ลิขิตกลกาล 55

ตอนที่ 55
ตอนที่ 55 รังแก

 

 

 

หยางอวี้หลินที่อยู่ด้านล่างเมื่อได้ยินซูเหลียนอวิ้นกล่าวเช่นนี้ ขนตาของนางจึงเริ่มสั่นไหว เดิมนางตั้งใจว่าเหล่าขันทีและนางในจะประคองนางออกไป เพื่อที่นางจะได้แก้ไขสถานการณ์ตรงหน้าพอให้รอดไปได้ก่อน ใครเลยจะคิดว่าแม่ซูเหลียนอวิ้นตัวแสบนี่จะห้ามมิให้เหล่าขันทีแตะต้องนางเล่า หรือคิดจะปลุกนางให้ตื่นขึ้นตรงนี้เลยหรือ

 

 

เมื่อคิดถึงตรงนี้หยางอวี้หลินก็พยายามผ่อนคลายร่างกายของตนแล้วหลับตาแน่น เพราะกลัวว่าผู้อื่นจะจับพิรุธได้

 

 

เมื่อลี่หยวนตี้เห็นละครฉากนี้ก็ไม่รู้จะตรัสว่าอย่างไรดี เพราะตอนนี้อีกฝ่ายก็เป็นลมลงไปแล้ว ขืนยังบีบคั้นเช่นนี้ต่อไป…

 

 

“ไปตามหมอหลวงมา ส่วนคุณหนูรองหยางก็อย่าเพิ่งเคลื่อนย้ายโดยพลการอย่างที่คุณหนูซูว่า ทั้งหมดต้องรอให้หมอหลวงมาถึงก่อนแล้วค่อยตัดสินว่าจะทำอย่างไรก็แล้วกัน” ลี่หยวนตี้รับสั่งอย่างเด็ดขาด

 

 

อันที่จริงการแสร้งเป็นลมถือว่าเป็นการถ่วงเวลา ในวังหลวงแห่งนี้ถือเป็นวิธีที่ไม่น่าเลื่อมใสสักเท่าไร ลี่หยวนตี้จึงหาได้กังวลใจแม้แต่น้อย และการที่หยางอวี้หลินเลือกที่จะเป็นลมลงไปต่อหน้าผู้คนมากมายเช่นนี้ คงเพราะนางไม่มีทางเลือกอื่นแล้วกระมัง

 

 

“ฝ่าบาทเพคะ!” ซูเหลียนอวิ้นเอ่ยขึ้น “ฝ่าบาทมิทรงใช้โอกาสนี้ประกาศผลไปเลยว่าผู้ใดเป็นผู้ชนะ? หม่อมฉันคิดว่าควรใช้โอกาสที่คุณหนูหยางยังอยู่ตรงนี้รีบประกาศผล เพราะขืนชักช้า คุณหนูหยางคงต้องนอนอยู่ตรงนี้ต่อไปเป็นแน่” ซูเหลียนอวิ้นก้าวขึ้นไปข้างหน้าครึ่งก้าว สายตาของนางส่องประกายวิบวับขณะกราบทูล

 

 

หากปล่อยให้หยางอวี้หลินถูกนำตัวออกไปทันที ซูเหลียนอวิ้นกล้าฟันธงเลยว่าเมื่อนางตื่นขึ้นมา คนผู้นี้จะต้องกล่าวปฏิเสธเรื่องราวที่เกิดขึ้นในวันนี้ และคงจะบอกว่าลืมทุกอย่างจนหมดสิ้น หรือไม่คงอ้างว่าหมากยังคงเดินไม่จบจะนับคะแนนได้อย่างไร สุดท้ายแล้วก็จะไม่มีใครพูดถึงผลแพ้ชนะของการประลองหมากล้อมครั้งนี้อีก

 

 

โอกาสทองมาถึงมิควรปล่อยผ่าน เพราะหากผ่านไปแล้วมิอาจหวนกลับ

 

 

ในเมื่อหยางอวี้หลินเต็มใจที่จะนอนอยู่ต่อหน้าสายตาผู้คนมากมาย ซูเหลียนอวิ้นก็คงมิได้มีสิ่งใดจะตำหนิ แต่หากนางต้องการจะเอาตัวรอดจากการแข่งขัน ซูเหลียนอวิ้นก็คงมิอาจปล่อยนางไปได้

