ลำนำบุปผาพิษ 671-672

ตอนที่ 671-672
บทที่ 701 + 702

บทที่ 701 ลิขิตให้ถูกผู้อื่นเหยียดหยามไปชั่วชีวิตใช่ไหม?

ในที่สุดสายตาของตี้ฝูอีก็หันเหมาที่ใบหน้าหลงซือเย่ “ตอนนี้สิ่งที่เจ้าควรใส่ใจที่สุดคือทำอย่างไรถึงจะถอนกระบี่เล่มนี้ได้โดยเร็ว! มิใช่เวลามาซักไซ้เรื่องไร้สาระพวกนั้น! เจ้ามีวิธีหรือไม่?”

ยามนี้เรื่องนี้ถึงจะสำคัญที่สุด เรื่องอื่นล้วนเป็นรองทั้งสิ้น

ช่วยคนก่อนค่อยว่ากันอีกที…

หลงซือเย่หน้าซีด สูดหายใจเฮือกหนึ่งแล้วเอ่ยว่า “วิธีของข้า…เกรงว่าจะไม่ทันการแล้ว กระบี่นี้ต้องดึงออกมาภายในครึ่งชั่วยาม…แถมยัง แถมยังใช้ยาชาระงับความเจ็บปวดไม่ได้ด้วย”

ถึงอย่างไรกู้ซีจิ่วก็มาถึงโลกนี้ยังไม่นานนัก ไม่ทราบว่าสรุปแล้วกระบี่ต้องสาปเล่มนี้เป็นสิ่งของเช่นใด เพียงแต่เมื่อได้ยินบทสนทนาของสองคนนี้เธอก็รู้ว่าผิดปกติแล้ว รีบสอบถามหยกนภาที่อยู่ตรงข้อมือทันที ‘เสี่ยวชาง กระบี่ต้องสาปเล่มนี้คืออะไร?’

หยกนภามีความรู้ทางด้านนี้มากจริงๆ ‘กระบี่ชนิดนี้มิใช่ทั้งทองและเหล็ก มันคือสิ่งที่สร้างจากวัตถุดิบพิเศษบางอย่างหลอมรวมกับคำสาป เมื่อฟันถูกเลือดเนื้อจะทำให้เจ็บปวดมากขึ้นหลายเท่า กระบี่ดูดพลังวิญญาณได้ ผ่านไปครึ่งชั่วยามจะดูดพลังวิญญาณออกไปครึ่งหนึ่ง ผ่านไปหนึ่งชั่วยามจะดูดออกไปทั้งหมด บนกระบี่มีซี่หนาม เมื่อถอนออกจะเกี่ยวเลือดเนื้อชีพจร อย่างหนักคือถึงตาย อย่างเบาคือเป็นอัมพาฒ…’

กู้ซีจิ่วตะลึง

จะอย่างไรเธอก็นึกไม่ถึงว่าอวิ๋นชิงหลัวจะสละกระบี่เล่มนี้ออกมาใช้ในการประลองกับเพื่อนร่วมสำนัก เธอนึกว่าเป็นเพียงกระบี่ธรรมดา แค่มีคมตะขอนิดหน่อย เมื่อดึงออกจะเจ็บมากเท่านั้น ไม่นึกเลยว่า…

เธอเองก็เป็นหมอ ย่อมทราบว่าบาดแผลแทงทะลุไม่อาจทำการผ่าตัดดึงกระบี่ออกมาได้ภายในครึ่งชั่วยาม สามารถถอนออกมาได้ภายในหนึ่งชั่วยามก็นับว่ายอดเยี่ยมมากแล้ว! ยิ่งไปกว่านั้นคือยังต้องเตรียมอุปกรณ์ผ่าตัดบางอย่างด้วย…

ถ้าผ่านไปหนึ่งชั่วยามพลังยุทธ์จะสูญสิ้น เช่นนั้นพลังวิญญาณที่เธอฝึกฝนมาอย่างยากลำบากมิใช่การฝึกที่สูญเปล่าหรอกหรือ?!

เบื้องหน้าเธอมืดมัว ความจริงอันโหดร้ายเช่นนี้ต่อให้เป็นเธอ ก็ค่อนข้างรับไม่ไหวอยู่บ้าง

หรือเธอจะถูกชะตาลิขิตให้ต้องเป็นสวะไร้ค่าไปชั่วชีวิตจริงๆ? ลิขิตให้ถูกผู้อื่นเหยียดหยามไปชั่วชีวิตใช่ไหม?

