มู่หนานจือ บทที่ 55 พบเจอ

บทที่ 55 พบเจอ

ไม่ว่าจะด้วยมารยาทของราชสำนักหรือมารยาทของตระกูลขุนนาง ไทฮองไทเฮาก็ไม่อาจปฏิเสธการมาเยือนของฮูหยินเจิ้นกั๋วกงสกุลฝางได้

นางเก็บสาส์นของฮูหยินเจิ้นกั๋วกงไว้ และให้เจียงเซี่ยนกลับไปพักเร็วหน่อย พลางเอ่ยว่า “เจ้าไม่ต้องพูดอีกแล้ว ไม่ว่าอย่างไรข้าก็ไม่มีทางอนุญาตให้เจ้าไปอวยพรวันเกิดคนสกุลเฉาที่ภูเขาวั่นโซ่ว”

ท่าทางเด็ดขาดมาก ไม่เหลือทางให้โน้มน้าวแม้แต่นิดเดียว

เจียงเซี่ยนไม่มีทางเลือก นางจำเป็นต้องคิดหาทางอื่น จึงกลับไปที่ตำหนักตงซาน

ไป่เจี๋ยกับฉิงเค่อกำลังจัดเตียงและที่นอนให้นางพักผ่อนหลังอาหารเที่ยง

ผ้าห่มและฟูกสีน้ำเงินลายหงส์แดงเงยหน้ามองดวงอาทิตย์ และหมอนสีเหลืองที่มีเหลือใช้ทุกปี

ทว่ากลับมีพู่สีแดงอ่อนอยู่ใต้หมอน

สะดุดตามาก

สายตาของเจียงเซี่ยนจับจ้องอยู่ที่พู่อันนั้น

นั่นคือถุงเงินสีแดงอ่อนปักลายใบโพธิ์สีเขียวเป็นมันที่หลี่เชียนมอบให้นาง

ข้างในบรรจุกระดิ่งเงินขนาดเท่าไข่นกพิราบคู่หนึ่งเอาไว้

ตอนที่มอบให้นางนั้น ในกระดิ่งยัดผ้าฝ้ายไว้ จึงไม่ได้ยินเสียง พอนางดึงผ้าฝ้ายออก เสียงกระดิ่งก็ดังกังวาน ไพเราะมาก

แม้จะชิ้นเล็ก แต่กลับประณีตและน่ารัก

นางไม่รู้ว่าทำไมหลี่เชียนถึงมอบกระดิ่งสองใบให้ตนเอง

ก็เหมือนชาติก่อนที่นางไม่รู้ว่าทำไมหลี่เชียนถึงได้มอบรวงข้าวกำหนึ่งกับสะระแหน่หลายต้นให้นาง

เจียงเซี่ยนเดินไปนั่งลงตรงขอบเตียง แล้วดึงถุงเงินออกมาจากใต้หมอน และถือกระดิ่งที่คล้องไว้ด้วยกันด้วยโซ่เงินเส้นบาง

กระดิ่งก็ส่งเสียงดังกรุ๊งกริ๊งขึ้นมา ราวกับบทเพลงแห่งความสุข

เจียงเซี่ยนรู้สึกหงุดหงิด

นี่จะทำอะไรได้?

ต่อให้แขวนไว้บนคอแมว ก็เกรงว่าแมวตัวนั้นจะถูกรบกวนจนอยู่อย่างสงบไม่ได้เช่นกัน

นางแกว่งกระดิ่งนั้น

เสียงกรุ๊งกริ๊งก็ดังขึ้นในห้องอย่างต่อเนื่อง

ฉิงเค่อยิ้มพลางเข้ามาช่วยเจียงเซี่ยนเปลี่ยนเสื้อผ้า

ไป่เจี๋ยช่วยนางถอดเครื่องประดับบนตัว

เพียงแต่หลังจากนางถอดปิ่นปักผมมุกบนศีรษะ เครื่องหยกบนหู และหยกแขวนตรงเอวที่คอยควบคุมการเดินของเจียนเซี่ยนออกแล้ว ตอนที่จะไปถอดกำไลข้อมือลายกิ่งไม้และดอกไม้ทองคำบริสุทธิ์ประดับหยกที่สวมอยู่บนข้อมือของเจียงเซี่ยน เจียงเซี่ยนกลับยกมือหลบไป่เจี๋ย และเอ่ยว่า “กำไลอันนี้ข้าชอบมาก ไม่ต้องถอดแล้ว”

