ลิขิตกลกาล 32 งามสง่า

ตอนที่ 32 งามสง่า

ดรุณีน้อยในกระจกมีผิวขาวสว่างยิ่งกว่าหิมะ ดวงตาคู่งามเป็นประกายวิบวับ

 

 

อีกทั้งการแต่งหน้าของนางยังให้ความรู้สึกไม่เข้มจนเกินไป ไม่ว่าผู้ใดได้เห็นต่างต้องรู้สึกว่านางมีรูปลักษณ์เช่นนี้ติดตัวมาแต่แรก ไม่ผ่านการเสริมเติมแต่งอะไรทั้งสิ้น

 

 

“เฮ้อ…” ซูเหลียนอวิ้นถอนหายใจ จากนั้นจึงเงยหน้าขึ้นแล้วขยับต้นคอพลางมองผู้ที่อยู่ในกระจกแล้วยิ้มอย่างพอใจ อย่างนี้สิถึงจะดีหน่อย คนเมื่อครู่คือใครกัน! ต้องเป็นเพราะนางนอนดึกจนตาลายแน่ๆ

 

 

แต่ว่า…นางยังคงรู้สึกว่ามีบางอย่างที่ยังไม่เข้าที่เข้าทางอยู่ พอมองแล้วให้ความรู้สึกถึงความเจ็บป่วยและอ่อนแอ

 

 

หลีมู่โผล่ศีรษะออกไปมองด้านนอกเพื่อคะเนเวลา ขณะที่กำลังหันหลังกลับมาเพื่อเอ่ยเตือนซูเหลียนอวิ้นว่าตอนนี้จวนจะสายแล้วนั้น ก็พบว่าคุณหนูของนางกำลังมีทีท่าไม่พอใจตัวเองเท่าไหร่นัก

 

 

หลีมู่รู้สึกว่าตนหมดหนทางแล้วเช่นกัน จึงเอ่ยปลอบไปว่า “คุณหนู ได้เท่านี้ก็ดีแล้วเจ้าคะ นี่ก็จวนจะสายเต็มทีแล้ว ไปแค่ห้องเรียนเท่านั้นเอง แล้วคุณหนูก็สวยอยู่แล้วด้วยนะเจ้าคะ”

 

 

ไม่ได้ไปเจอสามีสักหน่อย

 

 

ไม่ถูก หรือว่าไปเจอสามี?

 

 

ฉับพลันแสงสว่างก็วาบขึ้นในหัวของหลีมู่ นางคิดว่าเข้าใจเรื่องนี้แล้ว คุณหนูคงจะไม่… เพราะเมื่อวานคุณชายต้วนก็เข้าชั้นเรียนด้วย และวันนี้ก็มีโอกาสที่เขาจะเข้าเรียนอีก คุณหนูถึงได้มีพฤติกรรมเช่นนี้…นางเข้าใจแล้ว

 

 

“คุณหนู” ในตอนนั้นเอง หลีหมู่ปิดกล่องเครื่องสำอาง เอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าเรียบเฉยว่า “นี่ก็ใกล้จะสายเต็มทีแล้ว คุณหนูรีบไปเถิดเจ้าค่ะ”

 

 

ซูเหลียนอวิ้นยังคงเหม่อมองภาพสะท้อนในกระจก เมื่อถูกขัดจังหวะขึ้นกะทันหันจึงตกใจสะดุ้งโหยง เงยหน้าขึ้นมองไปที่หลีมู่ก็ได้พบกับสีหน้าที่เริ่มไม่สบอารมณ์เท่าไรนัก

 

 

 อืม…จะว่าไปเราก็แต่งตัวสวยอยู่แล้ว งั้นก็เอาแบบนี้แล้วกัน

 

 

“เฮ้อ หลีมู่ ข้ารู้แล้ว เจ้าออกไปก่อนเถิด ข้าขอเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วจะรีบตามออกไป เจ้าออกไปบอกพี่ของข้าให้ใจเย็นๆ ก่อน ขอเวลาอีกสักพักข้าก็จะเสร็จแล้ว” ซูเหลียนอวิ้นกระแอมคราหนึ่ง น้ำเสียงที่นางใช้พูดช่างอบอุ่นและนุ่มนวลยิ่งนัก

 

 

