หมอหญิงจ้าวดวงใจ 165 ถูกปล้นกลางถนนโคมไฟ ท่านแม่ทัพกระทำอย่างไร้ยางอาย (1)

ตอนที่ 165 ถูกปล้นกลางถนนโคมไฟ ท่านแม่ทัพกระทำอย่างไร้ยางอาย (1)

ตอนที่ 165 ถูกปล้นกลางถนนโคมไฟ ท่านแม่ทัพกระทำอย่างไร้ยางอาย (1)
ข้างนอกมีโคมไฟอันงดงามห้อยระย้าเต็มไปหมด หันหมิงชั่นจะออกไปเล่นเกมทายปริศนาบนโคมไฟ เฟิงเซ่าอิ่งรีบขัดขวาง “ข้าสั่งให้พวกเขาไปต้มบัวลอยและส่งมาแล้ว ท้องฟ้าข้างนอกมืดครื้ม ดูเหมือนหิมะกำลังจะตก พวกเรากินบัวลอยร้อนๆ เสร็จค่อยออกไปกันเถอะ”

ทุกคนนั่งอยู่ในห้องอาหารส่วนตัวไปครึ่งวันแล้ว ก็รู้สึกค่อนข้างเบื่อหน่าย ดังนั้นต่างคนต่างก็กินบัวลอยกันเสร็จแล้วลงจากตึก

หันซังเกอคอยปกป้องดูแลภรรยา หันซังเย่ว์หันไปมองหันหมิงชั่น หันหมิงชั่นกลับคล้องแขนเหยาเยี่ยนอวี่ไว้ หันซังเย่ว์คลี่ยิ้ม เขาและเหยาเหยียนอี้ยืนอยู่ฟากซ้ายฟากขวาเพื่อที่จะปกป้องน้องสาวทั้งสองคนให้อยู่ตรงกลาง

เซียวหลินเห็นสถานการณ์นี้จึงส่ายหน้าอย่างประหม่า ภายในใจกำลังคิดว่าหากเฟิงเซ่าเชินมาเห็นสถานการณ์เช่นนี้ ไม่รู้ว่าจะคิดอย่างไร คุณหนูเหยาท่านนี้ถือว่าเป็นที่รักใคร่ของผู้คนจริงๆ! จากนั้น ท่านเซียวโหวไม่รู้ว่าภายในใจคิดอะไรอยู่ ทันใดนั้นก็คลี่ยิ้ม “คุณหนูเหยา ได้ยินมาว่าฝีมือทางการแพทย์ของเจ้ายอดเยี่ยมยิ่งนัก อยากถามหน่อยว่าท่านมียาชั้นดีที่ทำให้แก้อาการบวมหรือไม่”

“หืม?” เหยาเยี่ยนอวี่ก็จับต้องไม่ถูกว่าจิ้งไห่โหวท่านนี้ต้องการสื่ออะไร ทีแรกยังรู้สึกว่าเขาเป็นคนที่จริงจัง ครั้งแรกที่เจอเขา เขาก็ใช้ถ้อยคำที่ชอบธรรมว่ากล่าวตำหนิอารักขาของอวิ๋นเหยา ท่าทางเช่นนั้นเป็นปัญญาชนที่เด็ดเดี่ยวและองอาจผึ่งผายยิ่งนัก แต่ครั้งนี้พอนัยน์ตาสีนิลของเขาเปล่งประกายด้วยความเจ้าเล่ห์และทำให้รู้สึกแปลกพิลึกเล็กน้อยนั้น เหมือน…สุนัขจิ้งจอกที่เจ้าเล่ห์?

“ท่านโหวไม่สบายตรงไหนหรือเปล่า” เหยาเหยียนอี้เอ่ยถามแทนเหยาเยี่ยนอวี่ด้วยรอยยิ้มอ่อนๆ

“หัวสมองของเปิ่นโหว[1]ถูกเหรียญกระแทก ดังนั้นจึงอยากจะขอยาวิเศษเสียหน่อย” เซียวหลินเอ่ยพูด แล้วยกมือควักเอาเหรียญอีแปะที่สลักอักษรจวงหยวนจี๋ตี้ แล้วใช้เหรียญวาดรูปทรงโค้งกลางอากาศ จากนั้นก็เอาเก็บเข้าไปในฝ่ามือ นัยน์ตาอันเย็นชาเปล่งประกายรอยยิ้มที่ดูขี้เล่น กำลังกวาดมองหันหมิงชั่นอยู่