 

 

ลี่หยวนตี้เมื่อเห็นท่าทีดื้อรั้นหัวแข็งของซูเหลียนอวิ้น ความตึงเครียดจึงเริ่มบังเกิดขึ้นในใจเขา เพราะท่าทางของนางในตอนนี้คล้ายคลึงกับเกาอู่เตี๋ยในสมัยแรกรุ่นไม่ผิดเพี้ยนที่ไม่หวาดหวั่นต่อเรื่องราวใดๆ ซื่อตรงเสียจนทำให้ผู้คนสามารถมองเห็นความคิดอ่านได้อย่างทะลุปรุโปร่ง

 

 

ดังนั้นแม้ว่าท่าทางของซูเหลียนอวิ้นในตอนนี้ออกจะไม่สุภาพอยู่บ้าง แต่ก็มิได้ทำให้ลี่หยวนตี้ตำหนินาง แถมยังกวักมือเรียกขันทีที่อยู่ข้างกายเข้ามาหาแล้วเอ่ยว่า “เจ้าไปดูสิว่าหมากกระดานนั้นผลแพ้ชนะเป็นอย่างไร จากนั้นค่อยมารายงานข้า”

 

 

ขันทีไม่มีทีท่าเคลือบแคลงสงสัยและตอบรับคำอย่างหนักแน่น จากนั้นจึงถอยออกไปอย่างระมัดระวังเพื่อตรวจสอบหมากกระดานนั้น

 

 

เมื่อหยางอวี้หลิงที่อยู่ด้านข้างเห็นดังนั้นก็จิกกระโปรงของตนไว้แน่น

 

 

หลินเอ๋อร์แพ้แล้วหรือ…เป็นไปไม่ได้!

 

 

แต่จากท่าทางของซูเหลียนอวิ้น ดูแล้วทำให้คิดได้ว่าผลเป็นเช่นนั้น มันคือท่าทางของคนที่มั่นใจว่าตนจะเป็นฝ่ายชนะ ส่วนหลินเอ๋อร์ก็เป็นลมไปเสียดื้อๆ หากบอกว่าเป็นเรื่องบังเอิญ นางก็คงจะไม่เชื่อ

 

 

หยางอวี้หลิงมองไปยังขันทีด้านล่างที่กำลังง่วนอยู่กับการนับคะแนนทีละแต้ม เสียงขานแต้มที่ดังขึ้นทีละแต้ม ไม่ต่างกับเสียงหัวใจของนางที่กำลังเต้นระรัวอยู่ในตอนนี้ เร็วขึ้นเรื่อยๆ กระชั้นขึ้นเรื่อยๆ

 

 

ความจริงที่นางไม่อยากรับรู้

 

 

ไม่ได้ เรื่องจะจบลงอย่างนี้ไม่ได้!

 

 

หยางอวี้หลินคลายมือทั้งสองของตน กระโปรงที่สวยงามหรูหราตัวนั้นปรากฏรอยเหงื่ออยู่สองแห่ง นางเอ่ยขึ้นว่า “ฝ่าบาทเพคะ! ไม่ว่าหลินเอ๋อร์จะเป็นอย่างไร ตอนนี้ก็ควรจะนำตัวนางไปพักผ่อนก่อนนะเพคะ ปล่อยให้นางตากแดดมาเกือบครึ่งชั่วยามแล้ว หากยังเป็นเช่นนี้นางจะทนไหวได้อย่างไร ขอฝ่าบาทโปรดเมตตาน้องสาวของหม่อมฉันด้วยเพคะ”

 

 

หยางอวี้หลิงพูดไปร้องไห้ไปด้วยท่าทีที่น่าเห็นอกเห็นใจอยู่ไม่น้อย ทว่าลี่หยวนตี้กลับจ้องมองไปทางซูเหลียนอวิ้นอย่างเปิดเผย ราวกับไม่ได้ยินสิ่งที่นางกำลังพูด ทั้งยังเมินเฉยต่อภาพที่สวยงามราวดอกสาลี่เปื้อนฝน[1]ภาพนี้ด้วย

 

 

เมื่อหยางอวี้หลิงเห็นรูปการณ์ดังนี้ก็ยิ่งร้อนใจ พร้อมทั้งหันไปทางซูเหลียนอวิ้นแล้วเอ่ยขึ้นว่า “คุณหนูซู! นี่เป็นการแข่งขันแค่พอหอมปากหอมคอเท่านั้น ขอให้ยุติไว้เท่านี้เถิด เจ้ามิต้องพยายามหาเรื่องอีกต่อไปแล้ว!”