ไป่เจี๋ยขานรับ “เจ้าค่ะ” เสียงเบา ทว่าในใจกลับแอบรู้สึกแปลกใจ

ท่านหญิงไม่ค่อยชอบสวมเครื่องประดับมาตั้งแต่ไหนแต่ไร โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกแหวนและกำไลข้อมือ นางมักจะบอกว่าใส่แล้วอึดอัด ยิ่งไปกว่านั้นเวลานอนก็ต้องถอดเครื่องประดับมากมายบนตัวออกหมด ทว่าหลังจากกลับมาจากที่เจอหลี่เชียนในอุทยานหลวงวันนั้น ท่านหญิงไม่เพียงแต่จู่ๆ ก็หากำไลข้อมืออันหนึ่งจากก้นหีบมาสวมไว้บนข้อมือ ทว่ายังสวมไว้บนข้อมือทั้งวันทั้งคืนไม่ยอมถอดออกอีกด้วย…ก็ไม่รู้เหมือนกันว่ากำไลข้อมืออันนั้นมีอะไรดี?

นางกับฉิงเค่อช่วยห่มผ้าให้เจียงเซี่ยนเรียบร้อย ก็ปล่อยม่านเตียงลง และถอยออกไป

ทำไมหลี่เชียนต้องมอบกระดิ่งคู่หนึ่งให้นางด้วย?

เจียงเซี่ยนคิดอย่างไรก็ไม่เข้าใจ

นิ้วมือที่อยู่ในผ้าห่มค่อยๆ ลูบลายกิ่งไม้และดอกไม้ทองคำบริสุทธิ์ประดับหยกบนกำไลข้อมือ

นี่คือกำไลกลวง

เป็นของที่ไทฮองไทเฮามอบให้นางตอนนางเด็กๆ

ข้างในสามารถใส่ยาเหรินตันได้สามสิบเม็ด

ยังใส่กระดาษข้อความแผ่นเล็กๆ ได้อีกแผ่น

ป้ายคำสัตย์ของหลี่เชียนก็ถูกนางเก็บไว้ในนี้แล้ว

เจียงเซี่ยนรู้สึกว่าของชิ้นนี้สำคัญเป็นอย่างมาก ถึงอย่างไรวังฉือหนิงก็เป็นสถานที่ของท่านยายของนาง นางอยู่ที่นี่ยังไม่ได้มีอำนาจเด็ดขาดเหมือนอย่างในชาติก่อน หากถูกใครพบเข้า ไม่เพียงแต่ตระกูลหลี่ที่จะประสบเหตุหายนะ ตระกูลเจียงก็หนีไม่พ้นเช่นกัน ดังนั้นวางไว้ตรงไหน นางก็ไม่วางใจทั้งนั้น จึงใส่ติดตัวไว้ทั้งวันทั้งคืนดีกว่า

ส่วนถุงเงินทรงสี่เหลี่ยมสีน้ำเงินที่ทอและปักลายดอกบัวสีขาวนั้น…ฝีมือการปักและวัสดุที่ใช้ต่างไม่เลว ในเมื่อมอบให้นางแล้วก็เป็นของนางแล้ว ของที่หมดประโยชน์แล้วสามารถนำกลับมาใช้ได้อีกครั้ง วันไหนอยากตกรางวัลให้ใคร ก็ยังสามารถรวมไปกับของชิ้นอื่นได้

นางเก็บมันไว้ก้นหีบ

แต่ว่า…ท่านป้าสะใภ้ใหญ่เข้าวังมาทำไมกันแน่?

เจียงเซี่ยนครุ่นคิดอยู่ในใจ พลางลูบกำไลข้อมือบนมือ และค่อยๆ หลับไป

วันรุ่งขึ้นฮูหยินเจิ้นกั๋วกงสกุลฝางแต่งตัวตามระดับตำแหน่งของตนเองมาเข้าเฝ้าไทฮองไทเฮา

ชาติก่อนเจียงเซี่ยนไม่สนใจเรื่องพวกนี้ นางมักจะรอให้ป้าสะใภ้คารวะไทฮองไทเฮาและทักทายไทฮองไทเฮาเสร็จก่อน แล้วพอเมิ่งฟางหลิงหรือหลิวเสี่ยวหม่านมาเรียกนาง นางถึงจะไปพบฮูหยินเจิ้นกั๋วกงที่ห้องอุ่นตะวันออก ทว่าตั้งแต่มีความทรงจำของชาติก่อน นางก็สนิทกับคนของตระกูลเจียงมากขึ้นแล้ว และรู้ว่าต้องไว้หน้าคนของตระกูลเจียง นางคำนวณเวลาที่คนสกุลฝางเข้าวัง และมารออยู่หน้าประตูวังของวังฉือหนิงก่อน

