ลิขิตกลกาล 33 อารมณ์เสีย

ตอนที่ 33 อารมณ์เสีย

“อรุณสวัสดิ์ทุกคน”

 

 

ซูเหลียนอวิ้นก้มศีรษะเป็นเชิงทักทาย แล้วจึงยืดตัวขึ้นด้วยท่าทางคล้ายนกเฟิ่งหวง[1] แล้วไม่สนใจสายตาของผู้คนรอบด้านอีก จากนั้นจึงนั่งลงบนเก้าอี้ที่อยู่ด้านข้างพร้อมจัดท่าทางให้เรียบร้อย

 

 

ผู้คนรอบๆ ที่ประหลาดใจกับท่าทีอ่อนช้อยเมื่อครู่นี้ต่างเริ่มได้สติกลับมา เมื่อหันไปมองซูเหลียนอวิ้นอีกครั้งหนึ่ง สายตาของแต่ละคนล้วนมีความรู้สึกที่แตกต่างกันออกไป

 

 

เหล่าสตรีต่างมีอาการตกใจและประหลาดใจว่าซูเหลียนอวิ้นมีรูปโฉมที่งดงามเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ ทำไมพวกนางไม่เคยสังเกตเห็นมาก่อน ตลอดมาภาพลักษณ์ของซูเหลียนอวิ้นคือผู้หญิงไร้รสนิยมทั่วๆ ไปนางหนึ่ง แต่เมื่อพิจารณาโดยละเอียดก็เกิดความรู้สึกไม่สบอารมณ์ขึ้นมา

 

 

นางแต่งตัวงดงามเช่นนี้ให้ใครดูหรือ คงไม่ได้ต้องการจะดึงดูดความสนใจจากใครกระมัง

 

 

สายตาหลายคู่ต่างจับจ้องไปที่ต้วนเฉินเซวียนอย่างไม่อาจห้ามใจได้

 

 

การที่ต้วนเฉินเซวียนยังคงมาเรียนในวันนี้ถือเป็นเรื่องเหนือความคาดหมายกว่าเมื่อวานเสียอีก อีกทั้งยังมาทันเวลา เมื่อเขาเห็นว่าตกเป็นเป้าของสายตาทุกคู่ก็อดที่จะหงุดหงิดใจไม่ได้ จึงเอ่ยปากขึ้นว่า

 

 

“มองหน้าข้าด้วยเหตุอันใด หน้าของข้ามีดอกไม้งอกขึ้นมาหรืออย่างไร” สิ้นวาจาก็กวาดสายตามาดร้ายไปรอบด้าน

 

 

ผู้คนรอบๆ เมื่อเห็นแววตาเช่นนั้น ใครจะยังกล้ามีอารมณ์สนใจเรื่องไร้สาระพรรค์นี้อีกเล่า จึงพากันหลบสายตาไม่กล้าซี้ซั้วมองเขาอีก

 

 

เพราะถึงอย่างไรต้วนเฉินเซวียนก็ไม่ใช่ซูเหลียนอวิ้น นิสัยของเขาแปลกประหลาดเหนือผู้ใด ใครจะรู้ว่าอีกชั่วครู่เขาจะทำอะไรต่อ อีกอย่าง…ท่าทีของต้วนเฉินเซวียนในตอนนี้ก็เห็นได้ชัดเจนว่าอารมณ์ขุ่นมัวอย่างยิ่ง ผู้ใดไม่ระวังตัวก็คงจะโชคร้ายตกเป็นเหยื่อระบายอารมณ์ของเขาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

 

 

อารมณ์ของต้วนเฉินเซวียนในเวลานี้ขุ่นมัวยิ่งนัก

 

 

เขากอดอก สายตาของเขาเต็มไปด้วยอารมณ์ที่ยากจะอธิบาย จากนั้นจึงมองไปยังสตรีที่กำลังจัดแจงท่านั่งอยู่ตรงริมหน้าต่าง วันนี้ซูเหลียนอวิ้นแต่งตัวสวยเช่นนี้ คงไม่ได้ต้องการจะดึงดูดความสนใจจากใครจริงๆ กระมัง เขาเองก็ไม่ได้ยินว่าช่วงนี้ซูเหลียนอวิ้นกำลังติดพันใครอยู่ ถ้าจะมี…ชายผู้นั้นก็คงไม่พ้นตนเองเป็นแน่

 

 

ทว่า…ต้วนเฉินเซวียนเริ่มส่งเสียงฟึดฟัดออกมาทางจมูก เขาดูเป็นคนตื้นเขินเพียงนั้นเชียวหรือ คิดว่าแต่งตัวสวยแล้วจะช่วยอะไรได้? โง่เขลานัก!

