรถังครั้งหนึ่งเคยใช้แสงศักดิ์สิทธิ์สังหารผู้อาวุโสสํานักสังหารโลหิตจากพื้นที่ห่างไกลกว่าหลายพันลี้อดีตเจ้าสํานักได้โปรดล้างแค้นให้พวกเราด้วย”

 

ศิษย์สํานักสังหารโลหิตกล่าวคําอีกครั้ง

 

“อะไรนะ?”

 

“ลงมือจากพื้นที่ห่างไกลหลายพันลี้?”

 

ท่าทีของบรรพบุรุษสํานักสังหารโลหิตที่สงบเยือกเย็นมาตลอดในที่สุดก็เปลี่ยนแปลงไป

 

Sign in Buddha’s palm 196 (1) อาณาเขตที่น่าหวาดผวา

 

โถงพระราชวังอันสูงตระหง่าน

 

ซูฉินดูมีความสุข

 

“ระยะเวลาสองปี แม้ว่าอาจจะดูนานไปหน่อย แต่ก็ไม่เสียเปล่าที่ควบแน่นอาณาเขตขนาดเล็กขึ้นมา”

 

ซูฉินพยักหน้าเล็กน้อย คิดอยู่กับตนเองในใจ

 

หากให้เหล่าผู้อาวุโสผู้ยิ่งใหญ่ในต่างแดนรู้ความคิดของซูฉินเข้า เกรงว่าดวงตาคงจะเปลี่ยนเป็นสีแดงฉานด้วยความอิจฉา

 

สําหรับพวกเขา แม้ว่าจะใช้เวลาแปดสิบปี หรือร้อยปีเพื่อควบแน่นอาณาเขตขนาดเล็ก พวกเขาจะต้องเต็มไปด้วยความปีติยินดีแน่ และจะเชิญชวนตํานานยุทธคนอื่นๆ มาฉลองสังสรรค์กัน

 

ส่วนระยะเวลาสองปีนั้น

 

แม้แต่เหล่ายอดยุทธอาวุโสก็คงจะไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้มาก่อน

 

เพราะเรื่องนี้มันเหลือเชื่อเกินไป แค่สองปีจะไปทําอะไรได้? ปิดด่านฝึกตนแค่สองปีจะไปควบแน่นอาณาเขตขนาดเล็กได้อย่างไร เพียงแค่กลั่นแก่นแท้แห่งพลังเพียงเล็กน้อยก็เกรงว่าจะใช้เวลาไปมากถึงสองปีแล้ว

 

“ควบแน่น”

 

ทันใดนั้น พลังที่มองไม่เห็นก็แผ่ออกไปในรัศมีหนึ่งร้อยจ้างโดยมีซูฉินเป็นศูนย์กลาง

 

“ช่วงรัศมีหนึ่งร้อยจ้างนี้ คืออาณาเขตของข้า อํานาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาดอยู่ในกํามือของข้า”

 

ซูฉินรับสัมผัสถึงความเปลี่ยนแปลงภายในอาณาเขตของเขาอย่างระมัดระวัง ใบหน้าครุ่นคิด

 

อาณาเขตและพลังฟ้าดินโดยพื้นฐานแล้วมีความแตกต่างกัน

 

ตัวอย่างเช่น ถ้าตํานานยุทธสองคนต่อสู้กัน ไม่ว่าจะเป็นที่ไหนเมื่อไหร่ พวกเขาต่างสามารถควบคุมพลังฟ้าดินเข้าน้ำนั่นกันได้

 

ท้ายที่สุดแล้ว ตราบใดที่เป็นตํานานยุทธก็ล้วนสามารถควบคุมพลังฟ้าดินได้ทั้งนั้น ความแตกต่างก็มีเพียงระดับชั้น

 

แต่อาณาเขตนั้นต่างออกไป

 

หากตํานานยุทธเข้ามาอยู่ในอาณาเขต แม้ว่าจะเป็นตํานานยุทธระดับนภาชั้นที่ห้าหรือนภาชั้นที่หก พวกเขาก็ต้องประหลาดใจเมื่อพบว่าตนไม่สามารถควบคุมพลังฟ้าดินได้เลยราวกับว่าถูกลดขอบเขตลงจากการเป็นตํานานยุทธ

 

หรือจะให้พูดง่ายๆ

 

ภายในอาณาเขตแห่งนี้ ซูฉินเป็นนายใหญ่เพียงผู้เดียว ตราบใดที่ซูฉินไม่เต็มใจ จะไม่มีตํานานยุทธคนใดที่จะสามารถหยิบยืมพลังอํานาจของฟ้าดินในอาณาเขตของเขาได้

 

“ไม่เลวไม่เลว”

 

“ไม่น่าแปลกใจเลยว่าตํานานยุทธที่สามารถควบแน่นอาณาเขตได้ กับตํานานยุทธที่ควบแน่นไม่ได้จะเป็นสองระดับที่แตกต่างกันอย่างสมบูรณ์

 

ซูฉินดูประหลาดใจ

 

แม้ว่าซูฉินจะยังคงอยู่ในระดับนภาชั้นที่เจ็ด

 

แต่ภายใต้อาณาเขตแห่งนี้ แม้เขาจะถูกห้อมล้อมด้วยตํานานยุทธหลายสิบคนในระดับเดียวกันก็ไม่ต้องหวั่นกลัว

 

แม้ว่าจะเป็นตํานานยุทธในระดับเดียวกัน เมื่อตกอยู่ในอาณาเขตของซูฉินแล้ว เกรงว่าชีวิตและความตายของพวกนั้นคงจะอยู่ในกํามือของซูฉิน

 

แน่นอนว่าไม่มีตํานานยุทธคนใดที่โง่เขลาพอจะบุกเข้าไปในอาณาเขตตรงๆ หรอก

 

ท้ายที่สุดอาณาเขตที่ซูฉินเพิ่งจะสร้างสําเร็จก็เป็นเพียงขั้นเริ่มต้น มีรัศมีเพียงแค่หนึ่งร้อยจ้างเท่านั้น

 

สําหรับคนทั่วไป อาณาเขตไกลถึงร้อยจ้างอาจจะใหญ่โตมาก แต่ในสายตาของตํานานยุทธนั้นนับเป็นเรื่องที่เล็กน้อยนัก

 

ตํานานยุทธมิใช่คนโง่ และคงไม่ผ่านเข้ามาหากรู้ว่าตนจะพ่ายแพ้

 

“น่าเสียดาย”

 

“คงจะดีกว่านี้ถ้าอาณาเขตมันใหญ่กว่านี้”

 

เค้าความเสียใจปรากฏขึ้นบนใบหน้าของซูฉิน อาณาเขตกว้างร้อยจ้าง เมื่อเทียบกับความสามารถในการควบคุมพลังฟ้าดินหนึ่งร้อยลี้ก่อนหน้านี้ ระยะทางมันลดลงไปมาก

 

ความคิดนี้แวบขึ้นมาในหัวของซูฉินเพียงชั่วครู่เท่านั้น

 

เมื่อนําอาณาเขตที่มีอํานาจเด็ดขาดมาเทียบกับสิ่งที่เรียกว่าพลังฟ้าดินแล้ว ก็เรียกได้ว่าเป็นเรื่องตลก มันเหมือนกับเอาสิบตําลึงเงินไปเทียบกับตําลึงทอง

 

“ว่ากันว่า ตราบใดที่ก้าวเข้าสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพี อาณาเขตขนาดเล็กจะแปรสภาพกลายเป็นอาณาเขตขั้นสุดยอด ครอบคลุมพื้นที่หลายร้อยล้ำได้ในพริบตาเดียว”

 

ซูฉินรู้สึกทึ่ง

 

อาณาเขตที่เขาควบแน่นมาได้ในตอนนี้คืออาณาเขตขนาดเล็ก เรียกได้ว่าเป็นราวกับอาณาเขตขนาดจําลองเลยก็ว่าได้

 

แต่ด้วยพลังที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้ เป็นใครก็คงนึกภาพออกว่ายอดอรหันต์หรือเซียนเทพปฐพีนั้นจะทรงพลังสั่นสะเทือนโลกได้เพียงใด?

 

ต่อจากนั้น

 

ซูฉินยังคงรับรู้ความสามารถต่างๆ ของอาณาเขตขนาดเล็กต่อไป และในที่สุดก็สงบใจลงได้

 

“เอาล่ะ”

 

“มาลองดูว่ามีดเทพเจ้าปีศาจที่ได้มาจากการลงชื่อเข้าใช้ในโลกถ้ำปิศาจจะสามารถเจาะผ่านอาณาเขตได้หรือไม่”

 

ซูฉินพลันคิดขึ้นมาได้

 

ใบมีดของมีดเทพเจ้าปีศาจนั้นคมที่สุดและน่ากลัวที่สุดในบรรดาอาวุธทั้งหมดที่ซูฉินเคยเห็นมา

 

แม้แต่ซูฉินก็ไม่สามารถหยุดยั้งคมมีดเทพเจ้าปีศาจได้หากใช้เพียงกายเนื้อล้วนๆ

 

แน่นอนว่าซูฉินไม่สามารถหยุดมันได้ แต่มีดเทพเจ้าปีศาจก็ไม่สามารถทําอะไรซูฉินได้เช่นกัน

 

เพราะด้วยความแข็งแกร่งของซูฉิน มีดเทพเจ้าปีศาจจะไม่มีวันแตะต้องตัวของเขาได้

 

นอกจากนี้ซูฉินยังมีทิพยอํานาจกายเนื้อกําเนิดใหม่ เว้นแต่ว่ามีดเทพเจ้าปีศาจจะสามารถทําลายล้างซูฉินได้อย่างสมบูรณ์ในฉับเดียว ซูฉินที่มีร่างกายกึ่งอมตะย่อมสามารถฟื้นตัวได้อย่างไร้ขีดจํากัด

 

หวึ่ง!

 

ปรากฏมีดยาวรูปร่างประหลาดเหมือนกับเคียว โก่งโค้งวนไปดั่งดวงจันทร์โผล่ขึ้นมาในมือของซูฉิน

 

ไอพลังแผ่ออกมาแทบจะในทันที ชวนให้ผู้คนรู้สึกเหมือนตกอยู่ในขุมนรก

 

“ไม่เลว”

 

ซูฉินจับด้ามมีดในมือก่อนจะโบกสะบัดไปมา

 

แม้ว่าซูฉินจะไม่ได้ใช้พลังใดๆ ก็ตาม เมื่อมีดเทพเจ้าปีศาจมาอยู่ในมือ เขาก็รู้สึกได้ถึงกลิ่นอายอันแหลมคมแทรกซึมอยู่ภายในอากาศ เกือบจะฉีกชั้นบรรยากาศเป็นชิ้นๆ

 

“อาณาเขต”

 

หัวใจซูฉินกระตุกวูบ พลังของอาณาเขตก็ก่อตัวเข้าพัวพันกับคมมีดเทพเจ้าปีศาจ

 

เป้ง!!

 

เกิดเสียงออกมาจากคมมีดเทพเจ้าปีศาจ ซูฉินสะบัดมือเบาๆ เงามืดจากใบมีดก็ปรากฏขึ้นเฉือนทําลายพลังของอาณาเขตไปส่วนหนึ่ง และในที่สุดก็ค่อยๆ สลายหายไป

 

“มีดเทพเจ้าปีศาจสามารถเจาะทะลุอาณาเขตได้ แต่อาณาเขตเองก็สามารถกลืนพลังจากมีดเทพเจ้าปีศาจไปได้ด้วย”

 

ซูฉินแตะปลายคางครุ่นคิดในใจ

 

ต้องกล่าวว่ามีดเทพเจ้าปีศาจนั้นน่ากลัวมาก แม้แต่อาณาเขตที่ไร้สภาพมองไม่เห็นตัวตนเช่นนี้ก็ยังสามารถทําลายได้

 

รู้หรือไม่ แม้ว่าจะเป็นปีศาจในระดับนภาชั้นที่เจ็ดและนภาชั้นที่แปด ถ้าไม่สามารถควบแน่นอาณาเขตขนาดเล็กได้ ก็จะไม่สามารถทําอันตรายต่ออาณาเขตได้เลย แต่มีดเทพเจ้าปีศาจกลับสามารถตัดผ่านพลังของอาณาเขตได้ เห็นได้ชัดว่ามีดเล่มนี้คมกริบขนาดไหน

 

ความคิดของซูฉินผันผวน แล้วจึงใส่มีดเทพเจ้าปีศาจกลับเข้าไปในคลังของระบบ

 

พื้นที่ของระบบนั้นมีเอกลักษณ์เฉพาะ ตราบใดที่ซูฉินภายในโลกถ้ำปีศาจเก็บสมบัติเข้ามาในคลังของระบบ ซูฉินที่อยู่ในเมืองฉางอันก็สามารถหยิบสมบัติในคลังเหล่านั้นออกมาใช้สอยได้

 

และเป็นเช่นเดียวกันกับซูฉินในโลกถ้ำปิศาจใต้พิภพ

 

“อาณาเขตนี้เพิ่งจะก่อร่างขึ้นมาไม่นาน ต้องทําให้มันมั่นคงเสียก่อน”

 

ซูฉินค่อยๆ ปิดเปลือกตาลงอีกครั้ง แล้วกลับไปฝึกฝนต่อ

 

ซูฉินใช้เวลาร่วมสองปีในการควบแน่นอาณาเขตขนาดเล็ก ย่อมวางแผนที่จะทําให้อาณาเขตมั่นคงสมบูรณ์เสียก่อนเป็นอันดับแรกก่อนที่จะพิจารณาสิ่งอื่นต่อไป

 

และขณะที่ซูฉินยังคงปิดด่านฝึกตนต่อไปนั้น

 

หร่วนชิงที่กําลังตกตะลึงอยู่ลึกๆ ในใจ ด้านนอกพระราชวังตะวันออก

 

เมื่อครู่นี้พลังฟ้าดินในรัศมีหลายร้อยลี้สั่นสะเทือนไปหมด หากหร่วนชิงไม่ได้เห็นด้วยตาของตนเอง เขาคงไม่มีวันเชื่อ

 

แม้ว่าจะเป็นตํานานยุทธ แต่ขีดจํากัดในการควบคุมพลังฟ้าดินคือหนึ่งร้อยลี้ ส่วนระยะทางหลายร้อยล้ำนั้น เกรงว่าคงจะเป็นตํานานยุทธขั้นสูงสุดเท่านั้นจึงจะสามารถไปถึงได้

 

“นายท่านแข็งแกร่งเกินไป..”

 

หร่วนชิงถอนหายใจออกมาเบาๆ ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความกลัว

 

เป็นเวลามากกว่าหนึ่งปีแล้ว ซูฉินไม่ได้ห้ามหร่วนชิงฝึกฝน ตรงกันข้าม เขามักจะให้คําแนะนําแก่หร่วนชิงอยู่บ้างในช่วงปีแรก

 

และตอนนี้ด้วยความช่วยเหลือของสภาพแวดล้อมอันเหมาะสมในพระราชวังตะวันออกที่ไม่ได้ด้อยไปกว่าต่างดินแดน ควบคู่ไปกับปราณฉีที่ฟื้นฟู ทั้งยังมีการแนะนําเป็นครั้งคราวจากซูฉิน ฐานการบ่มเพาะของตัวเขาก็ได้พัฒนาขึ้นอีกครั้งและพุ่งขึ้นไปถึงจุดสูงสุดของระดับนภาชั้นที่สาม

 

ยิ่งกว่านั้น หร่วนชิงยังเห็นเค้าลางจางๆ ว่าตราบใดที่เขามีเวลาอีกสักหลายสิบหรือหลายร้อยปี เขาแน่ใจว่าตนเองจะต้องฝ่าโซ่ตรวนของระดับชั้นและขึ้นสู่นภาชั้นที่สี่ได้แน่

 

ต้องรู้ว่าแม้แต่ในต่างแดนเอง ตํานานยุทธระดับนภาชั้นที่สี่ก็เพียงพอที่จะเป็นผู้คุมกฏอาวุโสของนิกายใหญ่แล้ว กล่าวได้ว่าเป็นผู้มีอํานาจอันดับสองรองลงมาจากประมุขและรองประมุข

 

เดิมทีหร่วนชิงคิดว่าตนคงไม่มีความหวังที่จะไปถึงระดับนั้นในตลอดชั่วชีวิตนี้ แต่หลังจากใช้ชีวิตเพียงสองปในเมืองฉางอัน เขาก็มองเห็นความหวัง

 

“ปราณฉีฟื้นคืนเริ่มเห็นได้ชัดเจนขึ้น”

 

หร่วนชิงมองขึ้นไปบนท้องฟ้า พึมพําอยู่กับตนเอง

 

แน่นอนว่าเขาสามารถก้าวหน้าได้อย่างรวดเร็วส่วนใหญ่เป็นเพราะคําแนะนําของซูฉิน แต่อิทธิพลของสภาพแวดล้อมภายในโลกก็ไม่ได้น้อยเช่นกัน

 

“เกือบจะสองปีแล้ว”

 

“การฟื้นคืนของกระแสปราณฉีนั้นเร็วกว่าที่ข้าคิดไว้มาก พวกเหล่าอาวุโสในนิกายใหญ่ควรจะรู้อะไรบ้างแล้วใช่หรือไม่?”

 

ร่องรอยความกังวลปรากฏขึ้นบนใบหน้าของหร่วนชิง

 

แม้ว่าพวกเหล่าอาวุโสในนิกายใหญ่จะไม่เชื่อเรื่องการมีอยู่ของโลกที่ยิ่งใหญ่ในตอนแรก และคิดว่าในต่างดินแดนจะยังคงรุ่งโรจน์ตลอดไป แต่ยิ่งเมื่อเวลาผ่านไป กระแสปราณฉีจะยิ่งทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ และด้วยความสามารถของคนพวกนั้น จะต้องตระหนักได้ถึงบางสิ่งแน่ๆ

 

“อย่างไรก็ตาม ด้วยความแข็งแกร่งของนายท่าน ต่อหน้านิกายใหญ่ที่สืบทอดต่อกันมานับพันปี ก็ควรจะมีคุณสมบัติพอที่จะเจรจากันได้”

 

หร่วนชิงคาดเดาอยู่ภายในใจ

 

Sign in Buddha’s palm 195 ควบแน่นอาณาเขตสําเร็จ

 

ยามที่ซูฉินลงมือที่เมืองเมฆาปีศาจนั้น เขาไม่ได้ปิดบังแม้แต่น้อย ใช้ฝ่ามือเดียวกดดันเมืองเมฆาปีศาจ จากนั้นจึงบังคับให้เจ้าเมืองเมฆาปีศาจต้องหนีตายเยี่ยงสุนัขด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว

 

ฉากนี้ถูกพบเห็นโดยปีศาจมากมายนับไม่ถ้วนภายในเมืองเมฆาปีศาจ ดังนั้นความจริงเรื่องที่เมืองเมฆาปีศาจถูกเปลี่ยนมือก็ไม่ได้ถูกปิดบัง และข่าวยังแพร่กระจายไปทั่วอย่างรวดเร็ว

 

เมืองอินจี๋

 

ภายในห้องโถงใหญ่

 

มีร่างมากกว่าสิบร่างกําลังนั่งรายล้อมกันอยู่

 

“ราชาปีศาจที่ลงมือภายในเมืองเมฆาปีศาจคือผู้ใด เหตุใดข้าจึงมิเคยได้ยินว่ามีชายที่แข็งแกร่งเช่นนี้มาก่อน?”

 

ปีศาจหน้าตาเย็นชาที่นั่งอยู่ด้านขวาเปิดปากพูดออกมา

 

ไอพลังของเขาลึกซึ้ง มืดมน และเป็นราชาปีศาจที่ทรงพลัง ไม่ได้อ่อนแอไปกว่าเจ้าเมืองเมฆาปีศาจเลย

 

“ไม่แน่ใจ

 

“อย่างไรก็ตาม มีค่ายกลตั้งอยู่รอบเมืองเมฆาปีศาจซึ่งมีความแข็งแกร่งใกล้เคียงกับราชาปีศาจระดับสูง หากฝ่ายตรงข้ามสามารถกวาดทําลายเกราะคุ้มกันเมืองเมฆาปีศาจทั้งหมดได้ ข้าเกรงว่ามันคงจะเป็นราชาปีศาจระดับสูงจริงๆ”

 

ปีศาจอีกตนกล่าวคําเบาๆ

 

“ราชาปีศาจระดับสูงงั้นหรือ?”

 

“ไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยแฮะ?”

 

“มิผิด ข้ารู้จักราชาปีศาจระดับสูงภายในรัศมีล้านลี้ทั้งหมด ทําไมจู่ๆ ถึงมีชายผู้นี้ปรากฏตัวขึ้นมาได้?”

 

ปีศาจที่เหลือต่างมองหน้ากันอย่างงงงวย

 

รู้หรือไม่ แม้แต่ในโลกถ้ำปิศาจ ราชาปีศาจระดับสูงนั้นก็หาได้ยากมาก และเป็นไปไม่ได้ที่จะปรากฏตัวขึ้นมาเฉยๆ เช่นนี้

 

ราชาปีศาจระดับสูงทุกตนต่างมีร่องรอยให้สืบสาว ล้วนมีประวัติความเป็นมาคร่าวๆ อยู่

 

“เป็นไปไม่ได้”

 

“ หรือว่ามาจากเขตแดนอื่นหรือไม่?”

 

ปีศาจบางตนกระซิบกระซาบ

 

“เขตแดนอื่น?”

 

ใบหน้าของปิศาจตนอื่นๆ ก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย

 

จริงดังว่า

 

มีเพียงสิ่งนี้เท่านั้นถึงพอจะอธิบายได้ว่าทําไมราชาปีศาจระดับสูงจึงปรากฏตัวขึ้น

 

“ท่านเจ้าเมือง ตอนนี้พวกเราควรทําเช่นไรดี?”

 

ในเวลานั้น ปีศาจหน้าตาเย็นชาที่เป็นคนเปิดปากพูดตนแรกก็มองไปที่เจ้าเมืองอินจี๋ที่นั่งอยู่บนแท่นสูง

 

คําที่กล่าวออกมา

 

ปีศาจทั้งหลายที่พูดคุยกันอยู่ก็เงียบเสียงและมองไปที่เจ้าเมืองอินจี๋ที่ละตนสองตน

 

เจ้าเมืองอินจี๋สวมชุดคลุมยาว ปราณสงบนิ่ง ถ้าไม่ใช่เพราะบังเอิญมีประกายสีดํากะพริบอยู่ภายในดวงตา เกรงว่าคงจะไม่มีใครมองออกว่าเขาคือเจ้าเมืองอินจี๋ที่ควบคุมอํานาจในบริเวณล้านนี้

 

“เจ้าเมืองเมฆาปีศาจสัญญาว่าจะส่งมอบร่างกายหยินบริสุทธิ์มาให้”

 

เสียงของเจ้าเมืองอินจี๋แหบแห้ง ราวกับเสียงเหล็กเสียดสีกัน “ข้ารอมายี่สิบปีแล้ว และแทบจะอดรนทนไม่ไหวที่กลืนกินปราณหยินอันบริสุทธิ์นั่น แต่เมืองเมฆาปีศาจกลับเปลี่ยนถ่ายมือไปเช่นนั้นหรือ?”

 

ความไม่พอใจเผยออกมาในคําพูดของเจ้าเมืองอินจี๋

 

วิชามารที่ตัวเขาฝึกนั้นรุนแรงจนเกินไป จึงต้องการปราณหยินบริสุทธิ์มาชดเชย

 

ตอนนี้ เจ้าเมืองอินจี๋ขาดร่างหยินบริสุทธิ์อีกเพียงร่างเดียวเท่านั้น เขาก็จะรวบรวมได้ครบเก้าสิบเก้าร่าง ควบแน่นเส้นสายทั้งเก้าสิบเก้าให้กลายเป็นปราณหยินบริสุทธิ์ เสริมพลังขึ้นไปในคราวเดียวเพื่อก้าวเข้าสู่ขอบเขตต่อไปอย่างสมบูรณ์

 

แต่สิ่งที่เจ้าเมืองอินจี๋คาดไม่ถึงคือจะเกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้นกับร่างหยินบริสุทธิ์

 

“ข้าไม่สนว่าใครจะเป็นเจ้าเมืองเมฆาปีศาจ”

 

เจ้าเมืองอินจี๋ค่อยๆ ยืนขึ้น เดินออกนอกห้องโถงใหญ่และมองขึ้นไปบนท้องฟ้าสีเทา “แต่ร่างหยินบริสุทธิ์จะต้องถูกส่งมอบออกมา”

 

เมื่อกล่าวคําเช่นนั้น เจ้าเมืองอินจี๋ก็หันกลับไปมองราชาปีศาจทั้งหลาย “พวกเจ้าต้องตามข้าไปยังเมืองเมฆาปีศาจ”

 

เจ้าเมืองอินจี๋เพิ่งจะกล่าวคําจบไป

 

ใบหน้าของราชาปีศาจทั้งหลายก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย

 

แม้ว่าเจ้าเมืองอินจี๋จะไม่ได้กล่าวออกมาอย่างชัดเจนว่าต้องการจะไปทําอะไรในเมืองเมฆาปีศาจ แต่ก็เห็นได้ชัดเจนว่าเขาต้องการจะบังคับเจ้าเมืองเมฆาปีศาจตนใหม่ให้ยอมจํานน มอบร่างหยินบริสุทธิ์คืนมา

 

“ท่านเจ้าเมือง อาจจะไม่เหมาะที่จะทําเช่นนั้นกระมัง…” ราชาปีศาจบางตนกัดฟันพูดขึ้นมา “สุดท้ายแล้ว เจ้าเมืองเมฆาปีศาจตนปัจจุบันก็น่าจะเป็นถึงราชาปีศาจระดับสูง…”

 

ถ้าเป็นอดีตเจ้าเมืองเมฆาปีศาจ หากอยากจะข่มเหงมันย่อมยอมให้ถูกข่มเหง แต่ยามนี้เจ้าเมืองเมฆาปีศาจตนปัจจุบันนั้นทรงพลังอํานาจ และหากข่มเหงบุคคลเช่นนี้ แน่นอนว่าเจ้าเมืองอินจี๋คงไม่หวาดกลัวสิ่งใด แต่พวกตนเล่าจะทําเช่นไรได้?

 

“สบายใจได้”

 

รอยยิ้มเยาะเย้ยปรากฏบนใบหน้าของเจ้าเมืองอินจี๋ “วิชามารของข้าใกล้จะสมบูรณ์แล้ว แล้วก็ไม่ใช่ว่าข้าไม่เคยสังหารราชาปีศาจระดับสูงมาก่อนเสียเมื่อไหร่”

 

เมื่อราชาปีศาจตนอื่นๆ ได้ยินดังนั้น พวกเขาก็รู้สึกหนาวเหน็บขึ้นมาทันที รีบลุกขึ้นอย่างรวดเร็วไปยืนอยู่ด้านหลัง เจ้าเมืองอินจี๋ด้วยตัวที่สั่นกลัว

 

ในเวลาเดียวกัน

 

ด้านใต้เมืองฉางอัน

 

ณ ห้องโถงพระราชวังใต้ดินอันสูงตระหง่าน

 

ซูฉินนั่งขัดสมาธิ สูดลมหายใจเข้า ดวงจิตรู้แจ้งพันปีลอยอยู่บนอากาศเปล่งประกายพร่างพราว

 

“ใกล้แล้ว”

 

ซูฉินเปิดเปลือกตาขึ้นมาอย่างผ่อนคลาย ดวงตาสงบนิ่ง และกระซิบกับตนเองเบาๆ

 

หลังจากปิดด่านฝึกตนอยู่เกือบสองปี และด้วยความช่วยเหลือจากดวงจิตรู้แจ้งพันปี ซูฉินก็อยู่ห่างความสําเร็จในการควบแน่นอาณาเขตขนาดเล็กอีกเพียงแค่ขั้นตอนเดียวเท่านั้น

 

“เมื่ออาณาเขตขนาดเล็กถูกควบแน่น ข้าจะสามารถทะลวงผ่านนภาชนที่แปด นภาชนที่เก้าได้อย่างรวดเร็ว และมีเวลามากขึ้นในช่วงคอขวดที่จะขึ้นไปถึงขอบเขตยอดอรหันต์”

 

ความคิดของซูฉินขึ้นๆ ลงๆ อยู่ภายในใจ

 

สําหรับซูฉิน เรื่องการควบแน่นอาณาเขตขนาดเล็ก ทะลวงนภาชั้นที่แปดและนภาชั้นที่เก้านั้นไม่นับว่าสําคัญอะไร

 

สิ่งเดียวที่ซูฉินให้ค่ากับมันคือการทะลวงขั้นขึ้นไปยังขอบเขตยอดอรหันต์

 

“มาเริ่มกันเถอะ”

 

ซูฉินหลับตาลงช้าๆ ไอพลังเริ่มสั่นไหวอีกครั้ง

 

พระราชวังตะวันออก

 

หร่วนชิงยืนอยู่หน้าตําหนักขุนฝั่งขวา คอยชี้แนะการฝึกยุทธให้แก่ตระกูลซู

 

เนื่องจากหร่วนชิงให้คํามั่นสัญญาไว้ว่าจะเป็นมือเป็น เท้าให้กับซูฉิน เขาไม่เคยออกจากวังไปไหนและพํานักอยู่ในเมืองฉางอันเพื่อซูฉิน

 

“นายท่านไม่ได้เรียกหาข้ามาหลายเดือนแล้ว”

 

หร่วนชิงเดินออกจากพระราชวังตะวันออกพร้อมกับคิดอยู่กับตนเอง

 

ในตอนแรกซูฉินมักจะมาปรากฏตัวภายในวังเป็นครั้งคราว แต่ในช่วงไม่กี่เดือนมานี้ หร่วนชิงไม่รู้สึกถึงกลิ่นอายของซูฉินเลย

 

ถ้าไม่ใช่เพราะหร่วนชิงรู้สึกได้ว่า จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ที่ซูฉินฝังไว้ยังคงอยู่ ก็คงคิดว่ามีสิ่งผิดพลาดใดเกิดขึ้นกับซูฉินไปแล้ว

 

ในตอนที่หร่วนชิงกําลังจะกลับไปยังพระราชวังตะวันออก

 

ฉับพลัน

 

พลังของทั่วทุกทิศทั้งเหนือใต้ซ้ายขวารอบเมืองฉางอัน พลังฟ้าดินอันไร้ที่สิ้นสุดจู่ๆ ก็ทะลักเข้ามาในเมืองอย่างบ้าคลั่ง

 

สิบลี้

 

ยี่สิบ

 

สามสิบลี้

 

ห้าสิบลี้

 

ร้อยลี้

 

สุดท้ายอาณาเขตของพลังฟ้าดินก็แผ่ไปไกลถึงร้อยลี้ ทันใดนั้นปราณฉีก็สั่นสะเทือนไปหลายร้อยราวกับลมพายุโดยมีเมืองฉางอันเป็นศูนย์กลาง

 

“นี่คือ…”

 

หร่วนชิงจ้องมองฉากตรงหน้าอย่างตกตะลึงราวกับเห็นผี

 

ในฐานะที่เป็นตํานานยุทธ หร่วนชิงรู้ดีว่าการสั่นไหวของพลังฟ้าดินเป็นระยะทางไกลกว่าหลายร้อยลี้นั้นหมายความว่าเช่นไร

 

“นายท่าน มันเป็นวิถีพลังของนายท่าน”

 

หร่วนชิงตอบสนองฉับพลัน ราวกับตนได้เป็นพยานในการเห็นตํานานเรื่องหนึ่ง

 

ต้องรู้ว่าตํานานยุทธเช่นหร่วนชิงสามารถควบคุมพลังฟ้าเดินได้เช่นกัน แต่ก็สามารถควบคุมพลังฟ้าดินได้เพียงสิบกว่าเท่านั้น

 

แต่ตอนนี้พลังฟ้าดินกลับสั่นสะเทือนแผ่ขยายออกไปหลายร้อยล้ำ

 

“ความแข็งแกร่งของนายท่านอยู่ระดับไหนกันแน่? เป็นไปได้อย่างไรที่จะควบคุมพลังได้ไกลปานนี้?”

 

หร่วนซิงตกใจมากจนแทบจะปิดบังมันไว้ไม่มิด

 

ภายใต้ขอบเขตของพลังฟ้าดินนี้ หร่วนชิงรู้สึกว่าการเชื่อมต่อของตนเองกับพลังฟ้าดินนั้นถูกตัดขาดลงอย่างสมบูรณ์

 

หร่วนชิงในตอนนี้ ยกเว้นแต่แก่นแท้แห่งพลัง ร่างกาย และจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ซึ่งเป็นระดับตํานานยุทธด้านอื่นๆ ล้วนตกไปอยู่ในขอบเขตวิทยายุทธทั้งเก้าระดับแทบจะในทันที

 

ขณะที่หร่วนชิงกําลังจ้องมองด้วยความทึ่ง

 

พลังที่สั่นสะเทือนไปไกลกว่าหลายร้อยล้ำก็เริ่มหดตัวลง

 

เพียงครู่เดียว ทุกอย่างก็กลับคืนสู่ความสงบ

 

ใต้เมืองฉางอัน

 

โถงพระราชวังใต้ดินอันสูงตระหง่าน

 

ซูฉินค่อยๆ ลืมตาขึ้น

 

“อาณาเขต…”

 

รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของซูฉิน

 

“ในที่สุดก็สําเร็จแล้ว”

 

TL note : เนื่องจากตั้งแต่ตอนหน้าเป็นต้นไปแต่ละตอนจะยาวเกือบเท่าตัวเลย จึงขออนุญาตลงเป็นตอนเต็มสลับกับตอนแยกแทนนะครับ

 

Sign in Buddha’s palm 194 เจ้าเมืองอิน

 

แคว้ก

 

แสงสว่างเจิดจ้าส่องประกายออกมาจากใบมีดที่แสนจะมืดมิด

 

ซูฉินยกมือขึ้นขวางทางมีดสีดําสนิทเล่มนี้เอาไว้

 

ทันใดนั้นบาดแผลเล็กๆ ก็ปรากฏขึ้นบนผิวหนัง นอกจากนี้ไอพลังที่ดูราวกับจะมาจากขุมนรกยังแผ่ขยายออกมาจากบาดแผลพยายามจะแพร่ไปทั่วร่างกายของซูฉิน

“อาศัยแค่คมมีดเพียงอย่างเดียวก็ทรงพลังขนาดนี้แล้ว เชียวหรือ?” ความคิดของซูฉินกระตุกวูบเริ่มผันผวนอยู่ภายในใจ

 

เมื่อครู่ที่ซูฉินตวัดดาบออกไป เขาไม่ได้ใช้พลังอะไรเลย อาศัยเพียงแค่ความคมของใบมีดเทพเจ้าปีศาจเท่านั้น

 

แต่ผลที่ได้กลับทําให้ซูฉินต้องตกตะลึง

 

ควรรู้ว่าร่างกายของซูฉินในตอนนี้ แม้ว่าอาจจะไม่ได้ เทียบเท่ากับอาวุธวิเศษ แต่ก็ไม่ได้ยิ่งหย่อนไปกว่ากันมาก กระนั้นก็ยังไม่สามารถป้องกันพลังจากมีดเทพเจ้าปีศาจได้ คงจะพอจินตนาการถึงพลังของมันได้ไม่ยาก

 

แม้ว่าบาดแผลนี้จะแทบไม่มีผลใดต่อซูฉินเลย แต่เมื่อครู่ก็ ยังไม่ใช่พลังที่แท้จริงของมีดเทพเจ้าปีศาจเช่นกัน

 

“นอกจากความคมแล้ว ส่วนที่น่ากลัวที่สุดของ มีดวิเศษเล่มนี้ก็คือไอพลังที่ราวกับขุมนรกแผ่ออกมาอยู่ตลอดเวลานี้แหละ”

 

ซูฉินรู้สึกได้ถึงไอพลังนั้นกระจายออกมาจากบาดแผลขอ งตนเอง

 

ไอพลังที่ราวกับขุมนรกนี้ แพร่กระจายไปทั่วราวกับหนอ นชอนไช หากร่างกายของซูฉินไม่ได้แข็งแกร่งพอที่จะระงับไอพลังนี้ได้ล่ะก็ ผลที่ตามมาคงเป็นหายนะ

 

หรือพูดง่ายๆ ถ้าเจ้าเมืองเมฆาปีศาจถูกมีดเทพเจ้าปีศาจนี้เฉือนเข้าให้ แม้ว่ามันจะเป็นบาดแผลที่เล็กจนแทบมองไม่เห็นแต่ไอพลังจากขุมนรกก็จะแพร่กระจายออกอย่างบ้าคลั่ง ภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมง เจ้าเมืองเมฆาปีศาจจะต้องตกตายลงไปอย่างทนทุกข์แน่นอน

 

ไอพลังจากขุมนรกนั้นแพร่กระจายออกไปเรื่อยๆ เหมือนหนอนชอนไชฝังร่างแฝงศพ แม้จะไม่มีพิษร้ายแรงแต่สิ่งที่น่ากลัวกว่าพิษหลายต่อหลายเท่า

 

“ไม่เลว”

 

หลังจากที่ซูฉินวัดพลังของคมมีดเทพเจ้าปีศาจ เขาก็ใช้ความคิดถึงทิพยอํานาจกายเนื้อกําเนิดใหม่ให้ทํางาน บาดแผลก็ค่อยๆหายไปด้วยความเร็วระดับที่มองเห็นได้ด้ว ยตาเปล่า

 

คมมีดเทพเจ้าปีศาจนั้นน่ากลัว แต่ซูฉินมีไฟลับในกํามีอตั้งกี่ใบ? อาวุธเพียงชิ้นเดียวไม่ถึงกับทําให้ซูฉินรับมือไม่ ถูกหรอก

 

“อย่างไรก็ตาม คมมีดเทพเจ้าปีศาจเล่มนี้ทําให้ข้ารู้สึกว่ามันไม่ได้ง่ายดายอย่างที่ตาเห็น มันควรจะมีความสา มารถอื่นอีกใช่ไหม?”

 

ซูฉินแตะปลายคาง ใบหน้าครุ่นคิด

 

เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ ซูฉินก็โบกมีดเทพเจ้าปีศาจแล้วโยนมันกลับเข้าไปในพื้นที่ของระบบ

 

มีดเทพเจ้าปีศาจสามารถเสริมพลังในการต่อสู้ของซูฉินได้อย่างแน่นอน อย่างน้อยตอนที่ได้พบกับราชาปีศาจที่เหมือนกับเจ้าเมืองเมฆาปีศาจในอนาคตซูฉินก็แค่ตวัด มีดออกไปเท่านั้น แต่อย่างไรเสียไม่ว่าจะเป็นมีดเทพเจ้าปีศาจหรือคันธนูเก้าประกาย ของพวกนี้ล้วนเป็นของนอกกายทั้งนั้น

 

หากอยากจะแข็งแกร่งจริงๆ ก็มีแต่จะต้องพึ่งพาตนเองเท่านั้น

 

“ต่อไป ข้าจะมุ่งเน้นไปที่การเข้าสู่ระดับนภาชั้นที่แปด”

 

ซูฉินนั่งขัดสมาธิ พลังจากร่างสีทองของมารพุทธะค่อยๆโคจรอย่างช้าๆปราณปีศาจจํานวนมากหลั่งไหลเข้าสู่ร่างกายของเขาหมุนเวียนเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา

 

โดยไม่คํานึงถึงว่าเป็นร่างจริงหรือร่างจําแลง ทั้งคู่ต่างแบ่งบันระดับขั้นพลังกันถ้าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งทะลวงขั้นไปสู่ระดับนภาชั้นที่แปดได้อีกฝ่ายก็จะสามารถเข้าสู่ระดับนภาชั้นที่แปดไปได้ด้วยเป็นธรรมดา

 

ในขณะที่ซูฉันกําลังเริ่มฝึกฝนไปอย่างเชื่องช้า

 

โม่จีก็สาวเท้าเดินเข้ามาในโถงใหญ่ใจกลางเมืองอย่างรวด

 

“นายท่าน”

 

เมื่อเห็นว่าไม่มีใครอยู่ในโถงใหญ่ประจําตัวเจ้าเมืองโม่จีก็กล่าวออกโดยไม่มีอาการตื่นตกใจใดแต่แสดงถึงความเคารพให้เห็นแทน

 

หลังจากนั้นไม่นาน

 

เสียงที่สงบนิ่งก็ดังขึ้นที่ข้างหูของโม่

 

“เข้ามาด้านใน

“เจ้าค่ะ” โม่จีได้ยินคํากล่าวนั้น ก็ไม่ได้ติดใจสงสัยใดสาวเท้าเดินเข้าไปในส่วนลึกของโถงใหญ่ทันที

 

หลังจากนั้นไม่นาน

 

โม่จีก็เห็นซูฉินนั่งขัดสมาธิอยู่ใต้ต้นไม้โบราณ

 

เห็นซูฉินนั่งอยู่ที่นั่นอย่างเงียบๆ แต่ต้นไม้โบราณต้นแกว่งไกวไปมาด้วยไอพลังของซูฉิน พลังปราณปีศาจพวยพุ่งขึ้นบนท้องฟ้าแม้แต่เผ่าพันธุ์ปีศาจที่ไม่ใช่ ราชาปีศาจอย่างโม่จีก็ยังรับรู้ถึงความสยดสยองของไอพลังที่ซุฉินปลดปล่อยออกมาอย่างไม่ได้ตั้งใจ มันสามารถปราบราชาปีศาจได้อย่างอยู่หมัด

 

“นายท่านน่ากลัวขึ้นเรื่อยๆ

 

โม่จีก้มศีรษะลงทันที ไม่กล้ามองซูฉินตรงๆ

 

“จัดการเรื่องเมืองเมฆาปีศาจเรียบร้อยแล้วหรือ?” ซูฉิน ค่อยๆลืมตาขึ้นมองโม่จี

 

แม้ว่าซูฉินจะเป็นเจ้าเมืองคนใหม่แห่งเมืองเมฆาปีศาจแต่ที่จริงแล้วซูฉินขี้เกียจเกินกว่าจะมานั่งดูแลเรื่องเล็กๆน้อยๆ จึงปล่อยให้เป็นหน้าที่ของโม่จีจัดการ

 

“นายท่าน ข้าได้จัดการเรียบร้อยแล้ว”โม่จีตอบคําทันที

 

“โอ้ ไม่มีใครสร้างปัญหาเลยงั้นรึ?” ซูฉินถามอย่างสบายๆ

 

“สร้างปัญหา?”

 

โม่จียิ้มอย่างขมขึ้น “นายท่านทรงพลังอํานาจปานนี้ผู้ใดจะกล้ามาสร้างปัญหาได้เล่า?”

 

“มาคุยกันสักหน่อยเถอะ เจ้ามาที่นี่ย่อมมีอะไรอยากจะบอกข้า” ซูฉินกล่าวถามเบาๆ

 

โม่จีมาหาเขาเป็นการส่วนตัว คงไม่ได้มาแค่พูดคุยเรื่องเมืองเมฆาปีศาจเท่านั้นแน่

 

“นายท่าน”

 

“ข้าได้ไปพบสิ่งหนึ่ง”

 

“เจ้าเมืองเมฆาปีศาจมีความสัมพันธ์อันดีกับเจ้าเมืองอินจ์” โม่จีกล่าว ใบหน้าสวยของเธอยังคงดูสง่างาม “นายท่านได้ยึดเมืองเมฆาปีศาจเอาไว้ เจ้าเมืองเมฆาปีศาจคงไม่ ยอมปล่อยเรื่องนี้และจะเชิญเจ้าเมืองอินจี้มาเป็นแน่”

 

แม้แต่ตอนนี้โม่จีก็ยังไม่ทราบว่าเจ้าเมืองเมฆาปีศาจได้ตกตายไปแล้วภายใต้คมดาบประกายแสงของซูฉิน

 

“เจ้าเมืองอินจี?” ท่าทีของซูฉินยังคงไม่เปลี่ยนแปลง

 

“นายท่าน เจ้าเมืองอินจี้เป็นผู้ที่แข็งแกร่งมากในละแวกนี้” โม่จีกล่าวด้วยความกังวล

 

เจ้าเมืองอินจี่มีอํานาจปกครองนับล้านลี้ ความแข็งแกร่งก็ มากมายเมื่อเทียบกับเจ้าเมืองอินจี้ เจ้าเมืองเมฆาปีศาจคนก่อนนั้นอ่อนแอราวกับเด็กทารก

 

“เจ้าเมืองอินจี้แข็งแกร่งมากหรือ?” ซูฉินกล่าวถามอย่างไม่ได้ใส่ใจ

 

หลังจากที่เขาลงชื่อเข้าใช้แล้วได้รับคมมีดเทพเจ้าปีศาจความสามารถในการต่อสู้ของซูฉินก็ดีขึ้นมากตราบใดที่ไม่ใช่ราชาปีศาจระดับนภาชั้นที่เก้าหรืออยู่ในขอบเขตเทพเจ้าปีศาจซูฉินก็คร้านจะใส่ใจ

 

และหากรอจนกระทั่งซูฉินควบแน่นอาณาเขตขนาดเล็กได้ แม้แต่ราชาปีศาจระดับนภาชั้นที่เก้าซูฉินก็สามารถเพิกเฉยตัวตนระดับนั้นได้

 

“ทรงพลังมาก ว่ากันว่าเจ้าเมืองอินจี้เป็นราชาปีศาจระดับสูงตั้งแต่เมื่อสองร้อยปีที่แล้ว ทุกวันนี้แม้จะไม่ใช่ราชาปีศาจระดับสูงสุดข้าเกรงว่าก็คงอีกไม่ไกล”

 

โม่กล่าวด้วยเสียงหนักแน่น

 

“โอ้? เข้าใจแล้ว” ซูฉินพูดโดยที่ไม่ได้ลืมตามามอง

 

ราชาปีศาจระดับสูงนั้นเทียบเท่ากับตํานานยุทธระดับนภาชั้นที่หกส่วนราชาปีศาจระดับสูงสุดนั่นคือตํานานยุทธในระดับนภาชั้นที่เจ็ด

 

ความแข็งแกร่งของเจ้าเมืองอินจีนั้นใกล้เคียงกับราชาปีศาจระดับสูงสุดและเหนือล้ํากว่าเจ้าเมืองเมฆาปีศาจ

 

แต่ต่อหน้าซูฉินมันก็เป็นได้เพียงตัวตลก

 

“นายท่าน”

 

โม่จียังคงกังวล

 

ในความคิดของนาง ซูฉินน่าจะมาจากเขตแดนอื่นๆและไม่รู้ถึงความน่ากลัวของเจ้าเมืองอินจี้ ถ้าเจ้าเมืองอินจี้ต้องการจะล่าสังหารจริงผู้ใดในเมืองเมฆาปีศาจจะกล้าหยุด เขา?

 

“นายท่าน”

 

“หรือเราควรออกจากเมืองเมฆาปีศาจกันดี”

 

โม่จีครุ่นคิดอยู่นานก่อนจะกล่าวออกมา

 

แน่นอนว่าเจ้าเมืองอินจี่แข็งแกร่ง แต่ถ้าซูฉินและตัวนางออกจากเมืองเมฆาปีศาจไป เจ้าเมืองอินจี้ก็คงไร้หนทางจะติดตาม

 

จะเป็นไปได้หรือที่เจ้าเมืองอินจี้เต็มใจจะใช้เวลามากมายในการค้นหาซูฉิน?

 

“ออกไป?”

 

ซูฉินส่ายหัว

 

ในที่สุดเขาก็พบสถานที่สําหรับลงชื่อเข้าใช้ที่แสนจะยอดเยี่ยมจะให้เขาจากไปได้อย่างไร

 

“อย่าได้กังวล ถ้าเจ้าเมืองอินจี่กล้ามาจริงๆ ข้าจะสังหารมันทิ้งซะ”

 

ซูฉินกล่าวอย่างสบายๆ ราวกับเจ้าเมืองอินจี้ที่แสนน่ากลัวในสายตาของโม่จีเป็นเพียงหมาแมวข้างถนนในสายตาเขาที่อยากจะจัดการเมื่อไรก็ทําได้ตามต้องการ

 

Sign in Buddha’s palm 193 เข้าสู่ระบบ! คมมีดเทพเจ้าปีศาจ!

 

“เจ้าเมือง?”

 

ซูฉินขมวดคิ้ว

 

“นายท่าน ”

 

ในตอนนั้นเอง โม่จีรีบเข้ามาอธิบายให้ซูฉินฟังอย่างรวด เร็ว

 

ไม่ใช่แค่เมืองเมฆาปีศาจเท่านั้น เป็นที่รู้กันดีทั่วทั้งโลกถ้ําปีศาจแม้แต่การสังหารเทพเจ้าปีศาจในส่วนลึกของโลกก็สามารถขึ้นเป็นเทพเจ้าปีศาจตนใหม่ได้

 

“เป็นเช่นนี้นี่เอง”

 

ซูฉินพยักหน้าเล็กน้อย

 

อันที่จริงการเป็นเจ้าเมืองเมฆาปีศาจเรียกได้ว่าเป็นการบรรลุเป้าหมายของซูฉินโดยแท้จริง

 

ในฐานะเจ้าเมืองเมฆาปีศาจ เมืองเมฆาปีศาจทั้งหมดก็เหมือนกับเป็นทรัพย์สินส่วนตัวของซูฉินเมื่อเป็นเช่นนี้ใครจะกล้ารบกวนซูฉินหากเขาอยากจะลงชื่อเข้าใช้เงียบๆ เล่า?

 

ต่อมา ซูฉินก็ได้มาถึงห้องโถงซึ่งเป็นสถานที่ของเจ้าเมืองเมฆาปีศาจ

 

ห้องโถงหลักแห่งนี้ตั้งอยู่ใจกลางเมืองเมฆาปีศาจเป็นแกนหลักของทั้งเมืองเมฆาปีศาจด้วยการอยู่ภายในโถงนี้ทําให้เจ้าเมืองเมฆาปีศาจคนก่อนๆ สามารถล่วงรู้ทุกสิ่ง ภายในเมืองได้เป็นอย่างดี

 

ซูฉินเพียงเหลือบมองก็ทราบความนัย ห้องโถงใหญ่อันนี้มีการเชื่อมโยงอยู่กับค่ายกลภายในเมืองเมฆาปีศาจทั้งหมด

 

“เรื่องทั้งหลาย ข้าจะทิ้งให้เจ้าจัดการ”

 

ซูฉินเหลือบมองโม่จีที่อยู่ด้านหลังก่อนจะออกคําสั่ง

 

แม้ว่าซูฉินจะไม่ปฏิเสธสถานะเจ้าเมืองเมฆาปีศาจแต่เขาขี้เกียจเกินกว่าจะสนใจเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ภายในเมืองนี้

 

โม่จีมีเศษเสี้ยวจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ที่ซูฉินฝังเอาไว้ในร่าง กายของนาง

 

ความเป็นตายขึ้นอยู่เพียงความคิดเพียงแวบเดียวของซูฉินเท่านั้นนางจึงไม่กล้าที่จะทรยศซูฉินแม้แต่น้อย

 

และด้วยโม่จีเองนั้นเติบโตมาภายในเมืองเมฆาปีศาจแม้ว่านางจะถูกคุมขังอยู่ตลอดเวลา แต่ความเข้าใจที่มีต่อเมืองเมฆาปีศาจนั้นย่อมมากกว่าซูฉินอย่างเห็นได้ชัด

 

เป็นทางเลือกที่ดีที่สุดแล้วสําหรับซูฉินในการที่ให้โม่จีจัดการเรื่องราวภายในเมืองเมฆาปีศาจ

 

“ในเมื่อทุกอย่างเรียบร้อยหมดแล้ว”

 

“ถึงเวลาลงชื่อเข้าใช้”

 

ซูฉินเดินลึกเข้าไปในโถงใหญ่ที่มีไว้สําหรับเจ้าเมือง

 

หลังจากนั้นไม่นาน

 

จู่ๆ ก็มีแสงสว่างปรากฏขึ้นต่อหน้าซูฉิน

 

เห็นเป็นต้นไม้โบราณสูงใหญ่หลายพันเมตรตั้งอยู่ตรงนั้นอย่างสงบ

 

ต้นไม้โบราณนั้นลู่ลมไปมา บดบังท้องฟ้าและดวงอาทิตย์พลังงานปราณปีศาจอันไร้ที่สิ้นสุดกระจุกแน่นรวมตัวกันเป็นคลื่นพลังที่ทําให้ผู้คนต้องใจสั่น

 

“นี่คือกิ่งก้านของต้นไม้ปีศาจโบราณที่อยู่ในส่วนลึกของโลกนี้ใช่ไหมนะ”

 

ยามที่ซูฉินพบต้นไม้โบราณนี้ เขาก็ดึงจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ออกมา คอยตรวจดูบริเวณโดยรอบอย่างต่อเนื่อง

 

สักพักใหญ่แล้ว ก่อนหน้าที่เขาจะมายังเมืองเมฆาปีศาจซูฉินเคยได้ยินว่ามีกิ่งก้านของต้นไม้ปีศาจโบราณที่อยู่ในส่วนลึกของโลกมาอยู่ที่นี่

 

ตามคํากล่าวของโม่จี ต้นไม้ปีศาจโบราณเป็นสิ่งที่เก่าแก่ที่สุดในโลกปีศาจ ซึ่งคอยค้ําจุนโลกถ้ําปิศาจทั้งหมดเอาไว้แม้แต่พวกเทพเจ้าปีศาจผู้ยิ่งใหญ่ก็อาศัยอยู่บนต้นไม้ปีศาจ โบราณ

 

“แค่กิ่งก้านก็ใหญ่โตมากแล้ว หากเป็นต้นไม้ปีศาจโบราณจริงๆจะมโหฬารเพียงไหนกันนะ?”

 

ซูฉินเงยหน้าขึ้นมองไปที่ต้นไม้โบราณที่สูงกว่าพันเมตรเบื้องหน้า ความคิดของเขาก็ผันผวนไปมา

 

ในตอนแรกที่ซูฉินได้ยินโม่จีกล่าวว่าต้นไม้ปีศาจโบราณในส่วนลึกของโลกเป็นสิ่งที่คอยค้ําจุนโลกถ้ําปีศาจทั้งหมดไว้ตัวเขาก็ไม่ได้เชื่ออะไรมากนักและคิดว่าเป็นความเข้าใจผิดไปเอง

 

ท้ายที่สุดแม้แต่ในโลกมนุษย์ก็มีตํานานเรื่องเล่าขานมากมายที่ล้วนถูกเสริมเติมแต่งขึ้นมา

 

แต่ในตอนนี้ หลังจากที่ได้เห็นต้นไม้ปีศาจโบราณต้นนี้แล้วซูฉินก็ตระหนักได้ว่าต้นไม้ปีศาจโบราณที่อยู่ ในส่วนลึกของโลกถ้ําปิศาจอาจจะเป็นเรื่องจริง

 

“เพียงแค่กิ่งก้านสาขาก็สามารถรวบรวมปราณปีศาจได้ขนาดนี้ต้นไม้ปีศาจโบราณของจริงคงจะรวบรวมปราณปีศาจได้อย่างมหาศาลราวกับขุนเขาหรือท้องทะเลเป็นแน่”

 

“ไม่น่าแปลกใจเลยที่แม้แต่เทพเจ้าปีศาจก็ยังเต็มใจที่จะอยู่บนต้นไม้ปีศาจโบราณ เพราะผลประโยชน์ที่ได้รับนั้นมากมายเหลือเกิน”

 

ซูฉินแตะคางของตน ดวงตาครุ่นคิด

 

แม้ว่าเขาจะไม่รู้ว่าเทพเจ้าปีศาจนั้นมีพละกําลังในระดับใดแต่มันอยู่เหนือกว่าขอบเขตตํานานยุทธแน่นอน

 

“อย่างไรก็ตาม หากตํานานเป็นจริงที่ต้นไม้ปีศาจโบราณคอยค้ําจุนโลกถ้ําปีศาจเอาไว้ ข้าเกรงว่าการดํารงอยู่ของมันคงแทบจะเทียบเท่าโลกทั้งใบแล้ว”

 

“ด้วยการสะสมที่ยาวนานเช่นนี้ เต๋าสะสมจะมีมากเพียงใด…”

 

ดวงตาของซูฉินร้อนผ่าวขึ้นทันใด

 

“แล้วกันไป”

 

“ถ้ามีโอกาสในอนาคต ข้าจะลองไปดูแต่ตอนนี้”

 

ซูฉินส่ายหัวเล็กน้อย ไม่ว่าซูฉินจะมั่นใจในตัวเองแค่ไหนแต่เขาก็ไม่คิดว่าตนเองจะเทียบได้กับเทพเจ้าปีศาจในตอนนี้

 

แม้จะอาศัยเพียงคํากล่าวของโม่จี ซูฉินก็รู้ได้ว่าต้นไม้ปีศาจโบราณเป็นของสงวนที่มีไว้สําหรับเทพเจ้าปีศาจ ปีศาจตนใดกล้าเข้าไปใกล้ต้นไม้ปีศาจโบราณจะต้องถูกสังหารอย่างไร้ความปรานี

 

“ถึงจะเป็นไปไม่ได้ที่จะลงชื่อเข้าใช้เบื้องหน้าต้นไม้ปีศาจโบราณที่แท้จริงแต่กิ่งก้านของมันก็ไม่ควรเลวร้ายจนเกินไป”

 

ความคิดของซูฉินเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ใช้จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์เข้าตรวจสอบต้นไม้ปีศาจโบราณ จากนั้นจึงจ้องมองด้วยวิชาปราณฉีฟ้ากําหนดและดวงตาแห่งสัจจะอีกที่เพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีอันตรายใดๆก่อนที่จะเข้าไปใกล้อย่างเชื่องช้า

 

“ระบบ ลงชื่อเข้าใช้!”

 

ซูฉินหยุดเดินแล้วจึงกล่าวขึ้นในใจ

 

[ขอแสดงความยินดีโฮสต์ลงชื่อเข้าใช้สําเร็จได้รับ ‘คมมีดเทพเจ้าปีศาจ” ]

 

“คมมีดเทพเจ้าปีศาจ?”

 

ใบหน้าของซูฉินดูมีความสุข

 

แม้ว่าเขาจะไม่ทราบถึงพลังของมีดเทพเจ้าปีศาจเล่มนี้แต่เนื่องจากมันเกี่ยวข้องกับเทพเจ้าปีศาจอยู่เล็กน้อยของเช่นนี้จะต้องไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน

 

อย่างน้อยก็ต้องทรงพลังมากกว่าผลไม้แก่นปีศาจที่เขาลงชื่อเข้าใช้มานับพันผลตลอดหลายปีที่ผ่านมา

 

เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ ซูฉินก็รวมจิตเข้ากับคลังของระบบอย่างรวดเร็วพบมีดเทพเจ้าปีศาจวางอยู่ที่มุมหนึ่ง

 

มีดเทพเจ้าปีศาจไม่ใช่อาวุธธรรมดาสามัญแต่เป็นมีดยาวที่มีรูปร่างแปลกๆเหมือนกับเคียวโค้งยาวไปดั่งดวงจันทร์

 

ใบมีดของมีดเทพเจ้าปีศาจเป็นสีดําสนิท ราวกับหลุมดํา ที่พร้อมจะกลืนกินทุกสิ่ง แม้แต่ซูฉินเองทันทีที่เห็นก็ยัง ทําให้เขาใจสั่นเล็กน้อย

 

หากไม่ใช่เพราะจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของเขาที่ได้รับการฝึก จากเทพวิชาหลอมจิตวิญญาณจันทรามาอย่างช้านานก็คงจะเสียขวัญไปแล้วเล็กน้อยในตอนนี้

 

“นี่คือมีดวิเศษ!”

 

ความคิดของซูฉินสงบลง ราวกับถูกแช่ แข็งจนกลายเป็นน้ําแข็งแห่งนิรันดร์กาลไม่สา มารถเกิดคลื่นผันผวนได้อีก

 

หวิ่ง!

 

ซูฉินเพียงคิด มีดเทพเจ้าปีศาจก็ถูกดึงออกจากคลังของระบบมาอยู่ในมือของซูฉิน

 

เมื่อสูญเสียพลังปราบปรามของพื้นที่ระบบมีดเทพเจ้าปีศาจก็เริ่มแผลงฤทธิ์พลังอันน่าหวาดกลัวฟังเต็มอากาศ

 

“มีดเล่มนี้มีชีวิตจิตใจ?”

 

ซูฉินพึมพํากับตนเองขณะที่มือขวายังกําด้ามมีดเอาไว้อยู่

 

มีดเทพเจ้าปีศาจไม่เหมือนอาวุธชิ้นอื่นๆ มันเหมือนจะมีลมหายใจแผ่วเบาออกมา ก่อนที่พลังงานปราณปีศาจจะไหลเข้าสู่ใบมีดอย่างต่อเนื่อง

 

“ไม่เลว”

 

ซูฉินกระชับมือข้างขวาเบาๆ หน้าตาดูพึงพอใจ

 

จนถึงตอนนี้ ในบรรดาอาวุธมากมายที่ซูฉินได้รับมาเกรงว่าจะมีเพียงธนูเก้าประกายเท่านั้นที่พอจะเทียบเคียงกับคมมีดเทพเจ้าปีศาจนี้ได้

 

แต่ก็เท่านั้น ธนูเก้าประกายเป็นอาวุธจิตวิญญาณที่บริสุทธิ์แต่มีดเทพเจ้าปีศาจนั้นมีชีวิตจริงๆ

 

แม้ว่าทั้งสองจะเป็นอาวุธเหมือนกัน แต่ทั้งคู่ก็เป็นอาวุธสองประเภทที่ต่างกันโดยสิ้นเชิง

 

“คราวนี้ข้าก็ไม่ต้องใช้เพียงมือเปล่าอีกต่อไปแล้ว”

 

ซูฉินพยักหน้าเล็กน้อย และเล่นกับมีดเทพเจ้าปีศาจในมือของตนพลางคิดไปด้วยในใจ

 

หากเป็นปีศาจตนอื่น แม้ว่าจะเป็นราชาปีศาจที่ทรงพลังอย่างเจ้าเมืองเมฆาปีศาจ เมื่ออยู่ต่อหน้ามีดเทพเจ้าปีศาจก็ต้องระมัดระวังและกังวลว่าจะได้รับผลกระทบจากมีดเทพเจ้าปีศาจหรือไม่

 

ท้ายที่สุดแล้วนี่ก็คือมีดวิเศษที่สามารถลากวิญญาณไปสู่ขุมนรกได้แม้ว่าจะเป็นราชาปีศาจเองก็ตาม

 

แต่ในมุมของซูฉิน มันไม่ได้มีอะไรเลย ไม่ว่ามีดเทพเจ้าปีศาจจะแข็งแกร่งขนาดไหน มันก็ไม่ได้เทียบเท่ากับ พลังของระบบ

 

เมื่อตรวจสอบมีดเทพเจ้าปีศาจเล่มนี้แล้วมันก็จดจําซูฉินได้เรียบร้อยในฐานะเจ้านาย ไม่มีสิ่งใดต้องกังวลอีก

 

“ขอลองพลังของมีดเทพเจ้าปีศาจเสียหน่อย”

 

หลังจากเล่นกับมีดเทพเจ้าปีศาจมาระยะหนึ่งหัวใจของซูฉินก็ขยับวูบมีดยาวในมือถูกตวัดออกไปเบาๆ

 

Sign in Buddha’s palm 192 เจ้าเมืองคน

 

ด้านนอกเมืองเมฆาปิศาจ

 

ดวงตาของซูฉินสงบนิ่ง ยกมือขวาแล้วกดลงเบาๆ

 

ทันใดนั้นก็เหมือนกับท้องฟ้ากําลังร่วงหล่น ดวงอาทิตย์และดวงจันทร์กลับตาลปัตร ฝ่ามือขนาดยักษ์ที่ปกคลุมไปทั่วทั้งท้องฟ้าก็ปรากฏขึ้น นี่คือพลังของซูฉินที่ได้จากการดึงพลังฟ้าดินในระยะทางหลายสิบลี้เข้ามาปราบปรามทุกสิ่ง

 

ราชาปีศาจของโลกถ้ำปิศาจนั้นก็คล้ายกับตํานานยุทธหรือขอบเขตอรหันต์ ทั้งยังใช้พลังจากฟ้าดินเป็นเครื่องมือในการต่อสู้

 

“ไม่?!!”

 

เจ้าเมืองเมฆาปีศาจเห็นฝ่ามือขนาดยักษ์หยุดนิ่งอยู่กลางอากาศ มือเท้าก็เย็นยะเยียบ เขาสูญเสียไปมากแล้วตั้งแต่ที่สกัดกั้นประกายแสงดาบเมื่อครู่ ตอนนี้ยังจะต้องมาป้องกันฝ่ามือยักษ์ที่ทรงพลังเหนือกว่าประกายแสงดาบนั่นอีกหรือ?

 

“พวกเจ้า จงกลับมาหาข้า!”

 

เจ้าเมืองเมฆาปีศาจดวงตาแดงก่ำ กวาดสายตามองราชาปีศาจที่กําลังหลบหนีจากสายตาของเขา และเหยียดมือออกไปคว้ากลับมา

 

ทันใดนั้นราชาปีศาจเหล่านั้นก็รู้สึกว่าร่างกายของตนแข็งทื่อ เลือดในร่างปั่นป่วนจนควบคุมไม่ได้ เพียงชั่วครู่ร่างของพวกมันก็ทะยานขึ้นไปราวกับเสียสติ พุ่งเข้าไปรับฝ่ามือขนาดยักษ์

 

ปังปังปัง!

 

หลังจากสังเวยร่างราชาปีศาจไปหลายตน ฝ่ามือขนาดยักษ์บนท้องฟ้าก็ชะงักหยุดไปชั่วครู่ก่อนจะกดลงมาต่อ เมื่อเห็นเช่นนี้ เจ้าเมืองเมฆาปีศาจก็ไม่กล้าหยุดคิดอีกต่อไป กลายร่างเป็นเงาแสงพุ่งหนีออกไปหลายลี้

 

“หืม?”

 

เมื่อซูฉินเห็นดังนั้น ก็ควบคุมจิตใจและฝ่ามือขนาดยักษ์ที่ปกคลุมเมืองเมฆาปีศาจก็ค่อยๆ สลายหายไป

 

เขามาที่เมืองเมฆาปีศาจเพื่อจุดประสงค์ในการหาสถานที่ลงชื่อเข้าใช้ หากเมืองเมฆาปีศาจถูกทําลายไปด้วยฝ่ามือนี้ จะมิเป็นการวางเกวียนไว้หน้าม้าหรอกรึ?

 

ภายในเมืองเมฆาปีศาจ

 

ปีศาจจํานวนนับไม่ถ้วนต่างรู้สึกเหมือนยืนอยู่ริมผาแห่งความตาย แล้วเดินกลับเข้ามาได้

 

ในโลกถ้ำปีศาจ ไม่ใช่ปีศาจทุกตนจะเกิดมาแข็งแกร่ง ปีศาจที่อ่อนแอก็มีอยู่เช่นกัน

 

แต่ในขณะนี้ ไม่ว่าจะเป็นเผ่าพันธุ์ปีศาจตนที่อ่อนแอหรือแม้แต่ระดับราชาปีศาจ ต่างก็จ้องมองที่ซูฉินด้วยความตกใจ

 

“เขาเป็นใครกัน?”

 

“แข็งแกร่งเกินไปแล้ว แม้แต่เจ้าเมืองก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้”

 

“ทรงพลังมาก แม้แต่การโจมตีเดียวท่านเจ้าเมืองก็ยังรับไม่ได้ แข็งแกร่งเกินไปแล้ว…”

 

ปีศาจจํานวนมากมายต่างสั่นสะท้านในหัวใจ ใบหน้าของพวกมันเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก

 

ซูฉินไม่ได้สนใจว่าปีศาจพวกนี้จะคิดเห็นอย่างไร สายตาของเขาหันเหทิศทางและมองห่างออกไปหลาย

 

เห็นร่างแสงเปลี่ยนกลับเป็นเจ้าเมืองเมฆาปีศาจและหยุดอยู่ตรงนั้น

 

“ถ้าท่านต้องการตัวโม๋จีก็เพียงพูดออกมา ข้าก็มิใช่จะไร้เหตุผล ทําไมเจ้าต้องทําเช่นนี้ด้วย” เจ้าเมืองเมฆาปีศาจจ้องมองที่ซูฉินพร้อมทั้งกล่าวคําต่อเนื่อง

 

ในเวลานี้เจ้าเมืองเมฆาปีศาจเห็นโม๋จีซ่อนตัวอยู่เบื้องหลังซูฉิน มันไม่ได้เข้าใจเรื่องราวอย่างถ่องแท้จึงได้แต่คร่ำครวญสลดใจ

 

มันไม่ได้คาดคิดว่าผู้ทรงพลังอํานาจอย่างซูฉินที่ใกล้จะเป็นราชาปีศาจระดับสูงจะเคลื่อนไหวเพื่อโม๋จีแบบนี้?

 

“ลงมือเพราะโม๋จี?”

 

ซูฉินรู้ได้ว่าเจ้าเมืองเมฆาปีศาจเข้าใจผิด แต่ก็ไม่คิดจะอธิบาย

 

เขามาที่เมืองเมฆาปีศาจเพียงเพราะต้องการหาที่ลงชื่อเข้าใช้ในระยะยาว ส่วนเรื่องการแก้แค้นให้กับโม๋จี ตัวเขาไม่เคยคิดเรื่องนั้นมาก่อน

 

แม้จะไม่มีโม๋จี ซูฉินก็ต้องมาที่เมืองเมฆาปีศาจอยู่ดี

 

“เจ้าคงจะมาจากเขตแดนอื่นใช่หรือไม่? รู้หรือไม่ว่าเมืองเมฆาปีศาจนั้นมีเจ้าเมืองอินจี๋อยู่เบื้องหลัง?”

 

เมื่อเห็นว่าซูฉินเงียบไป เจ้าเมืองเมฆาปีศาจก็ได้ใจและกล่าวต่อ แสดงเจตนาข่มขู่อย่างลับๆ

 

เขายืนอยู่หากจากซูฉินไปหลายลี้ แม้ว่าซูฉินจะเคลื่อนไหว แต่เจ้าเมืองเมฆาปีศาจก็มั่นใจมากว่าตนมีเวลาพอจะหลบหนี

 

“ไปตายเสียเถอะ”

 

ซูฉินขี้เกียจเกินกว่าจะพูดคุยเรื่องไร้สาระ จึงตวัดประกายแสงดาบออกไปโดยตรง

 

เฟี่ยว

 

แสงดาบอันแวววาวก่อตัวขึ้นในทันทีแล้วพุ่งเข้าหาเจ้าเมืองเมฆาปีศาจ

 

“ไม่ดีแล้ว!!”

 

ในขณะที่แสงดาบก่อตัวขึ้น หนังศีรษะของเจ้าเมืองเมฆาปีศาจก็ชาวาบ และทั้งร่างก็กลายเป็นแสงเงาหนีไปในระยะไกลอีกครั้ง

 

“บ้าเอ๊ย”

 

“จนถึงตอนนี้มันก็ยังเก็บงําฝีมือเอาไว้อยู่!”

 

เจ้าเมืองเมฆาปีศาจสัมผัสได้ถึงเจตจํานงแห่งดาบที่สะเทือนฟ้าเล็ดลอดออกมา รู้สึกได้ถึงภัยคุกคาม จึงเผาแก่นแท้และเลือดเนื้อตนเองอีกครั้งเพื่อเพิ่มความเร็วขึ้นอย่างต่อเนื่อง

 

“การเผาแก่นแท้และเลือดเนื้อสองครั้งติดต่อกัน ทําให้รากฐานได้รับความเสียหายอย่างมาก เกรงว่าข้าคงไม่มีหวังที่จะพัฒนาระดับอีกต่อไป”

 

เจ้าเมืองเมฆาปีศาจรู้สึกโศกเศร้าเสียใจ แต่ทําอะไรไม่ได้นอกจากเพิ่มความเร็วให้มากขึ้นไปอีก

 

“ยามที่ข้าได้พบกับเจ้าเมืองอินจี๋ ข้าต้องขอให้เจ้าเมืองแก้แค้นให้ข้า!” สีหน้าอันแสนโหดเหี้ยมปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเจ้าเมืองเมฆาปีศาจ

 

เส้นทางในการฝึกฝนของเขาถูกตัดขาดเสียแล้ว ความเกลียดชังที่มีต่อซูฉินนั้นจุกแน่นในอก แม้จะต้องจ่ายราคาที่แพงแสนแพงแค่ไหน มันก็ตั้งใจจะเชิญเจ้าเมืองอินจี๋มาจัดการให้ได้

 

“ควรจะหนีพ้นแล้วกระมัง?”

 

ความเร็วของเจ้าเมืองเมฆาปีศาจมาถึง ขีดจํากัดแล้วในตอนนี้มันจึงมองย้อนกลับไป

 

เพียงแค่มองดู รูม่านตาของเจ้าเมืองเมฆาปีศาจก็หดตัวลง ทันที

 

เห็นแสงดาบพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า เพียงพริบตาเดียวก็ฟันเข้าหาร่างของเจ้าเมืองเมฆาปีศาจ

 

ร่างของเจ้าเมืองเมฆาปีศาจสลายไปอย่างรวดเร็ว แก่นแท้ เลือดเนื้อ และกระดูกกลายเป็นกลุ่มควัน

 

หลังจากผ่านไปสักพัก

 

จิตมารก็ค่อยๆ ปรากฏขึ้น ควบแน่นก่อตัวเป็นร่างมายา

 

“ข้าไม่ยินยอมเด็ดขาด!”

 

ร่างของเจ้าเมืองเมฆาปีศาจถูกทําลายลงไป ตอนนี้เหลือเพียงจิตมารเท่านั้นที่คงอยู่ แต่ก็คงอยู่ได้อีกไม่นานนัก

 

อย่างไรก็ตาม ก่อนที่เจ้าเมืองเมฆาปีศาจจะคลายความตกใจจากการสูญเสียร่างไป มันก็รู้สึกได้ว่ามีเจตจํานงแห่งดาบฝังลึกอยู่ในจิตมารของมัน

 

เห็นเจตจํานงดาบใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ คมขึ้นเรื่อยๆ ในที่สุดก็เฉือนจิตมารของเจ้าเมืองเมฆาปีศาจออกเป็นชิ้นๆ

 

“ประกายแสงดาบนั่นไม่เพียงแต่จะทําลายร่างของข้า แค่ยังรวมถึงจิตมารของข้าด้วย?”

 

ในวินาทีสุดท้ายก่อนจะหมดสิ้นสติ เจ้าเมืองเมฆาปีศาจก็ตื่นตระหนก ก่อนจะสลายหายไปอย่างสมบูรณ์

 

ด้านนอกเมืองเมฆาปีศาจ

 

หลังจากที่ซูฉินตวัดแสงดาบออกไปดั่งใจนึกแล้ว เขาก็เพิกเฉยไม่ได้ให้ความสนใจอีก

 

“นี่…”

 

โม๋จีที่ยืนอยู่ด้านข้างได้แต่ตกตะลึง

 

ทุกอย่างเกิดขึ้นรวดเร็วจนเกินไป ตั้งแต่ที่ซูฉินกดดันเจ้าเมืองเมฆาปิศาจด้วยฝ่ามือจนถึงตอนที่เจ้าเมืองเมฆาปิศาจถูกบังคับให้ต้องหนีไป มันผ่านไปเพียงครู่เดียวเท่านั้น

 

“นายท่าน ท่านท่าน ”

 

โม๋จีตกใจจนพูดไม่ออก

 

หลังจากนั้นไม่นาน โม๋จีก็สงบใจลงได้ อดไม่ได้ที่จะกล่าวขึ้นมาว่า “นายท่าน เจ้าเมืองเมฆาปีศาจจะต้องหนีกลับไปรายงานแน่ ถ้าเขาหนีไปได้ จะต้องกลับมาล้างแค้นแน่นอน”

 

หลังจากที่เจ้าเมืองเมฆาปีศาจเผาแก่นแท้และเลือดเนื้อบินหนีไป อย่างน้อยก็เป็นระยะทางนับร้อยลี้ ดังนั้นโม๋จีจึงไม่ได้เห็นร่างและจิตมารของเจ้าเมืองเมฆาปีศาจถูกกําจัดไปภายใต้คมดาบของซูฉิน

 

“สบายใจได้”

 

“เขาหนีไปไม่พ้น”

 

ซูฉินไม่ได้สนใจ และมองไปยังเมืองเมฆาปีศาจอีกครั้ง

 

“ข้าหวังว่าจะมี”เต๋าสะสม เพียงพอสําหรับการลงชื่อเข้าใช้นะ”

 

ซูฉินคิดอยู่ภายในตนเองเงียบๆ

 

“เต๋าสะสม” ที่ระบบต้องการไม่ใช่ “เต๋า “ที่เป็นวิถีทางอันถูกต้อง แต่เป็นสิ่งต้นกําเนิดของทุกสิ่งคือ”เต๋า” ที่เป็นจุดเริ่มต้นของความวุ่นวายความโกลาหล

 

“เต๋า” ในที่นี้ครอบคลุมทุกสิ่ง วิถีแห่งความชั่วร้ายก็เป็น เต๋าวิถีแห่งมารก็เป็นเต๋าเช่นกัน

 

“ไม่มีใครจะมาหยุดข้าจากการลงชื่อเข้าใช้แล้วในครานี้”

 

ซูฉินเหลือบมองไปที่เมืองเมฆาปีศาจ ก้าวเท้าทะยานขึ้นไปอยู่บนขอบกําแพงเมือง มองเห็นเมืองเมฆาปีศาจได้ทั่วทั้งหมด

 

ปีศาจจํานวนมากมายนับไม่ถ้วนกําลังตื่นตระหนก เจ้าเมืองเมฆาปีศาจผู้ไร้เทียมทานของพวกตนไม่สามารถหยุดยั้งซูฉินได้แม้แต่ครั้งเดียว แล้วอย่างพวกมันจะเอาอะไรไปเทียบ?

 

ในตอนนั้นเอง

 

ราชาปีศาจตนหนึ่งก็โค้งคํานับแล้วตะโกนเสียงดัง “คารวะท่านเจ้าเมือง”

 

ในโลกถ้ำปีศาจ ผู้แข็งแกร่งเป็นที่เคารพอยู่เสมอ และซูฉินที่ได้สังหารเจ้าเมืองเมฆาปีศาจลงก็ได้กลายเป็นเจ้าเมืองเมฆาปีศาจคนใหม่

 

“คารวะท่านเจ้าเมือง”

 

“คารวะท่านเจ้าเมือง”

 

“คารวะท่านเจ้าเมือง”

 

เหล่าปีศาจมากมายนับไม่ถ้วนต่างตอบสนองอย่างรวดเร็ว เชิดชู และโค้งคํานับให้กับซูฉิน

 

[1] วางเกวียนไว้หน้าม้า (สํานวน) เนื่องจากการขนส่งในสมัยก่อนต้องใช้เกวียนเทียมม้าลากจูงไป การนําเกวียนไปวางไว้หน้าม้าย่อมไม่เกิดผลประโยชน์ใด เพราะเป็นการวางผิดตําแหน่ง หมายความว่า เราควรจะรู้ว่าอะไรเป็นสิ่งสําคัญที่สุดในเหตุการณ์นั้นๆ ให้รู้จักจัดลําดับความสําคัญ

 

Sign in Buddha’s palm 191 ปกคลุมผืนฟ้าด้วยมือ เดียว!

 

ภายในเมืองเมฆาปีศาจ

 

เจ้าเมืองเมฆาปีศาจนั่งอยู่บนแท่นสูง หน้าตาถมึงทึง

 

ปีศาจที่อยู่ในขอบเขตราชาปีศาจด้านล่างก็มีใบหน้าที่บูดเบี้ยวเช่นกัน บรรยากาศหดหูคละคลุ้งไปทั่วทั้งโถง

 

นับตั้งแต่โม๋จีหนีออกจากเมืองเมฆาปีศาจไป ไม่ว่าจะเป็นเจ้าเมืองเมฆาปีศาจหรือแม่ทัพปีศาจขอบเขตราชาปีศาจตนอื่นๆ ล้วนอยู่ในอารมณ์โกรธ

 

โม๋จีเป็นร่างหยินบริสุทธิ์อันหายาก และเป็นของขวัญชั้นยอดที่เจ้าเมืองเมฆาปีศาจเตรียมจะมอบให้กับเจ้าเมืองอิน

 

ตอนนี้เจ้าเมืองอินจี๋กําลังรอให้เขาส่งมอบของขวัญไป แต่ตอนนี้โม๋จีกลับหายตัวไป?

 

ราชาปีศาจทั้งหลายต่างหน้าเปลี่ยนสียามเมื่อนึกถึงความกราดเกรี้ยวของเจ้าเมืองอินจี๋ที่กําลังจะมาถึง

 

“ท่านเจ้าเมือง”

 

“ในยามนี้เราควรทําเช่นไรกันดี?”

 

“โม๋จีเป็นลูกหลานของท่าน นางหนีออกจากเมืองเมฆาปีศาจไป ท่านเจ้าเมืองควรจะรู้อะไรบ้างมิใช่หรือ?” ราชาปีศาจที่มีรูม่านตาสีดํากล่าวออกมา

 

“ถูกต้อง ท่านเจ้าเมือง ท่านจะไม่ค้นหาตัวโม๋จีอีกครั้งงั้นหรือ หากพลาดวันที่นัดหมายไว้กับเจ้าเมืองอินจี๋แล้วล่ะก็ ข้าจะสามารถทานทนความโกรธเกรี้ยวของ เจ้าเมืองอินจี๋ได้อย่างไร?”

 

“ใช่ ท่านเจ้าเมืองไม่ได้ทิ้งร่องรอยติดตามตัวไว้กับโม๋จีหรอกหรือ?”

 

ราชาปีศาจทั้งหลายจ้องมองไปที่เจ้าเมืองเมฆาปีศาจพร้อมกับกล่าวถาม

 

หลังจากผ่านไปนาน ในที่สุดเจ้าเมืองเมฆาปีศาจก็พูดขึ้นว่า “ข้าได้ทิ้งสายใยจิตมารส่วนหนึ่งไว้ที่โม๋จี”

 

คําที่กล่าวออกมา

 

ราชาปีศาจตนอื่นๆ ต่างก็ยินดี

 

ด้วยความแข็งแกร่งของเจ้าเมืองเมฆาปีศาจ หากทิ้งสายใยแห่งจิตมารไว้บนร่างของโม๋จีล่ะก็ เกรงว่าอีกฝ่ายคงจะหนีไปไหนไม่พ้น แม้จะหนี้ไปจนสุดขอบโลกก็ตาม

 

“เพียงแต่ว่า ?

 

เจ้าเมืองเมฆาปีศาจเหลือบมองฝูงชน ส่ายศีรษะแล้วกล่าวว่า “จิตมารของข้าถูกปัดเป่าออกไปแล้ว”

 

“อะไรนะ?”

 

“ใครกันที่กล้ากําจัดจิตมารของท่านเจ้าเมือง”

 

ราชาปีศาจหลายตนต่างก็ไม่อยากเชื่อ

 

รู้หรือไม่ว่าเจ้าเมืองเมฆาปีศาจนั้นทรงอิทธิพลในรัศมีหลายพันลี้นี้ มีพลังสูงล้ำ เผ่าพันธุ์ปีศาจตนใดกล้าที่จะกําจัดจิตมารของท่านเจ้าเมืองกัน?

 

นอกเหนือจากนี้ แม้ว่าปีศาจธรรมดาๆ ต้องการจะกําจัดจิตมารของเจ้าเมืองเมฆาปีศาจ พวกเขาย่อมมิอาจกระทําได้

 

เฉพาะราชาปีศาจที่มีความแข็งแกร่งใกล้เคียงหรือเทียบเท่าเจ้าเมืองเมฆาปีศาจเท่านั้นถึงจะทําเช่นนั้นได้

 

“สบายใจได้”

 

“ถึงแม้ว่าจิตมารของข้าจะถูกปัดเปาออกไป แต่ข้ายังมีวิธีอื่นในการตรวจหาตําแหน่งของโม๋จีอยู่ แต่วิธีนี้ใช้ได้เพียงครั้งเดียวเท่านั้น”

 

เจ้าเมืองเมฆาปีศาจกล่าวว่า “ข้าได้เชิญเพื่อนมาหลายคนเพื่อการนี้ และเมื่อพวกเข้ามาถึงข้าจะเริ่มใช้วิธีนั้นทันที”

 

เมื่อกล่าวถึงตรงนี้ เจ้าเมืองเมฆาปีศาจก็กล่าวขึ้นอย่างเย็นชา “ข้าอยากจะรู้นักว่ามีใครในโลกนี้ กล้าที่จะสอดมือเข้ามายุ่งเรื่องของข้า”

 

ดวงตาของเจ้าเมืองเมฆาปีศาจดํามืด

 

ครั้งเมื่อโม๋จีหนีออกจากเมืองเมฆาปีศาจไปในตอนแรกเขาไม่ได้กังวลเลย เพียงส่งแม่ทัพไม่กี่คนตามไปยังตําแหน่งที่ตรวจจับได้จากโม๋จี เพื่อจับนางกลับมา

 

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เจ้าเมืองเมฆาปีศาจไม่คาดคิดคือผู้ใต้บังคับบัญชาหลายคนที่เขาส่งไปไม่เพียงแต่เสียชีวิตในที่เกิดเหตุเท่านั้น แต่สายใยจิตมารที่เขาแฝงเอาไว้ในตัวของโม๋จียังถูกปัดเป่าออกไปด้วย

 

หลังจากที่เจ้าเมืองเมฆาปีศาจได้ทราบเรื่องนี้ เขาก็ตระหนักได้ทันที่ว่านี้อาจเป็นฝีมือของหนึ่งในศัตรูคนสําคัญของเขา

 

เขาจึงยังไม่ลงมือทําอะไร

 

เพียงแต่ชักชวนเพื่อนบางคนให้มาที่นี่แทน

 

พร้อมที่จะลงมือร่วมกันเมื่อถึงเวลา จากนั้นจึงแก้ไขปัญหาเรื่องศัตรูให้สมบูรณ์เสียในคราวเดียว

 

คํากล่าวของเจ้าเมืองเมฆาปีศาจทําให้ราชาปีศาจตนอื่นๆ ที่เหลือต่างชื่นชม

 

“วิธีการของท่านเจ้าเมืองนั้นช่างล้ำลึกจริงๆ”

 

“ถูกต้อง ไม่ว่าใครจะเป็นผู้กําจัดจิตมารของท่านเจ้าเมืองออกไป มันจะสามารถเอาชนะท่านเจ้าเมืองได้อย่างไร?”

 

“คราวนี้ทําให้มันรู้ไปเลยว่าการทําให้เจ้าเมืองต้องขุ่นเคือง จุดจบมันจะเป็นเช่นไร!”

 

ราชาปีศาจทั้งหลายต่างหัวเราะเยาะเย้ยซ้ำไปซ้ำมา

 

“ ท่านเจ้าเมือง ข้ากําลังอยู่ในขั้นฝึกฝนและต้องการแก่นแท้ปีศาจรวมถึงเลือดเนื้อ เมื่อกําจัดปีศาจตนนั้นได้โปรดมอบร่างของมันมาให้ข้าได้หรือไม่…”

 

ราชาปีศาจตนหนึ่งกล่าว

 

ในสายตาของราชาปีศาจเหล่านี้ ดูเหมือนว่าพวกมันจะได้เห็นฉากที่อีกฝ่ายกําลังคร่ำครวญอยู่แทบเท้าเจ้าเมืองเมฆาปีศาจไปแล้ว

 

“มอบร่าง?”

 

เจ้าเมืองเมฆาปีศาจขมวดคิ้วมุ่น

 

ร่างกายของราชาปีศาจในระดับเดียวกันเป็นประโยชน์มากสําหรับตัวเขาเช่นกัน ไม่ต้องกล่าวถึงราคาที่จะต้องจ่ายหลังจากเชิญเพื่อนของตนมาในครั้งนี้

 

เจ้าเมืองเมฆาปีศาจไม่ตอบคํา ปีศาจผู้น่าสงสารนั้นก็ไม่พูดเรื่องนี้อีกต่อไป

 

“ข้าต้องการจะเห็นไอ้ปีศาจนั่นคลานมาขอความเมตตาแทบเท้าท่านเจ้าเมืองเสียจริงๆ”

 

ราชาปีศาจอีกตนเลียริมฝีปากของมัน

 

ทันใดนั้น

 

ในตอนนั้นเอง

 

เสียงระเบิดดังกึกก้อง ได้ยินไปทั่วทั้งเมืองเมฆาปีศาจ

 

“แย่แล้ว!”

 

“มีคนลอบโจมตี!”

 

ท่าทีของเจ้าเมืองเมฆาปีศาจเปลี่ยนไปอย่างมาก เขาใช้จิตมารสํารวจออกไปก็พบประกายแสงดาบที่ดูเหมือนจะแยกผืนฟ้าและผืนดินออกจากกัน

 

“บ้าเอ๊ย!”

 

ราชาปีศาจตนอื่นๆ ก็ใบหน้าบิดเบี้ยวน่าเกลียดเช่นกัน

 

เสี้ยววินาทีต่อมา

 

เจ้าเมืองเมฆาปีศาจและราชาปีศาจทั้งหลายต่างก็หายตัวไปจากห้องโถงใหญ่

 

ด้านนอกเมืองเมฆาปีศาจ

 

เมื่อปลายนิ้วของซูฉินตวัดประกายแสงดาบออกไป ทั่วทั้งเมืองเมฆาปีศาจก็สั่นสะท้าน

 

รัศมีปราณจํานวนมากค่อยๆ ปรากฏขึ้น กลายเป็นเกราะคุ้มกัน พยายามปิดกั้นประกายแสงดาบอันนี้ไว้

 

“นายท่าน…”

 

โม๋จีตกตะลึง

 

เดิมที่นางคิดว่าซูฉินจะต้องลงมือกับเจ้าเมืองเมฆาปีศาจแน่ เพียงแต่ว่าน่าจะเลือกเวลาอันเหมาะสมในการลงมือ

 

แต่ตอนนี้?

 

ซูฉินฟาดฟันประกายแสงดาบเข้าใส่เมืองเมฆาปีศาจตรงๆ

 

นี่เป็นเพียงการเตรียมพร้อมสําหรับการเข้าปราบเมืองเมฆาปีศาจ

 

โม๋จีรู้ว่าซูฉินนั้นแข็งแกร่งมากและอาจเป็นราชาปีศาจระดับสูง ทว่า แม้เป็นปีศาจระดับสูงก็ยังไม่กล้าที่จะกระทําเช่นนี้

 

รู้หรือไม่ว่าภายในเมืองเมฆาปีศาจไม่เพียงแต่มีราชาปีศาจที่เป็นเจ้าเมืองแต่เพียงผู้เดียวเท่านั้น ยังมีสมุนของเจ้าเมืองที่พร้อมรับคําสั่ง รวมถึงราชาปีศาจที่อยู่อย่างสันโดษในที่แห่งนี้

 

นอกจากนี้เมืองเมฆาปีศาจตั้งอยู่มานานนับพันนับหมื่นปี ในช่วงเวลาที่ผ่านมานี้ ไม่ทราบว่าเจ้าเมืองเมฆาปีศาจในอดีตได้จัดวางค่ายกลขนาดใหญ่ไว้จํานวนมากเท่าใด

 

การกระทําของซูฉินเทียบเท่ากับการเพิกเฉยต่อราชวงศ์ของเจ้าเมืองเมฆาปิศาจในอดีต ทําไมจึงเย่อหยิ่งถึงเพียงนี้?

 

ตึงตึงตึง

 

ขณะที่ประกายแสงดาบยังคงพุ่งฝ่าอากาศอยู่นั้น

 

เกราะคุ้มกันสีดําที่ก่อตัวด้านนอกเมืองเมฆาปีศาจหนาขึ้นเรื่อยๆ ค่ายกลถูกกระตุ้นขึ้นทีละอันหลังจากเจอภัยคุกคามอย่างประกายแสงดาบ รวบรวมพลังกันเพื่อเสริมกําลังให้กับ เกราะคุ้มกันสีดํา

 

ในขณะนั้น

 

ร่างหลายร่างปรากฏตัวขึ้นนอกเมืองเมฆาปีศาจ

 

พวกมันคือเจ้าเมืองเมฆาปีศาจและเหล่าราชาปีศาจ

 

“ฟังคําสั่งข้า สกัดมันเอาไว้!!!”

 

เจ้าเมืองเมฆาปีศาจแลดูน่ากลัว สั่งระดมกําลังภายในเมืองเมฆาปีศาจทั้งหมดเข้าสกัดกั้นประกายแสงดาบที่ซูฉินฟาดฟันออกมาอย่างไม่ได้ตั้งใจอะไรนัก

 

ตึงตึงตึง!

 

เมืองเมฆาปีศาจสั่นสะเทือน พลังมารโผล่ออกมารวมเป็นเกราะป้องกันสีดํา สกัดกั้นประกายแสงดาบเอา ไว้

 

เพล้ง!!

 

ประกายแสงดาบตัดผ่านเกราะคุ้มกันไปได้กว่าห้าพันชั้นอย่างต่อเนื่อง จนเหลือเกราะคุ้มกันเพียงไม่กี่ร้อยชั้นเท่านั้น ประกายดาบจึงค่อยๆ สลายหายไป

 

“สกัดกั้นได้แล้ว?”

 

เจ้าเมืองเมฆาโพล่งออกมาทั้งที่เหงื่อยังไหลริน

 

เขาไม่อาจจะจินตนาการได้เลยว่าหากเขาไม่เข้ามาปิดกั้นประกายแสงดาบอันนี้เอาไว้ แล้วปล่อยให้มันฟาดฟันลงมามันจะเกิดอะไรขึ้น เกรงว่าเมืองเมฆาปีศาจทั้งเมืองคงถูกผ่าออกเป็นสองส่วน

 

“สุดท้ายก็สกัดกั้นไว้ได้แล้ว”

 

เจ้าเมืองเมฆาปีศาจรู้สึกว่าตนอ่อนแอลงในทันที เขาไม่เพียงแต่ใช้พลังงานสะสมของเมืองเมฆาปีศาจไปหลายปี แต่ยังเผาผลาญแก่นแท้และเลือดเนื้อของตนเพื่อสกัดกั้นประกายแสงดาบอันนี้

 

อาจกล่าวได้ว่าเจ้าเมืองเมฆาปีศาจได้สูญเสียทั้งพลังเสียทั้งเลือดเนื้อไปแล้ว และคงไม่สามารถฟื้นคืนกลับมาได้ในเวลาอันสั้น อาจจะต้องฟื้นฟูนานนับทศวรรษ

 

“ปิดกั้นสําเร็จแล้ว”

 

“ท่านเจ้าเมือง ในที่สุดพวกเราก็รอดแล้ว”

 

ราชาปีศาจที่เหลือถอนหายใจด้วยความโล่งอก รอยยิ้มค่อยๆ ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของพวกมัน

 

และในตอนนี้

 

ซูฉินเหลือบมองไปทางเมืองเมฆาปีศาจด้วยความประหลาดใจ

 

ในเวลาต่อมา

 

ซูฉินยกมือขวาขึ้นแล้วกดลงไปเบาๆ เบื้องหน้าของเจ้าเมืองเมฆาปีศาจรวมถึงราชาปีศาจตนอื่นๆ

 

อากาศสั่นสะเทือน ปราณปีศาจถูกรวบรวมเข้ามา ใหญ่โตจนปกคลุมท้องฟ้ากว้าง เป็นการปิดบังผืนฟ้าไว้ด้วยมือเพียงข้างเดียว

Sign in Buddha’s palm 190 ด้านนอกเมืองเม ฆาปีศาจ

 

ตามคํากล่าวของหร่วนชิง ในโลกยุทธภพต่างดินแดน เหล่าปรมาจารย์ที่ดูแลนิกายใหญ่ล้วนแต่ไม่เกินระดับนภาชั้นที่ห้าหรือนภาชั้นที่หก ส่วนตํานานยุทธระดับนภาชั้นที่เจ็ด บางทีอาจจะเป็นบรรพชนที่หลับใหลอยู่ภายในนิกายที่ไปถึงระดับนั้น

 

ต้นแต่ต้นจนจบ หร่วนชิงไม่เคยกล่าวถึงเซียนเทพปฐพีเลย ราวกับว่าในโลกยุทธภพต่างแดน เซียนเทพปฐพีนั้นก็เป็นเรื่องต้องห้ามเช่นเดียวกัน

 

“เซียนเทพปฐพี”

 

ใบหน้าของหร่วนชิงซีดเซียว

 

“นายท่าน แม้แต่ในต่างแดน เซียนเทพปฐพีก็ไม่ได้ปรากฏร่องรอยให้เห็นมานับพันปีแล้ว ดูเหมือนว่าผู้ที่ก้าวไปถึงระดับนี้จะไม่ได้อยู่ที่ต่างดินแดนมานานแสนนาน ราวกับพวกเขาไปยังสถานที่อื่นกันหมด”

 

“บางทีเหล่าผู้อาวุโสในนิกายใหญ่อาจจะรู้มากกว่านี้ แต่ข้านั้นไม่รู้จริงๆ”

 

หร่วนชิงกล่าวตอบด้วยใบหน้าเศร้าสร้อย

 

ตอนที่ซูฉินถามถึงเรื่องราวในโลกยุทธภพที่ต่างแดน หร่วนชิงยังโล่งใจเพราะสิ่งที่ซูฉินถามมานั้นไม่ใช่เรื่องที่เขาตอบไม่ได้

 

แต่ก่อนที่จะได้กล่าวอะไรต่อไป ซูฉินกลับเปลี่ยนมาถามเกี่ยวกับเซียนเทพปฐพี ซึ่งทําให้หร่วนชิงอยากจะร่ำไห้ แต่ก็ไม่มีน้ำตาให้ไหล

 

ไม่ใช่ว่าเขาไม่อยากตอบ เพียงแต่เขาไม่รู้ว่าจะตอบเช่นไรจริงๆ

 

มีเซียนเทพปฐพี่ดํารงอยู่หรือไม่? ตัวตนเพียงนภาชั้นที่สามอย่างเขาจะไปล่วงรู้ได้เช่นไร?

 

“พอแล้ว”

 

“ดูเหมือนเจ้าก็คงไม่รู้เช่นกัน”

 

ซูฉินเหลือบมองหร่วนชิงและไม่ได้ถามอะไรเรื่องนี้ต่อ

 

“เจ้าเพิ่งจะบอกมาว่าเหตุผลที่เจ้ามาที่นี่เป็นเพราะคําทํานายของสํานักชะตาฟ้าใช่ไหม?” ซูฉินแตะปลายคางและถามอย่างไม่ได้ใส่ใจมากนัก

 

“เป็นเช่นนั้นขอรับ”

 

เมื่อเห็นว่าซูฉินไม่ได้กล่าวถามเกี่ยวกับเซียนเทพปฐพีต่อแล้ว หร่วนชิงจึงกล่าวต่อทันทีว่า “สํานักชะตาฟ้านั้นพิเศษมากในต่างแดน พวกเขาไม่แข่งขันด้านทรัพยากรกับใครและมีศิษย์อยู่เพียงไม่กี่คน”

 

“สํานักชะตาฟ้าในรุ่นนี้ได้ทํานายเรื่องจุดตัดครั้งยิ่งใหญ่ที่จะเกิดขึ้น แต่มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่เชื่อ”

 

เมื่อหร่วนชิงกล่าวเช่นนี้ ก็ลังเลอยู่พักหนึ่งก่อนจะกล่าวต่อว่า “แต่ว่านายท่าน เมื่อกาลเวลาผ่านไป การฟื้นคืนของกระแสปราณฉีย่อมชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ และเหล่ายอดยุทธในนิกายใหญ่เหล่านั้นจะเริ่มค้นพบบางสิ่ง เมื่อถึงเวลานั้นพวกเขาจะเข้ามาแทรกแซงที่นี้อย่างแน่นอน”

 

“โอ้ ข้าเข้าใจแล้วล่ะ” ซูฉินไม่ได้มีความกังวลใจใดๆ

 

เขาอยู่ในระดับนภาชั้นที่เจ็ดแล้วในตอนนี้และการควบแน่นอาณาเขตขนาดเล็กได้นั้นก็อยู่อีกไม่ไกล แม้ว่ายอดยุทธจากต่างแดนจะรวมตัวกันมา ซูฉินก็ไม่เกรงกลัวแม้แต่น้อย

 

“อย่างไรก็ตาม เพื่อป้องกันข้อผิดพลาด คงจะดีกว่าถ้าควบแน่นอาณาเขตขนาดเล็กให้ได้เร็วที่สุดแล้วค่อยทะลวงผ่านขั้นในคราวเดียว ไปสู่นภาชั้นที่แปดหรือแม้แต่นภาชั้นที่เก้า”

 

“อันที่จริง จะดีกว่าถ้าสําเร็จถึงขอบเขตยอดอรหันต์ ทว่าแม้ปราณฉีจะฟื้นคืนกลับมาทําให้ฝึกฝนง่ายขึ้น แต่การเข้าสู่ขอบเขตยอดอรหันต์ก็ไม่ใช่ง่ายดาย”

 

หลังจากที่ซูฉินบอกให้หร่วนชิงออกไป เขาก็นั่งคิดอยู่กับตนเองอย่างเงียบๆ

 

เขาไม่ได้วิตกกังวลเท่าไหร่ในเรื่องการฝึกฝน ท้ายที่สุดซูฉินก็แตกต่างไปจากตํานานยุทธทั่วๆ ไป เขาสามารถมีชีวิตอยู่ได้ถึงหนึ่งพันปี สามารถฝึกฝนต่อเนื่องได้อย่างสบายๆ

 

แต่ตอนนี้ซูฉินรู้สึกได้ถึงความเร่งด่วนอยู่ในหัวใจ

 

“เคล็ดการขัดเกลาร่างกายด้วยสายฟ้านั้นจะได้ผลดีที่สุดในสภาพอากาศที่ครื้มฟ้าครึ้มฝน และไม่จําเป็นต้องฝึกฝนเคล็ดวิชานี้ในช่วงเวลาอื่นๆ”

 

“ในตอนนี้ความสนใจหลักของข้าควรมุ่งไปที่การควบแน่นอาณาเขตขนาดเล็ก”

 

“นภาชั้นที่เจ็ดที่มีอาณาเขตขนาดเล็ก กับนภาชั้นที่เจ็ดที่ ไม่มีอาณาเขตขนาดเล็กนั้นเป็นสองสิ่งที่แตกต่างกันอย่างสมบูรณ์”

 

“ตราบใดที่ข้าสามารถควบแน่นอาณาเขตขนาดเล็กขึ้นมาได้ จะพัฒนาความสามารถในการต่อสู้ขึ้นไปได้อีกมากโข”

 

ซูฉินคิดในใจ

 

“นอกจากการควบแน่นอาณาเขตขนาดเล็กแล้ว ยังจําเป็นต้องเข้าสู่นภาชั้นที่แปดโดยเร็วที่สุด แม้ว่าการเข้าสู่นภาชั้นที่แปดจะไม่ได้ยิ่งใหญ่เท่ากับตอนที่เป็นนภาชั้นที่หกก้าวเข้าสู่นภาชั้นที่เจ็ด แต่อย่างไรมันก็เป็นการตัดผ่านข้ามระดับชั้นอยู่ดี”

 

ซูฉินไตร่ตรองและตัดสินใจ

 

ต่อจากนี้ความสนใจหลักของซูฉินจะทุ่มเทให้กับการควบแน่นอาณาเขตขนาดเล็ก ก้าวผ่านระดับชั้น และขัดเกลาร่างกายด้วยสายฟ้า

 

ในทั้งสามสิ่งนี้ การขัดเกลาร่างกายด้วยสายฟ้านั้นขึ้นอยู่กับสภาพอากาศ ฉะนั้นซูฉินจึงให้เวลาที่มากขึ้นกับสองข้อแรกได้

 

เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ ร่างของซูฉินก็สว่างวาบและกลับเข้าไปในโถงพระราชวังสูงตระหง่านใต้ผืนดิน

 

สําหรับหร่วนชิง เขาถูกซูฉินโยนหน้าที่ให้ไปประจําพระราชวังตะวันออก คอยให้คําแนะนําแก่ตระกูลซู หลีหว่าน และคนอื่นๆ

 

แม้ว่าหร่วนชิงจะตัวสั่นงันงกเมื่ออยู่ต่อหน้าซูฉิน เวลาพูดคุยก็ไม่กล้าที่จะส่งเสียงดังจนเกินไป

 

แต่ในความเป็นจริง หร่วนชิงเป็นถึงตํานานยุทธในระดับนภาชั้นที่สาม ความแข็งแกร่งเท่านี้ก็เพียงพอที่จะชี้แนะตระกูลซูที่ยังไม่ก้าวผ่านออกจากขอบเขตวิทยายุทธทั้งเก้าระดับชั้น

 

สําหรับทุกคนในตระกูลซู การดํารงอยู่ของหร่วนชิงอาจจะแปลกประหลาดในตอนแรก แต่หลังจากผ่านไปสักพักพวกเขาจะคุ้นชินกับมัน เพราะเข้าใจว่าหร่วนชิงเป็นข้ารับใช้ของซูฉิน

 

เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้า

 

หลายเดือนผ่านไปในพริบตา

 

ณ พระราชวังสูงตระหง่านใต้ผืนดิน

 

ซูฉินนั่งขัดสมาธิ ไอพลังของเขารวมตัวกันแน่นราวกับท่อนไม้หนา

 

แต่ภายในร่างกายนั้น เลือดลมพลุ่งพล่าน จนทําให้เกิดเสียงคํารามก้องราวคลื่นลมกระโชก กระดูก กล้ามเนื้อ และอวัยวะภายในเปล่งแสงสีทองสะพรั่ง

 

“ไม่ได้คาดหวังเลยว่า อาณาเขตขนาดเล็กยังควบแน่นไม่สําเร็จ แต่ร่างกายกลับได้แปรสภาพไปล่วงหน้าก่อนแล้ว…”

 

ซูฉินค่อยๆ ลืมตาขึ้นและกระซิบอยู่กับตนเอง

 

ในช่วงไม่กี่เดือนมานี้มีฝนตกลงมามากกว่าครึ่ง เป็นผลให้ซูฉินเข้าไปอาบตัวด้วยสายฟ้าภายในหมู่เมฆแทบจะวันเว้นวัน

 

หลังจากผ่านไปหลายสิบวัน ร่างที่ถูกขัดเกลาหล่อหลอมด้วยสายฟ้าก็เสร็จสิ้นการแปรสภาพครั้งที่ห้า

 

“หลังจากการแปรสภาพร่างกายครั้งที่ห้า แสงสีทองในร่างก็ชัดเจนขึ้นกว่าเดิมมาก”

 

ซูฉินพยักหน้าเล็กน้อยแสดงออกถึงความพอใจ

 

หลังจากการแปรสภาพร่างกายครั้งที่สี่ ซูฉินก็ให้กําเนิดร่องรอยของอัตลักษณ์สีทอง ซึ่งเกี่ยวข้องกับกายาทองคําขององค์ยูไล ลือกันว่าเป็นสัญลักษณ์ที่สื่อถึงความเป็นอมตะนิรันดร์

 

แต่ตอนนี้หลังจากการแปรสภาพร่างกายครั้งที่ห้าสิ้นสุด สีทองในร่างของซูฉินก็เปล่งประกายขึ้นอีกครั้ง

 

“ไม่รู้เหมือนกันว่า ตอนนี้ร่างกายของข้าไปอยู่ในระดับไหนแล้ว?”

 

ซูฉินยกมือขวาขึ้น รู้สึกถึงพลังที่เพิ่มขึ้นของกายเนื้อ พลางครุ่นคิดในใจอย่างเงียบๆ

 

“ในเมื่อร่างกายได้แปรสภาพเรียบร้อยแล้ว”

 

“ต่อไปนี้ควรให้ความสําคัญกับการควบแน่นอาณาเขตขนาดเล็ก

 

ท่าทีของซูฉินเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม ความคิดภายในผันผวน

 

เมื่ออาณาเขตขนาดเล็กถูกควบแน่น พลังฟ้าดินในรัศมีร้อยลี้จะถูกบีบอัดจนเหลือเพียงร้อยเมตรหรือพันเมตรเท่านั้น นับเป็นการเปลี่ยนแปลงพัฒนาคุณภาพให้มากขึ้น

 

โลกถ้ำปิศาจ

 

ในที่สุดซูฉินก็มาถึงหน้าเมืองเมฆาปีศาจพร้อมกับโม๋จี

 

อันที่จริงถ้าไม่ใช่เพราะซูฉินจงใจชะลอฝีเท้าเพื่อดูว่ามีที่ไหนระหว่างทางให้ลงชื่อเข้าใช้ได้ไหม เกรงว่าคงมาถึงที่นี่ตั้งนานแล้ว

 

“นายท่าน”

 

“ด้านหน้านี้คือเมืองเมฆาปีศาจ”

 

โม๋จีกล่าวคําอย่างสุภาพอยู่ด้านข้าง การแสดงออกของนางค่อนข้างซับซ้อน

 

นางต้องสูญเสียไปมากมายเพื่อหนีออกจากเมืองเมฆาปีศาจแห่งนี้ และไม่ได้คาดหวังว่าจะกลับมาที่ด้านหน้าของเมืองเมฆาปีศาจเช่นนี้

 

ซูฉินไม่ได้กล่าวคําแต่มองไปที่เมืองเมฆาปีศาจอย่างเงียบๆ

 

เมืองเมฆาปีศาจเป็นเมืองที่งามสง่า สูงตระหง่านเทียมเมฆ กลิ่นอายแผ่ออกมาให้ความรู้สึกทรงพลังจนผู้คนต้องหวาดหวั่น

 

“นายท่าน เราสามารถแอบเข้าไปภายในเมืองเมฆาปีศาจได้โดยไร้ซุ่มเสียง” โม๋จีกล่าวคําด้วยความระมัดระวัง

 

“ไม่จําเป็น”

 

ซูฉินส่ายศีรษะเล็กน้อย

 

เมื่อครู่เขากวาดสายตามองทั่วเมืองเมฆาปีศาจด้วยวิชาปราณฉีฟ้ากําหนดแล้ว ในเมื่อรู้ทุกอย่างภายในเมืองแล้วย่อมไม่อยากจะเสียเวลาเป็นธรรมดา

 

“ไม่จําเป็น?”

 

โม๋จีกะพริบตาปริบๆ โดยไม่รู้ว่าซูฉินหมายความว่าอะไร

 

อย่างไรก็ตาม

 

ในช่วงเวลาต่อมา

 

ต่อหน้าสายตาที่จ้องมองอย่างเหลือเชื่อของโม๋จี

 

ซูฉินก้าวเท้าไปข้างหน้า ยกมือขวาขึ้น จรดนิ้วออกไปคล้ายวงดาบ และฟาดลงไปที่เมืองเมฆาปีศาจ

 

ฟูมมม!

 

ลําแสงแวววาวก่อตัวขึ้นเป็นทรงดาบถูกตวัดฟาดฟันผ่าอากาศออกไป

 

Sign in Buddha’ s palm 189 ยุทธภพในต่างแดน

 

การแสดงออกของหร่วนชิงในชุดคลุมสีน้ำเงินเปลี่ยนไป จิตใจตีกันอยู่ภายในอย่างรุนแรง

 

เขาเชื่ออย่างเต็มหัวใจว่าซูฉินคงมีหนทางจะสังหารเขาไม่ต้องพูดถึงความสามารถในการอาบสายฟ้าฟาด เพียงกลิ่นอายแค่เล็กน้อยของอีกฝ่ายที่ปลดปล่อยออกมา ก็เพียงพอแล้วที่จะทําให้หร่วนชิงรู้สึกเหมือนเผชิญหน้าอยู่กับผืนนภาอันกว้างใหญ่

 

ในท้ายที่สุด ความปรารถนาที่จะมีชีวิตรอดของหร่วนชิงก็ชนะทุกสิ่ง และคํานับลงที่เบื้องหน้าซูฉินพร้อมกล่าวว่า “ข้าจะเป็นมือเป็นเท้าให้ผู้อาวุโสเอง”

 

“ดี”

 

“อย่าได้ต่อต้าน”

 

ซูฉินบังคับจิตของตนเอง แยกจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ออกมาส่วนหนึ่งแล้วแฝงเข้าไปในตัวของชายในชุดคลุมสีน้ำเงิน

 

เศษเสี้ยวจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์อันนี้เป็นวิธีการที่ซูฉินต่อยอดมาจากการเพาะเมล็ดพันธุ์ปีศาจในหลักวิชากลมารฟ้า

 

สามารถหยั่งรากลึกลงไปในจิตใจของหร่วนชิง

 

ในอนาคต ตราบใดที่หร่วนชิงสะสมความไม่พอใจเอาไว้ เศษเสี้ยวจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์อันนี้จะระเบิดออกทันที และจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์จะถูกทําลาย แม้แต่จิตวิญญาณก็ไม่อาจดํารงอยู่ต่อไปได้

 

แน่นอนว่าหร่วนชิงย่อมมีทางแก้ไข หากหร่วนชิงมีระดับการบ่มเพาะสูงกว่าซูฉิน เขาจะสามารถระงับเศษเสี้ยวจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์นี้ไว้ได้ชั่วคราว

 

แต่ด้วยความเร็วในการบ่มเพาะของซูฉินนั้น

 

วิธีนั้นแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย

 

“นายท่าน…”

 

หร่วนชิงรู้สึกได้ถึงกลิ่นอายแปลกๆ ที่แทรกซึมเข้าไปในจิตใจ เขาถอนหายใจเบาๆ มองไปทางซูฉินด้วยความเคารพ

 

ในความเป็นจริง การที่หร่วนชิงรอดมาได้จนถึงตอนนี้ก็นับเป็นโชคอย่างยิ่งแล้ว และตอนนี้เขาก็ยอมจํานนอย่างสมบูรณ์

 

“ไม่เป็นไร”

 

“พวกเราค่อยคุยกันต่อที่หลัง”

 

ซูฉินเหลือบมองขึ้นไปบนท้องฟ้า ตอนนี้หมู่เมฆเคลื่อนผ่านไปแล้ว ฟ้ากลับมาสว่างอีกครั้ง

 

เมื่อเห็นแบบนี้ซูฉินก็พาหร่วนชิงกลับไปที่พระราชวังตะวันออก

 

ทันที่ที่เข้ามาในพระราชวังตะวันออก โลกก็เปลี่ยนไป ปราณชีวิตจํานวนมหาศาล พลังงานเต็มเปี่ยม ราวกับว่าเขามาอยู่บนสรวงสวรรค์ที่มีอยู่จริงบนพื้นพิภพ

 

“นี่คือ?”

 

หร่วนชิงเบิกตากว้าง ไม่อยากจะเชื่อสิ่งที่เห็น

 

“ค่ายกลฟ้าดินหลายสิบชั้นซ้อนทับกัน เป็นการวางผังที่ยอดเยี่ยมมาก ลงตัวและสมบูรณ์แบบ วิธีการก่อตั้งค่ายกลเช่นนี้ แม้แต่ปรมาจารย์จากต่างดินแดนก็ยังด้อยกว่าอยู่มากโข..”

 

หร่วนชิงตกใจอย่างมาก

 

ตอนที่เขาเข้ามาในวังหลวงก่อนหน้านี้ เขาสังเกตเห็นว่าวังตะวันออกถูกปกคลุมไปด้วยค่ายกลฟ้าดินขนาดใหญ่

 

แต่ตอนนี้ยามเมื่อเข้ามาอยู่ในค่ายกลฟ้าดิน หร่วนชิงก็ตกตะลึงอย่างมาก

 

เดิมที่เขาคิดว่าซูฉินเก่งกาจแค่ด้านสายฟ้า แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าความสามารถด้านค่ายกลของซูฉินก็มาถึงจุดที่คาดไม่ถึง

 

ต้องรู้ว่าพลังฟ้าดินแถวนี้ไม่ดีเท่าไหร่นัก เพราะมีความต่างระหว่างชั้นฟ้ากับผืนปฐพีจึงเกิดความขัดแย้งกัน แต่ซูฉินผสมผสานค่ายกลฟ้าดินนับสิบโดยปราศจากความขัดแย้งใดๆ นี้มันช่างน่าเหลือเชื่อ

 

อย่างน้อยหร่วนชิงก็ไม่เคยได้ยินเกี่ยวกับปรมาจารย์ด้านค่ายกลระดับนี้ในต่างดินแดน

 

“พลังชีวิตแข็งแกร่งมาก ปราณฉีกระจายเต็มไปหมดแทบจะไม่ต่างไปจากต่างดินแดนเลย…”

 

หร่วนชิงยิ่งดูก็ยิ่งตกใจ

 

รู้หรือไม่ว่าเหตุผลที่ต่างดินแดนมีความเจริญรุ่งเรืองและให้กําเนิดตํานานยุทธออกมาตลอดนั่นก็เพราะพลังชีวิตและปราณฉีที่แข็งแกร่ง

 

แต่ตอนนี้หร่วนชิงค้นพบว่าพระราชวังตะวันออกปกคลุมไปด้วยพลังฟ้าดินมากมาย แทบจะเรียกได้ว่าเป็นโลกยุทธภพในต่างแดนขนาดย่อมเลยก็ว่าได้

 

“ดูพอหรือยัง?”

 

ซูฉินเหลือบมองหร่วนชิงที่กําลังตกตะลึง แล้วกล่าวถามออกมาเบาๆ

 

“นายท่าน ข้า ข้าดูพอแล้วขอรับ”

 

ใบหน้าของหร่วนชิงซีดเซียวและยืนโค้งคํานับอยู่อย่างนั้น

 

“ในเมื่อดูพอแล้ว ข้ามีคําถามสักสองสามข้อจะไถ่ถามเจ้าสักหน่อย”

 

ซูฉินเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย และทันใดนั้นบรรยากาศในทุกทิศทางก็เริ่มบิดเบี้ยวแยกตัวออกจากโลกภายนอกอย่างสิ้นเชิง

 

จุดประสงค์ที่ซูฉินปราบหร่วนชิง นอกจากความแข็งแกร่งของหร่วนชิงแล้วก็เป็นเพราะอีกฝ่ายคือจอมยุทธขอบเขตตํานานยุทธจากต่างดินแดน

 

“ตอนนี้ที่ต่างแดนเป็นเยี่ยงไรบ้าง?”

 

ซูฉินถามอย่างสบายๆ

 

“นายท่านหมายถึงสิ่งใดหรือ?” หร่วนชิงถามอย่างระมัดระวัง

 

“ก็แค่ลองพูดมา” ซูฉินกล่าวคําแผ่วเบา

 

“เอ่อ”

 

หร่วนชิงคิดอยู่ครู่หนึ่ง ดูเหมือนกําลังเรียบเรียงคําพูด “ทุกวันนี้ทรัพยากรส่วนใหญ่ในยุทธภพต่างดินแดนถูกควบคุมเอาไว้โดยเหล่าสุดยอดพรรคหรือสํานักระดับสูง และนอกเหนือจากนิกายใหญ่เหล่านั้นก็ยังมีผู้ฝึกยุทธอิสระอีกมากมาย”

 

“ผู้ฝึกยุทธเหล่านี้ไม่เต็มใจที่จะเข้าร่วมกับนิกายใหญ่ ไม่ต้องการจะทํางานหนักให้กับพวกนั้น จึงกลายมาเป็นกองกําลังฝ่ายอิสระ”

 

“แต่เมื่อไม่นานมานี้ สํานักชะตาฟ้าในยุคนี้ได้ทํานายว่ากระแสปราณฉีจะฟื้นคืนในไม่ช้า และชีตําแหน่งจุดตัดจุดที่ใหญ่ที่สุดของกระแสปราณฉีเอาไว้”

 

เมื่อหร่วนชิงพูดเช่นนี้ เขาก็อดไม่ได้ที่จะมองไปยังซูฉินก่อนจะพูดต่อว่า “แม้ว่าคําทํานายของสํานักชะตาฟ้าจะแพร่กระจายไปทั่วโลก แต่ก็ไม่มีใครคิดเชื่อถือ แต่เพราะครั้งหนึ่งข้าเคยผ่านไปที่เกาะแห่งหนึ่ง พบข้อความที่หลงเหลือไว้จากผู้แข็งแกร่งนอกดินแดน จึงตระหนักขึ้นมาได้ว่าคําทํานายของสํานักชะตาฟ้าอาจเป็นจริง ข้าจึงได้ดั้นด้นเดินทางมายังทวีปแห่งนี้”

 

“เจ้าหมายความว่า ทวีปนี้คือจุดตัดจุดที่ใหญ่ที่สุดอย่างนั้นหรือ?” ซูฉินถามพลางแสดงสีหน้าครุ่นคิด จากนั้นจึงถามต่อไป

 

“ถูกต้องขอรับ”

 

หร่วนชิงโค้งคํานับ

 

“คําทํานายของสํานักชะตาฟ้านั้นคลุมเครือ แต่ข้าได้ตรวจสอบจากคัมภีร์โบราณจํานวนนับไม่ถ้วน และมองหาทวีปที่เข้าข่ายมากที่สุดจากหลายๆ ทวีป ข้านั้นไม่คาดคิดเลยว่านายท่านจะยิ่งใหญ่คับฟ้า สามารถค้นพบสถานที่แห่งนี้มานานแล้ว”

 

หร่วนเชิงกล่าวด้วยความเคารพ

 

ภายในใจของหร่วนชิงปักธงไว้แล้วว่าซูฉินจะต้องรู้อะไรบางอย่างมาก่อนแน่ และรีบมาที่ทวีปนี้ตั้งแต่เนิ่นๆ

 

มิฉะนั้นด้วยความสามารถของซูฉิน แม้แต่ในโลกยุทธภพต่างดินแดนก็ต้องได้รับข้อเสนอให้เข้าร่วมกับนิกายใหญ่ทั้งหลาย เป็นไปได้เช่นไรที่จะมาจมปลักอยู่ในทวีปนี้?

 

“หลายทวีป?”

 

ซูฉินกล่าวทวน

 

“ขอรับนายท่าน”

 

“อย่างไรก็ตามทวีปเหล่านั้นเกือบทั้งหมดนั้นมีความแข็งแกร่งเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ด้อยกว่าโลกยุทธภพในต่างดินแดนอย่างมาก

 

หร่วนชิงตอบรับทันที

 

“จุดแข็งของพวกนิกายใหญ่เหล่านั้นคืออะไร และผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดนั้นแข็งแกร่งเพียงไหน?” ซูฉินถามกลับไปทันทีที่ได้รับคําตอบ

 

นี่คือสิ่งที่ซูฉินอยากรู้มาโดยตลอด

 

ในตอนแรกเขาคิดว่าผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในต่างดินแดนน่าจะอยู่ที่ระดับนภาชั้นที่ห้าไม่ก็นภาชั้นที่หก แต่เมื่อฟังคํากล่าวของหร่วนชิงแล้ว โลกยุทธภพในต่างดินแดนดูเหมือนจะเจริญรุ่งเรืองกว่าที่เขาคิดเอาไว้มาก

 

“นายท่าน”

 

“เหล่านิกายใหญ่ในต่างแดนมีมรดกตกทอดที่สืบต่อกันมานับพันปี มีจอมยุทธขอบเขตตํานานยุทธมากมาย รองประมุขพรรคและผู้อาวุโสเป็นตํานานยุทธในระดับนภาชั้นที่สี่ ส่วนประมุขพรรคนั้นต้องเป็นตํานานยุทธระดับนภาชั้นที่ห้าเท่านั้นจึงจะมีคุณสมบัติเหมาะสมกับตําแหน่งนี้”

 

“นภาชั้นที่ห้า?”

 

“อ่อนแอขนาดนั้นเชียวหรือ?”

 

การแสดงออกของซูฉินยังคงไม่แปรเปลี่ยน

 

“มีอะไรอีกไหม?”

 

ซูฉินยังคงถามต่อไป

 

“นอกจากนี้ยังกล่าวกันว่าในส่วนลึกของนิกายใหญ่ยังมีบรรพชนหลับใหลอยู่ ด้วยความแข็งแกร่งของบรรพชนเหล่านี้ก็เหมือนกับเป็นรากฐานอันสําคัญของแต่ละพรรคแต่ละสํานัก ถ้าไม่ใช่ทางเลือกสุดท้ายจริงๆ ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะปลุกบรรพชนเหล่านี้ให้ตื่นจากการหลับใหล”

 

หร่วนชิงกล่าวออกมาตามความจริง

 

เมื่อยามที่เขาเห็นซูฉินครั้งแรก เขายังนึกไปว่าซูฉินคงเป็นบรรพบุรุษของนิกายเทพเจ้าสายฟ้า

 

แต่ยามนี้เหมือนว่าหร่วนชิงคงต้องทิ้งความคิดนั้นไปเสีย

 

เนื่องจากบรรพชนของนิกายใหญ่ทั้งหลายนั้นต่างประสบกับช่วงใกล้สิ้นอายุขัย เป็นไปไม่ได้เลยที่จะมีพลังทัดเทียมกับซูฉิน

 

“เป็นเช่นนี้นี่เอง”

 

ซูฉินพยักหน้าเล็กน้อย

 

จากนั้นซูฉินจึงถามถึงความแข็งแกร่งของบรรพชนเหล่านี้ แต่หร่วนชิงเองก็มิทราบความ สิ่งเดียวที่เขารู้ก็คือคนเหล่านั้นแข็งแกร่งมาก อย่างน้อยก็มากกว่าตํานานยุทธระดับนภาชั้นที่ห้า

 

ในที่สุดซูฉินก็ปรับอารมณ์ให้ดูเคร่งขรึมขึ้นเล็กน้อย มองไปที่หร่วนชิง และถามด้วยน้ำเสียงอันลึกล้ำ

 

“แล้วเจ้ารู้หรือไม่ว่า ในต่างดินแดนมีเซียนเทพปฐพีอยู่หรือไม่?”

 

Sign in Buddha’s palm 188 สั่นไหว

 

ณ เมืองฉางอัน

 

ชายในชุดคลุมสีน้ําเงินตะลึงงัน ใบหน้าเต็มไปด้วยความหวาดกลัว

 

ท่ามกลางเมฆครึ้ม มีสายฟ้าสาดกระจายเปรี้ยงปร้างอยู่ทั่วทุกแห่งหน แม้จะเป็นตํานานยุทธ ถ้าเข้าไปอยู่ภายในนั้นก็ต้องรีบหลบหนี ไม่เช่นนั้น อาจไม่เหลือแม้แต่กระดูก และตัวชายในชุดคลุมสีน้ําเงินก็ไม่กล้าแม้แต่จะส่งจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์เข้าใกล้กลุ่มเมฆเหล่านั้น เพราะกลัวว่าจะถูกสายฟ้าพวกนั้นทําลายจิตวิญญาณเอาได้ แต่ขณะนี้เขากลับเห็นสิ่งที่ตนไม่คิดฝัน มีใครบางคนเข้าไปในกลุ่มเมฆมืดครึ้มนั้น เพิกเฉยต่อสายฟ้าฟาดและยังตั้งหน้าตั้งตาออกหมัดมวยอยู่แบบนั้น

 

หากข่าวนี้ไปถึงหูของเหล่าจอมยุทธในต่างดินแดน จะต้องทําให้เหล่าตํานานยุทธพวกนั้นตกตะลึงอย่างแน่นอน

 

“ตาฝาด?”

 

ชายชุดคลุมน้ําเงินมีความคิดผุดขึ้นมาในใจ แต่เขาก็ต้องปฏิเสธทิ้งไปในทันที

 

ถ้าเป็นคนธรรมดา อาจจะมีอาการเห็นภาพหลอนขึ้นมาได้บ้าง แต่เขาเป็นถึงตํานานยุทธระดับนภาชั้นที่สาม มีทั้งพลังและจิตวิญญาณที่สมบูรณ์ เขาจะเห็นภาพหลอนได้เช่นไร?

 

“มีเทพเจ้าอยู่บนโลกนี้จริงๆ อย่างนั้นรึ?”

 

ชายในชุดคลุมสีน้ําเงินเปลี่ยนความคิดของตน แต่ความคิดมันนิ่งงันไปชั่วครู่ ในฐานะผู้ฝึกยุทธ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในขอบเขตตํานานยุทธ ย่อมต้องมีเจตจํานงแน่วแน่ และเชื่อมั่นในตนเองไม่ใช่สิ่งอื่นใดภายนอก แต่ฉากตรงหน้าทําให้เขาตื่นตกใจจริงๆ

 

“ไม่ถูกต้อง”

 

“ไม่ใช่เทพเจ้า!”

 

ในขณะนี้ชายในชุดคลุมสีน้ําเงินดูเหมือนจะค้นพบอะไรบางอย่าง ใบหน้าของเขาแปรเปลี่ยนไปอีกครั้ง

 

เพราะเขาเห็นสายฟ้าที่น่าสะพรึงกลัวหลั่งไหลเข้าไปในร่างเงาคลุมเครือนั้น

 

ร่างเงาคลุมเครือที่อยู่ในหมู่เมฆไร้ที่สิ้นสุดนั้นเปรียบเสมือนหลุมดําที่ดูดกลืนทุกสิ่ง ดูดซับสายฟ้าที่ฟาดเข้าใส่อยู่ตลอดเวลา

 

สายฟ้าซึ่งทําให้จอมยุทธในขอบเขตตํานานยุทธทั่วๆไปต่างหวาดกลัวและถอยหนี กลับประพฤติตัวอย่างดีต่อหน้าร่างเงานั้น ไม่มีความสับสนวุ่นวายใดๆเกิดขึ้น

 

“การขัดเกลาร่างกายด้วยสายฟ้า นี่คือการขัดเกลาร่างกายด้วยสายฟ้า…”

 

ชายในชุดคลุมสีน้ําเงินกลืนน้ําลาย หัวใจสั่นสะท้าน

 

“เป็นไปได้ไหมว่าท่านผู้นี้เป็นบรรพบุรุษสักคนหนึ่งของกายเทพเจ้าสายฟ้า?” ชายในชุดคลุมสีน้ําเงินอดที่จะคิดไปทางนี้ไม่ได้

 

นิกายเทพเจ้าสายฟ้าเป็นหนึ่งในสํานักระดับสูงที่ต่างแดน ควบคุมทรัพยากรในการฝึกฝนบ่มเพาะจํานวนนับไม่ถ้วนในต่างดินแดนเอาไว้ ว่ากันว่าวิชาหลักของนิกายเทพเจ้าสายฟ้าคือทูตอัสนีบาต เป็นการลงทัณฑ์จากฟากฟ้า น่าหวาดกลัวยิ่ง

 

เพียงแต่สิ่งที่ทําให้ชายชุดคลุมน้ําเงินงงงวยก็คือนิกายเทพเจ้าสายฟ้าสั่งสอนลูกศิษย์มาตลอดว่าต่อให้เป็นยอดฝีมือที่สามารถบังคับสายฟ้าได้ แต่ก็เป็นเพียงนายแห่งสายฟ้า ไม่ใช่การกลืนกินสายฟ้าเข้าไป

 

แต่อย่างไรก็ตาม ร่างเงาที่ยืนอยู่ท่ามกลางหมู่เมฆที่ไม่มีที่ สิ้นสุดนี้ คล้ายคลึงกับนิกายเทพเจ้าสายฟ้าในต่างดินแดน มากที่สุด ชายในชุดคลุมสีน้ําเงินทําได้เพียงเชื่อมโยงฝ่ายตรงข้ามเข้ากับคนที่ถูกส่งมาโดยนิกายเทพเจ้าสายฟ้าเท่านั้น

 

“บ้าเอ้ย”

 

“พวกคนของนิกายเทพเจ้าสายฟ้า ไม่ใช่ว่ามักจะดูถูกสํานักชะตาฟ้าอยู่เสมอไม่ใช่หรือ? ทําไมคราวนี้จึงตอบสนองกันฉับไวถึงเพียงนี้?”

 

ชายในชุดคลุมสีน้ําเงินรู้สึกเพียงแต่ความขมขื่นวนเวียนอยู่ในใจ

 

เดิมที่เขาคิดว่าตนเป็นคนแรกที่มาถึงทวีปนี้ เขาจะได้เตรียมการล่วงหน้าได้ หลังจากกระแสปราณฉีฟื้นคืน พื้นที่จุดตัดจะผ่านการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ เป็นธรรมดาที่เขาจะได้รับประโยชน์ที่เพียงพอสําหรับตนเอง

 

ในเวลานั้น แม้ว่าพวกจอมยุทธเฒ่าจากสุดยอดพรรคในต่างดินแดนจะเริ่มเคลื่อนไหว ตัวเขาก็ยังถอนตัวออกไปได้ทัน

 

แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่า

 

ปฏิกิริยาของนิกายเทพเจ้าสายฟ้าจะเร็วกว่าเขามาก ก่อนที่เขาจะก้าวเข้าสู่ทวีปนี้ อีกฝ่ายก็มีอาณาจักรถังอยู่ในกํามือแล้ว

 

“ตอนนี้ข้าควรจะทําเช่นไรดี?”

 

ชายในชุดคลุมสีน้ําเงินคิดไปมาภายในหัว

 

เมื่อต้องเผชิญหน้ากับสํานักยักษ์ใหญ่อย่างนิกายเทพเจ้าสายฟ้า แม้ว่าชายในชุดคลุมสีน้ําเงินจะไม่เต็มใจมากเท่าไหร่ เขาก็ทําได้แค่ต้องยอมแพ้

 

“รอผู้อาวุโสลงมาก่อน ข้าคงต้องใช้ไม้อ่อน อย่างไรก็เป็นตํานานยุทธจากต่างแดนเหมือนกัน แม้จะเป็นนิกายเทพเจ้าสายฟ้า ก็คงจะไว้หน้ากันบ้าง”

 

ชายในชุดคลุมสีน้ําเงินตัดสินใจ พร้อมกับรอคอยอย่างอดทนอยู่ครู่หนึ่ง เพื่อทักทายกับผู้อาวุโสนิกายเทพเจ้าสายฟ้าในหมู่มวลเมฆหมอกไร้ที่สิ้นสุด

 

ชายในชุดคลุมสีน้ําเงินอยากจะหันหลังกลับออกไปเสียจริงๆ แต่ในยามนี้เขาบุกเข้ามาในเขตของนิกายเทพเจ้าสายฟ้าเสียแล้ว ถ้าหนีไปตรงๆ ย่อมเป็นการยั่วยุนิกายเทพเจ้าสายฟ้าอย่างโจ่งแจ้ง ถ้าเป็นเช่นนั้นคงจะดีกว่าถ้าอยู่อย่างเปิดเผยตรงนี้

 

นอกจากนี้ ชายในชุดคลุมยังสังเกตเห็นได้จางๆว่าตนถูกห้อมล้อมไปด้วยไอพลังที่แสนน่ากลัว แม้ต้องการจะจากไป แต่เขาก็ไม่สามารถจากไปได้

 

หลังจากนั้นไม่กี่ชั่วโมง

 

เมฆดําค่อยๆ สลายหายไป

 

ด้วยการจ้องมองอย่างเคารพของชายในชุดคลุมสีน้ําเงิน ซูฉินเดินเหยียบอากาศอย่างไม่รีบร้อนลงมาช้าๆ

 

“ผู้ฝึกยุทธหร่วนชิง คารวะผู้อาวุโสนิกายเทพเจ้าสายฟ้า”

 

หร่วนชิงหรือชายในชุดคลุมสีน้ําเงินโค้งคํานับลง

 

ซูฉินไม่ได้กล่าวตอบ แต่กําลังสัมผัสการเปลี่ยนแปลงภายในร่างกายหลังการขัดเกลาร่างกายด้วยสายฟ้าอย่างเงียบๆ มีแสงวูบวาบออกมาจากร่างกายของเขาซึ่งสามารถทําให้ผู้คนใจสั่นหวั่นกลัวได้

 

เมื่อเห็นฉากนี้ หร่วนชิง ชายในชุดคลุมสีน้ําเงินก็ยิ่งให้ความเคารพมากขึ้นไปอีก

 

แม้จะไม่รู้ว่าทําไมซูฉินถึงกลืนกินสายฟ้าได้ แต่ในสายตาของหร่วนชิง ซูฉินนั้นอย่างน้อยก็ต้องเป็นหนึ่งในบรรพบุรุษที่เก่าแก่ที่สุดคนหนึ่งของนิกายเทพเจ้าสายฟ้า ในครานี้ นิกายเทพเจ้าสายฟ้าคงเชิญซูฉินออกจากการหลับใหลให้ตื่นขึ้นมาเพื่อแข่งขันแย่งชิงดินแดน

 

“นิกายเทพเจ้าสายฟ้า?”

 

“ข้าไม่ได้มาจากนิกายเทพเจ้าสายฟ้า”

 

ซูฉินใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่ง มองไปที่ชายในชุดคลุมสีน้ําเงินแล้วกล่าวออกอย่างสบายๆ

 

“อะไรนะ?”

 

“ผู้อาวุโสไม่ได้มาจากลัทธิเทพเจ้าสายฟ้าสั้นหรือ?”

 

หร่วนชิง ชายในชุดคลุมสีน้ําเงินแข็งทื่อ เพราะวิธีที่ซูฉินขึ้นไปเผชิญหน้ากับทะเลสายฟ้าอันไร้ที่สิ้นสุดเมื่อครู่ก็ไม่น่าจะเป็นใครทําได้อีกนอกจากนิกายเทพเจ้าสายฟ้า

 

ถ้าซูฉินไม่ใช่บรรพบุรุษของนิกายเทพเจ้าสายฟ้า หรือเขาจะมาจากนิกายใหญ่อื่นๆ?

 

“เช่นนั้น ท่านผู้อาวุโสมาจากนิกายใหญ่แห่งไหนหรือขอรับ?”

 

หร่วนชิง ชายในชุดคลุมสีน้ําเงินพูดตะกุกตะกัก รวบรวมความกล้าถามออกไป

 

“นิกายใหญ่?”

 

ซูฉินส่ายหัวเล็กน้อย “ข้าไม่ได้มาจากนิกายใหญ่แห่งไหนทั้งนั้น”

 

คําที่กล่าวออกมา

 

หร่วนชิง ชายในชุดคลุมสีน้ําเงินตกตะลึง

 

จู่ๆ ความคิดอันน่าเหลือเชื่อก็ผุดขึ้นในใจของหร่วนชิงเหมือนสะเก็ดไฟที่ปะทุ

 

“ผู้อาวุโส ผู้อาวุโสคือตํานานยุทธในเมืองฉางอันแห่งนี้?”

 

หร่วนชิง ชายในชุดคลุมสีน้ําเงินถามด้วยเสียงสั่นเครือ

 

ซูฉินมองไปที่หร่วนชิงด้วยรอยยิ้ม แต่ไม่ตอบคํา

 

อย่างไรก็ตาม การแสดงออกของซูฉินในมุมมองของหร่วนชิงไม่ต่างอะไรไปจากการยอมรับ

 

ในเวลานี้ หร่วนชิงรู้สึกเย็นยะเยือก หากซูฉินเป็นตํานานยุทธต่างดินแดน ก็อาจจะปล่อยตัวเขาไป แต่ตอนนี้ซูฉินได้แสดงตัวชัดเจนว่าตนเป็นตํานานยุทธประจําเมืองฉางอัน ย่อมไม่มีเหตุให้ปล่อยเขาไป

 

“ไม่เป็นไร”

 

“ข้ามีทางเลือกให้สองทาง”

 

ซูฉินมองดูหร่วนชิงด้วยความสนใจ “ข้อแรกคือความตาย และอีกข้อหนึ่ง มาเป็นมือเป็นเท้าให้กับข้า จงเลือกมาหนึ่งอย่าง”

 

แม้ว่าซูฉินจะกําลังขัดเกลาร่างกายของตนด้วยสายฟ้าอยู่ในกลีบเมฆ แต่ทุกย่างก้าวของหร่วนชิงหลังจากเข้าสู่เมืองฉางอันตกอยู่ในสายตาของเขาตลอด

 

แม้ว่าซูฉินจะไม่รู้จุดประสงค์ของหร่วนชิง แต่ก็คิดว่าอีกฝ่ายคงไม่ได้มีเจตนาที่ดีแน่

 

ในเมื่อเหตุการณ์เป็นเช่นนี้ ซูฉินจะยอมปล่อยอีกฝ่ายไปได้เช่นไร

 

เหตุผลที่หร่วนซึ่งได้รับทางเลือกที่สองก็เพราะว่าตัวมันเป็นถึงตํานานยุทธในระดับนภาชั้นที่สาม

 

ตํานานยุทธระดับนภาชั้นที่สาม แม้ในสายตาซูฉินจะไม่มีค่าคู่ควรแก่การพูดถึง แต่ก็ยังถือว่าแข็งแกร่งทีเดียว

 

รู้หรือไม่ว่าก่อนที่ซูฉินจะมา ในยุทธภพไม่ได้กําเนิดตํานานยุทธมาหลายร้อยปีแล้ว นภาชั้นที่สามอย่างหร่วนชิงหรือชายในชุดคลุมสีน้ําเงินสามารถทําให้อาณาจักรต่างๆตกตะลึงได้อย่างแน่นอน

 

ซูฉินเพียงให้หร่วนชิงมารับใช้ ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นในอนาคต ตัวเองก็ไม่ต้องทําอะไร เพียงส่งงานต่อให้หร่วนชิงไปทํา

 

Sign in Buddha’s palm 187 ตะลึงงัน

 

ตึงตึงตึง

 

ซูฉินปล่อยหมัดสายฟ้าเทพเจ้าอย่างต่อเนื่องเมื่อออกหมัดจนถึงระดับนภาของห้าหมัดสายฟ้าเทพเจ้าพลังแห่งสายฟ้าก็ถูกชักนําออกมาทันที

 

“หม?”

 

ใบหน้าของซูฉินเปลี่ยนไปเล็กน้อย

 

เขาสัมผัสได้ถึงสายฟ้าที่หลั่งไหลเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ทั่วทั้งร่างรู้สึกชาวาบราวกับมีมดหลายร้อยล้านตัวกําลังรุมแทะร่างของเขาอยู่ตลอดเวลา

 

“ร่างกาย กําลังแข็งแกร่งขึ้นอีกครั้ง”

 

ขณะที่จิตใจของซูฉินอยู่ในห้วงของความตกใจ ใบหน้าของเขาก็เต็มไปด้วยความสุข

 

เขารู้สึกว่าร่างกายของตนเองที่หยุดพัฒนาไปแล้วค่อยๆ กลับมามีพัฒนาการอีกครั้ง ถึงแม้อาจจะช้าไปบ้างแต่ก็เป็นการพัฒนาที่มั่นคงอย่างหาที่เปรียบมิได้

 

หลังจากนั้นไม่นาน

ซูฉินก็ปรับตัวเข้ากับสายฟ้าที่อยู่ในร่างได้อย่างสมบูรณ์

 

“ช้า นี่มันช้าเกินไปแล้ว”

 

ซูฉินส่ายหัว ขมวดคิ้วเล็กน้อย

 

หากร่างกายค่อยๆ พัฒนาเพิ่มขึ้นไปด้วยความเร็วระดับนี้ มันคงจะบรรลุถึงการแปรสภาพร่างกายครั้งที่ห้าได้แต่อย่าง น้อยก็เป็นเวลาสิบปีหลังจากนี้

 

สุดท้ายก็คือการขัดเกลาร่างกายด้วยวิธีนี้ จะกระทําได้ก็ต่อเมื่อสภาพอากาศครึ้มฟ้าครึ้มฝนเฉกเช่นวันนี้

 

และสภาพอากาศเช่นนี้ ก็ใช่ว่าจะพบเจอได้สักหนึ่งครั้งในทุกๆสิบวันแบบนี้เสมอไปเสียเมื่อไหร่

 

เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ ซูฉินก็เงยหน้าขึ้นมองหมู่เมฆที่ปกคลุม ท้องฟ้า

 

“ด้วยร่างกายของข้า แม้ว่าจะไม่ได้ใช้วิธีการลดความรุน แรงของสายฟ้าจากห้าหมัดสายฟ้าเทพเจ้าก็คงจะไม่มีอุบัติเหตุใดเกิดขึ้น ควบคู่ไปกับการที่ข้ามีทิพยอํานาจกายเนื้อกําเนิดใหม่ ก็ไม่จําเป็นต้องระวังสิ่งใดเลย”

 

ความคิดของซูฉินผันผวน

 

ที่แรกเขากะว่าจะปรับตัวสักสองสามชั่วโมงก่อน จากนั้นจึงค่อยคิดที่จะชักนําสายฟ้าเพิ่มเติม

 

แต่เมื่อได้ลอง ซูฉินก็รู้แล้วว่าขีดจํากัดของการชักนําสายฟ้ามาขัดเกลาร่างกายอยู่ตรงไหน

 

“สําหรับข้า การขัดเกลาร่างกายด้วยสายฟ้านั้นไม่มีปัญหาและไม่จําเป็นต้องปรับตัวเลย”

 

ซูฉินหยุดอยู่แค่นั้น หยุดวิชาห้าหมัดสายฟ้าเทพเจ้าและมองขึ้นไปที่มวลหมู่เมฆที่ดูไร้ที่สิ้นสุด

 

“มุ่งตรงไปสู่หมู่เมฆแล้วทําตามขั้นตอนสุดท้ายของวิชารับสายฟ้ามาให้หมดเลย”

 

ฟม!

 

ร่างของซูฉินกลายเป็นประกายสายฟ้า พุ่งเข้าไปในหมู่มวลเมฆ

 

ครื้นนน!

 

ฟ้าร้องระเบิดก้อง สายฟ้าพุ่งเข้ามาราวกับมังกร ราวกับยักษ์วิ่งลดคดเคี้ยวอย่างบ้าคลั่ง

 

“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า!”

 

“นี่แหละของจริง”

 

ดวงตาของซูฉินผ่าวร้อน รู้สึกได้ถึงร่างกายที่พัฒนาเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจึงชกหมัดสายฟ้าเทพเจ้าอีกครั้ง

 

ในเวลาเดียวกัน

 

เมื่อซูฉินเข้าไปในหมู่เมฆ และหลอมร่างของตนด้วยสายฟ้า

 

ชายในชุดคลุมสีน้ําเงินเดินเข้าไปในเมืองฉางอันอย่างช้าๆ

 

“นี่คือเมืองหลวงของอาณาจักรถังอย่างนั้นสินะ?”

 

ชายในชุดคลุมสีน้ําเงินผู้นี้คือตํานานยุทธที่มาจากต่างดินแดน

 

ชายในชุดคลุมสีน้ําเงินเดินทางไปทั่วทวีปในช่วงที่ผ่านมาและได้รู้ว่าอาณาจักรถังคืออาณาจักรที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในทวีปนี้

 

ดังนั้นถ้าชายชุดคลุมน้ําเงินต้องการควบคุมทวีปไว้ใต้ฝ่าเท้าของเขา วิธีที่ง่ายที่สุดคือเข้าควบคุมอาณาจักรถัง

 

แม้ว่าเขาจะเป็นตํานานยุทธ ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะสร้างกองกําลังที่สามารถกวาดล้างดินแดนใหญ่ๆ ได้ในเว ลาอันสั้น ในเมื่อเป็นเช่นนี้ทําไมเขาไม่เข้ายึดอาณาจักรถัง โดยตรงไปเลยเล่า ทั้งง่ายและสะดวกกว่า

 

ชายในชุดคลุมสีน้ําเงินจึงมาที่เมืองฉางอันด้วยจุดประสงค์ดังที่กล่าวมา

 

ส่วนอาณาจักรถังจะยินยอมหรือไม่

 

ชายในชุดคลุมสีน้ําเงินไม่ได้เก็บมาใส่ใจแม้แต่น้อย

 

ในความเห็นของเขา ในฐานะที่เป็นตํานานยุทธจากต่างดินแดนที่อยู่ในจุดรุ่งโรจน์ของการฝึกยุทธ หากเขาต้องการ จะเข้าสู่อาณาจักรถังอีกฝ่ายจะมีความสามารถใดมาปฏิเสธ

 

“ว่ากันว่าอาณาจักรถังนั้นให้กําเนิดจอมยุทธขอบเขตตํานานยุทธ?”

 

ชายในชุดคลุมสีน้ําเงินครุ่นคิดอย่างไม่ได้ใส่ใจเท่าใดนัก

 

ในช่วงเวลาที่เขาเดินทางไปทั่วแผ่นดินใหญ่ ถึงแม้เขาจะ ไม่ได้ทําอะไรเลย แต่ก็ต้องได้ยินข้อมูลบางอย่าง โดยเฉพาะ เรื่องของตํานานยุทธภายในเมืองฉางอัน

 

ท่ามกลางข่าวลือที่ได้ยินมา ตํานานยุทธแห่งเมืองฉาง อันนั้นสามารถพังทลายแผ่นดินได้เพียงโบกมือสะบัดเท้า และทรงพลังราวกับเทพเซียน

 

“พวกคนโง่”

 

งั้นหรือ!”

 

แววดูถูกปรากฏขึ้นบนใบหน้าของชายในชุดคลุมสีน้ําเงิน

 

วิทยายุทธในต่างดินแดนรุ่งเรืองมาก แม้ว่าขอบเขตตํานานยุทธจะหายากเช่นกัน แต่ก็มีสุดยอดพรรคสํานักขนาดใหญ่มากมายที่ช่วยให้ตํานานยุทธฝึกฝนได้อย่างสบายๆ มันจะไปเหมือนตํานานยุทธในอาณาจักรถังได้อย่างไรที่กว่าจะให้กํา เนิดตํานานยุทธสักคนก็ล่วงมาหลายร้อยปีเช่นนี้

 

ถึงแม้จะเป็นผู้อาวุโสจากสํานักระดับสูง ก็ไม่กล้าเปรียบ เทียบตนเองกับเทพเซียน

 

“เส้นทางสู่ตํานานยุทธนั้นยากเย็น และสุดยอดพรรคสํา นักระดับสูงทั้งหลายก็ควบคุมทรัพยากรในการบ่มเพาะ ไว้เกือบหมด แต่กระนั้นจอมยุทธภายในสํานักพวกนั้นส่วนใหญ่ก็หยุดอยู่แค่ระดับนภาชั้นที่สาม”

 

ชายชราในชุดคลุมสีน้ําเงินเดินไปด้วยคิดไปด้วย

 

“อย่างไรก็ตาม ตํานานยุทธของอาณาจักรถังนั้นสา มารถก้าวเข้าสู่ตํานานยุทธในทวีปที่แห้งแล้งเช่นนี้ได้แน่นอนย่อมมีพรสวรรค์และความเข้าใจที่ดีอยู่บ้าง”

 

ชายชุดคลุมน้ําเงินพยักหน้าเล็กน้อยแสดงออกถึง การยืนยันบางอย่างในใจ

 

ก่อนที่กระแสปราณฉีจะฟื้นคืน พลังชีวิตในอากาศนั้นหา ได้ยากมากในทวีปแห่งนี้ แทบจะไม่มีหนทางใดที่จะก้าวไปสู่ระดับสูงได้ในสภาพแวดล้อมเช่นนี้มาถึงขนาดนี้ก็เป็นเรื่องที่น่ายกย่องมากแล้ว

 

“ถ้าข้าพบตํานานยุทธผู้นี้ในภายหลัง อาจจะไม่จําเป็ นต้องสังหารเขา ถ้าอีกฝ่ายเต็มใจจะติดตามข้าข้าก็ย่อมจะให้โอกาส”

 

ชายในชุดคลุมคิดอยู่ภายในใจ

 

ตั้งแต่ต้นจนจบ ชายในชุดคลุมสีน้ําเงินไม่เคยคิดเลยว่าตน มีกําลังพอที่จะสังหารคู่ต่อสู้หรือไม่

 

สําหรับชายในชุดคลุมสีน้ําเงิน เขามาจากต่างดินแดน ส ถานที่ที่วิทยายุทธรุ่งเรือง ไม่ว่าจะเป็นศาสตร์วิชาหลากหลายแขนงแค่มองด้วยตาก็รู้ว่ามันเหนือกว่าทวีปนี้ มากแค่ไหน

 

ไม่ต้องพูดถึงว่าชายชุดคลุมสีน้ําเงินนั้นได้บรรลุถึงระดับ นภาชั้นที่สามแล้ว แม้จะอยู่ที่ต่างดินแดนก็นับว่าแข็งแกร่งเป็นรองเพียงผู้อาวุโสผู้คุมกฎเท่านั้น เมื่อเป็นเช่นนี้ทําไมเขาจะไม่สามารถจัดการกับตํานานยุทธจากพื้นที่ห่างไกลแห่งนี้ ได้เล่า?

 

“เพียงแต่ จนตอนนี้ทําไมข้ายังไม่รู้สึกถึงกลิ่น อายของจอมยุทธขอบเขตตํานานยุทธผู้นั้นอีก?”

 

ชายในชุดคลุมขมวดคิ้วทันที

 

“เป็นไปได้ไหมว่าอีกฝ่ายออกไปแล้ว และไม่ได้อยู่ที่นี่?”

 

ชายในชุดคลุมสีน้ําเงินคาดเดาอยู่ในใจ

 

“คงไม่มีอะไรหรอก”

 

“ไปที่พระราชวังถังดีกว่า”

 

“ไม่ว่าตํานานยุทธผู้นั้นจะปรากฏตัวขึ้นหรือไม่ มันจะ ต้องถูกปราบด้วยกําลังที่เหนือกว่าอย่างสมบูรณ์”

 

เมื่อคิดได้เช่นนี้ ชายในชุดคลุมสีน้ําเงินก็เปลี่ยนทิศไปยังพ ระราชวังถัง

 

ด้วยความแข็งแกร่งของชายในชุดคลุมสีน้ําเงิน เป็นเรื่องง่ายที่จะหลบหนีการตรวจตราไปได้และเพียงครู่เดีย วชายในชุดคลุมสีน้ําเงินก็เข้ามาภายในวังหลวงแล้ว

 

ในเวลาต่อมา

 

ชายในชุดคลุมสีน้ําเงินก็โผขึ้นไปบนอากาศยืนอยู่เหนือพระราชวังกวาดตามองไปทั่วทั้งวังหลวง

 

“ไม่เลว”

 

“มียอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสูงสุดอยู่หลายคน”

 

ชายในชุดคลุมสีน้ําเงินตรวจสอบด้วยจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์

 

“เอ๋?”

 

“ใช่ร่างกายที่มีเส้นลมปราณปลอดโปร่งหรือไม่? แม้ว่าจะเป็นที่ต่างดินแดนก็สามารถเข้าสู่สํานักระดับสูงได้ง่ายๆ เลย…”

 

ชายในชุดคลุมสีน้ําเงินจดจ่อจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์กับหลีหว่านอยู่ครู่หนึ่ง

 

“ไม่เลวไม่เลว”

 

“ควรค่าแก่การแย่งชิงมายิ่งนัก

 

ชายในชุดคลุมสีน้ําเงินพึงพอใจอย่างยิ่ง

 

“หืม? ทําไมมีสถานที่ที่จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของข้าไม่สา มารถทะลุผ่านได้?” ชายในชุดคลุมสีน้ําเงินเหมือนจะสังเกตเห็นบางสิ่ง และมองไปยังพระราชวังตะวันออก

 

“ค่ายกลฟ้าดิน?”

 

ชายในชุดคลุมสีน้ําเงินพึมพําอยู่กับตนเอง

 

“ดูเหมือนว่าตํานานยุทธผู้นั้นจะซ่อนตัวอยู่ในค่ายกลฟ้า ดินขนาดใหญ่อันนี้ ไม่แปลกใจเลยว่าทําไมข้าถึงสัมผัสพลัง ไม่ได้”

 

ในตอนที่ชายในชุดคลุมสีน้ําเงินกําลังจะทะลวงผ่านค่ายกลฟ้าดิน เข้าไปปราบตํานานยุทธแห่งอาณาจักรถังและมอบโอกาสให้ติดตามตนเองนั้น

 

ซ่า!

 

เห็นเป็นหยดน้ําโปรยปรายลงมาอย่างต่อเนื่อง

 

มีเกราะคุ้มกันที่มองไม่เห็นปรากฏขึ้นรอบตัวของชายในชุ ดคลุมสีน้ําเงิน กั้นตัวเขาออกจากฝนที่ตกลงมาได้ทั้งหมด

 

“ฝนตก?”

 

ชายในชุดคลุมสีน้ําเงินเงยหน้ามองขึ้นไปบนท้องฟ้าโดย ไม่รู้ตัว มองขึ้นไปเห็นท้องฟ้าที่ปกคลุมด้วยหมู่เมฆ

 

อย่างไรก็ตาม

 

เมื่อชายในชุดคุมสีน้ําเงินมองขึ้นไป ท่าที่แต่เดิมที่ดูสงบ นิ่งของเขาก็หยุดชะงักไปทันที

 

สายตาอันประหวั่นพรั่นพรึงของชายในชุดคลุมสีน้ําเงิน สบเข้ากับร่างเงาภายในส่วนลึกของมวลหมู่เมฆที่กําลังออกหมัดอย่างต่อเนื่องการออกหมัดแต่ละครั้งก็ทั้ง เฉียวทั้งชนกับสายฟ้าจํานวนมากทั้งยังแผ่กระแสไฟฟ้าออกไปในจํานวนมหาศาล

 

ร่างเงาคลุมเครือนั้นเหมือนกับเป็นเทพเจ้าแห่งสายฟ้า กําลังฝึกฝนหมัดมวยในทะเลสายฟ้าเป็นการส่วนตัวปราณหยางเข้มข้นทรงพลังถึงขีดสุดพุ่งทะลุเหนือฟากฟ้า

“นี่มันคืออะไรกัน?!”

 

ชายในชุดคลุมสีน้ําเงินยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น ตัวสั่นไปทั้งตัว

 

Sign in Buddha’s palm 186 เข้าสู่ระบบ! ห้าหมัด สายฟ้าเทพเจ้า

 

ในความจริงแล้ว

 

ตั้งแต่เข้าสู่หนทางการฝึกยุทธมา ซูฉินเคยลงมือเต็มกําลัง เพียงแค่ครั้งเดียวเท่านั้น

 

สมัยก่อนตอนที่ผ่านเชิงเขาหรู่หนาน เพื่อต้านทานหิมะถล่ม ซูฉินถึงกับดึงเศษเสี้ยวพลังออกมาจากส่วนลึกด้านในหว่างคิ้วซึ่งเป็นที่สถิตขององค์ยูไลทองคํา ตัวแทนแห่งฝ่ามือยูไล

 

ครั้งนั้นซูฉินไม่ได้เตรียมการใดๆมาก่อนเลย

 

เป็นเพราะเหตุนี้เองที่ทําให้ซูฉินจับสัมผัสถึงพลังฟ้าดินได้ และในที่สุดก็เข้าสู่ขอบเขตอรหันต์ได้อย่างราบรื่น

 

อย่างไรก็ตาม

 

ในเวลานั้นซูฉินเป็นเพียงยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสูงสุด แต่ตอนนี้ซูฉินเป็นอรหันต์ในระดับนภาชั้นที่เจ็ดแล้ว ช่องว่างระหว่างทั้งคู่นั้นถ้าบอกว่าราวฟ้ากับดินก็คงไม่เกินจริงไปนัก

 

ดังนั้นซูฉินจึงไม่รู้ว่าตัวเขาแข็งแกร่งเพียงใด

 

สิ่งเดียวที่ชัดเจนคือ แม้แต่ตํานานยุทธอย่างราชครูแห่งอาณาจักรเหมิ่งหยวนก็ไม่สามารถหยุดดัชนีที่กวาดไปส่งๆของเขาได้

 

เหล่าพี่น้องทั้งซูเยวหยุน ซูเฉิงฮ่าว และซูเฉิงยู่มองหน้ากัน ใบหน้าของพวกเขาต่างตกตะลึง

 

ถ้าเป็นคนอื่นพูดแบบนี้ พวกเขาจะไม่เชื่ออย่างแน่นอน แต่นี่คือสิ่งที่ซูฉินพูด…

 

หลังจากทั้งสามคนพูดคุยกันอีกนิดหน่อย สองพี่น้องซูเฉิงฮ่าวและซูเฉิงยู่ก็แข่งขันกันอย่างดุเดือดเพื่อความแข็งแกร่ง พากันวิ่งกลับไปที่พระราชวังตะวันออกเพื่อฝึกฝนต่อ ส่วนซูเยว่หยุนก็กลับไปที่พระราชวังคุนหนิง

 

“ร่างจําแลงในโลกถ้ําปิศาจยุ่งมากในช่วงสองวันที่ผ่านมานี้ ไม่มีจังหวะลงชื่อเข้าใช้เลย…”

 

ซูฉินแตะปลายคาง ดวงตาฉายแววครุ่นคิด

 

แรงกดดันของชั้นบรรยากาศภายในโลกถ้ําปิศาจเหนือกว่าที่โลกมาก แม้แต่ซูฉินที่อยู่ระดับนภาชั้นที่เจ็ดก็ไม่สามารถเคลื่อนที่ในชั่วพริบตา

 

และในจุดหนึ่ง กระแสปราณบนโลกที่เริ่มฟื้นคืนกลับมา จะทวีความรุนแรงขึ้น และค่อยๆเป็นเหมือนโลกถ้ําปิศาจ

 

แน่นอนว่าทั้งหมดนั่นไม่มีผลกับซูฉิน

 

เพราะความแข็งแกร่งที่เพิ่มขึ้นของเขามีอัตราเร็วที่สูงกว่ากระแสปราณฟื้นฟู

 

ซูฉินมาที่หอดูดาวโดยไม่ทันตั้งตัว

 

“วันนี้ลงชื่อเข้าใช้ที่นี่แล้วกัน”

ซูฉินคิด แล้วกล่าวคําในใจเงียบๆ “ระบบ ลงชื่อเข้าใช้”

 

[ขอแสดงความยินดี โฮสต์ลงชื่อเข้าใช้สําเร็จ ได้รับห้าหมัดสายฟ้าเทพเจ้า]

 

“ห้าหมัดสายฟ้าเทพเจ้า?”

 

ท่าทีของซูฉินเปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อย

 

“วิชาหมัดที่เกี่ยวข้องกับสายฟ้า?”

 

ความคิดของซูฉินผันผวน ข้อมูลกลุ่มหนึ่งแวบเข้ามาในจิตของเขา

 

ช่วงเวลาต่อมา

 

ข้อมูลมากมายเกี่ยวกับห้าหมัดสายฟ้าเทพเจ้าก็ถูกรวมเข้ากับจิตใจของซูฉินอย่างสมบูรณ์

 

หลังจากนั้นไม่นาน

 

ซูฉินก็ค่อยๆลืมตาขึ้น และเหมือนจะมีประกายบางอย่างระเบิดขึ้นในดวงตาของเขา สายฟ้านับร้อยนับล้านสายกระจายออกมา

 

“ห้าหมัดสายฟ้าเทพเจ้า ชักนําพลังแห่งสายฟ้า ปล่อยออกเป็นหมัด เคลื่อนไหวก้าวย่างราวกับเทพเจ้าสายฟ้าด้วยพลังอันไร้ขีดจํากัด…”

 

ซูฉินดูมีความสุข

 

ห้าหมัดสายฟ้าเทพเจ้านี้ มันค่อนข้างเหนือกว่าวิทยายุทธทั่วๆไป ตามจริงเพียงแค่มันสามารถชักนําสายฟ้าได้ เท่านี้ก็เพียงพอแล้วที่จะติดหนึ่งในร้อยอันดับวิชาที่ซูฉันมี

 

ตามข้อมูลที่ได้รับมาจากระบบ ห้าหมัดสายฟ้าเทพเจ้านี้ แบ่งออกเป็นห้าระดับจากต่ําไปสูง ได้แก่ “แรกเริ่ม, น้ํา, เมฆ, ปฐพี และนภา”

 

แม้ว่าสี่ระดับแรกจะน่ากลัว แต่ก็ไม่ได้มีอะไรน่าตื่นตกใจนัก สายฟ้าที่ระดับเหล่านี้ชักนําได้ก็เพียงฟ้าแลบฟ้าร้อง

 

แต่เมื่อขึ้นไปถึงระดับนภา มันสามารถชักนําสายฟ้าได้อย่างแท้จริงและน่าสะพรึงกลัว

 

แน่นอน

 

ที่ซูฉินเห็นคุณค่าของวิชาหมัดชุดนี้ ไม่ใช่เพราะพลังของมัน

 

ห้าหมัดสายฟ้าเทพเจ้านั้นน่ากลัว แต่ในบรรดาวิชาอันหลากหลายที่ซูฉินเชี่ยวชาญ ก็มีหลายวิชาที่เท่าเทียมหรือมีแม้กระทั่งวิชาที่เหนือกว่า

 

สิ่งที่ทําให้ซูฉินรู้สึกสั่นไหวได้จริงๆ นั่นก็คือวิธีลับในระดับนภาของห้าหมัดสายฟ้าเทพเจ้า

 

เมื่อฝึกฝนห้าหมัดสายฟ้าเทพเจ้าไปถึงระดับนภา จะสามารถชักนําสายฟ้าฟาดออกมาเพื่อขัดเกลาร่างกายได้

 

ใช้สายฟ้าเพื่อขัดเกลาร่างกาย

 

“ขัดเกลาร่างกายด้วยสายฟ้า?”

 

ดวงตาของซูฉินเป็นประกาย

 

นับตั้งแต่เข้าสู่ระดับนภาชั้นที่เจ็ด ความก้าวหน้าในด้านร่างกายของเขาก็แทบจะหยุดลง ไม่ต้องกล่าวถึงการแปรสภาพกายเนื้อครั้งที่ห้า แม้จะเป็นการพัฒนาความแข็งแกร่งของร่างกายเพียงเล็กน้อยก็เป็นเรื่องยากอย่างมาก

 

“บางทีข้าอาจจะสามารถใช้วิชาลับนี้ในการขัดเกลาร่างกายจนบรรลุการแปรสภาพกายเนื้อครั้งที่ห้าก็เป็นได้?”

 

ความสดใสซัดสาดไปทั่วจิตใจของซูฉิน

 

หากเป็นจอมยุทธโดยทั่วไป หรือแม้แต่ตํานานยุทธเอง ก็ต้องระมัดระวังตนเมื่อมันเกี่ยวข้องกับสายฟ้า

 

ตํานานยุทธคงจะไม่กลัวสายฟ้าธรรมดาๆ แต่หากตํานานยุทธจําต้องทิ้งการป้องกันและปล่อยให้สายฟ้าพุ่งเข้าสู่ร่างกายตรงๆ ก็เกรงว่าตํานานยุทธเหล่านั้นคงจะหน้าเปลี่ยนสีเลยทีเดียว

 

เดิมที่สายฟ้านั้นเป็นตัวแทนของหายนะ หากปล่อยให้มันไหลเข้าสู่ร่างกาย แม้ว่าจะเป็นตํานานยุทธเอง กายเนื้อก็คงต้องพังทลาย

 

เหตุผลที่วิธีการลับในวิชาห้าหมัดสายฟ้าเทพเจ้าสามารถช่วยผู้คนให้ใช้สายฟ้ามาขัดเกลาร่างกายได้นั้น เพราะสายฟ้าที่ฟาดเข้าใส่กายเนื้อนั้นจะค่อยๆอ่อนกําลังลงอย่างต่อเนื่อง เพื่อที่จะสามารถนํามาใช้ในการขัดเกลาร่างกาย

 

แต่ก็เท่านั้น

 

ถึงจะมีวิธีการนั้น วิชาห้าหมัดสายฟ้าเทพเจ้าก็ได้เตือนผู้ที่นําไปฝึกฝนในภายหลังว่าหากไม่ใช่ทางเลือกสุดท้าย ก็ไม่ควรใช้สายฟ้ามาขัดเกลาร่างกายเป็นดีที่สุด

 

แม้วิชาหมัดจะช่วยให้สายฟ้าอ่อนกําลัง แต่พลังของสายฟ้าฟาดนั้นน่ากลัวเพียงใด? ด้วยความประมาทเพียงเล็กน้อย หากไม่ตกตายก็คงจะก่อให้เกิดความเสียหายต่อร่างกาย ทําให้ในอนาคตไม่สามารถพัฒนาได้อีกต่อไป

 

อย่างไรก็ตาม

 

สําหรับซูฉินนั้น ความเสี่ยงนี้เรียกว่าแทบไม่มีอะไรต้องเสี่ยงเลย

 

ร่างกายของซูฉินแปรสภาพมาถึงสี่ครั้ง ซึ่งเหนือกว่าตํานานยุทธคนอื่นๆมาก ประกอบกับทิพยอํานาจกายเนื้อกําเนิดใหม่ ยกเว้นก็แต่ซูฉินเข้าไปฝึกฝนในทะเลแห่งสายฟ้าที่มีสายฟ้าฟาดลงมานับไม่ถ้วน อาจกล่าวได้ว่าจะต้องไม่มีปัญหาอะไรเกิดขึ้นอย่างแน่นอน

 

“ถ้าต้องการจะขัดเกลาร่างกายด้วยสายฟ้า อย่างน้อยก็ต้องฝึกฝนห้าหมัดสายฟ้าเทพเจ้าไปถึงระดับนภาเสียก่อน”

 

ความคิดของซูฉินเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว

 

ซูฉินได้ไปถึงระดับนภาของห้าหมัดสายฟ้าเทพเจ้าแล้วตั้งแต่แรกเริ่มที่ระบบปลูกฝังข้อมูลมาให้

 

ข้อบกพร่องเดียวคือ แม้ว่าซูฉินจะอยู่ในระดับนภาของห้าหมัดสายฟ้าเทพเจ้าแล้ว แต่ร่างกายของเขากลับไม่คุ้นเคยกับวิชาห้าหมัดสายฟ้าเทพเจ้าชุดนี้

แต่เรื่องนี้แก้ไขได้โดยง่าย ซูฉินแค่ต้องใช้เวลาฝึกฝนห้าหมัดสายฟ้าเทพเจ้าสักหน่อยเท่านั้น

 

ส่วนเรื่องอื่น…

 

จะเป็นการดีกว่าถ้าจะอาศัยช่วงเวลาที่ท้องฟ้ามืดครึ้มในการขัดเกลาร่างกายด้วยสายฟ้า

 

เฉพาะเวลาที่พลังของฟ้ากับดินมาบรรจบกัน ร่างกายจึงจะถูกกระตุ้นได้มากขึ้นและตระหนักได้ถึงผลของสายฟ้าที่ช่วยขัดเกลาร่างกาย

 

“เมฆดํามืดครื้ม?”

 

ซูฉินคิดอยู่ภายในใจ

 

โดยปกติอากาศแบบนั้นจะมาในทุกๆสิบวันหรือครึ่งเดือน และซูฉินก็จําจะต้องอดทนรออีกสองสามวัน

 

ต่อจากนี้ นอกเหนือจากการควบรวมอาณาเขตขนาดเล็กอย่างต่อเนื่องแล้ว ซูฉินก็ยังต้องทําความคุ้นเคยกับวิชา ห้าหมัดสายฟ้าเทพเจ้าอีกด้วย

 

วิชาห้าหมัดสายฟ้าเทพเจ้านั้นได้มาถึงขอบเขตตํานานแล้ว และเป็นขอบเขตตํานานระดับสูงอีกด้วย ไม่เช่นนั้นตํานานยุทธธรรมดาจะกล้ารับสายฟ้าฟาดได้เช่นไร

 

ดังนั้นเมื่อซูฉินคุ้นเคยกับห้าหมัดสายฟ้าเทพเจ้า ความรู้สึกต่างๆก็โผล่ขึ้นมาในหัวใจตลอดเวลา

 

ราวกับซูฉินกลายเป็นผู้คิดค้นวิชาที่กลับมาเกิดใหม่ เขาเหวี่ยงกําปั้นออกไปทีละขั้นตอน ไต่ระดับขึ้นไปเรื่อยๆ จนทําให้ทั้งโลกสั่นสะเทือน

 

ในที่สุด

 

สองสามวันก็ผ่านพ้นไป

 

เมืองฉางอันวันนี้มีเมฆมาก และลมก็แรงราวกับพายุฝนกําลังจะมา

 

“ตอนนี้แหละ”

 

ซูฉินยืนอยู่เหนือเมืองฉางอัน มองขึ้นไปบนเมฆฝนที่ตั้งเค้าเป็นแนวยาวออกไปจนสุดลูกหูลูกตา

ฉีกกระชาก!

 

สายฟ้าสว่างวาบ ระเบิดออกเป็นพลังทําลายล้างผ่านระยะทางหลายพัน

 

“เมื่อเทียบกับฟ้าดิน สุดท้ายแล้วความแข็งแกร่งของคนคนหนึ่งก็ไม่ควรค่าแก่การพูดถึงเลย…”

 

ซูฉินถอนหายใจเล็กน้อย สีหน้าเคร่งขรึม ค่อยๆ ยกมือข วาขึ้น กําแน่นแล้วกระแทกออกไปด้านหน้า

 

บูม!!!

 

เพียงครู่เดียวเท่านั้น!

 

ประกายสายฟ้าก็มารวมตัวกัน วนเวียนอยู่รอบกําปั้นของซูฉิน

 

Sign in Buddha’s palm 185 ทรงพลังเพียงใด?

 

พระราชวังถัง

 

ภายในโถงชีวิตนิรันดร์

 

จักรพรรดิถังฟังรายงานจากหลิวกงกง และหัวใจก็เต้นรัวอยู่ตลอดเวลา

 

โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนที่หลิวกงกงเล่าว่ายามที่จักรพรรดิหมิงกําลังจะลงมือ ร่างมายาของซูฉินก็เดินออกมาจากเหรียญตราในฉับพลัน มันน่าเหลือเชื่อยิ่งกว่าเดิมเสียอีก

 

“พี่สาม พี่สามทรงพลังเพียงใดกัน…”

 

หลังจากนั้นไม่นาน จักรพรรดิถังก็ถอนหายใจเบาๆ พึมพําอยู่กับตนเอง

 

หากพูดถึงเรื่องที่ซูฉินสังหารราชครูอาณาจักรเหมิ่งหยวน และกวาดล้างกองทัพทั้งห้าล้านนายด้วยความคิดเดียวก็ยังพอเข้าใจได้

 

สุดท้ายแล้ว ตั้งแต่โบราณมามีบันทึกมากมายเกี่ยวกับตํานานยุทธที่หลงเหลือเอาไว้ว่าเป็นตัวตนที่มิเกรงกลัวกองทัพ ตราบใดที่มีตํานานยุทธอยู่ ไม่ว่ากองทัพจะมีมากเพียงใด ย่อมต้องถูกทําลายลงในท้ายที่สุด

 

แต่ตอนนี้ซูฉินพํานักอยู่ภายในวัง กลับสามารถใช้เพียงความคิดเดียวจัดการอาณาจักรทั้งหกที่อยู่ไกลกว่าหมื่นลี้ให้ยอมจํานน สิ่งเหล่านี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

 

“พระมาตุลานั้น ท่าน… ”

 

หลิวกงกงกลืนน้ำลายแล้วพูดด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น “เกรงว่าในใต้หล้านี้ ท่านคงไร้เทียมทานแล้ว”

 

“ไร้เทียมทาน”

 

จักรพรรดิถังเงียบ

 

ไร้เทียมทานในใต้หล้า?

 

ตั้งแต่ยุคโบราณมาจนถึงปัจจุบัน ก็ไม่มีอรหันต์หรือตํานานยุทธใดที่เทียบได้กับซูฉิน

 

“ไม่เพียงเท่านั้น”

 

“พี่สามลงมือไปแล้ว ทั้งหกอาณาจักรก็ไม่กล้าเล่นตุกติกอีกต่อไป และเมื่อยอมจํานน อาณาจักรถังของเราก็จะครองใต้หล้า”

 

รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของจักรพรรดิถัง แสดงถึงความตื่นเต้น

 

“ยินดีด้วยฝ่าบาท”

 

หลิวกงกงคุกเข่าลงกับพื้น ก้มคารวะในทันที

 

“ไม่ต้องแสดงความยินดีกับข้าหรอก”

 

“การรวมใต้หล้าให้เป็นหนึ่งนั้น ข้าเข้าไปข้องเกี่ยวเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ถ้าไม่มีพี่สาม ต่อให้อีกเป็นร้อยปีข้าก็คงทําไม่สําเร็จ”

 

จักรพรรดิถังส่ายศีรษะพร้อมทั้งกล่าวคํา

 

ถ้าไม่ใช่เพราะพลังอันแข็งแกร่งของซูฉิน นับประสาอะไรกับหกอาณาจักร แม้แต่อาณาจักรเล็กอาณาจักรน้อยก็คงไม่ยอมจํานน

 

ใต้หล้ารวมเป็นหนึ่ง

 

เมื่อข่าวนี้แพร่กระจายออกจากอาณาจักรถัง ทั่วทั้งทวีปก็สั่นสะเทือน

 

หลายร้อยปีมาแล้วที่อาณาจักรต่างๆ ต่างแบ่งแยกดินแดนกัน เผชิญหน้ากัน ไม่รู้ว่ามีประชาชนมากมายเท่าไหร่ที่ต้องทนทุกข์ เมื่อวันนี้มาถึง ก็นับว่าเป็นเรื่องน่ายินดี

 

อย่างน้อยพวกเขาก็ไม่ต้องกังวลว่าจะเกิดสงครามอีกครั้งเมื่อใด จะถูกเกณฑ์ไปเป็นทหารหรือไม่ ฯลฯ

 

เมื่อใต้หล้ารวมเป็นหนึ่งเช่นนี้แล้ว จะไม่มีสิ่งกั้นขวางในแต่ละอาณาจักรอีกต่อไป ไม่ว่าจะเป็นการแลกเปลี่ยน เจรจาค้าขาย ทําให้เกิดผลกระทบครั้งใหญ่ต่อการพัฒนาทั่วทั้งทวีป

 

เมื่อเทียบกับเหล่าประชาชนที่ดีอกดีใจ ราชวงศ์ดั้งเดิมของทั้งหกอาณาจักรกลับไม่เหลือความรู้สึกอันแสนสุขอีกต่อไป

 

การยอมจํานนของอาณาจักรทั้งหกนั้นเทียบเท่ากับการละทิ้งสถานะราชวงศ์ นับแต่นี้ไปจะไม่มีราชวงศ์อื่นใดแล้วนอกเสียจากราชวงศ์หลี่แห่งต้าถัง

 

แม้ว่าจะมีทรัพย์สมบัติในอดีตของแต่ละราชวงศ์ที่ทําให้พวกเขาอยู่อย่างสุขสบาย แต่การสูญเสียสถานะราชวงศ์ไปนั้น สมาชิกราชวงศ์บางคนไม่อาจยอมรับได้

 

“ฝ่าบาทยอมจํานน? แถมยังเป็นการยอมจํานนทั่วทั้งอาณาจักร ด้วยความอัปยศอดสูนี้ จะไม่ดีกว่าหรือที่จะละทิ้งดินแดนแล้วออกไปจากถิ่นฐานเดิม”

 

“ใช่ ถ้าเราออกนอกดินแดนไป อย่างน้อยเราก็ยังสถาปนาอาณาจักรขึ้นมาใหม่และรักษาสถานะราชวงศ์เอาไว้ได้แต่การยอมจํานนทั้งอาณาจักรนั้น เทียบเท่าการมอบชีวิตความเป็นความตายของเราให้กับอาณาจักรถัง”

 

“ไม่ได้ ข้าจะต้องรวบรวมคน ขัดขืนราชโองการ ทูลขอให้นําหนังสือยอมจํานนกลับคืนมา”

 

องค์ชายมากมายหลายคนพูดคุยกันอย่างไม่พอใจกับการตัดสินใจยอมจํานนครั้งนี้

 

ในมุมมองของพวกเขา แม้ว่าพวกเขายอมจํานนจริงๆ แต่อาณาจักรถังก็ต้องให้เงื่อนไขที่สมน้ำสมเนื้อตอบแทนที่จะเป็นการยอมจํานนตรงๆ เช่นนี้

 

นี่มันคืออะไรกัน?

 

เมืองหลวงก็ไม่ได้ถูกทําลาย

 

กองทัพของอาณาจักรก็ยังพรั่งพร้อม

 

ไม่ยอมสู้ ทําแค่ยอมแพ้ว ทั้งยังเป็นการยอมจํานนทั่วทั้งอาณาจักรเลยเช่นนั้นหรือ?

 

เมื่อเรื่องราวเหล่านี้ไปถึงพระกรรณของจักรพรรดิถูโป ทันใดนั้นจักรพรรดิถูโปก็ตกใจจนหน้าซีด

 

“ไอ้สารเลว”

 

จักรพรรดิถูโปตกใจมากจนเกือบทุบแก้วเหล้าในมือตนเอง

 

สมาชิกราชวงศ์เหล่านี้กระจายกระจายกันไปอยู่ที่อื่น และไม่เคยประสบพบเจอแรงกดดันจากพลังฟ้าดินในเหรียญตราที่ทูตจากราชวงศ์ถังนํามา

 

ถ้าไม่ใช่เพราะการยอมเชื่อฟังโดยไร้เงื่อนไขของผู้ปกครองอาณาจักรถูโป เกรงว่าพระองค์คงจะเดินตามรอยเท้ายอดปรมาจารย์ขั้นสูงสุดทั้งหลายรอบกายตนไปแล้ว และร่างกายคงจะปนนี้กลายเป็นฝุ่นผงธุลี

 

“ ตรวจสอบ”

 

“ไปตรวจสอบมาให้ข้า!”

 

“คํากล่าวพวกนี้มันมาจากที่ใด”

 

ผู้ครองอาณาจักรถโปโกรธจัด และในที่สุดท่าทีของเขาก็เปลี่ยนเป็นถมึงทึง “นอกจากนี้ บรรดาลูกหลานราชวงศ์ที่ส่งหนังสือคัดค้านนี้มา จงมอบจอกยาพิษให้มันคนละถ้วย”

 

หากไม่เห็นเหรียญตราที่ทูตของอาณาจักรถังนําออกมาจักรพรรดิของอาณาจักรถโปก็คงจะมีความคิดเช่นเดียวกับลูกหลานของราชวงศ์เหล่านี้

 

มันจะเป็นเรื่องยากอะไรที่จะหลบหนีออกนอกดินแดนของตน

 

ถ้าเกิดไม่สามารถรับมือกับตํานานยุทธได้ งั้นก็ไปหลบซ่อนตัวไม่ดีกว่าหรือ?

 

แต่หลังจากทราบความร้ายกาจของเหรียญตราเหรียญนั้นแล้ว แม้ว่าจักรพรรดิถโปจะมีความกล้าหาญกว่านี้เป็นสิบเท่า เขาก็จะไม่กล้าคิดเรื่องไร้สาระเช่นนี้ขึ้นมา

 

หลบหนีออกจากดินแดน?

 

จะให้หนีอะไร?

 

ตํานานยุทธจากเมืองฉางอันสามารถสังหารพวกเขาจากระยะทางนับหมื่นลี้ด้วยเหรียญตรา แม้ว่าจะหลบหนีออกจากดินแดนไปจะยังมีประโยชน์อันใด?

 

และในเวลานี้

 

ซูฉินผู้ทําให้นานาชาติต่างต้องหวาดผวา กําลังเดินช้าๆ ไปตามทางเดินอันร่มรื่นภายในพระราชวัง

 

เหตุผลที่ซูฉินช่วยจักรพรรดิถังดําเนินการปราบอาณาจักรต่างๆ เป็นเพราะปราณฉีกําลังฟื้นคืน โลกจะเข้าสู่สิ่งที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

 

เมื่อเป็นเช่นนี้ การที่อาณาจักรถังสามารถขจัดอุปสรรคและครองทวีปได้ สําหรับซูฉินเอง นั่นมันก็ช่วยแก้ไขปัญหาบางอย่างได้

 

ไม่เช่นนั้นหากรอจนปราณฉีฟื้นคืนเต็มที่ ตํานานยุทธผู้ทรงอํานาจก็จะกําเนิดขึ้นทีละคนสองคน สิ่งเหล่านั้นย่อมจะมอบความมั่นใจให้กับทั้งหกอาณาจักร ทําให้พวกเขาอาจจะคิดขึ้นมาว่าควรร่วมมือจัดการกับอาณาจักรถังอย่างไรดี

 

ถ้าอาณาจักรถังรับมือได้ ก็คงจะดี แต่ถ้ารับมือไม่ได้เล่า?

 

ซูฉินจะต้องลงมืออีกครั้งหรือไม่?

 

เพื่อหลีกเลี่ยงสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ซูฉินจึงคิดมาแล้วว่าเคลื่อนไหวเพียงครั้งเดียว จัดการอาณาจักรต่างๆ ให้หมด ดีกว่าต้องใช้ความพยายามมากมายหลายครั้งในอนาคต

 

“ พี่สาม ท่านทรงพลังเพียงใดกัน…” ซูเยว่หยุนซึ่งอยู่ด้านข้างซูฉินอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม

 

คําที่กล่าวออกมา

 

ทําให้ซูเฉิงฮ่าวและซูเฉิงยู่เงี่ยหูฟังอย่างระมัดระวัง

 

ที่จริงไม่ใช่แค่พวกเขาเท่านั้น ผู้คนทั่วโลกต่างอยากรู้ว่าซูฉินแข็งแกร่งแค่ไหน

 

ครั้งแรก ใช้นิ้วเดียวสังหารราชครูแห่งอาณาจักรเหมิ่งหยวนซึ่งเป็นถึงตํานานยุทธ และเผาทําลายกองทัพกว่าห้าล้านนาย ครั้งล่าสุดก็ปราบหกอาณาจักรจากระยะทางกว่าหมื่นลี้ในคราวเดียว

 

ซูฉินทรงพลังเพียงใดกัน?

 

“ข้าเคยอ่านพบในหนังสือโบราณที่เก็บรวบรวมไว้ในอาณาจักรถัง ในนั้นมีบันทึกเกี่ยวกับตํานานยุทธด้วย”

 

ซูเยว่หยุนกระซิบคํา “ตํานานยุทธเป็นตัวตนที่ไม่กริ่งเกรงกองทัพ เพียงตัวคนเดียวก็สู้กับกองทัพนับล้านได้ แต่อย่างน้อยก็ต้องใช้เวลากว่าครึ่งวันในการสังหารกองทัพกว่าห้าล้านนายเหมือนพี่สาม”

 

“แต่พี่สามจัดการเพียงครู่เดียวเท่านั้น นอกจากนี้ยังมีเรื่องเกี่ยวกับการต่อสู้ระหว่างตํานานยุทธด้วย ไม่เหมือนกับขอบเขตวิทยายุทธทั้งเก้าระดับชั้นที่ชีวิตและความตายนั้นอาจถูกตัดสินได้ด้วยกลอุบายสักอย่างหนึ่งได้”

 

“ตํานานยุทธเข้าถึงพลังฟ้าดิน แม้ว่าจะมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งได้เปรียบ การเอาชนะกันนั้นง่าย แต่การสังหารอีกฝ่ายกลับยากเย็นนัก”

 

“ไม่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ แต่อย่างน้อยก็ต้องใช้เวลามากโขอยู่ในการทําให้พลังฟ้าดินหมดลงไปอย่างช้าๆ ถึงจะเป็นไปได้…”

 

ยิ่งซูเยว่หยุนพูดออกมามากเท่าไหร่ นางยิ่งตกใจมากขึ้นเท่านั้น และยิ่งรู้สึกว่าซูฉินนั้นยากจะหยั่งถึง

 

“ข้าแข็งแกร่งแค่ไหน?”

 

ซูฉินมองขึ้นไปบนท้องฟ้ากว้าง และกล่าวคําเบาๆ “ข้าก็อยากจะรู้เช่นกัน”

 

Sign in Buddha’s palm 184 ใต้หล้ารวมเป็นหนึ่ง

 

พระราชวังหนานหมิง

 

สูงตระหง่านและหนักแน่น

 

เหล่าทหารยามที่มีสายตาเฉียบแหลมจํานวนมาก เดินลาดตระเวนไปมาอยู่ภายใน

 

“คนที่ไปเข้าเฝ้าฝ่าบาทใช่ทูตจากอาณาจักรถังหรือไม่?” ทหารยามราชองครักษ์คนหนึ่งลดเสียงของตน เอ่ยถามอย่างระมัดระวัง

 

“นอกจากทูตของอาณาจักรถังแล้ว จะมีใครบ้างล่ะที่เข้าเฝ้าฝ่าบาทในยามนี้ได้?” ทหารยามอีกคนที่อยู่ด้านข้าง สอดส่ายสายตาไปรอบๆ ก่อนจะตอบอย่างไม่ได้ใส่ใจอะไรนัก

 

“เป็นเช่นนี้นี่เอง”

 

ทหารยามที่เป็นคนเปิดประเด็นก็พยักหน้าเล็กน้อย และทันใดนั้นก็คิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ กล่าวด้วยเสียงกังวล “ข้าเห็นว่าทูตจากอาณาจักรถังมีลมปราณภายในที่ แข็งแกร่ง ชัดเจนว่าเป็นยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่ง ปล่อยให้ไปเข้าเฝ้าฝ่าบาทเช่นนั้น หากมีจิตมุ่งร้ายต้องการลอบสังหารฝ่าบาทขึ้นมาจะทําเยี่ยงไร?”

 

“ลอบสังหาร?”

 

ทหารยามอีกคนเผยอปากยิ้ม “เจ้าช่างไม่รู้ความแยบคายของฝ่าบาท เหล่าผู้แข็งแกร่งอยู่รอบกายของพระองค์ และมียอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสูงสุดอยู่หลายคนก็แค่ระดับชั้นที่หนึ่งคนเดียว หากต้องการลอบสังหารฝ่าบาทจริง ก็เป็นเพียงความฝันลมๆ แล้งๆ!”

ทหารยามคนนี้ดูมั่นใจแน่วแน่อย่างยิ่ง

 

“จริงอยู่ที่อาณาจักรถังมีตํานานยุทธ แต่มันเป็นไปไม่ได้ที่จะทําอะไรที่ส่งผลต่อฝ่าบาทจากระยะทางที่ห่างไกลกว่าหมื่นลี้เช่นนี้”

 

“หนานหมิงของเราตั้งอยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ มีทหารนับล้าน อาณาจักรถังจะสามารถรังแกเราอย่างไรก็ได้ ตามที่ใจปรารถนางั้นหรือ?”

 

ทหารยามกล่าวคําด้วยความภาคภูมิใจ

 

ทหารยามคนแรกที่เอ่ยถามก็ตกใจ คิดได้ว่าหนานหมิงเป็นเช่นนั้นจริงๆ

 

อย่างไรก็ตาม

 

ในตอนนั้นเอง

 

แรงกดดันอันน่าสยดสยองก็แผ่ออกมาจากท้องพระโรง และปกคลุมทั่วพระราชวังหนานหมิงทั้งหมดในทันที

 

ภายใต้แรงกดดันนี้ ทหารราชองครักษ์ นางกํานัล และขันทีทุกคนต่างรู้สึกเหมือนกําลังเผชิญหน้ากับตัวตนจากสวรรค์กระแทกเข่าลงกับพื้น

 

“นี่คือ?”

 

ทหารยามราชองครักษ์ทั้งสองคนที่กําลังพูดคุยกัน กลับกลายเป็นหวาดกลัวมองไปยังโถงท้องพระโรงของจักรพรรดิหมิงอย่างไม่อยากจะเชื่อ

 

….

 

ภายในท้องพระโรง

 

จักรพรรดิหมิงซึ่งแต่เดิมจ้องมองหลิวกงกงราวกับมองคนตาย แต่ท่าทีตอนนี้ของพระองค์เหมือนได้เห็นผี

 

ขุนนางข้าราชบริพารและทหารต่างก็ได้เห็นฉากที่พวกเขาจะไม่มีวันลืม

 

เห็นว่าเหรียญตราที่หลิวกงกงถือเอาไว้จู่ๆ ก็พลันสาดแสงสว่างไสวอย่างไม่มีที่สิ้นสุด เห็นร่างหนึ่งกําลังนั่งขัดสมาธิจากระยะทางที่ไกลเกินกว่าจะคาดคะเน กําลังจ้องมองมา

 

ตึง!!!

 

แรงกดดันมหาศาลกดทับทั่วทุกที่

 

ตั้งแต่จักรพรรดิหมิงไล่ไปจนถึงขุนนางและทหารรวมหลายร้อยคน พวกเขาทั้งหมดคุกเข่าลงกับพื้น ไม่สามารถจ้องมองร่างนั้นได้

 

“เจ้าคือ?”

 

จักรพรรดิหมิงตะลึงงัน พูดอะไรไม่ถูก

 

เขาไม่เคยคิดฝันว่าเหรียญตราในมือของหลิวกงกงจะส่องสว่างออกมาได้เช่นนี้

 

“นั่นคือตํานานยุทธของอาณาจักรถังหรือ?”

 

จะชั่วพริบตาเดียว จักรพรรดิหมิงก็คาดเดาบางอย่างได้ หัวใจของเขาสั่นสะท้าน

 

“นี่คือตํานานยุทธสินะ?”

 

ยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสูงสุดที่อยู่ข้างกาย จักรพรรดิหมิงคุกเข่า ก้มหัว ไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้าขึ้น

 

เดิมที่ด้วยการช่วยเหลือจากกระแสปราณฉี เขาได้ก้าวเข้าสู่ขั้นสูงสุดของระดับชั้นที่หนึ่ง เขาคิดว่าตนเองยืนอยู่บนจุดสูงสุดของโลกแล้ว แม้ว่าจะยังด้อยกว่าตํานานยุทธอยู่มาก อย่างน้อยก็น่าจะพอเงยหน้ามองขึ้นไปได้

 

แต่ตอนนี้?

 

ไม่ต้องพูดถึงการมองไปยังตํานานยุทธแห่งอาณาจักรถังเลย แม้แต่ภาพมายาที่ฉายตัวตนที่อยู่ห่างไกลออกไปหลายหมื่นลี้ก็ยังทนไม่ได้เลย

 

ความห่างชั้นช่างมากเกินไป

 

ช่องว่างมันใหญ่จนเหมือนมดที่กําลังแหงนมองขึ้นไปบนท้องฟ้าอันกว้างใหญ่

 

เมื่อเทียบกับความตกใจและหวาดกลัวของคนอื่นๆ ในท้องพระโรง หลิวกงกงรู้สึกงุนงงอย่างถึงที่สุด

 

“นั่นคือพระมาตุลาแห่งอาณาจักร”

 

หลิวกงกงดูดีใจมาก และโค้งคํานับร่างมายาเบื้องหลัง แสงสว่างไร้ที่สิ้นสุดนั้น

 

ในขณะนี้หลิวกงกงไม่จําเป็นต้องถือเหรียญตรา แต่มันลอยอยู่บนอากาศเองโดยไม่ได้มีลมพัดแต่อย่างใด

 

“พวกเจ้ากล้าปฏิเสธอย่างนั้นหรือ?”

 

ซูฉินค่อยๆ เดินออกจากแสงส่องสว่างนั้น

 

นี่เป็นเพียงรัศมีแสงจากจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ที่เขาใส่ไว้ในเหรียญตรา แม้พลังจะน้อยกว่าตัวจริงไปไกล แต่ก็ไม่มีปัญหาใดในการปราบปรามพระราชวังหนานหมิง

 

“เมื่อไม่ยินยอม ก็จงตายเสีย”

 

ซูฉินมองไปยังจักรพรรดิหมิง ค่อยๆ ยกมือขวาขึ้น

 

ในเวลานั้นจักรพรรดิหมิงรู้สึกเพียงร่างของเขากําลังสั่นสะท้านอย่างสุดขีด แสงอันไร้ที่สิ้นสุดตรงหน้ากดดันเขามากขึ้นกว่าเดิม

 

นี่ไม่ใช่กดดันด้วยระดับพลัง แต่เป็นการกดดันไปถึงแก่นแท้ของพลังชีวิต

 

จักรพรรดิหมิงรู้ได้ทันทีว่าหากเขายังคงนิ่งเฉยต่อไป เขาก็จะไม่ได้พูดอะไรอีก

 

“ท่านผู้อาวุโส”

 

“ข้ามีเรื่องอยากจะพูด”

 

จักรพรรดิหมิงสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะตะโกนเสียงดังว่า “ในเมื่อผู้อาวุโสลงมือ ข้าก็เต็มใจอย่างยิ่งที่จะได้เห็นราชวงศ์ถังได้ครองโลก”

 

“แต่โลกนั้นกว้างใหญ่นัก แม้ว่าจะมีตํานานยุทธเช่นท่านผู้อาวุโส ก็ต้องใช้เวลาอย่างน้อยหลายสิบปีกว่าที่อาณาจักรถังจะครองโลกได้”

 

ซูฉินหยุดมือขวาของตน และมองไปยังจักรพรรดิหมิงด้วยความสนใจ

 

เมื่อเห็นแบบนี้ จักรพรรดิหมิงก็ใจชื้นขึ้นเล็กน้อย แล้วพูดต่อทันที “แต่หากข้ายังมีชีวิตอยู่ ข้าสามารถช่วยอาณาจักรถังได้ อย่างน้อยถ้าอาณาจักรถังต้องการจะควบรวมอาณาจักรหมิงของข้าก็คงใช้เวลาไม่นาน”

 

จักรพรรดิหมิงพูดไวมาก กลัวว่าซูฉินจะจัดการเขาด้วยฝ่ามือเดียว

 

อาณาจักรหนานหมิงมีอํานาจในทางตะวันออกเฉียงใต้ และสถานการณ์ในดินแดนที่ซับซ้อน มีทั้งฝ่ายปกครองและกลุ่มต่อต้าน หากไม่ใช่เพราะการปราบปรามของจักรพรรดิหมิง มันคงจะเป็นเรื่องที่ยุ่งยาก

 

ดังนั้นหากจักรพรรดิหมิงเต็มใจจะจัดกองกําลังจํานวนมากให้กับอาณาจักรถัง แน่นอนว่าย่อมเป็นบทบาทสําคัญในการที่อาณาจักรถึงจะสามารถพิชิตหนานหมิงได้

 

นี่เป็นความมั่นใจของตัวจักรพรรดิหมิงเองที่ทําให้กล้าเสนอเงื่อนไขแม้ว่าจะรู้ว่ามีตํานานยุทธเช่นซูฉินอยู่ในอาณาจักรถัง

 

เพราะจักรพรรดิหมิงมี “คุณค่า” เพียงพอ

 

“จริงหรือ?” ซูฉินพูดอย่างใจเย็น “น่าเสียดาย เจ้ามองตนเองสูงจนเกินไป”

 

เสียงพูดเพิ่งจะจบ

 

ร่างของจักรพรรดิหมิงก็สะท้านไปทั้งตัว จากนั้นก็กลายเป็นผุยผง สลายกลายเป็นละอองปลิวว่อนไป

 

“จะยอมจํานนหรือจะตาย พวกเจ้าก็เลือกเอา”

 

หลังจากที่ซูฉินสังหารจักรพรรดิหมิง เขาก็มองไปยังคนอื่นๆ ในท้องพระโรง และหลังจากเขากล่าวคําออกไป ร่างของเขาก็หายวับ แสงอันไร้ที่สิ้นสุดก็กลับมาบรรจบกันที่เหรียญตรา

 

“ข้ายอมจํานน”

 

“ข้ายอมจํานนเหมือนกัน”

 

“นายท่าน อย่าฆ่าข้า”

 

ขุนนางทุกคนตกใจคุกเข่าลงกับพื้น ส่งเสียงไปทางหลิวกงกง หรือจะให้ถูกก็คือพุ่งเป้าไปที่เหรียญตราที่หลิวกงกงถือเอาไว้

 

แม้แต่จักรพรรดิหมิงก็ถูกพรากชีวิตไปแล้ว ไม่ต้องพูดถึง ขุนนางระดับสูงอย่างพวกเขา

 

หลังจากเห็นจักรพรรดิหมิงสลายไปกับความว่างเปล่าอย่างกะทันหัน ขุนนางเหล่านี้จะกล้าต่อต้านได้อย่างไร?

 

อาจจะมีขุนนางที่ภักดีอยู่บ้าง แต่ตอนนี้กระแสลมเปลี่ยนทิศแล้ว ถ้ากล้าขัดขืนต่อไป ไม่ใช่แค่จักรพรรดิหมิงที่หายไป แต่เป็นทั้งราชวงศ์หมิงที่จะหายไป

 

หนึ่งวันต่อมา

 

จักรพรรดิพระองค์ใหม่แห่งหนานหมิงก็ขึ้นครองบัลลังก์ หลังจากนั้นจึงส่งจดหมายยอมจํานนต่ออาณาจักรถังทันที เต็มใจที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไปใต้การปกครองของอาณาจักรถัง

 

ในเวลาเดียวกัน

 

อีกหกอาณาจักรที่เหลือ รวมถึงราชวงศ์ซ่งเหนือและถูโปได้ส่งหนังสือยอมจํานนมาในเวลาพร้อมเพรียงกัน ไม่กล้าเอ่ยถึงเงื่อนไขใดอีกต่อไป

 

ด้วยการปราบปรามด้วยอํานาจที่เหนือกว่า ไม่ว่าจะเป็นจักรพรรดิหรืออาณาจักรอื่นๆ พวกเขาก็ไม่กล้าต่อต้านอีก สําหรับความมั่นใจที่คิดว่าตน “มีคุณค่า” นั้น ก็ไม่ได้มีค่าพอให้กล่าวถึงแต่ประการใด

 

ถ้าไม่ต้องการจะยอมจํานน ก็แค่เลือกใครสักคนที่พร้อมจะยอมจํานนขึ้นเป็นจักรพรรดิ ราชวงศ์ของทั้งหก อาณาจักรสืบเชื้อสายไปมากมาย จะเสียคนไปเท่าไหร่ก็ไม่มีผลต่อแกนหลักของชาติมากนักหรอก

Sign in Buddha’s palm 183 หนึ่งความคิด พิชิตหกอาณาจักร

 

ภายในโถงชีวิตนิรันดร์

 

จักรพรรดิถังมองดูเหรียญตราทั้งหกที่อยู่เบื้องหน้าของตน

 

เหรียญตราทั้งหกนั้นดูธรรมดามาก พื้นผิวเองก็หยาบกระด้าง ไม่พบความผิดแปลกใดๆ

 

“พี่สามบอกว่าถ้าทั้งหกอาณาจักรไม่ยอมจํานน ก็ให้นําเหรียญตราพวกนี้ออกมา”

 

“แต่ข้าไม่เห็นความพิเศษใดๆ บนเหรียญตราทั้งหกนี้เลย”

 

จักรพรรดิถังมองดูพวกมันอยู่นาน แต่ก็ยังไม่เข้าใจอะไรนัก ดังนั้นจึงได้เลิกพินิจไป

 

จักรพรรดิถังเชื่อมั่นในซูฉินอย่างเต็มเปี่ยม ในเมื่อซูฉินกล่าวเช่นนั้น จึงไม่มีเหตุผลที่จะต้องไถ่ถามอีกต่อไป

 

“มานี่หน่อย”

 

จักรพรรดิถังครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วเอ่ยขึ้น

 

“ฝ่าบาท”

 

หลิวกงกงโค้งคํานับแล้วเดินเข้ามาหา

 

“เจ้าและอีกห้าคนที่เหลือจงพกเหรียญตราทั้งหกนี้ไปยังหกอาณาจักร และมอบทางเลือกสองทางให้แก่พวกเขา” จักรพรรดิถังเอ่ยด้วยท่าที่เคร่งขรึม

 

“ทางเลือกสองทาง?”

 

หลิวกงกงเงยหน้าขึ้นมองจักรพรรดิถังด้วยความสงสัย

 

“ถูกต้อง”

 

“จะยอมจํานนหรือตกตาย”

 

“หากอาณาจักรใดในทั้งหกอาณาจักรไม่ตกลง ให้พวกเจ้านําเหรียญตราออกมาใช้

 

จักรพรรดิถังกล่าวตามคําพูดของซูฉินโดยไม่มีตกหล่น

 

“รับพระบัญชา”

 

หลิวกงกงคิดหนัก

 

แม้เขาจะไม่รู้ทําไมท่าทีของจักรพรรดิถังถึงได้แข็งกร้าวนัก ไม่สนใจไยดีเงื่อนไขที่ทางนั้นเสนอ และมอบทางเลือกแค่สองทางออกมาเช่นนี้..

 

อันที่จริง ในความเห็นของหลิวกงกง สองทางเลือกนี้ไม่ค่อยจูงใจเท่าใดนัก ไม่ใช่ว่ามันจะไปทําให้ทั้งหกอาณาจักรโกรธเคืองหรอกหรือ

 

แต่ในฐานะขุนนางข้าราชบริพารคนหนึ่ง แน่นอนว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะขัดพระบรมราชโองการไม่นานนัก

 

หลิวกงกงก็เรียกขันที่มาอีกห้าคน

 

“พวกเจ้าทุกคนเข้าใจความหมายของพระกระแสรับสั่งแล้วใช่ไหม” หลิวกงกงเหลือบมองขันที่ทั้งห้าพร้อมทั้งกล่าวถาม

 

“ในการไปเยือนหกอาณาจักรในครั้งนี้ ความตายเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อย แต่ความยิ่งใหญ่ของต้าถังนับเป็นเรื่องสําคัญ ไม่ว่าจะถูกหกอาณาจักรข่มเหงอย่างไร พวกเราก็ไม่สามารถถอยกลับได้”

 

หลิวกงกงกล่าวออกไปทุกถ้อยคํา

 

ในการเดินทางไปยังหกอาณาจักรคราครั้งนี้ หลิวกงกงได้ยอมรับความตายเสมือนเป็นบ้านอีกหลังไปแล้ว

 

แม้ว่าเขาจะเป็นยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่ง แต่ถ้าเข้าไปภายในใจกลางของหกอาณาจักรและมีจุดมุ่งหมายที่แข็งกร้าว ให้ทางเลือกที่ไร้ซึ่งความเมตตา ย่อมทําให้ทั้งหกอาณาจักรโกรธเคืองเป็นเรื่องธรรมดา

 

แม้ว่าทั้งหกอาณาจักรจะไม่กล้าเผชิญหน้ากับอาณาจักรถังเพื่อระบายความโกรธเกรี้ยว แต่ก็คงจะไม่มีปัญหาใดที่จะลงมือกับยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งอย่างพวกเขา

 

ขันที่อีกห้าคนที่เหลือต่างมองหน้ากันด้วยความคิดที่หนักอึ้งเช่นเดียวกัน

 

อย่างไรก็ตาม ในตอนนี้พวกเขาไม่ได้มีความคิดที่จะปฏิเสธ ในฐานะขันทีภายในรั้วในวัง ชีวิตและความตายของพวกเขาขึ้นอยู่กับองค์จักรพรรดิ เมื่อพระองค์ต้องการให้อยู่ ย่อมอยู่ได้ แต่หากฝ่าบาทต้องการให้ตายก็ไม่มีใครกล้าที่จะมีชีวิตต่อไป

 

“รับทราบ

 

“แต่ละคนจะมีเหรียญตราคนละอัน หากทั้งหกอาณาจักรปฏิเสธที่จะยอมจํานน ให้นําเหรียญตราเหล่านี้ออกมาตามพระราชดํารัส หลิวกงกงได้มอบเหรียญตราให้ขันที่ทั้งห้าตามลําดับ และสุดท้ายหลังจากรับเหรียญตรากันคนละอันแล้ว ต่างก็ออกจากพระราชวัง ทยอยเดินทางไปยังหกอาณาจักรหนานหมิง

 

ณ พระราชวัง

 

จักรพรรดิหมิงนั่งอยู่บนบัลลังก์มังกร สีหน้าปรากฏความไม่แน่ใจ

 

“เจ้าว่า คนจากเมืองฉางอันจะยอมรับเงื่อนไขของข้าหรือไม่?” จักรพรรดิหมิงขมวดคิ้วครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงเอ่ยถาม

 

“ทูลฝ่าบาท”

 

“ก็แค่สัญญาเพียงฉบับเดียว หนานหมิงของเราอยู่ไกลออกมาทางตะวันออกเฉียงใต้ หากฝ่าบาทไม่ประสงค์จะจํานน ก็ต้องใช้เวลากว่ายี่สิบปีในการปราบดินแดนหนานหมิงได้”

 

“สัญญานี้แลกกับการเสียเวลาไปกว่ายี่สิบปี อาณาจักรถังจะไม่ยินยอมได้เช่นไร?”

 

ผู้บัญชาการหน่วยองครักษ์เสื้อแพรกล่าวด้วยความเคารพ

 

“ข้าก็ว่าแบบนั้น”

 

จักรพรรดิหมิงพยักหน้าเล็กน้อย

 

สิ่งที่เขาต้องการก็แค่คําสัญญาจากเมืองฉางอัน มันไม่ได้มีอะไรมากจนเกินไป ไม่มีเหตุผลที่อาณาจักรถังจะไม่ตกลง

 

ในเวลานั้น มีขุนนางอดไม่ได้ที่จะถามขึ้นมาว่า “แล้วถ้าอีกฝ่ายไม่ตกลงล่ะพ่ะย่ะค่ะ?”

 

คําที่กล่าวออกมา

 

ภายในท้องพระโรงก็เงียบลงในทันใด

 

แม้แต่ใบหน้าของจักรพรรดิหมิงก็ดําคล้ํามืดมน

 

“ไม่ตกลง?”

 

“ข้ายอมมามากเกินพอแล้ว”

 

จักรพรรดิหมิงชําเลืองมองผู้คนที่เฝ้ามองมา “ถ้าอาณาจักรถังไม่เห็นด้วยจริงๆ ข้าก็คงต้องยอมหักดีกว่ายอมงอ คิดการใหญ่ภายหลัง หลบหนีไปอยู่ต่างดินแดน ไม่อยู่มันแล้วบนแผ่นดินใหญ่แห่งนี้”

 

“มีเกาะน้อยใหญ่นับไม่ถ้วน และด้วยทักษะการเดินเรือของอาณาจักรหนานหมิง การพิชิตเกาะเหล่านั้นและยืนหยัดขึ้นใหม่ด้วยตัวพวกเราเองมันจะยากแค่ไหนกันเชียว?”

 

คําพูดของจักรพรรดิหมิงท่วมท้นไปด้วยพลังอํานาจที่แข็งแกร่ง

 

หนานหมิงอยู่ใกล้ชายฝั่งทะเลและมักจะส่งเรือออกไปสํารวจทะเลอยู่เสมอ พวกเขาเข้าใจสถานการณ์ในต่างดินแดนอยู่บ้าง

 

แม้อาณาจักรถังจะให้กําเนิดตํานานยุทธขึ้นมา แต่หนานหมิงก็ไม่เคยยอมแพ้

 

ผลลัพธ์เลวร้ายที่สุดก็แค่ต้องละทิ้งดินแดนอาณาจักรหนานหมิงและหนีไปอยู่ต่างดินแดน

 

แน่นอนว่าหากจักรพรรดิหมิงเลือกได้ เขาจะไม่เลือกเส้นทางนี้ อย่างไรเสียชีวิตในต่างแดนก็ไม่ได้มีความสุขเท่าแผ่นดินใหญ่

 

ในตอนนั้นเอง

 

ทหารองครักษ์ก็รีบเดินเข้ามาภายในท้องพระโรง กระซิบคําที่ข้างหูขององค์จักรพรรดิหมิง

 

“หม?”

 

รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของจักรพรรดิหมิง และเขาก็มองไปยังขุนนางคนอื่นๆ ที่อยู่ในท้องพระโรง “ทูตจากราชวงศ์ถังได้มาอยู่ที่นี่แล้ว”

 

เมื่อข้าราชบริพารทั้งหลายได้ยินถ้อยคําเหล่านี้ ดวงตาของพวกเขาก็เบิกกว้าง

 

อาณาจักรถังส่งทูตมายังหนานหมิงในเวลานี้ เห็นทีจะมีเพียงเรื่องนั้นเรื่องเดียว

 

“ให้เขาเข้ามา”

 

จักรพรรดิหมิงกล่าวคําด้วยเสียงเบา

 

หลังจากนั้นไม่นาน

 

หลิวกงกงก็เดินเข้ามาภายในท้องพระโรง

 

“จักรพรรดิหมิง”

 

หลิวกงกงยื่นมือมาด้านหน้าคารวะจักรพรรดิหมิงเล็กน้อย ไม่ได้เคารพหรือนอบน้อมจนเกินไป

 

“จักรพรรดิถังให้คําตอบมาว่าอย่างไรบ้าง?”

 

จักรพรรดิหมิงขี้เกียจที่จะพูดคุยเรื่องไร้สาระ จึงถามเข้าประเด็นตรงๆ

 

“ฝ่าบาททรงมีกระแสรับสั่งบอกข้ารับใช้เฒ่าผู้นี้มาว่า…” หลิวกงกงยืดตัวตั้งตรง มองไปที่จักรพรรดิหมิง

 

“โอ้ว”

 

จักรพรรดิหมิงมองหลิวกงกงด้วยความสนใจ

 

ขุนนางคนอื่นๆ ก็เงี่ยหูสอดรู้สอดเห็น

 

“เลือกว่าจะยอมจํานน…”

 

หลิวกงกงมองไปรอบข้าง “หรือตาย”

 

เมื่อเสียงของหลิวกงกงเงียบไป

 

ทั้งท้องพระโรงเงียบสนิท

 

แรงกดดันอันแสนน่ากลัวปกคลุมไปทั่วทั้งโถง

 

หลังจากผ่านไปครู่ใหญ่

 

จักรพรรดิหมิงค่อยๆลุกขึ้น มองลงไปยังหลิวกงกง และกระแทกเสียงทีละคํา “ดี! ดีมาก! ไม่นึกเลยว่าจักรพรรดิถังจะกล้าดูถูกข้าเช่นนี้”

 

จักรพรรดิหมิงอยู่ในอารมณ์โกรธ

 

ถ้าจักรพรรดิถังปฏิเสธโดยใช้เล่ห์กลอย่างแนบเนียน เขาก็คงจะไม่โกรธมากนัก

 

“ในเมื่อจักรพรรดิถังไม่เข้าใจว่าอะไรดีไม่ดี ข้าก็จะไม่ไว้หน้าอีกแล้ว” จักรพรรดิหมิงเค้นเสียงออกมาตามไรฟัน “กวาดทองคําและเงินคงคลังทั้งหมดออกมา เอาสมบัติทุกชิ้นไปด้วย ติดตามข้าไปต่างดินแดน”

 

เมื่อจักรพรรดิถังนําทองคําและเงินทั้งหมดภายในเมืองหนานหมิงไป มันย่อมสร้างความโกลาหลอย่างมิอาจเลี่ยง แต่ในขณะนี้จักรพรรดิหมิงไม่สามารถดูแลสิ่งของเหล่านี้ได้อีกต่อไปแล้ว

 

“ส่วนเจ้า?”

 

จักรพรรดิหมิงมองหลิวกงกงอย่างเย็นชา “จงเข้ามา สังหารมันทิ้งซะ”

 

เสียงของจักรพรรดิหมิงเพิ่งจะดับไป

 

ร่างเงาหลายคนก็พุ่งเข้าหาหลิวกงกงอย่างเงียบเชียบ

 

กลิ่นอายซ่อนเร้นที่อยู่ในร่างของคนเหล่านี้ เหนือกว่าระดับชั้นที่หนึ่งไปมาก เห็นได้ชัดว่าพวกเขาทั้งหมดเป็นยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสูงสุด

 

นับตั้งแต่ปราณฉีฟื้นคืน ไม่เพียงแต่พระราชวังถังเท่านั้นที่มียอดปรมาจารย์ขั้นสูงสุดมากขึ้น แต่ยอดยุทธจํานวนมากก็ถือกําเนิดขึ้นบนโลกนี้ด้วยเช่นกัน

 

“พวกเจ้า?!”

 

ใบหน้าของหลิวกงกงซีดเซียว

 

เขาเป็นเพียงยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งเท่านั้น จะหยุดระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสูงสุดได้อย่างไร

 

ขณะที่หลิวกงกงกําลังจะเริ่มต่อสู้เป็นตาย เขาก็นึกถึงเหรียญตราที่พกติดตัวมาด้วย

 

จักรพรรดิถังได้บอกให้เขานําเหรียญออกมาหลังจากที่หนานหมิงปฏิเสธ และตอนนี้ก็ชัดเจนว่าคงถึงเวลานั้นแล้ว

 

แม้ว่าหลิวกงกงจะไม่เข้าใจว่าเหรียญตราธรรมดาๆนี้จะสามารถป้องกันยอดยุทธผู้ทรงพลังอํานาจภายในอาณาจักรหนานหมิงได้เช่นไร แต่หลิวกงกงก็ยังทําตามคําสั่งของจักรพรรดิถัง

 

ในเวลาต่อมา

 

หลิวกงกงหยิบเหรียญออกมา ถือเอาไว้ราวกับมันเป็นสมบัติแสนล้ําค่า ชูขึ้นเหนือหัว

 

“อยู่ต่อหน้าความตายเช่นนี้ คิดว่าเหรียญตราชิ้นเดียวนั่น สามารถช่วยชีวิตเจ้าได้อย่างนั้นหรือ?”

 

ดวงหน้าของจักรพรรดิหมิงมีแววเยาะเย้ยอยู่ กําลังวาดหวังว่าจะได้เห็นหลิวกงกงกลายเป็นก้อนเนื้อด้วยน้ํามือของยอดปรมาจารย์ขั้นสูงสุดของอาณาจักรหนานหมิง

 

หวึ่ง!!

 

เหรียญตราในมือของหลิวกงกงพลันสว่างไสวราวกับดวงตะวันอันศักดิ์สิทธิ์บนฟากฟ้า แสงไฟส่องไปทั่วพระราชวังหนานหมิง

 

ขณะนั้น โลกทั้งใบเหมือนจะหยุดนิ่ง ดวงตาของทุกคนพร่ามัวมองเห็นร่างที่ดูเข้มแข็ง ค่อยๆเงยศีรษะขึ้นอย่างช้าๆ อยู่ภายในแสงอันไร้ขอบเขต เหมือนกับตัวตนนี้อยู่ห่างไกลจากพวกเขาจนไม่อาจทราบระยะทาง

 

“นี่คือ?!”

 

ฝ่ามือและฝ่าเท้าของจักรพรรดิหมิงเย็นวาบ มีความรู้สึกวูบเหมือนกําลังตกลงไปในเหว

 

Sign in Buddha’s palm 182 นําเหรียญตรานี้ไป

 

“มีตํานานยุทธถือกําเนิดขึ้นอีกแล้ว?”

 

ส่วนลึกในดวงตาของซูฉินกลายเป็นลึกซึ้งราวกับมีวังวนลึกลับที่คอยหมุนวนไม่หยุด และมีดวงอาทิตย์ทั้งเก้าส่องสว่างท่ามกลางความมืดมิดภายในดวงตา

 

ในตอนนี้ซูฉินเป็นถึงอรหันต์ระดับนภาชั้นที่เจ็ดแล้ว ด้วยดวงตาแห่งสัจจะควบคู่กันกับวิชาปราณฉีฟ้ากําหนด เขาสามารถเห็นได้ทั่วทั้งอาณาจักรถังอย่างรวดเร็ว

 

ส่วนนอกอาณาจักรถัง แม้ว่าจะอยู่นอกเหนือการควบคุมของซูฉิน แต่ก็ยังพอสัมผัสได้จางๆ

 

และในตอนนี้ ซูฉินก็สังเกตเห็นได้ชัดเจนว่าร่องรอยของตํานานยุทธหายวับไปในบริเวณแนวขอบของแผ่นดินใหญ่

 

“ไม่ใช่

 

“ลมหายใจคงที่ ไม่ใช่ตํานานยุทธที่เพิ่งกําเนิดขึ้นใหม่ ควรจะเป็นตํานานยุทธที่มาจากต่างแดน”

 

ซูฉินจับความรู้สึกครู่หนึ่ง แล้วจึงคิดกับตนเอง

 

“ต่างดินแดน?”

 

ซูฉินขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนจะคลายออก

 

แม้ว่าตํานานยุทธจากต่างแดนจะกลับมาในที่แห่งนี้ หากทําตัวดี ซ่อนตัวอยู่ที่ไหนสักที่หนึ่ง ซูฉินก็คร้านจะสนใจเข้าไปยุ่มย่ามแทรกแซง

 

แต่ถ้าอีกฝ่ายคิดจะสร้างปัญหาให้กับทวีปนี้หรือยั่วยุซูฉินล่ะก็…

 

ซูฉินก็ทําได้เพียงสังหารทิ้ง

 

ในเวลาเดียวกัน

 

ภายในโถงชีวิตนิรันดร์

 

จักรพรรดิหลี่เชิงแห่งราชวงศ์ถังนั่งบนบัลลังก์มังกร มองลงไปที่รองเสนาบดีประจํากรมพิธีการด้านล่างและกล่าวว่า “มีอะไรก็พูดมา”

 

“ ตามพระบัญชา”

 

รองเสนาบดีกรมพิธีการโค้งคํานับพร้อมกล่าวว่า “ฝ่าบาท บัดนี้อาณาจักรเล็กๆ หลายแห่งได้ส่งจดหมายมาคนละฉบับสองฉบับ แต่ว่า…”

 

เมื่อกล่าวถึงเรื่องนี้รองเสนาบดีประจํากรมพิธีการก็ลังเลที่จะพูด มิกล้าเอ่ยกล่าวต่อ

 

ตั้งแต่ที่ซูฉินลงมือสังหารกองทัพเหมิ่งหยวนนอกเมืองฉางอัน เผาทหารไปห้าล้านนาย ทั้งโลกก็สั่นสะเทือน นานาชาติต่างตื่นตระหนก ส่งผลให้อาณาจักรเล็กๆ จํานวนหนึ่งส่งหนังสือยอมศิโรราบมาในช่วงก่อนหน้านี้

 

เป็นธรรมดาที่สิ่งนี้ทําให้จักรพรรดิถังมีความสุข

 

“แต่อะไร?”

 

จักรพรรดิถังเอ่ยถาม

 

รองเสนาบดีประจํากรมพิธีการกล่าวอย่างระมัดระวัง “ทว่ามีหกอาณาจักร ที่ว่ามานั้นรวมถึงหนานหมิง ซ่งเหนือและถูโปด้วย ได้เสนอเงื่อนไขมา…”

 

“เงื่อนไขอะไร?”

 

จักรพรรดิเอ่ยถาม ไม่แปลกใจเมื่อได้ฟังเรื่องดังกล่าว

 

ในบรรดาอาณาจักรทั้งหลาย มีเพียงหกอาณาจักรที่สามารถเรียกว่าเป็นอาณาจักรใหญ่เหมือนเช่นอาณาจักรถัง

 

ทั้งเจ็ดอาณาจักรยืนเคียงข้างกัน บ้างก็เผชิญหน้ากัน บางทีก็ร่วมมือกัน แบ่งแยกดินแดนไปตามส่วนต่างๆ ของทวีป

 

สําหรับอาณาจักรเล็กๆ พวกเขาจะล่มสลายลงหลังจากนี้อีกไม่นาน และไม่ได้อยู่ในสายตาของจักรพรรดิถังเลย

 

ส่วนทั้งหกอาณาจักรที่ไม่ได้ยื่นหนังสือยอมศิโรราบมาเหมือนอาณาจักรเล็กๆ แต่เสนอเงื่อนไขมาแทน จักรพรรดิถังเองก็คาดหวังกับเงื่อนไขพวกนี้เช่นเดียวกัน

 

ท้ายที่สุดด้วยฐานะที่เป็นอาณาจักรยักษ์ใหญ่ แม้ว่าจะยอมจํานนแล้วก็ตาม จักรพรรดิถังก็ยังต้องเอาใจใส่พวกเขา อยู่ดี

 

สําหรับจักรพรรดิถัง ตราบใดที่ทั้งหกอาณาจักรเหล่านี้ยอมจํานน เชื่อฟัง ไม่ขัดขวางกัน จักรพรรดิถังย่อมยอมตกลงในเงื่อนไขทั่วไปที่ไม่เหลือบ่ากว่าแรง

 

“ทั้งหกอาณาจักรต้องการคําสัญญา แม้อาณาจักรถังจะได้ครองทวีปในอนาคต แต่ลูกหลานของทั้งหกอาณาจักรจะต้องสามารถมีชีวิตอยู่อย่างเพลิดเพลินไปบนกองเงินกองทองได้ตลอดไป..”

 

“และหากทายาทของทั้งหกอาณาจักรประสบปัญหา ก็หวังว่าอาณาจักรถังจะยื่นมือช่วยเหลือ…”

 

รองเสนาบดีประจํากรมพิธีการโค้งคํานับ

 

“ของข้างั้นรี นี่มันเงื่อนไขอะไรกัน…” เมื่อจักรพรรดิถังได้ฟังก็แย้มสรวล “เพลิดเพลินกับความมั่งคั่งและเกียรติยศตลอดไป? ยื่นมือเข้าช่วยยามเมื่อมีภัยงั้นหรือ? ได้ข้าตกลง

 

ถ้าจักรพรรดิถังต้องการจะยึดครองทุกภูมิภาคจริง มันไม่ใช่เรื่องลําบากอะไรที่จะดูแลลูกหลานของทั้งหกอาณาจักร ส่วนช่วยเหลือยามลําบากนั้น…

 

ตราบใดที่อาณาจักรถังเอ่ยปาก ในโลกนี้ยังจะมีใครกล้าทําให้ลูกหลานของทั้งหกอาณาจักรต้องอับอายอีก?

 

“ฝ่าบาท..”

 

รองเสนาบดีประจํากรมพิธีการกัดฟันพร้อมทั้งกล่าวคําว่า “คําสัญญาที่ทั้งหกอาณาจักรต้องการ ไม่ใช่คําสัญญาจากพระองค์”

 

“ไม่ใช่สัญญาจากข้างั้นหรือ?”

 

จักรพรรดิถังขมวดคิ้ว สงสัยว่ารองเสนาบดีประจํากรมพิธีการกําลังจะพูดถึงอะไร

 

เมื่อรองเสนาบดีประจํากรมพิธีการตั้งสติได้ ก็กล่าวต่อไปว่า “คําสัญญาที่ทั้งหกอาณาจักรต้องการ คือคําสัญญาจากพระมาตุลาแห่งอาณาจักรพ่ะย่ะค่ะ”

 

เมื่อรองเสนาบดีประจํากรมพิธีการกล่าวคําว่า “พระมาตุลาแห่งอาณาจักร” เสียงของเขาก็สั่นเครือเล็กน้อย

 

“อยากได้คําสัญญาของพี่สามงั้นหรือ?”

 

ทันใดนั้นจักรพรรดิถังก็ลุกขึ้นเดินไปเดินมา

 

หลังจากนั้นจักรพรรดิถังก็แสดงสีหน้าเย้ยหยัน “หกอาณาจักรนี้คํานวณมาเป็นอย่างดี…”

 

จักรพรรดิถังรู้ถึงแผนการของทั้งหกก๊ก

 

พูดง่ายๆ ก็คือจักรพรรดิ์จากทุกอาณาจักรไม่เชื่อถือในคําสัญญาของจักรพรรดิถัง ทุกคนต่างก็เป็นจักรพรรดิเหมือนกัน พวกเขาต่างเข้าใจความคิดของกันและกันเป็นอย่างดี

 

บางที่จักรพรรดิถังทรงให้คํามั่นสัญญาในวันนี้ แต่หลังจากควบคุมดินแดนทั้งหกอาณาจักรได้โดยแท้จริงแล้ว อาจจะค้นพบเหตุผลใหม่ๆ ที่จะทําให้ทายาทของทั้งหกอาณาจักรถึงแก่ความตายไปก็เป็นได้

 

แต่ถ้าซูฉินเป็นผู้ให้คําสัญญานี้ มันก็คงจะต่างออกไป

 

ไม่ว่าใครจะเป็นจักรพรรดิถังในอนาคต ซูฉินก็จะยังคงมีชีวิตอยู่ และคงไม่มีจักรพรรดิถังคนใดกล้าเหิมเกริมกับซูฉิน

 

คําพูดของซูฉินนั้นเพียงพอแล้วที่จะทําให้ทายาทของทั้งหกอาณาจักรมีชีวิตอยู่อย่างสุขสบายไปอีกหลายร้อยปีโดยไม่ต้องกังวลอันตรายใดๆ

 

“ข้าทราบความแล้ว”

 

จักรพรรดิถังคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงกลับไปนั่งบนบัลลังก์มังกร “เจ้าออกไปก่อนเถอะ”

 

“รับพระบัญชา”

 

รองเสนาบดีประจํากรมพิธีการกราบทูลลา

 

หลังจากรองเสนาบดีประจํากรมพิธีการออกไป จักรพรรดิถังก็เสด็จมายังพระราชวังตะวันออกเพียงลําพัง

 

ทันทีที่จักรพรรดิถังเข้าสู่พระราชวังตะวันออก เขาก็รู้สึกอบอุ่นไปทั่วทั้งกาย รู้สึกสดชื่นสบายตัวมากยิ่งขึ้นหลังจากสูดลมหายใจเข้าไป

 

“วิธีการของพี่สามช่างเหนือจินตนาการจริงๆ”

 

จักรพรรดิถังเต็มไปด้วยอารมณ์ความรู้สึก

 

เขาเคยอาศัยอยู่ภายในพระราชวังตะวันออกมาเป็นเวลาหลายปี แน่นอนว่าเขารู้ดีว่าพระราชวังตะวันออกเป็นเช่นไร และด้วยวิธีการของซูฉิน พระราชวังตะวันออกเดิมก็กลับลายเป็นสวรรค์บนดิน

 

ช่างน่าเหลือเชื่อ

 

“เมื่อใดที่หยวนเอ๋อขึ้นครองบัลลังก์ ข้าจะมาอาศัยอยู่ที่นี่กับหยุนเหนียงตลอดทั้งปี”

 

จักรพรรดิถังคิดอยู่ภายในใจ

 

ถ้าไม่ใช่เพราะอาณาจักรถัง เขาก็อยากจะมาอยู่ในพระราชวังตะวันออกตลอดทั้งวันไปเสียเลย

 

เพราะก่อนหน้านี้จักรพรรดิถังค้นพบว่า ซูชื่อหมินซึ่งเริ่มโรยราแล้ว กลับมีผมสีดําแซมขึ้นมาอีกครั้ง

 

ในไม่ช้าจักรพรรดิถังก็มาหยุดอยู่หน้าตําหนักชุนฝั่งขวา

 

ตอนนี้พลังฟ้าดินอันยิ่งใหญ่ได้แพร่กระจายไปทั่วพระราชวังตะวันออกแล้ว ตระกูลซูได้หาสถานที่ใหม่ภายในพระราชวังตะวันออกเพื่อฝึกฝนบ่มเพาะ

 

ส่วนตําหนักชุนฝั่งขวา

 

ในฐานะที่มันเป็นที่พํานักเดิมของซูฉิน จึงไม่มีใครกล้าถือว่าตนเองครอบครองพื้นที่ตรงส่วนนี้

 

“พี่สาม”

 

จักรพรรดิถังโบกมือไปมาบริเวณหน้าตําหนักชุนฝั่งขวาพร้อมกระซิบคําแผ่วเบา

 

ในเวลาต่อมา

 

เสียงหนึ่งกล่องลอยมา

 

“เจ้ากําลังมองหาข้าอยู่งั้นรึ?”

 

เห็นเป็นซูฉินที่ไม่รู้ว่าโผล่มาตอนไหน อยู่ด้านข้างของจักรพรรดิถัง

 

“พี่สาม”

 

จักรพรรดิถังใจหายวูบ และรีบเล่าให้ฟังถึงเงื่อนไขของอาณาจักรทั้งหก

 

“ต้องการคําสัญญาจากข้างั้นหรือ?”

 

ซูฉินยิ้มให้กับความเขลา “ดูเหมือนว่าทั้งหกอาณาจักรจะยังไม่เข้าใจสถานการณ์ของตนว่าเป็นเช่นไร”

 

ซูฉินไม่คาดคิดมาก่อนว่าหกอาณาจักรจะหาญกล้า ต้องการที่จะสร้างเงื่อนไขกับตํานานยุทธ

 

“พี่สาม ตอนนี้ควรทําเช่นไรดี?” จักรพรรดิถังกล่าวถาม “ หรือต้องระดมกําลังพล ไปจัดการกับหกอาณาจักร?”

 

“อย่าทําอะไรให้มันลําบากนักสิ”

 

ซูฉินส่ายหัว จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์กระจายออกไปทั่วตําหนักชุนฝั่งขวาแบ่งออกเป็นหกส่วน กลายมาเป็นเหรียญตราหกเหรียญ

 

“ส่งคนไปยังอาณาจักรทั้งหก ให้ทางเลือกพวกเขาสองทาง”

 

เมื่อซูฉินกล่าวเช่นนั้นก็หยุดไปชั่วขณะแล้วจึงกล่าวต่อ “ยอมจํานนเสีย หรือไม่ก็ตาย”

 

ยอมจํานน

 

หรือไม่ก็ตาย

 

เมื่อได้ยินเช่นนี้ ใจของจักรพรรดิก็สั่นสะท้าน

 

“พี่สาม อาณาจักรทั้งหกจะยินยอมหรือ?” จักรพรรดิถังกล่าวด้วยน้ำเสียงเป็นกังวล

 

หากไม่มีการร่วมมือกันของทั้งหกอาณาจักร ก็คงต้องใช้เวลาอย่างน้อยหลายสิบปีกว่าอาณาจักรถังจะครองใต้หล้าได้

 

“ยินยอม?”

 

ซูฉินมอบเหรียญทั้งหกให้แก่จักรพรรดิแล้วกล่าวว่า “ถ้าพวกเขาไม่ยินยอม เพียงนําเหรียญตราอันนี้ออกมา”

 

“ขอรับ”

 

จักรพรรดิถังยื่นมือออกไปรับเหรียญตรามา เหรียญตราเหล่านี้รวมๆ กันหนักเพียงครึ่งเหลี่ยงเท่านั้น แต่ในมือของจักรพรรดิถังกลับรู้สึกเหมือนว่ามันหนักนับพันชั่งเลยทีเดียว

 

[1] 1 เหลี่ยง เท่ากับ 50 กรัม

Sign in Buddha’s palm 181 หดหูใจ

 

ผู้ดูแลศาลบรรพชนเสียชีวิตลงในค่ำคืนนั้นด้วยโรคชรา

 

แม้ว่าซูฉินจะไม่ได้เห็นด้วยตาของตนเอง แต่เหตุการณ์ดังกล่าวก็รับรู้ได้ด้วยจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของเขา

 

อันที่จริงนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ซูฉินได้เห็นผู้อื่นตายต่อหน้าต่อตาตนเอง

 

แต่ทุกครั้งที่เห็น ซูฉินไม่เคยรู้สึกทําใจให้ปกติได้สักที

 

“ขีดจํากัดอายุขัย…”

 

ซูฉินนั่งขัดสมาธิอยู่ที่พระราชวังสูงตระหง่าน ความรู้สึกภายในล่องลอยไปอย่างลึกล้ำ

 

“ไม่รู้ว่าต้องเป็นผู้ฝึกยุทธระดับไหนกันถึงก้าวข้ามขีดจํากัดเรื่องอายุขัยไปได้?”

 

ความคิดของซูฉินผกผันไปมา ใช้เวลาอยู่ภายในใจตนอย่างเงียบๆ

 

“ยังไงข้าก็ยังต้องแข็งแกร่งขึ้นไปอีก หากไม่แข็งแกร่ง ข้านั้นก็แค่อายุยืนกว่าคนทั่วไปนิดหน่อยเท่านั้น”

 

ซูฉินกลับมาเคร่งขรึมอีกครั้ง ค่อยๆ หลับตา ควบแน่นพลังฟ้าดิน พยายามเปลี่ยนมันให้กลายเป็นอาณาเขตขนาดเล็ก

 

แม้ว่าอรหันต์ในระดับนภาชั้นที่เจ็ด ไม่จําเป็นจะต้องควบแน่นอาณาเขตขนาดเล็ก

 

แต่หากตอนที่เป็นอรหันต์ในระดับนภาชั้นที่เก้าแล้วต้องการข้ามไปขอบเขตยอดอรหันต์ ก็จําจะต้องเปลี่ยนอาณาเขตขนาดเล็กให้กลายเป็นอาณาเขตขั้นสุดยอด

 

ในช่วงนี้ซูฉินใช้แรงกายแรงใจของตนมุ่งเน้นไปที่การสร้างอาณาเขตขนาดเล็กก่อนเป็นอย่างแรก หลังจากที่ควบแน่นอาณาเขตขนาดเล็กขึ้นมาได้แล้ว ย่อมเป็นการเปลี่ยนแปลงความสามารถในการต่อสู้ให้สูงขึ้น และอีกประการคือเป็นการปูทางไปสู่อนาคต

 

จอมยุทธในขอบเขตตํานานยุทธคนอื่นๆ ไม่ว่าจะเก่งกาจเพียงใด พวกเขาก็ไม่คิดว่าตนเองจะก้าวเข้าไปอยู่บนจุดสูงสุดและกลายเป็นเซียนเทพปฐพีได้

 

แต่ซูฉินคิดต่างออกไป

 

สําหรับซูฉินการก้าวเข้าสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพีนั้นก็เป็นเพียงเรื่องของระยะเวลาเท่านั้น

 

ในเวลาต่อมา ซูฉินกลับมาใช้ชีวิตตามปกติอีกครั้ง

 

และหลังจากที่ซูฉินแสดงความแข็งแกร่งของตนออกไป สิ่งต่างๆ ก็ไม่ได้แตกต่างไปจากก่อนหน้านี้

 

ข้อแตกต่างเพียงอย่างเดียวคือซูฉินต้องคอยชี้แนะการบ่มเพาะให้ตระกูลซูเป็นครั้งคราว

 

คาดไม่ถึงว่าในบรรดาครอบครัวตระกูลซูคนที่ฝึกฝนได้เร็วที่สุดไม่ใช่สองพี่น้องอย่างซูเฉิงฮ่าวและซูเฉิงยู่ที่ยังหนุ่มยังแน่นเลือดเนื้อในร่างกายเต็มเปี่ยม แต่เป็นซูชื่อหมินซึ่งปราณชีวิตและเลือดเนื้อเริ่มถดถอยลงไปแล้ว

 

“ท่านพ่อใช้ชีวิตมาแล้วก็เกือบทั้งชีวิต ทั้งในด้านอารมณ์และประสบการณ์ล้วนพรั่งพร้อม ดังนั้นท่านพ่อจึงก้าวหน้าได้อย่างรวดเร็ว…”

 

ซูฉินแอบสังเกตและลอบคิดภายในใจ

 

สําหรับสองพี่น้องซูเฉิงฮ่าวและซูเฉิงยู่ พวกเขายังคงคิดฝันเกี่ยวกับเรื่องทางโลก แม้ว่าจะมีทรัพยากรสําหรับฝึกยุทธที่ซูฉินจัดหาให้ แต่เป็นเรื่องปกติเพราะการบ่มเพาะจําเป็นจะต้องอุทิศทั้งกายใจ ทุ่มเทไปกับมัน

 

แน่นอน ไม่ว่าจะเป็นซูชื่อหมิน ซูเฉิงฮ่าว หรือซูเฉิงยู่ พวกเขาสามารถก้าวหน้าได้มากขนาดนี้ ทั้งหมดเป็นเพราะการฝึกฝนที่ซูฉินจัดเตรียมเอาไว้ พร้อมกับฝึกฝนอยู่ในพื้นที่ค่ายกลฟ้าดินบริเวณตําหนักขุนฝั่งขวา

 

นอกจากตระกูลซูแล้ว ซูฉินก็ยังชี้แนะให้กับหลีหว่านเป็นครั้งคราว

 

“ลุงสาม”

 

หลีหว่านยืนอยู่ตรงหน้า ใบหน้าดวงเล็กของนางเต็มไปด้วยความข็งขัง

 

“การฝึกฝนวิชาดาบของเจ้าเป็นเยี่ยงไรบ้าง” ซูฉินมองที่หลีหว่านพร้อมทั้งกล่าวคําเบาๆ

 

ตั้งแต่ครั้งล่าสุดที่หลีหว่านกล่าวว่าต้องการจะฝึกฝนวิชาดาบ ซูฉินก็ได้แบ่งเศษเสี้ยวความเข้าใจเกี่ยวกับวิถีดาบของตน สร้างเป็นร่องรอยรูปดาบประทับลงบนชิ้นไม้

 

ไม่ใช่ว่าซูฉินไม่ต้องการจะส่งต่อความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับวิถีดาบให้กับหลีหว่าน

 

แต่เป็นอีกฝ่ายที่รับไม่ได้

 

แต่เดิมวิถีดาบนั้นเป็นวิถีแห่งการฆ่าฟัน ถึงแม้ความเข้าใจในศาสตร์วิชาดาบจะถูกชําระจนบริสุทธิ์โดยซูฉินแล้ว และเจตนาฆ่าก็ลบเลือนหายไปแล้ว แต่หลีหว่านเป็นเพียงผู้ฝึกยุทธที่อยู่ขอบเขตสามระดับล่าง แม้จะมีพรสวรรค์ที่ดี แต่จะทนทานต่อความเข้าใจในวิถีดาบของขอบเขตอรหันต์ได้เช่นไร?

 

“ลุงสาม”

 

“ดูเหมือนว่าข้าจะเรียนรู้อะไรมานิดหน่อยแล้ว”

 

หลีหว่านพูดอย่างระมัดระวัง

 

“โอ้?”

 

“ลองตวัดดาบให้ข้าดูเสียหน่อย”

 

ซูฉินมองไปที่หลีหว่านพร้อมกล่าวคํา

 

“เจ้าค่ะ”

 

หลีหว่านพยักหน้า หยิบดาบไม้ออกมาแล้วฟาดฟันดาบออกไป ตามความรู้สึกส่วนลึกในใจ

 

ชวิ้ง!!

 

เห็นเป็นประกายดาบวิบไปวับมา สลายหายไปในอากาศ

 

“ไม่เลว”

 

ซูฉินพยักหน้าเล็กน้อยเมื่อได้เห็นสิ่งนี้

 

แม้ว่าประกายดาบของหลีหว่านจะยังไม่คุ้มค่าแก่การกล่าวถึง แต่หลีหว่านก็เป็นเพียงเด็กสาวแรกรุ่นคนหนึ่งเท่านั้น

 

ประกายดาบนั้นหากเทียบกับทั่วทั้งยุทธภพ ก็เพียงพอที่จะทําให้นักดาบกว่าเก้าส่วนต้องอับอายแล้ว

 

“จากความเข้าใจในปัจจุบันของเจ้าเกี่ยวกับวิถีแห่งดาบภายในยี่สิบปีก็คงจะเป็นยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งได้”

 

ซูฉินออกความเห็น

 

เมื่อก่อน พรสวรรค์ในเชิงยุทธของหลีหว่านก็ไม่ได้มีปัญหาอันใด แต่อย่างน้อยก็ต้องใช้เวลาอีกสามสิบปีถึงจะก้าวถึงระดับชั้นที่หนึ่งได้

 

แต่ยามนี้มันเร็วกว่ากําหนดถึงสิบปี

 

“ลุงสาม”

 

“ข้าสามารถเป็นยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งได้จริงหรือ?”

 

หลีหว่านเต็มไปด้วยใจปรารถนา

 

ในมุมของหลีหว่าน ยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งอยู่ห่างไกลจากนางมากเกินไป และเหล่ากงกงที่แสนดุร้ายในวังหลวงก็อยู่ในระดับนี้กันทั้งนั้น

 

“ถ้าเจ้าต้องการจะปกป้องอาณาจักรถัง เป็นเพียงยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งไม่เพียงพอ” ซูฉินกล่าวโดยทิ้งความหมายบางอย่างเอาไว้

 

“อะไรนะ?”

 

ใบหน้าของหลีหว่านขมขื่นขึ้นมาในทันที

 

“แล้วข้าควรจะแข็งแกร่งถึงขั้นไหนหากต้องการจะปกป้องอาณาจักรถัง?” หลังจากนั้นไม่นานหลีหว่านก็เอ่ยถามขึ้นมาอย่างไม่ค่อยมั่นใจนัก

 

“ตํานานยุทธ”

 

ซูฉินตอบกลับไป

 

ตอนนี้ปราณีฟื้นคืนแล้ว การฝึกฝนก็ง่ายขึ้น สถานการณ์ที่ยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสูงสุดสามารถครองอาณาจักรใดอาณาจักรหนึ่งได้เหมือนในอดีตไม่น่าจะเกิดขึ้นอีกต่อไป

 

เป็นไปได้ว่าตัวตนอย่างยอดปรมาจารย์ขั้นสูงสุดจะยังนับว่าแข็งแกร่ง แต่ก็ไม่สามารถจัดการทุกสิ่งได้อยู่หมัดอีกต่อไปแล้ว

 

“อา…”

 

“ตํานานยุทธ…”

 

ใบหน้าของหลีหว่านเต็มไปด้วยความรู้สึกเสียศูนย์

 

หากเป็นยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่ง นางยังสามารถตั้งตารอได้ แต่ตํานานยุทธนั้น

 

ในเวลานี้หลีหว่านไม่ใช่ผู้ฝึกยุทธหน้าใหม่ที่เพิ่งเข้าสู่โลกของจอมยุทธอีกต่อไป แม้จะไม่ค่อยรู้เรื่องตํานานยุทธมากนัก แต่ก็รู้ถึงความยากลําบากที่จะไปให้ถึง

 

“ไม่ต้องกังวล มีข้าอยู่นี่ทั้งคน อาจจะไม่สามารถกล่าวได้ว่าสามารถทําให้เจ้ากลายเป็นตํานานยุทธได้ แต่อย่างน้อยก็มีความหวังมากกว่าคนอื่นๆ”

 

เมื่อซูฉินเห็นสีหน้าผิดหวังของหลีหว่าน จึงกล่าวคําออกมาจากใจของตน

 

“ลุงสาม สิ่งที่ท่านพูดนั้นเป็นความจริงหรือ?” หลีหว่านกะพริบตากลมโตของนาง

 

ซูฉินยิ้ม ไม่ตอบคํา และหยิบแผ่นกระดาษขึ้นมาอีกครั้ง “นี่คือสิ่งที่เจ้าจะต้องใช้บ่มเพาะในขั้นต่อไป”

 

“เก้าอิมจินเก็ง?”

 

หลีหว่านหยิบคัมภีร์ขึ้นมาอ่านตามคําที่เขียนบันทึกเอาไว้

 

“มิผิด”

 

“เมื่อสําเร็จวิชาเก้าอิมจินเก๋งได้ในระดับสูงสุด ก็จะสามารถไปถึงระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสมบูรณ์ เพียงพอให้เจ้าฝึกฝนไปอีกเป็นร้อยปี”

 

ซูฉินพยักหน้า

 

หลีหว่านมีหวังที่จะกลายเป็นยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งในอีกยี่สิบปีข้างหน้า และหากทุกอย่างผ่านไปได้ด้วยดี ยามเมื่อนางพร้อมจะทะลวงเข้าสู่ขอบเขตตํานานยุทธก็คงจะเป็นอีกร้อยปีต่อจากนี้

 

นี่คือรวมผลกระทบจากกระแสปราณที่ฟื้นคืนด้วยแล้ว

 

ไม่เช่นนั้น หากไม่มีกระแสปราณฉี หลีหว่านอาจจะไม่สามารถเข้าใจพลังแห่งฟ้าดินได้ในชั่วชีวิตของนาง ไม่ต้องพูดถึงการทะลวงเข้าขอบเขตตํานานยุทธ

 

“เอาล่ะ”

 

“กลับไปก่อนเถอะ”

 

ซูฉินพูดคุยกับหลีหว่านเกี่ยวกับสาระสําคัญในการฝึกคัมภีร์เก้าอิม และให้หลีหว่านกลับไปไตร่ตรองวิชาดูด้วยตนเองอย่างช้าๆ

 

แม้ว่าซูฉินจะคอยชี้แนะแนวทางการฝึกยุทธ แต่ทุกสิ่งก็ขึ้นอยู่กับตัวผู้ฝึกยุทธเองเสียมากกว่า

 

“จะมีสักกี่คนกันนะที่สําเร็จถึงขอบเขตตํานานยุทธได้”

 

หลังจากที่หลีหว่านจากไป ท่าทีของซูฉินก็กลายเป็นสงบนิ่งอีกครั้ง

 

ตอนที่ซูฉินกําลังเตรียมจะกลับไปโถงพระราชวังสูงตระหง่านใต้เมืองฉางอันเพื่อควบแน่นอาณาเขตขนาดเล็กต่อไป

 

“เอ๋?”

 

จู่ๆ ซูฉินก็รู้สึกถึงบางสิ่งขึ้นมาได้ในทันใด และหันมองไปยังทิศทางหนึ่ง

 

Sign in Buddha’s palm 180 เหล่าตํานานยุทธ จากต่างดินแดน

 

ชายขอบของทวีป

 

ชายในชุดคลุมสีน้ําเงินมีดวงตาที่มุ่งมั่นร้อนแรง

 

ผู้ฝึกยุทธในต่างแดนนั้นอยู่ในจุดรุ่งเรืองยิ่ง แต่ทรัพยากรสําหรับการฝึกฝนบ่มเพาะส่วนใหญ่ถูกควบคุมโดยเหล่าสุดยอดพรรค สําหรับผู้ฝึกยุทธธรรมดา ถึงแม้จะเข้าถึงขอบเขตตํานานยุทธเรียบร้อยแล้วแต่หากไม่เลือกเข้าร่วม ไม่เลือก ทํางานให้กับสุดยอดพรรค พวกเขาย่อมตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลําบาก

 

“ที่ดี พวกนิกายใหญ่พวกนั้นไม่เชื่อถือคําทํานายจากผู้เห็นชะตาฟ้าคิดว่าต่อให้กระแสปราณญี่จะฟื้นคืนกลับมาพวกมันก็จะยังรักษาความรุ่งโรจน์ในต่างดินแดนเอาไว้ได้ ช่างน่าเวทนานัก…”

 

ชายในชุดคลุมสีน้ําเงินส่ายหัวเล็กน้อย ร่องรอยความเย็นชาปรากฏขึ้นบนใบหน้า

 

ครั้งหนึ่งตัวเขาเคยมีโอกาสผ่านไปยังเกาะร้างแห่งหนึ่งและรู้ว่ากระแสปราณไม่ได้ปรากฏขึ้นเป็นครั้งแรกก่อน หน้านี้ในช่วงหมื่นปีพันปี หรือช่วงร้อยปี กระแสปราณฉีมีขี้ นมีลงอยู่เป็นครั้งคราว

 

และเมื่อใดก็ตามที่กระแสปราณีพุ่งสูงขึ้น จะมีพื้นที่ที่เป็นแกนหลักปรากฏขึ้นมา

 

แกนหลักแห่งนี้จะเหนือกว่าที่อื่นๆ ในโลก และแม้แต่ผู้ที่ทรงพลังในต่างดินแดนก็จะถูกปราบปราม ไม่อาจต่อกร

 

“อย่างไรก็ตาม พวกผู้อาวุโสในสุดยอดพรรค ในนิกายใหญ่ๆ เหล่านั้นไม่เชื่อถือ แต่เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วมันช่วยแก้ปัญหาไปได้หลายอย่างที่เดียว”

 

รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของชายในชุดคลุมสีน้ําเงิน

 

เขาจะต้องปวดเศียรเวียนเกล้าแน่ๆ ถ้าเหล่าหัวหน้าสุดยอดพรรคในต่างดินแดนเชื่อถือในคําทํานายของผู้เห็นชะตาฟ้า แต่ยามนี้ยังไม่มีใครสนใจทวีปนี้ ในสายตาของชายชุดคลุมสีน้ําเงินมันจึงเป็นเรื่องที่ดียิ่ง

 

“ตราบใดที่ข้าครอบครองทวีปนี้ไว้ก่อนล่วงหน้า เริ่มวางรากฐานลงไปแม้ว่าจะใช้เวลาเพียงไม่กี่ปี แต่ผลประโยชน์ก็จะเท่ากับทํางานอย่างหนักหน่วงหลายสิบหลายร้อยปี”

 

ความคิดของชายในชุดคลุมสีน้ําเงินแปรเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วเริ่มคิดหาวิธีพิชิตทวีปนี้โดยเร็วที่สุด

 

หากหลังจากผ่านช่วงเวลานี้ไปอีกหลายสิบหรือหลายร้อยปียามเมื่อทวีปนี้เปี่ยมด้วยพลังอันเปี่ยมล้นเต็มที่ เขาคงไม่กล้าจะคิดเรื่องพวกนี้อีกแล้ว

 

แม้ว่าจะเป็นพื้นที่แกนหลักของกระแสปราณฉี แต่ก็เหมือนกับน้ําในลําคลองที่ต้องอาศัยการเก็บสะสมจากหยาดฝนแม้จะมีบางอย่างไม่ธรรมดาภายในทวีปนี้ แต่ในสายตาของเขามันก็ไม่ได้เป็นปัญหาใหญ่อะไร

 

ในฐานะที่เป็นตํานานยุทธจากต่างดินแดนชายในชุดคลุมสีน้ําเงินย่อมมีความเย่อหยิ่งอยู่ในใจ

 

สถานที่ห่างไกลเช่นนี้ ห่างไกลจากต่างแดน เกรงว่าตํานานยุทธคงไม่กําเนิดขึ้นมาหลายร้อยปีแล้วกระมัง จะมาหยุดการพิชิตทวีปของเขาได้เยี่ยงไร

 

สิ่งเดียวที่ชายชุดคลุมสีน้ําเงินจะต้องคิดพิจารณาในตอนนี้คือวิธีใดที่จะพิชิตทวีปนี้ให้ได้เร็วที่สุด

 

“ข้าต้องรีบแล้ว ในเวลาช่วงสั้นๆ นี้ พวกสุดยอดพรรคสํานักระดับสูงอาจจะยังไม่เชื่อถือในคําทํานายชะตาฟ้า แต่เมื่อ เวลาผ่านไปกระแสปราณฉีจะยิ่งทวีความแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ เหล่ายอดยุทธอาวุโสที่ยืนอยู่บนจุดสูงสุดในต่างดิน แดนอย่างน้อยก็คนหรือสองคนจะต้องสังเกตเห็นบางอย่างแน่นอน”

 

หัวใจของชายชุดคลุมสีน้ําเงินถูกบีบรัดแน่นขึ้นในทันใด

 

ตัวเขาไม่เคยคิดว่าจะครองทวีปนี้ได้ตลอดไป

 

เมื่อเหล่ายอดยุทธจากต่างแดนตระหนักถึงเหตุการณ์ที่กําลังจะเกิดขึ้น ชายในชุดคลุมสีน้ําเงินก็ทําได้แค่ยอมถอยเท่า นัน

 

เมื่อคิดถึงเรื่องดังกล่าว ชายในชุดคลุมสีน้ําเงินก็ก้าวเท้าไปด้านหน้าแล้วหายวับไปจากจุดเดิม

 

ในเวลาเดียวกัน

 

ซูฉันเดินเล่นภายในวังหลวงโดยไม่ได้รีบร้อนอะไร

 

“เอ๋?”

 

ซูฉินหยุดเดินและมองเข้าไปในศาลบรรพชนของวังหลวง

 

เมื่อยามที่ซูฉินมาถึงพระราชวังถังครั้งแรก เขารู้ว่าผู้ดูแลศาลบรรพบุรุษเป็นยอดปรมาจารย์ขั้นสูงสุด และควรจะเป็นภูมิหลังอย่างสุดท้ายของพระราชวังถัง

 

“กําลังจะตายงั้นหรือ…”

 

ดวงตาของซูฉินสงบนิ่ง ความคิดผันผวนอยู่ภายใน

 

ในการรับรู้ของเขา ลมหายใจของผู้ดูแลในเวลานี้ก็เปรียบเหมือนเทียนไขท่ามกลางสายลม สามารถมอดดับได้ทุกเมื่อ

 

“ถึงขีดจํากัดของชีวิต…”

 

ซูฉินส่ายหัวเล็กน้อย

 

แม้แต่ยอดยุทธระดับนภาชนที่เจ็ดอย่างซูฉิน เรื่องขีดจํากัดของชีวิตก็เป็นปัญหาที่เลี่ยงไม่ได้

 

ถ้าซูฉันไม่สามารถไปถึงขอบเขตยอดอรหันต์ได้ เขาก็จะมีชีวิตอยู่ได้อีกเพียงเก้าร้อยห้าสิบปีเท่านั้น รอคอยเลือดเนื้อเสื่อมสลายและตายลงอย่างโดดเดี่ยว

 

“น่าเสียดาย”

 

ซูฉินถอนหายใจออกมา

 

ยามนี้ปราณีฟื้นฟูกลับมาแล้ว ถ้าผู้ดูแลยังมีชีวิตต่อไปอีกสักหลายสิบปี อาจจะทะลวงผ่านขั้นขึ้นมาได้

 

แต่ตอนนี้

 

เมื่อซูฉินกําลังจะหันหลังกลับและเดินจากไป

 

ครืด

 

ประตูศาลบรรพชนถูกเปิดออกอย่างช้าๆ

 

เห็นผู้ดูแลศาลบรรพชนเดินออกมาอย่างยากลําบาก ทันที่ที่เห็นซูฉิน สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย จากนั้นจึงกล่าวด้วยความเคารพ

 

“คารวะผู้อาวุโส..”

 

แม้ว่าร่างกายผู้ดูแลศาลบรรพชนจะเสื่อมถอยใกล้จุดสิ้นสุดของชีวิต แต่เขาก็ยังรักษาหน้าที่ในฐานะยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสูงสุดได้อยู่ ยกเว้นแต่เขาจะแก่มากและใกล้ตายจริงๆก็คงไม่เหลือบ่ากว่าแรงที่จะเคลื่อนไหวไปมา

 

“เจ้ามีความสัมพันธ์เช่นไรกับปฐมจักรพรรดิ?” ซูฉินหยุดเดิน มองไปที่ผู้ดูแลอีกครั้ง เอ่ยถามอย่างเป็นกันเอง

 

แม้ว่าซูฉินจะไม่เคยพบปฐมจักรพรรดิแห่งราชวงศ์ถังแต่เขาก็ได้รับจี้หยกที่ปฐมจักรพรรดิถังบรรจุจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ ทิ้งเอาไว้

 

กลิ่นอายจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของปฐมจักรพรรดิถังในพื้นที่จิตวิญญาณมีความคล้ายคลึงกับผู้ดูแลศาลบรรพชนอยู่เล็กน้อย

 

ดังนั้นซูฉินจึงถามเช่นนี้

 

“ท่านผู้อาวุโส”

 

“ปฐมจักรพรรดิเป็นต้นตระกูลของข้าเอง….” ผู้ดูแลศาลบรรพชนกล่าวด้วยความเคารพ

 

“เช่นนั้นเอง”

 

ซูฉินพยักหน้าเล็กน้อย

 

เมื่อเป็นเช่นนี้

 

จึงอธิบายได้ทุกสิ่ง

 

“ท่านผู้อาวุโส”

 

“ก่อนที่ปฐมจักรพรรดิจะข้ามน้ําข้ามทะเลจากไป พระองค์ได้ฝากข้อความเอาไว้ให้แก่ตํานานยุทธที่จะกําเนิดขึ้นใน อาณาจักรถังมีความจริงบางอย่างที่ต้องบอกกล่าว”

 

ผู้ดูแลลังเลอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงกระซิบบอก

 

“โอ้ว”

 

ชุฉินมองไปที่ผู้ดูแลจากนั้นจึงพูดขึ้นเบา ๆ “ปฐมจักรพรรฝากข้อความใดเอาไว้หรือ”

 

“ท่านผู้อาวุโส ปฐมจักรพรรดิเคยกล่าวเอาไว้ว่า ถึงแม้จะมีโอกาสที่จะยืดอายุขัยออกไปได้ในต่างแดน แต่ที่นั่นก็ไม่ใช้สถานที่ที่ดีนัก”

 

“ต่างดินแดนเต็มไปด้วยพลังและวิชชาความรู้ เป็นดังสถานศักดิ์สิทธิ์ของเหล่าตํานานยุทธ แต่ในต่างแดนนั้นมีสุดยอดพรรคสํานักชั้นสูงที่คอยปกครองและควบคุมดูแลทรัพยากรจํานวนมหาศาล…”

 

ผู้ดูแลศาลบรรพชนพูดไปตามความเป็นจริง

 

“ข้าทราบแล้ว”

 

ซูฉินแตะปลายคางของตน ดวงตาฉายแววครุ่นคิด

 

ต่างดินแดนไม่ใช่สถานที่ที่ดีนัก ตอนที่เขาไปเยี่ยมชมอาณาจักรหนานจ้าวและกําจัดลัทธิบูชาจันทร์ก่อนหน้านี้เขารู้เรื่องราวพวกนี้ดียามเมื่อพบเจอกับตํานานยุทธในชุด ชาววัง

 

อย่างไรก็ตามนี้เป็นครั้งแรกที่ซูฉินได้ยินเกี่ยวกับสุดยอดพรรคสํานักระดับสูง

 

“ถ้าท่านจะไปต่างดินแดน จําจะต้องระวังเอาไว้”

 

ผู้ดูแลศาลบรรพชนเงียบไปครู่หนึ่งแล้วพูดต่อ

 

ซูฉินเพียงยิ้มรับเมื่อได้ยินเรื่องราวเหล่านี้แต่ไม่ได้กล่าวตอบ

 

สําหรับพระอรหันต์และตํานานยุทธคนอื่น ๆ ต่างดินแดนเป็นสถานที่เดียวที่พวกเขาจะไปได้ และมีเพียงต่างดินแดนแห่งนี้เท่านั้นที่พวกเขาจะค้นพบโอกาสให้ไขว่คว้ามากขึ้น

 

แต่ในสายตาของซูฉิน เขาไม่เคยคิดที่จะไปต่างดินแดนเลย

 

ไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องที่ซูฉินพบปากทางเข้าสู่โลกถ้ําปีศาจใต้เมืองฉางอัน แม้ว่าเขาจะไม่ได้ค้นพบมัน สมบัติที่ได้จากการลงชื่อเข้าใช้ภายในวังหลวงก็เพียงพอแล้วที่จะเสริมส่งซูฉินให้ไปถึงขอบเขตอรหันต์ระดับนภาชั้นที่เก้า หรือแม้แต่ ยอดอรหันต์ เซียนเทพปฐพี

 

เมื่อเป็นเช่นนี้ทําไมซูฉินยังต้องถ่อไปถึงต่างแดน?

 

ในเวลานั้นเองผู้ดูแลศาลบรรพชนก็โค้งคารวะซูฉินอย่างสุดหัวใจอีกครั้ง “การลงมือหลายต่อหลายครั้งของท่านช่วยอาณาจักรถังให้รอดพ้นจากการล่มสลาย หากท่านผู้อาวุโส ต้องการสิ่งใดในอนาคตโปรดบอกให้ข้าทราบได้เลย”

 

เมื่อพูดมาถึงเรื่องนี้ ผู้ดูแลศาลบรรพชนก็หยิบจี้หยกรูปมังกรออกมาจากแขนเสื้อ “นี่ตราสัญลักษณ์ที่ปฐมจักรพร รดิทิ้งไว้ให้ผู้ที่เห็นตราสัญลักษณ์นี้ก็เหมือนได้เห็นปฐมจักรพรรดิอยู่ตรงหน้า”

 

ผู้ดูแลศาลบรรพชนได้ยื่นจี้หยกรูปมังกรไปที่เบื้องหน้าของซูฉินอย่างนอบน้อม “ถ้าผู้อาวุโสครอบครองตราสัญลักษณ์ชิ้นนี้ จะไม่มีผู้ใดกล้าคัดค้านสิ่งใด แม้ว่าจะเป็นการปลดจักรพรรดิออกจากตําแหน่งก็ตาม”

 

ซูฉินเหลือบมองจี้หยกรูปมังกรและกล่าวด้วยรอยยิ้มบนใบหน้าว่า “เจ้าไม่กลัวว่าข้าจะขึ้นครองบัลลังก์ของอาณาจักรถังด้วยการใช้ตราสัญลักษณ์นี้หรือ?”

 

“ถ้าท่านผู้อาวุโสต้องการครอบครองบัลลังก์จริงก็โปรดรับไปเถิด”

 

ผู้ดูแลศาลบรรพชนกล่าวตอบโดยไร้ซึ่งความลังเลใจ

 

Sign in Buddha’s palm 179 มีตํานานยุทธมาจากต่างดินแดน

 

เมืองฉางอัน

 

โถงพระราชวังอันสูงตระหง่านใต้ผืนดิน

 

ซูฉินนั่งขัดสมาธิ สูดลมหายใจเข้าลึกราวกับเป็นความเวิ้งว้างว่างเปล่าไร้ที่สิ้นสุด

 

“หลังจากก้าวเข้าสู่ระดับนภาชั้นที่เจ็ด ความสามารถในการควบคุมพลังฟ้าดินก็เพิ่มขึ้นเป็นร้อยลี้ที่เดียว” ซูฉินตรวจสอบพลังพร้อมกระซิบคําคุยอยู่กับตนเอง

 

ในตอนนี้เขาสามารถรวบรวมพลังฟ้าดินในรัศมีร้อยได้ ภายในความคิดวูบเดียว ราวกับเชียนเทพบนสรวงสวรรค์

 

“ถึงแม้จะพัฒนาขึ้นมาก แต่ข้ารู้สึกได้ว่าการควบคุมพลังฟ้าดินในรัศมีร้อยลี้นั้นคือขีดจํากัดแล้ว”

 

“หรืออาจกล่าวได้ว่า การควบคุมพลังฟ้าดินในรัศมีร้อยลี้ เป็นขีดจํากัดของขอบเขตอรหันต์และตํานานยุทธแล้ว”

 

ซูฉินแตะปลายคางของตน ดวงตาเหม่อลอยครุ่นคิด

 

เมื่อเทียบกับโลกอันกว้างใหญ่ไพศาล พลังของบุคคลหนึ่งนั้นเล็กน้อยอย่างไม่อาจจะเทียบกันได้ แม้จะเป็นขอบเขตอรหันต์หรือตํานานยุทธก็ตาม

 

สําหรับขอบเขตอรหันต์หรือตํานานยุทธ ระยะที่สามารถใช้พลังได้ดั่งใจนึกเสมือนแขนขานั้นอยู่ที่หนึ่งร้อยรอบตัว

 

ถ้าไกลเกินกว่าหนึ่งร้อยลี้ แม้แต่ตํานานยุทธในระดับนภา ชั้นที่เก้าก็ไม่สามารถควบคุมได้

 

แน่นอนว่ายามที่ซูฉินใช้ธนูเก้าประกายยิงใส่ราชาหัวเมืองทั้งสิบที่ห่างออกไปหลายพันลี้ มันเป็นพลังของธนูเก้าประกาย ไม่ได้นับเป็นความสามารถในการควบคุมพลังฟ้าดินของตัวเขาเอง

 

“ไม่น่าแปลกใจที่หลังจากถึงระดับนภาชั้นที่เจ็ดจึงมักจะต้องควบรวมอาณาเขตขนาดเล็กกัน ปรากฏว่าเป็นเพราะความสามารถในการควบคุมพลังฟ้าดินถึงขีดจํากัดแล้วนี่เอง”

 

ซูฉินพยักหน้าเล็กน้อย

 

เนื่องจากไม่สามารถขยายขอบเขตการควบคุมพลังฟ้าดินได้อีกต่อไป ฉะนั้นควรทําเช่นไรต่อ?

 

ย่อมเป็นการควบแน่นพลังฟ้าดินอย่างสุดความ สามารถเพื่อสร้างสิ่งที่คล้ายกับ ‘อาณาเขต” ขึ้นมา

 

“ว่ากันว่าหากตํานานยุทธต้องการจะพัฒนาขึ้นไปมากกว่านั้น จะต้องปรับปรุงอาณาเขตขนาดเล็กอย่างต่อเนื่อง และก่อร่างขึ้นมาใหม่เป็นอาณาเขตขั้นสุดยอด”

 

ความคิดของซูฉินผันผวนไปมา

 

“เชียนเทพปฐพี เพียงแค่ความคิดก็สามารถปกคลุมโลกหล้าให้อยู่ในอาณาเขตได้ ภายในอาณาเขตนั้นเซียนเทพปฐพี ก็ไม่ต่างไปจากพระเจ้า “มีอํานาจเบ็ดเสร็จแต่เพียงผู้เดียว

 

ซูฉินรู้สึกถึง

 

“อย่างไรก็ตาม ถ้าข้าต้องการจะควบแน่นอาณาเขต” ขนาดเล็ก” ขึ้นมา สิ่งแรกที่ต้องทําคือสร้างความคุ้นเคยกับระดับนภาชั้นที่เจ็ดให้ถี่ถ้วนเสียก่อน จากนั้นจึงใช้วิชาอันหลากหลายค่อยๆบีบอัดพลังฟ้าดินเข้าหากัน

 

“สุดท้าย หากบีบอัดพลังฟ้าดินจนถึงขีดสุดและก่อตัวเป็นอาณาเขตขนาดเล็กแล้ว ยังมีขั้นตอนต่อไปให้ข้าเติมจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ปริมาณมหาศาลเข้าไปด้วย…”

 

ซูฉินถอนหายใจแผ่วเบา

 

เขาไม่จําเป็นต้องกังวลเกี่ยวกับจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ หลังจากก่อร่างสร้างจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ผ่าน “เทพวิชาหลอมจิตวิญญาณจันทรา” จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของซูฉินก็เสถียรอย่างมาก และตรงตามเงื่อนไขในการสร้างอาณาเขตขนาดเล็ก

 

อย่างไรก็ตามมันจะต้องพยายามควบแน่นพลังงานฟ้าดินสักหน่อย ไม่มีวิธีการลัดใด

 

นี่เป็นสาเหตุที่ระดับนภาชั้นที่เจ็ดหลายคนไม่สามารถจะสร้างอาณาเขตขนาดเล็กได้ เพราะการควบแน่นอาณาเขตขนาดเล็กนั้นใช้เวลานานเกินไป

 

แม้แต่ตํานานยุทธก็มีอายุเพียงห้าร้อยปี หากต้องใช้เวลาเป็นร้อยๆปีในการควบแน่นอาณาเขตขนาดเล็ก จะยังหาเวลาฝึกฝนบ่มเพาะได้อีกหรือ?

 

“ลองดูก่อนแล้วกัน”

 

ซูฉินยังไม่ได้คิดถึงวิธีแก้ปัญหาใดๆ ในตอนนี้ ทําได้เพียงพยายามลองควบแน่นพลังฟ้าดินดูเท่านั้น

 

หวิ่ง!!

 

ขณะเดียวกับที่ซูฉินค่อยๆ ควบแน่นพลังฟ้าดินอยู่นั้น ดวงจิตรู้แจ้งพันปีที่ซูฉินพกเอาไว้ก็เปล่งประกายสว่างไสว

 

ใต้แสงอันเจิดจ้า ความเร็วในการควบแน่นพลังฟ้าดินก็ว่องไวกว่าปกติหลายสิบหรืออาจจะหลายร้อยเท่า

 

“นี่คือ?”

 

ซูฉินลืมตาขึ้นและมองไปยังดวงจิตรู้แจ้งพันปีที่อยู่เบื้องหน้าของตนทันที

 

ซูฉินเคยคิดไปว่าความสามารถของดวงจิตรู้แจ้งพันปีคือ การทําให้จิตใจปลอดโปร่ง เห็นธรรมชาติของจิต ทําให้จิตใจมั่นคงไม่สับสน

 

แต่ตอนนี้ ขณะกําลังควบแน่นพลังฟ้าดิน ดวงจิตรู้แจ้งพันปีก็แสดงฤทธิ์เข้าช่วยเหลือ

 

“มีบันทึกเอาไว้ในพระคัมภีร์ว่าดวงจิตรู้แจ้งพันปีนั้น กําเนิดขึ้นจากเขตแดนอันพิสุทธิ์ขององค์ยูไล และเขตแดนอันพิสุทธิ์ขององค์ยูไลน่าจะคล้ายคลึงกับ “อาณาเขต”…”

 

ความคิดของซูฉินเปลี่ยนผันไปอย่างรวดเร็ว ครุ่นคิดอยู่ภายในใจเงียบๆ

่ ่

สําหรับตํานานยุทธระดับนภาชั้นที่เจ็ด อาณาเขตคือสิ่งที่ควบแน่นมาจากพลังฟ้าดิน ส่วนอรหันต์ในระดับนภาชั้นที่เจ็ดจะเรียกสิ่งนั้นว่าเขตแดนพิสุทธิ์

 

แม้ว่าอาณาเขตกับเขตแดนพิสุทธิ์จะเรียกต่างกัน แต่สาระสําคัญนั้นเหมือนกัน

 

“ด้วยความเร็วระดับนี้คงต้องใช้เวลาอย่างน้อยก็สองถึงสามร้อยปีกว่าที่ตํานานยุทธธรรมดาๆจะควบแน่นอาณาเขตได้สําเร็จ แต่สําหรับข้า สองถึงสามปีก็เพียงพอแล้ว”

 

ซูฉินเพ่งพิจารณาดวงจิตรู้แจ้งที่อยู่เบื้องหน้าของตนด้วยความประหลาดใจยิ่ง

 

“ไม่เลว!”

“ไม่เลว!”

 

ซูฉินเต็มไปด้วยความสุข แม้ว่าอายุขัยของเขาจะมีเหลือเฟือ การใช้เวลาไปสองถึงสามร้อยปีในการควบแน่นไม่ได้เป็นเรื่องใหญ่อะไร แต่ถ้าหาวิธีประหยัดเวลาได้ ทําไมจะไม่เลือกเล่า?

 

ช่วงเวลาต่อมาซูฉินก็ควบแน่นอาณาเขตขนาดเล็กด้วยความช่วยเหลือจากดวงจิตรู้แจ้งพันปี เขาสามารถควบแน่นอาณาเขตขนาดเล็กได้อย่างรวดเร็ว

 

ในวันนี้เอง

 

ทันทีที่ซูฉินเสร็จสิ้นการฝึกฝน เขาก็ออกจากห้องโถงพระราชวังสูงตระหง่าน แล้วเดินวนไปมารอบๆพระราชวังถัง

 

การฝึกฝนวิทยายุทธต้องฝึกฝนอย่างเป็นขั้นเป็นตอน ต้องมีเวลาผ่อนคลายบ้าง เว้นแต่จะใกล้ถึงจุดที่จะก้าวหน้าได้ โดยทั่วไปแล้วซูฉินจะไม่ปิดด่านฝึกตนเป็นเวลานานเกินไปนัก

 

“กระแสปราณฉีกําลังฟื้นคืนอีกครั้ง…”

 

ซูฉินรู้สึกได้ถึงความเป็นไปของโลก ความคิดของเขาผัน ผวน

 

“แต่วันนี้ข้าก็ยังไม่ได้ลงชื่อเข้าใช้เลย ข้าจะลงชื่อที่วังหลวงในวันนี้”

 

เมื่อซูฉินเดินผ่านจัตุรัสหยกขาว เขาก็ตัดสินใจหยุดเดิน

 

ตั้งแต่ที่ส่งร่างจําแลงเข้าไปในโลกถ้ําปีศาจใต้พิภพ โอกาสในการลงชื่อเข้าใช้รายวันส่วนใหญ่ถูกใช้ไปในโลกถ้ําปีศาจ แต่บางครั้งซูฉินก็เลือกลงชื่อเข้าใช้ภายในวังหลวงบ้าง

 

“ระบบ ลงชื่อเข้าใช้”

 

ซูฉินยืนอยู่หน้าจัตุรัสหยกขาว กล่าวคําขึ้นภายในใจตน

 

[ขอแสดงความยินดี โฮสต์ลงชื่อเข้าใช้สําเร็จ ได้รับ “เคล็ดวิชาเพลิงผลาญโลหิต” ]

 

“เคล็ดวิชาเพลิงผลาญโลหิต?”

 

นก็เข้าใจอย่างถ่องแท้เกี่ยวกับเคล็ดวิชาเพลิงผลาญโลหิต

 

“มันกลับกลายเป็นเคล็ดวิชาต้องห้ามที่ใช้ในยามสิ้นหวัง ช่วยเพิ่มความแข็งแกร่งขึ้นอย่างมาก”

 

ดวงตาของซูฉินเป็นประกาย

 

ราคาที่ต้องจ่ายเพื่อใช้ “เคล็ดวิชาเพลิงผลาญโลหิต” คือต้องเผาเลือดเนื้อของตนเอง

 

เป็นราคาที่หนักหนาสาหัสสําหรับจอมยุทธทุกผู้ทุกคน

 

แต่ในสายตาของซูฉิน มันก็เหมือนกับไม่ได้เสียอะไรไปเลย

 

เพราะซูฉินมีทิพยอํานาจ กายเนื้อกําเนิดใหม่

 

ด้วยทิพยอํานาจนี้ แม้ว่าซูฉินจะใช้ เคล็ดวิชาเพลิงผลาญโลหิต” เขาก็สามารถฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งเทียบเท่ากับไม่ต้องจ่ายอะไรแลกเปลี่ยนเลย

 

“ไม่ลับในมือเพิ่มขึ้นมาอีกใบ”

 

รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของซูฉิน

 

ในเวลาเดียวกัน

 

ห่างจากต้าถังไปหลายหมื่นลี้ บริเวณใกล้ชายฝั่งทะเล

 

มีร่างหนึ่งสวมชุดคลุมสีน้ําเงินเหยียบคลื่นทะเลแล้วพุ่งตัว เข้าหาแผ่นดินใหญ่ด้วยความเร็วที่น่าสะพรึงกลัว

 

หากราชครูแห่งอาณาจักรเหมิ่งหยวนยังมีชีวิตอยู่และบังเอิญผ่านมาแถวนี้ เขาจะต้องสังเกตเห็นได้แน่นอนว่าร่างในชุดคลุมสีน้ําเงินนี้มีกลิ่นอายที่ทรงพลัง เป็นถึงตํานานยุทธ

 

และมิใช่เพิ่งจะเข้าสู่ตํานานยุทธในระดับนภาชั้นที่หนี่งอีกด้วย

 

ไม่ช้า

 

ชายในชุดคลุมสีน้ําเงินก็เคลื่อนเข้ามาใกล้ขอบของทวีป

 

“ที่นี่แหละ ที่นี่คือประตูสู่ชะตาฟ้า ยุคสมัยที่ชะตาฟ้ากําหนดมาถึงแล้ว ต้องใช้เวลาร่วมร้อยปีที่เดียวในการทํานายที่ตั้งดินแดนที่จะเกิดจุดตัดของพลังครั้งยิ่งใหญ่…”

 

ชายชุดสีน้ําเงินรําพึงรําพันอยู่กับตนเอง “กระแสปราณีฟื้นกลับมา โลกอันยิ่งใหญ่กําลังจะมาถึง แต่โลกอันยิ่งใหญ่ก็มีหลายระยะ ทว่าจุดตัดของพลังเป็นแกนหลัก และมีปราณฉีมากที่สุด”

 

“ในจุดตัดแห่งพลังครั้งยิ่งใหญ่นี้ จะก่อกําเนิดตัวตนระดับ เซียนเทพปฐพีขึ้นมา กระทั่งตัวตนที่เหนือกว่าเซียนเทพปฐพี”

 

ชายในชุดคลุมสีน้ําเงินรู้สึกร้อนรุ่มอยู่ภายในใจ

 

Sign in Buddha’s palm 178 เมืองเมฆาปีศาจ

 

โลกแห่งถ้ําปีศาจ

 

ท้องฟ้าเบื้องบนมืดครึ้มไปหมด

 

ซูฉินนั่งขัดสมาธิอยู่ใต้ต้นไม้แก่ที่ตายทั้งยืน

 

ด้านข้างของซูฉินมีโม่จียืนอยู่อย่างรู้งาน

 

“นายท่าน มีข่าวลือว่ามีต้นไม้ปีศาจโบราณอยู่ในส่วนลึกของดินแดนแห่งนี้ เป็นต้นไม้โบราณที่คอยค้ําจุนโลกทั้งใบเอาไว้ และเหล่าเทพเจ้าปีศาจก็ไปรวมตัวกันอยู่ที่ต้นไม้ปีศาจโบราณแห่งนี้” ปีศาจสาวเค้นสมองของนางออกมา พยายามบอกข้อมูลทุกสิ่งที่นางรู้

 

“โอ้”

 

“ต้นไม้ปีศาจโบราณ?”

 

ซูฉินเลิกคิ้วขึ้นมาและมองไปที่ปีศาจสาว

 

“เจ้าค่ะนายท่าน” ปีศาจสาวกัดริมฝีปากของนาง และเอ่ยกล่าวอย่างเย้ายวนน่าหลงใหล “ข้ายังได้ยินมาอีกว่า มีกิ่งของต้นไม้ปีศาจโบราณอยู่ภายในเมืองเมฆาปีศาจด้วย ถ้าท่านสนใจ ท่านสามารถลองไปเยี่ยมชมที่เมืองเมฆาปีศาจได้”

 

“จริงรึ?”

 

รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของซูฉิน และลําแสงสีดําก็ปรากฏขึ้นจากส่วนลึกในรูม่านตา

 

ทันใดนั้น

 

ร่างกายที่แสนบอบบางของโม่จีก็สั่นสะท้าน ใบหน้าอันงดงามของนางก็ขาวซีดราวกับกระดาษ จากนั้นจึงคุกเข่าลงแทบเท้าของซูฉินด้วยเสียงอันดังก้อง “นายท่าน ข้าผิดไปแล้ว ข้าผิดไปแล้ว…”

 

เสียงขอโม่จีสั่นเทาราวกับถูกทรมานอย่างแสนสาหัส

 

“มาคุยกันหน่อยเถอะ”

 

“เจ้ามีความเกี่ยวข้องอะไรกับเมืองเมฆาปีศาจ?”

 

“ทําไร

 

ราวในเมืองเมฆาปีศาจมากมายขนาด

 

ซูฉินมองโม่จีด้วยรอยยิ้มและกล่าวคําออกมาเบาๆ

 

เมื่อพิจารณาดู ซูฉินก็ตระหนักได้ว่าโม่จีมีความเกี่ยวข้องบางอย่างกับเมืองเมฆาปีศาจ

 

เมื่อเทียบกับปีศาจธรรมดาๆ โม่จีรู้เรื่องราวมากเกินไป รู้แม้กระทั่งการเปลี่ยนแปลงของกระแสปราณฉีภายในโลกมนุษย์ด้วย

 

“นายท่าน ข้าจะบอก ข้าจะบอกทั้งหมด”

 

ใบหน้าสวยๆของโม่จีให้ความรู้สึกฝืนทน รีบร้องขอความเมตตา

 

“ว่ามาสิ”

 

ซูฉินกล่าวอย่างไม่ได้ใส่ใจ

 

“นายท่าน” สีหน้าของโม่จีพื้นสภาพคืนกลับมาเล็กน้อย แล้วกล่าวขึ้นอย่างเคารพ “นายท่าน เจ้าเมืองเมฆาปีศาจเป็นน้องชายของปู่แท้ๆของข้า”

 

“ปู่?”

 

ซูฉินรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย

 

เขาคิดว่าโม่จีเป็นศัตรูกับเจ้าเมืองเมฆาปีศาจเสียอีก?

 

เพราะอย่างไรก็แล้วแต่ ซูฉินรู้สึกได้ถึงความเกลียดชังที่ซุกซ่อนไว้ของโม่จีที่มีต่อเจ้าเมืองเมฆาปีศาจ

 

“นายท่าน แม้ว่าเจ้าเมืองเมฆาปีศาจจะเป็นปู่ของข้า แต่ตัวข้าก็อยากจะให้เขาตายจนใจจะขาด!”

 

เมื่อโม่จีพูดเรื่องนี้ขึ้นมา นางก็หยุดครู่หนึ่งแล้วพูดต่อ “ข้ามีร่างหยินอันบริสุทธิ์แต่กําเนิด หลังจากที่ปู่ของข้าได้ทราบเรื่อง เขาไม่เพียงแต่กักขังข้าเอาไว้เท่านั้น แต่ยังวางแผนจะส่งข้าไปเป็นเตาหลอมให้กับราชาปีศาจตนอื่น”

 

“เตาหลอม?”

 

ใบหน้าของซูฉินฉายแววครุ่นคิด

 

ถ้าปีศาจสาวตนนี้กลายไปเป็นเตาหลอมให้กับราชาปีศาจคนอื่นๆ จุดจบคงจะน่าสังเวชไม่น้อย ยามใดที่ธาตุหยินบริสุทธิ์ในกายหมดลง พลังชีวิตและเลือดเนื้อก็จะถดถอย ใช้เวลาหลายสิบวันค่อยๆตกตายลงอย่างช้าๆ แต่ในกรณีที่เลวร้ายที่สุด จิตวิญญาณอาจจะสลายหายด้วยก็เป็น

 

อาจกล่าวได้ว่า การที่เจ้าเมืองเมฆาปีศาจส่งโม่จีไปเป็น เตาหลอมให้กับราชาปีศาจตนอื่นๆ ก็เปรียบเสมือนการปล่อยให้โม่จีต้องตายไปอย่างน่าสังเวช

 

“แล้วหลังจากนั้นเล่า?”

 

ซูฉินยังคงถามต่อไป

 

“ข้าจึงได้หนีออกมา”

 

“แต่ในเวลาไม่นานนักพวกนั้นก็สืบหาตัวข้าจนเจอ จากน นข้าก็ได้รับความช่วยเหลือจากนายท่าน…”

 

โม่จีไม่กล้าพูดปด น้ําเสียงของนางสั่นเครือ

 

นางรู้ดีว่าตอนนั้นหากไม่ได้รับการช่วยเหลือจากซูฉิน ไม่มีซูฉินคอยคุ้มครอง ไม่ช้าก็เร็ว นางคงตกไปอยู่เงื้อมมือของเจ้าเมืองเมฆาปีศาจ ถูกปฏิบัติเหมือนเป็นเตาหลอม ถูกหยิบยื่นส่งต่อราวกับสิ่งของ

 

และในช่วงที่อยู่ด้วยกัน โม่จีนั้นรู้ดี แม้ซูฉินจะเย็นชา แต่ดูเหมือนว่าเขาจะไม่สนใจนางเลยสักนิด นับประสาอะไรกับการใช้นางเป็นเตาหลอม

 

หลังจากที่มั่นใจอย่างนี้ โม่จีก็ตั้งใจแน่วแน่ว่าจะติดตามซูฉินในทันที

 

รู้หรือไม่ว่าปราณหยินบริสุทธิ์ในร่างกายของนางนั้นเป็นสิ่งที่ดีมากสําหรับตัวตนอย่างราชาปีศาจ และราชาปีศาจตนใดที่พบเจอนางก็เป็นไปไม่ได้ที่จะปล่อยให้นางหลุดรอดไปได้

 

การที่ได้พบกับซูฉินที่ไม่สนใจร่างหยินบริสุทธิ์ของนางเหมือนราชาปีศาจตนอื่นๆ นั่นนับเป็นโชคดีอย่างยิ่ง

 

“ข้าเข้าใจแล้ว”

 

“ตอนนี้เจ้าออกไปได้แล้วล่ะ”

 

ซูฉินโบกมือพร้อมกับกล่าวคํา

 

“เจ้าค่ะ”

 

โม่จีถอยออกไปอย่างเชื่อฟัง

 

ซูฉินมองดูโม่จีที่เดินจากไป และไม่คิดว่าที่นางพูดมาเมื่อครู่นั้นจะเป็นเรื่องโกหก

 

ตอนที่โม่จีกําลังพูดอยู่นั้น น้ําเสียงแห่งความเกลียดชังที่นางมีต่อเจ้าเมืองเมฆาปีศาจนั้นเป็นของจริง

 

ควบคู่กับจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของซูฉินที่คอยตรวจสอบอยู่ มันยิ่งแน่ชัดว่าสิ่งที่ไม่จีพูดน่าจะเป็นความจริง

 

“ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ข้าก็ไปเยี่ยมชมที่ใกล้ๆมาหมดแล้ว ที่สามารถลงชื่อเข้าใช้ได้ จะเหลือก็แต่เพียงเมืองเมฆาปีศาจเท่านั้น”

 

ซูฉินแตะปลายคาง ความคิดวกวนไปมา

 

แม้ว่าจะไม่มีโม่จี ซูฉินก็ตั้งใจจะไปที่เมืองเมฆาปีศาจอยู่แล้ว อย่างไรเสียในบริเวณรัศมีหลายพันลี้นี้ เมืองเมฆาปีศาจก็เป็นสถานที่ที่ดํารงอยู่มายาวนานที่สุดแล้ว และถ้าเป็นเรื่อง “เต๋าสะสม” ก็คงมีเต๋าสะสมอยู่มากที่สุดในอาณาบริเวณนี้ด้วยเช่นกัน

 

และยิ่ง”เต๋าสะสม” มากเท่าไหร่ สมบัติที่ซูฉินจะลงชื่อได้รับมาก็จะยิ่งดีขึ้นเท่านั้น

 

“แต่ก่อนที่จะไปเมืองเมฆาปีศาจ ทะลวงระดับให้เรียบร้อยเสียก่อนดีกว่า”

 

ท่าทางของซูฉินดูเคร่งขรึมขึ้นเล็กน้อย

 

ตราบใดที่ซูฉินทะลวงระดับขั้นเข้าสู่นภาชั้นที่เจ็ดไปแล้ว ร่างจําแลงก็สามารถทะลวงขั้นได้เช่นเดียวกัน เพราะไม่ว่าจะเป็นซูฉินร่างหลักหรือร่างจําแลง ทั้งคู่ก็คือซูฉิน มีปณิธานและความคิดร่วมกัน

 

“เริ่มเลย”

 

ซูฉินหลับตาลงอย่างช้าๆ ปราณในร่างไหลเวียนไร้ที่สิ้นสุด พลังเพิ่มขึ้น สั่นไหวรุนแรงขึ้น

 

หลายวันต่อมา

 

ปีศาจสาวกําลังไกวชิงช้าเล่นด้วยความเบื่อหน่าย ขายาวขาวสวยราวหิมะแกว่งไกวไปมา

 

“นายท่านไม่เรียกข้าเข้าพบเลย นี่ก็ผ่านมาหลายวันแล้ว”

 

โม่กะพริบตาปริบๆ มองเข้าไปในหุบเขาที่ซูฉินอาศัยอยู่

 

น่าเสียดายที่หุบเขาทั้งหมดถูกหุ้มไว้ด้วยพลังมารหลายชั้น แม้ปีศาจสาวจะเพ่งมองอยู่นับร้อยปีก็มองไม่เห็นอะไรทั้งนั้น

 

“ไม่ใช่ว่านายท่านโกรธข้าหรอกหรือ?”

 

“ข้าไม่ได้ตั้งใจจะปิดบังนายท่านจริงๆ”

 

โม่จีรู้สึกคับข้องหมองใจยามเมื่อคิดว่าซูฉินคงจะโกรธที่นางซ่อนความสัมพันธ์ของนางกับเมืองเมฆาปีศาจไว้เป็นความลับ

 

“ไม่ได้การ”

 

“ข้าจะต้องไปอธิบายให้นายท่านฟัง”

 

ปีศาจสาวกระโดดลงจากชิงช้าอย่างมีชีวิตชีวา กําลังจะวิ่งเข้าหุบเขาไปเพื่อพบซูฉิน

 

อย่างไรก็ตาม

 

ในตอนนั้นเอง

 

เสียงแผ่วเบาก็ลอยผ่านเข้าหูมา “เจ้าจะอธิบายอันใด?”

 

โม่จีเงยหน้าขึ้นและมองเห็นชายผู้หนึ่งที่มีดวงตาลึกซึ้งมายืนอยู่ตรงหน้าอย่างเงียบๆ

 

“นายท่าน”

 

โม่จีอุทานอย่างเหลือเชื่อเมื่อมองไปยังซูฉิน

 

ซูฉินในปัจจุบันนั้นทําให้โม่จีรู้สึกแตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง เหมือนกับขุมนรกไร้ก้นที่กลืนกินทุกสิ่งทุกอย่างไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด แม้แต่ปีศาจสาวอย่างโม่จีก็ไม่สามารถหลบสายตาได้

 

“นายท่าน”

 

“ท่านทะลวงขึ้นมาอย่างนั้นหรือ?”

 

ใบหน้าสวยของโม่จีเต็มไปด้วยความตกใจ

 

แม้ว่าโม่จีจะไม่ใช่ราชาปีศาจ แต่นางก็อยู่ในเมืองเมฆาปีศาจมาเป็นเวลานาน แม้ว่าเจ้าเมืองเมฆาปีศาจจะกักขังนางเองไว้ แต่เขาก็ได้บอกเล่าเรื่องราวมากมายหลายเรื่อง

 

หนึ่งในนั้นก็คือเรื่องเกี่ยวกับการเลื่อนระดับของราชาปีศาจ

 

ทุกย่างก้าวของขอบเขตราชาปีศาจนั้นยากเย็นยิ่ง ต้องใช้เวลาในการปิดด่านฝึกตนหลายต่อหลายปีหรือไม่ก็หลายสิบปี

แต่ซูฉินกลับทะลวงขั้นได้หลังจากผ่านไปไม่กี่วัน?

 

“ทะลวงขั้น?”

 

“ก็นับว่าใช่แหละ”

 

ซูฉินกล่าวอย่างไม่ใส่ใจ

 

ในตอนนี้เขาได้ก้าวเข้าสู่ระดับนภาชั้นที่เจ็ดอย่างสมบูรณ์แล้ว รัศมีพลังของเขาทรงพลังราวกับสวรรค์อันยิ่งใหญ่ แม้จะเป็นโลกถ้ําปิศาจ เขาก็นับว่าเป็นตัวตนที่แข็งแกร่งอย่างแน่นอน สามารถจัดการราชาปีศาจชั้นยอดหลายตนภายในเมืองใหญ่ๆได้

 

“ไปกันเถอะ”

 

ซูฉินมองขึ้นไปบนฟ้าพร้อมกับกล่าวคําออกมา

 

“ไป?”

 

“นายท่าน พวกเราจะไปที่ไหนกัน?”

 

เมื่อได้ยินเช่นนี้ โม่จีที่ติดตามซูฉินมาโดยตลอดก็ถามเสียงต่ําในทันที

 

“จะไปที่ไหนงั้นรึ?”

 

รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของซูฉิน พร้อมกับกล่าวคํา “เมืองเมฆาปีศาจ”

 

[1] เตาหลอม หมายถึง การบําเพ็ญวิชาคู่ชนิดหนึ่ง ที่มีฝ่ายหนึ่งได้เปรียบ อีกฝ่ายเสียเปรียบ เช่น ดูดซับพลังบางอย่างจากร่างอีกฝ่ายเข้าสู่ร่างกายตนเพื่อผลในการบ่มเพาะที่รวดเร็วขึ้น ส่วนใหญ่จะเป็นการเสพสังวาสแล้วดูดซับปราณชีวิตของอีกฝ่ายไปใช้

 

Sign in Buddha’s palm 177 ถ่ายทอดวิชา

 

“เลือก?”

 

ซูชื่อหมินและคนอื่นๆ ในตระกูลซูต่างมองหน้ากัน รู้สึกได้เพียงหัวใจที่เต้นเร็วขึ้นเท่านั้น พวกเขารู้ดีว่าการตัดสินใจในครั้งนี้จะเป็นตัวกําหนดชะตาชีวิตของพวกเขาต่อจากนี้ไป

 

“ข้าเลือกเส้นทางการฝึกยุทธ”

 

ซูชื่อหมินคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงกล่าวตอบอย่างจริงจัง

 

ก่อนที่ตระกูลซูจะกลายมาเป็นพระญาติขององค์จักรพรรดิ เดิมก็เป็นตระกูลจอมยุทธมาก่อน และซูชื่อหมินเองก็เป็นเสาหลักของตระกูลซูนี้

 

อาจกล่าวได้ว่าท่ามกลางทุกผู้ทุกคนที่อยู่ตรงนี้ เขาเป็นผู้ที่แสวงหาแนวทางในการฝึกยุทธมากที่สุด

 

“ข้าก็ต้องการจะฝึกฝนเช่นกัน”

คู่พี่น้องอย่างซูเฉิงฮ่าวและซูเฉิงยู่ก็พูดขึ้นพร้อมกัน

 

“แล้วพวกเจ้าล่ะ?” ซูฉินหันไปมองที่จักรพรรดิถังและซูเยว่หยุน

 

“พี่สาม ช่วยรอข้าอีกสักยี่สิบปีได้ไหม ข้าอยากรอจนกว่าอาณาจักรถังจะสงบลงเสียก่อน แล้วจึงส่งมอบบัลลังก์ต่อให้กับหยวนเอ๋อ จากนั้นข้าค่อยกลับมาฝึกฝนได้หรือไม่?

 

สุดท้ายแล้ว จักรพรรดิถังก็ยังกังวลเกี่ยวกับความเป็นไปในอาณาจักรถัง จึงถามขึ้นด้วยเสียงทุ่มต่ำ

 

“แบบนั้นก็ได้”

 

ซูฉินพยักหน้า

 

ยี่สิบปีต่อจากนี้ จักรพรรดิถังก็อายุราวหกสิบปีเศษ หากเป็นคนอื่นๆ ก็คงนับว่าพลาดจุดที่ดีที่สุดในการฝึกฝนวิทยายุทธไปแล้ว แต่สําหรับซูฉินมันแก้ไขได้ด้วยหยดน้ำจิตวิญญาณกําเนิดพฤกษาเพียงหยดเดียวเท่านั้น

 

หยดน้ำจิตวิญญาณกําเนิดพฤกษาทรงพลังยิ่ง ถึงแม้มันจะไม่มีผลต่อซูฉิน แต่ในสายตาของคนทั่วไปหรือแม้แต่ยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่ง มันคือโอสถวิเศษที่แสนล้ำค่า

 

“พี่สาม ข้าอยากจะอยู่ร่วมกับฝ่าบาท”

 

ซูเยวหยุนเหลือบมองจักรพรรดิถังและเอ่ยถามอย่างระมัดระวัง

 

“ได้”

 

แน่นอนว่าซูฉินไม่มีความเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้

 

ไม่เหมือนกับกรณีของคนอื่นๆ ซูเยว่หยุนดูดซับหยดน้ำจิตวิญญาณกําเนิดพฤกษาไปหนึ่งหยดแล้ว ไม่ต้องกล่าวถึงการรั้งรอไปยี่สิบปี แม้แต่สี่สิบปีก็ยังไหว

 

“ในเมื่อทุกคนต้องการจะฝึกฝน”

 

“ข้ามีเรื่องที่จะเน้นย้ำอีกอย่างหนึ่ง”

 

ซูฉินเหลือบมองกลุ่มคนตรงหน้าแล้วพูดต่อ “แม้ว่าฟ้าดินจะเปลี่ยนแปลงไป มันก็ยังเป็นเรื่องยากที่พวกเจ้าจะเข้าสู่ขอบเขตตํานานยุทธ เรียกได้ว่ามีความหวังที่แสนจะริบหรี่ แต่ถึงความหวังจะน้อยนิด การจะบรรลุได้หรือไม่นั้นย่อมขึ้นอยู่กับตัวพวกเจ้าเอง”

 

ขณะพูดซูฉินก็ส่ายศีรษะไปด้วย “หลังจากบรรลุถึงขั้นสมบูรณ์ของระดับชั้นที่หนึ่ง หากต้องการจะไปต่อ เจ้าต้องเข้าใจถึงพลังงานฟ้าดินเสียก่อน”

 

“ถึงแม้กระแสปราณฉีจะฟื้นตัวกลับมาแล้ว แต่ปริมาณปราณฉีก็เพิ่มขึ้นมาเล็กน้อยเท่านั้น คงเป็นเรื่องของโชคและจังหวะโอกาสถึงจะสามารถจับจุดอะไรบางอย่างได้ ซึ่งเรื่องพวกนี้ข้าเองก็ช่วยพวกเจ้าไม่ได้เหมือนกัน”

 

สิ่งที่ซูฉินพูดล้วนเป็นความจริง

 

ถ้าเป็นช่วงก่อนที่กระแสปราณฉีจะฟื้นคืน จะมียอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งเพียงคนเดียวในสองร้อยคนเท่านั้นที่สามารถก้าวเข้าสู่ขอบเขตตํานานยุทธได้

 

แต่ในตอนนี้โอกาสได้เพิ่มขึ้น ในยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งจํานวนหนึ่งร้อยคนจะมีสักหนึ่งคนที่ก้าวเข้าสู่ตํานานยุทธได้

 

ฟังดูเหมือนว่าโอกาสจะเพิ่มขึ้นอีกเท่าตัว แต่ในความจริงยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งจํานวนหนึ่งร้อยคนหมายความเช่นไร?

 

รู้หรือไม่ว่าก่อนหน้านี้อาณาจักรเหมิ่งหยวนไม่มีตํานานยุทธกําเนิดขึ้นมาสองร้อยปีแล้ว

 

แม้ว่าราชครูแห่งอาณาจักรเหมิงหยวนจะกระโดดข้ามขอบเขตนั้นมาได้ในที่สุด แต่ก็อาศัยการช่วยเหลือจากกระแสปราณฉีที่ฟื้นกลับมา

 

หากไม่มีกระแสปราณฉี คาดว่าราชครูเหมิงหยวนก็คงจะติดอยู่ในระดับชั้นที่หนึ่งไปจนตาย

 

หลังจากซูฉินกล่าวจบ เขาก็เฝ้ามองปฏิกิริยาของตระกูลซู

 

ไม่ได้จงใจดับฝัน แต่เขาไม่ต้องการจะเห็นทุกคนในตระกูลซูเต็มไปด้วยความคาดหวัง ไม่เช่นนั้นสิ่งที่พวกเขาจะต้องเผชิญย่อมจะเป็นความผิดหวัง

 

ซูชื่อหมินและคนอื่นๆ หันมามองหน้ากัน ตอนที่ซูฉินกล่าวออกมาเช่นนั้น ใจของพวกเขาก็สงบลงอย่างรวดเร็ว เข้าใจแล้วว่าการเข้าสู่ขอบเขตตํานานยุทธยากเย็นเพียงใด แม้จะฉวยโอกาสจากจังหวะที่โลกกําลังเปลี่ยนแปลงและมีการช่วยเหลือจากซูฉิน แต่ความหวังก็ยังมีอยู่น้อยนิด

 

อย่างไรก็ตาม หลังจากพูดคุยกันอยู่เป็นเวลานาน ทุกคนก็ตัดสินใจที่จะทุ่มสุดตัว

 

ไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว การที่จะได้เป็นตํานานยุทธนั้นดึงดูดใจเหลือเกิน ไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องอื่น เพียงแค่ช่วงชีวิตยาวนานถึงห้าร้อยปีของตํานานยุทธก็เพียงพอที่จะทําให้ทุกคนต่อสู้เพื่อให้ได้มันมา

 

เมื่อซูฉินเห็นว่าทุกคนตัดสินใจได้แล้ว ดังนั้นจึงถึงคราวที่จะต้องชี้แนะเคล็ดวิชาพวกเขาสักหน่อย

 

เคล็ดวิชาเหล่านี้ได้มาจากการลงชื่อเข้าใช้ตลอดยี่สิบสามสิบปีของซูฉิน แม้จะไม่ใช่วิชาลับที่วิเศษวิโสอะไร แต่ก็เป็นวิชาที่เหมาะสมกับตระกูลซูมากที่สุด

 

สําหรับสุดยอดเคล็ดวิชา แม้ซูฉินต้องการจะถ่ายทอดออกไป แต่ตระกูลซูก็คงไม่สามารถเรียนรู้มันได้

 

ตัวอย่างเช่น วิชาบ่มเพาะสายพุทธที่ซูฉินฝึกฝนอยู่ในปัจจุบันอย่าง พระสูตรอมิตาภาบรรพกาล แม้ว่าจะส่งต้นฉบับคัมภีร์ไปให้ตระกูลซู แล้วมันจะเกิดอะไรขึ้น?

 

พวกเขาสามารถเข้าใจได้หรือไม่?

 

เป็นเวลาหลายพันปีแล้ว ไม่มีพุทธศาสนิกชนคนใดเรียนรู้พระสูตรอมิตาภาบรรพกาลได้เลย นับประสาอะไรกับคนนอกเส้นทางสายนี้?

 

แม้แต่ซูฉินเองก็เข้าใจพระสูตรอมิตาภาบรรพกาลได้เพราะระบบปลูกฝังข้อมูลทั้งหมดมาให้

การฝึกฝนบ่มเพาะนั้น ไม่ใช่สักแต่จะฝึกฝนวิชาที่แข็งแกร่ง สิ่งที่สําคัญกว่าคือสิ่งที่ฝึกฝนเหมาะสมกับตนเองหรือไม่

 

“เอาล่ะ”

 

“พวกเจ้าจงติดตามข้าไปยังสถานที่แห่งหนึ่ง”

 

เมื่อซุฉินเห็นว่าทุกคนสงบลงมากแล้ว ก็พูดขึ้นหนึ่งประโยคก่อนจะเดินจากไป

 

“ไปเถอะ”

 

จักรพรรดิถังและคนอื่นๆ ก็ลุกขึ้นเดินตามซูฉินไปในทันทีไม่ช้า

 

ซูฉินก็พาทุกคนมาที่หน้าตําหนักชุนฝั่งขวา

 

“ให้ขันทีและนางกํานัลในพระราชวังตะวันออก ออกไปเสียก่อน” ซูฉินหยุดนิ่ง มองไปที่องค์จักรพรรดิถังจากนั้นจึงกล่าวคํา

 

เมื่อจักรพรรดิได้ยินเช่นนั้นพระองค์ก็รีบออกคําสั่งในทันที เพียงไม่นานนอกจากกลุ่มของพวกเขาไม่กี่คน ภายในพระราชวังตะวันออกก็ไม่เหลือใครอีก

 

“พี่สาม นี่มันที่พักอาศัยของท่านมิใช่หรือ?”

 

ซูเยวหยุนกล่าวถามด้วยความสงสัย

 

“ที่พักอาศัย?”

 

รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของซูฉิน เขายกมือขวาไปที่ตําหนักชุนฝั่งขวา “โปรดดูอีกครั้ง ที่นี่ยังคงเป็นเพียงที่พักอาศัยอยู่หรือไม่?”

 

เมื่อสิ้นเสียงของซูฉิน

 

ฉับพลันก็มีเสียงคํารามก้องมาจากตําหนักชุนฝั่งขวา เมฆและหมอกปกคลุมพื้นที่โดยรอบ แพร่กระจายออกไปอย่างรวดเร็ว เพียงครู่เดียวก็ครอบคลุมอาณาบริเวณทั่วทั้งพระราชวังตะวันออก

 

มีพลังฟ้าดินมากมายหลายประเภททับซ้อนกันอยู่จํานวนมากมายนับไม่ถ้วนภายในค่ายกลขนาดใหญ่ ไอพลังฟังกระจาย และปราณชีวิตรวมตัวกันแน่นราวกับสายฝน ที่นี่ไม่ต่างจากสวรรค์บนดินเลยสักนิด

 

“นี่คือ?”

 

พี่น้องตระกูลซูอย่าง ซูเยว่หยุน ซูเฉิงฮ่าว และซูเฉิงยู่ไม่เคยเห็นฉากอันน่าเหลือเชื่อขนาดนี้ที่ไหนมาก่อนต่างก็ร้องอุทานกันออกมา แม้แต่ท่าทีของซูชื่อหมินก็ยังกลายเป็นซับซ้อน มีความประหลาดใจอย่างปิดไม่มิด

 

พวกเขาไม่คาดคิดว่าเพียงการสะบัดมือของซูฉินจะเป็นดั่งเทพสรรค์สวรรค์สร้าง เปลี่ยนพระราชวังตะวันออกเดิมให้กลายเป็นสวรรค์บนดิน

 

“ค่ายกลฟ้าดินอันยิ่งใหญ่”

 

“นี่คือค่ายกลฟ้าดินอันยิ่งใหญ่ที่ปฐมจักรพรรดิได้กล่าวเอาไว้”

 

จักรพรรดิถังตกใจอย่างมาก พึมพําอยู่กับตนเอง

 

ก่อนที่ปฐมจักรพรรดิจะข้ามน้ำข้ามทะเลไป ครั้งหนึ่งพระองค์เคยทิ้งค่ายกลฟ้าดินเอาไว้มากมายภายในวัง แต่หลังจากห้าร้อยปีผ่านพ้น ค่ายกลฟ้าดินเหล่านั้นก็หายไปเสียตั้งนานแล้ว

 

ยิ่งไปกว่านั้น ตามคําบอกกล่าวของปฐมจักรพรรดิ แม้ว่าค่ายกลฟ้าดินเหล่านั้นจะยังคงอยู่ แต่ก็คงจะด้อยกว่าค่ายกลฟ้าดินในพระราชวังตะวันออกแห่งนี้มาก

 

“ในอนาคต หากพวกเจ้าอยากจะฝึกฝน ก็สามารถมาฝึกฝนที่นี่กันได้เลย”

 

ซูฉินแย้มยิ้มเล็กน้อย

 

นับตั้งแต่ค้นพบโถงพระราชวังขนาดใหญ่ใต้เมืองฉางอัน ตําหนักชุนฝั่งขวาก็ไม่อยู่ในสายตาของเขาอีกต่อไป นานๆ ครั้งเขาถึงจะกลับขึ้นมาเดินเล่นรอบๆ เมื่อมีเวลาว่าง

 

เมื่อเป็นเช่นนี้ ปล่อยให้ตระกูลซูมาใช้ประโยชน์คงจะดีซะกว่า

 

“ไม่ดีแล้ว”

 

“ข้าควรให้กองกําลังของราชสํานักคอยเฝ้าระวังอยู่ภายนอก”

 

“ไม่เช่นนั้น หากมีคนบุกรุกเข้ามา…”

 

ในตอนนี้ ท่าทีของจักรพรรดิถังเปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อย

 

“สบายใจได้”

 

“หากไม่ได้รับอนุญาตจากข้า ไม่มีใครสามารถเข้ามาได้ทั้งนั้น”

 

ซูฉินไม่ได้สนใจอะไรมันนัก

 

แต่เดิมค่ายกลฟ้าดินที่เขาสร้างขึ้นในตําหนักชุนฝั่งขวาก็เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้อื่นเผลอเข้ามาอย่างไม่ได้ตั้งใจ แม้ว่าจะมีการก่อตั้งค่ายกลฟ้าดินอื่นๆ ในภายหลัง เช่น ค่ายกลที่รวบรวมพลังฟ้าดิน แต่ค่ายกลฟ้าดินดั้งเดิมก็ยังคงมีอยู่

 

ด้วยค่ายกลเหล่านี้ ไม่ต้องกล่าวถึงผู้อื่น แม้ว่าจะเป็นตํานานยุทธบุกเข้ามาก็จะถูกกักขังอยู่ในที่แห่งนี้ชั่วขณะหนึ่ง

 

จากนั้น

 

หลังจากซูฉินชี้แนะต่ออีกครู่หนึ่ง ตระกูลซูก็รีบปฏิบัติตามคําชี้แนะของซูฉินและฝึกฝนอย่างมีความสุข

 

หลังจากที่ทุกคนวุ่นวายอยู่กับการฝึกฝน รอยยิ้มของซูฉินก็ค่อยๆ จางลง “ถึงเวลาแล้วที่จะทดลองควบแน่นอาณาเขต “ขนาดเล็ก” ”

 

Sign in Buddha’s palm 176 สองทางเลือก

 

ภายในพระราชวังคุนหนิง

 

ทุกคนในตระกูลซูจ้องมองซูฉินอย่างเคร่งเครียด

 

แม้แต่จักรพรรดิถังเองก็ยังรู้สึกไม่ค่อยสบายใจ เพราะเขาไม่รู้ว่า “ทางเลือก” ของซูฉินที่ว่านั้นเกี่ยวกับอะไร และจะมีผลกระทบต่ออาณาจักรถังทั้งหมดรวมถึงทั่วทั้งทวีปหรือไม่?

 

ถ้าซูฉินยังเป็นพี่สามดังเดิม จักรพรรดิถังย่อมไม่เกิดความคิดเช่นนี้ขึ้นในหัว แต่เวลานี้ซูฉินเป็นถึงอรหันต์ ตัวตนระดับเดียวกับตํานานยุทธ การกระทําหรือเพียงความคิดของตัวตนเช่นนี้สามารถสั่นคลอนโลกได้ทั้งใบ

 

“หนึ่ง หล่อเลี้ยงเติมชีวิต ข้าสามารถทําให้พวกเจ้าอยู่อย่างปลอดภัยมีชีวิตที่มั่นคง และอายุขัยอย่างน้อยก็ร้อยห้าสิบปี”

 

ซูฉินกวาดตามองทุกคนแล้วกล่าวคําเบาๆ

 

“อายุขัยหนึ่งร้อยห้าสิบปี?”

 

ซูชื่อหมินเบิกตากว้างอย่างมิอยากจะเชื่อ สองพี่น้องตระกูลซูอย่างซูเฉิงย่าวและซูเฉิงยู่ก็มีอาการเช่นเดียวกัน

 

รู้หรือไม่ผู้ฝึกยุทธบนโลกใบนี้สามารถยืดอายุขัยของตนเองออกไปได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้นหากเข้าสู่ขอบเขตสามระดับบน

 

แม้แต่ยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งก็สามารถมีอายุขัยมากกว่าร้อยห้าสิบปีไปนิดหน่อยเท่านั้น

 

แม้ว่าอายุขัยสูงสุดของยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งจะอยู่ที่สองร้อยปี แต่อายุขัยสูงสุดก็เป็นแค่อายุขัยสูงสุด อันที่จริง มียอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งจํานวนไม่มากนัก ที่จะสามารถมีชีวิตอยู่ถึงอายุขัยสูงสุดดังที่กล่าวมาได้

 

อายุขัยของยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งส่วนใหญ่จะเกินร้อยห้าสิบปีไปนิดหน่อยเท่านั้น

 

ซูฉินสามารถทําให้พวกเขามีชีวิตอยู่ได้เกินหนึ่งร้อยห้าสิบปี ซึ่งเทียบเท่ากับการต่ออายุขัยของทุกคนให้อยู่ในระดับเดียวกันกับยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่ง วิธีที่ว่านั้นไม่มีใครเคยได้ยินมาก่อนแม้แต่ตัวตนอย่างจักรพรรดิแห่งราชวงศ์ถังเอง

 

ปฐมจักรพรรดิผู้ก่อตั้งอาณาจักรถังเมื่อห้าร้อยปีก่อนก็ยังไม่สามารถกระทําได้

 

“ พี่สาม นี่เป็นเรื่องจริงนั้นหรือ?”

 

จักรพรรดิถังถามด้วยน้ําเสียงที่สั่นเครือ

 

ชีวิตในฐานะจักรพรรดิถังนั้นก็คงจะอยู่ได้ไม่นานนัก หลี่เชิงเองก็เตรียมใจสําหรับเรื่องนี้เอาไว้แล้ว แต่บัดนี้เขากลับได้ยินว่ามีวิธีที่ช่วยยืดอายุขัยออกไปได้ถึงหนึ่งร้อยห้าสิบปี เขาจะสงบจิตสงบใจต่อไปได้อย่างไร?

 

“ย่อมเป็นความจริง” ซูฉินพยักหน้า

 

ด้วยความแข็งแกร่งในปัจจุบันของเขาที่ถึงระดับนภาชั้นที่เจ็ด เขาไม่อาจรับประกันได้ว่าทุกคนจะสามารถมีชีวิตอยู่ได้ถึงสองร้อยปี แต่สําหรับร้อยห้าสิบปีนั้นง่ายมาก

 

ซูชื่อหมิน ซูเฉิงฮ่าวและซูเฉิงยู่ ทั้งสามคนปรากฏรอยยิ้มบนใบหน้า ใครบ้างไม่อยากมีชีวิตที่ยืนยาวและเพลิดเพลินไปกับสิ่งต่างๆในโลกให้มากกว่านี้? แม้ว่าจอมยุทธทั้งหลายจะอุทิศชีวิตให้กับการฝึกยุทธ แต่ส่วนใหญ่ก็เป็นเพราะต้องการมีชีวิตที่ยืนยาวขึ้น

 

มีเพียงซูเยวหยุนเท่านั้นที่มองไปยังซูฉินแล้วกระซิบถาม

 

“พี่สาม แล้วตัวเลือกที่สองคือสิ่งใดกัน?”

 

ขณะที่เสียงของซูเยว่หยุนเงียบลงไป

 

จักรพรรดิถังและคนอื่นๆ ก็ตื่นตัวขึ้นในทันใด

 

ใช่สิ

 

ซูฉินบอกว่ามันคือทางเลือก และเพราะว่ามันเป็นทางเลือก มันก็ต้องมีมากกว่าหนึ่งอย่าง

 

เมื่อคิดได้ดังนี้ทุกคนก็มองกลับไปที่ซูฉินอีกครั้ง

 

“มิผิด”

 

“เหลืออีกหนึ่งอย่าง”

 

ซูฉินพยักหน้าเล็กน้อยแล้วกล่าวคําช้าๆ “ข้าสามารถทําให้พวกเจ้าก้าวเข้าสู่เส้นทางแห่งการฝึกยุทธ และอย่างน้อยก็สามารถเป็นยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสมบูรณ์ ส่วนเรื่องการเป็นตํานานยุทธนั้นก็อาจจะพอมีหวังอยู่บ้าง แม้แสงแห่งความหวังนั้นมันจะริบหรี่มากก็ตาม”

 

คําที่กล่าวออกมา

 

ทั่วทั้งพระราชวังคุนหนิงเงียบสนิท ทุกคนมองซูฉินด้วยความตกใจ

 

อย่างน้อยก็เป็นระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสมบูรณ์?

 

เป็นไปได้เยี่ยงไร?

 

ต้องรู้ก่อนว่านับตั้งแต่ที่อาณาจักรถังก่อตั้งขึ้นมากว่าห้าร้อยปี ยกเว้นก็แต่ปฐมจักรพรรดิ นับประสาอะไรกับตํานานยุทธ แม้แต่ยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสมบูรณ์ก็ไม่เคยกําเนิดขึ้นมาก่อน

 

แต่ในขณะนี้ซูฉินรับประกันว่าพวกเขาสามารถกลายเป็นยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสมบูรณ์ได้ แม้แต่ขอบเขตตํานานยุทธก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้

 

นี่มันเป็นเรื่องที่เกินจะเชื่อ

 

“ข้าอายุก็เกือบเจ็ดสิบปีแล้ว ปราณชีวิตและเลือดเนื้อเสื่อมถอยลงมาก เช่นนี้ยังจะสามารถไปถึงระดับชั้นที่หนึ่งงั้นหรือ?” ซูชื่อหมินพูดขึ้นมาหลังจากผ่านไประยะหนึ่งด้วยร่างที่สั่นเทา

 

ไม่ใช่ว่าชูชื่อหมินไม่เชื่อในตัวซูฉิน แต่สิ่งที่ซูฉินบอกมามันน่าเหลือเชื่อเกินไป

 

“ถ้าเป็นเมื่อก่อนคงไม่ได้”

 

“ทว่าตอนนี้”

 

เมื่อซูฉินกล่าวคําต่อไปนี้ ร่องรอยแห่งความหมายอันลึกซึ้งก็ฉายออกมาผ่านดวงตา “ฟ้าดินกําลังเปลี่ยนแปลงไปแล้ว”

 

ในการฝึกยุทธ หากต้องการจะกลายเป็นจอมยุทธผู้แข็งแกร่งอย่างแท้จริงก็ต้องตั้งใจฝึกฝนอย่างหนักตั้งแต่วัยเด็ก ขัดเกลาตัวเองทั้งกลางวันกลางคืน ฝึกฝนผ่านร้อนผ่านหนาว และได้รับคําแนะนําจากอาจารย์ หาวิธีฝึกฝนที่เหมาะสมกับตนเอง ในท้ายที่สุดหลังจากฝึกฝนนานหลายสิบปีก็อาจจะแตะขอบธรณีประตูของขอบเขตสามระดับบนได้

 

แต่นี่ก็เป็นขีดจํากัดของจอมยุทธส่วนใหญ่

 

การที่จะเป็นยอดยุทธในขอบเขตสามระดับบนได้นั้น โอกาส ความเข้าใจ สิ่งที่ถนัด และพรสวรรค์เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้

 

นี่คือเหตุผลที่ซูฉินไม่ได้ต้องการจะชี้แนะการฝึกฝนให้กับตระกูลชูตั้งแต่ที่แรก

 

เพราะมันไม่คุ้มค่า

 

แม้ว่าตระกูลซูจะทุ่มเทอย่างหนักหน่วง ละทิ้งความเพลินเพลินใจทั้งหมดและทุ่มเทกายใจทั้งหมดเพื่อการฝึกฝนอย่างมากที่สุดพวกเขาก็คงอยู่เพียงขอบเขตสามระดับบน และอาจจะก้าวเข้าสู่ระดับชั้นที่หนึ่งได้ด้วยความช่วยเหลือจากซูฉิน

 

แต่แล้วอย่างไรเล่า?

 

สุดท้ายก็มีชีวิตอยู่ได้เพียงร้อยกว่าปีเท่านั้น

 

ในกรณีนี้ทําไมไม่เลือกทางแรก เลิกฝึกวิทยายุทธ ไปสนใจสิ่งที่ตนชื่นชอบ จากนั้นซูฉินจะเป็นคนที่ช่วยยืดอายุขัยให้พวกเขาเอง และจะได้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขต่อไป

อ่านนิยาย เรื่องนี้ ก่อนใคร ที่ novelza.com

นี่เป็นความคิดแรกของซูฉิน

 

แทนที่จะฝึกฝนอย่างหนักตลอดชีวิตแล้วสามารถอยู่ได้นานกว่าหนึ่งร้อยปี จะดีกว่าไหมที่สามารถใช้ชีวิตอย่างมีความสุขไปด้วยและมีชีวิตที่ยืนยาวกว่าหนึ่งร้อยปีไปด้วย

 

แต่ความคิดของซูฉินก็เปลี่ยนแปลงไป เมื่อกระแสปราณฉีกําลังจะกลับมา

 

ปราณี พลังฟ้าดิน ก็เปรียบเสมือนกระแสน้ําขึ้นน้ําลง

 

ซึ่งในยุคนี้ปราณฉีกําลังค่อยๆฟื้นตัวกลับมา

 

การฟื้นกลับมาของปราณฉีไม่ได้ทําให้พลังฟ้าดินค่อยๆแข็งแกร่งขึ้นเท่านั้น แต่สภาพแวดล้อมทั้งหมดใต้ผืนฟ้าเหนือผืนดินนี้จะเริ่มเปลี่ยนแปลงไปอย่างช้าๆ ทําให้ง่ายต่อการฝึกฝนบ่มเพาะ

 

แน่นอนว่าบ่มเพาะง่ายดายกว่าเมื่อก่อนมาก และปฏิเสธไม่ได้ว่าในสภาพแวดล้อมแบบนี้ ทั้งความเร็วของการฝึกฝน รวมถึงปัญหาเรื่องคอขวดก็จะฟันฝ่าไปได้ง่ายดายมากขึ้น

 

ตัวอย่างเช่น ซูฉินในยุคก่อนที่ปราณญี่จะฟื้นคืน ต้องใช้เวลาอย่างน้อยก็สี่สิบถึงห้าสิบปีถึงจะสําเร็จขั้นนภาชั้นที่เจ็ด แต่ตอนนี้ใช้เวลาเพียงแค่สองปีเท่านั้น

 

อย่างไรก็ตามที่ซูฉินทะลวงขั้นได้อย่างรวดเร็วไม่ใช่เพียงเพราะปราณีที่ฟื้นกลับคืนมา แต่เพราะเขาเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในทวีปในขณะนี้ ด้วยร่างกายที่มีพลังในระดับสูงที่สุด ภายใต้การฟื้นคืนของปราณฉีจึงเกิดประโยชน์สูงสุดต่อตัวเขา

 

แม้ว่าคนอื่นจะยังตามซูฉินไม่ทัน แต่ก็ยังได้รับผลประโยชน์เช่นเดียวกัน

 

หากการที่ตระกูลซูกลับมาสู่เส้นทางผู้ฝึกยุทธ ในช่วงที่ปราณฉีฟื้นกลับมา ควบคู่ไปกับการชี้แนะจากตํานานยุทธระดับนภาชั้นที่เจ็ดอย่างซูฉิน ด้วยพลังฉีฟ้าดินที่เปลี่ยนแปลงไปเช่นนี้ก็พอจะมีแสงริบหรี่แห่งความหวัง ที่จะก้าวเข้าสู่ตํานานยุทธได้

 

แน่นอนว่าเป็นเพียงความหวังอันริบหรี่จริงๆ

 

“พี่สาม ท่านหมายความว่าอย่างไรหรือ เรื่องที่ฟ้าดินได้เปลี่ยนแปลงไป?” ซูเยวหยุนสงบใจลง แล้วมองไปที่ซูฉินด้วยความประหม่า

 

คนอื่นๆก็เฝ้าดูอย่างตั้งใจจนถึงกับกลั้นหายใจ

 

พวกเขาทั้งหมดเป็นคนฉลาดและตระหนักดีถึงความหมายที่น่าสะพรึงกลัวเบื้องหลังคําพูดของซูฉิน

 

ในอดีตเส้นทางในการฝึกยุทธของพวกเขามาถึงทางตันแล้ว

 

แต่ตอนนี้กลับเป็นไปได้

 

เหตุผลก็คือ “ฟ้าดินกําลังเปลี่ยนแปลงไป” ที่มาจากปากของซูฉิน

 

และการเปลี่ยนแปลงระดับใดกันที่สามารถทําให้เกิดผลกระทบดังที่กล่าวมาได้?

 

“อย่าเพิ่งไปพูดถึงเรื่องนั้นในตอนนี้เลย”

 

ซูฉินส่ายหัวเล็กน้อย

 

คําอธิบายเรื่องการฟื้นคืนของกระแสปราณฉีนั้นซับซ้อนจนเกินไป และถึงแม้ซูฉินจะอธิบายตระกูลซูจะเข้าใจหรือไม่เข้าใจก็ไม่อาจแน่ใจได้

่ ่

“เอาล่ะ บอกสิ่งที่พวกเจ้าเลือกมาสิ”

 

ซูฉินกวาดตามองดูทุกคนแล้วกล่าวคําอย่างช้าๆ

 

Sign in Buddha’s palm 175 ข้อสงสัยและทางเลือก

 

จักรพรรดิถังดูเคร่งขรึมขึ้น วางงานทุกอย่างที่ทําอยู่ทันที ถามย้ำขันทีที่อยู่เบื้องหน้าของตน “เจ้าหมายถึง พี่สามของข้า ได้เรียกข้าให้ไปพบที่พระราชวังคุนหนิงใช่หรือไม่?”

 

“รายงานฝ่าบาท นั่นคือคํากล่าวที่พระมาตุลาแห่งอาณาจักรตรัสมา”

 

“ข้าเข้าใจแล้ว” จักรพรรดิถังคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงโบกมือว่าเข้าใจ

 

ต่อจากนั้น จักรพรรดิถังจึงตรัสเรียกซูชื่อหมิน ซูเฉิงฮ่าวและซูเฉิงยู่ให้ไปที่พระราชคุนหนิงด้วยกัน

 

ระหว่างทางที่เดินไป ไม่ว่าจะเป็นซูชื่อหมิน ซูเฉิงฮาวหรือซูเฉิงยู่ต่างก็เต็มไปด้วยความสงสัย จนถึงตอนนี้พวกเขาก็ยังรู้สึกว่าตนกําลังอยู่ในความฝัน

 

ไม่ช้านาน

 

คนทั้งหลายก็มาถึงพระราชวังคุนหนิง

 

เห็นซูฉินยืนอยู่เงียบๆ บริเวณนั้น ดูเหมือนว่าจะคอยมาเป็นเวลานานแล้ว

 

“พี่พี่สาม…”

 

จักรพรรดิเอ่ยออกมาด้วยความไม่สบายใจ ซูชื่อหมิน ซูเฉิงฮ่าวและซูเฉิงยู่ก็มองมาที่ซูฉินด้วยความรู้สึกอันแปลกประหลาด

 

ในตอนนี้ซูฉินไม่ได้เป็นเพียงคนในครอบครัวของพวกเขาเท่านั้น แต่ยังเป็นตํานานยุทธที่ไร้คู่ต่อกร สามารถสังหารราชครูแห่งอาณาจักรเหมิงหยวนรวมทั้งเผากองทัพทหารกว่าห้าล้านนายได้

 

“ข้ารู้ว่าพวกเจ้ามีข้อสงสัยมากมาย”

 

ซูฉินหันกลับมามองจักรพรรดิถังและคนอื่นๆ แล้วจึงพูดต่อว่า “แต่ก่อนที่จะว่ากล่าวกันถึงเรื่องนั้น มาปลุกน้องเล็กกันก่อนดีกว่า”

 

น้ำเสียงของซูฉินนั้นเรียบง่าย ราวกับเป็นคนธรรมดาคนหนึ่ง ถ้าไม่เห็นด้วยตาของตนเองก็คงไม่มีใครเชื่อมโยงคนตรงหน้ากับตัวตนอย่างตํานานยุทธผู้ไร้พ่ายที่ต่อกรกับกองทัพแห่งอาณาจักรเหมิ่งหยวนได้

 

“เยี่ยม”

 

ดวงตาของจักรพรรดิถังเป็นประกาย

 

เมื่อสองปีที่แล้ว ซูเยว่หยุนหลับใหลไปเพราะดูดซับหยดน้ำจิตวิญญาณกําเนิดพฤกษาไปหนึ่งหยดจนบัดนี้ก็ยังไม่ตื่น

 

หลังจากนั้นไม่นาน

 

ซูฉินและคนอื่นๆ ก็เดินเข้าไปด้านในของพระราชวังคุนหนิง มองดูซูเยว่หยุนที่กําลังนอนอยู่บนเตียง

 

ในช่วงสองปีที่ผ่านมา ซูเยว่หยุนไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปแม้แต่น้อย และนางก็ดูอ่อนกว่าวัยเนื่องด้วยการบํารุงจากหยดน้ำจิตวิญญาณกําเนิดพฤกษาที่อยู่ในร่างของนาง

 

“ใกล้จะตื่นแล้ว”

 

ซูฉินเหลือบมอง ยื่นมือขวาออกไปกดที่คิ้วของซูเยว่หยุน

 

หวึ่ง!!

 

เร็วจนไม่ทันรู้ตัว

 

ซูเยว่หยุนก็ค่อยๆ ลืมตาตื่นขึ้น มองไปรอบๆ ด้วยความรู้สึกว่างเปล่า “ที่นี่คือที่ไหน?”

 

“ข้าอยู่ในสวนต้องห้ามมิใช่หรือ?”

 

ซูเยว่หยุนกะพริบตาปริบๆ หันไปมองจักรพรรดิถัง ซูชื่อหมิน รวมถึงคนอื่นๆ

 

“หยุนเหนียง”

 

จักรพรรดิดูยินดีเป็นอย่างยิ่ง

 

ซูชื่อหมิน ซูเฉิงฮ่าว และซูเฉิงยู่ ทั้งสามคนก็มีความสุขไม่ต่างกัน

 

หลังจากคุยกันไปสักพัก พวกเขาก็กลับมาสนใจซูฉินอีกครั้งหนึ่ง

 

ซูฉินดูสงบนิ่ง พูดขึ้นเบาๆ “หากพวกเจ้ามีคําถามใด พวกเจ้าสามารถถามได้เลย”

 

เมื่อคําถูกกล่าวออก จักรพรรดิถังและคนอื่นๆ ก็มองหน้ากัน ไม่มีใครกล้าเอ่ยปากถามก่อน

 

ในท้ายที่สุด ซูเฉิงฮ่าวก็กัดฟันถามออกไปว่า “เรื่องที่ด้านนอกเมืองฉางอันนั่น…”

 

เมื่อซูเฉิงฮ่าวกล่าวออก ทุกๆ คนรวมถึงจักรพรรดิถังก็เงี่ยหูฟัง อยากได้ยินคําตอบจากปากของซูฉิน

 

แม้ว่าพวกเขาจะยืนยันคําตอบในใจได้แล้ว แต่ก็ยังต้องการจะได้ยินคําตอบจากปากของซูฉินอยู่ดี

 

“เป็นฝีมือของข้าเอง”

 

ซูฉินเหลือบตามองดูกลุ่มคนตรงหน้าและพูดอย่างใจเย็น

 

เมื่อซูเฉิงอ่าวได้ยินคําตอบ ดวงตาของเขาก็เบิกกว้างแล้วพูดว่า “งั้นเจ้าก็เป็นตํานานยุทธอย่างนั้นหรือ?”

 

ซูฉินคิดอยู่ครู่หนึ่ง พยักหน้าแล้วกล่าวคํา “ประมาณนั้น”

 

ไม่ว่าจะเป็นอรหันต์หรือตํานานยุทธ ทั้งสองสิ่งก็ล้วนเป็นระดับขั้นพลังของผู้ฝึกยุทธที่อยู่ในชั้นเดียวกัน จะแตกต่างก็เพียงนามเรียกขานเท่านั้น

 

เมื่อได้ยินคํายืนยันจากปากของซูฉินแล้ว ไม่ว่าจะเป็นจักรพรรดิถังหรือตระกูลซู ทุกคนล้วนตกตะลึง หากพวกเขาไม่ได้เห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในสนามรบด้วยสายตาของตนเอง ต่อให้ตายก็ไม่มีทางเชื่อเรื่องนี้เด็ดขาด ในสายตาของพวกเขาซูฉินเป็นบุคคลผู้อ่อนโยน บุคคลเช่นนี้กลับกลายเป็นตํานานยุทธที่อยู่ในยุคสมัยนี้

 

“น้องเล็ก”

 

“ทําไมเจ้าถึงดูไม่แปลกใจเลย?”่

 

ซูเฉิงฮ่าวหันเหสายตากลับมา เมื่อเขาเห็นใบหน้าที่ดูเหมือนกําลังครุ่นคิดของซูเยว่หยุน เขาก็อดไม่ได้ที่จะถามขึ้นมา

 

ในความเห็นของเขา น้องเล็กหลับใหลไปนานแล้ว และจู่ๆ ก็ได้รู้ว่าพี่สามของนางเป็นตํานานยุทธ ไม่ถึงกับจะต้องตกใจก็ได้ แต่คงไม่ทําหน้าสงบนิ่งได้ขนาดนี้

 

“ที่จริงข้าเคยคิดอยู่แล้วว่าพี่สามหาใช่คนธรรมดาไม่…”

 

ซูเยว่หยุนคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงเอ่ยคํา

 

“อะไรนะ?”

 

จักรพรรดิถังและตระกูลซูมองหน้ากันอย่างเหลือเชื่อ

 

แม้แต่จักรพรรดิถังก็เพิ่งจะทราบความจริงเรื่องนี้ ซูเยว่หยุนสามารถคาดเดาทุกสิ่งได้เช่นไร?

 

ซูเยว่หยุนเห็นว่าทุกคนงุนงง ก็ไม่ได้ปิดบัง กล่าวออกไปตามตรงว่า “ข้าเคยพูดคุยกับพี่สามยามที่ราชาหัวเมืองทั้งสิบนํากองทัพนับล้านมาบุกเมือง ในเวลานั้นที่สามบอกกับข้าว่าจะไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น แล้วหลังจากนั้นก็มีแสงศักดิ์สิทธิ์พุ่งออกไปหลายพันลี้สังหารราชาหัวเมืองทั้งสิบในส่วนลึกของกองทัพนับล้านนาย…”

 

“แล้วทําไมเจ้าถึงไม่บอกข้า” จักรพรรดิถังถอนหายใจ “ตอนนั้น ข้าแทบจะไม่ได้นอนหลับพักผ่อนเป็นเวลาหลายเดือนติดต่อกัน”

 

ถ้าจักรพรรดิถังในตอนนั้นทราบว่าพี่สามเป็นตํานานยุทธ เขาจะนอนหลับไม่ลงเช่นนั้นอีกหรือ?

 

“ยามนั้นข้าไม่แน่ใจ” ซูเยว่หยุนจ้องไปที่จักรพรรดิถังและพูดต่อ “ต่อมาข้าก็พบว่าความแข็งแกร่งของหว่านเอ๋อพัฒนาขึ้นเร็วมากจนเกินไป ข้าเองก็เป็นจอมยุทธ ข้านั้นรู้ว่าพรสวรรค์ของหว่านเอ๋อนั้นยอดเยี่ยมมากจริง ๆ แต่ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะก้าวกระโดดได้ถึงเพียงนี้”

 

“และหว่านเอื้อมักจะวิ่งไปหาพี่สามอย่างกระตือรือร้นอยู่เสมอ…”

 

ซูเยว่หยุนกล่าวต่อไปว่า “ดังนั้น ข้าเชื่อว่าการเปลี่ยนแปลงของหว่านเอ๋อจะต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกับพี่สามอย่างแน่นอน”

 

“หว่านเอ๋อ…” ร่องรอยความอับอายปรากฏขึ้นบนใบหน้าของจักรพรรดิถัง

 

ตลอดหลายปีที่ผ่านมา เขาทุ่มเทแรงกายแรงใจส่วนใหญ่ให้กับกิจการในราชสํานัก ตัวเขาเองไม่ได้สนใจหลีหว่านมากนัก

 

“และสุดท้าย พี่สามก็ได้ทําให้ดอกท้อภายในสวนต้องห้ามเบ่งบานขึ้นต่อหน้าต่อตาข้า ข้าเองก็มิใช่คนโง่” ซูเยว่หยุนกล่าวออกมาจนจบ

 

“ปรากฏว่ากลิ่นหอมดอกไม้ที่ข้าได้กลิ่นในวันนั้น มีความเป็นมาเช่นนี้นี่เอง!” ซูเฉิงฮ่าวตื่นเต้นขึ้นมาในทันใด

 

ซูชื่อหมินและคนอื่นๆ ก็ตระหนักได้ด้วยเช่นกัน

 

ในเวลานั้นพวกเขาก็ยังสงสัยกันอยู่ว่ากลิ่นดอกไม้นั้นมาได้อย่างไร และซูเฉิงฮ่าวก็อยากจะถามซูฉินเช่นกัน เพียงแต่ซูชื่อหมินได้ปรามเอาไว้เพราะต้องการจะให้ซูฉินได้พักผ่อน

 

ส่วนหลังจากนั้น ทุกคนก็ลืมเลือนเกี่ยวกับมันไป ปล่อยเรื่องราวไว้แบบนั้น

 

“เอาล่ะ”

 

“พี่สาม ข้ายังมีคําถามอยู่”

 

ในขณะนี้ ซูเยว่หยุนมองไปที่ซูฉิน อดไม่ได้ที่จะเปิดปากถาม

 

“พูดมาเถอะ” ซูฉินกล่าวคําเบาๆ

 

“หลายสิบปีก่อน มีข่าวลือว่าวัดเส้าหลินให้กําเนิดอรหันต์ขึ้นมา”

 

เมื่อซูเยว่หยุนกล่าวมาถึงตอนนี้ นางก็หยุดไปครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยต่อไปว่า “ในตอนนั้น พี่สามก็บังเอิญอยู่ในวัดเส้าหลินด้วย”

 

ทันทีที่ซเยว่หยุนพูดเช่นนี้ออกไป สีหน้าของคนอื่นๆ ก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย และมองไปที่ซูฉินอย่างไม่อยากจะเชื่อ 

 

“เจ้าคงอยากจะถามว่า อรหันต์จากวัดเส้าหลินเกี่ยวข้องอะไรกับข้า อย่างนั้นสินะ?” ซูฉินมองไปที่ซูเยว่หยุนด้วยรอยยิ้มที่ประดับอยู่บนใบหน้า

คลิปหลุด

“อรหันต์จากวัดเส้าหลินผู้นั้นก็คือข้าเอง” ซูฉินคิดคะนึงอยู่ครู่หนึ่งแล้วเอ่ยออกมาอย่างช้าๆ

 

ทันใดนั้น

 

ก็เกิดคลื่นลมลูกใหญ่ภายในใจของซูชื่อหมินและคนตระกูลซู

 

พวกเขาคิดไม่ถึงว่าตั้งแต่ครั้งเมื่อยังไม่ออกจากวัดเส้าหลิน ซูฉินก็มีพลังในระดับอรหันต์อยู่แล้ว?

 

ต่อจากนั้น

 

ซูฉินก็ตอบคําถามอื่นๆ เพิ่มเติม

 

จนความสงสัยของทุกผู้ทุกคนถูกขจัดปัดเป่าไปอย่างสมบูรณ์ ซูฉินยังคงกล่าวต่อไปว่า “ในเมื่อพวกเจ้าได้รับรู้แล้ว ตอนนี้ข้าจะให้ทางเลือกแก่พวกเจ้า”

 

“ทางเลือก?”

 

จักรพรรดิถังและคนอื่นๆ ต่างก็รู้สึกตื่นเต้น และทราบในทันทีว่าสิ่งที่ซูฉินจะกล่าวต่อไปนี้อาจจะเป็นสิ่งที่มีความสําคัญอย่างสูงยิ่ง

 

เมื่อคิดได้เยี่ยงนี้ ทุกคนต่างก็กลั้นลมหายใจ ตั้งใจรับฟัง

 

 

Sign in Buddha’s palm 174 สะเทือนใต้หล้า

 

กองทัพเหมิงหยวน

 

ซูฉินกวาดตามองทหารกว่าห้าล้านที่เคลื่อนที่เข้ามา จาก นั้นจึงส่ายหัวเล็กน้อย “ช่างไม่รู้จักคุณค่าชีวิต”

 

ช่วงเวลาต่อมา

 

เปลวไฟก็ลุกโชนขึ้นที่ส่วนลึกของดวงตาซูฉิน เหมือ นกับดวงอาทิตย์กําลังแผดเผาผืนโลก

 

เปลวไฟอันน่าสะพรึงกลัวพุ่งออกมาจากรู้ม่านตาของซูฉินตอนแรกมันเผาไหม้ในรัศมีไม่กี่ร้อยเมตร แต่แล้วไฟก็ลุกลาม ไปอย่างรวดเร็วตราบใดที่กองทหารสัมผัสถูกประกายไฟแค่ เพียงเล็กน้อย ทั่วทั้งร่างก็จะลุกโชนด้วยเปลวเพลิงจนเป็นเหมือนกับกองไฟ

 

ท้ายที่สุดเปลวเพลิงทั้งหมดก็มาบรรจบกัน เผาไหม้อย่างรุนแรงสุมรวมกันจนกลายเป็น “ดวงไฟลูกใหญ่” เก้า ดวงหมุนวนไปโดยรอบ

 

ดวงไฟทั้งเก้า เผาผืนปฐพี ต้มทะเลจนเดือดพล่าน

 

ความแข็งแกร่งของซูฉินในขณะนี้ได้กระตุ้นเคล็ดคัมภีร์เก้าสุริยันออกมาแม้ว่าจะไม่สามารถสร้างดวงอาทิตย์ ได้จริงๆ แต่ก็เป็นเรื่องง่ายที่จะสร้างลูกไฟเก้าลูกเผาผลาญ ทุกสรรพสิ่ง

 

ฟูม!

 

ทันใดนั้นเปลวเพลิงอันน่าสยดสยองก็ได้ปกคลุมไปทั่วทั้งสนามรบทหารเหมิ่งหยวนจํานวนนับไม่ถ้วนไม่สามารถกระ ทําได้แม้แต่กรีดร้องพวกมันโดนแผดเผาจนกลายเป็นอา กาศธาตุ

 

“นี่มันคืออะไรกัน!”

 

ผู้นําอาณาจักรเหมิงหยวนตกใจอย่างยิ่ง ทันทีที่เขาหันศีรษะกลับมาก็เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นภายในสนามรบ กองทหารเหมิงหยวนทั้งห้าล้านนายถูกแผดเผาด้วยดวงไฟลูกใหญ่อย่างสมบูรณ์

 

“ไม่!!!”

 

ผู้นําเหมิ่งหยวนหันหน้ากลับมาและต้องการจะวิ่งหนีไปแต่เปลวเพลิงนั้นลุกลามรวดเร็วจนเกินไป มันตามติดตัวเขามาได้ในทันทีด้วยเปลวเพลิงอันนั้น ร่างกายของผู้นํา เหมิ่งหยวนกําลังจะกลายเป็นเถ้าธุลีหยุดนิ่งอยู่กับที่

 

จังหวะที่สติของเขาเกือบจะเลือนหายไปอย่างสมบูรณ์นั้นความสํานึกผิดก็ปรากฏขึ้นในใจของผู้นําแห่งอาณาจักรเหมิ่งหยวนหากเขาไม่ระดมพลมาประกาศสงครามกับอาณาจักรถังผลที่เกิดจะแตกต่างไปจากนี้หรือไม่?

 

“ราชครูแห่งอาณาจักรเล่นงานขาเสียแล้ว…”

 

ผู้นําแห่งอาณาจักรเหมิ่งหยวนก็พลันสลายหายไป 

 

ในเวลานี้สถานการณ์รบค่อยๆ สิ้นสุดลง กองทัพเหยิ่งหยวนทั้งห้าล้านนายไม่อาจหนีพ้น พวกเขาทั้งหมดถูกห้อมล้อมไปด้วยเปลวเพลิงที่ส่งพวกมันให้กลายเป็นความว่าง เปล่า

 

“นี่มันไฟอะไรกันนี่?”

 

ในเมืองฉางอัน ขุนนางทั้งฝ่ายพลเรือนและฝ่ายทหาร จํานวนมากมองเห็นฉากนี้ก็ได้แต่ลอบกลืนน้ําลาย ตัวสั่นงันงก

 

พวกเขาคิดไว้แล้วว่าตํานานยุทธนั้นแข็งแกร่งมาก ไม่สนใจว่าจะต้องต่อสู้กับผู้คนจํานวนมากเท่าไหร่ แม้จะเป็นกองทัพนับล้านก็สามารถทะลวงฝ่าไปได้อย่างง่ายดายโดยไม่ได้เปลืองแรงมากมายนัก

 

แน่นอนว่าไล่ล่าสังหารได้ แต่ตอนนี้ ชั่วระยะเวลาเพียงไม่นานกองทัพทั้งห้าล้านนายกลับถูกเผาไหม้เป็นเถ้าถ่านใน ทันทีสิ่งนี้มันคืออะไรกัน?

 

“ใกล้เสร็จสิ้นแล้ว”

 

ซูฉินเหลือบมองไปที่สนามรบและคิดใคร่ครวญอยู่กับตนเอง

 

อันที่จริงเคล็ดเก้าสุริยันนั้นทรงพลัง แม้แต่ผู้คิดค้นวิชานี้ก็คงไม่สามารถที่จะเผากองทัพกว่าห้าล้านนายในคราวเดียว ได้เช่นนี้

 

นี่คือจุดแข็งที่น่าหวาดกลัวของซูฉิน เขาทําให้เคล็ดเก้าสุริยันเพิ่มระดับขึ้นหลายระดับในคราวเดียว

 

“น่าเสียดาย

 

“การใช้เปลวเพลิงปกคลุมไปทั่วบริเวณนั้นทําให้พลังลดลงไปอย่างมหาศาล มันสามารถนํามาใช้กับจอ มยุทธที่อยู่ในขอบเขตวิทยายุทธทั้งเก้าระดับชั้นได้เท่านั้น”

 

ซูฉินส่ายหัวเล็กน้อย ประเมินวิชานี้อยู่ภายในใจ

 

หากนําดวงไฟอันยิ่งใหญ่ทั้งเก้ามารวมอยู่จุดเดียว สามารถทําลายตํานานยุทธได้เลยทีเดียว

 

แต่ถ้ามันกระจายกําลังกันออกไปเช่นนี้ ย่อมไม่เป็นภัยคุกคามใดต่อตํานานยุทธ และแม้แต่ยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งบางคนก็สามารถต้านทานมันได้ชั่วระยะเวลาหนึ่ง

ในตอนนี้กองทัพเหมิ่งหยวนมียอดยุทธระดับสูงหลาย คนที่พอจะทนต่อการแผดเผาของเปลวไฟได้ แต่ในเวลาต่อมา เมื่อเปลวเพลิงค่อยๆ รวมตัวกันพวกเขาก็สลายกลาย เป็นความว่างเปล่าโดยสมบูรณ์

 

“ได้เวลากลับไปแล้ว”

 

ซูฉินเหลือบมองที่สนามรบอีกครั้งก่อนที่จะหันกลับไปยังเมืองฉางอันก้าวออกเพียงหนึ่งก้าวก็หายตัวไปจากจุดเดิม

 

เหมิ่งหยวนพ่ายแพ้แล้ว

 

ราชครูแห่งอาณาจักรเหมิ่งหยวนสิ้นชีพในสนามรบ

 

ไม่มีคนหนึ่งคนใดในกองทัพเหมิ่งหยวนทั้งห้าล้านรอดชี

 

ขาวนี้แพร่กระจายไปทั่วทวีปด้วยความรวดเร็วดุจพายุ

 

การที่กองทัพเหมิ่งหยวนกว่าห้าล้านนายเคลื่อนพลลงใต้นั้นส่งผลต่อความมั่นคงภายในโลกหน้า ไม่รู้ว่ามีสายลับจํานวนเท่าใดที่แอบซุ่มอยู่บริเวณใกล้เคียงเมืองฉางอันแล้วส่ งข้อมูลกลับไปยังอาณาจักรต่างๆรายงานต่อจักรพรรดิใน อาณาจักรของตน

 

“เหมิ่งหยวนพ่ายแพ้?”

 

“ราชครูอาณาจักรเหมิ่งหยวนสิ้นชีพแล้ว?”

 

ใบหน้าจักรพรรดิซึ่งดูเหยเก่าเกลียด มองไปยังหน่วย สอดแนมที่กลับมารายงานจู่เสียงคํารามก้อง “เรื่องนี้เป็นค วามจริงหรือไม่?”

 

“รายงานฝ่าบาท เรื่องนี้ได้รับการยืนยันหลายรอบ แล้วพ่ะย่ะคะมันควร..ควร…”

 

หน่วยสอดแนมคุกเข่าลงหน้าพระพักตร์ ก้มหน้าตัวสั่นสะท้านแล้วพูดว่า“มันควรจะเป็นความจริง”

 

ผับ!

 

ดูเหมือนจักรพรรดิซ่งจะสูญสิ้นเรี่ยวแรงโดยพลัน ทรุดตัวลงบนบัลลังก์มังกรด้วยเสียงอันดัง ใบหน้าเต็มไปด้วยความหวัง

 

“เกิดอะไรขึ้น?”

 

“เหตุใดเหมิงหยวนถึงล้มเหลว กล่าวมาโดยละเอียด?”

 

เยวอี้ยนคิ้วเข้าหากันแล้วเอ่ยถามทันที

 

ในความเห็นของเขาเหมิงหยวนและอาณาจักรถังเมื่อน้ํานั่นกันแม้ว่าจะได้ผู้ชนะ แต่อย่างมากสุดก็เป็นชนะโดยการปราบปรามขับไล่อีกฝ่ายหนึ่ง

 

แต่ตอนนี้เหมิ่งหยวนกลับพ่ายแพ้อย่างสมบูรณ์กองกําลังทหารนับล้านไม่มีใครรอดชีวิต ตํานานยุทธอย่างราชครูแห่ งอาณาจักรเหมิ่งหยวนก็เสียชีวิตคาที่

 

นี่มันเรื่องไร้สาระอันใด

 

ไม่มีทหารที่รอดชีวิตเลยจากกองกําลังทั้งหมดห้าล้านนาย?

 

สําหรับสิ่งนี้มีเพียงเหตุผลเดียวคือหนึ่งในสองกองทัพมีข้อได้เปรียบมากกว่าอีกฝ่ายอย่างท่วมท้น ทําให้ฝั่งที่ด้อยกว่าต้องพ่ายแพ้ยับเยินอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

 

แต่สถานการณ์ของอาณาจักรถังนั้น พวกเขาใช้อะไรในการจัดการปัญหากองทัพทั้งห้าล้านนายของเหมิงหยวน

 

ไม่ต้องกล่าวถึงกองทัพห้าล้านนาย ต่อให้เป็นสุกรห้าล้านตัวที่วิ่งกระจายตัวหนีกันอย่างรวดเร็ว ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะจับพวกมันทั้งหมดเอาไว้ได้ไม่ใช่หรือ?

 

“ท่านแม่ทัพใหญ่”

 

“หน่วยสอดแนมกล่าวว่าเป็นฝีมือของตํานานยุทธของอาณาจักรถังที่ลงมือสังหารราชครูอาณาจักรเห มิ่งหยวนด้วยนิ้วเดียว จากนั้นก็เรียกดวงอาทิตย์ดวงโตกว่าเก้าดวงออกมาเผาทุกสิ่งโดยรอบรวมถึงกองทัพทั้งห้าล้าน นายก็โดนเผาจนกลายเป็นอากาศธาตุ…”

่ ่

เมื่อหน่วยสอดแนมคนนั้นกล่าวออก ฟันของเขาก็สั่นกระทบกันแม้ว่าเขาจะไม่ได้อยู่ในสนามรบด้วยตนเอง เขาก็พอคาดเดาได้ว่าเปลวเพลิงที่สามารถสังหารกองทัพทหารกว่า ห้าล้านนายได้นั้นมันน่ากลัวเพียงใด

 

“ตํานานยุทธแห่งอาณาจักรถัง…”

 

เยวอี้เงียบไป หลังจากนั้นไม่นาน เขาก็กล่าวอย่างขมขี่นว่า “แข็งแกร่งขนาดนี้ได้อย่างไร?”

 

ไม่ใช่แค่อาณาจักรซึ่งเท่านั้น

 

ในขณะเดียวกัน เกือบทุกอาณาจักรทั่วทวีปต่างก็ได้รับทราบขาวหนานหมิง

 

จักรพรรดิหมิงนั่งหลับตาอยู่บนบัลลังก์มังกร

 

นับตั้งแต่การสิ้นพระชนม์ของราชาหรูหยางในเมืองฉางอันฐานกําลังของหนานหมิงก็ได้รับความเสียหายเป็นอย่างมาก และจักรพรรดิหมิงก็แทบจะไม่สามารถควบคุมราชสํานักได้เมื่อสูญเสียตัวตนระดับสูงไปเช่นนี้

 

โชคดีที่ในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมานี้ ไม่รู้เพราะเหตุใดในหนานหมิงถึงมียอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งถึงสองคนที่ประสบความสําเร็จในการบุกทะลวงเข้าสู่ขั้นสูงสุด และสิ่งนี้ทําให้ความทะเยอทะยานของจักรพรรดิหมิงถูกจุด ประกายอีกครั้ง

 

อย่างไรก็ตาม

 

ก่อนที่จักรพรรดิหมิงจะกลับมาผงาดอีกครั้ง เขาก็ได้ยินข่าวร้ายในสงครามระหว่างอาณาจักรถังและอาณาจักรเห มิ่งหยวน เหมิ่งหยวนพ่ายแพ้อย่างหมดรูปไม่เพียงแต่ราชค รูแห่งอาณาจักรเหมิ่งหยวนเท่านั้นที่สิ้นชีพแต่ทหารกว่าห้าล้านนายของอาณาจักรเหมิ่งหยวนก็ต้องนอนทอดร่างอยู่นอกเมืองฉางอัน

 

เหมิ่งหยวนประสบกับความสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ และจักรพรรดิหมิงก็มีความสุขที่ได้เห็นสิ่งนั้น

 

แต่นับจากวันนี้ไป เงาของอาณาจักรถังจะทาบทับปกคลุมไปทั่วหล้า

 

“ตํานานยุทธ…”

 

จักรพรรดิหมิงเป็นบุคคลที่มองโลกในแง่ร้าย

 

ด้วยความสามารถที่ตํานานยุทธแห่งอาณาจักรถังแสดงออกมา ไม่ใช่แค่เพียงยุคนี้ แม้จะมองย้อนกลับไปในอดีตก็จะไม่พบว่ามีใครที่สามารถเป็นคู่ต่อสู้กับเขาผู้นั้นได้เลยมิใช่หรือ?

่ ่

เมื่อยามที่ทั่วโลกสั่นสะเทือน

 

ภายในเมืองฉางอัน จักรพรรดิถังก็สั่งการทหารให้เข้าไปเก็บกวาดสนามรบเรียกคืนพื้นที่ที่สูญเสียไป

 

ในเวลานั้น ขันที่คนหนึ่งเดินอย่างเร่งรีบเข้ามาที่เบื้องหน้าของจักรพรรดิถังแล้วกระซิบคําอยู่สองสามคํา

 

“อะไรนะ?”

 

ใบหน้าของจักรพรรดิถังเปลี่ยนไปเล็กน้อยเมื่อได้ฟังคํากล่าวนั้น

 

Sign in Buddha’s palm 173 สะเทือนเลือนลั่น

 

“เป็นไปได้อย่างไร?”

 

กองทัพกว่าห้าล้านนายของอาณาจักรเหมิ่งหยวนยืนนิ่ง พวกเขามองดูราชครูแห่งอาณาจักรที่เหมือนกับเทพเจ้าถูกทะลวงแทงด้วยนิ้วมือ เกือบจะคิดไปว่าสิ่งที่พวกมันเห็นนั้นคือภาพลวงตา

 

“ท่านราชครูแห่งอาณาจักรสิ้นชีพแล้ว?”

 

“ท่านราชครูแห่งอาณาจักรสิ้นชีพได้อย่างไร?”

 

ฝ่ามือฝ่าเท้าของคนในฝั่งอาณาจักรเหมิ่งหยวนเย็นเยียบ เริ่มวิตกกังวล ก่อนหน้านี้พวกเขายังคิดถึงการยอมจํานนของเหล่าอาณาจักรต่างๆ เหมิ่นหยวนจะครอบครองทั้งใต้หล้า…. แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคือราชครูแห่งอาณาจักรเหมิ่งหยวนสิ้นชีพในพริบตา

 

หลังจากราชครูแห่งอาณาจักรเสียชีวิตลง อาณาจักรเหมิ่งหยวนก็สูญเสียอํานาจสนับสนุนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดไป แม้ว่าด้วยอํานาจของอาณาจักรเหมิ่งหยวนตอนนี้ยังสามารถครอบครองพื้นที่ทุ่งหญ้าอันกว้างใหญ่ไร้ที่สิ้นสุดได้ แต่ก็คงเป็นเรื่องตลกถ้ายังคิดจะครอบครองใต้หล้า

 

เหล่าแม่ทัพนายกองที่ยืนอยู่เคียงข้างผู้นาอาณาจักรเหมิ่งหยวนก็เริ่มหนาวเหน็บในใจ พวกเขาคิดไปไกลยิ่งกว่าคนอื่น ราชครูแห่งอาณาจักรสิ้นชีพ แล้วจะทําอะไรต่อไปดี?

 

อาณาจักรเหมิ่งหยวนมีกองกําลังกว่าห้าล้านนาย เรียกได้ว่าเป็นกองกําลังทั้งหมดของอาณาจักร เมื่อการรบพ่ายแพ้ไม่เป็นท่าและต้องหวนคืนกลับสู่อาณาจักรอีกครั้ง เกรงว่าคงต้องเผชิญหน้ากับความคับข้องใจของผู้คน

 

และ…

 

แม่ทัพทั้งหลายเหลือบมองซูฉินผู้ซึ่งสังหารราชครูแห่งอาณาจักรลงได้ ขนบนหัวของพวกเขาก็ลุกชั้น

 

พวกเขาจะกลับคืนสู่อาณาจักรได้อย่างปลอดภัยหรือไม่ นั่นคือคําถามที่ใหญ่ยิ่งกว่าการเผชิญหน้ากับความคับข้องใจของผู้คนเสียอีก

 

เมื่อเทียบกับกองทัพเหมิ่งหยวนที่เงียบกริบ

 

อาณาจักรถังส่งเสียงโห่ร้องอย่างเต็มที่ ทหารอาณาจักรถึงจํานวนมหาศาลเต็มไปด้วยความสุข พวกเขาไม่รู้จักซูฉิน รู้เพียงแต่ว่าซูฉินออกไปเพื่อสังหารตํานานยุทธของกองทัพเหมิ่งหยวนและได้ช่วยชีวิตนับร้อยครัวเรือนโดยการลงมือในครั้งนี้

 

“อาณาจักรถังจงเจริญ”

 

“ฝ่าบาททรงพระเจริญ”

 

ผู้คนภายในเมืองฉางอันอดไม่ได้ที่ส่งเสียงตะโกนโห่ร้อง

 

“ชายผู้นั้นใช่ตํานานยุทธที่อยู่ภายในวังหลวงหรือเปล่า?” สตรีรูปงามผู้หนึ่งมองที่ซูฉินด้วยความชื่นชม

 

“มองดูแล้วก็อายุไม่ต่างจากข้ามาก ไม่รู้ว่าเรื่องที่ข้าเคยแต่งงานมาแล้ว…”

 

ผู้หญิงคนนี้ก้มหน้าลงและพูดงึมงําอยู่คนเดียว

 

“เห้เห้”

 

เมื่อจอมยุทธที่อยู่ด้านข้างได้ยิน เขาก็ส่ายหัวแล้วกล่าวว่า “ตํานานยุทธนะเป็นที่เคารพมากเพียงไร? จะมาหลงเสน่ห์เจ้าได้อย่างไร…”

 

จอมยุทธคนนี้พูดได้เท่านั้นแล้วก็ไม่ได้เอ่ยอะไรต่อไป

 

แต่ความหมายที่อยู่ภายในประโยคเมื่อครู่ เท่ากับเป็นการบอกว่า “เจ้าไม่คู่ควร”

 

“เจ้า?!”

 

หญิงงามคนนั้นหน้าแดงซ่าน กระทืบเท้าแล้ววิ่งหนีไป 

 

พอคนอื่นๆ เห็นฉากนี้ ก็หันมายิ้มให้กัน ไม่ได้รู้สึกว่ามันผิดปกติอะไรกับความคิดของหญิงนางนั้น แต่ถ้าจะให้กล่าวว่าสามารถกระทําได้หรือไม่นั้น ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง

 

“อย่างไรก็ตาม ตํานานยุทธในอาณาจักรถังของพวกเรานั้นแข็งแกร่งจนน่าหวาดกลัว ควรจะอยู่ในขั้นที่ลึกซึ้งแล้วของขอบเขตตํานานยุทธ”

 

จอมยุทธที่อยู่ในขอบเขตสามระดับบนถอนหายใจที่เต็มไปด้วยอารมณ์บางอย่าง

 

“จริงแท้”

 

จอมยุทธคนอื่นๆ พยักหน้าเห็นด้วย ใบหน้าของพวกเขาแสดงอาการกริ่งเกรง

 

ซูฉินสามารถสังหารราชครูแห่งอาณาจักรเหมิ่งหยวนได้อย่างง่ายดาย เห็นได้ชัดว่าความแข็งแกร่งของเขานั้นเหนือกว่าอีกฝ่ายมาก สําหรับจอมยุทธเหล่านี้ ตํานานยุทธนั้นก็เป็นตัวตนที่ไกลเกินเอื้อมแล้ว แต่ชายผู้นั้นกลับเป็นผู้แข็งแกร่ง แม้แต่ในขอบเขตตํานานยุทธด้วยกัน?

 

ยามที่ผู้คนมากมายกําลังพูดถึงเรื่องนี้ จักรพรรดิถังและขุนนางทั้งหลายที่อยู่บนกําแพงเมืองต่างตกตะลึง

 

“พี่สาม สังหารราชครูแห่งอาณาจักรเหมิ่งหยวน?” 

 

จักรพรรดิถังยังไม่ฟื้นตัวจากอาการตกใจที่ซูฉินก้าวเท้าเหยียบไปบนอากาศ รู้ตัวอีกทีก็เห็นราชครูแห่งอาณาจักรเหมิ่งหยวนตกตายภายใต้น้ำมือของซูฉินเสียแล้ว จิตใจของพระองค์ว่างเปล่าอีกครั้ง

 

ผ่านไปนานทีเดียวก่อนจักรพรรดิถังจะตอบสนองได้อีก เขามองไปที่แม่ทัพแห่งวังหลวงซึ่งอยู่ด้านข้าง กล่าวถามด้วยเสียงแหบแห้ง “เมื่อครู่เกิดอะไรขึ้น”

 

“ฝ่าบาท”

 

แม่ทัพถึงเองก็รู้สึกตกใจ เหลือเชื่อ และความรู้สึกอื่นๆ ก็สาดซัดเข้ามามากมาย ในที่สุดเขาก็สูดลมหายใจเข้าลึกๆ ถอนลมหายใจออก แล้วจึงกล่าวคํา “พระมาตุลาแห่งอาณาจักรเพิ่งจะสังหารราชครูแห่งอาณาจักรเหมิ่งหยวนไปพ่ะย่ะค่ะ”

 

หลังจากที่แม่ทัพดังกล่าวคําไป เขาก็สงบจิตใจก่อนจะกล่าวต่อ “ฝ่าบาท พระมาตุลาแห่งอาณาจักรเป็นตํานานยุทธที่อยู่ภายในวัง”

 

เมื่อแม่ทัพดังกล่าวเช่นนี้ ภาพความทรงจําที่มีต่อซูฉินภาพแล้วภาพเล่ากวาบผ่านเข้ามาในใจ

 

ในสายตาของแม่ทัพถัง ซูฉินมีความสามารถบางอย่างที่แม้แต่จักรพรรดิพระองค์ก่อนก็ยังชื่นชม แต่เมื่อเทียบกับตัวตนอย่างตํานานยุทธ ทั้งหมดนั้นก็ไม่นับเป็นอะไร 

 

“ปรากฏว่าข้าได้พบตํานานยุทธมาหลายต่อหลายครั้งแล้ว…” แม่ทัพแห่งวังหลวงขณะนี้ดูเต็มไปด้วยอารมณ์ความรู้สึกอันมากล้น

 

เขาเป็นผู้บัญชาการกองทัพภายในวัง มักจะเดินลาดตระเวนอยู่บ่อยๆ และบางครั้งก็จะเห็นซูฉินเดินเตร็ดเตร่อยู่ภายในวัง

 

“ข้าควรจะคิดได้ ข้าควรจะคิดได้ ข้าควรจะนึกออกแต่แรก”

 

จักรพรรดิถังร้องคํารามในใจ บ่นพึมพําอยู่กับตนเอง

 

ในช่วงหลายร้อยปีที่ผ่านมาในราชวงศ์ถัง นอกจากปฐมจักรพรรดิแล้ว ยังไม่มีใครเคยได้ยินเรื่องของตํานานยุทธมาก่อน และเมื่อมีเรื่องราวการลงมือของตํานานยุทธนั้นก็เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากซูฉินย้ายเข้ามาอยู่ภายในพระราชวังตะวันออก

 

ยิ่งกว่านั้นทุกครั้งที่ตํานานยุทธภายในวังลงมือ ก็คือเมื่อยามที่จักรพรรดิถังกําลังเผชิญวิกฤตที่ถึงแก่ชีวิต เห็นได้ชัด าอีกฝ่ายสนใจแค่เฉพาะชีวิตของจักรพรรดิถังเท่านั้น

 

จักรพรรดิถังค่อยๆ ออกจากห้วงความคิด จ้องมองอย่างว่างเปล่าไปที่ซูฉินซึ่งยืนอยู่เพียงผู้เดียวท่ามกลางกองทัพเหมิ่งหยวน

 

“เสี่ยวฉิน เสี่ยวฉิน…”

 

ซูชื่อหมิน ซูเฉิงยู่ และซูเฉิงฮ่าว มองหน้ากันด้วยสายตาที่งุนงง ไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่

 

กองทัพเหมิ่งหยวน

 

หลังซูฉินสังหารราชครูแห่งอาณาจักรเหมิ่งหยวนไป ท่าทางของเขาก็ยังไม่เปลี่ยนแปลง

 

ราชครูแห่งอาณาจักรเหมิ่งหยวนเป็นตํานานยุทธอย่างแน่นอน ในยุคนี้เรียกได้ว่าไร้ผู้ต้าน น่าเสียดายยิ่งแล้วที่ต้องมาพบกับซูฉิน

 

ซูฉินได้เข้าสู่ระดับนภาชั้นที่เจ็ดเรียบร้อยแล้ว ความห่างชั้นระหว่างราชครูเหมิ่งหยวนกับซูฉินไม่ต่างจากคนธรรมดาที่ต้องการจะท้าทายตํานานยุทธ

 

หรืออาจจะห่างชั้นยิ่งกว่านั้นเสียด้วยซ้ำ

 

ถ้าไม่ใช่เพราะซูฉินเพิ่งจะก้าวหน้าขึ้นมาและต้องการสร้างความคุ้นชินกับความแข็งแกร่งของตนเอง เขาสามารถสังหารราชครูแห่งอาณาจักรเหมิ่งหยวนที่ห่างออกไปสิบลี้โดยอยู่แต่ในเมืองฉางอันได้อย่างสมบูรณ์

 

ในตอนนี้

 

เสียงตะโกนก็ดังขึ้น

 

“เจ้าสังหารราชครูแห่งอาณาจักรเหมิ่งหยวนเหมิ่งหยวน เหมิ่งหยวนจะไม่มีวันจบสิ้นไปกับข้า ทหารหาญเอ๋ย ฟังคำสั่งข้า ใครทำร้ายคนผู้นี้ได้ข้าจะให้รางวัลหนึ่งแสนตําลึงทอง ศักดินาหนึ่งหมื่นหมู่ ผู้ที่สังหารคนผู้นี้ได้จะสามารถถือครองสกุลชนชั้นราชาผู้ครองดินแดน ได้รับเขตแดนอันไม่มีที่สิ้นสุด”

 

เสียงนี้ทุ่มลึก ทรงพลัง และกระจายออกไปไกลหลายในชั่วพริบตา

 

ทันใดนั้นกองทัพเหมิ่งหยวนทั้งห้าล้านนายก็เริ่มกระวนกระวายใจเล็กน้อย

 

เมื่อมีรางวัล ก็ต้องมีผู้กล้า

 

แม้ว่าทหารเหล่านี้จะเห็นซูฉินสังหารราชครูแห่งอาณาจักรเหมิ่งหยวน แต่ในเมื่อพวกเขาเข้าร่วมกับกองทัพแล้ว ใครบ้างจะไม่อยากประสบความสําเร็จ?

 

ในขณะนั้นเอง แม่ทัพผู้ออกคําสั่งก็รีบเข้ามาหาผู้นําอาณาจักรเหมิ่งหยวน แล้วกระซิบคําว่า “ท่านผู้นําหนีกันเถอะ”

 

เห็นได้ชัดว่าแม่ทัพไม่คิดว่ากองทัพจํานวนห้าล้านนายจะสามารถจัดการกับซูฉินได้

 

เหตุผลที่เขาออกคําสั่งกับทหารเช่นนั้นไม่มีอะไรนอกจากตั้งใจจะเสียสละทหารจํานวนห้าล้านนายเพื่อซื้อเวลาให้กับผู้นําแห่งอาณาจักรเหมิ่งหยวน

 

ในความเห็นของเขา แม้ว่าซูฉินจะแข็งแกร่งพอที่จะสังหารเหล่าทั้งทหารทั้งห้าล้านนาย แต่ก็ควรจะใช้เวลาอยู่บ้างมิใช่หรือ?

 

หากการเสียสละของกองทหารกว่าห้าล้านนายสามารถทําให้ผู้นําอาณาจักรเหมิ่งหยวนหลบหนีไปได้ทุกสิ่งย่อมคุ้มค่า

 

“หนี?”

 

ผู้นําแห่งอาณาจักรเหมิ่งหยวนมองที่แม่ทัพใหญ่ ทันใดนั้นแสงแห่งความหวังก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขา “ใช่ ตราบใดที่ข้าหนีกลับไปยังดินแดนทุกหญ้าอันกว้างใหญ่ได้ ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมจะยังมีโอกาสอยู่”

 

ความหวังของผู้นาอาณาจักรเหมิ่งหยวนนิ่งถูกจุดขึ้น เขาก็มองย้อนกลับไปโดยไม่รู้ตัว อยากจะรู้ว่าเหตุการณ์ในสนามรบเป็นเช่นไร

 

แต่จากสิ่งที่เห็น ผู้นําอาณาจักรเหมิ่งหยวนก็ได้เห็นฉากที่ยากจะลืมเลือนในชั่วชีวิตนี้

 

 

เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล [Sign in Buddha’s palm]

Sign in Buddha’s palm 172 ตํานานยุทธร่วงหล่นจากฟ้า

 

“ฆ่ามัน?”

 

เมื่อจักรพรรดิถังได้ยินคําสองคํานี้ ปฏิกิริยาแรกคือ สงสัยว่าซูฉินต้องการฆ่าใคร ปฏิกิริยาต่อมาคือ “ไม่ดีแล้ว พี่สามกําลังจะตกลงไป”

 

ขณะนี้พวกเขาทั้งหมดอยู่ด้านบนของกําแพงเมืองฉางอัน หากซูฉินยังก้าวเดินต่อไปเห็นที่จะร่วงหล่นลงไปด้านล่างอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

 

เมืองฉางอันเป็นเมืองหลวงโบราณกว่าสิบราชวงศ์ มีกําแพงเมืองสูงใหญ่ แม้จะเป็นจอมยุทธก็ตาม ถ้าตกลงไปก็คงสภาพไม่ได้ดีนัก

 

และตอนนี้ยังอันตรายยิ่งกว่าเดิมเพราะประตูเมืองฉางอันถูกปิดเอาไว้อยู่ ถ้าซูฉินตกลงไปนอกกําแพงจริงๆ ก็คงไม่ได้รับการช่วยเหลือในเวลาอันสั้น

 

หากครั้งนี้กองทัพเหมิ่งหยวนบุกโจมตีเข้ามา ซูฉินคงต้องพึ่งตัวเองเท่านั้นเมื่อเผชิญหน้ากับกองทัพเหมิ่งหยวน

 

เมื่อคิดมาถึงจุดนี้ จักรพรรดิถังก็รู้สึกวิตกกังวล

 

“หยุดพี่สามเอาไว้”

 

จักรพรรดิถังเหลือบมองแม่ทัพแห่งอาณาจักรถังที่อยู่ด้านข้าง

 

“รับพระบัญชา”

 

แม่ทัพแห่งราชสํานักโค้งคํานับเล็กน้อยแล้วจึงเคลื่อนตัวออกไป

 

อย่างไรก็ตาม

 

ช่วงเวลาต่อมา

 

ท่ามกลางสายตาของทั้งกองทัพ ซูฉินก้าวเท้าออกไปด้านนอกกําแพงเมือง ก้าวเดินไปในอากาศ ทีละก้าวๆ มุ่งไปยังกองทัพเหมิ่งหยวน ราวกับเดินอยู่บนขั้นบันไดที่มองไม่เห็น

 

“นี่คือ?”

 

ม่านตาของแม่ทัพถึงหดตัวอย่างรุนแรง วลีหนึ่งแวบเข้ามาในความคิดของเขาราวกับสายฟ้าแลบ

 

“คุมปราณฉีขี่คลื่นลม!”

 

เกิดคลื่นลูกใหญ่ภายในใจของแม่ทัพแห่งอาณาจักร

 

ในอดีตจนถึงปัจจุบัน มีเพียงตํานานยุทธที่ลือเลื่องและอรหันต์เท่านั้นที่สามารถเหยียบผืนฟ้า ควบคุมลมปราณ ขี่ลมพายุได้

 

“พี่สาม…”

 

“พี่สามบินได้อย่างไร?”

 

จักรพรรดิถังกะพริบตา มองตาค้างอยู่อย่างนั้น นิ่งงันไร้ปฏิกิริยาตอบสนองเป็นเวลานาน

 

ไม่ไกลนัก

 

ตระกูลซูก็กําลังมองไปที่สนามรบด้วยสีหน้าที่กังวลเช่นเดียวกัน

 

ในขณะนั้น ซูเฉิงฮ่าวก็อุทานออกมา “น้องสาม ไม่คิดเลยว่าจะปิดบังมาจนถึงตอนนี้?”

 

ซูชื่อหมินและซูเฉิงยู่เงยหน้ามองทันที ท่าทีของเขาก็เปลี่ยนไปอย่างมากเมื่อเห็นซูฉินเดินเล่นอยู่บนอากาศ ดวงตาของพวกเขาเบิกโพลงทันทีและรู้สึกไม่อยากจะเชื่อสิ่งที่เห็นเลย

 

กองทัพเหมิ่งหยวน

 

ผู้นําของอาณาจักรเหมิ่งหยวนก้าวเดินอย่างสํารวมไปที่ด้านข้างของราชครูแห่งอาณาจักรเหมิ่งหยวนและกล่าวออกอย่างไม่ค่อยมั่นใจว่า “ท่านราชครู เมืองฉางอันไม่มีตํานานยุทธอยู่จริงๆ หรือ?”

 

แม้ว่าราชครูแห่งอาณาจักรเหมิ่งหยวนจะยืนตะโกนก้องอยู่ระหว่างกองทัพทั้งสองฝ่ายว่าอาณาจักรถังทําให้เขาผิดหวัง ซึ่งก็ยืนยันได้มากแล้ว แต่ผู้นําแห่งอาณาจักรเหมิ่งหยวนก็ยังต้องการได้ยินราชครูพูดย้ำด้วยตัวเองอีกครั้งหนึ่ง 

 

ราชครูแห่งอาณาจักรเหมิ่งหยวนเหลือบมองผู้นาอาณาจักรแล้วพูดขึ้นเบาๆ “ข้าเพิ่งจะตรวจสอบด้วยจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ค้นหาปราณฉีโดยรอบ หากมีตํานานยุทธภายในเมืองฉางอัน เป็นไปได้เยี่ยงไรที่จะซ่อนตัวจากข้า?”

 

“สําหรับข้า กลิ่นอายของผู้ที่แข็งแกร่งในระดับเดียวกันนั้นย่อมเจิดจ้าราวกับดวงอาทิตย์ เว้นเสียแต่ว่าคู่ต่อสู้จะห่างชั้นจากข้ามากเท่านั้นแหละ”

 

ราชครูอาณาจักรเหมิ่งหยวนหัวเราะไปด้วยในขณะที่พูด

 

“ราชครูนั้นไร้เทียมทานในยุทธภพแล้ว จะมีตัวตนอื่นที่เก่งกาจไปกว่าท่านราชครูได้อย่างไร” ผู้นาอาณาจักรเหมิ่งหยวนรีบประจบทันที

 

“ถ้าอย่างนั้นท่านราชครูจะให้ข้าสั่งบุกโจมตีเมืองเลยหรือไม่?”

 

ผู้นําแห่งอาณาจักรเหมิ่งหยวนสงบจิตให้มั่นคง ระงับความปิติยินดีในหัวใจแล้วจึงถามขึ้นอย่างรวดเร็ว

 

หลังจากกล่าวถามออกไป ผู้นําอาณาจักรเหมิ่งหยวนก็ยืนโค้งตัวอยู่ในท่านั้นอย่างอดทน รอคอยคําแนะนําของราชครูแห่งอาณาจักรต่อไป

 

“ท่านราชครู?”

 

ผู้นําอาณาจักรเหมิ่งหยวนรออยู่ครู่หนึ่ง แต่ก็ยังไม่ได้รับคําตอบจากราชครู ดังนั้นจึงอดไม่ได้ที่จะเงยหน้าขึ้นมอง

 

อย่างไรก็ตาม จากท่าทางของราชครูก่อนหน้าที่ไม่แยแสสิ่งใด ตอนนี้สีหน้ากลับเคร่งขรึม จ้องเขม็งไปยังทิศทางหนึ่ง

 

“ท่านราชครูกําลังมองสิ่งใดหรือ?”

 

ผู้นาอาณาจักรเหมิ่งหยวนตกใจรีบมองตามสายตาของราชครูไปทางเมืองฉางอัน

 

เห็นร่างหนึ่งกําลังก้าวเดินไปบนท้องฟ้า เดินจากเมืองฉางอันเข้ามาใกล้ทัพเหมิ่งหยวนโดยไม่รีบร้อน

 

“นี่คือ?”

 

สีหน้าของผู้นําอาณาจักรเหมิ่งหยวนก็เปลี่ยนไปทันที ร่างนี้เดินอยู่บนอากาศ ทุกย่างก้าวเหมือนเหยียบอยู่บนบันไดที่มองไม่เห็น ไม่มีจุดให้ค้ำยันใดๆ วิธีการเช่นนี้แม้จะเป็นยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสูงสุดก็ทําไม่ได้ในอาณาจักรเหมิ่งหยวนก็เห็นจะมีแต่ราชครูเท่านั้นที่ทําได้

 

ในตอนที่ผู้นําอาณาจักรเหมิ่งหยวนกําลังตกใจลนลานอยู่ นั้น

 

ซูฉินก็ได้มาถึงหน้ากองทัพเหมิ่งหยวนเพียงลําพัง

 

ในขณะนี้เขาถูกรายล้อมไปด้วยกองทัพห้าล้านนายของอาณาจักรเหมิ่งหยวน แต่การแสดงออกของเขายังคงไม่เปลี่ยนแปลง ราวกับว่าไม่ได้กําลังเผชิญหน้ากับกองทัพห้าล้านนาย แต่เป็นมดห้าร้อยตัว

 

“เจ้าคือตํานานยุทธในเมืองฉางอัน?”

 

ราชครูอาณาจักรเหมิ่งหยวนจ้องมองที่ซูฉินอย่างสงสัยแล้วกดเสียงต่ำถามออกไป

 

แม้กระทั่งตอนนี้ที่ซูฉินมายืนอยู่ตรงหน้า ราชครูอาณาจักรเหมิ่งหยวนก็ยังไม่สามารถจับกลิ่นอายของอีกฝ่ายได้เลยแม้แต่น้อย

 

ถ้าไม่ใช่เพราะซูฉินก้าวเดินบนท้องฟ้า แสดงความสามารถที่มีเพียงตํานานยุทธเท่านั้นถึงจะมีได้ราชครูอาณาจักรเหมิ่งหยวนก็คงคิดว่าซูฉินเป็นแค่คนธรรมดาไปแล้ว 

 

“ตํานานยุทธ?”

 

ซูฉินพยักหน้า เสร็จแล้วก็ส่ายหัว

 

“หือ?”

 

ราชครูเหมิ่งหยวนขมวดคิ้ว ไม่เข้าใจว่าซูฉินจะหมายความสิ่งใด

 

ในตอนนี้

 

ซูฉินพูดออกมาอย่างช้าๆ “ถ้าเจ้ายังคงซ่อนตัวอยู่ในทุ่งหญ้าของเจ้า เจ้าก็คงจะมีชีวิตอยู่ได้อีกหลายปี”

 

คําที่กล่าวออกมา

 

ทําให้สีหน้าของราชครูแห่งอาณาจักรเหมิ่งหยวนมืดทะมึน

 

ในฐานะที่เป็นตํานานยุทธคนแรกในรอบสองร้อยปีของดินแดนทุ่งหญ้าอันกว้างใหญ่ไร้ที่สิ้นสุด เขาตั้งใจฝึกฝนมาโดยตลอด พุ่งทะยานมาจนสุดทาง จะยอมให้คนมาดูถูกเช่นนี้ได้เช่นไร?

 

“ในเมื่อเจ้าออกมาแล้ว?”

 

“ให้ข้าได้รับการชี้แนะกระบวนยุทธจากเจ้าเสียหน่อยเถอะ”

 

ราชครูแห่งอาณาจักรเหมิ่งหยวนก้าวเท้าไปด้านหน้า ไอพลังพวยพุ่งอย่างบ้าคลั่ง พลังปราณพุ่งกระจายไปในอากาศรวมเข้ากับกองทัพเหมิ่งหยวนทั้งห้าล้านนาย

 

เพียงชั่วแวบเดียว ราชครูแห่งอาณาจักรเหมิ่งหยวนก็เหมือนจะกลายเป็นยักษาไปโดยสมบูรณ์ ทุกท่วงท่าล้วนน่ากลัวและดูเหมือนจะเขย่าให้โลกสั่นไหวได้เลยทีเดียว

 

ราชครูแห่งอาณาจักรเหมิ่งหยวนสามารถกลายเป็นตํานานยุทธได้ย่อมมิใช่คนโง่ อาจจะไม่ต้องพูดถึงเรื่องการวางกลยุทธ์ แต่อย่างน้อยเขาก็รู้จังหวะและสถานการณ์ดี

 

มีความเป็นไปได้เพียงสองอย่างเท่านั้นที่ทําให้ซูฉินซ่อนกลิ่นอายจากการตรวจจับของเขาได้

 

หนึ่งคืออีกฝ่ายมีเคล็ดในการปกปิดกลิ่นอายในระดับตํานานยุทธ

 

ประการที่สองคือ ความแข็งแกร่งของซูฉินนั้นสูงกว่าตนมาก

 

ถ้าเป็นอย่างแรก ราชครูเหมิ่งหยวนก็ไม่จําเป็นต้องหลบหนี แค่ต้องสู้กับซูฉินตรงๆ

 

แต่หากเป็นอย่างหลัง ราชครูเหมิ่งหยวนก็คงไม่สามารถล่าถอยไปได้ เนื่องจากความแข็งแกร่งของอีกฝ่ายเหนือกว่ามาก เมื่อเผชิญหน้ากัน ราชครูแห่งอาณาจักรเหมิ่งหยวนจะหนีไปได้อย่างไร?

 

ดังนั้นความคิดของราชครูเหมิ่งหยวนจึงเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว เขาเลือกใช้วิธีที่ดูสินหวังโดยไม่ลังเล

 

เขารวมพลังเลือดเนื้อของตนเองเข้ากับกองทัพเหมิ่งหยวนทั้งห้าล้านนาย แม้ว่าเขาจะได้รับพลังจากกองทัพทั้งห้าล้านนายและพลังโชคชะตาแห่งอาณาจักรเหมิ่งหยวนมา แต่ปราณฉีและเลือดเนื้อของเขาก็จะถูกปนเปื้อนในภายหลัง ไม่รู้ว่าอีกนานแค่ไหนจึงจะขับออกได้หมด

 

“ตาย!”

 

ราชครูแห่งอาณาจักรเหมิ่งหยวนดูราวกับเทพมาร ฝ่าอากาศพุ่งเข้าไปหาซูฉิน

 

ซูฉินเห็นแล้วแต่ไม่ได้เปลี่ยนท่าทีแต่อย่างใด เพียงยกมือขวาขึ้นอย่างเอื่อยเฉื่อย ยื่นไปทางราชครูแห่งอาณาจักรเหมิ่งหยวนโดยไม่ได้ใส่ใจอะไร

 

“ข้าโหมโจมตีเต็มกําลัง แต่เจ้าคิดจะจัดการข้าด้วยนิ้วเดียวงั้นหรือ?” เมื่อเห็นดังนั้นหัวใจของราชครูแห่งอาณาจักรเหมิ่งหยวนก็ปะทุไปด้วยความโกรธ เลือดลมปั่นป่วนเพิ่มความเร็วขึ้นอีกครั้ง

 

“ราชครูแห่งอาณาจักรจะต้องชนะ”

 

“เหมิ่งหยวนจะต้องชนะ!”