“เช่นนั้นคุณหนูก็รีบหน่อยนะเจ้าคะ อีกประเดี๋ยวบ่าวจะเข้ามาใหม่” หลีมู่ยังคงมีสีหน้าตึงเครียดราวกับคำพูดอ่อนหวานเช่นนั้นของซูเหลียนอวิ้นไม่มีผลกับนางสักนิด นางจึงมองคุณหนูอยู่เงียบๆ อีกครู่หนึ่งก่อนจะหันหลังกลับออกไปทางประตู

 

 

เมื่อซูเหลียนอวิ้นเห็นหลีมู่ออกไปแล้วก็รีบลุกขึ้นเดินไปที่ตู้เสื้อผ้า ลงมือคุ้ยหาชุด จนได้ชุดชุดหนึ่ง เมื่อลองทาบกับลำตัวแล้วจึงตัดสินใจที่จะเปลี่ยนชุด

 

 

เมื่อครู่ที่ซูเหลียนอวิ้นคิดว่าอะไรที่ทำให้นางดูป่วยนั้น สาเหตุคงเนื่องมาจากชุดที่นางสวมใส่อยู่ในตอนนี้ สีของกระโปรงตัวนี้จืดชืดเกินไป เมื่อพิจารณาคู่กับการแต่งหน้าของนางแล้ว ทำให้ภาพรวมดูไม่ค่อยเข้ากันนัก

 

 

อีกอย่าง…ซูเหลียนอวิ้นส่องกระจกบานใหญ่ที่ตั้งอยู่บนพื้น แล้วเอื้อมมือไปหยิบชุดสีแดงตัวหนึ่งขึ้นมาทาบกับตัวพลางส่องกระจกดู ตัวนี้ต่างหากที่ดูแล้วสบายตากว่า นางอดไม่ได้ที่จะนึกถึงคำพูดของหลีมู่เมื่อวาน และรู้สึกสลดใจเพราะคำพูดของหลีมู่เหล่านั้นถือเป็นการเตือนใจนาง

 

 

นางคงต้องค่อยๆ เปลี่ยนแปลงนิสัยที่ติดตัวมาจากชาติที่แล้ว…

 

 

นิสัยที่ชอบใส่เสื้อผ้าสีอ่อนก็ด้วย…

 

 

ตอนนี้นางไม่ใช่คนเดิมที่ทำทุกอย่างเพื่อเอาใจต้วนเฉินเซวียน และคอยวิ่งตามอยู่ด้านหลังเขาต้อยๆ ซูเหลียนอวิ้นคนเดิมที่รับฟังเขาเสมอไม่ว่าเขาจะพูดอะไร

 

 

ต้วนเฉินเซวียนไม่ชอบสตรีที่สวมใส่เสื้อผ้าสีฉูดฉาดอย่างนั้นหรือ

 

 

เฮอะ นางจะฝืนใส่! และจะใส่ต่อไปเรื่อยๆ ดูทีเถิดว่าสีจะทิ่มตาเขาบอดหรือไม่!

 

 

ซูเหลียนอวิ้นถอนใจแล้วรีบเปลี่ยนชุด จากนั้นจึงเปิดประตูเดินออกไป

 

 

ตอนนี้ชาจอกที่สามได้ตกถึงท้องซูมั่วเยี่ยแล้ว ต่อให้เขาใจเย็นเพียงใดถึงเวลานี้ก็เริ่มร้อนใจขึ้นมาบ้างแล้ว การเลือกชุดของสตรีเป็นเรื่องที่น่าปวดหัวยิ่ง มารดากับน้องสาวของเขาล้วนเป็นเหมือนกัน

 

 

“ท่านพี่”

 

 

เสียงหนึ่งขานเรียกเขา ทำให้ความคิดเรื่อยเปื่อยของซูมั่วเยี่ยถูกขัดจังหวะ เขาเงยหน้าขึ้น ซูเหลียนอวิ้นจึงอมยิ้มน้อยๆ ให้เขา

 

 

“ท่านพี่คงรอนานแล้วกระมัง” ซูเหลียนอวิ้นเดินเข้าไปหาพร้อมรอยยิ้ม “พวกเราออกเดินทางกันเถิดเจ้าค่ะ ถึงอย่างไรวันนี้ท่านก็ไม่ต้องไปที่กรมทหารแล้ว กลับมาถึงเมื่อไหร่ท่านค่อยสอนกระบวนท่าต่อสู้ที่เหลือให้ข้าก็ได้”

