ลิขิตกลกาล 46 จินตนาการ

ตอนที่ 46 จินตนาการ

ในใจของหนานกงเช่อมีสัญญาณบางอย่างเตือนขึ้นจึงถอยหลังไปสองก้าว “เจ้าจะทำอะไร” ทุกครั้งที่ต้วนเฉินเซวียนเผยรอยยิ้มเช่นนี้ แน่นอนว่าไม่เคยเกิดเรื่องดีขึ้นและคนที่อยู่ตรงหน้าเขาตอนนี้ก็คงจะไม่นำเรื่องดีๆ มาให้เช่นกัน

 

 

“ไม่มีอะไรเพคะ” ซูเหลียนอวิ้นลุกขึ้นยืน นางยื่นมือไปลูบผมของหนานกงเช่อพลางส่งยิ้มหวานให้ “หม่อมฉันเห็นว่าองค์ชายเก้าฉลาดหลักแหลมยิ่ง หม่อมฉันจึงรู้สึกเอ็นดูเพคะ” เจ้าเด็กนี่ โดนข้าหยิกเข้าหรือไง ถึงต้องโมโหขนาดนั้นด้วย

 

 

“เจ้าทำอะไรน่ะ!” เมื่อซูเหลียนอวิ้นลูบผมของหนานกงเช่อราวกับเขาเป็นเด็กน้อย หนานกงเช่อจึงเริ่มโมโห “ข้าไม่ใช่เด็กแล้วนะ! นี่เจ้ากำลังทำอะไรอยู่!” เขาพูดพลางถอยหลังหนีไปหลายก้าว จากนั้นจึงจัดมวยผมของตน แล้วใช้สายตาระแวดระวังมองไปยังซูเหลียนอวิ้น

 

 

เมื่อซูเหลียนอวิ้นเห็นหนานกงเช่อแสดงออกเหมือนเด็กเช่นนี้จึงหัวเราะออกมา “ก็เกือบจะใช่ องค์ชายเก้าพระชนมายุเพียงห้าขวบ เหตุใดจึงชอบทำตัวเป็นผู้ใหญ่เล่าเพคะ ไม่น่ารักสักนิด หรือว่าองค์ชายไม่รู้จักคำกล่าวที่ว่ามีแต่เด็กขี้อ้อนเท่านั้นถึงจะมีขนมกิน? “

 

 

 เมื่อซูเหลียนอวิ้นเห็นว่าหนานกงเช่อถอยหนีไปไกลเช่นนั้นจึงได้แต่กลับไปนั่งลงบนเก้าอี้ แล้วจ้องหน้าเขาพร้อมเอ่ยแต่ละคำออกมาอย่างชัดเจน

 

 

“นี่หมายความว่าอะไรกัน” หนานกงเช่อขมวดคิ้ว ขณะนั้นในหัวของเขาคล้ายคิดตามไม่ทัน “ข้าไม่ชอบกินของหวาน”

 

 

“หม่อมฉันหมายความว่า หากองค์ชายต้องการทำให้ฮองเฮาสบายพระทัย พระองค์ต้องขี้อ้อนหน่อยเพคะ” ซูเหลียนอวิ้นเอ่ยพลางยิ้มขึ้น “หน้าตาบึ้งตึงขององค์ชายเมื่อครู่นี้ไม่น่ารักเลยสักนิด ตอนนี้ดูแล้วยังสบายตามากกว่า”

 

 

เด็กก็ควรมีนิสัยอย่างเด็ก ตัวโตแค่นี้กลับวางตนราวกับเป็นผู้ใหญ่ ต่อไปเมื่อโตขึ้นจะเป็นอย่างไรเล่า

 

 

“ขี้อ้อน…?” หนานกงเช่อเริ่มครุ่นคิดเงียบๆ ทว่าเพียงครู่เดียวก็มีปฏิกิริยาโต้ตอบกลับเอ่ยกับคนเบื้องหน้าตนว่า “เมื่อครู่ข้ามิได้ออดอ้อนเจ้า!” น้ำเสียงของเขากราดเกรี้ยว ตอนนี้ถือว่ามิได้ออดอ้อนแล้วจริงๆ

 

 