ฮูหยินเจิ้นกั๋วกงสกุลฝางเจอนางก็ตกใจเป็นอย่างมาก ทั้งรู้สึกซาบซึ้งและตื้นตัน และจูงมือนางไปห้องอุ่นตะวันออกด้วยกัน บอกไทฮองไทเฮาเพียงว่าอีกไม่นานจะวันที่หนึ่งเดือนสิบแล้ว ตามธรรมเนียมก็ต้องไหว้บรรพบุรุษแล้ว จึงตั้งใจมาพาเจียงเซี่ยนกลับไปโดยเฉพาะ

เจียงเซี่ยนกลับไปไหว้บรรพบุรุษที่ตระกูลเจียง ก็จะไหว้เจียงเจิ้นอิงบิดาและองค์หญิงหย่งอันมารดาของตนเองด้วย ไทฮองไทเฮานึกถึงลูกสาวและลูกเขยที่เสียชีวิตก่อนวัยอันควร ก็เลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องร้องไห้ออกมาสักครั้ง นางกำชับเจียงเซี่ยนอยู่พักหนึ่ง จนกระทั่งถึงเวลารับประทานอาหารเที่ยง ไทฮองไทเฮาถึงคลายความเศร้า และให้ฮูหยินเจิ้นกั๋วกงอยู่รับประทานอาหารเที่ยง หลังอาหารเที่ยงก็ให้เจียงเซี่ยนพานางไปนั่งเล่นที่ตำหนักตงซาน ให้โอกาสพวกนางป้าหลานได้คุยเรื่องส่วนตัวกัน

นอกจากฮูหยินเจิ้นกั๋วกงสกุลฝางจะพาเจียงเซี่ยนกลับไปเซ่นไหว้บรรพบุรุษแล้ว ยังได้รับการฝากฝังจากเจียงเจิ้นหยวนให้มาบอกเจียงเซี่ยนด้วย

นางรอให้เจียงเซี่ยนไล่คนที่รับใช้อยู่ข้างกายออกไปจนหมด และในห้องไม่มีคนอื่นแล้ว ถึงลุกขึ้นมานั่งข้างกายเจียงเซี่ยนและกระซิบบอกนาง “ลุงของเจ้าบอกว่า คนที่มีหยกแขวนของเจ้านั้นมาพบเขาแล้ว ลุงของเจ้าคิดว่า หากคนๆ นั้นจริงใจ นี่ก็เป็นหมากที่ดีที่สุดแล้ว หากไม่จริงใจ ของเก็บอยู่กับเจ้า เจ้าก็ไม่จำเป็นต้องกังวลมากนักเช่นกัน ลุงของเจ้ารู้ว่าควรจะทำอย่างไร”

หลี่เชียนลงมือไวขนาดนี้เชียว?

ลุงของนางไม่ใช่คนที่พบได้ง่ายขนาดนั้น

ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาใช้ลูกไม้อะไร?

เจียงเซี่ยนแปลกใจ และเอ่ยว่า “ท่านลุงพูดอะไรไปบ้างหรือเจ้าคะ?”

ฮูหยินเจิ้นกั๋วกงสกุลฝางส่ายหน้า ความลำบากใจฉายวาบผ่านไปในดวงตา และเอ่ยว่า “ลุงของเจ้าให้ข้าพูดอย่างไร ข้าก็พูดอย่างนั้น ไม่ได้ถามอะไรมากนัก”

เชื่อใจสามีอย่างเต็มที่

เจียงเซี่ยนเม้มปากยิ้ม และคุยเรื่องทั่วไปกับนาง พอเห็นว่าสายมากแล้ว จึงไปบอกลาไทฮองไทเฮาเป็นเพื่อน และส่งนางออกจากวังฉือหนิงด้วยตนเอง

ฮูหยินเจิ้นกั๋วกงอดที่จะถอนหายใจไม่ได้ เจียงเซี่ยนโตแล้วจริงๆ

เจียงเซี่ยนหันตัวไปที่ตำหนักของไทฮองไท่เฟย

นางขอให้ไทฮองไท่เฟยช่วยพูดให้นาง ให้ไทฮองไทเฮาอนุญาตให้นางไปภูเขาวั่นโซ่ว “…คนอื่นไม่ไปก็ยังสมเหตุสมผล แต่ข้าเป็นทั้งท่านหญิงที่ได้รับการแต่งตั้งจากฝ่าบาท และเป็นผู้ที่อายุน้อยกว่า แถมยังเติบโตที่วังฉือหนิง หากข้าไม่ไปก็ยังไม่รู้ว่าพวกสตรีบรรดาศักดิ์ที่คิดแต่จะประจบเฉาไทเฮานั้นจะพูดจาซี้ซั้วอย่างไรบ้าง? ทว่าอย่างไรข้าก็ไม่อาจทูลเรื่องนี้กับเสด็จยายได้”