หันหมิงชั่นทำหน้าแดงทันที แล้วปล่อยมือของเหยาเยี่ยนอวี่พลางเดินไปข้างหน้าสองก้าว เพื่อเดินหนีเซียวหลิน

เหยาเยี่ยนอวี่มองเซียวหลินที่ทำท่าทางจริงจัง นางเกือบจะหลุดหัวเราะออกมา จึงรีบยกมือที่จับผ้าเช็ดหน้าไว้มาปิดปากไว้และไอสองที

“ข้าน้อยขอแสดงความยินดีกับท่านโหวจากใจจริง นี่ถือว่าเป็นสัญญาณที่ดีของเหรียญจวงหยวนจี๋ตี้” เหยาเหยียนอี้ทำมือคารวะให้เซียวหลิน แล้วยิ้มอย่างลุ่มลึก

“อืม ดังนั้นเปิ่นโหวเลยเสียดายเหรียญเงินนี้” เซียวหลินมองไปข้างหน้าที่มีเรือนร่างอันเรียวบางของหันหมิงชั่นอยู่ จากนั้นก็กระตุกยิ้มบางๆ อันร้ายกาจ

ทุกคนเดินออกจากเรือนจุ้ยเซียนมาถึงถนนใหญ่ โคมไฟที่แขวนตามทางถนนใหญ่สอดส่องให้คนถึงผู้คนที่สัญจรไปมา พวกเขามากันค่อนข้างเยอะ จึงง่ายต่อการถูกเบียดจนต้องแยกออกจากกัน ดังนั้นหันซังเกอจึงสั่งการน้องชาย “เจ้าดูแลชั่นเอ๋อร์ดีๆ ล่ะ ประเดี๋ยวหากเดินพรากจากกัน ก็ไปคอยที่ปากทางขึ้นสะพานไท่เหอที่อยู่ตรงหน้าปากซอย”

หันซังเย่ว์รีบพยักหน้าตอบตกลง แล้วเดินไปอยู่เคียงข้างน้องสาว จากนั้นก็เบียดสตรีวัยกลางคนสองคนที่ใกล้ตัวเขาให้ออกห่าง

หันซังเกอกำชับเหยาเหยียนอี้อีกครั้ง แล้วค่อยเดินเที่ยวเล่นกับเฟิงเซ่าอิ่งอย่างสบายใจ

เฟิงเซ่าเชินติดตามหลิงซีจวิ้นจู่เข้าวังหลวงเพื่อไปเข้าเฝ้าฮองเฮาเหนียงเหนียง ดังนั้นวันนี้เซียวหลินเลยได้มาตามลำพัง ท่านเซียวโหวเดินตามหันซังเย่ว์และเหยาเหยียนอี้ที่ถือว่าเป็นพี่ชายสองคนของเขา ยิ่งอยู่ก็ยิ่งรู้สึกว่าคนที่ไม่มีน้องสาวช่างโดดเดี่ยวยิ่งนัก แม้แต่มาเยี่ยมชมโคมไฟก็ยังต้องมาตามลำพัง!

ท่านเซียวโหวจึงยืนอยู่ท่ามกลางกลุ่มคนที่กำลังตะโกนเสียงดังด้วยความเบื่อหน่าย เขามองไปซ้ายทีขวาที ทันใดนั้นก็ถูกคนเดินชนอย่างแรง จากนั้นขาของเขาจึงเดินเซและทั้งเรือนร่างก็เซไปข้างหน้า

หันซังเกอเป็นคนมือไม้ไว เขาเดินหน้าไปหนึ่งก้าว แล้วดึงแขนของหันหมิงชั่นจนทั้งเรือนร่างของนางเข้ามาอยู่ในอ้อมกอด นัยน์ตาเปล่งประกายความไม่พอใจ ไอ้หมอนี่เกือบจะล้มมาทับเรือนร่างของน้องสาวแล้ว เขาตั้งใจหรือไม่ได้ตั้งใจกันแน่!

