ลิขิตกลกาล 211 บาดเจ็บ

ตอนที่ 211 บาดเจ็บ

“หึ” ด้านในกระโจม เสียงหัวเราะของซูมั่วเยี่ยแสดงออกถึงการเยาะเย้ยอย่างชัดเจน “มาแสร้งทำเป็นห่วงใยตอนนี้น่ะหรือ ตระกูลซูของข้ามิได้ขอให้เจ้าช่วย…”

 

 

“ท่านพี่? ” ซูเหลียนอวิ้นได้ยินเสียงเอะอะของซูมั่วเยี่ยจนเริ่มรู้สึกปวดหัว ด้วยเหตุนี้จึงค่อยๆ ลืมตาขึ้นและพยายามที่จะพยุงตัวเองลุกขึ้นนั่งจากนั้นจึงเอ่ยว่า “ท่านพี่ ท่านกำลังทำอะไรเจ้าคะ ท่านกำลังทะเลาะกับต้วนเฉินเซวียนอยู่หรือ”

 

 

“น้องหญิง เจ้าฟื้นแล้ว! ” ซูมั่วเยี่ยรีบหันตัวกลับมาแล้วรีบวิ่งไปที่เตียงโดยไม่สนใจคนที่อยู่ด้านหลังอีก “รีบนอนลงเดี๋ยวนี้อย่าขยับตัวมั่วๆ ตอนนี้ยังเจ็บตรงไหนอีกหรือไม่ ศีรษะเป็นอย่างไรบ้าง เจ้ายังเจ็บอยู่ไหม”

 

 

“ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ” ซูเหลียนกลืนน้ำลาย “แต่ตอนนี้น้องรู้สึกเจ็บคอเหลือเกิน”

 

 

“ได้ๆ ” ซูมั่วเยี่ยพยักหน้างึกหงัก “น้องหญิงเจ้านอนต่อเถิด พี่จะรีบไปรินน้ำมาให้เจ้า ครู่เดียวเท่านั้น! “

 

 

“อื้ม” ซูเหลียนอวิ้นพยักหน้าแล้วถือโอกาสขยับแขนของตน เพราะท่าทางการนอนเมื่อครู่นี้ทำให้แขนของนางรู้สึกไม่ดีเอาเสียเลย!

 

 

“โอ๊ย…” ซูเหลียนอวิ้นเจ็บจนต้องพยายามสูดเอาลมหายใจเย็นๆ เข้าไป ช่วงเวลาที่เจ็บปวดที่สุดได้ผ่านพ้นไปแล้ว ดังนั้นตอนนี้…ดูเหมือนว่านางต้องทนรับกับความเจ็บปวดนั้นที่ถูกขยายใหญ่ขึ้นเป็นร้อยเท่าพันเท่า เนื่องมาจากตอนนี้นางได้สติกลับมาแล้ว

 

 

“อวิ้นเอ๋อร์ ตอนนี้เจ้ายังเจ็บแขนอยู่อีกหรือไม่” อันเพ่ยอิงลุกขึ้นมาและจับแขนของซูเหลียนอวิ้นขยับดูอย่างระมัดระวัง “ยังดีที่ไม่เป็นอันตรายถึงกระดูก แต่เจ็บเพียงแค่ผิวหนังด้านนอกเท่านั้น มา แม่จะใส่ยาให้เจ้าเอง”

 

 

“อ้อ เจ้าค่ะ” ซูเหลียนอวิ้นแยกเขี้ยว เพราะถึงแม้ว่าจะเป็นความเจ็บปวดด้านนอก แต่นางก็ยังรู้สึกเจ็บมากอยู่ดี

 

 

ต้วนเฉินเซวียน ยังไม่ยอมออกไปอีกหรือ” ซูเหลียนอวิ้นค่อยๆ เปิดปากพูดแล้วเหลือบตามองต้วนเฉินเซวียนที่ยืนแข็งทื่อเป็นเสาอยู่ด้านหลังนางตั้งแต่ที่นางตื่นขึ้นมา “ท่านแม่จะใส่ยาให้ข้า” แม้ว่าสภาพของนางตอนนี้ สำหรับนางแล้วไม่ว่าเขาจะเห็นหรือไม่ก็คงไม่มีปัญหาอะไร แต่ซูเหลียนอวิ้นคิดว่า…สภาพแขนของนางตอนนี้เลือดน่าจะเกาะกันเป็นก้อนหรือไม่ก็คงน่าสยดสยองจนเห็นเนื้อด้านใน สภาพของนางเป็นเช่นนี้ ขนาดตัวนางเองยังรู้สึกรังเกียจเลย แล้วจะปล่อยให้ต้วนเฉินเซวียนเห็นได้อย่างไรเล่า

