ศพ 299 เข้าปากล้วย

ตอนที่ 299 เข้าปากล้วย

ตอนที่ 299 เข้าปากล้วย

 

ป่ากล้วยผืนนี้อยู่ติดกับภูเขา รอบๆไม่มีบ้านคน เป็นป่าประเภทค่อนข้างไกลผู้คนเป็นพิเศษ

 

ไม่ใช่แค่นี้ ในป่ากล้วย ยังมืดและรกทึบ มีงูหนูมดแมลงและ สัตว์พิษต่างๆอยู่เพียบ นอกจากจะดึงดูดนักท่องเที่ยวบางกลุ่มได้แล้ว ก็ไม่มีใครเข้ามาที่นี่อีก

 

และคืนนี้ พวกเราไม่ได้แค่เข้าไปเฉยๆ แต่ยังต้องจัดการผีตานี สามตนในป่านั้นอีกด้วย

 

ไม่อย่างนั้นพอผีสามตนนี้บําเพ็ญสําเร็จแล้ว จะต้องเป็นตัวหายนะอย่างแน่นอน

 

พอถึงเวลานั้น เก้าในสิบคนที่เดินผ่านไปผ่านมาแถวนี้ ก็คงโดนผีตานีพวกนี้ดึงดูดเข้ามา แล้วสุดท้ายก็โดนดูดพลังหยางจนตาย

 

ตอนนี้พวกมันเพิ่งตื่นขึ้นมา หากเทียบกันแล้วยังจัดการง่ายอยู่ แต่ถ้ารอให้มันดูดพลังหยางได้มากพอ

 

แล้วคิดจะสู้กับมันในตอนนั้น สถานการณ์ก็คงเปลี่ยนเป็นยากลําบากมาก

 

หลังสูดหายใจเข้าลึกๆแล้ว ผมก็พยักหน้าให้อาจารย์และคนอื่นๆ

 

อาจารย์เห็นพวกเราพร้อมแล้ว เลยพูดเตือนอีกเล็กน้อย “ เปิดตากันให้หมด พอเข้าไปแล้วอย่าแยกกันเด็ดขาด ทําอะไรก็ระวังให้ดีๆ ! อย่าเดินไปไหนมาไหนตุ่มสี่สุ่มห้า ”

 

“ เข้าใจแล้วอาจารย์ !” ผมพยักหน้ารับ เหล่าเฟิงและหยางเฉ่ว ไม่มัวพูดไร้สาระ ต่างคนต่างเปิดตาตัวเองทันที

 

หลังเปิดตาเสร็จ ทุกคนก็ไม่พูดพร่ําทําเพลง ภายใต้การนําของพวกอาจารย์ เราก็เดินไปที่ป่ากล้วย

 

จากข้อมูลที่หลงอ่าวเทียนและซุนเสี่ยวหลินบอก ผีตานีที่พวกเขาไปยุ่งด้วย อยู่ในส่วนลึกของปากล้วยผืนนี้

 

เรื่องตําแหน่งและทิศทาง พวกเรามั่นใจพอสมควร เพียงแต่ต้นกล้วยของผีตานีต้นสุดท้ายอยู่ที่ไหนนั้น ตอนนี้พวกเรายังไม่รู้อะไรเลย

 

แต่ตามแผนของพวกเรา พวกเราเลือกจะจัดการที่ละตัว ตัวแรกสุดก็คือผีตานีของหลงอ้าวเทียน

 

จัดการจากอ่อนไปแข็ง

 

เพราะผีตานีตนนี้โดนผงชาดเล่นงานไปไม่น้อย แม้จะรู้ตัวก่อนพิษจะกําเริบโดยสมบูรณ์แต่ผงชาดก็ทําให้เธอบาดเจ็บแน่นอน

 

ตอนนี้ ในบรรดาผีตานีทั้งสามตน เธอเป็นตัวที่อ่อนแอที่สุด

 

และยังโดนพวกเราเอาเชือกแดงหมายเอาไว้ จึงจัดว่าเป็นตัวที่หาง่ายที่สุด และยังเลี่ยงการสู้กับผีตานีสามตนในเวลาเดียวกันอีกได้

 

เมื่อเป็นแบบนี้ เราก็จะสามารถปกป้องตัวเองได้มากที่สุด ในเวลาเดียวกันโอกาสที่จะเอาชนะได้ก็จะมีมากตามไปด้วย

 

เมื่อเดินมาถึงหน้าปากล้วย ผมสัมผัสได้แค่เพียงในปาผืนนี้มีความซับซ้อนบางอย่างซ่อนอยู่

 

หมอกขาวลอยละล่อง และภายใต้ดวงตาสวรรค์ ผมเห็นไอปีศาจจางๆ

 

ยิ่งเดินเข้าไปข้างใน ไอปีศาจก็ยิ่งเข้มขึ้น

 

ความรู้สึกแบบนั้นทําให้คนรู้สึกหวาดกลัว ถ้าคนธรรมดาเข้ามาที่นี่ เปื้อนไอปีศาจเข้าไปสัญชาตญาณจะรับรู้ได้ถึงความหวาดกลัว ใจสั่น หรือแม้แต่เป็นลมเลยก็ว่าได้ และยังทําให้จิตใจสับสนวุ่นวายอีกด้วย

