ลิขิตกลกาล 197 แต่งงาน

ตอนที่ 197 แต่งงาน

 

 

“ไม่มีปัญหา” เยียลี่ว์เยี่ยนตอบรับเสียงเรียบ “ข้าพึงใจนางก็พอแล้วมิใช่หรือ แม้ว่าอวิ้นเอ๋อร์จะมีด้านที่ซุกซน ข้าก็เต็มใจยอมรับ”

 

 

อันเพ่ยอิง “…”

 

 

แย่แล้ว แย่แล้ว ขนาดอยู่ต่อหน้าคนเป็นแม่แท้ๆ ยังกล้าพูดแบบนี้!   เห็นได้อย่างชัดเจนว่าคนอย่างเยียลี่ว์เยี่ยนจะต้องชำนาญในการหว่านเสน่ห์ไปทั่วแน่! อย่างนี้ยิ่งไม่เข้าท่าไปใหญ่

 

 

“แต่เรื่องเช่นนี้ โดยปกติแล้วคนทั้งสองต้องพึงพอใจกันเป็นสำคัญมิใช่หรือ” อันเพ่ยอิงก้มหน้าหลบสายตาของเยียลี่ว์เยี่ยนตอนนี้ เพราะสายตาสุกสกาวของเขาแทบจะเผาใบหน้าของนางจนละลายหมดสิ้น

 

 

 “จริงหรือ แต่จากที่ข้าเคยได้ยินข่าวมา คุณหนูซูมิได้มีชายในดวงใจหรือเพื่อนชายที่สนิทสนมเลยสักคนด้วยซ้ำ? เช่นนั้นก็หมายความว่าโอกาสของข้ามีค่อนข้างมากทีเดียว

 

 

“ข้าคิดว่า หากฮูหยินให้โอกาสข้า ข้าจะต้องทะนุถนอมดูแลคุณหนูซูเป็นอย่างดี”

 

 

“อย่างนั้นหรือ…” ตอนนั้นเองที่จู่ๆ อันเพ่ยอิงเริ่มรู้สึกรำคาญใจ คนผู้นี้ทำอย่างไรก็ไม่เข้าใจอะไรเลย? เขาฟังคำพูดและอ่านสายตาของนางไม่ออกหรือ นางแสดงท่าทีเมินเฉยต่อเขาถึงเพียงนี้แล้ว ทำไมถึงยังตื๊อไม่เลิกอยู่อีก”

 

 

“ขอรับ” เยียลี่ว์เยี่ยนตอบรับหนักแน่น “หวังว่าฮูหยินจะพิจารณาความเห็นของข้าดูอีกที หากข้าได้แต่งงานกับคุณหนูซู ข้าจะต้องตบแต่งเป็นพระชายาอย่างสมเกียรติ และจะใช้ทั้งชีวิตของข้ารักและทะนุถนอมนาง”

 

 

 “ตอนนี้ก็ดึกมากแล้ว ข้าขอตัวก่อน” เยียลี่ว์เยี่ยนเงยหน้ามองไปที่หน้าต่าง “ฮูหยินมิต้องไปส่งข้าหรอก”

 

 

ผู้ใดอยากจะไปส่งเจ้ากัน  อันเพ่ยอิงไม่ชอบใจ นางยังไม่ได้ขยับตัวเลยแม้แต่นิดเดียว หากจะแอบชอบผู้อื่นก็ไม่ควรแอบชอบมากถึงขั้นนี้!

 

 

“ฮูหยิน เขาไปแล้วหรือ” หลังจากที่อันเพ่ยอิงย่างก้าวช้าๆ กลับไปถึงห้องนอน ซูปั๋วชวนก็พุ่งทะยานเข้ามาหานางทันที “คนผู้นั้นพูดอะไรกับเจ้าบ้าง”

 

 

การให้เขารออยู่ที่นี่เขาก็ลำบากใจไม่น้อยเช่นกัน! เพราะอันเพ่ยอิงเอ่ยปากแล้วว่าไม่ให้เขาไป…ดังนั้นแม้ว่าใจเขาจะร้อนรุ่มด้วยความอยากรู้อยากเห็น ทว่าเขาก็ทำได้เพียงอดทนเท่านั้น เขาพยายามอย่างยิ่งที่จะควบคุมขาทั้งสองข้างของตัวเองเอาไว้ไม่ให้ตัวเองเข้าไปก้าวก่าย

 

 

 “เป็นอย่างที่ท่านว่ามิมีผิด” อันเพ่ยอิงอารมณ์เดือดปุดๆ “คงคิดว่าตัวเองวิเศษมากล่ะสิท่า คิดว่ามาขอแต่งงานแล้วพวกเราจะต้องยอมยกอวิ้นเอ๋อร์ให้งั้นรึ อย่าประเมินตัวเองสูงไปนักเลย!”