ซูเหลียนอวิ้นค้อมตัวลงเล็กน้อย เพื่อซ่อนรอยยิ้มของตนเอง จากนั้นจึงวางท่าจริงจังขึ้นมาแล้วเอ่ยว่า “องค์ชายเก้าเพคะ พระองค์ลองคิดทบทวนให้ดี หากเป็นพระองค์ พระองค์จะอยากอยู่กับคนที่มีรอยยิ้มทุกวันหรือว่าจะอยากอยู่กับคนที่หน้านิ่วคิ้วขมวดและเฉยชา? ฮองเฮาเองก็เป็นคนเหมือนอย่างเรา คนย่อมต้องมีเจ็ดอารมณ์หกปรารถนา[1]”

 

 

“ข้า…” หนานกงเช่อก้มหน้าลง เขากลับมิเคยคิดถึงประเด็นนี้มาก่อน สิ่งที่เขาคาดหวังในตัวเองตลอดมาก็คืออยากให้ตนเป็นผู้ใหญ่และดูน่าเชื่อถือมากที่สุด เพราะเขาคิดว่ามีแต่การทำเช่นนี้เท่านั้นถึงจะทำให้เกาอู่เตี๋ยเห็นว่าเขาคู่ควรแก่การฝากฝังขึ้นมาบ้าง แต่วันนี้เมื่อพิจารณาจากคำพูดของซูเหลียนอวิ้นแล้ว สิ่งที่เขาได้ทำมาตลอดนั้นผิดทางหมดเลยใช่หรือไม่

 

 

เมื่อซูเหลียนอวิ้นเห็นว่าเขาก้มหน้างุดไม่ยอมเอ่ยคำ ก็คาดการณ์ได้ว่าเขารับฟังคำพูดเมื่อครู่ของตน จึงกล่าวต่อไปว่า “หากองค์ชายมิเชื่อ ก็ลองพิจารณาคุณชายต้วนเป็นตัวอย่าง ปกติแล้วคุณชายต้วนกับฮองเฮาปฏิบัติต่อกันอย่างไร แต่กลับมีสีหน้าเฉยชาต่อท่านทั้งวันใช่หรือไม่”

 

 

ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าคำพูดนี้ของซูเหลียนอวิ้น แทงใจหนานกงเช่ออย่างรุนแรง

 

 

มิผิดเลย! เวลาที่ต้วนเฉินเซวียนจอมโฉดนั่นอยู่กับเกาอู่เตี๋ย มักจะชอบเข้าไปพะเน้าพะนอ แม้ว่าเขาจะแสร้งทำหน้าไม่รู้สึกรู้สาอะไร แถมยังคอยพร่ำบอกว่ากิริยาเช่นนี้ถือว่าไร้มารยาท แต่ใจจริงของเขานั้นกลับอิจฉาตาร้อนเป็นที่สุด! ที่แท้แล้วความจริงเป็นเช่นนี้เองหรือ หนานกงเช่อรู้สึกว่าเขาได้เคล็ดลับอะไรบางอย่างเข้าแล้ว เขาจึงแอบตัดสินใจว่าหากงานฉลองนี้จบลง เขาจะต้องลองกลับไปทำดูบ้าง!

 

 

พอคิดถึงตรงนี้ก็เงยหน้าขึ้น สายตาของเขาจึงปะทะเข้ากับสายตาที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มของซูเหลียนอวิ้น แต่เขากลับยังคงทำเสียงแข็ง “เจ้าบอกเรื่องนี้แก่ข้า คงมิได้ต้องการอะไรจากข้าหรอกกระมัง มิเช่นนั้นแล้วเจ้าจะบอกข้าทำไม” กล่าวจบ สายตาตื่นเต้นเมื่อครู่พลันเปลี่ยนกลับไปมองซูเหลียนอวิ้นอย่างระแวดระวังอีกครั้ง

 

 

ซูเหลียนอวิ้นรู้สึกว่ารอยยิ้มบนใบหน้าของตนเริ่มกระตุก

 

 

