มู่หนานจือ บทที่ 109 เชิญ

บทที่ 109 เชิญ

จ้าวเซี่ยวฉลาดกว่าที่เจียงเซี่ยนคิดไว้

เจียงเซี่ยนจ้องตาของเขา และตอบเขาอย่างขอไปทีโดยไม่คลุมเครือแม้แต่นิดเดียว “ซื่อจื่อพูดอะไรน่ะ? ข้าไม่เข้าใจ”

จ้าวเซี่ยวหัวเราะเสียงดัง แต่เสียงหัวเราะนั้นดังออกมาไม่กี่ครั้ง เขาอาจจะนึกได้ว่าที่นี่คือพระราชวังต้องห้าม ไม่ใช่จวนจิ้งไห่โหว จึงรีบกลืนเสียงหัวเราะนั้นลงไป ทว่ารอยยิ้มยังคงปรากฏอยู่บนหน้าอย่างหยุดไม่ได้

“ท่านหญิงเจียหนาน” มีคนเรียกนางอย่างตะกุกตะกัก

เจียงเซี่ยนหันกลับไปก็เห็นเติ้งเฉิงลู่

เสียงของนางนุ่มนวลลงทันที และเอ่ยว่า “ซื่อจื่อหาข้ามีธุระอะไรหรือ?”

เติ้งเฉิงลู่หน้าแดงไปหมดแล้ว เขาส่ายหน้าพลางเอ่ยว่า “ไม่มีอะไร แค่ดูว่าท่านหญิงมีอะไรให้ข้าช่วยหรือไม่!”

“ข้ามีขันทีและนางในอยู่ด้วยมากมาย ไม่จำเป็นต้องให้คนอื่นช่วย” เจียงเซี่ยนคิดว่าตนเองอ่อนโยนกับเติ้งเฉิงลู่ก็ส่วนอ่อนโยน ทว่าสิ่งที่ควรพูดให้ชัดเจนก็ยังต้องพูดให้ชัดเจน จะได้ไม่ทำให้เขาเข้าใจผิด “ซื่อจื่อควรรับใช้อยู่ข้างพระวรกายฝ่าบาทมิใช่หรือ? เหตุใดมายุ่งเรื่องของข้าได้ ข้าว่ารีบกลับห้องอุ่นตะวันออกดีกว่า! ฝ่าบาทไม่เห็นท่านจะได้ไม่พิโรธ”

เติ้งเฉิงลู่หน้าแดงมากขึ้น เขาอึกอักอยู่นานมากก็พูดไม่ออกแม้แต่คำเดียว ได้ยินคำพูดของนางแล้วก็กลับไปห้องอุ่นตะวันออก

จ้าวเซี่ยวที่อยู่ข้างๆ หัวเราะออกมา

เจียงเซี่ยนรู้สึกไม่พอใจ

เขาอาจจะไม่เคยรักใครเลยมาทั้งชีวิต ถึงได้หัวเราะเยาะคนอื่นอย่างไร้ความรู้สึกแบบนี้

นางเดินผ่านข้างตัวเขาไปโดยไม่มองข้างทาง

จ้าวเซี่ยวมองภาพเงาด้านหลังที่ผอมบางของนาง แล้วก็อดที่จะเผยสีหน้าสนใจออกมาไม่ได้

ไทฮองไทเฮาอายุมากแล้ว และก็เป็นผู้อาวุโส ทุกคนก็ไม่ได้แบ่งแยกกันชัดเจนขนาดนั้น จึงจัดงานเลี้ยงที่ห้องรับแขกของห้องอุ่นตะวันออก แต่เจียงเซี่ยนกับไป๋ซู่เป็นเด็กสาวที่อายุค่อนข้างน้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งไป๋ซู่นั้นถือว่าหมั้นกับเฉาเซวียนแล้ว ทั้งสองคนจึงไม่ได้อยู่เป็นเพื่อนข้างกายไทฮองไทเฮาเหมือนตอนเด็กแล้ว ทว่ากลับไปรับประทานอาหารด้วยกันที่ตำหนักตงซานแทน

ไป๋ซู่ก็เอ่ยถึงจ้าวเซี่ยวขึ้นมา “ฝ่าบาทจะให้เขาอยู่เมืองหลวงจริงๆ หรือ?”

