ลิขิตกลกาล 97 แท้ง

ตอนที่ 97 แท้ง

“หมอหลวง! ไปตามหมอหลวงมาเร็ว!” สุดท้ายหลิงเซียงก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป จึงปล่อยมือหยางอวี้หลิงและวิ่งไปยังประตูตำหนัก นางยื่นมือทั้งสองไปที่นางกำนัลนางหนึ่งแล้วบีบไหล่เอาไว้แน่นพร้อมเอ่ยขึ้น “เมื่อครู่ข้าให้เจ้าไปตามหมอหลวงมาไม่ใช่หรือ! หมอหลวงอยู่ไหนเล่า? ทำไมตอนนี้ยังมาไม่ถึงอีก!”

 

 

“บ่าว บ่าว…” นางในนางนี้เป็นเพียงนางกำนัลระดับล่างที่ตลอดมาทำหน้าที่เพียงแค่ยืนอยู่ปากประตูตำหนักเท่านั้น ดังนั้นจึงกล่าวได้ว่านี่เป็นครั้งแรกที่นางมีโอกาสสนทนากับหลิงเซียงในระยะประชิดเช่นนี้

 

 

ตอนนี้นางคงยังไม่ได้ทันรู้สึกตื่นเต้นอะไร เนื่องจากเห็นสายตาที่โมโหจนถึงขั้นสามารถปลิดชีวิตคนได้ของหลิงเซียง ตลอดมาในสายตาของพวกนาง หลิงเซียงไม่ได้เป็นคนดุร้าย ตอนนี้คงได้รับนิสัยเช่นนี้มาจากหยางอวี้หลิง

 

 

เมื่อต้องอยู่ในระยะที่ใกล้กันเช่นนี้ คำพูดที่นางกำนัลนางนั้นเตรียมเอาไว้ตั้งแต่แรกพลันมลายหายไป ตอนนี้นางตกใจกลัวจนตัวสั่นเทาแล้วเอ่ยขึ้นด้วยริมฝีปากที่สั่นระริกว่า “บ่าว บ่าวไปที่สำนักหมอหลวงมาแล้วเจ้าค่ะ หมอหลวงบอกว่าขอเวลาหมอเตรียมของก่อน…แล้วจะรีบมาทันที จึงให้บ่างกลับมาก่อนเจ้าค่ะ…”

 

 

“ข้าเจ็บ! หลิงเซียง! หมอหลวง! หมอหลวงยังมาไม่ถึงอีกรึ!” เสียงของหยางอวี้หลิงดังขึ้นมาอีกจากด้านในตำหนัก

 

 

“นางสวะ!” หลิงเซียงหันไปมองนางกำนัลที่กำลังตัวสั่นเทาผู้นั้นอีก หากอยู่ในสถานการณ์ปกตินางคงลากคนผู้นี้ไปโบยสักสิบไม้เพื่อเป็นการสั่งสอนให้หลาบจำบ้าง

 

 

หมอหลวงบอกให้กลับมาเจ้าก็กลับมางั้นรึ? เจ้าจะลากหมอหลวงกลับมาพร้อมเจ้าไม่ได้เลยหรือ?

 

 

แต่ตอนนี้ในหูของนางมีเพียงเสียงร้องของหยางอวี้หลิงดังอยู่ หากต้องการจะสั่งสอนคน ตอนนี้คงยังไม่ใช่เวลา

 

 

“พวกเจ้าคอยดูแลพระสนมแทนข้า!” หลิงเซียงครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งจึงตัดสินใจว่าตนจะไปที่สำนักหมอหลวงด้วยตัวเอง จึงเอ่ยขึ้นเสียงเรียบ “ข้าจะไปสำนักหมอหลวง ระหว่างนี้หากเกิดอะไรขึ้นกับพระสนม พวกเจ้าทั้งหมดจะต้องตายตกไปตามกัน!”