นางเพียงหวังดีก็เท่านั้น! เพราะเรื่องราวของเด็กผู้นี้จะดีร้ายอย่างไรก็ได้จี้จุดของนางเข้าแล้ว เพราะเขาก็เป็นคนหนึ่งที่ยอมทุ่มเททุกอย่างเพื่อให้ได้ใจคนผู้หนึ่งเช่นกัน และคนที่เขาอยากได้ใจก็ดันเป็นคนที่สูงเกินจะเอื้อม

 

 

อีกอย่างปีนี้หนานกงเช่อเพิ่งจะมีอายุเพียงห้าขวบ ตอนที่นางอายุห้าขวบกำลังทำอะไรอยู่ คงจะมัวแต่คิดว่าขนมแป้งทอดน้ำตาลร้านไหนหวานไป? หรือไม่ก็คงสนใจแต่ว่าร้านไหนมีกระโปรงลายดอกไม้ลายใหม่ออกมาขายบ้าง? เมื่อเปรียบเทียบเช่นนี้แล้ว องค์ชายเก้าผู้นี้…ช่างเป็นเด็กที่น่าสงสารนัก

 

 

“คิดเสียว่าเป็นการตอบแทนที่องค์ชายช่วยให้หม่อมฉันพ้นวิกฤตเมื่อครู่แล้วกันเพคะ” ซูเหลียนอวิ้น กะพริบตาปริบ “เพราะถึงอย่างไรฮองเฮาก็มิได้เป็นผู้ส่งท่านมาช่วยข้า แต่เป็นเพราะท่านบังเอิญเห็นเหตุการณ์เข้า อย่างไรก็ขอขอบพระทัยเพคะ”

 

 

เมื่อหนานกงเช่อถูกเปิดโปงว่าตนโกหกต่อหน้าต่อตาเช่นนี้ก็เริ่มไม่พอใจ แต่เมื่อมองไปยังแววตาที่มีรอยยิ้มเคลือบอยู่ของซูเหลียนอวิ้นที่ไม่ได้แสดงการเยาะเย้ย เขาจึงเพียงแค่บ่นพึมพำขึ้น “ข้าแค่ออกแรงนิดหน่อยก็เท่านั้น เจ้ามิต้องใส่ใจ”

 

 

“อืม…” พอซูเหลียนอวิ้นเห็นท่าว่าไม่มีสิ่งใดเอ่ยต่อแล้ว จึงยืนขึ้นแล้วยื่นมือซ้ายออกไป “พวกเราควรจะกลับเข้าไปได้แล้วเพคะ อยู่ที่นี่มานานขนาดนี้ ตอนนี้งานเลี้ยงคงใกล้เริ่มเต็มทีแล้ว”

 

 

เมื่อหนานกงเช่อเห็นมือซ้ายยื่นออกมาหาตนก็นิ่งอึ้งไปชั่วคราว เพราะไม่ว่าจะด้วยฐานะของเขาหรือเป็นเพราะความต้องการของเขาเอง ก็ไม่มีผู้ใดคิดจะจูงมือเขามาเป็นเวลานานแล้ว ดังนั้นเมื่อเห็นภาพตรงหน้า เขาจึงไม่รู้ว่าควรทำตัวอย่างไรดี

 

 

“โธ่ ไปกันเถิดเพคะ” เมื่อซูเหลียนอวิ้นเห็นว่าหนานกงเช่อเมินนาง ตนจึงทำได้เพียงเป็นฝ่ายจับจูงมือเขาก่อน “ไปเถิด เดินระวังด้วยเพคะ”

 

 

หนานกงเช่อได้แต่มองเหม่อแล้วปล่อยเลยตามเลยให้ซูเหลียนอวิ้นจูงมือไป ตลอดเส้นทางเขาไม่ได้เอ่ยคำพูดใดอีก เพราะหากเป็นช่วงปกติแล้ว ถ้าเขาไม่รีบสะบัดมือออก อย่างน้อยก็ต้องพูดหาเรื่องสักสองสามประโยค แต่ครั้งนี้เขากลับเลือกที่จะเงียบ

 

 

เพราะหนานกงเช่อรู้สึกว่าทั่วร่างกายเขามีบางอย่างโอบล้อมอยู่ เช่นเดียวกับมือขวาของเขาในตอนนี้

 

 