“ต่อให้ฝ่าบาทมีพระราชประสงค์ ก็ต้องดูว่าจิ้งไห่โหวจะยอมหรือไม่เช่นกัน!” เจียงเซี่ยนกำลังคิดถึงเฉาไทเฮา หลี่เชียน และเฉาเซวียนที่อยู่ภูเขาวั่นโซ่ว จึงพูดจาอย่างไม่ค่อยใส่ใจนัก “จ้าวเซี่ยวเป็นลูกชายที่เกิดจากภรรยาเอกของตระกูลจ้าว ลูกชายอีกสองคนของจิ้งไห่โหวต่างเป็นลูกชายที่เกิดจากอนุภรรยา คนหนึ่งอายุน้อยกว่าจ้าวเซี่ยวสิบปี อีกคนอายุน้อยกว่าสิบสามปี จิ้งไห่โหวคงไม่มีทางให้จ้าวเซี่ยวอยู่เมืองหลวงอยู่แล้ว”

ไป๋ซู่ฟังอยู่ก็เบิกตาโต และเอ่ยว่า “เป่าหนิง ทำไมเจ้าถึงรู้เยอะขนาดนั้น? พวกเราก็อยู่ด้วยกันทุกวัน…”

หากแค่แต่งงานกับผู้บัญชาการที่สืบทอดตำแหน่งมาหลายรุ่น แน่นอนว่าพวกนางไม่จำเป็นต้องรู้เยอะขนาดนี้ แต่คนที่ไป๋ซู่แต่งงานด้วยคือเฉาเซวียน และยังเป็นเฉาเซวียนที่ฮ่องเต้หวาดกลัว จนอาจจะถึงกับหวาดกลัวไปตลอดชีวิต ไป๋ซู่ก็จำเป็นต้องรู้ความลับของพวกตระกูลที่สร้างความดีความชอบต่อแคว้นอย่างใหญ่หลวง และขุนนางที่กุมอำนาจสำคัญให้มาก

เจียงเซี่ยนยิ้มและเอ่ยว่า “นี่ข้าก็ค่อยๆ สืบมาเหมือนกัน ทุกสิ่งทุกอย่างขอเพียงตั้งใจทำ เจ้ายังไม่ได้เข้าพิธีปักปิ่น ฮูหยินเป่ยติ้งโหวไม่มีทางให้เจ้าแต่งงานเร็วๆ นี้อย่างแน่นอน ข้าคาดว่าอย่างเร็วที่สุดก็ปีหน้า เจ้าสามารถใช้ช่วงเวลานี้ทำความเข้าใจมากขึ้นได้ หากไม่เข้าใจก็สามารถถามไทฮองไทเฮาได้ แล้วก็สามารถถามข้า หรือแม้แต่พวกเมิ่งฟางหลิงได้เช่นกัน!”

ไป๋ซู่พยักหน้าติดกันหลายครั้ง

ทั้งสองคนรับประทานอาหารอย่างเงียบๆ

ความคิดของเจียงเซี่ยนเปลี่ยนไปที่ภูเขาวั่นโซ่วอีกครั้ง

คนที่จ้าวอี้เชิญวันนี้ล้วนเป็นเหล่าผู้สืบทอดของคนที่มีตำแหน่งสูงและกุมอำนาจสำคัญ หลี่เชียนกับเฉาเซวียนอยู่ภูเขาวั่นโซ่วไม่รู้ว่าเป็นอย่างไรบ้าง?

นี่เป็นปีใหม่ปีแรกที่เฉาไทเฮาสูญเสียอำนาจ ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเฉาเซวียนจะปรับตัวได้หรือไม่?

