มู่หนานจือ บทที่ 147 รถม้า

บทที่ 147 รถม้า

ที่แท้อวิ๋นหลินตามหลี่เชียนมานี่เอง

เขาอายุมากกว่าหลี่เชียนสองสามปี

ชาติก่อนเขาเป็นแม่ทัพใหญ่อันดับหนึ่งภายใต้บังคับบัญชาของหลี่เชียน และเป็นคนที่มีความสามารถแบบที่ ‘ขึ้นหลังม้าสามารถต่อสู้กับชนเผ่าทางเหนือได้ ลงจากหลังม้าก็ยุ่งอยู่กับการร่างเอกสารของกองทัพ’ ทั้งเฉลียวฉลาดและวางแผนเก่งกาจ

เฉาเซวียนเคยอิจฉาหลี่เชียนมาก เสียดายที่อวิ๋นหลินติดตามหลี่เชียนแล้ว หากอวิ๋นหลินถวายความจงรักภักดีต่อราชสำนัก ก็เป็นขุนนางระดับสูงสักแห่งไปตั้งนานแล้ว

แน่นอนว่าชาติก่อนนางย่อมเคยเจออวิ๋นหลิน

อวิ๋นหลินเลื่อนตำแหน่งไปจนถึงแม่ทัพด่านจวีหย่งเพราะความดีความชอบในเรื่องการรบโดดเด่น เขาตามหลี่เชียนเข้าเมืองหลวงมาขอบพระคุณหลายครั้ง นางนั่งอยู่ในตำหนักจินหลวน โดยมีม่านมุกกั้นอยู่ รู้สึกเพียงว่าอวิ๋นหลินรูปร่างผอมบาง ไม่เหมือนแม่ทัพที่ทำสงครามสักนิด ตอนนั้นอยากเห็นเขาชัดๆ มากแต่ไม่มีโอกาส

ตอนที่เจียงเซี่ยนมองไป อวิ๋นหลินก็พาหลิวตงเยว่ออกไปทางประตูเล็กตรงมุมกำแพงและไม่ได้หันกลับมาแล้ว

หลี่เชียนเห็นแล้วก็ยิ้มออกมา และเอ่ยว่า “เดี๋ยวข้าเรียกอวิ๋นหลินมาให้เจ้าดูชัดๆ”

เจียงเซี่ยนเขินอาย และพึมพำว่า “ข้าก็แค่อยากรู้นี่นา!”

หลี่เชียนพยักหน้า ในสายตาเหมือนมีแสงดาวมากมาย และเอ่ยเสียงเบาว่า “ข้ารู้! เหนื่อยหรือไม่ เจ้าเหงื่อออกแล้ว”

เสียงนั้นเจือความหลงใหลเล็กน้อย เหมือนโทนเสียงของไทฮองไทเฮาที่กอดนางไว้ในอ้อมแขนและคอยปลอบนางยามที่นางป่วยตอนเด็กๆ ทำให้นางรู้สึกเศร้าในทันใด

เจียงเซี่ยนก้มหน้าลง

นางเดินรวดเดียวไกลขนาดนี้น้อยมาก แถมขึ้นเนินลงเนินอย่างต่อเนื่องตลอดทาง จึงเจ็บเท้า เมื่อยขา และรู้สึกหายใจติดขัดเล็กน้อย

สาเหตุที่อดทนไว้ก็เพราะกลัวหลี่เชียนถูกคนพบเห็น

นางได้ยินแล้วก็เกาะต้นไม้ที่อยู่ข้างๆ และเอ่ยปนหอบหายใจเบาๆ ว่า “เจ้าเดินเร็วขนาดนั้นทำไม?”

หลี่เชียนเอ่ยด้วยเสียงนุ่มนวลว่า “ขอโทษ! ข้ารู้สึกร้อนใจนิดหน่อย”

เจียงเซี่ยนพยักหน้า ถือว่าให้อภัยเขาแล้ว

แต่เขากลับเอ่ยเสียงอ่อนโยนว่า “เป่าหนิง เจ้าเกาะข้าเถอะ! ระวังแมลงตัวเล็กในป่านี้จะแอบกัดมือเจ้า”

มือของเจียงเซี่ยนอยู่บนต้นไม้ เผยให้เห็นข้อมือขาวเล็กน้อย สะท้อนกับเปลือกไม้สีน้ำตาล และอ่อนนุ่มเหมือนรากบัว ทำให้คนเห็นแล้วอยากลองงับเบาๆ สักครั้ง

หลี่เชียนยับยั้งความคิดในใจอย่างยากลำบาก เขายื่นแขนไปตรงหน้าเจียงเซี่ยน และเอ่ยอย่างเด็ดขาด “ข้าจะพยุงเจ้าไป”

เจียงเซี่ยนหัวเราะออกมา

เขาคิดว่าเขาเป็นขันทีหรือ?