เธอฝืนตั้งสติ ถามหลงซือเย่ “หากว่า…หากว่าถอนออกมาหลังจากที่ผ่านไปหนึ่งชั่วยามจะเป็นอย่างไร? ถ้าหากพลังยุทธ์ทั้งหมดหายไปฉันสามารถกลับมาฝึกอีกครั้งได้ไหม?”

นี่คือเรื่องที่เธอกังวลที่สุด เธอใช้เวลาหนึ่งปีเปลี่ยนจากสวะไร้ค่ามาเป็นอัจฉริยะ เช่นนั้นหลักจากเธอหายดีจะฝึกฝนใหม่อีกครั้งก็ได้กระมัง? เธอก็แค่เสียเวลาไปปีเดียวเท่านั้น

หลงซือเย่ชะงักค้าง เขาใจไม่แข็งพอจะบอกความจริงกับเธอ

เนื่องจากบาดแผลจากกระบี่ต้องสาป ถ้าล่วงเลยนไปหนึ่งชั่วยาม คำสาปบนกระบี่จะผนึกชีพจรพลังวิญญาณทั้งร่างของเธอไว้ ชั่วชีวิตนี้เธอจะฝึกฝนไม่ได้อีกแล้ว

หากว่ากระบี่เล่มนี้แค่ฟันจนเป็นแผล มิใช่บาดแผลแทงทะลุ เช่นนั้นอย่างมากคือเจ็บเจียนตาย สูญเสียพลังวิญญาณไปส่วนหนึ่งเท่านั้น

แต่ยามนี้กระบี่เล่มนี้เสียบเข้าไปในร่างเธอ ทะลุอวัยวะภายในของเธอ ประกอบกับซี่หนามเหล่านี้ ทำให้ไม่อาจดึงออกได้ ทำได้เพียงผ่าตัด และต่อให้เป็นการผ่าตัดถ้าต้องการถอนกระบี่ออกมาให้เร็วที่สุดก็ต้องใช้เวลาหนึ่งชั่วยามครึ่ง…

หลงซือเย่ทราบนิสัยหยิ่งทะนงไม่ยินยอมล้าหลังผู้อื่นของเธอ แล้วเขาจะหักใจบอกผลลัพธ์เช่นนี้กับเธอได้อย่างไรเล่า?

ไม่เพียงแต่หลงซือเย่ที่แข็งใจกล่าวไม่ลง แม้แต่หยกนภาก็แข็งใจบอกเธอไม่ลงเช่นกัน…

หยกนถาเอ่ยพึมพำอยู่ในสมองกู้ซีจิ่ว ‘หากท่านเทพศักดิ์สิทธิ์อยู่ที่นี่ก็คงดี เขามีวิธีถอนดาบออก’

กู้ซีจิ่วเงียบงัน

ไม่มีข่าวคราวของท่านเทพศักดิ์สิทธิ์มาสามเดือนแล้ว ไม่รู้ว่ายามนี้เขาไปจิบชาอยู่ที่ไหน?!

ผู้มีชื่อเสียงท่านนี้หาตัวยากนัก ดังนั้นต่อให้เขามีวิธีทว่าน้ำที่อยู่ไกลก็มิอาจดับความกระหายอันใกล้นี้ได้…

มือเท้าของเธอเย็นเฉียบ ทว่ายังโอบกอดความหวังสายหนึ่งไว้ เอ่ยถามหยกนภา ‘อะไร…วิธีอะไร? เจ้า…เจ้าพูดมา บางทีหลงซือเย่อาจทำได้เหมือนกัน…’

หยกนภาปฏิเสธ ‘หลงซือเย่ไม่มีพลังยุทธ์เช่นนั้น! ต้องใช้วิชากลั่นวิญญาณเพื่อกลั่นกระบี่เล่มนี้ออกโดยตรง จุ๊ๆ อย่างน้อยก็ต้องบรรลุพลังวิญญาณขั้นสิบถึงสามารถควบคุมได้ บนโลกนี้คงจะมีเพียงท่านเทพศักดิ์สิทธิ์เท่านั้นที่สามารถทำได้…’

————————————————————————————-

บทที่ 702 เช่นนั้นสรุปแล้วเขารู้เรื่องเธอมากน้อยแค่ไหนกัน?

