ลิขิตกลกาล 113 คราบน้ำตา

ตอนที่ 113 คราบน้ำตา

“แต่หรงซู่เป็นเพียงคนเดียวที่รอดชีวิตจากเหตุการณ์ไฟไหม้ใหญ่ครั้งนั้น” หนานกงมู่เสวี่ยเอ่ยขึ้นเรียบๆ 

 

 

ซูเหลียนอวิ้นฟังจนสติหลุดลอย นางก้มหน้าแล้วพึมพัมกับตัวเอง “นี่เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อสิบห้าปีก่อน นั่นก็หมายความว่า ท่านอาจารย์ในตอนนั้น…อายุเพียงห้าขวบ…” 

 

 

เด็กน้อยอายุห้าขวบสูญเสียคนในครอบครัวทั้งหมดไปภายในคืนเดียว ความเจ็บปวดขนาดนั้น ท่านอาจารย์ผ่านมันมาได้อย่างไร? 

 

 

“เฮ้อ เรื่องนี้เกิดขึ้นตอนเขาอายุได้เพียงห้าขวบ” หนานกงมู่เสวี่ยลุกขึ้นยืนพิงหน้าต่างโดยไม่สนใจสีหน้าของซูเหลียนอวิ้นอีก “แต่ก็ยังดีที่เขารู้เรื่องราวนี้หลังจากเหตุการณ์ผ่านไปสิบปีให้หลัง ดังนั้นเขาจึงไม่ได้อ่อนแออย่างที่เจ้าคิด” 

 

 

“ตอนที่เขาอายุได้ห้าขวบ เขาถูกส่งตัวมาอยู่กับท่านอาจารย์หลิงอวิ๋นนักบวชเต๋าของพวกเราเพื่อเรียนศิลปะต่างๆ และด้วยเหตุนี้เองที่ทำให้เขารอดพ้นจากหายนะครั้งนั้น” หนานกงมู่เสวี่ยหัวเราะเบาๆ 

 

 

“แต่ว่า…” ซูเหลียนอวิ้นตั้งท่าจะเอ่ยปากจากนั้นก็หุบปากลงอย่างเงียบๆ อีกครั้ง ทำไมนางถึงมีความรู้สึกว่าหนานกงมู่เสวี่ยเล่าเรื่องราวเพียงครึ่งเดียวเท่านั้น? เหมือนนางพยายามตัดเรื่องบางอย่างที่สำคัญออกไป ไม่ยอมเล่าให้นางฟัง 

 

 

หนานกงมู่เสวี่ยเอามือสัมผัสแจกันดอกไม้บนโต๊ะแล้วมองลวดลายที่สลับซับซ้อนของมัน แววตาของนางค่อยๆ ล้ำลึกมากขึ้น 

 

 

“อวิ้นเอ๋อร์!” เสียงอันคุ้นเคยดังขึ้นจากด้านนอกประตู 

 

 

“ท่านอาจารย์! เขามาแล้วจริงๆ!” ซูเหลียนอวิ้นลุกพรวดขึ้นแล้วเดินไปยังประตูอย่างรวดเร็ว “ซูเหลียนอวิ้น!” หนานกงมู่เสวี่ยย่อมได้ยินเสียงเรียกนั้นด้วยอย่างแน่นอน เมื่อเห็นว่าซูเหลียนอวิ้นกำลังจะทะยานออกจากห้องไปทันทีก็รีบรั้งนางเอาไว้อย่างทันท่วงทีแล้วส่ายหน้าแล้วเอ่ยๆ เบาๆ ว่า “เจ้าอย่าเพิ่ง…บอกหรงซู่ว่าข้าอยู่ที่นี่” 

 

 

“ตกลง…” ซูเหลียนอวิ้นพยักหน้า “ข้าไม่พูดหรอก” 

 

 

ซูเหลียนอวิ้นเดินออกจากห้องไปแล้วมองไปยังหรงซู่ที่ยืนอยู่ไม่ไกลนัก ในตอนนั้นเองจึงรู้สึกว่าดวงตาของตนมีบางสิ่งที่อุ่นๆ ไหลออกมา 

 

 

