มู่หนานจือบทที่ 29 ความแค้นเก่า

บทที่ 29 ความแค้นเก่า

เจียงเซี่ยนต่อว่าหลี่เชียนอยู่ในใจ หลี่เชียนรู้ที่ไหน?

เขาเข้ามาทักทายเจียงเซี่ยนด้วยสีหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม “ท่านหญิงเจียหนาน ไม่พบกันหลายวัน ท่านสบายดีหรือไม่? ขนมถั่วแดงที่เฉิงเอินกงให้ข้าช่วยนำเข้าวังมาครั้งที่แล้วท่านชอบหรือไม่? ไม่งั้นครั้งหน้าที่เข้าวังค่อยเอามาให้ท่านอีกสักหน่อย?”

จู่ๆ เจียงเซี่ยนก็นึกถึงครั้งแรกที่นางเรียกหลี่เชียนมาพบ

ฤดูใบไม้ผลิของปีนั้นมาไวเป็นพิเศษ วันมังกรเชิดหัว[1]วันที่สองเดือนสองก็ร้อนจนต้องเปลี่ยนเสื้อคลุมแล้ว ซึ่งกว่าหลี่เชียนจะเข้าเมืองหลวงก็ฤดูใบไม้ผลิเดือนสามแล้ว อากาศปลอดโปร่งและอบอุ่น ดอกโบตั๋นที่นางปลูกไว้ในอุทยานหลวงของวังฉือหนิงต่างบานหมดแล้ว เฉาเซวียนแนะนำให้นางอุ้มจ้าวสี่ต้อนรับพวกแม่ทัพที่มารายงานการปฏิบัติงานในอุทยานหลวงของวังฉือหนิง แต่นางกลับรู้สึกว่าแบบนี้ ลูกกำพร้าและแม่หม้ายอย่างพวกนางยิ่งแลดูไม่มีใครดูแล ทำให้พวกแม่ทัพที่กุมกองทัพที่ทรงอำนาจอยู่ในมือและตั้งมั่นรักษาชายแดนยิ่งรู้สึกได้ว่าราชวงศ์อ่อนแอ และจะทำให้พวกแม่ทัพที่ไม่คิดทรยศก็คิดทรยศขึ้นมาด้วย นางจึงตัดสินใจพบแม่ทัพเหล่านั้นทีละคนที่ตำหนักตั้นป๋อที่ปลูกต้นสนสีเขียวขจีไว้ทั่วอุทยานหลวงตะวันตก

ตอนที่ถึงตาของหลี่เชียนก็เลยยามอู่ไปแล้ว นางยังไม่ได้รับประทานอาหารเที่ยง แล้วก็เพราะรู้สึกกระวนกระวาย ตอนเช้าจึงกินข้าวต้มแค่ครึ่งถ้วย ตอนที่คุยกับหลี่เชียนนั้น กระเพาะของนางเริ่มรู้สึกเจ็บเล็กน้อย ฉิงเค่อเห็นสถานการณ์ จึงแอบยื่นขนมถั่วกวนเข้ามาจานหนึ่งเล็กๆ สายตาของนางกวาดผ่านไปบนขนมถั่วกวน ลังเลอยู่นานมาก กลัวว่าจะเสียความจริงจังไป จึงตัดสินใจไล่หลี่เชียนออกไปแล้วค่อยกินรองท้องดีกว่า

ใครจะรู้ว่าหลี่เชียนกลอกตาเล็กน้อย แล้วกลับเอ่ยอย่างนอบน้อมว่า “ไทเฮา นี่คือขนมถั่วกวนที่เล่าลือกันว่าเป็นหนึ่งในของว่างที่มีชื่อเสียงที่สุดของเมืองหลวงใช่ไหมพ่ะย่ะค่ะ? ให้กระหม่อมลองชิมได้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ? ห้าปีก่อนกระหม่อมเคยติดตามบิดาเข้าเมืองหลวง เพราะรีบไปรีบมา เคยได้ยินแต่คนแนะนำ ทว่าไม่เคยกินพ่ะย่ะค่ะ”

รอยยิ้มของหลี่เชียนในตอนนั้นก็สดใสแบบนี้เหมือนกัน เพียงแต่สุขุมและอบอุ่นมากกว่า และตื่นเต้นแบบวัยรุ่นน้อยกว่าตอนนี้เล็กน้อย บวกกับเขารูปร่างแข็งแรงและผอมเพรียว หน้าตาหล่อเหลาสะดุดตา เตะตาที่สุดในบรรดาผู้ชายอายุสามสิบที่ไม่อ้วนลงพุงก็สูงใหญ่กำยำ จึงทำให้นางรู้สึกชอบ