 

ผู้นําแห่งอาณาจักรเหมิ่งหยวนและแม่ทัพเฝ้ามองอยู่ไม่ไกล ใบหน้าของพวกเขาพลันแสดงออกอย่างมีความสุข 

 

แม้พวกเขาจะไม่ใช่ตํานานยุทธ แต่พวกเขาก็เห็นสถานการณ์ทั้งหมดภายในสนามรบได้ในขณะนี้

 

ราชครูอาณาจักรเหมิ่งหยวนนั้นเต็มไปด้วยแรงกดดันอันแสนท่วมท้น แต่ซูฉินยืนอยู่อย่างโดดเดี่ยว ดูก็รู้แล้วว่าผู้ใดแข็งแกร่งผู้ใดอ่อนแอ

 

ผู้นาแห่งอาณาจักรเหมิ่งหยวนได้แต่คิดภาพความตื่นตระหนกที่จะเกิดขึ้นทั่วทั้งโลกหลังจากนี้ สีหน้าแสดงอาการดูถูกเหยียดหยามออกมา

 

แต่ในไม่ใช่ใบหน้าของผู้นําอาณาจักรเหมิ่งหยวนก็ต้องแข็งค้างไป ความรู้สึกไม่อยากเชื่อเข้ามาแทนที่ ภาพที่เขาเห็นคือซุฉินเพียงแทงนิ้วไปด้านหน้า ร่างของราชครูเหมิ่งหยวนซึ่งแต่เดิมเต็มไปด้วยพลังอันล้นหลามพลันหยุดชะงัก และถูกพลังที่แข็งแกร่งกว่าทะลวงสวนกลับมา

 

เลือดของตํานานยุทธหลั่งรดผืนแผ่นดิน

 

ราชครูแห่งอาณาจักรเหมิ่งหยวนทรุดตัวลงกับพื้น หมดลมหายใจ

 

 

Sign in Buddha’s palm 171 ฆ่ามัน

 

“ในที่สุดก็ถึงระดับนภาชั้นที่เจ็ด…”

 

ซูฉินถอนหายใจเบาๆ ปราณไหลเข้ามาบรรจบกันทําให้เลือดลมสงบลง

 

“ไม่คาดคิดเลยว่าจะผ่านไปโดยราบรื่น ไม่มีจุดผกผันเลยสักนิดเดียว”

 

รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของซูฉิน แสดงให้เห็นถึงความพึงพอใจอย่างมาก

 

“แก่นแท้แห่งพลัง ร่างกาย และจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์เพิ่มสูงขึ้นอย่างน้อยๆ ก็สิบเท่า ตอนนี้ข้าสามารถปราบตํานานยุทธในระดับนภาชั้นที่หกได้ด้วยนิ้วเดียว”

 

ซูฉินรู้สึกถึงพลังอันกว้างใหญ่ไพศาลของพลังปราณและเลือดเนื้อภายในร่าง เขาก็ได้กะประมาณอยู่ในใจ

 

“แม้ว่าการทะลวงขั้นจะราบรื่น แต่ก็ต้องใช้เวลาถึงหกเดือนในการปิดด่านฝึกตนครั้งนี้ ถ้าไม่ใช่เพราะมีร่างจําแลงที่คอยลงชื่อเข้าใช้อยู่ภายในโลกถ้ำปีศาจอยู่ทุกวัน กลัวว่าข้าคงอกแตกตายไปเสียแล้ว…”

 

ซูฉินเหลือบมองไปที่บ่อน้ำปีศาจที่อยู่ไม่ไกล พร้อมกับคิดอยู่กับตนเอง

 

หากไม่มีร่างจําแลงที่คอยลงชื่อเข้าใช้ทุกวัน ซูฉินคงจะเสียเวลาในการลงชื่อเข้าใช้ไปถึงหกเดือนเต็มเลยทีเดียว

 

โอกาสในการลงชื่อเข้าใช้ถึงหกเดือน

 

คํานวณจากการที่ลงชื่อเข้าใช้ได้วันละครั้งแล้ว มีโอกาสลงชื่อเข้าใช้ถึงหนึ่งร้อยแปดสิบครั้ง แม้ว่าจะสามารถเก็บผลไม้แก่นปีศาจได้ครั้งละผลก็ยังได้ผลไม้แก่นปีศาจถึงร้อยแปดสิบผลด้วยกัน

 

“ดูหน่อยซิ ว่าเกิดขึ้นอะไรข้างนอกบ้าง”

 

ซูฉินยืดเหยียดกล้ามเนื้ออย่างขี้เกียจ และปล่อยจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ออกไปตามใจต้องการซึ่งสามารถครอบคลุมรัศมีร้อยลี้ได้อย่างง่ายดาย

 

“หือ?”

 

“กองทัพจากเหมิ่งหยวน ยกพลมาประชิดเมืองฉางอาน?”

 

เพียงแค่คิด ซูฉินก้าวเท้าเดินออกไป และหายตัวไปจากจุดเดิม

 

ณ กําแพงเมืองฉางอัน

 

ใบหน้าของจักรพรรดิถังซีดเซียว

 

แม่ทัพถึงที่อยู่ด้านข้างก็ใบหน้าบิดเบี้ยวไปเช่นกัน

 

ในฐานะที่เป็นยอดปรมาจารย์ขั้นสูงสุด แม้จะไม่ได้ถูกราชครูแห่งอาณาจักรเหมิ่งหยวนซึ่งอยู่ห่างออกไปหลายสิบลึกดดัน เขาก็ตระหนักดีถึงช่องว่างระหว่างตัวเขาและคู่ต่อสู้

 

“ฝ่าบาท”

 

“ทําไมพวกเราไม่หลบหนีกันไปก่อนเล่า ไม่ว่าจะอย่างไร การมีชีวิตอยู่ถือเป็นสิ่งสําคัญที่สุด” แม่ทัพแห่งวังหลวงอดไม่ได้ที่จะกล่าวบอก

 

บางทีคนอื่นๆ อาจจะเชื่อว่าตํานานยุทธภายในพระราชวังถึงจะลงมือ

 

อย่างไรก็ตาม ในฐานะคนสนิทของจักรพรรดิถัง แม่ทัพแห่งวังหลวงเองก็ได้รู้จากจักรพรรดิถังมาเมื่อไม่กี่เดือนก่อนนี้เองว่าแม้แต่ตัวจักรพรรดิก็ไม่รู้ว่าใครคือตํานานยุทธที่อยู่ในพระราชวังถัง และไม่แน่ใจด้วยว่าท่านผู้นั้นจะลงมือหรือไม่

 

เมื่อเป็นเช่นนี้ แม่ทัพแห่งวังหลวงจึงจําจะต้องเกลี้ยกล่อมจักรพรรดิถังให้รักษาชีวิตเอาไว้

 

ส่วนคนอื่นๆ นั้น ทําได้เพียงแต่ต้องก้าวเดินไปข้างหน้าทิ้งบางส่วนไว้เบื้องหลัง

 

“เจ้าจะปล่อยให้ข้าละทิ้งผู้คนนับล้านในเมืองฉางอัน ละทิ้งภูมิหลังตระกูลถังและหลบหนีออกไปเพียงผู้เดียวงั้นรึ?” จักรพรรดิถังเหลือบมองไปยังแม่ทัพแห่งวังหลวงแล้วกล่าวคําแผ่วเบา

 

เป็นจักรพรรดิก็ต้องรักษาปกป้องอาณาจักร

 

จนชีวิตในฐานะจักรพรรดิจบสิ้นไป

 

ในฐานะจักรพรรดิแห่งอาณาจักรถัง ถ้าตัวเขารอดมาได้จริงๆ จะยังมีหน้าไปพบจักรพรรดิราชวงศ์ถังพระองค์อื่นๆ อีกหรือไม่?

 

“แม่ทัพยอมพลี แม่ทัพผู้นี้ขอยอมพลี…”

 

แม่ทัพแห่งวังหลวงทราบถึงความมุ่งมั่นในคําพูดขององค์จักรพรรดิถัง คุกเข่าลงกับพื้นแล้วกล่าวอย่างเคร่งขรึมว่า “ตราบใดที่แม่ทัพอย่างกระหม่อมยังไม่ตาย ก็จะไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับฝ่าบาทได้”

 

คําพูดของแม่ทัพถังเผยเจตจํานงที่จะยอมตายเอาไว้แล้ว

 

เขาเป็นยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสูงสุด ถ้าต้องการจะจากไปก็ไม่มีใครหยุดเขาเอาไว้ได้ เว้นแต่ราชครูแห่งอาณาจักรเหมิ่งหยวนจะลงมือเอง

 

อย่างไรก็ตาม แม่ทัพยังไม่มีความคิดเช่นนั้น เพราะเขาคือแม่ทัพแห่งวังหลวง และทุกสิ่งที่เขามีในวันนี้ก็ล้วนได้รับมาจากอาณาจักรถัง

 

“ดี!”

 

“ดีมาก!”

 

ใบหน้าของจักรพรรดิถังดูโล่งใจมากขึ้น

 

ขณะนั้นเองจักรพรรดิถังก็ได้เหลือบไปเห็นบางสิ่ง ทําให้เขาผงะไปเล็กน้อยก่อนจะพูดขึ้นว่า “พี่สาม ท่านกลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?”

 

“เพิ่งจะถึงเมื่อครู่”

 

ซูฉินเดินไปที่ด้านหน้าของกําแพงเมืองอย่างรวดเร็ว มองไปยังกองทัพเหมิ่งหยวนที่อยู่ห่างออกไปกว่ายี่สิบลี้ 

 

ก่อนที่ซูฉินจะปิดด่านฝึกตนเพื่อเตรียมทะลวงขั้นขึ้นจากระดับนภาชั้นที่หก เขาได้แจ้งจักรพรรดิถังและตระกูลซูแล้วว่าตนต้องการจะเดินทางไกลเป็นเวลานาน

“พี่สาม ท่านไม่ควรกลับมา…”

 

จักรพรรดิถังถอนหายใจแผ่วเบา สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความขมขึ้น

 

ช่างเป็นจังหวะที่ไม่ดีเหลือเกินที่ซูฉินกลับมาในช่วงเวลานี้

 

“พี่สาม ตอนนี้ข้าจะให้คนพาท่านออกจากเมืองฉางอันไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น อย่าได้หันกลับมาอีก”

 

จักรพรรดิเคร่งเครียดและกล่าวบอกอย่างจริงจัง

 

“ออกไป?”

 

“ทําไมข้าจึงต้องออกไป?”

 

ดวงตาของซูฉินสงบนิ่ง ตอบคําอย่างสบายๆ

 

“ทําไมถึงไม่อยากหนี้ไป?” จักรพรรดิถังตกตะลึง เขาเหลือบมองไปยังกองทัพเหมิ่งหยวนที่อยู่ห่างออกไปยสิบลี้ จากนั้นก็มองกลับมาที่ซูฉินอีกครั้ง แต่ซูฉินยังคงนิ่งเฉย

 

ทําไมถึงไม่อยากหนีไปกัน?

 

กองทัพเหมิ่งหยวนกําลังจะมาถึงแล้ว ไม่ยอมจากไป ท่านกําลังรอให้ฝ่ายตรงข้ามมาบดขยี้หรือไร?

 

“ พี่สาม”

 

“ไม่เพียงแต่ท่านจะต้องหนีไป แต่หยุนเหนียง หยวนเอ๋อและหว่านเอ๋อก็จะต้องหนีไปด้วย ท่านต้องดูแลพวกเขาแทนข้า”

 

จักรพรรดิถังกล่าวด้วยเสียงลุ่มลึก

 

แม้ว่าจักรพรรดิถังได้ตัดสินใจแล้วว่าจะอยู่ร่วมเป็นร่วมตายกับเมืองฉางอัน แต่ไม่ได้หมายความว่าเขาจะทนเห็นซูเยว่หยุน หลีหยวน และหลีหว่านตายไปพร้อมกับเขาได้

 

“ตอนนี้หยุนเหนียงยังคงหลับใหลอยู่ คงขาดพี่สามคอยดูแลไม่ได้ หยวนเอ๋อและหว่านเอ๋อก็ยังเด็กนักยังต้องการการสั่งสอนจากพี่สามอยู่”

 

“นี่คงจะเป็นครั้งสุดท้ายที่ข้าจะได้ขอร้องพี่สามแล้ว…”

 

จักรพรรดิถังโค้งคํานับซูฉินเล็กน้อยและกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เคร่งเครียดว่า “ข้านั้นคือองค์จักรพรรดิที่ใช้งานไม่ได้จริงๆ นอกจากจะไม่สามารถให้ความมั่งคั่งแลยศถาที่เหมาะสมกับสง่าราศีของพี่สามเท่านั้น ยังทําให้พี่สามต้องหลบหนีเอาชีวิตรอดอีก…”

 

“ไม่จําเป็น”

 

ซูฉินไม่ได้มองที่จักรพรรดิถังด้วยซ้ำ

 

เวลาผ่านไปอย่างช้าๆ

 

ไม่กี่ชั่วโมงต่อมา

 

กองทัพเหมิ่งหยวนก็หยุดขบวนอยู่ที่นอกเมืองฉางอันห่างออกไปสิบลี

 

ทันใดนั้น กลิ่นเลือดจากระยะสิบลี้ก็พุ่งเข้ามาแตะจมูก

 

“จบสิ้นแล้ว”

 

“ต่อให้ต้องการจะหนีไปตอนนี้ก็ไม่ทันแล้ว”

 

จักรพรรดิถังรู้สึกหนาวเหน็บและเหลือบมองไปยังซูฉินที่อยู่ด้านข้าง

 

ในช่วงสองสามชั่วโมงที่ผ่านมา จักรพรรดิถังพยายามโน้มน้าวให้ซูฉินหนีไป แต่มันก็ไม่ได้ช่วยอะไรเลย 

 

สิ่งนี้ทําให้จักรพรรดิถังกระวนกระวายใจแทบแย่

 

และหลังจากที่กองทัพเหมิ่งหยวนหยุดลง ขบวนทัพก็แหวกตัวออก ชายร่างสูงค่อยๆ เดินออกมาอย่างช้าๆ

 

“นั่นคือราชครูแห่งอาณาจักรเหมิ่งหยวน?”

 

เมื่อจักรพรรดิถังเห็นฉากนั้น ใบหน้าของเขาก็ซีดลงในทันที

 

คนบนกําแพงต่างก็ทําหน้าเคร่งขรึม สายตาจับจ้องไปที่ชายร่างสูงกันเกือบทั้งหมด

 

ท่ามกลางสายตาของทุกคน

 

ชายร่างสูงเดินออกมาสองสามก้าวแล้วก็หยุด จากนั้นก็จ้องมองไปที่เมืองฉางอันจากระยะไกลแล้วกล่าวว่า “เมื่อข้าเดินทางออกจากเหมิ่งหยวน ข้าก็ตั้งหน้าตั้งตารอ”

 

เสียงของชายร่างสูงไม่ได้ดัง แต่มันแผ่กระจายไปทั่วระยะสิบลี้ ดังก้องชัดเจนอยู่ข้างหูจักรพรรดิถังและคนอื่นๆ

 

“ข้าตั้งตารอที่จะได้สู้กับตํานานยุทธอีกคนที่อยู่ที่นี่!”

 

“พวกเราเหล่าจอมยุทธล้วนเต็มไปด้วยพลังชีวิตและเลือดเนื้ออันเร่าร้อน ต่อให้พวกเราจะต้องตาย ก็ต้องตายในการต่อสู้แทนที่จะนอนรอความตายด้วยการค่อยๆ แก่ชราเหมือนกับเต่าหดหัว”

 

เสียงของราชครูแห่งอาณาจักรเหมิ่งหยวนค่อยๆ ดังขึ้นเรื่อยๆ และในที่สุดก็คล้ายกับระฆังทองสัมฤทธิ์ที่สั่นสะเทือนดังลั่นไปทั่วทุกทิศ

 

“แต่ตอนนี้ข้าผิดหวัง!”

 

“ข้าผิดหวังเหลือเกิน!”

 

“ปรากฏว่าไม่ได้มีจอมยุทธขอบเขตตํานานยุทธภายในเมืองฉางอัน”

 

“ความคาดหวังทั้งหมดของข้า ความตั้งใจที่จะต่อสู้ทั้งหมดนั้นอันตรธานหายไปหมดสิ้นแล้ว!”

 

คําพูดของราชครูแห่งอาณาจักรเหมิ่งหยวนเต็มไปด้วยความโกรธ และประโยคสุดท้ายยิ่งเกรี้ยวกราดราวกับฟ้าถล่ม

 

ทุกคนที่อยู่ด้านบนกําแพงเมืองฉางอันต่างได้ยินเสียงคํารามของราชครูเหมิ่งหยวนดังก้องอยู่ข้างหู สะท้านไปถึงหัวใจ

 

เหลือเพียงความคิดเดียวในใจของทุกคน

 

“ไม่มีตํานานยุทธภายในเมืองฉางอัน?”

 

“ไม่มีตํานานยุทธภายในเมืองฉางอัน?”

 

“ไม่มีตํานานยุทธภายในเมืองฉางอัน?”

 

ตลอดเวลา เหตุผลที่พวกเขาสามารถรวบรวมความกล้ามายืนหยัดต่อหน้ากองทัพกว่าห้าล้านของอาณาจักรเหมิ่งหยวนได้ก็เพราะฝากความหวังเอาไว้กับตํานานยุทธที่อยู่ในส่วนลึกของวังหลวง

 

แต่ตอนนี้ราชครูแห่งอาณาจักรเหมิ่งหยวนพูดกับปากเองว่าไม่มีตํานานยุทธอยู่ในเมืองฉางอัน?

 

ถ้าไม่มีตํานานยุทธ จะเอาอะไรไปต่อต้านกองทัพเหมิ่งหยวน?

 

“ข้าไม่ได้คาดหวังว่าตํานานยุทธในเมืองฉางอันจะจากไป เช่นนี้?” ดวงตาของผู้นําอาณาจักรเหมิ่งหยวนเป็นประกาย และพึมพําอยู่กับตนเอง

 

ก่อนที่จะเดินทางมา เขายังกังวลอยู่ว่าราชครูแห่งอาณาจักรเหมิ่งหยวนกับตํานานยุทธแห่งเมืองฉางอัน ใครจะแข็งแกร่งกว่ากัน

 

แต่ตอนนี้ ถ้าไม่มีตํานานยุทธภายในเมืองฉางอันจริงๆ ก็ไม่จําเป็นต้องให้ราชครูแห่งอาณาจักรเหมิ่งหยวนลงมือด้วยซ้ำ แค่กองทัพเหมิ่งหยวนอย่างเดียวก็เพียงพอที่จะบุกทะลวงเมืองฉางอัน

 

“รวมใต้หล้าให้เป็นหนึ่ง”

 

“เหมิ่งหยวนของเราจะหมดทุกข์หมดโศก และจะรวมใต้หล้าให้เป็นหนึ่งสืบไป สร้างโลกที่ไม่มีใครเทียบเทียม…”

 

ดวงตาของผู้นําอาณาจักรเหมิ่งหยวนเต็มไปด้วยอารมณ์อันเร่าร้อน

 

บนกําแพงเมือง

 

ใบหน้าของจักรพรรดิถังซีดจาง ความสิ้นหวังปรากฏขึ้นบนใบหน้า

 

ก่อนหน้านี้เขามีความหวังลึกๆ ในใจ ว่าสุดท้ายตํานานยุทธที่อยู่ในส่วนลึกของวังหลวงจะสามารถป้องกันราชครูแห่งอาณาจักรเหมิ่งหยวนได้

 

แต่ตอนนี้เมื่อได้ยินสิ่งที่ราชครูอาณาจักรเหมิ่งหยวนพูดจักรพรรดิถังก็เหมือนตกลงไปในก้นเหว

 

จักรพรรดิถังไม่ได้สงสัยว่าราชครูเหมิ่งหยวนจะโกหก ตอนนี้สงครามกําลังจะเกิด ไม่มีเหตุผลที่ราชครูแห่งอาณาจักรเหมิ่งหยวนจะโกหกเลย

 

ถ้าตํานานยุทธผู้นั้นอยู่ภายในเมืองฉางอันจริงๆ เกรงว่าคงจะลงมือไปนานแล้ว คงจะไม่รอจนถึงตอนนี้

 

เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ จักรพรรดิถังก็รู้สึกหน้ามืด ขาแข้งอ่อนยวบล้มลงไปกับพื้น

 

ทันใดนั้น

 

ตอนนั้นเอง

 

มือขวาเพรียวบางและทรงพลังก็ประคองจักรพรรดิถังเอาไว้

 

“พี่สาม”

 

จักรพรรดิถังค่อยๆ ลุกขึ้นมายืนได้ เมื่อเห็นว่าเป็นพี่สามที่คอยประคองเขาเอาไว้ จึงกล่าวออกอย่างขมขึ้น “พี่สาม ข้าขอโทษจริงๆ สําหรับตัวท่าน ขอโทษหยุนเหนียง ขอโทษตระกูลซู ขอโทษราชวงศ์สกุลถังนับร้อยคน

 

“ไม่ต้องขอโทษแล้ว”

 

ซูฉินขัดจังหวะจักรพรรดิถัง รั้งมือขวากลับไป แล้วเดินไปด้านหน้าอย่างเชื่องช้า

 

“พี่สาม ท่านจะทําอะไร?”

 

จักรพรรดิถังตะโกนเสียงดังอย่างลืมตัว

 

ซูฉินไม่ได้หันกลับไปมอง พูดเพียงคําสองคําเท่านั้น

 

“ฆ่ามัน!”

 

 

Sign in Buddha’s palm 170 กองทหารประชิดเมือง

 

อาณาจักรเหมิ่งหยวนกําลังเคลื่อนพลลงใต้!

 

ทันทีที่ขาวนี้แพร่กระจายออกมา คนทั่วทั้งทวีปก็ต่างตกอยู่ในความหวาดกลัวสุดขีด

 

ในฐานะอาณาจักรอันกว้างใหญ่ไพศาลที่ครอบครองทุ่งหญ้าทางตอนเหนือ อาณาจักรเหมิ่งหยวนแอบจับตาดูอาณาจักรต่างๆ ในโลกอยู่เสมอ ถ้าไม่ใช่เพราะกังวลว่าอาณาจักรทั้งหลายจะจับมือรวมพลังกัน เกรงว่าคงก่อสงครามไปนานแล้ว

 

แต่ตอนนี้ราชครูแห่งอาณาจักรเหมิ่งหยวนเข้าสู่ขอบเขตตํานานยุทธเรียบร้อยแล้ว อาณาจักรเหมิ่งหยวนก็ไม่คิดอดทนอีกต่อไป ลอบระดมพลเพื่อชี้เป็นชี้ตายในทันที

 

ซ่งเหนือ[1]

 

วังหลวง

 

จักรพรรดิซ่งและเหล่าขุนนางต่างใบหน้าบิดเบี้ยวน่าเกลียด แต่ไม่มีใครกล้าพูดอะไรออกมา

 

อาณาจักรเหมิ่งหยวนระดมพลทหารกว่าห้าล้านนาย และราชครูแห่งอาณาจักรก็ได้ก้าวกระโดดครั้งใหญ่ขึ้นสู่ขอบเขตตํานานยุทธ ไม่ว่าจะขาวไหนมันก็เพียงพอแล้วที่จะเขย่าโลกทั้งใบ

 

“ข้าประเมินราชครูอาณาจักรเหมิ่งหยวนต่ำไปเสียแล้ว”

 

เยว่อี้เงียบไปเป็นเวลานานแล้วจึงพูดด้วยเสียงทุ่มต่ำ

 

ในฐานะแม่ทัพของอาณาจักรราชวงศ์ซ่งเหนือ ความแข็งแกร่งของเยว่อี้ไปถึงจุดสูงสุดของระดับชั้นที่หนึ่งแล้ว และสามารถพูดได้เต็มปากว่าตนแข็งแกร่งที่สุดในราชวงศ์ซ่งเหนือ

 

เมื่อสามสิบปีที่แล้ว เยว่อี้ได้ต่อสู้กับราชครูแห่งอาณาจักรเหมิ่งหยวน แม้เขาจะพ่ายแพ้ในยามนั้นแต่ก็เข้าใจระดับพลังของฝ่ายตรงข้ามคร่าวๆ

 

ตามความเห็นของเยว่อี้ ราชครูแห่งอาณาจักรเหมิ่งหยวนยังห่างไกลจากขอบเขตตํานานยุทธอยู่อีกมาก ไม่ว่าจะเป็นการแปรสภาพพลังทั้งสามอย่าง ไหนจะการรวมพลังทั้งสามจนกลายเป็นขั้นสมบูรณ์ ต้องทําสองสิ่งนี้ให้สําเร็จเสียก่อนไม่ต้องพูดถึงการเป็นตํานานยุทธเลย

 

แต่ตอนนี้ในเวลาเพียงสามสิบปี เขาได้ก้าวกระโดดหนึ่งช่วงใหญ่อย่างง่ายดายและทะลวงขึ้นสู่ขอบเขตตํานานยุทธได้อย่างคาดไม่ถึง ความรู้สึกอันซับซ้อนที่เกิดขึ้นภายในใจของเยว่อี้นั้นไม่สามารถจะจินตนาการได้

 

“แม่ทัพเยว่”

 

“ข้าแค่อยากจะรู้ว่าแต้มต่อของราชวงศ์ซ่งเหนือมีเท่าไหร่?”

 

ดวงตาของจักรพรรดิซึ่งเป็นสีแดงชาด จ้องไปที่เยว่อี้เขม็งแล้วพูดด้วยน้ำเสียงสั่นๆ

 

“แต้มต่อ?”

 

เยว่อี้ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงพูดว่า “ถ้าไม่มีราชครูแห่งเหมิ่งหยวน อาณาจักรเหมิ่งหยวนก็จะมีกองทัพทหารห้าล้านนาย ถ้าอาณาจักรอื่นๆ ร่วมมือกับราชวงศ์ซ่งของเรา มั่นใจว่าจะสามารถป้องกันได้ถึงแปดส่วนในยามนั้น”

 

“แปดส่วน แน่ใจหรือ?”

 

ดวงตาของจักรพรรดิซึ่งเป็นประกาย หัวใจที่บีบรัดอยู่ค่อยๆ คลายออกในที่สุด

 

เขาเข้าใจชัดเจนเกี่ยวกับบุคลิกของเยว่อี้ เนื่องจากแม่ทัพเยว่อี้บอกว่าแปดส่วนก็เท่ากับมั่นใจมาก ตราบใดที่ไม่มีเหตุสุดวิสัย ก็ไม่มีปัญหาที่จะป้องกันกองทัพของอาณาจักรเหมิ่งหยวน

 

“แล้วถ้ามีราชครูแห่งอาณาจักรเหมิ่งหยวนมาด้วยเล่า?”

 

จักรพรรดิซ่งมองไปที่เยว่อื้อย่างคาดหวัง

 

“ถ้ารวมราชครูแห่งอาณาจักรเหมิ่งหยวนเข้าไปด้วย?” เยว่อี้เงียบไปครู่หนึ่ง สุดท้ายก็พูดออกมาช้าๆ ว่า “ข้าหยุดเขาไม่ได้”

 

คําที่กล่าวออก

 

ทําให้ใบหน้าของจักรพรรดิซีดขาวราวแผ่นกระดาษ 

 

ไม่สามารถหยุดได้

 

กลายเป็นว่าหยุดยั้งไม่ได้!

 

เยว่ไม่ได้คิดด้วยซ้ำว่าจะป้องกันได้หรือไม่ เขาตอบกลับไปตรงๆ ว่าไม่สามารถหยุดยั้งได้

 

“ทําเช่นไรดี?”

 

“แบบนี้ควรจะทําอย่างไรดี!”

 

จักรพรรดิถอนหายใจแผ่วเบา ใบหน้าเป็นสีเทาราวกับคนตาย

 

เขาทรงงานหนักอย่างยิ่งตั้งแต่ขึ้นครองราชย์มา แม้ว่าจะไม่ได้เป็นมหาราช แต่ก็ไม่ใช่จักรพรรดิไร้ผลงานแน่ 

 

จักรพรรดิซ่งคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าสถานการณ์ที่เกิดขึ้นจะมาตกอยู่ในยุคเขา

 

“ฝ่าบาท”

 

“อันที่จริง ไม่ต้องเป็นกังวลมากไปหรอกพะย่ะค่ะ”

 

ในขณะนั้น ขุนนางคนหนึ่งก็ยืนขึ้น โค้งคํานับเล็กน้อย

 

“ไม่ต้องเป็นกังวล?”

 

“อาณาจักรกําลังจะจบสิ้น เจ้าจะไม่ให้ข้ากังวลหรือไร?”

 

จักรพรรดิซึ่งไม่มีแรงแม้แต่จะโกรธ เขาได้แต่ถอนหายใจ

 

“ฝ่าบาท”

 

ขุนนางที่ยืนขึ้นเมื่อครู่กล่าวต่อ “เหมิ่งหยวนเดินทางลงใต้เป้าหมายหลักไม่ใช่อาณาจักรของพวกเราอย่างแน่นอน”

 

“โอ้?”

 

เมื่อจักรพรรดิซึ่งได้ยินสิ่งนี้ จิตวิญญาณของเขาก็ตะลึงพรึงเพริดในทันใด

 

“อาณาจักรถังครอบครองพื้นที่ราบตอนกลาง ทั้งยังมีตํานานยุทธอยู่ในเมืองฉางอัน หากเหมิ่งหยวนต้องการจะครองโลก พวกเขาต้องใช้กําลังทหารส่วนใหญ่ไปกับอาณาจักรถังอย่างมิอาจเลี่ยง”

 

“เหมิ่งหยวนและถังเหมือนเป็นเสือสองตัวที่นั่นกันเอง ไม่ว่าฝ่ายใดจะได้ชัยชนะไป ก็ต้องมีฝ่ายหนึ่งเจ็บหนักแน่ๆ พวกเรารั้งรอ รวมถึงรวบรวมอาณาจักรต่างๆ ที่เหลือ บางทีอันตรายแฝงทั้งสองนี้อาจจะถูกแก้ไขได้ในคราวเดียวก็เป็นได้

 

ยิ่งจักรพรรดิซ่งได้ฟังคํากล่าวมากขึ้นเท่าไหร่ ดวงตาของเขายิ่งสว่างไสวมากขึ้นเท่านั้น และในที่สุดก็พยักหน้า

 

“ขุนนางใหญ่กล่าวได้ถูกต้อง”

 

“เป็นข้าเองที่ไม่ได้คิดให้รอบคอบ”

 

ในที่สุดจักรพรรดิซึ่งก็ยิ้มออกมาได้

 

เมื่อข่าวที่เหมิ่งหยวนลงใต้กระจายออกไป ไม่เพียงแต่ราชวงศ์ซ่งเหนือเท่านั้น แต่ทั่วทวีปต่างก็ตระหนักด้วยเช่นกันว่าที่เหมิ่งหยวนประกาศทําสงครามกับทั้งทวีปนั้น จะดีกว่าถ้าเรียกว่าประกาศสงครามกับอาณาจักรถัง

 

มองไปทั่วทั้งใต้หล้านี้ นอกจากอาณาจักรถังแล้ว จะมีอาณาจักรใดสู้รบตบมือกับอาณาจักรเหมิ่งหยวนได้อีก? 

 

ทันใดนั้นบรรดาอาณาจักรน้อยใหญ่ในใต้หล้านี้ไม่เพียงแต่ถอนหายใจโล่งอก แต่ยังคิดที่จะนั่งดูเสือสองตัวห้ำหั่นกันอีกด้วย

 

อาณาจักรถัง

 

โถงไท่ฉี

 

จักรพรรดิถังประทับอยู่บนบัลลังก์มังกร พระพักตร์ดูสง่างามยิ่ง

 

“เอาล่ะทุกคน อาณาจักรเหมิ่งหยวนกําลังเคลื่อนพลลงใต้มา พวกเจ้าคิดเห็นประการใดบ้าง?” จักรพรรดิถังชําเลืองมองไปทั่วโถง เห็นทั้งขุนนางฝ่ายพลเรือนและฝ่ายทหาร

 

“ฝ่าบาท”

 

“ในยามนี้ราชครูแห่งอาณาจักรเหมิ่งหยวนได้เข้าสู่ขอบเขตตํานานยุทธแล้ว ท่านผู้นั้นก็มิรู้ว่าอยู่ในวังหรือไม่”

 

ขุนนางกระทรวงยุทธนาการเปิดปากพูด

 

“ใครกันรึ ที่อยู่ในวัง?”

 

จักรพรรดิถังไม่รู้จะตอบเช่นไร

 

ตัวพระองค์เองก็อยากจะเชิญชวนอีกฝ่ายมาเช่นกัน แต่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าอีกฝ่ายเป็นใคร จะเชิญเขามาได้อย่างไร? แล้วจะทําสิ่งใดให้ผู้นั้นพึงพอใจได้?

 

บางทีตํานานยุทธภายในวังอาจจะจากไปแล้ว

 

“แล้ววิธีนอกเหนือจากนี้เล่า?”

 

จักรพรรดิสงบใจลง แล้วกล่าวถามอีกครั้ง

 

“ฝ่าบาท ไม่มีทางอื่นแล้ว”

 

ขุนนางเจ้ากระทรวงยุทธนาการอดไม่ได้ที่จะกล่าวออก “ถ้าพระองค์ไม่เชิญท่านผู้นั้นออกมาจากวังหลวง ข้าคิดว่าอาณาจักรถังก็ไม่มีโอกาสที่จะชนะเลย…”

 

ขุนนางเจ้ากระทรวงยุทธนาการพูดไปตามจริง

 

เดิมที่กองทัพเหมิ่งหยวนกว่าห้าล้านนายก็กดดันอาณาจักรถังมากแล้ว รวมกับราชครูแห่งอาณาจักรเหมิ่งหยวนที่เป็นตํานานยุทธแล้วด้วย

 

ไม่มีทางที่จะเอาชนะได้เลย ต่อกรก็ไม่ได้เช่นกัน

 

ยามที่กองทัพสองฝ่ายเข้าน้ำนั่นกัน มันควรจะเป็นการจับคู่กันที่เท่าเทียมเพื่อให้มีกําลังใจในการรบ แต่สถานการณ์ปัจจุบันคืออาณาจักรเหมิ่งหยวนพร้อมจะบดขยี้อาณาจักรถังเต็มที่

 

“ข้าเข้าใจแล้ว”

 

จักรพรรดิถังถอนหายใจเบาๆ แล้วพูดต่อ “ออกคําสั่งระดมกําลังพลจากทั่วดินแดนรวบรวมทุกคนมาที่รอบเมืองฉางอัน พวกเราจะสู้เป็นตายกับอาณาจักรเหมิ่งหยวนที่เมืองฉางอัน”

 

เมื่อจักรพรรดิถังกล่าวคําเช่นนี้ ใบหน้าของขุนนางในราชสํานักต่างก็เปลี่ยนไป

 

ต่อสู้เป็นตายกับอาณาจักรเหมิ่งหยวนที่เมืองฉางอัน 

 

ไม่ใช่เท่ากับว่าเป็นการส่งมอบพื้นที่รอบนอกเมืองฉางอันให้กับอาณาจักรเหมิ่งหยวนหรอกหรือ?

 

ขุนนางส่วนใหญ่ภายในราชสํานักต่างงุนงง มีเพียงขุนนางไม่กี่คนเท่านั้นที่หน้าซีดเซียว พอจะเข้าใจได้รางๆ ว่าเหตุใดจักรพรรดิถึงออกคําสั่งเช่นนี้

 

เป็นไปได้ไหมว่ามีปัญหากับท่านผู้นั้นที่อยู่ภายในวัง? 

 

เหล่าขุนนางต่างกังวลใจ แต่พวกเขาทําได้เพียงเชื่อฟังคําสั่งขององค์จักรพรรดิถัง

 

เวลาค่อยๆ ผ่านเลยไป

 

หกเดือนผ่านไปในพริบตา

 

ในช่วงหกเดือนนี้จักรพรรดิได้ระดมกําลังพลทั้งหมดภายในราชวงศ์ถังให้มากระจุกตัวอยู่รอบนอกฉางอัน

 

และในวันนี้

 

จักรพรรดิถังและขุนนางหลายคนก็ขึ้นมายืนอยู่บนกําแพงเมืองฉางอัน

 

“ฝ่าบาท”

 

“กองทัพอาณาจักรเหมิ่งหยวนมาถึงแล้ว”

 

แม่ทัพแห่งอาณาจักรก้าวไปคารวะที่เบื้องหน้าจักรพรรดิถัง

 

“มาถึงแล้ว?”

 

จักรพรรดิถังมองไปที่ด้านนอกเมืองฉางอัน

 

เห็นเส้นสีดําบางๆ ปรากฏขึ้นที่จุดไกลสุดสายตา

 

เส้นสีดําบางๆ นี้ ราวกับแมลงนักล่าที่เต็มไปด้วยบรรยากาศอันเย็นยะเยือก เจตนาฆ่าคละคลุ้ง

 

อาณาจักรเหมิ่งหยวน รวบรวมกําลังพลทั้งหมดมาในครั้งเดียว มีทหารกว่าห้าล้านนาย และกําลังมุ่งตรงเข้าใกล้เมืองฉางอัน

 

หวื่อ!!!

 

ในขณะนั้นเอง

 

รัศมีพลังอันน่าสะพรึงกลัวก็พุ่งออกมาจากส่วนลึกของกองทัพเหมิ่งหยวน และกวาดไปทั่วทั้งเมืองฉางอันอย่างไร้ยางอาย

 

ไม่ว่าไอพลังนี้จะผ่านไปที่ใด สีหน้าของทหารนายกองของ าณาจักรถังต่างซีดเซียว พวกเขารู้สึกว่าทุกย่างก้าวที่เคลื่อนไป ต้องออกแรงมากกว่าปกติหลายเท่า

 

แม้แต่จอมยุทธทั่วๆ ไปที่อยู่ภายใต้พลังนี้ ต่างก็รู้สึกว่ากําลังภายในของตนโคจรช้าลง ความแข็งแกร่งถูกระงับ 

 

“นี่คือ?”

 

ท่าทีของแม่ทัพถังเปลี่ยนไปอย่างมาก และหันไปหาจักรพรรดิถัง “ฝ่าบาท ราชครูแห่งอาณาจักรเหมิ่งหยวนเริ่มลงมือแล้ว”

 

ในเวลาเดียวกัน

 

ใต้เมืองฉางอัน

 

ในโถงพระราชวังอันสูงตระหง่าน

 

ชูฉันค่อยๆ เปิดเปลือกตาขึ้น

 

[1] ราชวงศ์ซ่งเหนือ หรือ เป่ยซ่ง มีจริงอยู่ในคริสตศักราชที่ 990-1127

 

Sign in Buddha’s palm 169 เหมิงหยวนลงใต้ นานาชาติตื่นตกใจ

 

“ทุกสิ่งพร้อมแล้ว”

 

“ต่อจากนี้ ข้าจะปิดด่านฝึกตนเพื่อเข้าสู่นภาชั้นที่เจ็ด” 

 

ซูฉินนั่งขัดสมาธิอยู่ด้านในของโถงพระราชวังสูงตระหง่าน ใบหน้าของเขาเคร่งขรึมทีเดียว

 

ไม่ว่าจะเป็นอรหันต์ ตํานานยุทธ หรือราชาปีศาจแห่งโลกถ้ําปีศาจ ระดับนภาชั้นที่เจ็ดนั้นคือการเปลี่ยนแปลงคุณภาพครั้งใหญ่

 

การก้าวขึ้นสู่นภาชั้นที่เจ็ดนั้นเทียบเท่ากับการก้าวเข้าสู่จุดสูงสุดของขอบเขตนี้ มีโอกาสที่จะรวบรวมพลังบีบอัดเป็นอาณาเขตขนาดเล็ก” ซึ่งเหนือกว่าการใช้เพียงพลังฟ้าดินโดยสิ้นเชิง

 

แม้ว่าจะมีโอกาสที่จะสร้างอาณาเขต” ขนาดเล็ก”ได้ แต่การควบรวมพลังสร้างอาณาเขตขนาดเล็ก”ได้จริงๆ ก็เป็นคนละเรื่องกัน และผู้ฝึกยุทธที่อยู่ในระดับนภาชั้นที่เจ็ดส่วนใหญ่และแม้แต่ในระดับชั้นที่แปดบางทีก็อาจจะไม่สามารถ ควบรวมอาณาเขต” ขนาดเล็ก” ขึ้นมาได้ก็เป็นได้

 

แต่ยังมีโอกาสอยู่ ถึงจะน้อยแต่ก็ยังมีหวัง

 

ความคิดของซูฉินมีผ่านมาแล้วก็หายไป หลับตาลงช้าๆ โคจรแก่นแท้แห่งพลังภายในร่างอย่างต่อเนื่อง ไอพลังที่ไม่สามารถหยั่งถึงก็ปกคลุมทั่วทั้งห้องโถงของพระราชวังอันสูงตระหง่าน

 

เหมิงหยวน

 

ณ ทุ่งหญ้าเขียวขจีสุดลูกหูลูกตา

 

ราชครูแห่งอาณาเหมิ่งหยวนนั่งขัดสมาธิอยู่บนยอดเขาศักดิ์สิทธิ์

 

อุ่มมมม

 

พลังแห่งฟ้าดินอันไร้ที่สิ้นสุดพุ่งเข้ามาบรรจบกัน บีบอัดอย่างต่อเนื่องเข้าสู่ร่างของราชครูอาณาจักรเหมิงหยวน

 

และด้านล่างภูเขาศักดิ์สิทธิ์ ผู้นําคนปัจจุบันของอาณาจักรเหมิงหยวนและขุนนางหลายคนกําลังรอคอยอย่างอดทน

 

“ผ่านมาปีกว่าแล้ว”

 

“ท่านราชครูยังไม่ออกมาจากที่นั่นแม้แต่ก้าวเดียวอย่างนั้นหรือ?”

 

ผู้นําอาณาจักรเหมิ่งหยวนดูกังวลและบ่นพึมพําอยู่กับตนเอง

 

ถึงแม้ผู้นําเหมิ่งหยวนจะไม่เก่งเรื่องวิชายุทธ แต่เขารู้ดีว่าการพัฒนาขั้นในการฝึกฝนวิทยายุทธนั้นอาจจะไม่สําเร็จเสมอไป ไม่รู้ว่ามีจอมยุทธจํานวนเท่าใดที่เสียชีวิตในช่วงพัฒนา ขั้นนี้ยังไม่พูดถึงว่าการพัฒนาขั้นของราชครูแห่งอาณาจักรเหมิ่งหยวนในครั้งนี้เป็นการก้าวจากวิทยายุทธทั้งเก้าระดับชั้นไปสู่ขอบเขตที่สูงขึ้น?

 

แม้ผู้นําอาณาจักรเหมิ่งหยวนจะมีความมั่นใจก็ตาม แต่ยามนี้ก็อดเป็นกังวลไม่ได้

 

“ท่านผู้นําอาณาจักรสามารถวางใจได้”

 

“ราชครูแห่งอาณาจักรอยู่ยงคงกระพัน จะต้องฝาอุปสรรคไปได้อย่างราบรื่นเป็นแน่”

 

ชายฉกรรจ์ที่อยู่ด้านข้างกระซิบบอก

 

“ข้าก็หวังว่าจะเป็นเช่นนั้น”

 

ผู้นําอาณาจักรเหมิ่งหยวนถอนหายใจออกมาเบาๆ

 

แม้ว่าภายในอาณาจักรเหมิงหยวน สถานะของราชครูจะสูงกว่าผู้นําอาณาจักรอย่างตนแต่ผู้นําอาณาจักรเหมิ่งหยวนก็ไม่ได้คิดอะไรมากความ

 

หากไม่ได้ราชครูแห่งเหมิงหยวนช่วยรวบรวมอาณาจักร ปานนี้อาณาจักรเหมิงหยวนทั้งหมดคงจะล่มสลายไปนานแล้ว เป็นไปได้อย่างไรที่จะมาเชิดหน้าชูคออยู่ท่ามกลางกลุ่มอํานาจต่างๆในโลกเช่นนี้?

 

นอกจากนี้เหตุผลที่เจ้าแผ่นดินอาณาจักรเหมิ่งหยวนสามารถนั่งตําแหน่งนี้ได้ก็เป็นเพราะอํานาจสนับสนุนอันแข็งแกร่งของราชครูแห่งอาณาจักร ด้วยกรณีดังกล่าวเจ้าแผ่นดินอาณาจักรเหมิงหยวนจะไม่สามารถประคองตําแหน่งเอาไว้ได้หากไม่มีราชครูแห่งอาณาจักรด้วยซ้ํา เขาจะมีความคิดเป็นอื่นได้อย่างไร

 

ระหว่างที่ทั้งสองพูดคุยกันอยู่นั้น

 

พลังฟ้าดินที่พุ่งเข้ามาก็หยุดลงอย่างกะทันหันค่อยๆสงบลง ไม่รวมตัวกันเข้ามาที่ยอดเขาศักดิ์สิทธิ์อีกต่อไป

 

“นี่คือ?”

 

ม่านตาของชายฉกรรจ์หดเล็กแคบ มองไปทางภูเขาอย่างไม่รู้ตัว

 

ผู้นําแห่งอาณาจักรเหมิ่งหยวนอาจจะไม่ทราบถึงความเปลี่ยนแปลงของพลังฟ้าดิน แต่ในฐานะจอมยุทธในขอบเขตสามระดับบน เขาสัมผัสได้ถึงความผันผวนของพลังฟ้าดินอยู่เล็กน้อย

 

เมื่อเห็นท่าทีของชายฉกรรจ์ผู้หยาบกร้านด้านข้าง ผู้นําแห่งเหมิ่งหยวนก็จ้องมองตามอีกฝ่ายไปยังยอดเขาศักดิ์สิทธิ์

 

“นั่นคือ?”

 

ใบหน้าของชายหยาบกร้านเปลี่ยนไป

 

ไม่รู้ว่าเมื่อใด แต่เห็นร่างสูงใหญ่ปรากฏตัวขึ้น ร่างนั้นค่อยๆเดินลงมาจากภูเขา

 

อย่างไรก็ตามสิ่งที่น่าเหลือเชื่อคือทุกย่างก้าวที่ชายร่างสูงดําเนินไป ก้าวข้ามระยะทางหลายร้อยเมตร ภายในเวลาครู่เดียวร่างนั้นก็มาถึงตีนภูเขา

 

“ท่านราชครู”

 

“ท่านราชครู ในที่สุดท่านก็ออกมาแล้ว”

 

ผู้นําอาณาจักรเหมิ่งหยวนมองด้วยความยินดีและรีบวิ่งไปที่ร่างสูงด้วยความเคารพ

 

ร่างสูงตรงหน้าคือราชครูแห่งอาณาจักรเหมิงหยวนที่บิดด่านฝึกตนมากว่าปีครึ่ง

 

“น้อมพบท่านราชครู”

 

ชายหยาบกร้านกลืนน้ําลาย สาวเท้าไปด้านหน้าแล้วโค้งคํานับพร้อมกล่าวคํา

 

“ท่านราชครู ท่านพัฒนาขึ้นแล้วหรือ?”

 

ชายฉกรรจ์ผู้หยาบกร้านเรียกความกล้าของตนออกมา ก่อนจะเงยหน้าขึ้นถาม

 

ถ้าเป็นเมื่อก่อน ยามเมื่อเห็นราชครูแห่งอาณาจักรเหมิ่งหยวน ชายหยาบกร้านจะรู้สึกว่าอีกฝ่ายเป็นเหมือนร่างจําแลงของเทพไม่ก็มารปีศาจ แต่ตอนนี้สิ่งที่ชายหยาบกร้านรู้สึกก็เหมือนพบเจอกับคนธรรมดาคนหนึ่ง

 

แม้ว่าราชครูเหมิ่งหยวนจะยืนอยู่ตรงหน้า แต่ชายหยาบกร้านไม่สามารถสัมผัสกลิ่นอายจากอีกฝ่ายได้เลย ราวกับความว่างเปล่า

 

แน่นอนว่าชายหยาบกร้านไม่ได้คิดว่าราชครูเหมิ่งหยวนจะเป็นเพียงคนธรรมดาจริงๆหรอก

 

“กลับสู่สามัญ”

 

“นี่คือการกลับคืนสู่สามัญ”

 

ชายหยาบกร้านร้องลั่นภายในใจ ท่าทีของเขามีความเคารพมากยิ่งขึ้น ศีรษะก้มลงแทบจะชิดพื้น

 

“พยายามอยู่นานจึงจะออกมาได้”

 

ราชครูแห่งอาณาจักรเหมิ่งหยวนเหลือบมองชายฉกรรจ์ผู้หยาบกร้านด้วยรอยยิ้มที่ประดับบนใบหน้า “ก่อนหน้านี้ข้าก็ไม่เข้าใจว่าทําไมเหล่าตํานานยุทธจึงได้ไร้พ่ายในโลกหล้านี้

 

“ทันทีที่เจ้าเข้าสู่สภาวะนี้ จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของเจ้าจะเปลี่ยนไป และสามารถควบคุมพลังฟ้าดินได้อย่างสมบูรณ์ ไม่ว่าภูเขาหรือพื้นแผ่นดินก็แหลกสลายได้เพียงความคิดวูบเดียว นี่แหละคือตํานานยุทธ…”

 

ราชครูแห่งอาณาจักรเหมิงหยวนกล่าวคําที่เต็มไปด้วยอารมณ์อย่างช้าๆ

นับตั้งแต่เข้าสู่ขอบเขตตํานานยุทธ เขาก็ได้รู้สึกว่าโลกใบนี้เปลี่ยนไปแล้ว ราวกับปลาที่เดิมอาศัยอยู่ในน้ํา จู่ๆก็กระโดดขึ้นมาเห็นโลกที่อยู่เหนือน้ํา

 

เมื่อชายผู้หยาบกร้านได้ยินคํากล่าวของราชครูแห่งอาณาจักรเหมิงหยวน เขาก็จดจํามันไว้ในใจทันทีโดยไม่ตกหล่นแม้สักคําเดียว

 

เพราะชายหยาบกร้านรู้ดีว่านี่เป็นข้อมูลอันลึกซึ้งที่ได้มาจากตํานานยุทธ ไม่ว่าจะยุคใดก็ตามเรื่องเหล่านี้ล้วนเป็นความลับสุดยอด เป็นสิ่งที่ยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสูงสุดจํานวนนับไม่ถ้วนไม่อาจหวังถึง

 

“เอาล่ะ”

 

“เรื่องการจัดตั้งกองทัพ เตรียมพร้อมไปถึงไหนแล้ว?” จากนั้นราชครูแห่งอาณาจักรเหมิ่งหยวนก็หันกลับมามองผู้นําอาณาจักรที่อยู่ด้านข้าง

 

ก่อนที่ราชครูแห่งอาณาจักรเหมิ่งหยวนจะปิดด่านฝึกตน เขาได้ขอให้ผู้นําอาณาจักรเตรียมระดมพลและเพียงรอให้ตัว เขาก้าวเข้าสู่ขอบเขตตํานานยุทธจากนั้นจึงยกทัพไปยังตอนใต้เข้ายึดครองอาณาจักรต่างๆ พวกเขาต่างตระหนักถึงความสําเร็จอันยิ่งใหญ่ที่อาณาจักรเหมิ่งหยวนไม่เคยทําสําเร็จมาก่อน

 

“ท่านราชครู”

 

“รวบรวมกําลังพลเรียบร้อยแล้วในตอนนี้ อาณาจักรเหมิ่งหยวนของเรารวบรวมทหารม้าหนึ่งล้านนาย และกองกําลังภาคพื้นอีกสี่ล้านนาย เพียงรอคําสั่งของท่านราชครูเท่านั้นก็จะเคลื่อนพลลงใต้ได้ทันที”

 

เจ้าแผ่นดินอาณาจักรเหมิ่งหยวนคํานับพร้อมกล่าวคํา

 

ทหารม้าหนึ่งล้าน และกองทัพภาคพื้นอีกสี่ล้าน เรียกได้ว่าเป็นรากฐานทั้งหมดของอาณาจักรเหมิ่งหยวนก็ว่าได้

 

ทหารม้าหนึ่งล้านนายถูกสร้างขึ้นโดยอาณาจักรเหมิงหยวนเป็นเวลาหลายร้อยปี จนในที่สุดก็เป็นรูปเป็นร่างขึ้นมา

 

ส่วนกองทัพภาคพื้นอีกสี่ล้านนาย คือไพร่พลที่อาณาจักรเหมิ่งหยวนเกณฑ์มาจากอาณาจักรเล็กๆ รอบข้างหลายสิบแห่งในช่วงยี่สิบสามสิบปีที่ผ่านมา

 

เมื่อเทียบกับทหารม้านับล้าน กองทัพภาคพื้นจํานวนสี่ล้านนายไม่น่านํามากล่าวถึง แต่ไม่ว่าจะอ่อนแอเพียงใด เมื่อมีจํานวนถึงสี่ล้านมันก็น่ากลัวไม่แพ้กัน

 

“เช่นนั้นพวกเราจะเดินทางไปยังทิศใต้ ภายในเวลาอันสั้นกองทหารของพวกเราจะเข้าประชิดเมืองฉางอัน” ราชครูแห่งอาณาจักรเหมิงหยวนเอามือไพล่หลัง กล่าวคําอย่างแผ่วเบา

 

“เมืองฉางอัน?”

 

ผู้นําอาณาจักรเหมิ่งหยวนตกตะลึง

 

“ท่านราชครู แล้วตํานานยุทธภายในเมืองฉางอัน…” ผู้นําอาณาจักรเหมิงหยวนกล่าวอย่างระมัดระวัง

“สบายใจได้”

 

ราชครูแห่งอาณาจักรเหมิ่งหยวนเหลือบมองไปที่ผู้นําอาณาจักร ท่าทางของเขาไม่เปลี่ยนแปลงไปสักนิดแล้วกล่าวว่า “แม้ว่าข้าจะเพิ่งก้าวเข้าสู่ขอบเขตตํานานยุทธ แต่เรื่อ งการโจมตีนั้นเป็นสิ่งที่ข้าถนัด ควบคู่ไปกับพรแห่งอาณาจักรเหมิงหยวนเรา ทําให้ความสามารถในการต่อสู้ของข้านั้นใกล้เคียงกับตํานานยุทธในระดับนภาชั้นที่สอง”

“ถึงแม้จะไม่ได้เทียบเท่าตํานานยุทธภายในเมืองฉางอัน แต่ก็ง่ายที่จะสกัดอีกฝ่ายเอาไว้ เมื่อถึงตอนนั้นเจ้าก็สามารถบุกทะลวงเมืองฉางอันได้อย่างง่ายดาย

 

แม้ว่าเสียงของราชครูแห่งอาณาจักรเหมิงหยวนจะเบา แต่ก็เต็มไปด้วยความมั่นใจในตนเอง

 

“ขอรับ”

 

เมื่อได้ยินคํากล่าวนั้น ผู้นําแห่งอาณาจักรเหมิ่งหยวนก็โค้งคํานับในทันที

 

ไม่นานหลังจากนั้น ข่าวจากอาณาจักรเหมิ่งหยวนก็แพร่กระจายไปทั่วดินแดนในทันที

 

“ราชครูแห่งอาณาจักรเหมิ่งหยวนก้าวกระโดดครั้งใหญ่ กลายเป็นตํานานยุทธ

 

“อาณาจักรเหมิ่งหยวนระดมกําลังพลกว่าห้าล้านนาย ต้องการจะบุกลงทางตอนใต้”

 

ทั่วทั้งโลกกําลังสั่นสะท้าน นานาชาติต่างตกตะลึง!

 

 

เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล [Sign in Buddha’s palm]Sign in Buddha’s palm 168

 

Sign in Buddha’s palm 168 ปิดด่านฝึกตน! นภาชนที่เจ็ด!

“ไม่มีใครเทียบ?”

หลีหว่านเงยหน้าขึ้นมองซูฉิน นางอายุเพียงสิบขวบปีเท่านั้นและไม่เคยออกจากวังตลอดชั่วชีวิต แน่นอนว่านางไม่เข้าใจว่าไม่มีใครเทียบ”หมายถึงอะไร

 

ในตอนนี้หลีหว่านรู้เพียงว่าลุงสามของนางนั้นยอดเยี่ยมมากเก่งกว่าเหล่าขันที่น่ารําคาญในวังเป็นไหนๆ

 

“เอาล่ะ”

 

“เลิกคุยจ้อได้แล้ว บอกมาเถิดว่าอย่างเรียนศาสตร์ใด”

ซูฉินส่ายหัวแล้วก้มมองหลีหว่าน

 

“เรียนอะไรดี…”

 

หลีหว่านครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งและในที่สุดก็กล่าวว่า “ลุงสามข้าอย่างจะเรียนวิชาดาบ ข้าอย่างเป็นยอดนักดาบที่เก่งที่สุดในโลก!”

ใบหน้าของหลีหว่านเต็มไปด้วยความปรารถนา

 

ตั้งแต่สมัยโบราณมา ทุกเท้าที่ย่างก้าวชโลมไปด้วยเลือดเมื่อนักดาบก้าวออกไปสิบก้าวจะต้องมีคนตกตายไปสักคนหนึ่งเสมอ ชื่อเสียงโด่งดังออกไปนับพันลี้หยั่งรากลึกลงไปในใจของผู้คนมาอย่างช้านาน เมื่อหลีหว่านนึกถึงเรื่องพวกนั้น นางก็ต้องการจะเรียนรู้วิชาดาบในทันที

“ดาบ?”

รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของซูฉินแล้วจึงพูดอย่างสบายๆว่า “เจ้ารออยู่ที่นี่สักพักนึงก็แล้วกัน”

หลังจากที่พูดจบ ซูฉินก็หันหลังเดินเข้าไปในตําหนักชุนฝั่งขวา

หลังจากนั้นไม่นานซูฉินก็เดินกลับออกมาอีกครั้ง ถือไม้ขนาดเท่าฝ่ามือออกมาด้วย

 

“ลุงสาม นี่คือสิ่งใด”

 

หลีหว่านชี้ไปที่ไม่ในมือซูฉินและพูดอย่างสงสัย

 

“วิถีแห่งดาบที่เจ้าอยากเรียน”

ซูฉินมองไปที่ไม้ในมือตน ยกมือขวาขึ้นลูบเบาๆ

 

ทันใดนั้น

รอยดาบก็ปรากฏขึ้นบนผิวไม้

“มองไปที่รอยดาบนี้ มันจะสอนเจ้าให้รู้ว่าวิถีดาบคือสิ่งใด” ซูฉินมอบไม้ในมือให้หลีหว่าน

“ชิ้นไม้จะสอนข้าให้เรียนรู้วิถีดาบได้อย่างไร…” หลีหว่านเบิกตากว้างเกือบจะเอ่ยถามประโยคดังกล่าวออกไป แต่วินาทีต่อมาหลีหว่านก็เพ่งมองไปที่รอยดาบบนผิวไม้

 

ในชั่วพริบตา

 

หลีหว่านก็รู้สึกว่าทั้งโลกกลายเป็นภาพลวงตา มีเพียงรอยดาบตื้นๆอันนี้เท่านั้นที่ยังคงอยู่ในสายตานาง

รอยดาบค่อยๆ สว่างขึ้น แยกออกจากเนื้อไม้ มีอิสระจากสวรรค์และโลกเหมือนกับแสงดาบนั้นไร้ที่เปรียบ ขนาดของมันใหญ่ขึ้น บริสุทธิ์ขึ้นและคมกริบขึ้นเรื่อยๆ เวลารอบตัวดูเหมือนจะช้าลงไป

หลังจากผ่านไปนาน

หลีหว่านก็กลับมากะพริบตาอีกครั้ง ใบหน้าดวงเล็กของนางเต็มไปด้วยความสับสน “ลุงสาม ข้ารู้สึกเหมือนกับว่าไม้ชิ้นนี้จู่ๆ ก็มีชีวิตขึ้นมา?”

“กลับไปได้แล้ว”

 

ซูฉินยิ้ม โบกมือให้แล้วพูดขึ้นว่า “จําคําของข้าไว้ให้ดีจงหมั่นดูรอยดาบบนแผ่นไม้ชิ้นนี้อย่างสม่ําเสมอ”

“เจ้าค่ะ”

 

แม้ว่าหลีหว่านจะยังสงสัยอยู่ภายในใจ แต่นางก็ทําได้เพียงหันหลังจากไปหลังจากโค้งตัวคารวะ

 

ซูฉินยังคงยืนอยู่ตรงจุดนั้น ดวงตาของเขาลึกซึ้งไม่รู้ว่าเขากําลังคิดอะไรอยู่

 

รอยดาบบนแผ่นไม้ที่ซูฉินทิ้งเอาไว้ให้นั้นเป็นร่องรอยความเข้าใจของตัวเขาเองเกี่ยวกับวิถีดาบ

 

ถ้าหลีหว่านเข้าใจรอยดาบตื้นๆ อันนั้นได้ อาจจะยังไม่ต้องถึงขั้นตํานานยุทธ แต่อย่างน้อยการไปสู่ยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่ หนึ่งขั้นสูงสุดก็คงไม่มีปัญหา

และที่สําคัญที่สุด รอยดาบรอยนั้นจะชี้ทางให้กับหลีหว่านในอนาคต เพื่อที่นางจะได้ไม่สับสนหรือสงสัยเกี่ยวกับการฝึกฝนของตน เองอีกต่อไปที่นางต้องทําก็แค่ต้องฝึกฝนและก้าวเดินไป ข้างหน้าด้วยกําลังทั้งหมดที่มี

นี่เป็นผลลัพธ์ที่น่าหวาดหวั่นที่สุดของร่องรอยดาบอันนี้

แน่นอนว่าเมื่อยามที่ซูฉินมอบแผ่นไม้ที่มีรอยดาบนี้ให้แก่หลีหว่าน เขาได้เชื่อมโยงมันเข้ากับ “พลังศักดิ์สิทธิ์” ในร่างกายของหลีห ว่านแล้วยกเว้นแต่ตัวหลีหว่าน ทุกคนที่เห็นรอยดาบบนแผ่นไม้นี้ จะสัมผัสอะไรไม่ได้เลย

นอกเหนือจากการลงชื่อเข้าใช้ ฝึกฝน และให้คําแนะนําหลีหว่านเป็นครั้งคราวแล้วนั้น ซูฉินก็รับรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ในโลก ใบนี้

 

ตามคํากล่าวของโม่จี ปราณฉีของพลังฟ้าดินก็เปรียบเสมือนกระแสน้ํา มีขึ้นมีลง ยามเมื่อมันจางหายไปการฝึกฝนวิทยายุทธก็ยากเย็นยิ่งและเมื่อมันมาถึงขาขึ้น กฎแห่งสวรรค์และผืนปฐพี่จะถูก เปิดเผย ปราณฉีจะมีอยู่อย่างอุดมสมบูรณ์การบ่มเพาะจึงกลาย เป็นเรื่องง่าย

 

“กระแสแห่งปราณฉีเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นทั่วทั้งโลก เปลี่ยนแปลงไม่ได้ ต่อต้านไม่ได้”

 

ซูฉินนั่งขัดสมาธิ สัมผัสถึงความเร็วในการฝึกฝนที่เพิ่มขึ้นในระดับที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่า ในระหว่างที่ฝึกฝนไป ความคิดบางอ ย่างก็แวบเข้ามาในใจ

 

ว่ากันว่าองค์ยูไลอาจจะมีฤทธิ์มีอํานาจที่ทําได้แม้กระทั่งย้อนกระแสปราณฉี แต่เห็นได้ชัดว่าซูฉินในตอนนี้ยังไม่มีความสามารถที่ จะทําเช่นนั้น

เวลาผ่านไปอย่างช้าๆ

ชั่วพริบตาก็ผ่านไปอีกปี

ในช่วงปีนี้แนวโน้มของปราณฉีที่กําลังฟื้นฟูกลับมาก็ชัดเจนขึ้น

เรื่อยๆ

 

ในพระราชวังถัง นอกจากแม่ทัพแห่งวังหลวงที่ทะลวงขึ้นไปถึงยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสูงสุดแล้ว ก็ยังมียอดปรมาจา รย์ขั้นสูงสุดกําเนิดขึ้นอีกสองคน

ทันใดนั้นภูมิหลังของอาณาจักรถังก็พุ่งสูงขึ้นแซงหน้าช่วงเวลาที่เคยรุ่งโรจน์ที่สุดในประวัติศาสตร์ได้ในคราวเดียว

“ในเวลาเพียงปีเดียว ข้าก็ได้บรรลุถึงระดับนภาชั้นที่หกขั้นสมบูรณ์แล้ว?”

ซูฉินเดินออกจากตําหนักชุนฝั่งขวา รู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงปราณฉีภายในกายตน ท่าทางที่แสดงออกมาเปี่ยมไปด้วยความสุข

“ยังไม่ต้องรีบร้อน”

“รออีกสักสองสามเดือน ปรับสภาพสักระยะ แล้วค่อยทะลวงด่านขึ้นไป”

ซูฉินสงบใจลงอย่างรวดเร็ว ความคิดผันผวนไปมา

 

แม้ว่าสภาพแวดล้อมของโลกนี้จะอุดมสมบูรณ์มากขึ้น การฝึกฝนวิทยายุทธค่อยๆ ง่ายขึ้น แต่ถึงจะง่ายก็ไม่ได้หมายความว่าจะ ทะลวงขั้นได้ตามใจชอบยิ่งกว่านั้นคอขวดระหว่างนภาชั้นที่หกกับ นภาชั้นที่เจ็ดในขอบเขตอรหันต์นั้นสําคัญเพียงใดใครบ้างมิรู้?

“ข้าไม่ได้ลงชื่อเข้าใช้ในวังมาก็นานแล้ว…”

 

ซูฉินมองไปรอบๆ คิดกับตัวเองในใจ

 

เนื่องจากร่างจําแลงได้เข้าสู่ถ้ําปีศาจใต้พิภพไป การลงชื่อเข้าใช้ส่วนจึงถูกนําไปใช้ในโลกถ้ําปีศาจใต้พิภพเสียส่วนใหญ่

เหตุผลก็คือหลังจากลงชื่อเข้าใช้ไปกว่าสิบปียี่สิบปี สมบัติส่วนใหญ่ที่ได้รับภายในวังหลวงเริ่มได้ซ้ําๆ กัน หยดน้ําจิตวิญญาณธร รมชาติเพียงอย่างเดียวที่ซูฉินสะสมมาก็นับหมื่นหยดแล้ว เช่นเดียว กับสมบัติอื่นๆ

“และแน่นอนว่า เต่าสะสม” ก็มีอยู่มากมายภายในโลกถ้ําปีศาจ”

ความคิดของซูฉินเปลี่ยนแปลงไปมา ท่าทีที่แสดงออกเต็มไปด้วยอารมณ์ความรู้สึก และรู้สึกว่าการที่ตนแยกอีกร่างหนึ่งให้มุ่งหน้าไปยังโลกถ้ําปีศาจนั้นถูกต้องอย่างยิ่ง

 

ไม่จําเป็นต้องเสี่ยงอะไร มีประโยชน์มากกว่าการอยู่แต่ในวังตลอดเวลาทั้งยังปลอดภัยอย่างแน่นอน

“ในหนึ่งปีนี้ ข้าก็ได้รู้อะไรมากขึ้นเกี่ยวกับโลกถ้ําปิศาจ”

“บ่อน้ําปีศาจใต้เมืองฉางอันเชื่อมต่อกับพื้นที่ในการปกครองของเมืองเมฆาปีศาจ”

“และเจ้าเมืองเมฆาปีศาจก็คือตัวตนที่อยู่ในระดับราชาปีศาจเป็นขอบเขตที่คล้ายคลึงกับขอบเขตอรหันต์และตํานานยุทธ?”

“เจ้าเมืองเมฆาปีศาจผู้นี้เป็นราชาปีศาจมาหลายร้อยปีแล้วและความแข็งแกร่งน่าจะอยู่ระหว่างนภาชั้นที่สามถึงนภาชั้นที่สี่?”

ซูฉินแตะปลายคางของตนเอง

 

“นอกจากนี้ในส่วนลึกของโลกถ้ําปีศาจ ว่ากันว่ามีเทพเจ้าปีศาจอาศัยอยู่คอยเฝ้ามองทั่วทั้งโลกถ้ําปีศาจ ข้าเองก็ไม่รู้เช่นกันว่าเทพเจ้าปีศาจตนนี้มีพลังในระดับไหน? เท่าเซียนเทพปฐพี่?หรือเหนือกว่านั้นหรือไม่?”

ใบหน้าของซูฉินฉายแววครุ่นคิด

 

ซูฉันคิดอยู่เพียงครู่หนึ่งแล้วจึงหยุดคิด

 

แม้โลกถ้ําปิศาจต้องการบุกโลกมนุษย์จริงแต่นั่นก็เป็นสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอีกหลายร้อยหลายพันปีต่อจากนี้

เฉพาะยามเมื่อกระแสปราณฉีภายในโลกมนุษย์ฟื้นคืนอย่างสมบูรณ์เท่านั้นจึงจะคุ้มค่าให้โลกถ้ําปีศาจลงมือ

ถ้าเป็นก่อนหน้านั้นโลกถ้ําปีศาจค่อนข้าง ดูเบา” โลกมนุษย์อยู่ไม่น้อย

ช่วงรุ่งโรจน์และช่วงเสื่อมสลายของปราณฉีนั้นเกี่ยวข้องกับระดับสูงต่ําของโลกทั้งใบ และไม่ใช่เรื่องที่จะเกิดขึ้นภายในไม่กี่ทศวรรษ

 

ดังนั้นซูฉินจึงไม่รีบร้อน

เมื่อซูฉันค่อยๆ ปรับสภาพของตนเองเพื่อเตรียมพร้อม

หกเดือนก็ผ่านเลยไปอีกครั้ง

ในวันนี้

 

ที่โถงพระราชวังใต้ดินอันสูงตระหง่าน

 

มีซูฉินกําลังนั่งขัดสมาธิอยู่

เวลาต่อมา

 

ซูฉันค่อยๆ เปิดเปลือกตาขึ้น

“ใกล้จะถึงเวลาที่จะตัดผ่านได้แล้ว”

ดวงตาของซูฉินเป็นประกายและคิดตัดสินใจ

 

ตั้งแต่ที่ได้ก้าวเข้าสู่ขั้นสมบูรณ์ของนภาชั้นที่หกเมื่อหกเดือนก่อนซูฉินก็ใช้เวลาหกเดือนเต็มในการปรับตัวเองให้อยู่ในสภาพสมบูรณ์พร้อมก่อนการยกระดับพลัง

 

และในที่สุดเวลานี้ก็มาถึงแล้ว

 

Sign in Buddha’s palm 167 ไม่มีใครเทียบข้าได้!

 

“แผ่นดินที่กว้างกว่า นภาที่สูงขึ้น”

 

ซูฉินมีสีหน้าเคร่งขรึม ร่ายวจีออกมาหนึ่งบท

 

หากยืนอยู่บนผืนดิน แม้แต่ซูฉินก็แทบจะไม่สามารถรับรู้อะไรได้เลย เพราะเมื่อเทียบกับโลกนี้ตัวเขาช่างเล็กน้อยเหลือเกิน

 

แต่ตอนนี้ซูฉินยืนอยู่บนผืนฟ้า เขาค้นพบว่าโลกทั้งใบกําลังเปลี่ยนแปลงไปอย่างช้าๆ

 

“นี่คือกระแสปราณฉีที่ว่า?”

 

ซูฉินเชื่อคําพูดของโม๋จีเกือบทั้งหมดแล้วในตอนนี้

 

ถ้าแค่เรื่องปราณฉีมีปริมาณเพิ่มขึ้น อาจจะเป็นเพียงเรื่องบังเอิญได้ แต่ตอนนี้โลกทั้งใบกําลังเปลี่ยนแปลงไป คงต้องปักใจเชื่อเรื่องกระแสปราณฉีกําลังเปลี่ยนผันจากปากคําของโม๋จีเสียแล้ว

 

“โลกหล้ากําลังจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก”

 

ซูฉินกลับไปที่พระราชวังถัง

 

คราวนี้เขาไม่ได้กลับไปโถงพระราชวังอันสูงตระหง่านใต้ผืนดิน แต่ยืนอยู่หน้าตําหนักขุนฝั่งขวา

 

“มียอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสูงสุดอีกคนหนึ่งอยู่ภายในวัง”

 

จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของซูฉินปกคลุมพื้นที่ทั้งหมดเอาไว้ และพบว่าแม่ทัพแห่งวังหลวงได้แปรสภาพกําลังภายในจนก้าวเข้าสู่ระดับหนึ่งขั้นสูงสุดเรียบร้อยแล้ว

 

ถ้าเป็นเมื่อก่อนซูฉินก็คงไม่คิดว่ามันผิดปกติอะไร แม่ทัพแห่งวังหลวงอยู่ในระดับชั้นที่หนึ่ง ห่างจากการแปรสภาพเพียงแค่ก้าวเดียว ซึ่งเป็นที่แน่นอนว่าวันหนึ่งจะตัดผ่านไปได้

 

แต่หลังจากตระหนักถึงการคงอยู่ของกระแสแห่งปราณฉี ซูฉินก็ไม่คิดเช่นนั้นอีกต่อไป

 

“ยอดยุทธภายในเมืองฉางอันก็คงเพิ่มขึ้นเช่นกัน”

 

จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของซูฉินแผ่ขยายออกไปครอบคลุมพื้นที่ทั่วทั้งเมืองฉางอัน

 

“ถ้ายังคงเป็นเช่นนี้ต่อไป อย่างมากที่สุดภายในเวลาไม่กี่ปีตํานานยุทธคงได้ถือกําเนิดขึ้นอีกครั้ง…”

 

ซูฉินคาดเดาอยู่ภายในใจ

 

พลังปราณฉีภายในโลกกําลังเปลี่ยนแปลงไป และง่ายขึ้นมากสําหรับยอดปรมาจารย์ขั้นสูงสุดในการเข้าใจถึงพลังฟ้าดิน ในกรณีนี้อาจจะมีบางคนสามารถใช้ประโยชน์จากกระแสพลังดังกล่าวได้จริงๆ จนเข้าสู่ขอบเขตตํานานยุทธ

 

“ในเมื่อมันเป็นผลดีสําหรับจอมยุทธคนอื่นๆ แล้ว สําหรับข้าทําไมมันจะไม่ดีเล่า?”

 

รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของซูฉิน

 

หากกระแสปราณไม่เพิ่มขึ้นและยังคงอยู่ในยุคตกต่ำ แม้ว่าซูฉินจะมีโอสถเป็นจํานวนมาก ก็ต้องใช้เวลาอย่างน้อยๆ ยี่สิบกว่าปีถึงจะเข้าสู่ระดับนภาชั้นที่หกขั้นสมบูรณ์

 

ส่วนการจะทะลวงจากระดับนภาชั้นที่หกไปสู่ชั้นที่เจ็ดนั้น เกรงว่าจะต้องใช้เวลาอีกสักสิบถึงยี่สิบปี

 

แต่ยามนี้

 

“สองปี”

 

“อย่างน้อยสองปี ข้าจะสามารถทะลวงผ่านไปยังนภาชั้นที่เจ็ดได้”

 

ซูฉินคาดคิดในใจ

 

เมื่อมาถึงระดับที่เป็นอยู่นี้ ความเข้าใจในตนเองของเขานั้นถือว่าแม่นยําที่สุดแล้วและสามารถสัมผัสได้ถึงทุกอย่างที่ละเอียดอ่อนภายในตน ไม่ใช่แค่ความก้าวหน้าในการฝึกตน

 

“นภาชั้นที่เจ็ดในสองปี นภาชั้นที่แปดอีกสิบปี และนภาชั้นอีกเก้าอีกสามสิบปี”

 

“จากการคาดคะเนนี้ อย่างน้อยสุดก็ห้าสิบปี ข้าจะไปอยู่ในจุดสูงสุดของขอบเขตนภาทั้งเก้าชั้น และจะทะยานสู่ขอบเขตยอดอรหันต์ได้?”

 

สีหน้าของซูฉินแสดงให้เห็นถึงความสุขล้น

 

ห้าสิบปียาวนานหรือไม่เล่า?

 

บางที่สําหรับคนธรรมดาห้าสิบปีอาจจะเป็นครึ่งหนึ่งของทั้งชีวิต

 

แต่ในสายตาของอรหันต์เช่นซูฉินที่มีอายุขัยกว่าหนึ่งพันปีห้าสิบปีก็เป็นเพียงหนึ่งในยี่สิบส่วนของอายุขัยทั้งหมด

 

“มาดูสรรพคุณของผลไม้แก่นปีศาจเสียหน่อย”

 

ซูฉินอยู่ในอารมณ์ที่ดี จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของตัวเขาผสานเข้ากับคลังของระบบและจ้องไปที่ผลแก่นปีศาจที่คล้ายหัวใจสีดํากําลังเต้นตุบๆ

 

ก่อนหน้านี้เขากําลังจดจ่ออยู่กับปัญหาเรื่องกระแสปราณฉี จึงละเลยการตรวจสอบผลไม้แก่นปีศาจจากโลกถ้ำปีศาจใต้พิภพไปเสียสนิท

 

“จากพลังที่ผันผวนอยู่ภายใน มันเทียบเท่าได้กับผลไม้สีแดงหนึ่งร้อยผล”

 

ซูฉินพยักหน้าเล็กน้อย

 

ถ้าเขาต้องการลงชื่อแล้วได้รับผลไม้สีแดงร้อยผล เขาจะต้องลงชื่อเข้าใช้แท่นบูชาเทพธรณีฯ อย่างต่อเนื่องอย่างน้อยก็หนึ่งเดือน

 

แต่ตอนนี้ผลไม้แก่นปีศาจผลเดียวก็ช่วยแก้ปัญหานั้นได้แล้ว

 

“หากมีผลไม้จิตวิญญาณเช่นนี้อีกเป็นพันๆ ผล ก็คงเพียงพอสําหรับการฝึกฝนของข้าในระดับนภาชั้นที่เจ็ดแล้ว”

 

ซูฉินค่อนข้างพึงพอใจ

 

องค์ประกอบภายในของผลไม้แก่นปีศาจผลนี้ไม่ใช่พลังฟ้าดิน แต่เป็นปราณปีศาจปริมาณมหาศาลจากโลกถ้ำปีศาจใต้พิภพ

 

เมื่ออยู่ต่อหน้าตํานานยุทธคนอื่นๆ ผลไม้แก่นปีศาจก็ไม่ต่างไปจากพิษร้ายและไม่สามารถดูดซับเข้าไปได้

 

แต่สําหรับซูฉินก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไรเพียงใช้ร่างทองมารพุทธะเพื่อแปรเปลี่ยนปราณปีศาจภายในผลไม้แก่นปีศาจให้กลายเป็นแก่นแท้แห่งพลัง ซึ่งก็ลําบากขึ้นอีกนิดหน่อยเท่านั้น

 

“เก็บไว้ก่อนแล้วกัน”

 

“ตอนนี้ข้าอยู่ในระดับนภาชั้นที่หกเท่านั้น การใช้ผลไม้แก่นปีศาจนั้นเป็นการสิ้นเปลืองจนเกินไป รอจนถึงนภาชั้นที่เจ็ดเสียก่อนดีกว่า”

 

ซูฉินค่อยๆ เก็บจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของตนกลับมา

 

และในตอนที่ซูฉินกําลังจะเดินเข้าไปในตําหนักชุนฝั่งขวานั้น

 

หลีหว่านก็วิ่งจ้ำเท้าเข้ามา

 

“ลุงสาม”

 

“ลุงสาม”

 

“ข้า ข้า ข้า…”

 

หลีหว่านวิ่งมาหาซูฉิน คําพูดติดๆ ขัดๆ ด้วยความตื่นเต้น

 

“ค่อยๆ พูด”

 

ซูฉินเหลือบมองหลีหว่านและกล่าวออกอย่างไม่ใส่ใจนัก

 

“เอาล่ะ” หลีหว่านสงบใจลง ผ่านไปครู่หนึ่งนางจึงพูดขึ้นว่า “ลุงสาม ข้าตัดผ่านอีกครั้งแล้ว “

 

“ตอนนี้ข้าเป็นผู้ฝึกยุทธระดับชั้นที่เจ็ด…”

 

ใบหน้าอันสวยงามของหลีหว่านเต็มไปด้วยความรู้สึกเหลือเชื่อ

 

ตัวนางเพิ่งจะเข้าสู่ระดับชั้นที่แปดเมื่อไม่นานมานี้ แต่ใช้เวลาเพียงไม่นานนางก็เข้าสู่ระดับชั้นที่เจ็ดเสียแล้ว?

 

ถ้าไม่ใช่เพราะหลีหว่านยืนยันแล้วว่าร่างกายตนปกติ กําลังภายในก็แข็งแกร่งดี เกรงว่าคงคิดว่าตนเข้าใจผิดไปแน่

 

“ไม่เลว”

 

ซูฉินพยักหน้าเล็กน้อย ไม่บ่อยนักที่เขาจะชมเชยหลีหว่าน

 

แม้จะเป็นผลมาจากกระแสปราณฉี แต่ที่หลีหว่านข้ามระดับชั้นได้จากการเปลี่ยนแปลงของกระแสปราณฉีเพียงแค่เล็กน้อย ก็เห็นได้ชัดถึงความพยายามของตัวนางเองแล้ว

 

“ลุงสาม ทําไม ทําไม…”

 

หลี่หว่านเต็มไปด้วยความสงสัยจึงพูดออกมา “ทําไมข้ารู้สึกว่าการฝึกยุทธจึงกลายเป็นเรื่องง่าย…”

 

“ง่าย?”

 

ซูฉินยิ้มและพูดแฝงความลึกซึ้งเอาไว้ “ไม่ใช่แค่เจ้าที่รู้สึกว่ามันง่าย แต่พื้นพิภพใต้ผืนฟ้านี้ทุกสิ่งจะกลับกลายเป็นง่ายขึ้น”

 

“อย่างนี้นี่เอง…”

 

หลีหว่านพยักหน้าโดยไม่เข้าใจนัก

 

แม้ว่านางจะไม่รู้ว่าซูฉินพูดถึงอะไร แต่อย่างไรเสียการบ่มเพาะนั้นมีส่วนเกี่ยวข้องกับพลังของผืนฟ้าและพื้นพิภพ เนื่องจากซูฉินเป็นผู้พูดมันก็ควรเป็นเรื่องจริง

 

“ตอนนี้เจ้าเป็นจอมยุทธระดับชั้นที่เจ็ดแล้ว ข้าจะสอนบางสิ่งให้กับเจ้า”

 

ซูฉินมองไปที่หลีหว่านแล้วกล่าวขึ้นมา

 

หากโลกนี้เปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก ปราณฉีกําลังจะกลับคืนมา เป็นไปได้ว่าในอนาคตอันใกล้นี้จะมีผู้คนที่ทรงพลังอํานาจผุดเพิ่มขึ้นอีกมากมาย

 

ดังนั้นซูฉินจึงต้องตัดสินใจที่จะปลูกฝังพลังอํานาจให้กับอาณาจักรถัง

 

“จริงหรือ?”

 

ดวงตาของหลีหว่านเป็นประกายเมื่อได้ยินคํากล่าวนั้น

 

“แน่นอนว่าย่อมเป็นเรื่องจริง”

 

ดวงตาของซูฉินสงบนิ่ง

“วิชาหมัด ฝ่ามือ ท่าเท้า มีด ดาบ เกาทัณฑ์”

 

“เลือกมาหนึ่งอย่างเจ้าอยากจะเรียนรู้สิ่งใด”

 

ซูฉินพูดอย่างช้าๆ

 

“ฟังดูซับซ้อนยิ่งนัก” หลีหว่านกะพริบตาและมองซูฉินอย่างมีความหวัง “ลุงสาม ข้าเรียนทั้งหมดนั่นเลยมิได้หรือ?”

 

“ทั้งหมด?”

 

ซูฉินยิ้มเมื่อได้ฟังเรื่องนี้แล้วจึงส่ายหัว “พลังงานของทุกคนมีขีดจํากัด และเป็นเช่นเดียวกันแม้จะเป็นผู้ฝึกยุทธ”

 

“แม้แต่ยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่ง ตํานานยุทธ และเซียนเทพปฐพีก็ยังชํานาญในบางศาสตร์บางแขนงเท่านั้น หากต้องการจะเรียนรู้ทั้งหมด ความสําเร็จในอนาคตของเจ้าจะถูกจํากัด ได้ไม่คุ้มเสีย”

 

ซูฉินพูดอย่างอ่อนโยน

 

อันที่จริงตั้งแต่ในอดีตมาจนถึงปัจจุบัน แม้แต่พระโพธิธรรมแห่งวัดเส้าหลินที่ว่ากันว่าร่ำเรียนวิชามามากมาย ก็เรียนรู้เฉพาะศาสตร์วิชาภายในวัดเส้าหลินเท่านั้น ส่วนทักษะวิชาอื่นๆ ภายในโลกหล้านั้นค่อนข้างจํากัด

 

เมื่อหลีหว่านได้ยินสิ่งนี้ ใบหน้าของนางก็ดูครุ่นคิดอยู่ครูใหญ่

 

“ลุงสาม”

 

จู่ๆ หลี่หว่านก็นึกบางอย่างขึ้นมาได้ มองไปที่ซูฉินแล้วพูดขึ้นอย่างระมัดระวัง “แล้วลุงสาม ท่านชํานาญในด้านใด?”

 

“ข้า?”

 

ซูฉินหัวเราะราวกับคนบ้า เขามองขึ้นไปบนท้องฟ้า ดวงตาค่อยๆ สงบนิ่งก่อนจะพูดว่า

 

“ข้านั้นไม่มีใครมาเทียบได้!”

 

 

Sign in Buddha’s palm 166 แผ่นดินที่กว้างกว่า นภาที่สูงขึ้น

 

[ขอแสดงความยินดี โฮสต์ลงชื่อเข้าใช้สําเร็จ ได้รับ “ผลไม้แก่นปีศาจ” ]

 

เสียงจักรกลเย็นชาดังขึ้นที่หูของซูฉิน

 

“ผลไม้แก่นปีศาจ”

 

ใบหน้าของซูฉินดูมีความสุข

 

สิ่งที่เขายินดีไม่ได้เกี่ยวกับ “ผลไม้แก่นปีศาจ” แต่เป็นการคาดเดาของเขาที่ได้รับการยืนยันแล้ว

 

“แต่ก็เท่านั้น”

 

“แม้ว่าข้าจะลงชื่อเข้าใช้ในโลกถ้ำปีศาจได้ แต่จํานวนครั้งที่ลงชื่อเข้าใช้ได้ในแต่ละวันก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไป”

 

ความเสียใจเล็กๆ ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของซูฉิน

 

พูดง่ายๆ ก็คือ ถึงแม้จิตวิญญาณแท้จริงจะถูกแบ่งออกเป็นสอง และสามารถลงชื่อได้ทั้งพระราชวังถังและในโลกของถ้ำปีศาจ

 

แต่จํานวนในการลงชื่อเข้าใช้ต่อหนึ่งวันยังคงได้แค่ครั้งเดียว

 

ตัวอย่างเช่น ถ้าลงชื่อเข้าใช้ที่โลกถ้ำปีศาจไปแล้วในวันนี้ หากต้องการจะลงชื่อเข้าใช้อีกที่พระราชวังถังก็จําจะต้องรอในวันพรุ่งนี้

 

และถ้าเลือกลงชื่อเข้าใช้ในพระราชวังถึงวันพรุ่งนี้ วันพรุ่งนี้ทั้งวันก็จะลงชื่อเข้าใช้ที่โลกถ้ำปีศาจไม่ได้อีก

 

ขณะที่ซูฉินกําลังคิดคะนึงอยู่นั้น เสียงฝีเท้าที่เดินอย่างระมัดระวังก็ดังขึ้น และปีศาจสาวทรงเสน่ห์ตนหนึ่งก็เข้ามาหา

 

“นายท่าน”

 

ปีศาจหญิงตนนั้นโค้งคํานับซูฉินด้วยความเคารพ

 

ปีศาจหญิงตนนี้มีชื่อว่าโม๋จี ก่อนหน้านี้นางเพิ่งถูกไล่ล่ามาและได้ซูฉินช่วยเหลือเอาไว้

 

แน่นอนว่าเหตุผลที่ซูฉินช่วยเหลือเอาไว้ไม่ใช่เพราะเห็นอกเห็นใจ แต่พลังปราณของโม๋จีนั้นไม่ธรรมดาเลย มีเอกลักษณ์ชัดเจน ในเมื่อซูฉินเข้ามาสู่โลกปีศาจเป็นครั้งแรก เขาก็แค่ต้องการปีศาจสักตนหนึ่งที่มีความเข้าใจเกี่ยวกับโลกถ้ำปีศาจที่กว้างขวางมากขึ้น

 

“เอาล่ะ ตอนนี้เมื่อข้าถาม ให้เจ้าตอบมา”

 

ซูฉินไม่ได้ลืมตาขึ้นมา เพียงนั่งขัดสมาธิใต้ต้นไม้ตายซากแล้วกล่าวออกมาเบาๆ

 

“นายท่าน เชิญถามได้”

 

โม๋จีกล่าวอย่างเชื่อฟัง

 

รูปลักษณ์ของโม๋จีไม่ได้โดดเด่นเป็นพิเศษ แต่นางมีใบหน้าที่เหมือนกับจิ้งจอกและรูปร่างของนางก็เย้ายวนมาก โดยเฉพาะกลิ่นหอมอ่อนๆ บนร่างกายนางนั้นทรงเสน่ห์ยิ่ง ชายใดที่ได้เห็นก็คงแทบอดรนทนไม่ไหวที่จะกดนางแนบลงกับพื้น

 

“เจ้ารู้จักโลกมนุษย์หรือไม่?” ซูฉินถามขึ้นราวกับถามเรื่องทั่วๆ ไป

 

“โลกมนุษย์?” โม๋จีผงะไปครู่หนึ่งแล้วกล่าวตอบทันทีว่า “ตอนนี้กระแสพลังปราณฉีภายในโลกมนุษย์อยู่ในจุดที่ค่อนข้างต่ำ หากนายท่านต้องการจะบุกไปยังโลกมนุษย์ ไม่ควรเป็นช่วงนี้”

 

เมื่อโม๋จีพูดถึงเรื่องนี้ นางก็หยุดไปครู่หนึ่งราวกับกําลังคิดอะไรบางอย่างอยู่ “ทว่า เทพเจ้าปีศาจบางคนที่ปลีกตัวออกจากโลกนี้ก็ได้ทํานายเอาไว้ว่า ช่วงเวลาของกระแสปราณฉีที่ตกต่ำในโลกมนุษย์กําลังจะผ่านพ้นไป”

 

“ช่วงเวลาของกระแสปราณฉี?”

 

ซูฉินมองไปที่โม๋จี

 

“ถูกต้อง” โม๋จีพยักหน้าแล้วกล่าวต่อ “โลกมนุษย์ช่างกว้างใหญ่ไพศาล กระแสปราณฉีก็ขึ้นๆ ลงๆ ราวกับกระแสน้ำ อย่างไรก็ตามส่วนใหญ่กระแสปราณฉีภายในโลกมนุษย์นั้นเงียบนิ่ง และช่วงเวลานี้ปราณีในโลกมนุษย์ก็ลดต่ำลงมาก แม้แต่การดํารงอยู่ของตัวตนระดับราชาปีศาจก็น้อยมากด้วย”

 

“ถ้าผ่านช่วงเวลานี้ไปล่ะก็ ปราณีในโลกมนุษย์จะปะทุขึ้น นําความรุ่งโรจน์สดใสให้มาถึง ในตอนนั้นไม่ต้องพูดราชาปีศาจ แม้แต่เทพเจ้าปีศาจหรือตัวตนที่อยู่สูงกว่านั้น ก็จะทยอยผุดขึ้นทีละคนสองคน”

 

“และเทพเจ้าปีศาจที่อยู่ในส่วนลึกของดินแดนก็เตรียมที่จะบุกโลกมนุษย์ก่อนที่วันนั้นจะมาถึง เพื่อยึดเอาต้นกําเนิดของโลกมนุษย์มา…”

 

โม๋จีรีบบอกทุกสิ่งที่ตนรู้

 

ความจริงแล้วข้อมูลนี้เป็นความลับแม้แต่ในโลกถ้ำปีศาจมีเพียงเผ่าปีศาจระดับราชาปีศาจเท่านั้นที่มีโอกาสได้รับรู้ แต่ตัวตนของโม๋จีนั้นค่อนข้างพิเศษ นางจึงรู้เรื่องนี้มาก่อนล่วงหน้า

 

“ช่วงตกต่ำ?” 

 

“โลกอันกว้างใหญ่?”

 

การแสดงออกของซูฉินยังไม่ได้เปลี่ยนแปลงไป แต่ความคิดภายในที่เคยสงบนิ่ง เริ่มผันผวนขึ้นมาบ้าง 

 

แม้ว่าซูฉินจะพอคาดเดาบางอย่างได้อยู่ แต่เขาก็ไม่คิดว่าความจริงมันจะกลายเป็นเช่นนี้

 

โม๋จีโค้งคารวะเล็กน้อยแล้วยืนอยู่อย่างนั้นโดยไม่ได้คิดอะไรมาก

 

สําหรับโม๋จี อย่างน้อยๆ ซูฉินก็เป็นถึงราชาปีศาจระดับสูง ข้อมูลที่นางพูดนั้นอาจจะเป็นความลับสําหรับปีศาจธรรมดา แต่ในสายตาราชาปีศาจตัวจริงเสียงจริง นี่ก็เป็นเพียงเรื่องทั่วไปที่ใครๆ ก็รู้

 

เหตุผลที่ซูฉินถามนางเกี่ยวกับเรื่องที่ใครๆ ก็รู้พวกนี้ คงเพื่อที่จะทดสอบคุณค่าในตัวนาง

 

“เจ้ารู้อะไรอย่างอื่นอีกไหม?”

 

หลังจากซูฉินเงียบไปชั่วครู่ เขาก็ถามต่อโดยไม่รีรอ

 

“ข้ารู้อะไรอีก…” โม๋จีครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วกล่าวว่า “ถ้ามีกระแสพลังย้อนจากโลกอันกว้างใหญ่มาสู่โลกมนุษย์จริงๆ ดินแดนที่แต่ก่อนอยู่ในจุดตกต่ำอาจจะกลายเป็นศูนย์กลางของโลกอันกว้างใหญ่ก็ได้ ในเวลานั้นมหาอํานาจทั้งหลายในโลกจะแห่กันไปยังทวีปนั้น”

 

“ข้าเข้าใจแล้ว”

 

ความคิดภายในของซูฉินผันผวน แต่น้ำเสียงของเขายังคงราบเรียบนิ่งเฉย “เจ้าออกไปได้แล้วล่ะ”

 

“เจ้าคะ”

 

โม๋จีรู้สึกผิดหวังเล็กน้อยในใจ

 

เดิมที่นางคิดว่าซูฉินจะเก็บนางเอาไว้ แต่ดูเหมือนว่าซูฉินจะไม่ได้สนใจนางเลย นางบอกกล่าวไปตั้งมากมาย แต่เขาก็ไม่ได้ชายตามองเลยแม้แต่น้อย

 

ด้านใต้ของเมืองฉางอัน

 

โถงพระราชวังสูงตระหง่าน

 

ซูฉินกําลังนั่งขัดสมาธิ

 

“ผลไม้แก่นปีศาจ?”

 

ซูฉินเพียงแค่คิด ผลไม้ที่มีสีดําสนิท รูปลักษณ์คล้ายหัวใจก็มาปรากฏอยู่ในมือของเขา

 

คลังของระบบมีเพียงหนึ่งเดียว

 

ไม่เกี่ยวว่าซูฉินจะแบ่งจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ออกเป็นสองส่วนหรือไม่

 

ดังนั้นเมื่อซูฉินในโลกถ้ำปีศาจใส่ผลไม้แก่นปีศาจลงในคลังของระบบ ซูฉินที่อยู่ในพระราชวังถังก็สามารถน้ำผลไม้แก่นปีศาจออกมาจากพื้นที่ของระบบได้

 

อย่างไรก็ตามความสนใจของซูฉินไม่ได้อยู่ที่ผลไม้แก่นปีศาจเลยในยามนี้

 

“กระแสปราณฉี ?”

 

“มีทั้งยามที่กระแสสูงขึ้นและยามที่ลดต่ำลง?”

 

“โลกอันกว้างใหญ่กําลังจะเยื้องกรายเข้ามา?”

 

ความคิดของซูฉินเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว

 

“หลายพันปีก่อน โลกถ้ำปีศาจเข้ามาบุกโลกมนุษย์แต่สุดท้ายก็ล้มเหลว อาจเป็นเพราะตระหนักได้ว่าปราณฉีของโลกมนุษย์นั่นกําลังตกต่ำลง ไม่คุ้มค่ากับการบุกรุก…”

 

ซูฉินเหลือบมองแผ่นหินที่อยู่ไม่ไกล นึกคิดเกี่ยวกับพวกมัน

 

ในตอนนี้ ความสงสัยทั้งหมดที่มีในใจของซูฉินได้รับคําตอบแล้ว

 

เช่น ด้วยสภาพแวดล้อมสําหรับการบ่มเพาะภายในโลกถ้ำปีศาจนั้นอยู่เหนือกว่าโลกมนุษย์เสียอีก ทําไมยังต้องการจะบุกโลกมนุษย์?

 

บัดนี้ได้ค้นพบสาเหตุแล้ว ที่โลกถ้ำปีศาจต้องการจะบุกรุกนั้นไม่ใช่โลกมนุษย์ในขณะนี้ แต่เป็นโลกมนุษย์ในอนาคต ยามที่โลกอันกว้างใหญ่เยื้องกรายมาถึงแล้วนั่นเอง

 

ในเวลาต่อมา

 

ซูฉินก็หายตัวไปปรากฏอยู่บนท้องฟ้าเหนือเมืองฉางอัน

 

“เป็นเช่นนั้นจริงๆ”

 

ซูฉินหลับตาลงรับความรู้สึกอยู่ชั่วขณะหนึ่ง

 

“พลังฟ้าดินค่อยๆ เริ่มแข็งแกร่งขึ้น”

 

“ปริมาณของพลังฉีฟ้าดินก็มากขึ้น”

 

ซูฉินลืมตาและพึมพําอยู่กับตนเอง

 

พูดง่ายๆ ก็คือ โลกในทุกวันนี้กําลังค่อยๆ เหมาะสมกับการฝึกวิทยายุทธมากยิ่งขึ้น

 

“ไม่น่าแปลกใจเลยที่ระดับนภาชั้นที่ห้าทะลวงผ่านไปยังระดับนภาชนที่หกได้อย่างง่ายดาย ตอนนั้นข้าคิดว่าเป็นผลไม้สีแดงที่ส่งผลอย่างยอดเยี่ยม…”

 

ซูฉินส่ายหัวเล็กน้อย

 

สภาพแวดล้อมพลังฟ้าดินเหมาะสมกับการฝึกยุทธ ผู้ที่ได้รับผลประโยชน์ส่วนนี้ไปก็ล้วนเป็นผู้ฝึกยุทธและซูฉินก็เป็นหนึ่งในคนเหล่านั้น

 

และเพราะว่าซูฉินเป็นอรหันต์เพียงคนเดียวในยุคนี้ ผลประโยชน์ที่ได้จึงมากกว่าผู้ฝึกยุทธคนอื่นๆ

 

“ไม่ใช่แค่ปริมาณปราณฉีที่มีมากขึ้นเท่านั้น”

 

ซูฉินนึกอะไรบางอย่างออกร่างก็พุ่งทะยานสูงขึ้นไปอีก 

 

พุ่งขึ้นไป เกือบทะลวงนภาเก้าชั้นฟ้า ทะลวงผ่านทุกสิ่งอย่าง

 

จริงๆ ด้วยร่างกายปัจจุบันของซูฉินมันสามารถทนต่อการกัดเซาะของสายลมเก้าชั้นฟ้าได้แล้ว

 

แต่แค่หมื่นจ้างจากพื้นดินก็เพียงพอสําหรับซูฉินแล้วในการตรวจสอบบางอย่างแล้ว

 

ในขณะนี้ซูฉินกําลังเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย มองไปยังผืนฟ้าอันกว้างใหญ่ จากนั้นจึงก้มมองผืนดินใต้ฝ่าเท้าของตน 

 

“ท้องฟ้าสูงขึ้น พื้นแผ่นดินก็กว้างใหญ่มากขึ้น”

 

Sign in Buddha’s palm 165 เข้าสู่ระบบ! ผลไม้ แก่นปีศาจ!

 

“พี่สาม”

 

“พี่สาม พวกท่านเป็นอะไรหรือไม่”

 

จักรพรรดิถังก้าวเข้ามาแล้วกล่าวอย่างกังวล “นี่ข้าเหมือนได้กลิ่นดอกท้อมาจากที่นี่…”

 

ทันทีที่จักรพรรดิถังเห็นซูเยว่หยุนนอนอยู่บนก้อนหิน เขาก็ไม่สนใจกลิ่นหอมของดอกไม้อีกต่อไป เขารีบก้าวเข้าไปถามไถ่อย่างห่วงใย “พี่สาม หยุนเหนียงเป็นอย่างไรบ้าง?”

 

“นางสบายดีอย่างยิ่ง”

 

ซูฉินตอบอย่างไม่ใส่ใจ

 

ในเวลานี้ซูเยวหยุนหายเป็นปกติแล้วตั้งแต่ที่ดูดซึมหยดน้ำจิตวิญญาณกําเนิดพฤกษาเข้าไปอย่างสมบูรณ์ และร่างกายของนางก็ถูกเปลี่ยนแปลงไปเป็นร่างจิตวิญญาณ พฤกษา

 

ร่างจิตวิญญาณพฤกษาเป็นร่างกายที่เหมาะสมกับการฝึกยุทธชนิดหนึ่ง ทรงพลัง แข็งแรง ต้านทานโรคต่างๆ ได้ แม้จะไม่ได้ฝึกฝนวิชายุทธก็สามารถมีชีวิตอยู่อย่างไร้โรคภัยได้ตลอดร้อยปี หากเป็นผู้ฝึกยุทธพรสวรรค์ในการฝึกยุทธ

 

อาจจะไม่ได้ดีเท่ากับหลีหว่านที่มีร่างกายปลอดโปร่งโดยกําเนิด แต่ก็ดีกว่าคนทั่วไปมาก

 

ในความเป็นจริง ตั้งแต่ที่ซูฉินเข้าสู่นภาชั้นที่หก เขาก็กําลังคิดพิจารณาว่าเมื่อใดที่จะมอบหยดน้ำจิตวิญญาณกําเนิดพฤกษาให้กับตระกูลซูดี

 

ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ช่วยเสริมพรสวรรค์ด้านวิชายุทธ อย่างน้อยๆ มันก็ช่วยทําให้มีอายุยืนยาวขึ้นได้อีกหลายสิบปี

 

“หยุนเหนียงสบายดีอย่างยิ่ง?”

 

หัวใจของจักรพรรดิถังที่บีบตัวแน่น ในที่สุดก็คลายออกได้บ้าง

 

ถ้าเป็นคนอื่นที่พูด จักรพรรดิถังอาจจะยังเคลือบแคลง สงสัยอยู่

 

อย่างไรก็ตามจักรพรรดิถังเข้าใจบุคลิกของซูฉินดี เขาจะไม่พูดเกินจริงและจะไม่พูดถ่อมตนเช่นกัน ฉะนั้นเมื่อซูฉินกล่าวว่าซูเยว่หยุนอาการดีมาก ซูเยว่หยุนก็น่าจะไม่มี ปัญหาใดจริงๆ

 

“รู้สึกว่าน้องเล็กดูเยาว์วัยลงมาก…” ซูเฉิงฮ่าวที่อยู่ด้า ข้างก็เบิกตากว้างอย่างไม่อยากจะเชื่อ

 

ด้วยคําที่กล่าวออกมา

 

ทําให้จักรพรรดิถังเองก็เพิ่งมาสังเกตดูชัดๆ

 

หากเป็นซูเยวหยุนเมื่อก่อนคงจะดูซีดเซียวกว่านี้ แต่ตอนนี้เหมือนได้เปลี่ยนรูปลักษณ์ไปอย่างสิ้นเชิง

 

“แล้วกลิ่นหอมของดอกไม้เมื่อครู่มาจากไหนกันนะ?” ซูเฉิงยู่กะพริบตาและมองไปรอบๆ อย่างสับสน

 

ก่อนหน้านี้ ตอนที่ซูฉินรั้งพลังกลับไป ดอกท้อที่บานสะพรั่งก็แห้งเที่ยวกลับไปเหมือนเดิมอย่างรวดเร็ว ซูเฉิงยู่เฝ้ามองโดยรอบเป็นเวลานานแต่ก็ไม่เห็นสิ่งใดผิดปกติ

 

“ฝ่าบาท พลังชีวิตภายในร่างกายของพระนางไม่เพียงแต่ได้รับการฟื้นฟูกลับมาเท่านั้น แต่กลับยังไปไกลเกินกว่าที่เคยมีมาเสียอีก นี่มันช่างน่าเหลือเชื่อจริงๆ”

 

“ทักษะทางการแพทย์ของพระมาตุลาแห่งอาณาจักรช่างเหนือล้ำอย่างไม่เคยเห็นมาก่อนและคงจะไม่ได้เห็นจากใครอื่นอีกแล้ว ที่ข้าพูดนั้นมิได้เกินจริงเลย…”

 

หมอหลวงที่ติดตามองค์จักรพรรดิถังได้ตรวจสอบซูเยว่หยุนที่กําลังหลับอยู่ แล้วจึงอุทานออกมา

 

เขารู้อยู่แล้วว่าทักษะทางการแพทย์ของซูฉินนั้นยอดเยี่ยม แต่ใครจะไปคิดว่ามันจะน่าเหลือเชื่อขนาดนี้?

 

ต้องรู้ว่าหมอหลวงทุกคนได้เห็นสภาพร่างกายของซูเยว่หยุนด้วยตาของตนเองแล้ว และพวกเขาก็เข้าใจถึงความลําบากยากเย็นในการรักษาอาการเหล่านี้

 

หากซูฉินใช้เวลาสองสามเดือน ใช้โอสถโบราณหลายขนานต้มให้กิน รักษาทั้งภายในและภายนอก ค่อยๆ รักษาอาการซูเยว่หยุนให้ฟื้นกลับมา หมอหลวงก็ยังคงพอยอมรับได้

 

แต่ในยามนี้?

 

ซูฉินเพิ่งไปเดินเล่นรอบๆ สวนต้องห้ามกับซูเยวหยุน ภายในเวลาไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงซูเยวหยุนกลับหายเป็นปกติแล้ว…

 

ไม่เพียงแต่หายขาดจากโรค แต่ตอนนี้สภาพร่างกายของซูเยว่หยุนยังดีกว่าขึ้นกว่าที่เคยซึ่งมันน่าเหลือเชื่อมาก 

 

“พี่สาม”

 

“ทําไมหยุนเอ๋อถึงยังไม่ตื่นเล่า”

 

จักรพรรดิถังรู้สึกยินดีอยู่ได้ชั่วขณะหนึ่ง และก็พบว่าซูเยว่หยุนอยู่ในสภาวะหลับสนิทอยู่ตลอดเวลา จึงถามไถ่ด้วยความเป็นห่วง

 

“แม้ว่าข้าจะช่วยชีวิตนางเอาไว้ แต่ก็ต้องใช้เวลาในการนอนหลับพักฟื้นอีกประมาณสองปีจึงจะตื่นขึ้น”

 

ซูฉินเหลือบมองไปที่ซูเยว่หยุนแล้วจึงกล่าวคํา

 

นี่เป็นเหตุผลที่ซูฉินลังเลใจในตอนแรก ด้วยความช่วยเหลือของซูฉินถึงแม้จะทําให้ซูเยวหยุนสามารถดูดซึมหยดน้ําจิตวิญญาณกําเนิดพฤกษาได้อย่างราบรื่น แต่ก็ต้องหลับใหลไปถึงสองปี

 

แน่นอนว่าเมื่อเทียบกับประโยชน์ที่จะได้รับหลังจากนี้ การหลับใหลไปสองปีนั้นไม่คุ้มค่าที่จะพูดถึง

 

“สองปี?”

 

จักรพรรดิถังถอนหายใจเล็กน้อย

 

ตราบใดที่ซูเยว่หยุนยังตื่นขึ้นมา ไม่ใช่แค่สองปี แม้ว่าจะเป็นเวลายี่สิบปีหรือสามสิบปี จักรพรรดิถังก็ยังรอได้ 

 

“คราวนี้ข้ารบกวนพี่สามอีกครั้งแล้ว”

 

จักรพรรดิถังโค้งคํานับซูฉินเล็กน้อย คําพูดเต็มไปด้วยอารมณ์ความรู้สึก

 

ตั้งแต่ที่เขาขึ้นครองราชย์ ไม่รู้ว่าซูฉินช่วยตนเองมากี่ครั้งแล้ว จักรพรรดิถังเองก็จําไม่ได้

 

“ไม่เป็นไร”

 

“ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ข้าจะขอตัวกลับก่อน”

 

ซูฉินได้พูดคุยกับซูชื่อหมิน ซูเฉิงฮ่าว และซูเฉิงยู่เล็กน้อย จากนั้นเขาก็เตรียมพร้อมที่จะกลับไปพระราชวังใต้ผืนดินอันสูงตระหง่าน

 

ตอนนี้เขาเพิ่งจะเข้าสู่ระดับนภาชั้นที่หก เขาต้องใช้เวลาอีกสักพักเพื่อที่จะทําให้ระดับขั้นปัจจุบันเสถียร เพื่อที่จะคุ้นเคยกับพลังของระดับนภาชั้นที่หกมากขึ้น

 

หลังจากที่ซูฉินจากไป

 

ซูเฉิงอ่าวกะพริบตาปริบๆ และอดไม่ได้ที่จะถามซูชื่อหมินว่า “ท่านพ่อ ท่านไม่ถามเสี่ยวฉินหรือว่าทําไมจู่ๆ ถึงมีกลิ่นหอมของดอกท้อโชยขจรขจาย…”

 

แม้ว่าซูเฉิงฮ่าวจะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นถึงมีกลิ่นหอมของดอกไม้โชยมา แต่ทิศทางน่าจะมาจากสวนต้องห้าม มีเพียงซูฉินและซูเยว่หยุนเท่านั้นที่อยู่ในสวนต้องห้ามเท่านั้นก่อนหน้านี้ ถ้าจะมีใครสักคนรู้ ผู้นั้นก็คงมีแต่ซูฉินเท่านั้น

 

“กลิ่นดอกไม้?”

 

ซูชื่อหมินคิดอยู่ครู่หนึ่ง ส่ายหัวแล้วกล่าวว่า “ช่างมันเถอะ ฉินเอ๋อเพิ่งจะรักษาหยุนเอ๋อไปคงจะเหนื่อยมาก ถ้าคราวหน้าพ่อเจอฉินเอ๋ออีก พ่อจะถามให้”

 

“อย่างนั้นก็ได้”

 

ซูเฉิงฮ่าวพยักหน้า

 

ในเวลาเดียวกัน

 

ซูฉินกลับมาที่โถงพระราชวังใต้ดิน

 

“แน่นอน หลังจากที่มาถึงระดับนภาชั้นที่หก ข้ารู้สึกได้รางๆ ว่าการจะทะลวงเข้าสู่นภาชั้นที่เจ็ดคงจะใช้เวลานาน”

 

ซูฉินนั่งขัดสมาธิ รับรู้ถึงร่างกายของตน โคจรแก่นแท้แห่งพลัง ครุ่นคิดอยู่ในใจ

 

แตกต่างจากการบ่มเพาะในระดับนภาชั้นที่ห้า สําหรับนภาชั้นที่ห้าหากต้องการจะตัดผ่านทะลวงขั้นเข้าสู่ระดับถัดไป ก็เพียงแต่จะต้องสะสมพลังงานให้เพียงพอ เตรียม อารมณ์เตรียมใจให้พร้อม

 

แต่ยามที่อยู่ในระดับนภาชั้นที่หกจะเข้าสู่ระดับนภาชั้นที่เจ็ด จําเป็นต้องเผชิญหน้ากับโซ่ตรวนและคอขวดที่กั้นกลางอยู่

 

ไม่ว่าจะเป็นตํานานยุทธหรืออรหันต์ มีเพียงผู้ที่เข้าสู่ระดับนภาชั้นที่เจ็ดเท่านั้นจึงจะเรียกว่าตํานานยุทธที่แท้จริงหรืออรหันต์ที่แท้จริงได้

 

นอกจากนี้ มีเพียงอัจฉริยะที่เข้าสู่นภาชั้นที่เจ็ดเท่านั้นที่มีโอกาสควบรวมอาณเขตพลังขนาดเล็ก ขึ้นมาได้

 

นี่แสดงให้เห็นว่าสําหรับอรหันต์หรือตํานานยุทธทั้งหลายระดับนภาชั้นที่เจ็ดเป็นการแปรสภาพอีกครั้งอย่างแน่นอน

 

….

 

ณ โลกถ้ำปิศาจ

 

ท้องฟ้ามืดครื้มไปหมด

 

ซูฉินเดินช้าๆ ไปยังต้นไม้ปีศาจที่แห้งเหี่ยวเหลือเพียงแต่ตอ

 

กลิ่นอายของต้นไม้ปีศาจนี้ช่างเก่าแก่ แม้ว่ามันจะเหี่ยวเฉาไปแล้วในตอนนี้ แต่มันก็เคยอยู่มากว่าหมื่นปี ซึ่งตรงตามเงื่อนไขในการลงชื่อเข้าใช้ของซูฉิน

 

“ระบบลงชื่อเข้าใช้ถูกผูกเข้ากับจิตวิญญาณแท้จริงของข้า แม้จะเปลี่ยนร่างไปตราบใดที่จิตวิญญาณแท้จริงของข้ายังไม่เปลี่ยนแปลงไป ข้าก็สามารถลงชื่อเข้าใช้ได้”

 

“มีจิตวิญญาณแท้จริงอยู่เกือบครึ่งภายในร่างจําแลงร่างนี้ ถ้าว่ากันตามจริงแล้วก็ควรจะลงชื่อเข้าใช้ได้”

 

ความคิดของซูฉินผันผวนไปมา

 

จิตวิญญาณแท้จริงคือสิ่งใด

 

จิตวิญญาณแท้จริงคือสิ่งที่สําคัญที่สุดของสิ่งมีชีวิต 

 

จิตวิญญาณแท้จริงของแต่ละคนจะมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวแตกต่างกันไป เป็นตัวแทนของสิ่งมีชีวิตชนิดนั้นๆ

 

ร่างกายสามารถทําลายได้ จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์สามารถสลายหายไป แต่จิตวิญญาณแท้จริงนั้นมีเพียงแค่หนึ่งเดียว

 

ยกตัวอย่างเช่นตัวตนอย่างตํานานยุทธและอรหันต์ การที่ร่างกายตายไปไม่นับเป็นการตายที่แท้จริง มีแต่จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์สลายหายไปเท่านั้นถึงจะนับเป็นการตายที่สมบูรณ์

อันที่จริงประโยคนี้ก็ใช่จะถูกต้องเสียทั้งหมด เพราะเบื้องหลังจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ก็ยังมีจิตวิญญาณแท้จริงอยู่

 

เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ ซูฉินก็มองดูต้นไม้ปีศาจที่อยู่ข้างหน้าและพิ่มฟ้ในใจว่า

 

“ระบบ ลงชื่อเข้าใช้”

 

[ขอแสดงความยินดี โฮสต์ลงชื่อเข้าใช้สําเร็จได้รับ “ผลไม้แก่นปีศาจ” ]

 

Sign in Buddha’s palm 164 หยดน้ําจิตวิญญาณกําเนิดพฤกษา

ด้านนอกสวนต้องห้าม

 

องค์จักรพรรดิเฝ้ารออย่างใจจดใจจ่อ

 

ซูเยวหยุนจงใจเลี่ยงความสนใจโดยการขออยู่เพียงลําพังกับซูฉิน ทําไมจักรพรรดิถังจะไม่รู้ว่านางหมายความว่าอะไร

 

“เด็กโง่ ยังมัวมากังวลอีกว่าข้าจะยอมรับไม่ได้…” แววตาของจักรพรรดิถังฉายแววอ่อนโยน

 

เขาอยู่ท่ามกลางประชาชนคนทั่วไปมากว่าสามสิบปีแล้ว แม้ว่าจะมีหลิวกงกงที่ได้รับคําสั่งจากองค์จักรพรรดิถังพระองค์ก่อนให้ปกป้องเขาอยู่อย่างลับๆ แต่หลิวกงกงก็จะทําหน้าที่เพียงแค่ปกป้องจากอันตรายเท่านั้น

 

ตราบใดที่จักรพรรดิถังไม่มีภัยคุกคามใดถึงชีวิต หลิวกงกงก็จะไม่ออกหน้า

 

ด้วยสถานการณ์เช่นนั้นทําให้จักรพรรดิถังไม่เคยได้รับความรู้สึก ไม่เคยรู้ว่าความอบอุ่นนั้นเป็นเช่นไร

 

จนกระทั่งเขาได้พบพานกับซูเยว่หยุน จักรพรรดิถังก็ตระหนักว่าความอบอุ่นนั้นหน้าตาเป็นเช่นไร

 

และนั่นก็ทําให้ตั้งแต่ตอนนั้นจนถึงตอนนี้ กว่าสิบปีแล้วที่จักรพรรดิถังขึ้นครองบัลลังก์ แต่ตัวเขาก็ไม่เคยรับนางสนมคนใดเลย ยืนกรานในคําสัญญาว่าจะแต่งงานกับซูเยว่หยุนคนเดียวเท่านั้น

 

“ฝ่าบาท หยุนเอ๋อจะต้องไม่เป็นอะไร” ซูชื่อหมินที่ยืนอยู่ด้านข้างอดไม่ได้ที่จะกล่าวปลอบใจขึ้นมา

 

หลังจากเกิดเรื่องใหญ่โตดังกล่าว ตระกูลซูก็รีบเดินทางเข้าวังหลวงมาแต่เช้าเพื่อจะเยียมซูเยว่หยุน

 

“ถูกต้อง ฝ่าบาท เสี่ยวฉันอยู่วัดเส้าหลินมานานหลายปี ต้องได้เรียนรู้ทักษะอะไรมาไม่น้อย” ซูเฉิงฮ่าวพูดอย่างระมัดระวัง

 

“หวังว่าจะเป็นเช่นนั้น”

 

จักรพรรดิถังถอนหายใจเบาๆ เมื่อได้ยินคําพูดนั้น

 

“หยุนเหนียงกับพี่สามเข้าไปนานแค่ไหนแล้วนะ?” จักรพรรดิถังเงียบไปครู่หนึ่งแล้วมองไปยังสวนต้องห้ามที่อยู่ถัดออกไป

 

สวนต้องห้ามได้รวบรวมดอกไม้ล้ําค่าทั่วทั้งดินแดน ปกติมีคนคอยดูแลพวกมันอยู่ตลอดเวลา ต้องรู้ว่าดอกไม้พวกนี้บอบบางยิ่ง เมื่อสภาพแวดล้อมเปลี่ยนไปมันก็จะค่อยๆเหี่ยวเฉา

 

“ฝ่าบาท ประมาณครึ่งชั่วโมงแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

 

คนสวนกล่าวคําเสียงสั่นๆ ทันทีที่ได้ยินคําถามนั้น

 

“ครึ่งชั่วโมง?”

 

จักรพรรดิถังขมวดคิ้วเล็กน้อย “ยามนี้จะมีดอกไม้บานมากเท่าใดกันในสวนต้องห้าม? ใช้เวลานานเพียงนี้กับการเดินชมดอกไม้?”

 

ในสายตาของจักรพรรดิถัง ซูเยวหยุนและซูฉินไปที่สวนต้องห้ามเพื่อระลึกถึงความหลังให้ได้มากที่สุด และมันคงจะใช้เวลาไม่นาน แต่แปลกที่ว่าถึงตอนนี้ก็ยังไม่ออกมากัน

 

“ฝ่าบาท ตอนนี้เข้าฤดูหนาวแล้ว ดอกไม้ส่วนใหญ่เหี่ยวเฉา และมีดอกไม้ที่ยังบานอยู่ไม่มากนัก” คนสวนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงรายงาน

 

เขาดูแลสวนต้องห้ามอยู่ทุกวัน และย่อมรู้สภาพการณ์ทุกอย่างภายในนั้นเป็นธรรมดา

 

ฉับพลัน

 

ในตอนนั้นเอง

 

ซูเฉิงฮ่าวที่อยู่ด้านข้างก็โพล่งขึ้นมาว่า “พวกเจ้า ได้กลิ่นดอกไม้หรือไม่?”

 

หลังจากซูเฉิงฮาวพูดจบ เขาก็สูดดมอย่างแรง ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความรู้สึกไม่อยากจะเชื่อ

 

“กลิ่นดอกไม้?”

 

“กลิ่นหอมของดอกไม้ที่ขจรขจายในฤดูหนาวมันเป็นเรื่องบ้าอันใด?” ซูชื่อหมินกลอกตาและกําลังจะดุซูเฉิงฮ่าวเพื่อที่จะไม่ทําตัวน่าอับอายต่อหน้าพระพักตร์ของฝ่าบาท 

 

แต่วินาทีต่อมา

 

ซูชื่อหมินก็ตกตะลึง

 

“ดูเหมือนว่ามันจะมีกลิ่นหอมของดอกไม้โชยมาจริงๆ?”

 

ซูชื่อหมินตะลึงงัน ไม่อยากจะเชื่อ

 

“มันเป็นกลิ่นหอมของดอกไม้จริงๆ น่าจะเป็นกลิ่นของดอกท้อ ข้าจําได้ว่าสมัยเด็กข้ามักจะไปวิ่งเล่นที่ภูเขาด้านหลังซึ่งมีดอกท้ออยู่มากมายที่นั่น” ซูเฉิงยู่กลืนน้ําลาย ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความตกใจ

 

ถ้าไม่ใช่ว่าเพราะจมูกของตนได้กลิ่นดอกไม้จริงๆ เขาคงคิดว่าตนมีอาการประสาทหลอนเป็นแน่

 

ดอกท้อเป็นดอกไม้ที่บานใบฤดูใบไม้ผลิ ตอนนี้เข้าฤดูหนาวแล้ว จะหากลิ่นหอมของดอกท้อได้ที่ไหนกัน?

 

“ดอกท้อ?”

 

จักรพรรดิถังขมวดคิ้ว ดูเหมือนมันจะยากที่จะทําความเข้าใจว่าเหตุใดกลิ่นหอมของดอกท้อจึงปรากฏขึ้นในขณะนี้

 

“ดอกท้อ นี่เป็นกลิ่นของดอกท้อที่บานสะพรั่งจริงๆ” คนสวนแห่งราชสํานักที่อยู่ใกล้ๆพึมพําอยู่กับตนเอง

 

หากกลิ่นหอมของดอกท้อในฤดูหนาวทําให้คนอื่นๆตกตะลึงเช่นนี้แล้ว ในสายตาของผู้ที่ดูแลดอกไม้มาทั้งชีวิต ก็เหมือนกับโลกนี้กลับตาลปัตรไปหมด

 

ไม่ว่าจะเป็นดอกไม้ชนิดใดล้วนผลิบานตามฤดูกาล ตั้งแต่โบราณกาลจนถึงปัจจุบันนี้ก็ยังไม่เปลี่ยนแปลงแต่บัดนี้ 

 

คนสวนหลายคนต่างจ้องหน้ากัน ใช้เวลาอยู่นานกว่าจะหลุดออกจากภวังค์ได้

 

“กลิ่นหอมของดอกท้อดูเหมือนจะมาจากสวนต้องห้าม.” ซูเฉิงฮ่าวมองไปรอบๆ และในที่สุดก็จ้องไปที่สวนต้องห้าม

 

“สวนต้องห้าม?”

 

ใบหน้าของจักรพรรดิถังเปลี่ยนไปเล็กน้อย

 

“พี่สามกับหยุนเหนียงก็อยู่ข้างในนั้นนี่”

 

จักรพรรดิถังคิดถึงเรื่องนี้ก็กัดฟันเดินไปยังสวนต้องห้ามในทันที

 

ซูชื่อหมิน และสองพี่น้องอย่างซูเฉิงฮาวกับซูเฉิงยู่มองหน้ากันและในที่สุดก็ติดตามไปด้วย

 

ภายในสวนต้องห้าม

 

ซูเยวหยุนมองดอกท้อที่บานสะพรั่งไปทั่วทุกทิศทางด้วยความไม่อยากจะเชื่อ กลิ่นหอมอบอวลในอากาศทําให้นางรู้สึกเหมือนกําลังย้อนกลับไปในเดือนพฤษภาคมที่ดอกไม้บานสะพรั่ง

 

“พี่สาม…ท่าน…”

 

ซูเยวหยุนมองไปที่ซูฉินด้วยสีหน้าว่างเปล่า จิตใจนางเองก็ตื้อไปหมด ในขณะนี้ซูเยว่หยุนมีข้อสงสัยมากมาย แต่สุดท้ายนางก็ไม่รู้จะถามอะไร

 

“ดีแล้ว”

 

“ไม่ต้องพูดอะไร”

 

“เจ้าก็ได้ดูดอกไม้ไปแล้ว”

 

“ต่อไปข้าจะรักษาเจ้าเอง”

 

ดวงตาของซูฉินแลดูเคร่งขรึมขึ้นเล็กน้อย

 

ถ้ามันเป็นเพียงการช่วยรักษาซูเยว่หยุน ซูฉินก็คงไม่ต้องคิดอะไรมากนัก

แต่ซูฉินหาได้พอใจกับสิ่งนั้นไม่

 

เขาต้องการใช้โอกาสครั้งนี้ในการพลิกฟื้นร่างกายของซูเยวหยุนตั้งแต่ภายในจนถึงภายนอกโดยสมบูรณ์ “เปลี่ยนแปลงทั่วทั้งร่างอีกครั้ง

 

“เจ้านอนก่อนเถิด”

 

“เมื่อตื่นขึ้นมาอีกครั้ง เจ้าจะพบว่าโลกใบนี้ได้เปลี่ยนไปเสียแล้ว”

 

ซูฉินมองไปที่ซูเยวหยุน ยกมือขวาขึ้นแตะเบาๆไปที่กึ่งกลางหว่างคิ้วของอีกฝ่าย

 

ทันใดนั้น

 

ซูเยวหยุนก็รู้สึกเพียงว่าสภาพโดยรอบกําลังหมุน สติของนางค่อยๆ จมดิ่งสู่ความมืดมิด

 

“หยดน้ําจิตวิญญาณกําเนิดพฤกษา”

 

ซูฉินเพียงคิด ทันใดนั้นขวดหยกขาวขนาดเล็กก็ปรากฏขึ้นมา

 

ภายในขวดหยกมีของเหลวสีฟ้าอ่อนอยู่เล็กน้อย กําลังแผ่ไอพลังแห่งชีวิตอันแรงกล้าออกมา

 

หยดน้ําจิตวิญญาณกําเนิดพฤกษาขวดนี้ ซูฉินลงชื่อ ได้รับมันเมื่อนานมาแล้ว สรรพคุณสามารถปรับเปลี่ยนสภาพร่างกายและรักษาอาการบาดเจ็บได้

 

สําหรับซูฉินแล้ว เป็นธรรมดาที่หยดน้ําจิตวิญญาณกําเนิดพฤกษาจะไม่มีผลอะไรกับตน ไม่ต้องพูดถึงร่างกายที่ได้รับการแปรสภาพมาสีครั้งเลย เพียงแค่มีทิพยอํานาจกาย เนื้อกําเนิดใหม่ก็สูงล้ําเกินกว่าผลของหยดน้ําจิตวิญญาณกําเนิดพฤกษาไปไกล

 

“แม้ว่าหยดน้ําจิตวิญญาณกําเนิดพฤกษาจะไม่มีผลสําหรับข้า แต่มันก็ยังทรงพลังมาก จอมยุทธที่อยู่ต่ํากว่า ยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งไม่สามารถที่จะแตะต้องมันได้”

 

“แต่เมื่อยามที่ข้าก้าวเข้าสู่ขอบเขตอรหันต์ ความเข้าใจในพลังธรรมชาตินั้นละเอียดยิ่งขึ้น ข้าสามารถทําให้คนธรรมดาดูดซับหยดน้ําจิตวิญญาณกําเนิดพฤกษาได้โดยสมบูรณ์ด้วยซ้ํา นับประสาอะไรกับผู้ฝึกยุทธอย่างน้องสาวข้า?”

 

ซูฉินมองไปที่ขวดหยกที่อยู่ตรงหน้า จิตของเขาก็เริ่มสั่งการ

 

ช่วงเวลาต่อมา

 

จุกขวดค่อยๆเปิดออก ของเหลวสีฟ้าหยดหนึ่งก็ลอยออกมา

 

ของเหลวสีฟ้าหยดนี้ล่องลอยหมุนวนไปในอากาศ ร่องรอยของพลังชีวิตค่อยๆแผ่ขยายออกมา

 

“จงไป”

 

ด้วยการควบคุมของซูฉิน หยดน้ําจิตวิญญาณกําเนิดพฤกษาหยดนี้จู่ๆก็ระเบิดออกกลายเป็นไอหมอกสีเขียวห่อหุ้มร่างของซูเยวหยุนเอาไว้

 

ขณะที่ซูเยวหยุนหายใจเข้า หมอกสีเขียวก็ค่อยๆใหลเข้าสู่ร่างกายของนางอย่างสมบูรณ์

 

“หยดน้ําจิตวิญญาณกําเนิดพฤกษาอัดแน่นไปด้วยพลังฟ้าดิน มีเพียงร่างกายของยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งเท่านั้นที่สามารถรับได้”

 

“ถึงแม้น้องเล็กจะดูดซึมมันเข้าไปด้วยความช่วยเหลือของข้า แต่สุดท้ายแล้วมันก็ไม่ใช่การนําไปใช้ด้วยตนเอง ต้องหลับไหลไปชั่วระยะเวลาหนึ่งเพื่อให้หยดน้ําจิตวิญญาณกําเนิดพฤกษาเปลี่ยนเป็นพลังชีวิตได้อย่างสมบูรณ์”

 

มองเผินๆก็ดูเหมือนซูเยวหยุนดูดซึมหยดน้ําจิตวิญญาณ กําเนิดพฤกษาไปอย่างหมดจด แต่ในความเป็นจริงก็ยังมีหยดน้ําจิตวิญญาณกําเนิดพฤกษาสะสมคั่งค้างอยู่ภายในร่างกาย

 

ในตอนนั้นเอง

 

ก็มีเสียงฝีเท้าที่ด้านนอกสวนต้องห้าม เป็นจักรพรรดิถัง ซูชื่อหมินและสมาชิกตระกูลซูคนอื่นๆที่รีบเดินเข้ามาอย่างรวดเร็ว

 

 

Sign in Buddha’s palm 163 ในรัชสมัยของเขา ถ้าข้าได้เป็นจักรพรรดิชิง

 

เมื่อครู่

 

ด้วยจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของซูฉิน เขาได้ตรวจสอบร่างกายของซูเยว่หยุนเรียบร้อยแล้ว

 

“ข้าพอจะรู้แล้วว่าต้องทําเช่นไร…”

 

ซูฉินพึมพำและถอนหายใจด้วยความโล่งอก

 

หากซูฉินเข้าใจถูก ซูเยว่หยุนกําลังทุกข์ทรมานจากโรคมะเร็งอยู่ในขณะนี้ มันคือโรคมะเร็ง เดียวกันกับที่มีอยู่ในชีวิตก่อนหน้านี้ของซูฉิน

 

ไม่ว่าใครจะเป็นก็ตาม ไม่ว่าจะอดีตหรือในปัจจุบัน “มะเร็ง” เป็นโรคที่รักษาไม่หาย และไม่มีวิธีรักษา

 

แต่ในสายตาของซูฉินตอนนี้ ตราบใดที่ซูเยว่หยุนยังไม่อยู่ในช่วงสุดท้ายของชีวิต มันก็ยังพอจะมีทางรักษาอยู่

 

“พระมาตุลา”

 

“ท่านเป็นอะไรหรือไม่?”

 

“พระนางและฝ่าบาทยังรอคอยอยู่”

 

เมื่อเห็นชูฉินไม่ตอบ ขันที่ผู้น้อยที่อยู่ข้างๆ ก็รู้สึกกังวลขึ้นมา

 

“ไม่ต้องเป็นกังวล นําข้าไปเถิด” ชูฉินเหลือบมองขันทีแล้วพูดอย่างสบายๆ

 

“ขอรับ”

 

เมื่อได้ยินดังนั้น วันที่ชั้นผู้น้อยก็วิ่งเหยาะๆ นําซูฉินไปในทันที

 

ไม่ช้านาน

 

ซูฉินก็มาถึงพระราชวังคุนหนิง

 

“พี่สาม”

 

จักรพรรดิถังลุกขึ้นในทันทีแล้วเดินมาหาซูฉิน

 

“หยุนเหนียง นาง…” น้ำเสียงของจักรพรรดิถังมีแววขมขื่นอยู่เล็กน้อย แต่มองมาที่ซูฉินอย่างมีความหวัง

 

ในตอนนี้ซูฉินเป็นเพียงความหวังเดียวของเขา ถ้าซูฉินไม่สามารถช่วยซูเยว่หยุนได้ จักรพรรดิถังก็ไม่รู้จะทําอย่างไรแล้ว

 

ซูฉินเดินตรงไปที่แท่นบรรทม และตรวจดูซูเยว่หยุนอย่างละเอียดอีกครั้ง

 

แม้ว่าก่อนหน้าเขาจะตรวจสอบร่างกายของซูเยว่หยุนด้วยจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์แล้ว แต่เพื่อป้องกันความผิดพลาด เขาต้องตรวจสอบด้วยตนเองอีกครั้ง

 

“พี่สาม”

 

“หยุนเหนียงนางเป็นอย่างไรบ้าง?”

 

จักรพรรดิถังรออยู่ครู่ใหญ่ และในที่สุดก็อดที่จะเอ่ยปากขึ้นมาไม่ได้

 

ซูฉินกําลังจะตอบว่า “ไม่เป็นอะไร” แต่ซูเยว่หยุนพูดขัดขึ้นมาอย่างร้อนรน

 

“ฝ่าบาท ข้าต้องการอยู่กับพี่สามตามลําพังสักครู่”

 

ซูเยว่หยุนมองไปที่จักรพรรดิถังด้วยใบหน้าที่แสดงถึงการร้องขอ

 

ซูเยว่หยุนกังวลว่าถ้าแม้แต่ซูฉินก็พูดว่า “มันรักษาไม่หาย” จักรพรรดิถังคงจะจมลงสู่ความสิ้นหวังอย่างแท้จริง

 

เมื่อได้ฟังคําขอของซูเยว่หยุน จักรพรรดิถังก็ลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้าตกลง “ตกลง ข้าจะพาคนอื่นๆ ออกไปเดี๋ยวนี้แหละ”

 

หลังจากนั้นไม่นาน

 

ก็เหลือเพียงซูฉินและซูเยว่หยุนเท่านั้นที่ยังอยู่ภายในพระราชวังคุนหนึ่ง

 

ซูฉินไม่ได้พูดอะไร เขาแผ่จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ออกมาอีกครั้ง และเริ่มคิดหาวิธีที่จะใช้รักษาซูเยว่หยุนให้ได้ผลดีที่สุด

 

ถ้าเป็นคนอื่น ซูฉินจะไม่ต้องเก็บมาคิดวุ่นวายและจะรีบทําลายแหล่งกําเนิดของ “มะเร็ง” โดยใช้แก่นแท้แห่งพลังของตนเอง และแน่นอนว่าอีกฝ่ายจะต้องเจ็บปวดทรมานมากแน่ๆ

 

เพียงแต่ว่าซูเยว่หยุนเป็นน้องสาวของซูฉิน ซูฉินจึงต้องการวิธีรักษาที่ดีที่สุด

 

เมื่อซูเยว่หยุนเห็นซูฉินไม่ได้เอื้อนเอ่ยอะไร ตรวจสอบนางหลายต่อหลายรอบ จู่ๆ ภายในใจนางก็จมดิ่ง สุดท้ายก็พยายามฝืนยิ้มแล้วพูดออกมา “พี่สาม ข้าอยากให้ท่านได้ดูสวนต้องห้าม”

 

สวนต้องห้ามเป็นสถานที่สําหรับปลูกดอกไม้มากมายหลายพันดอกภายในวังหลวงเพื่อให้จักรพรรดิและฮองเฮาได้เชยชม

 

ตั้งแต่ที่ซูเยว่หยุนขึ้นเป็นฮองเฮา ยามที่นางไม่มีอะไรทํานางก็จะมาที่สวนต้องห้ามนี้เพื่อเพลิดเพลินกับดอกไม้นานาพันธุ์

 

ภายในสวนต้องห้าม

 

ซูฉินและซูเยว่หยุนค่อยๆ ก้าวเดินอย่างช้าๆ

 

เนื่องจากนี่เป็นฤดูหนาว ดอกไม้ในสวนต้องห้ามจึงเหี่ยวเฉา แลดูแล้วให้ความรู้สึกเปลี่ยวเหงา

 

ไม่ว่าจะอย่างไร หมอหลวงเองย่อมมีความสามารถไม่น้อย แม้ว่านางจะเป็น “มะเร็ง” แต่หมอหลวงก็ยังสามารถช่วยให้ซูเยว่หยุนอาการดีขึ้นถึงขนาดที่อย่างน้อยก็เดิน เห็นไปในที่ต่างๆ ได้

 

“พี่สาม ท่านเหมือนเดิมมาตลอดหลายปีแทบไม่เปลี่ยนแปลงไปเลย แต่ขากลับกลายเป็นหญิงชราไปเสียแล้ว…”

 

ซูเยว่หยุนมองไปที่ซูฉินแล้วกล่าวคําเบาๆ

 

“ความชราภาพและความอ่อนเยาว์ก็เป็นเพียงเปลือกเป็นเพียงรูปลักษณ์ภายนอก เจ้าไม่จําเป็นต้องใส่ใจหรอก” ซูฉินไม่ค่อยพูดอะไรมากนัก

 

ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ซูฉินตั้งใจจะทําให้ผมบริเวณกกหูของเขามีสีขาวแซมขึ้นมา เพื่อให้ไม่ดูผิดปกติจนเกินไป

 

แต่กระนั้นซูฉินก็ยังดูเด็กมากอยู่ดี ทั้งในแง่ของผิวพรรณและรูปลักษณ์

 

ทําให้ซูเยว่หยุนอิจฉาจริงๆ

 

แม้ว่าจะเป็นถึงฮองเฮา แต่ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะคงความสาวไว้ได้ตลอดไป

 

“ว่าไปแล้ว จะมีสักกี่คนบนโลกกันที่จะมองในแง่มุมเช่นนั้นได้?” ซูเยว่หยุนยิ้มรับ ในช่วงหลายปีที่ผ่านมานางได้พูดคุยกับซูฉินอยู่บ่อยครั้ง และซูฉินไม่ได้ให้ความสําคัญกับรูปลักษณ์ภายนอกนัก

 

“ถ้าเจ้าอยากคงความอ่อนเยาว์ตลอดไป ข้าสามารถช่วยเจ้าได้”

 

ซูฉินเหลือบมองไปที่ซูเยว่หยุน จู่ๆ ใจของเขาก็กระตุกฉุกคิดบางสิ่งขึ้นมาได้

 

เขาจําได้ว่าตอนที่อาศัยอยู่ในวัดเส้าหลิน เขาเคยลงชื่อเข้าใช้แล้วได้รับ “โอสถชะลอโฉม” มา

 

อย่างไรก็ตาม สําหรับซูฉินในตอนนั้น โอสถชะลอโฉมเทียบไม่ได้กับโอสถเสริมสมรรถภาพขนาดเล็กด้วยซ้ำ เพราะอย่างน้อยอย่างหลังก็ยังเอามาเคี้ยวเล่นเป็นขนมได้

 

ทําให้โอสถชะลอโฉมยังคงวางกองอยู่ที่มุมหนึ่งของคลังระบบ ไร้การเหลียวแลจากซูฉิน

 

แน่นอน แม้ว่าซูฉินจะดูถูกโอสถชะลอโฉม แต่เขารู้ว่าสําหรับบางคน โอสถชะลอโฉมนั้นเปรียบได้กับโอสถมหัศจรรย์

 

“พี่สามล้อกันเล่นแล้ว”

 

ซูเยว่หยุนคิดว่าซูฉินกําลังล้อนางเล่น จึงไม่ได้ใส่ใจมากนัก

 

ในเวลานี้ซูเยว่หยุนเตรียมใจมาพร้อมแล้วกับเรื่องที่จะไม่มีทางรักษาตนเองได้ นางไม่ได้สนใจอะไรกับสิ่งที่เรียกว่าความชราเสียแล้ว

 

“หลายปีผ่านไป ข้ายังจดจําได้แจ่มชัดยามที่พี่สามยังอยู่ที่ตระกูลซู ตอนนั้นข้ายังเด็กนัก มักชอบเดินตามพี่สามขึ้นภูเขาไปดูพืชพันธุ์”

 

ซูเยว่หยุนดูเหมือนจะติดอยู่ห้วงอารมณ์ความทรงจําบางอย่าง

 

ในเวลาที่ซูฉินถูกส่งไปวัดเส้าหลิน นางอายุได้เพียงสามขวบ ตอนนี้เวลาผ่านไปหลายสิบปี ความทรงจําวัยเด็กเลือนรางลงไปมากแล้ว

 

แต่สิ่งเดียวที่ยังพอจําได้คือภูเขาดอกท้อที่ด้านหลังตระกูลซูและแผ่นหลังของซูฉินที่คอยเดินนําหน้านางเสมอ

 

“ยามที่ฤดูใบไม้ผลิมาถึง ดอกท้อที่ด้านหลังภูเขาก็จะเบ่งบาน สวยงามมาก…”

 

ซูเยว่หยุนหลับตาลง รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้า

 

“ข้าไม่รู้ว่าจะมีโอกาสได้ดูดอกท้อบานสะพรั่งอีกไหม..”

 

ซูเยว่หยุนเปิดเปลือกตาของนางขึ้น น้ำเสียงเจือด้วยความเศร้าสร้อยเล็กน้อย

 

ดอกท้อเป็นดอกไม้ที่จะบานในฤดูใบไม้ผลิเท่านั้น แต่ตอนนี้เป็นฤดูหนาว อีกตั้งครึ่งปีกว่าที่ดอกท้อจะเบ่งบาน

 

ซูเยว่หยุนไม่แน่ใจจริงๆ ว่านางจะมีชีวิตรอดจนถึงตอนนั้นได้หรือไม่

 

“เจ้าอยากเห็นดอกท้อในตอนนี้หรือไม่เล่า?”

 

ชูฉินหันไปมองซูเยว่หยุนและถามอย่างจริงจัง

 

“แน่นอนสิ”

 

ซูเยว่หยุนเห็นท่าทางจริงจังของซูฉินก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา “แต่ข้ารู้ว่าอย่างไรมันก็เป็นไปไม่ได้”

 

ซูฉินส่ายหัวเล็กน้อยแล้วเดินไปด้านหน้าสองสามก้าว “เมื่อเจ้าอยากเห็น ข้าก็จะให้เจ้าได้เห็น”

 

คําพูดของซูฉินทําให้ซูเยว่หยุนมึนงงไปนิดหน่อย

 

นางไม่คาดคิดมาก่อนว่าซูฉินจะ “ยึดมั่น” ในการที่จะให้นางได้เห็นดอกท้อผลิบานในฤดูหนาวเช่นนี้

 

“พี่สาม ข้า…”

 

ซูเยว่หยุนพยายามเกลี้ยกล่อมซูฉินไม่ให้จริงจังเกินไปนัก

 

อย่างไรก็ตาม

 

ช่วงเวลาต่อมา

 

ซูเยว่หยุนก็ได้เห็นฉากที่มิอาจลืมได้ลงในชั่วชีวิตของนาง

 

นางเห็นซูฉินเดินช้าๆ ไปที่ดอกไม้ที่แห้งเที่ยว วางมือขวาบนกิ่งไม้แล้วกระซิบคํา

 

“จงบาน”

 

ในชั่วพริบตา ก็เหมือนดั่งกับเทพเจ้าแห่งฤดูใบไม้ผลิได้อภัยโทษให้กับเหล่าผู้คน

 

โดยที่มีซูฉินเป็นจุดศูนย์กลาง ในรัศมีนับร้อยเมตรพันเมตร ทั่วทั้งสวนต้องห้ามต่างเต็มไปด้วยพืชพันธุ์ที่กําลังเบ่งบาน โชยกลิ่นหอมอบอวล สวยงามชดช้อย ชวนให้ผู้คนรู้สึกเหมือนตกอยู่ท่ามกลางทะเลแห่งพันธุ์ไม้ในเดือนพฤษภาคม

 

“นี่…”

 

ซูเยว่หยุนเบิกตากว้าง มองไปยังซูฉินที่อยู่ท่ามกลางมวลหมู่ดอกไม้ด้วยสายตาสงบ ไม่มีทั้งสุขและเศร้าเจือปน

 

หากในรัชสมัยของเขา ข้าได้เป็นเทพเจ้าแห่งวสันตฤดู ข้าจะทําให้ทั่วทุกที่บานสะพรั่งไปด้วยดอกท้อ

 

[1] ในรัชสมัยของเขา ถ้าข้าได้เป็นจักรพรรดิชิง (เทพเจ้าแห่งฤดูใบไม้ผลิ ไม่ได้เกี่ยวข้องกับราชวงศ์ชิงแต่อย่างใด)” เป็นครึ่งท่อน แรกของวลีหนึ่งใน “จารึกบนดอกเบญจมาศ” ของหวงเฉา ผู้นําการก่อกบฏของกลุ่มชาวนาในสมัยราชวงศ์ถังตอนปลาย ข้อความเต็มกล่าวเอาไว้ว่า ลมตะวันตกพัดโชยเสียงกรอบแกรบโปรยจากพืชพันธุ์แถวลานบ้าน หาได้ยากดอกไม้บานหอมกรุ่นกลิ่นไอหนาว หากข้าเป็นจักรพรรดิชิงในปีเขา คงถึงคราวที่ดอกท้อจะบานสะพรั่งออกพร้อมกัน

 

ส่วนดอกไม้ที่บานสะพรั่งในเนื้อเรื่อง ความจริงคือดอกท้อ 

 

Sign in Buddha’s palm 162 รีบเชิญพี่สามมา

 

ฮองเฮาล้มป่วย

 

ข่าวนี้ไปถึงพระกรรณของจักรพรรดิถังหลี่เชิงอย่างรวดเร็ว

 

จักรพรรดิถังรีบวางภารกิจทุกอย่างที่ตนรับผิดชอบและตรงดิ่งไปยังพระราชวังคุนหนิงอย่างกระวนกระวายใจ

 

“หยุนเหนียง หยุนเหนียง เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง?” จักรพรรดิถังถามไถ่ด้วยความกังวลขณะเดินไปยังพระแท่นบรรทม

 

อาการของซูเยว่หยุนฟื้นตัวขึ้นเล็กน้อยในตอนนี้ แต่ก็ยังไม่ได้เป็นปกติ นางแทบจะไม่สามารถพูดคุยได้มากนัก “ฝ่าบาท ตัวข้านั้นไม่ได้เป็นอะไร”

 

“ไม่ได้เป็นอะไร?”

 

“สภาพแบบนี้เนี่ยนะ บอกว่าไม่เป็นอะไร?”

 

จักรพรรดิถังพยายามระงับความโกรธที่ก่อตัวขึ้นในใจ แล้วหันไปหาหมอหลวงที่อยู่ข้างๆ “เกิดอะไรขึ้นกันแน่?”

 

“เกิดอะไรขึ้นกับหยุนเหนียง?”

 

เมื่อได้ฟังน้ำเสียงของจักรพรรดิถัง หมอหลวงที่อยู่ด้านข้างก็สั่นเทาแล้วรีบพูดขึ้นว่า “ฝ่าบาท พระวรกายของฮองเฮา พระวรกายของฮองเฮา…”

 

หมอหลวงพูดซ้ำคําเดิมอยู่นาน พูดแล้วหยุดอยู่อย่างนั้น แต่เขาก็ไม่รู้จะพูดอย่างไร

 

เมื่อจักรพรรดิถังได้ยินเช่นนั้นภายในใจของเขาก็หนาวเหน็บ ถ้าซูเยว่หยุนแค่ไม่สบายเฉยๆ หมอหลวงคงไม่มีท่าทีเช่นนี้แน่นอน เฉพาะมีเรื่องยุ่งยากเกิดขึ้นแล้วเท่านั้น หมอหลวงถึงมีอาการลังเลเช่นนี้

 

“พูดไป”

 

“ข้าฟังอยู่”

 

จักรพรรดิถังสูดลมหายใจเข้าลึก พยายามสงบใจลง

 

“ฝ่าบาท มีสิ่งแปลกปลอมภายในร่างของฮองเฮา เป็นสิ่งแปลกปลอมอันนี้ที่กลืนกินพลังชีวิตและลมปราณของฮองเฮาไปอย่างต่อเนื่อง ทําให้ฮองเฮามีอาการอย่างที่เห็น…”

 

หมอหลวงกัดฟันพูดออกมา

 

“นั่นไม่ใช่สิ่งที่ข้าอยากได้ยิน”

 

จักรพรรดิมองดูหมอหลวงด้วยสายตาที่เย็นชา

 

“ทูลฝ่าบาท” หมอหลวงกล่าวออกอย่างระมัดระวัง “ถ้าพระองค์ต้องการให้ฮองเฮาหายดีก็ต้องกําจัดสิ่งแปลกปลอมนี้ออกจากร่างกายให้สมบูรณ์ เพียงแต่สิ่งแปลกปลอมนี้เกิดขึ้นภายในร่างกายไม่ต่างไปจากเลือดเนื้อของฮองเฮาเองเลย”

 

เมื่อหมอหลวงกล่าวคําทั้งหมดออกมาเขาก็หยุดไปครู่หนึ่ง แต่ทั้งตัวยังคงสั่นอยู่ก่อนจะพูดต่อไปว่า “ข้าน้อยนึกไม่ออกจริงๆ ว่าจะกําจัดสิ่งแปลกปลอมอันนี้ออกไปได้อย่างไร”

 

หลังจากที่พูดจบหมอหลวงก็คุกเข่าลงกับพื้นเสียงดังตับ “ข้าน้อยสมควรตายเป็นหมื่นๆ ครั้ง ข้าน้อยสมควรตายเป็นหมื่นๆ ครั้ง”

 

“เจ้าสมควรตาย”

 

จักรพรรดิถังทิ้งประโยคนี้ไว้แล้วหันกลับมาดูซูเยว่หยุน “หยุนเหนียง เจ้าจะไม่เป็นไร มีหมอหลวงในราชสํานักอีกมากมาย ถ้าใครล้มเหลวก็แค่ต้องเปลี่ยนคน ถ้ายังไม่ได้ผลข้าจะไล่พวกเขาออกไปแล้วประกาศไปทั่วทั้งดินแดน ตราบที่มีใครสามารถรักษาเจ้าได้ ไม่ว่าจะเป็นเงินนับพันตําลึงทอง หรืออยากจะได้หญิงงามไปครอบครองข้าก็จะให้พวกเขาได้เลือกสรร”

 

จักรพรรดิถังยังคงปลอบโยนซูเยว่หยุน

 

“ฝ่าบาท”

 

“ท่านไม่ต้องกล่าวอะไรอีกแล้ว”

 

ซูเยว่หยุนส่ายหัวแล้วกระซิบแผ่วเบา “เป็นเพราะร่างกายของข้าเอง หมอหลวงคนนั้นไม่ได้ผิดอันใดหรอก”

 

ซูเยว่หยุนพยายามไม่ให้ตัวเองร้องไห้ออกมา

 

เพราะนางรู้ว่าเมื่อนางร้องไห้ออกมา เกรงว่าจักรพรรดิถัง คงจะทําให้เรื่องมันใหญ่โตขึ้นไปอีกเป็นแน่

 

“ไม่ได้ผิดอะไร?”

 

จักรพรรดิถังจับไปที่ข้อมือของซูเยวหยุน “ข้าใช้เงินจํานวนมากในการดูแลพวกเขาอยู่ทุกปี ถ้ามันยังมีอะไรผิดปกติเกิดขึ้นกับเจ้าหยุนเหนียง ทําไมข้ายังต้องเลี้ยงพวกเขาไว้ให้เสียข้าวสุก”

 

เสียงของจักรพรรดิแหบแห้ง แต่ทุกถ้อยคําดังชัดเข้าไปในหูของผู้คนโดยรอบ

 

เมื่อหมอหลวงที่คุกเข่าอยู่ได้ยินคําพูดเหล่านั้น ร่างกายก็สั่นเทิ้ม เขารู้สึกว่าหากจักรพรรดิถังต้องการจริงๆ หมอหลวงทั้งหมดคงถูกไล่ออก

 

“ฝ่าบาท”

 

“ฝ่าบาท พระนางไม่ใช่ว่าไม่มีทางรักษาเสียที่เดียว พระนางยังมีโอกาสรอดชีวิตอยู่” หมอหลวงรีบตะโกนออกมาในทันที

 

“โอ้?”

 

เมื่อได้ยินดังนั้น จักรพรรดิถังก็เหลือบไปมองหมอหลวง “คิดให้ดีๆ นะ ถ้าเจ้ากล้าพูดเรื่องไร้สาระต่อหน้าข้า ไม่ใช่แค่เจ้าเท่านั้นที่จะตาย…”

 

คําพูดขององค์จักรพรรดิถังทําให้หนังศีรษะของหมอหลวงชาวาบ

 

หมอหลวงทราบดีว่าจักรพรรดิถังหมายถึงสิ่งใด

 

ความผิดฐานหลอกลวงจักรพรรดิ มีโทษไปเก้าชั่วโคตร

 

หากคําตอบของเขาไม่เป็นที่พอพระทัยของจักรพรรดิถัง ก็จินตนาการได้เลยว่าเรื่องนี้จะจบลงอย่างไร

 

“ฝ่าบาท”

 

“ข้าน้อยไม่ได้พูดเรื่องไร้สาระ ข้าน้อยจะกล้าพูดเรื่องไร้สาระได้อย่างไร” ฟันของหมอหลวงสันกระทบกัน

 

“ร่างกายของพระนาง หมอหลวงภายในวังหลวงรักษาไม่ได้…” หมอหลวงกลืนน้ำลายแล้วพูดออกมาเสียงดัง “แต่ถึงหมอหลวงรักษาไม่ได้ แต่พระมาตุลาแห่งอาณาจักรรักษา”

 

“ครั้งล่าสุดที่พระมาตุลาได้ไปถวายการรักษาแก่ฝ่าบาท ทักษะทางการแพทย์ของเขาเหนือกว่าหมอหลวงอย่างข้าน้อยมาก ข้าคิดว่าพระมาตุลาแห่งอาณาจักรจะต้องมีหนทาง ”

 

เท่านั้น เสียงของหมอหลวงก็เงียบลง

 

จักรพรรดิถังตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นความสุขก็ฉายชัดบนใบหน้าของเขา

 

“ใช่แล้ว”

 

“ข้าลืมไปจริงๆ ว่ายังมีพี่สามอยู่!”

 

จักรพรรดิถังบ่นกับตนเองด้วยดวงตาที่สดใส

 

ทั้งตอนธาตุหยินเข้าสู่ร่างกายซูเยว่หยุน และตอนที่ตัวพระองค์เองล้มป่วยเพราะความโกรธเกรี้ยว ทั้งหมดก็ได้รับการรักษาจากซูฉิน

 

ภายในวังหลวง หากจะมีใครที่มีโอกาสรักษาซูเยว่หยุนได้มากที่สุด ก็คงจะมีเพียงแต่ซูฉิน

 

ยิ่งจักรพรรดิถังคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้มากเท่าไหร่ ความหวังก็ผุดขึ้นในหัวใจมากเท่านั้น

 

“พวกเจ้ายังจะรออะไรกันอยู่ ทําไมไม่รีบไปตําหนักชุนฝังขวาแล้วเชิญพี่สามมา?” จักรพรรดิถังกวาดตามองขันที่สองสามคนที่อยู่ใกล้ๆ แล้วกล่าวอย่างเคร่งขรึม

 

ตัวเขาต้องการจะไปหาซูฉินด้วยตนเอง แต่ซูเยว่หยุนร่างกายอ่อนแอมากในตอนนี้ และจักรพรรดิทนไม่ไหวถ้าต้องจากนางไป

 

“ขอรับ”

 

เมื่อได้ยินดังนั้น ขันที่หนุ่มก็รีบมุ่งไปที่ตําหนักขุนฝั่งขวาทันที

 

ในเวลาเดียวกัน

 

ที่พระราชวังใต้ผืนดินอันสูงตระหง่าน

 

ซูฉินค่อยๆ ลืมตาขึ้น มีรอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขา

 

“ในที่สุดก็ฟื้นฟูเสร็จสิ้น”

 

ซูฉินถอนหายใจออกมาเล็กน้อย

 

เพื่อที่จะแบ่งแยกร่างจําแลงจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ เขาแบ่งจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ออกไปเกือบครึ่งหนึ่ง และหากเป็นตํานานยุทธคนอื่นๆ เกรงว่านี่คงเป็นการสูญเสียครั้งใหญ่ยิ่ง แม้จะฟื้นฟูตัวเองขึ้นมาได้ แต่คงต้องใช้เวลาเป็นร้อยหรืออาจมากถึงสองร้อยปี

 

รู้หรือไม่ว่าการสูญเสียพลังศักดิ์สิทธิ์ไม่เหมือนกับการที่ร่างกายบาดเจ็บ

 

หากสูญเสียจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ไปหนึ่งในสิบส่วนจะต้อง ใช้เวลาหนึ่งเดือนในการฟื้นฟู แต่ถ้าสูญเสียไปสองส่วน อาจจะต้องใช้เวลาถึงครึ่งปีในการฟื้นฟู

 

หากสูญเสียสามส่วนหรือสี่ส่วน อาจต้องใช้เวลาฟื้นฟูหลายสิบปี

 

และเมื่อสูญเสียจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์เกินกว่าครึ่ง ไม่ว่าจะเป็นใคร จะเป็นอรหันต์หรือตํานานยุทธก็คงจะหมดสติไปและไม่รู้ว่าจะตื่นขึ้นได้เมื่อใด

 

ครานี้ซูฉินจํากัดจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์เอาไว้ที่ห้าส่วน ควบคู่ไปกับการใช้โอสถจํานวนมาก เขาสามารถฟื้นตัวขึ้นได้อย่างรวดเร็ว

 

เมื่อซูฉินกําลังจะพิจารณาว่าจะบ่มเพาะต่อดีหรือไม่

 

“เอ๋?”

 

“มีใครบางคนกําลังบุกเข้าไปภายในตําหนักขุนฝั่งขวา?”

 

ซูฉินเลิกคิ้วแล้วมองขึ้นไปยังทิศทางของพระราชวังตะวันออก

 

ด้านนอกตําหนักชุนฝั่งขวา

 

ขันที่ชั้นผู้น้อยที่มาจากพระราชวังคุนหนิงดูกังวลมาก และหลังจากตะโกนเรียกอยู่สองสามครั้ง แต่พระมาตุลาแห่งอาณาจักรไม่ตอบ เขาจึงกลั้นใจบุกเข้าไปภายใน

 

แม้ว่าอาจจะถูกซูฉินดุในภายหลัง แต่ในเวลานี้ฮองเฮาซูเยว่หยุนกําลังตกอยู่ในภาวะวิกฤติ เขาไม่สามารถทนต่อไป

 

“เจ้ากําลังมองหาข้า?”

 

ในขณะนั้นเอง เสียงของซูฉินก็ดังขึ้นมาจากด้านหลังของวันที่

 

“พระมาตุลา?”

 

ขันทีคนนั้นดีใจมาก หันกลับมาแล้วโค้งคํานับอย่างสุดหัวใจ “พระนางป่วยหนักอยู่ในขณะนี้ ฝ่าบาทได้ให้ข้ามาเชิญพระมาตุลาไป”

 

“พระนาง?”

 

สีหน้าของซูฉินเปลี่ยนไปเล็กน้อย

 

ตั้งแต่จักรพรรดิถังเสด็จขึ้นครองราชย์มากว่าสิบปีก็ไม่เคยรับนางสนมคนใดเข้ามาเลย

 

ในวังหลวงทั้งหมดก็มีเพียงซูเยวหยุนเท่านั้นที่สามารถจะเรียกว่าพระนางได้

 

“ป่วยหนัก”

 

ใบหน้าของซูฉินเคร่งขรึม จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของเขาครอบคลุมทั่วทั้งพระราชวังในชั่วพริบตา

 

หลังจากนั้นไม่นาน

 

ซูฉินก็ถอนจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ออก ปรากฏสีหน้าแปลกๆ ขึ้นบนใบหน้าเขา

 

Sign in Buddha’s palm 161 ใจทะเยอทะยานของราชครูแห่งอาณาจักรเหมิงหยวน

 

ซูฉันคิดอยู่นานแต่ก็นึกไม่ออกว่าจะมีที่ใดบนโลกบ้างที่จะคุ้มค่ากับการจับจ้องของโลกถ้ําปิศาจใต้พิภพ

 

สิ่งมีชีวิต?

 

เลือดเนื้อ?

 

สิ่งเหล่านี้อาจจะน่าพึงปรารถนาอย่างมากสําหรับปีศาจชั้นต่ํา แต่ในสายตาของตัวตนระดับราชาปีศาจหรือแม้แต่ตัวตนที่อยู่เหนือกว่าราชาปีศาจ สิ่งพวกนี้นั้นไม่นับเป็นอะไรได้เลย

 

ซูฉินตระหนักรู้ถึง “คัมภีร์มารเก่าวิถี” เป็นธรรมดาที่จะเข้าใจชัดเจนว่าสิ่งที่เรียกว่าปีศาจนั้นก็เป็นสิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่งเช่นกัน และก็มีวิธีฝึกตนคล้ายกันกับมนุษย์ เพียงแต่สถานการณ์ที่เป็นอยู่นั้นต่างกัน

 

และเมื่อยามที่ถ้ําปิศาจใต้พิภพได้หลอมรวมเข้ากับโลก เห็นได้ชัดว่าอาจจะเป็นฝีมือของปีศาจที่ทรงพลังบางตน หรือจะกล่าวอีกอย่างว่าแม้แต่ปีศาจที่ทรงพลังภายในโลกถ้ําปีศาจก็ยังหมายตาโลกเอาไว้

 

“ช่างมันเถอะ”

 

“ไม่ต้องไปคิดถึงมันแล้ว”

 

“สิ่งที่สําคัญที่สุดตอนนี้คือการเปลี่ยนแก่นแท้แห่งพลังให้กลายเป็นพลังมาร”

ซูฉินนั่งลงตั้งสมาธิแล้วมองไปรอบๆ

 

ในขณะที่แก่นแท้แห่งพลังของขอบเขตอรหันต์ยังคงหมุนเวียนอยู่ภายในร่างของซูฉิน ตอนแรกเขาก็ไม่ได้รู้สึกอะไรมากนัก แต่หลังจากผ่านไประยะหนึ่งเขาก็รู้สึกตัวถึงพลังกดขี่ข่มเหงที่โลกใบนี้มีต่อตัวเขา

 

พลังกดขี่นี้ไม่เชิงว่าเป็นการกดขี่ แต่เป็นการปฏิเสธตัวตนชนิดหนึ่ง ราวกับว่าโลกถ้ําปิศาจใต้พิภพนั้นปฏิเสธสิ่งมีชีวิตอื่นที่ไม่ได้เกิดมาในเส้นทางแห่งปีศาจ

 

“ฮึ่ม!”

 

“หากเป็นอรหันต์รูปอื่น หรือแม้แต่ยอดอรหันต์ เซียนเทพปฐพี เมื่อเผชิญกับพลังกดขี่และปฏิเสธตัวตนของเราเช่นนี้ พวกเขาคงทําได้แต่ปวดหัวหรืออาจจะถอยกลับออกไป”

 

“เพราะที่แห่งนี้ไม่ใช่ถิ่นกําเนิดของพวกเขา ถ้าอาศัยอยู่เป็นเวลานานความแข็งแกร่งจะลดลงเป็นอย่างมาก หากได้พบปีศาจที่อยู่ในระดับเดียวกันก็เป็นไปได้ว่าจะต้องตกตาย หายไปตลอดกาล”

 

“แต่ข้านั้นแตกต่าง”

 

ซูฉินมองขึ้นไปบนท้องฟ้า และรูปปั้นพระพุทธรูปขนาดใหญ่ก็ปรากฏขึ้นในดวงตาของเขา

 

“ร่างทองมารพุทธะ!!”

 

ตึงตึง!!!

 

ทันใดนั้นพระพุทธรูปขนาดใหญ่ภายในดวงตาของซูฉินก็เปลี่ยนแปลงไปอย่างกะทันหัน ฝั่งซ้ายเปลี่ยนเป็นสีดํามืด ปราณปีศาจพุ่งพรวดขึ้นมา และด้านขวายังคงเป็นสีทองเจิดจ้าเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังที่ดูเมตตา

 

สิ่งนี้คือสิ่งที่ซูฉินได้รับมาจาก “มารพุทธะ” ที่เขตหวงห้ามด้านหลังวัดเส้าหลิน

 

ร่างทองมารพุทธะเป็นวิชาพื้นฐานของ มารพุทธะ” จากวัดเส้าหลินเมื่อเก้าร้อยปีที่แล้ว ซึ่งสามารถเปลี่ยนแปลง พลังได้ระหว่างพลังสายพุทธและปราณปีศาจได้ตามต้องการ

 

หวิ่ง!!!

 

ซูฉินยังคงโคจรพลังของร่างทองมารพุทธะต่อไป หลังจากนั้นครู่เดียวก็จะเห็นได้ว่าพระพุทธรูปสีทองภายในส่วนลึกของดวงตาค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีดําสนิท ปลดปล่อยปราณปีศาจอันน่าสะพรึงกลัวกระจายออกในทุกทิศทาง

 

ห่างจากซูฉินไปหลายสิบ

 

มีกลุ่มปีศาจจากเมืองเมฆาปีศาจเบิกตากว้างมองไปยังทิศ ทางหนึ่งด้วยความตกใจสุดขีด

 

“กลิ่นอายเช่นนี้ หรือว่าจะมีราชาปีศาจกำลังเดินทามาที่เมืองเมฆาปีศาจขอเรา…” หนึ่งในเผ่าปีศาจพึมพำอยู่กับตัวเอง ใบหน้าแสดงให้เห็นถึงความรู้สึกสยดสยอง

 

“ราชาปีศาจ!”

 

“อย่างน้อยก็เป็นราชาปีศาจระดับสูง!!”

 

ปีศาจที่มีอายุมากกว่าคนแรกนั้นเหมือนคลื่นลมก่อตัวขึ้นภายในใจของมัน

 

เจ้าเมืองเมฆาปีศาจก็เป็นราชาปีศาจเช่นกัน ครอบครองดินแดนในรัศมีหลายพันลี้ ผู้ใดต่อต้านจักต้องตาย ทรงพลานุภาพไร้ขีดจํากัด

 

แต่ในสายตาของปีศาจสูงอายุผู้นี้ แม้แต่เจ้าเมืองเมฆาปีศาจเมื่อนําไปเทียบกับกลิ่นอายที่อยู่ไกลออกไปนี้ก็ยังด้อยก

 

รู้หรือไม่ว่าเจ้าเมืองเมฆาปีศาจได้ก้าวเข้าสู่ขอบเขตราชาปีศาจมาหลายร้อยปีแล้ว และได้ฝึกฝนอยู่ในระดับนี้ไปจนถึงขั้นลึกล้ําแล้ว จะยกเว้นก็แต่เพียงขอบเขตราชาปีศาจระดับสูงที่มีอยู่แต่ในข่าวลือเท่านั้น กลุ่มปีศาจผู้อาวุโสเหล่านี้ ก็คิดถึงตัวตนอื่นไปไม่ได้เลยว่าใครจะสามารถสะกดกลิ่นอายของเจ้าเมืองเมฆาปีศาจได้

 

“เกรงว่าเมืองเมฆาปีศาจอาจจะไม่สงบอีกต่อไปแล้ว”

 

ปีศาจเฒ่าเหลือบมองดูปีศาจตนอื่นๆ แล้วพูดด้วยเสียงต่ํา “ข้าจะจากไปในครานี้ และจะไม่กลับมาที่นี่อีกในช่วงร้อย

 

“ใช่ๆ”

 

ปีศาจตนอื่นๆ ต่างมองหน้ากันและกัน แทบระงับความตกใจภายในหัวใจไว้ไม่อยู่ ต่างรีบตอบรับพร้อมเพรียงกัน

 

เหมิงหยวน

 

ท่ามกลางทุ่งหญ้าเขียวขจีอันกว้างไกลสุดลูกหูลูกตา

 

“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า!”

 

“การไหลของพลังฉี ในที่สุดข้าก็จับการเคลื่อนไหวของพลังฉีได้แล้ว!!”

 

เห็นเป็นชายร่างสูงแหงนมองขึ้นบนท้องฟ้า และคํารามก้องปล่อยรัศมีอันน่าสะพรึงที่สั่นสะเทือนไปทุกหย่อมหญ้า

 

ผู้คนที่อยู่บริเวณใกล้เคียง เมื่อเห็นฉากนี้ก็รีบคุกเข่าลงกับพื้นทันที “ขอแสดงความยินดีกับท่านราชครูที่ก้าวผ่านขั้นตอนสุดท้ายไปได้ พลังของท่านช่างอัศจรรย์ ทรงพลัง แข็งแกร่งอย่างยิ่ง!”

 

“ขั้นตอนสุดท้าย?”

 

ราชครูแห่งอาณาจักรเหมิงหยวนหันไปมองคนสองสามคนตรงนั้นแล้วส่ายหัว ก่อนจะพูดว่า “ยังหรอก ตอนนี้ข้าเพียงรวมพลังทั้งสามให้เป็นหนึ่งได้ อาจจะใช้เวลาเป็นปีหรืออาจจะแค่ไม่กี่เดือน ข้าถึงจะเข้าสู่ขั้นตอนนั้นได้จริงๆ”

 

น้ําเสียงของราชครูเหมิ่งหยวนแสดงถึงความสุขอันเปี่ยมล้น

 

เป็นเวลากว่าร้อยปีแล้วที่เขาฝึกวิทยายุทธและเฝ้ารอวันนี้ มาโดยตลอด บัดนี้ ความปรารถนาของเขาเป็นจริงแล้ว เขาจะไม่มีความสุขได้อย่างไร?

 

คนไม่กี่คนที่อยู่บริเวณนั้นต่างมองหน้ากัน ท่าทีของพวกเขาก็แสดงออกว่าตื่นเต้นยินดีมากเช่นกัน

 

หลังจากเวลาผ่านมานานนับปี ในที่สุดก็มีตํานานยุทธกําเนิดขึ้นบนทุ่งหญ้าเขียวขจีสุดลูกหูลูกตาแห่งนี้เสียที

 

ในเวลานั้น สีหน้าของราชครูแห่งอาณาจักรเหมิงหยวนก็ค่อยๆสงบลง เขามองไปที่คนโดยรอบและพูดว่า “ไปบอกองค์จักรพรรดิว่าหลังจากนี้อีกสองปี ข้าจะไปทําความรู้จักตํานานยุทธภายในเมืองฉางอันเป็นการส่วนตัวเสียหน่อย!!”

 

หากจักรพรรดิแห่งอาณาจักรเหมิ่งหยวนต้องการจะครอบครองโลกใบนี้ อุปสรรคขัดขวางใหญ่ที่เป็นต้นเหตุให้ก้าวผ่านไปไม่ได้ก็คือตํานานยุทธแห่งเมืองฉางอัน มีแต่จะต้องเผชิญหน้าเท่านั้น

 

และตอนนี้ราชครูแห่งอาณาจักรเหมิ่งหยวนก็แทบจะรอไม่ไหวแล้ว

 

แม้ว่าราชครูแห่งอาณาจักรเหมิงหยวนจะไม่ทราบความกล้ําของตํานานยุทธภายในเมืองฉางอัน แต่เนื่องจากคู่ต่อสู้ไม่ได้ออกไปจากทวีปนี้ ความแข็งแกร่งของเขาก็ควรจะอยู่เพียงระดับนภาชั้นที่หนึ่งไม่ก็นภาชั้นที่สอง

 

ราชครูอาณาจักรเหมิ่งหยวนมีพลังชีวิตเลือดเนื้ออันแข็งแกร่งและฝึกฝนวิชาที่เน้นการฆ่าฟัน อีกเหตุผลคือเขามีหน้าที่ต้องรับผิดชอบชะตากรรมของอาณาจักรเหมิงหยวนทั้งหมด แม้ว่าเขาจะพ่ายแพ้ต่อตํานานยุทธผู้นั้นก็ตาม ตัวเขาก็คงไม่มีปัญหาใดๆในการถอยหนีกลับมา

 

ในช่วงเวลาเดียวกัน

 

วังถัง พระราชวังคุนหนิง

 

ฮองเฮาซูเยว่หยุนกําลังจบซุปโสม ใบหน้าซีดเซียว

 

ช่วงนี้ซูเยว่หยุนรู้สึกไม่ค่อยสบายอยู่เสมอ นางได้ขอให้หมอหลวงมาตรวจดูอาการหลายครั้ง แต่ก็ยังไม่พบสาเหตุ

 

ซุเยว่หยุนก็ได้แต่คาดเดาว่าเป็นเพราะฤดูหนาวปีนี้อากาศหนาวเย็นเกินไปหรือไม่

 

“หน้าหนาวมาอีกแล้ว…”

 

ซูเยว่หยุนมองออกไปนอกหน้าต่าง ในขณะนี้หิมะกําลังตกอย่างแผ่วเบาอยู่ด้านนอก จึงได้เอ่ยปากพูดขึ้น

 

“พระนาง นี่คือซุปโอสถของหมอหลวง ว่ากันว่าทําให้เลือดไหลเวียนดี ร่างกายอบอุ่นขึ้น มันจะต้องทําให้ฮองเฮารู้สึกสบายตัวขึ้นเป็นแน่”

 

ในขณะนี้เอง นางกํานัลก็เดินประคองถ้วยซุปถ้วยหนึ่งมาให้ซูเยว่หยุนอย่างระมัดระวัง

 

“จริงๆ ข้าก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร”

 

ซูเยว่หยุนส่ายศีรษะแล้วพูดว่า “ไม่ต้องรบกวนหมอหลวงให้มากนักหรอก…”

 

ในความเป็นจริง ไม่รู้ว่าซูเยว่หยุนต้มยานี้ดื่มไปมากมายแค่ไหนแล้วในช่วงนี้ แต่มันไม่มีผลต่อร่างกายเลย ยังคงรู้สึกอึดอัดไม่สบายเนื้อสบายตัวเหมือนเคย

 

“พระนาง ร่างกายของพระองค์นั้นสําคัญที่สุด…” นางกํานัลอดไม่ได้ที่จะพูดออกมา

 

แม้ว่าซูเยว่หยุนจะเป็นฮองเฮา แต่พระนางก็ใจดีต่อคนรับใช้อย่างพวกนาง ดังนั้นนางกํานัลและขันที่ภายในพระราชวังคุนหนิงจึงหวังให้อาการของซูเยว่หยุนดีขึ้นโดยเร็วที่สุด

 

เมื่อซูเยว่หยุนเห็นดังนั้นก็ยากที่จะปฏิเสธ

 

ซูเยว่หยุนหยิบซุปโอสถขึ้นมา กําลังจะดื่มมันเข้าไป

 

อย่างไรก็ตาม

 

ในตอนนั้นเอง

 

ใบหน้าของซูเยว่หยุนก็ซีดเผือดราวกับกระดาษ มือที่กําลังถือถ้วยซุปสั้นอยู่ตลอดเวลา

 

“ข้า

 

ซูเยว่หยุนต้องการที่จะกล่าวคํา แต่นางรู้สึกเหมือนคอของตนถูกบีบเอาไว้และไม่สามารถพูดอะไรออกมาได้

 

เพล้ง

 

ชามซุปสมุนไพรที่ซุเยว่หยุนถืออยู่ก็พลันตกลงบนพื้นแตกเป็นเสียงๆ

 

เมื่อเห็นฉากนี้ นางกํานัลก็ตกใจ ใบหน้าซีดขาวด้วยความกลัว นางตื่นตระหนกและรีบตะโกนขอความช่วยเหลือทันที “ไม่ดีแล้วพระนางประชวรหนักแล้ว”

 

Sign in Buddha’s palm 160 เข้าสู่ระบบ! คัมภีร์มารเก้าวิถี!

 

เมืองฉางอัน

 

พระราชวังอันสูงตระหง่านใต้ผืนดิน

 

ซูฉินนั่งขัดสมาธิอยู่ด้านข้างบ่อน้ําปิศาจ

 

“น่าเสียดาย

 

“แม้จะเป็นจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของข้าเองที่สามารถแบ่งแยกออกเป็นร่างจําแลงถึงจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ได้มากแต่จะอย่างไรก็ก่อให้เกิดผลกระทบกลับมาบ้างถึงแม้จะเล กน้อยก็ตาม”

 

ชูฉันคิดอยู่เงียบๆ ภายในใจ

 

มีความแตกต่างระหว่างการแบ่งแยกเป็นร่างจําแลงจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์กับการแยกจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์แบบธรรมดาอยู่อย่างจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ที่ซูฉินทิ้งเอาไว้ที่ตระกูล ซูเป็นเพียงจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ธรรมดาเมื่อเวลาผ่านไปมันก็จะเสื่อมสภาพลงและเมื่อซูฉินตกตายไปทุกสิ่งก็จะค่อยๆสลายหายไปจนหมดสิ้นในที่สุด

 

แต่การแบ่งแยกร่างจําแลงถึงจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์นั้นต่างกัน

 

พูดอย่างจริงจัง ร่างจําแลงถึงจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์นั้นเป็น ตัวตนอิสระซูฉินกับร่างจําแลงจะมีสตินึกคิดเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันเสมือนเป็นบุคคลเดียวกัน ทว่าหากซูฉินบังเอิญเสียชีวิตไปด้วยเหตุอะไรบางอย่างร่างจําแลงถึงจิตสัมผัสศักดิ์ สิทธิ์จะยังคงอยู่

 

พูดง่ายๆ คือการแบ่งแยกร่างจําแลงถึงจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์นั้นเทียบเท่ากับชีวิตที่สองของซูฉิน

 

ความจริงแล้วแม้ว่าตัวเขาจะไม่ได้ค้นพบโลกถ้ําปิศาจใต้ พิภพแห่งนี้ซูฉินก็เตรียมจะสร้างร่างจําแลงถึงจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของตนอยู่แล้วในช่วงเร็วๆ นี้

 

“เมื่อร่างจําแลงเข้าสู่โลกถ้ําปิศาจใต้พิภพ ต่อให้เจอศัตรูที่ทรงพลังเจอปีศาจที่แข็งแกร่งไร้เทียมทานก็ไม่ได้อันตรายสําหรับตัวข้านักอย่างมากหากร่างจําแลงตายไปก็ใช้เวลาไม่นานนักในการกู้คืนให้กลับมาเหมือนใหม่”

 

รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของซูฉิน

 

นี่คือเหตุผลที่ซูฉินเลือกโลกถ้ําปิศาจใต้พิภพแทนที่จะเป็นต่างดินแดน

 

ถ้าซูฉินปล่อยให้ร่างจําแลงของตนไปดินแดนโพ้นทะเลหากถูกศัตรูตามล่ามีความเป็นไปได้มากว่าตัวเขาจะชักนําฝ่ายตรงข้ามให้มายังทวีปนี้

 

แต่สําหรับถ้ําปิศาจใต้พิภพ

 

ถึงแม้ว่าจะเป็นปีศาจในขอบเขตเซียนเทพปฐพีก็เป็นไปไม่ได้ที่จะข้ามผ่านบ่อน้ําปีศาจมาทําอันตรายต่อร่างจริงของซูฉินได้

 

ดังนั้นสถานการณ์ภาพรวมของซูฉินจึงปลอดภัยยิ่ง

 

“ไม่รู้ว่าโลกถ้ําปิศาจใต้พิภพจะทําให้ข้าประหลาดใจได้บ้างไหมนะ?” ใบหน้าของซูฉินแสดงออกถึงความคาดหวัง

 

“ใช่แล้ว”

 

“บ่อน้ําปิศาจนี้มีมานานกว่าหมื่นปีแล้ว และแม้แต่เมืองฉางอันก็ไม่สามารถเทียบกับมันได้ อย่างนี้ก็เป็นไปได้ที่จะลงชื่อเข้าใช้

 

ซูฉินกวาดตามองไปหยุดอยู่ที่บ่อน้ําที่อยู่ถัดออกไป 

 

เหตุผลที่เมืองฉางอันเป็นเมืองหลวงโบราณของสิบราชวงศ์ก็เพื่อให้สะดวกแก่การสกัดพลังโชคชะตาแห่งมังกรมาใช้ ผนึกบ่อน้ําปิศาจ

 

ดังนั้นบ่อน้ําปิศาจก็ปรากฏขึ้นมาก่อนเมืองฉางอันเสียอีก

 

เมื่อคิดได้ดังนี้ ซูฉินก็เดินไปที่บ่อน้ําแล้วพูดอยู่ภายในใจเงียบๆ ว่า “ระบบ ลงชื่อเข้าใช้”

 

[ขอแสดงความยินดี โฮสต์ลงชื่อเข้าใช้สําเร็จได้รับ “คัมภีร์มารเก่าวิถี

 

“คัมภีร์มารเก่าวิถี?”

 

ใบหน้าของซูฉินไม่ได้ดูแปลกใจเลยสักนิด

 

บ่อน้ําปีศาจนี้เชื่อมต่อกับโลกถ้ําปิศาจใต้พิภพเมื่อลงชื่อเข้าใช้ที่นี่แปดในสิบส่วนอย่างไรก็ต้องได้สิ่งที่เกี่ยวข้องกับโลกถ้ําปีศาจ

 

ช่วงเวลาต่อมา

 

ซูฉินก็รับรู้ถึงข้อมูลเบื้องลึกเกี่ยวกับ “คัมภีร์มารเก่าวิถี

 

คลื่นตัวอักษรเกี่ยวกับพลังมารวาบผ่านเข้ามาในจิตที่ละตัวสองตัว

 

“นี่?”

 

ม่านตาของซูฉินหดแคบลง

 

ตอนแรกซูฉันคิดว่า คัมภีร์มารเก่าวิถี” ควรจะเป็นวิถีมารล้วนๆ แต่ตอนนี้เขาเข้าใจแล้วว่าได้ดูถูกวิชานี้เกินไป

 

แม้ว่าแก่นของ “คัมภีร์มารเก่าวิถี” จะยังเป็นวิถีทางแห่งมาร แต่ก็ไม่ได้เกินจริงแต่ประการใดหากจะบอกว่าวิชานี้ โอบรับแนวคิดอื่นๆเข้ามาด้วย

 

ใช้วิถีมารเป็นพื้นฐาน วิเคราะห์โลกหล้าได้นับหมื่นวิถี

 

นี่แหละคือ “คัมภีร์มารเก่าวิถี

 

“คัมภีร์มารเก่าวิถี” หาใช่เคล็ดวิชาศักดิ์สิทธิ์ใดไม่ ไม่มีท่วงท่าให้ฝึกฝนโดยจําเพาะเจาะจง แต่กลับนําเสนอสิ่งที่วิถีมารไม่สามารถอธิบายได้

 

“มีวิถีทางหลายพันสาย และเส้นทางแต่ละเส้นก็นําไปสู่เป้าหมายเดียวกัน”

 

หลังจากที่ซูฉินตระหนักรู้ถึง “คัมภีร์มารเก่าวิถี” เขาก็ค่อยๆ ลืมตาขึ้น ถอนหายใจออกเบาๆ

 

ไม่ว่าจะเป็นเทพหรือมารร้าย เป็นเซียนหรือปีศาจ เมื่อฝึกฝนถึงขีดสุด มีเพียงแค่ลักษณะพลังที่แสดงออกมาเท่านั้นที่ แตกต่างแต่สาระสําคัญยังคงเหมือนกัน

 

ซูฉินไม่ได้คาดหวังว่าระดับของ “คัมภีร์มารเก่าวิถี” จะสูงมากเช่นนี้ มันให้ความรู้สึกเหมือนแยกตัวออกจากทุกสิ่ง

 

“ในบรรดาเคล็ดวิชาศักดิ์สิทธิ์ของข้าจํานวนนับไม่ถ้วนเห็นที่จะมีเพียงฝ่ามือยไลเท่านั้นที่เหนือกว่าสิ่งนี้”

 

ซูฉินแลดูประหลาดใจ

 

ต้องทราบว่าฝ่ามือยูไลนั้นกล่าวกันว่าได้รับการถ่ายทอดมาจากองค์ยูไลตามตํานานมีความเกี่ยวข้องกับองค์ยูไลแต่อะไรคือการที่คัมภีร์มารเก่าวิถีนั้นเกือบจะเทียบ เคียงได้กับความสูงส่งของฝ่ามือยไลเช่นนี้

 

“ไม่เลว”

 

“ครั้งนี้ได้กําไรจริงๆ เสียแล้ว”

 

ซูฉินพยักหน้าเล็กน้อย พึงพอใจอย่างยิ่ง

 

เป็นระยะเวลานานแล้วที่เข้าใช้เวลาว่างไปกับการทําความเข้าใจฝ่ามือยไล ตัวเขาก็รู้สึกเบื่อหน่ายอยู่เล็กน้อย แต่ตอนนี้ก็มีคัมภีร์มารเก่าวิถีที่มาช่วย “เปลี่ยนรสชาติ” ได้บ้าง

 

ไม่ว่าจะเป็นฝ่ามือยูไลหรือคัมภีร์มารเก่าวิถี มันมีหลักการอันยิ่งใหญ่ซ่อนอยู่ภายในนั้น ไม่ใช่เรื่องง่ายดายเช่นวิถีมารวิถีพุทธเสียเมื่อไร

 

ยืนหยัดในวิถีพุทธ มองให้เห็นในวิถีมาร เข้าใจวิถีทางอื่นๆภายในโลกหล้า

 

ซูฉินสัมผัสได้ว่าแต่ละสิ่งสามารถเข้าใจหนทางความเป็นไปแห่งโลกได้ เพียงแต่มองในมุมที่แตกต่างกัน

 

“ตอนนี้ยังไม่ต้องรีบร้อน”

 

“ข้าได้แบ่งแยกจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ไปเกือบครึ่งหนึ่งแล้ว ตอนนี้ต้องพักฟื้นเสียก่อน”

 

ซูฉินเพียงแค่คิด ทันใดนั้นก็มีเม็ดยาจํานวนมหาศาลปรากฏขึ้นมาตรงหน้าของเขาที่ละอันสองอัน

 

สําหรับตํานานยุทธคนอื่นๆ การฟื้นฟูจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์สามารถพึ่งการฟื้นฟูด้วยตนเองอย่างช้าๆ

 

ส่วนโอสถสิ่งของภายนอกนั้น

 

โอสถที่ใช้ฟื้นฟูจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์มีค่าเพียงใดแม้จะเป็นตํานานยุทธก็ตาม แต่ก็ต้องเก็บเอาไว้ใช้งานอย่างหวงแหน รอจนกว่าจะถึงคราววิกฤตจึงจะนําออกมาใช้งาน 

 

“ในช่วงนี้ ข้าจะพักอยู่ที่นี่ไปก่อน”

 

ชูฉันมองดูเม็ดยาที่อยู่เบื้องหน้าตน แล้วคิดอยู่ภายในใจ

 

พระราชวังอันใหญ่โตหลังนี้ตั้งอยู่ใต้ผืนดินกว่า สามกิโลเมตรเว้นแต่ชุฉินจะใช้พลังจนพื้นทะลุ ไม่ว่าจะเคลี่อนไหวมากเพียงใดก็จะไม่ส่งผลกระทบใดต่อโลกภายนอกช่างเป็นสถานที่พักฟื้นอันสมบูรณ์แบบ

 

ในเวลาเดียวกัน

 

ที่โลกถ้ําปิศาจใต้พิภพ

 

ซูฉินมองขึ้นไปบนท้องฟ้าสีเทา

 

“นี่คือโลกของถ้ําปิศาจ?”

 

จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของซูฉินค่อยๆ แผ่เป็นรัศมีออกไปครอบคลุมระยะทางกว่าสิบลี

 

“ปราณปีศาจหนาแน่นอะไรเช่นนี้

 

ซูฉินพึมพําอยู่กับตนเอง

 

ในโลกถ้ําปิศาจใต้พิภพ ปราณปีศาจนั้นก็เทียบเท่ากับพลังฟ้าดินในโลกเบื้องบน

 

“ไม่น่าแปลกใจที่ในโลกของถ้ําปีศาจ แม้แต่ปีศาจในขอบเขตสามระดับกลางก็ยังอยู่ระดับชนชั้นล่าง…” ซูฉินสายศีรษะ “สิ่งมีชีวิตที่อยู่ในสภาพแวดล้อมเช่นนี้ แม้แต่หมูก็ยังกลายเป็นผู้ฝึกยุทธได้เมื่อผ่านเวลายาวนานสักระยะหนึ่ง….”

 

สภาพแวดล้อมที่อุดมไปด้วยพลังฉีฟ้าดินนั้นสําคัญมากถึงแม้จะมีเหล่ายอดอัจฉริยะที่สามารถทะลวงขั้นได้ในสภาพ แวดล้อมที่ย่ําแย่แต่บุคคลเหล่านั้นก็มีอยู่จํานวนน้อยเสียเหลือเกิน

 

หรือแทบจะไม่มีเลย

 

สิ่งมีชีวิตส่วนใหญ่จําเป็นต้องพึ่งสภาพแวดล้อมอันอุดมไปด้วยพลังฉีฟ้าดินเพื่อที่จะเติบโตขึ้นได้อย่างแข็งแกร่ง

 

บางที่สภาพแวดล้อมของพลังฟ้าดินอาจจะไม่สามารถกําหนดขอบเขตสูงสุดที่จะไปถึงได้ แต่สามารถกําหนดขีดจํากัดขั้นต่ําให้กับสิ่งมีชีวิตบนโลกได้

 

“ในเมื่อโลกปีศาจมีสิ่งแวดล้อมที่จําเป็นสําหรับบ่มเพาะที่อุดมสมบูรณ์เช่นนี้ ทําไมถึงยังหมายตาโลกของเราอีก?” ซูฉันขมวดคิ้วราวกับกําลังคิดอะไรบางอย่าง

 

เดิมที่เขาคิดว่าสภาพแวดล้อมของถ้ําปีศาจคงจะแย่มากถึงทําให้เผ่าปีศาจจํานวนมากหนีออกจากที่นี่

 

แต่ยามนี้ดูเหมือนข้อสันนิษฐานดังกล่าวจะไม่เป็นความจ

 

ตัวอย่างเช่น ผู้คนที่อาศัยอยู่ภายในเมืองหลวงเช่นฉางอันก็คงไม่คิดที่จะเดินทางไปยังดินแดนที่ห่างไกลหากที่นั่นไม่ได้มีสิ่งดึงดูดใจพวกเขา

 

“ดูเหมือนโลกที่ข้าอาศัยอยู่จะมีความลับมากมายที่ข้ายังไม่รู้…”

 

ซูฉินแตะปลายคาง แววตาดูครุ่นคิด

 

Sign in Buddha’s palm 159 โลกของถ้ําปีศาจ

 

“เกือบจะเหมือนเผ่าพันธุ์มนุษย์แทบทั้งหมด”

 

ซูฉินมองไปยังปีศาจทั้งสองตนที่ถูกตนกดดันจนหมดสติไปทันทีที่ออกมา และพินิจอยู่ในใจ

 

ปีศาจสองตนนี้สูงประมาณสองเมตร มีเกล็ดประปรายที่บริเวณแก้ม ส่วนจุดอื่นๆ ก็เหมือนกับมนุษย์

 

“ข้าคิดว่ามันจะเป็นตัวอะไรแปลกๆ เสียอีก”

 

ซูฉินพยักหน้าเล็กน้อย คอนข้างพอใจ

 

ถ้าเขาต้องการไปลงชื่อเข้าใช้ภายในถ้ําปีศาจล่ะก็เขาก็ต้องปลอมตัวเป็นเผ่าพันธุ์ปีศาจอย่างแน่นอน

 

หากปีศาจแตกต่างจากมนุษย์มากเกินไป ซูฉันคงได้แต่ปวดหัวแต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าจะไม่มีปัญหาอะไรในเรื่องนี้

 

เมื่อคิดได้ดังนั้น ซูฉินก็มองดูปีศาจสองตนที่สลบอยู่ “ตื่น

 

ได้แล้ว”

 

หวิ่ง!!!

 

เปลือกตาของปีศาจทั้งสองตนขยับเปิดออกทั้งคู่ค่อยๆรู้สึกตัวขึ้นมา

 

“ที่นี่?”

 

ปีศาจทั้งสองตนลืมตาขึ้นก็เริ่มตื่นตระหนก

 

สิ่งที่พวกมันจําได้มีเพียงฝ่ามือที่ฝ่าอากาศมาถึงพวกมันและหลังจากนั้นก็ไม่รู้เรื่องอีกว่าเกิดอะไรขึ้นต่อไป

 

บัดนี้เมื่อฟื้นขึ้นมาอีกครั้ง ก็ตระหนักได้ว่าสถานการณ์อาจจะไม่ได้ดีอย่างที่พวกมันคิด

 

“ข้าถาม เจ้าตอบ” ซูฉินมองดูปีศาจทั้งสองตนแล้วจึงเปิดปากพูดออกมา

 

ซูฉินลองเรียนรู้ภาษาของเผ่าพันธุ์ปีศาจมาอย่างคร่าวๆแล้วจากแผ่นหินด้านนอก หลังจากซึมซับอยู่สักพักแม้ว่าตัว เขาจะไม่ได้เชี่ยวชาญนักแต่ก็ไม่ได้มีปัญหาด้านการสื่อสาร กับเผ่าปีศาจเท่าไหร่

 

“ขอรับ”

 

“ท่านผู้ยิ่งใหญ่”

 

ปีศาจทั้งสองตนมองหน้ากัน รู้สึกขื่นขมภายในใจ

 

จนถึงตอนนี้แล้ว พวกมันจะไม่รู้สถานการณ์ของตนเองได้อย่างไร?

 

หลังจากนั้นไม่นาน

 

ซูฉินก็ได้รู้ในทุกสิ่งที่อยากจะรู้ ดังนั้นเขาจึงยกฝ่ามือขึ้นตรงหน้าสายตาอันสิ้นหวัง

 

ของปีศาจทั้งสองตน พวกมัน ค่อยๆ กลายเป็นฝุ่นผงธุลีไป

 

“ปรากฏว่าโลกถ้ําปิศาจที่เชื่อมต่อด้วยบ่อน้ําไปจรดกับสถานที่แห่งหนึ่งที่เรียกว่า เมืองเมฆาปีศาจ งั้นรึ?”

 

ซูฉันค่อยๆ ปล่อยความคิดของตนให้ล่องลอยขบคิดอยู่ในใจ

 

“พลังของปีศาจสองตนนี้เรียกได้ว่าต่ําตม ไม่ถึงขอบเขตสามระดับบนด้วยซ้ํา พวกมันเป็นแค่ชนชั้นล่างของโลกถ้ําปีศาจนั่นเป็นเหตุให้พวกมันจําต้องคอยเฝ้าผนึกเอาไว้ ไม่ยอมจากไปไหน เพราะคิดว่าหากวันใดที่ผนึกคลายออกพวกมันจะได้ถือโอกาสเข้าสู่โลก…”

 

“และตามที่พวกมันบอก เจ้าเมืองเมฆาปีศาจคือผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในละแวกนี้ อยู่ในระดับราชาปีศาจ”

 

“แล้วราชาปีศาจนี่มันเทียบได้กับอรหันต์หรือตํานานยุทธหรือเปล่านะ?”

 

ความคิดของซูฉินเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว

 

ทั้งหมดเป็นข้อมูลที่ซูฉินได้มาจากเผ่าปิศาจทั้งสองตนสําหรับข้อมูลอื่นๆ เช่น ตัวตนที่อยู่เหนือระดับราชาปีศาจ หรือเมืองอื่นๆที่นอกเหนือจากเมืองเมฆาปีศาจนั้น

 

ปีศาจสองตนนี้ไม่รู้เสียด้วยซ้ํา

 

“แต่อย่างน้อยข้าก็ยืนยันได้หนึ่งเรื่อง ยังไม่ต้องไปคิดถึงว่าโลกถ้ําปีศาจคงอยู่มานานแค่ไหน เพียงแค่เมืองเมฆาปีศาจเพียงแห่งเดียวก็สืบทอดมรดกมากว่าหมื่นปีแล้ว ถ้าดูจากพื้นหลังอย่างเดียวก็แทบจะไม่ได้อ่อนแอไปกว่าพระราชวังถังเลย…”

 

จิตวิญญาณของซูฉินสั่นไหว

 

“ดูเหมือนว่าข้าจะต้องไปเยือนถ้ําปิศาจใต้พิภพเสียแล้ว”

 

ซูฉินนั่งขัดสมาธิ จิตของเขาเกิดการเคลื่อนไหวจิตสัมผัส ศักดิ์สิทธิ์ในร่างก็เริ่มแยกตัวออกมา

 

สิ่งนี้ไม่ได้เหมือนกับการปลดปล่อยจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ออกมา แต่ซูฉินทําการแบ่งจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ออกมาเกือบครึ่งหนึ่ง

 

หากเป็นตํานานยุทธและแม้แต่อรหันต์คนอื่นๆ ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะทําเช่นนี้จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์มีความสําคัญมากไม่ต้องพูดถึงการแบ่งแยกออกมาครึ่งหนึ่งแม้แต่การตัดแบ่งหนึ่งในสิบส่วนก็ทําให้ตํานานยุทธอ่อนแรงเสียความแข็งแกร่งไปมากโขแล้ว

 

แต่ซูฉินแตกต่างออกไป ตอนที่เขาอยู่ในพื้นที่หวงห้ามภู เขาด้านหลังวัดเส้าหลินซูฉินได้ลงชื่อเข้าใช้และได้รับ “วิชาของมารพุทธะ” ซึ่งก็คือจิตมารแยกวิถี สามารถใช้แบ่งแยกจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของตนเองได้อย่างน่าอัศจรรย์

 

มารพุทธะถูกกักขังไว้ในผนึกตราประทับกว่าเก้าร้อย ปีด้วยความสิ้นหวัง แต่มันก็ยังแบ่งจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของตนให้เล็ดลอดออกจากผนึกได้ทุกๆ หนึ่งร้อยปี เพื่อใช้ สะกดจิตของศิษย์วัดเส้าหลินผู้ใดได้รู้ก็คงนึกภาพความน่า กลัวของวิชาลับนี้ได้ไม่ยาก

 

สิ่งที่ซูฉินกําลังใช้อยู่ในขณะนี้หาใช่จิตมารแยกวิถีไม่ แต่ เป็นวิชาลับใหม่ที่ได้รับการปรับปรุงเพิ่มเติมโดยมีพื้นฐานมาจากวิชาลับดังกล่าว สามารถแยกตัวออกมาเป็นกิ่งจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ได้

 

ถึงจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์อันนี้เป็นอิสระอย่างสิ้นเชิงเทียบเท่ากับเป็นอีกร่างที่เกิดขึ้นใหม่จากซูฉิน และไม่มีข้ อจํากัดด้านเวลาเหมือนของมารพุทธะ

 

หลังจากนั้นไม่กี่ชั่วโมง

 

ตรงหน้าซูฉินมีซูฉินอีกคนที่เหมือนต้นแบบทุกประการ 

 

กลิ่นอายเหมือนกัน รูปลักษณ์เหมือนกัน เหมือนยันกระทั่งแก่นแท้แห่งพลังและจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ที่รั่วไหลออกมา

 

ถ้าหากมาสังเกตดีๆ ก็จะพบว่าร่างของซูฉินอีกคนหนี้งนั้นดูคล้ายภาพลวงตาอย่างมาก ดูราวกับไร้ตัวตน

 

“ดีแล้วล่ะ”

 

“ในที่สุดก็แบ่งแยกสําเร็จ…”

 

ใบหน้าของซูฉินซีดลง แววตาแห่งความสุขปรากฏขึ้น

 

แม้สําหรับตัวเขาเอง ก็นับเป็นการสูญเสียครั้งใหญ่ที่ทําการแบ่งตัวเองออกเป็นร่างกึ่งจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์เช่นนี้ ถ้าไม่ใช่เพราะโอสถศักดิ์สิทธิ์นับพันภายในระบบที่สามารถนํา มาฟื้นฟูพลังศักดิ์สิทธิ์ได้ซูฉันคงไม่กล้าทําเช่นนี้

 

“ขั้นตอนต่อไปสําคัญมาก”

 

ท่าทีของซูฉินดูเคร่งเครียดอย่างยิ่ง และใช้มือขวาตัดชิ้นเนื้อพร้อมกับเลือดออกมาจากร่างกายโดยตรง

 

แต่ร่างกายของซูฉินน่าหวาดกลัวแค่ไหนกัน? ทันทีที่ชิ้นเนื้อถูกตัดออก บาดแผลก็เริ่มฟื้นตัว เลือดที่ดูใสราวกับ อัญมณีก็ไหลต่อตามเดิมภายในเวลาไม่นาน

 

หลังจากนั้น

 

ซูฉินมองดูชิ้นเนื้อและเลือดซึ่งถูกตัดออกมาโดยตนเอง

 

“จงไป!”

 

ซูสิ้นคิดอยู่ภายในใจ

 

ทันใดนั้นเลือดและชิ้นเนื้อก็ลอยไปตรงหน้าของร่างจําแลงถึงจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ตรงหน้า

 

“นี่คือขั้นตอนที่สําคัญที่สุด”

 

ซูฉินมองไปยังหยดเลือดและชิ้นเนื้อ

 

“ทิพยอํานาจ! กายเนื้อกําเนิดใหม่!”

 

ซูฉินเริ่มใช้จิตควบคุม

 

ชิ้นเนื้อและหยดเลือดที่อยู่ด้านหน้าของร่างกึ่งจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ก็เริ่มสั่นไหว เซลล์จากบริเวณขอบของเลือดเนื้อค่อยๆแผ่กระจายออกโดยรอบ

 

ทิพยอํานาจกายเนื้อกําเนิดใหม่คือพลังที่ซูฉินได้รับมาจากจัตุรัสหยกขาวภายในวังหลวงและยังเป็นที่พยอํานาจที่ซูฉินได้มาเป็นอันดับที่สองนอกเหนือจากดวงตาแห่งสัจจะ 

 

ทิพยอํานาจอันนี้สามารถฟื้นฟูร่างกายได้ในระดับดีเยี่ยมเรียกว่าเป็นร่างกายกึ่งอมตะเลยก็ว่าได้

 

อย่างไรก็ตามซูฉินยังไม่แน่ใจนักว่ากายเนื้อกําเนิดใหม่จะสามารถงอกออกมาเป็นร่างกายที่สมบูรณ์ได้หรือไม่

 

เพราะข้อกําหนดเบื้องต้นสําหรับการใช้กายเนื้อกําเนิดใหม่ คือร่างกายส่วนสําคัญจะต้องไม่ได้รับความเสียหาย

 

แม้จะกล่าวได้ว่าซูฉินในตอนนี้ยังไม่ได้รับบาดเจ็บใดๆแต่เขาก็ไม่รู้ว่าจะสามารถสร้างร่างกายขึ้นมาใหม่ด้วยชิ้นเนื้อ และหยดเลือดได้หรือไม่

 

เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้า

 

ในครั้งนี้ซูฉินต้องรอคอยนานกว่าตอนที่แบ่งแยกจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์เสียอีก

หลังจากผ่านไปหนึ่งวันเต็ม

 

ซูฉินอีกคนก็ปรากฏกายขึ้นต่อหน้า ด้วยร่างกายที่เหมือนกับเขาทุกกระเบียดนิ้ว

และในตอนนี้

 

ถึงจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ถัดจากกายเนื้อก็ค่อยๆลุกขึ้นแล้วหลอมรวมเข้ากับกายเนื้ออันนี้

 

หลังจากนั้นไม่นาน

 

ร่างดังกล่าวก็ค่อยๆ ลืมตาขึ้น

 

“เสร็จสิ้นแล้ว”

 

ซูฉินรู้สึกแปลกประหลาดมากในยามนี้

 

กายเนื้อทั้งคู่มีจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ที่เป็นอิสระแต่พวกเขามีสติรู้ตัวร่วมกัน

 

มันราวกับมีดวงตาเพิ่มมาอีกคู่หนึ่ง

 

“ข้าคงจะเป็นร่างจําแลงจากทิพยอํานาจ…”

 

ซูฉินกระซิบกระซาบกับตนเอง

 

ในความเป็นจริง ซูฉินก็ไม่รู้หรอกว่านี่คือร่างจําแลงหรือไม่ เพราะการควบคุมร่างกายทั้งสองร่างก็เหมือนการควบ คุมแขนซ้ายกับแขนขวาไม่ได้มีอันไหนยากในการควบ คุมมากกว่าอีกร่างอย่างชัดเจนนัก

 

บางที่ซูฉินอาจจะจําแนกไม่ได้ด้วยซ้ําว่าร่างไหนคือร่างจ ริงร่างไหนคือร่างจําแลง

 

“ไปเถอะ”

 

“ไปยังโลกถ้ําปิศาจใต้พิภพแทนข้าหน่อย”

 

ซูฉินที่กําลังคิดเรื่องนี้อยู่ ก็เห็นซูฉินที่อยู่ฝั่งตรงข้ามยิ้มขึ้นเล็กน้อยแล้วหันหลังเดินไปยังบ่อน้ําปิศาจที่อยู่ไม่ไกล

 

พลังของโชคชะตาแห่งราชวงศ์หลงที่ผนึกปากบ่อเอาไว้มีความผันผวนเล็กน้อย เริ่มก่อตัวเป็นทางออกขนาดสูงเท่าตัว คนหนึ่งคนจะเข้าไปได้และซูฉินก็ก้าวเดินไปตามทางออกนั้น เข้าสู่โลกของถ้ําปิศาจใต้พิภพ

 

 

Sign in Buddha’s palm 158 นภาชั้นที่หก

 

“อย่างน้อยก็หนึ่งแสนปี?”

 

“ด้วยการสะสมอย่างยาวนานเพียงนี้ จะมี ‘เต๋สะสม’ อยู่มากเพียงไรกันนะ?”

 

หัวใจของซูฉินเต้นถี่

 

ก่อนหน้านี้เขายังกังวลว่าความเร็วในการบ่มเพาะจะช้าลงหรือไม่หลังจากก้าวเข้าสู่นภาชั้นที่เจ็ด และคิดว่าจะออกเดินทางหาจุดลงชื่อเข้าใช้ที่อื่นดีหรือไม่

 

แต่ตอนนี้ การปรากฏขึ้นของโลกถ้ําปิศาจใต้ดินทําให้ซูฉินเบิกบานใจเหมือนกับเจอที่พักพิง

 

“สําหรับคนอื่นๆ ถ้ําปิศาจใต้ดินคละคลุ้งไปด้วยไอปราณปีศาจ ไม่เหมาะสมต่อการดํารงชีวิตของตํานานยุทธและเหล่าอรหันต์ผู้น่าเลื่อมใส…”

 

ความคิดของซูฉินผันแปรไปมา

 

นี่เป็นเหตุผลว่าทําไมจอมยุทธที่แอบเข้าไปในโลกถ้ําปิศาจใต้พิภพจึงหนีกลับออกมา

 

นอกเหนือจากตระหนักถึงพลังอันน่าหวาดหวันของโลก ถ้ําปิศาจใต้ดินนี่แล้ว พวกเขายังตระหนักดีว่าการที่จะดํารงชีวิตอยู่ภายในนั้นช่างเป็นเรื่องที่ยากเย็น

 

แม้ว่าตํานานยุทธจะไปถึงระดับที่กินลมห่มฟ้าแล้วก็ตามแต่ก็ต้องอยู่ในกรณีที่มีพลังฉีฟ้าดินให้ดูดซับอย่างเพียงพอ

 

แต่มันกลับไม่มีพลังฉีฟ้าดินภายในโลกของถ้ําปิศาจใต้พิภพ

 

“แต่ข้านั้นแตกต่าง…”

 

“ตั้งแต่เมื่อยามที่ข้าอาศัยอยู่ที่วัดเส้าหลิน ข้าได้ลงชื่อเข้าใช้และได้รับ ‘ร่างทองมารพุทธะ’ มา ส่วนที่น่ากลัวที่สุดของ ‘ร่างทองมารพุทธะ’ ก็คือ มันสามารถแปรเปลี่ยนพลังมารปราณปีศาจให้กลายเป็นแก่นแท้แห่งพลังได้ด้วยตัวเองโดยไม่เกิดความเสียหายใดๆ”

 

ดวงตาของซูฉินสว่างวาบ

 

ด้วย ‘ร่างทองมารพุทธะ’ สําหรับซูฉินแล้วโลกภายในถ้ําปีศาจใต้พิภพก็ไม่ต่างจากโลกภายนอกเท่าไหร่นัก

 

ตราบใดที่ซูฉินตั้งใจจะทํา เขาสามารถเปลี่ยนแก่นแท้แห่งพลังของตนให้กลายเป็นปราณปีศาจอย่างสมบูรณ์ ปลอมตัวเป็นเหล่าปีศาจที่อยู่ในขอบเขตตํานานยุทธได้อย่างง่ายดาย 

 

“ไม่เลวไม่เลว แต่อย่าเพิ่งรีบร้อนไป รอให้ข้าทะลวงถึงระดับนภาชั้นที่หกเสียก่อน”

 

ซูฉินมองลึกเข้าไปภายในพระราชวังสูงตระหง่าน ก่อนจะหันหลังเดินจากไป

 

วังหลวง

 

ภายในตําหนักขุนฝั่งขวา

 

ซูฉินกําลังนั่งขัดสมาธิ

 

“ข้าจะเริ่มทะลวงขั้นในอีกไม่ช้า…”

 

แก่นแท้แห่งพลังโคจรไปทั่วร่างกายดั่งที่ใจซูฉันคิด

 

ซูฉินเหยียดมือขวาออกไป ทันใดนั้นขวดน้ําเต้าหยกอันประณีตขวดหนึ่งก็ปรากฏขึ้นต่อหน้าเขา

 

ซูฉินดึงฝาจุกออกแล้วเทหยดน้ําจิตวิญญาณธรรมชาติ จากในน้ําเต้าเข้าไปในปาก

 

อีกอึก

 

หากปล่อยให้ตํานานยุทธคนอื่นๆ มาเห็น ‘การเท’ หยดน้ําจิตวิญญาณธรรมชาติอันล้ําค่าของซูฉินในตอนนี้ ดวงตาของพวกเขาคงเปลี่ยนเป็นสีแดงฉานด้วยความอิจฉา 

 

หยดน้ําจิตวิญญาณธรรมชาติเกิดจากการควบแน่นของพลังฟ้าดิน พวกมันหายากมาก ตํานานยุทธทั่วๆ ไปกว่าจะเจอสักสองสามหยดก็ต้องใช้เวลาเป็นสิบเป็นร้อยปี

 

แต่เมื่อเป็นซูฉิน เขากลับกระดกขวดดื่มหน้าตาเฉย

 

หวึ่ง!!!

 

เมื่อหยดน้ําจิตวิญญาณธรรมชาติจํานวนมากไหลเข้าสู่ร่างกายก็เกิดเสียงดังขึ้น แก่นแท้แห่งพลังจํานวนมากหลอมรวมเข้าหากัน ราวกับว่าเกิดการเปลี่ยนแปลงบางอย่าง

 

แต่ซูฉินยังคงไม่พอใจ หยิบน้ําเต้าหยกขึ้นมาอีกครั้งแล้วเทหยดน้ําจิตวิญญาณธรรมชาติเข้าปากจนหมด

 

ตึงตึงตึง

 

หยดน้ําจิตวิญญาณธรรมชาติกลายเป็นพลังฟ้าดินอันไร้ที่สิ้นสุดเติมเต็มทุกส่วนในร่างกายของซูฉิน

 

ฟู!

 

ฟู!

 

ไม่กี่วินาทีต่อมา ก็มีการโคจรตามพระสูตรอมิตาภาบรรพกาลช่วยดูดซับหยดน้ําจิตวิญญาณธรรมชาติอย่างต่อเนื่อง แปรสภาพพวกมันกลายเป็นแก่นแท้แห่งพลังที่บริสุทธิ์อย่างยิ่งและค่อยๆ แตกออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยแล้วไหลต่อไปตามเส้นลมปราณ

 

หลังจากนั้นไม่กี่ชั่วโมง

 

ร่างกายของซูฉินเริ่มเปล่งประกาย ส่องสว่างไปทั่ว ส่งผลให้ซูฉินดูราวกับเทพเซียน ไม่สามารถจ้องดูตรงๆได้

 

“ยังไม่พอ!”

 

ซูฉินขมวดคิ้วเล็กน้อยและสะบัดมืออีกครั้ง

 

ทันใดนั้นผลไม้สีแดงนับสิบผลก็ลอยเข้าไปในปากของซู ฉิน

 

ซูม!!!

 

ราวกับภูเขาถล่มแผ่นดินไหว

 

มวลพลังอันมหาศาลที่มาจากผลไม้สีแดงหลายสิบผลเพียงพอที่จะระเบิดร่างของตํานานยุทธธรรมดาๆ ออกได้ในทันที แต่ขณะนี้ซูฉินยังคงสงบนิ่งและดูดซับไอพลังของผลไม้สีแดงอย่างต่อเนื่อง

 

ในชั่วพริบตา ปราณในร่างกายของซูฉินก็พุ่งสูงขึ้นราวกับคลื่นน้ําลูกใหญ่โถมซัดทุกสรรพสิ่ง

 

“นี่คือนภาชั้นที่หกงั้นรึ?”

 

ซูฉันค่อยๆ ลืมตาขึ้นมา มองไปที่ฝ่ามือขณะที่พึมพําอยู่กับตนเอง

 

ในขณะนี้ซูฉันรู้สึกว่าร่างกายเต็มไปด้วยพลังทําลายล้างระดับที่ถล่มโลกได้

 

แน่นอนว่าซูฉันรู้ว่านั่นเป็นเพียงภาพลวงตา ไม่ใช่แค่นภาชั้นที่หกหรอก แม้แต่อรหันต์ระดับนภาชั้นที่เก้าก็ไม่สามารถถล่มโลกได้

 

แม้จะถล่มโลกไม่ได้ แต่ก็มากพอที่จะทําลายเมืองฉางอันทั้งเมืองจนราบคาบ

 

“นภาชั้นที่หกนั้นทรงพลังมาก แล้วจุดสูงสุดของนภาชั้นที่เจ็ดมันควรจะมีลักษณะเช่นไรกันนะ? แล้วเขตแดนเซียนเทพปฐพี่จะเป็นตัวตนแบบไหนกัน?”

 

ชูฉันรู้สึกถึง

 

อย่างไรก็ตามแม้ซุฉินจะรู้สึกประทับใจแต่ตัวเขาก็ไม่ลืมว่า จะต้องทําอะไรต่อ

 

“ข้าจะไปที่โลกถ้ําปิศาจใต้พิภพ”

 

เพียงแค่คิด ร่างของซูฉินก็มาปรากฏตัวอีกครั้งที่หน้าประตูของพระราชวังอันยิ่งใหญ่ใต้ผืนดิน

 

ต่อมาซูฉินก็ค่อยๆ เดินมาที่บ่อน้ําปีศาจอย่างสบายๆ 

 

ไม่นานนัก

 

ซูฉินก็ยืนอยู่เบื้องหน้าบ่อน้ําปีศาจ

 

บนพื้นผิวของบ่อน้ําปิศาจมีกระแสพลังสีทองจางๆ ปรากฏขึ้น ผนึกปากบ่อเอาไว้อย่างแน่นหนา

 

ในตอนนี้ที่ซูฉินเห็นกระแสพลังสีทอง เขาก็ตระหนักได้ว่ามันควรจะเป็นพลังโชคชะตาแห่งราชวงศ์หลง

 

หากปราศจากพลังอํานาจของราชวงศ์หลง เกรงว่าที่แห่งนี้คงจะถูกเหล่าปีศาจยึดครองไปเสียนานแล้ว และซูฉินก็จะไม่ได้รู้เรื่องราวทั้งหมดทั้งมวลนี้เลย

 

“ข้ารู้สึกได้ว่าพลังโชคชะตาแห่งราชวงศ์หลง ไม่ได้ผลักไสข้า หากข้าต้องการ ข้าสามารถผ่านผนึกโชคชะตาแห่งราชวงศ์หลงไปได้อย่างง่ายดาย?”

 

ซูฉินลูบไปที่ปลายคาง

 

“มันเป็นเช่นนี้เพราะปราณชีวิตมังกรแท้จริงงั้นหรือ?”

 

ซูฉินคาดเดาอยู่ภายในใจ แต่เขาก็มั่นใจสมมติฐานนี้เกินครึ่ง

 

ในช่วงไม่กี่ปีมานี้เข้าได้ลงชื่อเข้าใช้ภายในวังหลวงไปก็มากมาย แต่ไม่ค่อยได้นําของพวกนั้นมาฝึกเท่าไหร่ ทั้งหมดทั้งมวลก็คงมีแต่ปราณชีวิตมังกรแท้จริงเท่านั้นที่ เกี่ยวข้องกับโชคชะตาแห่งราชวงศ์หลง

 

“และข้ายังแอบรู้สึกได้รางๆ ว่ามีสิ่งมีชีวิตอยู่ใกล้ๆ บ่อน้ํานี้อีกด้วย?”

 

“มีปีศาจเฝ้าอยู่อีกฝั่งงั้นหรือ?”

 

ดวงตาของซูฉินฉายแววครุ่นคิด

 

ถึงแม้จะรู้ว่ามีปีศาจอยู่อีกฝั่งของบ่อน้ํา ซูฉินก็ไม่ได้มีความเกรงกลัวใดๆ ด้วยความแข็งแกร่งของตัวเขาในปัจจุบัน แม้ว่าจะเป็นโลกถ้ําปิศาจใต้พิภพ เขาก็นับว่าเป็นผู้ แข็งแกร่งอย่างแน่นอน และซูฉินก็สัมผัสกลิ่นอายของเผ่าปีศาจที่อยู่อีกด้านได้ว่าไม่มีขอบเขตสามระดับบน ส่วนมากจะเป็นสามระดับกลางเท่านั้น

 

“ลองปล่อยให้มันเข้ามาดูก่อนแล้วกัน”

 

ความคิดของซูฉินผันผวน จากนั้นจึงตัดสินใจ

 

หลังจากนั้น

 

ซูฉินยกมือขวาขึ้นและค่อยๆ สัมผัสไปยังโชคชะตามังกรแห่งราชวงศ์หลงที่ผนึกอยู่บนบ่อน้ํา

 

ทันใดนั้นก็เกิดช่องโหว่ขึ้นที่ผนึกโชคชะตาของราชวงศ์หลง ที่ร่ายผนึกเอาไว้อย่างดี

 

ฟาว!

 

พลังปราณปีศาจอันน่าสะพรึงกลัวพุ่งออกมาอย่างรุนแรง

 

ในเวลาเดียวกัน

 

เสียงหัวเราะก็ดังออกมาจากส่วนลึกของบ่อน้ําปีศาจ

 

“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า!”

 

“ผนึกคลายออกแล้ว เจ้าโลกที่แสนน่าอร่อย พวกเราเหล่าปีศาจกําลังไปหาแล้ว!!”

 

เงาปีศาจสองเงาพุ่งออกมาจากโพรงบ่อน้ําในทันทีท่าที่ของพวกมันตื่นเต้นมาก

 

“ข้าได้ยินพวกผู้ใหญ่บางคนพูดกันว่าเลือดเนื้อของคนในโลกนี้ช่วยเสริมพลังปราณของพวกเราอย่างมากเลย ดังนั้น พวกเราต้องได้ลิ้มลองกันในครานี้แหละ”

 

“ใช่ๆ มีเพียงพวกเราเท่านั้นที่รู้เรื่องผนึกนี้ พวกเราสามารถครอบครองทางเข้าออกนี้กันสองคนได้”

 

หลังจากที่เงาปีศาจทั้งสองกระโดดเข้ามา พวกเขาก็พูดคุยกันอย่างคาดหวัง

 

“อะไรเนี่ย?”

 

“ที่นี่ที่ไหน?”

 

ร่างของปีศาจตัวหนึ่งเห็นพระราชวังสูงตระหง่านรอบๆ ก็ตกตะลึงเล็กน้อย

 

“นี่คือ?”

 

ทันใดนั้นปีศาจอีกตนก็เห็นชายคนหนึ่งยืนมองพวก ตนด้วยอาการสงบอยู่ไม่ไกลออกไป

 

“เผ่าพันธุ์มนุษย์?”

 

อย่างไรก็ตาม

 

ก่อนที่ร่างปีศาจทั้งคู่จะได้ทันตอบสนอง พวกมันก็เห็นชายที่มีสีหน้าสงบนิ่งค่อยๆ ยื่นมือขวาออกมา และคว้าจับเบาๆ

 

ตึงตึงตั้ง

 

ร่างปีศาจทั้งสองตนรู้สึกเหมือนฟ้าถล่มดินทลาย และในสายตาของพวกมันฝ่ามือที่คว้าจับออกมาก็ดูค่อยๆ ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ จนบดบังทัศนวิสัยทั้งหมดไป

 

Sign in Buddha’s palm 157 ถ้ําปีศาจใต้เมืองฉางอัน

 

“เมืองฉางอัน?”

 

“มีความลับอยู่งั้นหรือ?”

 

ความคิดของซูฉินเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว

 

“ไม่เลว”

 

จักรพรรดิถังพยักหน้าเล็กน้อยพร้อมกล่าวว่า “แต่ข้าคิดว่ามันน่าจะเป็นแค่ข่าวโคมลอย แม้ว่าเมืองฉางอันจะใหญ่โต แต่จะเก็บซ่อนความลับมาได้กว่าห้าร้อยปีเลยหรือ?”

 

จักรพรรดิถังตีความไปตามนั้น

 

กว่าห้าร้อยปี ด้านนอกเมืองฉางอันถูกต่อเติมบูรณะใหม่มานับครั้งไม่ถ้วน ถ้ามีความลับซ่อนอยู่จริงๆ คงจะถูกเปิดเผยไปนานแล้ว

 

ส่วนเมืองชั้นในหรือภายในวังหลวง แม้จะคงไว้อย่างดี ไม่มีบุบสลายเพราะเป็นที่อาศัยของเชื้อพระวงศ์ แต่ก็ต้องมีการลาดตระเวนอยู่ตลอดเวลาโดยกองทัพ เมื่อเป็นเช่นนี้จึงไม่ได้มีความลับใด

 

“อย่างนั้นสินะ”

 

หลังจากนั้นไม่นาน จักรพรรดิถังก็กลับไปยังโถงชีวิตนิรันดร์

 

หลังจากที่จักรพรรดิถังจากไป ซูฉินก็ค่อยๆลุกขึ้น ก้าวขา และหายตัวไปจากจุดเดิมที่เคยอยู่

 

ในขณะเดียวกัน

 

บนอากาศสูงกว่าพันจั้ง(1) ซูฉินยืนอยู่บนนั้น ก้มลงมองดูทั่วทั้งฉางอัน

 

ไม่ว่าจะเป็นอรหันต์หรือตํานานยุทธ แม้จะอยู่ในระดับนภาชั้นที่หนึ่ง ก็ล้วนสามารถควบคุมอากาศ ขี่ลมเหาะเหินได้อย่างอิสระ

 

และที่ยิ่งไปกว่านั้นคือซูฉินอยู่ในขั้นสมบูรณ์ของนภาชั้นที่ห้า

 

“ความลับของเมืองฉางอัน?”

 

“ข้าอยากจะตรวจสอบดูสักหน่อย ว่าความลับของเมืองฉางอันมันคืออะไรกันแน่?”

 

จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของซูฉินเคลื่อนกระจายออกไปอย่างรวดเร็ว ทันใดนั้นทั่วทั้งเมืองฉางอันก็ถูกครอบคลุมไว้ทั้งหมด

 

ในขณะนี้พฤติกรรมของผู้คนนับล้านภายในฉางอันตกอยู่ ในสายตาของซูฉินทั้งหมดเห็นทุกสิ่งที่เกิดขึ้นนาทีต่อนาที

 

ซูฉินอาศัยอยู่ในวังหลวงมาหลายปี ตัวเขาเองก็สํารวจเมืองฉางอันด้วยจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์เป็นครั้งคราว

 

แต่ที่ตรวจละเอียดขนาดนี้นับเป็นครั้งแรก

 

หวิ่ง!!!

 

ราวกับสายน้ําหลาก จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์อันน่าสะพรึงแผ่ขยายออกไปทุกซอกทุกมุมของเมืองฉางอันอย่างรวดเร็ว

 

“หืม?”

 

“ไม่มี?”

 

ซูฉินขมวดคิ้ว

 

ช่วงเวลาต่อมา

 

จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ก็ควบรวมกลับมาอีกครั้ง และเริ่มแผ่ขยายลงไปใต้ดินอย่างช้าๆ

 

ร้อยเมตร

 

สองร้อยเมตร

 

สามร้อยเมตร

 

ห้าร้อยเมตร

 

หนึ่งพันเมตร

 

ในที่สุดลึกลงไปใต้ผืนดินเมืองฉางอันกว่าสองพันห้าร้อยเมตร จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของซูฉินก็รู้สึกได้ถึงกลิ่นอายที่แปลกประหลาด

 

“นี่คือ?”

 

“ปราณปีศาจ?”

 

ซูฉินหรี่ตาลงเล็กน้อย

 

ลักษณะปราณรูปแบบนี้ซูฉินเคยพบมาก่อนในหลายๆแห่ง เช่น หอคอยสะกดมารของวัดเส้าหลิน และจอมมารที่ตั้งใจจะมาจัดการวัดเส้าหลิน

 

อย่างไรก็ตามซูฉันไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าจะได้พบปราณปีศาจเช่นนี้ด้านใต้ของเมืองหลวงโบราณที่มีมานานกว่าสิบราชวงศ์อย่างเมืองฉางอัน

 

ยิ่งกว่านั้น เมื่อเทียบกับหอคอยสะกดมารและจอมมาร ปราณปีศาจใต้ผืนดินนั้นละเอียดอ่อนกว่า พูดให้ถูกต้องคือแม้ว่าทั้งสองจะเป็นพลังมารเหมือนกัน แต่แตกต่างกันเหลือเกิน

 

มันเทียบได้กับความแตกต่างของแก่นแท้แห่งพลังของอรหันต์และกําลังภายในของขอบเขตวิทยายุทธเก้าระดับชั้น

 

“น่าสนใจ”

 

ชูฉันยังคงสํารวจใต้ดินด้วยจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ต่อไป

 

ในที่สุดหลังจากตรวจสอบลึกลงไปถึงสามกิโลเมตร ซูฉินก็พบพระราชวังอันยิ่งใหญ่ผ่านทางจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์

 

พระราชวังอันสวยงามหลังนี้กินพื้นที่หลายลี้ โอ่อ่ากว้างขวาง และมีหลุมสีดําอยู่ตรงกลาง

 

และปราณปีศาจแผ่ก็ออกมาจากหลุมสีดําหลุมนี้

 

เมื่อเห็นดังนั้น ซูฉินก็หายตัวไปอีกครั้ง

 

หลังจากนั้นไม่นาน

 

เบื้องหน้าพระราชวังสูงตระหง่านที่ตั้งอยู่ใต้ผืนดินลึกสามกิโลเมตร ร่างของซูฉินก็มาปรากฏขึ้นอย่างเงียบๆ

 

“ใต้ดินที่ลึกเช่นนี้ เกรงว่าคงจะเป็นเรื่องยากที่ยอดปรมาจารย์ขั้นสูงสุดจะเข้ามาภายในได้” ซูฉินเหลือบมองไปยังพระราชวังที่สูงตระหง่านตรงหน้า แอบคิดอยู่ภายในใจ

 

“บ่อน้ําสีดํานั่น…”

 

ซูฉินใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่งแล้วเดินไปที่ใจกลางของพระราชวังโดยไม่รีบร้อน

 

เขาได้กวาดผ่านทั้งด้านนอกและด้านในของพระราชวังด้วยจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์เรียบร้อยแล้ว ยกเว้นหลุมสีดําที่อยู่ตรงกลางทุกอย่างก็ดูเป็นปกติดี

 

ซูฉินก็ได้มาถึง

 

แผ่นหินแกะสลักสูงสิบเมตร

 

มีอักขระมากมายถูกจารึกไว้บนแผ่นหินนี้ซึ่งเขียนด้วยอักษรโบราณอายุนับพันปี ค่อนข้างคลุมเครือและเข้าใจได้ยาก แต่นี่ไม่ใช่ปัญหาสําหรับซูฉิน ตั้งแต่อยู่ที่วัดเส้าหลินเขาได้ศึกษาคัมภีร์มาหมดทั้งศาลาพระคัมภีร์แล้ว และแน่นอนว่ารวมถึงเรื่องพัฒนาการของตัวอักษรด้วย

 

“บ่อน้ําปิศาจได้ถือกําเนิดเกิดขึ้น มันได้เชื่อมต่อกับโลกและถ้ําปิศาจใต้ดิน ปีศาจจํานวนนับไม่ถ้วนได้หลั่งไหลพากันเข้ามาภายในโลก…”

 

“โลกตกอยู่ในความสับสนวุ่นวาย โชคยังดีที่บ่อน้ําปิศาจสามารถรองรับปีศาจที่อยู่ในขอบเขตต่ํากว่าตํานานยุทธได้เท่านั้น หลังจากการต่อสู้นองเลือดของบรรพบุรุษจํานวนนับไม่ถ้วน ในที่สุดราชวงศ์หลงก็ได้ปิดผนึกบ่อน้ําปิศาจเอาไว้ ด้วยพลังแห่งโชคชะตาขวางกั้นโลกและมิติถ้ําปิศาจใต้เดินออกจากกัน…”

 

อ่านผ่านถ้อยคําโบราณไปที่ละตัวอักษร ทําให้ซูฉินได้รู้เรื่องราวเหตุและผลที่เกิดขึ้น

 

ตามแผ่นหินจารึก น่าจะเป็นเมื่อหลายพันปีก่อนไม่ก็หลายหมื่นปี ที่จู่ๆปีศาจจํานวนมหาศาลก็ปรากฏตัวขึ้น นําหายนะมาสู่โลก

 

และปีศาจเหล่านี้ก็มาจากบ่อน้ําสีดํานี่เอง

 

อีกด้านของบ่อน้ําปิศาจคือโลกของถ้ําปีศาจใต้ดิน ซึ่งเป็นโลกของปีศาจที่แท้จริง

 

“ดูเหมือนว่าโลกของถ้ําปิศาจใต้ดินแห่งนี้จะมีระดับที่สูงมาก อย่างน้อยกว่าสูงกว่าทวีปนี้มาก”

 

ซูฉินแตะปลายคาง ดวงตาครุ่นคิด

 

ตามที่บันทึกบนแผ่นหิน เมื่อหลายพันหลายหมื่นปีที่แล้ว ยุคนั้นควรจะเป็นยุคที่ศิลปะยุทธมีความเจริญรุ่งเรืองอย่างมาก และมีตํานานยุทธมากกว่าสิบคนที่ยังมีชีวิตอยู่

 

แต่ผลที่ตามมาจากเหตุการณ์บ่อน้ําปีศาจยังคงรุนแรงอย่างมาก

 

รู้หรือไม่ว่าบ่อน้ําปีศาจสามารถรองรับพลังของปีศาจที่อยู่ขอบเขตต่ํากว่าตํานานยุทธเท่านั้น กล่าวคือ เผ่าพันธุ์มนุษย์ในยามนั้นเผชิญหน้ากับกลุ่มปีศาจที่มีความแข็งแกร่งที่สุดอยู่ที่ระดับชั้นที่หนึ่งเท่านั้น

 

และนี่ยังอยู่ในกรณีที่ฝั่งมนุษย์มีตํานานยุทธอย่างน้อยสิบคนคอยคุ้มครอง แต่เผ่าพันธุ์มนุษย์ก็ยังต้องถอยร่นออกไปเรื่อยๆ ด้วยสิ่งนี้ไม่ว่าจะเป็นใครก็คงพอจะจินตนาการโลก ภายในถ้ําปิศาจที่อยู่หลังบ่อน้ําได้ว่ามันโหดร้ายเพียงใด

 

“ไม่น่าแปลกใจเลยที่เมืองหลวงฉางอันเป็นเมืองหลวงโบราณมีมานานกว่าสิบราชวงศ์ มันกลับกลายเป็นเมืองศูนย์กลางที่เหล่ายอดยุทธแห่งราชวงศ์หลงร่วมมือกันอย่างเต็มที่เพื่อผนึกบ่อน้ําปีศาจเอาไว้”

 

ซูฉินคิดอย่างเงียบๆ

 

ในตอนนี้ เขาก็ได้เข้าใจแล้วว่าเหตุใดปฐมจักรพรรดิแห่งราชวงศ์ถังจึงต้องการก่อตั้งอาณาจักร มันไม่มีอะไรมากไปกว่าความกังวลว่าจะสูญเสียพลังโชคชะตาของราชวงศ์หลงที่ใช้ผนึกไป และทําให้ผนึกคลายออกจนปีศาจเรือนหมื่นหลั่งไหลเข้ามาภายในโลกอีกครั้ง

 

“อ่านต่ออีกหน่อยแล้วกัน”

 

ซูฉินกวาดตาอย่างช้าๆไปตามแผ่นหิน

 

นอกเหนือจากเรื่องที่พูดถึงความน่ากลัวของบ่อน้ําปีศาจ แล้วบันทึกบนแผ่นหินยังพูดถึงโลกของถ้ําปีศาจด้านหลังบ่อน้ําปิศาจ

 

เนื่องจากปีศาจในโลกถ้ําปิศาจสามารถขึ้นมาจากบ่อน้ําปีศาจได้ ผู้คนบนโลกก็ย่อมผ่านบ่อน้ําปีศาจเพื่อเข้าสู่โลกของถ้ําปิศาจได้เป็นธรรมดา

 

ในช่วงเวลาที่ต่อต้านการรุกรานของเหล่าปีศาจ ตํานานยุทธจํานวนมากแอบเข้าไปในถ้ําปิศาจใต้ดิน และพวกเขาก็พบว่าโลกเบื้องหลังบ่อน้ําปีศาจนั้นช่างห่างไกลเกินเอื้อมในแง่ของขอบเขตพลังในการต่อสู้

 

และในโลกถ้ําปิศาจก็มีอารยธรรมที่คล้ายคลึงกับเผ่าพันธุ์มนุษย์ มีพื้นที่กว้างใหญ่ไพศาล มีอาณาจักรอันเรืองอํานาจตั้งอยู่

 

ตํานานยุทธทั้งหมดที่เข้าสู่โลกถ้ําปิศาจใต้ดินได้ตั้งข้อสรุปว่า การดํารงอยู่ของโลกถ้ําปิศาจแห่งนี้คงมีมาเป็นแสนปีแล้ว หรืออาจจะนานยิ่งกว่านั้น

 

หลังจากที่ค้นพบเรื่องพวกนี้ ตํานานยุทธในอดีตที่แอบเข้าไปต่างหวาดกลัวและหนีกลับออกมาอย่างรวดเร็ว จากนั้นจึงใช้โชคชะตาแห่งราชวงศ์หลงปิดผนึกมันไว้ ซึ่งเป็นการตัดการเชื่อมต่อกับโลกถ้ําปิศาจใต้ดินลงอย่างสิ้นเชิง

 

ซูฉินพอจะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นต่อจากนั้น การบุกรุกของพวกปีศาจทําให้จอมยุทธทวีปนี้ต่างบาดเจ็บล้มตาย แม้แต่ตํานานยุทธยังตกตายไปตามกัน และตํานานยุทธที่เหลืออยู่ไม่กี่คนก็หลบหนีออกจากทวีปและหายตัวไป

 

“ระยะเวลา?”

 

“อย่างน้อยก็หนึ่งแสนปี?”

 

ดวงตาของซูฉินเป็นประกายเมื่ออ่านเจอข้อความนี้

Sign in Buddha’s palm 156 ความลับอันยิ่งใหญ่ของปฐมจักรพรรดิราชวงศ์ถัง

 

ภายในตําหนักขุนฝั่งขวา

 

ซูฉินนั่งขัดสมาธิ ความคิดเปลี่ยนผันไปมา

 

“หลังจากเข้าสู่ระดับนภาชั้นที่หก ด้วยความเร็วขณะปัจจุบันในการบ่มเพาะของข้า ไม่เกินสิบปีข้าคงจะเข้าสู่นภาชั้นที่เจ็ดได้”

 

ซูฉินนั่งคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างสบายอุรา

 

ไม่ว่าจะเป็นอรหันต์หรือตํานานยุทธ เมื่อขึ้นไปถึงระดับนภาชั้นที่เจ็ด หมายถึงการเหยียบลงบนจุดสุดยอดของขอบเขตนี้แล้วอย่างแท้จริง

 

“หลังจากถึงระดับนภาชั้นที่เจ็ด ความเร็วในการบ่มเพาะของข้าคงจะช้าลงอีกครั้งอย่างเลี่ยงไม่ได้ บางทีข้าควรเตรียมพร้อมสําหรับอนาคตเอาไว้?”

 

ดวงตาของซูฉินส่อประกายลึกล้ํา

 

ช่วงแรกๆ ที่เขาเข้าสู่ขอบเขตอรหันต์ เขารู้สึกว่าความเร็วในการบ่มเพาะของตนได้ดีเท่าเมื่อก่อน หากไม่ได้ลงชื่อที่ลานโพธิ์แล้วได้รับโอสถอายุวัฒนะเคลือบทองคําและโอสถศักดิ์สิทธิ์อื่นๆมา เกรงว่าซูฉินคงยังติดอยู่ในนภาชั้นที่หนึ่ง ชั้นที่สอง หรืออย่างมากสุดก็เพิ่งจะแตะนภาชั้นที่สามเท่านั้น

 

หลังจากเข้ามาภายในวังหลวงแล้ว ซูฉินก็ลงชื่อรับหยดน้ํา จิตวิญญาณธรรมชาติ โลหิตรู้แจ้ง ผลไม้สีแดง และสมบัติอื่นๆ ทําให้ความเร็วในการฝึกฝนเพิ่มขึ้นอีกครั้ง ดังนั้นในเวลาเพียงแค่สิบปีเขาจึงมาถึงขั้นสมบูรณ์ของระดับนภาชั้นที่ห้า

 

ซูฉินพอจะจินตนาการภาพออกได้เลยว่า เมื่อยามที่เขาบรรลุขอบเขตอรหันต์ระดับนภาชั้นที่เจ็ด ไม่ว่าจะเป็นหยดน้ําจิตวิญญาณธรรมชาติ ผลไม้สีแดง หรือโลหิตรู้แจ้งคง เสื่อมฤทธิ์ไปอย่างมากแน่ๆ เมื่อนํามาใช้กับตัวเขา

 

นี้ไม่ได้หมายความว่าหยดน้ําจิตวิญญาณธรรมชาติ โลหิตรู้แจ้ง หรือผลไม้สีแดงนั้นไม่ดี เพียงแต่ระดับชั้นของซูฉินทรงพลังขึ้นไปอีกระดับ

 

เมื่อคนเรามีเงินอยู่แล้วสิบตําลึงเงิน ทุกๆครั้งที่เงินเพิ่มขึ้นสิบตําลึงเงิน ความมั่งคั่งย่อมเพิ่มเป็นสองเท่าและมีความสุขมากเมื่อเงินเพิ่มขึ้นขนาดนั้น

 

แต่เมื่อยามที่มีเงินหมื่นตําลึงเงิน แล้วได้เพิ่มมาอีกสิบตําลึงเงิน เกรงว่าคงจะมองข้ามมันไปได้อย่างง่ายๆเลยทีเดียว

 

หลังจากวันนั้น ซูฉินยังคงลงชื่อเข้าใช้อยู่เป็นนิจ นอกเหนือจากนั้นก็มีให้คําแนะนําต่อหลีหว่านเป็นครั้งคราว

 

และในช่วงเวลาที่ผ่านมานั้น

 

ในที่สุดจักรพรรดิถังก็รวบรวมอาณาเขตทั้งสิบเป็นปึกแผ่น รวมอํานาจกลับเข้ามาในมือได้เป็นผลสําเร็จ

 

ในเวลานี้จักรพรรดิถังก็ตกอยู่ในความสับสนพระทัย ไม่รู้ว่าตนยังควรจะใช้ “นโยบายกระจายอํานาจ” ต่อไปดีหรือไม่

 

ยามที่ราชาหัวเมืองทั้งสิบยังมีชีวิตอยู่ จักรพรรดิถังจําเป็นต้องผลักดันนโยบายอันนี้เพื่อยุยงปลุกปั้นให้เกิดความเกลียดชังในหมู่ขุนนางหัวเมือง

 

แต่ตอนนี้เมืองหลักๆของราชาหัวเมืองทั้งสิบได้ตกมาอยู่ในมือของพระองค์ กลับสู่การควบคุมของอาณาจักรถังอย่างสมบูรณ์ ยังจําเป็นที่จะต้องมีนโยบายกระจายอํานาจต่อไปอีกหรือ?

 

จักรพรรดิถังนอนคิดอยู่สามคืน ในที่สุดก็เสด็จออกไปที่ด้านหน้าของตําหนักขุนฝั่งขวาพร้อมกับเหยือกเหล้าในมือ

 

“พี่สาม”

 

จักรพรรดิถังโบกมือตะโกนเรียก

 

ซูฉินเดินออกมาจากตําหนักขุนฝั่งขวา เหลือบมองไปยังจักรพรรดิถังและรู้ได้ทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น

 

“พี่สาม”

 

“ท่านคิดว่าข้าควรทําเช่นไรดี?”

 

จักรพรรดิถังนั่งลงพูดคุยกับซูฉินเกี่ยวกับความยากลําบากทั้งหมดที่เขาได้เจอมา

 

“เจ้าวางแผนจะมอบอาณาเขตทั้งสิบให้ใครจัดการ?” ซูฉินเอ่ยถามแทนที่จะตอบคําถาม

 

“ให้อาณาเขตทั้งสิบกับใคร?”

 

จักรพรรดิถังจมอยู่ในห้วงความคิดของตนแน่นอน

 

ปัญหานี้จําเป็นต้องนั่งพิจารณาอย่างจริงจัง

 

อาณาเขตทั้งสิบตั้งอยู่แนวชายแดนของอาณาจักรถัง มีวัตถุประสงค์ก็เพื่อต่อต้านการรุกรานจากชาติพันธุ์อื่นอาณาจักรอื่นๆ

 

“ข้าวางแผนจะเลือกลูกหลานราชวงศ์สักสองสามคนมาดูแล” จักรพรรดิถังคิดอยู่นานจากนั้นจึงหันไปมองซูฉินด้วยท่าทางไม่แน่ใจนัก

 

“ลูกหลานราชวงศ์?” ซูฉินยิ้มแล้วกล่าวอย่างเป็นกันเอง “เจ้าไม่กลัวว่าวันหนึ่งพวกเขาจะก่อการจลาจลขึ้นหรือ?”

 

คําที่กล่าวออกมา

 

ท่าทีของจักรพรรดิถังก็เปลี่ยนไป

 

นับตั้งแต่ก่อตั้งอาณาจักรถัง มีกฏข้อหนึ่งที่ว่าไม่ควรตั้งสมาชิกราชวงศ์ให้ควบคุมกองทัพ

 

จุดประสงค์ในการตั้งกฏนี้ขึ้นมาก็เพื่อป้องกันเหตุวุ่นวายภายในราชวงศ์

 

หากจักรพรรดิถังทรงดําริริเริ่มมอบอาณาเขตทั้งสิบให้ลูกหลานราชวงศ์จริงๆ เกรงว่าพวกเขาคงจะซ้ํารอยราชาหัวเมือง

 

“แล้วถ้าข้าส่งข้าราชบริพารที่มีใจภักดีไปดูแลเล่า” จักรพรรดิถังเงียบไปเป็นเวลานานก่อนจะกล่าวคํา

 

“ข้าราชบริพาร?”

 

“ใจภักดี?”

 

ซูฉินส่ายหัวและกล่าวคําแผ่วเบา “เจ้าจะรับประกันความภักดีของพวกเขาได้นานแค่ไหน? สิบปี ยี่สิบปี หรือสามสิบปี?”

 

“แม้ว่าข้าราชบริพารที่เจ้าส่งไปจะภักดีตลอดชั่วชีวิต แล้วคนรุ่นต่อไปเล่า? เมื่อได้รับอํานาจมาจะยังคงมีใจภักดีอยู่หรือไม่?”

 

จักรพรรดิถังขมวดคิ้วเมื่อได้ฟังดังนั้น

 

“ถ้าเช่นนั้น แล้วถ้าข้าออกคําสั่งไม่ให้สืบทอดอํานาจผ่านพ่อสู่ลูกหลานเล่า?”

 

จักรพรรดิถังกล่าวด้วยน้ําเสียงลุ่มลึก

 

ซูฉินเงยหน้าขึ้นเล็กน้อยแล้วมองออกจากตําหนักขุนฝั่งขวา “ผู้คนนั้นล้วนเห็นแก่ตัว เมื่อมีความร่ํารวยมีทรัพย์สินเงินทอง แน่นอนว่าย่อมต้องการให้คนรุ่นหลังร่ํารวยมั่งคั่งไปด้วย…”

 

“เป็นเช่นนั้นสินะ”

 

“ข้าคิดมากเกินไปแล้ว”

 

หลังจากเวลาผ่านไประยะหนึ่ง จักรพรรดิถังถอนหายใจเล็กน้อย “หากจะพูดถึงมุมมอง การมองการณ์ไกลไม่มีใครเทียบพี่สามได้แล้วจริงๆ”

 

จักรพรรดิถังจ้องมองไปที่ซูฉิน เต็มไปด้วยความชื่นชม

 

ไม่ว่าจะเป็นขุนนางฝ่ายพลเรือนหรือฝ่ายกองทัพ พวกเขาก็มองอาณาจักรถังแค่เพียงในปัจจุบัน แต่ซูฉินสามารถมองเห็นอาณาจักรถังในหนึ่งพันปีให้หลังได้

 

“พี่สาม ท่านต้องการรับราชการหรือไม่ ตราบเท่าที่ท่านเต็มใจ ตําแหน่งหัวหน้าศาลขุนนางจะเป็นของท่าน”

 

จักรพรรดิถังไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่ แต่พูดออกมาอย่างจริงจัง

 

หัวหน้าศาลขุนนางมีอํานาจมากจนสามารถว่าความแทนองค์จักรพรรดิได้ เมื่อสองร้อยปีก่อนจักรพรรดิถังสมัยนั้นถึงกับยกเลิกตําแหน่งนี้ไป

 

อย่างไรก็ตาม จักรพรรดิถังยินดีที่จะแต่งตั้งซูฉินเป็นหัวหน้าศาลขุนนางอีกครั้งซึ่งแสดงให้เห็นว่าตัวเขาให้ความสําคัญกับซูฉินมากเพียงไหน

 

“ไม่จําเป็นหรอก”

 

“ข้าเคยชินกับชีวิตที่ไร้ภาระดุจเมฆและอิสระราวกับกระเรียนป่าเสียแล้ว”

 

ซูฉินปฏิเสธโดยไม่เก็บมาคิดแม้แต่น้อย

 

หากสนใจในอํานาจ เขาจะอยู่ภายในวังมาได้เป็นสิบปี ทั้งๆที่ตนมีกําลังในระดับตํานานยุทธหรือไม่เล่า?

 

จักรพรรดิถังถอนหายใจออกมาเบาๆ ราวกับคาดเดาคําตอบไว้แล้ว

 

นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่จักรพรรดิถังเชิญชวนซูฉินในช่วงปีนี้ แต่ทุกครั้งก็ถูกปฏิเสธโดยไม่มีความลังเลเลย

 

บางครั้งจักรพรรดิถังก็สงสัยจริงๆ ว่าซูฉินคงจะเป็นเหมือนนักบุญที่มองว่าอํานาจและชื่อเสียงไม่ได้มีค่าอะไรใช่หรือไม่?

 

นอกจากนักบุญแล้ว ใครเล่าจะสามารถต้านทานการล่อลวงของอํานาจในฐานะหัวหน้าศาลขุนนางได้?

 

ทั้งสองคุยกันต่ออีกครู่หนึ่ง ไม่นานนักก็พูดกันไปจนถึงเรื่องเมืองฉางอัน เมืองหลวงอันเก่าแก่ที่มีมานานกว่าสิบราชวงศ์

 

“พูดถึงเรื่องนี้ อาณาจักรถังนี้สืบทอดมานานกว่าห้าร้อยปีแล้วนะ ตอนที่ปฐมจักรพรรดิ์ตั้งอาณาจักรขึ้นมาโดยไม่ได้ตั้งใจ ข้าเกรงว่าพระองค์ก็คงไม่ได้คาดหวังว่ามันจะอยู่มานานขนาดนี้”

 

จักรพรรดิถังส่ายหัวขณะที่พูด ฟังดูเต็มไปด้วยอารมณ์

 

“ไม่ได้ตั้งใจ?”

 

ซูฉินเลิกคิ้วขึ้น มองไปที่จักรพรรดิถัง “ไม่ได้ตั้งใจได้อย่างไรกัน?”

 

“ลืมไปว่าพี่สามไม่รู้เรื่องนี้มาก่อน” จักรพรรดิถังเห็นการแสดงออกของซูฉินแล้วก็รีบพูดขึ้นทันที “ข้าไม่รู้ว่าเรื่องนี้จริงหรือเท็จ เรื่องนี้ล้วนทราบมาจากคนเก่าคนแก่ ภายในวัง ไม่มีการบันทึกเอาไว้แต่ประการใด”

 

เมื่อจักรพรรดิถังพูดขึ้นเช่นนี้ก็หยุดครู่หนึ่งแล้ว กล่าวต่อด้วยเสียงต่ํา “ข้าได้ยินมาว่าปฐมจักรพรรดิไม่ได้คิดที่จะตั้งอาณาจักรเลยไม่ยามนั้น”

 

“ไม่ได้คิดที่จะก่อตั้งอาณาจักร ?”

 

ความคิดของซูฉินเปลี่ยนผันไปมา และรู้สึกได้รางๆว่าตน กําลังจะได้พบกับความลับอันยิ่งใหญ่

 

ในความเป็นจริง ตอนแรกที่ซูฉินรู้ว่าปฐมจักรพรรดิของอาณาจักรถังเป็นตํานานยุทธ ตัวเขาก็มีข้อสงสัยอยู่บ้าง

 

เหตุใดตํานานยุทธ ตัวตนที่ทรงพลังขนาดนั้นถึงต้องการที่จะก่อตั้งอาณาจักร

 

เพื่อลูกหลาน?

 

หากปฐมจักรพรรดิถังผู้ยิ่งใหญ่ ต้องการจะมีลูกหลานสืบทอดต่อไปรุ่นสู่รุ่น เขาคงไม่เลือกก่อตั้งอาณาจักร แต่คงจะสร้างตระกูลหรือตั้งสุดยอดพรรคขึ้นในยุทธภพเสียมากกว่า

 

อาณาจักรอายุนับร้อยปี ส่วนวงศ์ตระกูลอายุนับพันปี

 

ตั้งแต่สมัยโบราณจนถึงปัจจุบันนี้ แทบไม่มีราชวงศ์ใดมีอายุเกินพันปีเลย แต่บ่อยครั้งที่ตระกูลชนชั้นสูงบางตระกูลสามารถสืบทอดต่อไปได้นับพันปี

 

และสุดยอดพรรคในยุทธภพอย่างวัดเส้าหลินก็ยังสืบ ทอดมรดกต่อมาได้เป็นพันปี

 

ถ้าปฐมจักรพรรดิถังเป็นจักรพรรดิตั้งแต่แรกมันก็คงไม่มีอะไรน่าสงสัย แต่ปฐมจักรพรรดิถังได้ก่อตั้งอาณาจักรหลัง จากที่เขากลายเป็นตํานานยุทธไปแล้ว

 

ขณะที่ซูฉินกําลังคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้

 

เสียงของจักรพรรดิถังก็ลอยมาเข้าหู “ตามตํานานที่เล่าขาน เหตุผลที่ปฐมจักรพรรดิถังก่อตั้งอาณาจักรถังขึ้นมาก็เพราะว่าพระองค์ค้นพบความลับบางอย่างภายในเมืองฉางอัน…”

 

Sign in Buddha’s palm 155 พร้อมทะลวงขั้น

 

พลังมังกรคชสารปัญญาบารมีเป็นเคล็ดวิชาที่ซูฉินได้รับมาจากหน้าจัตุรัสหยกขาวภายในพระราชวังถึงเมื่อสองวันก่อน

 

เมื่อฝึกฝนจนถึงขั้นที่สิบสาม จะได้รับพลังประดุจมังกรสิบสามตัว ช้างสิบสามเชือก

 

โดยทั่วไปแล้ว แม้ว่าผู้ฝึกยุทธธรรมดาๆที่ได้ฝึกวิชานี้ไป ก็จําต้องใช้เวลาทั้งชีวิตเพื่อสําเร็จขั้นหนึ่งไม่ก็ขั้นสอง หากมีพรสวรรค์มากพอ บางทีอาจจะขึ้นไปถึงขั้นที่สามขั้นที่สี่ก็เป็นได้?

 

แต่ซูฉินใช้เวลาเพียงสองวันในการสําเร็จวิชาที่ผู้ฝึกยุทธธรรมดาจะไม่มีวันเดินไปถึงได้ตลอดชั่วชีวิต

 

“พลังของมังกรสิบสามตัวและช่างสิบสามเชือก บวกกับพลังของกายเนื้อของข้า แม้จะไม่ได้ใช้แก่นแท้แห่งพลังและจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์เข้าช่วย เพียงพลังกายอย่างเดียวก็คงต่อกรกับตํานานยุทธธรรมดาๆระดับนภาชั้นที่สี่ได้”

 

ซูฉินรู้สึกได้ถึงพลังที่เพิ่มขึ้นภายในร่างของเขา รอยยิ้มก็พลันปรากฏบนใบหน้า

 

ไม่ว่าจะเป็นตํานานยุทธหรืออรหันต์คนใด วิธีที่นิยมใช้กันมากที่สุดคือพัฒนาจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ แต่ความสามารถของซูฉินในการเพียงใช้กายเนื้ออย่างเดียวก็สามารถเอาชนะตํานานยุทธระดับนภาชั้นที่สี่ได้ ลองจินตนาการดูว่าร่างกายของซูฉินแข็งแกร่งเพียงใด

 

“นอกจากนี้ ร่างของข้ายังมีปราณชีวิตมังกรแท้จริง ไหลเวียนอยู่ตลอดอีกด้วย ยิ่งเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ ร่างกายก็ยิ่งมีแต่จะแกร่งขึ้นเท่านั้น”

 

ความคิดของซูฉินสลับปรับเปลี่ยนไปมา ใบหน้าแสดงออกให้เห็นถึงความคาดหวัง

 

ในช่วงปีแรกๆ เขาได้ลงชื่อที่ด้านหน้าศาลบรรพชนของราชวงศ์และได้รับปราณชีวิตมังกรแท้จริงมา มันหล่อเลี้ยงเนื้อหนังของเขาอยู่ตลอดเวลา

 

แม้มันจะไม่ได้ช่วยพัฒนาอะไรได้มากในช่วงระยะเวลาสั้นๆ แต่การพัฒนานั้นจะเพิ่มขึ้นอย่างไม่รู้จบ สะสมต่อไปอีกหลายปี ความฝันย่อมเป็นจริงในที่สุด

 

“ในตํานานว่าเอาไว้ว่า มีจอมยุทธที่ทําลายมิติได้ด้วยร่างกายของพวกเขาเอง ในตอนนั้นข้าคิดว่ามันคงถูกแต่งแต้มขึ้นมาโดยคนรุ่นหลัง มิติความว่างเปล่ามันมีอยู่ทั่วทุกหนทุกแห่งนั่นแหละ เพียงแต่สัมผัสไม่ได้ จะใช้เพียงกายเนื้อทุบทําลายอะไรได้กัน?”

 

“แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าเมื่อร่างกายแข็งแกร่งถึงขีดสุดแล้วนั้น นับประสาอะไรกับมิติความว่างเปล่าทั้งหลาย แม้โลกทั้งใบก็คงทุบทําลายได้มิใช่หรือ?”

 

การแสดงออกของซูฉินเต็มไปด้วยอารมณ์ความรู้สึก

 

จากนั้นซูฉินก็กลับมาใช้ชีวิตตามปกติอีกครั้ง ลงชื่อเข้าใช้ ฝึกฝนทุกวัน ใช้ชีวิตอย่างเต็มที่

 

หนึ่งปีผ่านไปในพริบตา

 

วันนี้องค์หญิงหลีหว่านมาเข้าพบซูฉิน ใบหน้าของนางดูเคร่งเครียด “ลุงสาม ข้ารู้สึกเหมือนกําลังจะตัดผ่านระดับชั้น”

 

“ตัดผ่านขั้น?”

 

“เข้าสู่ระดับชั้นที่แปด?”

 

ซูฉินมองไปที่หลีหว่านแล้วพยักหน้าเล็กน้อย “ข้าเข้าใจแล้ว เจ้าเริ่มทะลวงด่านได้เลย ข้าจะคอยเฝ้าดูอยู่ข้างๆเอง”

 

“เยี่ยมเลย”

 

หลีหว่านได้ยินดังนั้นก็เริ่มบุกทะลวงขั้นอย่างกระตือรือร้นในทันที

 

โดยทั่วไปแล้วเป็นช่วงเวลาสําคัญยิ่งนักสําหรับจอมยุทธในการตัดผ่านขั้นแต่ละครั้ง และมักจะหาสถานที่ปลอดภัย เพื่อทะลวงผ่านโดยไม่มีใครมารบกวน

 

เพราะในช่วงตัดผ่านระดับขั้นนั้น ทั้งพลังและจิตใจของผู้ฝึกยุทธจะถูกรวม จมดิ่งสู่ภายใน แทบจะไม่สามารถป้องกันตนเองต่อโลกภายนอกได้เลย

 

ในเวลานี้หากมีคนที่อยู่รอบนอก ก็เท่ากับกุมชีวิตความเป็นความตายของจอมยุทธผู้นั้นไปแล้ว

 

และหลีหว่านก็กําลังจะทะลวงขั้นต่อหน้าซูฉินโดยไม่มีความลังเล แน่นอนว่าต้องเชื่อใจซูฉินเป็นที่ยิ่ง

 

เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว

 

กําลังภายในของหลีหว่านก็ไหลรวมกันอยู่ที่จุดเดียว

 

ซูฉินเหลือบมองอย่างไม่ได้เคร่งเครียดอะไรนัก และรู้ว่าหลีหว่านไม่ได้มีปัญหาใหญ่อะไรในการทะลวงขั้น

 

อันที่จริงซูฉินที่เป็นถึงอรหันต์ในระดับนภาชั้นที่ห้ามักจะชี้แนะให้กับหลีหว่าน ควบคู่ไปกับทรัพยากรจากองค์จักรพรรดิ หากหลีหว่านยังเกิดปัญหาในการทะลวงขั้นไปสู่ระดับ ชั้นที่แปดเกรงว่าบนโลกนี้คงไม่มีใครไปถึงระดับชั้นที่แปดเสียแล้วล่ะแน่นอน

 

หลังจากนั้นไม่นาน

 

ลมหายใจของหลีหว่านก็เริ่มสงบลง

 

“ลุงสาม”

 

“นี่ข้าทะลวงขั้นสําเร็จแล้วหรือ?”

 

หลีหว่านลืมตากว้างมองมาที่ซูฉินด้วยความปิติยินดี

 

“ไม่เลวเลย ตอนนี้เจ้าอยู่ในระดับชั้นที่แปดเรียบร้อยแล้ว” ซูฉินกล่าวตอบ

 

ด้วยการตอบรับของซูฉิน เห็นได้ชัดว่าหลีหว่านพลันแจ่มใสมากยิ่งขึ้น ดวงตาของนางยิ้มจนเป็นรูปพระจันทร์เสี้ยว

 

“ในอนาคต ข้าจะต้องกลายเป็นจอมยุทธผู้ทรงพลัง และปกป้องอาณาจักรถังจากการถูกผู้อื่นย่ํายี”

 

หลีหว่านกําหมัดเล็กๆของนางแน่น ใบหน้าเต็มไปด้วยจิตวิญญาณนักสู้

 

ซูฉินเปิดปากพูด “ถ้าเจ้าต้องการปกป้องอาณาจักรถังจริงๆ อย่างน้อยก็ต้องมีความแข็งแกร่งในระดับยอดปรมาจารย์ขั้นสูงสุด เจ้าทําได้หรือไม่เล่า?”

 

คําที่กล่าวออกมา

 

เห็นได้ชัดว่าหลีหว่านเหมือนถูกตีแสกหน้า ใบหน้าเล็กๆของนางก้มลงในทันที

 

ยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสูงสุดคือผู้ที่อยู่ใกล้กับจุดสูงสุดของวิทยายุทธทั้งเก้าระดับชั้นเต็มทน เมื่อกวาดตามองทั่วทั้งดินแดน ก็มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นในแต่ละอาณาจักร

 

สําหรับจอมยุทธตัวน้อยอย่างหลีหว่านที่เพิ่งเข้าสู่ระดับชั้นที่แปด ยังไม่ถึงขอบเขตสามระดับบนด้วยซ้ํา ยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสูงสุดย่อมอยู่ไกลเกินไป

 

ต้องรู้ว่าการฝึกยุทธย่อมจะยากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อก้าวเดินไปข้างหน้า ขอบเขตสามระดับล่างและสามระดับกลางยังพอทําเนา มันยังพอจะผลักดันด้วยการใช้ทรัพยากรให้เป็นประโยชน์ แต่ขอบเขตสามระดับบนโดยเฉพาะจากระดับชั้นที่หนึ่งขึ้นไปสู่ระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสูงสุดไม่ได้ใช้เพียงแค่ทรัพยากรแล้วจะขึ้นไปได้

 

ส่วนยอดปรมาจารย์ขั้นสูงสุดที่จะขึ้นไปถึงขอบเขตอรหันต์หรือตํานานยุทธก็ต้องใช้โชคอย่างมหาศาล

 

หากไม่มีโชคที่ดีพอ ก็จะไม่สามารถเข้าใจพลังฟ้าดินบนโลกใบนี้ แม้ว่าจะเป็นยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสมบูรณ์ก็ตาม เมื่อไม่เข้าใจพลังฟ้าดินย่อมจะติดอยู่ในระดับนั้นต่อไป

 

ย้อนกลับไปเมื่อวันวาน ถ้าซูฉินไม่ได้ใช้กําลังของตนต้านหิมะถล่ม ก็คงจะเป็นไปไม่ได้ที่จะเข้าใจถึงพลังฟ้าดินได้อย่างรวดเร็วขนาดนี้ จนบุกทะลวงเข้าสู่ขอบเขตอรหันต์ได้ในที่สุด

 

 

ในเวลาเดียวกัน

 

ภายในโถงชีวิตนิรันดร์

 

จักรพรรดิถังหลี่เชิงขมวดคิ้วมุ่น

 

“หนึ่งปีแล้ว”

 

“นี่มันก็หนึ่งปีแล้วนะ ทําไมจึงยังไม่พบตัวนักฆ่าจากสํานักสังหารโลหิตอีก?” จักรพรรดิถังเดินไปเดินมา ความคิดอันหลากหลายสับเปลี่ยนหมุนเวียนไปอย่างรวดเร็ว

 

ในช่วงปีที่ผ่านมานี้ จักรพรรดิถังหลี่เชิงได้ลองใช้วิธีต่างๆ เพื่อดึงดูดใจนักฆ่าจากสํานักสังหารโลหิต รวมถึงการเปิดประตูเมืองทั้งสี่ทิศ โยกย้ายกองกําลังภายในวัง และสุดท้ายถึงกับเอาตัวเองเป็นเหยื่อล่อ

 

แต่กลับกลายเป็นว่าไม่เกิดผลเลย

 

ราวกับนักฆ่าแห่งสํานักสังหารโลหิตหายวับไปในอากาศจริงๆ

 

“ฝ่าบาท หรือจะเป็นท่านผู้นั้นที่ลงมือไปแล้ว?” แม่ทัพแห่งวังหลวงที่อยู่ด้านข้างกล่าวออกอย่างระมัดระวัง

 

“ท่านผู้นั้น?”

 

จักรพรรดิถังเงียบนิ่ง

 

จักรพรรดิถังรู้ดีว่า ท่านผู้นั้น” ที่แม่ทัพหมายถึงคือใคร

 

“เมื่อเร็วๆนี้ ข้าได้ยินมาว่าเมื่อช่วงต้นปี สํานักสังหารโลหิตได้ไล่ศิษย์สาวกออกไป เห็นได้ชัดว่ายอดฝีมือภายในสํานักสังหารโลหิตก็เกรงกลัวกันไม่น้อย

 

แม่ทัพแห่งราชสํานักเหมือนจะคิดอะไรบางอย่างออก แล้วกล่าวด้วยเสียงต่ํา “นั่นหมายความว่า สํานักสังหารโลหิตได้ยืนยันเองแล้วว่าการลอบสังหารล้มเหลว มือลอบสังหารเองก็ตกตายเสียภายในวังไปแล้ว”

 

“ข้าเข้าใจแล้ว”

 

จักรพรรดิถังครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพยักหน้าเล็กน้อย

 

อันที่จริงเขาก็มีความคิดเช่นนี้อยู่นานแล้ว ก่อนที่แม่ทัพแห่งราชสํานักจะพูดขึ้นมาเสียอีก

 

เพราะนักฆ่าแห่งสํานักสังหารโลหิตผู้นั้นหายตัวอย่างสมบูรณ์แบบเกินไป

 

ยกเว้นจะมีคนลอบลงมืออย่างลับๆ จักรพรรดิถังก็ไม่สามารถนึกถึงความเป็นไปได้อื่นอีก

 

“ไม่ว่ามือสังหารจะมีชีวิตอยู่หรือตกตายไปแล้วก็ตาม”

 

“การลาดตระเวนภายในวังไม่สามารถผ่อนปรนลงได้”

 

จักรพรรดิถังเหลือบมองแม่ทัพแล้วกล่าวคําออกมา 

 

“รับพระบัญชา”

 

จากนั้นแม่ทัพแห่งวังหลวงก็ออกจากโถงชีวิตนิรันดร์ไป

 

ด้านนอกตําหนักขุนฝั่งขวา

 

ซูฉินเดินมาส่งหลีหว่านกลับไป แล้วหันหลังกลับเดินเข้าไปตําหนักชุนฝั่งขวา

 

“ในช่วงหนึ่งปีมานี้ ข้าได้บรรลุถึงขั้นสมบูรณ์ของนภาชั้นที่ห้าแล้ว ได้เวลาเตรียมตัดผ่านขั้น”

 

ซูฉินนั่งขัดสมาธิ ครุ่นคิดอยู่ภายในใจเงียบๆ

 

ความก้าวหน้าของเขาไม่เหมือนกับการที่หลีหว่านก้าวจากระดับชั้นที่เก้าขึ้นไปสู่ระดับชั้นที่แปด การเพิ่มระดับในช่วงใหญ่ทุกครั้งของขอบเขตอรหันต์นั้น เกี่ยวข้องกับแก่นแท้แห่งพลังกายเนื้อ และจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ ไม่สามารถประมาทเลินเล่อได้

 

แม้ว่าจะเป็นตัวชูฉินเอง เขาก็ต้องรั้งรอให้ทุกอย่างเตรียมพร้อมก่อนจึงจะสามารถทะลวงขั้นได้

 

Sign in Buddha’s palm 154 ความเคลื่อนไหวในสํานักสังหารโลหิต

 

ภายในโถงชีวิตนิรันดร์

 

จักรพรรดิถังรู้สึกงงงวย

 

ในความเห็นของพระองค์ เพื่อที่จะหลุดออกจากการล้อมกรอบของรองแม่ทัพกว่าโหล นักฆ่าจากสํานักสังหารโลหิตจําต้องใช้ทักษะลับต้องห้ามจนทําให้รากฐานของมันตกฮวบลง ในเวลานั้นฝ่ายตรงข้ามมีเพียงสองทางเลือก

 

หนึ่งคือการหลบหนีออกจากวังอย่างหมดท่า

 

อย่างที่สองคือการซ่อนตัวชั่วคราวที่ไหนสักแห่งในวังเพื่อพักฟื้นร่างกาย แล้วรอโอกาสที่จะหลบหนีอีกครั้ง

 

แต่ไม่ว่าจะเลือกวิธีไหนอีกฝ่ายก็ต้องอยู่ภายในวัง เป็นไปไม่ได้ที่จะหายวับไปในอากาศเช่นนี้

 

จักรพรรดิถังทรงมั่นใจในกองทัพของราชสํานักอย่างมาก กองพลเหล่านี้ถูกทิ้งไว้ตั้งแต่รัชสมัยจักรพรรดิพระองค์ก่อน และต่อมาก็มีการจัดโครงสร้างใหม่โดยหลี่เชิง กล่าวได้ว่าจงรักภักดีอย่างยิ่ง ยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งคนไหนก็ตามที่ลอบเข้ามาภายในวังก็เหมือนปลาที่อยู่ในอวน เป็นไปไม่ได้เลยที่จะหายจากไปได้อย่างเงียบเชียบ

 

“ออกตามหาต่อไป ถ้ามีชีวิตอยู่ก็ต้องเห็นคน ตายไปก็ต้องเห็นศพ”

 

จักรพรรดิถังครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจู่ๆก็เอ่ยขึ้นว่า “ส่วนการเฝ้ายามประตูเมืองทั้งสี่ทิศ ก็ผ่อนปรนลงเสียหน่อย”

 

“ผ่อนปรน?”

 

แม่ทัพแห่งราชสํานักได้ยินคําดังกล่าวก็ไม่สามารถเข้าใจความหมายโดยนัยได้แม้จะผ่านไประยะหนึ่ง

 

ขณะนี้นักฆ่าแห่งสํานักสังหารโลหิตยังอยู่ภายในวัง พวกเขาควรจะลาดตระเวนอย่างเคร่งครัด จะผ่อนปรนการตรวจตราได้อย่างไร?

 

“มันติดอยู่ภายในวังและคงอยากจะออกไปอยู่เต็มแก่แล้วล่ะ เมื่อเป็นเช่นนั้นข้าก็จะให้โอกาสมันสักหน่อย”

 

จักรพรรดิถังหัวเราะเยาะเย้ยแล้วกล่าวคําอย่างช้าๆ

 

“เป็นเช่นนี้นี่เอง ฝ่าบาททรงปราดเปรื่องยิ่ง”

 

แม่ทัพแห่งราชสํานักพลันตระหนักรู้ได้ในทันที

 

จักรพรรดิถังสั่งให้เขาผ่อนปรน” มิใช่หย่อนยาน แต่เป็นการจงใจเปิดเผยข้อบกพร่องของตน และสร้างเหยื่อล่อให้อีกฝ่ายมาติดกับ

 

“ถูกต้อง”

 

“ส่งทหารไปตรวจตราแถวพระราชวังตะวันออกด้วย ไม่ว่านักฆ่าแห่งสํานักสังหารโลหิตจะอยู่ที่ไหน แต่จะต้องไม่มีปัญหาอะไรเกิดกับพี่สาม”

 

จักรพรรดิถังดูเหมือนจะคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้แล้ว พูดออกมาอย่างเคร่งขรึม

 

“รับพระบัญชา”

 

แม่ทัพแห่งราชสํานักโค้งคํานับ กล่าวคํา แล้วถอยกลับออกไปอย่างช้าๆ

 

ในเวลาเดียวกัน

 

ณ ฐานที่มั่นของสํานักสังหารโลหิต

 

ชายที่หน้าตาถมึงทึงแสดงให้เห็นถึงเจตนาฆ่าฟันกําลังนั่งอยู่บนบัลลังก์

 

เขาเป็นประมุขของสํานักสังหารโลหิตในยุคนี้ นอกจากนี้ยังเป็นยอดปรมาจารย์ขั้นสูงสุดคนสุดท้ายของสํานักสังหารโลหิตอีกด้วย

 

ในกรณีที่ยอดปรมาจารย์ขั้นสูงสุดอีกสามคนตกตายไป เขาจําต้องอยู่ประจําสํานักเพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีเหตุร้ายใดเกิดขึ้นที่นี่

 

ตลอดสองร้อยปีที่ผ่านมา สํานักสังหารโลหิตอาศัยตัวตน ของตํานานยุทธภายในสํานัก จนสามารถเข้าไปก้าวก่ายอาณาจักรต่างๆได้ ไม่ว่าอาณาจักรใดก็ไม่กล้าตอบโต้เหตุเพราะเกรงกลัว แต่ในตอนนี้สํานักสังหารโลหิตกลับถูกโจมตีอย่างหนัก มันเป็นไปไม่ได้ที่จะรับประกันว่าอาณาจักรอื่นๆจะไม่เคลื่อนไหว

 

“นี่ก็นานแล้วนะ ไม่มีข่าวคราวจากเชี่ยเอ๋อเลย ดูเหมือนว่าเขาจะพลาดท่าเสียแล้ว”

 

หลังจากนั้นไม่นาน ยอดปรมาจารย์จากสํานักสังหารโลหิตก็ถอนหายใจออกมาเล็กน้อย แล้วกล่าวคําช้าๆ

 

ชายที่มีสัญลักษณ์สีแดงบนหน้าผากได้ไปยังวังหลวงเพื่อลอบสังหารองค์จักรพรรดิถัง เขาทราบเรื่องนี้อยู่แล้ว ทั้งยังมอบ “อาภรณ์หยกยับยั้งกลิ่นอาย” ให้กับชายที่มีรอยสัญลักษณ์สีแดงเลือดไว้ด้วย

 

ในฐานะสมบัติของสํานักสังหารโลหิต สิ่งของที่ถูกทิ้งเอา ไว้โดยตํานานยุทธจะไม่มีใครนําออกมาใช้ได้ยกเว้นประมุขของสํานัก

 

เดิมที่ยอดปรมาจารย์สํานักสังหารโลหิตคิดว่าด้วย”อาภรณ์หยกยับยั้งกลิ่นอาย” ชายที่มีรอยสัญลักษณ์สีแดงเลือดควรจะสามารถหลบหนีจากการตรวจจับของตํานานยุทธภายในพระราชวังและลอบสังหารจักรพรรดิถังได้สําเร็จ

 

ตราบใดที่จักรพรรดิถังสิ้นพระชนม์และอาณาจักรถังตกอ

 

“ถูกต้อง”

 

“ส่งทหารไปตรวจตราแถวพระราชวังตะวันออกด้วย ไม่ว่านักฆ่าแห่งสํานักสังหารโลหิตจะอยู่ที่ไหน แต่จะต้องไม่มีปัญหาอะไรเกิดกับพี่สาม”

 

จักรพรรดิถังดูเหมือนจะคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ แล้วพูดออกมาอย่างเคร่งขรึม

 

ในสถานการณ์เช่นนี้ แม้นิกายสังหารโลหิตจะไม่ได้ลอบสังหารจักรพรรดิถัง แต่ตํานานยุทธผู้นั้นก็คงจะไม่ญาติดีกับสํานักสังหารโลหิตอีก ไม่ช้าก็เร็วเขาจะต้องลงมือ

 

“ท่านประมุข เราควรทําเช่นไรต่อไปดี?” ด้านข้างมีผู้คุมกฏของสํานักสังหารโลหิตสองคนกําลังเอ่ยถามด้วยเสียงอันเบา

 

ฐานะของผู้คุมกฎแม้จะไม่ใช่ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุด แต่ก็เป็นยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งเช่นกัน น้ําเสียงของผู้คุมกฏทั้งคู่ดูระแวดระวัง

 

ผู้คุมกฏทั้งคู่เห็นชัดว่าประมุขกําลังโกรธจัด หากพวกตนพูดอะไรผิดหูเข้าไปอีก เกรงว่าคงจะไม่ใช่เรื่องที่ดีนัก

 

“ทําเช่นไรดี?”

 

ประมุขของสํานักสังหารโลหิตก้มหน้าลงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดด้วยน้ําเสียงที่แหบพร่า “ไล่ศิษย์ในสํานักออกไปให้หมด ให้ทุกคนกระจายตัวไปทุกดินแดน…”

 

นี่เป็นเพราะประมุขแห่งสํานักสังหารโลหิตกล้าที่จะลอบสังหารจักรพรรดิถัง จึงต้องถอยกลับเช่นนี้เป็นทางออกสุดท้าย

 

ตัวเขารู้ดีว่าการกระทําเช่นนั้นเป็นการล่วงเกินตํานานยุทธ แต่ก็ยังตัดสินใจกระทําลงไป

 

ตราบใดที่ศิษย์ของสํานักสังหารโลหิตกระจายตัวออกไปทั่วทวีป ตํานานยุทธภายในวังหลวงก็ไม่สามารถทําอะไรสํานักสังหารโลหิตได้อีก

 

แม้ว่าตํานานยุทธจะคงกระพันไร้พ่าย แต่ก็แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะกําหนดเป้าหมายไปที่ศิษย์ของสํานักสังหารโลหิตได้อย่างแม่นยําท่ามกลางประชาชนนับไม่ถ้วน

 

โดยทั่วไปแล้ว ผู้ฝึกยุทธที่เพิ่งก้าวเข้าสู่ขอบเขตตํานานยุทธ จะสามารถคุมจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์รอบตัวได้ไม่เกินสิบ

 

รัศมีกว่าสิบล้ําอาจจะยอดเยี่ยม แต่เมื่อเทียบกับทั้งทวีปก็คงจะไม่สามารถกระทําการใดได้

 

เว้นแต่ว่าตํานานยุทธผู้นั้นเต็มใจจะใช้เวลาหลายร้อยปี เดินทางไปทั่วทุกมุมโลก และใช้จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของตน เพื่อค้นหาศิษย์ของสํานักสังหารโลหิต

 

แต่นั่นก็แทบจะเป็นไปไม่ได้

 

ตํานานยุทธมีอายุขัยเพียงห้าร้อยปี เป็นไปได้เช่นไรที่จะยอมเสียเวลาอย่างมหาศาลเพื่อแก้ปัญหาเรื่องสํานักสังหารโลหิต?

 

“ขอรับ”

 

ผู้คุมกฎสํานักสังหารโลหิตทั้งสองคนที่อยู่ด้านข้างก็แสดง สีหน้าเศร้าสร้อยออกมา

 

สํานักสังหารโลหิตถูกบีบบังคับให้ละทิ้งศิษย์สาวกของตนเอง มันคงเป็นช่วงเวลาสุดท้ายของพวกเขาแล้วเป็นแน่

 

“ท่านประมุข พวกเราจะรวบรวมศิษย์ทั้งหมดได้อีกเมื่อใดกัน?” หนึ่งในผู้คุมกฎอดที่จะถามออกมาไม่ได้

 

“อีกไม่ช้านานหรอก”

 

ประมุขของสํานักสังหารโลหิตส่ายศีรษะแล้วกระซิบบอก

 

ตํานานยุทธแต่ละคนที่ผ่านๆมาในอดีต แทบจะไม่มีใครอยู่ในทวีปนี้เป็นเวลานาน อย่างน้อยที่สุดสิบหรือยี่สิบปี พวกเขาก็ควรจะข้ามน้ําข้ามทะเลไปไล่ตามหาหนทางที่จะมีอายุขัยยืนยาวกันแล้ว

 

และการกระจายตัวสักสิบหรือยี่สิบปีนั้น สํานักสังหารโลหิตก็พอจะจ่ายราคาความเสียหายได้อยู่

 

พระราชวังถัง

 

ตําหนักขุนฝั่งขวา

 

เป็นธรรมดาที่ซูฉินจะไม่รู้เรื่องความเคลื่อนไหวเหล่านั้น ว่าสํานักสังหารโลหิตหวาดกลัวจนต้องเริ่มไล่ศิษย์สาวกให้กระจายตัวออกไปตามอาณาจักรต่างๆ

 

ฉันอาจจะมองเป็นเรื่องขบขันถ้าเขารู้ขึ้นมาก็ได้

 

การยอมถอยของประมุขสํานักสังหารโลหิตอาจจะเป็นประโยชน์เมื่อใช้กับตํานานยุทธคนอื่นๆ และคงจะช่วยสํานักสังหารโลหิตป้องกันการแก้แค้นของตัวตนระดับตํานานยุทธ

 

แต่ในสายตาของซูฉิน มันไม่คุ้มค่าที่จะกล่าวถึง

 

จอมยุทธคนอื่นๆที่เพิ่งเข้าสู่ขอบเขตตํานานยุทธคงจะใช้จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์รอบตัวได้ไกลหลายสิบลี้ แต่ซูฉินไม่ใช่ผู้ที่เพิ่งก้าวเข้าสู่ขอบเขตนี้ แต่เขาเป็นอรหันต์ที่ใกล้จะถึงขั้นสมบูรณ์ของนภาชั้นที่ห้าแล้ว

 

นอกจากนี้ซูฉินยังมีดวงตาแห่งสัจจะและวิชาปราณฉีฟ้ากําหนด

 

ด้วยความสามารถของศาสตร์ลี้ลับทั้งสองสิ่งนี้ ซูฉินสามารถมองเห็นทั่วทั้งดินแดนเล็กๆ ผืนหนึ่งภายในอาณาจักรถังได้อย่างรวดเร็ว

 

พูดง่ายๆ ว่าซูฉินสามารถค้นหาศิษย์ของสํานักสังหารโลหิตทุกคนที่กระจัดกระจายอยู่ทั่วทวีปได้ในเวลาเพียงไม่กี่วัน หาใช่หลายร้อยปีไม่

 

“ พลังมังกรคชสารปัญญาบารมี”

 

“พลังของมังกรสิบสามตัว ช้างสิบสามเชือก”

 

ขณะที่กําลังนั่งขัดสมาธิ ซูฉินคํารามออกมาเบาๆ เป็นเสียงคํารามของมังกร ถ้าสังเกตดีๆ จะพบว่ามีไอพลังไหลออกมา บางครั้งก็รวมตัวกันกลายเป็นภาพช้างขนาดยักษ์กําลังเหยียบผืนฟ้า บางคราเป็นเปลี่ยนเป็นมังกรทองที่กําลังขู่คําราม

 

จนถึงท้ายที่สุด

 

ไอพลังทั้งหมดก็หลอมรวมกัน ผสานเข้ามาภายในร่างของซูฉิน

 

“ในที่สุดข้าก็สําเร็จวิชามังกรคชสารปัญญาบารมี”

 

ซูฉันค่อยๆ ลืมตาขึ้นมาอย่างเชื่องช้า ความสุขฉายชัดบนใบหน้าของเขา

 

 

Sign in Buddha’s palm 153 เข้าสู่ระบบ! พลังมังกรคชสารปัญญาบารมี

 

“บรรพจารย์…”

 

หัวใจของชายที่มีรอยสัญลักษณ์สีแดงเลือดกลายเป็นยุ่งเหยิงไปหมด เดิมทีเมื่อยามที่สัญลักษณ์ส่องแสงจนทําให้ร่างมายาของบรรพจารย์ระดับตํานานยุทธของสํานักสังหารโลหิตออกมา มันทําให้ตัวเขามีความหวังขึ้นมาในใจ

 

แม้ว่าซูฉินจะเป็นตํานานยุทธ แต่บรรพจารย์ของสํานักสังหารโลหิตก็เป็นตํานานยุทธเช่นกัน

 

แม้ว่าที่โผล่ออกมาจะเป็นร่างมายามิใช่บุคคลจริง แต่ตํานานยุทธก็ยังเป็นตํานานยุทธ แม้จะไม่ใช่คู่ปรับของซูฉิน แต่อย่างน้อยก็ควรจะหยุดยั้งไว้ได้สักครู่หนึ่ง

 

เมื่อครู่ชายที่มีรอยสัญลักษณ์สีแดงอย่างน้อยก็พอมีหวังที่จะหลบหนี

 

เพียงแต่ชายที่มีรอยสัญลักษณ์สีแดงไม่คิดฝันว่าบรรพจารย์ขอบเขตตํานายุทธแห่งสํานักสังหารโลหิตไม่สามารถแม้แต่จะต้านซูฉินได้แม้เพียงครู่เดียว กลับสลายหายไปต่อหน้าต่อตา…

 

นี่มันเรื่องบัดซบอันใดกัน?

 

“เป็นไปได้ไหมว่าตํานานยุทธที่อยู่ในพระราชวังถังผู้นี้ไม่ใช่ตํานานยุทธหน้าใหม่ แต่เป็นตํานานยุทธระดับลึกล้ําแล้ว?

 

ชายที่มีรอยแดงบนหน้าผากรู้สึกตกใจจนตัวสั่น ใบหน้าของเขาไม่เหลือความหวังใดอีกต่อไป

 

แม้ว่าตัวเขาจะไม่ใช่ตํานานยุทธ แต่ก็มีบันทึกเกี่ยวกับตํานานยุทธอยู่ภายในสํานักสังหารโลหิต

 

ขอบเขตวิทยายุทธทั้งเก้าระดับชั้นไม่สามารถนํามาเทียบได้กับขอบเขตตํานานยุทธเลย

 

ในขอบเขตวิทยายุทธทั้งเก้าระดับชั้นนั้น หากมีโอกาสที่ ดีก็อาจจะก้าวหน้าได้อย่างก้าวกระโดด ตัดผ่านระดับชั้นครั้งแล้วครั้งเล่า

 

แต่สําหรับขอบเขตตํานานยุทธนั้นแทบไม่มีทางลัดเลย

 

เป็นเหตุผลว่าทําไมตํานานยุทธในยุคสมัยที่ผ่านมาถึงได้ ข้ามน้ําข้ามทะเลไปดินแดนอื่น

 

หนึ่งก็คือเพื่อไล่ตามกลิ่นอายแห่งอายุวัฒนะที่พุ่งหายลับ ไปเมื่อแปดร้อยปีก่อน และอีกหนึ่งก็เพื่อทะลวงไปสู่ระดับชั้นที่สูงขึ้น

 

ในสายตาตํานานยุทธทั้งหลาย ทวีปนี้เป็นเพียงดินแดน ระดับต่ําขาดแคลนทรัพยากร และไม่มีประโยชน์ที่จะอยู่ต่อ

 

“หืม?”

 

ซูฉินเหลือบมองสัญลักษณ์สีเลือดจากนั้นก็สะบัดมืออีกครั้ง ชายที่มีรอยสัญลักษณ์สีแดงก็กลายเป็นฝุ่นละอองหายไปในความว่างเปล่า

 

“นี่คงเป็นสิ่งที่ตํานานยุทธจากสํานักสังหารโลหิตทิ้งเอาไว้?”

 

ซูฉินใช้จิตสั่งการ สัญลักษณ์สีเลือดก็ลอยมาอยู่บนมือของเขา

 

ในตอนนี้รอยร้าวลามไปทั่วทั้งสัญลักษณ์สีเลือดอันนี้ และ ดูเหมือนว่ามันพร้อมจะแตกเป็นเสี่ยงๆ ในอีกเพียงไม่กี่อึดใจ

 

“จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ยังคงมีอยู่ ดูเหมือนว่าตํานานยุทธผู้นี้จะยังมีชีวิตอยู่…”

 

ซูฉินแตะปลายคาง แววตาดูครุ่นคิด

 

เมื่อเจ้าของตกตายลง จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์พวกนี้จะค่อยๆ สลายหายไปอย่างรวดเร็วราวกับต้นไม้ที่ไร้ราก

 

และเนื่องจากยังมีจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ภายในเครื่องหมายสัญลักษณ์สีเลือด หมายความว่าตํานานยุทธจากสํานักสังหารโลหิตยังไม่ได้ตกตายไป

 

อย่างไรก็ตามแม้ว่าซูฉินจะยืนยันเรื่องนี้ได้แล้ว แต่เขาก็ไม่ได้กังวลใจอะไร

 

เขาได้สร้างค่ายกลฟ้าดินมากมายเอาไว้ภายในตําหนักชุนฝั่งขวา ซึ่งสามารถแยกกลิ่นอายภายนอกออกจาก โลกภายนอกได้อย่างสมบูรณ์

 

เกรงว่าตํานานยุทธจากสํานักสังหารโลหิตที่ออกเดินทางไปต่างดินแดนคงจะไม่รู้ว่าจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของตนหายไปด้วยซ้ํา

 

นอกจากนี้

 

ในตอนนี้ซูฉินได้สํารวจจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของตํานานยุทธ จากสํานักสังหารโลหิตอย่างคร่าวๆ แล้ว และพอจะเดาความแข็งแกร่งของคู่ต่อสู้ออก

 

น่าจะอยู่ที่ราวๆ นภาชั้นที่หนึ่งไม่ก็นภาชั้นที่สอง

 

ตํานานยุทธที่มีระดับแค่นี้ แม้เขาจะกลับมาแก้แค้นจริงๆ ซูฉินก็ไม่ได้สนใจอะไรเลย

 

“ ‘อาภรณ์’ ชิ้นนี้วิเศษมาก…”

 

ซูฉินเคลื่อนมือขวาออกไป ‘อาภรณ์’ โปร่งใสสีเลือดจางๆ ก็ลอยมาตรงหน้าเขา

 

เป็น ‘อาภรณ์หยกยับยั้งกลิ่นอาย’ ที่แสนล้ำค่าของสํานักสังหารโลหิต

 

แม้ ‘อาภรณ์หยกยับยั้งกลิ่นอาย’ นี้จะไม่มีประโยชน์สําหรับซูฉิน อย่างดีที่สุดมันก็ปกปิดได้เพียงจอมยุทธที่เพิ่งเข้า ถึงขอบเขตตํานานยุทธเท่านั้น แต่เท่านี้มันก็น่าเหลือเชื่อเต็มทน

 

“ดูเหมือนว่าวัสดุที่ใช้สร้างมันขึ้นมาจะพิเศษ?”

 

ซูฉินมองดู ‘อาภรณ์หยกยับยั้งกลิ่นอาย’ อย่างระมัดระวังทั้งยังแสดงสีหน้าที่ดูครุ่นคิด

 

“เก็บเอาไว้ก่อนดีกว่า คงจะดีไม่น้อยหากเผื่อเอาไว้มอบกายหลัง”

 

ทันทีที่ซูฉันคิดได้ ‘อาภรณ์’ โปร่งใสชิ้นนี้ก็ม้วนตัวตกลงมาบนมือของซูฉินอย่างรวดเร็ว

 

“สํานักสังหารโลหิต?”

 

ซูฉินหรี่ตาลงเล็กน้อย

 

สํานักสังหารโลหิตกล้าที่จะแอบเข้ามาในวังหลวงเพื่อลอบสังหารจักรพรรดิถัง ซึ่งเหมือนเป็นการยั่วยุตัวเขา

 

ตั้งแต่ที่ซูฉินยิงใส่ราชาหัวเมืองทั้งสิบด้วยธนูเก้าประกายยังไม่รู้อีกหรือว่าพระราชวังถังมีเขาคอยคุ้มครองอยู่?

 

“ดูเหมือนว่าอีกไม่นานข้าจะต้องไปเยือนฐานใหญ่ของสํานักสังหารโลหิตเสียหน่อยแล้ว”

 

ซูฉินลุกขึ้นยืนช้าๆ คิดอยู่ในใจเงียบๆ

 

วันถัดมา

 

ซูฉินเดินออกจากตําหนักชุนฝั่งขวาแล้วเดินท่องไปในวังอย่างไม่เร่งรีบ

 

ซูฉินมาหยุดอยู่ที่จัตุรัสหยกขาวโดยไม่รู้ตัว

 

“วันนี้ลงชื่อที่นี่ก็แล้วกัน”

 

ซูฉินหยุดคิดแล้วก็ตัดสินใจได้

 

ในช่วงที่ผ่านมาเขาได้ลงชื่อเข้าใช้ที่แท่นบูชาเทพธรณีฯ หวังจะได้โอสถไทหยวน” อีก แต่น่าเสียดายที่เขาไม่ได้รับมาเลยสักเม็ดเดียว

 

ซูฉินวางแผนไว้ว่าจะลองเปลี่ยนที่บ้างเพื่อปรับอารมณ์ของตัวเอง

 

“ระบบ ลงชื่อเข้าใช้”

 

ซูฉินเงยหน้าขึ้นมองไปยังจัตุรัสหยกขาว กําหนดจิตอยู่ในใจ

 

[ขอแสดงความยินดี โฮสต์ลงชื่อเข้าใช้สําเร็จได้รับ ‘พลังมังกรคชสารปัญญาบารมี’ ]

 

“พลังมังกรคชสารปัญญาบารมี?”

 

หัวใจของซูฉินกระตุกวูบ

 

พลังมังกรคชสารปัญญาบารมีเป็นเคล็ดวิชาบ่มเพาะร่างกาย แต่ผลของมันกลับไม่ได้ช่วยขัดเกลาร่างกาย แต่เป็นการเพิ่มพูนความแข็งแกร่ง

 

พลังมังกรคชสารปัญญาบารมีแบ่งออกเป็นสิบสามระดับ แต่ละระดับจะมีพลังเทียบเท่ามังกรหนึ่งตัวและช้างหนึ่งเชือก เมื่อขึ้นไปสู่ขั้นสูงสุดนั่นก็คือขั้นที่สิบสาม ผู้ฝึกก็จะมีพลัง เทียบเท่ามังกรสิบสามตัวและช้างสิบสามเชือก สามารถทุบทําลายเมืองจนเป็นหลุมเป็นบ่อได้เพียงแค่ขยับตัว 

 

แง่หนึ่งพลังมังกรคชสารปัญญาบารมีไม่เหมือนกับวิชานๆ ที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะทาง

 

พลังมังกรคชสารปัญญาบารมีเป็นเพียงวิชาที่ให้ผลสัมฤทธิ์เพียงแค่เรื่องของความแข็งแกร่งเท่านั้น

 

แน่นอนว่าพลังมังกรคชสารปัญญาบารมีใช่ว่าจะไม่มีข้อบกพร่อง มันยากมากที่จะฝึกฝน มีคนจํานวนมากที่ฝึกฝนมาตลอดชีวิตก็อยู่เพียงขั้นหนึ่ง ขั้นสอง เพียงเท่านั้น ไม่ค่อยมีความคืบหน้ามากนัก

 

แน่นอนว่าข้อบกพร่องนั้นไม่มีผลต่อซูฉิน

 

ด้วยการฝังข้อมูลของระบบ ความเข้าใจในวิชามังกรคช สารปัญญาบารมีของซูฉินเทียบเท่าผู้คิดค้นวิชาเรียบร้อยแล้ว ควบคู่ไปกับทรัพยากรที่พรั่งพร้อม อาทิ โลหิตรู้แจ้งผลไม้สีแดง ฯลฯ มันจึงเป็นเรื่องที่แน่นอนที่ซูฉินจะสามารถฝึกฝนวิชามังกรคชสารปัญญาบารมีจนถึงขั้นที่สิบสามซึ่งเป็นระดับสูงสุด

 

“ไม่เลว”

 

ใบหน้าของซูฉินแต้มไปด้วยความสุข

 

ทุกวันนี้มีเคล็ดวิชาจํานวนไม่มากนักที่จะส่งผลต่อความรู้สึกเขา และพลังมังกรคชสารปัญญาบารมีก็เป็นหนึ่งในนั้น

 

“คืนนี้ต้องเตรียมตัวฝึกฝน และจะพยายามฝึกให้ถึงวันสิ บสามภายในสองวัน!”

 

ภายในโถงชีวิตนิรันดร์

 

แม่ทัพแห่งวังหลวงคุกเข่าข้างหนึ่งแล้วกล่าวด้วยเสียงต่ำว่า “ฝ่าบาท ข้าและรองแม่ทัพได้ตรวจค้นภายในพระราชวังหลายรอบแล้ว แต่ไม่พบร่องรอยผู้ที่ลอบสังหารเลย”

 

“ไม่พบ?”

 

จักรพรรดิถังขมวดคิ้วเล็กน้อย

 

ตัวเขาไม่ได้สงสัยในตัวของแม่ทัพแห่งวังหลวง ถ้าแม่ทัพ และมือสังหารร่วมมือกัน ปานนี้เขาคงจะตายไปนานแล้ว คงไม่มีชีวิตรอดมาจนถึงตอนนี้

 

“มีเบาะแสอะไรจากประตูเมืองทั้งสี่ทิศหรือไม่?” จักรพรรดิถังไต่ถามทันที

 

ในสายตาขององค์จักรพรรดิถัง หากนักฆ่าจากสํานักสังหารโลหิตต้องการจะหนีออกไป มันก็ทําได้เพียงหลบหนีออกทางประตูเมืองทั้งสี่ทิศเท่านั้น

 

“รายงานฝ่าบาท ประตูเมืองได้รับการปกป้องโดยกองทัพกลุ่มใหญ่ตลอดเวลา และรองแม่ทัพก็ได้เดินลาดตระเวนอยู่เป็นเวลาสิบสองชั่วโมงโดยไม่มีหยุดพัก แต่ก็ยังไม่ พบมือสังหาร”

 

แม่ทัพแห่งวังหลวงก้มหัวลง

เมื่อจักรพรรดิถังได้ยินเช่นนี้ ความสงสัยก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขา

 

มือลอบสังหารไม่ได้อยู่ในวัง และก็ไม่ได้ออกไปทางประตูเมืองทั้งสี่ทิศ มันจะเป็นไปได้เช่นไรที่คนคนหนึ่งจะหายไปอย่างสมบูรณ์?

 

พลังนาคคชสารปัญญาบารมีเป็นวิชาพลังภายในปรากฏในนิยายเรื่อง จอมยุทธ์เทพอินทรี ของกิมย้ง มีที่มาจากคัมภีร์นาคคชสารปัญญาบารมี เป็นสุดยอดวิชาของนิกาย มิกจง มีทั้งสิ้น 13 ขั้น แต่สังฆราชจักรทองฝึกถึงขั้นที่ 10 ก็ แทบไร้ผู้ทัดเทียม

 

ตามต้นฉบับนิยายวิชานี้หากฝึกตามขั้นตอนแต่ละขั้นตอน ไม่มีทางฝึกฝนได้สําเร็จ ถ้าหากจะมีคนฝึกสําเร็จก็ต้องมีอายุร่วมพันปี โดยเฉพาะขั้นที่ 13 หากฝึกสําเร็จมีพลังประหนึ่งมังกร 13 ตัว และช้าง 13 เชือก เพียงแต่อายุขัยคนมีจํากัด บรรดาผู้อาวุโสมิกจงในอดีตก่อนจากโลกนี้ไปอย่างมากเพียงบรรลุได้ถึงแค่ขั้นที่ 7เท่านั้น

 

Sign in Buddha’s palm 152 ตํานานยุทธสังหารโลหิต

 

ภายในตําหนักชุนฝั่งขวา

 

ชายที่มีรอยสัญลักษณ์สีแดงเลือดกวาดตามองไปรอบๆ อย่างรวดเร็ว หลังจากที่แน่ใจว่าไม่มีการซุ่มโจมตี เขาก็เปลี่ยนเป้าหมายมามองชายที่นั่งขัดสมาธิอยู่เบื้องหน้า

 

“เขาคือซูฉินงั้นรึ?”

 

ชายที่มีรอยสีแดงเลือดบนหน้าผากไม่ได้ลงมือในทันที เพราะเขาไม่รู้สึกถึงความผันผวนจากกําลังภายในของซูฉินเลย อีกฝ่ายเป็นคนธรรมดาที่ไม่ได้เรียนรู้วิทยายุทธ 

 

ต่อหน้าคนธรรมดา แม้ว่าชายที่มีรอยสัญลักษณ์สีแดงเพิ่งจะใช้ทักษะลับต้องห้ามจนบอบช้ําภายในอย่างรุนแรง เขาก็ไม่คิดว่ามันจะมีภัยคุกคามใดๆ

 

เมื่อชายที่มีรอยสัญลักษณ์สีแดงกําลังคิดย่ามใจ

 

จู่ๆ เขาก็พลันตกใจ

 

“ไม่ถูกต้อง!”

 

“ผิดปกติยิ่ง!”

 

รูม่านตาของชายที่มีรอยสัญลักษณ์สีแดงเลือดหดตัวแคบลง ในที่สุดเข้าก็ค้นพบความผิดปกติในที่แห่งนี้มันเงียบ

 

ที่นี่เงียบเกินไป

 

ต้องรู้ว่าชายที่มีรอยสัญลักษณ์สีแดงเพิ่งจะพยายามลอบสังหารจักรพรรดิถังแต่ล้มเหลว ตามหลักแล้วทั่วพระราชวังควรจะเต็มไปด้วยทหารลาดตระเวนเดินตรวจตราค้นหา

 

แต่ตอนนี้

 

ชายที่มีรอยสีแดงบนหน้าผากไม่ได้ยินเสียงใดๆ เลย ราวกับถูกตัดขาดออกจากโลกภายนอกอย่างสิ้นเชิง

 

เมื่อมาถึงจุดนี้ใบหน้าของเขาก็เปลี่ยนเป็นซีดเซียว และรู้สึกว่าตนไม่ควรจะมาที่พระราชวังตะวันออกนี่

 

“เจ้าเพิ่งลอบสังหารจักรพรรดิถังมาหรือ?”

 

ในขณะนี้เองซูฉินเหลือบมองมาทางชายที่มีรอยสีแดงเลือดบนหน้าผาก ก่อนจะพูดออกไปอย่างสบายๆ

 

ยามเมื่อชายที่มีรอยสัญลักษณ์สีแดงบุกเข้ามาในตําหนักชุนฝั่งขวาแล้วตกอยู่ในค่ายกลฟ้าดิน ซูฉินก็ตื่นตระหนก

 

แต่หลังจากที่ซูฉินใช้จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ครอบคลุมทั่วทั้งวังหลวง เขาก็รู้ได้ทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น

 

“ไม่แปลกใจเลยที่เจ้ากล้าเข้ามาในวังหลวง นั่นก็เพราะอาศัยสมบัติยับยั้งกลิ่นอายที่อยู่บนร่างของเจ้าสินะ?”

 

ซูฉินเหลือบมองชายที่มีรอยสัญลักษณ์สีเลือด สังเกตเห็นว่าอีกฝ่ายสวมใส่ชุดโปร่งใสที่มีสีแดงจางๆ 

 

ตามจริงแล้ว ด้วย”อาภรณ์” ชุดนี้ทําให้กลิ่นอายของชายที่มีรอยสัญลักษณ์สีแดงเกือบจะกลมกลืนไปกับสภาพแวดล้อมโดยรอบ หากพบกับจอมยุทธที่เพิ่งเข้าสู่ขอบเขตตํานานยุทธ ก็คงจะหลบหนีการตรวจจับได้จริงๆ

 

แน่นอนว่ามันเพียงจํากัดอยู่แค่ตํานานยุทธระดับนภาชั้นที่หนึ่งเท่านั้น

 

เมื่อต้องเผชิญหน้ากับตํานานยุทธระดับนภาชั้นที่สอง ผลของ”อาภรณ์” ชิ้นนี้จะลดลงอย่างมาก และสําหรับตํานานยุทธระดับนภาชั้นที่สาม “อาภรณ์” ชิ้นนี้แทบจะไม่ส่งผลอีกต่อไปแล้ว

 

สําหรับซูฉินซึ่งเป็นอรหันต์ที่ใกล้จะถึงขั้นสมบูรณ์ของนภาชั้นที่ห้านั้น “อาภรณ์” ของชายที่มีรอยสัญลักษณ์สีแดงเลือดชิ้นนี้ก็ได้สูญเสียความสามารถในการปิดบังกลิ่น อายไปเสียนานแล้ว

 

“สมบัติยับยั้งกลิ่นอาย?”

 

“เจ้ารู้เรื่องนี้ได้อย่างไร?”

 

ชายที่มีรอยสัญลักษณ์สีแดงรู้สึกหนาวเย็นจับขั้วหัวใจ 

 

รู้หรือไม่ว่าอาภรณ์หยก”ยับยั้งกลิ่นอาย” บนร่างของเขาสามารถปกปิดตัวตนต่อตํานานยุทธได้ แต่ซูฉินกลับปราดตามองแวบเดียวก็เห็นมันได้ตั้งแต่แรก

 

นี่ นี่ นี่เป็นไปได้อย่างไร?

 

ยิ่งชายที่มีรอยสัญลักษณ์สีแดงคิดเรื่องนี้มากเท่าไหร่ หนังศีรษะเขาก็ยิ่งชาวาบมากขึ้นเท่านั้น

 

สมองเขาแล่นเร็วจี้ จู่ๆ ความคิดที่น่าเหลือเชื่อก็ปรากฏขึ้นในใจของชายที่มีรอยสัญลักษณ์สีแดงเลือด

 

หรือชายที่ชื่อซูฉินที่อยู่เบื้องหน้าของเขานี้คือตํานานยุทธที่ซ่อนตัวอยู่ในวังงั้นหรือ?

 

เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ ชายที่มีรอยสัญลักษณ์สีแดงก็เริ่มตัวสั่น ความรู้สึกสํานึกในความผิดพลาดของตนซึ่งไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน บัดนี้เกิดขึ้นจนท่วมท้นในหัวใจ

 

เขาจะหนีไปไหนได้ แม้ว่าอยู่ภายในโถงชีวิตนิรันดร์ ดิ้นรนหลบหนียอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งนับสิบคนก็ยังดีกว่าวิ่งหนีไปเอาตัวรอดจากตํานานยุทธ..

 

ทันใดนั้นชายที่มีรอยสัญลักษณ์สีแดงก็พลันคิดภาพที่ตนเองเพิ่งออกจากถ้ำของหมาป่ามาเจอถ้ำเสือ

 

ไม่ใช่

 

นี่ไม่ใช่ถ้ำเสืออีกต่อไป

 

มันคือรังมังกร รังหงส์เพลิง…

 

“เจ้าเป็นใคร” ซูฉินเหลือบมองชายผู้มีรอยสัญลักษณ์สีแดงที่กําลังสั่นเทา แล้วจึงเอ่ยถาม

 

“ข้า….”

 

ชายที่มีรอยสีแดงเลือดบนหน้าผากเปิดปากพูดออกมา การแสดงออกทั้งหมดเปลี่ยนไปกลายเป็นให้ความเคารพอย่างยิ่งยวด

 

หากการคาดเดาของเขาเป็นความจริงที่ซูฉินเป็นตํานานยุทธที่ซ่อนตัวอยู่ในวัง ในตอนนี้เขาก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากจะต้องให้เกียรติคนตรงหน้า

 

“นักฆ่า ศิษย์หลักจากสํานักสังหารโลหิต ขอคารวะผู้อาวุโส…” ชายที่มีรอยสัญลักษณ์สีแดงเลือดก้มศีรษะลงก่อนจะกล่าวคํา เขาไม่กล้ามองไปยังซูฉินตรงๆ

 

แม้ว่าในสายตาของชายที่มีรอยสัญลักษณ์สีแดง ซูฉินจะยังดูเด็กมาก ไม่ได้ดูแก่ไปกว่าตนเลยสักนิด

 

แต่ถ้าซูฉินเป็นตํานานยุทธจริงๆ รูปลักษณ์ที่อ่อนเยาว์ มันยังจะเป็นเรื่องใหญ่อะไรเล่า?

 

สําหรับตํานานยุทธ การฟื้นกลับสู่ความเยาว์วัยนั้นง่ายดายราวกับการกินดื่มอาหาร

 

ซูฉินดูยังหนุ่มมาก แต่บางทีเขาอาจจะเป็นสัตว์ประหลาด เฒ่าที่มีชีวิตมาหลายร้อยปีแล้วก็เป็นได้?

 

“สํานักสังหารโลหิต?”

 

“คนของสํานักสังหารโลหิต?”

 

ใบหน้าของซูฉินมีแววครุ่นคิด

 

เขาอยู่ในวังมานานกว่าสิบปี และได้อ่านหนังสือในวังมาหมดแล้ว แน่นอนว่าย่อมรู้จักองค์กรนักฆ่าอย่างสํานักสังหารโลหิต

 

เมื่อเร็วๆ นี้ ตํานานยุทธคนล่าสุดก็มาจากสํานักสังหารโลหิตนี่แหละ

 

เนื่องจาก หลังตํานานยุทธจากสํานักสังหารโลหิตหายตัวไปเมื่อสองร้อยปีก่อน ก็ไม่มีตํานานยุทธคนอื่นที่กําเนิดขึ้นในดินแดนแห่งนี้

 

ยกเว้นซูฉิน

 

สําหรับคนตรงหน้าเขาเป็นถึงศิษย์หลักของสํานักสังหารโลหิต ซึ่งจะได้เป็นผู้นําของสํานักสังหารโลหิตในอนาคต 

 

วิชาลอบสังหารโลหิตที่ถ่ายทอดให้กับศิษย์หลักแต่ละรุ่นล้วนสืบทอดมาจากตํานานยุทธของสํานักสังหารโลหิตเมื่อสองร้อยปีก่อน

 

“ครานี้สํานักสังหารโลหิตได้มารบกวนผู้อาวุโสเสียแล้ว ความผิดครั้งนี้สมควรตายนับหมื่นๆ ครั้ง เมื่อข้ากลับออกไปข้าจะให้สํานักสังหารโลหิตมาขอโทษท่านอย่างจริงใจแน่นอน ”

 

ชายที่มีรอยสัญลักษณ์สีแดงโค้งคารวะแล้วกล่าวคํา

 

เขาจงใจย้ำคําว่า “สํานักสังหารโลหิต” ถึงสองครั้งเพื่อให้ซูฉินเกรงใจกันบ้างสักเล็กน้อย

 

แม้ว่าตํานานยุทธจากสํานักสังหารโลหิตจะหายตัวไป แต่ก็ไม่ได้ตายจากไปอย่างสมบูรณ์

 

หากซูฉินพอจะเกรงกลัวอยู่บ้างในใจ มันคงเป็นวิธีเอาตัวรอดเพียงอย่างเดียวของเขา

 

“ข้ารู้แล้วล่ะ”

 

ซูฉินพยักหน้าเล็กน้อย “งั้นเจ้าก็จงตายไปเสีย”

 

ซูฉินยกมือขึ้น คว้าจับออกไปสุ่มๆ ในอากาศ

 

ทันใดนั้นคลื่นพลังที่มองไม่เห็นก็ปกคลุมไปทั่วทั้งตําหนักชุนฝั่งขวาในทันที

 

พลังในอากาศทุกอณูเหมือนถูกแช่แข็ง ภายใต้คลื่นพลังนี้ ชายที่มีรอยสัญลักษณ์สีแดงรู้สึกเหมือนว่าตนเป็นแมลงที่ตกลงไปในทะเลสาบ แค่เคลื่อนไหวยังยาก นับประสาอะไรกับการพยายามหลบหนี

 

“อ้า!”

 

สีหน้าของชายที่มีรอยสัญลักษณ์สีแดงเลือดเปลี่ยนไปเป็นหวาดกลัว แต่ด้วยอํานาจแรงกดดันที่แข็งแกร่งเช่นนี้ ชายที่มีรอยสัญลักษณ์สีแดงไม่สามารถทําอะไรได้นอกจากค่อยๆ มองตนเองมุ่งหน้าสู่ความตาย

 

ทันใดนั้น

 

ยามเมื่อชายที่มีรอยสัญลักษณ์สีแดงเลือดกําลังจะถูกบดขยี้

 

หวึ่ง!

 

สัญลักษณ์สีแดงเลือดบนหน้าผากก็พลันเรืองแสงออกมา

 

ในทันทีหลังจากนั้น

 

ร่างกํายําสวมใส่ชุดคลุมสีแดงเลือด ดวงตาสีแดงสดก็โผล่ออกมาจากสัญลักษณ์อันนั้น

 

“ท่านบรรพจารย์!”

 

ชายที่มีรอยสัญลักษณ์สีแดงเห็นภาพนั้น ใบหน้าของเขาก็แสดงออกถึงความยินดี

 

สัญลักษณ์สีเลือดบนหน้าผากของเขาเปรียบเหมือนของประจําตัวของศิษย์หลักแต่ละรุ่น ว่ากันว่ามันถูกทิ้งเอาไว้โดยตํานานยุทธของสํานักสังหารโลหิตเมื่อสองร้อยปีก่อน

 

เดิมที่ชายที่มีรอยสัญลักษณ์สีแดงคิดว่าสิ่งนี้เป็นเพียงสัญลักษณ์ แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่ามันจะเป็นไฟลับที่ถูกทิ้งไว้โดยตํานานยุทธของสํานักสังหารโลหิต

 

“คิดสังหารลูกศิษย์ข้างั้นรึ”

 

ทันทีที่ร่างมายาในชุดคลุมสีแดงปรากฏขึ้น มันก็มองไปที่ซูฉินซึ่งนั่งขัดสมาธิอยู่ไม่ไกลทันทีหลังจากนั้น

 

ร่างมายาชุดคลุมแดงก็เห็นซูฉินใช้มือขวาคว้าจับอากาศเบื้องหน้าเบาๆ

 

ในเวลาต่อมา

 

ร่างมายาในชุดคลุมสีแดงก็แสดงสีหน้าไม่อยากเชื่อ ทั้งร่างเริ่มแตกเป็นเสี่ยงๆ ในที่สุดก็สลายหายไปกลายเป็นฝุ่นลอยไปในอากาศ

 

“นี่คือ?”

 

ชายที่มีรอยสัญลักษณ์สีแดงเห็นฉากดังกล่าว เขาก็ได้แต่ยืนอยู่แบบนั้น ในใจไม่คิดอยากจะเชื่อภาพที่ตนเห็น

Sign in Buddha’s palm 151 ความหวังที่มาพร้อมกับความสิ้นหวัง

ภายในโถงชีวิตนิรันดร์

 

ชายที่มีรอยสีแดงเลือดบนหน้าผากจ้องไปที่จักรพรรดิถังซึ่งซ่อนตัวอยู่ด้านหลังขันที่ชุดแดง หัวใจสั่นกระตุก

 

เขาแอบเข้ามาในพระราชวังถังครั้งนี้ คิดไปว่าความเสี่ยงที่ใหญ่หลวงที่สุดคือการที่อาจถูกค้นพบโดยตํานานยุทธที่อยู่ภายในพระราชวัง

 

ด้วยเหตุนี้ชายที่มีรอยสัญลักษณ์สีแดงเลือดจึงสวมใส่สมบัติประจําสํานักสังหารโลหิต “อาภรณ์หยกยับยั้งกลิ่นอาย ซึ่งสร้างไว้เป็นพิเศษ จุดประสงค์ในครั้งนี้เพื่อใช้ในการป้องกันไม่ให้ตํานานยุทธค้นพบตัวตนของเขาได้

 

“อาภรณ์หยกยับยั้งกลิ่นอาย ถูกทิ้งไว้โดยตํานานยุทธ เมื่อสองร้อยปีก่อน การสวมใส่อาภรณ์หยกผืนนี้สามารถหลบเลี่ยงการตรวจจับของตํานานยุทธคนอื่นๆ ได้อย่างสม บูรณ์

 

นี่คือที่พึ่งของชายที่มีรอยสีแดงเลือดบนหน้าผาก

 

ในความคิดของเขา ตราบใดที่ตํานานยุทธภายในวังหลวงไม่ได้ลงมือ การลอบสังหารจักรพรรดิถังควรจะสําเร็จได้อย่างสวยงาม

 

“เจ้ารู้ว่าข้าจะมาลอบสังหาร?”

 

ชายที่มีรอยสีแดงบนหน้าผากก็นึกขึ้นมาได้ มองไปที่จักรพรรดิถังพร้อมเปิดปากพูด

นี่เป็นเพียงสิ่งเดียวที่เขาคิดออก

 

ด้วยวิธีนี้จักรพรรดิถังจึงตื่นตัวเตรียมพร้อม ให้ยอดฝีมือซ่อนตัวอยู่ในเงามืดภายในวังหลวง และเมื่อมีสิ่งใดเกิดขึ้น คนเหล่านั้นก็จะปรากฏตัวออกมา ทําให้เกิดฉากดังที่ได้เห็น

 

“ไม่เลว”

 

จักรพรรดิถังพยักหน้าเล็กน้อยเมื่อได้ยินคําพูดของชายที่มีรอยสัญลักษณ์สีแดง

 

อันที่จริง นับตั้งแต่การลอบสังหารที่จักรพรรดิถังประสบ เมื่อตอนที่เขายังเป็นองค์รัชทายาทก็ทําให้เขาเตรียมตัวป้องกันการลอบสังหารไว้อยู่เสมออยู่แล้ว

 

เขายิ่งระแวงมากขึ้นไปอีกหลังจากได้ทราบเรื่องราวเบื้องหลังว่าสํานักสังหารโลหิตเกี่ยวข้องกับการก่อกบฏของราชาหัวเมืองทั้งสิบ

 

เพราะสิ่งที่สํานักสังหารโลหิตถนัดที่สุดคือการลอบสังหาร

 

ดังนั้นก่อนที่บุตรชายของราชาหัวเมืองจะเข้ามาภายในวังหลวง เขาได้ขอให้ขันที่ชุดแดงที่อยู่ในระดับชั้นที่หนึ่ง ทุกคนแอบอยู่ในเงามืดคอยปกป้องตัวเขา จากนั้นจึงให้รองแม่ทัพกว่าหนึ่งโหลเตรียมคุ้มกันอีกชั้น และหากมีเหตุร้ายใดก็ให้รีบนํากองทัพเข้ามาล้อมโถงชีวิตนิรันดร์ได้ในทันที

 

การจัดการขององค์จักรพรรดิสามารถกล่าวได้ว่าราบรื่น เป็นธรรมชาติยิ่ง

 

แม้ว่ามือสังหารจะเป็นยอดปรมาจารย์ขั้นสูงสุด แต่ด้วยการคุ้มกันของวันที่ชุดแดงกว่าโหลสามารถยื้อเวลาได้ชั่วขณะหนึ่ง เพียงพอให้จักรพรรดิถังล่าถอยไปได้

 

จากนั้นกองทัพด้านนอกห้องโถงก็จะเข้าล้อมและปราบปราม มีความเป็นไปได้สูงว่าจะสามารถสังหารยอดปรมาจารย์ขั้นสูงสุดได้แม้จะช้าสักหน่อย

 

“ตอนแรกข้าคิดว่าจะเป็นยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่ง ขั้นสูงสุดที่มาลอบสังหารข้า แต่เจ้ากลับไม่ใช่…”

 

จักรพรรดิถังส่ายศีรษะ มองแล้วให้ความรู้สึกเหมือนกําลังสมเพชเวทนา

 

“ยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสูงสุด…”

 

ใบหน้าของชายที่มีรอยสีแดงเลือดบนหน้าผากแข็งทื่อไปในทันที

 

แม้ว่าจะเป็นถึงสํานักสังหารโลหิต แต่ก็มียอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสูงสุดเพียงแค่สี่คนสามคนสิ้นชีวิตไปแล้ว ด้วยแสงศักดิ์สิทธิ์นั่น และที่เหลืออีกหนึ่งจําเป็นจะต้องประจําการอยู่ที่ฐานใหญ่ของสํานักสังหารโลหิต

 

เรียกได้ว่าไม่มียอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสูงสุดที่สํานักสังหารโลหิตจะส่งออกมาได้ในยามนี้

 

“เจ้าจะยอมจํานนด้วยตัวเจ้าเอง หรือให้คนของข้าจัดการ?” จักรพรรดิถังเอ่ยถาม จ้องมองไปยังชายที่มีรอยสัญลักษณ์สีเลือดด้วยท่าทางถมึงทึง

 

“จะให้ยอมจํานนงั้นหรือ?”

 

ชายที่มีรอยสัญลักษณ์สีเลือดจ้องตรงไปยังจักรพรรดิถัง กัดฟันพูดออกมาประโยคหนึ่ง “เป็นเวลากว่าหลายร้อยปี คนของสํานักสังหารโลหิตไม่เคยถูกจับกุมด้วยน้ำมือของใครมาก่อน”

 

เสียงพูดเพิ่งจบไป

 

ร่างของชายที่มีรอยแดงบนหน้าผากก็หายไป

 

“ไม่ดีแล้ว!”

 

ขันที่ชุดแดงจํานวนหนึ่งเห็นสิ่งนั้นสีหน้าของพวกเขาก็แปรเปลี่ยนไป ล้อมปกป้องจักรพรรดิถังที่อยู่เบื้องหลังอย่างแน่นหนา ดวงตากวาดส่ายไปรอบๆ

 

ในตอนนั้นเอง

 

ก็มีเสียงการปะทะกันอยู่ด้านนอกโถงชีวิตนิรันดร์

 

“เขาหนีไปแล้ว?”

 

ขันทีชุดแดงเหลือบมองหน้ากัน แต่ไม่ได้ออกไปช่วยสนับสนุน

 

หน้าที่ของพวกเขาคือคอยคุ้มกันองค์จักรพรรดิถัง หากพวกเขารีบร้อนพุ่งออกไป อาจจะติดกับแผนการล่อเสือออกจากถ้ำของฝ่ายตรงข้าม หากเป็นเช่นนั้นจักรพรรดิถังอาจจะสิ้นพระชนม์ก็เป็นได้

 

นอกจากนี้ยังมีรองแม่ทัพมากมายอยู่ภายนอกโถงชีวิตนิรันดร์ มือสังหารคงอยู่ได้ไม่นาน อย่างมากสุดก็คงแค่หนีไปได้สําเร็จ

 

พวกเขาเพียงต้องรับรองความปลอดภัยให้กับจักรพรรดิถังก่อนเป็นอันดับแรก

ในตอนนี้

 

ด้านนอกโถงชีวิตนิรันดร์

 

ชายที่มีรอยสัญลักษณ์สีแดงมองดูรองแม่ทัพของวังหลวงกําลังรุกคืบเข้ามาหาตนอย่างเงียบๆ

 

“บ้าเอ๊ย!!!”

 

ชายที่มีรอยสัญลักษณ์สีแดงสูดลมหายใจเข้าลึกเต็มปอด รู้สึกว่าครั้งนี้ตนอาจจะถูกฝังกลบอยู่ในสถานที่แห่งนี้ก็เป็น

 

“ให้ตายเถอะ!”

 

เห็นรองแม่ทัพคนหนึ่งก้าวเข้ามา ซัดหนึ่งฝ่ามือเข้าหาตัวเขา

 

เปรี้ยง

 

เสียงฉีกกระชากอากาศดังขึ้นเบาๆ เนื่องมาจากฝ่ามือนี้ เห็นได้ชัดว่าทรงพลังยิ่ง สีหน้าของชายที่มีรอยสัญลักษณ์สีเลือดเปลี่ยนไปชั่วขณะ

 

ฟิ้ว!

 

ร่างของชายที่มีรอยสัญลักษณ์สีเลือดกลายเป็นเงาอีกครั้ง สามารถหลบเลี่ยงฝ่ามือนี้ได้อย่างฉิวเฉียด

 

ทันใดนั้น

 

แม่ทัพนายกองต่างๆ ที่ยืนอยู่ไม่ไกลก็ลงมือในทันที

 

“หมัดบดขยี้”

 

แม่ทัพของวังหลวงคือยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่ง อากาศสันสะเทือนยามเมื่อเขาออกหมัด

 

“อ้าาาาา!”

 

“เจ้าบังคับขาเองนะ!”

 

เมื่อชายที่มีรอยสัญลักษณ์สีแดงเห็นแบบนั้นก็รู้แล้วว่า ตนคงหนีไม่พ้น

 

ช่วงเวลาต่อมา

 

รอยสีแดงบนหน้าผากก็ระเบิดออก กลายเป็นละอองเลือดพุ่งออกมา

 

ทันใดนั้น

 

ความแข็งแกร่งของชายที่มีรอยสัญลักษณ์สีแดงก็พุ่งสูงขึ้น จนขึ้นมาถึงระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสูงสุดในชั่วพริบตา

 

เพล้ง!

 

ร่างของแม่ทัพวังหลวงก็ลอยกระเด็นออกไป

 

ชายที่มีรอยสัญลักษณ์สีแดงขับไล่แม่ทัพออกไปได้ แต่เขาไม่ได้ใช้ประโยชน์จากจังหวะดังกล่าวเข้าติดตามสังหาร แต่กลับเหลือบมองรองแม่ทัพอีกนับสิบคนอย่างเย็นชา ก่อนที่ร่างของเขาจะกลายเป็นเงาอีกครั้งแล้วหายตัวไปจากที่ตรงนั้น

 

“มันใช้วิชาต้องห้าม คงวิ่งหนีไปได้ไม่ไกล”

 

“ออกคําสั่ง ค้นหาให้ทั่ววัง อย่าปล่อยให้มันหนีไปได้เป็นอันขาด”

 

แม่ทัพแห่งวังหลวงฟื้นตัวขึ้นมาอย่างรวดเร็ว มองดูรองแม่ทัพคนอื่นๆ จากนั้นจึงกล่าวคําด้วยน้ำเสียงอันหนักแน่น

 

ในเวลาเดียวกัน

 

ไม่ไกลจากโถงชีวิตนิรันดร์ ในเงามืดแห่งหนึ่งที่ไม่ได้โดดเด่นอะไรนัก

 

ชายที่มีรอยสัญลักษณ์สีแดงยืนอยู่ตรงจุดนั้นด้วยท่าทางที่แสนจะมืดมน

 

“ต้องออกจากวังโดยเร็วที่สุด”

 

ทันใดนั้น ชายที่มีรอยสัญลักษณ์สีเลือดก็รู้สึกถึงความเร่งรีบในใจ

 

ตอนนี้วังหลวงก็เหมือนกับถ้ำเสือสระมังกรสําหรับตน ร่องรอยของเขาอาจจะถูกเปิดเผยเมื่อไหร่ก็ได้ หากเป็นแบบนั้นคงถูกปิดล้อมปราบปรามอีกครั้งเป็นแน่

 

“ประตูวังทั้งสี่ด้านนั้นได้รับการคุ้มกันอย่างแน่นหนาด้วยกองกําลังส่วนพระองค์ ด้วยสภาพปัจจุบันของข้าหากเข้าไปใกล้อาจจะถูกพบเห็นได้”

 

ความคิดของชายที่มีรอยสัญลักษณ์สีแดงหมุนเวียน เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว พลางคิดว่าตนจะเอาชีวิตรอดออกไปได้อย่างไร

 

“ไหนจะยังตํานานยุทธที่อยู่ในวังนั่นอีก…”

 

ชายที่มีรอยสัญลักษณ์สีแดงตื่นตระหนก

 

เพราะตัวเขาได้ก่อความวุ่นวายครั้งใหญ่ แม้ว่าจะ มี”อาภรณ์หยกยับยั้งกลิ่นอาย” ก็คงเป็นไปไม่ได้ที่จะปิดบังตํานานยุทธในตอนนี้

 

แต่ก็เท่านั้น

 

เนื่องจากตํานานยุทธยังไม่ลงมืออะไรจนถึงตอนนี้ ชายที่มีรอยสัญลักษณ์สีแดงเดาว่าอีกฝ่ายคงออกจากวังไปทําธุระบางอย่าง?

 

เมื่อคิดได้ดังนี้ ชายที่มีรอยสัญลักษณ์สีแดงเลือดก็โล่งใจมากขึ้น

 

“ตอนนี้ข้าต้องหาสถานที่สําหรับซ่อนตัวที่ยากจะค้นหา จากนั้นจึงรักษาอาการบาดเจ็บ รอจนกว่าการตรวจตราภายในวังจะผ่อนปรน จากนั้นจึงหาจังหวะหนีออกไป”

 

แม้ว่าชายที่มีรอยสัญลักษณ์สีแดงต้องการจะออกจากวังหลวง แต่เขาก็รู้ว่าคงจะออกไปไม่ได้ในช่วงเร็วๆ นี้

 

“ข้าควรจะไปพักฟื้นที่ไหนดี?”

 

ชายที่มีรอยสัญลักษณ์สีแดงเลือดมองไปรอบๆ และในที่สุดก็หยุดสายตาเมื่อมองไปยังทิศทางของพระราชวังตะวันออก

 

“ปัจจุบันอาณาจักรถังยังไม่มีการแต่งตั้งรัชทายาท พระราชวังตะวันออกย่อมรกร้างไม่มีคนอาศัยอยู่เป็นธรรมดา ถ้าข้าเลือกที่นี่เพื่อฟื้นตัวก็คงพอเป็นไปได้”

 

ชายที่มีรอยสัญลักษณ์สีแดงคิดได้ดังนี้ ก็กลายเป็นร่างเงาอีกครั้งและพุ่งไปที่

พระราชวังตะวันออกอย่างรวดเร็ว 

 

“ตราบใดที่ข้าไปถึงพระราชวังตะวันออก ข้าก็ยังพอมีหวังที่จะรอดชีวิตอยู่”

 

เขามีแรงปรารถนาอย่างแรงกล้าข้างในหัวใจ ความเร็วก็เพิ่มขึ้นมากในชั่วระยะเวลาหนึ่ง

 

“ตามที่สํานักสังหารโลหิตได้สืบทราบมา แม้ตอนนี้พระราชวังตะวันออกจะถูกทิ้งร้าง อย่างไรก็ยังมีซูฉิน พี่ชายคนที่สามของฮองเฮาองค์ปัจจุบันอาศัยอยู่”

 

“หากข้าสามารถควบคุมซูฉินได้ บางทีข้าอาจจะลอบเข้าไปข้างกายจักรพรรดิถังและลอบสังหารได้อีกครั้ง”

 

ยิ่งชายที่มีรอยสัญลักษณ์สีแดงเลือดคิดเรื่องนี้มากเท่าไหร่ ดวงตาของเขาก็ยิ่งสดใสมากขึ้นเท่านั้น

 

ทันใดนั้นเขาก็ค้นพบว่าพระราชวังตะวันออกนี่แหละคือ สมบัติสําหรับตัวเขา

 

ไม่ใช่ว่าชายที่มีสัญลักษณ์สีแดงเลือดจะไม่เคยคิดที่จะคุม ตัวองค์ชายและองค์หญิงเอาไว้ แต่ด้วยนิสัยของจักรพรรดิถัง เกรงว่าทั้งคู่คงจะได้รับการคุ้มกันอย่างแน่นหนามานานแล้ว

 

แต่ซูฉินไม่ได้ใกล้ชิดกับจักรพรรดิถังมากนัก แต่ก็ไม่ได้ห่างเหิน ทําให้เขามีโอกาสที่จะลงมือในครั้งนี้

 

ไม่นาน

 

ชายที่มีรอยสัญลักษณ์สีแดงก็มาถึงด้านหน้าตําหนักชุนฝั่งขวา

 

“นี่คือสถานที่ที่ซูฉินอาศัยอยู่?”

 

ชายที่มีรอยสัญลักษณ์สีแดงเลือดก็มองดูคร่าวๆ แล้ ก้าวเข้าไปโดยไม่ลังเล

 

อย่างไรก็ตาม

 

ทันทีที่ชายที่มีรอยสัญลักษณ์สีแดงเลือดเข้าสู่ตําหนักชุ ฝั่งขวา เขาก็รู้สึกได้ถึงความเปลี่ยนแปลงของพลังฟ้าดิน ราวกับเขาได้เข้าสู่ความเวิ้งว้างว่างเปล่า

 

“นี่คือ?”

 

ชายที่มีรอยสัญลักษณ์สีแดงดูตกตะลึง

 

ทันทีหลัง

 

ไม่ทันที่เขาจะตอบสนองอะไร

 

สภาพแวดล้อมก็เปลี่ยนไปอีกครั้ง

 

ชายที่มีรอยสัญลักษณ์สีแดงเลือดได้เข้ามาอยู่ในห้องเรียบร้อย

 

“หือ?”

 

“เมื่อครู่เป็นภาพลวงตางั้นหรือ?”

 

ชายที่มีรอยสัญลักษณ์สีแดงกะพริบตาถี ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก ทําให้เขาเห็นชายคนหนึ่งกําลังนั่งขัดสมาธิอยู่ไม่ไกล ชายผู้มีดวงตาอันลึกล้ำคนนั้นค่อยๆ มองมาที่ตัวเขา

 

Sign in Buddha’s palm 150 กับดัก

“ยอมจํานนต่ออาณาจักรถัง?”

ท่าที่ของบุตรชายคนโตของราชาหัวเมืองคนอื่นๆก็เปลี่ยนไป

ในตอนนี้ เรื่องที่อาณาจักรถังเตรียมกวาดล้างอาณาเขตทั้งสิบแห่งกระจายไปทั่วแล้ว แทนที่จะรอการบุกโจมตี ยอมจํานนเสียดีกว่า อย่างน้อยยังพอรักษาความรุ่งเรืองในอดีตสักครึ่งหนึ่งได้ก็ยังดี?

ในขณะที่หัวใจของเหล่าบุตรชายราชาหัวเมืองกําลังสั่นสะท้านกับความคิดนั้น

จู่ๆก็มีเสียงที่เย็นชาดังขึ้นมา

“ยอมจํานน?”

“คนอื่นอาจจะรอดไปได้หากพวกเขายอมจํานน”

“แต่พวกเจ้าในฐานะทายาทของราชาหัวเมือง คงจะต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัย

เห็นเป็นชายคนหนึ่งสวมชุดสีขาวมีรอยสีแดงเลือดจางๆที่หน้าผาก ค่อยๆเดินเข้ามาอย่างเงียบเชียบ

“เจ้าคือ?!”

สีหน้าของเหล่าบุตรชายคนโตของราชาหัวเมืองเปลี่ยนไปอย่างมาก

“เจ้าคือคนของสํานักสังหารโลหิตหรือ?”

มีเพียงบุตรชายของราชาชวอฟางเท่านั้นที่กล่าวออกมาด้วยเสียงเคร่งขรึม

“สํานักสังหารโลหิต?”

บุตรชายของราชาหัวเมืองที่เหลือต่างชําเลืองมองหน้ากัน ใบหน้าของพวกเขากลายเป็นน่าเกลียด

ถ้าไม่ใช่เพราะสํานักสังหารโลหิตมายุยงส่งเสริม ราชาหัวเมืองทั้งสิบก็คงไม่มีความกล้าที่จะก่อกบฏ

ถ้าไม่มีการกบฏก็จะไม่มีวันนี้

ปัจจัยส่วนใหญ่ที่ทําให้พวกเขาตกอับถึงขนาดนี้ก็มาจากสํานักสังหารโลหิต

“ไม่เลว”

ท่ามกลางสายตาของเหล่าบุตรชายของราชาหัวเมือง ชายที่มีรอยสัญลักษณ์สีแดงกลางหน้าผากก็ยอมรับออกมาตรงๆ

“ที่เจ้าเพิ่งพูดมามันหมายความว่าอย่างไร” บุตรชายคนโตของราชาชวอฟางขมวดคิวจ้องไปที่ชายที่มีรอยสีแดงเลือดบนหน้าผาก

“หมายความเช่นไร?”

ชายที่หน้าผากมีรอยสีเลือดยิ้มเยาะเย้ย “เจ้าเดาไม่ออกหรือไร?”

“ในเมื่อมีการก่อกบฏเกิดขึ้นแล้ว ตระกูลใหญ่ทั้งเก้าย่อมเข้ามายุ่งเกี่ยว จักรพรรดิถังจะไม่สังหารทุกคนเพื่อที่จะยึดครองอาณาเขตให้สําเร็จ แต่ในฐานะที่เป็นทายาทของราชาหัวเมือง พวกเจ้าคิดว่าตนเองจะรอดตัวกันหรือ?”

เมื่อชายที่มีเครื่องหมายสีแดงบนหน้าผากกล่าวขึ้น ร่องรอยของการดูหมิ่นก็ปรากฏขึ้นมาบนใบหน้าตามมา

แม้แต่คนนอกก็ยังมองออกว่าทุกคนคงจะมีทางให้ลง แต่ไม่ใช่กับบุตรชายของเหล่าราชาหัวเมือง

อย่างดีที่สุดก็คงต้องถูกบังคับให้ดื่มเหล้าผสมพิษสักหนึ่งแก้ว

คําพูดของชายที่มีรอยสัญลักษณ์สีเลือดทําให้เหล่าบุตรชายของราชาหัวเมืองส่งเสียงร้องลั่น มือและเท้าเย็นเยียบ

“เอาชนะก็ไม่ได้ ขนาดการยอมจํานนก็ไม่ใช่ทางออกที่จะกระทํา”

“แล้วตอนนี้เราควรทําเช่นไรดี?”

คําพูดของบุตรชายราชาฟานหยางเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง

พวกเขาคิดจะหนี แต่ในโลกนี้พวกเขาจะหนีไปไหนได้

บางที ทันทีที่เขาออกจากอาณาเขตตัวเอง ผู้ใต้บังคับบัญชาของเขาอาจจะลอบตัดหัวตนถวายแด่องค์จักรพรรดิถังก็เป็นได้

“ในเมื่อเจ้ามาหาเรา มันคงจะมีทางออกสินะ?”

บุตรชายของราชาชวอฟางจ้องตรงไปที่ชายที่มีรอยสีแดงเลือดบนหน้าผาก จากนั้นจึงพูดด้วยน้ําเสียงที่ดูลึกล้ํา

“ฮ่าฮ่า

เมื่อได้ยินคํากล่าวนั้น ชายที่มีรอยสัญลักษณ์สีแดงก็พยักหน้าเล็กน้อยแล้วพูดว่า “การกบฏครั้งนี้ไม่เพียงแต่ทําให้อาณาเขตทั้งสิบของราชาหัวเมืองต้องสูญเสียอย่างหนัก แต่พวกเราสํานักสังหารโลหิตก็สูญเสียไปไม่น้อย”

เพื่อสนับสนุนการก่อกบฏของราชาหัวเมืองทั้งสิบ เขาได้ส่งผู้อาวุโสระดับสูงของสํานักออกมาสามคน แต่กลับถูกฝังกลบตกตายไปพร้อมกับราชาหัวเมืองด้วยแสงศักดิ์สิทธิ์นั้น

การสูญเสียเช่นนี้ แม้แต่องค์กรขนาดใหญ่อย่างสํานักสังหารโลหิตที่มีตํานานยุทธอยู่ก็ต้องเจ็บปวดชอกช้ํา

และสิ่งที่สําคัญที่สุด ไม่ช้าก็เร็วอาณาจักรถังจะรู้ว่าทั้งหมดเป็นกลอุบายของสํานักสังหารโลหิต

เมื่อถึงตอนนั้นอาณาจักรถังจะต้องตอบโต้กลับมาอย่างแน่นอน

หากเป็นอาณาจักรอื่น พวกเขาอาจจะเกรงกลัวตํานานยุทธที่เคยอยู่ในสํานักสังหารโลหิตเมื่อสองร้อยปีก่อนและไม่กล้าเคลื่อนไหวอะไร

แต่ตอนนี้พระราชวังถังมีตํานานยุทธอยู่ จึงไม่จําเป็นต้องกังวล

ดังนั้นชายที่มีรอยสีแดงบนหน้าผากจึงไม่อาจหยุดมือได้ ต้องออกมาเพื่อต่อสู้กันเป็นครั้งสุดท้าย

“วิธีแก้ปัญหานั้นง่ายมาก”

“แค่พวกเจ้ายอมจํานน

ชายที่มีรอยสัญลักษณ์สีแดงเหลือบมองเหล่าบุตรชายของราชาหัวเมืองและกล่าวออกมาอย่างแผ่วเบา

“ยอมจํานน…”

บุตรชายคนโตของราชาหัวเมืองมองหน้ากัน ต่างเต็มไปด้วยความสงสัย

ในตอนแรกชายคนนี้บอกพวกเขาว่าจะต้องตายแน่ๆหากยอมจํานน แต่ตอนนี้กลับบอกให้พวกเขายอมจํานน

“ข้าจะให้พวกเจ้ายอมจํานน แน่นอนว่ามันจะเป็นการยอมจํานนปลอมๆ”

“ข้าจะแทนที่หนึ่งในพวกเจ้าและไปเข้าเฝ้าองค์จักรพรรดิถังด้วยกัน”

“จากนั้นข้าจะลงมือสังหารจักรพรรดิถังด้วยน้ํามือของข้าเอง”

“เมื่อจักรพรรดิถังสิ้นพระชนม์ อาณาจักรถังย่อมตกอยู่ในความโกลาหลอย่างมิอาจเลี่ยง คงไม่มีเวลามาดูแลอาณาเขตหัวเมือง”

ชายที่มีรอยสีแดงเลือดบนหน้าผากกล่าวคําช้าๆ

“ลอบสังหารจักรพรรดิถัง”

ใบหน้าของบุตรชายของราชาชวอฟางเปลี่ยนไป “ในพระราชวังถึงมีตํานานยุทธคอยดูแลอยู่ เจ้าจะลอบสังหารจักรพรรดิถังภายใต้สายตาของเขาได้อย่างไร?”

บุตรชายของราชาหัวเมืองต่างก็มองไปที่ชายที่มีรอยสัญลักษณ์สีแดง

แผนของชายที่มีรอยสีแดงเลือดบนหน้าผาก ดูเหมือนจะไม่มีปัญหา แต่ในความเป็นจริงมันเป็นไปไม่ได้ที่จะกระทํา

“ตํานานยุทธ?”

“สํานักสังหารโลหิตของข้าก็เคยมีตํานานยุทธมาก่อนไม่ใช่หรือ?”

ชายที่มีรอยสัญลักษณ์สีแดงส่ายหัวแล้วกล่าวว่า “ไม่ต้องกังวล วิธีการลองสังหารของสํานักสังหารโลหิตไม่ใช่สิ่งที่พวกเจ้าจะจินตนาการได้”

“เยี่ยม”

“งั้นก็จงทําตามนั้น!”

เมื่อได้ฟังดังนั้น บุตรชายของราชาชวอฟางก็กัดฟันพร้อมกับกล่าวคําว่าเห็นด้วย

เช่นเดียวกับที่ชายชุดขาวหน้าผากแดงกล่าว พวกเขาในฐานะบุตรชายของราชาหัวเมือง ไม่มีทางหนีไปไหนได้เลย

ภายในพระราชวังถัง

ซูฉินกําลังเดินเตร็ดเตร่เรื่อยเปื่อย

ในทุกวันนี้ นอกเหนือจากการฝึกฝนบ่มเพาะแล้ว เขายังให้คําแนะนําแก่หลีหว่านบ้างเป็นบางครั้งบางคราว

สาวน้อยคนนี้มีพรสวรรค์ที่ดี แม้จะไม่ได้ดีเท่าคนที่มีดวงใจพุทธะอย่างเฉียนขู่แห่งวัดเส้าหลิน แต่ความสําเร็จในอนาคตของนางก็ไม่ควรต่ําตม อย่างน้อยด้วยการแนะนําของซูฉินนางย่อมขึ้นไปถึงระดับชั้นที่หนึ่งได้อย่างไม่มีปัญหา

ส่วนนางจะสามารถไปได้ไกลกว่านี้หรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับโชคของตัวนางเอง

“ก่อนหน้านี้ข้าได้ลงชื่อเข้าใช้ที่แท่นบูชาเทพธรณีฯ แต่ไม่มี “โอสถไทหยวน” ให้เห็นอีกเลย…”

ความคิดของซูฉินเปลี่ยนสลับไปมาอยู่ในหัว

อย่างไรก็ตาม แม้เขาจะไม่ได้รับ โอสถไทหยวนเม็ดที่สอง ซูฉินก็ไม่ได้รีบร้อน

เขามีเวลาอีกมาก ถ้าเขาไม่สามารถลงชื่อได้รับมาในอีกหนึ่งปี ก็ยังมีอีกสิบปี ไม่ได้ภายในสิบปีก็ยังมีเวลาอีกร้อยปี

แม้ว่าในตอนนั้นซูฉินจะยังไม่ถึงขอบเขตยอดอรหันต์ แต่ก็คงอีกไม่ไกลแล้ว เมื่ออายุขัยเพิ่มขึ้นอีกครั้งเขาก็ไม่ต้องกังวลอะไรอีก

ในเวลาเดียวกัน

ท้องพระโรงตําหนักไท่จี้

“ฝ่าบาท มีข่าวคราวมาจากอาณาเขตหัวเมือง ทายาทของห้าอาณาเขตที่เหลือเต็มใจยอมจํานนแล้ว และบุตรชายคนโตของราชาหัวเมืองกําลังเดินทางกลับมายังฉางอัน”

“ยอดเยี่ยมยิ่ง!” ใบหน้าของจักรพรรดิถังหลี่เชิงแสดงออกถึงความปีติยินดี

เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว

หลังจากนั้นอีกครึ่งเดือน

บุตรชายของราชาหัวเมืองก็ถูกพาตัวกลับมาฉางอันด้วยความราบรื่น

“ฝ่าบาท ทายาทราชาหัวเมืองต้องการเข้าเฝ้าพระองค์ บอกว่ามีเรื่องสําคัญจะกราบทูล”

ขันที่เข้ามากระซิบบอกองค์จักรพรรดิถัง

“เข้าเฝ้าข้า?”

จักรพรรดิถังครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วตรัสว่า “พา- พวกเขาเข้ามา”

ไม่นาน

บุตรชายคนโตของราชาหัวเมืองทั้งห้าค่อยๆ เข้ามาภายในพระราชวังโดยมีขันที่นําทางเข้ามา และในที่สุดก็หยุดอยู่ด้านนอกโถงชีวิตนิรันดร์

ขันทีผู้นั้นเดินนําหน้าเข้ามาก่อน จากนั้นจึงเชิญให้บุตรชายของราชาหัวเมืองตามเข้ามา

“เจ้ามีเรื่องอันใดจะกล่าวกับข้าหรือ?” จักรพรรดิถังนั่งบนบัลลังก์มังกรและมองดูทายาททั้งห้าของราชาหัวเมืองที่สวมใส่ชุดนักโทษอยู่

“ฝ่าบาท

“นักโทษอย่างพวกข้ามีเรื่องสําคัญที่จะต้องรายงาน เกี่ยวข้องกับสํานักสังหารโลหิต” บุตรชายของราชาฟานหยางก้าวเท้าออกไปด้านหน้า ต้องการจะกล่าวคําให้ชัดเจนขึ้น

“สํานักสังหารโลหิต?”

จักรพรรดิถังตกใจ กําลังจะเริ่มตั้งใจฟัง

ในฉับพลัน

ตอนนั้นเองบุตรชายของราชาฟานหยางก็กลายเป็นเงาสีแดงเลือดพุ่งเข้าหาองค์จักรพรรดิถัง

“ตามคาดคิดไว้แล้วว่าจะต้องมาลอบสังหารข้า”

เมื่อเห็นดังนี้ จักรพรรดิถังไม่ได้ตื่นตระหนกเลยราวกับเขาคาดคิดเอาไว้ก่อนแล้ว

เพียงเท่านั้น

ในช่วงเวลาต่อมา

ขันทีชุดแดงมากกว่าสิบคน ได้มายืนอยู่เบื้องหน้าจักรพรรดิถัง รวดเร็วดุจสายฟ้า

ปัง!

เสียงทุ่มต่ําดังขึ้น

ร่างเงาสีเลือดก็กระเด็นลอยออกไป

“ล้มเหลว?”

ร่างเงาสีเลือดกลายเป็นชายที่มีรอยสัญลักษณ์สีแดงอีกครั้ง ใบหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นน่าเกลียด

เขาไม่ได้คิดฝันว่าจักรพรรดิถังจะได้รับการคุ้มกันจากยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งเป็นโหลตลอดเวลาเช่นนี้ และพวกเขาตอบสนองว่องไวแทบจะในทันทีที่เขาลงมือ

ตึก ตึก ตึก!

ที่ด้านนอกโถงชีวิตนิรันดร์

ทันใดนั้นก็มีเสียงฝีเท้าจํานวนมากและทหารระดับรองแม่ทัพจํานวนมากซึ่งเป็นยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งเข้ามาล้อมโถงชีวิตนิรันดร์เอาไว้ ขัดขวางไม่ให้ชายที่มีรอยแดงบน หน้าผากหลบหนีไปได้

“มีปัญหาแล้ว”

ชายที่มีรอยสัญลักษณ์สีแดงเลือดรู้สึกเหมือนตกอยู่ในขุมนรก

Sign in Buddha’s palm 149 สํานักสังหารโลหิต

 

“น่าเสียดาย

 

“โอสถไทหยวนมีผลมากที่สุดก็แค่ครั้งแรกที่ใช้เท่านั้น…”

 

ซูฉินนั่งขัดสมาธิ ค่อยๆ ปรับลมหายใจ ครุ่นคิดอยู่ภายในใจตนอย่างเงียบๆ

 

โอสถไทหยวนสามารถเสริมความแข็งแกร่งให้กับรากฐานได้แต่ไม่ได้เสริมแกร่งได้อย่างไม่รู้จบ ตามข้อมูลของระบบผลของโอสถจะลดลงมากเมื่อใช้โอสถไทหยวนเป็นครั้งที่สอง และหลังจากใช้ไปหลายๆ ครั้ง มันอาจจะหมดผลไป อย่างสมบูรณ์

 

แม้ว่าซูฉินจะผิดหวังเล็กน้อย แต่เขาก็พอจะยอมรับได้

 

โอสถไทหยวนสร้างความประหลาดใจให้ซูฉินมามากพอ แล้วทําไมเขาจะยังไม่พอใจอยู่อีกเล่า?

 

“ต่อจากนี้ ข้าจะลองไปที่แท่นบูชาเทพธรณีฯ ดูอีกสักหลายๆ ครั้ง เพื่อดูว่าข้าจะสามารถลงชื่อเข้าใช้แล้วได้รับโอสถไทหยวนเพิ่มอีกสักสองสามเม็ดหรือไม่…”

 

ซูฉินแตะปลายคาง ตัดสินใจอยู่ภายใน

 

ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ต้องลองใช้โอสถไทหยวนต่อไปจนกว่า โอสถจะไม่ส่งผลอีกก่อนที่จะคิดแผนอื่นต่อ

 

ในเวลาเดียวกัน

 

ภายในโถงชีวิตนิรันดร์

 

จักรพรรดิถังดูเคร่งขรึม ดูข้อมูลในมือของตนเอง และมองไปยังร่างที่อยู่เบื้องล่าง

 

ร่างนั้นมีลักษณะธรรมดาสามัญ แทบจะไม่ดึงดูดความสนใจใดๆ เมื่ออยู่ท่ามกลางฝูงชน แต่บัดนี้เขาได้มาอยู่ในโถงชีวิตนิรันดร์ เห็นได้ชัดว่าจักรพรรดิถังได้ให้ค่าเขาสูงไม่น้อย

 

รู้หรือไม่ว่าโถงชีวิตนิรันดร์เป็นพระราชวังของเหล่าจักรพรรดิถังตั้งแต่สมัยอดีต ตั้งอยู่ในบริเวณที่ค่อนข้างส่วนตัวในสถานการณ์ปกติจักรพรรดิถังจะไม่เรียกข้าราชบริพารให้เข้ามาในที่แห่งนี้

 

“ที่เจ้าพูดมาเป็นจริงหรือไม่?”

 

จักรพรรดิถังวางข้อมูลในมือลง กล่าวออกอย่างเคร่งขรึม

 

“รายงานฝ่าบาท”

 

“นี่คือสิ่งที่ขุนนางได้ข่าวมาจากนางสนมของราชาเจี้ยนหนาน หลังจากยืนยันซ้ําหลายครั้งในภายหลังพบว่ามันคือ ความจริงพ่ะย่ะค่ะ”

 

บุคคลนี้มีชื่อว่าเจียงหยิ่งเป็นหน่วยข่าวกรองของอาณาจักรถังและเป็นหมากบนกระดานที่จักรพรรดิถังสามารถไว้วางใจได้

 

ไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ จักรพรรดิถังได้ตระหนักว่ามีปัญหาเกี่ยวกับหน่วยข่าวกรองของอาณาจักรถังเมื่อขุนนางเกือบครึ่งในราชสํานักแปรพักตร์ไปอยู่กับราชาหัวเมืองทั้งสิบ

 

หลังจากวันนั้นจักรพรรดิจึงจัดระเบียบหน่วยข่าวกรองของอาณาจักรถังเสียใหม่ และแต่งตั้งเจียงหยิ่งเป็นผู้ดูแลหน่วยข่าวกรอง

 

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ เจียงหยิ่งไม่ได้ทําให้จักรพรรดิถังผิดหวัง ไม่เพียงแต่เขาจะสามารถลากตัวสายลับของราชาหัวเมืองทั้งสิบที่ซ่อนตัวอยู่ออกมาได้เท่านั้น เขายังคอยจับตาดูศาลขุนนางทั้งหมด และริเริ่มกระจายเครือข่ายหน่วยข่า วกรองไปทั่วดินแดนและอาณาจักรอื่นๆ

 

“ฝ่าบาท เหตุผลที่ราชาหัวเมืองทั้งสิบกล้าก่อกบฏเพราะพวกเขาได้รับการสนับสนุนจากสํานักสังหารโลหิต…”

 

เจียงหยิ่งพูดพร้อมกับป้องมือไปด้วย

 

นับตั้งแต่ช่วงที่กองทัพนับล้านของราชาหัวเมืองพ่ายแพ้และถอยกลับไปยังดินแดนของตนจักรพรรดิถังได้สั่งให้ระดมกองกําลังเพื่อยกไปปราบอาณาเขตทั้งสิบให้ราบคาบ

 

ผลที่ได้ช่างน่าทิ้ง และอาณาเขตกว่าห้าแห่งของราชาหัวเมืองก็ได้ตกอยู่ในมือของจักรพรรดิถัง

 

อาณาเขตของราชาเจี้ยนหนานก็เป็นหนึ่งในห้าที่ถูกกล่า วถึงเมื่อครู่

 

ข้อมูลที่เจียงหยิ่งได้รับ มาจากนางสนมคนหนึ่งของราชาเจี้ยนหนาน

 

ตามคําบอกเล่าของนางสนมคนนี้ วันหนึ่งหลังจากที่ราชาเจี้ยนหนานเมา เขาก็เผลอพูดเรื่องนี้ออกมาโดยไม่ได้ตั้งใจและนางก็จดจําสิ่งนั้นเอาไว้

 

“สํานักสังหารโลหิต..”

 

ใบหน้าของจักรพรรดิถังบิดเบี้ยวน่าเกลียด

 

สํานักสังหารโลหิตไม่ใช่สํานักวิทยายุทธ แต่เป็นเหมือนกับองค์กรที่ซ่อนตัวอยู่ในความมืด แม้ว่าจะมีอํานาจจํากัดอยู่แค่เพียงในเงามืด แต่อิทธิพลก็น่าสะพรึงกลัวต่ออาณาจักรต่างๆ ในดินแดนแห่งนี้

 

ว่ากันว่าเมื่อครั้งที่หน่วยองครักษ์เสื้อแพรของอาณาจักรหนานหมิงก่อตั้งขึ้นมา มันก็ต้องเผชิญกับการบุกรุกของสํานักสังหารโลหิตอยู่เหมือนกัน

และแน่นอนเหตุผลสําคัญที่ว่าทําไมสํานักสังหารโลหิตที่ อยู่แสนห่างไกล จึงเป็นที่หวาดกลัวของทุกอาณาจักรก็เพราะเมื่อสองร้อยปีก่อน สํานักสังหารโลหิตได้มีการปรากฏตัวของตํานานยุทธเกิดขึ้น

 

แม้ว่าตํานานยุทธผู้นี้จะหายตัวไปแล้วหลังจากที่ข้ามน้ํา ข้ามทะเลไปเมื่อสองร้อยปีก่อน แต่ทั่วทั้งดินแดนก็ยังไม่กล้าเคลื่อนไหวอะไร

 

“สํานักสังหารโลหิตกล้าที่จะยุ่งเกี่ยวกับกิจการภายในขอ งอาณาจักรถัง ช่างกล้าหาญยิ่ง!”

 

จักรพรรดิถังลุกขึ้นยืนทันที ใบหน้าเต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยว

 

แม้ว่าในปัจจุบันกองทัพของขุนนางหัวเมืองทั้งสิบจะถอยทัพ และถูกอาณาจักรถังตามกวาดล้างจนสถานการณ์ก็ ดีขึ้นมากแล้ว

 

แต่ทั้งหมดนั้นก็เป็นเพราะแสงศักดิ์สิทธิ์ที่มาจากส่วนสักของพระราชวัง

 

แสงศักดิ์สิทธิ์นี้เองที่ทําให้ราชาหัวเมืองทั้งสิบสลายกลายเป็นอากาศจนขวัญกําลังใจของกองทัพนับล้านตกฮวบ ไม่กล้าต่อสู้อีกต่อไป

 

มองเผินๆ

 

ดูเหมือนว่าอาณาจักรถังจะได้เปรียบอย่างมาก

 

แต่หากไม่มีแสงศักดิ์สิทธิ์จากท้องฟ้านั่นเล่า?

 

เกรงว่าผลลัพธ์คงต่างออกไปจากนี้

 

“ฝ่าบาท เรื่องนี้ท่านต้องระมัดระวังให้ดี”

 

เมื่อเห็นท่าทางของจักรพรรดิถัง เจียงหยิ่งก็รีบเกลี้ยกล่อมให้จักรพรรดิถังใจเย็นลง

 

สํานักสังหารโลหิตแอบให้การช่วยเหลือราชาหัวเมืองทั้งสิบในการต่อต้านราชวงศ์ถัง ดูเหมือนว่าจะตั้งตนอยู่ฝั่งตรง ข้ามกับอาณาจักรถังโดยสมบูรณ์

 

แต่ในความเป็นจริงอาณาจักรถังไม่สามารถทําอะไรสํานักสังหารโลหิตได้

 

แม้ว่าตํานานยุทธจากสํานักสังหารโลหิตจะหายตัวไปหลังจากข้ามน้ําข้ามทะเลกว่าสองร้อยปีก่อนแต่การที่หายตัวไปไม่ได้หมายความว่าเขาจะเสียชีวิตไปแล้ว

 

ตํานานยุทธมีอายุขัยถึงห้าร้อยปี

 

กล่าวอีกนัยหนึ่ง ตํานานยุทธจากสํานักสังหารโลหิตมีแนวโน้มว่ายังคงมีชีวิตอยู่

 

ถ้าในเวลานี้อาณาจักรถังจัดการกับสํานักสังหารโลหิตไปแล้วหากตํานานยุทธผู้นั้นกลับมาเล่า?

 

“ข้าเข้าใจเรื่องนี้ดี…”

 

จักรพรรดิถังค่อยๆ สงบใจลง กลับมานั่งบนบัลลังก์มังกรอีกครั้ง

 

ทุกคนบนโลกเชื่อว่ามีตํานานยุทธอยู่ในพระราชวังถัง แต่จักรพรรดิถังรู้เรื่องภายในของตนดี แม้ว่าเขาพอจะเดาได้ว่ามีตํานานยุทธซุ่มซ่อนอยู่ในวังหลวง แต่ตัวเขาเองไม่ได้รู้จักมักจีด้วย..

 

ไม่เพียงแต่ไม่รู้จัก แต่จักรพรรดิถังไม่รู้แม้กระทั่งข้อมูลใดๆ เกี่ยวกับอีกฝ่ายแม้แต่น้อย

 

เป็นชายหรือหญิง?

 

อายุเท่าไหร่?

 

มีความสัมพันธ์กับอาณาจักรถังอย่างไร?

 

พระองค์ไม่รู้อะไรเลยสักอย่างเดียว

 

ดังนั้นจักรพรรดิถังถึงแม้จะทําตัวราวกับห่มหนังเสืออยู่บ้างเป็นครั้งคราว แต่พระองค์ก็ไม่กล้าทําอะไรเกินเลย เพราะจักรพรรดิถังไม่แน่ใจว่าตัวตนที่ซ่อนตัวอยู่ในส่วนลึกขอ งวังหลวงจะออกมาเคลื่อนไหวอีกครั้งหรือไม่ยามเมื่ออาณา จักรถังเผชิญหน้ากับวิกฤติ

 

“ตอนนี้ข้าควรจะทําเช่นไรดี?”

 

หลังจากคิดอยู่สักพัก จักรพรรดิถังก็ถามขึ้นมา

 

“ฝ่าบาท เนื่องจากสํานักสังหารโลหิตกล้าที่จะยุยงราชาหัวเมืองอย่างลับๆ แปลว่าจะต้องมีแผนอื่นแน่ๆ สิ่งที่สํา คัญที่สุดในตอนนี้คือการทําให้สภาพการณ์ภายในอาณาจัก รถังเสถียรเสียก่อนและควบรวมอาณาเขตของราชาหัวเมืองทั้งสิบให้สมบูรณ์”

 

เมื่อเห็นจักรพรรดิถังสงบลง เจียงหยิ่งก็โล่งใจขึ้นเล็กน้อยก่อนจะกล่าวออกมาในทันที

 

เขากังวลใจจริงๆ ว่าจักรพรรดิถังจะจัดการสํานักสังหาร โลหิตด้วยความโกรธเกรี้ยว

 

“ข้าเข้าใจแล้ว”

 

จักรพรรดิถังครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพยักหน้ารับ

 

ไม่ว่าสํานักสังหารโลหิตจะยุยงปลุกปั่นเท่าไร ตราบใดที่ภายในอาณาจักรถังยังมั่นคง สํานักสังหารโลหิตก็คงทําอะไรไม่ได้

 

ในเวลาเดียวกัน

 

อาณาเขตของราชาชวอฟาง

 

ภายในเคหาสน์อันเงียบสงบ

 

บุตรชายคนโตของราชาหัวเมืองที่เหลือทั้งห้าพระองค์ก็มารวมตัวกันที่นี่

 

ทุกวันนี้ ด้วยความคืบหน้าของอาณาจักรถัง อาณาเขตกว่าห้าแห่งได้พ่ายแพ้ไปแล้ว และเหลืออีกห้าแห่งที่กําลังตกอยู่ในอันตรายและอาจจะพ่ายแพ้เมื่อไหร่ก็ได้ 

 

ในเวลานี้บุตรชายพระองค์โตของราชาหัวเมืองห้าพ ระองค์สุดท้ายได้มาปรากฏตัวที่นี่เพื่อหารือถึงวิธีจัดกา รกองทัพของอาณาจักรถัง

 

“บ้าเอ้ย ทําไมท่านพ่อถึงก่อกบฏกันนะ ยอมๆ เชื่อฟังราชสํานักส่วนกลางไปไม่ดีกว่าหรือไง?”

บุตรชายคนโตของราชาฟานหยางอดไม่ได้ที่กระซิบคําออกมา

 

ถ้าราชาหัวเมืองทั้งสิบไม่ขัดขืน พวกเขาก็จะเป็นทายาทคนโตอยู่ใต้บุคคลเพียงคนเดียว แต่มีคนใต้อาณัตินับหมื่นใช้ชีวิตสุรุ่ยสุร่ายเมามายได้เต็มที่

 

“เวลานี้มันไม่มีประโยชน์อะไรแล้วที่จะมานั่งว่ากล่าวกันควรจะมาหารือกันว่าจะทําเช่นไรต่อไปดี?”

 

บุตรชายคนโตของราชาเหอตงส่ายหัวแล้วกล่าวว่า “อาณาจักรถังกําลังเอาจริงแล้ว หากเรายังไม่ตัดสินใจ เกรงว่ามันจะสายเกินไป”

 

วออกมา

 

ทําให้บุตรชายคนโตของราชาหัวเมืองที่เหลือต่างตกตะลึง

 

บุตรชายคนโตของราชาเหอตงพูดถูก ตอนนี้เหลือเพียงอาณาเขตทั้งห้าของพวกเขา และคงจะต้านเอาไว้ได้อีกไม่นาน

 

หลังจากเวลาผ่านไปสักพัก

 

บุตรชายคนโตของราชาผิงหลูกเอ่ยปากออกมาอย่างระมัดระวังคํา “หรือเราควรจะยอมจํานนต่ออาณาจักรถัง?”

 

Sign in Buddha’s palm 148 เสริมสร้างรากฐาน

 

[ขอแสดงความยินดี โฮสต์ลงชื่อเข้าใช้สําเร็จ ได้รับ “โอสถไทหยวน” ]

 

เสียงจักรกลเย็นยะเยียบดังขึ้นข้างหูของซูฉิน

 

“โอสถไทหยวน?”

 

ซูฉินขมวดคิ้ว

 

เขาได้ลงชื่อเข้าใช้ที่แท่นบูชาเทพธรณีฯ มาแล้วก็หลายครั้ง นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้รับโอสถชนิดนี้มา

 

“นี่มันคล้ายคลึงกับโอสถอายุวัฒนะเคลือบทองคําและโอสถหมุนวนเก้าโคจรของวัดเส้าหลินหรือเปล่า?”

 

ซูฉินคาดเดาอยู่ภายในใจ

 

ช่วงเวลาต่อมา

 

จิตใจของซูฉินก็ได้รับข้อมูลเกี่ยวกับ โอสถไทหยวน

 

จากนั้นไม่นาน

 

ร่องรอยแห่งความตกใจก็ปรากฏขึ้นภายในดวงตาของซูฉิน และใช้จิตเข้าไปดูในระบบอย่างรวดเร็ว มองไปที่ “โอสถไทหยวน” ที่ปรากฏอยู่ตรงมุมหนึ่ง

 

“ปรากฏว่าสิ่งนี้คือ “โอสถไทหยวน”

 

จิตใจของซูฉินที่สงบนิ่งมาตลอดเกิดผันผวนขึ้นเล็กน้อย 

 

ตามข้อมูลจากระบบ “โอสถไทหยวน” ไม่ได้ใช้เพื่อเสริมแกร่งร่างกาย แก่นแท้แห่งพลัง หรือจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์โดยตรง โอสถไทหยวน” ไม่ใช่โอสถที่ใช้ในการเพิ่มพลังการบ่มเพาะ

 

สรรพคุณของโอสถไทหยวนมีอยู่สองอย่าง อย่างแรกหากได้รับโอสถเข้าไปจะช่วยฟื้นคืนพลังชีวิตได้มากโข

 

ซึ่งการเติมเต็มพลังชีวิตไม่ได้เกี่ยวข้องกับการยืดอายุขัยแต่เป็นเพียงการเติมพลังชีวิตทดแทนส่วนที่หายไป

 

แม้ว่าผลของยาส่วนนี้จะสําคัญ แต่ในโลกนี้ก็ไม่ได้ขาดแคลนโอสถที่มีสรรพคุณคล้ายคลึงกัน

 

ซูฉินให้ความสําคัญกับ “โอสถไทหยวน” อย่างมากนั้นเนื่องมาจากเพราะสรรพคุณอย่างที่สองของตัวยา ซึ่งช่วยเสริมสร้างรากฐาน

 

รากฐานคือสิ่งใด?

 

รากฐานหาใช่พรสวรรค์หรือความถนัดไม่ แต่สําคัญยิ่งสําหรับผู้ฝึกยุทธ ไม่ได้น้อยหน้าไปกว่าสองอย่างแรกเลย

 

ผู้ฝึกยุทธที่มีรากฐานแข็งแกร่งมักจะสามารถจัดการคนในระดับเดียวกันได้ และถึงขนาดต่อสู้กับคนที่มีระดับสูงกว่าได้ นอกจากนี้ในช่วงทะลวงผ่านระดับขั้นก็ช่วยลดความเสี่ยงต่างๆ ลงเล็กน้อย แม้สุดท้ายจะล้มเหลวแต่ก็ยังมีโอกาสฟื้นตัวกลับมาได้

 

แม้ว่าซูฉินจะไม่รู้ว่ารากฐานของเขาแข็งแกร่งหรืออ่อนแอเพราะตั้งแต่เกิดมาไม่มีคู่ต่อสู้คนไหนเลยที่สู้กับเขาตัวต่อตัวได้…

 

แต่รากฐานนั้นเหมือนกับพื้นฐานของการฝึกตน ยิ่งฐานแน่นมากเท่าไหร่ก็ยิ่งดี มันย่อมไม่มีใครไม่ชอบสิ่งนี้

 

“ข้าใช้เวลาเพียงสามสิบกว่าปีเพื่อมาถึงขอบเขตอรหันต์ระดับนภาชั้นที่ห้า จอมยุทธทั่วไปกว่าจะมาถึงระดับนี้ก็คงใช้เวลาสี่ร้อยถึงห้าร้อยปี ข้าไม่รู้ว่ารากฐานของข้าแข็งแกร่งแค่ไหน แต่ในตอนนี้การที่รากฐานแข็งแกร่งขึ้นได้ที่เป็นสิ่งจําเป็นอย่างมาก”

 

ดวงตาของซูฉินแสดงให้เห็นถึงความยินดี

 

“เมื่อกลับไปข้าจะลองใช้ โอสถไทหยวน ดู”

 

ซูฉินตัดสินใจแล้วหันหลังเดินจากไปทันที

 

ตําหนักขุนฝั่งขวา

 

ซูฉินกําลังนั่งลงขัดสมาธิ

 

ที่เบื้องหน้าของเขามีเม็ดโอสถเม็ดหนึ่งที่ราวกับมีภาพดวงไฟลุกโชนขึ้นมา ดูลึกลับอย่างยิ่ง

 

สิ่งนี้ก็คือโอสถไทหยวน

 

“ถ้าข้าไม่ทราบเรื่องสรรพคุณของโอสถไทหยวนมาก่อน ข้าก็คงไม่กล้ากินโอสถตัวนี้ตามอําเภอใจ…”

 

ซูฉินถอนหายใจ เต็มไปด้วยอารมณ์ความรู้สึก

 

ปรากฏการณ์ที่เกิดจากเม็ดโอสถไทหยวนมันดูยิ่งใหญ่กว่าโอสถอายุวัฒนะเคลือบทองคําเสียอีก ถ้าไม่ใช่เพราะที่ตําหนักขุนฝั่งขวาซูฉินได้จัดตั้งค่ายกลฟ้าดินเตรียมเอาไว้มากมายเพื่อปกปิดทุกพื้นที่ ผู้คนอาจจะเห็นปรากฏการณ์ที่เกิดจากโอสถไทหยวนได้

 

“ข้าไม่แน่ใจว่าโอสถไทยหยวนนี้จะช่วยเสริมรากฐานของข้าได้มากแค่ไหน

 

ซูฉินมองดูเม็ดโอสถที่ลุกโชนด้วยดวงไฟมายา ความคิดของเขาปั่นป่วนไปหมด

 

เพียงไม่นานหลังจากนั้น

 

ซูฉินสูดลมหายใจเข้าแล้วกลืนเม็ดโอสถไทหยวนลงไป

 

ตึ่ง!

 

ทันทีที่กลืนเม็ดโอสถไทหยวน มันก็ละลายอย่างรวดเร็วและเปลี่ยนแปลงกลายเป็นเหมือนกับเปลวเพลิงกระจายไปทั่วทุกส่วนของร่างกายซูฉิน

 

ในเวลาเพียงชั่วครู่เดียว แขนขา แขนงเส้นเลือดทั่วร่างของซูฉินก็เต็มไปด้วยเปลวเพลิงมายาอันนี้

 

“นี่?!”

 

ท่าทีของซูฉินเปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อย แม้ว่าร่างกายของเขาจะผ่านการแปรสภาพมาแล้วถึงสีครั้ง แต่ด้วยการแผดเผาของเปลวเพลิงมายานี้ เขาก็ยังรู้สึกเจ็บปวดอยู่ไม่น้อย

 

สิ่งนี้มันน่ากลัวขนาดไหนกัน?

 

รู้หรือไม่ว่าด้วยร่างกายในปัจจุบันของซูฉิน แม้ว่าเขาจะยืนอยู่เฉยๆ และปล่อยให้ตํานานยุทธทั่วๆ ไปมาโจมตี มันก็ไม่ได้รู้สึกเจ็บแม้แต่น้อย

 

แต่ตอนนี้ เปลวเพลิงมายาที่ออกมาจากเม็ดโอสถไทหยวนสามารถทําให้ฉันรู้สึกเจ็บปวดได้

 

“นี่คือวิธีเสริมความแข็งแกร่งของรากฐานงั้นหรือ?” 

 

ซูฉินครุ่นคิด

 

ด้วยความแข็งแกร่งของตัวเขา หากต้องการจะป้องกันการกระจายตัวของเปลวเพลิงภายในร่างกายกลุ่มนี้ย่อมทําได้เพียงคิด แต่ซูฉินไม่ได้ทํา

 

เพราะตอนนี้เขาเข้าใจได้รางๆ เกี่ยวกับความสําคัญของการเสริมสร้างรากฐาน

 

รากฐานไม่ใช่กายเนื้อหรือแก่นแท้แห่งพลัง ทั้งยังไม่ใช่จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์

 

การเสริมแกร่งร่างกาย ยกระดับแก่นแท้แห่งพลัง หรือการชําระล้างจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์เป็นเพียงแค่การเพิ่มพลังขึ้นไปจากพื้นฐานที่มีอยู่แล้วในปัจจุบัน

 

ตัวอย่างเช่น หากต้องการให้มันเพิ่มระดับสูงขึ้น ก็เพียงเพิ่มชั้นให้หนาขึ้นด้านบนสุด

แต่รากฐานนั้นต่างออกไป

 

มันเทียบเท่ากับรากฐานของตึกสูง หากอยากเสริมรากฐานให้แข็งแกร่งต้องเริ่มจากชั้นล่างสุด

 

หวือ!

 

ชี่!

 

ซูฉินนั่งขัดสมาธิ หน้าอกของเขาค่อยๆ กระเพื่อมขึ้นลงเปลวเพลิงมายาลุกโชนขึ้นตามร่างกายของเขา

 

เปลวเพลิงมายาพวกนี้ไม่ได้กําลังเผาเขาอยู่จริงๆ แต่มันคล้ายคลึงกับการขัดเกลาร่างกายอย่างต่อเนื่อง

 

เวลาผ่านเลยไปอย่างช้าๆ

 

หลายชั่วโมงผ่านไปในพริบตา

 

เปลวเพลิงมายาที่เผาไหม้ทั่วตัวของซูฉินในที่สุดก็ดับลง ค่อยๆ หายไป

 

เมื่อเปลวเพลิงมายาหายไป

 

กลิ่นอาย รูปแบบใหม่” ก็กระจายออกมาจากร่างของซูฉิน ราวกับมันเป็นเห็ดที่งอกขึ้นมาใหม่หลังฝนตก มันกระจายพลังออกมาราวกับความเวิ้งว้างกว้างใหญ่

 

ฟ่าว!

 

เลือดลมในร่างของซูฉินปั่นป่วนราวกับแม่น้ำใหญ่ไหลผ่านอย่างไม่มีที่สิ้นสุด

 

กายเนื้อได้รับการเสริมแกร่งอีกครั้ง

 

หลังจากกลืนโอสถไทหยวนเข้าไป แม้ว่าร่างกายของซูฉินจะยังไม่ถึงขั้นที่แปรสภาพร่างกายครั้งที่ห้า แต่ก็ถือว่าดีขึ้นกว่าแต่ก่อนมาก

 

นอกจากกายเนื้อแล้ว แก่นแท้แห่งพลังของซูฉินและแม้แต่จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของซูฉินก็เพิ่มขึ้นไปอีกระดับ

 

“มันจบแล้วหรือ?”

 

ซูฉินค่อยๆ เปิดเปลือกตาขึ้น เผยให้เห็นความปิติยินดี

 

หลังจากที่กลืนโอสถไทหยวนนี้เข้าไป ความแข็งแกร่งของซูฉินยังคงอยู่ในระดับที่ห้า ไม่มีการเพิ่มระดับขึ้นแต่ประการใด ทว่าร่างกาย แก่นแท้แห่งพลัง และจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์นั้นเปลี่ยนแปลงไป โดยที่ร่างกายแข็งแกร่งขึ้นมากที่สุดและแก่นแท้แห่งพลังเป็นอันดับสองรองลงมา

 

“ไม่เลว”

 

“ถือว่าไม่ผิดหวังที่ข้ายอมทนทุกข์ทรมาน”

 

ซูฉินดูพึงพอใจอย่างยิ่ง หากเขาบ่มเพาะไปตามปกติเขาคงต้องใช้เวลาอย่างน้อยหนึ่งปีกว่าจะบรรลุถึงผลลัพธ์ในระดับนี้ แต่ตอนนี้มันกลับเสร็จสิ้นภายในไม่กี่ชั่วโมง จะไม่ให้เขาพอใจได้อย่างไร?

 

“เสริมความแข็งแกร่งให้กับรากฐานไปแล้ว มาลองดูหน่อยเถิดว่าความเร็วในการบ่มเพาะจะเพิ่มขึ้นบ้างไหม”

 

เมื่อคิดได้ซูฉินก็ใช้จิตสั่งการ ทันใดนั้นหยดน้ำจิตวิญญาณธรรมชาติ โลหิตรู้แจ้ง ผลไม้สีแดง และของที่ช่วยเหลือในการบ่มเพาะอื่นๆ ก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าเขา

 

ในเวลาต่อมา

 

หยดน้ำจิตวิญญาณธรรมชาติสองสามหยดก็หยดลงในปากของซูฉิน จากนั้นก็ตามด้วยโลหิตรู้แจ้งที่ถูกกลืนลงไปแล้ว ตามด้วยผลไม้สีแดงเป็นอย่างถัดมา

 

หนึ่งคืนผ่านไป

 

ซูฉินลืมตาแล้วค่อยๆ ลุกขึ้นยืนอย่างช้าๆ ทันใดนั้นร่างกายของเขาก็ปล่อยไอพลังที่หนาแน่นออกมา

 

พลังฉีฟ้าดินรอบตัวซูฉินเปรียบเสมือนคลื่นในมหาสมุทรที่สันไหวและทวีความรุนแรงขึ้นอย่างต่อเนื่อง

 

“เป็นที่แน่นอนแล้ว”

 

“ความเร็วในการฝึกฝนของข้าเพิ่มขึ้นเช่นกัน แม้ว่าจะไม่มาก แต่เมื่อสะสมไปเป็นเวลาหลายสิบหลายร้อยปีก็เพียงพอที่จะสร้างระยะห่างขนาดใหญ่เมื่อเทียบกับผู้อื่น…”

 

ซูฉินถอนหายใจยาวออกมาด้วยความสบายใจ

 

จากการประมาณการครั้งก่อน หากได้รับหยดน้ำจิตวิญญาณธรรมชาติ โลหิตรู้แจ้ง ผลไม้สีแดง และสมบัติจิตวิญญาณอื่นๆ อย่างต่อเนื่องอาจจะต้องใช้เวลาหลายปีกว่าจะบรรลุถึงนภาชั้นที่ห้าขั้นสมบูรณ์ แต่ตอนนี้เหลือเพียงปีสองปีเท่านั้น

 

Sign in Buddha’s palm 147 เข้าสู่ระบบ! โอสถไทหยวน!

 

วังหลวง

 

ตําหนักชุนฝั่งขวา

 

เด็กน้อยสองคน หลี่หยวนและหลีหว่านกําลังยืนอยู่ด้านหน้าของซูฉิน

 

“ลุงสาม ดูนี่สิ ข้าพาเขามาที่นี่แล้ว…” หลีหว่านเหลือบมองมาที่หลีหยวนแล้วพูดกับซูฉินอย่างเอาหน้า

 

“ลุงสาม…พี่สาว พี่สาวรังแกข้า…”

 

ในที่สุดหลี่หยวนก็รวบรวมความกล้าในการพูดออกมา

 

รู้หรือไม่ว่าเวลาปกติเขาไม่มีแม้แต่ความกล้าจะพูดคุยกับซูฉิน เห็นได้ชัดว่าหลีหว่านกดดันเขาจนกังวลใจมากๆ ในตอนนี้

 

“ข้ารังแกเจ้างั้นหรือ?”

 

“ข้าไปรังแกเจ้าอย่างไร?”

 

หลีหว่านจ้องไปที่หลี่หยวนอย่างดุดัน

 

แม้ว่านางและหลี่หยวนจะเกิดพร้อมกัน แต่จักรพรรดิถังหลี่เชิงและฮองเฮาซูเยว่หยุนก็ถือว่าหลี่หยวนเป็นน้องชาย

 

ความเป็นจริงแล้วมันก็ไม่ผิดอะไร

 

ไม่ว่าจะเป็นทั้งเรื่องของบุคลิกภาพหรือในแง่มุมต่างๆ หลี่หยวนมีพัฒนาการช้ากว่า และหลีหว่านก็มักจะเป็นพี่สาวขี้แกล้ง

 

“พี่สาวของเจ้าสามารถรังแกเจ้าได้เพราะนางฝึกวิทยายุทธ เจ้าอยากฝึกวิทยายุทธด้วยไหมเล่า” ซูฉินเหลือบมองไปทางหลี่หยวนและพูดอย่างเป็นกันเอง

 

แม้ว่าพรสวรรค์ในเชิงยุทธของหลี่หยวนจะด้อยกว่าหลีหว่านมาก แต่ในฐานะองค์ชายก็คงจะไม่มีปัญหาอะไรถ้าฝึกวิทยายุทธไว้ป้องกันตัวเสียหน่อย

 

“ฝึกวิทยายุทธ?”

 

จิตใจของหลี่หยวนสั่นสะท้าน จากนั้นเขาก็ก้มศีรษะลงและพูดว่า “ช่างมันเถอะ ข้าไม่ได้ชอบวิทยายุทธ ตอนนี้คงจะดีกว่าถ้าข้าศึกษาตําราความรู้”

 

หลี่หยวนเคยลองฝึกวิทยายุทธมานานแล้ว แต่เขาไม่สนใจในวิทยายุทธเลย มีกงกงชุดแดงหลายคนช่วยเขาในการฝึกเดินลมปราณ แต่พอผ่านไปได้ครึ่งทาง หลี่หยวนก็มักจะผล็อยหลับไป…

 

สําหรับหลี่หยวน วิทยายุทธเป็นสิ่งที่น่าเบื่ออย่างยิ่ง 

 

“ตามนั้น”

 

ซูฉินเห็นว่าหลี่หยวนไม่ได้สนใจในวิทยายุทธ ดังนั้นเขาจึงไม่พูดถึงมันอีก

 

บางที่สําหรับคนธรรมดา วิทยายุทธอาจจะเป็นทางออกเดียว แค่ฝึกวิทยายุทธเจ้าก็จะกลายเป็นคนที่โดดเด่น แต่ในสายตาขององค์ชายอย่างหลี่หยวน วิทยายุทธเป็นเพียงทางเลือกของเขาเท่านั้น

 

“ลุงสาม ข้าต้องขอตัวก่อนแล้ว ท่านอาจารย์มีสอนในตอนบ่าย” หลี่หยวนมองหลีหว่านอย่างระมัดระวังและพูดอย่างไม่ค่อยมั่นใจนัก

 

“ข้ารู้แล้วล่ะ ไปเถอะ”

 

ซูฉินโบกมือและพูดยิ้มๆ

 

ไม่นาน

 

หลังจากที่หลี่หยวนจากไป

 

หลีหว่านก็กะพริบตาและพ่นลมหายใจออกมา “อ่านหนังสือได้ทั้งวี่ทั้งวัน ไม่รู้ว่าหนังสือพวกนั้นมีอะไรดี” 

 

“เอาล่ะ”

 

“ลุงสาม ตอนนี้ข้ากําลังฝึกเคล็ดวิชาหนึ่งอยู่ แต่ทํายังไงก็เริ่มฝึกฝนไม่ได้สักที”

 

ทันทีที่หลีหว่านพูดกับซูฉิน ใบหน้านางก็แสดงความทุกข์ใจออกมา

 

ตั้งแต่ครั้งล่าสุดที่นางเรียนเคล็ดบ่มเพาะตามที่ซูฉินบอกนางก็ไม่พบอุปสรรคในการฝึกวิชาอีกเมื่อโคจรกําลังภายใน

 

ดังนั้นตอนนี้หลีหว่านจึงไว้วางใจซูฉินเป็นอย่างมาก

 

“แสดงให้ข้าได้ดู”

 

ซูฉินได้ยินแบบนั้นก็พูดออกมาอย่างสบายๆ

 

หลีหว่านมีพรสวรรค์ที่ดีในด้านวิชายุทธ เรื่องติดขัดทั่วๆ ไปนางย่อมสามารถเข้าใจได้หลังจากไตร่ตรองอยู่พักหนึ่งเฉพาะปัญหาที่คิดไม่ตกจริงๆ เท่านั้นถึงจะมาถามซูฉิน 

 

และซูฉินก็ไม่ได้ปฏิเสธที่จะต้องช่วยเหลือ

 

สําหรับเขา การให้คําแนะนําหลีหว่านก็ไม่ได้เป็นอะไรเลยนอกจากคําพูดไม่กี่คํา

 

หลังจากนั้นไม่นาน

 

ดวงตาของหลีหว่านก็สว่างวาบ ฝีเท้าของนางเริ่มเคลื่อนไหวไปทีละขั้นตอน ร่างกายเริ่มวูบไหว

 

“ลุงสาม ข้าทําได้แล้ว”

 

ใบหน้าหลีหว่านมีความสุขอย่างมาก

 

นางคิดวิธีการฝึกท่าร่างนี้มาครึ่งเดือนแล้วและไม่สามารถทําอะไรได้ อย่างไรก็ตามด้วยการแนะนําของซูฉิน นางก็เข้าใจแจ่มแจ้ง นางจะไม่มีความสุขได้อย่างไร

 

“ลุงสาม ข้ารู้สึกว่าท่านนี่เก่งกว่าท่านกงกงข้างกายจักรพรรดิเสียอีก…” หลีหว่านพูดด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยอารมณ์

 

ซูฉินเพียงยิ้มเมื่อได้ฟังคํา แต่ไม่ได้พูดอะไรออกไป 

 

ภายในโถงชีวิตนิรันดร์

 

จักรพรรดิถังดูตื่นเต้นยิ่ง

 

เนื่องจากเขาสั่งระดมกําลังพลเพื่อหวังพิชิตอาณาเขตของราชาหัวเมืองทั้งสิบเมื่อไม่นานมานี้ และผลลัพธ์ก็ออกมาดีเยี่ยม ทุกอย่างผ่านพ้นไปด้วยดี

 

หลังจากสูญเสียผู้นํา ดินแดนอิสระเหล่านี้ก็เผชิญความเสี่ยงที่จะโดนบุกจากกองทัพถัง

 

ในช่วงเวลาอันสั้น สี่อาณาเขตของราชาหัวเมืองได้กลับคืนสู่อาณาจักรถังอีกครั้ง และแม้ว่าจะเหลืออีกหกอาณาเขตแต่พวกนั้นก็แทบจะต้านทานไว้ไม่ไหวแล้ว

 

“วันนี้ฝ่าบาททรงสําราญพระทัยหรือ?”

 

ฮองเฮาซูเยวหยุนแย้มยิ้มเมื่อเห็นท่าทีของจักรพรรดิถัง 

 

“ภัยร้ายในอาณาจักรถังกว่าห้าร้อยปีกําลังจะหายไป ข้าย่อมมีความสุขเป็นธรรมดา” จักรพรรดิถังหลี่เชิงกล่าวตอบ

 

“ทําไมช่วงนี้ไม่เห็นหว่านเอ๋อเลย?” จักรพรรดิถังถามขึ้นเหมือนมีความคิดบางอย่างในใจ

 

“ หว่านเอ๋อ…”

 

ซุเยว่หยุนยิ้มออกมา “ช่วงนี้นางมักจะไปที่ตําหนักชุนฝั่งขวาเพื่อตามหาพี่สาม…”

 

“พี่สาม…”

 

จักรพรรดิถังหลี่เชิงพยักหน้าเล็กน้อย

 

ถ้าเป็นคนอื่น เขาคงกังวลว่าจะทําให้หลีหว่านออกนอกลู่นอกทาง แต่กับซูฉิน

 

จักรพรรดิถังหลี่เชิงสามารถเชื่อถือได้เสียยิ่งกว่าได้

 

คนอื่นอาจจะเข้าหาหลีหว่านด้วยจุดประสงค์แอบแฝงและมีแรงจูงใจที่จะกระทําเรื่องไม่ดีได้

 

แต่สําหรับซูฉินมันเป็นไปไม่ได้เด็ดขาด

 

“ข้ามีเรื่องอยากจะถามเจ้าหน่อยหยุนเหนียง…” จักรพรรดิถังหลี่เชิงกล่าวขึ้น ก่อนจะมองไปรอบข้างแล้วไล่ขันที่และนางกํานัลให้ออกไปจากโถงชีวิตนิรันดร์ก่อน จากนั้นจึงพูดด้วยเสียงต่ำ

 

“เกิดอะไรขึ้น?”

