ลิขิตกลกาล 36 ขอร้อง

ตอนที่ 36 ขอร้อง

“เอาล่ะ” ซูมั่วเยี่ยพยักหน้า เมื่อเห็นท่าทางของซูเหลียนอวิ้นดูร้อนรน เขาเอ่ยว่า “หากน้องหญิงเหนื่อยก็กลับไปพักผ่อนก่อนเถิด เรื่องอื่นๆ รออีกสักวันสองวันค่อยจัดการคงไม่มีปัญหาอะไร”

 

 

“เจ้าค่ะ” ซูเหลียนอวิ้นตอบรับแต่ภายในใจกลับไม่อยู่กับเนื้อกับตัวแล้ว นางไม่พูดอะไรให้มากความ รีบแบกตำรากลับเรือนของตนทันที

 

 

 

 

ณ จวนจิ้งอันโหว

 

 

ภายในเรือนต้วนเฉินเซวียนนั่งอยู่เพียงลำพังด้านหน้าโต๊ะหนังสือ แววตาล้ำลึกยากจะคาดเดาว่ากำลังคิดสิ่งใด ใบหน้าถมึงทึงดำคล้ำราวสีหมึกของเขา ทำเอาบรรดาคนรับใช้ที่เข้ามาดูแลมองเขาเพียงแวบเดียว และไม่กล้ามองอีกเป็นครั้งที่สอง

 

 

“พี่ต้วน!”

 

 

สมาธิของต้วนเฉินเซวียนถูกเสียงร้องเรียกนั้นขัดจังหวะขึ้นกะทันหัน เขาจึงรู้สึกหงุดหงิดและปวดศีรษะขึ้นอย่างห้ามไม่ได้ จากนั้นจึงเอ่ยว่า “หลิวจือ ไปดูด้านนอกทีว่าเกิดเรื่องใดขึ้น”

 

 

“ขอรับ”

 

 

ภายในลานบ้าน มีบุรุษผู้หนึ่งยืนอยู่ คนผู้นี้หากเรียกว่าบุรุษคงไม่เหมาะสมเท่าเรียกว่าเด็กชาย แม้ว่าท่าทางของเขาดูแล้วจะอยู่ในวัยหนุ่ม แต่ใบหน้าของเขากลับอ่อนเยาว์ยิ่งนัก ประกอบกับรอยยิ้มซื่อๆ ที่อยู่บนใบหน้านั้นด้วยแล้ว คนผู้นี้ทำให้ทุกคนที่พบเห็นต่างรู้สึกถึงความร่าเริงแจ่มใส ดูแล้วไม่มีความสุขุมเยือกเย็นเลยแม้แต่น้อย

 

 

“คุณชายหัน” เมื่อหลิวจือเห็นว่าเป็นผู้ใดก็รีบทำความเคารพ “คุณชายหันมาวันนี้ด้วยเรื่องสำคัญอันใดหรือขอรับ”

 

 

ชายผู้นั้นเพียงโบกมือแล้วตอบว่า “โอ้ย แค่รู้สึกเบื่อเลยแวะมาหาพี่ต้วนเพื่อคลายเครียดสักหน่อยเท่านั้น ทำไมหรือ วันนี้พี่ต้วนมีธุระอันใด หรือว่า…มีนัดกับสาวงามอยู่ แล้วข้ามาขัดจังหวะเข้าพอดี” พูดจบแววตาของเขาก็ฉายประกายเคลือบแคลง ทำให้ไม่ว่าผู้ใดเห็นก็ไม่รู้ว่าจะแสดงสีหน้าตอบเช่นไรดี

 

 

“หันชิงอวี่ เจ้าว่างนักรึ!” เสียงของต้วนเฉินเซวียนดังออกมาจากในเรือน เห็นได้ชัดว่าเขาได้ยินการสนทนาด้านนอกมาตั้งแต่ต้น

 

 

“คุณชายหันขอรับ…” เมื่อหลิวจือได้ยินเสียงนั้นร่างของเขาพลันสั่นเทา ก่อนจะยื่นมือออกไปดึงตัวคุณชายหันที่อยู่ด้านข้างเข้ามาแล้วเอ่ยเบาๆ ว่า “วันนี้คุณชายมาหานายท่านมีธุระสำคัญอันใดหรือไม่ หากไม่มีธุระสำคัญใดๆ กระหม่อมแนะนำให้คุณชายกลับไปก่อนเถิด” เมื่อพูดจบก็ใช้สายตาน่าสงสารที่เต็มไปด้วยความหวังดีมองไปที่หันชิงอวี่

