มู่หนานจือ บทที่ 119 ทะเลาะ

บทที่ 119 ทะเลาะ

หานถงซินมองข้าวในถ้วยจนถ้วยแทบจะแตกออกมาแล้ว

ไช่หรูอี้เตือนนางหลายครั้ง กว่านางจะควบคุมอารมณ์ได้ก็ไม่ง่ายเลย

รับประทานอาหารมื้อเที่ยงแล้ว เจียงลวี่ยังไม่มา ซุนเต๋อกงก็มาอีกแล้ว

ครั้งนี้เขามาถ่ายทอดราชโองการว่าคนของหน่วยองครักษ์กับกองบัญชาการปัญจทิศรักษานครจะเริ่มแสดงการละเล่นบนลานน้ำแข็งแล้ว จึงเชิญพวกนางไปชมที่จุดชมทิวทัศน์ตรงกระโจมที่ประทับ

ทุกคนมองการแต่งกายของกันและกันครู่หนึ่ง เมื่อไม่มีตรงไหนผิดธรรมเนียม ก็สวมหมวกม่านตาข่าย และเดินผ่านรั้วผ้าที่ห่างออกมาเป็นพิเศษไปยังจุดชมทิวทัศน์ที่แขวนม่านไม้ไผ่ไว้

ซุนเต๋อกงไปรายงานที่จุดชมทิวทัศน์ข้างหน้าฝั่งซ้าย

จ้าวอี้ลุกขึ้นยืนและมองกลับมา แล้วเอ่ยเสียงเบากับซุนเต๋อกงสองสามคำ ซุนเต๋อกงพยักหน้า ก็มีขันทีตะโกนเสียงแหลมเล็กน้อยว่า “เริ่มได้” หน่วยองครักษ์ที่สวมเกราะใยป่านสูงเท่าเอวสีแดงเข้มกับกองบัญชาการปัญจทิศรักษานครที่สวมเกราะผ้าฝ้ายสูงเท่าเอวสีเขียวขจีเริ่มสวมรองเท้าบูทที่ฝังแผ่นเหล็กเอาไว้และเริ่มแสดงการละเล่นบนพื้นน้ำแข็งที่วางสิ่งกีดขวางเอาไว้มากมาย

มองไปจากจุดที่เจียงเซี่ยนอยู่ จะเห็นได้ว่าตรงที่ต่ำกว่าบัลลังก์ของจ้าวอี้ยังมีคนที่สวมหมวกห้าแถบนั่งอยู่อีกหลายคน คนพวกนั้นแต่ละคนต่างนิ่งสนิท ท่าทางจริงจัง คิดดูแล้วเป็นพวกเจียงลวี่ที่ออกมาเล่นบนน้ำแข็งเป็นเพื่อนจ้าวอี้ ทว่าทางฝั่งเจียงเซี่ยนกลับตื่นเต้นขึ้นมา คุณหนูสองคนของสกุลซ่งกระซิบกระซาบกันอยู่ตรงนั้น “คนที่สวมเสื้อคลุมลายมังกรห้าเล็บสีเหลืองสดใสที่ลุกขึ้นยืนนั้น…คือฮ่องเต้!”

“แต่เหมือนจะยังไม่สูงเท่าพี่ใหญ่ซื่อจื่อ!”

“พี่ใหญ่ของพวกเราอายุยี่สิบห้าแล้ว และเป็นพ่อลูกสองแล้ว ฝ่าบาทยังอายุไม่ครบยี่สิบปีเต็มเลย จะเทียบกันได้อย่างไร”

ส่วนคุณหนูเติ้งจากตระกูลอันลู่โหวก็เข้ามาใกล้ตรงหน้าเจียงเซี่ยนมากขึ้นและถามเจียงเซี่ยนเสียงเบา “คนไหนคือซื่อจื่อเจิ้นกั๋วกงหรือ? ข้าได้ยินท่านพี่บอกว่า เขาเป็นวีรบุรุษ ไม่เพียงแต่ไล่ชนกลุ่มน้อยทางเหนือไปได้ ยังสามารถน้าวธนูหนักสามต้านได้ด้วยมือเดียวด้วย…”

เจียงเซี่ยนมุมปากกระตุกเล็กน้อย และเอ่ยว่า “อยู่ไกลไปหน่อย ข้าก็เห็นไม่ค่อยชัดเหมือนกัน แต่พี่ใหญ่ของข้าน้าวได้เพียงธนูหนักสองต้านนะ ยังน้าวธนูหนักสามต้านไม่ได้”