 

หลงอ่าวเทียนเคยพูดว่า ผีตานีที่เขาไปยุ่งด้วย จากจุดที่เดินเข้าไป เขาก็เดินตรงไปตลอดจนกระทั่งเห็น

 

หินก้อนใหญ่ก้อนหนึ่ง พอเดินผ่านหินก้อนนั้นไปแล้วก็เดินต่อไปอีกสักพัก ก็จะถึงที่หมายแล้ว

 

และตอนนี้ ตรงหน้าของเราก็มีหินก้อนใหญ่ก้อนหนึ่งตั้งอยู่

 

บนหินก้อนนั้นเต็มไปด้วยมอส และวัชพืชชนิดต่างๆ

 

ทุกคนหยุดพักกันตรงนี้ครู่หนึ่ง หลังจากนั้นเราก็ได้ยินเสียงเหล่าฉันพูดว่า “ นี่คงเป็นหินก้อนใหญ่ที่เจ้าเด็กแซ่หลงบอกดูเหมือนเรา ใกล้จะหาผีตานีตัวแรกเจอแล้วซินะ !”

 

เสียงของเหล่าฉันเพิ่งเงียบ จู่ๆเหล่าเฟิงก็เดินออกมาจากกอหญ้าข้างๆ เขาเจอเชือกแดงเส้นหนึ่ง

 

“ อาจารย์ ท่านลุงติง ท่านลุงฉินพวกท่านดูนี่ซิ ! ”

 

พอพูดจบ เขาก็ถือเชือกแดงออกมา

 

พวกเราจ้องเชือกแดงเส้นนั้น แต่ละคนต่างมั่นใจกันทั้งนั้น “ นี่มันไม่ใช่เชือกแดงที่นายซื้อมาวันนั้นเหรอ ?”

 

ผมพูดด้วยความสงสัย เหล่าเฟิงพยักหน้าเล็กน้อย “ ใช่ เป็นแบบที่ฉันซื้อมา ตอนนี้ดูเหมือนขอแค่เราตามเชือกแดงเส้นนี้ ไปก็น่าจะหาผีตานีตัวนั้นเจอแล้ว !”

 

อาจารย์ ท่านนักพรตตูและคนอื่นๆต่างพยักหน้าในเวลาเดียวกันก็ส่งสัญญาณให้พวกเราระวังตัว

 

ยิ่งเดินเข้าไปมากเท่าไหร่ ก็อาจมีอันตรายรอเราอยู่มากเท่านั้น การเล่นกับชีวิต ทุกคนรู้ดีว่ามันเป็นยังไง

 

ทุกคนต่างตั้งสติ หลังจากนั้นก็ค่อยๆเดินตามเชือกตรงหน้าไปที่ละนิดๆ

 

หลังเดินผ่านหินก้อนนั้น มาประมาณห้านาที จู่ๆอาจารย์ที่เดินอยู่หน้าสุดก็ยกมือขึ้น พร้อมพูดออกมาด้วยเสียงทุ่มต่ํา “หยุด ! ”

 

เมื่อได้ยินอาจารย์พูด พวกเราทุกคนก็ตกใจ ต่างหยุดอยู่กับที่ทันที

 

หลังจากนั้นเราก็เห็นอาจารย์ชี้ไปข้างหน้า “ หาเจอแล้ว ตรงนั้นไง ! ”

 

เรามองตามนิ้วของอาจารย์ พบว่าในที่มืดมิดข้างหน้ามีต้นกล้วยอยู่ต้นหนึ่งจริงๆ

 

เพราะอยู่ไกลมาก ผมเลยมองไม่ค่อนเห็น

 

แต่สิ่งที่ผมมั่นใจได้เลยก็คือ ต้นกล้วยต้นนี้ใหญ่มาก ใหญ่กว่าต้นกล้วยที่อยู่ข้างๆอย่างเห็นได้ชัด

 

และยังสูงมากอีกด้วย

 

ทุกคนย่อตัว สังเกตต้นกล้วยต้นนี้อย่างละเอียด

 

หลังจากนั้นเราก็ได้ยินเสียงท่านนักพรตต์พูดว่า “เลี่ยงการต่อสู้ ที่ดุเดือดไม่ได้ อีกเดี๋ยวพอเริ่มสู้แล้ว”

 

ทุกคนอย่าชักช้าเด็ดขาด รีบจัดการให้เสร็จ สู้กับผีตานีไปก็ไม่ได้อะไร เราต้องทําลายต้นกล้วยของมัน

 

อีกเดี๋ยวเราสามคนจะสู้กับผีตานี พวกเธอสามคนไปตัดต้นกล้วยของมันซะ ”

 

“ จําไว้ พอตัดต้นกล้วยแล้ว ต้องทําลายรากมันด้วย ไม่อย่างงั้นปีหน้ามันก็จะงอกขึ้นมาใหม่ ถ้าเกิดออกปลีอีกครั้ง ก็จะมีคนโดนผีตานีดูดพลังหยางอีก ! ”

