มู่หนานจือบทที่ 149 กับข้า

บทที่ 149 กับข้า

เวลานี้สมองของหลี่เชียนเหมือนใช้การไม่ได้เลย เขาเอ่ยว่า “แล้วอย่างไร?”

“เจ้าโง่หรือ!” เจียงเซี่ยนอดที่จะเอ่ยไม่ได้ และลดเสียงให้เบาลง “ด่านชายแดนทำสงครามแล้วยังมีใครไปปลูกเสบียงอาหาร? ยิ่งกว่านั้นเมืองชายแดนทางเหนือที่สำคัญทั้งเก้าเมืองไม่เหมาะที่จะเพาะปลูกพืชทางการเกษตร เสบียงอาหารของพวกเขาทั้งหมดพ่อค้าจากเจียงซูและเจ้อเจียงเป็นคนส่งมาจากสองทะเลสาบแลกกับใบอนุญาตค้าเกลือ หลังจากเจ้ารับตำแหน่งและยืนหยัดได้แล้ว ก็ส่งสาส์นไปหาจ้าวอี้ บอกไปว่าหลังจากเจ้ามาถึงซานซีถึงพบว่า ระยะทางจากสองทะเลสาบไปถึงเมืองชายแดนทั้งเก้านั้นไกลมาก เหล่าพ่อค้าจากเจียงซูและเจ้อเจียงซื้อขายใบอนุญาตค้าเกลือเพียงเพื่อแสวงหาผลประโยชน์โดยไม่คำนึงถึงแคว้น ทำให้ราคาเสบียงอาหารของเมืองชายแดนทั้งเก้าไม่มีทีท่าว่าจะลดลง ความเสียหายของเสบียงอาหารที่เกิดขึ้นจากการขนส่งนับวันยิ่งมากขึ้น หลายปีมานี้กองบัญชาการซานซีติดค้างเงินเดือนทหารจำนวนค่อนข้างมาก ทหารรับใช้ที่ละทิ้งบ้านเกิดและหนีไปเพิ่มมากขึ้นทุกปี จึงขอให้ราชสำนักอนุญาตให้กองบัญชาการซานซีรับผิดชอบขนส่งเสบียงอาหารให้เมืองสำคัญตามชายแดนอย่างเมืองเซวียน ต้าถง ไท่หยวน อวี๋หลิน และด่านซานไห่ เพิ่มเงินเดือนให้ทหาร”

อาหารของพวกลูกหาบที่รับผิดชอบขนส่งเสบียงอาหารก็คิดอยู่ในเสบียงอาหารที่ขนส่งเช่นกัน หากจัดการไม่ดี บางครั้งเที่ยวหนึ่ง ก็ส่งเสบียงอาหารให้กองบัญชาการของเมืองสำคัญตามชายแดนได้เพียงครึ่งเดียว

พอเอ่ยถึงตรงนี้ นางก็ยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ และเอ่ยว่า “ท้องพระคลังว่างเปล่า จ้าวอี้ไม่มีทางเอาเงินเยอะขนาดนั้นออกมาจ่ายเงินเดือนทหารที่ติดค้างมาหลายปีให้เจ้าได้ เจ้าก็เสนอให้ทหารของกองบัญชาการซานซีเป็นลูกหาบให้กองบัญชาการอีกหลายแห่ง ทั้งทำให้เหล่าทหารกินอิ่มท้องได้ และยังชดเชยเงินเดือนทหารส่วนหนึ่งได้ด้วย เขาต้องตกลงอย่างแน่นอน หากถึงเวลานั้นกำลังคนไม่พอ พวกเจ้าจะจ้างลูกหาบให้ช่วยขนส่งเสบียงอาหารหรือพวกเจ้าจะให้ทหารเป็นลูกหาบอีก ใครเอารายชื่อไปตรวจชื่อทีละคนงั้นหรือ?”