 

 

“อืม…ได้ เอาตามที่เจ้าพอใจแล้วกัน” ซูมั่วเยี่ยพยักหน้า หากสายตาของเขากลับจับจ้องอยู่ที่ซูเหลียนอวิ้น

 

 

เขาจำได้ว่าตั้งแต่วันนั้นที่น้องสาวของเขาป่วย ก็ไม่ได้สวมใส่เสื้อผ้าที่มีสีฉูดฉาดเช่นนี้มานานแล้ว จู่ๆ วันนี้กลับมาใส่อีกครา ไม่ว่าผู้ใดพบเห็นต่างต้องรู้สึกแปลกใหม่และดึงดูดใจจนไม่อาจละสายตาไปไหนได้

 

 

เมื่อหลีมู่มองเห็นการแต่งตัวเช่นนี้ของซูเหลียนอวิ้น ก็แอบตีอกชกหัวอยู่ในใจ

 

 

นางคิดไว้ไม่ผิด! คุณหนูยังไม่ลืมคุณชายต้วน! เพราะปกติไม่เคยเห็นคุณหนูแต่งตัวสวยเช่นนี้ ทว่าวันนี้กลับเอาใจใส่กับการแต่งตัวเป็นอย่างยิ่ง เป็นเช่นนี้แล้วจะไม่ให้นางคิดเช่นนั้นได้อย่างไร!

 

 

 

 

บนรถม้า

 

 

ซูเหลียนอวิ้นพยายามนึกถึงข่าวซุบซิบนินทาที่น่าสนใจทุกเรื่องของเมื่อชาติก่อนและชาตินี้ เพื่อไม่ให้การนั่งรถม้าน่าเบื่อจนเกินไปนัก นอกจากจะเป็นการเชื่อมความสัมพันธ์ของตัวนางกับซูมั่วเยี่ยแล้วยังถือเป็นการแลกเปลี่ยนเรื่องเล่าระหว่างกันด้วย นางเองก็หวังว่าความสัมพันธ์จะพัฒนาขึ้นอีก และยังช่วยให้นางรู้ด้วยว่าซูมั่วเยี่ยมีรสนิยมชื่นชอบสิ่งใด เพราะสำหรับเรื่องนี้ น้องสาวอย่างนางถือว่าด้อยความสามารถนัก

 

 

ซูมั่วเยี่ยยังคงถนอมถ้อยคำเช่นเคย เขาเพียงพูดแทรกขึ้นมาไม่กี่คำหรือไม่ก็พูดตามน้ำบ้างเท่านั้น ทว่าสายตาของเขายังคงเปล่งประกายจึงทำให้เข้าใจได้ว่า เขาให้ความสนใจกับเรื่องราวที่ซูเหลียนอวิ้นพูดไม่น้อยทีเดียว

 

 

การสนทนาช่วยให้เวลาผ่านไปรวดเร็วเสมอ ไม่ช้ารถม้าก็เคลื่อนเข้าสู่ประตูพระราชวังแล้ว

 

 

“น้องหญิงระวังด้วย” ซูมั่วเยี่ยลงรถนำหน้าไปก่อนก้าวหนึ่ง จากนั้นจึงยื่นมือออกมาจับมือขวาของซูเหลียนอวิ้นแล้วพยุงนางลงรถอย่างระมัดระวัง เพราะเขากลัวว่านางจะเหยียบความว่างเปล่าแล้วร่วงลงมา ท่าทางของเขาจึงดูประหม่าอยู่ไม่น้อย

 

 

อันที่จริงไม่กี่วันก่อนหน้านี้ซูเหลียนอวิ้นรู้สึกไม่คุ้นเคยกับการดูแลเอาใจใส่ของซูมั่วเยี่ยเช่นนี้ โดยคิดว่าเป็นการระแวดระวังและวุ่นวายเกินความจำเป็น ทว่าในตอนนี้นางชินเสียแล้ว

 

 