ตอนนั้นนางก็สั่งให้ฉิงเค่อไปเอาของว่างในวังใส่กล่องให้เขาเอาไปหลายกล่อง

ทว่าหลี่เชียนกลับยิ้มเจ่าเล่ห์ และก้าวมาข้างหน้าหลายก้าว พลางกดเสียงให้เบาลงและเอ่ยว่า “ไทเฮา ความจริงแล้วก่อนกระหม่อมเข้าเมืองหลวงตื่นเต้นมาก จึงยังไม่ได้กินอาหารเช้า เวลานี้หิวมาก ไทเฮาพระราชทานของว่างให้กระหม่อมหลายกล่อง สู้ให้กระหม่อมกินของว่างรองท้องหลายชิ้นดีกว่าพ่ะย่ะค่ะ”

แน่นอนว่านางไม่มีทางเชื่อคำพูดของหลี่เชียน

คนที่เข้าวังมาเข้าเฝ้าอย่างพวกเขาต่างรู้ว่าตอนมาต้องกินให้อิ่ม ไม่งั้นอาจจะต้องหิวอยู่ตลอดเวลา

นางรู้ว่าเขามองออกว่านางไม่สบาย

ตอนนั้นเจียงเซี่ยนยังขอบคุณเขามาก ถึงแม้ตอนหลังนางยังคงไม่กินต่อหน้าหลี่เชียน แต่คิดถึงความหวังดีของเขาก็ดูแลเขามากขึ้น

แล้วสุดท้ายทั้งสองคนกลายเป็นไม่ลงรอยกันได้อย่างไร?

เวลานี้นางหวนคิดขึ้นมา

น่าจะเป็นเพราะชนกลุ่มน้อยทางเหนือบุกรุกเมืองหลวง สุดท้ายเขาจึงนำทัพขึ้นเหนือ ทลายวงล้อมของเมืองหลวง แล้วก็บุกเข้ามาในวังฉือหนิง มือถือดาบยาวที่หยดเลือดยืนอยู่หน้าฉากกั้นห้องงาช้างแกะสลักลายผีเสื้อนับร้อยลอดดอกไม้ไม้ปีกไก่ข้างห้องนอนนางด้วยอารมณ์ที่ไม่มั่นคงนัก สีหน้าเหมือนคนที่โหดเหี้ยมมาก และมองนางที่อุ้มจ้าวสี่อย่างตัวสั่นงันงก

แล้วนางก็เริ่มเกลียดเขา!

เกลียดที่เขาคิดทรยศตั้งแต่แรก ทว่ากลับแสร้งทำเป็นเอาใจใส่นางเป็นอย่างมากต่อหน้านาง เกลียดที่เขาไม่ไว้หน้าแม้แต่นิดเดียว บีบบังคับนางจนถึงมุมกำแพง ไม่ให้แม้แต่เกียรติในการฆ่าตัวตายแก่นาง แล้วก็บุกเข้ามาในห้องนอนของนางแบบนี้ เห็นด้านที่แย่ที่สุดของนาง เกลียดที่เขาทำให้นางเลื่อนตำแหน่งให้เขา แบ่งดินแดนให้และแต่งตั้งให้เป็นโหว ทำให้คนอื่นต่างรู้ว่านางพ่ายแพ้ให้เขา ทว่ายังต้องหลอกตนเองและนั่งเป็นหุ่นเชิดอยู่ที่วังเฉียนชิง ทำให้ทั้งในและนอกราชสำนักเห็นนางเป็นตัวตลก…นางทนทรมานทุกวัน อยากจะกินเนื้อของเขา ดื่มเลือดของเขา…

พอคิดถึงเรื่องพวกนี้ เจียงเซี่ยนก็น้ำตาจะร่วงลงมาแล้ว

นางไม่อยากสนใจหลี่เชียน แล้วก็ไม่อยากเสียกิริยาเช่นกัน

จึงเบือนหน้าหนีไปทางอื่น

ไป๋ซู่เห็นเจียงเซี่ยนอารมณ์แปลกไป ก็คิดว่าแม้หลี่เชียนจะเป็นขุนนางเล็กที่ตำแหน่งต่ำ ทว่าถึงอย่างไรก็เป็นคนของเฉาไทเฮา บิดาเกรงว่าอีกไม่นานเฉาไทเฮาก็จะใช้งานอีก ดังนั้นอย่าล่วงเกินคนๆ หนึ่งอย่างไม่มีสาเหตุดีกว่า นางจึงยิ้มและก้าวเข้าไปบังเจียงเซี่ยนไว้ข้างหลัง แล้วเอ่ยเสียงอ่อนโยน “ขนมถั่วแดงนั้นอร่อยมาก หวานแต่ไม่เลี่ยน ร่วนและถูกปาก องครักษ์หลี่ช่างมีน้ำใจ แต่เรื่องเล็กน้อยพวกนี้ จะรบกวนเฉิงเอินกงบ่อยๆ ได้อย่างไร ท่านบอกข้าว่าซื้อที่ไหนก็พอ ข้าให้พวกขันทีออกไปซื้อก็เหมือนกัน” ประโยคสุดท้ายนี้กลับเอ่ยกับเฉาเซวียน

