อยากกินไหมล่ะ 781

ตอนที่ 781

อยากกินไหมล่ะ 美食供应商

บทที่ 781 ไปซื้อผักกันเถอะ

“ว้าว หอมมากเลย นี่คือโจ๊กงั้นเหรอ?” เสี่ยวซิ่งรีบโผเข้ามาโดยลืมแม้แต่จะบอกลาแฟนของเขาไปเสียสนิท

“อืม โจ๊กธรรมดานี่แหละ” หยวนโจวพยักหน้า

“โจ๊กธรรมดาจะกลิ่นหอมมากขนาดนี้ได้ยังไงกันล่ะครับ?” เสี่ยวซิ่งเริ่มกลืนน้ำลายเมื่อเห็นโจ๊กที่กำลังเดือดอยู่ในหม้อ

กลิ่นหอมยั่วน้ำลายกันเกินไปแล้ว

ในขณะที่เสี่ยวซิ่งกำลังจับจ้องไปที่โจ๊กอยู่นั้น หยวนโจวก็ตักโจ๊กออกมาสองถ้วยแล้ว เขายื่นให้เสี่ยวซิ่งถ้วยหนึ่งส่วนอีกถ้วยวางไว้ตรงหน้าตนเอง

“เริ่มทานได้แล้วครับ” หยวนโจวกล่าว

“อึก ได้ครับ” เสี่ยวซิ่งกลืนน้ำลายที่เอ่ออยู่ในปากแล้วนั่งลงราวกับเด็กน้อยผู้แสนเชื่อฟังที่เตรียมพร้อมที่จะกิน

เสี่ยวซิ่งเป็นคนที่สุภาพมากทีเดียว ในเมื่อหยวนโจวเป็นคนทำอาหารมื้อนี้ย่อมเป็นธรรมดาที่เขาจะต้องรอให้หยวนโจวเริ่มกินก่อนที่เขาจะเริ่มกิน

ดังนั้นเขาจึงนั่งอยู่ตรงนั้นพลางจับจ้องไปที่ริมฝีปากของหยวนโจวด้วยสายตาเร่าร้อนจนทำให้หยวนโจวต้องยกถ้วยขึ้นมาปิดปากด้วยความกระอักกระอ่วนใจ

ทันทีที่เสี่ยวซิ่งเห็นหยวนโจวกำลังจะกิน เขาก็ยกถ้วยขึ้นมาเริ่มกินเหมือนกัน

มีคำโบราณที่เหมาะสมมากอยู่คำหนึ่งกล่าวเอาไว้ว่าคนควรจะคอยโจ๊กมากกว่าที่จะให้โจ๊กมาคอยคน ง่ายๆก็คือวลีท่อนนี้มีความหมายว่าต้องกินตอนที่ยังร้อนๆชนิดที่ร้อนลวกเลยล่ะ

“อูย โอ๊ย ร้อนชะมัด ร้อนชะมัดเลย” เสี่ยวซิ่งร้องออกมาเพราะความร้อนแต่เขาก็ยังอดไม่ได้ที่จะเคี้ยวโจ๊กร้อนๆ

เขาไม่สามารถช่วยตัวเองได้เลย โจ๊กอร่อยเกินไป เขาดูไม่เหมือนคนที่เพิ่งจะกล่าวอ้างว่าตนเองไม่สนโจ๊กเลยสักนิด

สิ่งสำคัญประการหนึ่งตอนทำโจ๊กก็เพื่อทำให้แน่ใจว่าส่วนสำคัญของข้าวได้ไหลซึมออกมาจากการต้มแล้ว ด้วยเหตุนี้กลิ่นหอมของข้าวก็จะเริ่มไหลซึมออกมาด้วย เมื่อโจ๊กเข้าปาก นอกเหนือไปจากกลิ่นหอมแล้ว รสชาติจากส่วนสำคัญของข้าวและรสชาติอันเป็นเอกลักษณ์ของโจ๊กก็จะผสมผสานกันอยู่ภายในด้วย

“อา อืมมม” เสี่ยวซิ่งยัดโจ๊กเข้าปากอีกคำถึงแม้ว่ามันจะร้อนสักเพียงใดก็ตามแต่

คราวนี้มันไม่ร้อนอีกต่อไปแล้วจึงทำให้เสี่ยวซิ่งสามารถดื่มด่ำกับรสชาติได้มากขึ้น

เมื่อโจ๊กเข้าปากแล้ว ความรู้สึกแรกของเขาก็คือความหอมกรุ่นที่เข้ามาแทนที่ความร้อนระอุ ทว่ากลิ่นหอมอ่อนๆที่คงอยู่มาเนิ่นนานกลับไหลลงคอไปจนถึงภายในกระเพาะอาหารแล้ว