 

 

อีกอย่างการแต่งตัวเช่นนี้…

 

 

ต้วนเฉินเซวียนสบสายตากับบุรุษทุกคนที่อยู่ด้านหน้า แล้วก่นด่าในใจ พวกไร้รสนิยม!

 

 

ชุดนี่จะสวยไปกว่าชุดสีขาวเรียบๆ แบบเมื่อวานได้อย่างไร เสื้อผ้าชุดนี้เสียดแทงลูกตายิ่ง ไม่ว่าจะหันไปมองทางใดในห้องนี้นางก็ยังคงอยู่ในสายตา น่าเกลียด น่าเกลียดยิ่งนัก! ต่อจากนี้เขาจะต้องตั้งกฎขึ้นมาสักข้อหนึ่ง สำหรับสตรีที่ปรารถนาจะให้เขาชอบพอ แค่เพียงข้อเดียวเท่านั้น นั่นก็คือห้ามใส่เสื้อผ้าสีฉูดฉาด! ที่เห็นแล้วเสียดแทงลูกตา

 

 

สิ่งที่น่าเสียดายคือ ต้วนเฉินเซวียนเพียงเดาความหมายคร่าวๆ จากสายตาของทุกผู้คนที่ตนเห็นเท่านั้น แต่หาได้เข้าใจความหมายแท้จริงที่อยู่ในสายตาเหล่านั้นไม่ เพราะหากเข้าใจความหมายอย่างชัดแจ้งแล้ว เกรงว่านาทีต่อมาเขาอาจจะโกรธจนจมูกยับย่นเป็นแน่

 

 

รสนิยมความสวยความงามของหญิงชายย่อมแตกต่างกัน หากถามว่าการแต่งกายของซูเหลียนอวิ้นในวันนี้เป็นเช่นไร พวกนางคงต้องตอบเป็นเสียงเดียวกันว่าพาให้จิตใจของผู้อื่นไม่อยู่กับเนื้อกับตัว! สถานศึกษาเป็นสถานที่สำคัญในการถกความรู้ มิได้เป็นสถานที่สำหรับเกี้ยวพาราสีของผู้ใด แต่ซูเหลียนอวิ้นกลับแต่งตัวสวยเด่นเช่นนี้ แสดงให้เห็นว่านอกจากจะไร้ความคิดแล้วยังโลกแคบอีกด้วย! วัฒนธรรมง่ายดายถึงเพียงนี้ยังมิอาจเข้าใจ พานให้พวกนางต้องขายหน้าไปด้วย

 

 

หากภาพที่เห็นตรงหน้า…ทุกคนยังคงมีสีหน้าท่าทางเป็นมิตรน่าคบหาดังเดิม ไม่เพียงเท่านั้นบางคนถึงกับเดินไปด้านหน้าเพื่อสรรเสริญเยินยอถึงความงดงามของซูเหลียนอวิ้นอีกด้วย หากมองอย่างผิวเผินคงเข้าใจว่าคนเหล่านั้นมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดสนิทสนมกับซูเหลียนอวิ้นมาตั้งแต่เด็ก ถึงได้เอ่ยชมอย่างสะดวกปากเช่นนี้ อีกทั้งแววตาก็ยังไม่ฉายแววอิจฉาริษยาให้เห็นแม้แต่น้อย

 

 

นั่นเป็นเพราะทุกคนล้วนชาญฉลาด ท่ามกลางสายตาที่จับจ้องอยู่มากมาย คงมีเพียงคุณหนูหยางเพียงผู้เดียวที่ไร้ความคิดกล้าต่อกรกับคุณหนูจากจวนแม่ทัพอย่างซึ่งหน้า คนฉลาดต้องทำอย่างไร ทุกคนต่างรู้อยู่แก่ใจอย่างถ่องแท้

