ลิขิตกลกาล 53

ตอนที่ 53
ตอนที่ 53 ป้องกัน

 

 

 

 

“ข้าจะไปกล้าได้อย่างไรเล่า” หันชิงอวี่บ้วนเมล็ดที่เหลืออยู่ในปากออกอย่างรวดเร็ว จากนั้นจึงโบกมือแล้วเอ่ยขึ้น “อีกอย่างข้าพอใจที่จะมองหญิงงามจากระยะไกล หาได้ต้องการแต่งงานไม่ แค่ชื่นชมไกลๆ ก็พอแล้ว แค็กๆ”  

 

 

เดิมทีหันชิงอวี่อยากพูดออกมาให้จบประโยคว่า ชื่นชมเพียงไกลๆ ก็พอได้ แต่มิบังอาจนำมาเชยชมชิดใกล้ เป็นเพราะเขาเห็นสายตาของต้วนเฉินเซวียนที่เย็นชามากขึ้นทุกขณะ เขาก็เริ่มเข้าใจบางอย่างขึ้นมา จึงรีบหุบปาก สมแล้วที่เป็นคนของต้วนเฉินเซวียนมานาน จึงวิเคราะห์สถานการณ์ได้อย่างเฉียบขาด… 

 

 

ต้วนเฉินเซวียนถอนใจอย่างไม่แยแส จากนั้นก็ไม่สนใจหันชิงอวี่อีก สายตาของเขาจับจ้องไปยังซูเหลียนอวิ้นเท่านั้น 

 

 

หันชิงอวี่เมื่อเห็นต้วนเฉินเซวียนไม่พูดอะไรและไม่ได้จะหาเรื่องตนต่อ เขาจึงรู้สึกคลางแคลงใจขึ้นมา เพราะเขาไม่เคยเห็นต้วนเฉินเซวียนให้ความสนใจสิ่งใดสิ่งหนึ่งเป็นพิเศษ…แม้กระทั่งคนก็ตาม 

 

 

อีกประการหนึ่ง การจัดงานเลี้ยงในวังเช่นนี้ ขอเพียงต้วนเฉินเซวียนไม่ชิงหลับไปเสียก่อนก็นับว่าดีมากแล้ว เขาเคยให้ความสนใจอะไรจริงจังขนาดนี้เชียวหรือ นี่มันช่าง… 

 

 

“พี่ต้วน ท่านว่าข้าเข้าไปดูใกล้ๆ ดีหรือไม่” หันชิงอวี่กระแอมเบาๆ แล้วเอ่ยถามขึ้นเพื่อลองใจ “คือข้าเองก็อยากรู้ไม่น้อยเช่นกัน ท่านไม่สะดวกเข้าไปแต่ข้าสะดวก หรือว่าพี่ต้วนไม่อยากรู้เลย?” 

 

 

ต้วนเฉินเซวียนเลิกคิ้ว กวาดสายตามายังหันชิงอวี่ที่นั่งอยู่ข้างกายเขาอย่างระแวดระวัง เป็นเวลาเนิ่นนาน จนกระทั่งหันชิงอวี่รู้สึกว่าหลังที่ตั้งตรงของเขาเริ่มเมื่อยล้าแล้ว ต้วนเฉินเซวียนถึงจะเอ่ยคำสองคำขึ้นอย่างเย็นชา “ไม่ต้อง” 

 

 

 เขามองเห็น 

 

 

“เอ่อ เช่นนั้นก็ได้ พวกเรานั่งดูจากตรงนี้ก็ได้” หันชิงอวี่ตอบด้วยท่าทีไม่จริงจัง ทว่าในตอนนั้นกลับรีบมองไปทางต้วนเฉินเซวียนแล้วเอ่ยต่อขึ้นอย่างรวดเร็วว่า “ท่านดู ท่านดู ข้าไม่ดูหรอก ข้านั่งกินผลไม้ก็พอแล้ว ข้าจะกินไปเรื่อยๆ พี่ต้วนตั้งใจดูไปเถิด” ระหว่างที่เขาพูดก็ค่อยๆ หลุบศีรษะต่ำลงเล็กน้อย และไม่เอ่ยวาจาใดอีกพลางกินผลไม้ต่อ 

 

 