 

 

ถ้อยคำที่นางพูดไปทั้งหมดนั้นเพียงเพื่อต้องการให้หลินเอ๋อร์ออกไปจากสนามประลองไม่ว่าจะด้วยวิธีใดก็ตาม นางไม่อาจคอยให้ถึงเวลาประกาศผลแพ้ชนะได้ ความพ่ายแพ้นั้นหาได้น่ากลัวไม่ สำหรับผู้ที่ออกปากท้าทาย แต่ท้ายที่สุดแล้วถ้าตนต้องกลายเป็นผู้พ่ายแพ้เสียเอง นั่นละที่น่าอับอายขายหน้าเป็นที่สุด

 

 

ซูเหลียนอวิ้นเมื่อเห็นท่าทางของหยางอวี้หลิงที่เศร้าสลดราวกับน้องสาวของนางได้ลาโลกใบนี้ไปแล้ว ริมฝีปากของนางเผยรอยยิ้มเล็กน้อยพลางเอ่ยว่า “หยางกุ้ยเหรินล้อเล่นแล้วกระมัง หม่อมฉันไหนเลยจะกล้าเอาชีวิตของคนมาล้อเล่น คำกล่าวหาที่หยางกุ้ยเหรินให้หม่อมฉันนั้นร้ายแรงเกินไปแล้วเพคะ” สายตาของซูเหลียนอวิ้นเย็นเฉียบ จ้องตรงไปยังหยางอวี้หลิง แต่เลี่ยงที่จะเอ่ยถึงประเด็นที่อีกฝ่ายจะหาเรื่องออกจากสนาม

 

 

“คุณหนูซู! การกระทำของเจ้าในครานี้ บีบคั้นผู้อื่นมากเกินไปหรือไม่ ตอนนี้คุณหนูรองหยางก็เป็นลมล้มพับไปแล้ว คุณหนูซูจะไม่ยอมละเว้นบ้างเลยหรือ”

 

 

ผู้ใด? ผู้ใด…เป็นคนพูด?

 

 

ซูเหลียนอวิ้นหันมองไปรอบๆ เพื่อค้นหาต้นเสียงของบุรุษผู้นั้น แต่กลับคิดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายได้มาปรากฏกายอยู่ตรงหน้าตนแล้ว

 

 

 “ฝ่าบาท กระหม่อมคิดว่าการกระทำครั้งนี้ของคุณหนูซูไร้น้ำใจเกินไปพ่ะย่ะค่ะ และควรให้คุณหนูหยางออกจากสนามไปพักผ่อนโดยเร็ว”

 

 

ซูเหลียนอวิ้นหรี่ตา พยายามอย่างยิ่งที่จะมองให้ชัดว่าบุรุษผู้นั้นคือใคร

 

 

หันหงไท่? กงการอะไรของเขา? สอดมือเข้ามาข้องเกี่ยวเพื่อ?

 

 

สรุปแล้วตอนนี้อารมณ์ของซูเหลียนอวิ้นอัดอั้นตันใจเป็นอย่างยิ่ง นางต้องฝืนทนนั่งคุกเข่าอยู่ตลอดครึ่งชั่วยาม และขณะที่ผลการประลองที่นางเป็นฝ่ายชนะกำลังจะประกาศออกมา กลับมีอันต้องยกเลิกไปราวกับไม่เคยมีสิ่งใดเกิดขึ้น เพียงเพราะหยางอวี้หลินหมดสติไปอย่างนั้นหรือ ทั้งยังมีคนที่พยายามไกล่เกลี่ยเรื่องราวให้นางยอมเลิกรา จนเสียเรื่องไปหมด นั่นยิ่งบีบคั้นจิตใจนางยิ่งนัก

 

 