กู้ซีจิ่วเศร้าสลด

หรือเธอมีชะตาต้องเป็นเช่นนี้ไปชั่วชีวิต?

ไม่ว่าเธอจะมุมานะเพียงใดก็ไร้ความหมาย ลำบากลำบนมาหลายสิบปี กลับสูญสลายไปในชั่วข้ามคืน ก็คือคำบรรยายที่แท้จริงที่สุดของเธอในยามนี้

หลงซือเย่ทนเห็นเธอหดหู่ไม่ได้ กุมมือข้างหนึ่งของเธอไว้ “ซีจิ่ว เธออย่าเศร้าไปเลย ก็ไม่ใช่…ก็ไม่ใช่ว่าไม่มีวิธีเลย อย่างมาก…อย่างมากพวกเราก็ละทิ้งร่างนี้ซะ เธอก็รู้นี่ ฉันมีร่างโคลนอยู่ที่นั่น…”

กู้ซีจิ่วตะลึง

เธอนึกถึงดรุณีในโลงน้ำแข็งคนนั้น รู้สึกไม่ชอบใจขึ้นมาตามสัญชาตญาณ

ร่างโคลนนิ่งเป็นหนามที่ฝังลึกในใจเธอ เธอรังเกียจคำนี้ตามสัญชาตญาณ ยามนี้สุดท้ายแล้วเธอก็ต้องกลายเป้นร่างโคลนนิ่งสินะ?

“นางไม่อาจเปลี่ยนร่างได้อีก!” จู่ๆ ตี้ฝูอีก็เอ่ยขึ้นมา บัดนี้เขานั่งอยู่หน้าโต๊ะตัวหนึ่ง น้ำเสียงราบเรียบเย็นชา “”ถ้าเปลี่ยนร่างอีกวิญญาณนางจะแตกสลาย!

หลงซือเย่หน้าถอดสี “อะ…อะไรนะ?”

“หลงซือเย่ เจ้าก็น่าจะรู้กฎการสิงร่างของโลกนี้ วิญญาณจากภายนอกมิอาจยืมร่างคืนชีพได้ง่ายๆ ยกเว้นนางที่เข้ากับร่างเดิมนี้ได้อย่างสมบูรณ์แบบ ถึงขั้นที่ว่าร่างนี้ก็คืออดีตชาติของนาง สรุปคือ ผู้ที่สามารถยืมร่างคืนชีพได้ เป็นหมื่นเป็นพันคนก็ไม่แน่ว่าจะสำเร็จได้สักคน แต่นางกลับประสบความสำเร็จแล้ว นี่ถือว่านางมีโชคมากแล้ว แต่ก็แฝงโชคร้ายไว้ด้วยเช่นกัน เนื่องจากอย่างไรเสียวิญญาณนางก็มาจากภายนอก ยามที่มันเข้าผสานกับร่างนี้น่าจะผูกพันธะกับร่างนี้ไปด้วย ร่างนี้รองรับมันอย่างสมบูรณ์ แต่ดวงวิญญาณของมันก็ผสานเข้ากับส่วนต่างๆ ของร่างนี้ เชื่อมต่อกันแนบแน่น แยกออกจากกันไม่ได้อีกแล้ว หากแยกออก เช่นนั้นจิตกับวิญญาณจะแยกออกจากกัน นางไม่เพียงแต่จะได้สัมผัสความเจ็บปวดเป็นร้อยเท่าจากการที่วิญญาณแยกจากร่างเท่านั้น วิญญาณก็จะกระจัดกระจายไปด้วย ต่อให้เจ้ามีฝีมือสามารถรวบรวมวิญญาณได้ ถ้าต้องการจะประกอบนางให้สมบูรณ์ก็ต้องใช้เวลาอย่างน้อยหนึ่งร้อยปี อีกทั้งร่างนั้นที่เจ้าสร้างถึงจะดูเข้าตายิ่งนัก แต่ถึงอย่างไรก็มีข้อบกพร่อง ต่อให้อีกหนึ่งร้อยปีให้หลังนางสามารถสิงสู่ร่างนั้นได้สำเร็จ นางก็ไม่อาจฝึกฝนพลังวิญญาณได้อยู่ดี ยังคงเป็นสวะไร้ค่าที่ดีแต่งดงามเหมือนเดิม ไม่แตกต่างจากร่างในยามนี้เลย!”