เมื่อก่อนตอนที่นางเป็นไทเฮา เขาไม่เคยประจบนางแบบนี้เลย เวลานี้ทั้งสองคนเปลี่ยนสถานะแล้ว เขากลับยิ่งไม่มีเหตุผล และทำได้ทุกสิ่งทุกอย่าง

นางคิดอีกทีก็คิดว่าจะให้คนพบร่องรอยของทั้งสองคนไม่ได้ จึงรีบเก็บเสียง

ทว่าเรื่องนี้ช่างน่าขันมากเสียจริง

นางยังอยากหัวเราะทำอย่างไรดี?

เจียงเซี่ยนกลั้นยิ้ม แก้มแดง นัยน์ตาทอประกาย ราวกับต้นไห่ถังที่งดงาม

นี่ก็เป็นเจียงเซี่ยนที่หลี่เชียนไม่เคยพบมาก่อน

เขาอึ้งไป เหมือนทำอะไรไม่ถูก

เจียงเซี่ยนอดไม่ได้ที่จะอมยิ้มและพึมพำว่า “คนโง่” และทิ้งหลี่เชียนไว้ แล้วออกไปทางประตูเล็กตรงมุมกำแพงทันที

หลี่เชียนเหมือนเพิ่งตื่นจากความฝัน จึงรีบตามไป เพียงไม่กี่ก้าวก็กลับมาเป็นปกติ ทว่าหากสังเกตดีๆ จะพบว่าหูของเขาแดงเล็กน้อย

รถม้าเป็นรถม้าผ้าใบสีดำที่ธรรมดา ทั้งหมดสองคัน มีชายหลายคนยืนกระจัดกระจายอยู่โดยรอบ คนที่อายุมากท่าทางอายุเพียงแค่ยี่สิบห้ายี่สิบหกปี ส่วนคนที่อายุน้อยอายุเพียงแค่สิบเจ็ดสิบแปดปี ทุกคนต่างจูงม้าอยู่กับมือ บางคนยืนตัวตรง สีหน้าจริงจัง บางคนก็วางตัวสบายๆ ไม่ได้ยืนเหมือนพิงอยู่ข้างอานม้า แต่ไม่ว่าเป็นใคร พอเห็นพวกเขาก็ทำหน้าสงบเสงี่ยม ยืนตัวตรงด้วยความเคารพ และหลุบตาลงทันที ไม่มีใครมองพวกเขาอีกสักคน

หลี่เชียนเห็นแล้ว สายตาฉายแววพอใจ และเอ่ยว่า “พวกเราไปกันเถอะ” และพาเจียงเซี่ยนไปที่รถม้าคันแรก

เจียงเซี่ยนไม่เห็นหลิวตงเยว่กับอวิ๋นหลิน คิดว่าพวกเขาอาจจะอยู่บนรถม้าคันที่สอง จึงไม่ได้ถามอะไรอีกเช่นกัน และเดินตามหลี่เชียนไป

คนเหล่านั้นพลิกตัวขึ้นม้าทันที

ทว่ากลับไม่มีเสียงแม้แต่นิดเดียว

เจียงเซี่ยนรู้สึกว่าแปลกมาก!

ไม่ใช่ว่านางไม่เคยออกเดินทาง

แต่ทุกครั้งที่นางออกไป ฝ่ายดูแลคอกม้าก็จะเตรียมการล่วงหน้าสองสามวัน ทว่าพอใกล้จะถึงเวลาที่นางขึ้นรถม้าก็ยังอาจจะเกิดเหตุการณ์ที่จู่ๆ ม้าก็จามหรือจู่ๆ ก็ตะกุยพื้นสองสามที…

เงียบเช่นนี้ ก็ต้องรู้สึกแปลกนิดหน่อย

หลี่เชียนเอ่ยกับนางเสียงเบาว่า “ทั้งหมดเป็นผู้ติดตามของข้า…” แล้วก็เอ่ยเหมือนคิดว่าอธิบายไม่ชัดเจนว่า “เป็นผู้ติดตามของข้าเอง…”

ก็คือกองกำลังส่วนตัวของเขาเอง!