 

ซูเยว่หยุนถามอย่างอยากรู้อยากเห็น

 

“หยุนเหนียง เจ้าเองคุ้นเคยกับวังหลวง แต่เจ้ารู้หรือไม่ว่าวังใดอยู่ทิศใดบ้าง”

 

จักรพรรดิถังหลี่เชิงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง และทันใดนั้นก็ชี้ไปยังตําแหน่งที่ใกล้กับทิศตะวันออกเฉียงใต้

 

วันที่กองทัพราชาหัวเมืองพ่ายแพ้ไป

 

คนนอกเห็นเพียงแค่แสงศักดิ์สิทธิ์พุ่งออกจากวัง แต่ตําแหน่งนั้นไม่ชัดเจน พวกเขารู้แค่ว่าแสงศักดิ์สิทธิ์มาจากส่วนลึกของวังหลวง

 

แต่หลี่เชิงนั้นต่างออกไป

 

ในเวลานั้นตัวเขาเองก็อยู่ในวัง เขาอยู่ใกล้พอที่จะระบุได้ชัดเจนว่าแสงศักดิ์สิทธิ์นั้นเหมือนจะมาจากทางส่วนลึกของทิศตะวันออกเฉียงใต้

 

“ที่นั่น…”

 

แม้ว่าซูเยว่หยุนจะไม่ทราบว่าจักรพรรดิถังต้องการทําอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ เธอก็ตอบออกไปตามจริงว่า “มีวังในทิศทางนั้นหลายแห่ง อย่าง โถงฉงเหวิน พระราชวังอี๋ชุน โถงอู่เต๋อ พระราชวังเฟิ่งหวา…”

 

ซูเยว่หยุนเอ่ยชื่ออาคารหลายสิบแห่งติดต่อกันและท้ายที่สุดก็กล่าวว่า “และพระราชวังตะวันออกที่พวกเราเคยอาศัยก็อยู่ในทิศทางนั้นเช่นเดียวกัน ”

 

“เข้าใจแล้ว”

 

หลี่เชิงคิดอยู่ครู่หนึ่ง จดจําชื่อพระราชวังทั้งหมดไว้ในใจก่อนจะพยักหน้าตอบรับ

 

“ในอนาคตหากมีนางกํานัลขันที่สัญจรผ่านหรือเข้าไปทําความสะอาดบริเวณนั้น ให้พวกเขาใส่ใจและสุภาพนอบน้อมกับทุกคนที่พวกเขาได้พบ…”

 

หลีเชิงกล่าวเตือน

 

แม้เขาจะไม่รู้ว่าเป็นผู้ใดที่ซ่อนตัวอยู่ในวัง แต่ผู้นั้นก็พยายามช่วยเหลืออาณาจักรถังไว้หลายครั้งหลายครา

 

แต่เนื่องจากอีกฝ่ายไม่ต้องการปรากฏตัว หลีเชิงจึงทําได้เพียงไม่ให้ขันที่และนางกํานัลไปรบกวนอีกฝ่ายเกินไป

 

ตําหนักขุนฝั่งขวา

 

แน่นอนว่าซูฉินไม่ได้ทราบความที่จักรพรรดิถังหลี่เชิงได้ขอให้ขันที่นางกํานัลใส่ใจให้ความสุภาพ พอหลังจากเขาให้คําแนะนําแก่หลีหว่านไปเรียบร้อย เขาก็ค่อยๆ เดินเตร่อยู่ในวัง

 

“เวลาผ่านไปรวดเร็วนัก”

 

ซูฉินเดินทอดน่องไม่เร่งรีบ บางครั้งก็พบกองทหารลาดตระเวนไปมา แน่นอนว่าพวกเขาไม่ได้เห็นซูฉิน

 

“วันนี้จะลงชื่อเข้าใช้ที่ไหนดีนะ?”

 

ความคิดของซูฉินเปลี่ยนผันไปมา

 

ถ้าอยู่ในวัดเส้าหลินคงจะมีสถานที่แค่สองแห่ง คือ ศาลาพระคัมภีร์กับลานโพธิ์ เพียงแค่สุ่มเลือกหนึ่งในนั้นมาสักแห่ง

 

แต่ภายในวังหลวง มีสถานที่มากกว่าสิบแห่งที่สามารถลงชื่อเข้าใช้ซ้ำได้

 

“แท่นบูชาเทพธรณีฯ”

 

ซูฉินตัดสินใจออกมา

 

ในช่วงหลายปีที่อยู่ในวังหลวง ซูฉินได้ลงชื่อเข้าใช้ที่หน้าแท่นบูชาเทพธรณีฯ ไม่รู้ว่ามีหยดน้ำหรือผลไม้จิตวิญญาณมากมายเพียงใดที่ได้มา เขาค่อนข้างมีความประทับใจต่อแท่นบูชาเทพธรณีฯ แห่งนี้

 

ไม่นานนัก

 

ซูฉินก็มาถึงแท่นบูชาเทพธรณีฯ

 

“ระบบ ลงชื่อเข้าใช้”

 

ซูฉินกล่าวคําอยู่ภายในใจเงียบๆ

 

[ขอแสดงความยินดี โฮสต์ลงชื่อเข้าใช้สําเร็จ ได้รับ “โอสถไทหยวน” ]

 

Sign in Buddha’s palm 146 ความรู้สึก

 

ตําหนักไท่จี๋

 

ข่าวการล้มตายของเหล่าราชาหัวเมืองทั้งสิบพระองค์ การถอยทัพของกองกําลังนับล้านได้แพร่กระจายออกไป ทั้งขุนนางพลเรือนและฝายทหารของวังหลวงต่างก็รู้สึกเหลือเชื่อ

 

ถ้าไม่ได้ตรวจสอบตัวตนของหน่วยสอดแนมคนนี้ก่อนเข้าวังหลวง เกรงว่าเหล่าขุนนางคงสงสัยว่าอีกฝ่ายเป็นสายลับของราชาหัวเมืองส่งมาเพื่อสร้างความสับสนวุ่นวายภายในพระราชวังถังไปแล้ว

 

“ฝ่าบาท พวกเราควรทําเช่นไรต่อไป”

 

ขุนนางบางคนถอนหายใจด้วยความโล่งอก

 

เมื่อกองทัพของเหล่าราชาหัวเมืองถอยทัพ อย่างน้อยเมืองฉางอันก็รอดตัวไป ไม่จําเป็นต้องเผชิญการบุกรุกของกองทัพนับล้าน

 

แม้ว่าเหล่าขุนนางในท้องพระโรงเหล่านี้จะพร้อมอยู่ร่วมเป็นร่วมตายกับอาณาจักรถังมาเนิ่นนานแล้ว แต่หากพวกเขาสามารถมีชีวิตอยู่รอดได้ ใครจะอยากตายกันเล่า?

 

ในขณะที่เหล่าขุนนางน้อยใหญ่เต็มไปด้วยความปีติยินดีใบหน้าเบิกบานแจ่มใส

 

จักรพรรดิถังก็ลุกขึ้นยืน

 

“จงฟังคําสังข้า”

 

จักรพรรดิถังหลี่เชิงมองไปที่ผู้คนรอบตัว ค่อยๆ พูดทีละคํา “รวบรวมกองทัพ บุกกวาดล้างดินแดนของราชาหัวเมือง ทั้งสิบทีละเมือง!”

 

แม้ว่าจักรพรรดิถังหลี่เชิงจะตกใจกับ “ตัวตนประดุจทวยเทพ” ที่ซ่อนอยู่ภายในวัง แต่เขาก็ตระหนักได้ว่านี่เป็นโอกาสเพียงครั้งเดียว ต้องรีบจัดการ

 

ในเมื่อราชาหัวเมืองทั้งสิบได้ตกตายไปแล้ว ความวุ่นวายย่อมเกิดแก่ดินแดนของพวกเขาอย่างมิอาจเลี่ยง

 

เหล่าองค์ชายตกตายกะทันหัน ไม่มีเวลาให้ถ่ายโอนอํานาจ สถานการณ์เช่นนี้แม้แต่บุตรชายคนโตของเหล่าองค์ชายก็คงยากที่จะจัดการสถานการณ์ให้กลับมามั่นคงได้ใน ช่วงเวลาสั้นๆ

 

หากเวลานี้จักรพรรดิถังกวาดล้างเขตแดนทั้งสิบในคราวเดียว “เมื่อรวมกับมาตรการ นโยบายกระจายอํานาจ” ที่จักรพรรดิถังหลี่เชิงดําเนินการไว้ก่อนหน้านี้ มันย่อมจะก ลายเป็นหายนะของเหล่าขุนนางหัวเมือง และช่วยแก้ปัญหาภายในราชสํานักได้อย่างสมบูรณ์แบบ

 

“รับพระบัญชา”

 

ขุนนางเจ้ากระทรวงยุทธนาการเข้าใจความหมายที่จักรพรรดิต้องการได้ในทันที จึงลุกขึ้นยืนเตรียมไประดมกําลังพลภาคพื้นดินและกองทหารม้า

 

….

 

….

 

กองทัพของราชาหัวเมืองได้แตกพ่ายไปแล้ว

 

กองทัพนับล้านไม่ได้เห็นแม้แต่เมืองฉางอัน และราชาหัวเมืองทั้งสิบก็กลายเป็นเพียงอากาศธาตุด้วยแสงศักดิ์สิทธิ์ที่พุ่งลงมาจากฟากฟ้า

 

ข่าวนี้แพร่กระจายไปทั่วด้วยความเร็วราวกับสายฟ้าแลบ

 

ผู้คนมากมาย จอมยุทธในยุทธภพ ทุกคนที่รู้เรื่องนี้ต่างตกตะลึง

 

ในป่าไผ่แห่งหนึ่ง มีร่างหลายร่างกําลังนั่งขัดสมาธิอยู่ ดวงตาของพวกเขาค่อนข้างผ่อนคลาย แต่กลิ่นอายทรงพลัง พวกเขาทั้งหมดล้วนเป็นยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่ง

 

“พวกเจ้าลองบอกซิ ทําไมกองทัพของเหล่าราชาหัวเมืองราชวงศ์ถังถึงพ่ายแพ้?” ชายชราคนหนึ่งในชุดสีเขียวเปิดปากถามและมองไปยังทุกคนที่อยู่ตรงนั้น

 

“นี่…..”

 

ทุกคนมองหน้ากันไม่รู้จะตอบอะไร

 

ความพ่ายแพ้ของราชาหัวเมืองทั้งสิบนั้นยากจะอธิบาย กองทัพของราชาหัวเมืองไม่ได้สู้กับกองทัพของอาณาจักรถังด้วยซ้ำ พวกเขาก็ถอนกําลังกลับไปเสียก่อน….

 

“ข้าได้ยินมาว่าตอนที่กองทัพของราชาหัวเมืองอยู่ห่างจากเมืองฉางอันหลายพันลี้ จู่ๆ มีแสงสว่างดูศักดิ์สิทธิ์พุ่งลงมาจากท้องฟ้า กวาดล้างราชาหัวเมืองทั้งสิบในคราวเดียว ทําให้กองทัพไม่มีผู้นํา จึงต้องถอยทัพกลับไป…” 

 

ชายวัยกลางคนคนหนึ่งขมวดคิ้วแล้วพูดต่อว่า “มีข่าวลือจากภายนอกบอกมาว่าจักรพรรดิถังหลี่เชิงอยู่ในอาณัติแห่งสวรรค์ แม้แต่ทวยเทพก็ช่วยเหลือ…”

 

คําที่กล่าวออกมา

 

คนที่เหลือต่างก็มองหน้ากันอย่างแปลกใจ

 

เพราะคําพูดของชายวัยกลางคนผู้นี้ช่างน่าเหลือเชื่อเสียเหลือเกิน

 

“ฮ่าฮ่า…”

 

“อาณัติแห่งสวรรค์? เจ้าเชื่อเรื่องนี้จริงๆ หรือ?”

 

ชายชราในชุดสีเขียวส่ายหัวแล้วพูดออกมาอย่างช้าๆ

 

“เฒ่าเขียว ท่านหมายความว่าเรื่องนี้มีลับลมคมในใดนั้นหรือ?” ดวงตาของชายวัยกลางคนเป็นประกายและเอ่ยถามทันที

 

อันที่จริงเมื่อเขารู้เรื่องราวนี้ครั้งแรก เขาก็ไม่เชื่อเหมือนกัน แต่เหตุผลอื่นนอกจากนี้จะอธิบายแสงที่ตกลงมาจากฟ้าได้อย่างไร

 

“เป็นไปได้ไหมว่าไม่มีแสงศักดิ์สิทธิ์อะไรทั้งนั้น ทั้งหมดเป็นเพียงข่าวเท็จที่ทั้งทางอาณาจักรถังและเหล่าราชาหัวเมืองจงใจปล่อยออกมา?”

 

ทันใดนั้นหญิงร่างอ้วนก็คาดเดาขึ้นมา

 

เมื่อคนอื่นๆ ได้ยิน พวกเขาก็พยักหน้าเห็นด้วยอย่างลับๆ

 

จริงดังนั้น

 

พวกเขายังคิดอยู่ว่าเรื่องแสงศักดิ์สิทธิ์พุ่งลงมาจากฟ้านั้นมันน่าเหลือเชื่อจนเกินไป

 

บางทีเรื่องทวยเทพอาจจะเป็นที่ถูกกุขึ้นมา ทุกคนต่างถูกหลอกโดยอาณาจักรถังและเหล่าราชาหัวเมือง

 

“แสงศักดิ์สิทธิ์นั่นเป็นเรื่องจริง” ชายชราในชุดสีเขียวกล่าวออก

 

“เฒ่าเขียว ตกลงมันมีความลับอันใด บอกออกมาได้แล้ว…” ชายวัยกลางคนไม่สามารถทนสงสัยต่อไปได้

 

“มันไม่ใช่อาณัติสวรรค์ มันเป็นฝีมือของมนุษย์”

 

พอพูดถึงเรื่องนี้ ชายชราในชุดเขียวก็หยุดไปครู่หนึ่งแล้วพูดต่อว่า “ข้ามีเพื่อนสนิทคนหนึ่งที่ผ่านเมืองฉางอันในวันที่กองทัพราชาหัวเมืองพ่ายแพ้ เขาได้เห็นแสงศักดิ์สิทธิ์พุ่งออกจากส่วนลึกของวังหลวงขึ้นสู่ท้องฟ้า แล้วมันก็หายไป”

 

“หลังจากนั้น ราชาหัวเมืองก็ตกตายภายใต้ลําแสงศักดิ์สิทธิ์ที่พุ่งลงมาจากฟากฟ้า”

 

ในประโยคทั้งสองของชายชราชุดเขียวซ่อนความหมายอันลึกซึ้งเอาไว้

 

“เฒ่าเขียว เจ้าหมายความว่าแสงศักดิ์สิทธิ์นั่นเกิดจากน้ำมือของใครบางคนในพระราชวังถังงั้นรึ?”

 

“ทั้งยังส่งการโจมตีระยะไกลกว่าพันลี้ สังหารราชาหัวเมืองทั้งสิบคนที่อยู่ในหมู่กองทัพนับล้าน?”

 

หญิงสาวร่างอ้วนรู้สึกเพียงว่านี่มันเรื่องไร้สาระอันใดกัน

 

เมื่อเทียบกับสิ่งที่ชายชราชุดเขียวพูด นางรู้สึกเชื่อข่าวลือว่าเป็นอาณัติสวรรค์ เป็นโชคชะตาแห่งอาณาจักรถังมากกว่าอีก

 

“สิ่งที่เพื่อนของท่านพูดเป็นเรื่องจริงงั้นหรือ?”

 

ชายวัยกลางคนมองอย่างระแวงก่อนจะถามออกไป

 

“แน่นอนว่าเรื่องจริง”

 

ชายชราชุดเขียวยืนยัน

 

“เป็นไปได้ไหมว่ามีตํานานยุทธอยู่ในพระราชวังถัง?” 

 

บางคนที่อยู่ตรงนั้นสูดลมหายใจเข้าลึกเป็นการตอบสนอง แล้วจึงพึมพําอยู่กับตนเอง

 

พวกเขาล้วนเป็นยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่ง และแน่นอนพวกเขารู้ดีว่าการสังหารราชาหัวเมืองทั้งสิบคนที่อยู่ภายในกองทัพด้วยระยะทางหลายพันลี้นั้นยากเย็นเพียงใด

 

นอกจากอีกฝ่ายจะเป็นตํานานยุทธแล้ว ไม่สามารถคิดเป็นอื่นได้

 

“ข้าเกรงว่าจะเป็นเช่นนั้น”

 

ชายชราชุดเขียวกล่าวคําออกมาช้าๆ

 

“เป็นตัวตนขอบเขตตํานานยุทธ…”

 

คนอื่นๆ ได้แต่มองหน้ากัน เค้าลางความประหลาดใจปรากฏขึ้นบนใบหน้าของพวกเขา

 

 

 

อาณาจักรเหมิ่งหยวน

 

ทุ่งหญ้าเขียวขจีกว้างใหญ่ไพศาล

 

ชายร่างสูงมีดวงตาที่สงบนิ่งจ้องมองไปยังท้องฟ้ากว้าง

 

แม้ว่าชายร่างสูงจะยืนอยู่ตรงนั้นเฉยๆ แต่ก็ทําให้ผู้คนต่างรู้สึกว่ากําลังเชิญหน้ากับผืนแผ่นอันยิ่งใหญ่

 

“ท่านราชครู”

 

“มีเรื่องใหญ่เกิดขึ้นที่ที่ราบภาคกลางขอรับ”

 

ในเวลานั้นมีชายฉกรรจ์วิ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว

 

“ราชาหัวเมืองทั้งสิบของราชวงศ์ถังก่อกบฏ นํากองกําลังนับล้านเข้ามาตั้งค่ายอยู่ห่างจากเมืองฉางอันหลายพันลี้ แต่พวกเขากลับถูกสังหารโดยแสงศักดิ์สิทธิ์ที่พุ่งออกมาจากเมืองฉางอัน…”

 

ชายฉกรรจ์คนนั้นพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ

 

หากไม่มั่นใจว่าแหล่งข่าวที่ได้มาเป็นความจริงเขาก็จะไม่เชื่อถือสิ่งนี้เลย

 

“โอ้?”

 

“ตํานานยุทธงั้นหรือ?”

 

ชายร่างสูงค่อยๆ เหม่อมองออกไปแล้วกระซิบอยู่กับตนเอง

 

“ท่านราชครู ท่านคิดว่าภายในพระราชวังถังมีตํานานยุทธงั้นหรือ”

 

ใบหน้าของชายฉกรรจ์ที่มาส่งข่าวก็กลายเป็นบิดเบี้ยวน่าเกลียด

 

การมีตํานานยุทธในพระราชวังถังก็เปรียบเสมือนสายฟ้าฟาดลงมาใส่อาณาจักรเหมิ่งหยวน

 

แม้ว่าเมื่อสิบปีก่อนวัดเส้าหลินจะให้กําเนิดอรหันต์ขึ้นมา เช่นกัน แต่วัดเส้าหลินเป็นสุดยอดพรรคในยุทธภพ ไม่ว่าจะมีอีกคนหรืออีกสองคนก็เพียงส่งเสริมสถานะของวัดเส้าหลินในฐานะสุดยอดพรรคในยุทธภพเท่านั้น

 

ไม่มีผลกระทบใดต่อแผ่นดิน

 

เพราะตลอดเวลาหลายพันปี วัดเส้าหลินก็สงบสุขมาโดยตลอด

 

ไม่มีความทะเยอทะยาน

 

แต่กับอาณาจักรถังนั้นต่างออกไป

 

หากมีตํานานยุทธในพระราชวังถังย่อมมีผลกระทบใหญ่หลวงต่อสถานการณ์ภายในโลกหล้าอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

 

“ไม่ต้องห่วง…”

 

ชายร่างสูงส่ายหัวและมองขึ้นไปบนท้องฟ้ากว้างอีกครั้ง

 

“ตํานานยุทธ…”

 

“อีกเดี๋ยวข้าก็จะไปถึงแล้ว…”

 

Sign in Buddha’s palm 145 ปราชัย

เงียบ!

 

เงียบสนิท!

 

กองทัพของเหล่าราชาหัวเมืองที่เหลือต่างจ้องมองมาด้วยสายตาว่างเปล่า ราชาหัวเมืองทั้งสิบพระองค์ถูกสังหารด้วยแสงศักดิ์สิทธิ์อันนั้น หัวใจของพวกเขาเต้นตุบ ตื่นตะลึงคาดไม่ถึง

 

แสงศักดิ์สิทธิ์ที่พุ่งข้ามท้องฟ้าตกลงมาบริเวณจุดที่ตั้งกระโจมของราชาหัวเมืองทั้งสิบอย่างเฉพาะเจาะจง

 

ดังนั้นถึงแม้ว่าทหารหลายหมื่นนายจะได้รับผลกระทบ แต่ก็ยังเหลือกองทหารอีกจํานวนมากกําลังเฝ้ามองราชาของตนด้วยความรู้สึกว่างเปล่า มันไม่เหลือสิ่งใดเลย

 

“ไม่นะ!”

 

“เป็นไปไม่ได้”

 

นายทหารหลายคนดวงตาแดงก่ํา พวกเขาแทบไม่เชื่อสายตาตนเอง

 

พวกเขาร่วมก่อกบฏกับราชาหัวเมืองและคิดมานานแล้ว ว่าชะตากรรมที่เลวร้ายที่สุดแม้การก่อกบฏจะล้มเหลวในสุดท้าย มันก็ต้องผ่านการต่อสู้อันแสนดุเดือดกันก่อน

 

แต่ตอนนี้?

 

มันเกิดอะไรขึ้น?

 

พวกเขายังไม่ได้เห็นแม้แต่กองทัพของอาณาจักรถัง แล้วราชาของพวกเขากลับถูกทวยเทพกําจัดไป?

 

ทหารจํานวนมากขยี้ตาแล้วขยี้ตาอีก หวังว่าทุกสิ่งที่เห็น เมื่อครู่จะเป็นเพราะตาฝาดไป

 

อย่างไรก็ตาม ช่างน่าเสียดาย

 

เมื่อเวลาผ่านเลยไป ความตื่นตระหนกนี้ก็แพร่กระจายออกไปในหมู่ทหาร เหล่าทหารทําได้เพียงยอมรับผลที่เกิดขึ้น

 

มันคือความจริง

 

ทั้งหมดมันคือความจริง

 

พวกเขาเดิมพันทุกอย่าง รวบรวมกองทัพนับล้านก่อการกบฏ หวังจะผลัดเปลี่ยนแผ่นดิน แต่ทุกอย่างจบลง ตั้งแต่ยังไม่เริ่มต้นด้วยซ้ํา

 

“เป็นไปได้หรือไม่ว่านี่คือชะตากรรมของตระกูลหลีแห่งอาณาจักรถัง พวกเราก่อกบฏเลยถูกสวรรค์ลงทัณฑ์?” 

 

ทหารบางคนทรุดตัวลงกับพื้นร้องตะโกนอย่างบ้าคลั่ง

 

ในความจริงไม่ใช่แค่ทหารคนนี้ที่คิดแบบนั้น ตอนที่ผู้คนจํานวนนับไม่ถ้วนได้เห็นแสงอันศักดิ์สิทธิ์ปกคลุมพื้นที่ที่ราชาหัวเมืองอยู่โดยสมบูรณ์ พวกเขาไม่สามารถคิดเป็นอื่นได้ ว่านอกจากทวยเทพแล้วจะมีใครสามารถส่งแสงอันศักดิ์สิทธิ์ ลงมาจากท้องฟ้าได้อีก?

 

ในขณะที่กองทหารจํานวนมหาศาลตกอยู่ในความโกลาหล

 

ยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งนับสิบคนก็เดินออกมา และเริ่มจัดการแก้ไขความวุ่นวายภายในกองทัพ

 

ปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งเหล่านี้ล้วนเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของราชาหัวเมืองทั้งสิบ เมื่อยามที่ปรากฏการโจมตีจากฟากฟ้า พวกเขาเหล่านี้ไม่ได้อยู่ร่วมกับราชาหัวเมือง แต่อยู่รอบนอกของกองทัพเพื่อควบคุมสถานการณ์

 

ด้วยเหตุนี้พวกเขาทั้งหมดจึงหนีรอดความตายมาได้ 

 

เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว

 

ผ่านไปสองสามชั่วโมง

 

ในที่สุดทั้งกองทัพก็เริ่มสงบลง

 

เหตุผลที่เหล่าราชาหัวเมืองทั้งสิบกล้าก่อกบฏนอกเหนือจากได้ผู้สนับสนุนรายใหม่แล้ว พวกเขาก็อาศัยกองทัพนับล้านนี่แหละเป็นพื้นฐานความมั่นใจ

 

กองกําลังนับล้านเหล่านี้ได้รับการฝึกฝนอย่างดีจากเหล่า ราชาหัวเมืองและภักดีต่อราชาหัวเมืองทั้งสิบคนอย่างมาก ดังนั้นพวกเขาแทบจะไม่สามารถสงบใจลงได้เมื่อเกิดเหตุการณ์ดังกล่าวขึ้น

 

แต่ถ้าหากเป็นกองทัพอื่นเมื่อเผชิญกับความวุ่นวายเช่นนี้ อาจจะนับว่าพ่ายแพ้ไปนานแล้ว

 

“ตอนนี้พวกเราควรทําเช่นไรดี?”

 

ภายในกระโจมทหารที่ตั้งขึ้นชั่วคราวโดยยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งมากกว่าสิบคน ทั้งหมดกําลังนั่งจ้องหน้ากัน ท่าทางของพวกเขาดูสง่าผ่าเผย

 

“ทําเช่นไร?”

 

ยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งที่ดูเหมือนอยู่ในวัยกลางคนก็ตั้งสติได้ แล้วมองไปยังทิศทางที่แสงศักดิ์สิทธิ์พุ่งมา

 

“เมืองฉางอัน…”

 

ยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งคนหนึ่งรู้สึกหัวใจสั่นไหวในทรวง

 

เขาเป็นแม่ทัพของราชาชวอฟาง และเป็นผู้ที่มีประสาทสัมผัสเฉียบคม

 

ทหารคนอื่นๆ อาจจะคิดว่าแสงอันนั้นเป็นการลงโทษจากสรวงสวรรค์ แต่เขาตระหนักดีว่าทิศทางของแสงศักดิ์สิทธิ์มาจากเมืองฉางอัน

 

นั่นหมายความว่าเช่นไร?

 

หมายความว่าแสงอันศักดิ์สิทธิ์นั้นมีแนวโน้มว่าเป็นสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้น

 

“เรา…ควรจะต่อต้านดีไหม…”

 

ยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งคนหนึ่งที่เงียบอยู่นาน อดไม่ได้ที่ถามขึ้น

 

คําที่กล่าวออกมา

 

ความขมขึ้นเล็กๆ ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งคนอื่นๆ

 

ต่อต้าน?

 

พวกเขาจะทําเช่นนั้นได้อย่างไร?

 

ขนาดเหล่าองค์ชายยังสิ้นพระชนม์ไปหมดแล้ว แม้ว่าพวกเขาที่นั่งอยู่ตอนนี้จะทําให้กองทัพสงบลงชั่วคราวได้ แต่เมื่อเวลาผ่านไปจะมีปัญหาตามมาทีหลังเป็นแน่

 

ในตอนนี้ถึงกองทัพของเหล่าราชาหัวเมืองจะมีอยู่นับล้าน แต่จริงๆแล้วเปราะบางอย่างมาก หากมีอะไรผิดปกติก็มีโอกาสที่จะแตกฉานซ่านเซ็นได้ง่าย

 

“กลับกันเถอะ”

 

“กลับไปที่เขตแดนของพวกเรา และรอให้ราชาหัวเมืองคนใหม่ขึ้นครองตําแหน่ง ก่อนที่จะปรึกษาหารือกันใหม่อีกครั้ง”

 

ยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งคนหนึ่งพูดขึ้น

 

“ไม่เลว”

 

“ตอนนี้สถานการณ์วุ่นวายยิ่ง ภายในกองทัพไม่มีผู้นําอีกแล้ว ถ้าพวกเจ้าอยู่ต่อ เป็นไปได้ว่าเราอาจจะโดนอาณาจักรถังกวาดล้างได้”

 

ยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งคนอื่นพยักหน้าเห็นด้วย

 

แม่ทัพของราชาชวอฟางผู้นี้เท่านั้นที่รอบคอบที่สุด

 

ควรรีบกลับไปในตอนนี้ จากนั้นก็รอให้ราชาหัวเมืองคนใหม่ขึ้นครองตําแหน่งแล้วค่อยจัดตั้งกองทัพขึ้นมาใหม่คงเป็นวิธีที่ดีที่สุด

 

เพียงแต่ว่าอาณาจักรถังจะให้โอกาสพวกเขาหรือ?

 

ทั้งยังมีตัวตนที่ปล่อยแสงอันศักดิ์สิทธิ์นั้นออกมาได้ สิ่งนั้นมันคืออะไรกันแน่?

 

ในเวลาเดียวกัน

 

ตําหนักไท่จี้

 

จักรพรรดิหลีเชิงแห่งราชวงศ์ถังและเหล่าขุนนางกําลังหารือกันเกี่ยวกับเรื่องสิ่งที่เกิดขึ้นในเมืองฉางอันเมื่อไม่นานมานี้

 

พลังฉีฟ้าดินในรัศมีหลายสิบลี้หลั่งไหลเข้ามาในเมืองฉางอันอย่างฉับพลัน และตอนนี้แม้ว่าจะค่อยๆ กระจายกลับไปแล้ว แต่มันก็มีผลกระทบตามมาอย่างใหญ่หลวง

 

นอกจากนี้ยังมีแสงศักดิ์สิทธิ์ที่พุ่งออกมาจากส่วนลึกของวังหลวง ทําให้จักรพรรดิหลี่เชิงกังวลมากขึ้นไปอีก

 

ทันใดนั้น

 

ตอนนั้นเอง

 

หน่วยสอดแนมจากแนวหน้าก็รีบเข้ามาภายในท้องพระโรงอย่างรวดเร็ว คุกเข่าลงข้างหนึ่งแล้วกล่าวเสียงดัง “ฝ่าบาทมีรายงานด่วนจากแนวหน้า!”

 

“รายงานด่วน?”

 

จักรพรรดิถังตกตะลึง

 

มันไม่ใช่ความลับอะไรเรื่องที่ราชาหัวเมืองก่อกบฏ นําทัพมาเป็นล้านนาย แล้วตอนนี้ยังจะมีรายงานด่วนอะไรอีก?

 

ข้าราชบริพารที่เหลือต่างก็คาดเดาและเริ่มรู้สึกไม่สบาย

 

“พูดมา”

 

จักรพรรดิถังหลี่เชิงเหลือบมองขุนนางทั้งฝ่ายทหารและ ฝ่ายพลเรือนจากนั้นจึงค่อยกล่าวคําออกมา

 

“กองทัพของเหล่าองค์ชาย กองทัพของเหล่าองค์ชายกําลังถอยทัพกลับไป…” เห็นได้ชัดว่าหน่วยสอดแนมเองก็รู้สึกว่ามันแปลกๆ แต่เขาก็ยังรายงานออกมาอย่างรวดเร็ว

 

กองทัพของเหล่าองค์ชาย…ถอยทัพไปแล้ว?”

 

จักรพรรดิถังหลี่เชิงเบิกตากว้างไม่อยากจะเชื่อ

 

เขาเพิ่งจะคิดว่ากองทัพของเหล่าองค์ชายอาจจะล้อมกรอบเมืองอยู่เมื่อครู่นี่เอง แต่มิคาดคิด อีกฝ่ายกลับถอยทัพกลับไป?

 

รู้หรือไม่ว่าการก่อความวุ่นวายจากเหล่าราชาหัวเมือง ทั้งสิบนั่นเทียบเท่ากับการฉีกหน้าของอาณาจักรถังออกอย่างสมบูรณ์ คนอื่นอาจจะคิดล่าถอยได้ แต่ราชาหัวเมือง ทั้งสิบเมื่อมาถึงขนาดนี้แล้วคงไม่สามารถล่าถอยได้อีกต่อไป

 

เพราะแม้ว่าพวกเขาจะถอยทัพกลับ อาณาจักรถังก็ไม่สามารถปล่อยให้ราชาหัวเมืองที่ก่อกบฏมีชีวิตรอดต่อไปได้แน่ๆ

 

ในกรณีนี้คงจะเป็นการดีกว่าที่จะรวมกําลังกันเข้าโจมตีอาณาจักรถัง

 

ถ้าจักรพรรดิถังหลี่เชิงยังสามารถคิดเรื่องนี้ได้ เหล่าองค์ชายก็ต้องคิดได้เช่นกัน

 

“เพราะเหตุใดกัน?”

 

ความคิดของจักรพรรดิถังวิ่งวุ่นในหัว และกล่าวถามออกมาในทันที

 

“ตามข้อมูลที่ได้รับมา เหมือนว่าจะมีแสงศักดิ์สิทธิ์พุ่งลงมาจากท้องฟ้า กวาดล้างราชาหัวเมืองทั้งสิบไปจนสิ้นพะย่ะค่ะ”

 

“กองทัพของเหล่าองค์ชายจึงเลือกล่าถอย เพราะไม่มีผู้นํากองทัพนับล้าน…”

 

หน่วยสอดแนมกัดฟันกล่าวถ้อยคําทั้งหมดออกมา

 

อันที่จริงเมื่อได้ฟังข้อมูลเหล่านี้ ตัวเขาเองก็แทบจะไม่เชื่อ เช่นกัน เมื่อยามที่รายงานออกไปจึงเริ่มต้นอธิบายด้วยคําว่า ‘เหมือนว่า’…

 

นั่นเป็นเหตุผลว่าทําไมในฐานะที่เป็นคนในหน่วยสอดแนมข้อมูลทุกอย่างต้องถูกถ่ายทอดออกไปอย่างถูกต้อง จึงใช้คําที่มีความหมายคลุมเครืออย่าง ‘เหมือนว่า’

 

“แสงศักดิ์สิทธิ์?”

 

เหมือนมีเสียงดังก้องอยู่ภายในใจของจักรพรรดิถังหลีเชิง

 

ประกายความคิดแวบขึ้นมาในหัว จักรพรรดิถังนึกไปถึงแสงศักดิ์สิทธิ์ที่พุ่งออกมาจากส่วนลึกของพระราชวังเมื่อไม่นานมานี้

 

เวลาของทั้งสองเหตุการณ์ใกล้เคียงกันมาก ทันทีที่เกิดเหตุการณ์ในวังหลวง เหล่าราชาหัวเมืองก็ตกตายในช่วงเวลาไล่เลี่ยกัน

 

“มันคือแสงศักดิ์สิทธิ์อันนั้นที่พุ่งขึ้นสู่ฟากฟ้ามุ่งหมายจะสังหารราชาหัวเมืองจนสิ้นชีพ?”

 

“ระยะทางห่างไกลกว่าหลายพันลี ท่ามกลางกองทหารนับล้าน สามารถสังหารราชาหัวเมืองทั้งสิบได้?”

 

จักรพรรดิหลี่เชิงกลืนน้ําลาย รู้สึกเหมือนตนกําลังตกอยู่ในความฝัน

 

หากเรื่องที่เขาคิดเป็นความจริง เกรงว่าตัวตนที่มีพลังเช่นนั้นควรจะเทียบเท่าทวยเทพเสียแล้ว

 

“มีเทพยุทธซ่อนตัวอยู่ในวังหลวงเช่นนั้นหรือ?”

 

จักรพรรดิถังหลี่เชิงแอบตกตะลึงอยู่ในใจ

Sign in Buddha’s palm 144 ขจัดทิ้ง

ภายในโถงชีวิตนิรันดร์

 

จักรพรรดิหลี่เชิงแห่งราชวงศ์ถังกําลังกังวลใจเกี่ยวกับเรื่องกองทัพพันธมิตรของเหล่าราชาหัวเมือง

 

ในตอนนั้นเอง จักรพรรดิถังก็รู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาโดยพลัน

 

แม้คนธรรมดาจะมองไม่เห็นความผันผวนของพลังฟ้าดิน แต่เมื่อพลังฟ้าดินจากหลายสิบลี่มารวมตัวกัน พวกเขาก็จะรู้สึกถึงอันตรายเหมือนถูกสัตว์ร้ายจ้องมอง

 

“เกิดอะไรขึ้น?”

 

จักรพรรดิถังหลี่เชิงดูประหลาดใจและสงสัย

 

“ฝ่าบาท”

 

ร่างของหลิวกงกงปรากฏขึ้นต่อหน้าองค์จักรพรรดิหลี่เชิง และพูดออกมาด้วยเสียงอันสั่นเทา “พลังฟ้าดิน พลังฟ้าดินหลุดจากการควบคุมอย่างสมบูรณ์”

 

น้ำเสียงของหลิวกงกงเต็มไปด้วยความหวาดกลัว

 

ในฐานะยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่ง หลิวกงกงย่อมสามารถรับรู้พลังฟ้าดินได้เป็นธรรมดา แต่ในตอนนี้เขาพลันรู้สึกถึงพลังฟ้าดินที่แต่เดิมอ่อนโยนและเรียบง่ายกลาย เป็นรุนแรงเกรี้ยวกราด

 

ถูกล้อมรอบไว้ด้วยพลังฟ้าดินเช่นนี้ หลิวกงกงรู้สึกได้ว่าความแข็งแกร่งเก้าในสิบส่วนของตนถูกสะกดเอาไว้ และยิ่งเวลาผ่านไปแรงกดดันนั้นก็ยิ่งเพิ่มขึ้น

 

พลังฟ้าดินที่จู่ๆ ก็มารวมตัวกันอย่างรวดเร็ว สําหรับคนธรรมดาอาจทําให้รู้สึกว่าจิตใจหดหูรู้สึกไม่สบายใจ แต่ในสายตาของจอมยุทธขอบเขตสามระดับบนที่ต้องแบกรับพลังฟ้าดินเอาไว้ก็ไม่ต่างจากเอาร่างไปปะทะกับภัยธรรมชาติ

 

ไม่เพียงแต่จ้าวกงกงเท่านั้น แต่ยอดยุทธขอบเขตสามระดับบนในเมืองฉางอันต่างเป็นเช่นนี้กันหมด

 

ในเวลาเดียวกัน

 

ด้านหน้าตําหนักชุนฝั่งขวา

 

ซูฉินกําลังถือธนูเก้าประกาย ดวงตาลุ่มลึก และตอนนี้ลูกศรที่พาดอยู่บนคันธนูก็ควบแน่นอย่างสมบูรณ์

 

ฟู!

 

ชี่!

 

ลูกธนูดูดกลืนพลังฟ้าดินจากทุกทิศทางราวกับมันมีชีวิต

 

“ใกล้แล้ว”

 

ซูฉินหรีตาลงเล็กน้อย ค่อยๆ ปรับระดับลูกศรให้เล็งไปยังตําแหน่งที่เขาจับจ้องด้วยดวงตาแห่งสัจจะควบคู่กับวิชาปราณฉีฟ้ากําหนด

 

และแล้ว

 

ผึง!!

 

ซูฉินปล่อยมือซ้ายออกจากสายรั้งของธนูเก้าประกาย

 

ฟิ่ว!!!

 

ราวกับโยนหินกระทบแม่น้ํา

 

ลูกธนูจากธนูเก้าประกายซึ่งเต็มไปด้วยเจตจํานงอันน่าหวาดหวั่น กลายเป็นเส้นแสงส่องประกาย ยิงไปยังทิศทางหนึ่งด้วยความเร็วที่น่าสะพรึงกลัวอย่างยิ่ง

 

ในขณะนั้น ไม่ว่าจะเป็นกองทัพทหารภายในวังหลวงหรือจะเป็นพลเรือนบางคนภายในเมืองฉางอัน พวกเขาต่างก็ได้เห็นฉากที่ไม่อาจลืมได้ลง

 

แสงอันงดงามพุ่งออกจากส่วนลึกของพระราชวังแล้วหาย ไปในท้องฟ้าและมวลหมู่เมฆ

 

ตําหนักขุนฝั่งขวา

 

ซูฉินคลายมือจากคันธนูแล้วจึงใส่กลับเข้าไปในคลังของ ระบบความคิดของเขาผันผวนเล็กน้อย

 

และเพราะธนูเก้าประกายได้หายไป พลังฟ้าดินที่จู่ๆ รุนแรงขึ้นมาก็สงบลงอย่างช้าๆ กระจายออกไปทั่วทุกทิศกลับไปยังรัศมีสิบสี่โดยรอบ

 

“ไม่คาดคิดเลยว่าพลังธนูเก้าประกายจะดูดพลังงานเยอะ มากขนาดนี้?”

 

“ถ้าข้ายิงธนูหลายสิบดอกติดต่อกัน มันจะมิกินพลังงานของจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของข้าไปหนึ่งส่วนสิบเลยหรอกหรือ…”

 

ซูฉินดูประหลาดใจ

 

ธนูเก้าประกายเป็นสมบัติจิตวิญญาณที่ละเอียดอ่อนอย่างยิ่ง การที่จะสามารถรั้งสายธนูได้ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับแรงกาย ไม่ได้ขึ้นอยู่กับแก่นแท้แห่งพลังที่ต้องใช้มีเพียงจิต สัมผัสศักดิ์สิทธิ์เท่านั้น

 

“ข้ารู้สึกได้ว่าลูกศรที่ยิงออกไปเมื่อครู่ยังไม่ใช่ขีดจํากัดของมัน หากข้ารั้งสายธนูเอาไว้พลังของลูกศรคงจะพุ่งขึ้นไปเรื่อยๆ แต่ในขณะเดียวกันมันก็กินพลังงานจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์เพิ่มขึ้นไปด้วย”

 

ซูฉันรู้สึกถึงสิ่งเหล่านี้ได้จากตอนที่เขายิงธนูออกไป

 

แม้แต่ซูฉินเองยังรู้สึกได้เลยว่า หากเขาใช้พลังงานจนหมดสิ้น ลูกศรที่ยิงออกไปก็สามารถจัดการกับขอบเขตตํานานยุทธได้เลย ยกเว้นแต่จะเป็นตํานานยุทธระดับนภา ชั้นที่เจ็ดที่สามารถควบแน่นอาณาเขต ” ขนาดเล็กของตนเองได้แล้ว ส่วนตํานานยุทธระดับอื่นๆ ไม่สามารถหยุดลูกศรนี้ได้เลย

 

และแน่นอนซูฉินจะไม่ทดลองทําสิ่งนั้นดูหรอก

 

ควรรู้ว่าสําหรับจอมยุทธที่ควบแน่นจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ได้แล้ว และจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์หมดลง ความแข็งแกร่งของพวกเขาย่อมลดลงไปอย่างมาก แม้ว่าซูฉินจะมีไพ่ลับอีกมากมาย การที่จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์หมดลงจริงๆ ก็คงจะมีวิธีการเอาตัวรอดอื่น แต่เขาคงไม่พาตัวเองไปตกอยู่ในอันตรายตั้งแต่แรกแน่

 

“ในตอนที่เอาธนูเก้าประกายออกมา พลังฟ้าดินที่ไหลมารวมตัวกันเสมือนถูกบีบบังคับ?”

 

ซูฉินแตะปลายคาง ใบหน้ามีแววครุ่นคิด

 

โดยปกติพลังของฟ้าดินที่ถูกรวบรวมโดยค่ายกลฟ้าดิน เช่น ค่ายกลสวรรค์เขตแดนพิสุทธิ์จะถูกกลั่นกรองมาแล้ว และซูฉินก็จะสามารถดูดซับมันได้อย่างมีเสถียรภาพ

 

แต่พลังฟ้าดินที่ธนูเก้าประกายชักนํามานั้นเป็นความเกรี้ยวกราดรุนแรงอย่างสมบูรณ์

 

ที่กองทัพของเหล่าองค์ชาย

 

“รายงาน กองทัพอาณาจักรถังล่าถอยกลับไปแล้ว เหมือนว่าจะวางแผนที่จะไม่ประชิดกับกองทัพของเรา”

 

ทหารคนหนึ่งเดินเข้ามาอย่างรวดเร็ว คุกเข่าลงข้างหนึ่ง แล้วกล่าวรายงานด้วยความเคารพ

 

“ถอยกลับ?”

 

“เป็นไปได้ไหมว่าจักรพรรดิถังจะกลัวพวกเรา?”

 

ราชาอันหยางเยาะเย้ยเมื่อได้ฟังคํารายงาน

 

ยิ่งจักรพรรดิหลี่เชิงเป็นเช่นนี้ ก็พิสูจน์ได้ว่าอีกฝ่ายจิตใจไม่มั่นคง

 

“จักรพรรดิถังอาจจะต้องการรวบรวมกําลังพลทั้งหมด เพื่อเตรียมตั้งรับกับกองทัพขุนนางหัวเมืองของพวกเราที่นอกเมืองฉางอัน”

 

ราชาชวอฟางคิดอยู่ครู่หนึ่ง และกล่าวออกมาด้วยน้ําเสียงที่ส่อแววชื่นชมไม่น้อย

 

แม้ว่าเขาจะยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามกับจักรพรรดิถัง ราชาชวอฟางก็รู้สึกว่าการตัดสินใจเลือกของจักรพรรดิถังนั้นไม่ได้ ผิดปกติ

 

ละทิ้งพื้นที่ผืนเล็กๆ เพื่อแลกกับความแข็งแกร่งของกองทัพ โอกาสในการชนะจะเพิ่มขึ้น อาจจะกล่าวได้ว่าจักรพรรดิถังทําทุกอย่างเท่าที่ทําได้แล้ว

 

“น่าเสียดาย…”

 

ราชาชวอฟางถอนหายใจเล็กน้อย มองไปยังชายหน้าตาเฉยเมยที่อยู่ไม่ไกลและกล่าวอย่างให้ความเคารพ “ด้วยการ มีผู้อาวุโสอยู่ด้วย จักรพรรดิถังมีแต่จะต้องเศร้า เสียใจเท่านั้น”

 

คําที่กล่าวออกมา

 

ทําให้รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของราชาหัวเมือง อีกเก้าคนที่เหลือ

 

ชายหน้าตาเฉยเมยก็ยิ้มออกมาเล็กน้อยโดยที่ไม่พูดอะไร

 

ออกมา

 

ขณะที่ราชาหัวเมืองกําลังคิดกันอยู่ว่าจะแบ่งสมบัติจากวังหลวงอย่างไร หลังจากยึดเมืองฉางอันได้แล้ว

 

ทหารอีกคนก็รีบวิ่งเข้ามา

 

“ด้านนอกด้านนอก เกิดเรื่องขึ้นที่ด้านนอก…” 

 

น้ําเสียงของทหารคนนั้นดูร้อนรน เผยให้เห็นถึงความหวาดกลัว

 

“เกิดอะไรขึ้น?”

 

ราชาเจี้ยนหนานขมวดคิ้ว

 

จะมีอะไรเกิดขึ้นได้กัน ในเมื่อพวกเขาอยู่กันเป็นกองทัพขนาดนี้?

 

ราชาชวอฟางดูงงงวย จากมุมของเขาด้วยการคุ้มกัน จากกองทหารนับล้านในตอนนี้ ทั้งยังมียอดฝีมือมากมายที่อยู่กับพวกเขา สถานที่นี้ควรจะปลอดภัยที่สุด มันจะเกิดอะ ไรขึ้นได้กัน?

 

มีเพียงชายหน้าตาเฉยเมยเท่านั้นที่สีหน้าเปลี่ยนไป รีบลุกขึ้นยืนและเดินออกจากกระโจมไป

 

เมื่อเห็นเช่นนี้ราชาหัวเมืองทั้งสิบก็หันมองหน้ากันเองและ รีบเดินตามออกไป

 

เมื่อราชาหัวเมืองทั้งสิบเดินออกมาจากกระโจม พวกเขาก็สังเกตเห็นประกายแสงจางๆ มาจากปลายขอบฟ้า

 

ท่ามกลางสายตาที่ตื่นตะลึงของเหล่าราชา

 

แสงที่ดูศักดิ์สิทธิ์ยังคงใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ และในที่สุดก็กลายเป็นลูกศรขนาดใหญ่สีจางๆ ซึ่งพุ่งทะลวงมาจากหลายพันล้ํา

 

“ไม่ดีแล้ว!”

 

ราชาชวอฟางขนหัวลุกชัน

 

ไม่ใช่เพียงแค่ราชาชวอฟางเท่านั้น แต่ชายหน้าตาเฉยเมยที่ยืนอยู่ข้างๆ ก็เหงื่อไหลเย็นเยียบ

 

ในเวลาต่อมา

 

แสงสว่างที่ดูศักดิ์สิทธิ์กลายเป็นลูกศรขนาดมหึมาในทันที และครอบคลุมค่ายทหารบริเวณที่ราชาหัวเมืองทั้งสิบกําลังยีนอยู่อย่างสมบูรณ์

 

ในขณะที่ถูกธนูแสงขนาดมหึมาครอบคลุมไว้ ภายในค่ายทหารก็มีเสียงร้องคํารามแว่วออกมา และถึงกับมีกลิ่นอาย ของยอดปรมาจารย์ขั้นสูงสุดโผล่ขึ้นมา

 

อย่างไรก็ตามกลิ่นอายเหล่านั้นก็อยู่ได้เพียงชั่วครู่ ก่อนที่มันจะโดนทําลายล้างอย่างสมบูรณ์ด้วยศรแสงศักดิ์สิทธิ์ขนาดใหญ่

 

ไม่ว่าลูกศรจะผ่านไปที่ใด ทุกสิ่งก็ถูกกวาดทําลายด้วยอํานาจพลังที่แสนรุนแรง ราชาหัวเมืองทั้งสิบต่างไม่สามารถตอบสนองได้ทัน ร่างสลายกลายเป็นความว่างเปล่าไป ภายในบัดดล

Sign in Buddha’s palm 143 หนึ่งศรทะลวงฟ้า

 

“สบายใจได้”

 

ชายหน้าตาเฉยเมยส่ายหัวเล็กน้อย

 

ท่าทีของชายผู้ไม่แยแสสิ่งใดผู้นี้ทําให้เหล่าราชาหัวเมืองทั้งสิบเต็มเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ในยามที่อยู่ในสนามรบเช่นตอนนี้ พวกเขาก็ยังเริ่มพูดคุยหัวเราะต่อกระซิกกัน

 

“แต่ว่า”

 

“พูดก็พูดเถอะ อาณาจักรถังมีภูมิหลังอยู่ไม่น้อยจริงๆ มีบรรพบุรุษเก่าแก่ซ่อนตัวอยู่ภายในวังหลวง ถ้าไม่ใช่ว่ามีผู้อาวุโสมาด้วย ข้าก็คงไม่กล้าลุกขึ้นก่อกบฏ”

 

รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของราชาฟ่านหยาง และกล่าวคําใส่อารมณ์

 

“ที่จริงอาณาจักรแห่งนี้ก็ก่อตั้งขึ้นมากว่าห้าร้อยปีแล้ว”

ราชาหัวเมืองคนอื่นๆ ก็รู้สึกเช่นเดียวกันและพยักหน้าเห็นด้วย

 

“ไม่เป็นไร บรรพบุรุษเก่าแก่จากวังหลวงจะไม่ปรากฏตัวจนกว่าทหารของพวกเราจะเข้าใกล้เมืองฉางอัน และหากพวกเขาปรากฏตัวขึ้นก็จะถูกผู้อาวุโสยับยั้งเอาไว้ เราก็ สามารถบุกทะลวงฆ่าสังหารอีกฝ่ายได้ด้วยกองทัพนับล้าน…”

 

ร่องรอยความโหดเหี้ยมปรากฏขึ้นบนใบหน้าของราชาเป่ยถิง

 

ในโลกที่จอมยุทธเป็นใหญ่ในยุทธภพ แต่อาณาจักรก็ยังเหนือกว่าจอมยุทธ เพราะเหตุใด?

 

แน่นอนว่าเป็นเพราะกองทัพ

 

ภายใต้ขอบเขตวิทยายุทธทั้งเก้าระดับชั้น แม้ว่าจะเป็นยอดปรมาจารย์ขั้นสูงสุด ถ้าติดอยู่ในกองทัพทหารนับล้านนาย ก็ย่อมต้องตกตายอย่างไม่อาจหลีกหนี้ 

 

แน่นอนว่าโดยปกติคงไม่มียอดปรมาจารย์ขั้นสูงสุดคนไหนจะคิดที่จะกระโจนเข้าสู่วงล้อมกองทัพนับล้านหรอก 

 

ด้วยความเร็วอันน่าสะพรึงกลัวของยอดปรมาจารย์ขั้นสูงสุด หากต้องการจะจากไปกองทัพนับล้านก็ไม่มีทางไล่ตามไปทัน

 

แต่ที่กล่าวมาทั้งหมดนั้นคือในกรณีที่ไม่มียอดปรมาจารย์ขั้นสูงสุดคนอื่นมาปิดกั้นเส้นทางเอาไว้

 

หากมีการปิดกั้นเส้นทางจากยอดปรมาจารย์ระดับชั้น ที่หนึ่งขั้นสูงสุด การล้อมปราบปรามโดยกองกําลังนับล้านก็อาจจะเทียบได้กับตาข่ายฟ้าดินที่ล้อมจับได้แม้กระทั้งยอดปรมาจารย์ขั้นสูงสุด

 

“เมื่อเราบุกเข้าไปในเมืองฉางอัน ข้าจะตัดหัวจักรพรรดิถังมาด้วยตัวของข้าเอง เพื่อให้พวกมันรู้ว่าขุนนางหัวเมืองมิใช่จะนั่งรอเฉยๆ ให้ใครมาจูงจมูกก็ได้”

 

ราชาเจี้ยนหนานพูดเยาะเย้ย

 

“เอาล่ะ”

 

“พวกเจ้าคิดจะแบ่งดินแดนกันอย่างไรหลังจากอาณาจักรถังถูกทําลาย?” ในขณะนั้นชายหน้าตาเฉยเมยก็พูดขึ้น

 

“แบ่งดินแดน…”

 

ทันทีที่คําพูดนั้นถูกกล่าวออก ไฟปรารถนาอันร้อนแรงจู่ๆ ก็ลุกโชนอยู่ภายในดวงตาของราชาหัวเมืองทั้งสิบ

 

ไม่ใช่เพราะเรื่องนี้หรอกหรือที่พวกเขาถึงกับยอมเสี่ยงก่อกบฏ?

 

“ผู้อาวุโส”

 

“พวกเราคงต้องคิดเรื่องนี้ในภายหลัง”

 

“ในเวลานั้นเราจะแบ่งอาณาจักรถังกันอย่างเท่าเทียม”

 

ราชาชวอฟางกะพริบตาและพูดอย่างสุภาพกับชายผู้ไม่แยแสสิ่งใด

 

“โอ้?”

 

“แบ่งแยกอย่างเท่าเทียม?”

 

ชายหน้าตาเฉยเมยมองราชาหัวเมืองคนอื่นๆ ด้วยรอยยิ้ม

 

ถ้าเป็นเรื่องอื่นมันก็คงแบ่งให้เท่าเทียมได้ แต่กับเรื่องอย่างแบ่งอาณาจักร ใครเล่าจะไม่อยากครอบครองพวกมันทั้งหมด?

 

พระราชวังถัง

 

ตําหนักไท่จี๋

 

มีทหารนําข่าวจากแนวหน้ามารายงาน

 

“ในบรรดากองกําลังพันธมิตรของราชาหัวเมือง สงสัยว่าอาจมียอดปรมาจารย์ขั้นสูงสุดอยู่ด้วยงั้นหรือ?”

 

จักรพรรดิถังหลี่เชิงเหลือบมองรายงาน

 

“ทั้งยังมีมากกว่าหนึ่งคน?”

 

จักรพรรดิถังหลี่เชิงเคร่งเครียดอย่างยิ่ง

 

แม้ว่าพระองค์จะเดามานานแล้วว่าที่ราชาหัวเมืองก่อกบฏขึ้นมาอย่างกะทันหันจะต้องมีเหตุผลบางอย่าง ความเป็นไปได้สูงสุดคือพวกเขามีความมั่นใจล้นปรี่ 

 

แต่จักรพรรดิถังหลี่เชิงไม่ได้คาดคิดว่าความมั่นใจที่อีกฝ่ายมีจะเป็นยอดปรมาจารย์ขั้นสูงสุดที่มาด้วยมากกว่าหนึ่งคน

 

รู้หรือไม่ว่าแม้แต่ตอนที่จักรพรรดิพระองค์ก่อนยังมีชีวิตอยู่ ยอดปรมาจารย์ขั้นสูงสุดภายในพระราชวังถังก็ยังมีแค่จ้าวกงกงเท่านั้นเลย

 

“สั่งทหารให้ถอยกลับมาให้หมด อย่าเข้าไปประชิดอีกฝ่าย”

 

จักรพรรดิถังหลี่เชิงสูดลมหายใจเข้าแล้วพูดด้วยน้ําเสียงลุ่มลึก

 

ถึงแม้วิธีการนี้จะเท่ากับสละดินแดนบางส่วนของราชวงศ์ถังให้กองทัพราชาหัวเมืองรุกคืบเข้ามาได้ แต่มันก็ไม่มีทางเลือกอื่น

 

ฝ่ายตรงข้ามมียอดปรมาจารย์ขั้นสูงสุดและกองทัพทหารจํานวนนับล้าน กองทัพของอาณาจักรถังเป็นธรรมดาที่จะไม่สามารถต้านทานได้

 

ในกรณีนี้เหตุใดจึงไม่รวมกําลังทั้งหมดกลับมาสู้ตายที่ด้านนอกเมืองฉางอันเล่า?

 

แม้ว่าจักรพรรดิหลีเชิงจะรู้ว่ามีผู้ที่แข็งแกร่งอยู่ในวังหลวงแต่เนื่องจากองค์ชายกล้าที่จะก่อกบฏแสดงว่าพวกเขาคาดการณ์เรื่องต่างๆ มานานแล้วและถึงกับมีวิธีแก้ไขสถานการณ์

 

เพราะอย่างไรการที่ตัวตนผู้แข็งแกร่งภายในวังหลวงออกมาช่วยเหลือหลายต่อหลายครั้งก่อนหน้า ก็ไม่ได้เป็นความลับใด

 

แม้ว่าองค์ชายเหล่านั้นจะทะเยอทะยานแต่ก็มิใช่คนโง่ พวกเขาต้องชั่งน้ําหนักผลดีผลเสียก่อนจะก่อกบฏเรียบร้อยแล้ว

 

ยืนยันจนมั่นใจ แล้วจึงก่อกบฏ

 

ภายในตําหนักชุนฝั่งขวา

 

ฮองเฮาซูเยว่หยุนดูเศร้าหมอง

 

“พี่สาม ไม่นานมานี้เพราะเรื่องพวกกบฏ ฝ่าบาทจึงบรรทมหลับไม่ได้เลยทั้งคืน…” ฮองเฮาซูเยว่หยุนถอนหายใจออกมาเบาๆ

 

“ข้าก็ได้ยินมาบ้างเหมือนกัน”

 

ซูฉินพยักหน้าเล็กน้อยและพูดคุยอย่างเป็นกันเอง “แต่ไม่ต้องกังวล ทุกอย่างจะผ่านไปอย่างรวดเร็ว…”

 

“อย่างรวดเร็ว…” ฮองเฮาซูเยว่หยุนจะหัวเราะก็ไม่ได้ร้องไห้ก็ไม่ออก

 

ฮองเฮาซูเยวหยุนรู้จักจักรพรรดิหลี่เชิงดี ถ้ามันเป็นเรื่องง่ายดาย จักรพรรดิหลี่เชิงจะนอนไม่หลับทั้งคืนได้อย่างไร?

 

“ พี่สาม”

 

“ข้ามาที่นี่เพื่อคุยเรื่องราวบางอย่างกับพี่”

 

ฮองเฮาซูเยว่หยุนคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดขึ้นอย่างระมัดระวัง

 

“เกิดอะไรขึ้น?” ซูฉินประหลาดใจเล็กน้อย นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเคยได้ยินน้องสาวของเขาพูดกับเขาด้วยน้ําเสียงเช่นนี้

 

“คืนนี้ช่วยพาหว่านเอ๋อกับหยวนเอ๋อออกจากเมืองนี้ไปได้หรือไม่…” ซูเยว่หยุนพูดด้วยดวงตาที่แดงก่ํา

 

“ออกจากเมืองฉางอัน?”

 

ซูฉินก็คิดได้ถึงสิ่งที่ซูเยว่หยุนกําลังกังวลอยู่

 

ราชาหัวเมืองทั้งสิบมีกําลังพลนับล้าน สถานการณ์ภายในอาณาจักรถังก็ดูไม่ค่อยสู้ดี หากเมืองฉางอันถูกตีแตก ถ้าซูฉินพาหลี่หยวนกับหลีหว่านไปด้วย พวกเขาก็คงพอจะหลบหนี้ได้

 

“อย่าได้กังวลไปเลย”

 

ซูฉินยิ้มแล้วกล่าวขึ้นว่า “กลับไปนอนซะ แล้วทุกอย่างจะ ดีขึ้นเมื่อเจ้าตื่นมาอีกครั้ง”

 

“หวังว่าจะเป็นเช่นนั้น”

 

ฮองเฮาซูเยว่หยุนถอนหายใจเบาๆ และหลังจากพูดคุยกันอีกนิดหน่อยกับซูฉิน นางก็ออกจากตําหนักขุนฝั่งขวาไป

 

หลังจากที่ซูเยวหยุนจากไปอย่างสมบูรณ์ ซูฉินก็ค่อยๆ เดินออกจากตําหนักขุนฝั่งขวาและมองไปทางกองทัพของเห ล่าราชาหัวเมือง

 

“ก่อกบฏ?”

 

“กองทัพนับล้าน?”

 

เกิดวังวนที่ยากจะอธิบายขึ้นในม่านตาของซูฉินมันหมุนวนไปอย่างช้าๆ

 

ดวงตาแห่งสัจจะถูกเปิดออกจับตามองพลังฉีฟ้าดิน และ เปิดใช้ควบคู่ไปกับวิชาปราณีฟ้ากําหนด เมื่อทั้งสองซ้อนทับกันก็เพียงพอแล้วที่ซูฉินจะมองทะลุทะลวงครึ่งหนึ่งของพื้นที่ในอาณาจักรถังส่วนเล็กๆ นี้ได้อย่างรวดเร็ว

 

“ถ้าราชาหัวเมืองอยู่แต่ในดินแดนของตนเองอย่างสงบเสงี่ยม ข้าก็คร้านจะสนใจ”

 

ซูฉินดูสงบนิ่ง

 

“แต่ตอนนี้พวกเขากลับคิดก่อกบฏงั้นหรือ?”

 

ดวงตาของซูฉินนั้นลึกล้ํายิ่ง

 

“เจอตัวแล้ว”

 

ดูเหมือนว่าซูฉินจะค้นพบบางสิ่ง และจับจ้องสถานที่นั้นในทันที มันอยู่ห่างออกไปหลายพันลี้

 

ชั่วครู่เดียวหลังจากนั้น

 

ซูฉินก้าวเท้าออกไป ยื่นมือขวาไปข้างหน้า สะบัดมือเล็กน้อยไปมาในอากาศ

 

หวึ่ง!!

 

ประกายแสงจํานวนมากจู่ๆ ก็ไหลมารวมกัน

 

ทันใดนั้นแสงประกายที่ดูศักดิ์สิทธิ์ก็กลายเป็นคันธนูที่โผล่ออกมาจากความว่างเปล่า บัดนี้ได้มาอยู่ในมือของซูฉินแล้ว

 

ในเวลาต่อมา

 

มือขวาของซูฉินถือคันธนู มือซ้ายทาบไปบนเส้นเชือก

 

ปึด!!

 

ธนูเปลี่ยนรูปร่างกลายเป็นทรงคล้ายพระจันทร์เต็มดวง

 

ฟู่ว!!!

 

พลังฉีฟ้าดินในรัศมีหลายสิบจู่ๆ ก็กลายเป็นโกลาหล ก่อตัวเป็นคลื่นพลังขนาดยักษ์โถมเข้ามาหาซูฉินอย่างต่อเนื่อง

 

พูดให้ถูกก็คือมันกําลังมารวมตัวกันที่ธนูเก้าประกายในมือของซูฉิน

 

เป็นฉากที่ตระการตาอย่างยิ่ง

 

พลังที่น่าสะพรึงกลัวแผ่ขยายออกไปทั่วรัศมีหลายสิบลี้ในชั่วพริบตา

 

ยอดฝีมือที่อยู่ในขอบเขตสามระดับบนต่างก็รู้สึกถึงแรงกดดัน

 

“นั่นคือ?”

 

ด้านนอกศาลบรรพชนของวังหลวง สีหน้าของผู้ดูแลศาลฯ ก็เปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก

 

ในเวลานี้เขารู้สึกได้ว่าพลังฟ้าดินนั้นหลุดการควบคุมพุ่ง เข้ามาภายในวังหลวงอย่างรวดเร็ว

 

“เกิดอะไรขึ้น?”

 

ผู้ดูแลศาลฯ ตกใจตัวสั่นไปทั้งตัว

 

ไม่เพียงแต่ผู้ดูแลศาลฯ เท่านั้น แต่ยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งหลายสิบคนในวังหลวงต่างก็ตื่นตระหนกไม่แพ้กัน ในยามนี้พวกเขาดูเหมือนจะต้องเผชิญกับพลังที่แท้จริงของฟ้าดิน

 

และในเวลานั้นเอง

 

ที่ด้านหน้าตําหนักชุนฝั่งขวา

 

ซูฉินถือธนูด้วยมือขวาและรั้งสายธนูด้วยมือซ้าย พลังอันไร้เปรียบของฟ้าดินเข้ามารวมตัวกันกลายเป็นลูกศร วางพาดไปตามคันธนู

ทันทีที่ลูกศรก่อตัวขึ้นมามันก็ควบแน่นจากสารพลังงานกลายเป็นสิ่งของรูปธรรมอย่างรวดเร็ว จิตสังหารอันน่าหวาดผวาหมุนวนรอบลูกศรจนทําให้เกิดแสงวูบวาบ ที่น่ากลัวเสียยิ่งกว่าสายฟ้าฟาด

 

 

Sign in Buddha’s palm 142 กองทัพขนาดใหญ่ผนึกกําลัง

ตําหนักไท้จี๋

 

เมื่อพวกเขาได้ยินว่าราชาหัวเมืองทั้งสิบจะนําทัพนับล้านบุกเข้าเมืองฉางอัน ทุกคนต่างก็ตกตะลึง

 

ขุนนางทั้งหลายไม่คาดคิดว่าราชาหัวเมืองทั้งสิบจะกล้าก่อกบฏเช่นนี้?

 

“เป็นไปได้เยี่ยงไร?”

 

จักรพรรดิถังหลี่เชิงตกใจ ใบหน้าของเขาดูงุนงง

 

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เขาสืบทราบจนเข้าใจเรื่องราวเกี่ยวกับราชาหัวเมืองทั้งสิบ

 

แม้ว่าราชาหัวเมืองทั้งสิบจะดูเหมือนยึดโยงซึ่งกันและกัน ที่หน้าฉาก แต่แท้จริงแล้วต่างขัดแย้งกันเอง ไม่มีใครเชื่อใจกันทั้งนั้น

 

หากจักรพรรดิหลี่เชิงแห่งราชวงศ์ถังข่มเหงราชา หัวเมืองทั้งสิบอย่างเปิดเผย ขุนนางหัวเมืองทั้งสิบอาจจะรวมกําลังเพื่อสะสางเรื่องราว แต่จักรพรรดิหลเชิงเองก็ไม่ได้กด ดันเหล่าราชาหัวเมืองมากจนเกินไป

 

เขาเพิ่งจะถอนรากถอนโคนสายลับที่ราชาหัวเมืองวางเอาไว้ในฉางอัน แม้ดูเหมือนว่ามันจะส่งผลอย่างมากต่อเหล่าราชาหัวเมือง แต่ความจริงก็ไม่ได้เป็นการทําร้ายอะไรกันมากนัก

 

ท้ายที่สุดรากฐานจริงๆ ของเหล่าองค์ชายก็อยู่ในพื้นที่ของตนเอง ตราบใดที่จักรพรรดิหลี่เชิงไม่ยื่นพระหัตถ์เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับอํานาจนั้น ทุกสิ่งทุกอย่างก็สามารถฟื้นฟูกลับมาได้

 

แม้ว่าเหล่าองค์ชายจะทะเยอทะยาน แต่พวกเขาไม่กล้าก่อกบฏอย่างเปิดเผย เพราะนี่เท่ากับการพลิกผืนแผ่นดินอาณาจักรถังอย่างสมบูรณ์ ไม่มีทางให้ถอยหนีอีกแล้ว 

 

เมื่อสําเร็จก็คงจะดี

 

แต่จะเกิดอะไรขึ้นหากล้มเหลว?

 

องค์ชายพวกนั้นไม่กล้าเสี่ยงกับสิ่งนี้แน่

 

“อะไรคือเหตุผลที่ราชาหัวเมืองตัดสินใจก่อกบฏกัน?”

 

จักรพรรดิถังหลี่เชิงแอบรู้สึกได้ถึงปัญหา แต่เขาก็ไม่สามารถเข้าใจปัญหานั้นได้

 

“ฝ่าบาท”

 

“ตอนนี้ควรทําเช่นไรดี?”

 

ในเวลานี้ขุนนางคนหนึ่งลุกขึ้นถามด้วยความเป็นห่วง 

 

“ทําเช่นไร?”

 

จักรพรรดิถังหลี่เชิงลุกขึ้นยืนทันที ใบหน้าประดับไปด้วยความเย็นชา “ในเมื่อพวกเขาต้องการจะสู้ ข้าก็จะสู้กับพวกเขาเอง”

 

ถ้าเหล่าองค์ชายไม่ก่อการกบฏ หลี่เชิงก็ไม่รังเกียจเลยที่จะใช้เวลาหลายสิบปี ค่อยๆ กําจัดเขี้ยวเล็บของเหล่าองค์ชาย และในที่สุดก็จะถึงเวลาตัดทอนอํานาจศักดินา

 

แต่ตอนนี้ เหล่าองค์ชายได้นํากองทหารนับล้านนายบุกเข้ามาในเมืองฉางอัน จักรพรรดิหลี่เชิงจึงไม่มีทางเลือกอื่น 

 

ถ้าเขามัวแต่มาลนลานตอนนี้ มันไม่ใช่แค่ตนเองต้องเสียหน้า แต่ทั้งตระกูลหลี่จะต้องอับอายขายขี้หน้า

 

“เจ้ากระทรวงยุทธนาการ”

 

จักรพรรดิถังหลี่เชิงมองไปที่ขุนนางเจ้ากระทรวงยุทธนาการในทันที

 

“ข้าน้อยอยู่นี่พ่ะย่ะค่ะ”

 

ขุนนางเจ้ากระทรวงยุทธนาการยืนขึ้นโค้งคํานับ

 

“รวบรวมกําลังไพร่พล”

 

จักรพรรดิถังหลี่เชิงกล่าวอย่างเคร่งขรึม

 

“ตามพระบัญชา”

 

ขุนนางเจ้ากระทรวงยุทธนาการโค้งคํานับพร้อมกล่าวคํา

 

…..

 

ด้านนอกตําหนักชุนฝั่งขวา

 

“ลุงสาม”

 

องค์หญิงหลีหว่านยืนอยู่แถวนั้นแล้วตะโกนเข้าไปด้านในตําหนักขุนฝั่งขวา

 

“เจ้ามาทําอะไรที่นี่?” ซูฉินเดินออกมา เหลือบมององค์หญิงหลีหว่าน และถามออกมาอย่างสบายๆ

 

“ก็คราวที่แล้วมิใช่ลุงสามหรือที่บอกว่าหากมีข้อสงสัยเกี่ยวกับการฝึกยุทธให้มาหาได้นะ?”

 

องค์หญิงหลีหว่านทําตาโตกะพริบตาปริบๆ นางพูดอย่างน่าสงสารว่า “หรือว่าลุงสามจะลืมไปแล้ว”

 

“ก็ได้ ถามมาก็ได้”

 

ซูฉินส่ายหัว เขาไม่รู้ว่าองค์หญิงหลีหว่านไปเรียนวิธีการออดอ้อนแบบนี้มาจากใคร เขาจําได้ว่าน้องสาวของเขา ซูเยว่หยุนก็ทําเช่นนี้ไม่ได้

 

“เอาล่ะ”

 

“แล้วหลี่หยวนได้ฝึกวิทยายุทธหรือไม่?”

 

ซูฉินถาม

 

หลี่หยวนเป็นพระโอรสของจักรพรรดิหลี่เชิงแห่งราชวงศ์ถัง และจะกลายเป็นองค์รัชทายาทในอนาคต

 

หลี่หยวนกลัวซูฉินมากราวกับหนูเห็นแมว ไม่เหมือนกับหลีหว่านเลย

 

“เขาหรอ? เขาไม่สนใจการฝึกยุทธเลย ข้าไม่อยากจะคุยอะไรกับเขา…”

 

องค์หญิงหลีหว่านส่ายหัวทําเลียนแบบผู้ใหญ่ “ข้าเพิ่งจะทุบตีเขาเมื่อวานแล้วบอกให้เขานําของอร่อยๆ มาให้ข้า”

 

ซูฉินพูดไม่ออกเมื่อได้ฟัง

 

อย่างไรเสียองค์หญิงหลีหว่านก็เป็นผู้ฝึกยุทธในระดับชั้นที่เก้า ย่อมไม่มีปัญหาในการทุบตีเด็กอย่างหลี่หยวนที่อายุไม่ถึงสิบขวบปี

 

“บอกข้ามาเรื่องข้อสงสัยของเจ้า”

 

ซูฉินไม่พูดเรื่องอื่นต่อ รีบตัดเข้าประเด็นโดยตรง

 

“ลุงสาม ทุกครั้งที่ข้าฝึกฝน ข้าจะรู้สึกอึดอัดนิดหน่อย ข้าลองถามกงกงสองสามคนมาแล้ว พวกเขาก็บอกว่าไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น พวกเขาแค่บอกให้ข้าลองทําดูอีกครั้งสอง ครั้ง”

 

องค์หญิงหลีหว่านมองไปที่ซูฉินอย่างคาดหวัง

 

ตั้งแต่นางจําความได้ ซูฉินก็อยู่ในตําหนักชุนฝั่งขวาตลอด ราวกับว่าไม่ได้ออกไปไหนเลย

 

แม้แต่พระบิดาของนางก็เคารพซูฉินอย่างมาก และไม่ได้ปฏิบัติต่อซูฉินเหมือนคนธรรมดา

 

ดังนั้นในใจขององค์หญิงหลีหว่าน ซูฉินนั้นควรจะเป็นผู้เยี่ยมยุทธ

 

“งั้นเจ้าต้องลองทําให้ข้าดูแล้วล่ะ”

 

ซูฉินเหลือบมององค์หญิงหลีหว่าน รู้สึกได้ว่าพอจะรู้สาเหตุแล้ว แต่ก็ปล่อยให้นางได้แสดงอะไรสักหน่อย

 

“ได้เลย”

 

องค์หญิงหลีหว่านนั่งลงขัดสมาธิ ค่อยๆ เริ่มฝึกฝน

 

เพียงชั่วแวบเดียว

 

ซูฉินก็หยุดนางเอาไว้

 

“เจ้าควรจะเปลี่ยนวิธีบ่มเพาะ”

 

ซูฉินกล่าว

 

ปัญหาที่องค์หญิงหลีหว่านเผชิญอยู่คือความไม่สอดคล้องกันระหว่างวิชาฝึกฝนกับร่างกายของนางเอง

 

แน่นอนว่าความไม่สอดคล้องนี้เล็กน้อยมาก และเป็นเรื่องยากที่ยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งจะตรวจจับได้

 

แต่ในสายตาของซูฉินมันง่ายเหมือนกับมองดูเส้นลายมือ

 

“เอ๋?”

 

“เปลี่ยนเป็นวิชาบ่มเพาะอื่น”

 

องค์หญิงหลีหว่านรู้สึกงงงวย

 

วิชาบ่มเพาะที่นางฝึกเป็นวิชาที่ดีที่สุดในวังหลวงแล้ว หากนางต้องเปลี่ยนจริงๆ นางก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะเปลี่ยนเป็นอันไหน

 

“เจ้ารอสักครู่หนึ่ง”

 

ซูฉินเหลือบมองไปที่องค์หญิงหลีหว่านและเดินกลับไปที่ตําหนักขุนฝั่งขวา

 

ไม่นาน

 

ซูฉินเดินกลับออกมา ในมือถือกระดาษที่หมึกยังเปียกชุ่มอยู่

 

“เจ้าสามารถลองฝึกฝนตามนี้ได้”

 

ซูฉินกล่าวอย่างไม่ใส่ใจอะไร

 

สิ่งที่เขียนไว้บนแผ่นกระดาษเป็นวิชาบ่มเพาะที่ซูฉินลงชื่อเข้าใช้ได้มาในช่วงสองสามปีก่อน แม้ว่ามันอาจจะไม่สามารถเทียบได้กับวิชาอื่นๆ ที่ซูฉินได้มาแต่ก็เป็นวิชาบ่มเพาะที่เหมาะสมกับร่างกายขององค์หญิงหลีหว่านที่สุด 

 

องค์หญิงหลีหว่านหยิบกระดาษมาแล้วตรวจสอบอย่างระมัดระวังอยู่ครู่หนึ่ง ดวงตาของนางก็เบิกกว้างออกด้วยความไม่อยากเชื่อ

 

แม้ว่านางจะเป็นเพียงผู้ฝึกยุทธในระดับชั้นที่เก้า แต่องค์หญิงหลีหว่านก็พอจะรับรู้ได้ว่าวิชาบ่มเพาะที่ซูฉินมอบให้ เหมือนจะดียิ่งกว่าวิชาบ่มเพาะทั้งหลายที่มีอยู่ในวังหลวง

 

“จําเอาไว้”

 

“วิทยายุทธนั้น การฝึกฝนไปทีละขั้นตอนเป็นสิ่งที่สําคัญที่สุด อย่างได้ใจร้อนเป็นอันขาด”

 

หลังจากที่ซูฉินกล่าวคําออกมาไม่กี่คํา เขาก็ปล่อยให้องค์หญิงหลีหว่านกลับไป

 

หลังจากที่องค์หญิงหลีหว่านกลับไป ซูฉินก็มองไปยังทิศทางของแนวชายแดน

 

“ราชาหัวเมืองทั้งสิบรวบรวมกําลังพลนับล้านกําลังบุกเข้ามา?”

 

ซูฉินขมวดคิ้วเล็กน้อย

 

และตั้งแต่มีข่าวออกมาในช่วงเช้า เมืองฉางอันก็ตื่นตระหนก แม้แต่คนในวังก็ซุบซิบเรื่องนี้กัน

 

…..

 

ในเวลาเดียวกัน

 

ห่างจากตัวเมืองฉางอันหลายพันลี้

 

กองทหารหลายล้านคนของเหล่าองค์ชายได้ตั้งค่ายอยู่ที่นี่

 

ที่ด้านหลังของกองทัพราชาหัวเมืองทั้งสิบก็รวมตัวกันอยู่ในกระโจม

 

“ผู้อาวุโส”

 

“ข้าจะรอ โปรดทําตามคํากล่าวของท่าน”

 

“เมื่อกองทัพเข้าใกล้เมืองฉางอัน บรรพบุรุษเก่าแก่ในวัง คงต้องฝากไว้ในมือของท่าน

 

ราชาเจี้ยนหนานมองไปที่ชายหน้าตาเฉยเมยซึ่งอยู่ไม่ไกล ด้วยน้ำเสียงที่แฝงความเคารพนับถืออยู่เล็กน้อย

 

เมื่อราชาหัวเมืองอีกเก้าคนได้ยินเช่นนั้น ใบหน้าของพวกเขาก็แสดงความเคารพออกมาเช่นกัน

 

ถ้าไม่ใช่เพราะชายหน้าตาเฉยเมยผู้นี้เปิดเผยตัวตนออกมา ราชาหัวเมืองเหล่านี้ก็คงไม่กล้าเคลื่อนไหวและก่อการจลาจลเช่นนี้

 

ราชาหัวเมืองนั้นมีดินแดนที่แยกเป็นเอกเทศ แม้จะอยู่ใต้จักรพรรดิแต่นั่นก็แค่ในนาม จริงๆ แล้วอาณาเขตของพวกเขาเหมือนเป็นเขตแดนอิสระ

 

ความมั่งคั่งมั่งมี อํานาจ และสาวงาม พวกเขาต้องการส่งมันต่อไปยังรุ่นลูกรุ่นหลาน

 

ด้วยสิ่งเหล่านี้องค์ชายจะกล้าเสี่ยงก่อกบฏได้อย่างไร

 

แต่ผลประโยชน์ที่ได้รับมาจากชายหน้าตาเฉยเมยผู้นี้มันมากเกินไป จนเหล่าองค์ชายรู้สึกว่าการก่อกบฏครั้งนี้ไม่มีวันล้มเหลว ดังนั้นพวกเขาจึงเดิมพันด้วยทุกสิ่งที่พวกเขามี

 

[1] Bingbu Shangshu ขุนนางเจ้ากระทรวงยุทธนาการ แบ่งออกได้เป็นสองคํา คือ ปิง กับ ช่างชู

 

ช่างชู เดิมเป็นคําเรียกเสมียนเก็บรักษาจดหมายเหตุ แต่ภายหลังนํามาใช้เรียกตําแหน่งหัวหน้ากระทรวง (ปู้)

 

ปิงปู้ คือหัวหน้ากระทรวงยุทธนาการรับผิดชอบการแต่งตั้ง อวยยศ เลื่อนยศ ลดยศและถอดยศข้าราชการ รวมไปถึงกิจการทางการทหารต่างๆ เช่น การรบ การป้องกันประเทศ ตลอดจนงานส่งข่าวข้อความในช่วงสงคราม

Sign in Buddha’s palm 141 เข้าสู่ระบบ! ธนูเก้าประกาย!

 

“เรื่องง่ายๆ”

 

“พวกเจ้าก็แค่ต้องต่อต้านจักรพรรดิถังโดยตรง”

 

คําที่กล่าวออกมา

 

องค์ชายทั้งสิบต่างตกตะลึงในทันที

 

“เจ้าคือใคร?”

 

ราชาชวอฟางยืดหลังตรงอย่างสง่างามแล้วมองไปรอบๆ 

 

“อย่ากลัวไป”

 

“ข้าไม่ได้มาร้าย…”

 

ในขณะนั้น ชายคนหนึ่งที่สวมชุดคลุมสีขาว ใบหน้าเฉยเมยค่อยๆ เดินออกมายืนต่อหน้าราชาหัวเมืองทั้งสิบ

 

“เจ้าเป็นใคร?”

 

“เจ้ารู้เกี่ยวกับสถานที่นี้ได้อย่างไร?”

 

ราชาชวอฟางมองไปที่ชายผู้ทําหน้าเฉยเมย เน้นคําพูดทุกพยางค์

 

เมืองเล็กๆ แห่งนี้เป็นที่รู้กันในหมู่ของราชาหัวเมืองทั้งสิบ รอบนอกก็ถูกป้องกันแน่นหนาไว้ด้วยคนสนิทของเหล่าองค์ชายและไม่อนุญาตให้ใครเข้ามาได้

 

ชายหน้าตาเฉยเมยคนนี้สามารถแอบเข้ามาได้อย่างเงียบๆ อย่างน้อยก็ต้องเป็นยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่ง

 

“พวกเจ้าไม่ต้องรู้หรอกว่าข้าเป็นใคร”

 

“แค่ต้องรู้ว่าข้ามาที่นี่เพื่อช่วยพวกเจ้า”

 

ชายที่ดูไม่แยแสสิ่งใดค่อยๆ ยกยิ้มแล้วกล่าวถ้อยคําเหล่านั้นออกมา

 

“ช่วยพวกเรา?”

 

องค์ชายทั้งสิบมองหน้ากัน ความคิดมากมายผุดขึ้นในหัวของพวกเขา

 

ถ้าเป็นคนอื่นที่กล้าพูดเช่นนี้ต่อหน้าราชาหัวเมืองทั้งสิบพระองค์ มันผู้นั้นคงถูกจัดการไปนานแล้ว

 

แต่ชายหน้าตาเฉยเมยผู้นี้สามารถมาปรากฏตัวที่นี้ได้ ในใจของราชาหัวเมืองต่างก็คิดความเป็นไปได้ต่างๆ นานา มีความเป็นไปได้สูงว่าอีกฝ่ายจะเป็นยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสูงสุด

 

คนที่ทรงพลังอํานาจเท่านั้นที่จะพูดออกมาได้อย่างมั่นใจเช่นนี้

 

“จะช่วยพวกเรา?”

 

“ท่านจะช่วยพวกเราอย่างไร?”

 

ราชาชวอฟางเงียบไปครู่หนึ่งแล้วจึงเอ่ยถามง่ายมาก

 

ชายผู้เฉยเมยมองไปที่ราชาชวอฟาง “เหตุผลที่พวกเจ้าไม่กล้าต่อต้านจักรพรรดิถังนั้นไม่มีอะไรมากไปกว่าความกังวล เรื่องบรรพบุรุษตระกูลหลี่ที่อยู่ภายในพระราชวังถัง”

 

เมื่อพูดเรื่องนี้ขึ้นมา ชายผู้เฉยเมยก็หยุดไปครู่แล้วพูดต่อ “แต่บัดนี้ เมื่อข้ามาที่นี่แล้ว ก็ปล่อยเรื่องบรรพบุรุษเก่าแก่ ในวังหลวงให้เป็นหน้าที่ของพวกเรา”

 

“พวกเรา…”

 

ราชาชวอฟางเข้าใจคําว่า พวกเรา” จากปากของชายผู้เฉยเมยได้อย่างชัดแจ้ง

 

“จะเชื่อถือเจ้าได้อย่างไร?”

 

ราชาชวอฟางระมัดระวังตัวอย่างมาก

 

แม้ว่าเขาจะคาดเดาบางสิ่งได้ แต่เขาก็ต้องการคําตอบที่ชัดเจนอยู่ดี

 

………

 

………

 

ภายในพระราชวังถัง

 

ในที่สุดซูฉินก็เดินออกมาจากตําหนักชุนฝั่งขวา

 

“ในสองปีมานี้ ข้าไม่เพียงแต่จะทําให้ระดับนภาชั้นที่ห้า มั่งคงมีเสถียรภาพขึ้นเท่านั้น แต่ยังก้าวหน้าขึ้นอีกด้วย แม้จะยังไม่ถึงขั้นสมบูรณ์ของนภาชั้นที่ห้า แต่ก็เกือบจะถึง แล้วเหมือนกัน”

 

ซูฉินเดินเข้าไปในพระราชวังตะวันออกอย่างไม่รีบร้อน คิดอยู่ภายในใจอย่างมีความสุข

 

“ดูซิว่าในช่วงสองปีมานี้เกิดอะไรขึ้นบ้าง”

 

ซูฉินใช้จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของเขากวาดไปทั่วทั้งเมืองฉางอันในชั่วพริบตา

 

“หืม?”

 

“ในที่สุดจักรพรรดิถังก็เรียนรู้ที่จะอดทนอดกลั้น?”

 

ซูฉินเพิ่งใช้จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์กวาดไปทั่วทั้งเมืองจึงทราบว่ามีอะไรเกิดขึ้นเมื่อเร็วๆ นี้ มันไม่มีอะไรมากไปกว่าการที่จักรพรรดิถังถอนรากถอนโคนหูตาของราชาหัวเมืองในชั่วข้ามคืน

 

“สมกับเป็นจักรพรรดิได้อย่างเต็มภาคภูมิแล้ว”

 

ซูฉินพยักหน้าเล็กน้อย

 

เห็นได้ชัดว่าจักรพรรดิหลี่เชิงมีการพัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว อย่างน้อยเขาก็รู้ว่าเมื่อใดควรอดทนเมื่อใดควรระเบิดอารมณ์

 

“ลุงสาม”

 

“ท่านออกมาแล้วหรือ?”

 

ในขณะนั้นเอง เมื่อองค์หญิงหลีหว่านมองเห็นซูฉินนางก็ตะโกนออกมาเสียงดัง

 

ในช่วงสองปีที่ผ่านมา ยกเว้นเรื่องการปิดด่านฝึกตน ซูฉินก็ลงชื่อเข้าใช้เพียงอย่างเดียว ส่วนถ้ามีเรื่องอื่นๆ เขาก็จะไม่สนใจอะไร แม้ว่าจักรพรรดิถังจะมาหาด้วยตัวเองในบางครั้งบางครา ก็ไม่สามารถที่จะเข้าพบตัวเขาได้ 

 

“ลุงสาม”

 

องค์หญิงหลีหว่านวิ่งเข้าไปหาซูฉิน โบกมือให้อย่างกระตือรือร้น แล้วพูดขึ้นอย่างภาคภูมิว่า “ลุงสาม ท่านรู้ไหม ข้าได้กลายเป็นผู้ฝึกยุทธระดับชั้นที่เก้าแล้ว…”

 

หากผู้พูดเป็นบุคคลอื่นภายในวังหลวง ผู้ฝึกยุทธระดับชั้นที่เก้าคงจะไม่คู่ควรที่จะกล่าวถึง แต่องค์หญิงหลีหว่านนั้นอายุยังไม่ถึงสิบขวบปีเสียด้วยซ้ำ

 

นอกจากทรัพยากรที่สมบูรณ์พรั่งพร้อมแล้ว ก็เป็นเพราะพรสวรรค์และการฝึกฝนวิชายุทธอย่างหนักหน่วงขององค์หญิงหลีหว่านเองจึงกลายมาเป็นผู้ฝึกยุทธในวัยนี้

 

“ไม่เลว”

 

หลังจากออกจากการปิดด่านฝึกตน ซูฉินก็ค่อนข้างอารมณ์ดีและเปิดปากพูดคุยอย่างเป็นกันเอง “หากเจ้ามีข้อสงสัยใดเกี่ยวกับวิชายุทธในอนาคต เจ้าสามารถมาหาข้าได้”

 

“จริงหรือ?” องค์หญิงหลีหว่านเบิกตากว้างในทันที

 

หลังจากพูดคุยกับองค์หญิงหลีหว่านอยู่ครู่หนึ่ง ซูฉินก็ออกจากพระราชวังตะวันออกแล้วเดินเล่นไปรอบวังหลวง

 

“แล้วมิใช่หรือ?”

 

เมื่อซูฉินเดินผ่านศาลบรรพชนของราชวงศ์ เขาก็หยุดยืน แล้วย้อนนึกถึงได้ในทันใด

 

ซูฉินเหลือบมองผู้เฝ้าศาลฯ ที่อยู่ด้านนอกศาลบรรพชนก่อน จากนั้นจึงค่อยๆ เดินไปที่หน้าศาลบรรพชน

 

“ระบบ ลงชื่อเข้าใช้”

 

ความคิดของซูฉินผันแปร พูดขึ้นในใจอย่างเงียบๆ

 

[ขอแสดงความยินดี โฮสต์ลงชื่อเข้าใช้สําเร็จได้รับ ธนูเก้าประกาย” ]

 

เสียงจักรกลอันแสนเย็นชาดังขึ้นภายในหูของซูฉิน

 

“ธนูเก้าประกาย?”

 

หัวใจของซูฉินขยับวูบ

 

เขาลงชื่อเข้าใช้ในวังหลวงมาเป็นสิบปี สมบัติส่วนใหญ่ที่ได้มาล้วนเป็นโอสถวิเศษหรือไม่ก็เคล็ดวิชา

 

สมบัติอย่างธนูเก้าประกาย” ที่ฟังดูเหมือนจะเป็นอาวุธนั้นหายากมาก เคยเก็บมาได้เพียงไม่กี่ร้อยชิ้นเท่านั้น 

 

“ไว้กลับไปจะลองตรวจสอบดูอีกที”

 

ซูฉินกลับไปที่พระราชวังตะวันออกหลังจากลงชื่อเข้าใช้เรียบร้อยแล้ว

 

…..

 

ภายในตําหนักชุนฝั่งขวา

 

ซูฉินนั่งขัดสมาธิและผสานจิตเข้าไปในพื้นที่คลังของระบบ

 

เห็นมุมหนึ่งในคลังมีภาพเงาของธนูคันหนึ่งรอบตัวมันมีประกายแสงระยิบระยับ

 

“นี่คือธนูเก้าประกาย?”

 

ซูฉินดูประหลาดใจเล็กน้อย

 

ธนูเก้าประกายชิ้นนี้ทําให้เขารู้สึกว่ามันเลือนรางไร้ตัวตน

 

“ลูกศรอยู่ที่ไหนกัน?”

 

“ในเมื่อมันเป็นคันธนู ทําไมจึงไม่มีลูกธนูมาด้วย?”

 

ซูฉินขมวดคิ้วแล้วเริ่มผสานจิตเข้ากับธนูเก้าประกายอย่างช้าๆ

 

ในชั่วพริบตา

 

ข้อมูลต่างๆ ก็เข้ามาภายในจิตใจของเขา

 

หลังจากนั้นไม่นาน

 

ซูฉินก็ค่อยๆ ลืมตาตื่นขึ้น

 

“ใช้จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์เป็นแนวทางใช้พลังฟ้าดินเป็นลูกศร แล้วจึงยิงศรออกไปสังหารผู้คน นี่คือธนูเก้าประกาย?”

 

ความคิดของซูฉินผันผวน

 

ตัดสินจากข้อมูลที่ได้มาจากธนูเก้าประกาย อย่างน้อยก็ต้องเป็นจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของตัวตนระดับอรหันต์จึงจะสามารถนํามาใช้กับคันธนูเก้าประกายนี้ได้

 

นอกจากนี้พลังที่แสดงออกมาจากธนูเก้าประกายก็ขึ้นอยู่กับพลังของจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ กล่าวคือตราบใดที่จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของผู้ใช้แข็งแกร่ง พลังของธนูเก้าประกายก็จะแข็งแกร่งเพิ่มขึ้นไปด้วยอย่างไม่มีขีดจํากัด

 

“ธนูเก้าประกายคันนี้เหนือกว่า “อุปกรณ์ชั้นยอด” ไปแล้ว มันคือสมบัติระดับจิตวิญญาณ..”

 

ซูฉินดูประหลาดใจ บ่นพึมพําอยู่กับตนเอง

 

ไม่ว่าจะเป็นจิตวิญญาณหรือพลังศักดิ์สิทธิ์ พวกมันล้วนเป็นเพียงภาพลวงตา ไม่มีรูปธรรมและด้วย ‘เทพวิชาหลอม จิตวิญญาณจันทรา’ ซึ่งเป็นเคล็ดวิชาที่ละเอียดอ่อนและ กลับไว้ใช้ก่อร่างสร้างจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์โดยเฉพาะ ซูฉินก็สามารถเข้าใจเรื่องเกี่ยวกับจิตวิญญาณได้อย่างคร่าวๆ

 

ท้ายที่สุด ด้วยระดับพลังของเขาแทบจะไม่สามารถมองเห็นการจัดระเบียบและการกระจายตัวของจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของตนเองได้เลย

 

แม้จะไม่มีเทพวิชาหลอมจิตวิญญาณจันทรา ไม่ช้าก็เร็วซูฉินคงจะต้องค้นหาวิธีการอื่นๆ ในการหลอมจิตวิญญาณของตนเอง

 

แต่คันธนูเก้าประกายอันนี้

 

จนถึงตอนนี้ซูฉินก็ยังไม่รู้ว่าคันธนูเก้าประกายอันนี้ทํามาจากวัสดุชนิดใด

 

“อย่างไรก็ตาม”

 

“ธนูเก้าประกายได้กลายมาเป็นของข้าแล้ว”

 

ซูฉินนั่งลงแล้วหยุดคิดเรื่องเหล่านี้

 

ไม่ว่าอย่างไรตอนนี้ธนูเก้าประกายก็เป็นของเขา ตราบใดที่ซูฉินต้องการเขาสามารถดึงเอาคันธนูนี้ออกมาใช้เมื่อไหร่ก็ได้ เท่านั้นก็เพียงพอแล้ว

 

…..

 

ตําหนักไท้จี๋

 

จักรพรรดิหลี่เชิงกําลังหารือเกี่ยวกับกิจการภายในอาณาจักรถังกับขุนนางทั้งฝ่ายพลเรือนและฝ่ายทหาร

 

ทันใดนั้น

 

ตอนนั้นเอง

 

ทหารจากกองทัพวังหลวงก็รีบเข้ามาคุกเข่าลงกับพื้นพ่นลมออกมาจากปากอย่างหนักหน่วง “เรียนฝ่าบาท มีรายงานด่วนมาจากชายแดน!”

 

“พูดมา”

 

ท่าทีของจักรพรรดิถังหลี่เชิงเคร่งขรึม เปิดปากพูดด้วยคําสั้นกระชับ

 

“มีการตอบสนองจากแผนการของฝาบาท ขุนนางหัวเมืองทั้งสิบรวมกําลังกัน เดินทัพนับล้านเข้าสู่ฉางอัน” 

 

คําที่กล่าวออกมา

 

สีหน้าของจักรพรรดิถังหลี่เชิงก็เปลี่ยนไปอย่างมาก

 

Sign in Buddha’s palm 140 จุดเริ่มต้นของคลื่นลม

 

“ไม่เลว”

 

“หลังจากที่ก้าวเข้าสู่ระดับนภาชั้นที่ห้า แก่นแท้แห่งพลังร่างกาย และจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ทรงพลังขึ้นไปอีกสองเท่า”

 

ซูฉินพยักหน้าเล็กน้อย กําลังใช้ความคิด

 

การพัฒนาจากนภาชั้นที่สี่ไปเป็นนภาชั้นที่ห้านั้นไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงมากเท่านภาชั้นที่สามไปนภาชั้นที่สี่ แต่มันก็ทําให้ซูฉินพึงพอใจอย่างมาก

 

รู้หรือไม่ว่าการที่จะพัฒนาขึ้นเพียงเล็กน้อยก็ยากยิ่งแล้ว นับประสาอะไรกับการก้าวข้ามระดับในหนึ่งช่วงใหญ่?

“หลังจากนภาชั้นที่ห้า ก็เป็นนภาชั้นที่หก ส่วนระดับนภาชั้นที่เจ็ดที่อยู่เหนือนภาชั้นที่หกนั้นถือว่าเป็นขั้นสุดยอดของขอบเขตอรหันต์…”

 

ซูฉินแตะปลายคางของตน มีท่าทีผ่อนคลาย

 

ตามที่ร่างเงาในชุดชาววังหรือเทพจันทรา” ที่สถิตอยู่ ณ วิหารแห่งลัทธิบูชาจันทร์ได้บอกกับซูฉินมา แม้แต่ในส่วนลึกของดินแดนโพ้นทะเลอันไม่มีที่สิ้นสุด ระดับนภาชั้น ที่เจ็ดก็หาได้ยากยิ่งนัก ถึงจะมีตัวตนอยู่จริงแต่พวกเขากำลังไล่ตามวิถีทางที่จะขึ้นไปสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพี จึงไม่มาปรากฏตัวให้บุคคลภายนอกได้เห็น

 

“ว่ากันว่าหลังจากไปถึงขอบเขตอรหันต์ระดับนภาชั้นที่เจ็ดเท่านั้นจึงจะมีหวังที่จะควบแน่น อาณาเขต” ขนาดเล็กของตนเองขึ้นมาได้”

 

ซูฉินครุ่นคิดอยู่เงียบๆ

 

ไม่ว่าจะเป็นอรหันต์หรือตํานานยุทธ ความแตกต่างที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเมื่อเทียบกับวิทยายุทธทั้งเก้าระดับชั้นคือการควบคุมพลังฟ้าดิน

 

อย่างไรก็ตามพลังของฟ้าดินนั้นกว้างใหญ่ไร้ขอบเขต แม้แต่อรหันต์ระดับนภาชั้นที่เก้าผู้อยู่ยงคงกระพันก็ยังไม่สามารถควบคุมพลังฟ้าดินได้ทั้งหมด

 

ดังนั้นการฝึกฝนในช่วงปลายทางของขอบเขตอรหันต์คือ การบีบอัดและควบแน่นพลังฟ้าดินทั้งหลายอย่างต่อเนื่อง ให้อยู่ภายใต้การควบคุมของตนเองจนกลายเป็น “อาณาเขต” ขนาดเล็กขึ้นมา

 

“อาณาเขต” ขนาดเล็กอาจเทียบไม่ได้กับความกว้างใหญ่ ในการควบคุมพลังฟ้าดินในระยะหลายสิบลี้ แต่คุณภาพนั้นเหนือกว่าการควบคุมพลังฟ้าดินแบบปกติไปมาก

 

แต่การที่พยายามบีบอัดและควบแน่นพลังฟ้าดินก็เท่ากับใช้พลังของตนต่อต้านฟ้าดิน คิดดูว่ามันจะยากเพียงไรกัน?

 

แม้ว่าจะเป็นอรหันต์ระดับนภาชั้นที่เจ็ดก็มีเพียงความหวังอันน้อยนิดที่จะสามารถควบแน่น อาณาเขต ขนาดเล็กออกมาได้

 

ส่วนความสําเร็จในการที่จะควบแน่นออกมาได้นั้นก็ขึ้นนอยู่กับว่ารากฐานแข็งแกร่งพอหรือไม่

 

ผู้ครอบครอง “อาณาเขต” ขนาดเล็กจะต้องเป็นอรหันต์ระดับนภาชั้นที่เจ็ด

 

แต่อรหันต์ระดับนภาชั้นที่เจ็ดไม่จําเป็นจะต้องมี “อาณาเขต” ขนาดเล็ก

 

“ช่างมันก่อนเถอะ ข้าคิดว่านี่มันยังเร็วเกินไป”

 

ซูฉินส่ายหัวเล็กน้อยและทอดถอนหายใจที่เต็มไปด้วยอารมณ์

 

ตอนนี้เขาเพิ่งเข้าสู่นภาชั้นที่ห้า อยู่ห่างไกลจากนภาชั้นที่หกอีกมากนัก ไม่ต้องพูดถึงนภาชนที่เจ็ดเลย

 

“อืม ดูเหมือนว่าจักรพรรดิถังจะฟื้นตัวดีขึ้นนะ” 

 

ซูฉินเงยหน้าขึ้นมองไปยังโถงชีวิตนิรันดร์

 

ในเวลานี้จักรพรรดิถังหลี่เชิงกําลังเสวยอาหารที่จัดเตรียมโดยห้องเครื่องส่วนพระองค์อย่างสบายใจ เห็นได้ชัดว่าพระองค์หายจากการคิดใคร่ครวญแต่กับเรื่องราวในราชสํานักแล้ว

เมื่อซูฉินเห็นดังนั้น รอยยิ้มก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขา

 

แม้ว่าจักรพรรดิถังหลี่เชิงจะเป็นน้องเขยของซูฉิน แต่เขาก็ยังเป็นจักรพรรดิแห่งราชวงศ์ถังด้วย

 

ซูฉินเห็นแก่น้องสาวของตน ซูเยว่หยุน เมื่อเห็นจักรพรรดิหลี่เชิงตกอยู่ในอันตรายถึงแก่ชีวิต เขาจึงยื่นมือเข้าช่วยเหลือ

 

แต่เรื่องอื่นๆ ซูฉินไม่ได้อยากจะเข้าไปยุ่งเกี่ยวเท่าไหร่

 

ไม่เช่นนั้นหากต้องช่วยจักรพรรดิถังในทุกเรื่องเมื่อมีเหตุการณ์ผิดปกติเกิดขึ้น แล้วเขาจะเอาเวลาไหนไปบ่มเพาะเล่า?

 

มีคนเป็นร้อยล้านคนในอาณาจักรถัง มีทั้งตัวตนที่ยิ่งใหญ่และบุคคลที่เล็กจ้อย ถ้าซูฉินต้องมาจัดการเรียงตัวเกรงว่าเขาจะไม่สามารถบ่มเพาะจนถึงขั้นเซียนเทพปฐพี ได้ และคงตายไปเมื่ออายุมากขึ้น

 

ซูฉินอยู่ในพระราชวังนี้เดิมทีก็เพราะความเงียบสงบสะอาดเอี่ยมของสถานที่และไม่มีใครมารบกวนตัวเขา หากไปยุ่งเกี่ยวกับการเมืองการปกครองมันจะไม่ขัดกับความประ สงค์ของเขาหรอกหรือ?

 

นอกจากนี้ สิ่งที่ซูฉินทําลงไปก็เพียงพอแล้วกับจักรพรรดิหลี่เชิง novelza

 

ถ้าไม่ใช่เพราะซูฉิน จักรพรรดิถังหลี่เชิงคงจะสิ้นพระชนม์ไปตั้งแต่เจอมือลอบสังหารครั้งเมื่อเดินทางไปยังตระกูลซูแล้ว ยังไม่ได้พูดถึงการก่อกบฏขององค์ชายเฉิน ซูฉิ นก็เป็นคนลงมือปราบเอง

 

ซูฉินช่วยชีวิตจักรพรรดิถังหลี่เชิงไว้ถึงสามครั้งสามครา ส่งเสริมให้เขาได้ขึ้นครองบัลลังก์ ซึ่งเท่านี้ก็เพียงพอสําหรับการยืมใช้สถานที่ภายในวัง

 

“ช่วงเวลาหลังจากนี้ ข้าจะปิดด่านฝึกตน เพื่อปรับสภาพให้ระดับนภาชั้นที่ห้ามั่นคงขึ้น”

 

ความคิดของซูฉินแปรเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว และตัดสินใจในทันที

 

ในระหว่างที่ปิดด่านฝึกตน ซูฉินก็ได้ใช้จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ตรวจจับตระกูลซูและองค์จักรพรรดิถัง เพื่อให้แน่ใจว่าพวกเขาจะไม่ตกอยู่ในอันตราย ส่วนเรื่องอื่นๆ ก็ปล่อย วางสิ้นทั้งหมด

 

และเมื่อยามที่ซูฉินปิดด่านฝึกตน

 

ภายในอาณาจักรถังก็เริ่มมีคลื่นใต้น้ำก่อตัวขึ้น

 

นับตั้งแต่ราชาหัวเมืองทั้งสิบพระองค์ได้สั่งสอนราชสํานัก อย่างเป็นการลับและหลังจากที่พวกเขารู้ว่าจักรพรรดิถังล้มป่วย พวกเขาก็ยิ่งเหิมเกริมกันมากขึ้นไปอีก

 

ราชาเจี้ยนหนานเยาะเย้ยจักรพรรดิถังกลางที่สาธารณะ

 

เมื่อจักรพรรดิถังได้ยินข่าว สีหน้าของพระองค์ก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไรไปเลย ไม่ได้ปฏิเสธแล้วก็ไม่ได้ยอมรับอะไร

 

ท่าทีเช่นนี้ทําให้เหล่าขุนนางหัวเมืองทั้งสิบต่างรู้สึกว่าจักรพรรดิถังถูกปราบปรามลงแล้ว และในช่วงนี้อํานาจของเหล่าขุนนางหัวเมืองของอาณาจักรถังก็มีอยู่ในมืออย่า งล้นหลาม

 

เวลาค่อยๆ ผ่านเลยไป

 

เวลาสองปีผ่านไปในชั่วพริบตา

 

ในช่วงสองปีที่ผ่านมานี้ ความมั่นใจในตัวเองของเหล่าราชาหัวเมืองก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ราชาอันซีถึงกับส่งเรื่องยื่นขอรับศักดินาเพิ่มเติม

novelza

เมื่อมีเหตุการณ์นี้เกิดขึ้น ศาลขุนนางทั้งฝ่ายพลเรือนและฝ่ายทหารต่างก็ขุ่นเคือง

 

อาณาเขตดินแดนของราชาหัวเมืองทั้งสิบรวมกันก็เท่ากับหนึ่งในห้าของอาณาจักรถังแล้ว หากยังได้รับศักดินาเพิ่มอีก มิเท่ากับให้แผ่นดินไปกว่าครึ่งของอาณาจักรถังเลยหรือ

 

ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อมีครั้งแรก มันก็ต้องมีครั้งที่สองครั้งที่สาม

 

ในเวลานั้นอาณาจักรถังคงต้องเปลี่ยนชื่อไปเสียแล้วอย่างไรก็ตาม

 

ในตอนนั้นเอง

 

จักรพรรดิถังหลี่เชิงก็ออกคําสั่งให้กองทัพจากเมืองหลวง พุ่งเป้าจัดการฐานที่มั่นของเหล่าสายลับที่ถูกส่งมาจากราชาหัวเมืองทั้งสิบ

 

รวมไปถึงขุนนางทุกคนที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับราชาหัวเมืองทั้งสิบ โดยไม่สนว่าจะมีตําแหน่งอะไร

 

แรกเริ่มเดิมที

 

สองปีที่ผ่านมา ที่เห็นว่าจักรพรรดิหลี่เชิงไม่ได้ทําอะไรเลย แต่พระองค์ได้สืบทราบจนรู้ตัวสายลับและหมากที่วางเอาไว้ โดยราชาหัวเมืองทั้งสิบในเมืองฉางอัน

 

จนกระทั่งวันนี้ วันที่ราชาหัวเมืองทั้งสิบเหิมเกริมถึงขีดสุด พระองค์ก็ลงมืออย่างรวดเร็ว จัดการดึงรากฐานของราชาหัวเมืองทั้งสิบออกจากเมืองฉางอันในคราวเดียว

 

และการเคลื่อนไหวของจักรพรรดิหลี่เชิงประสบความสําเร็จไปได้ด้วยดี

 

สองปีแห่งการอดทนอดกลั้น เพื่อแลกกับการมาระเบิดในครานี้ สร้างความสับสนให้ขุนนางหัวเมืองทั้งสิบไปตรงๆ

 

ภายในเมืองเล็กๆ แห่งหนึ่ง

 

ราชาหัวเมืองทั้งสิบพระองค์มารวมตัวกันที่นี่อีกครั้ง

 

“เกิดอะไรขึ้น? ไม่ใช่ว่าการปกครองของจักรพรรดิถังอ่อนแอไปแล้วหรอกหรือ? ทําไมข้าถึงสูญเสียรากฐานในเมืองฉางอันไปในชั่วข้ามคืน?”

 

ใบหน้าของราชาเจี้ยนหนานกลายเป็นน่าเกลียดและ เกือบจะขู่คํารามออกมา

 

“เจ้ามาถามข้า แล้วข้าจะไปรู้หรือ?” ดวงตาของราชาเหอตงก็มืดมัวเช่นกัน ใบหน้าของเขาแสดงอาการร้อนใจ

 

เขากําลังกังวลเรื่องกําลังคนที่ตนวางเอาไว้ในเมืองฉางอัน จู่ๆ ก็หายไป จะเอาอารมณ์ที่ไหนไปสนใจคําพูดของราชาเจี้ยนหนาน?

 

“นี่เป็นปัญหาแล้ว”

 

“ถ้าไม่มีหูตาของหมากที่วางเอาไว้ในเมืองหลวง พวกเราก็เหมือนกับคนตาบอด ไม่รู้ความเคลื่อนไหวใดภายในเมืองฉางอันเลย…”

 

ราชาฟ่านหยางถอนหายใจและมองไปที่ราชาหัวเมืองคนอื่นๆ “เราควรทําเช่นไรกันดีตอนนี้?”

 

“แน่นอนแล้ว”

 

“จักรพรรดิถังเต็มไปด้วยกลวิธีที่แสนชั่วร้าย ตอนที่มันล้มป่วยเมื่อสองปีก่อนข้าก็ยังสงสัยอยู่ว่ามันเป็นเรื่องจริงหรือไม่ แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่ากว่าแปดส่วนจะเป็นข่าวลวง มันจงใจรอจนพวกเราเผยจุดอ่อน…”

 

ราชาชวอฟางถอนหายใจออกมาเบาๆ

 

ราชาหัวเมืองเหล่านี้ทราบถึงความร้ายแรงของเหตุการณ์ดี เมื่อหมากที่วางเอาไว้ในเมืองฉางอันถูกดึงออกไป พวกเขาจะไม่ทราบข่าวคราวใดๆ เกี่ยวกับเมืองฉางอันเลย มันเท่ากับมีมีดแขวนไว้เหนือศีรษะพวกเขาและไม่รู้เลยว่าจะตกลงมาเมื่อไหร่

 

ขึ้นอยู่กับเวลาเท่านั้น ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ที่ราชาหัวเมืองจะพ่ายแพ้

 

ทันใดนั้นเสียงหนึ่งก็ดังขึ้น “เรื่องง่ายๆ พวกเจ้าแค่ต้องต่อสู้กับจักรพรรดิถังกันตรงๆ”

novelza

Sign in Buddha’s palm 139 นภาชั้นที่ห้า

 

ด้านนอกห้องโถงชีวิตนิรันดร์

 

ดวงตาของซูฉินสงบนิ่ง พร้อมที่จะเข้าไปในห้องโถงชีวิตนิรันดร์

 

“หยุด ที่แห่งนี้คือพระราชฐานส่วนใน…” ขันทีที่ยืนอยู่หน้าประตูมองซูฉินด้วยใบหน้าระแวดระวัง

 

อย่างไรก็ตาม ขันทีผู้นี้ถูกขัดจังหวะก่อนที่จะทันพูดได้จบ

 

“เสี่ยวเต๋อจื่อ ถอยออกมาซะ นี่คือพระเชษฐภาดาขององค์จักรพรรดิ” ขันทีอีกคนหนึ่งที่ติดตามใกล้ชิดองค์จักรพรรดิถังบ่อยๆ รีบปรามขันที่ผู้น้อยในทันที

 

“ พระเชษฐภาดา…”

 

ขันทีผู้นั้นมองไปที่ซูฉิน กล่าวออกด้วยความเคารพ

 

ท่าทีของซูฉินไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไร เขาเดินเข้าไปในโถงชีวิตนิรันดร์โดยไม่เร่งรีบ

 

หลังจากที่ซูฉินเข้าไปด้านในโถงชีวิตนิรันดร์ ขันทีผู้น้อยที่เพิ่งจะหยุดซูฉินไปก่อนหน้าก็อดไม่ได้ที่จะถามขึ้นมาว่า “พระเชษฐภาดา? ทําไมข้าถึงไม่เคยเห็นพระเชษฐภาดาพระองค์นี้มาก่อนเลย?”

 

ขันทีผู้น้อยพูดอย่างระมัดระวัง

 

“ฮื่ม!”

 

ขันทีอีกคนจ้องไปที่ขนที่ชั้นผู้น้อย “มีหลายสิ่งที่เจ้ายังไม่รู้ หากเจ้าข้าไม่ห้ามเจ้าเอาไว้ เจ้าคงได้ทําผิดพลาดครั้งใหญ่ไปแล้ว”

 

“อะไรนะ?!”

 

ขันทีผู้น้อยตกใจ

 

“ข้าจะพูดถึงเรื่องคนในราชวงศ์เช่นนี้เพียงครั้งเดียว ในบรรดาสิบอันดับคนที่ไม่ควรยั่วยุที่สุดในวังหลวงหนึ่งในนั้นคือพระเชษฐภาดาคนนี้ เข้าใจหรือไม่?”

 

ร่องรอยความหวาดกลัวเผยออกมาผ่านน้ำเสียงของขันทีผู้นั้น

 

เขามักจะติดตามจักรพรรดิถังหลี่เชิงอยู่ตลอดและทราบดี ว่าจักรพรรดิหลี่เชิงไม่เคยแสดงท่าที่สูงส่งของจักรพรรดิต่อหน้าซูฉินเลยแม้แต่ครั้งเดียว

 

ยิ่งไปกว่านั้น เฉพาะต่อหน้าซูฉินเท่านั้นที่จักรพรรดิถังหลี่เชิงจะแสดงรอยยิ้มอันจริงใจออกมา

 

จากสิ่งนี้เพียงสิ่งเดียวขันที่ผู้นี้ก็รู้แล้วว่าซูฉินเป็นหนึ่งในคนที่จักรพรรดิถังหลี่เชิงให้ความสําคัญมากที่สุด

 

นอกจากนี้ซูฉินยังเป็นพี่ชายแท้ๆ ของฮองเฮาองค์ปัจจุบัน เป็นลุงสามขององค์ชายหลี่หยวน

 

ตัวตนเช่นนี้ แม้แต่องค์ชายเองก็ไม่ได้มีความสําคัญเท่ากับซูฉิน

 

…..

 

…..

 

ภายในโถงชีวิตนิรันดร์

 

ขุนนางทั้งหลายต่างนิ่งเงียบ บรรยากาศอบอวลไปด้วยความหนักใจ

 

“พี่สาม”

 

“ท่านมาได้อย่างไรกัน?”

 

ฮองเฮาซูเยว่หยุนเห็นซูฉินก็รีบลุกขึ้นและปาดน้ำตาของนาง

 

“ พี่สาม?”

 

“เขาเป็นบุตรชายคนที่สามของตระกูลซู?”

 

ขุนนางหลายคนมองมาที่ซูฉินและพวกเขาก็เริ่มพูดคุยกันเสียงต่ำ

 

ในฐานะข้าราชบริพารคนสําคัญในราชสํานัก พวกเขารู้จักซูฉินผู้ซึ่งอาศัยอยู่ในวังมาโดยตลอด

 

ขุนนางเหล่านี้ค่อนข้างสงสัยเกี่ยวกับตัวตนของซูฉิน พวกเขารู้เรื่องราวเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างองค์จักรพรรดิและตระกูลซู สิ่งที่ซูฉินต้องการไม่ว่าจะเป็นสิ่งใด ตํา แหน่งขุนนางหรือแม่ทัพในกองทัพล้วนแต่เพียงเอ่ยปาก ขึ้นหนึ่งประโยคเท่านั้น

 

ความมั่งคั่งและอํานาจอยู่ใกล้แค่เอื้อม

 

แต่ซูฉินกลับไม่ทําเช่นนั้น เขาอยู่ในวังมาตลอดสิบปีและออกไปนอกวังน้อยครั้งมาก

 

นี่ทําให้เหล่าขุนนางในราชสํานักสงสัยว่าหรือนี่จะเป็นปราชญ์ประเภทหนึ่งที่มองชื่อเสียงเป็นสิ่งไร้ค่าใช่หรือไม่?

 

ซูฉินเดินไปที่บัลลังก์มังกรเหลือบมองไปที่จักรพรรดิถังหลี่เชิง

 

ในขณะนี้จักรพรรดิถังหลี่เชิงอยู่ในอาการสลบไสลไม่ได้สติ ใบหน้าซีดเซียว ถ้าไม่ใช่เพราะหน้าอกที่กระเพื่อมขึ้นลงบ้างเป็นครั้งคราวก็คงไม่ต่างจากคนตายนัก

 

“พวกเจ้าทั้งหมดออกไปก่อน”

 

ซูฉินพูดโดยไม่หันไปมองเหล่าขุนนางทั้งหลาย

 

คําที่พูดออกมา

 

ใบหน้าของเหล่าขุนนางเปลี่ยนแปลงไป

 

ไม่ใช่ว่าพวกเขาไม่เชื่อมั่นในตัวของซูฉิน แต่หากพวกเขาออกไป ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับฝ่าบาท ใครจะรับผิดชอบ?

 

ตอนนี้องค์ชายหลี่หยวนก็ทรงพระเยาว์นัก พระองค์ไม่สามารถรับภาระหน้าที่อันสําคัญได้เลย

 

มีเพียงฮองเฮาซูเยว่หยุนเท่านั้นจิตใจสั่นไหวครึกโครม 

 

เนื่องจากซูฉินบอกให้คนอื่นออกไป แสดงให้เห็นว่ามีวิธีช่วยเหลือองค์จักรพรรดิถัง

 

ซูเยว่หยุนเชื่อมั่นในตัวซูฉินมาก หากไม่ใช่เพราะซูฉิน นางคงจะมีพลังงานธาตุหยินแทรกตัวอยู่ในกายและไม่สามารถให้กําเนิดทายาทได้

 

“ในเมื่อพี่สามให้พวกเราออกไป พวกเราก็ออกไปกันเถอะ ”

 

ฮองเฮาซูเยว่หยุนมองไปที่เหล่าขุนนาง

 

“พระนาง นี่ไม่เป็นไปตามกฎมณเฑียรบาล…” ขุนนางอดที่จะเอ่ยออกมาไม่ได้

 

“ไม่เป็นไปตามกฎมณเฑียรบาลงนหรือ?”

 

ฮองเฮาซูเยว่หยุนขมวดคิ้วและพูดออกมาอย่างเย็นชาว่า “ถ้าเกิดอะไรขึ้น ข้าจะรับผิดชอบเอง ตอนนี้เป็นไปตามกฎมณเฑียรบาลแล้วหรือไม่?”

 

ขุนนางทั้งหลายชําเลืองมองหน้ากัน แต่พวกเขาก็หาได้มีทางเลือกอื่นไม่ นอกเสียจากโค้งคํานับแล้วตอบว่า “พ่ะย่ะ ค่ะ”

 

ไม่ช้านาน

 

ฮองเฮาซูเยว่หยุน ขุนนาง ขันที และนางกํานัลต่างออกจากโถงชีวิตนิรันดร์แล้วไปรออยู่ด้านนอก

 

มีเพียงซูฉินและจักรพรรดิถังหลี่เชิงเท่านั้นที่เหลืออยู่ในโถงชีวิตนิรันดร์

 

“ข้าบอกให้เจ้ารั้งรอ เหตุใดจึงใจร้อนเช่นนี้?”

 

ซูฉินยกมือขวาขึ้น สายใยจากแก่นแท้แห่งพลังผสานเข้าไปกับร่างกายของจักรพรรดิถังหลี่เชิง

 

ทันใดนั้น จักรพรรดิถังหลี่เชิงก็ตัวสั่นไปทั้งตัว ร่างกายที่อ่อนล้าในตอนแรกเริ่มฟื้นตัวขึ้นมาอย่างรวดเร็ว

 

แก่นแท้แห่งพลังของขอบเขตอรหันต์มีผลในการชาระเส้นเอ็นล้างไขกระดูก ร่างกายของจักรพรรดิหลี่เชิงที่ได้รับสายใยจากแก่นแท้แห่งพลังไปก็เหมือนกับความแห้งแล้งได้น้ำหวานรดลงมาให้ชุ่มฉ่ำ ผิวที่ซีดเซียวก็เริ่มกลับมาแดงเปล่งปลั่ง

 

อย่างไรก็ตาม ซูฉินไม่ได้หยุดเพียงเท่านั้น

 

จักรพรรดิถังหลี่เชิงมีอาการทางใจ ไม่ใช่สาเหตุมาจากทางกาย

 

ช่วงเวลาต่อมา

 

ซูฉินเหยียดนิ้วชี้ออกไป ค่อยกดลงที่กึ่งกลางระหว่างคิ้วของจักรพรรดิถังหลี่เชิง

 

ราวกับว่ามีระฆังส่งเสียงดังก้อง จักรพรรดิถังหลี่เชิงพลัน รู้สึกว่าเขาได้ตื่นขึ้นจากอาการมึนงง

 

“นี่คือ?”

 

จักรพรรดิถังหลี่เชิงลืมตาตื่นขึ้นมาในทันที

 

“ พี่สาม..”

 

เมื่อจักรพรรดิถังหลี่เชิงเห็นซูฉิน พระองค์ก็ผ่อนคลายลง

 

หลังจากนั้นไม่นาน

 

จักรพรรดิถังหลี่เชิงกล่าวอย่างอ่อนล้า “ดูเหมือนพี่สามจะเป็นคนช่วยข้าไว้”

 

แม้ว่าจักรพรรดิหลี่เชิงจะตกอยู่ในอาการสลบไสลไม่ได้สติก่อนหน้านี้ แต่เขาพอจะรับรู้เรื่องราวภายนอกได้อย่างคลุมเครือ และทราบว่าซูฉินมาเพื่อช่วยเหลือตนเอง

 

“ไม่ได้ยากเย็นอะไรนักหรอก”

 

ซูฉินส่ายหัวเล็กน้อยและมองไปยังจักรพรรดิหลี่เชิงพร้อม ทั้งกล่าวว่า “เจ้าครองบัลลังก์มาเกือบสิบปีแล้ว แม้ว่ามันจะดูสงบนิ่ง แต่จริงๆ แล้วเจ้าไม่เคยพบพานกับความพ่ายแพ้ใดๆ เลย”

 

“พี่สามได้สั่งสอนข้าแล้ว…” จักรพรรดิหลี่เชิงยิ้มออกมาอย่างขมขื่น ในตอนนี้เขาก็ตระหนักถึงปัญหาของตนเองเช่นกัน

 

ซูฉินเหลือบมองจักรพรรดิถังหลี่เชิงจากนั้นจึงหันหลังเดิน ออกจากโถงชีวิตนิรันดร์ไป

 

หลังจากที่ซูฉินจากไป

 

ขุนนางทั้งหลายก็รีบเข้ามา

 

“ฝ่าบาท”

 

“ฝ่าบาทสบายดีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”

 

เมื่อเหล่าข้าราชบริพารเห็นว่าจักรพรรดิหลี่เชิงฟื้นขึ้นมา พวกเขาก็หลั่งน้ำตาออกมาด้วยความตื่นเต้นดีใจ

 

ฮองเฮาซูเยว่หยุนยิ่งยินดียิ่งกว่า

 

“ฝ่าบาท ขอตรวจดูพระวรกายของพระองค์หน่อยได้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ” ในเวลานี้หมอชราผู้หนึ่งก็พูดขึ้น

 

“ดูสิ”

 

จักรพรรดิถังพยักหน้าให้เล็กน้อย

 

หลังจากนั้นไม่นาน หมอหลวงก็ตรวจร่างกายของจักรพรรดิถังด้วยสีหน้าเหลือเชื่อ

 

“เป็นไปไม่ได้”

 

“เป็นไปได้อย่างไร?”

 

“พลังชีวิตเต็มเปี่ยม มันเป็นเช่นนี้ได้อย่างไร?”

 

หมอชราผู้นี้ดูตกใจมาก ในสายตาของเขา แม้จักรพรรดิถังจะฟื้นขึ้นมา แต่ก็ต้องใช้เวลาพักฟื้นสักพักหนึ่งจึงจะฟื้นตัว แต่ในตอนนี้ร่างกายและจิตใจของจักรพรรดิถังฟื้นตัวจนเป็นปกติแล้ว

 

“นี่มันทักษะการแพทย์อะไรกัน…”

 

หมอชราตะลึงงันด้วยความเหลือเชื่อ

 

หลังจากที่ซูฉินช่วยเหลือจักรพรรดิถังหลี่เชิงเอาไว้ เขาก็กลับไปที่ตําหนักชุนฝั่งขวาอีกครั้ง

 

“ใกล้ได้เวลาแล้ว”

 

“ข้าจะเริ่มทะลวงด่านได้เสียที”

 

ซูฉินนั่งขัดสมาธิและตัดสินใจ

 

ซูฉินได้ปรับสภาพสภาวะของเขาตั้งแต่ขึ้นมาถึงนภาชนที่สี่ขั้นสมบูรณ์แล้วเมื่อหลายเดือนก่อน และตอนนี้เกือบจะคงที่เต็มที่แล้ว

 

เมื่อคิดได้ดังนั้น ซูฉินก็หลับตาลงอย่างช้าๆ ลมปราณในร่างโคจรหมุนเวียนอย่างต่อเนื่อง

 

หลังจากนั้นครึ่งวัน

 

รัศมีพลังของซูฉินก็เริ่มหดตัวควบแน่นเข้าหาแหล่งกําเนิดพลังเพียงจุดเดียว

 

ในทันทีหลังจากนั้น

     

ฟูววว!

 

กลิ่นอายอันน่าสะพรึงกลัวพุ่งขึ้นจรดฟ้า จนเกือบจะทําลายกําแพงเขตแดนค่ายกลฟ้าดินที่ติดตั้งอยู่ภายในตําหนักชุนฝั่งขวา

 

“ในที่สุดก็บรรลุระดับนภาชั้นที่ห้า…”

 

ซูฉินลืมตาขึ้น จิตใจผสานเข้ากับร่างกาย รับรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงของตนเอง

                  

Sign in Buddha’s palm 138 ซูฉินออกมือ

 

คําพูดของราชาชวอฟางทําให้ราชาหัวเมืองทั้งเก้า พระองค์ที่เหลือเงียบลง

 

“ไอ้นี่ก็ไม่ดี ไอ้นั่นก็ไม่ได้ นี่จักรพรรดิถังมันล่อลวงพวกเราถึงขนาดนี้ ยังจะให้อดทนต่อไปอีกหรือ?”

 

ฟานหยางขมวดคิ้วมุ่นไม่พอใจ

 

“ราชาชวอฟาง ถ้าเจ้าเอ่ยออกมาเช่นนั้น มันย่อมมีวิธีบางอย่างใช่หรือไม่เล่า?” ราชาเปยถึงมองไปที่ราชาชวอฟางแล้วกล่าวถาม

 

“มีอยู่วิธีหนึ่ง” ราชาชวอฟางได้ยินดังนั้นก็ยิ้มขึ้นมา แล้วมองไปยังราชาหัวเมืองคนอื่นๆ “จักรพรรดินั้นอาจจะไม่สามารถสังหารได้ แต่เราสามารถสอนบทเรียนให้เขาได้”

 

“แค่ต้องทําให้จักรพรรดิถังมันรู้ว่าหากต้องการจะปฏิบัติเช่นนี้ต่อข้าและต่อองค์ชายคนอื่นๆ มันเป็นเรื่องที่ยากที่จะกระทําอย่างยิ่ง

 

เมื่อคําพูดของราชาชวอฟางจบลง

 

ดวงตาของเหล่าราชาหัวเมืองพระองค์อื่นๆก็สว่างไสวขึ้น มาในทันใด

 

แน่นอนว่า

 

สิ่งที่ราชาชวอฟางพูดมานั้นสมเหตุสมผลมาก

 

จักรพรรดิแห่งราชวงศ์ถังเป็นปรปักษ์ต่อขุนนางหัวเมืองอย่างพวกเขามาก และการสังหารจักรพรรดิไปพระองค์หนึ่งก็ไม่สามารถจะช่วยแก้ปัญหาใดๆได้

 

มีเพียงการทําให้จักรพรรดิองค์ปัจจุบันล้มเลิกความคิดที่จะเป็นศัตรูกับเหล่าองค์ชายอย่างสมบูรณ์เท่านั้นถึงจะช่วยแก้ปัญหาได้ที่ต้นเหตุ

 

“เดี๋ยวก่อน แล้วเจ้าจะสั่งสอนบทเรียนให้จักรพรรดิถังเยี่ยงไร”

 

ราชาเปยถึงถามสิ่งที่สงสัยอยู่ภายในใจ

 

เมื่อราชาชวอฟางได้ยินคําถามนั้นก็ไม่ได้ตอบแต่หันไปมองราชาองค์อื่นๆ “ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา พวกเจ้าควรจะมีผลสําเร็จอยู่บ้างในการยึดครองอํานาจบางส่วนของสภาขุนนางในราชสํานัก”

 

คําพูดของราชาชวอฟางก็ได้ทําให้องค์ชายทุกคนเปลี่ยน สีหน้าไป

 

เหล่าองค์ชายแม้จะพํานักอยู่ในดินแดนของตน อยู่ห่างไกลจากหูตาขององค์จักรพรรดิ แต่องค์ชายทั้งหลายก็ไม่ได้โง่เขลา ใครก็ตามที่พอจะมีวิสัยทัศน์อยู่บ้างก็ควรจะรู้จักดึงขุนนางในราชสํานักมาใช้เป็นหมากในสนามของตนเอง

 

ด้วยวิธีเช่นนี้ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในราชสํานัก พวกเขาก็จะรู้เรื่องก่อนเป็นพวกแรก

 

“ราชาชวอฟาง เจ้าถามสิ่งนี้ขึ้นมาด้วยเหตุอันใด?”

 

ราชาเปยถึงกล่าวถามอย่างระมัดระวัง

 

ราชาหัวเมืองทั้งสิบไม่ได้เป็นมิตรกันมากขนาดนั้น มีการเสียดสีกระทบกระทั่งกันอยู่เป็นเนืองนิตย์ ไม่เช่นนั้นพวกเขา ก็คงไม่เลือกสถานที่แห่งนี้เป็นสถานที่สําหรับพบเจอกัน

 

สายลับขุนนางที่อยู่ในราชสํานักล้วนเป็นความลับสุดยอดขององค์ชายแต่ละพระองค์ หากเปิดเผยออกไปแล้วจักรพรรดิถังล่วงรู้ เกรงว่าทุกสิ่งที่เพียรสร้างมาจะกลายเป็นไร้ประโยชน์

 

“เรื่องนึ่ง่ายดายนัก”

 

“เพียงใช้หมากเหล่านี้สอนบทเรียนให้กับจักรพรรดิถัง…”

 

ราชาชวอฟางมองไปที่ราชาหัวเมืองทั้งเก้าแล้วกล่าวขึ้น

 

“สอนบทเรียน?”

 

“อธิบายให้ข้าฟังเพิ่มเติมได้หรือไม่”

 

หลังจากได้ยินคํากล่าวนั้น ราชาหัวเมืองต่างก็มองหน้ากันแล้วจึงเอ่ยถามขึ้นมา

 

 

เมืองฉางอัน

 

ภายในวังหลวง

 

ท้องพระโรง ตําหนักไท่จี๋

 

จักรพรรดิถังหลี่เชิงนั่งอยู่บนบัลลังก์มังกรอย่างมีพลังกระฉับกระเฉง คิดใคร่ครวญอยู่ว่าเมื่อใดกันถึงจะเกิดความโกลาหลขึ้นภายในหมู่ราชาหัวเมือง

 

“ผู้ใดมีความเห็นใด ใคร่อยากพูดสิ่งใดก็พูดออกมาเถิด”

 

จักรพรรดิถังหลี่เชิงเหลือบมองเหล่าขุนนางแล้วกล่าวออกมาเบาๆ

 

ในตอนนั้นเอง

 

มีขุนนางผู้หนึ่งยืนขึ้น โค้งคํานับเล็กน้อยแล้วกล่าวด้วยเสียงอันดังว่า “ฝ่าบาท อาณาเขตแถบชายแดนเป็นรากฐานสําคัญของประเทศ หวังว่าฝ่าบาทจะทรงเปลี่ยนพระทัยถอนราชโองการและเลิกยุ่งเกี่ยวกับการสืบทอดอํานาจ…”

 

หลังจากที่ขุนนางผู้นั้นพูดจบ เขาก็คุกเข่าลงกับพื้นและไม่ลุกขึ้นอีกเลย

 

“หืม?”

 

จักรพรรดิถังขมวดคิ้วเล็กน้อย

 

เขาได้แสดงออกถึงความตั้งใจของตนไปนานแล้ว และตอนนี้ยังมีขุนนางมาโต้แย้งและให้คําแนะนําแก่เขาอีก นี่คือสิ่งที่จักรพรรดิหลี่เชิงไม่คาดคิดมาก่อน

 

เมื่อจักรพรรดิถังหลี่เชิงกําลังจะตําหนิขุนนางผู้นั้นสักสองสามคํา

 

ขุนนางอีกคนหนึ่งก็ลุกขึ้น “ฝ่าบาท องค์ชายที่อยู่บริเวณชายแดนของอาณาจักรถือเป็นรากฐานสําคัญ ข้าน้อยหวังว่าฝ่าบาทจะถอนราชโองการและหยุดแทรกแซงการสืบทอดอํานาจของเหล่าองค์ชาย…”

 

จักรพรรดิถังหลี่เชิงขมวดคิ้วและมองไปที่ขุนนางคนที่สอง

 

ไม่ทันที่จักรพรรดิถังจะได้พูดอะไร

 

“ฝ่าบาทองค์ชายที่ประทับอยู่บริเวณชายแดนของอาณาจักรถือเป็นรากฐานสําคัญ ข้าน้อยหวังว่าฝ่าบาทจะถอนราชโองการและไม่ยุ่งเกี่ยวการสืบทอดอํานาจของเหล่าองค์ชายอีกต่อไป”

 

“ฝ่าบาทองค์ชายที่ประทับอยู่บริเวณชายแดนของอาณาจักรถือเป็นรากฐานสําคัญ ข้าน้อยหวังว่าฝ่าบาทจะถอนราชโองการและไม่ยุ่งเกี่ยวการสืบทอดอํานาจของเหล่าองค์ชายอีกต่อไป…”

 

 

 

เหล่าข้าราชบริพารต่างยืนขึ้นและกล่าวให้คําแนะนําต่อ จักรพรรดิหลี่เชิงมากขึ้นเรื่อยๆ

 

ทันใดนั้น

 

ที่ท้องพระโรงตําหนักไท่จี๋

 

ขุนนางเกือบครึ่งคุกเข่าลงร้องขอให้จักรพรรดิถังถอนคําสั่งราชโองการ

 

ข้าราชบริพารที่คุกเข่าเหล่านี้ส่วนใหญ่ล้วนเป็นขุนนางระดับเจ็ดและระดับหกซึ่งเป็นตัวตนที่ไม่โดดเด่นนัก แต่เมื่อพวกเขาคุกเข่าลงพร้อมกัน พลันทําให้เกิดรัศมีบางอย่างที่อธิบายไม่ได้

 

เมื่อขุนนางที่เหลือที่ไม่ได้คุกเข่าเห็นฉากนี้ สีหน้าของพวกเขาก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย

 

“พวกเจ้า?!”

 

“พวกเจ้า?!!”

 

ใบหน้าของจักรพรรดิถังหลี่เชิงบิดเบี้ยวจนน่าเกลียดถึงขีดสุด

 

ในตอนนี้ ทําไมพระองค์จะไม่ทราบว่าพฤติกรรมของเหล่าข้าราชบริพารเหล่านี้เป็นสัญญาณเตือนมาจากขุนนางหัวเมืองชายแดนต่างๆ

 

เหล่าขุนนางกําลังใช้วิธีนี้เพื่อเตือนจักรพรรดิหลี่เชิงว่า หากพระองค์ยังเข้าไปแทรกแซงอีก ก็ระวังตัวเอาไว้ว่าอาจจะปกป้องราชบัลลังก์เอาไว้ไม่ได้

 

“ได้เลย!

 

“พวกเจ้าทําได้ดีจริงๆ!”

 

จักรพรรดิถังหลี่เชิงลุกขึ้นยืนในทันที จ้องมองไปยังข้าราชบริพารที่คุกเข่าอยู่กับพื้น

 

“ข้าปูนบําเหน็จ อวยยศพวกเจ้า แต่เจ้าก็ยังคงวิ่งแจ้นไปอยู่ใต้อํานาจราชาหัวเมืองใช่รึเปล่า?”

 

จักรพรรดิถังหลี่เชิงโกรธมาก เขารู้สึกเหมือนถูกหักหลัง

 

“มานี่”

 

“รับคําสั่ง จงกุมตัวคนพวกนี้ให้ข้า!”

 

จักรพรรดิถังหลี่เชิงกล่าวเน้นทุกถ้อยคํา

 

ทันใดนั้น

 

ทหารในวังจํานวนมากก็เข้ามาและข้าราชบริพารทุกคนที่เอ่ยคําแนะนําให้แก่องค์จักรพรรดิก็ถูกนําตัวออกไป 

 

“ทุกคนจงกลับไปให้หมด!”

 

เมื่อเกิดสิ่งนี้ขึ้น จักรพรรดิถังหลี่เชิงย่อมไม่คิดที่ประชุมอันใดอีกต่อไป จึงโบกแขนเสื้อของตนเดินออกจากตําหนักไท่จี๋ไป

 

 

ภายในโถงชีวิตนิรันดร์

 

จักรพรรดิถังหลี่เชิงนั่งอยู่บนบัลลังก์มังกร

 

“หรือเป็นไปได้ไหมว่าข้าทําอะไรผิดไปจริงๆ?”

 

จักรพรรดิถังหลี่เชิงตกอยู่ในความคิด ติดใจสงสัยในตนเอง

 

หากเขาเป็นจักรพรรดิที่ไม่ได้เรื่อง เขาย่อมไม่สนใจว่าข้าราชบริพารของตนจะคิดเห็นอย่างไร แต่จักรพรรดิถังหลี่เชิงไม่ได้เป็นเช่นนั้นอย่างแน่นอน

 

เขาให้ความสนใจต่อความคิดเห็นของข้าราชบริพาร แต่ตอนนี้เหล่าข้าราชบริพารหันมาสมคบคิดรวมหัวกันตั้งคําถามเรื่องความตั้งใจของเขาที่จะตัดทอนอํานาจขุนนางชาย แดน

 

สิ่งที่เขาทําลงไปมันถูกต้องจริงๆ ใช่หรือไม่?

 

ไม่กี่วันต่อมา

 

จักรพรรดิถังหลี่เชิงล้มปวยเพราะความสงสัยในตนเองอย่างมาก

 

ตั้งแต่จักรพรรดิถังหลี่เชิงขึ้นครองราชย์ ทํางานตรากตรําด้วยมโนธรรมมาเกือบสิบปี และตั้งตนอยู่ในความไม่ประมาท

 

แม้ว่าจะไม่มีปัญหาทางกาย แต่จิตใจของพระองค์แบกรับแรงกดดันอันมหาศาลมาช้านาน

 

แต่ตอนนี้การทรยศของเหล่าขุนนางไม่ต่างจากฟางเส้นสุดท้ายที่ขาดผึง จนอิฐที่แบกรับเอาไว้หล่นลงมา ทําให้จักรพรรดิหลี่เชิงจิตใจพังทลาย

 

ภายในวังหลวงเกิดความโกลาหลอยู่ช่วงหนึ่ง

 

ข้าราชบริพารทั้งหลายรวมถึงฮองเฮาซูเยว่หยุนต่างก็มารวมตัวกันที่โถงชีวิตนิรันดร์

 

หลังจากที่ได้เห็นร่างของจักรพรรดิถังหลี่เชิง หมอหลวงก็รู้สึกเศร้าโศกและไม่กล้าพูดอะไรออกมา

 

ไม่มีหมอหลวงคนไหนกล้าพูดออกมาว่าสามารถรักษาจักรพรรดิถังได้

 

พวกเขาคิดหาวิธีบรรเทาอาการไม่ได้ด้วยซ้ํา

 

“ฝ่าบาท…”

 

ฮองเฮาซูเยว่หยุนนอนอยู่หน้าบัลลังก์มังกร เฝ้ามองจักรพรรดิหลี่เชิงที่นอนไม่ได้สติ นางร่ําไห้จนสายตาพร่ามัวไปห มด

 

ในเวลาเดียวกัน

 

องค์ชายที่ให้ความสนใจใกล้ชิดกับการเปลี่ยนแปลงภายในราชสํานักอยู่แล้วก็ได้รับทราบเรื่องนี้มา

 

“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า”

 

“ถ้าคิดว่าจะทําอะไรกับข้าและเหล่าองค์ชายองค์อื่นๆได้ มันยังคงเร็วไปร้อยปี”

 

ราชาเปยถิงเยาะเย้ย

 

ราชาหัวเมืองอีกเก้าคนที่เหลือก็เช่นเดียวกัน ต่างกําลังดูถูกอยู่ในใจ

 

 

ณ พระราชวัง

 

ด้านนอกตําหนักชุนฝั่งขวา

 

ซูฉินไพล่มือทั้งสองข้างไปด้านหลัง จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ครอบคลุมไปถึงโถงชีวิตนิรันดร์

 

“เป็นอาการทางใจ โอสถสามัญไม่สามารถรักษาได้…”

 

ซูฉินคิดอยู่ภายในใจ

 

ปัญหาที่จักรพรรดิถังกําลังเผชิญอยู่นั้นมีอันตรายแฝงอยู่มากมาย เกิดจากสภาพจิตใจแตกสลาย หากไม่ได้รับการรักษาที่ทันท่วงที แม้ว่าสุดท้ายจะรอดมาได้ แต่สภาพร่างกาย พละกําลังย่อมเสียหายไปเป็นอันมาก และแม้กระทั่งอายุขัยก็ย่อมได้รับผลกระทบ

 

“พอแล้วล่ะ”

 

ซูฉินถอนหายใจเบาๆก้าวไปด้านหน้าก่อนจะหายตัวไป

 

ช่วงเวลาต่อมา

 

ด้านหน้าห้องโถงชีวิตนิรันดร์

 

ร่างของซูฉินก็ปรากฏขึ้นอย่างเงียบเชียบ

 

 

Sign in Buddha’s palm 137 การร่วมมือกันของเหล่าองค์ชาย

 

หนึ่งชั่วโมงผ่านไปโดยไม่ทันรู้ตัว

 

จักรพรรดิถังหลี่เชิงลุกขึ้นและเตรียมกลับไปยังโถงชีวิตนิรันดร์เพื่อจัดการเรื่องการบ้านการเมือง

 

“ได้มาคุยกับพี่สามในวันนี้ ข้ารู้สึกทุกข์ใจน้อยลงจริงๆ” จักรพรรดิหลี่เชิงกล่าวด้วยรอยยิ้มและมองไปยังซูฉิน

 

ซูฉินส่ายหัวแต่ไม่ตอบอะไร

 

วันต่อมา

 

ที่ตําหนักไท่จี๋ บริเวณท้องพระโรง

 

จักรพรรดิหลี่เชิงแห่งราชวงศ์ถังนั่งอยู่บนบัลลังก์มังกร มองลงมาที่เหล่าขุนนางฝ่ายพลเรือนและฝ่ายทหาร

 

“ข้ารู้สึกซาบซึ้งใจยิ่งนักสําหรับการปกครองดินแดนของ เหล่าราชาหัวเมืองแห่งอาณาจักรถังทั้งหลาย…” จักรพรรดิถังกล่าวออกโดยมิอ้อมค้อม

 

ในช่วงเวลาสามปีที่ผ่านมา แม้ว่าจักรพรรดิหลี่เชิงจะไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องการตัดทอนอํานาจศักดินา แต่ไม่รู้ว่าภายในใจของเขาคิดวนไปเวียนมากี่ครั้งต่อกี่ครั้งแล้ว

 

จนท้ายที่สุดจักรพรรดิถังหลี่เชิงก็ตระหนักว่าไม่สมควรที่จะตัดทอนอํานาจศักดินาตรงๆ มันอาจจะเกิดความวุ่นวายในอาณาจักรถังและการก่อกบฏจากกลุ่มขุนนางได้ง่าย

 

การตัดทอนอํานาจศักดินาโดยตรงอาจกระทํามิได้ แต่เรื่องวิธีการตัดทอนอํานาจศักดินาโดยอ้อมผุดขึ้นในหัวของจักรพรรดิหลี่เชิงอย่างต่อเนื่อง

 

จักรพรรดิถังหลี่เชิงใช้เวลามาสามปีแล้วในการคิดหาวิธีตัดทอนอํานาจของเหล่าองค์ชายโดยอ้อม

 

ตําหนักไท้จี๋

 

เมื่อเหล่าขุนนางภายในท้องพระโรงได้ฟังคํากล่าวของจักรพรรดิหลี่เชิง พวกเขาก็มองหน้ากันเองโดยไม่รู้จะทําหน้าอย่างไร

 

ไม่กี่ปีมานี้พวกเขาก็เห็นๆ อยู่ว่าจักรพรรดิหลี่เชิงโกรธแค่ไหน และถึงขั้นคิดจะตัดทอนอํานาจศักดินา

 

แต่ตอนนี้จักรพรรดิหลี่เชิงกลับ ”ประทับใจมาก” กับพฤติกรรมของเหล่าองค์ชาย?

 

ในยามที่เหล่าข้าราชบริพารยังคงสับสน คําพูดของจักรพรรดิหลี่เชิงก็ดังก้อง

 

“เหล่าราชาหัวเมืองต่างทํางานกันอย่างหนัก แต่พวกเขาก็ไม่สามารถทํางานให้สําเร็จลุล่วงด้วยดีได้หากปราศจากความร่วมมือของเหล่าบุตรหลานทุกคนในตระกูล ข้าจึงตัดสินใจจะส่งผ่านคําสั่งออกไป ต่อแต่นี้อนุญาตให้ราชาหัวเมืองสามารถแจกจ่ายอํานาจศักดินาให้แก่ลูกหลานทุกคนได้”

 

จักรพรรดิถังหลี่เชิงกล่าวคําออกมาช้าๆ

 

ด้วยคําที่กล่าวออกมา

 

เหล่าขุนนางในท้องพระโรงต่างเงียบ

 

ความคิดของข้าราชบริพารบางคนวิ่งแล่นอย่างรวดเร็ว และพวกเขาก็พลันเข้าใจจุดประสงค์ขององค์จักรพรรดิถังในการออกคําสั่งเช่นนั้น มันไม่มีอะไรมากไปกว่าการแบ่งอํานาจของเหล่าขุนนางหัวเมือง ด้วยวิธีนี้อาจจะไม่เห็นผลในช่วงสั้นๆ แต่เมื่อเวลาผ่านไปสิบปีหรือร้อยปี ปัญหาเรื่องของราชาหัวเมืองจะต้องคลี่คลายอย่างแน่นอน

 

“ฝ่าบาท สิ่งนี้ไม่สมควร…”

 

ขุนนางบางคนลุกยืนขึ้นมาในทันที โค้งคํานับต่อหน้าองค์จักรพรรดิหลี่เชิงก่อนจะกล่าวว่า “บุตรชายคนโตขององค์ชายกับพระชายาคนแรกเท่านั้นที่จะได้รับอํานาจศักดินา หากฝ่าบาททรงยกเลิกกฎหมายนี้ไป อาจสร้างความไม่พอใจให้เหล่าองค์ชายได้…”

 

ขุนนางผู้นี้เข้าใจความเป็นไปของอาณาจักรถัง และควา หมายอันลึกซึ้งภายในคําสั่งขององค์จักรพรรดิหลี่เชิง แต่เหล่าองค์ชายเองมีหรือจะไม่เข้าใจ

 

“ไม่ต้องเป็นห่วงไป ข้าเพียงแต่อนุญาตเท่านั้น มันหาใช่คําสั่งไม่ ถ้าเหล่าราชาหัวเมืองไม่เต็มใจพวกเขาสามารถปฏิเสธมันได้”

 

จักรพรรดิถังหลี่เชิงสงบนิ่งอย่างมาก ก่อนหน้านี้เขาเข้าใจทุกอย่างแล้วหลังจากพูดคุยกับซูฉินอยู่ครู่หนึ่งเมื่อคืนวาน จักรพรรดิหลี่เชิงเริ่มตระหนักมากขึ้นถึงสิ่งที่เขากระทําได้

 

พระราชกฤษฎีกาฉบับนี้เป็นเพียงการกําหนดกฎเกณฑ์ เหล่าองค์ชายอาจจะเพิกเฉยต่อมัน แต่เหล่าพรรคพวกคนอื่นในตระกูลของพวกเขาเล่า?

 

ปกติแล้วหลังจากที่ผู้ปกครองคนเก่าสิ้นชีวิตไป บุตรชายคนโตก็จะสืบทอดอํานาจราชาหัวเมืองต่อไป ส่วนพี่น้องคนอื่นๆ ก็ทําได้เพียงดูแลตัวเอง

 

และด้วยสถานการณ์นี้ เมื่อจักรพรรดิถังหลี่เชิงอนุญาตให้ลูกหลานคนอื่นๆ ขององค์ชายสามารถสืบทอดอํานาจศักดินาต่อไปได้ ย่อมเกิดความแตกแยกภายในอย่างมิอาจเลี่ยง

 

นอกจากบุตรชายคนโตแล้ว บุตรชายคนอื่นๆ ย่อมสนับสนุนคําสั่งจากจักรพรรดิหลี่เชิงเป็นธรรมดา

 

“ความประสงค์นี้ของข้าตัดสินใจมาดีแล้ว”

 

“ไม่จําเป็นต้องพูดอะไรให้มากความอีกต่อไป”

 

จักรพรรดิถังหลี่เชิงเห็นว่ามีขุนนางบางคนพยายามที่จะห้ามปรามตน ดังนั้นพระองค์จึงโบกมือและเดินออกจากตําหนักได้ไป

 

ในเวลาเดียวกัน

 

ด้านนอกตําหนักชุนฝั่งขวา

 

ดวงตาของซูฉินสงบนิ่ง มองตรงไปในทิศทางของตําหนักไทจี๋

 

“ท้ายที่สุดก็ออกคําสั่งนี้”

 

ซูฉินส่ายหัวเล็กน้อยและถอนหายใจออกมา

 

ซูฉินรู้ว่าสิ่งนี้มันอยู่ภายในใจขององค์จักรพรรดิหลี่เชิงมาตั้งแต่เมื่อคืน ดังนั้นเขาจึงให้ความสนใจกับอีกฝ่ายเล็กน้อย ในวันนี้เป็นไปตามคาด จักรพรรดิถังหลี่เชิงได้ลงมือไปแล้วในวันนี้

 

เพียงแต่ว่า แม้วิธีการนี้จะช่วยแก้ไขปัญหาของราชาหัวเมืองได้ในระดับที่ดี แต่จักรพรรดิถังหลี่เชิงกระทําสิ่งหนึ่งผิดพลาด

 

“การออกคําสั่งนี้เรียงลําดับผิดพลาด…”

 

ซูฉินคิดอยู่ในใจอย่างเงียบๆ

 

หากจักรพรรดิหลี่เชิงแห่งราชวงศ์ถังได้กระทําการปราบเหล่าขุนนางหัวเมืองทั้งหมดก่อนที่จะออกคําสั่งนี้ ทําให้พวกเขาหวาดกลัวก่อนจะใช้แผนแยกย่อยอํานาจ เขาก็จะ ขจัดปัญหาที่เกิดขึ้นในอนาคตและแก้ไขปัญหาจากเหล่าองค์ชายไปได้อย่างสมบูรณ์

 

แต่ตอนนี้

 

สิ่งสําคัญที่สุดยังไม่ได้รับการแก้ไขจนบรรลุผล และการออกคําสั่งกระจายอํานาจเช่นนี้เท่ากับไปแตะต้องจุดเดือดของเหล่าองค์ชาย

 

แม้ว่าซูฉินจะรู้ว่าจักรพรรดิหลี่เชิงไม่ได้ทําสิ่งเหล่านี้ได้อย่างถูกต้อง แต่เขาก็ไม่ได้หยุดยั้งมัน

 

หากจักรพรรดิหลี่เชิงถูกลอบสังหาร ซูฉินอาจจะลงมือช่วยเหลือได้ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นตอนนี้เป็นเรื่องราวการตัดสินใจของจักรพรรดิหลี่เชิงในกิจการบ้านเมือง แห่งอาณาจักรถัง

 

“ไม่เป็นไร ปล่อยให้เขาทนทุกข์ ให้ได้เรียนรู้เสียบ้าง” 

 

ซูฉินหันหลังและเดินกลับไปที่ตําหนักชุนฝั่งขวา

 

เป็นเวลานานแล้วที่จักรพรรดิถังหลี่เชิงประสบความสําเร็จมาตั้งแต่ขึ้นครองบัลลังก์ เขามีพร้อมทุกสิ่งที่จักรพรรดิพระองค์ก่อนเตรียมไว้ให้ ผนวกรวมกับที่ซูฉินช่วยเขากําจัดอุปสรรคถึงสองครั้งสองครา สร้างความตื่นตระหนกให้กับอาณาจักรต่างๆ ทําให้การดําเนินการสิ่งต่างๆ เป็นไปอย่างราบรื่น

 

แม้ว่าจักรพรรดิถังหลี่เชิงจะได้ดําเนินการไปหลายอย่างจนอาณาจักรถังเจริญรุ่งเรืองภายใต้การปกครองของเขา แต่ก็มีหลายสิ่งหลายอย่างบนโลกนี้ที่มันไม่ราบรื่นเสมอไป

 

….

 

….

 

เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว

 

ด้วยคําสั่งของจักรพรรดิหลี่เชิงแห่งราชวงศ์ถังที่ส่งไปถึงราชาหัวเมืองทั้งสิบ มันก็ทําให้เกิดความรู้สึกบางอย่างขึ้นในใจของหมู่พี่น้องทายาทของเหล่าองค์ชาย

 

อย่างไรก็ตาม

 

ความรู้สึกเหล่านี้ก็เกิดขึ้นได้ไม่นานก่อนจะถูกระงับไป โดยเหล่าองค์ชาย

 

ไม่นานหลังจากนั้น

 

เหล่าราชาหัวเมืองทั้งสิบก็มารวมตัวกันอยู่ในเมืองเล็กๆแห่งหนึ่ง

 

เมืองเล็กๆ แห่งนี้ไม่ได้อยู่ในอาณาเขตขององค์ชายคนใด แต่เป็นพื้นที่ที่อยู่ใกล้เคียงกับอาณาเขตของราชาหัวเมืองส่วนใหญ่ ดังนั้นเมื่อพวกเขามีเรื่องที่จะต้องหารือกัน พวกเขาจะเลือกใช้สถานที่แห่งนี้

 

“ฮ่าฮ่า”

 

“ตอนนี้จักรพรรดิถังที่อยู่ในเมืองฉางอันช่างกล้าหาญนัก เขาถึงกับกล้าเข้ามาแทรกแซงกิจการของราชาหัวเมืองที่ข้าปกครองอยู่”

 

ดวงตาของราชาฟ่านหยางเย็นเยียบ เหลือบมองไปที่ราชาหัวเมืองอีกเก้าพระองค์ก่อนจะหัวเราะเยาะเย้ย

 

เมื่อตอนที่คําสั่งกระจายอํานาจส่งมาถึงอาณาเขตของพวกเขา เหล่าราชาหัวเมืองต่างตระหนักว่ามีบางสิ่งผิดปกติ และหลังจากเขาเห็นสายตาอันแสนกระตือรือร้นจากลูกหลานคนอื่นๆ ของพวกตน พวกเขาก็ยืนยันได้แล้วว่า นี่คือแผนการของจักรพรรดิ

 

“หึ!”

 

“เพียงคําพูดไม่กี่คําก็สามารถแบ่งแยกเขตแดนของพวกเรา สร้างความแตกแยกให้เหล่าพี่น้องจักรพรรดิถังไม่เพียงกล้าหาญเท่านั้น แต่วิธีการต่างๆ ยังเลวร้ายมากอีกด้วย”

 

ราชาชวอฟางก็พูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความเย็นชา

 

ในฐานะราชาผู้ครองดินแดน พวกเขาต้องการให้อํานาจที่สืบต่อไปนั้นรุ่งเรืองยิ่งขึ้นไปรุ่นต่อรุ่น พวกเขาย่อมไม่ต้องการเห็นลูกหลานของพวกเขาถูกแบ่งแยกออก และท้ายที่สุดมันก็จะกลายไปเป็นของเล่นในมือขององค์จักรพรรดิถัง

 

“แล้วตอนนี้เราควรทําเช่นไร”

 

“จักรพรรดิถังเริ่มแบ่งแยกรากฐานของพวกเราแล้ว พวกเจ้ายังจะทําเป็นเฉยเมยอยู่ไหม?”

 

ราชาเป่ยถิงกล่าวออกมา อยากจะรู้ว่าราชาพระองค์อื่นคิดเห็นอย่างไร

 

“เป็นเรื่องปกติที่เราจะเฉยเมยไม่ได้”

 

ราชาฟ่านหยางส่ายหัวแล้วกล่าวคํา

 

“ทําไมเจ้าไม่สังหารจักรพรรดิถังองค์นี้เสียที ในเมื่อเขาดื้อดึงขนาดนี้ เราควรจะเปลี่ยนจักรพรรดิถังเป็นคนอื่นขึ้นมาแทน”

 

ราชาเจี้ยนหนานจู่ๆ ก็โพล่งขึ้นมา

 

คําพูดที่กล่าวออกมา

 

ราชาหัวเมืองที่เหลือก็รู้สึกว่าหัวใจตนกําลังเต้นอย่างเร่าร้อน

 

อย่างไรก็ตาม ราชาชวอฟางส่ายหัวแล้วกล่าวขึ้นว่า “ฆ่า แล้วได้อะไร? ข้าก็ไม่เห็นว่าจะมีใครไม่อิจฉาจักรพรรดิถังต่อให้สังหารทิ้งไปแล้วคนที่ขึ้นมาแทนจะเชื่อฟังหรือไม่

เล่า?”

 

“นอกจากนั้น คงจะมีบรรพบุรุษเก่าแก่ที่หลบซ่อนตัวอยู่ ในพระราชวังถัง การที่จะลอบฆ่าจักรพรรดิถังภายในวังหลวงย่อมไม่สมควร”

 

ราชาชวอฟางกล่าวออกมาเบาๆ

 

ไม่ว่าจะเป็นสองยอดปรมาจารย์ขั้นสูงสุดอย่างหวู่หยาง แห่งหนานหมิงและอินจิ่วฝูที่ตกตายอยู่นอกวังหลวง และการหายตัวไปอย่างลึกลับของซีเหมินชุยเฉว่กับเย่กู้เฉิงภายในพระราชวังถังล้วนแสดงให้เห็นถึงความน่ากลัวของวังหลวงได้อย่างแท้จริง

 

Sign in Buddha’s palm 136 สง่างาม!

 

ภายในตําหนักชุนฝั่งขวา

 

ซูฉินรวบรวมไอพลังของเขาเข้าหากัน

 

“เมื่อเทียบดูจากการคาดคะเนก่อนหน้าของข้า นี่บรรลุถึงนภาชั้นที่สี่เร็วกว่ากําหนดอย่างน้อยก็หนึ่งถึงสองปีที่เดียว”

ซูฉินแตะปลายคาง ดวงตาส่อแววครุ่นคิด

 

ด้วยสายตาอันกว้างไกลของซูฉินในปัจจุบัน แม้จะประมาณการณ์ผิดไป แต่ความแตกต่างอย่างมากสุดก็ไม่กี่เดือน แต่ตอนนี้มันกลับเร็วกว่ากําหนดถึงปีสองปีเต็ม

 

“คงจะเป็นเพราะ ‘เทพวิชาหลอมจิตวิญญาณจันทรา’ ที่ทําให้จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของข้าเสถียรมั่งคง ช่วยเพิ่มความเร็วในการฝึกฝนไปได้มากโข”

 

ซูฉินคาดเดาอยู่ในใจ

 

แม้ว่าเขาจะรู้ว่าจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ที่มั่นคง ดีอย่างยิ่ง สําหรับการบ่มเพาะเมื่อยามที่ฝึกฝน “เทพวิชาหลอมจิตวิญญาณจันทรา” แต่เขาก็ไม่ได้คาดหวังว่ามันจะช่วยปรับเปลี่ยนประสิทธิภาพได้มากขนาดนี้

 

“การเดินทางไปยังอาณาจักรหนานจ้าวช่างคุ้มค่า”

 

ซูฉินพยักหน้าเล็กน้อย ค่อนข้างพอใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น

 

การไปเยี่ยมเยือนหนานจ้าวครั้งนั้น ไม่เพียงแต่จะได้ลงชื่อเข้าใช้และรับเคล็ดวิชาอันแสนวิเศษนี้มา แต่เขายังได้เรียนรู้เรื่องราวเกี่ยวกับเหล่าจอมยุทธในดินแดนอันไกลโพ้นอีกด้วย

 

“ในเมื่อบรรลุถึงความสมบูรณ์แบบของนภาชั้นที่สี่แล้ว ข้าก็ควรเตรียมตัวทะลวงขั้นเข้าสู่นภาชั้นที่ห้า”

 

ซูฉินค่อยๆ ลุกขึ้นเดินออกจากตําหนักชุนฝั่งขวาแล้วเดินช้าๆ ไปตามทางเดินอันร่มรื่น

 

พระราชวังตะวันออกยังคงร้างผู้คนเช่นเคย แต่ซูฉินคุ้นเคยกับมันมาตั้งนานแล้ว และก็ชื่นชอบมันไม่น้อย

 

สําหรับซูฉิน อํานาจ รูปโฉม และความมั่งคั่งทางโลกนั้นล้วนราวกับเป็นเพียงเมฆหมอกควันไฟ มีเพียงความแข็งแกร่งของตนเท่านั้นที่ยึดถือเป็นรากฐาน

 

สิ่งนี้เป็นความจริงแท้ ไม่ว่าจะอยู่ที่วัดเส้าหลินหรือพระราชวังถัง

 

มิฉะนั้นด้วยความสามารถของซูฉิน หากเขาต้องการจะนั่งบนบัลลังก์มังกร มันก็ทําได้ดั่งใจนึก จะมีใครในอาณาจักรถังมาหยุดเขาได้?

 

แต่เขาไม่มีความต้องการที่จะเป็นจักรพรรดิ

 

ตลอดห้าร้อยปีของราชวงศ์ถัง นอกจากปฐมจักรพรรดิผู้ก่อตั้งราชวงศ์ถัง จักรพรรดิเกือบทุกคนแทบจะไม่ประสบความสําเร็จในการฝึกฝนวิทยายุทธเลย

 

แม้แต่ตัวปฐมจักรพรรดิก็ไม่สามารถก่อตั้งอาณาจักรถังได้ หากเขาไม่ก้าวขึ้นมาถึงขอบเขตตํานานยุทธ

 

ไม่เพียงแต่อาณาจักรถังเท่านั้น แต่จักรพรรดิในทุกอาณาจักรต่างก็มีเรื่องราวคล้ายคลึงกัน

 

ทําไมจึงเป็นเช่นนั้น?

 

พลังงานของมนุษย์นั้นมีจํากัด เพื่อให้บรรลุถึงความสําเร็จอันยิ่งใหญ่ในด้านการฝึกยุทธจําเป็นต้องทุ่มเทพลังงานทั้งหมดทั้งมวลไปกับมัน แต่คนเช่นจักรพรรดิไม่สามารถกระทําได้

 

เห็นได้ชัดว่าสิ่งนั้นจึงขัดกับสิ่งที่ซูฉินต้องการ

 

ซูฉินเดินอย่างเอื่อยเฉื่อยไม่เร่งรีบไปตามทางเดินภายในพระราชวังตะวันออก ปล่อยความคิดของตนให้ล่องลอย

 

ในช่วงสามปีที่ผ่านมา นอกเหนือจากการฝึกตนแล้ว ซูฉินยังเก็บรวบรวมสมบัติมาได้จํานวนนับไม่ถ้วน

 

แม้ว่าสถานที่ส่วนใหญ่ในพระราชวังถึงจะสามารถลงชื่อเข้าใช้ได้เพียงครั้งเดียว แต่ก็ยังมีสถานที่อีกเป็นโหลที่ซูฉิน สามารถกอบโกย” ซ้ำๆ ได้

 

ตัวอย่างเช่น แท่นบูชาเทพธรณีฯ เขาได้รับผลไม้สีแดงมา

 

ที่ด้านหน้าของตําหนักไฟจี้ก็ลงชื่อได้รับ “วิชาปราณฉีฟ้ากําหนด

 

ด้านหน้าจัตุรัสหยกขาวได้รับ สิบแปดฝ่ามือพิชิตมังกร

 

….

 

….

 

ในหมู่ของที่ได้มาทั้งหมด ผลไม้สีแดงมีประโยชน์กับซูฉินมากที่สุด มันมีผลมากกว่าโลหิตรู้แจ้งหลายสิบเท่า แม้แต่เป็นตัวซูฉินเองที่กินผลไม้สีแดงเข้าไปก็ต้องใช้เวลาหนึ่งสัปดาห์ในการย่อยมันจนหมด

 

รู้หรือไม่ว่าร่างกายของซูฉินที่ได้รับการแปรสภาพมาแล้วถึงสี่ครั้งรวมถึงเข้าสู่ขอบเขตอรหันต์ระดับนภาชั้นที่สี่ แม้แต่โอสถหมุนวนเก้าโคจรหรือ โอสถอายุวัฒนะเคลือบทองคํา ตอนนี้เขาก็สามารถดูดซึมมันได้โดยใช้เวลาเพียงครู่เดียว

 

แต่ผลไม้สีแดงนี่กลับใช้เวลาถึงหนึ่งสัปดาห์ คงจะพอนึกภาพปริมาณพลังที่สะสมไว้ภายในของมันได้ 

 

“น่าเสียดาย ในสามปีมานี้ข้าลงชื่อได้รับผลไม้สีแดงนี้มา แค่ไม่กี่ร้อยผล…”

 

ซูฉินส่ายหัวเล็กน้อย เขาค่อนข้างเสียใจอยู่ เดิมทีหลังจากลงชื่อได้รับโลหิตรู้แจ้งและหยดน้ำจิตวิญญาณธรรมชาตินับพันหยด เขาก็วางแผนว่าหลังจากนั้นจะลงชื่อเข้าใช้ที่อื่นต่อ แต่หลังจากที่ครั้งหนึ่งลงชื่อได้รับผลไม้สีแดงมา ซูฉินก็กลับมาให้ความสนใจแท่นบูชาเทพธรณีฯ ใหม่อีกครั้ง

 

นอกจากนี้ยังมีวิชาปราณฉีฟ้ากําหนดที่ทําให้ซูฉินมีความสุขมาก

 

วิชาปราณฉีฟ้ากําหนดสามารถสังเกตเห็นถึงพลังได้ คล้ายคลึงกับดวงตาแห่งสัจจะของซูฉิน ความแตกต่างก็คือวิชาปราณฉีฟ้ากําหนดเป็นวิชาในการตรวจจับพลังฉี ไม่ใช่ที่อพยอํานาจ

 

ซูฉินพบอีกว่า หากเขารวมวิชาปราณฉีฟ้ากําหนดเข้ากับดวงตาแห่งสัจจะ เขาสามารถรับรู้จุดเล็กๆ บางส่วนของอาณาจักรได้อย่างรวดเร็ว

 

ส่วนสิบแปดฝ่ามือพิชิตมังกรนั้นเป็นเคล็ดวิชาโจมตีด้วยการใช้กําลังภายใน ด้วยความแข็งแกร่งปัจจุบันของซูฉินเมื่อใช้ออก เกรงว่าจะสามารถปลดปล่อยมังกรทองออกมา หนึ่งร้อยแปดตัวพร้อมกัน และสามารถทําลายล้างทุกสิ่งที่ขวางหน้า

 

สิบแปดฝ่ามือพิชิตมังกรเป็นหนึ่งในเคล็ดวิชาจํานวนนับไม่ถ้วนที่ซูฉินเชี่ยวชาญ มันสามารถจัดอยู่ในห้าร้อยอันดับแรกได้เลย

 

นอกจากสามอย่างที่กล่าวเอาไว้ข้างต้น ซูฉินยังได้รับสม บัติอื่นๆ มาเป็นจํานวนมาก ทั้งเคล็ดวิชา โอสถ ผลไม้จิตวิ ญญาณ ซึ่งพอจะมีประโยชน์ต่อซูฉินอยู่บ้าง

 

ซูฉินเดินกลับไปอย่างช้าๆ และเมื่อเขากลับมาถึงตําหนักชุนฝั่งขวา ก็พบว่าองค์จักรพรรดิถังยืนรออยู่ด้านนอกเป็นเวลานานแล้ว

 

“พี่สาม”

 

จักรพรรดิถังหลี่เชิงโบกมือให้ เมื่อเห็นซูฉินเข้ามา

 

ในช่วงสามปีมานี้ จักรพรรดิหลี่เชิงมีภาระรับผิดชอบเยอะขึ้นมาก เครียดมาก เก็บกดความโกรธเกรี้ยวไว้มาก และยังมีอายุเพิ่มมากขึ้นอีกด้วย ตอนนี้เส้นผมสีขาวเริ่มขึ้นแซมช่วงบริเวณขมับเสียแล้ว

 

“เจ้ามาแล้วรึ?”

 

รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของซูฉิน

 

“ช่วงนี้เจ้าอารมณ์ไม่ค่อยดีหรือ?” ซูฉินเหลือบมองจักรพรรดิถังหลีเชิง และถามอย่างเป็นกันเอง

 

แม้ว่าจักรพรรดิหลี่เชิงจะไม่แสดงออกท่าที่ทั้งสุขหรือโกรธเกรี้ยวมานานแล้ว แต่เขาจะปิดบังอารมณ์ของตนต่อหน้าซูฉินได้อย่างไร

 

“มีเรื่องราวบางประการในสภาขุนนาง”

 

จักรพรรดิถังหลี่เชิงส่ายหัว ใช้มือซ้ายยกขวดที่ข้างสะโพกขึ้นมาแล้วยิ้ม “พี่สาม วันนี้มาดื่มกันเถอะ”

 

“ได้สิ”

 

ซูฉินไม่ได้ปฏิเสธ

 

ยามใดที่จักรพรรดิถังหลี่เชิงชวนซุฉินดื่ม ทุกครั้งจะเป็นการเผชิญหน้ากับการตัดสินใจครั้งสําคัญเสมอ

 

หลังจากดื่มไปไม่กี่แก้ว จักรพรรดิหลี่เชิงมองดูซูฉินอย่างอิจฉา “บางครั้งข้าก็อิจฉาพี่สามจริงๆ ท่านเหมือนไม่ได้ข้องเกี่ยวกับโลกหล้านี้เลย ทั้งอิสระและแสนสบาย พอมาเปรียบเทียบกับข้า แม้ว่าจะเป็นถึงจักรพรรดิแห่งอาณาจักร ข้าก็ไม่เคยได้รู้สึกเช่นนั้นเลย”

 

จักรพรรดิถังหลี่เชิงกล่าวด้วยอารมณ์ความรู้สึก

 

ซูฉินเงียบไปเมื่อได้ยินคําพูดนั้น

 

แม้ว่าเขาจะดูสบายใจ แต่จะมีสักกี่คนบนโลกเชียวที่ทําสิ่งซ้ำซากจําเจได้อยู่หลายสิบปี?

 

“หยุดพูดเรื่องนั้นแล้วกัน”

 

จักรพรรดิถังวางแก้วในมือลงแล้วถามขึ้นว่า “พี่สาม รู้ไหมว่าเกิดอะไรขึ้นกับอาณาจักรหนานจ้าวเมื่อสามปีก่อน?”

 

“หนานจ้าว?”

 

ซูฉินมองไปทางจักรพรรดิหลี่เชิง

 

“ใช่แล้ว”

 

“พี่สาม ในเมื่อท่านไม่ได้ออกไปไหน ท่านก็คงจะไม่รู้”

 

จักรพรรดิถังหลี่เชิงคิดอะไรบางอย่างแล้วพูดต่อ “ลัทธิบูชาจันทร์จากอาณาจักรหนานจ้าวถูกทําลายลงในชั่วข้ามคืน ทิ้งรอยฝ่ามือไว้เหนือยอดเขา ฮืมม…”

 

เมื่อจักรพรรดิถังพูดเช่นนี้ เขาก็หยุดพูดไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดต่อ “ข้ามักคิดอยู่เสมอว่าคงไม่มีตํานานยุทธอยู่ในยุคนี้ แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่ารอยฝ่ามือที่ถูกประทับทิ้งไว้คงจะเป็นฝีมือของตํานานยุทธ…”

 

เมื่อตอนที่จักรพรรดิหลี่เชิงรู้เรื่องนี้เมื่อสองปีก่อน เขายังตกใจอย่างมากอยู่เลยและคิดว่ามันไม่น่าเป็นไปได้

 

แต่เมื่อเวลาผ่านเลยไป ข้อมูลมากมายก็ผ่านหูเขาเข้ามามากขึ้นเรื่อยๆ สุดท้ายเขาก็ค่อยๆ ยอมรับความจริงเรื่องนี้

 

ซูฉินได้ยินทุกคําพูดและเหลือบไปมองจักรพรรดิหลี่เชิงแต่ไม่ได้พูดอะไรออกมา

 

เขาจะไม่รู้ได้อย่างไร ก็รอยฝ่ามือนั่นเป็นสิ่งที่เขาทิ้งเอาไว้

 

“ไม่รู้ว่าตลอดชีวิตของข้าจะมีโอกาสได้มองเห็นความสง่างามของตํานานยุทธจากที่ไกลๆ หรือไม่…”

 

จักรพรรดิหลี่เชิงดูโหยหาอย่างมาก

 

กว่าห้าร้อยปีของราชวงศ์ถัง มีเพียงปฐมจักรพรรดิเท่านั้นที่เป็นตํานานยุทธ หลังจากยุคของปฐมจักรพรรดิ ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดก็ไม่เกินไปกว่ายอดปรมาจารย์สําหรับในยุคนี้

 

อย่าว่าแต่อาณาจักรถังไม่มีตํานานยุทธเลย

 

ตั้งแต่ที่จ้าวกงกงสิ้นลมไป ก็ไม่มียอดปรมาจารย์ขั้นสูงสุดภายในวังหลวงอีกเลย

 

แม้จักรพรรดิถังพยายามจะหาหนทาง แต่มันก็ช่วยอะไรไม่ได้เลย

 

การฝึกฝนวิทยายุทธอาจจะสามารถใช้ทรัพยากรมากมาย เพื่อเพิ่มความรวดเร็วได้ในช่วงแรก แต่ในระยะหลัง โดยเฉพาะการแปรสภาพพลังของยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่ง ทรัพยากรภายนอกอาจจะมีประโยชน์จริง แต่การพึ่งพาตนเองต่างหากที่เป็นส่วนสําคัญที่สุด

 

 

Sign in Buddha’s palm 135 สมบูรณ์

 

ขณะที่อาณาจักรหนานจ้าวกําลังอยู่ในอารมณ์คุกรุ่น ซูฉินก็เดินทางกลับไปพระราชวังถังเรียบร้อยแล้ว

 

เป็นธรรมดาที่ซูฉินจะไม่รู้ว่าตัวเขาได้ทําลายอิทธิพลของลัทธิบูชาจันทร์ในอาณาจักรหนานจ้าวไป

 

แต่ถึงแม้ซูฉินจะรู้ เขาก็ไม่ได้คิดมากอะไร อาณาจักรหนานจ้าวตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ เป็นเพียงอาณาจักรเล็กๆ ไม่มีแม้แต่ยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่ง แม้จะไม่มีโซ่ตรวนอย่างลัทธิบูชาจันทร์แล้วก็คงไม่สามารถกระทําการอันใดได้

 

หลังจากที่ซูฉินกลับมาที่วังหลวง เขาก็กลับมาใช้ชีวิตตามปกติอีกครั้ง

 

ตั้งแต่ที่ซูฉินออกจากวังไปเกือบทั้งวัน ไม่มีใครรู้เลยว่า ในช่วงเวลาสั้นๆนี้ ซูฉินได้เดินทางหลายพันหลายหมื่นลี้ เพื่อไปทําลายลัทธิบูชาจันทร์ในอาณาจักรหนานจ้าวแล้วเพิ่งจะกลับมา

 

ยามฟ้ามืด

 

ซูฉินกําลังนั่งขัดสมาธิอยู่

 

ทุกเรื่องทุกแง่มุมที่เกี่ยวกับ “เทพวิชาหลอมจิตวิญญาณจันทรา” เป็นเคล็ดวิชาลับที่สามารถทําให้จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของซูฉินเสถียรมากขึ้น

 

“เอาล่ะ”

 

“มาเริ่มกันเลย”

 

ซูฉินหลับตาลง จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ก่อตัวขึ้นภายในร่างกระจายออก และจัดระเบียบใหม่ไปเรื่อยๆ ตามวิถีทางของ ‘เทพวิชาหลอมจิตวิญญาณจันทรา’

 

ถ้าเป็นผู้อื่น แม้แต่อรหันต์หรือตํานานยุทธก็ต้องใช้เวลาอย่างมากในการทําความเข้าใจ “เทพวิชาหลอมจิตวิญญาณจันทรา” และการเข้าใจเพียงผิวเผินก็เป็นไปไม่ได้เลยที่จะเริ่มนํามาใช้จริง

 

สุดท้ายแล้ว “เทพวิชาหลอมจิตวิญญาณจันทรา” ก็เป็นวิธีที่เกี่ยวข้องกับการหล่อหลอมพลังศักดิ์สิทธิ์ หากไม่แน่ใจว่าเข้าใจได้ถ่องแท้แล้ว ใครจะกล้านํามาใช้กับจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของตนเอง?

 

แต่ซูฉินนั้นต่างออกไป

 

หลังจากที่ได้รับข้อมูลจากระบบฝังเข้ามาในหัว ความเชี่ยวชาญของเขาในเคล็ดวิชาอันนี้อาจจะใกล้เคียงกับผู้ที่คิดค้นวิชานี้ขึ้นมาเลยก็ได้ แม้ว่าจะเป็นเพียงครั้งแรกที่ฝึกฝน แต่เขาก็คุ้นเคยกับมันมาก

 

หวึ่ง!

 

จะเห็นได้ว่าภายใต้การควบคุมของซูฉิน จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์มวลก้อนใหญ่ของเขา ค่อยๆ แตกตัวออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย จากนั้นพลังศักดิ์สิทธิ์เหล่านั้นก็กลับมารวมตัวกันใหม่เพื่อสร้างจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ที่มั่งคงยิ่งขึ้น

 

ปกติแล้วจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของอรหันต์หรือตํานานยุทธ โดยทั่วไปจะอยู่ในสภาวะที่ไม่เป็นระเบียบ แต่เทพวิชาหลอมจิตวิญญาณจันทราจะช่วยแยกและจัดเรียงจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์เสียใหม่ และกลายเป็นจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ที่ดีกว่าเดิม

 

เปรียบสิ่งนี้ได้กับถ่านและเพชร เห็นได้ชัดว่าทั้งคู่มีองค์ประกอบภายในเหมือนกัน แต่เพราะโครงสร้างที่ต่างกันจึงเกิดเป็นสองสิ่งที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง

 

จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ก็เช่นกัน

 

เพียงแค่ว่าเมื่อเทียบกับวัตถุรูปธรรม จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์นั้นละเอียดอ่อนยิ่งกว่าความประมาทเพียงเล็กน้อยอาจ ทําลายรากฐานของจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์และก่อให้เกิดอันต รายแฝงอันใหญ่หลวงขึ้นมาได้

 

แม้แต่ตัวซูฉินเองก็ไม่กล้าแยกองค์ประกอบจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์และจัดเรียงใหม่โดยปราศจากวิธีการ จาก “เทพวิชาหลอมจิตวิญญาณจันทรา”

 

ด้วยการจัดองค์ประกอบใหม่อย่างต่อเนื่อง ซูฉินรู้สึกว่าจิตใจของเขาชัดเจนขึ้น การใช้ความคิดต่างๆ ก็คล่องขึ้น

 

“ใกล้สําเร็จแล้ว”

 

“ตามที่ ‘เทพวิชาหลอมจิตวิญญาณจันทรา’ ได้อธิบายเอาไว้ ข้าควรจะสําเร็จวิชาเรียบร้อยแล้ว”

 

ซูฉินค่อยๆ ลืมตาขึ้น พยายามรับรู้สภาพตนเองอย่างระมัดระวัง ท่าทีของเขาดูประหลาดใจ

 

“แม้ว่าจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของข้าตอนนี้จะมีปริมาณน้อยลงมาก แต่ก็มีคุณภาพสูงกว่าเมื่อก่อนมากเช่นกัน”

 

ซูฉินดูมีความสุข

 

“ยิ่งไปกว่านั้น ความมั่นคงที่จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ตอนนี้มีช่วยเพิ่มความเร็วในการฝึกฝนอย่างมากด้วย”

 

ซูฉินพยักหน้าเล็กน้อย ความคิดโลดแล่นไปมาภายในใจ

 

เมื่อยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งต้องการจะก้าวหน้าต่อไป จําต้องสร้างความเปลี่ยนแปลงสามด้าน คือ ร่างกาย กําลังภายใน และพลังศักดิ์สิทธิ์

   

เหล่าอรหันต์และตํานานยุทธก็ยังต้องให้ความใส่ใจใน การฝึกร่างกายแก่นแท้แห่งพลัง และจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์เหมือนกัน

 

ไม่ว่าจะเป็นอรหันต์ในระดับนภาชั้นที่หนึ่งหรืออรหันต์ในระดับนภาชั้นที่เก้าขั้นสูงสุด ก็ต้องให้ความสําคัญกับร่างกาย แก่นแท้แห่งพลัง และจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์เป็นสามพื้นฐานสําคัญที่ต้องจดจําไว้ให้มัน

 

ร่างกายที่แข็งแกร่งสามารถหล่อเลี้ยงจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ได้มากขึ้น และในแง่เดียวกันจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ก็สามารถเสริมพลังให้กับกายเนื้อรวมถึงช่วยเร่งความเร็วในการฝึกฝนได้เช่นกัน

 

ซูฉินเองก็อยู่ในเงื่อนไขเดียวกับที่กล่าวมา

 

“ต่อจากนี้ ข้าจะมุ่งมั่นตั้งใจฝึกฝนเพื่อบรรลุถึงขอบเขตยอดอรหันต์ให้เร็วที่สุด”

 

ซูฉินสงบใจ แล้วค่อยๆ คิดเรื่องราวอยู่อย่างเงียบๆ

 

ขอบเขตหลังจากระดับอรหันต์นั้นคือขอบเขตยอดอรหันต์ ซึ่งเทียบเท่าได้กับเซียนเทพปฐพี

 

แน่นอนว่า ไม่ว่าจะเป็นขอบเขตยอดอรหันต์หรือขอบเขตเซียนเทพปฐพีก็ล้วนแต่เป็นระดับเดียวกันเพียงแต่มีชื่อที่แตกต่าง

 

ความสามารถที่ใช้ได้ของทั้งสองฝ่ายนั้นเหมือนกัน คล้ายคลึงกับกรณีของอรหันต์กับตํานานยุทธ

 

ต่อจากนี้ไป ซูฉินจะทุ่มเทให้กับการฝึกฝนบ่มเพาะอีกครั้ง

 

ยกเว้นเพียงแต่การลงชื่อเข้าใช้ เขาก็แทบจะไม่สนใจสิ่งอื่นใด

จักรพรรดิถังหลี่เชิงได้พาลูกๆ ของตนมาพบปะพูดคุยกับ ซูฉินเป็นครั้งคราว ทําให้หลี่หยวนและหลีหว่านได้ใกล้ชิดกับซูฉินมากขึ้น

 

เมื่อเทียบกับคนในราชวงศ์คนอื่นๆ จักรพรรดิหลี่เชิงเต็มใจให้โอรสและธิดาของตนใกล้ชิดสนิทสนมกับซูฉินมากกว่า

 

องค์จักรพรรดิถังหลี่เชิงครองราชย์มาแล้วก็หลายปี เขาคุ้นเคยกับสิ่งที่เปลี่ยนแปลง ความคิดคดในจิตใจผู้คน แต่เขายังไม่เห็นสิ่งแอบแฝงใดในใจของซูฉินเลย

 

เฉพาะเมื่ออยู่ต่อหน้าซูฉิน จักรพรรดิหลี่เชิงรู้สึกว่าตนเอง ไม่ใช่จักรพรรดิอีกต่อไป แต่กลับเป็นเพียงบัณฑิตจนๆ ไม่มีค่ามีราคาใด

 

ตั้งแต่ครั้งสุดท้ายที่ซูฉินกล่าวเตือนว่า อาณาจักรถังมีรากฐานเพียงพอที่จะตัดทอนอํานาจศักดินาแล้วหรือยัง แต่นั้นมาจักรพรรดิถังก็ไม่เคยกล่าวเรื่องตัดทอนอํานาจศักดินาต่อเหล่าขุนนางอีกเลย

ซูฉินรู้แก่ใจดีว่าจักรพรรดิหลีเชิงกําลังอดทน

 

การอดทนนี้ไม่ใช่เพราะความขี้ขลาด มิใช่เพราะยอมจํานน แต่เพื่ออนาคตของอาณาจักรถัง

 

หลี่เซิงก็เป็นคนคนหนึ่ง เขาย่อมรู้ดีว่าการตัดทอนอํานาจศักดินาที่มีประสิทธิภาพที่สุดต้องค่อยเป็นค่อยไป

 

ตราบใดที่จักรพรรดิถังหลี่เชิงยังคงสร้างนโยบาย กฎเกณฑ์ใหม่ๆ เหล่าองค์ชายก็จะได้รับการจัดสรรปันส่วนเขตแดนอย่างเท่าเทียมกันในรุ่นลูกรุ่นหลาน

 

ส่งผลให้ผืนดินในครอบครองของเหล่าขุนนางถูกนั่นแบ่งเล็กลงเรื่อยๆ แม้ว่าสถานการณ์โดยรวมจะเหมือนเดิม แต่เมื่อมันตกไปอยู่ในมือของผู้คนจํานวนที่มากขึ้น อํานาจของพวกเขาก็จะกระจายกันออกไปทําให้ความแข็งแกร่งของ เหล่าขุนนางอ่อนแอลงอย่างไม่รู้ตัว

 

อย่างไรก็ตามการแต่งตั้งนโยบายเหล่านี้ก็ตั้งอยู่บนกรณีที่เหล่าราชาหัวเมืองพวกนั้นเชื่อฟังส่วนกลาง

 

หรือกล่าวอีกอย่างคือ ต้องปล่อยให้ราชาเหล่านั้นทําตามนโยบายอย่างเชื่อฟัง

 

แต่ปัญหาที่อาณาจักรถังเผชิญอยู่ตอนนี้คือ องค์ชายทุกคนเพิกเฉยต่ออํานาจขององค์จักรพรรดิ ไม่ต้องพูดถึงนโยบาย เพียงคําสั่งที่ออกโดยจักรพรรดิหลี่เชิง เมื่อไปถึงดินแดนของเหล่าองค์ชายมันก็เหมือนกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย

 

นอกจากนี้เหล่าองค์ชายไม่ใช่คนโง่ องค์ชายทุกคนมีที่ปรึกษามากมาย พวกเขาย่อมคาดเดาเบื้องลึกเบื้องหลังของนโยบายที่ส่งมาถึงองค์ชายได้อย่างแน่นอน

 

เวลาผ่านเลยไปอย่างเชื่องช้า

 

พริบตาเดียวก็ผ่านไปสามปี

 

ในช่วงสามปีที่ผ่านมา แม้ว่าอาณาจักรถังจะโดนขุนนางท้องถิ่นจํากัดอํานาจ แต่โดยรวมก็แสดงให้เห็นถึงแนวโน้มที่จะเจริญรุ่งเรือง

 

จักรพรรดิหลี่เชิงลงมืออย่างกล้าหาญ พัฒนาด้านการค้าเพิ่มภาษี และมีทรัพย์สินเพียงพอในคงคลัง

 

นอกจากนี้ หลังจากความพยายามอย่างหนักขององค์หญิงหลีหว่าน องค์จักรพรรดิถังก็ตกลงที่จะให้นางฝึกฝนวิทยายุทธ

 

อันที่จริงจักรพรรดิหลี่เชิงไม่ต้องการเห็นหลีหว่านก้าวเข้าสู่วิถีแห่งผู้ฝึกยุทธ ในมุมมองของจักรพรรดิหลี่เชิง จอมยุทธคนใดที่ไม่ได้ฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอยาวนานนับสิบปีก็ย่อมไม่ต่างอะไรกับคนธรรมดา

 

ในฐานะคนในราชวงศ์หลีหว่านไม่จําเป็นต้องทนทุกข์ทรมานกับเรื่องพวกนี้ในวันนั้น

 

ภายในตําหนักชุนฝั่งขวา

 

ซูฉินนั่งขัดสมาธิ กลิ่นอายทรงพลังไว้ประมาณ ไอพลังพวยพุ่งสูงขึ้นอย่างไม่มีความสั่นคลอนใด

 

ทันใดนั้นเอง

 

กลิ่นอายของซูฉินก็หายไปอย่างฉับพลัน ความเร็วของพ ลังที่เพิ่มขึ้นก็ค่อยๆ ช้าลงก่อนที่สักพักหนึ่งจะสงบลง

 

และในตอนนั้นเอง

 

ซูฉินก็ค่อยๆ เปิดเปลือกตาขึ้นรอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขา

 

“ในที่สุดก็สําเร็จ”

 

ความคิดมากมายเต็มไปหมดในหัวของซูฉิน ใบหน้าของเขาเปี่ยมด้วยความสุข

 

 

Sign in Buddha’s palm 134 ลงชื่อเข้าใช้! เทพวิชาหลอมจิตวิญญาณจันทรา!

 

“นี่คือ?!”

 

ร่างมายาสั่นสะท้านไปทั้งตัว นางมองดูองค์ยูไลทองคําที่อยู่ในส่วนลึกของกึ่งกลางระหว่างคิ้ว ตัวตนนี้ช่างสูงใหญ่คับฟ้า

 

รัศมีแสงแห่งพุทธานุภาพขจรขจายไปทั่ว

 

แกร็ก

 

แกร็ก

 

ร่างมายาในชุดกระโปรงยาวรู้สึกว่าตอนนี้จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของนางกําลังจะพังทลายลงสําหรับนางแล้ว เพียงแค่เหลือบมองไปยังองค์ยูไลทองคําก็ไม่สามารถทานทนได้

 

“เป็นไปไม่ได้?!”

 

ร่างมายารู้สึกเหมือนหัวใจจมดิ่งไปที่ก้นเหว

 

นางเคยไปยังต่างดินแดนและเห็นตัวตนในขอบเขตนภา ชั้นที่ห้าจากที่ไกลๆ มาก่อน จอมยุทธที่อยู่ในระดับนภาชั้นที่ห้านั้นช่างสูงส่งกว่านางราวฟ้ากับดิน

 

แต่เมื่อร่างมายาในชุดชาววังเปรียบเทียบตํานานยุทธระดับนภาชั้นที่ห้ากับองค์ยูไลทองคําที่อยู่เบื้องหน้า ก็พบว่าทั้งสองตัวตนไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกันเลยแม้แต่น้อย

สําหรับตัวตนอย่างองค์ยูไลสีทองที่ยิ่งใหญ่คับฟ้าเช่นนี้ นับประสาอะไรกับตํานานยุทธระดับนภาชั้นที่ห้า แม้แต่เซียนเทพปฐพีก็คงเปรียบได้กับมด

 

“ไม่คาดคิดเลยว่าวันนี้ข้าต้องมาตกอยู่ในเงื้อมมือของตัวตนที่ทรงพลังเช่นนี้ ”

 

ทันทีที่ร่างมายาเกิดความคิดเช่นนั้นขึ้น ด้วยรัศมีแสงที่เปล่งออกมาขององค์ยูไลทองคํา ร่างมายาจากจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ก็ค่อยๆ สลายหายไปภายนอก

 

ซูฉินแตะที่กึ่งกลางระหว่างคิ้วตน สีหน้าของเขาดูประหลาดใจ

 

เขาไม่ได้คาดคิดว่าร่างมายาในชุดชาววังผู้นั้นจะกล้าหาญ ถึงขนาดทะลวงไปยังกึ่งกลางหว่างคิ้วแบบนั้น ร่างมายาจากจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ได้เผชิญหน้ากับองค์ยูไลทองคําซึ่งเป็นตัวแทนของวิชาที่แข็งแกร่งที่สุดอย่างฝ่ามือยูไล

 

ต้องรู้ว่าแม้แต่ซูฉินเองก็ยังรู้สึกกดดันเมื่อต้องอยู่ต่อหน้าองค์ยูไลทองคํา แต่เนื่องจากองค์ยูไลทองคําได้ยอมรับให้ซูฉินเป็นผู้ถือครอง ฉะนั้นจึงไม่เป็นอันตรายใดกับซูฉิน

 

ส่วนร่างมายาในชุดกระโปรงยาวนั้น

 

หากร่างมายาหมุนตัวแล้ววิ่งหนีไป ซูฉินอาจจะใช้เวลา ครูใหญ่ในการจัดการกับมัน แต่อีกฝ่ายกลับเจาะเข้ามาระหว่างคิ้วของเขา

 

เรียกได้ว่าทําตัวราวกับไม่อยากจะมีชีวิตอยู่ต่อแล้วจริงๆ…

 

“ครั้งนี้ที่ข้าได้ออกมาข้างนอก ก็พอจะได้ข้อมูลเกี่ยวกับดินแดนอื่นๆ มาบ้าง…”

 

จิตของซูฉินผสานเข้าไปช่องว่างระหว่างคิ้วของตน และมองไปที่องค์ยูไลทองคําที่ดูราวกับเป็นอมตะและคงอยู่ไปได้ชั่วนิรันดร์ แล้วจึงครุ่นคิดอยู่ในใจตนเองอย่างเงียบๆ

 

หลังจากที่ได้ยืนยันแล้วว่าไม่มีผู้ที่แข็งแกร่งถึงระดับเซียนเทพปฐพี ซูฉินก็รู้สึกผ่อนคลายมากขึ้น

 

สําหรับตํานานยุทธในต่างแดน การเข้าสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพีนั้นช่างเป็นทางเดินที่ไกลแสนไกล แต่ในสายตาของซูฉินก็แค่ทําไปทีละขั้นตอน ใช้เวลาอย่างมากแค่สองสามร้อยปีก็คงเกือบจะถึงขั้นนั้นแล้ว

 

หลายร้อยปีนั้นถือว่าพอรับได้ เมื่อเทียบกับอายุขัยพันปีของซูฉินมันก็ไม่ได้เป็นราคาที่แพงจนเกินไป

 

“โอ้ จริงสิ”

 

“ข้ายังไม่ได้ลองลงชื่อเข้าใช้ที่นี่เลย”

 

ซูฉินพลันนึกขึ้นมาได้

 

เขาออกจากเมืองฉางอันในครั้งนี้โดยทิ้งโอกาสการลงชื่อเข้าใช้ในวังไปเพราะคิดว่าอาจจะหาสถานที่ลงชื่อตามทางที่ผ่านได้

 

น่าเสียดายที่ซูฉันไม่เจอสถานที่ที่สามารถลงชื่อเข้าใช้ได้ เลยระหว่างทางจนมาถึงทิวเขานับแสนลูก เขาก็ยังไม่เจอสถานที่ที่ลงชื่อเข้าใช้ได้เช่นเคย

 

มีแค่สถานที่ตรงจุดนี้เท่านั้นที่ซูฉันยังไม่ได้ลองลงชื่อเข้าใช้

 

หากยังไม่สามารถลงชื่อเข้าใช้ตรงจุดนี้ได้อีก ซูฉินจะรีบกลับวังเพื่อไปลงชื่อเข้าใช้ทันที

“ระบบ ลงชื่อเข้าใช้”

 

ซูฉินหยุดพักครู่หนึ่งจากส่งเสียงพูดในใจ

 

[ขอแสดงความยินดี โฮสต์ลงชื่อเข้าใช้สําเร็จ ได้รับ “เทพวิชาหลอมจิตวิญญาณจันทรา” ]

 

“หลอมจิตวิญญาณจันทรา?”

 

ความคิดของซูฉินแล่นไปมา

 

ในเวลาต่อมา ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับ “เทพวิชาหลอมจิตวิญญาณจันทรา” ก็หลั่งไหลเข้ามาในจิตของซูฉิน 

 

“มันกลับกลายเป็นวิธีการลับในการทําให้จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์เสถียรมากขึ้น”

 

ซูฉินเปิดเปลือกตาขึ้น ใบหน้าปรากฏแววครุ่นคิด

 

ก่อนหน้านี้ที่เขาเห็นร่างมายาในชุดชาววัง เขาก็สงสัยอยู่ ว่าทําไมจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของอีกฝ่ายสงบนิ่งอย่างมาก ดู เหมือนมันอาจจะมาจากเคล็ดวิชาลับอันนี้

 

“เป็นของที่ดี”

 

ซูฉินพยักหน้าเล็กน้อย ใบหน้าของเขาแสดงให้เห็นถึงความยินดี

 

ถึงแม้ยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสูงสุดจะสามารถกลั่นจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ออกมาได้ แต่เมื่อขึ้นไปถึงขอบเขตอรหันต์จึงจะสามารถรวมพวกมันให้กลายเป็นธาตุส สารได้ และจะง่ายต่อการนําไปใช้ในการต่อสู้ สร้างภาพมายาหรือความสามารถอื่นๆ

 

แต่ในหมู่ตัวตนระดับอรหันต์หรือตํานานยุทธก็มีทั้งที่จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์สูงและที่มีจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ต่ำ

 

ยิ่งจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์แข็งแกร่งและมั่นคงมากขึ้นเท่าไหร่ก็ยิ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการฝึกฝนบ่มเพาะมากขึ้นเท่านั้น ถึงขนาดที่ตํานานยุทธบางคนยอมแพ้ในการฝึกฝนร่า งกายไปฝึกฝนแต่จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์เพียงอย่างเดียว 

 

อย่างไรก็ตาม “เทพวิชาหลอมจิตวิญญาณจันทรา ทําให้จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของซูฉินเสถียรขึ้น หลังจากนี้หากซูฉินได้พบเจอกับตํานานยุทธที่มีจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ที่ทรงพลัง แม้ว่าเขาอาจจะไม่สามารถเอาชนะศัตรูได้ในการต่อสู้ทางจิตวิญญาณ แต่อย่างน้อยก็จะไม่ถูกอีกฝ่ายข่มเหงแน่นอน”

 

นับว่าเป็นอานิสงส์จากการมีจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ที่เสถียร

 

“ถึงเวลากลับแล้ว”

 

“เมื่อกลับไปที่วังหลวงครานี้ ข้าคงต้องลองฝึก “เทพวิชาหลอมจิตวิญญาณจันทรา” ดูสักครั้ง”

 

ซูฉินก้าวไปข้างหน้าแล้วหายวับไป รีบเดินทางกลับฉางอัน

 

ไม่นานหลังจากที่ซูฉินจากไป

 

ครึ่งวันต่อมาก็มีคนค้นพบว่าวิหารศักดิ์สิทธิ์ของลัทธิบูชาจันทร์ได้หายไปแล้ว

 

ข่าวแพร่สะพัดออกไป

 

ทั่วทั้งอาณาจักรหนานจ้าวสั่นสะเทือน

 

เป็นเวลานับแสนปีแล้วที่ลัทธิบูชาจันทร์ตั้งอยู่ในอาณาจักรหนานจ้าว และสถานะของมันก็สูงยิ่งกว่าราชวงศ์ แล้วตัวตนยักษ์ใหญ่เช่นนี้จะหายไปได้เช่นไร?

 

ตอนแรกไม่มีใครเชื่อเพราะคิดว่าเป็นเพียงคําคนพูดกันพล่อยๆ

 

แต่เมื่อเวลาผ่านไป มีผู้คนจํานวนมากขึ้นเรื่อยๆ ที่กลับมาจากทิวเขาแสนลูกได้เล่าเรื่องนี้กันต่อมาซ้ําแล้วซ้ำเล่า ผู้คนต่างตกตะลึง

 

โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตําแหน่งที่ตั้งเดิมของวิหารลัทธิบูชาจันทร์ ปรากฏเป็นรอยฝ่ามือขนาดใหญ่ ราวกับวิหารศักดิ์สิทธิ์ของลัทธิบูชาจันทร์ถูกลบทิ้ง” โดยเจ้าของรอยฝ่ามืออันนี้

 

ทันใดนั้น

 

ทั้งอาณาจักรหนานจ้าวก็ตกอยู่ในความตื่นตระหนก

 

นั่นเป็นถึงลัทธิบูชาจันทร์เชียวนะ

 

คิดว่าอยากจะลบทิ้งก็ลบทิ้งได้ง่ายๆ เลยหรืออย่างไร? 

 

หากบอกว่าสุดยอดพรรคในยุทธภพร่วมมือกันส่งกองกําลังเข้าต่อสู้อย่างดุ

 

เดือดกับลัทธิบูชาจันทร์เป็นเวลาหลายวันหลายคืน จนสุดท้ายก็กําจัดลัทธิบูชาจันทร์ไปได้ สิ่งนี้ยังพอรับได้ขึ้นมาหน่อย

 

แต่ความจริงกลับกลายเป็นเช่นนี้?

 

ลัทธิบูชาจันทร์กลับหายไปอย่างเงียบๆ ราวกับว่าไม่เคยปรากฏขึ้นมาก่อน

 

“ใครเป็นคนประทับรอยฝ่ามืออันนั้นกัน?”

 

“ใครเป็นคนประทับรอยฝ่ามือเอาไว้ ข้าคิดว่าอาจจะเป็นเซียนเทพก็เป็นได้”

 

ผู้คนจํานวนมากในอาณาจักรหนานจ้าวซุบซิบพูดคุยกันไปทั่วหัวระแหง น้ำเสียงของพวกเขามีความกริ่งเกรงอยู่หลายส่วน

 

สําหรับพวกเขา การที่สามารถทําลายทั้งลัทธิบูชาจันทร์ได้ในฝ่ามือเดียว แม้ว่าจะไม่ใช่เซียนเทพ แต่ก็ไม่ได้ต่างไปจากเซียนเทพเลย

 

เมืองหลวง อาณาจักรหนานจ้าว

 

ผู้ปกครองอาณาจักรหนานจ้าวดูกังวลอย่างยิ่ง เดี๋ยวก็เดินไปเดี๋ยวก็เดินมา

 

“ทําเช่นไรดี ทําเช่นไรดี”

 

“ผู้น้าหายตัวไป เหล่าผู้อาวุโสก็หายตัวไป ทุกสิ่งที่เกี่ยวข้องกับลัทธิบูชาจันทร์ก็หายไปหมดสิ้น…”

 

ผู้ปกครองอาณาจักรหนานจ้าวบ่นพึมพํากับตนเอง แสดงออกถึงความกลัว

 

ทันใดนั้นหนึ่งในขุนนางก็ลุกขึ้น “ท่านผู้ปกครอง บางที่การหายไปของลัทธิบูชาจันทร์อาจจะไม่ใช่เรื่องเลวร้ายสําหรับท่านและอาณาจักรหนานจ้าว…”

 

คําที่กล่าวออกมา

 

ท่าทีของเหล่าขุนนางก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย

 

หากลัทธิบูชาจันทร์ยังคงอยู่ คงไม่มีขุนนางข้าราชบริพารคนใดหาญกล้ามีความคิดเช่นนี้ แต่ตอนนี้ลัทธิบูชาจันทร์ได้หายไปแล้ว ตั้งแต่ผู้นไปจนถึงศิษย์สาวกของลัทธิบูชาจันทร์ไม่มีใครรอดชีวิต ย่อมมีความคิดแบบนี้เกิดขึ้นเป็นธรรมดา

 

เป็นเวลานับแสนปีแล้วที่สถานะของลัทธิบูชาจันทร์นั้นสูงส่งเกินไป ตัวตนสูงส่งเช่นนี้สามารถยื่นมือเข้ามายุ่มย่ามกับการปกครองได้อย่างง่ายดาย

 

และตอนนี้ลัทธิบูชาจันทร์ได้หายไป โซ่ตรวนที่เหนี่ยวรั้งอาณาจักรหนานจ้าวเอาไว้ก็หายไปพร้อมกับมัน

 

 

Sign in Buddha’s palm 133 เทพจันทรา!

 

“ถ้าเจ้ายังไม่ยอมออกมาตอนนี้ จะต้องรอให้ข้าลงมือเองเลยหรือไม่?”

 

เสียงของซูฉินดังขึ้นแต่ไม่มีใครอยู่รอบข้าง ราวกับเขากําลังพูดคุยกับอากาศธาตุ

 

อย่างไรก็ตาม

 

หลังจากนั้นไม่นาน

 

รูปปั้นหยกที่อยู่ไม่ไกลจากซูฉินก็พลันเปล่งแสงออกมาจางๆ แล้วก็มีภาพเงามายาปรากฏขึ้น

 

“ทักทายสหายเต่า”

 

ร่างมายานั้นสวมชุดชาววังที่ดูสวยงามสะอาดสะอ้าน ทุกมุมแสดงให้เห็นถึงเสน่ห์อันลึกลับ ผิวขาวนวลเนียน ท่วงท่าสง่างาม…

 

“เจ้าคือ “เทพจันทรา” ที่พวกลัทธิบูชาจันทร์สรรเสริญใช่หรือไม่?” ซูฉินมองไปยังร่างมายาด้วยความสนใจ

 

ซูฉินเห็นว่าร่างมายาในชุดชาววังนี้ก็คือรังสีจากจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของตํานานยุทธ มันต่างจากจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ที่ถูกทิ้งไว้ในจี้หยกโดยปฐมจักรพรรดิแห่งราชวงศ์ถัง ตัวตนที่อยู่ตรงหน้าเขา ไม่ใช่จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ที่ไร้ซึ่งฤทธิ์เดชแต่มันมีสํานึกเป็น ของตัวเอง

 

“มิกล้าเรียกตนว่าเทพจันทราดอก…”

 

ร่างในชุดชาววังถอนหายใจออกมาเบาๆ “สตรีเฉกเช่นข้าก็เพียงแค่อยากจักมีชีวิตอยู่ต่อไป แต่โลกมยุติธรรม แม้ว่าข้าจักกลายเป็นตํานานยุทธก็มีอายุเพียงแค่ห้าร้อยปีเท่านั้น เมื่อห้าร้อยปีผ่านพ้นต่อให้แข็งแกร่งเพียงไรก็ต้องตายจากไปอยู่ดี”

 

เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ ร่างมายาก็หยุดอยู่ครู่หนึ่งแล้วกล่าวต่อ “แน่นอนว่ามีวิธียืดอายุขัยในดินแดนอันไกลโพ้น แต่มันก็ยึดอายุขัยได้ไม่เกินหนึ่งถึงสองร้อยปีเพียงเท่านั้น หากอ ยากจักยืดอายุขัยให้ยาวนานแท้จริงมีเพียงแต่จะต้องก้าวข้ามนภาทั้งเก้าชั้นในขอบเขตตํานานยุทธ จนกลายเป็น เซียนเทพปฐพี…”

 

“เจ้าเคยไปยังดินแดนอันไกลโพ้นมาก่อนงั้นหรือ?”

 

ซูฉินมองไปยังร่างมายาในชุดคลุมชาววังและเริ่มสนใจมากขึ้น

 

ในตอนแรกซูฉินตั้งใจจะทําลายเงามายาทิ้งเสีย แล้วรีบกลับไปยังพระราชวังถังโดยเร็วที่สุด แต่เมื่อเห็นว่าร่างในชุดชาววังนี้ดูเหมือนจะมีความเข้าใจในดินแดนโพ้นทะ เลก็ไม่รีบร้อนที่จะจากไป

 

และร่างมายาตรงหน้าเขา ด้วยความสามารถในปัจจุบันของซูฉิน แม้ว่าฝ่ายตรงข้ามจะสามารถกลับคืนสู่ยุครุ่งโรจน์ที่สุดของตนเองก็ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา ไม่ต้องนับว่าตอนนี้ นางเหลือเพียงแค่ร่างมายาจากจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์

 

เนื่องจากซูฉินบรรลุขอบเขตอรหันต์แล้ว เขาเคยได้ยินเรื่องดินแดนโพ้นทะเลมามากกว่าหนึ่งครั้ง แต่เขาก็ไม่ได้พบรายละเอียดเพิ่มเติมมากนัก

 

ดูเหมือนว่าสําหรับเหล่าตํานานยุทธหรือเหล่าอรหันต์ เรื่องดินแดนโพ้นทะเลเหมือนเป็นสิ่งต้องห้ามและไม่ได้นาออกมาพูดกันเป็นเรื่องปกติจึงมักไม่มีใครกล่าวถึง

 

“เมื่อสามร้อยปีก่อน สตรีผู้นี้เคยข้ามน้ําข้ามทะเล ไปยังดินแดนอันไกลโพ้น มันเป็นดินแดนที่เต็มไปด้วยพลัง เมื่อเทียบกับดินแดนนี้มันเป็นคนละเรื่องกันเลยเที่ยว”

 

เมื่อร่างมายาเอ่ยปากกล่าวคํา ดูเหมือนนางจะตกอยู่ในห้วงความทรงจําบางอย่าง “น่าเสียดาย ขนาดดินแดนที่สภาพแวดล้อมแสนพิเศษเช่นดินแดนโพ้นทะเลอันไร้ที่สิ้นสุด ขอบเขตเซียนเทพปฐพี่คนสุดท้ายก็ปรากฏตัวแค่ช่วงหลายพันปีก่อน…”

 

เซียนเทพปฐพี….

 

ความคิดของซูฉินผันผวน

 

เซียนเทพปฐพี่เป็นขอบเขตที่อยู่ถัดจากขอบเขตตํานานยุทธ กล่าวกันว่าเซียนเทพปฐพี่มีอายุยืนยาวกว่าพันปี และดูเผินๆ ก็ไม่แตกต่างไปจากเซียนเทพที่แท้จริงเลย 

 

“เจ้าหมายความว่า แม้แต่ในต่างดินแดนก็ไม่มีขอบเขตเซียนเทพปฐพี่?” ซูฉินเอ่ยถาม

 

“อย่างน้อยนั่นก็คือทั้งหมดที่สตรีผู้นี้รู้มา” ร่างมายาในชุดชาววังส่ายศีรษะแล้วพูดขึ้นว่า “ในดินแดนโพ้นทะเลมีขุมอํานาจมากมาย แต่ไม่มีผู้ที่อยู่ในขอบเขตเซียนเทพปฐพีและไม่มีข่าวคราวใดเกี่ยวกับเรื่องนี้ด้วย”

 

ร่างมายาในชุดกระโปรงยาวถอนหายใจเฮือกหนึ่ง “แม้แต่ตัวข้าเองก็เริ่มสงสัยเช่นเดียวกันว่าขอบเขตเซียนเทพปฐพีมีจริงหรือไม่ หรือการปรากฏตัวของเซียนเทพปฐพี่เมื่อหลายพันปีก่อนอาจจะเป็นเพียงแค่ความเข้าใจผิด…”

 

สีหน้าของร่างมายาเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง

 

จอมยุทธคนใดก็ตามที่ก้าวเข้าสู่ระดับตํานานยุทธ เรียกได้ว่าอาจจะมีสักหนึ่งในพันล้านเท่านั้น ตั้งแต่ยังเยาว์วัย พวกเขาต้องฝ่าฟันอุปสรรคขวากหนามมามากมายอยู่ ยั้งยืนยงมาหลายยุคหลายสมัย

 

แต่สุดท้ายก็ติดชะงักอยู่ในขอบเขตตํานานยุทธ มันยากเหลือเกินที่จะก้าวหน้าต่อไป ต้องเผชิญหน้ากับความตายอย่างโดดเดี่ยว ใครเล่าจะเข้าใจความทรมานนี้ได้

 

“เป็นเช่นนี้เองสินะ”

 

ซูฉินครุ่นคิด

 

แม้ว่าเขาจะไม่เคยไปดินแดนอื่น แต่เขาก็คิดว่าสิ่งที่ร่างมายาในชุดชาววังพูดคงจะเป็นเรื่องจริง ไม่ว่าจะเรื่องพลังที่มหาศาล หรือวัตถุดิบสวรรค์ สมบัติจากธรรมชาติอันมากมาย แต่มันจะเทียบกับซูฉินได้หรือ?

 

ไม่ต้องไปพูดถึงเรื่องอื่น แค่การหาหยดนาจิตวิญญาณธรรมชาติและโลหิตรู้แจ้งในดินแดนโพ้นทะเลก็คงไม่ได้มีมากนัก อย่างไรก็ตามซูฉินกลับสามารถดื่มกินพวกมัน ราวกับเป็นขนมขบเคี้ยวได้ทุกวัน นอกจากหยดน้ำวิเศษทั้งสองนี้ ก็ยังมีสมบัติที่ใช้สําหรับบ่มเพาะอีกมากมาย 

 

แต่กระนั้นซูฉันก็ยังติดอยู่ในระดับนภาชั้นที่สี่มาตั้งหลายปี นับประสาอะไรกับเหล่าตํานานยุทธในต่างดินแดน

 

ดังนั้นหากจะบอกว่ามีจอมยุทธที่เหนือกว่าซูฉินอยู่ในต่างแดน เช่น ตํานานยุทธระดับนภาชั้นที่ห้าและนภาชั้นที่หก ซูฉินก็เชื่อ

 

ท้ายที่สุดแล้วตํานานยุทธที่มีอายุขัยยาวนานกว่าห้าร้อยปี พอมาถึงช่วงสุดท้ายของชีวิตก็อาจจะเข้าถึงระดับพลังเท่านั้นได้จริงๆ

 

แต่หากกล่าวว่ามีจอมยุทธขั้นเซียนเทพปฐพี่อยู่จริง ซูฉินจะไม่ได้เชื่อเป็นจริงเป็นจังมากนัก

 

ตํานานยุทธมีอายุขัยเฉลี่ยห้าร้อยปี แล้วต้องทําอย่างไรถึงจะเข้าสู่ระดับเซียนเทพปฐพีได้เล่า?

 

แน่นอนว่าเรื่องพวกนี้ ซูฉินเป็นข้อยกเว้น

 

แม้ว่าซูฉินจะไม่ใช่เซียนเทพปฐพี แต่เขาก็มีอายุขัยใกล้เคียงกับเซียนเทพปฐพี สามารถมีชีวิตอยู่ได้ร่วมพันปี

 

“สหายเต่า…”

 

ขณะที่ซูฉันกําลังคิดเรื่องนั้นอยู่ ดวงตาของร่างมายาก็อ่อนลงอย่างกะทันหัน และปรายตามองไปที่ซูฉินอย่างน่าสงสาร

 

“สตรีผู้นี้สูญเสียร่างกายไปหมดสิ้นแล้ว เหลือเพียงรัศมีจากจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์เท่านั้น ช่างโดดเดี่ยวและไร้ทางสู้ หวังว่าสหายเต่าจะเป็นที่พักพิงให้แก่ข้า…”

 

เสียงของร่างมายาในชุดชาววังนั้นนุ่มนวลอ่อนหวาน เสน่ห์อันล้นหลามแผ่กระจายออกมา

 

“ไม่ต้องเป็นห่วง แม้ว่าสตรีผู้นี้จะไม่มีร่างกายเหลืออยู่แล้ว แต่อย่างไรก็เคยเป็นตํานานยุทธ และข้ายังมีความรู้ความเข้าใจในปัญหาหลายๆ อย่างเวลาฝึกยุทธอีกด้วย”

 

“นอกจากนี้ สตรีผู้นี้ยังซ่อนสมบัติที่ได้รับมาในสมัยก่อน เอาไว้ในที่แห่งหนึ่งก่อนที่จะสละร่างกายไป หากสหายเต่าเห็นพ้องต้องกัน ข้าก็พร้อมมอบสมบัติที่สะสมมาชั่วชี วิตให้แก่สหายเต่า…”

 

ถ้อยคําของร่างในชุดชาววังเต็มไปด้วยคําล่อลวงอย่างยิ่ง

 

ไม่ว่าร่างมายาในชุดชาววังจะพูดมากแค่ไหน ตัวนางก็เป็นตํานานยุทธเช่นกัน ความเข้าใจในวิทยายุทธของนางมีค่ามากสําหรับผู้ฝึกยุทธในขอบเขตวิทยายุทธทั้งเก้าระดับชั้น

 

แม้ในสายตาของตํานานยุทธด้วยกันเอง มันก็มีความสําคัญ สามารถใช้เทียบเคียงประสบการณ์อ้างอิง ทําความเข้าใจได้ด้วย

 

สําหรับสมบัติที่สั่งสมมาชั่วชีวิตของตํานานยุทธนั้นกลับน่าสนใจยิ่งกว่า

 

“โอ้? มีเรื่องดีเช่นนั้นด้วยหรือ?” รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของซูฉิน มองไปที่ร่างมายาในชุดชาววัง

 

“แน่นอน…”

 

โดยไม่ทันรู้ตัว ร่างมายาก็เข้ามาอยู่ในระยะห้าเมตรไม่ไกลจากซูฉิน

 

“ตราบใดที่สหายเต๋า…”

 

ตอนที่กําลังพูดอยู่ ร่างมายาก็กลายเป็นลําแสงไหลเข้าไปยังกึ่งกลางระหว่างคิ้วของซูฉิน

 

“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า!”

 

“ ข้างบนนี้เป็นรากฐานของเจ้าใช่หรือไม่?”

 

เสียงของร่างมายาดังก้องอยู่ในหูของซูฉิน แสดงให้เห็นถึงความภาคภูมิ

 

ตั้งแต่แรกเริ่ม ร่างมายาในชุดชาววังไม่ได้ตั้งใจจะช่วยเหลือซูฉิน แต่นางเตรียมที่จะยึดครองร่างของซูฉินอยู่แล้ว

 

หากซูฉินระมัดระวังตัวตั้งแต่แรกและรักษาระยะห่างจากนางไกลกว่าห้าเมตร แม้ว่าร่างมายาจะมีความสามารถก็ไม่มีทางทําอะไรซูฉินได้

 

แต่ร่างมายาใช้ข้อมูลเกี่ยวกับดินแดนโพ้นทะเลเป็นสิ่งล่อลวง แกล้งทําให้เห็นว่าตนไม่อันตราย ลดความระมัดระวังของซูฉินลง สุดท้ายก็ล่อหลอกซูฉินด้วยสมบัติจากนั้นจึงเข้ามาใกล้ซูฉินในระยะห้าเมตรได้สําเร็จ

 

ในตอนนี้แผนการของร่างมายาในชุดชาววังก็สําเร็จลุล่วง ไปแล้วกว่าครึ่ง

 

“แม้ว่าสตรีผู้นี้จะหลับใหลมาหลายร้อยปี แต่ก็มีการบูชายัญมาหล่อเลี้ยงจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์อยู่ตลอดเวลา ประจวบกับประสบการณ์ที่ได้รับมาจากต่างแดน จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของข้านั้นมั่นคง การเข้าไปสิงสู่ร่างผู้ฝึกยุทธนั้นย่อมสามารถกระทําได้ไม่ยากหากไม่มีเหตุผิดพลาดใดเกิดขึ้น”

 

ร่างมายาในชุดชาววังเต็มไปด้วยความมั่นใจ

 

ในความคิดของนาง ซูฉนไม่เคยไปยังต่างดินแดนด้วยซ้ำ เขาควรจะมีระดับการบ่มเพาะขอบเขตตํานานยุทธอย่างมากสุดก็ระดับนภาชั้นที่สอง ไม่มีทางที่จะหยุดยั้งการรุกล้ำด้วยจิตสัมผัสศักิดิ์สิทธิ์ของนางได้เลย

 

“รอจนกว่าจะยึดกายเนื้อสําเร็จจนข้ามีพลังป้องกันตนเองได้ เมื่อนั้นก็ถึงเวลาที่ข้าจะต้องไปจัดการบางสิ่งเสียหน่อย…”

 

ร่างมายานึกถึงเรื่องนี้และนางก็แอบรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาไม่น้อย

 

แม้ว่านางจะยึดครองร่างซูฉินได้ แต่นางก็ต้องเปลี่ยนจากหญิงกลายเป็นชาย แต่ตราบใดที่นางสามารถมีชีวิตรอดต่อไปได้ ราคาที่จะต้องจ่ายออกเพียงเท่านี้จะนับเป็นอะ ไรได้?

 

หวึ่ง!!!

 

จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของร่างมายาก็หลั่งไหลเข้ามาที่หว่างคิ้วของซูฉินด้วยความรวดเร็ว แล้วทะลุเข้าไปภายใน

 

อย่างไรก็ตาม

 

ก่อนที่นางจะเคลื่อนที่ต่อไป นางก็เบิกตากว้างมองทุกสิ่งที่อยู่ด้านหน้าด้วยความตกใจ

 

ด้านในส่วนลึกของกึ่งกลางระหว่างคิ้วมีองค์ยูไลทองคําขนาดยักษ์ประทับในท่ายืนอยู่อย่างเงียบๆ ท่ามกลางพลังฟ้าดินอันไม่มีที่สิ้นสุด มือหนึ่งชูจรดฟ้าอีกมือปล่อยชี้ลงพื้น พสุธาบดบังลานสายตาทั้งหมด ราวกับว่าไม่มีอะไรจะยิ่งใหญ่เสมอเหมือนสิ่งนี้อีกแล้ว

 

แสงสว่างจากองค์ยูไลก็ส่องผ่านความมืดมิดเปล่งประกายไปทั่วมิติแห่งนี้

 

 

Sign in Buddha’s palm 132 ซูฉิน : ยังไม่ยอมออกมา ต้องให้ข้าลงมือเองหรือเปล่า?

 

ด้านนอกวิหาร

 

ผู้นําและผู้อาวุโสของลัทธิบูชาจันทร์พากันสั่นสะท้านมองไปที่ฝ่ามือของพระพุทธรูปทองคําที่ค่อยๆ พุ่งลงมาจากท้องฟ้า มันปกคลุมทั่วทั้งผืนฟ้ารวมถึงดวงอาทิตย์ ในใจของพวกเขาต่างไม่อยากจะเชื่อ

 

“นั่นมันคืออะไรกัน?”

 

หัวใจของผู้นําลัทธิบูชาจันทร์ตื่นตระหนก เขารู้สึกได้ถึงแรงกดดันที่น่ากลัว ซึ่งแรงกดดันนี้ก็ทําให้เหล่าศิษย์สาวกนั้นคุกเข่าลงแทบพื้น ไม่กล้าแม้แต่จะจ้องมองฝ่ามือสี ทองที่ปกคลุมท้องฟ้านั้นตรงๆ

 

จะมีก็แต่ผู้นําและผู้อาวุโสบางคนเท่านั้นที่พอจะต้านเอาไว้ไม่ให้ตนคุกเข่าลงไปได้ แต่ก็เห็นได้ชัดว่าฝ่ามือพระพุทธรูปสีทองยังคงส่งแรงกดดันออกมาอย่างต่อเนื่อง พวกเขาคงจะต้านไว้ได้อีกไม่นานนัก

 

ฉับพลันนั้นเองในที่สุดผู้นําลัทธิบูชาจันทร์ก็หลุดออกจากภวังค์และตระหนักว่าหากยังเป็นเช่นนี้ต่อไปอีก เพียงไม่กี่อึดใจพวกเขาจะต้องโดนฝ่ามือนี้บดขยี้เป็นแน่

 

“วิ่ง!!”

 

ดวงตาของผู้นําลัทธิบูชาจันทร์เปลี่ยนเป็นแดงฉาน เขาเผาผลาญแก่นแท้และเลือดเนื้อของตนอย่างบ้าคลั่ง แม้แต่หนอนกู่ภายในตัวก็ยังตื่นตกใจส่งเสียงร้องแหลมๆ ออกมา

 

“พึ่บ!”

 

หนอนกู่ตัวสีทองจางๆ โผล่มาที่ด้านข้างของผู้นาลัทธิบูชาจันทร์ ทันใดนั้นพลังจิตวิญญาณของผู้นําลัทธิฯ ก็พวยพุ่งออกมาราวกับว่ามันมีไม่หมดไม่สิ้น

 

แกร้ก

 

ผู้นําลัทธิบูชาจันทร์เหยียบกระแทกพื้นอย่างรุนแรงแล้วกลายเป็นร่างวูบไหวราวกับภูตผีกระโจนพุ่งพยายามออกไปนอกวิหารศักดิ์สิทธิ์

 

นอกเหนือจากผู้นก็ยังมีตัวแทนลัทธิบูชาจันทร์ อีกคนหนึ่งที่ทําเช่นเดียวกัน หลบหนีจากแรงกดดันของฝ่ามือสีทองไปในทิศทางตรงกันข้ามกับผู้นาลัทธิบูชาจันทร์

 

ทั้งผู้นําและตัวแทนลัทธิบูชาจันทร์ ทั้งคู่ต่างไม่ได้คิดจะช่วยเหลือเหล่าผู้อาวุโสและศิษย์สาวกคนอื่นๆ ออกมาเลย

 

เพราะพวกเขารู้ดีอยู่แก่ใจว่าภายใต้ฝ่ามือสีทองอันนี้ ลัทธิบูชาจันทร์ได้มาถึงจุดจบเสียแล้ว

 

“คิดจะหลบหนี?”

 

ซูฉินซึ่งอยู่ห่างออกไปสิบลี้ มองเห็นภาพนั้นแล้วก็ส่ายหัวเล็กน้อย ไม่ได้สนใจเท่าไหร่

 

ฝ่ามือที่เขาใช้เมื่อครูไม่ใช่ฝ่ามือยไลของจริง เป็นเพียงแค่แบบจําลองแนวคิดจากเคล็ดวิชาจริง แต่กระนั้นจอมยุทธในขอบเขตวิทยายุทธทั้งเก้าระดับชั้นก็ไม่สามารถจะต้านทานมันได้

 

เป็นไปตามการคาดการณ์

 

ผู้นาลัทธิบูชาจันทร์และตัวแทนลัทธิฯ ที่หลบหนีออกมาอีกคนหนึ่งได้ค้นพบว่า ใต้แรงกดดันของฝ่ามือสีทอง พวกมันสามารถสลัดหลุดจากแรงกดดันเหล่านั้นจนขยับเขยื้อนตัวได้ แต่สุดท้ายก็พบว่าตัวพวกมันนั้นเหลือความเร็วในการเคลื่อนที่ไม่ต่างจากเต่าตัวหนึ่ง

 

ด้วยความเร็วในปัจจุบัน คงต้องใช้เวลาอีกหลายวันถึงจะหลบหนีออกจากบริเวณวิหารของลัทธิบูชาจันทร์ได้

 

ใช่ใช้เวลาเป็นวัน

 

แต่ตอนนี้ไม่ต้องพูดถึงเวลาเป็นวันเลย เพียงใช้เวลาแค่ครู่เดียว สถานศักดิ์สิทธิ์ของลัทธิบูชาจันทร์คงจะถูกฝ่ามือสีทองอันนี้ถล่มลงมาได้หลายต่อหลายครั้งเลยทีเดียว

 

“ไม่นะ!!!”

 

ท่ามกลางสายตาที่จ้องมองขึ้นไปอย่างสิ้นหวังของเหล่าศิษย์สาวกรวมถึงผู้นําและตัวแทนของลัทธิบูชาจันทร์ ฝ่ามือพระพุทธรูปสีทองก็กดทับลงมาในบัดดล

 

ในเวลานี้ ทุกสิ่งอย่างพังทลายลงวิหารลัทธิบูชาจันทร์ ถูกถล่มกลายเป็นเศษผงฟุ้งกระจายหายไปจากโลกนี้ ไม่เหลือเค้าลางเดิม

 

หากว่ามีใครมองดูจากที่ไกลๆ จะพบว่ายอดภูเขาที่วิหารลัทธิบูชาจันทร์เคยตั้งอยู่กลายเป็นโล่งเตียนเหมือนถูกตัดทิ้ง หลงเหลือเพียงรอยประทับรูปฝ่ามือจางๆ บนพื้นดิน 

 

ตั้งแต่ต้นจนจบ

 

ตัวตนตั้งแต่ผู้นไปยันศิษย์สาวกของลัทธิบูชาจันทร์ล้วน ไม่ทราบเลยว่าเกิดอะไรขึ้น

 

“จบแล้วหรือ?”

 

ดวงตาของซูฉินสงบนิ่ง ความคิดในใจยังคงผันผวน 

 

แม้ว่าลัทธิบูชาจันทร์จะมีสถานะสูงสุดในอาณาจักรหนานจ้าว แต่อันที่จริงแล้วพฤติกรรมของลัทธิบูชาจันทร์ก็ไม่ได้ต่างอะไรกับพรรคมาร

 

การฆ่าสังหารตามอําเภอใจ ใช้สิ่งมีชีวิตเป็นเครื่องสังเวยถวายแด่ “เทพจันทรา” สิ่งเหล่านี้กลับกระทํากันอย่างง่ายดายราวกับการกินดื่มในสายตาของลัทธิบูชาจันทร์

 

“ถึงแม้ฝ่ามือยูไลจะแข็งแกร่ง แต่สําหรับตัวข้าในตอนนี้ หากต้องการจะใช้ฝ่ามือยูไลจริงๆ เกรงว่ามันจะต้องกินพลังงานไปกว่าหกส่วนของแก่นแท้แห่งพลัง”

 

ซูฉินประมาณการอยู่ภายในใจ

 

ฝ่ามือของเขาเมื่อครู่เป็นเพียงเค้าลางแนวทางเคล็ดวิชาของฝ่ามือยูไลที่แท้จริง แต่มันก็พอจะทําให้ซูฉินกะปริมาณการใช้พลังของฝ่ามือยูไลได้บ้าง

 

ในตอนนี้ ชายวัยกลางคนที่กําลังจะห้ามปรามซูฉินยืนแข็งค้างอยู่กับที่รวมไปถึงเหล่าเด็กสาวที่อยู่ข้างๆ ก็ตกตะลึงไปด้วย ใบหน้าของพวกเขาเต็มไปด้วยความรู้สึก ม่อยากจะเชื่อถือสิ่งที่เห็น

 

พวกเขามองไปที่ซูฉินสลับกับวิหารลัทธิบูชาจันทร์ซึ่งตอนนี้กลายเป็นฝุ่นผงด้วยสายตาหวาดกลัวอย่างยิ่ง

 

“วิหารศักดิ์สิทธิ์ วิหารศักดิ์สิทธิ์หายไปแล้ว”

 

ฟันของชายวัยกลางคนอย่างหงเฟยสั่นกระทบกัน ตัวเขาคิดว่าตนกําลังอยู่ในความฝันเสียอีก

 

ลัทธิบูชาจันทร์อยู่ในอาณาจักรหนานจ้าวมานานนับแสนปี ผู้ปกครองอาณาจักรหนานจ้าวในอดีตต่างก็ต้องเคารพศิษย์สาวกของลัทธิบูชาจันทร์ สํานักอื่นใดที่คิดจะเข้ามา แทนที่ลัทธิบูชาจันทร์ต่างก็ทําได้แค่คิด

 

หงเฟย ชายวัยกลางคนไม่คิดฝันว่าวันหนึ่งลัทธิบูชาจันทร์ที่อยู่ในจุดสูงสุดในสายตาเขาจะถูกใครบางคนทําลายล้างไป…

 

เมื่อคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ ชายวัยกลางคนก็ตัวแข็งที่อจ้อง มองไปยังร่างที่ยืนอยู่ไม่ไกลออกไปอย่างเคารพ ตัวเขาไม่กล้าแม้แต่จะติดใจสงสัย

 

เพราะตัวเขารู้แก่ใจว่า แม้แต่ตัวตนยักษ์ใหญ่อย่างลัทธิบูชาจันทร์ก็เหมือนกับมดที่วิ่งอยู่บนฝ่ามือของซูฉิน นับประสาอะไรกับพวกเขาเอง?

 

“พวกเจ้าออกไปจากที่นี่เถอะ”

 

ซูฉินเหลือบมองไปที่หงเฟยแล้วเอ่ยออกมาอย่างไม่จริงจังนัก

 

ชายวัยกลางคนผู้นี้ไม่ใช่ศิษย์สาวกของลัทธิบูชาจันทร์ ส่วนเด็กสาวด้านข้างก็ยังไม่เคยมีโอกาสไปสักการะในสถานศักดิ์สิทธิ์เลยด้วยซ้ํา

 

แม้ว่าซูฉินจะสามารถสะบัดมือเพื่อทําลายล้างลัทธิบูชาจันทร์โดยไม่รู้สึกอะไร ไม่แม้แต่ขมวดคิ้ว แต่เขาก็ไม่ได้ตั้งใจจะสังหารผู้บริสุทธิ์ตามอําเภอใจ

ที่ซูฉินทําลายล้างลัทธิบูชาจันทร์ก็เป็นเพราะลัทธิบูชาจันทร์ยั่วยุตนก่อน

 

“ใช่แล้ว”

 

“ใช่ๆ พวกเรารีบไปกันเถอะ”

 

หงเฟยได้ยินคํากล่าวของซูฉันก็รู้สึกราวกับนักโทษที่ได้รับการนิรโทษกรรม รีบพากลุ่มเด็กวัยรุ่นที่อยู่ข้างๆ จากไปด้วยความเคารพและหลังจากพ้นระยะเขาก็รีบพาเด็กๆ หนีไปโดยไม่แม้แต่หันกลับมามอง

 

“ลัทธิบูชาจันทร์ได้ครอบงําอาณาจักรหนานจ้าวมาร่วมแสนปี แต่ตอนนี้มันถูกทําลายลงไปแล้ว คงส่งผลกระทบขนาดใหญ่ต่อทั้งอาณาจักรแน่ๆ..”

 

หลังจากชายวัยกลางคนและคนอื่นๆ ได้จากไป

 

ซูฉินก็เหลือบมองไปที่ภูเขาลูกเดิมอีกครั้ง สถานที่ที่เคยเป็นที่ตั้งของวิหารลัทธิบูชาจันทร์ และกําลังจะเตรียมเดินทางกลับไปยังอาณาจักรถัง

 

อย่างไรก็ตาม

 

ในตอนนั้นเอง

 

การแสดงออกของซูฉินก็เปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อย จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์อันทรงพลังถูกปลดปล่อยออกมาในทันที

 

“น่าสนใจ”

 

ท่าที่ที่อธิบายไม่ถูกปรากฏขึ้นบนใบหน้าของซูฉิน เขาก้าวเท้าเดินไปด้านหน้าและหายตัวไปจากจุดที่เคยอยู่ 

 

เมื่อปรากฏตัวอีกทีเขาก็มาอยู่บนภูเขาที่แต่เดิมเป็นที่ตั้งของลัทธิบูชาจันทร์

 

ตําแหน่งนี้เป็นส่วนลึกของวิหารก่อนที่จะถูกทําลาย

 

ไม่ไกลจากซูฉินมากนัก มีรูปปั้นหินหยกสูงเท่าตัวคนตั้งอยู่ตรงนั้นอย่างสงบเงียบ

รูปปั้นหยกนี้ดูเหมือนผู้หญิงที่ใบหน้าขาวซีด และมองเห็นร่องรอยการแกะสลักได้ไม่ชัดนัก ค่อนข้างเลือนราง แต่ที่ตรงกลางระหว่างคิ้วของรูปปั้นหยกมีร่องรอยคล้ายดวงจันทร์ประทับอยู่

 

หากเป็นคนธรรมดาหรือแม้แต่ยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งมาเห็นรูปปั้นหยกอันนี้ แม้ว่าจะแปลกใจว่าทําไมรูปปั้นถึงเหมือนคนจริงๆ ได้ขนาดนี้ แต่สักพักก็คงจะรู้สึกว่าตนเองคิดมากจนเกินไป

 

ท้ายที่สุดแล้วไม่ว่ารูปปั้นหยกจะเหมือนจริงแค่ไหน มันก็เป็นเพียงรูปปั้นหยกไม่มีชีวิตจิตใจ ค่าของมันเล็กน้อยมากในสายตาของผู้ฝึกยุทธ

 

อย่างไรก็ตาม ซูฉินมองดูรูปปั้นหยกอย่างพินิจพิเคราะห์ ผ่านไปครู่หนึ่งรอยยิ้มก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของซูฉินก่อนจะพูดว่า

 

“ถ้าเจ้ายังไม่ยอมออกมาตอนนี้ จะต้องรอให้ข้าลงมือเองเลยหรือไม่?”

 

Sign in Buddha’s palm 131 ฝ่ามือบดขยี้ฟ้าดิน

 

เมื่อได้มาถึงที่นี่แล้ว

 

เด็กสาวทั้งหลายสามารถมองเห็นวิหารของลัทธิบูชาจันทร์ที่สูงตระหง่านตั้งอยู่บนยอดเขาที่ห่างออกไปสิบลี้

 

แต่ถึงจะไกลอย่างไร ความสง่างามของสถานที่แห่งนั้นก็ยังคงเปล่งประกายราวกับเขาทั้งแสนลูกสะท้อนแสงล้อไปกับมัน

 

หงเฟยมองไปที่มันอย่างหวาดกลัวแล้วจึงชําเลืองมองไปยังเด็กสาววัยรุ่นทั้งหลายแล้วกล่าวคํากระซิบ “เราต้องรออยู่ที่นี่ก่อน จําไว้ให้ดีอย่าก้าวเท้าเดินไปด้านหน้าเด็ดขาด

 

ชายวัยกลางคนแสดงท่าที่จริงจังพร้อมทั้งกล่าวเตือน

 

“ค่ะ”

 

เหล่าเด็กสาวก้าวถอยหลังโดยไม่รู้ตัว

 

“ลัทธิบูชาจันทร์นี่ช่างเลือกสถานที่ได้ดีจริงๆ”

 

ดวงตาของซูฉินสงบนิ่ง มองไปที่วิหารของลัทธิบูชาจันทร์

 

สถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของลัทธิบูชาจันทร์ล้อมรอบไปด้วยหน้าผาในทุกทิศทาง ตราบใดที่สามารถป้องกันทางเข้าทางออกไว้ได้ ต่อให้ถูกกองทัพนับล้านเข้าโจมตีก็ยังอยู่รอดปลอดภัย

 

เว้นแต่จะเป็นกลุ่มจอมยุทธขอบเขตสามระดับบนที่บุกเข้าไปภายในโดยมเกรงกลัวความตายเท่านั้น หากเป็นจอมยุทธทั่วๆ ไปไม่ว่าจะมีกี่คนก็ทําอะไรพวกมันไม่ได้

 

พวกเขาจะแตะต้องลัทธิบูชาจันทร์ไม่ได้แม้แต่ปลายเล็บด้วยซ้ํา

 

ซูฉินเบิกเนตรดวงตาแห่งสัจจะขณะที่ใช้ความคิดไปด้วย

 

ทันใดนั้นภายในวิหารของลัทธิบูชาจันทร์ที่ห่างออกไปสิบลี้ก็ปรากฏไอพลังที่มีทั้งแข็งแกร่งและอ่อนแอเหมือนตอนที่ใช้มองเหล่าจอมยุทธ เพียงแต่ไอพลังพวกนี้มีลักษณะแปลกแตกต่างออกไป

“สาวกของลัทธิบูชาจันทร์ไม่ใช่ผู้ฝึกยุทธ สิ่งที่พวกเขาฝึกฝนคือมนต์คาถาและคําสาปผ่านการใช้หนอน และสามารถฆ่าคนได้จากระยะไกลแสนไกล…”

 

ซูฉินมองเข้าไปภายในวิหารของลัทธิบูชาจันทร์พลางคิดในใจอยู่เงียบๆ

 

“อย่างไรก็ตามจากลัทธิบูชาจันทร์ทั้งหมด คนที่มีพลังในระดับใกล้เคียงกับผู้ฝึกยุทธระดับชั้นที่หนึ่งนั้นมีเพียงแค่สองคน ฉะนั้นจึงไม่มีอะไรน่ากังวล”

 

ซูฉินสังเกตดูอยู่ชั่วระยะเวลาหนึ่งและทําความเข้าใจเกี่ยวกับส ถานการณ์ทั่วไปของลัทธิบูชาจันทร์

 

“แต่ว่า ทําไมข้าถึงไม่สามารถสัมผัสถึงกลิ่นอายของ “เทพจันทรา” ได้เลย?”

 

ซูฉินขมวดคิ้วเล็กน้อย มองไปที่วิหารของลัทธิบูชาจันทร์ทั่วทั้งหมดด้วยดวงตาแห่งสัจจะแต่เขาไม่พบสิ่งที่เรียกว่า “เทพจันทรา” เลย

 

เผื่อว่าจะพลาดอะไรไป ซูฉินก็ยังคงตรวจสอบด้วยดวงตาแห่งสัจจะต่อไปอีกพักหนึ่ง และส่ายหัวเล็กน้อยหลังจากที่ยืนยันขีดความสามารถของลัทธิบูชาจันทร์ทั้งหมดแล้ว

 

“ลืมมันไปเถอะ”

 

“ไม่จําเป็นต้องเสียเวลาเพิ่มแล้ว”

ความคิดของซูฉินแปรผันไปมา และเขาก็ก้าวเท้าเดินไปด้านห

 

หงเฟย ชายวัยกลางคนที่อยู่ไม่ไกลนัก ตกใจเมื่อเห็นสิ่งนั้น เขารีบกล่าวขึ้นว่า “ท่านผู้ยิ่งใหญ่ ช่วงนี้เป็นเวลาการสักการะของลัทธิบูชาจันทร์ ทุกสิ่งที่ต้องทําคือรอคอยการจัดการจากทางลัทธิโปรดระมัดระวังด้วย…”

 

หงเฟยคิดว่าซูฉันคงจะไม่สามารถอดทนได้และต้องการเดินตามสะพานเหล็กเพื่อไปยังวิหารของลัทธิบูชาจันทร์

 

พฤติกรรมนี้อาจจะดูเหมือนเรื่องปกติ แต่ในความจริงมันคือการยั่วยุลัทธิบูชาจันทร์

 

ชายวัยกลางคนที่ชื่อว่าหงเฟยผู้นี้เข้าใจกฎของที่นี่อย่างชัดเจนไม่ว่าคนผู้นั้นจะเป็นใครก็ตาม จะเป็นผู้นํา หรือใหญ่โตมาจ กไหนก็จําเป็นต้องอดทนรอเมื่อมาถึงที่นี่

 

บรรดาผู้ฝ่าฝืนจะต้องถูกตามล่าโดยลัทธิบูชาจันทร์

 

ด้วยอิทธิพลของลัทธิบูชาจันทร์ในอาณาจักรหนานจ้าวควบคู่กับคําสาปที่ไม่สามารถเห็นได้ด้วยตาเปล่า หากถูกล่าจากลัทธิบูชาจันทร์จริงๆ ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องพบกับจุดจบ

 

อย่างไรก็ตาม

 

ในช่วงเวลาต่อมา

 

ต่อหน้าสายตาที่อึ้งทึ่งของชายวัยกลางคน หงเฟย

 

ซูฉินยกมือขวาขึ้นชี้ไปทิศทางหนึ่งที่ห่างออกไปสิบลี้แล้วค่อยๆ กดมือลงไปที่สถานศักดิ์สิทธิ์ของลัทธิบูชาจันทร์

 

ทันใดนั้นลมที่หวีดหวิวอยู่บนยอดเขาก็พลันหยุดลง เหลือเพียงฝ่ามือสีทองเข้มเท่านี้ที่ครอบคลุมท้องฟ้าแลปฐพีเอาไว้

 

ณ ลัทธิบูชาจันทร์

 

ภายในวิหารสูงตระหง่าน

 

สาวกลัทธิบูชาจันทร์และเหล่าผู้อาวุโสกําลังนั่งไขว้ขา สีหน้านิ่งส นิทราวกับกําลังอับอายกับอะไรสักอย่าง

 

“ช่วงไม่กี่ปีก่อน พระแม่ได้ตกตายอยู่ที่ฉางอัน อาณาจักรถัง”

 

ในเวลานั้นผู้นําของลัทธิบูชาจันทร์ก็ยืนขึ้นอย่างกะทันหัน มองไปที่ผู้อาวุโสทั้งหลายและกล่าวคําด้วยเสียงทุ่มต่ํา

 

คําที่ได้กล่าวออกไป

 

ผู้อาวุโสในห้องโถงต่างพากันสั่นสะท้านภายในใจ

 

ไม่กี่ปีก่อนเพื่อเตรียมแผนการต่อราชวงศ์ถัง ลัทธิบูชาจันทร์ถึงกับส่งพระแม่ สตรีศักดิ์สิทธิ์ ออกไปยังฉางอันเป็นกรณีพิเศษโดยหวังจะตอกฝั่งตะปูที่เปรียบกับแผนการร้ายลงไปในตระกูลหลี

 

อย่างไรก็ตามเกิดสิ่งที่ทุกคนไม่คาดคิดขึ้น ไม่เพียงแต่พระแม่จะล้มเหลวในแผนการใหญ่เท่านั้น แต่ยังเสียชีวิตลง ณ เมืองฉางอันด้วย

 

ยิ่งไปกว่านั้น หญิงชราผมขาวที่กลับมาจากเมืองฉางอันยังเล่าด้วยว่าการเสียชีวิตของพระแม่เกิดจากประกายดาบที่ฟาดฟันลงมาจากท้องฟ้า

 

ไม่ใช่แค่พระแม่ที่ตกตาย แต่หนอนก่ที่เก่าแก่ที่สุดที่อยู่ภายในร่างของพระแม่ก็ถูกเฉือนจนกลายเป็นผุยผง

 

เมื่อข่าวนี้มาถึงหูของผู้อาวุโสและผู้นาลัทธิ ทุกคนก็ราวกับถูกฟ้า

 

แม้ว่าพวกเขาจะไม่รู้ว่าเป็นฝีมือใคร แต่พวกเขาก็รู้ดีว่าอีกฝ่ายไม่ใช่สิ่งที่ลัทธิบูชาจันทร์ในปัจจุบันจะรับมือไหว

 

ในหลายปีที่ผ่านมา ลัทธิบูชาจันทร์ต่างก็หวาดกลัวว่าสักวันหนี้งอีกฝ่ายจะมาหาพวกเขาหรือไม่

 

“ท่านผู้นา เราจะทําเช่นไรกับเรื่องนี้ดี”

 

ผู้อาวุโสคนหนึ่งอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามขึ้นมา

 

เมื่อผู้อาวุโสคนอื่นๆ ได้ยินดังนั้น พวกเขาก็มองไปที่ผู้นาลัทธิบูชาจันทร์เช่นกัน

 

พระแม่ตกตายอยู่ที่เมืองฉางอันแต่แล้วมันยังไงล่ะ?

 

ตามที่หญิงชราผมขาวอธิบาย ในเวลานั้นคนที่โจมตีอย่างน้อยๆ ก็ต้องเป็นยอดยุทธที่อยู่ในจุดสูงสุดของระดับชั้นที่หนึ่ง ซึ่งอยู่ไกลเกินกว่าที่ลัทธิบูชาจันทร์ในปัจจุบันจะรับมือได้ไหว

 

พลังฉีและเลือดเนื้อของยอดปรมาจารย์ขั้นสูงสุดเพียงพอที่จะเพิกเฉยต่อคําสาปและมนต์คาถาทั้งหมด

 

“ข้ากําลังจะพูดเรื่องนี้แหละ…”

 

เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ ผู้นําลัทธิบูชาจันทร์ก็หยุดไปพักหนึ่งแล้วจีงพูดต่อ “ลัทธิบูชาจันทร์จะต้องล้างแค้นได้ในไม่ช้านี้อย่างแน่นอน”

 

“อะไรนะ?”

 

ผู้อาวุโสหลายคนต่างดูสับสนงงงวย

 

ล้างแค้น?

 

ลัทธิศักดิ์สิทธิ์ของพวกเขาจะแก้แค้นอย่างไร?

 

อีกฝ่ายไม่ได้เผยตัวตนแม้แต่น้อยตอนที่เขาฉีกกระชากหนอนที่เก่าแก่ที่สุดของลัทธิบูชาจันทร์เป็นชิ้นๆ พวกเขาจะไปแก้แค้นได้อย่างไร?

 

ตอนนี้เหล่าผู้อาวุโสล้วนประหลาดใจและไม่แน่ใจ

 

ผู้นาลัทธิบูชาจันทร์กล่าวอย่างช้าๆ “ข้าได้เรียนรู้เจตจํานงแห่งเทพจันทราแล้ว หลังจากการบูชายัญในครั้งนี้ เทพจันทราจะมาปรากฏตัวบนโลก”

 

คําที่กล่าวออกมา

 

ท่าทีของเหล่าผู้อาวุโสก็เปลี่ยนไป

 

4 “เทพจันทรา” จะมาปรากฏตัวบนโลก….”

 

“นี่นี่ สิ่งที่ท่านบอกเป็นความจริงอย่างนั้นหรือท่านผู้นา?”

 

ผู้อาวุโสที่มีใบหน้าซีดเซียวสั่นสะท้านเมื่อฟังคําดังกล่าว เขามองไปที่ผู้นําของลัทธิบูชาจันทร์ด้วยความตื่นเต้น

 

“จริงแท้แน่นอน!”

 

ผู้นาแห่งลัทธิบูชาจันทร์พยักหน้าเล็กน้อย นาเสียงของเขาเจือไปด้วยความกระตือรือร้นอยู่เต็มเปี่ยม

 

ในสายตาของเหล่าสาวกของลัทธิบูชาจันทร์นั้น “เทพจันทราคงกระพันไร้ต้าน ตราบใดที่เทพจันทราคงอยู่ ไม่มีใครในโลกนี้ที่จะหยุดลัทธิบูชาจันทร์ของพวกเขาได้

 

“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า”

 

“ด้วยร่มไม้ใหญ่อย่าง “เทพจันทรา” ทําไมลัทธิศักดิ์สิทธิ์ของพวกเราจะยังต้องเป็นเต่าหดหัวอยู่แต่ในอาณาจักรหนานจ้าวอีก?”

 

“ถูกต้อง ไม่ว่าผู้ใดจะเป็นคนฆ่าพระแม่ มันก็ต้องพบกับความตายอย่างไร้หนทางสู้”

“ท่านผู้นํา ทําไมไม่เริ่มระดมพลศิษย์สาวกกันเลยเล่าเมื่อเทพจันทราปรากฏตัวขึ้น ข้าจะกวาดล้างเมืองฉางอัน ล้างแค้นให้พระแม่!”

 

ผู้อาวุโสทั้งหลายต่างส่งเสียงโห่ร้อง

 

เมื่อได้ยินดังนั้น ผู้นําลัทธิบูชาจันทร์ก็โบกมือแล้วกล่าวขึ้นว่า “อีกไม่นานฉางอันจะถูกทําลาย และศัตรูของพวกเราก็จะประสบชะตากรรมเดียวกัน”

 

“อีกไม่นาน ลัทธิศักดิ์สิทธิ์ของพวกเราจะครองโลก!”

 

ผู้นําลัทธิบูชาจันทร์เต็มไปด้วยความมั่นใจ

 

ในขณะที่ผู้อาวุโสทั้งหลายหารือกันว่าจะทรมานคนที่สังหารพระแม่อย่างไรดี

 

ทันใดนั้นก็มีเสียงดังขึ้นที่ด้านนอก

 

ทันใดนั้นก็มีเส…

 

“เกิดอะไรขึ้น?”

 

ผู้นาลัทธิบูชาจันทร์ขมวดคิ้ว

 

ผู้อาวุโสคนอื่นๆ ก็ดูไม่พอใจเช่นกัน

 

พวกเขากําลังตั้งหน้าตั้งตารอคอย แต่กลับถูกขัดจังหวะ

 

“ออกไปดูกันเถอะ”

 

ผู้นําลัทธิบูชาจันทร์รู้สึกถึงลางที่ไม่ค่อยดี จึงลุกขึ้นแล้วเดินออกไปดูสถานการณ์ด้านนอก

 

ผู้อาวุโสต่างมองหน้ากันและเดินตามหลังผู้นไป

 

อย่างไรก็ตามเมื่อผู้นาลัทธิบูชาจันทร์เดินออกมานอกวิหาร เขาก็พบว่าสาวกทุกคนกําลังมองขึ้นไปบนท้องฟ้าด้วยความหวาดกลัว

 

“หือ?”

 

ผู้นําและผู้อาวุโสของลัทธิบูชาจันทร์ระงับความสงสัยในใจก่อนจะเงยหน้าขึ้นไปมองบนท้องฟ้า

 

ในเวลาต่อมา ผู้นําลัทธิบูชาจันทร์ได้เห็นฉากที่ยากจะลืมเลือนแม้จะผ่านเวลาไปทั้งชีวิต

 

เขาเห็นฝ่ามือพระพุทธรูปสีทองเงาวาว มีรัศมีแสงอันบริสุทธิ์กระจายออกไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ฝ่ามือสีทองนั้นก็ค่อยๆ ขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ราวกับมันถูกส่งมาจากสรวงสวรรค์ กลิ่นอายอันศักดิ์สิทธิ์กดทับลงมาสะกดทุกสิ่งโดยรอบในทันที

 

ตอนนั้นเอง ท้องฟ้าทั้งผืนก็มืดครึ้ม!

 

 

เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล [Sign in Buddhas palm]

 

Sign in Buddha’s palm 130 ลัทธิบูชาจันทร์

 

อาณาจักรหนานจ้าวตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของต้าถัง ห่างจากเมืองฉางอันเป็นหมื่นลี้

 

สําหรับคนทั่วไปอาจจะใช้เวลาเป็นปีหรือหลายสิบปีเพื่อที่จะเดินทางข้ามผ่านระยะทางที่ไกลเช่นนี้ และในชั่วชีวิตหนึ่งอาจจะทําไม่ได้เลยด้วยซ้ำ

 

แต่สําหรับซูฉินมันเป็นเพียงเวลาไม่กี่ชั่วโมงเท่านั้น

 

นี่เป็นกรณีที่ซูฉินไม่รีบร้อนเดินทาง ไม่เช่นนั้นหากเขาใช้ความเร็วอย่างเต็มที่ที่สุดของพลังในขอบเขตอรหันต์อาจจะทําเวลาได้ราวๆ หนึ่งชั่วโมง

 

แม้ว่าอาณาจักรหนานจ้าวจะด้อยกว่าอาณาจักรถังในแง่ของความแข็งแกร่ง แต่พื้นที่ส่วนใหญ่ในดินแดนแห่งนี้นั้นป่าเถื่อนไร้วัฒนธรรมเต็มไปด้วยประเพณีพื้นบ้านอันเก่าแก่

 

ในอาณาจักรหนานจ้าว ลัทธิบูชาจันทร์ถือเป็นที่สุด แม้แต่ผู้ปกครองอาณาจักรยังเป็นสาวกของลัทธิบูชาจันทร์ ถวายสิ่งของเพื่อบูชาเทพจันทราเป็นประจํา

 

ในเวลาเดียวกัน

 

ด้านนอกทิวเขานับแสนแห่งอาณาจักรหนานจ้าว

 

ซูฉินยืนอยู่ตรงจุดนั้นอย่างเงียบๆ มองเข้าไปในส่วนลึกของทิวเขานับแสนลูก

 

“อยู่ตรงนั้นงั้นรึ?”

 

ซูฉินใช้พลังจิตสอดส่องอยู่ภายในใจ

 

ตามตําแหน่งที่เขาได้ประทับเอาไว้ด้วยประกายดาบ มันหยุดลงที่ส่วนลึกของทิวเขาทั้งแสนลูกนี้

 

เมื่อคิดได้เช่นนั้นซูฉินก็ก้าวเท้าเดินไปข้างหน้าแล้วหายวับไป

 

เมื่อเขาเข้ามาถึงส่วนลึกของทิวเขาทั้งแสนลูก ซูฉินก็ชะลอความเร็วลงก่อนถึงตําแหน่งที่ตราประทับหายไปประมาณยี่สิบลี้ เขาค่อยๆ ก้าวเดินไปทีละก้าว

 

เหตุผลที่ซูฉินทําเช่นนี้เพื่อค้นหาดูว่ามีสถานที่ใดที่พอจะลงชื่อเข้าใช้ได้หรือไม่ และอีกเหตุผลคือตรวจสอบทิวเขาทั้งแสนลูกด้วยดวงตาแห่งสัจจะ

 

แม้ซูฉินจะไม่คิดว่าจะมีอะไรคุกคามตนได้ในลัทธิบูชาจันทร์แห่งนี้ แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ควรจะระมัดระวังตัวเอาไว้

 

ในตอนที่ซูฉินกําลังเดินไปตามเส้นทางบนภูเขาอย่างไม่เร่งรีบนั้น

 

ห่างออกไปไม่ไกลปรากฏร่างคนห้าถึงหกคนอยู่บนภูเขาอีกฟาก

 

ห้าหกคนตรงนั้น ยกเว้นชายวัยกลางคนที่อายุมากกว่าคนอื่น ที่เหลือก็เป็นเด็กสาววัยรุ่นทั้งหมด

 

ซึ่งเด็กสาวเหล่านั้นก็มองรอบๆ ตัวอย่างอยากรู้อยากเห็น

 

ซูฉินไม่ได้ตกใจอะไรเมื่อเจอกลุ่มคนเหล่านี้ เขาสังเกตเห็นคนกลุ่มนี้อยู่แล้ว แต่อีกฝ่ายไม่เหมือนกัน เมื่อชายวัยกลางคนหันมาเห็นซูฉิน สีหน้าเขาก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย

 

“ท่านจะไปนมัสการที่ลัทธิบูชาจันทร์เช่นเดียวกันใช่หรือไม่?”

 

ชายวัยกลางคนลังเลไปครู่หนึ่งก่อนจะถามออกมาอย่างระมัดระวัง

 

“ใช่แล้ว” ซูฉินตอบกลับไปอย่างลวกๆ ในขณะที่เดินไปด้วย

 

นอกจากชายวัยกลางคนที่มีกําลังภายในอยู่นิดหน่อยซึ่งแทบจะนับไม่ได้ว่าเป็นผู้ฝึกยุทธแล้ว เด็กสาวที่เหลือต่างก็เป็นเพียงคนธรรมดา

 

“ถ้าเช่นนั้นก็ดีเลย”

 

“พวกเราก็จะไปที่นั่นเหมือนกัน”

 

ชายวัยกลางคนถอนหายใจด้วยความโล่งอกและพูดคุยอย่างเป็นกันเอง “ข้าเป็นจอมยุทธจากเมืองชิงหยางที่อยู่ใกล้ๆ นี้เอง คนเหล่านี้คือสาวกที่เมืองของเราจะส่งไปยังลัทธิบูชาจันทร์ในปีนี้”

 

ชายวัยกลางคนพูดออกมาทุกอย่าง

 

ชายวัยกลางคนคนนี้ชื่อว่าหงเฟย เขามาจากเมืองชิงหยางที่อยู่ด้านนอกทิวเขาแสนลูกแห่งนี้ เหตุผลที่เขามาที่นี่ในครั้งนี้คือมาส่งสาวกไปที่ลัทธิบูชาจันทร์

 

ลัทธิบูชาจันทร์เป็นเหมือนกับลัทธิประจําชาติของอาณาจักรหนานจ้าว มีสถานะสูงส่งยิ่งกว่าลัทธิอื่นๆ ในอาณาจักร ดังนั้นในทุกๆ ปี ผู้คนมากมายในอาณาจักรหนานจ้าวจะส่งลูกหลานของตนไปยังลัทธิบูชาจันทร์

 

หากได้รับเลือกจากทางลัทธิบูชาจันทร์แล้ว สถานะภายในลัทธิจะพุ่งสูงขึ้นอย่างแน่นอน

 

และชายวัยกลางคนเองก็มาเพื่อจุดประสงค์เดียวกันนี้ เขานําเด็กสาววัยรุ่นที่มีคุณสมบัติเหมาะสมจากทั้งเมืองของตนมาส่งให้ลัทธิบูชาจันทร์ ตราบใดที่ใครสักคนหนึ่งถูกคัดเลือกเข้าไป จะส่งผลกระทบต่อเมืองชิงหยางอย่างเป็นประวัติการณ์

 

“ท่านคงจะเป็นจอมยุทธที่ต้องการไปเยี่ยมเยือนลัทธิบูชาจันทร์ใช่หรือไม่?”

ชายวัยกลางคนอย่างหงเฟยเหลือบมองซูฉินและถามขึ้นมาอย่างไม่แน่ใจ

 

รัศมีที่แผ่ออกมาจากตัวซูฉินไม่ได้ต่างไปจากคนธรรมดาเลย แต่ถ้าเป็นคนธรรมดาจริงๆ จะกล้าเข้ามาที่ทิวเขาแสนลูกเช่นนี้ได้อย่างไร?

 

ดังนั้นใจของชายวัยกลางคนจึงคิดว่าซูฉินจะต้องเป็นจอมยุทธที่ทรงพลัง

 

ในความเป็นจริงไม่ใช่เรื่องแปลกที่จอมยุทธอย่างซูฉินจะมาปรากฏตัวที่ทิวเขาแสนลูก และก็มีจอมยุทธจํานวนมากที่มีจุดประสงค์มาเพื่อเยี่ยมเยียนลัทธิบูชาจันทร์แห่งนี้เหมือนกัน

 

ซูฉินได้ฟังแบบนั้นก็ขี้เกียจตอบ

 

เมื่อเห็นเช่นนั้น หงเฟย ชายวัยกลางคนก็เริ่มเชื่อมั่นในความคิดของตนเองมากขึ้นว่าซูฉินจะต้องมาเยี่ยมลัทธิบูชาจันทร์เป็นแน่

 

อย่างไรก็ตามซูฉินไม่ได้พูดอะไร หงเฟยจึงไม่กล้าพูดอะไรต่อ เขาจึงติดตามซูฉินไปพร้อมๆ กับเด็กสาวทั้งหลายที่อยู่ด้านหลัง

 

“ฟังให้ดี พอเข้าไปในลัทธิบูชาจันทร์แล้วอย่าสอดส่ายสายตามองไปรอบๆ ให้มาก ถ้าพวกเจ้าไปรบกวนตัวแทนแห่งลัทธิเข้า เมืองชิงหยางทั้งเมืองอาจจะเกิดหายนะได้” ชายวัยกลางคนมองไปที่เด็กสาวทั้งหลาย แล้วกล่าวตักเตือนออกไป

 

“ลุงหง ลัทธิบูชาจันทร์ยอดเยี่ยมมากเลยหรือ?” ในตอนนั้นเด็กวัยรุ่นที่ดูแข็งแรงก็อดที่จะถามขึ้นมาไม่ได้

 

“ยอดเยี่ยม?”

 

หงเฟย ชายวัยกลางคนส่ายหัวก่อนจะกล่าวว่า “เมื่อไม่กี่ปีก่อน สาวกแห่งลัทธิบูชาจันทร์ต้องการจะไปยังเมืองหลวง และก่อนที่อีกฝ่ายจะถึงผู้ปกครองเมืองรวมถึงขุนนางต่างๆ ก็ออกมาต้อนรับตั้งแต่ทางเข้าเมืองเลยล่ะ”

 

“เจ้าคิดว่ายอดเยี่ยมไหมล่ะ?”

 

ชายวัยกลางคนกล่าวออกมาเช่นนั้น

 

วัยรุ่นที่ดูหัวดื้อ คนที่ตั้งคําถามขึ้นมาก็ลดหัวลง ไม่กล้าที่จะพูดอะไรอีกต่อไป ส่วนเด็กวัยรุ่นคนอื่นๆ ก็ตกใจไม่แพ้กัน

 

สําหรับพวกเขาคนที่มีตําแหน่งใหญ่สุดก็คือขุนนาง ผู้ปกครองเมือง และสําหรับผู้ปกครองอาณาจักรหนานจ้าวก็เปรียบเสมือนตํานาน

 

แต่ตอนนี้ดูเหมือนผู้ปกครองอาณาจักรหนานจ้าวจะไม่นับเป็นตัวอะไรเลยเมื่ออยู่ต่อหน้าลัทธิบูชาจันทร์

 

“แล้ว…แล้วเราต้องทํายังไงดี” เด็กสาวที่ดูเปล่งปลั่งราวกับสลักมาจากหยกถามออกมาอย่างอายๆ

 

“สิ่งที่ลัทธิบูชาจันทร์บอกให้ทํานั่นแหละคือสิ่งที่เจ้าต้อง า” หงเฟย ชายวัยกลางคนกล่าวอย่างจริงจัง “จําไว้ จงระวังกิริยาให้ดี

 

“ข้าจะจําให้ขึ้นใจ”

 

“ข้าก็จะจําไว้ให้มั่น”

 

เด็กวัยรุ่นทั้งหลายต่างพยักหน้าเห็นด้วยอย่างรวดเร็ว

 

“พวกเจ้านะโชคดี”

 

จู่ๆ หงเฟยก็นึกบางสิ่งขึ้นมาได้ รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขา “เมื่อเร็วๆ นี้ทางลัทธิบูชาจันทร์ต้องการจะถวายเครื่องบูชาแด่ “เทพจันทรา” ดังนั้นพวกเขาจึงผ่อนปรนข้อกําหนดในการคัดเลือกศิษย์สาวก ไม่เช่นนั้นอย่าว่าแต่จะได้เป็นศิษย์สาวกหรือไม่เลย จะได้ข้ามผ่านประตูเข้าไปด้านในได้รึเปล่าก็ยังไม่รู้…”

 

ชายวัยกลางคนอย่างหงเฟยกล่าวออกด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยอารมณ์ความรู้สึก

 

“ถวายเครื่องบูชาแด่เทพจันทรา?? ”

 

ซูฉินเดินไปด้านหน้าอย่างไม่เร่งรีบ กระตุกคิดบางอย่างขึ้นในใจ

 

ก่อนที่เขาจะมาที่นี่เขาเคยอ่านมาจากคัมภีร์โบราณที่ว่าเอาไว้ว่าลัทธิบูชาจันทร์จะถวายเครื่องบูชาแด่ “เทพจันทรา” ในทุกๆ สิบปี

 

“เป็นวันที่ต้องเคร่งครัดที่สุดในบรรดาพิธีของลัทธิบูชาจันทร์ เหล่าสาวกทุกคนจะกลับมาที่สถานศักดิ์สิทธิ์ในวันนี้”

 

“ก็ดีที่มารวมกันในครั้งเดียว จะได้ไม่ต้องกังวลว่าจะเกิดเหตุการณ์อะไรอย่างเช่นการแก้แค้นในอนาคต”

 

ซูฉินคิดอยู่ในใจตนอย่างเงียบๆ

สองชั่วโมงหลังจากการเดินทางบนถนนอันยาวนาน ในที่สุด ซูฉินก็มาอยู่ที่หน้าลัทธิบูชาจันทร์

 

ในเวลานี้ซูฉินได้มายืนอยู่บนยอดเขา และข้างหน้าของเขามีสะพานโซ่ที่เชื่อมยอดเขาลูกนี้กับยอดเขาอีกลูกหนึ่ง

 

ส่วนลัทธิบูชาจันทร์นั้นอยู่อีกฟากฝั่งของปลายสะพานโซ่ซึ่งอยู่ห่างจากที่นี้ออกไปประมาณสิบลี้

 

“ถึงแล้ว”

 

“นี่คือสถานศักดิ์สิทธิ์ของลัทธิบูชาจันทร์”

 

หงเฟย ชายวัยกลางคนถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งใจ และชี้ไปที่อีกด้านของสะพานโซ่

 

“มันสวยมาก…” เด็กสาวเบิกตากว้างและพึมพําอยู่กับตนเอง

 

Sign in Buddha’s palm 129 ไปยังหนานจ้าว

 

“ข้ายังต้องระมัดระวังตนเพิ่มอีก”

 

ซูฉินนั่งขัดสมาธิ ความคิดถูกเหวี่ยงไปมาในหัว

 

แม้ว่าตัวเขาจะมีไพ่ลับในมือจํานวนนับไม่ถ้วน และมีฝ่ามือยูไลซึ่งเป็นเคล็ดวิชาที่แข็งแกร่งที่สุดในวิชาสายพุทธ แต่เขาก็ยังไม่สามารถใช้มันได้อย่างเต็มที่

 

ถ้าวันใดวันหนึ่ง ซูฉินถูกบังคับให้ต้องใช้ฝ่ามือยูไลจริงๆ ก็หมายความว่าตัวเขาไม่มีทางให้ถอยหนีแล้ว

 

“ยังไงข้าก็ยังแข็งแกร่งไม่พอ ข้าต้องก้าวเข้าสู่ระดับนภาชั้นที่เก้าในขอบเขตอรหันต์เสียก่อน ตอนนั้นคงไม่มีใครในโลกนี้มาคุกคามข้าได้”

 

ซูฉันคิดตัดสินใจ

 

“ช่วงเวลาต่อจากนี้ ข้าจะต้องปรับแต่งจิตวิญญาณภายในจี้หยกให้เร็วที่สุดแล้วเปลี่ยนมาเป็นพลังงานของตัวเอง”

 

ซูฉินหยิบจี้หยกขึ้นมาแล้วส่งจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของตนหลอมเข้าไปภายในเพื่อกลั่นเกลาจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ภายใน

 

การกลั่นเกลาจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์แบบนี้แตกต่างจากการกลืนโอสถ

 

แม้ว่าเจ้าของเดิมของจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์อันนี้จะเสียชีวิตไปแล้ว แต่มันก็ยังเป็นพลังของผู้อื่นอยู่ดี ซูฉินจําจะต้องปรับแต่งมันสักเล็กน้อยหากเขาต้องการที่จะดูดซับมันโดยไม่มีปัญหาใดเกิดขึ้น

 

ช่วงเวลาต่อมา

 

ซูฉินก็กลับสู่วงจรชีวิตรูปแบบเดิมอีกครั้ง

 

แต่เมื่อเทียบกับเมื่อก่อน ตอนนี้ซูฉินมุ่งเน้นเวลาทั้งหมดไปกับการกลั่นเกลาจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ภายในจี้หยก จะยกเว้นก็แต่เวลาที่ไปลงชื่อเข้าใช้ตามสถานที่ต่างๆ

“อย่างน้อยก็อีกสองเดือน ข้าน่าจะกลั่นมันจนสมบูรณ์ได้”

 

ซูฉันคิดในใจ

 

มันคุ้มค่าที่จะใช้เวลาสองเดือนเพื่อแลกกับพลังศักดิ์สิทธิ์ที่เพิ่มขึ้นถึงหนึ่งส่วน

 

และขณะที่ซูฉินกําลังกลั่นจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ภายในจี้หยกนั้น

 

“ลุงสาม พวกเรามาแล้ว”

 

ที่ด้านนอกของตําหนักชุนฝั่งขวา เสียงของเด็กตัวน้อยก็ดังลอดเข้ามา

 

ซูฉินเงยหน้าขึ้นมอง ก็เห็นพระโอรสและพระธิดาของจักรพรรดิถังทั้งสองคน นั่นก็คือหลี่หยวนและหลีหว่านยืนอยู่ด้านนอก

 

ข้างๆ หลี่หยวนกับหลีหว่านมีขันทีคนสนิทและนางกํานัลกําลังยืนโค้งตัวอยู่ เห็นได้ชัดว่าเป็นพวกเขาที่พามาที่นี่

 

“ทําไมพวกเจ้าถึงมาอยู่ที่นี่ได้?”

 

ซูฉินเดินออกมาจากตําหนักขุนฝั่งขวา และถามไถ่อย่างไม่ได้จริงจังนัก

 

“ลุงสาม ในวังนะน่าเบื่อเกินไป” หลีหว่านเอ่ยเสียงใส

 

“หือ?”

 

“แล้วเจ้าล่ะทําไมไม่เห็นพูดอะไรเลย?”

 

หลีหว่านหันกลับไปมองหลี่หยวนที่ซ่อนตัวอยู่ข้างหลัง เธอดึงตัวเขาให้เข้าไปหาซูฉินแล้วกล่าวขึ้นว่า “ลุงสาม เสด็จพ่อให้เรามาเยี่ยมท่านบ่อยๆ…”

 

“ลุงสาม…”

 

หลี่หยวนก้มหัวและพูดอะไรออกมาบางอย่าง

 

ไม่รู้ทําไม เด็กที่ไม่กลัวใครและถึงขนาดกล้าดึงหนวดของท่านอาจารย์อย่างหลี่หยวน เมื่อพบซูฉินเขากลับเกรงกลัวขึ้นมาจับใจ

 

“จักรพรรดิถัง…”

 

ซูฉินส่ายหัวเล็กน้อย

 

แม้ว่าตัวเขาจะปฏิเสธข้อเสนอขององค์จักรพรรดิถังไปตรงๆ และไม่เต็มใจที่จะสร้างสัมพันธ์ที่มากเกินไปกับองค์ชายและองค์หญิงทั้งคู่อย่างหลี่หยวนและหลีหว่าน แต่ที่เห็นได้ชัดว่าจักรพรรดิถังยังต้องการจะให้ลูกๆ ของตนมาอยู่ใกล้ชิดซูฉินอยู่ดี

 

“ลุงสาม ข้าคิดว่าที่นี่นั้นสบายมากๆ สบายกว่าที่อื่นในวังหลวงทุกที่เลย…”

 

หลีหว่านกะพริบตาและกล่าวคํา

 

“งั้นรึ?”

 

ซูฉินไม่ได้ประหลาดใจแม้แต่น้อย

 

หลีหว่านเดิมทีก็เป็นอัจฉริยะในด้านการฝึกยุทธ โดยที่มีเส้นลมปราณที่ปลอดโปร่งตั้งแต่กําเนิดสามารถสัมผัสได้ถึงพลังงานฟ้าดินได้เล็กน้อย

 

สําหรับตําหนักขุนฝั่งขวาที่ซูฉินอาศัยอยู่ ไม่รู้ว่ามีค่ายกลฟ้าดินระดับสูงอยู่ตั้งกี่แห่ง ถึงแม้ว่าค่ายกลฟ้าดินพวกนี้จะไม่ได้ใช้สําหรับรวบรวมพลังงานฟ้าดิน แต่พวกมันก็สามารถสร้างผลกระทบต่อพลังงานในพื้นที่ได้บ้าง

 

นั่นเป็นเหตุผลที่ทําให้หลีหว่านรู้สึกว่าที่นี่แตกต่างไปจากที่อื่น

 

“เจ้าชื่นชอบวิทยายุทธหรือไม่?” ซูฉินเหลือบมองไปที่หลีหว่านและถามอย่างไม่จริงจังนัก

 

“วิทยายุทธ?”

 

“ที่พวกกงกงพวกนั้นใช้เหาะเหินเดินอากาศนะหรือ?”

 

ดวงตาของหลีหว่านเป็นประกายและเธอก็รีบพูดขึ้นในทันที “แน่นอนว่าหลีหว่านชอบแบบนั้น”

 

“ถ้าเจ้าชอบ เจ้าก็จงไปบอกพ่อของเจ้าว่าเจ้าอยากจะฝึกฝนวิทยายุทธ”

 

ซูฉันมองไปที่หลีหว่านแล้วกล่าวคําแผ่วเบา

 

ด้วยพรสวรรค์ด้านวิทยายุทธของหลีหว่าน คงจะน่าเสียดายแย่หากไม่ได้ฝึกฝนวิชายุทธ

 

ซูฉินก็แค่คิดแบบนั้น แต่ไม่ได้ตั้งใจจะสอนหลีหว่านด้วยตนเอง

 

ในวังหลวงมีจอมยุทธมากมาย และมียอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งตั้งหลายสิบคน ฉะนั้นซูฉินจึงไม่จําเป็นต้องทําด้วยตนเอง

 

จากนั้นไม่นาน

 

หลี่หยวนและหลีหว่านก็ขอให้นางกํานัลและขันทีข้างกายให้พาเธอกลับที่ประทับ

หลังจากที่หลีหว่านกับหลี่หยวนจากไป

 

ที่สัมผัสบางอย่างด้วยจิตใจแล้วมองไปยังทิศทางหนึ่ง

 

“ตราประทับที่ใส่เอาไว้กําลังจะสลายไปแล้ว”

 

“รอจนกว่าข้าจะกลั่นจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์เสร็จสิ้นก่อนเถิด แล้วจะหาเวลาเดินทางไปยังอาณาจักรหนานจ้าว”

ดวงตาของซูฉินสงบนิ่งแต่มีความคิดบางประการอยู่ในใจ

 

ไม่กี่ปีก่อน สาวกลัทธิบูชาจันทร์พยายามควบคุมซูเฉิงฮ่าวด้วยมนต์คาถา

 

ในตอนนั้นซูฉินกําจัดคนที่ร่ายคาถาทันที และใช้ส่วนหนึ่งที่แยกออกจากประกายแสงดาบสร้างรอยประทับให้กับคนของอีกฝ่ายเพื่อจับตําแหน่งของเจ้าพวกนั้น และมันก็เป็นไปตามแผนที่ซูฉินวางเอาไว้

 

ในช่วงไม่กี่ปีมานี้อีกฝ่ายก็เดินทางกลับไปจนถึงอาณาจักรหนานจ้าว ก่อนที่จะมีการจัดพิธีบูชาเทพแห่งจันทรา ยามนั้นก็ถึงเวลาที่ซูฉินจะไปเยือนที่นั่น

 

ลัทธิบูชาจันทร์ถึงกับกล้ายื่นมือมาแตะต้องตระกูลซู พวกเขาก็ต้องเตรียมพร้อมกับการโดนล้างบาง

 

“ในช่วงไม่กี่ปีมานี้ ข้าได้เห็นผ่านตามาจากคัมภีร์โบราณในวังหลวง เหมือนว่า เทพจันทรา ที่สาวกลัทธิบูชาจันทร์เคารพนับถือนั้นค่อนข้างแปลก…”

 

ซูฉินแตะปลายคางของตนเองและครุ่นคิด

 

ถึงแม้ซูฉินจะสงสัย แต่เขาเองก็ไม่ได้กังวลอะไรมาก

 

“เทพจันทรา” ของลัทธิบูชาจันทร์ถึงความจริงจะไม่ได้ง่ายดายอย่างที่ตาเห็น แต่ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะเป็นถึงระดับตํานานยุทธ ไม่เช่นนั้นลัทธิบูชาจันทร์ก็คงเรืองอํานาจไปทั่วดินแดนแล้ว ทําไมถึงมีอิทธิพลอยู่แค่ในมุมเล็กๆ อย่างอาณาจักรหนานจ้าว?

 

“ไม่ว่าจะเป็นอะไร ไปดูเดี๋ยวคงได้รู้กัน”

 

เมื่อคิดได้แบบนั้นซูฉินก็เริ่มปรับแต่งจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ก้อนใหญ่ภายในจี้หยกอีกครั้ง

 

สองเดือนผ่านไปในพริบตา

 

ในวันนี้ฉันลืมตาขึ้นมา ไอพลังที่ไม่อาจหยั่งถึงได้แผ่ออกมา และจางหายไปในเวลาเพียงไม่นาน

 

เบื้องหน้าของซูฉิน รอยร้าวเริ่มปรากฏบนผิวของจี้หยกอันใสสะอาด

 

หลังจากที่รอยร้าวนี้ปรากฏขึ้น มันก็ค่อยๆ แพร่กระจายออกไปอย่างรวดเร็ว รอยแตกลามไปทั่วทั้งตัวหยกในพริบตา

 

หลังจากนั้น

 

แกร๊กๆ

 

มันก็กลายเป็นผุยผงทันที

 

จี้หยกชิ้นนี้แต่เดิมมีไว้เพื่อบรรจุจิตวิญญาณของปฐมจักรพรรดิราชวงศ์ถัง และตอนนี้จิตวิญญาณภายในได้หายไปแล้ว ฉะนั้นจี้หยกก็ย่อมจะสลายหายไปด้วย

 

“อีกไม่นานแล้ว”

 

ซูฉินลุกขึ้นและเดินออกจากตําหนักชุนฝั่งขวา

 

ในการเดินทางไปหนานจ้าวในครั้งนี้ ซูฉินไม่ได้ตั้งใจจะบอกใครเอาไว้ ด้วยความเร็วของเขาระยะทางจากฉางอันไปหนานจ้าวที่คนทั่วไปคงจะใช้เวลาอย่างเร็วที่สุดก็หนึ่งปี เขาสามารถไปถึงได้ภายในครึ่งวัน

 

เพราะฉะนั้นเขาไม่จําเป็นต้องไปแจ้งใครเรื่องนี้

 

อย่างไรก็ตามก่อนที่จะจากไป ซูฉินได้แวะไปที่ตระกูลซูโดยแยกจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ออกมาเล็กน้อย แล้วผูกติดไว้ที่ตระกูลซู

 

ตอนที่ซูฉินอยู่ในเมืองฉางอัน จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของเขาห่อหุ้มทั่วทั้งเมืองฉางอันเอาไว้ตลอดเวลา ทุกคนในตระกูลซูจะต้องปลอดภัยอย่างแน่นอน แต่ตอนนี้ซูฉินต้องการจะออกจากฉางอันไปอาณาจักรหนานจ้าว ถึงจะเป็นเวลาเพียงครู่เดียวเขาก็จะไม่ลดการเฝ้าระวังลง

 

ด้วยความแข็งแกร่งในปัจจุบันของซูฉิน แต่รัศมีพลังของจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ก็เพียงพอจะปกคลุมผืนปฐพีได้ แม้ว่าจะต้องเจอกับตํานานยุทธก็ยังพอยื้อเวลาได้สักพักใหญ่ เพียงพอให้ตัวเขารีบกลับมาได้ทัน

 

สําหรับจักรพรรดิหลี่เชิงและซูเยวหยุน ซูฉินก็ได้แยกจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ไว้ที่พวกเขาเช่นกัน

 

แม้ว่าซูเย่วหยุนจะมีจี้หยกที่มีเศษเสี้ยวของจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ที่ซูฉินมอบไว้ให้

 

แต่จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ในจี้หยกนั้นแตกต่างไปจากจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ยามที่ซูฉินเข้าสู่ระดับตำนานยุทธได้แล้ว มันมีประโยชน์น้อยกว่าจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ในปัจจุบัน

 

“วันนี้ข้าจะทิ้งโอกาสในการลงชื่อเข้าใช้ไปก่อน บางทีอาจจะเอาไปใช้ตอนที่อยู่ในลัทธิบูชาจันทร์ได้”

 

ซูฉินเลือกที่จะละทิ้งโอกาสในการลงชื่อเข้าใช้วันนี้ไป

 

หากที่ลัทธิบูชาจันทร์สามารถลงชื่อเข้าใช้ได้ ซูฉินก็จะใช้สิทธิ์ลงชื่อที่นั่น แต่หากไม่เป็นเช่นนั้น ซูฉินจะรีบกลับมาที่วังก่อนจะเปลี่ยนผ่านวันใหม่

 

เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว

 

ซูฉินเดินทางออกจากวังหลวงตั้งแต่เช้าตรู่

 

Sign in Buddha’s palm 128 ตํานานยุทธเมื่อห้าร้อยปีก่อน

 

“นี่คือ?”

 

“ค่ายกลฟ้าดินระดับสูง?”

 

ในขณะที่สายตาของซูฉินไปตกอยู่ที่เส้นสีทองเข้มบนกล่องไม้ ความคิดของเขาก็ผันผวนรวนเร

 

กล่องไม้ในพระหัตถ์ของจักรพรรดิหลี่เชิงค่อนข้างธรรมดา แต่แกะสลักมาจากไม้จันทน์อายุกว่าร้อยปี สําหรับคนทั่วไปแล้วก็คงจะมีค่ามาก แต่เมื่อเทียบกับลวดลายสีทองเข้มที่ดูลึกลับบนพื้นผิวของกล่องนั้นก็เป็นคนละเรื่องกันเลย

 

ในสายตาของซูฉิน เขาเห็นเส้นสีทองเข้มบนผิวกล่องไม้ เหมือนเป็นเกราะป้องกันพลังผันผวนที่อยู่ภายใน

 

ถ้าซูฉินไม่ได้มองเห็นมันด้วยตาตนเอง ต่อให้กวาดจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์เป็นพันๆ ครั้งก็คงไม่พบของสิ่งนี้

 

“มองดูจากความสามารถในการแกะสลักรูปแบบค่ายกลฟ้าดิน ความแข็งแกร่งของคนคนนี้ต้องแข็งแกร่งยิ่งกว่าอรหันต์ถัวอา เมื่อเก้าร้อยปีก่อน…”

 

ความคิดของซูฉินสลับปรับเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว

 

ก่อนที่อรหันต์ถ้วจะจากไป ท่านได้สร้างค่ายกลฟ้าดินไว้มากมายที่ห้องลับนั้น เพื่อหลีกเลี่ยงการพบเห็นของผู้อื่น

 

อย่างไรก็ตามในเหล่าค่ายกลที่ถูกสร้างทิ้งไว้โดยอรหันต์ถัวถูกตั้งไว้ที่ประตูหินด้านนอกห้องลับ ประตูหินมีขนาดใหญ่ มันกว้างหลายเมตร เพียงพอที่จะก่อตั้งค่ายกลฟ้าดินอย่างเหลือแหล่

 

แต่กล่องใบนี้มีขนาดเพียงหนึ่งฝ่ามือเท่านั้น มันยากมากที่จะก่อตั้งค่ายกลฟ้าดินอันซับซ้อนไว้ได้ และมันก็ไม่ใช่สิ่งที่อรหันต์ถ้วจะทําได้

 

“อย่างน้อยก็ต้องเป็นระดับนภาชั้นที่สาม…”

 

ซูฉินคาดเดาในใจ และเริ่มสงสัยกล่องใบนี้มากยิ่งขึ้นเรื่อยๆ

 

ซูฉินอยากรู้ว่าสมบัติประเภทใดที่คุ้มค่ากับความพยายามของบุคคลผู้แข็งแกร่งอย่างน้อยๆ ก็ระดับนภาชั้นที่สาม เพื่อมาปกป้องมันด้วยค่ายกลฟ้าดินที่ซับซ้อนเช่นนี้ ป้องกันไม่ให้คนอื่นค้นพบ

 

“พี่สาม สนใจสิ่งนี้หรือ?”

 

จักรพรรดิถังหลี่เชิงถามขึ้นโดยไม่จริงจังมากนัก เมื่อเห็นท่าทางของซูฉิน

 

“ก็นิดหน่อย”

 

ซูฉินพยักหน้าเล็กน้อยแล้วกล่าวขึ้น

 

ตั้งแต่ซูฉินเกิดมาในโลกนี้ ตัวตนระดับอรหันต์ที่เขาเคยสัมผัสมืออยู่ด้วยกันสองคนเท่านั้น หนึ่งคืออรหันต์ “ถัวอา” อีกคนหนึ่งคือมารพุทธะ

 

ตอนนี้ได้มาพบคนที่สามแล้ว จะให้ซูฉินทําเป็นเฉยเมยได้อย่างไร?

 

“ในเมื่อพี่สามสนใจ ข้าก็จะมอบมันให้กับพี่สาม”

 

จักรพรรดิถังหลี่เชิงส่งมอบกล่องไม้ให้ซูฉินโดยไม่ได้ใส่ใจอะไรนัก

 

“อ้อใช่พี่สาม ข้าได้ยินมาจากผู้เฒ่าที่เฝ้าคลังหลวงว่า กล่องไม้นี้ดูเหมือนจะเกี่ยวข้องกับปฐมกษัตริย์ แต่ข้าก็บอกไม่ได้เหมือนกันว่ามันเกี่ยวข้องกันอย่างไร”

 

จักรพรรดิถังนึกขึ้นได้จึงให้ข้อมูลเพิ่ม

 

“ปฐมจักรพรรดิ?”

 

ซูฉินหรี่ตาลงเล็กน้อย

 

เมื่อเขาเห็นกล่องใบนี้ ตั้งแต่แรกก็เดาเอาไว้แล้วว่ามันคงจะถูกทิ้งเอาไว้โดยผู้ก่อตั้งอาณาจักรถัง เพราะตลอดห้าร้อยปีของ อาณาจักรถังมีเพียงปฐมจักรพรรดิเท่านั้นที่ได้ก้าวเข้าสู่ขอบเขตตํานานยุทธและมีความสามารถมากพอจะก่อตั้งค่ายกลฟ้าดินพวกนี้

 

จักรพรรดิหลี่เชิงพูดคุยกับซูฉินอีกไม่กี่คําแล้วจึงจากไป

 

ซูฉินนั่งไขว้ขา มองกล่องตรงหน้าอย่างเงียบๆ

 

ไม่มีช่องว่างหรือรอยต่อใดเลยที่ตัวกล่องไม้ ราวกับมันเป็นท่อนไม้เดียวกันทั้งท่อน แต่จู่ๆ มันก็เปิดออกอย่างกะทันหัน ในทันทีที่ซูฉินนํามือไปลูบมัน

 

หวึ่ง!

 

คลื่นพลังอันผันผวนที่ไม่สามารถอธิบายได้แผ่กระจายออกไปทุกทิศทาง หากไม่ใช่เพราะที่นี่คือตําหนักขุนฝั่งขวา พลังฟ้าดินอันแกร่งกล้านี้คงกระจายไปทั่วทั้งวังแล้วในขณะนี้ 

 

“เต็มเปี่ยมไปด้วยจิตวิญญาณจริงๆ”

 

ซูฉินขมวดคิ้วเล็กน้อยและมองไปที่จี้หยกใสสะอาดภายในกล่องไม้

 

จี้หยกอันนี้มีความโปร่งใสและมองเห็นรอยหมอกจางๆ อยู่ภายใน แต่ซูฉินก็รู้สึกได้ถึงความผันผวนของจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ภายในตัวหยก

 

“น่าสนใจ”

 

ซูฉินจึงปล่อยจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของตนเข้าไปภายในจี้หยกชิ้นนี้

 

วูม!!!

 

เมื่อซูฉินได้สัมผัสจี้หยก เขาก็รู้ว่าตนเองได้เข้ามาในอีกโลกหนึ่ง

 

โลกใบนี้เป็นเหมือนมิติลวงตา ที่ตรงกลางมีชายร่างใหญ่สวมชุดคลุมลายมังกรนั่งอยู่เงียบๆ

 

“ทําไมเจ้าถึงยังไม่คุกเข่าลงหลังจากพบข้า?”

 

ร่างในชุดคลุมลายมังกรค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมองไปที่ซูฉิน

 

ทันใดนั้นโลกภายในมิติลวงตาก็สั่นสะเทือน พลังอันไร้ที่สิ้นสุดรวมตัวกันเข้ามาเพื่อกดดันซูฉิน

 

“เป็นแค่จิตวิญญาณอันไม่สมบูรณ์กลับกล้าที่จะเผชิญหน้ากับข้างั้นรึ?”

 

เมื่อเจอฉากน่ากลัวดังกล่าว การแสดงออกของซูฉินก็ยังไม่ได้ เปลี่ยนแปลงไปเพราะเขารู้ว่าสิ่งที่อยู่ตรงหน้านั้นไม่ได้นับเป็นอะไรเลยนอกเสียจากภาพลวงตาที่สร้างขึ้นโดยจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ภายในจี้หยก

 

บางทีคนที่เพิ่งขึ้นมาถึงขอบเขตตํานานยุทธคงจะตกใจ

 

แต่สําหรับซูฉิน ผู้ที่เกือบจะถึงขั้นสูงสุดของอรหันต์ระดับนภา ชั้นที่สี่

 

มันก็เป็นเพียงแค่เงาจันทร์ที่สะท้านอยู่ในน้ำเท่านั้น

 

ฟาดที่เดียวก็กระจายหายไปหมดแล้ว

 

ในช่วงเวลาต่อมา

 

ซูฉินก้าวเดินไปอย่างช้าๆ

 

ทันใดนั้น

 

แกรัก

 

แกรัก

 

โลกมายาแห่งนี้ดูเหมือนถูกกดดันด้วยพลังบางอย่างที่ไม่ อาจจะจินตนาการได้ และค่อยหักพังก่อนที่จะสลายไปอย่างสมบูรณ์

 

ภายในตําหนักชุนฝั่งขวา

 

ซูฉินค่อยๆ ลืมตาขึ้นมองไปที่จี้หยกภายในกล่องไม้ด้วยความสนใจ

 

“ปฐมจักรพรรดิมีแผนการเบื้องหลังอะไรหรือไม่ ถึงได้ทิ้งจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์อันทรงพลังไว้เช่นนี้?”

 

ซูฉินแตะไปที่ปลายคาง ดวงตาของเขามีแววครุ่นคิด

 

จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ภายในจี้หยกมีขนาดใหญ่มากจนแทบไม่น่าเชื่อ ซูฉินสงสัยว่าปฐมจักรพรรดิแห่งราชวงศ์ถังได้ทิ้งจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ส่วนใหญ่เอาไว้ที่นี้ใช่หรือไม่

 

“น่าเสียดายนัก ดูจากจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ภายในงี้ เหมือนว่าปฐมจักรพรรดิแห่งราชวงศ์ถังจะได้จากไปอย่างสมบูรณ์…”

 

ซูฉินอยู่ในห้วงความคิด

 

ถ้าปฐมจักรพรรดิราชวงศ์ถังยังคงมีชีวิตอยู่ จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ ภายในจี้หยกจะไม่แข็งแกร่งเท่านี้

 

เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ ซูฉินก็ส่ายศีรษะเล็กน้อย

 

กว่าห้าร้อยปีแล้วตั้งแต่อาณาจักรถังได้ก่อตั้งขึ้น หลังจากปฐมจักรพรรดิได้ข้ามน้ําข้ามทะเลออกไป ก็ไม่มีข่าวคราวของพระองค์อีกเลย

 

“ถ้าปฐมจักรพรรดิยังไม่ตาย จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์เหล่านี้ก็จะไร้ประโยชน์สําหรับข้า แต่ในเมื่ออีกฝ่ายตกตายไปอย่างสิ้นเชิงแล้ว จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ภายในจี้หยกก็กลายเป็นสิ่งไม่มีเจ้าของ ข้าสามารถปรับแต่งและดูดซับมันได้โดยสมบูรณ์”

 

ใจของซูฉินมีความกระตือรือร้นปรากฏขึ้นมาในทันใด

 

ตามการคาดการณ์ของซูฉิน หากเขาสามารถปรับแต่งจิตสัมผัส ศักดิ์สิทธิ์ก้อนใหญ่ภายในจนี้ได้อย่างสมบูรณ์ อย่างน้อยเขาก็สามารถเพิ่มจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของตนเองได้มากถึงครึ่งส่วนไปจนถึงหนึ่งส่วน(จากสิบส่วน)

 

รู้หรือไม่ว่าด้วยความแข็งแกร่งในปัจจุบันของซูฉิน การพัฒนาแค่เพียงก้าวเล็กๆ ก็ยากมากแล้ว ไม่ต้องพูดถึงครึ่งส่วนหรือหนึ่งส่วนเลย

 

ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อเทียบกับความก้าวหน้าของกายเนื้อ หรือแก่นแท้แห่งพลัง การเพิ่มจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์นั้นยากกว่ามาก 

 

“ปฐมจักรพรรดิแห่งราชวงศ์ถังทิ้งจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์เอาไว้เบื้อง หลังเช่นนี้ เมื่อข้ามน้ําข้ามทะเลไปต่างดินแดน เขาคงคิดว่าตนเองสามารถ “เกิดใหม่” ได้ด้วยจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์พวกนี้กระมัง?”

 

ซูฉินคาดเดาอยู่ในใจ

 

นี่เป็นคําอธิบายเดียวที่เขาพอจะคิดได้

 

สําหรับคนทั่วไป เมื่อกายเนื้อตายไปก็คือต้องพบกับความตายอันจริงแท้ แม้แต่ยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งก็หนีไม่พ้นข้อนี้ แต่ในสายตาของตํานานยุทธและตัวตนระดับอรหันต์ทั้งหลาย การที่ร่างกายตายไปไม่ถือว่าเป็นการหายไปโดยสิ้นเชิง

 

ตัวอย่างเช่นมารพุทธะเมื่อเก้าร้อยปีก่อนได้สละร่างกายของตนเองจึงรอดชีวิตมาได้ในรูปแบบของจิตวิญญาณที่เป็นจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์

 

ปฐมจักรพรรดิแห่งราชวงศ์ถังอาจจะมีความคิดแบบเดียวกับมารพุทธะ โดยที่ทิ้งจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ที่แข็งแกร่งเอาไว้เบื้องหลัง เพื่อใช้เป็นสิ่งสํารองในกรณีที่ตนเองล้มเหลว

 

“น่าเสียดายที่ปฐมจักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่แห่งราชวงศ์ถังได้ตายไป แล้วและจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ที่ทิ้งไว้ภายในจี้หยกก็ไม่ได้ถูกนํามาใช้”

 

ซูฉินถอนหายใจ และรู้สึกระแวงมากขึ้นเมื่อคิดถึงดินแดน โพ้นทะเลอันไม่มีที่สิ้นสุด

 

ขนาดปฐมจักรพรรดิถังเป็นถึงตํานานยุทธระดับนภาชั้นที่สาม แต่เมื่อไปในดินแดนโพ้นทะเลอันไร้ที่สิ้นสุดเขาก็ไม่แม้แต่จะรอดชีวิตกลับมา สามารถจินตนาการได้เลยว่าเขาต้องประสบเข้ากับอันตรายที่แสนน่ากลัวมาเป็นแน่

 

แม้ความแข็งแกร่งของซูฉินจะสูงกว่าปฐมจักรพรรดิถัง แต่ก็ไม่ได้รับประกันว่าจะไม่มีตัวตนที่เทียบเคียงหรือเหนือกว่าซูฉินในส่วนลึกของดินแดนโพ้นทะเลอันไร้ที่สิ้นสุดนั่นหรือไม่

 

 

Sign in Buddha’s palm 127 ลวดลายสีทองเข้ม

“ปรากฏว่าข้ากลายเป็น ‘ลุง’ ไปเสียแล้ว…”

 

ซูฉินมองตามหลังจักรพรรดิหลี่เชิงที่เดินจากไปด้วยความประหลาดใจ

 

โดยไม่ทันรู้ตัวก็ผ่านมาห้าหกปีแล้วที่เขาเข้ามาอยู่ในวังหลวง ในช่วงเวลานี้ซูฉินเฝ้าดูจักรพรรดิถังอย่างหลี่เชิงเปลี่ยนจากจักรพรรดิมือใหม่กลายมาเป็นจักรพรรดิผู้มีอํานาจเบ็ดเสร็จ

 

นอกจากนี้ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ซูฉินก็ลงชื่อเข้าใช้ในสถานที่ต่างๆ และได้รับโอสถศักดิ์สิทธิ์มามากมาย

 

“น่าเสียดาย…”

 

“มันยังไม่ไปถึงขั้นสมบูรณ์ของระดับนภาชั้นที่สี่…”

 

“ไม่ต้องรีบ”

 

“ข้ายังมีเวลาอีกมาก ดังนั้นข้าก็จะใช้เวลาให้เต็มที่”

 

ซูฉินไม่ได้คิดมาก ใจของเขาสงบมากขึ้นเรื่อยๆ

 

สําหรับซูฉินแล้ว เขาเพียงแค่ต้องลงชื่อเข้าใช้เพื่อที่จะแข็งแกร่งขึ้นไปเรื่อยๆ มีอะไรให้ต้องกังวลอีก? 

 

ในวังหลวงไม่เพียงแต่จะปลอดภัย แต่ยังไม่มีใครมารบกวนตัวเขาอีกด้วย สําหรับซูฉินนี้ย่อมเป็นสรวงสวรรค์แห่งการฝึกฝนบ่มเพาะ

 

“ในช่วงไม่กี่ปีก่อนหน้านี้ สิทธิ์ในการลงชื่อเข้าใช้ของข้าถูกใช้ไปกับแท่นบูชาเทพธรณีฯ เกือบทั้งหมด”

 

“โลหิตรู้แจ้งประมาณพันหยดและหยดน้ำจิตวิญญาณธรรมชาติอีกหลายพันหยด นอกจากนี้ยังได้สมบัติและโอสถศักดิ์สิทธิ์อย่างอื่นๆ อีกมากมาย…”

 

“ด้วยอัตราการบริโภคของข้าในปัจจุบัน ของพวกนี้อย่างน้อยๆ ก็เพียงพอสําหรับเวลาห้าปี”

 

“ต่อไป ข้าจะมุ่งเน้นไปลงชื่อเข้าใช้ที่อื่นบ้างดีไหม? อย่างเช่น จัตุรัสหยกขาว ไม่แน่ข้าอาจจะได้รับทิพยอํานาจอันอื่นมาอีกก็ได้”

 

ความคิดของซูฉินผันผวน ทันใดนั้นเขาก็ร่างแผนการขึ้นในใจ

 

ตอนที่ลงชื่อเข้าใช้ที่แท่นบูชาเทพธรณีฯ หกในสิบจะได้หยดนจิตวิญญาณธรรมชาติ อีกสามในสิบได้โลหิตรู้แจ้ง ส่วนอีกหนึ่งส่วนที่เหลือก็จะได้ของประเภทอื่นๆ คละเคล้ากันไป

 

นอกจากนี้ปริมาณหยดน้ำจิตวิญญาณธรรมชาติและโลหิตรู้แจ้งที่ได้จากการลงชื่อเข้าใช้แต่ละครั้งก็แตกต่างกันไปเช่นกัน

 

ตัวอย่างเช่น ซูฉินเคยลงชื่อและได้รับหยดนจิตวิญญาณที่เดียวยี่สิบหยด แต่บางครั้งก็ได้เพียงแค่หยดเดียว

ส่วนโลหิตรู้แจ้งก็เป็นเช่นเดียวกัน แต่ที่ซูฉินลงชื่อได้รับมามากที่สุดอยู่ที่สิบสองหยด

 

 

ในเวลาเดียวกัน

 

ที่โถงชีวิตนิรันดร์

 

จักรพรรดิถังมองไปที่รายงานในมือตนด้วยสีหน้าเศร้าหมอง

 

“องค์ชายทุกพระองค์ไม่ปฏิบัติตามคําสั่งของจักรพรรดินั้นยังพอทนได้ แต่พวกเขากลับสุมไฟและขัดขวางไม่ให้ข้าออกพระราชกฤษฎีกาได้ นี่มันหมายความเช่นไร?”

 

จักรพรรดิถังหลี่เชิงกล่าวเน้นทุกคำ

 

“ฝ่าบาท โปรดสงบใจก่อน”

 

“ฝ่าบาท โปรดสงบใจก่อน”

 

เหล่าข้าราชบริพารต่างคุกเข่ากับพื้นแล้วกล่าวคําเสียงดัง

 

“ให้เก็บกดความโกรธเกรี้ยวเอาไว้น่ะหรือ?”

 

จักรพรรดิหลี่เชิงส่ายหัวเล็กน้อย แล้วกล่าวด้วยสีหน้าเย็นชา “ถ้าข้ายังสงบอารมณ์ต่อไป สถานการณ์เช่นนี้ไม่เท่ากับข้ามอบอํานาจให้เหล่าองค์ชายหรอกหรือ”

 

จักรพรรดิถังหลี่เชิงลุกขึ้นยืนอย่างกะทันหันและเดินไปเดินมา

 

องค์ชายราชวงศ์ถังต่างซ่องสุมกำลังพลของตนเอง คิดสร้างความวุ่นวาย แต่ตัวหลี่เชิงเองก็อยากจะจัดการเหล่าองค์ชายมาเนิ่นนานแล้ว

 

“ลองว่ามาซิ ถ้าข้าตัดทอนอำนาจศักดินา พวกเจ้าคิดเห็นเช่นไร?”

 

จักรพรรดิหลี่เชิงเหลือบมองไปที่เหล่าขุนนางทั้งหลายและกล่าวว่า

 

“ตัดทอนอํานาจศักดินา?”

 

ข้าราชบริพารต่างตกตะลึง

 

นี่ไม่ใช่เรื่องล้อเล่น

 

ราชาแห่งหัวเมืองทั้งสิบกับอาณาจักรกลางนั้นเชื่อมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน หากเสียหนึ่งในนั้นไปมันจะส่งผลมาถึงส่วนกลางด้วย ในเวลานั้นราชาของหัวเมืองทั้งสิบจะต้องก่อกบฏและทั้งอาณาจักรถังจะตกอยู่ในสงครามอย่างต่อเนื่อง

 

“ฝ่าบาท โปรดพิจารณาอย่างระมัดระวังในเรื่องการตัดทอนศักดินาด้วย…”

 

ขุนนางบางคนอ้อนวอนด้วยความรู้สึกขมขื่น

 

ไม่ใช่ว่าพวกเขาไม่รู้ถึงอันตรายแฝงจากเหล่าราชาหัวเมืองต่ออาณาจักรถัง แต่ทําไมพวกเขาถึงไม่อยากให้มีการตัดทอนอํานาจศักดินา?

 

นั่นเป็นเพราะเหล่าขุนนางกลัวเกรงผลที่ตามมา

 

จักรพรรดิถังหลี่เชิงถอนหายใจเบาๆ ขณะเฝ้ามองท่าทีของเหล่าขุนนางทั้งหลาย

 

ในความเป็นจริง เขาเข้าใจความคิดของเหล่าขุนนางดี หากไม่ตัดทอนอํานาจศักดินา องค์ชายพวกนั้นก็จะอยู่ในพื้นที่ของตัวเอง แต่เมื่อมีการตัดทอนอํานาจศักดินา เหล่าองค์ชายและเหล่าขุนนางท้องถิ่นที่สิ้นหวังย่อมไม่อาจจะคะเนได้ว่า คนเหล่านั้นจะทําอะไรต่อไป?

 

“พวกเจ้าทั้งหมดออกไปก่อนเถอะ”

 

“ข้าอยากจะพักผ่อนสักครู่”

 

จักรพรรดิถังหลี่เชิงโบกมือของเขา ค่อยๆ ปิดเปลือกตาลง แล้วกลับมานั่งที่บัลลังก์มังกรอีกครั้งหนึ่ง

 

ในช่วงหลายปีที่เขาขึ้นครองราชย์ นโยบายต่างๆ ถูกนํามาใช้อย่างต่อเนื่องซึ่งทําให้อาณาจักรถังดีขึ้นอย่างมาก แต่เพราะแบบนั้นอันตรายแฝงที่ซ่อนอยู่จากเหล่าองค์ชายก็เริ่มเผยออกมามากขึ้น

 

อาณาจักรถังต้องการก้าวหน้าไปอีกขั้น และการที่จะก้าวเข้าสู่ยุครุ่งเรืองอย่างแท้จริงจําเป็นต้องแก้ปัญหาเรื่ององค์ชายและเหล่าขุนนางพวกพ้องไปเสียก่อน

 

การปล่อยเหล่าองค์ชายเอาไว้หนึ่งวัน อาณาจักรถังก็เหมือนจะถูกกดดันหนักข้อขึ้นไปอีก

 

“ตามพระประสงค์”

 

เหล่าขุนนางต่างมองหน้ากันและปลีกตัวออกจากท้องพระโรงไปทีละคน

 

หลังจากข้าราชบริพารจากไปหมดแล้ว องค์จักรพรรดิหลี่เชิงแห่งราชวงศ์ถังก็ออกไปด้านนอกอีกครั้งพร้อมกับเหล้าหนึ่งขวด มุ่งไปยังตําหนักชุนฝั่งขวา

 

“พี่สาม ข้ามาอีกครั้งแล้ว…”

 

จักรพรรดิถังมาพบซูฉินพร้อมกับขวดเหล้าที่อยู่ข้างตัว

 

จักรพรรดิหลี่เชิงไม่เคยดื่มเครื่องดื่มมึนเมามาก่อนในช่วงชีวิตของเขา เพราะรู้สึกว่าเครื่องดื่มมึนเมานั้นจะส่งผลต่อการใช้ความคิดของเขา แต่วันนี้เนื่องจากปัญหาจากเหล่าองค์ชายทําให้เขาต้องใช้เครื่องดื่มมึนเมาเพื่อบรรเทาความเครียดของตน

 

“พี่สาม ท่านคิดว่าข้าตัดสินใจผิดหรือไม่ที่พยายามจะตัดทอนอํานาจศักดินา?”

 

จักรพรรดิหลี่เชิงกระซิบถาม

 

หากเขารอมชอมกับหัวเมืองทั้งสิบเพื่อหาจุดลงตัว เขาก็จะสามารถสร้างความสงบสุขให้กับอาณาจักรถังได้ชั่วคราว แต่หลังจากนั้นจะเป็นเยี่ยงไรเล่า?

 

เหล่าหัวเมืองทั้งสิบมักจะสร้างปัญหาให้กับอาณาจักรถังอยู่แล้ว ถ้าในอนาคตเหล่าหัวเมืองทั้งสิบต่างปีกกล้าขาแข็งและคิดริเริ่มที่จะก่อกบฏมันอาจจะเป็นจุดจบของอาณาจักรถัง

 

เมื่อเป็นเช่นนี้ทําไมไม่ควรเริ่มดึงอํานาจเข้ามาสู่ส่วนกลาง? แต่กลับต้องรอให้เหล่าหัวเมืองก่อกบฏ?

 

“มันไม่มีปัญหาหรอกถ้าจะตัดทอนอํานาจศักดินา”

 

ซูฉินเห็นความกังวลขององค์จักรพรรดิถัง จึงกล่าวขึ้นอย่างไม่ได้ใส่ใจมากนัก “เพียงแต่เจ้าต้องเตรียมพร้อมสําหรับผลที่จะตามมาหลังจากที่ตัดทอนอํานาจศักดินาด้วย”

 

“พูดง่ายๆ ก็คือสถานการณ์ในอาณาจักรถังปัจจุบัน จะทนต่อการกระด้างกระเดื่องของขุนนางจากทั้งสิบหัวเมืองได้หรือไม่?”

 

น้ำเสียงของซูฉินเรียบง่าย แต่เขาได้ชี้ให้เห็นถึงปัญหาที่ใหญ่ที่สุดของอาณาจักรถังออกมาโดยตรง

 

คือเจ้ามีความมั่นใจพอจะโค่นอํานาจศักดินาหรือไม่?

 

แม้ว่าจักรพรรดิหลี่เชิง หลังจากขึ้นครองบัลลังก์จะมีการบังคับใช้กฎหมายจนอาณาจักรถังค่อยๆ รุ่งเรืองขึ้น

 

แต่การค่อยๆ รุ่งเรืองขึ้นกับการรุ่งเรืองอย่างทั่วถึงนั้นต่างกัน

 

“พี่สาม ท่านคิดว่าอาณาจักรถังในปัจจุบันยังไม่สามารถตัดทอนอํานาจศักดินาลงได้อย่างนั้นหรือ?” จักรพรรดิหลี่เชิงกล่าวถามหลังจากคิดเรื่องนี้อยู่พักหนึ่ง

 

“เจ้ากําลังรีบเกินไป”

 

ซูฉินส่ายหัวเล็กน้อย

 

เขาอาศัยอยู่ในวังหลวงมาเป็นเวลานาน แม้ว่าเขาจะขี้เกียจดูแลสิ่งต่างๆ แต่จากมุมมองของซูฉินเขาก็เห็นว่าอาณาจักรถัง อย่างไรก็ต้องใช้เวลาอย่างน้อยสิบปีเพื่อสั่งสมรากฐานให้มากพอก่อนที่จะมีคุณสมบัติในการตัดทอนอํานาจศักดินา

 

“ข้ารีบมากเกินไป…”

 

จักรพรรดิถังหลี่เชิงครุ่นคิดจนหน้าผากของเขาค่อยๆ ชุ่มไปด้วยเหงื่อ

 

“ขอบคุณพี่สามสําหรับคําสั่งสอน…”

 

จักรพรรดิถังคํานับซูฉินอย่างสุดซึ้ง ซูฉินเข้าใจสิ่งที่ตัวเขามองข้ามไปได้อย่างรวดเร็ว

 

นั่นคือเขาวิตกกังวลจนเกินไป

 

การปกครองอาณาจักรก็เหมือนกับการปรุงอาหาร มันมีขั้นตอนเล็กๆ ยิบย่อยมากมากมายให้ค่อยๆ ทํา หากต้องการจะทําทุกอย่างในขั้นตอนเดียวไม่เพียงแต่จะไม่ใช่ เรื่องดี แต่ยังจะเป็นการสร้างภัยร้ายให้กับตนเองด้วย

 

“ไม่เป็นไร”

 

ซูฉินตอบกลับไปอย่างสบายๆ

 

ตัวเขาก็พูดออกไปเพียงไม่กี่คํา ทุกสิ่งย่อมขึ้นอยู่กับความเข้าใจของตัวจักรพรรดิถังเอง

 

“อ้อแล้วก็มีอีกเรื่อง พี่สาม”

 

จักรพรรดิถังหลี่เชิงดูเหมือนจะนึกอะไรบางอย่างออกแล้วพูดขึ้นในทันที “เมื่อวานข้าได้ไปที่คลังหลวงมา และพบสิ่งแปลกประหลาด แต่ข้าก็ยังไม่เข้าใจมันจนถึงตอนนี้ เชิญคนหลายคนมาตรวจสอบดู พวกเขาต่างก็บอกว่าไม่รู้อะไรมากนัก…”

 

“พี่สาม ท่านมีความรู้อยู่มาก ท่านลองตรวจสอบดูหน่อยดีไหม…”

 

ในขณะที่พูด จักรพรรดิถังก็หยิบกล่องไม้ออกมาจากแขนเสื้อ

 

กล่องไม้นี้มีความประณีตละเอียดอ่อนมาก มีลวดลายสีทองเข้มอยู่อย่างจางๆ ดูเป็นสิ่งที่ไม่ธรรมดายิ่ง

 

“หือ?”

 

ซูฉินไม่ได้สนใจอะไรมากนักในคราแรก แต่เมื่อเห็นกล่องไม้ สีหน้าของเขาก็ขมวดยิ่งขึ้นเล็กน้อยและสายตาก็จับจ้องไปตามลวดลายสีทองเข้มที่ปรากฏบนผิวของกล่อง

 

Sign in Buddha’s palm 126 ทิพยอํานาจ! กายเนื้อกําเนิดใหม่!

 

ในขณะที่แก่นแท้แห่งพลังหลั่งไหลเข้าสู่ร่างกายของนาง ซูเยว่หยุนก็รู้สึกง่วงงุน และผล็อยหลับไปภายในไม่นาน

 

“หยุนเหนียงคงทรมานไม่น้อยเลย”

 

หลังจากที่จักรพรรดิถังหลี่เชิงเฝ้ามองซูฉินอยู่สักพัก เขาก็เบนความสนใจไปที่บุตรและบุตรีฝาแฝดที่อยู่ข้างๆ

 

ซูฉินเองก็ชําเลืองมองดูเช่นกัน

 

“เอ๋?”

 

ซูฉันรู้สึกประหลาดใจ

 

เด็กทั้งสองคนเป็นทารกแรกเกิด แต่เมื่อซูฉินมองไปก็พบว่าเด็กผู้ชายนั้นปกติดี แต่เด็กผู้หญิงนั้นมีร่างกายที่ปลอดโปร่งอย่างยิ่ง

 

“อัจฉริยะด้านการฝึกยุทธ?”

 

ซูฉินแตะปลายคาง ดวงตามีแววครุ่นคิด

 

โดยทั่วไปของคนปกติ เส้นลมปราณทั้งหมดจะถูกปิดกั้นตั้งแต่กําเนิด และมีเพียงการฝึกฝนวิทยายุทธต่อไปเรื่อยๆ ถึงจะค่อยๆ เปิดเส้นลมปราณเหล่านั้นได้

 

แน่นอนว่าจะมีบางคนที่เกิดมาโดยมีร่างกายที่ไม่ถูกปิดกั้นเส้นลมปราณเลย คนเหล่านี้เมื่อเดินในเส้นทาง การฝึกยุทธจะสามารถเติบโตก้าวกระโดดไปอย่างรวดเร็ว อย่างน้อยก็จะไปถึงขอบเขตสามระดับบนโดยไม่มีปัญหาใด

 

ซูฉินไม่คิดว่าบุตรีของซูเยว่หยุนจะเป็นอัจฉริยะด้านการฝึกยุทธเช่นนี้

 

อย่างไรก็ตามแม้ว่าซูฉินจะประหลาดใจ แต่ก็ไม่ได้รู้สึกว่ามันผิดแปลกแต่อย่างใด

 

ในระดับของซูฉินนั้น เขามีความสามารถเหนือกว่าเหล่าอัจฉริยะมาตั้งนานแล้ว แม้ว่าจะมีดวงใจพุทธะ เช่น เฉียนขู่ ก็ไม่ได้อยู่ในสายตาของซูฉิน

 

สําหรับผู้ฝึกยุทธ พรสวรรค์ที่เหนือกว่าก็แค่ช่วยให้ใช้เวลาน้อยกว่าในการฝึกฝนวิทยายุทธ แต่ไม่ว่าจะเป็นการฝึกฝน ไปจนถึงขีดสุดหรือแม้กระทั่งการเปลี่ยนแปลงพลังจนเสร็จสิ้นสมบูรณ์ก็ไม่ใช่สิ่งที่จะพึ่งพาเพียงแค่พรสวรรค์ได้

 

ซูฉินรอคอยอยู่พักหนึ่งและหลังจากแน่ใจแล้วว่าซูเยว่หยุนสบายดีเขาก็จะกลับไปยังตําหนักชุนฝั่งขวา

 

ส่วนองค์จักรพรรดิถังหลี่เชิง เขากําลังมองไปที่ทารกฝาแฝดด้วยหัวใจอันเปี่ยมไปด้วยความสุขล้น

 

ซูฉินเดินออกจากพระราชวังคุนหนึ่งไปอย่างช้าๆ และแวะหยุดพักเมื่อผ่านไปถึงจัตุรัสหยกขาว

 

“วันนี้ข้ายังไม่ได้ลงชื่อเข้าใช้เลยนี่นา…”

 

ซูฉินเหลือบมองไปที่จัตุรัสหยกขาว และพูดขึ้นภายในใจเงียบๆ “ระบบลงชื่อเข้าใช้”

 

[ขอแสดงความยินดี โฮสต์ลงชื่อเข้าใช้สําเร็จ ได้รับทิพยอํานาจ ‘กายเนื้อกําเนิดใหม่’]

 

“ทิพยอํานาจ?”

 

จิตวิญญาณภายในของซูฉินถึงขั้นตกตะลึง

 

หลังจากลงชื่อเข้าใช้มามากกว่าสามสิบปี ซูฉินได้รับเคล็ดวิชามหัศจรรย์ โอสถ สมบัติฟ้าดินและสิ่งอื่นๆ อีกมากมาย

 

แต่เคยได้รับทิพยอํานาจเพียงแค่ครั้งเดียว

 

นั่นคือดวงตาแห่งสัจจะที่ลงชื่อได้มาจากวิหารพระสหัสพุทธ

 

การที่ได้รับมาเพียงครั้งเดียวภายในเวลาสามสิบปี จะเห็นได้ว่าทิพยอํานาจนั้นหายากเพียงไร

 

แต่ตอนนี้ที่จัตุรัสหยกขาว ซูฉินได้รับทิพยอํานาจมาอีกครั้ง

 

“ไม่คาดคิดเลยว่าจะได้ทิพยอํานาจมา!”

 

ดวงตาของซูฉินสว่างขึ้น ความคิดสับสนวกวน

 

“กายเนื้อกําเนิดใหม่?”

 

จิตใจของซูฉินกะพริบวูบไหวรับเอาพลังวิเศษอันนี้มา

 

กายเนื้อกําเนิดใหม่นั้นตรงตามชื่อ เป็นพลังที่เกี่ยวข้องกับกายเนื้อ

 

แม้ว่าร่างกายจะแหลกสลายแต่ตราบใดที่ส่วนสําคัญของร่างกายไม่ได้รับบาดเจ็บ พลังวิเศษนี้ก็จะสามารถใช้ในการฟื้นฟูร่างกายใหม่ได้อย่างรวดเร็ว

 

สิ่งนี้หมายความว่าอะไร?

 

นี่คือร่างกึ่งอมตะ!

 

แม้ว่าอรหันต์หรือตํานานยุทธจะสามารถฟื้นฟูร่างกายได้เช่นกัน แต่การกระทําอย่างเช่น งอกแขนใหม่ งอกขาใหม่ สําหรับตํานานยุทธและอรหันต์ก็นับว่าเป็นการใช้พลังไปอย่างมหาศาล

 

อาจจะต้องใช้พลังที่สั่งสมมา อาจจะแค่ไม่กี่เดือนไปจนถึงหลักหลายปี หลักสิบปี

 

และสุดท้าย แม้แต่แก่นแท้แห่งพลังก็ต้องถูกนำออกมาใช้

 

แต่กายเนื้อกําเนิดใหม่นั้นต่างออกไป

 

ไม่เพียงแต่จะดีกว่าในด้านการฟื้นฟูร่างกายหรืองอกอวัยวะขึ้นมาใหม่ ในแง่ความเร็วจะยังรวดเร็วกว่าจนทิ้งห่างไม่เห็นฝุ่น

 

การที่ซูฉินมีทิพยอํานาจอันนี้ควบคู่ไปกับการมีร่างกายที่ทรงพลังจนน่ากลัวนั้น ความสามารถในการต่อสู้ของเข้าย่อมพุ่งสูงขึ้นไปอีกอย่างน้อยหนึ่งระดับ

 

“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า”

 

“ด้วยทิพยอํานาจอันนี้ ข้าก็มีไพ่ลับเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งใบ”

 

ซูฉินพอใจมากกับกายเนื้อกําเนิดใหม่ ไม่เพียงแต่จะช่วยเหลือในการพิชิตศัตรูเท่านั้น แต่ยังใช้ในการบ่มเพาะได้ด้วย

 

ก่อนที่จะได้ทิพยอํานาจกายเนื้อกําเนิดใหม่อันนี้มา ซูฉิน ฝึกฝนอย่างระมัดระวัง กลัวว่ามันจะเป็นการทําให้ร่างกาย บาดเจ็บจนเกิดเป็นบาดแผลแฝงเร้นไปแต่ตอนนี้ด้วยกายเนื้อกําเนิดใหม่ หากมีอาการบาดเจ็บใดเกิดขึ้นก็ไม่ใช่เรื่องยากที่ร่างกายจะถูกฟื้นฟูขึ้นมาใหม่

 

“ว่ากันว่านอกจากทิพยอํานาจอย่างกายเนื้อกําเนิดใหม่แล้ว ยังมีทิพยอํานาจหยดเลือดกําเนิดใหม่” อยู่อีกด้วย…”

 

ท่าทางของซูฉินดูหลงใหลไปกับมัน

 

หากการมีกายเนื้อกําเนิดใหม่เทียบเคียงได้กับเป็นกิ่งอมตะ ฉะนั้นหยดเลือดกําเนิดใหม่ก็แทบจะเป็นอมตะเลยทีเดียว

 

ตราบใดที่ยังคงมีเลือดอยู่ มันก็สามารถฟื้นฟูตัวเองขึ้นมาได้อย่างรวดเร็วราวกับเทพปีศาจผู้เป็นอมตะ

 

เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว

 

สามปีผ่านไปภายในพริบตา

 

ในช่วงสามปีที่ผ่านมาจักรพรรดิหลี่เชิงแห่งราชวงศ์ถังได้ครองราชบัลลังก์อย่างสมบูรณ์ ทั้งยังนาราชวงศ์ถังไปสู่ความรุ่งโรจน์ผ่านการออกราชโองการอย่างต่อเนื่อง

 

“พี่สาม”

 

ในวันนี้จักรพรรดิถังอย่างหลี่เชิงก็มายืนรออยู่ที่ด้านนอกตําหนักชุนฝั่งขวา และโบกมือให้กับซูฉิน

 

ถัดมาจากจักรพรรดิหลี่เชิงก็เห็นเป็นเด็กผู้ชายและเด็กผู้หญิงอายุประมาณสามสี่ขวบ ดวงตาสีดํากลมโต ช่างดูน่ารักยิ่ง

 

เด็กชายและเด็กหญิงทั้งคู่ต่างเป็นบุตรและธิดาของจักรพรรดิหลี่เชิงกับซูเยว่หยุน

 

สามปีผ่านพ้น ทั้งคู่โตขึ้นมาก เด็กผู้ชายชื่อว่าหลี่หยวน เด็กผู้หญิงชื่อว่าหลีหว่าน”

 

ซูฉันเดินเข้าไปหาอย่างช้าๆ

 

“ลุงสาม……”

 

หลี่หยวนและหลีหว่านส่งเสียงร้องอย่างพร้อมเพรียง มองไปที่ซูฉินด้วยตาดวงโตๆ ดูอยากรู้อยากเห็น

 

“พี่สาม วันนี้หยวนเอ่อทําให้อาจารย์โกรธหนักอีกแล้ว…” จักรพรรดิถังหลี่เชิงเหลือบมองไปที่หลี่หยวนอย่างไม่รู้จะทําอย่างไรดี

 

“เสด็จพ่อ…” หลี่หยวนรู้ตัวดีว่าตนผิดจึงลดศีรษะลงไม่ กล้าพูดอะไร

 

“มันก็เป็นเรื่องปกติของเด็กๆ ที่จะซุกซน” ซูฉินไม่ได้ สนใจอะไรแล้วพูดขึ้นเหมือนมันเป็นเรื่องปกติ

 

“อา…”

 

“เป็นเรื่องปกติที่เด็กทั่วไปจะซุกซน”

 

จักรพรรดิถังหลี่เชิงถอนหายใจและลูบศีรษะของหลี่หยวน “แต่หยวนเอ่อทําไม่ได้นะสิ เขาเป็นบุตรชายคนเดียวของข้า ถูกกําหนดมาให้สืบทอดราชบัลลังก์แทนข้าในอนาคต ความประมาทเพียงน้อยนิดที่มีจะทําให้ประชาชนเดือดร้อนได้”

 

จักรพรรดิหลี่เชิงส่ายหัวเล็กน้อย

 

เขาให้ความสําคัญกับหลี่หยวนมาก และไม่ต้องการให้หลี่หยวนทําผิดพลาดครั้งใหญ่ในอนาคต

 

“สิ่งต่างๆ ในอนาคตนั้นย่อมเป็นผู้คนในอนาคตที่กําหนดมัน ฉะนั้นเราก็แค่ต้องใช้ชีวิตในปัจจุบันให้ดี”

 

ซูฉินมองไปที่หลี่หยวนและพูดขึ้นเบาๆ

 

“ก็จริง”

 

จักรพรรดิหลี่เชิงคิดสักพักและพบว่ามันสมเหตุสมผลดี

 

ตัวเขาไม่ใช่เทพเจ้า จะหยั่งรู้สิ่งที่เกิดขึ้นในอนาคตได้อย่างไร?

 

“พี่สาม ทําไมท่านถึงไม่มาเป็นอาจารย์ของหยวนเอ๋อเล่า ด้วยการสั่งสอนของท่าน หยวนเอ๋อจะต้องเก่งขึ้นมากแน่ๆ”

 

จักรพรรดิถังหลี่เชิงดูเหมือนจะนึกอะไรบางอย่างได้ และพูดออกมาอย่างตื่นเต้น

 

เขาค้นพบมานานแล้วว่าเด็กอย่างหลี่หยวนผู้ไม่เกรงฟ้ากลัวดิน กลับกลัวซูฉินมาก

 

ตราบใดที่ซูฉินอยู่ หลี่หยวนก็ไม่กล้าจะเล่นซนมากจนเกินงาม รู้ว่าต้องปฏิบัติตัวเช่นไร

 

จักรพรรดิถังรู้สึกดีมากเกี่ยวกับเรื่องนี้ จึงไม่ได้รู้สึกว่ามีอะไรแปลก

 

“ลืมมันไปเถอะ”

 

“ข้าชินกับการอยู่อย่างอิสรเสรีน่ะ”

 

ซุฉินปฏิเสธโดยไม่ต้องคิดเลย

 

เขามาที่วังหลวงก็เพื่อลงชื่อเข้าใช้และฝึกฝนบ่มเพาะ ไม่ได้มาเพื่อสอนสั่งเด็กว่าควรจะประพฤติปฏิบัติตัวอย่างไร

 

นอกจากนี้ซูฉินมักจะชอบความเงียบสงบ ถ้าต้องมีเด็กอยู่ใกล้ๆ เขาก็รู้สึกว่าไม่ชินเท่าไรนัก

 

“ก็ได้”

 

สีหน้าของจักรพรรดิหลี่เชิงผิดหวังเล็กน้อย แล้วก็ไม่ได้พูดเรื่องนี้ต่ออีก

 

แม้ว่าเขาจะต้องการให้ซูฉินสอนสั่งหลี่หยวนมากๆ แต่ เขาก็อยากจะให้ซูฉินเต็มใจทํามันเอง ไม่เช่นนั้นตัวจักรพรรดิหลี่เชิงเองก็ไม่สามารถบังคับอะไรได้

 

หลังจากคุยกันต่ออีกหน่อย จักรพรรดิถังหลี่เชิงก็เตรียมพร้อมกลับไปจัดการเรื่องราวภายในราชสํานัก

 

ยิ่งเขาครองบัลลังก์มายาวนานเท่าไหร่ จักรพรรดิหลี่เชิงก็รู้สึกว่าตนเองยิ่งมีภาระหนักขึ้น

 

Sign in Buddha’s palm 125 แฝดหญิงชาย

 

“อย่างน้อยก็ก้าวหน้าขึ้น แม้จะเป็นการพัฒนาเพียงเล็กน้อยก็ตามที่”

 

“หนทางยังอีกยาวไกลกว่าจะถึงขั้นสมบูรณ์ของระดับนภาชั้นที่สี่….”

 

ซูฉินเดินออกจากตําหนักขุนฝั่งขวาอย่างช้าๆ ความคิดของเขาประเดี๋ยวขึ้นประเดี๋ยวลงครุ่นคิดอยู่ภายในใจ

 

ในตอนนี้เขารู้สึกได้ถึงความยากลําบากในการฝึกฝนบ่มเพาะ แม้แต่การใช้โอสถศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายทั้งปวงนั้น การบ่มเพาะก็ยังเป็นไปด้วยความเชื่องช้าไม่ต้องพูดถึงอรหันต์หรือตํานานยุทธคนอื่นๆเลย

 

หากไม่มีโอกาสที่ดี เกรงว่าตลอดทั้งชีวิตของพวกเขาคงจะต้องชะงักอยู่ที่ระดับนภาชั้นที่หนึ่งนภาชั้นที่สอง และอย่างมากที่สุดก็เป็นได้แค่ระดับนภาชั้นที่สาม

 

“แม้จะยังห่างไกลจากนภาชั้นที่สี่ขั้นสมบูรณ์ แต่จากความเร็วในการบ่มเพาะในปัจจุบันของข้า อย่างมากที่สุดก็คงจะอีกสิบปีจึงจะไปถึงได้”

 

ซูฉันคิดในใจ

 

การบรรลุถึงระดับนภาชั้นที่สี่ขั้นสมบูรณ์ในระยะเวลาสิบปีคือกรณีที่ซูฉินไม่ได้ลงชื่อเข้าใช้แล้วได้รับสมบัติที่สูงล้ํากว่าโลหิตรู้แจ้งหรือหยดนจิตวิญญาณธรรมชาติภายในช่วงเวลาสิบปีนี้

 

หากสามารถลงชื่อได้รับโอสถที่มีระดับสูงกว่านี้ ระยะเวลาสิบปีที่ว่าคงจะหดสั้นลงกว่านั้นมาก

 

“น่าเสียดายนัก ไม่ว่าจะเป็นหยดน้ําจิตวิญญาณธรรมชาติหรือโลหิตรู้แจ้งล้วนเป็นสมบัติระดับอรหันต์ คนที่อยู่ในขอบเขตวิทยายุทธทั้งเก้าระดับชั้นไม่สามารถเอาไปใช้ได้เลย…”

 

ซูฉินส่ายหัวเล็กน้อย

 

แม้ว่าจะเป็นยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่ง แต่หากเร่งร้อนเกินไปที่จะใช้หยดน้ําจิตวิญญาณธรรมชาติหรือโลหิตรู้แจ้ง ชะตาที่คอยอยู่มีเพียงจะต้องตายเพราะร่างระเบิดเท่านั้น

 

เนื่องจากพลังงานภายในหยดน้ําจิตวิญญาณธรรมชาติและโลหิตรู้แจ้งนั้นมีมากเกินไปจน เกินขีดจํากัดที่เหล่าจอมยุทธในขอบเขตวิทยายุทธทั้งเก้าระดับชั้นจะทานทนได้

 

เวลาผ่านพ้นไปอย่างเชื่องช้า

 

ซูฉินกลับสู่ช่วงชีวิตอันปกติอีกครั้งหนึ่ง ลงชื่อเข้าใช้ ฝึกฝนทุกวี่วัน และสนทนากับองค์จักรพรรดิหลี่เชิงเป็นครั้งคราว

 

สําหรับครอบครัวตระกูลซู ไม่ว่าจะเป็นซูชื่อหมิน ซูเฉิงฮ่าว หรือซูเฉิงยู่ ซูฉินก็แอบใช้แก่นแท้แห่งพลังของระดับอรหันต์คอยเสริมแกร่งกายเนื้อให้ทุกคน

 

ในยุทธภพ ทรัพยากรมิใช่ปัจจัยเดียวที่จําเป็นในการบ่มเพาะ นอกเหนือจากนั้นเรื่องของจิตใจเองก็เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้เลย

 

ยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งหลายสิบคนในวังหลวง ที่ประสบความสําเร็จเช่นนี้ได้ไม่ใช่เพียงเพราะทรัพยากรภายในพระราชวังถังเท่านั้น แต่เป็นเพราะความสามารถในการเข้าใจและจิตใจของพวกเขานั้นยอดเยี่ยมด้วย จึงสามารถพาตนเองมาถึงระดับชั้นที่หนึ่งกันได้

 

ในบรรดาบุคคลในตระกูลซู พลังชีวิตและเลือดเนื้อของซูชื่อหมินเริ่มลดลงไปแล้ว รวมถึงเริ่มสูญเสียจิตใจแห่งความมุ่งมั่นไปแล้ว แม้ว่าซูฉินจะจัดหาทรัพยากรในการบ่มเพาะให้มากขึ้นอีก แต่ก็คงจะยากที่จะเข้าสู่ขอบเขตสามระดับบนได้

 

สําหรับซูเฉิงฮ่าวและซูเฉิงยู่ พวกเขาต่างก็ไม่มีจิตใจแห่งความมุ่งมั่นในการบ่มเพาะ เพราะฉะนั้นความสําเร็จในด้านการฝึกฝนย่อมมีจํากัดไม่ต่างกันแม้ว่าจะได้รับทรัพยากรสําหรับการบ่มเพาะเพิ่มก็ตาม

 

เมื่อตระหนักรู้ถึงสิ่งเหล่านั้น ซูฉินไม่คิดว่าตระกูลซูจะมีความหวังที่จะสามารถไปต่อใน เส้นทางการฝึกยุทธจึงใช้แก่นแท้แห่งพลังของตนไปเสริมสร้างกล้ามเนื้อให้

 

เมื่อเปรียบเทียบกับยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งที่สามารถมีชีวิตอยู่ได้สองร้อยปี ด้วยการเสริมแกร่งกายเนื้อให้กับครอบครัวตระกูลซู พวกเขาจะสามารถมีชีวิตอยู่ได้มากกว่าหนึ่งร้อยปี ซึ่งความแตกต่างนั้นไม่ได้ต่างกันมากเลย

 

ในวันนั้นเอง

 

ตอนที่ซูฉินฝึกฝนเสร็จสิ้น จักรพรรดิถังหลี่เชิงและซูเยว่หยุนก็เดินมาถึงด้านนอกของตําหนัก ชุนฝั่งขวาด้วยความยินดี

 

“หือ?”

 

ซูฉินเหลือบมองไปที่ซูเยว่หยุน รอยยิ้มก็ปรากฎบนหน้าของเขา

 

“พี่สาม หยุนเหนียงมี” จักรพรรดิถังหลี่เชิงพูดออกมาอย่างตื่นเต้น แทบจะกระโดด โลดเต้นอยู่แล้ว

 

“ข้ารู้แล้วล่ะ”

 

ซูฉินพยักหน้าเล็กน้อย

 

ครั้งแรกที่เขาเห็นซูเยว่หยุน เขาก็รู้สึกได้ถึงลมหายใจอีกแห่งหนึ่งภายในร่างกายของฝ่ายตรงข้าม

“ถ้าไม่ใช่เพราะพี่สาม ข้ากลัวว่าทั้งหยุนเหนียงและข้าคง” องค์จักรพรรดิถังหลี่เชิงมองไปที่ซูฉินด้วยความขอบคุณ

 

ตั้งแต่แรกที่ซูเยว่หยุนเข้าวังมา ก็พบว่ามีพลังธาตุหยินอยู่ภายในร่างกายของนาง เป็นการยากที่จะให้กําเนิดบุตรแห่งมังกร

 

หากไม่ใช่เพราะใบสั่งยาที่ซูฉินเขียนมาให้เพื่อกําจัดธาตุหยินภายในร่าง เกรงว่าองค์จักรพรรดิราชวงศ์ถังอย่างหลี่เชิงคงทําได้เพียงรับบุตรบุญธรรมมาจากราชนิกุลคนอื่นเท่านั้น

 

แม้ทายาทบุญธรรมจะเป็นสายเลือดตระกูลหลี่ แต่ก็ไม่ใช่สายเลือดของตัวเขาเองโดยตรง

 

มันมีความแตกต่างกันอย่างมากอยู่

 

ไม่นานหลังจากที่ทั้งสามคนพูดคุยกันอยู่ครู่หนึ่ง จักรพรรดิถังหลี่เชิงก็พาซูเยว่หยุนกลับไปเพื่อเตรียมให้หมอหลวงต้มยาสําหรับบํารุงร่างกาย

 

ซูฉินทําเพียงแค่ยิ้มออกมา

 

แม้ว่าตอนนี้ซูเยว่หยุนจะอยู่ในวัยอายุสามสิบ แต่ก็มีความเสี่ยงในการตั้งครรภ์เป็นอย่างมากเมื่อเทียบกับสตรีอื่นที่อายุน้อยกว่า

 

แต่สุดท้ายแล้ว อย่างไรซูเยว่หยุนก็เป็นถึงผู้ฝึกยุทธมีพลังและเลือดเนื้อที่แข็งแกร่งกว่าคนทั่วไป ซูฉินเองก็ช่วยล้างไขกระดูกให้อย่างลับๆ เป็นไปไม่ได้ที่จะมีอุบัติเหตุใดเกิดขึ้น

 

เวลาค่อยๆ ผ่านไป

 

สิบเดือนก็ผ่านเลยไปในพริบตา

 

ในวันนี้มีนางกํานัลและขันที่เข้าออกพระราชวังคุนหนิงไม่ขาดสาย

 

องค์จักรพรรดิถังหลี่เชิงรอคอยอย่างใจจดใจจ่อ

 

“ฝ่าบาท”

 

“พระนางจะต้องสบายดี”

 

หลิวกงกงที่อยู่ด้านข้างกระซิบบอกเบาๆ

 

จักรพรรดิถังหลี่เชิงได้ยินแต่ไม่ได้พูดตอบกลับไป เพียงแต่ส่ายหัว

 

แม้ว่าหมอหลวงจะบอกว่าซูเยว่หยุนมีสุขภาพพลานามัยแข็งแรง พลังงานและเลือดเนื้อก็มีเพียงพอ ไม่มีปัญหาในการให้กําเนิดทายาทแห่งมังกร

 

แต่จักรพรรดิถังหลี่เชิงก็ยังเต็มไปด้วยความกังวล

 

“เป็นอย่างไรบ้าง ต้องรออีกนานเท่าไหร่?”

 

องค์จักรพรรดิถังหลี่เชิงมองไปที่นางกํานัลที่เพิ่งออกมาแล้วจึงเอ่ยถาม

 

นางกํานัลผู้นั้นมีท่าที่ตกตะลึงอย่างเห็นได้ชัด นางไม่คาดคิดว่าองค์จักรพรรดิถังจะตรัสถามกับนางด้วยพระองค์เอง จึงพูดออกมาอย่างตะกุกตะกัก “ฝ่าฝ่าบาทวางใจเถิดเพคะ พระ..พระนาง ภายในนั้นราบรื่นมากเพคะ…”

 

“ราบรื่นมาก”

 

จักรพรรดิหลี่เชิงถอนหายใจด้วยความโล่งอก

 

“ข้าจะได้เป็นพ่อคนเร็วๆ นี้แล้ว?”

 

จักรพรรดิถังกําหมัดแน่น เต็มไปด้วยความสุข

 

และในขณะนั้นเอง

 

ซูฉินก็เดินออกมาจากตําหนักขุนฝั่งขวา และมองไปยังพระราชวังคุนหนึ่ง

 

“น้องเล็ก…”

 

ซูฉินก้าวเท้าไปข้างหน้าแล้วหายวับไปจากสถานที่แห่งนั้น

 

เมื่อซูฉินปรากฏตัวอีกครั้งก็มาอยู่ที่หน้าพระราชวังคุนหนิงแล้ว

 

“ฝ่าบาท…”

 

หลิวกงกงพยายามจะปลอบหลีเชิงอีกครั้ง แต่หางตาเหลือบไปเห็นซูฉันยืนอยู่เงียบๆ ในที่ที่ไม่ไกลนักเสียก่อน

 

“นี่คือ?”

 

หน้าผากของหลิวกงกงมีเหงื่อไหลซึมออกมาอย่างรวดเร็ว

 

เพราะก่อนที่ซูฉินจะปรากฏตัวออกมา เขาไม่ได้รู้สึกตัวมาก่อนเลย

 

ในฐานะที่เป็นยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่ง หลิวกงกงรับรู้สภาพแวดล้อมภายนอกอยู่เสมอไม่มีอะไรที่ซุ่มซ่อนไปจากตัวเขาได้

 

ทว่า ตั้งแต่ตอนที่ซูฉินปรากฏตัวออกมาจนถึงปัจจุบันนี้ หลิวกงกงยังไม่สังเกตเห็นความผิดปกติใดๆ เกิดขึ้นเลย ราวกับว่าซูฉันยืนอยู่ตรงนั้นมาตั้งนานแล้วโดยไม่ได้มีใครเข้าไปยุ่งราวกับภูตผี

 

“นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?”

 

หลิวกงกงสับสนกับตนเอง และเกือบจะคิดไปแล้วว่ามีปัญหาในการบ่มเพาะของตนเอง

 

“มีอะไรอย่างนั้นหรือ?”

 

องค์จักรพรรดิถังหลี่เชิงสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงไปของหลิวกงกงและกําลังจะเอ่ยถาม แต่พบซูฉินที่ยืนอยู่ไม่ไกลออกไปเท่าไรเสียก่อน

 

“พี่สาม”

 

“ท่านก็อยู่ที่นี่ด้วยหรือ….”

 

จักรพรรดิถังหลี่เชิงเดินเข้าไปหาซูฉินแล้วพูดขึ้นทันที “เมื่อครู่ นางกํานัลได้บอกว่าด้านในเป็นไปอย่างราบรื่นมาก และจะเสร็จในเร็วๆ นี้”

 

“ข้าทราบแล้ว”

 

ซูฉินพยักหน้า

 

ในตอนนั้นเอง

 

นางกํานัลรีบเดินออกมาแล้วพูดเสียงดัง “ฝ่าบาท พระนางให้กําเนิดทายาทแฝดสองพระองค์ เป็นหญิงหนึ่ง ชายหนึ่ง”

 

“แล้วหยุนเหนียงเล่า เป็นอะไรไหม?”

 

เมื่อได้ยินเช่นนั้น จักรพรรดิหลี่เชิงก็เดินเข้าไปในพระราชวังคุนหนิงอย่างรวดเร็ว

 

ซูฉินก็เดินตามเข้าไป

 

ภายในพระราชวังคุนหนิง

 

ซูเยว่หยุนนอนอยู่บนแท่นบรรทมด้วยใบหน้าซีดเซียว

 

จักรพรรดิถังหลี่เชิงได้มาอยู่เคียงข้างซูเยว่หยุนในขณะนี้

 

“พี่สาม..”

 

เมื่อซูเยว่หยุนเห็นซูฉิน นางก็ยิ้มและกําลังจะพูด

 

“อย่าเพิ่งขยับ”

 

ซูฉินส่ายหัวเล็กน้อยปรามซูเยว่หยุนเอาไว้แล้วจึงเดินไปยังแท่นบรรทม

 

ในเวลาต่อมา ซูฉินก็สะบัดนิ้วของตนออกไป สายใยแก่นแท้แห่งพลังระดับอรหันต์ก็ได้หลอมรวมเข้ากับร่างกายของซูเยว่หยุน ค่อยๆปลอบประโลมและหล่อเลี้ยงร่างกายของนาง

Sign in Buddha’s palm 124 สะพรึงกลัวถึงขีดสุด

 

เมืองฉางอัน

 

วังหลวง

 

ด้านบนของจัตุรัสหยกขาว

 

เย่กู้เฉิงเห็นเพียงประกายดาบพุ่งมาจากที่แห่งหนึ่งในส่วนลึกของพระราชวัง และรู้สึกว่าลานสายตาไม่สามารถมองเห็นสิ่งอื่นได้นอกจากมัน มันบดบังการมองเห็นอย่างสมบูรณ์ทุกอย่างราวกับภาพลวงตา

 

แกร็ก

 

แกร็ก

 

กระบี่ยาวในมือของเย่กู้เฉิงปรากฏรอยแตกกระจายไปทั่วตัวกระบี่ในชั่วพริบตา

 

“พี่ชายเย่”

 

ไม่ไกลนัก ลูกตาของซีเหมินชุยเฉวพลันหดตัวแคบลงและมองไปที่เกู้เฉิน

 

“นี่คือ?”

 

ซีเหมินชุยเฉว่ยังไม่ทันได้ตอบสนองอะไร

 

ช่วงเวลาต่อมา

 

ประกายดาบถูกกวาดกระจายออกมา

 

หวิ่ง!

 

สติของเย่กู้เฉิงและซีเหมินชุยเฉวเริ่มที่จะมัวหม่น จมดิ่งสู่ความมืดมิดอันไร้ที่สิ้นสุด

 

และในตอนนี้

 

ยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งทั้งหลายในจัตุรัสหยกขาวซึ่งกําลังเผชิญหน้ากับยอดปรมาจารย์กระบี่ทั้งสองคนที่ทรงพลังไร้ต้านทาน บัดนี้ทั้งคู่กลับร่วงหล่นลงมาจากฟากฟ้าและล้มลงแทบพื้นพสุธาเสียงสนั่นไปทั่วจัตุรัสหยกขาว

“นี่?”

 

ยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งที่เห็นฉากดังกล่าวต่างมองหน้ากันไปมา

 

ก่อนหน้านี้พวกเขาถึงกับคิดว่าพวกตนคงจะต้องตกตายอยู่ใต้คมกระบี่ของเย่กู้เฉิงเสียแล้ว

 

แต่สิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากนั้น กลับไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาจะคิดฝันได้

 

“ฝ่า..ฝ่าบาท ตอนนี้ควรทําอย่างไรต่อดี?”

 

รองแม่ทัพพยายามระงับความตกใจของตนมองไปที่จักรพรรดิพระองค์ใหม่อย่างหลี่เชิงอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามขึ้นมา

 

“หลิวกงกง ไปตรวจดูหน่อยซิ”

 

จักรพรรดิหลี่เชิงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงกล่าวขึ้น

 

“ตามพระบัญชา” หลิวกงกงโค้งคํานับให้เล็กน้อย ก่อนจะเริ่มเคลื่อนตัวอย่างช้าๆ ไปยังตําแหน่งที่เย่กู้เฉิงและซีเหมินชุยเฉวตกลงมา

 

ส่วนยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งคนอื่นๆ ก็ค่อยๆ ตีกรอบล้อมเข้ามาทีละนิดด้วยวิธีการเช่นนี้ แม้ว่าจะเป็นกลอุบายของเย่กู้เฉิงและซีเหมินชุยเฉว่ พวกเขาก็จะตอบโต้ได้อย่างรวดเร็วและจบเรื่องราวให้ได้ไวที่สุด

 

หลังจากนั้นไม่นาน

 

หลิวกงกงรีบกลับมาและกระซิบคําบอกต่อองค์จักรพรรดิพระองค์ใหม่ “ฝ่าบาท คนพวกนั้นตายหมดแล้ว

 

“ตายแล้ว?”

 

หลี่เชิง จักรพรรดิพระองค์ใหม่นิ่งเงียบไป

 

ยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งคนอื่นๆ ก็ไม่อยากจะเชื่อเช่นกัน

 

ยอดปรมาจารย์ขั้นสูงสุดผู้เชี่ยวชาญด้านกระบี่ที่ทรงพลังอํานาจถึงสองคนกลับมาตกตายเช่นนี้น่ะหรือ?

 

“ฝ่าบาท อาจจะเป็นฝีมือของผู้อาวุโสที่เคยลงมือเมื่อสองปีก่อน?”

 

ในขณะนั้นท่านแม่ทัพแห่งวังหลวงก็นึกบางสิ่งขึ้นมาได้แล้วกระซิบบอกออกไป

 

คําที่กล่าวออกมา

 

ความคิดขององค์จักรพรรดิหลี่เชิงก็แล่นออกไปอย่างรวดเร็ว

 

เมื่อสองปีที่แล้วองค์ชายเฉินสมรู้ร่วมคิดกับหนานหมิง และราชาหรู่หยางรวมถึงอินจิ๋วสู่ยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสูงสุดทั้งคู่ ต่างถูกสังหารตกตายอยู่นอกพระราชวัง

 

ในยามนั้นองค์จักรพรรดิพระองค์ใหม่อย่างหลี่เชิงตกอยู่ในความสิ้นหวัง เกือบจะผ่านพ้นวิกฤติไปไม่ได้ เพราะมียอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสูงสุดถึงสองคนที่ร่วมมือกัน

 

ในตอนนั้นเองเสียงคู่ฉินก็ดังขึ้น

 

และหลังจากเสียงบรรเลงจากภู่ฉินจบลง มันก็จบลงพร้อมกับความตาย

 

หลี่เชิง จักรพรรดิพระองค์ใหม่สัมผัสได้รางๆ ว่าคงจะมียอดฝีมือที่ได้เปรียบหลบอยู่ในวังหลวง แต่ในเมื่อพวกเขาไม่ เคยพบท่านผู้นั้นจึงไม่สามารถยืนยันเรื่องราวได้

“ข้ารู้แล้ว”

 

จักรพรรดิพระองค์ใหม่ครุ่นคิด

 

แม้ว่าตัวเขาจะไม่รู้ว่าเหตุใดยอดฝีมือที่ได้เปรียบผู้นี้ จึงอาศัยอยู่ภายในวังหลวง ทั้งยังพยายามช่วยอาณาจักรถังไว้หลายต่อหลายครั้ง เห็นได้ชัดว่ามีความปรารถนาอันดีต่ออาณาจักรถัง

 

“เป็นไปได้ไหมว่าอาจจะเป็นบรรพบุรุษสักคนที่ยังมีชีวิตอยู่

?”

 

จักรพรรดิพระองค์ใหม่อย่างหลี่เชิงทําได้แต่เดาอยู่ในใจ

 

สถานะของราชวงศ์ถังมีมานานกว่าห้าร้อยปี มีบรรพบุรุษที่เป็นถึงตํานานยุทธ หากจะมีบรรพบุรุษคนใดซ่อนตัวอยู่ในวังก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้

 

“ดีแล้วล่ะ”

 

“พวกเจ้าแยกย้ายกลับกันไปได้แล้ว”

 

จักรพรรดิหลี่เชิงคิดคํานึงอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงออกคําสั่ง

 

“ตามพระบัญชา”

 

ยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งทั้งหลายต่างมองหน้ากัน ไม่สามารถปกปิดความตกใจบนใบหน้าได้มิด พวกเขาค่อยๆก้าวถอยกลับไปที่ละคน

 

เดิมที่พวกเขาคิดว่าวันนี้จะต้องเป็นการต่อสู้ที่แสนยากลํา บาก และถึงแม้จะจัดการยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสูงสุดทั้งสองคนได้ แต่พวกเขาไม่คาดคิดมาก่อนว่ามันจะกลายมาเป็นแบบนี้

 

หลังจากนั้นพระราชวังก็ค่อยๆสงบลง

 

จอมยุทธที่มารั้งรออยู่ในเมืองฉางอันแต่เนิ่นๆ ต่างก็งงงวย

 

แม้ว่าพวกเขาจะมาถึงเมืองฉางอันแล้ว แต่พวกเขาก็ไม่สามารถเข้าใกล้เขตพระราชวังได้เลย ทําได้เพียงสัมผัสความผันผวนของกระแสพลังที่มาจากวังหลวงในระยะไกลเท่านั้น

 

การต่อสู้ของยอดปรมาจารย์กระบี่ผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสองนั้น แม้จะเป็นเพียงกลิ่นอายที่กระจายออกมาก็เพียงพอที่จะแพร่ไปทั่วทั้งเมืองฉางอันเลยทีเดียว

 

จอมยุทธเหล่านั้นไม่กล้าคาดหวังที่จะได้ชมดูการต่อสู้ระหว่างยอดปรมาจารย์กระบี่ทั้งสองคนอยู่แล้ว

 

หนึ่ง เป็นเพราะขีดจํากัดของพวกเขา สําหรับยอมยุทธที่พากันเข้ามาภายในเมืองฉางอัน หากต้องการเข้ามาใกล้พระราชวังถัง พวกเขาก็ต้องพึงสังวรไว้ด้วยว่ายอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งภายในราชวงศ์ถังนั้นเป็นชื่อที่ตั้งไว้ลอยๆ หรือไม่?

 

ประการที่สอง แม้ทางพระราชวังถึงจะอนุญาตให้พวกเขาเข้าไปในวังเพื่อชมการต่อสู้จริง แต่ใครจะกล้าไปกันเล่า?

 

การต่อสู้ของยอดปรมาจารย์ขั้นสูงสุดเป็นสิ่งที่น่ากลัวเพียงใด แค่ผลพวงจากพลังที่กระจัดกระจายออกมาก็เพียง พอที่จะกดดันจนจอมยุทธส่วนใหญ่จนหายใจไม่ออก

 

จอมยุทธพวกนั้นล้วนอยากดู แต่ไม่มีใครที่อยากจะแขวนชีวิตของตนเองไว้ในกํามือของผู้อื่น

 

แม้ว่าจะไม่ได้รับชมการต่อสู้ของยอดปรมาจารย์กระบี่ผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสอง แต่การรับรู้ถึงกลิ่นอายพลังจากระยะไกลก็เป็นประโยชน์ต่อตัวของพวกเขาอย่างรู้จบรู้สิ้นแล้ว

 

อย่างไรก็ตาม

 

สิ่งที่ทําให้จอมยุทธทั้งหลายยากที่จะเข้าใจได้ก็คือ กลิ่นอายที่เล็ดลอดออกมาจากวังหลวงนั้นคงอยู่เพียงชั่วครู่เท่านั้น ก่อนจะหายไปอย่างสมบูรณ์

 

“เกิดอะไรขึ้น?”

 

“เย่กู้เฉิงกับซีเหมินชุยเฉวต่อสู้กันจริงรึเปล่าเนี่ย?”

 

“เป็นไปได้ไหมว่านี่จะเป็นเรื่องหลอกลวง? ไม่สิ ด้วยตัวตนของเย่กู้เฉิงและซีเหมินชุยเฉว่ ในเมื่อกล่าวว่าจะมาชี้แนะวิถีกระบีกันที่พระราชวังถังแล้ว เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่ทําตามที่

พูด…”

 

จอมยุทธทั้งหลายต่างพูดคุยส่งเสียงกัน น้ำเสียงของแต่ละคนเต็มไปด้วยความงงงวย

 

ในขณะนั้นชายชราที่มีผมและเคราสีขาวก็ยืนขึ้น

 

“บางที่เย่กู้เฉิงและซีเหมินชุยเฉว่อาจจะมาถึงแล้ว”

 

ชายชราผมขาวเป็นยอดยุทธในขอบเขตสามระดับบนที่มีชื่อเสียงอย่างมาก เมื่อเขาเอ่ยคําขึ้น จอมยุทธที่อยู่รอบๆ ต่างก็เงียบฟัง

 

“ หมายความว่าเช่นไรกัน?”

 

จอมยุทธบางคนที่อดใจไม่ไหวก็ถามออกไป

 

ชายชราที่มีผมและเคราสีขาวเงียบอยู่นานก่อนที่จะพูดขี้นว่า “ผู้คนล้วนมาอยู่ที่นี่แต่จะได้สู้กันหรือเปล่านั่นก็เป็นอีกเรื่อง…”

คําที่กล่าวออกมา

 

จอมยุทธทั้งหมดต่างก็ตกใจ

 

พวกเขาเข้าใจความหมายของชายชราผมขาวดี ขณะนี้เย่กู้เฉิงและซีเหมินชุยเฉวอาจจะถูกใครบางคนภายในพระราชวังถึงปราบไปแล้วตั้งแต่ที่พวกเขาปรากฏตัวขึ้น จึงไม่มีการต่อสู้อีกต่อไป

 

“ภายในพระราชวังถึงนี่เก็บซ่อนความน่ากลัวเอาไว้มากจริงๆ”

 

ในที่สุดชายชราผมเคราขาวก็เอ่ยออกมาอย่างช้าๆ

 

เหล่าจอมยุทธต่างมองหน้ากันหัวใจของพวกเขากระตุกวูบอย่างอธิบายไม่ได้

 

วังหลวง

 

ตําหนักชุนฝั่งขวา

 

หลังจากซูฉินสะบัดมือออกไปเป็นประกายดาบ เขาก็ไม่ได้สนใจสิ่งที่เกิดขึ้นในวังอีก

 

ด้วยประกายดาบที่ส่งออกไปนั้นอย่าว่าแต่เย่กู้เฉิงหรือซีเหมินชุยเฉวที่เป็นยอดปรมาจารย์ขั้นสูงสุดทั้งสองคน เลยแม้แต่ยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสมบูรณ์ก็ไม่สามารถปัดป้องได้

 

“หลังจากการฝึกฝนอันหนักหน่วงมากว่าหนึ่งปี ในที่สุดข้าก็ก้าวหน้าขึ้นไปอีกขั้น…”

 

ซูฉินนั่งขัดสมาธิ รับรู้ถึงไอพลังของตนที่เปลี่ยนแปลงไป

 

ตั้งแต่ที่ซูฉินก้าวเข้าสู่ขอบเขตนภาชั้นที่สี่ แม้ว่าเขาจะใช้ สมบัติไปมากมายเช่น หยดน้ําจิตวิญญาณธรรมชาติ โลหิตรู้แจ้งหรือโอสถอายุวัฒนะเคลือบทองคํา แต่ความแข็งแกร่งของเขาก็เพิ่มขึ้นมาได้เชื่องช้ามาก

 

แต่ตอนนี้มันได้ก้าวหน้าขึ้นแล้ว

 

หากจะแบ่งขอบเขตอรหันต์ระดับนภาชั้นที่สี่เป็นสามระดับย่อย ซูฉินก็มาถึงระดับที่สองแล้วในตอนนี้

 

“ไม่เลวไม่เลว”

 

ซูฉินพยักหน้าแสดงความพึงพอใจอยู่เล็กน้อย

 

หลังจากนั้น

เขาก็ค่อยๆ ลุกขึ้นเดินออกจากตําหนักชุนฝั่งขวา

Sign in Buddha’s palm 123 ความหวาดกลัว

 

เวลาค่อยๆ ผ่านเลยไป

 

ไม่นานก็มาถึงคืนวันพระจันทร์เต็มดวง

 

จักรพรรดิพระองค์ใหม่ หลี่เชิงกําลังยืนอยู่ในจัตุรัสหยกขาว ด้านข้างมีขั้นที่ชุดแดงจํานวนมากคอยคุ้มกันในกรณีที่อาจเกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้นมาได้

 

“ฝ่าบาท สถานที่แห่งนี้อันตรายเกินไป ข้าสามารถคุ้มกันฝ่าบาทออกจากเมืองไปอย่างเงียบๆได้ แม้ว่าเยกู้เฉิงและซีเหมินชุยเฉวจะมาจริงๆ พวกเขาก็คงจะคุกคามฝ่าบาทไม่ได้”

 

หลิวกงกงมองขึ้นไปบนฟ้าและกระซิบกล่าวคํา

 

“ไม่จําเป็น”

 

จักรพรรดิพระองค์ใหม่ส่ายหัว

 

จักรพรรดิต้องอยู่เพื่อปกป้องอาณาจักร

 

จักรพรรดิย่อมรั้งอยู่จนกว่าชีวีจะหาไม่

 

ถ้าเขาไม่สามารถปกป้องพระราชวังได้ จะสมเกียรติการเป็นจักรพรรดิได้เช่นไร

 

“เนื่องจากฝ่าบาทตัดสินใจไปแล้ว ต่อให้เฒ่าชราผู้นี้จะสิ้นชีพฝ่าบาทก็จะต้องปลอดภัยไร้กังวล”

 

หลิวกงกงกล่าวด้วยเสียงหุ้มหนักแน่น

 

หลังจากนั้นไม่กี่ชั่วยาม ท้องฟ้าก็ค่อยๆ มืดลง

 

ดวงจันทร์อันสว่างไสวลอยสูงเด่นอยู่บนฟ้า ส่องแสงนวลตาออกมา

 

“มาแล้ว”

 

ในขณะนั้นเหล่าแม่ทัพนายกองของวังหลวงต่างตกใจและมองไปยังที่แห่งหนึ่ง

 

เห็นชายคนหนึ่งสวมชุดขาวชายเสื้อพลิ้วกระพือ ยืนสงบนิ่งราวกับเซียนเทพอยู่บนยอดพระราชวังสักแห่ง

เพียงแค่มองจากที่ไกลๆ แม่ทัพแห่งวังหลวงก็รู้สึกว่าดวงตาของเขาแสบพร่าเล็กน้อย ราวกับมองไปยังดาบอันคมกริบที่สามารถเฉือนตัดได้ทุกสิ่งอย่าง

 

“เจ้าเมืองไป๋หยุน เย่เฉิง”

 

แม่ทัพแห่งวังหลวงดูตกใจมาก

 

เขาไม่คิดว่าเยกู้เฉิงจะแข็งแกร่งปานนี้ เพียงแค่ปลดปล่อยกลิ่นอายพลังออกมาก็เพียงพอแล้วที่จะทําให้ยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งเช่นตนไม่สามารถจ้องมองไปตรงๆได้

 

“อย่าเพิ่งตกใจไป”

 

“เมื่อทั้งคู่มาถึง พวกเขาถึงจะเริ่มลงมือต่อสู้กัน”

 

จักรพรรดิพระองค์ใหม่อย่างหลี่เชิงมองไปที่ยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งที่อยู่ข้างๆ ตนก่อนจะกล่าวคําอย่างช้าๆ

 

“ขอรับ”

 

แม่ทัพแห่งวังหลวงกล่าวคําแผ่วเบา

หลังจากนั้นไม่นาน

 

ซีเหมินชุยเฉวก็ปรากฏตัวบนยอดพระราชวังแห่งหนึ่งโดยที่หันหน้าไปทางเย่รู้เฉิงที่อยู่ไกลออกไป

 

“เจ้ามาสายนะ”

 

เย่กู้เฉิงมองไปทางซีเหมินชุยเฉวและพูดขึ้นเบาๆ

 

เมื่อพวกเขามาถึงขอบเขตในปัจจุบันนี้ พวกเขาย่อมมีความเข้าใจในตนเองและโลกภายนอกตนเองอยู่อย่างถึงที่สุด

 

“ก็ใช่”

 

“ข้ามาสายไปซะแล้ว”

 

ซีเหมินชุยเฉวยอมรับออกมาตรงๆ

 

“สองปีก่อน มียอดปรมาจารย์ขั้นสูงสุดตกตายอยู่ที่นี่ ข้าคิดว่าจะมียอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสมบูรณ์อยู่ที่นี่เสียอีก…”

ดวงตาของซีเหมินชุยเฉวกวาดส่ายไปมามองดูทั่วทั้งพระราชวังดังอย่างใจเย็น

 

“แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าจะไม่มี…”

 

ซีเหมินชุยเฉวส่ายหัวเล็กน้อย

 

เขาหมกมุ่นอยู่กับวิถีแห่งกระบีตั้งแต่เด็ก จิตใจของเขาราวกับคมกระบี่ สามารถรับรู้วิกฤตที่อาจจะเกิดขึ้นรอบๆ ตัวได้

 

จิตใจแห่งกระบี่อันนี้ช่วยให้เขาผ่านพ้นอันตรายมาได้ไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งแล้ว

 

อย่างไรก็ตาม

 

ในตอนนี้

 

ซีเหมินชุยเฉวได้มายืนอยู่ภายในพระราชวังโดยที่จิตใจแห่งกระบี่ยังคงสงบนิ่ง ไม่แจ้งเตือนถึงวิกฤตอันตรายใดๆ

 

หากมียอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสมบูรณ์อยู่จริง ในวังหลวง จิตใจแห่งกระบี่ของเขาคงจะรู้สึกอะไรได้บ้างแล้วในตอนนี้

ยอดฝีมือระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสูงสุดย่อมต้องทรงพลังอย่าง แน่นอน แต่ตราบใดที่มันไม่ได้เกินขอบเขตของวิทยายุทธทั้งเก้าระดับชั้นก็ไม่มีทางจะหลีกหนีความรู้สึกที่เกิดขึ้นกับจิตใจแห่งกระบี่ไปได้

 

“เอาล่ะ”

 

“ที่นี่ไม่มียอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสมบูรณ์”

 

เมื่อพูดแบบนั้น เจ้าเมืองไป๋หยุน เย่กู้เฉิงก็ก้มศีรษะลงชําเลืองมองดูด้านล่างแล้วพูดขึ้นเบาๆ ว่า “ดูเหมือนว่าก่อนที่เราจะแลกเปลี่ยนชี้แนะวิถีแห่งกระบี่กัน เราคงต้องจัดการพวกมดปลวกกันก่อน…”

 

ด้วยสายตาของเย่กู้เฉิง เขาได้ค้นพบยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งหลายคนที่ซุ่มซ่อนเตรียมโจมตีอยู่ในวังตั้งแต่แรก

 

“แน่นอน”

 

“ข้าก็คิดเห็นเช่นเดียวกัน”

 

ซีเหมินชุยเฉวพยักหน้า

 

แม้ว่าเขาจะหมกมุ่นอยู่แต่กับการฝึกกระบี่ ไม่สนใจเรื่องอื่นยกเว้นเรื่องกระบี่ แต่เขาก็หาใช่คนโง่ไม่เป็นไปไม่ได้ที่จะยอมให้คนอื่นฉวยโอกาส

 

ครั้งนี้ ตัวเขาและเย่กู้เฉิงจะแลกเปลี่ยนวิถีกระบี่เพื่อพิสูจน์ฝีมือในท้ายที่สุดแล้ว แม้จะมีใครรอดชีวิตไปได้แต่ก็ต้องบาดเจ็บสาหัส

 

หากในเวลานั้นยังถูกล้อมไปด้วยกลุ่มของยอดปรมาจารย์ ระดับชั้นที่หนึ่งเช่นนี้ เกรงว่าไม่แคล้วจะตกตายเอาได้

 

“ถ้าอย่างนั้นก็ลุยเลย”

 

ทันใดนั้นกระบี่เล่มยาวที่อยู่ด้านหลังเย่กู้เฉิงก็ส่งเสียงออกมา จากนั้นประกายกระบี่อันแสนน่ากลัวก็รวมพลังกันฟาดฟันออกไปทางจัตุรัสหยกขาว

 

“ไม่ดีแล้ว!!”

 

แม่ทัพแห่งวังหลวงก็พบว่ามีบางอย่างผิดปกติ รีบพาองค์จักรพรรดิหลี่เชิงถอยหนีไปยังทิศทางหนึ่ง

 

เช่นเดียวกับยอดปรมาจารย์คนอื่นๆ ต่อหน้าประกายกระบีที่เย่กู้เฉิงฟาดฟันออกมาโดยไม่ได้ตั้งใจอะไรนัก พวกเขาไม่สามารถต่อต้านได้แม้แต่น้อย

 

“ช่องว่างระหว่างฝีมือมันใหญ่เกินไป”

 

จักรพรรดิพระองค์ใหม่อย่างหลี่เชิงก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ

ในสายตาของเขาเจ้าเมืองไป๋หยุน เย่กู้เฉิงกับยอดฝีมืออีกคนหนึ่งที่ยืนอยู่บนพระราชวังนั้นอยู่อีกระดับอย่างสิ้นเชิง

 

ไม่ใช่ว่าหลี่เชิงไม่เคยเห็นยอดปรมาจารย์ขั้นสูงสุดลงมือมาก่อน ก่อนที่องค์จักรพรรดิถังพระองค์ก่อนจะสิ้นพระชนม์ เขาก็เคยเห็นพลังของจ้าวกงกงมาบ้าง

 

แต่เมื่อเทียบกับจ้าวกงกง เจ้าเมืองไปหยุนที่อยู่เบื้องหน้า ช่างดูน่ากลัวกว่ากันมาก

 

“สั่งเคลื่อนพลกองทัพให้เข้ามาในเมือง”

 

“แล้วยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งทุกคน จงเริ่มจัดวางค่ายกลได้”

 

จักรพรรดิพระองค์ใหม่สุดลมหายใจเข้าลึกเต็มปอดก่อน จะออกคําสั่งอย่างต่อเนื่อง

 

ไม่ว่าจะเป็นเย่กู้เฉิงหรือซีเหมินชุยเฉวก็ต้องก้าวเดินไปในเส้นทางปกติของมนุษย์ หากยังไม่ถึงขั้นตํานานยุทธยังไงก็ยังใช้กลยุทธ์ในการเข้าต่อกรได้อยู่

 

นี่คือความเชื่อมั่นสุดท้ายที่จักรพรรดิพระองค์ใหม่อย่างหลี่เชิงยึดถือเอาไว้

 

และในตอนนั้น

 

เจ้าเมืองไป๋หยุน เย่กู้เฉิงขมวดคิ้วเล็กน้อยทําราวกับว่า เมื่อครู่เขาไม่ได้ฟาดดาบของตนออกไปใส่ยอดปรมาจารย์ด้านล่าง

 

“พี่ชายเย่ ดูเหมือนพระราชวังถึงยังมีเบื้องลึกเบื้องหลังอีกมากมาย…”

 

เมื่อเสียงของซีเหมินชุยเฉว่ที่ยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามค่อยๆลดลง

 

ยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งหลายสิบคนยืนประจําตําแหน่ง ทั้งยังสามารถเปลี่ยนแปลงที่ยืนได้ตลอดเวลา กลายเป็นเหมือนอวนตาข่ายขนาดใหญ่ที่ล้อมจับเย่กู้เฉิงและซีเหมินชุนเฉว่

นี่เป็นแผนขั้นต้นของจักรพรรดิพระองค์ใหม่หลี่เชิง

 

เขาไม่ได้คิดว่ายอดปรมาจารย์หลายสิบคนนี้ จะต่อกรกับเย่กู้เฉินและซีเหมินชุยเฉวได้ เขาเพียงต้องการล้อมจับทั้งสองคนไว้ จนกว่ากองทัพจะเคลื่อนพลเข้ามาภายในเมืองได้

 

“เบื้องหลัง?”

 

เจ้าเมืองไปหยุนอย่างเย่กู้เฉิงยกยิ้มดูถูก ค่อยๆดึงกระบี่เล่มยาวที่อยู่ด้านหลังออกมาอีกครั้ง

 

“ด้วยกระบี่ของข้า จะเฉือนตัดทุกสิ่งให้ขาดวิ่น”

 

ในเวลาต่อมา

 

ซึ้ง!

 

ประกายกระบี่ที่น่ากลัวเสียยิ่งกว่าก่อนหน้านับสิบเท่า ควบแน่นออกมากลายเป็นเจตจํานงกระบี่อันน่าสะพรึง ครอบคลุมไปทุกทิศทาง

 

ในเวลาเดียวกัน

 

ตําหนักชุนฝั่งขวา

 

ซูฉินค่อยๆ ลืมตาขึ้นมา

 

“หลังจากบ่มเพาะมาหนึ่งปี ในที่สุดข้าก็พัฒนาขึ้นมานิดหน่อย…”

 

รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของซูฉิน

 

ในทันทีหลังจากนั้น

 

ซูฉินดูเหมือนจะรู้สึกถึงอะไรบางอย่าง เงยหน้าขึ้นเล็กน้อยแล้วมองไปยังจัตุรัสหยกขาว

 

“พวกเจ้ากล้ามาจริงๆ หรือนี่?”

 

ซูฉินส่ายหัว

 

เขาจมอยู่กับการฝึกฝนโดยไม่ได้สนใจความเปลี่ยนแปลงของโลกภายนอก

 

“ในเมื่อมาอยู่กันเสียที่นี่แล้ว”

 

“ก็จงอยู่ที่นี่ไปตลอดเลยก็แล้วกัน”

 

ซุฉินไม่ได้เคลื่อนตัวไปไหน เพียงสะบัดมือขวาและปล่อยประกายดาบออกไป มันพุ่งตรงไปยังจัตุรัสหยกขาว

 

ณ จัตุรัสหยกขาว

 

ขณะที่เจ้าเมืองไปหยุนเย่กู้เฉิงดึงกระบี่ออกมาจากด้านหลัง จัตุรัสหยกขาวก็รายล้อมไปด้วยพลังอันรุนแรง

 

ยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งทั้งหลายที่เพิ่งเคลื่อนไหว ตามค่ายกลพลันรู้สึกว่าปวดหัวจนแทบระเบิด ไม่สามารถเคลื่อนตัวตามรูปแบบค่ายกลได้

 

“มันจบแล้ว”

 

จักรพรรดิพระองค์ใหม่คิดอยู่ในใจ

 

ประกายกระบี่ของเจ้าเมืองไปหยุนล้อมรอบจัตุรัสหยกขาวเอาไว้หมด ซึ่งรวมถึงตัวเขาเองด้วย

 

แผนการของจักรพรรดิหลี่เชิงคือให้ยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งทั้งหลายเคลื่อนไหวตามรูปแบบค่ายกลเพื่อลากถ่วงเย่กู้เฉิงและซีเหมินชุยเฉว่จนกว่ากองทัพจะเข้ามาสังหารพวกเขา

 

แต่ไม่คาดคิดว่าก่อนที่กองทัพจะเคลื่อนพลเข้ามาในเมือง ได้ พวกเขากลับไม่สามารถผืนเพื่อรอการสนับสนุนได้อีก

 

“เฉือนให้เหี้ยน!”

 

เจ้าเมืองไปหยุนอย่างเยู่กู้เฉิงเหวี่ยงสะบัดกระบี่ของเขาอย่างเชื่องช้า บรรจงฟันลงไป

 

ทันใดนั้น

 

ขณะนั้นเอง

 

เจ้าเมืองไป๋หยุนดูเหมือนจะรู้สึกได้ถึงอะไรบางอย่างและ มองไปยังส่วนลึกภายในวัง

 

อย่างไรก็ตาม ท่าทางของเยู่กู้เฉิงเจ้าเมืองไป๋หยุน เหมือนจะได้เห็นฉากที่เขาจะต้องจดจําไปชั่วชีวิต

 

เห็นเป็นประกายแสงดาบพุ่งออกมาจากอากาศด้วยความเร็วสูง

 

ในขณะที่ประกายดาบอันนี้ปรากฏขึ้น เจ้าเมืองไปหยุนก็รู้สึกว่าพลังฟ้าดินเริ่มบิดเบี้ยว มิอาจแยกสิ่งใดเท็จสิ่งใดจริงได้อีกต่อไป

 

และเหตุการณ์นี้ก็เกิดขึ้นกับกายเนื้อ กําลังภายในและพลังศักดิ์สิทธิ์ของตัวเขาเองเช่นกัน

 

มีเพียงแค่ความกลัวเท่านั้นที่เหลืออยู่เมื่อต้องเผชิญหน้า กับประกายดาบที่ทั้งบริสุทธิ์และรุนแรงถึงเพียงนี้

Sign in Buddha’s palm 122 เข้าสู่ระบบ! โลหิตรู้แจ้ง!

 

คนในวังต่างแตกตื่น

 

อย่างไรก็ตาม ซูฉินมาที่แท่นบูชาเทพธรณีฯ ด้วยท่าทีสบายๆ

 

ตามจริงแล้วแท่นบูชาเทพธรณีฯ คือสถานที่หวงห้ามมิให้คนทั่วไปเข้ามาใกล้ มันใช้เพื่อบูชาเหล่าทวยเทพที่ปกปักราชวงศ์ถัง แต่ในเมื่อซูฉินเป็นถึงพี่เขย” ของจักรพรรดิองค์ปัจจุบัน ทหารภายในวังไยจึงจะกล้าห้ามซูฉินไม่ให้เข้าไปยังแท่นบูชาเทพธรณีฯเล่า?

 

“โอกาสลงชื่อเข้าใช้ของวันนี้เพิ่งกลับมาให้ใช้ได้อีกครั้ง เมื่อเป็นเช่นนั้นก็ลงชื่อเข้าใช้เลยแล้วกัน”

 

ซูฉันยืนอยู่หน้าแท่นบูชาเทพธรณีฯ พกความหวังเล็กๆน้อยๆมาด้วยในใจ

 

จากประสบการณ์การลงชื่อเข้าใช้หลายต่อหลายครั้ง ซู ฉันได้พบว่าแท่นบูชาเทพธรณีฯในวังหลวงนี้ควรจะเทียบได้ กับ ลานโพธิ์” ของวัดเส้าหลินซึ่งสามารถลงชื่อเพื่อรับสมบัติที่สามารถใช้เพิ่มความแข็งแกร่งได้

 

ตัวอย่างเช่นหยดน้ำจิตวิญญาณธรรมชาติ

 

“ระบบ ลงชื่อเข้าใช้”

 

ซูฉินกล่าวเงียบๆในใจ

 

[ขอแสดงความยินดี โฮสต์ลงชื่อเข้าใช้สําเร็จ ได้รับ “โลหิตรู้แจ้งx3]

 

เสียงจักรกลอันแสนเย็นชาดังขึ้นที่หูของซูฉิน

 

“โลหิตรู้แจ้ง?”

 

จิตของซูฉินผสานเข้าไปดูคลังของระบบ ในไม่ช้าเขาก็พบโลหิตรู้แจ้งจํานวนสามหยดที่อยู่ตรงมุมหนึ่ง

 

โลหิตรู้แจ้งเป็นสมบัติชิ้นหนึ่งที่มีความแวววาวสดใสสีคล้ายๆ เลือด

 

ตามคําอธิบายของระบบ โลหิตรู้แจ้งอันนี้มีผลในการเพิ่ม พลังความสามารถและใช้รักษาอาการบาดเจ็บสาหัสได้

 

“สิ่งนี้กินได้ไหมนะ?”

 

ซูฉินกลับไปที่ตําหนักชุนฝั่งขวานั่งขัดสมาธิและนําโลหิตรู้แจ้งออกมาจากคลังของระบบ

 

ซูฉินมองไปที่โลหิตรู้แจ้งอย่างระมัดระวัง และพบว่าสิ่งของชิ้นนี้มีลักษณะเป็นของเหลว ใส เมื่อนํามาถือไว้ในมือ มันร้อนราวกับท่อเหล็กลนไฟร้อนเหมือนหินลาวาหนืดสามารถไหลได้

 

“มันไม่ใช่เลือด”

 

ซูฉินส่ายหัวเล็กน้อย

 

อึก

 

ช่วงเวลาต่อมา

 

ซูฉินกลืนโลหิตรู้แจ้งที่อยู่ตรงหน้าของตนเข้าไปตรงๆ

 

“เปรี้ยวๆ หวานๆ รสชาติดีกว่าโอสถพวกนั้นเยอะเลย…”

 

ซูฉินลองเคี้ยวโลหิตรู้แจ้งอยู่สองสามครั้ง รู้ สึกเหมือนกําลังกินสิ่งที่เต็มไปด้วยพลังจิตวิญญาณ ก่อนจะเอ่ยออกมา

 

ในที่สุดน้ําหวานจากโลหิตรู้แจ้งก็กลายเป็นหยาดน้ำร้อน พุ่งไปตามแขนและขาของซูฉิน

 

“ไม่เลวไม่เลว”

 

“มันคล้ายคลึงกับหยดจิตวิญญาณธรรมชาติ”

 

ซูฉินรับความรู้สึกอย่างละเอียดถี่ถ้วนแล้วคิดใคร่ครวญในใจ

 

ด้วยพลังที่โลหิตรู้แจ้งมอบให้ซูฉินมานั้นเทียบเท่ากับหยดน้ำจิตวิญญาณธรรมชาติหยดเดียว

 

นอกจากนั้นสิ่งที่แตกต่างระหว่างหยดจิตวิญญาณ ธรรมชาติกับโลหิตรู้แจ้งก็คือมันสดชื่นกว่า

 

ส่วนผลอื่นๆ ของโลหิตรู้แจ้งก็คือช่วยรักษาอาการ บาดเจ็บสาหัส…

 

ซูฉินไม่สามารถรับรู้สิ่งนั้นได้ เนื่องจากร่างกายของซูฉิน ได้รับการเปลี่ยนแปลงมาถึงสี่ครั้งในตอนนี้ และเขาก็เข้าสู่ ขอบเขตอรหันต์ระดับนภาชั้นที่สี่แล้ว ทั้งพลังกายและระดับพลังต่างอยู่ในจุดสูงสุดเสมอ แม้ร่างกายจะได้รับบาดเจ็บมันก็จะฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว ฉะนั้นผลของโลหิตรู้แจ้งนั้นไม่จําเป็นสําหรับเขาเลย

 

“ไม่คาดคิดว่าจะมีเรื่องทําให้ข้าประหลาดใจได้ ในการลงชื่อเข้าใช้ครั้งนี้ด้วยแฮะ”

 

“ดูเหมือนว่าข้าควรจะมาลงชื่อเข้าใช้ที่แท่นบูชา เทพธรณีฯ ให้บ่อยขึ้นเสียหน่อยในอนาคต”

 

ความคิดของซูฉินพลิกผันไปมา

 

ก่อนหน้านี้ หลังจากที่อยู่ภายในวังมาหนึ่งปีเขาก็ลงชื่อเข้าใช้ภายในวังจนครบทุกที่ และมีมากกว่าสิบแห่งที่สามารถลงชื่อเข้าใช้ซ้ําได้

 

ในหมู่สถานที่ดังกล่าว แท่นบูชาเทพธรณีฯ คือหนึ่งในนั้น

 

ขณะที่ซูฉินลงชื่อเข้าใช้อย่างเงียบๆ อยู่ภายในวัง

 

เมืองฉางอันก็คราคร่ำไปด้วยเหล่ามัจฉาและมังกรภายในเวลาไม่นาน ไม่รู้ว่ามียอดยุทธกคนต่อกี่คนมารวมตัวกันที่นี่เพราะต้องการเป็นสักขีพยานในการต่อสู้กันระหว่างสอง ยอดปรมาจารย์แห่งกระบี่ผู้ยิ่งใหญ่

 

รู้หรือไม่ว่าเรื่องที่ยอดปรมาจารย์จากเมืองไป๋หยุน เย่กู้เฉิงจะประลองกับซีเหมินชุยเฉยู่ภายในพระราชวังถึงได้แพร่ กระจายออกไปทั่วดินแดนแล้ว

 

เป็นเรื่องยากมากที่ยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งจะมาต่อสู้กัน นับประสาอะไรกับยอดปรมาจารย์ขั้นสูงสุด

 

ในเมื่อมีโอกาสไม่รู้ว่ามีจอมยุทธกี่คนกันที่ถูกดึงดูดด้วยข่าวนี้

 

ภายในโรงเตี้ยมขนาดเล็กแห่งหนึ่ง ณ เมืองฉางอัน

 

จอมยุทธจํานวนมากจากทุกสารทิศกําลังนั่งดื่มกินรับประทานอาหารและสนทนากัน

 

“เจ้าคิดว่าเจ้าเมืองไปหยุนหรือยอดยุทธซีเหมินใครที่แข็งแกร่งกว่ากัน?” ชายร่างผอมเอ่ยถาม

 

“ยากที่จะพูด”

 

ชายชราอีกคนส่ายหัวเล็กน้อยแล้วพูดว่า “ไม่ว่าจะเจ้า เมืองไป๋หยุนหรือซีเหมินชุยเฉา ทั้งคู่ต่างก็เป็นยอดปรมาจารย์กระบี่ที่เก่งกาจที่สุด ชัยชนะหรือความพ่ายแพ้นั้นขึ้นอยู่ กับว่าใครออกดาบได้รวดเร็วกว่ากัน”

 

คําที่กล่าวออกมา

 

คนอื่นๆ ก็พยักหน้าเห็นด้วย

 

หากจะกล่าวถึงสองยอดปรมาจารย์ขั้นสูงสุด การจะดวลเพื่อผลแพ้ชนะนั้น ย่อมต้องอาศัยการออกกระบวนท่าและกลเม็ดเคล็ดลับนับร้อยกระบวน หรืออาจจะมากกว่านั้น

 

แต่ในกรณีของเย่กู้เฉิงและซีเหมินชุยเฉว่อาจจะออกกระบวนท่าเพียงไม่กี่ครั้ง

 

เนื่องจากยอดฝีมือกระบี่มักจะเก่งกาจในด้านการจู่โจม ชีวิตและความตายอาจจะตัดสินกันได้ในกระบวนท่าเดียว

 

หยุดการต่อสู้ด้วยความตาย

 

หยุดไม่ได้ก็คือตาย

 

“ตามข่าวลือที่ได้ยินมา เมื่อสองปีที่แล้วมียอดปรมาจารย์ขั้นสูงสุดสองคนตกตายอยู่นอกวังหลวง ตอนนี้เย่กู้เฉิง และซีเหมินชุยเฉวจะมาต่อสู้กันอีก อาณาจักรถังกําลังจะได้นั่งเฉยๆ แล้วเก็บเกี่ยวผลประโยชน์อีกครั้ง”

 

ชายร่างผอมที่เริ่มพูดออกมาก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ จากนั้นจึงลดเสียงให้เบาลง

 

“ฮ่าฮ่า…”

 

เมื่อได้ยินเช่นนั้นชายชราก็ยิ้มออกมาแล้วพูดต่อ “เจ้าคง ไม่คิดว่าจะมีตํานานยุทธอยู่ภายในพระราชวังถึงหรอกใช่ไหม?”

 

“นั่นคือสิ่งที่ข้าคิดจริงๆ”

 

ชายร่างผอมพยักหน้าแล้วจึงกล่าวคํา

 

รู้หรือไม่ว่าการเอาชนะยอดปรมาจารย์ขั้นสูงสุดกับการสั่งหารยอดปรมาจารย์ขั้นสูงสุดเป็นคนละเรื่องกัน

 

ยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสูงสุดไม่ใช่คนโง่ เขาย่อมหนีไปเป็นธรรมดาหากมีข้อผิดพลาดเกิดขึ้นในการต่อสู้

 

ยิ่งไปกว่านั้นคือมียอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสูงสุด ได้สิ้นชื่ออยู่ที่ด้านหน้าพระราชวังถึงในเวลานั้น

 

“เจ้าคิดมากเกินไปแล้ว”

 

ชายชราส่ายหัวแล้วพูดว่า “ตํานานยุทธจะมีอยู่สักกี่ คนกันเชียวบนโลกนี้ ถ้าอาณาจักรถังมีตํานานยุทธจริง ข้าเกรงว่าป่านนี้คงจะออกมาป่าวประกาศไปนานแล้ว จะเงียบเฉยมาจนถึงตอนนี้ได้อย่างไร?”