ต่อมาเขาก็เริ่มลิ้มรสชาติของน้ำนมข้าวอันกลมกล่อมและเข้มข้นที่ปรากฏขึ้นหลังจากเมล็ดข้าวเดือดแล้ว เมื่อผสานเข้ากับความรู้สึกยามที่เมล็ดข้าวเข้าปาก เขาก็เริ่มเคี้ยวเข้าไป

ส่วนปลายของเมล็ดข้าวเรียวยาวทั้งสองด้านเละไปแล้ว แต่ส่วนกลางของเมล็ดกลับยังนุ่มเด้งอยู่เลย เมื่อเคี้ยวเข้าไปแล้วก็จะรับรู้ได้ถึงกลิ่นหอมกรุ่นเป็นอย่างยิ่ง

อึก เสี่ยวซิ่งกลืนโจ๊กข้นๆในปากลงไปแล้วปล่อยให้รสชาติอันแสนน่าพึงพอใจกรุ่นอยู่ในปาก

ใช่แล้วล่ะ ถึงจะกลืนโจ๊กลงไปแล้ว ทว่ากลับยังหลงเหลือรสชาติอันแสนน่าพึงพอใจอยู่ในปาก นั่นเป็นเพราะรสชาติที่หลงเหลืออยู่หลังจากเคี้ยวเมล็ดข้าวที่มีรสหวานตามธรรมชาติ

“งั้นข้าวหอมก็เป็นของดีจริงๆสินะ? ไม่แปลกใจเลยที่นักท่องเที่ยวจะซื้อไปกันตั้งหลายถุงทุกครั้งที่มาเยือน” เสี่ยวซิ่งรำพึง

ถูกต้องแล้ว เสี่ยวซิ่งคิดว่าถึงแม้ว่าข้าวหอมของไทยจะเป็นของดีแต่ก็ยังไม่ดีพอที่จะดึงดูดนักท่องเที่ยวได้หรอก แต่มาตอนนี้เขาเข้าใจแล้วล่ะ ถ้าเขารู้มาก่อนว่าโจ๊กที่ทำด้วยข้าวหอมของไทยจะอร่อยเสียขนาดนี้ เขาก็คงกินโจ๊กทุกวันไปแล้วล่ะ

“นั่นเป็นเพราะฝีมือการทำอาหารของผมดีต่างหากล่ะครับ” หยวนโจวชี้แจงแถลงไข

“ครับ ครับ ครับ เชฟหยวน ฝีมือการทำอาหารของคุณดีเกินไปแล้วครับ” เสี่ยวซิ่งพยักหน้าซ้ำๆ

“พวกเรามีเครื่องเคียงด้วยนะครับ ลองทานเครื่องเคียงดูสิครับ” หยวนโจวเตือน

“แค่โจ๊กอย่างเดียวก็น่าพอใจมากพอแล้ว ดีจังเลย” เสี่ยวซิ่งกล่าวขณะที่เอื้อมไปหายำไก่ฉีกด้วยหัวใจที่เปี่ยมไปด้วยความคาดหวัง

รสชาติของยำไก่ฉีกจานนี้ถูกปรับด้วยมะนาวของไทยเพื่อความเปรี้ยว ในขณะที่สะระแหน่ถูกนำมาใช้เป็นสรชาติพื้นฐาน ส่วนรสเผ็ดได้มาจากพริกที่ผสมเข้ากับน้ำแข็งก่อนที่จะผสมเข้ากับน้ำตาลและเกลือ

อาหารรสเปรี้ยวและกระตุ้นความอยากอาหารด้วยรสชาติของผลไม้ตามธรรมชาติที่ติดมาด้วย แต่ละรสชาติแสดงออกอย่างเหมาะเจาะและรสชาติที่รวมเข้ากับความนุ่มของเนื้อไก่กระตุ้นให้สามารถทานข้าวได้อีกสองถ้วยเพียงแค่อาหารจานนี้แค่อย่างเดียวเท่านั้น

นี่ก็คือสิ่งที่เสี่ยวซิ่งทำจริงๆ เขาลักขโมยโจ๊กอีกถ้วยจากหยวนโจวที่ป่วยอยู่จริงๆมาอย่างหน้าไม่อาย เขาทานโจ๊กไปสามถ้วย ยำไก่ฉีกหนึ่งจานและยำผักบุ้งจีนไปอีกครึ่งจาน