 

 

“เขากล้าพูดอย่างนี้เลยหรือ” ซูปั๋วชวนโมโหจนเอามือทุบโต๊ะอย่างแรง “เจ้าเด็กน้อยนี่ หนวดยังไม่ทันยาวเลยกลับกล้าจองหองถึงเพียงนี้เชียว!”

 

 

“เอาล่ะ” อันเพ่ยอิงดึงซูปั๋วชวนมานั่งลงข้างๆ ตน แล้วถือโอกาสแอบสำรวจไปด้วยว่าเขามีแผลจากการกระทำเมื่อครู่หรือไม่ เมื่อนางพบว่าเขาไม่มีบาดแผลใดจึงเอ่ยว่า “ตอนนี้เรื่องพวกนั้นล้วนมิสำคัญ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ พวกเราจะรับมือกับปัญหานี้อย่างไรดี

 

 

“วันนี้ข้ารับหน้าไปก่อนแล้ว แล้ววันหน้าเล่า ไม่ว่าจะอย่างไรเยียลี่ว์เยี่ยนก็เป็นถึงองค์ชายทั้งยังเป็นองค์ชายจากต่างเมืองอีกด้วย นั่นยิ่งทำให้สถานะของเขายิ่งพิเศษขึ้น และพวกเรามิอาจทำให้เกิดความขัดแย้งระหว่างเมืองเกิดขึ้นได้”

 

 

“อันเพ่ยอิง เจ้าว่าเราควรทำอย่างไร พวกเรา…” ซูปั๋วชวนแสดงท่าทางไม่รู้สึกรู้สาอะไรตอนที่อันเพ่ยอิงสำรวจมือของตน ทว่าในใจของเขาเดือดพล่านดั่งน้ำที่เดือดปุดๆ อยู่ในหม้อต้มที่พร้อมจะปะทุออกมาตลอดเวลา

 

 

ตั้งแต่โบราณกาลเป็นต้นมาขุนนางไม่เคยต่อสู้กับประชาชน แม้ว่าซูปั๋วชวนจะเป็นขุนนาง แต่ฝ่ายตรงข้ามเป็นเชื้อพระวงศ์ ไม่ว่าจะอย่างไรพวกตนก็มีศักดิ์ต่ำกว่า

 

 

ยังมีอีกเรื่องหนึ่งคือตอนนี้สถานการณ์ของเมืองเล็กๆ โดยรอบนั้นไม่สงบนัก แม้ว่าดูจากภายนอกแล้วจะยังสวามิภักดิ์กับต้าชั่วอยู่ ทว่าในความคิดของพวกเขานั้นเห็นได้ชัดเจนว่าหากมีเรื่องอะไรเกิดขึ้น พวกเขาจะเป็นฝ่ายเริ่มโจมตีก่อน ดังนั้นหากเมืองเยียลี่ว์กับต้าชั่วขัดแย้งกันขึ้นมา พวกเมืองเล็กๆ เหล่านั้นคงจะใช้โอกาสนี้กวนน้ำให้ขุ่นแน่นอนกระมัง

 

 

อย่างนั้นคงจะ…อีกอย่างนับแต่อดีตเป็นต้นมา เรื่องที่สตรีมักจะเป็นตัวช่วยให้ความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศมั่นคงแน่นแฟ้นนั้นเป็นเรื่องปกติและมักจะได้รับการสรรเสริญว่าเป็นผู้กล้าหาญ

 

 

ทว่าเรื่องของคนอื่นเขาช่วยไม่ได้ แต่ครั้งนี้ถึงคราวลูกสาวของตัวเขาเอง เช่นนั้นนี่ก็ถึงเวลาที่เขาจะลุกขึ้นมาปกป้องซะแล้ว! สรุปแล้วคือเขาไม่ยอมอย่างเด็ดขาด!