ยากนักที่จะได้เห็นตี้ฝูอีพูดมากขนาดนี้ในคราวเดียว แถมเนื้อความทั้งหมดที่พูดออกมาไม่เพียงแต่ทำให้หลงซือเย่ตกตะลึงเท่านั้น แม้แต่กู้ซีจิ่วก็ตกตะลึงไปด้วย

ฟังจากคำพูดของตี้ฝูอี เขารู้ว่าเธอยืมศพคืนวิญญาณ! เขารู้ได้ยังไง?

เธอจำได้ว่าตนเคยบอกเรื่องนี้กับท่านเทพศักดิ์สิทธิ์เท่านั้น และไม่เคยพูดกับคนอื่น กับตี้ฝูอียิ่งไม่เคยพูดมาก่อนเลย…

ในที่ดวงตาของเธอก็มองไปที่ตี้ฝูอี “ท่านรู้ได้ยังไงว่าข้า…”

“ข้าย่อมรู้!” ตี้ฝูอีเอ่ยขัดเธอ “บนโลกนี้เรื่องที่สามารถซ่อนเร้นจากข้าได้มีอยู่ไม่มาก! โดยเฉพาะเจ้า…”

กู้ซีจิ่วเงียบงัน

เช่นนั้นสรุปแล้วเขารู้เรื่องเธอมากน้อยแค่ไหนกัน?

หลงซือเย่เอ่ยขึ้นมาตามสัญชาตญาณ “ข้าไม่เชื่อ! ข้าไม่เชื่อถ้อยคำเหล่านี้ของเจ้า!”

ตี้ฝูอีมองเขาด้วยสายตาเฉียบคม “เช่นนั้นเจ้าอยากนำชีวิตนางมาลองดูไหมล่ะ?”

หลงซือเย่เงียบไป สีหน้าเขาซีดเซียว “ร่างนั้นที่ข้าสร้างสมบูรณ์แบบมาก หากคืนชีพให้น่าจะเป็นอัจฉริยะในการฝึกยุทธ์! แถมค่าดัชนีต่างๆ ก็เสอดคล้องกับซีจิ่ว นาง…”

ตี้ฝูอีเอ่ยขัดเขาอีกครั้ง “ดังนั้นเจ้ายังอยากลองอยู่?”

หลงซือเย่พูดไม่ออกอีกต่อไป!

ตี้ฝูอีผู้นี้ถึงแม้ปกติจะกระทำการที่ทำให้ผู้คนสับสนงงงวย และส่วนใหญ่ก็กวนประสาทมาก แต่ฝีมือของเขาก็เป็นที่ยอมรับนับถือของทุกคน

นอกจากตัวเขาแล้ว สานุศิษย์สวรรค์ทุกคนล้วนเคยเรียนรู้จากเขามาบ้างไม่มากก็น้อย

ต่อให้เป็นหลงซือเย่เอง ก็เคยร่ำเรียนวิชาฝึกฝนพลังวิญญาณธาตุไม้มาจากตี้ฝูอีเช่นกัน

ดังนั้นท้ายที่สุดแล้วทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายผู้นี้รู้ศาสตร์ที่ผู้อื่นไม่รู้มากน้อยเพียงใด ก็ไม่มีผู้ใดทราบ

บทที่ 671 สรุปเจ้าเป็นหอยหรือเป็นหมูกันแน่?

บัดนี้คืบคลานมายังด้านนี้ มองดูอาหารหลายอย่างบนโต๊ะที่ยังไม่พร่องเลย กลืนน้ำลายอยู่อึกๆ “ข้าก็เจ้าเหมือนกัน!” พลางค่อยๆ ยกขาหมูจานหนึ่งใส่ปาก…

กู้ซีจิ่วอับจนวาจา ลากมันมาทันที “สรุปเจ้าเป็นหอยหรือเป็นหมูกันแน่?”