เจียงเซี่ยนเม้มปากยิ้ม และขึ้นรถม้าโดยมีหลี่เชียนคอยประคอง

หลี่เชียนเก็บบันไดขึ้นรถ และขึ้นรถม้าตามไป

ไม่นานรถม้าก็ออกวิ่ง

เจียงเซี่ยนตกใจมาก และเอ่ยว่า “นี่พวกเราจะไปที่ไหนหรือ?”

หลี่เชียนพับแขนเสื้อขึ้น และเอ่ยด้วยเสียงอ่อนโยนว่า “รถม้าจอดอยู่ตรงนี้ตลอดจะไม่ดี!”

นั่นก็จริง

หากมีคนผ่านมาตรงนี้ก็จะเผยพิรุธออกไป

เจียงเซี่ยนไม่ได้คิดอะไรมากนัก

ในรถม้ามีแค่นางกับหลี่เชียนสองคน ไม่ค่อยกว้างนัก การตกแต่งก็ธรรมดาเช่นกัน แต่ปูเบาะรองนั่งหนามาก ส่วนหมอนอิงก็ทั้งใหญ่และนิ่ม เจียงเซี่ยนพิงแล้วรู้สึกสบายมากทีเดียว

หลี่เชียนชงชาอย่างคล่องแคล่ว นิ้วมือขาวเกลี้ยงเกลาและเรียวยาวราวกับต้นไผ่ที่สูงชะลูด ทำให้คนเห็นแล้วเบิกบานใจ

นางอดที่จะเอ่ยไม่ได้ว่า “ชงชาอะไร?”

หลี่เชียนยิ้มและเอ่ยว่า “ลิ่วอันกวาเพี่ยน”

ชาสื่อตัวตน!

เจียงเซี่ยนรู้สึกว่าหลี่เชียนเป็นคนแบบที่ใช้ชีวิตอยู่ในความสับสนวุ่นวายมานาน ชาติก่อนนางยังเดาว่าเขาต้องชอบกินเนื้อมากอย่างแน่นอน ดังนั้นทุกครั้งที่จัดงานเลี้ยงเลี้ยงขุนนางจึงให้ห้องเครื่องทำอาหารมังสวิรัติ

นางไม่เชื่อว่าหลี่เชียนชอบดื่มลิ่วอันกวาเพี่ยน

มีสิทธิอะไรมาให้นางดื่มชาที่พวกหญิงชราชอบดื่ม?

เจียงเซี่ยนเอ่ยอย่างไม่พอใจว่า “ข้าเกลียดการดื่มลิ่วอันกวาเพี่ยนที่สุด!”

ในเสียงมีความเอาแต่ใจที่แม้แต่ตัวนางเองก็ไม่รู้ด้วยซ้ำ

หลี่เชียนได้ยินแล้วก็เพียงแค่เงยหน้ามองนางและยิ้มอย่างอารมณ์ดี พลางอธิบายเสียงเบาว่า “เจ้าร่างกายอ่อนแอ ทนทรมานไม่ไหว ดื่มลิ่วอันกวาเพี่ยนก่อน” เขาคิดแล้วก็เอ่ยอีกว่า “ข้ารู้ว่าเจ้าชอบดื่มต้าหงเผา ข้าก็มีเหมือนกัน นานๆ ดื่มทียังพอได้ แต่ดื่มบ่อยไม่ได้”

เหมือนเขาเป็นอะไรกับนาง จุ้นจ้านมากจริงๆ!

เขาคุยกับนางอย่างนอบน้อมแบบนี้ เจียงเซี่ยนกลับไม่อาจหงุดหงิดเขาได้ ทว่าอย่างไรก็รู้สึกว่ายอมไม่ได้อยู่ดี จึงเอ่ยว่า “เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าข้าชอบดื่มต้าหงเผา?”

หลี่เชียนยิ้มและเอ่ยว่า “หากอยากรู้ก็ย่อมรู้ได้”

มากกว่านี้…อย่างไรเขาก็ไม่ยอมบอก

เจียงเซี่ยนท้อแท้ และเอ่ยว่า “หากข้ารู้ว่าใครนินทาข้าลับหลัง คอยดูเถอะข้าจะถลกหนังเขา!”

