ลิขิตกลกาล 44 เพื่อนเก่า

ตอนที่ 44 เพื่อนเก่า

“ไปเถิด” หลินเหวินเสี่ยวจูงมือนางไป “พวกเราไปดูด้านในกันเถิด ตรงนั้นคนเยอะนัก ไปเถอะ พวกเราไปดูกัน”

 

 

ซูเหลียนอวิ้นถูกลากไปอย่างไร้ทางเลือกแต่ยังคงฝืนยิ้มเจื่อน และไม่แสดงท่าทีอะไรออกมา

 

 

 “มู่เสวี่ย ชุดของเจ้าในวันนี้งามมาก เข้ากับรูปร่างเจ้าอย่างยิ่ง” สตรีที่อยู่ด้านข้างกล่าวชื่นชม

 

 

“ที่ใดกัน พี่สาวชมเกินไปแล้ว” สตรีที่ถูกชมเชยเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม “ชุดของพี่ๆ ในวันนี้ก็สวยมากเช่นกัน”

 

 

เมื่อซูเหลียนอวิ้นได้ยินเสียงนี้ เท้าของนางคล้ายถูกตอกด้วยตะปู นางนิ่งงันอยู่กับที่ไม่ยอมขยับเขยื้อน

 

 

“เหลียนอวิ้น เจ้าเป็นอะไรไป” หลินเหวินเสี่ยวรับรู้ได้ถึงปฏิกิริยาของคนข้างกาย จึงหันหน้าไปถาม “เจ้าเป็นอะไร ไม่สบายหรือ”

 

 

“เปล่า” ซูเหลียนอวิ้นยกมือขึ้นแตะหน้าผาก “ข้าไม่เป็นอะไร แค่รู้สึกว่าวันนี้พระอาทิตย์ร้อนแรงจึงรู้สึกร้อนยิ่ง ถ้าเช่นนั้นเจ้าไปนั่งด้านนั้นก่อนเถิด ข้าขอหาที่นั่งพักร่มๆ ก่อน”

 

 

“เจ้าอย่าฝืนตัวเอง!” หลินเหวินเสี่ยวเห็นอาการของซูเหลียนอวิ้นจึงสงสัยว่านางเป็นโรคลมแดดใช่หรือไม่ “พวกเราไปนั่งตรงนั้นกันก่อนเถิด ข้าจะไปเอาน้ำมาให้เจ้าสักแก้ว เจ้ารอข้าประเดี๋ยว ข้าจะรีบมา” นางพูดพลางพยุงซูเหลียนอวิ้นไปยังระเบียงด้านข้าง จากนั้นจึงรีบเดินผละออกไป

 

 

“คุณหนู เป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ” เสียงเป็นกังวลของหลีมู่แว่วมาจากด้านหลัง “ให้บ่าวตามตัวคุณชายมาดีหรือไม่เจ้าคะ คุณหนู…ตอนนี้สีหน้าไม่ค่อยดีเท่าไรเลย”

 

 

“ไม่เป็นไร” ซูเหลียนอวิ้นเงยหน้าขึ้น “ให้ข้าพักสักประเดี๋ยวคงดีขึ้น ไม่มีเรื่องอะไรหรอก”

 

 

“เจ้าค่ะ…” หลีมู่ได้ยินเช่นนี้ก็ไม่กล้าเอ่ยสิ่งใด นางเพียงโบกพัดในมือให้แรงขึ้นเท่านั้น

 

 

มือของซูเหลียนอวิ้นที่อยู่ในแขนเสื้อกำลังกำไว้แน่น นางควรคิดเอาไว้ตั้งแต่แรกแล้ว มีงานฉลองเช่นนี้ หนานกงมู่เสวี่ยจะไม่มาเข้าร่วมได้อย่างไร

 

 

หากจะเอ่ยถึงคนที่ทำให้นางฝังใจมากที่สุดในชาติก่อน อันดับหนึ่งย่อมเป็นต้วนเฉินเซวียน ส่วนอันดับสองนั้นจะอย่างไรก็ต้องเป็นหนานกงมู่เสวี่ย

 

 