“หยวนน้อย เชฟหยวน อาจารย์หยวน ฝีมือการทำอาหารของคุณสุดยอดเกินไปแล้ว” เสี่ยวซิ่งกล่าวด้วยความละอายใจเมื่อเห็นถ้วยและจานที่สะอาดเกลี้ยงเกลา

“ขอบคุณที่ชมครับ” หยวนโจวตอบ

“มันเป็นความจริงนะ ไม่ได้ชมเลย คุณเป็นไอดอลคนใหม่ของผมเชียวล่ะ จะมีใครทำอาหารได้เยี่ยมขนาดนี้กันบ้างล่ะครับ?” เสี่ยวซิ่งกล่าวอย่างจริงจัง

“ตอนที่คุณแย่งโจ๊กของผมไปคุณไม่ได้พูดแบบนั้นนี่นา” หยวนโจวกล่าวอย่างไร้อารมณ์

“แค่ก แค่ก ผมทำแบบนั้นเพราะเกรงว่าคุณจะรู้สึกไม่สบายท้องเพราะทานมากเกินไปต่างหากล่ะครับ” เสี่ยวซิ่งให้เหตุผลกับตัวเอง

“โอ้” หยวนโจวทอดสายตามองเขาด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ เห็นได้ชัดว่าไม่เชื่อเขาเลยสักนิด

“หยวนน้อย ผมรู้สึกว่ามีอยู่ที่หนึ่งที่คุณต้องไปเยือนให้ได้เลยล่ะ” เสี่ยวซิ่งนึกไอเดียดีๆขึ้นมาได้อย่างรวดเร็ว

“ที่ไหนเหรอครับ?” หยวนโจวถาม

เสี่ยวซิ่งบอกว่า “ตลาดร่มหุบครับ นั่นเป็นสถานที่ที่นักท่องเที่ยวหลายๆคนมักจะไปเยือน”

ทันทีที่หยวนโจวได้ยินเช่นนั้น เขาก็หมดความสนใจ เขาไปเยือนตลาดขนาดต่างๆในประเทศไทยมาหลายแห่งแล้ว นอกจากนี้เขายังไปเยือนถนนหลายสายที่เต็มไปด้วยแผงลอยมาอีกต่างหาก

“ตลาดร่มหุบต่างออกไปนะครับ” เสี่ยวซิ่งกล่าว “นอกจากนี้ยังมีอีกชื่อหนึ่งว่าตลาดรถไฟเพราะตลาดตั้งอยู่สองข้างของทางรถไฟ”

ตลาดรถไฟเป็นชื่อที่หยวนโจวคุ้นเคยดี เขาถามขึ้นมาว่า “คุณกำลังพูดถึงตลาดที่จะมีรถไฟผ่านวันละหกครั้งใช่ไหมครับ?”

เสี่ยวซิ่งพยักหน้าอย่างจริงจัง หยวนโจวชักจะเริ่มสนใจขึ้นมาเสียแล้ว นี่เป็นสถานที่ที่เขาเคยเห็นในข่าวมาก่อน มันถูกขนานนามให้เป็นตลาดที่อันตรายที่สุดในโลกเนื่องจากทุกวันจะมีรถไฟวิ่งผ่านหกครั้ง เมื่อรถไฟมา แผงลอยสองข้างทางรถไฟก็จะรีบเก็บของออกไปและออกมาตั้งแผงอีกครั้งหลังจากรถไฟจากไปแล้ว พวกเขาดำรงชีพอยู่บนทางรถไฟอย่างแท้จริง

บางทีกลุ่มคนที่พอจะสามารถเทียบกันได้คงมีแต่ชาวอินเดียที่ต้องนั่งอยู่ด้านบนสุดของรถไฟเท่านั้นแล้ว

เสี่ยวซิ่งรีบกล่าวขึ้นมาทันทีที่เห็นว่ากระตุ้นความสนใจของหยวนโจวได้แล้วว่า “ถ้าพวกเราไปกันตอนนี้ก็จะไปถึงทันเวลาที่จะได้ดูรถไฟนะครับ”

พวกเขาจึงมุ่งหน้าไปที่ตลาดรถไฟในทันที

อันที่จริงแล้ว เจตนาแท้จริงของเสี่ยวซิ่งหาใช่การพาหยวนโจวไปที่นั่น แต่…

หลังจากขึ้นรถมาแล้ว เสี่ยวซิ่งก็บอกว่า “พวกเราสามารถซื้อของที่นั่นได้ด้วยนะครับ คืนนี้ผมจะยอมให้คุณใช้ครัวอีกก็ได้ ถึงยังไงคุณก็ไม่คุ้นเคยกับอาหารไทยใช่ไหมล่ะครับ?”