ชายชราพูดออกมาเช่นนั้น

 

จอมยุทธที่อยู่โดยรอบก็คิดตาม

 

ก็จริง

 

หากมีตํานานยุทธอยู่เบื้องหลังอาณาจักรถังจริงๆ อาณาจักรถังก็ควรจะรวมอาณาจักรให้เป็นหนึ่งเดียวไปแล้ว

 

“แล้วเรื่องที่ยอดปรมาจารย์ขั้นสูงสุดที่ตกตายอยู่นอกวัง เรื่องนี้จะอธิบายอย่างไร?” ชายร่างผอมดูยังไม่เข้าใจนัก จึงถามออกมา

 

“เรื่องนี้ง่ายมาก”

 

ชายชรากล่าวด้วยน้ําเสียงที่สงบนิ่ง “ตั้งแต่ที่จักรพรรดิพระองค์ใหม่ขึ้นครองราชย์เมื่อสองปีก่อน จ้าวกงกงก็ไม่เคยปรากฏตัวให้เห็นภายในวังอีกเลย”

 

“ตอนนี้หลายๆ คนคงคาดเดาแล้วว่าจ้าวกงกงเป็นคนที่หยุดยั้งราชาหรูหยางและอินจิ๋วด้วยการเผา แก่นพลังของตนเข้าน้ำนั่นจนตกตายไปพร้อมกันทุกคน”

 

“แต่แน่นอนว่ามันอาจจะเป็นเพราะเหตุการณ์อื่นก็ได้”

 

“แต่อย่างไรก็ตาม ด้วยเย่กู้เฉิงและซีเหมินชุยเฉวกระทํา การเช่นนี้ ตราบใดที่ไม่มีสัตว์ประหลาดอย่างเช่นตํานานยุทธ อยู่ภายในพระราชวังถึง พวกนั้นก็คงไม่เกรงกลัวหรอก”

 

ชายชรากล่าวคําช้าๆ

 

“เป็นเช่นนั้นเองสินะ”

 

ชายร่างผอมก็ค่อยๆ เข้าใจมากขึ้น

 

ภายในพระราชวังถัง

 

จักรพรรดิพระองค์ใหม่อย่างหลี่เชิง ประทับอยู่บนบัลลังก์มังกร

 

“ฝ่าบาท มีจอมยุทธมากมายเข้ามาในเมืองฉางอัน ต้องการให้ขุนนางไปขับไล่พวกเขาหรือไม่?

 

แม่ทัพใหญ่ ขุนนางระดับสูง โค้งคํานับก่อนจะเอ่ยถามออกมา

 

“ไม่จําเป็น”

 

หลี่เชิงจักรพรรดิพระองค์ใหม่ครุ่นคิดสักพักแล้วจึงส่ายศีรษะ

 

กองกําลังของอาณาจักรถังควรจะถูกใช้ สําหรับจัดการเรื่องราวในคืนพระจันทร์เต็มดวง สําหรับเหล่าจอมยุทธที่มารวมตัวกันภายในเมืองฉางอัน ไม่คุ้มค่าที่จะเสียกําลังพล

 

หากอาณาจักรถังสามารถปิดกั้นเย่กู้เฉิงและซีเหมินชุยเฉวไม่ให้เข้ามาได้ จอมยุทธเหล่านั้นก็จะไม่กล้ามายุ่งวุ่นวายไปตามธรรมชาติ หากอาณาจักรถังไม่สามารถหยุดดั้งเหตุการณ์ในครั้งนี้ได้ ก็ไม่มีความหมายที่จะไล่จอมยุทธพวกนั้นไปอยู่ดี

 

“การจัดกระบวนทัพเป็นอย่างไรบ้าง?”

 

จักรพรรดิพระองค์ใหม่อย่างหลี่เชิงตรัสถามด้วยน้ำเสียง ทุ่มลุ่มลึก

 

“รายงานฝ่าบาท กองกําลังได้ตรึงกําลังพลรอคําสั่งอยู่ นอกเมืองแล้ว เพียงพระองค์ออกคําสั่งก็จะเคลื่อนพลได้ทัน

 

ขุนนางระดับสูงจากสภากลาโหมกล่าวด้วยความเคารพ

 

“เยี่ยมมาก”

จักรพรรดิหลี่เชิงพยักหน้าเล็กน้อย ความคิดของเขาล่องลอยออกไป ไม่มีใครรู้ว่ากําลังคิดอะไรอยู่

Sign in Buddha’s palm 121 คืนพระจันทร์เต็มดวง เทพกระบี่วิวาท

 

ตําหนักไปฉี

 

ขุนนางพลเรือนและขุนนางฝ่ายทหารต่างก็นิ่งเงียบ

 

แม้ว่ายอดปรมาจารย์ขั้นสูงสุดทุกคนจะอยู่ในตําแหน่งที่มีอํานาจ อยู่แล้ว แต่มันก็มีความแตกต่างระหว่างระดับสูงและระดับที่ต่ำกว่าอยู่

 

และเย่กู้เฉิงเจ้าเมืองไป๋หยุน เป็นหนึ่งในผู้ที่ทรงพลังที่สุดในตําแหน่งที่สูงที่สุด

 

เพราะสิ่งที่เย่กู้เฉิงฝึกฝนคือวิถีแห่งดาบและกระบี่

 

แต่เดิมวิถีกระบี่ก็เป็นจ้าวแห่งการสังหารและการจู่โจมอยู่แล้ว และเย่กู้เฉิงก็เป็นอันดับหนึ่งในเรื่องของความเฉียบคมของกระบี่ เก่งกาจในด้านการโจมตี เกรงว่าพลังของมันคงจะใกล้เคียงกับยอดปรมาจารย์ขั้นสูงสุดที่แปรสภาพพลังไปสามอย่างแล้ว

 

เหล่าสภาขุนนางไม่เคยคิดฝันมาก่อนว่าจะต้องมาเผชิญหน้ากับเจ้าเมืองไป๋หยุนอย่างเยู่กู้เฉิง

 

หากเย่กู้เฉิงต้องการสิ่งของอย่างอื่น ไม่ว่าจะเป็นทองคํานับหมื่นตําลึง หรืออยากจะได้ตําแหน่งเทียบเท่าองค์ชาย ก็เป็นเรื่องที่พอจะพูดคุยกันได้

 

แต่เรื่องการยืมใช้วัง

 

รู้หรือไม่ว่าพระราชวังถังก็คือหน้าตาของอาณาจักรถัง หากเย่กู้เฉิงเพิ่งได้รับอนุญาตอาณาจักรถังอาจจะต้องถูกหัวเราะเยาะจากคนทั้งโลก พวกเขาไม่สามารถเชิดหน้าชูตาได้อีกต่อ

 

อาณาจักรถังก่อตั้งมามากกว่าห้าร้อยปี พวกเขาเคยได้รับความอัปยศอดสูเช่นนี้มาก่อนหรือไม่?

 

“พี่ชายชุยเฉว่?”

 

“ใช่ซีเหมินชุยเฉวร์เปล่า?”

 

เหล่าข้าราชบริพารต่างพึมพําอยู่กับตนเอง ทันใดนั้นผิวของพวกเขาก็ยิ่งซีดลงไปอีก

 

เห็นได้ชัดว่าเหล่าขุนนางได้ตระหนักถึงบางสิ่ง และมันร้ายแรงจนยากเกินกว่าที่พวกเขาจะซ่อนเร้นการแสดงออก

 

สําหรับตัวตนของคนที่เจ้าเมืองไป๋หยุนเรียกขานว่า “พี่ชายชุยเฉว่” เกรงว่าจะมีเพียงคนเดียวนั่นคือปรมาจารย์กระบี่ผู้ยิ่งใหญ่ ผู้ที่ถูกกล่าวขานว่าใกล้เคียงเทพเจ้า” ที่สุด คือ ซีเหมินชุยเฉวผู้นี้

 

“ทําเช่นไรดี?”

 

เหล่าเจ้าหน้าที่ต่างหนาวเย็นจับขั้วหัวใจ

 

หากมีเพียงเย่กู้เฉิงคนเดียว ด้วยภูมิหลังในปัจจุบัน ของอาณาจักรถังบางที่อาจจะพอต้านทานได้

 

แต่เมื่อรวมเข้ากับซีเหมินชุยเฉว่…

 

เหล่าข้าราชบริพารต่างสั่นสะท้านใจไปถ้วนทั่ว

 

จักรพรรดิพระองค์ใหม่อย่างหลี่เชิงถอนหายใจออกมา เบาๆ เมื่อเห็นสิ่งเหล่านี้

 

นี่คือข้อเสียเปรียบใหญ่ที่อาณาจักรถังกําลังเผชิญ ปัจจุบันพวกเขาไม่มียอดปรมาจารย์ขั้นสูงสุด

 

นับตั้งแต่การสิ้นพระชนม์ของจักรพรรดิพระองค์ก่อน จ้าวกงกงซึ่งเป็นยอดปรมาจารย์ขั้นสูงสุดเพียงคนเดียวภายในวังหลวงก็ได้สิ้นชีพจากไปเช่นกัน

 

ในช่วงสองปีที่ผ่านมา จักรพรรดิหลี่เชิงต้องการที่จะฝึกฝนยอดปรมาจารย์ขั้นสูงสุดมาโดยตลอด แต่น่าเสียดายที่มันไม่มีความหวังเลย

 

แม้ว่าจักรพรรดิพระองค์ใหม่อย่างหลี่เชิงจะใช้ทรัพยากรของอาณาจักรถังจนหมด แต่ผลลัพธ์ก็ยังเชื่องช้าอยู่มาก

 

ยอดปรมาจารย์ขั้นสูงสุดต้องบ่มเพาะจนแปรสภาพพลังด้วยตนเอง เว้นแต่จะมีสมบัติหายากอย่างเช่น โอสถควบรวมไอศักดิ์สิทธิ์ ฯลฯ …

 

นอกจากนี้แม้ว่าจะมีโอสถควบรวมไอศักดิ์สิทธิ์จริง แต่ก็ต้องฝึกฝน “พลังศักดิ์สิทธิ์” ไปให้ถึงขีดสุดด้วย ถึงจะได้รับประโยชน์

 

เมื่อเป็นเช่นนั้นก็คงทําได้เพียงพึ่งพาตนเอง อิทธิพลของสิ่งของภายนอกแทบจะกลายเป็นสิ่งไม่สําคัญไปเสีย

 

แม้ว่าองค์จักรพรรดิหลี่เชิงจะเดาได้บ้างว่าผู้ที่สังหารราชาหรูหยางแห่งหนานหมิงและอินจิ๋วฝด้วยเสียงภู่ฉินในตอนนั้นอาจจะเป็นยอดฝีมือผู้ทรงพลังจนไม่มีใครเทียบ

 

แต่เขาก็ยังไม่เคยเห็นอีกฝ่ายมาก่อนเลยจนถึงตอนนี้และไม่แน่ใจด้วยว่าฝ่ายตรงข้ามจะลงมืออีกไหม 

 

บางทียอดฝีมือที่แข็งแกร่งผู้นั้นอาจจะเป็นคนที่บังเอิญผ่านมาทางวังหลวงแล้วก็จากไป?

 

ไม่ว่าจะในกรณีใด จักรพรรดิพระองค์ใหม่อย่างหลี่เชิงก็จะไม่เอาความหวังของเขาไปลงกับสิ่งที่ไม่แน่นอน

 

เพราะตัวเขาคือจักรพรรดิแห่งราชวงศ์ถัง!

“ฝ่าบาทอย่าเพิ่งหุนหันพลันแล่น…”

 

เมื่อขุนนางคนหนึ่งเห็นความมุ่งมั่นบนใบหน้าของจักรพรรดิพระองค์ใหม่ เขาก็คุกเข่าลงและพยายามเกลี้ยกล่อมในทันที

 

เหตุใดขุนนางเหล่านี้จะไม่เข้าใจความพยายามในการยั่วยุของเยกู้เฉิง?

 

เมื่อต้องเผชิญหน้ากับยอดปรมาจารย์ขั้นสูงสุดถึงสองคนที่กล่าวขานกันว่าเป็นอันดับหนึ่งในด้านความแข็งแกร่ง ด้วยสถานะปัจจุบันของต้าถัง พวกเขาไม่สามารถทานทนต่อเรื่องราวครั้งใหญ่เช่นนี้ได้

 

“หุนหันพลันแล่น?”

 

“เย่กู้เฉิงแทบจะเหยียบหน้าข้าอยู่แล้ว จะบอกว่าข้าเป็นคนหุนหันพลันแล่นเช่นนั้นหรือ?”

 

จักรพรรดิพระองค์ใหม่อย่างหลี่เชิงยังคงเดินไปเดินมา เสียงของเขาทุ่มต่ำลง

 

ทุกวันนี้นานาประเทศเหมือนจะหยุดสงครามกันไป แต่อาณาจักรถังซึ่งครอบครองที่ราบภาคกลางอันกว้างใหญ่ และอุดมสมบูรณ์ ไม่รู้ว่ามีกี่อาณาจักรที่หมายตาที่แห่งนี้เอาไว้

 

ตัวอย่างก็เช่นตอนที่องค์จักรพรรดิถังพระองค์ก่อนสิ้น พระชนม์เมื่อสองปีที่แล้ว ราชาหรูหยางก็คือคนที่รักจักรพรรดิหมิงส่งมาเพื่อทดสอบราชวงศ์ถัง

 

โชคดีที่ไม่ว่าจะเป็นราชาหรู่หยางหรือว่าอินจิ๋ว ทั้งหมดล้วนตกตายลงที่วังหลวงแห่งนี้ ทําให้อาณาจักรต่างๆตกตะลึง เป็นการป้องกันไม่ให้พวกเขาเคลื่อนไหวกระทําการใด

 

ด้วยเหตุนี้สถานการณ์โดยรวมจึงเงียบสงบไปสองปี

 

อย่างไรก็ตาม หากเย่กู้เฉิงได้รับอนุญาตให้ยืมพระราชวังถังได้อย่างราบรื่นในครั้งนี้ เท่ากับเป็นการเผยความอ่อนแอของอาณาจักรต่อหน้าสายตาจากต่างอาณาจักร

 

ในเวลานั้นอาณาจักรถึงจะไม่เพียงเผชิญกับเรื่องอื้อฉาวจนอับอายขายขี้หน้าเท่านั้น แต่ยังจะก่อให้เกิดสงครามตามมาด้วย

 

“เนื่องจากฝ่าบาทยืนยัน เหล่าขุนนางจึงทําได้เพียงปฏิบัติตามเท่านั้น”

 

ขุนนางที่เป็นผู้ที่เริ่มบทสนทนาก็เงยหน้าขึ้นมองไปที่หลี่เชิงจากนั้นจึงถอนหายใจและกล่าวคําออกมาพร้อมทั้งโก้งคํานับ

 

จักรพรรดิพระองค์ใหม่อย่างหลี่เชิงหยุดเดินและมองไปที่เหล่าเจ้าหน้าที่ขุนนาง

 

“ข้าจะเรียกยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งของราชวงศ์ถังให้กลับมาที่วังหลวง นอกจากนั้นข้าจะระดมกองทัพใกล้เมืองฉางอันให้มารวมตัวกัน”

 

จักรพรรดิพระองค์ใหม่หลี่เชิงกลับมานงที่บัลลังก์มังกรอีกครั้ง และออกคําสั่งอย่างใจเย็น

 

ในวังหลวงมียอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งทั้งหมดยี่สิบสามคนที่อยู่ประจําเมือง แต่ไม่ได้หมายความว่าอาณาจักรถึงจะมียอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งเพียงยี่สิบสามคนเสียเมื่อไหร่

 

นอกเหนือจากนั้นยังมียอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งที่อยู่ในดินแดนชนบทอยู่บ้าง หรือในหมู่ของเชื้อพระวงศ์เองก็มียอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งเช่นกัน

 

แม้ยอดปรมาจารย์ที่อยู่ในพื้นที่ชนบทจะไม่ได้เชื่อฟังคําสั่งขององค์จักรพรรดิ แต่จักรพรรดิแห่งราชวงศ์ถังก็สามารถจ่ายค่าตอบแทนเพื่อให้พวกเขาช่วยเหลือได้

 

สําหรับกองทัพที่อยู่บริเวณใกล้เคียงเมืองฉางอัน ถือเป็นเครื่องมือป้องกันที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของจักรพรรดิหลี่เชิงพระองค์ใหม่นี้

 

แม้เป็นยอดปรมาจารย์ขั้นสูงสุดหากถูกปิดล้อมอยู่ภายในกองทัพก็มีสิทธิ์ที่จะเสียชีวิตได้เลยทีเดียว

 

ในเวลาเดียวกัน

 

ภายในพระราชวังตะวันออก

 

ซูฉินเดินช้าๆ ไปตามทางเดินอันเขียวขจี

 

นับตั้งแต่เข้าสู่ระดับนภาชั้นที่สี่เมื่อปีที่แล้ว ความเร็วในการบ่มเพาะของซูฉินก็ช้าลงอีกครั้ง

 

“อา. ”

 

“แน่นอนแหละว่าไม่มีทางลัดในการฝึกฝนวิทยายุทธ มันต้องทําไปทีละขั้นตอน…”

 

ซูฉินถอนหายใจเบาๆ ความรู้สึกทุกอย่างแสดงออกบนใบหน้าของเขาหมดแล้ว

 

แม้จะใช้หยดน้ําจิตวิญญาณธรรมชาติอย่างต่อเนื่อง รวมไปถึงโอสถอายุวัฒนะเคลือบทองคํา และโอสถหมุนวนเก้าโคจร แต่ความก้าวหน้าก็ยังคงช้าอยู่มาก ใครจะไปรู้กันว่าการฝึกฝนในระดับนภาชั้นที่สี่นั้นยากเพียงนี้

 

แน่นอนว่า “ช้า” จากปากของซูฉินนั้นคือเมื่อเทียบกับก่อนทะลวงขั้น

 

ถ้าเทียบกับตํานานยุทธหรืออรหันต์คนอื่นๆ ก็ถือว่าเร็วกว่าหลายเท่า

 

“อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่าภายในวังจะไม่สงบเท่าไหร่ในช่วงนี้ ”

 

ซูฉินดูเหมือนจะนึกอะไรบางอย่างออก ปล่อยจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์และตรวจสอบไปทั่วทั้งวัง

 

โดยปกติแล้วซูฉินจะไม่ได้ตรวจสอบวังหลวงด้วยจิตสัมผัส ศักดิ์สิทธิ์ทุกครั้งไป แต่จะตรวจสอบนานๆ ครั้ง

 

“อ๋อ?”

 

“คืนพระจันทร์เต็มดวง?”

 

“ต้องการจะยืมใช้วังหลวงงั้นหรือ?”

 

“เย่กู้เฉิงเจ้าเมืองไป๋หยุน กับซีเหมินชุยเฉว่?”

 

ซุฉินเลิกคิ้ว สีหน้าฉายแววประหลาดใจ

 

ในระหว่างตรวจสอบด้วยจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ ซูฉินได้ยินคําพูดเพียงไม่กี่คําจากเหล่าขันที่และนางกํานัล

 

ผู้คนในวังต่างตื่นตระหนก ขนาดว่านางกํานัลและเหล่าขันที่ทั้งหลายก็ไม่กล้าพูดคุยเรื่องนี้กันอย่างเปิดเผย พวกเขาต่างแอบพูดคุยในที่ลับอย่างระมัดระวัง

 

“น่าสนใจ”

 

“ใช้พระราชวังเป็นสนามประลอง? แสวงหาการทะลวงระดับ?”

 

ซูฉินส่ายหัวเล็กน้อย ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความประหลาดใจ

 

“ถ้ากล้ามา ข้าก็กล้าที่จะตบให้แดดิ้น”

 

ซูฉินเดินอย่างไม่เร่งร้อน คิดเล่นๆ อยู่ภายในใจ

 

ไม่ว่าอย่างไรองค์จักรพรรดิถังองค์ปัจจุบัน ก็เป็นน้องเขยของเขา และซูฉิน ก็ถือว่าวังหลวงเป็นเหมือนกับสวนหลังบ้านของเขา จะปล่อยให้แมลงวันบินเข้ามารบกวนได้อย่างไร?

 

หรือกล่าวได้ว่า

 

ในสายตาของซูฉินตอนนี้ ยอดปรมาจารย์กระบี่ทั้งสองคนไม่นับเป็นตัวอะไรเลย แม้จะมายี่สิบคน หรือสองร้อยคนก็ไม่คณามือเขา

 

Sign in Buddha’s palm 120 ความโกลาหล

 

ตำหนักชุนฝั่งขวา

 

การแสดงออกในปัจจุบันของซูฉินเต็มไปด้วยความสุขสันต์

 

ในขณะนี้แก่นแท้แห่งพลังของตัวเขามีปริมาณที่มากขึ้นกว่าแต่ก่อนหลายเท่า และแก่นแท้แห่งพลังดั้งเดิมก็ถูกเปลี่ยนใหม่เป็นแก่นแท้แห่งพลังอีกชนิดหนึ่งซึ่งทรงพลังและลึกซึ้งยิ่งกว่า ราวกับมันจะครอบงำโลกหล้าได้เลยทีเดียว

 

“ไม่เลวไม่เลว”

 

ซูฉินพอใจมาก

 

เขาทะลวงขอบเขตอรหันต์ตั้งแต่ระดับนภาชั้นที่หนึ่งมาจนถึงนภาชั้นที่สาม แก่นแท้แห่งพลังมีปริมาณเพิ่มขึ้นหลายเท่า แต่เมื่อตอนที่เข้าสู่นภาชั้นที่สี่ปริมาณของมันก็เหลือล้ำเกินไปกว่าเดิมเสียอีก

 

สิ่งที่น่ากลัวยิ่งกว่าจากการพัฒนาระดับในครั้งนี้ก็คือแก่นแท้แห่งพลังของซูฉินได้รับการเปลี่ยนแปลงคุณภาพไปเป็นแก่นแท้ชนิดใหม่อย่างสมบูรณ์

 

เมื่อเทียบกับ‘ปริมาณ‘ที่เพิ่มขึ้นมา ซูฉินดูจะตื่นเต้นยินดีกับการปรับปรุง‘คุณภาพ‘มากกว่า

 

“อย่าเพิ่งไปสนใจเรื่องแก่นแท้แห่งพลังเลย มาดูกันว่าข้าสามารถควบคุมพลังฟ้าดินได้มากเท่าไหร่กันหลังก้าวข้ามผ่านมาถึงระดับนภาชั้นที่สี่แล้ว”

 

จิตใจของซูฉินค่อยๆ ผสานไปกับสิ่งรอบตัว

 

เมื่อเทียบกับวิทยายุทธทั้งเก้าระดับชั้น ความแตกต่างที่ใหญ่ที่สุดเมื่อเทียบกับระดับตำนานยุทธหรือระดับอรหันต์ก็คือความสามารถในการควบคุมพลังฟ้าดิน

 

ในบรรดาผู้ที่อยู่ในขั้นวิทยายุทธทั้งเก้าระดับชั้น แม้แต่ยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งก็สามารถดึงเอาพลังฟ้าดินออกมาใช้ได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น

 

แต่ถ้ากลายเป็นอรหันต์หรือตำนานยุทธจะสามารถควบคุมพลังฟ้าดินได้อย่างสมบูรณ์ เพียงขยับตัวก็เหมือนจะถูกเสริมพลังด้วยพลังฟ้าดินอันมากมาย

 

นี่เป็นเหตุผลที่ทำให้เหล่าอรหันต์และตำนานยุทธไม่สนใจแบบแผนกลยุทธ์ของหมู่มวลมนุษย์

 

เว้นแต่จะเผชิญหน้ากับผู้แข็งแกร่งในระดับเดียวกัน ตำนานยุทธหรืออรหันต์ก็ไม่มีอะไรต้องกังวล

 

หวึ่ง!

 

จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของซูฉินยังไหลออกไปเรื่อยๆ จนกระจายออกไปเป็นระยะยี่สิบลี้รอบตัว

 

“ควบคุมพลังแห่งฟ้าดินได้ไกลถึงยี่สิบลี้แล้ว!”

 

ซูฉินดูมีความสุข

 

เขาสามารถควบคุมพลังฟ้าดินได้แค่ไม่กี่ลี้ตอนที่เพิ่งขึ้นมาอยู่ในขอบเขตอรหันต์ระดับนภาชั้นที่หนึ่ง และเมื่อไปถึงระดับนภาชั้นที่สามขั้นสมบูรณ์ก็ยกระดับความสามารถในการควบคุมพลังฟ้าดินได้ไกลถึงสิบลี้

 

จากนั้นไม่ว่าซูฉินจะฝึกฝนมากมายเพียงใด การเพิ่มขอบเขตการใช้พลังก็ค้างอยู่ที่ระยะสิบลี้ ราวกับการควบคุมพลังฟ้าดินในระยะสิบลี้เป็นขีดจำกัดของอรหันต์ในนภาชั้นที่สามแล้ว

 

“พลังฟ้าดินในระยะยี่สิบลี้สามารถเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับตัวข้าได้มากถึงสิบเท่า”

 

ความสุขสันต์บนใบหน้าของซูฉินยิ่งนานไปยิ่งทวีคูณ

 

อาจดูเหมือนว่ามีความแตกต่างเพียงแค่เท่าเดียวระหว่างระยะสิบลี้กับระยะยี่สิบลี้ แต่ความเป็นจริงมันกลับแตกต่างกันมาก

 

มันไม่ใช่แค่เพียงพลังฟ้าดินจะกว้างใหญ่ ต้องดูด้วยว่าความยืดหยุ่นในการใช้งานพลังฟ้าดินนั้นมากแค่ไหน ทั้งสองสิ่งนั้นเป็นสิ่งที่อยู่คนละระดับกัน

 

“ไม่น่าแปลกใจเลยที่ระดับนภาชั้นที่สามเมื่อก้าวเข้าสู่ระดับนภาชั้นที่สี่จะมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เกิดขึ้น ดูเหมือนว่ามันจะโน้มเอียงไปทางการเปลี่ยนแปลงด้านคุณภาพเสียมากกว่า…”

 

ซูฉินเต็มไปด้วยอารมณ์ความรู้สึก

 

“อรหันต์ระดับนภาชั้นที่สี่ถึงกับทรงพลังมากขนาดนี้ แล้วนภาชั้นที่เจ็ด นภาชั้นที่เก้าเล่า มันจะถึงขนาดทำลายฟ้าดินได้เลยไหม?”

 

ความคิดของซูฉินพลิกผันไปมา

 

ซูฉินไม่รู้ว่ามีตำนานยุทธคนใดที่เคยไปถึงนภาชั้นที่เก้าหรือไม่ แต่วัดเส้าหลินอันเป็นสถานศักดิ์สิทธิ์ของชาวพุทธมีประวัติศาสตร์สืบทอดมานานนับพันปีก็ยังมีผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดเพียงอรหันต์ในระดับนภาชั้นที่หกเพียงเท่านั้น

 

ตามความเข้าใจของซูฉินจากที่ได้อ่านมาจากหนังสือโบราณของวัดเส้าหลิน สาเหตุที่อรหันต์ท่านนั้นสามารถบ่มเพาะจนขึ้นไปถึงระดับนภาชั้นที่หกได้ก็เพราะค้นพบโอกาสอันยิ่งใหญ่ที่อยู่ในห้วงมหาสมุทรอันกว้างใหญ่ไม่มีที่สิ้นสุด

 

“มหาสมุทรอันไม่มีที่สิ้นสุด…”

 

ซูฉินเงยหน้าขึ้นเล็กน้อยแล้วมองออกไปนอกแผ่นดินใหญ่

 

ในตอนที่เขาได้รับแผ่นหนังสัตว์มาจากจอมมาร ซูฉินก็ได้รู้ว่าในส่วนลึกของมหาสมุทรอันไม่มีที่สิ้นสุดอาจจะมีโลกอีกใบซ่อนอยู่

 

“ถึงแม้จะมีโอกาสที่ดีในส่วนลึกของมหาสมุทรอันไม่มีที่สิ้นสุด แต่มันก็มีความเสี่ยงอยู่เหมือนกัน”

 

“ภายในวัดเส้าหลินเมื่อกว่าสองพันปีก่อน มีอรหันต์รูปหนึ่งที่ไปยังมหาสมุทรอันไม่มีที่สิ้นสุด และหลังจากนั้นเขาก็ไม่ได้กลับมาอีกเลย…”

 

“ตอนนี้ตราบที่ข้ายังคงลงชื่อเข้าใช้ได้อยู่ ข้าก็จะแข็งแกร่งยิ่งขึ้นเรื่อยๆ ไม่จำเป็นต้องไปที่มหาสมุทรอันไม่มีที่สิ้นสุด…”

 

ซูฉินส่ายหัวเล็กน้อย

 

ตำนานยุทธคนอื่นๆ ข้ามน้ำทะเลไปก็เพราะอยากที่จะก้าวเข้าสู่ความแข็งแกร่งหรือไม่ก็ยืดอายุขัยของตนเอง ดังนั้นสิ่งที่พวกเขาทำมันเป็นเพียงทางเลือกสุดท้ายเพื่อให้ได้มาซึ่งความหวังอันริบหรี่

 

แต่ซูฉินนั้นต่างออกไป

 

เขามีอายุขัยเพียงพอ และสามารถมีชีวิตอยู่ได้อีกเก้าร้อยเจ็ดสิบปี ประกอบกับไม่ได้ขาดแคลนทรัพยากรสำหรับการฝึกฝน ทำไมยังจะต้องไปที่มหาสมุทรอันไม่มีที่สิ้นสุด?

 

ถ้าจะเปรียบเทียบมันก็ราวกับองค์รัชทายาทที่กำลังจะได้ครองบัลลังก์ แต่จู่ๆ เขาก็สละตำแหน่งละทิ้งทุกสิ่งไปเสียอย่างนั้น…

 

มันไม่โง่ไปหน่อยหรือ?

 

ซูฉินเป็นคนระมัดระวังตน แน่นอนว่าเขาต้องเลือกวิธีที่ปลอดภัยที่สุด

 

“ก่อนที่จะทำอะไรอย่างอื่น ตอนนี้ต้องควบคุมระดับพลังให้มั่นคงเสียก่อน…”

 

ซูฉินคิดได้ดังนั้น ไม่นานก็หลับตาลง แก่นแท้แห่งพลังโคจรไปในแนวทางของพระสูตรอมิตาภาบรรพกาล

 

เวลาผ่านเลยไป

 

วันต่อมา

 

ซูฉินได้ทำให้ฐานของระดับพลังมั่นคงขึ้นเล็กน้อย และออกมาจากการปิดด่านฝึกตน

 

ทุกอย่างภายในวังเป็นไปตามปกติ จักรพรรดิพระองค์ใหม่ก็ขยันขันแข็ง อาณาจักรถังกำลังจะเฟื่องฟู

 

พระราชวังตะวันออกถูกทิ้งร้างมาโดยตลอดจนทุกวันนี้ก็ยังไม่เปลี่ยนแปลง แต่ซูฉินก็ไม่ได้สนใจอะไร เขาชอบความเงียบสงบอยู่แล้ว ฉะนั้นสภาพแวดล้อมในพระราชวังตะวันออกตอนนี้คือสิ่งที่เขาต้องการ

 

“เวลาช่างผ่านไปเร็วเหลือเกิน…”

 

ซูฉินก้าวเดินไปอย่างช้าๆ ปล่อยความคิดให้โล่งโปร่งสบาย

 

ไม่ทันรู้ตัวเขาก็ผ่านมาสามสิบปีแล้วตั้งแต่เริ่มฝึกฝนบ่มเพาะ และพริบตาเดียวเขาก็กลายเป็นอรหันต์ระดับนภาชั้นที่สี่

 

จากนั้นซูฉินก็กลับเข้าสู่ชีวิตแบบเดิมอีกครั้ง

 

หลังจากเป็นอรหันต์ระดับนภาชั้นที่สี่ ซูฉินก็ยังไม่ได้ชะล่าใจ เพราะเขาคิดว่าเหนือฟ้ายังมีฟ้า

 

ลึกลงไปในมหาสมุทรก็ยังลึกจนไร้ก้น

 

เมื่อซูฉินใช้ชีวิตในการฝึกฝนและลงชื่อเข้าใช้ทุกๆ วัน

 

อีกหนึ่งปีก็ผ่านไปภายในพริบตา

ในปีนี้จักรพรรดิพระองค์ใหม่อย่างหลี่เชิงได้ปลดหัวหน้าผู้ตรวจสอบของระบบการสอบจากราชสำนัก และตัวเขาก็เข้ามาเป็นหัวหน้าผู้ตรวจสอบเสียเอง

 

ผู้สมัครทุกคน ในอนาคตจะไม่อยู่ใต้อำนาจของข้าราชบริพารขุนนางอีกต่อไป แต่จะขึ้นตรงต่อองค์จักรพรรดิ

 

ตามคาด

 

ด้วยการเคลื่อนไหวนี้ ความขัดแย้งภายในสภาขุนนางก็ผ่อนคลายลงเป็นอย่างมาก

 

จักรพรรดิหลี่เชิงเข้าใจดีว่าการเคลื่อนไหวในครั้งนี้ไม่สามารถแก้ปัญหาความขัดแย้งได้สมบูรณ์ เพราะตราบใดที่ยังมีผู้คนอยู่ภายในสภาขุนนาง เป็นสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้ที่จะเกิดการสร้างกลุ่มก้อนขึ้น

 

แต่มันก็ช่วยให้การทะเลาะเบาะแว้งของฝ่ายต่างๆ ชะลอลงไปได้

 

และด้วยสถานการณ์เช่นนี้ ก็ทำให้จักรพรรดิพระองค์ใหม่อย่างหลี่เชิงพอใจแล้ว

 

ตกดึก

 

ขุนนางฝ่ายพลเรือนและฝ่ายทหารรีบเข้ามาที่ตำหนักไท่จี๋ จักรพรรดิพระองค์ใหม่อย่างหลี่เชิงนั่งอยู่บนบัลลังก์มังกรด้วยสีหน้าที่เศร้าหมอง

 

ขุนนางที่มาดูเคร่งเครียด ราวกับมีเหตุการณ์สำคัญเกิดขึ้น

 

จากนั้นไม่นาน ขุนนางฝ่ายพลเรือนก็กัดฟันถามออกมาด้วยความเคารพ “ฝ่าบาท เหตุการณ์นี้มันเริ่มมาจากที่ใด? จริงหรือไม่พะย่ะค่ะ…”

 

คำที่พูดออกมา

 

จักรพรรดิพระองค์ใหม่อย่างหลี่เชิงถึงกับลุกขึ้นยืนอย่างกะทันหันและกล่าวออกด้วยเสียงอันหดหู่ “จริงหรือไม่งั้นหรือ?”

 

จักรพรรดิหลี่เชิงหยิบกระดาษแผ่นหนึ่งออกมาอ่านทีละคำ

 

“ในคืนพระจันทร์เต็มดวง ข้าจะขอยืมพระราชวังของเจ้า ข้าและพี่ชายชุยเฉว่จะแลกเปลี่ยนชี้แนะวิถีกระบี่ซึ่งกันและกัน จาก เย่กู้เฉิง เจ้าเมืองไป๋หยุน”

 

หลังจากที่องค์จักรพรรดิพระองค์ใหม่อย่างหลี่เชิงพูดจบ เขาก็มองไปที่เหล่าขุนนางพลเรือนและฝ่ายทหารของอาณาจักรถัง “เรื่องนี้ได้แพร่กระจายออกไปแล้ว ทั้งโลกต่างก็รู้เรื่องนี้กันหมด!”

 

“พูดมาซิ เจ้าว่าข้าควรทำเช่นไรดี?!”

 

จักรพรรดิหลี่เชิงกล่าวจบ

สีหน้าของเหล่าขุนนางก็เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว

 

แม้ว่าพวกเขาจะไม่ใช่ผู้ฝึกยุทธ แต่ชื่อของเจ้าเมืองไป๋หยุนอย่างเย่กู้เฉิงนั้น พวกเขาก็ต้องพอรู้จักอยู่บ้าง

 

ในปัจจุบัน แม้ว่ายอดปรมาจารย์ขั้นสูงสุดจะหายาก แต่ก็มีจำนวนอยู่ไม่น้อย และในบรรดายอดปรมาจารย์ระดับแนวหน้า ชื่อของเย่กู้เฉิงเจ้าเมืองไป๋หยุนก็เป็นหนึ่งในผู้ที่โดดเด่นขึ้นมา

Sign in Buddha’s palm 119 ทะลวงขั้น! นภาชั้นที่สี่!

 

ในขณะที่กำลังฟัง ‘คำท้วงติง‘ ขององค์จักรพรรดิหลี่เชิงพระองค์ใหม่นี้ ซูฉินก็ยิ่งรู้สึกชัดเจนมากขึ้นว่าสิ่งที่เขาได้เลือกนั้นถูกต้องเพียงใด

 

ไม่ว่าจะอยู่ที่ใด ไม่ว่าจะเป็นวัดเส้าหลินหรือพระราชวังถัง การให้อะไรไปมากก็ยิ่งได้สิ่งตอบแทนกลับมามากเท่านั้น

 

ตอนนี้ตัวซูฉินนั้นดูเหมือนจะไม่มีสิทธิ์มีเสียงอะไรในวัง แต่อันที่จริงเขาคือคนที่สบายที่สุด

 

ลงชื่อเข้าใช้ ฝึกฝนทุกวัน เดินเตร่ไปรอบๆ ค่อยๆ พัฒนาความแข็งแกร่งขึ้นไปเรื่อยๆ ไม่ใช่ว่านี่มันช่างแสนจะดีงามหรอกหรือ?

 

“สภาขุนนางต่างเคารพและยำเกรงตัวข้า แต่ในปีนี้กลับมีข้อพิพาทค่อยๆ ก่อตัวขึ้นในแต่ละฝ่าย”

 

เมื่อจักรพรรดิพระองค์ใหม่อย่างหลี่เชิงพูดถึงหัวข้อนี้ น้ำเสียงของเขาดูหนักแน่นจริงจังขึ้น

 

ในความเป็นจริงแล้ว ไม่ว่าจะอาณาจักรใดย่อมไม่สามารถหลีกเลี่ยงข้อพิพาทที่เกิดขึ้นในฝ่ายต่างๆ ได้ แต่ก่อนหน้านี้จักรพรรดิถังพระองค์เก่าได้กวาดล้างสภาขุนนางเสียใหม่แล้วก่อนที่หลี่เชิงจะขึ้นครองบัลลังก์ จึงทำให้ข้อพิพาทต่างๆ ลดน้อยลงจนแทบไม่มี

 

แต่หลังจากผ่านไปหนึ่งปี โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือหลังจากที่มีการจัดการสอบประจำปี ข้อพิพาทระหว่างกลุ่มขุนนางก็เริ่มเกิดขึ้นมาอีกครั้ง

 

สิ่งนี้ทำให้องค์จักรพรรดิพระองค์ใหม่เช่นหลี่เชิงเหนื่อยล้าเป็นอย่างมาก เขาอนุญาตให้มีความเห็นที่แตกต่างได้ แต่สิ่งที่จำเป็นที่สุดก็คือผลประโยชน์ของอาณาจักรถังต้องมาก่อนเป็นอันดับแรก

 

เมื่อมีการรวมตัวเป็นกลุ่มเป็นก้อนขึ้น ขุนนางบางคนก็เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตนมากกว่าประโยชน์ของต้าถัง

 

“มีข้อพิพาทกันในแต่ละฝ่าย?”

 

ซูฉินครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วถามไปว่า “ทำไมถึงทะเลาะกันเล่า?”

 

“มันยากที่จะอธิบาย”

 

จักรพรรดิพระองค์ใหม่ใคร่ครวญเรื่องนี้อยู่พักหนึ่งก่อนจะพูดประโยคถัดมา “เจ้าหน้าที่ของอาณาจักรถังนั้นล้วนมาจากการจัดการสอบโดยราชสำนัก”

 

“การจัดการสอบของราชสำนักดำเนินการโดยหัวหน้าผู้ตรวจสอบเพียงผู้เดียว สิ่งนี้นำไปสู่ความจริงที่ว่าผู้สมัครสอบจำนวนมาก ทั้งหมดล้วนอยู่ภายใต้อาณัติของคนผู้นี้ไปเสีย”

 

“ด้วยวิธีเช่นนี้ ผู้สมัครเหล่านี้ที่เข้ามาอยู่ภายในสภาขุนนางได้ ก็จะอยู่ฝั่งเดียวกับหัวหน้าผู้ตรวจสอบและจัดตั้งกลุ่มของตนเองขึ้นมา ขับไล่คนนอกออกไป…”

 

จักรพรรดิหลี่เชิงอธิบายที่มาที่ไปของข้อพิพาทภายในไม่กี่คำ

 

ความจริงจักรพรรดิแห่งราชวงศ์ถังต่างก็รู้เรื่องนี้ดี แต่รู้ก็ส่วนรู้ แต่กลับแก้ไขอะไรไม่ได้

 

ยกเลิกการสอบของราชสำนักได้หรือไม่เล่า?

 

หรือทุกครั้งที่เกิดเรื่องนี้จะต้องกวาดล้างสภาขุนนางให้สิ้นซากเหมือนที่จักรพรรดิถังพระองค์เก่าได้ทำไป?

 

“พี่สาม ท่านคิดเห็นอย่างไรกับเรื่องนี้”

 

จักรพรรดิพระองค์ใหม่อย่างหลี่เชิงถูนวดบริเวณหัวคิ้วของตน มองไปยังซูฉินแล้วจึงตั้งคำถาม

 

“ความเห็นของข้างั้นหรือ?”

 

ซูฉินครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “เนื่องจากมีข้อพิพาทเกิดขึ้นเกี่ยวกับหัวหน้าผู้ตรวจสอบ ทำไมไม่เปลี่ยนหัวหน้าผู้ตรวจสอบเสียเล่า?”

 

ซูฉินกล่าวออกมาอย่างสบายๆ

 

“เปลี่ยนหัวหน้าผู้ตรวจสอบอย่างนั้นหรือ?”

 

ดวงตาของจักรพรรดิหลี่เชิงสว่างขึ้น แต่ก็มอดดับลงไปในทันที เขาส่ายหัวแล้วกล่าวว่า “การสอบของราชสำนัก มีผู้เข้าสมัครจากทั่วดินแดน ซึ่งตามราชประเพณีที่สืบมาในอาณาจักรถัง หัวหน้าผู้ตรวจสอบจะต้องได้รับเลือกมาจากสภาขุนนางภายในราชสำนักเท่านั้น”

“เพราะมีเพียงข้าราชบริพารที่อยู่ในสภาขุนนางเท่านั้นที่จะโน้มน้าวใจผู้สมัครพวกนั้นได้”

 

“แต่ไม่ว่าจะเปลี่ยนใครขึ้นมาทำหน้าที่ มันก็จะเกิดการณ์เช่นเดิม ผู้สมัครที่เข้ามาอยู่ในสภาขุนนางก็จะเบนอำนาจไปอีกฝั่ง สร้างกลุ่มใหม่ขึ้นมา…”

 

จักรพรรดิพระองค์ใหม่อย่างหลี่เชิงกล่าวด้วยน้ำเสียงขมขื่น

 

“เจ้าเข้าใจความหมายที่ข้าสื่อผิดไป

 

ซูฉินส่ายหัวแล้วจึงกล่าวต่อว่า “ข้าไม่ได้จะให้เจ้าเปลี่ยนเจ้าหน้าที่คนอื่นขึ้นมาทำหน้าที่ผู้ตรวจสอบ”

 

“ไม่ได้เปลี่ยนตัวเจ้าหน้าที่งั้นหรือ?”

 

จักรพรรดิพระองค์ใหม่รู้สึกงุนงงเล็กน้อย แต่ยังไม่เข้าใจว่าเพราะอะไร

 

“เจ้าสามารถเป็นหัวหน้าผู้ตรวจสอบเองได้”

 

ซูฉินมองไปที่จักรพรรดิหลี่เชิง กล่าวคำขึ้นเสียงแผ่วเบา

 

“ข้าจะต้องเป็นหัวหน้าผู้ตรวจสอบ”

 

“ข้าจะต้องเป็นหัวหน้าผู้ตรวจสอบ”

 

“ข้าจะต้องเป็นหัวหน้าผู้ตรวจสอบ”

 

ยิ่งเขาคิดถึงเรื่องนี้ ดวงตาของจักรพรรดิหลี่เชิงก็สว่างไสวมากยิ่งขึ้น

 

ที่มาของข้อพิพาทในครั้งนี้ก็คือผู้สมัครสอบที่สอบผ่านในปีนี้จะได้รับมอบหมายให้ขึ้นตรงต่อหัวหน้าผู้ตรวจสอบ ถ้าหากทุกสิ่งยังเป็นเช่นนี้จะเกิดการแบ่งฝักแบ่งฝ่ายขึ้นภายในสภาขุนนางเป็นแน่

 

แต่ถ้าองค์จักรพรรดิถังดำรงตำแหน่งเป็นหัวหน้าผู้ตรวจสอบเสียเอง ผู้สมัครทั้งหมดก็จะขึ้นตรงต่อองค์จักรพรรดิถัง ด้วยวิธีนี้ย่อมเหลือแค่ฝ่ายเดียวภายในสภาขุนนาง

 

ข้อพิพาทระหว่างกลุ่มที่เกิดขึ้นหมายความว่ามีหลายฝ่ายที่ทะเลาะกัน แต่ถ้ามีเพียงฝ่ายเดียวเล่า พวกเขาจะสู้รบตบมือกันเองไปเพื่ออะไร?

 

ทุกคนเป็นพวกเดียวกัน จะทะเลาะกันเองทำไม?

 

เมื่อเป็นเช่นนี้ข้อพิพาทในเรื่องนี้ย่อมหายไปเองตามธรรมชาติ

 

“พี่สาม”

 

“ท่านได้ชี้ทางสว่างให้แก่ข้าแล้ว”

 

จักรพรรดิพระองค์ใหม่อย่างหลี่เชิงรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง รีบกล่าวขึ้นอย่างรวดเร็ว “ข้าจะกลับไปก่อนในวันนี้ แล้วจะมาหาท่านในวันพรุ่งนี้”

 

จักรพรรดิพระองค์ใหม่รีบกลับไปยังห้องโถงชีวิตนิรันดร์อย่างกระตือรือร้น

 

ซูฉินมองตามหลังของจักรพรรดิหลี่เชิงที่กำลังเดินจากไป รอยยิ้มของเขาค่อยๆ จางลง

 

“ใกล้จะถึงเวลาแล้ว”

 

ซูฉินมองไปบนท้องฟ้าจากนั้นจึงเดินกลับไปยังตำหนักชุนฝั่งขวา

 

ในตอนนี้ นอกเหนือจาก ‘ค่ายกลห้าธาตุย้อนทิศทาง‘ ภายในตำหนักชุนฝั่งขวาแล้ว ซูฉินยังก่อตั้งค่ายกลระดับสูงประเภทอื่นๆ อีกหลายชิ้น

 

ความต้องการหลักๆ ในการสร้างค่ายกลเหล่านี้ก็เพื่อระงับกลิ่นอายพลังไม่ให้รั่วไหลออกไป

 

ด้วยวิธีนี้ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นจากการพัฒนาระดับของซูฉินจะไม่ส่งผลกระทบต่อโลกภายนอก มันช่วยให้ซูฉินไม่ต้องหนีไปซ่อนตัวในทุกๆ ครั้งที่ต้องการจะทะลวงระดับ

 

“เริ่มได้”

 

ซูฉินนั่งขัดสมาธิพลางใช้จิตสั่งการ

 

ฟึ่บ!

 

พลันปรากฏขวดยาหลายร้อยขวด นอกจากนั้นยังมีหยดน้ำจิตวิญญาณธรรมชาติอีกมากกว่าร้อยหยด

 

หยดน้ำจิตวิญญาณธรรมชาตินับร้อยหยดนี้เป็นของที่ได้รับมาจากการสะสมภายในช่วงปีนี้ ซึ่งซูฉินตั้งใจจะใช้มันเพื่อการทะลวงขั้นในวันนี้นั่นเอง

 

ถึงหยดน้ำจิตวิญญาณธรรมชาตินั้นจะมีจำนวนที่น้อยแต่มันกลับให้ผลที่ดีอย่างมากไม่ว่าจะเป็นการบ่มเพาะตามปกติหรือในช่วงเวลาสำคัญอย่างขั้นตอนทะลวงระดับ

 

“แล้วก็สิ่งนี้”

 

เบื้องหน้าของซูฉินมีดวงจิตรู้แจ้งสีทองซีดๆ มีลวดลายอันลึกลับอยู่โดยรอบพื้นผิวสัมผัส

 

สิ่งนี้ก็คือดวงจิตรู้แจ้งพันปี

 

ในช่วงที่ซูฉินฝึกฝนการรับรู้และทำความเข้าใจในพลังฟ้าดิน เขาได้เก็บดวงจิตรู้แจ้งพันปีกลับเข้าไปในคลังเก็บของของระบบ

 

แต่ในช่วงเวลาสำคัญอย่างการทะลวงขั้นนั้น เพื่อป้องกันข้อผิดพลาดจึงเป็นเรื่องธรรมดาที่เขาต้องนำดวงจิตรู้แจ้งพันปีออกมาใช้ปกป้องจิตวิญญาณของตนเอง

 

ถึงแม้เขาจะรู้ดีว่าด้วยการเตรียมพร้อมที่เขาได้จัดเตรียมเอาไว้จะดีพอจนไม่ต้องใช้ดวงจิตรู้แจ้งพันปีเลย แต่การนำออกมาเผื่อไว้ก็ดีกว่าไม่ได้ใช้อะไร

 

ในช่วงเวลาต่อมา

 

ซูฉินหลับตาลงอย่างช้าๆ

 

ฟู่ว!

 

ชี่!

 

ในขณะที่ซูฉินกำลังสูดลมหายใจเข้าไป หยดน้ำจิตวิญญาณธรรมชาติมากกว่าร้อยหยดที่อยู่เบื้องหน้าของเขาก็กลายเป็นสายน้ำไหลเข้าไปในปากของซูฉิน

 

ในเวลาเดียวกัน โอสถชนิดอื่นๆ ก็มีชะตาเช่นเดียวกัน ต่างถูกซูฉินดูดกลืนเข้าไปทั้งหมด

 

ทันใดนั้น

 

แก่นแท้แห่งพลังในร่างของซูฉินก็เพิ่มปริมาณขึ้นและโคจรไปทั่วร่าง ไอพลังที่พวยพุ่งออกมาดูน่าหวาดกลัวมากขึ้นเรื่อยๆ ถ้าหากที่นี่ไม่ได้ถูกคลุมไว้ด้วยค่ายกลฟ้าดินจำนวนมาก ป่านนี้ทั่วทั้งเมืองฉางอันคงสั่นสะเทือนไปแล้ว

ด้วยหยดน้ำจิตวิญญาณธรรมชาติมากกว่าร้อยหยดรวมไปถึงโอสถชนิดอื่นๆ จำนวนหลายร้อยเม็ด ต่างช่วยให้แก่นแท้แห่งพลังของซูฉินเพิ่มสูงขึ้นในทันที

 

รู้หรือไม่ว่าแม้หยดน้ำจิตวิญญาณธรรมชาติจะไม่ได้มีฤทธิ์ที่รุนแรง แต่นั่นก็ตั้งอยู่บนพื้นฐานที่ว่าซูฉินใช้มันไปทีละหยดเท่านั้น

 

ตอนนี้ตัวเขาใช้มากกว่าร้อยหยดภายในพริบตา หากร่างกายซูฉินไม่ได้เปลี่ยนแปลงครั้งที่สี่ในช่วงก่อนหน้าจนเกิด ‘อัตลักษณ์สีทอง‘ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์แห่งการอยู่ยงคงกระพัน ร่างของเขาก็คงจะระเบิดและตายไปแล้ว

 

ตูม!!!

 

เลือดในร่างของซูฉินพลุ่งพล่านเคลื่อนตัวชักนำพลังสวรรค์ให้หมุนตามไปอย่างช้าๆ

 

หวึ่ง!!!

 

ในตอนนั้นเอง

 

แก่นแท้แห่งพลังที่หมุนวนอยู่ตลอดเวลาก็เหมือนจะโคจรไปในทิศทางที่แปลกประหลาด

 

แก่นแท้แห่งพลังที่เปลี่ยนไป ทรงพลังและลึกซึ้งยิ่งกว่า จนเหมือนกับว่าสามารถใช้บดบังโลกนี้ไว้ได้เลยทีเดียว

 

เวลาค่อยๆ ผ่านเลยไปอย่างเชื่องช้า

 

เมื่อแก่นแท้แห่งพลังทั้งหมดในร่างของซูฉินถูกเปลี่ยนไปกลายเป็นแก่นแท้แห่งพลังที่ยิ่งใหญ่และลึกซึ้งยิ่งขึ้น

 

พลังที่เพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ ในตอนแรกก็เริ่มลดระดับลง ราวกับมันถูกสูบกลับเข้าไปในหลุมและจมนิ่งอยู่แบบนั้น

 

ช่วงเวลาต่อมา

 

ซูฉินค่อยๆ ขยับเปิดเปลือกตาขึ้น

 

“นี่คือขอบเขตนภาชั้นที่สี่งั้นรึ?”

 

ซูฉินพยายามรับรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงภายในตนอย่างระมัดระวัง รอยยิ้มค่อยๆ โผล่ขึ้นมาบนใบหน้า

Sign in Buddha’s palm 118 พลังฉีแห่งมังกร

 

 

ศาลบรรพชนเป็นสถานที่สำหรับฝังร่างขององค์จักรพรรดิในราชวงศ์ถัง สง่างามและน่าเกรงขามยิ่ง

“ระบบ ลงชื่อเข้าใช้”

 

ซูฉินนิ่งคิดอยู่ภายในใจ แล้วจึงกล่าวคำอย่างเงียบๆ

 

แม้ว่าศาลบรรพชนของราชวงศ์ถังจะมีประวัติศาสตร์เพียงห้าร้อยหกร้อยปี แต่ยังมี ‘เต๋าสะสม‘ เก็บรวบรวมเอาไว้อยู่

 

[ขอแสดงความยินดี โฮสต์ลงชื่อเข้าใช้สำเร็จ ได้รับ ‘ปราณชีวิตมังกรแท้จริง‘]

 

เสียงจักรกลอันแสนเย็นชาดังขึ้นภายในหูของซูฉิน

 

“ปราณชีวิตมังกรแท้จริง?”

 

ซูฉินผงะไปชั่วขณะ

 

ในเวลาต่อมาข้อมูลของ ‘ปราณชีวิตมังกรแท้จริง‘ ก็เข้ามาในจิตของซูฉิน

 

“ปรากฏว่านี่คือปราณชีวิตมังกรแท้จริงหรือนี่?”

 

ซูฉินยกมือขวาขึ้น ไอพลังสีทองก็ไหลเวียนไปมาระหว่างนิ้วมือของเขา รัศมีแสงสีทองเหล่านี้รวมตัวกันและกระจายออกมา เผยให้เห็นภาพมังกรจางๆ

 

ปราณชีวิตมังกรแท้จริงเป็นระบบกลไกการทำงานของพลังฉีที่พิเศษยิ่ง หากเก็บไว้ภายในร่างเป็นเวลานานจะส่งผลให้ระบบเลือดมีเสถียรภาพ ทั้งยังเพิ่มพลังฉีเพิ่มพลังเลือดเนื้ออีกด้วย

 

แม้แต่ในหมู่ของอรหันต์และตำนานยุทธก็ยังถือว่าปราณชีวิตมังกรแท้จริงเป็นสมบัติที่หาได้ยาก

 

บางทีในช่วงเวลาสั้นๆ พลังฉีและเลือดเนื้ออาจจะไม่ได้ดีขึ้นมากนักด้วยปราณชีวิตมังกรแท้จริง แต่หากสะสมนับเดือนนับปีไปจนถึงหลายร้อยปี จะต้องเสริมศักยภาพจนเกิดความเปลี่ยนแปลงของพลังฉีและเลือดเนื้อในระดับหนึ่งอย่างแน่นอน

 

“ไม่เลว”

 

การแสดงออกของซูฉินนั้นดูค่อนข้างพอใจ

 

ในระดับของเขา สิ่งของภายนอกที่จะสามารถช่วยพัฒนาระดับนั้นยิ่งจะมีผลลดน้อยลงเรื่อยๆ และปราณชีวิตมังกรแท้จริงเป็นหนึ่งในสมบัติเพียงไม่กี่ชิ้นที่ยังคงช่วยให้เขาพัฒนาความสามารถในการต่อสู้ขึ้นได้

เหล่าอรหันต์หรือตำนานยุทธ กว่าจะใช้พลังของปราณชีวิตมังกรแท้จริงในการบ่มเพาะกายเนื้อจนสามารถยกระดับได้อย่างสมบูรณ์ก็กินเวลาไปกว่าสี่ร้อยถึงห้าร้อยปีแล้ว

 

แต่ซูฉินหาใช่อรหันต์ธรรมดาๆ ไม่

 

เขาอายุยืนเป็นสองเท่าของอรหันต์รูปอื่น นั่นคือหนึ่งพันปีเต็ม

 

ซูฉินพลันคิดคาดหวังขึ้นมาว่าหากปราณชีวิตมังกรแท้จริงได้หล่อเลี้ยงปราณฉีและเลือดเนื้อของเขาเป็นเวลาพันปี สิ่งใดจะเกิดขึ้น

 

 

เวลาค่อยๆ ผ่านเลยไปอย่างเชื่องช้า

 

ในพริบตาเดียว หนึ่งปีก็ผ่านพ้นไป

 

ปีนี้ ในที่สุดซูฉินก็ได้ลงชื่อเข้าใช้ทั่วทั้งวังหลวง

 

คล้ายกับที่วัดเส้าหลิน สถานที่ส่วนใหญ่ภายในวังหลวงไม่ได้มี ‘เต๋าสะสม‘ มากพอให้ลงชื่อเข้าใช้ได้เยอะนัก อาจจะลงชื่อได้ครั้งเดียวหรือไม่กี่ครั้งเท่านั้น

 

แต่ซูฉินก็ยังพบสถานที่มากกว่าสิบแห่งที่สามารถลงชื่อเข้าใช้ซ้ำได้

 

สิ่งนี้เกินความคาดหมายของซูฉินไปอย่างสิ้นเชิง

 

ต้องรู้ก่อนว่าขนาดวัดเส้าหลินที่เป็นวัดเก่าแก่หลายพันปี แต่ก็มีสถานที่เพียงสามแห่งเท่านั้นคือ ศาลาพระคัมภีร์ หอคอยสะกดมาร และลานโพธิ์ที่สามารถลงชื่อซ้ำแล้วซ้ำเล่าได้

 

แต่ในวังหลวงมีสถานที่ให้ ‘เก็บเกี่ยว‘ ได้มากมายหลายครั้งถึงสิบแห่งเชียวหรือ?

 

สิ่งเหล่านี้ทำให้ซูฉินมีความสุขมาก

 

และอาจเป็นเพราะที่เมืองฉางอันแห่งนี้เป็นเมืองหลวงเก่าแก่ที่อยู่มานานกว่าสิบราชวงศ์ ประวัติศาสตร์นั้นยาวนานกว่าวัดเส้าหลิน สิ่งที่ซูฉินได้รับจากวังหลวงก็มีคุณภาพสูงกว่าที่วัดเส้าหลินถึงหนึ่งระดับ

 

ยกตัวอย่างเช่นหยดน้ำจิตวิญญาณธรรมชาติซึ่งสามารถยกระดับพลังของขอบเขตอรหันต์ได้โดยไม่มีข้อจำกัด ของเหล่านี้ไม่ใช่สิ่งที่หาได้จากการลงชื่อเข้าใช้ที่วัดเส้าหลิน

 

แน่นอนว่าภาพรวมทั้งหมดก็ไม่ได้ดีกว่าไปเสียทุกอย่าง

 

สุดท้ายแล้วซูฉินก็ได้ลงชื่อรับเคล็ดวิชาอันทรงพลังอย่างฝ่ามือยูไลมาจากวัดเส้าหลิน จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีวิชาอื่นใดที่แข็งแกร่งเทียบเท่าวิชานี้

 

“ข้าเกือบจะทะลวงขั้นได้แล้ว และจะได้เข้าสู่ขอบเขตนภาชั้นที่สี่เสียที”

 

ซูฉินนั่งขัดสมาธิพลางคิดอยู่ในใจเงียบๆ

 

“ตอนที่ข้ายังอยู่วัดเส้าหลินข้าก็ได้บรรลุนภาชั้นที่สามขั้นสมบูรณ์เรียบร้อยแล้ว และไม่ถึงหนึ่งปีตั้งแต่ที่ย้ายเข้าวังมาก็สำเร็จการเปลี่ยนแปลงสภาพร่างกายครั้งที่สี่”

 

“หลังจากปรับตัวอยู่หนึ่งปีเต็ม ข้าเกรงว่าข้าคงอยู่ห่างจากขอบเขตนภาชั้นที่สี่อีกเพียงครึ่งก้าว สามารถกล่าวได้ว่าใกล้จะถึงแล้ว อีกนิดเดียวเท่านั้น…”

 

ดวงตาของซูฉินสว่างไสว

 

ซูฉินเป็นคนที่ระมัดระวังตัวอย่างมาก มิฉะนั้นเขาคงไม่อยู่ภายในวัดเส้าหลินมานานเกือบสามสิบปีแบบนี้

 

“คืนนี้ข้าต้องทะลวงผ่านไปให้ได้”

 

ซูฉินตัดสินใจเด็ดเดี่ยว

 

จากนั้นซูฉินก็เดินออกจากตำหนักชุนฝั่งขวาแล้วเดินเยื้องย่างอยู่ภายในพระราชวังตะวันออก

 

นับตั้งแต่การสิ้นพระชนม์ขององค์จักรพรรดิถังเมื่อปีก่อน เพียงไม่นานองค์รัชทายาทหลี่เชิงก็ย้ายออกจากพระราชวังตะวันออกเพื่อสืบทอดราชบัลลังก์และย้ายไปยังห้องโถงชีวิตนิรันดร์ซึ่งเป็นที่ประทับส่วนพระองค์ของจักรพรรดิแห่งราชวงศ์ถัง

อ่านนิยาย เรื่องนี้อัพเดตก่อนใครที่ novelza.com

ส่วนซูเยว่หยุนน้องสาวของเขาก็ได้รับการแต่งตั้งเป็นฮองเฮาและพำนักอยู่ที่พระราชวังคุนหนิง

 

ในช่วงเวลานี้เหล่าขุนนางต่างก็ไม่เห็นด้วยเท่าไหร่นัก เพราะปกติแล้วผู้ที่ได้รับการแต่งตั้งเป็นฮองเฮาแห่งราชวงศ์ถัง มักจะต้องเป็นสตรีจากตระกูลใหญ่ผู้มีบทบาทช่วยเหลือในการรักษาเสถียรภาพของราชสำนักได้ แต่ซูเยว่หยุนเป็นเพียงบุตรีของตระกูลชนบท หากให้พูดตามตรงแล้วการได้เป็นพระสนมก็เป็นพระมหากรุณาธิคุณอันล้นพ้นแล้ว

 

ส่วนการจะเป็นฮองเฮานั้นเป็นไปไม่ได้เด็ดขาด

 

อย่างไรก็ตามจักรพรรดิถังพระองค์ใหม่อย่างหลี่เชิงยืนกรานที่จะยอมรับซูเยว่หยุนเป็นฮองเฮาและปฏิเสธที่จะยอมแพ้กับเรื่องนี้ ทำให้ขุนนางทั้งฝั่งพลเรือนและกองทัพของราชวงศ์ถังต่างก็ต้องยอมลงให้ แม้จะไม่พอใจแค่ไหนก็ตาม

 

สุดท้ายแล้วหลี่เชิงก็เป็นองค์จักรพรรดิเป็นผู้ปกครองอาณาจักรถัง อย่างมากที่สุดที่ข้าราชบริพารเหล่านี้จะทำได้ก็เพียงแค่ตักเตือนเท่านั้น แต่หากองค์จักรพรรดิจะมิฟังก็ไม่มีใครทำอะไรได้

 

ในปีนี้จักรพรรดิพระองค์ใหม่อย่างหลี่เชิงก็ได้ปรับตัวให้เข้ากับชีวิตในปัจจุบัน มีความก้าวหน้ามากพอสมควรในการบริหารงานราชการ

 

เมื่อยามที่ซูฉินตรวจสอบพระราชวังถังทั้งหมดด้วยจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ เขาก็บังเอิญพบว่าจักรพรรดิพระองค์ใหม่มักจะจัดการเรื่องราวภายในอาณาจักรถังจนถึงเที่ยงคืนเลยทีเดียว และกิจวัตรประจำวันของเขาก็สมถะเรียบง่ายอย่างมาก

 

โดยปกติแล้วจักรพรรดิที่เพิ่งขึ้นครองราชย์มักจะฟุ่มเฟือย แต่หลี่เชิงยังคงใช้สิ่งของทุกอย่างที่ถูกใช้ในรัชสมัยของจักรพรรดิพระองค์เก่า แทบไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไรไปเลย

 

ซูฉินค่อนข้างพึงพอใจกับเรื่องนี้

 

ถ้าหลี่เชิงประพฤติตนได้ดีเช่นนี้ อาณาจักรถังก็ย่อมไม่มีปัญหาอันใดมากนัก เขาจะสามารถลงชื่อเข้าใช้และฝึกฝนต่อไปได้อย่างสบายใจ

 

ในขณะที่ซูฉินนึกเรื่องราวเหล่านี้อยู่ จู่ๆ หัวใจของเขาก็สั่นเตือน

 

เขาเห็นว่าจักรพรรดิพระองค์ใหม่นำขันทีติดตามมาด้วยสองสามคน กำลังเดินทางมาที่พระราชวังตะวันออก

 

“หืม?”

 

“กำลังมาที่นี่เพื่อมาหาข้างั้นหรือ?”

 

ซูฉินขมวดคิ้ว

 

ตั้งแต่ที่องค์จักรพรรดิพระองค์ใหม่หลี่เชิงและซูเยว่หยุนย้ายออกจากพระราชวังตะวันออกไป พระราชวังอันใหญ่โตแห่งนี้ก็ถูกทิ้งร้าง มีคนเหลืออยู่ไม่มากนัก นอกจากซูฉินแล้วก็มีเพียงนางกำนัลกับขันทีอีกไม่กี่คนเท่านั้น

 

การที่องค์จักรพรรดิพระองค์ใหม่อย่างหลี่เชิงได้เดินมาทิศทางนี้ มีความเป็นไปได้เพียงอย่างเดียวนั่นคือการมาพบซูฉินนั่นเอง

 

ไม่นานนัก

 

จักรพรรดิพระองค์ใหม่ก็มาอยู่ที่ด้านนอกตำหนักชุนฝั่งขวา

 

“ฝ่าบาท ให้ข้ารับใช้ชราผู้นี้เข้าไปป่าวประกาศการมาถึงของพระองค์ดีหรือไม่?”

 

ขันทีที่อยู่ด้านข้างตัวเขาโค้งคำนับและถามคำถามออกมา

 

“ไม่จำเป็น” หลี่เชิงจักรพรรดิพระองค์ใหม่ส่ายหัว เดินไปด้านหน้าสองสามเก้าแล้วจึงยกมือขึ้นโบกทักทาย “พี่สาม”

 

ซูฉินเดินออกไปโดยไม่รอช้า มองไปที่หลี่เชิงจักรพรรดิพระองค์ใหม่

 

“พวกเจ้าทุกคนออกไปก่อน ข้าอยากจะอยู่กับพี่สามสักพัก” หลี่เชิงจักรพรรดิพระองค์ใหม่ชำเลืองมองไปที่ขันทีทั้งหลายที่ติดตามตัวของเขามา

 

“ขอรับ”

 

เหล่าขันทีต่างกล่าวคำด้วยความเคารพ จากนั้นจึงหันหลังเดินจากไป

 

“พี่สาม ปีนี้ข้าเหมือนจะขาดอากาศหายใจตายอยู่แล้ว” จักรพรรดิพระองค์ใหม่ได้แต่บ่นขึ้นมาให้ซูฉินฟัง “เฒ่าชราจากกระทรวงมารยาทชาววังเฝ้าจับตาดูข้าทั้งวัน ทั้งยังหน่วยระเบียนราษฎร์อีกคน เขารู้จักแต่ขอเงินข้าทั้งวี่ทั้งวัน ข้าจะไปมีเงินมากมายขนาดนั้นได้อย่างไรเล่า…”

 

ซูฉินยิ้มเมื่อได้ฟังสิ่งนี้ แต่ไม่ได้พูดอะไรกลับไป

ตลอดทั้งปีนี้ จักรพรรดิพระองค์ใหม่อย่างหลี่เชิงมักจะมาหาซูฉินเพื่อสนทนาอยู่ครู่หนึ่งเพื่อปรับทุกข์ เล่าปัญหาบางอย่างที่เขาได้พบเจอ

 

ทั้งสองคุยกันไม่กี่คำและเดินทอดน่องไปตามแนวไม้ข้างทาง

 

สายลมพัดผ่านใบหน้าของเขา และแล้วท่าทีของจักรพรรดิหลี่เชิงก็ดีขึ้นมาก

 

แม้ว่าเขาจะเป็นถึงองค์จักรพรรดิแห่งราชวงศ์ถัง มีอำนาจยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก

 

แต่ในความเป็นจริง ยามที่มีอำนาจสูงสุดในฐานะจักรพรรดิ มันก็ต้องแบกรับความกดดันอันแสนหนักหน่วงด้วยเช่นกัน

 

Sign in Buddha’s palm 117 ความรู้สึกของกองกำลังในโลกหล้า

 

ภายในห้องโถงชีวิตนิรันดร์

 

เสียงทั้งหมดค่อยๆ จางหายไป

 

หลังจากที่ซูฉินบรรเลงเพลง ‘ชีวิตหลังความตาย‘ จบ เขาก็พร้อมที่จะกลับไป

 

ตอนที่เขามาที่นี่เขาก็ต้องการจะมาส่งเสด็จองค์จักรพรรดิถังเป็นครั้งสุดท้ายโดยวิธีการกวาดล้างสังหารเหล่าจอมยุทธที่อยู่นอกพระราชวังนั่น

 

เมื่อทำตามเป้าหมายเรียบร้อย เขาจึงไม่มีเหตุผลที่จะอยู่ต่อ

 

“เจ้าเจ้าเจ้า?!”

 

จ้าวกงกงเบิกตากว้างและมองไปที่ซูฉินด้วยสายตาที่ไม่อยากจะเชื่อ

 

แม้ตัวเขาจะเป็นเหมือนตะเกียงที่แทบจะไม่เหลือน้ำมันแล้ว พลังทางกายแทบจะไม่หมดสิ้น แต่จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของเขายังพอจับสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าเสียงของกู่ฉินอันนี้ได้ดับลมหายใจของยอดปรมาจารย์ขั้นสูงสุดไปถึงสองคน และยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งอีกแปดคนที่อยู่ด้านนอกไปอย่างรวดเร็ว

 

“คาดไม่ถึงเลยว่าองค์รัชทายาทจะได้แต่งงานกับน้องสาวของตำนานยุทธ…”

 

ในตอนนี้แม้จ้าวกงกงจะไม่ทราบถึงความแข็งแกร่งของซูฉินเท่าไรนัก น้ำเสียงเขาฟังดูซับซ้อน แต่ก็มีบางส่วนที่เผยความโล่งใจออกมา

 

“ตำนานยุทธ?”

 

ซูฉินหยุดและมองไปที่จ้าวกงกง

 

“ฝ่าบาท ท่านจากไปได้อย่างสบายใจแล้วล่ะ…”

 

จ้าวกงกงหันศีรษะกลับไป พึมพำอยู่กับตนเองเสียงแหบต่ำ ลมหายใจของเขาอ่อนลง อ่อนลง และสุดท้ายก็หมดลมหายใจไปอย่างสมบูรณ์

 

“สิ้นใจทั้งๆ ที่ยังนั่งอยู่รึ?”

 

ซูฉินส่ายหัวเล็กน้อย ไม่ได้แปลกใจอะไร

 

เพื่อที่จะทำให้องค์จักรพรรดิมีชีวิตอยู่ต่อไป เขาคงจะหมดสิ้นพลังชีวิตไปมาก หลังจากการสิ้นพระชนม์ขององค์จักรพรรดิ เท่ากับว่าเขาไม่มีพลังพอที่จะจุนเจืออีกต่อไป เพราะฉะนั้นมันเป็นเรื่องยากมากที่จะขยับเขยื้อนไปไหน ไม่เช่นนั้นเขาจะยอมปล่อยให้ยอดปรมาจารย์ขั้นสูงสุดเข้ามาภายในวังหลวงโดยไม่สนใจได้เยี่ยงไร

 

จะตายในท่านั่งแบบนี้ก็ไม่ได้ผิดแปลกอะไร

 

“ช่างมีจิตใจจงรักภักดียิ่งนัก….”

 

ซูฉินส่ายหัวเล็กน้อยพร้อมทั้งแสดงความคิดเห็นต่อจ้าวกงกง

 

เหล่าจอมยุทธในโลกนี้ค่อนข้างเป็นคนที่หัวรั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่ง ปกติแล้วพวกเขาจะไม่ออกมาเคลื่อนไหวเพื่ออะไรสักอย่างได้ง่ายๆ พวกเขามักจะทำตามใจตนไปจนถึงวันสุดท้ายของชีวิต ใช้ชีวิตอย่างสุขสันต์นับร้อยปี

 

แต่จ้าวกงกงนั้นแตกต่าง

 

สำหรับจ้าวกงกง ชีวิตของจักรพรรดิถังมีความสำคัญมากยิ่งกว่าชีวิตของตนเอง

 

เห็นได้ชัดว่านี่ค่อนข้างเป็น ‘สิ่งที่ไม่เหมือนใคร‘ ในบรรดาเหล่ายอดปรมาจารย์ขั้นสูงสุด

 

 

 

หนานหมิง

 

ภายในพระราชวัง

 

จักรพรรดิหมิงนั่งอยู่บนบัลลังก์มังกร ดวงตาของเขาดูเหมือนกำลังครุ่นคิดบางอย่าง แต่ก็ไม่มีใครทราบว่าเขากำลังคิดเรื่องอะไรอยู่

 

ในตอนนั้นเองผู้บัญชาการของหน่วยองครักษ์เสื้อแพรเดินเข้ามาด้วยความเคารพ โค้งคำนับ และกล่าวขึ้นว่า “ฝ่าบาท”

 

“โอ้?”

 

จักรพรรดิหมิงเงยหน้าขึ้นเล็กน้อยและมองไปที่ผู้บัญชาการหน่วยองครักษ์เสื้อแพรพร้อมทั้งเอ่ยถามอย่างสบายใจ “จักรพรรดิถังนั้นกำลังจะตาย ท่านลุงของข้าก็น่าจะไปถึงพระราชวังถังแล้วกระมัง?”

 

“รายงานฝ่าบาท เป็นเช่นนั้นพะย่ะค่ะ”

 

“ข่าวล่าสุดที่ข้าได้รับมาจากราชาหวู่หยางคืออินจิ่วฝูจะร่วมลงมือในการบุกพระราชวังถังเช่นกัน”

 

ผู้บัญชาการหน่วยองครักษ์เสื้อแพรตอบในทันที

 

“เยี่ยมมาก”

 

ด้วยท่านลุงและอินจิ่วฝู แม้ว่าจ้าวกงกงจะอยู่ที่นั่น มันก็ไม่มีประโยชน์อันใด…”

 

น้ำเสียงของจักรพรรดิหมิงราบเรียบแต่เต็มไปด้วยความมั่นใจ

 

“ฝ่าบาท…”

 

ผู้บัญชาการหน่วยองครักษ์เสื้อแพรดูลังเล แต่ก็อดไม่ได้ที่เอ่ยถาม “ฝ่าบาทได้ร้องขอชุดเกราะจำนวนแปดแสนชุดจากองค์ชายเฉิน จำนวนนี้น้อยเกินไปหรือไม่?”

 

ผู้บัญชาการหน่วยองครักษ์เสื้อแพรมีสีหน้างุนงง

 

แม้ว่าชุดเกราะรบจำนวนแปดแสนชุดจะทำให้อาณาจักรถังต้องตัดเนื้อเฉือนหนังของตนเองออกมา แต่เมื่อเทียบกับสิ่งที่จะได้มา องค์ชายเฉินมีแต่จะต้องยอมโดยไม่มีทางเลือกใด

 

ไม่ต้องพูดถึงชุดเกราะรบแปดแสนชุด แม้จะเป็นจำนวนล้านชุด องค์ชายเฉินก็มอบให้ได้

 

“ชุดเกราะรบแปดแสนชุด?”

 

จักรพรรดิหมิงยิ้มออกมา สีหน้าเจือไปด้วยความรังเกียจ “ชุดเกราะแปดแสนชุดมันก็แค่ทำให้พวกนั้นตายใจ”

 

“เป้าหมายของข้าไม่ใช่แค่ชุดเกราะรบแปดแสนชุด แต่เป็นอาณาจักรถังทั้งหมดต่างหาก”

 

เมื่อจักรพรรดิหมิงกล่าวเช่นนั้น เขาก็ลุกขึ้นทันทีแล้วกล่าวเน้นทีละคำ “เจ้าคิดว่าข้าให้ท่านลุงไปที่พระราชวังถังเพียงเพื่อช่วยให้บุตรชายของจักรพรรดิถังได้ขึ้นครองราชย์เท่านั้นหรือ?”

 

“ฝ่าบาทหมายความเยี่ยงไรกัน?”

 

ผู้บัญชาการหน่วยองครักษ์เสื้อแพรตกใจ อดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม

 

“เจ้าจะได้รู้เมื่อยามที่ข่าวจากราชวังถังถูกส่งกลับมา” จักรพรรดิหมิงก้าวเท้าเดินอย่างช้าๆ ไม่ต้องการจะเผยอะไรให้มากความ

 

เมื่อตอนที่ผู้บัญชาการหน่วยองครักษ์เสื้อแพรกำลังคาดเดาอยู่นั้น

 

ราชองครักษ์ก็ตรงปรี่เข้ามา

 

“ฝ่าบาท มีข้อมูลถูกส่งมาจากพระราชวังถัง…”

 

ราชองครักษ์คุกเข่าลงข้างหนึ่ง เหงื่อไหลย้อยออกจากหน้าผากอย่างต่อเนื่อง

 

“โอ้?”

 

รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของจักรพรรดิหมิง

 

ผู้บัญชาการหน่วยองครักษ์เสื้อแพรที่อยู่ใกล้ๆ ก็เต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น

 

จากน้ำเสียงของจักรพรรดิหมิงที่ได้กล่าวเอาไว้ก่อนหน้า แสดงให้เห็นถึงแผนการบางอย่าง จึงไม่แปลกที่เมื่อรู้ว่ามีข่าวกลับมา เขาจึงอยากรู้ความนัยนั้นเสียเหลือเกิน

 

“อ่านมาเถอะ”

 

จักรพรรดิหมิงเอนตัวเล็กน้อยลงบนบัลลังก์มังกร กล่าวคำสั่งด้วยเสียงอันเบา

 

“ขอรับ”

 

ราชองครักษ์กัดฟันแล้วเริ่มอ่านออกมา

 

“ราชาหวู่หยางและทหารองครักษ์ทั้งแปดถูกกลบฝังที่ด้านนอกพระราชวังถัง ไม่มีผู้รอดชีวิต…”

 

ทุกคนเงียบกริบ

 

หลังจากราชองครักษ์ผู้นั้นอ่านจดหมายเหตุจนจบ เขาก็รู้สึกได้ว่ารอบตัวของเขาเงียบกริบไปชั่วขณะ

 

อึก

 

ราชองครักษ์ตัวสั่นไปทั้งตัว คุกเข่าลงกับพื้นทั้งสองข้าง ไม่กล้าเงยศีรษะขึ้นมาแม้แต่น้อย

 

หลังจากผ่านไปเป็นเวลานาน

เสียงของจักรพรรดิหมิงก็ค่อยๆ ดังขึ้น “ได้รับการยืนยันมาจากหน่วยข่าวกรองแล้วใช่หรือไม่?”

 

ในขณะนั้นเสียงของจักรพรรดิหมิงแหบแห้งลงเล็กน้อย ราวกับว่าเขากำลังระงับอารมณ์ความรู้สึกบางอย่าง

 

ในความจริง ยามเมื่อเขาเอ่ยถามประโยคนี้ออกไป เขาก็มีคำตอบอยู่ในใจตนเองแล้ว มันเกี่ยวข้องกับความตายของยอดปรมาจารย์ขั้นสูงสุดแห่งหนานหมิง รวมถึงยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งถึงแปดคนเชียวนะ

 

“รายงานฝ่าบาท เราได้ยืนยันหลายรอบแล้ว…”

 

ราชองครักษ์กล่าวตอบด้วยเสียงสั่นเครือ

 

“ออกไปก่อน”

 

จักรพรรดิหมิงโบกมือออกไป เขาดูเหมือนจะแก่ขึ้นไปอีกสิบปีในทันตาเห็น

 

ราชาหวู่หยางเป็นดั่งบุคคลที่อยู่เบื้องหลังของอาณาจักรหนานหมิง และตอนนี้เขาก็ได้ไปนอนทอดร่างอยู่ที่พระราชวังถังแล้ว เรื่องเช่นนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนสำหรับหนานหมิง มันไม่ใช่เพียงราชาหวู่หยางเท่านั้น แต่พวกเขายังสูญเสียองครักษ์ประจำอาณาจักรหนานหมิงไปถึงแปดคนอีกด้วย

 

“เจ้าก็ออกไปด้วย”

 

จักรพรรดิหมิงเหลือบมองไปที่ผู้บัญชาการหน่วยองครักษ์เสื้อแพรที่คุกเข่าอยู่กับพื้น กล่าวสั่งด้วยเสียงต่ำ

 

“ขอรับ”

 

ผู้บัญชาการหน่วยองครักษ์เสื้อแพรรีบออกไปอย่างรวดเร็ว ไม่กล้าที่จะเอ่ยถามถึงแผนการขององค์จักรพรรดิหมิงอีกต่อไป…

 

ขนาดราชาหวู่หยางยังตายไปแล้ว ไม่ว่าจะวางแผนไว้ดีมากแค่ไหน ตอนนี้มันก็สลายหายไปเหมือนเป็นเพียงเงาจันทร์ในหนองน้ำเท่านั้น

 

 

 

เรื่องราวที่เกิดขึ้นภายในพระราชวังถังนั้นแพร่กระจายออกไปทั่วดินแดนอย่างรวดเร็วราวกับสายฟ้าแลบ

 

ในข้างต้นคือการสิ้นพระชนม์ขององค์จักรพรรดิถังองค์เก่า และการขึ้นครองราชย์ขององค์รัชทายาทก็ได้ดึงดูดความสนใจของทุกอาณาจักรอยู่แล้ว ไหนจะมีเรื่องที่หนานหมิงยื่นมือเข้ามาแทรกแซงอีกซึ่งเหตุการณ์ในครั้งนี้ส่งผลกระทบต่อสายตาของกองกำลังต่างๆ ที่เฝ้ามองมานับไม่ถ้วน

 

ทุกคนเฝ้าดูการเปลี่ยนแปลงภายในพระราชวังถังด้วยความรู้สึกราวกับดูละครเรื่องหนึ่ง

 

มีหลายคนที่ไม่ได้มองโลกในแง่ดีนักในเรื่องราวขององค์รัชทายาทองค์ปัจจุบัน เพราะองค์ชายเฉินนั้นได้รับการสนับสนุนจากหนานหมิงและอินจิ่วฝู มียอดปรมาจารย์ขั้นสูงสุดถึงสองคนที่อยู่เบื้องหลังเขา

 

องค์รัชทายาทจะไปทำอะไรได้?

 

แต่หลังจากที่ยอดปรมาจารย์ขั้นสูงสุดทั้งคู่ได้ตายจากโลกนี้ไป ทั่วทั้งโลกก็ถึงกับสั่นสะเทือน

 

คนเหล่านี้คือยอดปรมาจารย์ขั้นสูงสุด เมื่อไหร่กันที่สามารถจัดการได้ง่ายดายเพียงนี้

 

 

ในขณะที่ทั่วทั้งโลกต่างตื่นตะลึงกับเรื่องที่เกิดขึ้น ซูฉินก็กลับไปที่ตำหนักชุนฝั่งขวาเพื่อใช้ชีวิตอันแสนสุขสบายต่อไป

 

แต่สำหรับองค์รัชทายาทหลี่เชิง การกระทำของซูฉินเปรียบเสมือนการกอบกู้ราชวงศ์ ช่วยเหลือเหล่าขุนนาง ทหารหาญ และผู้คนอีกนับล้านชีวิต

 

หากองค์ชายเฉินได้ขึ้นครองบัลลังก์ ขุนนางข้าราชบริพารทั้งฝั่งพลเรือนและฝั่งกองทัพจะต้องถูกกวาดล้างอย่างแน่นอน และด้วยการร่วมมือกับอาณาจักรหนานหมิงเช่นนั้นมันจะเผาไหม้อาณาจักรถังให้ตกต่ำลงในไม่ช้า

 

แต่ในสายตาของซูฉินนั้น มันก็ไม่มีอะไรมากไปกว่าการบรรเลงเพลง ‘ชีวิตหลังความตาย‘

 

ตกดึก

 

ร่างของซูฉินไปปรากฏตัวที่ศาลบรรพชน

“ดูเหมือนว่านานแล้วที่ขาไม่ได้แวะมาลงชื่อเข้าใช้ที่ศาลบรรพชนแห่งนี้เลย”

 

ซูฉินหยุดฝีเท้าและมองไปที่ศาลบรรพชนของราชวงศ์ถังจากระยะไกล ทันใดนั้นเขาก็คิดบางอย่างขึ้นในใจ

Sign in Buddha’s palm 116 บทเพลงส่งคนตาย

 

เมืองฉางอัน

 

ภายในวังหลวง

 

องค์ชายเฉินที่คิดว่ากุมชัยชนะเอาไว้ได้แล้ว ในเวลานี้กลับทำหน้าราวกับเห็นภูตผี

 

เมื่อตอนที่อินจิ่วฝูยอดปรมาจารย์ขั้นสูงสุดได้เอาชนะยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งของวังหลวงนับสิบคน เขาก็ไปปรากฏตัวอยู่ที่ด้านหน้าองค์รัชทายาทหลี่เชิงที่อยู่บนกำแพง องค์ชายเฉินมององค์รัชทายาทหลี่เชิงราวกับร่างไร้วิญญาณไปแล้ว

 

อินจิ่วฝูเป็นยอดปรมาจารย์ขั้นสูงสุด หากเขาเข้าประชิดตัวได้ ต่อให้เป็นยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งทั่วๆ ไป อย่างไรก็ต้องตายอย่างแน่นอน แล้วนับประสาอะไรกับคนธรรมดาเช่นองค์รัชทายาทหลี่เชิงที่ไม่ได้ฝึกวิทยายุทธเลยแบบนี้?

 

แต่เพียงครู่ต่อมา

 

อินจิ่วฝูที่แสนจะน่ากลัวพลันร่างระเบิดกระจายออกเป็นละอองโลหิตเสียอย่างนั้น

 

“นี่มัน…”

 

องค์ชายเฉินตกตะลึงกับสิ่งที่เห็น เขาคิดว่าตนกำลังเห็นภาพหลอน

 

นี่คือปรมาจารย์ชั้นยอดระดับโลก แม้แต่จ้าวกงกงเอง หากต้องการจะเอาชนะอินจิ่วฝูก็ต้องใช้กลอุบายนับร้อย แต่ตอนนี้คนผู้นั้นกลับระเบิดออกเป็นละอองโลหิต นี่มันช่างน่าเหลือเชื่อ

 

เมื่อเทียบกับความตกใจขององค์ชายเฉินแล้ว องค์รัชทายาทหลี่เชิงที่ใกล้ชิดกับอินจิ่วฝูมากที่สุดก็ตกตะลึงไม่แพ้กัน

 

เกิดอะไรขึ้น?

 

ทำไมตัวเขาถึงยังไม่ตาย

 

องค์รัชทายาทหลี่เชิงที่หลับตารอความตายไปแล้ว แต่มิเพียงตนเองจะไม่ตาย กลับเป็นอินจิ่วฝูผู้ดุร้ายผู้นั้นที่ตายอย่างมิเหลือชิ้นดี

 

“เกิดอะไรขึ้น?”

 

ราชาหวู่หยางรู้สึกขนลุกชัน เกิดคลื่นลมขนาดใหญ่ภายในใจของเขา

 

แม้เขาจะค่อนข้างดูหมิ่นอินจิ่วฝูที่ต้องคอยดื่มเลือดมนุษย์เป็นระยะๆ แต่อินจิ่วฝูก็เป็นยอดปรมาจารย์ขั้นจุดสูงสุดจริงๆ เมื่อเห็นอีกฝ่ายเพลี่ยงพล้ำเช่นนี้ ความรู้สึกในจิตใจของเขาตอนนี้คือความกลัวที่ไม่อาจจินตนาการได้

 

“เรื่องใหญ่แล้ว”

 

“ทุกคนถอย”

 

ราชาหวู่หยางเหลือบมองไปที่ยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งทั้งแปดคนจากหนานหมิง ทันใดนั้นเขาก็ตัดสินใจ

 

องค์จักรพรรดิหมิงเพียงขอให้เขาช่วยองค์ชายเฉินขึ้นครองบัลลังก์ ไม่ใช่ส่งเขามาตาย

 

การที่อินจิ่วฝูร่างระเบิดเช่นนั้น ทำให้เกิดเงาดำทาบทับมาที่หัวใจของราชาหวู่หยางอย่างไม่ต้องสงสัยเลย

 

ถ้าเขายังไม่หยุด จะมิเป็นการตามรอยเท้าของอินจิ่วฝูไปอย่างนั้นหรือ?

 

ยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งจากหนานหมิงเหลือบมองหน้ากันแล้วค่อยๆ ถอยตัวกลับไปอย่างช้าๆ

 

อย่างไรก็ตาม

 

ในตอนนั้นเอง

 

ติ๊ง!!!

 

เสียงอันเงียบเหงาและไร้ตัวตนของกู่ฉินก็ดังก้องท่ามกลางบรรยากาศที่สงบเงียบ ความรู้สึกแห่งการเกิดใหม่ การพลัดพรากจากจรซัดเข้ามา

 

อดีตที่ผ่านพ้น ราวกับหมอกควันที่ไม่นานก็จางหาย

 

การเกิดใหม่ ชีวิตหลังความตาย ก็แค่การเปลี่ยนผ่านผันไป

 

ปัง!

 

ปัง!

 

ปัง!

 

ปัง!

 

 

ด้วยเสียงของกู่ฉินที่แผ่ออกมา ยอดปรมาจารย์ทั้งแปดก็ร่างระเบิดกลายเป็นละอองเลือด

 

“ไม่ดีแล้ว!”

 

ราชาหวู่หยางตกใจ

 

“นี่มันเสียงกู่ฉิน!!!”

 

ราชาหวู่หยางตอบสนองต่อเสียงและมองไปรอบๆ ด้วยความไม่อยากจะเชื่อ

 

ในขณะนี้ราชาหวู่หยางตระหนักได้แล้วว่า ไม่ว่าจะเป็นอินจิ่วฝูหรือยอดปรมาจารย์ทั้งแปดที่ร่างระเบิดอย่างกะทันหันอาจเป็นเพราะเสียงกู่ฉินที่ดังขึ้นมานั่น

 

อย่างไรก็ตามหลังจากที่ราชาหวู่หยางค้นพบสิ่งนี้แล้ว ก็กลายเป็นยิ่งสิ้นหวังมากขึ้นไปอีก

 

หากเป็นการโจมตีจากคมดาบหรือหมัดมวย เขายังพอรู้ได้บ้างว่าจะต้านทานอย่างไร

 

แต่เสียงดนตรี…

 

ติ๊ง!

 

เสียงกู่ฉินดังกึกก้องขึ้นต่อเนื่อง ไร้ตัวตนและแสนโดดเดี่ยว

 

“พระเจ้าช่วย…”

 

ราชาหวู่หยางหยุดลงกะทันหันและหันไปมองภายในส่วนลึกของพระราชวัง

 

ในเวลาต่อมา

 

ปัง!!!

 

ร่างของราชาหวู่หยางก็ระเบิดออกเช่นกัน

 

ติ๊ง!!

 

เสียงกู่ฉินนั้นเงียบเหงา เป็นความเหงาที่แปรเปลี่ยนมาจากความเศร้า ทั้งสองความรู้สึกแผ่กระจายและแทรกซึมไปทั่วทั้งฉางอัน

 

ช่วงเวลานี้

 

ทุกผู้ทุกคนภายในเมืองฉางอัน ตั้งแต่ชายชราที่แก่จนแทบจะลงโลงไปจนถึงเด็กทารกต่างก็ได้ยินเสียงกู่ฉินอันแสนโดดเดี่ยวอ้างว้างนี้ภายในหูของตน

 

ที่ด้านบนกำแพงเมือง องค์รัชทายาทหลี่เชิงยังคงจมอยู่กับเสียงกู่ฉินเหมือนๆ กับเหล่ายอดปรมาจารย์ของราชวงศ์ถัง ซึ่งแตกต่างจากราชาหวู่หยางหรืออินจิ่วฝูที่สำหรับพวกเขาแล้วเสียงกู่ฉินนี้ช่างร้ายแรงและน่ากลัว แต่เมื่อมาถึงหูขององค์รัชทายาทหลี่เชิงและคนอื่นๆ มันกลับกลายเป็นว่าบทเพลงชีวิตหลังความตายบทนี้ช่างซาบซึ้งตรึงตราอยู่ในหัวใจ

 

จากนั้นไม่นาน

 

เสียงกู่ฉินก็ค่อยๆ คลายหายไป

 

“นี่คือ…….”

 

องค์รัชทายาทหลี่เชิงสงบใจลงได้ก็มองไปนอกเขตพระราชฐาน

 

ด้วยเสียงของกู่ฉินอันนั้นยอดปรมาจารย์ขั้นสูงสุดทั้งสองอย่างราชาหวู่หยางและอินจิ่วฝู ยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งทั้งแปดคน รวมถึงองค์ชายเฉิน ทั้งหมดล้วนร่างระเบิดไม่เหลือแม้แต่เศษกระดูก

 

“ตายหมดแล้ว…”

 

องค์รัชทายาทหลี่เชิงแลดูว่างเปล่า

 

“ฝ่าบาท”

 

“ฝ่าบาทท่านเป็นอะไรหรือไม่?”

 

เวลานั้นขุนนางกลุ่มหนึ่งก็รีบเข้ามาถามไถ่องค์รัชทายาทหลี่เชิง

 

ขันทีชุดแดงนับสิบและปรมาจารย์ในวังหลวงต่างก็เข้ามาหาเช่นกัน

 

“หลิวกงกง ท่านรู้หรือไม่ว่าเกิดอะไรขึ้น?”

 

องค์รัชทายาทหลี่เชิงที่ใจเย็นลงมากแล้วก็มองไปทางขันทีชุดแดง

 

ขันทีชุดแดงผู้นี้ก็คือหลิวกงกงผู้ซึ่งคอยปกป้ององค์รัชทายาทหลี่เชิงในมุมมืดมาตลอดตั้งแต่ยังไม่มียศถาบรรดาศักดิ์ เป็นบุคคลผู้น่าไว้วางใจ

 

“รายงานฝ่าบาท ผู้ชราก็มิรู้เช่นกัน…”

 

หลิวกงกงเงียบไปชั่วขณะก่อนจะกล่าวตอบด้วยความเคารพ

 

สิ่งที่เขากล่าวออกคือสิ่งที่อยู่ก้นบึ้งภายในใจจริงๆ ก่อนหน้านี้เขาก็จมอยู่กับเสียงของกู่ฉินเหมือนกัน เมื่อเสียงบรรเลงหายไป รู้ตัวอีกทีราชาหวู่หยางและคนอื่นๆ จากหนานหมิงก็ตายหมดแล้ว

 

“ฝ่าบาท”

 

“ข้าเดาว่าสิ่งที่เกิดขึ้นอาจจะเป็นเพราะเสียงของกู่ฉินเมื่อครู่นี้…”

 

ในขณะนั้นเองแม่ทัพประจำวังหลวงก็เอ่ยออกมา

 

คำพูดกล่าวออก

 

ปรมาจารย์ท่านอื่นๆ ก็พยักหน้าเห็นด้วย

 

พวกเขาเองก็มีข้อสงสัยเช่นกัน เสียงของกู่ฉินเมื่อครู่มันแปลกเกินไป

 

“เสียงกู่ฉิน…”

 

องค์รัชทายาทหลี่เชิงจมอยู่ภายในความคิด

 

 

 

ศาลบรรพชนภายในวังหลวง

 

ตัวของผู้ดูแลศาลบรรพชนก็ตั้งตรงขึ้นเตรียมพร้อมมาแต่แรก กลิ่นอายของยอดปรมาจารย์เต็มเปี่ยมอยู่ภายในกายของเขา

 

“เสียงกู่ฉิน….”

 

ผู้ดูแลศาลบรรพชนดูเคร่งเครียด

 

สายตาของเขาจับจ้องไปที่เขตพระราชฐานเขม็ง โดยอย่างยิ่งเมื่อได้เห็นองค์ชายเฉินสมรู้ร่วมคิดกับอาณาจักรหนานหมิง ชักศึกเข้าบ้าน เมื่อนั้นเองเขาก็พร้อมที่จะลงมือแล้ว

 

แม้ว่าผู้ดูแลศาลบรรพชนจะเป็นยอดปรมาจารย์ขั้นสูงสุด แต่ผู้ที่เขาภักดีด้วยหาใช่องค์รัชทายาทไม่ แต่มันคือทั้งราชวงศ์ถัง

 

หากองค์ชายเฉินไม่สมรู้ร่วมคิดกับหนานหมิง แม้ว่าองค์รัชทายาทหลี่เชิงจะถูกสังหารและองค์ชายเฉินได้ขึ้นครองบัลลังก์จริงๆ สิ่งที่ผู้ดูแลศาลบรรพชนจะทำก็คือมองดูเฉยๆ เพียงเท่านั้น

 

เขาสนใจเพียงแค่ว่าคนที่ขึ้นครองราชย์ต้องมีชื่อสกุลว่าหลี่เท่านั้น ส่วนจะเป็นใครนั้นไม่สำคัญเลย

 

แต่เรื่องที่องค์ชายเฉินสมรู้ร่วมคิดกับต่างอาณาจักรนั้นต่างออกไป

 

เมื่อยามที่เขากำลังจะลงมือ เสียงกู่ฉินก็ดังขึ้น

 

จากนั้นยอดปรมาจารย์ขั้นสูงสุดทั้งสองคน ยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งอีกแปดคน รวมถึงคนอื่นๆ ก็สิ้นชีพลง

 

“สังหารยอดปรมาจารย์ขั้นสูงสุดสองคนและยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งอีกแปดคนด้วยเสียงกู่ฉิน เกรงว่าคงเป็นวิชายุทธแขนงหนึ่ง…”

 

ผู้ดูแลศาลบรรพชนนิ่งเงียบครุ่นคิดอยู่ในใจ

 

บางทียอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งทั้งหมดที่อยู่ภายในวังอาจจะไม่เข้าใจว่ามันเกิดอะไรขึ้น…

 

อย่างไรก็ตาม ในฐานะของยอดปรมาจารย์ขั้นสูงสุดที่ทำหน้าที่ดูแลรักษาศาลบรรพชนย่อมเข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นดี

 

“คนผู้นั้นคือใครกัน?”

 

ความคิดของผู้ดูแลศาลบรรพชนพลันแล่นเร็วจี๋

 

“หรืออาจจะเป็นคนที่เข้ามาในศาลบรรพชนเมื่อครั้งก่อน?”

 

ราวกับมีประกายไฟปรากฏขึ้นในความคิด ตอนนี้ผู้ดูแลศาลบรรพชนก็นึกบางอย่างออก

 

ในช่วงที่ผ่านมาก่อนหน้านี้ ยามนั้นผู้ดูแลศาลบรรพชนเฝ้าอยู่ด้านนอก แต่เมื่อกลับเข้ามาก็พบว่ามีคนลอบเข้าไปภายในศาลบรรพชนเพื่อจุดไม้จันทน์โดยที่เขาไม่รู้ตัว

 

 

ในเวลาเดียวกัน

 

ภายในห้องโถงชีวิตนิรันดร์

ซูฉินที่ดูสงบล้ำลึกค่อยๆ เอามือออกจากกู่ฉินสีน้ำเงินอันนั้น

Sign in Buddha’s palm 115 แว่วเสียงสวรรค์อันอ้างว้าง, ทุกสิ่งจบสิ้น

 

อาณาจักรถังอยู่ยั้งยืนยงมากว่าห้าร้อยหกสิบปี

 

ในช่วงเวลาเหล่านั้น มีหลายครั้งที่องค์ชายยึดครองบัลลังก์ ตัดขาดพี่น้อง

 

แต่อย่างไรก็ตาม ไม่เคยมีองค์ชายคนไหนที่กล้าร่วมมือกับต่างอาณาจักรเช่นนี้ ความร้ายแรงของมันคือการขัดต่อกฎแห่งราชวงศ์ถัง

 

องค์ชายที่ละเมิดข้อห้ามนี้จะต้องถูกปลดออกจากการเป็นสมาชิกราชวงศ์และต้องโทษประหารชีวิต

 

“หลี่เฉิน เจ้าต้องคิดให้ดีว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่?!”

 

องค์รัชทายาทหลี่เชิงตะโกนอย่างเกรี้ยวกราด

 

ตอนแรกความสนใจของเขามุ่งไปที่อินจิ่วฝู และเมื่อยามที่ราชาหวู่หยางเงยหน้าขึ้นมา องค์รัชทายาทหลี่เชิงก็ตระหนักได้ว่าสถานการณ์กำลังจะสูญเสียการควบคุม

 

ตอนที่เห็นยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งเพียงคนเดียวนั้น องค์รัชทายาทหลี่เชิงก็มั่นใจในพื้นฐานอันแข็งแกร่งของจักรวรรดิถัง

 

แต่เมื่อเพิ่มราชาหวู่หยางมาอีกคน…

 

ขุนนางคนอื่นๆ ก็ตกใจและโกรธเกรี้ยวไม่แพ้กัน พากันมองไปที่องค์ชายเฉินด้วยความไม่อยากจะเชื่อ

 

“ฮ่าฮ่า…”

 

องค์ชายเฉินเบื่อหน่ายที่จะพูดคุยกับทุกคนอีกต่อไป

 

แพ้เป็นพระ ชนะเป็นมาร

 

ถ้าเขาได้ขึ้นครองบัลลังก์ในท้ายที่สุด การร่วมมือกับต่างอาณาจักรมันจะเป็นเรื่องราวอันใดได้? แล้วโทษของการทรยศเล่าใครจะลงโทษ?

 

ในเมื่อทุกอย่างมันอยู่ในการตัดสินใจของเขาเองไม่ใช่หรือ?

 

“ราชาหวู่หยางจงลงมือเถิด”

 

องค์ชายเฉินหันศีรษะไปพูดกับราชาหวู่หยาง

 

เมื่อได้ยินดังนั้น ราชาหวู่หยางก็หัวเราะเบาๆ พร้อมก้าวเท้าไปข้างหน้าจากนั้นจึงหายตัวไปจากที่ที่เคยอยู่

 

ทันใดนั้นองค์รัชทายาทหลี่เชิงผู้อยู่ด้านบนราชวังก็รู้สึกใจสั่น

 

“ไม่ดีแล้ว”

 

องค์รัชทายาทหลี่เชิงต้องการจะล่าถอย

 

มันสายเกินไป ราชาหวู่หยางปรากฏตัวขึ้นห่างออกไปจากรัชทายาทหลี่เชิงในระยะเพียงสิบเมตร

สำหรับยอดปรมาจารย์ขั้นจุดสูงสุด ระยะทางสิบเมตรนั้นก็เป็นแค่เพียงช่วงเวลาอันแสนสั้น องค์รัชทายาทหลี่เชิงไม่มีทางหลบซ่อนได้ทันแน่นอน

 

“ฝ่าบาท”

 

“ฝ่าบาทระวัง!”

 

เมื่อเหล่าข้าราชบริพารผู้ภักดีเห็นฉากนี้เข้า พวกเขาก็ตกใจและต้องการที่จะเข้าไปขวางเอาไว้

 

ปัง!

 

ในขณะนั้นเอง

 

ขันทีชุดแดงหลายสิบคนก็ปรากฏตัวขึ้นอย่างเงียบๆ ล้อมรอบองค์รัชทายาทหลี่เชิงและป้องกันการจู่โจมของราชาหวู่หยางได้แม้จะยากลำบากเสียหน่อย

 

“โอ้!”

 

ราชาหวู่หยางเลิกคิ้ว มองไปยังขันทีชุดแดงนับสิบคนตรงหน้า

 

ขันทีชุดแดงสิบกว่าคนนี้ล้วนเป็นยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่ง และตอนนี้พวกเขากำลังปกป้ององค์รัชทายาทให้รอดพ้นจากความตาย

 

“นี่คือภูมิหลังของอาณาจักรถังเช่นนั้นหรือ?”

 

ราชาหวู่หยางส่ายหัวเล็กน้อย ดูจะไม่ได้ใส่ใจเท่าไหร่

 

“มีปัญหาแล้ว”

 

องค์รัชทายาทหลี่เชิงเคร่งเครียดมาก

 

ก่อนที่องค์จักรพรรดิถังจะสิ้นพระชนม์ พระองค์ได้แจ้งรายละเอียดทั้งหมดภายในวังหลวงเอาไว้แล้ว

 

ในวังหลวงมียอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งทั้งหมดยี่สิบสามคน

ยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งทั้งยี่สิบสามคนต่างอยู่ใต้คำสั่งขององค์จักรพรรดิถังเท่านั้น และในตอนนี้พวกเขาทั้งหมดต่างก็ตกอยู่ใต้การสั่งการขององค์รัชทายาทหลี่เชิงหลังองค์จักรพรรดิถังสิ้นพระชนม์

 

อย่างไรก็ตาม

 

แม้ว่ายอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งทั้งยี่สิบสามคนนั้นดูเหมือนเป็นจำนวนที่มาก แต่ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะสกัดกั้นยอดปรมาจารย์ขั้นสูงสุดทั้งสองคน

 

ไม่ว่าจะเป็นอินจิ่วฝูหรือราชาหวู่หยาง พวกเขาล้วนแต่เป็นยอดปรมาจารย์ขั้นสูงสุด ยกเว้นแต่จะเป็นตัวตนในระดับเดียวกันเท่านั้นถึงพอจะหยุดยั้งพวกเขาได้

 

ส่วนการใช้กองทัพเข้าปิดล้อมปราบปรามนั้น…

 

หากเป็นนอกเมืองฉางอันก็คงจะใช้วิธีนี้ได้ แม้เป็นยอดฝีมือผู้เก่งกาจ เมื่อติดอยู่ท่ามกลางกองทัพนับล้าน หากไม่หลบหนีไปก็ต้องถูกจัดการอย่างแน่นอน

 

แต่ตอนนี้สถานการณ์มันเกิดในเมืองฉางอัน เห็นได้ชัดว่าไม่เหมาะอย่างยิ่งที่จะใช้กองทัพเข้าปิดล้อม

 

“ตั้งค่ายกล”

 

องค์รัชทายาทหลี่เชิงกล่าวด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ

 

ขันทีชุดแดงกว่าสิบชีวิตมองหน้ากันเมื่อพวกเขาได้ยินคำสั่งนั้น พวกเขาก็ปรับเปลี่ยนรูปแบบการยืนทันทีโดยยืนล้อมราชาหวู่หยางด้วยวิธีการแปลกๆ

 

อีกด้านหนึ่ง ยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งอีกสิบกว่าคนที่กำลังเผชิญหน้าอยู่กับอินจิ่วฝูก็ก้าวเท้าไปยังตำแหน่งที่ประสานกันได้อย่างลงตัว ล้อมดักอินจิ่วฝูเอาไว้

 

ค่ายกลรูปแบบนี้ถูกทิ้งไว้โดยปฐมจักรพรรดิของราชวงศ์ถัง สามารถควบรวมความแข็งแกร่งในรูปแบบค่ายกลใช้แรงของผู้ที่อ่อนแอกว่าในการเอาชนะผู้แข็งแกร่ง

 

องค์รัชทายาทหลี่เชิงไม่แน่ใจว่าค่ายกลรูปแบบนี้จะมีประโยชน์เมื่ออยู่ต่อหน้ายอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสูงสุดหรือไม่

 

แต่ตอนนี้สิ่งที่เขาเลือกได้ มีแต่จะต้องทำเช่นนี้เท่านั้น

 

“อื๋อ?”

 

ราชาหวู่หยางหรี่ตาเล็กน้อย รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้า “น่าสนใจนี่”

 

“อย่างไรก็ตาม หากพวกเจ้าคิดว่าจะใช้สิ่งนี้เพื่อจัดการกับราชาผู้นี้ได้ เจ้าก็ฝันเฟื่องได้โง่เต็มทน”

 

คำพูดของราชาหวู่หยางยังไม่ทันจบดี

 

ร่างของเขาก็หายไปอีกครั้ง แล้วพุ่งเข้าหาขันทีชุดแดงนับสิบคน

 

 

ในเวลาเดียวกัน

 

ซูฉินเดินช้าๆ ไปที่ห้องโถงชีวิตนิรันดร์

 

ในเวลานี้ห้องโถงชีวิตนิรันดร์เงียบมากจนสามารถได้ยินเสียงแม้แต่เข็มหล่นได้อย่างชัดเจน

 

บรรดาสาวใช้และขันทีพากันออกไปกันหมดแล้วตั้งแต่ที่องค์ชายเฉินเข้ามาภายในวัง

 

ซูฉินเดินเข้าไปด้านในห้องโถงชีวิตนิรันดร์อย่างช้าๆ

 

“เป็นเจ้านั่นเอง?” ถัดจากร่างไร้วิญญาณขององค์จักรพรรดิถัง มีจ้าวกงกงในชุดคลุมสีม่วงยืนอยู่ เขามองตรงมาที่ซูฉินพร้อมทั้งกล่าวคำเบาๆ “มียอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสูงสุดสองคนอยู่ด้านนอกเขตพระราชฐานส่วนพระองค์ พวกนั้นกำลังจะเข้ามาในเร็วๆ นี้ รีบใช้เวลาตอนนี้หนีไปเสีย รักษาชีวิตของเจ้าเอาไว้”

 

จ้าวกงกงหลับตาลงยามเมื่อเขาพูดจบ

 

ในช่วงสิบปีที่ผ่านมานี้ เพื่อยืดอายุขององค์จักรพรรดิถัง จ้าวกงกงแทบจะใช้พลังชีวิตของตนไปจนหมด

 

ตอนนี้เขาขยับตัวไปไหนไม่ได้ คงจะไม่ได้เอ่ยเกินจริงไปหากจะบอกว่าเขานั้นราวกับตะเกียงที่ไร้น้ำมัน หากนั่งพักสักครู่อาจจะสิ้นใจไปเลยก็ได้

 

“หนี?”

 

ซูฉินยิ้มแต่ไม่ได้ตอบกลับ

 

“อย่างไรก็ตามข้าได้มีโอกาสมาพบกับจักรพรรดิถังแล้วตอนนี้ จึงถือโอกาสมาส่งเสด็จ”

 

ซูฉินกล่าวอย่างตรงประเด็น

 

“จักรพรรดิถัง?”

 

จ้าวกงกงลืมตาขึ้นอีกครั้งหนึ่งแล้วมองไปยังซูฉิน

 

ถ้าไม่ใช่เพราะเขาไม่สามารถขยับตัวได้ในตอนนี้ เกรงว่าคงจะลงโทษซูฉินไปแล้ว

 

มันถือเป็นการไม่เคารพอย่างยิ่งที่กล้าเรียกฝ่าบาทเช่นนั้น

 

“เจ้าคิดจะส่งเสด็จฝ่าบาทเยี่ยงไร?” จ้าวกงกงจ้องมองไปที่ซูฉิน มีแสงวาบที่ดูอันตรายฉายออกมาจากดวงตาของเขา

 

ซูฉินไม่ได้สนใจอะไร เพียงนั่งลงตามใจตน มองไปยังกู่ฉิน[1]ที่อยู่ตรงหน้าตน

 

กู่ฉินอันนี้เป็นสีน้ำเงินเข้ม ดูมีรสนิยมลึกล้ำและดูลึกลับในตัว มันวางอยู่ไม่ไกลจากบัลลังก์มังกรมากนัก เห็นได้ชัดว่าองค์จักรพรรดิถังคงจะชอบมันมากในตอนที่พระองค์ยังมีชีวิตอยู่

 

“ข้าจะบรรเลงเพลงชีวิตหลังความตายส่งเสด็จให้กับเขา”

 

ซูฉินพรมนิ้วมือลงบนสายของเครื่องเล่นเบาๆ

 

“เจ้า?!”

 

ท่าทีของจ้าวกงกงกลายเป็นมืดคล้ำ

 

ไม่ว่าอย่างไรจักรพรรดิถังก็เป็นถึงจักรพรรดิแห่งราชวงศ์ถังพระองค์ที่เก้า แม้ว่าพระองค์จะสิ้นพระชนม์ไปแล้ว ก็ควรจะเป็นนักดนตรีมืออาชีพที่มาบรรเลงเพลงซึ่งเป็นไปตามครรลองประเพณีภายในราชวงศ์ พฤติกรรมของซูฉินตอนนี้เท่ากับเป็นการดูถูกองค์จักรพรรดิถัง

 

เมื่อจ้าวกงกงกำลังจะลงมือเพื่อหยุดพฤติกรรมต่ำทรามของซูฉิน

 

ตริ๊ง!!!

 

ซูฉินค่อยๆ เกี่ยวสายดนตรีด้วยมือขวา เสียงของกู่ฉินที่แสนจะเงียบเหงาก็แผ่ออกมาผ่านอากาศ บรรยากาศโดยรอบค่อยๆ หนักอึ้งขึ้นราวกับถูกกดทับด้วยขุนเขา

 

“นี่คือ?”

 

ใบหน้าของจ้าวกงกงเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก เขามองไปที่ซูฉินด้วยความรู้สึกไม่อยากจะเชื่อ

 

 

ด้านนอกเขตพระราชฐานส่วนพระองค์

 

สถานการณ์ใกล้ถึงจุดสิ้นสุดแล้ว

 

ยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งทั้งยี่สิบสามคนพยายามใช้ค่ายกลที่ปฐมจักรพรรดิทิ้งเอาไว้เข้าต้านราชาหวู่หยางและอินจิ่วฝูไว้ได้อย่างยากลำบาก

 

และยอดปรมาจารย์ทั้งแปดจากอาณาจักรหนานหมิงก็เข้ามาในพื้นที่ต่อสู้เพื่อรอคอยจังหวะ

 

“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า”

 

“อ่อนแอจริงๆ แม้แต่กระบวนท่าเดียวก็ทานทนไม่ได้!!”

 

ขณะนี้อินจิ่วฝูหัวเราะอย่างดุร้าย เหวี่ยงแขนขวาส่งยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งถึงสองคนลอยละล่องไปบนฟ้า

 

“องค์รัชทายาท ผ่านไปก็นานแล้วแต่จ้าวกงกงก็ยังไม่ปรากฏตัวออกมา มันคงจะต้องมีบางอย่างผิดปกติเกิดขึ้นสินะ”

 

“ถ้าเช่นนั้นเจ้าก็จงมอบชีวิตมาให้ชายชราผู้นี้เถอะ”

 

อินจิ่วฝูแลดูเย็นชา ยกมือขวาขึ้นแล้วกดมือลงไปทางองค์รัชทายาทหลี่เชิง

 

“ฝ่าบาท!”

 

เหล่าข้าราชบริพารแห่งราชวงศ์ถังร้องอุทานออกมา

 

“ไม่ดีแล้ว!!”

 

ท่าทางของขันทีชุดแดงที่ล้อมรอบราชาหวู่หยางอยู่เปลี่ยนไปอย่างมาก พวกเขาต้องการจะกลับไปช่วยองค์รัชทายาทหลี่เชิง แต่พวกเขาก็ถูกราชาหวู่หยางสกัดกั้นเอาไว้ได้อย่างง่ายดาย

 

“หลี่เชิง!”

 

ซูเยว่หยุนที่เพิ่งวิ่งมา เห็นฉากนี้เข้าก็หน้าซีดด้วยความตกใจ

 

“ตายซะ ตายซะ”

 

“เมื่อเจ้าตายแล้ว บัลลังก์ก็จะตกเป็นของข้า”

 

รอยยิ้มอันโหดเหี้ยมปรากฏขึ้นบนใบหน้าขององค์ชายเฉิน

 

“ข้ากำลังจะตายงั้นรึ?”

 

องค์รัชทายาทหลี่เชิงตกอยู่ในความสับสนงุนงง มีความรู้สึกเพียงแค่ว่าฝ่ามือของอินจิ่วฝูใหญ่ดูใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ จนครอบคลุมขอบเขตการมองเห็นของเขาทั้งหมด

 

อินจิ่วฝูคิดว่าหลังจากฟาดฝ่ามือปลิดชีพองค์รัชทายาทหลี่เชิงเสร็จ เขาจะกลับไปสังหารยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งของวังหลวงพวกนั้นต่อ

 

ติ๊ง!!!

 

เสียงเพลงที่ไร้รูปลักษณ์และแสนเงียบเหงาก็ดังขึ้นมาในทันที ความรู้สึกแห่งการเกิดใหม่และการพลัดพรากก็ลอยเอื่อยเข้ามาหา

 

“ใครกัน?!!”

 

ทันใดนั้นความรู้สึกอันน่าสยดสยองก็ฉายออกมาผ่านแววตาของอินจิ่วฝู มือขวาที่ตะครุบไปทางองค์รัชทายาทหลี่เชิงเหมือนจะถูกตรึงเอาไว้อย่างสมบูรณ์ ขยับเขยื้อนไม่ได้สักนิด

 

“ไม่!!!”

 

อินจิ่วฝูร้องคำรามอย่างบ้าคลั่ง

 

ช่วงเวลาต่อมา

 

ท่ามกลางสายตาอึ้งทึ่งของทุกคน

 

ร่างของอินจิ่วฝูพลันระเบิดกลายเป็นละอองโลหิตจำนวนนับไม่ถ้วน

 

“นี่คือ?!”

 

ทุกคนที่เห็นฉากดังกล่าวต่างยืนอยู่ตรงนั้นด้วยสายตาว่างเปล่า ความกลัวค่อยๆ เกาะกุมพวกเขาเอาไว้

 

———————————-

[1] 古琴 กู่ฉิน เป็นเครื่องดนตรีชนิดหนึ่งของจีนเป็นเครื่องสายที่มีถึงเจ็ดสาย มีความเก่าแก่มากชิ้นหนึ่ง

Sign in Buddha’s palm 114 องค์ชายวางแผนก่อกบฏ เมืองหลวงตกอยู่ในความวุ่นวาย

 

องค์จักรพรรดิถังสิ้นพระชนม์

 

ข่าวนี้แพร่กระจายไปทั่วเมืองฉางอันราวกับพายุพัดผ่าน ข่าวไปถึงแม้แต่อาณาจักรข้างเคียง และกระจายไปทั่วดินแดนอย่างรวดเร็ว

 

“ฝ่าบาทสิ้นพระชนม์แล้ว?”

 

“เห้อ ถ้าไม่ใช่เพราะร่างกฎหมายฉบับใหม่ขององค์จักรพรรดิถัง ครอบครัวข้าคงจะถูกส่งไปเมืองหน้าด่านเป็นแน่แล้ว…”

 

“จักรพรรดินักบุญเช่นนี้ พระองค์ตายได้เช่นไรกัน?”

 

 

มีอีกหลายร้อยครัวเรือนในเมืองฉางอันที่เศร้าโศกเสียใจอย่างสุดซึ้ง

 

จักรพรรดิถังได้สร้าง ‘ผลงานทรงคุณค่า‘ ไว้มากมายในช่วงเวลาหลายสิบปีที่ครองราชย์ ยามนี้เมื่อพระองค์สิ้นพระชนม์ไปแล้ว ผู้คนต่างก็ซาบซึ้งในพระเมตตาเป็นธรรมดา

 

ในเวลาเดียวกัน

 

ภายในหุบเขาแห่งหนึ่งนอกเมืองฉางอัน

 

“ไอ้แก่นั่นในที่สุดก็ตายแล้ว”

 

องค์ชายเฉินอยู่ในอาการตกใจและพึมพำอยู่กับตนเอง

 

จักรพรรดิถังได้ส่งองค์ชายทั้งหลายออกไปยังภูมิภาคชายแดน แต่องค์ชายเฉินกลับได้หักลำกลับมากลางคัน และจงใจรั้งรออยู่นอกเมืองฉางอัน

 

เพียงเพื่อรอคอยฟังข่าวนี้

 

ตอนที่จักรพรรดิถังยังคงมีพระชนม์ชีพอยู่ เขาไม่กล้ากระทำการอันใดเลย แต่ตอนนี้พระองค์ตายไปแล้ว องค์ชายเฉินก็ไม่มีพันธนาการอีกต่อไป

 

ความคิดขององค์ชายเฉินเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วจนในที่สุดเขาก็ลุกขึ้นเดินไปยังส่วนลึกของหุบเขา

 

“จักรพรรดิถังสิ้นพระชนม์แล้ว”

 

องค์ชายเฉินมองดูร่างคนสองคนที่อยู่ลึกเข้าไปด้านในของหุบเขา เขาเปล่งเสียงที่แสดงออกถึงความเคารพ

 

กลิ่นอายของทั้งสองไม่อาจหยั่งถึงได้ มันถูกผสานกลืนไปกับสภาพแวดล้อมโดยรอบ พวกเขาต่างก็เป็นยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งที่ผ่านการแปรสภาพพลังมาแล้ว

 

คนทางด้านซ้ายมือแต่งกายด้วยชุดคลุมที่มีผ้าคาดอก ดูมีสง่าราศี เขาคือราชาหวู่หยางจากอาณาจักรหนานหมิง

 

ราชาหวู่หยางเป็นพระปิตุลาของจักรพรรดิหมิงในสมัยปัจจุบัน เขาเข้าสู่วิถีทางแห่งวิทยายุทธตั้งแต่ยังเด็กและด้วยการจัดสรรทรัพยากรอันมากมายของอาณาจักรหนานหมิงในที่สุดเขาก็ได้กลายเป็นยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสูงสุดและกลายเป็นหนึ่งในรากฐานสำคัญของอาณาจักรหนานหมิง

 

เพื่อที่จะได้ขึ้นครองบัลลังก์ องค์ชายเฉินไม่ลังเลที่จะร่วมมือกับกองกำลังของจักรพรรดิหมิง

 

หลังจากที่องค์จักรพรรดิหมิงตกลง เขาก็ได้ปล่อยให้ราชาหวู่หยางมาที่นี่ด้วยตนเองเพื่อป้องกันความผิดพลาด

 

นอกจากนี้จักรพรรดิหมิงยังส่งยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งจากอาณาจักรหนานหมิงแปดคนติดตามมาด้วย

 

ส่วนคนทางขวามือ เป็นชายชราที่สวมชุดคลุมสีดำ มีไอพลังมืดมนแปลกๆ

 

ชายชราผู้นี้มีชื่อว่าอินจิ่วฝูและเขายังเป็นยอดปรมาจารย์ขั้นสูงสุดด้วย แต่ทักษะการบ่มเพาะของเขาค่อนข้างมีอันตรายแอบแฝง เขาจำเป็นตั้งดื่มเลือดมนุษย์เข้าไปด้วยเป็นครั้งคราว

 

ครั้งนี้ องค์ชายเฉินได้ติดต่อกับอินจิ่วฝูและตกลงเงื่อนไขว่าจะมอบเลือดมนุษย์ให้เป็นเวลายี่สิบปีแลกกับการช่วยเหลือเขาในการใหญ่นี้

 

แม้ว่าในยุทธภพนี้จะมียอดปรมาจารย์อยู่มากมาย แต่พวกเขาต่างก็อยู่กระจัดกระจายกันไป และพวกเขาไม่จำเป็นต้องมาสนใจองค์ชายเฉินอีกด้วย

 

อินจิ่วฝูเป็นยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสูงสุดเพียงคนเดียวที่องค์ชายเฉินชักชวนมาได้

 

เพื่อให้อินจิ่วฝูยอมลงมือ องค์ชายเฉินได้ทำสัญญาจะมอบเลือดมนุษย์ให้เป็นเวลายี่สิบปี อีกฝ่ายจึงยอมออกมาจากภูเขาที่พำนัก

 

“ฝ่าบาทเฉินอย่าลืมนะว่าเลือดมนุษย์ที่ชายชราผู้นี้ต้องการก็คือเลือดของจอมยุทธน่ะ”

 

อินจิ่วฝูมองไปทางองค์ชายเฉิน

 

“เลือดของจอมยุทธ?”

 

มุมปากขององค์ชายเฉินกระตุก

ตอนที่เขาสัญญากับอินจิ่วฝูไว้ เขาไม่ได้บอกว่าจะมอบเลือดของจอมยุทธให้

 

แต่ก็เท่านั้น เมื่อนึกถึงความยิ่งใหญ่ตอนที่ตนขึ้นครองบัลลังก์ด้วยความช่วยเหลือของอินจิ่วฝู ไม่ว่าเรื่องไหนก็ยอมรับได้ทั้งนั้น

 

“เรื่องนี้ข้าตกลง”

 

“แต่จ้าวกงกงที่อยู่ในวังน่ะ…”

 

เมื่อองค์ชายเฉินกล่าวออกมาเช่นนั้นเขาก็หยุดพูดแล้วมองไปยังอินจิ่วฝูและราชาหวู่หยาง

 

“อย่าได้กังวล ปล่อยไอ้แก่นั่นให้ข้าจัดการเอง” อินจิ่วฝูไม่ได้สนใจอะไร

 

เมื่อองค์ชายเฉินได้ยินดังนั้นเขาก็โล่งใจขึ้นเล็กน้อย

 

ภายในวังหลวง คนที่เขาหวาดกลัวที่สุดคงต้องเป็นจ้าวกงกง

 

ด้วยเหตุนี้ หลังจากที่ได้รับการสนับสนุนจากราชาหวู่หยางแห่งหนานหมิงผู้เป็นถึงยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่ง องค์ชายเฉินก็ยังไม่สบายใจและไม่ลังเลเลยที่จะยอมจ่ายราคาแสนแพงเพื่อชักชวนอินจิ่วฝูให้มาช่วย

 

“องค์ชายเฉิน หลังจากที่สังหารองค์รัชทายาทได้แล้ว เจ้าจะขึ้นครองบัลลังก์ได้อย่างไร?” ในตอนนั้นเอง ราชาหวู่หยางที่ไม่ได้พูดอะไรตั้งแต่ต้นก็เริ่มเปิดปากพูดขึ้นอย่างกะทันหัน

 

แม้ว่าองค์ชายเฉินจะเป็นเชื้อพระวงศ์ แต่ยามนี้องค์รัชทายาทกำลังจะได้ขึ้นครองราชย์กลายเป็นจักรพรรดิ แม้องค์ชายเฉินจะสังหารองค์รัชทายาทไป เขาจะโน้มน้าวใจประชาชนได้เยี่ยงไร?

 

“มั่นใจได้เลย”

 

“ข้าได้ติดต่อกับขุนนางที่พ่อของพวกเขาถูกลิดรอนยศตำแหน่งเรียบร้อยแล้ว ทันทีที่องค์รัชทายาทสิ้นพระชนม์ ข้าจะพาพวกเขากลับมาที่ฉางอันและเข้าไปในเขตพระราชฐานส่วนกลาง”

 

องค์ชายเฉินได้คิดหาทางออกเอาไว้ได้อย่างชัดเจน

 

ในเมื่อเหล่าขุนนางไม่เชื่อฟัง ก็ต้องเอากลุ่มคนที่ไม่เชื่อฟังนั่นออกไปเสีย

 

แม้ว่านี่จะกลายเป็นปัญหาระยะยาว แต่อย่างน้อยก็สามารถช่วยให้องค์ชายเฉินแก้ปัญหาเร่งด้วยตอนนี้ได้ก่อน

 

“เช่นนั้นก็ไปกันเถอะ”

 

ราชาหวู่หยางพยักหน้าเล็กน้อยและมองไปยังเมืองฉางอัน

 

 

ด้านนอกห้องโถงชีวิตนิรันดร์

ขุนนางฝั่งพลเรือนและเหล่าทหารหาญร่วมร้อยชีวิตพากันคุกเข่าลงบนพื้นด้วยสีหน้าเศร้าสลด

 

เช่นเดียวกับองค์รัชทายาทหลี่เชิง ตั้งแต่จักรพรรดิถังสิ้นพระชนม์ไปเมื่อคืน เขาก็ยืนอยู่ตรงนี้จ้องมองไปที่องค์จักรพรรดิถังภายในห้องโถงชีวิตนิรันดร์

 

“ฝ่าบาท ดูแลพระวรกายด้วย…”

 

ขันทีเดินมาหาหลี่เชิงแล้วกระซิบเบาๆ

 

“ข้ารู้แล้ว”

 

องค์รัชทายาทหลี่เชิงค่อยๆ นั่งลง เขารู้ว่าสิ่งที่ควรทำที่สุดตอนนี้ก็คือควบคุมยึดครองทุกสิ่งที่จักรพรรดิถังได้ส่งต่อให้เขา

 

หลี่เชิงหันไปมองเหล่าขุนนางพลเรือนและขุนนางทหารที่คุกเข่าอยู่

 

ทันใดนั้น

 

ชั่ววินาทีนั้นเอง

 

พลันปรากฏเสียงคำรามก้องมาแต่ไกล

 

“เกิดอะไรขึ้น?”

 

องค์รัชทายาทหลี่เชิงตกตะลึงและมองออกไปนอกพระราชวัง

 

ไม่นานหลังจากนั้น

 

แม่ทัพประจำวังหลวงรีบเข้ามา โค้งคำนับเล็กน้อยมาทางองค์รัชทายาทหลี่เชิงพร้อมกล่าวรายงาน “ฝ่าบาท องค์ชายเฉินอยู่ด้านนอกนั่น…เขา…เข้ามาแล้ว…”

 

“อะไรนะ?!”

 

ม่านตาขององค์รัชทายาทหรี่แคบลง

 

หลังจากนั้นไม่นาน องค์รัชทายาทหลี่เชิงก็ตัดสินใจได้

 

“เจ้าตามข้ามา”

 

องค์รัชทายาทหลี่เชิงรีบออกไปจากเขตพระราชฐานส่วนกลางในทันที

 

ขุนนางในราชสำนักคนอื่นต่างมองหน้ากันและรีบเดินตามองค์รัชทายาทหลี่เชิงไป

 

 

ในตอนนี้

 

นอกเขตพระราชฐานส่วนกลาง

 

องค์ชายเฉินยืนอยู่แถวนั้นอย่างเงียบๆ

 

อินจิ่วฝูก็ยืนอยู่ตรงนั้นด้วย รอบตัวของเขามียอดปรมาจารย์ของราชวงศ์ถังหลายสิบคนยืนประจันหน้าราวกับเผชิญศัตรู

 

“จ้าวกงกงอยู่ที่ไหน ถ้าไอ้แก่นั่นไม่ลงมือละก็ ลำพังพวกเจ้าหยุดชายชราผู้ได้ด้วยหรือ?”

 

อินจิ่วฝูไพล่มือไปด้านหลัง ยกยิ้มอย่างดูถูก

 

แม้ว่าการบ่มเพาะของเขาจะมีอันตรายแฝงอยู่และจำเป็นต้องดื่มเลือดมนุษย์เป็นระยะๆ แต่ไม่ว่าด้วยกรณีใด เขาก็เป็นถึงจุดสูงสุดของระดับชั้นที่หนึ่ง ยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งสักหนึ่งโหลหรือมากกว่านั้นจะมาหยุดยั้งเขาได้อย่างไร?

 

เหตุผลที่เขายังไม่ลงมือสังหารก็เป็นเพราะคอยระวังตัวจากจ้าวกงกงผู้นั้นอยู่

 

แม้ว่าต่อหน้าองค์ชายเฉิน อินจิ่วฝูจะแสร้งทำเป็นไม่สนใจในตัวของจ้าวกงกง แต่ความเป็นจริงเขาระมัดระวังอย่างยิ่งในหัวใจ

 

ยอดปรมาจารย์ระดับจุดสูงสุดไม่มีใครเป็นคนโง่ เขาจะดูหมิ่นตัวตนในระดับเดียวกันได้อย่างไร?

 

ขณะที่สองฝ่ายกำลังเผชิญหน้ากันอยู่นั้น

ในที่สุดองค์รัชทายาทหลี่เชิงก็รีบเร่งมาจนถึงเขตพระราชฐานส่วนหน้า

 

“หลี่เฉิน เสด็จพ่อเพิ่งสิ้นพระชนม์ ตอนนี้เจ้ามาที่นี่เพื่อกระทำการอันใด?”

 

องค์รัชทายาทหลี่เชิงจ้องมองไปที่องค์ชายเฉินและเน้นคำพูดทุกคำ

 

“โอ้?”

 

“งั้นข้าก็มีเรื่องที่อยากรู้เช่นกัน”

 

องค์ชายเฉินเดินเข้ามาช้าๆ มองไปที่องค์รัชทายาทหลี่เชิงด้วยท่าทีเย็นชา “ทำไมไอ้ลูกนอกคอกเช่นเจ้าถึงได้บัลลังก์ไปครองกัน?”

 

“วันนี้ข้าอยากให้ท่านพ่อรู้ว่าพระองค์นั้นเลือกผิดมหันต์!!”

 

เมื่อองค์ชายเฉินกล่าวเช่นนี้

 

เบื้องหลังของเขาก็ปรากฏยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งแปดคนที่มาจากอาณาจักรหนานหมิง ก้าวเดินเข้ามา

 

ราชาหวู่หยางเงยหน้าขึ้นและมององค์รัชทายาทหลี่เชิงพร้อมกับกล่าวด้วยน้ำเสียงเฉยเมย “องค์ชายเฉิน เจ้าต้องการให้ข้าสังหารเขาเลยหรือไม่?”

 

“เจ้าคือ?”

 

ช่วงเวลาที่องค์รัชทายาทหลี่เชิงเห็นราชาหวู่หยาง เขาก็แสดงอาการออกมาทันที

 

“ราชาหวู่หยางแห่งหนานหมิง?”

 

“หลี่เฉิน นี่เจ้าร่วมมือกับอาณาจักรอื่นอย่างนั้นหรือ?”

 

องค์รัชทายาทหลี่เชิงไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าองค์ชายหลี่เฉินแห่งอาณาจักรถังจะไปขอความร่วมมือจากอาณาจักรหนานหมิง?

เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล 113 การสิ้นพระชนม์ของจักรพรรดิถัง

 

“บทเพลงชีวิตหลังความตาย?”

 

ซูฉินขมวดคิ้วเล็กน้อย

 

จริงๆ แล้ว ‘บทเพลงชีวิตหลังความตาย‘ ควรจะเป็นบทเพลงหนึ่งที่เล่นโดยนักดนตรีหรือผู้ที่มีรสนิยมอันสูงส่ง

 

“น่าเสียดายที่ข้าไม่น่าจะต้องใช้มัน…”

 

ซูฉินส่ายหัวเล็กน้อย เขาไม่ได้เป็นนักดนตรีหรือจอมเสเพลแต่อย่างใด ที่สำคัญเขาไม่ได้มีความสนใจด้านดนตรี แม้ว่าจะมีผลงานที่ล้ำค่าอย่างมิอาจเทียบ เขาก็จะไม่เปลืองพลังงานไปกับมันมากนัก

 

“อย่างไรก็ตาม ในเมื่อได้รับมาแล้วก็ไม่เสียหายที่จะลองดูเสียหน่อย”

 

ซูฉินเพียงคิด เขาก็ได้รับการฝังข้อมูลจากระบบ

 

หวึ่ง!

 

ทันใดนั้นความลับทั้งหมดของ ‘บทเพลงชีวิตหลังความตาย‘ ก็ไหลเข้ามาภายในจิตของซูฉินอย่างช้าๆ

 

ซูฉินรู้สึกได้ถึงเสียงบรรเลงอยู่ภายในใจ มีเสียงเพลงครวญคร่ำออกมาอย่างแผ่วเบา สื่อความหมายถึงการพลัดพรากจากชีวิตเดิม

 

หลังจากนั้นไม่นาน

 

ซูฉินก็ลืมตาขึ้นโดยพลัน

 

“ บทเพลงชีวิตหลังความตายนี้ ไม่ง่ายดั่งตาเห็นเลย…”

 

เค้าลางความประหลาดใจปรากฏขึ้นบนใบหน้าของซูฉิน

 

เดิมทีเขาคิดว่า ‘บทเพลงชีวิตหลังความตาย‘ เป็นเพียงบทเพลงธรรมดาๆ แต่หลังจากได้รับการ ‘ฝังข้อมูล‘ จากระบบ เขาก็พบว่า ‘บทเพลงชีวิตหลังความตาย‘ ไม่ใช่แค่บทเพลงธรรมดาอีกต่อไป แต่เป็นการผสานระหว่างดนตรีและศิลปะการต่อสู้

เมื่อบทเพลงชีวิตหลังความตายสามารถสังหารคนด้วยคลื่นเสียง ซึ่งคล้ายคลึงกับวิธีการอันลึกลับของมีดบินน้อยเสียวหลี่

 

ภายในขอบเขตของเสียงดนตรี ถ้าจิตวิญญาณหรือจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ไม่แข็งแกร่งเท่าซูฉิน ก็มีแต่จะต้องตกตายลงเท่านั้น!

 

ซูฉินลงชื่อเข้าใช้ที่วัดเส้าหลิน ได้รับทักษะวิชามามากมายนับไม่ถ้วน รวมไปถึงวิธีการสังหารด้วยการใช้เสียงเช่นนี้

 

แต่จิตสังหารที่เปิดเผยออกมามันดูจงใจเกินไป

 

ตัวอย่างเช่น ‘วิชาสิงโตคำราม‘ ซึ่งเป็นเอกลักษณ์อย่างหนึ่งของวัดเส้าหลิน ก็ใช้คลื่นเสียงเป็นอาวุธ

 

แต่เพลงที่ฟังดูเป็นธรรมชาติเหมือนกับ ‘บทเพลงชีวิตหลังความตาย‘ นั้นหาได้ยากยิ่งหรืออาจจะหาไม่พบเลยก็ได้

 

“ไม่เลวไม่เลว”

 

ใบหน้าของซูฉินเต็มไปด้วยความยินดี

 

 

จากนั้นซูฉินก็กลับสู่คืนวันอันสงบสุขและผ่อนคลายอีกครั้ง

 

แม้ว่าพระราชวังถังจะเป็นสถานที่ห่างไกลจากความเงียบสงบเฉกเช่นวัดเส้าหลิน แต่สำหรับซูฉินมันแทบจะเหมือนกัน สิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นในรั้วในวังแทบจะไม่มีอะไรที่เกี่ยวข้องกับเขาเลย

 

ในฐานะ ‘พี่เขย‘ ขององค์รัชทายาท คนอื่นๆ ต่างก็เกรงกลัวซูฉินกันทั้งนั้น ใครจะไปกล้ายั่วโมโหเขากัน?

 

ในวันนี้ หลังจากที่ซูฉินลงชื่อเข้าใช้เรียบร้อยแล้ว เขาก็มองไปยังทิศทางของห้องโถงชีวิตนิรันดร์

 

ห้องโถงชีวิตนิรันดร์เป็นที่ประทับของจักรพรรดิแห่งราชวงศ์ถัง

 

“จักรพรรดิถังกำลังจะตายแล้วรึ…”

 

ดวงตาของซูฉินยังคงสงบนิ่ง ไม่ว่าจะด้วยดวงตาแห่งสัจจะหรือจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ก็ตรวจจับปราณชีวิตของจักรพรรดิถังที่นอนเอนหลังอยู่บนบัลลังก์มังกรภายในห้องโถงชีวิตนิรันดร์ได้ว่ามันเหมือนกับเทียนดวงน้อยที่อยู่ท่ามกลางสายลมพัด สามารถดับลงได้ทุกเมื่อ

 

“คนที่น่าสนใจกำลังจะหายไปอีกคน…”

 

ซูฉินส่ายหัวเล็กน้อยและถอนหายใจออกมา

 

แม้ว่าตัวเขาจะไม่ได้เข้าไปภายในวังส่วนพระองค์มานาน แต่เขาก็ติดต่อกับจักรพรรดิถังมาหลายครั้งจนรู้จักอีกฝ่ายดีพอสมควร อย่างน้อยเขาก็ใจดีกับซูฉิน ทั้งยังตอบแทนกลับมาด้วยสมบัติและทองคำจำนวนมาก

 

เขายังต้องการย้ายซูฉินไปยังหน่วยแพทย์หลวงด้วยซ้ำ

 

แม้ซูฉินจะไม่ได้พึงใจกับสิ่งเหล่านี้เลย แต่ก็ยังนับว่าจักรพรรดิถังใจดีอยู่

 

แน่นอนว่าซูฉินเพียงแค่คิดว่าจักรพรรดิถังน่าสนใจ ไม่ได้มีเหตุผลอื่น

 

การสิ้นพระชนม์ของจักรพรรดิถังนั้นเกิดมาจากการที่อายุขัยถูกใช้ไปหมดสิ้น แม้แต่ตัวตนระดับอรหันต์หรือตำนานยุทธก็ไม่สามารถยื้อเอาไว้ได้

 

“มันไม่เป็นอะไรหรอกถ้าจะต้องตายไป เป็นการทรมานเสียเปล่าถ้ายังมีชีวิตอยู่”

 

ซูฉินคิดในใจตนอยู่เงียบๆ

แม้ว่าจ้าวกงกงซึ่งเป็นยอดปรมาจารย์ระดับแนวหน้า ยินดีที่จะยื้อชีวิตของจักรพรรดิถังด้วยพลังชีวิตของตนเอง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะสามารถช่วยให้จักรพรรดิถังใช้ชีวิตได้อย่างสุขสบาย

 

การตายในตอนนี้ ก็เป็นเหมือนการ ‘ปลดปล่อย‘ ชนิดหนึ่ง

 

“อย่างไรก็ตาม จ้าวกงกงผู้นี้ก็ไม่ควรจะมีชีวิตอยู่ได้ยืนยาวนัก…”

 

ซูฉินขยับความคิด รับรู้ไปถึงไอพลังของจ้าวกงกงอย่างระมัดระวัง

 

จ้าวกงกงเป็นผู้ที่มีความสามารถที่สูงลิ่ว แม้เขาจะมีชีวิตอยู่ได้ไม่ถึงสองร้อยปี แต่ยังไงก็ต้องมีช่วงอายุขัยยาวนานร้อยแปดสิบถึงร้อยเก้าสิบปีเป็นแน่

 

ช่างน่าเสียดาย เพื่อทดแทนในส่วนที่เสื่อมถอยของร่างกายในตัวองค์จักรพรรดิถัง จ้าวกงกงยินดีที่จะใช้พลังชีวิตของตนเองยืดชีวิตขององค์จักรพรรดิถังต่อไป

 

ถ้าจ้าวกงกงเป็นยอดปรมาจารย์ขั้นสูงสุดที่มีการแปรสภาพร่างกายมาแล้ว ด้วยร่างกายที่ทรงพลังเขาจะสามารถยื้อมันต่อไปได้อีกหลายปี

 

อย่างไรก็ตาม ร่างกายของจ้าวกงกงนั้นสูญเสียคุณสมบัติไปเสียแล้วจึงไม่สามารถแปรสภาพกายเนื้อของตนได้ ทำให้เวลานี้เขาใกล้จะหมดแรงเต็มทน

 

ตอนนี้จักรพรรดิถังกำลังจะสิ้นพระชนม์ ส่วนจ้าวกงกงก็คงจะมีชีวิตอยู่ต่อไปได้อีกไม่นาน

 

“จักรพรรดิถังกำลังจะตาย เขาก็ควรเรียกองค์รัชทายาทมาอธิบายเรื่องการจัดเตรียมพิธีศพใช่ไหมนะ?”

 

ซูฉินกำลังคิดเรื่องนี้อยู่ในใจ ก็พบว่าขันทีชุดแดงได้เดินออกมาจากห้องโถงชีวิตนิรันดร์และร่างก็วูบไหวไปราวกับภูตผีพุ่งเข้าไปในห้องโถงเฉิงเอินแห่งพระราชวังตะวันออก

 

ไม่นานหลังจากนั้น องค์รัชทายาทหลี่เชิงก็เดินออกมาด้วยความตื่นตระหนกและรีบเดินทางไปยังห้องโถงแห่งชีวิตนิรันดร์

 

 

ภายในห้องโถงชีวิตนิรันดร์

 

จักรพรรดิถังเอนกายลงอย่างเงียบเชียบบนบัลลังก์มังกร ท่าทางของเขาดูไม่ได้เหมือนกับคนที่กำลังเผชิญหน้ากับความตาย

 

“ฝ่าบาท ข้ารับใช้ชราผู้นี้ไร้ประโยชน์ยิ่ง ไม่สามารถยืดอายุขัยของท่านได้…”

 

จ้าวกงกงคุกเข่าลงกับพื้น กระซิบกล่าวคำ

 

“เจ้าทำได้ดีที่สุดแล้ว…” จักรพรรดิถังฝืนยิ้มก่อนจะพูดออกมาเบาๆ “ถ้าไม่ใช่เพราะเจ้า ข้าคงจะต้องตายไปตั้งแต่สิบปีก่อนแล้ว…”

 

ในตอนนั้นเอง

 

องค์รัชทายาทหลี่เชิงเดินเข้ามาภายในห้องโถงชีวิตนิรันดร์อย่างรวดเร็ว คุกเข่าลงหน้าบัลลังก์มังกร กล่าวคำออกมาด้วยเสียงสั่นเครือ “เสด็จพ่อ ท่านสบายดีหรือไม่?”

 

“ท่านจะต้องไม่เป็นอะไร ข้าจะไปเรียกหมอหลวงมา”

 

องค์รัชทายาทหลี่เชิงพยายามจะลุกขึ้นยืน แต่ถูกจักรพรรดิถังรั้งเอาไว้

 

“ไม่จำเป็น” องค์จักรพรรดิถังมองไปที่องค์รัชทายาทหลี่เชิงพร้อมทั้งส่ายหัว จากนั้นจึงกล่าวขึ้นว่า “ข้ารู้ร่างกายตัวเองดี เป็นเรื่องไม่คาดฝันมากแล้วที่ข้ายังมีชีวิตอยู่จนถึงวันนี้….”

 

เมื่อองค์จักรพรรดิถังพูดขึ้น เขาก็ไอออกมาอย่างรุนแรง หลังจากนั้นจึงได้พูดต่อ “ก่อนที่เจ้าจะเข้ามายังฉางอัน ข้าจงใจให้เหล่าพี่น้องของเจ้าต่อสู้กันเพื่อแบ่งอำนาจสภาขุนนางและราชสำนัก”

 

“ตอนนี้ข้าได้กวาดล้างเหล่าข้าราชบริพารที่คิดเห็นเป็นอื่นไปหมดแล้ว พวกที่ยังอยู่ในสภาขุนนางตอนนี้ไม่ต้องถึงขนาดจะต้องภักดีต่อเจ้า แต่อย่างน้อยพวกนั้นก็ภักดีต่ออาณาจักรถัง”

 

“หลังจากที่ข้าตายไป เจ้าจะได้ครอบครองราชสำนักที่ใสสะอาดและสว่างไสว มันจะเป็นของเจ้าโดยสมบูรณ์ ในเวลานั้นเจ้าสามารถทะเยอทะยานในทุกสิ่งได้อย่างเต็มที่…”

 

“อย่างไรก็ตาม ข้าคงมิอาจได้เห็นช่วงเวลานั้น…”

 

เมื่อองค์จักรพรรดิกล่าวเช่นนี้ เสียงของเขาก็อ่อนลงอย่างเห็นได้ชัด

 

“เสด็จพ่อ!”

 

ดวงตาขององค์รัชทายาทหลี่เชิงกลายเป็นสีแดงก่ำ

 

เขาไม่เคยรู้เลยว่าทุกสิ่งที่องค์จักรพรรดิถังทำลงไปก็เพื่อตน

 

นับตั้งแต่ที่เขายังอยู่ข้างนอกเมือง องค์จักรพรรดิถังก็ได้เริ่มดำเนินการปูทางให้กับตัวเขาและกำจัดผู้คนที่ต่อต้านออกไปอย่างสมบูรณ์หลังจากที่เขาได้รับการสืบทอดตำแหน่งมา

 

“แต่ก็เท่านั้น ยังมีสิ่งหนึ่งที่ยังเป็นจุดอ่อนของข้า…”

 

จักรพรรดิถังเงยหน้าขึ้นและจ้องมองไปที่องค์รัชทายาทหลี่เชิง “นั่นคือพี่น้องของเจ้า ข้าควรจะสังหารพวกเขาให้สิ้น ยามที่เจ้าได้บัลลังก์ไป เช่นนั้นก็จะไม่มีปัญหาอีกในอนาคต…”

 

ร่องรอยของความซับซ้อนสะท้อนใจซ่อนอยู่ในน้ำเสียงขององค์จักรพรรดิถัง

 

แม้ตัวเขาจะกวาดล้างราชสำนักด้วยมาตรการรุนแรงหลายต่อหลายครั้ง แต่เขาก็เลือกที่จะเนรเทศองค์ชายทั้งหลายออกไปแทนที่จะสังหารพวกเขาเสีย

 

“ถ้าพวกเขาทำอะไรขึ้นมาในอนาคต และไม่เต็มใจที่จะอยู่อย่างไร้ศักดิ์ เจ้าก็ไม่ต้องกังวลไป เพียงเรียกตัวพวกเขากลับมาแล้วสังหารพวกเขาทิ้งซะ”

 

จักรพรรดิถังถอนหายใจเล็กน้อยราวกับคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ สีหน้าของเขาอ่อนลง “ชีวิตข้าไม่ติดค้างสิ่งใดแล้ว แต่มีเพียงสิ่งเดียวที่ข้ายังเสียใจอยู่จนถึงตอนนี้ก็คือเรื่องแม่ของเจ้า…”

 

จักรพรรดิถังเอนกายลงบนบัลลังก์มังกร สีหน้าของเขาแสดงความคิดถึง เสียงที่เปล่งออกมาเบาราวกับยุงบิน

 

“หลิงเอ๋อ ข้าได้ทำตามที่ได้ให้สัญญาไว้แล้ว…”

 

“เสด็จพ่อ เสด็จพ่อ!” องค์รัชทายาทหลี่เชิงมองไปที่องค์จักรพรรดิถังซึ่งตอนนี้พลังชีวิตหายไปอย่างสมบูรณ์ น้ำตาของเขาไม่สามารถหยุดไหลได้ เขาร้องไห้คร่ำครวญออกมาเสียงดัง

 

“ฝ่าบาท….”

 

จ้าวกงกงเงยหน้าขึ้นแล้วกระซิบคำด้วยเสียงต่ำ

Sign in Buddha’s palm 112 บทเพลงชีวิตหลังความตาย

 

“นี่คือสิ่งใด?!!”

 

หญิงที่สวมผ้าคลุมหน้าตกใจและรีบถอยหลังกลับ ในสายตาของนาง เจตจำนงดาบที่ไร้รูปร่างนี้เกือบจะอยู่ในจุดสูงสุดของทุกสิ่ง แม้แต่เทวรูปเทพจันทราภายในลัทธิบูชาจันทร์ที่อยู่มานานหลายพันปีก็ยังต้องหมองหม่นไปเมื่อเทียบกับพลังนี้

 

หวึ่ง!

 

ทันใดนั้นหญิงสาวภายใต้ผ้าคลุมหน้าก็เริ่มรู้สึกได้ถึงไอพลังที่ไม่สามารถบรรยายได้เข้ามาปกคลุม นางพยายามเผาผลาญแก่นแท้และเลือดเนื้อภายในตัวเพื่อยื้อชีวิตตนออกจากอันตราย

 

เพียงแต่ว่าทั้งหมดนั้นล้วนไม่มีประโยชน์

 

ประกายดาบจากบนท้องฟ้าเฉือนลงมาภายในพริบตา

 

เมื่อยามที่ประกายดาบฟาดฟันลงมาที่หญิงที่สวมผ้าคลุมหน้า มันก็กลายเป็นประกายดาบขนาดเล็กจำนวนมหาศาลตัดเฉือนร่างหญิงสาวจนเป็นชิ้นๆ เหลือเพียงแต่ความว่างเปล่า

 

เมื่อเห็นฉากนั้นหญิงชราผมขาวที่อยู่ด้านข้างหนังศีรษะชาจนแทบจะระเบิด การที่เฝ้าดูพระแม่ถูกเป่ากระจายเป็นชิ้นๆ ทำให้เธอขาแข้งอ่อนแรง ก้นของเธอแทบจะร่วงไปอยู่ที่พื้น

 

เมื่อร่างของหญิงสาวที่มีผ้าคลุมหน้ากระจายหายไปกลายเป็นอากาศธาตุ หนอนกู่ตัวสีทองเข้มก็ปรากฏตัวขึ้น

 

“จี๊ด!!!”

 

หนอนกู่สีทองเข้มตัวนั้นส่งเสียงขู่ฟ่ออย่างดุร้าย ประกายดาบขนาดเล็กจำนวนมหาศาลเฉือนเข้าใส่จนมันกลายเป็นอากาศธาตุด้วยเช่นกัน

 

“นั่นมัน…หนอนกู่ของพระแม่?”

 

หญิงชราผมขาวสั่นสะท้านไปทั่วทั้งตัว ความกลัวที่ฝังอยู่ภายในใจลึกๆ ก็พรั่งพรูออกมาจากจิตใจและเกาะกุมไปทั่วทั้งจิต

 

หนอนกู่เป็นแหล่งที่มาของศาสตร์คาถาทั้งมวลของอาณาจักรหนานจ้าว ทุกคนรวมไปถึงระดับผู้เชี่ยวชาญที่บูชาเทพจันทราจะต้องใช้คาถาและคำสาปของพวกเขาผ่านหนอนกู่

 

และหนอนกู่ที่อยู่ภายในร่างของหญิงสาวผ้าคลุมหน้าผู้นี้ ได้รับสืบทอดมาเป็นเวลาหลายพันปีแล้ว เป็นหนอนกู่ที่เก่าแก่ที่สุดตัวหนึ่งภายในลัทธิบูชาจันทร์

 

เวลาที่ผ่านมานานหลายพันปีนี้ ลัทธิบูชาจันทร์เผชิญหน้ากับภัยร้ายมากมาย ถูกทำลายและสร้างขึ้นใหม่อยู่หลายต่อหลายครั้ง แต่ดูเหมือนว่าหนอนกู่ตัวนี้จะอยู่มาทุกยุคทุกสมัย

 

ทว่าตอนนี้หญิงชราผมสีขาวได้เห็นกับตาว่าหนอนกู่ตัวสีทองและหญิงสาวที่สวมผ้าคลุมหน้าถูกฉีกกระชากจนกลายเป็นอากาศธาตุ

 

พรึบ

 

หญิงชราผมขาวไม่สามารถพยุงตัวของตนได้อีกต่อไปกระแทกเข่าลงกับพื้น ใบหน้าของนางคล้ำหมองราวกับขี้เถ้า หลับตาลงเพื่อรอความตายที่จะมาเยือน

 

หญิงชรานึกไม่ออกว่าเธอจะอยู่รอดได้อย่างไร ขนาดหนอนกู่ที่อยู่ยงคงกระพันมาทุกยุคทุกสมัยยังตายไป แล้ว ตัวเธอจะต่อต้านได้อย่างไร

 

อย่างไรก็ตามเมื่อประกายดาบขนาดเล็กจำนวนนับไม่ถ้วนได้เชือดเฉือนหนอนกู่สีทองไปแล้ว มันก็ไม่ได้ฟาดฟันใส่หญิงชราผมขาว แต่ส่วนใหญ่ได้สลายหายไปในอากาศอย่างรวดเร็ว มีเพียงประกายดาบขนาดเล็กอันหนึ่งที่กะพริบวูบวาบเข้าไปในร่างของหญิงชราผมขาว

 

จากนั้นไม่นาน

 

หญิงชราผมขาวก็ค่อยๆ ลืมตาขึ้น

 

“ข้า…ข้ายังไม่ตายหรือ?”

 

หญิงชรารู้สึกไม่อยากจะเชื่อ

 

นางเห็นด้วยตาของตนเองว่าประกายดาบขนาดเล็กพวกนั้นแทบไม่ลดลงเลยหลังจากที่จัดการหนอนกู่สีทองไปแล้ว ความจริงเธอควรจะเป็นรายต่อไปที่ต้องตาย

 

“รอดแล้ว”

 

“ข้ายังมีชีวิตรอด”

 

หญิงชราผมขาวดีใจมาก แม้นางจะไม่เข้าใจว่าทำไมตนถึงรอด แต่การรอดชีวิตมาได้ย่อมเป็นสิ่งที่ดี

 

“รีบกลับไปลัทธิศักดิ์สิทธิ์ดีกว่า”

 

“ต้องไปบอกท่านผู้นำว่าเกิดอะไรขึ้นที่นี่”

 

ทันใดนั้นหญิงชราผมขาวก็นึกบางอย่างขึ้นมาได้ และหมุนตัวหนีไปในทันที นางต้องรีบกลับไปหนานจ้าวเพื่อสักการะลัทธิบูชาจันทร์ เมืองฉางอันนั้นอันตรายเกินไป ประกายดาบพวกนั้นสามารถขจัดทุกสิ่งได้ในทันที มีเพียงลัทธิบูชาจันทร์เท่านั้นที่จะช่วยให้เธอรู้สึกปลอดภัยขึ้นมาได้บ้าง

 

 

“วิ่งไปสิ”

 

“วิ่งให้เร็วกว่านี้อีก”

 

ด้านนอกคฤหาสน์ตระกูลซู ดวงตาของซูฉินดูลึกล้ำราวกับเขาสามารถมองเห็นหญิงชราผมขาวที่กำลังหลบหนีอยู่

 

ลัทธิบูชาจันทร์อันศักดิ์สิทธิ์ถึงกับกล้ายื่นมือเข้ามายุ่งกับตระกูลซู ดังนั้นพวกมันจึงต้องเตรียมพร้อมรับการเผชิญหน้ากับความเกรี้ยวกราดของตัวตนระดับอรหันต์

 

เหตุผลที่ซูฉินไม่สังหารหญิงชราผมขาวก็เพราะต้องการใช้หญิงชราในการ ‘นำทาง‘ เพื่อหาตำแหน่งที่ตั้งของลัทธิบูชาจันทร์ในอาณาจักรหนานจ้าว

 

อาณาจักรหนานจ้าวตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ ถึงแม้จะไม่ได้กว้างใหญ่เท่าอาณาจักรถัง แต่ก็ต้องใช้เวลาอย่างน้อยครึ่งเดือนไปจนถึงหนึ่งเดือน ในการค้นหาพื้นที่ขนาดใหญ่อย่างอาณาจักรหนานจ้าวทั้งหมดด้วยจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์

 

เวลาครึ่งเดือนไปจนถึงหนึ่งเดือนหมายความเช่นไร?

 

มันหมายถึงโอกาสในการลงชื่อเข้าใช้ที่มากถึงสิบห้าครั้ง หรืออาจจะถึงสามสิบครั้ง

 

ซูฉินมีอนาคตที่ไม่มีที่สิ้นสุด แน่นอนว่าเขาจะไม่ยอมทิ้งโอกาสในการลงชื่อเข้าใช้ไปง่ายๆ แน่

 

ด้วยเหตุนี้ซูฉินจึงประทับตราประกายแสงแห่งดาบลงบนตัวของหญิงชราผมขาว แม้หญิงชราจะวิ่งหนีจนไปสุดขอบโลก ซูฉินก็สามารถรับรู้ตำแหน่งได้เพียงแค่คิดคำนึง

 

ด้วยวิธีนี้ เมื่อหญิงชราผมขาวกลับไปที่ฐานหลักของลัทธิบูชาจันทร์ ซูฉินก็สามารถใช้เวลาเพียงครึ่งวันเพื่อเดินทางไปเยี่ยมเยือน

 

ในขณะที่ซูฉินอยู่ในห้วงสมาธิ

 

ทุกคนในตระกูลซูก็เดินออกมาจากคฤหาสน์เช่นกัน

 

“พี่สาม ท่านกำลังทำอะไรอยู่?”

 

ซูเยว่หยุนถามอย่างสงสัย

 

นางเพิ่งได้ยินว่าจี้หยกนั้นมีปัญหา แต่ซูฉินก็เดินออกไปด้านนอกทำให้เธอสับสนอยู่นาน

 

“ใช่ฉินน้อย เจ้าเพิ่งบอกว่าจี้หยกนี้มีปัญหา ว่าแต่ปัญหานั้นคืออะไร?” ซูเฉิงฮ่าวก็ถามขึ้นเช่นกัน

 

“ตอนนี้ไม่มีอะไรแล้ว”

 

“ข้าแก้ไขมันเรียบร้อย”

 

ซูฉินเหลือบมองไปที่ตระกูลซูพร้อมกับส่ายหัว จากนั้นจึงยื่นจี้หยกคืนให้กับซูเฉิงฮ่าว

 

ในขณะนี้คำสาปทั้งหมดในจี้หยกได้หายไปหมดแล้ว ตัวหญิงสาวที่สวมผ้าคลุมหน้าเองก็ตกตายสลายเป็นผุยผง

 

จี้หยกในตอนนี้กลายเป็นจี้หยกที่บริสุทธิ์แล้ว

 

“อา… แก้ไขแล้วเช่นนั้นหรือ?”

 

ซูเฉิงฮ่าวและซูเยว่หยุนมองหน้ากัน ใบหน้าของพวกเขาตกตะลึง

 

พวกเขาไม่ได้ติดใจสงสัยอะไรในสิ่งที่ซูฉินพูด แต่ปัญหาได้รับการแก้ไขรวดเร็วเกินไปไหม?

 

“ช่างมันเถอะ”

“เดี๋ยวข้าจะเอาจี้หยกชิ้นนี้ไปขาย”

 

ซูเฉิงฮ่าวหยิบจี้หยกขึ้นพลิกดูไปมา ในที่สุดก็หมดความสนใจ

 

หลังจากพูดคุยกันสักพัก ซูฉินและซูเยว่หยุนก็พร้อมที่จะกลับวัง

 

ที่ทางเข้าพระราชวังตะวันออก ซูฉินแยกทางกับซูเยว่หยุนเพราะต้องการเดินไปรอบๆ เสียหน่อย

 

“มนต์คาถานั้นมีความนัยบางอย่างอยู่”

 

ซูฉินเดินช้าๆ อยู่ภายในวัง ความคิดของเขาผันผวนไปมา

 

ด้วยจี้หยกเพียงชิ้นเดียว ซูฉินก็เริ่มเข้าใจขึ้นมาว่า ‘มนต์คาถา‘ คือสิ่งใด

 

เมื่อเทียบกับการฝึกวิทยายุทธทั้งกำลังภายนอกและกำลังภายในแล้วนั้น ‘มนต์คาถา‘ มีแนวโน้มที่จะใช้สิ่งภายนอกเข้าช่วยมากกว่า

 

รากฐานของผู้ฝึกมนต์คาถาทุกคน ไม่ได้อยู่ที่ตัวเอง แต่อยู่ที่หนอนกู่ภายในร่าง

 

เมื่อหนอนกู่หายไป ผู้ฝึกมนต์คาถาจะลดระดับลงไปราวกับเป็นคนธรรมดา หรือแม้แต่ด้อยกว่าคนธรรมดาด้วยซ้ำ

 

“น่าเสียดายที่มันต้องใช้พลังฉีและเลือดเนื้อ มันถูกกำหนดเอาไว้แล้วว่าตัวมันไม่สามารถเทียบชั้นกับพลังอื่นๆ”

ซูฉินส่ายหัวเล็กน้อย และไม่คิดที่จะคิดเรื่องราวนี้อีกต่อไป

 

สำหรับคนธรรมดา มนต์คาถาอาจจะเป็นเรื่องแปลกประหลาดและคาดเดาไม่ได้อย่างการสังหารผู้คนโดยที่ไม่สามารถมองเห็นด้วยตาเปล่าได้ แต่ในสายตาของจอมยุทธที่เต็มไปด้วยเลือดเนื้อและพลังชีวิต มนต์คาถานั้นก็ไม่มีอะไรมากไปกว่าของเด็กเล่น ขนาดผู้ฝึกยุทธเช่นซูเฉิงฮ่าว พระแม่อย่างเช่นหญิงคลุมหน้าผู้นั้นยังได้ใช้แก่นพลังชีวิตและเลือดเนื้อของตนเกินกว่าหนึ่งในสิบส่วนในการจัดการ แสดงให้เห็นว่าจอมยุทธนั้นได้เปรียบมนต์คาถาอย่างชัดเจน

 

ซูฉินเดินไปถึงพระราชวังแห่งหนึ่งโดยไม่รู้ตัว

 

“ซุ้มดนตรี?”

 

ซูฉินเงยหน้าขึ้นและชำเลืองมองไป

 

ซุ้มดนตรีเป็นสถานที่ที่นักดนตรีและผู้เชี่ยวชาญเครื่องเล่นดนตรีต่างๆ ภายในวังหลวงมาพำนักอาศัย พวกเขาเหล่านี้ล้วนเล่นดนตรีให้กับเชื้อพระวงศ์กันทั้งนั้น

 

“ลองลงชื่อเข้าใช้ที่นี่ดีกว่า”

 

ทันใดนั้นซูฉินก็คิดขึ้นมาได้

 

ไม่ว่าจะเป็นราชวงศ์ใด ย่อมต้องมีดนตรีอยู่ในหัวใจเป็นแน่แท้ มรดกทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมทางดนตรีก็ยาวนานมาก

 

“ระบบ ลงชื่อเข้าใช้”

 

ซูฉินครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงกล่าวขึ้นมาในใจ

 

[ขอแสดงความยินดี โฮสต์ลงชื่อเข้าใช้สำเร็จ ได้รับ ‘บทเพลงชีวิตหลังความตาย‘ ]

Sign in Buddha’s palm 111 เจตจำนงแห่งดาบอันนี้

 

 

แม้ว่าศิลปะการต่อสู้วิทยายุทธจะได้รับความนิยมอย่างมากในโลกนี้ แต่นอกจากวิทยายุทธแล้วก็ยังมีร่องรอยของพลังพิเศษชนิดอื่นๆ ให้เห็นอยู่อีก

 

เช่น คาถา คำสาป และอื่นๆ

มนต์คาถาและคำสาปส่วนใหญ่แล้วจะมาจากอาณาจักรหนานจ้าว

 

อาณาจักรหนานจ้าวตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ เป็นพื้นที่กว้างใหญ่และเต็มไปด้วยกลุ่มชนที่ยังคงไร้วัฒนธรรมจำนวนนับไม่ถ้วนที่อยู่ใต้การปกครองของ ‘ลัทธิบูชาจันทร์‘

 

แม้แต่จ้าวครองอาณาจักรหนานจ้าวก็ยังเป็นสาวกของ ‘ลัทธิบูชาจันทร์‘

 

ผู้นำของลัทธิบูชาจันทร์เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านคาถาอาคมและคำสาป เขามีพลังที่แข็งแกร่ง มีอยู่ครั้งหนึ่งที่ยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งไม่เชื่อเรื่องพวกนี้และต้องการจะลอบเข้าไปภายในลัทธิบูชาจันทร์ แต่ก็ต้องตกใจเมื่อเจอเข้ากับไอพลังที่อธิบายไม่ได้

 

ไม่ว่าจะเป็นคาถาหรือคำสาป พวกมันล้วนแปลกประหลาดและคาดเดาไม่ได้ มักจะฆ่าคนไปได้โดยที่มองไม่เห็นด้วยซ้ำ

 

อย่างไรก็ตาม มันมีข้อบกพร่องร้ายแรงอยู่บางประการ นั่นคือคาถาและคำสาปนั้นถูกจำกัดด้วยพลังฉีและเลือดเนื้อ

 

ผู้ที่เลือดเนื้อแข็งแกร่งมั่นคงแทบจะไม่ได้รับผลกระทบจากมนต์คาถาส่วนใหญ่เลย

 

แต่เดิมจอมยุทธที่ขัดเกลาร่างกายและเลือดเนื้อของตนเอง พวกเขาล้วนเป็นคราวเคราะห์ของผู้ที่ฝึกฝนมนต์คาถาและคำสาป

 

นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมลัทธิบูชาจันทร์จึงครอบคลุมอยู่เพียงแค่หนานจ้าว

 

ซูฉินไม่คิดว่าจะได้เห็นร่องรอยของมนต์คาถาภายในเมืองฉางอัน

 

“ฉินน้อย เจ้าพบอะไรพิเศษในจี้หยกชิ้นนี้งั้นหรือ?” ซูเฉิงฮ่าวสังเกตเห็นการจับจ้องของซูฉิน และหยิบจี้หยกขึ้นมาแนะนำในทันที

 

“เป็นเรื่องแปลกๆ แต่ที่จะบอกคือเมื่อเช้าข้าออกไปข้างนอกและหยกชิ้นนี้ก็ตกลงที่เท้าข้าด้วยความบังเอิญ”

 

เมื่อพูดถึงสิ่งนี้ ซูเฉิงฮ่าวกล่าวด้วยน้ำเสียงภาคภูมิใจว่า “ดูเหมือนว่า เวลาคนเราจะโชคดี มันก็ไม่มีอะไรจะหยุดยั้งได้”

 

“ตามการคะเนของข้า หยกชิ้นนี้มีค่าอย่างน้อยก็หลายพันตำลึงเงินเข้าไปแล้ว”

 

ซูเฉิงฮ่าวกล่าว

 

ตำลึงเงินของอาณาจักรถังมีมูลค่าไม่น้อย ค่าใช้จ่ายของครอบครัวธรรมดาที่มีสมาชิกสี่คนปกติจะอยู่ที่ไม่กี่ตำลึงเงินต่อปี

 

สำหรับหนึ่งพันตำลึงเงินก็เพียงพอให้คนคนหนึ่งซื้อบ้านในเมืองฉางอันและใช้ชีวิตเยี่ยงคนรวย

 

แม้แต่ตระกูลซูในปัจจุบัน เงินหนึ่งพันตำลึงเงินก็ไม่ใช่จำนวนที่เล็กน้อย

 

“เป็นจริงดังว่า คุณภาพของจี้หยกชิ้นนี้ดีมาก เรียกได้ว่าหายากมาก” ซูเยว่หยุนเหลือบมองไปที่จี้หยกในมือของซูเฉิงฮ่าวแล้วจึงพยักหน้า

สมบัติหายากอะไรบ้างที่นางไม่เคยพบเห็นในรั้วในวัง? แค่มองแวบแรกนางก็มั่นใจว่ามันมีค่ามาก

 

“บังเอิญเจออย่างนั้นหรือ?”

 

ร่องรอยความเย็นชาปรากฏขึ้นบนใบหน้าของซูฉิน

 

เขาค่อนข้างแน่ใจว่ามีคนมุ่งเป้าไปที่ซูเฉิงฮ่าว

 

ไม่ต้องพูดถึงคุณค่าของหยกชิ้นนี้ แค่คำสาปที่ติดอยู่กับตัวหยกเพียงอย่างเดียวก็ไม่ใช่สิ่งที่คนธรรมดาๆ ทำขึ้นมาได้

 

ที่บอกว่า ‘บังเอิญหยิบได้‘ จากปากคำของซูเฉิงฮ่าว เกรงว่ามันจะห่างไกลจากเรื่องราวที่แท้จริงไปไกล

 

“เหมือนจี้หยกนี้จะมีปัญหาอยู่นะ”

 

ซูฉินกล่าวออกมาตรงๆ โดยไม่อ้อมค้อม

 

“มีปัญหา?”

 

ซูเฉิงฮ่าวตกใจ

 

เมื่อตอนที่เขาหยิบจี้หยกนี้ขึ้นมา เขาก็รู้สึกงงงวยเช่นกัน แต่ตอนนี้เขารู้สึกเพียงว่าตนเองคงโชคดี จึงไม่ได้คิดอะไรมากเกี่ยวกับเรื่องนี้

 

เมื่อได้ยินคำพูดของซูฉินยามนี้ สีหน้าของเขาก็กลายเป็นจริงจัง

 

“ฉินน้อย ลองตรวจสอบมันอีกที”

 

ซูเฉิงฮ่าวถอดจี้หยกแล้วส่งมอบให้ซูฉินในทันที

 

ซูฉินถือจี้หยกเอาไว้และมองมันอย่างพินิจพิเคราะห์

 

เรื่องของคำสาปนั้น เขาได้เห็นมาแค่ข้อความบางส่วนที่บันทึกไว้ภายในศาลาพระคัมภีร์ของวัดเส้าหลินเท่านั้น

 

สำหรับคำสาปของจริง นี่เป็นครั้งแรกที่ซูฉินได้เห็นมันกับตา

 

ซูฉินลูบจี้หยกเบาๆ เบิกเนตรดวงตาแห่งสัจจะ พร้อมทั้งบรรจุจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ลงไปในจี้หยก

 

ทันใดนั้นภาพหญิงสาวผู้บอบบาง มีผ้าผืนบางคลุมบนใบหน้าก็ปรากฏขึ้นในมโนภาพของซูฉิน

 

“นางน่าจะเป็นเจ้าของที่แท้จริงของจี้หยกชิ้นนี้ นางเป็นผู้ใส่คำสาปเอาไว้ด้วยหรือ?”

 

ความคิดของซูฉินพลิกผัน

 

ซูเฉิงฮ่าวได้จี้หยกชิ้นนี้มา เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่เรื่องบังเอิญแต่มีจุดประสงค์แอบแฝง

 

คาถาที่ติดอยู่กับจี้หยกนี้ ไม่เชิงว่าเป็นคำสาปโดยตรง แต่เป็นพลังอันละเอียดอ่อนที่ใช้ในการควบคุม

 

มีคนต้องการควบคุมซูเฉิงฮ่าวผ่านการใช้จี้หยกชิ้นนี้

 

ตั้งแต่ซูฉินมาที่ฉางอัน แม้ว่าเขาจะอาศัยอยู่ภายในพระราชวังตะวันออก เขาก็จะตรวจสอบตระกูลซูด้วยจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์เป็นระยะๆ

 

ดังนั้นแม้ว่าซูฉินจะไม่ได้กลับมาในวันนี้ แต่อย่างช้าที่สุดก็คือพรุ่งนี้ เขาคงใช้จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ครอบคลุมพื้นที่ของคฤหาสน์และรับรู้ความผิดปกติของจี้หยกชิ้นนี้

 

ไม่ว่าจะเป็นกรณีใด ซูเฉินฮ่าวก็จะไม่ถูกควบคุม

 

แต่อย่างไรก็ตาม กลับมีใครบางคนคิดลงมือกับตระกูลซู

 

ซูฉินใช้ดวงตาแห่งสัจจะจับไปยังหญิงสาวรูปร่างบอบบางที่ใส่ผ้าคลุมหน้า ซึ่งเป็นไอพลังที่อยู่ลึกภายในจี้หยก

 

ช่วงเวลาต่อมา

 

ซูฉินเดินออกมาจากคฤหาสน์ตระกูลซู เงยหน้าขึ้นเล็กน้อยและมองไปทั่วเมืองฉางอัน

 

เห็นไอพลังฉีจำนวนนับไม่ถ้วนทั้งใกล้ไกล แข็งแกร่งและอ่อนแอ ในที่สุดดวงตาแห่งสัจจะก็จับจ้องไปที่มุมหนึ่งในทิศตะวันออกของเมืองฉางอัน

 

“เจอตัวเจ้าแล้ว…”

 

ซูฉินดูสงบนิ่ง ยกมือขวาชูนิ้วในลักษณะคล้ายดาบแล้วค่อยๆ วาดมือลง

 

หวึ่ง!

 

เจตจำนงดาบไร้ลักษณ์พุ่งหายไปภายในพริบตา

 

 

ในเวลาเดียวกัน

 

ด้านในห้องพักของโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่งในเมืองฉางอัน

 

หญิงสาวแปลกหน้าที่มีผ้าคลุมบางเบาสวมไว้บนใบหน้ากำลังนั่งอยู่บนเตียงด้วยความเงียบ

 

“พระแม่”

 

“จี้หยกถูกส่งออกไปแล้วเมื่อเช้านี้”

 

“ซูเฉิงฮ่าวจากตระกูลซูนำติดตัวไปด้วยราวสมบัติล้ำค่า”

 

หญิงชราผมขาวเดินเข้ามาในห้องแล้วหยุดอยู่ไม่ไกลจากหญิงสาวที่คลุมหน้ามากนัก จากนั้นจึงกระซิบบอก

 

“ทราบแล้ว”

หญิงสาวคลุมหน้ากล่าวตอบเบาๆ

 

“พระแม่…”

 

หญิงชราผมขาวลังเลอยู่พักหนึ่ง อดไม่ได้ที่จะถามขึ้นมาว่า “คำสาปสะกดใจเป็นทักษะลับของลัทธิอันศักดิ์สิทธิ์ของพวกเรา ต้องใช้แก่นพลังและเลือดเนื้อถึงสามในสิบของตัวท่านเพื่อใช้งาน”

 

“จอมยุทธที่อยู่ต่ำกว่าขอบเขตสามระดับบนแทบจะไม่สามารถต่อต้านมันได้เลย”

 

“พวกเราใช้มันกับซูเฉิงฮ่าวจากตระกูลซูมันจะคุ้มหรือไม่?”

 

หญิงชราผมขาวกระซิบถาม

 

ในความคิดของนาง ซูเฉิงฮ่าวเป็นแค่จอมยุทธในระดับชั้นที่เจ็ด ไม่ได้อยู่ในขอบเขตสามระดับกลางด้วยซ้ำ ไม่เห็นความจำเป็นที่จะต้องใช้ ‘คำสาปสะกดใจ‘

 

“มันคุ้มค่า”

 

หญิงสาวที่คลุมใบหน้ามองไปที่หญิงชราผมขาว “ตระกูลซูเป็นตระกูลของพระชายาในรัชทายาทองค์ปัจจุบัน ตราบใดที่ลัทธิอันศักดิ์สิทธิ์ของข้าเข้าควบคุมตระกูลซูได้แล้วละก็ เทียบเท่ากับตอกตะปูเข้ามาในอาณาจักรถังได้”

 

“ในเวลานั้นลัทธิอันศักดิ์สิทธิ์ของข้าจะหยั่งรากลึกเข้ามาในที่ราบภาคกลางนี้อย่างแท้จริง”

 

เมื่อหญิงสาวที่คลุมหน้าอยู่พูดออกมา ร่องรอยของความมุ่งมั่นก็ปรากฏอยู่ในดวงตาของนาง

 

“หลังจากเสร็จงานแล้ว พวกเราจะทำอย่างไรกับตระกูลซู?” หญิงชราผมขาวครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงไถ่ถาม

 

“หลังจากเสร็จงานแล้ว?”

 

รอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าของหญิงสาวที่อยู่ใต้ผ้าคลุมหน้า “หลังจากเสร็จสิ้นทุกอย่างแล้ว ข้าจะสังเวยชีวิตซูเฉิงฮ่าวและตระกูลซูทั้งหมดให้กับเทพจันทรา”

 

ลัทธิบูชาจันทร์เชื่อว่ามีเทพจันทราอยู่บนดวงจันทร์ บ่อยครั้งที่จะต้องสังเวยสิ่งมีชีวิตให้กับเทพจันทรา

 

“เป็นเช่นนี้นี่เอง”

 

หญิงชราผมขาวโค้งคำนับ

 

“ออกไปข้างนอกพร้อมกับข้าหน่อย”

 

หญิงสาวที่มีผ้าคลุมหน้าอยู่ค่อยๆ ลุกขึ้น เตรียมจะเดินออกไปจากโรงเตี๊ยม

 

ทันใดนั้น

 

ในชั่วขณะนั้นเอง

 

ร่างกายของหญิงสาวที่สวมผ้าคลุมหน้าก็แข็งทื่อไป

 

เธอรู้สึกอย่างชัดเจนว่าหนอนกู่[1]ภายในร่างของนางกำลังร้องเตือนอย่างบ้าคลั่งราวกับกำลังเผชิญอันตรายถึงแก่ชีวิต

 

“เกิดอะไรขึ้น”

 

“เกิดเรื่องบ้าอะไรขึ้น”

 

หญิงสาวภายใต้ผ้าคลุมหน้าตกใจและกระวนกระวายใจ แต่นางก็หาแหล่งที่มาของอันตรายไม่พบ

 

อย่างไรก็ตามในเวลาต่อมา เมื่อหญิงสาวเดินไปที่หน้าต่างและบังเอิญมองไปบนท้องฟ้า ท่าทีของนางก็กลายเป็นแข็งค้าง ดวงตาเต็มไปด้วยความรู้สึกทึ่ง

 

“นี่คือ?!!”

 

ในสายตาของหญิงสาวภายใต้ผ้าคลุมหน้า เจตจำนงแห่งดาบที่ไม่สามารถมองเห็นดูเหมือนจะอยู่ด้านนอกนั่น มันใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ราวกับได้รับการเสริมพลังจากพลังฟ้าดิน ปิดกั้นทุกทางเดินของนาง

 

———————————————————-

[1] หนอนกู่เป็นหมอนแมลงพิษที่ใช้กรรมวิธีการเลี้ยงดูที่พิเศษ คนที่เลี้ยงหนอนกู่ไว้มักจะเป็นพวกที่เล่นของ มีคาถาอาคม

“ข้าเลือกเจ้าแล้ว”

 

“ค่ายกลห้าธาตุย้อนทิศทาง”

 

ซูฉินตัดสินใจเลือกอยู่ภายในความคิดตน

 

ค่ายกลฟ้าดินชนิดนี้ตรงกับความต้องการของซูฉินพอดี ด้วยค่ายกลอันนี้ แม้ว่าคนนอกจะเข้ามาภายในตำหนักชุนฝั่งขวา พวกเขาก็จะสูญเสียความสามารถในการรับรู้ทิศทางไปโดยสิ้นเชิงและจะเดินหมุนวนอยู่ในสถานที่เดิมๆ

 

ในฐานะที่เขาเป็นผู้สร้างค่ายกล ซูฉินย่อมรู้ได้ด้วยหากมีใครบุกรุกเข้ามาภายในค่ายกลแห่งนี้

 

ยิ่งไปกว่านั้นค่ายกลห้าธาตุย้อนทิศทางยังใช้หินหยกเพียงแค่หนึ่งร้อยยี่สิบชิ้น และการจัดวางก็ง่ายมาก ด้วยความแข็งแกร่งของซูฉิน เพียงไม่กี่อึดใจก็สร้างค่ายกลได้เสร็จสมบูรณ์แล้ว

 

 

ซูฉินยังคงลงชื่อเข้าใช้และฝึกฝนบ่มเพาะต่อไป

 

ในขณะที่ภายในราชสำนักปรากฏคลื่นลมอันรุนแรง จักรพรรดิถังรู้ว่าเส้นตายของตนนั้นใกล้เข้ามาแล้ว จึงได้เริ่มปูทางให้กับองค์รัชทายาทหลี่เชิง

 

อันที่จริงจักรพรรดิถังก็ทำเรื่องพวกนี้มานานหลายสิบปีแล้ว เพียงแต่ในอดีตนั้นเป็นการกระทำที่ค่อยเป็นค่อยไปและเงียบสงบ เป็นเรื่องยากที่คนนอกจะสังเกตเห็นได้

 

แต่ตอนนี้องค์จักรพรรดิถังไม่มีแผนการที่จะปกปิดอีกต่อไป เพื่อให้องค์รัชทายาทขึ้นครองตำแหน่งได้อย่างราบรื่นและมั่นคง บางสิ่งบางอย่างรวมถึงผู้คนจำเป็นต้องกวาดล้างทำความสะอาดครั้งใหญ่

 

เป็นเวลาหลายวันที่เหล่าขุนนางข้าราชการพลเรือนและทหารนายกองในกองทัพจำนวนมากมายหลายคนถูกคุมตัวไปด้วยข้อหาต่างๆ ทุกๆ วัน

 

ขุนนางและแม่ทัพนายกองเหล่านี้ได้ยืนเคียงข้างเหล่าองค์ชายสักพระองค์อย่างชัดเจน

 

หากเป็นเมื่อก่อน องค์จักรพรรดิถังจะไม่ทำเช่นนี้อย่างแน่นอน หากขุนนางเหล่านี้ยืนอยู่ในจุดที่ถูกที่ควร อย่างมากสุดพวกเขาก็จะถูกเนรเทศโยกย้ายตำแหน่งเท่านั้น
อ่านนิยาย
แต่ตอนนี้องค์จักรพรรดิถังทราบดีว่าเวลาของพระองค์กำลังจะหมดลง ผนวกกับราชสำนักที่มั่นคงมาหลายทศวรรษ ด้วยคำสั่งขององค์จักรพรรดิจึงไม่มีใครกล้าฝ่าฝืน

 

จวบจนถึงตอนนี้ ทุกคนได้ตระหนักแล้วว่าจักรพรรดิชราที่นั่งอยู่บนบัลลังก์ผู้นี้โหดร้ายมากเพียงไร

 

ทันใดนั้นเอง

 

เมืองฉางอันทั้งหมด กองกำลังต่างๆ ทั้งฟากฝั่งพลเรือนและฝั่งทหารต่างหวาดกลัวว่าตนจะอยู่ในขอบเขตของการกวาดล้างขององค์จักรพรรดิหรือไม่

 

ซูฉินก็ได้ฟังเรื่องทั้งหมดนี้มาบ้างเช่นกัน

 

เขามักจะเดินเตร่ไปมาในวังหลวง และบางครั้งก็มักจะได้ยินนางกำนัลและขันทีสนทนากันเรื่องอย่างเช่นว่า ผู้อาวุโสสี่ถูกคุมขัง หรือ ราชเลขาธิการถูกส่งตัวกลับภูมิลำเนาเดิม…

 

ไม่มีความลับใดภายในรั้วในวัง นับประสาอะไรกับเรื่องราวใหญ่โตที่เกี่ยวข้องกับสภาขุนนางเช่นนี้?

 

หลังจากซูฉินรู้เรื่อง เขาก็ขี้เกียจเกินกว่าจะจัดการอะไร

 

สิ่งที่จักรพรรดิถังทำลงไปก็เพื่อองค์รัชทายาทหลี่เชิง

 

ไม่มีความขัดแย้งใดส่งมาถึงซูฉิน เขาแค่ต้องเฝ้าดูมันอย่างเงียบๆ ก็เท่านั้น

 

หลังจากนั้นอีกครึ่งเดือน

 

ที่ห้องโถงว่าความราชกิจ

 

จักรพรรดิถังเรียกตัวองค์ชายหลายคนมาเข้าเฝ้าเป็นการส่วนพระองค์

 

ต่อหน้าเหล่าขุนนางในราชสำนัก จักรพรรดิถังถามไถ่องค์ชายเหล่านั้นว่าอยากจะไปอยู่ที่ไหนสักแห่งนอกฉางอัน ผืนแผ่นดินที่มีพื้นดินอันอุดมสมบูรณ์ พรั่งพร้อมไปด้วยความมั่งคั่งเช่นในอดีตหรือไม่…

 

ด้วยสิ่งที่ตรัสออกมา

 

เหล่าองค์ชายพากันหน้าซีด

 

เห็นได้ชัดว่าองค์จักรพรรดิถังตั้งใจจะส่งพวกตนออกไปนอกเมืองเพื่อให้องค์รัชทายาทหลี่เชิงขึ้นครองบัลลังก์ได้อย่างราบรื่น

 

ขุนนางที่เหลืออยู่เหลือบมองไปที่เหล่าองค์ชายอย่างเห็นใจ

 

หลังจากครึ่งเดือนแห่งการกวาดล้างผ่านพ้นไปแล้ว ตำแหน่งส่วนใหญ่ก็ถูกโยกย้ายเปลี่ยนแปลงแทนที่กันจนเป็นเรื่องปกติ

 

ขุนนางที่ยังเหลืออยู่ที่ไม่ได้ถูกโยกย้ายตำแหน่งล้วนเป็นผู้ที่มีความสามารถโดดเด่นและไม่เคยออกตัวว่าฝักใฝ่ฝ่ายใด หรือไม่ก็ยึดมั่นในพระบัญชาขององค์จักรพรรดิถังมาโดยตลอด

 

“เสด็จพ่อ”

 

“ท่านไม่ควรจะใจร้ายเยี่ยงนี้”

 

ทันใดนั้นองค์ชายคนหนึ่งก็ทรุดตัวลงไปคุกเข่าอยู่กับพื้นมองไปที่องค์จักรพรรดิด้วยดวงตาแดงฉาน “ข้าก็เป็นบุตรชายของท่านเช่นกัน เสด็จแม่ของข้าก็เป็นฮองเฮาที่เป็นถึงเชื้อพระวงศ์ ว่ากันตามจริงแล้วตำแหน่งองค์รัชทายาทควรจะเป็นของข้าเสียด้วยซ้ำ”

 

องค์ชายผู้นั้นน้ำตาไหลพราก

 

ในบรรดาองค์ชาย หากจะมีใครมั่นใจได้มากที่สุดว่าจะได้สืบทอดราชบัลลังก์ ควรจะเป็นเขาหาใช่ใครอื่น

 

แต่ที่น่าเสียดายที่ทุกสิ่งเปลี่ยนไปตั้งแต่ที่องค์ชายหลี่เชิงมาถึงฉางอัน ไม่เพียงแต่เขาจะสูญเสียอำนาจไป แม้แต่ฮองเฮาองค์ปัจจุบันก็ยังถูกสั่งขังในตำหนักเย็น

 

“ฮองเฮา?”

 

ร่องรอยความเหยียดหยันปรากฏขึ้นบนใบหน้าขององค์จักรพรรดิ “จงลากตัวมันออกไป ส่งไปยังถิ่นทุรกันดาร จงฟังคำสั่งของข้า ขอห้ามไม่ให้เขาก้าวเข้ามาในเมืองฉางอันอีกนับจากนี้”

 

“ตามพระบัญชา”

 

ทหารของราชวงศ์เดินเข้ามาในทันทีแล้วลากตัวองค์ชายออกไป

 

เมื่อองค์ชายที่เหลือเห็นฉากนี้ พวกเขารู้ได้ในทันทีว่าไม่มีอะไรที่จะต้องพูดอีกต่อไป พวกเขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากออกจากเมืองฉางอัน ทิ้งฐานันดรแล้วใช้ชีวิตอยู่นอกเมือง

 

เมื่อองค์ชายเฉินเห็นฉากนี้ ดวงตาเขาก็กะพริบวูบหนึ่ง แต่ไม่ได้พูดอะไร

 

เขาสามารถเห็นพระประสงค์ขององค์จักรพรรดิถังได้อย่างชัดเจนในยามนี้ ไม่ว่าเขาจะพูดอะไรออกไปก็เป็นไปไม่ได้ที่จะเปลี่ยนความคิดองค์จักรพรรดิ

 

หลังจากการประชุมภายในห้องโถง ทุกคนต่างก็รู้ว่าองค์ชายทั้งหลายได้จากไปแล้ว และองค์รัชทายาทหลี่เชิงก็จะเป็นจักรพรรดิแห่งราชวงศ์ถังในอนาคต

 

ตัวองค์จักรพรรดิเอง หลังจากที่ส่งองค์ชายทั้งหลายออกไปแล้ว ร่างกายของพระองค์ก็อ่อนแอลงไปอีก และเอนนอนอยู่บนบัลลังก์มังกรเกือบจะตลอดเวลา ในขณะที่มีจ้าวกงกงอยู่เคียงข้าง

 

ส่วนเรื่องการเมืองและกิจการภายใน องค์รัชทายาทหลี่เชิงก็ได้หารือกับเหล่าข้าราชบริพาร

 

โชคดีที่องค์รัชทายาทหลี่เชิงได้ข้องเกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้อยู่บ่อยครั้งในช่วงหลายปีมานี้ และองค์จักรพรรดิก็ตั้งใจฝึกฝนด้านนี้ให้เองโดยไม่ได้รีบเร่งอะไรนัก

 

ในช่วงเวลานี้ซูเยว่หยุนมักจะมาบ่นกับซูฉินว่านางกับองค์รัชทายาทหลี่เชิงได้พบกันน้อยลงมาก

 

แต่กระนั้นซูเยว่หยุนก็เข้าใจชัดเจนว่าองค์รัชทายาทกำลังเผชิญกับเหตุการณ์สำคัญภายในอาณาจักรถังแห่งนี้ หากจัดการเรื่องราวอย่างไม่ระมัดระวังเพียงแค่ครั้งเดียว อาจสร้างความวุ่นวายให้อาณาจักรถังได้เลย และผู้คนมากมายอาจจะต้องทนทุกข์ทรมานกับสิ่งนี้

 

“พี่สาม กลับบ้านกันเถอะวันนี้ นานแล้วที่ไม่ได้เจอพ่อเลย”

 

ซูเยว่หยุนมาพบซูฉินแล้วพูดเช่นนี้

 

“ไปสิ”

 

ซูฉินพยักหน้า

 

ตอนนี้เขาว่างอยู่พอดี โอกาสในการลงชื่อเข้าใช้ของวันนี้ก็ได้ใช้ไปเรียบร้อย ดังนั้นจึงไม่รอช้ารีบกลับไปที่คฤหาสน์ตระกูลซูในทันที

 

ไม่นาน

 

ทั้งสองคนกลับมาถึงคฤหาสน์ตระกูลซูด้วยการคุ้มกันจากกองทหารของต้าถัง

 

นับตั้งแต่เหตุการณ์การลอบสังหารภายในวังหลวงครั้งล่าสุด องค์รัชทายาทหลี่เชิงและซูเยว่หยุนจะต้องเดินทางร่วมกับกองทหารตลอด และจะไม่มีโอกาสให้มือสังหารเข้ามาลอบทำร้ายได้อีก

 

“หยุนเอ๋อเจ้ากลับมาแล้วหรือ?”

 

เมื่อซูชื่อหมินเห็นซูเยว่หยุนกับซูฉิน เขาก็ส่งคนรับใช้ออกไปต้อนรับในทันที

 

“ท่านพ่อ พี่ชายใหญ่กับพี่รองอยู่ที่ไหนกัน?”

 

ซูเยว่หยุนได้กลับมาที่คฤหาสน์ตระกูลซูและรู้สึกดีขึ้นมาก จึงเอ่ยถามขึ้นอย่างสบายใจ

“พวกเขาทั้งคู่…”

 

ซูชื่อหมินส่ายหัว “มีการเปลี่ยนแปลงเมื่อเร็วๆ นี้ภายในกองทัพมากจนเกินไป ซูเฉิงฮ่าวกับซูเฉิงยู่นั้นยุ่งเอามากๆ”

 

“เป็นเช่นนี้นี่เอง”

 

ซูเยว่หยุนพยักหน้า

 

จักรพรรดิถังได้ทำการกวาดล้างเหล่าขุนนางพลเรือนและทางการทหารมาเป็นเวลากว่าครึ่งเดือน ไม่รู้ว่ามีผู้คนมากแค่ไหนที่ถูกโยกย้ายสลับปรับเปลี่ยนตำแหน่ง เป็นปกติที่ภายในกองทัพจะได้รับผลกระทบมากเช่นกัน

 

“ไม่ต้องกังวล ข้าเพิ่งส่งคนไปแจ้งทั้งคู่ อีกสักพักพวกเขาคงกลับมา”

 

ซูชื่อหมินกล่าว

 

กองทัพที่ซูเฉิงฮ่าวและซูเฉิงยู่สังกัดนั้นอยู่ภายในเมืองฉางอันและใกล้กับคฤหาสน์ตระกูลซูมาก

 

เมื่อซูชื่อหมินกำลังจะพูดต่อ

 

“พ่อ น้องเล็กกลับมาแล้วหรือ?”

 

ซูเฉิงฮ่าวและซูเฉิงยู่เดินเข้ามาภายในคฤหาสน์ตระกูลซู

 

“ทำเช่นนี้ได้ที่ไหน ตอนนี้หยุนเอ๋อเป็นพระชายาแล้ว โปรดระวังกิริยาด้วย”

 

ซูชื่อหมินขมวดคิ้ว

 

ด้วยคำที่กล่าวออกมา

 

ซูเฉิงฮ่าวและซูเฉิงยู่ก็หดหัวลง

 

“เอาเถอะท่านพ่อ เราก็ครอบครัวเดียวกันทั้งนั้นแหละ…”

 

ซูเยว่หยุนไม่ได้ใส่ใจ นางกล่าวด้วยรอยยิ้ม

 

ในขณะที่ทุกคนกำลังพูดคุยหัวร่อต่อกระซิก ซูฉินก็หรี่ตาลงเล็กน้อย มองไปที่จี้หยกที่อยู่กับซูเฉิงฮ่าว

 

จี้หยกชิ้นนี้ใสสะอาด เห็นได้ชัดว่ามันมีค่าอย่างยิ่ง ซูเฉิงฮ่าวแขวนมันเอาไว้กับตัว เกรงว่าคงจะเป็นการโอ้อวดประการหนึ่ง

 

อย่างไรก็ตาม

 

ในดวงตาของซูฉิน เขาเห็นบรรยากาศสีดำจางๆ กระจายอยู่ที่ผิวของจี้หยก และบรรยากาศสีดำอันนี้ยังกระจายพลังออกมาแสดงให้เห็นถึงเจตนาอันชั่วร้าย น่าขนลุก

 

“นี่คือ…”

 

“มนต์คาถาจากอาณาจักรหนานจ้าว[1]?”

 

ซูฉินขมวดคิ้วเล็กน้อย ความคิดของเขาผันผวนไปมา

 

 

——————————————-

[1] 南诏 หนานจ้าว เป็นอาณาจักรหนึ่งที่อยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของจีน มีอยู่ในราวๆ ค.ศ. 738-927

Sign in Buddha’s palm 109 รอวันตาย

 

 

วังหลวง

 

เมื่อซูฉินกลับมา เขาไม่ได้กลับไปยังตำหนักชุนฝั่งขวาในทีแรก แต่มาที่แท่นบูชาเทพธรณีฯ

 

[ขอแสดงความยินดี โฮสต์ลงชื่อเข้าใช้สำเร็จ ได้รับ ‘หยดน้ำจิตวิญญาณธรรมชาติ‘ ]

 

เสียงจักรกลอันเย็นชาดังขึ้นในหูของซูฉิน

 

“หยดน้ำจิตวิญญาณธรรมชาติ?”

 

“ไม่เลวไม่เลว”

 

ซูฉินพยักหน้าเล็กน้อย

 

ในแง่ของประสิทธิภาพ หยดน้ำจิตวิญญาณธรรมชาติเหมาะสมกับซูฉินในขอบเขตปัจจุบันมากที่สุด

 

มิช้านาน

 

ซูฉินก็กลับไปที่ตำหนักชุนฝั่งขวา

 

ตำหนักชุนฝั่งขวาเป็นที่พักที่องค์รัชทายาทหลี่เชิงมอบให้ซูฉินเป็นพิเศษ มันขนาดใหญ่กว่าคฤหาสน์ตระกูลซูเสียอีก ซูฉินได้อาศัยอยู่ในสถานที่ที่สะดวกสบาย

 

ในช่วงบ่ายของวันนั้น

 

ซูเยว่หยุนได้ให้สาวใช้มาเชิญซูฉินไปที่ห้องโถงเฉิงอัน
อ่านนิยาย
นับตั้งแต่วันที่นางถูกลอบสังหารภายในวังหลวง ซูเยว่หยุนก็ได้แต่อยู่ในพระราชวังตะวันออกและไม่สามารถออกไปไหนได้ ต้องขอบคุณการมีอยู่ของซูฉินที่ทำให้เธอมีคนให้สนทนาด้วยในบางครั้ง

 

เมื่อซูฉินมาถึงห้องโถงเฉิงเอิน เพียงไม่นานจักรพรรดิถังก็เสด็จมาถึง

 

“ไม่ต้องคำนับ ไม่ต้องมีพิธีรีตอง”

 

“ที่นี่ ถือว่าข้ามิใช่จักรพรรดิ”

 

จักรพรรดิถังโบกมือของพระองค์โดยไม่ได้ให้ความสนใจอะไรนัก

 

องค์รัชทายาทหลี่เชิงและซูเยว่หยุนชำเลืองมองกันและกัน ทำได้เพียงกัดฟันนั่งอยู่ที่โต๊ะร่วมกับองค์จักรพรรดิถัง

 

หลังจากคนไม่กี่คนที่อยู่ที่นี่รับประทานอาหารกันไปได้สักพัก จักรพรรดิถังก็ชำเลืองมองไปที่ซูฉินแล้วเอ่ยถามอย่างสบายอารมณ์ “น้องชายคนเล็กจากตระกูลซูมาที่ฉางอันนานเท่าไหร่แล้ว?”

 

“ไม่ถึงหนึ่งปี”

 

ซูฉินตอบไปโดยไม่ได้เงยหน้าขึ้นมอง

 

สำหรับคนอื่น จักรพรรดิถังเป็นจักรพรรดิที่อยู่เหนือสิ่งอื่นใด เป็นผู้ควบคุมชีวิตความเป็นความตายของผู้คนเป็นร้อยล้านชีวิตในอาณาจักรถัง

 

แต่ในสายตาของซูฉิน จักรพรรดิถังก็เป็นเพียงแค่ชายชราที่ใกล้จะตาย

 

“ไม่ถึงปี…”

 

จักรพรรดิถังพยักหน้าเล็กน้อยราวกับคิดอะไรขึ้นมาได้ เขาจึงหันไปถามว่า “ข้าได้ยินมาว่าร่างกายของหยุนเอ๋อ น้องชายจากตระกูลซูเป็นผู้รักษาให้?”

 

“ข้านั้นชื่นชมในทักษะทางการแพทย์อันยอดเยี่ยมเช่นนี้จริงๆ…”

 

อารมณ์ความรู้สึกปรากฏขึ้นบนใบหน้าขององค์จักรพรรดิถัง

 

เรื่องการรักษาซูเยว่หยุนนั้น คนอื่นๆ อาจจะไม่ทราบ แต่จะซ่อนเรื่องนี้จากจักรพรรดิถังได้เช่นไร?

 

หลังจากที่องค์จักรพรรดิถังพูดจบ สายตาของเขาก็จับจ้องไปที่ซูฉิน

 

ในความจริงเขายังคงรู้สึกอยากรู้อยากเห็นเกี่ยวกับตัวตนของซูฉินอยู่นิดหน่อย ไม่เพียงซูฉินจะกล้าพูดเรื่องที่เขากำลังจะตายออกมาโต้งๆ แต่ซูฉินยังแสดงท่าทีที่สงบและไม่ยี่หระต่อสิ่งใดอยู่เสมอ

 

รู้หรือไม่ว่าบุรุษเพศทุกคนที่รุ่นราวคราวเดียวกับซูฉิน แทบจะอดรนทนไม่ไหวที่สร้างคุณูปการและมีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วดินแดน…

 

แต่ซูฉินนั้นแตกต่างออกไป

 

อย่างน้อยจักรพรรดิถังก็ไม่เห็นความปรารถนาในอำนาจและความมั่งคั่งที่อยู่ในตัวซูฉิน

 

ตามความเข้าใจของจักรพรรดิถัง

 

มีคนอยู่สองแบบเท่านั้นในโลกที่มีความคิดเช่นนี้ได้

 

หนึ่งคือปรมาจารย์และปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ที่มองเห็นทุกสิ่ง เข้าใจโลกอย่างแท้จริง

 

อีกประการคือเด็กน้อยที่ขนเพิ่งขึ้น ยังไม่ตระหนักรู้ถึงความหอมหวานของพลังอำนาจ

 

“ท่านต้องการถามข้าเกี่ยวกับสภาพร่างกายในปัจจุบันของท่านใช่หรือไม่?” ซูฉินถามไปอย่างห้วนๆ เขาขี้เกียจเกินกว่าจะมาพูดเรื่องไร้สาระกับจักรพรรดิถัง

 

“แน่นอนว่าข้ามีความคิดเช่นนั้น”

 

ท่าทีขององค์จักรพรรดิถังยังคงไม่เปลี่ยนแปลง เขายอมรับอย่างตรงไปตรงมา

 

เนื่องจากเขารู้ว่าซูเยว่หยุนได้รับการรักษาจากซูฉิน เขาจึงมีความคิดนี้ขึ้นมา

 

รู้หรือไม่ว่าสภาพร่างกายของซูเยว่หยุนทำให้หมอเทวดามากมายต่างทำอะไรไม่ถูก

 

แม้แต่หมอประจำกายองค์จักรพรรดิถังก็มิอาจจะช่วยเหลือได้

 

แต่ในที่สุดปัญหานี้ก็ถูกแก้ไขโดยซูฉิน?

 

“ข้าพูดไปแล้วในครั้งก่อน”

 

“ท่านจะต้องตายในอีกไม่ช้า ทำได้เพียงรอคอยวันตายเท่านั้น”

 

ซูฉินแทบไม่ได้มองไปที่องค์จักรพรรดิถังอีกเลย พร้อมทั้งส่ายหัว

 

ร่างกายของจักรพรรดิถังไม่ได้รับบาดเจ็บสาหัสหรืออาการอื่นที่คล้ายๆ กัน ที่มาของอาการก็คือสูญเสียรากฐานบางอย่างไป ควบคู่กับการหมดอายุขัยซึ่งเป็นปกติที่จะต้องตาย

 

หากเป็นเพียงสูญเสียรากฐานบางอย่างไปซูฉินก็พอจะมีทางช่วยเหลือ แต่เรื่องอายุขัยที่จำกัดนั้น …

 

อายุขัยคือกฎแห่งฟ้าดิน เป็นดั่งเช่นยามดวงอาทิตย์ขึ้นก็ย่อมเป็นเวลาที่ดวงจันทราลาลับ ไม่มีวิธีการอื่นนอกเสียจากการเป็นยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งและยืดอายุขัยออกไป

 

คำพูดของซูฉินทำให้องค์รัชทายาทหลี่เชิงและซูเยว่หยุนหน้าซีดอีกครั้ง

 

ซูฉินไม่เพียงซ้ำคำว่า  ‘โชคชะตาคงจบสิ้นเร็วๆ นี้ ‘ แต่ยังเพิ่ม  ‘รอวันตาย ‘ เข้าไปอีก …

 

“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า !”

 

“น้องชายตระกูลซูนี่ช่างน่าสนใจจริงๆ”

 

เมื่อจักรพรรดิถังได้ยินคำพูดของซูฉิน เขาไม่เพียงไม่โกรธ แต่กลับหัวเราะ

 

หากเป็นหลายสิบปีก่อน จักรพรรดิถังคงจะโกรธเมื่อได้ยินคำพูดเช่นนี้จากซูฉิน แต่ตอนนี้ร่างกายของเขาทรุดโทรมลงตลอดเวลา เขามองข้ามเรื่องชีวิตและความตายมานานแล้ว

 

ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา จักรพรรดิถังรู้สึกเบื่อหน่ายกับการฟังคำเยินยอ แต่ตอนนี้เขากลับได้ฟัง  ‘ความจริง ‘ จากปากซูฉิน มันช่างเป็นความรู้สึกที่พิเศษ

 

ดูเหมือนว่าขณะนี้เขาไม่ได้เป็นองค์จักรพรรดิที่แบกรับชะตากรรมของคนอีกกว่าร้อยล้านชีวิตในอาณาจักรถังอีกต่อไป แต่เป็นชายชราธรรมดาๆ คนหนึ่ง

 

“เอาจริงๆ ไม่ต้องคิดมากขนาดนั้นก็ได้”

 

“ขนาดเป็นระดับตำนานยุทธ ก็ยังมีอายุขัยเพิ่มขึ้นอีกไม่กี่ร้อยปีเท่านั้นเอง”

 

ซูฉินกล่าวตามความจริง

 

เช่นเดียวกับเขาตอนนี้ที่มีอายุขัยเหลือเพียงเก้าร้อยเจ็บสิบปี

 

แม้ว่าพวกเขาจะมีอายุขัยยืนยาวกว่าคนทั่วไปหลายสิบเท่า แต่สุดท้ายก็ต้องตายด้วยวัยชราอยู่ดี

 

“ตำนานยุทธ …”

 

จักรพรรดิถังตะลึงเล็กน้อยแล้วยิ้มขึ้นมาอีกครั้ง

 

“น้องชายตระกูลซู”

 

“ด้วยความสามารถของเจ้า การให้อยู่ที่นี่ทั้งวันทำให้ข้ารู้สึกผิดต่อเจ้านิดหน่อย”

 

“สนใจจะเข้าร่วมหน่วยแพทย์หลวงหรือไม่เล่า ข้าสามารถคุยเรื่องนี้ให้เจ้าได้ เจ้าว่าอย่างไร ?”

 

หลังจากที่จักรพรรดิถังหัวเราะเสร็จ เขาก็ถามขึ้นอย่างไม่ได้จริงจังนัก

 

คำพูดที่กล่าวออกมา

 

ดวงตาขององค์รัชทายาทหลี่เชิงและซูเยว่หยุนก็สว่างขึ้น

 

เห็นได้ชัดว่าคำพูดขององค์จักรพรรดิถังมีความหมายว่าต้องการจะส่งเสริมซูฉิน

 

หน่วยแพทย์หลวงในวังหลวงนั้นไม่ได้พ่วงอยู่กับหน่วยงานใด แต่ขึ้นตรงต่อองค์จักรพรรดิเท่านั้น ที่ผ่านมาแม้ว่ามันจะดูไม่ได้มีอำนาจมากนัก แต่สถานะของมันก็สูงส่งมาก

 

“ไม่เป็นไรหรอก”

 

ซูฉินปฏิเสธไปตรงๆ

 

“ได้ งั้นก็เอาตามนั้น”

 

จักรพรรดิถังไม่ได้บังคับซูฉิน และหลังจากพูดคุยกันต่อไม่กี่คำ พระองค์ก็ลุกขึ้นและจากไป

 

หลังจากที่จักรพรรดิถังเดินจากไปอย่างสมบูรณ์ องค์รัชทายาทหลี่เชิงและซูเยว่หยุนก็รีบมาหาซูฉิน

 

“พี่สามนี่จริงๆ เลย …”

 

องค์รัชทายาทหลี่เชิงไม่รู้จะกล่าวว่าอะไร

 

ซูฉินและองค์จักรพรรดิถังพูดคุยกันด้วยท่าทีเช่นนั้น คนอื่นๆ ต่างก็กลัวกันว่าซูฉินจะโดนลากไปประหารสับหัวเป็นร้อยๆ ชิ้นหรือไม่ แต่ซูฉินกลับยังสบายดีแถมยังดูมีค่าในสายตาขององค์จักรพรรดิถังอย่างมากอีกด้วย …

 

 

ไม่นานนักหลังจากองค์จักรพรรดิถังจากไป

 

ซูฉินกำลังเดินทางกลับ

 

จากนั้นไม่นาน

 

ซูฉินก็มาถึงตำหนักชุนฝั่งขวา

 

“ที่นี่เป็นเพียงที่พักชั่วคราวของข้า มันคงจะดีกว่าถ้าข้าสร้างค่ายกลฟ้าดินทิ้งเอาไว้เสียหน่อยเพื่อไม่ให้ใครรู้ว่าตัวข้าไม่ได้อยู่ที่นี่”

 

ซูฉินนั่งขัดสมาธิและจมไปกับความคิด

 

หลังจากที่ซูฉินลงชื่อเข้าใช้ภายในวัดเส้าหลินเป็นเวลาเกือบสามสิบปี ซูฉินก็ได้รับรางวัลมาเป็นค่ายกลฟ้าดินมากมาย ค่ายกลเหล่านี้มีจุดประสงค์ที่แตกต่างกันออกไป และแนวโน้มในการใช้งานก็แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง

 

ตอนนี้ซูฉินเพียงต้องเลือกหนึ่งอย่างจากค่ายกลจำนวนมากพวกนี้

 

“ข้าควรเลือกค่ายกลฟ้าดินประเภทใดกัน ?”

 

ซูฉินแตะไปที่คางของตน ดวงตาของเขาแสดงอาการครุ่นคิด

 

“ค่ายกลสวรรค์เขตแดนพิสุทธิ์นั้นไม่จำเป็น ค่ายกลชนิดนี้มักเอาไว้ใช้รวบรวมพลังฟ้าดิน มันดึงดูดความสนใจมากเกินไปและข้าก็ไม่ได้ต้องการจะใช้มันในตอนนี้ …”

 

“ค่ายกลสะกดมารก็เป็นค่ากลประเภทที่แข็งแกร่งเกินไปอีก แม้ว่ามันจะไม่ส่งผลกระทบต่อข้า แต่การอยู่ภายใต้พลังของมันเป็นเวลานานก็ทำให้เหนื่อยล้าได้ …”

 

ค่ายกลซวูหมีเจี้ยก็ต้องใช้วัสดุในการสร้างมากเกินไป และข้าไม่สามารถรวบรวมทั้งหมดมาได้ในเวลาอันสั้น …”

 

แบบแปลนค่ายกลฟ้าดินจำนวนมากไหลผ่านความคิดของซูฉินไปอย่างต่อเนื่อง และในที่สุดเขาก็เลือกค่ายกลอันหนึ่งมา

 

“ค่ายกลห้าธาตุย้อนทิศทาง ไม่ว่าสิ่งมีชีวิตใดก็ตามที่อยู่ต่ำกว่าระดับอรหันต์หรือตำนานยุทธจะสูญเสียการรับรู้ธาตุทั้งห้า เวลาและพื้นที่จะถูกพลิกกลับ ทั้งยังเป็นค่ายกลที่ต้องการหินหยกเพียงหนึ่งร้อยยี่สิบก้อนเท่านั้น …”

 

 

——————————————————

五行 Wǔxìng ห้า ธาตุตามหลักปรัชญาจีน คือ ไม้ ไฟ ดิน ทอง และน้ำ

นอกเมืองฉางอัน

 

สักแห่งภายในหุบเขา

 

ซูฉินนั่งขัดสมาธิ รับรู้ความแตกต่างของร่างกายตนเองในตอนนี้เทียบกับเมื่อก่อน

 

“ความแข็งแกร่งพุ่งขึ้นสูงอย่างน้อยก็สองถึงสามเท่า…”

 

รอยยิ้มอันแสดงถึงความพึงพอใจปรากฏบนใบหน้าของซูฉิน

 

โดยไม่ต้องอาศัยแก่นแท้แห่งพลังและจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ เขามีความรู้สึกว่าตอนนี้การชกเพียงครั้งเดียวด้วยพลังกายล้วนๆ ก็เพียงพอที่จะเจาะทะลวงเนินเขาเล็กๆ ได้

 

มันน่าทึ่งมาก

 

รู้หรือไม่ว่าการพัฒนาเพียงเล็กน้อยก็ยากมากแล้ว นับประสาอะไรกับการพัฒนาอย่างก้าวกระโดดขึ้นหลายเท่าเช่นนี้?

 

ตำนานยุทธและอรหันต์มากมายได้หมุนเวียนเปลี่ยนหน้า มีคลื่นลูกใหม่แทนที่คลื่นลูกเก่ามานานหลายทศวรรษแล้ว และเป็นเรื่องยากที่จะก้าวหน้าขึ้นไปในการบ่มเพาะ

 

แต่กับซูฉิน ใช้เวลาไม่ถึงสิบปีตั้งแต่บรรลุขอบเขตอรหันต์ เขาได้ก้าวเข้าสู่ระดับนภาชั้นที่สามและเคยเปลี่ยนแปลงร่างกายไปแล้วถึงสี่ครั้ง ไม่รู้ว่ามีใครทำได้เช่นนี้มาก่อนหรือเปล่า แต่อย่างน้อยคนนั้นคงไม่ได้ปรากฏในทวีปนี้เป็นแน่
อ่านนิยาย
 

“นอกจากความแข็งแกร่งแล้ว ความสามารถในการป้องกันยังได้รับการเสริมแกร่งเพิ่มอีกอย่างมาก”

 

ซูฉินยกมือซ้าย ถกแขนเสื้อขึ้นให้เห็นแขนที่เรียวและบอบบาง จากนั้นก็ใช้มือขวาสะบัดมือฟาดประกายดาบออกมาแวบหนึ่ง และมันไปตกลงบนแขนซ้ายอย่างเงียบเชียบ

 

ประกายดาบอันนั้นถูกยับยั้งไว้ได้อย่างสมบูรณ์ นี่หากประกายดาบนี้ฟาดไปโดนวัตถุอย่างอื่น มันสามารถสร้างรอยแยกบนกำแพงเมือง ทลายเมือง หรือทำลายแผ่นดินได้อย่างง่ายดาย

 

แต่ในขณะนี้ การโจมตีเมื่อครู่ฟาดเข้าใส่แขนอันเรียวเล็กและบอบบางของซูฉิน แต่กลับหลงเหลือไว้เพียงรอยถลอกสีขาวๆ ที่มองแทบไม่ออก

 

และหลังจากรอยถลอกนั้นปรากฏขึ้น มันก็จางไปอย่างรวดเร็วในความเร็วที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่า เพียงไม่นานมันก็กลับสู่สภาพดังเดิม

 

“ไม่เลวไม่เลว”

 

ซูฉินพยักหน้าเล็กน้อย

 

ตามการคาดเดาของซูฉิน ในตอนนี้ร่างกายของเขาเพียงอย่างเดียวก็เพียงพอจะหยุดการโจมตีของจอมยุทธส่วนใหญ่ที่เพิ่งเข้าสู่ระดับตำนานยุทธได้แล้ว

 

หรือกล่าวอีกนัยหนึ่ง แม้ว่าซูฉินจะยืนนิ่งเฉยและปล่อยให้ตำนานยุทธระดับนภาชั้นที่หนึ่งโจมตีเข้าใส่ มันก็เหมือนเป็นเพียงสายลมพัดผ่านใบหน้าเขาไปเท่านั้น ไม่จำเป็นจะต้องสนใจอะไร

 

“แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดจากการเปลี่ยนแปลงร่างกายในครานี้ก็คือร่องรอย ‘อัตลักษณ์สีทอง‘ ที่ถือกำเนิดขึ้น

 

ซูฉินเบี่ยงสายตาไปเล็กน้อยจนไปตกอยู่ที่แขนของตนอีกครั้ง มีสีทองอ่อนๆ ไหลไปตามผิวหนัง

 

‘อัตลักษณ์สีทอง‘ แสดงถึงความเป็นอมตะ

 

ไม่ว่าจะเป็นกายาทองคำในสายพุทธ หรือกายแห่งธรรมชาติของทางเต๋า เมื่อฝึกฝนไปจนถึงขั้นสูงแล้วนั้น ทั้งหมดล้วนเกี่ยวข้องกับ ‘อัตลักษณ์สีทอง‘

 

ร่องรอยสีทองที่ปรากฏบนผิวหนังของซูฉิก็พอจะพิสูจน์ได้ว่าซูฉินกำลังก้าวเดินไปบนเส้นทางที่ถูกต้อง

 

“น่าเสียดายที่อัตลักษณ์สีทองนี้มีน้อยเกินไป หากต้องการจะไปถึงระดับเดียวกันกับองค์ยูไลทองคำโบราณที่อยู่ระหว่างคิ้ว อย่างน้อยก็ต้องเปลี่ยนแปลงสภาพร่างกายอีกเป็นร้อยครั้งถึงจะพอมีหวัง?”

 

ซูฉินแตะไปที่กึ่งกลางระหว่างคิ้วของตนเองก่อนจะถอนหายใจออกมาเบาๆ

 

แม้ว่าซูฉินจะรู้สึกเสียใจอยู่บ้าง แต่เขาก็ไม่ได้หดหู่อะไร ตอนนี้เขามีเวลาเหลือเฟือ ช่วงชีวิตกว่าหนึ่งพันปีนั้นเรียกได้ว่าเกินพอ แม้ว่าเขาจะพัฒนาขึ้นทีละนิดในทุกๆ สิบปีก็ตาม

 

“ความแข็งแกร่งของข้าน่าจะพอที่จะเข้าสู่ขอบเขตตำนานยุทธระดับนภาชั้นที่สี่แล้วใช่หรือไม่?”

 

ความคิดของซูฉินสั่นกระเพื่อม ดวงตาพลันสดใส

 

ระดับชั้นก็คือเรื่องของระดับชั้น

 

การต่อสู้ก็คือเรื่องของการต่อสู้

 

จอมยุทธบางคนเก่งกาจในการต่อสู้และพวกเขามักจะเอาชนะผู้ที่แข็งแกร่งกว่า แม้ตนจะด้อยกว่า

 

แน่นอนว่าหากระดับชั้นนั้นแตกต่างกันมากเกินไป เช่นยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งสู้กับผู้ฝึกยุทธในระดับชั้นที่สาม ไม่ว่าจอมยุทธที่อยู่ในระดับชั้นที่สามจะต่อสู้เก่งกาจเพียงใด แต่ยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งก็สามารถกำราบได้อยู่ดี

 

ทั่วทั้งยุทธภพมียอดยุทธเพียงไม่กี่คนที่สามารถเอาชนะผู้ที่แข็งแกร่งกว่าตัวเองได้ แต่ส่วนใหญ่จะเกิดจากโชค โอกาสที่ดี หรือไม่ก็เป็นพวกที่มีพรสวรรค์สูงส่ง

 

“ตอนนี้ร่างกายก็ได้รับการพัฒนาเปลี่ยนแปลงเรียบร้อยแล้ว ถึงเวลาเตรียมที่จะบุกทะลวงเข้าสู่ระดับนภาชั้นที่สี่”

 

ซูฉินหรี่ตาแคบลงแล้วตัดสินใจ

 

เดิมทีเขาอยู่ในระดับนภาชั้นที่สามขั้นสมบูรณ์อยู่แล้ว และเหตุผลที่ลากถ่วงเวลามาจนป่านนี้ก็เพราะต้องการเปลี่ยนแปลงสภาพร่างกายให้เรียบร้อยก่อน เพราะการบุกทะลวงขั้นต้องมั่นใจอย่างมากว่าจะไม่มีข้อผิดพลาดใด

 

ตอนนี้เขาได้สร้างความมั่นใจอย่างเต็มที่แล้ว จึงเป็นเรื่องปกติที่จะเริ่มเตรียมความพร้อมสำหรับการพัฒนาขั้น

 

 

 

ในเวลาเดียวกัน

 

ด้านในพระราชวังเฉิน

 

องค์ชายเฉินสวมชุดคลุมที่ดูหรูหรา แต่ใบหน้ากลับมืดมน

 

“ท่านพ่อรังแกข้าอีกแล้ว…”

 

ใบหน้าขององค์ชายเฉินน่าเกลียดมาก

 

เมื่อไม่นานมานี้องค์ชายเฉินพบว่าขุนนางบางคนที่สนับสนุนเขาอยู่นั้นถูกย้ายออกไปทีละคน ไม่ว่าจะให้ออกจากราชสำนัก หรือถูกส่งตัวไปยังพื้นที่อันห่างไกล

 

ถ้าเป็นเพียงหนึ่งหรือสองคนอาจจะเป็นเรื่องบังเอิญ แต่กลับส่งคนออกไปติดต่อกันหลายสิบคน ถ้าองค์ชายเฉินไม่สามารถคิดได้ เขาก็คงเป็นคนโง่จริงๆ แล้วล่ะ

 

“ทำไมกัน!”

 

“ทำไมท่านพ่อจึงโปรดลูกนอกคอกขนาดนั้น!!”

 

ดวงตาขององค์ชายเฉินแดงก่ำ ใบหน้าของเขาแสดงอาการไม่เต็มใจ

 

แม้ว่าจักรพรรดิถังจะอายุมากแล้ว แต่อย่างไรเขาก็เป็นถึงองค์จักรพรรดิแห่งต้าถัง ถ้าต้องการจะปราบปรามองค์ชายก็กระทำได้ดั่งใจนึก

 

องค์ชายเฉินยังอดคิดขึ้นมาไม่ได้ว่า หากไม่ใช่เพราะจักรพรรดิถังยังมีสายใยของพ่อลูกอยู่ เขาอาจจะโดนเนรเทศไปยังพื้นที่ห่างไกลประหนึ่งเป็นองค์ชายที่ไร้ประโยชน์เสียแล้ว

 

ในตอนนั้นเอง

 

ชายวัยกลางคนที่ดูเหมือนจะเป็นที่ปรึกษาก็รีบปรี่เข้ามา

 

“ฝ่าบาท”

 

“ฝ่าบาท”

 

ที่ปรึกษาเดินมาหยุดไม่ห่างไปจากองค์ชายเฉินมากนักแล้วรีบพูดขึ้นว่า “หนานหมิงส่งข่าวมาแล้ว”

 

“หนานหมิง?”

 

องค์ชายเฉินตกใจมาก

 

“พวกเจ้าออกกันไปให้หมด”

 

องค์ชายเฉินเหลือบมองสาวใช้ที่อยู่ทั้งสองข้าง แล้วจึงเอ่ยกล่าวเบาๆ

 

“เจ้าค่ะ”

 

ทันใดนั้นในห้องโถงก็เหลือเพียงองค์ชายเฉินและที่ปรึกษาวัยกลางคนเท่านั้นที่ยังคงอยู่

 

“หนานหมิงบอกมาว่าอย่างไร?”

 

องค์ชายเฉินสูดลมหายใจและจ้องมองไปยังที่ปรึกษาเขม็ง

 

“ฝ่าบาท”

 

“หนานหมิงสัญญาว่าจะสนับสนุนพระองค์ให้ขึ้นครองราชย์”

 

ที่ปรึกษาวัยกลางคนกล่าวอย่างระมัดระวัง

 

“โอ้?”

 

องค์ชายเฉินดูมีความสุข

 

สิ่งที่เขากังวลที่สุดคือหนานหมิงจะดูถูกเขาที่เป็นเพียงองค์ชาย

 

แต่ตอนนี้ เนื่องจากจักรพรรดิหมิงเห็นด้วย แสดงว่าอีกฝ่ายพร้อมที่จะเดิมพันบางอย่างกับเขา

 

“มันมีเงื่อนไขอะไรบ้าง”

 

องค์ชายเฉินนั่งลงและเอ่ยถาม

 

ในฐานะองค์ชายของอาณาจักรถัง องค์ชายเฉินรู้ดีว่าไม่มีสิ่งใดในโลกที่จะได้มาโดยไม่เสียอะไรตอบแทน

 

แม้แต่ญาติสนิทมิตรสหายเองก็ยังต้องตอบแทนเลย นับประสาอะไรกับข้อตกลงระหว่างสองอาณาจักร

 

“จักรพรรดิหมิงกล่าวว่าหลังจากที่พระองค์ขึ้นครองบัลลังก์แล้ว พวกเราจำเป็นต้องส่งชุดเกราะสำหรับการรบแปดแสนชุดไปยังหนานหมิง และพวกนั้นขอยืมใช้เส้นทางผ่านไปยังราชวงศ์ซ่งทางตอนเหนือ…”

 

ที่ปรึกษาวัยกลางคนโค้งคำนับและกล่าวคำ

 

“ชุดเกราะแปดแสนชุด?”

 

ใบหน้าขององค์ชายเฉินเปลี่ยนไป

 

ชุดเกราะออกรบของราชวงศ์ถังมีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วแดนดิน ควบคู่ไปกับชื่อเสียงของทหารม้าเกราะเหล็กของอาณาจักรเหมิ่งหยวน เรียกได้ว่าเป็นเครื่องมือทางสงครามที่ยอดเยี่ยมทั้งคู่ ไม่รู้ว่าอาณาจักรหนานหมิงหมายตาของเหล่านี้มานานแค่ไหนแล้ว

 

เป็นที่น่าเสียดายที่มีเพียงอาณาจักรถังเท่านั้นที่รู้วิธีเกี่ยวกับวิธีสร้างชุดเกราะออกรบเช่นนี้ และแม้ว่าหนานหมิงจะมีชุดเกราะเช่นกัน แต่มันก็ไม่ได้มีประโยชน์ต่อพวกนั้นมากนัก

 

องค์ชายเฉินคิดเอาไว้แล้วว่าหนานหมิงจะให้ความสนใจกับชุดเกราะออกรบ แต่เขาไม่คาดคิดว่าอีกฝ่ายจะประกาศเจตนารมณ์เสียงดังฟังชัดเช่นนี้

 

ส่วนการยืมใช้เส้นทางผ่านไปยังราชวงศ์ซ่งทางตอนเหนือ เรื่องนั้นไม่ได้เป็นปัญหาอะไร

 

“กลับไปบอกหนานหมิง”

 

“ว่าข้าตกลง”

 

องค์ชายเฉินคิดอยู่นานก่อนจะกัดฟันพูดออกไป

 

ตราบใดที่เขาสามารถนั่งบนบัลลังก์นั่นได้ อย่าว่าแต่ชุดเกราะแปดแสนชุดเลย องค์ชายเฉินสามารถตกลงได้หมดไม่ว่าราคามันจะสูงแค่ไหนก็ตาม

 

เพราะเขาไม่มีทางเลือก

 

ตอนนี้เขาได้เลือกเส้นทางที่จะแย่งชิงบัลลังก์แล้ว ต้องใช้ทุกอย่างที่มีเท่านั้นจึงจะอยู่รอด

 

“ฝ่าบาท”

 

ที่ปรึกษาวัยกลางคนดูลังเลจากนั้นจึงพูดขึ้นว่า “แผนการของจักรพรรดิหมิงมิอาจหยั่งรู้ได้ องค์ชายจะต้องระวังให้ดี…”

 

ที่ปรึกษาวัยกลางคนอดไม่ได้ที่จะกล่าวออกมา

 

“แน่นอนว่าข้าย่อมรู้”

 

องค์ชายเฉินค่อยๆ ลุกขึ้นและเดินไปมาไม่กี่ก้าว

 

“เอาล่ะ”

 

“เจ้าไปได้แล้วล่ะ”

 

“ระหว่างนี้อย่าเพิ่งเคลื่อนไหวอะไรมาก”

 

องค์ชายเฉินนั่งลงอีกครั้ง มองไปยังที่ปรึกษาวัยกลางคนแล้วเอ่ยกล่าวด้วยน้ำเสียงทุ้ม

 

“ขอรับ”

Sign in Buddha’s palm 107 แปรเปลี่ยน! กายาทองคำ!

เสียงของจักรพรรดิหมิงค่อยๆ ลดลง

ผู้บัญชาการหน่วยองครักษ์เสื้อแพรซึ่งคุกเข่าอยู่กับพื้นตอบกลับทันทีว่า “รายงานฝ่าบาท เป็นเช่นนั้นพ่ะย่ะค่ะ”

“ตอนนั้นจักรพรรดิถังเพิ่งแต่งตั้งองค์รัชทายาท องค์ชายผู้นั้นไม่ยินยอมกับเหตุการณ์นั้น จึงติดต่ออาณาจักรหนานหมิงมาและต้องการใช้อำนาจของหนานหมิงของพวกเราในการขึ้นครองบัลลังก์เสียเอง”

ผู้บัญชาการหน่วยองครักษ์เสื้อแพรกล่าวบอก

“ตอนนี้เจ้าจงตอบกลับเขาไปว่า…”

จักรพรรดิหมิงเอนตัวลงเล็กน้อยไปบนบัลลังก์มังกรแล้วกล่าวอย่างใจเย็นว่า “ข้าเห็นดีเห็นงามด้วย”

คำที่กล่าวออกมา

ผู้บัญชาการหน่วยองครักษ์เสื้อแพรถึงกับมีท่าทีเปลี่ยนไป

การช่วยเหลือองค์ชายจากอาณาจักรถังขึ้นครองราชย์ไม่ได้มีประโยชน์ใดต่อหนานหมิง

สำหรับอาณาจักรหนานหมิงแล้ว ยิ่งทำให้อาณาจักรถังวุ่นวายได้มากเท่าไหร่ก็ยิ่งดีเท่านั้น หากมีจักรพรรดิองค์ใหม่ขึ้นครองราชย์ คงจะเป็นเรื่องร้ายมากกว่าเรื่องดีสำหรับพวกเขา…

“ข้ารู้ว่าเจ้ากำลังคิดสิ่งใดอยู่”

จักรพรรดิหมิงเหลือบมองไปที่ผู้บัญชาการหน่วยองครักษ์เสื้อแพรแล้วพูดเบาๆ “ข้าก็แค่สัญญาว่าจะให้เขาได้ขึ้นครองบัลลังก์ แต่ไม่ได้รับประกันเสียหน่อยว่าเขาจะได้นั่งบนบัลลังก์ต่อไปอีกนานแค่ไหน”

“ตามพระบัญชา”

“ขุนนางผู้นี้จะรีบติดต่อกลับไปเดี๋ยวนี้”

หัวใจของผู้บัญชาการหน่วยองครักษ์เสื้อแพรเต้นกระตุก แล้วจึงกล่าวคำอย่างรวดเร็ว

เมื่อผู้บัญชาการหน่วยองครักษ์เสื้อแพรจากไปอย่างสมบูรณ์ จักรพรรดิหมิงที่นั่งอยู่บนบัลลังก์มังกรค่อยๆ ลุกขึ้นยืนและเดินออกไปนอกห้องโถง

“อาณาจักรถัง ฮ่าฮ่าฮ่า……”

อ่านนิยาย

พระราชวังถัง

ตำหนักชุนฝั่งขวา

ซูฉินนั่งขัดสมาธิ ลมหายใจหมุนเวียนเปลี่ยนถ่าย ดูไม่ลดละความพยายาม

จากนั้นไม่นาน

ซูฉินก็ค่อยๆ ลืมตาขึ้น

“ในที่สุด”

ซูฉินยกมือซ้ายขึ้นและเห็นเป็นพลังหยินทั้งเก้าสายลอยระเหยออกมาพัวพันกันไปมาระหว่างนิ้วของเขา มันปล่อยคลื่นพลังที่ชวนให้ผู้คนอกสั่นขวัญแขวน

“คัมภีร์เก้าอิมจินเก็งฝึกจนสำเร็จขั้นสูงสุดแล้ว เพียงสะบัดมือก็สามารถเปลี่ยนพื้นที่รอบตัวหลายสิบเมตรให้กลายเป็นเขตแดนเยือกแข็งที่สามารถกำจัดและปราบศัตรูได้ ค่อนข้างน่าสนใจทีเดียว”

ซูฉินรับรู้มันอย่างละเอียดอ่อนก่อนจะพยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเทียบกับคัมภีร์เก้าสุริยันที่แผดเผาทุกสิ่งทุกอย่างแล้ว คัมภีร์เก้าอิมจินเก็งเปรียบเสมือนสายลมในฤดูใบไม้ผลิ เหมือนละอองฝนที่ทำให้สรรพสิ่งชุ่มชื่นขึ้นอย่างเงียบเชียบ

บ่อยครั้งที่ศัตรูจะถูกกัดกินด้วยพลังของเก้าอิมฯ โดยไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าเกิดสิ่งใดขึ้น

“แต่ไม่ว่าจะเป็นเก้าอิมฯ หรือเก้าสุริยัน สำหรับข้ามันเป็นเพียงวิธีการ สิ่งที่สำคัญจริงๆ คือการเปลี่ยนแปลงร่างกายให้พัฒนาไปโดยใช้พลังหยางสุดขีด หยินสุดขั้ว…”

ดวงตาของซูฉินเปล่งประกายขึ้น

ตอนนี้ทั้งเก้าอิมจินเก็งและเก้าสุริยันได้ฝึกฝนจนสำเร็จวิชาแล้ว ถึงเวลาเตรียมตัวที่จะเปลี่ยนแปลงสภาพร่างกาย

“ออกจากวังเสียก่อนแล้วเรื่องนี้ค่อยว่ากัน”

ความคิดของซูฉินผันผวนไปมา

เมื่อคิดได้ดังนั้นซูฉินก็เกร็งกำลัง ก้าวเท้าตรงออกจากพระราชวังและออกจากเมืองฉางอัน

“ที่นี่ก็ไม่เลวนะ”

ซูฉินพบหุบเขาที่ห่างออกไปกว่ายี่สิบลี้นอกเมืองฉางอัน

หุบเขาแห่งนี้มีภูเขาที่งดงามและน้ำทะเลที่ใสสะอาด พลังฉีฟ้าดินในระยะหลายสิบลี้โดยรอบค่อนข้างหนาแน่น

“ที่นี่แหละ”

ซูฉินลอยเข้าไปด้านในหุบเขา

“ก่อนอื่นต้องจัดเตรียมค่ายกลฟ้าดินเอาไว้จำนวนหนึ่งเพื่อกันไม่ให้ใครมารบกวนได้”

เพียงแค่คิด พลังฟ้าดินก็รวมตัวก่อเป็นค่ายกลฟ้าดินที่ใช้ในการซ่อนเร้น ห่อหุ้มหุบเขาทั้งหมดเอาไว้

ด้วยความแข็งแกร่งของซูฉินนั้น แม้จะอยู่ในขั้นตอนการพัฒนาก็ไม่ควรมีสิ่งใดมารบกวนเขาได้ แต่การทำสถานที่ให้เงียบสงบไว้ก่อนย่อมดีกว่า

อย่างไรก็ตามซูฉินเองก็มีรูปแบบค่ายกลอยู่ในมือหลายสิบชุด เพียงแค่ต้องการก็สามารถก่อตั้งค่ายกลได้เพียงนึกคิด ไม่ได้มีปัญหาแต่อย่างใด

หลังจากที่ตั้งค่ายกลฟ้าดินเรียบร้อยแล้ว

ซูฉินก็พบสถานที่ที่เหมาะสมสำหรับนั่งบ่มเพาะภายในหุบเขาแห่งนี้

“แม้ว่าจะไม่มีตำนานยุทธอยู่ภายในทวีปแห่งนี้ แต่นอกแผ่นดินใหญ่โพ้นทะเลอันกว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตานั่น ยังมีผู้ทรงพลังระดับตำนานยุทธคงอยู่”

ซูฉินคิดในใจเงียบๆ   

เขาไม่ได้รีบร้อนเริ่มต้นในทันที แต่กำลังปรับสภาพตนเองและมุ่งหมายที่จะบรรลุการเปลี่ยนแปลงศักยภาพทางกายในทีเดียว

“เช่นปฐมจักรพรรดิแห่งราชวงศ์ถัง รวมถึงยอดยุทธจากดินแดนอื่นๆ ต่างก็มีความเกี่ยวข้องเชื่อมโยงกับการดำรงอยู่ของตำนานยุทธไม่มากก็น้อย”

“ตำนานยุทธเหล่านั้นข้ามน้ำข้ามทะเลเพื่อแสวงหาสิ่งที่เสริมอายุขัยให้ยืนยาว และบางทีพวกเขาบางส่วนอาจจะกลับมาบ้างก็เป็นได้ ถ้ายามนั้นมาถึง หากข้ายังไม่แข็งแกร่งพอ เกรงว่าจะเป็นตัวข้าเองที่ต้องทนทุกข์ทรมาน”

ทันใดนั้นซูฉินก็เร่งรีบขึ้นมา

“มาเริ่มกันเลย”

ซูฉินยกมือขึ้น

นิ้วทั้งห้าของมือขวาพัวพันไปด้วยพลังหยางเก้าสาย และมือซ้ายนั้นโอบล้อมไปด้วยพลังหยินทั้งเก้าเส้น

หากต้องการให้หยินหยางผสานร่วมกันและไปถึงขั้นที่เพิ่มศักยภาพทางร่างกายได้ จะต้องใช้ความช่วยเหลือจากดวงตาแห่งสัจจะเพื่อช่วยให้เข้าใจรายละเอียดภายในตนเสียก่อน

นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมไม่มีจอมยุทธในโลกนี้เหมือนกับซูฉินที่นำพลังหยางและหยินมาเสริมร่างกายให้แข็งแกร่งได้

ไม่ใช่ว่าไม่ต้องการ เพียงแต่ไม่กล้า

แน่นอนว่าพลังหยินและพลังหยางนั้นอยู่ร่วมกันได้ แต่ในขณะเดียวกันมันก็มีการยับยั้งซึ่งกันและกัน เมื่อมารวมอยู่ในร่างกายแล้ว หากเกิดความประมาทจนส่งผลให้สมดุลระหว่างทั้งสองพังทลาย จุดจบคงจะเป็นเรื่องน่าเศร้าอย่างยิ่ง

ซูฉินคือผู้ที่สามารถสังเกตทุกอย่างภายในตนด้วยทิพยอำนาจอยู่ตลอดเวลา และสามารถรักษาสมดุลของหยินและหยางได้ ทำให้เขาไม่กลัวสิ่งเหล่านั้น

หากเปลี่ยนเป็นจอมยุทธคนอื่น แม้ว่าจะเป็นตำนานยุทธก็ต้องปวดเศียรเวียนเกล้าไม่น้อย เพราะเพียงประมาทนิดเดียวก็อาจบาดเจ็บสาหัสได้

หวึ่ง! 

ซูฉินค่อยๆ กระตุ้นพลังหยางทั้งเก้าแผ่กระจายเชื่อมเข้ากับพลังหยินอย่างไม่เร่งรีบ

“อ๊ะ?”

ซูฉินรู้สึกว่าร่างกายของเขาชาวาบ ร่างระทวยลงไปราวกับถูกสายฟ้าฟาด จมลงไปในสนามกระแสไฟฟ้า

ถ้ามีใครอยู่ที่นี่เวลานี้ พวกเขาจะต้องตกใจเมื่อพบว่าร่างกายของซูฉินเต็มไปด้วยพลังสองขั้วที่กำลังต่อต้านกัน

กลุ่มก้อนพลังทั้งสองยังคงปะทะกันอยู่ แต่ก็ค่อยๆ รวมเข้าด้วยกัน ในที่สุดก็เกิดเป็นไอพลังที่อธิบายไม่ได้ซึ่งหลอมรวมเข้ากับร่างกายของซูฉินอย่างต่อเนื่อง

“เป็นเช่นนี้จริงๆ”

“พลังหยินและหยางยังคงมีผลอันน่าอัศจรรย์ในการเสริมศักยภาพร่างกาย”

ซูฉินรู้สึกได้ถึงร่างกายที่ค่อยๆ พัฒนาขึ้น เขามีความสุขมาก

การปรับปรุงศักยภาพทางกายเช่นนี้ทำให้ซูฉินนึกถึงตอนที่เขาอยู่ในขอบเขตวิทยายุทธทั้งเก้าระดับชั้น ที่สามารถก้าวหน้าได้อย่างก้าวกระโดด

เวลาผ่านเลยไป

หนึ่งชั่วโมงผ่านไปภายในพริบตา

ขณะนี้ลมหายใจของซูฉินค่อยๆ สงบลง

“ใกล้แล้ว”

“หากยังคงฝืนต่อไป เกรงว่ามันจะทำให้ร่างกายบาดเจ็บได้”

ซูฉินรู้หลักการเกี่ยวกับ ‘การค่อยเป็นค่อยไป‘ จึงหยุดฝึกฝนทันที

“พรุ่งนี้ค่อยมาใหม่”

ซูฉินถอนหายใจด้วยความโล่งอก ลุกขึ้นและกลับไปที่ตำหนักชุนฝั่งขวาของพระราชวังตะวันออก

ในช่วงเวลาที่เหลือ

นอกเหนือจากการลงชื่อเข้าใช้ในทุกวัน ซูฉินก็มักจะใช้เวลาวันละชั่วโมงในการปรับสภาพร่างกายของตนที่นี่

หนึ่งวัน สองวัน สามวัน…

กระทั่งหนึ่งเดือนได้ผ่านพ้นไป

ด้านในหุบเขา

ซูฉินนั่งขัดสมาธิ เส้นสายพลังหยินและหยางปะทะกันไม่หยุดภายในร่างกายของเขา และในที่สุดก็หลอมรวมเข้าด้วยกันอย่างช้าๆ ให้กำเนิดไอพลังชนิดใหม่ที่อธิบายไม่ได้ แทรกซึมเข้าไปอยู่ในร่างของซูฉิน

“ถึงขีดจำกัดแล้ว”

ซูฉินค่อยๆ ลืมตาขึ้นมา ความคิดของเขาผันผวนอยู่ในใจ

ในความเป็นจริงนั้น ตั้งแต่เมื่อสิบวันก่อนซูฉินรู้สึกว่าการพัฒนากายเนื้อของเขาเริ่มช้าลงและมาจนถึงวันนี้การพัฒนานั้นก็หยุดไปโดยสิ้นเชิง

แม้ว่าซูฉินจะเสียดาย แต่เขาก็ได้คิดเอาไว้อยู่แล้ว

“ตอนนี้ร่างของข้าแข็งแกร่งแค่ไหนกันนะ?”

ซูฉินเหยียดมือขวาออกไป เพียงออกแรงน้อยๆ ทันใดนั้นก็มีสีทองจางๆ ปรากฏขึ้นบนผิวหนังของเขา

สีทองจางๆ นี้ไม่ได้เป็นสีทองแดงเช่นพลังจากกายาวัชรคงกระพัน แต่มันเหมือนกันสีทองขององค์ยูไลที่อยู่ในส่วนลึกระหว่างคิ้วของซูฉิน

“กายาทองคำ?”

“หากเป็นเช่นนี้ก็หมายความว่าร่างกายของข้ามีพลังบางอย่างเฉกเช่นกายาทองคำเช่นนั้นน่ะหรือ?”

ซูฉินรู้สึกประหลาดใจจนไม่รู้จะอธิบายออกมาเป็นคำพูดอย่างไร

Sign in Buddha’s palm 106 จักรพรรดิหมิง

 

 

“ขันทีชุดแดง?”

 

ใบหน้าของชายชุดคลุมสีขาวตอนนี้ดูน่าเกลียดมาก

 

ในพระราชวังถังนั้น ขันทีที่สามารถสวมเครื่องแบบขันทีสีแดงได้นั้นย่อมเป็นยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่ง

 

แน่นอนว่ามีข้อยกเว้นอยู่บ้าง

 

เช่นหงกงกงที่อยู่ข้างกายพระชายาลี่เฟยที่มีระดับการบ่มเพาะอยู่ที่ชั้นที่สอง เขาก็ยังได้รับเครื่องแบบขันทีสีแดง

 

แต่ข้อยกเว้นเหล่านี้ค่อนข้างหายาก

 

และในเวลานี้ชายในชุดคลุมสีขาวสัมผัสได้ว่ากลิ่นอายของทั้งหกคนที่โอบล้อมคฤหาสน์อยู่นี้ ทั้งหมดล้วนเป็นยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่ง

 

“ไม่คาดคิดว่าจะเป็นผู้บังคับกรมขุนนางจากหน่วยองครักษ์เสื้อแพร…”

 

ขันทีชุดแดงจำตัวตนของชายในชุดคลุมสีขาวได้ในทันที

 

หน่วยองครักษ์เสื้อแพรจากอาณาจักรหนานหมิงเป็นที่ครั่นคร้ามไปทั่วทุกแว่นแคว้น ฉะนั้นทุกอาณาจักรไม่มีทางที่จะไม่คิดต่อต้านสิ่งนี้อย่างแน่นอน โดยเฉพาะอาณาจักรถัง ที่ได้สืบสาวข้อมูลเกี่ยวกับผู้มีอำนาจระดับสูงของหน่วยองครักษ์เสื้อแพรมาแล้ว

 

“จักรพรรดิถังรู้จักคิดแผนการดีนี่…”

 

ชายชุดขาวยิ้มและสีหน้าของเขาก็สงบลงในทันที

 

“คิดจะตัดขั้วหัวใจเพื่อฆ่าตัวตายเช่นนั้นหรือ?”

 

ขันทีในชุดแดงเดินยิ้มหยามเหยียด ก้าวเข้าไปที่ด้านข้างของชายชุดขาว จากนั้นจึงใช้นิ้วทั้งห้ากดลงไปเบาๆ

 

หวึ่ง!!!

 

ชายชุดขาวรู้สึกเพียงภาพที่เห็นนั้นพร่ามัว เส้นเลือดหล่อเลี้ยงหัวใจที่กำลังจะขาดออกจากกันกลับเริ่มซ่อมแซมตัวอย่างช้าๆ

 

“เจ้า?!”

 

ชายชุดขาวหมดสติไปก่อนที่จะพูดจบ

 

 

พระราชวังตะวันออก

 

ภายในตำหนักชุนฝั่งขวา

 

ซูฉินนั่งขัดสมาธิ แก่นแท้แห่งพลังภายในกายค่อยๆ หมุนวนไปตามคัมภีร์เก้าอิมจินเก็ง พยายามควบแน่นพลังธาตุหยิน

 

หลังจากเวลาผ่านเลยไป

 

ซูฉินค่อยๆ ลืมตาขึ้น

 

ทันใดนั้นอุณหภูมิในรัศมีหลายสิบเมตรรอบตัวของซูฉินพลันลดลงอย่างรวดเร็วราวกับอยู่ในพื้นที่ขั้วโลกภายในพริบตา ไอน้ำในอากาศเริ่มกลายเป็นน้ำแข็ง

 

“หือ?”

 

ซูฉินขมวดคิ้ว

 

ในทันใดนั้น

 

อุณหภูมิที่ลดฮวบลงไปในตอนแรกก็เพิ่มสูงกลับมาสู่สภาวะปกติในชั่วพริบตา

 

“คัมภีร์เก้าอิมจินเก็งนี่น่าสนใจไม่น้อยทีเดียว”

 

ความคิดของซูฉินเดี๋ยวก็ขึ้นเดี๋ยวก็ลงอยู่ภายในใจ

 

เมื่อเทียบกับคัมภีร์เก้าสุริยัน คัมภีร์เก้าอิมจินเก็งนั้นแปลกประหลาดมหัศจรรย์ยิ่งกว่า ทั้งยังเป็นขั้วตรงข้ามของวิชาเก้าสุริยันอย่างสุดกู่

 

“แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่ข้าต้องการหรอกหรือ?”

 

รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของซูฉิน

 

ด้วยร่างกายของเขาเปลี่ยนแปลงสภาพไปถึงสามครั้งแล้ว พลังธาตุหยินผสานธาตุหยางธรรมดาๆ นั้นไม่มีผลอะไรเลยกับร่างกายของซูฉิน

 

“อีกสองวันเป็นอย่างช้า ข้าคงสามารถฝึกฝนคัมภีร์เก้าอิมจินเก็งจนถึงจุดสูงสุดโดยกลั่นพลังธาตุหยินเก้ารูปแบบออกมาได้”

 

ซูฉินคิดอยู่ในใจ

 

หากเป็นจอมยุทธธรรมดาที่ต้องการจะฝึกฝนคัมภีร์เก้าอิมจินเก็งจนสำเร็จวิชา อาจจะฝึกไม่สำเร็จแม้ผ่านไปสิบปีหรือร้อยปี ทุกอย่างนั้นขึ้นอยู่กับจอมยุทธคนนั้นมีคุณสมบัติโดยกำเนิดเหมาะสมกับคัมภีร์เก้าอิมจินเก็งหรือเปล่า

 

แต่ซูฉินนั้นแตกต่างออกไป

 

ในฐานะที่เป็นถึงขอบเขตอรหันต์ระดับนภาชั้นที่สาม ควบคู่ไปกับระบบที่ฝังข้อมูลทั้งหมดของคัมภีร์เก้าอิมจินเก็งมาให้ ซูฉินยังรู้สึกเลยว่าขนาดใช้เวลาฝึกฝนสองวันก็ยังแอบยาวนานไปหน่อย

 

วันต่อมา

 

ซูฉินเดินทางมาที่ห้องโถงเฉิงเอิน

 

“พี่สาม มาแล้วหรือ”

 

องค์รัชทายาทหลี่เชิงเดินเข้ามาหาด้วยท่าทางมีความสุข

 

“หลังจากที่หยุนเหนียงดื่มยาตามใบสั่งของพี่สามไปแล้ว ร่างกายของนางก็ดีขึ้นอย่างชัดเจนเลย แม้แต่หมอหลวงประจำกายพระบิดาก็ยังแสดงท่าทางเหลือเชื่อออกมา…”

 

องค์รัชทายาทหลี่เชิงมองไปที่ซูฉินด้วยอาการสำนึกขอบคุณ

 

“อย่างนั้นหรือ?”

 

ซูฉินไม่ได้รู้สึกอะไรมากนัก

 

เขาก็แค่ช่วยน้องสาวของตนเองในการกำจัดพลังธาตุหยินออกไป มันก็แค่นั้น ไม่ได้มีอะไรเลย

 

“ใช่แล้ว”

 

“ท่านจำเรื่องการลอบสังหารเมื่อวานได้หรือไม่?”

 

ทันใดนั้นองค์รัชทายาทหลี่เชิงก็นึกบางอย่างขึ้นมาได้ก่อนจะมองไปรอบข้างแล้วจึงกระซิบขึ้นมาเบาๆ

 

“เกิดอะไรขึ้น?”

ซูฉินถามออกไปส่งๆ

 

“ข้าได้ไปหาพระบิดาในเช้าวันนี้ และรู้สึกว่าพระบิดาดูจะอารมณ์ดีเป็นพิเศษ มันน่าจะเกี่ยวข้องกับการลอบสังหารของคณะทูตจากหนานหมิงที่เกิดขึ้นเมื่อวาน…”

 

องค์รัชทายาทหลี่เชิงพูดสิ่งที่คาดเดาอยู่ในใจออกมา

 

แม้ว่าองค์จักรพรรดิถังไม่ได้บอกเขาอย่างชัดเจนในเวลานั้น แต่ก็ได้แอบบอกใบ้ออกมาสองสามคำโดยจะตั้งใจหรือไม่ได้ตั้งใจก็มิอาจรู้ได้

 

“เป็นเช่นนี้นี่เอง”

 

ซูฉินพยักหน้าเล็กน้อย

 

ดูเหมือนยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งทั้งหกคนที่ออกจากวังไปเมื่อวานจะจับปลาตัวใหญ่ได้

 

มิฉะนั้นตามลักษณะนิสัยของจักรพรรดิถังแล้วนั้น ถ้าไม่ใช่ผลประโยชน์ครั้งใหญ่จริงๆ เขาจะไม่ประพฤติตนเช่นนี้

 

ต่อจากนั้นซูฉินก็สนทนากับองค์รัชทายาทหลี่เชิงต่ออีกสักพัก

 

ในความเป็นจริงก็คือ องค์รัชทายาทเป็นฝ่ายพูด ขณะที่ซูฉินเพียงฟังอย่างไม่ได้เคร่งเครียดอะไร

 

และเนื้อหาส่วนใหญ่ในการสนทนาขององค์รัชทายาทหลี่เชิงก็ล้วนเป็นเรื่องเกี่ยวกับราชสำนัก เช่น ขุนนางที่ออกมาฟ้องร้องตัวเขา…

 

เห็นได้ชัดว่าแม้ว่าจะได้เป็นองค์รัชทายาทด้วยคำยืนยันอันหนักแน่นขององค์จักรพรรดิ แต่ตำแหน่งนี้ก็ไม่ได้มั่นคงและต้องตั้งรับกับคำถามและข้อสงสัยมากมาย

 

“ถ้าในอนาคตเจ้าได้เป็นจักรพรรดิขึ้นมา เจ้าอยากจะทำอะไร?”

 

หลังจากคุยกันมาสักพัก ซูฉินก็ถามขึ้นอย่างไม่ได้จริงจังนัก

 

แม้ว่าหลี่เชิงจะมีโชคชะตาบ้านเมืองของอาณาจักรถังถึงหนึ่งส่วนสิบ ตราบเท่าที่เขาไม่ตายไปเสียก่อน ราชบัลลังก์ในอนาคตย่อมตกเป็นของหลี่เชิง

 

แต่ซูฉินก็อยากจะรู้ว่าหลี่เชิงวางแผนอนาคตไว้อย่างไร

 

“พี่สาม ท่านอย่าได้พูดอะไรเช่นนี้อีกต่อไปในอนาคต ตอนนี้สุขภาพของพระบิดาดีขึ้นเรื่อยๆ แล้ว…” องค์รัชทายาทพูดอย่างร้อนรน

 

ซูฉินส่ายหัวเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำดังกล่าว

 

ร่างกายขององค์จักรพรรดิถังนั้นซูฉินไม่คิดว่ามันจะดีขึ้นได้อีก หากไม่ใช่เพราะยอดปรมาจารย์ยอมแลกชีวิตเพื่อช่วยชีวิต ป่านนี้เขาก็คงตายไปแล้ว

 

แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้นองค์จักรพรรดิถังก็ไม่สามารถมีชีวิตต่อได้อีกนานนัก แม้แต่ตำนานยุทธหรืออรหันต์ก็ยังมีช่วงชีวิตที่จำกัด นับประสาอะไรกับชีวิตมนุษย์ธรรมดาเล่า?

 

“อาการดีขึ้น” ในสายตาขององค์รัชทายาทหลี่เชิงไม่มีอะไรไปมากกว่าภาพลักษณ์ภายนอก

 

หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วโมง

 

ซูฉินกลับมาที่ตำหนักชุนฝั่งขวาอีกครั้ง

 

“ใกล้แล้วล่ะ”

“ต้องพยายามฝึกฝนคัมภีร์เก้าอิมจินเก็งจนสำเร็จวิชาให้จงได้ จากนั้นก็สร้างการเปลี่ยนแปลงกายเนื้อครั้งที่สี่ให้สำเร็จไปพร้อมกันในทีเดียวเลย”

 

ซูฉินนั่งขัดสมาธิ ปิดเปลือกตาลงช้าๆ แล้วจึงเริ่มฝึกฝน

 

 

 

ในเวลาเดียวกัน

 

เมืองหนานหมิง

 

ภายในพระราชวัง

 

จักรพรรดิหมิงนั่งอยู่สูงบนเก้าอี้มังกร มองดูข้อมูลในมือของเขา

 

“การลอบสังหารล้มเหลว?”

 

จักรพรรดิหมิงพูดกับตนเองด้วยเสียงต่ำ ไม่มีโทนเสียงขึ้นลงเลย ราวกับเขากำลังพูดบางสิ่งที่ไม่เกี่ยวข้องกับตัวเขาเลย

 

“รายงานฝ่าบาท”

 

“ไม่เพียงภารกิจล้มเหลวเท่านั้น หน่วยองครักษ์เสื้อแพรของข้าที่ประจำการอยู่ในฐานที่มั่นเมืองฉางอัน รวมถึงผู้บังคับกรมขุนนางต่างขาดการติดต่อไป…”

 

ผู้บัญชาการของหน่วยองครักษ์เสื้อแพรสวมชุดปลาบิน ที่หน้าผากของเขามีเหงื่อไหลเย็น

 

“โอ้?”

“การลอบสังหารไม่เพียงแต่จะล้มเหลว”

 

“แต่คนของเรายังถูกจับไปแบบเป็นๆ อีกงั้นรึ”

 

จักรพรรดิหมิงวางข้อมูลในมือของเขาลง มองไปที่ผู้บัญชาการและกล่าวคำเบาๆ

 

“ฝ่าบาท ขอพระราชทานอภัย”

 

“ขุนนางผู้นี้สมควรตายเป็นหมื่นๆ ครั้ง”

 

ผู้บัญชาการหน่วยองครักษ์เสื้อแพรคุกเข่าลงกับพื้นพร้อมกับพูดด้วยเสียงสั่น

 

ในอาณาจักรหนานหมิง คำว่าองครักษ์เสื้อแพร ไม่รู้ว่ามีกี่คนต่อกี่คนที่หวาดกลัวสามคำนี้มันราวกับเจอภูตผี แม้แต่องค์ชายและเหล่าขุนนางในราชสำนักก็ต้องกลัวหน่วยองครักษ์เสื้อแพร

 

แต่มีแค่เพียงผู้บัญชาการฯ เท่านั้นที่รู้ว่าหน่วยองครักษ์เสื้อแพรก็เป็นเพียงสุนัขที่อยู่ภายใต้จักรพรรดิหมิงอีกที

 

หากสุนัขตัวนั้นมีประโยชน์ เป็นเรื่องปกติที่จักรพรรดิหมิงจะไม่ตระหนี่กับรางวัลที่ให้ไปเลย

 

แต่ถ้ามันไม่มีประโยชน์ ก็แค่เปลี่ยนไปใช้สุนัขตัวอื่น

 

บางทีหน่วยองครักษ์เสื้อแพรคงยังอยู่ แต่ไม่มีใครรู้อยู่ดีว่าเขาคือผู้บัญชาการ

 

“ขุนนางผู้นี้จะไปที่ฉางอันด้วยตัวเอง และเตรียมพร้อมสำหรับการลอบสังหารอีกครั้ง”

องครักษ์เสื้อแพรก้มหัวเอาหน้าผากแตะพื้นพร้อมทั้งกล่าวขึ้นอย่างรวดเร็ว

 

“ไม่จำเป็น” หลังจากนั้นไม่นานเสียงของจักรพรรดิหมิงก็ค่อยๆ ดังขึ้น “ในเมื่อการลอบสังหารครั้งแรกล้มเหลวจึงไม่จำเป็นต้องทดลองอีกครั้งแล้วหละ”

 

เมื่อจักรพรรดิหมิงกล่าวเช่นนั้น เขาก็หยุดพูดไปชั่วครู่แล้วจึงพูดต่อ “ข้าจำได้ว่าครั้งก่อน มีองค์ชายจากต้าถังต้องการจะติดต่อขอความร่วมมือกับข้ามิใช่หรือ?”

Sign in Buddha’s palm 105 เก้าหยิน

 

 

หลังจากที่ซูฉินและคนอื่นๆ กลับไปที่พระราชวังตะวันออก พวกเขาพบว่ากองทหารในพระราชวังตะวันออกมีมากกว่าเดิมหลายเท่าตัว

 

เห็นได้ชัดว่าการลอบสังหารองค์รัชทายาททำให้จักรพรรดิถังตระหนักว่า แม้จะอยู่ภายในวังก็ไม่ได้ปลอดภัยเสมอไป

 

นอกจากนี้ซูฉินยังสังเกตเห็นว่าทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์การลอบสังหาร ทั้งองค์รัชทายาทรวมถึงคนสนิท ไม่ได้รับอนุญาตให้ออกจากวังหลวงชั่วคราว

 

เหตุผลที่กองทัพของทางราชอาณาจักรให้มาคือตอนนี้พระราชวังอยู่ภายใต้กระบวนการตรวจสอบที่เข้มงวด ถ้าออกไปไหนมาไหนอาจเจอมือสังหารเข้าอีกก็ได้

 

แต่ซูฉินพบข้อน่าสงสัยบางอย่าง

 

ครั้งนี้มือสังหารนั้นมาจากคณะทูตหนานหมิง มองด้วยเหตุผลแล้วก็ไม่จำเป็นต้องตรวจสอบภายในวังหลวงอย่างเข้มงวดแต่ประการใด

 

เนื่องจากการลอบสังหารเกิดขึ้นจากฝีมือของอาณาจักรหนานหมิงจึงไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องราวภายในวัง

 

แต่จักรพรรดิถังยังคงออกคำสั่งเช่นนี้ ความเป็นไปได้เพียงอย่างเดียวนั่นก็คือเขาไม่ต้องการให้ข่าวการลอบสังหารครั้งนี้แพร่กระจายออกไปในช่วงเวลานี้

 

“ดูเหมือนจักรพรรดิถัง จิ้งจอกเฒ่าผู้นี้กำลังวางแผนอะไรบางอย่างอยู่…”

 

ความคิดของซูฉินแปรปรวนไปมา เพียงพริบตาเขาก็เดาจุดประสงค์ขององค์จักรพรรดิถังออกเจ็ดถึงแปดส่วน

 

อย่างไรก็ตาม แม้ซูฉินจะตระหนักได้ แต่เขาก็ไม่ได้สนใจมันเลยสักนิด

 

สำหรับซูฉินนั้น แผนการทั้งหลายทั้งปวงนั้นเปราะบางราวกับแผ่นกระดาษเมื่อต้องเผชิญหน้ากับความแข็งแกร่งที่แท้จริง

 

แทนที่จะมุ่งเน้นสิ่งเหล่านั้น เขาเอาเวลาไปเพิ่มพูนความแข็งแกร่งส่วนตนดีกว่า

 

ด้วยกองทหารของวังหลวงจำนวนมากที่รายล้อมพระราชวังตะวันออก ปิดกั้นทุกคนไม่ให้เข้าหรือออกสถานที่นี้โดยเด็ดขาด…

 

บางทีสิ่งนี้อาจจะได้ผลกับคนอื่นๆ แต่มันจะไปหยุดซูฉินได้เช่นไร?

 

 

ครึ่งชั่วยามต่อมา

 

ร่างของซูฉินวูบไหวผ่านเหล่าทหารยามมาได้อย่างง่ายดายและออกจากพระราชวังตะวันออกไปอย่างเงียบๆ

 

“วันนี้ข้าจะลงชื่อเข้าใช้ที่ตำหนักไท่จี๋”

 

เพียงแวบเดียวที่คิด ซูฉินก็มาปรากฏตัวที่หน้าตำหนักไท่จี๋

 

ตำหนักไท่จี๋เป็นสถานที่สำหรับปรึกษาหารือเรื่องการบ้านการเมืองเกี่ยวกับเรื่องราชวงศ์ พลเรือน และการทหารมาตั้งแต่ยุคแรกๆ ของราชวงศ์ถังแล้ว เป็นเหตุผลว่าทำไม ‘เต๋าสะสม‘ ในที่แห่งนี้จึงมิต่ำต้อย

 

“ระบบ ลงชื่อเข้าใช้”

 

ซูฉินเงยหน้าขึ้นและมองไปยังตำหนักไท่จี๋ที่สูงตระหง่านพลางเอ่ยคำอยู่ภายในใจ

 

[ขอแสดงความยินดี โฮสต์ลงชื่อเข้าใช้สำเร็จ ได้รับ ‘คัมภีร์เก้าอิมจินเก็ง‘ ]

 

“เก้าอิมจินเก็ง?”

 

รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของซูฉิน

 

เป็นเวลากว่าครึ่งปีแล้วที่ซูฉินเข้ามาในวังเพื่อลงชื่อเข้าใช้ ในที่สุดเขาก็ได้รับเคล็ดวิชาธาตุหยินเสียที

 

คัมภีร์เก้าอิมจินเก็งถูกเขียนขึ้นตั้งแต่สมัยจักรพรรดิพระองค์หนึ่งในราชวงศ์ก่อนหน้า โดยกล่าวเอาไว้ว่าสามารถควบแน่นพลังหยินทั้งเก้าได้จนถึงขีดสุด ในแง่ของระดับวิชา คัมภีร์เก้าอิมจินเก็งเหนือกว่าวิชาขัดเกลากายาจันทราโดยสิ้นเชิง

 

วิชาขัดเกลากายาจันทราสามารถควบแน่นพลังจากดวงจันทร์จนถึงขีดสุดได้เพียงอย่างเดียวเท่านั้น

 

อย่างไรก็ตามคัมภีร์เก้าอิมจินเก็งกลับสามารถควบแน่นพลังหยินได้ถึงเก้าอย่าง

 

ความห่างชั้นมันชัดเจน

 

“ไม่เลวไม่เลว”

 

“ตอนแรกคิดไว้ว่าถ้าข้ายังเอามันมาไม่ได้อีก เห็นทีคงต้องเปลี่ยนเป็นวิชาธาตุหยินชนิดอื่น…”

 

ซูฉินพยักหน้าเล็กน้อย

 

ในการคาดคะเนของเขา คัมภีร์เก้าอิมจินเก็งนั้นเหมาะสมที่สุด แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าซูฉินจะมีทางเลือกเพียงแค่คัมภีร์เก้าอิมฯ เพียงอย่างเดียว

 

หลังจากลงชื่อเข้าใช้มานานหลายปี ไม่รู้ว่าซูฉินได้รับเคล็ดวิชามาแล้วกี่เล่มต่อกี่เล่ม แต่ไม่มีเล่มใดที่จะเทียบได้กับคัมภีร์เก้าอิมจินเก็ง

 

ในตอนที่ซูฉินกำลังคิดอยู่นั้น ข้อมูลทุกอย่างเกี่ยวกับคัมภีร์เก้าอิมจินเก็งก็ไหลบ่าเข้ามาภายในจิตของซูฉิน

 

จากนั้นไม่นาน ซูฉินก็ลืมตาขึ้น สีหน้าเขาดูพึงพอใจ

 

“หลังจากที่กลับไป ข้าจะเริ่มฝึกฝนคัมภีร์เก้าอิมจินเก็ง จากนั้นจึงบ่มเพาะร่วมกับวิชาเก้าสุริยันเพื่อดูว่าร่างกายของข้าจะสามารถบรรลุการเปลี่ยนแปลงครั้งที่สี่ได้หรือไม่”

 

ซูฉินคิดภายในใจตนเองอย่างเงียบๆ

 

ตั้งแต่ตอนที่เขาอยู่ในขอบเขตวิทยายุทธทั้งเก้าระดับชั้นเรื่อยมาจนเข้าสู่ระดับอรหันต์นั้น ร่างกายของซูฉินมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นมากถึงสามครั้ง

 

ครั้งแรกเป็นการผสานกันระหว่างหยินและหยางจากวิชากายาวัชระคงกระพันรวมเข้ากับวิชาขัดเกลากายาจันทราทำให้กายเนื้อเพียงอย่างเดียวแข็งแกร่งเทียบเท่ายอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่ง

 

อีกครั้งหนึ่งคือในพื้นที่หวงห้ามภูเขาด้านหลังวัดเส้าหลิน ตราประทับที่ตัวตนระดับอรหันต์ทิ้งเอาไว้ได้เสริมแกร่งร่างกายให้กับซูฉิน

 

ครั้งที่สามคือตอนที่ซูฉินทะลวงขั้นขึ้นไปถึงระดับอรหันต์ และเมื่อเขาไปถึงขอบเขตนั้นทั้งร่างกาย จิตวิญญาณ และกำลังภายในทั้งหมดพลันพุ่งสูงขึ้นไปอีก

 

หลังจากการเปลี่ยนแปลงทางร่างกายทั้งสามครั้งนี้ แม้หลังจากนั้นซูฉินจะก้าวเข้าสู่อรหันต์ระดับนภาชั้นที่สามจนทำให้ความแข็งแกร่งของเขาพุ่งขึ้นสูงไปอีกมาก แต่ก็ยังไม่ถึงขั้นที่มีการเปลี่ยนแปลงทางร่างกายเกิดขึ้น

 

ตอนนี้ซูฉินจะลองดูว่าคัมภีร์เก้าอิมจินเก็งเมื่อผสานเข้ากับคัมภีร์เก้าสุริยันจะสามารถเปลี่ยนแปลงสภาพร่างกายของเขาเหมือนตอนที่เขาอยู่ในขอบเขตวิทยายุทธทั้งเก้าระดับชั้นหรือไม่

 

เมื่อซูฉินกำลังจะกลับไปตำหนักชุนฝั่งขวาที่อยู่ในพระราชวังตะวันออก ทันใดนั้นเขาก็เปลี่ยนสีหน้าไปและมองยังทิศทางหนึ่งในวังหลวง

 

“ยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งหกคนออกจากวังไปงั้นหรือ?”

 

ซูฉินแตะไปที่ปลายคาง ดวงตาครุ่นคิด

 

เมื่อตอนที่ยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งทั้งหกคนนี้ออกจากวังไป พวกเขาพยายามอย่างเต็มที่ในการเก็บซ่อนกลิ่นอายของตนเอง ถึงพวกเขาจะซ่อนตัวตนจากคนอื่นได้ แต่พวกเขาจะซ่อนตัวตนจากซูฉินได้อย่างไร?

 

“น่าสนใจ”

 

“จักรพรรดิถังจะลงมือแล้วเช่นนั้นหรือ?”

 

ซูฉินเดาตามความเข้าใจของตนเอง

 

ภายในวังหลวง มีเพียงองค์จักรพรรดิถังเท่านั้นที่สามารถควบคุมยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งทั้งหกคนในเวลาเดียวกันได้

 

ตอนนี้วังหลวงถูกปิดกั้นอย่างแน่นหนา คนนอกห้ามเข้า คนในก็ห้ามออก ยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งทั้งหกที่ออกไปในเวลานี้จึงมีความเป็นไปได้สูงว่าจะเป็นคำสั่งของจักรพรรดิถัง

 

 

 

ในเวลาเดียวกัน

 

ภายในคฤหาสน์เมืองฉางอัน

 

ชายชุดขาวเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าพร้อมกับขมวดคิ้ว

 

ในฐานะผู้บังคับกรมขุนนางของหน่วยองครักษ์เสื้อแพร ชายชุดขาวมีตำแหน่งที่สูงไม่น้อย ถ้าไม่ใช่เพราะแผนการใหญ่ขององค์จักรพรรดิหมิงในครานี้ เขาก็คงไม่ได้มาเยือนเมืองฉางอันด้วยตนเอง

 

รู้หรือไม่ว่าฉางอันนั้นคือเมืองหลวงของอาณาจักรถัง ไม่รู้ว่าอาณาจักรถังมีเสือหมอบมังกรซ่อนอยู่มากแค่ไหน ไม่ว่าชายชุดขาวจะมีความมั่นใจมากเพียงไร เขาเองก็ไม่แน่ใจว่าจะสามารถล่าถอยกลับไปโดยง่ายหรือไม่

 

แต่ชายชุดขาวนั้นไม่มีทางเลือก

 

หากจักรพรรดิหมิงขอให้เขามา เขาก็ต้องมาแม้จะต้องทิ้งชีวิตไว้ที่ฉางอัน

 

“น่าจะใกล้ถึงเวลาแล้ว”

 

“ทำไมยังไม่มีข่าวคราวอีก”

 

ชายชุดขาวรู้สึกถึงความผิดปกติ มีอาการใจสั่นเกิดขึ้น

 

ในขณะนั้นเองพ่อค้าร่างท้วมผู้ร่ำรวยก็วิ่งเข้ามาและกล่าวอย่างนอบน้อมว่า “คารวะท่านผู้บังคับกรมขุนนาง”

 

“เกิดอะไรขึ้น?”

 

ชายชุดขาวมองไปที่พ่อค้าผู้มั่งคั่งพร้อมทั้งขมวดคิ้ว “เจ้าดำเนินการแผนการภายในวังแล้วหรือยัง?”

 

“ท่านผู้บังคับกรมขุนนาง”

 

“ข้าเองก็ไม่ทราบเช่นกัน”

 

“ตอนนี้ข้าไม่ได้รับข่าวสารใดๆ กลับมาเลย”

 

พ่อค้าร่างท้วมเองก็มึนงงมากเช่นกัน

 

“ไม่มีข่าวคราวใด?”

 

ชายในชุดขาวขมวดคิ้วมุ่น “องค์รัชทายาทได้ออกจากประตูเต่าดำมารึเปล่า?”

 

เมื่อได้ยินดังนั้นพ่อค้าร่างท้วมผู้มั่งคั่งก็ตอบในทันทีว่า “ยังเลยขอรับ”

 

ด้วยคำตอบนั้น

 

ท่าทางของชายชุดขาวเปลี่ยนไปเล็กน้อย

 

“ไม่ควรเป็นเช่นนี้…”

 

“ตามข้อมูลก่อนหน้านี้ องค์รัชทายาทจะต้องพาพระชายากลับไปที่คฤหาสน์ตระกูลซูในช่วงเวลานี้ของปี…”

 

ชายชุดขาวบ่นพึมพำอยู่กับตนเอง

 

“บางทีอาจจะมีความล่าช้าเกิดขึ้น?”

 

พ่อค้าร่างท้วมเอ่ยการคาดเดาของตน

 

“มันผิดปกติ”

 

ยิ่งชายชุดขาวคิดถึงเรื่องนี้มากเท่าไหร่ ข้อน่าสงสัยก็ยิ่งมากขึ้นเท่านั้น

 

ไม่ได้มีความล่าช้าเกิดขึ้นในปีก่อนๆ แต่กลับมาล่าช้าในปีนี้?

 

“ถ้าการลอบสังหารเกิดขึ้นจริงๆ คงเป็นไปไม่ได้ที่ภายในวังจะสงบนิ่งเช่นนี้ เว้นแต่จะมีใครบางคนจงใจปิดข่าวเพื่อประวิงเวลา…”

 

ความคิดของชายชุดขาวเปลี่ยนไปมาอย่างรวดเร็ว และในที่สุดใบหน้าของเขาก็ซีดหมองลง

 

“ไม่ดีแล้ว”

 

“เป็นไปได้ว่าพวกเราตกอยู่ในอันตรายแล้ว!”

 

ชายชุดขาวลุกขึ้นในทันที เตรียมตัวหลบหนีออกจากฉางอัน

 

อย่างไรก็ตาม

 

ชายชุดขาวยังไม่ทันได้เดินออกไปไหนไกล

 

พลันรู้สึกถึงรังสีพลังที่น่าหวาดกลัวมาจากหกทิศทาง โผล่มาล้อมกรอบคฤหาสน์ทั้งหลังเอาไว้ ปิดทุกเส้นทางหลบหนี

 

“ข้าก็คิดอยู่ว่ามันเป็นผู้ใด”

 

“กลับกลายเป็นหมาบ้าจากหน่วยองครักษ์เสื้อแพรนี่เอง…”

 

ประตูคฤหาสน์ถูกผลักเปิดออกและขันทีที่มีใบหน้าคล้ายอิสตรีสวมเครื่องแบบของขันทีสีแดงเดินเข้ามาอย่างช้าๆ

Sign in Buddha’s palm 104 โทสะ

 

 

ภายในพระราชวังถัง

 

องค์รัชทายาทถูกลอบสังหาร

 

คณะทูตจากหนานหมิงที่ดูไม่มีพิษมีภัยในตอนแรกพลันเปลี่ยนเป็นก้าวร้าวรุนแรง บรรยากาศโดยรอบอวลระอุไปด้วยจิตสังหารที่เย็นยะเยียบและน่าสยดสยอง

 

แทบจะในทันทีทันใด

 

รองแม่ทัพประจำประตูเต่าดำก็ลืมตาขึ้นและมองไปยังตำแหน่งขององค์รัชทายาท

 

รองแม่ทัพคนนี้เป็นยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งซึ่งรับผิดชอบในการป้องกันคุ้มกันวังหลวง มีประสาทสัมผัสไวมากต่อไอพลังต่างๆ ไม่ต้องพูดถึงจิตสังหารที่ไม่มีการซ่อนเร้นเช่นนี้

 

“ไม่ดีแล้ว”

 

“เกิดปัญหาขึ้นกับองค์รัชทายาท”

 

ใบหน้าของรองแม่ทัพตอนนี้บิดเบี้ยวจนดูน่าเกลียด

 

องค์รัชทายาทอยู่ไม่ห่างจากประตูเต่าดำมากเท่าไหร่นัก หากมีอะไรเกิดขึ้นกับองค์รัชทายาทจริงๆ ความผิดทั้งหมดนั้นเขาจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบและอาจโดนลงโทษ

 

ความเป็นความตายขององค์รัชทายาทถูกผูกไว้กับความไปของอาณาจักรถังทั้งหมด ในตอนนี้แม้ว่าเขาจะเป็นยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่ง แต่ย่อมมิอาจเลี่ยงโทษที่รุนแรงไปได้

 

“รวมกำลังพลแล้วตามข้ามา!”

 

รองแม่ทัพประจำประตูเต่าดำก้าวไปข้างหน้า ร่างทั้งร่างวูบไหวราวกับภูตผีมุ่งหน้าไปยังสถานที่ที่มีจิตสังหารพวยพุ่งออกมา

 

ความเร็วในการตอบสนองต่อทุกสิ่งของรองแม่ทัพนั้นเร็วมาก ยามที่เขารู้สึกถึงรังสีฆ่าฟันมันก็ใช้เวลาเพียงครู่เดียว

 

และออกจากจุดประจำการเพียงชั่วครู่หลังจากนั้น

 

หลังจากที่รีบออกจากประตูเต่าดำจนมาถึงสถานที่ที่องค์รัชทายาทอยู่ก็ใช้เวลาไปสามช่วงลมหายใจ

 

จากช่วงเริ่มต้นของการลอบสังหารจนถึงเวลานี้ รองแม่ทัพของวังหลวงใช้เวลาถึงห้าลมหายใจเพื่อเดินทาง

 

ห้าลมหายใจทำอะไรได้บ้าง?

 

สำหรับคนทั่วไปอาจจะกะพริบตาได้สองสามครั้งหรือบางทีอาจจะเป็นสิบครั้ง

 

อย่างไรก็ตาม

 

ช่วงเวลาห้าลมหายใจนี้เปรียบเสมือนยาวนานนับปีในความรู้สึกของรองแม่ทัพที่วิตกกังวลอยู่ในขณะนี้

 

รองแม่ทัพแห่งวังหลวงรู้ดีว่าการที่จะลอบสังหารองค์รัชทายาทภายในวังหลวงได้ ต้องมีแผนการที่รอบคอบ ถ้าไม่มีแผนการที่แน่นอนแล้วละก็ มือสังหารพวกนี้จะไม่แอบซ่อนเข้ามาในวังเป็นแน่

 

ในเมื่อพวกมันกล้าลงมือ หมายความว่ามือสังหารเหล่านี้คิดว่าการลอบสังหารจะต้องสำเร็จลุล่วง

 

“ฝ่าบาทองค์รัชทายาท”

 

“หวังว่าท่านจะยังมีชีวิตรอดตอนที่ข้าไปถึง”

 

ความคิดของรองแม่ทัพแห่งวังหลวงแปรเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว กำลังภายในที่โคจรในร่างแทบจะเดือดพล่าน

 

ช่วงเวลาต่อมา

 

รองแม่ทัพแห่งวังหลวงมาถึงและกำลังจะลงมือหยุดยั้งการลอบสังหาร

 

เขาก็พบเห็นฉากอันน่าประทับใจมิรู้ลืม

 

เขาเห็นมือสังหารที่แต่เดิมเต็มไปด้วยจิตสังหารเปลี่ยนเป็นตกตะลึง จากนั้นร่างกายของมันก็เริ่มลุกไหม้จนกลายเป็นเถ้าถ่าน ไม่ได้ยินแม้แต่เสียงกรีดร้อง

 

“นี่คือ?”

 

รองแม่ทัพตกใจ ร่างสั่นสะท้าน

 

ก่อนที่เขาจะมาถึงที่นี่ เขาคาดเดาเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเอาไว้มากมายหลายรูปแบบ และยังคิดว่าองค์รัชทายาทอาจจะตกตายไปแล้วด้วยน้ำมือของมือสังหาร

 

แต่ไม่เคยคิดว่าภาพที่ได้เห็นจะเป็นเช่นนี้

 

เป็นเรื่องที่พอเข้าใจได้หากมือสังหารถูกหั่นหรือผ่าออกเป็นสองท่อน แต่สภาพที่โดนเผาจนกลายเป็นเถ้าถ่านนี่มันเหนือจินตนาการของรองแม่ทัพเกินไป

 

องค์รัชทายาทหลี่เชิงรู้สึกประหลาดใจไม่แพ้กัน รวมถึงเหล่าคนสนิทอีกหลายคน

 

เมื่อครู่ที่ผ่านมา พวกเขายังตกอยู่ท่ามกลางอันตรายถึงแก่ชีวิตอยู่เลย สามารถตกตายด้วยน้ำมือของมือสังหารได้ทุกเมื่อ แต่กลับเกิดเหตุไม่คาดคิดเช่นนี้ขึ้น

 

ขณะนั้นเอง

 

กองทหารแห่งวังหลวงก็เดินทางมาถึง

 

รองแม่ทัพระงับความตกใจของตนเองและตะโกนด้วยเสียงทุ้มต่ำ “ปกป้ององค์รัชทายาท”

 

ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในตอนนี้ ความปลอดภัยขององค์รัชทายาทเป็นสิ่งสำคัญอันดับหนึ่ง

 

“พี่สาม ท่านสบายดีหรือไม่?”

 

ซูเยว่หยุนค่อยๆ ฟื้นคืนสติกลับมาได้ จึงดึงแขนของซูฉินมาถามด้วยเสียงต่ำ

 

“ข้าสบายดี”

 

ซูฉินส่ายหัวและมองไปยังกองขี้เถ้าที่เคยเป็นร่างของมือสังหาร

 

เขาค้นพบตั้งแต่แรกแล้วว่าคณะทูตจากหนานหมิงพวกนี้เข้ามาในวังเพราะมีแผนการแอบแฝง

 

อย่างไรก็ตามซูฉินนั้นคิดว่าตราบใดที่มือสังหารพวกนี้ไม่กระทบต่อชีวิตในพระราชวังตะวันออกของเขา ขององค์รัชทายาท หรือน้องสาวคนเล็กของเขา เขาก็จะไม่เข้าไปแทรกแซงแต่อย่างใด

 

ในทั้งวังหลวงซูฉินรู้จักเพียง ซูเยว่หยุน หลี่เชิง และคนอื่นอีกแค่ไม่กี่คน

 

สำหรับคนอื่นนั้น ซูฉินไม่ได้สนใจว่าจะอยู่หรือตาย ไม่ว่าจะพวกขันทีหรือเหล่าองค์ชายก็ตาม

 

แต่สิ่งที่ซูฉินไม่คาดคิดก็คือเป้าหมายของมือสังหารพวกนี้กลับเป็นองค์รัชทายาทหลี่เชิง

 

“จักรพรรดิหมิง…”

 

ท่าทีของซูฉินยังคงสงบนิ่ง ดวงตาของเขาเริ่มฉายแววครุ่นคิด

 

“พี่สาม ไม่เป็นอะไรแล้ว ทุกอย่างจบลงแล้ว….”

 

ซูเยว่หยุนคิดว่าซูฉินตกใจจึงรีบเข้ามาปลอบโยน

 

“คณะทูตจากหนานหมิง?”

 

“ไอ้พวกเวร!!!”

 

ในเวลานี้รองแม่ทัพของวังหลวงเข้าใจเรื่องราวทั้งหมดโดยคร่าวๆ แล้ว และรู้ว่ากลุ่มมือสังหารที่ออกมานั้นเป็นส่วนหนึ่งของคณะทูตจากหนานหมิง

 

“ฝ่าบาทองค์รัชทายาท ข้าจะพาท่านกลับไปพระราชวังตะวันออกด้วยตัวของข้าเอง”

 

รองแม่ทัพภายในวังหลวง โค้งคารวะต่อหน้าองค์รัชทายาทหลี่เชิง

 

“ได้”

 

องค์รัชทายาทหลี่เชิงรู้สึกไม่สบายใจอยู่เล็กน้อยในขณะนี้ ดังนั้นเขาจึงไม่สนใจเรื่องออกนอกวังแล้ว และรีบกลับพระราชวังตะวันออกในทันทีพร้อมกับซูเยว่หยุน ซูฉิน และคนอื่นๆ

 

พระราชวังตะวันออกเป็นที่ประทับขององค์รัชทายาท มีกองทหารของวังหลวงจำนวนมากคอยเฝ้าระวัง

 

แม้จะเป็นคณะทูตของอาณาจักรใดก็ตาม ไม่สามารถเข้าไปในพระราชวังตะวันออกได้แน่ นับประสาอะไรกับพวกมือลอบสังหาร

 

หลังจากนั้นไม่นาน

 

ภายในห้องโถงชีวิตนิรันดร์

 

เมื่อได้ฟังรายงานจากรองแม่ทัพแห่งวังหลวง จักรพรรดิถังก็ไม่ได้แสดงอาการใดๆ ออกไป

 

ห้องโถงชีวิตนิรันดร์เป็นวังของจักรพรรดิแห่งราชวงศ์ถังซึ่งหมายถึงอายุที่ยืนยาวและวิสัยทัศน์ที่กว้างไกล

 

“ข้าเข้าใจแล้ว”

 

“เจ้าออกไปได้”

 

จักรพรรดิถังโบกมือและกล่าวคำเบาๆ

 

“ตามพระบัญชา”

 

รองแม่ทัพแห่งวังหลวงถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก

 

แม้ว่าองค์รัชทายาทจะไม่ได้สิ้นพระชนม์ แต่มือสังหารทุกคนก็ต้องได้รับโทษและดูเหมือนว่าเรื่องราวจะคลี่คลาย เป็นที่น่าพอใจ

 

อย่างไรก็ตาม ข้อผิดพลาดครั้งใหญ่ในวังหลวงที่เปิดโอกาสให้มือสังหารจากอาณาจักรอื่นเข้ามาลอบสังหารองค์รัชทายาทนั้น ในฐานะรองแม่ทัพที่เฝ้าประตูเต่าดำ เขาต้องรับผิดชอบทุกสิ่ง

 

แต่ตอนนี้จักรพรรดิถังให้เขาออกไปได้ เห็นได้ชัดว่าพระองค์ขี้เกียจเกินกว่าจะดำเนินการสิ่งใด

 

รอจนกระทั่งรองแม่ทัพจากไปอย่างสมบูรณ์

 

สีหน้าขององค์จักรพรรดิถังค่อยๆ ทะมึนขึ้นมา

 

“จักรพรรดิหมิงช่างกล้าหาญเสียจริง นี่คิดว่าข้าไม่กล้าเผชิญหน้ากับมันงั้นหรือ?”

 

ร่องรอยความโกรธเกรี้ยวปรากฏขึ้นบนใบหน้าขององค์จักรพรรดิถัง

 

“ฝ่าบาท อย่าเพิ่งมีโทสะไป…”

 

จ้าวกงกงในชุดคลุมสีม่วงเดินออกมาแล้วกล่าวว่า “การลอบสังหารองค์รัชทายาทเป็นเรื่องสำคัญมาก ในตอนนี้จะต้องมีบุคคลจากหนานหมิงที่มีอำนาจเพียงพอจะควบคุมสถานการณ์ทั้งหมดอยู่ภายในเมืองฉางอันเป็นแน่”

 

“ตอนนี้การลอบสังหารล้มเหลว ข่าวคราวก็ยังไม่ได้รั่วไหลออกไป ถือเป็นโอกาสอันดีที่จะคว้าตัวบุคคลนั้นมา มิดีกว่าหรือ…”

 

จ้าวกงกงเอ่ยกล่าวอย่างช้าๆ

 

“ไม่เลว”

 

จักรพรรดิถังเงียบอยู่ครู่หนึ่งก่อนพยักหน้าเล็กน้อย

 

หากสามารถจับตัวคนสั่งการใหญ่จากหนานหมิงที่อยู่ภายในเมืองฉางอันได้สำเร็จ สิ่งนี้อาจส่งผลกระทบอย่างมากต่อภาพรวมการรบระหว่างอาณาจักรถังและอาณาจักรหมิง

 

“เรื่องนี้ให้เป็นหน้าที่ของข้ารับใช้เฒ่าผู้นี้ ทั่วทั้งเมืองฉางอันนี้ ตราบใดที่อีกฝ่ายยังคงอยู่ที่นี่ มันจะไม่มีทางหนีไปไหนรอด”

 

เมื่อจ้าวกงกงพูดเช่นนั้นเขาก็หยุดพูดแล้วจึงพูดต่อว่า “ฝ่าบาท ท่านไม่อยากรู้สักหน่อยหรือว่าใครเป็นผู้ที่ช่วยองค์รัชทายาทเอาไว้?”

 

ตามสิ่งที่รองแม่ทัพจากวังหลวงได้กล่าวเอาไว้ เมื่อเขามาถึงมือสังหารก็ถูกเผาจนกลายเป็นเถ้าถ่านและหายไปเสียแล้ว

 

เห็นได้ชัดว่า

 

ก่อนที่ตัวเขาจะมาถึง มีคนชิงลงมือไปก่อนแล้ว

 

คนที่สามารถลงมือเผามือสังหารได้อย่างเงียบเชียบ ความแข็งแกร่งของคนผู้นี้อาจจะเหนือกว่ายอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งทั่วๆ ไป แม้ว่าอาจจะไม่เก่งกาจเท่าจ้าวกงกงแต่ฝีมือคงไม่ห่างไกลนัก

 

“อยากรู้?”

 

เมื่อได้ยินดังนั้นจักรพรรดิถังก็ส่ายหัวและพูดเบาๆ “ทุกคนต่างก็มีความลับเป็นของตัวเอง เด็กๆ นั้นโตแล้ว เป็นเรื่องปกติที่จะมีความลับเป็นของตัวเอง”

 

“ทำไมข้าจะต้องไปอยากรู้ด้วยเล่า?”

Sign in Buddha’s palm 103 ฉับไว

 

 

“คัมภีร์ทานตะวัน?”

 

ความคิดของซูฉินผันผวน ท่าทีของเขาแสดงให้เห็นว่าทำอะไรไม่ค่อยถูก

 

ช่วงแรกๆ ที่เขาอยู่ในวัดเส้าหลิน ซูฉินเคยได้ยินเกี่ยวกับคัมภีร์ทานตะวันที่ทรงพลังจนน่าหวาดกลัวมาบ้าง

 

ความจริงแล้วในแง่มุมอื่นๆ เคล็ดวิชาทานตะวันยอดเยี่ยมกว่าวิทยายุทธส่วนใหญ่ในโลกหล้านี้เสียอีก

 

หากต้องการฝึกเคล็ดวิชานี้

 

ก่อนอื่นต้องอยู่ภายในรั้วในวัง

 

นอกจากนี้ยังมีข้อควรระวังใหญ่ๆ อีกหนึ่งข้อในการฝึกคัมภีร์ทานตะวัน นั่นคือจะต้องสูญเสียร่างกายที่สมบูรณ์ไปตลอดชีวิต นั่นคือจะต้องเป็นขันที

 

ซึ่งนั่นก็คือกรณีเดียวกันกับขันทีชุดม่วงที่อยู่ข้างกายองค์จักรพรรดิถัง

 

แน่นอนถึงแม้จะมีข้อบกพร่องที่ใหญ่ขนาดนี้ แต่คัมภีร์ทานตะวันก็ยังสมกับชื่อที่กล่าวขานว่าเป็นคัมภีร์ที่ทรงพลังจนน่าหวาดกลัว

 

ท้ายที่สุดแล้วจะมีผู้ฝึกยุทธสักกี่คนที่สามารถขึ้นไปแตะขอบเขตยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสูงสุดได้?

 

แทนที่จะกังวลเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้ พวกเขาเอาเวลาไปฝึกฝนบ่มเพาะต่อไม่ดีกว่าหรือ

 

“น่าเสียดาย…”

 

“เหมือนข้าเสียโอกาสในการลงชื่อเข้าใช้ครั้งหนึ่งไปเลย…”

 

ซูฉินส่ายศีรษะ รู้สึกเสียใจอยู่เล็กๆ

 

หากนับโอกาสในการลงชื่อเข้าใช้วันละครั้งที่เหลืออยู่ตลอดชีวิตอีกเก้าร้อยเจ็ดสิบปี เขาสามารถลงชื่อเข้าใช้ได้ไม่ถึงสี่แสนครั้งเท่านั้นเอง

 

เสียโอกาสไปตั้งหนึ่งครั้ง

 

“อย่างไรก็ตามถึงแม้ว่าข้าจะไม่สามารถใช้คัมภีร์ทานตะวันเล่มนี้ได้ แต่มันก็มีข้อดีต่อการโคจรกำลังภายในของอิสตรี…”

 

ซูฉินมีวิสัยทัศน์เช่นไรกัน?

 

ด้วยระดับในปัจจุบันของเขา ไม่รู้ว่าเหนือกว่าผู้ที่เขียนคัมภีร์ทานตะวันไปมากเท่าไหร่แล้ว เพียงแค่เหลือบมองก็สังเกตเห็นถึงแก่นของวิชาทานตะวันเรียบร้อยแล้ว

 

“ไม่เลวไม่เลว”

 

“สุดท้ายแล้วก็ใช่ว่าจะไม่ได้อะไรกลับมาเลย”

 

ซูฉินพยักหน้าเล็กน้อยและเตรียมกลับไปยังตำหนักชุนฝั่งขวา

 

หลายวันต่อมา ซูฉินรู้สึกได้ถึงองค์ยูไลทองคำที่ระหว่างคิ้วของเขาซึ่งเป็นสัญลักษณ์ที่สืบทอดวิชาฝ่ามือยูไล

 

แสงจันทร์สาดส่องลงมา

 

ขณะที่ซูฉินกำลังนั่งขัดสมาธิ

 

“ฝ่ามือยูไลมีทั้งหมดเก้ารูปแบบ ตอนนี้ข้าเข้าใจเพียงหนึ่งรูปแบบเท่านั้น ส่วนอีกแปดอย่างที่เหลือ ข้ายังไม่สามารถเข้าใจมันได้ไปอีกสักพัก”

 

ซูฉินนวดที่หัวคิ้วพลางคิดไปด้วยในใจ

 

ในความจริงซูฉินก็เข้าใจดีว่าองค์ยูไลสีทองที่อยู่กึ่งกลางระหว่างคิ้ว ไม่ได้ตั้งใจจะไม่ถ่ายทอดอีกแปดรูปแบบที่เหลือ

 

แต่ด้วยความแข็งแกร่งในปัจจุบันของซูฉินมาถึงขีดจำกัดแล้วที่จะแบกรับหนึ่งรูปแบบของฝ่ามือยูไล

 

เหมือนกับว่าขวดใบหนึ่งสามารถจุมวลน้ำได้เพียงหนึ่งชาม แล้วต้องการจะยัดน้ำสิบชาม ร้อยชาม จุดจบมีเพียงอย่างเดียวคือขวดแตก

 

“ไม่ต้องรีบ”

 

“ค่อยเป็นค่อยไป”

 

“อย่างไรก็ตามข้อได้เปรียบของข้าก็คือเวลาอยู่แล้ว”

 

ซูฉินไม่ใช่คนโลภมิรู้จักพอ

 

ตอนนี้เขามีเคล็ดวิชามากมายล้นเหลือ แม้ว่าเขาจะไม่สามารถเข้าใจวิชาฝ่ามือยูไลได้ แต่เขาก็ยังสามารถทำความเข้าใจวิชาอื่นได้

 

นอกจากนี้ เพียงฝ่ามือยูไลรูปแบบเดียวก็เพียงพอสำหรับซูฉินไปอีกนาน

 

“พระราชวังถังนี้ช่างคู่ควรกับการเป็นอาณาจักรที่แข็งแกร่งที่สุดในหมู่อารยประเทศ นอกจากจะมีสองยอดปรมาจารย์ขั้นสูงสุดแล้ว ยังมียอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งอยู่อีกมากในวัง…”

 

ซูฉินสอดส่ายสายตามองไปทั่วพระราชวังถังจากมุมกว้าง

 

ในช่วงเวลาที่เขาลงชื่อเข้าใช้อยู่นั้นก็พลางสำรวจพระราชวังถังไปด้วยในตัว

 

มียอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งทั้งหมดยี่สิบสามคนภายในวังหลวง

 

จำนวนที่มากจนน่ากลัวนี่มันคืออะไรกัน?

 

รู้หรือไม่ว่ายอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่ง สามารถก่อตั้งสุดยอดพรรคในยุทธภพด้วยตัวเองได้เลย

 

แต่ในพระราชวังถังกลับมีถึงยี่สิบสามคน?

 

และนี่เป็นเพียงจำนวนของยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งภายในวังหลวงเท่านั้น

 

ในบรรดากองทัพปกป้องชายแดนของราชวงศ์ถังจะต้องมียอดปรมาจารย์คนอื่นๆ คอยเฝ้าระวังอยู่เป็นแน่

 

แค่การประมาณการเบื้องต้น ยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งในอาณาจักรถังคงมีไม่น้อยกว่าสามสิบคนและอาจมากเกือบสี่สิบคนด้วยซ้ำไป

 

ซูฉินรู้สึกทึ่งในใจ แต่ไม่นานก็กลับมารู้สึกเป็นปกติ

 

บางทีในแง่ที่นับยอดปรมาจารย์จากทั่วภูมิภาคที่กระจายกันอยู่อาจจะหายากมาก แต่ถ้านับรวมยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งทั้งหมดร่วมกันอาจจะมีจำนวนไม่น้อย

 

อาณาจักรถังครอบครองที่ราบภาคกลางอันกว้างใหญ่และอุดมสมบูรณ์พร้อมพรั่งไปด้วยทรัพยากรสำหรับบ่มเพาะ ตลอดจนมีประชากรจำนวนนับไม่ถ้วนอาศัยอยู่ที่นี่ แต่การฟูมฟักยอดฝีมือขึ้นมาสักคนก็ไม่ใช่เรื่องง่ายดายนัก

 

แน่นอนว่าแม้จะมีอาณาจักรใดที่ทรงพลังพอๆ กับอาณาจักรถัง แต่ก็มีข้อจำกัดสำหรับการฝึกฝนเพื่อจะบรรลุถึงขั้นยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่ง และแม้แต่ยอดปรมาจารย์ขั้นสูงสุด ตำนานยุทธหรือระดับอรหันต์ก็แทบเป็นไปไม่ได้ที่จะฝึกฝนกัน

 

 

วันต่อมา

 

องค์รัชทายาทหลี่เชิงถามซูฉินว่าจะออกจากวังแล้วกลับไปตระกูลซูกับพวกตนไหม

 

ซูฉินคิดสักพักก่อนจะพยักหน้าเห็นด้วย

 

เขาไม่ได้กลับตระกูลซูมาสักพักแล้ว ถึงเวลาต้องไปเยี่ยมเยียนสักหน่อย

 

จากนั้นไม่นาน

 

ซูฉินก็มาสมทบกับองค์รัชทายาทหลี่เชิงและซูเยว่หยุน

 

ผิวของซูเยว่หยุนดีขึ้นมาก เห็นได้ชัดว่ายาที่ซูฉินสั่งไปนั้นได้ผลดีทีเดียว

 

หลังจากที่พูดคุยกันเล็กน้อย พวกเขาก็เดินทางออกจากพระราชวังตะวันออกเตรียมพร้อมที่จะไปประตูเต่าดำเพื่อขออนุญาตออกนอกวัง

 

“เอ๋”

 

ซูฉินหยุดลงอย่างกะทันหันและมองไปที่คณะทูตจากหนานหมิงที่กำลังเดินเข้ามา

 

“พี่สาม ท่านเป็นอะไรไป? พวกเขาเป็นคณะทูตจากหนานหมิง…”

 

ซูเยว่หยุนคิดว่าซูฉินสงสัยจึงพยายามอธิบาย

 

อย่างไรก็ตาม

 

ไม่ทันทีซูเยว่หยุนจะพูดจบ

 

คณะทูตจากหนานหมิงซึ่งเดินมาอย่างช้าๆ ก็เปลี่ยนท่าทีเป็นเกรี้ยวกราดรุนแรงอย่างกะทันหัน

 

“ฆ่า!!”

 

ในชั่วพริบตาจิตสังหารอันเย็นยะเยือกก็แพร่กระจายออกมา

 

“ไม่ดีแล้ว!”

 

“มือสังหาร!”

 

องค์รัชทายาทหลี่ชิงตกใจและไปยืนบังหน้าซูเยว่หยุนโดยสัญชาตญาณ

 

“ปกป้ององค์รัชทายาท”

 

“ปกป้ององค์รัชทายาท!”

 

ในเวลานี้คนรับใช้คนสนิทขององค์รัชทายาทหลี่เชิงที่ได้รับการฝึกฝนมาตลอดหลายปีได้เคลื่อนไหว ยืนล้อมองค์รัชทายาทและซูเยว่หยุนเอาไว้

 

“พวกเจ้าทนไม่ได้แม้สักหนึ่งกระบวนท่าหรอก”

 

ชายในคณะทูตหนานหมิงที่หน้าตาเย็นชาดึงดาบยาวออกมา แสงจากดาบสะท้อนวิบวับฟันใส่ข้ารับใช้คนสนิทขององค์รัชทายาททั้งหลาย

 

“ต้องรีบแล้ว”

 

ชายที่หน้าตาเย็นชาพลันรู้สึกว่าต้องรีบจัดการเรื่องราวอย่างเร่งด่วน

 

แม้ว่าสถานที่แห่งนี้จะเป็นช่องโหว่ของวังหลวง แต่ตอนนี้พวกเขาเสียงดังกันเกินไป ภายในห้าลมหายใจกองทหารของวังหลวงจำนวนมากจะต้องมาถึงเป็นแน่

 

กล่าวอีกนัยหนึ่ง พวกเขาต้องสังหารองค์รัชทายาทให้ได้อย่างช้าที่สุดภายในห้าลมหายใจ

 

มิเช่นนั้นหากกองทหารของวังหลวงมาถึง พวกเขาก็ยากที่จะหาโอกาสสังหารองค์รัชทายาทอีกครั้งได้

 

ส่วนจะเกิดอะไรขึ้นหลังจากผ่านไปห้าลมหายใจ…

 

สำหรับมือสังหารจากหนานหมิงทุกคน เนื่องจากพวกเขากล้าเข้าวังมาเพื่อลอบสังหาร หมายความว่าไม่มีใครมุ่งหวังจะกลับไปอย่างมีชีวิตอยู่แล้ว

 

“เอาชีวิตมาให้ข้า!”

 

แสงดาบจากชายผู้โหดเหี้ยมเย็นชาเปล่งประกายออกมาก่อนที่จะเหวี่ยงฟันเข้าใส่องค์รัชทายาทหลี่เชิง

 

“ฝ่าบาทหนีไป!”

 

ในเวลานั้นเอง คนสนิทที่อยู่ด้านข้างก็รีบพุ่งไปด้านหน้า เหวี่ยงองค์รัชทายาทให้ออกจากวิถี จนหลุดรอดจากคมดาบมาได้อย่างฉิวเฉียด

 

แต่การที่องค์รัชทายาทหลบคมดาบได้ ไม่ได้แปลว่าดาบจะหายไป

 

แสงดาบส่องประกายออกไปตัดร่างที่อยู่ด้านหลังขององค์รัชทายาท

 

ชายผู้โหดเหี้ยมขมวดคิ้ว มองไปที่ที่ดาบถูกฟันออกไป มีชายคนหนึ่งยืนอยู่นิ่งๆ

 

“เป็นเขา?”

 

ชายผู้โหดเหี้ยมจำได้ตั้งแต่ครั้งแรก

 

ในฐานะมือสังหาร ก่อนการลอบสังหารเขาได้เก็บข้อมูลทั้งหมดขององค์รัชทายาทหลี่เชิงไว้ในใจตนจนหมดสิ้นแล้ว

 

ความสัมพันธ์ของชายคนนี้กับองค์รัชทายาทควรจะเป็นพี่เขยคนที่สาม และเป็นพี่ชายของซูเยว่หยุน

 

นั่นคือซูฉิน

 

“ไม่เป็นไร”

 

“ฆ่าเจ้าก่อนแล้วค่อยสังหารองค์รัชทายาท”

 

“เวลามันล่วงเลยไปมากแล้ว”

 

แววความบ้าคลั่งปรากฏขึ้นในดวงตาของชายผู้นี้และทันใดนั้นแสงจากดาบก็สว่างขึ้น ความเร็วก็ว่องไวมากขึ้น

 

“มอบชีวิตเจ้ามาให้ข้า!!!”

 

ชายที่หน้าตาเย็นชาจ้องมองไปที่ซูฉินราวกับว่ากำลังมองศพที่ตายไปแล้ว

 

เพราะอย่างไร

 

เมื่อเขาสังหารซูฉินได้แล้ว เขาก็จะไปสังหารองค์รัชทายาทหลี่เชิงต่อในทันที

 

ซูฉินยืนนิ่งไม่ไหวติง ค่อยๆ เงยศีรษะขึ้นและมองไปที่ชายผู้เย็นชาตรงหน้า

 

ชายที่หน้าตาเย็นชามองไปที่ซูฉินโดยไม่รู้ตัว

 

เพียงแค่มองเขาก็รู้สึกราวกับว่าเขาเข้าไปอยู่ในพื้นที่อันว่างเปล่าและมืดมน

 

“นี่คือ?”

 

การแสดงออกของชายผู้เย็นชาพลันแข็งกระด้างไป ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความรู้สึกเหลือเชื่อ

 

เขาเห็นเป็นวังวนอันลึกลับโหมเข้ามาจากทุกทิศทางราวกับกระแสน้ำวนสีดำที่หมุนเข้ามาอย่างช้าๆ และเมื่อกระแสวังวนนั้นหายไปชายที่หน้าตาเย็นชาก็เห็นดวงอาทิตย์เก้าดวงบนท้องฟ้าจากไกลๆ

 

ในตอนแรกดวงอาทิตย์ทั้งเก้าอยู่ห่างไกลออกไปมาก แต่ในชั่วพริบตามันก็ขยายตัวใหญ่ขึ้น ในที่สุดก็ปะทุเพลิงแผดเผาทุกสิ่งกลืนกินทุกอย่าง

Sign in Buddha’s palm 102 วางแผน

 

 

“ใบสั่งยานี้…”

 

ซูเยว่หยุนหยิบใบสั่งยาขึ้นมาด้วยมืออันสั่นเทาและพึมพำอยู่กับตนเอง

 

ถ้าบอกว่าในตอนแรกนางยังคงเชื่อคำพูดของซูฉินอยู่ครึ่งหนึ่ง ตอนนี้เมื่อเห็นซูฉินเขียนใบสั่งยาออกมา ซูเยว่หยุนก็เชื่อมั่นอย่างสนิทใจ

 

แม้ซูเยว่หยุนและซูฉินจะไม่ได้พบกันมาเกือบสามสิบปี แต่ซูเยว่หยุนรู้ดีว่าซูฉินไม่ใช่คนประเภทที่ชอบพูดจาใหญ่โตโอ้อวด

 

เมื่อซูฉินบอกออกมาเช่นนี้แปลว่าเขาต้องแน่ใจมาก

 

“พี่สาม ขอบคุณมาก”

 

ดวงตาขององค์รัชทายาทหลี่เชิงรื้นแดงเล็กน้อย

 

ถ้าเลือกได้ใครจะไม่อยากมีทายาทสืบสกุล?

 

“ไม่เป็นไร”

 

“มันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร”

 

ซูฉินโบกมือและพูดอย่างไม่ยี่หระ

 

การช่วยซูเยว่หยุนกำจัดธาตุหยินออกไปนั้นไม่ได้เป็นปัญหาใดกับซูฉินเลย มันง่ายเหมือนกินดื่มอาหาร

 

“เอาล่ะ”

 

“ข้าจะกลับแล้ว”

 

ซูฉินลุกขึ้นและเดินออกนอกห้องโถงไป

 

องค์รัชทายาทหลี่เชิงรีบติดตามไปทันทีและไม่กลับไปจนกว่าจะส่งซูฉินจนถึงตำหนักชุนฝั่งขวา

 

 

ห้องโถงเฉิงเอิน

 

“หยุนเหนียง ใบสั่งยาเป็นอย่างไรบ้าง?”

 

เมื่องค์รัชทายาทกลับมาเจอซุเยว่หยุนก็รีบถามอย่างกระตือรือร้น

 

“ไม่มีอะไรจะเสีย มันก็ดีกว่าไม่มีอะไรเลย”

 

เห็นได้ชัดว่าซูเยว่หยุนประหม่าพอสมควร นางมองไปที่องค์รัชทายาทหลี่เชิงอย่างคาดหวังแล้วพูดขึ้นว่า “คราวนี้มันจะได้ผลหรือไม่?”

 

“มันจะต้องได้ผลอย่างแน่นอน”

 

องค์ชายหลี่เชิงพยักหน้าอย่างจริงจัง

 

 

 

ในเวลาเดียวกัน

 

ภายในคฤหาสน์แห่งหนึ่งในเมืองฉางอัน

 

ชายวัยกลางคนในชุดคลุมสีขาวกำลังจิบชาและมองไปยังทิศทางของพระราชวัง ไม่รู้ว่าในใจของเขาคิดอะไรอยู่

 

ในขณะนั้นเองชายร่างท้วมที่ดูเหมือนพ่อค้าผู้ร่ำรวยก็เดินอย่างสำรวมมาหยุดอยู่ไม่ไกลจากชายชุดขาวแล้วกล่าวด้วยความเคารพว่า

 

“คารวะท่านผู้บังคับกรมขุนนาง[1]”

 

พ่อค้าร่างท้วมผู้ร่ำรวยดูระมัดระวังมากเสียจนเหมือนว่าชายชุดขาวตรงหน้านี้เป็นสัตว์ร้ายสักชนิดก็มิปาน

 

ถ้ามีหน่วยข่าวกรองของต้าถังอยู่ที่นี่และได้ยินคำว่า ‘ผู้บังคับกรมขุนนาง‘ ละก็ จะต้องผงะไปอย่างแน่นอน

 

เนื่องเพราะผู้บังคับกรมขุนนางเป็นขุนนางระดับสูงของหน่วยองครักษ์เสื้อแพรของอาณาจักรหนานหมิง เป็นรองก็เพียงแต่หน่วยบัญชาการ ทั่วทั้งหน่วยงานมีตำแหน่งนี้เพียงแค่สามคน แต่ละคนมีอำนาจสูงส่งจนทำให้เหล่าข้าราชสำนักตกใจกลัวได้เลยทีเดียว

 

โดยเหตุผลแล้ว เป็นไปไม่ได้ที่บุคคลเช่นผู้บังคับกรมขุนนางจะเข้ามาภายในอาณาจักรถังเพียงลำพังหรือแอบเข้ามาในเมืองฉางอันเพียงลำพัง

 

หากผู้บังคับกรมขุนนางตกไปอยู่ในกำมือของอาณาจักรถังเข้า อาณาจักรหนานหมิงจะต้องสูญเสียผู้บังคับกรมขุนนางที่มีอยู่อย่างน้อยนิดและมีความเป็นไปได้ที่ตามกลิ่นมาถึงเครือข่ายสายลับของหนานหมิงที่ซุกซ่อนอยู่ในต้าถังได้

 

ด้วยฐานะของผู้บังคับกรมขุนนาง การถูกเปิดเผยข้อมูลใดสักเล็กน้อยอาจจะทำให้เกิดความสูญเสียอย่างหนักต่อภาพรวมของอาณาจักรหนานหมิงทั้งหมด

 

“ลุกขึ้น”

 

ชายชุดขาวลดสายตาลงและพูดขึ้นเบาๆ

 

“ขอรับ”

 

พ่อค้าร่างท้วมผู้มั่งคั่งยืนอยู่ด้านข้างด้วยความเคารพ

 

“เป็นอย่างไรบ้าง” จากนั้นไม่นานชายชุดขาวก็เอ่ยถามขึ้น

 

“รายงานท่านผู้บังคับกรมขุนนาง คนของเราเข้าแฝงตัวไปกับคณะทูตและเข้าไปภายในวังเรียบร้อยแล้ว”

 

พ่อค้าร่างท้วมรีบรายงานในทันที

 

“ไม่เลว”

 

ชายชุดขาวพยักหน้าเล็กน้อยโดยไม่ใส่ใจอะไรนัก

 

ในสายตาของเขาการแฝงตัวเข้าไปในวังหลวงนั้นเป็นเพียงขั้นตอนแรกและเขาก็ไม่จำเป็นต้องดูแลอะไรมันมากนัก

 

“ขออนุญาตถามท่านผู้บังคับกรมขุนนาง ครั้งนี้เป้าหมายของเราคือจักรพรรดิถังใช่หรือไม่?”

 

เมื่อพ่อค้าผู้มั่งคั่งเห็นชายชุดขาวอารมณ์ดีเขาก็ลองลอบถามอย่างระมัดระวัง

 

ในความคิดของเขา หากอาณาจักรหนานหมิงถึงขนาดยอมปล่อยชายชุดขาวซึ่งเป็นผู้บังคับกรมขุนนางผู้นี้มาเสี่ยงที่นี่ แน่นอนว่ามันจะต้องเป็นแผนที่สุดยอด และในทั่วทั้งพระราชวังคงไม่มีอะไรที่เป็นประโยชน์มากไปกว่าการลอบปลงพระชนม์จักรพรรดิถังอีกแล้ว

 

เมื่อจักรพรรดิถังสิ้นพระชนม์ อาณาจักรถังก็จะตกอยู่ในความวุ่นวายอย่างมิอาจเลี่ยง เวลานั้นหนานหมิงจะใช้ประโยชน์จากสถานการณ์นี้เพื่อรุกคืบขึ้นเหนือเข้าสู่ฉางอัน

 

เมื่อนึกถึงเรื่องนี้ร่องรอยความรุ่มร้อนก็ปรากฏขึ้นในดวงตาของพ่อค้าผู้ร่ำรวย

 

หากทำตามแผนนี้จริง ผลลัพธ์ที่กลับมาจะต้องยอดเยี่ยมมากเป็นแน่

 

รู้หรือไม่เป็นเวลานานหลายปีแล้วที่หนานหมิงถูกกำลังพลของต้าถังตอนใต้กดดันอย่างแข็งกร้าวจนไม่สามารถขยายพื้นที่ทางตอนเหนือออกไปได้เลย

 

หากใช้โอกาสในยามนี้ในการบุกทะลวงเข้าสู่ต้าถัง ด้วยแผนการและกลยุทธ์ของจักรพรรดิหมิงองค์ปัจจุบัน อาจจะสามารถกวาดล้างไปทั่วทุกที่และครอบครองผืนแผ่นดินทั้งหมดได้

 

“ลอบสังหารจักรพรรดิถัง?”

 

ชายชุดขาวเหลือบมองไปที่พ่อค้าร่างท้วม “ด้วยการคุ้มกันของขันทีชุดม่วง จักรพรรดิถังจะไม่มีทางตายหรอก”

 

เมื่อชายชุดขาวพูดเช่นนี้ เขาก็ส่ายหัวไปด้วยเล็กน้อย

 

ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา แม้หนานหมิงและต้าถังมักจะแลกเปลี่ยนสื่อสารทางการทูตในฉากหน้า แต่เบื้องหลังฉากหน้านี้พวกเขาก็แอบต่อสู้กันอย่างลับๆ ไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งแล้ว

 

เป็นเรื่องปกติที่เขาจะรู้ถึงความสามารถของขันทีชุดม่วงผู้นั้น

 

“นั่น?”

 

พ่อค้าตัวอวบผู้มั่งคั่งผงะไปชั่วขณะแล้วถามขึ้นอย่างไม่แน่ใจว่า “ท่านจะลอบสังหารพวกองค์ชายหรือ?”

 

ยกเว้นไว้แต่เพียงองค์จักรพรรดิ พ่อค้าตัวอ้วนไม่สามารถนึกออกได้ว่าใครจะมีค่าพอให้ผู้บังคับกรมขุนนางต้องมาที่นี่ด้วยตัวเอง

 

“องค์ชาย?”

 

ชายชุดขาวยิ้ม “ฝ่าบาทยังอยากจะเห็นพวกองค์ชายกัดกันให้เต็มที่ พวกเขาจะตายได้อย่างไร…”

 

“เจ้าไม่ต้องเดาอีกต่อไปแล้ว เป้าหมายครั้งนี้ขององครักษ์เสื้อแพรคือองค์รัชทายาท”

 

ชายชุดขาวจิบชาอีกหนึ่งครั้งแล้วพูดออกมาเบาๆ

 

“องค์รัชทายาท?”

 

พ่อค้าอ้วนผู้ร่ำรวยถึงกับผงะไป

 

เท่าที่เขารู้ องค์รัชทายาทของอาณาจักรถังเพิ่งจะได้รับการแต่งตั้งโดยองค์จักรพรรดิถังโดยไม่ถามความเห็นใคร ทำให้เกิดแม้กระทั่งการต่อต้านจากเหล่าขุนนางเพราะพระองค์ไม่มีรากฐานใดในเมืองฉางอันเลย

 

แม้แต่พ่อค้าตัวอ้วนผู้ร่ำรวยยังสงสัยเลยว่าองค์รัชทายาทที่ถูกแต่งตั้งโดยจักรพรรดิถังพระองค์นี้ เจตนาทำไปเพื่อปกปิดความจริงอะไรบางอย่างหรือไม่

 

“เจ้ายังไม่เข้าใจ”

 

ชายชุดขาวพูดด้วยเสียงสงบนิ่ง “ฝ่าบาททรงรู้จักจักรพรรดิถังดีเกินไป จิ้งจอกเฒ่าตัวนี้จะไม่ทำสิ่งใดลงไปโดยไร้ความหมาย”

 

“นอกจากนี้หน่วยองครักษ์เสื้อแพรได้พบข้อมูลที่ค่อนข้างน่าสนใจ เมื่อสามสิบปีก่อน จักรพรรดิถังมีโชคชะตานำพาให้พบกับนางกำนัลผู้หนึ่ง ปีถัดมาพวกเขาก็ได้ให้กำเนิดทายาทขึ้นมา”

 

“เพียงแต่ว่าฮองเฮา[2]ทรงรู้สึกอิจฉาเป็นอย่างยิ่ง นางกำนัลผู้นั้นก็เสียชีวิตลงไม่นานหลังจากนางคลอดบุตรสำเร็จ”

 

“ในเวลานั้นราชสำนักไม่มั่นคงและจักรพรรดิถังก็ต้องการอำนาจของตระกูลที่อยู่เบื้องหลังของฮองเฮา เขาจึงทำได้เพียงส่งบุตรของนางกำนัลคนนั้นออกไปนอกวังหลวง”

 

“และเมื่อไม่นานมานี้ก็เพิ่งมีองค์ชายที่ได้เลื่อนขั้นขึ้นมาจากการเป็นสามัญชน จากนั้นก็ถูกสถาปนาขึ้นเป็นองค์รัชทายาท”

 

ชายชุดขาวมองไปที่พ่อค้าผู้ร่ำรวยพร้อมกับใบหน้าที่แฝงความหมายอันลึกซึ้ง “เจ้าคิดว่ามันเป็นเรื่องบังเอิญหรือไม่เล่า?”

 

“ท่านผู้บังคับกรมขุนนางหมายความว่าเช่นไรหรือ?”

 

ความคิดของพ่อค้าร่างท้วมเปลี่ยนแปลงไปอย่างเร็วจี๋และเอ่ยถามขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว

 

“การสิ้นพระชนม์ขององค์รัชทายาท ไม่ใช่เป็นแค่การโจมตีองค์จักรพรรดิถังเท่านั้น แต่ยังสามารถกระตุ้นองค์ชายคนอื่นๆ ได้อีกด้วย เพราะไม่มี ‘ภูเขาอันใหญ่‘ มาค้ำหัวพวกเขาไว้อีกต่อไป พวกเขาสามารถต่อสู้ห้ำหั่นกันเพื่อราชบัลลังก์ได้อย่างชอบธรรม”

 

“และเหตุการณ์เช่นนี้แหละที่ฝ่าบาททรงชมชอบมากที่สุด”

 

ชายชุดขาวกล่าวคำช้าๆ “อีกไม่กี่วัน องค์รัชทายาทจะออกจากวังไปพร้อมกับพระชายาที่ประตูเต่าดำและเดินทางไปยังตระกูลซู”

 

“คนของเจ้าต้องจัดการให้ได้ก่อนหน้านั้น”

 

“จำไว้ว่าเจ้าจะต้องไม่ปล่อยให้องค์รัชทายาทมีชีวิตรอดจนออกจากประตูเต่าดำไปได้”

 

ชายชุดขาวกล่าว

 

ไม่ว่าจะเป็นพระราชวังตะวันออกหรือประตูเต่าดำต่างก็มีทหารราชองครักษ์อยู่เป็นจำนวนมาก

 

แต่ระหว่างทางจากพระราชวังตะวันออกไปถึงประตูเต่าดำนั้นมีช่องว่าง อาจจะไม่ถึงกับกล่าวได้ว่าขาดกำลังป้องกันในจุดนี้แต่ก็เป็นสถานที่ที่มีจำนวนทหารราชองครักษ์น้อยที่สุด มีโอกาสประสบความสำเร็จสูงที่สุดในการลอบสังหาร

 

และเมื่อใดที่องค์รัชทายาทได้รับอนุญาตให้เดินทางออกจากประตูเต่าดำ กองทัพทหารก็จะต้องติดตามไปคุ้มกันอย่างมิอาจเลี่ยง

 

ด้วยเหตุนั้นพวกเขาจึงหมดโอกาสที่จะลอบสังหาร

 

“ขอรับ”

 

พ่อค้าอ้วนผู้ร่ำรวยโค้งคารวะ

 

 

ที่ด้านหน้าของวังเว่ยยาง

 

ซูฉินหยุดยืนและมองขึ้นไปยังพระราชวังที่อยู่ตรงหน้า

 

“เป็นครั้งแรกที่ข้ามาลงชื่อเข้าใช้ในสถานที่นี้”

 

ซูฉินครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง รอยยิ้มก็เผยออกมาบนใบหน้าของเขา

 

และเริ่มพูดในใจเงียบๆ “ระบบ ลงชื่อเข้าใช้!”

 

[ขอแสดงความยินดี โฮสต์ลงชื่อเข้าใช้สำเร็จ ได้รับ ‘คัมภีร์ดอกทานตะวัน‘ ]

—————————————————

[1] 镇抚使 เจิ้นฝูสื่อ ผู้บังคับกรมขุนนางระดับสี่ (ชั้นต้น) หรือผู้บังคับกรมขุนนางเป็นตำแหน่งหนึ่งในหน่วยองครักษ์เสื้อแพรมีอำนาจรองลงมาจาก ผู้บัญชาการ รองผู้บัญชาการ และผู้ช่วยผู้บัญชาการ

 

[2] 皇后 ฮองเฮา หรือจักรพรรดินี เป็นตำแหน่งที่เหนือยิ่งกว่าพระมเหสี พระชายา เจ้าจอม หรือพระสนม มีเพียงตำแหน่งเดียวและมีศักดิ์สูงสุดในการปกครองฝ่ายใน

Sign in Buddha’s palm 101 พลังฉีธาตุหยินเข้าสู่ร่างกาย

 

“น่าสนใจ”

 

สายตาของซูฉินกวาดมองด้านหลังของกลุ่มทูตสองสามคนจากอาณาจักรหนานหมิง

 

สองสามคนนี้ไม่ได้โดดเด่นมากนัก พวกเขาก้มศีรษะลงเล็กน้อยราวกับกลัวว่าจะไปสร้างความขุ่นเคืองให้กับเหล่าขุนนางภายในรั้วในวัง

 

แต่มีเพียงซูฉินเท่านั้นที่สังเกตเห็นจิตสังหารได้อย่างชัดเจน

 

จิตสังหารนี้เป็นสิ่งที่ซุกซ่อนอยู่ลึกภายในจิตใจ แม้ว่าจะเป็นยอดปรมาจารย์ขั้นสูงสุดอย่างจ้าวกงกงก็ไม่อาจตรวจพบได้

 

แต่โชคไม่ดีที่คนกลุ่มนี้มาพบเข้ากับซูฉิน

 

จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ระดับอรหันต์นั้นเป็นสิ่งที่ละเอียดลออแม้จะไม่ดีเท่าทิพยอำนาจ ‘รู้วาระจิต‘ ของทางพุทธ แต่หากคนกลุ่มนี้ต้องการซ่อนความปรารถนาเบื้องลึกต่อหน้าซูฉินก็เหมือนเป็นเพียงฝัน

 

“จิตสังหาร?”

 

“ทั้งยังซุกซ่อนความแข็งแกร่งของตน?”

 

“ดูเหมือนคณะทูตจากหนานหมิงจะมีจุดประสงค์แอบแฝงในการมาวังหลวงครั้งนี้…”

 

ดวงตาของซูฉินฉายแววขบคิด

 

เป็นไปไม่ได้ที่จักรพรรดิหมิงจะไม่รู้ว่ามีคนเหล่านี้ปะปนเข้ามาในคณะทูตจากหนานหมิง และทั้งหมดนี่ก็เป็นพระราชประสงค์ของจักรพรรดิหมิง กล่าวอีกนัยหนึ่งจักรพรรดิหนานหมิงอาจจะเตรียมพร้อมที่จะดำเนินการบางสิ่งกับราชวงศ์ถัง?

 

ในความเป็นจริงจักรพรรดิหมิงย่อมมีแผนการ

 

ตอนนี้จักรพรรดิถังอายุมากแล้ว แม้ว่าจะมีการแต่งตั้งรัชทายาทเรียบร้อย แต่เหล่าองค์ชายต่างก็มีความเห็นที่แตกต่างกันออกไป

 

ราชสำนักจะเข้าสู่ความวุ่นวาย

 

หากจักรพรรดิหมิงไม่ใช้โอกาสนี้ในการเคลื่อนไหว ฉายาที่ว่าเป็นยอดคนของยุคนี้ย่อมไร้ประโยชน์

 

ไม่มีความยุติธรรมใดในการสู้รบระหว่างอาณาจักร ผู้ชนะคือราชัน ผู้พ่ายแพ้ก็เป็นได้แค่กลุ่มโจร

 

“คนเหล่านี้วางแผนที่จะลอบสังหารองค์จักรพรรดิหรือเปล่า?”

 

ซูฉินคาดเดาอยู่ในใจ แต่ไม่ได้คิดว่ามันจะมีโอกาสประสบความสำเร็จมากขนาดนั้น

 

ควรรู้ว่ามีจ้าวกงกงอยู่ข้างกายองค์จักรพรรดิ คอยปกป้องพระองค์ทุกย่างก้าว มือสังหารเหล่านี้มีจิตสังหารที่ซ่อนเร้นอยู่ หากพวกมันไม่ลงมือทำอะไร จ้าวกงกงย่อมไม่รู้

 

แต่เมื่อมันพร้อมที่จะลงมือเมื่อไหร่แล้วละก็ กลิ่นอายย่อมรั่วไหลออกมา ด้วยตำแหน่งของยอดปรมาจารย์ขั้นสูงสุด คนเหล่านี้จะต้องตกตายในทันที

 

เป็นไปไม่ได้ที่จะเป็นภัยร้ายต่อองค์จักรพรรดิ

 

ถ้าองค์จักรพรรดิถูกลอบสังหารได้ง่ายดายเพียงนั้น พระองค์คงสิ้นพระชนม์ไปเสียนานแล้ว

 

ด้วยพระปรีชาของจักรพรรดิหมิง เป็นไปมิได้ที่แผนการจะธรรมดาและหยาบขนาดนี้

 

“แต่มันเกี่ยวอะไรกับข้าเล่า?”

 

“แม้ว่าจะมีมือสังหารจากหนานหมิงมาก่อความวุ่นวายในวังหลวง ตราบใดที่มันไม่ส่งผลกระทบต่อพระราชวังตะวันออก ก็ย่อมไม่มีผลมาถึงข้า”

 

“ไม่ว่าเรื่องราวภายนอกนั่นจะรุนแรงสักแค่ไหน ข้าก็แค่ต้องลงชื่อเข้าใช้ให้ทันเวลา…”

 

ซูฉินครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง แต่ก็ไม่ได้คิดมากจนเกินไป

 

ด้วยภูมิหลังของพระราชวังถัง เป็นไปได้อย่างไรที่มือสังหารจากนอกอาณาจักรเพียงไม่กี่คนจะสามารถจัดการได้?

 

ต่อมา ซูฉินก็กลับมาที่ตำหนักชุนฝั่งขวาอีกครั้ง พบว่าสาวใช้จากพระราชวังตะวันออกรออยู่ด้านนอกนานแล้ว

 

“นายท่าน พระชายาต้องการให้ท่านไปหาที่โถงเฉิงเอิน…”

 

สาวใช้โค้งคำนับซูฉินเล็กน้อยและพูดด้วยเสียงต่ำ

 

“ข้าเข้าใจแล้ว”

 

ซูฉินมองไปบนท้องฟ้าและรู้ดีว่าองค์รัชทายาทหลี่เชิงคงต้องการจะชวนเขาไปลิ้มชิมอาหารอันเลิศรสที่ปรุงอย่างพิถีพิถันโดยพ่อครัวของวัง

 

ไม่นาน

ซูฉินก็มาถึงห้องโถงเฉิงเอิน

 

เป็นไปตามที่คาดการณ์

 

บนโต๊ะเต็มไปด้วยอาหารอันโอชะหอมกรุ่นจรุงใจ

 

“พี่เขยสาม นั่งลงโดยเร็วเถิด”

 

องค์รัชทายาทหลี่เชิงยิ้มให้ซูฉิน

 

หลังจากที่ทั้งสามคนกินไปได้สักพัก ซูฉินก็เหลือบมองไปที่ซูเยว่หยุนอย่างสบายๆ “นี่ก็ผ่านมาหลายปีแล้ว เจ้ายังมิได้มีครรภ์อีกหรือ?”

 

ซูฉินกล่าวเช่นนี้

 

สีหน้าของซูเยว่หยุนถึงกับเปลี่ยนไป

 

องค์รัชทายาทหลี่เชิงที่กำลังรับประทานอาหารอย่างมีความสุขก็ก้มหน้าลงเช่นกัน

 

“พี่สาม สุขภาพของข้าไม่ค่อยดีนัก ท่านหมอมาดูอาการหลายครั้งแล้ว แต่ก็ทำอะไรไม่ได้…”

 

หลังจากหยุดนิ่งกันไปพักหนึ่ง ซูเยว่หยุนจึงกล่าวขึ้นมา

 

ในความเป็นจริงที่ซูเยว่หยุนมิได้ให้กำเนิดทายาทมาเป็นเวลาหลายปีนั้นสร้างความไม่พอใจให้ราชสำนักและเหล่าขุนนางมานานแล้วและแม้แต่ข้าราชการชั้นพิเศษยังออกมาฟ้องร้องเรื่องนี้

 

ทางราชวงศ์ให้ความสำคัญอย่างยิ่งต่อการสืบทอดสายเลือดต่อไป ในฐานะที่เป็นพระชายาหากไม่สามารถให้กำเนิดทายาทได้ก็อาจส่งผลต่อความมั่นคงในตำแหน่งขององค์รัชทายาทไปด้วย

 

ถ้าไม่ใช่จักรพรรดิถังออกมาปราม เกรงว่าเรื่องนี้คงกลายเป็นเรื่องใหญ่ไปเสียนานแล้ว

 

“หยุนเหนียง ไม่ต้องกังวลใจไป มันจะต้องมีวิธีแน่”

 

องค์รัชทายาทหลี่เชิงมองไปที่ซูเยว่หยุน อดไม่ได้ที่จะปลอบโยนนาง

 

ซูเยว่หยุนส่ายหัวเล็กน้อยเมื่อเธอได้ยินประโยคนั้น

 

วิธี?

 

ถ้ามันมีวิธีจริงๆ ไยตอนนี้ถึงยังไม่เจอหนทางใดเลยเล่า?

 

ในช่วงหลายปีที่ผ่านมามิรู้ว่ามีหมอเทวดากี่คนต่อกี่คนแล้วที่มาตรวจเยี่ยมและแม้แต่หมอประจำตัวองค์จักรพรรดิถังก็มาตรวจเยี่ยมซูเยว่หยุนด้วยตนเอง ในที่สุดจึงได้ข้อสรุปว่า ‘พลังฉีธาตุหยิน‘ เจาะทะลวงเข้าไปในร่างกายมากเกินไปและไม่สามารถดึงมันกลับออกมาได้

 

โชคดีที่หมอประจำตัวขององค์จักรพรรดินั้นภักดีต่อจักรพรรดิถังจึงไม่ได้แพร่กระจายเรื่องนี้ออกไป

 

“ถ้าเจ้าเชื่อใจข้า ลองให้ข้าตรวจสอบดู”

 

ซูฉินมองไปที่สีหน้าขององค์รัชทายาทหลี่เชิงและซูเยว่หยุน แล้วจึงพูดออกมาอย่างสบายๆ

 

“พี่สามอยากจะลองตรวจสอบดู?”

 

ซูเยว่หยุนงงงวย

 

แม้ว่านางจะเชื่อในตัวของซูฉินมาก ทว่าแม้แต่หมอเทวดาหลายคนก็ยังไม่พบเงื่อนงำใดเลย ซูฉินจะตรวจดูได้หรือ

 

“หยุนเหนียงให้พี่สามได้ตรวจสอบเถอะ”

 

องค์รัชทายาทหลี่เชิงที่อยู่ข้างๆ ดูเหมือนจะคิดอะไรบางอย่างได้ ตอนแรกเขาก็ตกใจแต่รีบกระตุ้นเตือนให้นางตอบรับทันที

 

เขานั้นพลันคิดขึ้นได้ว่าก่อนหน้านี้ ซูฉินเพียงเห็นองค์จักรพรรดิถังก็สามารถสรุปอาการได้แล้วว่าชะตากรรมคงจะอยู่ได้อีกไม่นาน

 

แม้จะไม่รู้ว่าคำพูดของซูฉินเป็นจริงหรือเท็จ แต่อย่างน้อยจักรพรรดิถังก็ไม่ได้ตำหนิอะไรในเวลานั้น

 

“ได้…”

 

ซูเยว่หยุนพยักหน้า

 

ในทันทีหลังจากนั้น

 

ซูฉินวางมือสัมผัสชีพจรของซูเยว่หยุน อันที่จริงเขากวาดผ่านร่างกายของซูเยว่หยุนทุกตารางนิ้วแล้วด้วยจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ เหตุผลที่เขาต้องตรวจสอบชีพจรก็ไม่มีอะไรมากไปกว่าเพื่อยืนยันได้แน่ใจ

 

“พลังฉีธาตุหยินเข้าสู่ร่างกาย…”

 

ซูฉินปล่อยมือแล้วส่ายหัว

 

คำที่กล่าวออกมา

 

แววตาของซูเยว่หยุนกลายเป็นว่างเปล่าอย่างเห็นได้ชัด

 

องค์รัชทายาทหลี่เชิงที่อยู่ด้านข้างก็ถอนหายใจเช่นกัน

 

เขาจำได้แม่นว่าหมอประจำตัวขององค์จักรพรรดิถังก็พูดสิ่งเดียวกันนี้

 

จากนั้นประโยคต่อมาคือ ‘ไม่สามารถชักนำกลับมาได้‘

 

อย่างไรก็ตาม

 

ในเวลาต่อมา

 

ซูฉินกล่าวคำแผ่วเบา “แค่ปัญหาเล็กๆ”

 

หลังจากลงชื่อเข้าใช้ที่วัดเส้าหลินมาเกือบสามสิบปี นอกเหนือจากเคล็ดวิชาลับทั้งหลาย ซูฉินยังได้รับคัมภีร์ทางการแพทย์มาอีกมากมาย

 

ในทางหนึ่ง ซูฉินในขณะนี้ไม่ได้ด้อยไปกว่าหมอจากอาณาจักรไหนๆ ในโลกในแง่ของทักษะทางการแพทย์

 

เมื่อเทียบกับเหล่าหมอประจำตัวของจักรพรรดิแต่ละพระองค์ ซูฉินยังสามารถรักษาอาการในจุดที่ละเอียดอ่อนบอบบางที่สุดได้ด้วยจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์

 

ดังนั้นสำหรับหมอเทวดาคนอื่นๆ ด้วยธาตุหยินที่ซึมลึกอยู่ภายในกายของซูเยว่หยุนนั้นไม่สามารถนำออกมาได้ แต่ในสายตาของซูฉินมันเป็นเพียงปัญหาเล็กๆ

 

“อะไรนะ?”

 

ทันทีที่เสียงของซูฉินเงียบลง องค์รัชทายาทหลี่เชิงก็ลืมตาขึ้น เกือบจะคิดไปแล้วว่าตนได้ยินผิดไป

 

“พี่สาม ท่านว่าอะไรนะ?”

 

ซูเยว่หยุนก็ไม่เชื่อเหมือนกันและมองไปที่ซูฉินอย่างเหลือเชื่อ

 

“ข้าบอกว่าข้ารักษาได้”

 

เมื่อซูฉินพูดเช่นนี้ เขาก็หยุดไปชั่วครู่ก่อนจะพูดต่อ “ขอพู่กันกับกระดาษให้ข้าหน่อย”

 

“มานี่”

 

“เร็วเข้า จงไปเตรียมพู่กันกับกระดาษมา”

 

องค์รัชทายาทหลี่เชิงลุกขึ้นยืนในทันทีและกล่าวกับขันทีที่ยืนรออยู่ด้านข้าง

 

“ขอรับ”

 

ขันทีรีบถอยออกไป

 

จากนั้นไม่นานเขาก็นำกระดาษกับพู่กันมาวางไว้ตรงหน้าซูฉินอย่างนอบน้อม

 

ซูฉินเขียนวัตถุดิบตัวยากว่าครึ่งโหลเพื่อจดใบสั่งยา จากนั้นจึงวางพู่กันไว้ด้านข้าง

 

“ตามวัตถุดิบพวกนี้ให้ต้มเป็นซุปดื่มหนึ่งชามตอนเช้าและตอนเย็นอีกหนึ่งชาม จัดหามาให้เพียงพอสำหรับสามสิบวัน”

 

ซูฉินกล่าวคำเบาๆ

 

ความจริงใบสั่งยานี้ก็เป็นเพียงของบังหน้า เมื่อซูฉินตรวจสอบชีพจรของซูเยว่หยุนเมื่อครู่เขาก็ได้ใช้แก่นแท้แห่งพลังขับไล่พลังฉีธาตุหยินส่วนใหญ่ออกจากร่างกายนางไปเรียบร้อยแล้ว

 

หากไม่ใช่เพราะกังวลว่าร่างกายของซูเยว่หยุนจะไม่สามารถทานทนได้ ซูฉินจะรักษาอย่างตรงจุดไปเลยโดยที่ไม่ต้องใช้ใบสั่งยานี้เพื่อกำจัดพลังหยินที่เหลืออยู่อย่างช้าๆ เช่นนี้หรอก

Sign in Buddha’s palm 100 คณะทูตจากหนานหมิง

 

 

“มีใครบางคนมาที่นี่แล้วเช่นนั้นหรือ?”

 

ในศาลบรรพชน หัวใจของชายชราสั่นรัวราวกับพายุ

 

ทั้งยุทธภพรู้เพียงว่ามีจ้าวกงกงขันทีชุดม่วงข้างกายองค์จักรพรรดิถังที่อยู่ในจุดสูงสุดของชั้นที่หนึ่งภายในวังหลวง แต่ความเป็นจริงนั้น นอกจากจ้าวกงกงแล้วยังมีผู้ดูแลศาลบรรพชนที่ทำหน้าที่มาหลายสิบปี นั่นก็เป็นยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสูงสุด

 

ราชวงศ์ถังก่อตั้งมานานกว่าห้าร้อยปี ปฐมจักรพรรดิก็เป็นถึงตำนานยุทธ แม้ว่าเขาจะข้ามน้ำข้ามทะเลไปจากที่นี่แล้ว และไม่รู้ว่ายังมีชีวิตอยู่หรือไม่ แต่ภูมิหลังของอาณาจักรถังก็ยากลึกหยั่งถึง

 

ในที่แจ้งจ้าวกงกงเป็นคนควบคุมดูแลทุกอย่างและในที่มืดเป็นผู้ดูแลศาลบรรพชนกำลังมองดูทุกสิ่งด้วยสายตานิ่งเฉย

 

เรื่องที่ผู้ดูแลศาลบรรพชนเป็นถึงยอดฝีมือระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสูงสุด นั่นก็เพราะภูมิหลังอันแข็งแกร่งของราชวงศ์ถัง แม้แต่ตัวจักรพรรดิถังองค์ปัจจุบันก็ยังไม่ทราบเรื่องนี้

 

ไม่ใช่เท่านั้น ผู้ดูแลศาลบรรพชนยังแตกต่างไปจากจ้าวกงกง

 

จ้าวกงกงภักดีต่อจักรพรรดิถัง และยอมสละชีวิตได้เพื่อพระองค์

 

แต่ผู้ดูแลศาลบรรพชนนั้นต่างออกไป

 

ไม่ใช่องค์จักรพรรดิถังที่ผู้ดูแลศาลบรรพชนจงรักภักดีด้วย แต่เป็นทั้งราชวงศ์ถัง

 

ตราบใดที่อาณาจักรถังยังคงอยู่ ยังคงมีรัชทายาทเป็นราชนิกุลสกุลหลี่ ผู้ดูแลศาลบรรพชนก็จะไม่ออกหน้า

 

“เป็นไปไม่ได้”

 

“ในรั้วในวัง ใครจะแอบเข้ามาในศาลบรรพชนเงียบๆ ได้?”

 

ผู้ดูแลศาลบรรพชนหนังศีรษะชาวาบ มองตรงไปยังกระถางธูปตรงหน้า

 

รู้หรือไม่ว่าเขาเฝ้าอยู่หน้าศาลบรรพชนและไม่เห็นใครแอบเข้ามาสักคน แต่ตอนนี้กลับได้กลิ่นไม้จันทน์จากกระถางธูปในศาลบรรพชน

 

นี่หมายความว่าเช่นไร?

 

นี่หมายความว่ามีใครบางคนเดินเข้าไปในศาลบรรพชนต่อหน้าต่อตาเขาแล้วเอาไม้จันทน์มาจุดที่นี่?

 

เป็นไปได้เช่นไร?!!

 

เขาเป็นถึงยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสูงสุด การที่เขาคอยดูแลที่นี่อยู่ แม้ว่าจะมีมดคลานเข้ามาเขาก็ต้องรับรู้ทุกอย่างได้

 

แต่นี่ถึงกลับมีคนแอบเข้ามาทั้งยังเอาไม้จันทน์มาวางไว้ด้วย…

 

ด้วยการกระทำที่เด่นชัดขนาดนี้ ผู้ดูแลศาลบรรพชนที่อยู่ใกล้ๆ กลับไม่รู้เรื่องอะไรเลย และหากไม่ใช่เพราะกลิ่นไม้จันทน์ที่ยังจางไปไม่หมด เขาอาจจะไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามีคนแอบเข้ามาในศาลบรรพชน

 

“เป็นไปได้หรือไม่ว่าคนผู้นั้นคือระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสมบูรณ์?”

 

ผู้ดูแลศาลบรรพชนก้มหน้าขบคิด ในที่สุดก็ปัดความคิดนั้นทิ้งไป

 

ความแข็งแกร่งของระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสมบูรณ์นั้นมากกว่าขั้นสูงสุดแน่นอน…

 

อย่างไรก็ตาม เขาเป็นถึงจุดสูงสุดของระดับชั้นที่หนึ่งที่ผ่านการแปรสภาพมาถึงสองครั้ง ถึงจะไม่ได้ยอดเยี่ยมเทียบเท่าขั้นสมบูรณ์ แต่ขั้นสมบูรณ์ก็ไม่สามารถผ่านหน้าเขาไปได้โดยที่เขาไม่ได้รับรู้อะไรเลยแบบนี้

 

“ปัญหากำลังมาแล้ว”

 

“มังกรที่แท้จริงได้เข้ามาในวังหลวงแล้ว…”

 

ผู้ดูแลศาลบรรพชนบ่นพึมพำ

 

แม้เขาจะไม่รู้ว่าผู้ใดที่เข้าไปในศาลบรรพชน แต่เขาก็รู้สึกได้ว่าอีกฝ่ายไม่ควรมีความมุ่งร้าย

 

ในสายตาของผู้ดูแลศาลบรรพชน ท้ายที่สุดแล้วหากมันไม่ได้เป็นอย่างที่เข้าคาดเดาจริงๆ เว้นแต่ปฐมจักรพรรดิที่ข้ามน้ำข้ามทะเลไปตั้งแต่ห้าร้อยปีก่อนจะกลับมา ทั้งพระราชวังคงเหลือเพียงแค่ซากปรักหักพังไปแล้ว…

 

แต่ความเป็นจริงคือพระราชวังถังยังคงเหมือนเดิมและไม่มีสิ่งใดเปลี่ยนแปลงไป

 

 

 

พระราชวังตะวันออก

 

ร่างของซูฉินปรากฏขึ้นอย่างเงียบเชียบ

 

“จริงสิ”

 

“หลังจากที่ข้าจุดไม้จันทน์ตอนนั้น ข้าก็ไม่ได้สนใจมันอีกเลย ถ้าผู้ดูแลศาลบรรพชนคนนั้นกลับเข้าไปในศาลบรรพชนตอนนั้นเขาจะสังเกตเห็นอะไรรึเปล่านะ?”

 

ซูฉินแตะไปที่คางและขี้เกียจเกินกว่าจะคิดอีกต่อไป

 

สำหรับซูฉินแม้ผู้ดูแลศาลบรรพชนจะพบว่ามีคนเข้าไปในศาลบรรพชนจริงๆ แล้วมันจะอย่างไร?

 

ด้วยความแข็งแกร่งในระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสูงสุด เป็นไปไม่ได้ที่จะสร้างแม้รอยขีดข่วนบนตัวซูฉิน

 

“อย่างไรก็ตาม ด้วยหยดน้ำจิตวิญญาณธรรมชาติก็ไม่จำเป็นที่จะต้องก่อตั้ง [ค่ายกลสวรรค์เขตแดนพิสุทธิ์] อีกต่อไป…”

 

ซูฉินคิดอยู่ภายในใจ

 

หน้าที่หลักของค่ายกลสวรรค์เขตแดนพิสุทธิ์คือรวบรวมพลังฟ้าดินในรัศมีหลายลี้ หลายสิบลี้ เพื่อเพิ่มความว่องไวในการบ่มเพาะ

 

แต่ตอนนี้ หลังจากลงชื่อเข้าใช้และได้รับหยดน้ำจิตวิญญาณธรรมชาติ ซูฉินก็ไม่ต้องการพลังฟ้าดินอีกเลย

 

สิ่งเดียวที่เขาใช้ในตลอดขั้นตอนการบ่มเพาะก็คือหยดน้ำจิตวิญญาณธรรมชาติอันนี้

 

ด้วยความที่มันเป็นสมบัติที่เกิดขึ้นมาจากพลังฟ้าดิน หยดน้ำจิตวิญญาณธรรมชาติมีความบริสุทธิ์และไม่จำเป็นต้องให้ซูฉินมากลั่น สามารถดูดซึมได้เลย

 

ในแง่ของคุณภาพที่ช่วยส่งเสริมการบ่มเพาะ หยดน้ำจิตวิญญาณธรรมชาติอยู่เหนือกว่าพลังฟ้าดินไปเยอะ

 

โดยไม่ต้องสงสัย

 

ที่ซูฉินไม่ใช้ค่ายกลสวรรค์เขตแดนพิสุทธิ์เพราะมันรวบรวมพลังฉีได้แค่ไม่กี่สิบลี้โดยรอบ

 

หากวันหนึ่งซูฉินสามารถจัดตั้งค่ายกลสวรรค์เขตแดนพิสุทธิ์ที่รวบรวมพลังฟ้าดินจากหลายพันหลายหมื่นลี้หรือครอบคลุมไปทั้งทวีป อันนั้นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง

 

ปริมาณนั้นจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในเชิงคุณภาพ

 

หากสามารถรวบรวมพลังฟ้าดินหลายหมื่นลี้มาไว้ในที่เดียว ผลที่ได้ย่อมทรงพลังและไม่เลวร้ายไปกว่าหยดน้ำจิตวิญญาณธรรมชาติ หรือบางทีอาจจะมากกว่าเสียอีก

 

เวลาต่อมา ซูฉินใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการลงชื่อเข้าใช้ในวังหลวง บางครั้งซูเยว่หยุนน้องสาวของเขาก็จะเรียกเขาไปรับประทานอาหารที่ถูกปรุงอย่างพิถีพิถันจากห้องเครื่องของราชวงศ์ และบางครั้งเขาก็จะได้เข้าพบองค์จักรพรรดิถัง

 

นับตั้งแต่ตอนที่มี ‘คำพูดอันยอดเยี่ยม‘ ครั้งล่าสุดนั้น จักรพรรดิก็ดูจะชื่นชอบซูฉินมากขึ้นและมักจะถามคำถามอยู่บ่อยครั้ง

 

ซูฉินเป็นคนไม่ค่อยจะอดทนกับเรื่องนี้เท่าไหร่ จึงมักจะตอบกลับไปไม่กี่คำอย่างไม่ใส่ใจนัก

 

เขามาที่พระราชวังถังเพื่อลงชื่อเข้าใช้ ไม่ใช่เพื่อมาสร้างความสำราญใจให้องค์จักรพรรดิถัง

 

เวลาผ่านเลยไป สองเดือนผ่านพ้นไปในพริบตา

 

ในช่วงสองเดือนมานี้ซูฉินได้ลงชื่อเข้าใช้ในส่วนเล็กๆ ของวัง และได้รับของกลับมาเป็นจำนวนมาก

 

ในวันนี้ซูฉินกำลังเดินอย่างช้าๆ ไปตามถนนภายในพระราชวัง

 

ด้วยสถานะที่ปรึกษาควบคู่ไปกับสถานะ ‘พี่เขยคนเล็ก‘ ขององค์รัชทายาทหลี่เชิง ซูฉินสามารถไปที่ไหนก็ได้ในพระราชวังตะวันออก และแม้กระทั่งออกจากพระราชวังตะวันออกได้ตราบที่เขาไม่ย่างกรายเข้าไปใกล้เขตพระราชฐาน เขาก็จะไม่ถูกสอบสวนแต่ประการใด

 

ตอนนี้ซูฉินกำลังนึกอยู่ว่าวันนี้เขาจะลงชื่อที่ไหนดี

 

คนกลุ่มหนึ่งก็เดินสวนเขาไปอย่างรวดเร็ว

 

เมื่อพิจารณาจากเครื่องแต่งกายของคนกลุ่มนี้ เห็นได้ชัดว่าไม่ได้มาจากราชวงศ์ถังและมีขันทีในวังเป็นผู้นำทาง

 

นอกจากขันทีแล้ว ยังมีทหารของอาณาจักรกลุ่มเล็กๆ คอยติดตามมาด้วย ดูเหมือนจะคอยปกป้องพวกเขา แต่แท้จริงก็เป็นการแอบเฝ้าติดตามคนกลุ่มนี้อยู่ในที

 

“กลุ่มทูตจากหนานหมิง?”

 

ซูฉินมองผ่านๆ และพบสัญลักษณ์บนเสื้อผ้าของคนกลุ่มนี้ที่พอจะยืนยันตัวตนของพวกเขาได้

 

ในโลกนี้อาณาจักรต่างๆ อยู่ร่วมกันซึ่งต้าถังเป็นอาณาจักรที่เจริญรุ่งเรืองที่สุด ครอบครองที่ราบตอนกลางอันกว้างใหญ่ ในขณะที่ทางตอนใต้ของอาณาจักรถังเป็นพื้นที่ใกล้ทะเลถูกปกครองโดยอาณาจักรหนานหมิง

 

จักรพรรดิหมิงรุ่นนี้นั้นทั้งเก่งและยอดเยี่ยม ตั้งแต่ที่พระองค์ทรงขึ้นครองราชย์เขาก็ได้กำจัดราชวงศ์ชิงจนสิ้นและรวบรวมแผ่นดินเป็นปึกแผ่น จนบัดนี้ก็ผ่านมายี่สิบปีแล้ว ตอนนี้อาณาจักรหนานหมิงเหมือนกับเหล็กหนาที่เป็นหนามทิ่มแทงความมั่นคงของอาณาจักรถัง

 

นอกจากนี้จักรพรรดิหมิงยังได้จัดตั้งหน่วยงาน ‘องครักษ์เสื้อแพร[1]‘ เพื่อแอบตรวจสอบอาณาจักรต่างๆ เรียกได้ว่าเป็นหน่วยข่าวกรองระดับโลก แม้แต่อาณาจักรเหมิ่งหยวนซึ่งครอบครองทุ่งหญ้าอันกว้างใหญ่ทางตอนเหนือก็ยังมีสายลับของ ‘องครักษ์เสื้อแพร‘ แทรกซึมอยู่

 

แม้การสู้รบระหว่างอาณาจักรจะสร้างความโกรธเกรี้ยว และผู้นำของแต่ละประเทศจะร้อนใจจนอยากจะบดขยี้อีกฝ่าย แต่ในหน้าฉากนั้นอาณาจักรถังก็ต้องไว้หน้ากลุ่มทูตจากหนานหมิง

 

บทบาทหลักของกลุ่มทูตพวกนี้ก็คือรักษาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือเพื่อส่งข่าวส่งข้อมูลบางอย่าง

 

ความคิดของซูฉินแปรปรวนและกวาดจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ออกไป

 

“เอ๋?”

 

ซูฉินดูเหมือนจะค้นพบบางสิ่ง สายตาของเขาจับจ้องไปที่กลุ่มทูตของอาณาจักรหนานหมิงอีกครั้งหนึ่งและร่องรอยความประหลาดใจก็ฉายออกมาจากดวงตาของเขา

 

 

—————————————————

[1] 锦衣卫 จินยี่เว่ย์ หรือองครักษ์เสื้อแพร

เป็นหน่วยงานที่ทำหน้าที่คล้ายตำรวจลับซึ่งเกิดขึ้นในสมัยราชวงศ์หมิง มีหน้าที่รับใช้ราชสำนัก องครักษ์เสื้อแพรได้ถูกก่อตั้งขึ้นครั้งแรกโดยจักรพรรดิหงหวู่ ปฐมจักรพรรดิแห่งราชวงศ์หมิง
พวกเขาได้รับอำนาจในกระบวนการยุติธรรมในการดำเนินคดีโดยมีอิสระเต็มที่ในการจับกุมสอบสวนและลงโทษผู้ใดก็ตามรวมไปถึงขุนนางและพระญาติของจักรพรรดิด้วย

หน่วยองครักษ์เสื้อแพรมักถูกมอบหมายให้รวบรวมหน่วยข่าวกรองทางทหารที่เกี่ยวข้องกับศัตรูและการมีส่วนร่วมในการต่อสู้ระหว่างการวางแผน ทหารของหน่วยจะสวมชุดเครื่องแบบสีเหลืองทองที่โดดเด่นด้วยแผ่นป้ายชื่อที่สวมติดบนลำตัวของพวกเขาและถืออาวุธดาบพิเศษ

Sign in Buddha’s palm 99 คงต้องขอยืมใช้สถานที่ของเจ้าสักหน่อย แค่มาบอกให้รู้ไว้

 

 

ในห้องโถงเฉิงเอิน

 

องค์รัชทายาทหลี่เชิงกะพริบตาปริบๆ

 

ทีแรกหลังจากที่ซูฉินพูดว่า “ชะตากำลังจะสิ้นสุดลง” เขาก็เตรียมพร้อมรับความโกรธเกรี้ยวของฝ่าบาทแล้ว

 

แต่ผลที่ได้…

 

ฝ่าบาทกลับไม่โกรธ แต่ให้รางวัลตอบแทนเสียอย่างนั้น?

 

นี่…

 

องค์รัชทายาทหลี่เชิงรู้สึกเหลือเชื่ออย่างมาก

 

“พี่สาม พี่เป็นอะไรของพี่?”

 

ซูเยว่หยุนยังไม่ฟื้นจากความตกใจได้มากนัก “ท่านเพิ่งพูดว่าฝ่าบาท…”

 

“ข้าใช้เวลาอยู่ในวัดเส้าหลินมานานและได้เรียนรู้วิชาการแพทย์อยู่บ้าง”

 

ซูฉินนึกเหตุผลขึ้นมาได้โดยบังเอิญ “จากรูปลักษณ์ของจักรพรรดิถัง เขากำลังจะตายจริงๆ”

 

เมื่อซูเยว่หยุนได้ยินสิ่งนี้ นางก็จ้องหน้ากันกับองค์รัชทายาทหลี่เชิง โดยไม่ทันตั้งตัวคลื่นลูกใหญ่ก็ก่อตัวขึ้นในจิตใจของทั้งคู่

 

ฉะนั้นซูเยว่หยุนและองค์รัชทายาทหลี่เชิงไม่ได้สังเกตด้วยซ้ำว่าซูฉินเรียกองค์จักรพรรดิถังว่าจักรพรรดิถัง ไม่ใช่ฝ่าบาท

 

‘ฝ่าบาท‘ เป็นคำเรียกที่ผู้ต่ำศักดิ์ใช้เรียกผู้บังคับบัญชาและอาจสื่อความหมายในเชิงการยอมจำนน

 

อย่างไรก็ตามองค์จักรพรรดิถังก็คงจะเพียงมองเฉยๆ และไม่ได้สนใจเรื่องพวกนี้เลย

 

 

หลังออกมาจากห้องโถงเฉิงเอิน ซูฉินก็เดินอย่างช้าๆ ไปตามถนนภายในวังหลวง

 

“จักรพรรดิถังนี่ค่อนข้างน่าสนใจ”

 

ซูฉินนึกถึงจี้หยกพระราชทานและทองคำกว่าร้อยแท่งที่องค์จักรพรรดิพระราชทานมาให้

 

“แต่เขาก็ใกล้ตายเต็มทน…”

 

ซูฉินส่ายหัวเล็กน้อย ไม่ได้ใส่ใจอะไรนัก

 

แม้ว่าจะมียอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสูงสุดที่คอยยื้อชีวิตจักรพรรดิถังต่อไปอยู่โดยไม่คำนึงที่สิ่งที่ต้องแลกมา แต่นั่นมันก็ยังคงไร้ประโยชน์

 

 

ซูฉินกลับสู่ชีวิตประจำวันเหมือนช่วงเดือนที่ผ่านมาอีกครั้ง

 

วังหลวงนั้นสะอาดสะอ้าน เงียบสงบ ซูฉินได้รับการหนุนหลังจากองค์รัชทายาท ตราบใดที่เขาไม่เริ่มก่อปัญหาก็แทบไม่มีใครกล้าสร้างความเดือดร้อนให้แก่เขา

 

ตกดึก

 

พระจันทร์ลอยสูงเด่น

 

“ก่อนที่ข้าจะออกจากวัดเส้าหลิน ข้าบรรลุอรหันต์ระดับนภาชั้นที่สามขั้นสมบูรณ์แล้ว”

 

“สาเหตุที่ยังไม่เริ่มการตัดผ่านในช่วงนี้เพราะข้ารู้สึกว่ายังมีความเสี่ยงมากเกินไปในการเปลี่ยนจากนภาชั้นที่สามเข้าสู่นภาชั้นที่สี่”

 

ซูฉินนั่งไขว้ขา คิดอยู่ในใจเงียบๆ

 

นภาชั้นที่สามของขอบเขตอรหันต์ไปสู่นภาชั้นที่สี่ข้องเกี่ยวกับการปรับเปลี่ยนคุณสมบัติบางอย่าง มันไม่เหมือนกับตอนที่ทะลวงระดับนภาชั้นที่หนึ่งไปนภาชั้นที่สองและจากนภาชั้นที่สองไปยังระดับนภาชั้นที่สาม ที่ฝ่าไปได้อย่างง่ายๆ

 

“คงต้องรอสักพักและดูว่าจะลงชื่อเข้าใช้แล้วได้รับ [คัมภีร์เก้าอิมจินเก็ง[1] มาไหม]

 

ซูฉินค่อยๆ ลุกขึ้นเดินออกจากห้องใต้หลังคาและเหม่อมองขึ้นไปบนฟ้า

 

ตอนที่เขาอยู่ในขั้นวิทยายุทธทั้งเก้าระดับชั้น ซูฉินได้ฝึกกายาวัชระคงกระพันและวิชาขัดเกลากายาจันทราเพื่อปรับแต่งร่างกายด้วยพลังหยินสุดขีดหยางสุดขั้วจนร่างกายแข็งแกร่งอย่างมาก

 

มันทำให้อายุขัยของซูฉินทะยานขึ้นไปอีก

 

ตอนนี้ซูฉินก้าวเข้าสู่ขอบเขตอรหันต์แล้ว และก่อนที่จะทะลวงขั้นนภาชั้นที่สี่ เขาต้องการที่จะทำเช่นเดิมซ้ำอีกครั้งในรูปแบบเดียวกับตอนที่อยู่ในขั้นวิทยายุทธทั้งเก้าระดับชั้น

 

เพราะอย่างไรก็ตาม สำหรับซูฉินในปัจจุบันวิชากายาวัชระคงกระพันและขัดเกลากายาจัทราได้หมดประโยชน์ไปเสียนานแล้ว

 

เกรงว่ามีเพียงแต่วิชาเก้าสุริยันและวิชาเก้าอิมจินเก็งที่เมื่อฝึกร่วมกันเท่านั้นจึงจะเกิดประโยชน์ในตอนนี้

 

น่าเสียดาย

 

ซูฉินได้รับคัมภีร์เก้าสุริยันมาก่อนแล้วจากการลงชื่อเข้าใช้ที่วัดเส้าหลิน

 

แต่คัมภีร์เก้าอิมจินเก็ง…

 

“ไม่ต้องรีบ”

 

“ค่อยเป็นค่อยไป”

 

ความคิดของซูฉินพลิกผันไปมา

 

แม้ว่าการฝึกวิทยายุทธไม่จำเป็นต้องเดินตามเส้นทางของหยินผสานหยาง แต่ซูฉินก็ตระหนักได้ผ่านดวงตาแห่งสัจจะว่าเขาเหมาะที่จะฝึกทั้งหยินและหยางด้วยกันมากที่สุด

 

ถ้าเขาฝึกฝนเพียงเก้าสุริยันหรือขัดเกลากายาจันทราอย่างใดอย่างหนึ่งเพียงอย่างเดียว อาจไม่เห็นปัญหาในช่วงสั้นๆ แต่อันตรายที่ซ่อนอยู่จะค่อยๆ เผยออกมาในช่วงหลังของการฝึกฝน

 

เมื่อถึงจุดนั้นมันก็หันหลังกลับไม่ได้เสียแล้ว

 

“จริงสิ”

 

“วันนี้โอกาสในการลงชื่อเข้าใช้กลับมาอีกแล้ว”

 

“ครั้งนี้จะลงชื่อที่ไหนดีนะ?”

 

ซูฉินก้าวไปข้างหน้าและหายตัวไปจากสถานที่นั้น

 

เมื่อซูฉินปรากฏตัวอีกครั้ง เขาก็ยืนอยู่หน้าวิหารขนาดใหญ่เสียแล้ว

 

“ศาลบรรพชนของอาณาจักรถัง?”

 

ดวงตาของซูฉินสงบนิ่งและค่อยๆ ก้าวเท้าเข้าไปด้านใน

 

“เอ๋?”

 

ซูฉินเหมือนจะรู้สึกได้ถึงบางอย่าง สายตาของเขาจดจ้องไปยังชายชราที่เฝ้าศาลบรรพชนอย่างรวดเร็ว

 

ชายชราผู้นี้ทั้งผมและเคราเป็นสีขาวทั้งหมด ยืนตัวโงนเงนราวกับเขาจะถูกลมพัดล้มลงไปได้ทุกเมื่อ

 

ศาลบรรพชนขนาดใหญ่เช่นนี้ถูกปกป้องไว้ด้วยชายชราเพียงคนเดียว

 

“ไม่คาดคิดเลยว่าอาณาจักรถังจะมีภูมิหลังมากมายเพียงนี้…”

 

ซูฉินเหลือบมองชายชรา สีหน้าของเขาก็ครุ่นคิด

 

ชายชราคนนี้อาจจะซ่อนตนเองได้จากทุกคนในวัง แม้กระทั่งยอดฝีมืออย่างขันทีชุดม่วง

 

แต่ในสายตาของซูฉินเขาพบเบื้องลึกเบื้องหลังของอีกฝ่ายทันที

 

น่าประหลาดใจที่อีกฝ่ายถึงกับเป็นยอดยุทธในระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสูงสุด

 

แต่สำหรับซูฉินนั้น ไม่ต้องพูดถึงยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสูงสุด แม้แต่ระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสมบูรณ์ก็ไม่นับเป็นตัวอะไร

 

“เข้าไปลงชื่อในศาลบรรพชนดีกว่า”

 

ซูฉินก้าวเท้าไปด้านหน้าและเข้าไปในศาลบรรพชน

 

แสงในศาลบรรพชนมืดสลัวเป็นอย่างมาก แต่ทุกมุมกลับสะอาดและเป็นระเบียบ เห็นได้ชัดว่ามีคนทำความสะอาดอยู่ทุกวัน

 

“ระบบ ลงชื่อเข้าใช้”

 

ซูฉินกล่าวคำในใจเงียบๆ

 

[ขอแสดงความยินดี โฮสต์ลงชื่อเข้าใช้สำเร็จ ได้รับ ‘วิชาราชันล้างพิภพ‘ ]

 

เสียงจักรกลเย็นชาดังขึ้นในหูของซูฉิน

 

“วิชาราชันล้างพิภพ?”

 

ซูฉินขมวดคิ้ว

 

เวลาต่อมา

 

ทุกอย่างที่เกี่ยวกับวิชาราชันล้างพิภพก็เอ่อเข้ามาในจิตใจของซูฉิน

 

วิชาราชันล้างพิภพเป็นเคล็ดวิชาวิถีเต๋าจักรพรรดิที่เมื่อฝึกจนถึงขีดสุดแล้วจะเข้าสู่ขอบเขตตำนานยุทธในทันที

 

เล่าลือกันว่าปฐมจักรพรรดิของราชวงศ์ถังได้ฝึกฝนวิชาราชันล้างพิภพและยึดครองยุทธภพได้ในที่สุด และด้วยความช่วยเหลือจากโชคชะตาบ้านเมืองเขาจึงก้าวเข้าสู่ขอบเขตอันทรงพลัง สุดท้ายเขาก็ออกข้ามน้ำข้ามทะเลไปตามหาดวงแสงแห่งอายุวัฒนะ

 

“แม้ว่านี่มันจะไม่ได้มีประโยชน์กับข้าก็ตาม”

 

“แต่แนวคิดภายในตัววิชาสามารถนำมาใช้อ้างอิงต่อยอดได้”

 

ซูฉินนึกคิดอย่างรอบคอบถี่ถ้วน ความคิดแปรปรวนไปหลากหลาย

 

ในขอบเขตของซูฉินตอนนี้นั้น เขาไม่ได้เดินอยู่บนเส้นทางที่ถูกตีกรอบอีกต่อไป แต่จำต้องศึกษาแนวทางนับร้อยเพื่อหาหนทางของตนเอง

 

“ไม่เลว”

 

“เป็นเคล็ดวิชาที่น่าสนใจมาก”

 

ซูฉินพยักหน้าเล็กน้อยและออกความเห็นเกี่ยวกับวิชาราชันล้างพิภพ

 

“ปฐมจักรพรรดิราชวงศ์ถัง”

 

ซูฉินหันเหสายตาและมองไปยังจุดสูงสุดของศาลบรรพชน มีป้ายไม้ที่เป็นของบรรพชนผู้ยิ่งใหญ่ในราชวงศ์ถังอย่างปฐมจักรพรรดิ

 

แม้ว่าปฐมจักรพรรดิแห่งราชวงศ์ถังจะข้ามน้ำข้ามทะเลไปแล้วและไม่ทราบว่ายังมีชีวิตอยู่หรือไม่ แต่เหล่าจักรพรรดิรุ่นก่อนๆ ก็ยังคงเคารพบูชาปฐมจักรพรรดิพระองค์นี้

 

“ข้าแค่จะบอกว่า ขอยืมใช้พื้นที่ของเจ้าเสียหน่อยนะ”

 

เพียงแค่ซูฉินคิด ไม้จันทน์ชิ้นหนึ่งก็ลอยไปตกลงในกระถางธูป

 

ฟู่ว!

 

ไม้จันทน์ติดไฟได้เองและมีควันสีเขียวจางๆ ลอยขึ้นมา

 

“ได้เวลากลับแล้ว”

 

ร่างของซูฉินพลันหายไปจากสถานที่นั้น

 

หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วโมง

 

ชายชราที่ทำหน้าที่เฝ้าศาลบรรพชนก็เดินเข้าไปในศาลบรรพชนอย่างช้าๆ

 

“ปฐมจักรพรรดิ เกือบห้าร้อยปีแล้วนะที่ท่านจากไป…”

 

ชายชราถอนหายใจเบาๆ หยิบไม้จันทน์ขึ้นมาด้วยท่าทางเคร่งขรึม และเตรียมจะใส่ลงในกระถางธูปเพื่อเคารพปฐมจักรพรรดิ

 

นี่คือสิ่งที่เขากระทำอยู่ทุกวันตลอดหกสิบปีที่ผ่านมา โดยไม่ขาดตกบกพร่องตั้งแต่เขาเริ่มรับหน้าที่ดูแลศาลบรรพชนนี้

 

อย่างไรก็ตาม

 

ในช่วงเวลาต่อมา

 

เขาก็ต้องตกตะลึง

 

แม้ว่ากระถางธูปตรงหน้าจะไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนแปลงไป แต่อย่างไรชายชราก็ยังได้กลิ่นไม้จันทน์

 

กลิ่นของมันเบาบางจนแทบจะจับไม่ได้

 

ถ้าเป็นคนธรรมดาย่อมจะไม่รู้ตัว

 

แต่ในสายตาของชายชรานี่ราวกับสายฟ้าฟาดลงมา

 

ทันใดนั้นเหงื่อเย็นก็ไหลซึมมาตามหน้าผากของชายชรา หลังที่โค้งลงเพราะกำลังหมอบกราบพลันยืดตรง

 

“มีคนมาที่นี่แล้วเช่นนั้นหรือ?”

 

ชายชราพลันเงยหน้าขึ้นมองไปรอบๆ ดวงตาของเขากะพริบด้วยความตกใจสุดขีด

 

 

———————————————-

[1] 九阴真经 คัมภีร์เก้าอิมจินเก็ง หรือ จิ่วหยินเจินจิง เป็นสุดยอดคัมภีร์ในจักรวาลมังกรหยกของกิมย้ง

Sign in Buddha’s palm 98 ชะตาคงจะถึงฆาตในไม่ช้า

 

 

“จะเกียจคร้านไม่ได้ จะมาพอใจกับเรื่องแบบนี้ไม่ได้”

 

“ยังมีอีกหลายส่วนในวังที่ข้ายังไม่ได้ลงชื่อเข้าใช้”

 

ซูฉินคิดในใจอย่างเงียบๆ พยายามระงับความคิดในใจตน

 

แม้ด้วยความแข็งแกร่งของเขาจะใช้เวลาเพียงไม่นานในการสำรวจพระราชวัง แต่โอกาสในการลงชื่อเข้าใช้มีเพียงวันละครั้งเท่านั้น

 

ต้องการลงชื่อเข้าใช้ครั้งหนึ่ง ก็ออกไปหนึ่งที

 

“คำนวณจากเวลาแล้วนั้น”

 

“คงจะต้องใช้เวลาประมาณครึ่งปีในการลงชื่อเข้าใช้จนครบทุกที่ในวังหลวงกระมัง?”

 

ซูฉินคิดคำนวณในใจ

 

 

ในวันนั้นเอง

 

ซูเยว่หยุนได้ขอให้ซูฉินรับประทานอาหารค่ำร่วมกับนางและองค์ชายหลี่เชิง

 

ซูฉินไม่ได้ปฏิเสธแต่อย่างใด อย่างไรเสียโอกาสในการลงชื่อเข้าใช้ของเขาในครั้งนี้ก็ถูกใช้หมดไปแล้ว ตอนนี้เขาไม่มีธุระอะไรให้ต้องไปทำ

 

ไม่นานนัก

 

ซูฉินมาถึงที่ห้องโถงเฉิงเอิน

 

ห้องโถงเฉิงเอินเป็นสถานที่ประทับส่วนพระองค์ขององค์ชายหลี่เชิงในพระราชวังตะวันออก

 

องค์ชายหลี่เชิงและซูเยว่หยุนได้รอคอยอยู่นานแล้วก่อนที่ซูฉินจะมาถึง

 

“พี่เขย มาเร็วเข้า”

 

องค์รัชทายาทหลี่เชิงกวักมือเรียกซูฉิน เขาปฏิบัติตนกับซูฉินโดยที่ไม่ได้มีสง่าราศีเหมือนกับองค์รัชทายาท แต่เป็นกันเองเหมือนญาติแท้ๆ

 

“พี่สาม ช่วงที่อยู่ในวังนี้เป็นเยี่ยงไรบ้าง?”

 

หลังจากที่ซูฉินนั่งลง ซูเยว่หยุนก็ถามด้วยความเป็นกังวล

 

แม้ว่าทุกอย่างภายในวังจะยอดเยี่ยม แต่มันหดหู่และเย็นชาจนเกินไปเป็นเหตุให้สองพี่น้องอย่างซูเฉิงฮ่าวและซูเฉิงยู่คิดว่าการเข้าร่วมกองทัพเป็นสิ่งที่ดีกว่า

 

สำหรับคนที่ชอบความสดชื่นมีชีวิตชีวานั้น การทำงานในวังก็ไม่ต่างกับการอยู่ในคุก

 

นั่นเป็นเหตุผลให้ซูเยว่หยุนถามคำถามนี้ขึ้นมา

 

“เป็นเยี่ยงไรบ้างงั้นรึ?”

 

ซูฉินนึกไปถึง [หยดน้ำจิตวิญญาณธรรมชาติ] [เคล็ดวิชาลับยืดอายุ] [กายาหยกขาว] [ทักษะดึงดูดดารา] และสมบัติชิ้นอื่นๆ อย่างรวดเร็ว ในที่สุดก็พยักหน้าและพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “มันดีเยี่ยม!”

 

“ถ้าพี่เขยสามคุ้นชินกับมันก็ดียิ่งแล้ว”

 

องค์รัชทายาทหลี่เชิงพยักหน้าเล็กน้อยและกล่าวออกด้วยรอยยิ้ม “ก่อนหน้านี้ข้ายังคุยกับหยุนเหนียงอยู่เลยว่าพี่สามจะสามารถปรับตัวเข้ากับวังหลวงได้หรือไม่…”

 

ระหว่างที่องค์รัชทายาทหลี่เชิงพูดอยู่นั้นเขาก็ตบศีรษะตนแล้วรีบพูดขึ้นว่า “พี่เขยสาม เร็วเถอะ อาหารวันนี้ถูกจัดเตรียมอย่างพิถีพิถันโดยห้องเครื่องขององค์จักรพรรดิ ปกติแล้วจะไม่สามารถหาทานได้”

 

องค์รัชทายาทหลี่เชิงแนะนำในทันที

 

แต่ซูฉินก็ไม่ได้สนใจเรื่องนี้เท่าไหร่นัก

 

นับตั้งแต่บรรลุระดับ‘อรหันต์‘ เขาก็เข้าสู่สถานะเดียวกับเทพเซียนที่อิ่มทิพย์สูบกินพลังฉีแทนอาหารและไม่จำเป็นต้องเติมเต็มพลังงานชีวิตด้วยการดื่มกินอาหารเข้าไป

 

แต่ไม่จำเป็นต้องกินก็ไม่ได้หมายความว่าซูฉินจะกินไม่ได้

 

ขณะนั้นเอง

 

ข้าราชบริพารหญิงรีบเดินเข้ามา

 

“ฝ่าบาท องค์จักรพรรดิเสด็จมาถึงแล้ว”

 

คำที่กล่าวออกมา

 

ท่าทีขององค์รัชทายาทหลี่เชิงได้เปลี่ยนไปเล็กน้อย

 

“ท่านพ่อมาที่นี่งั้นหรือ?”

 

องค์รัชทายาทหลี่เชิงกำลังจะลุกขึ้นไปรับเสด็จ

 

ก็พบว่าองค์จักรพรรดิถังเดินเข้ามาแล้วและโบกมือพร้อมกล่าวว่า “ไม่จำเป็นต้องมากพิธี ข้าเพียงมาเยี่ยมดูเท่านั้น”

 

“ตามประสงค์”

 

องค์รัชทายาทหลี่เชิงรีบสละที่นั่งของตนเองให้กับจักรพรรดิถังแล้วเปลี่ยนไปนั่งด้านข้างแทน

 

“ชายหนุ่มผู้นี้เป็นใครกันรึ?”

 

องค์จักรพรรดิถังหันไปมองซูฉิน

 

องค์รัชทายาทหลี่เชิงรีบตอบทันที “ฝ่าบาท ท่านนี้คือพี่ชายสามของน้องหยุน เขาเพิ่งมาถึงฉางอันไม่นานมานี้ เหตุนี้ฝ่าบาทจึงไม่เคยเห็นเขามาก่อน”

 

“อืม เป็นตระกูลซูนี่เอง…”

 

จักรพรรดิถังพยักหน้าและไม่ได้ถามอะไรมาก

 

อย่างไรก็ตามเมื่อซูฉินมองไปที่องค์จักรพรรดิ คิ้วของก็ย่นเข้าหากันเล็กน้อย

 

เพราะซูฉินรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าร่างกายของจักรพรรดิถังใช้งานมาจนถึงขีดสุดแล้ว ถ้าว่ากันตามเหตุผลแม้จะเป็นยอดฝีมือในระดับชั้นที่สามก็สมควรจะตายไปแล้ว

 

“ใช่เป็นเพราะเขาหรือไม่?”

 

ซูฉินกวาดสายตามองไปยังขันทีชุดม่วงที่ยืนก้มหน้าอยู่ข้างองค์จักรพรรดิ

 

ด้วยสายตาของซูฉิน ไม่แปลกที่จะพบว่าขันทีผู้นี้เป็นถึงยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสูงสุด

 

เขาเป็นยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสูงสุดที่มีการแปรสภาพทั้งร่างกายและจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์

 

“น่าเสียดาย…”

 

ซูเฉินเพียงเหลือบมองไปที่ขันทีชุดม่วงชั่วครู่ จากนั้นก็ไม่ได้มองอีกไปมากกว่านั้น

 

แม้ขันทีชุดม่วงจะแปรสภาพร่างกายและจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของตนเรียบร้อยแล้ว แต่เขาก็ไม่สามารถบรรลุการแปรสภาพจนสมบูรณ์ไปตลอดชีวิต เป็นเพราะร่างกายที่ไม่สมบูรณ์ของเขา

 

หากกล่าวถึงจอมมารและนักพรตจางที่พอจะมีความเป็นไปได้เล็กน้อยที่จะเข้าสู่ขั้นสมบูรณ์ของระดับชั้นที่หนึ่ง แต่กับขันทีชุดม่วงผู้นี้ไม่ได้มีความหวังอันนั้นเหลืออยู่เลย

 

“เคล็ดวิชาลับยืดอายุ?”

 

ซูฉินเบิกเนตรดวงตาแห่งสัจจะแล้วจึงเข้าใจในทันทีว่าทำไมองค์จักรพรรดิถังจึงยังทรงมีชีวิตอยู่แม้ว่าร่างกายแทบจะว่างเปล่าไปแล้วก็ตาม

 

ร่างขององค์จักรพรรดิถังน่าจะหมดสิ้นอายุขัยไปแล้ว แต่ถูกขันทีชุดม่วงยื้อชีวิตเอาไว้พร้อมกับใช้เคล็ดวิชาลับในการยืดอายุขัยอย่างต่อเนื่อง

 

กล่าวอีกนัยหนึ่ง สิ่งที่องค์จักรพรรดิถังใช้อยู่ตอนนี้มิใช่พลังชีวิตของตนเอง แต่เป็นพลังชีวิตของขันทีชุดม่วง

 

ยิ่งจักรพรรดิถังมีอายุยาวนานขึ้นเท่าไหร่ พลังชีวิตของขันทีชุดม่วงก็ยิ่งเหลือน้อยลงเท่านั้น

 

เมื่อตระหนักถึงเรื่องนี้ ซูฉินก็มองไปที่ขันทีชุดม่วง

 

แม้ว่าจะเป็นญาติสนิท แต่ก็มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่สามารถแลกชีวิตของตนเองให้คนอื่นได้ ไม่ต้องพูดถึงความแข็งแกร่งของขันทีชุดม่วงเลย ไม่มีใครสามารถบังคับให้เขาใช้เคล็ดวิชาลับนี้ได้

 

“แต่มันก็ไร้ความหมาย…”

 

ซูฉินส่ายหัวเล็กน้อย

 

เคล็ดวิชาลับยืดอายุขัยเป็นวิชาที่ซับซ้อนมาก การสูญเสียพลังให้กับสื่อกลางก็มหาศาล การที่จักรพรรดิถังมีชีวิตอยู่นานขึ้นหนึ่งปี พลังชีวิตของขันทีชุดม่วงจะเสียไปสามถึงห้าปี

 

นอกจากนี้

 

ซูฉินยังสามารถเห็นอีกว่า แม้ขันทีชุดม่วงจะเต็มใจใช้พลังชีวิตของตนเองเพื่อช่วยองค์จักรพรรดิถังยืดอายุขัย

 

แต่ขณะนี้องค์จักรพรรดิถังก็คงไม่สามารถมีชีวิตอยู่ต่อได้อีกนานเท่าไหร่

 

เมื่อซูฉินกำลังคิดเรื่องนี้

 

องค์จักรพรรดิก็ได้นั่งลงแล้ว

 

“อา ใช่แล้ว ไวน์ชนิดนี้เป็นของหาได้ยากยิ่ง”

 

ดวงตาของจักรพรรดิถังสว่างขึ้นทันใดและยกแก้วขึ้นกำลังจะจิบ

 

“ฝ่าบาท ได้โปรดดูแลสุขภาพร่างกายด้วย…” องค์รัชทายาทหลี่เชิงกระวนกระวายใจและรีบปรามในทันที

 

“ดูแลร่างกาย?”

 

“ร่างกายข้าแย่เช่นนั้นหรือ?”

 

จักรพรรดิถังวางแก้วลง ขมวดคิ้วแล้วมองไปยังซูฉินที่นั่งนิ่งเงียบ “เจ้าเป็นพี่ชายสามของหยุนเอ๋อ บอกข้าทีซิว่าร่างกายของข้าเป็นอย่างไรบ้าง?”

 

ซูฉินเงยหน้าขึ้นมององค์จักรพรรดิถังแล้วก็พยักหน้า สักพักก็ส่ายหัว

 

“เอ๋?”

 

“หมายความว่าเช่นไร?”

 

จักรพรรดิถังถามด้วยความสนใจ

 

“ท่านอยากรู้จริงๆ หรือ?” ซูฉินกล่าวขึ้นอย่างลวกๆ

 

“แน่นอน”

 

จักรพรรดิถังพยักหน้า

 

ซูฉินเงียบไปชั่วขณะและกล่าวขึ้นว่า “ชะตากำลังจะสิ้นสุดในไม่ช้า”

 

ด้วยคำที่กล่าวออกมา

 

ห้องโถงเฉิงเอินก็ตกอยู่ในความเงียบงัน

 

แม้จะเป็นองค์รัชทายาทหลี่เชิงแต่ดวงตาของเขาเองก็เบิกกว้างและมองไปทางซูฉินด้วยความไม่อยากเชื่อ

 

เขาไม่คาดคิดว่าซูฉินจะกล้าพูดเช่นนี้ต่อหน้าองค์จักรพรรดิ

 

“ฝ่าบาท เขาไม่ได้ตั้งใจ…”

 

องค์รัชทายาทหลี่เชิงกำลังจะเตรียมขอพระราชทานอภัยแทนซูฉิน

 

ในตอนนั้นเอง

 

“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า”

 

จักรพรรดิถังก็หัวเราะขึ้นมา

 

“น่าสนใจ”

 

“ช่างน่าสนใจจริงๆ…”

 

ร่องรอยเย้ยหยันปรากฏขึ้นบนใบหน้าของจักรพรรดิถัง “ไม่คาดคิดเลยว่าเรื่องที่ขนาดข้าราชบริพาร เหล่าทหารนายกอง และขุนนางยังไม่กล้าพูด แต่คนหนุ่มเช่นนี้กลับกล้าพูดออกมา…”

 

จักรพรรดิถังหัวเราะสักพักและไอออกมาสองสามครั้ง อารมณ์ของเขาก็ค่อยๆ ผ่อนคลายลง

 

“มานี่สิ”

 

จักรพรรดิถังลดเสียงลง

 

“พะย่ะค่ะ ฝ่าบาท”

 

ขันทีผู้น้อยเดินไปยืนอย่างเคารพนบนอบที่ด้านข้างขององค์จักรพรรดิ

 

“ในเมื่อกล้าที่จะพูด ก็ต้องได้รับรางวัล!”