ตระกูลหลี่อยากกลับซานซีมาตลอด เวลานี้จ้าวอี้กำลังจัดการคนที่เฉาไทเฮาทิ้งเอาไว้อย่างช้าๆ คนที่ยังคงอยู่เคียงข้างตลอดและไม่ทอดทิ้งเฉาไทเฮาไปในช่วงเวลาแห่งความเป็นความตายอย่างตระกูลหลี่ ก็เป็นขุนนางผู้ซื่อสัตย์ของเฉาไทเฮาอย่างสมบูรณ์ จ้าวอี้ไม่มีทางยอมอย่างเด็ดขาด ผ่านปีใหม่ไปแล้วก็เป็นช่วงเวลาปรับเปลี่ยนขุนนาง ทว่าไม่ว่าจะปรับเปลี่ยนอย่างไร ตระกูลเจียงควบคุมคนในเมืองหลวงมาหลายชั่วอายุคน กองกำลังรักษาพระนครต้องอยู่ในกำมือของคนตระกูลเจียงอย่างแน่นอน ส่วนอ๋องเหลียวก็ไม่ใช่คนที่ล่วงเกินได้ง่ายๆ เช่นกัน ทางฝั่งเหลียวตงก็ต้องแตะต้องไม่ได้อย่างแน่นอน และฮ่องเต้เป็นคนขี้ระแวง เขาต้องสอดแทรกคนของตนเองเข้าไปแน่ๆ ดังนั้นที่ที่เขาแตะต้องได้ก็มีเพียงฐานที่มั่นที่อยู่ใกล้เมืองหลวงที่สุดอย่างเหอเป่ยกับซานซีแล้ว มีแต่ต้องกุมฐานที่มั่นของสถานที่เหล่านี้ไว้ในมือเท่านั้น ถึงจะสามารถป้องกันกองกำลังรักษาพระนครก่อกบฏได้

นางเข้าใจเหตุผลนี้ เฉาไทเฮาก็ยิ่งเข้าใจ

ต่อไปเฉาไทเฮาน่าจะต้องแย่งอำนาจสั่งการฐานที่มั่นเหอเป่ยและซานซีกับจ้าวอี้

เหอเป่ยใกล้เมืองหลวงมากกว่า จ้าวอี้ไม่มีทางยอมแพ้อย่างเด็ดขาด

แต่ให้คนของเฉาไทเฮาไปคุมซานซี…จ้าวอี้ก็ยังไม่ได้โง่ถึงระดับนั้น

นางต้องเข้าไปแทรกแซงหรือไม่?

เจียงเซี่ยนเหมือนจะตัดสินใจไม่ได้

ให้ตระกูลหลี่ไปนั้นง่าย ทว่าตระกูลหลี่ไปแล้ว เฉาเซวียนจะทำอย่างไร?

หากตระกูลหลี่ไม่ไป พอเวลานานไป ตระกูลหลี่จะถูกขังอยู่ที่เมืองหลวง และกลายเป็นหมาป่าที่ไร้เขี้ยวเล็บ และเฉาเซวียนก็ยิ่งจะอันตรายมากขึ้น

เจียงเซี่ยนตกอยู่ในสภาวะลำบากใจ ตะเกียบทิ่มข้าวในถ้วย เมล็ดข้าวกระเด็นไปบนโต๊ะกินข้าว

ไป๋ซู่เตือนนางเสียงเบา “เป่าหนิง!”