 

 

“ท่านแม่ทัพขอรับ” ขณะนั้นมีทหารผู้น้อยคนหนึ่งเดินเข้ามา

 

 

“มีอะไรรึ” ซูปั๋วชวนมองไปยังทหารชั้นผู้น้อยตรงหน้าแล้วขมวดคิ้วแน่น “ที่ค่ายเกิดเรื่องอะไรขึ้นรึ” มีแต่เรื่องวุ่นวายเรียงหน้ากันเข้ามาหาเขาไม่ได้หยุด ปกติก็ไม่เห็นจะมีเรื่องอะไร ตอนนี้พอมีเรื่องหนึ่งเกิดขึ้นปัญหาต่างๆ ก็เริ่มเรียงหน้ากันเข้ามาหาเขาอย่างนี้หรือ

 

 

“ฝ่าบาททรงรับสั่งให้ท่านเข้าเฝ้าตอนนี้ขอรับ”

 

 

“ฝ่าบาท?” คิ้วของซูปั๋วชวนคลายออก “ได้ ข้าขอเตรียมตัวสักหน่อยแล้วจะตามไป”

 

 

เขาลืมไปได้อย่างไร! ฮ่องเต้รัชสมัยปัจจุบันมิได้เป็นเหมือนอย่างองค์ก่อนที่เอาแต่เก็บเรื่องต่างๆ เอาไว้แล้วกล้ำกลืนฝืนทนทุกอย่างไว้ในใจอีกแล้ว

 

 

พระองค์มีพระพลานามัยแข็งแรงและมีความปรารถนาแรงกล้าที่จะจัดการเรื่องทุกอย่างอย่างตรงไปตรงมา ดังนั้นสำหรับเรื่องการแต่งงานเรื่องนี้แล้ว ซูปั๋วชวนคิดว่า ลี่หยวนตี้ผู้นี้จะเป็นคนแรกที่ตอบปฏิเสธ!

 

 

เพราะสำหรับเมืองต้าชั่วแล้ว ยังไม่ได้ตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากถึงขั้นต้องใช้การแต่งงาน

 

 

“ท่านจะทำอะไรก็ตามต้องระวังตัวไว้ด้วย” อันเพ่ยอิงลุกขึ้นยืนแล้วช่วยจัดแจงเครื่องแต่งกายของซูปั๋วชวน ในความคิดของอันเพ่ยอิง คำพูดที่ว่าการยืนอยู่ข้างราชันย์เปรียบดั่งยืนอยู่ข้างราชสีห์นั้นเป็นสิ่งที่หยั่งรากลึกอยู่ในความคิดนางอย่างไม่เคยเปลี่ยนแปลง

 

 

ดังนั้นไม่ว่าลี่หยวนตี้จะมีท่าทีไว้ใจขุนนางอย่างซูปั๋วชวนมากเท่าใด ไม่ว่าจะให้ความสำคัญมากแค่ไหน ในใจของนางกลับแอบหวาดหวั่นอยู่ตลอด นั่นเป็นเพราะว่าผู้ใดจะล่วงรู้ว่าอำนาจของตระกูลจะเสื่อมถอยลงไปเมื่อใด

 

 

 

 

 

 

“อย่าห่วงเลย ไม่มีอะไรหรอก” ซูปั๋วชวนค่อยๆ วางมือของอันเพ่ยอิงลงเบาๆ “ฝ่าบาททรงปราดเปรื่อง ไม่มีทางตัดสินพระทัยทำเรื่องอะไรที่ทำร้ายพวกเราได้”

 

 

“อืม ได้” อันเพ่ยอิงหันหน้าไปอีกทาง “ต่อให้ฝ่าบาทจะ…อย่างไรท่านก็ต้องควบคุมอารมณ์ของตัวเองให้ดี ฝ่าบาทก็คือฝ่าบาท พวกเราก็คือพวกเรา อดทนสักหน่อยก็มิใช่เรื่องยากอะไร”

 

 

“อื้ม รอข้าเอาข่าวดีกลับมาฝากเจ้าก็แล้วกัน” ความไม่สบายใจของอันเพ่ยอิงนั้น ซูปั๋วชวนเข้าใจเป็นอย่างดี ทว่าเรื่องบางเรื่องเขาก็ไม่สามารถอธิบายทุกอย่างได้