 

จักรพรรดิมองดูซูฉินอย่างลึกซึ้ง ลุกขึ้น และเดินออกจากห้องโถงเฉิงเอิน

 

“ตามพระบัญชา”

 

ขันทีชั้นผู้น้อยโค้งคำนับเล็กน้อยก่อนออกจากห้องโถงไปและกลับมาหลังจากหายไปไม่นานพร้อมกับพูดขึ้นด้วยเสียงอันดังว่า “ตามพระบัญชาขององค์จักรพรรดิ เจ้าได้รับรางวัลเป็นทองคำหนึ่งร้อยแท่ง และจี้หยกพระราชทานหนึ่งชิ้น”

 

องค์รัชทายาทและซูเยว่หยุนมองหน้ากัน ได้แต่นิ่งเงียบ ไม่มีการตอบสนองใดอยู่เป็นเวลานาน

Sign in Buddha’s palm 97 วังหลวงอันมั่งคั่ง

 

 

ในที่สุดซูฉินก็ตกลงตามข้อเสนอของซูเยว่หยุน

 

จุดประสงค์ในการมาเยือนเมืองฉางอันในครั้งนี้แต่เดิมก็เพื่อหาสถานที่ลงชื่อเข้าใช้แห่งใหม่ที่ไม่สามัญธรรมดาอยู่แล้ว และเมื่อมองไปทั่วทั้งฉางอันก็มีเพียงวังหลวงของอาณาจักรแห่งนี้เท่านั้นที่สามารถมี ‘เต๋าสะสม‘ จำนวนมากได้

 

ท้ายที่สุดเมืองหลวงอันเก่าแก่อย่างฉางอันที่อยู่ยั้งยืนยงมาตั้งสิบราชวงศ์ ก็ถูกบูรณะซ่อมแซม สร้างใหม่หลายต่อหลายครั้งหลังจากผ่านเวลามาหลายพันปี มีเพียงวังหลวงเท่านั้นที่ได้รับการอนุรักษ์ไว้จนถึงปัจจุบันนี้

 

ด้วยความแข็งแกร่งของซูฉินในขณะนี้ เว้นไว้แต่มีตำนานยุทธอยู่ภายในรั้วในวัง การแอบเข้าไปภายในก็ทำได้ง่ายเหมือนกับเพียงการกินดื่มอาหาร

 

แต่อย่างน้อยการมีตำแหน่งตัวตนก็ทำให้ซูฉินมีเหตุผลที่จะเข้าออกจากวังได้อย่างอิสระในอนาคต

 

“ได้เลย”

 

“ข้าจะคุยกับฝ่าบาทเมื่อข้ากลับไปคืนนี้”

 

ซูเยว่หยุนกังวลใจอย่างมากเกี่ยวกับการงานของพี่ชายสามของเธอ และหลังจากกลับไปที่พระราชวังตะวันออกเธอก็แจ้งให้องค์ชายหลี่เชิงทราบ

 

องค์ชายหลี่เชิงตอบตกลงโดยไม่มีแม้แต่ความลังเลใจ

 

เนื่องจากซูฉินเป็นพี่ชายคนที่สามของซูเยว่หยุน นั่นก็คือ ‘พี่เขยคนเล็ก‘ หลี่เชิงย่อมยึดถือเป็นคนในครอบครัว เป็นธุระส่วนตัวที่เขาจะไม่ปฏิเสธ

 

วันถัดมา ซูฉินย้ายเข้าไปในพระราชวังตะวันออกโดยไม่มีอุปสรรคใด

 

และเพื่อที่จะ ‘เอาอกเอาใจ‘ พี่เขยอย่างซูฉิน องค์ชายหลี่เชิงได้จัดแจงตำหนักชุนฝั่งขวาของพระราชวังตะวันออกให้แก่ซูฉิน

 

“สมแล้วที่เป็นเมืองหลวงเก่าแก่ถึงสิบราชวงศ์ แทบจะสมบูรณ์แบบไปเสียหมดทั้งในแง่การวางผังและด้านอื่นๆ…”

 

ซูฉินยืนอยู่ในห้องใต้หลังคาของตำหนักชุนฝั่งขวา มองไปที่วังหลวงทั้งหมดและแอบพยักหน้าเล็กน้อยภายในใจ

 

เมื่อเทียบความแตกต่างกับวัดเส้าหลิน วังหลวงเป็นสถานที่คนละรูปแบบกัน ทั้งสง่างามและทรงอำนาจ ทุกซอกทุกมุมเผยให้เห็นความสูงส่งของอาณาจักร

 

“หวังว่าเจ้าจะไม่ทำให้ข้าผิดหวัง…”

 

แววจางๆ ที่สื่อถึงความคาดหวังปรากฏขึ้นในดวงตาของซูฉิน

 

 

เวลาผ่านเลยไป

 

หนึ่งเดือนผ่านไปในพริบตา

 

หนึ่งเดือนมานี้ซูฉินก็ไปเยี่ยมชมในพื้นที่ส่วนเล็กๆ ภายในราชวัง

 

แน่นอนว่าซูฉินไม่ได้คาดหวังอะไรมาก

 

แต่วังหลวงก็ยังมีที่ให้เขาลงชื่อเข้าใช้ได้

 

และสิ่งที่สร้างความประหลาดใจให้กับซูฉิน สถานที่ลงชื่อเข้าใช้ในวังหลวงนั้นมีมากกว่าวัดเส้าหลินเสียอีก

 

ในวัดเส้าหลิน สถานที่ที่ซูฉินลงชื่อเข้าใช้ซ้ำได้หลายๆ ครั้ง คือ หอคอยสะกดมาร ศาลาพระคัมภีร์ และลานโพธิ์

 

แต่ในวังหลวง อย่างน้อยก็มีสถานที่ถึงห้าแห่งที่ซูฉินสามารถลงชื่อเข้าใช้ได้อย่างต่อเนื่อง

 

ที่กล่าวว่าอย่างน้อยก็เพราะพระราชวังนั้นมีขนาดใหญ่โตเกินไป

 

ยังมีอีกหลายสถานที่ที่ซูฉินไม่ได้ไปลงชื่อเข้าใช้ ดังนั้นจึงบอกได้เพียงว่า อย่างน้อยที่สุด

 

สถานที่ปัจจุบันที่ซูฉินได้ลงชื่อเข้าใช้ ได้แก่ ห้องโถงชีวิตนิรันดร์ หอชมดาว ตำหนักไท่จี๋[1] จัตุรัสหยกขาว แท่นบูชาเทพธรณีและการเก็บเกี่ยว[2] และสถานที่อื่นๆ

 

ตัวอย่างเช่น ในห้องโถงชีวิตนิรันดร์ ซูฉินลงชื่อเข้าใช้และได้รับคัมภีร์ [เคล็ดวิชาลับยืดอายุ]

 

[เคล็ดวิชาลับยืดอายุ] เป็นความรู้เฉพาะทางของลัทธิเต๋า โดยอ้างว่าสามารถรวบรวมพลังฉีเพื่อเพิ่มอายุขัยหรือยืดอายุให้ยืนยาวออกไปได้

 

ในทุกรอบร้อยปี จะมีข่าวเกี่ยวกับคนที่โชคดี ได้รับเคล็ดวิชาลับยืดอายุ และสามารถยืดอายุของพวกเขาออกไปได้เป็นสิบปี หรือแม้กระทั่งร้อยปี

 

สิ่งที่น่าเสียดายก็คือ เกณฑ์ในการเข้าถึง [เคล็ดวิชาลับยืดอายุ] นั้นสูงเกินเป็น จำเป็นต้องมีร่างกายที่มีศักยภาพเข้าถึงธรรมชาติจึงจะสามารถเข้าใจความหมายอันลึกซึ้งของความเป็นหนึ่งเดียวกันของมนุษย์และสวรรค์ภายในคัมภีร์ [เคล็ดวิชาลับยืดอายุ] และมีอายุยืนยาวขึ้นได้

 

แต่ก็เท่านั้น ร่างกายที่มีศักยภาพเข้าถึงธรรมชาติหายากเพียงใดกัน? บางทีอาจจะมีหนึ่งในล้านคน หายากเทียบเท่าได้กับการจะหายอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งสักหนึ่งคน

 

กล่าวอีกนัย แม้ว่าจะมีคนได้รับ [เคล็ดวิชาลับยืดอายุ] ไป แต่ก็มีโอกาสที่จะไม่สามารถเริ่มต้นฝึกได้อยู่สูงมาก

 

แต่ซูฉินแตกต่างออกไป

 

ด้วยการฝังข้อมูลของระบบ เกณฑ์ในการเข้าถึง[เคล็ดวิชาลับยืดอายุ] สามารถถูกละเลยไปได้

 

ในคืนที่ได้รับ [เคล็ดวิชาลับยืดอายุ] มา ซูฉินก็เริ่มฝึกมันไปเรียบร้อยแล้ว

 

ในเดือนถัดมา ซูฉินได้ฝึกฝน [เคล็ดวิชาลับยืดอายุ] ไปอย่างรวดเร็วและยืดอายุขัยของตนเองไปอีกสองร้อยปีด้วยอาศัยพลังของระดับอรหันต์

 

“อายุขัยอีกสองร้อยปี…”

 

ท่าทีของซูฉินเต็มไปด้วยความสุข

 

อายุขัยสองร้อยปีผนวกกับอายุขัยแปดร้อยปีเมื่อเข้าถึงระดับอรหันต์ ตราบใดที่ไม่มีเหตุร้ายแรงเกิดขึ้น ซูฉินสามารถมีชีวิตอยู่ได้เป็นพันปี

 

ซึ่งสิ่งนี้เป็นเพียงกรณีที่ว่าซูฉินไม่ได้ก้าวหน้าอีกเลยในหนึ่งพันปีข้างหน้า

 

“หนึ่งพันปี…”

 

ซูฉินดูเต็มไปด้วยอารมณ์ความรู้สึก

 

แม้แต่ราชวงศ์ถังก็มีประวัติศาสตร์ยาวนานกว่าห้าร้อยปีแล้ว ด้วยอายุขัยของซูฉินเทียบเป็นสองเท่าของสองยุคราชวงศ์ถัง

 

“ไม่เลวไม่เลว”

 

ซูฉินพอใจมาก

 

สิ่งเดียวที่น่าเสียดายก็คือเกณฑ์ในการเข้าถึง [เคล็ดวิชาลับยืดอายุ] นี้สูงเกินกว่าคนหมู่มากจะฝึกได้ แม้ว่าซูฉินจะฝึกจนประสบความสำเร็จจนถึงขีดสุด แต่ก็เป็นไปไม่ได้สำหรับคนอื่นที่จะเรียนรู้จนเชี่ยวชาญวิชาทางเต๋านี้

 

นอกเหนือจากที่ได้รับ [เคล็ดวิชาลับยืดอายุ] จากห้องโถงชีวิตนิรันดร์แล้ว

 

ซูฉินยังลงชื่อเข้าใช้ในหอชมดาวและได้รับ [ทักษะดึงดูดดารา]

 

 

[ทักษะดึงดูดดารา] สามารถดึงเอาพลังของดวงดารานับล้านดวงมาเปลี่ยนเป็นอาวุธสังหารหรือสิ่งปกป้องร่างกายจากภัยอันตราย

 

แน่นอนว่า [ทักษะดึงดูดดารา] มีข้อกำหนดสำหรับผู้ใช้วิชาอยู่สูงมาก อย่างน้อยที่สุดก็ต้องเป็นยอดปรมาจารย์ที่สามารถกลั่นจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ได้แล้วจึงจะมีคุณสมบัติเพียงพอที่จะฝึก

 

และแม้ว่าจะเป็นยอดปรมาจารย์ที่กลั่นจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ได้ แต่ก็เพียงดึงพลังจากดวงดาวมาใช้ได้แค่ไม่กี่ดวง ผลของทักษะก็ไม่ได้มากมายอะไรนัก

 

“มันมีผลเฉกเช่นเดียวกับวิชาขัดเกลากายาจันทรา”

 

ซูฉินแตะปลายคาง ดวงตาดูครุ่นคิด

 

วิชาขัดเกลากายาจันทราสามารถรวบรวมพลังของดวงจันทร์ ในขณะที่ทักษะดึงดูดดาราคือพลังในการดึงเอาพลังงานจากดวงดาวมาใช้

 

บางทีคนอื่นอาจจะคิดว่าดวงจันทร์ก็คือดวงจันทร์ ส่วนดวงดาวก็คือดวงดาว ทั้งสองหาใช่สิ่งเดียวกันไม่

 

แต่ซูฉินรู้ดี ไม่ว่าจะดวงจันทร์ หรือแม้แต่ดวงอาทิตย์ดวงโตที่อยู่บนฟากฟ้า ก็เป็นเพียงดวงดาวดวงหนึ่งจากดาวนับพันนับล้านดวง

 

ความแตกต่างของพวกมันไม่มีอะไรมากไปกว่าระยะทาง

 

นอกจากนี้

 

ซูฉินได้ลงชื่อเข้าใช้ที่จัตุรัสหยกขาว ได้รับ [กายาหยกขาว] และลงชื่อเข้าใช้ที่แท่นบูชาเทพธรณีฯ ได้รับ [หยดน้ำจิตวิญญาณธรรมชาติ] และสิ่งอื่นๆ กลับมา

 

[กายาหยกขาว] เป็นวิชาขัดเกลาร่างกายที่คล้ายคลึงกับ [กายาวัชรคงกระพัน]

 

ดังนั้นซูฉินจึงไม่สนใจมันเท่าไหร่นัก ด้วยร่างกายของเขาในปัจจุบัน แม้จะฝึก[กายาหยกขาว]จนถึงความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ มันก็จะไม่มีการพัฒนาใดเกิดขึ้น

 

แต่กลับเป็น [หยดน้ำจิตวิญญาณธรรมชาติ] ที่ได้มาจากแท่นบูชาเทพธรณีฯ ที่สร้างความยินดีอันล้นปริ่มให้กับซูฉิน

 

[หยดน้ำจิตวิญญาณธรรมชาติ] เป็นของเหลววิเศษที่เกิดขึ้นมาจากพลังฟ้าดิน มันหายากมาก โดยมากจะพบเจอโดยอรหันต์หรือตำนานยุทธที่ท่องไปทั่วยุทธภพและโชคดีเจอสักหนึ่งหรือสองหยด

 

แต่ผลของ [หยดน้ำจิตวิญญาณธรรมชาติ] ก็ยิ่งใหญ่ไม่น้อย มันสามารถสร้างความก้าวหน้าให้การบ่มเพาะระดับอรหันต์ได้อย่างมาก

 

ซูฉินลองกลืนหยดน้ำไปหนึ่งหยดหลังจากลงชื่อเข้าใช้และได้รับ [หยดน้ำจิตวิญญาณธรรมชาติ] มา และผลลัพธ์ก็คือความแข็งแกร่งเพิ่มขึ้นในทันที หากซูฉินไม่ระงับเอาไว้ได้ทันเวลาและต้องการจะรอจนกว่าจะมั่นใจเต็มที่ก่อนการตัดผ่านขอบเขต เกรงว่าเขาคงทะลุไปถึงอรหันต์ในระดับนภาชั้นที่สี่แล้ว

 

“แต่ละหยดของ [หยดน้ำจิตวิญญาณธรรมชาติ] อาจเปรียบได้กับโอสถอายุวัฒนะเคลือบทองคำถึงสิบเม็ด และมันยังเป็นรูปแบบที่ไม่จำเป็นต้องใช้เวลาในการดูดซับ”

 

ซูฉินประหลาดใจ

 

รู้หรือไม่ว่าหลังจากบ่มเพาะพระสูตรอมิตาภาบรรพกาล ซูฉินยังต้องใช้เวลาหลายวันในการดูดซับตัวยาในโอสถอายุวัฒนะเคลือบทองคำจนเสร็จสมบูรณ์

 

แต่[หยดน้ำจิตวิญญาณธรรมชาติ]นั้นต่างออกไป ไม่เพียงมีประสิทธิภาพที่มากกว่าโอสถอายุวัฒนะเคลือบทองคำถึงสิบเท่า แต่ยังช่วยซูฉินประหยัดเวลาในการย่อยตัวยาไปได้มาก

 

ถ้าเป็นเช่นนี้การเลื่อนระดับพลังของซูฉินจะรวดเร็วจนน่ากลัว

 

“ยังมีอะไรอีกมากมายที่รอให้ข้าได้ไปพบเห็น”

 

“ถ้ายังอยู่ในวัดเส้าหลินต่อไป คงจะไม่ได้เห็นสมบัติอันทรงคุณค่าเช่นนี้…”

 

ซูฉินอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา

 

 

——————————————-

[1] 太极殿 ไท่จี๋เตี้ยน หรือตำหนักอัครธุวมณฑล เป็นหมู่พระตำหนักที่อยู่ฝั่งตะวันออก (เรียกว่า ตงลิ่วกง มีทั้งสิ้นหกตำหนัก ซึ่งอ้างอิงจากประวัติศาสตร์ยุคหลัง ไม่ทราบเช่นกันว่าภายในยุคสมัยราชวงศ์ถังเป็นอย่างไร และในนิยายยังเป็นโลกคู่ขนานที่มีการวมหลายราชวงศ์อีกต่างหาก)

[2] 社稷坛เซ่อจี้ถาน แท่นบูชาเทพธรณีและการเก็บเกี่ยว

Sign in Buddha’s palm 96 หลังจากสามสิบปีให้หลัง เขายังดูหนุ่มแน่น!

 

 

โคมไฟในเมืองฉางอันยังคงสว่างไสว

 

ซูฉินยังยืนอยู่ที่เดิม ไพล่มือไว้ด้านหลัง ดวงตาสงบนิ่ง มุมปากยกยิ้มให้กับซูเยว่หยุนและสมาชิกตระกูลซูคนอื่นๆ

 

เมื่อเขามาถึงเมืองฉางอันในครั้งนี้ จุดประสงค์หลักก็เพื่อตามหาสถานที่ที่เหมาะสมสำหรับลงชื่อเข้าใช้ จากนั้นจึงค่อยมาพบหน้าตระกูลซู

 

“เจ้าคือ?!”

 

เมื่อซูเยว่หยุนเห็นซูฉิน ดวงตาของนางก็เบิกกว้าง รู้สึกว่าชายที่อยู่ตรงหน้านั้นคุ้นมากแต่นึกไม่ออกว่าเป็นใคร

 

ซูเยว่หยุนอายุเพียงสามขวบตอนที่ซูฉินได้เข้าสู่วัดเส้าหลิน ตอนนี้เวลาผ่านไปกว่าสามสิบปี ความทรงจำในวัยเด็กของเธอค่อนข้างรางเลือน

 

“เจ้าคือ…”

 

“เจ้าคือฉินเอ๋อใช่หรือเปล่า?”

 

ซูชื่อหมินกล่าวถามด้วยเสียงสั่นเครือ

 

แตกต่างจากซูเยว่หยุน ซูชื่อหมินจำซูฉินได้ทันที เขาเห็นซูฉินครั้งสุดท้ายก็เมื่อยามที่ซูฉินไปเข้าร่วมกับวัดเส้าหลินตอนอายุได้สิบขวบ ตอนนี้ขนคิ้วของซูฉินยาวขึ้นมาเล็กน้อย

 

แม้จะผ่านมาแล้วกว่าสามสิบปี ซูชื่อหมินก็ยังจำภาพของซูฉินในวัยสิบขวบได้จนถึงตอนนี้

 

“ฉินเอ๋อ?”

 

“นี่คือน้องสามงั้นหรือ?”

 

ทั้งสองพี่น้องอย่างซูเฉิงฮ่าวและซูเฉิงยู่มองหน้ากันอย่างเหลือเชื่อ

 

“เป็นข้าเอง” ซูฉินกล่าวตอบเบาๆ

 

“เป็นน้องสามจริงๆ”

 

“น้องสาม เจ้ามาถึงฉางอันตั้งแต่เมื่อไหร่?”

 

สองพี่น้องตระกูลซูวิ่งเข้าไปหาซูฉินทันที มองขึ้นๆ ลงๆ ความรู้สึกครึ่งหนึ่งก็ประหลาดใจ อีกครึ่งหนึ่งก็มีความสุขยิ่ง

 

“ฉินเอ๋อเรื่องมันเป็นมาอย่างไร?”

 

ซูชื่อหมินเดินไปข้างหน้าและมองไปยังซูฉินด้วยสายตาที่ไม่อยากจะเชื่อ

 

เมื่อคำถามนี้กล่าวออก สองพี่น้องทั้งซูเฉิงฮ่าวและซูเฉิงยู่ต่างก็มองไปที่ซูฉินอย่างสงสัยใคร่รู้

 

“ข้าอยู่วัดเส้าหลินมาเกือบสามสิบปีแล้วและไม่อยากอยู่ที่นั่นอีกต่อไป ดังนั้นจึงออกมาเสียเลย…”

 

ซูฉินกล่าวอย่างใจเย็น

 

“ไม่อยากจะอยู่ต่ออีกต่อไป…”

 

ซูเฉิงฮ่าวและซูเฉิงยู่มองหน้ากันด้วยความรู้สึกไม่อยากจะเชื่อ วัดเส้าหลินเป็นหนึ่งในสุดยอดพรรคแห่งยุทธภพและมีข่าวลือเมื่อไม่กี่ปีก่อนว่า มีอรหันต์กำเนิดขึ้นที่นั่น ในเมื่อเป็นเช่นนี้จะปล่อยให้ศิษย์วัดออกมาได้ง่ายๆ ได้อย่างไร?

 

“ฉินเอ๋อ บอกพ่อมาตรงๆ ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเจ้าบ้าง เจ้าหนีออกมาหรือไม่?”

 

ท่าทีของซูชื่อหมินเปลี่ยนไป ในที่สุดเขาก็ถามออกอย่างเคร่งขรึม

 

นี่คือสิ่งที่ซูชื่อหมินกังวลมากที่สุดเพราะกลัวว่าซูฉินจะเลือกทางผิด ก็รู้อยู่ว่าภูมิหลังในปัจจุบันของวัดเส้าหลินเป็นเช่นไร หากซูฉินทำอะไรพลั้งพลาดในวัดเส้าหลินขึ้นมา ใครจะปกป้องเขาได้?

 

“ท่านพ่อ ถ้าข้าทำอะไรผิดมาจริงๆ ข้าจะออกจากวัดเส้าหลินมาได้อย่างไรเล่า?”

 

ซูฉินส่ายหัวและกล่าวคำ

 

เมื่อซูชื่อหมินได้ยินเช่นนั้น ท่าทีของเขาก็ผ่อนคลายลงทันที

 

จริงแท้แน่นอน

 

ตอนนี้เขาจะกังวลอย่างไร้เหตุผลไปไย? หากไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าอาวาส ซูฉินจะออกมาได้หรือ?

 

“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า”

 

“คาดไม่ถึงว่าเทศกาลโคมไฟในวันนี้จะเป็นวันที่ครอบครัวของพวกเรากลับมาพร้อมหน้ากันอีกครั้ง…”

 

ซูชื่อหมินอยู่ในอารมณ์ที่ดียิ่ง

 

“ฉินน้อย เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าตระกูลซูของเราได้ย้ายมาฉางอันแล้ว?” ซูเฉิงฮ่าวถามด้วยความสงสัย

 

“นี่…” ซูฉินเตรียมคำตอบเอาไว้แล้วและพูดว่า “ก่อนหน้านี้ข้ากลับไปที่เยี่ยนเฉิงมา และได้ยินจากคนที่นั่นว่าพวกเจ้าย้ายมาที่นี่แล้ว”

 

“เป็นเช่นนี้เอง”

 

ซูชื่อหมินพยักหน้าเล็กน้อย

 

เรื่องที่ตระกูลซูย้ายออกจากคังโจวไม่ได้เป็นความลับแต่อย่างใด ไม่ว่าถามใครก็ย่อมให้คำตอบได้

 

“ฉินน้อย ครานี้ตระกูลของเราเป็นใหญ่เป็นโตแล้ว เจ้าลองทายสิว่าน้องสาวของเจ้าแต่งงานกับใคร? องค์รัชทายาทเชียวนะ”

 

“ตระกูลซูของพวกเราตอนนี้ถือเป็นพระญาติขององค์จักรพรรดิแล้ว”

 

ซูเฉิงยู่กำลังอิ่มเอมใจ จึงเล่าเหตุการณ์ต่างๆ นานาให้ซูฉินฟังทันที

 

“พี่ชายสาม”

 

ใบหน้าสะสวยของซูเยว่หยุนเต็มไปด้วยความสุข

 

พวกเขาคุยกันไปสักพัก ทั้งซูเฉิงฮ่าวและซูเฉิงยู่ผลัดกันถามคำถาม

 

หลังจากการสนทนานี้ทุกคนก็ไม่สงสัยในตัวตนของซูฉินอีกต่อไป

 

หากบังเอิญจริงๆ ที่จะมีคนสองคนที่หน้าคล้ายกันบนโลกนี้ คนที่รู้เกี่ยวกับตระกูลซูมากขนาดนี้ย่อมเป็นซูฉินตัวจริงเสียงจริงแน่ๆ

 

มีบางเรื่องที่ไม่ใช่แค่เฉพาะซูฉิน แม้แต่ซูเฉิงฮ่าวหรือซูเฉิงยู่ก็ลืมเลือนไปแล้ว

 

“พี่ชาย เวลาก็ผ่านไปตั้งหลายปี ทำมีท่านดูเด็กจังเลย…”

 

ซูเยว่หยุนมองไปที่ซูฉินด้วยความอิจฉา

 

ซูฉินถูกส่งตัวไปวัดเส้าหลินตอนอายุสิบขวบ และตอนนี้เวลาผ่านมาเกือบสามสิบปี ช่วงวัยนี้ของซูฉินควรจะเป็นวัยกลางคน ควรจะมีริ้วรอยแห่งวัยบ้าง

 

แต่ตอนนี้ซูฉินกลับมีดวงตาเปล่งประกายสดใส ผมดำยาว ผิวสวยราวกับหยก ดูกระฉับกระเฉงเสียยิ่งกว่าชายหนุ่มอายุยี่สิบปี

 

คนอื่นๆ ในตระกูลซูก็สังเกตเห็นสิ่งนี้เช่นกัน พวกเขาต่างประหลาดใจ

 

“บางทีการละทางโลกอยู่กับพระพุทธรูปโบราณและโคมไฟสีฟ้าในวัดเส้าหลินอาจจะช่วยชะลอวัยก็เป็นได้?” ซูฉินครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง

 

แม้ว่าระดับอรหันต์จะสามารถคงความเยาว์วัยเอาไว้ได้ แต่คนธรรมดาก็สามารถมีชีวิตยืนยาวได้เช่นกันหากพวกเขาปลีกวิเวกจากความวุ่นวายในโลกหล้า

 

“สงสัยจะเป็นจริงดังเจ้าว่า…”

 

ซูชื่อหมินถอนหายใจที่เต็มไปด้วยอารมณ์

 

สิ่งที่ซูฉินพูดนั้นสมเหตุสมผลอย่างยิ่ง แต่จะมีสักกี่คนในโลกที่สามารถละทิ้งทุกอย่างและยินดีที่จะอยู่ท่ามกลางโคมไฟสีฟ้า อยู่ใต้พระพุทธรูปโบราณ?

 

“ฉินน้อย ข้าได้ยินมาว่ามี‘อรหันต์‘กำเนิดขึ้นในวัดเส้าหลิน เจ้าเคยพบท่านบ้างไหม ในเมื่อเจ้าก็อยู่ที่นั่นมาเนิ่นนาน?”

 

ทันใดนั้นซูเฉิงฮ่าวก็นึกอะไรบางอย่างออก และถามด้วยความสนใจ

 

สำหรับพวกเขา ตำนานยุทธและระดับอรหันต์เป็นสิ่งที่อยู่ไกลเกินเอื้อม มันไม่ต่างไปจากตำนาน ถ้าไม่ใช่เพราะซูฉิน พวกเขาก็จะไม่ถามขึ้นมา

 

ดวงตาของซูชื่อหมินพลันสว่างขึ้นเมื่อได้ยินคำถามดังกล่าว “ฉินเอ๋อ เจ้าเคยเห็นผู้ทรงสมณศักดิ์ฯ หรือไม่?”

 

“ท่านเป็นคนเช่นไรกัน?”

 

เมื่อซูชื่หมินเอ่ยปากถาม แม้แต่เขาเองก็ต้องลดเสียงลงราวกับกลัวว่าอรหันต์ที่อยู่ห่างไกลจะได้ยิน

 

ซูฉินครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วกล่าวออกมาอย่างจริงจัง “ก็ไม่มีอะไรพิเศษ เกือบจะเหมือนข้าเลย”

 

เมื่อซูเฉิงฮ่าวได้ยินเช่นนั้นก็หยุดหายใจไปครู่ใหญ่ “ฉินน้อยนี่ช่างล้อเล่นได้เก่งจริงๆ”

 

สมาชิกตระกูลซูคนอื่นๆ ก็หัวเราะออกมาเบาๆ เพราะคิดว่าซูฉินน่าจะไม่เคยพบอรหันต์ในวัดเส้าหลินมาก่อน

 

“ฉินเอ๋อ อย่าได้พูดเช่นนั้นอีกในอนาคต ระดับอรหันต์นั้นมีอานุภาพมากเสียจนอาจจะรู้ว่าเจ้าพูดอะไรเกี่ยวกับท่านเข้าสักวัน…”

 

ซูชื่อหมินกล่าวตักเตือนซูฉิน

 

ไม่นานทุกคนก็กลับไปที่คฤหาสน์ตระกูลซู

 

“ว่าแต่ฉินเอ๋อเจ้ามีแผนจะทำอะไรเมื่อเจ้ากลับมาในครั้งนี้?”

 

ซูชื่อหมินลังเลอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงถาม

 

ด้วยสถานะปัจจุบันของตระกูลซู แม้ซูฉินจะไม่ได้ทำอะไรเลย แต่เขาก็สามารถเลี้ยงดูซูฉินไปได้ตลอดชีวิต

 

แต่ซูชื่อหมินเกิดมาเพื่อเป็นจอมยุทธ เขาเกลียดเด็กจากตระกูลที่ร่ำรวยที่เอาแต่ดื่มกินสนุกสนาน นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมซูเฉิงฮ่าวและซูเฉิงยู่จึงเข้าร่วมกองทัพ

 

“ฉินน้อยมาที่กองทัพสิ พี่สามารถแนะนำเจ้าให้กับท่านแม่ทัพได้” ซูเฉิงฮ่าวแนะนำในทันที

 

“นั่นไม่ดีเท่าไหร่ ฉินน้อยไม่มีพรสวรรค์ด้านวิทยายุทธ หากเข้าร่วมกับกองทัพจริงๆ ไม่เพียงยากที่จะเลื่อนขั้น แต่ยังจะถูกเหยียดหยามอีกด้วย”

 

ซูเฉิงยู่คัดค้าน

 

กฎในกองทัพนั้นเรียบง่ายและเข้มงวด ใครกำปั้นใหญ่ที่สุดย่อมเหนือกว่า

 

ด้วยรูปลักษณ์ที่ดูอ่อนแอของซูฉิน คงจะมีแต่ผู้อื่นคอยกลั่นแกล้ง

 

ซูเยว่หยุนลังเลอยู่พักหนึ่ง แต่ก็อดไม่ได้จึงพูดขึ้นว่า “ข้าจะไปเรียนถามองค์รัชทายาทว่าจะให้พี่ชายสามเข้าไปในวังได้หรือไม่?”

 

“ตอนนี้องค์รัชทายาทกำลังขาดแคลนกำลังคน พี่ชายสามสามารถไปอยู่ที่พระราชวังตะวันออกในฐานะที่ปรึกษาได้ ไม่ต้องกังวลเพียงแค่ลงนามเอาไว้เท่านั้น ไม่จำเป็นต้องทำอะไรเลย”

 

คำพูดของซูเยว่หยุนทำให้สองพี่น้องอย่างซูเฉิงฮ่าวและซูเฉิงยู่พยักหน้าเห็นด้วยจนคอแทบหลุด

 

ที่ปรึกษาขององค์รัชทายาทต้องได้เบี้ยเลี้ยงดีอย่างแน่นอน อย่างน้อยก็ดีกว่าทหารในกองทัพตั้งไม่รู้เท่าไหร่

 

“ฉินเอ๋อ เจ้าคิดเห็นอย่างไร?

 

ซูชื่อหมินก็รู้สึกค่อนข้างพอใจกับข้อเสนอนี้ และถามออกไป

 

ไม่ว่าจะเป็นสิ่งใดก็ต้องดูว่าซูฉินคิดเห็นอย่างไร หากซูฉินไม่เต็มใจ ตระกูลซูก็จะไม่บังคับ

 

“พระราชวัง…”

 

ซูฉินเงยหน้าขึ้นเล็กน้อยและมองตรงไปที่วังหลวง

Sign in Buddha’s palm 95 เทศกาลโคมไฟที่เมืองฉางอัน

 

 

เมืองฉางอัน

 

ในเวลานี้เป็นเทศกาลโคมไฟ และจะเห็นโคมไฟเปล่งประกายสว่างไสวสร้างความสวยงามให้กับเมืองฉางอันทั้งเมือง

 

ที่ด้านบนหอชมดาว

 

จักรพรรดิถังได้เชิญเหล่าขุนนางมารวมตัวกันที่นี่ นั่งจิบเหล้าเลิศรส ชื่นชมท้องฟ้าที่พร่างพราวไปด้วยโคมไฟ

 

องค์ชายทั้งหลายมารวมตัวกันที่นี่ รวมถึงองค์ชายหลี่เชิงด้วย

 

“เทศกาลช่างหยวน[1]…”

 

“ข้าไม่รู้ว่าข้าจะได้อยู่เห็นเทศกาลช่างหยวนในครั้งต่อไปหรือไม่…”

 

จักรพรรดิถังมองขึ้นไปบนท้องฟ้าพร้อมพึมพำอยู่กับตนเอง

 

“ฝ่าบาททรงอยู่ยั้งยืนยง เหตุไฉนฝ่าบาทจะไม่ได้อยู่ชมงานเทศกาลในครั้งหน้าเล่าพะย่ะค่ะ…”

 

เหล่าขุนนางต่างรีบคุกเข่าลงบนพื้น ไม่กล้าเงยหน้าขึ้นสบพระพักตร์

 

“ฮ่าฮ่า…”

 

องค์จักรพรรดิเหลือบมองไปยังคนเหล่านั้น ใบหน้าของพระองค์แสดงออกถึงอาการเย้ยหยัน “เหล่าขุนนางคงจะพูดถูก ข้าก็แค่พร่ำเพ้อไปตามอารมณ์”

 

“หยุนเหนียง ข้ารู้สึกว่าพระวรกายของพระบิดาทรงทรุดโทรมลงอีกแล้ว…” องค์ชายหลี่เชิงเหลือบมององค์จักรพรรดิแล้วกระซิบบอกซูเยว่หยุนที่อยู่ด้านข้าง

 

ใบหน้าอันงดงามของซูเยว่หยุนก็เปลี่ยนไปเล็กน้อยเมื่อได้ฟัง เธอส่ายศีรษะแล้วกล่าวว่า “เจ้าไม่สามารถพูดเรื่องเช่นนี้ที่ด้านนอกได้”

 

เจ้าชายหลี่เชิงถอนหายใจเบาๆ

 

เหตุใดเขาจะไม่รู้ความจริงข้อนี้

 

เหล่าขุนนางต่างสรรเสริญว่าบารมีของพระบิดาจะดำรงอยู่ตลอดไป แต่เขากลับรู้สึกว่าพระวรกายของท่านนั้นทรุดโทรมลง…

 

หากมีใครมาแอบได้ยินเข้า แล้วนำมันไปบอกต่อ ย่อมส่งผลเสียอย่างมากต่อตำแหน่งรัชทายาทของเขา

 

อย่างไรก็ตามหลี่เชิงให้ความสำคัญกับร่างกายขององค์จักรพรรดิถังมากกว่า

 

แม้ว่าหลี่เชิงจะรู้จักองค์จักรพรรดิเพียงไม่กี่ปี แต่เขาก็รู้สึกได้ว่าองค์จักรพรรดิปฏิบัติต่อเขาด้วยความจริงใจ

 

ทั้งแต่งตั้งให้เขาได้เป็นองค์รัชทายาท หมายมุ่งจะมอบบัลลังก์ให้เขาจริงๆ

 

องค์จักรพรรดิถังปฏิบัติอย่างจริงใจเช่นนี้ หลี่เชิงจะมีจิตใจเช่นขุนนางเหล่านั้นที่พยายามหลอกลวงองค์จักรพรรดิได้เยี่ยงไร

 

“พระองค์ทรงรู้ดียิ่งกว่าเจ้าเสียอีก”

 

ซูเยว่หยุนลังเลอยู่ครู่หนึ่งแล้วกระซิบบอก “ในห้องนี้ ใครที่ภักดี ใครที่เสแสร้ง ฝ่าบาททรงรู้ดีเสียยิ่งกว่าเจ้า”

 

“ตอนนี้เจ้าเพียงทำหน้าที่ของตนให้ดี พยายามรักษาตำแหน่งองค์รัชทายาทเอาไว้ให้มั่น ส่วนเรื่องอื่นไม่ต้องคิดให้มากความ เพราะมันไม่ได้มีประโยชน์เลยหากไปคิดถึงมัน”

 

ซูเยว่หยุนมองไปรอบๆ ลดเสียงของนางลงก่อนจะเอ่ยกล่าวอย่างรวดเร็ว

 

นับตั้งแต่ที่นางและหลี่เชิงเข้ามาในพระราชวังตะวันออก องค์จักรพรรดิถังมักจะมาเยี่ยมเยียนพวกเขาบางครั้งบางคราว แม้ซูเยว่หยุนจะไม่ได้พูดคุยกับองค์จักรพรรดิมากนัก แต่นางก็พบว่าพระองค์ชราภาพจนขาข้างหนึ่งก้าวเข้าไปอยู่ในโลงแล้ว นอกจากนี้นางยังเชื่อว่าพระองค์รู้สถานการณ์ทั้งหมดอย่างชัดเจนและทรงมองเห็นสิ่งต่างๆ ได้ละเอียดยิ่งกว่าใคร

 

เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว

 

จักรพรรดิดูไม่ได้สนใจไยดีอะไร และรีบยุติงานเลี้ยงลง

 

เหล่าเจ้าหน้าที่และข้าราชบริพารต่างพากันกลับบ้านของตน ซูเยว่หยุนลังเลอยู่พักหนึ่งก่อนจะก้มหน้าไปทางหลี่เชิงแล้วกล่าวว่า “พ่อกับแม่ของข้ากำลังรอข้าอยู่ที่บ้าน วันนี้ข้าคงไม่ได้กลับไปที่วัง”

 

“ตกลง”

 

องค์ชายหลี่เชิงพยักหน้า

 

ในช่วงเทศกาลโคมไฟ ซูเยว่หยุนต้องการจะกลับไปที่คฤหาสน์ตระกูลซูเพื่อจะได้พบกับเหล่าญาติ เขาจะรั้งนางไว้ได้อย่างไร

 

“ข้าคงไม่ได้ไปด้วย เกรงว่ามันอาจจะรบกวนเจ้าเกินไป”

 

องค์ชายหลี่เชิงนั้นมีไหวพริบ

 

ไม่ว่าจะอย่างไรเขาก็เป็นถึงองค์รัชทายาทแห่งราชสำนัก หากเขากลับไปที่คฤหาสน์ตระกูลซูพร้อมกับซูเยว่หยุน เกรงว่าตระกูลซูคงจะไม่ได้ใช้เวลาไปอย่างแสนสุขในเทศกาลโคมไฟนี้

 

หลังจากนั้นทั้งสองก็แยกจากกัน ซูเยว่หยุนมุ่งหน้าไปยังคฤหาสน์ตระกูลซู

 

เนื่องจากซูเยว่หยุนเป็นพระชายาของรัชทายาท ตระกูลซูจึงกลายเป็นพระญาติกับองค์จักรพรรดิ และได้รับพระราชทานคฤหาสน์มาจากพระองค์

 

คฤหาสน์หลังนี้ก็คือคฤหาสน์ตระกูลซู

 

“ท่านพ่อ ข้ากลับมาแล้ว”

 

ซูเยว่หยุนลงจากเกี้ยวแล้วเข้าไปในคฤหาสน์

 

“หยุนเอ๋อเจ้ากลับมาเสียที ข้ารอเจ้าอยู่นานแล้ว” ซูชื่อหมิน หัวหน้าตระกูลซูเดินมาพร้อมกับกล่าวคำต้อนรับด้วยรอยยิ้ม

 

ฮูหยินสกุลซูยืนขึ้นพร้อมกับรอยยิ้มบนใบหน้าเช่นกัน

 

“น้องเล็ก ในที่สุดเจ้าก็กลับมา”

 

สองพี่น้องตระกูลซูโบกมือทักทายให้กับซูเยว่หยุน นางเอกก็ทักทายพวกเข้ากลับไป

 

ทุกคนนั่งลงอย่างรวดเร็ว พร้อมที่จะนั่งรับประทานอาหารและพูดคุยกัน

 

“น้องเล็ก ฝ่าบาทได้เชิญเจ้าไปที่หอชมดาวเพื่อเพลิดเพลินกับโคมไฟละลานตา มันจะต้องสวยงามมากเป็นแน่ใช่หรือไม่?” ซูเฉิงฮ่าวพี่ชายใหญ่ตระกูลซูกล่าวด้วยความอิจฉา

 

หอชมดาวเป็นอาคารที่สูงที่สุดในเมืองฉางอัน ตามตำนานได้กล่าวไว้ว่าจะสามารถเห็นทิวทัศน์ทั้งเมืองฉางอันได้จากที่นั่น

 

“สวยหรือ?”

 

ซูเยว่หยุนส่ายศีรษะ “ข้าคิดว่าการชมโคมไฟที่นี่น่ะ สวยที่สุดแล้ว…”

 

“เอาล่ะ เฉิงฮ่าว น้องของเจ้าเพิ่งจะกลับมา เจ้าเป็นพี่ใหญ่ อย่าได้พูดเรื่องพวกนั้นเลยน่า”

 

ซูชื่อหมินจ้องมองไปที่ซูเฉิงฮ่าว

 

“ท่านพ่อ ไม่เป็นอันใดหรอก”

 

ซูเยว่หยุนเม้มปากและยิ้มออกมา

 

“ใช่แล้วล่ะน้องเล็ก” ในตอนนั้นเอง ซูเฉิงยู่พี่ชายคนรองก็ได้ถามขึ้นมาอย่างใคร่รู้ว่า “เจ้าชอบจี้หยกชิ้นนั้นมากเลยหรือ ข้าคิดว่ามันค่อนข้างธรรมดาไปหน่อย…”

 

ซูเฉิงยู่มองไปที่จี้หยกที่ซูเยว่หยุนห้อยอยู่ข้างเอวด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความสงสัย

 

ในความคิดของเขาจี้หยกชิ้นนี้ดูธรรมดามาก ราคาค่างวดคงไม่กี่ร้อยอีแปะ ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่นางเป็นถึงชายาขององค์รัชทายาทเลย เพียงแค่ฐานะบุตรีตระกูลซูก็จะไม่นับของชิ้นนี้เป็นสมบัติแต่อย่างใด

 

“จี้หยกชิ้นนี้…”

 

ซูเยว่หยุนมองลงมาพร้อมกับส่ายหัว “ข้าไม่รู้ว่าทำไมถึงชอบมัน ตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็นมันข้าก็อยากจะเก็บมันไว้ข้างกาย”

 

เมื่อซูเยว่หยุนพูดเรื่องนี้ก็หยุดไปครู่หนึ่งแล้วพูดต่อ “ข้ารู้สึกว่าตราบใดที่สวมใส่จี้หยกชิ้นนี้เอาไว้ ข้าจะปลอดภัยและมีแต่ความสุข”

 

คำอธิบายของซูเยว่หยุนทำให้ซูเฉิงยู่ถึงกับทำอะไรไม่ถูก “น้องเล็ก เจ้าถูกหลอกแล้ว ไม่มีจี้หยกใดในโลกที่สามารถทำให้ผู้คนปลอดภัยและมีความสุข…”

 

ซูเฉิงยู่กำลังจะพูดต่อ แต่เมื่อเห็นซูชื่อหมินจ้องมาอย่างดุร้ายเขาก็หัวหด ไม่กล้าที่จะพูดต่ออีก

 

ทั้งครอบครัวเริ่มรับประทานอาหารและพูดคุยกัน

 

หลังจากมื้ออาหาร ซูเฉิงฮ่าวเสนอให้ทุกคนออกไปข้างนอกกันสักพักเพื่อเดินดูสิ่งของในตลาดเมืองฉางอัน

 

เห็นได้ชัดว่าข้อเสนอนี้ทุกคนในตระกูลซูเห็นด้วย ทุกคนต่างก็เดินออกมาจากคฤหาสน์ของตระกูลไปยังตลาด มองโคมไฟมากมาย มันเปล่งประกายงดงามยิ่งในตอนกลางคืน มีพ่อค้าแม่ขายตั้งแผงกันอยู่ทั้งสองข้างทาง

 

“ถ้าพี่สามมาอยู่ที่นี่ด้วย จะดีแค่ไหนกันนะ…”

 

ไม่รู้ว่าซูเยว่หยุนคิดอะไรอยู่ แต่ท่าทางของนางดูหมองหม่นลงอย่างเห็นได้ชัด

 

เทศกาลโคมไฟมีขึ้นก็เพื่อรวบรวมสมาชิกครอบครัวให้พร้อมหน้า แต่ตอนนี้ตระกูลซูได้ขาดคนในตระกูลอย่างซูฉินไป

 

“ก่อนหน้านี้ข้าได้ให้ผู้พิทักษ์ประจำเมืองไปตามหาคนในวัดเส้าหลิน แต่กลับมีข่าวลือว่ามีระดับอรหันต์กำเนิดขึ้นในวัดเส้าหลิน…”

 

ซูชื่อหมินถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะพูดออกมา

 

เดิมทีซูเยว่หยุนกลายเป็นชายาขององค์รัชทายาท ตระกูลซูของพวกเขาก็ได้รับความคุ้มครองโดยราชวงศ์ ซูชื่อหมินกำลังวางแผนที่จะพาซูฉินออกมาจากวัดเส้าหลิน

 

ในตอนแรกตัวเขาและผู้พิทักษ์ประจำเมืองได้พูดคุยตกลงกันอย่างดิบดี

 

ผู้พิทักษ์ประจำเมืองทุบอกตนและสัญญาว่าทุกอย่างจะต้องเรียบร้อยด้วยดี

 

แต่หลังจากนั้นวัดเส้าหลินก็ให้กำเนิด ‘อรหันต์‘ ขึ้นมาและสังหารจอมมารไป เรื่องนี้ทำให้ทั่วทั้งยุทธภพต้องตกตะลึง จากนั้นผู้พิทักษ์ประจำเมืองก็ไม่เคยเอ่ยถึงมันอีกเลย

 

ถึงแม้ซูชื่อหมินจะไม่ยินยอมให้มันเป็นเช่นนี้ แต่เขาก็ทำอะไรไม่ได้

 

เพราะตัวเขาก็เป็นจอมยุทธเช่นกันและรู้ความหมายถึงตัวตนระดับ‘อรหันต์‘ดี

 

วัดเส้าหลินในตอนนี้ เกรงว่าแม้แต่องค์จักรพรรดิถังก็มิกล้าออกคำสั่ง นับประสาอะไรกับผู้พิทักษ์ประจำเมือง

 

“มันย่อมต้องมีหนทาง…”

 

ซูเยว่หยุนฝืนยิ้มและกล่าวคำ

 

ในตอนนั้นเอง

 

ขณะที่เดินอยู่นั้น เท้าของซูเยว่หยุนก็ลื่นไถล จุดศูนย์ถ่วงเกิดไม่มั่นคง จิตใจอยู่ในความหม่นหมองทำให้ไม่ทันเกร็งกำลังภายในและกำลังจะล้มลงกับพื้น

 

“หยุนเอ๋อ!”

 

ซูชื่อหมินพบอุบัติเหตุนั้นตั้งแต่แรก และรีบก้าวเท้าออกไปเพื่อเตรียมจะรับซูเยว่หยุนเอาไว้

 

อย่างไรก็ตาม

 

ร่างเพรียวก็มายืนอยู่เบื้องหน้าเขาอย่างกะทันหัน และ‘ปล้น‘ซูเยว่หยุนไปต่อหน้าต่อตาซูชื่อหมิน

 

“จงระมัดระวังยามเมื่อเจ้าก้าวเดิน”

 

ร่างเพรียวเดินมาพร้อมกับแสงที่สาดประกาย ทั้งซูเยว่หยุนและคนอื่นๆ ในตระกูลซูไม่สามารถมองเห็นหน้าของเขาได้ชัด

 

หลังจากที่ร่างเพรียวประคองซูเยว่หยุนให้ยืนขึ้นได้แล้ว เขาก็เดินไปยังทิศตรงกันข้ามกับที่ตระกูลซูจะเดินไป

 

“ขอบใจมาก…”

 

ซูเยว่หยุนกล่าวขอบคุณออกไปโดยไม่รู้ตัว

 

ในเวลาต่อมา

 

ซูเยว่หยุนก็ตกตะลึง

 

ความรู้สึกผูกพันใกล้ชิดจู่ๆ ก็พรั่งพรูออกมาจากเลือดในกายและหัวใจของนาง

 

“ช้าก่อนท่าน”

 

ซูเยว่หยุนหันกลับไปโดยฉับพลันและตะโกนใส่ร่างเพรียวที่กำลังเดินจากไป

 

เมื่อซูชื่อหมินและคนในตระกูลซูเห็นปฏิกิริยาของซูเยว่หยุนเป็นเช่นนี้ พวกเขาก็มองไปที่ร่างเพรียวด้วยความสงสัยเช่นเดียวกัน

 

ร่างเพรียวหยุดลงชั่วครู่ ดูเหมือนกับลังเล แต่สุดท้ายก็หันหลังกลับมาอย่างช้าๆ

 

รายล้อมไปด้วยแสงดาวและโคมไฟที่กำลังเปล่งแสงเจิดจรัสสวยงาม

 

ร่างเพรียวค่อยๆ หันกลับมา แสงดาวสาดลงมาเห็นใบหน้าที่กำลังส่งยิ้มมาให้ซูเยว่หยุนและคนอื่นๆ

 

“น้องเล็ก ไม่ได้เจอกันเสียนาน”

 

 

[จบเล่มหนึ่ง]

 

 

————————————

[1] 上元节 (ช่างหยวนเจ๋ย์) หรืออีกชื่อคือ元宵节 (หยวนเซียวเจ๋ย์) เป็นอีกหนึ่งวันสำหรับชาวจีนนั่นก็คือเทศกาลโคมไฟ ซึ่งจะจัดหลังจากเทศกาลตรุษจีนได้ผ่านพ้นไปแล้ว

Sign in Buddha’s palm 94 จากไป

 

 

“ไม่เลวไม่เลว”

 

“โอสถหมุนวนเก้าโคจรทั้งร้อยชุดนี่ แม้ข้าจะใช้มันวันละครั้งก็คงเพียงพอสำหรับการบริโภคเป็นเวลาครึ่งปี”

 

ซูฉินพยักหน้าเล็กน้อย

 

ฤทธิ์ยาของโอสถหมุนวนเก้าโคจรนั้นแรงยิ่งกว่าโอสถอายุวัฒนะเคลือบทองคำ แม้แต่ตัวซูฉินในตอนนี้ก็ยังต้องใช้เวลากว่าสิบวันถึงหนึ่งเดือนในการย่อยโอสถหมุนวนเก้าโคจรจนหมด ฉะนั้นในความเป็นจริงแล้วจำนวนร้อยชุดที่ได้มาใหม่นี้ก็เพียงพอให้ซูฉินใช้ไปหลายปี

 

“ดูเหมือนว่าสถานที่ต่างๆ อย่างเช่น ศาลาพระคัมภีร์ ลานโพธิ์ และหอคอยสะกดมาร พวกสถานที่ที่ลงชื่อเข้าใช้ซ้ำได้ทั้งหลาย เมื่อลงชื่อเป็นครั้งสุดท้ายจะมีโอกาสที่จะได้รับสิ่งดีๆ กลับมา…”

 

ดวงตาของซูฉินดูมีแววขบคิด

 

เช่นเดียวกับการลงชื่อเข้าใช้ครั้งสุดท้ายที่หอคอยสะกดมาร ซูฉินได้รับตราประทับสะกดมารซึ่งสามารถปราบเหล่าจอมยุทธวิถีมารทั้งหลายได้ และแม้แต่การดำรงอยู่ของมารพุทธะก็ยังถูกปราบเมื่อเจอกับตราประทับสะกดมารอันนี้

 

ถึงแม้ว่ามารพุทธะจะถูกสะกดมานานกว่าเก้าร้อยปีจนความแข็งแกร่งถดถอยลงไปมาก แต่พลังในการปราบปรามของตราประทับสะกดมารก็มิสามารถดูแคลนได้

 

นอกจากนี้ที่ศาลาพระคัมภีร์ ซูฉินยังได้รับเคล็ดวิชาชั้นสูงอย่าง ‘เคล็ดวิชาลูกปัดวิเศษพิชิตมาร‘ ในการลงชื่อเข้าใช้เป็นครั้งสุดท้าย

 

เคล็ดวิชานี้เป็นทักษะสำหรับการโจมตี สามารถควบแน่นแก่นแท้แห่งพลังให้กลายเป็นลูกปัดยี่สิบสี่เม็ดเพื่อใช้จัดการศัตรู พลังของมันมากพอที่จะจัดอันดับให้อยู่ในสองร้อยอันดับแรกในหมู่วิชาที่ซูฉินมี

 

“ได้เวลาออกเดินทางแล้ว”

 

ซูฉินยังคงอยู่ในลานโพธิ์ครู่หนึ่งจากนั้นจึงกลับไปพื้นที่หวงห้ามภูเขาด้านหลัง

 

 

ลานธรรม

 

เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินและหัวหน้าตำหนักกำลังสนทนาเรื่องพระไตรปิฎกและเรื่องวิทยายุทธ

 

นี่เป็นนิสัยส่วนตัวของพวกเขา แต่ละคนไม่เคยหยุดนิ่งที่จะใฝ่รู้

 

หัวหน้าตำหนักยุทธสงฆ์กำลังอยู่ในอารมณ์ยินดี เมื่อวานเขาเพิ่งตัดผ่านคอขวดและเข้าสู่การเป็นปรมาจารย์ระดับชั้นที่สองอย่างเป็นทางการ

 

“ตอนนี้วัดเส้าหลินของพวกเรามีระดับชั้นที่สองถึงสามคนและระดับชั้นที่หนึ่งอีกหนึ่งคน แม้จะนำไปเปรียบเทียบกับสุดยอดพรรคในยุทธภพก็ไม่ได้อ่อนแออีกต่อไป…”

 

หัวหน้าตำหนักยุทธสงฆ์กล่าว

 

เมื่อเทียบกับสถานการณ์ที่ยากลำบากของวัดเส้าหลินเมื่อหลายสิบปีก่อน หัวหน้าตำหนักต่างรู้สึกเหมือนว่าตนกำลังล่องลอยในความฝัน

 

“ทั้งหมดนี้เป็นเพราะท่านผู้ทรงสมณศักดิ์ฯ…”

 

เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินถอนหายใจและกล่าวคำช้าๆ

 

“จริงดังท่านว่า”

 

“ถ้าไม่ใช่เพราะท่านผู้ทรงสมณศักดิ์ฯ วัดเส้าหลินคงจะถูกทำลายไปนานแล้ว…”

 

หัวหน้าตำหนักคนอื่นๆ พยักหน้าเห็นด้วย

 

บางทีเหล่าศิษย์ที่เพิ่งเข้ามาในวัดเส้าหลินอาจไม่รู้ แต่ในฐานะ‘ผู้อาวุโส‘ ที่อยู่ทันเหตุการณ์ต่างๆ เมื่อหลายสิบปีก่อนจวบจนถึงปัจจุบัน แน่นอนว่าพวกเขาย่อมรู้ว่าผู้ทรงสมณศักดิ์ฯ ช่วยเหลือวัดเส้าหลินมามากเพียงใด

 

เมื่อยามที่เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินและหัวหน้าตำหนักกำลังจะพูดคุยกันต่ออีกนิดหน่อย

 

ทันใดนั้นเสียงสงบเย็น ฟังดูสบาย ก็ลอยเข้ามาในหูของพวกเขา

 

“พวกเจ้าจงเข้ามาที่ภูเขาด้านหลังกันให้หมดเถิด”

 

เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินรู้สึกประหลาดใจ

 

“นั่นคือท่านผู้ทรงสมณศักดิ์ฯ นี่”

 

“ผู้ทรงสมณศักดิ์เรียกพวกเราให้ไปที่ภูเขาด้านหลัง”

 

หัวหน้าตำหนักต่างแสดงอาการมึนงงสงสัย

 

ผู้ทรงสมณศักดิ์ฯ ขอให้พวกเขาทั้งหมดไปที่ภูเขาด้านหลังพร้อมกัน สิ่งนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน…

 

ในอดีตผู้ทรงสมณศักดิ์ฯ จะแจ้งใครสักคนเพียงคนเดียว แม้จะมีสิ่งที่ต้องการ…

 

ถึงตอนนี้ แม้แต่หัวหน้าตำหนักยุทธสงฆ์ที่อารมณ์ร้อนก็ยังตระหนักได้ถึงความผิดปกติ

 

“อย่าคิดให้มากความ”

 

“ในเมื่อผู้ทรงสมณศักดิ์ฯ บอกให้พวกเราไป พวกเราก็จะไป”

 

เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินส่ายศีรษะ ลุกขึ้นยืนช้าๆ แล้วเดินไปทางภูเขาด้านหลัง

 

หัวหน้าตำหนักคนอื่นๆ ได้ยินดังนั้นก็มองหน้ากันแล้วจึงติดตามเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินไป

 

ในไม่ช้า

 

เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินและหัวหน้าตำหนักทั้งหลายก็มาหาซูฉิน

 

“น้อมพบผู้ทรงสมณศักดิ์ฯ”

 

เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินโค้งคำนับเล็กน้อย เปล่งเสียงกล่าวคำด้วยความเคารพ

 

“น้อมพบผู้ทรงสมณศักดิ์ฯ”

 

หัวหน้าตำหนักคนอื่นๆ ก็ทำเช่นเดียวกัน

 

“ทุกคนเงยหน้าขึ้นเถิด” ซูฉินโบกมือและพูดอย่างไม่ได้ใส่ใจนัก

 

“ข้าให้พวกเจ้ามาหาในวันนี้เพราะมีเรื่องจะบอกกล่าว”

 

ซูฉินพูดอย่างใจเย็น “วันนี้ข้าจะออกจากวัดเส้าหลิน ไปท่องยุทธภพ”

 

คำกล่าวนั้น

 

ท่าทีของเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินและหัวหน้าตำหนักกลายเป็นแข็งค้าง

 

“ไม่จำเป็นต้องพูดอะไรทั้งนั้น ข้าได้ตัดสินใจในเรื่องนี้ไปแล้ว”

 

ซูฉินมองไปยังทุกคนแล้วจึงพูดออกมา

 

“ขอรับ”

 

เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินและหัวหน้าตำหนักมีอาการหมองหม่น ถ้อยคำที่กล่าวตอบเบาราวกระซิบ

 

วัดเส้าหลินตั้งอยู่มาหลายพันปีแล้ว และเหล่าอรหันต์ในอดีตก็มักจะเดินทางออกจากวัดไปช่วงระยะเวลาหนึ่ง ดังนั้นถึงเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินและหัวหน้าตำหนักจะไม่อยากยอมรับมัน แต่พวกเขาก็เข้าใจได้

 

สุดท้ายแล้วการออกธุดงค์ไปทั่วแดนดินของอรหันต์ก็เป็นหนึ่งในสิ่งที่พึงปฏิบัติ

 

หากพวกเขาขัดขวางมันก็เหมือนเป็นการทำลายการบ่มเพาะของผู้ทรงสมณศักดิ์ฯ ไม่มีใครกล้าที่จะแบกรับความผิดอันนี้ไว้

 

“หลังจากที่ข้าจากไป ไม่อนุญาตให้ใครเข้ามาที่นี่”

 

ซูฉินที่หยุดไปชั่วขณะก็พูดต่อ

 

เขาก่อตั้งค่ายกลขนาดใหญ่อย่าง ‘ค่ายกลสวรรค์เขตแดนพิสุทธิ์‘เอาไว้ในพื้นที่หวงห้ามภูเขาด้านหลัง และไม่ได้ตั้งใจจะเอามันไปด้วยเมื่อเขาจากไป

 

อย่างไรก็ตาม การก่อตั้งค่ายกลเช่นนี้ตราบใดที่ซูฉินมีหยกเพียงพอ เขาก็สามารถก่อตั้งอันใหม่ได้ตามต้องการ

 

สาเหตุที่ซูฉินไม่ยอมให้คนอื่นเข้ามาที่นี่เป็นเพราะความเข้มข้นของพลังงานด้านในนี้สูงเกินไป

 

จอมยุทธที่มีระดับต่ำกว่าขอบเขตอรหันต์เมื่อมาฝึกฝนที่นี่อาจจะร่างระเบิดด้วยพลังฟ้าดินในทันที

 

ซูฉินไม่ต้องการจะเห็นเลือดนองอยู่ที่นี่ยามเมื่อเขากลับมาอีกครั้ง

 

“ขอรับ”

 

เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินพยักหน้าไปพร้อมๆ กับเหล่าหัวหน้าตำหนัก

 

ภูเขาด้านหลังเป็นสถานที่พักผ่อนของผู้ทรงสมณศักดิ์ แม้ว่าซูฉินจะไม่ได้กล่าวบอกเรื่องนี้ พวกเขาก็จะระบุให้ทุกคนทราบว่าสถานที่แห่งนี้เป็นพื้นที่ต้องห้าม

 

“ท่านจะกลับมาเมื่อไหร่หรือ…”

 

ในตอนนั้น หัวหน้าตำหนักยุทธสงฆ์อดไม่ได้ที่จะถามออกไป

 

เขาถามคำถามนี้ด้วยใจจริง ไม่ได้มีความนัยแอบแฝงแต่อย่างใด

 

“เมื่อไรข้าจึงจะกลับมา?”

 

ซูฉินยิ้มแต่ไม่ได้ตอบกลับไป

 

สำหรับซูฉินนั้น แม้ว่าเขาจะกลับมาที่วัดเส้าหลินอีกครั้งในอนาคต เขาก็จะกลับมาแบบเงียบๆ ไม่รบกวนใคร

 

“เอาล่ะ พวกเจ้าออกไปได้แล้วหละ” หลังจากซูฉินพูดจบ เขาก็ค่อยๆ หลับตาลง

 

คราวนี้ซูฉินขอให้เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินและหัวหน้าตำหนักมาที่นี่เพื่อที่จะแจ้งข่าวให้ทุกคนทราบ จะอย่างไรเขาก็อยู่ที่วัดเส้าหลินมาเกือบสามสิบปีแล้ว ถ้าเขาจะจากไปจริงๆ เขาก็ควรจะแจ้งอะไรสักอย่างก่อนไป ไม่ใช่จากไปอย่างเงียบๆ

 

“ขอรับ”

 

ในที่สุดเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินและหัวหน้าตำหนักทั้งหมดต่างก็โค้งคารวะต่อหน้าซูฉินอย่างสุดซึ้ง และออกจากพื้นที่หวงห้ามภูเขาด้านหลังไป

 

“ทิ้งทุกอย่างที่ควรทิ้ง ทำทุกอย่างที่สมควรทำเรียบร้อย ข้าควรจะจากไปได้เสียที”

 

ซูฉินเลิกคิ้วขึ้นพลางคิดในใจตนอย่างเงียบๆ

 

สำหรับวัดเส้าหลินหรือสุดยอดพรรคใดๆ ในยุทธภพ สิ่งที่สำคัญเสมอคือผู้คน หาใช่เคล็ดวิชาไม่

 

ตัวอย่างเช่นในวัดเส้าหลิน แม้ว่าศาลาพระคัมภีร์จะมีเคล็ดวิชามากมายนับไม่ถ้วน แต่หากไม่ใช่เพราะซูฉิน คนในรุ่นนี้ก็อาจจะไม่มียอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งด้วยซ้ำ

 

ครึ่งวันต่อมา

 

ซูฉินออกจากวัดเส้าหลินไปอย่างเงียบๆ

 

ที่ด้านนอกวัดเส้าหลิน

 

ฟ้าสูงแผ่นดินกว้าง

 

ซูฉินก้าวเท้าออกไปเป็นระยะหลายร้อยเมตรในคราวเดียว เคลื่อนที่ไปยังทิศทางหนึ่ง

 

“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า”

 

“อยู่ในกรงมานานเกินไปแล้ว ในที่สุดข้าก็กลับสู่ธรรมชาติอันกว้างใหญ่เสียที”

 

ทุกก้าวที่ก้าวไปจะมีผมสีดำหนาเข้มงอกออกมา จากนั้นเพียงไม่กี่ก้าว ผมสีดำก็กระจายตัวพลิ้วไหวเสมอไหล่ของเขา ดวงตาสดใส ผิวขาวใสราวกับหยก มองไปแล้วดูไม่เหมือนคนมีอายุเลยสักนิด

 

ไม่ว่าจะเป็นอรหันต์หรือตำนานยุทธต่างก็สามารถสร้างแขนขาขึ้นมาได้ใหม่หากมันหักไป นับประสาอะไรกับผมบนหัวเล่า

 

“เมืองฉางอันเป็นเมืองหลวงเก่าแก่ สืบทอดมรดกยาวนานกว่าสิบราชวงศ์ ‘เต๋าสะสม‘จะต้องมีมากกว่าวัดเส้าหลินเป็นแน่ และนี่แหละจะเป็นสถานที่ลงชื่อเข้าใช้ถัดไปของข้า”

 

“และกลายเป็นว่าตระกูลซูก็ย้ายไปอยู่ที่นั่นเรียบร้อยแล้วด้วย”

 

ซูฉินหยุดคิดสักพักและรีบมุ่งหน้าไปเมืองฉางอัน

Sign in Buddha’s palm 93 นภาชั้นที่สามขั้นสมบูรณ์! ‘เต๋าสะสม‘ หมดสิ้น!

 

 

วัดเส้าหลิน

 

ที่เขตหวงห้ามภูเขาด้านหลัง

 

ซูฉินกำลังนั่งขัดสมาธิ

 

บริเวณภูเขาด้านหลังโอบล้อมไปด้วยหมอกสีขาวที่รั่วไหลออกมาจากค่ายกลสวรรค์เขตแดนพิสุทธิ์ หลายๆ คนไม่เคยได้เห็นซูฉินเลย แต่ตัวตนของเขาจะต้องอยู่ในใจของศิษย์วัดเส้าหลินทุกคนเป็นแน่ และทุกคนมองที่นี่ไม่ต่างไปจากสถานที่ศักดิ์สิทธิ์สำหรับการบ่มเพาะ

 

“ในที่สุดก็เข้าใกล้จุดสูงสุดของนภาชั้นที่สาม…”

 

ซูฉินเปิดเปลือกตาขึ้นอย่างช้าๆ ร่องรอยแห่งความสุขปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขา

 

หลังจากฝึกฝนมาตลอดทั้งกลางวันและกลางคืน ในที่สุดซูฉินก็มาถึงจุดสูงสุดของระดับนภาชั้นที่สาม

 

“ว่ากันว่าจะเกิดการเปลี่ยนแปลงศักยภาพหลังจากที่ตัดผ่านนภาชั้นที่สามเข้าสู่นภาชั้นที่สี่?”

 

ซูฉินแตะปลายคางของตน สีหน้าครุ่นคิด

 

ในขอบเขตวิทยายุทธทั้งเก้าระดับชั้น ในทุกๆ สามระดับชั้นจะแบ่งออกเป็นขอบเขตสามระดับล่าง สามระดับกลาง และสามระดับบน

 

การที่แบ่งขอบเขตนี้เอาไว้ไม่ได้เป็นเพียงแค่การจัดระดับชั้นเท่านั้น แต่ยังเป็นเพราะแต่ละขอบเขตใหญ่นี้จะมีการเปลี่ยนแปลงบางอย่างเกิดขึ้นในทุกๆ สามระดับ

 

ตัวอย่างเช่น ระดับที่ต่ำกว่าขอบเขตสามระดับบน ผู้ฝึกยุทธจะทำได้เพียงขัดเกลากายเนื้อและกำลังภายในได้เพียงเท่านั้น

 

แต่ถ้าต้องการเข้าสู่ขอบเขตสามระดับบน ต้องทำลายสิ่งกั้นขวางระหว่างตนเองกับโลกภายนอก ปล่อยให้พลังฟ้าดินเข้ามาชำระร่างกาย

 

ขั้นตอนนี้เป็นสิ่งที่สำคัญมาก

 

ไม่รู้ว่ามีผู้ฝึกยุทธในระดับชั้นที่สี่ตั้งกี่คนที่ล้มเหลวในขั้นตอนนี้

 

มีเพียงวิธีนี้เท่านั้นที่จะสามารถเข้าสู่ขอบเขตสามระดับบนได้อย่างแท้จริง

 

เช่นเดียวกับระดับนภาชั้นที่สามจะเข้าไปสู่อรหันต์ระดับนภาชั้นที่สี่

 

“ข้าคิดว่าอย่างน้อยก็ต้องใช้เวลาสองถึงสามปีจึงจะเข้าสู่นภาชั้นที่สามขั้นสมบูรณ์ แต่ด้วยพลังฉีฟ้าดินอันมากล้นที่รวบรวมมาได้รวมถึงโอสถอายุวัฒนะเคลือบทองคำและพระสูตรอมิตาภาบรรพกาล ระดับนี้จึงใกล้เข้ามาอย่างรวดเร็ว…”

 

ความคิดของซูฉินพลิกผันไปมา

 

ต้องบอกว่าค่ายกลสวรรค์เขตแดนพิสุทธิ์ช่วยซูฉินย่นระยะเวลาในการบ่มเพาะให้สั้นลงไปมาก

 

“เมื่อเป็นเช่นนี้”

 

“ข้าจะควบรวมพลังเข้าสู่ระดับนภาชั้นที่สามขั้นสมบูรณ์!”

 

ซูฉินตัดสินใจ

 

การก้าวเข้าสู่ระดับนภาชั้นที่สามขั้นสมบูรณ์ไม่ใช่ความก้าวหน้าที่ข้ามผ่านขอบเขตขนาดใหญ่อะไร ตราบใดที่ซูฉินระวังตัวมากขึ้นสักหน่อย มันจะไม่มีอันตรายใดๆ เกิดขึ้น

 

นอกจากนี้ซูฉินยังมีดวงจิตรู้แจ้งพันปีคอยปกป้องคุ้มครองอยู่กับตัวเสมอ เว้นแต่ซูฉินจะจงใจสังหารตัวเองเท่านั้น ฉะนั้นไม่ควรจะมีอุบัติเหตุใดเกิดขึ้น

 

ซูฉินกลับมาจมอยู่กับการฝึกฝนอีกครั้ง

 

ปึงปึงปึง

 

พลังแห่งฟ้าดินอันไม่มีที่สิ้นสุดในภูเขาด้านหลัง ทั้งหมดม้วนตัวรวมกันเข้ามาหาเขา

 

รู้หรือไม่ว่าด้วยค่ายกลสวรรค์เขตแดนพิสุทธิ์ เขตแดนหวงห้ามภูเขาด้านหลังตอนนี้ได้รวบรวมพลังฟ้าดินในรัศมีหลายสิบลี้ไว้หมดแล้ว

 

 

เวลาค่อยๆ ผ่านเลยไป

 

หลายวันผ่านไปในพริบตา

 

ในช่วงสองสามวันมานี้นอกจากไปลงชื่อเข้าใช้แล้ว ทุกวันซูฉินจะหมกมุ่นอยู่แต่กับการฝึกฝนในช่วงเวลาที่เหลือ

 

และตอนนี้เขาก็ยังคงดูดกลืนพลังงานเข้ามาเรื่อยๆ ไอพลังในร่างถูกเติมเต็มจนสมบูรณ์และมันโปร่งใสขึ้นราวกับกลมกลืนไปกับอากาศธาตุโดยรอบ

 

“มีอะไรเกิดขึ้นกับท่านผู้ทรงสมณศักดิ์หรือไม่นะ…”

 

เฉียนขู่ยืนอยู่ด้านนอกพื้นที่หวงห้ามภูเขาด้านหลัง พูดพึมพำอยู่กับตนเอง

 

โดยปกติซูฉินจะมาให้คำแนะนำแก่เขาเป็นครั้งคราว แต่ช่วงเวลานี้เฉียนขู่ไม่ได้เห็นแม้แต่หน้าของซูฉินเลย ไม่ต้องพูดถึงเรื่องการได้รับคำแนะนำ

 

เฉียนขู่ไม่ได้สนใจเรื่องคำชี้แนะแต่อย่างใด สิ่งที่เขากำลังกังวลอยู่ตอนนี้คือจะมีปัญหาใดเกิดขึ้นกับผู้ทรงสมณศักดิ์หรือไม่?

 

แม้ว่าในสายตาของเฉียนขู่ ซูฉินจะไม่ต่างไปจากเทพเจ้าหรือองค์ยูไล แต่กับเรื่องอุบัติเหตุนั้น มันย่อมเกิดขึ้นเมื่อไหร่กับใครก็ได้มิใช่หรือ?

 

ในขณะที่เฉียนขู่ลังเลว่าจะเข้าไปดีหรือไม่นั้น

 

พื้นที่หวงห้ามภูเขาด้านหลังก็สั่นกระเพื่อม

 

จากนั้นหมอกทั้งหมดที่ปกคลุมทั่วผืนฟ้าก็ลดระดับลงและไหลเทเข้าไปในส่วนลึกของภูเขาด้านหลัง

 

“นี่คือ?”

 

เฉียนขู่ถึงกับผงะไปชั่วครู่

 

ในฐานะที่เป็นบุตรศักดิ์สิทธิ์แห่งวัดเส้าหลิน เขาย่อมรู้ว่าหมอกเหล่านั้นเกิดจากการควบแน่นของพลังฟ้าดิน

 

ตามที่เฉียนขู่ได้รู้มา หมอกที่ลอยออกมาจากพื้นที่หวงห้ามภูเขาด้านหลังไม่มีทางที่จะหมดไป

 

“หรือว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นกับผู้ทรงสมณศักดิ์จริงๆ?”

 

ท่าทีของเฉียนขู่เปลี่ยนแปลงไป

 

ในตอนนั้นเอง

 

“แต่ก แต่ก แต่ก…”

 

มีเสียงฝีเท้าเดินมาอย่างแผ่วเบา

 

เฉียนขู่เงยหน้าขึ้นโดยไม่รู้ตัว

 

เห็นซูฉินกำลังก้าวเดินมาทีละก้าว

 

“ท่านผู้ทรงสมณศักดิ์ฯ!”

 

เฉียนขู่ดีใจอย่างมากและรีบเดินเข้าไปทำความเคารพ

 

“ลุกขึ้น”

 

ซูฉินกล่าวคำเบาๆ โดยไม่ได้มองไปที่เฉียนขู่

 

ในขณะนี้แก่นแท้แห่งพลังภายในร่างของซูฉินมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอด ทั้งเพิ่มขึ้นและกลั่นตัวแปรสภาพอย่างไม่มีที่สิ้นสุด

 

“ในที่สุดก็เข้าสู่ระดับนภาชั้นที่สามขั้นสมบูรณ์…”

 

ซูฉินถอนหายใจแผ่วเบาและมองไปที่เฉียนขู่

 

“มีข้อสงสัยในการฝึกฝนในช่วงนี้หรือไม่?”

 

เมื่อซูฉินถามเช่นนี้เขาก็หยุดไปชั่วครู่แล้วจึงกล่าวต่อ “หากข้าไม่ได้อยู่ในวัดเส้าหลินแล้ว วันข้างหน้าเจ้าจะต้องพึ่งพาตัวเจ้าเองในทุกๆ เรื่อง”

 

ซูฉินกล่าวคำเช่นนี้

 

สีหน้าดีใจของเฉียนขู่พลันแข็งค้าง

 

“ท่านจะออกจากวัดเส้าหลินแล้วหรือขอรับ?”

 

เฉียนขู่เงียบไปชั่วขณะก่อนที่จะดึงเอาความกล้าออกมาถามได้

 

ซูฉินเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าแล้วค่อยๆ พูดว่า “แน่นอนว่าใช่”

 

“ผู้ทรงสมณศักดิ์ฯ ท่านพาข้าไปด้วยได้หรือไม่?”

 

เฉียนขู่พลันกล่าวอย่างกระตือรือร้น “เพื่อผู้ทรงสมณศักดิ์ฯ แล้ว ข้าทำได้ทุกอย่าง”

 

“เจ้าจะไปกับข้าเพื่อสิ่งใด?” ซูฉินส่ายหัวและกล่าวต่ออย่างช้าๆ “ข้ามีทางเดินของตัวเอง ส่วนเจ้าก็มีทางเดินของเจ้า”

 

“นอกจากนั้น ใช่ว่าพวกเราจะไม่ได้เจอกันอีกเสียเมื่อไหร่”

 

“เมื่อเจ้าบรรลุขอบเขตอรหันต์ในภายภาคหน้า เจ้าสามารถมาหาข้าได้”

 

รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของซูฉินและมองไปที่เฉียนขู่

 

หากในอนาคตเฉียนขู่มีโอกาส มีความเพียรพยายามจริงๆ สามารถขจัดชะตากรรมของผู้ถือครองดวงใจพุทธะตั้งแต่อดีตมา จนสำเร็จและเข้าสู่ขอบเขตอรหันต์ ซูฉินก็ไม่รังเกียจที่จะรับเขาไว้เป็นศิษย์

 

“ขอรับ”

 

“ข้าจะตั้งใจฝึกฝน”

 

เฉียนขู่กำหมัดแน่นและพูดอย่างจริงจัง

 

เมื่อเห็นท่าทางของเฉียนขู่ ซูฉินก็ยิ้มจากนั้นจึงก้าวเท้าเดินหน้าและหายไปจากจุดนั้น

 

เมื่อปรากฏตัวอีกที ซูฉินก็มาอยู่ที่หน้าลานโพธิ์เรียบร้อยแล้ว

 

ที่ด้านหน้าลานโพธิ์ ศิษย์วัดเส้าหลินจำนวนมากยังคงเดินผ่านไปผ่านมา แต่จิตสำนึกของพวกเขาเหมือนจะเพิกเฉยต่อซูฉิน ราวกับซูฉินไม่มีตัวตน

 

ซูฉินเดินเข้าไปในลานโพธิ์อย่างเชื่องช้า และพึมพำกับตนเองเงียบๆ

 

“ระบบ ลงชื่อเข้าใช้”

 

[ขอแสดงความยินดี โฮสต์ลงชื่อเข้าใช้สำเร็จ ได้รับ ‘โอสถหมุนวนเก้าโคจร‘ จำนวนหนึ่งร้อยชุด]

 

[คำเตือน : เต๋าสะสมในสถานที่นี้กำลังหมดลงและจะกลายเป็นสถานที่ที่ไม่สามารถลงชื่อเข้าใช้ซ้ำได้อีก]

 

 

“ ‘เต๋าสะสม‘ เหือดแห้งเสียแล้ว”

 

ซูฉินเงียบไป

 

ในความเป็นจริง ก่อนที่จะลงชื่อเข้าใช้ในวันนี้ ซูฉินตระหนักอยู่แล้วว่านี่อาจจะเป็นครั้งสุดท้ายที่เขาได้ลงชื่อเข้าใช้ที่นี่

 

ในวัดเส้าหลินนั้น ไม่น่ามีความแตกต่างกันมากเท่าไหร่ระหว่างเต๋าสะสมในศาลาพระคัมภีร์กับในลานโพธิ์ ตอนนั้นเต๋าสะสมในศาลาพระคัมภีร์หมดไปแล้ว แม้จะมีหลงเหลืออยู่บ้างที่ลานโพธิ์ แต่ก็คงจะเหลืออยู่ได้ไม่นาน

 

“อย่างไรก็ตาม การลงชื่อเข้าใช้ครั้งสุดท้ายก็ให้ โอสถหนุมวนเก้าโคจรจำนวนหนึ่งร้อยชุดให้แก่ข้า เทียบได้กับการลงชื่อครั้งอื่นๆ กว่าร้อยครั้งเลยทีเดียว”

 

ซูฉินตั้งจิตเข้าไปในคลังของระบบ เมื่อเห็นโอสถหมุนวนเก้าโคจรทั้งหนึ่งร้อยชุดด้านใน อารมณ์ของเขาก็ดีขึ้นทันที

 

ต้องเข้าใจว่าขนาดซูฉินสะสมมาร่วมสามสิบปี ยังมีโอสถหมุนเวียนเก้าโคจรอยู่เพียงหกร้อยเม็ดที่เก็บรวบรวมมาได้

 

ทันใดนั้นก็พบว่าเขาได้พวกมันเพิ่มมาอีกเป็นร้อยชุด ซูฉินย่อมมีความสุขเป็นธรรมดา

Sign in Buddha’s palm 92 นั่งมองท้องฟ้าจากก้นบ่อ

 

 

แสงแห่งองค์ยูไลสาดส่องไปทุกหนแห่ง

 

ในขณะที่นักพรตจางรู้สึกว่าตนเป็นเพียงมดตัวน้อยที่แหงนหน้ามองเทพเจ้าที่สูงส่งคับฟ้า

 

ยิ่งใหญ่

 

ยอดเยี่ยม

 

มิอาจเทียบ

 

ผึบ…

 

สติของนักพรตจางตกอยู่ในความมืดมิด และร่างทั้งร่างก็ล้มพับลงไปกับพื้นพร้อมกับเสียงดัง ‘ผึบ‘

 

“ท่านผู้ทรงสมณศักดิ์ฯ”

 

“ขอบคุณที่ท่านลงมือ”

 

เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินและหัวหน้าตำหนักแทบไม่สามารถตอบสนองใดๆ และหลังจากหายจากอาการตกตะลึงก็โค้งคำนับด้วยความซาบซึ้งไปทางภูเขาด้านหลัง

 

จากนั้นไม่นานภาพทั้งหมดก็ค่อยๆ เลือนหายไป

 

“ผู้ทรงสมณศักดิ์ฯ ยิ่งมายิ่งแข็งแกร่งขึ้นทุกวี่วัน…” เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินถอนหายใจเบาๆ และกล่าวคำพูดที่เต็มไปด้วยอารมณ์

 

จนถึงทุกวันนี้ เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินได้เห็นซูฉินลงมือถึงสองครั้งสองคราแล้ว

 

ครั้งหนึ่งเพื่อสังหารจอมมาร และอีกครั้งก็คือวันนี้ ยามที่นักพรตจางร้องขอเข้าพบ

 

ถ้าจะกล่าวถึงครั้งแรกที่ซูฉินลงมือ เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินรู้สึกเหมือนพลังแห่งฟ้าดินอันยิ่งใหญ่กวาดทำลายทุกสิ่ง

 

ส่วนตอนนี้เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินรู้สึกว่ามันเหมือนเป็นพลังที่ไร้ที่เปรียบ ไร้ที่สิ้นสุด และครอบคลุมทุกสิ่งอย่าง

 

แม้โลกใบนี้จะกว้างใหญ่แต่ก็มีจุดสิ้นสุด แต่กับความว่างเปล่านั้นมันเป็นอนันต์ ไร้ที่สิ้นสุด

 

แน่นอนว่าซูฉินได้ลงมือมาแล้วมากกว่าสองครั้ง เช่น ตอนที่บุกเข้าไปในลานธรรมเพื่อช่วยเหลือเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินจากอาการธาตุไฟเข้าแทรก และตอนที่ซ่อมแซมดวงใจพุทธะให้กับเฉียนขู่

 

ในสายตาเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวิน สิ่งเหล่านั้นไม่ใช่การลงมือที่แท้จริง

 

“เป็นเยี่ยงนั้นจริงๆ…”

 

เมื่อหัวหน้าตำหนักคนอื่นๆ ที่อยู่บริเวณใกล้เพียงได้ยินเข้า ก็พยักหน้าเห็นด้วย

 

วิธีของผู้ทรงสมณศักดิ์ฯ นั้นน่าเหลือเชื่ออย่างมาก ผู้เยี่ยมยุทธทั่วๆ ไป หรือแม้กระทั่งยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งเช่นนักพรตจาง พวกเขาเหล่านั้นไม่สามารถรับมือกับศัตรูเรือนหมื่นได้แน่

 

แต่กับซูฉิน รัศมีแสงแห่งองค์ยูไลดั่งภาพนิมิตเมื่อครู่นั่นคือความสามารถของเหล่าทวยเทพตามตำนานโบราณ

 

“ถ้าไม่ใช่เพราะผู้ทรงสมณศักดิ์ฯ พวกเราคงไม่สามารถเป็นได้แม้แต่คู่ต่อสู้ของนักพรตจาง…”

 

หัวหน้าตำหนักยุทธสงฆ์กระซิบคำ

 

แม้ว่ารากฐานของวัดเส้าหลินจะสูงขึ้นมากแล้วในปัจจุบัน มีปรมาจารย์ระดับชั้นที่สองถึงสองคน ไม่เท่านั้นยังมียอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งเช่นเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินอยู่ด้วย

 

นอกจากนี้ยังมีศิษย์วัดเส้าหลินอีกหลายพันคน

 

แต่หากต้องการสกัดกั้นนักพรตจางด้วยรากฐานเหล่านี้ คงจะเป็นเรื่องยากจนแทบเป็นไปไม่ได้

 

ด้วยความแข็งแกร่งของนักพรตจาง เมื่อเขาลงมือเต็มกำลังแล้วละก็ พลังทำลายล้างจากแต่ละกระบวนท่าคงทำให้ทุกคนอยู่ไม่สุขเป็นแน่

 

สิ่งที่จุดสูงสุดของยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งเหนือกว่ายอดปรมาจารย์ทั่วไปคือเรื่องของความแข็งแกร่งล้วนๆ

 

ไม่เช่นนั้นแล้วทำไมจอมมารถึงกล้าขึ้นเขามาเมื่อหลายปีก่อน และขู่ว่าจะทำลายวัดเส้าหลิน

 

หัวหน้าตำหนักมองหน้าและรู้สึกซาบซึ้งในจิตใจ

 

ในขณะนี้หัวหน้าฝ่ายวินัยสงฆ์เหมือนจะนึกเรื่องบางอย่างขึ้นมาได้ “ท่านเจ้าอาวาส เราควรจะทำเยี่ยงไรกับนักพรตจางดี…”

 

หัวหน้าฝ่ายวินัยสงฆ์โพล่งออกมา

 

หัวหน้าตำหนักคนอื่นๆ รวมถึงเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินก็พลันนึกได้และจ้องไปที่นักพรตจางที่ล้มพับอยู่กับพื้น

 

หัวหน้าลานธรรมทำใจแข็ง กลั้นใจเดินอย่างระมัดระวังเข้าไปตรวจสอบดู “เขายังไม่ตาย เพียงแต่หมดสติไปเท่านั้น”

 

หัวหน้าตำหนักต่างมองหน้ากัน ในใจรู้สึกว่านี่ค่อนข้างจะยุ่งยากเล็กน้อย

 

“ในเมื่อผู้ทรงสมณศักดิ์ฯ ได้ยั้งมือเอาไว้ พวกเราก็ส่งเขากลับไปเขาหวู่ตั้งเถอะ”

 

จากนั้นเจ้าอาวาสก็กล่าวคำอย่างช้าๆ

 

“ไม่เลว”

 

“ข้าเห็นด้วย”

 

เมื่อได้ยินเช่นนั้น คนอื่นๆ ก็พูดสมทบพร้อมพยักหน้าเห็นด้วย

 

ในสายตาของพวกเขา ถ้าซูฉินมีเจตนาที่จะสังหารนักพรตจาง ชะตาชีวิตของเขาก็คงขาดไปแล้ว จะยังมาอยู่ในอาการสิ้นสติเช่นนี้ได้อย่างไร?

 

เนื่องจากนักพรตจางไม่ได้ตายไป นั่นหมายความว่าผู้ทรงสมณศักดิ์ฯ ได้ยั้งมือเอาไว้ ในกรณีนี้เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินและหัวหน้าตำหนักย่อมทำตามความประสงค์ของซูฉินเป็นธรรมดา

 

“ตกลงตามนี้”

 

“ข้าจะให้คนส่งนักพรตจางกลับไปในภายหลัง”

 

เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินตัดสินใจ

 

 

พื้นที่หวงห้ามภูเขาด้านหลัง

 

“นักพรตจาง…”

 

ซูฉินกำลังนั่งขัดสมาธิ มีร่องรอยอารมณ์ความรู้สึกฉายออกมาจากส่วนลึกของดวงตา

 

เมื่อก่อนนี้ นักพรตจางยังคงเป็นชายผู้ยิ่งใหญ่ที่ตัวเขาเองทำได้เพียงเงยหน้าขึ้นมองเท่านั้น

 

“งั้นตอนนี้ข้าก็แข็งแกร่งแล้วอย่างนั้นหรือ?”

 

ความคิดของซูฉินแปรผันไปมาอยู่ภายในใจ

 

นักพรตจางซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นตัวตนที่เขาไม่สามารถข้ามผ่าน กลับไม่สามารถทนได้แม้กระทั่งร่องรอยไอพลังของเขาในปัจจุบันและหมดสติไปในที่สุด

 

“อย่างไรก็ตามในแง่ของความแข็งแกร่งด้านการต่อสู้นั้น นักพรตจางถือว่าเหนือกว่าจอมมาร”

 

ซูฉินเปรียบเทียบนักพรตจางกับจอมมารและสรุปได้ว่านักพรตจางนั้นเหนือกว่า

 

ในความเป็นจริง ไม่ว่าจะเป็นนักพรตจางหรือจอมมารทั้งคู่ต่างเป็นยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งชั้นสูงสุดที่แปรสภาพพลังมาแล้วถึงสองครั้ง ไม่ว่าจะยุคสมัยไหนทั้งคู่ต่างเรียกได้ว่าเป็นบุคคลที่เปล่งประกายราวกับดวงดารา

 

โชคไม่ดีที่ทั้งคู่มาพบเข้ากับซูฉิน

 

“อย่างไรก็ตามแก่นของวิชาไท่ฉีที่นักพรตจางเขียนขึ้นนั้นน่าสนใจไม่น้อย หากมีโอกาสมากเพียงพอในอนาคตละก็ ไม่แน่เขาอาจจะสำเร็จการแปรสภาพครั้งที่สามและบรรลุระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสมบูรณ์ก็เป็นได้…”

 

ซูฉินคาดเดาอยู่ในใจ

 

ซูฉินประเมินนักพรตจางอยู่สูงพอสมควร เพราะจนถึงตอนนี้มีเพียงเฉียนขู่เท่านั้นที่ซูฉินคาดว่าจะสามารถแปรสภาพครบสามครั้งและจะเข้าสู่ระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสมบูรณ์ได้ในอนาคต

 

นั่นเป็นเพราะโดยพื้นฐานแล้วเฉียนขู่มีดวงใจพุทธะที่สมบูรณ์และมีอรหันต์เช่นซูฉินคอยชี้แนะอยู่เสมอๆ

 

นักพรตจางนั้นสามารถมาถึงจุดนี้ได้ด้วยตัวของเขาเอง มีพรสวรรค์ที่ไม่มีใครเทียบเคียง

 

ส่วนเรื่องที่นักพรตจางจะสามารถไปได้ไกลกว่านี้ไหม ซูฉินเองก็ไม่สามารถหยั่งรู้ได้

 

อรหันต์หรือตำนานยุทธแต่ละคนก็ล้วนแต่มีวิธีการในการทะลวงผ่านขั้นแตกต่างกัน และไม่สามารถตัดสินสิ่งที่คนอื่นจะเข้าใจในเรื่องพลังฉีฟ้าดินได้

 

 

เขาหวู่ตั้ง

 

นักพรตจางไม่ได้ถูกส่งกลับมาโดยศิษย์ของวัดเส้าหลินจนเสร็จสมบูรณ์

 

เนื่องเพราะระหว่างการเดินทางนักพรตจางก็ได้ฟื้นจากอาการสลบไสล

 

หลังจากนิ่งงันไปชั่วครู่ นักพรตจางจึงขอให้ศิษย์วัดเส้าหลินที่พาตนมาจงกลับไปเสีย และตนขอกลับเขาหวู่ตั้งตามลำพัง

 

ตลอดทาง ในความคิดของนักพรตจางยังคงหวนคิดถึงฉากที่เขาเห็นในวัดเส้าหลิน โดยเฉพาะร่างที่ดูเหมือนเทพเจ้าหรือราวกับองค์ยูไลตัวเป็นๆ ในช่วงสุดท้ายก่อนสติจะดับไป

 

ไม่ช้านาน

 

นักพรตจางก็กลับมาถึงเขาหวู่ตั้ง

 

สาวกมากมายหลายคนในเขาหวู่ตั้งมีความสุขมากเมื่อพวกเขาพบนักพรตจาง จึงต่างรวมตัวกันเฝ้ามองนักพรตจางด้วยความเป็นห่วง

 

“ท่านอาจารย์เป็นอะไรหรือไม่?”

 

สาวกเขาหวู่ตั้งอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม

 

ความจริงแล้วท่าทีของนักพรตจางในตอนนี้ผิดแผกไปเล็กน้อย เขาตกอยู่ในภวังค์ราวกับยังจมอยู่ในห้วงอารมณ์บางอย่าง

 

“ไม่เป็นไร”

 

“จะมีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้นกับข้าได้อย่างไรเล่า?”

 

นักพรตจางส่ายหัวไปพร้อมกับเผยรอยยิ้มอันขมขื่น

 

ครานี้ที่เขาลงจากภูเขาไป เขาไม่ได้ทำอะไรสักอย่าง แม้แต่ร่องรอยอาการบาดเจ็บก็ไม่มี แต่มีเพียงตัวนักพรตจางเท่านั้นที่รู้อยู่แก่ใจว่าเขาคงไม่อาจลบภาพเงาของตัวตนที่ราวกับเทพเจ้านั้นไปได้ในชั่วชีวิตนี้

 

“ท่านอาจารย์ ท่านไปเห็นอะไรมาที่วัดเส้าหลิน?”

 

จางเซียวบีบจับใบหน้าของนักพรตจางและถามอย่างระมัดระวัง

 

ก่อนที่นักพรตจางจะลงจากเขาไป ท่านทิ้งคำกล่าวไว้ประโยคเดียวว่าจะลงเขาไปหาสัจธรรมซึ่งทำให้เหล่าสาวกเขาหวู่ตั้งทั้งหลายงงงวยกันไปเป็นเวลานานทีเดียว แต่จางเซียวก็เดาได้ว่านักพรตจางอาจจะไปเข้าพบผู้ทรงสมณศักดิ์ฯ ที่วัดเส้าหลิน

 

“ข้าเห็นอะไรในวัดเส้าหลิน?”

 

นักพรตจางทวนประโยคด้วยน้ำเสียงต่ำพร้อมกับเอ่ยคำด้วยร่องรอยถากถางบนใบหน้า “ชายชราผู้นี้คิดมาตลอดว่า แม้จะเป็นตำนานยุทธที่แท้จริง แต่ถ้าต้องการจะเอาชนะข้าผู้นี้หรือสังหารฆ่าลง คงจะต้องออกกระบวนท่าสักเล็กน้อย”

 

“แต่ตอนนี้…”

 

นักพรตจางเงยหน้าขึ้นช้าๆ แล้วเหม่อมองไกลไปในทิศทางเดียวกันกับที่มุ่งไปยังวัดเส้าหลิน “ดูเหมือนว่าตลอดมา ชายชราคนนี้จะนั่งมองท้องฟ้าจากก้นบ่อ[1]…”

 

 

 

———————————————-

[1] 坐井观天 แปลว่า คนที่เย่อหยิ่งและมีความคิดคับแคบ เหมือนกับคนที่มองท้องฟ้าจากก้นบ่อ (บ่อน้ำ)

Sign in Buddha’s palm 91 เข้าพบผู้ทรงสมณศักดิ์

 

 

“ลงจากเขา”

 

“แสวงหาสัจธรรม!”

 

น้ำเสียงของนักพรตจางราบเรียบไม่มีความผันผวน แต่ในที่สุดเมื่อพูดคำว่า ‘แสวงหาสัจธรรม‘ เขาแอบแสดงความคาดหวังออกมาเล็กน้อย

 

“แสวงหาสัจธรรม?”

 

เหล่าสาวกเขาหวู่ตั้งต่างมองหน้ากัน ไม่รู้จะทำหน้าอย่างไร

 

ในสายตาของพวกเขา นักพรตจางคือที่สุดในยุทธภพแล้วในวิถีปรัชญา แล้วทำไมยังต้องลงเขาไปแสวงหาสัจธรรมอีก?

 

มีเพียงจางเซียวและสาวกบางคนเท่านั้นที่มีท่าทีเปลี่ยนไปเล็กน้อยราวกับกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง

 

หากจะกล่าวถึงเรื่องข่าวลือที่ว่าวัดเส้าหลินมีอรหันต์กำเนิดขึ้น ในสายตาของจอมยุทธส่วนใหญ่ก็แค่เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งเท่านั้น…

 

แต่หลังจากการกลับมาของจางเซียว สาวกคนอื่นๆ หลายคนต่างก็รับรู้ได้ว่าผู้ทรงสมณศักดิ์ฯ ระดับอรหันต์นั้นมีอยู่จริงในวัดเส้าหลิน

 

หากมิใช่ขอบเขตอรหันต์ใครจะสามารถสังหารยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งที่อยู่ห่างไกลออกไปเป็นพันลี้ได้ด้วยดาบไม้ธรรมดาๆ?

 

การออกมาของนักพรตจางในครั้งนี้เกรงว่าจะเพราะได้ยินข่าวนั้น

 

“ในครานี้ที่ข้าลงไปจากเขาหวู่ตั้ง ถ้าข้ายังไม่กลับมา เขาหวู่ตั้งจะถูกปิดเป็นเวลายี่สิบปีและไม่อนุญาตให้มีการแก้แค้นเกิดขึ้น”

 

สายตาของนักพรตจางจ้องมองดูเหล่าสาวกเขาหวู่ตั้งที่อยู่ห่างออกไป จากนั้นท่านก็ค่อยๆ เดินลงจากเขาทีละก้าวท่ามกลางสายตาของเหล่าศิษย์สาวก

 

 

 

ณ วัดเส้าหลิน

 

เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินและหัวหน้าตำหนักต่างกำลังดีอกดีใจ

 

ในเวลาเพียงไม่กี่เดือน ศิษย์ถึงสามคนที่บ่มเพาะอยู่ใกล้พื้นที่หวงห้ามภูเขาด้านหลังได้เข้าสู่ขอบเขตสามระดับบน

 

ระดับนี้หาได้ยากแค่ไหนกัน?

 

รู้หรือไม่ว่าแม้แต่สุดยอดพรรคแห่งยุทธภพอย่างวัดเส้าหลิน จอมยุทธในขอบเขตสามระดับบนก็เพียงพอจะนั่งตำแหน่งหัวหน้าตำหนักได้แล้ว

 

หากเป็นเมื่อก่อนจะต้องใช้เวลาอย่างน้อยสิบหรือยี่สิบปีกว่าที่วัดเส้าหลินจะให้กำเนิดจอมยุทธในขอบเขตสามระดับบนได้

 

แต่ตอนนี้ใช้เวลาเพียงไม่กี่เดือนเท่านั้น จะไม่ให้เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินและเหล่าหัวหน้าตำหนักยินดีได้อย่างไร?

 

ยิ่งมียอดฝีมือขอบเขตสามระดับบนมากเท่าไหร่ ความเป็นไปได้ที่จะกำเนิดปรมาจารย์ระดับชั้นที่สองและยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งก็มากขึ้นเท่านั้น เมื่อมีทั้งปรมาจารย์ระดับชั้นที่สองและชั้นที่หนึ่งจำนวนมากในระดับหนึ่ง พวกเขาก็สามารถแนะนำแนวทางให้กับลูกศิษย์คนอื่นๆ ที่มีศักยภาพได้…

 

ผลก็คือ วัดเส้าหลินจะยิ่งแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ…

 

“อย่าเพิ่งหลงระเริงยินดีไป”

 

“ศิษย์ทั้งสามคนที่เข้าสู่ขอบเขตสามระดับบนได้ ล้วนเป็นหัวกะทิของวัดเรา ในปีก่อนพวกเขาก็อยู่ในจุดสูงสุดของระดับชั้นที่สี่อยู่แล้ว ห่างจากขอบเขตสามระดับบนเพียงก้าวเดียวเท่านั้น”

 

“พอมาตอนนี้ ด้วยแรงผลักดันจากหมอกนั่นจึงเกิดความก้าวหน้าขึ้น”

 

“แต่ถ้าเจ้าต้องการจะให้มีคนเข้าสู่ขอบเขตสามระดับบนในเวลาอันสั้นเช่นนี้ย่อมเป็นไปไม่ได้”

 

หัวหน้าลานธรรมกล่าวคำช้าๆ

 

เมื่อกล่าวออกไปเช่นนี้

 

หัวหน้าตำหนักคนอื่นๆ ที่กำลังจมอยู่กับความสุขพากันสงบเสงี่ยมขึ้นทันที

 

“ฮุ่ยจื๋อพูดถูก”

 

เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินพยักหน้าเล็กน้อย แม้ว่าตอนนี้เขาจะมีความสุขไม่แพ้กัน แต่เขาก็ได้คิดถึงเรื่องนี้เอาไว้อยู่แล้ว

 

สาเหตุสำคัญที่มีวัดเส้าหลินให้กำเนิดยอดฝีมือขอบเขตสามระดับบนในเวลาไม่กี่เดือน เป็นเพราะการสั่งสมตบะมาตั้งแต่ต้น

 

ถ้าจะให้ราบรื่นเหมือนเช่นตอนนี้ก็คงจะยากพอๆ กับทะยานขึ้นไปแตะท้องฟ้า

 

“เจ้าอาวาส”

 

“ข้าน่าจะใกล้ทะลวงขั้นได้แล้ว”

 

ในเวลานั้นเองหัวหน้าตำหนักยุทธสงฆ์อดไม่ได้ที่จะพูดขึ้นมา

 

“เจ้าต้องการจะทะลวงขั้นงั้นรึ?”

 

เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินมองไปที่หน้าของหัวหน้าตำหนักยุทธสงฆ์ทันทีด้วยความประหลาดใจ

 

ทราบหรือไม่ว่าหัวหน้าตำหนักยุทธสงฆ์เป็นผู้ฝึกยุทธในระดับชั้นที่สาม และถ้าทะลวงขั้นได้สำเร็จก็จะเข้าขอบเขตปรมาจารย์ระดับชั้นที่สอง

 

ปัจจุบันนี้ ยกเว้นซูฉินเอาไว้สักหนึ่งคน วัดเส้าหลินมีเพียงเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินที่อยู่ระดับชั้นที่หนึ่ง และหัวหน้าลานธรรมที่อยู่ในระดับชั้นที่สอง

 

หากยามนี้มีภิกษุในวัดที่อยู่ระดับชั้นที่หนึ่งและระดับชั้นที่สองเพิ่มขึ้น รากฐานของวัดเส้าหลินก็ย่อมดีมากขึ้นไปตามธรรมชาติ

 

และเมื่อตอนที่เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินและหัวหน้าตำหนักต่างพูดคุยกันอย่างมีความสุขอยู่นั้น ศิษย์วัดเส้าหลินคนหนึ่งก็รีบเข้ามาหา

 

“เรียนเจ้าอาวาสและหัวหน้าตำหนัก มีใครบางคนมาขอเข้าพบขอรับ”

 

ศิษย์วัดเส้าหลินผู้นี้รายงานอย่างรวดเร็วจนแทบจะหายใจไม่ทัน

 

“ขอเข้าพบ?”

 

เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินขมวดคิ้วเล็กน้อย “ผู้ใด?”

 

“เขาบอกว่าเขามาจากภูเขาหวู่ตั้ง และมีแซ่ว่าจาง…”

 

“อะไรนะ?!” นัยน์ตาของเหล่าหัวหน้าตำหนักหดตัวลง

 

เขาหวู่ตั้ง?

 

ใช้แซ่ว่าจาง?

 

ไม่ว่ามันจะไม่น่าเชื่อถือแค่ไหนก็ตาม แต่หัวหน้าตำหนักต่างนึกถึงนักพรตจางจากเขาหวู่ตั้งโดยไม่รู้ตัว

 

“ออกไปดูสักหน่อยเถอะ”

 

เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินแสดงสีหน้าเคร่งขรึมแล้วจึงลุกขึ้นเดินออกไปนอกวัดเส้าหลินโดยพลัน

 

หัวหน้าตำหนักรูปอื่นๆ มองหน้ากันแล้วรีบติดตามไปในทันที

 

ไม่ช้านาน

 

เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินและหัวหน้าตำหนักก็ออกมาด้านนอกวัดเส้าหลิน

 

ในขณะนี้มีชายที่สวมชุดคลุมนักพรตเต๋า ใบหน้าของเขาดูซื่อๆ กำลังยืนอยู่ตรงนั้นอย่างเงียบๆ

 

“เป็นนักพรตจางจริงๆ…”

 

หัวหน้าตำหนักต่างตกใจไม่อยากจะเชื่อ

 

พวกเขาไม่คาดคิดว่านักพรตจางจากเขาหวู่ตั้งจะมายืนอยู่หน้าวัดเส้าหลินเช่นนี้

 

“นักพรตจาง”

 

เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินสูดลมหายใจเข้า ก้าวเท้าออกไปด้านหน้าและกล่าวคำทักทาย

 

แม้ว่าเขาจะเป็นยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่ง แต่เขายังไม่อาจเทียบเคียงนักพรตจางที่เป็นยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งมายาวนานหลายทศวรรษได้

 

“เจ้าอาวาส”

 

นักพรตจางดูสงบอ่อนโยน มองไปที่เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินและพยักหน้าให้เล็กน้อย

 

“ข้าไม่ทราบว่านักพรตจางมาที่วัดเส้าหลินของข้าด้วยเหตุใด มีเรื่องอะไรหรือไม่?” เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินถามไปอย่างห้วนๆ

 

“ยามเมื่อนักพรตเฒ่าผู้นี้ยังหนุ่มแน่น ข้าเดินเตร็ดเตร่ท่องเที่ยวไปทั่วแล้วโชคดีบังเอิญได้พบเข้ากับคัมภีร์เก้าสุริยันที่เหลืออยู่ครึ่งเล่ม…”

 

นักพรตจางไม่ได้ตอบคำถามของเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินตรงๆ แต่พูดกลับไปว่า “คัมภีร์เก้าสุริยันครึ่งเล่มนี้มีประโยชน์มากกับชายชราผู้นี้”

 

เมื่อนักพรตจางพูดเช่นนั้น เขาก็ขยับมือขวาหยิบคัมภีร์ออกมา “ด้วยคัมภีร์เพียงครึ่งเล่มนั้นข้าจึงได้สร้างแก่นของวิชาไท่ฉีขึ้นมาได้ โปรดรับสิ่งนี้เอาไว้เพื่อให้ข้าสานสัมพันธ์กับวัดเส้าหลินด้วย…”

 

แก่นของวิชาไท่ฉี…

 

เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินและหัวหน้าตำหนักต่างตกตะลึง

 

แก่นแท้ของวิชาไท่ฉีเขียนขึ้นโดยความพยายามชั่วชีวิตของนักพรตจาง แม้แต่ในหมู่สาวกเขาหวู่ตั้งก็มีเพียงไม่กี่คนที่ได้เรียนรู้แก่นของวิชาไท่ฉี

 

แต่ตอนนี้ นักพรตจางจะใช้แก่นของไท่ฉีเพื่อสานสัมพันธ์กับวัดเส้าหลิน?

 

“นักพรตจาง โปรดนำมันกลับไปเถิด”

 

“เนื่องจากคัมภีร์เก้าสุริยันได้ออกจากวัดเส้าหลินไปสู่โลกภายนอกแล้ว มันจึงไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับวัดเส้าหลินอีก…”

 

เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินตัดสินใจอย่างรวดเร็วแล้วปฏิเสธแก่นของไท่ฉีโดยไม่ลังเล

 

ถึงแม้ว่าแก่นของไท่ฉีจะดี แต่มันก็เป็นวิชาในวิถีทางแบบเต๋า แม้จะรับมามันก็ไม่มีประโยชน์อยู่ดี

 

ในทางตรงกันข้ามนักพรตจางถึงกับส่งแก่นของไท่ฉีมาเพื่อสานสัมพันธ์ เห็นได้ชัดว่าต้องการกระทำการใหญ่

 

นักพรตจางส่ายหัวเล็กน้อย แต่ไม่ได้เก็บคัมภีร์กลับไป

 

“นอกจากนี้…”

 

เมื่อนักพรตจางพูดเรื่องนี้แววตาของเขาก็เป็นประกาย “ชายชรามาที่นี่เพื่อพบผู้ทรงสมณศักดิ์ฯ ที่พำนักอยู่ภายในวัดของท่าน…”

 

ขอเข้าพบผู้ทรงสมณศักดิ์ฯ…

 

ใบหน้าของเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินเปลี่ยนไป

 

“ข้าเกรงว่านักพรตจางจะมาสายเกินไป ตอนนี้ผู้ทรงสมณศักดิ์ฯ ไม่ต้องการจะพบใคร…” เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินเงียบไปชั่วครู่ก่อนจะกล่าวคำช้าๆ

 

“ไม่เป็นไร”

 

“ชายชราผู้นี้รอได้”

 

นักตรตจางเป็นคนง่ายๆ และอิสรเสรี

 

“รอ?”

 

เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินขมวดคิ้วมุ่น

 

ถ้าจะให้นักพรตจางยอดปรมาจารย์จากเขาหวู่ตั้งต้องรออยู่ที่หน้าประตูแบบนี้จะมิเป็นการเสียหน้าให้กับวัดเส้าหลินหรอกหรือ?

 

“นักพรตจางโปรดกลับไปเถิด” เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินถอนหายใจเบาๆ

 

“ในเมื่อเจ้ารู้ว่าผู้ทรงสมณศักดิ์อยู่ภายในวัดของพวกเรา เจ้าไม่กลัวท่านผู้ทรงสมณศักดิ์ฯ จัดการเจ้าหรอกหรือ?”

 

จากคำพูดของเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินก็แฝงคำเตือนออกไปแล้ว

 

“ในเมื่อข้าเป็นผู้รนหาที่เอง แม้จะต้องตายก็เป็นเรื่องที่ยอมรับได้” มีรอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของนักพรตจาง “ตราบใดที่ได้พบกับผู้ทรงสมณศักดิ์ ไม่ว่าจะอะไรหรือแม้แต่ชีวิตของชายชราผู้นี้ก็มอบให้แก่เจ้าได้”

 

ดวงตาของนักพรตจางแน่วแน่ ใบหน้าของเขาจริงจัง

 

“นี่…”

 

เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินมองไปทางนักพรตจางด้วยความเคร่งเครียด

 

“เมื่อเป็นเช่นนี้ วัดเส้าหลินของข้าคงต้องขอให้นักพรตจางชี้แนะแก่นของวิชาไท่ฉีให้ เหลือเพียงทางนี้เท่านั้น…”

 

เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินค่อยๆ รวบรวมกำลังภายในของตนและมองตรงไปยังนักพรตจาง

 

นักพรตจางอยากจะเข้าพบผู้ทรงสมณศักดิ์ฯ แต่ด้วยสถานะของท่านจะให้ใครที่อยากพบเข้ามาพบท่านได้ง่ายๆ ตามต้องการกระนั้นหรือ?

 

ถ้าสิ่งนี้เกิดขึ้น หากใครอยากจะพบผู้ทรงสมณศักดิ์ฯก็ได้พบ ท่านจะรักษาหน้าท่านได้อย่างไร? วัดเส้าหลินจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน?

 

ด้วยความศักดิ์สิทธิ์ของท่านผู้ทรงสมณศักดิ์ฯ เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินจะต้องหยุดชายตรงหน้าเอาไว้ให้ได้ แม้จะรู้ว่าตนระดับห่างไกลจากนักพรตจางเพียงไร

 

เมื่อเหตุการณ์ดำเนินไปเช่นนี้ หัวหน้าตำหนักคนอื่นๆ ต่างก็แอบเกร็งกำลังภายในของตนเอาไว้ พร้อมที่จะลงมือได้ทุกเมื่อ

 

เมื่อตอนที่เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินและหัวหน้าตำหนักพร้อมเข้าต่อสู้

 

ก็ได้ยินเสียงถอนหายใจที่เศร้าหมอง เป็นความเมตตาที่ใช้มองโลกที่เร่งรีบนี้อย่างเนิบช้าค่อยเป็นค่อยไป

 

เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินและหัวหน้าตำหนักต่างตกใจและมองไปที่ภูเขาด้านหลังโดยไม่รู้ตัว

 

นักพรตจางก็ทำเช่นเดียวกัน เขาเงยศีรษะขึ้นเล็กน้อยและมองไปที่ภูเขาด้านหลัง

 

อย่างไรก็ตามนักพรตจางกลับได้เห็นฉากที่เขาจะจดจำไปชั่วชีวิต

 

เขาเห็นว่าภูเขาด้านหลังที่เดิมเงียบสงบและลึกล้ำ กลายเป็นภูเขาสูงใหญ่และน่าเกรงขาม

 

เมื่อมองไปจนสุดสายตา พบร่างคนกำลังนั่งขัดสมาธิปรากฏขึ้น

 

ภาพนี้เหมือนกับองค์ยูไลที่อยู่ในดินแดนอันพิสุทธิ์ มีเมตตาอันบริสุทธิ์ “เพียงตัวตถาคตประเสริฐที่สุด!”

 

“นี่คือ?!!”

 

จิตใจของนักพรตจางประหวั่นพรั่นพรึง เขารู้สึกเพียงว่าวิสัยทัศน์ของเขาพร่ามัว สติของเขาเริ่มไม่ชัดเจน

 

Sign in Buddha’s palm 90 นักพรตลงจากเขา

 

 

เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว

 

ซูฉินก็กลับไปยังพื้นที่หวงห้ามภูเขาด้านหลัง

 

แม้เคล็ดวิชาชั้นสูงอย่างเคล็ดวิชาลูกปัดวิเศษพิชิตมารจะเป็นวิชาที่ดีที่ใช้ในการโจมตีเหล่ามารร้าย แต่ซูฉินก็ไม่ได้ใช้เวลาไปกับมันมากนัก

 

ท้ายที่สุดแล้วซูฉินก็รู้ดี ไม่ว่าจะเคล็ดวิชาไหนๆ มันย่อมขึ้นอยู่กับการบ่มเพาะของตัวเขาเองด้วย

 

เวลาค่อยๆ ผ่านเลยไป

 

ซูฉินกลับสู่คืนวันอันสงบสุขและแสนยาวนานอีกครั้ง

 

ลงชื่อเข้าใช้ ฝึกฝนบ่มเพาะ สัมผัสพลังฟ้าดิน ชี้แนะเฉียนขู่เป็นครั้งคราว

 

แน่นอนว่าซูฉินเพียงแต่ชี้ให้เฉียนขู่เห็นเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ไม่ได้เป็นคนเลือกเส้นทางในอนาคตให้เฉียนขู่

 

การฝึกฝนวิทยายุทธโดยเฉพาะอย่างยิ่งการเข้าถึงขอบเขตยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งนั้นเป็นเรื่องใหญ่มาก

 

ยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งทุกคนล้วนต้องมีเส้นทางเป็นของตัวเองเพื่อแปรสภาพตนจึงจะบรรลุจนถึงระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสูงสุดได้

 

เฉียนขู่มีดวงใจพุทธะและเป็นคนที่เฉลียวฉลาดโดยธรรมชาติอยู่แล้ว แม้จะถูกสอนสั่งโดยยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งก็จะไม่ส่งผลกระทบใดต่อเขา

 

แต่กับซูฉินนั้นต่างออกไป

 

ในฐานะอรหันต์ระดับนภาชั้นที่สาม ทุกการกระทำย่อมส่งผลถึงเฉียนขู่อย่างไม่อาจลบออกไปได้

 

อิทธิพลที่มีผลกระทบต่อเฉียนขู่นี้อาจจะดีต่อเฉียนขู่ หรืออาจจะไม่ดีก็ได้ ไม่มีใครรู้

 

ดังนั้นซูฉินจึงต้องปล่อยมันไปและชี้แนะเฉียนขู่เพียงไม่กี่คำยามเมื่อมีข้อสงสัย

 

ปล่อยให้ผู้อื่นได้พัฒนาด้วยตนเอง

 

จากนั้นซูฉินก็จมดิ่งสู่การฝึกฝนอีกครั้ง

 

ศิษย์หลายคนในวัดเส้าหลินเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เช่นกัน

 

ที่ภูเขาด้านหลังมีหมอกควันปล่อยออกมาและศิษย์ทุกคนที่แก่พรรษาเกินกว่าสิบปีขึ้นไปสามารถไปฝึกฝนใกล้กับภูเขาด้านหลังได้

 

ด้วยสายธารแห่งหมอก แม้แต่ผู้ฝึกยุทธที่ยังไม่สามารถสัมผัสพลังฟ้าดินได้ ทั้งขอบเขตสามระดับล่างและสามระดับกลางก็ยังสามารถสัมผัสได้ถึงร่างกายที่ได้รับการดูแลอย่างดีและค่อยๆ แข็งแกร่งขึ้น

 

วันหนึ่ง

 

ภิกษุลาดตระเวนอย่างเจินชื่อเพิ่งกลับมาจากการฝึกฝนบริเวณใกล้ๆ ภูเขาด้านหลัง เขาก็พบศิษย์คนอื่นๆ กำลังกระซิบกระซาบบางอย่าง

 

“พวกเจ้ากำลังคุยอะไรกันอยู่?”

 

เจินชื่อเดินเข้าไปถามอย่างสบายๆ

 

ในขณะนี้เจินชื่อยังคงประหลาดใจอยู่หน่อยๆ กับผลของหมอกจากภูเขาด้านหลัง

 

ในฐานะศิษย์รุ่น ‘เจิน‘ เจินชื่ออยู่ในวัดมาหลายสิบปีดังนั้นเขาจึงมีคุณสมบัติพอที่จะฝึกฝนใกล้กับพื้นที่หวงห้ามภูเขาด้านหลัง

 

ตอนแรกเจินชื่อก็ไม่ได้จริงจังอะไร ใครจะไปคิดเล่าว่าหมอกนี้จะทำอะไรได้?

 

แต่ในขณะที่ฝึกฝนก่อนหน้านี้ เจินชื่อรู้สึกได้อย่างชัดเจนถึงการเปลี่ยนแปลงภายในร่างกายของตน

 

เจินชื่อกระทั่งสัมผัสได้อยู่เล็กน้อยถึงพลังฉีและเส้นเลือดในกายกลับมาแข็งแรงขึ้นอีกครั้ง

 

มันน่าเหลือเชื่อแค่ไหนกัน?

 

ต้องรู้ว่าเลือดเนื้อของผู้ฝึกยุทธจะค่อยๆ เพิ่มขึ้นจนกระทั่งถึงจุดสูงสุด จากนั้นจึงเริ่มเสื่อมถอยลง

 

บางทีอาจเป็นเพราะฝึกฝนวิทยายุทธ จุดสูงสุดอันนั้นจึงยืดยาวออกไปได้ในช่วงเวลาหนึ่ง

 

อย่างไรก็ตามหากไม่มีการพัฒนาครั้งใหญ่อีก การสลายตัวของพลังฉีและเลือดเนื้อของผู้ฝึกยุทธจะไม่สามารถย้อนกลับไปในช่วงเวลาที่แข็งแรงที่สุดในชีวิตได้

 

เดิมทีเจินชื่อนั้นตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ พลังฉีและเลือดเนื้อของเขาเริ่มเสื่อมถอยลงแล้ว

 

หากไม่มีปาฏิหาริย์เกิดขึ้น ความแข็งแกร่งในอนาคตของเขาคงจะไม่ดีไปกว่านี้ และความสำเร็จในชีวิตคงจะถูกหยุดไว้เพียงเท่านี้

 

แต่ตอนนี้เจินชื่อรู้สึกว่าพลังฉีและเลือดเนื้อในกายเพิ่มขึ้นเล็กน้อย

 

“หมอกนั่น…”

 

ภาพหมอกที่อวลไปทั่วฟ้าปรากฏขึ้นอีกครั้งในจิตใจของเจินชื่อ

 

และระหว่างที่เจินชื่อกำลังใช้ความคิดไตร่ตรองอยู่นั้น

 

เหล่าศิษย์ที่พูดคุยกันอยู่ใกล้ๆ ก็เงยหน้าขึ้นมองเจินชื่อและกล่าวว่า

 

“ศิษย์พี่เจินชื่อเรากำลังคุยกันเรื่องผู้ทรงสมณศักดิ์ฯ ที่พำนักอยู่ภูเขาด้านหลัง…”

 

ศิษย์คนหนึ่งมองไปรอบข้างและพูดด้วยอาการหวาดกลัว

 

“ผู้ทรงสมณศักดิ์ฯ?”

 

เจินชื่อขมวดคิ้วและมองไปที่ศิษย์เหล่านี้ “นี่เรื่องของท่านผู้ทรงสมณศักดิ์เป็นเรื่องที่เจ้าสามารถนำมาพูดคุยเล่นๆ ได้ตามใจชอบเช่นนั้นหรือ?”

 

“ศิษย์พี่เจินชื่อ พวกเราไม่ได้ตั้งใจจะแสดงความไม่เคารพต่อผู้ทรงสมณศักดิ์อย่างแน่นอน”

 

“พวกเราแค่อยากรู้ว่าพระอาจารย์ท่านเป็นคนแบบไหน…”

 

ศิษย์ที่เพิ่งพูดไปเมื่อครู่รีบตอบทันทีเพราะกลัวว่าเจินชื่อจะคิดว่าเขาไม่เคารพต่อผู้ทรงสมณศักดิ์

 

“ศิษย์พี่อย่างข้ายังไม่กล้าคิดเลย”

 

เจินชื่อเหลือบมองไปที่ศิษย์เหล่านั้นแล้วจึงส่ายหัว “พวกเจ้าไม่จำเป็นต้องไปคิดหรอกว่าผู้ทรงสมณศักดิ์ฯ เป็นคนแบบไหน เจ้าเพียงต้องจำเอาไว้ว่าความสูงส่งของท่านอยู่เหนือความเข้าใจของพวกเรา…”

 

 

 

ในช่วงเวลาเดียวกัน

 

บนภูเขาหวู่ตั้ง

 

สาวกเขาหวู่ตั้งมากมายหลายคนมารวมตัวกันที่ด้านหน้าห้องโถงอันเก่าแก่

 

สาวกเหล่านี้ล้วนแต่เป็นผู้ที่เดินทางท่องยุทธภพกันมาแล้วทั้งสิ้น ไปมาทั่วไม่ว่าที่แห่งนั้นจะห่างไกลจากเขาหวู่ตั้งเป็นพันลี้ก็ตาม

 

แต่ในขณะนี้เหล่าสาวกทั้งหมดมายืนกันอยู่ที่นี่ราวกับว่ากำลังรออะไรบางอย่าง

 

“ท่านอาจารย์จะออกมาแล้วอย่างนั้นหรือ?”

 

สาวกเขาหวู่ตั้งคนหนึ่งตัวสั่นเนื้อเต้นยามเมื่อมองไปห้องโถงอันเก่าแก่จากระยะไกล แล้วจึงกระซิบถาม

 

“ก็ถ้าตามที่อาจารย์อาพูดล่ะนะ”

 

จางเซียวที่ยืนอยู่ข้างๆ ตอบด้วยเสียงต่ำ

 

“ทำไมท่านอาจารย์ถึงได้ออกมาจากการปิดด่านฝึกตนเล่า?” สาวกเขาหวู่ตั้งอีกคนหันมามองจางเซียวแล้วถามอย่างเคร่งขรึม

 

นักพรตจางสามารถยืนหยัดตำแหน่งอันสูงส่งในยุทธภพมาได้ตั้งหลายสิบปีโดยที่ไม่ย่างกรายออกไปจากเขาหวู่ตั้งเลยแม้แต่น้อย สาวกคนนี้คิดเท่าไหร่ก็คิดไม่ออกว่าทำไมนักพรตจางจึงประกาศว่าจะออกจากด่านฝึกตนในเวลานี้

 

จางเซียวครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งแล้วตอบไปอย่างไม่แน่ใจว่า “ครั้งก่อนที่ข้าลงเขาไปท่องยุทธภพ แต่กลับเจอศัตรูของเขาหวู่ตั้งผู้หนึ่ง ศัตรูผู้นี้เป็นถึงยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่ง และมันต้องการจะสังหารข้า”

 

เมื่อจางเซียวพูดเช่นนั้นเขาก็หยุดไปชั่วครู่แล้วจึงพูดต่อ “บางทีท่านอาจารย์อาจจะรู้เรื่องนี้ จึงอยากจะออกจากด่านฝึกตนเพื่อไปล้างแค้นให้ข้า?”

 

“เป็นไปไม่ได้!”

 

สาวกจากเขาหวู่ตั้งที่พูดเมื่อครู่ได้แต่ส่ายหัวและกล่าวขึ้นว่า “ท่านอาจารย์ปลีกวิเวกปิดด่านฝึกตนเพื่อฝ่าฟันสู่หนทางอันยิ่งใหญ่ เป็นไปไม่ได้ที่ท่านอาจารย์จะถูกรบกวนจากเรื่องราวธรรมดาๆ เช่นนี้”

 

“หากเจ้าตายไป ท่านอาจารย์อาจจะออกจากด่านฝึกตนเพื่อล้างแค้น แต่นี่เจ้าก็ยังไม่ตาย มันยังมีเวลาให้พักอยู่บ้าง อาจารย์หลายคนก็สั่งให้ข้ารั้งรออยู่ที่นี่ก่อน ค่อยลงไปค้นหาความจริงภายหลัง เพราะฉะนั้นมันเป็นไปได้ที่ท่านอาจารย์จะออกมาจากการปิดด่านฝึกตนด้วยตนเอง”

 

คำที่กล่าวออกมา

 

สาวกเขาหวู่ตั้งคนอื่นๆ พยักหน้าเห็นด้วยอย่างรวดเร็ว

 

แม้ว่านักพรตจางจะต้องรักษาหน้าของเขาหวู่ตั้งเอาไว้ แต่จางเซียวก็ไม่ได้เป็นอะไรร้ายแรง

 

สถานการณ์เช่นนี้นักพรตจางจะไม่ออกมาเพียงเพราะเรื่องนี้เป็นแน่แท้

 

ยามเมื่อสาวกเขาหวู่ตั้งหลายคนกำลังตั้งตารอคอย

 

แกร็ก

 

ประตูของห้องโถงอันเก่าแก่ก็ถูกผลักเปิดออกอย่างเงียบๆ

 

ชายที่สวมชุดคลุมในแบบฉบับนักพรตเต๋า เดินโซซัดโซเซออกมาช้าๆ

 

ผิวของเขาใสราวกับหยก กรอบตาคมชัด ไม่สามารถระบุอายุที่แน่ชัดได้ การเคลื่อนไหวของเขาดูระมัดระวังและมีเสน่ห์อย่างน่าประหลาด

 

นักพรตเต๋าเพิ่งจะเดินออกมา สาวกเขาหวู่ตั้งทั้งหลายต่างก็โค้งคำนับลงพร้อมตะโกนเสียงอันดังลั่น

 

“ขอต้อนรับท่านอาจารย์ออกจากการปิดด่านฝึกตน”

 

“ขอต้อนรับท่านอาจารย์ออกจากการปิดด่านฝึกตน”

 

เสียงอันดังสนั่นกระจายออกไปหลายลี้

 

หลังจากนั้นไม่นานนักพรตจางที่มองไปรอบๆ ก็พูดขึ้นว่า

 

“พวกเจ้าเงยหน้าขึ้นเถอะ”

 

นักพรตจางผู้นี้ได้ชื่อว่าเป็นผู้มีอำนาจคับยุทธภพ แต่ในตอนนี้ไม่มีแม้กลิ่นอายของผู้ฝึกยุทธบนตัวเขาเลย ราวกับว่าเขาเป็นบุคคลธรรมดา

 

“ท่านอาจารย์ ท่านทะลวงผ่านขั้นแล้วหรือ?”

 

สาวกเขาหวู่ตั้งอดไม่ได้ที่จะถามคำถามออกไป

 

เมื่อสาวกคนอื่นได้ยิน ใบหน้าของพวกเขาก็เปลี่ยนไป ต่างจ้องไปที่นักพรตจางกันตาเขม็ง

 

ถ้านักพรตจางสามารถทำเช่นนั้นได้จริงๆ เขาหวู่ตั้งจะครองยุทธภพต่อไปอีกสามร้อยปี

 

“ทะลวงผ่านขั้น?”

 

นักพรตจางส่ายหัวยิ้มๆ และพูดขึ้นว่า “เส้นทางสู่ตำนานยุทธนั้นยากเย็นเพียงไร พวกเจ้าก็รู้ แม้ว่าข้าจะปิดด่านฝึกตนเป็นร้อยปีก็ไม่สามารถฝ่าทะลวงมันไปได้”

 

“แล้วเช่นนั้นจุดประสงค์ที่ท่านอาจารย์ออกมาในครั้งนี้คืออะไรกัน?”

 

ศิษย์ที่พูดตั้งแต่แรกกล่าวถามอย่างระมัดระวัง

 

“ลงจากเขา”

 

นักพรตจางเงยหน้าขึ้นและมองไปยังทิศทางของวัดเส้าหลิน จากนั้นจึงกล่าวคำแผ่วเบา “ไปแสวงหาสัจธรรม!”

Sign in Buddha’s palm 89 สูญเสียศาลาพระคัมภีร์ตลอดไป

 

 

เมื่อเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินอธิบายความสำคัญของหมอกจากภูเขาด้านหลังให้ฟังทีละประเด็น เหล่าหัวหน้าตำหนักต่างก็ตกใจ

 

พวกเขาเพียงตั้งคำถามกับเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินไปโดยสัญชาตญาณ แต่หลังจากไตร่ตรองเรื่องนี้ดู เหมือนว่าคำพูดของเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินจะมีเหตุผลอยู่มากทีเดียว

 

ด้วยหมอกจากภูเขาด้านหลัง ตราบที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เกิดขึ้น วัดเส้าหลินมีแนวโน้มที่จะให้กำเนิดยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งขึ้นมาแปดถึงสิบคน

 

“รีบคัดศิษย์ให้มาดูดซับไอหมอกซะ”

 

“มิเช่นนั้นหมอกของวันนี้จะกระจายหายไป…”

 

หัวหน้าลานธรรมชำเลืองมองคนอื่นที่ยังอยู่ในอาการตกใจแล้วรีบพูดขึ้น

 

ด้วยคำที่กล่าวออก

 

หัวหน้าตำหนักคนอื่นพลันฟื้นคืนสติขึ้นมา

 

ไม่เพียงแต่เหล่าศิษย์ที่ต้องดูดซับหมอกเหล่านี้ พวกเขาที่เป็นหัวหน้าตำหนักก็ต้องใช้หมอกเหล่านี้เช่นกัน

 

โดยเฉพาะอย่างยิ่งหัวหน้าลานอรหันต์และหัวหน้าตำหนักยุทธสงฆ์ที่เดิมนั้นเป็นจุดสูงสุดของระดับชั้นที่สาม แต่ด้วยหมอกพวกนี้พวกเขาสามารถก้าวข้ามไปสู่ระดับชั้นที่สองได้

 

เมื่อนึกได้แบบนี้ทุกคนต่างก็กระตือรือร้นที่จะกระทำการบางอย่าง

 

 

พื้นที่หวงห้ามภูเขาด้านหลัง

 

หลังจากที่ผ่านไปครึ่งวัน

 

ซูฉินนั่งขัดสมาธิ หมอกพลังฉีม้วนตัวหลั่งไหลเข้าสู่ร่างเขาอย่างไม่มีที่สิ้นสุดราวกับมังกรกำลังแหวกว่าย

 

ฮู่ว!

 

ฮู่ว!

 

ทุกครั้งที่ซูฉินหายใจ มันราวกับสัตว์ยุคโบราณกำลังสูบกินอาหาร เป็นหมอกพลังฉีที่หมุนวนมิรู้จบ ทุกสิ่งถูกดูดกลืนโดยตัวเขา

 

“ค่ายกลนี้ทำงานได้ดีทีเดียว”

 

ตอนนี้ซูฉินค่อยๆ ลืมตาขึ้น เขาดูพอใจมาก

 

ขณะนี้พลังฉีฟ้าดินรอบตัวเขา มีมากกว่าสถานที่อื่นเกือบร้อยเท่า ที่นี่ซูฉินสามารถเพิ่มความเร็วในการบ่มเพาะได้อย่างมาก

 

ควบคู่ไปกับการบริโภคโอสถอายุวัฒนะเคลือบทองคำจำนวนมหาศาล ความแข็งแกร่งของซูฉินก็พัฒนาขึ้นอย่างต่อเนื่อง

 

“ทว่า นภาชั้นที่สามนั้นยากที่จะปีนป่าย การจะถึงขอบเขตนภาชั้นที่สี่ยากกว่าที่ข้าคาดคิดเอาไว้…”

 

แม้จะอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมกับการบ่มเพาะเช่นนี้ ซูฉินก็ยังมองไม่เห็นจุดสูงสุดของระดับนภาชั้นที่สาม ราวกับว่าไม่มีขอบเขตสูงสุดในระดับชั้นนี้

 

“หรือข้ายังอ่อนแอเกินไป หากข้าเป็นอรหันต์ในระดับนภาชั้นที่เก้าละก็ จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของข้าคงจะดึงดูดพลังฉีในรัศมีหลายพันหรือไม่ก็หลายหมื่นลี้โดยรอบให้เข้ามาในค่ายกลสวรรค์เขตแดนพิสุทธิ์ได้แน่”

 

“จากนั้นพลังฉีฟ้าดินที่มารวมตัวกันจากโดยรอบในรัศมีนับพันนับหมื่นลี้นี้คงจะเทียบได้กับสรวงสวรรค์ของเหล่าเซียนเลยเชียว”

 

ซูฉินถอนหายใจอย่างไม่ได้ทุกข์ร้อนอะไรเท่าไหร่

 

ค่ายกล‘สวรรค์เขตแดนพิสุทธิ์‘นี้แบ่งแยกออกได้หลายระดับ

 

ระดับต่ำที่สุดดึงดูดพลังฟ้าดินครอบคลุมระยะหลายลี้

 

ระดับต่อมาก็ครอบคลุมรัศมีหลายสิบลี้ และค่อยๆ เพิ่มขึ้นเป็นหลายร้อยลี้ หลายพันลี้ จนไปถึงหลายหมื่นลี้

 

หากเป็นยอดฝีมือที่เพิ่งเข้าสู่ระดับอรหันต์ที่ไม่รู้การคงอยู่ของ ‘ค่ายกลสวรรค์เขตแดนพิสุทธิ์‘ อย่างมากสุดเขาก็รวบรวมพลังฟ้าดินโดยรอบมาได้แค่ไม่กี่ลี้เท่านั้น

 

แต่ในขณะนี้ซูฉินไปถึงระดับนภาชั้นที่สามแล้ว และจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของเขาเหนือกว่าของอรหันต์ในนภาชั้นที่หนึ่งไปมาก ‘ค่ายกลสวรรค์เขตแดนพิสุทธิ์‘ จึงมีการจัดวางในระดับที่สูงขึ้นครอบคลุมรัศมีหลายสิบลี้โดยรอบ

 

“น่าเสียดายที่ค่ายกล‘สวรรค์เขตแดนพิสุทธิ์‘ไม่สามารถสร้างซ้อนทับกันได้ มิฉะนั้นข้าจะสร้างเพิ่มอีกสักสองสามแห่ง”

 

ซูฉินส่ายศีรษะ

 

“แต่ในตอนนี้มันยังไม่เป็นอะไร”

 

“อย่างน้อยความเร็วในการฝึกฝนของข้าก็เร็วกว่าอรหันต์แห่งวัดเส้าหลินในสมัยก่อนเสียอีก เกรงว่าแม้แต่ตำนานยุทธคนอื่นๆ ก็ไม่ได้มีเงื่อนไขและสภาพแวดล้อมที่ดีเหมือนกับที่ข้ามี”

 

ซูฉินพยักหน้าเล็กน้อยด้วยความพอใจ

 

ในอดีตจนถึงปัจจุบันคงจะมีตำนานยุทธบางคนที่ก่อตั้งค่ายกลขนาดใหญ่คล้ายๆ กับ ‘ค่ายกลสวรรค์เขตแดนพิสุทธิ์‘ ที่สามารถรวบรวมพลังฟ้าดินมาได้ แต่เกรงว่าจะไม่มีใครยินดีบริโภคโอสถล้ำค่าอย่างโอสถอายุวัฒนะเคลือบทองคำทั้งวันทั้งคืนโดยไม่มีหยุดแบบนี้

 

ยิ่งไปกว่านั้นซูฉินยังมีคัมภีร์ชั้นสูงสุดอย่างพระสูตรอมิตาภาบรรพกาลซึ่งสามารถปรับแต่งพลังฟ้าดินมาบ่มเพาะได้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด

 

“ยังต้องฝึกฝนอีกมาก”

 

ซูฉินหลับตาลงอีกครั้งและโคจรพลังตามพระสูตรอมิตาภาบรรพกาลไปทั่วร่างกาย

 

ตกดึก

 

พระจันทร์ลอยเด่นสูงบนฟากฟ้า

 

ซูฉินหยุดการบ่มเพาะเอาไว้

 

“ข้าสามารถลงชื่อเข้าใช้ได้แล้ว”

 

เมื่อซูฉินคิดได้ดังนั้น จึงเดินออกจากพื้นที่หวงห้ามภูเขาด้านหลังและมาอยู่ที่ด้านหน้าศาลาพระคัมภีร์

 

“ระบบ ลงชื่อเข้าใช้”

 

ซูฉินกล่าวเงียบๆ ภายในใจ

 

[ขอแสดงความยินดี โฮสต์ลงชื่อเข้าใช้สำเร็จ ได้รับ ‘เคล็ดวิชาลูกปัดวิเศษพิชิตมาร‘]

 

[คำเตือน ต่อแต่นี้‘เต๋าสะสม‘ในพื้นที่นี้ได้หมดลงและจะกลายเป็นสถานที่ที่ไม่สามารถลงชื่อเข้าใช้ซ้ำได้อีกต่อไป]

 

เสียงจักรกลเย็นยะเยือกดังขึ้นติดต่อกันถึงสองครั้งด้านในหูของซูฉิน

 

“เคล็ดวิชาลูกปัดวิเศษพิชิตมาร?”

 

“ไม่ให้ลงชื่อเข้าใช้ซ้ำอีกแล้ว?”

 

ซูฉินมองไปที่ศาลาพระคัมภีร์โดยมีความคิดอันซับซ้อนอยู่ลึกๆ ภายในใจ

 

เป็นเวลากว่าสามสิบปีแล้วที่ซูฉินมาอยู่ในวัดเส้าหลิน ไม่รู้ว่าตัวเขาเองลงชื่อเข้าใช้ศาลาพระคัมภีร์ไปกี่ครั้งต่อกี่ครั้ง

 

แต่ตอนนี้ศาลาพระคัมภีร์ที่อยู่ร่วมกับซูฉินมาหลายปีในที่สุดก็‘ไม่เหลือแม้แต่รากให้ดึงมาใช้อีก‘ ในเมื่อเต๋าสะสมในที่แห่งนี้หมดไปแล้ว เขาก็ไม่สามารถลงชื่อเข้าใช้ได้อีกต่อไป

 

แม้ว่าในช่วงแรกๆ ที่ระบบเตือนเรื่องเต๋าสะสมในหอคอยสะกดมารกำลังจะหมดไป ซูฉินจะได้รับรู้แล้วว่าแม้แต่โบราณสถานที่สืบทอดกันมาหลายพันปีก็ไม่ได้มีเต๋าสะสมเอาไว้จนถึงขนาดไม่หมดไม่สิ้น

 

พอวันนี้มาถึงจริงๆ ซูฉินก็ยังคงเต็มไปด้วยอารมณ์ความรู้สึก

 

“ศาลาพระคัมภีร์หมดสภาพลงแล้ว และลานโพธิ์คงจะตามไปในเร็วๆ นี้”

 

ซูฉินคิดอยู่ภายในใจตนเอง

 

แม้ว่าลานโพธิ์จะเป็นสถานที่สำคัญของวัดเส้าหลิน แต่ในแง่ของเต๋าสะสมที่มีอยู่ก็คงไม่ได้มากไปกว่าศาลาพระคัมภีร์

 

นอกจากนี้ซูฉินคงลงชื่อเข้าใช้ที่ศาลาพระคัมภีร์ไม่ได้อีกต่อไป ในอนาคตเกรงว่าสิทธิ์ในการลงชื่อทั้งหมดคงไปตกอยู่ที่ลานโพธิ์…

 

ไม่ว่าเต๋าสะสมจะมีมากแค่ไหน ยังไงซูฉินก็ต้องมาลงชื่อที่ลานโพธิ์วันละครั้งอยู่ดี ไม่มีอะไรมากั้นขวางเขาได้…

 

“เมื่อไรก็ตามที่ไม่สามารถลงชื่อเข้าใช้ในลานโพธิ์ คงถึงเวลาต้องจากไป”

 

ความคิดของซูฉินผกผันไปมา

 

แม้ว่าเขาจะอยู่ในวัดเส้าหลินมาเกือบสามสิบปีแล้ว แต่เขาก็ไม่ได้รู้สึกฝืนใจที่จะต้องจากไป

 

เหตุผลหลักก็คือซูฉินคิดว่าตนทิ้งหลายสิ่งหลายอย่างไว้มากเพียงพอต่อวัดเส้าหลินแล้ว

 

ไม่เพียงแต่ช่วยเฉียนขู่ในการซ่อมแซมดวงใจพุทธะ แต่ยังให้คำชี้แนะอยู่บ่อยครั้ง เป็นการช่วยเหลือทางอ้อมในการสร้างยอดปรมาจารย์ขั้นสมบูรณ์ให้กับวัดเส้าหลินในอนาคต

 

นอกจากนี้ซูฉินยังทิ้งค่ายกลขนาดใหญ่เอาไว้ ‘ค่ายกลสวรรค์เขตแดนพิสุทธิ์‘ ก่อตั้งไว้ในพื้นที่หวงห้ามภูเขาด้านหลัง

 

ค่ายกลขนาดใหญ่ชนิดนี้สามารถรวบรวมพลังฟ้าดินมาได้ แม้จะไม่ได้รับการดูแลจากซูฉินก็สามารถคงสภาพที่ดีที่สุดไว้ได้ถึงยี่สิบปี แล้วจะค่อยๆ เสื่อมสภาพลงหลังจากผ่านยี่สิบปีนี้ไป แต่ก็ยังคงใช้งานได้อยู่จนกระทั่งร้อยปีให้หลัง

 

นี่ยังไม่นับความพยายามหลายต่อหลายครั้งของซูฉินในการช่วยวัดเส้าหลินจากภัยอันตรายอันใหญ่หลวงทั้งหลาย

 

สิ่งรบกวนใจได้รับการสะสาง

 

เท่านี้ก็มีเหตุผลมากพอให้จากไปได้แล้ว

 

ในขณะเดียวกันซูฉินก็เริ่มคิดถึงเรื่องสิ่งที่เพิ่งได้รับมา ทันใดนั้น ‘เคล็ดวิชาลูกปัดวิเศษพิชิตมาร‘ ก็ไหลบ่าเข้ามาในจิตของซูฉิน

 

หลังจากนั้นไม่นานซูฉินก็เปิดเปลือกตาขึ้น

 

“ไม่เลว”

 

ซูฉินพยักหน้าเล็กน้อย

 

เคล็ดวิชาลูกปัดวิเศษพิชิตมารเป็นวิชาจู่โจมที่วิเศษอย่างแท้จริง สามารถควบแน่นแก่นแท้แห่งพลังให้กลายเป็นลูกประคำยี่สิบสี่เม็ดเพื่อใช้ในการปราบเหล่าปีศาจและมารร้ายได้

 

ราวหนึ่งพันปีก่อน อรหันต์บางรูปจากวัดเส้าหลินได้สังหารตำนานยุทธพรรคมารด้วยเคล็ดวิชาอันนี้

 

แม้ว่าจะมีคำกล่าวว่า ตำนานยุทธมักไม่ค่อยจะปรากฏให้เห็นแม้จะผ่านไปหลายชั่วอายุคน แต่ไม่ว่าจะเป็นอรหันต์เองหรือตำนานยุทธก็ดี ทั้งคู่ต่างมีอายุขัยกว่าห้าร้อยปีซึ่งนานเกินกว่ายุคสมัยหนึ่งเสียอีก

 

ดังนั้นหากโชคดีพอ มักจะได้เห็นการคงอยู่ของผู้ฝึกยุทธในระดับตำนานยุทธหลายคนอยู่ร่วมในยุคเดียวกัน

 

แน่นอนว่าหากโชคไม่ดี อาจจะไม่ได้เห็นการกำเนิดเกิดขึ้นของตำนานยุทธคนไหนเลยในสักอาณาจักร

 

“จงควบแน่น!”

 

ซูฉินยกมือขวาขึ้นและควบแน่นพลังไปเป็นลูกปัดตามเคล็ดวิชาลูกปัดวิเศษพิชิตมาร

 

เม็ดลูกปัดเหล่านี้เคลื่อนที่ไปรอบๆ เผยให้เห็นถึงกลิ่นอายที่สั่นสะเทือนออกมาเบาๆ

 

“ได้เวลากลับแล้วหละ”

 

ซูฉินพอใจยิ่งขึ้นไปอีก

 

ในแง่พลังของเคล็ดวิชาอาจจะนับอยู่ในสองร้อยอันดับแรกของเคล็ดวิชาที่ซูฉินได้รับมาในช่วงหลายปีมานี้

 

เรียกได้ว่าหายากทีเดียว

Sign in Buddha’s palm 88 ส่วนเกินจากบ่อเงินบ่อทอง

 

 

“ลุกขึ้นเถอะ”

 

คําพูดจากปากของซูฉินทําให้เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินและหัวหน้าตําหนักกล้ายืดตัวตรงขึ้นมาหน่อย แต่กระนั้นหลายคนก็ยังก้มหน้าอยู่ไม่กล้าที่จะมองไปที่ซูฉินตรงๆ

 

“ผู้ทรงสมณศักดิ์ฯ ข้ามิรู้ว่าหมอกที่ภูเขาด้านหลังนี้คืออะไร”

 

เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินจัดระเบียบความคิดของตนด้วยความระมัดระวังก่อนจะถามออกไปอย่างไม่ค่อยจะแน่ใจนัก

 

ในใจของเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวิน พระหนุ่มที่นั่งขัดสมาธิตรงหน้าไม่ใช่ศิษย์รุ่น “เจิน” แต่เป็นอรหันต์ผู้ทรงอํานาจในยุทธภพและอาจจะเป็นปางอวตารขององค์ยูไล มีชะตากรรมที่จะขีดเขียนชะตาของยุทธภพในอนาคต

 

“หมอก?”

 

“นั่นคือผลพลอยได้จากของที่ข้าสร้างขึ้นมา”

 

ซูฉินไม่ได้สนใจนัก

 

“หมอก” ในมุมมองของเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินไม่ได้มีอะไรไปมากกว่าการควบแน่นของพลังฟ้าดินจนกลายเป็นรูปเป็นร่าง

 

มันไม่ใช่หมอกจริงๆ

 

“ผลพลอยได้จากของที่สร้างขึ้นมา”

 

หัวหน้าตําหนักต่างมองหน้ากัน พวกเขารู้สึกเหมือนว่าตนกําลังฝันอยู่

 

ขนาดพวกเขาสูดเอาหมอกเข้าไปที่ด้านนอกพื้นที่หวงห้ามภูเขา ด้านหลังก็ยังรู้สึกได้ถึงผลประโยชน์อย่างชัดเจน

 

โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับหัวหน้าลานอรหันต์ เขาใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการฝึกกําลังภายนอกตั้งแต่ยังเด็ก ทําให้มีอาการบาดเจ็บซ่อนอยู่ในร่างกาย

 

บาดแผลที่ซ่อนอยู่พวกนี้นับว่าเล็กน้อยมากและอาจจะไม่มีอะไรเกิดขึ้นในตอนนี้ แต่เมื่อแก่ตัวลงมันอาจแสดงผลออกมา

 

หัวหน้าลานอรหันต์ก็ปวดหัวกับเรื่องนี้เช่นกัน แต่ไม่รู้จะทําเช่นไร

 

บาดแผลเหล่านั้นฝังลึกลงไปในไขกระดูก เว้นแต่เขาจะเข้าสู่ระดับชั้นที่หนึ่งและทําการแปรสภาพกายเนื้อจนสําเร็จ นอกนั้นการจะรักษาให้หายไปมันก็ยาก

 

แต่ตอนนี้ หลังจากสูดดมหมอกจากภูเขาด้านหลังไปไม่กี่ครั้ง หัวหน้าลานอรหันต์ก็รู้สึกได้ว่าอาการบาดเจ็บที่ซ่อนอยู่ภายในกายเริ่มดีขึ้นอย่างช้าๆ

 

แม้ว่ายังห่างไกลจากการฟื้นตัวอย่างสมบูรณ์ แต่อย่างน้อยอาการก็ไม่ทรุดลงอีกต่อไป

 

อย่างไรก็ตาม

 

สําหรับเขาหมอกนี่เปรียบได้กับน้ำยาอายุวัฒนะ แต่คําจากปากของซูฉินกลับกล่าวว่าเป็นเพียงผลพลอยได้จากอุปกรณ์ที่สร้างขึ้นมา ไม่ได้มีอะไรน่าสนใจให้กล่าวถึง

 

สิ่งนี้ทําให้หัวหน้าตําหนักเต็มไปด้วยอารมณ์และพูดอะไรไม่ออก ไปชั่วขณะ

 

พวกเขาล้วนเป็นผู้ฝึกยุทธในขอบเขตสามระดับบน ต้องทนรับการขัดเกลาจากพลังฉีฟ้าดินอยู่ทุกวี่วัน พวกเขาย่อมตระหนักดีว่าหมอกนี้กลั่นตัวมาจากพลังฟ้าดิน

 

ถึงอย่างไรรู้ก็ส่วนรู้ แต่เมื่อมาเห็นจริง สัมผัสจริงสูดลมหายใจเข้าไปจริงๆ มันก็ยังเป็นเรื่องที่น่าเหลือเชื่อยิ่งนัก

 

“ในเมื่อพวกเจ้าได้มาอยู่ที่นี่กันหมดแล้ว ให้ข้าได้บอกอะไรพวกเจ้าสักหน่อย”

 

ซูฉินเหลือบมองไปที่เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินและเหล่าหัวหน้าตําหนัก จากนั้นจึงพูดขึ้นเบาๆ ว่า “ในทุกๆ วันจะมีไอหมอกจางๆ แผ่ออกไปนอกพื้นที่หวงห้ามภูเขาด้านหลัง พวกเจ้าสามารถคัดสรรศิษย์บางคนด้วยตัวของพวกเจ้าเพื่อมาดูดซับกลุ่มหมอกจางๆ เหล่านี้”

 

เมื่อก่อตั้งค่ายกลพลังฟ้าดินสวรรค์เขตแดนพิสุทธิ์แล้ว มันจะดึงพลังฟ้าดินในรัศมีหลายร้อยลี้โดยรอบอยู่ตลอดเวลา พลังฟ้าดินที่ถูกดึงมานี้จะควบแน่นกลายเป็นรูปเป็นร่าง แต่ก็ยังมีบางส่วนเล็กๆ ที่ล้นออกไปนอกค่ายกลซึ่งเป็นลักษณะเหมือนดังหมอกที่ศิษย์ของวัดเส้าหลินหลายคนได้พบเห็น

 

แน่นอนว่าหมอกเหล่านั้นด้อยกว่าพลังฟ้าดินที่รวบรวมมาโดย “ค่ายกลสวรรค์เขตแดนพิสุทธิ์” มันไม่ได้มีประโยชน์เท่าไหร่ต่อยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งด้วยซ้ํา

 

แต่สําหรับศิษย์ของวัดเส้าหลินที่อยู่ในขอบเขตสามระดับกลาง และแม้แต่หัวหน้าตําหนักที่อยู่ในขอบเขตสามระดับบนล้วนมีผลดีอย่างมาก

 

เพื่อการบํารุงร่างกาย ปรับปรุงการฝึกฝนทางจิตวิญญาณ และประโยชน์อื่นๆ อีกมากมาย

 

ซูฉินเตือนเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินและคนอื่นๆ เกี่ยวกับเรื่องนี้โดยไม่อยากให้ของที่มีต้องเสียเปล่าไป

 

เพราะถึงอย่างไรซูฉินก็ไม่จําเป็นต้องใช้หมอกพวกนั้นอยู่แล้ว ถ้าเขาไม่บอกกล่าวอะไรออกไป หมอกก็จะกระจายหายไปตามธรรมชาติ แทนที่จะเป็นเช่นนั้นจะเป็นการดีกว่าหรือไม่ที่จะนํามาช่วยเหลือศิษย์วัดเส้าหลิน

 

อย่างไรก็ตามซูฉินไม่ได้คาดคิดว่าคําพูดของเขาจะไปกระทบใจเหล่าหัวหน้าตําหนักและเจ้าอาวาสชุ่ยเหวินเพียงไร

 

รู้หรือไม่ว่าหมอกเหล่านี้ไม่ได้เหมือนกับโอสถเม็ดที่เมื่อบริโภคแล้วจะสูญหายไป

 

จากการคาดเดาของพวกเขา หมอกเหล่านี้น่าจะผลิตได้อย่างต่อเนื่อง ดูดซับในวันนี้พรุ่งนี้ก็จะมีมาใหม่

 

นั่นหมายความเช่นไร?

 

หมายความว่านี่คือขุมสมบัติที่จะไม่หมดไป มันคือพลังงานหมุนเวียน

 

“ขอบพระคุณขอรับท่าน”

 

เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินและหัวหน้าตําหนักต่างก้มหัวให้กับซูฉินด้วยความซาบซึ้ง

 

นอกจากคําขอบคุณแล้ว ในใจพวกเขายังเปี่ยมไปด้วยความสํานึกรู้คุณ

 

“เอาล่ะ กลับไปได้แล้ว”

 

ซูฉินกล่าว

 

ตอนนี้ ค่ายกลสวรรค์เขตแดนพิสุทธิ์เพิ่งจะก่อตั้งเสร็จ เขายังไม่ทันได้จมสู่ห้วงประสบการณ์ในการใช้มันก็ต้องต้อนรับเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินและคนอื่นๆ เสียแล้ว

 

ตอนนี้ซูฉินก็ได้อธิบายในสิ่งที่สมควรอธิบายไปแล้ว เป็นธรรมดาที่จะถึงเวลาไล่แขกกลับไป

 

“ขอรับ”

 

เจ้าอาวาสชุ่ยเหวินและคนอื่นๆ ลาจากไปด้วยความเคารพ

 

“น่าเสียดายจริงๆ”

 

“ค่ายกลขนาดใหญ่ที่ใช้รวบรวมพลังฟ้าดินชนิดนี้ต้องได้รับการปรับปรุงโดยข้าอยู่เนืองๆ มิเช่นนั้นอย่างมากสุดภายในยี่สิบปี ประสิทธิภาพของค่ายกลนี้จะลดลง”

 

“และภายในร้อยปีมันจะสูญเสียประสิทธิภาพไปโดยสมบูรณ์”

 

ซูชิ้นคิดในใจอย่างเงียบๆ

 

ในหมู่ค่ายกลฟ้าดินทั้งหลาย ค่ายกลในการรวบรวมพลังฟ้าดินนี้ไม่เหมือนกับค่ายกลฟ้าดินอื่นๆ ที่ใช้ในการซ่อนเร้นและการสะกดปราบปราม

 

ประเภทหลังนั้นเป็นค่ายกลที่ใช้ในพื้นที่เล็กๆ มีความผันผวนทางพลังงานน้อย ไม่จําเป็นต้องปรับปรุงเปลี่ยนแปลงเท่าไหร่ ดังมันจึงสามารถดํารงอยู่ได้ยาวนาน

 

โดยเฉพาะอย่างยิ่งค่ายกลฟ้าดินที่ใช้ซ่อนเร้นสามารถคงอยู่ได้นานเป็นพันปี ตัวอย่างเช่นห้องลับที่อรหันต์ถั่วมรณภาพ ถ้าไม่ใช่ซูฉินมันก็ยังไม่ถูกค้นพบต่อไปแม้ผ่านมาเก้าร้อยปีแล้ว

 

และขนาดผ่านมาเก้าร้อยปียังคงความสามารถในการหลีกเลี่ยงจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของซูฉินได้

 

แต่’ค่ายกลสวรรค์เขตแดนพิสุทธิ์’นั้นแตกต่างออกไป

 

เมื่อพูดถึงพลังฉีฟ้าดินในรัศมีหลายสิบลี้ พลังฉีปริมาณมหาศาลโดยรอบย่อมเปลี่ยนแปลงไปหลังจากผ่านไปชั่วระยะเวลาหนึ่ง

 

เมื่อพลังฉีฟ้าดินโดยรอบเปลี่ยนแปลงไป ค่ายกลขนาดใหญ่ เช่น ค่ายกลสวรรค์เขตแดนพิสุทธิ์จะต้องมีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงไปตามธรรมชาติ มิฉะนั้นมันจะค่อยๆ เสื่อมสภาพลง

 

ซูฉินหลับตาลงขณะที่ครุ่นคิดเรื่องการบ่มเพาะไปด้วย

 

และในตอนนี้เอง

 

เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินและเหล่าหัวหน้าตําหนักก็ได้เดินออกจากพื้นที่หวงห้ามภูเขาด้านหลัง

 

เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินหยุดฝีเท้าแล้วมองกลับไปยังหมอกที่ค่อยๆ กระจายตัวออกมา

 

“แม้หมอกชนิดนี้จะอยู่ได้เพียงห้าสิบปี แต่ก็สามารถรับประกันความเจริญรุ่งเรืองให้วัดเส้าหลินของพวกเราได้ถึงสามร้อยปี!”

 

เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินถอนหายใจและกล่าวคําเบาๆ

 

“ห้าสิบปี?”

 

“รุ่งเรืองไปสามร้อยปี?”

 

หัวหน้าตําหนักรูปอื่นๆ ต่างตกใจและมองไปที่เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินด้วยความรู้สึกไม่เชื่อ

 

พวกเขาประเมินค่าของหมอกเหล่านี้ต่อวัดเส้าหลินว่ามากแล้ว แต่สําหรับเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินเหมือนว่าจะให้ความสําคัญกับหมอกนี้มากกว่าที่พวกเขาคิดเสียอีก

 

“พวกเจ้าไม่เชื่อหรือ?”

 

เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินเหลือบมองไปที่เหล่าหัวหน้าตําหนัก เขาส่ายหัวแล้วพูดต่อ “ข้าคาดว่าด้วยหมอกเหล่านี้ ภายในสิบปีผู้ฝึกยุทธใน ขอบเขตสามระดับบนจะเพิ่มขึ้นอีกมาก และภายในยี่สิบปียอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งอย่างน้อยก็สองคนจะต้องกําเนิดขึ้นในวัดเส้าหลินเรา”

 

“ห้าสิบปีต่อจากนี้ จํานวนของยอดปรมาจารย์ในวัดของพวกเราจะมีแปดถึงสิบคน”

 

“เมื่อมียอดฝีมือมากมายอยู่ในวัดของพวกเรา กลุ่มคนที่ทรงพลังในวัดก็จะถือกําเนิดมากขึ้นเรื่อยๆ หากยังคงระดับนี้ต่อไปได้ ย่อมนําพาความเจริญต่อไปได้อีกสามร้อยปี..”

 

เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินกล่าวคําอย่างช้าๆ

 

หัวหน้าตําหนักคนอื่นๆ ต่างตกตะลึง

 

โดยเฉพาะยามเมื่อพวกเขาได้ฟังว่าจะมียอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งกําเนิดขึ้นแปดถึงสิบคนในห้าสิบปี ยิ่งน่าเหลือเชื่อเข้าไปใหญ่

 

นั่นมันยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งเชียวนะ!

 

ในปัจจุบันเกรงว่าจะมีแค่ในดินแดนที่ทรงพลังเท่านั้นจึงจะมี ยอดปรมาจารย์จํานวนมาก มิใช่หรือ?

 

Sign in Buddha’s palm 87 เขตแดนพิสุทธิ์

 

 

คำพูดของชายในชุดผ้าไหมทองที่เปล่งออกมา

 

นักร้องนักดนตรีที่กำลังร้องรำทำเพลงกันอยู่ด้านล่างต่างคุกเข่าลงไปกับพื้นด้วยความตื่นตระหนก ไม่แม้แต่เงยหน้าขึ้นมา

 

“องค์ชายเฉิน โปรดระวังด้วย…”

 

ชายวัยกลางคนที่ดูคล้ายจะเป็นที่ปรึกษาส่วนตัวรีบเดินเข้ามาหาแล้วกล่าวด้วยเสียงทุ้มต่ำ “การแต่งตั้งครั้งนี้เป็นพระประสงค์ขององค์จักรพรรดิ ถูกต้องตามพิธีการ ต่อมาจ้าวกงกงถึงกับออกไปรับและเสด็จไปที่พระราชวังตะวันออกพร้อมกัน”

 

“นี่เห็นได้ชัดถึงความตั้งใจขององค์จักรพรรดิ”

 

ชายวัยกลางคนที่ดูเหมือนเป็นที่ปรึกษากล่าวอย่างรวดเร็ว “หากคำพูดขององค์ชายเฉินได้ยินไปถึงหูองค์จักรพรรดิ แน่นอนว่ามันย่อมไปถึงหูของจ้าวกงกงด้วยเช่นกัน…”

 

ด้วยคำที่กล่าวออก

 

ใบหน้าขององค์ชายเฉินในชุดไหมทองปักดอกก็เปลี่ยนไป

 

เขาเหลือบมองไปที่นักร้องนักดนตรีทั้งหลายที่คุกเข่าอยู่กับพื้นไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมา สีหน้าของเขาก็สงบลงแล้วพูดขึ้นว่า “ลากพวกมันออกไป”

 

“ขอรับ”

 

ทันใดนั้นทหารหลายสิบคนในชุดเกราะสีดำก็เดินมาและลากนักร้องนักดนตรีที่ดูเป็นกังวลอย่างมากเหล่านั้นออกไป

 

“แล้วจะทำอย่างไรได้เล่า?”

 

“จะให้เฝ้ามองไอ้ลูกหมูนั่นขึ้นครองบัลลังก์งั้นหรือ?”

 

องค์ชายเฉินกำหมัดแน่น ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความไม่ยินยอม

 

ในช่วงหลายปีมานี้ จักรพรรดิถังชราภาพมากขึ้นเรื่อยๆ ความขัดแย้งของเขากับองค์ชายคนอื่นๆ ก็ยิ่งเพิ่มพูน

 

กระนั้นองค์ชายเฉินยังไม่ยอมแพ้

 

เพราะเขารู้ว่าตนเองมีหวังที่จะได้นั่งตำแหน่งนั้น

 

แต่ในตอนนี้ การที่มีผู้ได้รับแต่งตั้งโดยองค์จักรพรรดิโดยตรง การต่อสู้แก่งแย่งชิงดีชิงเด่นระหว่างองค์ชายก่อนหน้านี้กลับกลายเป็นเรื่องน่าขบขันไปเลยมิใช่หรือ?

 

หากองค์ชายคนอื่นได้รับแต่งตั้งให้เป็นองค์รัชทายาท แม้ว่าองค์ชายเฉินจะไม่ยินยอม แต่ก็คงไม่ขุ่นเคืองมากเท่าตอนนี้

 

แต่หลี่เชิง…

 

ในสายตาขององค์ชายเฉิน หลี่เชิงก็แค่ลูกหมูนอกคอกที่จู่ๆ ก็โผล่ออกมา โชคดีแค่ไหนแล้วที่ได้รับการปฏิบัติดูแลอย่างดีจากองค์จักรพรรดิ แล้วตอนนี้มันยังกล้าที่จะรับตำแหน่งองค์รัชทายาทรุกล้ำราชบัลลังก์?

 

“ฝ่าบาทอย่าเพิ่งร้อนใจไป”

 

ชายวัยกลางคนที่เหมือนจะเป็นที่ปรึกษาเหลือบมองไปรอบข้าง ลดเสียงลงแล้วพูดว่า “มันยังเร็วเกินไปที่จะพูดถึงราชบัลลังก์ในตอนนี้…”

 

“หืม?”

 

ดวงตาขององค์ชายเฉินสว่างไสวขึ้นมา จ้องมองไปยังที่ปรึกษาข้างกายแล้วกล่าวว่า “เจ้าคิดเห็นอย่างไร?”

 

“ใต้ฝ่าพระบาท…”

 

ชายวัยกลางคนที่ดูเหมือนที่ปรึกษากล่าวอย่างมีลับลมคมนัยว่า “องค์เหนือหัวชราภาพมากแล้ว ถึงแม้จะมีการปกป้องคุ้มกันจากจ้าวกงกง แต่ก็เป็นไปไม่ได้ที่ทุกสิ่งอย่างจะเป็นไปตามพระประสงค์ทั้งหมด”

 

องค์ชายเฉินหรี่ตาลงในทันทีเมื่อได้ยินคำกล่าวนั้น

 

“เจ้าพูดถูก”

 

องค์ชายเฉินมองไปยังที่ปรึกษาด้วยรอยยิ้มบนใบหน้า

 

“เสด็จพ่อชราภาพมากแล้ว…”

 

 

 

วัดเส้าหลิน

 

พื้นที่หวงห้ามภูเขาด้านหลัง

 

ซูฉินนั่งไขว้ขามองไปที่หยกคุณภาพเยี่ยมหลายพันชิ้นที่วางกองอยู่ตรงหน้าเขา

 

หินหยกคุณภาพดีเหล่านี้ทั้งใสแจ๋วและล้ำค่า หากเอาไปวางไว้ภายนอกวัดคงได้เกิดเรื่องวุ่นวายขึ้นเป็นแน่

 

แต่ขณะนี้ หินหยกเหล่านี้เหมือนเป็นเพียงก้อนหินธรรมดาๆ ที่วางอยู่เบื้องหน้าของซูฉิน

 

“ประสิทธิภาพในการจัดหาสิ่งของของวัดเส้าหลินนั้นสูงมาก”

 

ซูฉินรู้สึกพึงพอใจอย่างมาก

 

เขาขอให้เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินรวบรวมหยกมาเมื่อวานนี้ และหินหยกจำนวนเท่านี้ก็พลันมากองอยู่ที่นี่ในวันนี้ จำนวนมันมากกว่าเก้าร้อยเก้าสิบเก้าก้อนที่เขาต้องการเสียอีก

 

“ในเมื่อรวบรวมหินหยกมาได้แล้ว ข้าก็ควรเริ่มก่อตั้งค่ายกลฟ้าดินเสียที”

 

เพียงสั่งทางกระแสจิตทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับ ‘ค่ายกลสวรรค์เขตแดนพิสุทธิ์‘ ก็ไหลบ่าเข้ามาในหัวของซูฉินอย่างช้าๆ

 

แม้ว่าซูฉินจะคุ้นเคยกับค่ายกลขนาดใหญ่ที่มีชื่อว่า ‘ค่ายกลสวรรค์เขตแดนพิสุทธิ์‘ อันนี้มาจากการฝังข้อมูลของระบบ ถึงจะคุ้นเคยแต่ก็จำต้องระมัดระวังอย่างยิ่งยวดในการก่อตั้งค่ายกลขนาดใหญ่เป็นครั้งแรก

 

ในกรณีที่เกิดข้อผิดพลาดขึ้นกลางทาง หินหยกเหล่านี้จะต้องสูญเปล่าไป

 

เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว

 

ซูฉินฝังหยกแต่ละชิ้นไว้ในตำแหน่งพิเศษจำเพาะของพื้นที่หวงห้ามภูเขาด้านหลัง และสุดท้ายจึงใช้จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของตนชักนำพลังฟ้าดินในรัศมีหลายสิบลี้รอบตัวเข้ามา

 

และนี่คือกุญแจหลักในการก่อค่ายกลฟ้าดิน

 

ไม่ว่าจะเป็นหยกหรือสื่อกลางอื่นๆ ทั้งหมดเป็นเพียงตัวช่วยเท่านั้น และสิ่งที่ตัดสินได้ว่าการก่อค่ายกลขนาดใหญ่จะสำเร็จหรือไม่ก็คือจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ต้องครอบคลุมอาณาบริเวณที่กว้างใหญ่เพียงพอ

 

โดยทั่วไปมีเพียงผู้สูงศักดิ์ระดับอรหันต์หรือตำนานยุทธเท่านั้นที่สามารถเคลื่อนย้ายพลังฟ้าดินได้

 

หวึ่ง!!!

 

ด้วยการชักนำอย่างต่อเนื่องด้วยจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของซูฉิน หยกที่ฝังอยู่ในพื้นที่หวงห้ามภูเขาด้านหลังก็เปล่งประกายพวยพุ่งออกมาเป็นหมอกที่ดูงดงาม

 

ทันใดนั้นพลังฟ้าดินที่ดูราวกับจะไม่มีที่สิ้นสุดก็พุ่งเข้ามาจากทุกทิศทาง

 

ฉับพลัน

 

หยกทั้งเก้าร้อยเก้าสิบเก้าชิ้นก็ได้เปล่งประกายขึ้นมาอีกครั้ง หมอกควันพลันเจิดจรัสดึงดูดพลังฉีฟ้าดินออกไปในระยะทางกว่าหลายสิบลี้ให้เข้ามา

 

ฟ่าว!

 

ด้วยความเร็วที่ตาเกือบมองตามไม่ทัน พลังฉีฟ้าดินภายในพื้นที่หวงห้ามภูเขาด้านหลังทั้งหมดพลันกลั่นตัวเป็นหมอกอย่างต่อเนื่อง และแพร่กระจายออกไปรอบนอกภูเขาด้านหลังในทุกทิศทาง

 

ในช่วงเวลานั้นเอง

 

ศิษย์วัดเส้าหลินทุกคนต่างเบิกตากว้าง จ้องมองไปยังพื้นที่หวงห้ามภูเขาด้านหลังอย่างไม่รู้ตัว

 

“ดูเหมือนจะมีหมอกออกมาจากภูเขาด้านหลัง…”

 

ศิษย์วัดเส้าหลินอุทานเสียงดัง

 

ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาแม้จะมีเสียงดังผิดปกติเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำอีกในพื้นที่หวงห้ามภูเขาด้านหลัง แต่ส่วนใหญ่ก็เป็นเพียงการรวมตัวกันของพลังฟ้าดินและไม่ช้ามันก็จะหายไป

 

แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เห็นเป็นทะเลหมอกเหมือนอย่างตอนนี้ และกินเวลายาวนานจนเหมือนกันอยู่บนสรวงสวรรค์

 

“เกิดอะไรขึ้น?”

 

“ทำไมภูเขาด้านหลังถึงมีหมอกออกมา”

 

ศิษย์คนหนึ่งเดินมาทางภูเขาด้านหลังโดยไม่รู้ตัวและพูดออกมาด้วยความอยากรู้อยากเห็น

 

“หืม?”

 

“ไม่ใช่ว่า หมอกนี่มันแปลกๆ หรอกหรือ?”

 

ศิษย์วัดเส้าหลินคนนั้นสูดดมละอองหมอกเข้าไป ใบหน้าก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย

 

หมอกที่เขาสูดดมเป็นเพียงร่องรอยอันเจือจางที่ลอยมาจากพื้นที่หวงห้ามภูเขาด้านหลัง

 

แต่กระนั้นศิษย์วัดเส้าหลินคนนั้นก็รู้สึกถึงลมหายใจที่เย็นฉ่ำผ่านเข้ามาในกาย ทำให้เขารู้สึกสบายตัวเป็นอย่างมาก

 

“ข้าก็รู้สึกได้เหมือนกัน”

 

“ทะเลหมอกนี่นับเป็นสิ่งที่ดี”

 

“ข้ารู้สึกว่าอาการบาดเจ็บที่ได้รับมาระหว่างฝึกฝนวิชา อาการกำลังดีขึ้นเรื่อยๆ”

 

“หมอกนี่เป็นพลังฉีศักดิ์สิทธิ์งั้นหรือ?”

 

ศิษย์หลายคนไม่เชื่อและมีการพูดถึงมันกันอย่างมากมาย

 

 

และในตอนนี้

 

เมื่อเทียบกับเหล่าศิษย์ที่กำลังตกตะลึงกันอยู่นั้น

 

เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินและเหล่าหัวหน้าตำหนักต่างตกใจกันเสียยิ่งกว่า

 

“หมอกพวกนี้!”

 

“มันเกิดจากการกลั่นตัวของพลังฟ้าดินใช่หรือไม่?”

 

หัวหน้าตำหนักยุทธสงฆ์ตกตะลึงและเสียงของเขาก็สั่น

 

พวกเขาล้วนเป็นจอมยุทธในขอบเขตระดับชั้นที่สามเป็นอย่างน้อย ร่างกายได้รับการชำระล้างจากพลังฟ้าดินมาแล้วและเข้าใจแจ่มแจ้งถึงประโยชน์ของพลังฟ้าดินที่เหล่าผู้ฝึกยุทธจะได้รับ

 

หัวหน้าตำหนักคนอื่นๆ ต่างมองหน้ากัน ใบหน้าของพวกเขาเต็มไปด้วยความตกใจ

 

“เราควรไปหาผู้ทรงสมณศักดิ์ฯ แล้วถามท่านว่ามันเกิดอะไรขึ้น?”

 

หัวหน้าฝ่ายวินัยสงฆ์อดไม่ได้ที่จะพูดออกไป

 

ในตอนนี้ หมอกจากภูเขาดึงดูดความสนใจมากเกินไป แม้พวกเขาจะรู้ว่าไม่ควรรบกวนซูฉิน แต่พวกเขาก็ต้องกลั้นใจรวมตัวกันไปเข้าพบ

 

 

พื้นที่หวงห้ามภูเขาด้านหลัง

 

ซูฉินกำลังนั่งขัดสมาธิอยู่

 

ถ้าพลังฉีที่ด้านนอกภูเขาด้านหลังกลั่นตัวเป็นหมอก จุดนี้ก็ก่อตัวเป็นก้อนพลังหนาแน่น

 

ภายในสภาพแวดล้อมเช่นนี้ซูฉินรู้สึกว่าการโคจรแก่นแท้แห่งพลังภายในกายตนทำได้รวดเร็วขึ้นมาก

 

“ไม่น่าแปลกใจเลยที่เหล่าอรหันต์หรือแม้แต่ตำนานยุทธจำนวนมากต้องการที่จะเข้าใจผังค่ายกลพลังฟ้าดินเหล่านี้ ปรากฏว่ามันมีประโยชน์มหาศาลเช่นนี้นี่เอง…”

 

ซูฉินรู้สึกว่าเลือดเนื้อทุกส่วนภายในร่างกายกำลังเต้นตุบๆ

 

ทันใดนั้น

 

ตอนนั้นเอง

 

สายตาของเขาก็เคลื่อนมองออกไปนอกพื้นที่หวงห้ามภูเขาด้านหลัง

 

“พวกเขาก็อยู่ที่นี่ด้วยรึ?”

 

ด้วยจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของซูฉิน เป็นเรื่องธรรมดาที่จะพบว่าเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินและหัวหน้าตำหนักมายืนอยู่ปากทางเข้าพื้นที่หวงห้ามภูเขาด้านหลัง กำลังลังเลสงสัยว่าควรจะเข้ามาดีหรือไม่

 

“พวกเจ้าเข้ามาได้”

 

เมื่อตอนที่เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินและเหล่าหัวหน้าตำหนักกำลังมองกันไปมาอยู่ด้านนอกพื้นที่หวงห้ามภูเขาด้านหลังนั้น เสียงสงบนิ่งก็ดังขึ้นที่ข้างหูของพวกเขา

 

“ท่านผู้ทรงสมณศักดิ์ฯ อนุญาตแล้ว พวกเราเข้าไปกันเถอะ”

 

หัวหน้าตำหนักยุทธสงฆ์ดูมีความสุขและเข้าไปในพื้นที่หวงห้ามภูเขาด้านหลังอย่างสำรวม

 

เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินและเหล่าหัวหน้าตำหนักคนอื่นๆ ก็ติดตามไปอย่างใกล้ชิด

 

และในขณะที่พวกเขาเดินเข้าไปเรื่อยๆ เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินและคนอื่นๆ ก็รู้สึกถึงพลังที่หนาแน่นมากขึ้นเรื่อยๆ เป็นพลังอันมหาศาลของฟ้าดิน

 

ในที่สุดคนกลุ่มเล็กๆ กลุ่มนี้ก็เดินเข้าไปถึงส่วนลึกของพื้นที่หวงห้ามภูเขาด้านหลังและได้เห็นซูฉินกำลังนั่งขัดสมาธิอยู่ หมอกสีขาวลอยอวลอยู่ทั่วร่าง ลมหายใจเข้าออกยาวนาน มองดูสูงส่งราวองค์ยูไล

 

“คารวะผู้ทรงสมณศักดิ์ฯ” เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินและคนอื่นๆ โค้งคำนับทำความเคารพ

Sign in Buddha’s palm 86 ตื่นรู้

 

 

ด้านนอกศาลาพระคัมภีร์

 

ซูฉินใคร่ครวญถึงค่ายกลสวรรค์เขตแดนพิสุทธิ์อยู่ตลอดเวลา

 

“อย่างไรก็ตาม หากต้องการจะสร้างค่ายกลขนาดใหญ่อันนี้ จำเป็นต้องใช้หยกถึงเก้าร้อยเก้าสิบเก้าชิ้น…”

 

ซูฉินขมวดคิ้วเล็กน้อย

 

ไม่ว่าจะเป็นค่ายกลฟ้าดินรูปแบบไหนหรือขนาดเท่าไร ก็จำต้องมี‘สื่อกลาง‘ ในการสร้างและ ‘ค่ายกลสวรรค์เขตแดนพิสุทธิ์‘ก็ไม่มีข้อยกเว้น

 

“หยกเก้าร้อยเก้าสิบเก้าชิ้น…”

 

ซูฉินครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง และคิดจะให้เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินเป็นผู้รวบรวมวัสดุเหล่านี้

 

วัดเส้าหลินเป็นสุดยอดพรรคแห่งยุทธภพมีลูกศิษย์หลายพันคนจึงเป็นเรื่องง่ายที่จะหาหยกทั้งเก้าร้อยเก้าสิบเก้าชิ้นตามที่ซูฉินต้องการ

 

เวลาค่อยๆ ผ่านเลยไป

 

คำร้องขอของซูฉินดึงดูดความสนใจของเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินและหัวหน้าตำหนักต่างๆ ในทันที

 

นี่เป็นครั้งแรกที่ซูฉินขอให้พวกเขาทำบางสิ่งให้ เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินและคนอื่นๆ จะกล้าเอ้อระเหยได้อย่างไร?

 

และแล้ววันนี้เองในที่สุด ‘เฉียนขู่‘ ก็กลับมาที่วัดเส้าหลิน

 

การกลับมาของเฉียนขู่สร้างความตกใจให้กับทั้งวัดเส้าหลิน หลังจากที่เข้าพบกลุ่มหัวหน้าตำหนักและเจ้าอาวาสแล้ว เฉียนขู่ได้รับคำสั่งจากเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินให้เข้าไปหาซูฉินที่พื้นที่หวงห้ามภูเขาด้านหลังเสียหน่อย

 

ในพื้นที่หวงห้ามภูเขาด้านหลัง

 

“คารวะท่านผู้ทรงสมณศักดิ์ฯ”

 

เฉียนขู่กล่าวคำ แสดงถึงความเคารพที่มีต่อซูฉิน

 

หากไม่ได้ดาบไม้ที่ผู้ทรงสมณศักดิ์ฯ มอบให้ไว้ เฉียนขู่จะต้องตกตายด้วยน้ำมือของยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งไปแล้ว

 

กล่าวได้ว่าซูฉินไม่เพียงถูกยกไว้บนหิ้งโดยตัวของเฉียนขู่เองเพราะคำสอนสั่ง แต่ยังถูกยกไว้เหนือหัวเพราะช่วยชีวิตตนไว้อีก

 

“เจ้ามีข้อสงสัยใดหรือไม่?”

 

ซูฉินเพียงมองไปที่เฉียนขู่แล้วพูดเข้าประเด็น

 

บางทีเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินและหัวหน้าตำหนักอาจจะมองไม่เห็นอะไรเท่าไหร่ แต่ภายใต้จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของซูฉินเขาสามารถสังเกตรายละเอียดได้แม้เป็นจุดที่เล็กที่สุด ถึงจะไม่ดีเท่าทิพยอำนาจทางพุทธอย่าง ‘รู้วาระจิต‘ แต่ก็ไม่ใช่สิ่งที่เฉียนขู่จะปิดบังเขาได้

 

“ผู้ทรงสมณศักดิ์ฯ…”

 

เฉียนขู่ลังเลอยู่ครู่หนึ่งจากนั้นจึงก้มศีรษะแล้วกล่าวว่า “ศิษย์มีข้อสงสัย”

 

ในช่วงเวลาที่ลงเขาไปนั้น เฉียนขู่ก็ได้เห็นโลกกว้าง และในเวลาที่เกิดความรู้สึกบางอย่างที่ลึกซึ้งมันก็มาพร้อมกับความสงสัยในใจที่เติบโตขึ้น

 

“เล่ามาให้ข้าฟังสิ”

 

ซูฉินพูดอย่างช้าๆ แทบไม่ได้มองไปที่เฉียนขู่

 

“ขอรับ”

 

เฉียนขู่สูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วจึงพูดต่อ “ท่านผู้ทรงสมณศักดิ์ฯ ศิษย์ผู้นี้ได้ท่องไปทั่วยุทธภพ และค้นพบว่าสรรพสิ่งล้วนโลภโมโทสัน ยิ่งกว่านั้นยังใช้ทุกวิถีทางเพื่อบรรลุเป้าหมายของตนเอง ทำได้แม้กระทั่งสังหารกันอย่างเลือดเย็น”

 

“ศิษย์ไม่ทราบจริงๆ ว่าพฤติกรรมเหล่านี้ถูกหรือผิด หากเป็นเรื่องผิดจริง เหตุผลใดจึงไม่มีใครเปลี่ยนแปลงมันเลย”

 

เฉียนขู่เงยหน้าขึ้นและมองไปที่ซูฉิน น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความสงสัย

 

“ถูกหรือผิด?”

 

รอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าของซูฉินและกล่าวขึ้นว่า “ไม่ว่าสิ่งใดในโลกก็ล้วนเป็นไปตามกฎเกณฑ์ฟ้าดิน ไม่มีสิ่งใดที่เรียกว่าผิด สิ่งใดที่เรียกว่าถูก ก็เหมือนกับที่หมาป่ากินแกะ และแกะก็กินหญ้า”

 

“เจ้าไม่ได้มีส่วนร่วมใดกับหมู่คนเหล่านั้น เจ้าไม่ใช่ทั้งหมาป่าหรือแม้แต่แกะ การที่จะบอกว่าสิ่งใดถูกสิ่งใดผิดมันก็เป็นเพียงความคิดของเจ้า”

 

คำพูดของซูฉินเป็นเหมือนระฆังทองสัมฤทธิ์ใบใหญ่ ทุกๆ คำลั่นดังเข้าไปในใจของเฉียนขู่ เหมือนลากดึงเขาออกมาจากความคิดสงสัย

 

“ไม่มีถูก ไม่มีผิด”

 

“มีเพียงใจเราเท่านั้นที่คิดกำหนดมันเอง…”

 

ดวงตาของเฉียนขู่สว่างขึ้นเรื่อยๆ ราวกับว่าเขามองเห็นบางสิ่ง ทุกอย่างเบาสบาย

 

“ขอบคุณผู้ทรงสมณศักดิ์ฯ ที่ชี้ทางให้ศิษย์อย่างข้า”

 

เฉียนขู่คำนับอย่างสุดซึ้งต่อซูฉินอีกครั้งแล้วกล่าวคำด้วยความเคารพ

 

“ไปได้แล้วล่ะ”

 

ซูฉินโบกมือพร้อมกล่าวคำ

 

“ขอรับ”

 

เฉียนขู่โค้งคำนับและกลับออกไป

 

“เฮ้อ…”

 

“อายุยังไม่เท่าไหร่ก็เริ่มคิดเรื่องราวปรัชญาเสียแล้วหรือ?”

 

ซูฉินส่ายศีรษะ

 

ถ้าเป็นคนธรรมดาหรือแม้แต่สงฆ์บางรูปถูกเฉียนขู่ถามคำถามเหล่านี้ ก็คงจะไม่สามารถให้คำตอบที่ชัดเจนแก่เฉียนขู่ได้มากนัก

 

แต่ซูฉินเป็นใคร?

 

ในฐานะที่เป็นมนุษย์ที่มีชีวิตมาทั้งสองโลก มีความรู้ก็มากทั้งในชีวิตนี้และชีวิตก่อน จะให้มานิ่งงันต่อหน้าเฉียนขู่ได้อย่างไร?

 

“อย่างไรก็ตามหลังจากนี้เขาก็คงไม่มีปมติดขัดใดภายในใจแล้ว คาดว่าคงเข้าสู่ขอบเขตยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งได้ก่อนอายุสี่สิบปี”

 

ความคิดของซูฉินแปรผันและคิดตัดสินใจ

 

แม้ว่ายอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งในวัยสี่สิบปีจะยังห่างไกลจากความสามารถของซูฉิน แต่เมื่อมองดูทั่วยุทธภพ นี่ก็นับว่าเป็นอัจฉริยะอันดับต้นๆ แล้ว หากมีโอกาสมากพอคงจะไปถึงคอขวดของระดับอรหันต์ได้

 

แน่นอนว่าแม้ทุกอย่างจะราบรื่น แต่ก็ต้องใช้เวลาหนึ่งถึงสองร้อยปี เฉียนขู่จึงจะเข้าใกล้ขอบเขตอรหันต์

 

ด้วยความเร็วในการบ่มเพาะในตอนนี้ของซูฉิน หนึ่งถึงสองร้อยปีต่อจากนี้อาจจะไม่สามารถก้าวข้ามระดับอรหันต์ได้อย่างสมบูรณ์ แต่อย่างน้อยก็ต้องไปถึงขอบเขตอรหันต์ระดับนภาชั้นที่เก้าที่ทรงพลังไร้พ่าย

 

“หวังว่าข้าจะพัฒนาไปให้ได้มากที่สุดก่อนที่เต๋าสะสมในศาลาพระคัมภีร์และลานโพธิ์จะหมดลง”

 

ซูฉินคิดภายในใจตนอย่างเงียบๆ

 

“เจ้าเด็กสาวตัวน้อยน่าจะมีชีวิตที่ดีอยู่ที่ฉางอันสินะ?”

 

ซูฉินเงยหน้าขึ้นเล็กน้อยและมองไปยังทิศที่มุ่งตรงไปยังเมืองฉางอันในทันทีที่คิดได้

 

นับตั้งแต่เข้าสู่ขอบเขตอรหันต์ ซูฉินเคยแอบกลับไปเมืองเยี่ยนที่คังโจวอย่างเงียบๆ

 

อย่างไรก็ตามเมื่อซูฉินไปถึงที่นั่น เขาก็ได้รู้ว่าตระกูลซูย้ายไปฉางอันแล้ว

 

หลังจากทราบเรื่อง ซูฉินก็ไม่ได้กังวลมากมายอะไรเกี่ยวกับความปลอดภัยของตระกูลซูอีก

 

เมืองฉางอันเป็นที่ประทับขององค์จักรพรรดิและองค์ชายหลี่เชิง จะมีปัญหาเกิดขึ้นกับตระกูลซูได้อย่างไร?

 

นอกจากนี้หลี่เชิงยังครองตำแหน่งองค์รัชทายาทที่แต่งตั้งโดยองค์จักรพรรดิ ตราบใดที่องค์จักรพรรดิถังยังไม่สิ้นพระชนม์ เรื่องของตระกูลซูก็ย่อมสบายใจได้

 

นอกจากนี้จี้หยกที่มอบให้เจ้าเด็กสาวตัวน้อยนั้นมีจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของซูฉินอยู่

 

ด้วยจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์นี้ แม้ว่าซูฉินจะไม่สามารถรู้ได้ว่านางพบเจออะไรอยู่ แต่เขาก็ยังสามารถประเมินสภาพของน้องเล็กได้อย่างคร่าวๆ

 

รู้หรือไม่ว่าจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์นั้นแตกต่างจากเจตจำนงแห่งดาบ

 

เจตจำนงแห่งดาบเป็นเพียงร่องรอยความแข็งแกร่งของซูฉิน แต่จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์นั้นเป็นส่วนหนึ่งที่แยกออกมาจากตัวซูฉินเอง

 

กล่าวให้ง่ายเข้าก็คือ หากเจตจำนงแห่งดาบในดาบไม้ที่ซูฉินมอบให้เฉียนขู่ปะทุออก ซูฉินก็รู้ได้แค่ว่าเจตจำนงดาบปะทุออก แต่ทำไมเจตจำนงดาบถึงปะทุและเฉียนขู่เผชิญหน้าศัตรูแบบไหน ซูฉินไม่อาจรู้ได้แน่ชัด

 

แต่จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์นั้นแตกต่างกัน

 

หากจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ภายในชิ้นหยกที่ซูฉินมอบให้ซูเยว่หยุนปะทุออกมา แม้จะอยู่ห่างไกลไปจนสุดฟ้า เขาก็สามารถรู้สึกได้ถึงสถานการณ์ในฝั่งของซูเยว่หยุน

 

และในช่วงหลายปีที่ผ่านมาด้วยสัมผัสที่รู้สึกได้จากจี้หยก ซูฉินมั่นใจว่าซูเยว่หยุนปลอดภัยดี ทั้งทางกายและทางใจ

 

“ข้ายังต้องฝึกฝนเพิ่มอีก”

 

“นอกทวีปนี้ นอกมหาสมุทรอันไกลโพ้น ยังมีตำนานยุทธที่ข้าไม่รู้จักอยู่ แม้ความแข็งแกร่งของข้าตอนนี้จะไปถึงนภาชั้นที่สาม แต่มันก็ไร้เทียมทานเพียงแค่ในดินแดนนี้ สำหรับโลกทั้งใบข้าก็ไม่ได้อยู่ยงคงกระพันอะไร ยังมีคนที่อยู่ในระดับเดียวกับข้าอีกมาก!”

 

ซูฉินนั่งลงกลืนโอสถอายุวัฒนะเคลือบทองคำ หลับตาลงช้าๆ และจมอยู่กับการบ่มเพาะ

 

 

ในเวลาเดียวกัน

 

ภายในเมืองฉางอัน

 

ณ พระราชวังอันหรูหรา

 

มีการร้องเล่นเต้นรำสร้างความผ่อนคลาย นักดนตรีก็บรรเลงเพลงไป

 

ที่ด้านบนของวังมีชายคนหนึ่งสวมชุดคลุมทำจากผ้าไหมทองปักดอก

 

ในขณะนี้ชายคนนั้นมีบรรยากาศมืดมนอยู่รอบตัว เห็นได้ชัดว่ากำลังระงับความโกรธเอาไว้อยู่

 

หลังจากนั้นไม่นาน

 

“เสด็จพ่อทรงหมายความว่าเยี่ยงไร”

 

“ทำแม้กระทั่งยกย่องลูกนอกคอกตัวนั้นเป็นองค์รัชทายาท?!”

 

ชายที่ใส่เครื่องแต่งกายหรูหราตบมือลงบนโต๊ะอย่างแรงด้วยความโกรธ

Sign in Buddha’s palm 85 ค่ายกลสวรรค์เขตแดนพิสุทธิ์

 

 

“แต่ว่า”

 

“สิ่งใดในยุทธภพกันแน่ที่สามารถสร้างอันตรายถึงแก่ชีวิตให้กับเฉียนขู่ได้?”

 

ซูฉินรู้สึกสงสัยอยู่เล็กน้อย

 

คนอื่นอาจจะไม่รู้ แต่ซูฉินมีสถานะเป็นถึงระดับอรหันต์อันสูงส่ง ด้วยจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นภายในวัดเส้าหลินก็เหมือนเขานั่งมองดูฝ่ามือของตนเอง

 

ยามเมื่อเฉียนขู่ออกจากวัดเส้าหลินไปท่องยุทธภพ หัวหน้าลานธรรมก็หายตัวไปจากวัดเส้าหลินด้วย

 

เห็นได้ชัดว่าหัวหน้าลานธรรมได้รับคำสั่งจากเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินให้ติดตาม ‘เฉียนขู่‘ เพื่อปกป้องเขาอย่างลับๆ

 

รู้หรือไม่ตอนนี้นอกเหนือจากเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวิน คนที่แข็งแกร่งในวัดเส้าหลินก็มีเพียงปรมาจารย์ระดับชั้นที่สองอีกแค่สองคน

 

การที่จะแบ่งใครสักคนไปเพื่อคุ้มครองเฉียนขู่ก็ถือว่าเต็มกลืนแล้ว

 

ความเป็นจริงแล้วถ้าไม่ใช่ว่าเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินไม่สามารถออกจากวัดได้ จำเป็นต้องอยู่ประจำที่วัดเส้าหลิน เขาก็คงต้องตามไปคุ้มครองเฉียนขู่ด้วยตัวเอง

 

เนื่องจากเฉียนขู่มีความสำคัญต่อวัดเส้าหลินมาก

 

แต่กระนั้น ถึงจะมีปรมาจารย์ระดับชั้นที่สองลอบเร้นติดตามเฉียนขู่ไป ก็ยังเกิดบางสิ่งกระตุ้นเจตจำนงดาบด้านในดาบไม้ขึ้นมาได้…

 

ด้วยเหตุนี้ซูฉินจึงให้ความสนใจอยู่บ้าง

 

แต่ถึงจะสงสัยอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ได้ใส่ใจมันอย่างจริงจังมากนัก

 

“น่าเสียดาย”

 

“ไม่ว่าจะเป็นเจตจำนงแห่งดาบหรือจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ ต้นกำเนิดมันล้วนมาจากข้าทั้งหมด หากวันใดข้าสิ้นลมไป ทั้งเจตจำนงดาบและจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์คงมลายสิ้น”

 

ซูฉินถอนหายใจเบาๆ

 

นี่เป็นสาเหตุว่าทำไมวัดเส้าหลินซึ่งมีมานานหลายพันปี มีอรหันต์กำเนิดขึ้นก็จำนวนมาก แต่ยังคงเสื่อมถอยลงๆ จนมาถึงยุคนี้

 

บางที ยามเมื่ออรหันต์คงอยู่ วัดเส้าหลินก็เรืองอำนาจจนไม่มีใครกล้ายั่วยุ แต่เมื่ออรหันต์มรณภาพไปแล้ว ทุกอย่างก็แตกต่างไปโดยสิ้นเชิง

 

“ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ความแข็งแกร่งของตนเองก็ยังเป็นสิ่งสำคัญ…”

 

ซูฉินทอดถอนใจด้วยอารมณ์ความรู้สึก

 

ถ้ามีความแข็งแกร่งเท่าองค์ยูไลทองคำ จะยังมีอะไรในโลกนี้ที่ยากลำบากอีกหรือ?

 

เมื่อนึกได้แบบนั้น ซูฉินก็กลับไปหมกมุ่นอยู่กับการบ่มเพาะอีกครั้ง

 

นับตั้งแต่เข้าสู่ระดับนภาชั้นที่สาม ความก้าวหน้าในการบ่มเพาะของซูฉินก็ช้าลงอย่างเห็นได้ชัด แต่ที่บอกว่า‘ช้าลง‘ ก็ยังเทียบเท่าได้กับความเร็วตอนบ่มเพาะขอบเขตวิทยายุทธทั้งเก้าระดับชั้นอยู่ดี

 

หากเทียบกับอรหันต์รูปอื่นๆ ภายในวัดเส้าหลินหรือตำนานยุทธคนอื่นๆ ความเร็วในการฝึกของซูฉินยังคงเร็วจนน่าประหลาดใจ

 

ฮู่!

 

ชี่!

 

ระหว่างที่ซูฉินบ่มเพาะ ภายในพื้นที่หวงห้ามภูเขาด้านหลังก็เหมือนกำลังสั่นไหวไปพร้อมๆ กับจังหวะหายใจของเขา

 

 

เวลาผ่านเลยไป

 

หนึ่งวันต่อมาที่ลานธรรม

 

เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินและเหล่าหัวหน้าตำหนักมารวมตัวกันอีกครั้ง

 

“จดหมายจากฮุ่ยจื๋อบอกว่า ‘เฉียนขู่‘ ถูกโจมตีโดยยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งระหว่างเดินทาง!”

 

เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินมองไปที่หัวหน้าตำหนักแล้วกล่าวคำด้วยน้ำเสียงทุ้ม

 

ฮุ่ยจื๋อเป็นหัวหน้าลานธรรมและเขาก็เป็นศิษย์รุ่น ‘ฮุ่ย‘ เช่นเดียวกับเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวิน

 

หัวหน้าลานธรรมแอบติดตามเฉียนขู่ออกจากวัดเส้าหลินไป ศิษย์สาวกคนอื่นอาจไม่รู้เรื่องนี้ แต่เหล่าหัวหน้าตำหนักรู้เรื่องนี้ดี

 

นี่เป็นผลจากการหารือระหว่างเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินและเหล่าหัวหน้าตำหนัก

 

แม้ว่าวัดเส้าหลินจะเป็นสุดยอดพรรคในยุทธภพและกลุ่มนิกายทั่วๆ ไปไม่กล้ายั่วยุวัดเส้าหลิน แต่พวกเขาก็ต้องสร้างความแน่ใจเผื่อในกรณีที่ไม่คาดฝัน…

 

ด้วยพรสวรรค์ของเฉียนขู่และคำชี้แนะจากซูฉิน อาจจะไม่ต้องถึงขนาดที่สามารถไปถึงระดับอรหันต์ได้ แต่อย่างน้อยๆ เขาก็จะไปถึงจุดสูงสุดของระดับชั้นที่หนึ่งได้เหมือนอย่างราชครูแห่งเหมิ่งหยวนหรือไม่ก็นักพรตจางแห่งเขาหวู่ตั้งเป็นแน่

 

วัดเส้าหลินจะสามารถละทิ้งอัจฉริยะที่กว่าจะมีสักคนในรอบหลายร้อยปีเช่นนี้ไปได้เช่นไร?

 

อย่างไรก็ตามเหล่าหัวหน้าตำหนักไม่คาดคิดว่าด้วยการเตรียมการป้องกันทั้งหมดจากพวกเขา เฉียนขู่ก็ยังตกอยู่ในอันตรายจากการออกไปท่องยุทธภพอีก

 

“ยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่ง?”

 

“ยอดปรมาจารย์คนใดกัน ถึงขนาดกล้าสังหารบุตรศักดิ์สิทธิ์ของวัดเส้าหลิน?”

 

หัวหน้าตำหนักยุทธสงฆ์โกรธจัดและลุกขึ้นยืนอย่างกะทันหัน

 

ใบหน้าของหัวหน้าตำหนักคนอื่นๆ ก็ดูบิดเบี้ยวเช่นกัน

 

ในมุมของพวกเขา การที่เฉียนขู่เผชิญหน้ากับยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่ง คงจะไม่รอดชีวิตเป็นแน่

 

ท้ายที่สุดแล้วไม่ว่าพรสวรรค์จะดีเพียงไร ก็ต้องใช้เวลาในการขัดเกลาบ่มเพาะ

 

“ไม่ต้องกังวล เฉียนขู่ไม่ได้เป็นอะไร”

 

เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินกวาดสายตาไปรอบๆ แล้วพูดขึ้น

 

ไม่เป็นอะไร…

 

หัวหน้าตำหนักเบิกตากว้าง ไม่อยากจะเชื่อ

 

พวกเขาคิดไม่ออกว่าจะช่วยชีวิตเฉียนขู่ที่มีความแข็งแกร่งในระดับชั้นที่สามจากเงื้อมมือของยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งได้อย่างไร?

 

“ท่านผู้ทรงสมณศักดิ์ฯ ได้มอบดาบไม้ให้แก่เฉียนขู่ก่อนจะออกจากวัดไป มันเป็นดาบไม้อันนี้เองที่ปลดปล่อยพลังผ่าผืนฟ้าตัดสังหารยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งลง”

 

รอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าของเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวิน

 

“ดาบไม้?”

 

“สังหารยอดปรมาจารย์?”

 

หัวหน้าตำหนักทั้งกลุ่มหันมองหน้ากัน ไม่อาจจะจินตนาการได้ถึงความตกตะลึงในใจของพวกเขา

 

พวกเขาทุกคนรู้ถึงความแข็งแกร่งของซูฉินเป็นอย่างดี ไม่ต้องพูดถึงยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่ง แม้จะเป็นระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสมบูรณ์ก็ไม่ได้เป็นภัยคุกคามต่อผู้ทรงสมณศักดิ์ฯ

 

แต่สิ่งที่หัวหน้าตำหนักไม่คาดคิดคือ ซูฉินสังหารยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งโดยอาศัยเพียงดาบไม้เท่านั้น ทั้งที่นั่นยังห่างไกลจากที่นี่ไปไม่รู้ตั้งเท่าไหร่

 

นี่ท่านยังเป็นมนุษย์อยู่อีกหรือ?

 

ถึงอรหันต์จะไร้เทียมทาน แต่ยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งก็หาใช่มดปลวกไม่…

 

“ผู้ทรงสมณศักดิ์ฯ คือปางอวตารขององค์ยูไล วิธีการของท่านมิใช่เรื่องที่พวกเราจะเข้าใจได้”

 

หลังจากนั้นไม่นาน หัวหน้าฝ่ายวินัยสงฆ์ก็กระซิบคำแผ่วเบา ดวงตาเต็มไปด้วยความหวั่นเกรง

 

 

“ได้เวลาลงชื่อเข้าใช้”

 

ซูฉินเดินมาที่ศาลาพระคัมภีร์อย่างสบายๆ ในใจก็คิดบางสิ่ง

 

ในช่วงนี้เพื่อชดเชยโอสถอายุวัฒนะเคลือบทองคำที่เสียไป ซูฉินก็ลงชื่อเข้าใช้ที่ลานโพธิ์อยู่บ่อยครั้ง เป็นเวลานานแล้วที่ไม่ได้มาที่ศาลาพระคัมภีร์

 

“ระบบ ลงชื่อเข้าใช้”

 

ซูฉินกล่าวคำในใจเงียบๆ

 

[ขอแสดงความยินดี โฮสต์ลงชื่อเข้าใช้สำเร็จ ได้รับผังค่ายกล ‘ค่ายกลสวรรค์เขตแดนพิสุทธิ์‘ ]

 

“ผังค่ายกล?”

 

“ค่ายกลสวรรค์เขตแดนพิสุทธิ์?”

 

ดวงตาของซูฉินสว่างขึ้น เขาพอจะเดาออกว่าการลงชื่อครั้งนี้ได้อะไรกลับมา

 

“มันควรจะเป็นค่ายกลขนาดใหญ่ที่เกี่ยวข้องกับพลังฟ้าดิน!”

 

ซูฉินคิดอยู่ในใจของตน

 

หลังจากผู้ฝึกยุทธก้าวเข้าสู่ระดับอรหันต์หรือตำนานยุทธ จะสามารถรับรู้ได้ถึงพลังแห่งฟ้าดินรวมถึงควบคุมมันได้ตามประสงค์

 

และอรหันต์บางรูปก็ได้สร้างค่ายกลจากพลังเหล่านี้

 

ผลกระทบของค่ายกลพลังฟ้าดินมีความแตกต่างกันไปในแต่ละแบบ บางรูปแบบมีแนวโน้มไปทางการซ่อนเร้น บางแบบมีแนวโน้มไปทางการสะกดปราบปราม และบางรูปแบบก็มีแนวโน้มไปในทางรักษา

 

ตัวอย่างเช่นหอคอยสะกดมารของวัดเส้าหลินและประตูหินที่อรหันต์ถัวได้ล่วงลับไป ล้วนเป็นค่ายกลจากพลังฟ้าดิน

 

ในช่วงยี่สิบปีมานี้ซูฉินได้ลงชื่อเข้าใช้และได้รับค่ายกลฟ้าดินมาหลายสิบรูปแบบ

 

และที่ได้รับมาวันนี้คือ ‘ค่ายกลสวรรค์เขตแดนพิสุทธิ์‘ ก็ต้องเป็นค่ายกลฟ้าดินอีกอันหนึ่งแน่ๆ

 

ขณะที่ซูฉินกำลังคิดเกี่ยวกับเรื่องนั้นอยู่ ค่ายกลสวรรค์เขตแดนพิสุทธิ์ก็พุ่งเข้ามาในจิตของเขา

 

หลังจากนั้นไม่นาน

 

ซูฉินก็ลืมตาขึ้นทันที

 

“ไม่คาดคิดเลยว่ามันจะกลายเป็นค่ายกลสำหรับรวบรวมพลังฟ้าดิน!”

 

ซูฉินพอใจมาก

 

นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้รับค่ายกลฟ้าดินประเภทนี้

 

ต้องรู้ไว้ว่าก่อนที่จะไปถึงขอบเขตสามระดับบนแทบจะไม่มีการพึ่งพาพลังฟ้าดินในการบ่มเพาะเลย แต่เมื่อเข้าสู่ขอบเขตสามระดับบน ร่างกายจะถูกชำระด้วยพลังฟ้าดิน และเวลานั้นเองความสำคัญของพลังฟ้าดินจึงถูกหงายเปิด

 

ยิ่งพลังฟ้าดินมีความหนาแน่นมากเท่าไหร่ก็ยิ่งเป็นประโยชน์ต่อผู้ฝึกยุทธเท่านั้น

 

แม้ว่าจะเป็นคนธรรมดา เมื่ออยู่ในสถานที่ที่เต็มไปด้วยพลังฟ้าดินหนาแน่น พวกเขาก็จะไม่เจ็บไข้ได้ป่วย ทั้งยังมีอายุยืนยาว

 

ในฐานะสุดยอดพรรคในยุทธภพอย่างวัดเส้าหลินที่มีอรหันต์กำเนิดขึ้นมากมาย ย่อมต้องเต็มเปี่ยมด้วยพลังฟ้าดินตามธรรมชาติ

 

อย่างไรก็ตามพลังฟ้าดินเหล่านี้มากพอสำหรับจอมยุทธทั่วๆ ไป แต่ในสายตาของขอบเขตอรหันต์ระดับนภาชั้นที่สามอย่างซูฉิน ไม่นับว่าเพียงพออะไรเลย

Sign in Buddha’s palm 84 ขวัญสะท้าน

 

 

“นี่…นี่นี่นี่….”

 

เมื่อยามที่ศิษย์สำนักต่างๆ วางแผนจะหลบหนีเอาชีวิตรอดแล้วมาได้เห็นฉากนี้ ก็พลันตกตะลึง พวกเขาไม่เคยคิดฝันมาก่อนว่ายอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งอย่างชายจมูกงุ้มเหมือนนกอินทรีที่สามารถจัดการยอดฝีมือในขอบเขตสามระดับบนได้อย่างง่ายดาย ตอนนี้กลับถูกตัดแบ่งเป็นสองส่วนอย่างไม่อาจต้านทานอะไรได้เลย

 

“ประกายดาบเมื่อครู่…”

 

นักพรตเฒ่าจากเขาหวู่ตั้งเพิ่งฟื้นขึ้นมาจากอาการหมดสติ สิ่งที่เขาเห็นคือประกายดาบที่พังทลายทุกสิ่ง

 

ด้วยประกายแสงดาบนั่น ราวกับห้วงมิติฟ้าดินจะโดนตัดขาดออกได้ ทุกสิ่งในโลกหล้าถูกบดบังด้วยแสงดาบอันสว่างเจิดจ้า

 

“แม้ว่าจะเป็นศิษย์พี่ลงมือเอง แต่ก็ยังห่างไกลจากความสามารถในการฟาดฟันของดาบเล่มเมื่อครู่…”

 

นักพรตเฒ่าแห่งเขาหวู่ตั้งพึมพำอยู่กับตนเอง การแสดงออกของเขาเหมือนกับยังจมอยู่กับความคิดเรื่องประกายดาบ

 

“ข้า…ข้ารอดแล้วหรือ?”

 

จางเซียวล้มลงกับพื้นเสียงดัง แต่เขาไม่ได้รู้สึกเจ็บปวดใดๆ กลับเต็มไปด้วยความยินดีแทน

 

ความเกลียดชังที่ชายจมูกงุ้มมีนั้นเอ่อล้นจนจางเซียวไม่จำเป็นต้องคาดเดาว่าจะเกิดอะไรขึ้น เพราะรู้ดีว่าหากตกอยู่ในเงื้อมมือของฝ่ายตรงข้าม ต่อให้ร้องขอความเมตตาอย่างไรก็คงหนีไม่พ้นความตายอยู่ดี

 

“เมื่อกี้ข้าเกือบถูกประกายดาบฟาดฟันเข้าให้แล้วไหมเล่า…”

 

หัวใจของจางเซียวแทบจะหยุดนิ่ง แตกต่างจากคนอื่นที่เห็นประกายดาบจากระยะไกล แต่ตัวจางเซียวถูกจับเอาไว้โดยชายจมูกนกเกือบจะถูกดาบผ่าไปพร้อมกัน

 

จากพลังที่เห็นได้จากประกายดาบนั้น ไม่ต้องคิดให้มากความเลยว่าตัวจางเซียวเองคงมีสภาพไม่ต่างไปจากชายจมูกงุ้มผู้นั้นแน่หากโดนประกายดาบนั่นเข้าไป

 

“นายท่านตายแล้วอย่างนั้นหรือ?”

 

กลุ่มคนชุดดำ กองกำลังของชายจมูกงุ้มพากันสั่นสะท้านอย่างถ้วนทั่ว ใบหน้าของพวกมันเต็มไปด้วยความหวาดกลัว

 

แม้ว่าจนถึงตอนนี้พวกมันก็ยังไม่รู้ว่าประกายดาบนั่นคืออะไร แต่สิ่งที่รู้คือชายจมูกงุ้มได้ตายจากไปแล้วต่อหน้าต่อตาพวกเขาตรงนี้เลย

 

“ข้าควรทำอย่างไรดี?”

 

คนในชุดคลุมสีดำหลายคนต่างหันมองหน้ากันและล่าถอยให้ห่างจากที่เกิดเหตุ

 

การสูญเสียชายจมูกงุ้มไป ทำให้ความแข็งแกร่งของกลุ่มพวกเขาลดลงเป็นอย่างมาก อย่าเพิ่งพูดถึงเรื่องการเข้าปิดล้อมเหล่าศิษย์จากสำนักต่างๆ เลย เกรงว่าหากไม่ระวังตัว ตอนนี้ก็อาจถูกสังหารเอาได้เหมือนกัน

 

“รีบไปเร็ว”

 

กลุ่มคนชุดดำพวกนี้ตัดสินใจกันได้ในทันที

 

หากชายจมูกงุ้มยังคงมีชีวิตอยู่ พวกเขาจะไม่กล้าฝ่าฝืนคำสั่งของยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่ง

 

แต่ตอนนี้ชายจมูกงุ้มก็กลายเป็นเพียงร่างไร้วิญญาณเนื้อตัวเย็นเยียบ ถ้าพวกเขาไม่จากไปในตอนนี้ จะให้จากไปตอนไหนได้อีกเล่า?

 

ถ้าประกายดาบเมื่อครู่มันกลับมาอีกครั้ง พวกเขาไม่ทอดร่างเป็นศพอยู่ที่นี่หรอกหรือ?

 

ฟึ่บ!

 

ฟึ่บ!

 

ฟึ่บ!

 

ทันใดนั้น คนในชุดดำค่อยๆ หายไปทีละคน

 

ในขณะนี้เหล่าศิษย์สำนักนิกายต่างๆ ที่อยู่บริเวณนี้ ไม่ได้สนใจคนในชุดดำเลย สายตาของพวกเขาจับจ้องไปที่เฉียนขู่

 

“นี่คือ?”

 

เฉียนขู่ยังคงไว้ซึ่งใบหน้าที่ดูว่างเปล่า เขากำลังรอคอยความตายอยู่เมื่อครู่ ด้วยความแข็งแกร่งของชายจมูกงุ้ม มันไม่ยากเลยที่จะสังหารเหล่าผู้ฝึกยุทธในขอบเขตสามระดับกลางหรือแม่แต่ระดับชั้นที่สาม

 

“เพราะดาบไม้ที่ท่านผู้ทรงสมณศักดิ์ฯ ได้มอบให้ข้าอย่างงั้นหรือ?

 

เฉียนขู่ได้มองลงไปที่ดาบไม้ที่ยังคงห้อยอยู่กับคอของเขา

 

ในขณะนี้ดาบไม้กลับสู่สภาพปกติอีกครั้ง เพียงแต่มีรอยแตกเล็กๆ ที่แทบจะมองไม่เห็นปรากฏขึ้นที่คมของดาบไม้

 

เมื่อตอนที่เฉียนขู่ยังตกตะลึงอยู่นั้น ศิษย์สำนักอื่นๆ ต่างก็เดินเข้าไปอย่างระมัดระวังจากนั้นจึงหยุดห่างจากเฉียนขู่ประมาณสิบเมตร พากันมองเฉียนขู่ด้วยความอยากรู้อยากเห็นแต่ไม่กล้าพูดอะไรออกไป

 

พวกเขาต่างเป็นหัวกะทิของสำนักต่างๆ แม้พวกเขาจะไม่รู้ว่าประกายแสงดาบที่ตัดผ่าทุกสิ่งทุกอย่างเมื่อครู่คืออะไร แต่พวกเขาก็รู้ชัดว่ามันต้องเกี่ยวข้องกับเฉียนขู่

 

“เณรน้อย…เฉียนขู่ เมื่อครู่เกิดอะไรขึ้น?”

 

ในตอนนี้เอง จางเซียวก็ฟื้นคืนสติกลับมาได้แล้วจึงเดินไปหาเฉียนขู่ และอดไม่ได้ที่จะกล่าวถามออกไป

 

ทันทีที่คำพูดถูกกล่าวออกมา ดวงตาของศิษย์สำนักอื่นๆ สว่างวาวระยับ หูกระพือขึ้นเพื่อฟังว่าเฉียนขู่จะตอบว่าอย่างไร

 

“เกิดอะไรขึ้นงั้นรึ?”

 

เฉียนขู่กะพริบตา ไม่รู้จะเอ่ยอะไรออกไปดี

 

ดาบไม้ด้ามนี้ผู้ทรงสมณศักดิ์ฯ ได้มอบให้กับเขา ภายในดาบไม้คงจะมีวิธีการลับบางอย่างที่ท่านผู้ทรงสมณศักดิ์ฯ ใส่เอาไว้ภายใน

 

ทันใดนั้น

 

เสียงคำรามต่ำก็ดังขึ้น

 

“จางเซียว อย่าได้ถามเรื่องที่มิควรถาม!”

 

เห็นเป็นนักพรตเฒ่าแห่งเขาหวู่ตั้งเดินอย่างรวดเร็วดุดันมาทางจางเซียว

 

ทันใดนั้นนักพรตเฒ่าก็โค้งคำนับอย่างสุดซึ้งในหัวใจให้กับเฉียนขู่ท่ามกลางสายตาอึ้งทึ่งของทุกคน

 

“ขอบคุณความช่วยเหลือจากท่าน เขาหวู่ตั้งจะเก็บบุญคุณครั้งนี้ไว้ในใจ หากมีสิ่งใดเกิดขึ้นในอนาคต พวกเราจะช่วยเหลือท่านเต็มที่!”

 

คำพูดแต่ละประโยคของนักพรตเฒ่าล้วนมาจากใจ คำพูดเหล่านี้ไม่ใช่สำหรับเฉียนขู่ แต่เป็นการให้เกียรติต่อประกายดาบที่เพิ่งถูกปล่อยออกไปเมื่อครู่

 

ชายชราผู้นี้คร่ำหวอดในยุทธภพมานาน เดิมทีก็เป็นถึงปรมาจารย์ระดับชั้นที่สองอยู่แล้ว ผนวกกับการที่เป็นนักพรตศึกษาตำรามากมายบนเขาหวู่ตั้งมานานนับปี ไม่ว่าจะเป็นสายตาหรือสิ่งอื่นๆ ย่อมเหนือกว่าศิษย์วัยเยาว์เช่นจางเซียว

 

จากประกายแสงดาบเมื่อครู่ นักพรตเฒ่าสามารถสรุปได้ว่าข่าวลือที่ว่าวัดเส้าหลินมีอรหันต์กำเนิดขึ้น น่าจะเป็นความจริง

 

นอกเหนือจากระดับอรหันต์แล้ว จะมีผู้ที่ทรงพลังเหนือสรรพสิ่งอื่นใดเล่าที่จะสามารถใช้ประกายดาบที่สั่นสะเทือนทุกสรรพชีวิตได้ขนาดนี้?

 

เมื่อผู้อาวุโสของสำนักอื่นๆ เห็นฉากดังกล่าว ท่าทีของพวกเขาก็แปรเปลี่ยนไปเล็กน้อย และทำเหมือนนักพรตเฒ่าในทันทีทันใด โดยหันหน้าไปทางเฉียนขู่ แต่จริงๆ คือมุ่งเป้าไปที่ดาบไม้ขนาดเท่าฝ่ามือที่เฉียนขู่ห้อยเอาไว้รอบคอ แล้วต่างโค้งคำนับด้วยใจจริง

 

หลังจากเหตุการณ์ดังกล่าว ทำให้ศิษย์จากสำนักนิกายต่างๆ หมดความสนใจที่จะไปท่องยุทธภพต่อ ทุกคนต่างกลับไปที่สำนักของตนพร้อมกับผู้อาวุโส

 

โดยเฉพาะนักพรตเฒ่าแห่งเขาหวู่ตั้ง ทำไมเขาจะไม่รู้ว่าชายจมูกงุ้มราวกับนกอินทรีผู้นั้นมุ่งเป้ามาที่จางเซียว?

 

สำหรับเหล่าศิษย์นิกายอื่นๆ ต่างก็กลัวว่าจะเข้าไปข้องเกี่ยวกับปัญหาของเขาหวู่ตั้ง

 

เขาหวู่ตั้งเป็นสำนักที่ทรงพลังแห่งหนึ่งในยุทธภพและนักพรตจางก็เป็นยอดปรมาจารย์ที่ยืนอยู่จุดสูงสุดในยุทธภพ แต่ตอนนี้พวกเขาเกือบจะจมลงไปในกับดักบ้าๆ นี่ แล้วจะไม่ให้นักพรตเฒ่าโกรธเกรี้ยวได้อย่างไร?

 

เมื่อนึกถึงเรื่องนี้นักพรตเฒ่ารีบกลับไปที่เขาหวู่ตั้งพร้อมกับจางเซียวเพื่อตรวจสอบที่มาชายจมูกงุ้มและค้นหาว่าทำไมเขาถึงกลายมาเป็นศัตรูของเขาหวู่ตั้ง

 

 

 

ณ วัดเส้าหลิน

 

พื้นที่หวงห้ามภูเขาด้านหลัง

 

เมื่อดาบไม้ขนาดเท่าฝ่ามือที่ห้อยอยู่รอบคอเฉียนขู่ปล่อยพลังออกไป ทันใดนั้นซูฉินก็ลืมตาขึ้นแล้วมองไปยังทิศทางหนึ่ง

 

“เจตจำนงดาบถูกกระตุ้น?”

 

ดวงตาของซูฉินมีแววขบคิด

 

ในดาบไม้ที่เขามอบให้เฉียนขู่ไป เต็มไปด้วยเจตจำนงดาบจากเคล็ดวิชาดาบแห่งธรรม

 

เจตจำนงภายในดาบไม้ด้ามนี้ถูกทิ้งไว้โดยซูฉิน ไม่ว่าจะอยู่ห่างไกลกันสักแค่ไหน เมื่อถูกกระตุ้นใช้งาน อย่างไรซูฉินก็ย่อมรู้สึกได้

 

“ตกอยู่ในอันตรายถึงแก่ชีวิตเลยหรือ?”

 

ท่าทีของซูฉินยังคงไม่เปลี่ยนไป เพียงคิดอยู่ในใจเงียบๆ

 

เฉพาะแค่เฉียนขู่เผชิญหน้ากับพลังที่ไม่สามารถยับยั้งได้ มันจึงจะกระตุ้นเจตจำนงในดาบไม้ให้ออกมา

 

“วิกฤติผ่านพ้นไปแล้ว…”

 

เมื่อซูฉินรู้สึกตัวก็กระซิบกับตนเอง

 

เจตจำนงดาบที่เขาทิ้งเอาไว้ในดาบไม้ สามารถฟาดฟันได้ทั้งหมดสามครั้ง ตอนนี้ซูฉินอยู่ในความรู้สึกโล่งใจหลังจากที่รู้ว่าเฉียนขู่น่าจะปลอดภัยดีในตอนนี้

 

มิฉะนั้นเจตจำนงดาบที่เหลืออยู่ในดาบไม้ ย่อมต้องฟาดฟันออกไปอีกสองครั้งตามพลังที่หลงเหลือ ไม่ใช่เงียบหายไปเช่นนี้

Sign in Buddha’s palm 83 หนึ่งคมดาบไม้ ห่างไกลพันลี้ เชือดเฉือนชีวียอดปรมาจารย์

 

 

วันต่อมา

 

เฉียนขู่เดินผ่านถิ่นทุรกันดารไปพร้อมๆ กับสาวกนิกายอื่นและหยุดพักที่ด้านหน้าบ้านพักแห่งหนึ่ง

 

“เข้าไปพักด้านในกันก่อนเถิด”

 

มีบางคนอดไม่ได้ที่จะเอ่ยแนะ

 

พวกเขาส่วนใหญ่เป็นผู้ฝึกยุทธในขอบเขตสามระดับกลางและระดับชั้นที่สาม แม้พวกเขาจะมีกำลังภายในคอยคุ้มกันอยู่ แต่ยังไงพวกเขาก็จำเป็นต้องพักผ่อน

 

“ได้เลย”

 

จางเซียวมองไปทางบ้านพักและพยักหน้าเห็นด้วย หลังจากแน่ใจว่าไม่มีอะไรผิดปกติ

 

“รอก่อน”

 

ในเวลานั้นเอง จู่ๆ เฉียนขู่ก็พูดขึ้น

 

“เราไม่ควรพักที่นี่”

 

เฉียนขู่เงียบไปชั่วขณะและกล่าวขึ้น

 

ตอนที่เฉียนขู่กำลังมองดูบ้านพักแห่งนี้ก็พลันรู้สึกหวั่นใจขึ้นมาอย่างอธิบายไม่ได้

 

แม้ว่าเฉียนขู่จะไม่รู้ว่าเหตุอะไรจะเกิดขึ้น แต่เขาตระหนักขึ้นมาได้เพราะดวงใจพุทธะสั่นเตือน

 

“ไม่ควรพักที่นี่?”

 

จางเซียวผงะไปครู่หนึ่งแล้วมองไปยังเฉียนขู่ เขาขมวดคิ้วแล้วถามว่า “เจ้าหมายความว่าอย่างไร?”

 

“ข้าก็มิทราบเช่นกัน แต่รู้สึกว่าบ้านพักแห่งนี้อันตรายอย่างมาก”

 

เฉียนขู่ส่ายหัวพร้อมอธิบาย

 

สำหรับคำเตือนจากดวงใจพุทธะมันลึกลับซับซ้อนจนไม่รู้อธิบายอย่างไร จึงได้แต่บอกว่าเป็นความรู้สึกส่วนตัว

 

“อันตราย?”

 

จางเซียวมองกลับไปที่บ้านพักหลังนั้นอีกครั้ง

 

“เมื่อเป็นเช่นนั้น”

 

“ก็อย่าเพิ่งพักที่นี่เลย ไปต่อกันเถอะ”

 

จางเซียวขบคิดอยู่พักหนึ่งแล้วพูดออกมา

 

คนอื่นๆ ได้ยินเช่นนั้นก็ไม่พอใจเล็กน้อย แต่พวกเขาก็ไม่ได้พูดอะไร

 

สำหรับผู้ฝึกยุทธอย่างพวกเขา แม้ว่าจะเหนื่อยแต่ก็ประคองตัวต่อไปไหว

 

อย่างไรก็ตาม

 

เมื่อเฉียนขู่และคนอื่นๆ กำลังจะจากไป

 

ทันใดนั้นเสียงที่ฟังดูมืดมนก็ดังขึ้น

 

“เฮ่เฮ่ เมื่อพวกเจ้ามาถึงที่นี่แล้ว คิดจะจากไปนี่ถามข้าหรือยังเล่า?”

 

เห็นเป็นชายคนหนึ่งที่มีจมูกงุ้มเหมือนกับนกอินทรีเดินเข้ามาอย่างช้าๆ

 

ในขณะที่ชายจมูกงุ้มปรากฏตัวขึ้น กลุ่มคนในชุดดำก็เข้ามาล้อมกลุ่มของเฉียนขู่อย่างเงียบเชียบ

 

“มีปัญหาแล้ว”

 

จางเซียวกล่าวอย่างเคร่งขรึม

 

มาถึงตอนนี้ ทำไมเขาจะไม่รู้ตัวว่ากลุ่มของเขาตกหลุมพรางของพวกมันเข้าให้แล้ว

 

“ขอบังอาจถามว่าท่านคือใคร?”

 

“ส่วนตัวข้าเป็นศิษย์ของนักพรตจางแห่งเขาหวู่ตั้ง…”

 

ชายจมูกนกอินทรีที่อยู่ไม่ไกลนั้นทำให้จางเซียวรู้สึกอันตราย

 

แม้จางเซียวจะไม่รู้ถึงความแข็งแกร่งของชายที่มีจมูกเหมือนนกอินทรี แต่ก็เห็นได้ชัดว่าฝ่ายตรงข้ามแข็งแกร่งกว่าเขามาก

 

ท่ามกลางสถานการณ์เช่นนี้ จางเซียวไม่คิดที่จะท้าทายหรือกระทำการใดๆ และรีบแจ้งชื่อเสียงเรียงนามก่อนสิ่งอื่นใด

 

เมื่อคนอื่นได้ยินเช่นนั้นก็โล่งใจขึ้นมาเล็กน้อย

 

ในความเห็นของพวกเขา นักพรตจางแห่งเขาหวู่ตั้งนั้นทรงพลัง และเมื่อฝ่ายตรงข้ามรู้ว่ากลุ่มของพวกเขาเกี่ยวข้องกับนักพรตจาง จะต้องยอมปล่อยพวกเขาไปอย่างแน่นอน

 

เพียงเท่านั้น

 

เมื่อได้ยินสามพยางค์ที่ว่า นักพรตจาง ชายจมูกงุ้มไม่เพียงไม่แสดงอาการหวาดกลัว แต่กลับหัวเราะอย่างมีความสุข

 

“นักพรตจาง?”

 

“เป้าหมายการสังหารก็คือศิษย์ของนักพรตจางนี่แหละ!”

 

ชายจมูกงุ้มหัวเราะอย่างดุร้าย “พวกเรา จัดการมันให้หมด!”

 

ทันใดนั้น

 

คนชุดดำหลายสิบคนก็รีบกรูกันเข้ามาโดยไม่มีท่าทีลังเล

 

นักพรตเฒ่าคนหนึ่งที่สวมชุดนักพรตทางเต๋าก็โผล่ออกมาแล้วคว้าไหล่ของจางเซียวไว้ พยายามจะพาหลบหนี

 

“อาจารย์อา?”

 

“ท่านมาที่นี่ได้อย่างไร?”

 

เมื่อจางเซียวเห็นนักพรตเฒ่า เขาก็ผงะไปเล็กน้อย รู้สึกดีใจมาก

 

นักพรตเฒ่าคืออาจารย์อาของเขาซึ่งเป็นปรมาจารย์ระดับชั้นที่สองแห่งเขาหวู่ตั้ง

 

จางเซียวไม่คิดว่าจะพบอาจารย์อาของเขาที่นี่

 

“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า!”

 

“นานมาแล้วที่ข้าไม่ได้พบเจ้า!”

 

ชายที่มีจมูกงุ้มเหมือนนกอินทรียิ้มเยาะ มันยกมือขวาและกดมือลงไปทางนักพรตเฒ่า

 

ฟู่ม!!

 

แรงระเบิดพุ่งฝ่าอากาศเข้าใส่นักพรตเฒ่าอย่างแผ่วเบา

 

ปึง!!

 

นักพรตเฒ่าหน้าแดงเถือก อาเจียนออกมาเป็นเลือด ต้องก้าวถอยหลังไปจนเกือบจะล้มลงกับพื้น

 

“เจ้าน่าจะเป็นผู้พิทักษ์ของจางเซียวสินะ?”

 

ชายจมูกนกมองไปที่นักพรตเฒ่าแล้วกล่าวคำช้าๆ

 

ฐานะอย่างจางเซียวจะไม่มีใครคอยคุ้มกันเขาได้อย่างไรเมื่อออกท่องยุทธภพ

 

เหตุผลที่ชายจมูกงุ้มไม่ลงมือแต่แรกเป็นเพราะต้องการรอให้คนเหล่านี้ออกมา

 

“คนอื่นๆ จงออกมาให้หมดเถอะ”

 

ชายจมูกนกหันไปมองคนอื่นๆ

 

“เฮ่”

 

“ข้าสงสัยยิ่งนักว่ายอดฝีมือท่านนี้คือใคร?”

 

“ถ้าจำไม่ผิด เราไม่เคยรู้จักกันมาก่อนมิใช่หรือ?”

 

คนจำนวนหนึ่งค่อยๆ เดินออกมาจากมุมอับทีละคน มองไปที่ชายจมูกงุ้มแล้วเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ

 

“แน่นอนว่าย่อมมิรู้จัก”

 

ปรากฏร่องรอยความเย็นชาฉายวาบบนใบหน้าของชายจมูกงุ้ม “แต่ในเมื่อพวกเจ้าอยู่กันเสียที่นี่แล้ว ก็จงตายกันไปเสียเถอะ”

 

ทันใดนั้นเอง

 

กลิ่นอายของยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งก็ปะทุออกอย่างรุนแรง

 

เหล่าจอมยุทธในสามระดับบนที่ซ่อนตัวอยู่ในมุมอับเพื่อคอยปกป้องเหล่าศิษย์ของตนเอง ถึงกับหน้าเปลี่ยนสีและถูกซัดกระเด็นลงไปกระแทกกับพื้น

 

“หึ ทนไม่ได้แม้แต่กระบวนท่าเดียว”

 

ชายจมูกนกยิ้มอย่างดูถูก

 

ด้วยความแข็งแกร่งของยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งของมัน การกำราบผู้พิทักษ์พวกนี้ทำได้ง่ายเหมือนกระดกน้ำเคี้ยวอาหาร

 

เหล่าศิษย์สำนักต่างๆ เมื่อเห็นฉากดังกล่าวก็พลันหนาวยะเยือกตั้งแต่มือลามไปจนถึงเท้า

 

พวกเขาไม่คิดฝันมาก่อนว่าผู้อาวุโสในสำนักของตนจะไม่สามารถทนการโจมตีของชายจมูกงุ้มได้แม้แต่กระบวนท่าเดียว

 

“พวกเจ้ารีบไปเถอะ”

 

“จงวิ่งไปให้ไกลที่สุด ทำได้หรือไม่?”

 

ในขณะนั้นเองนักพรตเฒ่าจากเขาหวู่ตั้งตะโกนดังก้อง

 

คำพูดที่กล่าวออก

 

ทำให้ทุกคนฟื้นสติ

 

ถูกต้อง

 

สิ่งที่สำคัญที่สุดตอนนี้ไม่ใช้การนิ่งเฉยรอคอย แต่ต้องหนีเพื่อเอาชีวิตรอด

 

“วิ่ง?”

 

แววถากถางปรากฏขึ้นบนใบหน้าของชายจมูกงุ้ม

 

ศิษย์เหล่านี้ไม่ได้อยู่ในขอบเขตสามระดับบนด้วยซ้ำ จะรอดพ้นเงื้อมมือของยอดปรมาจารย์เช่นเขาจริงๆ น่ะหรือ?

 

“ไปกันเร็ว”

 

จางเซียวถอยกลับไปอยู่ด้านข้างของเฉียนขู่ แล้วแอบกระซิบผ่านสายลมอย่างรวดเร็วว่า “ท่านอาจารย์อาของข้าบอกมาว่าเขาจะเปิดใช้ทักษะลับหลังจากนี้ และจะสกัดผู้คนไว้ได้สักพัก เราต้องใช้โอกาสนี้เพื่อหลบหนี”

 

“หลังจากนี้พวกเราต้องวิ่งไปพร้อมกัน”

 

หลิ่วหรูเหมยตัวสั่นพร้อมกับกล่าวคำ

 

เธอมีชาติกำเนิดที่สูงส่ง ตั้งแต่เด็กจนตอนนี้เธอไม่เคยต้องหวาดกลัวเท่าครั้งนี้มาก่อน ยังดีที่เธอยังพอจะหยัดยืนอยู่ได้ในตอนนี้

 

“อืม”

 

เฉียนขู่พยักหน้า

 

ในตอนนี้แม้ว่าจะอยู่ในสภาวะวิกฤติ แต่เฉียนขู่ก็สงบอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

 

เมื่อสิ้นเสียงของเฉียนขู่

 

นักพรตเฒ่าผู้มากประสบการณ์จากเข้าหวู่ตั้งที่อยู่อีกด้านก็ทะยานเข้าหาชายจมูกงุ้ม

 

“ทักษะลับต้องห้าม?”

 

ชายจมูกนกส่ายหัวก้าวไปหานักพรตเฒ่าตรงๆ แล้วตบฝ่ามือเข้าใส่อย่างกะทันหัน

 

ตูม!!

 

ทันใดนั้นใบหน้าของนักพรตเฒ่าก็ซีดขาวราวกับกระดาษ ล้มฟาดลงกับพื้น ลมหายใจรวยริน

 

“นี่…”

 

ใบหน้าของจางเซียวบิดเบี้ยวจนน่าเกลียด และหลิ่วหรูเหมยที่อยู่ด้านข้างก็ขาสั่นด้วยความตกใจ

 

พวกเขาไม่คาดคิดว่าขนาดนักพรตเฒ่าอุตส่าห์ใช้ทักษะลับต้องห้ามก็ยังจะเปราะบางเช่นนี้อยู่อีก

 

“ข้าจะไม่เล่นกับพวกเจ้าอีกต่อไปแล้ว”

 

ชายจมูกงุ้มผู้นั้นเหมือนจะหมดความอดทน มันยื่นมือขวาออกไปคว้าจับตัวของจางเซียวเอาไว้

 

“ไม่ต้องเป็นห่วง เจ้าจะไม่ได้ตายง่ายๆ แน่”

 

“ข้าจะให้เจ้าได้ลิ้มรสความทรมานอย่างสุดแสนก่อนที่จะส่งแกไปลงนรก”

 

ชายจมูกนกมองไปที่จางเซียวอย่างอาฆาตมาดร้าย

 

“มันจบแล้ว”

 

สีหน้าของจางเซียวซีดเทาราวกับคนตาย ขณะนี้ทั้งร่างของเขาถูกจับกุมไว้โดยชายจมูกงุ้ม ไม่สามารถฆ่าตัวตายได้

 

“ส่วนพวกเจ้า…”

 

“ข้าไม่ได้แค้นเคืองอะไรกับพวกเข้า เพียงแต่เจ้าได้เห็นในสิ่งที่ไม่ควรเห็น…”

 

ชายจมูกงุ้มเหมือนนกอินทรีหันมามองเฉียนขู่ และคนอื่นๆ เขายกมือซ้ายขึ้น กำลังภายในที่น่ากลัวถูกปลดปล่อยออกมา มันต้องการจะจัดการกลุ่มของเฉียนขู่ให้กลายเป็นเนื้อบดด้วยฝ่ามือของมัน

 

“ทำเช่นไรดี”

 

ศิษย์คนอื่นๆ เสียขวัญไปแล้ว จิตใจสับสนรวนเรกันไปหมด

 

แม้แต่จอมยุทธอาวุโสในขอบเขตสามระดับบนยังนอนทอดร่างอยู่ที่นี่ นับประสาอะไรกับศิษย์อย่างพวกเขา?

 

หลิ่วหรูเหมยหน้าซีดเช่นกัน นางซ่อนตัวอยู่ด้านหลังเฉียนขู่อย่างนิ่งงัน ท่าทางหวาดกลัว หลับตารอคอยความตาย

 

“เณรน้อยเฉียนขู่ ข้าไม่คิดฝันเลยว่าจะต้องมาตายไปพร้อมกับเจ้า”

 

หลิ่วหรูเหมยพึมพำกับตนเอง

 

เมื่อความตายย่างกรายเข้ามา หลิ่วหรูเหมยกลับรู้สึกผ่อนคลายขึ้นมา

 

“นะโมอมิตาพุทธ”

 

“หากข้ามิก้าวสู่นรก ผู้ใดเล่าจะก้าวลงนรก”

 

เฉียนขู่ก้าวเท้าไปด้านหน้าแล้วพุ่งเข้าหาชายที่มีจมูกงองุ้ม

 

แม้ว่าเฉียนขู่จะรู้ว่าเขาจะต้องตาย แต่ระหว่างจำยอมตายกับเข้าต่อต้านแล้วตาย เขาย่อมเลือกอย่างหลัง

 

“เจ้าโล้นตัวน้อยนี่ช่างมีความกล้าหาญนัก”

 

ชายจมูกงุ้มส่ายหัวเล็กน้อยแล้วพูดขึ้นว่า “แต่ก็ยังน่าเสียดาย ต่อหน้าข้า ไม่ว่าจะกล้าหาญมากเพียงใดมันก็ไม่มีความหมาย”

 

ชายจมูกงุ้มดูเย็นชา มือซ้ายของมันพลันเปลี่ยนวิถีไปอย่างกะทันหันแล้วมวลพลังอันน่าหวาดหวั่นก็เข้าโอบล้อมพื้นที่ไว้อย่างรวดเร็ว

 

ตูม!!!

 

เฉียนขู่ราวกับถูกสายฟ้าฟาดเข้าใส่ สติของเขาเริ่มพร่ามัว

 

“นี่ข้ากำลังจะตายหรือ?”

 

ภาพต่างๆ นานาปรากฏขึ้นในมโนจิตของเฉียนขู่ และในที่สุดภาพก็จับไปที่ซูฉินที่กำลังนั่งขัดสมาธิอยู่ในพื้นที่หวงห้ามภูเขาด้านหลัง

 

“ในที่สุดข้าก็ได้พบหน้าพระอาจารย์เป็นครั้งสุดท้าย…”

 

เมื่อยามที่เฉียนขู่กำลังเผชิญหน้ากับความตายอย่างสงบ

 

ดาบไม้ธรรมดาๆ ขนาดเท่าฝ่ามือที่เขาแขวนอยู่รอบคอก็เริ่มสั่นสะเทือน

 

แกร็ก

 

ทั้งๆ ที่ไม่ได้มีลมพัดผ่าน ดาบไม้ก็ค่อยๆ ลอยขึ้นเองโดยปลายดาบชี้ขึ้นแล้วตัดลงหาชายจมูกงุ้มอย่างเชื่องช้า

 

“นี่มันคืออะไรกัน?”

 

ชายจมูกงุ้มเป็นยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่ง เขาสังเกตเห็นดาบไม้ขนาดเท่าฝ่ามือที่อยู่รอบคอของเฉียนขู่ในทันที

 

“ไม่ดีแล้ว!”

 

ชายจมูกงุ้มพลันรู้สึกถึงวิกฤตความเป็นความตาย จึงล่าถอยกลับไปเต็มกำลัง

 

อย่างไรก็ตาม

 

ในเวลานี้ ดาบไม้ขนาดเท่าฝ่ามือที่อยู่รอบคอของเฉียนขู่ ได้ฟาดฟันลงมาเป็นที่เรียบร้อย

 

ชิ้ง

 

เจตจำนงดาบปรากฏเป็นภาพมายาออกมาฟันเข้าใส่ชายที่มีจมูกงองุ้ม

 

ไม่มีใครสามารถทราบถึงความคมของดาบเล่มนี้ได้

 

ดาบเล่มนี้ฟาดฟันลงมาราวกับว่า แม้แต่มิติก็จะต้องขาดเป็นสองท่อนยามเมื่อมันพาดผ่านไปที่ใด ในลานสายตาของชายจมูกงุ้ม เขาเห็นเพียงแค่เจตจำนงแห่งดาบพาดผ่านลงมาจากฟากฟ้า

 

เจตจำนงดาบอันนี้พุ่งฝ่าอากาศในระยะหลายร้อยเมตรในชั่วอึดใจเดียว และตัดผ่านการป้องกันของชายจมูกงุ้มได้อย่างง่ายดาย หั่นชายจมูกงุ้มออกเป็นสองท่อน

 

เจตจำนงแห่งดาบที่เหลืออยู่ฟาดออกไปทำลายบ้านพักบนภูเขาด้านหลังชายที่มีจมูกงองุ้มเหมือนนกอินทรี

 

ตูมตูมตูม

 

ทันใดนั้นก็เห็นรอยที่ราบเรียบตรงกึ่งกลางของบ้านพักบนภูเขา โดยไม่มีรอยแตกร้าวใดๆ ให้เห็น บ้างพักทั้งหลังถูกแบ่งออกเป็นสองส่วนในทันที

 

“นี่คือ?”

 

ทุกคนที่เห็นเหตุการณ์ต่างก็ยืนอึ้ง ใบหน้าและจิตใจของพวกเขาพลันเหลือแต่ความว่างเปล่า

Sign in Buddha’s palm 82 เฉียนขู่ท่องยุทธภพ

 

 

ที่ด้านนอกลานโพธิ์

 

ความคิดของซูฉินพลิกผันไปมา

 

“ลืมมันไปซะ”

 

“สำหรับตัวข้าตอนนี้ โอสถอายุวัฒนะเคลือบทองคำนั้นเหมาะสมที่สุดแล้ว หากฝืนใช้โอสถหมุนวนเก้าโคจรละก็ข้าแทบจะไม่สามารถดูดซับตัวยาได้เลย มันจะต้องเสียคุณสมบัติทางยาส่วนใหญ่ไปแน่นอน ซึ่งไม่คุ้มค่าเลย”

 

ซูฉินส่ายศีรษะ

 

รู้หรือไม่ว่าโอสถหมุนวนเก้าโคจรที่เขามีในปัจจุบันนั้นจำนวนน้อยกว่าโอสถอายุวัฒนะเคลือบทองคำเสียอีก มีจำนวนไม่ถึงห้าร้อยเม็ด

 

เขาควรจะประหยัดเสียหน่อย

 

“ตามบันทึกโบราณของวัดเส้าหลิน เมื่อเทียบกับระดับนภาชั้นที่หนึ่งถึงชั้นที่สามของขอบเขตอรหันต์ นภาชั้นที่สี่จะเป็นการเปลี่ยนแปลงศักยภาพขนานใหญ่”

 

“เมื่อถึงเวลานั้นคงจะไม่สายเกินไปที่จะใช้โอสถหมุนวนเก้าโคจร”

 

ซูฉินอยู่ในอารมณ์ที่ดี เขาหมุนตัวเดินทางกลับไปยังพื้นที่หวงห้ามภูเขาด้านหลังอีกครั้ง

 

หนึ่งเดือนต่อมา

 

ก่อนที่จะลงจากเขาไปท่องยุทธภพ เฉียนขู่ได้มาที่เขตหวงห้ามภูเขาด้านหลังเพื่ออำลาซูฉิน

 

“ผู้ทรงสมณศักดิ์ฯ”

 

“วันนี้ข้าจะออกจากวัดแล้ว”

 

สีหน้าของเฉียนขู่ดูใจหายเล็กน้อย แม้ว่าเขาจะเตรียมพร้อมมานานแล้ว แต่จนถึงตอนนี้เขาก็เพิ่งค้นพบว่าต้นไม้ใบหญ้าในวัดเส้าหลินหลินนั้นก็ดูสวยงามไม่น้อย มีความรู้สึกไม่ได้อยากจากไปขึ้นมาบ้าง

 

อย่างไรก็ตามการท่องยุทธภพเพื่อฝึกฝนหาประสบการณ์เป็นสิ่งที่‘เฉียนขู่‘ในฐานะของภิกษุจากวัดเส้าหลินพึงกระทำ

 

บางทีศิษย์คนอื่นๆ คงจะพอเลี่ยงได้ แต่เฉียนขู่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงหน้าที่อันนี้ได้

 

“ข้าก็สอนสั่งเจ้ามาหลายปีแล้ว”

 

“ในเมื่อเราจะต้องจากกันไป ข้าก็มีของเล็กๆ น้อยๆ จะมอบให้”

 

ซูฉินนั่งไขว้ขวา ยื่นมือขวาไปหยิบดาบไม้ที่ดูสวยมิหยอกขนาดเพียงเท่าฝ่ามือขึ้นมา

 

ดาบไม้อันนี้ดูไปแล้วก็ธรรมดามาก เหมือนจะแกะสลักมาจากไม้ทั่วๆ ไปที่หาได้ง่ายในวัดเส้าหลิน

 

“ขอบคุณท่านผู้ทรงสมณศักดิ์ฯ”

 

เฉียนขู่ชอบดาบไม้อันนี้มาก เขาสวมมันไว้รอบคอแล้วห้อยดาบไม้ไว้แนบอก

 

“ลงไปได้แล้วล่ะ”

 

ซูฉินโบกมือ

 

“ขอรับ”

 

เฉียนขู่ออกจากพื้นที่หวงห้ามภูเขาด้านหลังด้วยความนอบน้อม

 

“เป็นเวลาหลายปีแล้วสินะ…”

 

ซูฉินถอนหายใจเล็กน้อย

 

เจ้าเณรน้อยที่อายุมากกว่าสิบขวบไปไม่มาก พร้อมที่จะลงจากเขาไปท่องยุทธภพแล้ว

 

“ด้วยดาบไม้นั่น ไม่น่าจะมีอันตรายใดๆ เกิดขึ้น”

 

ซูฉินคิดอย่างไม่ได้จริงจังมากนัก

 

ดาบไม้ขนาดเท่าฝ่ามือที่ซูฉินมอบให้เฉียนขู่ แน่นอนว่าถูกสร้างขึ้นด้วยตัวเขาเองโดยแฝงเจตจำนงแห่งดาบเอาไว้ภายใน

 

เจตจำนงแห่งดาบที่กลั่นออกมานั้นมีพื้นฐานมาจากเคล็ดวิชาดาบแห่งธรรม เมื่อ‘เฉียนขู่‘ตกอยู่ในอันตรายถึงชีวิต มันจะไปกระตุ้นเจตจำนงแห่งดาบให้ออกมา

 

ด้วยความแข็งแกร่งในปัจจุบันของซูฉิน หากเจตจำนงถูกกระตุ้นใช้ออกขึ้นมาจริงๆ ละก็ แม้ว่าจะไม่สามารถสังหารตำนานยุทธลงได้ แต่สำหรับยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งจะต้องตกตายลงเป็นแน่

 

นี่คือสิ่งรับประกันชีวิตที่ซูฉินทิ้งไว้ให้กับเฉียนขู่

 

ท้ายที่สุดแล้ว เฉียนขู่ก็ออกไปท่องยุทธภพเพื่อฝึกฝน ไม่ใช่เพื่อออกไปตาย

 

ข้างนอกนั่นมีอันตรายถึงแก่ชีวิตรออยู่ เป็นไปไม่ได้เลยที่จะปล่อยให้เฉียนขู่ต้องตาย

 

อย่างไรก็ตามซูฉินไม่คิดว่าเฉียนขู่จะตกอยู่ในอันตรายที่ถึงแก่ชีวิตหรอก

 

วัดเส้าหลินเป็นถึงสุดยอดพรรคในยุทธภพ และเฉียนขู่ก็เป็นบุตรศักดิ์สิทธิ์ของยุคนี้ที่ลงจากเขาไปท่องยุทธภพ ถึงจะมีสำนักพรรคมากมายในยุทธภพก็ควรจะไว้หน้ากันบ้างไม่มากก็น้อย

 

แม้จะไม่ได้เคารพวัดเส้าหลิน แต่ก็คงไม่ถึงกับฆ่าแกงเฉียนขู่

 

สุดท้ายแล้ว การสังหารเฉียนขู่จะเกิดอะไรขึ้น?

 

นอกจากเป็นการประกาศสงครามกับสุดยอดพรรคในยุทธภพอย่างวัดเส้าหลินแล้ว จะเป็นเรื่องใดได้อีก?

 

หลังจากเฉียนขู่ออกจากพื้นที่หวงห้ามภูเขาด้านหลัง เขาก็มุ่งตรงออกจากวัดเส้าหลินในทันที

 

นอกวัดเส้าหลิน ฟ้าสูง แผ่นดินกว้าง

 

เฉียนขู่ท่องไปทั่วทุกที่ พบกับความอยุติธรรมที่ใดเขาก็เข้าช่วยเหลือ พบคนล้มตายเขาก็สวดแผ่เมตตา

 

เมื่อเวลาผ่านไป เฉียนขู่ยังได้พบศิษย์จากนิกายอื่นๆ ในทำเนียบยุทธอีกมากมาย

 

โดยพื้นฐานแล้วศิษย์สาวกเหล่านี้ก็มีความคล้ายคลึงกับเฉียนขู่ พวกเขามาศึกษาหาประสบการณ์จากการเข้าร่วมยุทธภพและหาคุณค่าของตนเอง

 

ในหมู่คนเหล่านี้ก็มีจางเซียว ศิษย์สายตรงที่มีอายุน้อยที่สุดในบรรดาศิษย์ของนักพรตจางจากเขาหวู่ตั้ง

 

ว่ากันว่ายามเมื่อจางเซียวอายุยังไม่ถึงสิบขวบดี เขาก็เข้าสู่เส้นทางไท่ฉีจากเขาหวู่ตั้งเรียบร้อยแล้ว ทำให้นักพรตจางที่เพิ่งออกจากการปิดด่านฝึกตนตกใจมาก

 

จางเซียวอยู่ในยุทธภพมานานกว่าเฉียนขู่เพียงไม่กี่ปี และอยู่ในทำเนียบจอมยุทธมาเป็นระยะเวลาหนึ่งแล้ว ทั้งนี้ยังได้รับฉายา ‘นักพรตตัวน้อย‘ มาอีกด้วย

 

นอกจากจางเซียวแล้ว ยังมีสาวกของนิกายใหญ่ๆ นิกายอื่นด้วย พวกเขาล้วนมาจากพรรคนิกายโบราณที่ทรงคุณธรรมและกล้าหาญ

 

“ท่านเณรน้อย ข้าได้ยินมาว่ามีอรหันต์ปรากฏตัวขึ้นในวัดเส้าหลินของท่าน นั่นเป็นเรื่องจริงหรือไม่?”

 

จางเซียวสวมเสื้อคลุมนักพรตเต๋าและเอ่ยถามอย่างเบื่อหน่าย

 

บุคลิกของเขาค่อนข้างอิสรเสรี เรียบง่าย ไม่กลัวใคร นอกเสียจากว่าผู้นั้นจะเป็นนักพรตจาง

 

“นะโมอมิตาพุทธ…”

 

เฉียนขู่ประสานมือไว้กลางอกโดยไม่ตอบคำ

 

ก่อนที่จะออกท่องยุทธภพ เจ้าอาวาสได้ตระเตรียมกับเฉียนขู่เอาไว้ว่าจะต้องไม่เปิดเผยข้อมูลใดๆ เกี่ยวกับซูฉิน

 

“จางเซียวอย่าแกล้งท่านเณรเฉียนขู่เช่นนั้นสิ” หญิงสาวด้านข้างจางเซียวมองที่จางเซียวแล้วกล่าวด้วยความไม่พอใจ

 

“เฮ่เฮ่”

 

“หลิ่วหรูเหมย ที่เจ้าออกตัวแทนท่านเณรน้อยเช่นนี้เป็นเพราะเจ้าชอบเขาใช่หรือเปล่าเนี่ย?”

 

จางเซียวเหน็บแนม

 

“เจ้า?!”

 

หญิงสาวที่ชื่อหลิ่วหรูเหมยดึงกระบี่เล่มยาวออกมาแล้วฟันใส่จางเซียว

 

ปราณดาบกวาดกระจายไปทั่ว

 

ทันใดนั้นร่างของจางเซียวก็กะพริบวูบไหวและถอยหลังไปสามก้าว “เจ้ามันหญิงบ้า นี่กล้าลงมือจริงๆ เลยรึ?”

 

เมื่อคนอื่นเห็นฉากนี้ไม่เพียงไม่เข้ามาห้ามปราม แต่ยังรอชมการแสดงแทน

 

พวกเขาต่างก็เป็นสำนักฝ่ายธรรมะ เป็นเรื่องปกติที่จะไม่ได้มีเจตนาฆ่าฟันกันจริงๆ ไม่ว่าจะเป็นจางเซียวหรือหลิ่วหรูเหมย พวกเขาจะหยุดสู้กันไปเองหลังจากได้ประมือกันเล็กๆ น้อยๆ ไม่ใช่การต่อสู้จริงจังอะไร

 

 

ในเวลาเดียวกัน

 

ในบ้านพักแห่งหนึ่งบนภูเขา

 

มีหลายคนยืนอยู่อย่างเคร่งขรึมที่ด้านใน

 

เห็นได้ชัดจากกลิ่นอายของแต่ละร่างว่าคนเหล่านี้ต่างก็เป็นจอมยุทธผู้ทรงพลัง โดยเฉพาะชายที่จมูกงองุ้ม ไอพลังของเขาครอบคลุมไปทั่วทุกทิศ เขาคือยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่ง

 

“นายท่าน ข้าได้ไปตรวจสอบดูแล้ว จางเซียว ศิษย์สายตรงของนักพรตจางแห่งเขาหวู่ตั้งจะผ่านทางมาที่นี่ในวันพรุ่งนี้ขอรับ”

 

ในตอนนั้นเองชายในชุดดำก็เดินเข้ามาและคุกเข่ามาทางชายจมูกงุ้ม

 

“นี่เจ้าแน่ใจใช่หรือไม่?”

 

ดวงตาของชายจมูกงุ้มสว่างวาบและกล่าวถามกลับทันที

 

“หากมาตามเส้นทางนี้ย่อมถูกต้องเป็นแน่ ยกเว้นพวกเขาจะเดินกลับทางเก่า มันก็จำเป็นต้องผ่านมาที่นี่อย่างหลีกเลี่ยงมิได้”

 

ชายในชุดดำพูดโดยไม่มีความลังเล

 

“เยี่ยมมาก!”

 

“เยี่ยมมากจริงๆ!!”

 

ชายจมูกงุ้มหัวเราะด้วยท่าทีดุร้าย สีหน้าเขาเปลี่ยนเป็นเย็นชามากขึ้นเรื่อยๆ

 

“นักพรตจาง เมื่อสามสิบปีก่อนเจ้าสังหารพ่อแม่และลูกของข้า ต้องการให้สกุลของข้ามลายสูญ และตอนนี้ข้าก็จะสังหารศิษย์คนสุดท้ายของเจ้า เพื่อเซ่นสังเวยวิญญาณของลูกชายข้าที่อยู่บนสรวงสวรรค์!!”

 

ชายจมูกงุ้มกระแทกเสียงในทุกๆ คำ

 

คนที่เหลือด้านในโถงต่างก้มหน้าลงโดยพลัน ไม่มีใครกล้ามองตรงๆ ไปยังชายจมูกงองุ้ม

 

“นายท่าน ถ้าท่านสังหารจางเซียวจะไม่เป็นการทำให้นักพรตจางออกมาแก้แค้นหรอกหรือ?” ร่างที่ยืนอยู่ข้างๆ ชายที่มีจมูกงองุ้มผู้นั้นเอ่ยถาม

 

“ฮ่าฮ่า…”

 

ชายจมูกงุ้มส่ายศีรษะ “ไม่ต้องกังวล ถ้าเป็นที่อื่นที่คนพลุกพล่าน ข้าคงไม่กล้าฆ่าจางเซียวหรอก”

 

“แต่ที่นี่…”

 

เมื่อพูดมาถึงตรงนี้ชายที่มีจมูกงองุ้มก็เผยรอยยิ้มออกมาบนใบหน้า “สังหารจางเซียวที่นี่ จะไม่มีใครรู้”

 

ใบหน้าของชายจมูกงุ้มราวกับนกอินทรี ตอนนี้ลิงโลดราวกับได้รับชัยชนะ

 

ด้วยความแข็งแกร่งของยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งเช่นเขา หากต้องการสังหารจางเซียวให้ตกอยู่ในความสิ้นหวัง เขาคงจะสังหารทิ้งไปเสียนานแล้ว เหตุผลที่เขารอมาจนถึงป่านนี้ก็เพราะรอโอกาสที่จะสร้างความเข้าใจผิด ความบาดหมางให้เกิดขึ้น

 

และตอนนี้ ในที่สุดโอกาสที่เขารอคอยก็มาถึง

Sign in Buddha’s palm 81 บุกทะลวงต่อเนื่อง

 

 

“การบ่มเพาะในระดับอรหันต์ยากเย็นเสียจริง”

 

“ข้าใช้เวลาเป็นปีกว่าจะสำเร็จจุดสูงสุดของนภาชั้นที่สอง”

 

ซูฉินถอนหายใจออกมาเบาๆ แสดงออกถึงอารมณ์ความรู้สึก

 

ในขณะนี้ร่างกายของซูฉินราวกับมีสายน้ำไหลเวียนไปทั่วร่างตลอดเวลา พลังฉีและเส้นเลือดเหมือนกับมหาสมุทรอันไพศาล

 

เมื่อฝึกฝนวิทยายุทธมาถึงระดับนี้ กล่าวได้ว่าอยู่เหนือขอบเขตของมนุษย์ไปโดยสิ้นเชิง สามารถบดขยี้ขอบเขตที่ต่ำกว่าได้อย่างง่ายดาย

 

“เนื่องจากระดับนภาชั้นที่สองได้มาถึงจุดสูงสุดแล้ว ข้าก็ควรจะคิดเรื่องการทะลวงขั้นต่อไปได้แล้ว”

 

ซูฉินคิดอยู่ภายในใจเงียบๆ

 

ระดับนภาทั้งเก้าชั้นของขอบเขตอรหันต์ ช่องว่างของนภาแต่ละชั้นห่างไกลกันเสียยิ่งกว่าวิทยายุทธทั้งเก้าระดับชั้น

 

“แต่ไม่ควรจะเร่งรีบเกินไป ใช้เวลาให้เต็มที่”

 

“ควรรอสักพักก่อนจะเริ่มการทะลวงขั้น”

 

ถึงซูฉินจะมีความคิดที่จะทะลวงผ่าน แต่ก็ไม่ได้มุทะลุ

 

เมื่อเทียบกับการฝึกฝนวิทยายุทธทั้งเก้าระดับชั้น ขอบเขตอรหันต์นั้นข้องเกี่ยวกับพลังฉีที่ควบคุมโลกนี้เอาไว้ จำต้องระมัดระวังให้มากขึ้น

 

สำหรับวิทยายุทธทั้งเก้าระดับชั้น แม้จะเกิดข้อผิดพลาดขึ้นระหว่างการฝึกฝน ซูฉินก็สามารถพึ่งพาร่างกายที่แข็งแกร่งมาต้านทานเอาไว้ได้

 

แต่กับขอบเขตระดับอรหันต์

 

หากมีบางสิ่งผิดพลาดเกิดขึ้น ผลกระทบที่จะตกมาถึงซูฉินย่อมมีมาก

 

ในกรณีดังกล่าว แม้ซูฉินจะมาอยู่ในจุดสูงสุดของระดับนภาชั้นที่สองแล้วและไม่มีทางจะพัฒนาได้ต่อ เขาก็ยังต้องการเวลาพักฟื้นและปรับสภาพตนให้ถึงพร้อมที่สุด

 

อย่างไรก็ตามซูฉินนั้นแตกต่างไปจากเซียนเฒ่าทั้งหลายที่ใกล้จะสิ้นอายุขัยเต็มที เขานั้นยังมีเวลาอีกเจ็ดร้อยกว่าปี จึงไม่ต้องรีบร้อนแต่อย่างใด

 

สามเดือนถัดมา

 

ซูฉินได้ปรับสภาพตนเองให้อยู่ในช่วงที่ดีที่สุดแล้ว

 

“ข้าสามารถเริ่มทะลวงขั้นได้แล้ว”

 

ซูฉินนั่งไขว้ขาขัดสมาธิอยู่บนภูเขาด้านหลัง

 

ในชั่วพริบตา แก่นแท้แห่งพลังก็เริ่มโคจรไปตามหลักวิชาอมิตาภาบรรพกาลอย่างรวดเร็ว

 

ฟู่ว

 

พื้นที่หวงห้ามภูเขาด้านหลังทั้งหมดเกิดพายุหมุนวนอีกครั้ง และยังคงแผ่กระจายออกไปทุกทิศทาง

 

ทันใดนั้น

 

พายุจากพลังฟ้าดินก็เกิดขึ้นอีกครั้งที่วัดเส้าหลิน

 

เห็นได้ชัดว่าครานี้เหล่าศิษย์วัดคุ้นเคยกับมันแล้ว และพวกเขาไม่เอะอะโวยวายเหมือนตอนที่เจอมันเป็นครั้งแรก

 

เพราะในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ปรากฏการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นไม่ใช่แค่ครั้งเดียว แม้แต่ศิษย์ที่ใจเสาะหน่อยก็ไม่ได้ตกใจกับมันแล้ว

 

“ผู้ทรงสมณศักดิ์ฯ ทะลวงขั้นอีกครั้งแล้ว…”

 

ไม่ว่าหัวหน้าตำหนักจะงงงวยแค่ไหน แต่ก็ไม่มีใครในหมู่พวกเขามีท่าทีตกใจในขณะนี้

 

ในบันทึกโบราณของวัดเส้าหลินไม่ได้บอกไว้ว่าการฝึกฝนของเหล่าอรหันต์นั้นยากเย็นราวกับปีนป่ายสวรรค์หรอกหรือ?

 

เหตุไฉนซูฉินจึงทะลวงขั้นได้ง่ายดายราวกับการดื่มกินข้าวปลาอาหารเพียงเท่านั้น

 

 

พื้นที่หวงห้ามภูเขาด้านหลัง

 

เมื่อพลังฉีฟ้าดินอันไม่มีที่สิ้นสุดกำลังวิ่งเข้าหาซูฉินอยู่นั้น ซูฉินก็ยัดเม็ดโอสถอายุวัฒนะเคลือบทองคำเข้าไปราวกับมันเป็นขนมขบเคี้ยว

 

ความก้าวหน้าของซูฉินค่อยๆ ลดลง

 

หลังจากนั้นไม่นาน

 

“มาถึงนภาชั้นที่สามในที่สุด”

 

ซูฉินเปิดเปลือกตาขึ้น ร่องรอยแห่งความสุขปรากฏชัดบนใบหน้า

 

การพัฒนาระดับในครั้งนี้ก็ยังเหมือนครั้งอดีต ไม่ได้มีอะไรน่าประหลาดใจ

 

“ความรู้สึกถึงพลังขุมนี้…”

 

ซูฉินสูดหายใจเข้าลึก ก่อนหน้านี้ ตอนที่มาจุดสูงสุดของระดับนภาชั้นที่สองนั้น ความแข็งแกร่งเขาก็มากกว่าครั้งแรกที่เพิ่งเข้าสู่นภาชั้นที่สองเป็นเท่าตัวอยู่แล้วไม่ใช่หรือ?

 

ส่วนตอนนี้ซูฉินสามารถสัมผัสพลังอันมหาศาลที่อยู่ภายในกายได้อย่างชัดเจน ราวกับเขาสามารถทุบทำลายมิติที่อยู่ตรงหน้าให้ขาดวิ่นได้เลย

 

แน่นอนว่านั่นเป็นเพียงแค่ความรู้สึกหลังจากความแข็งแกร่งพุ่งขึ้นสูงเฉยๆ ไม่ต้องพูดถึงอรหันต์ระดับนภาชั้นที่สามเลย แม้แต่อรหันต์ในระดับนภาชั้นที่เก้าผู้ทรงพลังไร้พ่ายก็คงไม่สามารถฉีกทลายมิติได้

 

หลังจากที่ผ่านเข้าสู่อรหันต์ระดับนภาชั้นที่สาม ซูฉินก็ไม่ได้รู้สึกพึงพอใจใดๆ ยังคงหมกมุ่นอยู่การฝึกฝนวิทยายุทธทุกวัน

 

ในช่วงเวลานี้เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินก็ได้ประกาศอย่างเป็นทางการว่า ‘เฉียนขู่‘ ต่อแต่นี้จะเป็นบุตรศักดิ์สิทธิ์แห่งวัดเส้าหลิน

 

สำหรับตำแหน่งนี้ไม่มีศิษย์รุ่นหลังคนใดในวัดเส้าหลินมีความเห็นแย้ง

 

ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา พวกเขาได้เฝ้าดูเฉียนขู่ค่อยๆ กลายเป็นจอมยุทธในสามระดับกลางและขึ้นมาเป็นยอดฝีมือในระดับชั้นที่สาม ความเชื่อมั่นของพวกเขาจึงเพิ่มขึ้นไปตามธรรมชาติ

 

รู้หรือไม่ว่าแม้แต่ศิษย์รุ่น ‘เจิน‘ ที่อยู่สูงกว่ารุ่น ‘เฉียน‘ แต่คนส่วนใหญ่ยังวนเวียนติดอยู่ในสามระดับต่ำอยู่เลย นับประสาอะไรกับคนรุ่น ‘เฉียน‘ เล่า?

 

ยกเว้นแต่ ‘เฉียนขู่‘ ศิษย์รุ่น ‘เฉียน‘ คนอื่นๆ ล้วนติดอยู่ระหว่างระดับชั้นที่เก้าและระดับชั้นที่แปด นับประสาอะไรกับสามระดับกลางและระดับชั้นที่สาม ไม่มีใครไปถึงระดับชั้นที่เจ็ดด้วยซ้ำ

 

นอกจากนี้เฉียนขู่มักจะได้รับการชี้แนะจากผู้ทรงสมณศักดิ์ฯ ที่อยู่ในเขตหวงห้ามภูเขาด้านหลัง…

 

ทั้งวัดเส้าหลินไม่มีใครคิดว่าเฉียนขู่ไม่คู่ควรกับตำแหน่งบุตรศักดิ์สิทธิ์แห่งวัดเส้าหลินหรอก

 

ในวันนี้ เฉียนขู่มาที่เขตหวงห้ามภูเขาด้านหลังเพื่อขอเข้าพบซูฉิน

 

“ผู้ทรงสมณศักดิ์ฯ”

 

“ศิษย์จักขอลงจากเขาเพื่อไปท่องยุทธภพสักหนึ่งเดือน”

 

เฉียนขู่ยืนในอาการสำรวจต่อหน้าซูฉินแล้วกล่าวคำด้วยเสียงทุ้มต่ำ

 

“ลงจากเขาไปท่องยุทธภพเช่นนั้นรึ?” ซูฉินมองไปที่เฉียนขู่พร้อมกับรอยยิ้มประดับบนใบหน้า

 

“ใช่แล้วขอรับ”

 

เฉียนขู่กล่าวอย่างจริงจัง “มีบันทึกไว้ในพระคัมภีร์ว่ามีทั้งการล่อลวงและความเสี่ยงอันใหญ่หลวงที่โลกภายนอกนั่น กระนั้นหลังจากที่ประสบพบเจอเรื่องราวมากมาย จึงจะสามารถข้ามทะเลแห่งความขื่นขมไปจนถึงอีกฝั่งหนึ่งได้”

 

“นี่คือธุระของเจ้า ตราบใดที่เจ้าตัดสินใจจะทำ ก็แค่ลงมือทำเท่านั้นเอง”

 

ซูฉินส่ายหัวแล้วพูดอย่างไม่แยแส

 

ในความจริง แม้เฉียนขู่จะไม่ได้มีแผนจะลงจากเขาไปท่องยุทธภพในตอนนี้ แต่ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้าซูฉินก็จะเป็นคนให้เขาลงจากภูเขานี้ไปเอง

 

วัดเส้าหลินอาศัยอะไรถึงอยู่ในฐานะสุดยอดพรรคในยุทธภพได้?

 

พระคัมภีร์?

 

พระธรรม?

 

อย่าได้ล้อเล่นไป

 

วัดเส้าหลินนั้นตั้งสูงตระหง่าน เป็นอันดับหนึ่งในทั้งสี่สำนักสายพุทธได้ก็เพราะอาศัยความแข็งแกร่งมาโดยตลอด!

 

หากไม่มีความแข็งแกร่ง วัดเส้าหลินคงถูกทำลายไปหลายต่อหลายครั้งแล้ว

 

แต่ถ้าต้องการจะพัฒนาความแข็งแกร่ง มันไม่สามารถทำแค่ฝึกฝนอย่างบ้าคลั่ง สิ่งสำคัญคือต้องลงจากเขาไปท่องยุทธภพ พบปะทำความรู้จักกับจอมยุทธทั่วยุทธภพ

 

นี่คือเหตุผลที่วัดเส้าหลินในทุกๆ รุ่นจะต้องส่งศิษย์ลงจากภูเขาไป

 

ประการหนึ่งก็เพื่อสร้างชื่อเสียงให้วัดเส้าหลิน อีกประการหนึ่งก็เพื่อฝึกฝนตัวลูกศิษย์ของวัด

 

ไม่เพียงแต่วัดเส้าหลินเท่านั้น แต่พรรคนิกายใหญ่ๆ ในยุทธภพล้วนเป็นเช่นเดียวกันมาหลายพันปีแล้ว ศิษย์สายตรงของนักพรตจางจากเขาหวู่ตั้งก็ได้ลงจากภูเขาเพื่อท่องโลกท้าประลองเหล่าผู้ฝึกยุทธด้วยคมดาบเช่นกัน

 

“ขอบคุณขอรับ”

 

เฉียนขู่รีบกล่าวเมื่อเห็นซูฉินไม่มีท่าทีคัดค้าน

 

“เอาล่ะ ไปได้แล้ว”

 

ซูฉินโบกมือและกล่าวคำ

 

“ขอรับ” เฉียนขู่รีบออกจากพื้นที่หวงห้ามภูเขาด้านหลังทันทีด้วยความนอบน้อม

 

 

ตกดึก

 

พระจันทร์เต็มดวงลอยสูงเด่น

 

“สิทธิ์การลงชื่อเข้าใช้ในวันนี้มาอีกครั้งแล้ว”

 

ร่างของซูฉินวูบไหวมาปรากฏตัวที่หน้าลานโพธิ์

 

ลานโพธิ์เป็นสถานที่ปรุงกลั่นโอสถของวัดเส้าหลิน เรียกได้ว่าเป็นสถานที่สำคัญแห่งหนึ่งของวัดเส้าหลิน มีภิกษุจำนวนมากคอยตรวจตราเฝ้าระวังเป็นเวลาสิบสองชั่วโมงต่อวัน

 

ไม่ว่าอย่างไร ด้วยความแข็งแกร่งของซูฉิน แม้เขาจะเดินไปอยู่ตรงหน้าของภิกษุที่ลาดตระเวนอยู่ ฝ่ายตรงข้ามก็ไม่มีทางพบเจอเขาได้

 

“ระบบ ลงชื่อเข้าใช้”

 

ซูฉินยืนอยู่ที่หน้าลานโพธิ์ กำหนดจิตคิดอยู่ในใจ

 

[ขอแสดงความยินดี โฮสต์ลงชื่อเข้าใช้สำเร็จ ได้รับ ‘โอสถหมุนวนเก้าโคจร‘ ]

 

“โอสถหมุนวนเก้าโคจร?”

 

ดวงตาของซูฉินพลันสว่างขึ้น

 

โอสถหมุนวนเก้าโคจรเหมือนกับโอสถอายุวัฒนะเคลือบทองคำที่เป็นโอสถระดับอรหันต์

 

เพียงแค่ฤทธิ์ยาของโอสถหมุนวนเก้าโคจรนั้นมีพลังมากกว่าโอสถอายุวัฒนะเคลือบทองคำหลายสิบเท่า

 

ถ้าโอสถอายุวัฒนะเคลือบทองคำเปรียบเหมือนกระแสน้ำไหลเอื่อย โอสถหมุนวนเก้าโคจรก็เหมือนกับแม่น้ำที่ไหลเชี่ยว

 

นี่เป็นเหตุผลที่ว่าทำไมซูฉินจึงเลือกใช้โอสถอายุวัฒนะเคลือบทองคำในช่วงหลายปีที่ผ่านมา แทนที่จะเป็นโอสถหมุนวนเก้าโคจร

 

เนื่องจากร่างกายของซูฉินก่อนหน้านี้ไม่สามารถทนต่อความรุนแรงของโอสถหมุนวนเก้าโคจรได้

 

“ตอนนี้ข้าได้ก้าวเข้าสู่ระดับนภาชั้นที่สามแล้ว ข้าควรจะลองใช้โอสถหมุนวนเก้าโคจรดีหรือไม่?”

 

ความคิดนี้แวบขึ้นมาในใจของซูฉิน

Sign in Buddha’s palm 80 ตราประทับครอบคลุมผืนฟ้า

 

 

“เป็นไปไม่ได้!”

 

“เป็นไปไม่ได้เด็ดขาด!!”

 

เกิดคลื่นลมใหญ่โหมแรงอยู่ภายในจิตใจของร่างเงาเลือนราง

 

ระดับอรหันต์หายากเพียงไร? แม้จะมีพรสวรรค์แฝงเร้นสูงส่งเช่นตัวเขาก็ต้องใช้เวลาเป็นร้อยปีถึงจะก้าวเข้าสู่ระดับนี้ได้

 

และส่วนหนึ่งก็ยังเป็นเพราะอรหันต์ถัวทุ่มทรัพยากรจำนวนมากเพื่อช่วยเหลือเขา แม้กระทั่งใช้แก่นแท้แห่งพลังเพื่อขัดเกลาร่างกายและเลือดเนื้อของเขาด้วยทุกสิ่งที่มี

 

ความสามารถและพรสวรรค์อันน่าหวาดหวั่นของเขาประกอบเข้ากับปัจจัยภายนอกที่ทำให้ร่างเงาเลือนรางเข้าสู่ระดับอรหันต์ได้ภายในหนึ่งร้อยปี

 

แต่ซูฉินเล่า?

 

ร่างเงาเลือนรางรู้ดีว่าในรุ่นนี้วัดเส้าหลินไม่มีอรหันต์อยู่ จริงๆ แล้วก็ไม่มีอรหันต์ปรากฏขึ้นอีกเลยในวัดเส้าหลินตั้งแต่เมื่อเก้าร้อยปีก่อนแล้ว

 

หรือจะกล่าวได้ว่าซูฉินต้องพึ่งพาตัวเองเท่านั้นถึงจะขึ้นมาถึงระดับอรหันต์ผู้ทรงสมณศักดิ์ฯ นี้ได้

 

เมื่อสิบปีก่อนตอนที่ซูฉินเสริมกำลังผนึกตราประทับ มารพุทธะค่อนข้างมั่นใจว่าอายุกระดูกของซูฉินนั้น จะอย่างไรก็ไม่เกินสามสิบปี

 

ตอนนี้อายุอยู่ในช่วงสี่สิบปีแล้ว?

 

อรหันต์ที่อายุเพียงสี่สิบปี?

 

ร่างเงาเลือนรางรู้สึกเพียงหนังศีรษะตนชาวาบ

 

ตอนนี้เขาถูกสะกดมาตั้งเก้าร้อยปี ละทิ้งร่างกายของตนไปอยู่ในรูปจิตมาร ความแข็งแกร่งของเขาไม่รู้ว่าลดลงไปมากแค่ไหน

 

หากซูฉินยังอยู่ในระดับชั้นที่หนึ่ง ร่างเงาเลือนรางมั่นใจมากว่าจะจัดการปัญหาได้และยังสามารถล่าถอยไปได้ในกรณีที่ผลออกมาเลวร้าย

 

แต่ระดับอรหันต์…

 

“ท่านปรมาจารย์ เนื่องจากท่านเป็นผู้ปล่อยข้าออกมา หากท่านมีสิ่งใดเรียกใช้ข้า ตราบใดที่ท่านกล่าวออกมา ข้าจะกระทำมันอย่างไม่มีบิดพลิ้ว…”

 

ร่างเงาเลือนรางไม่กล้าที่จะอ้างตัวเป็น ‘ผู้อาวุโส‘ อีกต่อไป คิดว่าจะต้องยอมจำนนชั่วคราวเพื่อรักษาชีวิตตนเอาไว้ พยายามพาออกนอกเรื่อง

 

“ไม่จำเป็นหรอก”

 

ซูฉินขี้เกียจเกินกว่าที่จะมาพูดเรื่องไร้สาระ

 

ทันใดนั้นตราประทับรูปร่างสี่เหลี่ยมอันเล็กๆ ก็ผุดขึ้นมาจากความว่างเปล่า

 

ตราประทับขนาดเล็กนี้มีสีดำสนิทราวกับว่ามาจากนรกขุมที่ลึกที่สุดและมีคราบเลือดติดอยู่ที่มุมของมัน

 

มันคือตราประทับสะกดมาร

 

ซูฉินได้รับมันมาสักพักใหญ่แล้ว เป็นของชิ้นสุดท้ายที่ได้จากหอคอยสะกดมารในวัดเส้าหลิน เรียกได้ว่าเป็นภัยพิบัติของเหล่ามารร้ายเลยทีเดียว

 

ครืนครืนน

 

ทันทีที่ตราประทับสะกดมารปรากฏขึ้น มันก็ขยายขนาดออกไป พุ่งขึ้นคลุมผืนฟ้า แล้วค่อยๆ ตกลงมายังร่างเงาเลือนราง

 

“นี่คือ?”

 

ดวงตาของร่างเงาเผยความกลัวสุดขีด

 

เมื่อยามที่ตราประทับปรากฏขึ้นครั้งแรก ร่างเงารู้สึกว่าความแข็งแกร่งของมันถูกระงับลงไปเล็กน้อย และในตอนที่ตราประทับอันเล็กขยายขนาดขึ้นเรื่อยๆ พลังในการสะกดก็เพิ่มมากขึ้น หนักขึ้น กดทับลงมาราวกับโลกจะพังทลาย

 

“อะไรกัน!!!”

 

ร่างเงาเลือนรางคำรามลั่นครั้งแล้วครั้งเล่า เพียงไม่นานมันก็ใช้วิชาลับหลายสิบวิชาเพื่อหยุดยั้งแรงกดดันจากผนึกตราประทับไม่ให้ส่งผลกระทบถึงตัวมันได้

 

เป็นที่น่าเสียดาย

 

ไม่ว่าจะใช้วิธีการใด ก็เหมือนกับเพียงสายลมพัดเข้าใส่ตราประทับแล้วผ่านออกไปราวกับมีรูระบาย

 

หลังจากนั้นไม่นาน

 

ใต้การสะกดปราบปรามของตราประทับสะกดมาร ร่างเงามารร้ายก็สลายไปอย่างสมบูรณ์และแม้แต่ถ้ำที่เขาออกมาก็ถูกบดขยี้เป็นผุยผงด้วยตราประทับสะกดมาร

 

“สิ่งนี้สะดวกดีนี่นา…”

 

ซูฉินมองไปที่ตราประทับสะกดมารด้วยความพึงพอใจ

 

แม้ซูฉินจะสามารถออกมือเพื่อจัดการมารพุทธะได้ด้วยตนเอง แต่ด้วยตราประทับสะกดมาร ซูฉินไม่จำเป็นออกแรงเองเลยด้วยซ้ำ

 

แน่นอนว่ามารพุทธะถูกสะกดมาเป็นเวลากว่าเก้าร้อยปี ความแข็งแกร่งของมันร่อยหรอเต็มทน นอกเหนือจากนั้นความสามารถของตราประทับสะกดมารยังทรงพลังมากเกินไป

 

หลังจากที่ดึงตราประทับสะกดมารกลับมา ซูฉินก็กลับไปที่เก่าแล้วนั่งขัดสมาธิ

 

เนื่องจากมารพุทธะได้สิ้นใจแล้วอย่างสมบูรณ์ พลังผนึกตราประทับฝ่ามือยูไลที่เหลืออยู่ในพื้นที่หวงห้ามภูเขาด้านหลังจึงถูกดูดซับไปโดยซูฉินเป็นธรรมดา

 

“ฝ่ามือแดนพิสุทธิ์?”

 

ซูฉินรับรู้ถึงพลังของผนึกไปพร้อมกับใบหน้าที่แสดงอาการครุ่นคิด

 

เก้าร้อยปีก่อนอรหันต์ถัวได้ใช้ฝ่ามือยูไลกระบวนท่าที่สาม ‘ฝ่ามือแดนพิสุทธิ์‘ เพื่อปราบมารพุทธะ

 

 

ในเวลาเดียวกัน

 

ที่เขตหวงห้ามภูเขาด้านหลัง

 

เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินและหัวหน้าตำหนักเบิกตากว้างอย่างไม่อยากจะเชื่อ

 

“ไอมารของมารพุทธะได้หายไปแล้ว”

 

“มันหายไปโดยสิ้นเชิง…”

 

หัวหน้าฝ่ายวินัยสงฆ์กระซิบคำอย่างไม่อาจเชื่อถือ

 

หัวหน้าตำหนักคนอื่นๆ รวมถึงเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินก็มีการแสดงออกที่คล้ายคลึงกัน

 

พวกเขารู้สึกได้จากระยะไกลถึงไอมารในพื้นที่ต้องห้ามภูเขาด้านหลัง ซึ่งมีต้นกำเนิดเดียวกันกับไอมารของทายาทมารพุทธะเมื่อสิบกว่าปีก่อน

 

ในช่วงเวลาที่ไอมารปรากฏขึ้นนั้น ไม่ว่าจะเป็นเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินหรือหัวหน้าตำหนักสีหน้าพวกเขาเปลี่ยนไปอย่างมาก เพราะคิดว่าผนึกตราประทับอาจจะเสื่อมสภาพลงก็เป็นได้

 

อย่างไรก็ตามก่อนที่เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินและเหล่าหัวหน้าตำหนักจะทันได้พูดอะไร กลิ่นอายอันเป็นเอกลักษณ์ของมารพุทธะก็ได้หายไปอย่างสมบูรณ์

 

การหายไปในลักษณะนี้ ไม่ใช่การถูกสะกด แต่เป็นการทำลายล้างและหายไปโดยสิ้นเชิง

 

“หายนะจากมารพุทธะได้ถูกคลี่คลายอย่างสมบูรณ์แล้ว…”

 

หัวหน้าฝ่ายวินัยส่งกล่าวออกมา ในใจยังไม่อาจเชื่อได้เต็มร้อย

 

นับตั้งแต่การกำเนิดขึ้นมาของมารพุทธะเมื่อเก้าร้อยปีก่อน วัดเส้าหลินเกือบจะถูกทำลาย แม้ว่าในที่สุดจะถูกปราบโดยอรหันต์ถัว แต่ทายาทมารพุทธะก็จะปรากฏตัวออกมาในทุกๆ หนึ่งร้อยปี คอยกัดกินวัดเส้าหลินราวกับหนอนชอนไช

 

ซึ่งวัดเส้าหลินรุ่นนี้ก็ไม่มีแม้แต่ยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่ง และทุกคนก็มีความสัมพันธ์อันดีกับทายาทของมารพุทธะอีกด้วย

 

แต่ตอนนี้เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินและหัวหน้าตำหนักต่างก็รู้สึกว่าเป็นเรื่องดียิ่งที่มารพุทธะที่ถูกผนึกไว้ในพื้นที่หวงห้ามภูเขาด้านหลังได้หายไปอย่างสมบูรณ์

 

เมื่อมารพุทธะหายไป ทายาทมารพุทธะที่กำเนิดขึ้นมาจากจิตมารก็เป็นปกติที่จะไม่กำเนิดขึ้นมาอีกในอนาคต

 

กล่าวอีกนัยหนึ่ง ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปวัดเส้าหลินไม่จำเป็นต้องเผชิญหน้ากับหายนะในทุกๆ ร้อยปีอีกต่อไป

 

“ผู้ทรงสมณศักดิ์ฯ เป็นฝีมือของผู้ทรงสมณศักดิ์อันสูงส่ง”

 

เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินมองไปยังพื้นที่หวงห้ามภูเขาด้านหลังด้วยความหวาดหวั่น

 

หัวหน้าตำหนักคนอื่นๆ มองอย่างเคร่งขรึมไปยังพื้นที่หวงห้ามภูเขาด้านหลังด้วยความเคารพ

 

พวกเขาเองก็จำไม่ได้แล้วว่าซูฉินช่วยเหลือวัดเส้าหลินเอาไว้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง หากไม่มีซูฉินวัดเส้าหลินก็คงจะถูกทำลายลงไปนานแล้ว

 

ซูฉินได้ช่วยเหลือวัดเส้าหลินไว้หลายครั้ง และตอนนี้เขายังได้ช่วยวัดเส้าหลินแก้ไขปัญหาเรื่องมารพุทธะ มันไม่ต่างกับการสร้างวัดเส้าหลินขึ้นมาใหม่ จะให้เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินและเหล่าหัวหน้าตำหนักไม่ประหวั่นพรั่นพรึงได้เช่นไร?

 

 

 

พื้นที่หวงห้ามภูเขาด้านหลัง

 

ซูฉินกำลังนั่งขัดสมาธิ

 

การแก้ปัญหาเรื่องมารพุทธะได้อย่างสมบูรณ์ถือเป็นเรื่องยิ่งใหญ่สำหรับเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวิน เหล่าหัวหน้าตำหนัก และทั่วทั้งวัดเส้าหลิน แต่ในสายตาของซูฉิน นี่ก็แค่ต้องใช้ความพยายามเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น

 

ไม่ได้เป็นเรื่องใหญ่อะไรเลย

 

ซูฉินยังรู้สึกว่ามันแอบน่าเบื่ออยู่นิดหน่อยเสียด้วยซ้ำ

 

มารพุทธะผู้ซึ่งถูกผนึกเป็นเวลาเก้าร้อยปีไม่ได้กดดันพอให้ซูฉินต้องลงมือแม้เพียงนิดและแก้ไขปัญหาได้โดยอาศัยเพียงตราประทับสะกดมาร

 

หลังจากนั้น ซูฉินก็กลับเข้าสู่ชีวิตปกติสุขตามเดิมอีกครั้ง

 

นอกจากการลงชื่อเข้าใช้ประจำวันและให้คำแนะนำเฉียนขู่เป็นครั้งคราวแล้ว นอกนั้นซูฉินก็ฝึกฝนไปตามปกติ

 

ต้องกล่าวว่าหลังจากที่มีดวงจิตรู้แจ้งพันปี ความเข้าใจของซูฉินเกี่ยวกับพลังฟ้าดินก็ยิ่งกว้างไกลยิ่งขึ้นไปอีกมาก

 

ควบคู่ไปกับการขัดเกลาพลังฉีฟ้าดินโดยวิชาอมิตาภาบรรพกาลและใช้โอสถอายุวัฒนะจำนวนมหาศาล การบ่มเพาะของซูฉินเติบโตอย่างรวดเร็วและไวเกือบจะใกล้เคียงกับตอนที่ฝึกวิทยายุทธทั้งเก้าระดับชั้น

 

เวลาค่อยๆ ผ่านเลยไป

 

หนึ่งปีผ่านไปในพริบตา

 

และในวันนี้ ซูฉินค่อยๆ ลืมตาขึ้นมา

 

“ในที่สุดก็ถึงจุดสูงสุดของนภาชั้นที่สอง”

 

รอยยิ้มผุดขึ้นบนใบหน้าของซูฉิน

ณ พื้นที่หวงห้ามภูเขาด้านหลัง

 

ซูฉินกำลังนั่งขัดสมาธิ

 

“มาดูดวงจิตรู้แจ้งพันปีกันสักหน่อย”

 

ซูฉินนึกถึงคลังของระบบ ทันใดนั้นดวงจิตรู้แจ้งพันปีที่มีสีทองซีดๆ และลวดลายที่ดูลึกลับก็ปรากฏตรงหน้าของซูฉิน

 

ทันทีที่ดวงจิตรู้แจ้งพันปีปรากฏขึ้น ซูฉินก็รู้สึกว่าความคิดช่างปลอดโปร่ง ความรู้ความเข้าใจในเรื่องต่างๆ กลายเป็นลึกซึ้งขึ้น

 

ของขลังชิ้นนี้สร้างอาณาเขตที่ทำให้ความเร็วในการคิดคำนวณเพิ่มขึ้นหลายเท่า ความรู้สึกแจ่มชัดและมีเหตุผลมีผลอย่างมาก แม้แต่แก่นแท้แห่งพลังภายในกายก็เคลื่อนไหวอย่างราบรื่นขึ้นมาก

 

“สมแล้วที่มันเป็นดวงจิตรู้แจ้งพันปี…”

 

ขนาดซูฉินยังต้องประหลาดใจ

 

เขาได้ทดลองดวงจิตรู้แจ้งในกล่องด้านหน้าร่างของอรหันต์ถัวไปก่อนหน้านี้

 

แต่ช่างน่าเสียดายที่ดวงจิตรู้แจ้งที่อรหันต์ถัวครอบครองนั้นอย่างดีที่สุดก็ช่วยให้ซูฉินมีสติแจ่มชัดขึ้นเท่านั้น

 

ส่วนประการอื่นๆ นั้นไม่เกิดผลอันใดเลย

 

เมื่อเทียบกับดวงจิตรู้แจ้งพันปีที่อยู่กับซูฉินแล้ว ก็ไม่นับว่ามีคุณค่าเท่าไหร่นัก

 

หลังจากที่ทดลองใช้ดวงจิตรู้แจ้งพันปีได้สักพัก ซูฉินก็หันไปมองทั่วทั้งพื้นที่หวงห้ามภูเขาด้านหลัง

 

“มารพุทธะ…”

 

ซูฉินถอนหายใจเบาๆ

 

เก้าร้อยปีก่อนนั้นกล่าวได้ว่าเป็นยุคที่เส้าหลินนั้นรุ่งเรืองที่สุด

 

เป็นยุคที่มีทั้งอรหันต์ถัวและมารพุทธะได้ถือกำเนิดเกิดขึ้นมา

 

อรหันต์ถึงสองรูป!

 

ช่างเป็นเรื่องน่าเหลือเชื่อ

 

แต่ก็เป็นที่น่าเสียดายเช่นกัน

 

เพียงไม่นานความรุ่งเรืองของวัดเส้าหลินก็ลดฮวบ

 

เก้าร้อยปีก่อน ถึงมารพุทธะจะถูกสะกดเอาไว้ แต่ทุกหนึ่งร้อยปีจิตมารจะออกมาล่อลวงศิษย์วัดเส้าหลินและให้กำเนิดทายาทมารพุทธะ กัดกินรากฐานของวัดเส้าหลินอยู่ตลอดเวลา

 

ไม่เช่นนั้นละก็…

 

ถึงแม้อรหันต์ถัวจะจากไปอย่างรวดเร็ว ฝ่ามือยูไลที่เป็นวิชาอันแข็งแกร่งที่สุดก็หายสาบสูญ

 

แต่เก้าร้อยปีต่อมา ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ไม่มีอรหันต์กำเนิดขึ้น ถึงขนาดที่ไม่มีแม้แต่ยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งในยุคสมัยนี้เลยด้วยซ้ำจนเกือบจะถูกบีบให้ออกจากการเป็นสุดยอดพรรคในยุทธภพ

 

“ตามข้อความที่ทิ้งไว้บนกำแพงหินโดยอรหันต์‘ถัวอา‘ แม้ว่าพลังของมารพุทธะจะแข็งแกร่งกว่าเขา แต่ความแข็งแกร่งก็ยังมีขีดจำกัด อย่างมากที่สุดก็ไม่ควรเกินขอบเขตอรหันต์ระดับนภาชั้นที่สอง?”

 

ซูฉินคิดตามอย่างช้าๆ

 

“หลังจากถูกสะกดไว้กว่าเก้าร้อยปี มารพุทธะก็ถึงขนาดยอมสละทิ้งร่างกายเพื่อเอาตัวรอดแล้วอยู่ในรูปจิตมาร ข้าเกรงว่าความแข็งแกร่งของเขาควรจะต่ำกว่าระดับอรหันต์ไปแล้ว”

 

ซูฉินลุกขึ้นยืน

 

“ถึงเวลาแล้วที่จะแก้ไขปัญหามารพุทธะไปเสียให้หมดสิ้น”

 

ซูฉินได้ตัดสินใจ

 

เมื่อสิบปีก่อนซูฉินแอบเข้าไปในส่วนลึกของพื้นที่หวงห้ามภูเขาด้านหลังเพื่อลงชื่อเข้าใช้

 

และยังได้พบกับมารพุทธะพูดคุยกันตัวต่อตัวอีกด้วย

 

ในตอนนั้นมารพุทธะแสร้งทำตัวเป็นอรหันต์ผู้ทรงศีล พยายามหลอกล่อเพื่อใช้ร่างของซูฉินมาปลดโซ่ตรวนให้ตัวเองออกจากผนึกนี้ได้เสียที

 

น่าเสียดาย

 

ที่มารพุทธะไม่คาดคิดว่าองค์ยูไลทองคำที่หว่างคิ้วของซูฉินจะสามารถควบคุมพลังของผนึกตราประทับฝ่ามือยูไลในพื้นที่หวงห้ามภูเขาด้านหลังได้อย่างง่ายดาย

 

ด้วยเหตุการณ์นั้น ไม่เพียงมารพุทธะจะไม่สามารถทำลายโซ่ตรวนที่ผนึกตนไว้ได้ ยังกลายเป็นการยอมให้ซูฉินรวบรวมผนึกขึ้นใหม่และสะกดมันไว้ได้อย่างสมบูรณ์

 

“แม้ว่ามารพุทธะจะถูกข้าสะกดลงไปอีกครา แต่ก็ยังถือเป็นภัยร้ายซ่อนเร้นอยู่หากมันยังไม่ตาย…”

 

ความคิดของซูฉินพลิกผันไปมา

 

ซูฉินลงชื่อเข้าใช้และได้รับวิชาจิตมารแยกวิถีมาก่อนหน้า รู้ว่าแม้มารพุทธะจะละทิ้งร่างกายของตนและย้ายไปอยู่ในรูปของจิตมารอย่างมากก็อยู่รอดได้แค่พันกว่าปี

 

ถ้าเป็นเช่นนี้ต่อไป จิตมารดวงนั้นก็จะสลายหายไปเอง

 

หรือจะกล่าวว่าแม้ซูฉินจะไม่ได้สนใจมันในตอนนี้ มารพุทธะก็จะค่อยๆ ตายภายใต้การสะกดของผนึกตราประทับในอีกหลายร้อยปีต่อจากนี้อยู่ดี

 

แต่ซูฉินยังคงกังวล…

 

เนื่องจากมารพุทธะสามารถสร้างวิชาจิตมารแยกวิถีแล้วได้รับอายุที่ยืนยาวเกินกว่าอรหันต์ทั่วไปจะมีได้ เขาอาจจะมีเคล็ดวิชาลับอย่างอื่นเพื่อต่อชีวิตอีกก็เป็นได้ไม่ใช่หรือ?

 

ในสายตาของซูฉิน สิ่งที่เชื่อถือไม่ได้ที่สุดก็คือการสะกดเอาไว้

 

หากเป็นเพียงคนธรรมดาก็คงไม่เป็นอะไร แต่กับอัจฉริยะที่มีพรสวรรค์โดดเด่นจนน่ากลัวเช่นมารพุทธะ ตราบใดที่เขาไม่ตายลงเสียที บางทีในอนาคตเขาอาจจะเจอหนทางในการปลดโซ่ตรวนแล้วทะยานขึ้นเหนือฟากฟ้า

 

สำหรับอัจฉริยะเช่นนี้แล้ว ซูฉินจะต้องกำจัดด้วยน้ำมือของตัวเองเท่านั้นจึงจะโล่งใจ

 

เก้าร้อยปีก่อน อรหันต์ถัวไม่สามารถกำจัดมารพุทธะได้ เขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากสะกดเอาไว้ แต่ในวันนี้ เก้าร้อยปีต่อมา ซูฉินนั้นหาใช่อรหันต์ถัวไม่

 

ด้วยความแข็งแกร่งในปัจจุบันของซูฉินพร้อมทั้งเคล็ดวิชานับไม่ถ้วนที่เขาเชี่ยวชาญ มีกระทั่งฝ่ามือยูไล แม้แต่มารพุทธะในยามรุ่งโรจน์ก็ต้องสยบให้กับซูฉิน นับประสาอะไรกับตอนที่ถูกสะกดมาเป็นเวลาเก้าร้อยปีแบบนี้เล่า?

 

“จงเปิด!”

 

ซูฉินสื่อสารผ่านความคิดกับองค์ยูไลทองคำที่อยู่ระหว่างคิ้วเพื่อควบคุมพลังของผนึกในพื้นที่หวงห้ามภูเขาด้านหลัง

 

ทันใดนั้น

 

ครืนครืนนน!

 

พื้นที่หวงห้ามภูเขาด้านหลังเริ่มส่งเสียงคำรามลั่น

 

หลังจากนั้นพื้นที่หวงห้ามภูเขาด้านหลังก็กลายเป็นจุดกำเนิดแรงสั่นสะเทือนสั่นไปทั่วทั้งวัดเส้าหลิน

 

ตราประทับในพื้นที่หวงห้ามภูเขาด้านหลัง คือการที่อรหันต์ถัวใช้ฝ่ามือยูไลสะกดมารพุทธะไปพร้อมกับพื้นที่วัดเส้าหลินทั้งหมด

 

หากต้องการจะปลดผนึกออก ย่อมนำมาซึ่งความวุ่นวายอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

 

“เกิดอะไรขึ้น?”

 

“เหตุใดจึงมีการสั่นสะเทือนรุนแรงขนาดนี้?”

 

ท่าทีของเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินและเหล่าหัวหน้าตำหนักต่างก็เปลี่ยนไป พวกเขามองไปที่พื้นที่ภูเขาด้านหลังในเวลาเดียวกัน

 

“ใช่มาจากพื้นที่หวงห้ามภูเขาด้านหลังหรือไม่?”

 

“เกิดอะไรขึ้นกันนะ?”

 

หัวหน้าฝ่ายวินัยสงฆ์มีสีหน้าเคร่งเครียด

 

ต้องรู้ว่าพื้นที่หวงห้ามภูเขาด้านหลังนั้นเป็นสถานที่ที่สะกดมารพุทธะเอาไว้ หากเกิดอะไรผิดพลาดขึ้น มันจะเป็นหายนะกับทั้งวัดเส้าหลิน

 

หัวหน้าตำหนักคนอื่นๆ ก็ตระหนักถึงเรื่องนี้เช่นกัน ใบหน้าพวกเขาพลันเปลี่ยนเป็นน่าเกลียด

 

“จะตื่นตกใจอะไร?”

 

“ผู้ทรงสมณศักดิ์ฯ อยู่ในพื้นที่หวงห้ามภูเขาด้านหลังเช่นกัน”

 

“ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ผู้ทรงสมณศักดิ์ฯ จะต้องพาวัดเส้าหลินของพวกเราให้รอดพ้นไปได้อย่างแน่นอน”

 

เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินเห็นใบหน้าที่เปลี่ยนแปลงไปของหัวหน้าตำหนักแต่ละคนก็ตำหนิในทันที

 

ด้วยคำกล่าวที่ออกมา

 

หัวหน้าตำหนักต่างก็ตื่นจากความเคร่งเครียด

 

ถูกต้อง

 

พวกเขาจะกังวลอันใด?

 

ผู้ทรงสมณศักดิ์อันสูงส่งพำนักอยู่ในเขตหวงห้ามภูเขาด้านหลัง แม้มารพุทธะจะหลุดออกมาได้จริงๆ แต่แล้วมันจะเป็นอันใดได้เล่า?

 

 

พื้นที่หวงห้ามภูเขาด้านหลัง

 

เมื่อผนึกถูกปลดออก ในหลุมก็มีแสงสีดำปรากฏขึ้น

 

พลังมารค่อยๆ รั่วไหลออกจากทางเข้าของหลุมนั้นและแพร่กระจายไปทั่วทิศทาง

 

“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า”

 

“ในที่สุดข้าก็ออกมาได้แล้ว!”

 

“เก้าร้อยปี ในที่สุดข้าก็ได้ออกมา!”

 

เสียงแปลกประหลาดน่าหวาดกลัวดังมาจากส่วนลึกของหลุมสีดำ มันเต็มไปด้วยร่องรอยความปีติยินดีในน้ำเสียง

 

ทันใดนั้นเงาร่างเลือนรางก็ออกมา ยกมือขวาคว้าจับไปที่ชั้นบรรยากาศเบื้องหน้าราวกับรู้สึกได้ถึงบางสิ่งบางอย่าง

 

ในเวลาต่อมา

 

เงาร่างเลือนรางก็เงยหน้าขึ้นและมองไปที่ซูฉิน

 

“กลายเป็นเจ้า พระตัวจ้อย”

 

ร่างเงายิ้ม เผยร่องรอยความโหดเหี้ยมออกมา

 

“เจ้ากล้าปล่อยให้ผู้อาวุโสเช่นข้าออกมาเยี่ยงนี้ เจ้าแน่ใจแล้วอย่างนั้นหรือ?”

 

ร่างเงามองไปที่ซูฉินด้วยความสนใจและพูดด้วยน้ำเสียงที่ดูเสียดาย “แม้ว่าอาวุโสผู้นี้จะไม่รู้ว่าทำไมเจ้าจึงมีความหมายจริงแท้แห่งตถาคต”

 

“แต่กับความห่างชั้นของความแข็งแกร่งระหว่างเราทั้งสอง เจ้าจะได้รู้ว่าความสิ้นหวังแท้จริงแล้วมันหน้าตาเป็นอย่างไร!!”

 

คำพูดของร่างเงาเลือนรางเต็มไปด้วยความมั่นใจในตัวเองอย่างมาก

 

ถึงแม้ยากจะเชื่อเพียงใดเมื่อรู้ว่าซูฉินมีความหมายจริงแท้แห่งตถาคต แต่ก่อนอื่นอย่างน้อยก็ต้องมีความแข็งแกร่งเพียงพอเพื่อจะใช้มัน

 

“เจ้าอายุไม่มากแต่ก็เข้าถึงระดับชั้นที่หนึ่งแล้ว เจ้าช่างมีพรสวรรค์…”

 

ในขณะที่คุยกัน ร่างเลือนรางก็มองไปที่ซูฉิน

 

อย่างไรก็ตาม

 

ในเวลาต่อมา

 

ร่างเงาเหมือนจะค้นพบบางสิ่งและท่าทีของเขาก็เปลี่ยนไปอย่างมาก

 

“ไม่ถูกต้อง”

 

“เจ้าไม่ใช่ระดับชั้นที่หนึ่ง”

 

“นี่เจ้าคือระดับอรหันต์ใช่หรือไม่?”

 

รูม่านตาของร่างเงาขยายกว้าง ใบหน้าเขาเต็มไปด้วยความหวาดกลัว

Sign in Buddha’s palm 78 ความลับของ ‘มารพุทธะ‘

 

 

“ข้า‘ถัวอา‘ มีความผิด!”

 

“ข้า‘ถัวอา‘ คือคนบาปแห่งวัดเส้าหลิน!”

 

บนกำแพงหินด้านหน้านี้ขีดเขียนด้วยเลือด มันแสดงถึงความรู้สึกผิดอันหาที่สุดมิได้

 

กำแพงหินที่อยู่ตรงหน้าอรหันต์ถัวนี้ เห็นได้ชัดว่าร่องรอยอักขระเลือดทั้งหมดเกิดมาจากน้ำมือของอรหันต์ถัว

 

น่าจะเป็นไปได้ว่าอรหันต์ถัวทนทุกข์ทรมานใจอย่างมากก่อนจะมรณภาพไป จึงได้เขียนตัวอักษรเหล่านี้ขึ้นมา

 

“มีความผิด?”

 

“อรหันต์‘ถัวอา‘ เป็นอรหันต์ที่น่าเคารพนับถือรูปหนึ่งในวัดเส้าหลิน แม้ว่าฝ่ามือยูไลจะต้องสูญหายไป แต่ก็เป็นเพราะจำต้องปราบมารพุทธะ ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็ไม่เห็นถึงความผิด”

 

จิตใจของซูฉินผันแปรอย่างรวดเร็ว รีบเลื่อนสายตามองต่อไปยังกำแพงหินส่วนล่าง

 

ซูฉินรู้สึกว่าสิ่งที่เขาจะได้เห็นต่อไปนี้อาจจะเป็นความลับที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในวัดเส้าหลินยุคของอรหันต์ถัวเมื่อเก้าร้อยปีก่อน

 

จากนั้นไม่นาน

 

ซูฉินก็อ่านรอยอักขระเลือดบนกำแพงหิน

 

ตามคำอธิบายของอรหันต์ถัว เขาบรรลุขอบเขตอรหันต์เมื่ออายุได้หนึ่งร้อยห้าสิบปี กลายเป็นผู้คงกระพันในใต้หล้า เมื่อออกเดินทางท่องไปด้านนอกเขาก็ได้รับศิษย์เอาไว้คนหนึ่ง

 

พรสวรรค์ของศิษย์คนนี้น่าหวาดหวั่นถึงขีดสุด ยิ่งกว่าตัวอรหันต์ถัวเมื่อครั้งเยาว์วัยเสียอีก

 

สิ่งนี้ทำให้อรหันต์ถัวดีใจอย่างมาก และรู้สึกว่าวัดเส้าหลินในอนาคตจะต้องไปในทิศทางที่ดีขึ้น

 

ต้องทราบว่าแม้แต่อรหันต์ผู้ทรงสมณศักดิ์อันสูงส่งก็ยังเป็นที่พึ่งพิงให้วัดเส้าหลินได้เพียงห้าร้อยปีเท่านั้น

 

ห้าร้อยปีต่อจากนั้น เมื่อถึงเวลาอันสมควรอรหันต์รูปนั้นก็ต้องมรณภาพลงอยู่ดี

 

อย่างไรก็ตามศิษย์ที่อรหันต์ถัวรับมา ทำให้เขามีความหวังว่าจะมีใครสักคนหนึ่งขึ้นไปถึงระดับอรหันต์แล้วมาแทนที่เขา

 

เป็นไปตามที่คาดการณ์

 

ศิษย์ที่อรหันต์ถัวรับมา ได้สำเร็จการแปรสภาพสามครั้งในเวลาหลายสิบปีต่อมา และยังบรรลุต่อไปยังขอบเขตอรหันต์ได้ตั้งแต่อายุยังไม่ถึงหนึ่งร้อยปี

 

นี่มันพรสวรรค์น่าหวาดกลัวอันใด บรรลุระดับอรหันต์ได้ก่อนอายุหนึ่งร้อยปี?

 

แต่แล้วสิ่งต่างๆ ก็เปลี่ยนไป เมื่อศิษย์ที่อรหันต์ถัวรับมาจู่ๆ จิตใจก็แปรเปลี่ยนไปในทันทีหลังจากบรรลุระดับอรหันต์ และทำแม้กระทั่งลงมือกับอรหันต์ถัว

 

ในที่สุดศิษย์คนนี้ก็กลายเป็นมารพุทธะที่ต้องการจะทำลายวัดเส้าหลิน!

 

ซูฉินเงียบไปเมื่อเห็นสิ่งเหล่านี้

 

แม้ซูฉินจะรู้เรื่องราวผ่านบันทึกโบราณของวัดเส้าหลินมาบ้างแล้วว่ามารพุทธะที่เกือบจะทำลายมรดกโลกอันยืนยาวอย่างเส้าหลินเมื่อเก้าร้อยปีก่อนเป็นศิษย์ของวัดเส้าหลินเอง

 

แต่ซูฉินไม่ได้คาดคิดว่ามารพุทธะไม่เพียงแค่เป็นศิษย์วัดเส้าหลินเท่านั้น แต่ยังศิษย์สายตรงของอรหันต์ถัวในยามนั้นด้วย

 

อรหันต์ถัวเป็นถึงอรหันต์แห่งยุค มีสถานะสูงส่งแค่ไหนในวัดเส้าหลิน?

 

มารพุทธะมีฐานะเป็นศิษย์สายตรงของอรหันต์ถัว น่าจะเรียกได้ว่าเป็นอันดับสองของวัดเส้าหลินรองลงมาจากอรหันต์ถัวในตอนนั้น

 

“ไม่แปลกใจไยอรหันต์‘ถัวอา‘จึงรู้สึกผิด”

 

“ปรากฏว่ามารร้ายที่เกือบจะทำลายวัดเส้าหลินจนสิ้นก็คือศิษย์ที่อรหันต์‘ถัวอา‘ชุบเลี้ยงมากับมือ…”

 

ซูฉินผ่อนลมหายใจออกมา

 

ในที่สุดเขาก็เข้าใจแล้วว่าทำไมอรหันต์ถัวจึงเลือกที่จะพำนักอยู่ที่นี่จนกระทั่งมรณภาพแทนที่จะเป็นวิหารพระสหัสพุทธ

 

เกรงว่าท่านคงจะละอายต่อบรรพบุรุษในวัดเส้าหลินโดยแท้จริง

 

ส่วนเรื่องราวหลังจากนั้น ซูฉินทำได้เพียงคาดเดา

 

เมื่อตระหนักว่าตนไม่เพียงไม่ได้สร้างอรหันต์เพื่ออนาคตอันสดใสให้กับวัดเส้าหลิน แต่กลับสร้างมารร้ายที่จะนำหายนะมาให้กับผู้คนทั้งปวง อรหันต์ถัวจึงไม่ลังเลที่จะปราบมารพุทธะ

 

แต่สิ่งที่อรหันต์ถัวไม่คาดคิดคือมารพุทธะที่เพิ่งจะก้าวเข้าสู่ขอบเขตอรหันต์กลับมีความแข็งแกร่งเทียบเคียงกับตน

 

แม้มารพุทธะจะอยู่กึ่งกลางระหว่างพลังสายมารและสายพุทธ แต่เขาก็สามารถเปลี่ยนแปลงพลังงานได้ตามประสงค์ เมื่อสู้กับอรหันต์ถัวจึงเป็นต่ออยู่เล็กน้อย

 

สิ่งนั้นทำให้อรหันต์ถัวตัดสินใจปราบมารพุทธะด้วยทุกสิ่งที่ตนมี โดยไม่สนว่าราคาที่ต้องจ่ายออกไปมากมายเพียงใด

 

ไม่เช่นนั้นหากปล่อยให้มารพุทธะเติบโตไปมากกว่านี้สักหลายสิบปี จะมีใครในยุทธภพที่ปราบเขาได้อีก?

 

สุดท้ายจึงต้องยอมสละพลังชีวิตร้อยปีที่เหลือกระตุ้นฝ่ามือยูไลเพื่อปราบมารพุทธะ

 

หลังจากที่อรหันต์ถัวรู้ว่าจะอยู่ได้อีกไม่นาน จึงรีบหาสถานที่ที่จะอยู่ในช่วงสุดท้ายของชีวิต

 

“น่าเศร้าเสียจริง”

 

ซูฉินส่ายหัวเล็กน้อยและมองไปที่กล่องไม้สองใบที่วางอยู่ด้านหน้าของอรหันต์ถัว

 

ภายในกล่องนั้นบรรจุวิชาบ่มเพาะของอรหันต์ถัวและอีกชิ้นเป็นดวงจิตรู้แจ้ง

 

ซูฉินมองไปที่ของเหล่านั้นอย่างไม่ได้รู้สึกอะไรมากนัก

 

เขาลงชื่อเข้าใช่ที่วัดเส้าหลินมากว่ายี่สิบปีแล้ว ไม่รู้ว่าได้เคล็ดวิชาสายพุทธมามากมายแค่ไหน มีตั้งแต่สุดยอดวิชาอย่างเช่นฝ่ามือยูไลไปจนถึงวิชาธรรมดาๆ จะกล่าวว่าวิชาที่เขามีนั้นกว้างขวางราวกับทะเลกว้างก็ไม่ใช่เรื่องเกินจริงเลย

 

ส่วนดวงจิตรู้แจ้งนั้น

 

ถ้าซูฉินไม่ได้ลงชื่อเข้าใช้และได้รับดวงจิตรู้แจ้งพันปีมา เขาอาจจะชายตามองดวงจิตรู้แจ้งชิ้นนี้อยู่บ้าง

 

แต่บัดนี้เขาเองก็มีดวงจิตรู้แจ้งพันปีเก็บไว้ในคลังของระบบ

 

เทียบกับดวงจิตรู้แจ้งพันปีแล้ว ดวงจิตรู้แจ้งชิ้นที่อยู่ตรงหน้านี้ก็เหมือนกับก้อนหินริมทางไม่ได้มีค่าอันใดเลย

 

“ในที่สุดข้าก็เข้าใจความเป็นมาของมารพุทธะ”

 

“กลายเป็นว่าเขาคือศิษย์เอกเพียงคนเดียวของอรหันต์‘ถัวอา‘นี่เอง”

 

ซูฉินมองไปยังร่างของอรหันต์ถัวที่มรณภาพมามากกว่าเก้าร้อยปีแล้ว ในใจก็รู้สึกซับซ้อนขึ้นมาอยู่บ้าง

 

บางทีสำหรับอรหันต์ถัวในยามนั้นที่เขารับมารพุทธะเป็นศิษย์ เขาคงไม่เคยคิดว่าวันหนึ่งเขานี่เองที่เป็นคนสร้างมารร้ายขึ้นมาด้วยมือของตนเอง

 

“ถึงเวลาต้องออกไปแล้ว”

 

ซูฉินเพียงแค่คิดแล้วกล่องไม้ทั้งสองใบที่อยู่หน้าอรหันต์ถัวก็ลอยมาตกอยู่ในมือของซูฉิน

 

ถึงเขาจะไม่ต้องการสิ่งเหล่านี้ แต่ ‘เฉียนขู่‘ ที่รออยู่ภายนอกสามารถนำไปใช้ได้

 

ซูฉินหันหลังออกไปจากห้องลับ ขณะนี้ความคิดของเขาวิ่งแล่นไปมา

 

ส่วนร่างของอรหันต์ถัวที่มรณภาพไปแล้วนั้น…

 

ซูฉินไม่ได้มีแผนที่จะย้ายร่างนี้ไปไหน

 

หนึ่ง เป็นเพราะนี่เป็นความต้องการของตัวอรหันต์ถัวเอง

 

สอง อรหันต์ถัวได้ชุบเลี้ยงมารพุทธะผู้ที่เกือบจะทำลายวัดเส้าหลินจนสิ้น แม้จะไม่ได้ตั้งใจ แต่ความผิดก็ยังคงเป็นความผิด

 

 

ด้านนอกประตูหิน

 

เฉียนขู่เบิกตากว้างและจับจ้องไปที่ประตูหินอย่างใกล้ชิด

 

“ทำไมผู้ทรงสมณศักดิ์ฯ ยังไม่กลับมาอีก…”

 

เฉียนขู่ดูกังวล

 

แม้ว่าในใจของเฉียนขู่ ผู้ทรงสมณศักดิ์อันสูงส่งจะมีอำนาจไร้เปรียบ แต่เมื่อหายไปเป็นเวลานานขนาดนี้ มันก็ทำให้เขาคิดมากไม่น้อย

 

ในตอนนั้นเอง

 

มีเสียงฝีเท้าเดินมาจากด้านในประตูหิน

 

จากนั้นก็เห็นร่างของซูฉินเดินออกมาอย่างช้าๆ

 

“ท่านผู้ทรงสมณศักดิ์ฯ”

 

เฉียนขู่วิ่งเหยาะๆ มาที่ด้านข้างของซูฉิน พร้อมทั้งมองไปที่ประตูหินอย่างระแวดระวัง

 

ขณะที่เฉียนขู่กำลังมองอยู่นั้น ประตูหินได้ปิดลงอย่างช้าๆ ทุกอย่างกลับคืนสู่สภาพดังเก่าก่อน

 

“จะไม่มีการใช้สถานที่แห่งนี้อีกในอนาคต”

 

ซูฉินเหลือบมองไปที่เฉียนขู่แล้วโยนกล่องไม้ที่บรรจุดวงจิตรู้แจ้งเข้าใส่มือของคนตรงหน้า

 

“นั่นสำหรับเจ้า”

 

หลังจากลงชื่อได้รับดวงจิตรู้แจ้งพันปีมาแล้ว ดวงจิตรู้แจ้งธรรมดาก็ไม่ดึงดูดความสนใจของซูฉินอีกต่อไป

 

แม้จะมีดวงจิตรู้แจ้งเป็นหมื่นชิ้น ก็ยังด้อยค่ากว่าดวงจิตรู้แจ้งพันปีเพียงชิ้นเดียว

 

สำหรับคนอื่น ดวงจิตรู้แจ้งนั้นมีค่าอย่างยิ่งยวด แต่ในสายตาซูฉินก็เหมือนก้อนหินที่หาเอาได้ตามทาง

 

“ถ้าใครถาม ก็แค่บอกว่าข้าเป็นคนให้”

 

ซูฉินทิ้งคำพูดไว้เพียงเท่านี้ จากนั้นร่างของเขาก็หายวับไป

Sign in Buddha’s palm 77 อรหันต์ ‘ถัวอา‘ และดวงจิตรู้แจ้งพันปี

 

 

“น่าสนใจ”

 

ซูฉินเฝ้าดูอยู่นิ่งๆ แต่ความสนใจกลับเพิ่มพูนขึ้นในจิตใจ

 

ต้องทราบว่าตอนนี้เขาเป็นถึงอรหันต์ระดับนภาชั้นที่สอง แทบไม่มีสิ่งใดรอดพ้นจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของเขาไปได้ เว้นแต่จะมีความแข็งแกร่งในระดับเดียวกัน ไม่ว่าใครก็ไม่สามารถปกปิดเขาได้

 

“เป็นไปได้หรือไม่ว่า ประตูหินนี้เป็นฝีมือของอรหันต์สักรูปจากวัดเส้าหลิน”

 

ซูฉินสงสัย

 

เขาไม่ได้คิดสงสัยว่าเฉียนขู่จะโกหก

 

หนึ่งคือเฉียนขู่ไม่มีความกล้าพอ

 

ประการที่สองเป็นเพราะสถานที่ที่เฉียนขู่อ้างถึงอยู่ภายในวัดเส้าหลิน หากซูฉินต้องการพิสูจน์หา เขาสามารถทำได้ในเวลาไม่นาน

 

“ดูเหมือนจะยังมีความลับบางอย่างในวัดเส้าหลินที่ข้าไม่รู้…”

 

ซูฉินถอนหายใจที่เต็มไปด้วยอารมณ์ความรู้สึกออกมา

 

วัดเส้าหลินคือสุดยอดพรรคแห่งยุทธภพที่สืบทอดมรดกมายาวนานนับพันๆ ปี มีอรหันต์จำนวนมากผุดขึ้นที่นี่ หากจะบอกว่าที่นี่ไม่มีภูมิหลังแอบซ่อนอยู่เลย ซูฉินย่อมไม่เชื่อเป็นแน่

 

“ผู้ทรงสมณศักดิ์ฯ สิ่งที่ข้ากล่าวมานั้นเป็นความจริงแน่นอน…”

 

‘เฉียนขู่‘เห็นซูฉินไม่พูดสิ่งใดออกมาเป็นเวลานานก็พาลคิดว่าไม่เชื่อถือคำพูดของตนจึงเริ่มวิตกกังวล

 

ซูฉินยิ้มออกมาเมื่อได้ฟังคำ แล้วพูดออกมาเบาๆ “ข้ารู้แล้วล่ะ งั้นเจ้าจงเป็นผู้นำทางพาข้าติดตามไปดูเดี๋ยวนี้เลย”

 

ซูฉินสงสัยอย่างมาก ว่าอรหันต์คนใดที่เกี่ยวข้องกับประตูหินบานนั้น

 

ในไม่ช้า

 

ด้วยการนำทางของเฉียนขู่ ซูฉินก็เดินทางมาถึงหน้าประตูหิน

 

“คือที่นี่งั้นรึ?”

 

ซูฉินมองไปรอบๆ บริเวณนี้คือด้านหลังของเนินเขา มีต้นไม้ขึ้นรกชัฏจนแทบไม่มีศิษย์คนใดเดินมาถึงบริเวณนี้

 

และประตูหินจากคำบอกเล่าของเฉียนขู่ก็อยู่ในมุมที่ไม่ได้โดดเด่นอะไร

 

“นี่คือ…”

 

ซูฉินระแวดระวัง

 

“กลุ่มก้อนพลังงานฟ้าดิน?”

 

ซูฉินหรี่ตาลงเล็กน้อย

 

ไม่ว่าจะเป็นตำนานยุทธหรืออรหันต์ พวกเขาได้ก้าวข้ามขอบเขตของวิทยายุทธทั้งเก้าระดับชั้นไปแล้ว การฝึกฝนก็ไม่ได้จำกัดอยู่ภายในตนอีกต่อไป แต่ต้องทำความเข้าใจเกี่ยวกับพลังฟ้าดินให้มากขึ้น

 

การก่อตัวเป็นก้อนพลังงานฟ้าดินนี้ก็มาจากการเข้าถึงหลักเกณฑ์พลังฟ้าดินของอรหันต์สักรูปหนึ่ง

 

การก่อตัวของพลังงานฟ้าดินมีหลายรูปแบบ บางประเภทมีแนวโน้มไปทางการสะกดปราบปราม อย่างเช่น การก่อตัวของพลังงานฟ้าดินในหอคอยสะกดมาร

 

บางประเภทเป็นรูปแบบที่ชื่นชอบการฆ่าฟัน บางประเภทมีรูปแบบในการซ่อนเร้น

 

กลุ่มก้อนพลังงานฟ้าดินบนประตูหินตรงหน้านี้คือประเภทซ่อนเร้น

 

เป็นเพราะกลุ่มก้อนพลังงานอันทรงพลังนี้เองที่ทำให้จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของซูฉินมืดบอดไปชั่วคราว

 

“ผู้ทรงสมณศักดิ์ฯ ถูกต้องแล้วมันคือที่นี่”

 

เฉียนขู่ชี้ไปที่ประตูหิน แล้วกระซิบคำแผ่วเบา

 

“ข้าทราบแล้ว”

 

ซูฉินก้าวเท้าไปข้างหน้าประตูหิน

 

“ตรงนี้ใช่ไหมนะ?”

 

มีวังวนที่ยากจะอธิบายอยู่ด้านในดวงตาของซูฉิน

 

ตอนนี้เขารู้แล้วว่ามีค่ายกลอันทรงพลังอยู่ที่นี่ เป็นธรรมดาที่เขาจะไม่ใช้จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ตรวจสอบอีกต่อไป

 

กึง กึง กึง

 

ซูฉินยกมือขวา ดันเบาๆ ไปที่ประตูหิน

 

ทันใดนั้น

 

ราวกับไปสัมผัสกลไกบางอย่าง

 

ประตูหินทั้งบานค่อยๆ เลื่อนถอยออกไปอย่างช้าๆ เผยให้เห็นทางเข้าที่มืดมิดภายใน

 

“ท่านผู้ทรงสมณศักดิ์…”

 

เฉียนขู่ถึงกับตกตะลึง เขาใช้แรงกายทั้งหมดเพื่อเปิดประตูแต่มันก็ไม่ขยับแม้สักนิด แต่ยามเมื่อซูฉินเพียงแตะเบาๆ มันกลับเปิดออกเองอย่างง่ายดายเช่นนี้เลยหรือ?

 

ซูฉินไม่ได้พูดอะไร และเดินไปที่ทางเข้าอย่างไม่รีบร้อน

 

ด้วยดวงตาแห่งสัจจะทำให้ซูฉินแน่ใจว่าไม่มีสิ่งใดตรงบริเวณทางเข้าที่คุกคามเขาได้

 

ซูฉินยังคงเดินต่อไปตามขั้นบันไดหินบริเวณทางเข้า

 

เฉียนขู่ยืนรออยู่ด้านนอกอย่างเชื่อฟัง ไม่คิดจะติดตามไปเพิ่มความวุ่นวายให้กับซูฉิน

 

ไม่ช้านาน

 

หลังจากที่ซูฉินเดินไปตามชั้นหินเขาก็มาถึงห้องลับที่แสนจะว่างโล่ง

 

มีหนังสืออยู่มากมายหลายเล่ม พระธรรมคัมภีร์จำนวนมาก แต่ส่วนใหญ่ก็ผุพังไปแล้วเหลือเพียงพระคัมภีร์บางส่วนที่ทำจากเปลือกไม้ชนิดพิเศษเท่านั้นที่พอจะอยู่รอดมาได้

 

“ห้องลับนี้คงอยู่มาอย่างน้อยๆ ก็พันปีได้แล้วกระมัง”

 

ซูฉินคาดเดาอยู่ในใจขณะที่เดินไปยังส่วนลึกของห้องลับ

 

ไม่นานนักก็มาถึงทางตัน เห็นร่างภิกษุรูปหนึ่งสวมจีวรสีทองนั่งขัดสมาธิอยู่เงียบๆ

 

ภิกษุที่สวมจีวรสีทองไม่มีลมหายใจ เห็นได้ชัดว่ามรณภาพไปนานแล้ว

 

“เขาคืออรหันต์ ‘ถัวอา”งั้นรึ? ”

 

หลังจากซูฉินมองดูภิกษุจีวรสีทองอย่างละเอียด สีหน้าเขาก็เปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อย

 

อรหันต์ถัวเป็นอรหันต์รูปสุดท้ายของวัดเส้าหลิน เป็นเรื่องปกติที่จะมีรูปวาดเก็บไว้ในวัดเพื่อให้ศิษย์รุ่นหลังได้ชื่นชม

 

จริงๆ แล้ว ไม่ได้มีเพียงอรหันต์ถัวเท่านั้น แต่รวมถึงอรหันต์รูปอื่นๆ ที่เคยมีมาในวัดเส้าหลินตั้งแต่ครั้งอดีตอีกด้วย

 

“อรหันต์‘ถัวอา‘ จากเมื่อเก้าร้อยปีก่อน…”

 

ความคิดของซูฉินแล่นเร็วจี๋

 

มีข่าวลืออยู่มากมายภายในวัดเส้าหลินเกี่ยวกับอรหันต์ถัวในฐานะอรหันต์รูปสุดท้ายที่ปราบมารพุทธะจนมรณภาพตั้งแต่อายุยังไม่ถึงสี่ร้อยปี และฝ่ามือยูไลก็หายสาบสูญไปในเหตุการณ์นี้ด้วยเช่นกัน

 

“ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมข้าไม่เห็นร่างของอรหันต์‘ถัวอา‘ในวิหารพระสหัสพุทธ ปรากฏว่ามาอยู่ที่นี่นั่นเอง…”

 

ซูฉินคิดไปมาในหัว

 

“สถานที่แห่งนี้น่าจะถูกสร้างโดยอรหันต์‘ถัวอา‘ก่อนที่เขาจะมรณภาพไป และกลุ่มก้อนพลังงานฟ้าดินด้านนอกก็คงเป็นค่ายกลที่เขาทิ้งเอาไว้เช่นกัน”

 

ซูฉินคิดอยู่ภายในใจตนเอง

 

แม้ว่าเขาจะไม่รู้ว่าทำไมอรหันต์ถัวจึงไม่ไปที่วิหารพระสหัสพุทธ กลับเลือกห้องลับนี้แทน แต่สิ่งเหล่านั้นก็ไม่ใช่สิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนี้

 

“จริงสิ”

 

“สถานที่แห่งนี้อยู่มานานเป็นพันปีแล้วก็ต้องมี‘เต๋าสะสม‘พอให้ข้าลงชื่อเข้าใช้ใช่หรือไม่?”

 

ใจของซูฉินขยับวูบ

 

บังเอิญพอดีที่วันนี้เขายังไม่ได้ใช้สิทธิ์ในการลงชื่อเข้าใช้ประจำวัน จึงพึมพำกับตัวเองในใจ

 

“ระบบ ลงชื่อเข้าใช้!”

 

[ขอแสดงความยินดี โฮสต์ลงชื่อเข้าใช้สำเร็จ ได้รับ ‘ดวงจิตรู้แจ้งพันปี‘]

 

“ดวงจิตรู้แจ้งพันปี?”

 

ซูฉินแลดูมีความสุข

 

ดวงจิตรู้แจ้งเป็นวัตถุมงคลทางพุทธที่มีคุณค่าอย่างยิ่ง วัดเส้าหลินก่อตั้งมานานหลายพันปีแต่มี‘ดวงจิตรู้แจ้ง‘ปรากฏขึ้นน้อยเสียยิ่งกว่าจำนวนอรหันต์เสียอีก

 

ขนาด‘ดวงจิตรู้แจ้ง‘ธรรมดายังช่วยให้ยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งเกิดปัญญารู้แจ้งได้ในทันที ลดโมหะลงไปได้อย่างมาก นับประสาอะไรกับดวงจิตรู้แจ้งพันปีเล่า?

 

สิบกว่าปีก่อน หากเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินมีดวงจิตรู้แจ้ง ถึงช่วงสุดท้ายในการตัดผ่านจะล้มเหลว เขาก็จะไม่มีทางเกิดอาการธาตุไฟเข้าแทรก

 

น่าเสียดายที่‘ดวงจิตรู้แจ้ง‘ชิ้นสุดท้ายได้หายไปเมื่อหลายร้อยปีก่อน จนป่านนี้ก็ยังหากลับคืนมาไม่ได้

 

ส่วนดวงจิตรู้แจ้งพันปีนั้น…

 

ตามบันทึกของวัดเส้าหลิน ดวงจิตรู้แจ้งพันปีมีอยู่แค่ในตำนานเท่านั้นและไม่มีใครพิสูจน์ได้ว่ามีดวงจิตรู้แจ้งพันปีอยู่จริงๆ หรือไม่

 

“ไม่เลวไม่เลว”

 

ซูฉินพยักหน้าเล็กน้อย

 

การลงชื่อแล้วได้รับดวงจิตรู้แจ้งพันปีมา ต่อให้เขากลับออกไปตอนนี้ก็ยังถือว่าได้กำไรเต็มๆ

 

หลังจากตรวจสอบดวงจิตรู้แจ้งพันปีที่เก็บอยู่ในระบบเรียบร้อยแล้ว เขาก็นั่งลงแล้วมองไปที่ร่างของอรหันต์ถัวอีกครั้ง

 

ในฐานะที่เป็นอรหันต์ กายเนื้อของท่านทรงพลังแข็งแรง แม้จะผ่านมาเป็นพันปีก็ยังรักษารูปลักษณ์อย่างที่เห็นตรงหน้านี้ได้

 

ซูฉินเหลือบมองไปที่อรหันต์ถัวจากนั้นสายตาจึงตกไปอยู่ที่กำแพงหินด้านหน้าของอรหันต์ถัวอย่างรวดเร็ว

 

“เอ๋?”

 

ซูฉินเพียงเลื่อนตามองไปทางกำแพงหิน การแสดงออกทั้งหมดของเขาก็เปลี่ยนไปราวกับได้เห็นบางสิ่งที่น่าเหลือเชื่อ

 

Sign in Buddha’s palm 76 การค้นพบของเฉียนขู่

 

 

พื้นที่หวงห้ามภูเขาด้านหลัง

 

หลังจากที่ซูฉินทะลวงขั้น เขาก็หอบหายใจอย่างรุนแรงพยายามสูบพลังฉีฟ้าดินรอบตัวราวกับวาฬตัวใหญ่ที่กลืนน้ำทะเลทั้งหมดลงไป

 

“หิวเหลือเกิน…”

 

ตอนนี้สิ่งซูฉินรู้สึกมีเพียงอย่างเดียวคือ กระดูกทุกชิ้น กล้ามเนื้อทุกส่วนกำลังสั่นสะท้านดูดกลืนพลังฟ้าดินที่หลั่งไหลเข้ามาในร่างกายอย่างไม่รู้จักหยุดหย่อน

 

ช่างน่าเสียดายที่พลังฟ้าดินนั่นเบาบางลงไปเสียแล้วหลังการตัดผ่านของเขา จึงไม่สามารถเติมเต็มความต้องการของร่างกายได้

 

ซูฉินจึงจำต้องควักโอสถอายุวัฒนะเคลือบทองคำออกมาอีกสองสามเม็ดเป็นทางเลือกสุดท้าย

 

หลังจากกลืนโอสถอายุวัฒนะเคลือบทองคำสีใสบริสุทธิ์ลงไปแล้ว ตัวยาก็กระจายไปทั่วทุกส่วนของร่างกาย

 

หลังจากผ่านไปกว่าครึ่งชั่วโมง

 

ซูฉินลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง

 

“ไม่คาดคิดเลยว่าหลังจากที่ตัดผ่านเข้าสู่ระดับนภาชั้นที่สองแล้วจะต้องใช้พลังฟ้าดินจำนวนมหาศาลขนาดนี้เพื่อมาเสริมสร้างร่างกาย…”

 

ซูฉินกระซิบกระซาบอยู่กับตนเอง

 

ถ้าก่อนหน้านี้หากเขาไม่ได้เตรียมโอสถอายุวัฒนะเคลือบทองคำไว้เพียงพอ เกรงว่าเขาคงทำได้เพียงดูดซับพลังฟ้าดินอย่างช้าๆ และอาจเกิดความเสียหายขึ้นกับร่างกายได้

 

“แต่ทุกอย่างก็เสร็จสิ้นแล้ว”

 

“ตอนนี้ข้าได้เข้าสู่ขอบเขตอรหันต์นภาชั้นที่สองแล้วจริงๆ…”

 

ซูฉินหันกลับไปมองที่ฝ่ามือของตน รับรู้ถึงพลังอย่างถี่ถ้วน

 

“ถ้านับเพียงแก่นแท้แห่งพลัง มันพุ่งขึ้นสูงอย่างน้อยก็สองถึงสามเท่า ส่วนร่างกายแม้จะไม่ทะยานขึ้นเหมือนแก่นแท้แห่งพลังแต่มันก็ถูกปรับปรุงไปในทางที่ดีขึ้นไม่น้อย จิตสัมผัสสัมผัสศักดิ์สิทธิ์เองก็เพิ่มขึ้นเกือบสองเท่า ขอบเขตที่ใช้ได้นั้นขยายขึ้นไปอีกเยอะเลย…”

 

ซูฉินยังคงสำรวจตัวเองต่อไปและในที่สุดจึงได้ข้อสรุป

 

“ตอนนี้ข้าแข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิมอย่างน้อยก็ห้าเท่าเมื่อเทียบกับก่อนตัดผ่าน!”

 

ซูฉินพอใจมาก

 

เดิมทีอรหันต์ก็เป็นตัวตนที่สุดยอดในหมู่ยอดฝีมืออยู่แล้วสามารถปราบเหล่ามารร้ายและภูตผีปีศาจได้ทั้งหมด

 

แต่ตอนนี้ซูฉินคนเดียวเทียบเท่ากับอรหันต์ห้าคน

 

สิ่งนี้คืออะไรกัน?

 

ตราบที่ซูฉินต้องการจะทำ เขาสามารถครองยุทธภพได้เลย ไม่ว่าราชวงศ์ถังหรืออาณาจักรเหมิ่งหยวนก็ทำได้แค่หลีกทางให้

 

“ก่อนอื่นต้องปรับระดับชั้นให้มั่นคงเสียก่อน”

 

ซูฉินค่อยๆ ผ่อนคลายความคิดของตนเอง

 

การปรับขอบเขตระดับชั้นให้มั่นคง ไม่จำเป็นต้องกังวลว่าจะเกิดปัญหาแต่ประการใด ตอนนี้ซูฉินได้เข้าสู่ระดับนภาชั้นที่สองอย่างสมบูรณ์แล้ว เว้นแต่เขาจะประสบกับอาการธาตุไฟเข้าแทรกหรือแก่นแท้แห่งพลังติดขัดก็ไม่มีทางที่ระดับพลังจะตกลงไปได้

 

วิชาสายพุทธขึ้นชื่อเรื่องรากฐานอันลึกซึ้งอยู่แล้ว นับประสาอะไรกับพระสูตรอมิตาภาบรรพกาลที่เขาฝึก?

 

ซูฉินต้องการสร้างความมั่นคงให้กับขอบเขตระดับชั้นเพราะเขาต้องการสร้างความคุ้นเคยกับพลังที่พุ่งสูงขึ้น

 

ในช่วงหลายเดือนต่อมาซูฉินก็เริ่มอ่านหนังสือปรัชญาทางพุทธและสิ่งอื่นๆ ที่มีลักษณะคล้ายคลึงกัน

 

แม้ว่าซูฉินจะได้อ่านหนังสือเหล่านี้มากว่าสองทศวรรษแล้ว แต่ตอนนี้ซูฉินได้เข้ามาสู่ขอบเขตอรหันต์ เมื่อมีรากฐานสูงขึ้น การอ่านซ้ำอีกครั้งกลับได้ความรู้สึกที่แตกต่างออกไป

 

ระหว่างนี้ ซูฉินก็ไม่ลืมที่จะลงชื่อเข้าใช้ ไม่ว่าจะเป็นโอสถหรือคัมภีร์ที่ได้มาก็ถูกซูฉินโยนเก็บไว้ในคลังของระบบ ซึ่งเขาจะนำไปใช้ในภายหลัง

 

การไหลของเวลาภายในคลังของระบบแทบจะแน่นิ่ง ฉะนั้นจึงไม่มีปัญหาเรื่องยาหมดอายุแต่อย่างใด

 

ในขณะที่อ่านพระธรรมคัมภีร์ ซูฉินก็คอยชี้แนะ ‘เฉียนขู่‘ ไปด้วยเป็นครั้งคราว

 

หลังจากที่เณรน้อยรูปนี้เข้าสู่ระดับชั้นที่เจ็ดแล้ว เขาก็เตรียมที่จะพุ่งขึ้นสูงสามระดับกลางในเวลาอันสั้น

 

แต่สุดท้ายซูฉินก็หยุดเขาเอาไว้

 

ผู้ครอบครองดวงใจพุทธะนั้นแสนจะสะดวกสบายในการฝึกวิทยายุทธมากเสียจนคนทั่วไปไม่อาจจะจินตนาการถึง

 

อย่างไรก็ตามผู้ที่ครอบครองดวงใจพุทธะในอดีตทุกคนล้วนไม่สามารถบรรลุถึงระดับ ‘อรหันต์‘ ได้ แต่คนที่มีความสามารถปานกลางกลับสามารถก้าวไปถึง

 

ซูฉินพอจะคาดเดาเหตุผลบางอย่างได้

 

นั่นเป็นเหตุผลที่เขาให้ ‘เฉียนขู่‘ รักษาความมั่นคงในระดับชั้นก่อน ค่อยๆ สัมผัสความแตกต่างในแต่ละขอบเขตแล้วจึงค่อยทะลวงขั้นขึ้นไป

 

ในวันนี้

 

เมื่อซูฉินคิดว่าจะต้องใช้โอสถอายุวัฒนะเคลือบทองคำอีกกี่เม็ด ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกถึงบางอย่างและมองออกไปด้านนอกพื้นที่หวงห้ามภูเขาด้านหลัง

 

เห็น ‘เฉียนขู่‘ ยืนอยู่ที่ทางเข้าอย่างระมัดระวัง ไม่รู้ว่าควรเข้ามาดีหรือไม่

 

“เข้ามา”

 

เสียงอันสงบนิ่งดังขึ้นในหูของ ‘เฉียนขู่‘

 

“ขอรับ”

 

“ท่านผู้ทรงสมณศักดิ์ฯ”

 

‘เฉียนขู่‘ ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก

 

ไม่นานนัก

 

‘เฉียนขู่‘ ก็มาหาซูฉิน

 

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ‘เฉียนขู่‘ ค่อยๆ เติบโตแต่ก็ยังคงดูเหมือนเด็กน้อย ควบคู่ไปกับความแข็งแกร่งที่เพิ่มขึ้นมาเป็นผู้ฝึกยุทธระดับชั้นที่เจ็ด ถ้ามองเผินๆ แล้วก็เหมือนเด็กผู้ชายทั่วๆ ไป

 

“ท่านผู้ทรงสมณศักดิ์ฯ”

 

‘เฉียนขู่‘ คารวะซูฉินด้วยความเคารพ

 

เพราะซูฉินไม่เคยกล่าวยอมรับ ‘เฉียนขู่‘ เป็นศิษย์ดังนั้น ‘เฉียนขู่‘ จึงได้แต่เรียกซูฉินว่าผู้ทรงสมณศักดิ์อันสูงส่งเช่นเดียวกับเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวิน

 

“เจ้าเตรียมจะตัดผ่านแล้วรึ?”

 

ซูฉินกวาดตามอง ‘เฉียนขู่‘ แล้วกล่าวคำ

 

ในความเป็นจริงซูฉินรู้ถึงสภาวะของ ‘เฉียนขู่‘ ก่อนที่ ‘เฉียนขู่‘ จะเข้ามาหาเขาเสียอีก

 

“ใช่แล้วขอรับ”

 

“ท่านผู้ทรงสมณศักดิ์ฯ ข้าไม่สามารถสะกดระดับพลังไว้ได้อีกต่อไปแล้ว”

 

‘เฉียนขู่‘ กระซิบบอก

 

“เนื่องจากเจ้าไม่สามารถฝืนสะกดมันได้อีกต่อไป ก็จงตัดผ่านเสียเถิด” ซูฉินพูดอย่างเป็นกันเอง “เพียงแต่ต้องตัดผ่านที่นี่”

 

ซูฉินขอให้ ‘เฉียนขู่‘ เลื่อนการพัฒนาระดับ อย่าเพิ่งเร่งรีบตัดผ่าน

 

ตอนนี้ ‘เฉียนขู่‘ มาถึงขีดจำกัดในการสะกดระดับพลังไว้แล้ว หากไม่ตัดผ่านจะเป็นอันตรายต่อตัวเขาเอง

 

“ขอรับ”

 

เมื่อได้ยินดังนั้น ‘เฉียนขู่‘ ก็นั่งลงขัดสมาธิทันที

 

เมื่อเทียบกับปรากฏการณ์ในการตัดผ่านของซูฉิน การตัดผ่านของ ‘เฉียนขู่‘ เรียกว่าเงียบสงบมาก

 

จริงๆ แล้วนี่เป็นเรื่องปกติ การฝึกฝนของผู้ฝึกยุทธก่อนที่จะถึงสามระดับบน ส่วนใหญ่เป็นการฝึกฝนด้านร่างกายและกำลังภายใน ไม่ได้เกี่ยวข้องกับพลังฉีจากภายนอกร่างกาย

 

เนื่องจากไม่มีความเกี่ยวข้องกับพลังฟ้าดิน จึงไม่ได้เกิดปรากฏการณ์ทางธรรมชาติอะไรขึ้นมา

 

ภายในเวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมง ‘เฉียนขู่‘ ได้เปลี่ยนจากผู้ฝึกยุทธระดับชั้นที่เจ็ด ไปเป็นผู้ฝึกยุทธระดับชั้นที่หก

 

แม้ระดับชั้นที่หกและระดับชั้นที่เจ็ดนั้นแตกต่างกันเพียงหนึ่งระดับเท่านั้น แต่มันก็เป็นความแตกต่างระหว่างขอบเขตสามระดับกลางกับขอบเขตสามระดับล่างด้วย

 

คอขวดกั้นกลางระหว่างขั้นนี้ ไม่รู้ว่ามีผู้ฝึกยุทธติดอยู่ช่วงนี้กันกี่คน

 

“ขอบคุณท่านผู้ทรงสมณศักดิ์ฯ”

 

‘เฉียนขู่‘ ลุกขึ้นแล้วกล่าวด้วยความเคารพ

 

“ในเมื่อเจ้าได้ตัดผ่านเรียบร้อย ก็ไปได้แล้วล่ะ” ซูฉินมองไปที่เฉียนขู่แล้วกล่าวคำ

 

“ท่านผู้ทรงสมณศักดิ์ฯ…”

 

เพียงแต่เฉียนขู่นั้นลังเลเหมือนอยากจะพูดบางสิ่ง

 

“มีอะไรอย่างนั้นหรือ?” ซูฉินขมวดคิ้วมุ่น ถามออกไปตรงๆ

 

จากที่ซูฉินรู้จักเฉียนขู่ในช่วงสองสามปีมานี้ หากอีกฝ่ายไม่มีเรื่องอะไรจริงๆ เขาจะไม่กล้ากล่าวคำออกมาเช่นนี้

 

“ผู้ทรงสมณศักดิ์ฯ ข้าได้พบประตูหินใต้เนินเขาที่อยู่ใกล้ๆ ลานธรรม”

 

“ประตูหินแกะสลักลวดลายเป็นพระพุทธรูป แลดูลึกลับอย่างมาก”

 

เมื่อเล่าถึงเรื่องนี้ เฉียนขู่หยุดพูดไปชั่วครู่แล้วจึงเล่าต่อ “ประตูหินบานนั้นหนักมาก ข้าไม่สามารถผลักมันให้เปิดออกได้เลย”

 

“ประตูหิน…”

 

ซูฉินพึมพำเป็นน้ำเสียงทุ้มต่ำ และแผ่จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ออกไปอย่างรวดเร็วราวกับพายุ กวาดผ่านสถานที่ที่เฉียนขู่กล่าวถึงหลายต่อหลายครั้ง

 

อย่างไรก็ตาม

 

ซูฉินประหลาดใจมากที่เขาไม่พบสิ่งใดตามที่เฉียนขู่บอกเล่าให้ฟังเลย

 

“ท่านผู้ทรงสมณศักดิ์ฯ”

 

“ข้ารู้สึกว่าบางสิ่งภายในประตูหินนั่นกำลังดึงดูดข้าให้เข้าไปหา…”

 

เฉียนขู่รู้สึกสับสน

 

มีบางสิ่งด้านหลังประตูหินนั่นที่ดึงดูดเฉียนขู่ แต่เขาไม่สามารถเปิดประตูนั้นได้ ทำให้เกิดความขัดแย้งขึ้นในใจ

 

ซูฉินนิ่งเงียบ

 

ถ้าเฉียนขู่ไม่ได้โกหก นั่นหมายความว่าประตูหินบานนั้นต้องมีวิธีการบางอย่างที่บดบังความสามารถของจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ได้

Sign in Buddha’s palm 75 ระดับนภาชั้นที่สอง

 

 

“นี่คือเศษเสี้ยวส่วนหนึ่งของจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ระดับชั้นที่หนึ่ง?”

 

จ้าวกงกงดูเคร่งขรึมเป็นอย่างมาก จ้องตรงไปที่จี้หยกที่ห้อยข้างเอวของซูเยว่หยุน

 

แม้ว่าเศษเสี้ยวจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ภายในจี้หยกจะถูกซ่อนเอาไว้อย่างแนบเนียน แต่จ้าวกงกงก็เป็นถึงจุดสูงสุดระดับชั้นที่หนึ่ง หากเขาสนใจในสิ่งใด ปกติแล้วย่อมไม่สามารถซ่อนอะไรจากสายตาเขาได้

 

“นี่มันอะไรกันเนี่ย?”

 

“เป็นไปได้หรือที่เบื้องหลังของสตรีชาวบ้านที่องค์ชายอภิเษกด้วยจะมียอดปรมาจารย์ระดับจุดสูงสุดอยู่?”

 

จ้าวกงกงรู้สึกว่านี่มันไร้สาระเอามากๆ

 

ยอดปรมาจารย์ระดับจุดสูงสุดนั้นหายากเพียงไร? หากมีตัวตนเหล่านี้อยู่เคียงข้าง มิใช่ว่าชีวิตจะแสนสุขสบายหรือ?

 

องค์จักรพรรดิถังนั้นได้ซ่อนตัวตนของหลี่เชิงไว้ท่ามกลางฝูงชน จ้าวกงกงนั้นเป็นบุคคลที่รู้ทุกเรื่องดีที่สุด แม้แต่หลิวกงกงที่คอยปกป้องหลี่เชิงก็ได้จ้าวกงกงนี่แหละที่เป็นผู้จัดแจงมอบหมาย

 

จ้าวกงกงรู้ทุกเรื่องราวเกี่ยวกับชีวิตของหลี่เชิง ส่วนบุตรีตระกูลซูที่อภิเษกกับองค์ชายหลี่เชิงรวมถึงตระกูลของนาง ข้อมูลทั้งหมดเกี่ยวกับตระกูลซูก็ถูกส่งถึงมือจ้าวกงกงมาตั้งแต่แรก

 

สิ่งที่จ้าวกงกงไม่คิดฝันคือบุตรีตระกูลซูซึ่งแสนจะธรรมดาในสายตาเขา กลับมียอดฝีมือยืนอยู่เบื้องหลัง?

 

“มันอาจจะเป็นเรื่องบังเอิญหรือเปล่า?”

 

“จี้หยกนี้ ซูเยว่หยุนบังเอิญเก็บมาได้?”

 

ความคิดของจ้าวกงกงแปรเปลี่ยนผันอย่างรวดเร็ว และในที่สุดก็ต้องตัดความคิดนี้ทิ้งไป

 

ท่ามกลางเหล่ายอดปรมาจารย์ระดับจุดสูงสุด ยอดปรมาจารย์ที่กลั่นจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ออกมาได้นั้นมีน้อยเสียยิ่งกว่าน้อย

 

แทบไม่มียอดปรมาจารย์ระดับจุดสูงสุดคนใดเต็มใจที่จะสละส่วนหนึ่งของจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของตนมาใส่ไว้ในจี้หยกเช่นนี้

 

แล้วหากซูเยว่หยุนบังเอิญเก็บจี้หยกมาได้จริงๆ จี้หยกนั้นจู่ๆ จะไปข้องเกี่ยวกับยอดปรมาจารย์ระดับจุดสูงสุดได้อย่างไร?

 

“การแบ่งแยกจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ออกมา หากไม่มีทักษะลับที่เกี่ยวข้อง แม้แต่จะเป็นยอดปรมาจารย์ระดับจุดสูงสุดเองก็ไม่สามารถกระทำได้ นอกจากนี้หลังจากแบ่งแยกจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์แล้วยังสูญเสียฐานพลังไปส่วนหนึ่งอีกด้วย”

 

“ยกเว้นไว้แต่คนที่มอบให้จะสำคัญกับตนเองมากจริงๆ มิฉะนั้นคงไม่มียอดปรมาจารย์ระดับจุดสูงสุดคนใดที่จะทำเช่นนี้”

 

ความคิดของจ้าวกงกงแล่นแปลบปลาบราวกับประกายไฟ

 

“คนผู้นั้นคือใครกัน?”

 

จ้าวกงกงพยายามนึกหาความเป็นไปได้ไล่ไปทีละอย่าง

 

ในระหว่างที่จ้าวกงกงกำลังคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้นั่นเอง

 

องค์ชายหลี่เชิงที่ถูกซูเยว่หยุนเกลี้ยกล่อม ในที่สุดเขาก็ตัดสินใจยอมไปพระราชวังตะวันออกพร้อมกับจ้าวกงกงก่อนสักระยะ แล้วระหว่างนี้เขาจะขอราชโองการให้รับซูเยว่หยุนตามเข้าไป

 

“จ้าวกงกง ไปกันเถอะ”

 

องค์ชายหลี่เชิงมองไปที่ซูเยว่หยุนอย่างไม่ยินยอมเท่าใดนักแล้วจึงกล่าวกับจ้าวกงกง

 

“ความจริงแล้ว…การเจรจาต่อรองก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้…”

 

จ้าวกงกงเงียบไปครู่หนึ่งแล้วทันใดนั้นก็ยิ้มให้กับซูเยว่หยุน “เนื่องจากแม่นางซูได้อภิเษกสมรสเข้ากับราชวงศ์แล้ว เธอคงต้องใช้เวลาสักพักเพื่อจะได้รับตำแหน่งพระชายา คงมิผิดแปลกหากจะย้ายเข้าพระราชวังตะวันออกก่อนเวลาสักหน่อย…”

 

จ้าวกงกงเหลือบมองไปที่จี้หยกข้างเอวของซูเยว่หยุนอีกครั้งแล้วโค้งคำนับเล็กน้อย จากนั้นจึงกล่าวคำ “ท่านทั้งสอง รีบเสด็จไปพระราชวังตะวันออกกันเถิด”

 

เมื่อจ้าวกงกงกล่าวเช่นนี้

 

องค์ชายหลี่เชิงและซูเยว่หยุนต่างตกอยู่ในความงุนงง

 

เกิดอะไรขึ้น?

 

เหตุใดเจ้ากงกงจึงเปลี่ยนใจกะทันหัน?

 

แม้ว่าหลี่เชิงจะไม่เคยได้ใกล้ชิดจ้าวกงกง แต่เขาก็พอรู้ว่าจ้าวกงกงเป็นคนเช่นไรตามคำเล่าลือจากคนอื่นๆ

 

ทั่วทั้งวังหลวง นอกจากองค์จักรพรรดิแล้ว ไม่มีใครสามารถทำให้จ้าวกงกงเปลี่ยนใจได้

 

องค์ชายก็ไม่สามารถ

 

ขุนนางก็ทำไม่ได้

 

แต่เมื่อครู่…

 

องค์ชายหลี่เชิงและซูเยว่หยุนมองหน้ากันและทำได้เพียงกัดฟันเดินตามจ้าวกงกงไป

 

 

ครึ่งวันต่อมา

 

ในพระราชวังราชวงศ์ถัง

 

“สาวชาวบ้านที่องค์รัชทายาทอภิเษกสมรสด้วยนั้นมีตัวตนที่ยิ่งใหญ่อยู่เบื้องหลัง”

 

จ้าวกงกงโค้งคำนับลงเล็กน้อย

 

จากนั้นจ้าวกงกงก็แจ้งให้องค์จักรพรรดิถังทราบเรื่องที่ตนค้นพบจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสูงสุดในตัวของซูเยว่หยุน

 

“โอ้?”

 

“น่าสนใจ”

 

“น่าสนใจยิ่ง!”

 

เห็นได้ชัดว่ารูปลักษณ์ขององค์จักรพรรดิถังดูชราภาพลงไปมาก และพระองค์ก็ไอออกมาอย่างรุนแรงขณะที่พูด

 

เมื่อจ้าวกงกงเห็นฉากตรงหน้า สีหน้าก็เปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อย เขาก้าวเท้าไปข้างหน้าโดยเร็วพลัน เหยียดมือขวาออกแล้วค่อยๆ กดไปที่ร่างขององค์จักรพรรดิถัง

 

หลังจากนั้นไม่นาน

 

สีหน้าขององค์จักรพรรดิถังก็ดีขึ้นเล็กน้อย โบกมือขึ้นแล้วกล่าวว่า “เจ้าคิดว่ายอดปรมาจารย์ที่เป็นเจ้าของจี้หยกคือใครกัน?”

 

“ข้ารับใช้เฒ่าผู้นี้มิอาจทราบ”

 

เมื่อจ้าวกงกงกล่าวเช่นนั้นก็หยุดไปชั่วขณะแล้วพูดต่อว่า “แต่ที่ข้ารับใช้เฒ่ารู้ก็คือเจ้าของที่แท้จริงของจี้หยกชิ้นนั้นไม่น่าจะมีความตั้งใจที่จะต่อสู้แย่งชิงเพื่อราชบัลลังก์”

 

“จุดประสงค์ที่แท้จริงของจี้หยกนั้นคือเพื่อปกป้อง และไม่มีจุดประสงค์อื่นใดอีก”

 

จ้าวกงกงกล่าวอย่างเชื่องช้า

 

เป็นเพราะเหตุนี้เขาจึงได้เปลี่ยนใจ ยินยอมให้ซูเยว่หยุนและหลี่เชิงย้ายเข้าไปอยู่ในพระราชวังตะวันออกด้วยกัน

 

ท้ายที่สุดเมื่อต้องเผชิญหน้ากับยอดปรมาจารย์ระดับจุดสูงสุดที่ไม่ได้มีใจมุ่งร้ายผู้อยู่เบื้องหลังแม่นางซู การแสดงความใจกว้างอย่างเหมาะสมจะเกิดแต่ประโยชน์ ไม่มีโทษตามมา

 

หากยอดปรมาจารย์ระดับจุดสูงสุดผู้อยู่เบื้องหลังซูเยว่หยุนยินดีที่จะสนับสนุนองค์ชายหลี่เชิง ต่อให้มีเพียงคนเดียวในพระราชวังตะวันออก ผู้นั้นก็สามารถรับรองตำแหน่งพระมเหสีให้กับนางได้เพียงเอ่ยปากประโยคเดียว

 

ตราบใดที่สามารถชนะใจยอดฝีมือระดับหนึ่งขั้นสูงสุดได้ ไม่ว่าต้องจ่ายออกเท่าไหร่ ล้วนคุ้มค่าทั้งนั้น

 

“เรา เราเข้าใจแล้ว”

 

“ดูเหมือนโชคชะตาของเขาจะดีกว่าของเราผู้นี้เสียอีก….”

 

องค์จักรพรรดิถังเอนกายลงไปบนเก้าอี้ประทับที่สลักลวดลายมังกร ลูบไปตามแนวคิ้วของตนพยายามจะทำให้ความคิดปลอดโปร่งชัดเจนขึ้น

 

จ้าวกงกงยืนอยู่เฉยๆ และไม่ได้พูดคำอันใด

 

ทันใดนั้นห้องประทับส่วนพระองค์ก็ตกอยู่ในความเงียบ

 

เวลาผ่านไปครู่ใหญ่

 

จักรพรรดิถังจึงเอื้อนเอ่ยอย่างเชื่องช้า “กล่าวออกมาตามตรง ตัวเรานั้นจะมีชีวิตได้อีกนานเพียงไร”

 

หลังจากได้ยินคำกล่าวนั้น ท่าทีของจ้าวกงกงก็มีเปลี่ยนไปบ้าง และหลังจากเงียบไปครู่หนึ่งเขาก็กล่าวว่า “อีกสามปี แม้ว่าข้ารับใช้เฒ่าผู้นี้จะพยายามอย่างเต็มที่ที่สุด ก็รับประกันอายุขัยได้อีกเพียงสามปีหลังจากนี้…”

 

“สามปี…”

 

“เวลาไม่มากนัก แต่น่าจะเพียงพอแล้ว”

 

การแสดงออกขององค์จักรพรรดิไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ ราวกับสิ่งที่เขาได้ฟังไม่ใช่เรื่องเกี่ยวกับความเป็นความตายของตนเอง

 

 

วัดเส้าหลิน

 

นับตั้งแต่ที่ลงชื่อเข้าใช้ ได้รับพระสูตรอมิตาภาบรรพกาลมา ซูฉินก็เหมือนได้กลับเข้าสู่ยามที่ฝึกฝนวิทยายุทธทั้งเก้าระดับชั้นอีกครั้ง รู้สึกได้ถึงความแข็งแกร่งที่ก้าวหน้าขึ้นในทุกๆ วัน

 

ข้อเสียอย่างเดียวคือต้องเสียโอสถอายุวัฒนะเคลือบทองคำมากเกินไป

 

“อีกไม่ไกลแล้ว”

 

“ใกล้จะถึงขั้นตอนในการตัดผ่านแล้ว”

 

ที่ภูเขาด้านหลัง ซูฉินนั่งไขว้ขวาขัดกัน หมุนวนแก่นแท้แห่งพลังโคจรไปรอบร่างอย่างช้าๆ เพื่อปรับสภาพร่างกายของตน

 

หลังจากที่ใช้โอสถอายุวัฒนะเคลือบทองคำไปหลายสิบเม็ด ระดับการบ่มเพาะของซูฉินก็พุ่งขึ้นไปถึงจุดสูงสุดของขอบเขตระดับนภาชั้นที่หนึ่ง

 

“มาเริ่มกันเลย”

 

ใจของซูฉินไหววูบ ทันใดนั้นโอสถอายุวัฒนะเคลือบทองคำกว่ายี่สิบเม็ดก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าเขา

 

เพื่อให้แน่ใจว่าการตัดผ่านครั้งนี้จะไม่ผิดพลาด ซูฉินยอมทุ่มทุนที่สะสมเอาไว้ออกมา เตรียมพร้อมสำหรับการพัฒนาด้วยโอสถอายุวัฒนะเคลือบทองคำถึงยี่สิบเม็ด

 

ต้องรู้ว่าโอสถอายุวัฒนะเคลือบทองคำเพียงเม็ดเดียวก็เพียงพอให้อรหันต์ทั่วๆ ไปต้องย่อยและดูดซึมยาวนานกว่าสองถึงสามเดือน เมื่อรวมยี่สิบเม็ดเข้าด้วยกันฤทธิ์ยาคงน่าสะพรึงกลัวในระดับที่พอจะระเบิดร่างของอรหันต์จากภายในได้เลย

 

ถ้าไม่ใช่เพราะการคุ้มครองของพระสูตรอมิตาภาบรรพกาล ซูฉินจะไม่กล้าทำเช่นนี้เลย

 

กลึก อึก

 

ซูฉินกลืนโอสถอายุวัฒนะเคลือบทองคำแล้วเริ่มโคจรพลังตามแนวทางของพระสูตรอมิตาภาบรรพกาล เพื่อปรับแต่งตัวยาที่กำลังแผ่ออกมา

 

ในทันทีนั้นเอง ร่างกายของซูฉินเริ่มแปรสภาพไปอีกครั้งอย่างช้าๆ

 

เมื่อเวลาผ่านไปเรื่อยๆ ไอพลังของซูฉินก็มีขนาดใหญ่ขึ้น ใหญ่ขึ้น ไพศาลราวกับจะไม่มีที่สิ้นสุด

 

ถ้าไม่ใช่เพราะพื้นที่หวงห้ามภูเขาด้านหลังมีตราประทับฝ่ามือยูไลที่ถูกทิ้งไว้โดยอรหันต์ถัว ไอพลังของซูฉินคงจะพุ่งทะลุฟากฟ้าไปนานแล้ว และทั่วทั้งวัดเส้าหลินจะตกอยู่ในไอพลังของเขา

 

ในที่สุดแก่นแท้แห่งพลังของซูฉินก็เริ่มเดือดพล่านมากยิ่งขึ้น จนถึงจุดหนึ่งเหมือนว่ามันจะทะลวงผ่านกรงขังที่ครอบเอาไว้และพุ่งขึ้นไปสู่ขอบเขตใหม่

 

เพล้ง!

 

“ก้าวข้ามไปถึงขอบเขตอรหันต์ระดับนภาชั้นที่สองได้ในที่สุด”

 

ซูฉินค่อยๆ ลืมตาขึ้นมา รอยยิ้มปรากฏชัดบนใบหน้า

“ไม่คาดคิดเลยว่า ‘พระสูตรอมิตาภาบรรพกาล‘ จะทรงพลังน่ากลัวขนาดนี้”

 

ซูฉินดูประหลาดใจ

 

เขาเพิ่งจะฝึกฝนพระสูตรอมิตาภาบรรพกาลเพียงครึ่งชั่วโมง แต่รู้สึกว่าความแข็งแกร่งของตนเพิ่มขึ้นเทียบเท่าการฝึกฝนอย่างหนักในสิบวันที่ผ่านมาเลยทีเดียว

 

“โอสถอายุวัฒนะเคลือบทองคำก็หดเล็กลงด้วยเช่นกัน…”

 

ซูฉินเหมือนจะจับความรู้สึกบางอย่างได้จึงกระซิบกระซาบอยู่กับตนเอง

 

โดยทั่วไปแล้วโอสถอายุวัฒนะเคลือบทองคำหนึ่งเม็ด ซูฉินสามารถดูดซับหมดได้ภายในหนึ่งถึงสองเดือน

 

เนื่องจากตัวยาที่อยู่ในโอสถอายุวัฒนะเคลือบทองคำมีมากเกินไป แม้ซูฉินจะเป็นระดับอรหันต์แล้วแต่ก็ยังต้องใช้เวลาในการย่อยและดูดซึม

 

แต่เมื่อครู่

 

เมื่อซูฉินโคจรพลังตามพระสูตรอมิตาภาบรรพกาลพบว่าโอสถอายุวัฒนะเคลือบทองคำที่ท้องน้อยของเขาละลายด้วยความเร็วที่มากจนน่ากลัว

 

“ไม่เลวไม่เลว”

 

“อย่างน้อยที่สุดภายในหนึ่งปีข้าก็จะสามารถก้าวเข้าสู่ขอบเขตอรหันต์ระดับนภาชั้นที่สองได้”

 

ดวงตาของซูฉินเปล่งประกายเจิดจรัส

 

หากไม่มีพระสูตรอมิตาภาบรรพกาล แม้จะได้โอสถอายุวัฒนะเคลือบทองคำช่วยเอาไว้ แต่ซูฉินก็ยังต้องใช้เวลาเกือบสิบปีถึงจะตัดผ่านเขตแดนไปได้

 

แต่ตอนนี้เวลาสั้นลงเป็นสิบเท่า

 

นี่เป็นเพราะการพัฒนาตนของระดับอรหันต์ไม่ใช่เพียงแค่สั่งสมตบะ แต่ที่สำคัญกว่ากลับเป็นความเข้าใจในเรื่องฟ้าดิน

 

ไม่เช่นนั้นความเร็วในการพัฒนาของซูฉินคงจะเร็วกว่านี้ไปแล้ว

 

“ตามที่เคยได้ยินมา หากผู้ใดเข้าใจคัมภีร์ระดับสูงสุดทั้งสาม ได้แก่ พระสูตรอมิตาภาบรรพกาล พระสูตรปัจจุบันขณะแห่งตถาคต และพระสูตรไร้กำเนิด ผู้นั้นจะได้พบกับอิสรภาพอันยิ่งใหญ่ เข้าถึงสุขอันแท้จริง…”

 

ซูฉินเหมือนจะใฝ่หาสิ่งนั้นอยู่เล็กน้อย

 

“น่าเสียดายนักที่วิธีการบ่มเพาะจากพระสูตรอมิตาภาบรรพกาลมีประโยชน์มากเช่นนี้ แต่อัตราการใช้โอสถอายุวัฒนะเคลือบทองคำก็เร็วจนเกินไป…”

 

ซูฉินคิดใคร่ครวญเกี่ยวกับเรื่องนี้

 

เดิมทีโอสถอายุวัฒนะเคลือบทองคำเม็ดหนึ่งเพียงพอให้ซูฉินดูดซับไปนานหนึ่งถึงสองเดือนเลยทีเดียว แต่ตอนนี้เกรงว่าเขาคงต้องใช้โอสถอายุวัฒนะเคลือบทองคำเม็ดถัดไปเพิ่มอีกในสัปดาห์หน้า

 

“นี่มันทำให้เกิดเรื่องเกิดราวขึ้นที่ด้านนอกหรือไม่?”

 

เพียงคิด จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์อันทรงพลังของซูฉินก็ปกคลุมไปทั่ววัดอย่างรวดเร็ว

 

แม้ว่าการฝึกฝนของซูฉินจะสิ้นสุดลงแล้ว แต่พายุบริเวณรอบนอกที่ถึงจะเริ่มสลายไปอย่างช้าๆ นั้น อย่างไรก็ยังหลงเหลือร่องรอยที่หายไปไม่หมดในช่วงเวลาสั้นๆ อยู่

 

 

นอกพื้นที่หวงห้ามภูเขาด้านหลัง

 

เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินและเหล่าหัวหน้าตำหนักกำลังลังเลว่าควรจะเข้าไปดีหรือไม่

 

ท้ายที่สุดแล้วปรากฏการณ์เช่นนี้ถือว่าค่อนข้างใหญ่ทีเดียว แม้ว่าเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินจะพอคาดเดาจากที่เคยอ่านในบันทึกโบราณภายในวัด คาดว่าสิ่งนี้คงเป็นความก้าวหน้าในการบ่มเพาะของซูฉิน แต่เขาก็ยังแอบกังวลอยู่ในใจลึกๆ

 

ทันใดนั้น

 

ชั่วขณะนั้น

 

เสียงอันสงบนิ่งดังก้องที่ข้างหูของเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินและหัวหน้าตำหนักทั้งหมด

 

“กลับกันไปเถอะ ไม่มีอะไร”

 

เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินและหัวหน้าตำหนักต่างก้มลงเล็กน้อยเพื่อคำนับ

 

“ขอรับ”

 

 

 

ในเวลาเดียวกัน

 

ที่ด้านนอกพระราชวังราชวงศ์ถัง

 

ใบหน้าขององค์ชายหลี่เชิงยังคงแสดงอาการแปลกๆ ออกมาเล็กน้อยในตอนนี้

 

“เสด็จพ่อแต่งตั้งให้ข้าเป็นองค์รัชทายาทหรือนี่?”

 

องค์ชายหลี่เชิงกะพริบตาปริบๆ ใบหน้านิ่งค้าง

 

แม้เขาจะได้รู้เรื่องสถานะที่แท้จริงของตนเมื่อไม่กี่ปีก่อนว่าเขาสืบเชื้อสายมาจากราชวงศ์

 

แต่หลี่เชิงจะเคยคิดฝันว่าตนต้องกลายมาเป็นองค์รัชทายาทเช่นนี้ได้เยี่ยงไร?

 

องค์รัชทายาทคือสิ่งใด?

 

ไม่ว่าจะอาณาจักรหรือราชวงศ์ใด องค์รัชทายาทนั้นเป็นรองก็แต่องค์จักรพรรดิเท่านั้น และหลังจากองค์จักรพรรดิสิ้นพระชนม์เขาก็จะขึ้นแทนตำแหน่งอย่างชอบธรรม

 

กล่าวได้ว่าหากหลี่เชิงได้เป็นองค์รัชทายาท เขาก็จะเป็นผู้นำอาณาจักรถังในอนาคต

 

“เหนียงหยุนนี่เป็นเรื่องจริงเช่นนั้นหรือ?”

 

หลี่เชิงมองไปที่ซูเยว่หยุนที่อยู่ด้านข้างตัวเขา

 

เมื่อไม่กี่ปีก่อนหลังจากที่เขาตามหลิวกงกงมาที่วังหลวง เพียงไม่นานนักเขาก็ได้พาซูเยว่หยุนเข้ามาด้วย

 

“อย่าเพิ่งด่วนดีใจไป”

 

“มันไม่ใช่เรื่องดีเท่าไหร่นักที่เจ้าได้กลายมาเป็นองค์รัชทายาท…”

 

ซูเยว่หยุนส่ายหัวแล้วพูดออกมา

 

“ไม่ใช่เรื่องดีเช่นนั้นหรือ…”

 

องค์ชายหลี่เชิงก็สงบใจลงเช่นกัน

 

แม้แต่ตัวเขาเองยังไม่คาดคิดเลยว่าตนจะได้เป็นองค์รัชทายาท แล้วผู้อื่นมิยิ่งกว่าหรอกหรือ?

 

และที่สำคัญที่สุดคือ

 

องค์จักรพรรดิถึงกับแต่งตั้งเขาเป็นองค์รัชทายาท องค์ชายคนอื่นจะคิดเห็นอย่างไร? เหล่าขุนนางข้าราชสำนักจะคิดเช่นไร?

 

รู้หรือไม่ว่าในช่วงไม่กี่ปีมานี้เหล่าพี่น้องของหลี่เชิงล้วนต่อสู้กันอย่างหนักหน่วงเพื่อหวังจะครองตำแหน่งรัชทายาท เกือบถึงขั้นแตกหักกัน

 

พวกเขาจะยอมให้ตำแหน่งรัชทายาทหลุดรอดไปถึงมือหลี่เชิงจริงๆ เช่นนั้นหรือ?

 

นอกจากนี้ยังมีเหล่าขุนนางผู้สนับสนุนองค์ชาย พวกเขาลงเดิมพันทุกสิ่งอย่างกับองค์ชายพระองค์ใดพระองค์หนึ่งไว้อยู่แล้วเพื่อโอกาสในการสืบทอดบัลลังก์

 

หากองค์ชายคนสุดท้องอย่างเขาได้สิ่งที่พวกนั้นต้องการไป ขุนนางที่รอคอยโอกาสเหล่านั้นจะคิดอย่างไร?

 

เมื่อคิดได้ดังนั้นองค์ชายหลี่เชิงก็พลันรู้สึกหนังศีรษะชาวาบ เหมือนตัวเองยืนอยู่ตรงทางตัน

 

“ไม่ต้องเป็นห่วง”

 

“เนื่องจากฝ่าบาททรงตัดสินพระทัยเช่นนี้ จะต้องมีเหตุผลอยู่แล้วเป็นแน่”

 

ซูเยว่หยุนปลอบโยนคนด้านข้างด้วยคำพูดสองสามประโยค

 

“หวังว่าจะเป็นเช่นนั้น” หลี่เชิงพยักหน้าอย่างแข็งแกร่งมั่นคง

 

ในขณะนั้น

 

พลันมีคนวิ่งเข้ามาหา

 

“ฝ่าบาท ฝ่าบาท มีคนจากวังหลวงมาขอเข้าพบขอรับ…”

 

“คนจากวังหลวงอยากพบข้า?” องค์ชายหลี่เชิงผงะไปครู่หนึ่งแล้วจึงตอบกลับไปในทันใด “ข้ารู้แล้ว จะรีบไปเดี๋ยวนี้”

 

ในไม่ช้า

 

หลี่เชิงและซูเยว่หยุนก็พากันเดินออกไปด้านนอก

 

ในขณะนี้ที่ด้านนอกประตูถูกห้อมล้อมไปด้วยขบวนจากพระราชวังฝ่ายใน มีขันทีในชุดคลุมสีม่วงยืนอยู่ตรงนั้นใบหน้าประดับด้วยรอยยิ้ม

 

“สีม่วง?”

 

หลี่เชิงทำได้เพียงร่ำร้องอยู่ในใจของตน

 

หลังจากมาอยู่ที่เมืองฉางอันเป็นเวลานาน หลี่เชิงก็รู้ว่าชุดคลุมสีม่วงเป็นตัวแทนของตัวตนเช่นไรในวังหลวง

 

และนั่นก็คือจ้าวกงกง ความเป็นไปทั้งหมดภายในวังหลวงอยู่ในกำมือของขันทีผู้นี้ มีอำนาจมากเสียยิ่งกว่าเหล่าองค์ชายเสียอีก

 

ในสถานการณ์ปกติเขาจะถวายการรับใช้ต่อองค์จักรพรรดิถังและเป็นไปไม่ได้เลยที่จะออกจากวังหลวง

 

แต่ตอนนี้จ้าวกงกงดันปรากฏตัวอยู่ที่หน้าประตูที่พักของหลี่เชิง…

 

พอคิดเรื่องราวต่างๆ ดูแล้ว หลี่เชิงก็เริ่มกังวลขึ้นมา

 

“ถวายบังคม”

 

เมื่อจ้าวกงกงเห็นหลี่เชิงเดินออกมาก็โค้งคำนับลงเล็กน้อย

 

“จ้าวกงกง”

 

หลี่เชิงตอบรับกลับไปด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

 

“เรียนฝ่าบาท องค์จักรพรรดิมีคำสั่งให้องค์ชายย้ายไปอยู่ที่พระราชวังตะวันออก”

 

จ้าวกงกงกล่าวคำช้าๆ

 

“พระราชวังตะวันออก?”

 

หลี่เชิงผงะไปชั่วขณะแล้วพูดว่า “ข้าจะเก็บของแล้วไปที่พระราชวังตะวันออกพร้อมกับจ้าวกงกงในทันที”

 

“ไม่จำเป็น”

 

จ้าวกงกงส่ายศีรษะน้อยๆ แล้วกล่าวว่า “พระองค์สามารถตามเกล้ากระหม่อมไปยังพระราชวังตะวันออกตอนนี้ได้เลย ทุกสิ่งทุกอย่างได้เตรียมพร้อมรับรองเอาไว้ที่นั่นหมดสิ้นแล้ว”

 

“แต่ว่า…”

 

หลี่เชิงดูลังเล เขาเหลือบไปมองซูเยว่หยุนที่อยู่ข้างๆ เขาถามออกอย่างไม่แน่ใจ “เช่นนั้นข้าขอไปที่พระราชวังตะวันออกพร้อมกับจ้าวกงกงและเหนียงหยุน”

 

“เหนียงหยุน?”

 

จ้าวกงกงหันมาสบตากับซูเยว่หยุนแล้วจึงส่ายหัว “มีเพียงองค์รัชทายาทและพระชายาเท่านั้นที่สามารถอยู่ในพระราชวังตะวันออกได้ ส่วนคนอื่นๆ ไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไป”

 

แม้ว่าซูเยว่หยุนจะเป็นคู่สมรสของหลี่เชิง แต่นางก็ยังไม่ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นพระชายาอย่างเป็นทางการ

 

สุดท้ายแล้วแม้แต่ตัวหลี่เชิงเองก็เพิ่งได้รับตำแหน่งเป็นองค์รัชทายาทในวันนี้นี่เอง แล้วจะมีเวลาไหนไปแต่งตั้งซูเยว่หยุนกันเล่า

 

“เจ้าจงไปพระราชวังตะวันออกก่อนเถิด ข้ามิได้รีบร้อนอันใด”

 

ซูเยว่หยุนพลันกระซิบบอกเมื่อเห็นหลี่เชิงมีอาการลังเล

 

ตอนนี้คนที่ยืนอยู่ตรงหน้าพวกเขาคือจ้าวกงกง ขันทีชุดม่วง หากจ้าวกงกงไม่พอใจเพราะความลังเลของหลี่เชิงมันจะเป็นปัญหาต่อเนื่องไปยังองค์จักรพรรดิได้

 

“ฝ่าบาท เร็วเข้าเถอะ”

 

เมื่อจ้าวกงกงเห็นว่าหลี่เชิงไม่ตอบสนอง เขาก็ขมวดคิ้วเล็กน้อยแล้วมองไปที่ซูเยว่หยุนอีกครั้ง

 

ด้วยการเหลือบมองนี้จึงทำให้จ้าวกงกงเห็นจี้หยกที่แขวนอยู่บริเวณเอวของซูเยว่หยุน

 

จี้หยกนี้ดูธรรมดามาก แต่ซูเยว่หยุนกลับห้อยไว้ข้างกายเห็นได้ชัดว่าให้ความสำคัญกับมันมาก

 

กระนั้นจ้าวกงกงดูเหมือนจะค้นพบบางสิ่งเข้า สายตาของเขาจดจ้องไปที่จี้หยกข้างเอวของซูเยว่หยุน

 

“นี่คือ?”

 

ยิ่งมองดูจ้าวกงกงก็ยิ่งใจสั่นขึ้นเรื่อยๆ สีหน้าเริ่มเปลี่ยนไป ความตกใจ ความไม่เข้าใจฉายชัดอยู่บนใบหน้า

 

เรื่องที่จักรพรรดิถังมีอายุมากแล้วไม่ได้เป็นความลับใด

 

หากไม่มีขันทีชุดม่วงอันทรงเกียรติคอยปราม เกรงว่าขณะนี้วังหลวงคงจะเต็มไปด้วยความโกลาหลเสียแล้ว

 

แต่กระนั้นเหล่าองค์ชายก็ยังคงต่อสู้กันอยู่ทั้งที่ลับและที่แจ้ง ทุกคนต่างมีความคิดแตกต่างกัน

 

เหล่าเชื้อพระวงศ์ต่างก็เลือกข้างเดิมพันสนับสนุนองค์ชายสักพระองค์

 

เดิมทีจากสายตาของผู้คนมากมาย จักรพรรดิถังคงจะเลือกองค์ชายสักพระองค์ในวังหลวงที่ทรงสง่าราศีมาแต่งตั้งเป็นรัชทายาท

 

ที่สุดแล้วในบรรดาทายาทหลายคนขององค์จักรพรรดิถัง บางคนก็มีความสามารถไม่น้อย ต่างจากคนอื่นที่เก่งเพียงแต่การดื่มกินเที่ยวเล่น รอคอยความตายไปวันๆ

 

อย่างไรก็ตาม

 

สิ่งที่ทุกคนไม่คาดคิดคือในที่สุดองค์จักรพรรดิถังก็เลือก เลือกองค์ชายหลี่เชิงเป็นองค์รัชทายาท?

 

องค์ชายหลี่เชิงเป็นทายาทที่องค์จักรพรรดิถังทรงทิ้งไว้ภายนอกวัง และเพิ่งได้รับการยอมรับให้กลับเข้าวังเมื่อไม่กี่ปีก่อนนี่เอง

 

เหล่าขุนนางและองค์ชายหลายคนรู้เรื่องนี้อยู่บ้างเหมือนกัน เพียงแต่พวกเขาไม่เคยคิดเลยว่าวันหนึ่งองค์ชายหลี่เชิงจะได้รับการแต่งตั้งให้เป็นองค์รัชทายาท

 

เนื่องจากรากฐานเบื้องหลังขององค์ชายหลี่เชิงตื้นเขินเกินไป

 

 

ณ วัดเส้าหลิน

 

บางคราซูฉินก็จะใช้จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของเขากวาดไปรอบๆ วัด และมีอยู่ครั้งหนึ่งเขาได้ยินศิษย์วัดพูดคุยเกี่ยวกับปัญหาในรั้วในวัง เรื่องรัชทายาทพระองค์ใหม่แห่งอาณาจักรถัง

 

“โอ้?”

 

“จริงเสียด้วย เขาถูกแต่งตั้งให้เป็นองค์รัชทายาทเรียบร้อยแล้ว”

 

ซูฉินแตะปลายคาง ดวงตาของเขาเหม่อลอยครุ่นคิด

 

เมื่อเขาพบเข้ากับหลี่เชิงครั้งแรกที่คฤหาสน์ตระกูลซู เขาก็รู้ได้ว่ามีโชคชะตาบ้านเมืองแห่งอาณาจักรถังอยู่ในตัวชายคนนั้นถึงหนึ่งในสิบส่วน

 

ตัวตนเช่นนี้ตราบใดที่ไม่ตกตายไปเสียก่อน ในอนาคตก็คงเป็นเรื่องของเวลาก่อนที่เขาจะขึ้นไปนั่งบนบัลลังก์

 

“อาณาจักรถัง…”

 

“เมืองฉางอัน…”

 

หัวใจของซูฉินขยับวูบ

 

อาณาจักรราชวงศ์ถังก่อตั้งมานานถึงห้าร้อยปี แต่เมืองหลวงของอาณาจักรถังซึ่งก็คือฉางอัน เป็นเมืองหลวงเก่าแก่ที่ผ่านยุคสมัยมากว่าสิบราชวงศ์ มีประวัติศาสตร์ยาวนานหลายพันปี

 

ในเวลาหลายพันปีมานี้รอบนอกของเมืองฉางอันอาจจะถูกบูรณะซ่อมแซมใหม่นับครั้งไม่ถ้วน แต่เมืองหลวงของอาณาจักรไม่เคยแปรเปลี่ยนไป

 

แม้แต่ปราสาทหยกที่ประดับประดาไปด้วยเพชรนิลจินดาและพระราชวังที่สูงตระหง่านก็เหมือนเดิม เหมือนกับเมื่อหลายพันปีก่อน

 

อีกนัยหนึ่ง เมืองหลวงฉางอันได้อยู่เคียงคู่การเกิดดับของราชวงศ์นับสิบ ยืนหยัดอยู่บนผืนแผ่นดินเดิมมานับพันปี

 

“เมืองหลวงอันเก่าแก่ยาวนานนับสิบราชวงศ์…”

 

“ ‘เต๋าสะสม‘ นับพันปีที่อยู่ภายในเมืองฉางอัน น่าจะใกล้เคียงกับของวัดเส้าหลิน…”

 

ดวงตาของซูฉินสดใส หัวใจของเขาเต้นถี่รัว

 

แม้ว่าซูฉินจะไม่เคยไปที่เมืองฉางอันมาก่อน แต่เขาก็เดาได้ว่า ‘เต๋าสะสม‘ ภายในเมืองคงสะสมมายาวนานหลายพันปี

 

คงจะมากพอให้ซูฉินลงชื่อเข้าใช้ได้เป็นเวลานาน

 

“เมื่อ ‘เต๋าสะสม‘ ของวัดเส้าหลินหมดลง ถึงเวลาแล้วที่จะไปยังเมืองฉางอัน”

 

ความคิดของซูฉินพลิกตลบ

 

“เมื่อพูดถึงการลงชื่อเข้าใช้ สิทธิ์ในการลงชื่อของวันนี้ก็ยังไม่ได้ใช้เลยนี่นา”

 

ทันทีที่ซูฉินคิดออก ร่างเขาก็หายวับไปและปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งที่ด้านนอกศาลาพระคัมภีร์

 

“ในช่วงหลายสิบครั้งที่ผ่านมา ข้าลงชื่อเข้าใช้ที่ลานโพธิ์จนมีโอสถอายุวัฒนะเคลือบทองคำอยู่มากพอสมควรแล้ว วันนี้ข้าจะลงชื่อเข้าใช้ที่ศาลาพระคัมภีร์แทน”

 

ซูฉินพูดกับตนเองในใจ

 

“ระบบ ลงชื่อเข้าใช้”

 

[ขอแสดงความยินดี โฮสต์ลงชื่อเข้าใช้สำเร็จ ได้รับ ‘พระสูตรอมิตาภาบรรพกาล‘]

 

เสียงจักรกลเย็นยะเยือกดังก้องอยู่ภายในหูของซูฉิน

 

“พระสูตรอมิตาภาบรรพกาล?”

 

สีหน้าของซูฉินเปลี่ยนไปเล็กน้อย

 

พระสูตรอมิตาภาบรรพกาลเป็นหนึ่งในคัมภีร์ระดับสูงที่สุดของวิทยายุทธทางสายพุทธ

 

ระดับนั้นสูงส่งมาก แม้ว่าจะไม่สามารถเทียบเท่าฝ่ามือยูไล แต่เกรงว่ามันจะไม่ห่างไกลกันมากนัก

 

กล่าวเพียงแค่ในประวัติศาสตร์ของวัดเส้าหลินกว่าพันปีและแม้แต่ ‘ปรมาจารย์โพธิธรรม‘ ที่เชี่ยวชาญศาสตร์วิชาหลายแขนงก็ยังไม่เข้าใจในพระสูตรอมิตาภาบรรพกาลเลย นับประสาอะไรกับคนอื่นๆ

 

ราวกับพระสูตรอมิตาภาบรรพกาลไม่ได้มีไว้ให้ปุถุชนได้เรียนรู้

 

ซูฉินเองก็ไม่ได้คาดหวังว่าการลงชื่อครั้งนี้ของเขาจะได้รับสุดยอดคัมภีร์เช่นนี้มา

 

“คราวนี้ได้กำไรมาเต็มๆ”

 

ซูฉินมีความสุขมากเห็นได้จากรอยยิ้มบนใบหน้าของเขา จากนั้นจึงหันหลังกลับไปที่เขตหวงห้ามภูเขาด้านหลัง

 

สำหรับคนอื่นๆ แม้ว่าจะได้รับต้นฉบับพระสูตรอมิตาภาบรรพกาลไปก็ไม่มีประโยชน์ใด

 

เพราะยังไงก็คงไม่สามารถเข้าใจความละเอียดอ่อนของเนื้อหาภายในได้

 

ดังนั้นในสายตาของคนส่วนใหญ่ จึงเห็นว่าพระสูตรอมิตาภาบรรพกาลไม่ได้ใช้งานง่ายเหมือนกับหมัดอรหันต์

 

อย่างน้อยๆ หากศึกษาหมัดอรหันต์อย่างเพียรพยายาม แม้แต่คนธรรมดาก็ยังสามารถเข้าใจหลักการของมันได้ภายในไม่กี่เดือน

 

แต่กับพระสูตรอมิตาภาบรรพกาลนั้น?

 

ไม่ว่าจะมีความสามารถแค่ไหน ไม่ว่าจะเก่งแค่ไหน ถ้าหากไม่เข้าใจ จะเอาไปใช้งานได้เยี่ยงไร?