เจียงเซี่ยนได้สติกลับมา ถึงพบว่าอาหารต่างเย็นเล็กน้อยแล้ว นางยังไม่ได้กินข้าวคำที่สองเลย

แต่นางฝึกทักษะไม่แสดงความรู้สึกและความปรารถนาต่างๆ ทางสีหน้าสำเร็จตั้งนานแล้ว จึงยื่นถ้วยให้นางในที่ยืนอยู่ข้างกายอย่างเยือกเย็น และเอ่ยว่า “เอามาให้ข้าใหม่ถ้วยหนึ่ง อาหารก็เปลี่ยนใหม่เหมือนกัน”

นางในขานรับอย่างนอบน้อม และไปยกอาหารมาจากห้องเครื่อง

ไป๋ซู่ยิ้มพลางส่ายหน้า

ทั้งสองคนกินข้าวแล้วส่งนางในไปถามที่ห้องอุ่นตะวันออกว่ามีธุระอะไรหรือไม่ พวกนางจะนอนกลางวันสักตื่น เมื่อวานนอนดึกเกินไป เมื่อครู่นั่งอยู่ที่ห้องอุ่นตะวันออกก็เริ่มสัปหงกแล้ว

นางในขานรับและจากไป เจียงเซี่ยนกับไป๋ซู่นอนตะแคงคุยกันอยู่บนเตียงอุ่นหลังใหญ่ใกล้หน้าต่าง

เสียงโหวกเหวกดังข้างนอกพักหนึ่ง

เจียงเซี่ยนกับไป๋ซู่ยังไม่ได้ลุกขึ้นก็มีนางในรายงานเสียงดังแล้วว่า “ท่านหญิงทั้งสอง ฝ่าบาทเสด็จมาเจ้าค่ะ”

ทั้งสองคนอึ้งไป

จ้าวอี้เลิกม่านเข้ามาเอง ข้างหลังยังมีเจียงลวี่ที่สีหน้าไม่ดีนักและจ้าวเซี่ยวที่เหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้มตามมาด้วย

นี่มันอะไรกัน?

แม้จะเป็นเจียงเซี่ยนก็จับต้นชนปลายไม่ถูกเหมือนกัน

แต่นางยังคงลุกขึ้นต้อนรับทุกคนให้นั่งลงในห้องอย่างเยือกเย็น และสั่งให้พวกนางในนำชากับของว่างมา

จ้าวอี้ก็ไม่เกรงใจเช่นกัน เขาถอดรองเท้าและขึ้นไปนั่งขัดสมาธิตรงที่ที่เจียงเซี่ยนนั่งก่อนหน้านี้บนเตียงอุ่น แล้วหยิบของว่างที่เจียงเซี่ยนกินไม่หมดขึ้นมาชิมชิ้นหนึ่ง แถมยังเอ่ยว่า “นี่คืออะไร? เจ้าเกลียดรสดอกหอมหมื่นลี้ที่สุดไม่ใช่หรือ? ทำไมถึงมีของว่างรสดอกหอมหมื่นลี้?”

เจียงเซี่ยนรู้ว่าเจียงลวี่ไม่เคยสนิทกับจ้าวอี้ ไม่ว่าจะมีหรือไม่มีคนก็จะยืนอยู่ข้างกายจ้าวอี้ตามมารยาทของฮ่องเต้กับขุนนาง นอกเสียจากว่าจ้าวอี้สั่งให้เขานั่ง ดังนั้นนางจึงไม่เกรงใจเช่นกัน นางขึ้นไปนั่งตรงข้ามกับจ้าวอี้บนเตียงอุ่น แล้วเอ่ยว่า “หม่อมฉันยังไม่ได้กิน ไม่รู้ว่าของว่างเป็นอะไร ห้องเครื่องส่งมา เป็นรสดอกหอมหมื่นลี้หรือเพคะ? หม่อมฉันไม่ได้กลิ่นดอกหอมหมื่นลี้”

จ้าวอี้โยนของว่างที่กัดไปมุมหนึ่งลงในกล่องใส่ขนมอย่างรังเกียจ แล้วเอ่ยว่า “สองวันก่อนข้าได้น้ำหอมกุหลาบมาหลายขวด เดี๋ยวให้เสี่ยวโต้วจึนำมาให้เจ้า”