“คุณหนูซู เชิญ” หยางอวี้หลินผายมือไปยังเบาะรองนั่ง “เมื่อครู่คุณหนูซูได้ดูวิธีการเล่นมานานพอควรแล้ว พอเข้าใจขึ้นบ้างแล้วกระมังว่าเล่นอย่างไร คงไม่ต้องให้มีใครคอยสอนถึงวิธีนั่งว่าต้องนั่งตรงไหนหรือนั่งอย่างไร” หยางอวี้หลินใช้น้ำเสียงถากถางพร้อมยิ้มเย้ยหยัน 

 

 

เห็นทีคงอดกลั้นไว้ไม่ไหวแล้วสิท่า ซูเหลียนอวิ้นพยักหน้า เช่นนั้นก็ดี การปล่อยนางไว้เฉยๆ สักพักนั้นได้ผล ตอนนี้นางคงสะกดอารมณ์ไว้ไม่อยู่แล้ว ถึงได้พูดจาไม่ไว้หน้าตนอีกต่อไป 

 

 

ซูเหลียนอวิ้นยิ้มแล้วเอ่ยกลับว่า “คุณหนูหยางพูดมีเหตุผล ตัวข้าเฝ้าดูมานานพอควรแล้ว มารยาทพวกนี้อย่างไรก็ต้องสังเกตเห็นบ้าง” กล่าวจบก็จัดชายกระโปรงแล้วนั่งคุกเข่าลงอย่างสง่างามบนเบาะรองนั่ง จากนั้นจึงเงยหน้าขึ้นมองหยางอวี้หลินที่ยังคงยืนอยู่แล้วเอ่ยว่า “เหตุใดคุณหนูหยางยังยืนอยู่อีกเล่า คงมิได้เป็นเพราะตื่นเต้นเกินไป จนลืมไปว่าต้องทำอย่างไรต่อกระมัง นั่นคงจะเป็นไปไม่ได้” พูดจบจึงหัวเราะเบาๆ สองที น้ำเสียงของนางเยาะเย้ยถากถางรุนแรงเสียยิ่งกว่าน้ำเสียงของหยางอวี้หลินเสียอีก หากไม่ยับยั้งไว้บ้างแล้วก็คงจะหนักกว่านี้ 

 

 

หยางอวี้หลินได้ฟังดังนั้น จึงใช้สายตาจ้องเขม็งไปยังซูเหลียนอวิ้นอย่างโกรธเกรี้ยว ทว่าคล้ายรู้ตัวจึงค่อยๆ คลายท่าทีของตัวเองลงอย่างรวดเร็วแล้วเอ่ยขึ้นว่า “เหตุใดคุณหนูซูต้องรีบร้อนด้วย”  

 

 

ค่อยๆ เล่นถึงจะสนุกมิใช่หรือ 

 

 

เมื่อเอ่ยจบหยางอวี้หลินจึงนั่งลงบนเบาะรองนั่งอย่างระมัดระวัง แล้วมองไปยังซูเหลียนอวิ้นที่มีท่าทีผ่อนคลาย ตอนนั้นแววตาของนางปรากฏความเย็นชา ปล่อยให้ได้ใจตอนนี้ไปก่อนเถิด อีกประเดี๋ยวจะคอยดูว่าเจ้าจะเป็นอย่างไร 

 

 

การนั่งคุกเข่านั้นไม่เหมือนกับการนั่งอย่างทั่วไป นั่งเพียงประเดี๋ยวเดียวนั้นไม่เป็นไร แต่หากเป็นผู้ที่ไม่ชำนาญและไม่คุ้นชินกับการนั่งคุกเข่ามาก่อน เพียงครู่เดียวจะรู้สึกว่าขาของตนปวดเมื่อยอ่อนแรงเป็นอย่างยิ่ง พอถึงเวลาที่ต้องลุกขึ้น แม้แต่จะเดินก็คงจะเดินไม่ไหวอย่างแน่นอน 

 

 

หยางอวี้หลินสังเกตท่านั่งของซูเหลียนอวิ้น ดูท่าแล้วคงมิใช่ผู้ที่นั่งท่านี้เป็นประจำอย่างแน่นอน ทนเพียงครู่หนึ่งนั้นไม่ยาก แต่หากต้องทนนานๆ เข้า สุดท้ายข้าจะคอยดูว่าเจ้าจะเป็นอย่างไร เพราะในอดีตไม่เคยมีใครลุกขึ้นมาพักระหว่างเดินหมากอยู่ หากซูเหลียนอวิ้นเป็นผู้ริเริ่มก็คงจะสนุกไม่น้อยเลยทีเดียว 