“นี่…ใคร…” เซียวหลินเป็นปัญญาชนที่มีนิสัยเลือดเย็นและยิ่งผยอง ซึ่งนิสัยเช่นนี้ได้ฝังอยู่ในสายเลือดของเขาแล้ว พอถูกหันซังเกอจ้องหน้าเยี่ยงนี้ จึงรู้สึกโมโหขึ้นมาทันที จากนั้นก็หันไปมองหาคนที่มาเดินชนเขา แค่เขายังไม่ทันได้ขานเรียกออกมา ก็รู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่างลอยผ่านในพริบตาเดียว หันซังเกอดึงเขาไปอยู่ข้างหลัง จากนั้นก็ใช้หมัดๆ เดียวชกออกไป …ปึก ดังขึ้นเพียงเสียงเดียว คนคนหนึ่งที่ถูกคุณชายรองแห่งตระกูลหันชกก็ลอยไปไกล หลังจากที่ล้มลงบนพื้น เรือนร่างของคนคนนั้นไถลไปไกลถึงสองสามฉื่อ[2]จึงจะหยุดลง

“โอ้ย…!” มีคนร้องตะโกนอย่างตกใจ เหมือนกำลังเจอเรื่องที่เฮงซวย ล้มครั้งนี้ ทำให้แขนหรือว่าขาได้รับบาดเจ็บ

ซู่ๆ ซ่าๆ!

ในท่ามกลางกลุ่มคนก็มีคนราวๆ สิบกว่าคนเดินเบียดออกมา ในมือของทุกคนต่างก็จับอาวุธทหารเอาไว้ คนเหล่านี้ใส่เสื้อผ้าหลากหลายรูปแบบของสามัญชน ทว่าสีหน้ากลับดูโหดเหี้ยม นัยน์ตาอันลุ่มลึกนั้นดูไม่ใช่คนจงหยวน[3]

เหยาเหยียนอี้ได้สติจากการตกตะลึงจนขาดสติไปเมื่อครู่ กลับสังเกตเห็นว่าทุกอย่างมันสายเกินไปแล้ว

“ห้ามขยับ ไม่เช่นนั้นข้าจะฆ่านาง!” เหยาเยี่ยนอวี่ถูกคนที่มีเรือนร่างสูงใหญ่จับตัวไว้จากด้านหลัง แล้วมีดาบสันโค้งวางทาบลงตรงลำคอของนาง คนคนนี้ใช้ผ้าต่วนสีดำปิดหน้าของตนเองไว้ แม้แต่น้ำเสียงที่เปล่งออกมาเป็นเสียงของบุรุษหรือสตรีก็แยกแยะไม่ออก น้ำเสียงที่ทั้งใสและแหบพร่าเล็กน้อย ภาษาจีนที่พูดนั้นเพี้ยนมาก ทว่าก็สามารถสื่อความหมายของตัวเองออกมาได้อย่างชัดเจน

ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วเกินไป เกิดขึ้นในช่วงเวลาสั้นๆ เท่านั้น

“เยี่ยนอวี่!” หันหมิงชั่นวิ่งไปข้างหน้าโดยไม่ครุ่นคิดถึงสิ่งใด กลับถูกเซียวหลินจับตัวไว้ จากนั้นก็เอ่ยถามด้วยเสียงเย็นชา “พวกเจ้าเป็นใคร จับกุมตัวแม่นางคนหนึ่งนั้นต้องการทำอะไรกันแน่”

“ปล่อยนาง ไม่เช่นนั้นพวกเจ้าก็อย่าคิดว่าจะมีชีวิตรอดออกจากที่นี่ได้!” หันซังเย่ว์ขมวดคิ้ว สีหน้าเคล้าด้วยความอาฆาต

“พวกข้าไม่อยากฆ่าคน พวกเจ้าถอยไป ไม่เช่นนั้น…ข้าคงไม่ถือสาที่จะฆ่านาง!” ผู้ที่จับกุมตัวเหยาเยี่ยนอวี่มีข้อมือที่แข็งแกร่งอย่างมาก ดาบสันโค้งจี้คอของเหยาเยี่ยนอวี่ไว้

“อย่า!” เหยาเหยียนอี้โบกมือด้วยความกระวนกระวาย “มีอะไรก็คุยกันดีๆ! อย่าทำร้ายคน!”