 

 

อีกทั้ง ณ ที่นี้ยังมีบุรุษผู้เปี่ยมความสามารถอยู่ไม่น้อย บุรุษย่อมไม่ชอบสตรีที่แก่งแย่งช่วงชิงความรักกันเป็นที่สุด ดังนั้นแม้ว่าในใจจะไม่พอใจมากเพียงใดก็คงทำได้เพียงฝืนยิ้มออกไปให้ดูสวยงามและมีความสุขที่สุด

 

 

ซูเหลียนอวิ้นได้ยินคำเยินยอจากพวกนางก็พยักหน้ารับนิ่งๆ เป็นการตอบรับ นางไม่แสดงท่าทีทะนงตนออกไปแม้แต่น้อย แต่ก็มิได้มีท่าทีถ่อมตัวเช่นกัน ราวกับว่ามันเป็นคุณสมบัติที่คู่ควรกับนางอยู่แล้ว ดังนั้นนางจึงรับฟังทุกอย่างด้วยความสงบนิ่ง

 

 

เหล่าบุรุษเมื่อเห็นนางตอนนี้ก็เกิดความรู้สึกประหลาดใจเช่นกัน หากให้พวกเขาวิจารณ์ ซูเหลียนอวิ้นในวันนี้คล้ายมีส่วนผสมระหว่างนางมารและเทพเซียนปะปนกันอยู่

 

 

อาภรณ์สีแดงเปี่ยมเสน่ห์ผสานกับใบหน้าที่สวยสง่าเช่นนั้น เมื่อรวมกับรูปร่างอรชร เอวบางร่างน้อยที่ใช้มือเดียวโอบได้นั้นให้ความรู้สึกว่าหากออกแรงเพียงน้อยนิดอาจจะทำให้เอวนั้นหักได้ ไม่ว่าจะมองอย่างไรต่างต้องเข้าใจว่านางเป็นนางมารที่มาเพื่อล่อหลอกบุรุษไปเป็นแน่

 

 

แต่กิริยาที่แสดงออกของซูเหลียนอวิ้นคล้ายว่านางเพิกเฉยต่อคำหลอกลวงทั้งหมด นางใช้ความถือตัวและเฉยเมยปฏิบัติต่อทุกเรื่อง ราวกับว่าเรื่องราวบนโลกใบนี้ล้วนไม่อยู่ในสายตาของนาง แต่นั่นก็ยิ่งทำให้ผู้คนไม่อาจยับยั้งความคิดหยาบช้าเอาไว้ได้อีกต่อไป พวกเขาจึงทำได้เพียงสะกดเอาไว้ในใจลึกๆ มิกล้าเอื้อนเอ่ยคำใด

 

 

เมื่อซูมั่วเยี่ยตามเข้ามาก็เห็นภาพเช่นนี้แล้ว ภาพที่สายตาทุกคู่จับจ้องไปที่น้องสาวของเขา

 

 

เขาจึงหันไปกล่าวกับคนรับใช้เพียงคำสองสามคำ มาช้าไปนิดหน่อยคงไม่เป็นไรกระมัง ในช่วงเวลาสั้นๆ เช่นนี้ คงมิได้เกิดเหตุการณ์ใดที่เขาไม่รู้ขึ้นอีก? เขาก้มหน้าครุ่นคิดแล้วใช้สายตาหมองหม่นสำรวจไปยังคนรอบด้าน

 

 

นางสาวของเขาตกเป็นเป้าสายตาของบรรดาผู้ที่กำลังจินตนาการแต่เรื่องหยาบช้าอย่างนั้นหรือ อยากมองกันนักใช่ไหม มองเขาแทนก็ได้ อย่างไรก็คงเหมือนกัน

 

 

พลังอำนาจของแม่ทัพหนุ่มย่อมมิได้มีเพียงชื่อเสียง ปกติซูมั่วเยี่ยมักจะตีสีหน้าตาเคร่งขรึมอยู่แล้ว ไม่ว่าผู้ใดพบเห็นต่างต้องถอยกรูดไป ความขุ่นข้องหมองใจของเขาในตอนนี้ ยิ่งทำให้เขาคล้ายกับราชสีห์ที่ขู่คำรามอยู่ในลำคอ ไม่ว่าผู้ใดต่างมิกล้าหันไปมองอีกเป็นครั้งที่สอง