“อวิ้นเอ๋อร์ โตเป็นสาวแล้วนะ” หรงซู่ยืนอยู่ใต้ต้นสาลี่พลางยิ้มให้ซูเหลียนอวิ้นที่ยังอยู่ใต้ชายคาบ้าน สายตาของเขาเปี่ยมความเอ็นดู 

 

 

“ท่านอาจารย์…” เสียงของซูเหลียนอวิ้นสั่นเครือ เนื่องจากหลังจากที่นางเห็นหรงซู่แล้ว คำพูดต่างๆ ที่หนานกงมู่เสวี่ยเล่าให้นางฟังคล้ายดังลอยขึ้นมาที่หูนางอีกครั้ง 

 

 

ท่านอาจารย์ ความทุกข์สาหัสใหญ่หลวงเช่นนั้น ทำไมท่านถึง… 

 

 

“ท่านอาจารย์!” ซูเหลียนอวิ้นรีบโผเข้าหาหรงซู่แล้วจ้องหน้าของเขาอยู่พักหนึ่ง จากนั้นก็กระโจนเข้าอกหรงซู่แล้วร้องไห้ 

 

 

ด้านในห้อง หนานกงมู่เสวี่ยยืนอยู่ริมหน้าต่างมองดูซูเหลียนอวิ้นโผเข้าสู่อกของหรงซู่ ในใจจึงเกิดความรู้สึกบางอย่างขึ้น จากนั้นจึงกำมือของตัวเองแน่น 

 

 

ทว่าเมื่อสังเกตดูดีๆ อีกครั้ง สายตาของเขาเต็มไปด้วยความเมตตา ความเอ็นดู ทว่าความรู้สึกเดียวที่ไม่เห็นคือความรัก ดังนั้นความรู้สึกกังวลในใจของหนานกงมู่เสวี่ยจึงค่อยๆ คลายลงได้บ้าง 

 

 

ยังดีๆ … 

 

 

“อวิ้นเอ๋อร์?” เมื่อหรงซู่โดนซูเหลียนอวิ้นวิ่งเข้าใส่เต็มแรงเช่นนั้นทำให้ถอยหลังไปสองสามก้าว จากนั้นจึงมองหญิงสาวที่กำลังกอดตนอยู่แถมยังซุกหน้าร้องไห้อยู่ตรงอกก็ไม่ทั้งนึกโมโหและอยากขำ แต่เมื่อเห็นซูเหลียนอวิ้นร้องไห้อย่างเศร้าสลดเช่นนั้น ความรู้สึกที่อยากจะหัวเราะนั้นก็ค่อยๆ จางหายไป 

 

 

หรงซู่จึงยื่นมือออกไปลูบผมของซูเหลียนอวิ้น “เป็นอะไรไปหรือ? โตเป็นสาวขึ้นอีกปี มันน่าเศร้าขนาดนั้นเชียวหรือ?” 

 

 

“ไม่ใช่สักหน่อย!” ซูเหลียนอวิ้นซุกหน้าเข้าไปในอกของหรงซู่แล้วพูดเสียงอู้อี้ขึ้นว่า “ข้าแค่…รู้สึกอ่อนไหวขึ้นมาบ้างไม่ได้เลยหรือ?” 

 

 

“ได้สิๆ จะอ่อนไหวก็แล้วแต่เจ้าเถิด” เมื่อหรงซู่เห็นซูเหลียนอวิ้นพุ่งเข้าใส่อย่างกะทันหันเช่นนั้น รอยยิ้มที่มุมปากก็ยิ่งปรากฏชัดขึ้น “แต่อวิ้นเอ๋อร์ ไม่ว่าเจ้าจะรู้สึกเศร้าหรือว่าอะไรก็ตาม อันที่จริงก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับข้า แต่น้ำตาของเจ้า…หากเจ้ายังไม่ยอมเอาหน้าออกไป อาจารย์เกรงว่าชุดสองพันตำลึงของข้าชุดนี้จะเปื้อนเอาได้ อวิ้นเอ๋อร์หากเป็นเช่นนั้นเจ้าจะช่วยชดใช้ให้ข้าด้วยหรือไม่?” 