 

 

“อื้ม” ต้วนเฉินเซวียนขมวดคิ้วแล้วก้มหน้าลงคล้ายครุ่นคิดบางอย่าง จากนั้นจึงสาวเท้าก้าวเดินออกจากห้องไป

 

 

“อวิ้นเอ๋อร์ เจ้าพูดความจริงกับแม่เถิด เจ้าได้แผลนี้มาได้อย่างไร!” เมื่อต้วนเฉินเซวียนเดินออกไปแล้ว อันเพ่ยอิงก็รู้สึกอดรนทนไม่ไหวอีกต่อไปจึงโพล่งถามออกมา “เกี่ยวข้องกับเจ้าเด็กต้วนนั่นด้วยใช่หรือไม่ เขาเป็นคนผลักลูกใช่ไหม เจ้าห้ามโกหกแม่เด็ดขาด! สภาพของเจ้าเป็นเช่นนี้ไปแล้ว เช่นนั้นอย่าได้ปิดบังอะไรอีกเลย!” เมื่อครู่นี้ที่นางไม่ได้ถามต้วนเฉินเซวียนออกไปตรงๆ นั่นเป็นเพราะนางเห็นแก่หน้าของเกาอู่เตี๋ย

 

 

เพราะหากทำให้ต้วนเฉินเซวียนรู้สึกไม่ดี นั่นก็เท่ากับเป็นการทำให้เกาอู่เตี๋ยรู้สึกไม่ดีไปด้วย ดังนั้น นางจึงพยายามอดทนรอให้ต้วนเฉิเซวียนออกไปก่อนแล้วค่อยแสดงอาการออกมา

 

 

“ไม่ใช่เจ้าค่ะ ท่านแม่” ซูเหลียนอวิ้นจับมือของอันเพ่ยอิง “เป็นลูกเองที่ไม่ระวังจนผลัดตกลงมาจากหลังม้า ไม่มีอะไรข้องเกี่ยวกับต้วนเฉินเซวียนแม้แต่น้อย ท่านแม่อย่าคิดมากไปเลย แต่สุดท้ายแล้วคนที่ช่วยลูกเอาไว้คือต้วนเฉินเซวียนจริงๆ เจ้าค่ะ”

 

 

“ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับเขาแม้แต่น้อยเลยหรือ?” อันเพ่ยอิงมองซูเหลียนอวิ้นที่กำลังก้มหน้าหลบ แล้วเอ่ยถามต่อด้วยความสงสัย

 

 

“จริงเจ้าค่ะ” ซูเหลียนอวิ้นหลบตา  เรื่องราวในวันนี้คล้ายว่าไม่ได้เกี่ยวอะไรกับต้วนเฉินเซวียนจริงๆ กระมัง?  เพราะนางเป็นคนตามเขาไปเองสุดท้ายจึงตกลงจากหลังม้าเพราะความประมาท เฮ้อ…

 

 

“ตามใจเจ้าก็แล้วกัน!” เมื่ออันเพ่ยอิงเห็นว่าไม่สามารถเปิดปากลูกสาวของตนได้ได้จึงเกิดความรู้สึกขุ่นเคือง แล้วแสดงอาการไม่พอใจด้วยการยกแขนเสื้อของซูเหลียนอวิ้นอย่างลวกๆ จากนั้นจึงนำยาโรยลงไปบนแผลแล้วเอ่ยต่อว่า “อวิ้นเอ๋อร์ เจ้าว่าเจ้า เฮ้อ…” นางจพูดอย่างไรดี? เพราะทั้งไม้อ่อนและไม้แข็ง นางล้วนพูดตักเตือนไปหลายรอบต่อลายรอบแล้ว แล้วผลสุดท้ายเป็นอย่างไรเล่า

 

 