ไม่ใช่ว่าเจ้าอยากรับคนเท่าไรก็รับคนเท่านั้น

ทีแรกหลี่เชียนยังไม่ค่อยสนใจนัก ทว่าฟังไปฟังไป ก็คิดอะไรบางอย่างออกอย่างกะทันหัน

“ทำไมเจ้าเหมือนจู่เก๋อเลี่ยงที่ยังมีชีวิตอยู่เลย” นัยน์ตาของเขาฉายแววประหลาดใจอย่างไม่ปิดบังแม้แต่นิดเดียว และชมนางเป็นอย่างมาก “ความคิดนี้ดีจริงๆ! เจ้าคิดออกได้อย่างไร? ข้ายังคิดว่าจะติดสินบนหูอี่เหลียง ให้เขาเรียกคนจำนวนหนึ่งมาในนามสร้างทางน้ำหรือไม่ก็เรื่องอื่น…ความคิดนี้ของเจ้าดีจริงๆ” เขายิ่งพูดก็ยิ่งตื่นเต้น “แล้วก็ครั้งที่แล้วที่เจ้าช่วยข้าคิด ข้าบอกท่านพ่อตั้งหลายครั้งซ้ำแล้วซ้ำเล่า และยังบอกเขาว่าข้าได้ยินข่าวนี้จากเจิ้นกั๋วกงลุงของเจ้าโดยบังเอิญ ท่านพ่อถึงจะเชื่อ ครั้งแรกที่ไปเยี่ยมเยียนหูอี่เหลียงก็รู้มาว่าเขาเกิดปีชวด จึงทำหล่อหนูที่ซื่อสัตย์ให้เขาตัวหนึ่ง เขาได้รับของไม่รู้ว่าดีใจแค่ไหน ถึงตั้งใจให้ท่านพ่ออยู่กินข้าวในศาลาว่าการโดยเฉพาะ ทำให้ท่านพ่อดีใจ แล้วก็ให้คนซื้อทองคำกลับมาจำนวนหนึ่ง บอกว่าในงานเลี้ยงหูอี่เหลียงเอ่ยว่าอีกไม่นานจะเป็นวันเกิดของฮูหยินเขาแล้ว จึงคิดว่าตอนวันเกิดของฮูหยินเขาก็จะใช้ทองคำหล่อปีนักษัตรที่ซื่อสัตย์ตามวันเกิดของฮูหยินเขาอีก…”

เจียงเซี่ยนได้ยินก็เบ้ปากอย่างดูถูก

หลี่เชียนเพียงแค่ยิ้ม

เจียงเซี่ยนก็ตบมือ และเอ่ยว่า “เอาล่ะ! เจ้ายังมีเรื่องอะไรอีกหรือไม่? รีบว่ามา! คุยเสร็จข้าก็ควรกลับไปแล้วเช่นกัน พวกเราเอ้อระเหยอยู่ข้างนอกนานมากแล้ว น่าจะใกล้ถึงเวลาอาหารเย็นแล้วกระมัง?” นางพูดไปถึงพบว่ารถผ้าใบสีดำคันนี้ไม่มีหน้าต่าง แสงทั้งหมดอาศัยเปลือกหอยรับแสงที่แขวนอยู่หน้าประตูตรงแอกของรถด้านหน้า เวลานี้เปลือกหอยรับแสงชิ้นนั้นมืดครึ้ม แสงในรถม้าจึงมืดลงเช่นกัน

นางตกใจ

คิดไม่ถึงว่านางเพียงแค่คุยกับหลี่เชียนไม่กี่คำเท่านั้น เวลาก็ล่วงเลยมาขนาดนี้แล้ว

“ข้าต้องกลับไปแล้ว” เจียงเซี่ยนเอ่ยกับหลี่เชียน “เจ้ามีเรื่องอะไรก็สรุปมาสั้นๆ”

หลี่เชียนคิดแล้วก็เอ่ยว่า “เจ้าเคยไปซานซีหรือไม่?”

“ไม่เคย” เจียงเซี่ยนไม่ค่อยพอใจนัก นางรู้สึกว่าหลี่เชียนกำลังหัวเราะเยาะนาง จึงอดที่จะเอ่ยอย่างกวนๆ ไม่ได้ว่า “สถานที่ที่ข้าเคยไปไกลที่สุดคือภูเขาวั่นโซ่ว”

นางรู้ว่าหลี่เชียนเคยไปฝูเจี้ยน และยังเคยไปเมืองก่วงกับเจ้อเจียง

หลี่เชียนดูออกว่านางไม่พอใจ จึงเลื่อนกล่องใส่ขนมหลากชนิดที่ใส่ขนมโก๋อยู่บนโต๊ะชาไปใกล้มือนาง และเอ่ยเหมือนขอโทษว่า “บ้านเกิดข้าอยู่ที่เฝินหยาง แต่หลังจากท่านพ่อยอมจำนนและสวามิภักดิ์ ก็ปิดบ้านเก่าที่เฝินหยางไว้ แล้วก็ไม่กล้าซ่อมแซม บ้านจึงทรุดโทรมอย่างหนัก หลังจากท่านพ่อรับตำแหน่ง พวกเรากลับไปไหว้บรรพบุรุษที่บ้านเกิด ท่านฝูอวี้ให้ท่านพ่อสร้างบ้านเก่าขึ้นมาใหม่ บอกว่าไก่งามเพราะขน คนงามเพราะแต่ง พวกเราไม่อยู่บ้านเกิดตั้งหลายปี อย่างไรก็ต้องแสดงให้เห็นว่ากลับมาบ้านเกิดพร้อมความสำเร็จ ดังนั้นการสร้างบ้านเก่าจึงเป็นวิธีที่ดีที่สุดแล้ว”