“ผมนึกว่าคืนนี้พวกเราจะไปทานเป็ดปักกิ่งกันเสียอีก?” หยวนโจวขมวดคิ้ว

“เป็ดที่นั่นไม่อร่อยหรอกครับ ไม่มีอะไรพิเศษเลยสักนิดเดียว มันธรรมดามากจนไม่ควรค่าแก่การไปเยือนเลยครับ ถ้าคุณอยากทานเป็ดปักกิ่ง คุณก็น่าจะไปทานที่ปักกิ่งนะครับ” เสี่ยวซิ่งเริ่มวิพากษ์วิจารณ์เป็ดย่างก่อนที่จะเสริมอีกว่า “พวกเราน่าจะทำอาหารทานเองที่บ้านกันนะครับ”

เป็นที่แน่นอนแล้วว่าเขาติดใจอาหารของหยวนโจวเข้าเสียแล้ว นั่นจึงเป็นสาเหตุที่ทำให้ทุกอย่างที่เขาพูดกลับตาลปัตรไปเสียสิ้น เช้านั้นเขายังร้องชื่นชมเป็ดย่างอยู่เลยแต่ตอนนี้เขากลับบอกว่าเป็ดย่างไม่อร่อยไปเสียแล้ว เพื่ออาหารแล้ว เขาไม่สนหรอกว่ากำลังตบหน้าตัวเองอยู่

ข้อโต้แย้งของเขาค่อนข้างมีเหตุผลมากทีเดียว หยวนโจวได้ลิ้มรสอาหารไทยเท่าที่เขาจะสามารถทำได้มาเกือบหมดทุกอย่างแล้ว ตอนนี้เขาไม่ใคร่สบายท้องสักเท่าไหร่นัก คงเป็นเรื่องดีกว่าที่เขาจะทานอาหารที่ทำเอง

แต่ตอนนี้เขาเผชิญอีกปัญหาเข้าแล้ว ถ้าหากเขาไม่ใช้เงิน 6,799 บาทให้หมดในคืนนี้ ภารกิจก็จะล้มเหลว ดังนั้นเขาจึงต้องไปทานเป็ดย่างให้ได้

หยวนโจวยืนกรานอย่างหนักแน่นว่า “ผมอยากรู้ว่ารสชาติของเป็ดย่างในประเทศไทยจะเป็นยังไงบ้าง ดังนั้นพวกเราสามารถไปเยือนตลาดรถไฟแต่จะไม่ซื้ออะไรที่นั่นหรอกนะครับ”

เสี่ยวซิ่งรู้สึกสิ้นหวังไปโดยสิ้นเชิงเมื่อได้ยินเช่นนั้น ระหว่างที่เขาขับรถอยู่นั้น เขาก็จะส่งสายตาทุกข์ระทมขมขื่นให้หยวนโจวเป็นครั้งคราวไป

โชคดีที่หยวนโจวค่อนข้างมีภูมิต้านทานต่อสายตาเช่นนั้นอยู่แล้ว ถึงอย่างไรเขาก็เป็นคนที่รู้จักอู๋ไห่ที่หน้าไม่อายที่สุดในบรรดาคนทั้งหมดนี่นา

อยากกินไหมล่ะ

อยากกินไหมล่ะ

Score 10
Status: Completed

ตอนที่ 1 – 896 อ่านนิยาย

( อ่านต่อข้างล่าง )

ณ ประเทศตะวันออกที่ห่างไกลมีร้านอาหารเล็ก ๆ แปลก ๆ แห่งหนึ่งที่อาจหาญกล้า ‘ปฏิเสธการจัดอันดับสามดาว‘ โดย Michelin Guide อยู่หลายครั้ง อาหารที่นี่ราคาแพงมากข้าวผัดธรรมดาจานหนึ่งกับซุปหนึ่งชาม ราคาก็ปาเข้าไป 288 หยวนแล้ว (ประมาณ 1500 บาท) เคี่ยวขนาดนี้ก็ยังมีคนต่อคิวยาวเหยียดเพื่อจะรอกิน อ้อ… ที่นี่เขาไม่รับจองคิวด้วยนะ! แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังมีคนจำนวนมากนั่งเครื่องบินส่วนตัวมาเพื่อจองคิวอีก! ทำไมต้องนั่งเครื่องบินน่ะเหรอ ก็เขาไม่มีที่จอดรถให้น่ะสิ ที่นี่บริการแย่ ลูกค้ากินแล้วต้องล้างจานเช็ดโต๊ะเอง ไม่รู้เจ้าของร้านคิดอะไรอยู่… สงสัยคงเป็นคนบ้าคนหนึ่ง

Options

not work with dark mode
Reset