 

 

เมื่อคิดได้ดังนี้ หยางอวี้หลินจึงคิดวางแผนให้การแข่งขันหมากล้อมกระดานนี้ลากยาวไปสักสองชั่วยาม เช่นนั้นจึงจะสามารถชำระแค้นที่อยู่ในใจของนางได้ 

 

 

ซูเหลียนอวิ้นเมื่อเห็นสายตาที่ตื่นเต้นกระตือรือร้นและกระหายการแข่งขันของหยางอวี้หลิน นางก็ไร้ซึ่งคำพูด ตอนนี้คิดวางแผนใดอีก นางเองก็เฝ้ารอคอยเช่นกัน 

 

 

“ฝ่ายสีดำจะเป็นฝ่ายเริ่มก่อน แทนที่คุณหนูซูจะให้ใครเลือกสีใด มิสู้คุณหนูซูเลือกสีดำไปเลยดีหรือไม่” หยางอวี้หลินพยายามซ่อนรอยยิ้มที่ปรากฏอยู่ตรงมุมปาก แล้วยื่นกล่องใส่หมากสีดำให้กับซูเหลียนอวิ้น 

 

 

“ตกลง เช่นนั้นข้าขอขอบคุณความปรารถนาดีของคุณหนูหยาง” ซูเหลียนอวิ้นก็มิได้ลังเล ในเมื่อให้นางเป็นฝ่ายเริ่ม แล้วนางจะมีเหตุผลอะไรไปปฏิเสธได้? นางจึงนำเอากล่องหมากสีดำมาไว้ที่ตนด้วยท่าทางสำรวม 

 

 

ขันทีที่อยู่ด้านข้าง เมื่อเห็นพวกนางมีรอยยิ้มซ่อนมีดเช่นนี้ที่ศีรษะของเขาก็ปรากฏเม็ดเหงื่อเย็นๆ ผุดขึ้น เนื่องจากสตรีทั้งสองนางนี้ เขามิอาจทำให้ฝ่ายใดระคายใจได้เลย เมื่อเห็นพวกนางเตรียมตัวพร้อมแล้วจึงรีบประกาศให้การแข่งขันหมากล้อมเริ่มต้น 

 

 

 

 

 

มือขวาของซูเหลียนอวิ้นหยิบหมากขึ้นมาตัวหนึ่ง แต่แสดงท่าทีคล้ายกับไม่รู้ว่าจะเริ่มเดินอย่างไรดี ลังเลอยู่ครู่หนึ่งจึงเริ่มวางหมากตัวแรก 

 

 

เมื่อหยางอวี้หลินเห็นท่าทางกล้าๆ กลัวๆ ของนางเช่นนี้ ตนจึงรู้สึกวางใจลงได้บ้าง คิดได้ดังนี้จึงวางหมากตัวที่สองลงไป 

 

 

ทว่าในระหว่างที่ทั้งสองผลัดกันเดินเช่นนี้ หยางอวี้หลินก็รู้สึกได้ว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง ซูเหลียนอวิ้นผู้นี้จะบอกว่าตนไม่มีความสามารถอะไรสักอย่างเลยได้อย่างไร เพราะตอนนี้ปรากฏชัดเจนว่านางเล่นหมากล้อมเป็น! ตอนนั้นเองจึงรีบเงยหน้าขึ้นมองซูเหลียนอวิ้นที่ยังคงมีท่าทางสบายอกสบายใจตรงหน้า หากสถานการณ์เป็นเช่นนี้…?  