แม้ว่าท่าทางของคุณชายต้วนนั้นจะ…อันเพ่ยอิงอดไม่ได้ที่จะส่ายหน้า นางแก่ไปแล้วกระมังถึงได้มองไม่ออก เพราะท่าทางรังเกียจหยิ่งผยองของต้วนเฉินเซวียนนางเคยเห็นมาก่อน ทว่าใบหน้าร้อนใจของต้วนเฉินเซวียนตอนที่อุ้มซูเหลียนอวิ้นมานั้น…ดูคล้ายว่าเขาไม่ได้แสร้งทำ

 

 

แต่ของพวกนั้นเป็นของที่มองไม่เห็นและสัมผัสไม่ได้ ดังนั้นสิ่งที่มองไม่ได้ด้วยตาจะให้เชื่อใจได้อย่างไร

 

 

ช่างเถิด  อันเพ่ยอิงถอนใจ หากเปรียบเทียบกันแล้วการใส่ใจกับเรื่องราวที่ไม่รู้ว่าจริงหรือไม่พวกนั้น มิสู้ใส่ใจกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นจริงแล้วจะดีกว่า เพราะลูกสาวที่รักของนางได้รับบาดเจ็บในตอนนี้คือเรื่องที่เกิดขึ้นจริง

 

 

“เอาล่ะเสร็จแล้ว อวิ้นเอ๋อร์ มีตรงไหนที่ยังเจ็บอยู่อีกหรือไม่” อันเพ่ยอิงใส่ยาเรียบร้อยแล้วเป่าเบาๆ ไปที่แผล “ยังมีตรงไหนรู้สึกเจ็บ บอกแม่มาได้เลย อย่ามัวแต่อดทนเอาไว้ เพราะหากอดทนจนทำให้เจ็บหนักขึ้นมานั่นจะกลายเป็นเรื่องใหญ่!”

 

 

“ไม่มีแล้วเจ้าค่ะ” ซูเหลียนอวิ้นพยายามขยับตัว “เหมือนจะไม่มีตรงไหนเจ็บอีกแล้ว…?” เนื่องจากฝีมือของหมอหลวงไม่ใช่สิ่งที่ควรตั้งคำถามส่งๆ ดังนั้นแผลที่ไม่ได้อยู่ใต้ร่มผ้าของนาง เช่นบริเวณเท้าและที่อื่นๆ ล้วนได้รับการรักษาหมดแล้ว

 

 

“อวิ้นเอ๋อร์ พี่เข้าไปได้ไหม” เสียงหยั่งเชิงถามของซูมั่วเยี่ยดังเข้ามาจากข้างนอกม่าน

 

 

“เข้ามาได้เจ้าค่ะท่านพี่” เสียงของซูเหลียนอวิ้นยังคงแหบแห้งเหมือนอย่างเคย “เข้ามาเถิดเจ้าค่ะ” “มา ดื่มน้ำสักหน่อย” ซูมั่วเยี่ยยื่นถุงที่บรรจุน้ำไว้ให้นาง “ดื่มช้าๆ เดี๋ยวจะสำลัก”

 

 

ซูเหลียนอวิ้นดื่มน้ำอึกๆ จนหมดไปครึ่งถุงถึงจะทำให้อาการแสบคอของตนบรรเทาลงได้ จากนั้นจึงเช็ดปากแล้วเอ่ยว่า “เจ้าค่ะ น้องดื่มพอแล้ว”

 

 

“เจ้ายังอยากได้อะไรเพิ่มอีกหรือไม่ น้องหญิงเพียงเอ่ยปากมาก็พอ”

 

 

“ไม่มีแล้วเจ้าค่ะ” ซูเหลียนอวิ้นส่ายหน้า “น้องอยากนอนพักสักตื่นหนึ่ง”

 

 

 

 

 

 

“ตกลง อย่างนั้นพี่จะอุ้มเจ้าไปนอนพักที่กระโจมของพวกเรา” ซูมั่วเยี่ยโน้มตัวลง “เพราะตรงนี้…ไม่ใช่ที่ที่เหมาะจะอยู่นานๆ ” บริเวณของผู้บาดเจ็บ แค่ได้ยินก็รู้สึกได้ถึงความไม่เป็นมงคลอย่างยิ่งแล้ว!