เนื่องจากเจ้าหอยยักษ์เข้ามาแทรกด้วยท่าทางน่าขบขัน บรรยากาศลึกซึ้งที่เมื่อครู่อบอวลอยู่ระหว่างคนทั้งสองจึงสลายหายไปในที่สุด

หลงซือเย่ก็ทราบว่าเรื่องนี้จะรีบร้อนไม่ได้ เลยไม่ไล่ต้อนเธออีก ประจวบกับด้านนอกมีดอกไม้ไฟดอกหนึ่งพุ่งขึ้นมา จากนั้นดอกไม้ไฟขนาดใหญ่ก็พุ่งขึ้นมาเรื่อยๆ มีเสียงไชโยโห่ร้องแว่วมาจากด้านล่าง

หลงซือเย่ลุกขึ้น พลางจับมือเธอไว้ “มาเถอะ ฉันจะพาเธอไปดูดอกไม้ไฟ!”

วรยุทธ์เขาสูงส่ง กระตุกวูบเดียว เขากับกู้ซีจิ่วก็ออกมาทางหน้าต่างแล้ว ร่อนลงไปรวมกับฝูงชนบนถนนใหญ่

เจ้าหอยยักษ์ก็อยากตามไปมากเช่นกัน แต่มันทิ้งอาหารเลิศรสที่ว่างอยู่เต็มโต๊ะไปไม่ลง

พะว้าพะวงอยู่ครู่หนึ่ง ก็ตัดสินใจว่าจะกินให้อิ่มแล้วค่อยไปดู อย่างไรเสียมันก็ผูกพันธโลหิตกับเจ้านายแล้ว จึงติดต่อกันค่อนข้างสะดวก

มันไม่เพียงแต่รั้งอยู่เองเท่านั้น แม้แต่ลู่อู๋น้อยมันก็รั้งไว้ด้วย ลู่อู๋น้อยไม่สนใจอาหารเลิศรส แต่มันชมชอบความแปลกใหม่ การตกแต่งบางอย่างภายในอาคารหลังนี้ดึงดูดความสนใจของมันมาก ดังนั้นตอนที่เจ้าหอยยักษ์เริ่มกินเมื่อครู่ มันก็มุดเข้ามุดออกชั้นบน อุ้งเท้าน้อยๆ สัมผัสที่นี่ สะกิดที่นั่น

ต่อมาเมื่อเห็นว่าเจ้านายหายไป มันก็อยากตามไปเหมือนกัน เจ้าหอยยักษ์รู้สึกว่าการที่ตนอยู่ที่นี่จะถูกมองว่าไม่สนใจเจ้านายได้ง่ายมาก จะต้องหาเพื่อนร่วมรับโทษอีกตัวหนึ่ง

ดังนั้นมันจึงพ่นมุกใหญ่เม็ดหนึ่งออกมาดึงดูดความสนใจของลู่อู๋น้อย หลอกมันว่านี่คือแก่นพลัง ถ้าสัมผัสลูบคลำ หรือเล่นมันจะช่วยเพิ่มพลังวิญญาณได้ ด้วยเหตุนี้ลู่อู๋น้อยเลยเล่นไข่มุกอยู่ที่นั่น

….

บนถนนใหญ่มีผู้คนมากมาย สามารถใช้คำว่าเบียดเสียดยัดเยียดมาบรรยายได้

เดิมทีหลงซือเย่คิดจะเดินจูงมือเธอ แต่เห็นได้ชัดว่ากู้ซีจิ่วไม่ชิน เธอเลยชักมือกลับ

หลงซือเย่ในยามนี้ย่อมไม่กล้าบังคบัฝืนใจเธอ เพียงแย้มยิ้ม “คนยเอะขนาดนี้ เธออาจพลัดหลงได้ ถ้างั้น ให้เธอจับแขนเสื้อไว้ดีไหม?”

กู้ซีจิ่วร้องชิคราหนึ่ง “คุณเห็นฉันเป็นเด็กหรือไง? ถึงต้องจับแขนเสื้อคนอื่นไว้…” พูดถึงตรงนี้จู่ๆ ก็ชะงักไป

ชาติก่อนเวลาที่เธอเดินเที่ยวงานเทศกาลกับเขา เธอจะหาข้ออ้างจับมือเขาเสมอ

เขาจะหัวเราะเธอ ขบขันที่เธอเหมือนเด็กน้อย ทว่าเธอกลับกล่าวอย่างเป็นจริงเป็นจัง ‘คนเยอะขนาดนี้ เดี๋ยวคุณก็ทำฉันหายหรอก! ถ้าไม่อยากให้มือ งั้นแขนเสื้อก็พอโอเคไหม?’