ตั้งแต่ซูเหลียนอวิ้นได้กลับมาเกิดใหม่อีกครั้ง นางตั้งใจเอาไว้ว่าจะไม่ยอมให้ตนต้องทนรับความไม่เป็นธรรมอะไรอีก แม้ว่านางจะทำอะไรพระสนมของฮ่องเต้ไม่ได้ ทว่าสำหรับบุตรชายของอัครมหาเสนาบดีอย่างหันหงไท่แล้ว นางยังพอลงมือได้บ้าง

 

 

จากนั้นนางจึงยิ้มอย่างเยือกเย็นแล้วกล่าวว่า “คุณชายหัน ท่านก้าวก่ายมากเกินไปหรือไม่ เรื่องนี้ข้องเกี่ยวอะไรกับท่านด้วยหรือ หรือว่าเป็นเพราะเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับคุณหนูหยาง ท่านถึงได้เป็นทุกข์เป็นร้อนแทน?” เมื่อเอ่ยจบ สายตาของทั้งคู่ยังคงจ้องมองกันและกัน

 

 

หันหงไท่เองก็คิดไม่ถึงเช่นกันว่าสตรีอย่างซูเหลียนอวิ้นจะกล้านำเรื่องนี้มาเปิดเผยต่อหน้าสาธารณชน แถมยังพูดจาโดยไม่มีมูลอีกด้วย เขาจึงเอ่ยขึ้นด้วยโทสะว่า “คุณหนูซูระวังคำพูดด้วย อย่าคิดว่าผู้อื่นจะเป็นแบบเดียวกับเจ้า!” เขาเอ่ยคำพูดนี้เพื่อต้องการชี้ให้เห็นว่าความคิดของซูเหลียนอวิ้นนั้นไม่บริสุทธิ์

 

 

“เอ๊ะ?” ซูเหลียนอวิ้นเลิกคิ้วขึ้น “เช่นนั้นข้าขอถามคุณชายหัน ในเมื่อท่านบอกว่าไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับคุณหนูหยาง แล้วด้วยเหตุใดจึงต้องออกหน้าแทนนางด้วย ประเด็นนี้ข้าไม่ค่อยเข้าใจนัก”

 

 

“ไม่ว่าจะเป็นผู้ใดก็ตาม หากเห็นสตรีอ่อนแอผู้หนึ่งกำลังถูกรังแกต่อหน้าต่อตาเช่นนี้ จะยังมีเหตุผลใดให้ต้องนิ่งเฉยด้วยเล่า”

 

 

 

 

——

 

 

[1] ดอกสาลี่เปื้อนฝน หมายถึง ท่าทีที่งดงามน่าทะนุถนอมของสตรี

ลิขิตกลกาล

ลิขิตกลกาล

Score 10
Status: Completed

ตอนที่ 1 – 132 อ่านนิยาย

(อ่านตอนต่อไปด้านล่าง)


ฉู่ชาติที่แล้วบุตรีแม่ทัพผู้ยิ่งใหญ่อย่าง ซูเหลียนอวิ้น มอบใจทั้งดวงให้คุณชายสืบทอดแห่งจวนโหว
ต้วนเฉินเซวียน ผู้เป็นที่เลื่องลือด้านความเลือดเย็นไร้หัวใจมาตั้งแต่แรกพบเมื่อครั้งเยาว์วัย
เพียรพยายามทำทุกวิถีทางให้เขารู้ว่านางมีใจ

เขาเฉยชาใส่นาง ไม่เป็นไร นางหาได้ท้อไม่

แต่ทว่าด้วยเพราะความเข้าใจผิด เขากลับเป็นผู้ปลิดชีวิตนาง ยามนี้เมื่อนางได้โอกาสกลับมาเกิดใหม่ ไหนเลยจะเลือกเดินตามเส้นทางเดิมอีก ด้วยกลัวต้องมีจุดจบถูกเขาฆ่าตายเป็นครั้งที่สอง ซูเหลียนอวิ้นจึงตัดสินใจเปลี่ยนตัวเองให้เป็นคนใหม่ที่เข้มแข็งและโดดเด่นกว่าเดิม ทั้งยังพยายามหลบลี้หนีหน้าเขาให้ไกล ทว่าเหตุไฉนคนใจร้ายผู้นั้นจึงได้เปลี่ยนไปเป็นฝ่ายเข้าหานางเสียเองเล่า!

Options

not work with dark mode
Reset