มู่หนานจือบทที่ 136 ไม่ถอย

บทที่ 136 ไม่ถอย

ถึงอย่างไรจ้าวอี้ก็เป็นลูกชายของเฉาไทเฮา จึงไม่อาจเอ่ยคำพูดนี้ให้เฉาไทเฮาได้ยินได้

ไทฮองไทเฮาก็เพียงแค่คิดในใจเช่นกัน และคิดว่าเฉาไทเฮาก็เลือกจ้าวเซี่ยวเหมือนกับตนเอง

ในความคิดของไทฮองไทเฮา จ้าวเซี่ยวเป็นคนที่มีอำนาจที่สุดในสามคนนี้ และจ้าวเซี่ยวก็ชอบเจียงเซี่ยน ถึงขนาดตั้งใจหาทางให้ได้โอกาสแต่งงานกับเจียงเซี่ยน สิ่งเดียวที่ทำให้นางลังเลก็คือจวนจิ้งไห่โหวอยู่ไกลถึงฝูเจี้ยน แต่ความเสียดายนี้กลับถูกเฉาไทเฮาจัดการไปแล้วเมื่อครู่

หากจวนจิ้งไห่โหวเลื่อนขึ้นมาเป็นจวิ้นอ๋อง เจียงเซี่ยนก็อยู่เมืองหลวงได้แล้วมิใช่หรือ!

แม้จะอยู่เมืองหลวงตลอดชีวิตไม่ได้ ทว่าก็อยู่เมืองหลวงได้เจ็ดแปดปี ไว้จิ้งไห่โหวเสียชีวิตแล้วค่อยกลับไปก็ไม่สายเช่นกัน

ไทฮองไทเฮาโล่งอก รอยยิ้มปรากฏขึ้นที่หางตา และดื่มชาอย่างมีความสุข

ตอนนี้แค่รอให้จ้าวเซี่ยวแสดงออกว่าเขาจะไม่กลัวจ้าวอี้ นางก็จัดการเรื่องแต่งงานให้เจียงเซี่ยนได้แล้ว

แต่เฉาไทเฮากลับมีความคิดของตนเอง

ลูกสาวที่แต่งงานแล้วจะคิดเพื่อสามี หากจิ้งไห่โหวเลื่อนขึ้นมาเป็นจวิ้นอ๋อง ไม่ว่าจะเป็นฐานะหรือกำลังทหารก็ต้องเพิ่มขึ้นตามไปด้วย ทว่าเวลานี้ท้องพระคลังว่างเปล่า หากสนใจจิ้งไห่โหวก็ไม่มีเวลาสนใจกองกำลังรักษาพระนครของตระกูลเจียง ถึงเวลานั้นเจียงเซี่ยนจะช่วยครอบครัวของสามีหรือจะช่วยครอบครัวของตนเองเล่า? และจิ้งไห่โหวก็เป็นคนเย็นชา หากวันหนึ่งตระกูลเจียงมีความบาดหมางกับจิ้งไห่โหว เจียงเจิ้นหยวนกับจิ้งไห่โหวก็ต้องต่อสู้กันอย่างดุเดือด แล้วเจียงเจิ้นหยวนยังจะมีกะจิตกะใจมาสนใจเรื่องของนางกับฮ่องเต้ที่ไหนกัน ดังนั้นนางก็สามารถฉวยโอกาสนี้ช่วยให้ตระกูลหลี่ปักหลักที่ซานซีได้ ไว้นางกุมอำนาจทางการเมืองอีกครั้ง และมีตระกูลหลี่เป็นผู้ช่วยอีก ความเป็นไปได้ที่จะชนะและจัดการจวนเจิ้นกั๋วกงกับจวนจิ้งไห่โหวที่บอบช้ำทั้งคู่ได้ก็มีมากขึ้นแล้ว

ถึงทั้งสองตระกูลจะไม่ต่อสู้กัน นางก็สามารถคิดหาทางให้ทั้งสองตระกูลต่อสู้กันได้!

รีบให้เจียงเซี่ยนแต่งงานกับจ้าวเซี่ยวเถอะ!

เฉาไทเฮายิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่าอนาคตมีความหวัง

นางยิ้มตาหยี และยกถ้วยชาที่อยู่ใกล้มือขึ้นมาจิบเช่นกัน

บรรยากาศในตำหนักข้างดีจนไม่มีสิ่งใดเทียบได้ไปชั่วขณะ

ทว่าบรรยากาศแบบนี้คงอยู่ได้ไม่ถึงหนึ่งเค่อ ก็ถูกทำลายด้วยเสียงย่ำเท้าอย่างต่อเนื่องจากนอกตำหนักแล้ว

เฉาไทเฮาขมวดคิ้วเล็กน้อย

นางขังคนสกุลฟางไว้ที่ตำหนักหน้าของตำหนักอี๋อวิ๋น ทางเดินที่ออกสู่ภายนอกก็ใช้อิฐปิดตายหมดแล้ว และเหลือให้เข้าออกทางประตูข้างที่อำพรางอยู่ข้างดอกไม้และต้นไม้เพียงทางเดียวเท่านั้น คนสกุลฟางหาโอกาสติดต่อกับจ้าวอี้ตลอด วันนี้จ้าวอี้มา นังแม่นมนั่นเริ่มรนหาที่ตายอีกแล้วงั้นหรือ?

นางอดที่จะเอ่ยเสียงเฉียบขาดไม่ได้ว่า “ข้างนอกเกิดอะไรขึ้น?”

ขันทีคนหนึ่งวิ่งเข้ามา

เขาสวมชุดทั่วไปคอกลมแบบที่มีตีนซิ่นแขนยาวกรองคอสีเขียวของขันทีระดับสี่ บนหน้าที่หล่อเหลาเต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อ พอเข้ามาก็คุกเข่าลงตรงหน้าเฉาไทเฮาทันที และเอ่ยอย่างลนลานว่า “ไทเฮา รีบไปช่วยซื่อจื่อจิ้งไห่โหวเถอะพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาทจะฆ่าเขา…แล้วก็ซื่อจื่ออันลู่โหวด้วย…” พอเอ่ยจบก็รู้สึกว่าทำแบบนี้ไม่เหมาะสม จึงรีบคลานเข่าไปทางไทฮองไทเฮา และเอ่ยว่า “ไทฮองไทเฮา ฮองไทเฮา รีบไปทอดพระเนตรเถอะพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาทหยิบดาบมาแทงซื่อจื่อจิ้งไห่โหวจนบาดเจ็บแล้ว…”

ทั้งสองคนตกใจมากจนหน้าถอดสี พวกนางไม่มีเวลาสนใจอะไรมากนัก จึงลุกขึ้นยืนและไปทันที

ขันทีคนนั้นลุกขึ้นมาอย่างรวดเร็ว เห็นเฉาไทเฮายืดหลังตรงและก้าวเดินอย่างมั่นคงและมีพลัง เพียงไม่กี่ก้าวก็ทิ้งไทฮองไทเฮาที่อายุมากแล้วไว้ข้างหลังแล้ว เขาจึงเข้าไปประคองไทฮองไทเฮาทันที และเดินตามเฉาไทเฮาไปตำหนักเหรินโซ่วอย่างรวดเร็ว

เฉาไทเฮาเห็นขันทีคนนั้นตามไม่ทัน ก็เรียกชื่อของขันทีคนนั้นด้วยเสียงเฉียบขาดทันที “หย่งเซิ่ง ฝ่าบาทหยิบดาบทำร้ายซื่อจื่อจิ้งไห่โหวด้วยพระองค์เองได้อย่างไร เจ้าบอกข้ามาให้ชัดเจน”

หย่งเซิ่งประคองไทฮองไทเฮาเดินไปอย่างรวดเร็วพร้อมกับตอบว่า “ฝ่าบาทไปที่ตำหนักเหรินโซ่วได้ไม่นาน ซื่อจื่อจิ้งไห่โหว ซื่อจื่ออันลู่โหว และแม่ทัพจินก็มาพ่ะย่ะค่ะ บอกว่ารับคำสั่งจากไทฮองไทเฮาให้มาคารวะไทเฮา ตอนนั้นฝ่าบาทก็ทรงกริ้วมาก ทรงเรียกคนไปหาและถามถึงเรื่องแต่งงานของทั้งสามคน แม่ทัพจินบอกว่าคำสั่งของพ่อแม่ คำพูดของแม่สื่อ เรื่องแต่งงานของเขาก็ย่อมให้พ่อแม่เป็นคนตัดสินใจทุกอย่าง”

“ฝ่าบาทสีพระพักตร์คลายความพิโรธลงเล็กน้อย แล้วถามซื่อจื่ออันลู่โหว”

“ปรากฏว่าซื่อจื่ออันลู่โหวบอกว่า อันลู่โหวกับฮูหยินอนุญาตให้เขาแต่งงานกับคนที่ตนเองชอบแล้ว ขอเพียงคนที่เขาชอบเลือกเขา เขาก็จะไม่ทำให้นางผิดหวัง ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องแต่งงานและพากลับไป”