 

 

หันชิงอวี่เมื่อได้ฟังดังนั้นก็รู้สึกสับสน ทว่าเพียงชั่วขณะความอยากรู้อยากเห็นนี้ก็ถูกหลิวจือกระตุ้นขึ้น เขาจึงชะโงกหน้าเข้าไปแล้วถามด้วยเสียงแผ่วเบาว่า “ทำไมหรือ วันนี้นายท่านของเจ้า…ระดูคงไม่ได้มาพอดีกระมัง ฟังจากน้ำเสียงแล้วคงหงุดหงิดไม่น้อยเลยทีเดียว”

 

 

หลิวจือจึงตอบว่า “เกรงว่าวันนี้จะเป็นวันที่นายท่านอารมณ์ไม่ดีที่สุดในรอบเดือนเลยนะขอรับ! หากท่านไม่มีธุระเร่งด่วนอะไรก็กลับไปก่อนเถิด” ในใจของเขาแอบบ่นต่อไปว่า จะได้เป็นการหลีกเลี่ยงไม่ให้ท่านไปยั่วโทสะนายท่าน จากนั้นท่านก็จะลอยนวลหนีไป ทิ้งให้พวกเขาที่หนีไปไหนไม่ได้ต้องรองรับโทสะนั้นแทน ซึ่งหาได้เป็นธรรมกับพวกเขาไม่!

 

 

หันชิงอวี่ยกมือขึ้นลูบคาง “จริงเสียด้วย! วันที่อารมณ์ไม่ดีที่สุดในรอบเดือนใช่หรือไม่ ถ้าเช่นนั้นวันนี้คงเป็นวันที่ระดูมาจริงๆ! “

 

 

เมื่อกล่าวจบเขาก็ก้าวเท้าเดินผ่านไป ก่อนจะผลักบานประตูเดินเข้าไปด้านในอย่างไม่ลังเล

 

 

ภายในห้องต้วนเฉินเซวียนเงยหน้าขึ้นเหลือบมองแขกที่ไม่ได้รับเชิญผู้นี้คราหนึ่ง จากนั้นก็ไม่แสดงปฏิกิริยาใด เขาเพียงส่งสายตารำคาญแล้วเอ่ยถามว่า “เจ้ามาที่นี่มีเรื่องอันใดหรือไม่ หากไม่มีธุระก็ไสหัวกลับไป หากพ่อเจ้าบ่น เจ้าอย่ามาขอให้ข้าช่วยก็แล้วกัน”

 

 

“เฮ้อ! ท่านมันลืมคุณคน!” หันชิงอวี่พูดพลางยกถ้วยน้ำชาที่อยู่บนโต๊ะขึ้นมารินให้ตัวเองหนึ่งจอกแล้วดื่มรวดเดียวหมด จากนั้นเอ่ยต่อว่า “ท่านไม่รู้จักสำนึก เมื่อครั้งที่ท่านขอร้องให้ข้าช่วยไม่ได้มีท่าทีเช่นนี้” พูดจบก็เอามือเท้าสะเอว สีหน้าไร้ความหวาดหวั่น

 

 

“ขอร้อง?” ต้วนเฉินเซวียนยืดตัวขึ้นเหยียดยิ้มพลางเอ่ย “เจ้าพูดจริง?”

 

 

เดิมทีหันชิงอวี่อยากจะใช้โอกาสนี้หยอกเขาสักประโยคสองประโยคให้เขามีอารมณ์ขัน ทว่าเมื่อเห็นต้วนเฉินเซวียนยิ้มขึ้นทันควันเช่นนี้ จึงหยุดความคิดของตนเอาไว้

 

 

“มิใช่ๆ หากจะทำเรื่องใดเพื่อต้วนเฉินเซวียนแล้ว ข้าย่อมทำด้วยความเต็มใจ จงรักภักดี มิกล้าเอ่ยคำปฏิเสธใดๆ” ศีรษะของหันชิงอวี่ในเวลานี้ส่ายไปมาราวกับป๋องแป๋ง ลำตัวของเขายืดตรง ทำให้คำพูดเมื่อครู่ดูจริงใจราวกับเป็นความคิดที่ออกมาจากส่วนลึกของจิตใจอย่างแท้จริง