เห็นได้ชัดว่าหลงซือเย่ก็นึกถึงช่วงเวลานั้นเหมือนกัน เขามองกู้ซีจิ่ว ดวงตาส่องประกายไหวระริก “ซีจิ่ว ฉันไม่อยากทำเธอหายอีกแล้ว!”

กู้ซีจิ่วพูดไม่ออกชั่วขณะ เธอกระแอมไอเล็กน้อย เอ่ยขึ้นว่า “ไปกันเถอะ! อย่าฟุ้งซ่านเลย” พลางก้าวนำไปก่อน

เมื่อก่อนหลงซีจะหัวเราะเบาๆ อยู่เสมอ ไม่เคยแสดงออกกับเธออย่างชัดเจน เมื่อก่อนเขาไม่เคยพูดคำหวานเลย พอพูดออกมากลับทำให้คนตะลึง

ทั้งสองคนเดินไปตามถนน ระหว่างนี้กู้ซีจิ่วถึงพบว่าเจ้าหอยยักษ์กับลู่อู๋น้อยของบ้านตนไม่อยู่ เมื่อนึกถึงท่าทางและความสามารถของเจ้าตะกละตัวนั้น เธอก็เดาได้ว่ามันคงจะตัดใจจากอาหารโต๊ะนั้นไม่ลง…

ตอนนี้น่าจะสวาปามเป็นการใหญ่ ใครมาลากก็ลากไม่ไป

เนื่องจากพวกเจ้าหอยยักษ์มักจะเข้าไปล่าสัตว์ที่ด้านหลังหุบเขาด้วยตัวเองอยู่บ่อยๆ บางครั้งก็หายไปเป็นวันๆ ดังนั้นกู้ซีจิ่วเลยไม่เก็บมาใส่ใจ

อันที่จริงในใจเธอก็ค่อนข้างใจหายอยู่บ้าง ก่อนหน้านี้เธอยังอยู่เพียงลำพังในเทศกาลความรักอยู่เลย นึกไม่ถึงว่าจะมีคนมาอยู่ข้างกายอย่างรวดเร็วปานนี้…

สำหรับคำพูดเหล่านั้นของหลงซือเย่ ตามสติด้านความเป็นเหตุเป็นผลเธอเชื่อไปแล้วแปดส่วน เหลือเพียงจิตใจสำนึกเท่านั้นที่ยังคงต่อต้านอยู่บ้าง

ชาติก่อนเธอชอบเขาถึงเพียงนั้น หมายมั่นปั้นมือจะแต่งงานกับเขา ชาตินนี้ในเมื่อความเข้าใจผิดคลี่คลายแล้ว ต้องยอมรับว่าเป็นไปได้ที่เธออาจกลับไปชอบเขาอีกครั้ง ไม่แน่ภายภาคหน้าเธออาจแต่งกับเขาแล้วกลายเป็นคู่รักหวานชื่นจริงๆก็ได้

ยากนักที่จะได้พบคนที่ทะลุมิติมาเหมือนกัน เดิมก็ควรจะสนิทสนมคุ้นเคยกัน แถมชาติก่อนทั้งสองคนยังมีความสัมพันธ์แบบคนรักกันด้วย ความสัมพันธ์ในตอนนี้ก็น่าจะก้าวไปอีกขั้นแล้ว

————————————————————————————-

บทที่ 672 คุณถูกคุณยายฉยงเหยาสิงร่างเหรอ?