 

 

ซูเหลียนอวิ้นกล่าวอย่างใจเย็นว่า “ท่านอาจารย์ ฝันไปเถอะ! ข้าว่าท่านต้องการขูดรีดเอาชุดใหม่จากข้ามากกว่ากระมัง! เพ้อเจ้อ!” ไม่ว่าเรื่องอะไรก็เป็นเงินเป็นทองไปหมด จะไม่ให้ซูเหลียนอวิ้นไม่ใจเย็นคงไม่ได้ 

 

 

เนื่องจากต้วนเฉินเซวียนเดินไปพลางครุ่นคิดไปที่อยู่ด้านหน้าเรือน เพียงครู่เดียวเขาก็เดินเข้ามาภายในเรือนของซูเหลียนอวิ้น เขาจะหาเหตุผลอะไรที่น่าเชื่อถือได้ เพราะทุกคนต่างรู้ดีว่าเขาไม่ค่อยชอบซูเหลียนอวิ้นมากนัก ดังนั้นฝีก้าวของเขาจึงช้ากว่าหรงซู่อยู่หลายก้าว 

 

 

แต่เนื่องเพราะเขาเดินช้ากว่าอยู่สองสามก้าวนั้น เป็นเหตุให้เขาเห็นภาพของซูเหลียนอวิ้นซุกอยู่ในอกของหรงซู่เมื่อเขาเดินถึงกลางเรือน 

 

 

“ซู เหลียน อวิ้น!” ต้วนเฉินเซวียนกัดฟันเอ่ยปากขึ้น แล้วรีบก้าวเข้ามาพร้อมเอ่ยขึ้น “ซูเหลียนอวิ้น เจ้ารู้สึกละอายบ้างหรือไม่? ลากผู้ชายที่ไหนก็ไม่รู้มากอด? เจ้า…” 

 

 

ซูเหลียนอวิ้นตัวแข็งทื่อ เพราะนางได้ยินเสียงของต้วนเฉินเซวียนอย่างมิได้คาดคิดมาก่อน นางตกใจจนแทบจะลืมร้องไห้ไปเลยด้วยซ้ำ! 

 

 

แต่แม้ว่านางจะกำลังตื่นตระหนก แต่ท่าทางของนางยังคงเดิมแล้วกล่าวออกไปว่า “เกี่ยวอะไรกับเจ้าด้วย! ข้าจะกอดใครแล้วมันเรื่องอะไรของเจ้า! ข้าไม่ได้กอดท่านสักหน่อย! อีกอย่าง นี่ใช่คนแปลกหน้าเสียที่ไหน? ท่านเป็นใครถึงมาตำหนิข้า!” นางจะยอมเขาทำไมกัน ตอนนี้ท่านอาจารย์ยังอยู่ตรงนี้ทั้งคน สองต่อหนึ่ง นางจะต้องกลัวอะไรอีก 

 

 

อีกอย่าง ที่นี่คือเรือนของนาง บ้านของนาง! 

 

 

“ซูเหลียนอวิ้นเจ้ากล้ามากเกินไปแล้ว!” กล้าไม่ฟังคำพูดของเขาแล้วหรือ? แถมยังกล้าตำหนิเขาว่ายุ่งเรื่องคนอื่นต่อหน้าต่อหน้าต่อตาอีก? 

 

 

ดูท่าแล้วช่วงนี้ความกล้าหาญของนางพัฒนาขึ้นมาก ต้วนเฉินเซวียนสูดหายใจเข้าลึก ซูเหลียนอวิ้นที่ปกติเพียงเห็นหน้าเขาก็ยอมว่าง่ายทุกอย่างเป็นการเสแสร้งหรือ? เพราะเขาไม่เคยเห็นว่านิสัยของใครจะเปลี่ยนไปได้ถึงเพียงนี้! ไม่เพียงกล้าตีกล้าต่อยกับคนอื่นแต่ยังกล้าหาเรื่องคนอื่นด้วย 

 

 

ต้วนเฉินเซวียนมองอยู่เป็นเวลาพักหนึ่งแล้ว แต่ซูเหลียนอวิ้นก็ยังคงไม่ยอมผละออกจากหรงซู่ก็ยิ่งโกรธมากขึ้นอีก ทว่าความโกรธเปลี่ยนเป็นรอยยิ้ม เขายิ้มพลางยื่นมือออกมาเพื่อจะดึงพวกเขาทั้งสองคนแยกออกจากกัน้ 

 

 

ซูเหลียนอวิ้นไม่ได้ไม่เต็มใจผละออกจากหรงซู่ แต่เพียงเพราะ…สภาพของนางในตอนนี้ นางสามารถจินตนาการออกได้ว่าเป็นอย่างไร! 