 

 

แน่นอนว่าเป็นคำพูดที่ทำให้ผู้ฟังรู้สึกซาบซึ้งจากก้นบึ้งของจิตใจเช่นกัน

 

 

หันชิงอวี่ไม่ใช่คนโง่ ตรงกันข้าม เขาฉลาดหลักแหลมเหนือผู้ใด รู้หลบเป็นปีก รู้หลีกเป็นหาง ผู้ใดเล่นได้ ผู้ใดเล่นไม่ได้ เขาแยกแยะได้ชัดเจน

 

 

ตอนที่เขาเข้ามาในห้องแล้วพูดจาหยอกล้อกับต้วนเฉินเซวียน นั่นเป็นเพราะพวกเขาเป็นเพื่อนที่คบหากันมานาน หยอกล้อกันเพียงเท่านี้ย่อมไม่ถูกเก็บเอาไปใส่ใจ อีกทั้งยังเป็นตอนที่ทุกคนอารมณ์ดีอยู่ การหยอกล้อจึงไม่ถือว่าเป็นเรื่องอะไร

 

 

ทว่ารอยยิ้มอันไร้พิษสงของต้วนเฉินเซวียนในยามนี้แสดงให้เห็นอย่างโจ่งแจ้งว่าเขาแสร้งทำ! ยิ่งฉีกยิ้มด้วยความสำราญเท่าไหร่ ภายในจิตใจก็ยิ่ง…

 

 

ดูท่าแล้ววันนี้พี่ต้วนอารมณ์ไม่ดีอย่างยิ่ง!

 

 

หันชิงอวี่แอบรู้สึกเสียใจ เหตุใดเขาถึงควบคุมขาสองข้างของตนไม่ได้เล่า หากรู้แต่แรกคงฟังคำเตือนของหลิวจือแล้วรีบจากไปก่อนก็คงจะดี แต่ตอนนี้…จะกลับก็ลำบาก อยู่ต่อก็ลำบากเช่นกัน

 

 

“อืม พูดได้ดี ข้าชอบฟัง” ต้วนเฉินเซวียนก้มหน้าลงจึงมองสีหน้าได้ไม่ชัดเจนนัก

 

 

เมื่อหันชิงอวี่เห็นท่าทางของเขาก็รู้ว่าพายุฝนได้ผ่านพ้นไปแล้ว ตอนนั้นท่าทางของเขาจึงเคร่งขรึมขึ้น “พี่ต้วน ก่อนหน้านี้ที่ท่านให้ข้าไปสืบเรื่องราวของหยางเกิ่งรั่ง ตอนนี้มีความคืบหน้าแล้ว”

 

 

“อ้อ?” ต้วนเฉินเซวียนค่อยๆ ยืนขึ้น เอามือลูบที่มุมโต๊ะแล้วเอ่ยว่า “เช่นนั้นเขาย้ายทรัพย์สมบัติไปไว้ที่ใดแล้ว”

 

 

“เจียงหนาน”

 

 

“เจียงหนานเองหรือ…ไม่ผิดไปจากที่ข้าคิดไว้เท่าไหร่”

 

 

หันชิงอวี่ได้ยินดังนั้นพลันหยุดชะงัก

 

 

“พี่ต้วนรู้แล้วหรือ” เขาต้องใช้กำลังคนของเขามากมายกว่าจะสืบข่าวเรื่องนี้ได้ เพราะหยางเกิ่งรั่งผู้นี้เปรียบเหมือนปลาหนีชิว[1] ตัวหนึ่งที่ไม่ทิ้งร่องรอยใดๆ ให้ตามหาได้เลย แม้เบาะแสเพียงน้อยนิดก็ต้องทุ่มเทกำลังคนมากมายกว่าจะสืบให้กระจ่างได้

 

 