เป็นคู่รักที่จูงมือกันท่องไปทั่วหล้าก็เป็นเรื่องราวอย่างหนึ่งที่ทำให้ใจคนหวั่นไหวได้…

ดังนั้นกู้ซีจิ่วจึงรู้สึกว่าควรจะให้โอกาสหลงซือเย่สักครั้ง และให้โอกาสตัวเองสักครั้ง ชดเชยความเสียใจในชาติก่อน

แน่นอน ความจริงเหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งที่หลงซือเย่พูดออกมาเอง กู้ซีจิ่วรู้สึกว่าพิสูจน์ให้กระจ่างแจ้งสมบูรณ์แล้วค่อยตัดสินใจก็ยังไม่สาย

เมื่อนึกถึงยามที่เป็นคู่รักหวานชื่น ก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเหตุใด เงาร่างตี้ฝูอีถึงแวบเข้ามาในสมองเธอ ในใจคล้ายจะวูบโหวงเล็กน้อย แต่ก็กลับสู่สภาพปกติทันที

เธอยิ้มออกมาแวบหนึ่ง คนผู้นั้นไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเธอแล้ว อย่างมาก…อย่างมากเขาก็แค่เคยพัวพันกับเธอ จนเกือบได้หมั้ยหมายกันเท่านั้น

ดังนั้นที่จู่ๆ เธอนึกถึงเขาขึ้นมาในยามนี้ น่าจะเป็นมีสาเหตุเพราะเขาเคยพูดอย่างเต็มปากเต็มคำว่าเธอเป็นคู่หมั้นของเขา ก่อให้เกิดเงามืดในใจเธอ

….

ดอกไม้ไฟเหนือศีรษะถูกจุดตามลำดับ ฝูงชนที่อยู่รอบข้างล้วนโห่ร้องชื่นชม

ถึงแม้ชาติก่อนทั้งสองคนจะมีโอกาสชมดอกไม้ไฟด้วยกันเช่นนี้บ้างแต่ก็น้อยครั้งมาก ยามนี้เมื่อมีโอกาสแบบนี้แล้ว หลงซือเย่ย่อมทะนุถนอมอย่างยิ่ง

เขาไม่บีบคั้นเธออีก และไม่ได้ดึงดันจะจับมือเธอ เขาค่อยเป็นค่อยไป

หลังชมดอกไม้ไฟเสร็จก็ไปชมการกายกรรมต่อ

ทั้งสองคนอยู่ท่ามกลางฝูงชนขวักไขว่ ถึงแม้ไม่ได้จับมือกัน แต่สุดท้ายแล้วหลงซือเย่ก็ตามติดเธอไม่ห่าง ขอเพียงเธอหันหน้าไปก็เห็นใบหน้าหล่อเหลาของเขาเสมอ ภายใต้แสงดาวใบหน้าเขาราวกับหยกชั้นเลิศ งดงามยิ่งนัก โดยเฉพาะยามที่มุมปากฉาบด้วยรอยยิ้ม เสมือนมีบุปผามากมายทยอยเบ่งบานอยู่กลางอากาศ

คนผู้นี้เติบโตมางดงามโดยแท้ สามารถใช้คำว่าสั่นสะเทือนวิญญาณมาบรรยายได้ เมื่อก่อนยามอยู่ต่อหน้าผู้คนเขาจะสวมหน้ากากไว้ ทว่าหนนี้เขาเผยใบหน้าที่แท้จริงตลอด ดึงดูดสายตานับไม่ถ้วน ไม่ว่าเดินไปทางไหนล้วนกลายเป็นเป้าสายตาของฝูงชน

กู้ซีจิ่วแต่งกายเป็นบุรุษ ซ้ำยังแปลงโฉมด้วย เดิมทีรูปลักษณ์บัณทิตหนุ่มที่เธอแปลงโฉมมาก็หล่อเหลามากแล้ว แต่พอมายืนรวมกับหลงซือเย่ เธอก็กลายเป็นตัวประกอบไปโดยปริยาย

บุรุษสองคนมาชมดอกไม้ไฟด้วยกันในวันเทศกาลเช่นนี้ แถมบุรุษที่หล่อเหลาคมคายผู้นั้นยังดูแลเอาใจใส่บุรุษร่างเล็กผู้นั้นเป็นพิเศษด้วย แบบนี้มองยังไงก็เหมือนคู่ต้วนซิ่วคู่หนึ่ง…

ดังนั้นสายตาที่คนรอบข้างมองพวกกู้ซีจิ่วทั้งสองจึงค่อนข้างลุ่มลึกอยู่บ้าง ตอนแรกกู้ซีจิ่วก็ไม่มีปฏิกิริยาอะไร เธอแค่รู้สึกว่ามีคนเหลียวมองมาทางตนมากผิดปกติ

ด้วยเหตุนี้เธอเลยเอ่ยถามหลงซือเย่ที่อยู่ช้างกาย “ทำไมคราวนี้คุณไม่ใส่หน้ากาก?”