การที่ไม่ว่านางจะทำสิ่งใดล้วนมีคนคอยเป็นห่วงอยู่ด้านหลัง หรือการกระทำประเภทช่างเถิดเดี๋ยวข้าทำแทนเองนั้น อันที่จริงแล้วนางก็รู้สึกดีต่อพฤติกรรมเหล่านี้มาก

 

 

วันนี้ซูเหลียนอวิ้นไม่ได้มาถึงเช้าและก็ไม่ถือว่ามาสาย ทว่ายามนี้กลับมีหลายคนเข้ามารออยู่ในห้องอยู่ก่อนแล้ว

 

 

ซูเหลียนอวิ้นเปิดประตูเข้าไป บานประตูส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดเรียกสายตาทุกคู่ในที่นั้นให้หันมามอง

 

 

ประตูไม้ถูกเปิดเข้ามาจนสุดบาน แสงสว่างจากด้านนอกพลันสาดเข้ามาภายใน พาให้ห้องทั้งห้องตกอยู่ภายใต้แสงสะท้อนของแสงแดด ช่วงเวลานั้นจึงไม่มีใครสามารถมองเห็นโฉมหน้าของสตรีที่ยืนอยู่ตรงประตูได้ถนัด

 

 

เมื่อรอจนกระทั่งดวงตาเริ่มคุ้นชินกับแสงสะท้อนแล้ว พวกเขาถึงได้เห็นโฉมหน้าของสตรีผู้นั้นที่ยืนอยู่ตรงประตูได้ชัดเจนขึ้น ก่อนที่จะพากันอ้าปากค้าง

 

 

หญิงสาวนางนี้คือซูเหลียนอวิ้นอย่างนั้นหรือ

 

 

สตรีที่ยืนอยู่ตรงประตูสวมใส่ชุดสีแดงฉานดั่งเปลวเพลิง ชุดของนางหรูหราประณีต หากเป็นสตรีหน้าตาพิมพ์นิยมทั่วๆ ไปสวมใส่ชุดนี้ก็คงจะถูกความงามของชุดบดบังหมดสิ้น สายตาผู้คนคงจับจ้องไปที่ชุดเพียงจุดเดียว หาได้ชายตามองผู้สวมใส่ไม่

 

 

ทว่าดรุณีน้อยที่อยู่ตรงประตูนางนี้มีรูปโฉมสง่างาม รัศมีทั่วเรือนร่างโดดเด่นอาบเสน่ห์อย่างยิ่ง เมื่อใส่ชุดนี้แล้วยิ่งช่วยขับเน้นให้นางเปล่งประกายจนไม่มีผู้ใดสามารถจ้องมองนางโดยตรงได้

ลิขิตกลกาล

ลิขิตกลกาล

Score 10
Status: Completed

ตอนที่ 1 – 132 อ่านนิยาย

(อ่านตอนต่อไปด้านล่าง)


ฉู่ชาติที่แล้วบุตรีแม่ทัพผู้ยิ่งใหญ่อย่าง ซูเหลียนอวิ้น มอบใจทั้งดวงให้คุณชายสืบทอดแห่งจวนโหว
ต้วนเฉินเซวียน ผู้เป็นที่เลื่องลือด้านความเลือดเย็นไร้หัวใจมาตั้งแต่แรกพบเมื่อครั้งเยาว์วัย
เพียรพยายามทำทุกวิถีทางให้เขารู้ว่านางมีใจ

เขาเฉยชาใส่นาง ไม่เป็นไร นางหาได้ท้อไม่

แต่ทว่าด้วยเพราะความเข้าใจผิด เขากลับเป็นผู้ปลิดชีวิตนาง ยามนี้เมื่อนางได้โอกาสกลับมาเกิดใหม่ ไหนเลยจะเลือกเดินตามเส้นทางเดิมอีก ด้วยกลัวต้องมีจุดจบถูกเขาฆ่าตายเป็นครั้งที่สอง ซูเหลียนอวิ้นจึงตัดสินใจเปลี่ยนตัวเองให้เป็นคนใหม่ที่เข้มแข็งและโดดเด่นกว่าเดิม ทั้งยังพยายามหลบลี้หนีหน้าเขาให้ไกล ทว่าเหตุไฉนคนใจร้ายผู้นั้นจึงได้เปลี่ยนไปเป็นฝ่ายเข้าหานางเสียเองเล่า!

Options

not work with dark mode
Reset