 

 

หน้าตาของนางคงมีน้ำมูกและน้ำตาเปรอะเปื้อนไปทั่วทั้งหน้า สภาพของนางเช่นนี้ ซูเหลียนอวิ้นคิดว่านางยอมตายเสียดีกว่าให้ต้วนเฉินเซวียนมองเห็น! 

 

 

น่าอายเกินไปถูกหรือไม่? อีกอย่างสภาพเช่นนี้จะทำให้เสียภาพลักษณ์จนหมดสิ้น! 

 

 

หรงซู่โอบซูเหลียนอวิ้นเบี่ยงตัวอย่างรวดเร็วเพื่อหลบมือของต้วนเฉินเซวียนคู่นั้น “ศิษย์น้อง ควาเกรี้ยวกราดของเจ้าตอนนี้ทำไมถึงมากนัก? หรือเป็นเพราะว่าอากาศร้อนเกินไป? เรื่องนี้ศิษย์พี่คงต้องสั่งสอนเจ้าบ้างแล้ว เจ้าควรจะรู้…” 

 

 

หรงซู่เริ่มบ่นเขาเจื้อยแจ้วไม่หยุดหย่อน พลางเอามืออีกข้างสะกิดซูเหลียนอวิ้นเพื่อเป็นสัญญาณบอกให้นางลุกออกไปได้แล้ว เพราะจากมุมนี้ต้วนเฉินเซวียนไม่สามารถมองเห็นนางได้แล้ว 

 

 

ซูเหลียนอวิ้นเข้าใจอย่างรวดเร็วจึงรีบผละออกจากหรงซู่ จากนั้นจึงรีบดึงผ้าเช็ดหน้าของตัวเองออกมาเช็ดคราบน้ำตาจนสะอาด เมื่อลองเอามือสัมผัสจนพบว่าไม่มีคราบลื่นอยู่บนใบหน้าแล้วก็ค่อยๆ หันตัวกลับไปเงียบๆ 

 

 

ตอนนี้สายตาของนางที่มองไปยังต้วนเฉินเซวียนเต็มไปด้วยความเย็นชา 

ลิขิตกลกาล

ลิขิตกลกาล

Score 10
Status: Completed

ตอนที่ 1 – 132 อ่านนิยาย

(อ่านตอนต่อไปด้านล่าง)


ฉู่ชาติที่แล้วบุตรีแม่ทัพผู้ยิ่งใหญ่อย่าง ซูเหลียนอวิ้น มอบใจทั้งดวงให้คุณชายสืบทอดแห่งจวนโหว
ต้วนเฉินเซวียน ผู้เป็นที่เลื่องลือด้านความเลือดเย็นไร้หัวใจมาตั้งแต่แรกพบเมื่อครั้งเยาว์วัย
เพียรพยายามทำทุกวิถีทางให้เขารู้ว่านางมีใจ

เขาเฉยชาใส่นาง ไม่เป็นไร นางหาได้ท้อไม่

แต่ทว่าด้วยเพราะความเข้าใจผิด เขากลับเป็นผู้ปลิดชีวิตนาง ยามนี้เมื่อนางได้โอกาสกลับมาเกิดใหม่ ไหนเลยจะเลือกเดินตามเส้นทางเดิมอีก ด้วยกลัวต้องมีจุดจบถูกเขาฆ่าตายเป็นครั้งที่สอง ซูเหลียนอวิ้นจึงตัดสินใจเปลี่ยนตัวเองให้เป็นคนใหม่ที่เข้มแข็งและโดดเด่นกว่าเดิม ทั้งยังพยายามหลบลี้หนีหน้าเขาให้ไกล ทว่าเหตุไฉนคนใจร้ายผู้นั้นจึงได้เปลี่ยนไปเป็นฝ่ายเข้าหานางเสียเองเล่า!

Options

not work with dark mode
Reset