 

แต่ซูฉินแตกต่างจากผู้อื่น

 

ไม่ว่าทักษะมหัศจรรย์ใดที่ได้รับมาจากระบบ จะถูกปลูกฝังเข้าไปในจิต และจะเชี่ยวชาญศาสตร์นั้นได้โดยอัตโนมัติ

 

ความยากของพระสูตรอมิตาภาบรรพกาลคือการไม่สามารถแม้แต่จะก้าวข้ามประตูด่านแรกในการศึกษาได้เลยด้วยซ้ำ

 

หรือกล่าวได้ว่า ส่วนที่ยากที่สุดในพระสูตรอมิตาภาบรรพกาลคือส่วนที่ง่ายที่สุดในสายตาของซูฉิน

 

ตอนที่ซูฉินกำลังคิดถึงเรื่องนี้

 

ข้อมูลอันลึกซึ้งเกี่ยวกับพระสูตรอมิตาภาบรรพกาลก็ถาโถมเข้ามาในจิตของซูฉิน

 

ภาพทุกอย่างสับสนวิงเวียนไปหมด ในส่วนลึกของจิตใจซูฉินได้กลั่นตัวออกมาเป็นยูไลองค์ใหญ่ที่อยู่ในห้วงอดีต กำลังจ้องมองมาที่ปัจจุบันขณะและมองต่อไปยังอนาคต

 

ตูม!!!

 

จิตวิญญาณของซูฉินสั่นสะเทือน ตกใจจนลืมตาตื่นขึ้นมาในทันที

 

“พระสูตรอมิตาภาบรรพกาลสมควรแล้วที่ได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในวิทยายุทธระดับสูงสุดของสายพุทธ”

 

ซูฉินพยักหน้าเล็กน้อย แม้แต่ขอบเขตอรหันต์เช่นเขาก็อดไม่ได้ที่จะนั่งจมอยู่ในความคิด ใคร่ครวญถึงพระสูตรอมิตาภาบรรพกาล

 

“พระสูตรอมิตาภาบรรพกาลเป็นกลวิธีบ่มเพาะจิตวิญญาณที่ใช้แก่นแท้แห่งพลังในการขับเคลื่อน”

 

เมื่อความคิดของซูฉินเคลื่อนไป แก่นแท้แห่งพลังในกายของเขาก็เริ่มไหลเวียนโคจรอย่างต่อเนื่องไปตามเส้นทางการโคจรพิเศษเฉพาะ

 

ก่อนที่จะได้รับพระสูตรอมิตาภาบรรพกาล ที่ผ่านมาซูฉินควบคุมจิตวิญญาณของตนด้วย‘วิชาบ่มเพาะอรหันต์ชั้นยอด‘

 

‘วิชาบ่มเพาะอรหันต์ชั้นยอด‘ เป็นกลวิธีบ่มเพาะจิตวิญญาณระดับอรหันต์ซึ่งสามารถเร่งความเร็วในการบ่มเพาะได้ดีทีเดียว ช่วยเพิ่มการรับรู้และควบคุมพลังฟ้าดิน

 

นับได้ว่าวิชาบ่มเพาะอรหันต์ชั้นยอดเป็นกลวิธีบ่มเพาะจิตวิญญาณในระดับอรหันต์ที่ยอดเยี่ยมวิธีหนึ่ง

 

แต่ในขณะนี้หลังจากที่ได้รับพระสูตรอมิตาภาบรรพกาลซึ่งเหนือกว่าวิชาบ่มเพาะอรหันต์ชั้นยอดไปมาก ซูฉินก็เปลี่ยนมาบ่มเพาะวิชาใหม่แทนวิชาบ่มเพาะอรหันต์ชั้นยอดโดยไม่มีความลังเลเลย

 

หวู่!

 

ชี่!

 

ซูฉินนั่งลงขัดสมาธิ แก่นแท้แห่งพลังไหลเวียนไปตามแนวทางของพระสูตรอมิตาภาบรรพกาลอย่างรวดเร็ว

 

ฟู่ว

 

ระหว่างดำเนินการบ่มเพาะพระสูตรอมิตาภาบรรพกาล ทั่วพื้นที่หวงห้ามภูเขาด้านหลังก็เกิดลมพายุก่อตัวจากพลังฟ้าดินขนาดใหญ่กว่าปกตินับสิบเท่า วิ่งวนรวมกันเป็นทรงกรวยขนาดใหญ่พุ่งเข้าใส่ร่างของซูฉินอย่างบ้าคลั่ง

 

เวลาผ่านเลยไป

 

ลมพายุจากพลังฟ้าดินยังคงรวมตัวกันที่เขตหวงห้ามภูเขาด้านหลัง ไม่เพียงไม่สลายหายไป แต่กลับกระจายพื้นที่สูบพลังฟ้าดินจากทั่ววัดเส้าหลิน

 

ไม่นานจากนั้น

 

ท้องฟ้าเหนือวัดเส้าหลินก็เหมือนถูกพายุเข้าปกคลุม

 

“นั่นมันอะไรกัน?”

 

ศิษย์วัดเส้าหลินหลายคนเงยหน้าขึ้นมองอย่างตื่นตะลึง

 

ขณะนั้นพวกเขากำลังทำกิจธุระของตนอยู่ บ้างฝึกฝน บ้างทำงาน พวกเขาไม่คาดคิดว่าสภาพอากาศจะผันแปรไปอย่างรุนแรงแบบนี้ พลังฉีฟ้าดินมารวมตัวกันอย่างไม่มีที่สิ้นสุดคลุมไปทั่วทุกพื้นที่

 

เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินและเหล่าหัวหน้าตำหนักรีบมารวมตัวกัน

 

“พลังฉีฟ้าดินมารวมตัวกันราวกับเมฆฝนเช่นนี้จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อเหล่าอรหันต์สำเร็จความก้าวหน้าในการบ่มเพาะ…”

 

เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินพึมพำกับตัวเองด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

 

หัวหน้าตำหนักมองหน้ากันต่างพากันกลืนน้ำลายลงคอทีละคนสองคน

 

ในสายตาของพวกเขาผู้ทรงสมณศักดิ์อันสูงส่งเปรียบเสมือนเทพเจ้าที่ยืนอยู่เหนือโลกหล้า พวกเขานึกไม่ออกเลยว่าหากผู้ทรงสมณศักดิ์ฯ ยังคงทะลวงขั้นต่อไปมันจะเป็นเยี่ยงไร?

 

 

พื้นที่หวงห้ามภูเขาด้านหลัง

 

ซูฉินที่นั่งขัดสมาธิอยู่ ได้เปิดเปลือกตาขึ้น

Sign in Buddha’s palm 72 ซ่อมแซมดวงใจพุทธะให้สมบูรณ์

 

 

ภายในลานธรรม

 

รัศมีแสงแผ่ซ่าน

 

ดอกบัวสีทองเบ่งบาน

 

ซูฉินก้าวไปข้างหน้าแล้วยกมือขวาเหยียดนิ้วเรียวทั้งห้าแปะไปบนหน้าผากของ ‘เฉียนขู่‘ เบาๆ

 

ดวงใจพุทธะที่เสียหาย ปกติแล้วมักจะเกิดขึ้นตั้งแต่กำเนิด

 

แต่ไม่ว่าสิ่งนั้นจะเสียหายไปมากเพียงใด ก็ยังหลงเหลือเศษเสี้ยวแก่นภายในของดวงใจพุทธะอยู่เสมอ และด้วยเศษเสี้ยวแก่นภายในนี้แหละที่จะทำให้ดวงใจพุทธะกลับมาสมบูรณ์ได้

 

แน่นอนว่าบนโลกนี้คงมีเพียงซูฉินคนเดียวที่ทำเช่นนี้ได้

 

แม้แต่อรหันต์รุ่นก่อนๆ ของวัดเส้าหลินจะฟื้นคืนชีพกลับมา หรือเป็นตำนานยุทธจากภายนอกก็ไม่สามารถที่จะซ่อมแซมดวงใจพุทธะที่เสียหายได้ง่ายๆ

 

ดวงตาแห่งสัจจะสามารถตรวจจับพลังฟ้าดินทั้งหลายได้และดวงใจพุทธะก็เป็นส่วนหนึ่งในนั้น เมื่อรวมความสามารถของดวงตาแห่งสัจจะเข้ากับพลังของซูฉิน เหตุใดเขาจึงจะทำให้มันสมบูรณ์ไม่ได้เล่า

 

“ท่าน…ท่านผู้ทรงสมณศักดิ์…”

 

เณรน้อย ‘เฉียนขู่‘ เบิกตากว้าง เมื่อปลายนิ้วทั้งห้าของซูฉินแตะเข้าที่หน้าผากของตน เขาก็พลันรู้สึกทั้งอบอุ่นและอึดอัดในเวลาเดียวกัน

 

‘เฉียนขู่‘ รู้สึกว่าอัตราการเต้นของหัวใจของเขาเร็วขึ้นอย่างต่อเนื่อง เลือดลมร้อนระอุราวกับมีการเปลี่ยนแปลงบางอย่างเกิดขึ้นภายใน

 

“ผู้ทรงสมณศักดิ์อันสูงส่ง!”

 

“คำนับท่านผู้ทรงสมณศักดิ์ฯ”

 

เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินและหัวหน้าตำหนักต่างประหลาดใจกันในคราแรก แต่ตอนนี้ดูเหมือนพวกเขาจะพอตระหนักถึงบางสิ่งได้แล้ว จึงโค้งคำนับต่อหน้าซูฉิน

 

ทั่วทั้งวัดเส้าหลิน ผู้ที่สามารถเดินเข้าออกลานธรรมได้อย่างเงียบเชียบ และสร้างนิมิตเช่นนี้ขึ้นมาได้ มีเพียงท่านผู้ทรงสมณศักดิ์อันสูงส่งเท่านั้น

 

แม้ว่าเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินและเหล่าหัวหน้าตำหนักจะสงสัยกับสิ่งที่ซูฉินกำลังทำอยู่ตอนนี้ แต่พวกเขาก็พอจะเดาได้ว่ามันน่าจะเกี่ยวข้องกับ ‘เฉียนขู่‘

 

เวลาค่อยๆ ผ่านเลยไป

 

รัศมีแสงยังคงแผ่กระจายออกอย่างเชื่องช้าราวกับว่าจะคงอยู่ตลอดไป

 

เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินและหัวหน้าตำหนักต่างรอคอยด้วยอาการเคารพ ไม่มีใครใจร้อน

 

ในความจริงแล้วใต้รัศมีแสงแห่งองค์ยูไล แม้ว่าพวกเขาจะไม่ใช่เป้าหมายโดยตรง แต่เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินและเหล่าหัวหน้าตำหนักก็ยังได้รับประโยชน์บางอย่างไปด้วย

 

หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วโมง

 

ซูฉินค่อยๆ รั้งมือขวากลับมา

 

เขาได้ใช้กำลังภายในระดับ ‘อรหันต์‘ ของตนเองเพื่อชดเชยส่วนที่ไม่สมบูรณ์ให้กับดวงใจพุทธะของ‘เฉียนขู่‘ และนอกจากนี้ยังช่วยชำระเส้นเอ็นล้างไขกระดูกให้อีกด้วย

 

ท้ายที่สุดแล้วในใจของซูฉินได้วาง ‘เฉียนขู่‘ ไว้ในตำแหน่ง ‘รากฐาน‘ ที่จะทิ้งไว้ให้กับวัดเส้าหลิน ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่เขาจะใจกว้าง

 

หากจอมยุทธคนอื่นๆ ในยุทธภพได้รู้ว่าเณรอย่าง ‘เฉียนขู่‘ ถูกชำระเส้นเอ็นล้างไขกระดูกให้โดยอรหันต์ พวกเขาจะต้องอิจฉาตาร้อนอย่างแน่นอน

 

รู้หรือไม่ ไม่ว่าจะเป็นระดับอรหันต์หรือตำนานยุทธหลังจากก้าวกระโดดผ่านขอบเขตอันยิ่งใหญ่ พวกเขาก็ได้เปลี่ยนแปลงไปสู่อีกระดับหนึ่ง

 

การชำระเส้นเอ็นล้างไขกระดูกโดยอรหันต์นั้นเพียงพอจะทำให้ ‘เฉียนขู่‘ เดินนำเหล่าจอมยุทธส่วนใหญ่ในยุทธภพไปแล้วทั้งๆ ที่ยังไม่ได้เข้าสู่เส้นทางของผู้ฝึกยุทธเลยด้วยซ้ำ

 

“หากมีปัญหาใดเกิดขึ้นในอนาคต”

 

“เจ้าสามารถตามหาข้าได้ที่เขตหวงห้ามภูเขาด้านหลัง”

 

ซูฉินทิ้งคำพูดเอาไว้จากนั้นจึงหมุนตัวจากไป

 

รัศมีแสงแห่งยูไลสลายไป

 

บัวทองหุบกลับ

 

ลานธรรมกลับสู่ความสงบในฉับพลัน

 

ไม่นานนักหลังจากที่ซูฉินจากไป เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินและหัวหน้าตำหนักจึงกล้าที่จะเริ่มกล่าวคำออกมา

 

“ท่านเจ้าอาวาส”

 

“ผู้ทรงสมณศักดิ์ฯ ยอมรับ ‘เฉียนขู่‘ เป็นศิษย์แล้วหรือ?”

 

หัวหน้าตำหนักยุทธสงฆ์อดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม

 

แม้ว่าซูฉินจะไม่ได้กล่าวว่าเขาจะรับศิษย์ แต่เนื่องจากเขาอนุญาตให้ ‘เฉียนขู่‘ ไปยังพื้นที่หวงห้ามภูเขาด้านหลังได้ เห็นได้ชัดว่าเขาก็แอบยอมรับฐานะอาจารย์อยู่ในใจ

 

“ข้าก็ไม่ทราบ”

 

“เราจะเข้าใจความคิดของผู้ทรงสมณศักดิ์ฯ ได้อย่างไร?”

 

เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินส่ายหัวเล็กน้อย แต่ก็เกิดความสงสัยขึ้นในใจ “การมาครั้งนี้ของท่านนั้น มีเรื่องอะไรไม่ปกติเกิดขึ้นรึเปล่า?”

 

เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินก็จับจ้องไปที่ ‘เฉียนขู่‘ ที่หลับใหลไปแล้ว

 

“หืม?”

 

ในที่สุดเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินก็พบสิ่งผิดปกติ

 

‘เฉียนขู่‘ในตอนนี้ กลับมีลักษณะเป็นปกติ ราวกับว่าเขากลายเป็นคนธรรมดาไปเสียแล้ว

 

“คืนสู่สามัญ”

 

“นี่คือการหวนคืนสู่สามัญ”

 

เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินตกใจและพึมพำอยู่กับตนเอง

 

หัวหน้าตำหนักคนอื่นๆ ก็ดูเหลือเชื่อเช่นกัน

 

ถึงพวกเขาจะไม่รู้ว่าเมื่อครู่ซูฉินทำอะไรกับ ‘เฉียนขู่‘ แต่พวกเขาก็ตระหนักดีว่ามันย่อมเป็นเรื่องที่ดี

 

ในยุทธภพนี้ การเป็นต้นไม้ใหญ่ท่ามกลางสายลมมีแต่จะเป็นการทำลายตัวของพวกเขาเองเท่านั้น

 

หาก ‘เฉียนขู่‘ ยังคงรักษาลักษณะเช่นเดิมเอาไว้ แม้จะมีพรสวรรค์อันสูงส่ง แต่สุดท้ายมันอาจโดนปล้นชิงไปได้ในอนาคต

 

ส่วนตอนนี้ทุกอย่างซ่อนอยู่ในกายอย่างมิดชิด ไม่หวือหวา แต่อนาคตอันรุ่งโรจน์รอคอยอยู่เบื้องหน้า

 

 

พื้นที่หวงห้ามภูเขาด้านหลัง

 

ซูฉินนั่งขัดสมาธิโคจรพลังภายในไปทั่วร่าง ผสานเข้ากับเนื้อหนังและเส้นเลือดอย่างต่อเนื่อง หล่อเลี้ยงร่างกายอยู่ตลอดเวลา

 

“กำลังภายในของระดับอรหันต์นั้นได้เปลี่ยนแปลงไปถึงระดับรากฐานแล้ว และแตกต่างไปจากกำลังภายในของวิทยายุทธทั้งเก้าระดับชั้น”

 

ซูฉินลืมตาขึ้น เขารู้สึกได้ถึงทุกซอกทุกมุมภายในร่างกายของตน

 

หากกล่าวว่ากำลังภายในของยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งคือน้ำที่ไหลแรง กำลังภายในของยอดปรมาจารย์ระดับจุดสูงสุดเปรียบได้กับท่อนไม้

 

กำลังภายในของระดับอรหันต์จึงเทียบได้กับเหล็กกล้า

 

เพียงกำลังภายในอย่างเดียวของระดับอรหันต์ก็เพียงพอที่จะกำจัดกลุ่มยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งลงได้แล้ว

 

ทั้งคู่อยู่คนละระดับกันอย่างสิ้นเชิง

 

“หรือจะกล่าวได้อีกอย่าง กำลังภายในของขอบเขตอรหันต์ไม่ได้เรียกว่ากำลังภายในอีกต่อไป มันคือแก่นแท้แห่งพลังประเภทหนึ่ง?”

 

ซูฉินคิดในใจอย่างเงียบๆ

 

ความเป็นจริงกำลังภายในของระดับอรหันต์และกำลังภายในของวิทยายุทธทั้งเก้าระดับชั้นไม่ใช่สิ่งเดียวกัน

 

หากยังใช้ชื่อเดิมอีกอาจจะทำให้สับสนได้

 

“ผลของโอสถอายุวัฒนะเคลือบทองคำเกือบจะหมดลงแล้ว”

 

เพียงแค่คิด ขวดบรรจุโอสถอายุวัฒนะเคลือบทองคำอีกขวดหนึ่งก็โผล่ขึ้นมาในมือของซูฉิน

 

ทันใดนั้นพลังฟ้าดินก็เริ่มพุ่งเข้ามาอย่างอ่อนๆ แต่ถูกจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของซูฉินระงับเอาไว้ในทันที

 

อึกอึก

 

ซูฉินกลืนเม็ดยาอายุวัฒนะเคลือบทองคำลงไป

 

ช่วงนี้ซูฉินใช้โอสถอายุวัฒนะเคลือบทองคำไปเกือบสิบเม็ด มันทำให้เขารู้สึกเป็นทุกข์ไปพักใหญ่

 

อย่างไรก็ตามเมื่อเขาลงชื่อเข้าใช้และได้รับโอสถอายุวัฒนะเคลือบทองคำมาอีกเป็นโหล โดยพื้นฐานแล้วก็ถือว่าสมดุลระหว่างสิ่งที่ได้มากับสิ่งที่เสียไป

 

ฟู่ว!

 

เม็ดยาที่ไม่มีสี โปร่งใส ไหลลงไปในช่องท้องทันที และทันใดนั้นตัวยาก็เริ่มแผ่กระจายออก กลั่นตัวกลายเป็นแก่นแท้แห่งพลังอย่างต่อเนื่อง ไหลไปตามรยางค์แขนขา

 

ในขณะที่ซูฉินฝึกฝนต่อ ความแข็งแกร่งของเขาก็ค่อยๆ ก้าวไปสู่ระดับที่สูงขึ้นทีละน้อย

 

แล้วจากนั้นเขาก็กลับเข้าสู่วังวนเก่าอีกครั้ง

 

ลงชื่อเข้าใช้ ฝึกฝน ทำความเข้าใจรูปแบบแรกของฝ่ามือยูไล

 

นอกเหนือไปจากนี้ ซูฉินก็มีให้คำแนะนำแก่ ‘เฉียนขู่‘ บ้างเป็นครั้งคราว

 

ต้องบอกว่า ‘เฉียนขู่‘ ที่มีดวงใจพุทธะนั้นน่าเหลือเชื่อมาก ไม่ว่าจะเป็นวิทยายุทธหรือพระธรรมคัมภีร์ เขาก็สามารถเข้าใจหลักพื้นฐานใหญ่ๆ ได้โดยละเอียด

 

ช่างประหยัดเวลาให้กับซูฉินเป็นอย่างมาก ที่เขาทำมีเพียงให้คำแนะนำเป็นจุดๆ ไป

 

สามปีผ่านเลยไปในพริบตาเดียว

 

ในช่วงสามปีที่ผ่านมา วัดเส้าหลินไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปมากนัก ยังคงมีพระพุทธรูปอันเก่าแก่ มีโคมไฟสีฟ้าตามทาง ความแตกต่างเพียงอย่างเดียวนั่นก็คือ ‘เฉียนขู่‘ ได้เข้าสู่ระดับชั้นที่เจ็ดแล้ว

 

เรื่องนี้ทำให้ซูฉินพอใจมาก

 

ตัวเขาเองใช้เวลาตั้งสองเดือนในการกลายเป็นจอมยุทธระดับชั้นที่เจ็ด เพราะฉะนั้นถือว่า ‘เฉียนขู่‘ ก็ทำได้ดีอยู่

 

อย่างไรก็ตาม ภายในวัดเส้าหลินทุกอย่างดูเหมือนผ่านไปอย่างเชื่องช้า แต่ที่ภายนอกกลับยุ่งเหยิง

 

ศิษย์ที่อายุน้อยที่สุดของนักพรตจางทายาทจอมยุทธจากเขาหวู่ตั้ง ได้สะพายกระบี่ลงมาจากภูเขา ต้องการจะท้าทายผู้คนในยุทธภพ

 

ส่วนอาณาจักรเหมิ่งหยวนก็นำกำลังหลายล้านคนเข้าทำลายอาณาจักรเล็กๆ แห่งหนึ่ง

 

นอกจากนี้ยังมีเรื่องโกลาหลเกิดขึ้นในวังหลวงราชวงศ์ถัง จักรพรรดิถังได้แต่งตั้งให้องค์ชายหลี่เชิงขึ้นเป็นรัชทายาท

Sign in Buddha’s palm 71 สัมผัสแห่งยูไล ตามทางเดินตถาคต

 

 

ฝ่ามือยูไลเป็นเคล็ดวิชาแรกที่ซูฉินได้รับจากการลงชื่อเข้าใช้งานระบบครั้งแรก เรียกได้ว่าเป็นเคล็ดวิชาที่แข็งแกร่งที่สุดในวัดเส้าหลิน สืบทอดมาจากองค์ยูไล

 

ในขณะที่ฝ่ามือยูไลก็ยังเป็นเคล็ดวิชาที่ระดับสูงที่สุดในบรรดาวิชาคัมภีร์จำนวนนับไม่ถ้วนที่ซูฉินได้รับมาหลังจากลงชื่อเข้าใช้กว่ายี่สิบปีอีกด้วย

 

“ในเมื่อ ‘อรหันต์ถัว‘ สามารถปราบมารพุทธะได้ด้วยฝ่ามือยูไล ความแข็งแกร่งในปัจจุบันของข้าควรจะใช้ฝ่ามือยูไลได้แล้ว”

 

ความคิดของซูฉินแล่นไป จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์อันทรงพลังก็ค่อยๆ ไหลเข้าสู่ระหว่างคิ้วของเขา

 

หวึ่ง!!!

 

ซูฉินเหมือนเข้าไปอยู่ในห้วงความว่างเปล่าอันกว้างใหญ่ไพศาล แลดูเพ้อฝัน ลึกซึ้ง เปล่งประกายเจิดจรัส

 

ที่ด้านหน้ามีองค์ยูไลทองคำตั้งอยู่บนพื้นดินสูงจรดฟ้า เสียงธรรมล่องลอยอยู่ช่วยเสริมเติมเต็มความว่างเปล่า

 

“สูงกว่าพิภพ เหนือกว่าสวรรค์ เพียงตัวตถาคตประเสริฐที่สุด!”

 

ทันใดนั้นภายในจิตใจของซูฉินก็เหมือนมีอักขระนับไม่ถ้วน เสียงสวดรายล้อมถาโถมเข้ามาจนทำให้จิตใจของเขาสั่นสะเทือน และในที่สุดก็ก่อตัวเป็นองค์ยูไลทองคำ ยืนนิ่งสงบมองลงมาดูสรรพสัตว์

 

ขณะนั้นเองซูฉินก็รู้สึกเจ็บปวดอย่างรุนแรงที่หัวใจ จึงรีบถอนจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ออกจากหว่างคิ้วโดยไม่รู้ตัว

 

“นี่คือ?”

 

เมื่อซูฉินลืมตาขึ้น ใบหน้าเขาก็แสดงอาการตกใจ

 

ในช่วงเวลาสั้นๆ นั้น ซูฉินเข้าใจถึงเคล็ดบางอย่างเกี่ยวกับฝ่ามือยูไล

 

ฝ่ามือยูไลแบ่งออกเป็นเก้าประเภท ซึ่งแต่ละประเภทนั้นทั้งเป็นอิสระต่อกันและพึ่งพากัน ไม่มีประเภทไหนสูงกว่าหรือต่ำกว่า

 

ในตอนนี้ซูฉินเชี่ยวชาญฝ่ามือยูไลรูปแบบแรกแล้วนั่นคือ : เพียงตัวตถาคตประเสริฐที่สุด

 

สิ่งนี้แสดงถึงพลังทำลายล้างอันยิ่งใหญ่ อย่างน้อยที่สุดต้องเป็นระดับอรหันต์ก่อนจึงจะสามารถกระตุ้นใช้กระบวนท่ารูปแบบนี้ได้

 

ซูฉินรู้สึกว่าถ้าเขาใช้กระบวนท่ารูปแบบนี้ออกมาจริงๆ เขาคงสามารถทำลายทุกสิ่งอย่างได้อย่างแน่นอน

 

และแน่นอน

 

ซูฉินรู้ดีว่านั้นเป็นเพียงความรู้สึกลวงตาที่เกิดขึ้น

 

ไม่ว่าฝ่ามือยูไลจะแข็งแกร่งแค่ไหน มันก็ต้องขึ้นอยู่กับความแข็งแกร่งของผู้ใช้เองด้วย

 

ถ้าซูฉินมีความแข็งแกร่งเทียบเคียงองค์ยูไล และใช้กระบวนท่ารูปแบบที่หนึ่ง : เพียงตัวตถาคตประเสริฐที่สุด มีเพียงทางนี้เท่านั้นที่จะได้ผลลัพธ์ตามที่เขารู้สึก

 

แต่ตอนนี้ซูฉินเป็นเพียงอรหันต์ระดับนภาชั้นที่หนึ่ง แม้ว่าเขาจะใช้กระบวนท่านั้น อย่างมากที่สุดเขาก็ทำได้เพียงจัดการกับระดับเดียวกันกับตนเท่านั้น

 

การที่จะทะยานฟ้าขึ้นไปสู้รบตบมือกับเหล่าเทพ เหล่าเซียน เหล่าอสูรนั้นเป็นไปไม่ได้อย่างแท้จริง

 

ที่ซูฉินเห็นภาพลวงตาว่าสามารถทำลายทุกสิ่งอย่างได้เป็นเพราะเขาเพิ่งรับมรดกตกทอด ‘ฝ่ามือยูไล‘ มา เขาจึงได้เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นจากมุมมองขององค์ยูไลทองคำที่อยู่กึ่งกลางระหว่างคิ้วของตนเองมาโดยไม่รู้ตัว

 

“ด้วยความแข็งแกร่งในปัจจุบันของข้า ข้าสามารถเข้าใจแค่รูปแบบแรกของฝ่ามือยูไลเท่านั้นหรือ?”

 

ซูฉินนวดเค้นไปตามแนวคิ้วพลางคิดอยู่ในใจเงียบๆ

 

ตอนที่เขาจมอยู่ในกึ่งกลางระหว่างคิ้ว เขาเพิ่งจะได้รับมาเพียงกระบวนท่าแรกเท่านั้นและถูกบังคับให้ออกมาเพราะความเจ็บปวดที่แล่นแปลบขึ้นมาอย่างรุนแรงบริเวณหัวใจ

 

“แต่ไม่เป็นไร”

 

“เพียงรูปแบบแรกของกระบวนท่าก็เพียงพอที่จะให้ข้าศึกษาทำความเข้าใจไปเป็นเวลานานทีเดียว”

 

ซูฉินไม่ได้รู้สึกผิดหวังเลย แต่กลับมองไปยังทางเดินที่ทอดยาวไปเบื้องหน้ามากขึ้นอีก

 

อีกนัยหนึ่ง มรดกแห่งฝ่ามือยูไลก็อยู่กับองค์ยูไลทองคำที่บริเวณหว่างคิ้วของเขา ไม่ได้หนีไปไหน ตราบใดที่พลังของซูฉินถึงขั้น เขาก็จะสามารถเรียนรู้ส่วนที่เหลือได้

 

ซูฉินจึงไม่ได้รู้สึกอะไรอื่นอีก

 

“ฝ่ามือยูไลมีระดับสูงจนเกินไป”

 

ซูฉินครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง โดยที่หัวใจของเขาเร่าร้อนเป็นพิเศษ

 

เดิมทีซูฉินคิดว่าฝ่ามือยูไลเป็นวิชายุทธระดับอรหันต์ แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าระดับอรหันต์จะเป็นเพียงเกณฑ์ต่ำสุดเท่านั้นที่สามารถกระตุ้นใช้ฝ่ามือยูไลได้

 

“เก้าร้อยปีก่อน ฝ่ามือยูไลที่ใช้ปราบมารพุทธะไม่ควรจะเป็นรูปแบบแรก เพียงตัวตถาคตประเสริฐที่สุด”

 

ซูฉินหันมองไปที่ภูเขาด้านหลัง ความคิดตีกันไปมา

 

รูปแบบทั้งเก้าของฝ่ามือยูไลนั้นเป็นเอกเทศ พึ่งพากัน และไม่มีความต่างระหว่างระดับว่ารูปแบบไหนสูงรูปแบบไหนต่ำกว่า

 

ทั้งเก้ารูปแบบล้วนแตกต่างกันมีความเด่นเฉพาะทาง บางประเภทโดดเด่นในการทำลายล้าง บางประเภทเด่นในด้านการสะกดปราบปราม และบางประเภทก็เหมาะจะใช้สำหรับการป้องกัน…

 

ซูฉินเดาว่าฝ่ามือยูไลที่อรหันต์ถัวใช้ปราบมารพุทธะเมื่อเก้าร้อยปีก่อน น่าจะเอนเอียงไปทางการปราบปราม

 

มิฉะนั้นหากเป็นฝ่ามือยูไลที่เด่นด้านการทำลายล้างเช่นเดียวกันรูปแบบแรกที่ซูฉินเรียนรู้ เกรงว่ามารพุทธะคงถูกปราบไปตั้งแต่เก้าร้อยปีที่แล้ว ไม่อยู่รอดมาจนถึงบัดนี้หรอก?

 

“ครั้งสุดท้ายที่ข้าทำการเสริมผนึกตราประทับ มารพุทธะกล่าวไว้เกี่ยวกับ ‘ความหมายจริงแท้แห่งตถาคต‘ ซึ่งน่าจะหมายถึงองค์ยูไลทองคำที่อยู่กึ่งกลางระหว่างคิ้วของข้า”

 

ซูฉินคิดอยู่เงียบๆ ในใจตน

 

ในช่วงเวลาหลายปีมานี้ เขาได้ค้นดูบันทึกโบราณของวัดเส้าหลินจำนวนนับไม่ถ้วน และเข้าใจแล้วว่าความหมายจริงแท้แห่งตถาคตนั้นคืออะไร

 

หากจะกล่าวว่าในประวัติศาสตร์หลายพันปีของวัดเส้าหลิน ฝ่ามือยูไลนั้นพอจะมีร่องรอยให้ได้เห็นอยู่บ้าง แต่กับความหมายจริงแท้แห่งตถาคตนั้นก็เหมือนกับมีอยู่เพียงในตำนานที่เล่าขานมาเท่านั้น

 

พูดอย่างง่ายๆ ก็คือทั้งเก้ารูปแบบของฝ่ามือยูไลนั้นมีความแตกต่างกัน และไม่มีสิ่งไหนที่จะสามารถควบคุมให้รูปแบบทั้งเก้าสามารถใช้ออกได้ในเวลาเดียวกันเลย

 

แต่หากมีความหมายจริงแท้แห่งตถาคต เรื่องราวก็จะแตกต่างออกไป

 

ความหมายจริงแท้แห่งตถาคต นั้นเทียบได้กับ ‘แผนผังหลัก‘ ของฝ่ามือยูไล มีบทบาทในการควบคุมฝ่ามือยูไลทั้งเก้ารูปแบบ

 

 

 

การรับมรดกฝ่ามือยูไลรูปแบบแรก ทำให้ชีวิตของซูฉินกลับสู่สภาพเดิมอีกครั้ง

 

นอกเหนือจากลงชื่อเข้าใช้และการบ่มเพาะที่ทำทุกวันแล้ว การทำความเข้าใจรูปแบบแรกของฝ่ามือยูไลก็ถูกเพิ่มเข้ามาในชีวิตประจำวันด้วย

 

เติมเต็มชีวิตให้มีอะไรทำมากขึ้น

 

“เหมือนว่าเต๋าสะสมในศาลาพระคัมภีร์และลานโพธิ์ควรจะเหลือไม่มากแล้ว”

 

ในวันนี้ซูฉินได้ไปลงชื่อเข้าใช้ที่ลานโพธิ์ และหลังจากกลับมาถึงพื้นที่หวงห้ามภูเขาด้านหลังเขาก็พลันคิดเรื่องราวอย่างรอบคอบ

 

“ยามใดที่เต๋าสะสมหมดลง ข้าควรจะออกไปจากวัดเส้าหลิน”

 

ดวงตาของซูฉินสงบนิ่ง ไม่มีใครรู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่

 

“ดูเหมือนว่าถึงเวลาที่จะต้องทิ้งอะไรบางอย่างไว้ให้วัดเส้าหลินแล้วสินะ…”

 

ซูฉินถอนหายใจอย่างแผ่วเบา

 

เขาไม่กล้ากล่าวว่าเขาไม่ได้รู้สึกอะไรเลยต่อวัดเส้าหลินหลังจากที่ใช้ชีวิตอยู่มามากกว่ายี่สิบปี ในช่วงยี่สิบปีที่ผ่านมาซูฉินไม่สามารถเพิกเฉยต่อความรักความเอาใจใส่รวมถึงอาหารในแต่ละมื้อที่วัดเส้าหลินมีให้กับเขาได้

 

“ข้าควรจะทิ้งอะไรไว้ดี?”

 

ซูฉินตกอยู่ในภวังค์ความคิด

 

ซูฉินนึกถึงปัญหานี้มานานแล้ว ก่อนจะเข้าสู่ระดับอรหันต์เสียอีก

 

ในเวลานั้นซูฉินคิดว่าหากศิษย์ของเส้าหลินไม่สามารถรักษามรดกที่เขาทิ้งไว้ได้ ก็คงไม่มีความหมายที่เขาจะทิ้งอะไรไว้เบื้องหลัง

 

ก่อนหน้านี้ก็มิใช่ว่ามีอรหันต์กำเนิดขึ้นในวัดเส้าหลินอยู่บ้างมิใช่หรือ?

 

ก่อนที่จะละสังขาร อรหันต์ทั้งหลายคนได้ก่อสร้างรากฐานบางอย่างไว้ให้กับวัดเส้าหลิน

 

แต่มรดกเหล่านั้นก็สามารถเก็บรักษาไว้ได้เพียงช่วงสั้นๆ เมื่อเวลาผ่านไปหลายสิบหลายร้อยปี แม้แต่มรดกอันยิ่งใหญ่ก็กลายเป็นสิ่งที่ไร้ประโยชน์ไปในที่สุด

 

“เนื่องจากไม่มีอะไรมีประโยชน์เลย หรือข้าควรจะทิ้งคนไว้เป็นมรดกให้แก่เส้าหลินดี”

 

จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของซูฉินแผ่ออกไปทั่วทั้งวัดเส้าหลิน และสุดท้ายก็เข้าไปห่อหุ้มลานธรรม

 

ภายในลานธรรม

 

เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินและเหล่าหัวหน้าตำหนักกำลังสนทนาธรรมกับเฉียนขู่

 

ล่าสุดเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินนำ‘เฉียนขู่‘ไปเข้าพบซูฉินเป็นการส่วนตัว โดยหวังว่าซูฉินจะรับ ‘เฉียนขู่‘ เป็นศิษย์

 

แม้ซูฉินจะไม่ได้สนใจเท่าไหร่ในตอนนั้น แต่เขาก็ไม่ได้ปฏิเสธในทันที เพียงกล่าวว่าจะลองคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ดูก่อน

 

“ดวงใจพุทธะที่เสียหาย…”

 

“ต้องทำเช่นไรจึงจะซ่อมแซมมันให้สมบูรณ์ได้นะ”

 

ซูฉินค่อยๆ ลุกขึ้นและก้าวเท้าออกจากพื้นที่หวงห้ามภูเขาด้านหลัง

 

 

ณ ลานธรรม

 

“ท่านเจ้าอาวาส ท่านผู้นั้นว่ากระไรบ้าง?”

 

หัวหน้าลานธรรมมองไปที่เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินแล้วเอ่ยถาม

 

“ท่านว่าให้เวลาท่านคิดสักพัก”

 

เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินเงียบไปชั่วครู่แล้วกล่าวออกไปตามจริง

 

ให้เวลาคิดสักพัก…

 

ทันทีที่กล่าวออกมาเช่นนี้ หัวหน้าตำหนักรูปอื่นๆ ก็เงียบลง

 

แม้ว่าผู้ทรงสมณศักดิ์อันสูงส่งจะไม่ได้ปฏิเสธ แต่ก็กลัวว่าท่านจะไม่สนใจรับลูกศิษย์นี่สิ

 

ไม่เช่นนั้นแล้วท่านก็ไม่จำเป็นต้องคิดให้มากความเลย

 

“น่าเสียดายพรสวรรค์ของเฉียนขู่นัก…” หัวหน้าฝ่ายวินัยสงฆ์ส่ายศีรษะ

 

เมื่อเฉียนขู่ได้ยินบทสนทนาระหว่างเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินและเหล่าหัวหน้าตำหนัก หัวเขาก็ค้อมต่ำลงราวกับตนทำผิดร้ายแรง

 

เมื่อเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินและเหล่าหัวหน้าตำหนักต่างคิดไปแล้วว่าเฉียนขู่คงไม่ได้เป็นศิษย์ของท่านผู้นั้นเสียแล้ว

 

หวึ่ง!

 

รัศมีแสงแห่งองค์ยูไลก็แผ่กระจายออกมาจางๆ

 

เสียงสวดดังขึ้นต่อเนื่อง ดอกบัวสีทองอันพิสุทธิ์ไม่มีแม้รอยเปื้อนเบ่งบานออก

 

ท่ามกลางสายตาตกตะลึงของเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินและคนอื่นๆ

 

เห็นเป็นร่างคนก้าวย่างเชื่องช้า ทั่วทั้งกายปกคลุมไปด้วยแสงทอประกายวาววับ ช่างดูสูงส่งยิ่ง มีดอกบัวสีทองรองใต้เท้ายามก้าวเดิน เสียงสวดลอยล่องมาตามลม ดูตระหง่านราวกับองค์ยูไลผู้อยู่เหนือสรรพชีวิตมาอยู่ที่นี่แล้ว

 

ร่างนั้นเดินไปที่ด้านหน้าของ ‘เฉียนขู่‘ ทีละก้าวๆ และยกมือขวาขึ้นเหยียดนิ้วอันเรียวยาวและทรงพลังทั้งห้านิ้วแตะลงไปบนหน้าผากของ ‘เฉียนขู่‘

 

สัมผัสแห่งองค์ยูไล ยามนี้เจ้าได้มองเห็นทางอันชัดแจ้งบนถนนที่ตถาคตได้ล่วงไปแล้ว

Sign in Buddha’s palm 70 ฝ่ามือยูไลเก้ากระบวน ประเสริฐสุดมีเพียงข้า

 

 

“องค์ยูไล…”

 

เด็กชายพยักหน้าอย่างไม่เข้าใจเท่าไรนัก แต่ไม่กล้าที่จะเอ่ยปากถามต่อ

 

เด็กชายก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมตัวเขาถึงรู้สึกว่าศักดิ์ศรีของความเป็นเจ้าอาวาสจึงสั่นคลอนต่อหน้าการดำรงอยู่ของอำนาจอันยิ่งใหญ่ที่เขากำลังจะได้ประจักษ์

 

“หลังจากที่เข้าไปแล้ว อย่าได้ส่งเสียงดัง จงนอบน้อมและสงบเสงี่ยมเข้าไว้…”

 

เจ้าอาวาสกล่าวเตือนเด็กชาย

 

ในสายตาของเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวิน เด็กคนนี้ก็เป็นเพียงเด็กสิบขวบคนหนึ่ง หากไม่สำรวมต่อหน้าผู้ทรงสมณศักดิ์อันสูงส่งแล้วท่านกล่าวโทษตน ใครจะรับผิดชอบ?

 

เด็กคนนี้ฉลาดมาก และจดจำคำกล่าวของเจ้าอาวาสไว้ในใจ

 

ผ่านไปอย่างรวดเร็ว

 

เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินก็มาถึงพื้นที่ต้องห้ามภูเขาด้านหลัง

 

“ศิษย์ฮุ่ยเหวินขอเข้าพบผู้ทรงสมณศักดิ์อันสูงส่ง”

 

เจ้าอาวาสโค้งคำนับ กล่าวคำเสียงดัง

 

หลังจากนั้นไม่นาน

 

เสียงอันนิ่งสงบดังขึ้นในหูของเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวิน

 

“เข้ามา”

 

เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินสะดุ้งไปนิดหน่อย ก่อนจะรีบพาเด็กชายตามหลังเขาเดินเข้าไปในพื้นที่หวงห้ามภูเขาด้านหลัง

 

ในพื้นที่หวงห้ามภูเขาด้านหลัง

 

ซูฉินที่นั่งขัดสมาธิอยู่ ลืมตาขึ้น มองไปที่เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวิน

 

“เจ้าต้องการให้ข้ารับเขาเป็นศิษย์หรือ?”

 

สายตาของซูฉินเบนไปเล็กน้อย มองไปยังศีรษะของเด็กน้อยที่ยื่นออกมาจากด้านข้างของเจ้าอาวาสไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมามอง

 

ไม่จำเป็นต้องให้เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินกล่าวคำไปมากกว่านี้ ซูฉินก็ทราบถึงจุดประสงค์ของเจ้าอาวาส

 

“ถูกต้อง”

 

เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินกล่าวต่อในทันที “เด็กคนนี้มีพรสวรรค์ที่หาได้ยากยิ่งในรอบร้อยปี เขามีความเชื่อมโยงกับกระแสแห่งพุทธ หากให้เขาอยู่กับข้าและเหล่าหัวหน้าตำหนักเกรงว่าพรสวรรค์ของเขาคงจะต้องสูญเปล่า…”

 

“อืม มีพรสวรรค์ที่ดีจริงๆ”

 

“เกิดมาโดยมีดวงใจพุทธะ”

 

ส่วนลึกในดวงตาของซูฉินมีวังวนประหลาดผันแปรไปมาราวกับสามารถเห็นถึงกระแสพลังฟ้าดินทั้งหมด

 

ไม่น่าเชื่อว่านี่ก็คือ ดวงตาแห่งสัจจะ

 

นับตั้งแต่ก้าวเข้าสู่ระดับ‘อรหันต์‘ ดวงตาแห่งสัจจะก็เหมือนจะมีการเปลี่ยนแปลงบางอย่าง ความเข้าใจในกลไกพลังฉีก็มีความละเอียดอ่อนมากยิ่งขึ้น

 

ด้วยพลังในการตรวจสอบที่เหนือธรรมชาตินี้ ทุกอย่างเกี่ยวกับเด็กตรงหน้าก็เหมือนกับซูฉินส่องดูเส้นลายมือของตนเอง

 

“ดวงใจพุทธะ?”

 

นัยน์ตาของเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินหดตัวลง

 

ในทางพุทธนั้น ดวงใจพุทธะเหมือนดั่งเมฆหมอกมายา แต่เป็นสิ่งที่มีอยู่จริง

 

พุทธสาวกที่มีดวงใจพุทธะ ไม่ว่าจะเป็นการปฏิบัติ หรือความเข้าใจในพระไตรปิฎก พวกเขาเหมือนได้รับการช่วยเหลือจากสวรรค์ สามารถเรียนรู้สิ่งต่างๆ ได้มากมาย

 

วัดเส้าหลินก่อตั้งมาหลายพันปี แต่มีเพียงสิบคนเท่านั้นที่พบว่ามีดวงใจพุทธะอยู่กับตัว

 

ความสำเร็จสูงสุดในชีวิตของเหล่าศิษย์ที่มีดวงใจพุทธะอย่างน้อยก็ต้องเป็นยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสูงสุด และมีถึงสามคนที่ขึ้นไปถึงระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสมบูรณ์

 

เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินเดิมก็คิดว่าพรสวรรค์ของเด็กคนนี้น่ากลัว แต่เขาไม่คาดคิดว่าอีกฝ่ายถึงกับมีดวงใจพุทธะ

 

อย่างน้อยผู้ครอบครองดวงใจพุทธะก็ต้องเป็นยอดปรมาจารย์ระดับจุดสูงสุด ไม่ได้เป็นเพียงแค่ยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งอย่างที่หัวหน้าตำหนักและเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินคาดเดากันไว้ก่อนหน้า

 

แม้ว่ายอดปรมาจารย์ธรรมดากับยอดปรมาจารย์ระดับจุดสูงสุดจะอยู่ในขอบเขตเดียวกัน แต่ความต่างของพลังนั้นห่างกันอยู่หนึ่งช่วงใหญ่

 

“พื้นเพของเขาเป็นเช่นไร”

 

ซูฉินกล่าวถามด้วยอาการสบาย

 

เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินได้ฟังคำ ก็รีบระงับความตกใจแล้วกล่าวว่า “เด็กคนนี้ไร้บิดามารดร ชีวิตที่ผ่านมาช่างน่าสังเวช ดังนั้นข้าจึงตั้งชื่อให้เขาว่า ‘เฉียนขู่‘”

 

“เฉียนขู่[1]?”

 

ซูฉินยิ้ม

 

“ข้าเข้าใจแล้ว”

 

“เจ้าออกไปก่อนเถิด ข้าขอคิดเรื่องนี้สักพัก”

 

ซูฉินค่อยๆ หลับตาลงกล่าวคำออกมาเบาๆ

 

“ขอรับ”

 

เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินโค้งคำนับอีกหนึ่งครั้งและพาเฉียนขู่ออกจากพื้นที่ต้องห้ามด้านหลังภูเขาอย่างพินอบพิเทา

 

หลังจากเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินจากไปเรียบร้อย

 

ซูฉินถอนหายใจออกมา

 

“น่าเสียดายจริงๆ”

 

“มันคือดวงใจพุทธะที่เสียหาย”

 

ซูฉินส่ายหัวเล็กน้อยแล้วกล่าวคำช้าๆ

 

ตั้งแต่แรกซูฉินก็ทราบแล้วว่าดวงใจพุทธะของเฉียนขู่ไม่สมบูรณ์

 

หากเป็นดวงใจพุทธะที่สมบูรณ์ กายาจักปกปิดมันไว้ได้ทั้งหมด เป็นไปไม่ได้ที่เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินและหัวหน้าตำหนักคนอื่นๆ จะสังเกตเห็นความผิดปกติ

 

เป็นไปไม่ได้ที่จะค้นพบผู้ครอบครองดวงใจพุทธะที่แท้จริงได้ หากไม่ใช่ยอดปรมาจารย์ที่กลั่นจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ออกมาได้แล้ว ก็ต้องเป็นอรหันต์หรือไม่ก็เหล่าตำนานยุทธเท่านั้น

 

ผู้ครอบครองดวงใจพุทธะจึงทำได้เพียงค่อยๆ บำเพ็ญตบะแล้วทะยานสู่ฟากฟ้า กลายเป็นที่รู้จักไปทั่วยุทธภพเท่านั้น

 

แต่แน่นอน

 

ซูฉินไม่ได้สนใจเรื่องของดวงใจพุทธะมากเท่าไรนัก

 

ไม่ต้องกล่าวถึงความไม่สมบูรณ์ของดวงใจพุทธะที่เฉียนขู่ครอบครอง แม้ว่าจะเป็นดวงใจพุทธะที่สมบูรณ์มันจะนับเป็นอะไรได้?

 

กว่าสิบผู้ครอบครองดวงใจพุทธะที่กำเนิดขึ้นในวัดเส้าหลินตลอดเวลานานนับพันปี ผู้ที่ประสบความสำเร็จสูงสุดก็ไม่มีอะไรมากไปกว่าระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสมบูรณ์

 

บางทีในช่วงแรกของการบ่มเพาะ หรือแม้แต่ในช่วงขอบเขตระดับชั้นที่หนึ่ง ผู้ครอบครองดวงใจพุทธะจะสามารถบ่มเพาะได้อย่างรวดเร็วจนน่าเหลือเชื่อ

 

แต่หากจะไปสู่ขั้นตอนสุดท้ายและบรรลุระดับ ‘อรหันต์‘ มันไม่สามารถจะพึ่งพาอาศัยเพียงดวงใจพุทธะเพียงอย่างเดียวได้

 

แม้จะเป็นระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสมบูรณ์ เมื่อยามที่จะต้องเข้าถึงพลังฉีแห่งฟ้าดิน ดวงใจพุทธะจะลากถ่วงผู้ครอบครองมิให้ไปไหน

 

นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมผู้ครอบครองดวงใจพุทธะทั้งสิบรูปในอดีตจึงไม่สามารถบรรลุถึงระดับ ‘อรหันต์‘

 

ยามรุ่งโรจน์ก็มาจากดวงใจพุทธะ

 

ยามล้มเหลวก็เพราะดวงใจพุทธะ

 

จากนั้นซูฉินก็กลับมาคร่ำเคร่งกับการฝึกฝนอีกครั้ง

 

“คัมภีร์เก้าสุริยันที่เพิ่งได้รับมาจากการลงชื่อเข้าใช้ครั้งก่อน ได้ฝึกฝนไปจนถึงขีดสุดแล้ว สามารถก่อกำเนิดดวงสุริยันได้ครบทั้งเก้าดวง”

 

ซูฉินยกมือขวาของเขาขึ้น ดวงอาทิตย์ทั้งเก้าดวงก็ถูกปลดปล่อยออกมาด้วยวิชาเก้าสุริยัน หมุนวนพัวพันระหว่างนิ้วของเขาและพุ่งเข้าชนกันอย่างต่อเนื่อง

 

หากซูฉินเลินเล่อแล้วปล่อยปราณสุริยันทั้งเก้าดวงนี้ออกไป เกรงว่าทั่วทั้งวัดเส้าหลินจะถูกเผาราบเป็นหน้ากลอง

 

“หากข้าสามารถลงชื่อเข้าใช้แล้วได้รับวิชายุทธที่มีลักษณะเดียวกันกับคัมภีร์เก้าสุริยันแต่เป็นธาตุหยินมาละก็”

 

“จากนั้นก็หลอมรวมคัมภีร์เก้าสุริยันเข้ากับวิชาหยินที่มีลักษณะเดียวกันนั้น”

 

“หยินและหยางเมื่ออยู่ร่วมกัน กายเนื้อของข้าคงจะพัฒนาขึ้นไปอีกครั้งใช่หรือไม่?”

 

ความคิดของซูฉินผันแปรเปลี่ยนผัน

 

เกือบสิบปีก่อน ซูฉินได้ลิ้มรสความหอมหวานหลังจากหลอมรวมวิชากายาวัชระคงกระพันเข้ากับวิชาขัดเกลากายาจันทรา

 

ในเวลานั้นทั้งสองวิชาที่ต่างธาตุกันได้ผสานรวมกันทำให้ร่างกายของซูฉินพัฒนาขึ้นไปอีกระดับ

 

นอกจากนี้

 

อายุขัยของซูฉินยังเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าอีกด้วย

 

มันน่าทึ่งมาก

 

ในตอนนี้ซูฉินรู้สึกได้ว่าพลังของคัมภีร์เก้าสุริยันนั้นเหนือกว่าของกายาวัชระคงกระพันมาก เขาคิดคำนวณในใจอย่างเร็วจี๋

 

ซูฉินรู้ดีว่าการเสริมแกร่งร่างกายด้วยหยินและหยางนั้นมีความเสี่ยงสูง แน่นอนว่าหยินและหยางส่งเสริมซึ่งกันและกัน แต่ขณะเดียวกันพวกมันก็ยับยั้งซึ่งกันและกันด้วย

 

หากไม่มีดวงตาแห่งสัจจะในการสังเกตและเข้าใจขีดจำกัดสูงสุดที่สามารถกระทำได้ ความเป็นไปได้ที่ร่างกายของซูฉินอาจจะปริแตกยังมีสูงยิ่งกว่าการเสริมแกร่งให้ร่างกายเสียอีก

 

นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมยอดปรมาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่ทั้งหลายจึงเลือกเพียงหนึ่งจากสองเส้นทาง ระหว่างธาตุหยินและธาตุหยางเพียงอย่างเดียวเท่านั้นในการแปรสภาพร่างกาย

 

ไม่ใช่ว่าพวกเขาไม่ต้องการผสมหยินผสานหยาง เพียงแต่พวกเขาไม่กล้า

 

“คัมภีร์เก้าอิมจินเก็ง[2]…”

 

ความคิดของซูฉินแปรปรวนรวนเร ในที่สุดก็ถอนหายใจออกมา

 

คัมภีร์เก้าอิมจินเก็งไม่ใช่วิชาของเส้าหลินและตอนนี้หอคอยสะกดมารก็หมดสิ้นเต๋าสะสมไปแล้ว เขาไม่สามารถลงชื่อเข้าใช้ได้อีกต่อไป และซูฉินก็ไม่คิดว่าสามารถหาคัมภีร์วิชาใดที่มีชื่อเสียงเทียบเท่าคัมภีร์เก้าอิมได้ในวัดเส้าหลินนี้”

 

“ใช่แล้ว”

 

“สักพักใหญ่แล้วที่ข้าเข้าสู่ระดับอรหันต์ ขอบเขตพลังก็มั่นคงดี ตอนนี้ข้าคงสามารถเข้าใจถึงฝ่ามือยูไลได้แล้วกระมัง”

 

หัวใจของซูฉินสั่นไหว เขารู้สึกได้ถึงองค์ยูไลสีทองที่กึ่งกลางระหว่างคิ้ว ทรงพลานุภาพเหนือปฐพี จรดฟากฟ้า

 

 

—————————————————

[1] 苦 kǔ ความยากลำบากขมขื่น

[2] 九阴真经 Jiǔ Yīn Zhēn Jīng คัมภีร์เก้าอิมจินเก็ง (แต้จิ๋ว) หรือ จิ่วหยินเจินจิง (จีนกลาง) เป็นคัมภีร์วิชาที่มีชื่อเสียงและหลากหลายในการใช้งาน มีที่มาจากนิยายเรื่องมังกรหยกของกิมย้ง

Sign in Buddha’s palm 69 เส้าหลินให้กำเนิดบุตรศักดิ์สิทธิ์ การแนะนำจากเจ้าอาวาส

 

 

“ช่างน่าเศร้านัก”

 

“การบ่มเพาะของระดับอรหันต์นั้นแตกต่างจากวิทยายุทธทั้งเก้าระดับชั้นโดยสิ้นเชิง”

 

“นี่มันก็นานมากแล้ว ข้ายังสัมผัสไม่ได้ถึงคอขวดของระดับชั้นที่สองเลย”

 

ซูฉินที่นั่งไขว้ขาอยู่ อดไม่ได้ที่จะรู้สึกว่าการบ่มเพาะช่างยากลำบากยิ่งนัก

 

“แต่ก็รู้สึกได้ว่า ตราบใดที่ข้าใช้โอสถอายุวัฒนะเคลือบทองคำอีกสักหลายสิบเม็ดคงพอจะก้าวเข้าสู่นภาชั้นที่สองได้”

 

ซูฉินคาดเดาอยู่ในใจ

 

โอสถอายุวัฒนะเคลือบทองคำไม่เพียงแต่มีฤทธิ์ยาที่มากมายรอให้ซูฉินดูดซับเท่านั้น แต่ยังทำให้ซูฉินเข้าสู่สภาวะ ‘รู้แจ้งฉับพลัน‘ อยู่ตลอดการออกฤทธิ์ของตัวยา ส่งผลให้ควบคุมพลังฟ้าดินได้ดียิ่งขึ้น

 

“ข้าต้องใช้เวลาหนึ่งถึงสองเดือนในการดูดซึมโอสถอายุวัฒนะเคลือบทองคำเม็ดหนึ่ง หากเป็นหลายสิบเม็ดก็ต้องใช้เวลาประมาณร้อยเดือน หรือก็คือไม่ถึงสิบปี?

 

ซูฉินคำนวณอยู่ในใจเงียบๆ เขารู้สึกพอใจขึ้นมาอีกหน่อย

 

การใช้ระยะเวลาสิบปีในการเข้าสู้ขอบเขตนภาชั้นที่สองนั้นเป็นที่น่าพอใจ ไม่เร็วและไม่ช้าจนเกินไป

 

ถ้าเหล่าอรหันต์ผู้เป็นที่นับหน้าถือตาของวัดเส้าหลินหรือตำนานยุทธจากภายนอกได้ล่วงรู้ความคิดของซูฉินยามนี้ เกรงว่าคงต้องอาเจียนออกมาเป็นเลือดเพราะความโกรธ

 

รู้หรือไม่ว่าเหล่าตำนานยุทธหรืออรหันต์นั้น หากต้องการจะพัฒนาจากระดับนภาชั้นที่หนึ่งไปยังนภาชั้นที่สองโดยไม่มีโอกาสอื่นๆ จากภายนอกเข้ามาช่วย จะต้องใช้เวลาอย่างน้อยๆ ก็เป็นร้อยปีหรือหลายร้อยปีในการฝึกฝนด้วยตัวของตัวเอง

 

ตำนานยุทธจำนวนมากยังคงติดอยู่กับระดับนภาชั้นที่หนึ่งจนกระทั่งถึงอายุขัยห้าร้อยปี

 

แต่ซูฉินเล่า?

 

แค่สิบปีกลับจะไปถึงระดับนั้นแล้ว แต่เขายังรู้สึก ‘ไม่ได้มีความสุข‘ เท่าใดนัก?

 

หลังจากเวลานั้นซูฉินก็กลับมาใช้ชีวิตตามปกติอีกครั้ง…

 

ลงชื่อเข้าใช้ กลับมาฝึกฝน…

 

ทำสิ่งเหล่านี้วนเวียนไปเรื่อย

 

สำหรับบางคนชีวิตเช่นนี้สุดแสนจะน่าเบื่อ ทั้งหงอยเหงาและน่าเศร้าด้วยซ้ำ

 

แต่ในใจของซูฉินนั้นเต็มไปด้วยความสนุกสุขสันต์

 

ไม่ว่าสิ่งใดในโลก

 

อำนาจ?

 

ความงาม?

 

ทรัพย์สมบัติ?

 

มันก็แค่สิ่งที่ผ่านมาแล้วก็ผ่านเลยไป

 

จะมีอะไรสบายใจไปกว่าการที่รู้สึกว่าตนเองแข็งแกร่งขึ้นทุกวันอีกเล่า?

 

และในตอนที่ซูฉินหมกมุ่นอยู่กับการฝึกฝนและการลงชื่อเข้าใช้

 

วัดเส้าหลินก็กลับมาสงบเงียบเช่นกัน หลังจากข่าวการตายของจอมมารแพร่ออกไป ผู้คนจำนวนมากในยุทธภพต่างต้องการเข้าเยี่ยมพบซูฉิน

 

แต่ทุกคนก็ถูกปฏิเสธโดยเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวิน

 

ซูฉินเคยร้องขอเจ้าอาวาสตั้งแต่แรกแล้วว่าหากไม่มีอะไรที่เป็นภัยต่อวัดเส้าหลินอย่าได้รบกวนเขา

 

เวลาค่อยๆ ผ่านเลยไป

 

ชั่วพริบตาก็มาถึงวันที่วัดเส้าหลินรับศิษย์ใหม่เข้ามาอีกครั้ง

 

ในฐานะสุดยอดพรรคแห่งยุทธภพ วัดเส้าหลินจำเป็นต้องรับลูกศิษย์เพิ่มจำนวนหนึ่งทุกๆ ปี เพื่อสืบทอดสำนักต่อไป

 

จำนวนที่รับเพิ่มก็ต้องไม่มากหรือน้อยจนเกินไป

 

ถ้ามีมากเกินไปการจัดสรรทรัพยากรจะไม่ทั่วถึง ไม่ว่าจะเป็นลานโพธิ์หรือตำหนักอื่นๆ ทรัพยากรด้านการฝึกยุทธและโอสถต่างมีจำนวนจำกัดในแต่ละปี

 

ยิ่งมีศิษย์มากเท่าไร ทรัพยากรที่แจกจ่ายก็จะยิ่งมีสัดส่วนน้อยลง หากเป็นเช่นนั้นอัจฉริยะบางคนอาจจะไม่มีวันได้รุ่งโรจน์

 

แต่จะน้อยเกินไปก็ไม่ได้

 

หากมีอะไรผิดพลาดขึ้นมา การสืบทอดมรดกก็อาจจะล้มเหลวได้

 

ไม่ว่าจะเป็นสำนักหรือพรรคใดในยุทธภพ การล้มเหลวในการสืบทอดมรดกของพรรคถือเป็นความผิดพลาดที่ร้ายแรงอย่างมาก

 

ในอดีตมีสุดยอดพรรคแห่งยุทธภพเช่นเส้าหลินหลายต่อหลายแห่งล้มหายตายจากไปเพราะไม่มีผู้สืบทอด

 

 

ที่ลานธรรม

 

เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินและหัวหน้าตำหนักที่เหลือต่างมารวมตัวกันที่นี่

 

นอกจากพวกเขาแล้วยังมีเด็กหนุ่มคนหนึ่งดูจากขนาดตัวแล้วคงจะอยู่ในช่วงวัยรุ่น

 

ในขณะที่เด็กหนุ่มคนนี้หายใจออกมา ราวกับว่ามีเสียงสวดดังคลอออกมาด้วยตลอด ฟังดูน่าพิศวงเป็นที่ยิ่ง

 

แน่นอนว่าคนธรรมดาไม่สามารถตรวจจับความผิดปกตินี้ได้ มีเพียงยอดยุทธในสามระดับบนที่กายเนื้อถูกชำระด้วยพลังฟ้าดินเท่านั้นจึงจะรับรู้สิ่งนี้ได้

 

“เด็กชายคนนี้คือผู้ถูกเลือกตามประสงค์แห่งองค์ยูไล…”

 

หัวหน้าลานธรรมมองที่เด็กหนุ่มคนนั้นอย่างใกล้ชิด สายตาของเขาเต็มไปด้วยความประหลาดใจสงสัย

 

เด็กคนนี้ไม่เคยฝึกฝนศาสตร์ทางพุทธใดๆ มาก่อนเลย แต่กลับแสดงปรากฏการณ์พิเศษเช่นนี้ออกมา เป็นเรื่องยากยิ่งที่จะมีคนลักษณะแบบนี้ในรอบร้อยปี

 

“ไม่เลว”

 

“ตอนข้าเห็นทีแรกก็ไม่อาจจะทำใจเชื่อได้ลง”

 

หัวหน้าฝ่ายวินัยสงฆ์พยักหน้าแล้วกล่าวคำ “ด้วยความสามารถที่แสดงออกมานี้ ตราบที่เขาไม่ตกตายไปเสียก่อน ความสำเร็จของเขาในอนาคตย่อมไม่ต่ำกว่ายอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่ง”

 

คำกล่าวที่ออกมา

 

ไม่มีหัวหน้าตำหนักคนใดคัดค้าน

 

แม้แต่เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินก็ยังนั่งนิ่งเห็นได้ชัดว่าเห็นด้วยกับคำกล่าวนั้น

 

หัวหน้าฝ่ายวินัยได้ทำการประเมินไว้อย่างสูงยิ่ง

 

เด็กอายุเพียงสิบขวบ แต่สรุปว่าความสำเร็จในอนาคตจะต้องไม่ต่ำกว่ายอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่ง?

 

สิ่งนี้หมายความว่าเยี่ยงไร?

 

มันแสดงให้เห็นถึงศักยภาพที่สูงล้ำ

 

แม้ว่าตอนนี้เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินจะเป็นยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่ง พรสวรรค์ย่อมต้องดี แต่ไม่ว่าเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินจะมีความมั่นใจมากแค่ไหน ตอนที่เขาอายุสิบขวบเขาก็คงไม่กล้าบอกว่าตนจะต้องไปถึงระดับชั้นที่หนึ่งแน่ๆ หรอก

 

ในด้านการฝึกวิทยายุทธ หากต้องการไปสู่ระดับชั้นที่หนึ่ง พรสวรรค์ทางยุทธก็เป็นส่วนหนึ่งเท่านั้น มันยังต้องมีโอกาส จิตใจที่สงบนิ่งแน่วแน่ และโชค สิ่งเหล่านี้ก็สำคัญไม่แพ้กัน

 

แต่ในตอนนี้

 

หัวหน้าตำหนักทั้งหลายรวมถึงเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินกลับระบุว่าอีกฝ่ายสามารถเข้าถึงระดับชั้นที่หนึ่งได้เพียงดูจากพรสวรรค์เพียงเท่านั้น ทั้งที่อีกฝ่ายยังเป็นเด็กอยู่ด้วยซ้ำ

 

จากสิ่งดังกล่าวสามารถบ่งบอกได้เลยว่าในใจของหัวหน้าตำหนักและเจ้าอาวาสวางเด็กคนนี้ไว้สูงเพียงใด

 

“เจ้าออกไปก่อนเถิด”

 

เมื่อเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินเห็นสีหน้าของเด็กชายเริ่มซีดขาวก็เข้าใจได้ทันทีว่าอีกฝ่ายคงกำลังหวาดกลัวอยู่เป็นแน่ จึงได้ให้ศิษย์วัดพาเด็กชายไปพักผ่อน

 

“เอาล่ะ”

 

“ไหนลองกล่าวมา”

 

“พวกเจ้าคิดเห็นอย่างไรบ้าง”

 

เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินหันไปมองหัวหน้าตำหนักคนอื่นๆ

 

หัวหน้าตำหนักต่างมองหน้ากันเอง จนในที่สุดหัวหน้าตำหนักยุทธสงฆ์ก็กระแอมไอเบาๆ แล้วกล่าวว่า “เรียนเจ้าอาวาส ถึงแม้จะมีศิษย์จำนวนมากอยู่ที่ตำหนักยุทธสงฆ์อยู่แล้ว แต่ก็มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่ใช้การได้ คงจะดีถ้าให้เขามาอยู่ที่ตำหนักยุทธสงฆ์…”

 

“ไร้สาระ!”

 

ก่อนที่หัวหน้าตำหนักยุทธสงฆ์จะกล่าวจบ หัวหน้าลานอรหันต์ก็กล่าวขัดจังหวะ “ลูกศิษย์เกือบครึ่งที่นมัสการเข้าร่วมวัดเส้าหลินต่างก็อยู่ในตำหนักของเจ้า กลับกันลานอรหันต์ของข้านั้นช่างน่าสังเวชอย่างแท้จริง…”

 

เมื่อหัวหน้าลานอรหันต์กล่าวเช่นนั้นเขาก็หยุดพูด มองไปที่เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินและกล่าวอย่างไม่ทุกข์ร้อนอะไรว่า “แต่ว่า หากเขายอมรับที่จะเข้าร่วมกับลานอรหันต์ละก็…”

 

“ตำหนักวินัยสงฆ์ของข้าก็ขาดคนอยู่มากเหมือนกันช่วงนี้…”

 

 

เมื่อเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินเห็นหัวหน้าตำหนักทั้งหลายต่างแข่งขันกัน เขาดูแอบตกตะลึงอยู่ไม่น้อย

 

“ทุกคนจงหยุด”

 

เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินโบกมือ

 

“ไม่มีใครมีคุณสมบัติเพียงพอที่จะรับเด็กคนนั้น…”

 

เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินมองไปที่กลุ่มคนและในที่สุดก็กล่าวเสริมต่อว่า “แม้แต่ข้าก็เช่นกัน”

 

คำที่กล่าวออกมา

 

ทำให้เหล่าหัวหน้าตำหนักต่างงงงวยกันในทันที

 

ถ้าพวกเขาไม่มีคุณสมบัติ แล้วใครเล่าจะมีคุณสมบัติ?

 

มีเพียงหัวหน้าลานธรรมเท่านั้นที่กำลังครุ่นคิดบางสิ่ง ก่อนจะกล่าวถามว่า “ท่านเจ้าอาวาส คิดเห็นอย่างไรหากร้องขอให้ผู้ทรงสมณศักดิ์อันสูงส่งยอมรับเขาเป็นศิษย์…”

 

“ไม่เลว”

 

เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินพยักหน้าเล็กน้อย

 

หัวหน้าตำหนักคนอื่นๆ ประหลาดใจอยู่เล็กน้อยเมื่อได้ฟัง แต่พอคิดดูแล้วมันก็สมเหตุสมผลอยู่

 

ด้วยพรสวรรค์ที่เด็กคนนั้นแสดงออกมา แม้ว่าพวกเขาจะรับเข้ามาเป็นศิษย์จริงๆ พวกเขาก็ไม่รู้อยู่ดีว่าจะแนะแนวทางให้อย่างไร

 

 

วันถัดมา

 

เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินพาเด็กชายเดินลัดเลาะไปยังพื้นที่หวงห้ามภูเขาด้านหลัง

 

“เจ้าอาวาสขอรับ เราจะไปที่ไหนกันหรือ”

 

เด็กชายกะพริบตา ใบหน้าสับสน

 

“จะไปไหนเช่นนั้นน่ะรึ?”

 

เจ้าอาวาสหยุดยืน เงียบนิ่งไปชั่วขณะประหนึ่งเกรงกลัวอะไรบางอย่าง

 

“ข้าจะพาเจ้าไปพบกับ…”

 

“องค์ยูไล!!!”

Sign in Buddha’s palm 68 หลบมาอยู่ใต้โคมไฟสีฟ้าและองค์พระ

 

 

ชายในชุดขาวตัวสั่นเทา คุกเข่าลงกับพื้น ตราประทับจางๆ รูปมีดบินบนหน้าผากพังทลายลง

 

ต้องทราบว่าทายาทมีดบินที่มีมากว่าหลายชั่วอายุคนนั้น ไม่ได้ฝึกฝนกายเนื้อและกำลังภายในมาสักเท่าไหร่ แต่มุ่งเน้นไปที่การสะสม ‘พลังศักดิ์สิทธิ์‘ เพียงอย่างเดียวเท่านั้น

 

แน่นอนว่ามิได้หมายความว่าทายาทมีดบินมิรู้วิชายุทธอื่น เพียงแต่เมื่อเทียบกับพลังศักดิ์สิทธิ์ที่เหนือล้ำ กำลังภายในและกายเนื้อของพวกเขานับว่าไม่โดดเด่น

 

เพราะพลังอันเหนือล้ำนั้นทำให้ทายาทมีดบินแต่ละรุ่นเป็นที่หวาดกลัวต่อผู้คน

 

แต่ในขณะนี้รอยประทับรูปมีดสั้นที่สื่อถึง‘พลังศักดิ์สิทธิ์‘ กำลังค่อยๆ พังทลายลง

 

นี่มันน่าเหลือเชื่อขนาดไหนกันเชียว?

 

บางทีระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสมบูรณ์อาจสามารถสังหารชายชุดขาวได้ แต่เป็นไปไม่ได้ที่จะสามารถทำลาย ‘พลังศักดิ์สิทธิ์‘ ของเขา

 

‘พลังศักดิ์สิทธิ์‘ ไม่เพียงแต่จะแสดงถึงระดับการบ่มเพาะทางจิตวิญญาณเท่านั้น แต่ยังเป็นสัญลักษณ์ของความเชื่อความศรัทธาของชายชุดขาวด้วย

 

แม้ตัวจะตายได้ แต่ความศรัทธามิใช่จะทำลายกันได้ง่ายๆ

 

“นั่นคือ?!!”

 

ดวงตาของทายาทมีดบินมีเลือดไหลออกมา

 

เขาเพียงกระจายการรับรู้ผ่านเคล็ดมีดบิน แทบไม่ได้เข้าไปใกล้พื้นที่ต้องห้ามภูเขาด้านหลังเลย ทั้งยังมองจากระยะไกลเพียงไม่นานอีกด้วย

 

แต่ผลที่ได้กลับเจอดวงอาทิตย์เก้าดวงหมุนวนเคลื่อนผ่าน ให้ความรู้สึกนึกย้อนไปถึงยุคโบราณกาล บรรยากาศอันเก่าแก่และดิบเถื่อนรั่วซึมออกมา ทรงพลังเกินจะต้านไหว

 

‘พลังศักดิ์สิทธิ์‘ ของชายชุดขาวจะทานทนต่อสิ่งตรงหน้านั้นได้อย่างไร มันแตกหัก พังทลายในทันที ถึงขนาดที่มีพลังอันพิศวงส่งกลับมาปะทะกายเนื้อของเขา

 

“มันมี ‘พลังศักดิ์สิทธิ์‘ ที่กว้างใหญ่จนน่าเหลือเชื่อขนาดนั้นบนโลกได้เยี่ยงไร?”

 

เสียงของชายชุดขาวอดไม่ได้ที่จะสั่นเครือ

 

โดยปกติแล้ว ‘พลังศักดิ์สิทธิ์‘ ของคนธรรมดาแทบจะเล็กจิ๋วเท่า‘จุดแสง‘ ส่วน‘พลังศักดิ์สิทธิ์‘ ของผู้ฝึกยุทธอาจจะมีขนาดใหญ่กว่าเล็กน้อย

 

แต่ถึงแม้จะเป็นยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่ง มันก็ไม่ควรจะใหญ่ไปกว่าลูกไฟลูกหนึ่ง

 

แต่บัดนี้ชายในเครื่องแต่งกายสีขาวรู้สึกว่า ‘พลังศักดิ์สิทธิ์‘ ที่มาจากพื้นที่ต้องห้ามภูเขาด้านหลังเปรียบเสมือนความเวิ้งว้างอันลึกล้ำครอบคลุมไปทั่วทุกสิ่ง

 

 

ในขณะเดียวกัน

 

ที่เขตหวงห้ามภูเขาด้านหลัง

 

ซูฉินลืมตาขึ้นมาในระหว่างการโคจรพลังเก้าสุริยัน

 

“มีคนแอบจับตาดูข้าอย่างนั้นหรือ?”

 

ซูฉินขมวดคิ้ว

 

ตอนที่เขากำลังฝึกฝนอยู่นั้น เขารู้สึกได้ถึงการจ้องมองที่ค่อนข้างคลุมเครือ

 

แต่ไม่สามารถพูดได้เต็มปากว่ามาแอบดู มันเหมือนกับมดตัวหนึ่งบังเอิญหันมามองจากที่ไกลๆ

 

ถ้าเขาไม่ได้เข้าสู่ขอบเขตระดับอรหันต์ ซูฉินอาจจะไม่ได้สังเกตเห็นมันเลยเพราะการจ้องมองเมื่อครู่ไม่ได้โดดเด่นเท่าใดนัก แต่หลังจากบรรลุระดับอรหันต์ ความสามารถในการควบคุมตนเองและสิ่งแวดล้อมของซูฉินนั้นย่อมเป็นเลิศ

 

นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมเขาถึงสามารถจับสัมผัสการจ้องมองนี้ได้อย่างง่ายดาย

 

“น่าสนใจ”

 

ซูฉินลุกขึ้นและก้าวเท้าออกไปด้านหน้า

 

ในทันที

 

ซูฉินก็ออกจากพื้นที่หวงห้ามภูเขาด้านหลัง และมาถึงมุมหนึ่งของวัดเส้าหลิน

 

เบื้องหน้าของซูฉินมีชายในชุดขาวกำลังนั่งคุกเข่าอยู่กับพื้น ตัวสั่นเทา

 

“นี่เจ้าคือทายาทมีดบินรุ่นปัจจุบันอย่างนั้นหรือ?”

 

ซูฉินเพียงมองดูก็เข้าใจเหตุและผลของสถานการณ์ที่เกิดขึ้น

 

แม้ว่าโดยมากซูฉินแทบไม่ได้ออกจากวัดเส้าหลินไปไหน แต่เขาก็เคยได้ยินเรื่องราวของ ‘ทายาทของลี้น้อยมีดบิน‘ มาไม่น้อย

 

วัดเส้าหลินคงอยู่มาหลายพันปีแล้ว มีสงฆ์ศักดิ์สิทธิ์หลายรูปที่กำเนิดขึ้นที่นี่และได้ต่อสู้กับทายาทของมีดบิน หลังจากกลับมาที่วัดเส้าหลินพวกท่านก็ได้บันทึกเอาไว้ในหนังสือโบราณ นำไปบรรจุเก็บไว้ในศาลาพระคัมภีร์

 

ซูฉินใช้ชีวิตอยู่ในวัดเส้าหลินมากว่ายี่สิบปี เรื่องราวเหล่านี้มักจะผ่านหูผ่านตามาจากในศาลาพระคัมภีร์อยู่แล้ว

 

ตามบันทึกของสงฆ์ศักดิ์สิทธิ์ในครั้งอดีต ระบุว่าศาสตร์ที่ทายาทมีดบินเชี่ยวชาญนั้นเป็นเคล็ดวิชาที่บริสุทธิ์และลึกล้ำเป็นอย่างยิ่ง

 

มันคล้ายคลึงกับวิชาจิตมารแยกวิถีของมารพุทธะ คล้ายกับวิชากลมารฟ้าของพรรคมาร

 

“พลังศักดิ์สิทธิ์ของเขาพังทลายลงไปแล้ว ต่อให้เขารอดชีวิตไปได้ เขาก็จะกลายเป็นขยะไร้ค่า”

 

ความคิดของซูฉินปั่นป่วน และสุดท้ายก็ตัดสินใจ

 

ในตอนนี้เขาพอจะเข้าใจได้ว่าทำไมชายชุดขาวจึงมาลงเอยเช่นนี้ มันไม่มีอะไรมากไปกว่าการต้องการกดดันเอาชนะตัวเองและต้องการจะใช้เคล็ดมีดบินมาสอดแนม ‘พลังศักดิ์สิทธิ์‘ ของซูฉิน

 

เป็นที่น่าเสียดายอย่างยิ่ง

 

‘พลังศักดิ์สิทธิ์‘ ของซูฉินได้กลั่นตัวเป็นจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์มานมนานแล้ว และด้วยการสำเร็จระดับ‘อรหันต์‘ ไม่รู้ว่าความแข็งแกร่งมันพุ่งขึ้นไปกี่เท่าต่อกี่เท่า

 

นอกจากนี้ซูฉินยังฝึกวิชาเก้าสุริยันที่เขตหวงห้ามภูเขาด้านหลัง ในเวลานั้นพลังแห่งดวงสุริยันทั้งเก้ากระจายตัวออกไปส่องแสงแผดเผา จะเป็นไปได้อย่างไรที่ชายชุดขาวจะมา ‘แอบตรวจสอบ‘ ได้?

 

“ข้าขอคำนับ… ขอคำนับท่านผู้ทรงสมณศักดิ์…”

 

เมื่อเห็นซูฉินปรากฏตัวขึ้นจากอากาศธาตุ ชายชุดขาวก็รู้สึกชัดเจนถึงกลิ่นอายที่คล้ายคลึงกับพื้นที่หวงห้ามภูเขาด้านหลัง เสียงของเขาพลันกล่าวออกอย่างขมขื่น

 

ในตอนนี้เขาจะยังไม่รู้อีกหรือว่ามีอรหันต์อยู่ในวัดเส้าหลินจริงหรือไม่?

 

ถ้าเขารู้เรื่องนี้ตั้งแต่แรก ไม่ว่าชายชุดขาวจะมั่นใจและหยิ่งยโสแค่ไหน เขาก็ไม่คิดมาแอบจ้องมองตัวตนระดับเทพเซียนเช่น อรหันต์ผู้นี้หรอก

 

“ช่างน่าเสียดายนัก”

 

ซูฉินมองไปที่ชายชุดขาวพร้อมส่ายหัวเล็กน้อย

 

เขาไม่ได้ตั้งใจจะช่วยเหลือชายชุดขาวที่มีจุดจบเช่นนี้ คนผู้นี้จะต้องรับผิดชอบตัวเอง ไม่สามารถโทษใครได้

 

นอกจากนี้พลังศักดิ์สิทธิ์ก็ได้พังทลายลงไปแล้ว แม้ซูฉินจะอยากช่วยเหลือแค่ไหน แต่เขาก็กู้อะไรกลับคืนมาไม่ได้

 

เมื่อนึกได้แบบนั้นซูฉินก็หมุนตัวจากไป และกลับไปยังพื้นที่หวงห้ามภูเขาด้านหลัง เพื่อทำความเข้าใจคัมภีร์เก้าสุริยันต่อ

 

ไม่นานหลังจากเหตุการณ์ทั้งหมดเกิดขึ้น

 

ทางวัดเส้าหลินก็พบชายคนหนึ่งที่สวมชุดสีขาว

 

เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินจดจำได้ว่าชายชุดขาวผู้นี้เป็นทายาทของมีดบินรุ่นปัจจุบัน

 

“ท่านเจ้าอาวาส ข้าได้ไปรบกวนผู้ทรงสมณศักดิ์อันสูงส่งที่อยู่ในวัดแห่งนี้ ความผิดของข้านั้นสมควรต้องตายเป็นหมื่นๆ ครั้ง ข้าหวังว่าเจ้าอาวาสจะยินดีรับข้าเข้านมัสการพระพุทธรูปอันเก่าแก่ และพำนักอยู่ใต้โคมไฟสีฟ้าไปตลอดชีวิต”

 

ชายในชุดสีขาวลดสายตาลงและพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ

 

ก่อนที่จะมายังวัดเส้าหลิน ชายชุดขาวมุ่งมั่นที่จะบรรลุจุดสูงสุดของวิทยายุทธมาโดยตลอด แต่หลังจากเข้ามาในวัดเส้าหลินและแอบตรวจสอบผู้ซึ่งเทียบได้กับปลายยอดน้ำแข็งท่ามกลางหมู่ชนที่เขตหวงห้ามเพียงครู่เดียว มันก็ทำให้เขาได้รู้ว่าโลกใบนี้ช่างกว้างใหญ่เพียงใด

 

ไฉนยังกล้าใฝ่หาจุดสูงสุดของวิทยายุทธ? เมื่อเทียบกับผู้ที่อยู่ในพื้นที่ต้องห้ามภูเขาด้านหลัง เขานับเป็นเพียงหยดน้ำเพียงหยดเดียวในมหาสมุทรใหญ่ ความห่างชั้นนั้นช่างไกลเกินเอื้อมถึง

 

รอยแผลบนผิวหนังควบคู่กับการพังทลายของพลังศักดิ์สิทธิ์ทำให้ชายชุดขาวรู้สึกท้อแท้กับชีวิต และมีความคิดที่จะหลีกหนีเรื่องวุ่นวายทางโลก ปลีกวิเวกใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ที่นี่

 

“ผู้แสวงบุญ ประสกต้องคิดให้ถี่ถ้วนเกี่ยวกับเรื่องนี้…”

 

เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินเหลือบมองไปทางหัวหน้าตำหนักที่เพิ่งมาถึง แล้วกล่าวคำอย่างช้าๆ

 

แม้ว่าชายชุดขาวจะกลายเป็นบุคคลไร้ประโยชน์ไปเสียแล้วในตอนนี้ แต่เขาก็เป็นถึงทายาทมีดบินในยุคนี้ ไม่ว่าจะเป็นความคิดความอ่าน ความเข้าใจของเขาเหนือกว่าผู้ฝึกยุทธธรรมดาไปมากนัก

 

หากชายชุดขาวสักการะเข้ามาอยู่ในวัดเส้าหลินจริงๆ ก็ย่อมเป็นประโยชน์ต่อรากฐานของวัดเส้าหลิน

 

“ท่านเจ้าอาวาส ข้าได้คิดมาอย่างถี่ถ้วนแล้ว”

 

ชายชุดขาวถอนหายใจเบาๆ แล้วกล่าวออกมาอย่างหนักแน่น

 

“ในเมื่อเป็นเช่นนั้นพระผู้ต้อยต่ำผู้นี้จะเป็นผู้ปลงผมให้เจ้าเอง”

 

เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินพนมมือสวดมนต์พิธีและกล่าวคำ

 

เวลาผ่านไปนานเป็นปี

 

นอกเหนือจากการลงชื่อเข้าใช้ในทุกๆ วัน ซูฉินยังฝึกฝนและทำความเข้าใจในศาสตร์วิชาอย่างต่อเนื่อง

 

หลังจากทราบเรื่องที่ยังคงมีตำนานยุทธอยู่ด้านนอกแผ่นดินใหญ่ นอกมหาสมุทรที่ไม่มีที่สิ้นสุดนั่น ความปรารถนาที่จะแข็งแกร่งกว่านี้ของซูฉินก็พุ่งสูงขึ้นอีกครั้ง

 

“ไม่ว่าจะเป็นอรหันต์หรือตำนานยุทธ หากต้องการจะเติบโต แข็งแกร่ง และก้าวไปสู่ระดับที่ทรงพลังน่าทึ่งยิ่งขึ้นไปอีก สิ่งที่ต้องกระทำมิใช่แค่ฝึกฝนตนเอง แต่ยังต้องเข้าใจพลังแห่งฟ้าดินด้วย!”

 

ซูฉินนั่งขัดสมาธิ ดวงตาของเขาสว่างไสว

 

ในช่วงเวลาที่ผ่านมานี้ ทั้งความพยายามของเขาเองและด้วยการใช้โอสถอายุวัฒนะเคลือบทองคำอย่างต่อเนื่อง การบ่มเพาะของเขาในขอบเขตระดับอรหันต์ค่อนข้างราบรื่นทีเดียว

Sign in Buddha’s palm 67 ผ่านทางมาเส้าหลิน, เก้าสุริยันปรากฏ!

 

 

“นี่วัดเส้าหลินมีระดับอรหันต์จริงๆ งั้นรึ?”

 

ชายในชุดขาวที่มีรอยประทับรูปมีดสั้นบนหน้าผากขมวดคิ้วเข้าหากัน

 

หากใครที่เจนจัดในโลกยุทธภพมาอยู่ที่นี่ เขาจะต้องจดจำได้อย่างแน่นอนว่าชายในชุดขาวก็คือทายาทของลี้น้อยมีดบิน

 

ลี้น้อยมีดบินเป็นนามที่ไม่มีใครกล้าแอบอ้าง

 

เขามีชื่อเสียงไปทั่วทั้งยุทธภพ แม้แต่ยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งที่อยู่เหนือผู้ใดก็ยังต้องเกรงกลัวทายาทของลี้น้อยมีดบินเป็นอย่างมาก

 

“ไม่หรอก ไม่ควรจะมีอรหันต์อยู่จริง บนถนนแห่งผู้ฝึกยุทธสายนี้มีแต่ข่าวโคมลอยที่ผิดเพี้ยนทั้งนั้นแหละ“

 

ชายในชุดขาวคิดอยู่สักพักแล้วก็ส่ายหัว

 

ต้องทราบว่าทั้งตำนานยุทธและระดับอรหันต์ยากนักที่จะกำเนิดเกิดขึ้นมาได้ในแต่ละยุคแต่ละสมัย

 

ถ้าวัดเส้าหลินมีอรหันต์อยู่จริงๆ แล้วโลกภายนอกจะแพร่กระจายข่าวมาจากไหนก่อนหน้านี้เรื่องที่ไม่มียอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งอยู่ภายในวัดเลย และเกือบจะหลุดออกจากตำแหน่งของสุดยอดพรรคไปแล้ว

 

“เพียงแต่การตายของจอมมารนั้นเป็นความจริง ด้วยความแข็งแกร่งของจอมมารแม้จะเผชิญหน้ากับศัตรูที่แข็งแกร่งเขาก็ควรจะหลบหนีได้ นี่ถึงกับไม่สามารถหลบหนีออกมาได้ เกรงว่าฝ่ายตรงข้ามจะต้องเป็นยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสมบูรณ์“

 

ชายชุดขาวแตะปลายคางของเขาด้วยอาการครุ่นคิด

 

เขาหาใช่คนโง่ไม่ แม้เขาจะไม่คิดว่าจะมีอรหันต์อยู่ที่วัดเส้าหลินจริงๆ แต่วัดเส้าหลินย่อมมิใช่ผลลูกพลับอ่อนที่เด็ดกินได้อย่างง่ายๆ

 

“ แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่ข้าต้องการหรอกหรือ?”

 

“หากระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสมบูรณ์ใช้ ‘พลังศักดิ์สิทธิ์‘ ออกมา คงจะกดดันข้าได้มากเพียงพอใช่ไหมนะ?”

 

ทันใดนั้นร่องรอยความร้อนรุ่มก็ปรากฏขึ้นในดวงตาของชายชุดขาว

 

ชายในชุดขาวมิได้ตั้งใจจะยั่วโทสะยอดฝีมือระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสมบูรณ์จากวัดเส้าหลิน

 

ระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสมบูรณ์ มีทั้งร่างกายที่แข็งแกร่ง จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์และกำลังภายในที่ลึกซึ้ง ทุกอย่างล้วนแปรสภาพไปหมดสิ้นแล้ว เป็นความสมบูรณ์อย่างที่สุด ไม่ใช่ตัวตนที่เขาจะสามารถต้านทานได้

 

ชายในชุดสีขาวเพียงแค่ต้องการจะกดดันตัวเองไปสู่ขั้นตอนสุดท้ายของการบ่มเพาะ โดยใช้ความแข็งแกร่งจาก ‘พลังศักดิ์สิทธิ์‘ ของอีกฝ่าย

 

ทายาทของยอดยุทธมีดบินในยุคก่อน มีบุคลิกอันหลากหลาย

 

บางทีก็เข้าหาได้ง่าย บางคราก็อ่อนโยน มีขี้อิจฉาบ้าง และคลั่งไคล้ศิลปะการต่อสู้

 

ทายาทมีดบินทุกรุ่นเชี่ยวชาญศาสตร์การใช้มีดบิน

 

ศาสตร์การใช้มีดบินนั้นแตกต่างไปจากเคล็ดวิชาส่วนใหญ่ในยุทธภพ

 

เคล็ดการใช้มีดบินนั้นลึกลับซับซ้อนอย่างมาก

 

กล่าวโดยง่ายคือกำลังภายในและร่างกายของผู้ฝึกยุทธนั้นล้วนไร้ประโยชน์เมื่อเอามาใช้ป้องกันขัดขวางวิถีมีดบินของทายาทมีดบิน

 

ทำได้เพียงพึ่งพา ‘พลังศักดิ์สิทธิ์‘ ของตนเองเท่านั้น ว่าจะแกร่งพอหรือไม่

 

หาก ‘พลังศักดิ์สิทธิ์‘ หยุดยั้งมันไว้ได้ ก็นับว่ารอดชีวิต

 

หาก ‘พลังศักดิ์สิทธิ์‘ หยุดยั้งมันไว้ไม่ได้ ก็จงสิ้นชีพไปเสีย

 

ดังนั้น

 

โดยปกติแล้วยอดฝีมือระดับชั้นที่หนึ่งมีแต่จะต้องตกตายเมื่อเจอเข้ากับทายาทมีดบิน ส่วนระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสูงสุด…

 

มีเพียงยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งที่เริ่มบ่มเพาะ ‘พลังศักดิ์สิทธิ์‘ เท่านั้น ถึงจะหยุดวิถีมีดบินได้

 

แต่นั่นก็ไม่เสมอไป มันต้องขึ้นอยู่กับว่า ‘พลังศักดิ์สิทธิ์‘ ของทายาทมีดบินแข็งแกร่งมากน้อยเพียงใดด้วย

 

แต่ก็ใช่ว่าเคล็ดวิชามีดบินจะไร้เทียมทาน

 

ทุกครั้งที่ทายาทมีดบินขว้างมีดออกไป เขาจะทุ่มใช้พลังจนหมดตัว และต้องใช้เวลาพักฟื้นพอสมควร ในเวลานั้นเองเป็นเวลาที่ทายาทมีดบินไม่สามารถสู้ได้แม้กระทั่งคนธรรมดา

 

ในการต่อสู้ตัวต่อตัว ทายาทมีดบินสามารถสังหารผู้ใดทิ้งก็ได้ที่มีระดับชั้นต่ำกว่าระดับชั้นที่หนึ่ง

 

แต่เมื่อเจอกับการปิดล้อมด้วยกลุ่มผู้ฝึกยุทธ ทายาทมีดบินทำได้แค่ยอมรับความพ่ายแพ้เพียงอย่างเดียวเท่านั้น

 

เขาซัดมีดบินออกไปได้เพียงครั้งเดียวในชั่วระยะเวลาหนึ่ง และหลังจากซัดออกไปแล้วก็เป็นอันหมดสภาพ ไร้หนทางต่อสู้

 

ทั้งชีวิตของชายชุดขาว ได้ใช้มิดบินปลิดชีพคนมาแล้วถึงเก้าคน ในหมู่คนเหล่านั้นบุคคลที่แข็งแกร่งที่สุดคือยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งจากอาณาจักรหนานหมิงทางตอนใต้

 

ด้วยการลงมือทั้งเก้าครั้งนั้น ทำให้ชายชุดขาวขัดเกลา ‘พลังศักดิ์สิทธิ์‘ ของตนเองให้แกร่งขึ้นอย่างต่อเนื่องจนเขาเกือบจะสามารถแปรสภาพพลังศักดิ์สิทธิ์กลั่นออกมาเป็นจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ได้แล้ว เหลืออีกก้าวเดียวเท่านั้น

 

ช่างน่าเศร้าที่ขั้นตอนนี้แลดูเหมือนจะเรียบง่าย แต่ความเป็นจริงนั้นเหมือนกับคูน้ำกว้าง

 

หากไม่มีสิ่งส่งเสริมจากภายนอกที่เพียงพอ ด้วยการกดดันจาก ‘พลังศักดิ์สิทธิ์‘ ของยอดฝีมือผู้ทรงพลัง ทายาทมีดบินจะไม่สามารถก้าวข้ามขั้นตอนสุดท้ายนี้ไปได้

 

“เสียดายที่จ้าวกงกงในวังหลวงนั้นเหมือนจะควบแน่นพลังศักดิ์สิทธิ์ได้แล้ว แต่ข้าไม่สามารถหาหนทางเข้าไปในวังได้เลย”

 

ชายชุดขาวถอนหายใจ

 

“แต่ว่า”

 

“ถึงเข้าไปในวังหลวงไม่ได้ แต่ข้ายังเข้าไปในวัดเส้าหลินได้อยู่”

 

ชายในชุดสีขาวมีพลังใจกลับมาอีกครั้ง

 

แม้ว่าวัดเส้าหลินจะเป็นสุดยอดพรรคในยุทธภพ แต่ก็ไม่ได้ห้ามให้ผู้แสวงบุญเข้าไปสักการะกราบไหว้พระพุทธรูป

 

ชายในชุดขาวสามารถแสร้งเป็นนักแสวงบุญและแอบเข้าไปในวัดเส้าหลินได้อย่างแนบเนียน

 

ตราบใดที่เข้าไปในวัดเส้าหลินได้ ชายชุดขาวก็สามารถใช้เคล็ดมีดบินของเขา สัมผัส ‘พลังศักดิ์สิทธิ์‘ บริเวณใกล้เคียงทั้งหมด

 

หากระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสมบูรณ์ยังอยู่ในวัดเส้าหลินล่ะก็ ไม่มีทางจะหนีพ้นประสาทสัมผัสของชายชุดขาวไปได้

 

 

ที่วัดเส้าหลิน

 

หลังจากที่ซูฉินลงชื่อเข้าใช้ประจำวันเรียบร้อยแล้ว ดวงตาเขาก็เบิกกว้างขึ้นเล็กน้อย มองออกไปนอกวัดเส้าหลิน

 

นับตั้งแต่ที่จอมมารได้สิ้นชีพไป ก็มีจารชนจำนวนมากซ่อนตัวอยู่ตามมุมมืดต่างๆ นอกวัด และแม้แต่ผู้แสวงบุญทั้งหลายที่มาเยี่ยมชมวัดสักการะพระพุทธรูปในทุกวันนี้ ล้วนเป็นจอมยุทธแฝงตัวเข้ามากันทั้งนั้น

 

แม้ซูฉินจะทราบเรื่องที่เกิดขึ้น แต่เขาก็ขี้เกียจเกินกว่าจะใส่ใจตราบที่มันไม่รบกวนเขา เจ้าอาวาสและหัวหน้าตำหนักจะดูแลจัดการเรื่องเหล่านี้เอง

 

“ด้วยเคล็ดในการฝึกวิชาเก้าสุริยัน หากฝึกฝนไปจนถึงขีดสุด ว่ากันว่าตัวตนของผู้ฝึกจะเป็นดั่งดวงสุริยัน แผดเผาภูเขาให้มอดไหม้ ระอุจนทะเลยังต้องเดือดเป็นไอ”

 

“วันนี้ข้าคงต้องทดสอบดูสักหน่อย”

 

ใจของซูฉินขยับวูบ

 

คัมภีร์เก้าสุริยันเป็นวิชาสายพุทธ การที่ซูฉินฝึกฝนวิชาเก้าสุริยันก็ถือเป็นการพิสูจน์วิชาร่วมกับผู้คิดค้นคัมภีร์เก้าตะวันโดยอ้อม

 

หลังจากที่กลายมาเป็นระดับอรหันต์ สิ่งที่จำเป็นต้องกระทำคือการรวบรวมวิถีแห่งศาสตร์วิชาแต่ละแขนงที่แตกต่างกันเพื่อนำมาขัดเกลาและพิสูจน์วิถีแห่งตนเอง

 

เมื่อคิดได้เช่นนั้นซูฉินจึงกลับไปที่พื้นที่ต้องห้ามภูเขาด้านหลัง นั่งลงเอาขาไขว้กัน เริ่มโคจรวิชาเก้าสุริยันอย่างรวดเร็ว

 

 

ที่ด้านนอกโถงศาลาการประชุมใหญ่

 

ชายในชุดขาวที่บัดนี้กลายเป็นผู้แสวงบุญ เดินไปที่มุมหนึ่งของวัดโดยไม่ได้ทิ้งร่องรอยใดเอาไว้

 

หลังจากนั้นชายชุดขาวก็กวาดสายตามองไปรอบๆ สูดลมหายใจเข้าลึก

 

“ครู่เดียว”

 

“การใช้เคล็ดมีดบินเพื่อตรวจจับ ‘พลังศักดิ์สิทธิ์‘ ของผู้อื่นนั้น หากไม่ได้ใช้เวลาไปนานเท่าไหร่ แม้แต่ระดับที่หนึ่งขั้นสมบูรณ์ก็ไม่มีทางรู้ตัว”

 

ชายชุดขาวนั่งลง คิดอยู่คนเดียวในใจ

 

สำหรับเรื่องที่เขาจะสามารถรับแรงกดดันของ‘พลังศักดิ์สิทธิ์‘จากระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสมบูรณ์ได้หรือไม่นั้น ชายชุดขาวยังคงมั่นใจในตนเอง

 

ในฐานะของทายาทมีดบินรุ่นนี้ เดิมทีเขาเองก็มีความสามารถในการใช้ ‘พลังศักดิ์สิทธิ์‘ สูงมาก ตราบใดที่เขายังไม่ตาย เขายังสามารถตรวจพบ ‘พลังศักดิ์สิทธิ์‘ ของระดับตำนานยุทธได้โดยไม่มีปัญหาใด

 

เมื่อคิดได้ดังนั้น ชายชุดขาวหลับตาลง ยกมือขวาแตะไปยังตราประทับรูปมีดบินที่กึ่งกลางคิ้ว

 

หวึ่ง!!

 

ในเวลาต่อมา

 

ชายชุดขาวรู้สึกถึงการรับรู้ของตนเองที่พุ่งทะยานขึ้นและรับรู้จุดแสงที่กระจายอยู่รอบตัวของเขาได้อย่างหยาบๆ

 

“นั่นคือ‘พลังศักดิ์สิทธิ์‘ ของเหล่าผู้แสวงบุญและศิษย์วัดเส้าหลินอย่างนั้นหรือ?”

 

ชายชุดขาวไม่ได้ให้ความสนใจกับจุดแสงพวกนี้ และยังคงแผ่การรับรู้ของตนเองออกไปทุกทิศทาง

 

“นี่ก็ไม่ใช่”

 

“นั่นก็ไม่ใช่”

 

ชายในชุดขาวขมวดคิ้วเล็กน้อย เหงื่อเย็นหลั่งไหล

 

ถ้ายังคงค้นหาต่อไป เกรงว่าจะเกินขีดจำกัดของตัวเขาแล้ว

 

ตอนที่ชายชุดขาวกำลังจะยอมแพ้นั้น

 

ในที่สุดการรับรู้ของเขาก็เคลื่อนไปถึงพื้นที่ต้องห้ามภูเขาด้านหลังของวัดเส้าหลิน

 

ช่วงเวลาต่อมา

 

ชายชุดขาวก็พบเห็นฉากตระการตา

 

ในขอบเขตการรับรู้ของเขาพลันปรากฏดวงอาทิตย์ขนาดยักษ์เก้าดวงส่องสว่างเจิดจ้า

 

แสงสว่างขับไล่ความมืดไปจนสิ้น แผดเผาอากาศจนระอุ ยามที่ดวงอาทิตย์พาดผ่านทุกสิ่งทุกอย่างพลันแห้งแล้ง ชีวิตพลันดับสูญ

 

“นี่ นี่คือ นี่คือ…..”

 

ชายในชุดสีขาวรู้สึกแค่ ‘พลังศักดิ์สิทธิ์‘ ของเขากำลังพังทลาย เขาคุกเข่าลงกับพื้นด้วยเสียงอันดัง เลือดออกจากดวงตาทั้งสองข้าง สีหน้าของเขาแสดงความหวาดกลัวอย่างถึงขีดสุด

Sign in Buddha’s palm 66 เต๋าสะสมกำลังจะหมดลง มีดบินของลี้น้อย!

 

 

“อา…”

 

“ดูเหมือนการฝึกวิทยายุทธของข้า ยังต้องพึ่งพาตนเองไปทีละก้าว ไม่มีทางลัดใด…”

 

การแสดงออกของซูฉินเปี่ยมไปด้วยอารมณ์ความรู้สึก พลันนึกคิดในใจของตนขวดหยกสีขาวก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าเขา

 

ยามเมื่อขวดหยกสีขาวปรากฏขึ้นพลังฟ้าดินโดยรอบก็สั่นไหวเบาๆ เมื่อซูฉินเปิดจุกขวดแล้วเทเม็ดยาโปร่งใสบริสุทธิ์ลงบนฝ่ามือ พลังแห่งฟ้าดินก็เดือดพล่าน

 

“ หืม?”

 

ซูฉินขมวดคิ้วและใช้จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของเขาเข้าตรวจสอบ

 

ในชั่วพริบตาอาการเดือดพล่านของพลังฟ้าดินก็ถูกระงับลง สภาพแวดล้อมกลับมาสงบอีกครั้ง

 

“โอสถอายุวัฒนะเคลือบทองคำ… ”

 

ซูฉินพึมพำไปพร้อมกับมองเม็ดยาอันบริสุทธิ์และโปร่งใสในมือของเขา

 

‘โอสถอายุวัฒนะเคลือบทองคำ‘เป็นยาอายุวัฒนะในตำนานของวัดเส้าหลิน มีเพียงศิษย์ในระดับ ‘อรหันต์‘ เท่านั้น ที่มีคุณสมบัติเพียงพอจะปรุงแต่งเม็ดยาขึ้นมาได้

 

ถึงกระนั้นอรหันต์ผู้ทรงศักดิ์ยังต้องใช้เวลาอย่างมหาศาลในการปรุงแต่งโอสถอายุวัฒนะเคลือบทองคำให้สำเร็จ ตามข้อมูลที่บันทึก เหล่าอรหันต์ถึงกับต้องใช้แก่นพลังชีวิตบางส่วนของตนเป็นขั้นตอนสุดท้ายของการปรุงกลั่น

 

ตามปกติแล้ว หากไม่มีเหตุเฉพาะ ก็ไม่มีอรหันต์คนใดเต็มใจจะปรุงโอสถอายุวัฒนะเคลือบทองคำขึ้นมาเพราะมันไม่คุ้มค่าเลย

 

ตามประวัติศาสตร์กว่าพันปีของวัดเส้าหลิน มีโอสถอายุวัฒนะเคลือบทองคำถูกปรุงขึ้นมาไม่เกินสิบเม็ด

 

ทว่า

 

ที่โอสถอายุวัฒนะเคลือบทองคำจะยากที่ปรุงกลั่นขึ้นมาก็เพราะสรรพคุณทางยาน่าหวาดหวั่นจนเกินไป

 

แม้แต่ระดับอรหันต์ที่สูงส่ง เมื่อบริโภคโอสถอายุวัฒนะเคลือบทองคำก็ยังผลลดระยะเวลาในการบ่มเพาะอย่างหนักไปได้หลายสิบปี และช่วงที่โอสถออกฤทธิ์ยังช่วยให้รับรู้ถึงพลังฟ้าดินและควบคุมพลังอันยิ่งใหญ่นี้ได้ง่ายมากขึ้น

 

“สงสัยจะต้องเก็บไว้ให้ดีๆ“

 

ซูฉินมองไปที่ขวดโอสถอายุวัฒนะเคลือบทองคำในมือของตน ความคิดพลิกกลับไปมาหลายตลบ

 

เขาลงชื่อเข้าใช้อยู่ในวัดเส้าหลินมายี่สิบปีเต็ม แต่เขาได้รับ‘โอสถอายุวัฒนะเคลือบทองคำ‘เพียงไม่กี่ร้อยเม็ดเท่านั้น ซึ่งน้อยเกินกว่าความต้องการสำหรับใช้งานจริง

 

กรึบ

 

ซูฉินกลืนโอสถอายุวัฒนะเคลือบทองคำลงไปในคำเดียว

 

โอสถอายุวัฒนะเคลือบทองคำไม่ได้ละลายในปากเหมือนกับโอสถเสริมศักยภาพขนาดใหญ่ แต่มันกลับแข็งมาก จมลงไปในท้องน้อยของซูฉินแล้วค่อยๆ ปล่อยตัวยาออกมาอย่างช้าๆ

 

“นี่คือ?”

 

ซูฉินรู้สึกว่าความแข็งแกร่งที่เหมือนจะหยุดนิ่งไปแล้ว เริ่มกลับมาเพิ่มขึ้นอย่างช้าๆ อีกครั้ง

 

นอกจากนั้นซูฉินยังสังเกตพบอีกว่าหลังจากกลืนโอสถอายุวัฒนะเคลือบทองคำลงไป เขาสามารถควบคุมพลังของฟ้าดินได้ง่ายดายมากยิ่งขึ้น

 

ก่อนที่จะใช้เม็ดยาโอสถอายุวัฒนะเคลือบทองคำ ซูฉินสามารถควบคุมพลังฟ้าดินได้เพียงไม่กี่ลี้เท่านั้น

 

แต่ตอนนี้ซูฉินรู้สึกว่าขอบเขตความสามารถมันเพิ่มขึ้นไปอีกอย่างน้อยก็สองเท่า? !

 

สิ่งนี้มันคืออะไรกัน? !

 

ต้องทราบก่อนว่าการต่อสู้กันระหว่างเหล่าอรหันต์นั้น ไม่ได้เกี่ยวข้องกับตัวตนของตัวเองอีกต่อไป แต่เทียบเท่ากับการเผชิญหน้าระหว่างพลังฟ้าดินจากสองฝั่ง

 

ในเวลานั้นขอบเขตพลังฟ้าดินที่สามารถควบคุมได้ย่อมสำคัญยิ่ง

 

โอสถอายุวัฒนะเคลือบทองคำไม่เพียงแต่จะร่นระยะเวลาการบ่มเพาะให้กับซูฉิน แต่ยังเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับซูฉินถึงสองเท่าภายในระยะเวลาที่ยาออกฤทธิ์

 

“ผลของยาจะคงอยู่ไปอีกประมาณหนึ่งถึงสองเดือน”

 

ซูฉินรู้ได้ด้วยความรู้สึก และตอนนี้เขาก็อยู่ในอารมณ์ที่ดีทีเดียว

 

แม้ว่าหลังจากใช้โอสถอายุวัฒนะเคลือบทองคำไปแล้ว เขาจะยังมีความก้าวหน้าไม่ได้เร็วเท่ากับวิทยายุทธทั้งเก้าระดับชั้น แต่มันก็ยังดีกว่าระดับอรหันต์หรือตำนานยุทธคนอื่นๆ

 

เวลาค่อยๆ ผ่านเลยไป

 

เพื่อให้ได้มาซึ่งโอสถอายุวัฒนะเคลือบทองคำที่เพียงพอต่อความต้องการ ซูฉินจึงมักไปลงชื่อเข้าใช้ที่ลานโพธิ์

 

แน่นอน

 

ว่าไปลงที่นั่นที่เดียวไม่ได้เด็ดขาด

 

บางครั้งบางคราซูฉินก็จะไปที่หอคอยสะกดมารหรือไม่ก็ศาลาพระคัมภีร์เพื่อลงชื่อเข้าใช้

 

ในวันนี้ซูฉินนั้นเดินผ่านหอคอยสะกดมารและหยุดลงอย่างกะทันหัน

 

“ล่าสุดที่ข้ามาลงชื่อเข้าใช้ที่นี่ก็นับเป็นเวลานานมากแล้วนี่นะ”

 

หัวใจของซูฉินสั่นไหว

 

แม้ว่าสิ่งที่ออกมาจากหอคอยสะกดมารจะเกี่ยวข้องกับวิชามาร แต่ก็ไม่มีอะไรแน่นอนเสมอไป บางทีอาจจะมีอะไรดีๆ ออกมาบ้างก็ได้นี่?

 

เมื่อคิดได้ดังนั้น ซูฉินก็กล่าวคำในใจอย่างเงียบๆ

 

“ระบบ ลงชื่อเข้าใช้”

 

[ขอแสดงความยินดี โฮสต์ลงชื่อเข้าใช้สำเร็จ ได้รับ ‘ตราประทับสะกดมาร‘]

 

[คำเตือน : เต๋าสะสมในพื้นที่นี้กำลังจะหมดลงและจะกลายเป็นสถานที่ที่ไม่สามารถลงชื่อเข้าใช้ซ้ำได้]

 

เสียงจักรกลเย็นเยียบดังขึ้นติดต่อกันถึงสองครั้งในหูของซูฉิน

 

“ไม่สามารถลงชื่อเข้าใช้ซ้ำที่นี่ได้อีก?”

 

ซูฉินผงะไปชั่วขณะหนึ่ง

 

“เต๋าสะสมใกล้จะหมดลงแล้ว?”

 

สภาวะจิตใจของซูฉินแปรเปลี่ยนไปอย่างรุนแรง ในที่สุดเขาก็ถอนหายใจออกมาเล็กน้อย

 

จริงๆ แล้ว ซูฉินก็รู้มาตั้งนานแล้วว่าวันนี้คงมาถึง

 

ตั้งแต่วันแรกที่ซูฉินได้ใช้ระบบ เขาก็รู้ว่าการลงชื่อเข้าใช้ถูกกำหนดจำนวนการเข้าใช้ได้ตามเต๋าสะสมในสถานที่นั้นๆ

 

ยิ่งมีเต๋าสะสมอยู่มาก ก็ยิ่งลงชื่อเข้าใช้ได้มาก

 

แต่ไม่ว่าจะมีเต๋าสะสมมากเพียงไหน มันก็ย่อมมีวันหมดลง

 

หอคอยสะกดมารเป็นกรณีตัวอย่าง ทั้งศาลาพระคัมภีร์และลานโพธิ์เองก็คงจะเป็นเช่นเดียวกันในอนาคต

 

“ช่างน่าเสียดายนัก”

 

ซูฉินหมุนตัวเดินจากไป

 

ถึงแม้ว่าปกติแล้วเขาจะไม่ค่อยได้ใช้เคล็ดวิชาจากหอคอยสะกดมารเท่าไหร่ แต่มันก็รู้สึกแย่ไม่น้อยที่สถานที่สำหรับการลงชื่อเข้าใช้ลดลงไปอีกหนึ่งแห่ง

 

“ตราประทับสะกดมาร?”

 

ซูฉินเพ่งจิตไปที่คลังเก็บของของระบบ

 

เห็นตราประทับสี่เหลี่ยมอันเล็กๆ ลอยอยู่ที่มุมหนึ่งของพื้นที่ว่าง

 

ตราประทับมีสีดำสนิทผิวของมันมีรอยสีเลือดจางๆ ติดอยู่ นอกจากนี้ซูฉินยังรู้สึกได้ถึงพลังในการสะกดปราบปรามอันรุนแรงยิ่งจากตราประทับอันเล็กๆ อันนี้

 

ไม่ว่าจะเหล่ามารร้ายในยุทธภพคนไหน ก็ถูกสยบลงได้

 

ซูฉินมีความรู้สึกว่าหากจอมมารยังมีชีวิตอยู่ พลังของเขาอาจจะถูกยับยั้งไปมากถึงเก้าในสิบส่วนหากต้องพบเจอกับตราประทับอันนี้

 

ตราประทับอันเล็กที่มีรอยเลือดเปื้อนชิ้นนี้ เป็นภัยร้ายของเหล่าผู้ฝึกตนสายมารเลยก็ว่าได้

 

“ไม่เลว ไม่เลว”

 

ซูฉินพอใจมาก

 

แม้ว่าจอมมารจะตกตาย พรรคมารล่มสลาย แต่ซูฉินก็รู้ได้จากแผ่นหนังสัตว์ผืนนั้นว่าตำนานยุทธจากพรรคมารอาจจะยังเหลือรอดอยู่นอกโพ้นทะเลอันกว้างไกล นอกผืนแผ่นดินใหญ่ที่ซูฉินยืนอยู่

 

ตอนนี้เขาก็ได้ตราประทับสะกดมารอันจิ๋วนี้มาแล้ว ความมั่นใจของซูฉินก็เพิ่มมากขึ้นอย่างมาก

 

เวลาต่อมา นอกเหนือจากไปลงชื่อเข้าใช้แล้วซูฉินก็ใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ที่พื้นที่ต้องห้ามภูเขาด้านหลัง

 

เวลาที่ยาออกฤทธิ์อย่างทรงประสิทธิภาพที่สุดอยู่ราวๆ หนึ่งถึงสองเดือน ปกติแล้วซูฉินจะกลืนโอสถอายุวัฒนะเคลือบทองคำทุกครั้งก่อนที่ผลของโอสถเม็ดก่อนหน้าจะหมดลง

 

“ตามบันทึกโบราณที่เหลืออยู่ของวัดเส้าหลิน จำแนกระดับของอรหันต์เป็นระดับนภาทั้งเก้าชั้น”

 

“เมื่อเริ่มแรกสู่ระดับอรหันต์ จะกลายมาเป็นอรหันต์ระดับนภาชั้นที่หนึ่ง จากนั้นก็กลายเป็นอรหันต์ระดับนภาชั้นที่สอง อรหันต์ระดับนภาชั้นที่สาม…เรื่อยไปจนถึงอรหันต์ระดับนภาชั้นที่เก้า”

 

ซูฉินนั่งลงขัดสมาธิ ขบคิดอย่างฉับไวเกี่ยวกับขอบเขตของผู้บ่มเพาะระดับอรหันต์

 

ระดับอรหันต์มีการจำแนกไว้เช่นนี้ ส่วนระดับตำนานยุทธก็จำแนกเอาไว้ในลักษณะคล้ายๆ กัน

 

“เก้าร้อยปีก่อน  ‘ถัวอา ‘ คงเป็นอรหันต์ระดับนภาชั้นที่หนึ่ง เขาได้ใช้ฝ่ามือยูไลและทำได้เพียงสะกดมารพุทธะเอาไว้ แสดงให้เห็นว่าความแข็งแกร่งของมารพุทธะนั้นแกร่งกว่า ‘อรหันต์ถัว ‘ ใช่หรือไม่ ?”

 

ซูฉินคิดคาดเดาในใจ

 

 

ในขณะเดียวกัน

 

ที่โรงเตี๊ยมเล็กๆ แห่งหนึ่ง

 

นักเล่าเรื่องพูดจาอย่างฉะฉาน

 

“กล่าวได้อีกอย่างว่าจอมมารผู้พลานุภาพคับสวรรค์ กรีธาทัพเหล่ามารเข้าโจมตีวัดเส้าหลิน หวังจะทำลายวัดที่เก่าแก่กว่าพันปีแห่งนี้ลง”

 

“ในขณะนั้นเอง  ‘อรหันต์ ‘ ผู้สูงส่งก็ก้าวเดินออกมา ส่งจอมมารให้กลายเป็นผงธุลีด้วยน้ำมือของท่าน …”

 

ผู้ที่มานั่งพักรับประทานอาหารรับฟังอย่างเพลิดเพลินอิ่มอร่อย

 

ยามนี้ข่าวที่จอมมารตกตายในวัดเส้าหลินถูกแพร่กระจายออกไปจนหมดแล้ว มีข่าวลือออกมาหลากหลายเช่นว่า วัดเส้าหลินมีอรหันต์มาหลายร้อยปีแล้ว บ้างก็ว่ามีตำนานยุทธที่ผ่านทางมาแล้วบังเอิญสังหารจอมมารเข้า นอกจากนี้ก็ยังมีข่าวลืออื่นๆ อีกมากมาย

 

สักแห่งหนึ่งภายในโรงเตี๊ยม

 

ชายในชุดสีขาวมีรอยประทับจางๆ รูปมีดบินอยู่บนหน้าผาก เขาเงยหน้าขึ้นเหม่อมองไปทางวัดเส้าหลิน

 

“สงฆ์ระดับอรหันต์ ?”

Sign in Buddha’s palm 65 ยุทธภพสั่นสะเทือน, ไยสวรรค์จึงอยุติธรรม

 

 

“คัมภีร์เก้าสุริยัน?”

 

ซูฉินดีใจเป็นอย่างมาก

 

‘วิชาเก้าสุริยัน‘เป็นหนึ่งในวิชาคัมภีร์ชั้นยอดของวัดเส้าหลิน เมื่อฝึกสำเร็จไปจนถึงจุดสูงสุดแล้วว่ากันว่าร่างกายจะคล้ายกลับกลายเป็นดวงสุริยันลูกมหึมา แผดเผาให้ภูเขาต้องลุกโชน น้ำทะเลยังต้องเดือดเป็นไอ!

 

น่าเสียดายนัก เช่นเดียวกันกับ‘ฝ่ามือยูไล‘ ‘คัมภีร์เก้าสุริยัน‘ ก็ได้สูญหายไปเมื่อหลายร้อยปีก่อน

 

ทว่าการสูญหายไปของคัมภีร์เก้าสุริยันนั้นต่างไปจากตอนที่ฝ่ามือยูไลหายสาบสูญ

 

ฝ่ามือยูไลนั้นสาบสูญไปอย่างสมบูรณ์พร้อมๆ กับการมรณภาพของ ‘อรหันต์‘ รูปสุดท้ายของวัดเส้าหลิน ไม่มีร่องรอยการคงอยู่ของฝ่ามือยูไลเลยยกเว้นพื้นที่หวงห้ามภูเขาด้านหลัง

 

อย่างไรก็ตาม กับคัมภีร์เก้าสุริยัน ได้หลุดรอดออกจากวัดเส้าหลินไปสู่โลกภายนอก

 

ลือกันว่าที่นักพรตจางสายเลือดจอมยุทธแห่งเขาหวู่ตั้งประสบความสำเร็จมาได้ถึงขนาดนี้เพราะเขาได้คัมภีร์บางส่วนของวิชาเก้าสุริยันมาตั้งแต่ยังเป็นหนุ่ม ใช้หยินส่งเสริมหยางเพื่อสร้างพลังงานฉี สร้างความสั่นสะเทือนไปทั่วยุทธภพ…

 

“ไม่เลวๆ“

 

ซูฉินรู้สึกถึงความละเอียดลออและงดงามหมดจดของวิชาเก้าสุริยันประทับลงในจิตของเขา จากนั้นจึงพยักหน้าออกมาเล็กน้อย

 

ด้วยระดับในปัจจุบันของซูฉินเป็นเรื่องธรรมดาที่จะเห็นว่า ‘วิชาเก้าสุริยัน‘ เป็นวิชาอันสูงส่ง ซึ่งอยู่ในขอบเขตของระดับ‘อรหันต์‘

 

แม้จะยังด้อยกว่าฝ่ามือยูไลไม่น้อย แต่เมื่อเทียบกับเคล็ดวิชาของมารพุทธะแล้วก็ไม่ทิ้งห่างกันมากนัก

 

ช่วงเวลาต่อมาชีวิตของซูฉินก็กลับสู่ปกติสุขอีกครั้ง

 

สิ่งที่แตกต่างออกไปเพียงอย่างเดียวก็คือ ซูฉินไม่จำเป็นต้องกวาดลานทุกวี่วันอีกต่อไป

 

เนื่องจากความแข็งแกร่งของซูฉินถูกเปิดเผยออกมาแล้ว เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินและเหล่าหัวหน้าตำหนักที่รู้สึกราวกับซูฉินเป็นบรรพบุรุษสงฆ์ ไหนเลยจะกล้าให้เขากวาดพื้นต่อไป?

 

และซูฉินก็ไม่ได้มีความเห็นอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้

 

ตั้งแต่ที่เขาเข้าสู่ระดับอรหันต์ เขาก็ต้องการเวลาพอสมควรในการทำความคุ้นเคยกับพลังใหม่ที่สูงขึ้นและเพื่อสร้างรากฐานให้มั่นคง

 

ส่วนเรื่องการลงชื่อเข้าใช้….

 

ซูฉินจะรอจนฟ้ามืด ยามที่ไม่มีใครเพ่นพ่านแล้ว เขาจะออกมาลงชื่อเข้าใช้

 

ระบบลงชื่อเข้าใช้เป็นความลับที่ใหญ่ที่สุดของซูฉิน เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะยอมให้ใครล่วงรู้

 

เวลาค่อยๆ ผ่านไป

 

การตายของจอมมารและข่าวการล่มสลายของพรรคมารแพร่กระจายไปทั่วอาณาจักรถังราวกับพายุโหม

 

หลังจากที่จอมมารกลับเข้าสู่ยุทธภพ เขาไม่ได้ขึ้นเขาไปเยือนวัดเส้าหลินเป็นที่แรก แต่กลับไล่กวาดล้างสำนักพรรคธรรมะในราชวงศ์ถังเสียก่อน

 

ในช่วงเวลานั้นความแข็งแกร่งระดับชั้นที่หนึ่งของจอมมารเป็นที่ล่วงรู้กันไปทั่วทั้งยุทธภพมาตั้งนานแล้ว

 

แม้แต่จอมยุทธที่มากไปด้วยชื่อเสียงก็ยังเชื่อว่าจอมมารไม่ใช่ยอดปรมาจารย์ขั้นสูงสุดธรรมดาๆ แต่เป็นยอดปรมาจารย์ขั้นสูงสุดที่แปรสภาพพลังของตนไปอย่างน้อยสองครั้งแล้ว

 

อย่างไรก็ตาม

 

ไม่มีใครคาดคิดว่าจอมมารที่หมายจะปกครองโลกเช่นนี้ ต้องมาสิ้นชื่อที่วัดเส้าหลิน?

 

อาณาจักรต้าถัง

 

วังหลวง

 

บรรยากาศภายในวังนั้นเย็นยะเยือก

 

ชายชราสวมชุดคลุมลายมังกรกำลังจ้องมองเอกสารในมือ

 

“ระดับตำนานยุทธ?”

 

“วัดเส้าหลินมีตำนานยุทธผุดขึ้นมา และสังหารจอมมารจนแดดิ้นไปแล้วอย่างนั้นหรือ?”

 

ชายชราที่สวมชุดคลุมลายมังกรแน่นอนว่าต้องเป็นองค์จักรพรรดิถัง คิ้วของเขาขมวดอยู่เล็กน้อยราวกับไม่สามารถคิดตัดสินใจในบางประการได้

 

“จ้าวกงกง”

 

องค์จักรพรรดิถังวางแผ่นเอกสารในมือแล้วกล่าวเบาๆ

 

“ขอรับฝ่าบาท”

 

ปรากฏร่างขันทีสวมใส่เครื่องแบบตามฉบับของขันทีหลวงสีม่วงสดโผล่มาที่ด้านข้างขององค์จักรพรรดิถังอย่างเงียบเชียบแล้วจึงโค้งคำนับ

 

“เจ้าว่าข่าวนี้จริงเท็จประการใด?”

 

จักรพรรดิถังมองไปที่จ้าวกงกงแล้วกล่าวออกด้วยน้ำเสียงทุ้มลุ่มลึก

 

แม้ตามข้อมูลจะระบุว่าจอมมารได้คำรามลั่นและตะโกนว่า “เจ้าคือระดับตำนานยุทธ” ก่อนที่เขาจะสิ้นชีพ

 

แต่เรื่องราวที่เกิดขึ้นในเวลานั้น องค์จักรพรรดิถังไม่สามารถยืนยันมั่นใจได้เพียงแค่อาศัยเชื่อถือข้อมูลชุดนี้

 

สุดท้ายแล้วนี่ก็ไม่ใช่แมวหมา แต่เป็นตำนานยุทธที่อยู่เหนือสรรพชีวิตทั้งหลาย

 

“เรียนฝ่าบาท ข้ารับใช้เฒ่ามิสามารถยืนยันเรื่องนี้ได้”

 

จ้าวกงกงที่สวมชุดม่วงโค้งคำนับและกล่าวด้วยความอ่อนน้อม

 

“เฮ่อ”

 

“น่าเสียดายแล้ว”

 

องค์จักรพรรดิถังถอนหายใจออกมาเบาๆ “เวลาของข้าใกล้จะหมดลงแล้ว”

 

ในความเป็นจริงนั้น

 

ถ้าไม่ให้จ้าวกงกงสละฐานการบ่มเพาะบางส่วนและบังคับยืดอายุขัยให้กับตน

 

องค์จักรพรรดิถังน่าจะสวรรคตด้วยโรคชราไปตั้งแต่ไม่กี่ปีก่อนแล้ว

 

แต่กระนั้นก็ไม่สามารถยืดอายุขัยขององค์จักรพรรดิถังให้นานไปกว่านี้ได้มากนัก

 

“การศึกษาร่ำเรียนของบุตรข้าช่วงนี้เป็นเยี่ยงไรบ้าง”

 

“สามารถมองแก่นของสถานการณ์ภาพรวมได้บ้างหรือยัง?”

 

จักรพรรดิถังถูนวดไปตามแนวคิ้วของพระองค์และเอ่ยถามอย่างช้าๆ

 

“องค์รัชทายาทของพระองค์ทรงเรียนรู้ว่องไวมากและทรงดำเนินตามแนวทางที่พระองค์ทรงคาดหวังเอาไว้ได้อย่างดี” จ้าวกงกงกล่าวตอบ

 

“นั่นเยี่ยมมาก”

 

“ข้าได้สัญญากับมารดาของเขาเอาไว้แล้ว”

 

เสียงของจักรพรรดิถังเริ่มลดลงเรื่อยๆ

 

จ้าวกงกงก้มหน้าและไม่ได้พูดอะไร

 

“ฝ่าบาท มีอีกสิ่งที่ผู้รับใช้เฒ่าผู้นี้มิรู้ว่าควรจะกล่าวออกไปดีหรือไม่” จ้าวกงกงลังเลอยู่สักพักแล้วจึงพูด

 

“เรื่องอะไรงั้นรึ?” จักรพรรดิถังขมวดคิ้ว

 

“ก่อนที่องค์รัชทายาทจะเสด็จกลับวัง พระองค์ได้อภิเษกกับหญิงชาวบ้านคนหนึ่งเรียบร้อยแล้ว และกล่าวว่าจะไม่ตบแต่งกับหญิงอื่นใดอีกในชั่วชีวิตนี้” จ้าวกงกงกล่าว

 

เหตุการณ์นี้เกือบจะทำให้เหล่าว่าที่นางสนมตระกูลหลี่สะดุ้งโหยง

 

รู้หรือไม่ว่าอาณาจักรถังให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับการสืบทอดวงศ์ตระกูล ในฐานะของลูกหลานตระกูลในราชวงศ์ หากไม่มีชายาสาม สนมสี่ ก็คงจะเป็นเรื่องขบขันให้กล่าวสืบต่อกันต่อไป

 

“โอ้?”

 

รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าขององค์จักรพรรดิถัง “เด็กคนนี้เหมือนข้าตอนยังเด็กมิผิด”

 

เมื่อจักรพรรดิถังกล่าวเช่นนั้น ก็ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะไม่ได้ใส่ใจอีก “เนื่องจากเขาไม่ต้องการจะอภิเษกกับหญิงใดอีก ก็ปล่อยเขาไปเถอะ ข้าทำตามกฎมาตลอดทั้งชีวิตแล้ว จะไปอยากให้เขาต้องมาเดินตามกฎเกณฑ์เช่นเดียวกับข้าได้อย่างไร?”

 

“ตามพระบัญชา”

 

เมื่อได้ยินคำกล่าวนั้น จ้าวกงกงก็ค่อยๆ ถอยกลับไปในความมืด

 

 

อาณาจักรเหมิ่งหยวน

 

ทุ่งหญ้าเขียวขจีกว้างไกลสุดลูกหูลูกตา

 

ชายร่างสูงนัยน์ตาลุ่มลึก มองไปยังท้องฟ้ากว้าง

 

หากมียอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งจากที่ราบตอนกลาง[1]สักคนหนึ่งมาที่นี่ เขาต้องรู้ได้อย่างแน่นอนว่าชายร่างสูงผู้มีพลังอันน่าพรั่นพรึงผู้นี้คือผู้ที่อยู่เหนือสุดในอาณาจักรเหมิ่งหยวน

 

เขายึดครองไปทั่วทั้งอาณาจักรเหมิ่งหยวนด้วยความแข็งแกร่งของตน และตอนนี้ก็กำลังพุ่งเป้าไปยังที่ราบตอนกลาง

 

แม้แต่ผู้นำอาณาจักรเหมิ่งหยวนยังต้องโค้งคารวะก่อนที่จะเข้าพบยอดปรมาจารย์ ราชครูผู้นี้

 

ในสายตาของผู้คนในอาณาจักรเหมิ่งหยวนสถานะของราชครูแห่งอาณาจักรเทียบเคียงได้กับเทพเจ้า

 

ในขณะนั้นเอง มีร่างๆ หนึ่งเดินเข้ามาโค้งคำนับและยื่นจดหมายให้

 

“ท่านราชครู”

 

“นี่คือข้อมูลจากอาณาจักรถัง”

 

ร่างนั้นกล่าวด้วยความเคารพ

 

ชายร่างสูงหยิบกระดาษขึ้นมาแล้วชำเลืองมองดู

 

จากนั้นเวลาก็ผ่านไปครู่ใหญ่

 

แผ่นจดหมายถูกทำลายทิ้งอย่างไร้สุ้มเสียง

 

ชายร่างสูงถอนหายใจแล้วพึมพำออกมา “พระเจ้านั้นลำเอียงรักดินแดนที่ราบตอนกลางหรืออย่างไร…”

 

ร่างที่ยืนอยู่ด้านข้างอย่างเคารพนบนอบ อดไม่ได้ที่จะเอ่ยปากออกมาว่า “เพียงมีท่านราชครู อาณาจักรของเราก็สามารถยึดครองได้แม้แต่ผืนฟ้าอย่างแน่นอน!”

 

 

ณ วัดเส้าหลิน

 

ซูฉินนั่งขัดสมาธิบนพื้นอยู่ที่เขตหวงห้ามภูเขาด้านหลัง

 

“หลังจากเข้าสู่ระดับ ‘อรหันต์‘ การบ่มเพาะเพิ่มความแข็งแกร่งนั้นช้าลงอย่างเห็นได้ชัด…”

 

ซูฉินลืมตาขึ้นมาด้วยความผิดหวังอยู่เล็กน้อย

 

ก่อนที่จะกลายเป็นระดับ ‘อรหันต์‘ ซูฉินรู้สึกว่าความแข็งแกร่งของตนเพิ่มขึ้นอย่างเป็นลำดับเกือบทุกวัน

 

ยกเว้นไว้แต่ช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาที่จำเป็นจะต้องแปรสภาพร่างกาย พลังศักดิ์สิทธิ์ และกำลังภายใน ในช่วงเวลาอื่นนอกเหนือจากนั้นเขามักจะตัดผ่านระดับขั้นได้ในทุกๆ ช่วงเวลาสองถึงสามปี

 

แต่ตอนนี้ซูฉินรู้สึกได้ถึงความยากลำบากในการฝึกฝนวิทยายุทธ

 

“มันน่าจะเป็นเพราะข้าแข็งแกร่งเกินไป ความเพียรในระดับธรรมดาไม่สามารถทำให้เห็นผลใดๆ ได้เลย”

 

ซูฉินคิดอยู่ในใจตนเองเงียบๆ

 

ตัวอย่างมันคล้ายกับ หากมีเงินอยู่สิบเหรียญแล้วจึงเพิ่มเงินเข้าไปอีกหนึ่งเหรียญ เป็นปกติที่จะรับรู้การเพิ่มขึ้นของเงินที่มีอยู่อย่างชัดเจน

 

แต่ถ้ามีเงินอยู่ร้อยเหรียญ พันเหรียญ หรือหมื่นเหรียญ แล้วได้เหรียญเพิ่มมาสักเหรียญก็คงไม่รู้สึกว่ามีเงินเพิ่มขึ้นมาสักเท่าไหร่

 

ซูฉินกำลังเผชิญหน้ากับภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออกอยู่ตอนนี้

 

เขาแข็งแกร่งเกินไป

 

หลังจากบรรลุระดับอรหันต์ ซูฉินไม่เพียงแต่จะสามารถควบคุมพลังของตัวเองได้เท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงพลังของโลก พลังของฟ้าดินได้อีกด้วย

 

 

—————————————————-

[1] ที่ราบตอนกลางหมายถึงอาณาจักรต้าถัง

Sign in Buddha’s palm 64 อวตารแห่งองค์ยูไล, คัมภีร์เก้าสุริยัน

 

 

“พวกเจ้าทั้งหมดเข้ามาเถิด”

 

เสียงนี้เหมือนดังมาจากทุกทิศทาง ก้องอยู่ในหูของเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินและเหล่าหัวหน้าตำหนัก

 

“นี่คือ?”

 

ร่องรอยความประหลาดใจปรากฏขึ้นในดวงตาของเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวิน

 

แม้ว่าเขาจะแน่ใจว่ามาจากห้องตรงหน้าแน่ๆ แต่ก็ไม่รู้อยู่ดีว่าดังมาจากจุดไหน

 

หัวหน้าตำหนักคนอื่นๆ ก็เช่นเดียวกัน พวกเขาต่างมองหน้ากัน ก่อนที่จะค่อยๆ เปิดประตูออกอย่างระมัดระวังแล้วจึงเดินเข้าไป

 

การตกแต่งภายในห้องนั้นแสนจะธรรมดา ตราบใดที่อยู่ในวัดเส้าหลินมามากกว่าสิบปี ใครๆ ก็สามารถมีห้องส่วนตัวแบบนี้ได้

 

ในฐานะของสุดยอดพรรคแห่งยุทธภพ วัดเส้าหลินมีพื้นที่กว้างขวางอย่างมาก ไม่ต้องกังวลเรื่องที่ดินที่พักอาศัยว่าจะไม่เพียงพอ

 

หลังจากที่เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินและหัวหน้าตำหนักเดินเข้าไปในห้อง พวกเขาก็อดไม่ได้ที่จะเงยหน้าขึ้นมองซูฉินที่นั่งเอาขาไขว้กันอยู่บนเตียง

 

ในขณะนี้ซูฉินได้เก็บซ่อนกลิ่นอายเอาไว้อย่างสมบูรณ์ราวกับว่าเขาได้หลอมรวมไปกับความว่างโล่งของอากาศธาตุ หากเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินไม่ได้มองเห็นอยู่ล่ะก็ เขาก็จะไม่เชื่อถือเด็ดขาดว่ามีคนนั่งอยู่ตรงหน้าเขา

 

“พวกเราขอเข้าพบซุนเจ่อ[1] (ผู้ทรงสมณศักดิ์อันสูงส่ง)…”

 

เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินและหัวหน้าตำหนักทั้งหลายต่างก้มหัวลงกล่าวคำราวกับเสียงกระซิบ

 

ผู้ทรงสมณศักดิ์อันสูงส่งเป็นชื่อที่ใช้ในการให้ความเคารพพระสงฆ์เส้าหลินที่บรรลุระดับ ‘อรหันต์‘ ซุนเจ่อในทางพุทธนั้นมีหลายความหมาย แต่ส่วนใหญ่นั้นหมายถึง ‘พระสมณะ‘ และ ‘ผู้มีปัญญาอันยิ่งใหญ่‘

 

“ลุกขึ้นเถิด”

 

ซูฉินมองลงไปยังเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินและเหล่าหัวหน้าตำหนักที่กำลังทำความเคารพเขา

 

ตั้งแต่ตอนที่เขาออกมาจากโถงประชุมใหญ่ ซูฉินก็คาดเดาไว้อยู่แล้วว่าเรื่องแบบนี้จะต้องเกิดขึ้น จึงเป็นธรรมดาที่เขาจะมินึกแปลกใจ

 

หลังจากเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินลุกขึ้นพร้อมๆ กับหัวหน้าตำหนัก พวกเขาก็ยืนอยู่ตรงนั้นอย่างว่างเปล่า ไม่รู้จะพูดอะไรต่อดี

 

“หากมีคำถามอันใด พวกเจ้าสามารถถามออกมาได้เลย”

 

ซูฉินเหลือบมองไปที่เจ้าอาวาสที่ใบหน้าเรียบนิ่ง เขาถอนหายใจแล้วพูดออกมาอย่างสบายๆ

 

ซูฉินรู้สึกว่าถ้าเขาไม่เปิดปากกล่าวคำ คนเหล่านี้ก็จะยืนอยู่ที่นี่ตลอดไป

 

เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินและหัวหน้าตำหนักมองหน้ากัน และในที่สุดหัวหน้าลานอรหันต์ก็ยืนขึ้นแล้วพูดออกมาอย่างสุขุม “ขออนุญาตกล่าวถามผู้ทรงสมณศักดิ์อันสูงส่ง เมื่อสิบปีก่อนยามเมื่อศิษย์ของข้าที่ถูกล่อลวงด้วยเศษเสี้ยวจิตมาร เป็นท่านที่สังหารเขาเช่นนั้นหรือ?”

 

สิบปีที่แล้วครอบครัวของอัจฉริยะคนหนึ่งในลานอรหันต์ถูกสังหารทั้งตระกูล และตัวเขาก็ถูกหลอกใช้จากจิตมารสุดท้ายก็กลายไปเป็นทายาทของมารพุทธะที่หมายทำลายวัดเส้าหลิน

 

ในเวลานั้นทายาทมารพุทธะขวัญกระเจิงเพียงเพราะใบไม้แห้งใบเดียวและสุดท้ายก็พบเป็นร่างไร้ชีวิตที่ด้านนอกวัดเส้าหลิน

 

แม้เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินและเหล่าหัวหน้าตำหนักจะคาดเดาว่าเป็นฝีมือของบรรพบุรุษสงฆ์ศักดิ์สิทธิ์ แต่เรื่องราวนี้ก็ไม่เคยได้รับการยืนยัน

 

“เป็นข้าเอง”

 

ซูฉินกล่าวคำเบาๆ

 

เจินซิ่งถูกล่อลวงโดยมารพุทธะจนจิตใจบิดเบี้ยวไปตั้งนานแล้ว ไม่สามารถกลับไปแก้ไขอะไรได้

 

ที่จริงแล้ว เจินซิ่งไม่ได้เป็นตัวของตัวเองอีกต่อไป แต่เป็นจิตมารอวตารของมารพุทธะ

 

ซูฉินจึงทำได้แค่สังหารเขาลงเพียงเท่านั้น

 

“ขอบคุณผู้ทรงสมณศักดิ์อันสูงส่งด้วย ที่ลงมือสำเร็จโทษมารร้ายผู้นั้น”

 

ดวงตาของหัวหน้าลานอรหันต์หรี่ลงและเขาก็ถอยออกไป

 

ในตอนที่หัวหน้าลานอรหันต์เอ่ยถามเรื่องนี้ออกไป หัวหน้าตำหนักคนอื่นๆ รวมถึงเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินก็เรียกความกล้าที่จะถามสิ่งที่คั่งค้างสงสัยในใจ

 

ตัวอย่างเช่นทำไมมารเฒ่ากลืนโลหิตจึงตกตายอยู่ที่ด้านนอกหอคอยสะกดมาร การเปลี่ยนแปลงของตราประทับที่พื้นที่ต้องห้ามภูเขาด้านหลังและเรื่องอื่นๆ

 

ซูฉินไม่ได้ปฏิเสธ แต่ตอบคำถามทีละคน

 

ตอนนี้เขาได้เข้าสู่ขอบเขตระดับ ‘อรหันต์‘ แล้ว อย่างน้อยเขาก็ไร้ผู้ต่อกรในอาณาจักรแห่งนี้ ตราบใดที่ประเด็นที่ถามไม่ได้เกี่ยวข้องกับความลับอะไร เขาก็ขี้เกียจเกินกว่าจะโป้ปด

 

หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วโมง

 

ซูฉินมองไปที่เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินและเหล่าหัวหน้าตำหนัก แล้วจึงพูดเบาๆ “ถ้าไม่มีอะไรแล้ว พวกเจ้าก็กลับกันไปได้แล้วหละ”

 

ในครึ่งชั่วโมงนี้ เหล่าชายชราเหล่านี้ต่างถามคำถามราวกับเป็นเจ้าหนูจำไมที่อยากรู้อยากเห็นไปเสียทุกอย่าง ถ้าไม่ใช่เพราะข้าวปลาอาหารตลอดยี่สิบปีที่เขาได้ดื่มกินมา เขาคงขับไล่คนเหล่านี้ออกไปแล้ว

 

หลังจากได้ยินดังนั้น เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินและเหล่าหัวหน้าตำหนักต่างไม่กล้าขัดคำกล่าวของผู้ทรงสมณศักดิ์อันสูงส่ง รีบลากลับทันที

 

ซูฉินได้ไขข้อสงสัยให้พวกเขาไปได้มากยกเว้นไว้แต่บางคำถามเท่านั้น ส่วนใหญ่เป็นปัญหาเกี่ยวกับเรื่องการฝึกฝนวิทยายุทธ

 

ไม่ว่าจะเป็นเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินหรือหัวหน้าตำหนัก พวกเขาต่างได้รับอะไรกลับไปมากมายจากการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ครึ่งชั่วโมงนี้

 

โดยเฉพาะหัวหน้าตำหนักหลายคนที่ตอนนี้กำลังคิดใคร่ครวญ เกรงว่าหากปิดด่านฝึกตนไปสักชั่วระยะเวลาหนึ่ง คงจะก้าวหน้าไปถึงระดับชั้นที่สองได้เป็นแน่

 

 

ลานธรรม

 

หลังจากที่เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินและเหล่าหัวหน้าตำหนักออกจากลานจิปาถะ พวกเขาก็มุ่งมาที่นี่

 

“ผู้ทรงสมณศักดิ์อันสูงส่งนั้นเชี่ยวชาญศาสตร์หลากหลายแขนง ท่านช่างรอบรู้อย่างแท้จริง…” หัวหน้าลานโพธิ์เต็มไปด้วยอารมณ์ความรู้สึก แววตาของเขาจ้องมองไปทางลานจิปาถะอย่างหวาดเกรงสุดซึ้ง

 

เหล่าหัวหน้าตำหนักและเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินต่างถามคำถามกันอย่างต่อเนื่อง คนนู้นถามจบคนนั้นถามต่อ ซึ่งเป็นการถามคำถามที่ครอบคลุมถึง กำลังภายใน กำลังภายนอก การขัดเกลาร่างกาย การสะสมพลังจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ เป็นต้น เรียกได้ว่าครอบคลุมทุกเรื่องเลยก็ว่าได้

 

แต่ซูฉินตอบพวกเขาทีละคนๆ ไม่เพียงแต่ตอบคำถามของพวกเขาได้เท่านั้น แต่ยังสามารถอธิบายสิ่งที่ลึกซึ้งได้ด้วยวิธีการง่ายๆ พูดถึงหลักการอันยิ่งใหญ่ที่คนธรรมดาอาจจะไม่มีวันเข้าใจไปชั่วชีวิตได้ด้วยคำกล่าวเพียงไม่กี่คำ

 

นี่เป็นเรื่องน่าเหลือเชื่อ

 

รู้หรือไม่ว่าแม้แต่ผู้ฝึกยุทธเองต่างก็มีพลังงานที่จำกัด

 

ตลอดระยะเวลาหลายพันปีของวัดเส้าหลิน นอกเหนือจาก ‘ปรมาจารย์โพธิธรรม‘ ที่รอบรู้ศาสตร์แขนงต่างๆ มากมายจนหาตัวจับยาก ผู้ทรงสมณศักดิ์อันสูงส่งคนอื่นๆ ที่ไปถึงระดับ‘อรหันต์‘ก็เชี่ยวชาญแค่บางด้านเท่านั้น

 

ห่างไกลจากการเป็นดั่งเช่นซูฉินที่รู้ทุกเรื่องเป็นอย่างดี

 

เมื่อได้ยินเช่นนั้น คนอื่นๆ ต่างก็แอบพยักหน้าเห็นด้วย

 

พวกเขาเองก็มีความคิดเช่นนั้น

 

“บางทีผู้ทรงสมณศักดิ์อันสูงส่งอาจมิใช่ปุถุชน…”

 

ในตอนนั้นเองดวงตาของเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินก็เปล่งประกายแล้วกล่าวออกมาว่า

 

“เจ้าจำสิ่งที่เกิดขึ้นที่ศาลาการประชุมใหญ่เมื่อยี่สิบปีก่อนได้หรือไม่?”

 

เมื่อเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินกล่าวเช่นนี้

 

หัวหน้าตำหนักต่างก็ตกตะลึง

 

เมื่อยี่สิบปีก่อนมีองค์ยูไลสีทององค์ใหญ่ยักษ์ปรากฏอยู่ด้านหน้าศาลาการประชุมใหญ่ และทุกคนต่างก็คิดว่าเป็นองค์ยูไลทรงสำแดงเดช

 

“ข้าจำได้ว่าผู้ทรงสมณศักดิ์อันสูงส่งก็เข้านมัสการวัดเส้าหลินเมื่อยี่สิบปีก่อนเช่นเดียวกัน”

 

เมื่อเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินกล่าวเช่นนี้ ท่านก็หยุดไปชั่วครู่ราวกับกำลังควบคุมอารมณ์ของตน “บางทีผู้ทรงสมณศักดิ์อังสูงส่งอาจจะเป็นปางอวตารขององค์ยูไลสักพระองค์หนึ่ง ดังนั้นเมื่อตอนที่ท่านมาถึงวัดเส้าหลิน ท่านจึงดึงดูดความสนใจขององค์ยูไล และได้กลายมาเป็นสงฆ์ศักดิ์สิทธิ์ในที่สุด”

 

“องค์…ปางอวตารแห่งองค์ยูไล?”

 

หัวหน้าตำหนักคนอื่นๆ ต่างตกอกตกใจ

 

รู้หรือไม่ว่าปางอวตารแห่งองค์ยูไลกับการสำเร็จระดับอรหันต์นั้นต่างกันอย่างสิ้นเชิง

 

“อรหันต์” เป็นที่เคารพนับถือ อยู่เหนือสรรพสัตว์ทั้งมวล แต่ท้ายที่สุดก็เป็นตัวตนที่ยังคงยืนอยู่บนโลกหล้า

 

แต่องค์ยูไล…

 

ได้ตัดขาดออกจากโลกนี้ไปแล้ว

 

กลุ่มหัวหน้าตำหนักต่างคิดกันเกี่ยวกับเรื่องนี้ และรู้สึกว่าคำพูดของเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินก็ดูมีเค้าความจริงอยู่มาก

 

เนื่องจากซูฉินเพิ่งจะเข้าวัดเส้าหลินมาได้เพียงยี่สิบปี

 

ในเวลายี่สิบปี จากคนธรรมดาที่ไม่แม้แต่จะแตะระดับชั้นที่เก้าได้กลายมาเป็นระดับ ‘อรหันต์‘ ถ้านี่ไม่ใช่ปางอวตารขององค์ยูไล เกรงว่าเล่าให้ใครฟังจะไม่มีใครเชื่อเอา

 

“อืมเรื่องนี้เป็นความลับสุดยอดของวัดเส้าหลิน รอจนกว่าจะแน่ชัด ห้ามแพร่งพรายออกไปภายนอก!”

 

เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินกวาดตามองเหล่าหัวหน้าตำหนักแล้วจึงกล่าวคำ

 

“ใช่”

 

“ศิษย์พี่ไม่ต้องกังวลไป ข้ารู้ว่าเรื่องนี้ใหญ่แค่ไหน”

 

หัวหน้าตำหนักทั้งหลายตัดสินใจและพูดออกมาอย่างพร้อมเพรียงกัน

 

 

ในเวลาเดียวกัน

 

ซูฉินกำลังนั่งขัดสมาธิทำความคุ้นเคยกับความแข็งแกร่งของตัวเองอยู่ตลอด

 

ตกดึก

 

พระจันทร์เต็มดวงแขวนอยู่บนนภาสูง

 

ร่างของซูฉินวูบไหวแล้วมาปรากฏตัวตรงหน้าศาลาพระคัมภีร์

 

“ข้าสามารถลงชื่อเข้าใช้ได้เสียที”

 

ซูฉินมองไปที่ศาลาพระคัมภีร์

 

แม้ว่าเขาจะเข้าสู่ระดับ ‘อรหันต์‘ แล้ว แต่เขาก็จะไม่ยอมละทิ้งโอกาสลงชื่อเข้าใช้ในแต่ละวันไปแน่

 

“ระบบ ลงชื่อเข้าใช้!”

 

ซูฉินกล่าวเงียบๆ ในใจ

 

[ขอแสดงความยินดี โฮสต์ลงชื่อเข้าใช้สำเร็จ ได้รับเคล็ดวิชา ‘คัมภีร์เก้าสุริยัน‘[2]]

 

 

 

——————————————

[1] 尊者 Zūn zhě ใช้สำหรับเรียกพระสงฆ์ที่มีสมณศักดิ์สูง

[2] 九阳功 เป็นคัมภีร์ที่ใช้เคล็ดหยินเกื้อหนุนหยาง แต่ใช้ชื่อ‘คัมภีร์เก้าสุริยัน‘ที่พูดถึงเพียงแต่หยาง ต่างกับ‘คัมภีร์เก้าอิม‘ที่เน้นเพียงธาตุหยินเป็นหลัก

Sign in Buddha’s palm 63 กระแสแห่งอายุวัฒนะ, เจ้าอาวาสอยากจะพบท่าน

 

 

หวึ่ง!!!

 

หนังสัตว์ที่ขาดรุ่งริ่งเปล่งประกายแสงออกมาจางๆ

 

ในขณะที่จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของซูฉินหลั่งไหลเข้าไป แสงบนหนังสัตว์ก็จางลงเรื่อยๆ และหลังจากกดลงไป แผ่นหนังสัตว์ก็แตกเป็นผุยผงกระจายไปในอากาศ

 

ในขณะนี้

 

ซูฉินลืมตาขึ้นมาอย่างปลอดโปร่งโล่งสบาย

 

“เป็นเช่นนี้นี่เอง”

 

ซูฉินพึมพำ

 

การคาดเดาของซูฉินถูกต้อง หนังสัตว์ชิ้นนี้บันทึกข้อมูลบางอย่างเอาไว้ คนปกติไม่สามารถเห็นเนื้อหาภายในได้ มีเพียงยอดปรมาจารย์ที่ควบแน่นจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ได้แล้ว หรือไม่ก็ระดับตำนานยุทธเท่านั้นที่สามารถ ‘อ่าน‘ ข้อมูลที่บันทึกอยู่ภายในได้

 

“ไม่น่าแปลกใจที่ไม่มีระดับ ‘อรหันต์‘ เหลืออยู่ในยุทธภพเลย นี่มันเกี่ยวกับกระแสแห่งพลังชีวิตจากเมื่อแปดร้อยปีก่อนนี่เอง…”

 

ซูฉินขบคิด

 

ตามข้อมูลที่ ‘บันทึกไว้‘ ในหนังสัตว์แผ่นนั้น เมื่อแปดร้อยปีก่อนพลังฟ้าดินเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ จอมยุทธระดับตำนานยุทธหลายคนในยุคนั้นรู้สึกได้ถึงพลังแห่งชีวิตที่ยืนยาววิ่งทะลุผ่านน่านฟ้าแล้วหายลับไปยังดินแดนอื่น

 

พลังชีวิตอันยืนยาวนั้นทำให้เหล่าตำนานยุทธในยุคนั้นถึงกับคลั่ง

 

เป็นเรื่องที่ทุกคนรู้ดีว่าถึงแม้จะเข้าถึงขอบเขตตำนานยุทธแล้วก็ตาม อายุขัยก็จะถูกยืดไปถึงห้าร้อยปีเท่านั้น

 

ช่วงชีวิตห้าร้อยปีดูเหมือนจะยาวนานมาก แต่แท้ที่จริงสำหรับจอมยุทธระดับตำนานยุทธนั้น เพียงแค่ปิดด่านฝึกตนครั้งหนึ่งหมายความว่าเวลาก็ผ่านเลยไปหลายสิบปีแล้ว

 

แต่เมื่อแปดร้อยปีที่แล้วกลับมีกระแสแห่งพลังชีวิตอันยืนยาวพุ่งฝ่าอากาศไป ซึ่งมันคงจะช่วยเพิ่มอายุขัยให้กับเหล่าตำนานยุทธได้

 

ดังนั้น

 

พวกเขาจึงไล่ตามข้ามน้ำข้ามทะเลไปและทิ้ง ‘ข้อมูล‘ ไว้ อย่างเช่นบนหนังสัตว์ที่ซูฉินไปพบเข้า ต่อแต่นี้ตำนานยุทธรุ่นต่อๆ ไปก็ไม่จำเป็นต้องอุดอู้อยู่ในทวีปนี้นานจนเกินไป เพียงเดินตามทางที่พวกเขาปูไว้แล้วก็พอ

 

และแน่นอน

 

ข้อมูลเหล่านี้จะวนเวียนอยู่กับสำนักพรรคที่ครั้งหนึ่งมีระดับตำนานยุทธกำเนิดเกิดขึ้น

 

แม้ว่าวัดเส้าหลินเองจะมีระดับ ‘อรหันต์‘ อยู่เหมือนกัน แต่อรหันต์องค์ล่าสุดก็คืออรหันต์ถัวเมื่อเก้าร้อยปีก่อน

 

อรหันต์ถัว มรณภาพไปก่อนวัยอันควรเนื่องจากต้องปราบมารพุทธะ และเขาก็ไม่ได้มีชีวิตอยู่จนรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นเมื่อแปดร้อยปีก่อน

 

ดังนั้นในวัดเส้าหลินจึงไม่ได้สืบทอดความลับนี้ต่อมา

 

“ข้าพลาดเองแหละ…”

 

ซูฉินดูเคร่งขรึม

 

เดิมทีเขาเคยคิดว่าจะไม่ต้องสนใจเรื่องการเปิดเผยตัวตนเท่าไหร่แล้วเสียอีก ในเมื่อไม่มีตัวตนระดับ ‘อรหันต์‘ อยู่ แต่ดูเหมือนว่าแม้ตอนนี้จะไม่มีอยู่ภายในทวีป แต่นอกทวีป นอกมหาสมุทรอันไม่มีที่สิ้นสุด อาจจะยังมีจอมยุทธระดับตำนานยุทธอยู่

 

สำหรับเหล่าตำนานยุทธ เป็นดั่งเซียนที่อิ่มทิพย์ เพียงดูดกลืนพลังฉีก็ไม่จำเป็นต้องบริโภคอาหารจากภายนอกใดๆ เข้าไป

 

นอกจากนี้ตำนานยุทธยังสามารถขี่ลมและควบคุมลมคุมอากาศได้ และการข้ามน้ำข้ามทะเลก็กลายเป็นเรื่องง่ายดายราวกับการกินดื่ม

 

“กระแสแห่งอายุวัฒนะ?”

 

ซูฉินขมวดคิ้ว

 

แม้ว่าหนังสัตว์แผ่นนั้นจะบันทึกการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่เมื่อแปดร้อยปีก่อนเอาไว้ แต่เรื่องเกี่ยวกับกระแสพลังชีวิตอันยืนยาวนั้นราวกับเป็นเรื่องต้องห้าม เพียงกล่าวถึงแค่ไม่กี่คำแล้วก็ไม่ได้อธิบายต่อ

 

“อย่างไรก็ตามถ้ามีตำนานยุทธคนอื่นอีกล่ะ?”

 

ซูฉินคิดถึงเรื่องราวพวกนั้นแล้วก็ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก

 

อย่างน้อยตำนานยุทธเหล่านั้นก็อยู่ไกลออกไปในโพ้นทะเล ต่างดินแดน คงไม่ได้เป็นภัยคุกคามต่อซูฉิน

 

“พวกเจ้าทุกคนไล่ตามกระแสแห่งอายุวัฒนะไปเนี่ยนะ”

 

ซูฉินส่ายหัวเล็กน้อย

 

ตำนานยุทธคนอื่นๆ อาจมีความกระตือรือร้นที่จะยืดอายุขัยของพวกเขาด้วยกระแสแห่งอายุวัฒนะ

 

แต่ซูฉินนั้นต่างออกไป

 

นับตั้งแต่เข้าสู่ระดับ ‘อรหันต์‘ ซูฉินก็รู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าอายุขัยของเขาเพิ่มขึ้นจากสี่ร้อยปี ไปเป็นแปดร้อยปี

 

ซูฉินนั้นมีอายุเพียงสามสิบปีเท่านั้น แม้ว่าเขาจะไม่ทำอะไรอีกต่อไปในอนาคต แต่ความแข็งแกร่งของเขาก็จะหยุดอยู่ที่จุดนี้ แล้วถ้าเขาไม่สามารถลงชื่อเข้าใช้แล้วรับของอะไรที่เกี่ยวข้องกับการยืดอายุขัยออกมาได้ เขาก็ยังสามารถใช้ชีวิตอย่างสบายใจไร้กังวลไปได้อีกตั้งเจ็ดร้อยเจ็ดสิบปี

 

“ทำไมช่วงชีวิตของข้าถึงได้ยาวนานกว่าตำนานยุทธทั่วๆ ไป ถึงสามร้อยปี?”

 

ซูฉินรู้สึกงงงวยอยู่เล็กน้อย

 

โดยปกติไม่ว่าจะเป็นอรหันต์หรือตำนานยุทธต่างก็มีอายุขัยอยู่ที่ห้าร้อยปีกันทั้งนั้น

 

แต่อายุขัยของซูฉินมีมากถึงแปดร้อยปี

 

“เป็นเพราะข้าขัดเกลากายเนื้อด้วยพลังหยินและพลังหยางใช่หรือไม่นะ?”

 

ทันใดนั้นซูฉินก็ลองคิดๆ ดู

 

หลังจากการลงชื่อเข้าอย่างต่อเนื่องมายาวนาน ซูฉินก็พอจะเข้าใจได้อย่างคร่าวๆ ว่ายอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งที่ต้องการจะแปรสภาพร่างกายของตน พวกเขาไม่ได้ใช้วิธีขัดเกลาร่างกายด้วยหยินและหยาง

 

แต่กลับขึ้นอยู่กับร่างกายของพวกเขาเอง

 

ตัวอย่างเช่น ยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งที่มีร่างกายโน้มเอียงไปทางธาตุหยาง ก็จะดำเนินไปตามเส้นทางแห่ง ‘หยาง‘ เพื่อแปรสภาพร่างกายของพวกเขา

 

ยอดปรมาจารย์ที่มีร่างกายเอนเอียงไปทางธาตุหยิน ก็จะแปรสภาพร่างกายของพวกเขาด้วยเส้นทางแห่ง ‘หยิน‘

 

คนเช่นซูฉินที่ขัดเกลาร่างกายด้วยหยินและหยางผสานกันไม่เคยปรากฏมาก่อน

 

“ต้องยกความดีความชอบให้ดวงตาแห่งสัจจะใช่หรือไม่เนี่ย?”

 

ซูฉินหรี่ตาลง

 

เป็นดวงตาแห่งสัจจะนี่เองที่เตือนให้เขาเฝ้ามองหาวิชากำลังภายนอกที่เป็นธาตุหยินมาฝึกร่วมกับวิชากายาวัชระคงกระพันเพื่อดับพลังอันร้อนแรง

 

ในขณะที่ซูฉินกำลังนั่งคิดถึงเรื่องนี้ เขาก็พลันรู้สึกตัวแล้วมองไปยังทิศทางหนึ่ง

 

“พวกเขามาแล้ว…”

 

ด้วยระดับการรับรู้ในปัจจุบัน แม้จะไม่ได้ใช้จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์เขาก็ล่วงรู้ทุกอย่างในบริเวณโดยรอบได้

 

ในตอนนี้ซูฉินสัมผัสได้ว่าเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินและเหล่าหัวหน้าตำหนักกำลังรีบร้อนมาที่ลานจิปาถะ

 

สำหรับสิ่งที่เกิดขึ้นนี้ซูฉินไม่ได้รู้สึกสงสัยอะไร

 

ตอนที่เขากลับมาที่ลานจิปาถะ เขาไม่ได้ปิดบังตัวตนแต่อย่างใด ศิษย์หลายคนในลานจิปาถะก็ย่อมมีคนเห็นเขาเดินผ่านไปอยู่บ้าง

 

 

ในเวลาเดียวกัน

 

เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินและหัวหน้าตำหนักทั้งหลายกำลังเดินทางมาที่ลานจิปาถะด้วยความวิตกกังวล

 

“เจ้าแน่ใจหรือว่าคนผู้นั้นกลับมาที่ลานจิปาถะ”

 

เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินมองไปที่เณรน้อยที่กำลังทำหน้าที่นำทางด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

 

“เจ้าอาวาส”

 

“ข้าได้เห็นหลวงลุงเจินกวนมาก็หลายครั้ง ข้าไม่มีทางจำผิดแน่นอน”

 

เณรน้อยที่เป็นผู้นำทางตบอกตนให้คำมั่น

 

แม้ว่าเขาไม่รู้ว่าทำไมเจ้าอาวาสถึงตามหาซูฉิน แต่ดูจากการแสดงออกของพวกเขาแล้ว มันน่าจะเป็นการลงโทษซูฉินหรืออะไรสักอย่าง

 

สามเณรมั่นอกมั่นใจในเรื่องนี้จึงหาญกล้านำทางให้

 

“อื๋อ?”

 

หัวหน้าตำหนักยุทธสงฆ์ที่อยู่ด้านข้างพลันหน้าแข็งค้าง

 

ไม่รู้ตั้งกี่ครั้งต่อกี่ครั้งแล้วที่พวกเขาเรียกขานซูฉินว่า ‘ผู้อาวุโส‘ แต่ตัวตนอย่างเณรน้อยรุ่น ‘เฉียน‘ ที่เพิ่งเข้ามาอยู่ในวัดกลับเรียกซูฉินว่า ‘หลวงลุง‘

 

นี่ไม่ได้หมายความว่าตัวตนของพวกเขาสู้ไม่ได้แม้แต่เณรเหล่านี้เลยหรือไง

 

“ต่อไปนี้ห้ามเรียกว่าหลวงลุงอีกเป็นอันขาด!”

 

หัวหน้าตำหนักยุทธสงฆ์จ้องเขม็งไปที่เณรน้อยและเกือบจะทำให้เขาร้องไห้

 

ไม่นานนัก

 

คณะสงฆ์กลุ่มนี้เดินเข้าไปในลานจิปาถะและยืนอยู่ด้านหน้าห้องของซูฉินอย่างระมัดระวัง

 

“เจ้าออกไปก่อน”

 

หัวหน้าตำหนักยุทธสงฆ์มองไปที่เณรน้อยผู้นำทาง แล้วสะบัดมือให้ออกไป

 

“ขอรับ”

 

เณรน้อยวิ่งออกไปอย่างเศร้าสร้อย

 

หลังจากเณรรูปดังกล่าวออกไป

 

พื้นที่ตรงนั้นก็ตกอยู่ในความเงียบโดยทันที

 

เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินและเหล่าหัวหน้าตำหนักต่างมองหน้ากันไปมา สีหน้าตึงเครียด มิรู้ว่าควรพูดอะไรออกไปดีหรือไม่

 

ประตูที่อยู่ตรงหน้าบานนี้ความจริงก็บอบบางราวกับแผ่นกระดาษสำหรับพวกเขา

 

อย่างไรก็ตาม ในตอนนี้

 

ประตูนี้ประดุจน้ำตกอันกว้างใหญ่

 

สูงชะลูดเสียดฟ้า

 

หากไม่ได้รับอนุญาตจากผู้ที่อยู่ภายใน แม้เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินและคนอื่นๆ จะมีความกล้าหาญมากมายเพียงใดก็ไม่กล้าที่จะผลีผลามเปิดประตู

 

เมื่อเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินและเหล่าหัวหน้าตำหนักกำลังลังเลใจว่าจะขานเรียกดีหรือไม่

 

เสียงสงบเย็นก็ดังขึ้นในหูของทุกคนอย่างไม่รีบเร่ง

 

“พวกเจ้าทุกคนเข้ามาเถิด”

Sign in Buddha’s palm 62 จอมมารสิ้นชื่อ หนังสัตว์แปลกๆ

 

 

เมื่อร่างของจอมมารชุดดำกลายเป็นเถ้าถ่านสีดำ

 

ใบหน้าของเหล่าสาวกพรรคมารซีดราวกับกระดาษขาว ไม่มีร่องรอยของเลือดฝาดอยู่เลย

 

ในช่วงที่จอมมารออกมาจากทะเลทรายตะวันตกกลับเข้าสู่ยุทธภพอีกครั้ง พรรคมารก็รุ่งโรจน์อย่างไม่มีที่สิ้นสุด พวกสาวกพรรคมารได้เข้าทำลายสำนักพรรคไปมากมายต่อเนื่อง อาทิ นิกายเทียนไถ่ และสำนักต่างๆ ที่อยู่ในดินแดนราชวงศ์ถังแห่งนี้

 

ทว่าตอนนี้

 

สาวกพรรคมารพลันตระหนักได้ว่าทุกอย่างที่มีได้หายไปหมดสิ้นแล้ว

 

อย่าเพิ่งไปพูดถึงผลกระทบต่อพรรคมารจากการสูญเสียจอมมารไปเลย แค่ตอนนี้พวกมันจะเดินออกจากวัดเส้าหลินได้หรือไม่นี่สิควรเป็นคำถาม

 

“เอ๋ ?”

 

หลังจากที่ซูฉินสังหารจอมมารชุดดำ เขาเหมือนจะค้นพบบางสิ่งเข้าและหันไปมองตรงจุดที่จอมมารกลายเป็นซาก

 

เห็นเป็นหนังสัตว์แผ่นหนึ่งอยู่ตรงนั้น สภาพขาดรุ่งริ่ง

 

ต้องทราบว่าซูฉินควบคุมพลังฟ้าดินในรัศมีหลายลี้เพื่อบดขยี้จอมมารในทีเดียว

 

ใต้พลังอันยิ่งใหญ่แห่งฟ้าดินนี้ แม้ร่างกายของจอมมารจะแปรสภาพมาแล้ว แต่มันถูกบีบอัดได้ในทันที และสลายกลายเป็นกลุ่มควัน

 

ไม่ใช่แค่ร่างของจอมมารเท่านั้น แต่รวมถึงสิ่งของต่างๆ ที่อยู่กับร่างกายของเขาด้วย

 

อย่างไรก็ตามสิ่งที่ซูฉินไม่คาดคิดคือหนังสัตว์ที่ขาดรุ่งริ่งชิ้นดังกล่าวไม่ได้หายไปพร้อมกับจอมมาร แต่มันยังคงอยู่

 

“หนังสัตว์ที่สามารถทานทนพลังฟ้าดินได้ ?”

 

เกิดความสนใจขึ้นในใจของซูฉิน เขาจึงเบิกเนตรดวงตาแห่งสัจจะทันทีเพื่อยืนยันซ้ำ ให้แน่ใจว่าไม่มีอันตรายใด จากนั้นจึงยื่นมือขวาออกไป ดูดหนังสัตว์มาไว้ในมือ

 

หลังจากที่เข้าสู่ระดับ  ‘อรหันต์ ‘ จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของซูฉินก็พัฒนาขึ้นอย่างมาก และถึงขนาดแทรกแซงโลกแห่งความเป็นจริงได้

 

หวือ

 

ทันทีที่หนังสัตว์ที่ขาดรุ่งริ่งนั้นตกลงมาบนมือของซูฉิน ความเย็นก็แพร่ออกมาราวกับถือก้อนน้ำแข็ง

 

“หนังสัตว์นี่ไม่ปกติแล้ว”

 

ซูฉินดูเคร่งขรึมขึ้นมาเล็กน้อย

 

ในตอนนี้เขาก็ได้พบว่าแผ่นหนังสัตว์นั้นขาดรุ่งริ่งมาตั้งแต่แรกแล้ว ไม่ได้ขาดเพราะแรงกดดันจากพลังฟ้าดินเมื่อครู่

 

“หนังสัตว์แผ่นนี้ ไว้ข้าจะเก็บกลับไปดูในภายหลัง”

 

“ตอนนี้ต้องจัดการปัญหาสาวกพรรคมารพวกนี้ก่อน”

 

ซูฉินเงยหน้าขึ้นมามองกลุ่มสาวกพรรคมารที่ยืนอยู่อย่างหวาดกลัว

 

ในขณะที่มองอยู่นี้ สาวกพรรคมารก็ลดศีรษะลงทีละคน ไม่มีใครกล้ามองตรงๆ ไปที่ซูฉินเลย

 

“ในเมื่อพวกเจ้ากล้าที่จะบุกมา ก็จงอยู่เสียที่นี่เถอะ”

 

โดยปกติแล้วซูฉินไม่ได้รู้สึกสงสารใครเท่าไหร่แม้จะเป็นผู้หญิงก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น ก่อนหน้าที่จะเป็น  ‘อรหันต์ ‘ นั้น ตัวเขาอาจจะต้องเสียเวลาเล็กน้อยในการสังหารสาวกพรรคมารกลุ่มนี้ สาวกเหล่านี้ไม่ใช่ท่อนไม้ที่จะอยู่นิ่งเฉย พวกมันล้วนต้องกระจายกันหลบหนี

 

แม้ซูฉินจะมีดวงตาแห่งสัจจะในการจับพลังฉี แต่ก็ต้องใช้เวลาในการสังหารพวกมันทีละคน

 

แต่ตอนนี้

 

ซูฉินได้เข้าสู่ระดับ  ‘อรหันต์ ‘ แล้ว และสามารถควบคุมพลังฟ้าดินในรัศมีไม่กี่ลี้รอบกายได้อย่างง่ายดาย พวกสาวกพรรคมารล้วนอยู่ในขอบเขตรัศมีนี้ทั้งหมด ความเป็นความตายของพวกมันนั้นได้อยู่ในกำมือของซูฉิน

 

“อย่าทำอะไรพวกเราเลย”

 

“สงฆ์ศักดิ์สิทธิ์ …ไม่สิ ท่านอรหันต์ให้อภัยพวกข้าเถิด พวกข้ารู้ตัวในความผิดครั้งนี้แล้ว”

 

“ข้าขอร้องล่ะ ท่านอรหันต์โปรดปล่อยพวกเราไปสักครั้งเถิด ตัวข้าเต็มใจจะถูกขังไว้ในหอคอยสะกดมาร …”

 

สาวกพรรคมารจำนวนนับไม่ถ้วนต่างวิงวอนอย่างขื่นขม

 

แต่ก็เท่านั้น

 

ช่วงเวลาต่อมา

 

พลังอันยิ่งใหญ่ของฟ้าดินก็กวาดผ่านพื้นที่ทั้งหมด

 

แววตาของสาวกพรรคมารต่างมืดหม่นอย่างรวดเร็ว และล้มพับลงกับพื้น

 

หลังจากจัดการกับสาวกพรรคมาร ซูฉินก็เหลือบมองไปที่ศิษย์ทั้งหลายของวัดเส้าหลินที่ยังคงตกตะลึงอยู่จากที่ไกลๆ จากนั้นจึงก้าวเท้าออกไปข้างหน้าแล้วจึงหายไปจากสถานที่นั้น

 

 

อันตรายของวัดเส้าหลินที่มาพร้อมกับการบุกรุกของพรรคมารในที่สุดก็จบลงด้วยเหตุการณ์ที่เหมือนกับฝันไป

 

จากระยะเวลาที่หายตัวไปนานกว่าห้าสิบปี จอมมารกลับมาสู่ยุทธภพอีกครั้งและต้องการจะใช้เลือดเนื้อของสงฆ์ศักดิ์สิทธิ์นิรนามเป็นหินรองเท้าก้าวเดินไปเบื้องบน แต่สุดท้ายมันกลับนำพาพรรคมารที่ยิ่งใหญ่ให้พินาศลงจนหมดสิ้น

 

เหล่าหัวหน้าตำหนักรู้สึกเหมือนกำลังตกอยู่ในความฝัน ทั้งหมดเตรียมที่จะกอดคอกันตายไปพร้อมกับการล่มสลายของวัดเส้าหลิน แต่เรื่องไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นจนพลิกผันสถานการณ์ไปเช่นนี้

 

“ท่านเจ้าอาวาส นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ …”

 

หัวหน้าฝ่ายวินัยสงฆ์หันหน้าไปมองเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินอย่างไม่ได้ตั้งใจและถามออกอย่างไม่แน่ใจนัก

 

เมื่อมีคนเริ่มพูดออกมา

 

หัวหน้าตำหนักคนอื่นๆ และศิษย์ทั้งหลายที่ยังคงติดอยู่ในอาการตกใจ ทั้งหมดมองไปที่เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินเพื่อรอคำอธิบาย

 

แม้วิกฤตของวัดเส้าหลินจะคลี่คลายไปแล้ว แต่ก็เกิดข้อสงสัยที่ใหญ่เสียยิ่งกว่าปรากฏขึ้นมาในใจของศิษย์ทุกๆ คน

 

‘อรหันต์ ‘ ที่สังหารจอมมารได้เพียงแค่ขยับตัว นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน

 

“ข้าก็ไม่รู้เรื่องนี้เช่นกัน …”

 

ฮุ่ยเหวินเงียบไปชั่วครู่ก่อนจะเอ่ยตอบตามความเป็นจริง

 

ถ้าเขารู้ว่ามี  ‘อรหันต์ ‘ อยู่ในวัดเส้าหลิน เขาจะหมดสิ้นความหวังยามเผชิญหน้ากับจอมมาร ราวกับคนที่ตายไปแล้วได้เยี่ยงไร ?

 

เสียงของเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินค่อยๆ แผ่วลง

 

หัวหน้าตำหนักและเหล่าศิษย์ต่างก็พูดไม่ออกกันเลยทีเดียว

 

หากแม้แต่เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินยังไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้น พวกเขายิ่งมืดแปดด้านเลยมิใช่หรือ

 

ในขณะนั้นเองหัวหน้าตำหนักยุทธสงฆ์พลันนึกบางสิ่งขึ้นมาได้ เขาดูมีความสุขมากและมองไปที่หัวหน้าลานจิปาถะคนใหม่

 

“ศิษย์น้อง เจ้าก็อยู่ลานจิปาถะมานาน เจ้าต้องรู้จักตัวตนของคนผู้นั้นใช่หรือไม่ ?”

 

หัวหน้าตำหนักยุทธสงฆ์จ้องไปที่หัวหน้าคนใหม่ของลานจิปาถะ

 

คนอื่นๆ ต่างก็แอบพยักหน้าตาม

 

ใช่สิ

 

ตัวตนของบุรุษผู้นั้นสังกัดอยู่ลานจิปาถะเป็นเวลานานกว่ายี่สิบปี หัวหน้าลานจิปาถะคนใหม่ต้องพอรู้เรื่องราวอยู่บ้างไม่มากก็น้อย

 

หัวหน้าลานจิปาถะคนใหม่  : “……”

 

หากแม้พวกเจ้าก็ยังไม่ทราบ แล้วข้าจะไปทราบได้อย่างไรเล่า ?

 

“ข้าก็มิทราบเหมือนกัน”

 

หัวหน้าคนใหม่แห่งลานจิปาถะกัดฟันแล้วพูดออกมา

 

 

ในเวลาเดียวกัน

 

ที่ลานจิปาถะ

 

ซูฉินออกจากโถงศาลาการประชุมใหญ่แล้วมาที่ลานจิปาถะแห่งนี้

 

“ตัวตนของข้าถูกเปิดเผยเสียแล้ว”

 

ซูฉินนั่งขัดสมาธิ สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยอารมณ์ความรู้สึก

 

ในความเป็นจริงแล้ว เมื่อซูฉินทะลวงฝ่าขอบเขตจนไปถึงระดับ  ‘อรหันต์ ‘ เขาไม่สนใจว่าตัวตนของเขาจะถูกเปิดเผยหรือไม่

 

ก่อนที่จะแข็งแกร่งไร้พ่าย ต้องใจเย็น อดทนรอให้เป็น

 

แต่ยามที่แข็งแกร่งไร้พ่ายแล้ว จะทำอะไรต่อไปล่ะ ?

 

อย่างน้อยๆ ตามที่ซูฉินรู้มาก็ไม่มีจอมยุทธระดับ  ‘อรหันต์ ‘ ปรากฏตัวมาเป็นร้อยปีแล้ว

 

กล่าวอีกอย่างก็คือ ด้วยความแข็งแกร่งของซูฉินในขณะนี้ เขาไม่จำเป็นต้องสนใจสิ่งใดบนโลกนี้อีกแล้ว

 

ในการจัดการกับ  ‘อรหันต์ ‘ มีเพียงการดำรงอยู่ในระดับเดียวกันเท่านั้นจึงจะสามารถกระทำได้

 

“แต่หนังสัตว์ที่อยู่กับจอมมารคือสิ่งใดกันแน่ ?”

 

เพียงแค่คิด แผ่นหนังสัตว์ที่ขาดรุ่งริ่งก็มาปรากฏอยู่ตรงหน้าของเขา

 

หนังสัตว์นั้นอยู่ในสภาพทรุดโทรม และดูเหมือนมันจะมีอายุเพียงไม่กี่ปีเท่านั้น แต่สิ่งที่น่าพิศวงคือมันแผ่ความเย็นออกมาเล็กน้อย

 

“หนังสัตว์นี่เป็นของจอมมาร บางทีมันอาจจะซ่อนความลับอะไรบางอย่างเอาไว้ก็ได้ ?”

 

ซูฉินมองไปที่หนังสัตว์ใกล้ๆ และก็พบร่องรอยขีดเขียนบนหนังสัตว์เหมือนกับมีการบันทึกข้อมูลบางอย่างเอาไว้

 

“แผ่นจารึก ?”

 

หัวใจของซูฉินวูบไหวเล็กน้อย

 

ตามสามัญสำนึกแล้ว สิ่งของต่างๆ เช่นพวกหนังสัตว์ ส่วนใหญ่จะใช้เพื่อการจดบันทึก

 

“อาจจะมีข้อมูลบางอย่าง ‘ซุกซ่อน ‘เอาไว้บนหนังสัตว์ผืนนี้ใช่หรือไม่ ?”

 

ความคิดของซูฉินโลดแล่นไปอย่างรวดเร็ว

 

“สามารถต้านทานพลังแห่งฟ้าดินได้ หนังสัตว์แผ่นนี้จะเป็นสิ่งของระดับ  ‘อรหันต์ ‘ ด้วยหรือไม่ ?”

 

“และข้อมูลที่  ‘ซุกซ่อน ‘ อยู่ภายในอาจจะมองเห็นไม่ได้ด้วยตาเปล่า …”

 

เมื่อคิดมาถึงจุดนี้ ซูฉินก็พิสูจน์โดยการใส่จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ลงไปคลุมหนังสัตว์ที่ขาดรุ่งริ่งนั่น

 

ตูม !!

 

เมื่อจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของซูฉินสัมผัสไปบนแผ่นหนังสัตว์ พลันมีเสียงดังสนั่นเกิดขึ้น

Sign in Buddha’s palm 61 ทุกสิ่งอยู่ในกำมือ อรหันต์เดินดิน!

 

 

“เจ้าไม่ใช่ระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสมบูรณ์!”

 

“เจ้า…เจ้าคือระดับตำนานยุทธ!!!”

 

เสียงคำรามที่ฟังดูสิ้นหวังของจอมมารชุดดำกระจายไปทั่ววัดเส้าหลินโดยพลัน

 

“ระดับตำนานยุทธ?”

 

“ระดับตำนานยุทธคืออะไรเยี่ยงนั้นหรือ?”

 

ศิษย์วัดเส้าหลินที่เพิ่งเข้ามาใหม่เผลอตั้งคำถามโดยไม่ได้ตั้งใจ

 

พวกเขาเพิ่งจะเข้ามาอยู่ที่วัดเส้าหลินได้ไม่นาน พวกเขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าวิทยายุทธทั้งเก้าระดับชั้นแบ่งอย่างไร นับประสาอะไรกับตำนานยุทธ

 

แต่เมื่อเหล่าศิษย์ที่เพิ่งเข้ามาใหม่เห็นว่าศิษย์พี่ที่ด้านข้างต่างก็ตกตะลึง การแสดงออกของพวกเขาบ่งบอกว่าไม่อยากจะเชื่อ ศิษย์ใหม่เหล่านั้นจึงไม่กล้าที่จะพูดต่อ

 

“ตำนานยุทธ?”

 

“ระดับอรหันต์?”

 

หัวหน้าฝ่ายวินัยสงฆ์บ่นพึมพำอยู่กับตนเอง

 

ปัจจุบันนี้ระดับของวิทยายุทธแบ่งออกเป็นเก้าระดับ และมีเพียงผู้ที่อยู่เหนือกว่าระดับวิทยายุทธทั้งเก้าเท่านั้นถึงจะมีสิทธิ์ได้รับการขนานนามว่าเป็นระดับ ‘อรหันต์‘ หรือ ระดับตำนานยุทธ

 

ในความเป็นจริงแล้วทั้งสถานะของ ‘อรหันต์‘ และตำนานยุทธนั้นมีความหมายเดียวกัน แต่อย่างแรกมักจะใช้กันในวัดเส้าหลินหรือไม่ก็นักบวชในสำนักพุทธอื่นๆ ส่วนอย่างหลังนั้นเป็นชื่อที่เรียกกันในหมู่จอมยุทธ

 

“ระดับตำนานยุทธ?”

 

“เจินกวน?”

 

นัยน์ตาของหัวหน้าลานจิปาถะคนใหม่พลันหม่นลง

 

เดิมทีที่เจินกวนก้าวกระโดดจากพระกวาดลานกลายมาเป็นบรรพบุรุษสงฆ์ศักดิ์สิทธิ์ที่ช่วยเหลือวัดเส้าหลินไว้จากวิกฤติตั้งหลายต่อหลายครั้งก็เป็นเรื่องที่ไม่น่าเชื่ออยู่แล้ว

 

แต่ตอนนี้

 

ถึงกับมีคนกล่าวออกมาว่า

 

เจินกวนไม่ได้เป็นเพียงบรรพบุรุษสงฆ์ศักดิ์สิทธิ์เท่านั้น

 

แต่เป็น ‘อรหันต์‘ ตัวตนที่ไม่ได้ถือกำเนิดขึ้นในวัดเส้าหลินมาเกือบพันปีแล้วน่ะหรือ?

 

นี่มันน่าเหลือเชื่อเกินไปหรือไม่?

 

หัวหน้าลานจิปาถะไม่ได้รู้สึกอิจฉา แต่เขาตกใจจนสุดขีด ไม่สามารถตอบสนองอะไรได้ในตอนนี้

 

หัวหน้าลานโพธิ์ หัวหน้าตำหนักยุทธสงฆ์ หัวหน้าลานอรหันต์ หัวหน้าตำหนักคนอื่นๆ รวมไปถึงศิษย์อีกหลายคนต่างตกตะลึงซ้ำแล้วซ้ำเล่า

 

ถ้าประโยคนี้ไม่ได้ออกมาจากปากยอดปรมาจารย์อย่างจอมมารพวกเขาก็คงจะไม่เชื่อถือ

 

ระดับตำนานยุทธ?

 

น้ำหนักของคำแต่ละพยางค์ที่ประกอบกันขึ้นมาเป็นคำคำนี้แทบจะกดทับได้ทุกสรรพสิ่ง จะให้พูดคำพวกนี้ออกมาอย่างลวกๆ ได้อย่างไร?

 

ในฐานะจอมมาร คงจะน่าอับอายอย่างมากถ้าจะมาโกหกด้วยเรื่องเช่นนี้ และน้ำเสียงที่จอมมารพูดออกมาก็ดูเหมือนจะไม่ใช่เรื่องโกหกด้วย

 

“อะไรนะ?”

 

“ระดับตำนานยุทธ?”

 

เมื่อเทียบกับอาการตกใจของศิษย์วัดเส้าหลิน เหล่าสาวกพรรคมารต่างก็ตื่นตระหนกยิ่งกว่าอย่างสิ้นเชิง

 

พวกมันเตรียมที่จะบุกทำลายวัดเส้าหลินอย่างอุกอาจ เดิมทีพวกมันคิดว่าการที่มีจอมมารอยู่ด้วยจะสร้างโอกาสชนะให้กับพวกมัน แม้จะเกิดเรื่องไม่คาดฝันอะไรขึ้น มันก็ยังสามารถฉกฉวยมรดกตกทอดจาก ‘เหล่าอรหันต์‘ ในอดีตของวัดเส้าหลินไปได้

 

ด้วยระดับของจอมมารยังไงก็ไม่มีปัญหาในการคุ้มกะลาหัวพวกมันทุกตัวให้อยู่รอดปลอดภัย

 

แต่ตอนนี้?

 

วัดเส้าหลินในยุคนี้ดันมี ‘อรหันต์‘ ตัวเป็นๆ หลบซ่อนอยู่?

 

เป็นไปได้เยี่ยงไรกัน?

 

แม้ว่าเหล่าสาวกพรรคมารเหล่านี้จะมีความเชื่อมั่นอย่างเต็มเปี่ยมในตัวจอมมาร แต่พวกมันก็คงไม่คิดว่าจอมมารจะสามารถเอาชนะ ‘อรหันต์‘ ได้แน่ๆ

 

ทั้งสองไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกันแม้แต่น้อย

 

“มันจบแล้ว”

 

“มันจบสิ้นแล้ว”

 

บรรดาสาวกพรรคมารต่างหมดสิ้นซึ่งความหวัง

 

พวกเขาคิดที่จะหนี แต่ทันทีที่คิดเรื่องนั้น พวกมันก็รู้สึกเหมือนถูกตรึงไว้ด้วยพลังงานจากทุกทิศทาง

 

ราวกับว่าทั้งวัดเส้าหลินถูกแปรสภาพกลายเป็น ‘อาณาเขต‘ ที่สิงสถิตของเทพเซียน

 

“เขาคือระดับตำนานยุทธ?”

 

คุนคงสาวกพรรคมารรู้สึกว่าเขากำลังได้ยินตลกร้ายเรื่องหนึ่ง

 

หลังจากการสูญเสียชีวิตของเหล่าอาวุโสไปกว่าเก้าคน เขาเดินทางรอนแรมข้ามทะเลทรายตะวันตกเพื่อตามหาจอมมารโดยทันที และเชิญจอมมารกลับสู่ยุทธภพ เขาต้องการจะฟื้นฟูพรรคมารกลับมา แก้แค้นสงฆ์ศักดิ์สิทธิ์นิรนามจากวัดเส้าหลิน

 

แต่เจ้ากลับบอกว่าอีกฝ่ายเป็นระดับตำนานยุทธเช่นนั้นหรือ?

 

นี่มันไม่ใช่การแก้แค้นแล้ว นี่มันรนหาที่ตาย!!

 

ทันใดนั้นในหัวของคุนคงก็พลันฉายภาพย้อนกลับไปเมื่อห้าปีก่อน ยามเมื่อซูฉินสวมจีวรสีเทาเข้ามากวาดล้างฐานที่มั่นหลักของพรรคมาร

 

ในตอนนี้ความสิ้นหวังทั้งหมดทั้งมวลพลันรวมกลับเข้ามาในใจของคุนคงแล้วกลั่นออกมาเป็นประโยคเดียว

 

“เจ้าเป็นถึงตำนานยุทธ เหตุไฉนจึงต้องใช้อำนาจรังแกผู้อ่อนแอด้วย!!”

 

 

หน้าโถงศาลาการประชุมใหญ่

 

ในขณะที่ซูฉินโบกมือเบาๆ นั้น ร่างของเขาก็วูบไหวราวภูตผี และจอมมารก็กระเด็นห่างออกไปแล้วถูกกดกระแทกติดอยู่กับพื้นเช่นนั้น ไม่สามารถขยับไปไหนมาไหนได้

 

“เจ้า เจ้าเป็นใครกันแน่?”

 

จอมมารชุดดำดูซีดเซียวไร้เรี่ยวแรง มองดูซูฉิน พูดออกด้วยเสียงแหบแห้ง

 

ความคิดในการใช้แรงกดดันที่อันตรายถึงแก่ชีวิตเพื่อพัฒนาวิทยายุทธอะไรนั่น กล่าวได้ว่าจอมมารโยนมันทิ้งไปตั้งนานแล้ว

 

ตอนนี้สิ่งเดียวในสมองของจอมมารชุดดำคือมีวิธีไหนบ้างที่จะทำให้ตัวมันมีชีวิตรอดต่อไป

 

ตราบใดที่ชีวิตไม่สิ้น นั่นย่อมเท่ากับยังมีหวัง

 

“ข้าก็เป็นเพียงพระกวาดลานที่อยู่ในวัดเส้าหลินก็เท่านั้น”

 

ซูฉินคิดอยู่สักพักแล้วพูดขึ้น

 

ซูฉินไม่ได้โป้ปด เป็นเวลากว่ายี่สิบปีแล้วที่เขาไม่เคยย่อท้อต่อการกวาดลานวัดเลยแม้แต่น้อย ทุกสิ่งนี้สามารถยืนยันได้จากทุกคนในวัดเส้าหลิน

 

“พระกวาดลาน?”

 

จอมมารในชุดคลุมสีดำนิ่งไปชั่วขณะ ท่าทางไม่อาจเชื่อถือ

 

พระกวาดลานในวัดเส้าหลิน?

 

นี่ล้อกันเล่นใช่หรือไม่?

 

ตำนานยุทธที่แสนจะโดดเด่น? จะไปเป็นพระกวาดลานในวัดเส้าหลินได้อย่างไร?

 

ถ้าเจ้าพูดแบบนั้นแม้แต่เด็กสามขวบยังต้องเยาะเย้ย มันราวกับกล่าวว่าจักรพรรดิผู้มั่งคั่งไม่มีเงินแม้แต่แดงเดียว

 

“เอาล่ะ”

 

“ตอนนี้ถึงเวลาตายของเจ้าแล้ว”

 

ฉับพลันซูฉินก็หมดความสนใจไปโดยสิ้นเชิง แต่เดิมเขาต้องการจะยืมมือของจอมมารผู้นี้เพื่อมาทดสอบความแข็งแกร่งของตนเอง

 

แต่มิคิดว่าอีกฝ่ายจะอ่อนแอถึงขนาดนี้

 

“อ๊าาาาาาาาาาาาาา!!!”

 

ทันใดนั้นจอมมารชุดดำก็รู้สึกว่าแรงกดดันที่กักเขาเอาไว้ จู่ๆ ก็รุนแรงมากขึ้นจนเกือบจะบดขยี้ตัวของมันเป็นเสี่ยงๆ ตอนนี้เองมันก็รู้ตัวแล้วว่าซูฉินไม่ได้คิดที่จะปล่อยมันเอาไว้

 

“จงสลายออกไปให้หมด!”

 

“สลายไปซะ!!!!”

 

แม้ว่าจอมมารชุดคลุมสีดำจะรู้ว่าความหวังของเขาที่จะรอดชีวิตนั้นน้อยนิด แต่เขาก็ต้องฝืนสู้ให้ถึงที่สุด

 

พลันเผาผลาญกำลังภายใน และเปลี่ยนสภาพร่างกายของตัวเองด้วยทักษะต้องห้าม

 

ทันใดนั้นกลิ่นอายที่น่ากลัวก็พวยพุ่งออกมาจากจอมมารชุดคลุมดำ

 

กลิ่นอายนี้เหนือเสียยิ่งกว่าระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสมบูรณ์ด้วยซ้ำ

 

ความแข็งแกร่งเพิ่มขึ้นอย่างกะทันหัน แต่จอมมารชุดดำไม่มีร่องรอยของความสุขบนใบหน้าแม้เพียงนิด

 

ด้วยทักษะลับต้องห้ามนี้ มันเผาผลาญทั้งกายเนื้อและกำลังภายในไปจนสิ้น แม้ว่ามันจะมีชีวิตรอดไปได้ ความแข็งแกร่งของมันย่อมต้องลดลงไปอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง ระดับชั้นอาจจะตกจากระดับชั้นที่หนึ่งไปเลย

 

แต่ตอนนี้จอมมารชุดดำไม่สนใจเรื่องนั้นอีกต่อไป

 

อย่างไรก็ตาม

 

ช่วงเวลาต่อมา

 

พลังที่แสนน่าหวาดหวั่นแห่งฟ้าดินก็บดขยี้ลงมา

 

แกร็ก

 

แกร็ก

 

ในทันทีทันใด กระดูกของจอมมารก็แตกออกเป็นเสี่ยงๆ

 

“ไม่คาดคิดเลยว่า ข้าที่สังหารผู้คนนับไม่ถ้วนมาทั้งชีวิต ต้องมาตกตายด้วยน้ำมือของผู้อื่น”

 

จอมมารชุดดำพึมพำอยู่กับตนเอง

 

ร่างของเขาแหลกเหลว หลงเหลือไว้เพียง ‘พลังศักดิ์สิทธิ์‘

 

แต่แค่ว่า ‘พลังศักดิ์สิทธิ์‘ ของจอมมารชุดดำนั้นอ่อนด้อยกว่ามารพุทธะมาก แม้แต่จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์เขาก็ยังควบแน่นออกมาได้ไม่สำเร็จ เมื่อสูญเสียร่างกายที่คอยคุ้นกันไป พลังศักดิ์สิทธิ์ก็จะค่อยๆ สลายหายไปในอากาศอย่างรวดเร็ว ไม่ต้องให้ซูฉินต้องลงแรงด้วยซ้ำ

 

เป็นไปตามคาด

 

เพียงไม่ถึงอึดใจ

 

จิตของจอมมารชุดดำสั่นไหว หดตัว แล้วก็หายไป

 

ผู้คนโดยรอบเงียบกริบ

 

ทุกคนหยุดนิ่ง

 

หากจะบอกว่าในตอนแรกที่จอมมารชุดคลุมดำตะโกนออกมาว่า “ระดับตำนานยุทธ” ผู้คนยังสงสัยกันอยู่

 

แต่เมื่อได้เห็นผู้ที่อยู่เหนือผู้ใดเช่นจอมมารชุดดำไม่แม้แต่จะสามารถขัดขืนได้ แล้วสุดท้ายถูกกำจัดไป

 

ก็ไม่เหลือข้อสงสัยใดอีกในใจของทุกคน

 

ศิษย์ในวัดเส้าหลินและทุกคนจากพรรคมารต่างตกตะลึงพรึงเพริดกับฉากดังกล่าวที่เกิดขึ้นต่อหน้าต่อตาพวกเขา

 

เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินน้ำตาไหลย้อยลงไปตามใบหน้า ตัวเขาสั่นสะท้านแล้วพูดว่า

 

“เก้าร้อยปีแล้ว”

 

“กว่าเก้าร้อยปี ในที่สุดวัดเส้าหลินของเราก็มีระดับอรหันต์กำเนิดขึ้นเสียที…”

Sign in Buddha’s palm 60 เพียงสะบัดมือก็กระพือใจผู้คนให้ตะลึงงัน!

 

 

ด้านหน้าโถงศาลาการประชุมใหญ่

 

ทุกคนต่างตะลึงงัน

 

สาวกพรรคมารฟื้นสภาพจิตใจกลับมาได้บ้าง แม้ว่าจะตกใจแต่พวกมันก็พอจะเข้าใจได้บ้างว่าซูฉินปิดบังตัวตนเอาไว้อย่างแนบเนียน พวกมันต่างแอบสบถในใจว่าพวกลาหัวโล้นวัดเส้าหลินนี่มันทั้งชั่วร้ายและเจ้าเล่ห์เสียจริง

 

แต่กับเหล่าศิษย์วัดเส้าหลิน รวมถึงเจ้าอาวาสและหัวหน้าตำหนักต่างตกตะลึงกันอย่างสิ้นเชิง

 

สาวกพรรคมารไม่รู้รายละเอียดเบื้องลึกของซูฉิน พวกมันจะไปรู้มาจากไหนได้เล่า?

 

ซูฉินอยู่ในวัดมากว่ายี่สิบปี เป็นพระกวาดลานมากว่ายี่สิบปี ศิษย์ส่วนใหญ่มักจะรู้จักซูฉินและทักทายกันเป็นประจำ

 

บุคคลเช่นนี้หรือที่เป็นบรรพบุรุษสงฆ์ศักดิ์สิทธิ์ของวัดเส้าหลิน?

 

เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินตกตะลึง หัวหน้าลานจิปาถะตกตะลึง เหล่าหัวหน้าตำหนักและหัวหน้าฝ่ายวินัยสงฆ์ต่างก็ตื่นตะลึง…

 

“เจินกวน? สงฆ์ศักดิ์สิทธิ์นิรนาม?”

 

หัวหน้าคนใหม่ของลานจิปาถะรู้สึกได้เพียงเสียงอื้ออึงที่อยู่ในหัว ก่อนที่หัวหน้าลานจิปาถะคนเก่าจะมรณภาพไปท่านได้สั่งเสียให้เขาดูแลเจินกวนให้ดี

 

ทว่าตอนนี้…

 

หัวหน้าลานจิปาถะคนใหม่เกิดรู้สึกขึ้นมาว่า ทุกสิ่งในวัดเส้าหลินกลับกลายเป็นสิ่งที่เขาไม่คุ้นเคยอีกต่อไป

 

“เขาคือบรรพบุรุษสงฆ์ศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ในวัดของพวกเรา?”

 

ทันใดนั้นเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินก็นึกย้อนไปถึงความทรงจำเมื่อหกปีก่อน ปรากฏเป็นร่างคลุมเครือที่เข้ามาหา ระหว่างที่เขาตกอยู่ในอาการธาตุไฟเข้าแทรก

 

ในตอนนั้นเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินก็รู้สึกว่าร่างคลุมเครือดูยังหนุ่มมาก ดูไม่เหมือนว่าเขาอายุมากกว่าร้อยปีเลย

 

แม้เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินจะมีข้อสงสัยอยู่เมื่อตอนนั้น แต่สุดท้ายเขาก็คิดว่าตนเองคิดมากเกินไป

 

แล้ววิธีการ ขั้นตอนต่างๆ ที่บรรพบุรุษสงฆ์ศักดิ์สิทธิ์ใช้ในการแก้ปัญหานั้นช่างลึกล้ำ จะมีอายุน้อยไปได้อย่างไร?

 

นอกเหนือจากนี้เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินมั่นใจมากว่าบรรพบุรุษสงฆ์ศักดิ์สิทธิ์ไม่ใช่ศิษย์จากรุ่น ‘ฮุ่ย‘

 

จากกรณีนั้นเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินจึงไม่สามารถคิดเป็นอื่นได้ นอกเสียจากท่านจะเป็นบรรพบุรุษในอดีตซึ่งเจ้าอาวาสไม่รู้จัก

 

อย่างไรก็ตามสิ่งที่เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินไม่คาดคิดก็คือ บรรพบุรุษสงฆ์ศักดิ์สิทธิ์ไม่ใช่ศิษย์รุ่น ‘ฮุ่ย‘

 

แต่เป็นศิษย์รุ่น ‘เจิน‘

 

“ศิษย์น้องเจินกวน…”

 

เจินชื่อมองไปที่ซูฉินด้วยสายตาว่างเปล่า สีหน้าสับสน

 

เมื่อสิบปีก่อน มารเฒ่ากลืนโลหิตได้แอบเข้าไปในหอคอยสะกดมาร กลืนกินเหล่ามารร้ายในหอคอยเป็นจำนวนมากที่ด้านในหอคอย จนสุดท้ายก็เข้าสู่ระดับชั้นที่สองในบัดดล

 

ในเวลานั้นเมื่อภิกษุสงฆ์ที่ลาดตระเวนหน้าหอคอยสะกดมารกำลังจะต้องตายด้วยฝีมือของมารเฒ่ากลืนโลหิต ร่างคลุมเครือก็ปรากฏขึ้นแล้วสังหารมารเฒ่ากลืนโลหิตทิ้ง

 

ขณะนี้

 

ร่างที่เลือนรางในความทรงจำบางส่วนของเจินชื่อ ก็ค่อยๆ หลอมรวมเข้ากับซูฉินที่ยืนอยู่ตอนนี้

 

หลังจากนั้นเพียงไม่นาน

 

ตอนที่ทุกคนยังตกตะลึงกันอยู่

 

เสียงหัวเราะแผ่วเบาจากจอมมารในชุดคลุมสีดำก็ดังขึ้น

 

“เจ้าเป็นสงฆ์ศักดิ์สิทธิ์นิรนามจริงๆ!”

 

“เจ้าเป็นสงฆ์ศักดิ์สิทธิ์นิรนามจริงๆ!!”

 

ดวงตาของจอมมารชุดดำเปล่งประกายเป็นแสงสีดำอันมืดมิดราวกับว่ามันเป็นเหวลึก

 

“เนื่องจากเจ้าเป็นสงฆ์ศักดิ์สิทธิ์นิรนามผู้นั้น วันนี้ข้าจะใช้เลือดของเจ้าเพื่อเป็นบันไดให้ข้าก้าวสู่ระดับตำนานยุทธ!!!”

 

จอมมารชุดคลุมดำพลันกระทืบเท้า ทันใดนั้นพลังมารก็เดือดพล่านกระจายออกไปทุกทิศทาง

 

แม้ว่าจอมมารจะไม่รู้ว่าทำไมซูฉินถึงหลบเลี่ยงการตรวจสอบของมันได้

 

แต่ไม่ว่าเรื่องราวจะเป็นอย่างไร คู่ต่อสู้ที่เขาใฝ่หาก็มายืนอยู่ตรงหน้านี้แล้ว เขาจะอดทนถามคำถามให้เสียเวลาไปทำไม

 

“ข้าฝึกฝนอย่างหนักในทะเลทรายตะวันตกมาเป็นเวลาห้าสิบปี เฝ้าดูภัยธรรมชาติ สัมผัสถึงฟ้าดิน และตั้งใจสรรสร้างเคล็ดวิชานี้ขึ้นมา”

 

“ข้าหวังว่าสงฆ์ศักดิ์สิทธิ์นิรนามนี่จะไม่ทำให้ข้าต้องผิดหวังนะ!!”

 

ทันทีที่จอมมารชุดดำเงียบเสียง พลังมารอันไม่มีที่สิ้นสุดก็เข้าปะทะกันเองอย่างต่อเนื่อง แล้วหลอมรวมกันกลายเป็นพายุทรายสีดำที่หมุนวนไม่หยุด

 

“ไม่ดีแล้ว!!”

 

หนังศีรษะของฮุ่ยเหวินชาวาบ

 

ต่อหน้าพายุทรายสีดำอันนี้ แม้แต่ยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งอย่างเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินยังสั่นสะท้าน ความรู้สึกวิกฤติถึงแก่ชีวิตเกิดขึ้นในใจของเขา

 

“องค์ท่าน… ผู้อาวุโส การลงมือนี้น่าจะเป็นการลงมือเต็มกำลังของจอมมาร พวกเรามาตั้งค่ายกลอรหันต์แห่งวัดเส้าหลินร่วมกันเถิด เพื่อจะได้ต้านมันเอาไว้ได้ชั่วคราว”

 

เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินไม่รู้จะเรียกซูฉินว่าอะไรดี จึงได้แต่เรียกว่า “ผู้อาวุโส”

 

ในสายตาของเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินนั้น แม้ซูฉินจะเป็นบรรพบุรุษสงฆ์ศักดิ์สิทธิ์จริงๆ ความแข็งแกร่งของเขาก็คงไม่อาจจะต้านทานจอมมารในตอนนี้ได้

 

ดังนั้นเมื่อเผชิญหน้ากับการโจมตีอย่างเต็มกำลังของจอมมาร ถ้าให้พูดตามตรง ก็มีเพียงแต่จะต้องถอยหนี

 

อย่างไรก็ตาม

 

ซูฉินส่ายหัวและกล่าวออกมาอย่างสบายๆ ว่า “ไม่จำเป็น มันยุ่งยากเกินไป”

 

ซูฉินเพิ่งเข้าสู่ระดับ ‘อรหันต์‘ แต่เขาก็อยากจะลองดูสักหน่อยว่าตอนนี้เขาแข็งแกร่งถึงขนาดไหนแล้ว

 

การที่จอมมารในชุดคลุมสีดำควบแน่นพลังมารเป็นพายุทรายสีดำ ในมุมมองของซูฉินสิ่งนี้มันก็แค่การใช้กำลังภายในในอีกรูปแบบหนึ่งก็เท่านั้น ไม่ได้มีอะไรน่าตื่นเต้นเลย

 

“ช่างกล้านัก!!”

 

จอมมารชุดคลุมดำเมื่อเห็นซูฉินไม่มีความตั้งใจที่จะหลบแต่อย่างใด เขาก็โกรธมาก พายุทรายสีดำทวีความเข้มข้นมากขึ้นไปอีก

 

ช่วงเวลาต่อมา

 

ท้องฟ้ามืดสลัวลง

 

ซูฉินถูกพายุทรายสีดำสนิทเข้าปกคลุม

 

“ระวัง!”

 

เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินวิตกกังวลเป็นอย่างมาก

 

กระนั้นร่างกายของเขาก็ได้รับบาดเจ็บอยู่ในตอนนี้ เขาไม่สามารถเข้าไปแทรกแซงการต่อสู้ระหว่างจอมมารชุดดำกับซูฉินได้

 

เมื่อสาวกพรรคมารทั้งหลายเหมือนจะเห็นว่าซูฉินถูกทำลายไปโดยพายุทรายสีดำ!!!

 

ปึง!!!

 

จะเห็นได้ว่าในระยะสิบเมตรรอบกายของซูฉิน บรรยากาศผันผวนเล็กน้อย และพายุทรายสีดำที่อยู่บริเวณโดยรอบพลันสลายหายไปอย่างรวดเร็ว ราวกับว่ามันไม่เคยมีอยู่

 

“นี่คือ?”

 

ใบหน้าของจอมมารชุดดำเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก มันมองมาที่ซูฉินด้วยสายตาไม่อยากเชื่อ

 

ไม่ใช่เพียงแต่จอมมารชุดดำเท่านั้น แต่คนอื่นก็จ้องกันจนตาแทบถลน

 

หากซูฉินเตรียมพร้อมป้องกันการโจมตีของจอมมาร แล้วฝ่าออกด้วยความยากลำบาก ทุกคนก็ยังพอจะรับได้

 

แต่ความจริงเป็นเช่นไร?

 

ซูฉินไม่แม้แต่จะขยับตัวออกจากจุดเดิม เขายืนอยู่ตรงนั้นคนเดียว และสกัดกั้นจอมมารที่ทุ่มกำลังทั้งหมดไว้ได้

 

เป็นไปได้อย่างไร?!!

 

“นี่คือความแข็งแกร่งทั้งหมดของเจ้าหรือ?”

 

ซูฉินยืนอยู่ที่เดิม ใบหน้าของเขาแสดงความผิดหวังเล็กน้อย

 

หากการโจมตีของจอมมารแข็งแกร่งกว่านี้อีกสักพันเท่า มันคงอาจจะทำให้เขารู้สึกถูกคุกคามได้

 

“แกเป็นใครกัน?”

 

สีหน้าของจอมมารชุดดำเคร่งเครียดอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

 

ในตอนแรกจอมมารในชุดคลุมสีดำคิดว่าความแข็งแกร่งของซูฉินนั้นใกล้เคียงกับตน ทั้งคู่ควรจะเป็นระดับชั้นที่หนึ่งที่ผ่านการแปรสภาพมาสองครั้ง และซูฉินน่าจะอ่อนแอกว่าตัวมันเสียด้วยซ้ำ

 

แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าฝ่ายตรงข้ามนั้นเป็นไปได้ว่าจะเป็นระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสมบูรณ์ที่แปรสภาพครบสามครั้ง

 

“จะสู้ต่อหรือจะถอยกลับดี?”

 

ท่าทางของจอมมารชุดดำค่อนข้างลังเล

 

ถ้าซูฉินเป็นยอดปรมาจารย์ขั้นสมบูรณ์จริงๆ แล้วเขายังคงรั้งรออยู่ที่นี่ เขาอาจจะถูกฝังกลบอยู่ใต้ผืนดินแห่งนี้

 

เพียงเท่านั้น

 

ก่อนที่จอมมารชุดดำจะทันใดตัดสินใจ ซูฉินที่ยืนอยู่ที่เดิมก็ก้าวเท้าออกไปด้านหน้า

 

“มันจบแล้ว”

 

ซูฉินยื่นมือขวาเรียวยาวออกไป และตบเบาๆ ไปทางจอมมารชุดคลุมสีดำ

 

“หึ!”

 

ความเย็นชาปรากฏขึ้นทั่วใบหน้าของจอมมารเสื้อคลุมดำ

 

“แม้ว่าเจ้าจะเป็นขั้นสมบูรณ์ แล้วเจ้าจะทำอะไรได้?”

 

“คงไม่ใช่เรื่องยากที่จะเอาชนะข้า ข้ารู้ดี แต่หากเจ้าต้องการจะรั้งข้าเอาไว้ ก็ฝันไปเถอะ!”

 

จอมมารชุดดำรีบถอยกลับอย่างว่องไว ต้องการจะอยู่ให้ห่างจากซูฉิน

 

อย่างไรก็ตาม

 

ในช่วงเวลาต่อมา

 

พลังอันแสนยิ่งใหญ่และสง่างามกระแทกเข้ามาจากทุกทิศทาง กักขังจอมมารชุดดำเอาไว้ให้อยู่กับที่

 

“นี่คือ?”

 

สีหน้าของจอมมารเปลี่ยนไปอย่างรุนแรง มันจ้องมองซูฉินราวกับเห็นสัตว์ประหลาด

 

“พลังแห่งฟ้าดิน?”

 

“หรือว่าเจ้าคือตำนานยุทธ!!!”

Sign in Buddha’s palm 59 ลงชื่อมายี่สิบปี ผู้ไร้พ่ายบังเกิด!

 

 

วัดเส้าหลิน

 

หน้าโถงศาลาการประชุมใหญ่

 

ดวงตาของซูฉินหลุบลง ค่อยๆ เดินไปหาจอมมารชุดดำ

 

ทุกสายตาในโถงใหญ่จับจ้องมาที่เขาเป็นตาเดียว

 

“ศิษย์น้องเจินกวน เจ้ากำลังทำอะไร?”

 

เจินชื่อ พระลาดตระเวน ที่อยู่แถวนั้นรีบเดินมาอยู่ด้านข้างแล้วจับแขนของซูฉินเอาไว้ และเขาก็กระซิบออกมา “นี่มันหน้าสิ่วหน้าขวาน เจ้าจะมาสร้างปัญหาอะไรยามนี้กัน”

 

ในขณะที่เจินชื่อกล่าวคำ เขานั้นพยายามที่จะดึงซูฉินให้กลับมา

 

จากมุมของเจินชื่อ แม้ว่าวัดเส้าหลินจะต้องต่อสู้กับพรรคมาร แต่ทั้งหมดนั้นล้วนเป็นเรื่องของศิษย์ตำหนักยุทธสงฆ์ ตำหนักอรหันต์ อะไรพวกนี้มากกว่า มันจะไปเกี่ยวอะไรกับพระกวาดลานจากลานจิปาถะเช่นซูฉิน?

 

ควรทราบว่าศิษย์ส่วนใหญ่ในลานจิปาถะไม่เก่งเรื่องวิชายุทธ หากออกไปไม่ใช่แค่ไม่สามารถแก้ปัญหาได้ อาจจะเพิ่มปัญหาขึ้นมาเสียอีก

 

อย่างไรก็ตาม

 

ไม่ว่าเจินชื่อจะพยายามหนักมากเพียงไร ซูฉินผู้‘มิรู้วิชายุทธ‘ ในตอนนี้ก็เหมือนภูเขาสูงกว่าหมื่นคืบ นิ่ง ไม่ไหวติง

 

“ในเมื่อเขามาหาข้าเพื่อแก้แค้น ข้าก็จะออกไป”

 

รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของซูฉิน เขาค่อยๆ ผลักเจินชื่อออกไปแล้วเดินต่อ

 

“อะไรกัน?”

 

จิตใจของเจินชื่อว่างเปล่า เขาอึ้งไปเป็นเวลานาน

 

ในขณะที่ซูฉินเดินออกไปตลอดทาง ศิษย์วัดเส้าหลินก็เริ่มจำเขาได้ทีละคนสองคน

 

“เจินกวน?”

 

“นั่นเขากำลังทำอะไรอยู่?”

 

“หรือเขาต้องการจะขัดขวางจอมมาร?”

 

เหล่าศิษย์วัดเส้าหลินงงงวยมากเสียจนลืมหยุดยั้งซูฉินไปชั่วขณะ

 

ถ้าเป็นศิษย์จากลานอรหันต์ ตำหนักยุทธสงฆ์ หรืออัจฉริยะจากลานธรรมที่วิ่งออกมาขอสู้เป็นตายกับเหล่ามารร้าย เรื่องนี้ก็พอจะเข้าใจได้

 

แต่ซูฉิน…

 

เป็นเพียงพระกวาดลานสังกัดลานจิปาถะ จะไปคุกคามจอมมารได้เยี่ยงไร?

 

“เจินกวน เกิดอะไรขึ้นกับเจ้า?”

 

หัวหน้าลานจิปาถะคนใหม่ขมวดคิ้วเป็นปมแน่น

 

ในสายตาของเขา ซูฉินเป็นศิษย์ที่ไม่มีความสามารถทางวิชายุทธมาโดยตลอด และถึงขนาดสละโอกาสที่จะเข้าสู่ลานโพธิ์อีกด้วย

 

บุคคลเช่นนี้ควรจะมีเหตุผล และไม่เลือกทำอะไรโง่ๆ

 

แต่ตอนนี้…

 

เมื่อเห็นเจินกวนเดินดุ่มๆ ตรงไปที่จอมมารชุดคลุมดำ หัวหน้าคนใหม่ของลานจิปาถะก็ถึงกับงุนงง

 

ในที่สุดหัวหน้าลานจิปาถะคนใหม่ก็ถอนหายใจออกมา เขาทนไม่ได้ที่จะเห็นซูฉินตกตายลงด้วยน้ำมือของจอมมารที่กำลังโกรธจัด เขาจึงเดินไปด้านข้างซูฉิน

 

“เจินกวน ที่นี่ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับเจ้า ทำไมยังไม่รีบถอยกลับไปอีก?!”

 

หัวหน้าคนใหม่แห่งลานจิปาถะส่งเสียงครางต่ำพยายามเตือนซูฉิน

 

สำหรับหัวหน้าลานจิปาถะคนใหม่ เขาคิดว่าแม้วัดเส้าหลินจะถูกทำลายลงไปจริงๆ ศิษย์อย่างซูฉินก็น่าจะเป็นคนสุดท้ายที่จะต้องตาย

 

“หัวหน้าลาน”

 

“เขากำลังมองหาข้าอยู่”

 

ซูฉินส่งยิ้มให้กับหัวหน้าลานคนใหม่แล้วกล่าวคำออกมาเบาๆ

 

“พูดจาไร้สาระอะไรกัน?”

 

หัวคิ้วของหัวหน้าลานจิปาถะคนใหม่ขมวดแน่นมากขึ้นเรื่อยๆ “จอมมารกำลังตามหาบรรพบุรุษสงฆ์ศักดิ์สิทธิ์อยู่ชัดๆ แล้วมันเกี่ยวข้องอะไรกับเจ้า?”

 

หัวหน้าคนใหม่ของลานจิปาถะทั้งโกรธทั้งขำ เขาไม่คาดคิดว่าซูฉินจะคิดว่าคนที่จอมมารตามหาจะเป็นตัวเขาเอง?

 

สงฆ์ศักดิ์สิทธิ์นิรนามที่ช่วยวัดเส้าหลินจากเหตุวิกฤติไว้ได้หลายต่อหลายครั้ง ความแข็งแกร่งของท่านน่ากลัวมาก และเป็นบรรพบุรุษที่มีชีวิตยาวนานมากว่าร้อยปี

 

แต่ซูฉินเล่า?

 

อยู่ในวัดมาแค่ยี่สิบปี จะไปเทียบกับบรรพบุรุษสงฆ์ศักดิ์สิทธิ์ได้อย่างไร?

 

“เจินกวน”

 

“ข้ารู้ว่าเจ้ามีเจตนาดี แต่ความเป็นอยู่ของวัดเส้าหลินไม่ได้ขึ้นอยู่กับเจ้าหรอกนะ”

 

หัวหน้าลานคนใหม่หายใจเข้าลึก แล้วหายใจออกเบาๆ

 

ขณะนั้น

 

สายตาของจอมมารชุดดำก็จ้องมองมาที่ซูฉินเช่นกัน

 

“หืม?”

 

จอมมารชุดคลุมดำหรี่ตาลงเล็กน้อย แสงสีดำจางๆ สาดประกายออกมา

 

มันเป็นยอดปรมาจารย์ระดับจุดสูงสุดที่ผ่านการแปรสภาพถึงสองครั้งมานานแล้ว ความสามารถในการมองผู้คนของมันนั้นยอดเยี่ยมมาก

 

ดังนั้นจอมมารจึงสังเกตเห็นแต่แรกแล้วว่าซูฉินไม่มีความผันผวนของกำลังภายในเลย นับประสาอะไรกับจุดสูงสุดในระดับชั้นที่หนึ่ง แม้เทียบกับคนธรรมดาเกรงว่าจะยังอ่อนแอเสียยิ่งกว่า

 

และในครานี้

 

กลุ่มสาวกพรรคมารที่ยืนอยู่ด้านหลังจอมมารต่างระเบิดเสียงเราะกันออกมา

 

“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า”

 

“เจ้าพวกลาหัวโล้นวัดเส้าหลินนี่รู้จักวิธีดีๆ ในการเสียสละศิษย์ขนาดนี้เชียวหรือ?”

 

“ลาหัวโล้นยังไงก็ยังเป็นลาหัวโล้น นี่พวกเจ้าคิดจริงๆ หรือว่าพวกเราจะถูกพวกเจ้าหลอกได้?”

 

“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า จะหาคนมาเซ่นสังเวยสักคน ก็ควรจะเป็นผู้ที่ฝึกยุทธมาเสียหน่อยไม่ใช่หรือไง แล้วส่งคนธรรมดามาเช่นนี้นี่มันหมายความว่ายังไงวะ?”

 

 

สาวกพรรคมารหัวเราะเยาะเย้ยจนแทบเป็นบ้า

 

ทันใดนั้น

 

มีศิษย์วัดเส้าหลินหลายคนตกอยู่ในความโกรธ หากมิใช่เพราะหัวหน้าตำหนักยับยั้งไว้ล่ะก็ พวกเขาจะพุ่งออกไปซัดหน้าพวกมันบัดเดี๋ยวนี้

 

ใบหน้าของจอมมารในชุดคลุมสีดำค่อยๆ เย็นชามากขึ้นเรื่อยๆ

 

แน่นอนว่า

 

สาวกพรรคมารที่อยู่ด้านหลังของเขาพูดจาออกมาได้มีเหตุผลอยู่ไม่น้อย

 

ลาหัวโล้นตัวเล็กตัวน้อยที่ออกมานี่น่าจะเป็นคนที่ถูกส่งออกมาตายเพื่อวัดเส้าหลิน

 

จอมมารชุดคลุมดำเงยหน้าขึ้นมองไปรอบบริเวณวัดเส้าหลิน แล้วพูดขึ้นมาเบาๆ “ในเมื่อเจ้าไม่ต้องการปรากฏตัว ข้าก็ไม่มีทางเลือก คงจะต้องมีการหลั่งเลือดเกิดขึ้นในวัดเส้าหลินของเจ้า!”

 

จอมมารในชุดคลุมสีดำหันมาสบตากับซูฉิน

 

เนื่องจากวัดเส้าหลินต้องการใช้เขาเพื่อตายแทน จอมมารชุดดำก็มิรังเกียจที่จะเริ่มลงมือกับอีกฝ่ายก่อนเป็นคนแรก

 

ฮึบ!!!

 

ไอพลังของจอมมารชุดดำเริ่มก่อตัวขึ้นมาเป็นปีกมาร แล้วแผ่กระจายออกเข้าครอบคลุมพื้นที่

 

เมื่อตอนที่เขากวาดล้างนิกายเทียนไถ่ เขาก็ใช้วิชานี้ในการกำจัดนักพรตเทียนเหลียนและรองผู้นำนิกายอีกสองคน รวมทั้งหมดเป็นยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งถึงสามคน

 

“ท่านเจ้าอาวาส ตอนนี้พวกเราจะทำเช่นไรดี?”

 

หัวหน้าตำหนักยุทธสงฆ์มองไปที่เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินด้วยความกังวล

 

เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินไม่ตอบ เพียงถอนหายใจออกมาเล็กน้อย

 

“วัดเส้าหลินจะยืนหยัด ต่อสู้กับมารร้ายไปด้วยกัน!”

 

เมื่อมีคำพูดนี้ดังขึ้นมา

 

ศิษย์จำนวนมากมายจนนับไม่ถ้วนของวัดเส้าหลิน ไม่สนความเป็นตาย การแสดงออกเด็ดเดี่ยวห้าวหาญ

 

“เข้าต่อกรเหล่ามารร้ายไปด้วยกัน ปกป้องเส้าหลินของพวกเรา!”

 

“ต่อกรเหล่ามารร้ายไปด้วยกัน ปกป้องเส้าหลินของพวกเรา!”

 

“ต่อกรเหล่ามารร้ายไปด้วยกัน ปกป้องเส้าหลินของพวกเรา!”

 

เสียงนั้นกระหึ่มพุ่งขึ้นไปสู่ฟากฟ้า

 

“จะสร้างขวัญกำลังใจกันไปเพื่ออะไร? ในเมื่อยามที่เจอกับความห่างชั้นของระดับพลัง ของพวกนั้นก็ไม่มีความหมาย”

 

ประมุขพรรคมารในชุดคลุมสีดำเลิกสนใจและหันไปมองซูฉินอีกครั้ง

 

ในท่ามกลางหมู่ศิษย์วัดเส้าหลินที่มีทั้งโศกเศร้า บ้างก็ขุ่นเคือง ซูฉินผู้ยืนอยู่อย่างสงบนิ่งมีความโดดเด่นเป็นอย่างมาก

 

ซูฉินเงยหน้าขึ้นมาเล็กน้อย ดวงตาของเขามีประกายแสงลึกซึ้งซ่อนอยู่ในส่วนลึกภายใน “ห้าปีก่อน ข้าไปเยือนฐานที่มั่นหลักของพรรคมารที่อยู่ในภูเขาหวู่หนาน”

 

คำที่กล่าวออกมา

 

ทำให้การแสดงออกของจอมมารชุดคลุมดำเปลี่ยนไปเล็กน้อย

 

สิ่งที่ได้ยินเมื่อครู่ ดูเหมือนว่าคนตรงหน้าจะไม่ได้โกหก

 

ในขณะนั้นสาวกพรรคมารที่ยืนอยู่ด้านหลังของจอมมารชุดดำก็มีอาการในทันที

 

“ท่านจอมมาร”

 

“ใช่แล้ว นี่แหละเขาล่ะ!”

 

“เขาคือสงฆ์ศักดิ์สิทธิ์นิรนาม!”

 

คุนคงรีบเดินไปที่ด้านหน้าของจอมมาร น้ำเสียงของเขาสั่นเครือ

 

ตั้งแต่ที่ซูฉินเดินออกมา คุนคงก็จำได้และตกอยู่ในอาการตกใจ เขาหวาดกลัวเป็นอย่างมาก ยามนี้เมื่อเขาสงบใจลงได้ เขาจึงรีบแจ้งจอมมารอย่างรวดเร็ว

 

เมื่อคุนคงพูดมาเช่นนี้

 

ฝูงชนทั้งหมดต่างตกอยู่ในความเงียบ เงียบเพราะความประหลาดใจ

 

ไม่เพียงแต่สาวกพรรคมารเท่านั้นที่ไม่อยากจะเชื่อ แม้แต่ศิษย์ทั้งหลายของวัดเส้าหลินเองก็เบิกตากว้าง

 

พวกเขาไม่คาดคิดมาก่อนว่าบรรพบุรุษสงฆ์ศักดิ์สิทธิ์ที่เคยช่วยวัดเส้าหลินมาหลายต่อหลายครั้งจะกลับกลายเป็นเพียงพระที่แสนจะจืดชืดไม่โดนเด่นใดๆ แห่งลานจิปาถะ?

Sign in Buddha’s palm 57 บุกวัดเส้าหลิน สงฆ์ศักดิ์สิทธิ์อยู่ที่ไหน?

 

 

ตูม ตูม ตูม!

 

เสียงของหัวใจเต้นถี่แรง ทรงพลัง ส่งเสียงดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง

 

ซูฉินนั่งไขว้ขาอยู่อย่างเงียบเชียบ เปลือกตาปิดอยู่ รัศมีโดยรอบระยะร้อยเมตรสภาพบรรยากาศผันผวนบิดเบี้ยวอยู่เล็กน้อย พลังงานหลายหลากต่างพุ่งเข้ามาบรรจบกัน

 

“ฟู่!”

 

ทันใดนั้นซูฉินก็สูดลมหายใจเข้าอย่างแรง พลังฟ้าดินในพื้นที่ต้องห้ามภูเขาด้านหลังต่างหลั่งไหลเข้ามา กลายเป็นสภาพเหมือนช่องมิติขนาดใหญ่ดูดกลืนพลังฉีเข้ามาในตัวเขาอย่างรวดเร็ว

 

เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้า

 

การเปลี่ยนแปลงที่สามารถสั่นคลอนโลกทั้งใบได้เกิดขึ้นภายในร่างของซูฉิน

 

ด้วยองค์ประกอบทั้งสาม คือ ร่างกาย จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ และกำลังภายใน รวมไปถึงอวัยวะภายใน เส้นเลือดทุกเส้นภายในร่างกายของซูฉินแปรสภาพไปอย่างรวดเร็ว

 

หากกล่าวว่ายอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งได้ก้าวข้ามคนธรรมดาไปสู่พลังชั้นสูงแล้ว สถานะของระดับ ‘อรหันต์‘ นั้นเหนือหมู่มวลสรรพชีวิตโดยสิ้นเชิง

 

‘อรหันต์‘ และระดับตำนานยุทธทั้งหลายนั้นเหนือไปกว่ามนุษย์โดยแท้จริง

 

“ระดับอรหันต์…”

 

“ในที่สุดก็มาถึงจนได้…”

 

ซูฉินค่อยๆ ลืมตาขึ้นมา

 

รูม่านตาของเขาดำสนิท ลึกล้ำกว้างใหญ่ราวกับจักรวาลที่ประดับประดาไปด้วยหมู่ดาว

 

ซูฉินยืนขึ้นและมองไปที่มือทั้งสองข้าง

 

ในขณะนี้ร่างกายของเขาก้าวข้ามไปสู่อีกระดับหนึ่งโดยสมบูรณ์ สามารถดูดซับพลังแห่งฟ้าดินได้เองโดยธรรมชาติ ไม่จำเป็นต้องบริโภคอาหารเพื่อเติมเต็มพลังงาน

 

บรรลุสู่ความเป็นเซียนอมตะ อิ่มทิพย์เพียงสูดลมหายใจ

 

นอกจากนี้ซูฉินยังรู้สึกอีกว่า เพียงความคิด เขาสามารถควบคุมพลังฟ้าดินในระยะหลายลี้รอบตัว ท่วงท่าทุกย่างก้าวของเขาราวกับเป็นเนื้อเดียวไปกับพลังฟ้าดิน

 

ไม่ว่าจะเป็น ‘อรหันต์‘ หรือตำนานยุทธ วิธีการต่อสู้ที่ทรงพลังที่สุดก็คือการใช้พลังฟ้าดิน

 

สำหรับยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่ง แม้จะเป็นขั้นสมบูรณ์ที่แปรสภาพครบสามครั้งแล้วก็ตาม พวกเขาก็ยังต้องหวาดกลัวต่อการใช้กลยุทธ์กลุ้มรุม หากถูกปิดล้อมด้วยกองทัพขนาดใหญ่นับล้านคน ยอดปรมาจารย์ก็คงไม่อาจทานทนได้เหมือนกัน

 

แน่นอนว่ายอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งคงไม่โง่เขลากระโดดเข้าไปในวงล้อมของกองทัพนับล้านคนหรอก

 

แต่ระดับ ‘อรหันต์‘ นั้นต่างออกไป

 

ตัวตนระดับนี้ ยกเว้นไว้แต่เจอเข้ากับผู้แข็งแกร่งในระดับเดียวกัน แม้จะถูกปิดล้อมด้วยคนจำนวนมหาศาลก็ไม่มีอะไรต้องกลัว

 

“ผ่านไปสิบวันเลยหรือนี่?”

 

ซูฉินรู้สึกตัวและก็พอจะรู้ได้ว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหนแล้วตั้งแต่เริ่มขั้นตอนการตัดผ่าน

 

เดิมทีซูฉินคิดว่าจะใช้เวลาแค่หนึ่งคืนเพื่อที่จะข้ามผ่านขอบเขตระดับพลัง แต่มิคิดว่ามันจะใช้เวลานานเพียงนี้

 

“ได้เวลาออกจากที่นี่แล้ว”

 

รัศมีพลังของซูฉินถูกสูบกลับเข้ามาภายในร่างกายทั้งหมด เพียงช่วงระยะเวลาหนึ่งก็ไม่เห็นความแตกต่างระหว่างตอนนี้กับตอนก่อนทะลวงระดับขั้นเลยแม้แต่น้อย

 

หลังจากไปถึงระดับ ‘อรหันต์‘ ร่างกายของซูฉินก็มาถึงระดับที่ไม่เคยเอื้อมถึงมาก่อน

 

อย่างฉับไว

 

ซูฉินออกจากพื้นที่ต้องห้ามภูเขาด้านหลังและเข้ามาถึงทางเดินสีเขียวไม่ไกลจากลานจิปาถะเท่าใดนัก

 

“ฮะ?”

 

ซูฉินพบว่าบรรยากาศของวัดเส้าหลินในเวลานี้มีบางอย่างผิดปกติ

 

ใบหน้าของศิษย์วัดเส้าหลินที่เดินไปเดินมาต่างตื่นตระหนกราวกับพวกเขากำลังเผชิญหน้ากับวิกฤตบางอย่าง

 

“พวกเราจะทำอย่างไรดี?”

 

“พรรคมารมาเยือนถึงหน้าประตูแล้ว ท่านเจ้าอาวาสจะสามารถหยุดยั้งมันได้หรือไม่?”

 

“ไม่ว่าจะหยุดยั้งมันได้หรือไม่ พวกเราวัดเส้าหลินเป็นพรรคที่ขึ้นชื่อเรื่องความเที่ยงธรรมที่สุด จะไปเกรงกลัวต่อพรรคมารได้อย่างไร?”

 

ศิษย์วัดเส้าหลินกล่าวกันเพียงไม่กี่คำก็รีบร้อนมุ่งหน้าไปยังโถงศาลาการประชุมใหญ่

 

“พรรคมาร?”

 

ซูฉินขมวดคิ้วและจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของเขาก็แผ่กระจายออกไปทั่วทุกทิศราวกับคลื่นน้ำไหลหลาก

 

หลังจากที่ก้าวเข้าสู่ระดับ ‘อรหันต์‘ จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของซูฉินก็ทรงพลังมากขึ้นไปหลายสิบเท่า แต่ก่อนนั้นมันสามารถครอบคลุมพื้นที่ได้เพียงหลายสิบเมตร แต่บัดนี้กลับครอบคลุมรัศมีเป็นแสนเมตรแล้ว

 

จากนั้นไม่นาน

 

ซูฉินถอนหายใจออกมาเบาๆ และเดินไปยังทิศทางของโถงศาลาการประชุมใหญ่

 

เพียงไม่นาน

 

ทันทีที่ซูฉินมาถึงโถงใหญ่ เขาก็ถูกหยุดโดยเจินชื่อพระภิกษุที่คอยตรวจตรา

 

“เจินกวน ทำไมข้าถึงไม่เห็นหน้าเจ้าเลยช่วงหลายวันที่ผ่านมานี้”

 

เจินชื่อถามแบบไม่จริงจังอะไรมาก สายตาเขากลับจับจ้องไปที่ห้องโถงใหญ่

 

บริเวณโถงศาลาการประชุมใหญ่ตอนนี้ คนจากพรรคมารกำลังเผชิญหน้าอยู่กับศิษย์ของวัดเส้าหลิน

 

“ลาหัวโล้นเอ๋ย ถ้าเจ้ายอมจำนนต่อพรรคมารของข้าอย่างเชื่องเชื่อ ข้าอาจจะไว้ชีวิตพวกเจ้าก็ได้นะ”

 

ชายไว้หนวดเคราที่มีใบหน้าคล้ำหมองยิ้มเยาะออกมา

 

“เศษสวะพรรคมาร!!!” หัวหน้าตำหนักยุทธสงฆ์โกรธเกรี้ยวตะโกนออกมาลั่น

 

หัวหน้าตำหนักคนอื่นๆ ทุกคนดูเคร่งขรึม สายตาของพวกเขาสบเข้ากับชายที่สวมชุดคลุมสีดำ

 

ชายในชุดคลุมสีดำมีกลิ่นอายลึกล้ำ เพียงแค่ยืนอยู่ตรงนั้นก็ทำให้ทุกคนหายใจติดขัดกันหมดแล้ว

 

“นะโม อมิตตาพุทธ จอมมาร เจ้ามาที่นี่ด้วยเหตุอันใด”

 

เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินกุมมือไว้ที่ด้านหน้าแล้วมองไปที่ชายชุดคลุมสีดำ

 

“หึ!”

 

สีหน้าเยาะเย้ยถากถางปรากฏขึ้นบนใบหน้าของจอมมารชุดดำ “ไอ้ลาหัวโล้นฮุ่ยเหวิน ข้ามีทางเลือกให้เจ้าเพียงแค่สองทาง ทางหนึ่งคือการยอมแพ้เสีย อีกทางหนึ่งคือทำลายวัดให้เหี้ยน”

 

เสียงของจอมมารในชุดคลุมสีดำไม่ได้ดังอะไร แต่มันกลับดังก้องอยู่ในหูของศิษย์วัดเส้าหลินทุกคน

 

ในทันใด

 

ศิษย์วัดเส้าหลินหลายต่อหลายคนพลันหน้าแดงก่ำด้วยความโกรธเกรี้ยว

 

“นะโม อมิตตาพุทธ…”

 

เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินก้าวย่างอย่างแผ่วเบา และไปยืนอยู่ด้านหน้าของทุกคน

 

ในฐานะสุดยอดพรรคแห่งยุทธภพ วัดเส้าหลินอยู่มาหลายพันปีแล้วจะเป็นไปได้เช่นไรที่จะยอมจำนนต่อพรรคมาร?

 

“เช่นนั้น พระผู้ต่ำต้อยผู้นี้คงต้องขอคำชี้แนะจากจอมมารแล้ว”

 

เมื่อเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินกล่าวเช่นนี้

 

สีหน้าท่าทางของหัวหน้าตำหนักคนอื่นๆ ต่างก็เปลี่ยนไป

 

มีข่าวลือมานมนานแล้วในทำเนียบยอดยุทธว่าจอมมารได้ก้าวเข้าสู่การเป็นยอดปรมาจารย์ขั้นสูงสุด

 

แม้ว่าเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินจะเป็นระดับชั้นที่หนึ่ง แต่ถ้าเขาต่อสู้กับระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสูงสุด ผลลัพธ์ที่ออกมาก็คงจะจินตนาการได้ไม่ยาก

 

“เจ้าอาวาส ไม่ได้นะท่าน”

 

“ใช่ ท่านจะต้องไม่ตกไปในหลุมพรางของพรรคมาร…”

 

หัวหน้าตำหนักต่างรีบกล่าวอย่างร้อนรน

 

“ถ้าข้าไม่ก้าวลงไปยมโลก จะเป็นผู้ใดอีกเล่าที่จะก้าวเดินไปในทางเส้นนี้”

 

เจ้าอาวาสส่ายหัวเล็กน้อย

 

วันนี้ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในวัดเส้าหลินคือเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวิน หากเขาไม่ลุกขึ้นยืนหยัดสู้ ใครเล่าจะทำได้?

 

แม้ว่าจะยังมีบรรพบุรุษสงฆ์ศักดิ์สิทธิ์อยู่ในวัดเส้าหลิน แต่จนถึงขณะนี้ท่านก็ยังไม่ได้ปรากฏตัวออกมา ท่านอาจจะมีภาระบางอย่างอยู่

 

ในเวลานี้แม้เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินจะรู้ว่าเขาไม่ใช่คู่ต่อสู้ของจอมมาร แต่เขาก็ทำได้เพียงกัดฟันทน

 

“พวกมดปลวก”

 

จอมมารหัวเราะเยาะ ยกมือขวาขึ้นอย่างไม่อนาทรร้อนใจ

 

ทันใดนั้นพลังมารที่น่าสยดสยองก็พลุ่งพล่านออกมาคลุมตัวเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวิน

 

ปึง

 

เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินถอยหลังไปสามก้าว จนก้าวสุดท้าย เลือดก็ถูกพ่นออกมา

 

เจ้าอาวาสของวัดเส้าหลินผู้เป็นยอดปรมาจารย์ ไม่แม้แต่จะทำให้จอมมารต้องเคลื่อนออกจากจุดเดิม

 

“ท่านเจ้าอาวาส”

 

“ท่านเจ้าอาวาส ท่านเป็นอะไรหรือไม่”

 

“จอมมารข้าจะขอสู้กับเจ้า”

 

เหล่าศิษย์วัดเส้าหลินจำนวนนับไม่ถ้วนรู้สึกเจ็บใจ และหัวหน้าตำหนักต่างเข้าไปดูแลเจ้าอาวาสก่อนเป็นอันดับแรก

 

“ไม่เป็นไร ก็แค่บาดเจ็บเท่านั้น…”

 

เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินกล่าวด้วยเสียงสั่นเทาใบหน้าซีดขาวราวกับกระดาษ

 

จอมมารน่าจะยั้งมือเอาไว้แล้วเมื่อครู่ ไม่เช่นนั้นต่อให้เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินจะรอดชีวิตมาได้ เขาก็ควรจะบาดเจ็บสาหัส ไม่ควรจะฝืนยืนอยู่ได้เหมือนในขณะนี้

 

“วัดเส้าหลินถึงคราวจบสิ้นแล้ว…”

 

เมื่อเห็นฉากนี้เข้า หัวหน้าตำหนักต่างรู้สึกหนาวเหน็บ

 

ตอนแรกพวกเขายังพอจะมีความหวังอันริบหรี่เหลืออยู่ในใจ โดยคิดไปว่าจอมมารอาจจะไม่ได้ไปถึงระดับนั้นตามข่าวลือที่ได้ฟังมา

 

หากเป็นเช่นนั้น วัดเส้าหลินยังพอมีโอกาสจะขับไล่พรรคมารกลับไป

 

แต่ยามนี้ ดูเหมือนว่า…

 

แม้แต่เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินซึ่งเป็นยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งก็ไม่สามารถหยุดยั้งพลังฝีมือของฝ่ายตรงข้ามได้ ความแข็งแกร่งของจอมมารเกินกว่าที่วัดเส้าหลินจะรับมือได้ไหว

 

ในสถานการณ์เช่นนี้วัดเส้าหลินจะป้องกันการบุกรุกของพรรคมารได้เช่นไร?

 

“เป็นไปได้หรือไม่ที่วัดเส้าหลินอันมีประวัติยาวนานนับพันปีจะต้องมาสิ้นสุดลงตอนนี้”

 

เหล่าหัวหน้าตำหนักสะท้านสั่นภายในจิตใจ พวกเขาดูหมดหวัง

 

หลังจากที่เอาชนะเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินด้วยการลงมือเพียงครั้งเดียว จอมมารในชุดคลุมสีดำก็ไม่ได้สนใจเขาอีก

 

สำหรับมันแล้ว แม้แต่ยอดปรมาจารย์ขั้นสูงสุดอย่างนักพรตเทียนเหลียนจากนิกายเทียนไถ่ก็ยังสังหารได้ นับประสาอะไรกับพระสงฆ์อย่างเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวิน?

 

จอมมารในชุดสีดำเดินออกไปทีละก้าวจนครบเก้าก้าว เงยหน้าขึ้นมองที่โถงศาลาการประชุมใหญ่ที่ตั้งตระหง่านอยู่จากนั้นจึงตะโกนว่า

 

“สงฆ์ศักดิ์สิทธิ์นิรนาม!”

 

“ข้ารู้ว่าเจ้าอยู่ในวัดเส้าหลิน!”

 

คลื่นเสียงของยอดปรมาจารย์อย่างจอมมารในชุดคลุมสีดำ ก้องกังวานไปทั่วทั้งวิหาร ศิษย์วัดเส้าหลินทั้งหลายต่างหูอื้อไปตามๆ กัน วิญญาณเหมือนจะหลุดออกจากร่าง

 

“เจ้าสังหารสาวกพรรคมารของข้า และเกือบจะทำลายมรดกตกทอดของพรรคข้าจนสิ้น !”

 

“ข้าจะเพิกเฉยความอาฆาตนี้ไปได้เช่นไร ? ตอนนี้ชีวิตความเป็นความตายของวัดเส้าหลินของเจ้าอยู่ในมือข้า ถ้าเจ้ายังไม่ยอมออกมาอีกข้าจะฆ่าศิษย์วัดเส้าหลินทุกคนด้วยน้ำมือข้าเองเสียให้หมด !”

 

หลังจากที่จอมมารชุดดำพูดจบ มันก็มองไปทั่วทุกที่ในวัดเส้าหลิน

 

สำหรับประมุขพรรคมารในชุดคลุมสีดำ ตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้ เป้าหมายหลักของมันคือสงฆ์ศักดิ์สิทธิ์นิรนามแห่งวัดเส้าหลิน

 

สำหรับศิษย์คนอื่น หรือแม้กระทั่งยอดปรมาจารย์อย่างเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวิน มันก็ไม่ได้ใส่ใจนัก

 

“สงฆ์ศักดิ์สิทธิ์ …”

 

หัวใจของเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินสั่นสะท้าน เขาไม่รู้ว่าบรรพบุรุษสงฆ์ศักดิ์สิทธิ์จะออกมาหรือไม่ ?

 

ด้วยพลังอำนาจของจอมมารในตอนนี้ บรรพบุรุษสงฆ์ศักดิ์สิทธิ์จะเป็นคู่ต่อสู้ของมันได้หรือเปล่า ?

 

กรณีที่บรรพบุรุษสงฆ์ศักดิ์สิทธิ์ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของฝ่ายตรงข้าม น่ากลัวว่าวันนี้วัดเส้าหลินจะต้องถูกกวาดล้างไปจนหมดสิ้นเสียแล้ว

 

“สงฆ์ศักดิ์สิทธิ์ …”

 

ศิษย์ของวัดเส้าหลินทั้งหลายต่างหวังอยู่เล็กๆ ราวกับคนจมน้ำพยายามคว้าเชือกฟางเส้นสุดท้ายเอาไว้ไม่ให้จมลงไป

 

อย่างไรก็ตาม

 

เวลาก็ผ่านไปอย่างรวดเร็ว

 

สงฆ์ศักดิ์สิทธิ์นิรนามตามที่จอมมารชุดคลุมสีดำได้เอ่ยปากออก ก็ไม่ปรากฏตัว

 

“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า”

 

“สงฆ์ศักดิ์สิทธิ์ห่าอะไรวะ ด้วยอำนาจบารมีของท่านจอมมาร มันคงวิ่งหนีหางจุกตูดไปเสียนานแล้ว …”

 

รอยยิ้มหยามเหยียดปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเหล่าสาวกพรรคมาร

 

“มันกลัวข้าจริงๆ หรือ”

 

จอมมารชุดดำดูผิดหวัง

 

ตัวมันอุตส่าห์เดินทางออกจากทะเลทรายตะวันตก เพื่อมาหาสงฆ์ศักดิ์สิทธิ์นิรนามแห่งวัดเส้าหลิน จะได้ต่อสู้กันสร้างความกดดันที่ถึงแก่ชีวิต

 

แต่ตอนนี้ดูเหมือนจะทำแบบนั้นไม่ได้เสียแล้ว

 

“ฉะนั้นวัดเส้าหลินก็ไม่จำเป็นต้องมีอยู่อีกต่อไป”

 

จอมมารส่ายหัวเล็กน้อย น้ำเสียงของเขาดูเศร้าหมอง

 

เมื่อจอมมารกำลังจะสั่งการสังหารศิษย์วัดเส้าหลิน

 

ทันใดนั้น

 

เสียงที่สงบเรียบก็ดังขึ้น

 

“เจ้ามาหาข้าเพื่อแก้แค้นงั้นหรือ ?”

 

ในเวลาต่อมา

 

ท่ามกลางสายตาอึ้งทึ่งของทุกคน

 

ภิกษุหนุ่มสวมจีวรสีเทาก็ค่อยๆ เดินออกมาจากฝูงชน

Sign in Buddha’s palm 56 การกลับมาของจอมมาร สั่นสะเทือนยุทธภพ!

 

 

ต้าถัง

 

นิกายเทียนไถ

 

ในฐานะที่เป็นสุดยอดพรรคฝ่ายธรรมะภายใต้ราชวงศ์ถัง นิกายเทียนไถมีศิษย์สาวกมากมาย และมีนักพรตเทียนเหลียนที่เป็นยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสูงสุด

 

แม้ว่านิกายเทียนไถจะไม่ได้สืบทอดมรดกยาวนานเท่าวัดเส้าหลินที่อยู่มานับพันปี แต่ศิษย์รุ่นนี้ของนิกายก็อยู่ในช่วงรุ่งเรือง นอกจากนักพรตเทียนเหลียนแล้ว ยังมียอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งถือกำเนิดขึ้นอีกสองคน

 

ในขณะนี้ที่นิกายเทียนไถ สาวกของนิกายหลายคนต่างกำลังพูดคุยกันด้วยเสียงแผ่วเบา

 

“ผู้อาวุโสหร่วน เมื่อไม่นานมานี้เจ้าได้เข้าร่วมปิดล้อมปราบปรามสาวกที่เหลือของพรรคมารมานี่ เป็นเยี่ยงไรบ้างเล่า ข้าได้ยินว่าพวกที่เหลือของพรรคมารนั้นเจ้าเล่ห์และโหดร้ายอย่างมาก…”

 

ศิษย์หนุ่มเริ่มเอ่ยถามอย่างสงสัย

 

“เฮ้เฮ้…”

 

ชายวัยกลางคนที่ถูกเรียกว่าผู้อาวุโสหร่วนยิ้มเยาะ “ผลลัพธ์จะเป็นอะไรได้อีกล่ะ? พวกเด็กอมมือพรรคมารเหล่านั้นจะมาเป็นคู่ต่อสู้ของนิกายเทียนไถของเราได้อย่างไร นี่เป็นการร่วมมือกันของกลุ่มสำนักฝ่ายธรรมะ แล้วเป็นนิกายเทียนไถของเรานี่แหละที่กวาดล้างพวกที่เหลือของพรรคมารไปได้มากที่สุด…”

 

ผู้อาวุโสหร่วนกล่าวอย่างมีชัย

 

ตั้งแต่ห้าปีที่แล้วที่เหล่ายอดฝีมือและอาวุโสในสามระดับบนของพรรคมารได้ตกตายลงในชั่วข้ามคืน สาวกจำนวนนับไม่ถ้วนของพรรคมารต่างพากันหนีไปด้วยความหวาดกลัวและแยกย้ายกระจัดกระจายกันออกไป

 

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาเพื่อกำจัดต้นตอให้สิ้นซาก สำนักฝ่ายธรรมะ นำโดยนิกายเทียนไถได้รวมกองกำลังเข้าปิดล้อมและปราบปรามเหล่าสาวกพรรคมารที่หลงเหลืออยู่

 

“อย่างไรก็ตามข้าได้ยินมาว่าสาเหตุที่สาวกพรรคมารต้องยุบตัวลงเช่นนี้เป็นเพราะสงฆ์ศักดิ์สิทธิ์นิรนามแห่งวัดเส้าหลิน…”

 

ศิษย์หนุ่มคนเมื่อครู่เหมือนจะคิดอะไรออก และถามต่ออย่างกระตือรือร้น

 

อาวุโสหร่วนขมวดคิ้วเล็กน้อย แต่ในที่สุดก็พูดออกมาอย่างไม่ค่อยเต็มใจนัก “ความดีความชอบบางส่วนก็ต้องยกให้กับวัดเส้าหลินอย่างแน่นอน”

 

ทันใดนั้น

 

เสียงแหบแห้งและเย็นชาก็ดังขึ้นมา

 

“โอ้?”

 

“นิกายเทียนไถของพวกเจ้าสังหารสาวกพรรคมารไปมากที่สุดงั้นหรือ?”

 

เห็นเป็นชายชุดคลุมสีดำเดินเข้ามาอย่างช้าๆ

 

ชายชุดดำอยู่ห่างออกไปเป็นพันเมตรในทีแรก แต่พริบตาเดียวเขาก็มาถึงด้านหน้านิกายเทียนไถแล้ว

 

“เจ้าเป็นใคร?”

 

ผู้อาวุโสหร่วนมองไปที่ชายชุดดำโดยไม่มีความเกรงกลัวบนใบหน้าของเขา

 

รู้หรือไม่ว่าที่นี่คือนิกายเทียนไถ ต่อให้ชายชุดดำคนนี้จะมีความกล้าหาญมากเพียงใด เขาจะกล้าลงมือที่นี่งั้นหรือ?

 

“ข้าเป็นใคร?”

 

ชายในชุดดำยกมือขึ้นมาเล็กน้อย และไอมารก็กระจายออกมาเป็นปีกกระจายตัวเข้าครอบคลุมไปทั่วทุกมุม

 

“ข้าก็เป็นเจ้าของพรรคมารที่เจ้ากำลังพูดถึงอยู่นั่นอย่างไรเล่า”

 

ปึง

 

ทั้งผู้อาวุโสหร่วนและเหล่าสาวกทั้งหลายของนิกายเทียนไถล้วนกลายเป็นละอองเลือดในฉับพลัน

 

“คนที่แข็งแกร่งเยี่ยงเจ้าคือใครกัน?!”

 

เสียงตะโกนแหวกอากาศออกมาอย่างรุนแรง และร่างของรองผู้นำนิกายเทียนไถก็วูบไหวเข้ามาอย่างรวดเร็ว แล้วจ้องไปที่ชายชุดดำด้วยสายตาเคร่งขรึม

 

“ดูเหมือนว่า เวลาห้าสิบปีที่ข้าห่างหายไปจากยุทธภพ จะมีคนหลงลืมไปแล้วสินะว่าข้าเป็นใคร”

 

ชายชุดดำหัวเราะอย่างดุดัน สะบัดนิ้วเพียงครั้งเดียวกระแทกใส่รองผู้นำนิกายเทียนไถที่เพิ่งมาถึง

 

“เจ้า?!”

 

รองผู้นำนิกายเทียนไถอาเจียนออกมาเป็นเลือด และมองไปที่ชายชุดดำด้วยความตกใจ

 

เขาไม่คาดคิดว่าชายชุดคลุมสีดำตรงหน้าจะทรงพลังน่าหวาดหวั่นขนาดนี้

 

ในตอนนั้นเอง

 

เสียงถอนหายใจเบาๆ ดังแว่วมา

 

“ข้าไม่ได้พบเจ้ามากว่าห้าสิบปีแล้ว เจ้าจอมมารนี่ยังดูแข็งแกร่งเหมือนเก่าเลยนะ…”

 

ผู้นำนิกายเทียนไถเดินเข้ามาช้าๆ มองไปที่ชายในชุดคลุมสีดำด้วยแววตาซับซ้อน

 

“อะไรนะ?”

 

“จอมมาร?”

 

“ห้าสิบปี?”

 

รองผู้นำนิกายเทียนไถที่ยืนถัดจากตัวผู้นำ สีหน้าเปลี่ยนไปมากและมองไปที่ชายชุดดำอย่างไม่อยากจะเชื่อ

 

ถ้าฟังแค่ในส่วนที่ว่า ห้าสิบปีก่อน เขาจะไม่เอะใจอะไร แต่ถ้าเพิ่มคำว่าจอมมารเข้ามาด้วยมันชักจะไม่ธรรมดาเสียแล้ว

 

ห้าสิบปีก่อน มียอดปรมาจารย์ปรากฏตัวขึ้นในพรรคมาร

 

ด้วยการนำพาของมัน พรรคมารเจริญสู่ความรุ่งโรจน์ แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะต่อต้านพวกมัน

 

แต่โชคยังดีที่จู่ๆ จอมมารผู้นั้นก็หายตัวไปอย่างไม่มีใครทราบสาเหตุ พรรคมารจึงสูญเสียอำนาจส่วนหนึ่งไป และด้วยการต่อสู้กันระหว่างธรรมะและอธรรม พรรคมารถูกกดดันให้ถอยร่นเข้าสู่ยงโจวในที่สุด

 

ทั่วทั้งยุทธภพลือกันว่าผู้นำของพรรคมารได้ตกตายลงไปแล้ว ไม่เช่นนั้นทำไมตลอดห้าสิบปีถึงไม่โผล่ตัวมาเลยเล่า? ไยจึงยอมให้พรรคมารเสื่อมถอยลง?

 

แต่ตอนนี้รองผู้นำนิกายเทียนไถเหม่อมองไปที่ชายในชุดคลุมสีดำที่อยู่ไม่ไกล ความตกใจสะท้อนอยู่ในอก

 

“จอมมารมาที่นี่มีเหตุอันใดหรือ?”

 

นักพรตเทียนเหลียนกล่าวออกด้วยท่าทีเคร่งขรึม

 

เมื่อห้าสิบปีก่อนจอมมารถึงจุดสูงสุดของระดับชั้นที่หนึ่ง และปัจจุบันตัวเขาเองก็กลายมาเป็นยอดปรมาจารย์ระดับจุดสูงสุดด้วยเช่นกัน ถึงแม้นักพรตเทียนเหลียนจะเกรงกลัวจอมมาร แต่ก็ไม่ได้กลัวมากขนาดนั้น

 

ทั้งคู่ต่างเป็นจุดสูงสุดของระดับชั้นที่หนึ่ง แม้นนักพรตเทียนเหลียนจะจัดการอีกฝ่ายไม่ได้ แต่อีกฝ่ายก็ฆ่านักพรตเทียนเหลียนไม่ได้เช่นกัน

 

ด้วยเหตุนี้นักพรตเทียนเหลียนจึงกล้าออกมาเผชิญหน้ากับจอมมาร

 

“เหตุผลมันง่ายมาก”

 

รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของจอมมารชุดดำ

 

“พวกเจ้าสังหารสาวกพรรคมารของข้า”

 

“ข้าก็จะทำลายนิกายเทียนไถของเจ้า”

 

ทันทีที่ชายชุดดำกล่าวจบ พลังมารอันน่าสะพรึงกลัวก็ระเบิดออกมา โอบล้อมไปทั่วทุกสารทิศ

 

เพียงครึ่งวันต่อมา

 

นักพรตเทียนเหลียน ผู้นำนิกายเทียนไถตกตายในระหว่างการต่อสู้และรองผู้นำนิกายในระดับชั้นที่หนึ่งทั้งสองคนก็ตายในสถานที่สู้รบ มีเพียงสาวกนิกายเทียนไถไม่กี่ชีวิตเท่านั้นที่รอดไปได้ แต่ส่วนใหญ่ล้วนนอนตายกลายเป็นศพอยู่ที่นี่

 

 

จอมมารได้ปรากฏตัวขึ้นแล้ว

 

สาวกนิกายเทียนไถที่หลบหนีออกไปได้ พวกเขาก็ส่งข่าวต่อไปยังสำนักพรรคนิกายในอาณาจักรราชวงศ์ถังทันที ด้วยความเร็วที่ยิ่งกว่าไฟลามทุ่ง

 

บางทีคนรุ่นใหม่อาจจะไม่รู้ความ แต่จอมยุทธรุ่นเก่าที่รอดชีวิตมาได้เมื่อห้าสิบปีก่อน รู้ซึ้งถึงความน่ากลัวของจอมมารดี

 

เมื่อห้าสิบปีก่อน จอมมารได้ใช้พลังของตัวเองเพียงผู้เดียวในการปราบสำนักฝ่ายธรรมะอย่างมิเกรงฟ้ากลัวดิน หากมันไม่ได้หายตัวอย่างลึกลับในยามนั้น เกรงว่าสำนักพรรคต่างๆ ทั่วทั้งยุทธภพคงจะต้องถูกปกครองโดยจอมมารไปเสียแล้ว

 

“เป็นไปได้เยี่ยงไร?”

 

“นักพรตเทียนเหลียนเป็นยอดปรมาจารย์ระดับจุดสูงสุด แม้เขาจะพ่ายแพ้ให้กับจอมมารแต่เขาก็ไม่ควรจะตกตายในระหว่างการต่อสู้มิใช่หรือ?”

 

“เป็นไปได้ไหมว่าวิทยายุทธของจอมมารก้าวหน้าขึ้น”

 

จอมยุทธจำนวนนับไม่ถ้วนต่างสั่นสะท้านในหัวใจ

 

แม้จะเป็นนักพรตจางแห่งเขาหวู่ตั้งที่อยู่ในจุดสูงสุดระดับชั้นที่หนึ่งก็เถอะ ตัวนักพรตจางนั้นแตกต่างไปจากจอมมาร

 

นักพรตจางสำเร็จจุดสูงสุดของระดับชั้นที่หนึ่งในช่วงห้าสิบปีที่จอมมารหายตัวไป และตัวเขาก็มีบุคลิกที่สงบเสงี่ยม ตัดขาดจากโลก ไร้ความทะเยอทะยาน

 

แต่กับจอมมาร…

 

เมื่อใดที่จอมมารครองอำนาจในยุทธภพได้อย่างสมบูรณ์ สิ่งที่รอพวกเขาอยู่อาจจะเป็นนรกบนดิน

 

หลังจากที่จอมมารกลับมาอีกครั้ง มันจะต้องรวบรวมเหล่าสาวกพรรคมารที่กระจัดกระจายกันออกไป แล้วสร้างพรรคมารขึ้นมาใหม่และจะเริ่มออกล่าฝ่ายธรรมะที่เคยสังหารสาวกพรรคมารอย่างแน่นอน

 

ในช่วงเวลานี้พรรคมารจะรุ่งเรือง และฝ่ายธรรมะจะต้องสูญเสียดินแดนที่เคยมีไป

 

เหล่ายอดฝีมือระดับชั้นที่หนึ่งของฝ่ายธรรมะมิใช่ว่ามิคิดต่อต้าน แต่ทุกครั้งที่รวมกำลังกันเข้าสู้ก็ถูกสยบด้วยน้ำมือของจอมมาร

 

เรื่องราวที่เกิดขึ้นยิ่งทำให้ผู้คนเชื่อมากขึ้นว่า จอมมารได้ก้าวหน้าไปอีกขั้น เป็นยอดปรมาจารย์ระดับจุดสูงสุดผู้อยู่เหนือใต้หล้า

 

และเมื่อยามที่จอมมารทรงพลังอำนาจมากขึ้น เขาก็ป่าวประกาศออกมาว่า

 

“สิบวันนับจากนี้ ข้าจะขึ้นภูเขาไปวัดเส้าหลินด้วยเรื่องส่วนตัวและจะขอพบสงฆ์ศักดิ์สิทธิ์นิรนามของวัดเส้าหลินสักหน่อย!”

 

เหมือนเวลาหยุดนิ่ง

 

จอมยุทธทั้งหลายต่างตระหนักถึงจุดประสงค์ที่แท้จริงของการปรากฏตัวของจอมมารในครั้งนี้

 

สงฆ์ศักดิ์สิทธิ์นิรนามแห่งวัดเส้าหลิน?

 

ทุกคนต่างสงสัยว่าสงฆ์ศักดิ์สิทธิ์นิรนามแห่งวัดเส้าหลินรูปนี้จะเป็นคู่ต่อสู้กับจอมมารได้จริงหรือ?

 

ขณะที่โลกภายนอกอยู่ในความสับสนวุ่นวาย

 

ภายในวัดเส้าหลิน

 

พื้นต้องห้ามภูเขาด้านหลัง

 

การผ่าด่านของซูฉินมาถึงช่วงสุดท้ายแล้ว

“จอมมาร!”

 

คุนคงแตะหน้าผากของตนลงบนพื้นโดยไม่รู้ตัว เขาไม่กล้ามองตรงๆ ไปที่ชายในชุดคลุมสีดำ

 

ต่อหน้ากลิ่นอายอันน่าสยดสยองของชายชุดดำ คุนคงรู้สึกว่าตัวเองเป็นเหมือนเรือท้องแบนที่อาจจะอับปางลงด้วยคลื่นลมได้ทุกเมื่อ

 

“แปรสภาพร่างกาย แปรสภาพกำลังภายใน…”

 

คุนคงรับรู้ได้แต่เพียงความว่างเปล่าในจิตใจ

 

แม้ว่าเขาจะเป็นเพียงจอมยุทธในสามระดับกลาง แต่ด้วยฐานะของสาวกพรรคมารเขาก็ค่อนข้างจะเข้าใจเกี่ยวกับการแบ่งระดับของยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่ง

 

ยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งหากต้องการจะก้าวหน้าในเส้นทางการฝึกยุทธ มีเพียงแต่จะต้องฝึกฝนต่อไปในทั้งสามด้าน คือ กายเนื้อ พลังศักดิ์สิทธิ์ และกำลังภายใน

 

ไม่ว่าจะเป็น กายเนื้อ กำลังภายใน หรือพลังศักดิ์สิทธิ์ หากแปรสภาพสำเร็จแม้หนึ่งอย่างก็จะกลายเป็นจุดสูงสุดของระดับชั้นที่หนึ่ง

 

ปัจจุบันมียอดปรมาจารย์ขั้นจุดสูงสุดที่มีชื่อเสียงอยู่เพียงไม่กี่คน อาทิ ราชครูแห่งอาณาจักรเหมิ่งหยวน และนักพรตจางทายาทตระกูลจอมยุทธแห่งเขาหวู่ตั้ง

 

คุนคงไม่ได้คาดคิดมาก่อนว่าประมุขพรรคมารคนก่อนไม่เพียงจะกลายเป็นยอดปรมาจารย์ระดับจุดสูงสุดภายในช่วงห้าสิบปี แต่ยังถึงขนาดแปรสภาพพลังได้ถึงสองครั้ง คือ ร่างกายและกำลังภายใน

 

ความแข็งแกร่งที่น่าหวาดกลัวนี้เกินจินตนาการของจอมยุทธทั่วๆ ไปจะใฝ่ฝันถึง และถ้าไม่นับเรื่องที่ไม่สามารถเหินฟ้าหรือดำดินได้ เขาย่อมเป็นผู้แข็งแกร่งจนเกินต้านบนผืนพิภพนี้

 

“สงฆ์ศักดิ์สิทธิ์นิรนาม !”

 

ภาพพระหนุ่มสวมจีวรสีเทาคนนั้นพลันปรากฏขึ้นในใจของคุนคงอย่างไม่ทราบสาเหตุ

 

แม้เขาจะได้พบเห็นพระหนุ่มผู้นั้นเพียงครั้งเดียวจากไกลๆ แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดคือภาพของอีกฝ่ายกลับสลักลึกลงไปในใจของเขา

 

“ครั้งนี้จอมมารจะเป็นคนลงมือ ความเกลียดชังที่ฝังลึกอยู่ในใจของผองพรรคมารจะต้องถูกส่งกลับไปให้หมด !”

 

ร่องรอยของความโล่งใจฉายชัดในแววตาของคุนคง

 

 

ณ วัดเส้าหลิน

 

ระฆังโบราณสั่นเสียงดังเหง่งหง่าง

 

ที่ด้านหน้าของลานโพธิ์

 

[ขอแสดงความยินดี โฮสต์ลงชื่อเข้าใช้สำเร็จ ได้รับโอสถ  ‘โอสถทลายขอบเขต ‘ ]

 

เสียงจักรกลที่แสนเย็นยะเยือกดังขึ้นด้านในหูของซูฉิน

 

“โอสถทลายขอบเขต ?”

 

ซูฉินพยักหน้าเล็กน้อย

 

โอสถทลายขอบเขตคือโอสถที่จะช่วยทำลายคอขวดของการฝึกฝนวิทยายุทธ

 

แน่นอนว่าโอสถชนิดนี้ไม่ได้ทำให้ปัญหาคอขวดถูกแก้ไขไปเสียทั้งหมด โดยปกติแล้วการใช้โอสถทลายขอบเขตตอนที่อยู่ในสามระดับล่างเพื่อขึ้นไปสามระดับกลางมีส่วนช่วยให้ประสบความสำเร็จเพิ่มขึ้นถึงหนึ่งในสิบส่วน

 

อย่าได้ดูถูกอัตราความสำเร็จที่เพิ่มขึ้นนี้เป็นอันขาด ไม่รู้ว่ามีผู้ฝึกยุทธสามระดับล่างจำนวนมากเท่าไหร่ที่ติดคอขวดนี้อยู่และไม่สามารถฝ่าไปได้

 

สำหรับการตัดผ่านจากสามระดับกลางขึ้นไปสู่สามระดับบน โอสถชนิดนี้ไม่ได้มีผลมากเท่าไหร่

 

ไม่มีใครทราบว่าโอสถทลายขอบเขตมีประโยชน์หรือไม่ต่อยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งที่เตรียมจะตัดผ่านไปยังระดับ  ‘อรหันต์ ‘

 

แต่ก็ดีกว่าไม่ได้ใช้อะไรเลย

 

ด้วยความแข็งแกร่งของซูฉินในปัจจุบัน โอสถส่วนใหญ่ที่ใช้เพิ่มพูนความแข็งแกร่งล้วนไม่มีผลกับเขาแล้ว และโอสถทลายขอบเขตก็ถึงว่าเป็นโอสถหายากชนิดหนึ่ง

 

หลังจากลงชื่อเข้าใช้ เขาก็ใช้เวลาที่เหลือทำความสะอาดลานโพธิ์เป็นเวลานาน จากนั้นจึงเตรียมตัวกลับไปยังลานจิปาถะ

 

“ปรับสภาพทุกอย่างเกือบเสร็จสิ้นแล้ว”

 

ซูฉินเดินไปอย่างช้าๆ บนทางเดินสีเขียวของวัดเส้าหลิน พลางคิดหลายสิ่งในใจไปอย่างเงียบๆ

 

หลังจากพักผ่อนมาหลายเดือน กลายเป็นพระกวาดลานอย่างสมบูรณ์แบบ จิตใจเขาก็สงบเย็นและไม่สนใจเรื่องโลกภายนอกมากนัก

 

กล่าวได้ว่าขณะนี้ซูฉินอยู่ในช่วงที่ดีที่สุดในรอบสามสิบปีเลยก็ว่าได้

 

“ก่อนที่จะก้าวหน้าต่อไป ข้าควรจะฝากสิ่งใดไว้กับวัดเส้าหลินดีหรือไม่ ?”

 

ซูฉินเดินผ่านห้องโถงใหญ่ มองไปที่พระพุทธรูปทองคำที่ประดิษฐานอยู่ภายใน ความคิดของเขาผันแปรเรรวน

 

ไม่ทันได้รู้ตัวก็กลายเป็นว่าเขาอยู่วัดเส้าหลินมาตั้งเกือบยี่สิบปีแล้ว

 

จากเด็กอายุสิบขวบ ยังไม่บรรลุนิติภาวะเสียด้วยซ้ำ ตอนนี้กลับกลายมาเป็นยอดปรมาจารย์ขั้นสมบูรณ์ที่เจนโลกไปเสียแล้ว

 

“ช่างมันปะไร”

 

“วัดเส้าหลินก่อตั้งมาเป็นพันปีแล้ว เหล่าอรหันต์มากมายต่างทิ้งมรดกตกทอดเอาไว้ หากศิษย์รุ่นหลังไร้ความสามารถจริงๆ ต่อให้ข้าทิ้งสิ่งใดเพิ่มไว้ มันก็ไม่มีความหมายอยู่ดี”

 

ซูฉินส่ายหัวเล็กน้อย แต่กลับดูโล่งใจขึ้นมาก

 

หลังจากนั้นสักพัก

 

ซูฉินกลับมาที่ลานจิปาถะ

 

พระเณรวัยหนุ่มหลายคนกำลังเดินพูดคุยหัวเราะกัน เมื่อพวกเขาพบเข้ากับซูฉินพวกเขาก็กล่าวขึ้นอย่างสำรวมในทันที “ทำความเคารพหลวงลุงเจินกวนขอรับ”

 

“ทำความเคารพหลวงลุงเจินกวน”

 

สามเณรวัยรุ่นกลุ่มนี้แสดงความเคารพอย่างสำรวม

 

“นี่ข้ามาถึงระดับที่เป็น  ‘หลวงลุง ‘ แล้วงั้นหรือ ?”

 

ซูฉินอดหัวเราะออกมาไม่ได้

 

ที่วัดเส้าหลิน นับรอบทุกยี่สิบปีเป็นหนึ่งยุคสมัย

 

ซูฉินอยู่ที่วัดเส้าหลินมาก็เกือบยี่สิบปีแล้ว ถึงแม้เขาจะเป็นเพียงพระกวาดลานแต่ความอาวุโสของเขาก็ถูกยกให้สูงขึ้นตามความแก่พรรษา

 

เดี๋ยวนี้สาวกรุ่นใหม่ของวัดเส้าหลินล้วนใช้อักษร  ‘เฉียน ‘[1] นำหน้าชื่อกันแล้ว ซึ่งเป็นรุ่นถัดมาของรุ่น  ‘เจิน ‘

 

ไม่นานนักหลังจากที่ซูฉินกลับมาถึง หัวหน้าลานจิปาถะคนใหม่ก็ออกมายืนอยู่ด้านหน้าลาน

 

“ทำความเคารพหัวหน้าตำหนัก”

 

ซูฉินมองที่หน้าของหัวหน้าลานจิปาถะคนใหม่แล้วกล่าวคำ

 

ตั้งแต่หัวหน้าตำหนักคนเก่าจากไป ซูฉินก็สะดวกสบายขึ้นมากเมื่ออยู่กับหัวหน้าตำหนักคนใหม่

 

นอกจากนี้วัดเส้าหลินไม่ใช่สถานที่ที่ซับซ้อนต้องแก่งแย่งชิงดีอะไร ถ้าไม่มีอะไรเกิดขึ้นก็จะไม่มีใครมาสนใจซูฉิน

 

แม้บางครั้งซูฉินไปที่เขตหวงห้ามด้านหลังภูเขาสักสองสามวันเพื่อปิดด่านฝึกตน หลังจากกลับมาหัวหน้าตำหนักคนใหม่ก็ถามไถ่เขาเพียงไม่กี่คำ จากนั้นก็ไม่ได้พูดอะไรไปมากกว่านั้น

 

ซูฉินอยู่ที่วัดมาเกือบยี่สิบปี เว้นแต่จะมีเรื่องที่ต้องมอบหมายให้เป็นพิเศษ หัวหน้าตำหนักก็จะไม่จ้ำจี้จ้ำไชซูฉินมากจนเกินไป

 

“ลานโพธิ์เปิดรับศิษย์ใหม่เมื่อเร็วๆ นี้ เจ้าอยากจะไปลองดูไหม”

 

หัวหน้าลานจิปาถะคนใหม่ถามตรงๆ

 

เมื่อยี่สิบปีก่อนตอนที่ซูฉินเข้ามาในวัดเส้าหลินครั้งแรก ไม่พบพรสวรรค์ด้านวิทยายุทธในตัวเขาเลย ด้วยเหตุนี้เขาจึงถูกส่งตัวมาสังกัดลานจิปาถะ

 

แต่ครานี้ เมื่อลานโพธิ์ต้องการจะคัดเลือกศิษย์เข้าลานหน้าใหม่ หัวหน้าลานจิปาถะคนปัจจุบันก็นึกถึงซูฉิเป็นคนแรก

 

ลานโพธิ์เป็นศูนย์กลางของการปรุงกลั่นสกัดตัวยาภายในวัดเส้าหลิน ทั้งนี้ยังไม่สนใจเรื่องพรสวรรค์ด้านวิทยายุทธเท่าไรนัก

 

ถ้าซูฉินได้ไปที่ลานโพธิ์คงจะดีกว่ามากวาดพื้นเฉกเช่นตอนนี้มาก

 

รู้หรือไม่ว่าลานโพธิ์นั้นเป็นตำหนักที่ลึกลับที่สุดในบรรดาตำหนักของวัดเส้าหลิน ไม่ค่อยจะรับศิษย์ใหม่ๆ จากภายนอกเท่าไหร่

 

ยากนักที่จะเจอโอกาสเช่นนี้

 

“ท่านหัวหน้าตำหนัก”

 

“ข้าก็อายุมากขนาดนี้แล้ว คงไม่อยากจะย้ายไปไหนอีกแล้ว”

 

ซูฉินสงบนิ่งและเอ่ยกล่าวออกไป

 

ซูฉินไม่มีความสนใจในลานโพธิ์เลย

 

หลังจากที่ลงชื่อรับของมายี่สิบปี ไม่รู้ว่าตอนนี้ซูฉินเก็บโอสถกี่เม็ดไว้ในคลัง ในสายตาของซูฉิน ลานโพธิ์ไม่ได้น่าดึงดูดใจเลย

 

ถ้าเขาต้องการโอสถ ก็แค่ต้องลงชื่อเข้าใช้ไม่ใช่หรือ ? ทำไมต้องมัวมาปรุงแต่งโอสถเองด้วยเล่า ?

 

แน่นอนว่าที่ซูฉินไม่กลั่นโอสถนั้น ไม่ใช่เพราะเขาไม่รู้วิธีปรุงแต่งโอสถ

 

ในช่วงกว่าสองทศวรรษ ซูฉินลงชื่อแล้วได้รับคัมภีร์มาหลายร้อยเล่มที่เกี่ยวข้องกับการปรุงแต่งโอสถจากศาลาพระคัมภีร์

 

“เข้าใจแล้ว”

 

หัวหน้าคนใหม่ของลานจิปาถะพยักหน้าเล็กน้อยและไม่พูดอะไรอีก

 

ไม่กี่วันต่อมา

 

ที่เขตหวงห้ามภูเขาด้านหลัง

 

ซูฉินกำลังนั่งขัดสมาธิ

 

“รอนานไปกว่านี้ไม่ได้แล้ว”

 

ซูฉินนิ่งสงบและตัดสินใจ

 

ต้องทำให้สำเร็จในครั้งเดียว ไม่มีโอกาสที่สองหรือโอกาสครั้งที่สาม

 

เนื่องจากซูฉินมาถึงจุดสูงสุดแล้วในตอนนี้ หากเขายังลากยาวต่อไป สถานะที่ดีที่สุดของเขาอาจจะถดถอยลงได้

 

“จะต้องบรรลุระดับ  ‘อรหันต์ ‘ ในคืนนี้ !”

 

ซูฉินโบกมือผ่านอากาศถี่รัว ขวดโอสถมากมายเกือบร้อยขวดปรากฏขึ้นตรงหน้าของเขา

 

โอสถเหล่านี้ซูฉินคัดเลือกมาอย่างถี่ถ้วนแล้วว่ามันจะช่วยให้เขาก้าวหน้าไปได้

 

ตัวอย่างเช่น โอสถทลายขอบเขต โอสถหทัยเยือกแข็ง โอสถก่อตั้งรากฐาน และอื่นๆ

 

แม้จะมีบันทึกในคัมภีร์โบราณของวัดเส้าหลินว่าการบรรลุระดับอรหันต์นั้นสามารถกระทำได้ด้วยตัวของตัวเองเท่านั้น ผลของสิ่งภายนอกแทบจะไม่สำคัญเลย

 

แต่ด้วยบุคลิกของซูฉินที่ระมัดระวังตนมากอยู่แล้ว ไม่ว่าจะมีประโยชน์หรือไม่ก็ต้องเตรียมตัวเอาไว้ก่อน

 

“ระดับอรหันต์ …”

 

ซูฉินหลับตาลงช้าๆ พลังทั้งสามคือ จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ กำลังภายใน และร่างกายได้หลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกันอย่างอ่อนโยน กลายเป็นพลังรูปแบบใหม่ ก่อตัวขึ้นมาโจมตีไปที่เขตแดนที่กั้นมนุษย์ไว้จากขอบเขตของระดับ  ‘อรหันต์ ‘

 

 

———————————–

[1] 玄xuán : สีดำ , ลึกลับ

“ในที่สุดก็มาถึงระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสมบูรณ์เสียที…”

 

ซูฉินค่อยๆ ลุกขึ้น สายตาสงบนิ่ง เอ่ยกล่าวกับตัวเองด้วยเสียงแผ่วเบา

 

ยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่ง หลังจากแปรสภาพสามชนิด คือ พลังศักดิ์สิทธิ์ ร่างกาย และกำลังภายใน ก็จะสามารถก้าวเข้าสู่ระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสมบูรณ์

 

อะไรคือขั้นสมบูรณ์?

 

หมายความว่าได้บ่มเพาะจนถึงขีดสุดของระดับชั้นที่หนึ่งแล้ว และเพื่อที่จะก้าวไปได้ไกลกว่านี้มีเพียงแต่จะต้องเข้าสู่ระดับ ‘อรหันต์‘ หรือก็คือตำนานยุทธ

 

นั่นแหละคือระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสมบูรณ์

 

แน่นอนว่าหากต้องการจะบรรลุระดับ ‘อรหันต์‘ หรือตำนานยุทธ ก็ต้องเข้าใจพลังงานฉีฟ้าดินด้วย

 

เพียงแต่ว่าพลังงานฉีนี้ไม่ได้ส่งผลต่อความแข็งแกร่งของระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสมบูรณ์ ระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสมบูรณ์ที่เข้าใจพลังงานฉีฟ้าดินกับระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสมบูรณ์ที่ยังไม่เข้าใจพลังงานฉี ความแข็งแกร่งของทั้งคู่นั้นไม่ต่างกัน

 

“การแปรสภาพสามสิ่งคือร่างกาย จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ และกำลังภายใน ทำให้ข้อบกพร่องของข้าหายไปจนหมด ในเวลานี้ข้าสามารถนับว่าเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดรองจากระดับ ‘อรหันต์‘ จริงๆ แล้ว!”

 

ดูเหมือนว่าจะมีพลังงานหมุนวนที่แสนจะลึกลับด้านในดวงตาของซูฉิน

 

ปราณชีวิตและเลือดเนื้อของเขาไปถึงจุดที่ไม่เคยไปถึงมาก่อน จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์มีเข้มข้นมากจนเกือบจะส่งผลกระทบต่อโลกความเป็นจริง กำลังภายในก็ควบแน่นจนเป็นของเหลว ทุกหยดมีน้ำหนักและความสำคัญ มันไหลเวียนไปมาระหว่างเส้นลมปราณอยู่ตลอดเวลา

 

ในเวลานี้ซูฉินสามารถทลายคอขวดเพื่อเข้าสู่ระดับ ‘อรหันต์‘ ได้ในทันที ก้าวเข้าสู่ระดับที่ผู้ฝึกยุทธทั้งหลายในยุทธภพทำได้เพียงแหงนหน้ามองไปชั่วชีวิต

 

แต่ซูฉินก็ไม่ได้ทำเช่นนั้น

 

บทเรียนจากเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินในอดีตได้สอนให้เขารู้ ด้วยการบ่มเพาะของเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินนั้นไม่มีปัญหาใดในการก้าวเข้าสู่ระดับชั้นที่หนึ่ง แต่เพราะความกระตือรือร้นที่อยากจะประสบความสำเร็จมากเกินพอดี ในที่สุดก็ธาตุไฟเข้าแทรกจนเกือบตาย

 

นอกจากนี้ความแตกต่างระหว่างซูฉินกับเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินคือ…

 

ตอนที่เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินเจอปัญหานั้นมีซูฉินคอยช่วย แต่ถ้าเป็นซูฉินเองตกที่นั่งลำบาก ก็คงจะกล่าวได้ว่าไม่มีใครในยุทธภพที่จะมาช่วยชีวิตของเขาเอาไว้

 

แม้ว่าอรหันต์ ‘ถัวอา‘ จะกลับมามีชีวิตอีกครั้ง เขาก็คงไม่สามารถช่วยเหลือซูฉินได้อยู่ดี

 

“ไม่ต้องเร่งรีบ”

 

“ค่อยเป็นค่อยไป”

 

“รอสักสองสามเดือน ปรับสภาพจิตใจให้มีสภาพดีที่สุดก่อน จากนั้นจึงค่อยเตรียมตัวสำหรับการตัดผ่าน”

 

ความคิดของซูฉินกลิ้งไปหลายตลบ

 

ในตอนนี้เขาสมบูรณ์พร้อมทั้งสามด้าน คือ ร่างกาย จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ และกำลังภายใน แต่เขาไม่สามารถรีบร้อนก้าวหน้าได้ มีเพียงแต่ต้องปรับสภาพจิตใจ ปรับความคิดเสียก่อนเท่านั้น

 

ในช่วงเวลาที่เหลือ

 

ซูฉินได้ละเว้นการบ่มเพาะอย่างสิ้นเชิง ยกเว้นไว้แต่การลงชื่อเข้าใช้ที่ต้องทำทุกวัน เขาก็ดูเหมือนกับพระกวาดลานทั่วไปที่ทำงานยามเมื่อแสงแดดส่อง พักผ่อนยามตะวันลาลับขอบฟ้า

 

ท่องพระคัมภีร์ร่วมกับศิษย์ร่วมสำนัก

 

ตั้งใจฟังคำสั่งสอนจากเจ้าอาวาสและหัวหน้าตำหนัก

 

 

ในช่วงเวลาเดียวกัน

 

ที่ส่วนลึกของทะเลทรายตะวันตก

 

ทะเลทรายตะวันตกอยู่สุดขอบทางทิศตะวันตกของแผ่นดินใหญ่ เป็นพรมแดนขั้นก่อนจะถึงมหาสมุทร

 

ถ้าเปรียบว่าเมืองท่ามหาสมุทรมีประชากรอยู่จำนวนมากแล้วล่ะก็ ทะเลทรายตะวันตกคงจะเป็นพื้นที่ต้องห้ามของเหล่าสิ่งมีชีวิตเป็นแน่

 

ทะเลทรายนั้นมีพื้นที่โดยรอบเป็นรัศมียาวกว่าล้านลี้

 

แม้แต่ผู้ฝึกยุทธ ถ้าเข้าไปในทะเลทรายตะวันตกแล้วหลงทาง จะต้องขาดน้ำและอาหารจนตาย

 

และในตอนนี้

 

คุนคงสาวกของพรรคมารก็กำลังเดินเข้ามาในส่วนลึกของทะเลทรายตะวันตก

 

แสงแดดแผดเผาแผ่ความร้อนลงมาอย่างน่าหวาดกลัว หากไม่ใช่เพราะคุนคงนั้นเป็นจอมยุทธในระดับชั้นที่สี่ สามารถใช้กำลังภายในฝืนกระบวนการการสูญเสียน้ำของร่างกาย เขาคงแห้งตายกลายเป็นศพไปแล้ว

 

“ท่านจอมมาร หากท่านไม่ปรากฏตัวขึ้น ข้าคงต้องตายลงจริงๆ เสียแล้ว…”

 

ริมฝีปากของคุนคงแห้งแตก ลมหายใจของเขาแผ่วเบามาก

 

กว่าสี่ปีแล้ว ตั้งแต่ยอดยุทธสามระดับบนทั้งหมดของพรรคมารถูกกวาดล้างโดยภิกษุนิรนามภายในชั่วข้ามคืน หลังจากนั้นคุณคงจึงได้นึกถึงประมุขพรรคมารคนก่อนที่เดินทางมาทะเลทรายตะวันตกเพื่อปิดด่านฝึกตน

 

เพื่อที่จะฟื้นฟูพรรคมารกลับมา คุนคงจึงไม่ลังเลที่จะมุ่งหน้ามาที่ทะเลทรายตะวันตก ตามหาประมุขพรรคมารคนก่อน และร้องขอให้เขาออกจากด่านฝึกตนเพื่อปกป้องสาวกนิกาย

 

แต่ช่างน่าเสียดาย

 

ตลอดเวลาสี่ปีที่ผ่านมาคุนคงเดินทางอยู่ในทะเลทรายตะวันตกเป็นเวลาสี่ปี ไม่ต้องพูดถึงประมุขพรรคมารคนก่อน แม้แต่มนุษย์สักคนหนึ่งเขาก็ยังไม่พบตัว

 

“หรือว่าพรรคมารของพวกเราจะถูกลิขิตให้เสื่อมถอยลง และตัวข้าเองก็ต้องมาทิ้งชีวิตไว้ที่นี่ด้วยเช่นกัน?”

 

คุนคงกระแทกเข่าลงบนพื้นเสียงดัง แววตาของเขาเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง

 

หลังจากอยู่ในสถานที่บัดซบเยี่ยงนี้มาตลอดสี่ปี คุนคงไม่เพียงแต่โดนทรมานทางร่างกายเท่านั้น จิตใจเขาก็ถูกทำลายลงไปด้วย

 

หากไม่ใช่เพราะความปรารถนาอันแรงกล้าในใจ คุนคงก็คงจะยอมแพ้พ่ายไปเสียนานแล้ว

 

ทันใดนั้น

 

วินาทีนั้น

 

มีเสียงดังกึกก้อง

 

เป็นเสียงคำรามอย่างใหญ่โต

 

คุนคงมองขึ้นไปอย่างไม่ได้ตั้งใจ เห็นเป็นพายุทรายที่ราวกับจะเชื่อมผืนดินและผืนฟ้าเข้าด้วยกัน

 

ในทะเลทรายตะวันตกสิ่งที่น่ากลัวที่สุดไม่ใช่การขาดน้ำหรืออาหาร แต่เป็นภัยธรรมชาติเช่นนี้นี่แล

 

แม้แต่ยอดฝีมือในสามระดับบน เมื่อเจอเข้ากับพายุทรายขนาดนี้ก็ต้องถูกบดขยี้เป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย

 

“ดี”

 

“แม้จะตาย ข้าก็ขอมิตายอย่างอดอยากหรือหิวกระหาย”

 

คุนคงดูเหมือนจะคิดอะไรบางอย่างได้ ลุกขึ้นอย่างไม่ค่อยจะเต็มใจเท่าไหร่ ไม่เพียงแต่ไม่หลบหนี แต่ยังเดินเข้าหาพายุทราย

 

เพียงเท่านั้น

 

ขณะที่คุนคงเข้าใกล้พายุทรายมากขึ้นเรื่อยๆ หางตาก็กระหวัดไปเห็นบางสิ่งบางอย่างเข้า

 

“นั่นคือ?”

 

ใบหน้าของคุนคงเปลี่ยนไปชนิดหน้ามือเป็นหลังมือ ราวกับเห็นบางสิ่งที่น่าทึ่ง

 

เขาเห็นจุดสีดำค่อยๆ เข้าไปใกล้ใจกลางของพายุทราย

 

ไม่ว่าจุดสีดำนี้จะเคลื่อนย้ายไปทางไหน ฝุ่นพายุทรายที่รุนแรงนั้นก็จะหลีกทางให้กับมัน

 

จุดสีดำเคลื่อนเข้ามาใกล้อย่างรวดเร็ว และเห็นได้ชัดเจนว่าเป็นชายในชุดคลุมสีดำ

 

ต่อหน้าสายตาสุดตื่นตะลึงของคุนคง ชายในชุดคลุมสีดำก็เดินมาหยุดอยู่เบื้องหน้า

 

“พลังแปลงโลหิต นี่เจ้าเป็นสาวกพรรคมารของข้าใช่หรือไม่?”

 

ชายชุดดำมองไปที่คุนคงแล้วพูดด้วยน้ำเสียงเนิบช้า

 

เสียงของเขาขาดช่วงและแหบพร่าเล็กน้อย ราวกับไม่ได้ใช้พูดมาเนิ่นนาน

 

“จอมมาร”

 

“ท่านคือจอมมาร!!”

 

คุนคงปลดเปลื้องภาระอันยิ่งใหญ่ในใจ เขาคุกเข่าลงบนพื้นอีกครั้ง พร้อมกับส่งเสียงดังออกมาโดยไม่มีความลังเลใจแม้แต่น้อย เขาตะโกนว่า “ข้าคุนคง สาวกพรรคมาร ขอเข้าพบท่านจอมมาร!”

 

“จอมมาร?”

 

รอยยิ้มสดใสปรากฏขึ้นบนใบหน้าของชายในชุดคลุมสีดำ “นานมาแล้วที่ไม่มีใครเรียกข้าเช่นนั้น”

 

“ว่ามาสิ”

 

“มีธุระอะไรกับข้างั้นรึ?”

 

ชายชุดดำมองไปที่คุนคง กล่าวคำอย่างเชื่องช้า

 

เขาใช้เวลาห้าสิบปีในทะเลทรายตะวันตกแห่งนี้ กักตัวอยู่ในสภาพแวดล้อมอันเลวร้ายทั้งยามกลางวันและยามกลางคืน เวลาผ่านไปนานจนแทบจะลืมไปเสียแล้วด้วยซ้ำว่ามีพรรคมารอยู่ที่ด้านนอก

 

“ท่านจอมมาร พรรคมารของพวกเราถูกทำลายลงแล้วขอรับ”

 

คุนคงเงยหน้าขึ้น สีหน้าของเขาเคร่งขรึม

 

“ทำลาย?”

 

ชายในชุดดำหรี่ตา

 

แม้ว่าชายในชุดคลุมสีดำจะไม่สนใจพรรคมารนัก แต่เขาก็เป็นประมุขพรรคมารอยู่ดี

 

สำหรับชายชุดดำ พรรคมารเปรียบเสมือนทรัพย์สินส่วนตัวของเขา จะดูถูกกันก็ไม่มีปัญหาอะไร แต่หากมีใครมาทำลายมันทิ้งแบบนี้ก็เหมือนเป็นการยั่วยุชายชุดดำ

 

“ท่านจอมมาร เมื่อสี่ปีก่อนมีสงฆ์ศักดิ์สิทธิ์จากวัดเส้าหลินได้มาเยือนพรรคมาร และด้วยตัวของมันเพียงคนเดียวก็ได้กำจัดผู้อาวุโสและเหล่ายอดฝีมือของพรรคไป ในเวลานั้นทุกคนล้วนอยู่ในสามระดับบน…”

 

คุนคงไม่กล้าใส่สีตีไข่ พูดทุกอย่างตามความเป็นจริง

 

“ความแข็งแกร่งของประมุขพรรคมารในยุคนี้คือระดับไหน?” ชายชุดดำถามเบาๆ

 

คุนคงลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะกล่าวออก “ประมุขพรรคน่าจะเข้าสู่ระดับชั้นที่หนึ่งเป็นที่เรียบร้อยแล้วในเวลานั้น”

 

“น่าสนใจ”

 

“ช่างน่าสนใจจริงๆ”

 

เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านั้น ชายชุดดำก็พูดขึ้นมาอย่างใจเย็น “วิชาของพรรคมารนั้นเป็นเลิศ แม้จะเพิ่งเป็นยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่ง ต่อให้ต้องสละชีวิตตนเองอย่างน้อยก็ยังสามารถแสดงพลังที่ทัดเทียมกับระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสูงสุดได้”

 

“ด้วยการสังหารประมุขพรรคมารระดับชั้นที่หนึ่งได้อย่างง่ายดายและกวาดล้างผู้อาวุโสคนอื่นๆ ในคราวเดียว สงฆ์ศักดิ์สิทธิ์นิรนามผู้นี้จะต้องเป็นยอดปรมาจารย์ที่แปรสภาพพลังมาแล้วอย่างแน่นอน”

 

ชายชุดดำไม่เพียงไม่แสดงความหวาดกลัวออกมาทางสีหน้า กลับมีใบหน้าที่มีแต่ความสุขเข้ามาแทน

 

“ข้าเข้ามาในทะเลทรายตะวันตก ใช้สภาพแวดล้อมที่เต็มไปด้วยความรุนแรงเพื่อขัดเกลาตัวข้าเองทั้งกลางวันและกลางคืน ไม่เคยย่อท้อแม้สักครั้ง”

 

เสียงของชายชุดดำดังขึ้น ดังขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุดก็เป็นเสียงคำรามก้องกระจายไปทั่วทุกหนแห่ง

 

“ในช่วงห้าสิบปีมานี้ข้าสำเร็จทั้งการแปรสภาพร่างกาย แปรสภาพกำลังภายใน เหลือเพียงแค่พลังศักดิ์สิทธิ์ของข้าเท่านั้น หากมันได้รับการแปรสภาพข้าก็จะได้เข้าสู่ขั้นสมบูรณ์เสียที”

 

ราวกับดวงตาของชายชุดดำมีกระแสไฟฟ้าวาบผ่าน “อย่างไรก็ตามการแปรสภาพพลังศักดิ์สิทธิ์นั้นยากเย็นนัก สำหรับข้า มีเพียงการต่อสู้กันจนตายไปข้างหนึ่งกับผู้ที่แข็งแกร่งระดับเดียวกันเท่านั้นจึงจะมีหวังได้เห็นความสำเร็จ”

 

เมื่อพูดถึงเรื่องนั้น ไอพลังของชายชุดคลุมสีดำก็เพิ่มขึ้นอย่างท่วมท้น

 

“ข้าอยากจะรู้นักว่าสงฆ์ศักดิ์สิทธิ์นิรนามของวัดเส้าหลินจะสามารถสร้างความกดดันถึงชีวิตให้กับข้าได้หรือไม่”

 

ชายชุดดำมีกลิ่นอายที่น่าหวาดกลัว ราวกับทวยเทพที่มีพลังในการบงการทุกสิ่งอย่าง

Sign in Buddha’s palm 53 การแปรสภาพกำลังภายใน, ระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสมบูรณ์!

 

 

เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินเหลือบมองไปยังแต่ละคนที่ยืนอยู่ เขารู้ถึงความสงสัยในใจของเหล่าหัวหน้าตำหนัก

 

“ก่อนที่จะก้าวเข้าสู่ระดับชั้นที่หนึ่ง ข้าก็คิดคล้ายๆ กับที่พวกเจ้าคิดนั่นแหละ ทว่าตอนนี้…” เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินเว้นไปครู่หนึ่งแล้วจึงกล่าวต่อ

 

“จนถึงตอนนี้ข้าก็ยังไม่รู้เลยว่าบรรพบุรุษสงฆ์ศักดิ์สิทธิ์ที่หลบซ่อนอยู่ภายในวัดนั้นแข็งแกร่งเพียงใด เมื่อเอาตัวเองไปเทียบกับท่านแล้วข้าไม่อาจจะนับเป็นกบที่อยู่ก้นบ่อได้เสียด้วยซ้ำ…”

 

ใบหน้าที่ขมขื่นของเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินผสมผสานไปด้วยความหวาดกลัวแฝงเร้นอยู่

 

ไม่ต้องคิดถึงการลงมือครั้งอื่นๆ ของบรรพบุรุษสงฆ์ศักดิ์สิทธิ์ เพียงแค่ช่วงปีก่อนหน้า ในจุดความเป็นตายของเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวิน ก็ได้อีกฝ่ายออกมือช่วยเหลือเอาไว้ วิธีการที่อีกฝ่ายใช้ในการช่วยเหลือเขานั้นเจ้าอาวาสจะต้องจดจำไปชั่วชีวิต

 

ถ้าจะให้เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินกล่าวตรงๆ คงจะบอกได้ว่าเขานั้นเป็นยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งเช่นเดียวกัน แต่หากเขาต้องช่วยผู้ฝึกยุทธที่มีอาการธาตุไฟเข้าแทรกในรูปแบบเดียวกัน ทางเดียวที่ทำได้คือต้องแลกฐานพลังชีวิตของตนเองเพื่อช่วยชีวิต

 

วิธีอื่นที่ดีกว่านี้เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินไม่สามารถกระทำได้

 

ร่างกายของมนุษย์นั้นซับซ้อนมาก และหลังจากมีอาการธาตุไฟเข้าแทรก กล้ามเนื้อและเส้นเลือดของผู้ฝึกยุทธจะตกอยู่ในความวุ่นวายสับสน ความแข็งแกร่งของกำลังภายในจะปะทุอย่างรุนแรง แม้แต่ยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งเองหากประมาทไปเพียงเล็กน้อยแทนที่จะช่วยชีวิตได้ อาจเร่งอาการธาตุไฟเข้าแทรกให้เร็วขึ้นไปอีก

 

แต่กับบรรพบุรุษสงฆ์ศักดิ์สิทธิ์ล่ะ?

 

ไม่เพียงช่วยชีวิตเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินไว้ได้ แต่ยังฟื้นฟูพลังของเขากลับมาได้อย่างสมบูรณ์ ความสามารถชนิดกลับตายคืนเป็นระดับนี้นั้นมีอยู่จริงๆ

 

เมื่อหัวหน้าตำหนักคนอื่นๆ ได้ยินคำกล่าวเหล่านี้จากปากเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวิน คลื่นลมขนาดใหญ่ก็ก่อตัวขึ้นในใจของพวกเขา

 

พวกเขาไม่คิดว่าเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินจะประเมินบรรพบุรุษสงฆ์ศักดิ์สิทธิ์สูงส่งขนาดนี้

 

โดยเฉพาะหัวหน้าฝ่ายวินัย ตอนแรกเขาคิดไปว่าเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินแค่ถ่อมตน แต่หลังจากฟังอยู่พักใหญ่ก็เหมือนว่าเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินกำลังพูดเรื่องจริง

 

“ทำหน้าเศร้าแบบนั้นไปเพื่ออะไรกัน?”

 

“มันน่าจะเป็นเรื่องดีมิใช่หรือที่วัดเส้าหลินมีผู้พิทักษ์ที่แข็งแกร่งเช่นนี้?!”

 

หัวหน้าลานโพธิ์ตะคอกอย่างเย็นชาเมื่อเห็นสีหน้าของเหล่าหัวหน้าตำหนัก

 

ทันใดนั้น

 

หัวหน้าตำหนักคนอื่นๆ ก็ตาสว่างในทันที

 

ถูกต้อง

 

แม้ว่าสิ่งที่เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินกล่าวจะเป็นความจริง ความแข็งแกร่งของบรรพบุรุษสงฆ์ศักดิ์สิทธิ์ไม่อาจคาดเดา แต่สำหรับวัดเส้าหลินแล้วนั้น มันก็เป็นเรื่องที่เยี่ยมยอดมิใช่หรอกหรือ?”

 

เมื่อนึกได้ดังนั้นใบหน้าของเหล่าหัวหน้าตำหนักก็สว่างไสวไปด้วยความตื่นเต้นอีกครั้งหนึ่ง

 

และสิ่งที่หัวหน้าตำหนักทุกคนรวมถึงเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินไม่อาจรู้ก็คือ บทสนทนาทั้งหมดที่เกิดขึ้นล่วงรู้มาถึงหูของซูฉินที่กำลังกวาดลานอยู่ไม่ไกล

 

“บรรพบุรุษสงฆ์ศักดิ์สิทธิ์?”

 

ซูฉินจะหัวเราะก็ไม่ได้ร้องไห้ก็ไม่ออก

 

ถึงแม้เขาจะได้ยินศิษย์วัดเส้าหลินหลายคนพูดถึง ‘บรรพบุรุษสงฆ์ศักดิ์สิทธิ์‘ อยู่บ่อยๆ แต่ขณะนี้แม้แต่เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินยังให้ความเคารพเขาประดุจ ‘ผู้อาวุโส‘ มันทำให้ซูฉินรู้สึกขบขันไม่น้อยทีเดียว

 

เวลาต่อมา

 

หลังจากสนทนากันต่ออีกนิดหน่อย เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินและเหล่าหัวหน้าตำหนักก็พากันแยกย้ายกลับไปที่ตำหนักของตนเพื่อทำธุระส่วนตัว

 

เรื่องที่เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินกลายเป็นสงฆ์ศักดิ์สิทธิ์ระดับชั้นที่หนึ่งเป็นเรื่องน่ายินดี แต่ธุระอื่นๆ ก็ไม่สามารถละเลยได้

 

ทันทีที่กลับมาถึงลานจิปาถะ ซูฉินก็เห็นศิษย์วัดบางคนรวมกลุ่มกันอีกครั้งพร้อมกับกระซิบกระซาบบางสิ่ง

 

“เจ้าได้ข่าวมาหรือไม่? เรื่องฐานที่มั่นพรรคมารในยงโจวน่ะ ว่ากันว่ามันถูกกวาดล้างโดยพระนิรนามรูปหนึ่ง”

 

“ผู้อาวุโสในสามระดับบนของพรรคมารและแม้แต่ประมุขพรรคตายเรียบ”

 

“พรรคมารที่ยิ่งใหญ่ล่มสลายลงในชั่วข้ามคืน สาวกจำนวนนับไม่ถ้วนของพรรคมารต่างกระเสือกกระสนหนีตายเอาชีวิตรอด”

 

สามเณรวัยรุ่นพูดอย่างฉับไว น้ำเสียงตื่นเต้นตกใจ

 

ซูฉินผงะไปครู่หนึ่งเมื่อได้ยินการสนทนาเหล่านั้น

 

เขายังจำได้อย่างชัดเจนว่านั่นเป็นฝีมือเขาเอง แต่ก็ผ่านมาตั้งหนึ่งปีแล้วไม่ใช่หรือ?

 

ทำไมยังมีคนพูดถึงเรื่องนี้ในตอนนี้อีก?

 

ไม่นานซูฉินก็คิดได้

 

เขาจะเทียบโลกนี้กับโลกเก่าไม่ได้ โลกนี้ไม่ได้มีเทคโนโลยีด้านการสื่อสาร ความเร็วในการกระจายข่าวจึงลดลงอย่างมากเป็นธรรมดา

 

โดยเฉพาะยงโจวที่อยู่ห่างไกลวัดเส้าหลินหลายพันลี้เช่นนี้

 

บางทีเหล่าหัวหน้าตำหนักและเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินอาจจะมี ‘ช่องทาง‘ ข่าวสารลับพิเศษ และรู้เรื่องทั้งหมดนี้อยู่นานแล้ว

 

แต่พระเณรเหล่านี้เห็นได้ชัดว่าคงจะไม่มีบางสิ่งที่สูงค่าเช่นนั้น

 

ตอนที่ซูฉินคิดเรื่องนั้น

 

เหล่าศิษย์ก็พูดคุยกันต่อ

 

“เป็นเรื่องจริงเช่นนั้นหรือ พรรคมารมียอดฝีมือตั้งมากมาย ถ้าถูกกวาดล้างได้ง่ายดายปานนี้ พรรคมารจะอยู่รอดมาได้อย่างไรตั้งหลายปี?”

 

“แน่นอนว่านี่คือเรื่องจริง แหล่งข้อมูลนี้เชื่อถือได้ ลูกพี่ลูกน้องของข้าที่อยู่ที่ยงโจวเป็นคนเล่าให้ฟังเอง!”

 

เณรน้อยที่เล่าข่าวในตอนแรก ตบอกตนเองเพื่อยืนยัน

 

“ข้าไม่รู้หรอกว่าตัวตนของทั้งพระนิรนามและบรรพบุรุษสงฆ์ศักดิ์สิทธิ์ของวัดเส้าหลินเป็นใคร…แต่การแสดงความแข็งแกร่งในการกวาดล้างพรรคมารจนสิ้นครั้งนี้ถือเป็นตำนาน!”

 

ศิษย์หลายคนมีร่องรอยความชื่นชมอยู่ในดวงตาแล้วก็กระซิบกระซาบกัน

 

“ใช่ ข้าหวังว่าวันหนึ่งตัวข้าเองจะมีความแข็งแกร่งเช่นเดียวกับสงฆ์ศักดิ์สิทธิ์นิรนามรูปนั้น มิรู้จะเป็นไปได้หรือไม่?”

 

สามเณรตั้งหน้าต้องตารอคอยวันนั้น

 

“อย่าได้ฝันเฟื่อง ต่อให้เจ้าฝึกไปอีกพันปีก็เป็นไปไม่ได้ที่จะไปถึงระดับเดียวกันกับสงฆ์ศักดิ์สิทธิ์นิรนามหรอก”

 

ศิษย์ที่ยืนอยู่ข้างๆ กลอกตาแล้วกล่าวคำ

 

“ใช่ ถ้าเจ้ามีเวลาว่างขนาดฝันเฟื่องละก็ เอาเวลามาตั้งใจทำหน้าที่ของตัวเองอย่างขันแข็งดีกว่า บางทีเจ้าอาจจะร้องขอหัวหน้าลานให้ย้ายเจ้าไปอยู่ตำหนักยุทธสงฆ์หรือไม่ก็ลานอรหันต์ได้ก็ได้…”

 

“ได้ พวกเจ้ากล้าหัวเราะเยาะข้า!!!”

 

เณรหนุ่มเกิดน้อยใจขึ้นมาในทันที

 

ในตอนนั้นเอง

 

เมื่อเห็นว่าซูฉินกำลังเดินมา เหล่าศิษย์จึงไม่กล้าจับกลุ่มพูดคุยอีกต่อไป กระจัดกระจายกันไปทีละคน

 

สำหรับศิษย์เหล่านี้ ‘คุณวุฒิ‘ ของซูฉินนั้นสูงมาก เขาถึงขนาดสามารถพูดคุยกับหัวหน้าตำหนักได้ประกอบกับอายุที่ห่างกันด้วย โดยปกติซูฉินก็มักจะไม่ค่อยพูดอะไรเท่าไหร่ เป็นเหตุให้พวกเขารู้สึกกลัวเมื่อเห็นซูฉิน

 

ซูฉินไม่ได้สนใจเรื่องพวกนี้

 

สำหรับซูฉินที่มักจะได้ยิน ‘เรื่องซุบซิบนินทา‘ จากเหล่าศิษย์อยู่แล้ว และเขาก็ไม่ได้เก็บเรื่องพวกนั้นมาใส่ใจเท่าใดนัก

 

เวลาค่อยๆ ผ่านไป

 

อีกสามปีก็ผ่านเลย

 

ในช่วงสามปีที่ผ่านมาซูฉินชำระล้างกำลังภายในของตนเองจนรู้สึกว่าการแปรสภาพกำลังภายในใกล้จะสิ้นสุดลงแล้ว

 

“เกือบแล้ว”

 

“น่าจะเป็นวันนี้แหละ”

 

ความคิดของซูฉินแปรผัน พอตกดึกเขาก็พุ่งตรงไปยังพื้นที่หวงห้ามภูเขาด้านหลังเพื่อเตรียมการแปรสภาพกำลังภายในที่นั่น

 

ภูเขาด้านหลังเป็นพื้นที่หวงห้ามของวัดเส้าหลิน ยังคงมีตราประทับที่ถูกทิ้งเอาไว้ตั้งแต่เก้าร้อยปีก่อนจึงกล่าวได้ว่านี่คือสถานที่ที่แสนจะปลอดภัยและหลบซ่อนจากสายตาผู้คนได้อย่างแน่นอน

 

ฟู่!

 

ฮ่า!

 

ซูฉินนั่งไขว้ขาขัดสมาธิ กำลังภายในปะทุอยู่ภายในร่างกาย

 

ฮึบ!!

 

กลุ่มก้อนเปลวไฟที่ไร้รูปร่างกำลังเผาไหม้อย่างช้าๆ ชำระกำลังภายในให้บริสุทธิ์ขึ้นอย่างต่อเนื่อง

 

กาลเวลาไม่รู้ว่าผ่านเลยไปนานแค่ไหน

 

ในช่วงเวลาหนึ่ง

 

กำลังภายในในร่างของซูฉินเหมือนจะบริสุทธิ์จนถึงจุดเปลี่ยนแปลงคุณภาพไปอย่างสิ้นเชิง และกำลังภายในทั้งหมดก็หดตัวลงไปในตันเถียนปรากฏเป็นของเหลวหนึ่งหยดซึ่งบีบอัดมาจากกำลังภายใน

 

เมื่อเทียบกับกำลังภายในรูปแบบของไอหมอกก่อนหน้านี้จะเห็นได้ว่ากำลังภายในที่เป็นของเหลวนั้นแข็งแกร่งมากและมีแรงดันเพิ่มขึ้นอีกเล็กน้อย

 

หยดของเหลวนี้เหมือนจะสร้างปฏิกิริยาลูกโซ่ หลังจากหยดแรกนั้นกำลังภายในก็ถูกบีบอัดเป็นหยดของเหลว หยดแล้วหยดเล่า แล้วค่อยๆ หลอมรวมเข้ากับทุกส่วนของร่างกายอย่างรวดเร็ว โคจรผ่านเส้นลมปราณอย่างต่อเนื่อง

 

หลังจากผ่านไปอีกไม่กี่ชั่วโมง

 

ซูฉินลืมตาขึ้นอย่างไม่ทุกข์ร้อน ในส่วนลึกของม่านตาเหมือนจะกลับตาลปัตรหมุนวนไปมา

 

ในเวลานี้ทั้งกำลังภายใน จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ และร่างกายล้วนสำเร็จการแปรสภาพทั้งหมดแล้ว

 

เมื่อรวมทั้งสามองค์ประกอบเข้าด้วยกัน จึงเกิดเป็นระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสมบูรณ์!

 

ฟู่ว!

 

สายลมอ่อนๆ พัดออกมาจากซูฉินที่เป็นจุดศูนย์กลาง แผ่กระจายไปทั่วบริเวณโดยรอบ

สำหรับซูฉินนั้น การลงชื่อเข้าใช้ประจำวันไม่ควรจะละเลยให้มันสูญเปล่า

 

การลงชื่อเข้าใช้ไม่มีการสะสมไว้ใช้ในอนาคต หากพลาดไปแล้วในวันนั้นก็คือพลาดโอกาสลงชื่อของวันนั้นตลอดไป

 

เมื่อมีความคิดแบบนี้ซูฉินจึงเตรียมตัวไปศาลาพระคัมภีร์ในทันใด

 

“คำนวณจากเวลาแล้ว ฮุ่ยเหวินน่าจะเกือบตัดผ่านระดับชั้นที่สองและเข้าสู่ขอบเขตของยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งแล้วใช่ไหมนะ?”

 

เมื่อคิดได้ดังนั้นซูฉินก็เบิกเนตรดวงตาแห่งสัจจะแล้วมองไปทางตึกลานโพธิ์

 

เป็นดังการคาดการณ์

 

ในส่วนลึกของลานโพธิ์ วิถีแห่งเต๋าอันเลือนรางคอยประคองพลังฉีในระดับชั้นที่หนึ่งให้คงที่ขึ้นมาอย่างช้าๆ

 

หนึ่งปีที่ก่อน เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินกระตือรือร้นที่จะก้าวหน้าจนนำไปสู่อาการธาตุไฟเข้าแทรก หากซูฉินไม่เข้าช่วยเหลือ เกรงว่าวัดเส้าหลินจะต้องเปลี่ยนเจ้าอาวาสใหม่เสียแล้ว

 

หลังจากบทเรียนคราวที่แล้ว เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินก็เรียนรู้ที่จะระงับความกระตือรือร้น อยากประสบความสำเร็จจนเกินพอดี แล้วเริ่มบ่มเพาะไปทีละขั้นตอน

 

ด้วยวิธีการบ่มเพาะอย่างค่อยเป็นค่อยไปของเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวิน ก็มีเพียงแค่เรื่องของเวลาเท่านั้นก่อนที่จะก้าวไปสู่ยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่ง

 

ตามการคาดการณ์ของซูฉินคืออย่างน้อยหนึ่งปีหลังจากนี้ ฮุ่ยเหวินจะควบคุมพลังของยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งได้อย่างสมบูรณ์และเมื่อนั้นเขาก็จะออกมาจากด่านฝึกตน

 

“วัดเส้าหลินในที่สุดก็มีระดับชั้นที่หนึ่งให้สมตามฐานะเสียที”

 

ซูฉินค่อนข้างพอใจ

 

แม้ว่ามันจะยังห่างไกลจากการกล่าวได้เต็มปากว่ามียอดปรมาจารย์อยู่ แต่ก็มีเค้าลางว่ากำลังจะมียอดฝีมือระดับนั้นกำเนิดขึ้นในวัดเส้าหลิน หากวัดเส้าหลินต้องเผชิญกับวิกฤตในอนาคต ซูฉินก็ไม่จำเป็นต้องลงมือเองทุกครั้งไป

 

ยิ่งวัดเส้าหลินแข็งแกร่งมากเท่าใด ซูฉินก็ยิ่งสามารถลงชื่ออย่างสบายใจได้มากเท่านั้น ไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ประเภทที่วัดเส้าหลินถูกกวาดหายไปยามเมื่อตื่นนอนขึ้นมา

 

“น่าเสียดาย ด้วยพรสวรรค์ของฮุ่ยเหวิน การก้าวข้ามมาระดับชั้นที่หนึ่งคือขีดจำกัดแล้ว หากต้องการจะก้าวหน้าไปอีกขั้นโดยการแปรสภาพร่างกาย พลังศักดิ์สิทธิ์ และกำลังภายในสักอย่างหนึ่งเพื่อกลายเป็นจุดสูงสุดของระดับชั้นที่หนึ่งก็ยากราวกับปีนป่ายสวรรค์”

 

ซูฉินส่ายหัวเล็กน้อย

 

แม้ว่ายอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งจะรู้วิธีการเข้าสู่ระดับถัดไป แต่การรู้ก็เรื่องหนึ่ง การสามารถกระทำได้ตามที่รู้ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง

 

ยกตัวอย่างเช่น จิ่วชื่อซานเหริน ยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งที่เสียชีวิตในโถงวิหารพระสหัสพุทธ เขาเข้าสู่ขอบเขตระดับชั้นที่หนึ่งเมื่ออายุได้เจ็ดสิบเก้าแต่หลังจากผ่านไปกว่าร้อยปี เขาก็ยังติดอยู่ที่ระดับชั้นที่หนึ่ง นี่แสดงให้เห็นถึงความยากในการเข้าสู่จุดสูงสุดของระดับชั้น

 

แน่นอนว่า

 

เมื่อเทียบกับการแปรสภาพร่างกาย พลังศักดิ์สิทธิ์ และกำลังภายใน ขั้นต่อไปที่ว่าด้วยการทำความเข้าใจพลังฉีฟ้าดินนั้นยิ่งเป็นเรื่องน่าพิศวงงงงวยมากขึ้นไปอีก

 

“ในการเดินทางครั้งนี้ มิเพียงข้าจะได้รับกลมารฟ้า คัมภีร์วิชาลับสุดยอดของพรรคมารเท่านั้น ยังเข้าใจถึงพลังงานฉีด้วยการเผชิญหน้ากับพลังทำลายล้างของฟ้าดินอีกด้วย…”

 

รอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าของซูฉิน

 

การเข้าใจบางส่วนของพลังงานฉีในครั้งนี้ช่วยซูฉินย่นระยะเวลาไปได้อย่างน้อยก็สิบถึงยี่สิบปี

 

ขณะกำลังคิดถึงเรื่องนี้ซูฉินก็มาถึงหน้าศาลาพระคัมภีร์เรียบร้อยแล้ว

 

“ระบบ ลงชื่อเข้าใช้”

 

ซูฉินเหลือบมองไปรอบๆ พึมพำเงียบๆ อยู่กับตนเอง

 

[ขอแสดงความยินดี โฮสต์ลงชื่อเข้าใช้สำเร็จ ได้รับ ‘เคล็ดวิชากระบี่แห่งธรรม‘ ]

 

“เคล็ดวิชากระบี่?”

 

ซูฉินขมวดคิ้ว

 

ในช่วงสิบห้าปีที่ผ่านมา เขาลงชื่อเข้าใช้ได้วิชาลับมามากมายจากศาลาพระคัมภีร์ แต่เขาได้รับเคล็ดวิชากระบี่ไม่มากนัก ไม่ถึงร้อยเคล็ดวิชา

 

อย่างไรก็ตามอาวุธของวัดเส้าหลินโดยทั่วไปมักจะเป็นกระบองหรือสิ่งที่คล้ายๆ กระบอง ไม่ก็มือเปล่า ไม่ค่อยมีการใช้อาวุธมีคมเท่าใดนัก

 

“โพธิธรรม?”

 

หัวใจของซูฉินสั่นไหว

 

ปรมาจารย์โพธิธรรมเป็นบรรพบุรุษคนหนึ่งของวัดเส้าหลินเมื่อหลายพันปีก่อน ท่านเป็นผู้เชี่ยวชาญศาสตร์แขนงความรู้มากมายชนิดหาตัวจับยาก

 

“ปรมาจารย์โพธิธรรม…”

 

การแสดงออกของซูฉินเต็มไปด้วยอารมณ์

 

ถึงแม้จะเป็นในวัดเส้าหลินเอง ตัวตนของปรมาจารย์โพธิธรรมนั้นลึกลับเป็นอย่างยิ่ง เพราะไม่มีผู้ใดทราบเลยว่าความแข็งแกร่งของท่านนั้นมากเพียงใด?

 

ยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่ง?

 

จุดสูงสุดของระดับชั้นที่หนึ่ง?

 

หรือคือจุดสูงสุดของระดับชั้นที่หนึ่งอย่างสมบูรณ์แบบ แปรสภาพพลังครบสามครั้ง?

 

หากคิดไปมากกว่านั้น หรือนี่คือการดำรงอยู่ของระดับ ‘อรหันต์‘?

 

หวึ่ง!

 

ทันใดนั้น

 

ข้อมูลอันลึกซึ้งจำนวนมากเกี่ยวกับ ‘เคล็ดวิชากระบี่แห่งธรรม‘ ก็หลั่งไหลเข้ามาในจิตของซูฉิน

 

ชั่วพริบตาความละเอียดอ่อนใน‘เคล็ดวิชากระบี่แห่งธรรม‘ ก็ตีกันในหัวของซูฉิน และสุดท้ายบังเกิดเป็นแสงกระบี่จางๆ ที่พร้อมจะทำลายทุกสิ่ง

 

จากนั้นไม่นานซูฉินก็ค่อยๆ ลืมตาขึ้น

 

“ท่านปรมาจารย์โพธิธรรมท่านนี้ เกรงว่าท่านจะบรรลุถึงระดับ ‘อรหันต์‘ เสียแล้ว”

 

ซูฉินประหลาดใจ

 

ระดับพลังและความลึกซึ้งของเคล็ดวิชากระบี่แห่งธรรมนี้ แม้แต่ในสายตาของซูฉินยังมองว่ามันยอดเยี่ยมมาก

 

ซูฉินพิจารณาได้แล้วว่าความสูงส่งของปรมาจารย์โพธิธรรมน่าจะสูงล้ำกว่าวิทยายุทธทั้งเก้าระดับชั้นไปแล้ว

 

เวลาผ่านไปอย่างเอื่อยเฉื่อย

 

เพียงพริบตาหนึ่งปีก็ผ่านไป

 

ในตลอดปีนี้ชีวิตของซูฉินก็ไม่ได้มีอะไรหวือหวามากนัก

 

วันๆ นอกจากลงชื่อเข้าใช้เขาก็ใช้เวลาทั้งหมดไปกับการกลั่นกำลังภายในให้บริสุทธิ์

 

“ด้วยความเร็วระดับนี้ อีกไม่กี่ปีข้าคงจะสำเร็จการแปรสภาพกำลังภายในได้อย่างสมบูรณ์”

 

ซูฉินคิดอยู่ในใจ

 

ในวันนี้หลังจากที่ซูฉินลงชื่อเข้าใช้เรียบร้อย เขาก็มากวาดลานตามหน้าที่

 

ทันใดนั้น

 

ไอพลังจากส่วนลึกของลานโพธิ์พวยพุ่งขึ้นสู่ฟากฟ้า

 

ไม่นานนักหลังจากไอพลังนี้ปรากฏขึ้น

 

หัวหน้าตำหนักของวัดเส้าหลินต่างก็มารวมตัวกันที่ด้านนอกลานโพธิ์

 

“นี่คือ?”

 

หัวหน้าตำหนักยุทธสงฆ์ดูแปลกใจเหมือนกับว่าเขาจะคาดเดาอะไรบางอย่างได้ แต่ก็ไม่แน่ใจนัก

 

เช่นเดียวกันกับหัวหน้าตำหนักรูปอื่นๆ การแสดงออกของพวกเขามีความรู้สึกไม่แน่ใจกันสักเท่าไหร่

 

หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วโมง

 

เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินเดินออกมาพร้อมกับหัวหน้าลานโพธิ์

 

หัวหน้าลานโพธิ์นั้นยังคงเหมือนเดิม แต่เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินกลับมีกลิ่นอายที่ลึกซึ้งกว่ามาก

 

“เจ้าอาวาส ท่าน ท่าน…”

 

หัวหน้าตำหนักยุทธสงฆ์ลังเลที่จะพูดออกไป มองไปที่เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินอย่างละเอียดถี่ถ้วน

 

หัวหน้าลานโพธิ์ที่ยืนอยู่ด้านข้างจึงอดที่จะพูดออกไปตรงๆ ไม่ได้ “เจ้าอาวาสก้าวหน้าอย่างราบรื่น และได้กลายเป็นสงฆ์ศักดิ์สิทธิ์แล้ว”

 

เมื่อคำได้ถูกกล่าวออก

 

หัวหน้าตำหนักต่างโห่ร้องด้วยความดีใจ

 

หกสิบปีแล้ว

 

เป็นเวลากว่าหกสิบปีแล้ว

 

นับตั้งแต่สงฆ์ศักดิ์สิทธิ์รูปสุดท้ายของวัดเส้าหลินได้มรณภาพไปเมื่อหกสิบปีก่อน ก็ไม่เคยมีสงฆ์ศักดิ์สิทธิ์ระดับชั้นที่หนึ่งกำเนิดขึ้นมาในวัดเส้าหลินอีก

 

ด้วยสิ่งนี้แม้วัดเส้าหลินจะพอดำรงชื่อของสุดยอดพรรคในยุทธภพไว้ได้โดยไม่มียอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งเพราะอาศัยภูมิหลังอันลึกซึ้ง แต่ก็สามารถจินตนาการได้เลยว่าความกดดันภายในวัดก็ไม่ใช่น้อยๆ

 

ในยุทธภพนี้มีเพียงพรรคสำนักที่มียอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งเท่านั้นที่มีคุณสมบัติพอจะเรียกได้ว่าสุดยอดพรรคในยุทธภพ

 

การที่ไม่มีสงฆ์ศักดิ์สิทธิ์แม้สักรูปเดียวในวัดเส้าหลิน แล้วยังใช้ชื่อสุดยอดพรรคในยุทธภพก็ย่อมไม่ถูกต้องตามหลักนัก

 

“ยอดเยี่ยมมาก”

 

หัวหน้าลานอรหันต์หันมามองอย่างตื่นเต้น “เจ้าอาวาส ในเมื่อท่านได้ก้าวเข้าสู่ระดับชั้นที่หนึ่ง เราควรจะประกาศให้ทั่วทั้งยุทธภพได้รับทราบเรื่องราวของวัดเส้าหลินครั้งนี้หรือไม่?”

 

ว่ากันโดยทั่วไป ในยุคสมัยนี้สถานะของยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งนั้นสูงส่ง เมื่อใดที่มียอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งถือกำเนิดจึงสามารถเชิญเหล่ายอดยุทธมารับรู้สิ่งนี้ได้

 

“ไม่จำเป็นหรอก”

 

เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินส่ายหัว “ยุทธภพนั้นกว้างใหญ่นัก ยอดฝีมือล้วนมีอยู่เป็นจำนวนมาก ไม่ต้องกล่าวถึงภายนอกวัดหรอก เพียงแค่ในวัดนี้ตัวข้ายังด้อยกว่าบรรพบุรุษสงฆ์ศักดิ์สิทธิ์ที่ได้ลงมือหลายต่อหลายครั้งในช่วงที่ผ่านมา”

 

“ข้าจะกล้าประกาศกร้าวไปทั่วภพได้อย่างไร”

 

เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินถอนหายใจ กล่าวออกมาอย่างเชื่องช้าด้วยอารมณ์ความรู้สึก

 

หัวหน้าตำหนักต่างตกใจเมื่อได้ฟังคำ

 

ในมุมมองของพวกเขา บรรพบุรุษสงฆ์ศักดิ์สิทธิ์เป็นผู้ที่ทรงพลังในระดับน่าหวาดหวั่น แต่ตอนนี้เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินก็ได้กลายเป็นสงฆ์ศักดิ์สิทธิ์แล้วเช่นเดียวกัน

 

คนแรกก็เป็นสงฆ์ศักดิ์สิทธิ์ อีกคนก็เป็นสงฆ์ศักดิ์สิทธิ์

 

ทั้งคู่ต่างเป็นสงฆ์ศักดิ์สิทธิ์ ถ้าว่ากันตามหลักเหตุและผล แม้จะมีช่องว่างระหว่างทั้งสองแต่ก็ไม่ควรจะเป็นช่องว่างที่ใหญ่จนเกินไป

 

แต่ตอนนี้เมื่อได้ฟังคำกล่าวของเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวิน เหมือนว่าความแข็งแกร่งของบรรพบุรุษสงฆ์ศักดิ์สิทธิ์จะเหนือล้ำกว่าเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวิน?

“อีกไม่ไกลแล้ว”

 

ซูฉินหยุดลงแต่ยังคงกลืนเม็ดยาต่อไป

 

ไม่ว่าจะเป็นโอสถเสริมศักยภาพขนาดใหญ่หรือโอสถกักเก็บพลังศักดิ์สิทธิ์มันก็เป็นแค่ส่วนหนึ่งของโอสถที่ซูฉินเก็บรวบรวมมาได้ตลอดการลงชื่อเข้าใช้กว่าสิบห้าปี

 

จากการลงชื่อเข้าใช้กว่าหลายปีที่ผ่านมา ซูฉินก็ได้เข้าถึงจุด ‘อิสรภาพทางการใช้โอสถ‘ มานานแล้ว เขาสามารถกินพวกมันได้โดยไม่กะพริบตาเสียด้วยซ้ำไม่ว่าเขาจะกินมันไปมากแค่ไหน

 

“เพียงแค่สกัดกั้นหิมะถล่ม เผชิญหน้ากับพลังฟ้าดิน ดูเหมือนจะทำให้ข้าเข้าใจพลังงานฉีแห่งโลกหล้าเพิ่มขึ้นมาเล็กน้อยเลยไม่ใช่หรือนี่?”

 

จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของซูฉินแผ่ออกไปอย่างช้าๆ หลอมรวมเข้ากับโลกใบนี้ พยายามซึมซับความรู้สึกเช่นนี้อย่างละเอียดถี่ถ้วน

 

หากยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งต้องการก้าวไปให้ไกลขึ้น นอกเหนือจากการแปรสภาพสามอย่าง คือ ร่างกาย จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ และกำลังภายในแล้ว พวกเขายังต้องเข้าใจปราณฉีแห่งฟ้าดิน

 

เมื่อเทียบกันแล้วอย่างหลังท้าทายกว่าอย่างแรกมากนัก

 

เพราะไม่ว่าจะเป็นการแปรสภาพกายเนื้อ การแปรสภาพกำลังภายใน หรือการแปรสภาพ ‘พลังศักดิ์สิทธิ์‘ ก็ล้วนมีช่องทางให้ก้าวเดิน

 

ยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งรู้ว่าตนควรจะเดินไปทางไหน

 

หากร่างกายอ่อนแอ ก็จงขัดเกลาร่างกาย

 

หาก ‘พลังศักดิ์สิทธิ์‘ อ่อนแอ ให้ไปบ่มเพาะ ‘พลังศักดิ์สิทธิ์‘

 

หากกำลังภายในไม่บริสุทธิ์พอ ก็ให้ชำระกำลังภายในให้บริสุทธิ์เสีย

 

สำหรับยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่ง หากต้องการจะแปรสภาพพลังทั้งสามให้สำเร็จ การตั้งใจบ่มเพาะอย่างเต็มที่ที่สุดก็มีโอกาสที่จะทำสำเร็จได้

 

แต่การเข้าใจถึงพลังฉีระหว่างฟ้าเบื้องบนและผืนดินเบื้องล่างนั้นช่างมืดมน

 

เป็นเวลาหลายพันปีมาแล้วที่เหล่ายอดปรมาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่ทั้งหลายที่แปรสภาพทั้งสามครั้งได้แล้ว ต่างดิ้นรนพยายามกันจนตกตายไป

 

แล้วจะคว้าโอกาสนั้นไว้ได้อย่างไร?

 

จะเข้าใจพลังฉีแห่งฟ้าดินได้อย่างไร?

 

พลังฉีนั้นกล่าวได้ว่าเป็นสิ่งที่ลึกลับและแสนจะลึกซึ้ง

 

ไม่มีทางเดินที่แน่นอนในการจะก้าวเดินไป

 

นอกจากนี้พลังฉีที่ยอดปรมาจารย์แต่ละคนต้องทำความเข้าใจนั้นก็แตกต่างกันออกไป ไม่สามารถมาชี้แนะกันในเชิงลึกได้

 

เดิมทีซูฉินกำลังรอให้กำลังภายในแปรสภาพสำเร็จ จากนั้นจึงจะสำรวจตรวจสอบด้วยดวงตาแห่งสัจจะ เพื่อดูพลังฉีให้กระจ่าง

 

อย่างไรเสียซูฉินก็มีช่วงชีวิตที่ยาวนานเหลือเฟืออยู่แล้ว

 

แต่ไม่คาดคิดว่ายามนี้ซูฉินได้พบโอกาสเผชิญหน้ากับพลังแห่งฟ้าดินเช่นนั้น ทำให้เขาสามารถรับรู้ เข้าใจถึงพลังฉีได้อย่างเจือจาง

 

กล่าวได้ว่าในอนาคตอันใกล้นี้ ตราบเท่าที่ซูฉินสามารถแปรสภาพกำลังภายในของตนเองจนเสร็จสิ้น เขาไม่น่าจะพบกับอุปสรรคใดๆ ในการเข้าสู้ขอบเขต ‘อรหันต์‘

 

“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า”

 

“มีความสุขจริงๆ โว้ย!”

 

ซูฉินมีความสุข เลือดลมสูบฉีดจนร่างกายร้อนระอุราวกับเตาเผาขัดกับโลกเบื้องนอกที่มีหิมะค่อยๆ ตกลงมา

 

เกล็ดหิมะทั้งหมดภายในรัศมีหนึ่งร้อยเมตรโดยรอบ ลอยระเหยกลายเป็นไอไปอย่างรวดเร็ว

 

 

ภูเขาหวู่หนาน

 

เนื่องจากหิมะถล่ม ภูเขาหวู่หนานจึงแตกหักพลังทลาย แต่เนื่องด้วยภูมิประเทศที่มีความพิเศษ เขาหวู่หนานจึงไม่ได้รับผลกระทบอะไรมากนัก

 

และในขณะนี้

 

ด้านใต้หิมะขาวโพลนมีร่างหนึ่งโผล่ขึ้นมา

 

ร่างนั้นหอบหายใจถี่ มองไปยังทิศทางที่เป็นฐานที่มั่นหลักของพรรคมาร ลึกๆ ในใจเต็มไปด้วยความหวาดกลัว

 

ร่างนี้มีชื่อว่าคุนคง เป็นสาวกพรรคมาร

 

“ตายหมดแล้ว”

 

“ปรมาจารย์และผู้อาวุโสในพรรคตายหมดแล้ว”

 

เสียงของคุนคงสั่นสะท้าน ใบหน้ามืดมนราวกับเถ้าถ่าน

 

เมื่อวานนี้เขาเห็นกับตาตนเองว่าภิกษุหนุ่มสวมจีวรสีเทาเข้าไปห้องโถงซึ่งเป็นที่พำนักของเหล่าอาวุโสและประมุขพรรคมาร

 

ตอนนั้นคุนคงยังคิดอยู่เลยว่าพระหนุ่มผู้นี่มาเพื่อฆ่าตัวตายหรือไร

 

เป็นพระจากวัดเส้าหลินแต่ดันเข้ามาที่ฐานที่มั่นหลักของพรรคมารจะมีชีวิตรอดออกไปได้เยี่ยงไร?

 

อย่างไรก็ตาม

 

หลังจากที่เขาถูกทำให้สลบไป เขาฟื้นขึ้นมาแล้วเข้าไปดูในห้องโถง พบว่าเลือดไหลนองราวกับสายน้ำหลาก

 

ผู้อาวุโสของพรรคมารต่างนอนตายเป็นเบือในที่เกิดเหตุ

 

แม้แต่ประมุขพรรคที่ปิดด่านฝึกตนมาหลายวันเพื่อเข้าสู่ระดับชั้นที่หนึ่ง ก็ไม่เหลือแม้แต่กระดูก

 

เมื่อคุนคงเห็นฉากดังกล่าวหนังศีรษะเขาแทบจะระเบิดออก เขาวิ่งหนีออกจากฐานที่มั่นหลักของพรรคมารโดยไม่มีความลังเลใด เมื่อออกมาไกลมากพอเขาจึงซ่อนตัวอยู่ใต้หิมะพร้อมกับปกปิดลมหายใจของตัวเองด้วยวิชาลับ

 

คุนคงรู้สึกกลัวมาก

 

กลัวจริงๆ

 

สามารถสังหารผู้อาวุโสทั้งหมดในสามระดับบนของพรรคมาร รวมไปถึงประมุขพรรคได้อย่างง่ายดายหมดจด คุนคงนึกไม่ออกจริงๆ ว่าใครจะสามารถทำได้?

 

“ภิกษุรูปนั้นหรือ?”

 

คุนคงตัวสั่นในทันใด

 

ก่อนที่ผู้อาวุโสของพรรคจะตกตายลง มีเพียงพระหนุ่มรูปนั้นเท่านั้นที่เข้าไปในห้องโถง

 

“สงฆ์ศักดิ์สิทธิ์!”

 

“พระรูปนั้นเป็นถึงสงฆ์ศักดิ์สิทธิ์!!”

 

คุนคงกระซิบกระซาบอยู่กับตนเอง

 

คุนคงคือสาวกพรรคมาร เป็นธรรมดาที่จะมีความรู้พื้นฐาน เช่นว่า สงฆ์ศักดิ์สิทธิ์เป็นตัวตนในระดับชั้นเดียวกันกับยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่ง

 

“พรรคมารจบสิ้นแล้ว…”

 

คุนคงหนาวยะเยือกในจิตใจ

 

แม้เขาจะรอดชีวิตมาได้ แต่เมื่อข่าวการตายของผู้อาวุโสระดับสูงและประมุขพรรคมารได้แพร่กระจายออกไป ชะตากรรมของสาวกพรรคมารมีแต่จะถูกกวาดล้างโดยเหล่าพรรคฝ่ายธรรมะ

 

ฝ่ายธรรมะจะไม่ปล่อยโอกาสดีๆ อย่างนี้ไป และเข้ากำจัดพรรคมารให้หมดสิ้นเป็นแน่

 

“ข้าจะทำเช่นไรดี”

 

คุนคงก้มหน้าลงต่ำ

 

ในฐานะสาวกพรรคมาร วิชาบ่มเพาะของพรรคมารไหลเวียนอยู่ในกายของเขาและไม่สามารถซ่อนมันจากพรรคฝ่ายธรรมะได้

 

ยกเว้นคุนคงจะเลิกฝึกฝนไปทั้งชีวิต แล้วผันตัวไปใช้ชีวิตเยี่ยงชาวนาอย่างสบายใจ

 

“ไม่ได้”

 

“ยังมีความหวังสำหรับพวกเราเหล่าพรรคมารอยู่!”

 

เมื่อคุนคงสิ้นหวังจนถึงขีดสุด จู่ๆ ก็ปรากฏความคิดขึ้น

 

ครั้งหนึ่งเขาเคยได้ยินผู้อาวุโสพรรคมารในสามระดับบนเล่าว่า ประมุขพรรคคนเก่าของพรรคมารนั้นทั้งยอดเยี่ยมและทรงพลัง แต่ท่านต้องการจะตัดผ่านระดับขั้นจึงออกจากพรรคมารไปหาที่ปิดด่านฝึกตน

 

และเพราะเหตุนี้นี่เองที่ทำให้พรรคมารต้องเผชิญหน้ากับฝ่ายธรรมะมาหลายสิบปีจนสูญเสียเขตแดนที่มีถึงสามภูมิภาคในตอนแรก ถูกบีบให้ถอยร่นมาอยู่ที่ยงโจว (ภูมิภาคยง)

 

เมื่อคิดสิ่งนี้ออกมา คุนคงก็ฟื้นคืนความหวังในใจกลับมา

 

หากเขาสามารถหาประมุขพรรคมารคนก่อนได้ และท่านกลับมาปกครองพรรคมารอีกครั้งหนึ่ง พรรคมารจะไม่จบสิ้น พรรคมารกลับมารุ่งโรจน์อีกครั้ง

 

ด้วยวิธีที่ว่ามาพรรคมารจะทะยานสู่ฟากฟ้า ในเวลานั้นคงจะหาวิธีแก้แค้นพระนิรนามจากวัดเส้าหลินรูปนั้นได้ไม่ยาก!

 

“ข้าจำได้ว่าผู้อาวุโสกล่าวไว้ว่า เมื่อห้าสิบปีก่อนประมุขพรรคมารคนก่อนเดินทางไปยังทะเลทรายตะวันตกเพียงลำพัง นับจากนั้นก็ไม่มีข่าวคราวของท่านอีกเลย”

 

“อาจกล่าวได้ว่า สถานที่ที่ท่านปิดด่านฝึกตนมีโอกาสที่จะอยู่ในทะเลทรายตะวันตกมากที่สุดใช่หรือไม่?”

 

คุนคงขบคิดอยู่ภายในใจอย่างรวดเร็ว

 

ทะเลทรายตะวันตกนั้นกว้างใหญ่ มันคงเป็นเหมือนการงมเข็มในมหาสมุทรหากจะต้องตามหาใครสักคนในพื้นที่ขนาดใหญ่เช่นนี้

 

แต่คุนคงไม่มีทางเลือกอื่น

 

มีเพียงการพาประมุขพรรคคนก่อนกลับมาเท่านั้นจึงจะสามารถจัดระเบียบพรรคมารขึ้นมาใหม่ทั้งหมดได้

 

 

ในเวลาเดียวกัน

 

ซูฉินก็รีบกลับมาที่วัดเส้าหลิน

 

มีพระสงฆ์คอยเดินตรวจตรารอบนอกวัดเส้าหลิน จอมยุทธธรรมดาๆ ไม่สามารถลอบเข้ามาได้ แต่สำหรับซูฉินนั้นเรื่องนี้ไม่ใช่ปัญหาใด

 

“ในที่สุดข้าก็มาถึงเสียที…”

 

ซูฉินมาที่ลานจิปาถะอย่างเงียบๆ กลับเข้าไปในห้องของตัวเองแล้วถอนหายใจออกมา

 

แม้ว่าเขาจะเพิ่งออกจากวัดเส้าหลินไปเพียงสองวัน แต่มันช่างยาวนานในความรู้สึกราวกับผ่านไปนานหลายเดือน

 

“ดีกว่าเยอะเลย ที่ได้อยู่ในวัดเส้าหลิน…”

 

ซูฉินถอนหายใจเบาๆ เมื่อได้ยินเสียงระฆังดังเอื่อยๆ

 

“คงไม่มีใครรู้ว่าที่ผ่านมาข้าได้แอบออกไปข้างนอกมา”

 

ซูฉินตรวจสอบโดยรอบและคาดเดาในใจ

 

ในฐานะศิษย์รุ่นพี่ที่อาศัยอยู่ในวัดมากว่าสิบห้าปี ซูฉินไม่จำเป็นต้องออกไปทำความสะอาดทุกวัน

 

ก่อนที่จะแอบออกไปในครานี้ ซูฉินได้เข้าพบหัวหน้าลานจิปาถะคนใหม่แล้ว เพื่อขอหยุดพักผ่อนสักวันสองวันด้วยเหตุผลว่ารู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัว

 

หัวหน้าลานจิปาถะคนใหม่มีความสัมพันธ์ที่ดีกับซูฉิน ดังนั้นเขาจึงอนุญาตให้ซูฉินหยุดพักเป็นการส่วนตัว

 

“ในเมื่อข้ากลับมาแล้ว”

 

“ก็ไปศาลาพระคัมภีร์แล้วลงชื่อเข้าใช้เสียก่อนดีกว่า”

 

ซูฉินคิดขึ้นในใจอย่างเงียบเชียบ

 

Sign in Buddha’s palm 50 พลังฉีหลั่งไหล

 

 

หิมะถล่มกลิ้งลงมาอย่างรุนแรงกวาดล้างทุกสิ่งลงมาด้านล่างด้วยแรงที่ไม่อาจหยุดยั้ง

 

แผ่นดินสั่นสะเทือน ภูเขาก็สั่นสะเทือน ทุกอย่างพังทลายเมื่อต้องเผชิญกับความยิ่งใหญ่ของฟ้าดิน แม้ว่าจะเป็นยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งก็ต้องตกใจและหวาดกลัวมันเป็นอย่างมาก

 

“ท่านปู่เรากำลังจะตายหรือ ?”

 

เด็กน้อยกอดเฒ่าหลี่ไว้แน่น เสียงของเขาสั่นเครือ

 

แม้เขาจะอายุราวๆ สิบขวบปี แต่เขาก็รู้ดีว่า ด้วยหิมะที่ถล่มลงมานี้ผู้คนในเมืองเล็กๆ เช่นนี้คงจะไม่สามารถอยู่รอดได้

 

เพียงเท่านั้นเพราะไม่ว่าเด็กน้อยจะร้องเรียกเท่าไหร่ เฒ่าหลี่ที่เขาสวมกอดอยู่ก็ไม่ตอบสนองใดๆ กลับมา

 

“ท่านปู่ มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นอย่างนั้นหรือ ?”

 

เด็กน้อยขุดเอาความกล้าออกมา เงยหน้าขึ้นมองหน้าของเฒ่าหลี่

 

เขาเห็นดวงตาของเฒ่าหลี่เบิกกว้าง ใบหน้าตกใจสุดขีด

 

เด็กน้อยรู้สึกงงงวย และมองข้ามหัวของเฒ่าหลี่ไปโดยไม่ได้ตั้งใจ

 

อย่างไรก็ตามฉากที่เด็กน้อยได้เห็นจะเป็นฉากที่เขาไม่มีวันลืม

 

ท่ามกลางหิมะที่ถล่มลงมาอย่างไร้ที่สิ้นสุด ฝ่ามือองค์ยูไลสีทองเข้มค่อยๆ ต้านหิมะถล่มที่น่าหวาดกลัวนั่นไว้ พื้นที่โดยรอบเมืองอาบด้วยแสงอันบริสุทธิ์

 

หากมองจากระยะไกลจะเห็นเป็นองค์ยูไลทองคำองค์ใหญ่สูงจรดฟ้าจากพื้นดิน โดยฝ่ามือขององค์ยูไลทอดยาวออกไปปกป้องเมืองไว้ทั้งเมือง

 

แสงจากองค์พระแผ่ซ่าน

 

ดอกบัวสีทองเบ่งบาน

 

เด็กชายตัวเล็กสามารถได้ยินเสียงแห่งธรรมเบาๆ ลอยมาตามสายลม เหมือนองค์ยูไลกำลังสวดมนต์พิธีด้วยเสียงต่ำ

 

หวึ่ง !

 

เวลาต่อมา

 

หิมะโถมถล่มลงมาเรื่อยๆ

 

อย่างไรก็ตาม ใต้การคุ้มครองของฝ่ามือยูไลสีทองเข้มที่ครอบคลุมไปทั่วทั้งพื้นที่ ตัวเมืองยังคงสภาพสมบูรณ์ท่ามกลางแรงถล่มจากหิมะ ราวกับที่นี่เป็นแดนอันศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ภายในฝ่ามือ

 

นี่คือ องค์ยูไลที่แท้จริงเช่นนั้นหรือ …”

 

มือของเฒ่าหลี่สั่นสะท้าน น้ำตาของชายชรากำลังไหลรินออกมา คนที่อายุมากอย่างเขานั้นขาข้างหนึ่งก็ก้าวเข้าโลงไปแล้ว ชื่อเสียง ความมั่งคั่ง อารมณ์ทั้งเจ็ด และความปรารถนาทั้งหกล้วนผ่านเข้ามาในชีวิตเขาหมดสิ้นแล้ว แต่ในช่วงเวลานี้หัวใจของเฒ่าหลี่เต้นแรงขึ้น ความเกรงกลัวท่วมท้นราวกับเผชิญหน้าอยู่กับเทพเซียนและองค์ยูไล

 

ผึ่บ

 

ผึ่บ

 

ผึ่บผึ่บ

 

เมื่อชาวบ้านคนอื่นๆ เห็นฉากนี้ พวกเขาคุกเข่าลงกับพื้นพร้อมๆ กัน หันตัวไปทางซูฉิน สีหน้าดูเคร่งเครียดอย่างยิ่ง

 

พวกเขาหาใช่คนโง่ไม่ หากไม่ใช่เพราะการลงมือของซูฉิน เมืองทั้งเมืองคงถูกกลบฝังอยู่ใต้หิมะไปแล้ว

 

กล่าวได้ว่าซูฉินคือผู้ช่วยชีวิตทุกคนในเมืองเล็กๆ แห่งนี้

 

เช่นนี้แล้วใครจะไม่คุกเข่า ? ใครจะกล้าไม่คุกเข่า ?

 

ปึง !

 

หิมะถล่มลงมาอย่างไม่รู้จักจบจักสิ้น แต่ก็ถูกสกัดกั้นไว้ได้อย่างสมบูรณ์ เมื่อเวลาผ่านไปแรงกดดันก็เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ด้วยการคุ้มครองของฝ่ามือยูไลก็ดูเหมือนจะไม่ส่งผลกระทบใดๆ ต่อเมืองเลย

 

ตรงกึ่งกลางของฝ่ามือยูไล ซูฉินนั่งขัดสมาธิหลอมรวมทั้งจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ พลังกายและกำลังภายใน หมุนเวียนเปลี่ยนผันเพื่อมาต่อต้านหิมะที่ถล่มลงมาจากด้านบน

 

หลังจากครึ่งชั่วโมงผ่านไป

 

หิมะที่ถล่มลงมาก็เริ่มชะลอตัวลง

 

หิมะที่ตกหนักบริเวณเขาหวู่หนานในเวลาสองสามวันมานี้เป็นธรรมดาที่จะไหลลงมาจนหมดแล้ว

 

“ใกล้จะจบแล้ว”

 

ซูฉินค่อยๆ ลืมตาขึ้น ด้วยการสังเกตจากดวงตาแห่งสัจจะ เขาสามารถควบคุมสถานการณ์ทั้งหมดได้

 

“พลังฟ้าดินนี่ช่างน่ากลัวจริงๆ”

 

“ด้วยความแข็งแกร่งของข้าในยามนี้มันยังไม่ค่อยจะเพียงพอเท่าไรนัก”

 

ซูฉินส่ายหัวน้อยๆ

 

แม้โดยพื้นฐานเมืองนี้จะรอดปลอดภัยแล้ว แต่ซูฉินรู้อยู่เต็มอกว่าหิมะถล่มที่เขาเผชิญนี้มันก็เป็นเพียงแค่หนึ่งจากในร้อยในพันส่วน หรืออาจจะถึงหนึ่งในล้านส่วนจากพลังถล่มทลายที่แท้จริงของหิมะถล่ม

 

หิมะถล่มลงจากภูเขาหวู่หนานกระจายออกไปทั่วทุกทิศทางเป็นระยะหลายร้อยลี้โดยรอบ

 

เมืองที่ซูฉินอยู่ตอนนี้เป็นเพียงจุดเล็กๆ ในอาณาบริเวณหลายร้อยลี้

 

แต่ถึงจะเป็นแบบนั้นในตอนนี้ซูฉินก็ใช้ทั้งกำลังภายในและจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ออกไปจำนวนมหาศาล กล่าวได้ว่าหากเขาพบเข้ากับกลุ่มยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งสักกลุ่มหนึ่งเขาจะต้องหันหลังกลับแล้ววิ่งหนีไปอย่างแน่นอน

 

“ใกล้จะหมดแล้ว”

 

“ถึงเวลาที่จะเดินทางจากไป”

 

ซูฉินเหลือบตามองฝูงชนที่คุกเข่าอยู่กับพื้นและโค้งคำนับมาทางเขาอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงจากไปเงียบๆ

 

หลังจากนั้นไม่นาน

 

แสงแดดก็ส่องลงมาจากฟากฟ้า

 

ผู้คนที่กำลังคุกเข่าอยู่กับพื้นอดไม่ได้ที่จะเงยหน้าขึ้นมอง

 

“จบ …จบลงแล้วงั้นหรือ ?”

 

ผู้คนในเมืองเล็กๆ แห่งนี้ รู้สึกเหมือนอยู่ในความฝัน

 

พวกเขารอดชีวิตจากหิมะถล่มครั้งยิ่งใหญ่ขนาดนั้นได้จริงๆ หรือ ?

 

“นายท่าน นายท่านอยู่ที่ไหน ?”

 

ขณะนั้นเองเฒ่าหลี่ก็ร้องตะโกนออกมา

 

คำพูดที่ตะโกนออกไป

 

คนอื่นๆ ก็พลันตื่นขึ้นจากภวังค์

 

สาเหตุที่พวกเขารอดจากเหตุการณ์หิมะถล่มทั้งหมดเป็นเพราะพระหนุ่มรูปนั้น

 

“ใช่แล้ว ?”

 

“นายท่านผู้นั้นอยู่ที่ไหน ?”

 

ทุกคนต่างมองไปรอบๆ

 

“เฒ่าหลี่เจ้ารู้จักนายท่านผู้นั้นนี่ เจ้ารู้หรือไม่ว่านายท่านไปที่ไหน ?”

 

ชายวัยกลางคนมองไปที่ชายชราและอดไม่ได้ที่จะถามออกมา

 

ก่อนที่หิมะจะถล่มเขาเห็นเฒ่าหลี่พูดคุยอยู่กับซูฉิน

 

“ข้าจะรู้ได้เช่นไรเล่า ?”

 

เฒ่าหลี่กลอกตา

 

ในสายตาของเฒ่าหลี่ ซูฉินในขณะนี้ไม่ต่างไปจากองค์ยูไลที่เคยได้ยินมา คนธรรมดาเช่นเขาจะไปรู้ได้เช่นไร

 

“นั่นสินะ”

 

ชายวัยกลางคนที่ถามคำถามก็เหมือนจะนึกได้

 

แม้ว่าหิมะที่ถล่มลงมา นอกจากเมืองเล็กๆ แห่งนี้ สถานที่อื่นๆ ต่างก็ถูกปกคลุมไปด้วยหิมะ พวกเขาไม่สามารถออกไปไหนได้เลย

 

แต่ทั้งหมดทั้งมวล พวกเขาก็ยังรอดชีวิตมาได้

 

ไม่ใช่เรื่องยากที่จะอยู่รอดแค่ไม่กี่เดือนด้วยอาหารที่สะสมเอาไว้ภายในเมือง

 

อีกไม่กี่เดือนนับจากนี้ก็จะเป็นฤดูร้อนและคาดว่าหิมะที่ด้านนอกจะละลายหายไปแล้วในตอนนั้น

 

“พระรูปนั้นได้ช่วยเราเอาไว้ เราจะไม่ทำอะไรสักอย่างเลยคงจะไม่ได้แล้ว”

 

ชายวัยกลางคนที่เอ่ยขึ้นในตอนแรกก็กล่าวคำขึ้นมาอีกครั้ง

 

“ทำอะไรสักอย่าง ?”

 

“เจ้าหมายความว่าอย่างไร ?”

 

เฒ่าหลี่ขมวดคิ้วแล้วเอ่ยถาม

 

ความจริงเขาก็ให้ความเคารพกลัวเกรงซูฉินมาตั้งนานแล้ว แต่ไม่รู้จะแสดงออกอย่างไร

 

ในสายตาของเฒ่าหลี่ แม้ว่าจะมอบทั้งเมืองให้กับซูฉิน ซูฉินก็คงไม่ได้เหลียวแล

 

แม้เฒ่าหลี่จะคิดมาอย่างหนักแล้ว แต่เขาก็นึกไม่ออกจริงๆ ว่าจะทำเช่นไรเพื่อตอบแทนคุณที่ซูฉินช่วยชีวิตของเขาเอาไว้

 

“ทำไมทุกครัวเรือนในเมืองนี้ ไม่มาช่วยกันหล่อทองคำเป็นรูปนายท่านผู้นั้นกันล่ะ แล้วพวกเราจะบูชามันทั้งยามกลางวันและกลางคืนไปเลย”

 

ชายวัยกลางคนคนนั้นคิดอยู่สักพักแล้วจึงพูดออกมา

 

คำพูดนั้น

 

คนอื่นๆ พลันพยักหน้าเห็นดีเห็นงามด้วย

 

โดยเฉพาะเฒ่าหลี่ ตาของเขาเป็นประกายวาววับ

 

 

ห่างจากเขาหวู่หนานไปหลายร้อยลี้

 

ซูฉินก้าวไปตามทางที่ทอดยาว มุ่งมั่นที่จะกลับไปยังวัดเส้าหลิน

 

เป็นธรรมดาที่ซูฉินจะไม่รู้ว่าเหตุการณ์ที่เขาสกัดกั้นหิมะถล่มทำให้ผู้คนในเมืองเล็กๆ แห่งนั้นเตรียมที่จะหล่อรูปปั้นทองคำให้เขาและจะบูชาทั้งยามกลางวันยันยามกลางคืน

 

หรือบางทีซูฉินอาจจะไม่สนใจเลยก็ได้ต่อให้เขารู้เรื่องก็ตาม

 

ในขณะนี้ซูฉินกำลังถือขวดขนาดใหญ่สองขวด คือ ขวดบรรจุ ‘โอสถเสริมศักยภาพขนาดใหญ่ ‘ ไว้ในมือหนึ่ง ส่วนอีกมือกำขวด ‘โอสถกักเก็บพลังศักดิ์สิทธิ์ ‘ แล้วก็โยนโอสถทั้งสองเข้าปากราวกับกินถั่วอยู่ตลอดเวลา

 

ไม่ว่าจะเป็นโอสถเสริมศักยภาพขนาดใหญ่หรือโอสถกักเก็บพลังศักดิ์สิทธิ์ ทันทีที่มันเข้าไปในปากของซูฉินก็ถูกย่อยสลายทันทีด้วยร่างกายอันทรงประสิทธิภาพ กลายมาเป็นพลังภายในอันดุดันและจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์อันสมบูรณ์พร้อมเติมเต็มพลังงานที่เสียไปก่อนหน้าของซูฉิน

 

หากหัวหน้าลานโพธิ์มาเห็นพฤติกรรมของซูฉินตอนนี้เข้า คงจะต้องใจสลายอย่างแน่นอน

 

โอสถเสริมศักยภาพขนาดใหญ่เป็นหนึ่งในโอสถศักดิ์สิทธิ์ของวัดเส้าหลิน มันมีฤทธิ์สูงกว่าโอสถเสริมศักยภาพขนาดเล็กหลายต่อหลายเท่า ลานโพธิ์เองสามารถส่งโอสถชนิดนี้ออกมาเพียงไม่กี่สิบเม็ดเท่านั้น

 

ส่วน  ‘โอสถกักเก็บพลังศักดิ์สิทธิ์ ‘ นั้นล้ำค่ายิ่งขึ้นไปอีกระดับ เพราะมันข้องเกี่ยวกับการบ่มเพาะ  ‘พลังศักดิ์สิทธิ์ ‘ สามารถช่วยยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งในการบ่มเพาะได้ ซึ่งในยุคนี้ไม่มีใครในลานโพธิ์สามารถปรุงกลั่นโอสถชนิดนี้ออกมาได้เลยด้วยซ้ำ

“นั่นมันพวกเขานี่?”

 

รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของซูฉิน

 

ไม่ไกลนักมีคู่ปู่หลานคู่หนึ่งนั่งเร่ขายของอยู่

 

ปู่และหลานคู่นี้ก็คือคู่ปู่หลานคู่เดียวกับที่ซูฉินมาถามเส้นทางคราแรกที่มาถึงเขาหวู่หนาน

 

ในเวลานั้นซูฉินเป็นคนเตือนให้พวกเขากลับไปโดยเร็วที่สุดเพราะหิมะกำลังจะตกหนักในช่วงกลางวัน มันไม่ปลอดภัยเท่าไหร่กับการที่ยังอยู่ข้างนอก

 

ซูฉินไม่ได้คาดคิดว่าปู่และหลานชายคู่นี้จะอาศัยอยู่ที่นี่

 

เมื่อซูฉินมองไป ชายชราก็สังเกตเห็นซูฉินเช่นกัน

 

“นายท่าน!”

 

“นายท่านทำไมจึงมาอยู่ที่นี่ได้?”

 

ชายชราสะดุ้งเด้งตัวขึ้นวิ่งเหยาะเข้ามาหาในทันที และมองมาด้วยอาการสำนึกขอบคุณ

 

เป็นเรื่องจริงแท้ที่ชายชรารู้สึกขอบคุณซูฉินเป็นอันมาก เพราะหลังจากที่ซูฉินได้เตือนพวกเขาเมื่อวาน ตัวชายชราก็รีบกลับหมู่บ้านไปพร้อมกับหลานชาย

 

ตรงตามที่คาดการณ์ไว้

 

หลังจากนั้นไม่นานหิมะก็ตกหนักอีกครั้ง

 

หิมะที่ตกหนักครั้งนี้มากกว่าครั้งก่อนๆ เสียอีก ถ้าชายชรากลับมาช้ากว่านี้อีกนิด เกรงว่าจะเกิดอันตรายขึ้นจริงๆ

 

กล่าวได้ว่า

 

ซูฉินได้ช่วยชีวิตน้อยๆ ของคู่ปู่หลานเอาไว้

 

เช่นนี้ชายชราจะไม่รู้สึกขอบคุณต่อซูฉินได้อย่างไร?

 

ในเวลานี้เด็กชายตัวน้อยก็ได้มายืนอยู่ที่ด้านหลังของชายชราอย่างระมัดระวังตน มีความประพฤติเรียบร้อยเป็นอย่างมาก

 

หลังจากที่โดนชายชราเตือนสติเมื่อวาน เด็กน้อยก็ตระหนักว่าซูฉินเป็น ‘ปรมาจารย์‘ อย่างแท้จริง

 

“ข้าบังเอิญผ่านทางมาน่ะ ก็เลยเข้ามาเยี่ยมชมเสียหน่อย”

 

ซูฉินตอบกลับอย่างสบายๆ

 

เขาก็เดินผ่านมาจริงๆ นั่นแหละ ไม่ได้โกหกแต่ประการใด

 

“เป็นเช่นนี้นี่เอง”

 

ชายชราเชิญซูฉินมานั่งร่วมกับเขาทันที

 

ในขณะที่ชายชรากำลังพูดคุยอยู่กับซูฉินอยู่นั้น ชาวบ้านคนอื่นๆ ก็เดินมาเมียงมอง

 

โดยปกติแล้วชาวบ้านเหล่านี้ไม่เคยออกจากเมืองเลยตลอดทั้งชีวิต พวกเขามีบุคลิกเรียบง่ายและเมื่อเห็นซูฉิน พระภิกษุสวมใส่จีวร พวกเขาก็อยากจะมาถวายสิ่งของมีค่าที่สุดที่มีให้กับซูฉิน

 

ซูฉินไหนเลยจะยอมรับสิ่งต่างๆ จึงปฏิเสธไปทีละคนด้วยรอยยิ้ม

 

“นายท่าน แซ่ของข้าคือหลี่ นายท่านสามารถเรียกข้าว่าเฒ่าหลี่ก็ได้” ชายชรากล่าวด้วยความเคารพ

 

ถึงซูฉินจะดูหนุ่ม เหมือนช่วงวัยยี่สิบกว่าๆ แต่เฒ่าหลี่ก็ไม่เคยมองว่าซูฉินเป็นเด็กหนุ่มเลย

 

แม้ว่าเฒ่าหลี่จะไม่เคยออกจากเมืองไปไหน แต่เขาก็ไม่ได้ไร้การศึกษา

 

ตามที่ได้ยินมา มี ‘เทพเซียน‘ ที่มีอายุยืนยาวอยู่บนโลกนี้ และ ‘เทพเซียน‘ อายุยืนยาวเหล่านี้สามารถมีชีวิตอยู่ได้หลายร้อยปี แต่รูปลักษณ์ของพวกเขากลับยังคงเหมือนกับวัยหนุ่มสาว คงความอ่อนเยาว์ตลอดไป

 

ในความคิดของผู้เฒ่าหลี่ตอนนี้ ซูฉินไม่ต่างไปจาก ‘เทพเซียน‘

 

เมื่อวานซูฉินเดินไปบนหิมะหลายพันลี้โดยไม่ทิ้งรอยเท้า เนื้อตัวก็ไม่มีแม้แต่ฝุ่นเกาะ ถ้าไม่ใช่เทพเซียนแล้วจะเป็นอะไรได้?

 

“ได้สิ”

 

ซูฉินไม่รู้ความคิดของฝ่ายตรงข้าม

 

แต่ถึงจะรู้เขาก็คงไม่ได้พูดอะไรมากเกี่ยวกับความเกรงกลัวในใจของเฒ่าหลี่

 

ตอนนี้เขาเป็นหนึ่งในจุดสูงสุดระดับชั้นที่หนึ่ง ที่แปรสภาพมาแล้วสองครั้ง ในแง่ของพลังการต่อสู้กล่าวได้ว่าเขาคือผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดรองลงมาจากระดับ ‘อรหันต์‘ และมันก็ไม่ต่างไปจาก ‘เทพเซียน‘ ในสายตาของผู้เฒ่าหลี่

 

“นี่หลานเจ้ารึ?”

 

ซูฉินหันไปมองเด็กน้อยที่อยู่ด้านหลังเฒ่าหลี่

 

ด้วยการสังเกตจากดวงตาแห่งสัจจะ ซูฉินเห็นเส้นเลือดของเด็กน้อยคนนี้ปลอดโปร่งมาก หากเขาได้ฝึกวิทยายุทธจะสามารถเข้าสู่สามระดับกลางได้ภายในสิบปี หากมีโอกาสในอนาคตก็คงไม่ใช่ความหวังที่เลื่อนลอยที่เด็กน้อยจะกลายเป็นยอดยุทธในสามระดับบน

 

แน่นอนว่าซูฉินใช้เวลามองอยู่ครู่หนึ่ง และไม่ได้มีความหมายอื่นใดอีก

 

สุดท้ายแล้วด้วยความแข็งแกร่งของซูฉินในปัจจุบัน แม้แต่ยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งเขาก็ตบดิ้นมาแล้ว นับประสาอะไรกับยอดยุทธในสามระดับบน เขาไม่ได้สนใจอะไรมากนัก

 

เมื่อซูฉินกำลังจะกลับไปวัดเส้าหลิน

 

ก็มีเสียงดังกึกก้อง

 

แผ่นดินสั่นสะเทือนขึ้นมาในฉับพลัน

 

“หืม”

 

ซูฉินขมวดคิ้วเล็กน้อย

 

ทันใดนั้นเองน้ำเสียงตื่นตระหนกก็ดังขึ้นมา

 

“เทพแห่งขุนเขา เทพแห่งขุนเขาทรงพิโรธ!”

 

ทันทีที่ได้ยินคำกล่าวนั้น ใบหน้าของคนทั้งเมืองก็ซีดเผือด

 

พวกเขาอาศัยอยู่ในเมืองเล็กๆ แถวตีนเขาหวู่หนาน อาศัยพื้นที่โดยรอบเขาหวู่หนานในการดำเนินชีวิต และเป็นธรรมดาที่พวกเขาจะหวาดกลัวกับสิ่งที่เรียกว่า ‘เทพแห่งขุนเขา‘ เป็นอย่างมาก!

 

แม้แต่ผู้เฒ่าหลี่เมื่อเขาได้ยินคำว่า ‘เทพแห่งขุนเขาพิโรธ‘ ร่างกายของเขาก็เริ่มสั่นสะท้านอย่างรุนแรง ใบหน้าเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง

 

“เทพแห่งขุนเขา?”

 

ซูฉินเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า สีหน้าเขาเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม “ไม่ใช่เทพแห่งขุนเขา แต่เป็นหิมะถล่ม!!!”

 

หลังจากที่หิมะตกหนักเป็นเวลาหลายวัน ภูเขาหวู่หนานก็เต็มไปด้วยหิมะ และในตอนนี้หิมะก็กำลังเลื่อนลงมาจากภูเขา

 

ซูฉินมองไปที่เขาหวู่หนาน

 

เขาเห็นหิมะจำนวนมหาศาล กระแทกตัวลงมาอย่างต่อเนื่อง ปริมาณของหิมะดังกล่าวราวกับมันท่วมท้องฟ้าได้ ทุกการเคลื่อนตัวของมันทำเอาผืนโลกสั่นสะเทือน ทุกสิ่งเหมือนกำลังจะพังทลาย

 

พลังระดับนี้นั้นเกินจะจินตนาการ ราวกับเทพเจ้าโกรธเกรี้ยวและพร้อมจะทำลายโลกลงเสียแล้วจริงๆ

 

“ถ้าไม่มีแรงกระแทกครั้งใหญ่ไปกระทบมัน ว่ากันตามจริงแล้วหิมะก็ไม่ควรจะถล่มลงมา?”

 

ซูฉินไม่ได้กระวนกระวายใจเหมือนคนอื่นๆ ด้วยร่างกายของเขาในตอนนี้ แม้ว่าจะถูกฝังกลบด้วยหิมะ เขาก็สามารถปีนออกมาได้ในทันที ไม่มีเรื่องร้ายแรงถึงชีวิตให้ต้องกังวล

 

“หรือเป็นเพราะข้าได้สังหารแกนนำหลักของพรรคมารเมื่อวานนี้ และการใช้กำลังภายในออกไปทำให้บางส่วนของเขาหวู่หนานสั่นสะเทือนซึ่งมันแพร่กระจายแรงออกไป ทำให้เกิดหิมะถล่มในวันนี้?”

 

ความคิดของซูฉินเปลี่ยนแปลงไปมาในหัวอย่างเร็วจี๋ กำลังยืนยันความเป็นไปได้

 

ด้วยพลังที่น่าสะพรึงกลัวของตัวเขาเองที่อยู่ในระดับยอดปรมาจารย์อาจจะทำให้เขาหวู่หนานสั่นสะเทือนบ้างเล็กน้อย

 

การสั่นสะเทือนนี้ในเวลาปกติย่อมไม่ก่อให้เกิดผลกระทบอะไร แต่ขณะนี้หิมะได้ทับถมมาเป็นเวลาหลายวันแล้ว หากมีการสั่นสะเทือนเพิ่มเข้าไปอีกก็ดูเหมือนจะทำลายฟางเส้นสุดท้ายจนเสียสมดุลไป

 

หิมะถล่มลงมาแล้ว

 

ขณะที่ซูฉินกำลังคิดเรื่องนี้

 

คนอื่นๆ ในเมืองต่างหวาดกลัว วิญญาณแทบจะหลุดออกจากร่างไปแล้ว

 

ไม่ใช่ว่าพวกเขาไม่เคยประสบเหตุการณ์หิมะถล่ม

 

แต่หิมะถล่มที่เกิดขึ้นในอดีตมันเล็กน้อยมาก ไม่เคยมีครั้งไหนรุนแรงถึงขนาดที่แทบจะทำลายทุกสิ่งได้แบบนี้

 

“จบแล้ว มันจบสิ้นแล้ว”

 

บางคนดูหมดสิ้นซึ่งความหวัง พึมพำอยู่กับตนเอง

 

หากเป็นภยันตรายอื่นๆ พวกเขายังสามารถหลบหนีไปได้ แต่พวกเขาจะหลบหนีหิมะถล่มได้เยี่ยงไร?

 

ใบหน้าของเฒ่าหลี่ซีดเซียว เด็กน้อยที่อยู่ด้านหลังก็หวาดกลัวมากขึ้นเรื่อยๆ จนไม่กล้าแม้แต่จะขยับตัว

 

มีเพียงซูฉินเท่านั้นที่ยืนอยู่จุดเดิมอย่างสงบ มองตรงไปยังหิมะที่ถล่มลงมาอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ดูกำลังใช้ความคิด แต่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเขากำลังคิดอะไร

 

“วิ่ง วิ่ง”

 

ในขณะนั้นเองมีบางคนไม่สามารถทนความตื่นตระหนักได้ ล้มลุกคลุกคลานถอยหนีไปด้านหลัง

 

แม้ว่าจะหนีไปไกลแค่ไหน อีกไม่นานหิมะก็ถล่มตามไปทับได้อยู่ดี แล้วก็คงจะตกตายในเวลาต่อมา ต่อให้รู้เช่นนั้นแต่สัญชาตญาณของมนุษย์ การหลบหนีก็ยังดีเสียกว่ายืนนิ่งเฉยๆ รอคอยความตาย

 

ในไม่ช้า หิมะถล่มก็ท่วมเข้ามาเกือบจะถึงเมือง

 

ก่อนที่หิมะถล่มจะมาถึง คลื่นความหนาวเหน็บก็กัดเซาะไปที่ต้นขา กัดกินไปทั่วจิตใจ

 

ทุกคนถูกกระตุ้นจากความหนาวเย็นจนตัวสั่น จึงต่างวิ่งหนีกระจายตัวกันออกไป

 

“วิ่ง”

 

ผู้เฒ่าหลี่อุ้มหลายชายเอาไว้ในอ้อมแขนแล้ววิ่งหนีไปพร้อมกับทุกคน

 

ทันใดนั้นเอง

 

เขาก็เห็นว่าซูฉินยังคงยืนนิ่งอยู่กับที่โดยไม่เคลื่อนไหวเหมือนคนอื่นๆ

 

“นายท่านวิ่งเร็วเข้า!!!”

 

เฒ่าหลี่กัดฟันเข้าไปคว้าแขนของซูฉินเอาไว้แล้วลากไปด้านหลังพร้อมกับเขา

 

แต่ไม่ว่าผู้เฒ่าหลี่จะพยายามมากแค่ไหน ซูฉินก็ไม่ขยับเขยื้อนราวกับว่าสิ่งที่เฒ่าหลี่คว้าจับเอาไว้มิใช่คนแต่เป็นเขาลูกหนึ่ง

 

“ทั้งหมดนี่มันเป็นเพราะข้าเอง…”

 

ซูฉินหลุดจากการกุมแขนของเฒ่าหลี่มาได้ ไม่เพียงแต่ไม่หลบหนี แต่เขายังเดินไปในทิศทางที่หิมะถล่มลงมา

 

“นายท่าน ท่านจะทำอะไร”

 

เฒ่าหลี่มึนงงไปครู่ มองไปที่ซูฉินอย่างไม่อยากจะเชื่อ

 

“ไปสกัดมันไว้…” ซูฉินตอบอย่างใจเย็นขณะที่เดินเข้าไป

 

ราวกับสิ่งที่ซูฉินจะเข้าไปปิดทางไว้มิใช่หิมะที่ถล่มลงมาอย่างไม่มีที่สิ้นสุด แต่เป็นแมวเป็นหมาตามข้างทางเท่านั้น

 

“นายท่าน?…ท่าน!!!”

 

เฒ่าหลี่เกือบจะคิดว่าเขาหูฝาดไป

 

สกัดมัน?

 

สกัดหิมะถล่มเนี่ยนะ?

 

“ผ่านมานานแล้ว ข้า…” ซูฉินหยุดชะงักเมื่อกล่าวคำ แล้วก็ทำหน้าทำตาอย่างไม่รู้จะพูดอะไร “มันก็นานแล้วนะ หลังจากที่ข้าไม่ได้ใช้สิ่งนี้”

 

หลังจากพูดจบ ซูฉินก็เดินออกจากเมืองไป พร้อมกับสายตาทึ่งๆ ของผู้เฒ่าหลี่

 

เสียงดังกึกก้อง

 

หิมะถล่มลงมากวาดไปทั่วบริเวณ

 

ความน่าหวาดหวั่นของมันเหมือนจะนำพาโลกไปสู่จุดจบ

 

ช่วงเวลาต่อมา

 

ท่ามกลางสายตาตกตะลึงจนขนหัวลุกของเฒ่าหลี่

 

ทั่วทุกพื้นที่ถูกปกคลุมไปด้วยฝ่ามือขององค์ยูไลสีทองเข้ม

 

มีดอกบัวเบ่งบานไปทั่วทุกทิศ สง่างามและดูศักดิ์สิทธิ์

 

ในเวลาเดียวกันรัศมีแสงขององค์ยูไลก็สาดสว่างออกไปทั่ว กำเนิดเป็นดินแดนอันพิสุทธิ์ให้เหล่าสรรพสัตว์ได้พักพิง

 

และด้านในใจกลางของดินแดนอันสว่างไสวก็เห็นเป็นร่างที่เหมือนกับองค์ยูไลแต่ก็มิใช่องค์ยูไล

 

ร่างนั้นยกมือขวาขึ้น กลายเป็นฝ่ามือสีทองขนาดยักษ์ค่อยๆ ดันไปด้านหน้าเพื่อป้องกันหิมะที่กำลังถล่มลงมา

คฤหาสน์ตระกูลซู

 

เต็มไปด้วยความวุ่นวายพลุกพล่าน

 

การแสดงออกของหลิวกงกงมีทั้งไม่แน่ใจและความรู้สึกกลัวอยู่ในส่วนลึกของดวงตา

 

ในฐานะยอดปรมาจารย์ หลิวกงกงมีความสามารถเหนือกว่าจอมยุทธส่วนใหญ่ในยุทธภพ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของวิสัยทัศน์หรือวิธีการจัดการสิ่งต่างๆ ก็ตาม

 

เพราะเหตุนี้เองหลิวกงกงจึงเข้าใจอย่างลึกซึ้งว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นหมายความว่าอย่างไร

 

ยิ่งรู้มากก็ยิ่งน่ากลัวมาก

 

ในมุมมองของหลิวกงกง ต้องเป็นจุดสูงสุดของระดับชั้นที่หนึ่งเท่านั้นจึงจะสามารถจัดการเรื่องราวทั้งหมดนี้ได้อย่างง่ายดายและเรียบร้อย

 

ดังนั้นความคิดแรกของหลิวกงกงจึงคิดว่าอาจจะเป็นจ้าวกงกงขันทีชุดม่วงจากวังหลวงที่เป็นคนลงมือ แต่เขาก็ต้องสลัดความคิดนี้ทิ้งไปทันทีที่ปรากฏขึ้นในหัว

 

ประการแรกจ้าวกงกงจะไม่ออกจากวังหลวงเป็นแน่

 

ประการที่สองแม้นเป็นจ้าวกงกงจริงๆ ที่ลงมือ เขาจะไม่ให้คนจดจำเขาในฐานะ ‘องค์ยูไล‘ แน่ๆ

 

“ตระกูลซู?”

 

ความคิดของหลิวกงกงเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว เริ่มสงสัยว่ายอดปรมาจารย์ระดับจุดสูงสุดบังเอิญผ่านทางมาหรือแท้จริงแล้วเขาเกี่ยวข้องอะไรสักอย่างกับตระกูลซู?

 

จากนั้นไม่นานหลิวกงกงก็ส่ายหัวและคิดว่ายอดปรมาจารย์ระดับจุดสูงสุดคงจะบังเอิญผ่านทางมาที่นี่

 

หลิวกงกงรู้เรื่องการแต่งงานขององค์ชายหลี่เชิงกับบุตรีตระกูลซูอยู่แล้ว

 

ก่อนหน้านี้เขาก็ได้ตรวจสอบปูมหลังตระกูลซูโดยตรง

 

ในช่วงห้าร้อยปีที่ผ่านมาในตระกูลซู ผู้ฝึกยุทธที่แข็งแกร่งที่สุดที่เคยมีมาก็เป็นแค่เพียงระดับชั้นที่สี่เท่านั้น

 

ไม่มีสักคนเดียวที่อยู่ในสามระดับบน

 

แน่นอนว่าตระกูลซูก็เป็นเพียงตระกูลในเมืองเล็กๆ อย่างเมืองเยี่ยนเฉิง ถ้ามีความเกี่ยวข้องใดกับยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งก็คงเป็นเรื่องตลกแล้ว

 

“จะต้องพาองค์ชายกลับวังคืนนี้”

 

หลิวกงกงตัดสินใจอยู่ภายในใจตน

 

ในตอนนี้องค์ชายหลี่เชิงไปกระตุ้นความสนใจองค์ชายองค์อื่นๆ เข้าแล้ว และยังไปข้องเกี่ยวกับยอดปรมาจารย์ระดับจุดสูงสุดที่ไม่รู้ที่มาที่ไปนั่นอีก…

 

แม้ว่าจะเป็นยอดปรมาจารย์อย่างหลิวกงกง เขาก็ยังรู้สึกไม่สบายใจ

 

ถึงหลิวกงกงจะรู้ว่ายอดปรมาจารย์ระดับจุดสูงสุดไม่ได้มุ่งร้ายต่อองค์ชาย มิฉะนั้นองค์ชายหลี่เชิงคงจะเสียชีวิตไปนานแล้ว

 

แต่ไม่ว่าสิ่งใดจะเกิดขึ้นหรือไม่ มีเพียงแต่จะต้องส่งองค์ชายหลี่เชิงกลับวังเท่านั้นหลิวกงกงถึงจะรู้สึกสบายใจขึ้นมาได้

 

เป็นปกติที่หลิวกงกงจะไม่รู้ตัวว่าซูฉินได้เห็นการเปลี่ยนแปลงในสีหน้าทั้งหมดของตัวเขาในตอนนี้

 

ตอนที่ซูฉินเห็นโชคชะตาบ้านเมืองขนาดมหึมาในร่างของหลี่เชิง เขาก็จับตำแหน่งของหลิวกงกงไว้ด้วยดวงตาแห่งสัจจะเรียบร้อยแล้ว

 

 

 

ขณะที่กลุ่มมือสังหารเริ่มลงมือ เมื่อจิตสังหารแพร่กระจายไปทั่วโถง หลิวกงกงคนนี้ก็สัมผัสได้ถึงความผิดปกติ และรีบตะบึงมาที่คฤหาสน์ตระกูลซู

 

น่าเสียดายยิ่งที่เมื่อหลิวกงกงมาถึงคฤหาสน์ซูทุกอย่างก็สายเกินไปเสียแล้ว

 

ด้วยเหตุนี้ซูฉินจึงต้องออกมือ

 

“ตอนนี้ยังไม่ใช่เวลาที่จะพบกัน”

 

ซูฉินมองไปที่น้องสาวของเขาซูเยว่หยุน รวมถึงทุกคนในตระกูลซู

 

“ยามใดที่ข้าสำเร็จระดับอรหันต์ อยู่ยงคงกระพันในใต้หล้าอย่างแท้จริงแล้ว มันคงจะไม่สายเกินไปที่จะกลับมาพบกันอีกครั้ง”

 

ซูฉินคิดอยู่ในใจตนเองเงียบๆ

 

แม้ว่าตอนนี้ซูฉินจะอยู่ในระดับชนชั้นนำของยุทธภพ และได้แปรสภาพพลังไปถึงสองครั้ง แต่ก็ยังไม่สามารถพูดได้เต็มปากว่าตนเองอยู่ยงคงกระพัน

 

อย่างน้อยๆ ก็ยังมีตัวตนในระดับเดียวกับซูฉินอยู่ในยุทธภพ

 

ตัวอย่างเช่น ราชครูแห่งเหมิ่งหยวน นักพรตจางแห่งเขาหวู่ตั้ง และขันทีชุดม่วงในวังหลวงราชวงศ์ถัง

 

แน่นอนว่าอาศัยเคล็ดวิชาจำนวนมากมายนับไม่ถ้วนที่เขาเชี่ยวชาญและร่างกายที่ได้รับการเสริมแกร่งมาจากตราประทับภูเขาด้านหลังวัดเส้าหลิน พลังในการต่อสู้ของซูฉินแท้จริงแล้วสามารถบดขยี้ยอดปรมาจารย์ระดับจุดสูงสุดทั่วๆ ไปได้เลย เรียกได้ว่าเป็นตัวตนที่ไร้พ่ายรองลงมาจากระดับ ‘อรหันต์‘ เลยก็ว่าได้…

 

แต่กระนั้น หากไม่ได้ก้าวเข้าสู่ระดับ ‘อรหันต์‘ ในเร็ววัน ซูฉินยังรู้สึกไม่ค่อยสบายใจนัก

 

ส่วนตอนนี้…

 

ซูฉินก็แค่ต้องการยืนยันว่าตระกูลซูนั้นเป็นไปด้วยดี

 

ในเวลาต่อมา

 

คืนนั้น หลิวกงกงได้เข้าพบองค์ชายหลี่เชิงและสารภาพตัวตนของเขาออกไป

 

หลังจากครึ่งชั่วโมงแห่งความตกตะลึง องค์ชายหลี่เชิงก็ยังไม่อาจเชื่อถือทั้งหมด เพียงเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง

 

ด้วยวิธีการบางอย่างที่หลิวกงกงได้แสดงออกมาให้ได้เห็น หากเขาต้องการจะปล้นหลี่เชิง เขาไม่จำเป็นต้องสร้างเหตุผลเหล่านี้ขึ้นมาหลอกลวงเลย

 

จากนั้นองค์ชายหลี่เชิงจึงออกจากคฤหาสน์ตระกูลซู มุ่งหน้าไปยังเมืองหลวงของอาณาจักรถัง

 

อย่างไรก็ตามด้วยการร้องขอที่แข็งขันของหลี่เชิง หลิวกงกงจึงต้องแสดงป้ายอาญาสิทธิ์ที่จักรพรรดิถังมอบไว้ให้ ในการนำกำลังพลป้องกันเมืองคังโจวมาคุ้มกันตระกูลซู

 

และหลังจากที่หลิวกงกงอธิบายให้องค์ชายหลี่เชิงทราบ เขาก็ตระหนักและเข้าใจแล้วว่ากลุ่มมือสังหารในช่วงกลางวันนั้นมุ่งเป้ามาที่เขา

 

ตระกูลซูได้รับผลกระทบมาจากเขา

 

ด้วยเหตุนี้หลี่เชิงจึงเป็นกังวลว่าเมื่อเขาจากไป กลุ่มมือสังหารจะโยนความโกรธแค้นไปที่ตระกูลซู

 

แม้หลิวกงกงจะอธิบายซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่ากองกำลังที่อยู่เบื้องหลังเหล่ามือสังหารนั้นไม่เหลือบแลตระกูลเล็กจ้อยเช่นตระกูลซูหรอก แต่หลี่เชิงมีสถานะที่ไม่ธรรมดา หลิวกงกงทำได้เพียงปฏิบัติตามคำขอของเขาเท่านั้น

 

ซูฉินเห็นดังนี้ก็มีความประทับใจในทางที่ดีขึ้นต่อองค์ชายหลี่เชิง

 

ถ้าคนธรรมดาทั่วไปรู้ว่าเขาเป็นสายเลือดของจักรพรรดิถังก็อาจจะลืมตัวลืมตนของตัวเองกลายเป็นวัวลืมตีนไปนานแล้ว

 

ขณะที่หลี่เชิงผู้นี้ให้ความสำคัญกับความปลอดภัยของตระกูลซูเป็นอันดับแรก เห็นได้ชัดว่าเขาเป็นคนดี

 

ในท้ายที่สุดองค์ชายหลี่เชิงก็ได้ให้สัญญากับซูเยว่หยุนว่าจะกลับมารับนางยามเมื่อทุกอย่างเข้าที่เข้าทาง และจากไปพร้อมกับหลิวกงกงในยามค่ำคืน

 

วันต่อมา

 

จอมยุทธจำนวนมากที่ถูกส่งตัวมาจากกองกำลังป้องกันคังโจวก็มาถึง ระดับต่ำที่สุดของกลุ่มคือระดับชั้นที่หก และผู้นำกลุ่มสองคนถึงกับมีพลังอยู่ในสามระดับบน

 

ผู้นำกองกำลังปกป้องเขตคังโจวเห็นได้ชัดว่าหวาดกลัวต่ออำนาจเบื้องบนจึงส่งทหารคนสนิทออกไป

 

ต้องรู้ว่าป้ายอาญาสิทธิ์ที่หลิวกงกงนำมาแสดงนั้นมอบให้โดยองค์จักรพรรดิถัง มันแสดงถึงพระประสงค์ขององค์จักรพรรดิ

 

ผู้ครองเขตคังโจวไหนเลยจะกล้าละเลย และดูแลอย่างขอไปทีได้อย่างไร?

 

ซูฉินที่รั้งรอมาจนถึงช่วงเวลานี้ ในที่สุดก็ถอนหายใจออกมา

 

“หมดเรื่องหมดราวแล้ว”

 

ซูฉินออกเดินช้าๆ ไปบนถนนของเมืองเยี่ยน “ได้เวลาออกเดินทางแล้วล่ะ”

 

ตอนนี้ตระกูลซูได้รับการคุ้มกันจากกำลังพลป้องกันเขตคังโจวแล้ว กล่าวได้ว่ามีความปลอดภัยอย่างยิ่ง ซูฉินไม่จำเป็นต้องคอยเฝ้าระวังอยู่ที่นี่อีกต่อไป

 

“อย่างไรก็ตามก่อนที่ข้าจะกลับไปวัดเส้าหลิน ข้าสามารถแวะไปดูที่ภูเขาหวู่หนานตรงจุดที่ตั้งของพรรคมารก่อนได้”

 

ความคิดของซูฉินแล่นไปมา

 

เมื่อวานนี้เขาลงชื่อเข้าใช้ในฐานที่มั่นของพรรคมารและได้รับ ‘กลมารฟ้า‘ ซูฉินใคร่รู้ว่าวันนี้เขาจะสามารถลงชื่อเข้าใช้ที่นั่นได้อีกครั้งหนึ่งหรือไม่

 

สุดท้ายแล้ว จนถึงตอนนี้ฐานที่มั่นหลักของพรรคมารก็เป็นสถานที่เดียวที่ซูฉินสามารถลงชื่อเข้าใช้ได้ถ้าไม่นับวัดเส้าหลิน

 

 

หลังจากนั้นไม่กี่ชั่วโมง

 

หิมะก็ตกลงมาจากท้องฟ้าอย่างช้าๆ

 

ซูฉินยืนอยู่ด้านหน้าฐานที่มั่นหลักของพรรคมารด้วยสีหน้าผิดหวังเล็กน้อย

 

“ดูเหมือนว่าจะสามารถลงชื่อเข้าใช้ที่นี่ได้เพียงครั้งเดียวเท่านั้น”

 

ซูฉินทอดสายตาที่เต็มไปด้วยอารมณ์ออกไป รับรู้ได้ถึงความล้ำค่าของ ‘ดินแดนแห่งขุมทรัพย์‘ อย่างวัดเส้าหลินมากขึ้นเรื่อยๆ

 

แม้จะเป็นสถานที่เช่นแท่นบูชาของพรรคมารก็มีทรัพยากรให้ซูฉินลงชื่อเข้าใช้ได้เพียงแค่ครั้งเดียว

 

แต่วัดเส้าหลินล่ะ?