 

 

“เจ้าค่ะ” เหล่านางกำนัลก้มหน้าตอบรับ ไม่มีผู้ใดกล้าเงยหน้าขึ้นมองหลิงเซียง

 

 

ตำหนักผานหลง

 

 

“ฝ่าบาท หยางกุ้ยเหรินเริ่มมีอาการแล้วพะย่ะค่ะ” หลี่กงกงรีบเดินเข้ามาแล้วกล่าวรายงานต่อลี่หยวนตี้ที่กำลังเตรียมบรรทม

 

 

พระหัตถ์ของลี่หยวนตี้ที่กำลังปลดประดุมออกพลันหยุดลง “อื้ม เช่นนั้นไปตามหมอหลวงมาหรือยัง”

 

 

“ไปตามแล้วพะย่ะค่ะ” หลี่กงกงก้มหน้า ค้อมตัวต่ำลงอีกเอ่ยตอบ “แต่ครั้งแรกได้ยินว่าที่สำนักหมอหลวงต้องเตรียมจัดของก่อน จึงยังไม่ได้ไปทันที ตอนนี้หลิงเซียงสาวใช้ข้างกายของหยางกุ้ยเหรินจึงออกไปเชิญด้วยตัวเองอีกรอบแล้ว”

 

 

“อย่างนี้เองหรือ…” ลี่หยวนตี้ใส่เสื้อของตัวเองแล้วหันไปตรัสว่า “เช่นนั้นนำป้ายคำสั่งของข้าไป บอกว่าข้าต้องการให้หมอหลวงรีบไปที่พระราชวังลิ่งเพื่อดูอาการให้หยางกุ้ยเหรินเดี๋ยวนี้”

 

 

หากฟังเพียงคำพูดอย่างเดียว คำพูดนี้ของลี่หยวนตี้ค่อนข้างแสดงให้เห็นถึงความรู้สึกเป็นห่วงของเขา แต่แม้ว่าจะตรัสออกไปเช่นนี้ น้ำเสียงกลับมิได้แสดงถึงความรักใคร่แต่อย่างใด ลี่หยวนตี้ตรัสขึ้นด้วยรอยยิ้ม แต่ชัดเจนว่ารอยยิ้มนั้นเป็นรอยยิ้มที่แสดงถึงความเยาะเย้ยและสะใจมากกว่า

 

 

“พะย่ะค่ะ” หลี่กงกงไม่ได้สงสัยถึงความผิดปกติอะไร เขารับป้ายคำสั่งของลี่หยวนตี้แล้วรีบมุ่งตรงไปยังสำนักหมอหลวงโดยไม่ให้เสียเวลาเลยแม้แต่น้อย

 

 

ลี่หยวนตี้แต่งกายด้วยตัวเอง เขาเดินไปยังกระจกแล้วจัดแจงเสื้อผ้าให้เรียบร้อย

 

 

คนในกระจกสวมใส่อาภรณ์เรียบร้อย การแต่งกายของเขาสมบูรณ์แบบ ทว่าพระเนตรคู่นั้น…

 

 

ลี่หยวนตี้หลับพระเนตรคู่หนึ่ง ตอนที่ลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง ความล้ำลึกหนักแน่นที่ปรากฏเมื่อครู่พลันหายไปในพริบตา แทนที่ด้วยความเศร้ากังวลใจที่เปี่ยมล้มอยู่ในพระเนตรคู่นั้น

 

 

“เตรียมเกี้ยว ไปพระราชวังลิ่งอัน”

 

 

“พะย่ะค่ะ เตรียมเกี้ยวไปพระราชวังลิ่งอัน!”

 

 

……

 

 

“พระสนม!” หลิงเซียงเช็ดเหงื่อที่ผุดขึ้นมาบนหน้าผากของตนพลางวิ่งเข้ามาในตำหนัก “พระสนมเป็นอย่างไรบ้างเพคะ? บ่าวเชิญหมอหลวงมาถึงแล้ว พระสนมทนอีกหน่อย…เลือด? ทำไมถึงมีเลือด?

 

 

หลิงเซียงเมื่อเห็นของเหลวสีแดงที่กำลังไหลออกมาจากตัวของหยางอวี้หลิง พลันยกมือขึ้นปิดปาก “หมอลวง! หมอหลวง!”