เฉาเซวียนบอกชื่อร้านไป

ไป๋ซู่เอ่ยขอบคุณเขาด้วยสีหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม

ทุกคนต่างแสร้งทำเป็นมีน้ำใจอย่างขอไปที

หลี่เชียนมองจนกลอกตาตลอด

แต่เจียงเซี่ยนขี้เกียจที่จะเสแสร้งต่อไปอีก จึงพยักหน้าให้เฉาเซวียน และเอ่ยกับไป๋ซู่ว่า “พวกเรากลับวังกันเถอะ! ไทฮองไทเฮายังรอพวกเราตอบอยู่นะ!”

ไป๋ซู่เอ่ยกับเฉาเซวียนอย่างเกรงใจอีกหลายคำ ถึงจะตามเจียงเซี่ยนกลับวังฉือหนิง

เฉาเซวียนลำบากใจเล็กน้อยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่ช่วงนี้หลี่เชียนแทบจะไปเยี่ยมเขาทุกวัน คุยเรื่อยเปื่อยกับเขา ดื่มเหล้าเที่ยวเตร่ เขาเห็นหลี่เชียนเป็นคนกันเองแล้วจึงไม่รู้สึกเสียหน้ามากแล้วเช่นกัน ทว่าก็ยังอธิบายกับหลี่เชียนว่า “ท่านหญิงเจียหนานถูกไทฮองไทเฮาตามใจจนเสียคนแล้ว ทำอะไรตามใจตนเอง เป็นคนเอาแต่ใจมาก บางทีเมื่อครู่ยังดีๆ อยู่ ไม่รู้ว่าคำพูดประโยคไหนล่วงเกินนาง นางก็โมโหขึ้นมา ไม่ต้องพูดถึงพวกเรา แม้แต่ฝ่าบาทก็ถูกนางรังแกบ่อยเหมือนกัน”

หลี่เชียนเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “ข้าเข้าใจ ข้าเข้าใจ น้องสาวคนเล็กของพวกเราก็เป็นแบบนี้เหมือนกัน คนน่าเกรงขามขนาดนั้นอย่างท่านพ่อ หากนางโมโหขึ้นมา พวกเราก็ยอมอ่อนข้อให้หมด ท่านพ่อบอกว่า ต่อไปน้องต้องออกเรือน แต่งออกไปแล้วก็เป็นคนของคนอื่นแล้ว ต้องคลอดลูกเลี้ยงลูกซักผ้าทำกับข้าวที่บ้านคนอื่น ลำบากมาก ดังนั้นตอนที่อยู่บ้านเดิมก็ต้องยอมให้นางหน่อย”

เฉาเซวียนเอ่ยอย่างแปลกใจว่า “เจ้ามีน้องสาวด้วยหรือ?”

“อืม” หลี่เชียนรีบเอ่ย “เป็นลูกของแม่เลี้ยงข้า!”

เฉาเซวียนอยากพูดมากว่า ‘เจ้าสนิทกับแม่เลี้ยงของเจ้าใช้ได้นี่นา’ ทว่าคิดอีกทีก็คิดได้ว่าหลี่ฉางชิงเป็นโจร จึงกลืนคำพูดประโยคนี้ลงไป แล้วไปประตูเสินอู่กับเขา พลางเอ่ยว่า “เจ้าถูกย้ายมาที่ตำหนักอู่อิงตั้งแต่เมื่อไร? ทำไมข้าไม่รู้? ผู้บังคับบัญชาของเจ้าในตอนนี้น่าจะเป็นสือจิ้นใช่หรือไม่! เขาเป็นลูกชายคนรองของซินอันโหว เขาไม่ค่อยมีเงินแต่ชอบดื่มเหล้าเล่นพนัน เป็นคนระมัดระวัง แล้วก็ประจบและพึ่งพาอิทธิพลของเบื้องบน รังแกและกดขี่เบื้องล่าง ชื่อเสียงในเมืองหลวงไม่ค่อยดีนัก ได้ยินว่าองครักษ์ที่อยู่ใต้บังคับบัญชาของเขาต่างต้องชวนเขาดื่มเหล้าเป็นประจำ ไม่งั้นก็จะแอบถูกกลั่นแกล้ง เจ้าเคยชวนเขาดื่มเหล้าหรือยัง…”