 

 

ซูเหลียนอวิ้นไม่ได้ต่อต้าน และยอมให้ซูมั่วเยี่ยจึงอุ้มนางขึ้นมา ยังไม่ต้องพูดถึงสภาพแวดล้อมของกระโจมนี้ว่าเป็นอย่างไร ตอนนี้มีเพียงแค่อย่างเดียวคือนางรู้สึกไม่พอใจและอยากจะรีบกลับไปยังกระโจมของตนเองให้เร็วที่สุด!

 

 

เนื่องจากเตียงที่นางกำลังนอนอยู่นั้น…มีที่นอนแข็งโป๊ก มิเช่นนั้นแล้วลำพังแค่ฟังเสียงคนทะเลาะกันนางจะตื่นขึ้นมาได้อย่างไร แต่นั่นเป็นเพราะที่นอนนี้แข็งเกินไป ดังนั้นหากให้นางนอนอยู่ที่นี่นางก็คงนอนไม่หลับ

 

 

อันเพ่ยอิงเปิดม่านขึ้นเพื่อให้ซูมั่วเยี่ยเดินออกไปก่อน เนื่องจากซูมั่วเยี่ยกำลังอุ้มลูกของนางอยู่ ดังนั้นมือทั้งสองข้างจึงไม่อาจทำอย่างอื่นเพิ่มได้อีก

 

 

“ต้วนเฉินเซวียน เหตุใดเจ้าถึงยังยืนอยู่ตรงนี้?” ดวงตาเหยี่ยวของซูมั่วเยี่ยหรี่เล็ก “หมัดเมื่อครู่ที่เจ้าโดนคงเบาเกินไปกระมัง ถึงได้มายืนวอนหาหมัดอยู่ตรงนี้อีก?”

 

 

เห็นได้ชัดว่าซูเหลียนอวิ้นเองก็คิดไม่ถึงว่าต้วนเฉินเซวียนจะยืนรออยู่บริเวณด้านนอกมาตลอด ตอนนั้นเองสมองของนางจึงสั่งการให้นางแสดงสีหน้าดีใจออกมาอย่างไม่ลังเล

 

 

ทว่าในอีกหนึ่งวินาทีถัดมา นางก็รีบซุกหน้าของตนเข้าไปอยู่ในอกของซูมั่วเยี่ย แล้วไม่ยอมโผล่หน้าออกมาอีก

 

 

นางยังคงไม่ลืม…สภาพของนางตอนนี้! ศีรษะของนางถูกพันไว้ด้วยผ้าผันแผล นางรีบหายตัวไปจากตรงนี้ก่อนจะดีกว่า! รอให้นางหายดีก่อนแล้วค่อยไปเจอต้วนเฉินเซวียนก็ยังไม่สาย!

ลิขิตกลกาล

ลิขิตกลกาล

Score 10
Status: Completed

ตอนที่ 1 – 132 อ่านนิยาย

(อ่านตอนต่อไปด้านล่าง)


ฉู่ชาติที่แล้วบุตรีแม่ทัพผู้ยิ่งใหญ่อย่าง ซูเหลียนอวิ้น มอบใจทั้งดวงให้คุณชายสืบทอดแห่งจวนโหว
ต้วนเฉินเซวียน ผู้เป็นที่เลื่องลือด้านความเลือดเย็นไร้หัวใจมาตั้งแต่แรกพบเมื่อครั้งเยาว์วัย
เพียรพยายามทำทุกวิถีทางให้เขารู้ว่านางมีใจ

เขาเฉยชาใส่นาง ไม่เป็นไร นางหาได้ท้อไม่

แต่ทว่าด้วยเพราะความเข้าใจผิด เขากลับเป็นผู้ปลิดชีวิตนาง ยามนี้เมื่อนางได้โอกาสกลับมาเกิดใหม่ ไหนเลยจะเลือกเดินตามเส้นทางเดิมอีก ด้วยกลัวต้องมีจุดจบถูกเขาฆ่าตายเป็นครั้งที่สอง ซูเหลียนอวิ้นจึงตัดสินใจเปลี่ยนตัวเองให้เป็นคนใหม่ที่เข้มแข็งและโดดเด่นกว่าเดิม ทั้งยังพยายามหลบลี้หนีหน้าเขาให้ไกล ทว่าเหตุไฉนคนใจร้ายผู้นั้นจึงได้เปลี่ยนไปเป็นฝ่ายเข้าหานางเสียเองเล่า!

Options

not work with dark mode
Reset