“ฝ่าบาทสีพระพักตร์เขียวทันที แล้วถามซื่อจื่อจิ้งไห่โหว”

พอเอ่ยถึงตรงนี้ หย่งเซิ่งก็ชะงักไป เสียงก็เบาลงเล็กน้อยเช่นกัน

“ซื่อจื่อจิ้งไห่โหวบอกว่า ขอให้ได้คนที่จริงใจกับตนเองและอยู่ด้วยกันไปจนแก่เฒ่า เขาอยากแต่งงานกับคนที่ตนเองชอบเหมือนกับซื่อจื่ออันลู่โหวพ่ะย่ะค่ะ”

“ฝ่าบาทก็จ้องและถามซื่อจื่อจิ้งไห่โหวว่า แล้วถ้าหากมีคนขัดขวางตรงกลางล่ะ?”

“ซื่อจื่อจิ้งไห่โหวก็ประสานสายตากับฝ่าบาท และบอกว่า…เขาจะทำแบบซื่อจื่ออันลู่โหว ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องแต่งงานและพาตัวกลับไป”

“ทีนี้ซื่อจื่อจิ้งไห่โหวก็เหมือนกับแหย่รังแตนเข้าแล้ว เขายั่วโมโหฝ่าบาท ฝ่าบาทจึงหันไปชักดาบหลงเฉวียนที่อยู่หลังกำแพงออกมาแทงซื่อจื่อจิ้งไห่โหวทันที”

“ซื่อจื่อจิ้งไห่โหวไม่กล้าหลบ จึงถูกแทงเช่นนี้”

“ซื่อจื่ออันลู่โหวเห็นแล้วก็ร้องขึ้นมาเสียงดัง…”

“ตอนที่กระหม่อมมา ขันทีตู้กับขันทีซุนกำลังคุกเข่าเกลี้ยกล่อมฝ่าบาทอยู่” และเอ่ยอีกว่า “กระหม่อมสั่งให้คนไปเรียกหมอหลวงแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

“บังอาจนัก!” เฉาไทเฮาเหมือนโกรธและทำอะไรไม่ได้ จึงเอ่ยอย่างเกลียดชังว่า “เป็นฮ่องเต้…กลับหยิบดาบมาแทงขุนนางจนบาดเจ็บเสียเอง นี่หากแพร่งพรายออกไป เขาไม่อายงั้นหรือ? สยงจื้อเหวินล่ะ? จั่วอี่หมิงล่ะ? พวกเขาไปไหนกันหมด? พวกเขาอบรมสั่งสอนฝ่าบาทแบบนี้หรือ? แล้วยังเกาหลิ่ง? เขาทำอะไรอยู่?”

สยงจื้อเหวินอาจารย์ของฮ่องเต้รับผิดชอบสอนหนังสือให้จ้าวอี้ จั่วอี่หมิงมหาบัณฑิตสำนักฮั่นหลินควบตำแหน่งขุนนางฝ่ายพิธีการกองพิธีการคอยติดตามอยู่ข้างกายจ้าวอี้ รับผิดชอบร่างราชโองการและจัดการหนังสือราชการให้จ้าวอี้ตลอดเวลา ทั้งสองคนต่างเป็นนักปราชญ์ที่มีชื่อเสียงในราชสำนักด้านหนังสือโบราณ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสยงจื้อเหวินที่มีผลงานมากมายจนซ้อนกันได้สูงเท่าตัวผู้เขียนแล้ว ทุกประโยคและทุกการกระทำของเขาเป็นตัวอย่างที่ดีของบัณฑิตเจียงหนานมาตลอด ส่วนเกาหลิ่งนั้นเวลานี้เป็นหัวหน้าหน่วยองครักษ์รับผิดชอบคุ้มกันจ้าวอี้

สามคนนี้เป็นขุนนางคนสนิทของฮ่องเต้ และมีหน้าที่เตือนจ้าวอี้เรื่องการพูดและกิริยาท่าทาง

หย่งเซิ่งเช็ดเหงื่อบนหน้าผาก

ตอนที่เฉาไทเฮากุมอำนาจทางการเมือง นางเคยขังอาจารย์ที่ควบคุมจ้าวอี้ไม่ได้ในคุกหลวง เพื่อให้จ้าวอี้เรียนหนังสือ…

“อีกไม่นานก็น่าจะมาแล้วพ่ะย่ะค่ะ” เขาคิดแล้วก็ร้อนใจแทนสามคนนี้ และเอ่ยว่า “เหตุการณ์เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน ใครก็คิดไม่ถึง…”

เฉาไทเฮาเม้มปากแน่นจนเป็นเส้นตรง แต่ในใจกลับไม่ได้ร้อนใจเช่นภายนอก

คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าจ้าวเซี่ยวยังมีความกล้าเช่นนี้ด้วย!