นางสูดลมหายใจเข้าลึกๆ และจดจ้องอย่างเงียบเชียบไปทางสตรีที่กำลังยิ้มแย้มสนทนากับผู้อื่นอย่างกระฉับกระเฉงที่ยืนอยู่ห่างจากนางออกไปตรงนั้น ตอนนั้นนางจึงบังเกิดความรู้สึกอิจฉาขึ้นจากก้นบึ้งของจิตใจ

 

 

มิผิด นางอิจฉาหนานมู่กงเสวี่ย ทว่ากลับมิได้เกลียดนาง

 

 

ธิดาเพียงคนเดียวของเหิงชินอ๋อง สตรีผู้เพียบพร้อมอันดับหนึ่งที่ทุกคนในเมืองหลวงต่างเอ่ยปากชมกันเป็นเสียงเดียว ชำนาญสี่ศิลปวิทยา[1] ครบด้าน รูปโฉมงดงามไม่เป็นสองรองใคร ทั้งชื่อเสียงในเมืองหลวงก็ไม่มีจุดด่างพร้อย หนานกงมู่เสวี่ยกับซูเหลียนอวิ้นถือว่าเป็นสองขั้วที่ห่างไกลกัน

 

 

ชาติก่อนเมื่อผู้คนเอ่ยถึงต้วนเฉินเซวียนก็มักจะนึกถึงซูเหลียนอวิ้นขึ้นพร้อมกัน แน่นอนว่าย่อมนึกถึงหนานมู่กงเสวี่ยด้วยเช่นกัน หากบอกว่าต้วนเฉินเซวียนวางตัวต่อสตรีด้วยความเพิกเฉยเย็นชา ทว่าสำหรับหนานมู่กงเสวี่ยถือเป็นกรณีพิเศษ

 

 

เนื่องจากอวี้ชินอ๋องกับจิ้งอันโหวคนปัจจุบันเป็นเพื่อนสนิทที่เติบโตมาด้วยกันตั้งแต่ยังเล็ก หากโอรสและธิดาของทั้งสองตระกูลจะพบหน้ากันบ่อยก็ถือเป็นเรื่องธรรมดา สำหรับต้วนเฉินเซวียนกับหนานกงมู่เสวี่ยนั้น กล่าวได้ว่าสนิทสนมเป็นเพื่อนเล่นกันมาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นความสัมพันธ์ของทั้งสองย่อมไม่ใช่ในรูปแบบธรรมดา

 

 

ผู้คนมักรังเกียจและไม่ชอบที่ซูเหลียนอวิ้นมักพัวพันอยู่รอบๆ ตัวของต้วนเฉินเซวียนเสมอ แต่สำหรับหนานกงมู่เสวี่ยแล้ว นางกลับยินดีเมื่อได้เห็นภาพนี้จนถึงขั้นหวังว่าซูเหลียนอวิ้นกับต้วนเฉินเซวียนจะได้คบกัน

 

 

ในความเป็นจริง สตรีที่งามพร้อมทุกกิริยา หากได้จับคู่กับทายาทหนุ่มตระกูลใหญ่ผู้มีรูปงามและลึกลับน่าค้นหาแล้ว นี่ถึงจะเหมาะสมมิใช่หรือ หากไปจับคู่กับสตรีบ้านๆ ที่โง่เขลา ไม่ว่าจะคิดอย่างไรก็ไม่เหมาะสมอย่างแน่นอน

 

 

หากพูดตามเหตุตามผลแล้ว ในสถานการณ์เช่นนี้ ซูเหลียนอวิ้นต้องเกลียดคนผู้นี้ถึงจะถูก ทว่านางกลับเกลียดไม่ลง นางเพียงอิจฉาหนานกงมู่เสวี่ยเท่านั้น แต่ไม่ได้ถึงขั้นเกลียดขี้หน้า

 

 

ซูเหลียนอวิ้นถอนหายใจ เพราะหนานกงมู่เสวี่ยผู้นี้ช่างสมบูรณ์พร้อมเสียเหลือเกิน

 

 