คุณหนูเติ้งแห่งตระกูลอันลู่โหวไม่ได้สนใจที่นางแก้ไขด้วยซ้ำ และเอ่ยว่า “โอ๊ย ไม่ว่าจะสองต้านหรือสามต้าน อย่างไรก็เก่งมากแล้ว ท่านพี่ของข้าน้าวแม้แต่ธนูหนักหนึ่งต้านไม่ได้ด้วยซ้ำ ท่านพ่อบอกแล้วว่า หากท่านพี่เหมือนซื่อจื่อเจิ้นกั๋วกงได้ ไม่ เหมือนซื่อจื่อเจิ้นกั๋วกงได้สักครึ่งหนึ่ง ท่านพ่อตายตอนนี้ก็หลับตาได้แล้ว…เอ่อ คือ ข้าหมายความว่า ท่านพ่อคิดว่าหลังจากเขาตายก็สามารถพบบรรพบุรุษแต่ละยุคในอดีตของตระกูลเติ้งได้แล้ว”

แม้แต่คนที่อดทนได้มาตลอดอย่างไป๋ซู่ยังหัวเราะออกมา

คุณหนูเติ้งของตระกูลอันลู่โหวหน้าขึ้นสีแดงก่ำ

เจียงเซี่ยนรีบเอ่ยว่า “เจ้าอย่าได้ใส่ใจ ข้าคิดไม่ถึงว่าอันลู่โหวที่จริงจังขนาดนั้นลับหลังจะพูดออกมาแบบนี้”

คุณหนูเติ้งสบายใจเล็กน้อย นางหน้าแดงและเอ่ยเสียงเบาว่า “ที่แท้ท่านรู้จักท่านพ่อของข้าหรือ! ปกติท่านพ่อดูท่าทางเด็ดขาดมาก แต่กลับดีกับข้า ท่านพี่ แล้วก็ท่านแม่มาก”

ไม่งั้นก็คงจะไม่เลี้ยงลูกชายคนหนึ่งกับลูกสาวคนหนึ่งให้เป็นคนแบบนี้แล้ว

เจียงเซี่ยนยังคงชอบมาก

คุณหนูเติ้งมองคุณหนูสองคนจากตระกูลราชเลขาธิการวังที่มีสมาธิอยู่ข้างๆ และกดเสียงให้เบาลงอีก พลางเอ่ยว่า “งั้น…ราชเลขาธิการวังเป็นคนอย่างไร? ข้าเห็นพี่สาวสองคนจากตระกูลของพวกเขาเด็ดขาดมากเลย!”

เจียงเซี่ยนรู้สึกว่าบรรยากาศของจุดชมทิวทัศน์อึมครึม เหมือนทุกคนต่างตั้งหูและรอให้นางเอ่ยปาก ทันใดนั้นนางก็เกิดอยากหยอกคนเล่นขึ้นมาเล็กน้อย จึงเลียนแบบคุณหนูเติ้งกดเสียงให้เบาลง และเอ่ยว่า “ราชเลขาธิการวังหน้าตาเหมือนคุณหนูวังทั้งสองมาก แต่คุณหนูวังทั้งสองหน้ากลม ราชเลขาธิการวังหน้าทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้า ไว้หนวดสองข้าง พูดจาเยือกเย็น และติดสำเนียงเมืองซูกับเมืองหังเล็กน้อย”

คุณหนูวังสองคนสีหน้าเปลี่ยนไปเป็นอย่างมาก

แม้แต่คุณหนูซูกับไช่หรูอี้ก็มองมาที่เจียงเซี่ยนด้วยสีหน้าแปลกใจมากจนยากที่จะปิดบังเช่นกัน

เจียงเซี่ยนยิ้ม

หลังจากจ้าวอี้ตาย วังจี่เต้าเป็นราชเลขาธิการแห่งสำนักราชเลขาธิการได้สองปีก็ถูกนางไล่กลับบ้านเกิด

หานถงซินอดที่จะหัวเราะเยาะไม่ได้ และเอ่ยว่า “ถึงอย่างไรเป่าหนิงก็ไม่เหมือนกับพวกเรา แม้แต่ขุนนางคนสำคัญที่ช่วยฝ่าบาทบริหารราชการแผ่นดินอย่างอันลู่โหวกับราชเลขาธิการวังก็เคยเจอ”