 

ซูฉินลงชื่อเข้าใช้มามากว่าสิบห้าปี…

 

‘เต๋าสะสม‘ มีอยู่ในที่นั้นมากแค่ไหนกัน ถึงขนาดให้ซูฉินลงชื่อซ้ำราวกับ‘ทอผ้าขนแกะ‘[1]…

 

“ใกล้ถึงเวลาแล้ว”

 

ซูฉินหมุนตัวจากไป

 

เนื่องจากเวลานี้ยังเช้าอยู่ ซูฉินจึงไม่ได้รีบกลับวัดเส้าหลินแต่วางแผนจะเดินเล่นสำรวจดูว่ามีสถานที่อื่นอีกไหมที่สามารถลงชื่อเข้าใช้ได้

 

เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว

 

ซูฉินก็เดินทางมาถึงเมืองเล็กๆ แห่งหนึ่ง

 

เมืองเล็กๆ แห่งนี้ตั้งอยู่ที่ตีนเขาหวู่หนานและชาวบ้านต่างดำรงชีพด้วยการล่าสัตว์

 

ซูฉินไม่ได้ปิดบังรูปลักษณ์ของเขาเอาไว้ เดินเข้าไปในเมืองอย่างเปิดเผย

 

หลังจากที่เข้าเมืองมาได้ไม่นาน ซูฉินก็เบนสายตามองไปยังสถานที่แห่งหนึ่ง

 

 

 

——————————————————

 

[1] ทอผ้าขนแกะ撸羊毛หมายถึง พฤติกรรมที่นักลงทุนได้รับผลประโยชน์หรือผลตอบแทนจากการเข้าร่วมกิจกรรมการลงทุนโดยไม่ลงทุน ซึ่งการลงทุนนี้ทำให้ผู้ดำเนินกิจการไม่ได้รับประโยชน์ แต่เป็นผู้เข้าร่วมที่ได้รับประโยชน์แทน

Sign in Buddha’s palm 47  ปิดม่านการแสดง

 

 

“บางทีอาจจะหนีไปตอนที่เกิดความวุ่นวายหรือเปล่านะ?”

 

ชายหยาบโลนคนนั้นไม่ได้คิดอะไรมาก เดินไปรวมตัวกับจอมยุทธคนอื่นๆ เพื่อแสดงความเคารพต่อ ‘องค์ยูไล‘ ที่เพิ่งแผ่พลังแห่งความศักดิ์สิทธิ์ออกมาเมื่อครู่

 

เมื่อตอนที่มือสังหารปรากฏตัวในทีแรก จอมยุทธหลายคนต่างหลบหนีออกไประหว่างความวุ่นวาย ฉะนั้นในสายตาของชายหยาบโลน พระที่ค่อนข้างน่าสนใจรูปนั้นคงจะจากไปแล้วในช่วงเวลานั้น

 

“องค์ยูไล…”

 

ชายหยาบโลนเหม่อมองด้วยความประหลาดใจ

 

เขาไปมาทั่วเหนือจรดใต้ ย่อมรู้เป็นธรรมดาว่าร่างคลุมเครือที่ปรากฏขึ้นนั้นแม้ว่าจะไม่ใช่‘องค์ยูไล‘ อย่างที่ใครพูดกัน แต่ก็ต้องเป็นบุคคลที่แข็งแกร่งเหนือจินตนาการ

 

เมื่อเผชิญหน้ากับตัวตนที่สามารถตัดสินชะตาชีวิตของจอมยุทธในระดับชั้นวิทยายุทธทั้งเก้าขั้น ก็เป็นตัวตนที่ควรแค่แก่การแสดงความเคารพบูชาจากจอมยุทธในห้องโถงนี้แล้ว

 

“หยุนเอ๋อ หยุนเอ๋อ เจ้าสบายดีใช่หรือไม่?”

 

ซูชื่อหมินรีบเข้ามาหาซูเยว่หยุนและถามไถ่ด้วยความเป็นห่วง

 

“ข้าสบายดี”

 

“ดียิ่ง ที่ทุกอย่างปกติดี”

 

ซูชื่อหมินถอนหายใจด้วยความโล่งอก

 

ตอนที่เขาถูกสะกดไว้ด้วยจิตสังหารของมือสังหารในสามระดับบน ซูชื่อหมินแทบจะหมดสิ้นความหวังไปสิ้น

 

ความรู้สึกเมื่อครู่มันสิ้นหวังยิ่งกว่าตอนที่ ‘เหยียนหั่ว‘ ศัตรูของตระกูลซูได้บุกโจมตีเสียอีก

 

เขาไม่ได้คาดหวังว่าปัญหาเกี่ยวกับมือสังหารที่น่ากลัวเหล่านั้น จะถูกแก้ไขโดยผู้แข็งแกร่งที่ผ่านทางมา

 

“พวกเราตระกูลซูโชคดีแค่ไหนกันที่มีผู้แข็งแกร่งเช่นนั้นมาช่วยชีวิตเอาไว้!”

 

ซูชื่อหมินดูวิตกกังวลเล็กน้อยแล้วหมุนตัวโค้งคำนับไปทั่วทุกทิศ “ขอบคุณผู้อาวุโสที่ช่วยเหลือ ตระกูลซูของข้ารู้สึกซาบซึ้งใจเป็นอย่างยิ่ง หากในอนาคตผู้อาวุโสมีสิ่งใดที่ต้องการ ข้าจะเร่งรุดไปหาท่านอย่างแน่นอน”

 

ในฐานะจอมยุทธระดับชั้นที่ห้า สายตาของซูชื่อหมินย่อมเหนือกว่าจอมยุทธคนอื่นๆ ในโถงเป็นแน่แท้

 

เขาไม่ได้เชื่อหรอกว่าองค์ยูไลเป็นผู้ลงมือ

 

หลังจากผ่านไปเป็นเวลานาน

 

ไม่มีใครตอบรับกลับมา

 

ซูชื่อหมินค่อยๆ ยืดตัวตั้งตรง สีหน้าของเขาแสดงความผิดหวังอยู่เล็กน้อย

 

แม้ว่าเขาจะไม่รู้ว่าทำไมผู้อาวุโสท่านนี้จึงช่วยเหลือตระกูลซู แต่ถ้าเขาใช้โอกาสนี้ในการติดต่อกับอาวุโสผู้นี้ละก็ มันจะเป็นเรื่องดีอย่างที่สุดต่อตระกูลซู

 

แต่ช่างน่าเสียดาย

 

ผู้อาวุโสไม่ได้แสดงตนหลังจากที่ลงมือ

 

“ท่านพ่อ”

 

ในตอนนี้ซูเยว่หยุนลังเลอยู่ครู่หนึ่ง อดไม่ได้ที่จะพูดขึ้นว่า “ข้ารู้สึกว่าคนผู้นั้นดูเหมือนจะเป็นพี่ชายสาม…”

 

“ฉินเอ๋อ?”

 

ซูชื่อหมินตกตะลึงไปชั่วขณะ แล้วตำหนิว่า “ไร้สาระ!”

 

“ถ้าผู้อาวุโสได้รู้ว่าเจ้ากำลังพูดไร้สาระอยู่เช่นนี้ มันคงทำให้ท่านโกรธเกรี้ยวอย่างมาก หากเป็นเช่นนั้นไม่ได้หมายความว่าหายนะจะมาตกที่ตระกูลซูเราหรอกหรือ?”

 

ซูชื่อหมินจ้องมองไปที่ซูเยว่หยุนอย่างดุเดือด

 

ซูชื่อหมินไม่คิดว่าลูกสาวของตนจะกล้าเพ้อเจ้อได้ถึงขนาดนี้?

 

ตัวตนที่ทรงพลังเช่นนี้ ย่อมต้องเป็นหนึ่งในผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในยุทธภพ ฉะนั้นจะมาข้องเกี่ยวกับซูฉินที่ถูกส่งไปยังวัดเส้าหลินเมื่อสิบห้าปีที่แล้วได้อย่างไร?

 

ยังไม่ต้องพูดถึงว่าซูฉินนั้นไม่มีพรสวรรค์ในการฝึกยุทธเลย และจะไม่มีวันสามารถเป็นจอมยุทธได้ในชั่วชีวิต

 

แต่ถ้าสมมติว่าซูฉินมีพรสวรรค์ยอดเยี่ยมเหนือผู้ใด?

 

ซูฉินอายุได้เพียงยี่สิบห้าในปีนี้

 

จะไปมีความแข็งแกร่งสักเท่าใดกันในช่วงอายุยี่สิบห้าปี? ระดับชั้นที่เก้า? ระดับชั้นที่แปด? ระดับชั้นที่เจ็ด?

 

เมื่อเห็นทีท่าที่จริงจังของซูชื่อหมิน ซูเยว่หยุนก็ไม่กล้าที่จะกล่าวอีกต่อไป

 

ในช่วงเวลานั้น

 

ที่มุมหนึ่งของคฤหาสน์ตระกูลซู มีร่างบางคล้ายสตรีร่างหนึ่งยืนอยู่เงียบๆ

 

“กลิ่นอายเช่นนี้…”

 

ร่างของคนผู้นี้มีดวงตาที่แสนเย็นชาประดับบนใบหน้า กวาดตามองไปยังศพของมือสังหารที่นอนอยู่บนพื้นอย่างรวดเร็ว ด้วยสีหน้าเย็นชาน่ากลัว

 

“นี่เป็นการลงมือของฝ่าบาทหรือ?”

 

ร่างนี้ก็คือยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งที่เพิ่งมาถึง

 

แซ่ของเขาคือหลิว ผู้คนต่างเรียกเขาว่าหลิวกงกง เป็นขันทีชุดแดงในวังหลวง

 

เมื่อยี่สิบปีก่อน หลิวกงกงได้รับคำสั่งจากองค์จักรพรรดิแห่งราชวงศ์ถังให้พาองค์ชายหลี่เชิงออกจากวังแล้วปล่อยไว้ท่ามกลางปุถุชน เพื่อให้รับรู้ความยากลำบากของผู้คน

 

ในช่วงเวลาที่ผ่านมา หลิวกงกงรับหน้าที่ปกป้ององค์ชายหลี่เชิงอย่างลับๆ มาตลอด

 

แต่เมื่อคืนจู่ๆ หลิวกงกงก็รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติในระดับขั้นการบ่มเพาะของเขา ดังนั้นจึงไปหาที่วิเวกสำหรับพักสักครู่ห่างออกไปไม่กี่ลี้

 

สิ่งที่หลิวกงกงไม่คาดคิดคือในช่วงเวลาสั้นๆ นี้ องค์ชายหลี่เชิงจะถูกลอบสังหาร

 

ยิ่งไปกว่านั้น วิธีการที่ใช้ลอบสังหารของมือสังหารเหล่านี้ยังมีความคล้ายคลึงกับองค์กรบางแห่งที่อยู่ใต้อาณัติขององค์ชายเชื้อพระวงศ์บางองค์

 

“บ้าเอ้ย…”

 

หลิวกงกงรู้สึกถึงความหวาดกลัวเกิดขึ้นในใจ

 

เขาไม่กล้าจะจินตนาการเลยว่าหากการลอบสังหารประสบความสำเร็จ องค์ชายหลี่ถูกปลงพระชนม์ สิ่งใดที่จะรอเขาอยู่

 

ถึงแม้หลิวกงกงจะไม่สามารถเห็นโชคชะตาบ้านเมืองในตัวขององค์ชายหลี่ แต่องค์จักรพรรดิก็จ่ายออกไปจำนวนมหาศาล และถึงขนาดสั่งให้เขานำตัวองค์ชายออกไปนอกพระราชวัง มันค่อนข้างชัดเจนว่าความสัมพันธ์ของทั้งคู่ไม่ธรรมดาเพียงใด

 

หากมีบางสิ่งผิดพลาดเกิดขึ้น เขาคงจะต้องตายสถานเดียว

 

“แต่ใครกันที่ป้องกันการลอบสังหารเอาไว้?”

 

หลิวกงกงขมวดคิ้วมุ่น

 

แม้ว่าจอมยุทธหลายคนที่อยู่ด้านหน้าจะตะโกนว่า ‘องค์ยูไล‘ เพื่อแสดงการเคารพบูชา

 

แต่หลิวกงกงก็ไม่ได้เชื่อถือในเรื่องนั้นเลย

 

ตัวเขาเพิ่งวิ่งมาถึงและไม่ทันได้เห็นท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยแสงแห่งองค์ยูไล

 

หลิวกงกงเดินเข้าไปหามือสังหารหลายต่อหลายคนและเริ่มตรวจสอบบาดแผลของพวกมัน

 

เพียงเท่านั้น

 

เมื่อตรวจสอบจนหมด นัยน์ตาของหลิวกงกงก็หดตัวลงอย่างกะทันหัน

 

เพราะตกใจเมื่อพบว่ามือสังหารทั้งแปดคนในโถง ถูกทำลายอวัยวะภายในด้วยพลังที่แข็งแกร่งบางอย่างแทบจะพร้อมๆ กัน

 

“รุนแรงขนาดนี้เชียวหรือ?”

 

หลิงกงกงไม่อยากจะเชื่อ

 

แม้ว่าตัวเขาเองจะสังหารมือสังหารทั้งแปดคนได้ด้วยความแข็งแกร่งของยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งก็คงไม่ได้น่าประหลาดใจเท่าใดนัก

 

แต่มันยากมากที่จะสามารถสังหารทั้งหมดลงแทบจะในเวลาเดียวกันเช่นนี้

 

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง มีสองจอมยุทธในสามระดับบนอยู่ด้วย

 

จอมยุทธในสามระดับบน หรือแม้แต่จอมยุทธที่อ่อนแอที่สุดในระดับชั้นที่สามก็ต้องพบเจอกับการถูกกัดกร่อนโดยพลังปราณแห่งโลกมาแล้วทั้งสิ้น

 

ถึงเผชิญหน้ากับยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่ง แม้จะต่างชั้นกับศัตรูมาก แต่ก็จะไม่ถูกบดขยี้เหมือนเหยียบมดดั่งเช่นในตอนนี้

 

อย่างน้อยตัวหลิวกงกงเอง หากต้องการสังหารจอมยุทธระดับชั้นที่สาม ฝ่ายตรงข้ามก็ยังสามารถออกกระบวนท่าได้ถึงสองครั้ง

 

“นอกจากนี้มือสังหารคนสุดท้ายยังใช้วิชาต้องห้ามอยู่หลายวิชาก่อนจะตาย แต่มันก็ยังไม่รอด…”

 

หลิวกงกงรู้สึกเหลือเชื่อ

 

หากหลิวกงกงมองไม่ผิด มือสังหารคนสุดท้ายใช้วิชาต้องห้ามของวังหลวง ถึงแม้ผลข้างเคียงจะสูง แต่การเพิ่มพูนพลังเฉพาะหน้าจากการใช้วิชาเหล่านี้ก็น่าหวาดกลัวเป็นอย่างมาก

 

ถ้ายอดฝีมือระดับชั้นที่สามใช้วิชาต้องห้าม เขาจะสามารถยกระดับพลังให้เทียบเท่าปรมาจารย์ระดับชั้นที่สอง

 

และในกรณีที่มือสังหารใช้วิชาต้องห้ามหลายต่อหลายชนิดในเวลาเดียวกัน

 

วิชาต้องห้ามทั้งหลายเมื่อซ้อนทับกัน หลิวกงกงรู้สึกได้ว่าในช่วงสุดท้าย ความแข็งแกร่งของมือสังหารนั้นอาจจะทะยานไปถึงระดับชั้นที่หนึ่งได้ในช่วงสั้นๆ เลย…

 

อย่างไรก็ตาม

 

แม้จะทำเช่นนั้นแล้ว

 

อีกฝ่ายก็ไม่รอดพ้นไปจากความตาย

 

ตายโดยไม่แตกต่างไปจากมือสังหารในสามระดับกลางคนอื่นๆ

 

นี่แสดงให้เห็นถึงช่องว่างของพลังฝีมือที่กว้างขวางดุจทะเลสาบอันกว้างใหญ่

 

“นี่เป็นไปได้ไหมว่าจ้าวกงกงเป็นคนลงมือ?”

 

หลิวกงกงสั่นสะท้านอยู่ในใจ และพลันนึกถึงขันทีชุดม่วงที่มีศักดิ์ฐานะเทียบเท่าองค์ชายขึ้นมา

 

“เป็นไปไม่ได้”

 

“จ้าวกงกงต้องปกป้องอยู่ข้างพระวรกายขององค์จักรพรรดิเท่านั้น”

 

“และเป็นไปไม่ได้เลยที่จะออกมาจากวังหลวง”

 

หลิวกงกงส่ายหัว

 

“ไม่ต้องไปคิดให้มากความแล้ว”

 

“ในเมื่อองค์ชายพวกนั้นเคลื่อนไหวแบบนี้ พวกเราก็ไม่จำเป็นต้องซ่อนตัวอีกต่อไป”

 

“ข้าต้องรีบไปเข้าเฝ้าฝ่าบาทเดี๋ยวนี้”

 

หลิวกงกงตั้งสติและคิดที่จะพาองค์ชายหลี่เชิงกลับวังโดยเร็วที่สุด

 

 

ในเวลาเดียวกัน

 

ที่มุมหนึ่งของคฤหาสน์ตระกูลซู

 

ซูฉินมองไปที่หลิวกงกงด้วยอาการสงบ

แสงแห่งพุทธคุณแผ่ซ่าน

 

คฤหาสน์ตระกูลซูถูกปกคลุมด้วยรัศมีแสงแห่งองค์ยูไล

 

ดอกบัวสีทองค่อยๆ ผลิบาน มันบริสุทธิ์ผุดผ่องและเป็นเงาวาววับราวกับกระจกเงา โดยไม่มีฝุ่นมาเปรอะเปื้อน

 

ร่างเงาคลุมเครือผสานเข้ากับรัศมีแสงแห่งพุทธะ ราวกับว่าเขากำเนิดขึ้นมาจากกลุ่มแสงอย่างไรอย่างนั้น

 

ขณะที่ร่างนี้เดินออกไป

 

เวลาดูเหมือนจะหยุดนิ่ง ทุกคนในคฤหาสน์ตระกูลซูรวมถึงมือสังหารในสามระดับบนเองยังรู้สึกถึงแรงกดดันที่น่าหวาดกลัว

 

กำลังภายในหยุดการโคจร

 

หัวใจเต้นช้าลง

 

เลือดในกายแทบจะแข็งตัว

 

“ไม่นะ!!”

 

“นี่คือ?”

 

เกิดคลื่นกระเพื่อมขึ้นในจิตใจของมือสังหารในสามระดับบน

 

เป็นกลิ่นอายที่น่าหวาดหวั่นอย่างไม่เคยพบเคยเจอ แม้แต่ยอดปรมาจารย์ที่มือสังหารในสามระดับบนเคยเจอมาก่อนก็ไม่ได้มีกลิ่นอายที่น่ากลัวเฉกเช่นนี้

 

ฝึบ!

 

ภายใต้การจ้องมองที่เต็มไปด้วยความทึ่งของมือสังหารในสามระดับบนคนนั้น

 

ด้วยก้าวย่างของร่างคลุมเครือที่ปกคลุมไปด้วยแสงพุทธะ มือสังหารคนแรกที่พุ่งเข้าหาซูเยว่หยุนก็ล้มลงกับพื้นพร้อมกับเสียงที่ดังตามมา

 

ร่างคลุมเครือก้าวขาอีกข้างและมือสังหารคนที่สองก็ล้มลงไป

 

เกือบจะพร้อมๆ กัน เมื่อร่างคลุมเครือก้าวไปได้เจ็ดก้าว มือสังหารทั้งเจ็ดคนก็ร่วงลงไปกับพื้นติดต่อกันโดยไม่ทันได้ตั้งตัวใดๆ

 

มือสังหารเหล่านี้ต่างมีความแข็งแกร่งที่แตกต่างกัน คนที่อ่อนด้อยที่สุดอยู่ในสามระดับกลาง และที่แข็งแกร่งที่สุดเป็นคนในสามระดับบนอีกคนหนึ่ง

 

อย่างไรก็ตาม

 

ถ้านับกันด้วยระยะเวลาแล้ว ไม่ว่าจะสามระดับกลางหรือสามระดับบนเมื่ออยู่ต่อหน้าร่างรัศมีแสงก็ไม่มีใครสามารถต่อต้านได้เลย

 

หนึ่งก้าว พรากหนึ่งชีวิต

 

“ไม่ดีแล้ว!”

 

ในเวลาต่อมาหนังศีรษะของมือสังหารในสามระดับบนคนที่เหลือก็ชาวาบ

 

เพราะในขณะนี้มือสังหารทั้งหมดในลานเกือบจะตายไปจนหมดแล้ว จะเหลือก็แต่เพียงเขาที่ยังรอดชีวิตอยู่

 

เหตุผลที่มือสังหารในสามระดับบนคนนี้ยังไม่ตายไป เป็นเพราะเขาไม่ได้ลงมือใดๆ มีเพียงการสะกดซูชื่อหมินผู้นำตระกูลซูเอาไว้ด้วยไอพลังของเขา และอยู่ห่างจากแท่นพิธีที่ซูชื่อหมินและเจ้าบ่าวยืนอยู่ออกไปไกลมากที่สุด

 

แต่ก็เท่านั้น

 

ไม่ว่าจะอยู่ไกลออกไปแค่ไหน ร่างที่ปกคลุมด้วยแสงแห่งพุทธานุภาพก็กำลังจะก้าวเดินไปเป็นก้าวที่แปด

 

“วิ่ง!!”

 

มือสังหารคนสุดท้ายในสามระดับบนไม่ลังเลที่จะใช่วิชายุทธต้องห้ามทั้งหมดที่มี พยายามเอาชีวิตรอด

 

แม้ว่าวิชาต้องห้ามเหล่านี้จะสามารถเพิ่มพูนความแข็งแกร่งได้เป็นอย่างมาก แต่อันตรายที่แฝงเร้นก็มีมากเช่นกัน หลังจากช่วงเวลานี้แม้ว่าเขาจะสามารถรอดชีวิตไปได้ แต่ความแข็งแกร่งในระดับชั้นของเขาก็จะหล่นลงไป และถึงขนาดที่อาจจะกลายเป็นคนไร้ประโยชน์ไปเลยก็ได้

 

ก็เท่านั้น

 

เมื่อเทียบกับความตายแล้ว ต่อให้ต้องจ่ายในราคาที่สูงกว่านี้มันก็คุ้มค่า

 

วิ้ง!!!

 

ดวงตาของมือสังหารในสามระดับบนเปลี่ยนเป็นสีแดงฉานในทันที กำลังภายในที่หยุดโคจรไปแล้ว กลับมาหมุนวนอีกครั้ง

 

ช่วงเวลาถัดมา

 

ร่างคลุมเครือที่ปกคลุมไปด้วยแสงพุทธะก้าวขาเป็นก้าวที่แปด

 

จอมยุทธสามระดับบนที่เดิมทีเต็มไปด้วยความสุข ก็รู้สึกราวกับสวรรค์ถล่มโลกทลาย ทุกสิ่งทุกอย่างหยุดนิ่ง ร่างทั้งร่างร่วงลงสู่พื้นเสียงดังสนั่น

 

หลังจากที่มือสังหารทั้งหมดถูกจัดการลง รัศมีพุทธก็ยังแผ่ขยายออกไปอย่างช้าๆ

 

ร่างหมอกคลุมเครือค่อยๆ เดินไปที่แท่นพิธี

 

“ท่านคือ…”

 

ซูเยว่หยุนเบิกตากว้างพยายามมองร่างอันสว่างไสวที่กำลังเดินเข้ามา

 

ช่างน่าเสียดายที่ซูเยว่หยุนสามารถรับรู้ได้เพียงว่าร่างคลุมเครือปกคลุมด้วยแสงตรงหน้านั้นสูงเพรียว

 

ส่วนลักษณะอื่นๆ เช่น หน้าตา เส้นผม ฯลฯ ไม่สามารถเห็นได้ชัดเจน

 

ซูเยว่หยุนไม่รู้ทำไมเธอจึงรู้สึกดีกับร่างที่คลุมเครือนี้ราวกับเป็นญาติสนิทที่เธอไม่ได้พบเจอมานานแสนนาน

 

แสงแห่งพุทธะแผ่ขจรขจาย

 

ร่างส่องแสงเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าของซูเยว่หยุน

 

“ท่านคือใครกัน?”

 

ซูเยว่หยุนขยับตัวถอยหลังโดยไม่รู้ตัว

 

แสงแห่งพุทธานุภาพปกคลุมไปทั่วทุกพื้นที่ ทุกคนต่างก็ไม่สามารถขยับเขยื้อนได้ เว้นไว้ก็แต่เพียงซูเยว่หยุน

 

ภายใต้แสงที่แทรกซึมเข้ามา ซูเยว่หยุนไม่ได้รู้สึกอึดอัดแต่อย่างไร กลับรู้สึกถึงความสบายใจเสียมากกว่า

 

“ข้าเป็นใครเช่นนั้นหรือ?”

 

ร่างคลุมเครือกล่าวด้วยน้ำเสียงสงบแต่แฝงไปด้วยความรู้สึกสูญเสียอยู่ในที

 

เมื่อซูเยว่หยุนได้ยินคำกล่าวนั้น นางรู้สึกราวกับว่าบางส่วนในหัวใจเธอแตกสลาย รู้สึกราวกับว่าตนกำลังจะร่ำไห้

 

ในขณะที่ร่างคลุมเครือยกมือขึ้นถอดจี้หยกที่ห้อยคอของเขาอยู่ออกมา แล้ววางไว้บนมือของซูเยว่หยุน

 

“สวมสิ่งนี้ไว้ อย่าได้ถอดทิ้งไป มันจะทำให้เจ้าปลอดภัยและมีแต่ความสุข”

 

ซูเยว่หยุนจ้องที่จี้หยกในมือของเธออย่างว่างเปล่า ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรออกมาดี

 

จี้หยกนี้ดูธรรมดาเอามากๆ และเป็นธรรมดาที่บุตรีตระกูลซูอย่างซูเยว่หยุนน่าจะไม่ชอบจี้หยกชิ้นนี้สักเท่าไหร่

 

แต่ในเวลาที่ซูเยว่หยุนได้ถือจี้หยกชิ้นนี้ นางรู้สึกถึงความปลอดภัยขึ้นในหัวใจซึ่งอธิบายไม่ได้

 

เหมือนกับว่าสิ่งที่ร่างคลุมเครือพูดนั้นเป็นความจริง ที่ว่าการสวมจี้หยกนี้เอาไว้จะทำให้เธอปลอดภัยและสงบสุข

 

ซูฉินวางจี้หยกลงและมองซูเยว่หยุนเป็นครั้งสุดท้าย

 

จี้หยกที่เขาทิ้งไว้เบื้องหลังชิ้นนี้มิใช่จี้หยกธรรมดา

 

ก่อนที่จะออกจากวัดเส้าหลิน ซูฉินก็ฝึกฝนจนเชี่ยวชาญวิชาของมารพุทธะ [จิตมารแยกวิถี] โดยแยกจิตวิญญาณส่วนหนึ่งของตนเองมาใส่ไว้ในจี้หยก

 

เก้าร้อยปีก่อนมารพุทธะถูกผนึกไว้ด้วยฝ่ามือยูไล แต่ด้วยวิชาจิตมารแยกวิถีนี้ ในทุกๆ หนึ่งร้อยปีจะมีทายาทของมารพุทธะเกิดขึ้นหนึ่งคนซึ่งแต่ละครั้งก็เกือบจะทำลายวัดเส้าหลินลง

 

แม้ว่าซูฉินจะไม่สามารถเข้าถึงระดับเดียวกันกับมารพุทธะได้ แต่ด้วยจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ที่บรรจุอยู่ในจี้หยกชิ้นนี้ จะระเบิดพลังออกมาช่วยซูเยว่หยุนยามเมื่อตกอยู่ในอันตราย

 

ด้วยความแข็งแกร่งปัจจุบันของซูฉิน แม้จะเป็นเพียงแค่จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์แต่พวกที่อยู่ต่ำกว่าระดับชั้นที่หนึ่งจะต้องถูกสังหารและแม้แต่ยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งเองก็ต้องบาดเจ็บหนัก

 

ส่วนจุดสูงสุดของระดับชั้นที่หนึ่ง…

 

จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ที่แบ่งมานี้ก็คงทำอะไรไม่ได้มากนัก

 

แต่คนที่อยู่ในระดับนั้นล้วนไม่ใช่คนโง่เง่า และย่อมรู้โดยธรรมชาติยามเมื่อเห็นจี้หยกว่าสิ่งนี้หมายถึงอะไร

 

คงไม่มีคนระดับสูงคนไหนที่จะมีเจตนาฆ่าหลังจากรู้ว่าซูเยว่หยุนมีคนหนุนหลังที่แข็งแกร่ง อย่างน้อยๆ ก็ในระดับเดียวกันกับตน

 

ต้องรู้ว่าเหล่ายอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งระดับจุดสูงสุดมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นในยุทธภพ พวกเขาต่างกลัวกันและกัน และไม่เต็มใจที่จะต่อสู้เอาชีวิตกัน

 

เนื่องจากสิ่งสำคัญที่สุดสำหรับยอดปรมาจารย์ระดับจุดสูงสุดคือการก้าวหน้าในทางการบ่มเพาะและทำลายคอขวดระดับตำนานยุทธ

 

นอกนั้นไม่ว่าจะเป็นอำนาจ? ทรัพย์สมบัติ? ความงาม?

 

ล้วนไม่มีคุณค่าพอให้สนใจในสายตาของพวกเขา

 

ตัวอย่างเช่น นักพรตจางจอมยุทธสายตรงจากเขาหวู่ตั้ง แม้ว่าเขาจะมีความแข็งแกร่งพอที่จะครองโลก แต่เขาก็ไม่ได้ก้าวเท้าออกจากเขาหวู่ตั้งเลย

 

และยังมีราชครูแห่งอาณาจักรเหมิ่งหยวนผู้ที่สละตำแหน่งจากการครอบครองบัลลังก์ของอาณาจักรเหมิ่งหยวน

 

ดังนั้นจี้หยกที่ซูฉินทิ้งไว้ให้ซูเยว่หยุน ย่อมเป็นหนทางที่จะสามารถทำให้เธอปลอดภัยและมีความสุขได้จริงๆ

 

“ท่านคือใคร?”

 

“แล้วให้สิ่งนี้กับข้าทำไม…”

 

ซูเยว่หยุนพลันเงยหน้าขึ้น แต่ก็พบว่าร่างแสงที่คลุมเครือได้หายไปแล้ว

 

รัศมีแห่งองค์ยูไลหดหาย

 

ดอกบัวสีทองสลายไป

 

ความกดดันที่กดทับทุกคนเอาไว้ก็ถูกปลดออก

 

“แม่นางหยุน เจ้าสบายดีหรือไม่?”

 

เจ้าบ่าวหลี่เชิงเป็นคนแรกที่เข้าไปถามอย่างเป็นห่วงเป็นใย

 

“ข้า…ข้าสบายดี”

 

ซูเยว่หยุนส่ายหัว กำจี้หยกในมือไว้แน่นโดยไม่รู้ตัว แล้วกระซิบว่า “ราวกับข้าได้พบพี่ชายสามของข้า…”

 

“พี่สาม?”

 

เจ้าบ่าวตกตะลึง

 

เขารู้ว่าซูเยว่หยุนมีพี่ชายสาม แต่พี่ชายสามคนนี้หายตัวไปตั้งแต่สิบห้าปีก่อนแล้วมิใช่หรือ?

 

และในขณะนี้

 

แม้รัศมีแสงที่ปกคลุมอยู่จะหายไปแล้ว

 

แต่ทั่วทั้งคฤหาสน์ตระกูลซูกลับยังคงนิ่งเงียบ

 

จอมยุทธจำนวนนับไม่ถ้วนจากทั่วเมืองคังโจวต่างตื่นตะลึงกับเหตุการณ์เมื่อครู่

 

แม้ก่อนหน้านี้พวกเขาจะไม่สามารถเคลื่อนไหวร่างกายได้

 

แต่การเคลื่อนไหวไม่ได้ ไม่ได้แปลว่ามองไม่เห็น

 

ร่างขมุกขมัวที่ปกคลุมด้วยแสงแห่งองค์ยูไลดูเหมือนพลังจะท่วมท้นจนถมโลกจนเต็มได้ เขาทั้งสูงสุดฟ้า ไพศาลสุดขอบเขต และยังแข็งแกร่งสุดหยั่ง…

 

“องค์ยูไล องค์ยูไล เป็นที่ประจักษ์แก่สายตาแล้ว”

 

จอมยุทธหลายคนที่ค่อนข้างอ่อนแอฝืนตัวออกมาจากความตกใจได้อย่างยากลำบาก

 

“องค์ยูไล”

 

จอมยุทธคนอื่นๆ ยังคงสั่นสะท้านในใจ ไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมอง

 

“เอ๊ะ?”

 

“พระรูปนั้นไปไหนเสียแล้ว?”

 

ชายหยาบโลนที่นั่งอยู่ใกล้กับซูฉินในทีแรก มองไปรอบๆ ด้วยความงงงวยเล็กน้อย

 

คฤหาสน์ตระกูลซู

 

ความวุ่นวายเกิดขึ้นไปทั่วทั้งงาน

 

จอมยุทธหลายคนต่างพูดคุยกันด้วยความรู้สึกไม่อยากจะเชื่อ

 

“กรุณาอยู่ในความสงบ”

 

ซูชื่อหมินยืนขึ้น ยกมือแผ่ไอพลังของจอมยุทธระดับชั้นที่ห้าออกมา

 

ทันใดนั้น

 

ทุกคนก็นิ่งเงียบ

 

แม้จะไม่รู้ว่าทำไมตระกูลซูถึงเลือกลูกเขยเป็นคนธรรมดาเช่นนี้ แต่ในเมื่อซูชื่อหมินได้ตัดสินใจไปแล้ว เรื่องนี้จึงไม่ใช่เรื่องที่พวกเขาจะเข้าไปยุ่งเกี่ยว

 

ในบรรดาผู้คนทั้งหมด มีเพียงซูฉินเท่านั้นที่มีท่าทีแปลกๆ

 

“โชคชะตาบ้านเมือง?”

 

“เหตุใดโชคชะตาบ้านเมืองของอาณาจักรต้าถังถึงหนึ่งส่วน[1]จึงมุ่งไปที่เขา?”

 

ดวงตาแห่งสัจจะของซูฉินสังเกตเห็นพลังฉีทั้งหมด เขารู้ดีว่าโชคชะตาระดับชาติที่แสนลึกลับได้ซุกซ่อนอยู่ในร่างของเจ้าบ่าว

 

“จักรพรรดิถังยังไม่เสด็จสวรรคต โชคชะตาบ้านเมืองของอาณาจักรถังก็ยังไม่สูญสลาย นอกจากนี้แม้ราชวงศ์ถังจะล่มสลายจริง โชคชะตาบ้านเมืองก็ควรจะถูกตรึงไว้กับกลุ่มตระกูลหลี่ พวกราชวงศ์เหล่านั้น…”

 

ความคิดของซูฉินแปรผันไปมากมายและมีความคิดหนึ่งปรากฏขึ้นในใจของเขา

 

ในจดหมายที่ส่งมาจากตระกูลซู เขารับรู้อยู่แล้วว่าคนที่น้องสาวจะตบแต่งด้วยนั้นเป็นเพียงคนธรรมดา

 

คนธรรมดาจริงๆ

 

ไม่มีทั้งพ่อและแม่ ฐานะของเขาก็ต่ำต้อยเมื่อเทียบกับตระกูลซูที่สูงสง่า มันช่างต่างกันราวฟ้ากับเหว

 

ไม่มีเหตุผลใดเลยที่จะทำให้ทั้งสองคนมาข้องเกี่ยวกันได้

 

แต่เด็กสาวตัวน้อยคนนี้เต็มใจจะแต่ง

 

นอกจากนี้แม้ซูชื่อหมินจะไม่เห็นด้วยแต่เขาก็ไม่คิดจะบังคับลูกสาวคนเล็ก

 

เดิมทีซูฉินที่ทราบว่า ‘พี่เขย‘ ของเขาเป็นแค่คนธรรมดา ซูฉินก็ไม่คิดต่อต้านเรื่องนี้อยู่แล้ว อย่างไรเสียเขาก็เป็นบุคคลที่ใช้ชีวิตมาแล้วถึงสองชีวิต ซูฉินเปิดกว้างเสมอตราบเท่าที่น้องสาวของเขามีความสุข

 

แต่ตอนนี้

 

สายตาของเขาสำรวจไปยังร่างของเจ้าบ่าวอย่างต่อเนื่อง

 

“โชคชะตาบ้านเมืองที่มากมายขนาดนี้ แม้แต่เหล่าองค์ชายก็ไม่ได้มีมากถึงขนาดนี้แน่”

 

ซูฉินไตร่ตรองเกี่ยวกับเรื่องนี้

 

ไม่กี่ปีก่อน ลี่เฟยจากตำหนักในราชวงศ์ถังลี้ภัยมายังวัดเส้าหลินพร้อมกับลูกสาวของพระนาง ซูฉินก็ได้มองบุตรีของพระชายาลี่เฟยด้วยดวงตาแห่งสัจจะเช่นกัน

 

องค์หญิงตัวน้อยก็แบกโชคชะตาบ้านเมืองของราชวงศ์ถังเอาไว้เหมือนกัน แต่เมื่อเทียบกับเจ้าบ่าวตรงหน้าแล้วมันต่างชั้นกันจนเกินเอื้อม

 

“ตอนนี้จักรพรรดิถังพระชนมายุมากแล้ว องค์ชายแต่ละคนก็กำลังต่อสู้กันทั้งในที่โล่งและในที่ลับ สายตาทุกผู้ทุกคนมุ่งเป้าไปยังราชบัลลังก์”

 

“ขุนนางและข้าราชบริพารต่างก็วางเดิมพันในตัวองค์ชาย และสนับสนุนองค์ชายสักคนเพื่อแลกกับความดีความชอบในภายหลัง”

 

“ชนชั้นปกครองทั้งฝ่ายบู๊และฝ่ายบุ๋นต่างเชื่อว่าในอนาคตผู้ที่ได้นั่งบัลลังก์จะต้องเป็นหนึ่งในองค์ชายเหล่านี้”

 

ความคิดของซูฉินยิ่งมายิ่งชัดเจนขึ้น

 

“ตอนนี้ดูเหมือนว่า…”

 

“จิ้งจอกเฒ่าอย่างจักรพรรดิถังไม่เคยคิดที่จะให้องค์ชายเหล่านั้น[2]ได้สืบทอดบัลลังก์…”

 

ซูฉินมองไปที่หน้าของเจ้าบ่าวที่ดูเหมือนจะกำลังเขินอายกับสถานการณ์ตรงหน้า เขารู้สึกว่าทุกสิ่งทุกอย่างได้ถูกไขออกต่อหน้าต่อตาของเขาแล้ว

 

มีเพียงสมาชิกราชวงศ์เท่านั้นถึงจะมีโชคชะตาแห่งบ้านเมืองสถิตอยู่ได้

 

แม้ว่าซูฉินจะไม่รู้ว่าเหตุใดเจ้าบ่าวที่อยู่ตรงหน้านั้นจึงมาปรากฏตัวที่เมืองคังโจวได้

 

แต่เลือดของเชื้อพระวงศ์จะต้องไหลเวียนอยู่ในกายของอีกฝ่ายเป็นแน่

 

และเห็นได้ชัดว่าจักรพรรดิถังจะรู้เรื่องที่องค์ชายคนหนึ่งได้มาอาศัยอยู่ท่ามกลางปุถุชนอยู่แล้ว

 

มิฉะนั้นคงเป็นไปไม่ได้ที่องค์ชายที่แสนจะธรรมดาแบบนี้จะมีโชคชะตาบ้านเมืองใหญ่โตเพียงนี้

 

แต่ที่จักรพรรดิถังต้องใช้ความพยายามอย่างหนักในการซ่อนตัวตนของเขาจากทุกคนนั้น ความเป็นไปได้นั้นมีเพียงหนึ่งเดียว

 

นั่นก็คืออยากจะส่งต่อราชบัลลังก์ให้กับเขา

 

หรือกล่าวอีกนัยหนึ่ง

 

หากทุกอย่างดำเนินไปอย่างราบรื่น เจ้าบ่าวที่อยู่ท่ามกลางสายตาของเหล่าจอมยุทธในขณะนี้จะกลายมาเป็นจักรพรรดิแห่งราชวงศ์ถังในอนาคตอันใกล้ คุมกองทัพเรือนหมื่นคน

 

“โชคชะตามักเล่นตลกกับผู้คน…”

 

ซูฉินเต็มไปด้วยอารมณ์ความรู้สึก

 

ด้วยประชากรหลายร้อยล้านคนในต้าถัง น้องสาวของเขาไม่เพียงได้พบว่าที่องค์จักรพรรดิที่อาศัยอยู่ท่ามกลางปุถุชนเท่านั้น ยังได้เข้าพิธีแต่งงานร่วมกันอีก

 

เกรงว่าจักรพรรดิถังจะไม่คาดคิดว่าจะมีสิ่งนี้เกิดขึ้น

 

หรือกล่าวได้ว่าถึงจักรพรรดิถังจะรู้เรื่องนี้พระองค์ก็มิทรงสนใจ

 

“เนื่องจากทั้งหมดนี่เป็นแผนการขององค์จักรพรรดิถัง ฉะนั้นพระองค์ควรจะต้องส่งองครักษ์เงามาด้วย”

 

ซูฉินเปิดใช้ดวงตาแห่งสัจจะมองหาไปทุกทิศทาง

 

แล้วก็พบจริงๆ

 

ห่างออกไปไม่กี่ลี้ มีไอพลังจางๆ แฝงตัวอยู่

 

กลิ่นอายเช่นนี้คล้ายคลึงกับหงกงกงที่เคียงข้างพระนางลี่เฟย แต่แข็งแกร่งกว่าหงกงกงมาก

 

“ยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่ง?”

 

ซูฉินส่ายหัวเล็กน้อย และดวงตาของเขาก็สบเข้ากับเจ้าบ่าวอีกครั้งหนึ่ง

 

“ข้าไม่ควรไปล่วงรู้ตัวตนของเขา”

 

ซูฉินคิดอยู่ในใจเงียบๆ

 

จักรพรรดิถังปิดบังเรื่องนี้ ใต้ผืนฟ้านี้ มันจะต้องจ่ายไปอย่างมหาศาลแน่ๆ เขาจะต้องระมัดระวังตนเองไม่น้อย

 

และในขณะนี้

 

เจ้าบ่าวยืนอยู่เบื้องหน้าซูเยว่หยุน พร้อมที่จะคารวะฟ้าดิน

 

“แม่นางหยุน”

 

เจ้าบ่าวมองไปที่ซูเยว่หยุนด้วยสายตาที่แน่วแน่และเอ่ยขึ้นว่า “ข้ารู้ว่าข้าเป็นเพียงบัณฑิตที่ยากจนคนหนึ่ง ไม่ได้มีความสามารถมากนัก แต่ข้าหลี่เชิงสาบานไว้ ณ ที่แห่งนี้ วันหนึ่งเจ้าจะไม่เสียใจที่แต่งงานกับข้า”

 

ซูเยว่หยุนเม้มริมฝีปากและยิ้มโดยไม่ได้กล่าวอะไรออกไป

 

ซูฉินมองจากระยะไกล มองออกไปและยืนยันได้ว่าน้องสาวของเขาชื่นชอบคนตรงหน้าจริงๆ

 

“หืม?”

 

เมื่อซูฉินกำลังจะจากไป เขารู้สึกได้ถึงอะไรบางอย่าง และมองไปที่มุมหลืบต่างๆ ของคฤหาสน์ซู

 

ในมุมมืดนั้นมีจอมยุทธมากกว่าโหลที่เกร็งกำลังภายในไว้จนสุด พร้อมที่จะลงมือได้ทุกเมื่อ

 

“การลอบสังหาร?”

 

คิ้วของซูฉินขมวดเข้าหากัน

 

นักรับมากกว่าโหลเหล่านี้ล้วนอยู่ในสามระดับกลาง และมีถึงสองคนที่อยู่ในสามระดับบน

 

“มันพุ่งเป้ามาที่ตระกูลซูหรือไม่?”

 

ซูฉินหรี่ตามองและพบว่าเป้าหมายในขณะนี้ไม่ใช่คนในตระกูลซู แต่เป็นเจ้าบ่าวที่อยู่ในพิธี

 

“มีคนรู้เรื่องแผนการของจักรพรรดิงั้นรึ?”

 

ซูฉินคาดเดาอยู่ในใจ

 

“มันควรจะล่วงรู้เพียงผิวเผิน ไม่เช่นนั้นคงจะไม่ส่งสามระดับบนมา แต่เป็นยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งแทน”

 

 

ขณะนี้

 

“คารวะฟ้าดิน”

 

คู่บ่าวสาวกำลังคารวะฟ้าดินอยู่

 

ทันใดนั้น

 

ที่นี่เวลานี้

 

ฟิ่ว!

 

เจตนาฆ่าฟันอันเข้มข้นกระจายไปทั่วคฤหาสน์ตระกูลซู

 

ชายท่าทางแข็งแกร่งคนหนึ่งที่แลดูเกรี้ยวกราด รีบสาวเท้าเข้าไปหาฝ่ายเจ้าบ่าว

 

“ช่างกล้า!”

 

ซูชื่อหมินโกรธขึ้นมาในทันที

 

เขาเชิญสุภาพชนทุกท่านมาร่วมงานเป็นพิเศษเพื่อใช้โอกาสนี้แสดงความแข็งแกร่งของตระกูลต่อหน้าผู้คนในคังโจว

 

ถ้างานนี้ถูกขัดขวางและทำลายลง มันจะไม่น่าอับอายต่อหน้าฝูงชนชาวคังโจวหรอกหรือ?

 

เมื่อซูชื่อหมินกำลังจะออกกระบวนท่า จิตสังหารที่แสนจะเย็นชาก็สกัดเขาเอาไว้

 

“นี่คือ?”

 

“สามระดับบน?”

 

ซูชื่อหมินตัวแข็งทื่อ รู้สึกไม่อยากจะเชื่อ

 

เขาไม่คิดฝันมาก่อนว่าสิ่งใดจะเป็นเหตุให้จอมยุทธในสามระดับบนต้องลงมือ?

 

ด้วยจิตสังหารของสามระดับบนก็สามารถสะกดซูชื่อหมินเอาไว้ เขารู้สึกว่าหัวใจแทบจะหยุดเต้นและยากนักที่จะขยับเขยื้อน นับประสาอะไรกับการหยุดยั้งมือสังหาร

 

“ไม่ดีแล้ว!”

 

หัวใจของซูชื่อหมินสั่นสะท้าน

 

ในตอนนี้

 

จอมยุทธคนอื่นๆ ของตระกูลซูก็เริ่มรู้สึกตัวแล้วเช่นกัน ต่างรีบวิ่งกันขึ้นไปบนแท่นเวทีอย่างว่องไว พยายามที่จะปกป้องคู่บ่าวสาว

 

“ตาย!!”

 

ร่างหลายต่อหลายร่างก็ผุดขึ้นมาอีกจากมุมมืด แสงสะท้อนจากดาบกะพริบวิบวับ จอมยุทธตระกูลซูที่เตรียมตั้งรับก็ถูกหั่นออกเป็นสองท่อนในทันใด

 

ปึด

 

เลือดอุ่นๆ ไหลทะลักและปลุกทุกคนในลานให้ตื่นตระหนก

 

“นักฆ่าที่แข็งแกร่งระดับนี้?”

 

“ตระกูลซูไปสร้างความขุ่นเคืองให้ใครกัน?”

 

จอมยุทธหลายคนสั่นสะท้านและเริ่มหนีกระจายกันไปทุกทิศทาง

 

ภัยร้ายมาถึงจึงต้องแยกย้ายกันหนี

 

พวกเขามาเพื่อแสดงความยินดีกับตระกูลซูเท่านั้นไม่ได้มาที่นี่เพื่อสละชีวิตตนเพื่อตระกูลซู

 

หากพลังของมือสังหารไม่ได้แข็งแกร่งอะไรนัก จอมยุทธเหล่านี้คงคิดที่จะออกหน้าเพื่อสร้างความโปรดปรานจากตระกูลซูเสียหน่อย

 

แต่เมื่อพิจารณาจากสถานการณ์ในโถงพิธีแล้ว มือสังหารเหล่านี้น่ากลัวถึงขีดสุด

 

หากกล้าเข้าไปขัดขวาง จอมยุทธจากตระกูลซูที่ถูกตัดเป็นสองท่อนคงจะเป็นบทเรียนให้ได้เห็นกันแล้ว

 

“แม่นางหยุน รีบไป”

 

ในตอนนี้ เจ้าบ่าวอย่างหลี่เชิงตระหนักถึงสถานการณ์ตรงหน้าอย่างชัดเจน และผลักซูเยว่หยุนออกไป

 

“ถ้าจะตายก็ต้องตายด้วยกัน”

 

ซูเยว่หยุนจับแขนหลี่เชิงเจ้าบ่าวของนางเอาไว้

 

ซู่ว!

 

ในพริบตา

 

มือสังหารก็เขามาใกล้ซูเยว่หยุนในระยะน้อยกว่าสิบเมตร

 

ด้วยความเร็วของมือสังหาร ระยะทางเท่านี้มันเกือบจะเคลื่อนผ่านได้ในชั่วพริบตา

 

“แม่นางหยุน ทำไมเจ้าต้องทำเยี่ยงนี้”

 

บนแท่นพิธี เจ้าบ่าวหลี่เชิงยิ้มอย่างขมขื่นและมองไปที่ซูเยว่หยุนที่เกาะแขนเขาไว้แน่น

 

 

“มันจบแล้ว”

 

ห่างออกไปไม่ไกลนัก มือสังหารที่ยับยั้งซูชื่อหมินด้วยจิตสังหารพยักหน้าเล็กน้อย

 

ตอนนี้

 

ทุกอย่างเกือบจะถึงบทสรุปแล้ว

 

มันจึงไม่ต้องเฝ้าดูอีกต่อไป

 

สำหรับตระกูลเล็กๆ ที่ห่างไกลความเจริญเช่นตระกูลซู การพยายามหยุดยั้งพวกมันเท่ากับเป็นความฝันโง่ๆ

 

แต่ยามเมื่อมือสังหารในสามระดับบนมองผ่านเจ้าบ่าวหลี่เชิงคนที่กำลังหลับตาแน่นเฝ้ารอความตายที่ใกล้มาถึง มันก็เตรียมจะหันหลังจากไป

 

“เฮ้อ…”

 

เสียงถอนหายใจเบาๆ ดังขึ้นข้างหูของมัน

 

“เป็นผู้ใด?”

 

มือสังหารสามระดับบนตกใจและเงยหน้าขึ้นทันที

 

อย่างไรก็ตามภาพที่เห็นจะเป็นภาพจำที่เขาไม่มีวันลืม

 

แสงสีทองอ่อนๆ ทอแสงกระจายพลังแห่งพุทธคุณออกมา มือสังหารในสามระดับบนคนนั้นก็มองเห็นร่างคลุมเครือเดินเข้ามา

 

ร่างคลุมเครือนั้นอยู่ท่ามกลางแสงแห่งพุทธคุณ และมีภาพมายาเป็นดอกบัวสีทองเบ่งบานออกช้าๆ พร้อมกับเสียงธรรมที่มีมนต์ขลัง คนด้านในเดินอย่างเคร่งขรึมมาทางมันทีละก้าวๆ

 

ราวกับเขากำเนิดมาจากแสงแห่งพุทธานุภาพ

 

 

————————————

[1] หนึ่งส่วน หมายถึง หนึ่งส่วนจากสิบส่วน 1/10

[2] องค์ชายในที่นี้ไม่ได้หมายถึงเพียงแค่บุตรชายขององค์จักรพรรดิถัง แต่ส่วนใหญ่สื่อถึงพี่น้องร่วมสายเลือดเดียวกันกับองค์จักรพรรดิ

Sign in Buddha’s palm 44 แปลกพิกล

 

 

ที่เขาหวู่หนาน

 

ซูฉินมัวแต่หมกมุ่นอยู่กับกลมารฟ้า

 

ในฐานะที่มันเป็นสุดยอดความลับของพรรคมาร ระดับของวิชากลมารฟ้าคงจะจัดอยู่ในยี่สิบอันดับแรกในบรรดาทักษะวิชาที่ซูฉินเชี่ยวชาญเป็นแน่

 

โดยเฉพาะอย่างยิ่งบทสุดท้ายของกลมารฟ้า วิถีเพาะเมล็ดพันธุ์ปีศาจอันเป็นแก่นของวิทยายุทธฝ่ายมาร ระดับความซับซ้อนของมันถึงขั้นติดอันดับหนึ่งในสิบได้เลย เป็นรองก็แต่วิชาฝ่ามือยูไล กับเคล็ดวิชาจำนวนหนึ่งของมารพุทธะ

 

“แก่นวิถีมารเพาะเมล็ดพันธุ์ปีศาจ”

 

“ด้วยวิถีเต๋าเข้าสู่มาร”

 

“ด้วยการเป็นมารสู่วิถีเต๋า”

 

รูปแบบอักขระวิถีทางแห่งมารจำนวนนับไม่ถ้วนพุ่งชนกันไปมาภายในจิตของซูฉิน หลอมรวมเข้าด้วยกันแล้วระเหิดหาย

 

หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วโมง

 

ซูฉินก็ค่อยๆ ลืมตาขึ้น

 

“แก่นวิถีมารเพาะเมล็ดพันธุ์ปีศาจสมกับชื่อเสียงที่ได้ยินมาจริงๆ”

 

ในส่วนลึกของนัยน์ตาซูฉินนั้นมีร่องรอยมารร้ายปรากฏขึ้นจางๆ แต่หลังจากนั้นเจตจำนงแห่งมารทั้งหมดก็ถูกองค์ยูไลทองคำระงับไป

 

“น่าเสียดายที่วิถีมารไม่ใช่ทางที่ข้าอยากจะเดิน”

 

ซูฉินส่ายหัวเล็กน้อย

 

แม้แต่เคล็ดวิชาประจำตัวของมารพุทธะเขาก็ใช้เพื่อเรียนรู้และอ้างอิงเท่านั้น ไม่ได้ใช้เป็นวิชาหลัก

 

“ใกล้จะถึงเวลาแล้ว”

 

ซูฉินเงยหน้าขึ้นมองขอบฟ้า ก้าวเท้าออกไปข้างหน้าแล้วทั้งร่างก็หายไปจากสถานที่นั้น

 

 

เยี่ยนเฉิง ภูมิภาคคัง (คังโจว)

 

เยี่ยงเฉิงเป็นเมืองเล็กๆ ที่ไม่เป็นที่สะดุดตานักในอาณาจักรของราชวงศ์ถัง แต่วันนี้เยี่ยนเฉิงกลับมีชีวิตชีวา ถนนเต็มไปด้วยโคมไฟหลากสี

 

นอกจากนี้ยังมีจอมยุทธที่มักไม่ค่อยได้พบเห็นในช่วงเวลาปกติ แต่ตอนนี้สามารถพบเห็นได้หลังจากเดินไปไม่กี่ก้าวเท่านั้น

 

เพราะวันนี้เป็นวันมงคลสมรสของบุตรีตระกูลซู จัดขึ้นที่เมืองเยี่ยน (เยี่ยนเฉิง)

 

ตระกูลซูเป็นตระกูลที่ใหญ่ที่สุดในเยี่ยนเฉิง และหัวหน้าตระกูลซูชื่อหมินใช้โอกาสนี้ในการเชิญเหล่าวีรบุรุษของเมือง พรรคน้อยใหญ่ย่อมต้องมาร่วมเพื่อเป็นการรักษาไมตรีต่อหัวหน้าตระกูลซู

 

นอกจากนั้น

 

ซูชื่อหมินไม่เพียงแต่จะเป็นหัวหน้าตระกูลซู แต่ยังเป็นผู้ฝึกยุทธในระดับชั้นที่ห้า

 

บางทีในทั่วทั้งเขตแดนราชวงศ์ถังทั้งหมด ผู้ฝึกยุทธระดับชั้นที่ห้าไม่ได้นับเป็นตัวอะไรเลย แต่สำหรับที่คังโจวที่แสนห่างไกล ผู้ฝึกยุทธที่มีฝีมือถึงระดับชั้นที่ห้าถือเป็นผู้แข็งแกร่งอย่างแน่นอน

 

ประตูคฤหาสน์ต้อนรับผู้คนที่ยืนต่อแถวยาวเหยียด จอมยุทธจำนวนนับไม่ถ้วนต่างทยอยกันเข้ามาเรื่อยๆ

 

ตระกูลซูที่ร่ำรวยและใจกว้างได้เชิญเหล่าสุภาพชนในคังโจวมาเข้าร่วมงาน ตราบใดที่มาที่นี่เพื่อแสดงความยินดีกับบุตรีตระกูลซู พวกเขาก็สามารถเข้าไปรับ‘ไวน์แต่งงาน‘ได้สักแก้วในคฤหาสน์ตระกูลซู

 

แน่นอนว่าเรื่องของไวน์นั้นเป็นเรื่องรอง เหล่าจอมยุทธทั้งหลายล้วนได้ประโยชน์จากการใช้โอกาสนี้รวมตัว พบปะพูดคุยกัน

 

ตอนนี้

 

ภายในคฤหาสน์ตระกูลซู

 

จอมยุทธจำนวนนับไม่ถ้วนจากคังโจวยังคงพูดคุยกันอยู่ตลอด

 

“เอ๋?”

 

“พระก็ดื่มได้ด้วยงั้นหรือ?”

 

ในตอนนั้นเองมีชายหนุ่มคนหนึ่งมองไปยังพระหนุ่มที่กำลังจะหยิบแก้วไวน์ขึ้นมาแล้วพูดติดตลก

 

ชายหยาบโลนคนนี้ไม่ได้มีความหมายอื่นแอบแฝง ที่นี่ตอนนี้มันมีทั้งปลาและมังกรมารวมตัวอยู่ในคฤหาสน์ตระกูลซู และไม่ว่าพระหนุ่มคนนี้จะเป็นเพียงปลาหรือเป็นมังกร เขาก็ไม่อาจทราบได้

 

“เป็นพระ?”

 

พระหนุ่มยิ้มตอบ

 

พระหนุ่มรูปนี้ก็คือซูฉินที่รีบร้อนเดินทางมานั่นเอง

 

“ข้าไม่เคยได้ยินองค์ยูไลกล่าวห้ามพระสงฆ์จากการดื่ม”

 

ซูฉินมองไปที่ชายที่ดูหยาบโลนอย่างช้าๆ แบบไม่ได้ใส่ใจมากนัก

 

หลังจากได้ยินคำพูดนั้นชายที่ดูหยาบโลนก็ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง และเขาก็รู้สึกว่าที่ซูฉินพูดมาก็ไม่ได้ผิดอะไร

 

แล้วถึงแม้พระสงฆ์จะเว้นจากเนื้อสัตว์ ปลา และของมึนเมา แต่กฎข้อบังคับเหล่านี้ล้วนมีมาช้านานและไม่มีใครสามารถพิสูจน์ได้ว่ากฎเหล่านี้เป็นพระวจนะจากองค์ยูไลจริงๆ

 

หากองค์ยูไลไม่ได้กล่าวสิ่งเหล่านี้จริงๆ ไยจึงต้องปฏิบัติตาม?

 

“เจ้าเป็นพระที่น่าสนใจดีนี่”

 

ชายหยาบโลนกล่าวพร้อมยิ้มกว้าง

 

เขาเดินทางไปเหนือจรดใต้ พบเห็นผู้คนมากมาย รวมถึงพระหลายต่อหลายรูป

 

แต่พระที่ชายหยาบโลนพบเจอล้วนแต่คร่ำครึ เป็นครั้งแรกที่พบพระที่สบายๆ ง่ายๆ เช่นซูฉิน

 

ซูฉินไม่ได้สนใจชายหยาบโลนคนนี้ เขาเหลือบมองไปที่ ‘ไวน์งานแต่ง‘ ที่วางตรงหน้า หยิบมันขึ้นมาอย่างเบามือ ถือค้างไว้ในทิศทางที่ตรงไปยังคฤหาสน์ตระกูลซูจากนั้นจึงดื่มเข้าไปหมดทั้งแก้วในอึกเดียว

 

น้องสาวตัวน้อย ไม่ได้พบเจอกันเสียนาน

 

 

ในเวลาเดียวกัน

 

ส่วนลึกของคฤหาสน์ตระกูลซู

 

ซูเยว่หยุนแสดงสีหน้าไร้อารมณ์

 

“พี่สามจะมาหรือไม่?”

 

ซูเยว่หยุนอดไม่ได้ที่จะถามขึ้นมา

 

ซูชื่อหมิน ผู้นำตระกูลซูที่อยู่ข้างๆ ทำได้แต่ส่ายหัวแล้วกล่าวว่า “วัดเส้าหลินมีกฎเข้มงวดมาก พ่อทำได้เพียงส่งข่าวทางจดหมายเท่านั้น แต่ฉินเอ๋อจะออกมาได้หรือไม่นั้นอยู่นอกเหนือการตัดสินใจของพ่อแล้ว”

 

ซูชื่อหมินถอนหายใจเบาๆ

 

เมื่อสิบห้าปีก่อน ศัตรูของตระกูลซูนาม ‘เหยียนหั่ว‘ บุกเข้ามาและทำให้เขาบาดเจ็บสาหัส

 

ในตอนนั้นซูชื่อหมินคิดว่าการล่มสลายของตระกูลกำลังมาถึงแล้ว และทราบว่าวัดเส้าหลินนั้นง่ายต่อการหลบหนีเข้าไป ดังนั้นจึงต้องกัดฟันส่งบุตรชายคนที่สามของตนเข้าไป

 

ท้ายที่สุดแล้วการบวชเป็นพระตลอดชีวิตคงจะดีกว่าตกตายในเงื้อมมือศัตรู

 

แต่สิ่งที่ซูชื่อหมินไม่ได้คาดคิดมาก่อนนั่นก็คือเขาได้พบเข้ากับผู้พิทักษ์ประจำเขตคังโจว

 

ผู้พิทักษ์เขตมีความชื่นชมเลื่อมใสตัวเขาไม่น้อยจึงยื่นมือช่วยเหลือผลักดันศัตรูของตระกูลซูให้ถอยร่นกลับไป

 

“ทั้งหมดเป็นความผิดของข้าเอง”

 

ซูชื่อหมินถอนหายใจออกมาเบาๆ

 

เขาจะไปคาดคิดได้อย่างไรว่าตระกูลซูจะสามารถรอดปลอดภัยจากภัยพิบัติในครั้งนั้นมาได้?

 

 

ภายในคฤหาสน์ตระกูลซู

 

จอมยุทธมากหน้าหลายตากำลังพูดคุยแลกเปลี่ยนเรื่องราวในยุทธภพอย่างมีความสุข

 

ซูฉินนั่งนิ่งเงียบเชียบ

 

สิบห้าปีผ่านไป หลายสิ่งยังคนเหมือนดังเมื่อก่อน แต่ผู้คนย่อมเปลี่ยนผัน ตัวอย่างเช่น หากให้ตัวเขาไปยืนอยู่ต่อหน้าซูชื่อหมิน อีกฝ่ายก็คงจดจำตนมิได้กระมัง

 

“เจ้ารู้หรือไม่ว่ายังมีนายน้อยสามตระกูลซูอยู่อีกคน?”

 

“นายน้อยสาม?”

 

จอมยุทธเหล่านั้นมองไปรอบๆ อย่างงุนงง

 

พวกเขาเคยได้ยินเพียงพี่ชายใหญ่ตระกูลซู น้องรองตระกูลซู แล้วก็บุตรีตระกูลซูเท่านั้น ส่วนนายน้อยสามตระกูซูนี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาได้ยินคำนี้

 

“ฮี่ฮี่”

 

“เจ้าทุกคนอาจจะไม่รู้”

 

ผู้ชายท่าทางหยาบโลนกล่าวออกอย่างคนที่เหนือกว่า “มันเป็นเรื่องราวเมื่อสิบห้าปีก่อน”

 

ทันทีที่กล่าวคำ มันก็กระตุ้นความอยากรู้อยากเห็นของทุกคน แล้วพวกเขาก็เริ่มถามคำถาม

 

ชายหยาบโลนไม่ได้ปกปิดแล้วกล่าวบอกออกไปตามตรงว่า “สิบห้าปีที่แล้วตระกูลซูประสบภัยพิบัติครั้งใหญ่ หลังหายนะครั้งนั้นนายน้อยสามตระกูลซูก็หายตัวไป ไม่มีใครทราบว่านายน้อยสามคนนี้ไปอยู่ที่ไหน”

 

“แม้แต่ในหมู่สมาชิกของตระกูลซูก็ถูกห้ามไม่ให้แพร่งพรายเรื่องนี้ออกไป”

 

ชายหยาบโลนเล่าพลางเหลือบมองไปรอบๆ แล้วลดเสียงลง พูดขึ้นว่า “ข้าเดาว่านายน้อยสามตระกูลซูน่าจะจบชีวิตลงแล้วจากภัยพิบัติเมื่อสิบห้าปีก่อน”

 

“ไม่เช่นนั้นทำไมเขาไม่ปรากฏตัวออกมาเลยหลังจากผ่านไปหลายปี”

 

การวิเคราะห์ของชายหยาบโลนนั้นมีเหตุผลและได้รับการยอมรับเป็นอย่างดี จอมยุทธคนอื่นๆ ก็ยังแอบพยักหน้า แม้แต่ซูฉินเองยังต้องเหลือบมองชายท่าทางหยาบโลนคนนั้นถึงสองสามครั้ง

 

“พระสงฆ์ท่านนี้ ท่านคิดว่าสิ่งที่ข้ากล่าวมานั้นสมเหตุสมผลหรือไม่”

 

ชายท่าทางหยาบโลนดูเหมือนจะสังเกตเห็นการจับจ้องของซูฉินและหันไปมองซูฉินด้วยรอยยิ้ม

 

“มันก็ดูเข้าทีอยู่”

 

ซูฉินกล่าวคำอย่างจริงจัง

 

ทันใดนั้นเอง

 

ในตอนนี้มีเสียงดังขึ้นมาทางประตูของคฤหาสน์ตระกูลซู

 

“เจ้าบ่าวเจ้าสาวออกมาแล้ว”

 

เมื่อได้ยินเสียงนั้น เหล่าจอมยุทธทั้งหลายก็พากันเข้าไปออที่หน้าประตู

 

พวกเขาต้องการจะรู้ว่าใครกันที่ได้ตบแต่งกับบุตรีตระกูลซู

 

ด้วยความรวดเร็ว

 

ท่ามกลางสายตาของทุกคน ชายในชุดเจ้าบ่าวก็เดินเข้ามา

 

ใบหน้าของชายคนนั้นดูธรรมดา แม้ว่าจะดูมีระดับ สวมเครื่องประดับที่ดูมีค่ามีราคา แต่เขานั้นก็เป็นเพียงคนธรรมดาคนหนึ่ง

 

“อะไรกัน?”

 

“บุตรีตระกูลซูกำลังจะแต่งงานกับคนธรรมดา ไม่ใช่จอมยุทธหรอกหรือ?”

 

ผู้คนในงานมากมายต่างมองหน้ากัน ภายในใจรู้สึกเหลือเชื่อ

 

ตระกูลซูเป็นตระกูลของผู้ฝึกยุทธ แม้แต่ยามเฝ้าประตูก็เป็นผู้ฝึกยุทธ ตัวซูเยว่หยุนบุตรีตระกูลซูก็เป็นผู้ฝึกยุทธเช่นกัน

 

แต่ตอนนี้พวกเขากลับพบว่าลูกเขยของตระกูลซูที่สูงสง่ากลับกลายเป็นเพียงคนธรรมดา

 

เมื่อทุกคนกำลังพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องนี้

 

ซูฉินมองไปที่เจ้าบ่าวอย่างจงใจ

 

“นี่คือ?”

 

ซูฉินเบิกเนตรดวงตาแห่งสัจจะในทันทีแล้วมองไปที่เจ้าบ่าวอย่างระมัดระวัง พลันมีสีสันแปลกๆ ปรากฏขึ้นในการจ้องมองของเขา

นอนตายแน่นิ่ง

 

ทุกอย่างเงียบสนิท

 

จอมยุทธพรรคมารทุกคนที่กำลังเตรียมตัวต้อนรับการออกมาของประมุขพรรค พลันจุกที่ลำคอ ใบหน้าของพวกมันดำคล้ำราวกับขี้เถ้า

 

พวกมันไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะมีบุคคลที่ทรงพลังเช่นนี้อยู่บนโลกด้วย เพียงการโจมตีเดียวประมุขพรรคมารที่แสนยิ่งใหญ่ถึงกับกลายเป็นก้อนเนื้อ

 

ต้องทราบก่อนว่า

 

หลังจากที่ประมุขพรรคมารออกจากการปิดด่านฝึกตน เขาก็ได้เข้าถึงขอบเขตยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งแล้ว

 

ตบยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งจนแดดิ้น?

 

มันเป็นไปได้อย่างไร?!!

 

หากพวกมันไม่ได้เห็นด้วยตาของตัวเอง พวกมันก็คงไม่มีทางเชื่อข้อเท็จจริงนี้แม้ว่าจะถูกทรมานจนตายก็ตาม

 

บางทีราชครูแห่งอาณาจักรเหมิ่งหยวนและนักพรตจางจากเขาหวู่ตั้งคงสามารถทำได้

 

แต่ไม่ว่าจะเป็นราชครูแห่งเหมิ่งหยวนหรือนักพรตจาง พวกเขาล้วนเป็นบุคคลที่ไม่มีใครสามารถเทียบเคียงมานานหลายทศวรรษมิใช่หรือ?

 

แล้วซูฉินเป็นใคร?

 

ในสายตาของจอมยุทธพรรคมาร ซูฉินเป็นเพียงพระหนุ่มรูปหนึ่ง ก่อนหน้านี้พวกมันไม่เคยได้ยินชื่อซูฉินมาก่อนด้วยซ้ำ

 

“เจ้า?!”

 

“เจ้าเป็นใครกัน?”

 

“ข้าไปมีความแค้นอะไรกับเจ้ากัน?”

 

เหยียนหั่วขยับริมฝีปาก เขาดูสิ้นหวัง

 

ตอนนี้เหยียนหั่วรู้แล้วว่าเขากำลังจะตาย

 

ขนาดยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งยังถูกตบจนตาย เหยียนหั่วจะไปต่อต้านอะไรได้?

 

อย่างไรก็ตามก่อนที่เขาจะตาย เหยียนหั่วก็ยังอยากรู้เหตุผลว่าทำไมเขาถึงตาย?

 

แม้ว่าเหยียนหั่วจะเป็นสาวกของพรรคมาร เข่นฆ่าผู้คนมาก็นับไม่ถ้วน แต่เขาไม่เคยยั่วยุบุคคลที่น่ากลัวเช่นซูฉินมาก่อน

 

“ที่ข้าฆ่า….”

 

ซูฉินส่ายศีรษะของตน “ไม่จำเป็นต้องมีเหตุผล”

 

ในเวลาต่อมา

 

แสงแห่งชีวิตในดวงตาของเหยียนหั่วก็หรี่ลงอย่างรวดเร็ว ทั้งร่างร่วงลงสู่พื้นทั้งแบบนั้นพร้อมกับเสียงหายใจรวยริน

 

“บางทีคงต้องสังหารพวกนี้ให้หมด”

 

ซูฉินมองไปที่จอมยุทธพรรคมารคนอื่นๆ ในห้องโถง

 

จอมยุทธฝ่ายอธรรมพวกนี้มือของพวกมันแดงฉานไปด้วยเลือด และการลงมือของซูฉินก็ถือได้ว่าเป็นการกำจัดอันตรายให้พ้นไปจากผู้บริสุทธิ์

 

ถ้าเป็นเหล่าพระผู้ใหญ่รูปอื่นของวัดเส้าหลินมาอยู่ที่นี่ตอนนี้ พวกเขาคงพยายามจะสั่งสอนให้มารร้ายพวกนี้เกิดปัญญาเสียก่อนเป็นอันดับแรก ส่วนที่เลวร้ายเกินจะสั่งสอนก็คงถูกจับไปคุมขังในหอคอยสะกดมาร

 

แต่ซูฉินขี้เกียจเกินไปที่จะทำเช่นนั้น

 

แม้ว่าเขาจะอยู่ในวัดเส้าหลินมากว่าสิบห้าปีแล้ว แต่เขาก็ไม่ได้เรียนรู้แนวความคิดในทุกๆ เรื่องของเส้าหลิน

 

แม้จะเป็นองค์ยูไล ก็ยังมีปางวัชระแห่งความโกรธามาแทนที่ความเมตตาอย่างหน้ามืดตามัว

 

หลังจากนั้นไม่นาน

 

ซูฉินก็เดินออกจากห้องโถงใหญ่นั่น

 

สาวกพรรคมารคนอื่นที่อยู่ด้านนอกโถงใหญ่ ต่างก็ไม่ได้รู้เรื่องที่ประมุขพรรค รองประมุขพรรค และจอมยุทธในสามระดับบนมากกว่าหนึ่งโหลได้ตกตายลงไปหมดแล้ว

 

“ข้าคงไม่ต้องกังวลพวกปลาซิวปลาสร้อยพวกนี้”

 

ซูฉินไม่ได้สนใจจอมยุทธพรรคมารคนอื่นๆ

 

เหตุผลหลักก็คือพวกระดับสูงของพรรคมารต่างก็ถูกซูฉินกวาดล้างไปหมดแล้วเมื่อสักครู่ และจอมยุทธที่ยังเหลืออยู่ด้านนอกคงไม่สามารถสร้างคลื่นลมใดต่อยุทธภพได้อีก

 

หลังจากนี้ไม่กี่ชั่วยามหลังเรื่องในห้องโถงถูกแพร่กระจายออกไป เกรงว่าผู้อื่นจะมิต้องกระทำการใด เหล่าจอมยุทธพรรคมารคงกระจัดกระจายหนีกันออกไปเองเสียด้วยซ้ำ

 

เมื่อสูญเสียยอดยุทธชนชั้นปกครองในสามระดับบนไป พรรคมารก็เปรียบได้กับสูญเสียกระดูกสันหลัง ไม่คุ้มค่าที่จะกล่าวถึงอีกต่อไป

 

และแน่นอน

 

จุดสำคัญที่สุดคือมีจอมยุทธพรรคมารหลายพันคนกระจายตัวอยู่ทั่วเขาหวู่หนาน

 

แม้ว่าซูฉินจะมีดวงตาแห่งสัจจะในการจับตำแหน่งจอมยุทธพรรคมาร แต่ก็ต้องใช้เวลาอย่างน้อยสองถึงสามชั่วโมงในการจับพวกมันทั้งหมดในคราวเดียว

 

เขาไม่สามารถมาเสียเวลาอยู่ที่นี่ได้ ไม่เช่นนั้นมันจะทำให้การกลับไปตระกูลซูล่าช้าลงกว่าเดิม

 

ถ้าเป็นเช่นนั้นคงไม่คุ้มกับเวลาที่เสียไป

 

“ข้างนอกยังมีอันตรายมากกว่าที่วัดเส้าหลินอีกมาก…”

 

ซูฉินถอนหายใจแผ่วเบา

 

ในวัดเส้าหลินแม้ว่าซูฉินจะได้พบยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่ง แต่ยอดปรมาจารย์เหล่านั้นก็เป็นเหมือนกับจิ่วชื่อซานเหรินซึ่งทั้งพลังชีวิตและเลือดเนื้อได้เสื่อมสลายลงไปแล้ว และเพียงรอให้ความชราภาพมาพรากพวกเขาไป อย่างเหล่าสงฆ์ศักดิ์สิทธิ์ที่ใช้วิธีต้องห้ามในการต่อชีวิต

 

สำหรับยอดปรมาจารย์ที่มีพลังชีวิตและเลือดเนื้อที่แข็งแกร่งกลับไม่เคยพบเจอเลย

 

แต่ยามนี้เพียงไม่ถึงครึ่งวันหลังจากที่ซูฉินออกจากวัดเส้าหลิน เขาก็ได้พบกับยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งที่เพิ่งก้าวผ่านระดับขั้นมาได้ในทันที…

 

แม้ว่ายอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งคนนั้นจะโดนซูฉินตบจนตาย แต่ซูฉินก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ

 

ด้านนอกนั้นฟ้าสูงแผ่นดินใหญ่

 

วันนี้มียอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งโผล่มา บางทีสักวันก็คงมีระดับ‘อรหันต์‘โผล่มาเหมือนกันกระมัง?

 

“หลังกลับจากการไปเยี่ยมตระกูลซูครั้งนี้ ข้าจะต้องไปให้ถึงระดับอรหันต์ให้จงได้”

 

ซูฉินตัดสินใจอยู่ภายในความคิด

 

ด้วยพลังภายในบริสุทธิ์จากการเผาด้วยเพลิงมารผลาญสวรรค์ ไม่ช้าก็เร็วซูฉินจะเข้าสู่การแปรสภาพพลังภายในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า

 

เมื่อองค์ประกอบทั้งสามนั่นคือ จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ ร่างกาย และกำลังภายในรวมกันเป็นหนึ่งได้อย่างสมบูรณ์ ซูฉินก็พร้อมที่จะท้าทายระดับชั้นอรหันต์

 

“หนังสือโบราณในศาลาพระคัมภีร์บันทึกไว้ว่า เพื่อที่จะบรรลุสถานภาพอรหันต์ ไม่เพียงแต่จะต้องอาศัยการแปรสภาพของพลังภายใน ร่างกาย และจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ทั้งสามอย่างเท่านั้น แต่ยังต้องเข้าใจถึงกระแสพลังแห่งฟ้าดินด้วย”

 

ซูฉินคิดเงียบๆ ในใจ

 

ทั่วยุทธภพแม้ว่ายอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งจะหายากมาก แต่ก็มีจำนวนมากที่กำเนิดขึ้นมาในแต่ละยุคสมัย

 

แม้แต่ระดับจุดสูงสุดก็ยังมีอยู่ให้เห็น

 

ตัวอย่างในยุคนี้ก็เช่น ราชครูแห่งอาณาจักรเหมิ่งหยวน นักพรตจางแห่งเขาหวู่ตั้ง และจ้าวกงกงประจำราชวงศ์ถัง ล้วนเป็นผู้ที่มีชื่อเสียงโด่งดังที่สุด

 

แต่ระดับ ‘อรหันต์‘ หรือตำนานยุทธ ยากที่จะหาพบ อาจจะมีอยู่สักหนึ่งคนหลังจากผ่านไปหลายยุค หรือมองหาไปทั่วในหลายพื้นที่

 

ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น?

 

เพราะมันยากเย็นเกินไปน่ะสิ

 

สำหรับจอมยุทธทั่วๆ ไป ไม่ว่าพวกเขาจะมีความสามารถมากเพียงใด ในการฝึกฝนจนถึงขอบเขตระดับชั้นที่หนึ่งและการแปรสภาพความแข็งแกร่งของร่างกาย กำลังภายใน และจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ พวกเขาจะต้องใช้เวลาอย่างน้อยก็หนึ่งร้อยหรือเกือบสองร้อยปี

 

ช่วงชีวิตของยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งอย่างมากสุดก็อยู่ได้ถึงสองร้อยปี

 

โดยทั่วไปแล้วการจะไปถึงระดับจุดสูงสุดของการแปรสภาพพลังทั้งสามครั้ง หากไม่ได้มีโอกาสอย่างซูฉินที่สามารถหลอมกายเนื้อด้วยพลังจากหยินและหยาง กว่าจะไปถึงจุดนั้นพวกเขาก็คงใกล้ถึงจุดสิ้นสุดของช่วงชีวิตแล้ว

 

ในเวลานั้นยอดปรมาจารย์ระดับจุดสูงสุดยังคงต้องใช้ความอดทนในการเข้าใจให้ลึกซึ้งถึงพลังฉีในชั้นฟ้าดินเพื่อที่จะไปถึงขอบเขตระดับที่สูงขึ้น

 

หากเจ้าไม่สามารถทำความเข้าใจได้ คงเพียงทำได้แต่นอนรอความตายก็เท่านั้น

 

อย่างไรก็ตามสำหรับซูฉินแล้ว ทั้งหมดนี้หาใช่ปัญหาไม่

 

ตามการคาดการณ์ของซูฉิน เขาจะสามารถแปรสภาพกำลังภายในของเขาได้อย่างสมบูรณ์ก่อนอายุถึงสามสิบปี

 

ในเวลานั้นซูฉินยังมีเวลาอีกสามร้อยเจ็ดสิบปีในการทำความเข้าใจกระแสพลังฉีฟ้าดิน

 

ด้วยเงื่อนไขทั้งหมดทั้งมวลนี้ หากซูฉินยังไม่สามารถเข้าใจมันได้อีก ก็แสดงว่าขอบเขตของระดับ ‘อรหันต์‘ ก็ไม่น่ามีอยู่จริงบนโลกนี้แล้ว

 

ต้องบอกอีกครั้ง

 

ดวงตาแห่งสัจจะสามารถทำให้เข้าใจได้อย่างถ่องแท้เกี่ยวกับกลไกพลังฉีทั้งหมด และบางทีรูปแบบพลังฉีที่จำเป็นสำหรับการทะลวงผ่านขั้นไปเป็นระดับ ‘อรหันต์‘ ก็อาจจะอยู่ในขอบเขตความสามารถของดวงตาแห่งสัจจะเช่นกัน

 

“โอ้ จริงสิ”

 

“ที่นี่เป็นฐานหลักของพรรคมารในยุทธภพนี่ มันควรจะมีสิ่งที่เรียกว่า ‘เต๋าสะสม‘ อยู่สิ ข้าสามารถลงชื่อเข้าใช้ที่นี่ได้หรือไม่นะ?”

 

ซูฉินนึกถึงเรื่องบางอย่างได้ในทันใดและพูดในใจเงียบๆ

 

“ระบบ ลงชื่อเข้าใช้!”

 

ในเวลาถัดมา

 

[ขอแสดงความยินดี โฮสต์ลงชื่อเข้าใช้สำเร็จ ได้รับวิชาต้องห้าม ‘กลมารฟ้า‘]

 

“กลมารฟ้า?”

 

ใบหน้าของซูฉินปรากฏความประหลาดใจ

 

กลมารฟ้าเป็นความลับสุดยอดของพรรคมาร ตามที่ได้ยินข่าวลือมามีเคล็ดวิชาหลายต่อหลายวิชาของพรรคมารที่มีต้นกำเนิดมาจากกลมารฟ้า

 

นัยหนึ่ง ถ้าไม่มีกลมารฟ้าก็อาจจะไม่มีพรรคมารอยู่ในยุทธภพอย่างปัจจุบันนี้

 

“มันคือกลมารฟ้า!”

 

ดวงตาของซูฉินสว่างไสวขึ้นมา

“ผู้ใด?!”

 

ดวงตาแหลมคมดุจเหยี่ยวของรองประมุขพรรคมารจ้องตรงออกไปนอกห้องโถง พลังมารอันน่าหวาดหวั่นพวยพุ่งฟุ้งเต็มชั้นบรรยากาศโดยรอบ

 

จอมยุทธพรรคมารคนอื่นๆ ในห้องโถงก็มีสีหน้าเปลี่ยนไปเช่นกัน พวกมันต่างก็เป็นผู้เยี่ยมยุทธในสามระดับบน แต่ไม่มีใครในพวกมันสังเกตเห็นถึงคนที่มาใหม่

 

ต้องรู้ว่านี่คือแกนนำหลักของพรรคมาร มีจอมยุทธพรรคมารนั่งอยู่มากมายตรงนี้ แต่เมื่อใดกันที่มีใครบางคนบุกรุกเข้ามาได้โดยที่พวกเขาไม่รู้ตัว

 

นี่ย่อมเป็นเหมือนการกระตุ้นยั่วยุพรรคมารทั้งหมด

 

ทันใดนั้นเหล่าจอมยุทธพรรคมารต่างก็รวบรวมกำลังภายในเตรียมการให้สามารถใช้ออกได้ทุกเมื่อ

 

ท่ามกลางสายตาของทุกคน พระหนุ่มจีวรเทาค่อยๆ เดินเข้ามาในห้องโถง

 

“พระสงฆ์?”

 

รองประมุขพรรคมารขมวดคิ้ว

 

เดิมทีพวกเขาคิดว่าผู้มาใหม่จะต้องเป็นยอดยุทธชราฝ่ายธรรมะในสามระดับบน แต่พวกเขาไม่คาดคิดว่าจะเป็นพระรูปหนึ่ง?

 

พระส่วนใหญ่ในราชวงศ์ถังมักจะมาจากวัดเส้าหลิน

 

แม้ว่าวัดเส้าหลินจะเป็นหนึ่งในสำนักฝ่ายธรรมะ แต่ก็เพิกเฉยต่อการกระทบกระทั่งกันในยุทธภพเสมอมา

 

ตามหลักเหตุและผลแล้ว ไม่ควรมีพระจากวัดเส้าหลินมาปรากฏตัวที่ฐานที่ตั้งของพรรคมารด้วยความตั้งใจของตนเองได้

 

“รองประมุขพรรค นี่คือคนที่ต้องการจะพบผู้คุมกฎเหยียนที่ข้าได้บอกเมื่อครู่”

 

เมื่อสาวกพรรคมารเห็นซูฉินก็อุทานออกมา

 

“หือ?”

 

รองประมุขพรรคมารหันไปมองเหยียนหั่วที่อยู่ไม่ไกล

 

“ในที่สุดข้าก็พบเจ้าแล้ว”

 

สายตาของซูฉินจ้องไปที่ใบหน้าของเหยียนหั่ว รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนหน้า

 

แม้ว่าดวงตาแห่งสัจจะจะสามารถตรวจจับพลังฉีได้ทั้งหมด ตราบที่ซูฉินได้เห็นมันเข้าแล้วครั้งหนึ่ง ก็จะสามารถจับตำแหน่งนั้นได้อย่างรวดเร็วแม้จะอยู่ห่างไกลออกไปเป็นพันลี้

 

แต่ซูฉินไม่เคยพบเห็นเหยียนหั่วมาก่อน

 

เนื่องจากไม่เคยเห็นเหยียนหั่ว เขาจึงไม่สามารถค้นหาเหยียนหั่วได้อย่างรวดเร็วนักท่ามกลางจอมยุทธหลายพันคนบนภูเขาหวู่หนานอย่างเช่นตอนนี้

 

ดังนั้นซูฉินจึงไม่ได้บุกเข้าไปในทันที เพื่อความแน่ชัดในการตามหา ‘เหยียนหั่ว‘ เขาจึงรอให้สาวกของพรรคมารพาเขามาหาเหยียนหั่ว

 

“มาหาข้า?”

 

เหยียนหั่วขมวดคิ้วเข้าหากัน

 

“มิผิด ข้ากำลังมองหาเจ้า…”

 

ซูฉินพยักหน้า ยิ้มที่มุมปาก “เพื่อฆ่าเจ้า”

 

เมื่อคำนี้กล่าวออกมา

 

จอมยุทธพรรคมารทุกคนในห้องโถงเกือบจะคิดว่าตนเองได้ยินผิดไปเสียแล้ว

 

มาเคาะประตูพรรคมารเพื่อจะฆ่าผู้คุมกฎของพรรค?

 

“ช่างกล้านัก!!”

 

รองประมุขพรรคแค่นหัวเราะออกมา แต่ภายในนั้นโกรธเกรี้ยว

 

แรกเริ่มเดิมทีตัวมันคิดจะทดสอบซูฉินเสียก่อน อย่างไรเสียพระรูปนี้ก็ปรากฏตัวขึ้นมาอย่างเงียบงัน จะต้องมีความมั่นใจมากพอตัวทีเดียว

 

แต่ตอนนี้เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายพูดพล่ามไร้สาระเช่นนี้ รองประมุขพรรคมารก็มิอาจกลั้นความรู้สึกต่อไปได้อีก

 

“มอบชีวิตของเจ้ามาเสีย!!”

 

รองประมุขพรรคมารหัวเราะเยาะเย้ย พลังมารสั่นไหวกลายเป็นตาข่ายร่วงลงมาจากฟ้าเข้าปกคลุมซูฉิน

 

รองประมุขพรรคมารเป็นปรมาจารย์ระดับชั้นที่สอง และด้วยความโกรธเกรี้ยวเขาก็ปล่อยพลังทั้งหมดออกมา

 

ปรมาจารย์ระดับชั้นที่สองทั่วไปยังต้องล่าถอยเมื่อเผชิญหน้ากับการโจมตีของรองประมุขพรรคมารนี้ และแม้กระทั่งยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งก็ยังต้องหน้ามุ่ยอยู่เหมือนกัน

 

สามารถพูดได้ว่า

 

ไม่มีใครในพรรคมารที่ป้องกันการโจมตีนี้ได้ ยกเว้นก็แต่ประมุขพรรค ซึ่งเมื่อรับการโจมตีเข้าไป ตัวประมุขเองยังต้องก้าวถอยหลัง

 

อย่างไรก็ตาม

 

ท่ามกลางสายตาที่จ้องมองอย่างมีความสุขของเหล่าจอมยุทธพรรคมาร

 

ซูฉินไม่ได้เหลียวมองรองประมุขพรรคมารด้วยซ้ำ เขายกมือแบบธรรมดาๆ แล้วชี้นิ้วออกไป

 

ฟิ่ว!!

 

พลังอันแข็งกล้าพุ่งฝ่าพลังมารออกไป และมันก็ทะลุคิ้วของรองประมุขแห่งพรรคมารได้โดยตรง

 

“นี่เจ้า?”

 

รองประมุขพรรคมารเบิกตากว้างและล้มพับลงกับพื้น

 

ก่อนที่จะตาย รองประมุขพรรคมารไม่คาดคิดเสียด้วยซ้ำว่าตัวเขาผู้เป็นปรมาจารย์ระดับชั้นที่สองจะไม่สามารถทานทนได้แม้แต่การโจมตีเพียงครั้งเดียวจากศัตรู

 

และตายไปอย่างโดดเดี่ยว

 

ทั้งห้องโถงตกอยู่ในความเงียบ อวลไปด้วยความตกใจ

 

ความหนาวเย็นปะทุขึ้นในใจของจอมยุทธพรรคมารทุกคน

 

มองไปยังเหตุการณ์ตรงหน้า นี่รองประมุขพรรคซึ่งมีระดับขั้นพลังสูงกว่าพวกเขากลับตกตายลงไปแล้วอย่างนั้นหรือ?

 

ในทันใดนั้นเอง

 

จอมยุทธพรรคมารหลายคนพลันหน้าซีดคิดที่จะถอยหนี

 

ผู้คนในพรรคมารต่างมีความเห็นแก่ตัวอยู่แล้ว เห็นแก่ตัวถึงขนาดที่รองประมุขพรรคได้ตายลงไป แต่พวกเขาไม่คิดแก้แค้น คิดเพียงว่าจะหลบหนีออกไปได้อย่างไร

 

“กระบวนท่าเมื่อครู่ต้องกินกำลังมันไปมากแน่ ถ้าตอนนี้พวกเรารวมพลังกัน ข้ามั่นใจว่าต้องสังหารมันลงได้”

 

ในขณะนั้นก็มีจอมยุทธพรรคมารระดับชั้นที่สามตะโกนขึ้นมาว่า “ใครสามารถสังหารมันได้ด้วยมือของตน จะได้รับรางวัลอย่างงามเมื่อประมุขพรรคออกมา”

 

เมื่อจอมยุทธพรรคมารคนอื่นได้ยินคำกล่าวนั้น ดวงตาของพวกเขาก็แวววับและเตรียมที่จะเคลื่อนไหว

 

แต่ก็เท่านั้น

 

ในเวลาต่อมา

 

ซูฉินก้าวไปข้างหน้า ยื่นมือขวาเรียวยาวแล้วตบลงไปในอากาศ

 

เปรี้ยง!

 

พลังภายในที่น่าสะพรึงกลัวฟาดปะทะราวกับค้อนหนักหวดเข้าใส่จอมยุทธพรรคมารหลายต่อหลายคน

 

ปัง

 

ปัง

 

ปัง

 

ร่างของจอมยุทธพรรคมารอย่างน้อยๆ ก็สิบคนที่อยู่ในสามระดับบน ร่างแตกกลายเป็นแอ่งเลือด

 

“น่ะ..นี่คือ?”

 

พวกจอมยุทธพรรคมารที่เหลือต่างรู้สึกเย็นยะเยือกจับขั้วหัวใจ และแทบจะทรุดลงไปกับพื้นด้วยความตกใจ

 

ต้องรู้ก่อนว่าพรรคมีจอมยุทธในสามระดับบนเพียงแค่ยี่สิบคน แต่เพียงลูกตบของซูฉิน พวกเขาส่วนใหญ่ก็ได้ตกตายลงไปเสียแล้ว

 

นี่เขายังเป็นมนุษย์อยู่หรือไม่?

 

ทันใดนั้น

 

ในส่วนลึกของห้องโถงใหญ่ มีพลังมารอันรุนแรงปะทุออกมา

 

“เจ้ากล้ามาเข่นฆ่าผู้คนที่นี่ได้เยี่ยงไร เจ้าต้องการจะประกาศสงครามกับพรรคมารงั้นรึ?”

 

ไอพลังมารที่แสนน่ากลัวพวยพุ่งไปทั่วฟ้านั้นลอยมาจากส่วนลึกของโถงใหญ่

 

ทันทีที่ไอพลังนี้ปรากฏขึ้นสีหน้าของเหล่าสาวกพรรคมารต่างเปลี่ยนเป็นดีใจ

 

“นั่นคือท่านประมุขพรรค ท่านประมุขได้ออกมาแล้ว”

 

“ใช่ ก่อนที่ท่านประมุขจะปิดด่านฝึกตนท่านก็อยู่จุดสูงสุดของระดับชั้นที่สองแล้ว และหลังจากออกมาจากการกักตนอย่างน้อยท่านก็ต้องกลายเป็นยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่ง!!”

 

“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า ลาหัวโล้น จงคุกเข่าอ้อนวอนขอความเมตตาเสีย!”

 

จอมยุทธฝ่ายอธรรมเต็มเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจขึ้นมาทันที แล้วตะโกนใส่ซูฉิน

 

“ประมุขพรรค?”

 

ซูฉินหันเหสายตา มองลึกเข้าไปในห้องโถง

 

ก่อนที่จะเข้ามาในเขาหวู่หนาน ซูฉินได้รู้ผ่านดวงตาแห่งสัจจะว่ามีกลิ่นอายของยอดฝีมือระดับชั้นที่หนึ่งอยู่ในฐานของพรรคมาร

 

ตอนนี้เหมือนจะทราบแล้วว่าตัวตนที่เพิ่งจะก้าวเข้าสู่ขอบเขตระดับชั้นที่หนึ่งน่าจะเป็นประมุขพรรคมารนี่แหละ

 

เสียงดังกึกก้อง

 

พลังมารแผ่กระจาย

 

ยิ่งประมุขพรรคมารเข้ามาใกล้มากเท่าไหร่ พลังของยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งก็ยิ่งแข็งแกร่งมากเท่านั้น

 

ถึงแม้ประมุขพรรคมารจะเพิ่งเข้าสู่ระดับชั้นที่หนึ่งมาได้เท่านั้น และพลังก็ยังไม่ได้หลอมรวมกันดีนัก แต่ระดับชั้นที่หนึ่งก็คือระดับชั้นที่หนึ่ง

 

แม้ว่าจะเพิ่งก้าวข้ามมา แต่ก็อยู่เหนือระดับชั้นที่สองไปอย่างสิ้นเชิง

 

“ท่านประมุขพรรคออกมาแล้วหรือ?”

 

เหยียนหั่วดีใจมาก

 

ในตอนต้นยามเมื่อเขาได้ยินว่าซูฉินมาที่นี่เพื่อต้องการชีวิตตน ใจเขาก็คิดว่าเป็นเรื่องไร้สาระ และมองข้ามมันไป

 

แต่ยามเมื่อซูฉินตบรองประมุขพรรคและคนอื่นๆ ในสามระดับบนตายเป็นสิบอย่างสบายๆ เหยียนหัวถึงกับตื่นตระหนก

 

เขาเพิ่งเข้าสู่สามระดับบนมา และแม้แต่ตัวรองประมุขพรรคยังยับยั้งการโจมตีของซูฉินไม่ได้ นับประสาอะไรกับตัวเขา?

 

“ยินดีด้วยกับการได้ออกมาขอรับท่านประมุข!”

 

เหยียนหั่วคุกเข่าลงข้างหนึ่ง แล้วพูดด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น

 

ด้วยความแข็งแกร่งของประมุขพรรคมาร ถึงจะไม่สามารถฆ่าซูฉินได้ แต่คงไม่มีปัญหาในการขับไล่ออกไป

 

พอถึงตอนนั้น ไม่ใช่ว่าเหยียนหั่วย่อมจะปลอดภัยแล้วเช่นนั้นหรือ?

 

อย่างไรก็ตาม

 

ในขณะนั้นเอง

 

ทันใดนั้นก็มีเสียงดังขึ้นข้างหูของเหยียนหั่ว

 

“ข้าละอยากรู้จริงๆ ว่าใครที่ให้ความหวังว่าเจ้าจะรอด?”

 

เสียงนี้ลอยเข้ามากระทบหูเหยียนหัวผ่านอากาศอันเบาบาง

 

เหยียนหั่วตกใจเงยหน้าขึ้นมองในทันที แล้วพบว่าซูฉินมายืนที่ด้านข้างตั้งแต่เมื่อใดก็ไม่รู้

 

“ไม่ดีแล้ว”

 

เหยียนหั่วออกอาการตกใจ

 

“ใช่เขาหรือไม่?”

 

“ประมุขพรรคมารคือคนที่สร้างความหวังให้กับเจ้าใช่หรือไม่?”

 

ซูฉินยังคงสงบแม้จะถูกเหยียนหั่วจ้องมอง เขาฟาดฝ่ามือไปทางที่ประมุขพรรคกำลังเข้ามา

 

พลังภายในที่น่าสะพรึงกลัวโจมตีมุ่งตรงไปที่ประมุขพรรคมาร จนทั้งร่างกลายเป็นเพียงก้อนเนื้อ

 

“ตอนนี้มันได้หายไปแล้วล่ะ”

Sign in Buddha’s palm 41 เจ้าไม่จำเป็นต้องทำเช่นนั้น

 

 

“ถะ…ท่านปู่ เมื่อครู่นี้ เราเพิ่งเจอผีกันไปรึ?”

 

เด็กชายพูดติดอ่าง ฟันสั่นกระทบเข้าหากัน

 

ยิ่งรู้น้อยเท่าไหร่ ชีวิตก็ยิ่งมีความสุขมากเท่านั้น ก็เหมือนกับตอนแรกที่เด็กน้อยไม่ได้รู้เรื่องอะไรเลยจึงไม่รู้สึกกลัว แต่ตอนที่ปู่ของเขาได้กล่าวเตือนสติมาแล้ว จะให้เขาทำตัวแบบเดิมอยู่ได้เยี่ยงไร

 

“ปู่ก็ไม่รู้หรอกว่าเราได้เจอผีเข้าให้แล้วหรือเปล่า”

 

“แต่คิดว่าเราได้พบกับผู้เชี่ยวชาญวิทยายุทธเข้าแล้วจริงๆ…”

 

ใบหน้าของชายชราเริ่มสงบลงมากขึ้น เขาหันไปมองเด็กน้อยแล้วพูดว่า “อีกอย่าง เหมือนชายคนนั้นจะกล่าวอะไรบางอย่างเอาไว้ด้วยสินะ?”

 

“เขากล่าวว่าอะไรกันนะ?”

 

เด็กชายตัวเล็กนิ่งคิดแล้วกล่าวตอบออกไปอย่างไม่รู้ตัว “เขากล่าวว่า หิมะจะตกหนักในเร็วๆ นี้ ให้พวกเรารีบกลับบ้านเสีย”

 

“หิมะตกหนัก?”

 

ชายชรามองขึ้นไปบนฟ้าแล้วกล่าวออกมาอย่างไม่มีความลังเลใจแม้แต่น้อย “รีบกลับกันเถอะ และอย่าได้ออกไปข้างนอกอีก”

 

 

 

ที่ตีนเขาหวู่หนาน

 

ซูฉินหยุดฝีเท้าแล้วมองไปที่ภูเขาลูกแรกของยงโจว (ภูมิภาคยง)

 

ซูฉินไม่ค่อยแน่ใจนักเพราะตอนเขาถามทางคู่ปู่หลานพวกเขาดูกลัวเอามากๆ

 

“นี่คือภูเขาหวู่หนานรึ?”

 

ซูฉินใช้ดวงตาแห่งสัจจะกวาดตามองช้าๆ

 

ด้วยดวงตาแห่งสัจจะ เขามองภูเขาหวู่หนานทั้งลูกและเห็นพลังฉีแผ่ออกมาทีละจุดๆ

 

ดวงตาแห่งสัจจะนั้นมีความสามารถในการมองทะลุไปถึงพลังฉีทั้งหมด

 

‘พลังฉี‘ คือสิ่งใด?

 

พลังฉีเป็นสสารที่เกิดจากการพันเกี่ยวกันระหว่างร่างกายและจิตวิญญาณของสิ่งมีชีวิต

 

คนธรรมดาก็มีพลังฉี ผู้ฝึกยุทธก็มีพลังฉี และแม้แต่ ‘อรหันต์‘ ก็มีพลังฉี

 

พลังฉีคือสิ่งที่แสดงเอกลักษณ์บางอย่างของบุคคล อาทิ พลังฉีของผู้ฝึกยุทธสายมารจะมืดมนและชั่วร้าย

 

ในตอนนี้ซูฉินเห็นว่าในส่วนลึกของภูเขาหวู่หนานเต็มไปด้วยกลิ่นอายของจอมยุทธฝ่ายมารเต็มไปหมด

 

“มันควรจะเป็นที่นี่”

 

ซูฉินพยักหน้าเล็กน้อย

 

ถ้าศัตรูของตระกูลซูอย่าง  ‘เหยียนหั่ว ‘ กลายเป็นผู้คุมกฎของพรรคมารจริงๆ เขาจะต้องอยู่ที่นี่แน่ๆ

 

“ดูจากพลังฉีเหล่านี้แล้ว คนที่แข็งแกร่งที่สุดก็ยังไม่ถึงระดับชั้นที่หนึ่งเลย”

 

เพียงกวาดสายตาครู่เดียวซูฉินก็ทราบได้

 

ภายใต้การสังเกตจากดวงตาแห่งสัจจะ แม้ว่าจะเป็นตัวตนระดับ  ‘อรหันต์ ‘ ก็ยังยากที่จะซ่อนตัวจากซูฉิน

 

นอกจากนั้น ถ้าพรรคมารมีระดับตำนานยุทธอยู่จริง แล้วพวกมันจะถูกบีบให้ถอยร่นกลับมายังยงโจวได้อย่างไร ?

 

เพื่อป้องกันการเข้าใจพลาด ซูฉินยังคอยสังเกตต่อไปอีกชั่วโมงจนยืนยันแน่แล้วว่าไม่มียอดฝีมือคนใดในเขาหวู่หนานที่จะสามารถคุกคามเขาได้ ก่อนที่จะเดินขึ้นไปบนเขาอย่างช้าๆ

 

หลังจากนั้นไม่นาน

 

ซูฉินหยุดชะงักทันทีที่ขึ้นไปได้ครึ่งทาง

 

“นี่คือที่ตั้งของพรรคมาร ใครบุกรุกเข้ามาต้องนอนทอดร่างเป็นซากศพ !”

 

ชายฉกรรจ์สองคนเข้ามาปิดทาง แล้วมองมาที่ซูฉินอย่างมุ่งร้าย

 

สังเกตจากกลิ่นอายพลังฉี พวกเขาน่าจะเป็นผู้ฝึกยุทธที่เพิ่งจะเข้าสู่ระดับขั้น

 

“ข้ากำลังตามหา  ‘เหยียนหั่ว ‘ ”

 

ซูฉินกล่าวออกอย่างใจเย็น

 

“ผู้คุมกฎเหยียน ?”

 

ทั้งสองมองหน้ากัน การแสดงออกของพวกเขากลายเป็นนอบน้อมขึ้นทันที

 

แม้ไม่รู้ว่าพระหนุ่มรูปนี้เกี่ยวข้องกับผู้คุมกฎเหยียนอย่างไร

 

แต่ผู้คุมกฎเหยียนก็เป็นหนึ่งในผู้คุมกฎพรรคมาร และไม่ใช่คนที่พวกเขาจะไปยั่วยุได้

 

นอกจากนี้ซูฉินยังเรียกชื่อ  ‘เหยียนหั่ว ‘ ออกมาตรงๆ ซึ่งเป็นชื่อเต็ม …

 

“เจ้ารอที่นี่ก่อน”

 

ชายคนนั้นลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเดินออกไป

 

 

ในส่วนลึกของเขาหวู่หนาน

 

ในห้องโถงแห่งหนึ่ง

 

มีกลุ่มคนมากกว่าโหลกำลังนั่งรวมตัวกันภายใน

 

คนทั้งหมดนี้ล้วนแต่เป็นจอมยุทธในสามระดับบนที่แฝงตัวอยู่

 

“เหยียนหั่ว เจ้าก้าวเข้าสู่สามระดับบนและกลายมาเป็นผู้คุมกฎของพรรคมารของพวกเรา เป็นเรื่องปกติอยู่แล้วที่พรรคมารจะช่วยเจ้าแก้ปัญหาเกี่ยวกับตระกูลซู”

 

ชายคนที่นั่งอยู่ด้านหน้าสุดมองลงไปยังร่างที่อยู่เบื้องล่างตนและกล่าวคำช้าๆ

 

“รองหัวหน้าตระกูลซูสังหารพี่ชายข้า เลือดต้องล้างด้วยเลือด ความเป็นปรปักษ์ระหว่างข้าและตระกูลซูจะคงอยู่ตลอดไป”

 

เหยียนหั่วเป็นชายสูงวัยที่มีใบหน้ามืดมน และมีความเกลียดชังอยู่ท่วมท้น “ถ้าไม่ใช่เพราะว่าตระกูลซูไปหลบอยู่ข้างหลังผู้พิทักษ์ประจำเขต ข้าคงจะสามารถเข่นฆ่าล้างตระกูลซูไปได้ตั้งแต่สิบห้าปีก่อน”

 

เหยียนหั่วกระแทกเสียงในทุกๆ คำ

 

เมื่อสิบห้าปีก่อนเขาถึงความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ในวิทยายุทธเข้าถึงระดับชั้นที่สี่ซึ่งมีเหตุให้เกิดเรื่องบาดหมางกับตระกูลซูอย่างรุนแรง

 

น่าเสียดาย

 

ในท้ายที่สุดผู้พิทักษ์ประจำเขตออกมาช่วยเหลือตระกูลซู

 

ผู้พิทักษ์ประจำเขตเป็นสมาชิกขุนนางอาวุโสขั้นสี่ของรัฐถัง เป็นตัวแทนความยิ่งใหญ่ของอาณาจักร เป็นตัวตนที่เกินมือเหยียนหั่วไปมาก เขาไม่สามารถรับมือได้ในเวลานั้น

 

“ผู้พิทักษ์ประจำเขต ?”

 

ชายที่นั่งอยู่หน้าสุดยิ้มหยันดูถูก “เมื่อนายท่านออกจากการปิดด่านฝึกตน จะเป็นวันที่พรรคมารของเราครอบครองโลก ถึงตอนนั้นผู้พิทักษ์ประจำเขตจะนับเป็นตัวอะไรได้ ?”

 

เมื่อชายคนด้านหน้าสุดพูดเช่นนั้นเขาก็หยุดไปชั่วครู่แล้วจึงพูดต่อ “เรื่องระหว่างเจ้ากับตระกูลซูย่อมเป็นเรื่องของพรรคมารของเราด้วย แต่เจ้าจำต้องรออีกสักหน่อย”

 

“ตอนนี้ประมุขพรรคกำลังจะออกจากการปิดด่านฝึกตน ความคับแค้นใจระหว่างเจ้ากับตระกูลซูต้องถูกระงับไว้ก่อนชั่วคราว และเมื่อใดที่ท่านประมุขออกมา เวลานั้นพรรคมารของพวกเราจึงจะลงมือ”

 

ชายด้านหน้ากล่าวเตือนเหยียนหั่วไม่ให้เขาใจร้อนทำตัวหุนหันพลันแล่น

 

“คำพูดของรองประมุข ข้าน้อยเหยียนหั่วขอน้อมรับ”

 

เหยียนหั่วกล่าวด้วยเสียงทุ้ม

 

แม้ว่าเขาจะกระเหี้ยนกระหือรือในการแก้แค้น แต่เขารู้ถึงลำดับความสำคัญดี และสถานการณ์ของประมุขพรรคตอนนี้อยู่ในช่วงสำคัญ ไม่ควรให้มีสิ่งผิดพลาดใดเกิดขึ้น

 

และตัวมันเองในฐานะของผู้คุมกฎของพรรคมารยามนี้ หากยังกล้าออกไปจัดการปัญหานี้ด้วยตัวเองถือว่ามีความผิดตามกฎของพรรคเป็นแน่

 

“ดีมาก”

 

ชายที่นั่งอยู่ด้านหน้าสุดเห็นได้ชัดว่าพอใจกับทีท่าของเหยียนหั่วมาก พยักหน้าแล้วกล่าวต่อ “นี่คือข่าวคราวเกี่ยวกับตระกูลซูที่ข้าได้หาข้อมูลมา”

 

“มันเป็นบันทึกรายชื่อของคนในตระกูลซูทั้งสองร้อยแปดคน”

 

ชายด้านหน้าสุดสะบัดนิ้วแล้วซองจดหมายก็ลอยมาตรงหน้าของเหยียนหั่ว

 

“ขอบคุณรองประมุขพรรค”

 

เหยียนหั่วดูมีความสุขเมื่อได้ยินคำกล่าวนั้น

 

รองประมุขพรรคเริ่มทำการตรวจสอบข้อมูลของตระกูลซู เห็นได้ชัดว่าเขาพร้อมที่จะล้างแค้นให้จริงๆ

 

และด้วยพลังของพรรคมารที่หนุนหลัง ไยเหยียนหั่วยังจะต้องหดหัวหลบหน้าผู้พิทักษ์ประจำเขตอีก ?

 

เมื่อนึกได้แบบนั้น เหยียนหั่วก็เปิดซองจดหมายออกดูอย่างตื่นเต้น

 

“ท่านรองประมุขพรรค ?”

 

เหยียนหั่วขมวดคิ้วเล็กน้อย “เป็นระยะเวลาหลายปีมาแล้วที่ข้าได้ตรวจสอบตระกูลซู เมื่อสิบห้าปีก่อนศิษย์ตระกูลซูต่างแยกย้ายไปคนละทิศละทาง”

 

“ตลอดหลายปีมานี้ ศิษย์หลายต่อหลายคนกลับมารวมกลุ่มกันทีละคนๆ แต่กลับมีคนหนึ่งที่ยังไม่กลับมา”

 

“โอ้ ?” ดวงตาของชายที่นั่งอยู่คนแรกสุดสาดประกาย “ใครกัน ?”

 

“ลูกชายคนที่สามของตระกูลซู” เหยียนหั่วกล่าวอย่างเคร่งขรึม “ซูฉิน !”

 

“ที่สืบทราบมาข้ารู้เพียงว่าซูฉินผู้นี้ได้เข้านมัสการกราบไหว้วัดเส้าหลิน ส่วนเรื่องอื่นข้าไม่ทราบรายละเอียดมากนัก” เหยียนหั่วมองไปที่ชายด้านหน้า

 

“วัดเส้าหลิน ?”

 

ชายที่นั่งอยู่ลำดับแรกขมวดคิ้วแล้วค่อยๆ คลายออก “ทุกคนต่างก็คิดว่าวัดเส้าหลินกำลังเสื่อมโทรมลง จะมีก็เพียงแต่พรรคมารของพวกเราเท่านั้นแหละที่รู้ว่ายังมียอดปรมาจารย์ฝีมือสูงส่งอยู่ในวัดเส้าหลิน”

 

“แต่ว่า”

 

“เพียงแค่รอท่านประมุขพรรคออกมาก่อน วัดเส้าหลินก็ไม่มีอะไรน่ากังวล”

 

ชายที่นั่งอยู่คนแรกไม่ได้ให้ความใส่ใจมากนัก

 

“ขอบคุณมากขอรับท่านรองประมุขพรรค”

 

เหยียนหั่วดีใจเป็นอันมาก รีบโค้งตัวคารวะ

 

ในตอนนั้นเอง

 

สาวกของพรรคมารก็ปรี่เข้ามา

 

“รองประมุขพรรค มีพระสงฆ์อยู่ด้านนอกบอกว่ากำลังตามหาผู้คุมกฎเหยียน”

 

“พระสงฆ์ ?”

 

ชายที่นั่งอยู่แถวแรกดูงุนงง

 

“ข้าไม่เคยรู้จักพระสงฆ์ใดมาก่อน” เหยียนหั่วกล่าวโดยไม่ต้องคิด

 

“ถ้าพระรูปนี้เป็นศิษย์ของวัดเส้าหลินล่ะก็ เราสามารถกุมตัวมันไว้ถามเรื่องลูกชายคนที่สามของตระกูลซูได้นี่”

 

เหยียนหั่วนึกอะไรบางอย่างออกแล้วก็พูดขึ้น

 

“ไม่เลว”

 

ชายที่นั่งอยู่ด้านหน้าพยักหน้าเล็กน้อยแล้วมองไปที่สาวกพรรคมาร กล่าวว่า “ไม่ต้องรีบร้อนจัดการ จำไว้ว่าต้องให้มันชีวิตอยู่ก่อน”

 

จอมยุทธพรรคมารคนอื่นๆ ในห้องโถงดูสงบเสงี่ยมและไม่ได้คิดว่าการตัดสินใจของรองประมุขพรรคผิดพลาดแต่ประการใด

 

ยงโจวเป็นที่ตั้งของพรรคมาร ไม่ต้องพูดถึงวัดเส้าหลินเลย แม้แต่พรรคฝ่ายธรรมะหลายต่อหลายสำนักในแถบนี้ก็ไม่สามารถทำอะไรพรรคมารได้

 

ขณะนี้ทุกคนในพรรคมารต่างรอให้พระรูปนั้นโดนลากตัวมา จากนั้นก็จะได้เริ่มทรมานทุกวิถีทางเพื่อเค้นข้อมูลของวัดเส้าหลินออกมา

 

มีเสียงสบายๆ ลอยมากับสายลม

 

“เจ้าไม่จำเป็นต้องทำเช่นนั้นหรอก …”

 

ทันทีที่เสียงดังขึ้น จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ก็กระจายตัวออกอย่างรวดเร็วครอบคลุมทั่วทั้งโถงประชุมในพริบตา

 

เห็นเป็นร่างพระหนุ่มสวมจีวรสีเทากำลังก้าวเดินอยู่ห่างออกไปนอกห้องโถงหลายร้อยเมตร

 

“ข้าได้มาที่นี่ด้วยตัวข้าเองแล้ว”

Sign in Buddha’s palm 40 พรรคมาร

 

 

ด้านนอกวัดเส้าหลิน

 

ดวงจันทร์แทบหายลับไปแล้ว

 

ซูฉินเลือกที่จะออกนอกวัดเส้าหลินตั้งแต่เช้าตรู่เพื่อป้องกันไม่ให้ตนพลาดการลงชื่อเข้าใช้ในแต่ละวัน

 

ตราบเท่าที่ซูฉินสามารถกลับมาภายในคืนวันพรุ่งนี้ได้ เขาก็จะไม่เสียสิทธิ์การลงชื่อเข้าใช้ของวันพรุ่งนี้ไป

 

“ข้าละสงสัยเสียจริง ว่าเกิดอะไรขึ้นกับน้องสาวของข้าบ้างในช่วงเวลาสิบห้าปีที่ผ่านมา?”

 

เขาเริ่มนึกถึงเด็กสาวที่มักจะเดินตามเขาต้อยๆ อีกครั้ง

 

เด็กหญิงตัวน้อยมีชื่อว่าซูเยว่หยุน อายุน้อยกว่าซูฉินอยู่เจ็ดปี

 

ซูเยว่หยุนมีอายุเพียงสามขวบตอนที่ซูฉินเข้ามาในวัดเส้าหลิน ตอนนี้ก็ผ่านมาสิบห้าปีแล้ว เพราะฉะนั้นตอนนี้ซูเยว่หยุนก็จะมีอายุได้สิบแปดปี

 

ผู้หญิงในโลกนี้ส่วนใหญ่จะแต่งงานตอนที่อายุประมาณสิบหกปี และซูเยว่หยุนถือว่า ‘มีอายุมากแล้ว‘ เพราะอายุอานามก็ลากยาวมาถึงวัยสิบแปดปี

 

“กลับตระกูลซูครานี้ ไม่จำเป็นต้องไปพบปะทักทายกับใคร ขอเพียงแค่แอบไปมองดูสักพักก็พอ”

 

ซูฉินแอบคิดอยู่เงียบๆ ในใจ

 

เขาห่างจากตระกูลซูไปเป็นเวลาสิบห้าปี คุ้นเคยกับการใช้ชีวิตคนเดียวมาเสียนานแล้ว

 

“อย่างไรก็ตามก่อนที่ข้าจะกลับไป มีบางสิ่งที่จำต้องได้รับการแก้ไข”

 

ซูฉินชะงักกึก เงยหน้าหันไปมองทิศทางหนึ่ง

 

เมื่อสิบห้าปีก่อนศัตรูคนสำคัญของตระกูลซูบุกเข้ามาล่าสังหารคนในตระกูล และเพื่อคงสายเลือดของคนในตระกูลไว้บรรดาศิษย์ของตระกูลต่างกระจัดกระจายไปยังที่ต่างๆ

 

เพราะเหตุนี้เองซูฉินจึงถูกส่งมายังวัดเส้าหลิน

 

มีเพียงการนมัสการวัดเส้าหลินเป็นที่พักพิงเท่านั้น ซูฉินจึงจะปลอดภัย

 

เวลาต่อมาแม้ตระกูลซูจะคิดหาวิธีการบางอย่างขึ้นมาได้จนบังคับศัตรูให้ถอยร่น ตระกูลก็ค่อยๆ ฟื้นตัว แต่ศัตรูคนนั้นก็ยังมีชีวิตอยู่

 

ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาซูฉินยุ่งอยู่กับการลงชื่อเข้าใช้เพื่อใฝ่หาความแข็งแกร่งของตนเองควบคู่ไปกับการทราบข่าวคราวว่าตระกูลซูนั้นเป็นไปด้วยดี เขาจึงไม่ห่วงเรื่องศัตรูของตระกูลมากนัก

 

ส่วนตอนนี้เขาคิดว่าควรจะใช้โอกาสนี้ไปจัดการปัญหาศัตรูของตระกูลเสียให้สมบูรณ์

 

“ตามจดหมายที่ตระกูลซูได้ส่งมาในช่วงหลายปีก่อน ชื่อของศัตรูก็คือ ‘เหยียนหั่ว‘ มันเป็นศิษย์พรรคมารและเพิ่งจะกลายเป็นผู้คุมกฎของพรรคเมื่อไม่นานมานี้”

 

ซูฉินคิดเร็วๆ ในใจ

 

ผู้นำตระกูลซูยังค่อนข้างกังวลในเรื่องนี้อยู่จากที่อ่านในจดหมาย เพราะกลัวว่าศัตรูตัวฉกาจนี้อาจจะกลับมาอีกครั้งในนามของพรรคมาร ซึ่งมากเกินกว่าปัญหาส่วนตัว

 

“พรรคมาร?”

 

ดวงตาของซูฉินสาดประกายเย็นชา

 

 

ยงโจว (ภูมิภาคยง)

 

อาณาจักรถังครอบคลุมทั้งหมดสิบแปดภูมิภาค ซึ่งยงโจว (ภูมิภาคยง) นั้นเป็นดินแดนของพรรคมาร หางเสือสำคัญของพรรคมารตั้งอยู่ที่นี่

 

พรรคมารหรือก็คือฝ่ายอธรรม ทั้งฝ่ายอธรรมและฝ่ายธรรมะต่างก็ต่อสู้ห้ำหั่นกันในอาณาเขตราชวงศ์ถังนี้ แต่เนื่องจากจ้าวพรรคมารคนล่าสุดจบชีวิตลงในการต่อสู้กับฝ่ายธรรมะ พรรคมารจึงเสียเปรียบมาตั้งแต่บัดนั้น

 

หลายทศวรรษก่อน พรรคมารเข้ายึดครองดินแดนไปทั่วทั้งสามภูมิภาค

 

แต่ตอนนี้ถูกบีบบังคับให้ถอยร่นไปจนเหลือแค่ยงโจวเท่านั้นที่ยังมีกลุ่มพรรคมารเหลืออยู่

 

การต่อสู้ห้ำหั่นที่เกิดขึ้นนี้ อาณาจักรถังเองก็ทำเป็นปิดตาข้างหนึ่ง ไม่ต้องการจะเข้าไปไกล่เกลี่ยปัญหาแต่อย่างใด

 

ไม่ว่าจะฝ่ายธรรมะหรือฝ่ายอธรรมก็ตาม ในสายตาของอาณาจักรถังล้วนเป็นพวกหัวขบถไม่ยอมทำตามกฎของทางการ

 

ยิ่งมีทั้งสองขั้วนี้น้อยเท่าไหร่ก็ยิ่งดี บางทีพวกทางการยังแอบสุมไฟยุยงให้เกิดการต่อสู้เสียด้วยซ้ำ

 

และในขณะนี้

 

ที่เชิงเขาหวู่หนาน ภูมิภาคยง

 

มีเด็กชายสวมเสื้อคลุมผ้าฝ้ายตัวหนา เงยหน้าขึ้นมองหิมะด้วยความตื่นเต้น

 

“ท่านปู่ หิมะตกลงมาเยอะมากเลย…..”

 

เด็กน้อยปั้นก้อนหิมะแล้วมองไปที่ชายชราด้านข้าง

 

“ใช่แล้ว”

 

“หิมะแบบนี้ไม่ปรากฏมาหลายสิบปีแล้ว”

 

ชายชราปล่อยอารมณ์ราวกับกำลังคะนึงถึงความทรงจำบางอย่าง

 

ในขณะนั้นเอง เสียงที่อ่อนโยนก็ดังขึ้น

 

“นี่คือภูเขาหวู่หนานใช่หรือไม่?”

 

ภิกษุหนุ่มรูปหนึ่งสวมทับด้วยจีวรสีเทามองไปที่คู่ปู่หลานด้วยรอยยิ้ม

 

ภิกษุหนุ่มรูปนี้ย่อมต้องเป็นซูฉิน

 

วัดเส้าหลินอยู่ห่างจากยงโจวหลายพันลี้ เป็นคนธรรมดาก็คงใช้เวลาอย่างน้อยสองสามเดือน หรือนานหน่อยอาจจะถึงปีก็ได้

 

แม้แต่จอมยุทธก็ต้องใช้เวลาเดินทางเกือบเดือนหนึ่ง

 

แต่สำหรับซูฉินแล้วนั้น จากวัดเส้าหลินเดินทางมายังยงโจวใช้เวลาไม่กี่ชั่วโมง

 

นี่เพราะซูฉินหยุดพักเป็นบางครั้งระหว่างทางเพื่อดูว่ามีสถานที่รอบๆ ที่สามารถลงชื่อเข้าใช้ได้หรือไม่ ซึ่งทำให้เสียเวลาไปพอสมควร

 

มิฉะนั้นความเร็วในการเดินทางมายงโจวของซูฉินควรจะเร็วกว่านี้

 

 

“ใช่แล้ว”

 

“มันอยู่ข้างหน้านี่แหละ”

 

เด็กน้อยเงยหน้าขึ้นมองซูฉิน มีความรู้สึกแปลกๆ เล็กน้อย แต่เขาก็ยังพยักหน้าแล้วพูดว่า “มันมีจุดอากาศที่เป็นพิษหลายที่มากบนภูเขาหวู่หนาน”

 

“นอกจากนี้ยังมี……”

 

ยามที่เด็กชายกำลังจะพูดสิ่งนี้ เขาก็หันมองดูรอบตัวอย่างระมัดระวัง ลดเสียงลงแล้วพูดว่า “ปู่บอกข้าว่า มีเทพเซียนอยู่บนภูเขาหวู่หนาน ถ้าไม่มีธุระใดห้ามเข้าไปใกล้เด็ดขาด…”

 

“เทพเซียน?”

 

ซูฉินผงะไปชั่วครู่

 

แต่เขาก็ตอบสนองกลับไปอย่างรวดเร็ว และ ‘เทพเซียน‘ จากปากของเด็กน้อยน่าจะเป็นจอมยุทธฝ่ายอธรรม

 

ในส่วนลึกของเขาหวู่หนานเป็นพื้นที่หลักของพรรคมารซึ่งจอมยุทธฝ่ายอธรรมมักเข้าออกกันทางนี้

 

และสำหรับคนธรรมดาอย่างเด็กชายตัวเล็ก จอมยุทธเหล่านั้นย่อมไม่ต่างไปจาก ‘เทพเซียน‘

 

“วันนี้จะมีหิมะตกหนัก พวกเจ้าจงรีบกลับเสียหน่อยเถิด”

 

ซูฉินเหลือบมองปู่หลานคู่นี้แล้วเดินไปทางเขาหวู่หนานโดยไม่เร่งร้อนอะไร

 

“หิมะตกหนัก?”

 

“เจ้ามิใช่เทพเซียนเสียหน่อย เจ้าจะรู้ได้อย่างไรว่าวันนี้หิมะจะตกหนัก?”

 

เด็กน้อยพูดกระซิบ

 

แม้ว่าจะยังมีหิมะตกอยู่ แต่มันก็มีขนาดเล็กลงอย่างเห็นได้ชัดและควรจะหยุดตกในตอนกลางวัน

 

หิมะจะไปตกหนักได้อย่างไร?

 

“ปู่”

 

“ปู่เป็นอะไรรึเปล่า?”

 

“ทำไมถึงไม่พูดอะไรเลย”

 

ในตอนนี้จู่ๆ เด็กน้อยก็เหมือนจะนึกอะไรบางอย่างได้และหันไปมองชายชราข้างๆ

 

“อย่าได้กล่าวคำ!”

 

ใบหน้าของชายชราซีดเป็นกระดาษ มือไม้ของเขาสั่นอย่างไม่อาจควบคุม

 

“ท่านปู่เป็นอะไรหรือไม่” เด็กน้อยตระหนักได้ว่ามีบางสิ่งผิดปกติและรีบเข้าไปหาชายชรา

 

“เจ้านี่น้า…”

 

ชายชรายิ้มหยันและจ้องมองเด็กน้อยด้วยสายตาดุดัน “เจ้ารู้ไหมว่าตัวเจ้ากับปู่น่ะได้เดินเฉียดประตูนรกไปแล้วเมื่อครู่?”

 

“อ๊ะ?”

 

“ประตูนรก?”

 

เด็กน้อยงงงวย “ท่านปู่หมายถึงคนคนนั้นหรือ?”

 

เมื่อได้ยินเช่นนั้นการแสดงออกของชายชราก็เปลี่ยนไปอีกครั้งหนึ่ง และแอบเหลือบมองไปยังทิศทางที่ซูฉินจากไปด้วยความหวาดกลัว “เจ้าไม่เห็นหรือว่ามีอะไรแปลกๆ น่ะ?”

 

“แปลกๆ?”

 

เด็กน้อยกะพริบตาปริบๆ

 

ชายชราถอนหายใจ ยกเท้าขึ้นมาจากหิมะ แล้วหันไปหาเด็กน้อย “เจ้าดูสิว่านี่คือสิ่งใด?”

 

“รอยเท้า?”

 

เด็กน้อยตอบรับ

 

“แล้วทำไมถึงมีรอยเท้าได้ล่ะ?” ชายชรากล่าวถาม

 

เด็กน้อยกลอกตา “ท่านปู่คิดว่าข้าโง่หรือ ตอนนี้หิมะกำลังตก ทั่วทุกพื้นที่ปกคลุมไปด้วยหิมะ ถ้ามีใครไปเหยียบมันเข้าย่อมต้องมีรอยเท้า…”

 

“แต่เจ้าลองดูสิว่ามีรอยเท้าบนเส้นทางที่ชายคนนั้นเพิ่งเดินผ่านมาหรือไม่” ชายชราสูดลมหายใจเข้าลึก พูดออกด้วยเสียงสั่นเครือ

 

เด็กน้อยขมวดคิ้วแล้วหันไปมอง

 

“เอ๋?”

 

ใบหน้าของเด็กน้อยเปลี่ยนไป

 

เพราะสิ่งที่เขาเห็นนั้น เป็นลานหิมะกว้างสุดลูกหูลูกตา

 

“ไม่…ไม่มีรอยเท้าเลย…”

 

ทันใดนั้นหน้าของเด็กน้อยก็ซีดเผือดราวกับเห็นผี

 

รู้หรือไม่ว่าปีนี้หิมะตกหนักมาก และเมื่อไม่กี่วันก่อนหิมะบนพื้นก็สูงขึ้นมาหลายฝ่ามือ ถ้าเป็นคนธรรมดามาเดิน พวกเขาก็ต้องทิ้งรอยเท้าหนักๆ เอาไว้อย่างแน่นอน

 

แต่ตอนนี้เด็กน้อยไม่พบรอยเท้าแท้แต่ครึ่งเท้าเลยด้วยซ้ำ

 

“อีกสิ่งหนึ่ง”

 

ชายชราสงบลงแล้วพูดต่อ “เจ้าเห็นหิมะเกาะบนตัวชายคนนั้นสักนิดสักหน่อยหรือไม่?”

 

เมื่อคำนี้กล่าวออกมา

 

เด็กน้อยก็ตัวสั่นขึ้นมาทันใด

 

เป็นจริงดังนั้น

 

เขารู้สึกแปลกๆ อยู่เล็กๆ ตั้งแต่คราแรกแล้วเมื่อพบซูฉิน

 

แต่ตอนนั้นเด็กน้อยไม่ได้คิดมากแต่ประการใด

 

ทว่ายามนี้เมื่อชายชรากล่าวเตือนเขาขึ้นมา เขาก็ตระหนักได้ว่าไม่ว่าจะตัวเขาเองหรือชายชราต่างก็มีเกล็ดหิมะปกคลุมกระจายไปทั่วทั้งตัว

 

มันย่อมเป็นเช่นนั้นอยู่แล้วมิใช่หรือ

 

หิมะกำลังตก ตัวพวกเขาก็ไม่ได้หลบอยู่ในบ้าน แล้วจะไม่ให้มีหิมะเกาะได้อย่างไร

 

แต่พระหนุ่มเมื่อครู่กลับแตกต่าง

 

บนร่างกายของเขา

 

สะอาดและดูเป็นระเบียบเรียบร้อย

 

ไม่มีแม้แต่ฝุ่นเกาะเลย

ความยากในการแก้ไขอาการธาตุไฟเข้าแทรกนั้นขึ้นอยู่กับว่าเกิดอะไรขึ้นภายในร่างกายบ้าง

 

กำลังภายในหลุดกรอบการควบคุม

 

เส้นเอ็น เส้นชีพจรวางระเบียบผิดพลาด

 

พลังปราณและโลหิตปั่นป่วน

 

แม้ว่าคนนอกอยากจะช่วยเหลือ ก็มิอาจจะหาทางรับมือกับสถานการณ์เหล่านี้ได้

 

เพราะเหตุนี้แม้แต่ยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่ง ต้องมาเผชิญกับคนที่มีอาการธาตุไฟเข้าแทรก ก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกเสียจากกัดฟันทนแบ่งฐานการบ่มเพาะมาช่วยชีวิตคนที่ตกอยู่ในอาการนี้ เป็นราคาความสูญเสียที่สูงมาก

 

แต่ทั้งหมดนั้นไม่นับเป็นอะไรสำหรับซูฉินผู้ซึ่งมีดวงตาแห่งสัจจะ

 

ดวงตาแห่งสัจจะสามารถมองเห็นกลไกของลมปราณทั้งหมด เป็นปกติที่จะรู้ทุกสิ่งอย่างภายในร่างกายของเจ้าอาวาส

 

เพื่อช่วยเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวิน ซูฉินเพียงแค่ต้องทำตามคำแนะนำของดวงตาแห่งสัจจะเท่านั้น

 

ไม่ได้มีความยาก ความท้าทายใดๆ เลย

 

 

ภายในลานโพธิ์

 

เหล่าหัวหน้าตำหนักและเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินยังคงอยู่ที่นี่

 

แม้ว่าเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินจะหายดีแล้ว แต่เขาก็วางแผนจะอยู่ที่นี่ต่อสักพักเพื่อความปลอดภัย

 

หัวหน้าตำหนักคนอื่นๆ ย่อมมีคำถามนับพันนับหมื่นอยู่ในใจ เป็นเรื่องธรรมดาที่พวกเขาจะไม่ยอมจากไป

 

“เจ้าอาวาส เมื่อครู่ท่านได้เห็นหรือไม่ว่าบรรพบุรุษสงฆ์ศักดิ์สิทธิ์ของวัดเส้าหลินผู้นั้นเป็นใคร?”

 

หัวหน้าฝ่ายวินัยอดไม่ได้ที่จะถามออกมา

 

ตอนที่ซูฉินเข้ามาในตัวอาคารลานโพธิ์ รูปร่างหน้าตาของเขาถูกปกคลุมไปทั่วทั้งหมด พวกเขาต่างก็เห็นเพียงแค่ร่างเงาที่คลุมเครือ

 

แต่เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินเป็นบุคคลที่ได้สัมผัสใกล้ชิดกับบรรพบุรุษสงฆ์ศักดิ์สิทธิ์ มีความเป็นไปได้มากว่าจะได้เห็นใบหน้าที่แท้จริงของอีกฝ่าย

 

“ไม่เลย”

 

แต่เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินก็ส่ายหัว

 

เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินพูดออกไปตามจริง ไม่ได้ปกปิดอะไร

 

เขาไม่ได้เห็นใบหน้าที่แท้จริงของซูฉิน ตอนนั้นเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินอยู่ในอาการตกใจอย่างมากที่ร่างกายฟื้นฟูกลับมาได้

 

แล้วยิ่งไปกว่านั้น ต่อให้เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินต้องการจะเห็น เขาก็ไม่มีทางมองเห็นได้

 

เมื่อได้ยินคำกล่าวนั้นกลุ่มหัวหน้าตำหนักก็เงียบไป

 

แม้พวกเขาไม่รู้ว่าบรรพบุรุษสงฆ์ศักดิ์สิทธิ์จะปิดบังหน้าตาไปเพื่อเหตุใด พวกเขาก็ทำได้เพียงเดาไปต่างๆ นานา

 

“ช่างมันเถอะ”

 

“กว่าหนึ่งปีมาแล้วนะที่ตราประทับภูเขาด้านหลังได้ถูกเสริมกำลัง สิ่งนั้นจะเกี่ยวข้องกับบรรพบุรุษสงฆ์ศักดิ์สิทธิ์หรือไม่?”

 

ขณะนั้นเองหัวหน้าลานธรรมก็ถามออกมา

 

คำถามที่ออกมานี้

 

ทุกคนต่างก็ฉงนใจ

 

แม้ว่าพวกเขาจะเคยถามสงฆ์ศักดิ์สิทธิ์ทั้งห้าที่เดินออกมาจากพื้นที่ต้องห้ามภูเขาด้านหลังในยามนั้น แต่สงฆ์ศักดิ์สิทธิ์ทั้งห้าก็บอกว่าพวกท่านอยู่ในสภาพระงับการรับรู้และไม่เคยไปแตะต้องตราประทับเลย

 

หรือจะพูดอีกอย่างก็คือ

 

ตราประทับนั้นถูกทิ้งไว้โดยอรหันต์‘ถัวอา‘ แม้ว่าสงฆ์ศักดิ์สิทธิ์ทั้งห้าต้องการจะสัมผัส พวกท่านก็ไม่สามารถแตะต้องได้

 

หัวหน้าตำหนักต่างก็งงงวยกับเรื่องนี้ แต่ในเมื่อไม่มีใครสามารถไขข้อข้องใจได้ จึงทำได้เพียงแต่หยุดคิดมันไป

 

“สาธุ”

 

“ไม่ต้องกล่าวความให้มากอีกต่อไป”

 

เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วกล่าวออกไป

 

ไม่ว่าเรื่องเขตหวงห้ามภูเขาด้านหลังจะเกี่ยวข้องกับบรรพบุรุษสงฆ์ศักดิ์สิทธิ์หรือไม่ แต่ถ้าบรรพบุรุษสงฆ์ศักดิ์สิทธิ์ไม่ได้คิดบอกกล่าวให้ใครได้รู้ เรื่องนี้จึงไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาจำเป็นต้องไปรู้

 

เมื่อพูดถึงตราประทับที่ระดับ ‘อรหันต์‘ ทิ้งเอาไว้เมื่อเก้าร้อยปีก่อน ระดับมันเกินขีดจำกัดที่ทุกคนตรงนี้จะคิดจินตนาการไปถึงได้

 

 

เวลาผ่านเลยไปอย่างเชื่องช้า

 

อีกหนึ่งปีก็ผ่านไปในพริบตา

 

ในวันนี้มีหิมะตกหนัก ทั่วทั้งวัดเส้าหลินถูกปกคลุมไปด้วยชั้นหิมะสีเงิน

 

หน้าศาลาพระคัมภีร์

 

ซูฉินกำลังทำความสะอาดปัดกวาดหิมะออกไป

 

[ขอแสดงความยินดี โฮสต์ลงชื่อเข้าใช้สำเร็จ ได้รับเคล็ดวิชาหมัดมวย ‘หมัดกระจ่างแสง‘]

 

“หมัดกระจ่างแสง?”

 

หัวใจของซูฉินสั่นไหว

 

หมัดกระจ่างแสงเป็นผลงานชิ้นเอกของวัดเส้าหลินอีกอย่างหนึ่ง เรียกว่าเป็นเคล็ดวิชาด้านหมัดมวยอันดับหนึ่งของวัดเลยก็ว่าได้ มีอยู่ช่วงหนึ่งที่วัดเส้าหลินถูกปิดล้อมไปด้วยยอดฝีมือระดับชั้นที่หนึ่งมากมาย

 

เจ้าอาวาสวัดเส้าหลินในยุคนั้นก็ได้ใช้เคล็ดวิชานี้นี่แหละ ในการปกป้องวัดเส้าหลิน ต่อกรกับยอดปรมาจารย์หลายต่อหลายคนเพียงลำพัง

 

ครู่ต่อมา

 

ข้อมูลมากมายเกี่ยวกับหมัดกระจ่างแสงก็โถมเข้ามาท่วมในจิตของซูฉิน

 

จากนั้นไม่นาน

 

ซูฉินลืมตาขึ้น ความประหลาดใจปรากฏขึ้นทั่วทั้งใบหน้า

 

“ผู้ที่คิดค้นเคล็ดวิชาหมัดมวยนี้ขึ้นมาอย่างน้อยก็ต้องเป็นจุดสูงสุดของยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งที่ผ่านการแปรสภาพพลังมาสักด้านหรือสองด้านแล้ว”

 

ซูฉินพึมพำกับตนเอง

 

ความละเอียดลออของหมัดกระจ่างแสงนั้นค่อนข้างน่าสนใจ แม้แต่ในมุมมองของซูฉินเองก็ยังรู้สึกแบบนั้น

 

อย่างที่รู้ๆ อยู่ว่าซูฉินลงชื่อรับเคล็ดวิชาต่างๆ ในวัดเส้าหลินมาเป็นจำนวนมาก การที่ซูฉินยังรู้สึกแบบนี้ขึ้นมาได้ ก็แสดงให้เห็นถึงความน่ากลัวของเคล็ดวิชาหมัดมวยฉบับนี้แล้ว

 

โดยเฉพาะกระบวนท่าสุดท้ายของหมัดกระจ่างแสง ที่เกี่ยวพันกับเคล็ดวิชาอื่นๆ อีกเป็นสิบอย่าง เรียกได้ว่าเป็นการเรียงร้อยได้ลงตัวมากทีเดียว

 

“ไม่เลว ไม่เลว”

 

“ไพ่ลับในแขนเสื้ออีกใบหนึ่งของข้า”

 

ซูฉินค่อนข้างพอใจกับมัน

 

ในช่วงปีที่ผ่านมา ซูฉินได้ดำเนินการอย่างค่อยเป็นค่อยไปในการชำระล้างกำลังภายในของตนโดยการใช้เพลิงมารผลาญสวรรค์ แล้วก็ไปลงชื่อเข้าใช้ทุกที่ในวัดเส้าหลิน

 

ด้วยการฝึกฝนด้านกำลังภายในอย่างต่อเนื่องมาตลอด ซูฉินก็เริ่มรู้ถึงความยากลำบากในการฝึกฝนวิทยายุทธมากขึ้นบ้างแล้ว

 

นอกจากนี้

 

มีหลายสิ่งหลายอย่างทีเดียวเกิดขึ้นในวัดเส้าหลินในช่วงปีนี้

 

อาทิ หัวหน้าลานธรรมได้ก้าวผ่านคอขวดได้สำเร็จ กลายมาเป็นผู้เยี่ยมยุทธในระดับชั้นที่สองอีกหนึ่งคนที่นอกเหนือจากเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวิน

 

และหลังจากการเตรียมความพร้อมมาหลายเดือน เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินก็พร้อมที่จะบุกฝ่าคอขวดระดับขั้นอีกครั้ง

 

จากการคาดเดาของซูฉินแล้ว คราวนี้เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินไม่ควรจะธาตุไฟเข้าแทรกอีก และไม่กี่ปีนับจากนี้การที่จะมียอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งเพิ่มขึ้นอีกคนคงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจ

 

ในที่สุด

 

ปีนี้ ……

 

เป็นปีที่สิบห้าที่ซูฉินเข้ามาอยู่ที่วัดเส้าหลิน

 

“สิบห้าปี …”

 

ซูฉินเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าเบื้องบนแล้วถอนหายใจออกมาเบาๆ

 

หิมะตกลงมาเต็มผืนฟ้าราวกับว่ามันไม่มีวันสิ้นสุด

 

หิมะยังคงตกลงใส่ร่างเขาไม่หยุด

 

เมื่อสิบห้าปีก่อน ซูฉินจำต้องมานมัสการวัดเส้าหลินเพื่อหลีกหนีศัตรูของตระกูลซู

 

ก็แค่ซูฉินไม่คาดคิดเลยว่าตนเพียงจะมาเยี่ยมชมและหลบซ่อน จะอยู่มาจนถึงสิบห้าปีได้

 

เมื่อสิบห้าปีก่อนซูฉินไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอันเลย นอกจากตำแหน่งนายน้อยสามแห่งตระกูลซู ไม่ได้เป็นแม้แต่ผู้ฝึกยุทธระดับชั้นที่เก้า

 

และอีกสิบห้าปีต่อมา ซูฉินกลับสามารถทำให้ทั้งโลกตกตะลึงได้เลยทีเดียว ไม่ว่าจะราชครูแห่งอาณาจักรเหมิ่งหยวนหรือนักพรตจางสายเลือดจอมยุทธอย่างแท้จริงแห่งเขาหวู่ตั้ง ก็ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา

 

“ดูเหมือนว่ายิ่งอายุมากขึ้น ข้าจะยิ่งคิดมากขึ้นไปด้วยนะเนี่ย”

 

ซูฉินยิ้ม เตรียมตัวกลับไปที่ลานจิปาถะ

 

เมื่อซูฉินกลับถึงลานจิปาถะก็พบเข้ากับศิษย์ลานจิปาถะคนหนึ่ง

 

“เจินกวน มีจดหมายถึงเจ้า”

 

ศิษย์คนนั้นยื่นจดหมายมาให้ซูฉิน

 

แม้ว่าวัดเส้าหลินจะให้ความสำคัญกับความสงบ กำหนดใจให้บริสุทธิ์ แต่ก็ไม่ได้กีดกันห้ามศิษย์ติดต่อกับโลกภายนอกแต่ประการใด

 

อย่างไรเสีย ศิษย์ส่วนใหญ่ของวัดเส้าหลินก็มิใช่เด็กกำพร้าและมีญาติพี่น้องที่อาศัยอยู่ภายนอก แม้พวกเขาจะแสดงหาความสงบเงียบว่างเปล่า แต่ก็ยังเป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะตัดขาดจากบุคคลอันเป็นที่รัก

 

“เป็นจดหมายจากตระกูลซูใช่หรือไม่ ?”

 

ซูฉินเหลือบมองจดหมายในมือ

 

สิบห้าปีมานี้ ตระกูลซูมักจะเขียนจดหมายมาหาซูฉินบ้างนานๆ ครั้ง ซูฉินคิดว่าคราวนี้ก็คงจะเหมือนเดิมกับที่ผ่านมานั่นแหละ

 

เมื่อคิดได้ดังนั้นซูฉินก็เปิดซองจดหมายและคลี่มันออกดู

 

จากนั้นไม่นาน

 

ซูฉินวางจดหมายในมือลง ร่องรอยความรู้สึกซับซ้อนในใจปรากฏออกมาทางสีหน้า

 

“ปรากฏว่าเด็กหญิงตัวน้อยของข้า ……กำลังจะแต่งงานเสียแล้ว …”

 

ซูฉินพลันนึกถึงเด็กสาวตัวน้อยที่มักจะติดสอยห้อยตามเขาอยู่เสมอ

 

ก่อนที่จะเข้ามาในวัดเส้าหลิน ซูฉินเป็นนายน้อยสามของตระกูลซู ก่อนจะมีซูฉิน มีพี่ชายที่เกิดแต่บิดามารดาเดียวกันสองคน

 

นอกจากนั้นซูฉินยังมีน้องสาวอีกคนหนึ่ง

 

ทั้งสี่คนล้วนมีพ่อแม่คนเดียวกัน ความสัมพันธ์ทางสายเลือดเข้มข้นยิ่งกว่าน้ำ

 

น้องสาวอายุน้อยกว่าซูฉินถึงเจ็ดปี

 

มักจะเดินน้ำมูกไหลตามซูฉินอยู่ตลอด

 

กล่าวได้ว่าในตระกูลซูคนที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดซูฉินที่สุดก็คือน้องสาวคนนี้

 

ในจดหมาย เป็นข่าวคราวเกี่ยวกับน้องสาวของเขากำลังจะแต่งงาน

 

“ดูเหมือนข้าจะพลาดงานใหญ่ของเธอไม่ได้เสียแล้ว …”

 

ซูฉินนิ่งเงียบไปชั่วขณะ แล้วจึงเดินออกจากวัดเส้าหลินไปตั้งแต่ยามเช้าตรู่

 

นี่เป็นครั้งแรกในรอบสิบห้าปีที่ซูฉินจะก้าวออกจากวัดเส้าหลินนับตั้งแต่เข้าวัดมา

Sign in Buddha’s palm 38 ตื่นตระหนกตกใจ

 

 

ลานโพธิ์

 

ซูฉินเดินอย่างเชื่องช้าไปตรงหน้าเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวิน

 

ในขณะนี้เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินเบิกตาโพลงจ้องซูฉินด้วยความตระหนก

 

เพียงไม่กี่อึดใจเท่านั้นที่ซูฉินบุกฝ่าเข้ามาในอาคารของลานโพธิ์ แต่ภิกษุสงฆ์หลายร้อยคนในสามระดับกลาง และระดับชั้นที่สามของวัดเส้าหลินซึ่งรวมไปถึงเหล่าหัวหน้าตำหนักกลับไม่เหลืออำนาจในการต่อกร

 

ความแข็งแกร่งเช่นนี้ แม้จะเป็นยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งก็ยังไม่มีความสามารถกระทำได้มิใช่หรือ?

 

“พลังปราณและโลหิตถดถอย”

 

“เส้นเอ็น เส้นชีพจร ยุ่งเหยิงไร้ระเบียบ”

 

ซูฉินเบิกเนตรดวงตาแห่งสัจจะ แล้วสังเกตเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินในระยะใกล้

 

ด้วยดวงตาแห่งสัจจะ ทุกสิ่งในร่างของเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินล้วนตกอยู่ในสายตาของซูฉิน

 

หากเป็นยอดปรมาจารย์ระดับจุดสูงสุดคนอื่นๆ แม้จะผ่านการเปลี่ยนแปลงแปรสภาพพลังมาแล้วก็ตาม เมื่อต้องมาเผชิญกับสถานการณ์ของเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวิน พวกเขาย่อมหมดหนทาง และจะใช้เวลาทั้งหมดที่มี เต็มที่กับการช่วยชีวิตเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวิน

 

ส่วนจะให้ช่วยมากกว่านั้นก็อับจนหนทาง

 

ต่อให้เป็นยอดปรมาจารย์ระดับจุดสูงสุด มันก็เป็นไปไม่ได้ที่จะรู้จักร่างกายของเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินได้ถ้วนทั่ว

 

แต่ซูฉินนั้นแตกต่าง

 

ซูฉินมีดวงตาแห่งสัจจะ เปรียบเสมือนเป็นแพทย์อัจฉริยะที่สามารถสั่งยาให้เหมาะสมตามอาการ เพียงแค่ดูซ้ำอีกสองสามรอบเพื่อยืนยันสภาพร่างกายของเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวิน การช่วยชีวิตนั้นช่างเป็นเรื่องง่ายดาย

 

“ท่าน…..ท่านคือบรรพบุรุษสงฆ์ศักดิ์สิทธิ์ใช่หรือไม่?”

 

เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินถามกับร่างเลือนรางตรงหน้าอย่างไม่แน่ใจ

 

ในตอนนี้เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินไม่เหลือความกลัวใดๆ อีกต่อไป เพราะถ้าซูฉินต้องการจะสังหารตนจริงๆ เขาก็คงตายไปนานแล้ว

 

ด้วยความแข็งแกร่งของซูฉิน น่ากลัวว่าทั้งวัดเส้าหลินจะถูกสังหารได้อย่างง่ายดาย แล้วนับประสาอะไรกับตัวเขา?

 

และตอนนี้ซูฉินก็ไม่ได้ลงมือสังหารเขา เพียงแต่ยืนอยู่ตรงนั้น คงจะไม่ใช่ศัตรูของวัดเส้าหลิน

 

ในวัดเส้าหลินผู้เดียวที่ครอบครองพลังอันน่าสะพรึงกลัวได้ขนาดนี้มีเพียงบรรพบุรุษสงฆ์ศักดิ์สิทธิ์ที่แอบซ่อนตัวอยู่ในเงามืด คอยยื่นมือช่วยเหลือเปลี่ยนแปลงชะตากรรมเลวร้ายหลายต่อหลายครั้งในวัดเส้าหลินช่วงที่ผ่านมา

 

“อย่าได้กล่าวคำ”

 

“พยายามควบคุมกำลังภายในให้ฟื้นกลับคืนมา”

 

ซูฉินไม่ได้ใส่ใจมากนัก ยกมือขวาขึ้นแผ่วเบา แล้วกดไปที่หน้าอกของฮุ่ยเหวิน

 

“ฟื้นคืนกำลังภายในของข้าอย่างนั้นหรือ?”

 

เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินตะลึงแล้วยิ้มออกมาอย่างขมขื่น

 

เส้นทางการฝึกตนของเขาเบี่ยงเบนไปแล้ว ธาตุไฟเข้าแทรก กำลังภายในหลุดออกจากการควบคุมไปนานแล้ว เขาจะไปควบคุมมันได้อย่างไร?

 

“สงฆ์ศักดิ์สิทธิ์ ท่านไม่จำเป็นต้องลงมือหรอก ถึงท่านจะใช้ฐานการบ่มเพาะของท่านเพื่อช่วยชีวิตข้า ยังไงข้าก็ต้องกลายเป็นบุคคลไร้ประโยชน์อยู่ดี”

 

“ทำไมจะต้องมาเสียเรี่ยวแรงให้กับคนไร้ประโยชน์ ฐานบ่มเพาะที่สั่งสมมาจะต้องถูกใช้ไปอย่างสูญเปล่า”

 

ดวงตาของเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินหรี่แคบ

 

เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินตระหนักดีถึงอาการบาดเจ็บของเขานั้นร้ายแรง ไม่มีโอสถใดๆ จะช่วยได้ แม้จะใช้ฐานการบ่มเพาะเข้าช่วยเหลือ ยังไงตัวเขาก็ต้องสูญสิ้นกำลังภายในกลายเป็นคนไร้ประโยชน์

 

อย่างไรก็ตาม

 

ช่วงเวลาถัดมา

 

ขณะที่ซูฉินเอามือขวาเคาะไปที่เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวิน พลังภายในจำนวนมหาศาลก็พวยพุ่งเข้าไป

 

ภายใต้พลังภายในเหล่านี้ กำลังภายในของเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินที่ทีแรกยุ่งเหยิง กลับกลายเป็นดี การโคจรสะดวกแทงทั่วไปตลอดเส้นลมปราณ

 

“นี่คือ?”

 

ม่านตาของเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินหดตัวลงทันที มองไปที่ซูฉินอย่างไม่อยากจะเชื่อ

 

เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินตระหนักดีว่าเขาควรจะทำอะไรในเวลานี้ เขาหลับตาลง เริ่มควบคุมพลังภายในของเขาอีกครั้ง

 

เมื่อเห็นฉากดังกล่าวเหล่าหัวหน้าตำหนักที่อยู่บริเวณใกล้เคียง ใจก็กระตุกคิดบางสิ่งขึ้นมาได้

 

แม้ว่าจะโดนจำกัดความเคลื่อนไหว แต่พวกเขายังคงความสามารถในการคิดได้อยู่ เมื่อเห็นร่างคลุมเครือที่บุกฝ่าเข้ามาในลานโพธิ์ พวกเขาก็คิดได้ทันทีว่าอีกฝ่ายอาจจะมาช่วยเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวิน

 

“คนคนนี้มาช่วยท่านเจ้าอาวาสหรือ?”

 

“นั่นคือบรรพบุรุษสงฆ์ศักดิ์สิทธิ์ของวัดเส้าหลินใช่หรือไม่?”

 

หัวใจของทุกคนเรรวน

 

ช่วงเวลาต่อมา

 

หลังที่ปราบปรามพลังภายในของเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินที่พยศอย่างรุนแรงลงได้แล้ว ซูฉินก็เริ่มชำระเส้นเอ็นที่จัดวางไม่เป็นระเบียบให้ใหม่

 

ด้วยความช่วยเหลือของดวงตาแห่งสัจจะ ซูฉินจึงไม่ต้องใช้ความพยายามมากเท่าไหร่นักในการดึงเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินออกมาจากอาการผิดปกติ

 

หลังจากนั้นไม่นาน

 

ซูฉินก็ค่อยๆ ถอนมือขวากลับไป

 

“ข้า…ข้าเป็นปกติดีแล้วหรือ?”

 

เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินลืมตาขึ้นเกือบจะพร้อมๆ กับมองไปยังมือที่หดกลับไปนั้นอย่างไม่อยากเชื่อ

 

หัวหน้าตำหนักคนอื่นๆ ต่างก็ตกตะลึงจ้องมองไปที่เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินซึ่งขณะนี้เริ่มเห็นเลือดฝาดบนใบหน้าเพิ่มขึ้นมาอย่างรวดเร็ว

 

พวกเขาไม่ได้คาดคิดมาก่อนว่าอาการของเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินจะฟื้นฟูกลับมาได้ด้วย?

 

ต้องรู้ว่าอาการของเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินเลวร้ายอย่างมาก แม้จะมียอดปรมาจารย์ยอมเสี่ยงสูญเสียความแข็งแกร่งไปหนึ่งช่วงใหญ่ก็แค่สามารถช่วยชีวิตของเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินได้เท่านั้น

 

ส่วนการฟื้นฟูกลับมาได้อย่างสมบูรณ์นั้นอย่าได้คิดฝัน!

 

แต่ตอนนี้เมื่อมองไปที่เจ้าอาวาสซึ่งมีเลือดฝาดบนใบหน้า ลมปราณก็ฟื้นคืน เหล่าหัวหน้าตำหนักต่างรู้สึกว่าตนกำลังตกอยู่ในห้วงความฝัน

 

“ในเส้นทางของการฝึกวิทยายุทธ ต้องก้าวเดินทีละก้าว อย่าใจร้อน”

 

ซูฉินมองไปที่เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินแล้วเตือนเขาอย่างไม่ได้คิดอะไรมาก

 

หากเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินรออีกสักสองสามปี อดทนขัดเกลาความแข็งแกร่งของกำลังภายในของตน เขาจะไม่เกิดอาการธาตุไฟเข้าแทรก

 

“ฮุ่ยเหวินน้อมรับคำสั่งสอนแล้ว…..”

 

เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินเมื่อได้ยินคำกล่าวนั้นก็ทำสีหน้าเคร่งขรึม และตอบกลับซูฉินไปด้วยความเคารพ

 

ในสายตาของเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวิน ซูฉินจะต้องเป็นบรรพบุรุษสงฆ์ศักดิ์สิทธิ์ของวัดเส้าหลิน และเขาควรจะแสดงความเคารพแบบที่ได้ทำไป

 

ซูฉินมองไปที่เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินที่กำลังทำความเคารพตนเอง และไม่รู้จะพูดอะไร

 

ถ้าเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินรู้ว่าคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขานี้เป็นเพียงพระสงฆ์ที่แสนจะจืดจางจากลานจิปาถะ ก็คงไม่รู้ว่าจะต้องทำตัวกันอย่างไรดี?

 

“ถึงเวลาต้องไปแล้ว……”

 

ซูฉินเหลือบมองหัวหน้าตำหนักคนอื่นๆ ที่ยังถูกจำกัดความเคลื่อนไหวเอาไว้

 

ในตอนนั้นทุกคนก็ค่อยๆ ถูกคลายออกจากอาณาเขต หลังจากทุกคนได้รับการช่วยเหลือ ซูฉินก็จากไปเช่นกัน

 

ช่วงเวลาต่อมา

 

อาณาเขตที่ยากจะหยั่งถึงที่ปกคลุมไปทั่วทั้งลานโพธิ์ก็สลายหายไปอย่างช้าๆ

 

หัวหน้าตำหนักต่างหายใจเข้าลึก ยืดตัวขึ้นตรงทันที ราวกับเพิ่งได้รับการช่วยเหลือจากการจมน้ำ

 

“เฟี่ยวว”

 

หัวหน้าตำหนักยุทธพุ่งลงกระแทกพื้น ใบหน้ากลายเป็นสีเทา

 

ตอนแรกที่จะโจมตีซูฉินด้วยหมัด แต่ถูกกักขังอยู่ในอาณาเขต ความแข็งแกร็งของเขาถูกสกัดกั้นและไม่สามารถควบคุมมันได้ ดังนั้นในตอนนี้เมื่อสนามพลังหายไปเขาจึงทำได้แค่ระงับกระบวนท่าและล้มลงกับพื้น

 

หัวหน้าตำหนักรูปอื่นๆ มองไปที่เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวิน

 

“บรรพบุรุษสงฆ์ศักดิ์สิทธิ์ได้จากไปแล้ว……”

 

เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินนั่งเหม่อ ยังตกอยู่ในความสับสนงุนงง

 

“ท่านเจ้าอาวาสเป็นอย่างไรบ้าง อาการดีขึ้นหรือไม่”

 

หัวหน้าลานธรรมเดินปรี่เข้าไปหาเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินแล้วเอ่ยถามอย่างร้อนรน

 

“ข้าไม่ได้เป็นอะไรแล้ว”

 

เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินส่ายหัวแล้วกล่าวตอบ

 

“ลมปราณมั่นคง เลือดไหลเวียนสะดวก นี่ท่านฟื้นฟูกลับมาได้อย่างสมบูรณ์จริงๆ หรือนี่?”

 

หัวหน้าลานโพธิ์ตรวจชีพจรของเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินแล้วพึมพำอย่างประหลาดใจ

 

แม้เขาจะคาดเดาได้จากสีหน้าของเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวิน แต่ตอนนี้เขาแน่ใจแล้วว่าไม่มีสิ่งผิดปกติใดเกิดขึ้นกับเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวิน มันก็ยังสร้างคลื่นขนาดใหญ่ซัดสาดจิตใจเขา

 

รู้หรือไม่ว่าการเบี่ยงเบนไปของเส้นทางการฝึกตนเป็นสิ่งที่ไม่สามารถรักษาได้?

 

 

ขณะนี้ซูฉินออกมานอกลานโพธิ์แล้ว

 

ภิกษุสงฆ์หลายร้อยรูปนอนอยู่บนพื้นจนมองเห็นเป็นเหมือนกับทางที่คดเคี้ยว

 

ซูฉินเพียงต้องการจะเข้าไปในตัวอาคาร แต่พระเหล่านี้ต้องการจะหยุดเขา เรื่องมันก็เป็นเช่นนี้

 

ซูฉินไม่ได้สนใจพระที่นอนอยู่เหล่านี้

 

พระเหล่านี้หมดสติไปชั่วคราวเท่านั้น แล้วอีกสองสามชั่วโมงก็จะตื่นขึ้นมาเอง

 

อย่างว่องไว

 

ซูฉินกลับไปที่ลานจิปาถะ

 

ตลอดทางซูฉินใช้กำลังภายในปกปิดรูปลักษณ์จนกว่าจะแน่ใจว่าไม่มีผู้ใดอยู่ใกล้ๆ จึงค่อยคลายการปกปิดออก

 

“ข้าไม่เคยคิดฝันว่าดวงตาแห่งสัจจะจะมีความสามารถแบบนี้อยู่ด้วย?”

 

ซูฉินปล่อยลมหายใจออกด้วยอารมณ์ที่หลากหลาย

 

ด้วยการจ้องมองด้วยดวงตาแห่งสัจจะ การเปลี่ยนแปลง การโคจรทั้งหมดภายในร่างกายของเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินตกอยู่ในสายตาของซูฉินเพียงแค่มอง

“ถ้าไม่เกิดเหตุอื่นใดแทรกเข้ามาอีก คาดว่าเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินคงอยู่รอดได้ไม่เกินคืนนี้”

 

ซูฉินสังเกตเห็นไอพลังของเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินในส่วนลึกของอาคารลานโพธิ์ด้วยดวงตาแห่งสัจจะ เขามองอย่างระมัดระวังและคิดตัดสินใจ

 

“ช่างน่าเศร้านัก”

 

แม้ซูฉินจะไม่ได้รับการปฏิบัติเป็นอย่างดีภายในวัดเส้าหลิน แต่เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินก็ไม่เคยบังคับกะเกณฑ์ให้ซูฉินทำอะไรเป็นพิเศษ

 

ขนาดตอนที่หัวหน้าลานจิปาถะมรณภาพไป เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินก็ตั้งใจเข้ามาพบซูฉินด้วยตนเองเพื่อสอบถามว่าเขาต้องการจะสึกออกไปเป็นฆราวาสหรือไม่

 

แม้ฮุ่ยเหวินในฐานะของเจ้าอาวาสจะไม่ได้ทำให้วัดเส้าหลินเจริญรุ่งเรือง แต่อย่างน้อยเขาก็รักษารากฐานที่สืบทอดมาไว้ได้และปล่อยให้ซูฉินลงชื่อเข้าใช้ได้อย่างเงียบๆ มานานกว่าสิบปี

 

“ถ้าฮุ่ยเหวินมรณภาพละก็ วัดเส้าหลินจะตกอยู่ในความโกลาหลอย่างมิอาจเลี่ยง และมันจะทำให้มีสายตาสอดรู้สอดเห็นจากสำนักพรรคภายนอกมองเข้ามาด้วย”

 

“ถึงตอนนั้นถ้าข้าอยากจะกวาดลานและลงชื่อเข้าใช้อย่างสบายๆ เหมือนดังเดิมคงจะเป็นไปไม่ได้แล้ว”

 

ซูฉินครุ่นคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้

 

“ก็เท่านั้นเอง”

 

“ข้าฉันข้าวปลาอาหารจากวัดเส้าหลินมาเป็นเวลากว่าสิบปีแล้ว คงไม่สามารถเพิกเฉยเรื่องนี้ได้”

 

เมื่อความคิดล่วงไป กายก็ขยับ ซูฉินห่อหุ้มร่างกายด้วยอาณาเขตที่ไม่อาจหยั่งถึง

 

ภายในอาณาเขตนี้ภาพด้านในมัวไปหมด การหักเหของแสงภายในบิดเบี้ยว มีเพียงร่างคลุมเครือที่กำลังยืนอยู่เท่านั้นที่พอจะมองเห็นได้อย่างเลือนราง

 

 

ส่วนลึกของลานโพธิ์

 

หัวหน้าแต่ละตำหนักต่างมารวมตัวกัน สีหน้าของพวกเขาแสดงออกถึงความโศกเศร้าสุดซึ้ง

 

“เจ้าอาวาสจะไม่รอดจริงๆ เช่นนั้นหรือ”

 

หัวหน้าลานธรรมมองไปที่หัวหน้าลานโพธิ์แล้วถามกดเสียงต่ำ

 

เป็นเวลาหนึ่งปีที่เจ้าอาวาสปลีกวิเวกปิดด่านฝึกตนและต้องการจะก้าวหน้าขึ้นไป เรื่องราวภายในของวัดเส้าหลินได้หัวหน้าลานธรรมเป็นผู้ดูแลทั้งหมด

 

อย่างไรก็ตาม หัวหน้าลานธรรมไม่ได้คาดหวังให้การตัดผ่านของเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินจะจบลงด้วยเหตุการณ์แบบนี้!

 

หัวหน้าลานโพธิ์ส่ายหัว สีหน้าเคร่งเครียด “นอกจากธาตุไฟเข้าแทรกแล้ว กล้ามเนื้อและเส้นเลือดยังสับสนวุ่นวาย แม้แต่ยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งก็เพียงแต่ช่วยชีวิตของท่านได้เท่านั้น แต่ถ้าจะให้กลับมาฟื้นตัวอย่างสมบูรณ์คงทำไม่ได้หรอก…….”

 

คำที่กล่าวออกมา

 

ทำให้หัวหน้าตำหนักคนอื่นๆ เงียบสนิท

 

ความเป็นจริงพวกเขาก็เตรียมใจพร้อมรับกับสิ่งที่หัวหน้าลานโพธิ์กล่าวเอาไว้แล้ว

 

สิ่งที่ต้องห้ามที่สุดของผู้ฝึกวิทยายุทธคือการเบี่ยงเส้นทางการฝึกฝน เพราะการปล่อยให้ธาตุไฟเข้าแทรกเบี่ยงเส้นทางการฝึกฝนถือเป็นการล่มสลายของกำลังภายใน การโคจรของกล้ามเนื้อและเส้นเลือดก็จะไม่เป็นระเบียบ โดยปกติแล้วก็เหมือนกับเป็นโรคที่รักษาไม่หาย

 

“เจ้าอาวาส”

 

หัวหน้าตำหนักยุทธสงฆ์กระซิบเสียงแผ่ว มองไปยังเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินที่กำลังนั่งขัดสมาธิ ใบหน้าซีดเซียวราวกับแผ่นกระดาษ

 

หัวหน้าตำหนักคนอื่นก็ดูโศกเศร้าเช่นกัน

 

โดยเฉพาะหัวหน้าลานธรรม

 

ตอนนี้เป็นเขาเองที่เข้ามาดูแลกิจการภายในของวัดเส้าหลินแทนเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวิน และตระหนักรู้ได้ว่าหากเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินมรณภาพไปจะมีผลกระทบมากเท่าใดต่อวัด

 

แม้ว่าวัดเส้าหลินจะไม่ได้ขาดแคลนยอดฝีมือในสามระดับบน แต่ปรมาจารย์ในระดับชั้นที่สองมีแค่คนเดียวคือเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวิน

 

หากเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินไม่คอยอยู่ดูแลวัด ก็เท่ากับว่าวัดเส้าหลินไม่มีปรมาจารย์ระดับชั้นที่สอง

 

เดิมทีด้วยสุดยอดพรรคอย่างวัดเส้าหลินไม่มียอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งอยู่ก็มากเพียงพอจะดึงดูดความสนใจจากภายนอกวัดมากอยู่แล้ว

 

สาเหตุที่ไม่มีอะไรเกิดขึ้นก็เพราะวัดเส้าหลินมีมรดกตกทอดอันล้ำค่า ไม่มีใครกล้าจะยั่วยุ

 

แต่ถ้าวัดเส้าหลินไม่มีแม้แต่ปรมาจารย์ระดับชั้นที่สอง ไม่ว่ารากฐานความเป็นมาของวัดจะลึกซึ้งเพียงใดก็ไม่สามารถสร้างความกลัวเกรงให้กับผู้คนได้

 

ในเวลานั้นวัดเส้าหลินคงถูกถอดถอนออกจากการเป็นสุดยอดพรรคในยุทธภพ แล้วถูกปิดล้อมด้วยกองกำลังสำนักพรรคต่างๆ

 

ทั้งสองสิ่งที่จะเกิดขึ้นไม่ใช่เรื่องที่วัดเส้าหลินจะแบกรับไหว

 

ในขณะนั้น

 

เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินค่อยๆ ลืมตาขึ้น แล้วพูดด้วยความยากลำบาก “ข้ามีความกังวลอยู่มากมายเกินไป”

 

ใบหน้าของเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินซีดจนมองไม่เห็นร่องรอยของเลือดมาหล่อเลี้ยง

 

ในตอนนี้กำลังภายในของเขายุ่งเหยิงไปหมด และไม่สามารถขยับตัวเดินเหินไปไหน การที่พูดออกมาแต่ละคำก็ฝืนใช้ความแข็งแกร่งของร่างกายไปมากแล้ว

 

“เจ้าอาวาสท่านจะต้องไม่เป็นอะไร”

 

หัวหน้าตำหนักยุทธสงฆ์เป็นคนแรกที่เดินหน้าเข้าไปหาเจ้าอาวาสด้วยดวงตาแดงก่ำ

 

เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินส่ายหัวแล้วมองไปที่หัวหน้าลานธรรม “หลังจากที่ข้าจากไปแล้ว ทุกอย่างในวัดเส้าหลินขอมอบหมายให้เจ้าจัดการ”

 

หัวหน้าลานธรรมพยักหน้า สีหน้าหนักใจ

 

ไม่ว่าสิ่งใดจะเกิดขึ้น มรดกของวัดเส้าหลินก็ไม่สามารถถูกทำลายลง ไม่ว่าจะสูญเสียไปมากเท่าไหร่ก็ตาม

 

ทันใดนั้น

 

ที่นี่ตอนนี้

 

มีเสียงดังมาจากด้านนอกลานโพธิ์

 

“เจ้าเป็นใคร กล้าดียังไงบุกรุกเข้ามาในอาคารของลานโพธิ์?”

 

เสียงตะโกนเดือดดาลของสงฆ์ดังขึ้น

 

ด้านนอกอาคารมีภิกษุจำนวนมากคอยเดินตรวจตรา พบเจอร่างเงาคลุมเครือก็ปฏิบัติตัวราวกับเผชิญหน้าศัตรู

 

เนื่องจากการปิดด่านฝึกตนของเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวิน ลานโพธิ์ทั้งด้านบนและด้านล่างจึงถูกเฝ้าระวังโดยภิกษุสงฆ์จำนวนมากมาเป็นเวลานานแล้ว

 

“หลีกทางออกไป”

 

ซูฉินขี้เกียจเกินกว่ามาอธิบายทุกสิ่งอย่าง และรูปลักษณ์ของเขาก็ถูกซ่อนเร้นไว้ด้วยกำลังภายใน เป็นไปไม่ได้ที่จะมีใครจดจำตัวตนของเขาได้

 

ฮึบ!!!

 

ซูฉินไม่ได้เร่งรีบหรือเอ้อระเหย แต่ทุกก้าวที่ก้าวออกล้วนมีแรงกดดันอันน่ากลัวครอบงำทุกผู้คน

 

ภายใต้แรงกดดันนี้ พระทุกรูปที่มองไปต่างก็รู้สึกว่าตรงหน้าเป็นทวยเทพแล้วพวกเขาเป็นเพียงมดตัวเล็กๆ พลังภายในของพวกเขาหยุดนิ่ง และล้มลงหมดสติ

 

นี่เป็นเพราะซูฉินไม่ได้มีเจตนาฆ่า

 

มิฉะนั้นด้วยความแข็งแกร่งของเขา เป็นไปไม่ได้เลยที่พระรูปใดจะรอดชีวิตมาได้ในตอนนี้

 

ด้วยความรวดเร็ว

 

ซูฉินก็มาถึงส่วนลึกของอาคารลานโพธิ์

 

หัวหน้าตำหนักได้ยินเสียงตะโกนโหวกเหวกของพระสงฆ์ที่อยู่ด้านนอกอยู่ก่อนแล้ว และเมื่อได้เห็นร่างที่คลุมเครือเดินเข้ามา การแสดงออกของแต่ละคนเปลี่ยนไปในทันที

 

ด้วยความไวเช่นนี้ พวกเขาเพิ่งจะรู้ตัว ร่างเงาคลุมเครือจู่ๆ ก็บุกฝ่าเข้ามาได้เรียบร้อยแล้ว พวกเขาตระหนักดีว่าร่างตรงหน้าเป็นตัวตนที่น่าหวาดหวั่นอย่างยิ่ง

 

ภิกษุจำนวนมากที่เฝ้าระวังอยู่ด้านนอกลานโพธิ์ล้วนแต่เป็นผู้ฝึกยุทธระดับสูงของวัดเส้าหลิน แม้แต่ปรมาจารย์ระดับชั้นที่สองอย่างเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินก็ยังต้องใช้เวลาสักพักในการบุกฝ่าเข้ามา

 

แต่ร่างคลุมเครือตรงหน้านี่ล่ะ?

 

ไม่ใช่ว่าผ่านไปเพียงครู่เดียวเท่านั้นก็เข้ามาแล้ว?

 

ความแข็งแกร่งที่น่ากลัวขนาดนี้คืออะไรกัน?

 

“ปล่อยข้าจัดการเอง!”

 

หัวหน้าตำหนักยุทธสงฆ์คำรามลั่น ไอพลังพวยพุ่งขึ้นสูง และฟาดฟันเข้าหาซูฉินอย่างเลือดเดือด

 

หมัดนี้เปี่ยมไปด้วยประสบการณ์ชีวิตอันยาวนานและความแข็งแกร่งของหัวหน้าตำหนักยุทธสงฆ์ มันเพียงพอที่จะทำให้ปรมาจารย์ระดับชั้นที่สองต้านรับไว้ได้อย่างยากลำบาก

 

อย่างไรก็ตามท่ามกลางการเฝ้าดูของทุกสายตา เมื่อหมัดของหัวหน้าตำหนักยุทธสงฆ์เข้าไปอยู่ในระยะสิบเมตรรอบตัวร่างเงาคลุมเครือ มันก็เหมือนกับติดอยู่ในหล่ม ถูกสกัดขังอยู่ในพื้นที่นั้นทันที

 

“อย่าได้สร้างปัญหา!”

 

ซูฉินขมวดคิ้วเล็กน้อย และปล่อยลมปราณออกมา

 

ฉับพลัน

 

อาณาเขตสนามพลังอันน่ากลัว บดบังท้องนภาและดวงอาทิตย์ ครอบคลุมไปทั่วลานโพธิ์ในทันที

 

หัวหน้าตำหนักทั้งหมดเมื่อตกอยู่ในอาณาเขตนี้ก็เหมือนกับหนอนที่ติดอยู่ในอำพัน ไม่สามารถขยับเขยื้อนได้

 

ไม่เพียงเท่านั้น กำลังภายในของพวกเขาก็ดูเหมือนจะหวาดกลัวบางสิ่งในสักแง่มุม พลันหดตัวกลับเข้าตันเถียนและไม่กล้าที่จะออกมา

 

ฉากนี้ทำเอาหัวหน้าตำหนักทุกคนตกใจ

 

พวกเขาเป็นกลุ่มยอดยุทธในสามระดับบนไม่ใช่หรือ? ต่อให้ไปอยู่ในยุทธภพภายนอกก็นับว่าแข็งแกร่งระดับหนึ่ง

 

แต่ต่อหน้าซูฉินพวกเขาอ่อนแอราวกับเป็นเด็กทารก ฝ่ายตรงข้ามไม่แม้แต่จะยกมือขึ้น พวกเขาก็สิ้นความสามารถในการต่อกรเสียแล้ว

 

ความแข็งแกร่งระดับนี้ต้องบรรลุได้ถึงระดับไหนกัน?

 

หัวหน้าลานโพธิ์หนังศีรษะชาวาบ ตัวสั่นมองร่างที่รางเลือนด้วยความตื่นตระหนก

 

และในตอนนี้เอง

 

ซูฉินก็เดินผ่านหัวหน้าตำหนักที่ถูกจำกัดการเคลื่อนไหวเอาไว้แล้วไปหาเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวิน

เขตหวงห้ามภูเขาด้านหลัง

 

ซูฉินนั่งขัดสมาธิหายใจสงบนิ่งสม่ำเสมอ ราวกับเป็นเพียงคนธรรมดา

 

แต่ถ้ามียอดปรมาจารย์อยู่ที่นี่ตอนนี้ จะต้องประหลาดใจแน่เมื่อเห็นว่ารอบตัวของซูฉินในระยะสิบเมตรมีอาณาเขตพลังที่ยากจะหยั่งถึง

 

ภายในอาณาเขตนี้ แม้แต่ยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งก็ถูกสะกดข่ม และยิ่งเข้าใกล้ซูฉินมากเท่าไหร่ก็ยิ่งถูกข่มมากขึ้นเท่านั้น

 

“ในที่สุดข้าก็พบวิธีที่จะแปลงสภาพกำลังภายใน……”

 

ซูฉินค่อยๆ ลืมตาขึ้น รอยยิ้มปรากฏเด่นชัดบนใบหน้า

 

ในช่วงหนึ่งปีที่ผ่านมา ซูฉินได้ไปเยี่ยมชมทั่ววัดเส้าหลินอีกครั้งหนึ่งเพื่อตรวจสอบพื้นที่ตกสำรวจที่เขาไม่ค่อยได้ไปลงชื่อเข้าใช้เท่าไหร่

 

สุดท้ายซูฉินก็ต้องประหลาดใจเมื่อพบว่าเขตหวงห้ามภูเขาด้านหลังเขา สามารถลงชื่อได้อีกเมื่อเวลาผ่านไป

 

ในการลงชื่อเข้าใช้ในพื้นที่นี้ นอกเหนือจาก [กายามารพุทธะทองคำ] ซูฉินยังได้รับวิชาอื่นๆ จากเขตหวงห้ามภูเขาด้านหลัง คือ [วิถีมารแยกจิตฝังร่าง] [เพลิงมารผลาญสวรรค์] [มารพุทธาเก้ากระแทก] ฯลฯ ทั้งหมดนี้เป็นวิชาเฉพาะตัวของมารพุทธะ

 

ในหมู่วิชาเหล่านี้ ‘วิถีมารแยกจิตฝังร่าง‘ เป็นทักษะเฉพาะตัวของมารพุทธะที่ใช้ในการสละกายหยาบแล้วอาศัยอยู่ในรูปของจิตมารวิญญาณแรกกำเนิด

 

ด้วยวิธีการเรียนรู้ของซูฉินที่ไม่เหมือนใครทำให้เขาเข้าใจในทุกแง่มุมแม้วิชาเหล่านี้จะเป็นวิชาสำหรับผู้ที่เป็นระดับ ‘อรหันต์‘ แล้วก็ตาม

 

ต้องรู้ว่าแม้แต่ผู้ที่บรรลุระดับ ‘อรหันต์‘ ก็ไม่ได้อยู่ยงคงกระพัน มีช่วงชีวิตยาวนานแค่ห้าร้อยปี

 

แต่ด้วยอำนาจของวิชา [วิถีมารแยกจิตฝังร่าง] ทำให้มารพุทธะมีชีวิตอยู่รอดมาได้เกือบพันปี เพียงพอที่จะสังหาร ‘อรหันต์‘ ได้ถึงสองชั่วอายุคน

 

แต่ก็เท่านั้น

 

อย่างไรซูฉินก็ไม่ได้ให้ความสนใจในวิชา [วิถีมารแยกจิตฝังร่าง]

 

หากมีวิธีอื่น ใครจะอยากเปลี่ยนตัวเองให้กลายเป็นแบบมารพุทธะ จะเป็นผีก็ไม่ใช่คนก็ไม่เชิง?

 

เมื่อเทียบกับมารพุทธะ ซูฉินมีศักยภาพไร้ขีดจำกัด เหตุใดจึงต้องใช้ [วิถีมารแยกจิตฝังร่าง] เพื่อยืดอายุออกไป?

 

แน่นอนว่าซูฉินไม่ได้ตั้งใจจะสละทิ้งกายหยาบ แต่แนวคิดบางอย่างในวิชา [วิถีมารแยกจิตฝังร่าง] นั้นคุ้มค่าที่จะเรียนรู้

 

นอกเหนือจาก [วิถีมารแยกจิตฝังร่าง] แล้ว วิชา [เพลิงมารผลาญสวรรค์] ถือเป็นผลประโยชน์อันยิ่งใหญ่ที่สุดของซูฉิน

 

เป็นเคล็ดวิชาที่ใช้จุดเพลิงมนตราด้วยจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์

 

เพลิงมนตรานั้นมองไม่เห็นด้วยตาเปล่าและไร้สภาพ แต่มันสามารถเผาผลาญสิ่งสกปรกที่เจือปนอยู่ในกำลังภายใน ผลลัพธ์ก็เพื่อทำให้กำลังภายในบริสุทธิ์

 

“ด้วยความเร็วที่เพลิงมารผลาญสวรรค์จะชำระกำลังภายในให้บริสุทธิ์ มันสามารถแปลงสภาพของกำลังภายในได้ภายในห้าปี!”

 

ดวงตาของซูฉินสว่างไสว

 

หากไม่มีเพลิงมารผลาญสวรรค์ ซูฉินที่ทำเพียงคอยขัดเกลามันอย่างค่อยเป็นค่อยไปตามกาลเวลา วิธีนี้อย่างน้อยก็ต้องใช้เวลาหลายสิบปีในการฝึกอย่างหนักเพื่อแปลงสภาพของกำลังภายใน

 

แต่เพลิงมารผลาญสวรรค์ทำให้ขั้นตอนนั้นหดสั้นลงหลายต่อหลายเท่า

 

ถ้าให้เหล่ายอดปรมาจารย์ระดับจุดสูงสุดที่บำเพ็ญเพียรอย่างหนักหน่วงในการขัดเกลากำลังภายในมารู้เรื่องนี้ละก็ พวกเขาจะต้องอิจฉาจนคลั่งตาย

 

แน่นอนว่าซูฉินไม่ได้สนใจพวกยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่ง

 

ด้วยความแข็งแกร่งในปัจจุบันของเขานั้น การจัดการพวกยอดปรมาจารย์ก็เพียงแค่ใช้ลูกตบไปหนึ่งที

 

“น่าเสียดายที่หลังจากคราวก่อนต้องใช้ผนึกตราประทับที่ภูเขาด้านหลังในการสะกดมารพุทธะเอาไว้ ไม่เช่นนั้นข้าคงสามารถเอามาใช้เสริมแกร่งร่างกายเพิ่มขึ้นได้อีกครั้งหนึ่ง”

 

ซูฉินเหลือบมองไปรอบตัวด้วยความเศร้าเสียใจ

 

การที่มีองค์ยูไลอยู่ระหว่างกึ่งกลางคิ้ว ซูฉินสามารถควบคุมตราประทับเขตหวงห้ามภูเขาด้านหลังได้อย่างสมบูรณ์

 

แต่ซูฉินรู้ดีถึงความร้ายแรงของเรื่องราวที่จะเกิดขึ้นหลังจากที่ปลดผนึกออกแล้วมารพุทธะถูกปลดปล่อยออกมา มันคุ้มแล้วหรือกับสิ่งที่ได้มา?

 

ย้ำอีกครั้ง

 

ตอนนี้ร่างกายของซูฉินแข็งแกร่งขึ้นจนเกือบจะถึงขีดจำกัดแล้ว แม้ว่าจะขัดเกลาซ้ำอีกครั้งมันก็ไม่ได้มีศักยภาพเพิ่มขึ้นมากเท่าไหร่

 

“หลังจากห้าปีต่อจากนี้ ยามที่กำลังภายในได้แปรสภาพเรียบร้อย ข้าจะลองหาทางตัดผ่านขอบเขตไปยังระดับอรหันต์ให้ได้”

 

ซูฉินลุกขึ้นแล้วเดินออกนอกภูเขาด้านหลังไป

 

ซูฉินหลบเลี่ยงภิกษุสงฆ์ที่คอยเดินลาดตระเวนอยู่อย่างเงียบงัน เขากลับไปลานจิปาถะในพริบตาเดียว

 

“ความแข็งแกร่งในปัจจุบันของข้า เมื่อเทียบกับนักพรตจางทายาทสายตรงของตระกูลเจินเขาหวู่ตั้ง หรือราชครูแห่งอาณาจักรเหมิ่งหยวน ข้าก็ไม่รู้ว่าผู้ใดกันแน่ที่แข็งแกร่งหรืออ่อนแอกว่ากัน?”

 

ซูฉินคิดอยู่ในใจอย่างไม่ร้อนรน

 

ไม่ว่าจะเป็นนักพรตจางหรือราชครูแห่งอาณาจักรเหมิ่งหยวน ทั้งคู่ต่างก็เป็นยอดปรมาจารย์ที่ยอดเยี่ยมที่สุดในยุทธภพ

 

ปกติแล้วระดับชั้นที่หนึ่งทั่วๆ ไป เมื่ออยู่ต่อหน้าสองคนนี้จะไม่กล้าทำตัวกร่างเลย

 

ซูฉินแอบสงสัยอยู่เล็กน้อยว่าตอนนี้ ทั้งนักพรตจางและราชครูแห่งเหมิ่งหยวนนั้นอยู่ในระดับใด?

 

ตราบใดที่อย่างหนึ่งอย่างใดใน ‘พลังศักดิ์สิทธิ์‘ ‘ร่างกาย‘ และ‘กำลังภายใน‘ได้รับการแปรสภาพก็สามารถกล่าวได้ว่าเป็นยอดยุทธในระดับจุดสูงสุดของระดับชั้นที่หนึ่ง

 

การแปรสภาพครั้งที่สอง ซึ่งจะเป็นการสำเร็จการแปรสภาพทั้งสามรูปแบบ ก็ยังคงได้ชื่อว่าเป็นจุดสูงสุดของระดับชั้นที่หนึ่งอยู่ดี

 

แม้ว่าตัวซูฉินจะได้แปรสภาพทั้งพลังศักดิ์สิทธิ์และกายเนื้อเรียบร้อยแล้วในปัจจุบัน แต่ด้วยความยอดเยี่ยมของกายเนื้อเพียงอย่างเดียวของเขาก็สามารถเผชิญหน้ากับยอดยุทธที่แปรสภาพมาแล้วสามอย่างได้โดยไม่เกรงกลัว

 

แต่แน่นอน

 

แม้ความแข็งแกร่งของซูฉินในตอนนี้จะอยู่ในจุดสูงสุดของยุทธภพแล้ว แต่เขาก็ยังไม่ได้พึงพอใจกับมันแม้แต่น้อย

 

ในมุมของซูฉิน ถ้าต้องการจะอยู่ยงคงกระพันไร้พ่ายในใต้หล้า ระดับชั้นที่หนึ่งนั้นยังห่างไกลจากคำว่าพอ อย่างน้อยก็ต้องเป็นระดับอรหันต์ถึงจะพอรู้สึกว่าถึงเกณฑ์ที่เขากำหนดเอาไว้

 

ซูฉินยังรู้สึกถึงขนาดว่าระดับอรหันต์นั้นก็ยังไม่ไร้เทียมทานพอ

 

เก้าร้อยปีก่อน ถ้าการเป็นระดับอรหันต์มันดีจริงดังว่า แล้ว‘ถัวอา‘ อรหันต์รูปสุดท้ายของวัดเส้าหลินทำไมจึงมรณภาพไป?

 

เขาไม่แม้แต่จะสังหารมารพุทธะลงได้ ทำได้เพียงสะกดไว้ด้วยฝ่ามือยูไล หลังจากนั้นก็มรณภาพไปอย่างรวดเร็วด้วยอาการบาดเจ็บ

 

จะเกิดอะไรขึ้นถ้าซูฉินไปอยู่ในยุคนั้นแล้วมีมารพุทธะอีกคนกำเนิดขึ้น?

 

 

วันถัดมา

 

ซูฉินมาที่ลานโพธิ์เพื่อกวาดลาน

 

“ระบบ ลงชื่อเข้าใช้!”

 

ซูฉินกล่าวกับตัวเองเงียบๆ ในใจ

 

[ขอแสดงความยินดี โฮสต์ลงชื่อเข้าใช้สำเร็จ ได้รับโอสถ ‘โอสถชะลอโฉม‘]

 

เสียงจักรกลดังขึ้นในหูของซูฉิน

 

“โอสถชะลอโฉม?”

 

ซูฉินผงะไปชั่วขณะหนึ่ง

 

เขาไม่ได้คาดหวังว่าครั้งนี้เขาจะลงชื่อเข้าใช้แล้วได้รับ ‘โอสถชะลอโฉม‘

 

ในความจริง สำหรับซูฉินแล้ว ‘โอสถชะลอโฉม‘ ไม่มีผลใดๆ มันมีคุณค่าน้อยกว่าโอสถเสริมศักยภาพขนาดเล็กเสียอีก อย่างน้อยโอสถพวกนั้นก็ยังเอามาเคี้ยวเล่นเป็นขนมได้

 

แต่แน่นอนว่าในสายตาของผู้หญิงบางคน ‘โอสถชะลอโฉม‘ สามารถช่วยให้พวกเธอคงความเยาว์เอาไว้ได้ตลอดไป ซึ่งมันไม่ต่างไปจากยาอายุวัฒนะเลย

 

“ลืมมันไปเสีย”

 

“เก็บมันเอาไว้ก่อนแล้วกัน”

 

“บางทีอาจจะมีโอกาสได้ใช้มันในอนาคต”

 

ซูฉินโยน ‘โอสถชะลอโฉม‘ กลับเข้าไปในคลังของระบบ

 

หลังจากลงชื่อเข้าใช้สำเร็จ ซูฉินก็มองขึ้นไปที่อาคารของลานโพธิ์

 

“ฮุ่ยเหวินปิดด่านฝึกตนมาเป็นปีแล้ว ทำไมยังไม่เสร็จสิ้นอีกเล่า หรือจะมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นกัน?”

 

ซูฉินงุนงง

 

เขาจำได้ว่าเมื่อยามที่เขาก้าวจากระดับชั้นที่สองขึ้นมาเป็นระดับชั้นที่หนึ่ง เขาไม่พบกับความยากลำบากใดๆ เลย มันเป็นเรื่องง่ายดายและเป็นธรรมชาติอย่างที่สุด

 

นอกจากนี้ เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินก็ได้ต่อเติมพื้นที่ในลานโพธิ์สำหรับใช้ในการเก็บตัวครั้งนี้ เพื่อเพิ่มโอกาสความสำเร็จในการตัดผ่านโดยการใช้โอสถจำนวนมหาศาลที่ปรุงขึ้นจากลานโพธิ์

 

ถ้าว่าตามเหตุและผล มันไม่น่าจะมีปัญหาใด

 

“ลองดูหน่อยซิ”

 

ซูฉินใช้ดวงตาแห่งสัจจะมองลึกเข้าไปในส่วนลึกของอาคารลานโพธิ์

 

ด้วยดวงตาแห่งสัจจะ ในขอบเขตการมองเห็นของซูฉินพบรัศมีของบุคคลนับสิบอยู่ในส่วนลึกด้านในอาคารลานโพธิ์

 

ซูฉินจับจ้องไปที่ไอพลังของเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินได้อย่างรวดเร็ว

 

หลังจากเข้าร่วมวัดเส้าหลินมาเป็นเวลานานกว่าสิบปี แม้ซูฉินจะไม่ได้ติดต่อกับเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินมากนัก แต่ก็สามารถจับกลิ่นอายได้อย่างง่ายดาย

 

“อะไรกัน?”

 

“มันอ่อนแอถึงขนาดนี้ได้เยี่ยงไร?”

 

“หรือนี่คืออาการธาตุไฟเข้าแทรก?”

 

ซูฉินขมวดคิ้วและพึมพำเสียงเบา

Sign in Buddha’s palm 35 ลงชื่อเข้าใช้ !  กายามารพุทธะทองคำ !

[ ขอแสดงความยินดี โฮสต์ลงชื่อเข้าใช้สำเร็จ ได้รับวิชา ‘ กายามารพุทธะทองคำ‘]

เสียงจักรกลแสนเย็นชาดังขึ้นในหูของซูฉิน

 

“กายามารพุทธะทองคำ”

 

ซูฉินพยักหน้าขึ้นลงเล็กน้อย

 

เห็นได้ชัดว่าการลงชื่อเข้าใช้ครั้งนี้น่าจะได้รับวิชาบ่มเพาะของมารพุทธะมา

 

“ใกล้ถึงเวลาที่จะต้องกลับไปแล้ว”

 

ซูฉินไม่ได้รีบปลูกฝังความเข้าใจในวิชา ‘กายามารพุทธะทองคำ‘ ในทันที

 

ด้วยเกิดเหตุการณ์ครั้งใหญ่ในเขตหวงห้ามภูเขาด้านหลังเช่นนี้ มีโอกาสสูงมากที่เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินและหัวหน้าตำหนักจะรีบเร่งเข้ามา

 

ด้วยความรวดเร็ว

 

ซูฉินก็เดินออกจากภูเขาด้านหลัง

 

“นี่……”

 

ซูฉินมองไปที่สงฆ์ศักดิ์สิทธิ์ทั้งห้ารูปที่นั่งขัดสมาธิอยู่หน้าเนินเขาแล้วถอนหายใจออกมาเล็กน้อย “ตราประทับผนึกมารพุทธะได้รับการเสริมพลังแล้ว พวกท่านไม่จำเป็นต้องปกป้องที่นี่อีกต่อไป”

 

สงฆ์ศักดิ์สิทธิ์ทั้งห้าได้ระงับการเคลื่อนไหวและพลังชีวิตด้วยวิชาลับ

 

วิชาลับประเภทนี้สามารถยืดอายุให้ยืนยาวออกไปได้ แต่การเคลื่อนไหวทั้งหมดต้องถูกจำกัดเอาไว้ สงฆ์ศักดิ์สิทธิ์ทั้งห้าจะต้องทนทุกข์ทรมานอยู่ตลอดเวลา

 

การมีชีวิตอยู่แบบนี้ดีอย่างไร ตายไปเสียยังจะดีซะกว่า

 

เมื่อนึกถึงสิ่งนี้หัวใจของซูฉินก็สั่นไหว สะบัดปลายนิ้วออกเป็นกำลังภายในห้าสายพุ่งผ่าอากาศเข้าหาร่างของเหล่าสงฆ์ศักดิ์สิทธิ์

 

พลังทั้งห้าสายนี้สามารถปลุกสงฆ์ศักดิ์สิทธิ์ให้ตื่นขึ้นก่อนกำหนดได้

 

เมื่อทำทุกสิ่งอย่างเสร็จสิ้น ซูฉินก็ออกจากภูเขาด้านหลังไปอย่างว่องไว

 

ที่ด้านนอกภูเขา ซูฉินพบว่าเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินและหัวหน้าตำหนักต่างก็เฝ้าระวังอยู่ที่นั่น

 

ซูฉินไม่ได้ตั้งใจที่จะเปิดเผยตัวตนออกไป จึงมุ่งตรงไปยังลานจิปาถะ

 

“กายามารพุทธะทองคำ”

 

ซูฉินนั่งไขว้ขาและเริ่มต้นยอมรับการส่งผ่านข้อมูลทั้งหมดเกี่ยวกับ ‘กายามารพุทธะทองคำ‘ ที่ระบบจะปลูกฝังใส่สมองให้

 

ตูม!!

 

ปรากฏเป็นองค์พระพุทธรูปสีทองปรากฏอยู่ในมโนความคิดของซูฉิน

 

ตัวองค์พระเป็นโลหะสีทองครึ่งองค์ อีกครึ่งเป็นสีดำ ด้านสีทองดูขึงขังจริงจัง ส่วนด้านสีดำให้ความรู้สึกลึกลับ

 

กลุ่มก้อนพลังทั้งสองด้านมาบรรจบกันในกายเดียว ต่างก็หลอมหลวมและต่อต้านกันในที

 

“นี่คือ?”

 

รูม่านตาของซูฉินหดตัวเล็กลง

 

ตอนแรกซูฉินคิดว่ามารพุทธะได้ละทิ้งพระพุทธเข้าหาความเป็นมาร แต่ตอนนี้เห็นได้ชัดว่ามารพุทธะมีทั้งพุทธานุภาพและพลังแห่งมารร้าย

 

สำหรับกายามารพุทธะทองคำ เมื่อสามารถฝึกฝนจนถึงความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ ผู้ฝึกจะสามารถสลับปรับเปลี่ยนระหว่างกำลังภายในสายพุทธและกำลังภายในสายมารได้อย่างอิสระ

 

ต้องทราบก่อนว่าในการฝึกวิทยายุทธสิ่งต้องห้ามอย่างที่สุดคือการเจือปนของสายพลัง

 

แต่กายามารพุทธะทองคำไม่เพียงแต่ไม่สนใจสิ่งเหล่านั้น แต่รวมพลังสองขั้วที่แตกต่างกันอย่างรุนแรงเข้าหากัน

 

“มารพุทธะ…….”

 

ซูฉินเงียบไป

 

ในตอนนี้แม้แต่ซูฉินเองยังต้องยอมรับความสามารถของมารพุทธะที่หาได้ยากยิ่งแม้จะกวาดตาหาทั่วดินแดนในรอบพันปี

 

น่าเสียดาย

 

ไม่ว่ามารพุทธะจะมีความสามารถมากเพียงใด สุดท้ายก็ไม่สามารถเทียบได้กับฝ่ามือยูไล

 

หลังจากรู้ถึงความน่าหวาดหวั่นของกายามารพุทธะทองคำ ซูฉินก็ไม่ได้ฝึกฝนมันในทันที

 

ด้วยความแข็งแกร่งในปัจจุบันของซูฉิน หากได้ฝึกฝน ‘กายามารพุทธะทองคำ‘ มันจะเปลี่ยนกำลังภายในของเขาให้เป็นพลังมารอันทรงพลัง และต้องทำให้ทั้งวัดเส้าหลินตกใจเป็นแน่

 

ซูฉินจำเป็นต้องใช้เวลาพอสมควรในการเสาะหาพื้นที่ห่างไกลแล้วค่อยๆ ฝึกฝนกายามารพุทธะทองคำไปอย่างช้าๆ

 

อย่างไรเสียวิชากายามารพุทธะทองคำก็อยู่ในหัวของเขาหมดแล้ว และมันจะไม่หนีหายไปไหน ดังนั้นซูฉินจึงไม่จำเป็นต้องรีบร้อน

 

“นอกเหนือจากได้รับวิชา ‘กายามารพุทธะทองคำ‘ มา ร่างกายของข้าก็ได้รับการปรับปรุงอีกครั้งหนึ่ง ด้วยความช่วยเหลือของพลังจากผนึกสินะ?”

 

ซูฉินแผ่ความรู้สึกสำรวจร่างกายอย่างระมัดระวัง เขาพึงพอใจมาก

 

จำได้หรือไม่ว่าซูฉินเองก็สามารถควบคุมร่างกายได้จนถึงระดับที่สูงมากเรียกว่าแทบจะสมบูรณ์แบบด้วยการขัดเกลาจากวิชากายาวัชระคงกระพันและวิชาขัดเกลากายาจันทรา

 

ในเวลานั้นซูฉินเชื่อมั่นว่าในช่วงก่อนที่จะขึ้นไปถึงระดับอรหันต์ ร่างกายเขาน่าจะถึงขีดจำกัดแล้ว

 

“ทว่าตอนนี้ เทียบกันด้วยกายเนื้ออย่างเดียวเกรงว่าข้าจะเป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุดใช่หรือไม่?”

 

ซูฉินดูเต็มไปด้วยอารมณ์ความรู้สึก

 

ต้องรู้ว่ายอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งที่ผ่านการเปลี่ยนแปลงในด้านใดด้านหนึ่งระหว่าง ร่างกาย กำลังภายใน และพลังศักดิ์สิทธิ์เท่านั้น จึงจะมีคุณสมบัติที่จะถูกเรียกได้ว่า‘จุดสูงสุด‘ของระดับชั้น

 

ผู้ใดที่ขึ้นไปอยู่จุดสูงสุดก็เพียงพอจะต่อต้านอาณาจักรได้เลย อย่างเช่น ราชครูอาณาจักรเหมิ่งหยวน และจ้าวกงกงในวังหลวงของจักรพรรดิถัง

 

และตอนนี้ถ้าให้พวกยอดปรมาจารย์ในระดับจุดสูงสุดเหล่านี้รู้ว่ามีคนสามารถต่อสู้กับพวกเขาด้วยการใช้กายเนื้อเพียงอย่างเดียว พวกเขาอาจจะตกใจจนขากรรไกรหลุดออกมาก็เป็นได้

 

“ด้วยการบำเพ็ญของข้าในปัจจุบัน ตราบเท่าที่กำลังภายในไปถึงจุดเปลี่ยนแปลงปรับสภาพ ข้าเกรงว่าข้าคงจะสามารถขึ้นไปถึงระดับอรหันต์ได้ในเวลาอันสั้น”

 

ซูฉินมั่นใจมาก

 

“ต่อไปก็แค่ต้องบ่มเพาะกำลังภายในต่อไปอย่างอดทน……”

 

ซูฉินตัดสินใจอยู่ภายในใจของตน

 

 

ด้านนอกพื้นที่หวงห้ามภูเขาด้านหลัง

 

เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินและเหล่าหัวหน้าตำหนักต่างรั้งรออยู่

 

ในขณะนั้นเอง

 

ห้าร่างค่อยๆ เดินออกมาจากพื้นที่ต้องห้ามภูเขาด้านหลัง

 

“นั่นคือ?”

 

“สงฆ์ศักดิ์สิทธิ์ทั้งห้ารูปหรือ?”

 

สีหน้าของเจ้าอาวาสได้เปลี่ยนไป

 

ในฐานะของเจ้าอาวาสวัดเส้าหลินเป็นธรรมดาที่เขาจะรู้จักบรรพบุรุษของวัดเส้าหลิน

 

สิ่งที่เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินไม่คาดคิดก็คือบรรพบุรุษทั้งห้าที่น่าจะล่วงลับไปนานแล้ว กลับเดินออกมาจากพื้นที่หวงห้ามเขาด้านหลังทั้งยังมีชีวิตอยู่?

 

จากนั้นไม่นาน

 

เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินได้พูดคุยกับสงฆ์ศักดิ์สิทธิ์ทั้งห้า เริ่มเข้าใจเรื่องราวต่างๆ มากขึ้น

 

เพื่อการปกป้องตราประทับผนึกมารพุทธะ จำต้องมีสงฆ์ศักดิ์สิทธิ์ประจำจุดอยู่ที่ด้านนอกตราประทับ

 

“เช่นนั้น คนที่แอบมาจัดการเหตุการณ์ทั้งหลายก่อนหน้านี้ก็ไม่ใช่เหล่าบรรพบุรุษสงฆ์ศักดิ์สิทธิ์หรอกหรือ?” เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินถามอย่างกะทันหันหลังจากคิดเรื่องนี้อยู่สักพัก

 

“พวกข้าทั้งห้ารูปตกอยู่ในห้วงระงับพลังชีวิตด้วยวิธีการลับ เป็นไปไม่ได้ที่จะลงมือกระทำการใด”

 

สงฆ์ศักดิ์สิทธิ์รูปหนึ่งที่มีใบหน้าบึ้งตึงกล่าวขึ้น

 

ด้วยคำกล่าวที่ว่ามานั้น

 

เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินและหัวหน้าตำหนักมองหน้ากันด้วยความสับสน

 

เป็นไปได้หรือไม่ว่านอกจากพื้นที่หวงห้ามของภูเขาด้านหลังแล้ว ในวัดเส้าหลินยังมีบรรพบุรุษสงฆ์ศักดิ์สิทธิ์ซ่อนตัวอยู่อีก?

 

สงฆ์ศักดิ์สิทธิ์คนเดิมก็กล่าวขึ้นอีกว่า “ตราประทับที่ผนึกมารพุทธะเอาไว้ บัดนี้ได้รับการเสริมผนึกแล้ว พวกข้าไม่จำเป็นต้องคอยปกป้องมันอีกต่อไป“

 

“อย่างน้อยที่สุดพวกข้าก็จะอยู่ได้อีกไม่กี่เดือน ก่อนจะล่วงลับไปจริงๆ”

 

คำพูดที่ถูกกล่าวออก

 

ทำให้เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินและเหล่าหัวหน้าตำหนักมีสีหน้าหมองหม่นลง

 

 

นับตั้งแต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่ภูเขาด้านหลัง วัดเส้าหลินก็สั่นสะเทือนไปช่วงระยะเวลาหนึ่ง

 

แต่อย่างไรก็ตามหลังจากสองสามเดือนผ่านพ้น สงฆ์ศักดิ์สิทธิ์ทั้งห้าต่างก็ทยอยละสังขารกันไปทีละคนสองคน จนในที่สุดช่วงนี้ วัดเส้าหลินก็กลับมาเงียบสงบอีกครั้ง

 

วันเวลากลายเป็นเนิบช้าอีกครั้งหนึ่ง

 

ในเวลานี้เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินปลีกวิเวกปิดด่านฝึกตน หวังจะตัดผ่านเข้าสู่ขอบเขตระดับชั้นที่หนึ่ง

 

ในระหว่างการปลีกวิเวกของเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวิน กิจการทุกอย่างถูกควบคุมดูแลโดยหัวหน้าลานธรรมเป็นการชั่วคราว

 

การเปลี่ยนแปลงของบุคคลระดับสูงของวัดเส้าหลินทำให้เกิดการพูดคุยในหมู่ศิษย์กันอย่างกว้างขวางโดยเฉพาะศิษย์ลานจิปาถะ พวกเขาพูดคุยกันในยามว่างเกี่ยวกับเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินจะออกจากการปลีกวิเวกเมื่อไหร่และเรื่องอื่นๆ…

 

ซึ่งซูฉินก็กลับเข้าสู่ช่วงชีวิตปกติแล้วเช่นกัน วันๆ ไปลงชื่อเข้าใช้ระบบ กวาดลานวัด และบ่มเพาะขัดเกลากำลังภายใน

 

[ขอแสดงความยินดี โฮสต์ลงชื่อเข้าใช้สำเร็จ ได้รับ‘โอสถอายุวัฒนะวิมุตติ‘]

 

ที่ด้านนอกของลานโพธิ์ ซูฉินมีความสุขมาก

 

‘โอสถอายุวัฒนะวิมุตติ‘ เป็นหนึ่งในเม็ดยาของวัดเส้าหลิน มีหน้าที่เพียงแค่อย่างเดียว

 

นั่นคือต่อชีวิต

 

จอมยุทธทุกผู้คนไม่ว่าจะบาดเจ็บหนักขนาดไหน เมื่อได้รับโอสถอายุวัฒนะวิมุตติย่อมมีชีวิตอยู่รอดต่อไปได้

 

ในทั่วทั้งยุทธภพ โอสถประเภทช่วยชีวิตนั้นหาได้ยากยิ่ง โดยเฉพาะ‘โอสถอายุวัฒนะวิมุตติ‘ ที่ไม่มีผลข้างเคียงแอบแฝงใดๆ

 

หาก ‘โอสถอายุวัฒนะวิมุตติ‘ ได้เปิดเผยสู่โลกภายนอก จะต้องทำให้ยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งเข้าแย่งชิงกันอย่างแน่นอน เผลอๆ ยอดปรมาจารย์ระดับจุดสูงสุดจะสนใจมันด้วยซ้ำไป

 

สุดท้ายถึงแม้จะเป็นยอดปรมาจารย์ระดับจุดสูงสุดก็ไม่มีการรับประกันได้ว่าจะไม่บาดเจ็บ

 

ด้วย ‘โอสถอายุวัฒนะวิมุตติ‘ จะเทียบเท่าได้กับชีวิตสำรองอีกหนึ่งชีวิต

 

“ไม่เลว“

 

ซูฉินพยักหน้า

 

แต่ไม่ว่าจะเจอเหตุการณ์อะไร ซูฉินคงจะไม่ได้ใช้ยาประเภทนี้มากจนเกินไปนัก

 

เวลาเดินผ่านไปอย่างเชื่องช้า

 

อีกหนึ่งปีก็ผ่านเลยไป

ณ วัดเส้าหลิน

 

เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินและเหล่าหัวหน้าตำหนักต่างมารวมตัวกันอยู่ที่ลานธรรม

 

“ท่านเจ้าอาวาสเรียกพวกเรามา มีเรื่องอันใดหรือ?” หัวหน้าตำหนักยุทธสงฆ์มองไปที่เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินแล้วถามอย่างสงสัย

 

เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินใบหน้าประด้วยรอยยิ้มเมื่อได้ฟังคำ “ข้ากำลังจะปลีกวิเวกปิดด่านฝึกตน เมื่อเป็นเช่นนั้นให้เรื่องราวภายในวัดเส้าหลินดำเนินการโดยการดูแลของฮุ่ยเจ๋”

 

ฮุ่ยเจ๋เป็นหัวหน้าตำหนักลานธรรมหรือก็คือหัวหน้าฝ่ายวินัย ความแข็งแกร่งของเขาอยู่ในสามระดับบนเป็นรองแค่เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินเท่านั้นในวัดเส้าหลินนี้

 

“ปลีกวิเวก?”

 

หัวหน้าฝ่ายวินัยสงฆ์ตกใจ และพลันถามขึ้นอย่างไม่ได้ตั้งใจ “หรือท่านเจ้าอาวาสกำลังจะเตรียมตัวสำหรับการตัดผ่าน…”

 

หัวหน้าฝ่ายวินัยสงฆ์มองไปที่เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินด้วยสายตายากจะเชื่อ

 

“เมื่อเร็วๆ นี้…”

 

เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินกำลังจะกล่าวคำ

 

ทันใดนั้น

 

ในเวลาเดียวกัน

 

บูม!!!

 

คลื่นพลังที่น่ากลัวพัดกระจายไปทั่วทั้งวัดเส้าหลิน หมู่ตึกวิหารต่างๆ พากันสั่นสะท้านเล็กน้อย

 

“เกิดอะไรขึ้น?”

 

“มีเหตุใดเกิดขึ้น?”

 

หัวหน้าตำหนักต่างหน้าเปลี่ยนสี รีบเดินกันออกมาจากลานธรรม

 

“มันคือที่ภูเขาด้านหลัง แรงสั่นสะเทือนมาจากพื้นที่หวงห้ามภูเขาด้านหลัง!”

 

หัวหน้าตำหนักยุทธสงฆ์ตัวสั่นเทา มองไปที่ภูเขาด้านหลังอย่างเคร่งเครียด

 

เมื่อมีคำกล่าวออกมา

 

หัวหน้าตำหนักคนอื่นๆ รวมถึงเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินเอง สีหน้าก็เริ่มเปลี่ยนไปอีก

 

ตั้งแต่เหตุการณ์ที่‘อรหันต์ถัว‘ ปราบปรามมารพุทธะแล้วสะกดไว้ที่ภูเขาด้านหลัง พื้นที่แถบภูเขาด้านหลังก็กลายเป็นเขตหวงห้ามของวัดเส้าหลินไปตั้งแต่บัดนั้น

 

สถานที่หวงห้ามอื่นๆ เช่น หอคอยสะกดมาร และวิหารพระสหัสพุทธ แม้ว่าจะมีบางสิ่งเกิดผิดพลาดขึ้นมา ย่อมไม่ส่งผลใดต่อวัดเส้าหลินนอกเสียจากอาการปวดเศียรเวียนเกล้า

 

แต่ถ้าเกิดข้อผิดพลาดขึ้นในเขตหวงห้ามภูเขาด้านหลัง มันย่อมเป็นหายนะของวัดเส้าหลินอย่างแน่นอน

 

แค่เพียงผู้สืบทอดของมารพุทธะที่ปรากฏตัวทุกๆ หนึ่งร้อยปี ก็ทำให้วัดเส้าหลินหม่นหมองและเกือบจะถูกกวาดล้างไปสิ้น แล้วนับประสาอะไรกับตัวมารพุทธะจริงๆ จะไม่แย่กว่าอีกหรือ?

 

จนถึงตอนนั้น

 

ไม่ใช่แค่วัดเส้าหลินเท่านั้น เกรงว่าโลกทั้งใบจะกลายเป็นเพียงของเล่นที่อยู่ในมือของมารพุทธะไปเสีย

 

“เร่งรุดไปที่ภูเขาด้านหลังกันเถอะ!”

 

เจ้าอาวาสและเหล่าหัวหน้าตำหนักมองหน้ากัน สีหน้ามืดทะมึน

 

หากมารพุทธะหลุดออกมาจากพื้นที่ต้องห้ามได้จริงๆ แม้ต้องแลกด้วยชีวิต พวกเขาก็ต้องหยุดมารพุทธะเอาไว้ให้ได้

 

อย่างเร็วไว

 

เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินและสงฆ์รูปอื่นๆ ต่างเร่งความเร็วไปยังพื้นที่ต้องห้ามภูเขาด้านหลัง

 

อย่างไรก็ตาม

 

เมื่อเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินและหัวหน้าตำหนักเงยหน้าขึ้นมองไปยังเขตแดนพื้นที่หวงห้ามภูเขาด้านหลัง

 

พวกเขาก็ได้เห็นฉากที่จะไม่ลบเลือนไปจากความทรงจำ

 

ภาพที่เห็นเป็นองค์ยูไลทองคำนั่งอยู่ท่ามกลางหมู่ดอกสาละสีทองจำนวนนับไม่ถ้วนเบ่งบานออกจากความว่างเปล่า ชำระพื้นที่ตรงนั้นให้กลายเป็นบริสุทธิ์ ปกคลุมไปทั่วเขตหวงห้ามภูเขาด้านหลัง

 

หวึ่ง!

 

สายตาของเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินเห็นองค์ยูไลยกฝ่ามือขึ้นแล้วค่อยๆ เหวี่ยงลงไปในส่วนลึกของพื้นที่หวงห้ามภูเขาด้านหลัง

 

“นี่คือ……”

 

เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินอ้าปากกว้าง ใบหน้าเขาเต็มไปด้วยความรู้สึกเหลือเชื่อ

 

“ฝ่ามือยูไล สิ่งนี้คือฝ่ามือยูไล!!!”

 

หัวหน้าลานธรรมรู้สึกอื้ออึงอยู่ในหัว มองไปที่องค์ยูไลสีทอง เกือบจะก้มลงไปกราบอยู่รอมร่อ

 

“ฝ่ามือยูไลหายสาบสูญไปกว่าเก้าร้อยปีพร้อมการจากไปของอรหันต์ถัว แล้วตอนนี้มันคือ…..”

 

หัวหน้าลานธรรมพึมพำกับตนเอง “เป็นไปได้ไหมที่‘อรหันต์‘จะฟื้นชีพกลับคืนมา?”

 

“มันไม่ควรเป็นเยี่ยงนั้น”

 

เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินนิ่งเงียบเป็นเวลานานและกล่าวขึ้นว่า “หากแม้อรหันต์ถัวจะไม่ได้ล่วงลับไปเมื่อเก้าร้อยปีก่อน แต่ก็ไม่มีทางมีชีวิตอยู่จนถึงตอนนี้”

 

เมื่อเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินกล่าวเช่นนั้น พวกเขาก็หยุดไปชั่วขณะแล้วพูดด้วยน้ำเสียงไม่ค่อยอยากจะเชื่อ “งั้นนี่ควรจะเป็นผู้อื่นที่กำลังใช้ฝ่ามือยูไลเพื่อสะกดมารพุทธะในตอนนี้…….”

 

 

ที่ภูเขาด้านหลัง

 

” ‘ความจริงแท้แห่งตถาคต‘ นี่เจ้าสามารถใช้‘ความจริงแท้แห่งตถาคต‘ ได้เยี่ยงไร?”

 

มารพุทธทั้งประหลาดใจปนโกรธเกรี้ยว เขาสูญเสียอิสรภาพไปอย่างสมบูรณ์เมื่อเก้าร้อยปีก่อนก็เพราะอรหันต์ถัวได้ใช้‘ฝ่ามือยูไล‘ ในการสะกดเขาเอาไว้ที่ภูเขาด้านหลังนี่

 

‘ฝ่ามือยูไล‘ เป็นส่วนหนึ่งของ‘ความจริงแท้แห่งตถาคต‘

 

และ‘ความจริงแท้แห่งตถาคต‘ ก็ไม่ใช่ฝ่ามือยูไล

 

ฝ่ามือยูไลมีหมดทั้งสิ้นเก้ารูปแบบ แต่ละกระบวนท่ามีเอกลักษณ์เฉพาะตัวแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ตัวของอรหันต์ถัวเองก็เชี่ยวชาญจริงๆ เพียงแค่หนึ่งรูปแบบของฝ่ามือยูไลเท่านั้น

 

ในประวัติศาสตร์กว่าพันปีของวัดเส้าหลิน ก็ยังมีอรหันต์แบบอรหันต์ถัวอยู่บ้าง แต่ไม่มีใครสักคนเดียวที่ใช้พลังที่แท้จริงของฝ่ามือยูไลได้ทั้งหมด

 

หากเจ้าอยากจะเชี่ยวชาญถ้วนทั่วทุกกระบวนฝ่ามือยูไลทั้งเก้ารูปแบบ เจ้าต้องมีหลักความจริงแท้แห่งตถาคตเท่านั้นถึงจะสามารถทำได้

 

ความจริงแท้แห่งตถาคตเหมือนกับเป็นโครงร่างพื้นฐานเพื่อใช้ในการควบคุมวิชาฝ่ามือยูไลทั้งเก้ารูปแบบ

 

ความจริงแท้แห่งตถาคตเป็นมายาคติและมีความลึกลับ แม้แต่มารพุทธะเอง แม้นอ่านคัมภีร์ทางพุทธทั้งหมด ก็สามารถจับใจความสำคัญได้เพียงไม่กี่คำเท่านั้น

 

มารพุทธะถึงขนาดที่คิดไปแล้วว่าในโลกนี้ไม่มีองค์ยูไลอยู่จริง

 

ทว่ายามนี้…

 

มารพุทธะไม่แม้แต่จะคิดฝันว่ามันจะได้เห็นความจริงแท้แห่งตถาคตจากพระหนุ่มผู้นี้

 

“ความหมายจริงแท้แห่งตถาคต?”

 

ซูฉินไม่ได้คิดอะไรมาก

 

ในตอนนี้ดูเหมือนกับว่าเขาจะกลายเป็น‘อรหันต์‘ที่แท้จริง สามารถควบคุมผนึกตราประทับในพื้นที่ต้องห้ามได้อย่างสมบูรณ์

 

ตั้งแต่เข้ามาด้านในภูเขาด้านหลัง ซูฉินก็สังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงไม่ปกติขององค์ยูไลทองคำที่กึ่งกลางระหว่างคิ้ว

 

และการเปลี่ยนแปลงนี้ก็ยิ่งส่งผลกระทบรุนแรงยิ่งขึ้นเมื่อซูฉินเข้ามาลึกขึ้นเรื่อยๆ

 

ด้วยใช้รัศมีส่องแสงขององค์ยูไลสีทอง ซูฉินก็สามารถเข้าควบคุมพลังของผนึกทั้งหมดในพื้นที่ต้องห้ามได้

 

การเปลี่ยนแปลงทั้งหมดที่เกิดขึ้นในพื้นที่ต้องห้ามยามนี้ โดยเฉพาะความแข็งแกร่งแทบทั้งหมดของ ‘ฝ่ามือยูไล‘ นั้นไม่ได้มาจากซูฉิน แต่เป็นพลังที่หลงเหลือไว้โดยอรหันต์ถัวเสียมากกว่าที่ทิ้งสิ่งนี้เอาไว้เบื้องหลังมานานกว่าเก้าร้อยปี

 

สิ่งที่ซูฉินทำทั้งหมดก็แค่ขับเคลื่อนมันเพียงเล็กน้อย

 

“ไม่นะ!”

 

“ข้าไม่อยากจะถูกปิดผนึกอีกต่อไปแล้ว!!”

 

เมื่อมารพุทธะเห็นฝ่ามือยูไลกำลังกดลงมาอย่างช้าๆ ร่างของเขาก็ระเบิดกลายเป็นร่างหมอกสีเทาจำนวนนับไม่ถ้วน หนีออกไปทุกทิศทาง

 

เขาใช้เวลากว่าเก้าร้อยปี คอยทำลายผนึกทีละเล็กละน้อยและแผ่ขยายอำนาจออกไป

 

เมื่อเขาถูกปราบลงแล้วส่งตัวไปกักขังอีกครั้ง คราวนี้ตัวมารพุทธะอาจจะถึงคราวจบสิ้นอย่างแท้จริง

 

เพราะถึงแม้ว่ามารพุทธะจะได้ละทิ้งกายหยาบด้วยอำนาจแห่งจิตวิญญาณแรกกำเนิด มันก็ไม่สามารถจะอยู่รอดไปได้นานกว่าสองพันปี ถึงกายละเอียดนี้จะเสื่อมถอยช้ากว่ากายหยาบหลายต่อหลายเท่า

 

“เจ้ามิอาจหลบหนีได้”

 

ดวงตาของซูฉินเยือกเย็น เขาเสมือนเป็นอรหันต์ถัวจากเมื่อเก้าร้อยปีก่อน มือขวายกขึ้นค่อยๆ กดลงมากขึ้นไปอีก

 

เสียงสนั่นกึกก้อง

 

ทั่วผืนฟ้านภาดินปกคลุมไปด้วยฝ่ามือสีทองเข้มแห่งองค์ยูไล

 

แยกออกเป็นแถวห้าสาย ฉีกกระชากกฎเกณฑ์ทั้งปวง

 

หมอกสีดำจำนวนนับไม่ถ้วน ส่งเสียงกรีดร้องระงม ค่อยๆ ระเหยสลายหายไปจนหมด

 

ในขณะนี้ พลังของผนึกตราประทับโถมเข้ามารวมตัวกันอย่างไม่มีสิ้นสุด จุดเล็กๆ ที่มารพุทธะใช้ความพยายามในการทำลายอยู่กว่าเก้าร้อยปีถูกซ่อมแซมสร้างขึ้นใหม่ในทันที

 

ร่างจิตวิญญาณแรกกำเนิดของมารพุทธะถูกกดทับลงไปใต้ดินร่ำร้องคร่ำครวญแล้วค่อยๆ หายไปอย่างสมบูรณ์

 

“ในที่สุดก็จบลงแล้ว”

 

ซูฉินลดมือขวาลง ความรู้สึกที่สื่อถึงองค์ยูไลทองคำตรงกึ่งกลางคิ้วทั้งสองข้างสงบลง เขากลับมาหายใจได้โล่งสบายอีกครั้ง

 

แม้ว่าเขาจะไม่รู้ว่าทำไมองค์ยูไลทองคำองค์นี้ถึงสามารถระดมกำลังจากตราประทับของพื้นที่ต้องห้ามภูเขาด้านหลังได้อย่างง่ายดาย

 

แต่ตอนนี้ทุกสิ่งมันก็จบลงแล้ว

 

“กายเนื้อของข้าถูกปรับปรุงขึ้นอีกขั้นแล้ว”

 

ซูฉินที่รู้สึกได้ถึงความเปลี่ยนแปลงของตนก็มีความสุขมาก

 

แม้ว่าซูฉินจะไม่ได้ใช้พลังของตัวเองในยามนี้ แต่ด้วยผลพวงจากการแบกรับพลังของผนึกตราประทับเขตหวงห้าม ก็ไม่ต่างจาก ‘อรหันต์‘ ตัวเป็นๆ ใช้ฐานบ่มเพาะช่วยชำระเส้นเอ็นล้างไขกระดูกให้กับซูฉินด้วยตนเอง

 

หลังจบการต่อสู้ครั้งนี้ ผลประโยชน์ที่ซูฉินได้รับมีมากจนไม่สามารถจินตนาการได้

 

ถ้าซูฉินเป็นเพียงคนธรรมดา

 

ไม่แน่ว่าคงจะกลายเป็นผู้ฝึกยุทธในสามระดับบนได้ในก้าวเดียวจากสิ่งนี้

 

“โอ้ใช่”

 

“เกือบลืมทำธุระไปเลย”

 

ซูฉินเหมือนจะคิดอะไรได้บางอย่าง และกล่าวคำขึ้นในใจเงียบๆ

 

“ระบบ ลงชื่อเข้าใช้!”

“หรือข้าควรจะเรียกเจ้าว่า‘มารพุทธะ‘เล่า……”

 

ซูฉินกล่าวออกไปเช่นนี้

 

การแสดงออกของภิกษุจีวรสีทองเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก มองไปที่ซูฉินด้วยอาการไม่อยากจะเชื่อ

 

เขาไม่คาดหวังว่าซูฉินจะเห็นตัวตนของเขาได้ตั้งแต่แวบแรก

 

รู้หรือไม่ว่าเป็นเวลากว่าเก้าร้อยปีแล้วที่เขาถูกผนึกเอาไว้ทั้งยามกลางวันและค่ำคืน ความแข็งแกร่งเขาถูกหลอมรวมกับผนึกตราประทับไปเสียแล้ว

 

ดังนั้นเขาจึงสามารถสลับวิถีพลังได้อย่างอิสระระหว่าง ‘วิถีแห่งพุทธะ‘ และ ‘วิถีแห่งมาร‘ เว้นแต่อรหันต์ถัวกลับมามีชีวิตอีกครั้ง บุคคลอื่นใดก็ไม่สามารถจะรู้ได้ว่าภิกษุจีวรสีทองรูปนี้เป็นใคร

 

“เจ้ารู้ได้อย่างไร?”

 

รังสีมารแผ่ออกมาจากดวงตาของภิกษุจีวรสีทอง

 

“ข้ารู้ได้อย่างไรน่ะหรือ?”

 

ซูฉินไม่ได้ตอบคำ

 

เมื่อสังเกตด้วยดวงตาแห่งสัจจะ ซูฉินได้ค้นพบมาตั้งแต่แรกแล้วว่ากลิ่นอายของพระภิกษุที่สวมจีวรสีทองนั้นคล้ายคลึงกับพลังมารที่อยู่ลึกลงไปใต้ดิน แปลว่ามีจุดกำเนิดเดียวกัน

 

ดวงตาแห่งสัจจะเป็นอาคมมหัศจรรย์ที่ซูฉินลงชื่อรับมา ไม่ว่ามารร้ายตนนี้จะซ่อนมันไว้ดีมากแค่ไหนก็ไม่รอดพ้นไปจากดวงตาแห่งสัจจะ

 

“ข้าล่ะอยากรู้เสียจริง ผ่านมาตั้งเก้าร้อยปีแล้ว ทำไมเจ้ายังมีชีวิตอยู่?”

 

เมื่อซูฉินกล่าวเช่นนั้นตาก็มองไปที่ภิกษุจีวรทองอีกครั้งพร้อมกับส่ายหัว “ไม่คาดคิดเลยว่าเจ้าจะละทิ้งกายหยาบไปสิ้น แล้วคงอยู่ในรูปของจิตมารจนรอดชีวิตมาถึงบัดนี้”

 

ยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งสามารถหล่อเลี้ยง ‘พลังศักดิ์สิทธิ์‘ ได้ และในขณะที่จุดสูงสุดของระดับชั้นที่หนึ่งสามารถควบแน่นจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ เพื่อสำรวจสภาพแวดล้อม ตรวจจับสิ่งแปลกปลอม และถึงขนาดสังหารผู้คนผ่านอากาศ

 

ส่วนระดับ‘อรหันต์‘ ซึ่งเป็นผู้ที่เหนือกว่าระดับชั้นที่หนึ่งอย่างสิ้นเชิง มีจิตวิญญาณแรกกำเนิดเป็นของตนเอง มีฤทธิ์เทียบเท่าจิตวิญญาณดั้งเดิมของทางลัทธิเต๋า

 

แม้ร่างกายจะสูญสลายแต่อาศัยที่ว่ามีจิตวิญญาณแรกกำเนิด ตัวตนระดับอรหันต์จะไม่ตายในทันที แต่ว่าในเมื่อร่างกายไม่เหลือแล้ว จิตวิญญาณแรกกำเนิดย่อมไม่มีที่ยึดเกาะและจะค่อยๆ สลายไปในที่สุด

 

มารพุทธะได้ฝังจิตวิญญาณแรกกำเนิดไว้ที่ภูเขาด้านหลัง ดังนั้นเขาจึงมีชีวิตอยู่รอดได้มาจนถึงตอนนี้ ถึงจะเป็นแบบนั้นแต่จิตวิญญาณแรกกำเนิดก็เหมือนกับร่างกายนั่นแหละที่จะร่วงโรยลงไป มันสามารถโรยราลงได้เหมือนกันเพียงแต่ช้ากว่าร่างกายก็เท่านั้น

 

ยิ่งไปกว่านั้นหากไม่มีร่างกาย มารพุทธะย่อมจะไม่สามารถแสดงพลังในระดับ ‘อรหันต์‘ ได้อีกต่อไป

 

“เจ้าหลอกข้าเข้ามานี่เพราะอยากจะยึดเอาร่างข้าหลบหนีออกไปงั้นหรือ”

 

ซูฉินมองไปที่จีวรสีทองของภิกษุรูปนั้นแล้วค่อยๆ พูดขึ้นว่า “นี่เป็นโอกาสเดียวของเจ้าแล้ว ถ้าเจ้าต้องการจะปลดตราประทับ ก็คงมีเพียงวิธีนี้เท่านั้น”

 

พระจีวรสีทองฟังคำพูดของซูฉินแต่ไม่ตอบคำกลับไป

 

โดยไม่รู้ตัวก็พบว่าจีวรสีทองที่ภิกษุผู้นี้ห่มคลุมอยู่ค่อยๆ ถูกย้อมไปด้วยสีดำสนิท และความมืดมิดก็แผ่กระจายออกไปทั่วบริเวณด้วยอัตราเร็วที่น่ากลัว

 

บูม!

 

ในพริบตา

 

ถ้ำพระพุทธซึ่งเต็มไปด้วยไอธรรมกลับกลายไปเป็นอาณาเขตรังของมารร้าย เสียงปีศาจคำรามก้อง

 

พลังมารสีดำท่วมไปทั่วถ้ำ ควบแน่นกลายเป็นสัตว์ประหลาดมายา แต่ละตนแสยะยิ้มมาทางซูฉิน

 

“ไม่เลวนี่”

 

“ความคิดที่แกบอกมานั้นยอดเยี่ยมทีเดียว!”

 

มารพุทธะฉีกโฉมหน้าตัวตนปลอมทิ้งไปแล้วมองมาที่ซูฉินเหมือนหมาป่าหิวโหย “ร่างกายของเจ้ามีการปรับปรุงจนถึงขีดสุดแล้ว และไม่ใช่ทั้งเส้นทางของกายาหยินสุดขีดหรือร่างกายหยางอันร้อนแรง แต่เป็นกายเนื้อที่มีทั้งหยินและหยางร่วมกัน”

 

“ร่างกายแบบนี้เป็นสิ่งที่หาได้ยากยิ่งในรอบหลายพันปี ศักยภาพของมันไร้สิ้นสุด หากข้าได้รับมันมาล่ะก็ ข้าจะสามารถกลับไปยืนอยู่จุดสูงสุดที่เคยจากมาได้ภายในหนึ่งร้อยปี!”

 

มารพุทธะไม่ได้สนใจซูฉินมากนัก แม้ตอนนี้มันจะไม่มีกายเนื้อ แต่มันก็สามารถจัดการปัญหาได้ด้วยจิตวิญญาณแรกกำเนิดเพียงเท่านั้น นี่ไม่ใช่สิ่งที่ยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งจะรับมือได้

 

แม้ว่ายอดปรมาจารย์ผู้นั้นจะกลั่นจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของตนเองได้แล้ว รวมถึงปรับปรุงร่างกายจนขีดสุดแล้วก็ยังห่างไกลจากคำว่าเพียงพอ

 

สาเหตุที่มารพุทธะไม่ก่อเหตุที่ภายนอกเป็นเพราะผนึกนั้นยับยั้งอำนาจของมัน พลังอำนาจของมันไม่สามารถใช้ออกไกลเกินภูเขาต้องห้ามหลังวัด

 

แต่เมื่อซูฉินเข้ามาที่ภูเขาด้านหลัง ชีวิตและความตายของซูฉินก็อยู่ในเงื้อมมือของมันเป็นที่เรียบร้อย

 

“ตอนนี้ข้าจะให้โอกาสเจ้าในการยินยอมมอบกายเนื้อของเจ้ามาเสีย หากเจ้าเชื่อฟัง ข้าจะทำให้ความตายของเจ้ามันเป็นเรื่องง่าย และสะดวกสบาย”

 

“หาไม่แล้ว ข้าจะแผดเผาจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของเจ้าด้วยเปลวเพลิงวิญญาณไปนานนับร้อยปี!”

 

มารพุทธะมองซูฉินอย่างเย้ยหยัน

 

เหตุผลที่มันกล่าวเช่นนี้ก็เพราะกังวลว่าซูฉินจะเสียชีวิตหรือไปทำให้กายเนื้อ‘ได้รับบาดเจ็บ‘ โดยไม่ตั้งใจ

 

“ใช่หรือ?”

 

“เจ้าแน่ใจหรือว่าจะเอาชนะข้าได้?”

 

ซูฉินกล่าวเสียงเบา

 

“ชนะเจ้าน่ะหรือ?”

 

มารพุทธะยิ้มหยามหยัน “แม้ว่าข้าจะไม่สามารถทำลายผนึกได้อย่างสมบูรณ์ แต่เวลากว่าเก้าร้อยปีข้าก็ได้ฉีกทำลายทิ้งริ้วรอยไว้บนตราประทับมากมาย”

 

“ถึงแม้จะเป็นแค่รอยรั่วเล็กๆ ไม่สามารถปลดปล่อยตัวข้าออกไป แต่พลังที่ข้ามียามนี้ก็เกินพอจะสังหารเจ้าให้สิ้น!”

 

สิ่งที่มารพุทธะกล่าวล้วนเป็นความจริง

 

แม้ว่ามันจะละทิ้งกายหยาบไป ไม่สามารถแสดงพลังต่อสู้ของระดับ ‘อรหันต์‘ ที่แท้จริงได้ แต่มันก็ยังเหนือกว่าระดับชั้นที่หนึ่งอยู่มาก

 

“เนื่องจากเจ้าไม่จำนนส่งมอบร่างกายของเจ้ามา”

 

“ข้าก็ทำได้เพียงแย่งชิงมาจากเจ้าด้วยตัวเอง”

 

มารพุทธะหมดความอดทน สีหน้าของมันเยือกเย็น ยกมือขวาขึ้นแล้วลดมือลงไปในทิศทางที่ซูฉินยืนอยู่ห่างออกไป

 

ทันใดนั้น

 

ถ้ำปีศาจสั่นสะเทือน พลังมารมหาศาลรวมตัวกันเป็นมือขนาดใหญ่ค่อยๆ กดลงไปหาซูฉิน

 

ภายใต้ฝ่ามือทรงพลังระดับนี้ ยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งไม่สามารถขยับตัวได้แน่ แม้ว่าจะเป็นจุดสูงสุดของระดับชั้นก็ตาม พวกเขาจะทำได้แค่หมดหวัง หลับตาลงรอคอยความตาย

 

มารพุทธะมองซูฉินอย่างเย็นชา ราวกับมองคนที่ตายไปแล้ว

 

เขาเชื่อมั่นว่าด้วยการโจมตีครั้งนี้ ต่อให้พลังของซูฉินมีมากกว่านี้เป็นสิบเป็นร้อยเท่าก็ไร้ประโยชน์

 

ในขณะที่มารพุทธะกำลังคิดว่าจะทำอย่างไรให้สามารถใช้ร่างกายของซูฉินได้เร็วที่สุด

 

ซูฉินก็ก้าวเดินออกไปแล้วมองไปที่ใบหน้าของมารพุทธะ “เจ้าไม่อยากรู้หรือ ว่าทำไมตัวข้าที่มองเห็นตัวตนที่แท้จริงของเจ้าตั้งแต่แรก แต่ก็ยังเข้ามาพร้อมกับเจ้า ให้เวลาเจ้าเตรียมการมากถึงเพียงนี้?”

 

“ฮะ?”

 

เมื่อได้ยินเช่นนั้นใบหน้าของมารพุทธะเปลี่ยนไปเล็กน้อย

 

ใช่แล้ว!

 

ทำไมถึงเป็นเช่นนั้นเล่า?

 

เนื่องจากซูฉินก็รู้ว่าตัวมันไม่ใช่อรหันต์‘ถัว‘ แต่เป็นมารพุทธะที่ถูกสะกดเอาไว้ เหตุใดจึงยังคิดที่จะกระโดดลงมาในกับดักโดยตรงแบบนี้อีก?

 

เป็นไปได้หรือไม่ที่ซูฉินเป็นคนโง่?

 

มันจะเป็นไปได้เยี่ยงไร?

 

แม้แต่ตัวมารพุทธะเองก็ไม่คิดว่ายอดฝีมือระดับชั้นที่หนึ่งจะเป็นคนโง่

 

ตอนนั้นเอง

 

ซูฉินพลันก้าวเดินหน้าขึ้นไปอีกหนึ่งก้าว

 

“เป็นเพราะข้าเองก็ต้องการเวลาเช่นเดียวกัน!”

 

ตูม!

 

เนินเขาทั้งห้าสั่นสะเทือนส่งเสียงคำรามก้อง

 

โดยมีซูฉินเป็นจุดศูนย์กลาง ห่อหุ้มไปด้วยฝ่ามือยูไลสีทองเข้ม

 

มีดอกสาละสีทองบานสะพรั่งไปทั่วทิศ ดอกเดียวแทนโลก กลีบใบแทนจักรวาล แตกช่อเป็นชั้นออกไปราวกับผืนดินแสนบริสุทธิ์ไม่มีที่สิ้นสุด

 

ที่แกนกลางของดินแดนอันพิสุทธิ์มีองค์ยูไลทองคำนั่งตัวตั้งตรง เหมือนพระองค์ได้ทรงมองเห็นสรรพชีวิตทั้งมวล ไม่มีเลือกที่รักมักที่ชัง ไม่มีความเกลียด ไม่มีรัก ไม่มีเมตตา เป็นการวางเฉยที่ทรงพลัง กว้างใหญ่จรดชั้นฟ้า

 

แกร็ก

 

แกร็ก

 

ฝ่ามือขนาดยักษ์ที่กอปรด้วยพลังมารพังทลายลงในทันที อาณาเขตรังมารก็ถูกทำลายสิ้น แทนที่ด้วยรัศมีผุดผ่องสว่างไสวไปทั่วจากองค์พุทธะ

 

“นี่นี่..นี่…..”

 

มารพุทธะที่คิดว่าตนกำชัยชนะเอาไว้ในมือแน่แล้ว ราวกับถูกฟ้าผ่าลงกลางศีรษะ จ้องมองไปที่ดินแดนอันบริสุทธิ์งดงามแผ่กระจายออกไปอย่างไร้ขอบเขต ที่ใจกลางมีองค์ยูไลยกมือชี้จรดฟ้า อีกมือทิ่มลงพื้นพสุธา ตัวมันได้แต่ส่งเสียงกระซิบที่สิ้นหวังอย่างยิ่งออกมา

 

“ความหมายจริงแท้แห่งตถาคต!”

 

“นี่มันคือความหมายจริงแท้แห่งตถาคต!!!”

Sign in Buddha’s palm 32 มารพุทธะ

 

 

จริงๆ แล้วซูฉินไม่ได้มีแผนการจะไปยังเขตหวงห้ามภูเขาด้านหลัง ทั้งนี้เขายังรับรู้ได้อีกว่ามีกลิ่นอายจางๆ ของยอดปรมาจารย์อยู่ที่ภูเขาด้านหลังนี้

 

อย่างไรก็ตามหลังจากที่ซูฉินกลั่นจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ได้แล้ว ความเข้าใจในพลังของเขาสูงขึ้นมาก และการเข้าไปด้านในก็ไม่ใช่สิ่งที่ยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งทั่วไปจะรู้สึกถึงตัวตนของเขาได้

 

“ไปดูสักหน่อยดีกว่า”

 

ซูฉินครุ่นคิดอยู่ครู่เดียวก็ตัดสินใจได้

 

ด้านนอกของเขตหวงห้ามภูเขาด้านหลัง มีภิกษุจำนวนมากคอยเดินตรวจตราตลอดเวลา และมีจำนวนมากกว่าหอคอยสะกดมารเสียอีก

 

ด้วยการรักษาความปลอดภัยระดับนี้ ต่อให้เป็นยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งต้องการจะลอบเข้าไปที่ภูเขาด้านหลังก็มิอาจกระทำได้

 

แต่สำหรับซูฉินก็แค่เรื่องยุ่งยากที่แก้ได้ในไม่กี่ขั้นตอน

 

จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ปล่อยรัศมีไปรอบกายหลายสิบฝ่ามือ ประจวบกับการปิดบังกลิ่นอายด้วยกายา ทั้งสองสิ่งผสานกันทำให้ซูฉินลัดเลาะหลบผ่านเหล่าสงฆ์ที่ลาดตระเวนข้ามมายังพื้นที่หวงห้ามด้านหลังภูเขาได้ในชั่วพริบตา

 

หลังจากเข้าไปในภูเขาด้านหลัง วิสัยทัศน์ของเขาก็แหลมคมขึ้นมาก ซูฉินระมัดระวังตัวขึ้นมาฉับพลันก่อนจะเดินเข้าไปยังส่วนลึก

 

“ความรู้สึกเช่นนี้?”

 

ซูฉินหยุดเดินกะทันหันแล้วกดนวดไปที่ระหว่างคิ้ว

 

ไม่รู้ว่าทำไม ยิ่งเดินลึกเข้าไปในพื้นที่ต้องห้ามภูเขาด้านหลัง องค์ยูไลทองคำที่เป็นสัญลักษณ์ของวิชาฝ่ามือยูไลก็กระจายแสงนวลออกมา

 

“จะต้องมีสิ่งที่เกี่ยวข้องกับฝ่ามือยูไลอยู่ในเขตหวงห้าม”

 

ซูฉินคาดเดา

 

ฝ่ามือยูไล เคล็ดวิชาฝ่ามือที่แข็งแกร่งที่สุดของวัดเส้าหลิน เป็นที่รู้จักกันในฐานะวิชาที่ถ่ายทอดมาจากองค์ยูไล แต่ก็ได้หายสาบสูญไปแล้วเมื่อเก้าร้อยปีก่อน

 

นอกจากการสูญเสียฝ่ามือยูไลไป เมื่อเก้าร้อยปีก่อนก็ได้เกิดเหตุการณ์สำคัญที่ถึงขนาดเกือบจะทำลายวัดเส้าหลินลง

 

ภัยร้ายจากมารพุทธะ

 

ซูฉินมีความคิดเชื่อมโยงเหตุการณ์ในตอนนั้นว่าการหายไปของฝ่ามือยูไลจะต้องเกี่ยวข้องกับมารพุทธะ

 

“ฝ่ามือยูไลเป็นเคล็ดวิชาระดับ ‘อรหันต์‘ มีเพียงการบรรลุถึงระดับ‘อรหันต์‘ เท่านั้นจึงจะสามารถเข้าใจแก่นของฝ่ามือยูไลได้”

 

“และเก้าร้อยปีที่แล้วก็มีตัวตนอย่าง‘อรหันต์‘ อยู่รูปเดียวที่ยังมีชีวิตอยู่ในวัดเส้าหลิน แล้วภายหลังจึงค่อยๆ ล่วงลับไปเนื่องจากเหตุการณ์การปราบมารพุทธะ ผลก็คือการหายไปของฝ่ามือยูไล”

 

ความคิดของซูฉินวกวนไปมา พยายามที่จะสืบหาความจริงที่เกิดขึ้นเมื่อเก้าร้อยปีก่อน

 

“อรหันต์ในวัดเส้าหลินยามนั้นเพียงแต่ปราบปรามมารพุทธะ แต่ไม่ได้สังหารมัน แสดงว่าอรหันต์ผู้นั้นไม่สามารถสังหารมารพุทธะได้ และสามารถใช้เพียงวิธีสะกดเพื่อกำจัดมารพุทธะและภัยพิบัติต่อของเส้าหลินในรูปแบบนี้เท่านั้น”

 

ในขณะที่ซูฉินเดินเข้าไปส่วนลึกของภูเขาด้านหลัง

 

ไม่นานจากนั้น

 

เนินเขาสีทองซีดๆ ห้าลูกปรากฏในลานสายตาของซูฉิน

 

“นี่คือ?”

 

รูม่านตาของซูฉินหดตัวลง ใบหน้าขึ้นสี

 

หากมองจากระยะไกล เนินเขาสีทองทั้งห้าก็เหมือนนิ้วมือห้านิ้วที่ยืดออกไปจรดฟากฟ้า

 

ห้านิ้วเหยียดขึ้นจรดฟ้า เพื่อสะกดมาร!

 

“ฝ่ามือยูไล”

 

“นี่คือฝ่ามือยูไล!!!”

 

ซูฉินเงยหน้าขึ้น

 

เนินเขาทั้งห้านี้แม้จะมีไอพลังไม่ชัดเจน แต่มันก็เริ่มสะท้อนพลังกับองค์ยูไลทองคำที่หว่างคิ้วของซูฉิน

 

“ ‘อรหันต์‘ ในวัดเส้าหลินเมื่อเก้าร้อยปีก่อนใช้ฝ่ามือยูไลในการปราบมารพุทธะ!”

 

ซูฉินมั่นใจในเรื่องนี้มาก

 

ถ้าเป็นคนอื่นหรือแม้แต่เจ้าอาวาสสมัยปัจจุบันของวัดเส้าหลิน กลัวว่าคนเหล่านั้นจะไม่ได้นึกถึงฝ่ามือยูไลยามเมื่อมองไปที่เนินเขาทั้งห้าลูก

 

แต่ซูฉินมีมรดกตกทอดวิชาฝ่ามือยูไล

 

แม้จะใช้ออกมิได้ แต่ลมปราณของฝ่ามือยูไลก็ชัดเจนอยู่ในกมล

 

ด้วยความรวดเร็ว

 

ซูฉินก็มาถึงด้านหน้าเนินเขาทั้งห้าและพบร่างผอมแห้งนั่งขัดสมาธิอยู่

 

ร่างทั้งห้าสวมจีวร ปิดตาแน่น และแทบจะไม่มีลมหายใจปล่อยออกมาให้รู้สึกได้ ถ้าไม่ใช่เพราะเศษเสี้ยวลมหายใจ ซูฉินคงจะคิดไปว่าพระทั้งห้านี้มรณภาพไปนานแล้ว

 

“สงฆ์ศักดิ์สิทธิ์ห้ารูป?”

 

ซูฉินขมวดคิ้วเป็นปม

 

ร่างผอมแห้งทั้งห้าจะต้องเป็นสงฆ์ศักดิ์สิทธิ์ระดับชั้นที่หนึ่งแน่ๆ แต่ไอพลังของพวกท่านนั้นแปลกมาก

 

จะว่ามีชีวิตก็ไม่เชิง จะตายไปแล้วก็ไม่ใช่อีก

 

“มันควรจะเป็นวิธีลับในการปล่อยให้ตนเองตกอยู่ในสถานะระงับพลังชีวิตเพื่อยืดอายุขัยออกไปรอเวลาที่จะตื่นขึ้น”

 

ซูฉินคาดเดาในใจ

 

ซูฉินเองก็ได้รับวิชาลับประเภทระงับพลังชีวิตมาเป็นโหล

 

ยามใดที่ใช้วิชาลับประเภทนี้ร่างกายจะแข็งเกร็งโดยสมบูรณ์ สูญเสียความเป็นไปได้ที่จะก้าวหน้าต่อไป ความคิดต่างๆ จะถูกระงับไว้ราวกับจมดิ่งสู่ความมืดมิดชั่วนิจนิรันดร์

 

สภาพเช่นนี้ถือเป็นเรื่องน่าเศร้าสำหรับทุกคน ยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งยอมตายในการต่อสู้ดีกว่าจะยอมทนทุกข์ทรมานเช่นนี้

 

สำหรับสงฆ์ศักดิ์สิทธิ์ทั้งห้าที่อยู่ด้านหน้าเนินเขาห้าเนินนั้น ทั้งหมดมีเหตุผลก็เพราะต้องป้องกันไม่ให้มารพุทธะหลุดออกจากตราประทับ ถูกบังคับกักขังอยู่ระหว่างสงฆ์ศักดิ์สิทธิ์ทั้งห้า

 

แน่นอนว่าด้วยพลังของสงฆ์ศักดิ์สิทธิ์ทั้งห้ายังห่างไกลจากความสามารถในการสะกดมารพุทธะ แต่มันจะเพียงพอก็ต่อเมื่อรวมพลังเข้ากับตราประทับที่ถูกประทับทิ้งไว้โดยฝ่ามือยูไล

 

“เฮ้อ….”

 

ซูฉินถอนหายใจเล็กน้อย

 

“มารพุทธะ…”

 

ซูฉินเบนสายตาแล้วมองไปที่เนินเขาสีทองจางๆ ทั้งห้า

 

ตอนที่ซูฉินเข้ามา ถึงแม้เนินเข้าสีทองซีดทั้งห้าลูกจะปลดปล่อยอำนาจกดทับทุกสรรพสิ่งออก เขาก็ยังรู้สึกได้ถึงไอมารที่ลึกล้ำด้านใน

 

“ยังไม่ตายแม้จะผ่านไปกว่าเก้าร้อยปีอย่างนั้นหรือ?”

 

ซูฉินขมวดคิ้ว

 

ตามการบันทึกของวัดเส้าหลิน แม้แต่การคงอยู่ของอรหันต์หรือตำนานยุทธอย่างมากสุดก็มีชีวิตอยู่ได้ถึงห้าร้อยปีเท่านั้น

 

ในเมื่อมารพุทธะถูกปราบโดยอรหันต์ นั่นหมายความว่าระดับพลังของมันย่อมไม่ต่างไปจากอรหันต์มากนัก ตามหลักเหตุผลแล้วหลังจากเก้าร้อยปีผ่านไป มารพุทธะควรจะไม่เหลือแม้ขี้เถ้าแล้ว จะมีไอพลังออกมาได้อย่างไร?

 

เมื่อซูฉินนึกถึงเรื่องนี้

 

ครืน!!

 

เนินเขาทั้งห้าก็สั่นไหวเล็กน้อย

 

พระภิกษุสวมจีวรสีทองปรากฏตัวขึ้นมองลงมาที่ซูฉินแล้วกล่าวว่า “ศิษย์สาวกแห่งองค์ยูไล ในเมื่อเจ้าสามารถเข้ามาถึงภูเขาด้านหลังแห่งนี้ได้ เจ้าย่อมต้องได้รับมรดกของข้าไป เข้ามาสิและสืบทอดเส้นทางสายพุทธสืบไป”

 

เสียงไพเราะเอื้อนเอ่ย

 

หากเป็นจอมยุทธทั่วไป แม้กระทั่งยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่ง ภายใต้น้ำเสียงอันเสนาะหูนี้จะต้องตกตะลึงยามเมื่อคิดไปถึงมรดกอันน่ามหัศจรรย์อยู่ด้านในส่วนลึกของภูเขาด้านหลัง

 

ตาของซูฉินสะท้อนสีสันแปลกๆ และตัวของเขาก็เดินลึกเข้าไปด้านในภูเขา

 

จากนั้นไม่นาน

 

ซูฉินก็มาถึงถ้ำพระพุทธ

 

มีพระพุทธรูปนับไม่ถ้วนเรียงรายไปทั่วทุกทิศทุกทาง และมีพลังพุทธคุณโอบล้อมพุทธรูปเหล่านั้น

 

“ในเมื่อเจ้าเป็นพุทธสาวก ไยไม่รีบคุกเข่าลงเสียเล่า!”

 

พระที่สวมจีวรสีทองปรากฏกายอีกครา

 

อย่างไรก็ตาม

 

ซูฉินไม่ได้สนใจและยังยืนอยู่แบบนั้น เขาถึงขนาดจ้องตรงไปที่พระรูปนั้น

 

“พุทธศาสนาให้ความสำคัญกับความเท่าเทียม ไฉนจึงต้องคุกเข่าเล่า?”

 

ซูฉินกล่าวคำอย่างสบายๆ

 

“ถูกต้อง” ราวกับกำลังคิดอะไรบางสิ่ง พระภิกษุชุดสีทองพยักหน้าเล็กน้อยแล้วมองไปที่ซูฉินอย่างเห็นด้วย “ด้วยอายุที่ต่ำกว่าสามสิบแต่มาถึงระดับชั้นที่หนึ่งแล้ว พรสวรรค์แฝงเร้นของเจ้าเพียงพอที่จะติดห้าอันดับแรกของวัดเส้าหลินในรอบหนึ่งพันปีเลยเชียวนะ”

 

“โอ้?”

 

ซูฉินมองไปที่พระจีวรสีทองอย่างสนอกสนใจ “แล้วท่านเป็นใครหรือ?”

 

“ฉายาทางธรรมของข้าก็คือ ‘ถัวอา‘ ‘ถัวอาหลัวฮั่น‘[1]”

 

ภิกษุจีวรสีทองพูดอย่างเคร่งขรึมและใจเย็น

 

อรหันต์‘ถัว‘ เป็นอรหันต์ที่ปราบมารพุทธะในวัดเส้าหลินเมื่อเก้าร้อยปีก่อน

 

แต่นั้นมาก็ไม่มีศิษย์คนใดขึ้นไปถึงระดับอรหันต์อีกเลย

 

“ถัวอา?”

 

รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของซูฉินราวกับเขาได้ยินเรื่องตลก

 

พระห่มคลุมจีวรสีทองขมวดคิ้วและกำลังจะเอ่ยบางอย่าง

 

อย่างไรก็ตาม

 

ในเวลาต่อมา

 

รอยยิ้มของซูฉินค่อยๆ จางหายไป เขามองอย่างเย็นชาและพูดบางอย่างที่ทำให้พระจีวรทองถึงกับเปลี่ยนสีหน้า

 

“ข้าควรจะเรียกเจ้าว่า‘มารพุทธะ‘เสียมากกว่าหรือเปล่า……”

 

 

———————————————————

[1] อาหลัวฮั่น (阿罗汉) หมายถึง พระอรหันต์

ในส่วนถัวอาเข้าใจว่าชื่อต้นคือถัว แล้วเติม อา (阿) ไปที่ท้ายชื่อเพื่อสื่อถึง ‘อาหลัวฮ่าน‘ อาจจะเป็นการย่อคำเพื่อใช้ในการตั้งฉายาธรรม หากเข้าใจผิดพลาดประการใดขออภัยไว้ในที่นี้ด้วยครับ

Sign in Buddha’s palm 31 ชีวิตและความตาย

 

 

“พระตัวน้อย”

 

“ข้าขอถามอะไรสักอย่างได้หรือไม่?”

 

จากนั้นไม่นานองค์หญิงตัวน้อยก็สงบเสงี่ยมลงและถามออกอย่างระมัดระวัง

 

“ถามมาสิ” ซูฉินตอบกลับเรียบๆ

 

เขาไม่ได้มีความสนใจองค์หญิงราชวงศ์ถังคนนี้

 

ท้ายที่สุดองค์หญิงน้อยพระองค์นี้ก็อายุเพียงสิบกว่าขวบ ซูฉินหาได้เป็นนักเล่นแร่แปรทองแดง[1]ไม่ เขาจึงไม่ได้ให้ความสนใจนัก

 

“เจ้าคิดว่าอาณาจักรถังจะปลอดภัยดีหรือเปล่า?”

 

องค์หญิงมองไปรอบๆ เพื่อให้มั่นใจว่ารอบข้างไม่มีใครอยู่จากนั้นจึงลดเสียงลง

 

“อาณาจักรถังจะอยู่รอดปลอดภัยไหมงั้นหรือ?”

 

ซูฉินไม่คาดคิดว่าองค์หญิงพระองค์น้อยจะถามคำถามเช่นนี้ออกมา

 

ถ้าองค์หญิงถามว่าองค์จักรพรรดิถังจะปลอดภัยหรือไม่ ซูฉินยังพอเข้าใจได้ แต่นี่องค์หญิงถามถึงอาณาจักรถังจริงๆ รึ?

 

“นั่นก็ขึ้นอยู่กับการเสด็จสวรรคตขององค์จักรพรรดิ”

 

ซูฉินครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วกล่าวว่า “หากจักรพรรดิถังสถาปนารัชทายาทแล้วเนรเทศองค์ชายพระองค์อื่นๆ ก่อนที่พระองค์จะเสด็จสวรรคต วังหลวงก็ย่อมมีเสถียรภาพและดำรงอยู่ได้ต่อไปอีกเป็นร้อยปี”

 

น้ำเสียงของซูฉินราบเรียบราวกับเรื่องราวการเนรเทศและการตายของเหล่าองค์ชาย เป็นเรื่องง่ายๆ ราวกับการกินข้าวสองสามชามยามเที่ยง

 

ถ้าคนอื่นได้ยินคำพูดของซูฉิน แม้แต่เจ้าอาวาสก็ต้องตกใจ

 

แม้ว่าจะเป็นขุนนางชั้นสูงก็มิกล้าจะแสดงความเห็นเกี่ยวกับเหล่าองค์ชายในลักษณะนี้

 

แต่องค์หญิงน้อยคิดเป็นจริงเป็นจังกับสิ่งนี้ ส่ายหัวแล้วพูดขึ้นว่า “เป็นไปไม่ได้ แม้แต่ข้าเองยังรู้เลยว่าเบื้องหลังพี่น้องขององค์จักรพรรดิ[2]นั้นมีขุนนางน้อยใหญ่และเหล่าองค์ชายที่สนับสนุน”

 

“เมื่อน้องชายของจักรพรรดิต้องโทษประหารชีวิตจะต้องนำไปสู่การลุกฮือของราชวงศ์และขุนนาง ความวุ่นวายจะมาสู่ราชสำนักอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้”

 

“งั้นก็กวาดล้างศักดินาและชำระศาลขุนนางเสียใหม่!” ซูฉินกล่าวถ้อยคำเชื่องช้า

 

ใบหน้าขององค์หญิงเปลี่ยนไปเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำกล่าวนั้น

 

เหล่าข้าราชบริพารต่างยืนหยัดในฝักในฝ่ายของตัวเอง สนับสนุน เสริมแกร่งพวกพ้องของตนเอง หากโค่นล้มตระกูลศักดินาลงได้จริงก็จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อการปกครองราชวงศ์ถังต่อไปในอนาคต

 

“พระตัวน้อย วิสัยทัศน์ของเจ้าแจ่มชัดยิ่ง”

 

องค์หญิงตัวเล็กมองไปที่ซูฉินอย่างลึกซึ้ง

 

หนึ่งเดือนต่อมา

 

กลุ่มของพระชายาลี่เฟยเข้าอำลาเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวิน

 

พอเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินได้ข่าวจึงไปส่งพระนางลี่เฟยออกจากวัดพร้อมกับพวกหัวหน้าตำหนัก

 

“พระนางลี่เฟยกลับไปในเวลานี้ ในวังหลวงมีเรื่องราวผิดปกติใดหรือไม่นะ?” หัวหน้าลานอรหันต์ขมวดคิ้วและพูดขึ้นขณะมองไปยังเสลี่ยงหยกที่กำลังเคลื่อนห่างออกไปจนลับสายตา

 

“อาตมาได้ยินข่าวมาว่า จ้าวกงกงขันทีข้างพระวรกายเหมือนจะใช้วิธีบางอย่างเพื่อยืดอายุขัยของจักรพรรดิถังออกไปอีกสองสามปี”

 

หัวหน้าฝ่ายวินัยสงฆ์พูดกระซิบ

 

เมื่อได้ยินคำกล่าวนั้น หัวหน้าลานอรหันต์ก็อุทานออกมา “จ้าวกงกงผู้นี้เป็นมีผู้มีความรู้ความสามารถมากมายยิ่งนัก ยังไม่นับว่าชายผู้นี้ขึ้นไปถึงจุดสูงสุดของระดับชั้นที่หนึ่งอีกนะ กับการเป็นชายไม่สมบูรณ์แต่ความสำเร็จของเขานั้นสมบูรณ์แบบยิ่ง น่าเลื่อมใสๆ!”

 

“เอาหละ ไม่ต้องไปยุ่งถกเถียงข้องเกี่ยวกับโลกภายนอกมากนักหรอก” เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินเหลือบมองหัวหน้าตำหนักทั้งสองก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงทุ้มลึก

 

ด้วยการจากไปของลี่เฟยและคณะ วัดเส้าหลินก็หวนคืนสู่สภาพเดิมดั่งอดีตอีกครั้ง

 

ทว่าไม่กี่เดือนถัดมา

 

วันและคืนผ่านพ้น

 

ซูฉินจู่ๆ ก็รู้สึกได้ถึงบางอย่าง ร่างของเขาวูบไหวกะพริบ แล้วมาปรากฏตัวอีกทีที่ด้านหน้าห้องของหัวหน้าลานจิปาถะ

 

ด้วยจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ที่ซึมผ่านเข้าไป

 

แม้จะถูกกั้นด้วยประตู แต่ซูฉินก็รู้ทุกอย่างในห้องนั้นดี

 

ภายใต้จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ ซูฉินรู้สึกได้อย่างชัดเจนถึงพลังชีวิตของหัวหน้าลานจิปาถะกำลังค่อยๆ อ่อนกำลังลง อ่อนกำลังลง

 

ซูฉินเงียบงัน

 

จากสภาพของหัวหน้าลานจิปาถะในปัจจุบัน ควรจะมรณภาพภายในวันนี้ อีกไม่นานคงจะจากไป

 

หัวหน้าลานจิปาถะเป็นคนพาซูฉินมาลานจิปาถะเป็นการส่วนตัว หากไม่ได้ท่านละก็ ซูฉินคงมิอาจจะนมัสการเข้าร่วมกับวัดเส้าหลินได้

 

“ท่านหัวหน้าตำหนัก…”

 

ซูฉินถอนหายใจเบาๆ ผลักประตูเปิดออกแล้วเดินเข้าไปอย่างช้าๆ

 

“เจินกวนนี่เอง……” หัวหน้าลานจิปาถะลืมตาขึ้น ยิ้มเย็นมองไปที่เจินกวนและพูดว่า “สุดท้ายแล้วก็เป็นเจ้าที่มาอยู่ข้างกายข้าในยามนี้”

 

“หัวหน้าตำหนักท่านมีความปรารถนาใดหรือไม่?” ซูฉินเหลือบมองสภาพร่างกายของหัวหน้าตำหนักแล้วเอ่ยถามขึ้น

 

“ความปรารถนา?”

 

หัวหน้าลานจิปาถะส่ายหัว “ข้าอยู่มาเกือบร้อยปีแล้ว เมื่อสมัยหนุ่มๆ ข้าใช้ดาบเพื่อปรนเปรอดื่มด่ำในความรักความฝัน แล้วหลังจากนั้นจึงได้ละทางโลกเข้าร่วมกับวัดเส้าหลิน ข้ามีความสุขดี ได้เพลิดเพลินกับทุกสิ่งที่ตนควรจะมีแล้ว จะไปขอพรอะไรได้อีก”

 

หัวหน้าลานจิปาถะเปิดเผยทุกอย่าง

 

ในฐานะผู้ฝึกยุทธแม้จะอยู่ในช่วงสุดท้ายของชีวิต ก็ยังสามารถพูดคุยเรื่องราวต่างๆ ออกมาได้

 

หัวหน้าลานจิปาถะมองไปที่ซูฉินแล้วกล่าวคำ “ตอนที่เจ้ามานมัสการวัดเส้าหลินเมื่อสิบกว่าปีก่อน ข้ารู้ได้เลยว่าเจ้าแตกต่างจากเด็กกำพร้าคนอื่นๆ”

 

“ต่อมาตระกูลซูเคยขอให้ข้าสึกเจ้าออกไป และข้ารู้ดีว่าเจ้าไม่ใช่เด็กกำพร้า เจ้าเข้านมัสการวัดเส้าหลินเพราะหลีกหนีหายนะมา”

 

ซูฉินเงียบ

 

เกี่ยวกับความจริงที่ว่าเขาเป็นสมาชิกของตระกูลซู เขาไม่เคยคิดจะปกปิดมัน

 

“ข้าเคยเรียนเรื่องนี้กับท่านเจ้าอาวาสไปแล้ว ถ้าเจ้าอยากจะสึกออกไป ท่านจะไม่ห้ามปรามเจ้าหรอก”

 

เสียงของหัวหน้าตำหนักดูโรยแรงลงเรื่อยๆ “เอาหละ เจ้ากลับไปก่อนเถอะ ข้าอยากจะอยู่คนเดียวสักพัก”

 

“ขอรับท่านหัวหน้าตำหนัก”

 

ซูฉินพยักหน้าแล้วปิดประตู แต่เขายังไม่ได้จากไป เพียงยืนรออยู่ตรงหน้าประตูเงียบๆ

 

ซูฉินไม่ได้หมุนตัวจากไปไหนจนกระทั่งลมหายใจของหัวหน้าตำหนักได้สิ้นสุดลงอย่างสมบูรณ์

 

 

วันต่อมา

 

เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินและหัวหน้าตำหนักต่างๆ พากันมาที่ลานจิปาถะ

 

และสองสามวันต่อมา

 

เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินมาหาซูฉินเป็นการส่วนตัวและถามซูฉินเรื่องการสึกกลับไปใช้ชีวิตเป็นฆราวาส

 

เห็นได้ชัดว่าสิ่งที่หัวหน้าลานจิปาถะพูดก่อนมรณภาพเป็นความจริง ท่านได้คุยกับเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินเกี่ยวกับการสึกของซูฉินเอาไว้แล้ว

 

“ท่านเจ้าอาวาส”

 

“ตั้งแต่ที่ตัวข้าเข้านมัสการวัดเส้าหลินแล้ว ทางโลกก็มิได้มีสิ่งใดเกี่ยวข้องกับข้าอีกต่อไป”

 

ซูฉินกล่าวคำปฏิเสธ

 

สำหรับซูฉินแล้ว วัดเส้าหลินก็คือบ่อเงินบ่อทองที่สามารถจัดหายาวิเศษ เคล็ดวิชา และวิชาลับให้เขาได้อย่างต่อเนื่อง

 

ซูฉินจะไม่จากวัดเส้าหลินไปจนกว่าเขาจะคงกระพันไร้พ่ายในใต้หล้า

 

หลังจากการจากไปของหัวหน้าลานจิปาถะ วันเวลาก็ดูจะเนิ่นนานและเดินช้าลงไปอีก

 

สำหรับซูฉิน การตายของหัวหน้าลานจิปาถะทำให้เขาเกิดความรู้สึกขึ้นเล็กน้อย และเพราะแบบนั้นเองยิ่งกระตุ้นแรงปรารถนาของเขาที่อยากจะแข็งแกร่งขึ้น

 

ถ้าเขายังหยุดนิ่งอยู่อย่างปัจจุบัน อีกสามร้อยเจ็ดสิบปี เขาก็จะถึงอายุขัยแบบที่หัวหน้าลานจิปาถะเป็นทำได้เพียงนอนรอความตาย

 

ชัดเจนว่านี่ไม่ใช่สิ่งที่ซูฉินต้องการ

 

เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว

 

ผ่านไปอีกหนึ่งปี

 

ในช่วงปีนี้ซูฉินกำลังขัดเกลาความแข็งแกร่งของกำลังภายใน ซึ่งจะทำให้สิ่งที่ขาดอยู่ได้เติมเต็มกลายเป็นความสมบูรณ์แบบเพื่อขึ้นไปสู่ระดับ‘อรหันต์‘

 

“กำลังภายในนั้นก็กำเนิดขึ้นมาจากภายในกาย แล้วทำอย่างไรจึงจะแปรสภาพมันให้มีศักยภาพเต็มพิกัด?”

 

ซูฉินเอาแต่ครุ่นคิดหาวิถีทางในประเด็นนี้

 

การขัดเกลาร่างกายนั้นซูฉินได้รับพลังหยางสุดแกร่งจากความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ของกายาวัชระคงกระพัน และพลังหยินสุดขั้วจากเคล็ดวิชาขัดเกลากายาจันทรา

 

การกลั่นจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ซูฉินใช้วิธีกลืน ‘โอสถกักเก็บพลังศักดิ์สิทธิ์‘ จำนวนนับไม่ถ้วนเพื่อเสริมสร้าง ‘พลังศักดิ์สิทธิ์‘ ให้มีปริมาณมากขึ้น และใช้ ‘โอสถควบรวมไอศักดิ์สิทธิ์‘ ควบแน่นพลังศักดิ์สิทธิ์เหล่านั้นให้กลายมาเป็นจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์

 

แต่การเปลี่ยนแปลงของกำลังภายในนั้น…

 

จนถึงตอนนี้ซูฉินยังไม่พบเงื่อนงำที่จะไปถึง

 

เขาจำไม่ได้แล้วว่าเขาไปลงชื่อเข้าใช้ที่ลานโพธิ์มากี่ครั้งแล้วในปีที่ผ่านมา และได้รับ ‘โอสถควบรวมไอศักดิ์สิทธิ์‘ มาหลายสิบเม็ดด้วยซ้ำ

 

แต่โอสถสำหรับเปลี่ยนสภาพของกำลังภายในนั้นไม่เคยพบเห็นมาก่อน

 

“หรือบางทีข้าควรไปที่ภูเขาด้านหลัง?”

 

ซูฉินมองไปที่ภูเขาด้านหลังของวัดเส้าหลิน

 

ภูเขาด้านหลังเป็นเขตหวงห้ามของวัดเส้าหลิน มีการสะกดมารพุทธะที่เกือบจะทำลายวัดเส้าหลินเมื่อเก้าร้อยปีก่อนเอาไว้

 

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ในขณะที่ความแข็งแกร่งของซูฉินก้าวไปอีกขั้นนั้น เขาก็ได้ไปเยี่ยมชมสถานที่หวงห้ามอื่นๆ ในวัดเส้าหลินและลงชื่อเข้าใช้มาบ้างแล้ว

 

แต่มีเพียงแค่ภูเขาด้านหลังเท่านั้นที่ยังไม่เคยไปเหยียบย่าง

 

 

————————————————-

[1] 炼铜术士หรือนักเล่นแร่แปรทองแดง มีความเชื่อมโยงกับคำว่าถลุงทองแดงซึ่งสื่อความหมายถึงเฒ่าหัวงู

[2] พี่น้องขององค์จักรพรรดิก็เป็นองค์ชายเช่นกัน

Sign in Buddha’s palm 30 จากไป

 

 

ในห้องใต้หลังคา

 

หงกงกงหนังหัวลุกชัน จิตใจสับสนวุ่นวายอยู่ไม่นิ่ง

 

ในฐานะที่เป็นถึงขันทีชุดแดงแห่งวังหลวง หงกงกงย่อมรู้เป็นธรรมดาว่าสิ่งที่เรียกว่าการกลั่นจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ได้นั้นเป็นเรื่องน่าหวั่นเกรงเพียงไร

 

ตัวตนนี้เป็นยอดฝีมือที่ปราบปรามทุกอย่างได้เพียงขยับตัว เหตุไฉนตระกูลเจินตระกูลหวู่แห่งเขาหวู่ตั้งจึงสามารถเพิกเฉยต่ออำนาจขององค์จักรพรรดิและต่อต้านคำสั่งได้? เหตุใดอาณาจักรเหมิ่งหยวนจึงครอบครองพื้นที่ทุ่งหญ้าอาณาเขตกว้างไกลไม่มีที่สิ้นสุดแถมยังหมายตาพื้นที่ราบทางตอนใต้และทางตอนกลางเอาไว้อีก?

 

ความน่ากลัวของยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสูงสุดนั้นอยู่ไกลเกินจินตนาการของทุกผู้คน

 

หงกงกงไม่ทันคิดด้วยซ้ำว่าสถานที่ที่ตกต่ำลงไปมากอย่างวัดเส้าหลินถึงกับมีจุดสูงสุดของระดับชั้นที่หนึ่งเชียวหรือ?

 

“หงกงกง…”

 

เมื่อเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นผ่านม่านจากด้านใน แม้พระชายาลี่เฟยจะไม่รู้ว่าเกิดสิ่งใดขึ้นแต่เธอก็กังวลเช่นกัน

 

หงกงกงคือคนสนิทของนาง หากปราศจากการคุ้มกันของหงกงกงเธอคงไม่รู้ว่าจะต้องตายไปแล้วกี่ครั้ง

 

แต่ครานี้หงกงกงซึ่งถือเป็นเสาหลักเป็นความมั่นใจของนางกลับแสดงท่าทีสั่นสะท้านและหวาดกลัวเช่นนี้

 

“อย่าตกใจไปเลยพระนาง…”

 

หงกงกงฝืนใจแสดงความเคารพโดยการก้มคำนับไปในทิศทางที่มีแต่อากาศว่างเปล่า

 

“ข้ารับใช้เฒ่าหงหยวนขอคารวะสงฆ์ศักดิ์สิทธิ์…”

 

หงกงกงรู้สึกได้อย่างกระจ่างแจ้งว่าถึงระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสูงสุดจะไม่ได้อยู่ที่นี่ แต่ด้วยจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ การเคลื่อนไหวทั้งหมดในห้องใต้หลังคานี้ย่อมอยู่ภายใต้สายตาของอีกฝ่าย

 

หลังจากนั้นไม่นาน

 

จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ก็ถอนตัวออกไปอย่างรวดเร็ว

 

หงกงกงในที่สุดก็หายใจหายคอได้เสียที จึงถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก

 

“หงกงกงเกิดอะไรขึ้น?” เมื่อเห็นการแสดงออกของหงกงกง พระชายาลี่เฟยก็ถามขึ้นโดยพลันเมื่อตระหนักได้ว่าเรื่องราวอาจจะผ่านพ้นไปแล้ว

 

“เกิดอะไรขึ้น?”

 

หงกงกงยิ้มอย่างขื่นขม “พระชายา สงฆ์ศักดิ์สิทธิ์จากวัดเส้าหลินเพิ่งใช้จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของท่านกวาดผ่านเข้ามา…”

 

“สงฆ์ศักดิ์สิทธิ์?”

 

“จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์?”

 

พระชายาลี่เฟยงุนงง

 

แม้ว่านางจะเป็นชายาคนโปรดของจักรพรรดิถังแต่เธอก็ไม่ได้รู้เรื่องราวเกี่ยวกับศิลปะยุทธมากนัก

 

สำหรับลี่เฟย เธอรู้เพียงว่าจอมยุทธแบ่งออกเป็นเก้าระดับชั้น โดยระดับชั้นที่หนึ่งคือสูงที่สุดและระดับชั้นที่เก้าคือต่ำที่สุด

 

ส่วนอื่นๆ นอกเหนือจากนี้ นางย่อมไม่ทราบ

 

“พระชายา…”

 

หงกงกงรับรู้ได้ถึงความสงสัยของพระชายา หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จึงเรียนออกไปว่า “พระชายาเพียงรู้ไว้แค่ว่าสงฆ์ศักดิ์สิทธิ์รูปนี้อยู่ในระดับเดียวกันกับจ้าวกงกงที่เคียงข้างพระวรกายของฝ่าบาท…”

 

“จ้าวกงกง…”

 

หัวใจของพระชายาลี่เฟยสั่นสะท้าน

 

นามของจ้าวกงกง สำหรับผู้คนในวังหลวงนั้นเป็นเพียงอันดับสองรองลงมาจากองค์จักรพรรดิ

 

แม้แต่พระชายาลี่เฟยก็ยังรู้ว่าจ้าวกงกงเป็นขันทีชุดม่วงที่มีอยู่เพียงคนเดียวในราชวงศ์ถัง และสถานะของเขาเทียบเสมอกันกับเหล่าองค์ชาย

 

ตอนนี้องค์จักรพรรดิแห่งราชวงศ์ถังก็มีพระชนม์ชีพที่มากแล้ว เหล่าองค์ชายก็มีความคิดอ่านแตกต่างกันไป

 

แต่ไม่ว่าสถานการณ์จะเลวร้ายแค่ไหน ตราบที่องค์จักรพรรดิถังยังไม่สวรรคตในเร็วๆ นี้ ต้าถังก็จะยังไม่วุ่นวาย

 

เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น?

 

นั่นก็เป็นเพราะขันทีชุดม่วงข้างพระวรกายนี่แล

 

ด้วยอำนาจความแข็งแกร่งของขันทีชุดม่วงเพียงผู้เดียว ก็กดดันสภาขุนนางและกลุ่มก้อนอำนาจของเหล่าองค์ชายได้อยู่หมัด เป็นเหตุให้พวกเขาไม่กล้าที่จะก่อความไม่สงบใดๆ

 

ลี่เฟยไม่คาดคิดว่าในสายตาของหงกงกง สงฆ์ศักดิ์สิทธิ์รูปนั้นจะสูงส่งถึงขนาดที่เทียบเท่ากับจ้าวกงกงเลยเชียวหรือ?

 

มันเหลือเชื่อมากจริงๆ

 

“หงกงกง หากมีผู้แข็งแกร่งเยี่ยงนี้อยู่ในวัดเส้าหลิน มิใช่ว่าเราจะตกอยู่ในอันตรายแล้วหรอกหรือ…”

 

จู่ๆ ลี่เฟยก็นึกถึงบางอย่างขึ้นมาแล้วถามด้วยโทนเสียงต่ำ

 

“พระนางอย่าได้เป็นกังวลจนเกินไป…” หงกงกงยิ้มขม “หากสงฆ์ศักดิ์สิทธิ์รูปนั้นมีเจตนาฆ่าฟัน พวกเราย่อมไม่มีแม้แต่กระดูกหลงเหลืออยู่ไปเสียนานแล้ว และแม้ตัวจักรพรรดิถังเองจะได้ทราบความนั้น พระองค์ก็จะไม่ไต่ถามเรื่องราวใดต่อไปอีก”

 

การแสดงออกของขันทีเฒ่ามีความซับซ้อน

 

ไม่ว่าวังหลวงจะปรนเปรอ ปฏิบัติอย่างดีกับลี่เฟยมากเพียงใด แต่ก็จะไม่มีวันขัดแย้งกับจุดสูงสุดของระดับชั้นที่หนึ่งด้วยเรื่องของสตรีเพียงคนเดียวแน่

 

“พระชายา”

 

“ความจริงแล้วก็เป็นเรื่องดีที่มีสงฆ์ศักดิ์สิทธิ์อยู่ในวัดเส้าหลิน”

 

หงกงกงพูดเช่นนั้นแล้วก็หยุด จากนั้นจึงถอนหายใจออกมา “อย่างน้อยก็นับว่าเราปลอดภัย…”

 

 

“นี่มันน่าทึ่งมากจริงๆ!”

 

ยามเมื่อซูฉินใช้จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ การรับรู้ในทุกสิ่งก็เข้ามาในจิตของเขาทั้งหมด

 

“อย่างไรก็ตาม ขันทีที่อยู่ข้างกายพระชายาลี่เฟยสามารถรับรู้การมีอยู่ของจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ได้…”

 

ซูฉินงงงวยไปเล็กน้อย

 

มันชัดเจนมากตอนที่ขันทีแซ่หงรับรู้ได้ถึงจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของเขายามเมื่อแผ่จิตสัมผัสผ่านป่าไผ่เข้าไปในห้องใต้หลังคา

 

ซูฉินพลางครุ่นคิดหาเหตุผลอยู่สักพักใหญ่

 

เหตุผลหลักน่าจะเป็นเพราะเขาเพิ่งสำเร็จการควบแน่นจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ การปลดปล่อยจิตสัมผัสออกไปจึงมีการควบคุมที่ไม่ดีนัก

 

นอกจากนี้พลังจิตวิญญาณของหงกงกงก็ข้ามผ่านจอมยุทธทั่วๆ ไปไปมากแล้ว ดังนั้นเขาจึงสามารถตรวจพบร่องรอยทางจิตวิญญาณได้

 

หลังจากใช้เวลาอยู่ชั่วระยะหนึ่งซูฉินก็ทำความคุ้นเคยกับจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ได้อย่างยวดยิ่ง กลายเป็นเชี่ยวชาญมันอย่างแท้จริงเกิดเป็นความสบายใจขึ้นมาพร้อมกับสายลมอ่อนๆ ที่เข้ามาปะทะใบหน้า

 

 

เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว

 

เพียงกะพริบตาก็ผ่านไปเสียหลายเดือนแล้ว

 

ในช่วงเวลานี้ซูฉินกลับมาสู่ชีวิตตามปกติอีกครั้ง

 

สำหรับการที่สามารถกลั่นจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ได้นั้นส่งผลกระทบต่อชีวิตเขาเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

 

สุดท้ายแล้วแม้ว่าจะไม่มี ‘โอสถควบรวมไอศักดิ์สิทธิ์‘ ซูฉินก็เชื่อมั่นว่าตนจะกลั่นจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ออกมาได้ เพียงแค่ใช้เวลานานกว่านี้ก็เท่านั้น

 

ทรัพย์สมบัติอย่างหนึ่งที่ซูฉินมีอย่างเหลือเฟือก็คือเวลานี่แหละ

 

ปกติยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งจะมีช่วงชีวิตอยู่ได้ถึงสองร้อยปี แต่ซูฉินกลับมีอายุขัยถึงสี่ร้อยปี

 

มีเวลาเป็นร้อยปีแม้แต่หมูก็ยังกลั่นจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์จนกลายเป็นเซียนได้เลยกระมัง นับประสาอะไรกับซูฉิน

 

“ถ้าต้องการจะบรรลุถึงระดับ ‘อรหันต์‘ นั้น จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ ความแข็งแกร่งของร่างกายสุดขั้ว และกำลังภายในสุดขีด จะขาดไปสักอย่างไม่ได้เลย”

 

ซูฉินนั่งขัดสมาธิคิดใคร่ครวญเกี่ยวกับสถานการณ์ในปัจจุบัน

 

“ตอนนี้ข้ามีจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์แล้ว และร่างกายก็สมดุลด้วยหยินประสานหยางจนไปถึงขีดสุดแล้ว เหลือก็แต่เพียงกำลังภายในเท่านั้น…”

 

ดวงตาของซูฉินสว่างไสว

 

สำหรับยอดปรมาจารย์สักคนหนึ่งการจะไปแตะคอขวดของระดับตำนานยุทธนั้นยากเย็นแสนเข็ญเหมือนปีนขึ้นมาจากหุบเหวเพื่อไปสู่นภากว้าง แต่ซูฉินกลับแก้ไขปัญหาสำคัญในการไปถึงจุดนั้นได้ถึงสองสิ่งอย่างง่ายดาย หากเรื่องนี้หลุดออกไปกลัวว่าจะสร้างความตกตะลึงไปทั่วยุทธภพ

 

จะว่าไปแล้วซูฉินนับได้ว่าเป็นคนที่อยู่ใกล้กับคอขวดของระดับตำนานยุทธมากที่สุดคนหนึ่งในบรรดายอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งทั้งหลายในปัจจุบันนี้

 

 

วันถัดมา

 

ซูฉินไปที่ลานโพธิ์เพื่อลงชื่อเข้าใช้ตามปกติ

 

นับตั้งแต่ครั้งล่าสุดที่เขาลงชื่อเข้าใช้แล้วได้รับ ‘โอสถควบรวมไอศักดิ์สิทธิ์‘ ความถี่ที่ซูฉินแวะมาลงชื่อที่ลานโพธิ์ก็เพิ่มขึ้นอย่างมีนัย[1]

 

การลงชื่อที่ลานโพธิ์นั้นถึงขนาดผุด ‘โอสถควบรวมไอศักดิ์สิทธิ์‘ ที่สามารถกลั่นจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ออกมาได้ แล้วจะเป็นไปได้หรือไม่ที่จะมีโอสถที่ช่วยขัดเกลากำลังภายใน?

 

ด้วยมีความคิดเช่นนี้ ซูฉินจึงค่อยๆ เดินไปที่ลานโพธิ์ แต่ไม่ได้เร่งรีบอะไรนัก

 

ทันใดนั้น

 

ซูฉินก็หยุดลง

 

ไม่นานร่างขององค์หญิงแห่งต้าถังก็วิ่งเข้ามาหา

 

เมื่อคำนวณเวลาที่พระนางลี่เฟยและพลพรรคมาอาศัยอยู่ที่วัดเส้าหลินก็ยาวนานร่วมครึ่งปีแล้ว

 

แต่อย่างไรก็ตามในเวลาปกติพระนางลี่เฟยและหงกงกงแทบจะไม่ได้ออกมาจากป่าไผ่เลยจึงไม่ได้กระทบต่อกิจการภายในของวัดเส้าหลินแต่ประการใด

 

นอกจากนี้ลี่เฟยยังถูกส่งมาโดยองค์จักรพรรดิแห่งราชวงศ์ถัง เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินจึงจำต้องทำเป็นปิดตาข้างหนึ่งลง ตราบใดที่พระนางลี่เฟยไม่มีความคิดที่จะจากไป เขาก็จะปล่อยให้พระนางลี่เฟยอาศัยอยู่แบบนี้ต่อไป

 

สำหรับสิ่งที่วัดเส้าหลินจำต้องเป็นกังวลก็เพียงต้องส่งข้าวปลาอาหารให้ทุกวันเท่านั้น

 

“พระตัวน้อย พวกข้าอาจจะจากไปในเร็วๆ นี้แล้ว…”

 

องค์หญิงราชวงศ์ถังดวงตากลมโตกลายเป็นสีแดง เห็นได้ชัดว่าไม่เต็มใจเป็นอย่างยิ่ง

 

แม้ว่าจะมีพระพุทธรูปโบราณ โคมไฟสีน้ำเงินสวย ซึ่งอาจจะหรูหราและงดงามน้อยว่าในวังขององค์จักรพรรดิ

 

แต่อย่างน้อยที่วัดเส้าหลินก็ให้ความปลอดภัย และมีอิสระ

 

ไม่ต้องกังวลว่าสักวันหนึ่งจะถูกหมกร่างอยู่ในบ่อน้ำที่เหือดแห้งหรือเผลอกลืนยาพิษเข้าไป

 

“จะกลับไปแล้วหรือ?”

 

ซูฉินดูประหลาดใจ

 

“อื้อ นี่เป็นสิ่งที่หงกงกงได้กล่าวมา” องค์หญิงตัวน้อยพูดด้วยโทนเสียงต่ำ

 

 

—————————————————————–

[1] นัย อ่านได้ทั้ง ไน และ ไน–ยะ ในที่นี้ต้องการให้อ่านออกเสียงว่า ไน–ยะ เพื่ออรรถรส

Sign in Buddha’s palm 29 พลังศักดิ์สิทธิ์

 

 

“นี่ข้าได้รับโอสถควบรวมไอศักดิ์สิทธิ์จริงๆ น่ะหรือ?”

 

ซูฉินดูมีความสุขเหลือล้น รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้า

 

ตั้งแต่ที่เขากลายมาเป็นระดับชั้นที่หนึ่ง ก็ไม่รู้ว่าเขาใช้ ‘โอสถกักเก็บพลังศักดิ์สิทธิ์‘ ไปแล้วกี่เม็ดเพื่อสั่งสม‘พลังศักดิ์สิทธิ์‘ ในร่าง

 

แต่ผลที่ออกมาก็ไม่ค่อยน่าพอใจนัก

 

แม้ว่า ‘พลังศักดิ์สิทธิ์‘ ของเขาจะเติบโตขึ้นเรื่อยๆ แต่ก็ยังห่างไกลจากการกลั่นจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ออกมาได้

 

ดูเหมือนว่าการจะควบแน่นจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ออกมาได้นั้น ไม่ได้ขึ้นอยู่กับปริมาณของ ‘พลังศักดิ์สิทธิ์‘ ที่มี

 

เดิมทีซูฉินวางแผนจะใช้เวลาหลายสิบปีในการกลั่นเกลาจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ไปอย่างช้าๆ

 

แต่ตอนนี้หลังจากที่ลงชื่อเข้าใช้ แล้วมี ‘โอสถควบรวมไอศักดิ์สิทธิ์‘ เด้งออกมาจากระบบ ซูฉินก็ตระหนักได้ในทันทีว่าคงใช้เวลาอีกไม่นานแล้ว

 

“อย่าได้เป็นกังวลๆ”

 

“ก่อนที่จะกลืน ‘โอสถควบรวมไอศักดิ์สิทธิ์‘ ควรจะต้องปรับสภาพตนเองให้ถึงพร้อมที่สุดเสียก่อน”

 

ซูฉินไม่ได้รีบใช้ ‘โอสถควบรวมไอศักดิ์สิทธิ์‘ ในทันที แต่สงบใจลงพิจารณารายละเอียดยิบย่อยของการ กลั่นจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ในส่วนของตน

 

แม้ว่า ‘โอสถควบรวมไอศักดิ์สิทธิ์‘ จะช่วยให้ยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งควบแน่นจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ออกมาได้

 

แต่สิ่งที่สำคัญเหนืออื่นใดคือซูฉินต้องพึ่งพาตัวของตัวเอง ไม่ว่า ‘โอสถควบรวมไอศักดิ์สิทธิ์‘ จะมีสรรพคุณคับฟ้าเพียงไร แต่สุดท้ายมันก็เป็นเพียงส่วนเสริม

 

แล้วก็

 

ในบางกรณีที่มีโอกาสเกิดขึ้นน้อยมากคือมีบางสิ่งผิดพลาดขณะกลั่นจิตสัมผัสจนทำให้จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์เสียหาย ผลกระทบที่ตามมาย่อมทบต้นไปไม่มีสิ้นสุด

 

หากร่างกายเสียหาย สามารถดูแลให้มันฟื้นฟูอย่างช้าๆ หรือไม่ก็รับโอสถตามอาการ

 

แต่ถ้าจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์เสียหาย มีเพียงแต่ต้องพึ่งพาตัวเองเท่านั้น

 

ด้วยความคิดแบบนี้ซูฉินจึงตัดสินใจว่าระหว่างนี้นอกจากลงชื่อเข้าใช้ตามปกติแล้ว เขาควรจะชะลอการบ่มเพาะลงเสียหน่อยแล้วไปเตรียมความพร้อมก่อนจะใช้ ‘โอสถควบรวมไอศักดิ์สิทธิ์‘

 

จากนั้น

 

ชีวิตก็ดำเนินเรื่อยไปตามที่ควรจะเป็น

 

ไม่ว่าจะเป็นพระพุทธรูปโบราณ หรือจะโคมไฟสีน้ำเงินในวัดเส้าหลินล้วนทำให้ซูฉินไม่รู้สึกถึงกาลเวลาที่เปลี่ยนแปลงไป

 

สิ่งที่แตกต่างไปจากแต่ก่อน ก็คงจะเป็นองค์หญิงราชวงศ์ถังตัวน้อยที่ดูจะติดซูฉินไม่น้อย เมื่อใดที่ซูฉินเดินผ่านป่าไผ่ นางมักจะแอบติดตามเขาไปตลอด

 

ตั้งแต่ที่ซูฉินได้โอสถควบรวมไอศักดิ์สิทธิ์มา ก็ทำให้อยู่ในอารมณ์ที่เบิกบานยิ่ง หากไม่มีอะไรต้องไปทำ เขาก็มักจะสนทนากับองค์หญิงตัวน้อยเพื่อฆ่าเวลา

 

ในระหว่างที่พูดคุยกัน ซูฉินก็ได้รู้เรื่องราวความลับในวังเพิ่มมาบ้างจากองค์หญิง

 

ตามคำอธิบายจากองค์หญิงราชวงศ์ถัง องค์จักรพรรดิถังไม่ได้ทำงานราชการอีกต่อไปและคงมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่กี่ปี

 

ในพระราชวังองค์ชายแต่ละพระองค์ก็ล้วนมีความคิดอ่านที่แตกต่างกันออกไป หลายคนก็สั่งสมกองกำลังมีความคิดที่จะฉวยโอกาสยึดอำนาจ

 

เป็นไปได้ว่าเมื่อใดที่องค์จักรพรรดิถังสวรรคต เจ้าชายเหล่านี้จะต้องต่อสู้ห้ำหั่นกันอย่างเต็มที่เพื่อยศฐา

 

แน่นอนว่าสิ่งเหล่านี้หาได้เกี่ยวข้องกับซูฉินไม่

 

ซูฉินจะไม่แม้แต่หันไปมองซ้ำ ไม่ว่าจะเลือดชโลมเต็มผืนฟ้า หรือท่วมพื้นพสุธา

 

“พระตัวน้อย ข้านั้นไม่ชอบสถานะการเป็น ‘องค์หญิง‘ เสียจริงๆ ถ้าเป็นไปได้ข้าก็มิอยากใช้แซ่ลี่”

 

เด็กหญิงตัวเล็กพูดด้วยน้ำเสียงกระท่อนกระแท่น

 

“ไม่อยากจะใช้แซ่ลี่?”

 

ซูฉินหันมององค์หญิงด้วยสายตาประหลาดใจ

 

ต้องทราบว่าแซ่ลี่ เป็นชื่อสกุลของเชื้อพระวงศ์ ไม่รู้ว่ามีกี่คนกันที่ปรารถนาจะใช้ชื่อสกุลนี้เพื่อทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าในก้าวเดียวแล้วกลายเป็นขุนนาง

 

“แล้วเจ้าอยากจะใช้ชื่อสกุลว่าอะไร?”

 

ซูฉินถามออกอย่างไม่ได้จริงจังนัก

 

เด็กหญิงตัวเล็กจับไปที่แก้มของตน คิดอยู่สักพักก่อนจะพูดอย่างจริงจังว่า “ข้าคิดว่าชื่อสกุลของข้านั้นควรจะเป็น อู่”

 

“อู่?”

 

ซูฉินทวนถาม

 

“ถูกต้อง เพราะข้าต้องการจะเป็นยอดยุทธที่แท้จริง และกำหนดโชคชะตาของข้าด้วยตัวข้าเอง” เด็กหญิงตัวเล็กกำหมัดแน่น

 

“พระตัวน้อยแล้วเจ้าล่ะอยากจะเป็นอะไรในอนาคต?”

 

เด็กน้อยถามขึ้นอย่างกะทันหัน

 

“ต้องการจะเป็นอะไรอย่างนั้นหรือ?”

 

ซูฉินครุ่นคิดอยู่ครูหนึ่งและจึงตอบด้วยน้ำเสียงจริงจัง

 

“ผู้ไร้พ่ายในใต้หล้า!”

 

“อุ๊ฟ!”

 

เด็กหญิงแทบกลั้นขำไม่อยู่

 

ไร้พ่ายในใต้หล้า?

 

ก็รู้อยู่ว่าแม้กระทั่งขันทีชุดม่วงที่คอยคุ้มกันองค์จักรพรรดิถังและใช้ความแข็งแกร่งของตนข่มขู่ขุนนางและองค์ชายจนหงอก็ไม่กล้าที่จะอวดอ้างว่าตนไร้พ่ายในใต้หล้านี้…….

 

 

เวลาผ่านเลยไปอย่างรวดเร็ว

 

สามเดือนต่อมา

 

“คืนนี้แหละ ข้าคงสามารถใช้ ‘โอสถควบรวมไอศักดิ์สิทธิ์‘ ได้แล้ว”

 

ซูฉินนั่งไขว้ขา กลืน ‘โอสถควบรวมไอศักดิ์สิทธิ์‘ ลงไปหนึ่งเม็ด

 

‘โอสถควบรวมไอศักดิ์สิทธิ์‘ ละลายในปากก่อนจะค่อยๆ ซึมเข้าไปในร่างและหายไปอย่างไร้ร่องรอย

 

ซูฉินไม่ได้แปลกใจกับการหายไปนี้ ทั้งหมดทั้งมวลนั้น‘โอสถควบรวมไอศักดิ์สิทธิ์‘ เป็นโอสถที่มีผลเฉพาะกับพลังศักดิ์สิทธิ์ กายเนื้อนั้นไม่สามารถดูดซึมมันได้

 

ฟู่!

 

ชี่!

 

ซูฉินรู้สึกว่า‘โอสถควบรวมไอศักดิ์สิทธิ์‘กลายเป็นกระแสพลังหมุนวนห่อหุ้ม ‘พลังศักดิ์สิทธิ์‘ พยายามบีบอีดและกลั่นพลังออกมาอย่างต่อเนื่อง

 

เป๊ง!!

 

ในขณะที่ ‘พลังศักดิ์สิทธิ์‘ ยังคงกลั่นตัวอยู่ จิตวิญญาณที่มองไม่เห็นก็เกิดความผันผวนกระจายแผ่ไปทั่วทั้งตัว

 

ครู่ต่อมา!

 

ตูม!!!

 

จิตวิญญาณของซูฉินพลันคำรามก้องและ ‘พลังศักดิ์สิทธิ์‘ ที่ถูกบีบอัดมาอย่างต่อเนื่องจนเป็นจุดเดียว ในที่สุดก็ระเบิดออกกลายเป็นพลังที่มองไม่เห็นกวาดไปทั่วทุกสารทิศ

 

ถึงความผันผวนนี้จะมองไม่เห็นและสัมผัสไม่ได้แต่มันมีอยู่จริง

 

“ในที่สุดก็กลั่นจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ออกมาได้…”

 

ซูฉินค่อยๆ เลื่อนเปิดเปลือกตาขึ้น

 

ในตอนนี้โลกตรงหน้าของเขาแตกต่างจากที่เคยเห็นมาก่อน

 

ภายในรัศมีรอบตัวหลายสิบฟุต หญ้า พืชพรรณ ดอกไม้ และใบไม้ล้วนตกอยู่ในสายตาของซูฉิน

 

เมื่อเทียบกับความสามารถของดวงตาแห่งสัจจะแล้ว จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ทำให้เขารู้สึกว่าเขาแทบจะควบคุมทุกสิ่งทุกอย่างในขอบเขตรอบตัวได้

 

“ไหนมาลองดูขอบเขตของจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์หน่อยซิว่ากว้างไกลเพียงใด”

 

เมื่อความคิดสั่งการ จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ที่ครอบคลุมรอบร่างกายค่อยๆ แผ่ออกไปทั่วทิศอย่างช้าๆ

 

หลังจากทดสอบอยู่ช่วงสั้นๆ ซูฉินก็พบว่าสำหรับจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ระยะที่ดีที่สุดคือสิบฟุตรอบตัวของเขาเอง

 

สำหรับระยะทางที่ไกลออกไปจิตสัมผัสจะเริ่มพร่าเลือนลง

 

“แผ่ขยายออกไปอีก!”

 

ซูฉินต้องการจะทดสอบขีดจำกัดด้านระยะของจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์

 

ฉับพลัน

 

จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ก็กลายเป็นเหมือนกันคลื่นที่มองไม่เห็นข้ามผ่านอากาศกวาดไปทั่วทิศทาง

 

ในช่วงเวลานี้ลานจิปาถะ เนินเขาเล็กๆ รวมถึงป่าไผ่ที่พระชายาลี่เฟยพักอาศัยก็ถูกกวาดผ่านด้วยจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์

 

 

ด้านในป่าไผ่

 

ในห้องใต้หลังคาที่งดงาม

 

ใบหน้าของพระชายาลี่เฟยซีดเซียว ตัวของเธอนอนพิงอยู่กับเตียง

 

มีม่านกั้นลงมาคลุมปิดมิดชิด ถ้ามองจากภายนอกจะเห็นได้เพียงเงาร่างที่คลุมเครือ

 

“ไอ้บัดซบนั่น!”

 

ดวงตาของพระชายาลี่เฟยเย็นชายิ่ง เค้นคำพูดออกมาตามไรฟัน

 

“พระชายาโปรดอย่ามีโทสะไปเลย!”

 

หงกงกงรีบปรามพระชายา “ถึงพิษของดอกลำโพงม่วงจะถูกระงับเอาไว้ แต่มันก็ยังไม่ได้ถูกกำจัดออกไปจนหมด หากพระชายาโกรธมันอาจจะไปกระตุ้นพิษขึ้นมาได้…”

 

เมื่อคำได้กล่าวออก

 

พระชายาลี่หลับตาลงและเมื่อเธอลืมตาอีกครั้งก็พูดด้วยน้ำเสียงนิ่งสงบ “ข้าเข้าใจแล้ว”

 

“วัดเส้าหลินเป็นเยี่ยงไร ที่นี่มีภัยคุกคามใดหรือไม่?”

 

พระชายาลี่เฟยถามตรงๆ

 

“ไม่ต้องกังวลไปพระชายา” หงกงกงกล่าว “ข้ารับใช้เฒ่าผู้นี้สำรวจวัดเส้าหลินมาตลอดช่วงสองสามเดือนมานี้ ยกเว้นไว้แต่พื้นที่ต้องห้ามไม่กี่แห่ง เช่น ภูเขาด้านหลัง ก็ไม่มีอันตรายอื่นอีก”

 

“วัดเส้าหลินในยุคนี้มีเพียงระดับชั้นที่สองและนั่นก็คือเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวิน ข้ารับใช้ชราผู้นี้สามารถที่จะกำราบมันได้ภายในยี่สิบกระบวนท่า และสามารถสังหารมันได้ภายในร้อยกระบวนท่า!”

 

หงกงกงอธิบายเพิ่มเติมอย่างช้าๆ

 

“ถึงแม้วัดเส้าหลินจะเป็นสุดยอดพรรค แต่ยุคนี้กลับเสื่อมถอยลงโดยสมบูรณ์”

 

“ที่เรียกขานกันว่าดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของชาวพุทธก็ไม่มีอะไรมากไปกว่าการเอาทองมาแปะติดใบหน้าให้ดูขลังก็เท่านั้น”

 

หงกงกงส่ายหัวอย่างเหยียดหยาม

 

อย่างไรก็ตาม

 

ในช่วงเวลาถัดมา

 

คลื่นแห่งจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ม้วนผ่านเข้ามาแล้วกวาดซัดไปทั่วห้องใต้หลังคาในชั่วพริบตา

 

พระชายาลี่เฟยย่อมไม่สังเกตเห็นอะไร

 

แต่การแสดงออกของหงกงกงเปลี่ยนผันไปอย่างมาก

 

“นี่คือ?!!”

 

ทันใดนั้นหงกงกงก็ตัวตั้งตรงราวกับว่าได้สัมผัสถึงอะไรบางอย่างที่น่าเหลือเชื่อ

 

“ความผันผวนของจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์?”

 

“นี่คือยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่ง?”

 

หงกงกงตัวแข็งเกร็งและสั่นเทิ้มอยู่หลายครั้งหลายครา

 

 

——————————————————–

คาดเดาว่าพระชายาลี่เฟย คือชื่อตำแหน่งของสตรีในวังหลังในสมัยถังเสวียนจง ซึ่งเป็นระบบซานฟูเหริน มีพระชายาขั้นที่ 1 ชั้นเอก สามตำแหน่งและลี่เฟยก็เป็นหนึ่งในสามตำแหน่งนั้น ทั้งนี้ยังมีลำดับขั้นที่รองลงจากนี้คือพระสนมชั้นเอกอยู่อีกเก้าตำแหน่ง จึงขอเปลี่ยนแปลงคำเรียกขานจากพระสนมลี่เฟยเป็นพระชายาลี่เฟยแทน

Sign in Buddha’s palm 28 โอสถควบรวมไอศักดิ์สิทธิ์

 

 

 

ถึงแม้ดวงตาแห่งสัจจะจะไม่สามารถทำให้มองทะลุผ่านสิ่งกีดขวางได้จริงๆ แต่ก็สามารถทำให้‘มองเห็น‘ไอพลังภายในเสลี่ยงหยกได้อย่างชัดเจน

 

มีคนนั่งอยู่ด้านในเสลี่ยงหยก

 

แต่หาใช่มีเพียงคนเดียวไม่ กลับมีถึงสอง

 

ยิ่งไปกว่านั้นมีคนหนึ่งที่มีไอพลังไม่เสถียร ดูเหมือนว่าจะต้องยาพิษ

 

นอกจากผู้ที่ต้องพิษแล้ว อีกคนหนึ่งน่าจะยังอยู่ในวัยที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ คะเนอายุดูคงเพียงเกินสิบขวบปีมานิดหน่อย

 

“คนที่ถูกวางยาคือพระนางลี่เฟย?”

 

ซูฉินคาดเดาในใจ สายตาสาดประกายความคิด

 

ในสิบปีมานี้แม้ซูฉินจะไม่ได้ออกจากวัดเส้าหลินไปไหนเลย แต่เขาก็ยังได้ยินศิษย์วัดรูปอื่นๆ พูดคุยเรื่องราวต่างๆ มาอยู่บ้าง และมีหลายครั้งหลายคราที่มันข้องเกี่ยวกับราชวงศ์ถัง

 

จักรพรรดิถังโปรดปรานพระสนมลี่เฟยเป็นอย่างมาก ด้วยเหตุนี้จึงไม่เรียกตัวพระมเหสีไปเข้าเฝ้าเลยนานหลายปี

 

หากพระนางลี่เฟยไม่ได้ให้กำเนิดพระธิดามาเพียงผู้เดียว แต่แทนที่ด้วยการมีพระโอรส พระราชวังส่วนในคงไม่วุ่นวายเช่นที่เป็นในตอนนี้

 

แต่ในเมื่อเรื่องราวกลายเป็นเช่นนี้แล้ว ตัวขององค์จักรพรรดิถังเองก็อายุโรยราลงเรื่อยๆ คลื่นใต้น้ำในรั้วในวังยิ่งมายิ่งก่อตัวเป็นคลื่นลูกใหญ่ มีทั้งที่ถาโถมเปิดเผย ทั้งคลื่นที่รอซัดสาดอย่างลอบเร้น

 

เหล่าราชโอรสต่างริเริ่มทำสงครามระหว่างกันมาเนิ่นนานแล้ว

 

“ใครบางคนในตำหนักในวางยาพิษลี่เฟย”

 

“คงเป็นทางเลือกสุดท้ายแล้วที่ให้พระนางลี่เฟยมาพำนักอยู่ที่วัดเส้าหลินสักระยะด้วยข้ออ้างว่ามาสักการะองค์ยูไล”

 

“เห็นได้ชัดว่าการมาในครั้งนี้ไม่ใช่เพื่อฝึกฝนบ่มเพาะ แต่เพื่อหลีกเลี่ยงเรื่องร้ายแรงประการหนึ่ง?”

 

ในช่วงเวลาเพียงสั้นๆ ซูฉินก็คาดเดาถึงสาเหตุที่พระนางลี่เฟยมายังวัดเส้าหลินได้

 

การที่จะสามารถวางยาพระนางลี่เฟยได้อย่างโจ่งแจ้งเพียงนี้ เกรงว่าจะไม่สามารถละข้อสันนิษฐานที่ว่าเป็นฝีมือของเหล่าขุนนางได้

 

แม้แต่องค์จักรพรรดิยังไม่เหลือทางเลือกอื่นนอกเหนือจากปล่อยให้พระนางลี่เฟยระเห็จมาพึ่งวัดเส้าหลิน สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่าราชสำนักวุ่นวายมากมายเพียงใด

 

กระนั้นการส่งพระสนมลี่เฟยมาที่วัดเส้าหลินย่อมเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดต่อตัวพระนางเอง

 

ในฐานะสุดยอดพรรคแห่งยุทธภพอย่างวัดเส้าหลิน ไม่เคยแทรกแซงกิจการภายในด้านการปกครองอาณาจักร ตราบที่ลี่เฟยสามารถผ่านเข้าประตูวัดเส้าหลินไปได้ โดยพื้นฐานก็นับว่าปลอดภัยแล้ว

 

ขุนนางในราชสำนักแม้จะมีความสามารถมากล้น แต่ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะสอดมือเข้ายุ่งเกี่ยวกับวัดเส้าหลิน

 

ตัวจักรพรรดิถังเองคงรู้ดีว่า เพียงตัวตนของลี่เฟยลำพังนั้นคงจะถูกปฏิเสธโดยวัดเส้าหลิน ดังนั้นพระองค์จึงโปรดให้ออกราชโองการเพื่อปกป้องพระนางลี่เฟย

 

“มีคนกล่าวเอาไว้ว่าศึกระหว่างอาณาจักรนั้นหนักหนานัก แต่เมื่อเทียบกับศึกภายในแล้วเห็นทีจะไม่มีค่าเพียงพอให้เอ่ยถึง…”

 

ซูฉินถอนหายใจด้วยอารมณ์อันหลากหลาย

 

“ด้านในเสลี่ยงหยก นอกเหนือจากพระนางลี่เฟยแล้ว อีกคนควรจะเป็นองค์หญิงราชวงศ์ถังในรัชสมัยนี้”

 

ซูฉินคิดอยู่เงียบๆ

 

ถ้าพระสนมลี่เฟยมาที่วัดเส้าหลินเพื่อหลีกหนีภัยร้ายจริงดังว่า เป็นไปไม่ได้ที่จะทิ้งลูกสาวของตนไว้ในรั้วในวัง

 

ยามเมื่อซูฉินกำลังคิดเรื่องนี้

 

เสลี่ยงหยกก็ค่อยๆ เคลื่อนตัวเข้าไปในวัดเส้าหลินอย่างช้าๆ

 

เพื่อกันไม่ให้เหล่าศิษย์ไปรบกวนพระนางลี่เฟย เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินจึงจัดแจงที่พำนักไว้เป็นพิเศษที่ป่าไผ่ซึ่งอยู่ถัดไปจากลานจิปาถะ

 

ลานจิปาถะตั้งอยู่ที่มุมขอบของวัดเส้าหลิน และป่าไผ่ยังห่างไกลออกไปมากยิ่งกว่าลานจิปาถะเสียอีก

 

เว้นไว้แต่ศิษย์ลานจิปาถะ ไม่มีทางที่ศิษย์คนอื่นๆ จะสามารถผ่านไปจนถึงจุดนั้น

 

เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินพิจารณาอย่างถี่ถ้วนเนื่องจากตัวเขารับลี่เฟยเข้ามาแล้ว เขาควรจะปฏิบัติต่อนางให้ดีที่สุดมิใช่หรือ ไม่เช่นนั้นคงจะถูกว่ากล่าวว่าดูแลแขกเหรื่อไม่ดีเป็นแน่?

 

ถึงจะรู้ว่าวัดเส้าหลินคงจะต้องเจอเข้ากับปัญหาใหญ่ แต่ก็ไม่มีอะไรที่จะสามารถกระทำได้อีกแล้ว

 

เขาจะฝ่าฝืนราชโองการของจักรพรรดิถังอย่างนั้นหรือ?

 

เมื่อพระสนมได้ย้ายเข้ามาพำนักที่นั่น เหล่าหัวหน้าตำหนักต่างเตือนศิษย์แต่ละตำหนักไม่ให้เข้าใกล้ป่าไผ่

 

โดยเฉพาะลานจิปาถะ

 

ป่าไผ่อยู่ถัดไปจากลานจิปาถะ ตราบใดที่ศิษย์ลานจิปาถะประพฤติตนอย่างเหมาะสมย่อมไม่เกิดปัญหาใด

 

หลังจากนั้น ซูฉินก็กลับมาใช้ชีวิตดุจเดิม

 

ถึงแม้ยามนี้ที่วัดเส้าหลินจะมีพระสนมพำนักอยู่ แต่สิ่งต่างๆ ในวัดก็ไม่ได้แปรเปลี่ยนไป

 

คำกล่าวนั้นเป็นจริงขึ้นไปอีกเมื่อกล่าวถึงซูฉิน ที่เอาแต่ฝึกฝนและลงชื่อเข้าใช้ทุกวี่วัน

 

ในวันนี้ซูฉินกำลังจะไปลงชื่อที่ลานโพธิ์ เมื่อเดินผ่านป่าไผ่ พลันมีเสียงกระจ่างใสเจื้อยแจ้วดังมา

 

“พระตัวน้อยโปรดรอประเดี๋ยว”

 

ซูฉินหันศีรษะมองไปรอบข้าง มีเพียงเด็กหญิงตัวเล็กผิวเนียนใสราวกับแกะสลักขึ้นมาจากหยก วิ่งกระโจนเข้ามา

 

“ประสก”

 

ซูฉินลดสายตาลงและเอ่ยออกมาอย่างใจเย็น

 

เธอคนนี้เป็นบุตรีของพระนางลี่เฟยและยังเป็นพระราชธิดาแห่งราชวงศ์ถังด้วย

 

“เจ้าเดินเร็วยิ่ง”

 

เด็กหญิงตัวเล็กหอบเหนื่อย มองมาที่ซูฉินด้วยตาสีดำกลมโต

 

“ประสกเอ๋ย ยามนี้ก็สายมากแล้ว เจ้าควรกลับไปพักผ่อนเสียเถิด…” ซูฉินย่อมไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับองค์หญิง

 

ในใจของซูฉินนั้นคิดแต่เพียงว่าใครที่กล้ามารบกวนชีวิตที่แสนสุขสบายของเขาในตอนนี้ สมควรถูกตบให้แดดิ้น

 

“ข้าพักผ่อนไปแล้ว”

 

เด็กหญิงตัวเล็กมองไปที่ซูฉินอย่างสำรวมตนและพูดอย่างน่าสงสารว่า “เจ้าอยู่กับข้านานๆ ได้ฤๅไม่ ที่นี่มันน่าเบื่อมาก ข้าไม่มีใครให้คุยด้วยเลย”

 

“ประสก”

 

“อาตมามีบางอย่างต้องไปทำ”

 

ซูฉินขี้เกียจจะเสียเวลาไปกับเด็กตัวเล็กๆ จึงหันหลังและเดินจากไป

 

เหลือเพียงเด็กหญิงตัวเล็กที่ยืนอยู่ตรงนั้นเพียงลำพัง

 

“เจ้าพระตัวน้อยรูปนี้นี่……”

 

เด็กหญิงย่นจมูกเล็กน้อย

 

ไม่ว่านางจะไปอยู่ที่ใด แม้แต่ในวัง ทุกคนที่เห็นเธอย่อมแสดงความสุภาพและบางคนถึงกับประหม่า

 

แต่ซูฉินไม่มีอาการแบบนั้นเลย ตรงกันข้ามเสียอีก ดูเหมือนจะไม่สนใจตัวตนของเธอเอาเสียเลย

 

จากสัญชาตญาณเด็กหญิงแอบรู้สึกได้ว่าพระตัวน้อยที่ไล่เธอเมื่อครู่เหมือนจะเป็นคนที่ดูออกได้ง่ายดายธรรมดา แต่กลับไม่ง่ายเลย มีบางอย่างไม่ธรรมดาแฝงอยู่

 

ในขณะนั้น

 

“ฝ่าบาท”

 

“ฝ่าบาททรงสบายดีหรือไม่เพคะ?”

 

ข้ารับใช้รีบเดินมาหาเด็กหญิงตัวน้อย กล่าวถามด้วยท่าทีตระหนก

 

“ข้าสบายดี”

 

เด็กสาวส่ายหัวแล้วจู่ๆ ก็ถามขึ้น “หงกงกงยอดเยี่ยมเพียงใดกัน?”

 

“หงกงกง?”

 

ข้ารับใช้ผงะไปชั่วครู่แล้วรีบกล่าวตอบไปว่า “หงกงกงเป็นขันทีชุดแดง ได้รับการแต่งตั้งจากองค์จักรพรรดิ เขามีความแข็งแกร่งถึงระดับชั้นที่สอง แม้จะอยู่ในวังก็นับได้ว่าเป็นยอดฝีมือระดับสูงผู้หนึ่ง เขาจะไม่ยอดเยี่ยมได้เยี่ยงไร?”

 

หงกงกงเป็นขันทีที่สนับสนุนพระสนมลี่เฟยและคุ้มกันพระนางมาตลอดการเดินทางที่มายังวัดเส้าหลิน

 

ในช่วงไม่กี่ปี่ที่ผ่านมานี้หากไม่ใช่เพราะมีหงกงกงอยู่ พระสนมลี่เฟยก็มิรู้จะตกตายไปกี่ครั้งต่อกี่ครั้งแล้ว

 

แม้แต่ตอนที่มายังวัดเส้าหลินครั้งนี้ ถ้าไม่ใช่เพราะหงกงกงคอยคุ้มกันตลอดทาง พระสนมลี่เฟยก็ไม่น่าจะมาถึงวัดเส้าหลินได้โดยมีชีวิตอยู่

 

“โอ้ เข้าใจแล้ว…”

 

เด็กหญิงพยักหน้าครุ่นคิด

 

 

หลังจากจัดการกับองค์หญิงแห่งต้าถังไปได้แล้ว ซูฉินก็มาที่ลานโพธิ์อีกครั้ง

 

“ระบบ ลงชื่อเข้าใช้!”

 

ซูฉินกล่าวเงียบๆ ในใจ

 

[ขอแสดงความยินดี โฮสต์ลงชื่อเข้าใช้สำเร็จ ได้รับโอสถ ‘โอสถควบรวมไอศักดิ์สิทธิ์ ‘]

 

“โอสถควบรวมไอศักดิ์สิทธิ์ ?”

 

รูม่านตาของซูฉินหดตัวลงเล็กน้อย

 

โอสถควบรวมไอศักดิ์สิทธิ์เป็นโอสถในตำนานของวัดเส้าหลินและอาจจะเป็นไปไม่ได้ที่จะสร้างขึ้นมาได้สักเม็ดแม้จะผ่านไปอีกเป็นแสนปี

 

ในช่วงสิบปีที่ผ่านมาไม่รู้ว่าซูฉินลงชื่อรับโอสถกักเก็บพลังศักดิ์สิทธิ์และโอสถเสริมศักยภาพขนาดใหญ่ไปมากมายเท่าใด แต่นี่เป็นคราแรกที่เขาได้รับโอสถควบรวมไอศักดิ์สิทธิ์

 

เมื่อผู้ฝึกฝนในวิชายุทธขึ้นไปถึงระดับชั้นที่หนึ่ง ถ้ามันผู้นั้นต้องการไปต่อ มันจักต้องฝึกฝน‘พลังศักดิ์สิทธิ์‘ในตน

 

ยามใดที่‘พลังศักดิ์สิทธิ์‘ควบแน่นจนถึงขีดสุด จะสามารถกลั่นจิตสัมผัสอันศักดิ์สิทธิ์ออกมาได้

 

จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์แสนมหัศจรรย์มีวิธีใช้งานไม่มีสิ้นสุด ทั้งรบกวนจิต สำรวจสภาพแวดล้อม และทำได้แม้กระทั่งฆ่าคนจากระยะไกล

 

เพียงหลังจากพวกระดับชั้นที่หนึ่งที่สามารถกลั่นจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของตนเองได้เท่านั้นจึงจะเข้าใกล้คอขวดของระดับตำนานยุทธได้อย่างแท้จริง

 

สำหรับการที่จะผ่านคอขวดนี้ไปได้นั้น สุดท้ายก็ขึ้นอยู่กับจิตที่สูงส่ง กายเนื้อ และกำลังภายใน

 

ไม่ว่าจะอย่างไร เมื่อยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งกลั่นจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ได้ก็เท่ากับการผ่านเข้าสู่ระดับใหม่แล้ว

 

ยอดฝีมือระดับนี้เรียกได้ว่าเป็นจุดสูงสุดของระดับชั้นที่หนึ่ง

 

ถ้าแม้แต่ยอดปรมาจารย์ก็นับว่าหาได้ยากยิ่งแล้ว จุดสูงสุดของระดับชั้นที่หนึ่งยิ่งไม่หายากกว่าอีกหรือ?

 

คนเหล่านี้ล้วนเป็นการดำรงอยู่ของตัวตนที่คาดว่าจะสามารถทำลายคอขวดของระดับตำนานยุทธ

 

แล้วถ้าต้องการจะกลั่นจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์มันมีอีกวิธีหนึ่งนอกเหนือจากการใช้เวลาหลายสิบหลายร้อยปีในการบรรลุถึง

 

และวิธีนั้นก็คือการใช้โอสถควบรวมไอศักดิ์สิทธิ์ !

Sign in Buddha’s palm 27 ราชโองการจากจักรพรรดิถัง

 

 

 

“ศิษย์น้องเจินกวน ช่วยบอกศิษย์พี่ทีว่าการคาดเดานี้ถูกต้องหรือไม่?”

 

เจินชี่มองไปที่กลุ่มสงฆ์สลับกับมองไปที่ซูฉินอย่างคาดหวังคำตอบ

 

“เอ่อ……”

 

ซูฉินวางหนังสือประวัติศาสตร์ในมือ คิดอยู่สักพักแล้วตอบกลับด้วยความจริงจัง “สิ่งที่ศิษย์พี่กล่าวมานั้นสมเหตุสมผล”

 

“อย่างน้อยก็มีศิษย์น้องเจินกวนที่เข้าใจข้า!”

 

เจินชี่ยิ้มแย้ม

 

หลังจากนั้นเจินชี่ก็พูดคุยกับเหล่าสงฆ์อยู่สักพักก่อนจะจากไปพร้อมพระอีกสองสามรูป

 

เมื่อพวกเขาจากไปจนหมด ซูฉินก็กระซิบกับตัวเอง “ราชครูแห่งอาณาจักรเหมิ่งหยวน? นักพรตจาง?”

 

ก่อนที่เขาจะเข้ามาอยู่ในวัดเส้าหลิน ซูฉินก็ได้ยินชื่อเสียงเรียงนามของทั้งคู่มาตั้งแต่เป็นนายน้อยสามตระกูลซูแล้ว

 

ในตอนนั้นซูฉินรู้เพียงว่าพวกเขานั้นแข็งแกร่งจนเกินเอื้อม

 

“จุดสูงสุดของระดับชั้นที่หนึ่ง?”

 

รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของซูฉิน

 

ถึงแม้ซูฉินจะไม่รู้แน่ชัดว่าเขาเป็นยอดฝีมือระดับชั้นที่หนึ่งในอันดับต้นๆ ของยุทธภพหรือไม่ แต่ถ้านับไพ่ลับในแขนเสื้อของเขาแล้วนั้น ย่อมไม่สามารถมองเห็นเขาเป็นยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งธรรมดาๆ ได้

 

เขารู้สึกกระทั่งว่า ร่างกายของเขาที่บ่มเพาะด้วยกายาวัชระคงกระพันและวิชาขัดเกลากายาจันทรา เขาก็สามารถพิชิตยอดปรมาจารย์ระดับแรกเริ่มได้ด้วยกายเนื้อเพียงอย่างเดียว

 

เมื่อมารเฒ่ากลืนโลหิตหลบหนีออกมาจากหอคอยสะกดมารก่อนหน้า วัดเส้าหลินก็ได้รู้ว่าหอคอยสะกดมารนั้นมีช่องโหว่อยู่และเริ่มที่จะซ่อมแซมหอคอย

 

ในเมื่อเหล่ามารร้ายในหอคอยสะกดมารได้ถูกดูดกลืนไปหมดแล้วด้วยฝีมือของมารเฒ่ากลืนโลหิต จึงถือเป็นจังหวะดีที่วัดเส้าหลินไม่จำเป็นต้องกังวลในเรื่องนั้น

 

และแล้วหนึ่งปีก็ผ่านไปไวราวกะพริบตา

 

ในช่วงปีนี้ซูฉินก็กลับสู่วิถีชีวิตแบบเดิม

 

นอกเหนือจากการลงชื่อเข้าใช้ไปทั่วทุกที่ ภารกิจหลักของซูฉินก็คือการบ่มเพาะกำลังภายนอกอย่างกายาวัชระคงกระพันและขัดเกลากายาจันทรา

 

“ในที่สุด! ข้าก็ถึงขีดจำกัดเสียที…”

 

ซูฉินเปิดตาขึ้น ทอดถอนใจออกมาน้อยๆ

 

ตลอดมาตั้งแต่เขาค้นพบว่าการฝึกวิชาขัดเกลากายาจันทราแล้วนำมาหลอมรวมเข้ากับกายาวัชระคงกระพันสามารถช่วยให้เขาเพิ่มศักยภาพทางกายไปได้อีกระดับ

 

ทุกๆ คืนซูฉินก็จะไปขัดเกลาร่างกายใต้แสงจันทร์

 

จนยามนี้ไอพลังสีเทาที่เกิดจากการหลอมรวมทั้งขัดเกลากายาจันทราและกายาวัชระคงกระพันไม่สามารถขัดเกลาร่างกายไปมากกว่านี้แล้ว

 

“ดูเหมือนว่าแม้จะมีหยินและหยางที่สมดุลกลมกลืน แต่ร่างกายก็ใช่ว่าจะเปลี่ยนแปลงเพิ่มศักยภาพได้อย่างไร้ที่สิ้นสุด…”

 

ซูฉินดูเหมือนจะเสียใจเล็กน้อย

 

“แต่ตอนนี้ข้าสามารถต่อกรกับยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งได้เพียงด้วยกายเนื้อเปล่าๆ….”

 

“หรือถ้าจะพูดอีกอย่างก็คือ แม้ว่าข้าจะยืนนิ่งเฉยให้ยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งโจมตี คู่ต่อสู้ก็คงไม่อาจผ่านปราการ ‘ป้องกัน’ ของข้าไปได้?”

 

ซูฉินคิดอยู่อย่างเงียบงัน

 

หากเป็นกายาวัชระคงกระพันเพียงอย่างเดียว แม้จะฝึกฝนไปได้จนถึงความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ แต่ก็สามารถเทียบเท่าได้แค่พลังของสามระดับบนธรรมดาๆ เท่านั้น

 

หรือก็คือพอๆ กับผู้เชี่ยวชาญระดับชั้นที่สาม

 

แต่ตอนนี้

 

ซูฉินผสานวิชาบ่มเพาะขัดเกลากายาจันทราร่วมด้วย กายเนื้อที่เขาพร่ำฝึกฝนก็มาถึงระดับเดียวกับยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งเสียแล้ว?

 

หากเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินและหัวหน้าตำหนักได้ทราบเรื่องคงตาถลนออกจากเบ้า

 

เพียงกายเนื้ออย่างเดียวก็เทียบเท่ายอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่ง?

 

ช่วงเป็นร่างกายที่น่าสะพรึงกลัวอะไรขนาดนี้?

 

แม้แต่ราชครูแห่งอาณาจักรเหมิ่งหยวนที่อวดอ้างว่ามีพลังดังช้างสารมังกรผงาดก็คงไม่ได้บรรลุถึงขั้นนี้ใช่หรือไม่?

 

“แล้วข้าจะบรรลุถึงขอบเขต ‘อรหันต์’ ได้อย่างไร?”

 

ซูฉินลุกขึ้นยืนมองไปที่ดวงจันทร์ที่ลาลับขอบฟ้าบ่นพึมพำกับตนเอง

 

ในช่วงปีที่ผ่านมาซูฉันได้ใช้โอสถกักเก็บพลังศักดิ์สิทธิ์อย่างน้อยก็หลายร้อยเม็ดเพื่อหล่อเลี้ยง ‘พลังศักดิ์สิทธิ์’ อย่างต่อเนื่อง แต่จนบัดนี้เขาก็ยังไม่สามารถสัมผัสกับคอขวดของระดับตำนานยุทธได้

 

“ต้องมีบางจุดที่ข้ายังไม่สำเร็จจนถึงขั้นสูงสุด”

 

ซูฉินไม่ได้ท้อถอยเพราะตั้งแต่ที่ร่างกายของเขามีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่อีกครั้ง เขาแอบมีความรู้อันเจือจางบอกว่าพลังชีวิตและอายุขัยของเขาเหมือนจะยืดยาวเพิ่มขึ้นไปอีก

 

โดยทั่วไปอายุขัยของยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งคือราวสองร้อยปี

 

แต่ขณะนี้ซูฉินมีพลังชีวิตและอายุขัยเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า แตะที่ขอบเขตอายุขัยสี่ร้อยปี

 

อายุขัยสี่ร้อยปี!

 

ทราบหรือไม่ว่าแม้จะเป็น’อรหันต์’หรือตำนานยุทธ ช่วงชีวิตของพวกเขายาวนานเพียงห้าร้อยปี

 

เรียกได้ว่าใกล้เคียงกับซูฉินในตอนนี้เลย

 

“ยังมีเวลาอีกมาก ไม่จำเป็นต้องรีบร้อน”

 

ขณะนั้นเองซูฉินก็นึกไปถึงยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งนามจิ่วชื่อซานเหรินที่สิ้นลมระหว่างการบำเพ็ญในวิหารพระสหัสพุทธ

 

แม้ว่าจิ่วชื่อซานเหรินจะเป็นยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งแต่เขาก็มีชีวิตอยู่ได้นานกว่าร้อยหกสิบปีไปนิดหน่อยเท่านั้นก่อนจะจากไปด้วยวัยชรา

 

ถึงจะบอกว่ายอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งมีอายุขัยมากที่สุดได้ถึงสองร้อยปี

 

ก็มียอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งน้อยคนนักที่จะมีชีวิตยืนยาวจนถึงสองร้อยปีได้จริงๆ

 

ส่วนใหญ่แล้วยอดปรมาจารย์ก็มีอายุถึงเพียงแค่ร้อยห้าสิบปีและจากโลกนี้ไประหว่างการบำเพ็ญตบะเพราะทนพิษบาดแผลภายในที่สะสมมาชั่วชีวิตไม่ไหว

 

วันต่อมา

 

หลังจากที่ซูฉินลงชื่อเข้าใช้ เขาบังเอิญเดินผ่านหอประชุมใหญ่

 

ทันใดนั้น

 

ณ สถานที่แห่งนี้

 

เสลี่ยงหยกได้มาถึง เสลี่ยงที่ทำจากหยกนั้นงดงามมาก มีการแกะสลักตัวหยกได้อย่างวิจิตร ลงรักด้วยลวดลายสีทองเข้ม

 

“หืม?”

 

ซูฉินหยุดฝีเท้า สายตาจ้องมองไปที่ขันทีชราที่ยืนอยู่ด้านข้างเสลี่ยงหยก เขาสวมใส่เครื่องแบบของขันทีสีแดง

แม้ว่าขันทีเฒ่าจะก้มหัวอยู่และไม่ได้มองเห็นถึงรัศมีไอพลัง แต่ซูฉินก็สามารถมองทะลุเข้าไปได้ และเห็นว่าเขาคือผู้เชี่ยวชาญระดับชั้นที่สอง

 

“หงกงกง[1]มาที่นี่มีเรื่องอะไรหรือ?”

 

เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินและหัวหน้าตำหนักที่เพิ่งมาถึงก็มองไปที่ขันทีเฒ่าที่ยืนอยู่ด้านข้างเสลี่ยงอย่างเคร่งขรึม

 

ขันทีชราที่มีนามว่าหงกงกงก้าวไปอย่างเชื่องช้าแล้วพูดด้วยน้ำเสียงแหลมคม “พระสนมลี่เฟยนั้นเลื่อมใสในพุทธศาสนา ข้าได้ยินมาว่าวัดเส้าหลินเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของศาสนาพุทธในทั่วทั้งยุทธภพ พระนางจึงอยากจะฝึกฝนอยู่ที่นี่สักพักหนึ่ง”

 

เสียงของหงกงกงค่อยๆ ลดลง

 

เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินและเหล่าหัวหน้าตำหนักพลันเปลี่ยนสีหน้าไปทันทีที่ได้ยิน

 

พระสนมลี่เฟย?

 

พระสนมคนโปรดขององค์จักรพรรดิถัง?

 

สัญชาตญาณของเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินร่ำร้องว่าเจอเข้ากับปัญหาใหญ่เสียแล้ว

 

พระสนมลี่ควรจะอยู่ในวังเพื่อปรนนิบัติองค์จักรพรรดิสิ พระนางจะมาทำอะไรที่วัดเส้าหลิน?

 

“หงกงกง”

 

“ที่วัดเส้าหลินมีกฎเกณฑ์ข้อห้ามมากมายเกี่ยวกับอิสตรีคงจะไม่อาจให้อยู่ร่วมภายในวัดได้ ถ้าพระนางสนใจในพุทธศาสนาจริงๆ พระตัวน้อยๆ อย่างอาตมาคงจะอนุญาตได้เพียงให้พระนางได้หยิบยืมพระคัมภีร์ แต่คงจะให้พำนักอยู่ที่นี่ไม่ได้…”

 

เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินรีบปฏิเสธในทันทีแต่ก็ยังรักษาไว้ซึ่งความเคารพนอบน้อม

 

ถึงแม้วัดเส้าหลินจะเป็นสุดยอดพรรค แต่ก็ไม่ได้อยากจะยั่วยุราชวงศ์ในรั้วในวังทั้งยังไม่ต้องการจะเข้าไปแทรกแซงกิจการภายใน

 

โดยเฉพาะอย่างยิ่งพระสนมลี่เฟยที่ดูเหมือนจะมีความสัมพันธ์ที่ย่ำแย่กับเชื้อพระวงศ์หลายพระองค์ด้านในวัง

 

ช่วงนี้องค์จักรพรรดิถังก็ชราภาพลงทุกวัน องค์ชายแต่ละพระองค์ต่างก็มีความขัดแย้งกันทั้งโดยเปิดเผยและหลบซ่อน ต่างต่อสู้กันเพื่อราชบัลลังก์

 

และในตอนนี้หากวัดเส้าหลินได้ตกลงรับพระสนมลี่เข้ามา ก็ประหนึ่งยื่นมือออกไปรับเผือกร้อนด้วยตัวเอง

 

“ฮึ่ม!”

 

หงกงกงกระตุกมุมปากเย้ยหยัน “นี่คือราชโองการขององค์จักรพรรดิ วัดเส้าหลินของพวกเจ้ายังกล้าไม่ปฏิบัติตามอยู่อีกหรือไม่”

 

เมื่อหงกงกงพูดจบคำ เขาหยิบเอกสารสีทองออกมา จ้องหน้าเจ้าอาวาสฮุ่นเหวินอย่างเย็นชา

 

“ราชโองการจากองค์จักรพรรดิถัง?”

 

เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินพลันเงียบไป

 

หากเพียงพระสนมลี่บอกความประสงค์ที่จะฝึกฝนอยู่ในวัดเส้าหลินสักระยะ แบบนั้นเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินยังพอใช้กฎเกณฑ์ศีลธรรมของวัดมาปฏิเสธ

 

ทั้งหมดแล้วพระนางก็เป็นเพียงแค่พระสนม ถึงจะเป็นคนโปรดขององค์จักรพรรดิ แต่เธอจะทำสิ่งใดได้?

 

แต่ถ้าหากเป็นราชโองการจากองค์จักรพรรดิถัง เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินต้องรับมือกับปัญหาอย่างระมัดระวัง

 

ราชโองการจากจักรพรรดิถังคือสื่อแทนความประสงค์ขององค์มหาจักรพรรดิถัง

 

ตราบใดที่เส้าหลินได้ปฏิเสธไป นั่นเทียบเท่าได้กับการก่อการกบฏต่อองค์จักรพรรดิ

 

นั่นจะเป็นมหันตภัยร้ายต่อวัดเส้าหลิน เพราะวัดนั้นตั้งอยู่ในอาณาเขตของอาณาจักรต้าถัง

 

หลังจากตรึกตรองอยู่ครู่ใหญ่ ก่อนที่เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินจะฝืนยิ้มและเค้นคำพูดออกมาได้ในที่สุด “ในเมื่อเป็นความปรารถนาขององค์จักรพรรดิถัง ฉะนั้นพระสนมลี่เฟยก็อยู่ที่นี่ได้…”

 

“พระสนมลี่เฟย?”

 

สายตาของซูฉินไปหยุดอยู่ที่เสลี่ยงหยก ด้วยความสามารถในการมองทะลุของดวงตาแห่งสัจจะ การแสดงออกที่แปลกพิกลก็ฉายออกทางสีหน้า

 

————————————————–

[1] กงกง เป็นชื่อตำแหน่งขันทีชั้นผู้ใหญ่เป็นขุนนางระดับสูงที่ทำหน้าที่ดูแลเรื่องราวฝ่ายในของพระราชสำนัก เชิญราชโองการจากองค์จักรพรรดิไปให้ขุนนางและดูแลขันทีชั้นผู้น้อย

Sign in Buddha’s palm 26 คาดเดา

 

 

ตั้งแต่ตอนที่เขาสำเร็จจุดสูงสุดของกายาวัชระคงกระพันเมื่อไม่กี่ปีก่อน ซูฉินก็ไม่ได้รู้สึกว่าร่างกายของเขามีการพัฒนาใดที่เห็นได้ชัดอีกเลย

 

แม้แต่ตอนที่ก้าวเข้าสู่ขอบเขตยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่ง ก็เป็นเพียงการกลั่นกำลังภายในให้มีคุณภาพสูงขึ้น และบังเอิญไปเสริมศักยภาพร่างกายด้วยเล็กน้อย

 

การเสริมสร้างศักยภาพร่างกายทางอ้อมแบบนี้ สำหรับซูฉินแทบไม่รู้สึกว่ามันมีการเปลี่ยนแปลงใดเกิดขึ้น

 

แต่ตอนนี้

 

ซูฉินรู้สึกได้ถึงการเปลี่ยนแปลงอีกครั้งของร่างกายที่รอคอยมาเนิ่นนาน ด้วยการผสานพลังของกายาวัชระคงกระพันและวิชาขัดเกลากายาจันทรา

 

ปึงๆ

 

เลือดลมพลุ่งพล่าน หยินสุดขั้ว หยางสุดแกร่ง โรมรันกันไปมา เกิดการปะทะและหักล้างกันอย่างต่อเนื่องจากพลังทั้งสองสายจนทำให้เกิดเป็นไอพลังสีเทาหลอมเข้าไปรวมกับทุกส่วนของร่างกาย

 

แม้แต่พลังลมปราณภายในก็ค่อยๆ ถูกชำระล้างให้บริสุทธิ์ไปทีละนิดจากเหตุการณ์ดังกล่าว

 

ลึกลงไประหว่างคิ้ว องค์ยูไลสีทองก็เริ่มเปล่งรัศมีออกมา เป็นคลื่นแสงสะท้อนไปทั่วทั้งร่างของเขา

 

กำลังภายในและกายเนื้อเป็นหนึ่งเดียวกัน พึ่งพากัน ร่างกายที่แข็งแกร่งสามารถทำให้มีกำลังภายในที่แข็งแกร่งได้ฉันใด กำลังภายในที่บริสุทธิ์ย่อมเสริมศักยภาพให้กับร่างกายได้ฉันนั้น

 

หลังจากนั้นไม่กี่ชั่วโมง

 

ซูฉินค่อยๆ ลุกขึ้นยืนช้าๆ

 

แกร๊ก แกร๊ก

 

ซูฉินขยับเคลื่อนกระดูกภายในร่างจนเกิดเสียง

 

“น่าเสียดายที่วิชาขัดเกลากายาจันทรา สามารถฝึกฝนได้ดีที่สุดก็เมื่อยามดวงจันทร์ลอยสูงอยู่กลางหัว”

 

ซูฉินเงยหน้ามองดวงจันทร์ที่กำลังจะลับขอบฟ้าแล้วถอนหายใจ

 

“ค่อยกลับมาคืนพรุ่งนี้”

 

ซูฉินกลับไปที่ลานจิปาถะ

 

หลังผ่านการฝึกฝนมาตลอดทั้งคืนซูฉินไม่เหนื่อยเลย กลับเต็มเปี่ยมไปด้วยพลัง

 

ตั้งแต่ที่กลายมาเป็นยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งและมีการฝึกฝน ‘พลังศักดิ์สิทธิ์‘ ถึงแม้เขาจะไม่พักผ่อนเป็นเวลานานนับเดือนก็หาได้เกิดปัญหาใดขึ้นไม่

 

 

ที่หน้าศาลาพระคัมภีร์

 

ซูฉินกล่าวกับตนเองเงียบๆ ในใจ “ระบบ ลงชื่อเข้าใช้”

 

[ขอแสดงความยินดี โฮสต์ลงชื่อเข้าใช้สำเร็จ ได้รับ ‘ฝ่ามือปราณภาวนา‘ ]

 

“ฝ่ามือปราณภาวนา?”

 

รอยยิ้มบนใบหน้าของซูฉินปรากฏขึ้น

 

ฝ่ามือปราณภาวนาเป็นเคล็ดวิชาลับเฉพาะตัวของวัดเส้าหลิน มีเพียงเจ้าอาวาสและหัวหน้าตำหนักเท่านั้นจึงจะมีสิทธิ์เรียนรู้เคล็ดวิชาชุดนี้ได้

 

ว่ากันว่าเมื่อหลายร้อยปีก่อนมีสงฆ์ศักดิ์สิทธิ์ของวัดเส้าหลินฝึกฝนฝ่ามือปราณภาวนาจนถึงขนาดเอาชนะยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งที่โด่งดังมาแล้วหลายคนด้วยฝ่ามือเดียว นั่นทำให้สงฆ์ศักดิ์สิทธิ์ระดับชั้นที่หนึ่งยุคนั้นมีชื่อเสียงไปทั่วยุทธภพ

 

แม้ว่าเหตุผลหลักจะมาจากความแข็งแกร่งที่แสนทรงพลังของการเป็นสงฆ์ศักดิ์สิทธิ์ระดับชั้นที่หนึ่ง แต่ฝ่ามือปราณภาวนาก็หาใช่สิ่งที่ควรมองข้าม

 

หลังจากนั้น

 

รายละเอียดข้อมูลยิบย่อยทั้งหลายทั้งปวงเกี่ยวกับฝ่ามือปราณภาวนาก็หลั่งไหลเข้ามาในจิตของซูฉิน

 

ใช้เวลาเพียงครู่เดียวเท่านั้นซูฉินก็เหมือนกับได้ฝึกฝนเคล็ดวิชาลับอย่างฝ่ามือปราณภาวนามาแล้วหลายสิบปี

 

หลังจากที่ลงชื่อเข้าใช้เรียบร้อย ซูฉินทำความสะอาดให้พอเป็นพิธี ก่อนจะเข้าไปที่ชั้นแรกของศาลาพระคัมภีร์เพื่อดูบันทึกข้อมูลเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยที่สะสมเอาไว้ในวัดเส้าหลิน

 

ศาลาพระคัมภีร์นั้นแบ่งออกเป็นสี่ชั้น

 

จากชั้นที่สองถึงชั้นที่สี่บรรจุเคล็ดวิชาหลายหลากของวัดเส้าหลิน

 

หากศิษย์คนใดต้องการจะขึ้นไปชั้นที่สองถึงชั้นที่สี่จำจะต้องได้รับอนุญาตจากท่านเจ้าอาวาสหรือไม่ก็หัวหน้าตำหนักต่างๆ เสียก่อน

 

ส่วนชั้นแรกเก็บบันทึกเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยที่ถูกเขียนขึ้นหรือนำกลับมาจากพระสงฆ์ที่ลงเขาออกจาริกไปทั่วยุทธภพ

 

ไม่มีอะไรในชั้นนี้เกี่ยวข้องกับวิชายุทธเลย

 

ดังนั้นไม่ว่าศิษย์สาวกคนใดก็สามารถเข้ามาอ่านคัมภีร์ที่ชั้นหนึ่งของศาลาพระคัมภีร์ได้

 

ถึงแม้ซูฉินจะเป็นเพียงพระกวาดลาน แต่เขาก็เป็นศิษย์วัดเส้าหลิน ดังนั้นจึงสามารถเข้าใช้ได้อย่างไม่มีปัญหา

 

ขณะที่ซูฉินกำลังอ่านหนังสือเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ด้วยความเพลิดเพลินอยู่นั้น

 

“ศิษย์น้องเจินกวน เจ้าก็มาที่นี่อย่างนั้นรึ?” เสียงแสดงความประหลาดใจดังขึ้นมาจากด้านข้าง

 

ซูฉินเงยหน้าขึ้น พับปิดหนังสือ ชำเลืองมองผู้มาใหม่ “ศิษย์พี่เจินชี่”

 

เจินชี่ผู้นี้ก็คือหัวหน้ากลุ่มสงฆ์ทั้งหนึ่งร้อยแปดรูปที่เฝ้าหอคอยสะกดมาร

 

ข้างเจินชี่มีพระหลายรูปยืนอยู่รอบๆ

 

“พลังชีวิตและเลือดเนื้อของข้านั้นถูกดูดกลืนไป ท่านหัวหน้าตำหนักให้ข้างดเว้นการฝึกวิทยายุทธชั่วคราวในยามนี้ เหตุนี้ข้าจึงมาที่นี่เพื่อหาหนังสืออ่านเสียหน่อย”

 

เจินชี่อธิบาย

 

“เป็นเช่นนั้นนี่เอง” ซูฉินพยักหน้าตอบรับ

 

ในตอนนั้นที่หน้าหอคอยสะกดมาร เจินชี่ถูกสูบพลังไปโดยมารเฒ่ากลืนโลหิตแต่ซูฉินเข้าไปขัดขวางเอาไว้ได้ทันเวลาจึงไม่ได้ทำให้รากฐานการบ่มเพาะเสียหาย

 

ไม่เช่นนั้นเจินชี่คงไม่เพียงแค่ถูกสูบพลังชีวิตไปและเลือดอีกนิดหน่อย แต่จะกลายเป็นถูกสูบเลือดจนแห้งหากซูฉินมาสายไปเพียงนิดเดียว

 

ส่วนภิกษุรูปอื่นๆ ที่อยู่ข้างๆ เจินชี่ก็มาด้วยเหตุผลเดียวกัน

 

แม้พวกเขาจะไม่ได้โดนสูบพลังชีวิต แต่พวกเข้าก็ได้รับบาดเจ็บและจำเป็นต้องพักไปก่อนในช่วงนี้

 

ทุกคนต่างสนทนากันสักพัก พวกเขาคุยเรื่องที่เกิดขึ้นที่หอคอยสะกดมารเมื่อคืน

 

“ฮึ่ม ตอนนั่นมันหน้าสิ่วหน้าขวานที่สุดไปเลยหละ อีกเพียงครู่เดียวเจ้ามารเฒ่ากลืนโลหิตนั่นคงจะสังหารข้า…”

 

เจินชี่เล่าอย่างออกรส

 

เป็นเรื่องราวหนักหน่วงที่เกี่ยวข้องกับชีวิตความเป็นความตาย

 

หลังจากที่เจินชี่ผ่านช่วงวิกฤติความเป็นความตายมาได้ ความคิดของเขาก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย

 

“ศิษย์พี่เจินชี่ ตอนนั้นศิษย์พี่ไม่ได้หมดสติไป ท่านได้เห็นรูปลักษณ์ของบรรพบุรุษสงฆ์ศักดิ์สิทธิ์หรือไม่…”

 

พระที่อยู่ด้านข้างถามด้วยเสียงทุ้มต่ำ

 

เมื่อคำได้กล่าวออก

 

ดวงตาของเหล่าภิกษุสงฆ์รูปอื่นๆ พลันสว่างขึ้น

 

ในตอนนี้ข่าวเกี่ยวกับการลงมือของบรรพบุรุษสงฆ์ศักดิ์สิทธิ์ได้แพร่กระจายไปทั่ววัดเส้าหลินแล้ว

 

เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินกับหัวหน้าตำหนักก็ไม่ได้ออกมาปฏิเสธข่าวนี้แต่อย่างใด

 

เพราะสุดท้ายแล้วการให้ศิษย์วัดได้รู้ว่าเบื้องหลังของวัดเส้าหลินมีสงฆ์ศักดิ์สิทธิ์อยู่ก็ช่วยให้ศิษย์มีแรงใจในการฝึกฝนต่อไปได้อยู่บ้าง

 

“รูปลักษณ์งั้นรึ?”

 

เจินชี่ส่ายหัว “ข้าเห็นเพียงร่างเงาที่คลุมเครือก่อนจะหมดสติไป…”

 

ซูฉินหัวเราะเบาๆ ยามเมื่อได้ยินเช่นนั้น

 

ตอนที่เขาไปปรากฏตัวที่หน้าหอคอยสะกดมาร เขาปกคลุมร่างตนด้วยกำลังภายใน เว้นไว้แต่มารเฒ่ากลืนโลหิต ไม่มีใครในที่นั้นจะสามารถมองเห็นเขาได้

 

เมื่อพระรูปอื่นๆ ได้ยินเช่นนั้นก็ทำได้แต่ยอมแพ้

 

“ถึงข้าจะไม่ได้เห็นรูปลักษณ์ แต่ข้าก็สัมผัสได้ถึงความแข็งแกร่งของบรรพบุรุษสงฆ์ศักดิ์สิทธิ์…”

 

เจินชี่ก็กล่าวต่ออย่างกะทันหัน

 

“ความแข็งแกร่งของบรรพบุรุษสงฆ์ศักดิ์สิทธิ์?”

 

พระทั้งหลายต่างกะพริบตาปริบๆ ใบหน้าของพวกเขาเต็มไปด้วยความงุนงง “บรรพบุรุษเป็นสงฆ์ศักดิ์สิทธิ์ ก็ต้องเป็นยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งอยู่แล้วมิใช่หรือ?”

 

“แน่นอนว่าย่อมเป็นยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่ง…”

 

เจินชี่เว้นช่วงก่อนจะลดเสียงลงแล้วกล่าวต่อ “ถึงจะเป็นยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่ง แต่มันก็แบ่งได้ตั้งแต่ขั้นต่ำไปจนถึงขั้นสูงสุด”

 

“ยกตัวอย่าง นักพรตจางผู้สืบเชื้อสายจากนักพรตหวู่แห่งเขาหวู่ตั้งเขามีอำนาจยิ่งใหญ่มาหลายทศวรรษ แม้แต่ตัวตนอย่างจักรพรรดิเขาก็ยังเพิกเฉยได้ แล้วก็ราชครูแห่งอาณาจักรเหมิ่งหยวนก็ราวกับเป็นมังกรผู้พิทักษ์ทั้งอาณาจักรเหมิ่งหยวน[1]เลยล่ะ…”

 

เจินชี่แสดงออกด้วยสีหน้าที่กำลังหวาดกลัว

 

ไม่ว่าจะเป็นนักพรตจางหรือราชครูแห่งอาณาจักรเหมิ่งหยวน พวกเขาต่างยืนอยู่ในระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสูงสุดและมีความเป็นไปได้ที่จะแตะขอบของระดับตำนานยุทธแล้ว

 

ต่อหน้าบุคคลเหล่านี้ปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งธรรมดาทั่วไปล้วนดูหมองซีดไปทันที

 

“ศิษย์พี่เจินชี่หมายความว่าอย่างไรกัน?”

 

ท่าทางของพระรอบข้างเริ่มเปลี่ยนไป

 

แม้ว่าพวกเขาจะรู้สึกซาบซึ้งขอบคุณยอดปรมาจารย์สงฆ์ศักดิ์สิทธิ์ระดับชั้นที่หนึ่ง แต่เขาก็ไม่ได้ตระหนักถึงความแข็งแกร่งของยอดยุทธผู้นี้

 

สำหรับพระเหล่านี้แล้ว แม้แต่ระดับชั้นที่หนึ่งธรรมดาๆ ก็ยังห่างไกลเกินจะเอื้อม นับประสาอะไรกับนักพรตจางและราชครูอาณาจักรเหมิ่งหยวน?

 

“แม้ว่าข้าจะไม่ทราบความแข็งแกร่งของมารเฒ่ากลืนโลหิต แต่มันสามารถชนะค่ายกลร้อยแปดอรหันต์ได้ในทันที ถึงแม้จะไม่ใช่ระดับชั้นที่หนึ่งแต่ความแข็งแกร่งของมันคงไม่ไกลกว่านี้นัก”

 

“ตัวตนระดับนี้หากต้องปะทะกับปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งจริงๆ แม้จะไม่สามารถเอาชนะได้แต่ยังมีหวังที่จะหลบหนี”

 

“ถึงแม้จะหนีไม่ได้ ก็ต้องต่อกรได้บ้าง”

 

เจินชี่เน้นน้ำเสียง “แต่เมื่อคืนมารเฒ่ากลืนโลหิตตายในทันที ราวกับเผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้ที่เหนือล้ำไปกว่าตนเองมาก”

 

“ฉะนั้นข้าจึงเดาว่าบรรพบุรุษสงฆ์ศักดิ์สิทธิ์อย่างน้อยก็ต้องมีความแข็งแกร่งอยู่ในระดับเดียวกันกับราชครูแห่งอาณาจักรเหมิ่งหยวนและนักพรตจาง…”

 

เจินชี่เผยความเห็นของเขา

 

กลุ่มสงฆ์ต่างมองหน้ากัน แสดงอาการตกใจ

 

เทียบเท่านักพรตจาง เทียบเท่าราชครูอาณาจักรเหมิ่งหยวน จุดสูงสุดของระดับชั้นที่หนึ่ง?

 

“ไม่เชื่อเช่นนั้นหรือ?”

 

เจินชี่รู้สึกประหม่าเมื่อเห็นกลุ่มสงฆ์เงียบไป เขามองไปที่ซูฉินที่กำลังหยิบหนังสือประวัติศาสตร์กลับมาอ่านอย่างเพลิดเพลินอีกครั้ง

 

“ศิษย์น้องเจินกวน ช่วยบอกศิษย์พี่ทีว่าการคาดเดานี้ถูกต้องหรือไม่?”

 

 

——————————————————–

[1] เหมิ่งหยวน 蒙元 – เหมิ่งเยวี๋ยน ในที่นี้น่าจะสื่อถึงชนชาติมองโกเลีย

Sign in Buddha’s palm 25 หยินหยาง

 

 

“เกิดอะไรขึ้นกันหละนี่?”

 

เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินเต็มไปด้วยความฉงนสงสัย

 

“นี่มัน…มารเฒ่ากลืนโลหิต?”

 

เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินเดินเข้าไปใกล้ร่างของมารเฒ่ากลืนโลหิต สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย

 

ในตอนนี้แม้มารเฒ่ากลืนโลหิตจะปลอมแปลงใบหน้าของตนเอง แต่กลิ่นอายมารที่ปล่อยออกมานั้นรุนแรงจนปิดไม่มิด

 

ในปัจจุบันนี้ตัวตนของผู้เชี่ยวชาญวิทยายุทธสามระดับบนล้วนแล้วแต่หาได้ยากยิ่ง แต่ละคนล้วนมีชื่อเสียงไปทั่วยุทธภพ นับประสาอะไรกับผู้เยี่ยมยุทธฝ่ายอธรรมในสามระดับบน?

 

เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินใช้ความคิดอยู่ชั่วครู่เท่านั้นในการกำหนดรู้ตัวตนของมารเฒ่ากลืนโลหิตจากกลิ่นอายพลังลมปราณ

 

“หอคอยสะกดมาร?”

 

“มารเฒ่ากลืนโลหิต…”

 

เจ้าอาวาสพอจะคาดเดาบางสิ่งได้อย่างคลุมเครือ

 

ในระหว่างห้วงความคิดของท่านเจ้าอาวาส

 

ฟึ่บ!

 

ฟึ่บ!

 

ฟึ่บ!

 

หัวหน้าตำหนักต่างก็ตามมาถึง

 

“ท่านเจ้าอาวาส?”

 

“เกิดอะไรขึ้นที่นี่หรือ?”

 

“ทำไมจึงรู้สึกถึงไอมารของจอมยุทธฝ่ายอธรรมได้กัน?”

 

หัวหน้าตำหนักลานอรหันต์กวาดสายตามองไปรอบแล้วอดไม่ได้ที่จะถามออกมา

 

หัวหน้าตำหนักคนอื่นๆ พลันหันไปมองเจ้าอาวาสทันทีที่จบคำกล่าวนั้น

 

ในความคิดของพวกเขา ในเมื่อเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินมาถึงที่นี่ก่อน ท่านควรจะรู้เรื่องราวมากกว่าพวกเขา

 

“ข้าก็ไม่ได้มาก่อนพวกเจ้ามากเท่าไหร่หรอก”

 

“ยามเมื่อมาถึง ฉากที่เกิดขึ้นก็เป็นแบบนี้เสียแล้ว”

 

เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินยิ้มเจื่อนและกล่าวสิ่งที่ตนคาดเดาออกมา

 

 

“อะไรนะ?”

 

“ท่านเจ้าอาวาสหมายความว่าศพนี้คือมารเฒ่ากลืนโลหิต?” หัวหน้าตำหนักลานอรหันต์ประหลาดใจเล็กน้อย

 

“ตามข้อมูลที่รวบรวมไว้โดยวัดเส้าหลินเรา มารเฒ่ากลืนโลหิตเป็นแค่จอมยุทธฝ่ายอธรรมระดับชั้นที่สาม แต่ความแข็งแกร่งของศพนี่ยามเมื่อมีชีวิตอยู่อย่างไรก็ต้องเป็นระดับชั้นที่สอง เผลอๆ เป็นจุดสูงสุดของชั้นที่สองเลยยังได้” หัวหน้าลานธรรมกล่าวช้าๆ

 

เมื่อคำเหล่านี้กล่าวออก

 

เหล่าหัวหน้าตำหนักต่างหน้าเปลี่ยนสี

 

ถ้ามันเป็นอย่างที่หัวหน้าลานธรรมได้บอก แล้วจุดสูงสุดของระดับชั้นที่สองมานอนตายอยู่ตรงนี้ได้อย่างไร?

 

เหล่าหัวหน้าตำหนักต่างมาตรวจดูบาดแผลของมารเฒ่ากลืนโลหิต และค้นพบว่าอวัยวะภายในฉีกขาดทั้งหมด มารเฒ่าผู้นี้ถูกสังหารโดยการโจมตีที่ร้ายแรงถึงตาย

 

ใครกันที่สามารถฆ่ายอดฝีมือขอบเขตจุดสูงสุดระดับชั้นที่สองได้ในทันทีแบบนี้?

 

ยิ่งไปกว่านั้นหัวหน้าตำหนักต่างก็พบเห็นร่องรอยความหวาดกลัวปรากฏบนใบหน้าของมารเฒ่ากลืนโลหิต

 

เห็นได้ชัดว่ามารเฒ่ากลืนโลหิตอยู่ในสภาพสิ้นหวังอย่างมากก่อนจะตายลง

 

ใครกันที่สามารถทำให้จุดสูงสุดของระดับชั้นที่สองสิ้นหวัง ทำไม่ได้แม้แต่วิ่งหนี…

 

เหล่าหัวหน้าตำหนักต่างรู้สึกหนาวเหน็บ

 

“ถ้าเป็นเรื่องความแข็งแกร่งตามที่เห็นในปัจจุบันของมารเฒ่า สิ่งนี้ข้าคิดว่าข้าพอจะรู้อยู่บ้าง”

 

ในตอนนั้นเองเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินก็เดินออกมาจากหอคอยสะกดมารและกล่าวออกด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น “มารเฒ่ากลืนโลหิตนั้นได้ปลอมแปลงตัวตนเป็นจอมยุทธอธรรมสามระดับล่างแล้วเข้ามาในหอคอยสะกดมาร มันใช้โอกาสครั้งนี้ในการดูดกลืนพลังชีวิตของมารร้ายด้านในจนหมดสิ้นทั้งหอคอย ทำให้พลังของมันพุ่งขึ้นไปอย่างก้าวกระโดด…”

 

เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินกล่าวคำไปอย่างเชื่องช้า

 

หัวหน้าตำหนักคนอื่นๆ ต่างผงกหัวเห็นด้วยหลังจากได้ยิน

 

ถ้าเป็นไปตามที่ท่านเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินได้เล่ามา ก็พอจะอธิบายเรื่องราวที่เกิดขึ้นได้

 

แต่ถึงจะเป็นแบบนั้น…

 

สิ่งที่สำคัญที่สุดก็ยังไม่มีใครทราบเรื่องราว

 

หัวหน้าตำหนักลานอรหันต์ถามขึ้น “ท่านเจ้าอาวาส แล้วทำไมมารเฒ่ากลืนโลหิตถึงมาตายอยู่ตรงนี้”

 

“เรื่องนี้…”

 

เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินเงียบไป

 

นี่คือสิ่งที่เขาไม่เข้าใจและอยากรู้มากที่สุดเช่นกัน

 

ด้วยพลังที่แข็งแกร่งของมารเฒ่ากลืนโลหิต แม้แต่ตัวเขาเองอย่างมากก็ทำได้แค่ต่อสู้ยืดเยื้อ ถ้าต้องการจะสังหารมารเฒ่าตนนี้ โดยเฉพาะสังหารในทันทีแบบนี้ มันเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เด็ดขาด

 

“เป็นไปได้ไหมว่ามันจะตกตายด้วยน้ำมือของสงฆ์ศักดิ์สิทธิ์?”

 

หัวหน้าฝ่ายวินัยสงฆ์คาดเดา

 

ไม่นานมานี้ ตอนที่ผู้สืบทอดของมารพุทธะปรากฏตัวขึ้นในวัดเส้าหลิน ก็เป็นฝีมือของบรรพบุรุษสงฆ์ศักดิ์สิทธิ์ที่ช่วยวัดเส้าหลินเอาไว้ให้รอดพ้นจากภัย

 

ในเวลานั้นทุกคนรวมถึงเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินเองต่างเชื่อว่าวัดเส้าหลินมีบรรพบุรุษระดับสงฆ์ศักดิ์สิทธิ์ซ่อนตัวอยู่ในมุมใดสักมุมของวัด

 

และตอนนี้

 

มารเฒ่ากลืนโลหิตได้นอนทอดร่างอยู่หน้าหอคอยสะกดมารเป็นเหตุการณ์ที่ลึกลับนัก ทำให้หัวหน้าฝ่ายวินัยสงฆ์คาดเดาขึ้นมา

 

ในทั่วทั้งวัดเส้าหลินเกรงว่าจะมีเพียงบรรพบุรุษสงฆ์ศักดิ์สิทธิ์เท่านั้นที่มีความแข็งแกร่งมากเพียงนี้

 

“คงมีแต่ความเป็นไปได้นี้อย่างเดียวเท่านั้น”

 

เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินพยักหน้ารับเล็กน้อย

 

“ถึงศิษย์เหล่านี้จะหมดสติไปแต่ยังปลอดภัยดี” จากนั้นเจ้าอาวาสจึงเดินไปที่เจินชี่

 

“แม้เขาจะโดนสูบพลังชีวิตไปหน่อย แต่ก็ไม่ได้เป็นอันตรายอะไรต่อรากฐานการบ่มเพาะ ใช้เวลาฝึกฝนฟื้นฟูสักหลายเดือนหน่อยคงกลับมาเป็นปกติ” เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินตรวจสอบร่างกายของเจินชี่แล้วพยักหน้า

 

“จงตื่น!”

 

เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินจรดปลายนิ้วไปที่หน้าผากของเจินชี่แล้วตะโกนด้วยเสียงทุ้มต่ำ

 

ตึง!!!

 

ราวกับเสียงระฆังทองแดงลั่นดังขึ้นในมโนจิตของเจินชี่

 

สติที่ร่วงหล่นสู่ความมืดมิดของเจินชี่พลันพบเจอเข้ากับแสงสว่าง

 

“ท่านเจ้าอาวาส…”

 

เจินชี่ลืมตาขึ้นมาพบกับเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินและเหล่าหัวหน้าตำหนักจึงพยายามจะลุกขึ้นทำความเคารพ

 

“อย่าขยับ”

 

“พลังชีวิตของเจ้าถูกสูบออกไปมาก ต้องพักผ่อนให้ดี”

 

เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินกดร่างของเจินชี่ให้นอนลง

 

“พวกศิษย์น้องของข้าอาการเป็นอย่างไรบ้าง?” เจินชี่ถามด้วยเสียงต่ำ

 

“อย่าได้กังวลไป”

 

รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของท่านเจ้าอาวาส “บรรพบุรุษสงฆ์ศักดิ์สิทธิ์ได้ลงมือจนทำให้มารเฒ่ากลืนโลหิตตายในทันที ไม่มีศิษย์คนใดได้รับบาดเจ็บ”

 

น้ำเสียงของเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินเปี่ยมไปด้วยความเคารพนบนอบ

 

บรรพบุรุษสงฆ์ศักดิ์สิทธิ์ได้ลงมือไปหลายครา ก่อนหน้าท่านก็ได้ช่วยวัดเส้าหลินไว้จากผู้สืบทอดมารพุทธะ แล้วตอนนี้ยังสังหารมารเฒ่ากลืนโลหิตลง ความกรุณาของท่านเพียงพอจะทำให้วัดเส้าหลินหล่อรูปเคารพและนมัสการท่านเป็นพันๆ ครั้ง

 

“สงฆ์ศักดิ์สิทธิ์?”

 

เจินชี่สมองว่างเปล่าไปชั่วขณะ

 

ในช่วงสุดท้ายที่สติของเขารางเลือน เขาเห็นบางคนที่กำลังเดินเข้ามา

 

แม้ว่าเจินชี่จะเห็นเพียงร่างเงาที่ไม่ชัดเจนในตอนนั้น แต่พิจารณาจากรูปร่างที่ผอมเพรียว ผู้นั้นย่อมไม่ควรที่จะแก่เท่าไรนัก

 

จะเป็นบรรพบุรุษไม่ได้เช่นไร?

 

อย่างไรก็ตามแม้เจินชี่จะมีข้อสงสัย แต่เมื่อเห็นการแสดงออกของเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินและเหล่าหัวหน้าตำหนัก เขาทำได้เพียงคิดว่าเขาเข้าใจผิดไปเองเท่านั้น

 

“ขอรับ”

 

“พักผ่อนสักสองสามวัน จากนั้นค่อยไปที่ลานโพธิ์ ไปรับโอสถบำรุงโลหิตมา” เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินบอกกล่าว

 

โอสถบำรุงโลหิตเป็นโอสถพิเศษในการเติมพลังลมปราณและบำรุงเลือด

 

ถ้าเจินชี่ได้รับโอสถบำรุงโลหิตไป มันจะช่วยเร่งความไวในการฟื้นฟูตนเองให้กับเขา

 

“ขอบคุณมากขอรับท่านเจ้าอาวาส”

 

เจินชี่รีบขอบคุณเจ้าอาวาสทันที

 

 

เวลาเดียวกันกับที่เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินและหัวหน้าตำหนักกำลังคาดเดาว่าใครคือบรรพบุรุษสงฆ์ศักดิ์สิทธิ์ผู้นั้น ซูฉินก็ได้กลับมาถึงลานจิปาถะเป็นที่เรียบร้อย

 

หลังจากเรื่องทั้งหมดที่ผ่านมา เขาเลือกที่จะหลบออกมาไม่สนใจเรื่องบุญคุณหรือชื่อเสียง

 

สำหรับวัดเส้าหลินแล้ว การลงมือหลายต่อหลายครั้งของซูฉินเป็นการช่วยศิษย์ของวัดเส้าหลินไว้หลายพันคนและป้องกันไม่ให้วัดต้องล่มสลาย

 

แต่สำหรับซูฉิน มันก็แค่การปัดมือไปสุ่มๆ แล้วบังเอิญฆ่าแมลงตายก็เท่านั้นเอง

 

“ชีวิตในแต่ละวันมันควรเป็นเช่นนี้ ข้าสามารถไปลงชื่อเข้าใช้ ฝึกฝนบ่มเพาะความแข็งแกร่ง ใช้ชีวิตอย่างผ่อนคลายและสบายใจ นี่แหละสิ่งที่ข้าต้องการ…”

 

ซูฉินอารมณ์ดียิ่ง

 

จากนั้นไม่กี่ชั่วโมง

 

เมื่อวัดเส้าหลินกลับมาเงียบสงบอีกครั้ง ซูฉินก็ออกจากลานจิปาถะมายังพื้นที่โล่งๆ แถวเนินเขา

 

ดวงจันทร์ลอยสูงเด่น

 

โปรยแสงนวลเป็นริ้วลงมาคล้ายม่านบางเบา

 

ซูฉินนั่งลงเอาขาไขว้กัน วิชาขัดเกลากายาจันทราไหลวนไปช้าๆ พลังของมันเคลื่อนไปเรื่อยๆ ไม่มีที่สิ้นสุดโถมผสานเข้าสู่ร่างกายและเลือดเนื้อ

 

“จริงแท้แน่นอน…”

 

“เมื่อวิชาบ่มเพาะขัดเกลากายาจันทรารวมเข้ากับกายาวัชระคงกระพัน พลังหยินสุดขั้วกับพลังหยางสุดแกร่ง เกิดผลสุดมหัศจรรย์ต่อการหล่อหลอมกายเนื้อ”

 

ซูฉินลืมตาขึ้น รู้สึกได้อย่างชัดเจนถึงความแข็งแกร่งของร่างกายที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ดวงตามีร่องรอยลึกล้ำปรากฏ

Sign in Buddha’s palm 24 ช่องว่างระหว่างพลังฝีมือ

 

 

“ข้ากำลังจะตายหรือนี่?”

 

ที่ด้านหน้าของหอคอยสะกดมาร พระรูปนี้รู้สึกได้ถึงพลังชีวิตของเขากำลังถูกสูบออกไปจากร่างอย่างรวดเร็วด้วยน้ำมือของมารเฒ่า

 

ภิกษุรูปนี้ชื่อว่า เจินชี่ ถึงแม้ว่าเขาจะอยู่ในรุ่นเดียวกับซูฉิน แต่เขาก็ได้เข้ามาในวัดก่อนตั้งแต่สามสิบปีที่แล้ว

 

“ช่างน่าเศร้าที่ข้าไม่สามารถปกป้องพวกศิษย์น้องเอาไว้ได้…”

 

เจินชี่อ่อนแอลงเรื่อยๆ หันมองศิษย์น้องที่สลบกันอยู่ด้วยความสลดใจ

 

เขารู้ดี ยามเมื่อมารเฒ่ากลืนโลหิตสูบพลังชีวิตเขาจนหมด เป้าหมายต่อไปย่อมเป็นเหล่าศิษย์น้องของเขา

 

“ข้าจะมาตายแบบนี้ไม่ได้!”

 

“อย่างน้อยก็ต้องแจ้งให้ท่านเจ้าอาวาสทราบ ไม่ก็เหล่าหัวหน้าตำหนัก…”

 

เจินชี่ดิ้นรนเต็มกำลังเพื่อคงสติของตนเอาไว้แล้วพยายามเงยหน้าขึ้นหาวิธี

 

ในตอนนั้นเองเจินชี่ก็เห็นฉากที่จะไม่มีวันลบเลือนไปจากความทรงจำ

 

เขาเห็นร่างเพรียวบาง มาเป็นเงาเลือนราง เดินมุ่งสู่หอคอยสะกดมาร

 

ในตอนแรกร่างเงาที่เลือนรางนี้ยังอยู่ไกลออกไปเป็นพันเมตร แต่ทุกก้าวย่างที่เดินนั้นข้ามผ่านอากาศมาเป็นร้อยเมตรด้วยการก้าวขาแต่ละครั้ง จนมาถึงหน้าหอคอยสะกดมารในที่สุด

 

“มีใครบางคนกำลังมา?”

 

สติของเจินชี่พร่าเลือน ทุกอย่างเริ่มกลายเป็นความมืดมิด

 

จังหวะสุดท้ายก่อนที่สติของเขาจะดับวูบ เจินชี่ได้ยินเสียงที่น่ากลัวของมารเฒ่ากลืนโลหิต มันทั้งตกใจและโกรธเกรี้ยว “บัดซบ แกเป็นใคร?!”

 

 

ด้านหน้าหอคอยสะกดมาร

 

ซูฉินหันมองไปที่เจินชี่ที่หมดสติไปเป็นที่เรียบร้อยหลังจากดิ้นรนอย่างเต็มที่ จากนั้นจึงหันมองไปยังมารเฒ่ากลืนโลหิตที่มีท่าทีระแวดระวัง

 

“แกเป็นใคร?”

 

“วัดเส้าหลินมีปรมาจารย์ระดับนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่?”

 

มารเฒ่ากลืนโลหิตดูจริงจังขึ้นมา

 

เป็นเพราะเพียงแค่การสะบัดมือของผู้มาใหม่ พลังมารของมันก็พลันกระจัดกระจายหายไป นี่แสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของผู้มาใหม่ว่าน่ากลัวเพียงใด

 

แน่นอนว่าก่อนที่มารเฒ่ากลืนโลหิตจะเข้ามาในหอคอยสะกดมาร เขาได้ตรวจสอบผู้เยี่ยมยุทธในสามระดับบนของวัดเส้าหลินทั้งหมดแล้ว

 

ย่อมไม่มีบุคคลเช่นซูฉินอยู่ในการตรวจสอบ

 

“เจ้าไม่จำเป็นต้องรู้หรอก”

 

ซูฉินถอนหายใจเบาๆ “ในเมื่อหนีออกจากหอคอยมาได้แล้ว ทำไมไม่รีบหนีออกไปจากวัดเส้าหลินเสียเล่า กลับมาก่อเรื่องเช่นนี้เพื่ออะไร?”

 

ถึงแม้ซูฉินจะไม่เคยคิดว่าตัวเองนั้นถือว่าเป็นพระจริงๆ แต่ข้าวปลาอาหารที่ซูฉินฉันมาตลอดสิบปีที่นี่ทำให้ซูฉินไม่อาจทนเห็นศิษย์ของวัดเส้าหลินต้องถูกสังหารได้

 

ยิ่งไปกว่านั้น เจินชี่ก็มีความสัมพันธ์ที่ดีกับเขาไม่น้อย

 

“การกระทำของมารเฒ่าผู้นี้ ไม่ใช่เรื่องที่เจ้าต้องให้ความสนใจ” มารเฒ่ากลืนโลหิตหรี่ตา พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา

 

แม้ว่าซูฉินจะดูเป็นภัยร้ายต่อเขา แต่มารเฒ่ากลืนโลหิตพบว่าซูฉินยังดูเด็กอยู่มาก

 

พระหนุ่มขนาดนี้ ต่อให้ฝึกฝนวิทยายุทธมาตั้งแต่ครรภ์มารดา และพรั่งพร้อมไปด้วยทรัพยากรที่ประเคนให้โดยวัดเส้าหลิน มันก็ไม่มีทางที่เขาจะอยู่ในสามระดับบน

 

ดังนั้นเขาจะมาเป็นคู่ต่อสู้กับมารเฒ่าได้อย่างไร?

 

ส่วนเหตุที่พลังมารถูกทำลายลงเพียงการสะบัดมือของซูฉิน มันก็คิดไปเองว่าเป็นเพราะตอนนี้พลังของมันเพิ่มขึ้นสูงมากจึงไม่สามารถควบคุมกำลังภายในได้อย่างสมบูรณ์แบบ

 

“เจ้าน่าจะเป็นอัจฉริยะที่ได้รับการฝึกมาโดยวัดเส้าหลินอย่างเป็นการลับสินะ?”

 

“น่าเสียดายจริงๆ สำหรับมารเฒ่าผู้นี้คนที่ข้าชอบสังหารที่สุดก็คือพวกอัจฉริยะนี่แหละ!!”

 

สายตาของมารเฒ่าดูดุร้ายและพลังภายในของเขาก็พลุ่งพล่านอีกครั้ง

 

ในเมื่อความสัมพันธ์กับวัดเส้าหลินมันแตกหักไปแล้ว ย่อมเป็นเรื่องที่ดีที่จะสังหารอัจฉริยะของวัดเส้าหลินไว้ก่อนล่วงหน้า

 

“พลังปราณของมารเฒ่าผู้นี้ไม่เสถียรสักหน่อยในช่วงนี้ เป็นเหตุให้เจ้ามองหาจุดบกพร่องของข้าได้ แล้วถ้าเป็นคราวนี้ล่ะ เจ้าจะยังโจมตีพลังมารของมารเฒ่าผู้นี้ได้อีกหรือไม่?”

 

แรงกดดันในอากาศยิ่งมายิ่งรุนแรงในทุกๆ คำพูดของมารเฒ่า เมื่อพูดจบบรรยากาศโดยรอบก็เต็มไปด้วยพลังมารเสียแล้ว

 

มารเฒ่าใช้วิชามารของยอดปรมาจารย์มารระดับชั้นที่หนึ่งที่ได้มาจากหอคอยสะกดมารชั้นที่เก้า

 

[อาณาเขตมารฟ้า]

 

เคล็ดวิชานี้ผู้ใช้อย่างน้อยต้องอยู่ในสามระดับบนเพื่อที่จะเชื่อมโยงกับปราณโลกได้

 

ภายในอาณาเขตนี้ พลังของมารเฒ่ากลืนโลหิตจะเพิ่มขึ้นอย่างมาก และศัตรูจะถูกยับยั้งพลัง

 

“เอาหละ หมดเวลาแล้ว”

 

ซูฉินดูเหมือนจะรู้สึกได้ถึงบางอย่างและส่ายหัวออกมาเล็กน้อย

 

เขาจับกลิ่นอายพลังที่กำลังเคลื่อนตัวเข้ามาทางเขา มันน่าจะเป็นของเจ้าอาวาสและพวกหัวหน้าตำหนัก พวกเขาน่าจะค้นพบแล้วว่าเกิดเรื่องจึงมุ่งหน้ามาที่หอคอยสะกดมาร

 

“เวลาหมดลงแล้ว?”

 

มารเฒ่ากลืนโลหิตประหลาดใจแล้วส่งเสียงเยาะเย้ย “ใช่แล้ว เวลาของแกไงที่ใกล้จะหมด”

 

ในช่วงเวลาต่อมา

 

มารเฒ่ายื่นแขนขวาออกไปแล้วค่อยๆ กดลงต่อหน้าซูฉิน

 

แทบจะในทันทีทันใด พลังมารจำนวนมากรวมตัวแล้วพุ่งไปบดขยี้ซูฉินอย่างรุนแรง

 

“นี่คือการระเบิดพลังที่รุนแรงที่สุดของมารเฒ่าผู้นี้ มันทรงพลังมากแม้จะไม่เทียบเท่ายอดปรมาจารย์ก็เถอะ…”

 

มารเฒ่ากลืนโลหิตมองดูชัยชนะที่กำลังจะเกิดขึ้น

 

อย่างไรก็ตาม

 

ฉากที่ได้เห็นในเวลาต่อมาทำให้ลำคอของมารเฒ่าจุกแน่น ใบหน้าเริ่มเปลี่ยนสีไปอย่างมาก

 

มันเห็นว่าพลังมารอันทรงพลังเมื่อเข้าไปใกล้ซูฉินในระยะสามฝ่ามือกลับระเหยหายไปกลับสู่ความว่างเปล่า

 

“เป็นไปไม่ได้!”

 

“เป็นไปไม่ได้!!!”

 

มารเฒ่ากลืนโลหิตหวาดกลัวกับสิ่งที่เกินจะเชื่อตรงหน้า

 

ถึงแม้วิชาบ่มเพาะสายพุทธจะยับยั้งวิชาบ่มเพาะสายมารได้ แต่ไม่ว่ามันจะยับยั้งได้มากเพียงไร ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะทำให้ระเหยไปโดยไม่ต้องสัมผัสแบบนี้

 

นี่ไม่ใช่การยับยั้งอีกต่อไป

 

มันคือการบดขยี้

 

กระนั้น

 

ก่อนที่มันจะทันได้ตอบสนอง

 

ซูฉินก้าวเท้าไปข้างหน้า มาปรากฏตัวอยู่เบื้องหน้าของมัน

 

“ไม่ดีแล้ว!”

 

“วิ่ง!”

 

หนังศีรษะของมารเฒ่ากลืนโลหิตชาวาบ

 

ถ้าในตอนนี้มารเฒ่ากลืนโลหิตยังไม่รู้อีกว่าความแข็งแกร่งของซูฉินเหนือชั้นกว่าของตัวมันมาก มันย่อมเป็นตัวโง่งมแล้ว

 

“ชั้นที่หนึ่ง!”

 

“อย่างน้อยก็ต้องเป็นยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่ง!”

 

“วัดเส้าหลินให้กำเนิดยอดปรมาจารย์เยาว์วัยขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อใดกัน!”

 

มารเฒ่ากลืนโลหิตรู้สึกโศกเศร้าอย่างไม่มีที่สิ้นสุดในหัวใจ

 

แม้นถ้ามันได้รู้ว่าวัดเส้าหลินนั้นมียอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งอยู่ ต่อให้มีความกล้ากว่านี้เป็นสิบเท่า มันย่อมไม่อาจหาญย่องเข้ามายังวัดเส้าหลินแห่งนี้เป็นแน่

 

“มันสายเกินไปแล้วล่ะ”

 

เมื่อซูฉินเห็นมารเฒ่ากลืนโลหิตคิดจะหลบหนี ก็ยกมือขวา กำมือแน่น แล้วปล่อยออกไปเบาๆ

 

หมัดนี้ในสายตาของมารเฒ่านั้นดูเชื่องช้าราวกับเด็กกำลังเหวี่ยงแขน

 

แต่ไม่รู้ทำไมมารเฒ่ากลืนโลหิตถึงไม่สามารถหลบหมัดนี้ได้

 

ราวกับหมัดนี้กอปรไปด้วยพลังถาโถมอันมหาศาล ทำให้ไม่อาจแม้แต่จะขยับเขยื้อนไปไหนได้

 

ปึงง!

 

สายตาของมารเฒ่ากำลังจ้องมองกำปั้นของซูฉินที่เคลื่อนเข้ามาประทับที่หน้าอกของมันอย่างหมดสิ้นความหวัง

 

ในทันทีที่หมัดกระแทกเข้าที่ร่าง พลังที่น่าสะพรึงได้ทำลายเส้นสายลมปราณทั้งแปดและอวัยวะภายในของมารเฒ่ากลืนโลหิตในฉับพลัน

 

“เจ้า?!”

 

มารเฒ่าพ่นละอองเลือดออกมาเป็นฟูมฝอย ร่างค่อยๆ ร่วงหล่นลงกับพื้น

 

 

 

ผ่านไปไม่นาน

 

ฟึ่บ!

 

เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินก็มาปรากฏตัวที่ด้านนอกหอคอยสะกดมาร

 

“มีไอพลังมารออกมาจากหอคอยสะกดมาร ข้าเกรงว่ามารร้ายด้านในคงจะหนีออกไปแล้ว”

 

เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินเป็นกังวลและรีบร้อนมุ่งหน้ามาโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้

 

“เป็นเวลากว่าพันปีที่หอคอยสะกดมารยืนยงคงกระพันมาตลอดมันไม่เคยมีปัญหาใด…” ใบหน้าของเจ้าอาวาสกลายเป็นบูดเบี้ยว

 

หากมีสิ่งใดผิดปกติเกิดขึ้นกับหอคอยสะกดมาร แล้วมารร้ายด้านในหนีออกมาได้หมดมันคงเป็นหายนะครั้งใหญ่ที่สุดที่วัดเส้าหลินได้เผชิญ!

 

เหล่ามารร้ายต่างก็ถูกกักขังมาเป็นเวลาหลายปีและความแค้นที่พวกมันมีต่อวัดเส้าหลินก็คงมากมายจนไม่สามารถจะจินตนาการไหว สิ่งแรกที่พวกมันจะทำหลังได้รับการปลดปล่อยย่อมเป็นการทำลายวัดเส้าหลินให้ราบ!

 

แต่อย่างไรก็ตาม

 

เมื่อเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินเดินทางมาถึงหอคอยสะกดมารและเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้าเขาถึงกับมึนงง

 

แม้ว่าสงฆ์ทั้งหนึ่งร้อยแปดรูปจะนอนกองอยู่กับพื้น แต่ลมหายใจของพวกเขายังมั่นคงดี เห็นได้ชัดว่ายังมีชีวิตอยู่

 

ในขณะที่ร่างของมารเฒ่ากลืนโลหิตนอนอยู่อย่างโดดเดี่ยวไม่ไกลออกไปนัก พร้อมกับร่องรอยความหวาดผวาฝังลึกที่ยังคงหลงเหลืออยู่บนใบหน้าแม้จะตายไปแล้วก็ตาม

Sign in Buddha’s palm 23 ซูฉินและมารร้าย

 

 

ที่ด้านนอกของหอคอยสะกดมาร

 

มีพระนับร้อยรูปคอยเดินตรวจตรา

 

ด้วยความที่เป็นเขตหวงห้ามของวัดเส้าหลิน หอคอยสะกดมารจำต้องมีภิกษุคอยเฝ้าระวังอย่างน้อยหนึ่งร้อยแปดรูปไม่ว่าจะกลางวันหรือยามค่ำคืน

 

พระทั้งหนึ่งร้อยแปดรูปนี้จะต้องมีความสามารถในการตั้งค่ายกลขนาดใหญ่ได้โดยทันที เพียงพอที่จะสกัดจับผู้เชี่ยวชาญในสามระดับบนทั่วๆ ไป ในเวลาอันสั้นได้

 

“ศิษย์พี่”

 

“ทำไมคืนนี้ข้ารู้สึกว่าหอคอยมีบางอย่างแปลกไป…”

 

พระหนุ่มมองผ่านความมืดมิดไปยังหอคอยสะกดมารที่น่าขนลุกยามนี้แล้วกระซิบแผ่วเบากับศิษย์อีกคน

 

“แปลกไป?”

 

“จะมีอะไรแปลกได้เล่า?”

 

ศิษย์ที่อาวุโสกว่าจ้องมองมาที่พระหนุ่มแล้วกล่าวตำหนิ “แค่ทำหน้าที่ของตนดีๆ อย่าได้มัวแต่หันมองนู่นนี่”

 

“ขอรับ”

 

พระหนุ่มหดหัวลง

 

ขณะนั้นเอง

 

ครืน!!!

 

พวกเขาก็เห็นว่าหอคอยสะกดมารสั่นไหว

 

สงฆ์ทั้งร้อยแปดรูปที่เฝ้าระวังอยู่ด้านนอกหอคอยสะกดมารต่างตกตะลึงแล้วพากันจ้องมองไปที่หอคอยสะกดมารโดยไม่รู้ตัว

 

“เกิดอะไรขึ้น?”

 

“ข้ารู้สึกได้ว่าหอคอยสะกดมารเหมือนจะสั่นไหว ใช่หรือเปล่านะ?”

 

“ใช้ ข้าก็รู้สึกเช่นเดียวกัน คิดว่าเป็นภาพลวงตาเสียอีก”

 

 

เหล่าสงฆ์ต่างแปลกใจ

 

อย่างไรก็ตาม ความแปลกใจถูกหยุดอยู่เพียงเท่านั้น

 

ในเวลาต่อมา

 

แกร๊ก

 

ช่องว่างด้านข้างประตูของหอคอยสะกดมารพลันแตกออก

 

เงาร่างสีดำของมารร้ายกระโดดออกมาจากช่องว่างนั้นและยืนจังก้าอยู่ด้านนอกหอคอยสะกดมารเป็นที่เรียบร้อย

 

“ออกมาแล้ว”

 

“ในที่สุดข้าก็ออกมาได้แล้ว!”

 

มารเฒ่ากลืนโลหิตดีใจอย่างเหลือล้น

 

ความจริงแล้วก่อนที่จะตัดสินใจเข้าไปในหอคอยสะกดมาร มารเฒ่ากลืนโลหิตก็มีความลังเลอยู่เล็กน้อยในเรื่องที่เสี่ยงเช่นนี้

 

นอกเหนือจากนั้น

 

ในหนังสือโบราณที่ได้รับมา ระบุไว้ว่ามีช่องโหว่มากมายในค่ายกลฟ้าดินภายในหอคอยสะกดมาร…

 

แต่ก่อนที่จะได้ลองด้วยตนเองจริงๆ ใครกันจะมั่นใจได้ว่าสิ่งที่หนังสือโบราณได้บอกไว้เป็นความจริงหรือไม่?