ชาติก่อนคนมักจะเคยชินกับการนำตัวนางกับหนานกงมู่เสวี่ยมาเปรียบเทียบกัน ขอเพียงแค่คนสองคนอยู่ในสถานที่เดียวกัน ก็มักจะมีข้อเปรียบเทียบมากมายหลากหลายปรากฏให้ได้ยิน และทุกครั้งในขณะที่ซูเหลียนอวิ้นยังไม่ทันได้ออกมาพูดอะไร หนานกงมู่เสวี่ยก็จะเป็นผู้สยบคำพูดของทุกคน เมื่อถึงตอนท้าย ทุกที่ที่ซูเหลียนอวิ้นปรากฏตัวขึ้นก็มักจะไม่พบกับหนานกงมู่เสวี่ยแล้ว คนผู้นั้นคงกลัวนางวางตัวลำบากกระมัง

 

 

ในตอนแรกซูเหลียนอวิ้นไม่เข้าใจเหตุผล นางถึงขั้นลำพองใจเพราะคิดว่าอีกฝ่ายกลัวนาง ไม่กล้ายืนคู่กับนาง ตอนนี้เมื่อมาคิดๆ ดูแล้ว…ช่างน่าขายหน้าผู้อื่นยิ่งนัก

 

 

และในวันนี้ตอนที่ตนเห็นนาง ซูเหลียนอวิ้นคิดเพียงว่าหลายวันมานี้ที่ตนเสแสร้งแกล้งทำ เมื่อได้พบกับหนานกงมู่เสวี่ย ทุกสิ่งคล้ายพังทลายลง เพราะถึงอย่างไรหนานกงมู่เสวี่ยก็เป็นผู้มีความรู้ความสามารถ แต่นางกลับเป็นเพียงผู้ที่ข้างนอกสุกใสข้างในเป็นโพรงเท่านั้น

 

 

“เหลียนอวิ้น ขอโทษนะที่ข้ากลับมาช้าขนาดนี้” หลินเหวินเสี่ยวรีบสาวเท้าเข้ามา “ข้าหาน้ำเย็นอยู่ตั้งนานกว่าจะหาพบ เจ้าดื่มก่อนเถิด ดื่มแล้วจะได้รู้สึกดีขึ้นบ้าง”

 

 

ซูเหลียนอวิ้นรับแก้วน้ำมา ดื่มลงไปหลายอึกกว่าจะคลายอารมณ์กดดันที่อยู่ในใจลงได้ นางหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดปากตัวเองแล้วเอ่ยว่า “เอาล่ะ ข้าพักมานานมากแล้ว อันที่จริงก็ไม่เป็นอะไรแล้ว ไปเถิด ไปดูทางนั้นกัน”

 

 

ถึงอย่างไรนางก็คงไม่สามารถแอบผู้อื่นได้ตลอดไป ถูกหรือไม่ ซูเหลียนอวิ้นสูดหายใจเข้าลึกๆ พลางพูดกับตัวเองว่า อย่างไรเจ้าก็ใช้ชีวิตมานานกว่าผู้อื่นถึงสิบกว่าปีแล้ว มีเหตุผลใดต้องหลบๆ ซ่อนๆ ด้วย และในชาตินี้ก็ยังไม่มีจุดบกพร่องใดเลย เจ้าคิดอย่างไรก็ทำอย่างนั้นมิถูกหรือ

 

 

“ซูเหลียนอวิ้น หลินเหวินเสี่ยว? พวกเจ้ามามาที่นี่ได้อย่างไร” บรรดาสตรีที่กำลังสรวลเสเฮฮากันอยู่นั้น เมื่อเห็นซูเหลียนอวิ้นมาพลันยกมือขึ้นมาปิดปากไว้แล้วถอยหลังไปหนึ่งก้าวพร้อมเอ่ยว่า “พวกเรากำลังถกเรื่องบทกวีกันอยู่ พวกเจ้าสองคนจะฟังเข้าใจหรือ”

 

 

สิ้นเสียงพูด รอบกายพลันมีเสียงหัวเราะเบาๆ ดังขึ้น

 

 

“กำลังพูดเรื่องใดกันอยู่หรือ ให้ข้าร่วมฟังด้วยได้หรือไม่” เสียงหัวเราะรอบกายพลันหยุดชะงัก เมื่อก้มหน้าดูจึงเห็นเด็กอายุห้าหกขวบผู้หนึ่ง

 

 

“อะ…องค์ชายเก้า? เหตุใดท่านจึงมาที่นี่ได้เพคะ” สตรีที่เพิ่งเอ่ยคำเมื่อครู่คิดไม่ถึงว่าวาจาสามหาวของตนจะเรียกองค์ชายองค์หนึ่งมาถึงที่นี่ได้ การแต่งกายของคนผู้นี้บ่งบอกชัดเจนถึงฐานะของเขา