เจียงเซี่ยนเสียดายแทนท่านหญิงตงหยางจริงๆ

ผู้หญิงที่ใสบริสุทธิ์ขนาดนั้นเลี้ยงคนโง่อย่างหานถงซินออกมาได้อย่างไร

พูดจาไม่น่าฟังแม้แต่ประโยคเดียว

ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าไช่หรูอี้เล่นกับนางอย่างไร

เจียงเซี่ยนขี้เกียจสนใจนาง

ทว่าไป๋ซู่กลับถูกหานถงซินกระตุ้นความโกรธที่ยับยั้งไว้ก่อนหน้านี้ นางหัวเราะด้วยเสียงอ่อนโยนและเอ่ยว่า “ชิงอี๋พูดแบบนี้ก็ไม่ถูก แม้สนมในวังหลังห้ามเจอขุนนางใหญ่ในราชสำนักจะเป็นกฎที่ฮ่องเต้ไท่จงกำหนดเอาไว้ แต่คนยังมีชีวิตอยู่ ส่วนกฎนั้นตายตัว เวลานี้ไทเฮาพักผ่อนอย่างสงบอยู่ที่ภูเขาวั่นโซ่ว ขุนนางใหญ่ในราชสำนักหลายท่านไปคารวะไทฮองไทเฮา นั่นก็เป็นความกตัญญูของฝ่าบาทเช่นกัน เป่าหนิงรับใช้อยู่ข้างพระวรกายไทฮองไทเฮาทั้งกลางวันและกลางคืน บางครั้งหลบไม่ทันจึงเจอเข้า นั่นก็ไม่ใช่เรื่องร้ายแรงอะไรเช่นกัน ชิงอี๋พูดแบบนี้ กลับเหมือนฝ่าบาทจัดการไม่ทั่วถึง ถึงได้ให้ขุนนางคนสำคัญที่ช่วยฝ่าบาทบริหารราชการแผ่นดินในราชสำนักเข้าพบสนมในวังหลัง…นี่หากไทเฮาได้ยินเข้า ยังไม่รู้ว่าจะเสียพระทัยแค่ไหน!”

ตอนที่เฉาไทเฮากุมอำนาจทางการเมือง ก็ไม่รู้ว่ามีขุนนางใหญ่ในราชสำนักเคยเข้าเฝ้านางตั้งเท่าไร!

หานถงซินได้ยินก็โกรธจนตัวสั่นไม่หยุด นางลุกขึ้นยืน แล้วชี้ไป๋ซู่พลางเอ่ยว่า “เจ้าเป็นเพียงแค่ลูกสาวของจวนโหวเล็กๆ จวนหนึ่ง จะแสร้งเป็นทายาทของราชวงศ์ทำไม…”

“ถงซินหุบปากเดี๋ยวนี้!” ไช่หรูอี้ไม่รอให้หานถงซินพูดจบ นางเดินเข้าไปปิดปากหานถงซินอย่างรวดเร็ว หน้าซีดและขอโทษไป๋ซู่กับเจียงเซี่ยนไม่หยุด “นางก็เป็นคนแบบนี้ เรื่องเล็กๆ น้อยๆ ก็โกรธ พอโกรธขึ้นมาก็พูดจาเหลวไหล น้องจ่างจู ไม่ต้องใส่ใจคำพูดของนาง นางเป็นคนพูดไม่คิด”

ไป๋ซู่ไม่อาจคิดเล็กคิดน้อยกับหานถงซินได้ จึงพยักหน้าอย่างเย็นชา ถือว่ายอมรับการไกล่เกลี่ยของไช่หรูอี้แล้ว

ทว่าเจียงเซี่ยนไม่ได้เป็นคนดีขนาดนั้น นางเป็นคนที่ไม่ได้เกิดเรื่องอะไรขึ้นจริงๆ ก็ก่อเรื่องขึ้นมาได้ ยิ่งกว่านั้นเรื่องนี้ยังก่อกวนมาถึงไป๋ซู่ที่สนิทกันเหมือนพี่น้องกับนาง

นางค่อยๆ ลุกขึ้นยืน และมองคนที่อยู่บนจุดชมทิวทัศน์ครั้งหนึ่ง

คุณหนูสองคนของสกุลวังกับคุณหนูซูวางตัวเป็นคนนอกและไม่สนใจแม้แต่นิดเดียว คุณหนูสองคนของตระกูลอันกั๋วกงสีหน้าตื่นตระหนกเล็กน้อย สองมือจับกันแน่น ส่วนคุณหนูเติ้งที่ค่อนข้างไร้เดียงสาหลบอยู่หลังคุณหนูสองคนของตระกูลอันกั๋วกงอย่างหวาดกลัว

ช่างน่าอายจริงๆ!