เสียงคึกคักรอบทิศหายไปตั้งนานแล้ว สามัญชนที่กลัวตายและกลัวมีเรื่องต่างก็เพ่นหนีกันไปหมด ผู้ที่มีความกล้าหน่อยก็หลบอยู่ในร้านค้าข้างๆ

ทีแรกถนนที่เต็มไปด้วยบรรยากาศอันครึกครื้น แค่ช่วงเวลาที่พูดคำพูดเพียงไม่กี่คำก็นิ่งสงบลงทันที มีเพียงโคมไฟเท่านั้นที่ยังส่องสว่างอยู่ สายลมเย็นพัดผ่าน ท้องฟ้าเริ่มมีหิมะลอยไปลอยมา โคมไฟสีแดงพริ้วไหว หิมะสีขาวโปรยปราย บรรยากาศอันตึงเครียดนี้ยิ่งอยู่ยิ่งแปลกพิลึก

เหล่าอารักขาจวนเจิ้นกั๋วกงก็กระจายไปทั่วทุกที่ และล้อมกลุ่มคนสิบกว่าคนไว้แล้ว

ทว่าเหตุเพราะอยู่ในเมืองหลวงอวิ๋น สองพี่น้องหันซังเกอก็นึกไม่ถึงว่าจะเกิดเรื่องตอนออกไปนอกจวน ดังนั้นเลยไม่ได้พาคนออกมาเยอะ

ครั้งนี้ หากเอาทหารรักษาการณ์ที่กำลังลาดตระเวนในถนนเส้นนี้มารวมกันก็มีแค่ราวๆ ยี่สิบคนเท่านั้น จึงไม่สามารถหาทางออกในการสู้กับศัตรูได้ อีกทั้งยังมีคนถูกควบคุมตัว หากต่อสู้กันมาจริงๆ คนเหล่านี้เป็นทหารยอดฝีมือทั้งนั้น ความเก่งกาจในการต่อสู้ไม่ควรดูหมิ่น ทว่าก็ไม่สามารถรับประกันว่าเหยาเยี่ยนอวี่จะปลอดภัย

แม้แต่หันซังเย่ว์ก็ไม่มีวิธีที่แปลกใหม่ในการเอาชนะครั้งนี้

หันซังเกอพาเฟิงเซ่าอิ่งเดินไปไม่ไกล ก็สังเกตเห็นถึงการเปลี่ยนแปลงทางนี้ จึงเดินกลับมาต่อ ข้างกายเขามีเฟิงเซ่าอิ่งตามมาด้วย พอเห็นเหยาเยี่ยนอวี่ถูกคนใช้มีดจี้คอ นางก็รู้สึกตกใจจนสองขาสั่น ทำให้อ่อนแรงจนต้องทรุดไปอยู่กลางอ้อมกอดของหันซังเกอ แล้วถึงกับพูดอะไรไม่ออก

“ไม่เป็นเช่นไร” หันซังเกอปลอบโยนภรรยาด้วยเสียงต่ำ แล้วพยุงนางไปให้สาวใช้ฉุนอวี่ที่อยู่ด้านหลัง “พาฮูหยินไปหลบอยู่ร้านค้าที่อยู่ข้างๆ ที”

ฉุนอวี่ก็รู้สึกหวาดกลัว ทว่าก็ดีกว่าเฟิงเซ่าอิ่ง นางกับชิวซวงจึงช่วยกันพยุงเฟิงเซ่าอิ่งแล้วเดินจากไป

หันซังเกอสังเกตมองกลุ่มคนสิบกว่าคนด้วยสีหน้าที่ไม่แปรเปลี่ยน สุดท้ายสายตาก็จับจ้องไปบนใบหน้าของคนที่จับเหยาเยี่ยนอวี่เอาไว้ สายตาของเขาหยุดชะงักไปทันที ทันใดนั้นก็หัวเราะเย้ยหยันอย่างเย็นชา “ทรยศนายเก่า การถูกซ้ำเติมกับการผ่านความลำบากยากเข็ญมาคงจะรู้สึกไม่ดีใช่หรือไม่”

“@#$!” คนคนนั้นจ้องหันซังเกอด้วยความโมโห แล้วก่นด่าด้วยคำหยาบที่แปลกใหม่

“ถูกคนซีกู่ไล่จนสุดทางตัน กลับวิ่งมาที่เมืองหลวงอวิ๋น? ความกล้าหาญของพวกเจ้าไม่น้อยเลยจริงๆ” หันซังเกอพึมพำด้วยเสียงเย็นชา

[1] เปิ่นโหว การแทนตัวเองของท่านโหว

[2] ฉื่อ เป็นหน่วยจัดความยาวของจีน ซึ่ง หนึ่งฉื่อ เท่ากับ 33.33 เซ็นติเมตร

[3] จงหยวน หมายถึงที่ราบแถวแม่น้ำหวงเหออันเป็นอู่อารยธรรมจีน

Options

not work with dark mode
Reset