หลี่เชียนตอบ “อืม อืม” ในใจเอ่ยว่า ‘หากไม่ใช่ว่าอีกฝ่ายชอบดื่มเหล้าเล่นพนัน เขาก็ยังไม่มีโอกาสถูกย้ายมาที่ตำหนักอู่อิง ยังดีที่เฝ้าแค่สามวันก็ได้เฝ้าฮ่องเต้กับท่านหญิงเจียหนานแล้ว เงินสองร้อยตำลึงที่ให้สือจิ้นไปนั้นไม่เสียเปล่า เพียงแต่ดูท่าทางฮ่องเต้กับท่านหญิงเจียหนาน ไม่เหมือนทะเลาะกันเลย?’

แต่ทำไมท่านหญิงเจียหนานถึงหน้าตาไม่สบายใจ และจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวล่ะ?

นางต้องเจอเรื่องที่ลำบากใจอย่างแน่นอน!

หลี่เชียนรู้สึกว่าตนเองคาดเดาไม่ผิด

อาศัยโอกาสช่วยท่านหญิงเจียหนาน แล้วจะติดต่อกับฮ่องเต้ได้หรือไม่?

เขาคิดว่าตนเองยังต้องชวนสือจิ้นดื่มเหล้าต่อไป แล้วก็แพ้พนันให้สือจิ้นอีกสักหน่อย

แต่ว่า…เขาเฝ้าอยู่หลายวัน ท่านหญิงเจียหนานเหมือนไม่ใช่คนที่ชอบออกไปข้างนอก

แล้วเขาจะเจอท่านหญิงเจียหนานได้อย่างไรล่ะ?

หลี่เชียนลูบคาง แล้วเอ่ยกับเฉาเซวียนว่า “เฉิงเอินกง ตอนที่ท่านพ่อมาก็บอกข้าว่า ต้องสร้างความสัมพันธ์กับผู้บังคับบัญชาให้ดี ท่านว่า…วันนี้พวกเรานัดสือจิ้นออกมากินข้าวดื่มเหล้าอะไรสักหน่อยดีไหม?”

———————————–

[1] วันมังกรเชิดหัว วันเริ่มต้นฤดูใบไม้ผลิ หลังจากที่อยู่ในฤดูหนาวมานานหลายเดือน

มู่หนานจือ

มู่หนานจือ

Score 10
Status: Completed

แม้ เจียงเซี่ยน เป็นถึงสตรีผู้สูงศักดิ์ ทั้งยังได้แต่งงานกับ ‘จ้าวอี้’

ผู้เป็นฮ่องเต้ ทว่าเขามิเคยร่วมหออุ่นเตียงกันจนกระทั่งจากนางไป

เมื่อนางต้องกลายเป็นไทเฮา จึงได้โอบอุ้ม ‘จ้าวสี่’

ลูกชายคนเดียวของจ้าวอี้ว่าราชการหลังม่าน ประคองราชวงศ์อย่างยากเข็ญ

แต่แล้วนางกลับถูกฆ่าตายด้วยถ้วยยาพิษ ที่อยู่ในอุ้งมือของฮ่องเต้น้อยอย่างจ้าวสี่!

เมื่อลืมตาตื่นมาอีกครั้ง ก็พบว่าได้ย้อนกลับมาช่วงชีวิตวัยสิบสามปี

ก่อนมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในราชสำนัก

‘เหตุใดจ้าวสี่จึงมอบความตายให้นาง?’…แม้โอกาสในการมีชีวิตอาจทำให้ไขปริศนานี้ได้

แต่นางขอเลือกเดินในเส้นทางใหม่ ไม่เข้าไปข้องเกี่ยวกับตระกูลจ้าว

ไม่สนใจการผลัดเปลี่ยนแผ่นดิน นางขอเพียงมีชีวิตครอบครัวเล็กๆ

กับสามีที่วางใจได้ และลูกที่แสนน่ารักทว่า เมื่อนางได้นำพบกับ

หลี่เชียน แม่ทัพหนุ่มที่นางเคยรู้สึกเกลียดทุกคราที่พบหน้า

ชีวิตและความรักของนางจึงกำลังจะพบกับจุดเปลี่ยนอีกครั้ง…

หรือ ‘โชคชะตา’ จะนำพาให้เกิดเรื่องราวและวังวนที่ไม่เหมือนเดิม!

Options

not work with dark mode
Reset