“ท่านพ่อก็เห็นด้วย”

“และเอาเงินมาห้าหมื่นตำลึง เตรียมจะสร้างบ้านเก่าขึ้นมาใหม่ พวกเราทั้งครอบครัวจึงอาศัยอยู่ที่กองบัญชาการ”

“แต่ข้ารู้สึกว่ากองบัญชาการมีคนไปมาตลอด ก็ไม่ค่อยดี จึงซื้อบ้านหลังหนึ่งที่มีเรือนสี่เรือนในตรอกเล็กๆ หลังกองบัญชาการ แม้จะไม่ใหญ่นัก ทว่าเก็บกวาดแล้วก็ไม่เลวทีเดียว…”

เจียงเซี่ยนสีหน้าฉายแววงุนงง และเอ่ยว่า “เจ้าอยากพูดอะไรกันแน่?!” และเอ่ยอีกว่า “ข้าว่าวันนี้เจ้าแปลกมาก พูดนอกเรื่อง และเหมือนจะพูดมากเป็นพิเศษด้วย”

หลี่เชียนได้ยินก็นั่งตัวตรง และมองนางด้วยสีหน้าเคารพมาก หน้าตาแลดูจริงจังและสง่างาม แล้วเอ่ยว่า “เป่าหนิง เจ้ายินดีไปซานซีกับข้าหรือไม่?”

“อะไรนะ?” เจียงเซี่ยนกะพริบตาปริบๆ รู้สึกเหมือนตนเองฟังผิดไป

หลี่เชียนจึงเอ่ยอีกครั้ง “เป่าหนิง เจ้ายินดีไปซานซีกับข้าหรือไม่? ถึงแม้ตอนนี้ข้าจะยังไม่มีชื่อเสียง แล้วก็เป็นแค่ทหารระดับสี่เล็กๆ คนหนึ่ง แต่ข้าจะดีกับเจ้าไปตลอดชีวิต! ทุ่มเทให้เจ้าคนเดียวไปตลอดชีวิต! ขอเพียงเป็นสิ่งที่เจ้าต้องการ ข้าก็จะคิดหาทางทำให้เจ้าให้ได้ ขอเพียงเจ้ารอข้าและให้เวลาข้าสักสองสามปี ข้าจะไม่ด้อยไปกว่าผู้ชายคนไหนบนโลกใบนี้อย่างแน่นอน!”

เจียงเซี่ยนอึ้งไปทั้งตัว

นางรู้สึกว่านางเข้าใจทุกคำที่หลี่เชียนเอ่ย

ทว่าพอร้อยเรียงคำเหล่านี้เข้าด้วยกัน นางก็ไม่เข้าใจแม้แต่คำเดียว

นางไปซานซีกับเขา?

นี่มันน่าขำเกินไปแล้วจริงๆ!

นางเป็นอะไรกับเขาล่ะ?

ทำไมต้องไปซานซีกับเขา?

แถมยังจะดีกับนางไปตลอดชีวิต!

พวกนางสองคนอยู่ด้วยกันก็ไม่มีช่วงเวลาที่ดีสักครั้ง เขายังกล้าพูดว่าตลอดชีวิต…

พูดว่า…ตลอดชีวิตอย่างนั้นหรือ?

ตลอดชีวิต…

เจียงเซี่ยนมองหลี่เชียนอย่างงุนงง ทั้งสับสนและไม่รู้จะทำอย่างไรดี

“เป่าหนิง!” หลี่เชียนคุกเข่าลงตรงหน้านาง เขาจับมือที่นางวางอยู่บนเข่าอย่างแผ่วเบา และเอ่ยเสียงแหบว่า “ข้าอยากให้เจ้าไปซานซีกับข้า พวกเราอยู่ด้วยกันไปตลอดชีวิต ไม่ว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น ข้าก็จะปกป้องเจ้า เอาใจใส่เจ้า ดีกับเจ้า เจ้าตามข้าไปซานซี ได้หรือไม่?”