ต้วนเฉินเซวียนเคาะนิ้วมือบนโต๊ะเบาๆ แล้วเอ่ยว่า “ข้าเดา ช่วงนี้ที่เจียงหนานมั่งคั่ง หากจู่ๆ ที่นั่นมีคนผู้หนึ่งปรากฏตัวเพิ่มขึ้นอีกคน มีร้านค้าหรือไม่ก็โรงเตี๊ยมที่หรูหราผุดขึ้นมา ผู้คนคงตีความไปว่านั่นเป็นกิจการใหม่ของมหาเศรษฐีคนใดคนหนึ่ง หรือไม่ก็อาจกล่าวอ้างว่าด้วยวิวทิวทัศน์ที่งดงามของเจียงหนาน จึงมีครอบครัวหนึ่งตั้งใจย้ายไปพำนักที่นั่นก็เท่านั้น ตอนนี้การไปทำการค้าที่เจียงหนาน จะไม่กระตุ้นความสงสัยของผู้ใดได้”

 

 

หันชิงอวี่ได้ฟังดังนี้ก็ปรบมือชื่นชม “พี่ต้วน ท่านเป็นเทพเซียนจริงๆ จากข่าวที่ข้าไปสืบมาได้ เมื่อเทียบกับที่ท่านเดาไว้ถือว่าถูกไป แปด เก้า ไม่ห่างจากสิบเท่าใดนัก แหล่งข่าวรายงานว่าที่นั่นปรากฏโรงรับจำนำแห่งหนึ่งขึ้น และผู้ที่เป็นเจ้าของร้านนั้น กลับไม่มีคนเจียงหูเคยได้ยินชื่อเสียงเรียงนามของเขามาก่อน หากทำกิจการได้อย่างโอ่อ่าเปิดเผย ดูท่าแล้วรายรับคงดี เนื่องจากปรากฏขึ้นอย่างกะทันหันแถมยังรวดเร็วราวกับผุดขึ้นจากความว่างเปล่าเช่นนี้ นี่จึงเป็นจุดเริ่มต้นที่จะช่วยให้พวกเราคลำหาเบาะแสได้ไม่มากก็น้อย ดังนั้นจึงเริ่มลงมือสืบต่อไป”

 

 

“คาดว่าตอนนี้พวกหยางเกิ่งรั่งน่าจะยังไม่รู้เรื่องนี้” ต้วนเฉินเซวียนเอ่ยขึ้น “ตัวเขาเปรียบเสมือนจิ้งจอกเฒ่า ทำการกระโตกกระตากเช่นนี้ ต้องไม่ใช่ตัวเขาลงมือเองเป็นแน่ อีกอย่างตอนนี้แม้แต่เจ้ายังสืบข่าวนี้มาได้ เกรงว่าเขาคงใกล้จะวางมือเต็มทีแล้ว”

 

 

 

 

——

 

 

[1] ปลาหนีชิว ปลาสีดำรูปร่างยาว ลักษณะคล้ายปลาดุก 

ลิขิตกลกาล

ลิขิตกลกาล

Score 10
Status: Completed

ตอนที่ 1 – 132 อ่านนิยาย

(อ่านตอนต่อไปด้านล่าง)


ฉู่ชาติที่แล้วบุตรีแม่ทัพผู้ยิ่งใหญ่อย่าง ซูเหลียนอวิ้น มอบใจทั้งดวงให้คุณชายสืบทอดแห่งจวนโหว
ต้วนเฉินเซวียน ผู้เป็นที่เลื่องลือด้านความเลือดเย็นไร้หัวใจมาตั้งแต่แรกพบเมื่อครั้งเยาว์วัย
เพียรพยายามทำทุกวิถีทางให้เขารู้ว่านางมีใจ

เขาเฉยชาใส่นาง ไม่เป็นไร นางหาได้ท้อไม่

แต่ทว่าด้วยเพราะความเข้าใจผิด เขากลับเป็นผู้ปลิดชีวิตนาง ยามนี้เมื่อนางได้โอกาสกลับมาเกิดใหม่ ไหนเลยจะเลือกเดินตามเส้นทางเดิมอีก ด้วยกลัวต้องมีจุดจบถูกเขาฆ่าตายเป็นครั้งที่สอง ซูเหลียนอวิ้นจึงตัดสินใจเปลี่ยนตัวเองให้เป็นคนใหม่ที่เข้มแข็งและโดดเด่นกว่าเดิม ทั้งยังพยายามหลบลี้หนีหน้าเขาให้ไกล ทว่าเหตุไฉนคนใจร้ายผู้นั้นจึงได้เปลี่ยนไปเป็นฝ่ายเข้าหานางเสียเองเล่า!

Options

not work with dark mode
Reset