 

นี่คือหอคอยสะกดมารแห่งวัดเส้าหลินเชียวนะ

 

ไม่รู้ว่ามีตัวตนเก่งกาจราวกับสัตว์ประหลาดกี่ตนแล้วที่ถูกปราบปรามกักขังอยู่ภายใน?

 

พวกมารร้ายเหล่านี้ไม่เคยออกมาได้เลยตั้งแต่ที่ถูกขังไว้ด้านในหอคอย

 

พวกเขาไม่ได้อย่างออกมางั้นหรือ?

 

ย่อมมิใช่

 

เป็นเพราะพวกมันไม่สามารถหนีออกไปได้ต่างหาก

 

นั่นล่ะคือความน่าพรั่นพรึงของหอคอยสะกดมาร

 

แต่ตอนนี้

 

กลับมีหนังสือโบราณเล่มหนึ่งเขียนว่าหอคอยสะกดมารนี้มีช่องโหว่?

 

ถ้าใครสักคนมาบอกว่ามีช่องโหว่ มันก็แปลว่ามีช่องโหว่จริงๆ อย่างนั้นหรือ?

 

แล้วถ้าในกรณีที่หนังสือโบราณกล่าวไว้เป็นเท็จ…

 

ไม่ใช่ว่ามารเฒ่าโลหิตได้ขุดหลุมฝังตัวเองไปแล้วหรอกรึ?

 

แต่ทั้งหมดที่ว่ามาก็เท่านั้น

 

ในท้ายที่สุดมารเฒ่าก็ตัดสินใจกระทำลงไปแล้วอยู่ดี

 

นั่นเพราะยามเมื่อแผนประสบความสำเร็จ ด้วยมารร้ายจำนวนมหาศาลที่มารเฒ่าได้สูบกลืนพลังมา มารเฒ่ากลืนโลหิตย่อมพบโอกาสที่จะก้าวไปยืนบนจุดสูงสุดในใต้หล้า

 

กลิ่นหอมหวานของความสำเร็จน่าเย้ายวนถึงเพียงนี้ ไยมารเฒ่ากลืนโลหิตจะทนไหว

 

อนึ่ง

 

คำอธิบายเกี่ยวกับช่องโหว่ในหอคอยสะกดมารที่ระบุไว้ในหนังสือโบราณนั้นละเอียดมาก และไม่ได้เป็นเรื่องที่เสริมเติมแต่งแต่ประการใด มันจึงช่วยเสริมความมั่นใจให้มารเฒ่าได้อย่างดี

 

 

“ไม่ดีแล้ว”

 

“มีมารร้ายหลบหนีออกมา”

 

เมื่อเทียบกับความสุขสันต์ของมารเฒ่ากลืนโลหิต พระที่คุ้มกันหอคอยสะกดมารอยู่ต่างประหวั่นพรั่นพรึง

 

ในเวลาหลายสิบปีมานี้ไม่เคยมีประวัติการหลบหนีของมารร้ายจากหอคอยมาก่อน

 

“ตั้งขบวน จัดค่ายกล!!!”

 

หัวหน้าของกลุ่มสงฆ์ตะโกนด้วยน้ำเสียงรุนแรงเร่งเร้า

 

ทันใดนั้น

 

สงฆ์ทั้งหนึ่งร้อยแปดรูปต่างระงับความตกตะลึงในใจ แล้วกลับเข้าตำแหน่งของตนเองอย่างว่องไว เกิดเป็นแถวทับซ้อนกันเป็นค่ายกลขนาดใหญ่ล้อมดักมารเฒ่ากลืนโลหิตที่อยู่ตรงกลางขบวนค่ายกล

 

“เป็นรูปแบบค่ายกลที่น่าเวทนาเสียจริง…”

 

“แค่การกระดิกนิ้วทีเดียวของมารเฒ่าผู้นี้ก็ทำลายมันได้แล้วกระมัง!”

 

มารเฒ่ากลืนโลหิตยิ้มเยาะดูถูก

 

ถ้าเป็นเมื่อก่อนตอนที่ยังไม่ได้เข้าไปในหอคอยสะกดมาร รูปแบบค่ายกลพวกนี้ยังพอสามารถดักจับเขาเอาไว้ได้

 

แต่ตอนนี้

 

มารเฒ่ากลืนโลหิตถึงขีดจำกัดสูงสุดของระดับชั้นที่สองแล้ว แทบจะสามารถกลายเป็นยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งได้ตลอดเวลาหากมีโอกาส

 

ต้องการจะดักจับตัวมันไว้ด้วยค่ายกลประเภทนี้ถือเป็นความฝัน ช่างโง่เง่า

 

บูม!!!

 

พลังมารก่อตัวขึ้นก่อนจะกระจายออกไปอย่างบ้าคลั่งทั่วทิศทาง

 

เปรี๊ยะๆๆ

 

ค่ายกลขนาดใหญ่ที่สร้างขึ้นจากสงฆ์ทั้งหนึ่งร้อยแปดรูปถูกทุบตีจนแตกพ่าย

 

สงฆ์ทั้งร้อยแปดรูปปลิวกระเด็นออกไปกระแทกลงกับพื้นอย่างแรง เลือดกบปาก

 

ทั้งหมดเกิดขึ้นในชั่วพริบตา

 

ตั้งแต่ที่หอคอยสะกดมารสั่นไหว การหลบหนีของมารเฒ่ากลืนโลหิต ไปจนถึงรูปแบบค่ายกลถูกทำลายด้วยนิ้วเดียว เวลาผ่านไปเพียงชั่วครู่

 

เหล่าสงฆ์ต่างก็มีเวลาแค่ก่อค่ายกลเท่านั้นก่อนที่มันจะถูกทำลายลง แล้วพวกเขาต่างก็หมดสติไป

 

หมายความว่าไม่มีแม้แต่เวลาส่งข่าวไปให้เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินหรือหัวหน้าตำหนักด้วยซ้ำ

 

“ฮี่ๆ แค่กระบวนท่าเดียวก็ทนไม่ไหวแล้วหรือ…”

 

มารเฒ่ากลืนโลหิตยกมือขวาของมันขึ้นมาดูรู้สึกเหมือนกับว่าได้ค้นพบพลังใหม่ของตนเอง มันช่างน่าตื่นเต้นยิ่งนัก

 

“หึ! วัดเส้าหลินมันก็เท่านี้แหละ!”

 

มารเฒ่าหัวเราะเยาะ

 

“ได้เวลาจากไปแล้ว”

 

มารเฒ่าหันมองไปรอบๆ

 

ถึงแม้ว่ามารเฒ่าจะหนีมาจากหอคอยสะกดมารได้และไม่มอบโอกาสใดให้สงฆ์ที่ทำหน้าที่ตรวจตราได้ส่งข่าวออกไป แต่วัดเส้าหลินก็ใช่ว่าจะโง่

 

หอคอยสะกดมารเป็นเขตหวงห้ามของวัดเส้าหลิน นี่ถึงกับมีเหตุการณ์ใหญ่เกิดขึ้น ต่อให้พวกเขาไม่ได้รับแจ้ง ก็ต้องมีคนระแคะระคายว่ามีบางอย่างผิดปกติเป็นแน่ ไม่ช้าก็เร็ว

 

เวลานี้ถ้ามารเฒ่ากลืนโลหิตยังมัวแต่อยู่ที่นี่ กลัวว่าเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินและหัวหน้าตำหนักจะแห่กันมาปิดล้อมและสังหารเขาซะ

 

“ฮุ่ยเหวิน ไอ้ลาแก่หัวโล้น!”

 

การแสดงออกของมารเฒ่ากลืนโลหิตเปลี่ยนเป็นเย็นชา

 

ในทั้งวัดเส้าหลิน สิ่งเดียวที่มารเฒ่ากลืนโลหิตยังกลัวอยู่ก็คือเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวิน

 

ทั้งตัวมารเฒ่าเองและเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินต่างอยู่ในระดับชั้นที่สองทั้งคู่

 

แม้ว่ามารเฒ่ากลืนโลหิตจะอยู่ในจุดสูงสุดของระดับชั้นที่สอง แต่เดิมทีวิชาของวัดเส้าหลินก็ยับยั้งวิถีมารโดยธรรมชาติอยู่แล้ว แถมตอนนี้ตัวมันยังอยู่ในถิ่นของวัดเส้าหลินอีก เท่ากับว่ามันต้องต่อสู้อยู่ตัวคนเดียว

 

ยิ่งการต่อสู้ถูกลากยาวไปมากเท่าไหร่ ตัวมันเองจะยิ่งตกอยู่ในอันตรายมากขึ้นเท่านั้น

 

ถึงมารเฒ่ากลืนโลหิตจะมั่นใจในตนเองมากตอนนี้ แต่มันย่อมรู้ว่าอะไรดีที่สุดสำหรับตัวมัน

 

“แต่ก่อนจะจากไป ขอแวะลิ้มชิมรสเลือดเนื้อของลาหัวโล้นวัดเส้าหลินก่อนก็แล้วกัน…”

 

มารเฒ่าทอดสายตามองไปยังพระทั้งร้อยแปดรูปพลางเลียริมฝีปาก

 

ในอดีตหากมารเฒ่ากลืนโลหิตได้เจอเข้ากับศิษย์ของสุดยอดพรรคอย่างวัดเส้าหลิน ไยมันจักหาญกล้าไปยั่วยุได้?

 

แต่ด้วยความแข็งแกร่งในขณะนี้ ทำให้มารเฒ่ามีความมั่นใจอย่างมิรู้ประมาณ

 

ในเมื่อการหลบหนีออกจากหอคอยสะกดมารของมันได้สร้างความร้าวฉานกับวัดเส้าหลินไปแล้ว เช่นนั้นก็คงไม่เป็นอะไรหากมันจะดื่มกินเลือดและสูบพลังของศิษย์วัดเส้าหลินเข้าไป

 

เมื่อนึกได้แบบนั้น มารเฒ่ากลืนโลหิตก็ก้าวไปด้านหน้าภิกษุรูปหนึ่ง

 

พระรูปนี้เป็นผู้นำขบวนค่ายกล มีพลังอยู่ในระดับชั้นที่สี่ พลังชีวิตที่มากล้นแบบนี้นับว่าเป็นของชอบของมารเฒ่าเลยทีเดียว

 

“ไอ้ปีศาจ!”

 

“จงตาย!”

 

ทันใดนั้น ไอพลังของพระรูปนั้นก็พุ่งสูงขึ้น แล้วลุกขึ้นเคลื่อนตัวปล่อยหมัดเข้าใส่มารเฒ่ากลืนโลหิต

 

“ช่างอ่อนแอเสียจริง…”

 

มารเฒ่ากลืนโลหิตที่เหมือนจะคาดเดาการกระทำนี้เอาไว้อยู่แล้ว ยกมือขวาขึ้นแล้วกดลงอย่างเชื่องช้า

 

ปัง!!!

 

พลังมารที่น่าสยดสยองโอบล้อมเข้ากดทับพระรูปนั้นทันที

 

“ทำไมเจ้าจึงไม่ทำตัวเชื่องๆ แล้วให้ผู้อาวุโสได้ดื่มกินพลังชีวิตของเจ้าเสียหน่อยเล่า?”

 

มารเฒ่ากลืนโลหิตส่ายหัวน้อยๆ

 

“ข้าจะลากเจ้าให้ตายไปกับข้า!!!”

 

สงฆ์รูปนั้นพยายามลุกขึ้น ดวงตาแดงก่ำ

 

เมื่อเห็นฉากนั้น มารเฒ่าจึงขี้เกียจเกินกว่าจะเสวนาต่อ

 

ก็แค่สูบพลังพระพวกนี้มาเสีย จะได้สิ้นเรื่องสิ้นราว

 

 

ห่างออกไปหลายลี้

 

ด้านบนเขา

 

“เฮ้อ…”

 

“ทำไมมันเป็นแบบนี้ล่ะเนี่ย?”

 

ซูฉินค่อยๆ ลืมตาขึ้นแล้วถอนหายใจออกมา

 

ระหว่างฝ่ามือของเขามีพลังหยางแข็งแกร่งที่ควบแน่นมาจากวิชากายาวัชระคงกระพัน และพลังหยินอันรุนแรงที่มาจากวิชาขัดเกลากายาจันทรา ปะทะเข้าหากันแล้วหมุนออกไปรอบๆ ระเบิดออกเป็นแสงสว่างวาบคล้ายสายฟ้าแลบ

Sign in Buddha’s palm 22 ปีศาจออกจากหอคอย

 

 

“เคล็ดบ่มเพาะร่างกายธาตุหยิน?”

 

ซูฉินแตะปลายคาง สายตาเหม่อลอยครุ่นคิด

 

เคล็ดวิชาในวัดเส้าหลินส่วนใหญ่ล้วนแต่มีธาตุประกอบเป็นหยางที่เข้มข้น เป็นเรื่องยากมากที่จะลงชื่อเข้าใช้แล้วรับเคล็ดวิชาบ่มเพาะร่างกายธาตุหยินที่มีคุณสมบัติแข็งแกร่งเทียบเคียงกายาวัชระคงกระพัน

 

“ดูเหมือนคราวต่อไป ข้าคงต้องไปลงชื่อที่หอคอยสะกดมารเสียหน่อยแล้ว”

 

ในทั่วบริเวณวัดทั้งหมดคงจะมีแต่เพียงหอคอยสะกดมารเท่านั้นที่สามารถลงชื่อรับเคล็ดวิชานอกสำนักของวัดเส้าหลินได้

 

สิ่งที่ได้รับจากหอคอยสะกดมารโดยทั่วไปมักจะเป็นสิ่งที่เกี่ยวข้องกับวิถีมาร ดังนั้นซูฉินจึงได้ไปเยี่ยมเยี่ยมแค่บางครั้งบางคราวเท่านั้น

 

 

วันถัดมา

 

ซูฉินออกไปกวาดลานวัดโดยเริ่มจากบริเวณหอคอยสะกดมารก่อน

 

หอคอยสะกดมารเป็นเขตหวงห้ามของวัดเส้าหลินและเป็นที่กักขังเหล่ามารร้ายที่คอยสร้างความเดือดร้อนไปทั่วยุทธภพ

 

ดังนั้นจึงมีพระสงฆ์คอยลาดตระเวนโดยรอบหอคอยสะกดมารตลอดเวลาเพื่อให้แน่ใจว่าจะไม่เกิดเหตุร้ายอันใดขึ้นในหอคอย

 

“เป็นศิษย์พี่เจินกวนนี่เอง…” พระที่เข้ามาตรวจตรามองมาที่ซูฉิน เขายิ้มกว้างและกล่าวทักทาย

 

แม้ว่าซูฉินจะเป็นพระในวัดแห่งนี้มาสิบปี แต่เขาก็ได้รับการยกย่องว่าเป็น ‘ผู้อาวุโส‘ เพียงกึ่งหนึ่งเท่านั้น

 

พระตรวจตราแทบจะทุกรูปล้วนแล้วแต่รู้จักซูฉิน

 

ซูฉินตอบรับคำทักทายทีละคนแล้วจึงเดินไปที่ส่วนนอกของหอคอยสะกดมาร

 

“หอคอยสะกดมารยามนี้…?”

 

ซูฉินขมวดคิ้วเล็กน้อย

 

ด้วยพลังของ [ดวงตาแห่งสัจจะ] ซูฉินสามารถรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าไอพลังของมารร้ายในหอคอยสะกดมารลดลงอย่างรวดเร็ว

 

“มารร้ายด้านในต่อสู้กันอยู่รึเปล่านะ?”

 

ซูฉินกระซิบเพียงให้ตัวเองได้ยิน แล้วก็คิดได้ว่าอย่าไปให้ความสนใจกับมันนักเลย

 

เหล่ามารที่ถูกกักขังอยู่ด้านในหอคอยล้วนแต่บาปหนา ถ้ามิใช่เพราะความเมตตาของวัดเส้าหลิน แล้วมารร้ายพวกนี้ดันถูกจับกุมด้วยน้ำมือสำนักอื่นๆ พวกมันคงตกตายไปนานแล้ว

 

ฉะนั้นเมื่อซูฉินค้นพบว่ามารร้ายในหอคอยมีจำนวนลดลง เป็นเรื่องปกติที่เขาจะไม่เก็บมาใส่ใจมากนัก

 

[ขอแสดงความยินดี โฮสต์ลงชื่อเข้าใช้สำเร็จ ได้รับ ‘หัตถาเมฆาวิเศษ‘]

 

เสียงจักรกลดังขึ้นอย่างเย็นชาในหูของซูฉิน

 

“ หัตถาเมฆาวิเศษ?”

 

ซูฉินพยักหน้าเล็กน้อย

 

แม้ในการลงชื่อครั้งนี้เขาจะไม่ได้วิชาบ่มเพาะร่างกายธาตุหยินที่ใฝ่หา แต่หัตถาเมฆาวิเศษก็ไม่เลวร้าย

 

มันเป็นวิชาที่ไม่ได้อ่อนแอไปกว่าวิชาทั่วไปของวัดเส้าหลินมากนัก

 

ซูฉินถือเสียว่ามันเป็นไพ่ลับในมือ

 

ทุกๆ วันหลังจากนั้นซูฉินจะมาที่หอคอยวันละครั้ง

 

ไม่ถึงหนึ่งเดือน ในที่สุดซูฉินก็ลงชื่อเข้าใช้แล้วรับของที่เขาต้องการมาได้เสียที

 

[ขอแสดงความยินดี โฮสต์ลงชื่อเข้าใช้สำเร็จ ได้รับวิชากำลังภายนอก ‘ขัดเกลากายาจันทรา‘]

 

“วิชาขัดเกลากายาจันทรา?”

 

ปรากฏรอยยิ้มบนใบหน้าของซูฉิน

 

วิชาขัดเกลากายาจันทราเป็นวิชาฝึกตนพื้นฐานของพรรคมารจันทราในอดีตเมื่อหลายพันปีก่อน

 

เล่าลือว่าสามารถชักนำพลังหยินจากจันทราเข้ามาสู่ร่างกายได้ เมื่อมีการฝึกฝนจนไปถึงระดับความสำเร็จอันยิ่งใหญ่จะควบแน่นร่างกายให้กลายเป็นกายาจันทรา

 

แต่น่าเสียดายนักที่แม้ว่าวิชาขัดเกลากายาจันทราจะมีศักยภาพที่สูงล้ำ การเริ่มต้นฝึกมันก็ยากมหาศาลเช่นกัน เป็นสาเหตุว่าทำไมตลอดเวลาที่ผ่านมาศิษย์จากพรรคจันทราจึงทนทุกข์ทรมานและตายลงไปเป็นจุดจบสิ้นของพรรคเมื่อพันปีก่อน

 

“กายาจันทรา?”

 

“มันควรจะเทียบเท่ากับพลังของ [กายาวัชระคงกระพัน] ”

 

ซูฉินเปรียบเทียบวิชาขัดเกลากายาจันทราและวิชากายาวัชระคงกระพัน พบว่าทั้งสองวิชานั้นเท่าเทียมกัน

 

และดูเหมือนว่าวิชาขัดเกลากายาจันทราจะแข็งแกร่งกว่ากายาวัชระคงกระพันอยู่เล็กน้อยด้วย

 

“ไม่เลวๆ”

 

“นี่แหละสิ่งที่ข้าตามหา”

 

ซูฉินพึงพอใจมาก

 

แม้จะเป็นเรื่องที่ยากในการฝึกฝนวิชาขัดเกลากายาจันทรา แต่ซูฉินไม่เคยคิดเรื่องที่ว่าเขาจะฝึกมันได้หรือไม่

 

ด้วยการฝังข้อมูลของระบบ ไม่มีวิชาวิเศษวิโสใดที่ซูฉินไม่สามารถฝึกฝนได้

 

“ว่าแต่ว่า พวกมารร้ายในหอคอยสะกดมารควรจะตายกันจนจวนจะหมดหอแล้วใช่หรือไม่?”

 

ซูฉินหันเหสายตาไปยังหอคอยสะกดมารอีกครั้งหนึ่ง

 

กว่าหนึ่งเดือนที่ผ่านมา ซูฉินมาลงชื่อที่หอคอยสะกดมารทุกวัน และเป็นปกติที่จะรู้สึกได้ถึงบรรยากาศด้านในของหอคอยสะกดมาร

 

ด้วยความสามารถของดวงตาแห่งสัจจะ ในตอนนี้เขารับรู้ได้เพียงไอพลังที่แข็งแกร่งไม่กี่ตนภายในหอคอยสะกดมาร

 

ส่วนไอพลังอื่นๆ หายไปหมดสิ้น

 

หากเป็นตอนแรก ซูฉินอาจเดาไปว่าพวกมารร้ายในหอคอยสะกดมารต่อสู้ห้ำหั่นกันเอง

 

แต่ตอนนี้…

 

ซูฉินได้กลิ่นทะแม่งๆ

 

“น่าจะเป็นจุดสูงสุดของระดับชั้นที่สอง แต่ยังไม่ได้เป็นระดับชั้นที่หนึ่ง”

 

ซูฉินคิดเอาในใจ

 

 

ที่หอคอยสะกดมารชั้นที่เก้า

 

มารเฒ่ากลืนโลหิตนั่งไขว้ขา พลังมารปะทุแผ่ออกรอบตัวกินอาณาบริเวณเป็นสิบเมตร

 

“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า”

 

“ไม่คาดคิดเลยว่าที่ชั้นเก้าของหอคอยสะกดมารจะสะกดเหล่ามารระดับชั้นที่หนึ่งที่เขย่ายุทธภพเมื่อหลายร้อยปีก่อนไว้มากมายหลายตนถึงเพียงนี้”

 

ความปีติยินดีปรากฏขึ้นบนใบหน้าของมารเฒ่ากลืนโลหิต

 

สุดยอดมารร้ายที่มีชื่อเสียงระดับโลกเหล่านี้ถึงแม้จะตายลงไปนานแล้วขณะถูกขังอยู่ในชั้นที่เก้า

 

แต่ร่างกายของพวกเขาก็ยังอยู่

 

ผู้ฝึกยุทธวิชามารจะใช้พลังมารหลอมรวมเข้ากับร่างกาย แม้ว่าจะตายลงไปแล้ว แต่พลังมารก็จะยังฝังแน่นอยู่ตามกระดูก

 

และมารเฒ่ากลืนโลหิตที่กลืนซากศพระดับชั้นที่หนึ่งเหล่านี้เข้าไป ความแข็งแกร่งของมันก็พุ่งขึ้นอย่างก้าวกระโดด และมาถึงขีดจำกัดสูงสุดของระดับชั้นที่สองในบัดดล

 

ต้องรู้ว่ามารเฒ่ากลืนโลหิตเป็นเพียงมารร้ายระดับชั้นที่สามก่อนที่จะเข้ามาในหอคอยสะกดมาร แต่ตอนนี้มันได้กลืนมารร้ายทั้งหมดในหอคอยรวมถึงกระดูกของพวกมารร้ายระดับชั้นที่หนึ่งหลายตน จนทำให้ตัดผ่านขั้น ยันไปถึงจุดสูงสุดของขอบเขตระดับชั้นที่สอง

 

“ตราบใดที่ข้าปิดด่านฝึกตนสักระยะและย่อยสิ่งได้รับมาอย่างเหมาะสม ข้าต้องตัดผ่านไประดับชั้นที่หนึ่งได้แน่!”

 

มารเฒ่ากลืนโลหิตเปิดเปลือกตา ละอองแสงอันลึกซึ้งส่องระยิบระยับไปทั่ว

 

ปัจจุบันนี้ยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งหาได้ยากมาก พวกเขาแต่ละคนล้วนแต่เป็นตัวตนที่มีอำนาจยิ่งใหญ่

 

ถ้ามารเฒ่ากลืนโลหิตสามารถก้าวเข้าสู่ระดับชั้นที่หนึ่งได้จริง เขาจะสามารถปกคลุมท้องฟ้าได้ด้วยมือเดียว ไปได้ทุกที่ที่ใจปรารถนาตราบเท่าที่ระวังไม่ให้ถูกล้อมสังหารด้วยกลุ่มยอดฝีมือชั้นสูง เขาก็จะท่องเที่ยวไปได้อย่างสบายใจโดยแท้จริง

 

“ไอ้พวกเด็กเวรในพรรคมารทั้งหลายที่เคยบังคับมารเฒ่าผู้นี้ให้ทำงานให้นั่น”

 

“ฮึ่ม! ยามเมื่อข้าได้ออกไปครานี้ จะให้พวกเจ้าได้เห็นเต็มสองตาว่าใครคือผู้นำของพรรคมารที่แท้จริง”

 

ร่องรอยความโหดร้ายฉายชัดในดวงตาของมารเฒ่ากลืนโลหิต

 

“ใกล้จะถึงเวลาแล้ว”

 

“ต้องรีบออกไปจากหอคอยโดยเร็วที่สุด”

 

“ไม่เช่นนั้นคงเป็นเรื่องที่ไม่ดีนัก หากปล่อยให้ไอ้พวกลาหัวโล้นวัดเส้าหลินมาพบบางสิ่งเข้าและขัดขวางข้าในหอคอยนี้”

 

เมื่อคิดสิ่งนั้นออกมา มารเฒ่ากลืนโลหิตก็รีบลุกขึ้นและปรี่กลับไปยังชั้นที่หนึ่ง

 

“ในตำนานเล่าไว้ว่าหอคอยสะกดมารถูกสร้างโดยอรหันต์จากวัดเส้าหลิน มีค่ายกลที่ใช้พลังฟ้าดินจากโลกภายนอก”

 

ในสถานการณ์ปกติ ค่ายกลของหอคอยจะไม่มีทางถูกทำลายถ้าการกระทำนั้นไม่ใช่ฝีมือของระดับอรหันต์

 

“เมื่อใครก็ตามที่เข้ามาในหอคอยนี้แล้ว แม้จะเป็นยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่ง คนผู้นั้นย่อมต้องติดอยู่ที่นี่ไปตลอดชีวิต”

 

มารเฒ่าที่แอบคิดเรื่องดังกล่าวก็ยังอดหวั่นเกรงไม่ได้

 

น่าเสียดายที่ ‘อรหันต์‘ ตัวเป็นๆ ก็ไม่สามารถหยุดกระแสธารแห่งเวลาได้ นับประสาอะไรกับสิ่งที่สร้างขึ้นมาโดย ‘อรหันต์‘ ?

 

หากในยุคหลังของวัดเส้าหลินมียอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งอยู่ เขาจะต้องมาบูรณะหอคอยสะกดมารให้สมบูรณ์แบบแน่

 

ถ้าเป็นแบบนั้นต่อให้มารเฒ่ากลืนโลหิตอาจหาญแค่ไหน เขาก็ไม่กล้าที่จะแอบเข้ามา

 

ในสถานการณ์ปกติค่ายกลขนาดใหญ่นี้จะไม่เสียหายหากยังมีอรหันต์อยู่

 

ทั้งยังไม่มีสงฆ์ศักดิ์สิทธิ์ระดับชั้นที่หนึ่งอยู่ในยุคนี้ของวัดเส้าหลิน อย่างน้อยก็ในด้านสว่างที่เปิดเผยให้รู้กันก็ไม่มีอยู่

 

เป็นเหตุให้พลังฟ้าดินของหอคอยสะกดมารมีช่องโหว่ในกลไกการทำงานเมื่อเวลาผ่านไป

 

ความลับนี้มารเฒ่ากลืนโลหิตได้ค้นพบในหนังสือโบราณเล่มหนึ่ง

 

เจ้าของหนังสือโบราณเล่มนี้เป็นทายาทของมารพุทธะแห่งวัดเส้าหลินเมื่อร้อยปีก่อน

 

ร้อยปีก่อนมีสงฆ์ศักดิ์สิทธิ์ในวัดถึงสี่รูป ทั้งสี่ต่างมีอำนาจเท่าเทียม

 

ทายาทของมารพุทธะรู้ว่าโอกาสในการทำลายวัดเส้าหลินมีน้อยอย่างยิ่ง เขาจึงเปิดเผยความลับบางอย่างของวัดเส้าหลิน

 

แม้ว่าจะไม่สามารถทำลายวัดเส้าหลินได้ แต่ก็ยังซ่อนภยันตรายไว้ให้วัดเส้าหลินต้องรับมือ

 

“ค่ายกลฟ้าดินนี่ช่างยิ่งใหญ่ไร้ประมาณ…”

 

มารเฒ่าจ้องมองค่ายกลฟ้าดินอยู่นาน แต่สิ่งที่ได้กลับมาคือความวิงเวียนและสับสนงงงวย แม้แต่ไอพลังมารในกายยังรู้สึกไม่เสถียร

 

ก็เท่านั้น

 

เขาก็ยังจำเป็นต้องทำ เพราะเขาต้องการที่จะรอคอยเวลา และจับจังหวะในตอนที่ค่ายกลฟ้าดินมีช่องโหว่ ในตอนนี้มารเฒ่ากลืนโลหิตจึงทำได้เพียงเฝ้าดูอย่างตั้งใจ

 

ไม่กี่วันต่อมา

 

ยามเมื่อมารเฒ่าโลหิตมีอาการง่วงเหงาหาวนอน

 

ตึ๊ง!!!

 

มีความผันผวนเล็กน้อยกระจัดกระจายออกมา

 

เป็นคลื่นที่ละเอียดอ่อนมาก แทบไม่รู้สึกถึงการคงอยู่ของมัน

 

“มาแล้ว!”

 

มารเฒ่ากลืนโลหิตตื่นเต้นดีใจเป็นอย่างมาก

Sign in Buddha’s palm 21 การเปลี่ยนแปลงในหอคอยสะกดมาร

 

 

หอคอยสะกดมาร

 

เป็นพื้นที่หวงห้ามอีกแห่งที่วัดเส้าหลินสร้างไว้เพื่อปราบปรามกักขังหมู่มารให้แยกตัวออกจากยุทธภพโดยเฉพาะ ซึ่งแบ่งเป็นชั้นๆ ไว้ทั้งหมดเก้าชั้น

 

ทั้งเก้าชั้นนี้ไม่ได้สร้างไว้เหนือผืนดิน แต่สร้างทอดยาวลงไปใต้พื้นดิน

 

ชั้นแรกไปจนที่ชั้นที่สามเอาไว้ใช้กักขังเหล่ามารร้ายสามระดับล่าง ชั้นที่สี่ถึงชั้นที่หกใช้เพื่อกักขังมารร้ายสามระดับกลาง และในชั้นที่เจ็ดถึงเก้าใช้เพื่อกักขังเหล่ามารในสามระดับบน

 

อย่างไรก็ตามในยุคสมัยนี้หอคอยสะกดมารได้กักขังเหล่ามารร้ายในสามระดับบนไว้น้อยมาก

 

 

ในตอนนั้นเอง ที่ชั้นสองของหอคอยสะกดมาร มีชายคนหนึ่งที่เอนตัวพิงมุมผนังอยู่ ค่อยๆ ลืมตาขึ้น แสงสีแดงเข้มสาดประกายออกมา ให้ความรู้สึกถึงความบ้าคลั่งกดขี่ข่มเหง

 

“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า!”

 

“มารเฒ่าผู้นี้ในที่สุดก็ลอบเข้ามาจนได้สักที”

 

ชายคนนี้จ้องมองไปที่เหล่ามารร้ายคนอื่นๆ ที่ถูกคุมขังไว้ในหอคอยสะกดมาร ดวงตาฉายแววแห่งความโลภ

 

เขาคือมารร้ายผู้โด่งดัง ผู้คนต่างเรียกขานเขาว่า มารเฒ่ากลืนโลหิต

 

หลายปีก่อนมันปลอมแปลงหน้าตาแล้วจงใจให้ตนโดนจับกุมโดยวัดเส้าหลินเพียงเพื่อต้องการจะเข้ามาในหอคอยสะกดมาร

 

พวกจอมยุทธฝ่ายมารมักจะชอบดูดกลืนพลังชีวิตของผู้อื่นมาเติมเต็มพลังของตนเองอยู่แล้ว

 

เรื่องราวนี้เป็นจริงเสียยิ่งกว่าจริงเมื่อพูดถึง มารเฒ่ากลืนโลหิต

 

การฝึกตนของมารเฒ่าตนนี้คือการสูบเลือดของผู้อื่นเพื่อเพิ่มระดับ และจะบ่มเพาะได้อย่างรวดเร็ว

 

ยิ่งความแข็งแกร่งของเป้าหมายที่ถูกกลืนกินแข็งแกร่งมากเท่าไหร่ ก็จะเสริมพลังให้มารเฒ่ากลืนโลหิตได้มากเท่านั้น

 

ดังนั้นมารเฒ่าจึงเริ่มเบนความสนใจไปทางจอมยุทธมากกว่าคนธรรมดา

 

กระนั้นจอมยุทธปกติแล้วย่อมไม่โง่เง่า เมื่อพบเจอการลอบโจมตีของมารเฒ่ากลืนโลหิต พวกเขาล้วนตื่นตัวและเรียกหาพรรคพวกมากลุ้มรุมมารเฒ่า

 

หลังจากเกิดความสูญเสียขึ้นกับตนอยู่สองสามครั้ง มารเฒ่าก็ล้มเลิกความคิดนี้

 

แต่ในตอนนี้

 

มารเฒ่ากลืนโลหิตพลันนึกขึ้นมาได้ว่าหอคอยสะกดมารของวัดเส้าหลินเป็นที่คุมขังของเหล่ามารร้ายจำนวนนับไม่ถ้วน

 

มารร้ายพวกนี้จะถูกปราบและขังอยู่ในหอคอยแบบนั้นไปตลอดชีวิตจนสุดท้ายตายไปด้วยความชรา

 

หลังจากที่ตระหนักถึงความจริงอันนี้ มารเฒ่าก็คิดว่าถ้าเขาแอบเข้าไปในหอคอยสะกดมารแล้วกลืนกินพลังจากเหล่ามารร้ายเหล่านั้น ไม่ใช่ว่าเป็นแผนที่ยอดเยี่ยมไปเลยหรอกหรือ?

 

เมื่อนึกได้แบบนี้มารเฒ่าก็วางแผนการว่าจะเข้าไปในหอคอยสะกดมารได้อย่างไร

 

วัดเส้าหลินเป็นถึงหนึ่งในสุดยอดพรรค จะบุกเข้าไปตรงๆ ก็คงไม่ได้

 

ทางเดียวที่มีคือต้องถูกวัดเส้าหลินจับตัวโดยสมัครใจและคุมขังไว้ในหอคอยสะกดมาร

 

เพื่อกระทำการนี้ มารเฒ่ากลืนโลหิตต้องทำสองสิ่งเพื่อให้มั่นใจ

 

ประการแรกคือ วัดเส้าหลินจะค้นพบตัวตนของเขาไม่ได้

 

ไม่เช่นนั้นพระสงฆ์ในสามระดับบนจะเริ่มต้นด้วยการทำลายฐานการฝึกฝนของมารเฒ่าก่อนเป็นอย่างแรก แล้วแผนการทั้งหมดของเขาก็จะล้มเหลว

 

ประการที่สองคือต้องหาทางเข้าและหนทางหลบออกมาจากหอคอยสะกดมาร

 

มิเช่นนั้นแล้วการที่มารเฒ่ากลืนโลหิตจะเข้าไปแล้วสูบกลืนพลังมาทั้งหมดจะได้อะไร หากไม่สามารถหลบหนีออกไปได้

 

ประการแรกนั้นง่ายที่จะกระทำ

 

ในเส้นทางสายอธรรมมีเคล็ดวิชาลับที่แปลงโฉมรูปลักษณ์ของผู้คนได้

 

เพื่อไม่ให้มีข้อผิดพลาด มารเฒ่ากลืนโลหิตก็เก็บงำความแข็งแกร่งและแสร้งว่าตนเป็นมารร้ายในสามระดับล่าง

 

ในส่วนของประการถัดมา…

 

มารเฒ่ากลืนโลหิตค้นพบข้อความในหนังสือโบราณกล่าวว่าทุกๆ คืนเดือนเพ็ญ กลไกของหอคอยสะกดมารจะเผยช่องโหว่ขึ้นชั่วคราว

 

เมื่อแก้ไขได้ทั้งสองจุดแล้ว มารเฒ่าก็เริ่มแผนการของเขาและถูกนำตัวไปคุมขังที่ชั้นที่สองของหอคอยสะกดมารได้เป็นผลสำเร็จ

 

“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า”

 

“อาหารพวกนี้ทำเอาข้าน้ำลายสอเสียแล้ว…”

 

มารเฒ่ากลืนโลหิตเลียริมฝีปาก มองไปยังเหล่ามารร้ายที่ถูกขังอยู่ในชั้นสองของหอคอยสะกดมารด้วยความโลภโมโทสัน

 

ฟิ่ว!

 

มารเฒ่ากลืนโลหิตพุ่งตรงไปปรากฏตัวที่หน้ามารร้ายตนหนึ่ง คว้าจับเข้าที่ลำคอ

 

เฮือก!!!

 

มารเฒ่าสูดลมหายใจเข้าลึกเต็มที่

 

ความหวาดกลัวฉายชัดบนใบหน้าของมารร้ายผู้นั้น ร่างกายของมันแห้งเหี่ยวด้วยความเร็วระดับที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่า เพียงไม่กี่นาทีก็กลายเป็นซากศพแห้งๆ

 

“แกไม่รู้หรอกว่ามารเฒ่าผู้นี้ลงทุนไปมากเท่าไหร่เพื่อที่จะเข้ามาในนี้รวมถึงต้องซ่อนตัวตนจากกลุ่มลาหัวโล้นวัดเส้าหลินพวกนั้น”

 

“ตอนนี้ถึงเวลาเก็บเกี่ยวแล้ว”

 

ไอพลังของมารเฒ่าแพร่กระจายออกไปทั่วทิศทางอย่างคลุ้มคลั่ง

 

เหล่ามารร้ายจากชั้นที่สองของหอคอยก็ถูกสูบกลืนพลังกันทีละตนจนกลายเป็นซากศพ

 

เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว

 

มารร้ายตนอื่นๆ ตระหนักได้ถึงสิ่งผิดปกติและเริ่มเคลื่อนตัวหนีจากมารเฒ่าในทันที

 

“ไม่ดีแล้ว”

 

“มีคนกำลังพยายามสูบกลืนพลังจากพวกเรา!” มารร้ายที่อาวุโสในสถานที่นี้คำรามลั่น

 

“มารเฒ่ากลืนโลหิต?”

 

“บัดซบ ทำไมมันถึงมาอยู่ที่ชั้นสองได้?”

 

เหล่ามารร้ายต่างแปลกใจปนกับโกรธเกรี้ยว ในขณะที่การแสดงออกส่อให้เห็นว่ากำลังตื่นตระหนก

 

ด้วยความแข็งแกร่งของมารเฒ่ากลืนโลหิต แม้ว่าจะถูกจับกุมมาได้โดยวัดเส้าหลิน มันก็ควรจะถูกคุมขังอยู่ในหอคอยสะกดมารชั้นที่เจ็ดเป็นอย่างน้อย

 

“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า”

 

“คิดจะหนีอย่างนั้นหรือ? จะหนีไปไหนได้เล่า?”

 

“มาร่วมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับมารเฒ่าผู้นี้เถิด”

 

“ตัวข้าผู้นี้รีบร้อนนัก ยังมีธุระให้ต้องสะสางในชั้นต่อไป”

 

มารเฒ่ากลืนโลหิตหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะมองไปที่เหล่ามารร้าย สายตาไม่ได้แยแสในชีวิตของพวกมัน

 

ตั้งแต่ที่เขาคิดที่จะเข้ามายังหอคอยสะกดมาร เป็นธรรมดาที่ไม่ได้หวังจะมาสูบกลืนพลังจากเหล่ามารพวกนี้เพียงแค่ชั้นเดียวแน่ๆ

 

เป้าหมายที่แท้จริงของมารเฒ่ากลืนโลหิตคือพวกมารร้ายที่อยู่บนชั้นเก้า

 

 

 

ยามมืด

 

ดวงจันทร์ลอยสูงเด่นบนท้องนภา

 

ซูฉินนั่งขัดสมาธิ หายใจเข้าลึกหายใจออกยาว

 

หากมีผู้เยี่ยมยุทธสามระดับบนอยู่บริเวณนี้จะต้องตกใจเป็นแน่เมื่อพบว่าการสูดลมหายใจของซูฉินแต่ละครั้งสูดเอาพลังฟ้าดินจำนวนมากเข้าสู่ร่างกาย

 

พลังฟ้าดินที่ซูฉินสูดหายใจเข้าไปในแต่ละครั้งเพียงพอที่จะระเบิดร่างของผู้เชี่ยวชาญสามระดับบนทั่วๆ ไปได้แล้ว

 

ถึงแม้ผู้เชี่ยวชาญสามระดับบนจะสามารถเปิดสะพานเชื่อมระหว่างตนเองกับพลังปราณโลกได้ เพื่อชักนำพลังภายนอกเข้ามาชำระล้างร่างกายภายใน

 

แต่การทำแบบนั้นจะต้องค่อยเป็นค่อยไป

 

ให้เปรียบเสมือนสายน้ำไหลไปตามสายธารเล็กๆ ค่อยๆ ไหลเอื่อยๆ

 

แต่ตอนนี้การกระทำของซูฉินเหมือนกับก่อเกลียวคลื่นดึงดูดมวลน้ำจากทะเลสาบ ปริมาณมันไร้ที่สิ้นสุด

 

แม้แต่ยอดปรมาจารย์ระดับต้นๆ พอมาเห็นซูฉินปล่อยไอฟ้าดินออกมาแบบนี้ก็ต้องขนลุกชันไปทั่วศีรษะ

 

พลังปราณของโลกอันตรายอย่างยิ่ง ถ้าพลังปราณโลกจำนวนมหาศาลไหลบ่าเข้าสู่ร่างกาย ต่อให้เป็นยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งหากประมาทไปเพียงเล็กน้อยก็อาจทำร้ายร่างกายจนบาดเจ็บได้เหมือนกัน

 

เมื่อร่างกายได้รับบาดเจ็บ โดยเฉพาะอาการบาดเจ็บที่มาจากปราณโลก ปัญหาต่างๆ จะตามมาอย่างไม่มีที่สิ้นสุด

 

ดังนั้นจึงไม่มีผู้เยี่ยมยุทธคนใดกล้าจะทำแบบนี้

 

“[กายาวัชระคงกระพัน] สมกับที่เป็นผลงานชิ้นเอกในด้านกำลังภายนอกของวัดเส้าหลิน”

 

ซูฉินลืมตาขึ้นมา กล่าวชมเชยอยู่ในใจ

 

ร่างกายที่ไปถึงความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ใน [กายาวัชระคงกระพัน] ทำให้ซูฉินดูดซับพลังฟ้าดิน พลังปราณโลกได้โดยไม่ต้องกังวลอันตรายใดๆ ที่ซุกซ่อนอยู่

 

“ถ้าเป็นเมื่อก่อน ข้าคงคิดว่า [กายาวัชระคงกระพัน] นั้นสมบูรณ์แบบและไม่มีข้อบกพร่อง”

 

“แต่ยามนี้ ข้ามี [ดวงตาแห่งสัจจะ] มาใช้สังเกตตนเอง ข้อบกพร่องของ [กายาวัชระคงกระพัน] จึงปรากฏให้เห็นได้ชัดเจน…”

 

ซูฉินถอนหายใจเบาๆ รู้สึกนับถือในพลังของ [ดวงตาแห่งสัจจะ] มากขึ้น

 

[กายาวัชระคงกระพัน] เป็นแก่นแท้แห่งพลังหยางที่ทรงพลังที่สุด ดั่งหินผาสูงชันที่ไม่สามารถทำลายลงได้

 

อย่างไรก็ตามทุกสิ่งในโลกล้วนไม่ได้มีเพียงหยินหรือหยางแค่อย่างเดียว มีหยินอย่างเดียวไม่พัฒนา หยางเพียงอย่างเดียวก็ยากที่จะเติบโตจนสุด!

 

เพื่อความยืนยงอย่างแท้จริง หยินและหยางต้องสอดคล้องประสมประสานกัน

 

[กายาวัชระคงกระพัน] เสริมแกร่งร่างกายได้มากจนสามารถใช้เพียงร่างกายก็ต่อกรกับผู้เชี่ยวชาญสามระดับบน

 

แต่มันสุดโต่งเกินไป

 

หากซูฉินต้องการก้าวข้ามไปอีกขั้นและบรรลุระดับ‘อรหันต์‘ เขาจะไม่สามารถขัดเกลาร่างกายจนไปถึงขีดสุดได้โดยการใช้แค่ [กายาวัชระคงกระพัน] อย่างแน่นอน

 

ซูฉินต้องตามหาเคล็ดวิชาบ่มเพาะร่างกายที่มีคุณลักษณะธาตุหยินอีกสักชนิดเพื่อผสานเข้ากับวิชา [กายาวัชระคงกระพัน]

Sign in Buddha’s palm 20 จิ่วชื่อซานเหริน

 

 

“[ดวงตาแห่งสัจจะ] ช่างน่ากลัวยิ่งนัก!”

 

ผ่านไปครู่หนึ่งซูฉินก็ลืมตาแล้วร้องอุทานออกมา

 

ตามที่ระบบบอกมา [ดวงตาแห่งสัจจะ] ไม่ใช่อาคมเวทที่ใช้โจมตี แต่มันเป็นอาคมที่เอนเอียงไปทางอาคมส่งเสริมเสียมากกว่า

 

ด้วย [ดวงตาแห่งสัจจะ] ซูฉินสามารถมองทะลุผ่านสิ่งปลอมเปลือกและตรวจสอบอันตรายได้อย่างง่ายดาย

 

มากไปกว่านั้น [ดวงตาแห่งสัจจะ] ยังมีความสามารถที่น่ากลัวในการตรวจจับกำลังภายใน หมายความว่าตราบเท่าที่ซูฉินเคยเห็นพลังภายในของใครคนหนึ่ง แม้ว่าคนคนนั้นจะอยู่ห่างออกไปหลายร้อยลี้ ซูฉินก็ยังสามารถจับตำแหน่งของคนผู้นั้นได้

 

แน่นอนว่า [ดวงตาแห่งสัจจะ] ดึงดูดใจของซูฉินเป็นที่สุด มันเป็นอาคม เป็นเหมือนกับพลังวิเศษ

 

‘อาคม‘ คืออะไร

 

ไม่ว่าจะเป็นเคล็ดวิชาหรือวิชาลับ ของพวกนั้นจำต้องใช้กำลังภายในไม่ก็พลังชีวิตในการขับเคลื่อน แต่ถึงจะเป็นยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งก็ไม่ได้มีกำลังภายในไร้ขีดจำกัด หมายความว่าการออกกระบวนท่าย่อมมีขีดจำกัด

 

สำหรับเลือดเนื้อและพลังชีวิตสิ่งนี้ยิ่งเป็นความจริงและเห็นได้ชัดมากขึ้นไปอีก

 

เพราะว่าในการจ่ายพลังชีวิตออกไป แม้แต่ยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งยามเมื่อใช้ออก ความแข็งแกร่งก็มีแต่จะลดลง

 

แต่อาคมนั้นแตกต่าง

 

อาคมเหมือนกับสัญชาตญาณของคนเรา เหมือนกับการหายใจ มันไม่จำเป็นต้องใช้พลังอะไรในการจ่ายออกไป

 

กล่าวอีกนัยหนึ่ง

 

ถ้าซูฉินต้องการ เขาสามารถใช้ [ดวงตาแห่งสัจจะ] นานถึงวันละสิบสองชั่วโมงเลยก็ได้

 

สำหรับซูฉิน [ดวงตาแห่งสัจจะ] ก็เหมือนกับการกินดื่มที่ทำได้โดยไม่ต้องคิดอะไร

 

“ตามข่าวลือที่ได้ฟังมา เมื่อจอมยุทธชาวพุทธคนไหนที่มีศรัทธาความเชื่ออย่างแรงกล้า บางทีก็จะให้กำเนิดพลังเหนือธรรมชาติหรืออาคมขึ้นมา เช่น [รู้วาระจิต], [ทิพยจักษุ]….”

 

ความคิดของซูฉินหมุนเร็วจี๋

 

“ต้องทดสอบความสามารถของ [ดวงตาแห่งสัจจะ] เสียหน่อย”

 

ซูฉินนั่งลงสงบใจ

 

ทันใดนั้น

 

ดวงตาของซูฉินกลายเป็นเย็นยะเยือก สิ่งที่เห็นได้ด้วยตาชัดเจนไปหมด ทะลุปรุโปร่งไม่มีจุดมืดบอด

 

นอกจากนั้น

 

ซูฉินรู้สึกได้จางๆ ถึงกลุ่มพลังภายในนับไม่ถ้วนจากทั่วทุกทิศทาง ไม่ว่าพลังภายในเหล่านั้นจะอยู่ใกล้หรือไกล แข็งแกร่งหรืออ่อนแอ ล้วนตกอยู่ในสายตาของเขาหมด

 

“ไม่เลวเลย”

 

ซูฉินกลอกตามองไปยังร่างของยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งซึ่งแน่นิ่งอยู่ไม่ไกล

 

ด้วยความสามารถของ [ดวงตาแห่งสัจจะ] ซูฉินยืนยันได้ทันทีว่ายอดปรมาจารย์ผู้นี้ตายไปแล้วจริงๆ

 

แล้วเขาก็ไม่ได้ทำอะไรหรือวางกับดักใดไว้ใกล้กับศพ

 

ในขณะที่มองไปนี้เองซูฉินก็พบว่ายอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งคนนี้กำหนังสัตว์ม้วนหนึ่งไว้แน่น

 

ซูฉินง้างนิ้วของชายผู้นี้ออกแล้วม้วนหนังสัตว์นั้นก็ร่วงลงมา

 

เขาเก็บม้วนหนังสัตว์แผ่นนั้นขึ้นมาดู

 

“ข้าฝึกวิทยายุทธมาตั้งแต่อายุแปดขวบและท่องไปทั่วยุทธภพ เข้าสู่สามระดับบนตอนอายุสามสิบแปดแล้วก็กลายมาเป็นระดับชั้นที่หนึ่งยามเมื่ออายุย่างเข้าเจ็ดสิบเก้าปี หลังจากผ่านไปร้อยปีข้าก็ยังติดอยู่ที่ระดับชั้นที่หนึ่ง ข้าเสียใจยิ่งนักที่ไม่ได้สัมผัสแม้แต่จุดคอขวดของระดับตำนานยุทธ…”

 

บันทึกหนังสัตว์เล่มนี้น่าจะเป็นเรื่องราวในชีวิตของยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งผู้นี้

 

มันรวมไปถึงประสบการณ์วัยเด็ก ความปีติยินดีหลังจากกลายเป็นจอมยุทธ และความโดดเดี่ยวยามขึ้นไปยืนอยู่บนผาสูงที่เรียกว่าระดับชั้นที่หนึ่ง

 

ปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งผู้นี้มีนามว่า จิ่วชื่อซานเหริน แม้ว่าเขาจะไม่มีพ่อมีแม่ แต่พรสวรรค์ในด้านการฝึกยุทธของเขาก็สูงมาก ใช้เพียงคัมภีร์เคล็ดวิชาที่ไม่สมบูรณ์ไม่กี่เล่มที่เขาเก็บมาได้ นำมาพัฒนาความแข็งแกร่งด้านกำลังภายในของเขา

 

หลังจากนั้นเขาทะยานขึ้นสู่หมู่เมฆ ภายในเวลากว่าเจ็ดสิบปี เขาก้าวกระโดดและเข้าสู่การเป็นยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่ง

 

เมื่อตอนที่เขากลายมาเป็นยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งและยืนอยู่จุดบนสุดของยุทธภพช่วงแรกๆ จิ่วชื่อซานเหรินค่อนข้างสุขสันต์ ใช้ชีวิตอย่างสบายใจ ถึงกับไปเรียนรู้เปรียบเทียบฝีมือกับยอดปรมาจารย์ท่านอื่นๆ อยู่บ่อยครั้ง

 

แต่เมื่อเขาอายุได้หนึ่งร้อยปี จิ่วชื่อซานเหรินก็เริ่มตื่นตระหนก

 

เพราะถึงแม้ยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งจะมีช่วงชีวิตที่ยืนยาวกว่าคนทั่วไป แต่ขีดจำกัดมันก็อยู่แค่สองร้อยปี

 

หากเขาอยากจะมีชีวิตที่ยืนยาว มีเพียงทางเดียวคือเขาก็ต้องข้ามขอบเขตไปอีกขั้นแล้วก้าวเข้าสู่ระดับตำนานยุทธ

 

“ข้าเคยได้ยินเกี่ยวกับมรดกนับพันปีของวัดเส้าหลินและการปรากฏตัวของ ‘อรหันต์‘ ตัวเป็นๆ เพื่อแสวงหาความก้าวหน้า ข้าจึงหลบซ่อนตัวอยู่ในวิหารพระสหัสพุทธ คิดหาวิถีทางทั้งวันทั้งคืน”

 

“ในวัยร้อยเจ็ดสิบปี กำลังภายในและกายเนื้อของข้าถูกบ่มเพาะขัดเกลาจนถึงขีดสุด แต่คอขวดในการไปยังระดับตำนานยุทธก็ยังไม่ปรากฏเงื่อนงำออกมาให้เห็น”

 

“ทำเช่นไรจึงจะตัดผ่านไปยังระดับตำนานยุทธ? พวกคนในอดีตนั้นทำเช่นไรกันถึงตัดผ่านขั้นนี้ได้?”

 

 

ยิ่งอ่านไปถึงข้อความหลังๆ มากเท่าไร ก็ยิ่งมีการขีดเขียนไว้ด้วยลายมือมากมายขึ้นไปอีก ตัวหนังสือพวกนั้นเต็มไปด้วยความไม่ยินยอมและสิ้นหวังอย่างท่วมท้นในทุกๆ คำ

 

แม้แต่ซูฉินเองก็เงียบไป

 

“จิ่วชื่อซานเหรินน่าจะแทรกซึมเข้ามาเมื่อหกสิบปีก่อน เวลานั้นเป็นช่วงที่สงฆ์ศักดิ์สิทธิ์รูปสุดท้ายของวัดเส้าหลินมรณภาพพอดี หลังจากนั้นก็ไม่มีสงฆ์ศักดิ์สิทธิ์กำเนิดขึ้นมาอีก เขาจึงสามารถซ่อนตัวมาได้จนถึงปัจจุบันนี้”

 

ซูฉินถอนลมหายใจ

 

ทั่วทั้งยุทธภพ แม้ว่ายอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งจะหายาก แต่ก็จะมีพวกเขาเกิดขึ้นมามากมายในแต่ละยุคสมัย

 

แต่สำหรับตำนานยุทธหรืออรหันต์ การจะกำเนิดขึ้นมาแต่ละครั้งอาจจะมีแค่สักคนในหนึ่งยุคสมัย หรือแม้แต่น้อยกว่านั้น

 

ซูฉินไม่รู้ว่าที่อื่นเป็นอย่างไร

 

แต่อย่างน้อยที่วัดเส้าหลิน ตั้งแต่อรหันต์องค์สุดท้ายผู้สะกดมารพุทธะเมื่อเก้าร้อยปีก่อนได้มรณภาพไปก็ไม่มีพระรูปไหนเข้าถึงระดับอรหันต์อีกเลย

 

แน่นอนว่าส่วนหนึ่งเป็นเพราะผู้สืบทอดของ ‘มารพุทธะ‘ ที่จะมาในทุกหนึ่งร้อยปีนั้นฉุดรั้งฐานความแข็งแกร่งของเส้าหลินลงอย่างมาก แต่กระนั้นก็ยังแสดงให้เห็นอยู่ว่าการไปถึงระดับอรหันต์นั้นยากเย็นเพียงไร

 

“ในอนาคต ข้าจะเป็นเหมือนกับจิ่วชื่อซานเหรินหรือไม่นะ? จะต้องตายไปอย่างโดดเดี่ยว ทำได้แค่เพียงรอความตายแบบนี้น่ะหรือ?”

 

ซูฉินขมวดคิ้วหม่นลงเล็กน้อยเมื่อความคิดนี้เข้ามาอยู่ในหัว

 

แต่ก็เท่านั้น

 

ทันทีที่เกิดความคิดเหล่านั้นขึ้น ซูฉินก็โยนมันทิ้งไป

 

เพราะจิ่วชื่อซานเหรินนั้นไม่สามารถนำมาเปรียบเทียบกับตัวของเขาได้

 

ซูฉินมีระบบอยู่ มันสามารถลงชื่อแล้วรับสมบัตินับไม่ถ้วน ด้วยสิ่งนั้นเขาสามารถเข้าถึงระดับตำนานยุทธได้แน่

 

นอกจากนี้ตัวจิ่วชื่อซานเหรินยังไม่เข้าใจเลยว่าทำไมตนจึงไม่สามารถพัฒนาต่อไปแม้จะถึงยามสุดท้ายของชีวิต

 

แต่ในสายตาของซูฉิน จิ่วชื่อซานเหรินนั้นกำลังเดินผิดทาง

 

จิ่วชื่อซานเหรินใช้เวลามากกว่าร้อยปีเพื่อขัดเกลากายเนื้อและกำลังภายใน แต่ความเป็นจริง ถ้าต้องการเข้าสู่ระดับตำนานยุทธ นอกเหนือไปจากการบ่มเพาะกายเนื้อและกำลังภายในแล้ว ยังต้องการความสมบูรณ์ของ ‘พลังศักดิ์สิทธิ์‘

 

‘พลังศักดิ์สิทธิ์!’

 

เลือดเนื้อ!

 

กำลังภายใน!

 

ทั้งสามต้องมาร่วมกัน ถ้าขาดอย่างใดไปสักหนึ่งอย่าง ความหวังในการเห็นคอขวดก็ริบหรี่เหลือเกิน

 

นอกจากสิ่งเหล่านี้ ซูฉินเพิ่งได้รับ [ดวงตาแห่งสัจจะ] มา และมันไม่ได้ใช้เพียงเพื่อสำรวจสิ่งแปลกปลอมอื่น แต่ยังสามารถสำรวจภายในตนได้อีกด้วย

 

ภายใต้การตรวจสอบของ [ดวงตาแห่งสัจจะ] ซูฉินสามารถควบคุมและนำทางเลือดเนื้อพลังชีวิต กำลังภายใน และพลังศักดิ์สิทธิ์ให้ไปถึงระดับสูงสุดได้

 

ซูฉินสามารถรู้ถึงข้อบกพร่องภายในตนเองได้อย่างชัดเจน

 

[ดวงตาแห่งสัจจะ] แม้จะไม่ได้ช่วยเหลือซูฉินโดยตรง แต่ก็ช่วยชี้ให้เห็นทิศทางที่จะแก้ไขข้อบกพร่องได้

 

นี่เหมือนกับของขวัญชิ้นพิเศษที่ได้มาจากการลงชื่อรับของรางวัล

 

“การมาเยือนวิหารพระสหัสพุทธในคราวนี้เป็นทางเลือกที่ถูกต้องอย่างแท้จริง”

 

“ถ้าไม่มี [ดวงตาแห่งสัจจะ] แน่นอนว่าข้าย่อมมั่นใจว่าจะไปถึงระดับตำนานยุทธ แต่ทางที่ไปย่อมต้องคดเคี้ยววกวนเป็นแน่”

 

รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของซูฉิน

 

เขามองไปยังศพของจิ่วชื่อซานเหริน “ไม่ต้องเป็นห่วงไป ข้าจะรับความตั้งใจของเจ้าเอาไว้เอง และจะเดินไปยังถนนที่เจ้าไม่เคยก้าวผ่าน จะไปดูทิวทัศน์ที่เจ้าไม่เคยมองเห็น”

 

หลังจากนั้นซูฉินก็วางหนังสัตว์แผ่นนั้นไว้ที่เบื้องหน้าของจิ่วชื่อซานเหริน แล้วหมุนตัวจากไป

 

ส่วนร่างของจิ่วชื่อซานเหริน ซูฉินไม่ได้สนใจและไม่ได้ไปแตะต้อง

 

วิหารพระสหัสพุทธเป็นพื้นที่หวงห้ามของวัดเส้าหลิน นานๆ ทีถึงจะมีศิษย์ที่ได้รับหน้าที่พิเศษให้เข้ามาทำความสะอาดภายในสักครั้ง

 

แน่นอนว่ายามเมื่อจิ่วชื่อซานเหรินยังมีชีวิตอยู่ ศิษย์ที่เข้ามาย่อมไม่มีความสามารถพอที่จะหาเขาพบ

 

แต่ตอนนี้จิ่วชื่อซานเหรินได้ล่วงลับไปแล้ว ศพก็อยู่ที่นี่ เมื่อมีศิษย์วัดเข้ามาทำความสะอาดในครั้งถัดไปย่อมจะพบเห็นสิ่งนี้เป็นธรรมดา

 

เมื่อถึงตอนนั้นเดี๋ยววัดเส้าหลินก็จะจัดการกับศพของจิ่วชื่อซานเหรินเอง

Sign in Buddha’s palm 19  ทิพยอำนาจ! ดวงตาแห่งสัจจะ!

 

 

เหล่าศิษย์ที่อยู่มานานต่างก็รู้กันดีว่าในทิศทางที่ซูฉินกำลังมองไปอยู่ตอนนี้ คือ วิหารพระสหัสพุทธหนึ่งในเขตหวงห้ามของวัดเส้าหลิน

 

ซูฉินก็อยู่ที่วัดเส้าหลินมาแล้วกว่าสิบปี ไปเยี่ยมชมมาแล้วทั่วทั้งวัด มีแค่เขตหวงห้ามบางแห่งเท่านั้นที่ถือเป็นข้อยกเว้น

 

ด้านหลังภูเขาคือที่หนึ่ง และวิหารพระสหัสพุทธก็คืออีกหนึ่งแห่ง

 

ไม่ว่าจะเป็นด้านหลังเขาหรือวิหารพระสหัสพุทธ ซูฉินล้วนรู้สึกได้ถึงกลิ่นอายแฝงเร้นของยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งซุ่มซ่อมอยู่

 

เพราะเหตุนี้ซูฉินจึงไม่เฉียดเข้าไปใกล้พื้นที่เหล่านั้น

 

พื้นที่ต้องห้ามหลังเขาเป็นสถานที่ที่วัดเส้าหลินสะกดมารพุทธะไว้ตั้งแต่เก้าร้อยปีก่อน ไม่น่าแปลกใจที่จะมียอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งอยู่ที่นั่น

 

สุดท้ายแล้วในความเข้าใจของซูฉิน ‘มารพุทธะ‘ เมื่อเก้าร้อยปีก่อนเป็นถึงตัวตนที่สามารถต่อกรกับระดับอรหันต์ได้ และเหนือล้ำไปกว่าระดับพลังชั้นที่หนึ่งอย่างสมบูรณ์

 

เพื่อจะปราบปรามปีศาจแบบนี้คงจะเป็นเรื่องยากที่จะพึ่งพาเพียงการผนึก

 

ไม่ว่าตราประทับผนึกจะแข็งแกร่งเพียงไร ในที่สุดมันก็จะเสื่อมสภาพลงตามกาลเวลา

 

ในช่วงเวลานี้จำต้องมีใครบางคนที่คอยปรับปรุงเสริมพลังผนึกอย่างต่อเนื่อง เพื่อสามารถผนึก ‘มารพุทธะ‘ ไปได้ตลอด

 

และด้วยพลังอันกล้าแข็งของ‘มารพุทธะ‘ กลัวว่าจะมีเพียงปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งเท่านั้นที่พอจะย่างกรายเข้าไปใกล้แถบนั้นได้แม้จะยากลำบากเสียหน่อย

 

หลักฐานที่สามารถอธิบายเรื่องนี้ได้ก็คือการที่ ‘มารพุทธะ‘ ยังถูกสะกดอยู่จนถึงตอนนี้

 

ท้ายที่สุดแล้วเพื่อให้มั่นใจในความรัดกุมของตราประทับที่ผนึก ‘มารพุทธะ‘ คงจะมีสงฆ์ศักดิ์สิทธิ์ระดับปรมาจารย์คุมเชิงอยู่ที่ภูเขาด้านหลัง แต่เรื่องราวนี้น่าจะถูกเก็บเป็นความลับสุดยอด แม้แต่เจ้าอาวาสของวัดเส้าหลินรูปปัจจุบันก็ยังไม่ทราบความ

 

เป็นเหตุผลว่าทำไมในวัดเส้าหลินจึงเชื่อไปว่าไม่มีสงฆ์ศักดิ์สิทธิ์ระดับชั้นที่หนึ่งในยุคนี้

 

แต่ทั้งหมดทั้งมวล สุดยอดพรรคก็ยังเป็นสุดยอดพรรคอยู่วันยังค่ำ วัดเส้าหลินส่งต่อมรดกกันมากว่าพันปีย่อมมีความลับมากมายซุกซ่อนเอาไว้ในส่วนลึกและแทบไม่มีใครรู้ ยกเว้นผู้นั้นจะเกี่ยวข้องกับความลับนั้น

 

ก็เหมือนกับด้านหลังเขา ยังมีกลิ่นอายของยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งซุกซ่อนอยู่ที่วิหารพระสหัสพุทธ เขตต้องห้ามอีกแห่งหนึ่งด้วย

 

แต่ว่าในขณะนี้เอง ซูฉินรู้สึกได้ว่ากลิ่นอายพลังของยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งในวิหารพระสหัสพุทธ จู่ๆ ก็หายไป

 

การหายไปนี้หาใช่หายไปอย่างธรรมดาไม่

 

แต่เหมือนกับแสงเทียนที่ต้านสายลมมานับสิบปี ก่อนที่จะค่อยๆ มอดดับลงไปในที่สุด

 

“ตายแล้วงั้นหรือ?”

 

ดวงตาของซูฉินแสดงออกให้เห็นถึงการใช้ความคิด

 

วิหารพระสหัสพุทธเป็นสถานที่หวงห้ามเพราะเป็นสถานที่ที่เหล่าสงฆ์ศักดิ์สิทธิ์พำนักอยู่ด้านในไปตราบนิจนิรันดร์

 

เฉพาะสงฆ์ศักดิ์สิทธิ์ระดับชั้นที่หนึ่งเท่านั้นที่มีสิทธิเข้าสู่วิหารพระสหัสพุทธเมื่อจวนจะสิ้นอายุขัย

 

“ข้าควรจะไปตรวจสอบดูดีหรือไม่ บางทีอาจจะได้ลงชื่อเข้าใช้ตรงนั้นด้วย?”

 

ซูฉินจับปลายคาง ตกอยู่ในห้วงคิดคำนึง

 

วิหารพระสหัสพุทธเป็นหนึ่งในไม่กี่แห่งที่ซูฉินยังไม่เคยเข้าไป

 

พูดอีกอย่างก็คือซูฉินยังไม่เคยเข้าไปลงชื่อในวิหารพระสหัสพุทธเลยแม้แต่ครั้งเดียว

 

“ตามที่รู้สึกได้ถึงกลิ่นอายพลัง ยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งผู้นั้นคงจะตายลงไปแล้ว และไม่ควรจะมีสิ่งมีชีวิตอื่นใดอยู่ภายในวิหารพระสหัสพุทธอีกในเวลานี้”

 

“แม้จะเข้าไปมันซะเดี๋ยวนี้ ข้าก็จะไม่ถูกค้นพบ”

 

ซูฉินค่อยๆ คิดไปคิดมา

 

ขั้นต้นนั้น แม้ว่ายอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งจะสิ้นชีวิตไปแล้ว แต่เพื่อความปลอดภัยซูฉินสมควรที่จะคอยหาโอกาสเข้าไปในภายหลัง

 

แต่ซูฉินเพิ่งได้รับ [เคล็ดวิชาไม้ตายซาก] มา

 

เป็นเคล็ดวิชาชั้นยอดสำหรับการซ่อนตัวและลอบเร้น เสริมส่งด้วยความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ของ [กายาวัชระคงกระพัน] ซูฉินมั่นใจอย่างยิ่งว่าแม้เขาจะเดินผ่านหน้าของยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่ง ตราบเท่าที่ไม่ถูกจับจ้องโดยตรง ยอดปรมาจารย์ก็จะไม่สังเกตเห็นเขา

 

อีกอย่างหนึ่งคือ เว้นแต่ซูฉินจงใจปลดปล่อยกลิ่นอาย

 

“ต้องทำความคุ้นเคยกับ [เคล็ดวิชาไม้ตายซาก] เสียก่อน”

 

ซูฉินปล่อยความคิดให้ล่องลอย ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับ [เคล็ดวิชาไม้ตายซาก] พลันเข้ามาอยู่ในจิต

 

ในช่วงเวลาไม่นาน ความเข้าใจของซูฉินใน [เคล็ดวิชาไม้ตายซาก] เข้าถึงระดับที่แตกฉานอย่างน่าเหลือเชื่อ

 

“สภาพที่เป็นดุจกิ่งไม้แห้งเหี่ยว”

 

“กลิ่นอายกลายเป็นความว่างเปล่า”

 

กลิ่นอายของซูฉินจางหายไป การคงอยู่ของเขาเลือนหายไปเกือบหมด

 

“จิ๊บๆ”

 

ในตอนนั้นเอง มีนกหลายตัวร่อนลงมาบนไหล่ของซูฉิน เห็นได้ชัดว่าพวกมันปฏิบัติต่อซูฉินราวกับเป็นเพียงกิ่งไม้ที่แห้งตายไปแล้ว และไม่พบความผิดปกติใดๆ เลย

 

ในขณะที่กำลังใช้  [เคล็ดวิชาไม้ตายซาก ] อยู่นั้น ซูฉินก็ค่อยๆ ผสานความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ของ  [กายาวัชระคงกระพัน ] เข้าไปอย่างช้าๆ แล้วกลิ่นอายของเขาก็ยิ่งจืดจางไม่เป็นที่น่าสนใจยิ่งขึ้นไปอีก

 

นกที่เกาะอยู่บนไหล่ของซูฉินรีบบินขึ้น พวกมันตื่นตระหนกตกใจ

 

ในสายตาของพวกนก ซูฉินจู่ๆ ก็หายไปอย่างสิ้นเชิง

 

ซูฉินตอนนี้ไม่ได้เป็นแค่กิ่งไม้ตายซาก แต่ถือได้ว่าเป็นมวลก้อนของบางสิ่งบางอย่างที่แสนว่างเปล่า

 

แน่นอนว่าในความจริงซูฉินยังคงมีตัวตนอยู่ แต่กลิ่นอายของเขาได้หายไป

 

“ไม่เลว ไม่เลว”

 

ซูฉินรู้สึกประหลาดใจทีเดียว

 

“เท่านี้ก็เข้าไปในวิหารพระสหัสพุทธได้แล้ว”

 

ซูฉินได้ตัดสินใจแล้ว

 

ค่ำคืนนั้น

 

ซูฉินหลีกเลี่ยงสายตาของพระตรวจตราที่ด้านหน้าของวิหารพระสหัสพุทธ

 

หลังจากที่แน่ใจว่าไม่มีใครรอบๆ ซูฉินก็เปิดประตูแล้วค่อยๆ เข้าไปอย่างเชื่องช้า

 

แสงด้านในวิหารค่อนข้างสลัว

 

แต่ซูฉินผู้เป็นถึงยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งเขาสามารถมองเห็นในที่มืดได้ชัดแจ๋วมาตั้งนานแล้ว

 

มีพระพุทธรูปมากมายภายในวิหารพระสหัสพุทธ และที่ใต้ฐานของพระพุทธรูปแต่ละองค์เป็นที่พักผ่อนของสงฆ์ศักดิ์สิทธิ์ระดับชั้นที่หนึ่งยามมรณภาพ

 

มีพระพุทธรูปวางเรียงซ้อนเยื้องกันเต็มไปหมด มองโดยภาพรวมมีอย่างน้อยก็หลายร้อยองค์

 

“ไม่คาดคิดเลยว่าวัดเส้าหลินจะมีสงฆ์ศักดิ์สิทธิ์มากมายถึงเพียงนี้” คำกล่าวของซูฉินเต็มไปด้วยอารมณ์

 

ในยุคนี้รู้ไหมว่ายอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งสักคนย่อมต้องเป็นตัวตนที่แข็งแกร่งมีชื่อเสียงขจรขจายไปทั่วยุทธภพ

 

แล้วมีปรมาจารย์ที่เก่งกาจขนาดนั้นหลายร้อยคนในวัดเส้าหลิน ?

 

แต่เมื่อซูฉินลองคิดอีกครั้ง เขาก็คิดว่ามันเป็นเรื่องปกติ

 

วัดเส้าหลินคงอยู่มามากกว่าพันปี การที่จะมีสงฆ์ศักดิ์สิทธิ์ระดับชั้นที่หนึ่งสักหลายร้อยคน นั่นก็ควรจะเป็นค่าเฉลี่ยที่เหมาะสมกับเวลาเป็นพันปี ถ้าลองคิดดูดีๆ ก็ไม่ถือว่ามากจนเกินไปนัก

 

ซูฉินเคลื่อนตัวมุ่งเข้าไปยังส่วนลึกของวิหารพระสหัสพุทธอย่างช้าๆ

 

ด้วย  [เคล็ดวิชาไม้ตายซาก ] ซ้อนทับกับ  [กายาวัชระคงกระพัน ] ซูฉินเหมือนกับภูตผีเคลื่อนผ่านไปในยามนี้

 

ไม่นาน

 

ซูฉินเดินเข้าไปที่ส่วนลึกที่สุดของวิหารพระสหัสพุทธ

 

ไม่ไกลออกไปมีร่างที่แต่งกายแบบฆราวาสนั่งอยู่ตรงนั้น แข็งทื่อ ไม่หายใจ ดูเหมือนว่าจะตายแล้ว

 

“หืม ?”

 

“ไม่ได้สวมใส่จีวร ?”

 

“ยอดปรมาจารย์ผู้ที่ซ่อนตัวอยู่ในวิหารพระสหัสพุทธไม่ได้มาจากวัดเส้าหลิน ?”

 

ซูฉินรู้สึกประหลาดใจ

 

เดิมทีซูฉินคิดว่ากลิ่นอายระดับชั้นที่หนึ่งในวิหารพระสหัสพุทธคงจะเป็นสงฆ์ศักดิ์สิทธิ์ระดับชั้นที่หนึ่งในวัดเส้าหลินสักรูปที่ยังไม่ได้ล่วงลับไป

 

แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าจะไม่เป็นเช่นนั้น

 

“น่าสนใจ”

 

ซูฉินไม่เร่งร้อนเข้าไปใกล้ในทันที

 

ยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งถึงแม้ว่าจะตายลงไปแล้วก็อาจจะซ่อนกับดักเบื้องหลังไว้ใกล้ศพ …

 

ถึงแม้ซูฉินจะไม่ได้กลัว แต่เขาก็ไม่อยากจะเจอเข้ากับปัญหา

 

“ใช่แล้ว”

 

“ข้ามาอยู่ในวิหารพระสหัสพุทธแล้ว ตอนนี้ข้าสามารถลงชื่อเข้าใช้ได้”

 

ตาของซูฉินเป็นประกาย

 

เวลาก็ล่วงเลยมามากแล้ว ตอนนี้เป็นเวลาย่ำรุ่งของวันถัดมาซึ่งหมายความว่าเขามีสิทธิในการลงชื่ออีกครั้งของวันนี้

 

“ระบบ ข้าจะลงชื่อเข้าใช้”

 

ซูฉินพูดกับตนเองในใจ

 

[ขอแสดงความยินดี โฮสต์ลงชื่อเข้าใช้สำเร็จ ได้รับอาคม  ‘ดวงตาแห่งสัจจะ ‘ ]

 

เสียงจักรกลเยือกเย็นดังขึ้นในหูของซูฉิน

 

“อาคม ?”

 

“ดวงตาแห่งสัจจะ ?”

 

ตาของซูฉินสั่นไหว

 

ตลอดสิบปีที่ผ่านมา ซูฉินได้รับทั้งเคล็ดวิชา เม็ดยา โอสถแห่งปาฏิหาริย์มาก็มากมายจนนับไม่ถ้วน แม้แต่วัตถุดิบสะเทือนฟ้า สมบัติสะเทือนดินก็ได้มาแล้ว

 

แต่เขาไม่เคยได้ยินเกี่ยวกับอาคมมาก่อน นี่เป็นครั้งแรกที่ได้รับ

 

เมื่อนึกถึงมันซูฉินก็ตรวจสอบข้อมูลจากระบบเกี่ยวกับ  [ดวงตาแห่งสัจจะ ] โดยเร็วพลัน

 

 

Sign in Buddha’s palm 18 วิหารพระสหัสพุทธ (เชียนฝัวเตี้ยน)

 

 

“นี่คือ‘องค์ยูไล‘ คือ‘องค์ยูไล‘จริงๆ…” ป๋าถัวสูญเสียสติไป

 

เขาเข้าสู่อารามวัชระมาตั้งแต่เด็ก อ่านพระคัมภีร์มาแล้วทั้งวัด และได้คิดจินตนาการถึง‘องค์ยูไล‘ ไปนับพันแบบ

 

แต่ขณะนี้…

 

ป๋าถัวได้ตระหนักแล้วว่าตนเองอาจหาญเพียงใด

 

‘องค์ยูไล‘ องค์จริงสีทองส่องสว่างไสวตรงหน้านี้ เขาจะไปจินตนาการถึงได้อย่างไร?

 

“นี่คือ?”

 

ผู้พิทักษ์อารามถงหรู หลุดออกจากอาการตกใจมาได้อย่างยากลำบาก

 

รัศมีแห่งองค์ยูไลแผ่ขยายไปทั่ว

 

‘ถงหรู‘ รู้สึกได้ว่าเส้นสายกำลังภายในของเขาเหมือนถูกกดทับด้วยน้ำหนักที่มากโข อย่าว่าแต่วิ่งเลย แค่ขยับตัวยังลำบาก มันยากเย็นราวกับกำลังไต่บันไดขึ้นสวรรค์อยู่

 

ศิษย์อารามวัชระทั้งเจ็ดยิ่งแย่ไปกว่านั้น พวกเขาถึงขั้นลงนั่งกับพื้น สีหน้าว่างเปล่า

 

แล้วเวลาก็ผ่านไป

 

ไม่นานนัก รังสีขององค์ยูไลก็ค่อยๆ สลายหายไปช้าๆ

 

หลังจากที่แสงแห่งองค์ยูไลหายไปโดยสมบูรณ์ กลุ่มอารามวัชระจึงค่อยฟื้นคืนสติกลับมา

 

“คนผู้นั้นไปไหนเสียแล้ว”

 

ศิษย์ของอารามวัชระคนหนึ่งกล่าวถามเสียงแผ่ว

 

พระรูปอื่นๆ ก็พลันมีปฏิกิริยาตอบสนอง และพบว่าไม่มีใครยืนอยู่ที่ใต้ต้นหลินอีกต่อไปแล้ว

 

“วัดเส้าหลินนี่ยากแท้หยั่งถึงจริงๆ…” ถงหรูมีการแสดงออกที่ซับซ้อนบนใบหน้าก่อนที่จะถอนหายใจออกมา

 

ในตอนนี้เขาอยากจะไปพูดคุยกับคนที่มันปล่อยข่าวลือเรื่องที่วัดเส้าหลินได้เสื่อมโทรมลงเสียจริงๆ

 

ถ้าวัดเส้าหลินเสื่อมโทรมลงแล้วจริงๆ จะอธิบายเรื่องพระหนุ่มผู้เรียกรัศมีแห่งองค์ยูไลออกมาได้อย่างไร?

 

ถ้านี่ถือว่าเป็นการเสื่อมถอยลงแล้วล่ะก็ อารามวัชระไม่ได้นับว่าเสื่อมโทรมยิ่งกว่าจนถึงขั้นจวนจะล่มสลายไปเลยหรอกหรือ

 

“ในการ ‘ถกปัญหาธรรม‘ ครานี้ ตกลงพวกเราแพ้หรือชนะกันแน่?” ในเวลานั้นเองพระรูปหนึ่งของอารามวัชระถามออกมาอย่างระมัดระวัง

 

หัวใจของพระรูปอื่นๆ เหมือนถูกบีบไว้แน่นแล้วมองไปที่ป๋าถัว

 

แม้แต่ถงหรูก็เบนสายตามายังป๋าถัว

 

“ชนะหรือแพ้?”

 

ป๋าถัวยิ้มขึ้น “เมื่อเราถกเถียงกันเรื่อง‘องค์ยูไล‘ ต่อหน้า ‘องค์ยูไล‘ ไยเราจึงจะสามารถชนะได้?”

 

“หลวงลุง กลับอารามวัชระกันเถอะ”

 

“วัดเส้าหลินควรค่าแก่นามนี้แล้ว สมกับชื่อเสียงที่มีมา ฉะนั้นพวกเราอย่าได้คิดเรื่องนี้อีกต่อไปเลย”

 

หลังจากป๋าถัวพูดจบ เขาก็มุ่งหน้ากลับอารามวัชระ

 

ถงหรูถอนหายใจเหนื่อยอ่อน แล้วเดินตามไป

 

ศิษย์ที่เหลือทั้งเจ็ดต่างมองหน้ากัน แล้วพวกเขาก็เดินตามพระอาจารย์ ‘ถงหรู‘ ไป

 

 

ณ อารามวัชระ

 

พระอาจารย์ถงหรูก็ได้เล่าประสบการณ์ให้เจ้าอาวาสอารามวัชระฟังตามความเป็นจริง

 

เจ้าอาวาสอารามวัชระเงียบไปนานก่อนจะพูดด้วยเสียงเบาว่า

 

“เป็นไปได้หรือไม่ว่าวัดเส้าหลินยุคสมัยนี้จะมีพระระดับอรหันต์อยู่?”

 

“อรหันต์?” ถงหรูตกใจ

 

ระดับอรหันต์ในสำนักพุทธสามารถเปรียบได้กับเหล่าตำนานยุทธ เป็นขั้นพลังที่ทรงพลังไร้ต้านเหนือล้ำไปกว่าระบบการนับระดับพลังยุทธทั้งเก้าขั้น

 

และตัวตนของแต่ละ ‘อรหันต์‘ หรือ ‘ตำนานยุทธ‘ ล้วนบ่งบอกถึงความยืนยงไร้พ่าย

 

 

 

ยามเมื่อซูฉินกลับมาที่วัดเส้าหลิน ศิษย์จำนวนมากในโถงใหญ่ต่างก็ถูกไล่กลับไปโดยเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวิน ส่วนหัวหน้าตำหนักก็เริ่มทยอยออกกันไปแล้ว

 

“ไม่คาดคิดเลยว่าแค่การแสดงเมื่อครู่จะทำให้เกิดปรากฏการที่ยิ่งใหญ่เพียงนั้น แถมยังใช้พลังภายในของข้าไปจนเกือบหมดเกลี้ยง”

 

ซูฉินถูนวดที่ระหว่างคิ้วพยายามทำใจให้สงบ ทำไมถึงเป็นหว่างคิ้วน่ะหรือ ก็เพราะด้านในส่วนลึกที่หว่างคิ้วนั้นเป็นที่ประดิษฐานขององค์ยูไลสีทองที่มาจากวิชา [ฝ่ามือยูไล] น่ะสิ

 

ตอนที่ป๋าถัวถามเขาว่าสิ่งใดคือ‘องค์ยูไล‘ ซูฉินก็นึกไปถึง [ฝ่ามือยูไล]

 

[ฝ่ามือยูไล] เป็นที่ทราบกันว่าคือวิชาส่วนตัวขององค์ยูไล และในทุกวันนี้ ไม่มีสิ่งอื่นใดที่จะใกล้เคียงกว่านี้ในการสื่อถึง‘องค์ยูไล‘ มากไปกว่า [ฝ่ามือยูไล] อีกแล้ว

 

ดังนั้นซูฉินจึงใช้พลังกระตุ้นไปที่หว่างคิ้วเล็กน้อย

 

แม้ว่าซูฉินจะไม่สามารถใช้ [ฝ่ามือยูไล] ได้ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่สามารถกระตุ้นการทำงานได้

 

ผลที่ตามมายามเมื่อเขากระตุ้นการทำงานไปนั้น ก็ทำให้เกิดเหตุการณ์การปรากฏตัวของร่างองค์ยูไลสีทอง

 

ด้วยสิ่งนี้ซูฉินจึงประหยัดเวลาไปมากโขในการตอบคำถามของป๋าถัว

 

“แต่ว่า…จริงๆ แล้ว [ฝ่ามือยูไล] เป็นเคล็ดวิชายุทธระดับไหนกันแน่นะ?”

 

ความสงสัยผุดขึ้นในใจของเขาอีกครั้ง

 

ซูฉินเป็นถึงยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งที่มีพลังภายในแข็งแกร่ง แต่ถึงกระนั้นก็ทำได้เพียงกระตุ้นใช้ [ฝ่ามือยูไล] ได้แค่เล็กน้อย พลังภายในก็ถูกใช้ออกไปอย่างรวดเร็ว แล้วหากต้องการจะใช้พลังของฝ่ามือทั้งหมดจริงๆ มิตัวแห้งตายไปเลยหรอกหรือ?

 

ซูฉินคิดวนเวียนแล้วจึงเดินทางกลับไปยังลานจิปาถะ

 

เวลานี้หัวหน้าลานจิปาถะฟื้นแล้วและสีหน้าก็ดูดีขึ้นบ้าง

 

แต่ซูฉินรู้สึกได้ว่าพลังชีวิตของหัวหน้าลานลดฮวบลงไปอีกครั้ง และเข้าใกล้ปากเหวจุดสิ้นสุดของชีวิตเพิ่มขึ้นไปอีกหน่อย

 

ซูฉินเดาว่าอย่างน้อยก็ห้าถึงสิบปีหัวหน้าลานจิปาถะคงมรณภาพลง

 

“เฮ้อ…..”

 

ซูฉินถอนหายใจแผ่วเบา แต่ก็ยังก้าวเข้าไปแล้วเอ่ยถามขึ้นว่า “ท่านหัวหน้าตำหนักสบายดีหรือไม่”

 

“ไม่ได้เป็นอะไรหรอก”

 

หัวหน้าตำหนักโบกมือไปมา “ตอนนี้อารมณ์เย็นขึ้นมากแล้ว ไม่ต้องเป็นห่วงไป”

 

หัวหน้าตำหนักหยุดไปครู่หนึ่งก่อนจะกล่าวคำที่เต็มไปด้วยความรู้สึก “คนเราก็แก่ชราขึ้นทุกวัน เมื่อชราแล้วเลือดเนื้อพลังชีวิตก็มีแต่จะลดลงๆ ทำอะไรไม่ได้หรอกนอกจากจะยอมรับมัน”

 

 

ผ่านไปอีกครึ่งเดือน

 

เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินและเหล่าหัวหน้าตำหนักกำลังรออย่างทรมานเพื่อให้อารามวัชระประกาศผลของการ ‘ถกปัญหาธรรม‘ ออกมา

 

แต่ทว่าเจ้าอาวาสก็ต้องประหลาดใจ แม้แต่ผ่านไปสองสามเดือนก็ยังไม่มีข่าวคราวความเคลื่อนไหวของอารามวัชระ ราวกับการ ‘ถกปัญหาธรรม‘ กับวัดเส้าหลินนั้นไม่เคยเกิดขึ้น

 

“อารามวัชระก็ได้ชนะในการ ‘ถกปัญหาธรรม‘ ไปแล้วแต่ทำไมจนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่ป่าวประกาศออกมาอีก?” เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินสงสัย

 

ถึงแม้จะไม่ค่อยสบายใจที่ต้องส่งมอบตำแหน่งผู้นำในสำนักพุทธทั้งสี่ออกไป แต่ในเมื่อคุณชนะคุณก็คือผู้ชนะ ถ้าคุณแพ้คุณก็แค่แพ้

 

วัดเส้าหลินไม่ได้อยากจะปฏิเสธมันหรอก

 

วัดเส้าหลินจะไม่ปฏิเสธแม้อารามวัชระจะแพร่ข่าวนี้ออกไป

 

หรือเป็นไปได้ไหมว่าพวกนั้นอยากจะให้วัดเส้าหลินเริ่มประกาศออกไปเองว่าแพ้ให้กับอารามวัชระ?

 

จะเป็นไปได้อย่างไรเล่า?

 

ในฐานะสุดยอดพรรคอย่างวัดเส้าหลินก็ต้องรักษาหน้าเช่นกัน นอกจากนั้นในการ ‘ถกปัญหาธรรม‘ ตั้งแต่อดีตมา ฝ่ายที่ชนะไม่เคยทำแบบนี้

 

“เกิดอะไรขึ้นกันแน่เนี่ย?”

 

เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินถึงกับงงงวย

 

เนื่องจากอารามวัชระไม่ออกมาพูดอะไร เจ้าอาวาสก็ไม่ต้องการจะถามออกไป พอเป็นเช่นนี้สำนักพรรคส่วนใหญ่ในยุทธภพต่างก็ไม่ได้รู้เลยว่าระหว่างอารามวัชระกับวัดเส้าหลินมีการ ‘ถกปัญหาธรรม‘ กันไปเรียบร้อยแล้ว

 

แล้วสำนักพรรคส่วนน้อยที่ทราบเรื่องนี้ ก็คงคิดไปว่าอารามวัชระนั้นพ่ายแพ้และไม่เต็มใจที่จะแถลงไข

 

ในด้านของอารามวัชระ แม้ว่าจะรอไปหลายเดือน พวกเขาก็ยังสงสัยว่าทำไมวัดเส้าหลินยังไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ อีก และไม่มีการเอ่ยถึงการ  ‘ถกปัญหาธรรม ‘ เลย

 

ด้วยเหตุนี้เจ้าอาวาสอารามวัชระจึงได้เพียงแต่คิดไปว่า เจ้าอาวาสวัดเส้าหลินคงคร้านจะใส่ใจกับผลลัพธ์เหล่านี้

 

ในด้านของ  ‘ผู้ร้าย ‘ ตัวจริงที่สร้างความสับสนงุนงงให้ผู้อื่นไปทั่วอย่างซูฉิน ก็กลับไปใช้ชีวิตตามปกติ นั่นก็คือลงชื่อเข้าใช้แล้วก็กวาดลานวัด

 

[ขอแสดงความยินดี โฮสต์ลงชื่อเข้าใช้สำเร็จ ได้รับเคล็ดวิชา  ‘เคล็ดวิชาไม้ตายซาก ‘ ]

 

ที่ด้านหน้าศาลาพระคัมภีร์ ซูฉินมีความสุขเอามากๆ

 

[เคล็ดวิชาไม้ตายซาก ] เป็นหนึ่งในทักษะวิชาเฉพาะตัวของวัดเส้าหลิน ความสามารถนั้นยิ่งใหญ่ แต่ไม่ใช่เพื่อการโจมตีหรือการป้องกัน แต่ฝึกไว้เพื่อซ่อนตัวและปลอมแปลงตน

 

[เคล็ดวิชาไม้ตายซาก ] นั้น เมื่อฝึกไปจนถึงความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ ผู้นั้นย่อมควบคุมลมหายใจ ไอพลังของตนเองได้ตามต้องการ แล้วทำให้รู้สึกเหมือนว่ากลายเป็นเพียงกิ่งไม้ที่แห้งเหี่ยว แลดูเหมือนความว่างเปล่า

 

“ไม่เลวเลย”

 

“[เคล็ดวิชาไม้ตายซาก ] เมื่อรวมเข้ากับ  [กายาวัชระคงกระพัน ] มันการเป็นการเข้าคู่ที่สมบูรณ์แบบ !”

 

ซูฉินพึงพอใจเป็นอันมาก

 

แต่เดิม  [กายาวัชระคงกระพัน ] ก็ช่วยให้ซูฉินยับยั้งไอพลังของตัวเองได้อย่างสมบูรณ์ แล้วตอนนี้ยังเพิ่ม  [เคล็ดวิชาไม้ตายซาก ] มาซ้อนทับกันไปอีกระดับ

 

ในตอนที่ซูฉินกำลังจะทดลองใช้พลังของ  [เคล็ดวิชาไม้ตายซาก ] พลันพบเจอบางอย่างเข้า สีหน้าเปลี่ยนไปในทันที

 

“นั่นอะไรกัน ?”

 

ดวงตาของซูฉินหรี่แคบลง มองไปยังทิศทางหนึ่ง

Sign in Buddha’s palm 17 นี่ไงล่ะ องค์ยูไล!

 

 

ในรอบแรกของ ‘การถกปัญหาธรรม‘ ก็เป็นไปตามที่ซูฉินคาดเดาเอาไว้ ในรอบนี้ยังไม่ทันจะถึงหนึ่งในสี่ของชั่วโมง เจินหยวนก็มีใบหน้าที่ซีดลงเพราะไม่รู้จะตอบคำถามต่อไปอย่างไร

 

ถึงแม้ว่าเจินหยวนจะเชี่ยวชาญในพระธรรมคำสอน แต่เขานั้นประเมินบุตรศักดิ์สิทธิ์ของอารามวัชระต่ำเกินไป ทุกๆ คำที่ป๋าถัวพูดลื่นไหลราวกับมนต์สะกดที่ตราตรึงอยู่ในใจจนเขาไม่สามารถจะต่อสู้ ได้แต่พ่ายแพ้ลงในที่สุด

 

“ข้าแพ้แล้ว”

 

เจินหยวนยอมแพ้ สายตาเขาหมองหม่นลง

 

แม้ว่า ‘การถกปัญหาธรรม‘ ในบรรดาสำนักพุทธทั้งสี่จะไม่ได้ใช้ศิลปะวิชายุทธมาต่อสู้ห้ำหั่นกัน แต่ถ้าให้พูดกันจริงๆ แล้ว อย่างแรกดูจะอันตรายกว่าเสียอีก

 

การประลองด้วยวิทยายุทธอย่างมากก็เพียงแค่บาดเจ็บตามร่างกาย ตราบเท่าที่มันไม่ร้ายแรงจนเกินไป การฟื้นตัวก็ไม่ใช่เรื่องยากเย็น

 

แต่การ ‘ถกปัญหาธรรม‘ เป็นการต่อสู้กันทางอุดมการณ์ความเข้าใจส่วนตัว เมื่อสูญเสียไป แม้ร่างกายจะสบายดีแต่จิตวิญญาณย่อมได้รับผลกระทบอย่างหนักและอาจตกอยู่ในความสงสัยในตนจนนำไปสู่การกลายเป็นมารร้ายในจิตใจไปเลยก็มี

 

ถ้าจิตใจส่วนที่เป็นมารก่อตัวขึ้นได้สักหนึ่งในสิบแล้วล่ะก็ ผู้นั้นย่อมไม่มีความก้าวหน้าต่อไปทั้งชีวิต ติดอยู่แบบนั้น

 

ด้วยจุดจบแบบนี้ของเจินหยวน เหล่าศิษย์ของวัดเส้าหลินต่างหนาวเหน็บไปถึงขั้วหัวใจ

 

พวกเขามีความหวังว่าเจินหยวนที่มีความเข้าใจมากในพระธรรมจะสามารถเอาชนะป๋าถัวแห่งอารามวัชระได้ แต่พวกเขากลับแพ้อย่างยับเยินเกินไป

 

เจินหยวนต้านเอาไว้ได้ไม่ถึงสิบห้านาทีก่อนจะลุกขึ้นขอยอมแพ้

 

นี่มันหมายความว่าอย่างไรกัน?

 

มันหมายความว่าความเข้าใจในธรรมของเจินหยวนยังด้อยกว่าป๋าถัวมาก

 

“ท่านปล่อยให้ข้าได้ชัยเสียแล้ว”

 

ป๋าถัวมีการแสดงออกที่เปลี่ยนไปเล็กน้อย แต่ก็ยังพนมมือค้อมหัวลงให้กับเจินหยวน

 

“เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินจัดเตรียมรูปต่อไปมาเลย” สงฆ์ผู้ฝึกยุทธระดับชั้นที่สองจากอารามวัชระมองทางเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินแล้วกล่าวคำ

 

“หึ!” หัวหน้าฝ่ายวินัยพ่นลมหายใจออกสีหน้าขมึงเกร็ง มองไปยังใบหน้าของเจินหยวนที่มีร่องรอยของความทุกข์ฉายอยู่

 

เจินหยวนเป็นศิษย์คนโปรดของเขา เขาจะทำเฉยเมยได้เช่นไรเมื่อถูกทำลายจิตใจเช่นนี้?

 

“นะโม อมิตตาพุทธ……”

 

เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินมองไปที่ป๋าถัวอย่างลึกซึ้งแล้วกล่าวเรียกออกไปอีกครั้งหนึ่ง “เจินเข่อ”

 

“ครับท่านเจ้าอาวาส”

 

ศิษย์คนที่สองของวัดเส้าหลินลุกขึ้นแล้วเดินไปนั่งยังตำแหน่งที่เจินหยวนเคยนั่งอยู่เมื่อครู่

 

‘ถกปัญหาธรรม‘ ครั้งที่สองเริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง

 

“ช่างน่าเบื่อ”

 

ซูฉินเฝ้ามองอยู่เพียงครู่ก็รู้สึกเบื่อหน่าย ดังนั้นเขาจึงปลีกตัวออกมายามเมื่อสบโอกาส

 

พวกศิษย์ลานจิปาถะเดิมก็เป็นกลุ่มศิษย์ที่ถูกวางไว้ปลายแถวอยู่แล้ว ตัวซูฉินเองก็เป็นสุดยอดของความไม่โดดเด่น เช่นนั้นเขาจึงออกไปได้โดยไม่มีใครสังเกตเห็นเลย

 

“เดินทีข้าคิดว่าพุทธศาสนาจะช่วยปลีกตัวตนของผู้คนออกจากโลก แต่ดูเหมือนข้าจะคิดผิดไป”

 

ที่แรกซูฉินไปยังศาลาพระคัมภีร์เพื่อจะใช้สิทธิลงชื่อเข้าใช้ของวันนี้ จากนั้นจึงมองหาที่เงียบๆ ที่ไม่มีใครมารบกวนเพื่อที่จะใช้โอสถกักเก็บพลังศักดิ์สิทธิ์

 

สองสามชั่วโมงต่อมาซูฉินก็กลับไปที่โถงใหญ่

 

อย่างไรก็ตาม

 

เวลานี้ซูฉินรู้สึกได้ถึงบรรยากาศที่สิ้นหวังของเหล่าศิษย์

 

“พวกเราแพ้ พวกเราพ่ายแพ้…” ศิษย์คนหนึ่งจากลานจิปาถะที่อยู่ใกล้ๆ พึมพำ แลดูว่างเปล่า

 

“แพ้หมด?”

 

ซูฉินมองไปที่หน้าโถงประชุมใหญ่

 

ในขณะนี้เป็นศิษย์ของท่านเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินนามว่าเจินหวู่ที่เป็นผู้นั่งประจันหน้าอยู่กับป๋าถัว

 

เจินหวู่เป็นศิษย์ที่โดดเด่นที่สุดท่ามกลางหมู่ศิษย์รุ่น ‘เจิน‘ เขาได้รับการยอมรับให้กลายเป็นศิษย์ของท่านเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินตั้งแต่เข้ามาในวัดเป็นครั้งแรก

 

และเจินหวู่ก็ไม่ได้ทำให้เจ้าอาวาสผิดหวัง ทั้งความรู้ความเข้าใจในศาสนาและความขยันหมั่นเพียรในการฝึกวิทยายุทธของเขานั้นสูงที่สุดในหมู่พระรุ่นใหม่ของวัดเส้าหลินเลย

 

เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินแม้กระทั่งจะเตรียมฝึกให้เจินหวู่มาเป็นเจ้าอาวาสรุ่นต่อไปของวัดเส้าหลิน

 

โดยพื้นฐานตามการ ‘ถกปัญหาธรรม‘ ที่ผ่านๆ มา ศิษย์อย่างเจินหวู่จะต้องไปอยู่ในรอบสุดท้ายเพื่อรับบทเป็นไพ่ลับ

 

แต่ในตอนนี้

 

เจินหวู่ได้เข้าประลองเรียบร้อย

 

มีความเป็นไปได้เดียวเท่านั้น…

 

ศิษย์แปดคนแรกของวัดเส้าหลินล้วนแต่พ่ายแพ้ไปแล้ว

 

“เร็วถึงเพียงนี้เชียวหรือ?”

 

ซูฉินอดประหลาดใจเล็กๆ ไม่ได้

 

แค่สองสามชั่วโมง น้อยกว่าครึ่งวันเสียอีก บุตรศักดิ์สิทธิ์แห่งอารามวัชระก็ชนะศิษย์ทั้งแปดของวัดเส้าหลินไปแล้ว?

 

จะว่าเช่นนั้นก็ไม่ถูก

 

มันควรจะเป็นศิษย์ทั้งเก้า

 

เพราะในขณะนี้เจินหวู่ดูเหมือนจะตกเป็นรองและคงจะฝืนอยู่ได้อีกไม่นาน

 

ภายในครึ่งชั่วโมง

 

“สังขตธรรม[1] ทั้งปวง ดุจฝันมายา ฟองสบู่ เงา ดุจนิศาชลและอัสนี ควรสังเกตสิ่งเหล่านั้นด้วยอาการเช่นนี้แล”[2]

 

ปากของป๋าถัวพร่ำพูดออกมา ดูเหมือนเขาจะขจัดความกังวล ความชั่วร้ายทั้งหมดในโลกให้สิ้นไป ราวกับเขาบรรลุไปถึงอีกฟากฝั่งหนึ่งแล้วก็มิปาน

 

“ขอบคุณพี่ท่านที่ยินยอมมอบชัยชนะให้แก่ข้าผู้นี้”

 

ป๋าถัวค่อยๆ ลุกขึ้น ประกบมือกันไว้ด้านหน้า ค้อมตัวลงใบหน้าเคร่งขรึม

 

เจินหวู่ยังคงนั่งขัดสมาธิใบหน้าเขาหมองซีดราวกับกระดาษ เขาแพ้เสียแล้ว

 

“นะโม อมิตตาพุทธ…”

 

พระที่อยู่ในระดับชั้นที่สองผู้มาจากอารามวัชระมีการแสดงออกที่เบิกบานยิ่งและท่องบทสวดออกมา

 

ในทันใดนั้นนอกจากเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินแล้ว เหล่าหัวหน้าตำหนักต่างๆ ต่างก็รู้สึกอับอายและไม่อยากจะเชื่อสิ่งที่เกิดขึ้น

 

พวกเขาไม่คาดคิดจริงๆ ว่าอีกฝ่ายจะใช้เพียงคนเดียวเท่านั้น แล้วพวกตนยังจะต้องมาพ่ายแพ้คาวัดเส้าหลินแบบนี้จริงๆ น่ะหรือ?

 

เพียงคนเดียว!

 

บรรดาศิษย์ของวัดเส้าหลินเต็มไปด้วยความเศร้าโศก รู้สึกว่าใบหน้าของวัดเส้าหลินถูกเหยียบย่ำอยู่ใต้ฝ่าเท้าของอารามวัชระ แต่พวกเขาทำอะไรไม่ได้เลย

 

เหตุเพราะป๋าถัวจากอารามวัชระชนะติดต่อกันเก้าครั้งและได้รับชัยชนะจากการ ‘ถกปัญหาธรรม‘ ในครั้งนี้ไปนั่นเอง

 

“ในเมื่อการถกปัญหาธรรมได้จบสิ้นลงไปแล้วในครานี้ เราไม่ควรจะรบกวนวัดเส้าหลินเนิ่นนานไปกว่านี้ ข้ารู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งแล้ว”

 

พระระดับชั้นที่สองของอารามวัชระกวาดสายตาไปที่ผู้ชมโดยรอบ และกล่าวคำออกมาอย่างช้าๆ เมื่อเห็นว่าไม่มีใครกล้าที่จะมองเขา

 

การแสดงออกของเหล่าหัวหน้าตำหนักซีดเซียว และบางคนถึงกับมีอาการไอพลังไม่เสถียร

 

หลังจากวันนี้ไป ผลการประลอง ‘ถกปัญหาธรรม‘ ระหว่างวัดเส้าหลินและอารามวัชระจะแพร่กระจายออกไป สถานะการเป็นผู้นำของสำนักพุทธทั้งสี่ก็จะถูกส่งมอบให้กับอารามวัชระ

 

เมื่อนึกถึงชัยชนะที่บรรพบุรุษของวัดเส้าหลินได้รับมาก่อนหน้า แต่บัดนี้เป็นเพราะว่าคนรุ่นใหม่ในวัดไร้ซึ่งความสามารถ ความจริงอันนี้ทำให้ศิษย์ของวัดเส้าหลินทุกคนรวมถึงเจ้าอาวาสต้องเจ็บปวดราวกับหลั่งเลือด

 

แม้แต่ตอนที่กลุ่มสงฆ์อารามวัชระได้จากไปแล้ว ทั่วทั้งโถงประชุมใหญ่ก็ยังคงเงียบกริบ

 

“น่าละอายต่อบรรพบุรุษนัก…”

 

หัวหน้าลานจิปาถะเหม่อมองขึ้นไปบนฟ้าถอนหายใจออกมา ใบหน้าของเขาแดงก่ำพ่นเลือดออกมาจากปากและล้มพับลงไปกับพื้น

 

“ท่านหัวหน้าตำหนัก!”

 

“ท่านหัวหน้าตำหนักเป็นอะไรหรือไม่?”

 

“ศิษย์น้องเจ้าสบายดีหรือไม่?”

 

ศิษย์ของลานจิปาถะหลายคนต่างตกตะลึง เจ้าอาวาสก้าวออก ปรากฏตัวที่ด้านหน้าของหัวหน้าลานจิปาถะ ยื่นมือออกไปตรวจสอบ

 

จากนั้นไม่นาน

 

เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินส่ายหัว “ศิษย์น้องไม่เป็นอะไร เพียงแต่อารมณ์เดือดพล่านเกินไปทำให้กำลังภายในและเลือดลมในกายลดลง…”

 

 

ไม่ไกลนัก ซูฉินมองไปที่หัวหน้าลานจิปาถะที่ล้มลง แล้วเขาก็เงียบไป

 

เป็นเวลาสิบปีในวัดเส้าหลิน หัวหน้าลานจิปาถะดูแลซูฉินอย่างดีและมักมีความคิดที่จะย้ายซูฉินไปตำหนักลานอรหันต์หรือไม่ก็ตำหนักยุทธสงฆ์แทนที่จะมามัวแต่เป็นพระกวาดลาน

 

ทว่าความตั้งใจดีนั้นก็ถูกซูฉินปฏิเสธไปเสียทั้งหมด

 

“ชื่อเสียงของวัดเส้าหลินสำคัญกับท่านมากเช่นนี้เชียวหรือ?”

 

ซูฉินกระซิบถามตัวเองในใจ

 

จากนั้นเขาจึงหันหลังกลับแล้วออกไป

 

 

ด้านนอกวัดเส้าหลิน

 

กลุ่มอารามวัชระต่างก็มุ่งหน้าตรงดิ่งกลับไปตามจุดหมาย

 

“ป๋าถัว เมื่อพวกเรากลับกันไปครานี้ท่านเจ้าอาวาสจะต้องดีใจมากเป็นแน่ หากมิใช่เพราะเจ้า เราจะได้รับตำแหน่งผู้นำของสำนักพุทธทั้งสี่มาอย่างง่ายดายเช่นนี้ได้เยี่ยงไร?”

 

พระระดับชั้นที่สองของอารามวัชระมองไปที่ป๋าถัวและพูดด้วยความพอใจ

 

ชื่อของพระรูปนี้คือ ‘ถงหรู‘ และเขาเป็นผู้พิทักษ์ของอารามวัชระในยุคนี้ มีฐานพลังการฝึกฝนอยู่ที่ระดับชั้นที่สอง

 

ป๋าถัวในฐานะที่เป็นบุตรศักดิ์สิทธิ์ของอารามวัชระ เป็นธรรมดาที่ไม่สามารถออกเที่ยวท่องไปตามที่ต่างๆ โดยไร้ซึ่งการคุ้มกัน ดังนั้นถงหรูจึงเป็นผู้คุ้มกันของป๋าถัว

 

“หลวงลุง เราทำแบบนี้มันถูกต้องแล้วจริงๆ อย่างนั้นหรือ?”

 

ป๋าถัวอดไม่ได้ที่จะถาม

 

“แน่นอนอยู่แล้ว”

 

เขายังคงกำชับให้มั่นใจมากขึ้นไปอีก “การต่อสู้กันด้วยแนวความคิดเป็นเรื่องของแพ้ชนะ ไม่เกี่ยวกับถูกหรือผิด”

 

เมื่อป๋าถัวได้ยินดังนั้นในดวงตาของเขาก็ฉายแววครุ่นคิด

 

ทันใดนั้น

 

ช่วงเวลานี้นี่เอง

 

ผู้พิทักษ์ของอารามวัชระก็เหมือนจะรู้สึกถึงบางอย่างแล้วเงยหน้าขึ้นมอง

 

เห็นเป็นพระภิกษุหนุ่มสวมจีวรสีเทายืนสงบนิ่งอยู่ใต้ต้นหลินที่เหี่ยวเฉา

 

“เอ๊ะ?”

 

หัวคิ้วของผู้พิทักษ์ถงหรูขมวดเข้ามาชนกัน

 

“เจ้าใช่ศิษย์ของวัดเส้าหลินหรือไม่?”

 

‘ถงหรู‘ ถามเสียงดัง

 

นี่เป็นบริเวณของวัดเส้าหลิน เป็นที่สงวนไว้สำหรับวัดเส้าหลิน พระวัดอื่นไม่น่าจะมาอยู่ที่นี่ได้

 

พระหนุ่มพยักหน้า แล้วสักพักก็ส่ายศีรษะ

 

พระหนุ่มรูปนี้ย่อมเป็นซูฉิน เขามาอยู่จุดนี้นานแล้ว

 

“ข้าได้ยินข่าวลือมาว่าบุตรศักดิ์สิทธิ์ของอารามวัชระเป็นถึงพุทธศาสนิกชนระดับตำนานยุทธกลับชาติมาเกิด ที่ตัวข้ามาในยามนี้ก็ประสงค์จะพูดคุยปรึกษาถกเถียงปัญหาธรรมกับท่าน!”

 

ซูฉินเอ่ยออก ไม่เร็วแต่ก็ไม่ได้ช้าจนเกินไป

 

“ถกปัญหาธรรม?”

 

‘ถงหรู‘ ผงะไปครู่หนึ่ง “อารามวัชระของเราได้ถกปัญหาธรรมกับวัดเส้าหลินของเจ้าเสร็จเรียบร้อยแล้ว ผลลัพธ์ก็ออกมาแล้ว เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินก็มิได้มีเรื่องอันใดขัดข้อง เจ้าจะมาทำไมอีก?”

 

“หลวงลุงขอรับ”

 

“ในเมื่อเป็นศิษย์พี่จากวัดเส้าหลิน เช่นนั้นก็ให้ข้าได้ถกเถียงกันอีกสักครั้งเถิด”

 

ป๋าถัวก้าวเท้าไปข้างหน้า และกล่าวออกอย่างเคร่งขรึม “ไม่ทราบว่าศิษย์พี่จะพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องใด?”

 

“งั้นถกกันเรื่องที่เจ้าต้องการเป็นอย่างไร”

 

ซูฉินยิ้มเล็กน้อย กล่าวออกมาเบาๆ

 

ป๋าถัวพนมมือแล้วกล่าวว่า “งั้นศิษย์พี่ช่วยบอกหน่อยว่า‘องค์ยูไล‘ คือสิ่งใด?”

 

จนถึงตอนนี้ป๋าถัวถามในคำถามเดิมเหมือนกับตอนที่ทำให้ศิษย์ทั้งเก้าของวัดเส้าหลินต้องพ่ายแพ้

 

‘องค์ยูไล‘ คือสิ่งใด

 

‘องค์ยูไล‘ ก็ย่อมต้องเป็น ‘องค์ยูไล‘ แต่ใครเล่าที่จะสื่อถึงองค์ยูไล?

 

เป็นมนุษย์หรือไม่? คือพระเจ้า? เป็นจิตวิญญาณ? หรือเป็นสิ่งใด?

 

ไม่มีใครอาจรู้เห็น

 

ไม่มีใครกล้าคาดเดามั่วๆ

 

ผู้พิทักษ์อย่าง ‘ถงหรู‘ ส่ายหัว

 

แม้แต่เจ้าอาวาสอารามวัชระก็เคยถูกถามคำถามแบบนี้มาก่อน

 

นอกจากนั้น ถงหรูย่อมเห็นได้ว่าสถานะของซูฉินในวัดเส้าหลินไม่ได้สูงนัก ไม่เช่นนั้นก็คงไม่สวมจีวรสีเทา

 

และเหตุผลที่มาหยุดพวกเขาที่ตรงนี้ก็น่าจะเป็นเพราะเขาไม่เต็มใจที่จะแพ้พ่าย

 

แต่ถึงไม่เต็มใจแล้วจะทำอย่างไรได้

 

วัดเส้าหลินโดนบดขยี้โดยศิษย์น้องป๋าถัวจนจมดิน

 

เป็นไปได้หรือที่วัดเส้าหลินจะมีศิษย์คนไหนที่เอาชนะป๋าถัวได้อีก?

 

จะเป็นไปได้อย่างไรเล่า?

 

“ ‘องค์ยูไล‘ คือสิ่งใด?”

 

ขณะนี้ซูฉินพูดทวนด้วยน้ำเสียงต่ำ แล้วเริ่มจะเปลี่ยนเป็นเสียงที่สูงขึ้นเรื่องๆ จนทุกคนตกใจ

 

“แหกตาดูสิ ‘องค์ยูไล‘ อยู่ตรงหน้าพวกเจ้า!”

 

บูม!!!

 

คำพูดที่ออกมา

 

พระทุกรูปรวมถึงผู้พิทักษ์จากอารามวัชระต่างตกตะลึง

 

พวกเขาไม่เคยเห็นใครที่หยิ่งผยองได้ถึงเพียงนี้ ขนาดเปรียบเทียบตนเองกับ ‘องค์ยูไล‘?

 

“สามหาว!”

 

ผู้พิทักษ์อาราม ‘ถงหรู‘ ตอบโต้อย่างรุนแรงและกำลังจะกล่าวคำตำหนิ

 

อย่างไรก็ตาม

 

ชั่วอึดใจต่อมา

 

เขากำลังจะได้เห็นฉากที่น่าทึ่งที่สุดในชีวิตที่เกิดมา

 

ทันใดนั้นร่างสีทองขององค์ยูไลก็ปรากฏขึ้นที่ด้านหลังซูฉิน เขาชี้มือขึ้นฟ้า อีกมือจรดพื้นปฐพี มีแสงสีทองระยับไร้ขอบเขต มองดูสง่างาม แล้วพลันมีเสียงชวนฟังพูดออกมา

 

“สูงกว่าสวรรค์ เหนือกว่าพิภพ เราเป็นผู้ประเสริฐที่สุด”[3]

 

“นี่…นี่มัน…”

 

กลุ่มสงฆ์จากอารามวัชระยืนนิ่งงัน ป๋าถัวจ้องมองค้างราวกับเขาถูกสายฟ้าฟาด มองไปทางซูฉินด้วยอาการร่างกายสั่นเทา…

 

เมื่อมองไปยังองค์ยูไลสีทอง มองเห็นแสงเซนผุดผ่องแผ่ขยายไปทั่วผืนฟ้าแลผืนดิน… เพียงตัวตถาคตคือผู้ประเสริฐที่สุด!

 

 

 

————————————————

 

[1] สังขตธรรม – สังขต หมายถึง สิ่งที่ปัจจัยปรุงแต่งขึ้น, สังขารทุกอย่างที่มีการปรุงแต่งขึ้นจากหลายๆ สิ่งรวมกัน เรียกว่า สังขต ย่อมหมายถึงสิ่งทุกอย่างนอกจากนิพพาน ส่วนนิพพานเป็นอสังขต

[2] คำกล่าวที่ยกมาจากวัชรปรัชญาปารมิตาสูตร แปลจากสันสกฤตเป็นภาษาจีนโดย พระกุมารชีวะ (หรือจิวหมอหลอสือ) ราวปี พ.ศ.944 ความว่า 一切有为法,如梦幻泡影,如露亦如电,应作如是观。

ซึ่งมีการแปลโดย เสถียร โพธินันทะ จากจีนเป็นภาษาไทย ได้ความว่า “เพราะว่าสังขตธรรมทั้งปวง มีอุปมาดั่งความฝัน ดั่งภาพมายา ดั่งฟองน้ำ ดั่งเงา ดั่งน้ำค้าง และดั่งสายฟ้าแลบ พึงเพ่งพิจารณาด้วยอาการอย่างนี้” นอกจากนี้ยังมีฉบับของ อมร ทองสุข ว่า “สังขตธรรมทั้งปวง ดุจฝันมายาฟองสบู่เงา ดุจนิศาชลและอสนี ควรพินิจด้วยอาการเช่นนี้แล”

[3] เป็นคำกล่าวของเจ้าชายสิทธัตถะยามเมื่อประสูติขึ้นมา ว่ากันว่าได้ออกเดินทั้งหมดเจ็ดก้าว มีดอกบัวผุดขึ้นตามรายทางรองพระบาทไปทุกก้าวย่าง ก่อนที่จะเอ่ยอาสภิวาจาออกมา (ตามคัมภีร์หรือนิทานฉบับจีน) แต่ในฉบับที่ไทยรับมาก็มีคำกล่าวที่แตกต่างออกไปเล็กน้อย อนึ่งในมุมของผู้แปลอยากจะกล่าวเสริมไว้ว่านี่เป็นเพียงเรื่องเล่าที่มีหลักฐานเก่าแก่สุดราวๆ 700 ปีหลังพุทธกาลเท่านั้น ซึ่งไม่มีหลักฐานบ่งชี้แน่ชัดว่าในสมัยพุทธกาลจริงๆ มีเรื่องราวนี้มาก่อนหรือไม่ หรือเป็นเพียงการเสริมเติมแต่งของผู้คนในยุคหลัง

Sign in Buddha’s palm 16 ถกปัญหาธรรม

 

 

เวลาผ่านเลยไป

 

ในพริบตา ครึ่งเดือนก็ผ่านพ้น

 

ในช่วงเวลานี้ถึงแม้จะมีเรื่องราวใหญ่โตเกิดขึ้นในหลากหลายแห่งทั่วโลก แต่มันก็ไม่ได้มีผลกระทบใดต่อวัดเส้าหลินแม้แต่น้อย

 

ชีวิตของซูฉินก็ยังคงเหมือนเดิม เขาลงชื่อเข้าใช้ไม่พลาดสักวันและมักจะมาฟัง ‘เรื่องซุบซิบนินทา‘ ของเหล่าศิษย์ลานจิปาถะ

 

ถึงแม้ที่ผ่านมาทั้งหมดจะเป็นแบบนั้น

 

แต่วันนี้

 

วันอันแสนสงบสุขของซูฉินได้พังทลายลง

 

มีพระเก้ารูปที่อ้างตนว่ามาจากอารามวัชระเดินทางมาถึงวัดเส้าหลิน เพราะแบบนั้นเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินและเหล่าหัวหน้าตำหนักจึงออกมาพบพวกเขาเองเป็นการส่วนตัวที่ด้านหน้าโถงประชุมใหญ่เพื่อแสดงความใส่ใจแก่แขกเหล่านี้

 

พวกศิษย์ของตำหนักต่างๆ ก็ต่างพากันมายืนอยู่ที่ด้านนอกโถงใหญ่กันด้วย

 

“อารามวัชระเช่นนั้นหรือ?”

 

ซูฉินมองไปที่พระทั้งเก้ารูปที่มาจากอารามวัชระ

 

พระรูปด้านหน้าสุดของกลุ่มสงฆ์ทั้งเก้ายังเยาว์วัยยิ่ง อายุประมาณยี่สิบปีเท่านั้นเอง

 

ส่วนอีกแปดรูปนั้น…

 

ซูฉินหันไปมองพระที่ยืนอยู่ด้านหลัง เป็นพระที่ห่มกายด้วยจีวรสีแดงสวมหัวด้วยมงกุฎ

 

พระรูปนี้แข็งแกร่งมาก ไม่อ่อนแอไปกว่าเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินเลย เขาเป็นผู้เชี่ยวชาญระดับชั้นที่สอง

 

ถึงแม้อีกเจ็ดรูปจะมีไอพลังที่แตกต่างกันออกไป แต่มองคร่าวๆ ก็ทราบว่าพวกเขาล้วนเป็นผู้เชี่ยวชาญในสามระดับกลาง

 

“เดี๋ยวจะต้องมีการเปิดงานแสดงครั้งใหญ่เป็นแน่…” ซูฉินกระซิบในความคิดของตน

 

แม้จะไม่รู้จุดประสงค์ที่แน่ชัดของอารามวัชระ แต่เมื่อมองจากท่าทางที่เห็นก็เห็นได้ชัดว่าผู้มาเยือนคงไม่ได้มีเจตนาอันดีเท่าไรนัก

 

เป็นไปตามที่คาด

 

ซูฉินก็ได้รับรู้เรื่องราวอย่างรวดเร็วผ่านการกระซิบกันของหมู่ศิษย์ด้านข้างเขาว่า กลุ่มพระจากอารามวัชระมาเยือนที่นี่เพื่อจะ ‘ถกปัญหาธรรม‘ กับวัดเส้าหลิน

 

“เจ้าเห็นพระหนุ่มที่ด้านหน้านั่นหรือไม่? เขาคือบุตรอันศักดิ์สิทธิ์ป๋าถัวจากอารามวัชระ ความเป็นมาของเขานั้นลึกล้ำมากมีคนเล่าว่าถึงกับเกิดปรากฏการณ์พิเศษเมื่อยามที่เขาเกิดมา”

 

“แถมยังมีข่าวลือว่าเขาเป็นพุทธศาสนิกชนผู้เป็นตำนานยุทธกลับชาติมาเกิด”

 

“โอ้? ถ้าอีกฝ่ายเป็นพุทธศาสนิกชนผู้เป็นตำนานยุทธกลับชาติมาเกิดจริง แล้ววัดเส้าหลินจะมีโอกาสโต้ตอบเขาในการ ‘ถกปัญหาธรรม‘ ได้อย่างไรเล่า?”

 

“ดูก่อน บางทีท่านเจ้าอาวาสและเหล่าหัวหน้าตำหนักอาจจะหาหนทางได้?”

 

 

ศิษย์วัดเส้าหลินต่างกระซิบกันไปมาในหมู่พวกตน

 

แม้แต่ศิษย์สังกัดลานจิปาถะเองก็ยังเป็นกังวล

 

ในฐานะที่เป็นศิษย์ของวัดเส้าหลินไม่ว่าจะอยู่ในตำหนักไหนพวกเขาต่างแบ่งปันชื่อเสียงเกียรติยศและความสง่างามของวัดเอาไว้ เป็นธรรมดาที่จะไม่อยากจะเห็นวัดเส้าหลินแพ้ให้กับอารามวัชระ

 

“นะโม อมิตตาพุทธ”

 

เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินกุมมือทั้งสองไว้ด้านหน้าและพูดขึ้นว่า “พวกท่านเดินทางมาไกล วัดเส้าหลินย่อมปฏิบัติกับพวกท่านอย่างดี เดี๋ยวเราจะไปตระเตรียมอาหารเอาไว้ให้…”

 

ป๋าถัวบุตรศักดิ์สิทธิ์ของอารามวัชระโค้งหัวลงเล็กน้อยแล้วกล่าวว่า “ข้าได้ยินชื่อเสียงเรียงนามของท่านเจ้าอาวาสมานาน หวังว่าจะไม่ได้รบกวนพวกท่านจนเกินไป”

 

หลังจากมื้ออาหาร

 

เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินจึงเริ่มการ ‘ถกปัญหาธรรม‘

 

‘ถกปัญหาธรรม‘ นี้เป็นประเพณีในหมู่สำนักสายพุทธทั้งสี่ และมีเพียงพระที่มีอายุไม่เกินยี่สิบปีจึงสามารถเข้าร่วมได้

 

นี่เป็นกลวิธีในการวัดความแข็งแกร่งของคนรุ่นหลังในสำนักสายพุทธทั้งสี่ เพื่อยืนยันว่าใครจะเป็นผู้นำในหมู่สี่สำนักดังกล่าว

 

“ท่านเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวิน ในการ ‘ถกปัญหาธรรม‘ ครั้งนี้ มีเพียงป๋าถัวเท่านั้นที่จะเป็นตัวแทนของอารามวัชระ”

 

ตอนนี้เองที่พระสงฆ์ระดับชั้นที่สองห่มชุดสีแดงและมีมงกุฎบนหัวยืนขึ้นกล่าวคำ

 

เมื่อได้ยินคำกล่าวนั้นทั้งเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินและเหล่าหัวหน้าตำหนักต่างขมวดคิ้วเป็นปม

 

ต้องทราบว่าในอดีต กฎของการ ‘ถกปัญหาธรรม‘ คือการส่งศิษย์ฝ่ายละเก้ารูปมา ‘ถกปัญหา‘ กันทีละคนแล้วจึงตัดสินผู้ชนะ

 

แต่ตอนนี้ อารามวัชระต้องการจะส่งป๋าถัวเพียงคนเดียว ? เห็นได้ชัดว่าพวกเขาต้องการจะใช้ป๋าถัวคนเดียวจัดการกับศิษย์ทั้งเก้าจากวัดเส้าหลิน

 

นี่ดูเหมือนว่าจะเป็นการดูถูกวัดเส้าหลินแล้ว

 

แม้เจ้าอาวาสจะฝึกตนมาในระดับสูงเพียงนี้ แต่เมื่อได้ยินแบบนั้นเข้า การแสดงออกก็ถึงกับเปลี่ยนไป หัวหน้าตำหนักยุทธสงฆ์ที่ขึ้นชื่อเรื่องอารมณ์ดุดันก็จ้องเขม็งไปที่พระทั้งเก้ารูปจากอารามวัชระ

 

ถึงจะได้รับความกดดันจากวัดเส้าหลิน พระที่มีพลังยุทธระดับชั้นที่สองจากอารามวัชระก็ไม่ได้สนใจอะไร

 

‘ถกปัญหาธรรม ‘ เป็นการต่อสู้กันผ่านคติของชาวพุทธและหลักความคิดเชิงพุทธระหว่างสำนักสายพุทธ ซึ่งในแต่ละมุมมองของแต่ละสำนักคือจะมีแต่การชนะกัน ไม่มีฝ่ายพ่ายแพ้

 

แต่ทำไมต้องมาทำตัวยียวนกันถึงเพียงนี้ ?

 

เหล่าศิษย์เส้าหลินบางคนที่อยู่ด้านนอกศาลาต่างก็เต็มไปด้วยความขุ่นเคือง

 

“อารามวัชระจะไม่หยิ่งยโสเกินไปหน่อยหรือ ? ถึงกับส่งศิษย์เพียงคนเดียวมาเข้าร่วมการ  ‘ถกปัญหาธรรม ‘ นี้ ?”

 

“จริงด้วย พวกนี้มันเกินไปจริงๆ ไม่ว่าอย่างไรวัดเส้าหลินก็ยังเป็นสุดยอดพรรคและเป็นผู้นำของสำนักสายพุทธทั้งสี่อีกด้วย นี่อารามวัชระเชื่อมั่นในความสามารถของตัวเองมากเสียจนกล้าที่จะส่งศิษย์มาแค่เพียงคนเดียวเลยหรือ ?”

 

“ถึงป๋าถัวจะเป็นบุตรศักดิ์สิทธิ์แล้วกระไร ? วัดเส้าหลินไม่ได้มีบุตรศักดิ์สิทธิ์อะไรนั่นด้วยสักหน่อย ? นี่มันเป็นการยั่วยุชัดๆ !”

 

 

ศิษย์ของวัดเส้าหลินหลายต่อหลายคนมองไปที่กลุ่มสงฆ์ของอารามวัชระด้วยสายตาไม่ชอบใจ

 

กล่าวได้ว่าพุทธศาสนามิใช่เพื่อใฝ่หาการแข่งขันกับผู้ใด แต่การกระทำของอารามวัชระมันเป็นการยั่วยุอย่างชัดแจ้ง ชัดเสียจนถ้าใครยังมองไม่ออกคงจะเป็นก้อนหินริมทางเท่านั้นมิใช่คน

 

ถึงแม้จะเป็นชาวพุทธก็ไม่ใช่ว่าจะไร้ซึ่งอารมณ์ความรู้สึกหรือความต้องการ และแน่นอนเมื่อเจออารามวัชระที่มาทำแบบนี้ก็ต้องมีความโกรธเกรี้ยวเกิดขึ้นได้บ้าง

 

คงจะมีเพียงแต่ซูฉินที่ยังอยู่ในอาการสงบราวกับว่าเขาไม่ได้สนใจมันแม้แต่น้อย

 

“นะโม อมิตตาพุทธ”

 

เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินเงียบไปครู่ใหญ่ก่อนที่จะพูดออกมา “ในเมื่อเป็นเช่นนั้นก็มาเริ่มกันเถอะ”

 

ป๋าถัวก้าวเท้าไปข้างหน้าแล้วนั่งลงขัดสมาธิตรงหน้าโถงประชุมใหญ่

 

“เจินหยวน”

 

เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินพูดเบาๆ

 

ทุกคนได้เห็นพระรูปหนึ่งเดินออกมา นั่งลงที่หน้าโถงใหญ่เช่นกันประชันหน้าเข้าหาป๋าถัว

 

“เป็นศิษย์พี่เจินหยวนหรือนี่”

 

“ศิษย์พี่เจินหยวนเป็นศิษย์อันทรงคุณค่าที่สุดของหัวหน้าตำหนักฝ่ายวินัยเลยเชียวนะ ว่ากันว่าความเข้าใจในพระธรรมนั้นลึกซึ้งและเขามักจะแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับหัวหน้าฝ่ายวินัยอยู่บ่อยครั้ง”

 

“ไปเลยศิษย์พี่เจินหยวน ! ทำให้พวกอารามวัชระรู้เสียว่าใครกันที่เป็นอันดับที่หนึ่งในสี่สำนักพุทธ !”

 

 

เมื่อศิษย์น้อยใหญ่ของวัดเส้าหลินเห็นเจินหยวนก้าวออกไป จิตวิญญาณของพวกเขาพุ่งพรวดกลายเป็นความรู้สึกตื่นเต้นที่เก็บไว้ไม่มิด

 

เห็นได้เด่นชัดว่าในหมู่ศิษย์วัดเส้าหลินชื่อของเจินหยวนอยู่ในตำแหน่งที่ไม่ธรรมดาทีเดียวภายในใจของพระเณรทั้งหลาย

 

“เจินหยวนอย่างนั้นรึ ?”

 

ซูฉินก็มองไปที่เจินหยวนด้วย

 

ในเมื่อตัวเขาเองก็เป็นศิษย์ในรุ่น  ‘เจิน ‘ ซูฉินก็มีความรู้สึกอันดีต่อเจินหยวนคนนี้อยู่บ้าง

 

“ศิษย์พี่เจินกวน ท่านคิดว่าศิษย์พี่เจินหยวนจะชนะหรือไม่ ?” ตอนนั้นเองมีเสียงจากศิษย์ลานจิปาถะถามกดเสียงลงต่ำ

 

ซูฉินอยู่ที่นี่มาสิบปีแล้ว ถึงแม้จะเป็นเพียงพระกวาดลาน แต่แน่นอนว่าเขามีคุณสมบัติเพียงพอจะให้คำตอบ

 

“จะถามคำถามไปเพื่ออะไรอีก ? มันแน่นอนว่าต้องเป็นศิษย์พี่เจินหยวนอยู่แล้วที่จะชนะ” ก่อนที่ซูฉินจะทันได้ตอบคำ ศิษย์วัดคนอื่นก็พูดแทรกขึ้นมา

 

เมื่อซูฉินได้ยินก็ส่ายหัวน้อยๆ

 

ก็เห็นอยู่ชัดๆ ว่าอารามวัชระนำพระมาเก้ารูป แต่มีป๋าถัวรูปเดียวเท่านั้นที่ถูกส่งออกมา มีเพียงสองความเป็นไปได้เท่านั้น

 

หนึ่งคืออารามวัชระนั้นโง่เง่า

 

สองคืออารามวัชระมีความมั่นใจ สำหรับพวกนั้น ตราบเท่าที่มีป๋าถัวอยู่ที่นี่ มันก็คงไม่มีความแตกต่างระหว่างจะส่งออกไปเก้าคนหรือจะส่งไปแค่คนเดียว

 

อารามวัชระและวัดเส้าหลิน ทั้งคู่เป็นสำนักพุทธทั้งหนึ่งในสี่และมีชื่อเสียงไปทั่วแว่นแคว้น เพราะฉะนั้นสำนักระดับนี้เป็นไปไม่ได้ที่จะโง่เขลา

 

ฉะนั้นความเป็นไปได้นั้นมีเพียงอย่างเดียว

 

นั่นคืออารามวัชระมั่นใจในตัวป๋าถัวผู้นี้มาก

 

ความมั่นใจในระดับที่ถ้าวัดเส้าหลินชนะป๋าถัวได้ อารามวัชระจะกลายเป็นผู้แพ้ในทันที

 

ขณะที่ซูฉินกำลังคิดเรื่องนี้อยู่

 

‘การถกปัญหาธรรม ‘ ระหว่างป๋าถัวและเจินหยวนก็เริ่มต้นขึ้น

 

“พี่ชายอุตส่าห์เดินทางมาไกลถึงเพียงนี้ ฉะนั้นข้าให้ท่านได้เริ่มก่อน” เจินหยวนแลดูเคร่งขรึมไม่ได้ถ่อมตัวเกินไปหรือโอ้อวดจนเกินควร

 

เมื่อเห็นฉากนั้นหัวหน้าฝ่ายวินัยแอบพยักหน้าอย่างลับๆ

 

เจินหยวนเป็นศิษย์ที่น่าภาคภูมิใจของเขาและความเข้าใจในธรรมนั้นเหนือกว่าคนทั่วไปนัก มิฉะนั้นเจ้าอาวาสคงไม่ปล่อยให้เจินหยวนเป็นคนแรกที่ออกหน้า

 

เป็นการเดิมพันครั้งเดียวจะได้ไม่ต้องยืดเยื้อกันให้เหนื่อยเปล่า

 

หากวัดเส้าหลินเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ในคราแรกนี้ ก็เท่ากับกำลังใจของศิษย์ที่เหลือคงจะต้องสลายเป็นผุยผง

 

ป๋าถัวก็ไม่ได้เหนียมอายอันใด รับข้อตกลงนั้นไว้อย่างรวดเร็ว เขาประกบมือเข้าหากันพนมไว้ที่หน้าอก

 

“ข้าได้ยินได้ฟังมาเนิ่นนาน องค์ยูไลนั้น …”

 

คำพูดออกจากปากไหลลื่นไปอย่างรวดเร็วราวกับเขาเกิดมาเป็นเรือนนาฬิกาที่ไม่เกียจคร้านที่จะหยุดเดิน พร่ำคะนึงถามปัญหาในคำถามว่า  ‘องค์ยูไลนั้นคือสิ่งใด”

Sign in Buddha’s palm 15 อารามวัชระ

 

 

[ขอแสดงความยินดี โฮสต์ได้ลงชื่อเข้าใช้สำเร็จ ได้รับโอสถ ‘โอสถกักเก็บพลังศักดิ์สิทธิ์‘ ]

 

“โอสถกักเก็บพลังศักดิ์สิทธิ์?”

 

รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของซูฉิน แสดงให้เห็นถึงความพอใจอย่างมาก

 

โอสถกักเก็บพลังศักดิ์สิทธิ์เป็นโอสถชนิดพิเศษ ถึงมันจะไม่สามารถเสริมแกร่งร่างกายได้เหมือนโอสถชำระไขกระดูก ทั้งยังไม่สามารถเติมกำลังภายในได้เหมือนโอสถเสริมศักยภาพขนาดใหญ่

 

โอสถกักเก็บพลังศักดิ์สิทธิ์มีผลเพียงอย่างเดียว นั่นก็คือ

 

หล่อเลี้ยง ‘พลังศักดิ์สิทธิ์‘!

 

‘พลังศักดิ์สิทธิ์‘ คืออะไร?

 

ในมุมมองของซูฉิน ‘พลังศักดิ์สิทธิ์‘ เป็นคำเรียกรวมๆ ของพลังจิตวิญญาณทั้งหลายภายในตัวบุคคล อาทิ กลิ่นอายส่วนตัว พลังฉี และวิญญาณ

 

ในคำสอนลัทธิเต๋า มันคือจิตวิญญาณดั้งเดิม เป็นจุดแรกเริ่มแห่งวิญญาณ

 

โดยทั่วไปแล้วผู้ฝึกยุทธโดยทั่วไป หรือแม้กระทั่งผู้เชี่ยวชาญระดับชั้นที่สองไม่จำเป็นต้องฝึกฝน ‘พลังศักดิ์สิทธิ์‘

 

เนื่องจากการต่อสู้ระหว่างจอมยุทธนั้น พื้นฐานเป็นการเข้าปะทะกันด้วยเลือดเนื้อและกำลังภายใน ส่วน ‘พลังศักดิ์สิทธิ์‘ …

 

ถึงแม้จะเป็นยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่ง พลังศักดิ์สิทธิ์ของพวกเขาก็ยังอ่อนแอ

 

หากยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งต้องการก้าวไปอีกขั้น บรรลุถึงระดับ ‘อรหันต์‘ หรือก้าวเข้าสู่ระดับตำนานยุทธ ผู้นั้นย่อมต้องฝึกฝนพลังศักดิ์สิทธิ์อย่างต่อเนื่อง

 

ร่างกายของผู้เชี่ยวชาญสามระดับบนเชื่อมต่อเข้ากับพลังฟ้าดิน และต้องถูกชำระล้างด้วยปราณโลกอยู่ตลอดเพื่อจะดึงพลังของฟ้าดินมาใช้ได้มากขึ้น

 

แล้วในระดับของตำนานยุทธนั้น คือผู้ที่ควบคุมพลังฟ้าดินได้อย่างสมบูรณ์ กวาดล้างทุกสิ่งอย่างได้เพียงแค่เคลื่อนไหว

 

การดึงพลังของฟ้าดินมาใช้กับการที่สามารถควบคุมพลังฟ้าดินได้จริงๆ เป็นสองสิ่งที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง

 

อย่างหลังแข็งแกร่งกว่าอย่างแรกไม่รู้กี่เท่าต่อกี่เท่า

 

แล้วอะไรกันเล่าที่เหล่าจอมยุทธจะใช้เพื่อควบคุมพลังแห่งฟ้าดิน?

 

รู้หรือไม่ว่าต่อหน้าพลังอันยิ่งใหญ่ของฟ้าดิน ร่างของผู้ฝึกยุทธก็เพียงแค่ฝุ่นผงที่ไร้ค่าให้กล่าวถึง

 

ฉะนั้นหากใครต้องการจะควบคุมพลังฟ้าดินได้อย่างสมบูรณ์ มีเพียงจะต้องมีพลังศักดิ์สิทธิ์ที่แข็งแกร่งเพียงพอ

 

ระดับอรหันต์ก็เหมือนกับระดับตำนานยุทธ เป็นแค่เพียงเรื่องของคำเรียกขาน

 

‘โอสถกักเก็บพลังศักดิ์สิทธิ์‘ ที่ซูฉินลงชื่อได้รับมา ก็คือสิ่งที่ใช้หล่อเลี้ยงบำรุง ‘พลังศักดิ์สิทธิ์‘

 

ในทุกๆ วันนี้ สิ่งที่ข้องเกี่ยวกับพลังศักดิ์สิทธิ์นั้นหายากมากๆ แล้วถ้ามันมีสักอันหนึ่งก็เพียงพอที่จะเป็นฉนวนเหตุให้ยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งสองคนต่อสู้กันได้เลย

 

ไม่ต้องพูดถึง ‘โอสถกักเก็บพลังศักดิ์สิทธิ์‘ ที่สามารถรวบรวม‘พลังศักดิ์สิทธิ์‘ได้โดยตรง

 

“คอยก่อนก็แล้วกัน”

 

“เพราะเมื่อใดก็ตามที่กลืนโอสถกักเก็บพลังศักดิ์สิทธิ์ลงไปแล้ว มันหยุดกลางคันไม่ได้ แล้วถ้าถูกรบกวนผลของตัวยาคงจะลดประสิทธิภาพลงไปมากโข”

 

ซูฉินคิดเงียบงัน

 

อดทนมาได้เป็นสิบปี กับอีกแค่สักวันสองวันทำไมจะรอไม่ได้กันเล่า?

 

ซูฉินเป็นชายที่มีความอดทนสูง มิฉะนั้นเขาจะไม่อยู่ที่วัดต่อไปหลังจากกลายมาเป็นยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งและมุ่งมั่นที่จะแกร่งจนไร้พ่ายในใต้หล้า

 

 

ตกดึก

 

ทุกสิ่งอยู่ในความเงียบสงัด

 

ซูฉินลอบออกมาจากลานจิปาถะแล้วมายังห้องลับที่สร้างอย่างธรรมดาๆ

 

ห้องลับนี้อยู่ใต้ดิน สร้างโดยซูฉินตลอดสิบปีที่ผ่านมา

 

ซู่มมม!

 

ซูฉินนั่งไขว้ขาหายใจออกเบาสบาย กลืนโอสถกักเก็บพลังศักดิ์สิทธิ์ลงไป

 

ตูม!!

 

ทันใดนั้นซูฉินพลันรู้สึกราวกับแช่อยู่ในน้ำพุร้อน มันอบอุ่นแต่ก็อึดอัด

 

 

จากนั้นไม่กี่ชั่วโมง

 

ซูฉินก็เปิดเปลือกตาขึ้น

 

เฟี้ยว!

 

มีแสงราวกับฟ้าผ่าส่องออกมาจากห้องลับ

 

นี่ไม่ใช่สายฟ้าจริงๆ แต่เป็นปรากฏการณ์ที่จะเกิดขึ้นเมื่อพลังศักดิ์สิทธิ์แข็งแกร่งพอ

 

“หนึ่งเม็ดของ‘โอสถกักเก็บพลังศักดิ์สิทธิ์‘ ทำให้ ‘พลังศักดิ์สิทธิ์‘ ทะยานขึ้นไปอีกกว่าห้าสิบเปอร์เซ็นต์”

 

ซูฉินรู้ได้ถึงพลังนั้นและพยักหน้ารับรู้

 

หากไม่มี ‘โอสถกักเก็บพลังศักดิ์สิทธิ์‘ กว่าซูฉินจะบ่มเพาะ ‘พลังศักดิ์สิทธิ์‘ มาถึงจุดนี้ได้ ก็คงต้องใช้เวลาอย่างน้อยห้าปี

 

โอสถกักเก็บพลังศักดิ์สิทธิ์ช่วยร่นเวลาในการฝึกฝนไปถึงห้าปี

 

 

ในช่วงเวลาเดียวกัน

 

ห่างไกลจากวัดเส้าหลินหลายพันลี้ มีอารามวัชระที่สง่างามและน่าเกรงขามแห่งหนึ่งตั้งอยู่

 

อารามวัชระก็เป็นหนึ่งในสุดยอดพรรคเช่นกัน

 

แต่หากเทียบกับวัดเส้าหลินที่เสื่อมโทรมลง อารามวัชระในยุคนี้กำลังรุ่งเรืองยิ่ง

 

เจ้าอาวาสวัดคนปัจจุบันของอารามวัชระเป็นสงฆ์ศักดิ์สิทธิ์ที่มีชื่อเสียงก้องไปทั่วภพ

 

ในเวลานั้นเอง

 

ด้านล่างแท่นประดิษฐานขององค์ยูไลในอารามวัชระ

 

เจ้าอาวาสกำลังมองไปที่ใบหน้าของพระหนุ่มอย่างเคร่งขรึมและพูดด้วยความพอใจว่า “ป๋าถัว เจ้าได้ร่ำเรียนคัมภีร์หมดทั้งวัด ตอนนี้ที่อารามวัชระไม่มีอะไรเหลือจะสั่งสอนเจ้าแล้ว”

 

“ถึงเวลาแล้วล่ะ ที่เจ้าจะได้ลงจากเขา”

 

“มุ่งไปยังทิศเหนือ ไปยังวัดเส้าหลิน เป็นพุทธสถานอันดับหนึ่งในสำนักยุทธสายพุทธที่มีทั้งหมดสี่แห่งทั่วทั้งใต้หล้านี้ มันมีมรดกตกทอดที่ชื่อว่า [ฝ่ามือยูไล] อยู่ ถึงแม้ว่าวัดเส้าหลินจะตกต่ำลงไปมาก และ [ฝ่ามือยูไล] ก็ได้สูญหายไปแล้ว แต่มันก็ยังมีมรดกอื่นๆ ที่มีค่าหลงเหลืออยู่ ถ้าเจ้าได้ไปยังวัดเส้าหลิน เจ้าจะได้เรียนรู้บางอย่างมาแน่นอน”

 

เจ้าอาวาสมองไปที่ป๋าถัว กล่าวคำเนิบช้า

 

แม้ว่าเจ้าอาวาสแห่งอารามวัชระจะเป็นสงฆ์ศักดิ์สิทธิ์ระดับชั้นที่หนึ่ง เมื่ออยู่ต่อหน้าพระหนุ่มที่ชื่อว่า ‘ป๋าถัว‘ เขาปฏิบัติตัวราวกับอีกฝ่ายนั้นเท่าเทียม

 

นั่นเป็นเพราะพระหนุ่มนาม ‘ป๋าถัว‘ นั้นพิเศษมาก

 

ป๋าถัวเกิดในหมู่บ้านเล็กๆ นอกอารามวัชระ ตอนที่เขาเกิด ทั่วทั้งหมู่บ้านเต็มไปด้วยเสียงเพลงของชาวพุทธคลอไปทั่ว

 

เมื่อ ‘ป๋าถัว‘ อายุได้สามขวบ ก็มักจะไปนั่งอยู่หน้าพระพุทธรูปเก่าๆ ที่ทรุดโทรมไปตามกาลเวลาแห่งเดียวในหมู่บ้าน นั่งอยู่แบบนั้นตลอดทั้งวัน

 

ตอนที่เจ้าอาวาสของอารามวัชระได้พบ ‘ป๋าถัว‘ ก็ยามเมื่อเขาอายุได้สิบสองขวบปีแล้ว

 

ตั้งแต่แรกพบ เจ้าอาวาสก็ค้นพบว่าป๋าถัวมีความเข้าใจในศาสตร์พุทธเป็นพิเศษ จึงชักชวนให้เข้าร่วมและนมัสการอารามวัชระ

 

เมื่อป๋าถัวได้เข้าอารามวัชระมาเมื่อแปดปีก่อน เขาอ่านคัมภีร์ในวัดจนหมด และมักจะมีการถกเถียงแลกเปลี่ยนถ้อยกระบวนท่ากับพระรูปอื่นบ่อยๆ ส่วนใหญ่จะชนะ และมีแพ้บ้างเป็นบางครั้ง

 

แม้แต่ตัวเจ้าอาวาสก็ได้แพ้ให้กับป๋าถัวมาแล้ว

 

เป็นเรื่องที่น่าเหลือเชื่อ

 

เจ้าอาวาสท่านนี้เป็นใครกัน? ท่านเป็นถึงสงฆ์ศักดิ์สิทธิ์ระดับชั้นที่หนึ่ง

 

เป็นถึงระดับนี้ยังพ่ายแพ้ป๋าถัวที่อายุยี่สิบปี

 

ถ้าเรื่องนี้ถูกแพร่ออกไป แน่นอนต้องมีบางคนตกอกตกใจ

 

ไม่ใช่เพียงเท่านั้น

 

ป๋าถัวยังมีความเข้าใจลึกซึ้งในวิชาการฝึกตนสายพุทธ หลังจากที่เข้านมัสการอารามวัชระมาได้แปดปี เขาก็อยู่ในสามระดับบนเรียบร้อยแล้ว

 

เจ้าอาวาสเกือบจะคิดไปแล้วว่าป๋าถัวเป็นพุทธศาสนิกชนระดับตำนานยุทธกลับชาติมาเกิด

 

เพราะสิ่งนี้ เจ้าอาวาสจึงวางตำแหน่งของป๋าถัวในอารามวัชระไว้ให้เป็นผู้สืบทอดตำแหน่งเจ้าอาวาสคนต่อไป

 

“วัดเส้าหลิน?”

 

ป๋าถัวเงยหน้าขึ้น มองเจ้าอาวาสด้วยสีหน้างงงวยเล็กน้อย

 

“ไม่เลว”

 

“ที่วัดเส้าหลินสินะ”

 

เจ้าอาวาสอารามวัชระพยักหน้า “วัดเส้าหลินน่ะสืบทอดมรดกมากกว่าพันปีแล้ว ทั้งยังมีคนไปถึงระดับอรหันต์แล้วมากมายในสมัยก่อน”

 

“เจ้าจงไปที่วัดเส้าหลินเพื่อสนทนาธรรมกับเหล่าพระรุ่นใหม่ของที่นั่นในนามของอารามวัชระ”

 

รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเจ้าอาวาส

 

วัดพุทธทั้งสี่แห่งในโลกจะมีการปฏิสัมพันธ์กันในทุกๆ ยี่สิบสามสิบปี ด้วยเรื่องความเข้ากันได้กับพลังสายพุทธ

 

เหตุผลว่าทำไมวัดเส้าหลินถึงเป็นอันดับหนึ่งจากทั้งหมดสี่สำนักก็เพราะความเข้ากันได้กับพลังสายพุทธในสมัยก่อน วัดเส้าหลินจึงได้เปรียบ

 

แต่ในเวลานี้เจ้าอาวาสอารามวัชระตั้งตาคอย ในเรื่อง ‘ความเข้ากันได้กับพลังสายพุทธ‘ ผู้ใดในหมู่ศิษย์ของวัดเส้าหลินกันที่จะมาเทียบเท่ากับป๋าถัวได้

 

“ขอรับท่านเจ้าอาวาส”

 

ป๋าถัวลดหัวลงเล็กน้อยก่อนจะตอบคำ

 

“จำไว้ให้ดี ถึงแม้จะมีเส้นทางที่แตกต่างกันของชาวพุทธในโลกนี้ ‘ความเข้ากันได้กับพลังสายพุทธ‘ มันเป็นอีกเรื่อง ‘ความเข้ากันได้ของพลังสายพุทธ‘ ก็แค่การแข่งขันอย่างเป็นมิตรตามอุดมคติของสำนักพุทธทั้งสี่ มีแต่คำว่าชนะกันและจะไม่นับว่าใครพ่ายแพ้”

 

เจ้าอาวาสกล่าวเตือน

 

“ข้าเข้าใจแล้วขอรับท่านเจ้าอาวาส” ป๋าถัวเดินกลับไป เตรียมตัวเพื่อออกเดินทางไปยังวัดเส้าหลิน

 

หลังจากป๋าถัวออกไป เจ้าอาวาสยืนอยู่ที่ฐานพระพุทธรูปสีทองด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม

 

เพราะเขารู้ดีว่าระหว่างวัดเส้าหลินกับอารามวัชระ ‘การถกปัญหาธรรม‘ กันในครั้งนี้ วัดเส้าหลินย่อมต้องพ่ายแพ้อย่างไม่ต้องสงสัย

Sign in Buddha’s palm 14 เหตุการณ์ในยุทธภพ

 

 

 

ในโถงใหญ่มีบรรยากาศที่มืดมน

 

เหล่าจอมยุทธในพรรคมารต่างตื่นตระหนก

 

ไม่มีใครคาดคิดว่าจะเป็นยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งที่โจมตีพวกเขา

 

“เช่นนี้ใช่หมายความว่าวัดเส้าหลินมียอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งอยู่หรือ?” ผู้อาวุโสกล่าวคำออกไปอย่างขื่นขม

 

เมื่อกี้เขาพูดออกอย่างโหดเหี้ยมว่าจะทำลายวัดเส้าหลิน แต่ตอนนี้กลับไม่กล้าเอ่ยถึงมันอีก

 

การที่วัดเส้าหลินมียอดปรมาจารย์ชั้นที่หนึ่งกับการไม่มียอดปรมาจารย์ชั้นที่หนึ่งเป็นสองสิ่งที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง

 

“ท่านประมุข ท่านเป็นอันใดหรือไม่?” หญิงร่างอวบมองตรงไปที่ชายในชุดม่วงแล้วเอ่ยถามขึ้น

 

“ไม่เป็นอะไร”

 

ลมหายใจของชายในชุดคลุมสีม่วงกลับมาสงบ “แน่นอนว่ายอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งนั้นแข็งแกร่งแต่การจะสังหารข้าด้วยเพียงดัชนีจากพื้นที่ห่างไกลออกไปหลายร้อยลี้มันเป็นไปไม่ได้”

 

น้ำเสียงของชายในชุดม่วงมีความมั่นใจมาก

 

เดิมทีเขาเป็นปรมาจารย์วิชายุทธอยู่ในจุดสูงสุดของระดับชั้นที่สอง หากเขาไม่ทะเยอทะยานที่จะประสบความสำเร็จเร็วเกินไป ไขว่คว้าการก้าวข้ามไประดับชั้นที่หนึ่งโดยเร็วที่สุดก็คงไม่เดือดร้อนตนเองที่ต้องเที่ยวหา‘คัมภีร์เปลี่ยนเส้นเอ็น‘เพื่อมารักษาอาการบาดเจ็บ

 

แต่ถึงแม้ว่าเขาจะบาดเจ็บอยู่เขาก็ไม่ได้อ่อนแอไปกว่าผู้เชี่ยวชาญระดับชั้นที่สองทั่วๆ ไปเลย

 

“ในเมื่อวัดเส้าหลินมียอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่ง และพรรคมารของเราก็ได้รับคำเตือนมาแล้ว แผนการจำต้องเปลี่ยนแปลงสักหน่อย” ชายในชุดคลุมสีม่วงเดินกลับไปยังบัลลังก์แล้วเอ่ยขึ้น

 

เมื่อเหล่าจอมยุทธพรรคมารคนอื่นๆ ได้ยินสิ่งนี้ พวกมันต่างก็ผ่อนคลายลง

 

ห้าสิบปีก่อน ประมุขพรรคคนก่อนล้มเหลวในการตัดผ่านขั้นไปยังขอบเขตตำนานยุทธและตายลง ห้าสิบปีให้หลังการสูญเสียประมุขพรรคทำให้กำลังของพรรคมารแห่งนี้ก็ลดลงอย่างรวดเร็ว

 

หากไม่ใช่เพราะประมุขพรรคมารในยุคนี้นั้นแข็งแกร่งพอ พรรคมารในปัจจุบันคงเป็นเพียงเหมือนกับหนูที่ต้องคอยหลบซ่อนระวังคนจะมาทุบตี

 

แต่กระนั้นก็ไม่มีใครต้องการจะเผชิญหน้ากับยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งอยู่ดี

 

“เช่นนั้นแล้วท่านประมุขพรรคจะทำอย่างไรต่อไป?” หญิงร่างอวบกล่าวถาม

 

“ในเมื่อวัดเส้าหลินไม่มีที่ให้ไป ฉะนั้นจงไปที่เขาจู้หยาง[1]”

 

“เขาจู้หยาง?”

 

จอมยุทธพรรคมารหลายคนในโถงต่างมองหน้ากันไปมา

 

เมื่อเทียบกับสุดยอดพรรคที่มีการสืบทอดมรดกมากว่าพันปีอย่างวัดเส้าหลิน ขุนเขาจู้หยางมีพื้นฐานตื้นเขินกว่ามาก

 

อย่างไรก็ตามเขาจู้หยางนั้นมีรากฐานมาจากบรรพบุรุษที่เป็นยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่ง แม้ว่าในยุคนี้เขาจู้หยางค่อนข้างอ่อนแอและไม่ได้มีระดับชั้นที่หนึ่ง แต่ยังมีสิ่งดีๆ มากมายด้านใน

 

“ข้าจะรักษาอาการบาดเจ็บด้วยการสละเลือกจากศิษย์นับพันในขุนเขาจู้หยาง!”

 

สายตาสะกดข่มรุนแรงสาดประกายออกมาจากตาของชายชุดม่วงยามเมื่อกล่าวประโยคนั้นออกมา

 

 

ที่วัดเส้าหลิน

 

เป็นเรื่องปกติที่ซูฉินจะไม่อาจรู้ได้ว่าการกระทำของเขา ทำให้ขุนเขาจู้หยางกำลังจะถูกทำลายลง

 

ตอนนี้ซูฉินได้กลับมาที่ลานจิปาถะแล้ว

 

เมื่อพลังไร้ลักษณ์ที่เขาแฝงเอาไว้ในร่างของเงาดำได้ระเบิดออก ซูฉินก็เงยหน้าขึ้นราวกับรู้สึกได้

 

“ดัชนีลงทัณฑ์ไร้สภาพนี่ทั้งมองไม่เห็นและไร้ตัวตน จากใจจริงๆ ขอยกย่องว่าวิชานี้เหมาะสมแล้วที่ได้เป็นหนึ่งในเคล็ดวิชาชั้นสูงของวัดเส้าหลิน”

 

ซูฉินพยักหน้าเล็กน้อยด้วยความพึงพอใจ

 

สิบปีที่ผ่านมา ซูฉินลงชื่อเข้าใช้ไปทั่วทุกที่ในวัดเส้าหลิน และรับวิชาชั้นสูงไปมากมายจนนับไม่ไหว แต่ของอย่างเช่นดัชนีลงทัณฑ์ไร้สภาพนั้นจัดว่าหายาก

 

“แต่ว่า นี่ข้าก็มาถึงระดับชั้นที่หนึ่งแล้วนะ ทำไมยังใช้ [ฝ่ามือยูไล] ไม่ได้อีกล่ะ?”

 

ซูฉินนวดหัวคิ้วทั้งสองข้างพลางคิดอย่างหมดหนทาง

 

ในฐานะที่เป็นสุดยอดเคล็ดวิชาของวัดเส้าหลินที่แกร่งที่สุดและเป็นวิชาแรกที่เขาได้รับมา ซูฉินย่อมคาดหวัง [วิชาฝ่ามือยูไล] เอาไว้ใหญ่โต

 

ในตอนที่เขาอยู่ในสามระดับล่าง และสามระดับกลางซูฉินคิดว่าความแข็งแกร่งของเขายังอ่อนแอและไม่ถึงขีดจำกัดขั้นต่ำในการใช้ [ฝ่ามือยูไล]

 

แต่ตอนนี้

 

ซูฉินมาถึงระดับชั้นที่หนึ่งแล้ว

 

ถ้าเพียงได้ลองมองไปในใต้หล้า เขาย่อมเป็นตัวตนระดับต้นๆ

 

แต่องค์ยูไลสีทองที่เป็นตัวแทนของ [ฝ่ามือยูไล] ก็ยังประทับอยู่ที่หว่างคิ้วของเขาไม่ขยับเขยื้อนไปไหน

 

“เป็นไปได้หรือไม่ว่า [ฝ่ามือยูไล] เป็นเคล็ดวิชาชั้นสูงที่มีเพียงแค่ผู้เชี่ยวชาญในขั้นอรหันต์ถึงจะสามารถใช้ได้?”

 

ซูฉินคาดเดาในใจ

 

ตามจริงแล้วข่าวสารที่ซูฉินได้ยินมาในช่วงสิบปีนี้ ว่ากันว่าแม้แต่ในช่วงเก้าร้อยปีก่อน ตอนที่ [ฝ่ามือยูไล] ยังไม่สูญหายไปก็แทบจะไม่มีศิษย์คนใดที่สามารถเข้าใจเคล็ดวิชาอันทรงพลังนี้ได้

 

“ลืมมันไปซะ ไม่คิดแล้ววุ้ย”

 

ซูฉินส่ายหัว ปัดความคิดฟุ้งซ่านทิ้งไป

 

ครึ่งเดือนต่อมา ซูฉินก็กลับเข้าสู่ชีวิตปกติอีกครั้ง กวาดลาน แล้วก็ลงชื่อเข้าใช้ไปด้วย

 

หลังจากเข้าสู่ระดับชั้นที่หนึ่ง ความก้าวหน้าในการฝึกฝนของซูฉินก็ช้าลงอย่างเห็นได้ชัด แต่วัตถุดิบชั้นยอดและสมบัติระดับโลกที่ได้รับมาจากการลงชื่อเข้าใช้งานผลักดันให้เขาเข้าใกล้หนทางสู่ระดับอรหันต์อย่างเป็นลำดับ

 

ในวันนี้ซูฉินวางแผนว่าจะไปลงชื่อที่ลานโพธิ์ พลันได้ยินศิษย์คนอื่นกระซิบกระซาบกันเสียก่อน

 

“ข้าได้ยินมาว่าพรรคมารบุกโจมตีขุนเขาจู้หยางแล้วละเลงทั้งเขาด้วยเลือด เรื่องนี้จริงใช่ไหม?”

 

“โอย ในยุทธภพนี่มันช่างไม่สงบสุขเอาเสียเลย ช่วงนี้ก็มีการขัดแย้งกันระหว่างอาณาจักรและก็มีข้อพิพาทกันไปทั่วยุทธภพเลย”

 

“นี่ตามที่ได้ยินข่าวลือมานะ มีการปรากฏตัวของอัจฉริยะที่หาได้ยากยิ่งในรอบร้อยปีที่เขาอู๋ตั้งด้วย เขาเดินพลังตามแนวทางของไท่ฉีได้ภายในสามชั่วโมงนักพรตจางถึงขนาดออกหน้าเป็นการส่วนตัวแล้วรับเขาเป็นศิษย์สายตรง”

 

“นั่นมันสุดยอดมาก นักพรตจางคือสุดยอดในหมู่ยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่ง ลูกศิษย์สายตรงของเขาเกือบทั้งหมดได้เข้าไปอยู่ในสามระดับบนกันหมดแล้ว”

 

ศิษย์ของลานจิปาถะต่างพูดคุยแลกเปลี่ยนกันอย่างตื่นเต้น

 

นี่ถือว่าเป็นความชื่นชอบอย่างหนึ่งของศิษย์ลานจิปาถะ

 

ไม่เหมือนกับตำหนักอื่นๆ ลานจิปาถะไม่จำเป็นต้องฝึกศิลปะการต่อสู้ ดังนั้นในเวลาว่างพวกศิษย์ต่างก็จับกลุ่มพูดคุยเรื่องความเป็นไปในยุทธภพ

 

“นี่ยังมีอีกนะ มีคนบอกว่าทายาทของมีดบินเสี้ยวหลี่ได้กำเนิดขึ้นแล้ว”

 

“อะไรนะ? มีดบินเสี้ยวหลี่? นี่เจ้ากำลังกล่าวถึงมีดบินเสี้ยวหลี่คนนั้นน่ะรึ?”

 

“ถูกต้องแล้ว ทายาทของเสี้ยวหลี่ใช้มีดบินฆ่าสังหารผู้เยี่ยมยุทธในสามระดับบนได้ สร้างความวุ่นวายครั้งยิ่งใหญ่เชียวล่ะ”

 

“ไม่ใช่แค่เรื่องของมีดบินเสี้ยวหลี่นะ ยังมีอารามวัชระ เป็นอีกหนึ่งแห่งในนิกายพุทธที่มีชื่อเสียงพอๆ กับวัดเส้าหลิน และยังมียูไล…”

 

 

 

ซูฉินฟังการสนทนาเหล่านั้นไปเพลินๆ

 

ทุกวันนี้ความวุ่นวายมีอยู่นับไม่ถ้วน ผู้เชี่ยวชาญวิชายุทธตกตายรายวัน และพรรคน้อยใหญ่หลายแห่งถึงกับสาบสูญ……

 

ส่วนวัดเส้าหลินที่เป็นสุดยอดพรรคมีความเป็นมายาวนาน อย่างน้อยๆ ก็คงไม่มีใครมารบกวนในเร็ววัน

 

ซูฉินได้แต่รู้สึกว่าทางเลือกของเขาที่จะอยู่ที่นี่นั้นถูกต้องยิ่ง

 

ก็แค่ลงชื่อเข้าใช้อย่างซื่อตรงไม่หยุดพักภายในวัด รอจนกว่าจะแข็งแกร่งไร้เทียมทานค่อยออกไปเผชิญยุทธภพ

 

สมบูรณ์แบบ

 

“ด้านนอกมันอันตรายเกินไป”

 

ซูฉินค่อยๆ เดินตรงไปยังลานโพธิ์

 

ไม่ว่าจะอัจฉริยะของหุบเขาตระกูลอู๋ตั้งที่ฝึกฝนไท่ฉีเอย ทายาทของมีดบินเสี้ยวหลี่เอย หรือจะเป็นยูไลของวัดวัชระ พวกเขาเหมือนได้รับพรจากสวรรค์

 

พวกเข้าได้รับการฝึกสอนโดยพรรคโดยสำนัก หรือบางคนก็มีบรรพบุรุษคอยช่วยเหลือเกื้อหนุน กลับกันซูฉินก็เป็นเพียงพระกวาดลานในเส้าหลิน

 

เขาไม่ได้รับทรัพยากรการฝึกฝนจากใคร เขาไม่มีบรรพบุรุษคอยเกื้อหนุน

 

“ในการฝึกฝนวิชายุทธ ทรัพยากรภายนอกนั้นสำคัญมาก ถึงแม้พรสวรรค์จะสูงส่งไร้เปรียบเพียงใด ถ้าขาดซึ่งทรัพยากรแล้วล่ะก็ ความสำเร็จในอนาคตย่อมถูกจำกัด”

 

“ถึงแม้ว่าตัวข้า ซูฉิน จะโดดเดี่ยวและไม่มีผู้ใดเกื้อหนุน ข้าก็ยังพึ่งพาความพยายามของตนเองในการก้าวเข้าสู่ระดับชั้นที่หนึ่งได้ และข้านั้นไม่ได้อ่อนแอไปกว่าผู้ใด!”

 

ซูฉินได้มาหยุดที่หน้าลานโพธิ์

 

“ระบบ ลงชื่อเข้าใช้!”

 

———————————————————————————————————————-

[1] เขาจู้หยาง – คือภูเขาหยางอันยิ่งใหญ่ มาจากสามคำคือ 巨 – จู้ = ยิ่งใหญ่
阳 – หยาง = พระอาทิตย์หรือพลังของฝ่ายชายซึ่งตรงข้ามกับพลังหยินของฝ่ายหญิงในทางเต๋า

และ山 – ซาน = ภูเขา

Sign in Buddha’s palm 13 ส่งดัชนีผ่านอากาศ

 

 

 

นอกศาลาพระคัมภีร์

 

เหงื่อเย็นเยียบไหลซึมแผ่นหลังของร่างเงาจนชุ่มโชก

 

แม้จะเป็นแบบนั้นร่างเงาก็ไม่กล้าที่จะเคลื่อนไหวและยังคงซ่อนตัวต่อไป ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจกลัวว่าจะไปกวนใจซูฉินเข้า

 

ในฐานะสมาชิกพรรคมาร เงาดำรู้ดีว่ามีความเสี่ยงมากเพียงไรที่ลอบเข้ามาในวัดเส้าหลินครั้งนี้

 

แต่ร่างเงาก็ไม่มีทางเลือก

 

เขาไม่อาจจะละเลยคำสั่งของประมุขพรรค จึงต้องกัดฟันทนแล้วรับความเสี่ยงที่จะเข้ามาที่นี่

 

เดิมทีร่างเงาสีดำคิดไปว่า ถึงสุดท้ายเขาจะขโมยคัมภีร์เปลี่ยนเส้นเอ็นมาไม่ได้ก็คงไม่เป็นปัญหาในการล่าถอยด้วยวิธีการลอบเร้นของตน

 

แต่ร่างเงาไม่ได้คาดคิดว่าจะถูกบังคับให้ต้องเปิดเผยตัวตั้งแต่ยังไม่ได้ผ่านเข้าประตูศาลาคัมภีร์เสียด้วยซ้ำ

 

“วัดเส้าหลินนี่มันจะน่าหวาดหวั่นเกินไปแล้ว”

 

“พวกพระกวาดลานต่างก็มีความแข็งแกร่งถึงขั้นนี้เชียวหรือ?”

 

ร่างเงารู้สึกขมขื่น

 

ซูฉินไม่ทราบว่าร่างเงากำลังคิดอะไรอยู่ แต่เขายังพอสังเกตเห็นได้ถึงความกังวลใจอย่างมาก

 

กำลังภายในของร่างเงาหมุนวนอย่างดุเดือดและพร้อมที่จะระเบิดพลังออกไปได้ทุกเมื่อ

 

ทว่า…

 

สิ่งนั้นไม่ได้ดึงดูดความความสนใจของซูฉินเลย

 

ถ้าร่างตรงหน้าเป็นยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่ง ซูฉินจะเคร่งเครียดกว่านี้

 

อย่างไรก็ตามร่างเงาก็เป็นแค่ผู้เชี่ยวชาญระดับชั้นที่สี่ ไม่ได้เป็นแม้แต่ระดับชั้นที่สาม แม้จะระเบิดพลังออกมาได้รุนแรงแค่ไหนก็ไม่พอจะต้านทานลูกตบของซูฉินได้สักหนึ่งฝ่ามือ

 

“ไม่มีทาง”

 

“ข้าจะถูกถ่วงเวลาต่อไปแบบนี้ไม่ได้”

 

ความคิดของร่างสีดำเปลี่ยนเป็นแหลมคม ครุ่นคิดถึงสถานการณ์ตรงหน้า

 

ศาลาพระคัมภีร์เป็นพื้นที่หลักของวัดเส้าหลิน จะมีพระเดินตรวจตราตลอดเวลา ก่อนหน้า ร่างเงาใช้ประโยชน์จากช่องโหว่เรื่องเวลาการตรวจตราจึงเข้ามาได้ในที่สุด

 

แต่เหลือเวลาไม่มากแล้ว

 

ถ้าเกิดร่างเงายังถูกถ่วงเวลาไว้แบบนี้ ถึงแม้ซูฉินจะไม่ทำอะไร แต่พระที่จะเข้ามาตรวจตราย่อมพบเจอเขาเป็นแน่

 

จากนั้นร่างเงาจะพบกับการไล่ล่าสังหารของสุดยอดพรรคอย่างเส้าหลิน

 

คิดได้แบบนี้ร่างเงาจึงขบฟันแน่น

 

“ต้องสู้!”

 

เข็มเงินสามเล่มปรากฏในมือขวาของเขาอย่างไร้สุ้มเสียง

 

เข็มเงินทั้งสามเล่มนี้สร้างขึ้นจากเหล็กดำ มีการออกแบบเพื่อการเจาะทะลวงร่างกาย แม้แต่ผู้เชี่ยวชาญในสามระดับบนก็ต้องทนทุกข์ทรมานจากมัน

 

“จัดการมันให้กับข้า”

 

สีหน้าของร่างเงาฉายความคิดฆ่าฟัน

 

ฟู่ว!

 

เข็มเงินทั้งสามเหมือนกับเป็นงูพิษ พุ่งเข้าใส่ซูฉิน

 

ในขณะนั้นเองร่างเงาจึงถอยกลับเต็มกำลังแล้วหนีออกนอกวัดเส้าหลิน

 

พริบตาร่างนั้นก็หลบหนีออกมาได้หลายสิบเมตร

 

“มันไม่ไล่ตามมารึ?”

 

ร่างเงาดำรู้สึกยินดียิ่ง มันหันหัวกลับไปมองทางที่ซูฉินอยู่อย่างไม่ตั้งใจ

 

“ฮะ?”

 

รูม่านตาของร่างเงาหดตัวลง

 

เพราะเข็มเงินกำลังพุ่งเข้าหาแต่ซูฉินกลับไม่หลบเลี่ยงราวกับเขานั้นกำลังหวาดกลัวไม่กล้าขยับ

 

มันจะเป็นไปได้อย่างไร?

 

ในสายตาของร่างเงา อย่างน้อยซูฉินก็ควรจะเป็นผู้เชี่ยวชาญในสามระดับบน

 

ถึงแม้เข็มเงินจะไร้เสียง ถ้าเป็นผู้เชี่ยวชาญในสามระดับบน การหลบหลีกย่อมไม่เป็นปัญหาอะไร

 

“หรือข้าคิดผิดไป พระกวาดลานเป็นเพียงคนธรรมดาที่ไม่มีพลังงั้นหรือ?”

 

เงาดำแอบโกรธขึ้นมา

 

หลังจากนั้น

 

เข็มเงินพุ่งเข้าไปที่หน้าอกของซูฉิน

 

อย่างไรก็ตาม

 

ร่างเงาได้เห็นฉากที่เหนือจินตนาการ เข็มเงินไม่สามารถทิ่มทะลุผ่านหน้าอกของซูฉินได้ แล้วกลายเป็นซากเศษเหล็กกระดอนตกลงไปบนพื้น

 

“นี่มัน…”

 

ร่างเงาตะลึงงัน

 

เพียงเท่านั้นความหนาวเย็นแผ่ปกคลุมไปทั่วจิตใจ

 

“ใช้เพียงร่างกายเพื่อรับการโจมตีของเข็มที่ทำจากเหล็กดำ?”

 

“เป็นไปได้ยังไง?!!!”

 

หัวใจของร่างเงาสั่นสะเทือนราวกับพบภูติผี

 

ในพริบตานั้น

 

ร่างเงากระตุ้นใช้ทักษะลับเพื่อเพิ่มความเร็วในการหลบหนีโดยไม่ต้องคิดอะไรให้มากความ แล้วเริ่มหลบหนีอย่างไม่คิดชีวิต

 

“นี่เจ้าต้องการจะฮิตแอนด์รัน[1] หรือ?”

 

ร่องรอยของการเยาะเย้ยปรากฏขึ้นบนใบหน้าของซูฉิน ยกมือขวาไปที่ด้านหน้าตวัดมือออกเป็นกระบวนท่าของดัชนีลงทัณฑ์ไร้สภาพ

 

ฟิ่ว!

 

รังสีของดัชนีไร้สภาพยิงออกไปในระยะทางเกือบลี้ โจมตีเข้าไปที่คนในชุดดำ

 

ร่างสีดำครวญครางแต่ไม่ยอมหยุดกลับใช้แรงส่งของกระบวนท่านี้พุ่งออกไปด้วยความเร็วที่มากกว่าเดิม

 

ซูฉินมองฉากนั้นแต่ไม่ได้ไล่ตามต่อไป

 

แต่เขาก้มตัวลงไปหยิบเข็มเงินที่ตอนนี้กลายเป็นเศษเหล็กแทน

 

“นี่คงจะเป็นเหล็กดำที่ออกแบบมาเพื่อทำลายกำลังภายในของผู้ฝึกยุทธสินะ?”

 

ซูฉินมองและคิดด้วยความสนใจ

 

ทุกวันนี้ถึงแม้เหล่าผู้ฝึกยุทธจะครองยุทธภพแต่พวกเขาก็มิใช่จะอยู่ยงคงกระพัน

 

ตัวอย่างเช่นเหล็กดำตรงหน้าเขานี่แหละคือตัวซวยของเหล่าจอมยุทธ

 

ถึงอย่างนั้นเหล็กดำพวกนี้หายากมาก และมีการควบคุมการผลิตตลอดในแต่ละภูมิภาค

 

คนทั่วๆ ไปหรือเหล่าจอมยุทธเองก็ไม่สามารถเข้าถึงมันได้โดยง่าย

 

ซูฉินเพ่งพินิจมันครู่หนึ่งก่อนจะบีบมันไปอย่างไม่ใส่ใจ เขาบดขยี้เข็มเงินจนเป็นเศษผง โรยมันลงพื้น และมันก็กระจายไปกับสายลม

 

พลังในการทำลายกำลังภายในของเหล็กดำเป็นของจริง แต่ซูฉินเข้าถึงความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ของ [กายาวัชระคงกระพัน] ร่างกายของเขาแข็งแกร่งดุจป้อมปราการสูงใหญ่ที่ไม่มีใครข้ามผ่านได้ เหล็กดำจะนับเป็นสิ่งของอันใดเมื่ออยู่ต่อหน้าเขา?

 

นอกจากนี้

 

แม้ซูฉินจะยังไม่ถึงขั้นความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ในวิชากายาวัชระคงกระพัน ด้วยกำลังภายในที่ทรงพลังของยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่ง เหล็กดำก็ทำอะไรไม่ได้

 

เหล็กดำยับยั้งกำลังภายในของจอมยุทธได้จริงๆ นั่นแหละ แต่การยับยั้งนั้นมันต้องสัมพันธ์กัน

 

ก็เหมือนกับใช้น้ำดับไฟ

 

ถ้าคุณมีเพียงน้ำในถ้วยเล็กๆ จะไปเผชิญหน้ากับกองเพลิงขนาดมหึมาได้อย่างไร?

 

 

หลังจากนั้นครึ่งวัน

 

ห่างจากวัดเส้าหลินหลายร้อยลี้

 

ในห้องโถงใหญ่ที่มืดทึบ

 

เป็นห้องโถงใหญ่ที่ห่างไกลเขตชุมชนแทบไม่มีใครเยื้องกรายเข้ามาใกล้ นี่คือสถานที่ตั้งของพรรคมาร

 

ขณะนี้กลุ่มคนต่างมารวมตัวกันในห้องโถงนี้ราวกับกำลังรอรับฟังข่าวบางอย่าง

 

พวกเขาแต่ละคนแผ่กลิ่นอายอันแข็งแกร่ง แน่นอนว่าคนเหล่านี้คือผู้ฝึกยุทธและเป็นผู้ฝึกยุทธที่ทรงพลังเสียด้วย อย่างน้อยๆ ก็อยู่ในชนชั้นสามระดับกลาง และบางคนถึงกับอยู่ในสามระดับบน

 

“ท่านประมุข การส่งคนไปยังวัดเส้าหลินเพื่อขโมย ‘คัมภีร์เปลี่ยนเส้นเอ็น‘… ข้าเกรงว่าเรื่องนี้ท่านจะคิดตื้นเกินไป”

 

“ไม่ว่าอย่างไร วัดเส้าหลินก็เป็นถึงสุดยอดพรรค…” หญิงร่างอวบอ้วนเอ่ยวาจาพร้อมทั้งขมวดคิ้วไปด้วย

 

“หืม?”

 

“สุดยอดพรรคงั้นรึ?”

 

บัดนั้นผู้อาวุโสท่าทางเย็นชาก็ยกมุมปากเยาะเย้ย “ตั้งแต่หกสิบปีก่อน สงฆ์ศักดิ์สิทธิ์ระดับชั้นที่หนึ่งคนสุดท้ายของวัดเส้าหลินได้มรณภาพไป วัดเส้าหลินก็ตั้งอยู่แบบนั้นมาหกสิบปีโดยไม่มีผู้ที่อยู่ระดับชั้นที่หนึ่ง”

 

“ปราศจากระดับชั้นที่หนึ่งแล้ว พวกมันไม่คู่ควรที่จะเรียกว่าสุดยอดพรรค”

 

วาจาที่กล่าวออกมา

 

มีเสียงอื้ออึงแสดงความเห็นด้วยมาจากผู้คนในโถง

 

“จริงๆ แล้ว พวกกลุ่มลาหัวโล้นในวัดเส้าหลินทำอะไรได้บ้างนอกจากอ่านคัมภีร์เล่มสองเล่ม”

 

“ไม่ต้องพูดถึงการขโมยคัมภีร์เปลี่ยนเส้นเอ็นเลย แม้แต่การทำลายล้างวัดเส้าหลินก็ไม่น่าจะยากลำบากอะไร!”

 

“ฮึ่ม หากพรรคมารของเราต้องการสิ่งใด วัดเส้าหลินยังจะกล้าปฏิเสธอะไรด้วยหรือ?”

 

เสียงพูดคุยสร้างความวุ่นวายไปทั่วโถง

 

ผ่านไปครู่หนึ่ง ชายชุดม่วงที่นั่งอยู่เป็นลำดับแรกของห้องโถงก็กล่าวคำ “เอาล่ะ หยุดได้แล้ว”

 

ทันทีที่ชายชุดม่วงกล่าวคำ ทั้งห้องโถงก็เงียบลง

 

“ข้าได้ส่งคนลอบเข้าไปในวัดเส้าหลินครานี้ไม่ใช่เพียงไปขโมย ‘คัมภีร์เปลี่ยนเส้นเอ็น‘ แต่ยังเป็นการทดสอบกำลังของวัดเส้าหลินด้วย”

 

ชายชุดม่วงพักครู่หนึ่งก่อนจะดำเนินคำกล่าวต่อไป “ถ้าพวกเราได้คัมภีร์เปลี่ยนเส้นเอ็นมาจริงๆ นั่นพิสูจน์ได้ว่าวัดเส้าหลินตกต่ำโดยสมบูรณ์แบบและพรรคมารของเราจะบุกเข้าวัดเส้าหลินในเร็วๆ นี้!”

 

เมื่อได้ยินคำกล่าวนั้นทำเอาทุกคนในโถงตกใจ

 

“แผนการของท่านประมุขนั้นกว้างไกลยิ่ง”

 

“พวกลาโง่วัดเส้าหลินบางทีคงไม่รู้ด้วยซ้ำว่าความเป็นตายของพวกมันตกอยู่ในการคำนวณของท่านประมุขหมดสิ้นแล้ว!”

 

ชายชุดม่วงยิ้มอ่อนๆ ไม่ได้กล่าวคำใดต่อไป

 

ในตอนนั้นเอง

 

ร่างเงาเดินโซซัดโซเซเข้ามาในห้องโถง

 

“กลับมาแล้วรึ?”

 

“ได้‘คัมภีร์เปลี่ยนเส้นเอ็น‘มาหรือเปล่า?”

 

ชายในชุดม่วงจำร่างเงาได้และถามออกมาอย่างแผ่วเบา

 

“ท่าน…ท่านประมุข” ร่างเงาเปิดปาก ต้องการจะเอ่ยคำแต่ใบหน้าของเขาซีดราวกับแผ่นกระดาษ

 

“นี่เจ้าบาดเจ็บ?” หัวคิ้วของชายชุดม่วงชนเข้าหากัน

 

พวกคนอื่นๆ เมื่อเห็นสิ่งนี้ก็เริ่มไม่พอใจ

 

“วัดเส้าหลินช่างกล้านัก กล้าดียังไงมาทำร้ายคนของพรรคมาร?”

 

“ท่านประมุข ตราบที่ท่านออกคำสั่ง พวกข้าจะบุกเข้าโจมตีวัดเส้าหลิน ละเลงทั้งวัดให้ท่วมไปด้วยเลือด”

 

“ใช่ ท่านประมุขโปรดออกคำสั่ง”

 

จอมยุทธในพรรคมารหลายคนต่างส่งเสียงโห่ร้อง

 

แต่ก็เท่านั้น

 

เมื่อเทียบกับจอมมยุทธพรรคมารพวกนั้นแล้ว ชายในชุดม่วงพบบางอย่างผิดปกติ

 

ฟึ่บ!

 

ชายชุดม่วงก้าวเข้าไปที่ด้านหน้าของร่างเงา

 

“ใครที่ทำร้ายเจ้า!”

 

ชายชุดม่วงเหยียดแขนขวาออกไปเพื่อจะตรวจดูอาการบาดเจ็บ

 

ทว่า

 

เพียงเมื่อชายชุดม่วงเคลื่อนกำลังภายในของเขาเข้าไปในกายของร่างเงาพลันรู้สึกได้ถึงบางสิ่ง

 

ไอพลังปราณปะทุออกมาจากร่างของมัน ทะลุออกมาจากร่างเงากลายเป็นพลังดัชนีไร้สุ้มเสียงพุ่งเข้าใส่ชายในชุดม่วง

 

“นี่มัน?!”

 

สีหน้าชายชุดม่วงถึงกับเปลี่ยนไป

 

ยกมือขึ้นปิดกั้นตามสัญชาตญาณ

 

ตูม!!!

 

คลื่นกระแทกกระจายออกไปสร้างความหวาดผวา

 

ชายในชุดม่วงถูกบังคับให้ถอยร่นกลับไปถึงแปดก้าวจึงค่อยหยุดลงได้ ก่อนที่จะกระอักเลือกออกมา

 

“การโจมตีจากหลายร้อยลี้ที่แสนไกล… นี่คือยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งที่ยืมมือคน เพื่อมาเตือนพรรคมารของเรา…”

 

ชายในชุดม่วงเงยหน้ามองร่างเงาที่บัดนี้ลมหายใจถูกตัดขาดไปแล้ว จึงได้แต่พูดพึมพำกับตนเอง

 

เมื่อคำพูดนี้ได้ถูกกล่าวออก

 

ทั้งห้องโถงตกอยู่ในความสงัด

 

จอมยุทธพรรคมารที่โห่ร้องประกาศจะทำลายวัดเส้าหลินก่อนหน้าต่างตกอยู่ในความหวาดกลัวไม่กล้าที่จะส่งเสียงอะไรออกไปอีก

 

——————————————————————————

 

(1) ฮิตแอนด์รัน (Hit and run) โดยทั่วไปมักจะเป็นคำศัพท์ที่ใช้ในเกมประเภท RPG ที่ผู้เล่นจะโจมตีไปที่เป้าหมายเพื่อดึงความสนใจแล้ววิ่งหนีออกมาจากสถานที่นั้น ทำให้เป้าหมายติดตามผู้เล่นจนออกห่างจากฝูง จากนั้นผู้เล่นจึงสามารถจัดการเป้าหมายได้โดยสะดวก (หรืออาจเป็นการลากเป้าหมายให้ออกจากฝูงแล้วให้ผู้เล่นอื่นช่วยกันกลุ้มรุมสังหารก็ได้)

Sign in Buddha’s palm 12 ร่างเงา

 

 

ซูฉินแลกเปลี่ยนวาจากับหัวหน้าตำหนักลานจิปาถะจากนั้นจึงค่อยจากไป

 

ก่อนจะจาก ซูฉินถามหัวหน้าตำหนักว่าช่วงนี้มีอะไรที่เขาอยากจะทำเป็นพิเศษหรือไม่

 

เพราะซูฉินได้เห็นแล้วว่าเวลาของหัวหน้าตำหนักลานจิปาถะล่วงเลยจนถึงบั้นปลายชีวิตแล้ว

 

ในโลกยุทธภพนี้ ช่วงชีวิตของชาวยุทธนั้นแน่นอนว่ายาวนานกว่าคนธรรมดาทั่วไป แต่ตราบใดที่ยังไม่เข้าถึงระดับตำนานยุทธหรือระดับอรหันต์ แม้แต่ยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งก็มีอายุขัยไม่เกินไปกว่าสองร้อยปี

 

แล้วสองร้อยปีนั้นก็ถือว่าเป็นช่วงเวลาอย่างนานที่สุด ความเป็นจริงคือ มีผู้เชี่ยวชาญระดับชั้นที่หนึ่งจำนวนมากยังห่างไกลจากการมีชีวิตอยู่ได้จนถึงอายุสองร้อยปี

 

เนื่องจากผู้ฝึกวิทยายุทธทุกคนล้วนมีอาการบาดเจ็บตกค้างภายในกายกันทั้งนั้นไม่มากก็น้อย ซึ่งนั่นเองที่เป็นเหตุทำให้อายุขัยสั้นลง

 

“ทุกสิ่งอย่างยังคงเดิม เปลี่ยนไปก็เพียงแค่ผู้คน…”

 

ซูฉินเดินเชื่องช้าไปตามทางเดินสีเขียวอันร่มรื่นของวัด ครุ่นคิดลึกซึ้งในอารมณ์

 

หัวหน้าตำหนักลานจิปาถะสามารถพูดได้เลยว่าเป็นผู้แนะนำของเขา เป็นผู้นำทาง หากไม่มีหัวหน้าตำหนักคนนี้ล่ะก็ ซูฉินจะไม่แม้แต่พำนักอยู่ที่วัดเส้าหลินได้

 

แต่ตอนนี้ สิบปีให้หลัง หัวหน้าตำหนักใกล้ที่จะมรณภาพเต็มที

 

“ว่ากันว่าตราบใดที่ขึ้นไปถึงระดับอรหันต์หรือก้าวเข้าสู่ขอบเขตตำนานยุทธ จะเป็นหนุ่มสาวไปตลอดโดยที่ระบบการทำงานในร่างกายจะย้อนกลับคืนสู่จุดสูงสุดและมีช่วงชีวิตยาวนานถึงห้าร้อยปี”

 

บัดนั้นซูฉินก็นึกถึงบันทึกในคัมภีร์

 

คำนึงถึงองค์ความรู้เหล่านี้ ต้องยกย่องวัดเส้าหลินในฐานะสุดยอดพรรคในยุทธภพ มีข้อมูลลับสุดยอดมากมายเกี่ยวกับวิชายุทธที่หาอ่านได้ในวัดเส้าหลินนี่เอง

 

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ข้อมูลเกี่ยวกับระดับ ‘อรหันต์‘

 

“อรหันต์” ของเส้าหลินเทียบเท่ากับตำนานยุทธ ในยุทธภพ

 

ข้อมูลอื่นๆ เกี่ยวกับเหล่าตำนานยุทธเก็บเป็นความลับสุดยอดของสุดยอด

 

“อายุยืนยาวถึงห้าร้อยปี…”

 

ซูฉินรู้สึกอิจฉามากทีเดียว

 

ถึงแม้ว่าซูฉินจะฝึกฝน [กายาวัชระคงกระพัน] จนถึงความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ กายเนื้อของเขาคงสภาพอยู่ในระดับสูงสุดตลอดเวลาและเขายังเป็นหนึ่งในยอดปรมาจารย์ส่วนน้อยที่สามารถมีอายุยืนถึงสองร้อยปีได้จริงๆ แต่อายุยืนสองร้อยปีจะไปเทียบอะไรได้กับห้าร้อยปีกันเล่า

 

อย่างหลังมันมากกว่าสองเท่าของอย่างแรกอีกนะ

 

“ระดับอรหันต์อย่างนั้นสินะ…”

 

ความคิดของซูฉินเดี๋ยวขึ้นเดี๋ยวลง

 

ตลอดมาตั้งแต่ที่ซูฉินเข้าสู่ระดับชั้นที่หนึ่ง มันเห็นได้ชัดว่าความเร็วในการฝึกตนได้ลดต่ำลง

 

“ช่างมันประไร”

 

“ค่อยเป็นค่อยไปดีกว่า”

 

“ข้าอายุเพียงยี่สิบปีในยามนี้ ยังมีชีวิตได้อีกตั้ง 180 ปี ข้าไม่เชื่อหรอกว่าข้าจะไม่สามารถข้ามผ่านไปได้”

 

ซูฉินขบคิดเงียบงัน

 

จังหวะนั้นเองซูฉินก็ได้เข้ามาในศาลาพระคัมภีร์

 

[ระบบ ลงชื่อเข้าใช้ที่นี่]

 

[ขอแสดงความยินดี โฮสต์ลงชื่อเข้าใช้งานสำเร็จ ได้รับเคล็ดวิชา “ดัชนีลงทัณฑ์ไร้สภาพ”]

 

“ดัชนีลงทัณฑ์ไร้สภาพ?”

 

ซูฉินดีใจมาก

 

ท่ามกลางเคล็ดวิชาในวัดเส้าหลิน [ดัชนีลงทัณฑ์ไร้สภาพ] เป็นเคล็ดวิชาที่ดีมากสำหรับการสังหาร เมื่อฝึกฝนจนเข้าสู่ความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ มันสามารถบีบอัดพลังของทัณฑ์ทรมานและฆ่าคนจากระยะไกลแสนไกลได้ผ่านอากาศ

 

หวึ่ง!

 

ฉับพลัน ความเข้าใจในวิชา [ดัชนีลงทัณฑ์ไร้สภาพ] ก็เข้ามาในมโนจิตของซูฉิน

 

[ดัชนีลงทัณฑ์ไร้สภาพ] ไม่ได้แข็งแกร่งเท่า [ฝ่ามือยูไล] ดังนั้นด้วยความแข็งแกร่งของซูฉินที่เป็นถึงยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่ง มันก็ง่ายสำหรับเขาที่จะบรรลุวิชา [ดัชนีลงทัณฑ์ไร้สภาพ] ไปถึงความสำเร็จอันยิ่งใหญ่

 

“ไร้รูป ไร้เสียง”

 

“สังหารได้เพียงพริบตา”

 

“ช่างน่าสงสัยในจิตใจของศิษย์พี่ผู้คิดค้นเคล็ดวิชาจริงๆ ว่ามันเป็นอย่างไร…”

 

ซูฉินยิ้มน้อยๆ มีพลังเจือจางอยู่ระหว่างนิ้วของเขา ตราบที่ซูฉินมีความตั้งใจจะทำ เขาสามารถสังหารผู้คนที่อยู่ห่างไกลออกไปเป็นพันลี้ด้วยใช้ออกเพียง [ดัชนีลงทัณฑ์ไร้สภาพ]

 

ตอนที่เขากำลังชื่นชมกับทักษะยุทธอันใหม่ พลันรับรู้บางสิ่ง

 

ในตอนนั้น

 

การแสดงออกของซูฉินก็เปลี่ยนไป

 

“มีคนแอบย่องเข้ามาในวัดเส้าหลินรึ?”

 

 

ในเวลาเดียวกัน

 

เงาดำย่องเงียบเชียบ เข้ามาด้านในศาลาพระคัมภีร์

 

“อาการธาตุไฟเข้าแทรกของท่านประมุขพรรคยากเย็นนักที่จะฟื้นตัว ว่ากันว่าวิชาอี้จินจิง (คัมภีร์เปลี่ยนเส้นเอ็น) ของเส้าหลินมีผลอันยอดเยี่ยมสามารถรักษาอาการบาดเจ็บได้ทั้งยังครอบคลุมถึงอาการบาดเจ็บหนักด้วย”

 

“ตราบเท่าที่ข้าทำตามที่ประมุขพรรคได้กล่าวใช้ให้มาขโมยอี้จินจิง ข้าก็จะได้รับรางวัลตอบแทนอย่างงาม!” ร่างนั่นบ่นพึมพำกับตนเอง

 

วัดเส้าหลินเป็นสุดยอดพรรคที่ตกต่ำลงในช่วงร้อยปีนี้ เป็นที่แน่นอนว่ามันดึงดูดความสนใจจากกองกำลังต่างๆ ในยุทธภพ รวมไปถึงพรรคฝ่ายอธรรมที่อยู่เบื้องหลังร่างสีดำนั่น

 

เวลานี้ ประมุขพรรคมารได้ให้ร่างเงาดำนั่นมาที่นี่ นอกเหนือจากฉกฉวย [คัมภีร์เปลี่ยนเส้นเอ็น] เพื่อมารักษาอาการบาดเจ็บแล้ว เขายังต้องการทดสอบกำลังของวัดเส้าหลิน

 

“ยิ่งไปกว่านี้ ที่มากไปกว่าคัมภีร์อี้จินจิง วัดเส้าหลินยังมีเคล็ดวิชาชั้นสูงอีกตั้งเจ็ดสิบสองวิชาที่โด่งดัง ถ้าข้าได้รับไปสักหลายคัมภีร์หน่อย ไม่ใช่ว่าต่อไปข้าจะกลายเป็นผู้ยิ่งใหญ่หรอกหรือ?”

 

ดวงตาของเงาร่างนั้นสาดประกายความโลภ

 

ในการฝึกฝนวิชายุทธ นอกจากความเพียรและพรสวรรค์ส่วนตนแล้ว มันยังต้องการโอกาสจากภายนอกร่วมด้วย

 

สำหรับร่างเงาที่ลอบเร้นมา ศาลาพระคัมภีร์ตรงหน้าคือโอกาสชั้นยอดนั้น

 

แต่เมื่อร่างสีดำจะสำรวจศาลาพระคัมภีร์ มันเห็นพระกวาดลานห่มจีวรสีเทากำลังเดินอย่างเชื่องช้า

 

“พระกวาดลาน?”

 

“โชคไม่ดีจริงๆ ทำไมเจ้าต้องออกมาเวลานี้ด้วย”

 

ร่างเงานั้นขมวดคิ้วมุ่น มันทำได้เพียงอดทนและต้องการจะรอจนกว่าพระกวาดลานจากไปจึงค่อยเข้าไปด้านในศาลาพระคัมภีร์

 

วิชาฝึกตนของร่างเงานั้นค่อนข้างพิเศษ เมื่อใช้ออกจนสุด มันสามารถกลมกลืนไปกับเงาจนเกือบแยกไม่ออก แม้แต่ผู้เชี่ยวชาญในสามระดับบนพยายามเพ่งหาก็ไม่มีทางมองหาร่างเงานั้นได้พบ

 

นั่นเป็นสาเหตุทำไมประมุขพรรคมารจึงส่งบุคคลผู้นี้มา

 

ในแง่ของการซุ่มซ่อนลอบเร้น ร่างเงานั้นนับว่าเหนือไปกว่าสามระดับบนเสียอีก

 

 

อย่างไรก็ตาม

 

แม้ผ่านไปกว่าครึ่งชั่วโมง ร่างเงาพบว่าไม่เพียงพระกวาดลานนั่นจะไม่จากไป ยังกวาดมาถึงบริเวณใกล้เคียงกับมัน

 

นอกจากนี้ มันไม่รู้ว่าเป็นภาพลวงตาหรือไม่ แต่ร่างเงารู้สึกได้ตลอดว่าพระกวาดลานผู้นี้ไม่ว่าจะตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ มันหลบเลี่ยงตัวของร่างเงาที่ซ่อนอยู่ไปตลอดการปัดกวาด

 

“พระกวาดลานนั่นคงไม่ได้พบตัวข้าเข้าให้แล้วหรอกกระมัง?”

 

ร่างเงารู้สึกไม่แน่ใจและเจตนาฆ่าฟันก็ก่อตัวขึ้นในใจ

 

ถ้าเป็นไปตามที่มันคิด พระที่กวาดลานอยู่นี่ คงปล่อยไปไม่ได้

 

หากปล่อยอีกฝ่ายไปแล้วมันพยายามพูดเรื่องโง่เง่าหลังจากไปแล้วล่ะก็ จะต้องดึงดูดความสนใจจากเจ้าอาวาสวัดเส้าหลินแน่ๆ แบบนั้นแผนการขโมยคัมภีร์เปลี่ยนเส้นเอ็นก็ล้มเหลวสิใช่ไหม?

 

คิดได้ดังนั้น ร่างเงาตัดสินใจจะจบชีวิตพระกวาดลานนี่ก่อนที่จะเข้าไปในศาลาพระคัมภีร์

 

แต่เสียงถอนหายใจก็ดังขึ้นมาข้างหู

 

“นี่คือพื้นที่หลักของวัดเส้าหลิน ประสกลอบเข้ามาโดยไม่ได้รับอนุญาตและละเมิดกฎเกณฑ์”

 

“นั่นใครพูดน่ะ?”

 

เสียงดังหึ่งๆ ในหูของร่างเงาและบังคับดึงเขาออกจากสถานะลอบเร้น ร่างเงาถึงกับตื่นตระหนก

 

น่าเหลือเชื่อที่มีใครสามารถดึงเขาออกจากการลอบเร้นเพียงใช้เสียง

 

ระดับชั้นที่สาม?

 

ระดับชั้นที่สอง?

 

หรือว่า…

 

ร่างเงาไม่อาจกล้าจะคิดต่อไปอีก

 

อย่างไรก็ตาม

 

สิ่งที่ทำให้ร่างเงาเหลือเชื่อขึ้นไปอีกนั่นก็คือพระจีวรเทาที่กำลังกวาดพื้น ค่อยๆ เงยหน้าขึ้น ดวงตาของทั้งคู่สบกัน

 

“เป็นท่าน?!”

 

ร่างเงาหน้าเปลี่ยนสีจ้องมองตรงไปที่พระกวาดลาน

 

ร่างเงานั้นสามารถรู้สึกได้ว่าพระกวาดลานตรงหน้าตนนั้นแสนจะธรรมดา ไม่มีความผันผวนของกำลังภายใน

 

ถ้าเป็นก่อนหน้า ร่างเงาคงคิดว่าพระรูปนี้เป็นคนธรรมดาจริงๆ

 

แต่ตอนนี้มันไม่มีความคิดนั้นเลย

 

คนธรรมดาจะมองผ่านการลอบเร้นของเขางั้นหรือ?

 

คนธรรมดาจะสามารถบังคับดึงเขาออกจากสถานะลอบเร้นได้หรือ?

 

หนังศีรษะของร่างเงาชาวาบ และเกือบจะวิ่งหนีไปด้วยความผวาแล้ว

 

ซูฉินรู้สึกว่ามันช่วยไม่ได้

 

ถ้าร่างเงาเพียงเข้าศาลาพระคัมภีร์มาโดยตรง ซูฉินจะทำเป็นว่าไม่เห็นอะไร

 

ตราบที่ฝ่ายตรงข้ามไม่ได้ทำลายศาลาพระคัมภีร์ ซูฉินหน่ายเกินกว่าจะเอาตัวเองเข้าไปยุ่งเกี่ยว

 

แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดคือซูฉินนั้นไม่ต้องการเข้าไปยุ่งแต่ร่างเงายังคิดที่จะฆ่าเขาแบบนี้…..

Sign in Buddha’s palm 11 สั่นสะเทือน

 

 

อย่างเร่งรีบ

 

เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินและหัวหน้าตำหนักออกไปด้านนอกวัดเส้าหลิน ต้องการที่จะยืนยันด้วยตาของตนเองว่าผู้สืบทอดมารพุทธะตายแล้วจริงๆ หรือไม่

 

ไม่ใช่ว่าเจ้าอาวาสไม่เชื่อถือลูกศิษย์ของตน แต่เรื่องที่เกิดขึ้นนั้นมันเหลือเชื่อเกินไป

 

มารพุทธะมีวิธีการต่างๆ มากมายในการหลบหนี เชี่ยวชาญวิชาแม้กระทั่ง [วิชาตัวตายตัวแทน] ในตำนานแม้แต่การโจมตีของคนที่สงสัยว่าจะบรรพบุรุษลึกลับของวัดเส้าหลินก็ยังล้มเหลวในคราวแรก…

 

อยู่ดีๆ จะมาตายง่ายๆ แบบนี้ได้อย่างไร?

 

เมื่อเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินและเหล่าหัวหน้าตำหนักเดินทางมาถึงด้านนอกวัดเส้าหลินต่างก็ตกอยู่ในอารมณ์ตกใจ มีร่างของเจินซิ่งกำลังนั่งคุกเข่าอยู่ที่พื้นจริงๆ

 

“นี่คือมารร้ายตนนั้นจริงๆ หรือนี่?”

 

หัวหน้าตำหนักอรหันต์นิ่งอึ้ง

 

จากสายตาเขาสามารถมองเห็นเจินซิ่งอยู่ตรงจุดนั้น ไม่มีบาดแผลใดๆ ปรากฏให้เห็น แต่ความจริงร่างนี้ไม่มีลมหายใจเหลืออยู่แล้ว

 

ในเมื่อคนคนหนึ่งตายแล้ว ย่อมจะตายซ้ำไม่ได้อีก

 

“ตายแล้วจริงงั้นรึ?”

 

เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินผ่อนคลายลงในที่สุด รู้สึกภูเขาที่แบกรับเอาไว้บนบ่าได้ถูกยกออกไปแล้ว

 

หากผู้สืบทอดของมารพุทธะยังไม่ตาย ไม่ช้าก็เร็วจะมีสักวันที่มันจะหวนกลับมาพร้อมความแกร่งที่ยิ่งกว่าเก่าก่อนและมาทำลายวัดเส้าหลิน

 

แต่ตอนนี้ในเมื่อฝ่ายตรงข้ามได้ตายลงแล้ว วิกฤติการณ์วัดเส้าหลินย่อมคลี่คลายลงไปตามธรรมชาติ

 

อย่างน้อยก็อีกศตวรรษหนึ่งที่วัดเส้าหลินจะสามารถอยู่อย่างสงบ ไม่ต้องกังวลกับเกี่ยวกับปัญหาที่ชื่อว่าผู้สืบทอดของมารพุทธะ

 

“เป็นหมัดที่ทรงพลังยิ่งนัก!”

 

ม่านตาของหัวหน้าตำหนักยุทธสงฆ์สั่นไหว รู้สึกถึงไอพลังที่ออกมาจากร่างของผู้สืบทอดมารพุทธะ เขาตื่นตะลึงไป

 

ในจุดที่ถือเป็นผู้เชี่ยวชาญในสามระดับบน หัวหน้าตำหนักยุทธสงฆ์ย่อมมองเห็นสาเหตุการตายของผู้สืบทอดของมารพุทธะ

 

“หมัดเดียวถึงตาย…ช่างเป็นการต่อยที่น่ากลัวอะไรแบบนี้!”

 

หัวหน้าแผนกวินัยเข้าไปพินิจใกล้ๆ อดไม่ได้ที่จะอุทานออกมา

 

บาดแผลที่ส่งทายาทมารพุทธะเข้าสู่ประตูแห่งความตายคือรอยหมัดจางๆ อยู่บริเวณหน้าอก

 

รอยหมัดนี้แผ่กลิ่นอายที่โดดเด่นมาก มันทำลายทั้งวิญญาณ พลังปราณ และอวัยวะภายในของผู้สืบทอดแห่งมารพุทธะไม่มีเหลือ

 

“นี่คือ หมัดอรหันต์งั้นหรือ?”

 

หัวหน้าลานอรหันต์เหมือนจะพบความจริงที่น่าประหลาดใจ

 

เขาไม่คิดฝันว่าตัวตนอย่างผู้สืบทอดของมารพุทธะจะตายด้วยเคล็ดวิชาหมัดพื้นฐานอย่างที่สุดของลานอรหันต์

 

“อะไรนะ?”

 

“หมัดอรหันต์?”

 

ใบหน้าของพระรูปอื่นๆ เปลี่ยนไป

 

“เป็นหมัดอรหันต์จริงๆ ด้วย…”

 

เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินถอนหายใจแล้วพูดต่อ “ดูเหมือนว่าแท้จริงมันจะเป็นฝีมือของบรรพบุรุษสงฆ์ศักดิ์สิทธิ์จากวัดเส้าหลินของพวกเราที่ซุ่มซ่อนตัวอยู่…”

 

เมื่อทราบข่าวการตายของผู้สืบทอดแห่งมารพุทธะ เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินก็ได้แต่คาดเดา

 

แค่เพียงตอนนี้ยังไม่แน่ใจนัก

 

เพราะในสายตาของเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวิน แม้ว่าจะมีบรรพบุรุษสงฆ์ศักดิ์สิทธิ์ในวัดเส้าหลิน พลังชีวิตและเลือดเนื้อของท่านย่อมโรยราเต็มที มันคงถึงขีดจำกัดของท่านแล้วหลังจากที่ได้จัดการผู้สืบทอดมารพุทธะลงได้

 

ไม่อย่างนั้นแล้ว ทำไมบรรพบุรุษถึงไม่เปิดการโจมตีและกำจัดผู้สืบทอดมารพุทธะตั้งแต่แรก แต่กลับใช้ใบไม้โจมตีเข้าไปในช่วงสุดท้ายแทนล่ะ?

 

แต่ในยุคนี้เนี่ย…

 

เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินคิดเท่าไรก็คิดไม่ออก

 

ศิษย์ในยุคหลังมานี้ เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินรู้ดีว่าเป็นไปไม่ได้ที่มีใครเข้าสู่ระดับชั้นที่หนึ่งได้

 

ในส่วนที่ว่าหากจะมีบรรพบุรุษคนอื่นๆ นั้น ยังไงวัดเส้าหลินก็ลึกซึ้งกว้างใหญ่มีความเป็นไปได้มากมาย แม้ตัวเจ้าอาวาสเองเขาก็ไม่สามารถคาดเดาได้

 

“บรรพบุรุษหรือ?”

 

“ถูกต้อง ต้องเป็นบรรพบุรุษในระดับสงฆ์ศักดิ์สิทธิ์แน่ๆ ไม่อย่างนั้นจะมีใครอื่นที่สามารถกำจัดผู้สืบทอดมารพุทธะได้?”

 

“นี่ต้องเป็นพรจากองค์ท่าน! อา ไม่คาดคิดจริงๆว่าวัดเส้าหลินยังมีสงฆ์ศักดิ์สิทธิ์เหลืออยู่”

 

พวกหัวหน้าตำหนักตื่นเต้นดีใจเริ่มพูดคุยกันด้วยเสียงทุ้มต่ำ

 

ในขณะนี้ไม่เพียงแต่วัดเส้าหลินจะข้ามผ่านอันตรายจากทายาทมารพุทธะมาได้ แต่ยังได้รับรู้ถึงการคงอยู่ของบรรพบุรุษที่หลบซ่อนตัวอยู่อีก

 

จะไม่ให้หัวหน้าตำหนักเหล่านี้ไม่ดีอกดีใจได้อย่างไรเล่า?

 

แต่หากเหล่าหัวหน้าตำหนักที่กำลังตื่นเต้นกันอยู่นั้นได้รู้ว่าบรรพบุรุษลึกลับที่ยากจะหยั่งถึง คนที่กำจัดผู้สืบทอดของมารพุทธะไม่ใช่ใครที่ไหนแต่เป็นพระกวาดลานสังกัดลานจิปาถะ จะมีใครนึกภาพอาการตกใจของพวกเขาออกได้บ้าง ดวงตาของพวกเขาต้องถลนออกจากเบ้าเป็นแน่แท้

 

 

เมื่อผู้สืบทอดของมารพุทธะตายไป จิตมารก็สลายหายไปด้วย

 

ลึกเข้าไปในภูเขาด้านหลังวัดเส้าหลิน ร่างเงาทะมึนค่อยๆ ลืมตาขึ้นมา

 

“น่าสนใจ”

 

“คราวนี้จิตมารหายไปเร็วขนาดนี้เชียวหรือ?”

 

“ไม่ควรจะเป็นเช่นนี้สิ? ไม่ใช่ว่าในเวลาเก้าร้อยปีมานี้ มรดกตกทอดของวัดเส้าหลินย่ำแย่ลงทุกวี่วันและยุคนี้ไม่ควรมีแม้กระทั่งระดับชั้นที่หนึ่งสิ”

 

ร่างเงาพึมพำกับตนเอง

 

“หรืออาจจะมีอุบัติเหตุอะไรเกิดขึ้น?”

 

ร่างเงาพยายามจะลึกขึ้นแล้วออกไปจากสถานที่แห่งนี้

 

อย่างไรก็ตาม

 

เหตุการณ์ต่อมานั้น

 

เกราะคุ้มกันสีทองพลันก่อตัวขึ้นห่อหุ้มเงาปีศาจเอาไว้

 

พลังมารสลายออกไปเป็นจำนวนมากทันทีเมื่อสัมผัสเข้ากับเกราะคุ้มกันสีทอง

 

“บ้าเอ้ย”

 

“ไอ้ผนึกนี่อีกแล้ว!”

 

“เก้าร้อยปีแล้วนะโว้ย จะคุมขังข้าเอาไว้อีกนานแค่ไหน?!”

 

ร่างเงาโกรธเกรี้ยวลุกโชน แต่ก็ค่อยๆ กลับไปอยู่ที่เดิมอย่างช้าๆ

 

“อีกไม่นานหรอก”

 

“ข้ารู้สึกได้ว่าพลังของผนึกกำลังอ่อนกำลังลง”

 

“เมื่อไรก็ตามที่มันอ่อนแอยิ่งกว่านี้ ข้าจะต้องทำลายผนึกนี้ได้สำเร็จ ตอนนั้นแหละข้าจะเปลี่ยนวัดเส้าให้กลายเป็นทะเลเลือด”

 

ทันทีที่พูดจบร่างเงาปีศาจก็หายไปในความว่างเปล่า

 

 

หลังเหตุการณ์ของผู้สืบทอดมารพุทธะ ศิษย์มากมายในวัดเส้าหลินได้รู้สึกถึงความเร่งด่วนจำเป็นในใจ แม้แต่หัวหน้าตำหนักก็กำลังเริ่มมองหาหนทางที่สามารถเข้าสู่ระดับชั้นที่สอง

 

แต่แน่นอนว่า

 

นั่นไม่ได้รวมซูฉินเข้าไปด้วย

 

ซูฉินยังคงกวาดพื้นอยู่ทุกวัน ราวกับสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นไม่ได้มีอะไรเกี่ยวกับเขาเลย

 

ในวันนี้ หัวหน้าตำหนักเรียกให้ซูฉินมาพบ

 

สิบปีก็ได้ผ่านไปแล้ว หัวหน้าลานจิปาถะก็ชราขึ้นไปอีก มีริ้วรอยมากมายบนใบหน้า

 

เส้นทางในการฝึกฝนวิทยายุทธซับซ้อนและยาวนาน แม้แต่ตัวผู้เชี่ยวชาญระดับชั้นที่หนึ่งเองก็ไม่สามารถบรรลุความเยาว์วัยชั่วนิรันดร์ได้ มากที่สุดก็ทำได้แค่เพียงยืดอายุขัยออกไป

 

“เจินกวนเอ้ย เจ้าอยู่วัดเส้าหลินมานานแค่ไหนแล้ว?”

 

หัวหน้าลานจิปาถะหยุดการกระทำของตนแล้วถามขึ้นอย่างกระทันหัน

 

“นานแค่ไหนแล้ว?”

 

ซูฉินครู่หนึงก่อนนะตอบออกไป “สิบปีแล้วขอรับ”

 

“อืม ใช่เป็นเวลาสิบปีแล้ว” หัวหน้าตำหนักเต็มไปด้วยอารมณ์ความรู้สึก “สิบปีก่อน ข้านำเจ้ามายังลานจิปาถะ”

 

“สิบปีนี่ผ่านไปในพริบตา…”

 

ซูฉินรับฟังคำพูดของหัวหน้าลานจิปาถะ แต่ไม่ได้กล่าวคำใดออกไป

 

“เป็นพระกวาดลานมาเป็นสิบปี เจ้ามีความขุ่นข้องหมองใจใดหรือไม่” หัวหน้าลานจิปาถะเอ่ยถาม

 

“ความคับข้องใจ?”

 

ซูฉินผงะไปเล็กน้อย

 

เขาก็มีความสุขมาตลอด จะไปมีความข้องใจอะไรได้เล่า?

 

“ไม่มีขอรับ”

 

ซูฉินตอบไปตามความจริง

 

“ไม่มีความหยิ่งผยอง ไม่มีหุนหันพลันแล่น แล้วก็ไม่มีถ่อมตัวจนเกินงาม” หัวหน้าลานจิปาถะจ้องไปที่ซูฉินพักหนึ่ง ในที่สุดร่องรอยตลกขบขันกึ่งประชดประชันก็ปรากฏบนใบหน้า “ข้าไม่คาดคิดเลยว่าศิษย์ในยุคนี้ จะมีสักคนที่มีภาวะจิตใจสูงส่งเช่นนี้ แล้วคนคนนั้นปรากฏว่าเป็นพระกวาดลานรูปหนึ่ง”

 

หากซูฉินอายุห้าสิบหกสิบปี เขาสามารถเชื่อได้ลงและไม่เห็นว่ามันจะแปลกประหลาดอะไร

 

แต่เห็นได้ชัดว่าซูฉินยังไม่แก่เลย

 

จากสิบขวบจนตอนนี้อายุยี่สิบ เวลาอันมีค่ากว่าสิบปีในชีวิตของเขาใช้ไปกับการกวาดลานวัด โดยไม่ประสบความสำเร็จในสิ่งอื่นใด สำหรับคนอื่นๆ พวกเขาจะไม่เต็มไปด้วยความไม่ยินยอมในจิตใจได้เยี่ยงไร?

 

ยิ่งกว่านั้นนี่คือสุดยอดพรรคอย่างวัดเส้าหลินที่ที่มีเคล็ดวิชาระดับสูงมากมายให้ไขว่คว้า แต่ทำได้เพียงกวาดพื้นเท่านั้นเนี่ยนะ…

 

ช่องว่างขนาดนี้เพียงพอที่จะทำให้ผู้คนคลั่งตาย

 

แต่ซูฉินนั้นไม่ใช่ หรืออย่างน้อยคือหัวหน้าลานจิปาถะไม่เคยเห็นซูฉินไม่พอใจ

 

แค่แง่มุมนี้อย่างเดียว ซูฉินก็เหนือกว่าพวกอัจฉริยะในลานอรหันต์หรือตำหนักยุทธสงฆ์แล้ว

 

แม้แต่ในหมู่หัวหน้าตำหนัก บางคนก็ไม่ยอดเยี่ยมเท่ากับซูฉินในด้านของภาวะจิตใจ

 

“หัวหน้าตำหนักคงจะเข้าใจผิดแล้ว”

 

“ข้าก็แค่พระกวาดลาน ไยจะสามารถมีภาวะจิตใจอันสูงส่งได้เล่า?”

 

ซูฉินรีบบอกปฏิเสธ

Sign in Buddha’s palm 10 หมัดเดียว

 

 

 

“ข้าเป็นใครน่ะหรือ?”

 

ซูฉินมองไปที่เจินซิ่งแล้วกล่าวออกอย่างไม่ได้คิดอะไรมาก “ข้าก็คือเจินกวนแห่งลานจิปาถะอย่างไรเล่า เจ้าจำข้ามิได้หรอกรึ?”

 

“เป็นไปไม่ได้!”

 

เจินซิ่งจ้องไปที่ซูฉินอย่างระแวดระวัง “เจินกวนเป็นแค่พระกวาดลานของวัดเส้าหลิน ความแข็งแกร่งนั้นเรียกว่าต่ำมาก แต่เจ้า…”

 

เจินซิ่งต้องการจะเอ่ยถามคำต่อไป แต่ความรู้สึกถึงวิกฤติเกิดขึ้นในใจเขาอย่างรุนแรง มันกระตุ้นเตือนให้เขาหนีไป

 

วิ่ง!

 

วิ่ง!

 

ไม่งั้นตายแน่!

 

เจินซิ่งรู้ดีว่าเป็นจิตมารที่ฝังรากอยู่ในใจเขาเอ่ยเตือน

 

“เมื่อครู่ ใช่เจ้าหรือไม่ที่โจมตีข้า?”

 

เจินซิ่งพยายามทำตัวให้สงบลงอย่างเต็มที่และถามออกไป

 

“ถ้าสิ่งที่เจ้ากำลังกล่าวถึงคือใบไม้ล่ะก็ นั่นน่ะข้าทำเอง” ซูฉินยอมรับอย่างไม่มีปิดบัง

 

เมื่อได้ฟังคำเหล่านั้น เจินซิ่งไม่สามารถทำใจเชื่อได้ลง

 

เขารู้ว่ามีแค่ตัวตนระดับชั้นที่หนึ่งเท่านั้นเป็นอย่างน้อยถึงจะสามารถฆ่าเขาได้ด้วยใบไม้นั่น

 

ย้ำอีกครั้ง ยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งเชียวนะ!

 

ทั่วทั้งยุทธภพ มีคนเหล่านั้นเพียงหยิบมือเดียว คนเหล่านั้นเป็นพลังอันไร้เปรียบ

 

วัดเส้าหลินมีภูมิหลังที่ลึกซึ้งและไม่อาจประเมินวัดได้ ถ้าจะมียอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งซ่อนตัวอยู่อย่างลับๆ จริงๆ เจินซิ่งย่อมจะโกรธเกรี้ยวแต่มันก็พอรับได้อยู่

 

แต่ซูฉิน…

 

ซูฉินมันจะสามารถเป็นยอดปรมาจารย์ชนชั้นที่หนึ่งได้ยังไง?

 

มันอายุสักกี่ปีกันเชียว?

 

มันจะเป็นยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งได้ยังไง?

 

แม้แต่ตัวเจินซิ่งเองถ้าปราศจากมรดกตกทอดจากมารพุทธะ ไม่มีจิตมารเพื่อเปลี่ยนแปลงร่างกาย อย่างมากเขาก็อยู่แค่ที่ระดับชั้นที่เจ็ด

 

แล้วนี่ยังต้องขึ้นอยู่กับการที่ได้รับทรัพยากรจากวัดเส้าหลินอย่างต่อเนื่องด้วยนะ

 

แต่ตอนนี้ มีคนมาบอกเขาว่าใครบางคนที่อายุพอๆ กับเขากลายเป็นยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งเรียบร้อยแล้ว?

 

แถมคนคนนั้นยังเป็นแค่พระกวาดลานที่ไม่มีอะไรโดดเด่นอีกงั้นหรือ

 

เจินซิ่งจะยอมรับความห่างชั้นนี้ได้อย่างไร

 

“เป็นไปไม่ได้!”

 

“มันเป็นไปไม่ได้!!!”

 

เจินซิ่งพึมพำอยู่กับตนเอง พลังมารในร่างของเขาถูกปลดปล่อยออกมา

 

การเป็นผู้สืบทอดของมารพุทธะนั้นเดิมทีก็เป็นเหมือน ‘ผลิตภัณฑ์สำเร็จรูปที่สร้างมาอย่างลวกๆ‘ ทุกคนต้องอาศัยจิตมารเพื่อปรับสภาพร่างกาย และพยายามอย่างยากลำบากเพื่อที่จะเข้าใจให้ลึกซึ้งถึงพลังของตนเอง

 

แต่ในตอนนี้ เมื่อได้ถูกกระตุ้นเตือนด้วยเรื่องราวแท้จริงในโลกภายนอกแบบนี้ เขารู้สึกเจ็บปวดอย่างยิ่งเมื่อได้รู้ความเป็นไปของโลก

 

 

“นี่…”

 

“ถ้าแกแค่อยากจะหลบหนีออกจากวัดเส้าหลิน ข้าจะไม่ใส่ใจแกเลย”

 

“ไม่ว่าจะเป็นมารพุทธะหรือองค์ยูไล มันจะมีอะไรมาเกี่ยวข้องกับข้าเล่า? ก็แค่พระกวาดลานใช่ไหมล่ะ?”

 

ซูฉินถอนหายใจออก น้ำเสียงของเขาเริ่มถูกกดต่ำลงเรื่อยๆ “แต่ทำไมแกจะต้องมาทำลายวัดเส้าหลินด้วย?”

 

“ถ้าวัดเส้าหลินถูกทำลายลง ข้าจะไปกวาดพื้นได้ที่ไหนอีก?”

 

ใบหน้าของซูฉินเริ่มจะสงบอารมณ์ไว้ไม่ไหว

 

ในที่สุดเขาก็ค้นพบสถานที่ที่ประหนึ่งขุมทรัพย์ให้เขาได้ลงชื่อรับของรางวัลแบบวัดเส้าหลินแห่งนี้ ดังนั้นเขาจะปล่อยให้มันถูกทำลายลงได้อย่างไร?

 

“กวาด…กวาดพื้นงั้นหรือ?”

 

เจินซิ่งดูเหมือนจะสับสนและหยุดการตอบสนองใดๆ ไปนานพอตัว

 

ตอนนี้เขาคิดมากถึงขนาดว่าบางที่ซูฉินอาจจะเป็นยอดอัจฉริยะที่ถูกวัดเส้าหลินฝึกฝนอย่างลับๆ เพราะทางวัดอาจจะกลัวว่าโลกภายนอกจะอิจฉาที่มีศิษย์อัจฉริยะแบบนี้ พวกเขาจึงจงใจวางซูฉินไว้ในตำแหน่งพระกวาดลานสังกัดลานจิปาถะ

 

ถึงแม้ว่านี่ดูจะยังไม่สามารถอธิบายได้ว่าทำไมซูฉินจึงได้เป็นยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งได้ด้วยอายุเท่านี้ แต่อย่างน้อยมันก็ทำให้เจินซิ่งรู้สึกดีขึ้นหน่อย

 

แต่เมื่อกี้ ฟังจากคำพูดของซูฉินแล้ว เขาดูเหมือนแค่พระกวาดลานสุดๆ ไปเลยไม่ใช่หรือ?

 

เหตุผลที่ทำไมเขาจึงถูกโจมตีโดยเจ้าหมอนี่เพราะเขาต้องการจะทำลายวัดเส้าหลิน และทำลายสถานที่ปัดกวาดเช็ดถูของหมอนี่งั้นหรือ?

 

เจินซิ่งรู้สึกถึงรสชาติหวานในลำคอ แทบจะกระอักเลือดออกมา

 

“แกจะดูหมิ่นข้าเกินไปแล้ว!!”

 

ดวงตาของมันแดงก่ำ พลังมารไร้สิ้นสุดถูกปลดปล่อยออกมาอีกครั้ง ปกคลุมไปทุกทิศทาง

 

พลังมารสีดำเข้มข้นราวกับเป็นตาข่ายล้อมจับที่ไร้ทางหนี คุมขังซูฉินไว้ภายใน

 

“ข้าไม่เชื่อ!”

 

“ข้าไม่เชื่อว่าแกจะเป็นยอดปรมาจารย์เด็ดขาด!”

 

ด้านหลังของเจินซิ่งมารพุทธะครึ่งดำครึ่งทองเปล่งแสงออกมา

 

เจินซิ่งรู้ดีอยู่แกใจว่าถ้าซูฉินเป็นยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งที่โจมตีเขาในวัดจริงๆ ต่อให้เขาวิ่งหนีไปสุดขอบโลก ยังไงเขาก็ไม่รอดพ้นความตาย

 

แต่ถ้าซูฉินไม่ใช่ปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งแล้วล่ะก็ มันจะต้องตายลงด้วยความโกรธเกรี้ยวของเขา

 

ฟูม!

 

พลังมารอันน่าสยดสยองสั่นสะเทือนขวัญผู้คน

 

“ในเมื่อแกเคยเป็นศิษย์ของลานอรหันต์”

 

“ฉะนั้น แกต้องจำ [หมัดอรหันต์] ได้อยู่บ้างสินะ?”

 

ซูฉินยกมือขวาขึ้น ไอพลังของเขาถูกปลดปล่อยออกมา ค่อยๆ เคลื่อนไหวไปตามกระบวนท่าของ [หมัดอรหันต์]

 

“หมัดอรหันต์?”

 

เจินซิ่งรู้สึกว่าตนได้ยินเรื่องน่าหัวร่อ

 

[หมัดอรหันต์] เป็นวิชาต่อสู้ที่เป็นพื้นฐานสุดๆ ของลานอรหันต์ แม้แต่เณรที่เพิ่งเข้ามาใหม่ในตำหนักก็ยังฝึกฝนมันได้ง่ายๆ

 

แต่เมื่อครู่ ซูฉินไม่ได้มีความต้องการที่จะใช้สุดยอดวิชาหลากหลายแขนงในวัดเส้าหลิน แต่กลับจะใช้วิชาพื้นฐานที่สุดมาจัดการกับเขาแทนหรอ?

 

“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า”

 

“สมควรตาย!!!”

 

ไอพลังสีดำระเบิดออก พลังของเจินซิ่งพุ่งขึ้นสูงเสียดฟ้า

 

อย่างไรก็ตาม

 

ถัดจากนั้น

 

ซูฉินปล่อยหมัดเบาๆ เข้าใส่เจินซิ่ง

 

ไม่อาจจะมีใครอธิบายความน่ากลัวของหมัดนี้ได้

 

หมัดนี้ถูกเหวี่ยงออกคล้ายกับมีอรหันต์ตัวเป็นๆ มาปล่อยหมัดใส่ พลังมารถูกฉีกกระชากออกพุ่งตรงเข้าใส่หน้าอกเจินซิ่ง

 

แกร็ก

 

สายตาของของเจินซิ่งมืดมัวลงอย่างรวดเร็ว ไอพลังสีดำจางหายไป

 

“งั้นนี่ก็คือ [หมัดอรหันต์] ที่แท้จริง…”

 

เสียงของเจินซิ่งมีแต่แผ่วลงแล้วก็แผ่วลง ก่อนที่เข่าจะทรุดลงกับพื้น

 

ซูม

 

ควันสีดำทะมึนพวยพุ่งออกมาจากร่างเจินซิ่ง เมื่อต้องแสงแดดมันก็กระจายหายไปอย่างรวดเร็ว

 

“นี่คือจิตมารงั้นรึ?”

 

ซูฉินรอคอยจนกระทั่งจิตมารระเหยหายไปจนหมดก่อนที่จะเดินจากไป

 

 

ไม่กี่ชั่วโมงให้หลัง ณ วัดเส้าหลิน

 

เมื่อผู้สืบทอดของมารพุทธะได้จากไป จิตมารดับสูญ เหล่าหัวหน้าตำหนักก็ค่อยๆ ตื่นขึ้นอย่างช้าๆ

 

กลุ่มหัวหน้าตำหนักอยู่ระดับชั้นที่สาม เป็นธรรมดาที่การฟื้นตัวจะสูงมาก

 

“ท่านเจ้าอาวาส มารร้ายมันไปอยู่ที่ไหนแล้ว?” หัวหน้าลานอรหันต์กล่าวถาม พยายามสะกดกลั้นโทสะ

 

เมื่อกล่าวคำออก ทุกคนล้วนแต่ตกใจ

 

กว่าเก้าร้อยปี ผู้สืบทอดมารพุทธะที่ดุดันและชั่วร้าย พวกมันทั้งหมดต่างพุ่งเป้าจะทำลายล้างวัดเส้าหลิน

 

แล้ววันนี้ท่านเจ้าอาวาสได้รับบาดเจ็บสาหัส หัวหน้าตำหนักพ่ายแพ้ แต่วัดเส้าหลินกลับไร้เภทภัย นี่ทำให้เหล่าหัวหน้าตำหนักสงสัยเอามากๆ

 

“เมื่อกี้นี้ผู้เชี่ยวชาญของวัดเส้าหลินเราได้ลงมือ ขับไล่ทายาทมารพุทธะออกไปแล้วด้วยใบไม้”

 

เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินหันไปยังพวกหัวหน้าตำหนักแล้วเปิดเปลือกตาอย่างเชื่องช้า

 

“ผู้ชี่ยวชาญ?”

 

“ใบไม้ถึงกับสร้างความหวาดกลัวให้ทายาทมารพุทธะ?”

 

“มันเป็นไปได้ยังไงกัน”

 

“ทายาทของมารพุทธะได้เข้าสู่ระดับชั้นที่สองเรียบร้อยแล้ว”

 

“มันจะเป็นไปได้อย่างไรที่ขับไล่ออกไปได้ด้วยใบไม้?”

 

เหล่าหัวหน้าตำหนักตกใจและไม่อยากจะเชื่อ

 

เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินนำหัวหน้าตำหนักไปดูระฆังโบราณพันปีที่ด้านนอกลานธรรม ชี้ไปที่ใบไม้ใบหนึ่งที่ปักอยู่ที่ตัวระฆัง “ความจริงก็เป็นอย่างที่เห็นนั่นล่ะ”

 

“ใบไม้จริงๆ หรือนี่?”

 

“นอกจากนี้ข้ายังรู้สึกได้ถึงไอพลังหยางอันบริสุทธิ์มาจากใบไม้นี้ด้วย”

 

“สงฆ์ศักดิ์สิทธิ์ มีเพียงแค่สงฆ์ศักดิ์สิทธิ์ระดับชั้นที่หนึ่งเท่านั้นที่จะทำสิ่งนี้ได้ด้วยใบไม้ใบหนึ่ง!”

 

หัวหน้าตำหนักต่างลิงโลด

 

“อย่าเพิ่งดีใจเกินไปเลย”

 

เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินส่ายศีรษะน้อยๆ “ทายาทของมารพุทธะหนีไปได้ ตามประสบการณ์ที่ได้เจอทายาทมารพุทธะรุ่นก่อนๆ พวกนั้นสามารถเข้าสู่ระดับชั้นที่สองหรือแม้แต่ชั้นที่หนึ่งได้อีกครั้งในเวลาสองสามปี”

 

“ถึงแม้ทายาทของมารพุทธะจะถูกทำให้ต้องหลบหนีไปในครานี้ แต่เมื่อมันกลับมาที่เส้าหลินอีกครั้งในอนาคต อาตมากลัวว่ามันจักกลายมาเป็นยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งจริงๆ น่ะสิ”

 

คำพูดของเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินทำเอาเหล่าหัวหน้าตำหนักสงบเสงี่ยมลงทันที

 

เป็นจริงดังนั้น

 

ถึงแม้ว่าวัดเส้าหลินจะมีสงฆ์ศักดิ์สิทธิ์ระดับชั้นที่หนึ่งซุ่มซ่อนอยู่ แต่ผู้สืบทอดของมารพุทธะก็ไม่ใช่ว่าจะไปถึงระดับชั้นที่หนึ่งด้วยหรอกหรอ?

 

เมื่อเวลานั้นมาถึง ยังคงมีคำถามที่ค้างคาในใจว่าวัดเส้าหลินจะผ่านเหตุการณ์นั้นไปได้หรือเปล่า

 

ในตอนที่เจ้าอาวาสกำลังถกเถียงปัญหาอยู่กับเหล่าหัวหน้าตำหนักว่าจะทำอย่างไรดีในอนาคต ศิษย์วัดเส้าหลินคนหนึ่งก็รีบวิ่งเข้ามาหา

 

“ท่านเจ้าอาวาส ท่านหัวหน้าตำหนัก!” ศิษย์เส้าหลินคนนั้นพูดออกมาอย่างรวดเร็ว “ที่ด้านนอกวัดเส้าหลิน มีคนพบร่างของศิษย์พี่เจินซิ่งขอรับ”

 

“เจ้าว่ากระไรนะ?!”

 

“ทายาทแห่งมารพุทธะได้ตายลงแล้ว?”

 

ม่านตาของเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินสั่นไหวด้วยความตื่นตกใจ

Sign in Buddha’s palm 9 ใบไม้ร่วงโรยใบหนึ่ง

 

 

ที่ลานธรรม

 

พลังมารปกคลุมไปทั่วหัวระแหงในวัดเส้าหลิน ศิษย์วัดที่ถูกโจมตีด้วยพลังมารต่างสับสนวุ่นวายและยอมจำนนต่อพลังอย่างรวดเร็ว

 

ในส่วนลึกของไอพลังมารเข้มข้น รัศมีพุทธคุณกำลังอ่อนแรงลงคล้ายกับหัวเทียนที่ใกล้จะมอดดับอยู่รอมร่อ

 

แสงพลังพุทธะด้านในหมอกกำลังต่อสู้อยู่กับพลังมาร

 

แต่ก็ชัดเจนว่าแสงพุทธะนั้นคงดิ้นรนต่อไปได้ไม่นานนัก

 

“พระแก่ฮุ่ยเหวิน ยอมจำนนเสียบัดนี้ เดี๋ยวแกจะได้รู้ว่าความน่ากลัวของพลังแห่งมารพุทธะมันเป็นอย่างไร” เจินซิ่งเอ่ยช้าๆ

 

ตอนนี้หัวหน้าตำหนักวัดเส้าหลินก็เสียความสามารถในการต่อต้านไปเรียบร้อย ส่วนเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินก็ไม่สามารถทนได้นานไปกว่านี้ เจินซิ่งมองเห็นชัยชนะอยู่ตรงหน้าแล้ว

 

“โชคดีที่ข้าพาหัวหน้าตำหนักและเจ้าอาวาสมารวมตัวกัน ไม่อย่างนั้นแล้วถ้ามีใครสักคนหลบหนีไปแล้วใช้มรดกในวัดเส้าหลินเพื่อทำลายวัดลง เกรงว่าเรื่องราวคงไม่ง่ายปานนี้แน่”

 

เจินซิ่งแย้มยิ้มภาคภูมิใจ

 

สุดท้ายแล้ววัดเส้าหลินก็ยังคงเป็นสุดยอดพรรค แม้นไม่มีสงฆ์ศักดิ์สิทธิ์ระดับชั้นที่หนึ่งในยุคนี้ แต่รากฐานอันยาวนานนั้นก็มีพลังเพียงพอจะสยบเขาลงได้

 

อย่างไรก็ตาม

 

ไม่ว่ามรดกตกทอดจะแกร่งเพียงใด มันจำเป็นจะต้องมีคนนำมันมาใช้งาน

 

ทว่ายามนี้ ผู้ที่สามารถใช้มรดกตกทอดถูกเขาจัดการ ไม่มีใครหนีรอดไปได้

 

ในตอนนั้นเองที่เจินซิ่งจะลงมือกำจัดเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินให้สิ้น ใบหน้าเขาก็เปลี่ยนไปราวกับรู้สึกได้ถึงบางอย่าง

 

“นี่คือ?”

 

เจินซิ่งหันไปมองทางศาลาพระคัมภีร์ในทันทีทันใด

 

ไอพลังหยางอันบริสุทธิ์ที่สามารถแทงทะลุทะลวงพลังมารอันแข็งแกร่งราวกับดาบแหลมคม

 

พลังมารอันไร้ขีดจำกัดนี้ก่อตัวขึ้นมาจากพลังของจิตมาร ถึงแม้มันจะเป็นเพียงพลังลวงตา แต่แม้กระทั่งผู้เชี่ยวชาญระดับชั้นที่สองยังต้องจำนนต่อมัน

 

กระนั้นพลังหยางที่กำลังเข้ามาใกล้นี้ตัดฝ่าพลังมารดำมืดนี้มาได้เหมือนกับตัดผ่านกระดาษ

 

ครู่ต่อมา

 

ไอพลังนี้ข้ามผ่านระยะทางหลายลี้มาถึงเจินซิ่งในชั่วพริบตา

 

“ไม่ดีแล้ว!!”

 

เจินซิ่งหนังศีรษะลุกวาบ เขาต้องถอยหนี เลี่ยงมันให้ได้

 

แต่มันสายเกินไป

 

พลังหยางพุ่งทะลวงเข้ากลางหว่างคิ้วของเจินซิ่ง ส่งร่างของเขาลอยคว้างสู่ระฆังโบราณอายุกว่าพันปีด้านหลัง

 

เป๊ง!!

 

เสียงใสดังกังวาน

 

“ข้า…”

 

ตาของเจินซิ่งว่างเปล่า ร่างของเขาปริแตกออก

 

เมื่อขาดแหล่งพลัง พลังมารที่ปกคลุมกว่าครึ่งเสี้ยววัดก็คลายออกและหายไปในความเร็วที่มองเห็นได้ชัดเจน

 

เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินที่เตรียมจะระเบิดร่างตนเองนิ่งงันไป

 

เขาไม่คาดฝันว่าจะเป็นเจินซิ่งที่ทำลายตัวเอง ก่อนที่เขาจะลงมือเสียอีก

 

“ไม่ใช่”

 

“เขาไม่ได้ทำลายตนเอง”

 

“มีใครบางคนที่ทำ”

 

เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินคู่ควรกับการเป็นปรมาจารย์ระดับชั้นที่สองที่มากล้นไปด้วยประสบการณ์ เขาตระหนักถึงบางสิ่งได้ทันที

 

จากนั้น

 

ฮึบ!!

 

พลังมารที่เหลืออยู่ค่อยๆ มารวมตัวกัน ‘เจินซิ่ง‘ ร่างใหม่ก็กำเนิดขึ้น

 

“นี่ข้าตายแล้วงั้นรึ?”

 

เจินซิ่งหลั่งเหงื่อเย็นเยียบ

 

ถ้าไม่ใช่เพราะ ‘เคล็ดวิชาตัวตายตัวแทน‘ จากมรดกตกทอดของมารพุทธะ เขาน่าจะตายไปจริงๆ แล้วในตอนนี้

 

แต่ถึงแบบนั้น เจินซิ่งก็ไม่ใช่จะโชคดีไม่เสียทั้งหมด [เคล็ดวิชาตัวตายตัวแทน] เป็นเคล็ดวิชาต้องห้าม ผู้สืบทอดของมารพุทธะแต่ละคนสามารถใช้ได้แค่ครั้งเดียวเท่านั้นทั้งชีวิต ซึ่งเทียบเท่ากับเป็นชีวิตที่สอง

 

สีหน้าของเจินซิ่งซีดลง มองไปที่ระฆังโบราณพันปีที่อยู่ไม่ไกล

 

เขาจึงได้เห็นใบไม้สีเหลืองแห้งเหี่ยวอยู่บนระฆัง

 

“ใบไม้หรอ?”

 

“ข้าตายเพราะใบไม้เนี่ยนะ?”

 

หัวใจของเจินซิ่งสั่นไหวไม่หยุด

 

ถ้าเขาตายเพราะอาวุธศักดิ์สิทธิ์ เขาจะได้จดจำมันไว้

 

แต่นี่มันแค่เศษใบไม่ร่วง…

 

ต้องแข็งแกร่งถึงระดับไหนกันถึงฆ่าเขาได้เพียงใช้ใบไม้ธรรมดาๆ ?

 

เจินซิ่งไม่อาจจะจินตนาการได้เลย

 

“แล้ว…”

 

เจินซิ่งสัมผัสไปที่หว่างคิ้ว แม้ว่าเขาจะรอดตายมาได้เพราะใช้ [เคล็ดวิชาตัวตายตัวแทน] เขายังรู้สึกได้ถึงไอพลังหยางที่หว่างคิ้ว ค่อยๆ ลดทอนพลังมารในตัวเขาอย่างต่อเนื่อง

 

ใต้ความกดดันของพลังหยางอันหนักแน่นนี้ เจินซิ่งเหลือพลังแค่หนึ่งในสิบ ไม่สามารถที่จะต่อกรกับระดับชั้นที่สามได้ด้วยซ้ำ

 

“วัดเส้าหลินลึกล้ำและประเมินไม่ได้จริงๆ…”

 

เจินซิ่งหันมองที่เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินที่ยังคงตกตะลึง และรู้ว่าเขาจะต้องหนีไปได้แล้ว

 

ถ้าเขาไม่จากไป ไม่เพียงแต่จะทำลายเส้าหลินไม่ได้ เขาจะต้องจบชีวิตลงที่นี่ด้วย

 

คิดได้แบบนี้เจินซิ่งกลายเป็นเงาร่าง ไม่ลังเลที่จะหนีออกไป

 

ถึงเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินจะเห็นสิ่งนั้นแต่เขาก็ทำอะไรไม่ได้

 

จริงอยู่ที่เจินซิ่งสูญเสียความแข็งแกร่งส่วนใหญ่ไป แต่ตัวเขาเองก็ไม่ใช่ตกอยู่ในที่นั่งเดียวกันหรอกหรือ

 

หลังจากประสบกับการลอบโจมตีของเจินซิ่ง และพลังมารถาโถม อาการบาดเจ็บของเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินตอนนี้รุนแรงมากเสียยิ่งกว่าเจินซิ่งเสียอีก

 

 

ด้านนอกของวัดเส้าหลิน

 

ร่างเงาพุ่งออกมาอย่างร้อนรน

 

“บัดซบเอ้ย บัดซบ ไอ้ชาติหมาเอ้ย!”

 

“เกือบไปแล้ว เกือบไปแล้วเชียว!!!”

 

เจินซิ่งโกรธแค้น

 

การเป็นผู้สืบทอดของมารพุทธะเป็นที่แน่นอนว่าสามารถก้าวเข้าสู่ระดับชั้นที่สองไม่ก็ชั้นที่หนึ่งได้ในเวลาอันสั้นเพราะการส่งเสริมจากจิตมาร

 

แต่ในทางกลับกัน ผู้สืบทอดของมารพุทธะทุกคนมีจิตใจที่บิดเบี้ยว มุ่งหมายเพียงแต่จะทำลายวัดเส้าหลินประดุจเป้าหมายของชีวิต

 

ยิ่งไปกว่านั้นอายุขัยของผู้สืบทอดมารพุทธะนั้นจะสั้นมาก และจะสิ้นชีวิตลงภายในห้าปีเป็นอย่างมาก

 

“คนที่โจมตีและฆ่าข้าด้วยใบไม้นั่นอย่างน้อยๆ ก็ต้องเป็นยอดปรมาจารย์ในระดับชั้นที่หนึ่ง”

 

“ยิ่งกว่านั้นมันยังเป็นยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งที่ทรงพลังเอามากๆ ด้วย”

 

“แต่ไม่ใช่ว่ามันไม่มีสงฆ์ศักดิ์สิทธิ์ในวัดเส้าหลินอีกต่อไปแล้วไม่ใช่หรือ?”

 

เจินซิ่งสูดลมหายใจเข้าลึก และมองกลับไปที่วัดเส้าหลิน “ยอดปรมาจารย์ชั้นที่หนึ่งนั่น…คงไม่ตามข้าออกมาหรอกใช่ไหม?”

 

แต่เมื่อเจินซิ่งรู้สึกผ่อนคลายลงได้เล็กน้อย

 

เสียงสงบเย็น ไม่เร็วไม่ช้าเอ่ยขึ้น

 

“เจ้ากำลังมองหาข้าอยู่เยี่ยงนั้นหรือ?”

 

วูบ!!!

 

เจินซิ่งขนลุกชัน หันกลับไปมองที่ต้นเสียงทันที

 

เขามองเห็นพระสวมใส่จีวรสีเทากำลังมองมาที่เขา

 

“เจ้าคือ?”

 

เจินซิ่งรู้สึกว่าค่อนข้างคุ้นหน้าซูฉิน

 

ก่อนที่เจินซิ่งจะถูกครอบงำโดยจิตมาร แม้ว่าเขาจะเป็นอัจฉริยะแห่งลานอรหันต์ เขาได้เข้าวัดเส้าหลินมาพร้อมๆ กับซูฉิน ก็พอจะคุ้นๆ หน้ากันอยู่บ้าง

 

แต่ซูฉินเป็นเพียงพระกวาดลาน ดังนั้นเขาจึงไม่ได้ให้ความสนใจมากนัก

 

“เป็นเจ้านั่นเอง!”

 

ความคิดของเจินซิ่งไหลไปและในที่สุดเขาก็จำซูฉินได้

 

เจินซิ่งถึงกับเคยพูดคุยบ้างสองสามคำกับซูฉินตอนที่เข้ามาในวัด

 

ถึงอย่างไรก็ตามการที่ซูฉินได้รับมอบหมายให้สังกัดลานจิปาถะแล้วกลายเป็นพระกวาดลาน เจินซิ่งก็ไม่เคยได้ติดต่อกับซูฉินอีก

 

จากมุมมองของเจินซิ่ง เขาและซูฉินนั้นถูกกำหนดให้แตกต่าง และไม่มีวันได้เดินไปในเส้นทางเดียวกัน

 

แม้แต่ตอนนี้ เจินซิ่งได้กลายมาเป็นทายาทของมารพุทธะ เขาก็ยังไม่ได้เห็นซูฉินอยู่ในสายตา

 

“เจ้ามาถึงที่นี่ตั้งแต่เมื่อไหร่?”

 

ยิ่งเจินซิ่งมองไปที่ซูฉินมากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งตกใจมากเท่านั้น

 

ถึงแม้ซูฉินจะดูเหมือนคนปกติ ต่อหน้าเขาไม่มีแม้แต่ความผันผวนของกำลังภายใน แต่ยิ่งเป็นเช่นนั้นเจินซิ่งยิ่งรู้สึกว่ามันผิดปกติ

 

ต้องรู้ไว้ก่อนว่าเขาเป็นใคร?

 

เขาคือทายาทของมารพุทธะ! ถึงตอนนี้จะบาดเจ็บ แต่กลิ่นอายก็เพียงพอจะทำให้ผู้ฝึกยุทธทั่วไปหัวใจสั่นระรัว ไม่ต้องพูดถึง ‘คนธรรมดา‘ อย่างเช่นซูฉินนี้เลย

 

ถ้าซูฉินเป็นคนปกติ ขาของเขาควรจะอ่อนยวบลงไปได้แล้วไม่ใช่หรือ?

 

ในตอนที่เจินซิ่งรู้สึกไม่ค่อยมั่นใจนั้นเอง ซูฉินก็พลันพูดบางอย่างที่เปลี่ยนสีหน้าของเขาออกมา

 

“เจ้ายังไม่ตายหลังจากถูกโจมตีหรอกหรือ? มารพุทธะนี่ไม่ธรรมดาจริงๆ”

 

สีหน้าของเจินซิ่งแข็งค้างและถอยหนีทันที ทะยานตัวออกไปไกลเป็นลี้ราวกับเขาพบเข้ากับศัตรู ราวกับประสบพบเจออันตรายถึงแก่ชีวิต

 

“เจ้าเป็นใครกันแน่?”

Sign in Buddha’s palm 8 มนุษย์นั้นหาใช่ผักปลาไม่

 

 

ด้านนอกของลานธรรม

 

ใบหน้าของเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินซีดเซียว ท้องน้อยปรากฏรอยฝ่ามือสีดำจางๆ

 

ฝ่ามือที่ปรากฏขึ้นนี้ดูเหมือนจะทะลุทะลวงไปถึงด้านใน เจาะถึงไขกระดูก พลังมารชอนไชเข้าไปในร่างราวกับหนอนปรสิต

 

“เจินซิ่ง เจ้า.. เจ้าทำแบบนี้ได้เยี่ยงไร…” หัวหน้าลานอรหันต์เต็มไปด้วยความโกรธ

 

ชายหนุ่มตรงหน้านั่นก็คือศิษย์อัจฉริยะเจินซิ่ง!

 

แค่ครึ่งชั่วโมงก่อนนี่เอง เจินซิ่งแจ้งว่ามีข่าวคราวเกี่ยวกับ ‘มารพุทธะ‘ จะต้องแจ้งให้เจ้าอาวาสและเหล่าหัวหน้าตำหนักทราบ

 

เป็นในตอนนั้นเองที่เขาลอบโจมตีท่านเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวิน

 

“ไม่จำเป็นต้องถามอีกต่อไป”

 

เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินสูดหายใจเข้าลึก ระงับอาการบาดเจ็บของเขาเอาไว้อย่างยากลำบากแล้วมองไปที่เจินซิ่ง “เจินซิ่ง ความจริงแล้วเจ้าคือทายาทของมารพุทธะในรุ่นนี้สินะ”

 

แม้เมื่อยามที่สังฆราชผู้สำเร็จถึงขั้นอรหันต์สะกดมารพุทธะไว้ที่ภูเขาด้านหลังเก้าร้อยปีก่อน ทุกๆ ร้อยปีหลังจากนั้นจิตมารจะแหวกม่านคุมขังออกมาล่อลวงศิษย์วัดเส้าหลิน

 

ไม่ว่าศิษย์คนใดที่ถูกล่อลวง จะอ้างตนว่าเป็นผู้สืบทอดแห่งมารพุทธะ และได้รับการเสริมพลังด้วยจิตมาร จนปีนข้ามผ่านขึ้นไปถึงระดับชั้นที่สองหรือแม้แต่ชั้นที่หนึ่งได้ในเวลาอันสั้น

 

นอกจากนี้ผู้สืบทอดของมารพุทธะทุกคนจะมีความเกลียดชังต่อวัดเส้าหลินอย่างหาที่เปรียบมิได้ และหมายมั่นแน่วแน่ที่จะทำลายวัดเส้าหลินให้สิ้น

 

เก้าร้อยปีมานี้ มีผู้สืบทอดแห่งมารพุทธะถึงแปดคนกำเนิดขึ้นในวัดเส้าหลิน

 

และเจินซิ่งคือคนที่เก้า

 

เพื่อจัดการปัญหาผู้สืบทอดของมารพุทธะทั้งแปด วัดเส้าหลินจำต้องสูญเสียอย่าหนัก ร้อยปีที่แล้ว สงฆ์ศักดิ์สิทธิ์ที่เหลืออยู่แค่สี่รูปถึงกับต้องใช้ทักษะต้องห้ามเพื่อกำจัดผู้สืบทอดของมารพุทธะ

 

ผลลัพธ์ก็คือสงฆ์ศักดิ์สิทธิ์ทยอยมรณภาพไปทีละรูป จนเมื่อหกสิบปีที่แล้วรูปสุดท้ายก็จากไประหว่างที่บำเพ็ญตบะ และก็ไม่มีสงฆ์ศักดิ์สิทธิ์ปรากฏขึ้นอีกเลยในวัดเส้าหลินแห่งนี้

 

“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า”

 

“ถูกต้อง ข้าคือทายาทของมารพุทธะ!”

 

เจินซิ่งไม่ใส่ใจจะปฏิเสธเลยและยอมรับออกมาอย่างมั่นอกมั่นใจ

 

ผู้สืบทอดของมารพุทธะ…

 

แม้ว่าจะเดาได้อยู่แต่แรกแล้ว แต่เมื่อได้ยินคำกล่าวนั้นเข้าจริงๆ ความรู้สึกของเหล่าหัวหน้าตำหนักพลันเปลี่ยนเป็นน่าเกลียดเอามากๆ

 

สำหรับวัดเส้าหลินแล้วนั้น ผู้สืบทอดแห่งมารพุทธะเป็นดั่งคำสาปที่จะมาในทุกหนึ่งร้อยปี เพราะเหตุนี้เองที่ทำให้เส้าหลินตกต่ำลงทุกวี่วัน

 

ไม่อย่างนั้นแล้วมีหรือที่สถานที่ที่มีเบื้องหลังเป็นสุดยอดพรรคในยุทธภพอย่างเส้าหลินจะไม่มีแม้แต่ยอดปรมาจารย์สงฆ์ศักดิ์สิทธิ์

 

“เจินซิ่ง เจ้ากล้าทำอย่างนี้ได้ยังไง วัดเส้าหลินก็ไม่ได้เลวร้ายกับเจ้า รับเจ้าเป็นศิษย์ สอนทักษะวิชาให้ แต่เจ้า…”

 

หัวหน้าลานอรหันต์จ้องที่เจินซิ่งอย่างเดือดพล่านราวกับมีเปลวไฟลุกโชนอยู่ในดวงตา

 

ตั้งแต่ที่เจินซิ่งเข้ามาในเส้าหลินเป็นเวลาสิบปี หัวหน้าตำหนักอรหันต์ฝึกอบรมเขาด้วยตนเอง และเฝ้าดูแลเขาเหมือนกับหลานชายและยังตระเตรียมจะให้เจินซิ่งขึ้นมานั่งตำแหน่งหัวหน้าตำหนักลานอรหันต์ในอนาคต

 

ใครจะไปกล้าคิดฝันว่าเจินซิ่งกล้าที่จะทรยศแบบนี้

 

“อย่างดีงั้นน่ะหรือ?!”

 

เมื่อเจินซิ่งได้ยินสิ่งนั้น ใบหน้าเขาแสดงออกรุนแรงถึงการถากถาง “ทั้งครอบครัวของข้าถูกฆ่าสังหาร แล้ววัดเส้าหลินได้ทำอะไรหรือยัง?”

 

“ก็จริงที่ศิษย์พี่ปลอบข้า หัวหน้าตำหนักปลอบข้า เจ้าอาวาสปลอบข้า แต่พวกแกรู้บ้างไหม ว่าสิ่งที่ข้าต้องการน่ะไม่ใช่การปลอบโยนบัดซบอะไรนั่น!”

 

ทุกๆ คำที่เจินซิ่งเอ่ยออก พลังมารรอบตัวของเขาค่อยๆ พวยพุ่งขึ้นทีละนิด

 

“วัดเส้าหลิน ด้วยชื่อสุดยอดพรรค ทำได้แค่ปลอบโยนผู้คน นี่คือความชอบธรรมอย่างนั้นหรือ?”

 

เจตนาฆ่าฟันพวยพุ่งออกมาจากในทุกๆ คำของเจินซิ่ง “ความเมตตากรุณาจอมปลอม ความชอบธรรมจอมปลอม เส้าหลินน่ะสมควรถูกกวาดล้างออกไปจากยุทธภพ!”

 

เมื่อสิ้นเสียงลง พลังมารกลับเริ่มแผ่ขยายกว้างออก

 

ทันใดนั้นเอง ร่างยูไลจางๆ ครึ่งหนึ่งสีทองครึ่งหนึ่งสีดำโผล่ออกมาจากด้านหลังของเจินซิ่ง

 

“แค่ปลอบโยนเท่านั้นน่ะหรือ?”

 

หัวหน้าตำหนักยุทธสงฆ์โกรธเกรี้ยว “รู้หรือไม่ว่าเพื่อการแก้แค้นให้กับเจ้าแล้วนั้น ศิษย์พี่นั้นไม่ลังเลเลยที่จะผิดศีล ลงจากภูเขาไปอย่างลับๆ ข้ามน้ำข้ามทะเลเพื่อตามล่าฆาตกรผู้นั้น”

 

“เอาล่ะ พอเถอะ”

 

“ไม่จำเป็นต้องกล่าวคำให้มากไปกว่านี้แล้ว”

 

การแสดงออกของหัวหน้าลานอรหันต์สงบลงมองไปที่เจินซิ่ง “ผู้สืบทอดมารพุทธะคือศัตรูของวัดเส้าหลินเรา ในเมื่อตอนนี้เขากลายเป็นทายาทแห่งมารพุทธะแล้วนั้น ข้าคงจะต้องจัดการเรื่องยุ่งยากนี้ด้วยตนเอง”

 

ศีรษะของหัวหน้าลานอรหันต์ส่องแสงสีทองระเรื่อ

 

ในฐานะที่เป็นพระรูปหนึ่งในวัดเส้าหลินผู้ที่เคี่ยวกรำศึกษา [กายาวัชระคงกระพัน] มามากที่สุด แม้ว่าหัวหน้าลานอรหันต์จะอยู่ห่างจากความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ของกายวัชระคงกระพัน แต่ร่างกายล้วนๆ ก็แข็งแกร่งกว่าหัวหน้าตำหนักรูปอื่นๆ มาก

 

ควบคู่ไปกับกำลังภายในของผู้เชี่ยวชาญระดับชั้นที่สาม เห็นๆ กันอยู่ว่าความแข็งแกร่งของเขาอย่างน้อยก็อยู่ในสามอันดับแรกๆ ในหมู่พระหัวหน้าตำหนัก

 

“ฆาตกรถูกสังหารแล้ว ?”

 

เจินซิ่งถึงกับผงะไป ก่อนที่แสงสีดำหนาทึบจะค่อยๆ ปกคลุมลึกเข้าไปในรูม่านตาของเขา “แล้วอย่างไรเล่า สุดท้ายแล้วครอบครัวของข้ามีใครเหลือรอดมาได้บ้าง ?”

 

ฮูม !!!

 

พลังมารขยายใหญ่อีกครั้ง

 

หัวหน้าตำหนักออกกระบวนท่านำไปก่อน ร่วมกันสร้างค่ายกลขึ้น

 

เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินนั่งลงขัดสมาธิ ระงับรอยฝ่ามือสีดำที่ท้องน้อยเอาไว้

 

อย่างไรก็ตาม

 

เพียงไม่นานนัก

 

เปรี้ยง

 

หัวหน้าตำหนักล่าถอยเร็วไว สภาพของพวกเขาซีดเซียว ขาวราวกับกระดาษ กระอักเลือดออกมา

 

“ไร้ประโยชน์หน่า”

 

“ข้าเข้าสู่ระดับชั้นที่สองเรียบร้อยแล้ว พวกเจ้าอ่อนปวกเปียกเกินไป”

 

เจินซิ่งยิ้มเหยียดหยัน

 

“ฮุ่ยเหวินเจ้ายังไม่ลงมืออีกหรือ ?”

 

เจินซิ่งหันเหความสนใจไปที่เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินแล้วกล่าวอย่างติดตลกว่า “คงไม่ง่ายใช่หรือไม่เล่า ที่จะฟื้นฟูตนจากพลังของมารพุทธะน่ะ”

 

“ข้าจะบอกให้ฟังอีกหน่อย ถึงแม้ว่าเจ้าจะฟื้นฟูขึ้นมาได้ แล้วเจ้าจะทำอะไรได้ ? เจ้าอยู่ระดับชั้นที่สองข้าก็อยู่ชั้นที่สอง ตามธรรมชาติพลังของมารพุทธะน่ะยับยั้งเคล็ดวิชาฝึกตนสายพุทธอยู่แล้ว ดังนั้นต่อให้เจ้าฟื้นฟูจนสภาพสมบูรณ์พร้อมที่สุด เจ้าก็มิใช่คู่ต่อสู้ของข้า”

 

เจตนาฆ่าเดือดพล่านออกมาจากเจินซิ่ง “ถ้าเกิดว่ามีสงฆ์ศักดิ์สิทธิ์อยู่ในเส้าหลินยุคนี้ล่ะก็ เมื่อนั้นข้าจะหนีไปโดยไม่พูดอะไรสักคำ”

 

“แต่น่าเศร้าใจจริงๆ นะ ที่ไม่มีแม้สักคนเดียว”

 

“และในเมื่อไม่มีแม้สักคน ก็จงตายเสีย !”

 

เมื่อสิ้นคำพูดของเจินซิ่ง

 

แสงโดยรอบก็หม่นหมองลง ความมืดเข้าปกคลุมเจ้าอาวาสและหัวหน้าตำหนักอย่างรวดเร็ว

 

หมอกมัวสีดำกระจายล้อมทุกทิศทาง ในหมอกสีดำมีพลังประหลาด ราวกับมีผู้คนกระซิบกระซาบกันอยู่เต็มไปหมด แทรกซึมเข้าไปถึงจิตวิญญาณ

 

ยกเว้นไว้เพียงแต่เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินที่พยายามคงสติอย่างเต็มที่ หัวหน้าตำหนักรูปอื่นๆ ถูกกลืนกินอย่างช้าๆ

 

ใบหน้าของเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินซีดเซียวราวกับกระดาษ แสงสีทองจางๆ ส่องออกมาจากร่าง เขาเป็นเพียงผู้เดียวที่ฝืนทนได้ในที่แห่งนี้

 

กระนั้น เขาก็รู้อยู่เต็มอกว่าความแข็งแกร่งที่มีค่อยๆ ลดลงด้วยความเร็วที่เห็นได้ด้วยตาเปล่า และเขาจะพ่ายแพ้ลงในเวลาเพียงเสี้ยวชั่วโมงเป็นอย่างมาก

 

เมื่อเขาไม่สามารถทนได้ต่อไป ทั้งวัดเส้าหลินคงถูกทำลายลงจริงๆ

 

“นี่มันเป็นไปได้หรือนี่ที่ประวัติศาสตร์อันยาวนานของวัดเส้าหลินจะต้องมาจบสิ้นลงในครานี้ ?”

 

เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินดูเศร้าสร้อยและหมดสิ้นความหวัง

 

วัดเส้าหลินยืนหยัดในยุทธภพด้วยชื่อสุดยอดพรรค มีการสืบทอดมรดกมากว่าพันปี เผชิญคลื่นลมมานับไม่ถ้วน จะมาสิ้นสุดที่จุดนี้งั้นหรอ ?

 

เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินไม่ยินยอมเด็ดขาด

 

เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินกำลังคิดที่จะระเบิดตนเอง ถึงแม้จะไม่สามารถลากมารร้ายให้ตายไปกับตนเองได้ อย่างน้อยก็คงทำร้ายทายาทของมารพุทธะจนสาหัสได้อยู่เหมือนกัน

 

ด้านนอกศาลาพระคัมภีร์

 

ใบไม้ร่วงหล่นลงมาเรื่อยๆ

 

ซูฉินหยุดกวาดพื้น ยกมือขวาเอื้อมไปคีบจับใบไม้ที่ร่วงลงมาอย่างเบามือ

 

“ชีวิตมนุษย์นั้นหาใช่เป็นเพียงแค่เศษใบไม้ไม่ …”

 

ดวงตาของซูฉินเหม่อลอย ถอนลมหายใจออกก่อนสะบัดนิ้วไป ใบไม้ที่เคยอยู่ระหว่างนิ้วของเขาลอยตัดผ่านอากาศไปในพริบตา พุ่งหายไปในทิศทางของลานธรรม

Sign in Buddha’s palm 7 ยอดปรมาจารย์ชั้นที่หนึ่งในรอบหลายสิบปี

 

 

ความแตกต่างที่ใหญ่ที่สุดระหว่างผู้ฝึกยุทธสามระดับบนกับผู้ฝึกยุทธในสามระดับกลางอยู่ที่กำลังภายใน

 

กายเนื้อของผู้เชี่ยวชาญในสามระดับบนที่ถูกเคี่ยวกรำขัดเกลาด้วยพลังปราณของโลก รวมถึงกำลังภายในก็ถูกปรับสภาพไปด้วย ในสถานการณ์ปกติกำลังภายในของผู้เชี่ยวชาญในสามระดับบนสามารถปะทะกำลังภายในของผู้เชี่ยวชาญในสามระดับกลางได้เป็นร้อย

 

ถ้าจะพูดให้ง่ายเข้า เพียงผู้เชี่ยวชาญที่เพิ่งจะตัดผ่านเข้าสู่สามระดับบนก็สามารถที่จะกวาดผู้เชี่ยวชาญในสามระดับกลางออกไปได้อย่างง่ายดาย

 

นอกเหนือไปจากเรื่องของกำลังภายใน ร่างกายของผู้เชี่ยวชาญในขอบเขตสามระดับบนก็ได้รับการเพิ่มศักยะไปอีกระดับหนึ่ง แน่นอนว่าศักยภาพที่เพิ่มขึ้นย่อมด้อยกว่าความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ของ [กายาวัชระคงกระพัน] ไปมาก

 

“นี่เป็นผู้เชี่ยวชาญในระดับชั้นที่สามแล้วอย่างนั้นรึ?”

 

ซูฉินกระซิบกับตัวเอง มองดูแล้วตื่นเต้นไม่เบา

 

ความรู้สึกของเขากระจ่างชัดมากในครานี้ ค่อยๆ ดึงไอพลังฟ้าดินอันเจือจางที่อยู่รอบตัวเข้ามาหา

 

ซูฉินปล่อยหมัดออกไปแต่มันไม่ใช่พลังของเขาเองที่ปะทุออก แต่มันคือพลังอันยิ่งใหญ่แห่งฟ้าดิน

 

“ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมถึงมีแค่ผู้เชี่ยวชาญระดับชั้นที่สามเท่านั้นที่สามารถนั่งตำแหน่งหัวหน้าตำหนักในวัดเส้าหลินนี้ได้”

 

ความคิดของซูฉินพลิกผันไปมาและเขาก็ตระหนักถึงกำลังภายในที่โคจรหมุนวนในร่างกายตลอดเวลา “ช่องว่างระหว่างระดับชั้นที่สี่กับชั้นที่สามนี่มันห่างกันไกลเกินไปจริงๆ ”

 

ซูฉินอดประหลาดใจไม่ได้

 

นั่นก็เพราะว่าพลังที่มาจากผู้เชี่ยวชาญระดับชั้นที่สามไม่ใช่แค่พลังที่มาจากตน แต่เป็นพลังที่ควบคุมฟ้าดิน

 

คิดเรื่องนี้ซูฉินก็พลันเข้าใจความร้ายกาจของความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ของ [กายาวัชระคงกระพัน]

 

หนึ่งสิ่งที่ต้องรู้ไว้ว่า [กายาวัชระคงกระพัน] ไม่เกี่ยวใดๆ เลยกับพลังฟ้าดิน มันเป็นการฝึกกายเนื้อล้วนๆ

 

และความร้ายกาจนั้นมันคือเพียงแค่ร่างกายล้วนๆ สามารถต่อกรกับผู้ฝึกยุทธสามระดับบนได้ ซึ่งนั่นก็เท่ากับว่าใช้เพียงแค่พลังของตัวเองต่อต้านพลังของฟ้าดินเลยเชียวนะ!

 

“เวลาใกล้จะหมดลงแล้ว ถึงเวลาที่จะต้องกลับไป”

 

ซูฉินควบแน่นไอพลังงานกลับเข้าไปอย่างรวดเร็ว ด้วยความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ของ [กายาวัชระคงกระพัน] การควบคุมร่างกายของเขาสูงมาก ตราบเท่าที่เขาไม่ปลดปล่อยกลิ่นอายให้เล็ดลอดออกไปแม้แต่พบเข้ากับยอดปรมาจารย์ชั้นที่หนึ่งตัวเป็นๆ ก็ไม่มีทางที่จะจับสังเกตความผิดปกติใดๆ ได้

 

วูบ!

 

ร่างของซูฉินกลายเป็นเงาภาพติดตาข้ามผ่านระยะทางหลายลี้(1) ในอึดใจเดียว

 

ถ้าศิษย์วัดคนใดก็ตามผ่านมาแถวนี้แล้วเห็นเข้าล่ะก็ จะต้องนิ่งงันคิดไปว่านี่ตัวข้าเห็นวิญญาณใช่หรือไม่

 

 

วัดเส้าหลินนั้นเรียบง่าย เงียบสงบ และสันโดษ

 

ตอนที่ซูฉินเกำลังจะกลับมาที่ลานจิปาถะ เขาเห็นร่างเงากำลังจ้องมองด้วยสายตาว่างเปล่าไปทางภูเขาด้านหลัง

 

“เจินซิ่ง?”

 

ซูฉินจำอัจฉริยะที่เข้ามาในวัดเส้าหลินพร้อมกันกับเขาได้

 

“แต่ว่าทำไมข้ารู้สึกว่าเขามีบางอย่างแปลกๆ ไปสักหน่อยนะ?” ซูฉินรู้สึกได้ว่าเจินซิ่งมีร่องรอยของความสิ้นหวังแผ่ออกมา เหมือนมีเรื่องบางอย่างมากระทบความรู้สึก

 

เจินซิ่งเมื่อเห็นว่าซูฉินมาถึงก็จากไปในทันที

 

“เกิดอะไรขึ้นกัน?” ซูฉินพึมพำอยู่กับตนเอง

 

ซูฉินเพียงคิดแต่ไม่ได้ตั้งใจจะเข้าไปถามไถ่ใดๆ ให้มากความ

 

เขาไม่ได้เหมือนกับเจินซิ่ง ถึงแม้ว่าทั้งสองคนจะเป็นศิษย์รุ่น ‘เจิน‘ เหมือนกันและเข้ามาพร้อมๆ กัน แต่แทบจะไม่มีความข้องเกี่ยวกันเลยระหว่างพวกเขา

 

สำหรับเจินซิ่ง เขาคืออัจฉริยะของลานอรหันต์ เขาแม้แต่อาจจะกลายเป็นหัวหน้าตำหนักในอนาคต เขามีอนาคตอันสดใส แต่แล้วถ้าเป็นซูฉินล่ะ ? เป็นแค่เณรกวาดลานวัด

 

หลังจากกลับมาถึงลานจิปาถะ ซูฉินได้ยินศิษย์ของลานจิปาถะกำลังกระซิบกันอยู่

 

“ข้าได้ยินมาว่าเจินซิ่งจากลานอรหันต์น่ะ ครอบครัวทั้งครอบครัวของเขาถูกฆ่าล้างทั้งครัวเรือนโดยผู้เชี่ยวชาญฝ่ายอธรรมที่ผ่านทางมา …”

 

“ข้าก็ได้ยินเรื่องนี้นะ มีคนบอกว่าเจ้าอาวาสเรียกไปพบเพื่อปลอบใจเป็นพิเศษเลยล่ะ”

 

“ปลอบใจ ? ทั้งครอบครัวของเขาตายเลยนะ ปลอบใจจะไปพอทีไหนกันเล่า ?”

 

“โอย ช่างน่าเวทนาเสียจริง …”

 

 

“ที่แท้เรื่องมันกลายเป็นแบบนี้” ซูฉินคิดว่าเขาเข้าใจการแสดงออกของเจินซิ่งแล้วตอนนี้ แอบรู้สึกไม่คาดคิดอยู่นิดหน่อย

 

“โลกภายนอกอันตรายเกินไป”

 

“มันคงจะปลอดภัยกว่าถ้าอยู่ที่นี่ ในวัดเส้าหลิน …”

 

ซูฉินรู้สึกสะเทือนใจอย่างมาก มันเสริมความตั้งใจของเขาที่จะอยู่ในวัดเส้าหลินต่อไป

 

เวลาผ่านไป

 

ซูฉินก็ยังคงกวาดลานและลงชื่อเข้าใช้อยู่ทุกวี่วัน ตระเวนไปตามศาลาพระคัมภีร์ ลานโพธิ์ และหอคอยสะกดมาร

 

ระหว่างช่วงเวลานี้ด้วยความแข็งแกร่งของซูฉินที่เพิ่มขึ้นอย่างมากและเข้าสู่สามระดับบนได้แล้ว เขาเริ่มที่จะลองพยายามหาทางไปสถานที่ต้องห้ามในวัดเส้าหลินดูบ้าง ที่ที่เขาไม่เคยได้ไปมาก่อน

 

….

 

เพียงพริบตาเวลาก็ผ่านเลยไปอีกสี่ปีครึ่ง

 

ด้านนอกศาลาพระคัมภีร์ ซูฉินกำลังกำด้ามไม้กวาดด้วยสองมือ คอยกวาดใบไม้แห้งที่ร่วงหล่นรายทาง

 

ในเวลาสี่ปีครึ่ง ซูฉินได้รับหลายสิ่งมาอย่างนับไม่ถ้วน ไม่ว่าจะเป็นสิ่งของชั้นยอด สมบัติตามธรรมชาติ โอสถมหัศจรรย์ เพียงแค่ลงชื่อรับของ ความสามารถของเขาก็พุ่งทะยานจนเข้าสู่ระดับยอดปรมาจารย์ชั้นที่หนึ่ง

 

ใช่ ยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่ง !

 

ในโลกยุทธภพทุกวันนี้ ยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งคือคนที่ยืนอยู่จุดสูงสุดของเหล่าผู้ฝึกยุทธ

 

ถ้าไม่มีบุคคลระดับตำนานยุทธอยู่ เป็นเรื่องธรรมดาที่จะนับว่ายอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งนั้นแข็งแกร่งที่สุด

 

ในโลกนี้จำนวนของยอดปรมาจารย์แทบจะนับได้ด้วยนิ้วมือ อย่างเช่น ราชครูแห่งอาณาจักรเหมิงหยวนทางตอนเหนือ และนักพรตจางแห่งสำนักบู๊ตึ๊ง (อู่ตั้ง) สายเลือดจอมยุทธโดยแท้

 

ถึงแม้ว่าวัดเส้าหลินจะเป็นสุดยอดพรรค แต่ในรุ่นนี้นั้นไม่มีสงฆ์ศักดิ์สิทธิ์ระดับชั้นที่หนึ่งอยู่เลย

 

หากไม่ใช่เพราะภูมิหลังของเส้าหลินที่ลึกล้ำ น่ากลัวว่าวัดเส้าหลินคงถูกถอดถอนออกจากการเป็นสุดยอดพรรคไปเสียนานแล้ว

 

“สิบปีแล้ว …”

 

ซูฉินยืนสงบนิ่ง สูงใหญ่ ตัวตั้งตรง

 

สิบปีผ่านไปแล้วตั้งแต่ที่เขาเข้าสู่วัดเส้าหลิน

 

สิบปีมานี้ เขาได้ก้าวเดินจากคนธรรมดาที่ไม่แม้แต่จะเข้าสู้ระดับชั้นที่เก้า มาเป็นยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งที่ยิ่งใหญ่ในยุทธภพ

 

และมีเค้าลางว่าจะแข็งแกร่งที่สุดในวัดเส้าหลินยุคนี้

 

กระทั่งเจ้าอาวาสคนปัจจุบัน เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินอยู่ในระดับชั้นที่สองเท่านั้น แล้วเหล่าหัวหน้าตำหนักที่เหลือ พวกเขาก็เพียงระดับชั้นที่สามเท่านั้น

 

ซูฉินค่อนข้างแน่ใจว่าในความแข็งแกร่งปัจจุบันนี้ของเขา แม้แต่ให้เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินรวมถึงหัวหน้าตำหนักทุกคนกลุ้มรุมเข้ามาพร้อมกัน เขาสามารถใช้มือข้างเดียวสู้กับคนทั้งหมดได้

 

“สิบปีได้ผ่านพ้นไป คนหน้าใหม่เข้ามามากมาย อัจฉริยะใหม่ๆ ก็เช่นกัน”

 

ซูฉินถอนหายใจเบาๆ

 

วัดเส้าหลินรับคนเข้ามาเป็นศิษย์จำนวนมากในทุกปีเพื่อรักษาไว้ซึ่งมรดกตกทอด ในสิบปีนี้ซูฉินได้เห็นมามากเกินไป

 

แต่ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นซูฉินก็ยังปฏิบัติตนเป็นพระกวาดลาน เขาไม่เคยคิดจะเปลี่ยนความตั้งใจเดิมและไม่เคยหวั่นไหว

 

แม้แต่ตอนที่หัวหน้าตำหนักลานจิปาถะอยากจะเลื่อนตำแหน่งให้เขา ซูฉินก็ปฏิเสธออกไปอย่างเด็ดเดี่ยว

 

ซูฉินนั่งคิดนอนคิดมาอย่างยาวนาน ในทั่วทั้งวัดเส้าหลินนี้มีเพียงพระกวาดลานเท่านั้นที่จะเข้านอกออกในสถานที่หลักๆ ได้อย่างอิสระเสรี

 

ลองคิดดูว่าหากซูฉินเป็นพระสังกัดลานอรหันต์แต่เที่ยววิ่งทั่วไปตามสถานที่ต่างๆ ตลอดทั้งวัน มันจะไม่น่าสงสัยหรอกหรือ

 

นอกเหนือจากนี้ไม่ว่าจะเป็นลานอรหันต์ ตำหนักยุทธสงฆ์ หรือตำหนักอื่นๆ ลูกศิษย์จะได้รับความสนใจจากหัวหน้าตำหนัก และแม้แต่เจ้าอาวาสก็เป็นไปได้

 

ซูฉินเต็มไปด้วยความลับมากมาย ถ้าเกิดมีสักอย่างหนึ่งถูกเปิดเผยออกไปล่ะ

 

มีแค่สถานะพระกวาดลานเท่านั้นที่จะซ่อนเร้นความลับทั้งหมดไว้ได้

 

เจ้าอาวาสจะไม่สนใจเกี่ยวกับพระกวาดลานมากนัก

 

ทันใดนั้นเอง

 

เสียงเกรี้ยวกราดดังก้องมาจากลานธรรม

 

“เจ้าปีศาจ แกกล้าดียังไง ?!!!”

 

และหลังจากนั้น

 

เปรี๊ยะ !!!

 

เขาเห็นพลังมารร้ายที่เข้มข้นอย่างมากปะทุขึ้น ความบ้าคลั่งเริ่มแผ่กระจายออก ไม่นานก็ครอบคลุมพื้นที่ไปครึ่งวัด

 

เป็นพลังอันยิ่งใหญ่นัก

 

“ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า !”

 

“ผู้อาวุโสก็อายุมากแล้ว พลังชีวิตเอยเลือดในกายเอยล้วนมีแต่จะถดถอย แล้ว …พลังฝ่ามือของข้ามันเป็นอย่างไรบ้างเล่า ?”

 

จุดศูนย์กลางของพลังมารไร้สิ้นสุดมีชายหนุ่มกำลังยืนหัวเราะเยาะเย้ยอยู่

 

 

————————————————————————————————————

(1) ระยะทางหนึ่งลี้เท่ากับประมาณ  500 เมตร

Sign in Buddha’s palm 6 การกบฏของ ‘มารพุทธะ‘

 

 

 

เมื่อซูฉินกลับมาที่ลานจิปาถะก็พบว่าหัวหน้าตำหนักกำลังตะโกนบางสิ่งอยู่

 

เมื่อเห็นซูฉิน หัวหน้าลานจิปาถะก็พยักหน้าให้เล็กน้อย

 

หัวหน้าลานจิปาถะเฝ้ามองดูซูฉินเติบโต แล้วก็รู้ว่าซูฉินได้ทำงานหนักและขยันขันแข็งมาตลอดห้าปีที่ผ่านมา

 

เมื่อเทียบกับซูฉินแล้วศิษย์คนอื่นๆ ในตำหนักลานจิปาถะไม่มีความขยันเพียงพอ

 

ศิษย์พวกนั้นถ้าไม่พยายามลักลอบเรียนวิชายุทธในเส้าหลินก็จะแอบทำตัวขี้เกียจ

 

มีเพียงซูฉินคนเดียวเท่านั้นตั้งแต่วันแรกจนห้าปีผ่านไป ไม่เคยหย่อนยานแม้แต่น้อย ทุกๆ วันจะไปปรากฏตัวที่มุมต่างๆ ของวัด เฝ้าคอยกวาดพื้น

 

จะไปหาศิษย์ที่ไร้ความกังวลใดแบบนี้ได้ที่ไหนอีก?

 

ยิ่งหัวหน้าตำหนักลานจิปาถะได้เห็นซูฉินมากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งรู้สึกพึงพอใจมากเท่านั้น คิดสงสัยภายในใจว่าตนควรจะมอบหน้าที่สำคัญให้กับเณรรูปนี้ดีหรือไม่?

 

“เจินกวนกลับมาแล้ว…”

 

หัวหน้าตำหนักเข้าไปหาซูฉินพร้อมทั้งยิ้มให้

 

ซูฉินเป็นศิษย์ของรุ่น ‘เจิน‘ เมื่อเข้ามาอยู่ในวัดเส้าหลินจึงได้รับการขนานนามว่า ‘เจินกวน‘

 

“ท่านหัวหน้าตำหนัก” ซูฉินเดินไปที่ที่มีเหล่าพระเณรแห่งลานจิปาถะอยู่ แล้วก็หยุดเพียงแค่นั้น

 

“อืม ในช่วงนี้นั้น เส้าหลินอยู่ในช่วงกฎรักษาความสงบแห่งยุทธภพ พวกท่านทุกคนโปรดรับฟังให้ดี” หัวหน้าตำหนักลานจิปาถะกวาดสายตามองเหล่าพระเณร และกล่าวออกอย่างเคร่งเครียด

 

“หัวหน้าตำหนัก เกิดสิ่งใดขึ้นหรือ? ข้าเห็นพวกศิษย์ของตำหนักอื่นๆ ก็เหมือนจะแสดงท่าทางลึกลับแปลกๆ ด้วย…” พระรูปหนึ่งของลานจิปาถะถามอย่างสงสัย

 

เมื่อมีคนกล่าวถามสิ่งนี้

 

ดวงตาของศิษย์คนอื่นๆ พลันฉายแววออกมา หูผึ่งขึ้นทันที

 

หัวหน้าลานจิปาถะลังเลอยู่พักหนึ่งก่อนจะตัดสินใจเปิดเผยข้อมูลออกมา “เรื่องนี้เกี่ยวพันถึงความเสื่อมเสียของวัดเส้าหลิน หากได้ฟังแล้ว ห้ามนำไปเปิดเผยแก่คนอื่น”

 

ความจริงแล้วมันก็ใช่จะเป็นความลับอะไร แต่ที่หัวหน้าตำหนักไม่เคยบอกมาก่อนก็เพราะว่าไม่อยากให้เหล่าศิษย์ต้องกระวนกระวายใจจนเสียสมาธิ

 

แต่ตอนนี้เส้าหลินอยู่ภายใต้กฎรักษาความสงบอีกครั้ง ถ้าหากเขาไม่เปิดเผยออกไปสักนิดหน่อยแล้วศิษย์ในตำหนักเกิดเหตุร้ายขึ้นมาเพราะสิ่งนี้ ในเมื่อเขาเป็นหัวหน้าตำหนัก เขาจะต้องรับผลที่ตามมาเนื่องจากไม่ยอมตอบคำถามเหล่าศิษย์ตั้งแต่แรก

 

“เก้าร้อยปีก่อน ยามที่วัดเส้าหลินยืนอยู่ในจุดรุ่งโรจน์…มีคนทรยศต่อพวกเรา”

 

“ถึงแม้ว่าคนทรยศคนนี้จะเป็นศิษย์ของวัดเส้าหลิน เขาละทิ้งต่อศาสนาและอ้างตนว่าเป็น ‘มารพุทธะ‘ เขาต้องการที่จะทำลายล้างวัดเส้าหลินให้สิ้น”

 

“โชคยังดี ยังมีพระสังฆราชที่สำเร็จขั้นอรหันต์ อยู่ในวัดช่วงเวลานั้น แล้วพระสังฆราชก็ลงมือ เป็นธรรมดาที่มารพุทธะจะถูกสะกดลงอย่างรวดเร็ว”

 

“แต่หลังจากการสะกด‘มารพุทธะ‘ แล้วนั้น พระสังฆราชก็สิ้นลมหายใจ”

 

หัวหน้าตำหนักถอนหายใจเมื่อพูดสิ่งนี้ออกไป

 

ถ้าหากเพียงวัดเส้าหลินยังคงมีบุคคลผู้ทรงพลังในระดับอรหันต์อยู่อีก พวกเขายังจะต้องมาทนหวาดกลัวราวกับวัวขี้ขลาดแบบนี้รึ?

 

หลังจากที่ศิษย์ได้ฟังคำเหล่านั้น ต่างก็มองหน้ากัน ใบหน้าเหวอ ด้วยระดับของพวกเขาไยจึงจะเข้าใจอะไรอย่างคำว่า ‘มารพุทธะ‘ และ ‘อรหันต์‘ ได้

 

มีเพียงซูฉินเท่านั้นที่แววตาส่อประกายเคร่งขรึม

 

ผู้เชี่ยวชาญในยุทธภพแบ่งออกเป็นเก้าระดับ ระดับชั้นที่หนึ่งแข็งแกร่งที่สุด และระดับชั้นที่เก้าอ่อนแอที่สุด

 

แค่สามารถเข้าสู่ระดับชั้นที่สามได้ก็จะกลายเป็นโด่งดังมีชื่อเสียงไปทั่วหล้าแล้ว เหล่าหัวหน้าตำหนักเองก็อยู่ในระดับชั้นนี้

 

ขณะที่เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินอยู่ในระดับชั้นที่สอง

 

ระดับชั้นที่สองก็ได้รับการขนานนามว่าเป็นปรมาจารย์แล้ว

 

ถ้าเป็นระดับชั้นที่หนึ่งจะถูกเรียกว่าเป็น ยอดปรมาจารย์ หากในพรรคมีผู้เยี่ยมยุทธถึงระดับยอดปรมาจารย์แล้วล่ะก็จะถูกเรียกว่าเป็นสุดยอดพรรค

 

ในวัดเส้าหลินนั้นผู้เชี่ยวชาญระดับชั้นที่หนึ่งจะถูกเรียกว่า ‘สงฆ์ศักดิ์สิทธิ์‘

 

เหนือเกินกว่าระดับชั้นที่หนึ่งก็คือระดับ ‘อรหันต์‘

 

คนทั่วไปชอบที่จะเรียกผู้เยี่ยมยุทธนั้นขอบเขตนี้ว่าเป็น ‘เหล่าตำนานยุทธ‘ เสียมากกว่า

 

ไม่ว่าจะเป็นสถานะของ อรหันต์ หรือ ตำนานยุทธ ทั้งสองอย่างเป็นการแสดงถึงความสุดขั้วของวิทยายุทธ พวกเขาเหล่านั้นต่างเรียกลมเรียกฝนได้ ทำได้ถึงขนาดบดขยี้เมืองให้ราบได้เพียงใช้แค่ฝ่ามือ

 

แต่จากที่หัวหน้าตำหนักได้พูดเอาไว้ ดูเหมือนบุคคลนั้นจะมรณภาพไปเพียงไม่นานหลังจากสะกดมารพุทธะ

 

จดจำไว้ให้ดีว่านั้นคือการ ‘สะกด‘ มิใช่ ‘กำจัด‘

 

เป็นไปได้ว่า ‘มารพุทธะ‘ จะเป็นตัวตนที่แข็งแกร่งในระดับอรหันต์เช่นกัน ดังนั้นพระสังฆราชจึงทำได้เพียงสะกดมันเอาไว้หาใช่กำจัดทิ้งไปไม่

 

นอกจากนั้นในระหว่าการสะกดครั้งนั้น พระสังฆราชคงจะได้รับผลกระทบหนักไม่น้อยจึงทำให้มรณภาพในเวลาต่อมาเพียงไม่นาน

 

นอกเหนือจากนั้น

 

ซูฉินรู้ดีว่าเคล็ดวิชาที่แข็งแกร่งที่สุดในวัดเส้าหลินอย่าง [ฝ่ามือยูไล] สูญหายไปเมื่อเก้าร้อยปีก่อน

 

ซึ่งเป็นช่วงเวลาเดียวกันกับที่มารพุทธะกำเนิดขึ้น

 

ซูฉินคาดเดาว่าเป็นเพราะความโกลาหลในยุคมารพุทธะนำมาซึ่งการสูญเสีย [ฝ่ามือยูไล] และความตายของพระสังฆราช

 

เมื่อซูฉินคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้

 

หัวหน้าตำหนักก็กล่าวต่อไปว่า “ถึงแม้มารพุทธะจะถูกสะกดเอาไว้ แต่จิตมารยังไม่ได้สูญสลาย ทุกๆ ร้อยปี เขาจะกระเทาะผนึกจนแตกร้าวแล้วแบ่งแยกจิตมารออกมาล่อลวงศิษย์วัดเส้าหลิน

 

“ในเวลาเก้าร้อยปีที่ผ่านมา เพราะจิตมารนั่นทำให้เกิดทายาทของ ‘มารพุทธะ‘ ขึ้นถึงแปดตน”

 

“ทายาทของมารพุทธะเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นศิษย์สำนักเส้าหลินทั้งหมด ทว่าภายใต้อิทธิพลของจิตมารนี้ พวกเขาจึงจ้องจะทำลายวัดเส้าหลินเหมือนๆ กันหมด”

 

“อีกแค่ไม่กี่ปีมันก็จะครบเก้าศตวรรษพอดี ถ้าเจ้าเผชิญหน้ากับการครอบงำของจิตมาร พวกเจ้าต้องรีบมาแจ้งในทันที เข้าใจหรือไม่?”

 

ตอนที่พูดนี้หัวหน้าตำหนักก็จ้องไปที่เหล่าศิษย์อย่างเคร่งเครียด

 

“พวกเราเข้าใจขอรับ” เหล่าศิษย์ต่างขานรับในทันที

 

 

หลังจากหัวหน้าตำหนักจากไป ซูฉินก็ได้ทำสิ่งที่เขาควรจะทำเสียที

 

เรื่องของ ‘มารพุทธะ‘ อะไรนั่น มันเป็นเรื่องที่ท่านเจ้าอาวาสและหัวหน้าตำหนักควรจะเป็นกังวล แต่ไม่ใช่กับซูฉินเสียหน่อย

 

พระกวาดลานที่ไม่มีอะไรโดดเด่นเลยอย่างเขา เว้นไว้เพียงแต่ว่าทั้งวัดเส้าหลินถูกทำลายลง อย่างอื่นนั้นต่อให้เป็นปัญหาใหญ่แค่ไหนก็ไม่ส่งผลกระทบกับซูฉินทั้งนั้น

 

และมันเป็นเช่นนั้นต่อไปจนเวลาเดินหน้าผ่านไปอีกราวหกเดือน

 

ในช่วงหกเดือนที่ผ่านมานี้ ซูฉินได้ไปลงชื่อที่ลานโพธิ์เพียงที่เดียวแล้วก็ได้รับโอสถมาเป็นจำนวนมาก

 

“เตรียมการจนเกือบจะพร้อมแล้ว”

 

ซูฉินมองหาป่าเขาไปเรื่อยไว้เป็นสถานที่สำหรับตัดผ่าน

 

ป่าเขาบริเวณนี้อยู่ที่ชายขอบของวัดเส้าหลินและผู้คนจะไม่เข้ามาแถวนี้

 

ดังนั้นแม้ซูฉินจะตัดผ่านขั้นที่นี่แล้วก่อให้เกิดความผันผวนในอากาศ เจ้าอาวาสก็ไม่มีทางรู้ได้

 

ฟึ่บ

 

ซูฉินยกมือขวาขึ้นแล้วหยิบเม็ดยาออกมาจากในคลังของระบบในทันที

 

โอสถพวกนี้ทั้งหมดใช้เพื่อเสริมศักยภาพของกายเนื้อ เช่นพวกโอสถชำระไขกระดูก มองดูคร่าวๆ บางทีอาจจะเยอะเป็นพันๆ เม็ดเลยทีเดียว

 

ถ้าเกิดหัวหน้าตำหนักได้มาเห็นโอสถจำนวนมากปานนี้แล้วล่ะก็ ขากรรไกรคงต้องอ้าค้างตกอยู่ในความตะลึง

 

แม้แต่ทั่วทั้งลานโพธิ์ก็มีการปรุงโอสถชำระไขกระดูกได้เพียงประมาณร้อยเม็ดต่อปี

 

แถมยังจะต้องกระจายเม็ดยาออกไปให้ตำหนักต่างๆ ฉะนั้นแต่ละตำหนักอย่างมากก็ได้แค่สักสิบเม็ดในแต่ละปี

 

แต่ตอนนี้จำนวนโอสถชำระไขกระดูกเบื้องหน้าของซูฉินนั้นมีอย่างน้อยๆ ก็พันเม็ด นี่เท่ากับกับการทำงานหนักของลานโพธิ์เป็นเวลาสิบปีเลยทีเดียวโดยคนปรุงจะต้องไม่หยุดพักกินอาหารหรือดื่มน้ำเลยด้วย

 

“มา เริ่ม!”

 

ซูฉินนั่งขัดสมาธิมือก็คว้าส่งโอสถเข้าปาก เคี้ยวกุบกับราวกับพวกมันคือขนมขบเคี้ยว

 

ครึ่งชั่วโมงต่อมากลิ่นอายของซูฉินก็เกิดสั่นไหวขึ้นมา

 

พริบตาจากนั้น พลังปราณของโลกอันไร้ที่สิ้นสุดก็ไหลกรูกันเข้ามาราวกับเห็นประตูที่เปิดออกพุ่งทะลวงเข้าสู่ร่างอย่างตาลีตาเหลือก

 

อย่างไรก็ตาม

 

พลังปราณของโลกหล้าที่สามารถทำให้ผู้เชี่ยวชาญระดับชั้นที่สี่ร่างระเบิดออกได้นั้น หลังจากที่ไหลเข้าสู่ร่างของซูฉินมันก็กลายเป็นเหมือนแมวเชื่องเข้าผสานกับเลือดเนื้อ ร่างกายของเขาถูกเสริมแกร่งขึ้นอย่างรวดเร็ว

 

เวลานับชั่วโมงผ่านพ้นไป

 

ซูฉินเผยอเปลือกตาเปิดออก รู้สึกแปลกใจเล็กน้อย

 

“สิ้นสุดลงแล้วงั้นหรือ?”

 

“นี่ข้าเข้าสู้ระดับชั้นที่สามเรียบร้อยแล้วหรือ?”

 

ซูฉินแปลกใจ

 

เมื่อยามที่เขาเข้าสู่ชั้นที่สามมันง่ายราวกับแค่เพียงหยิบจับอาหารเข้าปากเพียงเท่านั้น ไม่เห็นว่ามันจะยากเย็นและแสนอันตรายเหมือนกับที่ข่าวลือบอกไว้เลยนี่นา

 

“หรือว่ามันเป็นเพราะความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ของ [กายวัชระคงกระพัน]?” ซูฉินค่อยๆ ลุกขึ้นยืนอย่างเชื่องช้า รับรู้ถึงความเปลี่ยนแปลงของการเข้าเป็นผู้เชี่ยวชาญในสามระดับบน

Sign in Buddha’s palm 5 เขตหวงห้ามด้านหลังเขา

 

 

 

“ความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ของ [กายาวัชระคงกระพัน] อย่างงั้นหรอ?”

 

หัวหน้าตำหนักที่เหลือได้ยินสิ่งนี้เข้าไปดวงตากลมโตแทบจะถลน

 

[กายาวัชระคงกระพัน] เป็นเคล็ดวิชาบ่มเพาะของเส้าหลิน หัวหน้าตำหนักที่ยืนอยู่กันในที่นี่ต่างก็ได้ฝึกมันมาแล้วกันทั้งนั้น

 

กระไรก็ตาม [กายาวัชระคงกระพัน] มันง่ายที่จะเริ่มฝึก แต่เพื่อให้ฝึกจนสำเร็จวิชานั้นเรียกว่ายากราวกับปีนป่ายสวรรค์

 

ปกติแล้วมันยากกว่าสิบเท่าในการฝึกกายาวัชระคงกระพันให้ไปถึงความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ เมื่อเทียบกับการที่คนธรรมดาคนหนึ่งยกระดับจากระดับชั้นที่เก้าขึ้นไปสามระดับบน

 

แน่นอนว่ากายาวัชระคงกระพันเมื่อขึ้นถึงความสำเร็จอันยิ่งใหญ่แล้วนั้นเพียงแค่ร่างกายเปล่าๆ ก็สามารถท้าทายผู้เชี่ยวชาญในสามระดับบนได้แล้ว มันเป็นอะไรที่น่าหวั่นเกรงมาก

 

เพียงแค่คุณเป็นคนที่มีพรสวรรค์ แล้วใช้พรสวรรค์นั้นอย่างเต็มที่มุ่งไปในการบ่มเพาะวิชาการต่อสู้ แล้วก็เลื่อนขั้นไปเป็นผู้เชี่ยวชาญในสามระดับบนไม่ดีกว่าหรือ?

 

ดังนั้นที่วัดเส้าหลิน [กายาวัชระคงกระพัน] จึงเป็นวิชาบ่มเพาะที่ไม่ได้รับความนิยมนัก

 

ทุกคนต่างก็รู้ดีว่า [กายาวัชระคงกระพัน] เป็นวิชาที่มีศักยภาพสูงส่ง แต่ศิษย์ใดเล่าจะเต็มใจเสียเวลาไปกับมัน

 

เพราะเมื่อเทียบแล้วมันได้ไม่คุ้มเสียเอาเสียเลย

 

ถึงแม้ศิษย์ของวัดเส้าหลินจะค่อนข้างซื่อๆ แต่พวกเขาก็ไม่ได้โง่

 

หัวหน้าตำหนักยุทธสงฆ์หันหน้าไปมองหัวหน้าลานอรหันต์ “เอาล่ะ ลานอรหันต์ปกปิดมันได้อย่างแนบเนียนเสียจริง ไม่คาดคิดเลยนะเนี่ยว่าถึงกับเป็นความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ของ [กายาวัชระคงกระพัน]? ”

 

ในบรรดาตำหนักต่างๆ ในเส้าหลิน ตำหนักลานอรหันต์เป็นแหล่งที่ค้นคว้าทำความเข้าใจคัมภีร์กายาวัชระคงกระพันมากที่สุด

 

หากมีศิษย์คนใดที่จะฝึกฝน [กายาวัชระคงกระพัน] ได้จนถึงขั้นความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ก็มีแต่จะอยู่ที่ลานอรหันต์นี้เท่านั้น

 

ยิ่งไปกว่านั้นค่ายกลทองแดงก็ยังตั้งอยู่ที่ลานอรหันต์

 

นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมหัวหน้าตำหนักยุทธสงฆ์ถึงถามออกไปเช่นนี้

 

ทันทีที่หัวหน้าตำหนักยุทธสงฆ์กล่าวออกไป เหล่าหัวหน้าตำหนักต่างๆ รวมถึงเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินก็หันมาสบตากัน

 

“นะโม อมิตาพุทธ”

 

หัวหน้าลานอรหันต์รีบตอบกลับไปทันที “พระผู้น้อยทุกคนในลานอรหันต์ต่างก็รู้กันดีว่าไม่มีใครที่จะสามารถฝึกฝน [กายาวัชระคงกระพัน] ได้ไปจนถึงความสำเร็จอันยิ่งใหญ่”

 

คำพูดถูกกล่าวออกมา

 

เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินและหัวหน้าตำหนักทั้งหลายถึงกับผงะ

 

ถ้าไม่ใช่ศิษย์ของตำหนักลานอรหันต์ แล้วจะเป็นศิษย์ไหนได้อีกเล่าที่จะสามารถฝึกฝน [กายาวัชระคงกระพัน] ได้ไปจนถึงความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ได้?

 

ไม่นานนัก

 

หัวหน้าฝ่ายวินัยก็ถามขึ้นอย่างไม่ค่อยแน่ใจนัก “หรือมันจะเกี่ยวข้องกับสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อห้าปีก่อน?”

 

ห้าปีก่อน องค์ยูไลทองคำปรากฏอยู่บนท้องฟ้าเหนือโถงประชุมใหญ่ สาดแสงกระจายสว่างไปทั่วทั้งวัดเส้าหลิน

 

ในตอนนั้นเจ้าอาวาสและหัวหน้าตำหนักต่างก็คิดกันว่าคงมีศิษย์คนใดสักคนหนึ่งที่ได้รับความโปรดปรานจากองค์ยูไล ก็คิดไปตามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

 

ยังไงก็ตามในท้ายที่สุดแล้วเขาตรวจสอบศิษย์ที่อยู่ด้านในโถงประชุมใหญ่ทั้งหมดแต่ก็ไม่พบสิ่งผิดปกติใด

 

เหตุการณ์นั้นยังคงประทับอยู่ในใจของเจ้าอาวาสเรื่อยมาจนถึงเดี๋ยวนี้ เขาก็ยังแอบตรวจสอบมันอยู่อย่างลับๆ

 

ทว่าน่าเสียดาย

 

ห้าปีที่ผ่านมา อัจฉริยะผุดขึ้นมากมายในวัดเส้าหลิน แต่มันก็ยังคงไม่มากพอที่พวกเขาจะดึงดูดความชื่นชมจากองค์ยูไลได้

 

“พอแล้วล่ะ พอแล้วล่ะ คนผู้นี้ฝึกฝนกายาวัชระคงกระพันมาจนถึงความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ได้แล้วจริงๆ แล้วเขาก็ยังเป็นคนของสำนักเราอีก ในเมื่อเขาไม่ต้องการจะเปิดเผยตัว ไยจำต้องไปรบกวนเขาเล่า…”

 

เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินถอนหายใจออกมาน้อยๆ

 

[กายาวัชระคงกระพัน] เป็นวิชาที่ทำให้เชี่ยวชาญในร่างกาย เมื่อไปถึงความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ย่อมมีความสามารถในควบคุมร่างกายได้อย่างน่าหวาดกลัว ถ้าคนคนนั้นตั้งใจจะปิดบังลมปราณ นอกเสียจากจะเป็นพระระดับอรหันต์มาตรวจสอบเอง ยังไงการปิดบังนั้นก็ไม่มีวันถูกเปิดเผย

 

“อาตมาจะไม่กล่าวเรื่องนี้ให้มากความไปอีก”

 

เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินนิ่งงันไปชั่วขณะหนึ่งแล้วกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ “ระยะเวลาหนึ่งร้อยปีคืบคลานเข้ามาแล้ว ตำหนักแต่ละแห่งจงเตรียมรับมือให้พร้อม”

 

เวลาหนึ่งร้อยปี…

 

เมื่อได้ยินคำสี่คำนี้หัวหน้าตำหนักต่างเปลี่ยนสีหน้าไปแล้วค่อยๆ หันมองไปยังทิศทางภูเขาต้องห้ามด้านหลังด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

 

 

“เกือบไปแล้วไหมล่ะ”

 

“ถ้าอยู่นานกว่านี้อีกหน่อยข้ากลัวว่าจะต้องถูกจับได้”

 

ซูฉินถอนหายใจโล่งอกเมื่อเขากลับมาถึงลานจิปาถะ

 

ด้วยความแข็งแกร่งของซูฉิน หลังจากที่บุกฝ่าด่านค่ายกลทองแดงร้อยแปดแถวได้แล้ว เขามีความสามารถล้นเหลือที่จะหยุดยั้งระฆังไม่ให้ดังขึ้น

 

แต่ซูฉินหมกมุ่นกับความสำเร็จในการตัดผ่านมากจนลืมที่จะหยุดยั้ง

 

“อย่างไรก็เถอะ หลังจากถึงขั้นความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ของกายาวัชระคงกระพันแล้ว มันมีอะไรเปลี่ยนแปลงไปบ้างกันน้า…”

 

ซูฉินพึมพำอยู่กับตัวเอง

 

ตอนนี้ลมปราณของซูฉินถูกปกปิดอย่างสมบูรณ์ ไม่ต่างอะไรกับคนธรรมดา แม้เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินมาตรวจสอบด้วยตนเองก็เป็นไปไม่ได้ที่จะพบอะไร

 

มีแต่ซูฉินคนเดียวเท่านั้นที่รู้ว่าตอนนี้เขามีพลังอันน่าหวาดกลัวถึงระดับไหน

 

ตอนฝ่าด่านค่ายกลร้อยแปดแถวเขาใช้พลังร่างกายล้วนๆ ไปเพียงนิดหน่อยเท่านั้น พวกหุ่นทองแดงเหล่านั้นก็แตกกระจาย

 

ถ้าเกิดว่าเขาได้ปลดปล่อยพลังทั้งหมดของกายเนื้อนี้พลังมันจะรุนแรงสักแค่ไหนกัน…

 

ซูฉินเฝ้ารอที่จะเห็นสิ่งนั้น

 

“ต่อไป ถึงเวลาแล้วล่ะที่จะตัดผ่านเข้าสู่ขั้นถัดไป”

 

ซูฉินนั่งลงตัดสินบางอย่างในใจ

 

ตั้งแต่ที่เข้ามาสู่ระดับชั้นที่สี่เมื่อปีที่แล้ว ซูฉินก็ได้กดระงับฐานการบ่มเพาะชะลอการตัดผ่านสู่ขั้นใหม่ของเขาเอาไว้

 

ไม่ใช่ว่าซูฉินไม่อยากจะก้าวหน้า

 

เพียงแต่มันมีความเสี่ยงใหญ่หลวงในการเข้าสู่สามระดับบน

 

ความเสี่ยงครั้งนี้ไม่ได้มาจากสิ่งใดภายในตน แต่เป็นพลังจากภายนอก พลังแห่งฟ้าดิน

 

ผู้ฝึกยุทธที่ต้องการจะก้าวเข้าสู่สามระดับบน กลายมาเป็นผู้เชี่ยวชาญระดับชั้นที่สาม อย่างแรกคือต้องปล่อยเส้นทางระหว่างตนและโลกเบื้องนอกให้เปิดออกจนสุด แล้วจึงชักนำพลังของโลกมาชำระล้างภายใน

 

มีเพียงวิธีนี้จึงจะเข้าสู่การเป็นผู้เชี่ยวชาญในสามระดับบน

 

กระนั้นความยิ่งใหญ่ผยองเดชของปราณโลกมันมากเพียงใดเล่า? หากปล่อยให้มันไหลบ่าไปทั่วร่าง ใครเล่าจะกล้าคาดเดาถึงความเสียหายที่จะเกิดขึ้น?

 

ผู้เชี่ยวชาญระดับชั้นที่สี่หลายต่อหลายคนร่างระเบิดออกและตายลงเพราะต้องการจะตัดผ่านสู่ชั้นถัดไป

 

แม้ว่าเขาจะรอดตายมาได้ เส้นเลือดย่อมแตกซ่าน ไม่เหลือสิ่งใดเป็นได้เพียงขยะ

 

นี่เองจึงเป็นสาเหตุว่าทำไมผู้เชี่ยวชาญในสามระดับบนถึงมีน้อยนัก

 

ในหมู่ผู้เชี่ยวชาญวิทยายุทธระดับสี่สักห้าสิบคน คงจะมีเพียงแค่คนเดียวเท่านั้นที่จะสามารถตัดผ่านไปได้สำเร็จ แม้ว่าจะคิดเรื่องของโชคเข้ามาช่วยด้วยก็ตาม

 

แม้แต่สุดยอดพรรคในยุทธภพอย่างวัดเส้าหลิน การตัดผ่านสู่ขั้นสามระดับบนถือว่าต้องให้ความสำคัญอย่างยิ่งยวด และต้องมีหัวหน้าตำหนักและเจ้าอาวาสดูแลอย่างใกล้ชิด

 

ดังนั้นซูฉินจึงระมัดระวังอย่างมาก

 

“เมื่อใดก็ตามที่ตัดผ่านแล้วก้าวเข้าสู่สามระดับบน ความเสี่ยงที่ใหญ่ที่สุดก็คือพลังปราณในโลกหล้าจะไหลบ่าเข้าสู่กาย ถ้ามีอะไรผิดพลาดล่ะก็ เตรียมถูกแผดเผาจนตายได้เลย”

 

“เหตุผลของเรื่องนี้มันง่ายเอามากๆ ก็เพราะกายเนื้อเขาพวกเรานั้นมันอ่อนแอ”

 

“ถ้ากายเนื้อแข็งแกร่งมากพอที่จะไม่สนพลังปราณของโลก กล่าวได้ว่าความเสี่ยงนั้นมันไร้ค่าเกินกว่าจะพูดถึง”

 

ความคิดของซูฉินพลิกไปมาหลายตลบ “แต่ตอนนี้ฉันได้ฝึก [กายาวัชระคงกระพัน] ถึงความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ แค่กายเนื้ออย่างเดียวก็เอาไปชนกับพวกสามระดับบนได้แล้ว”

 

“ด้วยกายเนื้อนี้ มันควรจะไร้ซึ่งปัญหายามเผชิญกับปราณของโลก”

 

ซูฉินคาดเดาภายในใจ

 

ถึงแม้ตัวเขาจะเชื่อว่าความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ของกายาวัชระคงกระพันเพียงพอที่จะจัดการกับความเสี่ยงในการตัดผ่าน เขาก็ยังคิดว่าจะรอไปอีกสักสองสามเดือนเผื่อในกรณีที่เขาเข้าใจบางอย่างผิดพลาดไป

 

ใช้เวลาสองสามเดือนนั้นในการลงชื่อเพื่อรับโอสถชำระไขกระดูกและโอสถอื่นๆ ที่ช่วยเสริมสร้างกายเนื้อ

 

ไม่เป็นอะไรหรอก ก่อนหน้าก็รอมาเป็นปีแล้ว จะรอต่ออีกไม่กี่เดือนก็ไม่ได้แย่อะไรนัก

 

จากนั้นซูฉินก็ตัดใจเลิกลงชื่อเข้าใช้ที่ด้านนอกศาลาพระคัมภีร์แล้วใช้โอกาสที่เหลือไปลงชื่อที่ลานโพธิ์แทน

 

ระหว่างระยะเวลานั้น ซูฉินรู้สึกชัดว่าวัดเส้าหลินดูเหมือนจะมีการเฝ้าระวังกันตลอด

 

บรรยากาศที่ช่างน่าหวาดระแวงก่อตัวรุนแรงขึ้น

 

แม้แต่เณรกวาดลานอย่างซูฉิน ตัวตนอันต้อยต่ำ ยังรู้สึกได้เลยว่ามีบางสิ่งผิดปกติ

 

ขณะกำลังกวาดลานวัดอยู่นั้น ซูฉินก็ได้ยินเสียงกระซิบกระซาบกันของเหล่าศิษย์คนอื่นๆ จับใจความได้แค่บางคำเช่น ‘เวลาหนึ่งร้อยปี‘ แล้วก็ ‘เขตหวงห้ามหลังเขา‘

 

“เขตหวงห้ามแถวภูเขางั้นหรอ?”

 

ใบหน้าซูฉินแสดงออกว่ากำลังครุ่นคิด

 

ในช่วงห้าปีที่ผ่านมานี้ ซูฉินไปมาทั่วทุกมุมของวัดจะมีเพียงก็แต่เขตหวงห้ามบางที่ที่ไม่ได้เข้าไป

 

ในหมู่สถานที่ที่ว่ามาก็คือเขตหวงห้ามบริเวณภูเขาของวัดเส้าหลิน

 

ในช่วงสี่ปีแรก ซูฉินยังอ่อนแอและไม่กล้าเข้าไปในเขตหวงห้ามอย่างเช่นภูเขาด้านหลัง

 

แต่หลังจากซูฉินเข้าสู่ระดับชั้นที่สี่ เขาสัมผัสได้อย่างคลุมเครือที่บริเวณภูเขามีกลิ่นไอทรงพลังจางๆ อยู่

 

เพราะว่าเรื่องนี้ซูฉินจึงไม่เคยเฉียดไปใกล้บริเวณภูเขาเลย

 

“ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ข้าก็แค่เณรกวาดลาน มันไม่มีเรื่องราวใดที่ข้าต้องกระทำหรอก”

 

ซูฉินคิดเรื่องนี้อยู่พักหนึ่งแต่ก็ไม่ได้สนใจมันมาก

 

ไม่ว่าจะเป็นท้องฟ้าที่ถล่มลงมา ย่อมจะมีร่างอันสูงใหญ่ไปต่อต้านมัน ด้วยฐานะสุดยอดพรรคในยุทธภพ วัดเส้าหลินน่ะมีรากฐานที่ลึกซึ้งไม่อาจประเมินได้ ซูฉินเพียงแค่ต้องปกป้องตัวเองแล้วก็กวาดลานวัดเท่านั้น

Sign in Buddha’s palm 4 กายวัชระไร้เทียมทาน!

 

ที่ลานอรหันต์ พระเณรหลายต่อหลายคนต่างก็พูดคุยกันเกี่ยวกับเรื่องนี้

 

“ศิษย์พี่เจินซิ่งเป็นอัจฉริยะคนหนึ่งในลานอรหันต์ของข้านี่แหละ ไม่กี่วันก่อนเขาเพิ่งเข้าสู่ระดับชั้นที่แปด เขาไม่มีปัญหาใดๆ แน่ในการบุกฝ่าค่ายกลทองแดงสิบแปดแถว”

 

“มิผิด พี่ชายเจินซิ่งเป็นถึงศิษย์ที่ทรงคุณค่าของท่านหัวหน้าตำหนักลานอรหันต์หลัวฮ่าน ว่ากันว่าเป็นคำสั่งของท่านเจ้าอาวาสที่สั่งให้ส่งเสริมศิษย์พี่ท่านนี้”

 

 

“เจินซิ่ง?”

 

ซูฉินนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วก็นึกได้

 

เจินซิ่งคนนี้เองเป็นศิษย์ที่เข้ามาสักการะวัดเส้าหลินเช่นเดียวกับซูฉิน แล้วก็เป็นศิษย์ในรุ่น “เจิน (จริงแท้)” เหมือนกัน

 

เพียงเพราะพรสวรรค์ด้านวิทยายุทธของเจินซิ่งนั้นสูงทีเดียว จนได้รับการยกย่องจากหัวหน้าลานอรหันต์ตั้งแต่แรก และเขาก็ถูกเทียบเชิญเข้าไปสู่ลานอรหันต์เป็นการส่วนตัว

 

แต่กับซูฉินเขาไม่มีพรสวรรค์ในวิทยายุทธจึงถูกโยนไปสังกัดลานจิปาถะในท้ายที่สุด

 

อาจกล่าวได้ว่าทั้งเจินซิ่งกับซูฉินนั้นอยู่คนละขั้วในวัดเส้าหลินโดยสิ้นเชิง คนแรกนั้นเฉิดฉายเป็นที่น่าจับตาส่วนอย่างหลังไม่เป็นที่รู้จักของใครนัก

 

“ศิษย์พี่เจินซิ่งเข้าร่วมกับวัดเส้าหลินมาได้เพียงห้าปีก็ขึ้นไปอยู่ชั้นที่แปดแล้ว สักวันเขาจะต้องกลายเป็นหัวหน้าตำหนักแน่ๆ!”

 

เณรอายุราวสิบสองสิบสามโพล่งออกมาด้วยความอิจฉา

 

เขาเข้ามาที่วัดเส้าหลินได้ก็สองถึงสามปีแล้ว แต่ก็อยู่แค่เพียงขั้นปรับแต่งกระดูกและกล้ามเนื้อ ไม่แม้แต่จะเข้าถึงขอบของระดับชั้นที่เก้าด้วยซ้ำ ไม่ต้องไปพูดถึงระดับชั้นที่แปดเลย จะไปถึงได้ยังไง?

 

ซูฉินยืนเงียบๆ อยู่ด้านข้างเขาคนนั้น

 

ถ้าปล่อยให้เหล่าศิษย์ที่กำลังชื่นชมเจินซิ่งแล้วชื่นชมอีกแบบนี้ได้รู้ว่าคนที่คุณกำลังชื่นชมอยู่นั่นถูกทิ้งห่างไปไกลแค่ไหนเมื่อเทียบกับซูฉิน กลัวว่าศิษย์รอบข้างเหล่านี้คงทำได้แต่เพียงจ้องมองตาค้าง

 

เจินซิ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญระดับชั้นที่ 8

 

แต่ซูฉินไปถึงชั้นที่ 4 แล้ว

 

ทั้งสองคนห่างไกลกันถึงสี่ชั้นใหญ่ๆ

 

ต่อให้มีเจินซิ่งอีกพันคนกรูกันเข้ามา มันก็ยังไม่กดดันซูฉินมากพอให้ใช้อะไรอย่างอื่นไปมากกว่าหลังฝ่ามือ

 

ศิลปะการต่อสู้ยิ่งฝึกฝนมากขึ้น ความต่างชั้นของพลังจะยิ่งเห็นได้ชัดในช่วงหลัง

 

ระดับชั้นที่เก้า สิบคน อาจจะเพียงพอต่อกรกับระดับชั้นที่แปดคนเดียว

 

แค่ถ้าจะให้ระดับชั้นที่ห้า สิบคน ไปจัดการกับระดับชั้นที่สี่เพียงคนเดียว นั่นคงเป็นได้แค่ฝันอันโง่เง่าเท่านั้น

 

ซูฉินย่อมไม่ได้ให้ความสนใจในตัวของเจินซิ่ง

 

สิ่งที่เขากำลังใคร่ครวญอยู่คือค่ายกลทองแดงของตำหนักลานอรหันต์ที่มีผลสามารถช่วยให้ศิษย์วัดทดสอบความแข็งแกร่งของตน

 

จากการบ่มเพาะอันยาวนาน ซูฉินเชี่ยวชาญเคล็ดวิชาบ่มเพาะมากมายในวัดเส้าหลินนี้ และความแข็งแกร่งก็ขึ้นไปถึงระดับที่น่ากลัวอย่างชั้นที่สี่ แต่เขาไม่เคยเอาไปประลองกับใครเลย

 

ถึงจะเข้ามาที่ระดับชั้นที่สี่แล้ว แต่เขาก็ไม่รู้เลยว่าระดับชั้นที่สี่นี้มันทรงสักพลังแค่ไหน

 

ซูฉินรู้แค่ว่าเขานั้นแข็งแกร่ง แต่กลับไม่รู้ว่าแข็งแกร่งเพียงไหน

 

“ข้าควรจะลอบมาที่นี่ในตอนกลางคืน ตอนที่ไม่มีใคร”

 

ซูฉินหมุนตัวจากไป

 

 

ยามมืด

 

ซูฉินใช้ประโยชน์จากแสงจันทร์ในการนำทางเขามาสู่ด้านหน้าของค่ายกลทองแดง

 

“เริ่มล่ะนะ”

 

ซูฉินพุ่งตรงเข้าไปในขบวนค่ายกลไม่พูดไม่จา

 

หุ่นทองแดงในค่ายกลทองแดงเป็นสิ่งประดิษฐ์ของตำหนัก แต่ละตัวไม่ใช่คนจริงๆ แล้วก็ไม่มีใครคอยควบคุมอยู่ด้านข้างค่ายกลเหล่านี้

 

เพราะแบบนั้นเองซูฉินจึงตั้งใจจะใช้ที่นี่เป็นที่ทดสอบความแข็งแกร่ง

 

ร่างหุ่นทั้งสิบแปดคล้ายเป็นร่างเงาทองแดงและเหล็กแข็งผลุบโผล่อย่างรวดเร็วล้อมรอบตัวเขา

 

“หืม?”

 

“ปวกเปียกเกินไป เชื่องช้าเกินไป”

 

ซูฉินส่ายหัวเล็กน้อย ความคิดเคลื่อนคล้อย ปล่อยนิ้วออก ชี้ไปเบื้องหน้า ราวกับองค์ยูไลกำลังแย้มยิ้ม

 

ดัชนีบุปผาร่วงโรย!

 

ทันใดนั้นเอง

 

ร่างหุ่นทองแดงทั้งสิบแปดต่างกระเด็นถอยกลับแล้วล้มลงไปกับพื้นอย่างรุนแรง

 

ตอนช่วงกลางวัน เจินซิ่งใช้ความแข็งแกร่งออกไปมากมายเพื่อที่จะฝ่าด่านค่ายกลทองแดงสิบแปดแถว แต่เปลี่ยนมาเผชิญหน้ากับซูฉิน เขาคงไม่มีทางที่จะรอดไปได้แน่แม้จะเป็นเวลาเพียงครู่เดียว

 

“ความแข็งแกร่งระดับนี้มันอ่อนแอเกินไปที่จะตรวจวัดความก้าวหน้าของข้าได้”

 

ซูฉินยังคงเคลื่อนตัวต่อไปด้านใน

 

หลังจากค่ายกลทองแดงสิบแปดแถว จะมีค่ายกลทองแดงสามสิบหกแถวอยู่

 

ผู้เชี่ยวชาญวิทยายุทธระดับชั้นที่แปดสามารถที่จะบุกฝ่าค่ายกลทองแดงสิบแปดแถว แต่ถ้าต้องการจะบุกฝ่าค่ายกลทองแดงสามสิบหกแถวล่ะก็ จำเป็นต้องอยู่ในระดับชั้นที่เจ็ด

 

สำหรับค่ายกลทองแดงเจ็ดสิบสองแถว หากไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญระดับชั้นที่หกอย่าหวังว่าจะได้ลิ้มลองเลย

 

โดยทั่วไปแล้วนั้นคงมีเพียงแต่ผู้เชี่ยวชาญระดับชั้นที่ห้าเท่านั้น ที่สามารถมั่นใจได้ว่าจะผ่านค่ายกลทองแดงเจ็ดสิบสองแถวไปได้

 

อย่างสุดท้าย ค่ายกลทองแดงร้อยแปดแถว จึงเป็นผู้เชี่ยวชาญระดับชั้นที่สี่จึงจะมีคุณสมบัติพอ

 

กระนั้นค่ายกลทองแดงร้อยแปดแถว เป็นการเปรียบเปรยถึงดวงดาวแห่งสวรรค์และอสูรบนผืนพิภพ มันถูกสร้างทิ้งไว้โดยสงฆ์ศักดิ์สิทธิ์ในยุคหนึ่งของวัดเส้าหลิน แน่นอนว่าระดับชั้นที่สี่ทั่วๆ ไป ไม่สามารถอยู่ด้านในค่ายกลได้นานนัก

 

เฉพาะเหล่าระดับชั้นที่สี่ขั้นสูงสุดหรือไม่ก็ผู้เชี่ยวชาญที่ใกล้จะถึงขอบเขตชั้นที่สามเท่านั้นถึงจะสามารถผ่านค่ายกลทองแดงร้อยแปดแถวไปได้

 

ครืนนนน !!!

 

ซูฉินยังคงก้าวเดินต่อไป พลังภายในที่น่าหวาดหวั่นปะทุออกมา หุ่นทองแดงทั้งสามสิบหกที่เพิ่งจะเข้ามาประชิดตัวถึงกับเกือบจะแตกกระจาย

 

“ถัดไป”

 

ซูฉินเดินเข้าไปลึกขึ้นอีก

 

ฟู่วว!!!

 

ถัดจากนั้น

 

เขาเห็นร่างเงาสีเงินและทองแดงทั้งเจ็ดสิบสองตัวปรากฏขึ้นใกล้ๆ ซูฉินราวกับภูติผี

 

“นี่คือค่ายกลทองแดงเจ็ดสิบสองแถวอย่างงั้นน่ะหรอ?”

 

ซูฉินค่อนข้างจะผิดหวังอยู่หน่อยๆ

 

ถ้าเทียบกับค่ายกลทองแดงสิบแปดแถวและสามสิบหกแถว ค่ายกลทองแดงเจ็ดสิบสองแถวนั้นว่องไวกว่ามาก

 

ถึงจะเป็นแบบนั้นก็ตาม

 

สำหรับซูฉินแล้ว ค่ายกลทองแดงเจ็ดสิบสองแถวมันก็เท่านั้น

 

ไม่ได้รู้สึกอันตรายแต่ประการใด

 

แกร็ก

 

ร่างทั้งเจ็ดสิบสองลอยคว้างหัวคะมำ

 

“เหลือแค่ค่ายกลทองแดงร้อยแปดแถวเป็นอันสุดท้ายแล้วสินะ”

 

ซูฉินเข้าไปลึกขึ้น

 

ในที่สุด

 

เพียงแค่ซูฉินเข้ามาถึงเขตแดนของค่ายกลทองแดงร้อยแปดแถว

 

ฮ่า!

 

ร่างเงาทั้งหนึ่งร้อยแปดตนก็ปรากฏขึ้นเงียบเชียบ ผสานอย่างลงตัวเข้ากับพลังดาราสวรรค์และอสูรจากพิภพทั้งหนึ่งร้อยแปด ถักทอผสานกันกลายเป็นสายโยงใย เป็นตาข่ายที่ไม่อาจหลีกหนี มุ่งหน้าเข้าล้อมซูฉิน

 

ในสถานการณ์แบบนี้ซูฉินเหมือนกับรู้สึกว่ากำลังเผชิญหน้ากับพลังแห่งโลกนี้ไม่ใช่เพียงแค่หุ่นทองแดงทั้งหนึ่งร้อยแปดตน

 

“น่าสนใจนัก”

 

ดวงตาของซูฉินสว่างวาบ

 

ตูม!

 

ทันใดนั้นเองซูฉินพุ่งเข้าปะทะกับร่างทองแดงทั้งหนึ่งร้อยแปดร่าง

 

ร่างทั้งหนึ่งร้อยแปดแบกพลังอันยิ่งใหญ่ของโลกหล้าพร้อมจะบดขยี้ทุกสรรพสิ่ง แต่ซูฉินราวกับเป็นร่างจุติของยูไลสีทองอมตะที่จะอยู่ยงคงกระพัน

 

ปัง!

 

ผิวของซูฉินเปล่งประกายสีทองจางๆ อันเป็นเอกลักษณ์ของ [กายาวัชระคงกระพัน] มันทำหน้าที่ของมันได้อย่างยอดเยี่ยม

 

[กายาวัชระคงกระพัน] เป็นกำลังภายนอกที่แข็งแกร่งที่สุดของวัดเส้าหลิน หากฝึกฝนไปจนถึงขั้นความสำเร็จอันยิ่งใหญ่แล้วล่ะก็เพียงพอที่จะต้านทานผู้เชี่ยวชาญยุทธสามระดับบนได้เลย

 

ในช่วงห้าปีที่ผ่านมาซูฉินได้ลงชื่อรับของรางวัลเป็นโอสถชำระไขกระดูกมาเป็นพันเม็ด แต่ทั้งหมดนั่นก็ทำให้ยกระดับกำลังภายนอกได้ถึงแค่เกือบจะถึงขั้นความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ได้เท่านั้นเอง

 

แต่เดิมซูฉินควรจะต้องใช้เวลาอย่างน้อยสองถึงสามปีเพื่อที่จะฝึกฝน [กายาวัชระคงกระพัน] ผลักดันไปจนถึงขั้นความสำเร็จอันยิ่งใหญ่

 

แต่ตอนนี้มันกำลังจะสำเร็จแล้ว

 

ภายใต้ความกดดันอันเกิดจากร่างทั้งหนึ่งร้อยแปด [กายาวัชระคงกระพัน] ก็เริ่มกลับมาทำงานอย่างช้าๆ โดยที่ไม่คาดฝัน

 

เวลาผ่านไปอีกครึ่งชั่วโมง

 

“ฮ่าๆๆๆๆ!”

 

“มีความสุข! มีความสุขจริงจริงๆ เลยโว้ย!”

 

รูม่านตาของซูฉินสว่างวาบเป็นสีทองเข้ม ทันที่ที่เขายกมือขวาขึ้น ร่างหุ่นทั้งหนึ่งร้อยแปดตนก็ระเบิดออกในพริบตา

 

[กายาวัชระคงกระพัน] เข้าสู่ความสำเร็จอันยิ่งใหญ่!

 

มีเพียงแค่วามสำเร็จอันยิ่งใหญ่ของ [กายาวัชระคงกระพัน] เท่านั้นถึงจะสามารถบดขยี้หุ่นทองแดงทั้งหนึ่งร้อยกับอีกแปดร่างในค่ายกลนั่นได้

 

ก็อย่างที่เห็นนั่นแหละ

 

ก่อนที่ซูฉินจะทันได้จะได้ชื่นชมยินดีกับผลงาน ระฆังอันใหญ่ก็ส่งเสียงดังยานคางออกมา

 

เป๊ง!

 

เป๊ง!!

 

เป๊ง!!!

 

เสียงระฆังดังกระจ่าง ลุ่มลึก ก้องกังวาลไปทั่วทั้งวัด

 

“ไม่ดีแล้ว!”

 

“ข้าบุกฝ่าค่ายกลทองแดงร้อยแปดแถว แล้วในตอนจบข้าดันพลาดทำลายหุ่นทองแดงทั้งร้อยแปดไปเสีย มันคงไปสัมผัสเข้ากับกลไกบางอย่างที่ทำให้ระฆังดังแบบนี้!” ชั่วอึดใจเดียวความคิดแล่นเร็วจี๋อยู่ในหัวของซูฉินถึงผลที่จะตามมา

 

“ฉันต้องรีบไปแล้ว”

 

“ไม่เช่นนั้น ท่านเจ้าอาวาสและเจ้าตำหนักได้แห่มากันหมดแน่”

 

ไวเท่าความคิด ไม่ช้าร่างทั้งร่างของคนที่เคยอยู่ตรงนั้นก็หายไป

 

ซูฉินเพียงจากไปไม่นาน

 

เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินและหัวหน้าตำหนักก็มาถึงอย่างร้อนรน

 

“เกิดอะไรขึ้น?”

 

“ทำไมระฆังในค่ายกลทองแดงถึงลั่นดัง?”

 

“มันไม่ใช่แค่ศิษย์คนใดได้ผ่านค่ายกลสิบแปดแถวนี่นา มันต้องหลังจากผ่านค่ายกลทองแดงสามสิบหกแถว เจ็ดสิบสองแถว แล้วก็ร้อยแปดแถวระฆังมันถึงจะดังน่ะ?”

 

หัวหน้าตำหนักยุทธสงฆ์ถึงกับงงงวย

 

เพื่อที่จะผ่านค่ายกลทั้งสี่รูปแบบ อย่างน้อยก็ต้องฝึกให้ถึงระดับชั้นที่สี่ยืนพื้น แต่พวกพระระดับชั้นที่สี่ของวัดเส้าหลินปัจจุบันนี้ ต่างก็รู้กันว่าคงไม่มีใครที่จะสามารถผ่านค่ายกลทองแดงทั้งหมดนี้ไปได้

 

อย่างไรก็ตาม

 

เมื่อเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินรวมถึงหัวหน้าตำหนักทั้งหมดมาถึง สีหน้าพวกเข้าถึงกับตื่นตะลึง

 

“มีบางคนบุกฝ่าเข้าไปในค่ายกลทองแดง”

 

หลังจากที่เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินพูดจบ เขาก็รีบเดินนำเข้าไปในส่วนลึก

 

หัวหน้าตำหนักต่างจ้องมองกันและกัน ความคิดที่ไม่อาจจะเชื่อได้ลงต่างเกิดขึ้นฉับพลันในใจ

 

“เป็นไปได้ไหมว่ามีคนที่รีบฝ่าด่านสี่รอบติดกัน จนทำให้ระฆังดังอย่างยาวนานแบบนี้?”

 

ครู่เดียวจากนั้น

 

เมื่อเข้ามาถึงเขตแดนของด่านทองแดงหนึ่งร้อยแปดแถว และเห็นว่าหุ่นทั้งหนึ่งร้อยแปดตัวกลายเป็นแค่เศษซาก ม่านตาของพวกเขาถึงกับสั่นไหวระรัวในทันที

 

ไม่ใช่แค่มีใครสักคนมาบุกฝ่าด่านทองแดงหนึ่งร้อยแปดแถว แต่หุ่นทั้งร้อยแปดตัวแตกพังเป็นชิ้นๆ เลยงั้นหรือ?

 

มันเป็นไปได้ยังไง?

 

ต้องเตือนให้เข้าใจก่อนว่าการฝ่าด่านทองแดงทั้งหนึ่งร้อยแปด กับการบดขยี้หุ่นทองแดงทั้งร้อยแปดตัวมันคนละอย่างกัน!

 

อย่างหลังไม่รู้ว่ามันยากยิ่งกว่าแบบแรกกี่เท่าต่อกี่เท่า

 

เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินย่อตัวลงแล้วแตะที่เศษทองแดงเบาๆ รู้สึกได้ถึงพลังลมปราณไหลออกมาจากเศษชิ้นส่วน

 

“ดั่งผาสูงตระหง่านที่ไม่มีใครข้ามผ่าน แกร่งกร้าวดุจดวงตะวัน มันคือความสำเร็จอันยิ่งใหญ่แห่ง‘กายาวัชระคงกระพัน‘ อา……”

 

น้ำเสียงของท่านเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินเต็มไปด้วยความตกใจสุดจะพรรณนา

Sign in Buddha’s palm 3 สมบัติของซูฉิน

 

“คัมภีร์เปลี่ยนเส้นเอ็น วิชาที่วัดเส้าหลินสร้างขึ้นมานี้ ใครต่างก็รู้กันว่ามันช่วยเสริมสร้างรากฐานให้แข็งแกร่ง ตราบใดที่ฉันฝึกมันไปทีละขั้นก็เป็นเพียงเรื่องของเวลาเท่านั้นแล้วว่าฉันจะได้เข้าสู่สามระดับบนเมื่อไหร่”

 

“พระรูปอื่นๆ ถึงแม้จะเป็นหัวหน้าตำหนักก็เถอะ เวลาฝึกฝนวิชาเปลี่ยนเส้นเอ็นก็จำต้องระวังอย่างยิ่งยวด เพราะความเข้าใจถึงหลักคำอันลึกซึ้งแท้จริงในตัวคัมภีร์อาจคลาดเคลื่อนไปได้”

 

“แต่ฉันนั้นแตกต่าง ด้วยการส่งผ่านข้อมูลของระบบมันก็เหมือนกับสร้างตึกสูงที่ตั้งตระหง่านแบบที่ในปกติแล้วจะไม่มีทางสร้างขึ้นมาได้เลย แต่ด้วยพลังของระบบฉันสามารถเดินทางไปที่ตึกตระหง่านนั่นได้ง่ายๆ โดยที่ไม่ต้องมัวแต่เดินไปตามทางแยกหรือหลงทาง”

 

ซูฉินระงับพลังปราณในกายเอาไว้ ไม่เร่งรีบที่จะทะลวงผ่านขั้น เพียงรักษาจุดสูงสุดของขอบเขตชั้นที่เก้าให้เสถียรเท่านั้น

 

พลังภายในจุดสูงสุดของชั้นที่เก้าค่อยๆ เคลื่อนที่ช้าลงภายใน ทำให้หูและดวงตาของซูฉินรับภาพเสียงได้แจ่มชัดมากยิ่งขึ้น สามารถมองเห็นรากไม้ที่อยู่ไกลออกไปหลายสิบเมตรได้ชัดเจน

 

“แก่นแท้ของการฝึกยุทธควรจะเป็นการวิวัฒนาร่างกายของมนุษย์ขึ้นไปนี่เองสินะ”

 

“ในคัมภีร์ระบุไว้ว่าผู้ฝึกยุทธที่อยู่ในสามอันดับบนคือการก้าวเท้าเข้าสู่การพัฒนายกศักยภาพของตนขึ้นไปอีกขั้น พวกเขาเหล่านั้นจะมีลักษณะพิเศษเฉพาะไม่เหมือนใคร”

 

“ถึงแม้จะเป็นวัดเส้าหลินก็เถอะ ผู้ฝึกยุทธที่อยู่ในสามอันดับบนก็เพียงพอที่จะสามารถนั่งตำแหน่งหัวหน้าตำหนักได้เลย”

 

“มันได้กล่าวเอาไว้อีกว่า เหนือไปว่าสามอันดับบนของชาวยุทธยังมีขั้นปฐพีสวรรค์ที่กว้างใหญ่ไพศาล…”

 

ความปรารถนาแอบก่อตัวในใจของซูฉิน

 

“ไม่ว่ายังไงก็ตามเรื่องที่ฉันเข้าสู่ชั้นที่เก้าจะต้องให้ใครรู้ไม่ได้”

 

ซูฉินรู้สึกกดดันในใจ

 

ปุถุชนคนใดเดิมแล้วไร้ซึ่งความผิด หากแต่ถือครองหยกล้ำค่าไว้กับตัวยามนั้นเล่าจึงมีความผิด

 

ในฐานะคนที่เดินทางข้ามมิติอย่างซูฉิน เขาจะไม่รู้เรื่องนี้ได้ยังไง?

 

แม้ว่าวัดเส้าหลินจะมีเกียรติ รักษาความถูกต้อง แต่ซูฉินจะไม่เอาชีวิตของตนไปขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของวัดเส้าหลินหรอก

 

คิดถึงเรื่องนี้ซูฉินก็ระแวงขึ้นมาในใจแล้วตัดสินใจว่าอนาคตในวัดเส้าหลินแห่งนี้เขาจะต้องระมัดระวังและหลีกเลี่ยงปัญหาที่อาจเกิดขึ้นโดยไม่จำเป็น

 

 

เวลาผ่านเลยไป

 

รวดเร็วราวกะพริบตา ห้าปีก็ล่วงเลย

 

ในช่วงห้าปีที่ผ่านมาซูฉินยังคงทำหน้าที่กวาดลานวัดอย่างขยันขันแข็ง ไม่มีปัญหาใดๆ เกิดขึ้น

 

ถึงจะไม่มีปัญหาเกิดขึ้นกับเขา ซูฉินก็แอบได้ยินมาเหมือนกันว่าเณรจากลานจิปาถะบางคนถูกจับได้ว่าลักลอบเรียนศิลปะการต่อสู้อย่างลับๆ แต่เมื่อเรื่องนี้แดงขึ้นมาหัวหน้าตำหนักถึงกับโกรธเป็นฟืนเป็นไฟไล่เณรเหล่านั้นออกจากวัดไปเลย

 

ขับไล่ออกจากวัดเส้าหลินเยี่ยงนั้นหรือ?

 

หากเป็นก่อนหน้าที่จะเข้ามาสู่วัดเส้าหลิน ซูฉินจะต้องตื่นเต้นดีใจเป็นแน่ถ้าได้ค้นพบว่าเขาสามารถที่จะ‘กลับไปเป็นฆราวาส‘ ได้ด้วยวิธีแบบนี้

 

เพราะชีวิตวันๆ ทั้งหมดในวัดเส้าหลินแห่งนี้มันสุดแสนจะน่าเบื่อ มองไปก็เห็นแต่พระพุทธรูปกับโคมไฟสีเขียว เขาที่เคยเป็นนายน้อยสามแห่งตระกูลซูจะพึงพอใจได้อย่างไร

 

เพียงแต่ว่าตอนนี้นั้น….

 

แม้จะเป็นหัวหน้าตำหนักใด หรือแม้แต่เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินมาคุกเข่าขอร้องให้เขาออกไปจากวัดเส้าหลิน ก็ไม่มีทางเสียหรอกที่เขาจะออก เขาจะขอปฏิเสธที่จะออกจากวัดเส้าหลิน

 

สำหรับคนอื่น วัดเส้าหลินอาจจะเป็นสถานที่คุมขัง เป็นดั่งพันธนาการ

 

แต่ในสายตาของซูฉินเส้าหลินคือแหล่งขุมทรัพย์อันหาได้ยากยิ่ง

 

สิ่งที่เจ้าต้องทำก็แค่กวาดลานวัดแล้วก็ลงชื่อเข้าใช้ทุกๆ วัน แค่นี้ก็ได้รับเคล็ดวิชาอันหลากหลาย โอสถจิตวิญญาณ โอสถอันน่ามหัศจรรย์ และความแข็งแกร่งที่ตัดผ่านครั้งแล้วครั้งเล่า

 

จะมีที่อื่นไหนดีเท่าที่นี่ได้อีกเล่า?

 

ในเวลาห้าปีมานี้ ซูฉินเที่ยวท่องไปทั่ววัดเส้าหลินในนามของเณรกวาดลาน

 

ยกเว้นสถานที่ต้องห้ามบางแห่ง เหนือจรดใต้ซูฉินนั้นไปลงชื่อมาทั่วทั้งวัดแล้ว

 

ที่ด้านนอกของลานธรรมซูฉินไปลงชื่อแล้วได้รับ [หมัดอรหันต์] [พลังระฆังทอง] และเคล็ดวิชาบ่มเพาะอื่นๆ อีกมากมาย

 

ที่ด้านนอกของตำหนักยุทธสงฆ์ซูฉินไปลงชื่อแล้วได้รับ [หมัดอรหันต์] [หมัดสะกดมาร] และวิชายุทธ์อื่นๆ

 

ส่วนที่ด้านนอกลานอรหันต์ซูฉินก็ไปลงชื่อแล้วได้ [วิชากายาวัชระคงกระพัน] มา

 

แล้วตอนที่ไปลงชื่อใต้ต้นไม้อายุร่วมพันปีก็ยังได้รับ [ดัชนีบุปผาร่วงโรย]

 

ตอนที่ลงชื่อเข้าใช้ที่นอกหอคอยสะกดมารก็ยังได้รับ [มนต์อเวจี] [สะกดกลืนดารา] แล้วยังได้รับอาคมอื่นๆ มาอีก

 

 

ลงชื่อเข้าใช้มานานกว่าห้าปี ซูฉินก็พบว่าหลายสถานที่ในวัดเส้าหลินสามารถลงชื่อเข้าใช้ได้เพียงครั้งเดียวหรือบางที่ก็หลายครั้งหน่อย

 

อย่างเช่นโถงประชุมใหญ่ หลังจากที่ซูฉินลงชื่อเข้าใช้ในตอนนั้นแล้วได้รับ [ฝ่ามือยูไล] มา เขาก็ไม่สามารถจะลงชื่อเข้าใช้ได้อีกเป็นครั้งที่สอง

 

แต่กับบางที่ก็ลงชื่อเข้าใช้ซ้ำได้เรื่อยๆ

 

เช่น ศาลาคัมภีร์ ผู่ถีย่วน (ลานโพธิ์) และหอคอยสะกดมาร

 

ในศาลาพระคัมภีร์เขาลงชื่อเข้าใช้และได้รับเคล็ดวิชาบ่มเพาะหลากหลายแขนง อย่างเช่น กระบวนท่าเส้าหลิน 72 กระบวน ที่ซูฉินก็ลงชื่อเข้ารับไว้แต่นานแล้วและโดนส่งผ่านข้อมูลเข้ามาโดยระบบ มันช่วยอย่างมากในการฝึกฝนการบ่มเพาะพลังให้อยู่ในจุดสมบูรณ์แบบ

 

สำหรับตำหนักผู่ถี (ลานโพธิ์) ซูฉินก็ลงชื่อเข้าใช้เสียจนจำไม่ได้แล้วว่าเก็บโอสถมาทั้งหมดกี่เม็ด พวกโอสถเสริมศักยภาพทั้งขนาดใหญ่ขนาดเล็ก โอสถชำระไขกระดูก ไหนจะยังยาตื่นรู้…

 

ในหมู่ผลของโอสถ โอสถเสริมศักยภาพขนาดใหญ่ให้ผลมากเป็นสิบเท่าของโอสถเสริมศักยภาพขนาดเล็ก โอสถชำระไขกระดูกช่วยชำระล้างกล้ามเนื้อตัดผ่านกระดูกและปรับเปลี่ยนกายเนื้อซึ่งมันช่วยในการฝึกวิชากายาวัชระคงกระพันอย่างมาก

 

นอกนั้นก็คงเป็นหอคอยสะกดมาร

 

หอคอยสะกดมารเป็นสถานที่ที่เหล่าพระอาจารย์ปราบปรามและคุมขังเหล่ามารร้ายแห่งยุทธภพไว้ ซูฉินก็มักจะมาลงชื่อที่นี่เป็นประจำเพื่อรับอาคมประเภทต่างๆ

 

เวลาที่ผ่านไปซูฉินไม่กังวลนักเวลาจะไปไหนมาไหน

 

อย่างไรเสีย แม้บางคาถาจะมีความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของมัน ในวัดเส้าหลินนี้ หากมันถูกค้นพบเข้าโดยเจ้าอาวาสก็คงจะเป็นเรื่องไม่น้อย

 

นอกจากนี้เหล่ามารร้ายที่จะถูกนำมาขังในหอคอยสะกดมารก็มักจะอยู่ในระดับชั้นใกล้เคียงกันไปเสียหมด แทบจะไม่มีพวกที่อยู่ในสามระดับบนของวิทยายุทธเลยด้วยซ้ำ

 

ถึงให้ซูฉินมาลงชื่อที่นี่ทุกวัน สิ่งที่คว้าได้ไปก็คงไม่ได้อะไรมาก

 

จะดีกว่าถ้าใช้โอกาสที่มีไปลงชื่อที่ศาลาพระคัมภีร์และผู่ถีย่วน

 

ห้าปีมานี้นอกจากการที่ได้รับของรางวัลจากการลงชื่อจำนวนมากแล้วนั้น ฐานการฝึกฝนของซูฉินได้ขึ้นไปถึงชั้นที่สี่

 

ระดับชั้นที่สี่ !

 

นั้นคือขั้นสูงสุดของสามระดับกลาง เพียงก้าวออกไปก็จะเข้าถึงสามระดับบนอยู่แล้ว

 

แม้แต่สุดยอดพรรคในยุทธภพอย่างวัดเส้าหลิน ตัวตนผู้บ่มเพาะระดับชั้นที่สี่ถือว่าเป็นฐานะอันสูงส่ง เป็นรองก็เพียงแต่เจ้าตำหนักและเจ้าอาวาสเท่านั้น

 

ชาวยุทธทั่วๆ ไป ต่อให้มีพรสวรรค์โดดเด่นเพียงใด อย่างน้อยๆ ก็ต้องใช้เวลาเป็นยี่สิบปี ฝึกฝนอย่างหนักไปตามขั้นตอนการฝึกฝนปกติถึงจะมาถึงชั้นที่สี่ได้

 

นี่คือกล่าวถึงชาวยุทธเหล่านี้ได้รับทรัพยากรที่เหมาะสมระหว่างฝึกอย่างต่อเนื่องมาด้วย

 

แต่กระนั้นซูฉินทำมันได้ภายในห้าปี ถ้าจะให้พูดให้ชัดกว่านั้นก็ต้องบอกว่าต่ำกว่าห้าปี

 

ซูฉินน่ะเข้าสู่ระดับชั้นที่สี่มาตั้งแต่ปีที่แล้ว

 

“ผ่านมาก็ห้าปีแล้ว ข้าได้แต่คาดเดาไปว่าป่านนี้ตระกูลซูคงจะเริ่มฟื้นฟูกลับมาได้แล้วกระมัง” ซูฉินเดินไปทางลานโพธิ์และพูดกับตนเองในใจ “ระบบ ลงชื่อเข้าใช้”

 

[ขอแสดงความยินดีกับโฮสต์ ลงชื่อเข้าใช้สำเร็จ ได้รับโอสถ  ‘โอสถเสริมศักยภาพขนาดใหญ่ ‘]

 

“โอสถเสริมศักยภาพขนาดใหญ่งั้นรึ ?”

 

ซูฉินพยักหน้าน้อยๆ

 

หลังจากขึ้นสู่ระดับชั้นที่สี่ โอสถเสริมศักยภาพขนาดเล็กก็ไร้ประโยชน์สำหรับเขา มีเพียงโอสถเสริมศักยภาพขนาดใหญ่เท่านั้นที่จะช่วยเพิ่มพลังบ่มเพาะของเขาได้

 

กริ๊ง

 

กริ๊ง

 

ซูฉินเทยาในขวดโอสถเสริมศักยภาพขนาดใหญ่ลงไปในปากด้วยท่าทีสบายๆ เคี้ยวกลืนตัวยาราวกับมันเป็นเยลลี่

 

ถ้าเกิดว่าใครมาเห็นโอสถนี้เข้าล่ะก็ โอสถที่ถือว่าเป็นของศักดิ์สิทธิ์ของวัดเส้าหลินแม้แต่ลานโพธิ์ก็ยังปรุงโอสถเสริมศักยภาพขนาดใหญ่ออกมาได้ไม่มากนักในปีหนึ่ง เอามาให้เณรกวาดลานวัดกินแบบนี้ ใครเห็นเข้าเป็นใครก็ต้องหัวใจแตกสลาย

 

“ท่านพ่อท่านแม่น่าจะจัดการทุกอย่างไปได้ด้วยดี ไหนจะมีพี่ใหญ่กับพี่รองอีก เขาไม่จำเป็นต้องให้ฉันไปช่วยหรอก”

 

ในช่วงปีแรกที่อาศัยอยู่ในวัด ซูฉินได้รับจดหมายจากครอบครัวและรู้ว่าตระกูลซูขับไล่ศัตรูออกไปแล้ว ถ้านับโดยพื้นฐานก็คงปลอดภัยดี

 

เพราะแบบนั้นเองซูฉินเลยสามารถลงชื่อเข้าใช้ที่วัดได้มาตลอดห้าปี

 

ในช่วงเวลานี้ตระกูลซูจึงมีพยายามมากกว่าหนึ่งครั้งหาวิธีการพาซูฉินออกจากวัดโดยไม่เลือกวิธี

 

แต่ทุกครั้งซูฉินก็ปฏิเสธออกไป

 

ไม่ต้องกล่าวถึงตระกูลซูเลย แม้แต่วัดเส้าหลินเป็นผู้อนุญาตด้วยตัวเองซูฉินก็จะไม่ยอมจากไป

 

 

เวลาเที่ยง ซูฉินกำลังไปตระเตรียมอาหารอย่างง่ายๆ

 

ตอนที่เขาเดินผ่านลานอรหันต์ เขาเห็นพระเณรมารวมตัวกันอยู่มากมาย กระซิบกระซาบบางสิ่ง

 

พอซูฉินเดินมาถึง เขาก็พอจะตระหนักได้ว่ามีพระรูปหนึ่งต้องการจะบุกฝ่าค่ายกลทองแดงของตำหนักลานอรหันต์

 

ค่ายกลทองแดงสร้างขึ้นไว้เป็นพิเศษเพื่อทดสอบความแข็งแกร่งของเหล่าศิษย์มันแบ่งเป็น ค่ายกลทองแดง  18 แถว ค่ายกลทองแดง  36 แถว ค่ายกลทองแดง  72 แถว และค่ายกลทองแดงร้อยแปดแถว

Sign in Buddha’s palm 2 คัมภีร์เปลี่ยนเส้นเอ็น! โอสถเสริมศักยภาพ !

 

“ปรากฏว่ามันก็คือ ‘ฝ่ามือยูไล‘ นี่เอง!”

 

แม้ในใจของเขาจะตื่นเต้นอย่างหนัก แต่ไม่มีการแสดงออกหลุดรอดมาทางสีหน้าแต่ประการใด

 

นี่คือวิชายุทธ์ระดับพระเจ้าที่แข็งแกร่งที่สุดของวัดเส้าหลิน เป็นที่รู้กันว่าคือวิชาที่สืบทอดมาจากองค์ยูไล น้อยคนบนโลกนักที่จะมีความสามารถเทียบเคียงองค์ท่านได้

 

อย่างไรก็ตาม ซูฉินได้ยินข่าวคราวมาว่ากว่าเก้าร้อยปีแล้วที่วิชาฝ่ามือยูไลได้สูญหายไป

 

วัดเส้าหลินสูญเสียวิชายุทธ์ระดับพระเจ้าที่นับว่าแข็งแกร่งที่สุดวิชานี้

 

ความคิดของซูฉินผกผันไปมา

 

ในฐานะ อดีตนายน้อยสามแห่งตระกูลซู แม้จะไม่มีพรสวรรค์ทางด้านวิทยายุทธ์แต่ความรู้ในเรื่องราวในใต้หล้าก็มิใช่คนธรรมดาจะเทียบถึง

 

ทั้งวัดเส้าหลินเอง และตระกูลซูต่างก็ตั้งอยู่ในผืนแผ่นดินเดียวกัน นั่นคือ ‘ต้าถัง‘

 

เหล่าพรรคมารในต้าถังต่างก็ห้ำหั่นคานอำนาจกันเอง

 

ทางเหนือของต้าถังเป็นเขตแดนของราชวงศ์ซ่งและราชวงศ์เหลียว ส่วนด้านนอกของอาณาเขตราชวงศ์เหลียวก็เป็นพื้นที่ทุ่งหญ้ากว้างไกลสุดลูดหูลูกตาของพวกมองโกเลียแห่งอาณาจักรหยวน

 

ส่วนสุดทางตอนใต้ติดกับอาณาจักรหมิง นอกจากนี้แล้วก็ยังมีประเทศเล็กๆ อีกมาก อาทิ ต้าหลี่ และหนานเฉา

 

เรียกได้ว่า นี่คือโลกที่เหล่าโลกยุทธภพจำนวนนับไม่ถ้วนตามความทรงจำของซูฉินในชีวิตก่อนได้มารวมเข้าด้วยกันเป็นโลกใบนี้

 

ในไม่ช้าหลังจากนั้น ซูฉินก็กลับมาถึงลานจิปาถะ

 

หวึ่งง !

 

ความรู้สึกของซูฉินก่อตัวรวมเข้ามาที่หว่างคิ้ว รู้สึกได้ถึงองค์ยูไลทองคำยืนตระหง่านอยู่กึ่งกลางคิ้วของเขา ปลดปล่อยรังสีลมหายใจแห่งอมตะนิรันด์ออกมา

 

มันคือ ‘ฝ่ามือยูไล ‘!

 

ด้วยความแข็งแกร่งของร่างกายในปัจจุบันของซูฉินไม่สามารถฝืนแสดงอานุภาพอันสูงส่งของวิชาระดับพระเจ้าอย่างฝ่ามือยูไลได้ทั้งหมด ทำได้เพียงก่อรูปทองคำแห่งองค์ยูไลขึ้นมา แล้วเขาก็ค่อยๆ นึกขึ้นได้

 

เพื่อที่จะใช้ออกฝ่ามือยูไลได้อย่างเชี่ยวชาญ มีเพียงจะต้องไปให้ถึงความแข็งแกร่งที่มากสักระดับหนึ่งเท่านั้น

 

ก็เหมือนกับเด็กที่ได้ดาบศักดิ์สิทธิ์ไร้พ่ายไปนั่นแหละ อย่างแรกคือเด็กคนนั้นต้องมีแรงพอจะถือดาบให้ได้ก่อน ก่อนที่จะใช้ดาบศักดิ์สิทธิ์นั้นอย่างคล่องแคล่วได้

 

“โอเค ไม่ต้องรีบ ให้กาลเวลาเป็นตัวพาทุกอย่างไป”

 

ซูฉินปลอบใจตัวเอง

 

อย่างไรเสียวิชาฝ่ามือยูไลก็อยู่ในกำมือของเขาแล้ว ตราบเท่าที่ความแข็งแกร่งถึง การที่จะสามารถใช้ฝ่ามือยูไลได้ก็เป็นเรื่องที่แน่นอนแล้ว

 

นอกจากนั้นแล้ว นี่เป็นเพียงแค่รางวัลจากการลงชื่อเข้าใช้แค่ครั้งแรกเท่านั้นเอง

 

ในวัดเส้าหลิน แน่นอนว่าโถงประชุมใหญ่เป็นหนึ่งในสถานที่สำคัญ แต่จะไม่มีสถานที่อื่นอีกหรือที่เทียบเท่าโถงประชุมใหญ่

 

ตัวอย่างเช่น ลานตำหนักต่างๆ ศาลาพระคัมภีร์ หอคอยสะกดมาร เป็นต้น

 

ซูฉินตั้งใจเป็นมั่นเป็นเหมาะแล้วว่าต่อแต่นี้ไปจะเข้าไปเยี่ยมชมทุกๆ ซอกทุกมุมภายในวัดเส้าหลินให้ได้ และแน่นอน ไม่ลืมที่จะลงชื่อเข้าใช้

 

 

วันรุ่งขึ้นซูฉินได้รับมอบหมายให้ไปกวาดลานที่ศาลาพระคัมภีร์

 

ศาลาพระคัมภีร์เป็นสถานที่เก็บเคล็ดวิชาเกือบทั้งหมดของวัดเอาไว้ ความสำคัญของมันถึงกับเหนือยิ่งไปกว่าโถงประชุมใหญ่

 

ถึงแม้ซูฉินจะได้รับอนุญาตให้เข้าออกศาลาพระคัมภีร์ได้อย่างอิสระ แต่ก็ถูกห้ามไม่ให้อ่านคัมภีร์วิชาใดในชั้นสอง

 

ความจริงแล้วนั่นย่อมเป็นเรื่องปกติ

 

ถ้าเพียงแต่ตัวตนอันต่ำต้อยเยี่ยงพระกวาดลานยังสามารถอ่านคัมภีร์ได้ ไม่ใช่หมายความว่าเส้าหลินนั้นล่มจมไปแล้วหรอกหรือ ?

 

“ระบบ ฉันจะลงชื่อเข้าใช้”

 

ซูฉินกล่าวขึ้นเงียบๆ ขณะกวาดลานไปด้วย

 

[ขอแสดงความยินดีกับโฮสต์ ลงชื่อเข้าใช้สำเร็จ ได้รับวิชาฝึกตน  ‘คัมภีร์เปลี่ยนเส้นเอ็น ‘]

 

[หมายเหตุ  : นี่คือสถานที่ที่สามารถลงชื่อซ้ำได้ และโฮสต์สามารถลงชื่อได้วันละครั้ง ]

 

เสียงระบบแจ้งเตือนอย่างเนิบช้า

 

“อี้จินจิง …คัมภีร์เปลี่ยนเส้นเอ็น …”

 

ซูฉินถึงกับประหลาดใจ

 

ถึงแม้คัมภีร์เปลี่ยนเส้นเอ็นจะไม่ได้มีชื่อเสียงเท่ากับ ‘ฝ่ามือยูไล ‘ แต่กล่าวได้เต็มปากเลยว่ามันคือสิ่งมหัศจรรย์ในใต้หล้า

 

ฝึกฝนเคล็ดวิชาเปลี่ยนเส้นเอ็นสามารถตัดเส้นเอ็นเปลี่ยนผ่านกระดูกได้อย่างง่ายดาย นี่มันสำคัญยิ่งกว่าฝ่ามือยูไลเสียอีกในสายตาของคนธรรมดาอย่างซูฉินที่ไม่มีแม้แต่พรสวรรค์ทางวิทยายุทธ์

 

แม้ฝ่ามือยูไลจะอยู่เกินระดับของคัมภีร์เปลี่ยนเส้นเอ็นไปไกล แต่ถ้าไม่มีมันเพื่อเปลี่ยนแปลงพรสวรรค์ทางวิทยายุทธ์ของซูฉิน ก็ไม่มีทางคิดฝันเลยว่าเขาจะใช้ฝ่ามือยูไลได้ยังไงด้วยซ้ำ

 

ทันใดนั้นภาพความทรงจำมากมายเกี่ยวกับการฝึกฝนคัมภีร์เปลี่ยนเส้นเอ็นก็เข้ามาในจิตของซูฉิน

 

เวลาเดียวกันนั้น แก่นกระดูกของซูฉินก็ส่งเสียงดัง แกร็ก แกร็ก ไปเรื่อยอย่างช้าๆ

 

เห็นได้ชัดว่าการอบรมบ่มเพาะของระบบทำให้ซูฉินเข้าใจหลักการทั้งหมดและเชี่ยวชาญการบ่มเพาะวิชาเปลี่ยนเส้นเอ็นได้โดยตรง

 

 

 

หลังจากนั้นไม่นานซูฉินก็ลืมตาขึ้น

 

“น่ะ …นี่ ?”

 

ซูฉินจ้องที่มือทั้งสองข้างอย่างไม่อยากจะเชื่อ

 

เขารู้สึกได้ถึงร่องรอยของลมจางๆ ที่ไหลไปตามแขนขา

 

“กำลังภายใน ?”

 

“ฉันตัดผ่านขั้นงั้นหรอ ?”

 

ซูฉินพึมพำกับตนเอง

 

วิทยายุทธ์ในโลกนี้ไล่จากต่ำไปสูงแบ่งเป็นชั้นต่างๆ ได้เป็นชั้นที่เก้า ไปจนถึงชั้นที่หนึ่ง

 

ระดับชั้นที่  9 นับว่าต่ำเตี้ยที่สุด ส่วนชั้นที่  1 ถือว่าอยู่เหนือสุด

 

ตั้งแต่ชั้นที่เก้าไปจนถึงชั้นที่เจ็ดเรียกว่าสามระดับล่าง ชั้นที่หกถึงชั้นที่สี่เรียกว่าสามระดับกลาง และชั้นที่สามถึงชั้นที่หนึ่งเรียกว่าสามระดับบน

 

เหตุผลที่ตระกูลซูสามารถขึ้นมาเป็นตระกูลที่มีอำนาจในระดับท้องถิ่นได้นั้นก็เพราะ หัวหน้าตระกูลได้เข้าสู้สามระดับกลาง กลายมาเป็นผู้เชี่ยวชาญชั้นที่หกเป็นที่เรียบร้อย

 

ในขณะนั้นพลังภายในก่อตัวขึ้นในร่างกายของซูฉินและผลักดันให้เขาเข้าสู่ชั้นที่เก้า

 

“สมแล้วที่เป็นสิ่งมหัศจรรย์ในใต้หล้า เพียงแค่เริ่มต้นก็ทำให้เข้าสู่ชั้นที่เก้าได้ในทันที !”

 

ซูฉินเต็มไปด้วยความสุขสม

 

พึงสังวรว่าซูฉินเป็นเพียงคนธรรมดาที่ไม่มีพรสวรรค์ทางวิชายุทธ์ เป็นไปไม่ได้เลยที่เขาจะสามารถฝึกฝนจนเป็นผู้เชี่ยวชาญได้

 

แต่วิชาเปลี่ยนเส้นเอ็นสามารถเปลี่ยนขยะให้เป็นของล้ำค่า พาเขาลัดเข้าสู่ระดับชั้นที่เก้าได้โดยฉับพลัน

 

แน่นอนว่าแท้จริงเป็นเพราะระบบส่งผ่านหลักเคล็ดวิชาเปลี่นนเส้นเอ็นเข้าสู่จิตของซูฉินโดยตรง ทำให้เขาเชี่ยวชาญในวิชาเปลี่ยนเส้นเอ็นเข้าใจทุกสิ่งในเคล็ดวิชาอย่างละเอียด

 

หากไม่เช่นนั้นแล้วล่ะก็ ต่อให้กางคัมภีร์เปลี่ยนเส้นเอ็นฉบับสมบูรณ์ไว้ตรงหน้าของซูฉิน เขาก็จะไม่สามารถทำความเข้าใจมันได้

 

เคล็ดวิชาสายพุทธขึ้นชื่อเรื่องความน่าฉงนยากจะตีความ นับประสาอะไรกับวิชาชั้นสูงอย่างคัมภีร์เปลี่ยนเส้นเอ็น

 

วันที่สาม ซูฉินได้รับมอบหมายให้ไปกวาดลานวัดแถวลานโพธิ์

 

ลานโพธิ์เป็นตำหนักสงฆ์ที่มีพระสังกัดอยู่น้อยที่สุดในวัดเส้าหลิน

 

ตำหนักอื่นๆ อย่างเช่น ตำหนักยุทธ์สงฆ์หรือตำหนักอรหันต์รับศิษย์จำนวนมากในทุกๆ ปี แต่ลานโพธิ์ต่างออกไป

 

จนสิ้นปี ก็แทบจะไม่ได้เห็นพระรูปใหม่ๆ เลยที่ลานโพธิ์นี้

 

ต่อให้เป็นแบบนั้น ตำแหน่งของลานโพธิ์ภายในวัดเส้าหลินก็ไม่ใช่สิ่งที่จะสั่นคลอนได้

 

เพราะโอสถในเส้าหลินอย่างเช่น โอสถเสริมศักยภาพขนาดเล็ก โอสถเสริมศักยภาพขนาดใหญ่ โอสถชำระไขกระดูก และโอสถตื่นรู้ก็ล้วนกลั่นที่ลานโพธิ์ทั้งนั้น

 

ในยุทธภพใครบ้างที่ไม่รู้จักโอสถเสริมศักยภาพของวัดเส้าหลิน ?

 

“ที่ที่อุดมไปด้วยเม็ดยางั้นหรอ ?”

 

เปลือกตาของซูฉินกะพริบและกล่าวขึ้นในใจตนอย่างเงียบงัน “ระบบ ลงชื่อเข้าใช้ที่นี่ !”

 

[ขอแสดงความยินดีกับโฮสต์ ลงชื่อเข้าใช้สำเร็จ ได้รับ ‘โอสถเสริมศักยภาพขนาดเล็ก ‘ ]

 

[หมายเหตุ  : นี่คือสถานที่ที่สามารถลงชื่อซ้ำได้ และโฮสต์สามารถลงชื่อได้วันละครั้ง ]

 

ทันใดนั้นเม็ดโอสถโบราณก็ปรากฏขึ้นในคลังของระบบ

 

ตราบใดที่ซูฉินต้องการ เขาสามารถเรียกโอสถออกมาจากคลังได้ตลอดเวลา

 

แต่ซูฉินก็หยุดความคิดนั้นไปในทันที

 

นี่คือด้านนอกของลานโพธิ์ ถึงจะเป็นเพียงขวดโอสถเล็กๆ แต่จู่ๆ ปรากฏขึ้นในมือเขามันก็อาจจะไปดึงดูดความสนใจจากคนอื่นเข้า

 

ตกดึก

 

หลังจากแน่ใจว่าไม่มีใครอยู่ใกล้เคียง เขาก็เรียกขวดโอสถเสริมศักยภาพออกมา

 

ทันใดนั้นเม็ดยาสีขาวราวหิมะก็ปรากฏขึ้นในสายตาของซูฉิน

 

โอสถเสริมศักยภาพของเส้าหลินมีคุณสมบัติอันน่าอัศจรรย์คือสามารถเปิดกระดูกและเพิ่มพูนทักษะได้

 

ที่วัดเส้าหลินสามารถยืนภายใต้ชื่อสุดยอดพรรคในยุทธภพแม้จะสูญเสียวิชาฝ่ามือยูไลไปแล้ว ต้องยกความดีความชอบส่วนใหญ่มาจากโอสถเสริมศักยภาพขนาดเล็กนี่แหละ

 

ซูฉินมองไปที่เม็ดโอสถเสริมศักยภาพเม็ดเล็กๆ ดวงตาพลันสว่างขึ้น

 

หลังจากที่ฝึกวิชาเปลี่ยนเส้นเอ็น เขาต้องทนหิวโหยอยู่ตลอดเวลา อาหารเล็กๆ น้อยๆ ที่ทางวัดเตรียมให้ก็ไม่เพียงพอต่อความต้องการของซูฉินในขณะนี้ได้

 

ถ้าเป็นแบบนั้นต่อไป น่ากลัวว่าซูฉินคงอยู่ได้แค่ชาวยุทธชั้นที่เก้าไปอีกเป็นสิบปี

 

ในการฝึกยุทธ การปรับแต่งพลังปราณนั้นถ้าไม่มีสารอาหารเพียงพอก็จะเกิดเป็นความสูญเปล่าต่อการฝึกฝน

 

แต่ด้วยโอสถเสริมศักยภาพเม็ดเล็กๆ นี่ ทุกอย่างจะเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง

 

โอสถเสริมศักยภาพขนาดเล็กแท้จริงถูกปรุงด้วยสมุนไพรและสารสกัดอันล้ำค่าหลายต่อหลายชนิด เพราะฉะนั้นเพื่อเติมสารอาหารที่ซูฉินยังขาดอยู่ มันเรียกว่าพอเสียยิ่งกว่าพอ

 

อึก อึก

 

ซูฉินกลืนโอสถเสริมศักยภาพขนาดเล็กลงไป

 

โอสถเสริมศักยภาพละลายในช่องปาก ก่อตัวเป็นพลังงานความร้อน วิ่งไหลลงไปเป็นสาย กระจายไปทั่วทั้งร่าง

 

ด้วยพลังความร้อนไหลทะลวง ลมปราณจากวิชาเปลี่ยนเส้นเอ็นค่อยๆ พัฒนาขึ้นในระดับที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่า

 

ฉันไม่รู้เลยว่ามันผ่านไปนานแค่ไหน พลังภายในมันเพิ่มขึ้นสูงมากจนถึงจุดหนึ่งมันก็มีเสียง “บูม” ราวกับว่ามันไปชนกับคอขวด แล้วทุกอย่างก็ค่อยๆ สงบลง

 

“ชั้นที่เก้าขั้นสูงสุด !”

 

“ยาเม็ดเล็กๆ นั่นถึงกับทำให้ฉันมาอยู่จุดสูงสุดของชั้นที่เก้าเลยหรือนี่ ?”

 

ตาของซูฉินค่อยๆ เปิดขึ้น สีหน้าเต็มไปด้วยความพอใจ

Sign in Buddha’s palm 1  มิว่าสวรรค์หรือพิภพ ตัวตถาคตเหนือสรรพสิ่ง!

 

“ไม่คาดคิดเลยแฮะว่าเราจะกลายมาเป็นเณรกวาดลานที่วัดเส้าหลินแบบนี้”

 

ซูฉินลืมตาตื่น ยันกายลุกขึ้นอย่างว่องไว เดินผ่านประตูออกไปด้วยความรวดเร็ว

 

ซูฉินหาใช่คนที่นี่ไม่ เขามาจากโลก ดาวเคราะห์สีน้ำเงิน

 

ตามจริงแล้วซูฉินก็ไม่ใช่ลูกศิษย์ของวัดเส้าหลินเสียด้วยซ้ำ ตอนที่เขาข้ามโลกมาแต่แรกนั้น เขากลายมาเป็นคุณชายสามแห่งตระกูลซู

 

ตระกูลซูถือเป็นตระกูลมั่งคั่งประจำถิ่น มีผู้เชี่ยวชาญอยู่มากมาย หัวหน้าตระกูลถึงกับมีพลังอยู่ที่ชั้น 6 นับเป็นผู้แข็งแกร่งในพื้นที่ร้อยลี้นี้

 

โชคไม่ดีเมื่อซูฉินอายุได้เพียงสิบขวบ ซึ่งก็คือไม่กี่วันก่อนหน้า ศัตรูตัวฉกาจของตระกูลซูเข้ามาทำร้ายหัวหน้าตระกูลด้วยน้ำมือของมัน

 

เพื่อรักษาตระกูลเอาไว้ ตระกูลซูจำต้องปลดศิษย์ทั้งหลายเป็นทางออกสุดท้าย และซูฉินก็โดนส่งตัวไปวัดเส้าหลินอย่างเงียบๆ

 

เพื่อป้องกันการปฏิเสธของทางวัด ตระกูลซูจึงไม่เปิดเผยสถานะของซูฉินแต่ส่งเขาไปในนามของเด็กกำพร้าแทน

 

วัดเส้าหลินเป็นสถานที่ที่มีเบื้องหลังยากจะหยั่ง แม้จะอยู่ในช่วงตกต่ำในเวลาหลายปีที่ผ่านมา แต่ศัตรูของตระกูลซูก็ไม่นับว่าเป็นตัวอะไรในสายตาเส้าหลิน

 

ตราบที่ซูฉินยังอยู่ในวัด เท่ากับว่าประกันความปลอดภัยได้อย่างแน่นอน

 

ความจริงซูฉินเข้าสักการะวัดเส้าหลินเป็นที่เรียบร้อย เพียงแต่ไม่มีพรสวรรค์ในเต๋าวิชายุทธ์จึงได้เพียงแต่รับหน้าที่เป็นเณรกวาดลานสังกัดตำหนักลานจิปาถะ

 

 

ซูฉินเดินมาที่ประตู

 

ขณะนั้นมีสามเณรห่มชุดคลุมสีเทาหลายสิบคนยืนออกันอยู่ที่ด้านนอก ซูฉินเดินไปหาพื้นที่แถวๆ ด้านหลังสำหรับตัวเอง

 

“เอาล่ะ”

 

“ตั้งแต่ที่พวกเจ้าเข้าร่วมกับทางวัดเส้าหลิน จงอย่าได้สนใจอดีตที่ผ่านมา”

 

เป็นพระใบหน้ากว้าง หูใหญ่ พูดออกมา

 

“ถึงแม้ว่า ลานจิปาถะ จะไม่ได้ยอดเยี่ยมเหมือนกับ ลานธรรม และตำหนักยุทธ์สงฆ์ แต่มันก็ยังดีกว่าอยู่แบบเงียบเหงา เพียงทำตามหน้าที่ในทุกวันให้ดี ก็จะไม่มีใครมาวุ่นวายกับพวกเจ้า”

 

พระหน้ากว้างหูใหญ่หยุดพูดไปครู่หนึ่งก่อนจะค่อยพูดต่ออีกครั้ง “เอ้า แยกย้ายแล้วไปทำหน้าที่ของตัวเองซะ”

 

กลุ่มเณรต่างกระจายตัวกันออกไปทีละคนๆ

 

ซูฉินถือไม้กวาดไปทางโถงศาลาการประชุมใหญ่

 

เขาเป็นเณรกวาดลาน แต่ที่วัดไม่ได้มีแค่ซูฉินเพียงคนเดียวเสียเมื่อไหร่

 

ในฐานะที่วัดเส้าหลินเป็นพรรคแข็งแกร่งระดับโลก มีอาณาเขตครอบคลุมพื้นที่ไพศาล หากให้ซูฉินทำความสะอาดคนเดียวก็คงทำไม่หมดแม้ใช้เวลาร่วมปี

 

สถานที่ที่ซูฉินรับหน้าที่ทำความสะอาดวันนี้อยู่ใกล้กับโถงใหญ่อันเป็นศาลาการประชุม

 

ในไม่ช้าเขาก็มาถึงห้องโถงใหญ่ และมองเข้าไปในโถงอันวิจิตร

 

โถงใหญ่ถือเป็นสถานที่สำคัญแห่งหนึ่งของวัดเส้าหลิน ทุกๆ มุมสร้างออกมาอย่างประณีตงดงาม

 

ซูฉินยืนอยู่หน้าห้องโถง มองเข้าไปด้านในก็จะเห็นพระพุทธรูปทองคำประดิษฐานอยู่ภายในแม้จะมองได้ไม่ค่อยชัดเจนนักก็ตาม

 

ทันใดนั้นก็มีเสียงราวกับเครื่องจักรดังก้องอยู่ในหูของซูฉิน

 

[ระบบกำลังเริ่มทำงาน…]

 

[เปิดใช้งานสำเร็จ วันนี้โฮสต์สามารถลงชื่อเข้าใช้ได้…]

 

….

 

“ระบบ?”

 

“ลงชื่อเข้าใช้งาน?”

 

ม่านตาของซูฉินหดตัวลง

 

ความคิดในหัวเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว กล่าวถามออกไปอย่างไม่แน่ใจว่า “ฉันต้องลงชื่อเข้าใช้ที่นี่หรอ”

 

[ได้ทุกที่บนโลก ตราบที่จุดนั้นมีเต๋าสะสมทิ้งเอาไว้ โฮสต์ก็สามารถลงชื่อเข้าใช้ได้]

 

[หมายเหตุ :  คุณสามารถลงชื่อเข้าใช้ได้วันละครั้งเท่านั้น ]

 

[ยิ่งความหนาแน่นสะสมมากเท่าไหร่ ของที่ได้รับจากการลงชื่อเข้าใช้ก็ยิ่งมากเท่านั้น]

 

[บางสถานที่สามารถลงชื่อซ้ำได้หลายครั้ง]

 

เสียงเครื่องจักรกลไม่มีโทนสูงต่ำดังขึ้นช้าๆ ในหูของซูฉิน

 

“แหล่งสะสมเต๋า?”

 

ซูฉินพึมพำกับตนเอง

 

แน่นอนว่าเขาเข้าใจความหมายที่ระบบกำลังบอก

 

ไม่ใช่ทุกที่ที่มีสิทธิ์ลงชื่อเข้าใช้

 

อย่างเช่นซูฉินที่อาศัยในตระกูลซูมานานถึงสิบปี แต่ก็ไม่พบแหล่งสะสมเต๋าตามที่ระบบได้กล่าวเอาไว้ แล้วระบบก็ไม่ได้ถูกกระตุ้นด้วยซ้ำ

 

แต่ที่โถงประชุมใหญ่นี้…

 

มันถึงระดับที่เป็นที่ประดิษฐานของพุทธรูปทองคำของวัดเส้าหลิน เป็นแหล่งสะสมของเต๋า ตรงตามเงื่อนไขของระบบ

 

ในหัวเขามีความคิดสับสนวุ่นวายเต็มไปหมด แต่สีหน้ายังแสดงออกด้วยความสุข

 

เดิมทีซูฉินคิดว่าเขาคงตายไปอย่างเหงาหงอยในคราบของพระกวาดลาน

 

สุดท้ายแล้วเส้าหลินก็ไม่ใช่สถานที่ที่ใครอยากจะมาก็มา จะไปก็ไป

 

ซูฉินสักการะวัดเส้าหลินในฐานะที่เป็นเด็กกำพร้า หมายความว่าเป็นการถวายกายใจแด่วัด การจะกลับไปเป็นฆารวาสนั้น อย่างน้อยๆ ก็ต้องได้รับความยินยอมจากหัวหน้าตำหนักสักแห่ง

 

แต่ความจริงแล้วมันแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย

 

ตัวตนของหัวหน้าตำหนักสงฆ์คืออะไร? เขาจะต้องมาสนใจเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ของซูฉินรึเปล่า? ก็แค่พระกวาดลาน

 

นอกจากนี้ ถ้าพระทุกรูปขอลาสึกไปอยู่ในเมือง แล้วใครมันจะไปอยู่ในวัดเส้าหลินกัน

 

ต่อให้ตระกูลซูจะขับไล่ศัตรูไปได้แล้วและกลับคืนสถานะ แต่มันก็เป็นไปไม่ได้เลยที่จะมาบอกเรื่องนี้กับหัวหน้าสงฆ์ในวัดเส้าหลิน

 

ถึงตระกูลซูจะเป็นตระกูลผู้มั่งคั่งแถบชนบท แต่เส้าหลินที่ถึงกับเคยอยู่คับฟ้า มีชื่อเสียงในด้านความแข็งแกร่งไปทั่วยุทธภพ

 

ทั้งคู่มันอยู่กันคนละระดับ

 

แม้แต่ศัตรูตัวฉกาจที่บีบบังคับให้สมาชิกตระกูลซูกระซ่านกระเซ็นไปเพื่อรักษามรดกสายเลือด ก็ไม่มีค่าเพียงพอจะเอ่ยถึงเมื่อมายืนอยู่ต่อหน้าวัดเส้าหลิน

 

แม้ว่าซูฉินเข้ามาอยู่ในวัด หลบหนีการตามล่าได้อย่างสมบูรณ์แบบ แต่ในทางกลับกันเขาก็จะติดอยู่ในวัดไปตลอดชีวิต

 

ทว่าตอนนี้ระบบลงชื่อเข้าใช้ทำให้ซูฉินกลับมามีหวัง

 

“ระบบ ฉันจะลงชื่อเข้าใช้”

 

ซูฉินสำรวมกาย พึมพำเบาๆ ในใจ

 

หลังจากนั้น

 

[ขอแสดงความยินดีกับโฮสต์ ลงชื่อเข้าใช้สำเร็จ ได้รับ ‘ฝ่ามือยูไล‘ ]

 

เสียงของระบบ ไม่ช้าแต่ก็ไม่เร็วดังขึ้นในหูของซูฉิน

 

“ฝ่ามือยูไล?”

 

ซูฉินสูดหายใจเข้าลึกเต็มปอด

 

ถ้าจำไม่ผิด ฝ่ามือยูไล คือสุดยอดวิทยายุทธ์ที่แข็งแกร่งที่สุดของวัดเส้าหลิน ซึ่งทราบกันดีว่าจะถ่ายทอดวิชากันเฉพาะตัวต่อตัวเท่านั้น

 

ในจังหวะที่ซูฉินได้รับฝ่ามือยูไลนั้นเอง

 

หวึ่งงง!

 

เหนือโถงประชุมใหญ่ ปรากฏร่างทองแห่งองค์ยูไลขนาดยักษ์ หนึ่งนิ้วจรดฟ้า หนึ่งนิ้วชี้พื้นพสุธา มองดูสง่าผ่าเผย น่าเกรงขาม

 

สูงกว่าสวรรค์ เหนือกว่าพิภพ เพียงตัวตถาคต

 

แสงขององค์ยูไลส่องสว่างไปทั่ววัด มีลำแสงยาวส่องทอกระจายออกไปนับไม่ถ้วน

 

วัดเส้าหลินถึงกับสั่นสะเทือน เหล่าพระเณรต่างก้มลงตะโกน “องค์ยูไลอันศักดิ์สิทธิ์”

 

ฟึ่บ!

 

ฟึ่บ!

 

ฟึ่บ!

 

เป็นเวลาเดียวกันที่ร่างเงามากมายมาปรากฏตัวที่ด้านนอกโถงประชุมใหญ่อย่างเงียบๆ

 

คนแรกที่มาถึงสวมจีวรสีแดงเลือดหมูในมือถือไม้เท้าเก้าห่วง ท่านคือเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวิน เป็นเจ้าอาวาสของวัดเส้าหลินในยุคสมัยปัจจุบัน

 

คนที่เหลือเป็นหัวหน้าตำหนักสงฆ์ของลานสงฆ์และตำหนักสงฆ์ต่างๆ

 

ในเวลานี้ทุกคนรวมถึงเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวิน มองไปที่องค์ยูไลสีทองขนาดยักษ์ที่ปรากฏอยู่เหนือโถงใหญ่ด้วยแววตาตระหนก

 

“นะโม อมิตาพุทธ…”

 

เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินเคลื่อนเข้าไปคำนับองค์ยูไลสีทองขนาดใหญ่ หัวหน้าตำหนักต่างก็ก้มหัวคำนับด้วย “นะโม อมิตาพุทธ…”

 

จากนั้นไม่นานแสงขององค์ยูไลก็ค่อยๆ สลายไป

 

รอจนกระทั่งแสงจางหายไปจนหมด เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินถึงได้หน้าเงยหน้าขึ้นมอง

 

“เป็นพลังพุทธคุณอันรุนแรงยิ่ง…”

 

คลื่นลูกใหญ่ก่อตัวขึ้นในใจของเจ้าอาวาส

 

เขาไม่ใช่เป็นเพียงเจ้าอาวาส แต่ตัวเขายังเป็นผู้เชี่ยวชาญวิทยายุทธ์ที่มีชื่อเสียงขจรขจายอีกด้วย องค์ยูไลทองคำที่ปรากฏขึ้นนี้ก่อตัวด้วยพลังธรรมชาติแห่งพุทธะ

 

ต้องเข้าใจว่าแม้แต่การคงอยู่ของพลังระดับ ‘อรหันต์‘ ก็ยังไม่เทียบเท่าแม้หนึ่งในหมื่นขององค์ยูไลสีทองเมื่อครู่

 

“เป็นไปได้หรือไม่ว่ามีศิษย์วัดคนใดได้รับความชื่นชอบจากพระผู้มีพระภาคเจ้า เป็นเหตุผลว่าทำไมพลังแห่งพุทธะถึงเคลื่อนคล้อยลงมา”

 

เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินมองไปที่ลูกศิษย์หลายคนที่กำลังดูแลแถวข้างองค์พระพุทธรูปทองคำในห้องโถงใหญ่

 

โถงประชุมใหญ่ถือเป็นสถานที่สำคัญของเส้าหลินและมีเหล่าลูกศิษย์ลูกหาคอยดูแลตลอด

 

ถ้าจะมีศิษย์ที่ได้รับความโปรดปราน ก็คงเป็นกลุ่มศิษย์เหล่านี้

 

หัวหน้าตำหนักต่างก็คิดไปในทางนี้เช่นกัน สายตาของพวกเขาเปลี่ยนไปในทันทีที่มองเข้าไปในห้องโถงใหญ่

 

ตั้งแต่  60 ปีที่แล้ว สงฆ์ศักดิ์สิทธิ์มรณภาพลงในขณะเข้าฌาน จากนั้นวัดเส้าหลินก็ไม่ได้ให้กำเนิดสงฆ์อันศักดิ์สิทธิ์อีกเลย

 

ผลลัพธ์ก็คือสถานะของการเป็นสุดยอดพรรคตกต่ำลงอย่างรวดเร็ว

 

ถ้ามีลูกศิษย์คนใดได้ที่ได้รับพลังแห่งพุทธะอันยิ่งใหญ่แบบเมื่อครู่แล้วล่ะก็ ไม่ต้องห่วงเรื่องสงฆ์ศักดิ์สิทธิ์หรอก ถ้าจะสำเร็จจนถึงขั้นเป็นอรหันต์ก็ไม่ใช่เรื่องยากเลย

 

คิดได้เพียงเท่านั้นเหล่าหัวหน้าตำหนักพลันเนื้อเต้น

 

“ทุกคนตรงนั้น ถอยออกมาให้หมด อย่าได้เข้าไปใกล้ถ้าไม่ได้รับการยินยอมจากหัวหน้าตำหนัก”

 

หัวหน้าตำหนักยุทธสงฆ์มีลักษณะนิสัยใจร้อน เขาเหลือบมองซูฉินและคนอื่นๆ เณรหลายคนจากลานจิปาถะหน้าขาวๆ ซื่อๆ โบกมือรับคำ

 

“ครับผม” เณรลานจิปาถะชำเลืองมองหน้ากันเองก่อนจะหันหลังเดินจากไป

 

หัวหน้าตำหนักคนอื่นๆ รวมถึงท่านเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินเห็นสิ่งนี้ แต่ก็ไม่ได้กล่าวสิ่งใด

 

ถ้าพวกเขารู้ว่าต้นเหตุทั้งหมดมาจากซูฉินซึ่งเป็นเณรกวาดลานจากตำหนักลานจิปาถะที่ยืนอยู่ตรงหน้าพวกเขานี้เอง คงต่างตื่นตะลึงและไม่อาจทำใจเชื่อได้ลง

 

เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล

เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล

Score 10
Status: Completed

บทนำ

ซูฉินเที่ยวท่องไปในยุทธภพอันกว้างใหญ่ เป็นโลกที่ชาวยุทธครองพิภพ เป็นสถานที่ที่ราชครูแห่งอาณาจักรเหมิ่งหยวนอยู่เหนือใต้หล้า เป็นที่ที่ผู้สืบทอดหมัดเก้าตะวันออกหาประสบการณ์ต่อสู้ไปตามแนวสายธารอันทอดยาวและภูเขาสูงชัน ทั้งยังมีเสียวหลี่ที่ขี่กระบี่โบยบินสู่นภากาศอันเวิ้งว้างว่างเปล่า

เนื่องจากซูฉินไม่มีพรสวรรค์ด้านวิชายุทธ เขาจึงเป็นได้เพียงพระกวาดลานแห่งตำหนักลานจิปาถะ

ในเวลานั้นเอง ระบบแห่งการลงชื่อเข้าใช้ก็ถูกกระตุ้นเปิดออก!

ลงชื่อเข้าใช้ที่หน้าพระประธานสีทองอร่าม ได้รับ [ฝ่ามือยูไล]

ลงชื่อเข้าใช้ที่หน้าลานสงฆ์ ได้รับ [กายแกร่งวัชระ]

ลงชื่อเข้าใช้ที่ภูเขาหลังวัด ได้รับ [กายาโพธิสัตว์ปีศาจทองคำ]

สมบัติแทบจะแทรกอยู่ทุกหย่อมหญ้าในวัดเส้าหลินให้ได้ลงชื่อรับของรางวัลมา ซูฉินจึงไม่คิดลงจากภูเขาอันเป็นที่ตั้งของวัดเส้าหลินไปที่ไหนแน่หากยังไม่ได้ลงชื่อรับของรางวัล และตัวเขาก็ลงชื่อเข้าใช้อยู่แบบนั้นมาตลอดยี่สิบปี

ยี่สิบปีผ่านไป เส้าหลินเข้าไปพัวพันกับการต่อสู้ระหว่างธรรมะและอธรรม เหล่ามารเข้าโจมตีวัดเส้าหลินอย่างมิเกรงฟ้าดิน มาทั่วทุกสารทิศมุ่งเข้าสู่ศาลาพระคัมภีร์
อย่างดุร้าย! และทรงพลัง!

จนกระทั่งพวกมันเจอเข้ากับศิษย์วัดนามซูฉินกำลังกวาดลาน…

แปลจากงานเขียนเรื่อง Sign in Buddha’s palm ผู้แต่ง : หุยเต้าหยวนชู

ปล.เนื้อหาภายในเป็นเพียงจินตนาการของผู้เขียน ผู้แปลเพียงนำเสนอผลงานในรูปแบบที่เข้าใจง่ายขึ้นเท่านั้น

Options

not work with dark mode
Reset