ดูเหมือนว่าจวนจิ้งไห่โหวจะมีคนรุ่นหลังมาสืบทอดกิจการของคนรุ่นก่อนแล้ว

หากเจียงเซี่ยนแต่งงานกับคนนี้จริง อย่างไรก็ดีกว่าแต่งงานกับคนขี้ขลาดพวกนั้น

ทว่าหากเกิดอะไรขึ้นกับจ้าวเซี่ยวที่ตำหนักเหรินโซ่วจริง เกรงว่าจิ้งไห่โหวคงจะไม่ยอมเลิกราง่ายๆ! หากเขาร่วมมือกับเจียงเจิ้นหยวนด้วยเหตุนี้ ก็ยิ่งยุ่งยากแล้ว

อย่างไรก็ต้องแยกจ้าวอี้กับจ้าวเซี่ยวออกจากกัน

นางเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้น

ไทฮองไทเฮาทั้งสบายใจและกังวล

นางไม่คิดว่าคนที่ดูอ่อนปวกเปียกอย่างเติ้งเฉิงลู่จะไม่ยอมอ่อนข้อให้ต่อหน้าฮ่องเต้ และคิดไม่ถึงยิ่งกว่าว่าจ้าวอี้จะลงดาบกับจ้าวเซี่ยว

หรือจะเป็นเพราะฮ่องเต้คิดว่าจ้าวเซี่ยวเป็นคนที่ได้เปรียบที่สุดในสามคนนี้งั้นหรือ? จึงอยากเชือดไก่ให้ลิงดู?

ไม่ว่าจะเป็นเพราะเหตุใด อย่างไรนางก็ต้องทำให้จ้าวเซี่ยวปลอดภัย

ไม่อย่างนั้นหากเรื่องนี้แพร่งพรายออกไป และจ้าวเซี่ยวมีอันเป็นไป เป่าหนิงจะไม่ได้ชื่อว่าเป็นหญิงที่มีดวงกินสามีงั้นหรือ แล้วใครยังจะกล้าแต่งงานกับนาง?

————————————

มู่หนานจือ

มู่หนานจือ

Score 10
Status: Completed

แม้ เจียงเซี่ยน เป็นถึงสตรีผู้สูงศักดิ์ ทั้งยังได้แต่งงานกับ ‘จ้าวอี้’

ผู้เป็นฮ่องเต้ ทว่าเขามิเคยร่วมหออุ่นเตียงกันจนกระทั่งจากนางไป

เมื่อนางต้องกลายเป็นไทเฮา จึงได้โอบอุ้ม ‘จ้าวสี่’

ลูกชายคนเดียวของจ้าวอี้ว่าราชการหลังม่าน ประคองราชวงศ์อย่างยากเข็ญ

แต่แล้วนางกลับถูกฆ่าตายด้วยถ้วยยาพิษ ที่อยู่ในอุ้งมือของฮ่องเต้น้อยอย่างจ้าวสี่!

เมื่อลืมตาตื่นมาอีกครั้ง ก็พบว่าได้ย้อนกลับมาช่วงชีวิตวัยสิบสามปี

ก่อนมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในราชสำนัก

‘เหตุใดจ้าวสี่จึงมอบความตายให้นาง?’…แม้โอกาสในการมีชีวิตอาจทำให้ไขปริศนานี้ได้

แต่นางขอเลือกเดินในเส้นทางใหม่ ไม่เข้าไปข้องเกี่ยวกับตระกูลจ้าว

ไม่สนใจการผลัดเปลี่ยนแผ่นดิน นางขอเพียงมีชีวิตครอบครัวเล็กๆ

กับสามีที่วางใจได้ และลูกที่แสนน่ารักทว่า เมื่อนางได้นำพบกับ

หลี่เชียน แม่ทัพหนุ่มที่นางเคยรู้สึกเกลียดทุกคราที่พบหน้า

ชีวิตและความรักของนางจึงกำลังจะพบกับจุดเปลี่ยนอีกครั้ง…

หรือ ‘โชคชะตา’ จะนำพาให้เกิดเรื่องราวและวังวนที่ไม่เหมือนเดิม!

Options

not work with dark mode
Reset