 

 

ณ วังหลวง

 

 

“ฝ่าบาท” ซูปั๋วชวนคุกเข่าบนพื้นทำความเคารพลี่หยวนตี้ที่กำลังประทับอยู่บนโต๊ะทรงหนังสือ

 

 

“ขุนนางที่รักมิต้องมากพิธี” ลี่หยวนตี้เอ่ยด้วยพระพักตร์ยิ้มแย้ม “ลุกขึ้นเถิด”

 

 

“พะย่ะค่ะ ฝ่าบาท”

 

 

“อันที่จริงแล้วจุดประสงค์ที่ข้าเรียกขุนนางซูมาในครั้งนี้ เจ้าคงพอทราบเรื่องคร่าวๆ มาบ้างแล้วกระมัง”

 

 

“กระหม่อม…ทราบแล้ว” ซูปั๋วชวนก้มหน้า น้ำเสียงของเขาแสดงการหยั่งเชิงอย่างชัดเจน “แต่ความตั้งใจของกระหม่อม ฝ่าบาททรง…” ไม่ว่าจะอย่างไร เรื่องนี้ก็เป็นเรื่องของสตรีนางหนึ่งก็เท่านั้น ดังนั้นไม่ว่าก่อนที่ซูปั๋วชวนจะมาถึงที่นี่จะมีความมั่นใจมากเพียงใด แต่เหตุการณ์ตอนนี้กลับเปลี่ยนแปลงความคิดเหล่านั้นไปหมด

 

 

“ข้าเองก็มีความเห็นเช่นเดียวกับเจ้า” ลี่หยวนตี้ตรัสขึ้น “อวิ้นเอ๋อร์ ข้าเองก็เคยเห็นหน้ามาก่อน นางเป็นเด็กน่ารัก ดังนั้นข้าเองก็รู้สึกเอ็นดูนางอยู่เช่นกัน อีกอย่างอวิ้นเอ๋อร์เองก็เพิ่งจะผ่านพิธีปักปิ่นมาได้ไม่นานมิใช่หรือ ดังนั้นเจ้าจะต้องกังวลอยู่ไม่น้อยหากจะต้องยกลูกสาวที่รักให้คนอื่นไป”

 

 

“กระหม่อม ไม่ยอมอย่างเด็ดขาด!”

 

 

“ขุนนางที่รัก เจ้าจงวางใจ ข้าไม่มีทางตบปากรับคำยกอวิ้นเอ๋อร์ให้ผู้ใดอย่างแน่นอน แต่…”

ลิขิตกลกาล

ลิขิตกลกาล

Score 10
Status: Completed

ตอนที่ 1 – 132 อ่านนิยาย

(อ่านตอนต่อไปด้านล่าง)


ฉู่ชาติที่แล้วบุตรีแม่ทัพผู้ยิ่งใหญ่อย่าง ซูเหลียนอวิ้น มอบใจทั้งดวงให้คุณชายสืบทอดแห่งจวนโหว
ต้วนเฉินเซวียน ผู้เป็นที่เลื่องลือด้านความเลือดเย็นไร้หัวใจมาตั้งแต่แรกพบเมื่อครั้งเยาว์วัย
เพียรพยายามทำทุกวิถีทางให้เขารู้ว่านางมีใจ

เขาเฉยชาใส่นาง ไม่เป็นไร นางหาได้ท้อไม่

แต่ทว่าด้วยเพราะความเข้าใจผิด เขากลับเป็นผู้ปลิดชีวิตนาง ยามนี้เมื่อนางได้โอกาสกลับมาเกิดใหม่ ไหนเลยจะเลือกเดินตามเส้นทางเดิมอีก ด้วยกลัวต้องมีจุดจบถูกเขาฆ่าตายเป็นครั้งที่สอง ซูเหลียนอวิ้นจึงตัดสินใจเปลี่ยนตัวเองให้เป็นคนใหม่ที่เข้มแข็งและโดดเด่นกว่าเดิม ทั้งยังพยายามหลบลี้หนีหน้าเขาให้ไกล ทว่าเหตุไฉนคนใจร้ายผู้นั้นจึงได้เปลี่ยนไปเป็นฝ่ายเข้าหานางเสียเองเล่า!

Options

not work with dark mode
Reset