 

 

“ท่านพี่มาแล้ว มานั่งข้างน้องเถิดเจ้าค่ะ” ซูเหลียนอวิ้นเงยหน้ามองซูมั่วเยี่ย หากในใจของนางแอบคิดว่า สายตาและความน่าเกรงขามเช่นนี้ เกรงว่ามิต้องรอถึงสองปี ท่านพ่อของนางคงจะสละจากตำแหน่งเสียก่อนแล้ว

 

 

ท่าทางเช่นนี้ของเขาเมื่อนำไปเปรียบเทียบกับตอนที่ซูปั๋วชวนโมโหแล้วยังน่าหวาดกลัวมากกว่าเสียอีก! คำว่าแม่ทัพหน้าดำ คงใช้บรรยายพี่ชายของนางได้อย่างไม่ผิดเพี้ยนเลยกระมัง หากตัวนางมิได้เป็นน้องสาวของซูมั่วเยี่ย นางเองก็คงเป็นเช่นเดียวกับคนรอบข้างที่กลัวจนไม่กล้าเอื้อนเอ่ยอะไรออกมาแม้เพียงครึ่งประโยค

 

 

เมื่อซูมั่วเยี่ยหันตัวกลับมาแล้วมองเห็นรอยยิ้มหวานของซูเหลียนอวิ้น เขาจึงคลายท่าทางน่าเกรงขามลง แล้วลากเก้าอี้ออกมานั่งข้างๆ นาง ถึงอย่างไรเขาก็ไม่เคยลืมคำสอนของซูปั๋วชวนที่ว่า จะทำกับผู้อื่นอย่างไรก็ได้ แต่กับน้องสาวต้องปฏิบัติอย่างอ่อนโยน น้องสาวเขาน่ารักถึงเพียงนี้ แค่รักและทะนุถนอมยังไม่พอแล้วจะทำให้นางตกใจได้อย่างไรกัน

 

 

“อืม” ซูมั่วเยี่ยคลี่ยิ้ม แม้ว่าเขาจะฉีกยิ้มเพียงน้อยนิด แต่ก็ทำให้ท่าทางของเขาดูอ่อนโยนมากขึ้นทีเดียว

 

 

 

 

——

 

 

[1] นกเฟิ่งหวง คือ นกฟินิกซ์ ซึ่งจะหมายถึงหงส์ในวัฒนธรรมจีน

ลิขิตกลกาล

ลิขิตกลกาล

Score 10
Status: Completed

ตอนที่ 1 – 132 อ่านนิยาย

(อ่านตอนต่อไปด้านล่าง)


ฉู่ชาติที่แล้วบุตรีแม่ทัพผู้ยิ่งใหญ่อย่าง ซูเหลียนอวิ้น มอบใจทั้งดวงให้คุณชายสืบทอดแห่งจวนโหว
ต้วนเฉินเซวียน ผู้เป็นที่เลื่องลือด้านความเลือดเย็นไร้หัวใจมาตั้งแต่แรกพบเมื่อครั้งเยาว์วัย
เพียรพยายามทำทุกวิถีทางให้เขารู้ว่านางมีใจ

เขาเฉยชาใส่นาง ไม่เป็นไร นางหาได้ท้อไม่

แต่ทว่าด้วยเพราะความเข้าใจผิด เขากลับเป็นผู้ปลิดชีวิตนาง ยามนี้เมื่อนางได้โอกาสกลับมาเกิดใหม่ ไหนเลยจะเลือกเดินตามเส้นทางเดิมอีก ด้วยกลัวต้องมีจุดจบถูกเขาฆ่าตายเป็นครั้งที่สอง ซูเหลียนอวิ้นจึงตัดสินใจเปลี่ยนตัวเองให้เป็นคนใหม่ที่เข้มแข็งและโดดเด่นกว่าเดิม ทั้งยังพยายามหลบลี้หนีหน้าเขาให้ไกล ทว่าเหตุไฉนคนใจร้ายผู้นั้นจึงได้เปลี่ยนไปเป็นฝ่ายเข้าหานางเสียเองเล่า!

Options

not work with dark mode
Reset