 

 

“แม่นางหลิงเซียงโปรดอย่าแตกตื่น แม่นางเอะอะเสียงดังเช่นนี้ หากพระสนมได้ยินเข้าต้องไม่ดีกับนางแน่ ข้าจะรีบดูชีพจรให้พระสนมเดี๋ยวนี้” หมอหลวงหลี่เอ่ยขึ้นเสียงเบาพลางขมวดคิ้ว

 

 

หลิงเซียงอยากจะพูดต่อ ทว่าตอนนี้ไม่มีสิ่งใดสำคัญไปกว่าความปลอดภัยของหยางอวี้หลิงอีกแล้ว

 

 

หลิงเซียงมองดูหมอหลวงหลี่นำเข็มออกมาด้วยความกังวลใจ นางยกมือขึ้นประนมพลางอธิษฐาน “พระสนมจะต้องไม่เป็นไร…”

 

 

“เฮ้อ” ผ่านไปเป็นเวลานาน หมอหลวงหลี่จึงถอนหายใจ “ร่างกายของพระสนมไม่เป็นอันตราย แต่เด็กในครรภ์นี้…”

 

 

“เด็ก?” หลิงเซียงหันหน้ากลับมา “หมอหลวงหลี่หมายความว่าอย่างไรเจ้าคะ? เด็ก? พระสนม?” แม้ว่าหลิงเซียงเห็นอาการของหยางอวี้หลิง ในใจของนางก็สามารถเดาได้อยู่เจ็ดแปดส่วนแล้ว แต่เมื่อหมอหลวงหลี่ยืนยันอย่างหนักแน่นเช่นนี้ นางจึงอดตัวสั่นขึ้นมาไม่ได้

 

 

“ท่านเป็นนักต้มตุ๋นพูดจาเหลวไหล! เมื่อสองวันก่อนที่ท่านดูชีพจรให้พระสนม ท่านบอกว่าไม่เป็นอะไรไม่ใช่รึ! ทำไมจู่ๆ ตอนนี้ถึงบอกว่าพระสนมตั้งครรภ์เล่า?!”

 

 

หมอหลวงหลี่ถอยหลังไปครึ่งก้าวก้มหน้าลงพลางเอ่ยขึ้นว่า “แม่นางหลิงเซียงโปรดใจเย็นก่อน สองวันก่อนก็คือสองวันก่อน เมื่อสองวันก่อนภาวะชีพจรของพระสนมอ่อนแอมาก อีกทั้งอายุครรภ์ตอนนี้ยังไม่ถึงหนึ่งเดือน อย่าว่าแต่ข้าเลยต่อให้เป็นหมอหลวงผู้อื่น เมื่อตรวจพบสภาพชีพจรเช่นนั้น เกรงว่าก็คงไม่มีผู้ใดตรวจพบว่าพระสนมตั้งครรภ์”

 

 

“อีกทั้งชีพจรของพระสนมแต่ไหนแต่ไรมาก็อ่อนแอกว่าผู้อื่นอยู่แล้ว ทำให้ข้าตรวจไม่พบ…พระสนมโปรดลงโทษ”

 

 

หยางอวี้หลิงตอนนี้อยู่ในสภาพมึนงง ดังนั้นแม้ว่าหมอหลวงหลี่จะขอร้องอย่างไร คนที่อยู่บนเตียงผู้นี้ก็มิอาจมีปฏิกิริยาใดตอบสนอง

 

 

“ฮ่องเต้เสด็จ!”

 

 

“ฝ่าบาท!” หมอหลวงหลี่คุกเข่าลง “ฝ่าบาทโปรดลงโทษ!”

 

 

ลี่หยวนตี้ขมวดคิ้ว “หมอหลวงหลี่ เกิดอะไรขึ้นกับหยางอวี้หลิง?”

 

 

“ทูลฝ่าบาท พระสนมแท้งบุตรแล้วเพคะ” ไม่ต้องรอให้หมอหลวงหลี่เปิดปาก หลิงเซียงก็ก้าวขึ้นไปข้างหน้า คุกเข่าลงแล้วเอ่ยขึ้น “ฝ่าบาทโปรดให้ความเป็นธรรมกับพระสนมด้วยเพคะ!”

 

 

“แท้ง?” ลี่หยวนตี้เบิกพระเนตรขึ้น แล้วถอยหลังไปสองสามก้าวราวกับมิอาจรับเรื่องราวนี้ได้ จากนั้นจึงตรัสด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ “เหตุใดถึง…นี่มันเกิดอะไรขึ้น!”