เขารู้สึกถึงความละมุนละไม อ่อนโยนและอบอุ่น ราวกับว่าความรู้สึกที่อยู่ในความทรงจำส่วนลึกของเขาถูกปลุกขึ้นมาอีกครั้ง เขาอดไม่ได้ที่จะเงยหน้ามองสตรีที่กำลังจูงมือของเขา แม้ว่าใบหน้าจะไม่คุ้นตา ทว่าความรู้สึกกลับคุ้นเคยเป็นอย่างยิ่ง

 

 

“ซูเหลียนอวิ้นกลับมาแล้วหรือ ทำไม ทำไมถึงจูงมือองค์ชายเก้ามาได้เล่า”

 

 

คนรอบด้านต่างประหลาดใจแล้วขยี้ตามองภาพที่ซูเหลียนอวิ้นจูงมือหนานกงเช่อกลับมา จากนั้นจึงมองให้ชัดอีกรอบ จึงพบว่าตาไม่ได้ฝาด แต่นี่มันไม่ถูกต้อง ตอนจากไปคราแรกเห็นชัดๆ ว่าองค์ชายเก้ามีอาการหงุดหงิด เหตุใดตอนกลับมาถึงได้…?

 

 

‘นี่…นี่จะต้องเป็นเพราะซูเหลียนอวิ้นทำเสน่ห์ใส่องค์ชายเก้าแล้วแน่! ผู้หญิงคนนี้ช่างน่ากลัวนัก ขนาดเด็กอายุห้าขวบยังไม่ละเว้นเลยหรือ…’

 

 

น่าเสียดายที่ตอนนี้ซูเหลียนอวิ้นไม่ได้ยินสิ่งที่คนรอบด้านกำลังคิดในใจ มิเช่นนั้น ด้วยนิสัยของนางแล้วคงจะต้องลากคนผู้นั้นออกมาจ้องตาแล้วถามว่า นางดูแล้วเป็นคนแบบว่า…คนแบบไหนกันหรือ ที่แม้แต่เด็กห้าขวบยังไม่ละเว้น จินตนาการของพวกเจ้าช่างล้ำเลิศนัก

 

 

 

 

——

 

 

[1] เจ็ดอารมณ์หกปรารถนา หมายถึง อารมณ์ต่างๆ ของมนุษย์ คือ ดีใจ, โกรธ, เศร้า, กลัว, รัก, เกลียด และความปรารถนาสัมผัสหกประการ คือ รูป, รส, กลิ่น, เสียง, สัมผัสทางกายและทางใจ

ลิขิตกลกาล

ลิขิตกลกาล

Score 10
Status: Completed

ตอนที่ 1 – 132 อ่านนิยาย

(อ่านตอนต่อไปด้านล่าง)


ฉู่ชาติที่แล้วบุตรีแม่ทัพผู้ยิ่งใหญ่อย่าง ซูเหลียนอวิ้น มอบใจทั้งดวงให้คุณชายสืบทอดแห่งจวนโหว
ต้วนเฉินเซวียน ผู้เป็นที่เลื่องลือด้านความเลือดเย็นไร้หัวใจมาตั้งแต่แรกพบเมื่อครั้งเยาว์วัย
เพียรพยายามทำทุกวิถีทางให้เขารู้ว่านางมีใจ

เขาเฉยชาใส่นาง ไม่เป็นไร นางหาได้ท้อไม่

แต่ทว่าด้วยเพราะความเข้าใจผิด เขากลับเป็นผู้ปลิดชีวิตนาง ยามนี้เมื่อนางได้โอกาสกลับมาเกิดใหม่ ไหนเลยจะเลือกเดินตามเส้นทางเดิมอีก ด้วยกลัวต้องมีจุดจบถูกเขาฆ่าตายเป็นครั้งที่สอง ซูเหลียนอวิ้นจึงตัดสินใจเปลี่ยนตัวเองให้เป็นคนใหม่ที่เข้มแข็งและโดดเด่นกว่าเดิม ทั้งยังพยายามหลบลี้หนีหน้าเขาให้ไกล ทว่าเหตุไฉนคนใจร้ายผู้นั้นจึงได้เปลี่ยนไปเป็นฝ่ายเข้าหานางเสียเองเล่า!

Options

not work with dark mode
Reset