เขาเงยหน้ามองเจียงเซี่ยน สายตาแวววาว ราวกับดาวที่ปลายขอบฟ้า มุมปากอมยิ้ม เหมือนสายลมในฤดูใบไม้ผลิในเดือนสาม

นี่หลี่เชียน…อยากให้นางแต่งงานกับเขาหรือ?

สายตาของเจียงเซี่ยนจับจ้องไปที่มือของหลี่เชียน

ฝ่ามือกว้างใหญ่ อ่อนโยน อ่อนนุ่ม และมีพลัง ระหว่างปลายนิ้วมีหนังด้านบางๆ

นั่นเป็นสิ่งที่เกิดจากการน้าวธนูหรือเกิดจากการฝึกดาบ?

ดาบ…

ดาบที่เขาถืออยู่ปรากฏขึ้นมาในความทรงจำของนางอีกครั้ง มันชี้ทแยงไปที่กลีบดอกบัวสีแดงบนพรมลายดอกเป่าเซียง เลือดสีแดงสดหยดลงในพรมทีละหยดทีละหยดตามคมดาบที่เป็นเงาวาว และหายไปอย่างไร้ร่องรอย เช่นเดียวกับที่ปิดบังการสังหารหมู่ในวังแห่งนี้ ดูเหมือนหลากสีสันและงดงาม ทว่าพอเปิดออกมา ถึงพบว่าในนั้นล้วนแล้วแต่เป็นเลือด

เจียงเซี่ยนสีหน้าซีดเผือด นางปัดมือของหลี่เชียนออก และเอ่ยเสียงเฉียบขาดว่า “เจ้าจะทำอะไร?”

ทิ้งรอยแดงไว้บนหลังมือที่ขาวสะอาดของหลี่เชียน

เขาจ้องเจียงเซี่ยนอย่างแน่วแน่ หน้าตาเด็ดเดี่ยวอย่างที่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้เหมือนก้อนหินที่หนาและใหญ่ และเอ่ยเสียงทุ้มว่า “เป่าหนิง ข้าอยากให้เจ้ากลับซานซีกับข้า แต่งงานกับข้า มีลูกกับข้า และใช้ชีวิตด้วยกันไปตลอดชีวิต!”

———————–

มู่หนานจือ

มู่หนานจือ

Score 10
Status: Completed

แม้ เจียงเซี่ยน เป็นถึงสตรีผู้สูงศักดิ์ ทั้งยังได้แต่งงานกับ ‘จ้าวอี้’

ผู้เป็นฮ่องเต้ ทว่าเขามิเคยร่วมหออุ่นเตียงกันจนกระทั่งจากนางไป

เมื่อนางต้องกลายเป็นไทเฮา จึงได้โอบอุ้ม ‘จ้าวสี่’

ลูกชายคนเดียวของจ้าวอี้ว่าราชการหลังม่าน ประคองราชวงศ์อย่างยากเข็ญ

แต่แล้วนางกลับถูกฆ่าตายด้วยถ้วยยาพิษ ที่อยู่ในอุ้งมือของฮ่องเต้น้อยอย่างจ้าวสี่!

เมื่อลืมตาตื่นมาอีกครั้ง ก็พบว่าได้ย้อนกลับมาช่วงชีวิตวัยสิบสามปี

ก่อนมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในราชสำนัก

‘เหตุใดจ้าวสี่จึงมอบความตายให้นาง?’…แม้โอกาสในการมีชีวิตอาจทำให้ไขปริศนานี้ได้

แต่นางขอเลือกเดินในเส้นทางใหม่ ไม่เข้าไปข้องเกี่ยวกับตระกูลจ้าว

ไม่สนใจการผลัดเปลี่ยนแผ่นดิน นางขอเพียงมีชีวิตครอบครัวเล็กๆ

กับสามีที่วางใจได้ และลูกที่แสนน่ารักทว่า เมื่อนางได้นำพบกับ

หลี่เชียน แม่ทัพหนุ่มที่นางเคยรู้สึกเกลียดทุกคราที่พบหน้า

ชีวิตและความรักของนางจึงกำลังจะพบกับจุดเปลี่ยนอีกครั้ง…

หรือ ‘โชคชะตา’ จะนำพาให้เกิดเรื่องราวและวังวนที่ไม่เหมือนเดิม!

Options

not work with dark mode
Reset