 

 

“ทูลฝ่าบาท การที่พระสนมแท้งบุตรในครั้งนี้ดูเหมือนว่าจะเป็นเพราะความโกรธที่มากเกินไป ส่งผลให้อารมณ์พุ่งพล่านมากจนเป็นเหตุให้เกิดการแท้งบุตรพะย่ะค่ะ” หมอหลวงหลี่รีบเอ่ยปากขึ้น “เดิมทีพระครรภ์ของหยางกุ้ยเหรินก็อ่อนแออยู่แล้ว ทั้งอายุครรภ์ก็ยังไม่เต็มหนึ่งเดือน ดังนั้นจึงง่ายต่อการแท้งบุตรพะย่ะค่ะ”

 

 

“ฝ่าบาท…?” หยางอวี้หลิงที่อยู่บนเตียงตื่นขึ้นมาอย่างเงียบๆ นางมองไปยังคนรอบๆ ที่กำลังนั่งคุกเข่าอยู่ สายตาของนางปรากฏแววแห่งความสับสน “ฝ่าบาท นี่มันอะไรกันเพคะ?” โอ๊ย…” หยางอวี้หลิงกำลังจะลุกขึ้นนั่ง ทว่าไม่คิดเลยว่าการขยับตัวเบาๆ เท่านี้ กลับส่งผลให้เกิดความเจ็บปวดที่ส่วนล่างของร่างกาย

 

 

“หลิงเอ๋อร์ เจ้าอย่าเพิ่งเคลื่อนไหวร่างกาย” ลี่หยวนตี้ก้าวเท้าไปข้างหน้าสองสามก้าว “พวกเราสามารถมีลูกกันใหม่ได้ ตอนนี้ร่างกายของเจ้าเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด ดังนั้นเจ้าต้องดูแลตัวเองให้ดี อย่าได้ขยับเขยื้อนโดยไม่ระวัง” เมื่อตรัสจบ ลี่หยวนตี้ก็ดึงผ้าห่มขึ้นมาห่มให้อย่างใส่ใจ

 

 

“ลูก?” หยางอวี้หลิงเหลือบตามามอง “ฝ่าบาท พระองค์ตรัสถึงลูก? ลูกใครกันเพคะ?”

 

 

“ไม่มีอะไร… ” ลี่หยวนตี้หลบสายตาของหยางอวี้หลิงที่หันมาจ้องตนแล้วตรัสขึ้น “ข้า ข้าขอตัวกลับไปจัดการเรื่องราวนี้ให้ชัดเจนก่อน จากนั้นจะกลับมาบอกเจ้า หลิงเอ๋อร์ เจ้ารอข้าอยู่ที่นี่ก่อน”

ลิขิตกลกาล

ลิขิตกลกาล

Score 10
Status: Completed

ตอนที่ 1 – 132 อ่านนิยาย

(อ่านตอนต่อไปด้านล่าง)


ฉู่ชาติที่แล้วบุตรีแม่ทัพผู้ยิ่งใหญ่อย่าง ซูเหลียนอวิ้น มอบใจทั้งดวงให้คุณชายสืบทอดแห่งจวนโหว
ต้วนเฉินเซวียน ผู้เป็นที่เลื่องลือด้านความเลือดเย็นไร้หัวใจมาตั้งแต่แรกพบเมื่อครั้งเยาว์วัย
เพียรพยายามทำทุกวิถีทางให้เขารู้ว่านางมีใจ

เขาเฉยชาใส่นาง ไม่เป็นไร นางหาได้ท้อไม่

แต่ทว่าด้วยเพราะความเข้าใจผิด เขากลับเป็นผู้ปลิดชีวิตนาง ยามนี้เมื่อนางได้โอกาสกลับมาเกิดใหม่ ไหนเลยจะเลือกเดินตามเส้นทางเดิมอีก ด้วยกลัวต้องมีจุดจบถูกเขาฆ่าตายเป็นครั้งที่สอง ซูเหลียนอวิ้นจึงตัดสินใจเปลี่ยนตัวเองให้เป็นคนใหม่ที่เข้มแข็งและโดดเด่นกว่าเดิม ทั้งยังพยายามหลบลี้หนีหน้าเขาให้ไกล ทว่าเหตุไฉนคนใจร้ายผู้นั้นจึงได้เปลี่ยนไปเป็นฝ่ายเข้าหานางเสียเองเล่า!

Options

not work with dark mode
Reset