หลงซือเย่ยิ้มน้อยๆ “ต่อไปนี้ฉันจะไม่ใส่หน้ากากทุกครั้งที่อยู่กับเธอ ให้เธอได้มองเห็นตัวตนที่แท้จริงของฉัน”

กู้ซีจิ่วตกตะลึง”…ครูฝึกหลง นี่คุณถูกคุณยายฉยงเหยา[1]สิงร่างเหรอ?”

หลงซือเย่ยิ้มอีกครั้ง เขาไม่พูดอะไร เพียงยกมือลูบหัวเธอ

ท่าทางเช่นนี้ชิดเชื้อเกินไปแล้ว! กู้ซีจิ่วก้าวขึ้นไปด้านหน้า หลบจากมือของเขา “อย่าขยับมือไม้วุ่นวาย!”

“พวกเขาเป็นคู่ต้วนซิ่วสินะ?” จู่ๆ ก็มีเสียงซุบซิบแว่วมาจากด้านข้างที่ห่างออกไปไม่ไกลนัก เป็นเสียงของหลานไว่หู…

กู้ซีจิ่วหันหน้าไปตามสัญชาตญาณ มองเห็นหลานไว่หูกับเยี่ยนเฉินกำลังยืนอยู่ไม่ไกล

หลานไว่หูถือถังหูลู่ไม้หนึ่งไว้ กำลังเอียงคอมองมาทางตน นางรู้สึกว่าเสียงตนเบามาก ทว่าเยี่ยนเฉินที่อยู่ข้างๆกลับปรารถนาจะอุดปากนางไว้ยิ่งนัก เขาทราบว่าคนที่อยู่ด้านนี้ได้ยินเข้าแล้ว

เขาเองก็ดูไม่ออกว่าเป็นกู้ซีจิ่วกับหลงซือเย่  ถึงอย่างไรหลงซือเย่ก็สวมหน้ากากยามอยู่ต่อหน้าผู้อื่นมาเนิ่นนานปี…

เยี่ยนเฉินผงกศีรษะขอโทษขอโพยไปทางกู้ซีจิ่ว รีบลากหลานไว่หูจากไป ระหว่างทางเขายังอบรมนางด้วย “วรยุทธ์ของสองคนนั้นล้วนสูงส่ง เจ้าเสียงดังโวยวายเช่นนี้ผู้อื่นจะได้ยินเอาได้ อีกอย่างการนินทาว่าร้ายผู้อื่นก็ไม่ดี…ต่อไปไม่อนุญาตให้ทำเช่นนี้อีก”

————————————————————————————-

[1] ฉยงเหยา เป็นนักเขียนหญิงชื่อดังของจีน มีการใช้สำนวนภาษาโดดเด่นซาบซึ้ง องค์หญิงกำมะลอที่คนไทยคุ้นเคยกันดีก็เป็นบทประพันธ์ของเธอ

ลำนำบุปผาพิษ

ลำนำบุปผาพิษ

Score 10
Status: Completed

ตอนที่ 1 – 1800

อ่านต่อข้างล่าง


เธอคือนักฆ่าสาวผู้คร่ำหวอดอยู่ในวงการมืด แต่ดันตายเพราะโดนคนที่เชื่อใจตลบหลัง!

ไม่รู้ว่านรกชังหรือสวรรค์เป็นใจ เธอถึงตื่นขึ้นมาอีกครั้งในร่างเด็กสาวอัปลักษณ์ที่ถูกลวงให้เอาชีวิตมาทิ้ง

ผู้คนในโลกนี้ยึดถือในเรื่องของพลังวิญญาณ

ทว่าร่างนี้ไม่มีพลังวิญญาณอยู่เลยสักนิด เป็นสวะไร้ค่าชิ้นใหญ่ที่พบเจอได้ยากยิ่ง!!

แต่ไม่มีพลังวิญญาณก็ไม่เห็นเป็นไร ร่างนี้มีเธอมารับช่วงต่อแล้ว

เธอจะทวงคืนทุกอย่างแทนเจ้าของร่างเดิม ทวงเอาทุกสิ่งที่ควรมีกลับมา!

Options

not work with dark mode
Reset