 

 

“ทำไม ข้ามาไม่ได้รึ” หนานกงเช่อหรือองค์ชายเก้า แม้เพิ่งจะมีพระชันษาห้าปี แต่ท่าทางไพล่หลังด้วยมือน้อยๆ ก็แฝงไว้ด้วยความสง่างามของการเป็นราชโอรส

 

 

“มิใช่เพคะ…” คนผู้นั้นก้มหน้า

 

 

“มิใช่ก็ดี” หนานกงเช่อพยักหน้าแล้วพูดขึ้นอีกว่า “เจ้า มากับข้า”

 

 

นิ้วมือของเขาชี้ไปยังซูเหลียนอวิ้น

 

 

“หม่อมฉัน?” ซูเหลียนอวิ้นชี้เข้าหาตนเอง นางถามตัวเองอยู่ว่าตนกับองค์ชายเคยมีปฏิสัมพันธ์กันมาก่อนหรือ อีกทั้งนางเองก็ไม่เคยล่วงเกินเขา ที่จริงแล้วครั้งนี้คล้ายเป็นครั้งแรกที่พบหน้ากันด้วยซ้ำ…

 

 

“ก็เจ้านั่นแหละ! หรือว่าจะให้ข้าไปลากเจ้ามาเอง” น้ำเสียงเจือแววรำคาญอยู่หลายส่วน

 

 

“เพคะ…” ซูเหลียนอวิ้นพยักหน้ารับอย่างแข็งทื่อ แล้วพาหลีมู่เดินตามหลังองค์ชายน้อยผู้นี้ไปยังอีกด้านหนึ่ง

 

 

หลินเหวินเสี่ยวเห็นรูปการณ์เช่นนี้ก็ร้อนใจ แต่ก็จนปัญญา ตอนนี้นางเองก็ไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรดี

 

 

ผู้คนรอบๆ เมื่อเห็นว่าองค์ชายเก้าไม่ได้มาหาตนกลับยังพาตัวซูเหลียนอวิ้นไปเช่นนั้น จึงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกสะใจเพราะได้เห็นนางเดือดร้อนขึ้นมาอยู่หลายส่วน

 

 

 

 

——

 

 

[1] สี่ศิลปวิทยา คือ วิชาดีดพิณ, หมากล้อม, เขียนพู่กันจีน และวาดภาพ

ลิขิตกลกาล

ลิขิตกลกาล

Score 10
Status: Completed

ตอนที่ 1 – 132 อ่านนิยาย

(อ่านตอนต่อไปด้านล่าง)


ฉู่ชาติที่แล้วบุตรีแม่ทัพผู้ยิ่งใหญ่อย่าง ซูเหลียนอวิ้น มอบใจทั้งดวงให้คุณชายสืบทอดแห่งจวนโหว
ต้วนเฉินเซวียน ผู้เป็นที่เลื่องลือด้านความเลือดเย็นไร้หัวใจมาตั้งแต่แรกพบเมื่อครั้งเยาว์วัย
เพียรพยายามทำทุกวิถีทางให้เขารู้ว่านางมีใจ

เขาเฉยชาใส่นาง ไม่เป็นไร นางหาได้ท้อไม่

แต่ทว่าด้วยเพราะความเข้าใจผิด เขากลับเป็นผู้ปลิดชีวิตนาง ยามนี้เมื่อนางได้โอกาสกลับมาเกิดใหม่ ไหนเลยจะเลือกเดินตามเส้นทางเดิมอีก ด้วยกลัวต้องมีจุดจบถูกเขาฆ่าตายเป็นครั้งที่สอง ซูเหลียนอวิ้นจึงตัดสินใจเปลี่ยนตัวเองให้เป็นคนใหม่ที่เข้มแข็งและโดดเด่นกว่าเดิม ทั้งยังพยายามหลบลี้หนีหน้าเขาให้ไกล ทว่าเหตุไฉนคนใจร้ายผู้นั้นจึงได้เปลี่ยนไปเป็นฝ่ายเข้าหานางเสียเองเล่า!

Options

not work with dark mode
Reset