ไทฮองไท่เฟยอยู่ใต้คนอื่นมานาน จึงรู้สึกกับคำพูดของนางเหมือนเคยผ่านเหตุการณ์นั้นมาด้วยตนเอง บวกกับไม่รู้แผนการของเจียงเจิ้นหยวน จึงรับปากทันที

จนกระทั่งถึงตอนเย็นและรับประทานอาหารเย็นแล้ว ตอนที่ไทฮองไท่เฟยย้ายไปนั่งดื่มชาที่ห้องพักผ่อนเป็นเพื่อนไทฮองไทเฮา ก็เริ่มโน้มน้าวไทฮองไทเฮา “ท่านหญิงยังเด็ก ถูกจำกัดให้อยู่ในวังฉือหนิงนี้กับพวกเราตลอดทั้งปี ก็ยากที่จะบังคับจิตใจนางได้เช่นกัน และตั้งแต่ไหนแต่ไรมานางก็ไม่เคยก่อความวุ่นวาย ในเมื่อนางอยากไปดูกายกรรมที่ภูเขาวั่นโซ่ว ไทฮองไทเฮาก็ให้นางไปเถอะเพคะ…แม้ภูเขาวั่นโซ่วจะไกล แต่อย่างไรก็เป็นอุทยานหลวง คนที่ไปๆ มาๆ ก็เป็นคนในวังทั้งนั้น ไทฮองไทเฮายังกลัวว่านางจะถูกลักพาตัวไปอีกงั้นหรือ?”

“หากไทฮองไทเฮาไม่วางพระทัย จะให้จ่างจูไปเป็นเพื่อนนางก็ได้”

“หากไทฮองไทเฮาทรงคิดว่าจ่างจูอายุน้อยเกินไป ก็ให้หลิวเสี่ยวหม่านไปเป็นเพื่อนท่านหญิงแล้วกัน!”

ไทฮองไทเฮาหลับตาลงพลางนับลูกประคำไม้เจียหนานสิบแปดอรหันต์ที่อยู่บนข้อมือ โดยไม่เอ่ยสิ่งใด

————————-

มู่หนานจือ

มู่หนานจือ

Score 10
Status: Completed

แม้ เจียงเซี่ยน เป็นถึงสตรีผู้สูงศักดิ์ ทั้งยังได้แต่งงานกับ ‘จ้าวอี้’

ผู้เป็นฮ่องเต้ ทว่าเขามิเคยร่วมหออุ่นเตียงกันจนกระทั่งจากนางไป

เมื่อนางต้องกลายเป็นไทเฮา จึงได้โอบอุ้ม ‘จ้าวสี่’

ลูกชายคนเดียวของจ้าวอี้ว่าราชการหลังม่าน ประคองราชวงศ์อย่างยากเข็ญ

แต่แล้วนางกลับถูกฆ่าตายด้วยถ้วยยาพิษ ที่อยู่ในอุ้งมือของฮ่องเต้น้อยอย่างจ้าวสี่!

เมื่อลืมตาตื่นมาอีกครั้ง ก็พบว่าได้ย้อนกลับมาช่วงชีวิตวัยสิบสามปี

ก่อนมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในราชสำนัก

‘เหตุใดจ้าวสี่จึงมอบความตายให้นาง?’…แม้โอกาสในการมีชีวิตอาจทำให้ไขปริศนานี้ได้

แต่นางขอเลือกเดินในเส้นทางใหม่ ไม่เข้าไปข้องเกี่ยวกับตระกูลจ้าว

ไม่สนใจการผลัดเปลี่ยนแผ่นดิน นางขอเพียงมีชีวิตครอบครัวเล็กๆ

กับสามีที่วางใจได้ และลูกที่แสนน่ารักทว่า เมื่อนางได้นำพบกับ

หลี่เชียน แม่ทัพหนุ่มที่นางเคยรู้สึกเกลียดทุกคราที่พบหน้า

ชีวิตและความรักของนางจึงกำลังจะพบกับจุดเปลี่ยนอีกครั้ง…

หรือ ‘โชคชะตา’ จะนำพาให้เกิดเรื่องราวและวังวนที่ไม่เหมือนเดิม!

Options

not work with dark mode
Reset