หลี่เชียนเพียงแค่ยิ้ม

รอยยิ้มนั้นแลดูทั้งหลงใหลและโอบอ้อมอารี แถมยังเจือความสุขเล็กน้อย เจียงเซี่ยนเห็นแล้วก็หน้าแดง จึงรีบเบือนหน้าไปทางอื่น และเอ่ยว่า “เจ้ามาหาข้ามีธุระอะไรกันแน่?” นางพูดไปก็นึกถึงคนเหล่านั้นที่เห็นเมื่อครู่ แต่ละคนต่างดูเฉลียวฉลาด มีฝีมือ และมีความคิดเป็นของตนเอง ไม่เหมือนคนทั่วไปสักนิด ยิ่งกว่านั้นยังมีอวิ๋นหลินแม่ทัพใหญ่อันดับหนึ่งที่อยู่ภายใต้บังคับบัญชาของเขาติดตามอยู่ด้วย…จะมีใครพาคนกลุ่มนี้เดินพล่านไปทั่วทุกที่ตอนที่ว่างกัน?

นางกังวลขึ้นมาทันที จึงเอ่ยอย่างรีบร้อนว่า “เจ้าทำงานพลาดหรือ?”

สถานการณ์แย่ถึงระดับไหนแล้ว?

เฉาไทเฮารู้แล้วว่าตระกูลเจียงกับตระกูลหลี่มีความเกี่ยวข้องกัน?

หรือว่าจ้าวอี้แก่งแย่งชิงดีกับเฉาไทเฮาและตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบจึงพาลโกรธตระกูลหลี่ และตัดสินใจที่จะจัดการลงดาบกับตระกูลหลี่อย่างไม่แยแส เพื่อทำให้เฉาไทเฮาหวาดกลัว?

หรือว่าหลังจากตระกูลหลี่ไปซานซีถูกเพื่อนขุนนางปัดแข้งปัดขา…ไม่ถูก ด้วยความสามารถและนิสัยของหลี่เชียน เรื่องที่ถูกเพื่อนขุนนางปัดแข้งปัดขานั้นไม่เป็นปัญหาสำหรับเขาสักนิด จึงไม่จำเป็นต้องให้เขามาหานาง

เกิดอะไรขึ้นกันแน่?

นางร้อนใจจะตายแล้วจริงๆ!

เจียงเซี่ยนเหงื่อออกแล้ว

หลี่เชียนเห็นเจียงเซี่ยนเป็นแบบนี้ ในใจนั้นคลื่นลูกใหญ่ซัดสาดอย่างแรงเหมือนคลื่นทะเลกระทบฝั่ง

เขารู้ว่าเจียงเซี่ยนดีมาตลอด ทว่ากลับไม่รู้ว่าเจียงเซี่ยนจะดีกับเขาแบบนี้

———————

มู่หนานจือ

มู่หนานจือ

Score 10
Status: Completed

แม้ เจียงเซี่ยน เป็นถึงสตรีผู้สูงศักดิ์ ทั้งยังได้แต่งงานกับ ‘จ้าวอี้’

ผู้เป็นฮ่องเต้ ทว่าเขามิเคยร่วมหออุ่นเตียงกันจนกระทั่งจากนางไป

เมื่อนางต้องกลายเป็นไทเฮา จึงได้โอบอุ้ม ‘จ้าวสี่’

ลูกชายคนเดียวของจ้าวอี้ว่าราชการหลังม่าน ประคองราชวงศ์อย่างยากเข็ญ

แต่แล้วนางกลับถูกฆ่าตายด้วยถ้วยยาพิษ ที่อยู่ในอุ้งมือของฮ่องเต้น้อยอย่างจ้าวสี่!

เมื่อลืมตาตื่นมาอีกครั้ง ก็พบว่าได้ย้อนกลับมาช่วงชีวิตวัยสิบสามปี

ก่อนมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในราชสำนัก

‘เหตุใดจ้าวสี่จึงมอบความตายให้นาง?’…แม้โอกาสในการมีชีวิตอาจทำให้ไขปริศนานี้ได้

แต่นางขอเลือกเดินในเส้นทางใหม่ ไม่เข้าไปข้องเกี่ยวกับตระกูลจ้าว

ไม่สนใจการผลัดเปลี่ยนแผ่นดิน นางขอเพียงมีชีวิตครอบครัวเล็กๆ

กับสามีที่วางใจได้ และลูกที่แสนน่ารักทว่า เมื่อนางได้นำพบกับ

หลี่เชียน แม่ทัพหนุ่มที่นางเคยรู้สึกเกลียดทุกคราที่พบหน้า

ชีวิตและความรักของนางจึงกำลังจะพบกับจุดเปลี่ยนอีกครั้ง…

หรือ ‘โชคชะตา’ จะนำพาให้เกิดเรื่องราวและวังวนที่ไม่เหมือนเดิม!

Options

not work with dark mode
Reset