เจียงเซี่ยนมีนิสัยมากมายที่ไม่เหมือนกับสตรีสูงศักดิ์ในเมืองหลวง ในนั้นก็รวมถึงการใส่น้ำหอมลงในอาหารเหมือนใส่น้ำตาลด้วย บวกกับเกิดเรื่องของแม่นมฟางขึ้น นางจึงยิ่งไม่ชอบเวลาที่จ้าวอี้มอบของเล็กน้อยพวกนี้ให้นาง

“ฝ่าบาทเก็บไว้พระราชทานให้คนอื่นดีกว่าเพคะ!” นางเอ่ย “หม่อมฉันก็ไม่ค่อยได้ใช้ ให้หม่อมฉันก็สิ้นเปลือง” พอเอ่ยถึงตรงนี้ จู่ๆ นางก็อยากขอน้ำหอมพวกนั้นให้ไป๋ซู่ ทว่าคิดอีกทีก็คิดว่าไป๋ซู่ไม่ชอบใช้เหมือนกับนาง และตระกูลเฉาก็ไม่มีญาติที่จำเป็นต้องให้ไป๋ซู่ติดสินบน เช่นนั้นไม่เอาก็ได้

จ้าวอี้คิดว่าเจียงเซี่ยนเป็นคนที่จริงใจต่อหน้าเขามาตลอด ชอบก็คือชอบ ไม่ชอบก็คือไม่ชอบ ดังนั้นการปฏิเสธแบบนี้จึงไม่ทำให้เขารู้สึกว่ามีอะไรแย่

เขาเอ่ยไปว่า “งั้นข้าให้กรมวังทำธูปให้เจ้าหน่อยแล้วกัน! เจ้าต้องไปไหว้พระที่หอพระใหญ่เป็นเพื่อนเสด็จย่าทุกวันไม่ใช่หรือ?”

กรมวังขาดธูปของใครก็ไม่กล้าขาดธูปของวังฉือหนิง!

เจียงเซี่ยนพยักหน้าอย่างไม่ใส่ใจนัก

———————–

มู่หนานจือ

มู่หนานจือ

Score 10
Status: Completed

แม้ เจียงเซี่ยน เป็นถึงสตรีผู้สูงศักดิ์ ทั้งยังได้แต่งงานกับ ‘จ้าวอี้’

ผู้เป็นฮ่องเต้ ทว่าเขามิเคยร่วมหออุ่นเตียงกันจนกระทั่งจากนางไป

เมื่อนางต้องกลายเป็นไทเฮา จึงได้โอบอุ้ม ‘จ้าวสี่’

ลูกชายคนเดียวของจ้าวอี้ว่าราชการหลังม่าน ประคองราชวงศ์อย่างยากเข็ญ

แต่แล้วนางกลับถูกฆ่าตายด้วยถ้วยยาพิษ ที่อยู่ในอุ้งมือของฮ่องเต้น้อยอย่างจ้าวสี่!

เมื่อลืมตาตื่นมาอีกครั้ง ก็พบว่าได้ย้อนกลับมาช่วงชีวิตวัยสิบสามปี

ก่อนมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในราชสำนัก

‘เหตุใดจ้าวสี่จึงมอบความตายให้นาง?’…แม้โอกาสในการมีชีวิตอาจทำให้ไขปริศนานี้ได้

แต่นางขอเลือกเดินในเส้นทางใหม่ ไม่เข้าไปข้องเกี่ยวกับตระกูลจ้าว

ไม่สนใจการผลัดเปลี่ยนแผ่นดิน นางขอเพียงมีชีวิตครอบครัวเล็กๆ

กับสามีที่วางใจได้ และลูกที่แสนน่ารักทว่า เมื่อนางได้นำพบกับ

หลี่เชียน แม่ทัพหนุ่มที่นางเคยรู้สึกเกลียดทุกคราที่พบหน้า

ชีวิตและความรักของนางจึงกำลังจะพบกับจุดเปลี่ยนอีกครั้ง…

หรือ ‘โชคชะตา’ จะนำพาให้เกิดเรื่องราวและวังวนที่ไม่เหมือนเดิม!

Options

not work with dark mode
Reset