 

สําหรับเรื่องที่ท่านนักพรตตู้พูด พวกเราต้องจําให้ขึ้นใจอยู่แล้วพวกเราเลยพยักหน้าให้เขาทันที

 

หลังตกลงเรียบร้อยแล้ว อาจารย์ ท่านนักพรตตู๋ และเหล่าฉันจะเป็นคนสู้กับอีกฝ่าย

 

ขณะที่พวกเขาสามคนกําลังจะสู้ เราสามคนจะปลีกตัวออกไปด้านข้าง หลังจากตัดต้นกล้วยแล้วก็ทําลายรากของมันต่อ

 

หลังจากรู้หน้าที่ของตัวเองแล้ว อาจารย์ ท่านนักพรตตู๋ และเหล่าฉันก็แยกตัวจากพวกเราเดินเข้าไปข้างหน้า

 

ครั้งนี้พวกเขาไม่ได้ปกปิดอะไร เดินเข้าไปหาต้นกล้วยต้นนั้นตรงๆ

 

ส่วนผมสามคนก็ไม่รอช้า เดินอ้อมจากด้านข้างไปหาต้นกล้วยต้นนั้นจากอีกทาง

 

หลังจากเข้าใกล้ต้นกล้วยได้ประมาณสิบเมตร ในที่สุดเราก็เห็นต้นกล้วยต้นยักษ์ต้นนั้นอย่างชัดเจน

 

ต้นกล้วยต้นนั้นนอกจากจะใหญ่แล้ว ยังมีลําต้นใสเว่อร์ ท่าทางไม่มีร่องรอยขีดข่วนหรือสิ่งสกปรกเลยสักนิด ใบตองและลําต้นก็เขียวยิ่งกว่าอะไร แถมยังมันเงาผิดปกติ

 

ส่วนตัวหัวปลีที่ห้อยลงมาจากด้านบนก็มีสีเหมือนเลือด รูปร่างเหมือนกับหัวใจมนุษย์ขนาดใหญ่

 

ทันใดนั้นเอง จู่ๆใบตองก็โบกสบัด ไอปีศาจแพร่ออกมาจากต้นกล้วย คล้ายกับระลอกคลื่น

 

หมอกขาวที่อยู่รอบทิศถูกพัดกระจายในเวลาเดียวกัน สาวสายคนหนึ่งก็ปรากฏตัวขึ้น

 

หากมองให้ดีๆ จะเห็นว่าเธอเหมือนเสี่ยวม่านอย่างกับแกะ

 

ใช่แล้ว นี่ก็คือผีตานี้ที่หลงอ่าวเทียนไปดึงออกมา

 

ผีตานี้เพิ่งปรากฏตัว ก็เผยหน้าตาเย้ายวนออกมาทันที เธอเข้ามาใกล้พวกอาจารย์หลายเมตร ขณะเดียวกันก็พูดออกมาด้วยเสียงอ่อนเสียงหวาน “ท่านลุงทั้งสาม ราตรียาวนาน ไม่สู้เรามากอดกันให้ตัวอุ่นเถอะ !”

 

พอพูดจบ ผีตานตัวนั้นก็ดึงเสื้อลง เผยให้เห็นไหล่ที่เย้ายวนสภาพแบบนั้นล่อใจคนมากเลยละ

นอกจากนี้ ปากของผีตานตัวนั้นยังพ่นควันสีเขียวออกมาใส่พวกอาจารย์ คิดจะทําให้จิตใจของพวกเขาปั่นป่วน

 

แต่อาจารย์ไม่ขยับเลยสักนิด เขาดึงหน้าลงต่ํา

 

เมื่อเห็นผีตานีตนนั้นพ่นควันสีเขียวออกมา ท่านนักพรตต์ก็ประสานมือข้างหนึ่ง แล้วโบกมือหนึ่งครั้ง “ทําลาย ! ”

 

“ ตูม ” ควันสีเขียวพวกนั้นกระจายหายไปในทันที

 

เมื่อผีตานีเห็นฉากนี้ ก็หน้าเปลี่ยนสีทันที

 

เมื่อกี้ยังทําตัวยั่วยวนคน แต่ตอนนี้กลับทําหน้าตกใจ พร้อมพูดด้วยความสงสัย “ พวกแก พวกแกไม่ใช่คนธรรมดา

 

เหล่าฉันดึงดาบไม้ออกมาอย่างดุดัน แล้วโต้กลับเธอว่า “ เดรัจฉาน เราเป็นนักพรตปราบสิ่งชั่วร้าย ยังคิดจะใช้เสน่ห์จิ้งจอกหลอกล่อพวกเรา ฮึ รนหาที่ตายจริงๆ !”

 

ศพ

ศพ

Score 10
Status: Completed

หมู่บ้านตั้งอยู่บนภูเขาที่แห้งแล้ง เต็มไปด้วยตึกรามบ้านช่องที่รกร้าง พวกมันตั้งตระหง่านอยู่ท่ามกลางผืนป่าที่เงียบสงัด มันคือสถานที่ต้องห้ามสำหรับ คนเป็น …..

Options

not work with dark mode
Reset