 

 

หยางอวี้หลินตกตะลึงอยู่ชั่วครู่ 

 

 

เพียงป้องกันแต่มิโจมตี? ทุกการวางหมากของซูเหลียนอวิ้นได้ล้อมนางเอาไว้ทั้งหมดและใช้กลยุทธ์ป้องกันในการเดินหมาก หากเป็นเช่นนี้ต่อไป ตนจะชนะได้อย่างไร 

 

 

เมื่อคิดดังนี้แล้ว หมากที่อยู่ในมือก็ชะงักค้างอยู่กลางอากาศ 

 

 

เมื่อซูเหลียนอวิ้นเห็นหยางอวี้หลินมีท่าทีลังเลที่จะวางหมาก ก็เดาได้ว่านางจะต้องเกิดความคิดบางอย่างขึ้นแล้ว จึงเอ่ยปากถามว่า “เหตุใดจึงไม่เดินต่อเล่า” นางกะพริบตาแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงร่าเริง 

 

 

เฮอะ ใครกันที่บอกว่าซูเหลียนอวิ้นไม่มีความสามารถอะไรสักอย่าง หากเป็นวิชาดีดพิณ วาดรูปพวกนั้นอาจกล่าวได้ว่านางไม่มีความรู้ใดเลย แต่หากเป็นวิชาหมากล้อม พูดไปแล้วก็คงจะต้องทำให้ใครบางคนต้องหมดหวัง 

 

 

เมื่อชาติก่อนผู้ที่สอนวรยุทธ์ให้นาง มิได้สอนเพียงวรยุทธ์ แต่ยังสอนวิชาด้านอื่นให้นางอีกด้วย แม้จะเป็นเพียงความรู้งูๆ ปลาๆ เท่านั้นก็ตาม 

 

 

ในตอนนั้นอาจารย์ผู้ที่สอนวิชาให้แก่นางก็ได้แต่ถอนใจแล้วเอ่ยว่า “ในตอนนี้เจ้าเรียนเพียงวิธีป้องกันก็พอแล้ว เพราะแม้ว่าเจ้าจะได้เรียนวิชาการโจมตีไปก็คงยังมิได้ใช้ มิสู้เรียนเคล็ดลับการป้องกันจะดีกว่า เพราะเมื่อถึงเวลาที่ต้องใช้ เจ้าจะได้เอาตัวรอดพ้นภัยกลับมาได้” 

 

 

ชาติที่แล้วซูเหลียนอวิ้นมิได้ใส่ใจนัก เรียนป้องกันก็เรียนป้องกัน เพราะถึงอย่างไรนางเองก็ไม่มีความสนใจในวิชาการโจมตีอะไรพวกนั้นอยู่แล้ว 

 

 

อีกอย่างหากพิจารณาถึงความเคารพนับถือของนางต่อคนผู้นั้นแล้ว นางยิ่งมิกล้าโต้ตอบอะไร แต่เมื่อลองคิดทบทวนอีกทีในวันนี้ คำพูดของคนผู้นั้นกลับแฝงความหมายลึกซึ้งมาตั้งแต่แรกแล้ว 

ลิขิตกลกาล

ลิขิตกลกาล

Score 10
Status: Completed

ตอนที่ 1 – 132 อ่านนิยาย

(อ่านตอนต่อไปด้านล่าง)


ฉู่ชาติที่แล้วบุตรีแม่ทัพผู้ยิ่งใหญ่อย่าง ซูเหลียนอวิ้น มอบใจทั้งดวงให้คุณชายสืบทอดแห่งจวนโหว
ต้วนเฉินเซวียน ผู้เป็นที่เลื่องลือด้านความเลือดเย็นไร้หัวใจมาตั้งแต่แรกพบเมื่อครั้งเยาว์วัย
เพียรพยายามทำทุกวิถีทางให้เขารู้ว่านางมีใจ

เขาเฉยชาใส่นาง ไม่เป็นไร นางหาได้ท้อไม่

แต่ทว่าด้วยเพราะความเข้าใจผิด เขากลับเป็นผู้ปลิดชีวิตนาง ยามนี้เมื่อนางได้โอกาสกลับมาเกิดใหม่ ไหนเลยจะเลือกเดินตามเส้นทางเดิมอีก ด้วยกลัวต้องมีจุดจบถูกเขาฆ่าตายเป็นครั้งที่สอง ซูเหลียนอวิ้นจึงตัดสินใจเปลี่ยนตัวเองให้เป็นคนใหม่ที่เข้มแข็งและโดดเด่นกว่าเดิม ทั้งยังพยายามหลบลี้หนีหน้าเขาให้ไกล ทว่าเหตุไฉนคนใจร้ายผู้นั้นจึงได้เปลี่ยนไปเป็นฝ่ายเข้าหานางเสียเองเล่า!

Options

not work with dark mode
Reset