เจียงเซี่ยนเอ่ยในใจ สายตาเฉียบขาดจับจ้องไปที่หานถงซิน และเอ่ยอย่างเฉยเมยว่า “หานถงซิน ไม่ว่าอย่างไรพ่อของจ่างจูก็เป็นโหวเล็กๆ คนหนึ่งเช่นกัน ทว่าพ่อของเจ้าไม่ใช่แม้แต่โหวด้วยซ้ำ! ต่อไปเจ้าพูดอะไรก็ระวังหน่อย อย่าทำให้ข้าโกรธ ไม่งั้นข้าคงต้องเจียดเวลาไปพบแม่ของเจ้าสักหน่อย และคุยเรื่องส่วนตัวกับแม่ของเจ้า เจ้าอย่าลืมล่ะ ตอนที่อยู่ภูเขาวั่นโซ่ว ใครเป็นคนยุให้ข้าไปดูกายกรรมที่ตำหนักเที่ยวหย่วน”

หานถงซินกับไช่หรูอี้สีหน้าเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง

แต่เจียงเซี่ยนก็ไม่อยากอยู่บนจุดชมทิวทัศน์นี้อีกต่อไปแล้วเช่นกัน จึงเรียกไป๋ซู่ “พวกเราเปลี่ยนที่ดูการละเล่นบนน้ำแข็งกันเถอะ”

ต่อหน้าทุกคน ต่อให้เจียงเซี่ยนผิด ไป๋ซู่ก็จะทำตามนางอยู่ดี

นางเรียกนางในเข้ามาช่วยพวกนางสวมเสื้อคลุมกับหมวกม่านตาข่ายทันที

คุณหนูสกุลซูเห็นว่าเรื่องราวร้าวฉานแล้วจึงรีบเข้ามาเตือน

เจียงเซี่ยนเอ่ยอย่างยับยั้งอารมณ์ของตนเองไว้ได้แล้วว่า “ขอบคุณความหวังดีของเจ้ามาก ข้าก็เป็นคนเจ้าอารมณ์เช่นกัน เวลาโกรธก็ควบคุมตนเองไม่ค่อยได้ แต่พอได้ระบายความโกรธนี้ออกไปก็ลืมแล้ว หากมีตรงไหนล่วงเกินเจ้า ก็ขอให้เจ้าอภัยให้ด้วย”

คืนคำพูดของไช่หรูอี้ให้ไช่หรูอี้เหมือนเดิม ทำให้ไช่หรูอี้ที่เดิมทีคิดจะเข้ามาเตือนเจียงเซี่ยนอึ้งไปตรงนั้น และกลืนไม่เข้าคายไม่ออก

คุณหนูซูเห็นสถานการณ์ก็ลอบถอนหายใจ และถอยไปอยู่ข้างๆ

ทุกคนมองเจียงเซี่ยนกับไป๋ซู่ออกไปจากจุดชมทิวทัศน์อย่างจนปัญญา

———————–

มู่หนานจือ

มู่หนานจือ

Score 10
Status: Completed

แม้ เจียงเซี่ยน เป็นถึงสตรีผู้สูงศักดิ์ ทั้งยังได้แต่งงานกับ ‘จ้าวอี้’

ผู้เป็นฮ่องเต้ ทว่าเขามิเคยร่วมหออุ่นเตียงกันจนกระทั่งจากนางไป

เมื่อนางต้องกลายเป็นไทเฮา จึงได้โอบอุ้ม ‘จ้าวสี่’

ลูกชายคนเดียวของจ้าวอี้ว่าราชการหลังม่าน ประคองราชวงศ์อย่างยากเข็ญ

แต่แล้วนางกลับถูกฆ่าตายด้วยถ้วยยาพิษ ที่อยู่ในอุ้งมือของฮ่องเต้น้อยอย่างจ้าวสี่!

เมื่อลืมตาตื่นมาอีกครั้ง ก็พบว่าได้ย้อนกลับมาช่วงชีวิตวัยสิบสามปี

ก่อนมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในราชสำนัก

‘เหตุใดจ้าวสี่จึงมอบความตายให้นาง?’…แม้โอกาสในการมีชีวิตอาจทำให้ไขปริศนานี้ได้

แต่นางขอเลือกเดินในเส้นทางใหม่ ไม่เข้าไปข้องเกี่ยวกับตระกูลจ้าว

ไม่สนใจการผลัดเปลี่ยนแผ่นดิน นางขอเพียงมีชีวิตครอบครัวเล็กๆ

กับสามีที่วางใจได้ และลูกที่แสนน่ารักทว่า เมื่อนางได้นำพบกับ

หลี่เชียน แม่ทัพหนุ่มที่นางเคยรู้สึกเกลียดทุกคราที่พบหน้า

ชีวิตและความรักของนางจึงกำลังจะพบกับจุดเปลี่ยนอีกครั้ง…

หรือ ‘โชคชะตา’ จะนำพาให้เกิดเรื่องราวและวังวนที่ไม่เหมือนเดิม!

Options

not work with dark mode
Reset