[นิยายแปล] Keiken Zumi na Kimi to, Keiken Zerona Ore ga, Otsukiai Suru Hanashi. 13 ความจริงก็คือ…..

ตอนที่ 13 ความจริงก็คือ.....

ในช่วงเวลาเดียวกันที่ข่าวลือพวกนี้แพร่กระจายไปทั่ว

ความนิยมของคุโรเสะภายในห้องเรียนก็เพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว

 

“คุโรเสะซังเนี่ยน่ารักดีเนอะ”

 

ในช่วงเวลาพักเบรกพวกผู้ชายก็กำลังพูดคุยกันถึงตัวเธออยู่ที่ไหนสักที่หนึ่งภายในห้องเรียน ผมก็พอเข้าใจเหตุผลว่าทำไมหลังจากที่ผมได้สังเกตุตัวคุโรเสะซังมาได้สักพัก

ช่วงหลังหมดคาบเรียนและเป็นช่วงเวลาพักเบรก คุโรเสะซังเธอได้ทำสมุดจดบันทึกหล่นและผู้ชายที่อยู่ข้างหลังผมก็พยายามจะเอื้อมหยิบมันขึ้นมาให้กับเธอแล้วหลังจากนั้นพอเธอลุกขึ้นจากที่นั่งแล้วผมพยายามหยิบสมุดจดบันทึกเองเธอก็ได้เผลอไปแตะที่แขนของผู้ชายคนนั้นที่พยายามจะหยิบสมุดจดบันทึกขึ้นมาให้เธอ

 

“อ๊ะ…ขอโทษนะ…..ขอบคุณนะ”

 

เธอก้มตัวลงเล็กน้อยแล้วก็เงยหน้ามองขึ้นไปหาเขาพร้อมกับหางตาที่ชี้ขึ้น

 

“มะ-ไม่เป็นอะไรครับ!!”

 

ผู้ชายคนนั้นหน้าแดงแจ๋แล้วก็หลบสายตาไปทันทีแล้วก็อีกวันหนึ่งก็เหมือนกัน

ผมและคุโรเสะซังต่างได้ทำเวรของห้องเรียนด้วยกันเพราะลำดับที่นั่งของพวกเรา

หลังจากช่วงหมดคาบโฮมรูมในตอนเช้าอาจารย์ก็ขอให้ผมช่วยแบกเอกสารเกี่ยวกับข้อมูลการตรวจสุขภาพของนักเรียนทุกคนไปยังห้องพักครู

 

“งั้นพวกเรามาแบ่งครึ่งช่วยกันถือดีกว่าเนอะ”

 

แม้ว่าจะเป้นของนักเรียนทุกคนๆแต่มันก็เป็นแค่เอกสารที่เป้นกระดาษหลายๆแผ่นซ้อนทับกันเป็นปึกๆเฉยๆจุดประสงค์ของมันก็มีไว้แค่จดบันทึกลงไปแค่นั้นเพราะงั้นมันก็เลยไม่ได้มีน้ำหนักมากมายอะไรขนาดนั้น ผมก็เลยคิดว่ามันคงจะดีกว่าถ้าผมจะเอาส่วนของพวกผู้ชายมาถือไว้เองแล้วคุโรเสะซังก็เอาส่วนของพวกผู้หญิงไปเพราะอัตราส่วนนักเรียนชายมันมากกว่านักเรียนหญิง

 

“งื้อ หนักจัง ~”

 

ด้วยการขมวดคิ้วที่ดูมีปัญหา คุโรเสะซังก็เริ่มเดินโซซัดโซเซ

 

“เอ๊ะ? หนักอย่างนั้นเหรอครับ?”

 

แน่นอนว่ามันดูหนักขึ้นมาทันทีเวลาที่คุโรเสะซังที่ตัวเล็กกำลังแบกของเทอะทะเต็มไปหมด อย่างไรก็ตามมันก็เกิดขึ้นแล้วทั้งที่ผมคิดว่ามันไม่ควรจะเป็นแบบนั้น

 

“งั้นมาเดี๋ยวชั้นช่วยแบกให้เอง”

 

ผู้ชายในห้องเรียกหาเธอและเข้ามาหยิบเอกสารจากคุโรเสะซัง

 

“หา? ก็ไม่เห็นจะหนักตรงไหนเลยนี่”

“เอ๊ะ จริงเหรอ?”

 

คุโรเสะซังดูประหลาดใจ

 

“แหม ก็ไซโต้คุงแข็งแรงออกไม่ใช่เหรอ ก็มันหนักเกินไปสำหรับผู้หญิงนี่นา”

“อ๋อ อื้อ”

 

และไซโต้ก็ไม่ได้มีข้อกังขาอะไรแล้วก็เดินแบกแฟ้มไปจนถึงห้องพักครู

ด้วยเหตุนี้ไซโต้ที่ช่วยแบกมาจนเสร็จแล้วก็เดินนำหน้าพวกเราแล้วก็หายวับไป

และก็ตอนนั้นเองที่ผมกับคุโรเสะซังรายงานทุกอย่างกับอาจารย์เสร็จเรียบร้อยแล้วและกำลังเดินทางกลับห้องเรียน

 

“ตอนที่เราเข้าเวรของห้องเรียน เราจะต้องเขียนบันทึกประจำวันก่อนที่จะออกจากห้องใช่ไหม?”

 

คุโรเสะซังถามแล้วผมก็พยักหน้าตอบรับ

 

“ใช่แล้วล่ะ”

 

แล้วเธอก็ชักสีหน้าลำบากใจออกมา

 

“พอดีวันนี้ชั้น……ดันมีธุระที่จะต้องทำหลังเลิกเรียนอยู่น่ะสิ…..แล้วแบบนี้ชั้นควรจะทำยังไงดีล่ะ……”

“แค่เขียนบันทึกตามที่เธอเห็นสมควรก็ได้นะ บางทีอาจจะใช้เวลาแค่นาทีสองนาทีก็เสร็จแล้วล่ะ”

 

ก็ถ้าเป็นผมในสมัยที่ยังอยู่ ม.1 ล่ะก็ผมก็คงจะพูดออกไปด้วยความกระตือรือร้นว่า “ถ้างั้นเดี๋ยวชั้นจัดการเขียนให้เธอเองนะ” แน่ๆ แบบเดียวกับตอนที่ไซโต้ที่ช่วยหยิบสมุดจดบันทึกให้เธอนั่นแหละ

แต่ว่าเธอคนนี้น่ะ เธอจะต้องเป็นผู้หญิงแบบนั้นแน่ๆใช่ไหม?

แบบที่ชอบอ่อยเหยื่อกระตุ้นความต้องการที่จะปกป้องตัวเธอจากพวกผู้ชายหรือผมควรจะพูดยังไงดีล่ะ เธออาจจะเผลอทำให้พวกเขารู้สึกแบบนั้นไปโดยที่เธอไม่ทันได้รู้สึกตัวก็ได้…….ผมไม่ใช่คนๆเดียวที่เป็นคนพิเศษอะไรหรอก

ด้วยความรู้สึกขมขื่นจากการถูกปฏิเสธและความรู้สึกที่แสนกล้าแกร่งที่ผมมีต่อชิราคาวะซัง ทำให้ตอนนี้ผมสามารถทำตัวตามสบายต่อหน้าคุโรเสะซังได้แล้ว

 

“………….”

 

คุโรเสะซังก้มหน้ามองลงไปแล้วก็เงียบไปครู่หนึ่ง

 

“……ชิ”

 

อาเร๊ะ? เมื่อกี้เธอเดาะลิ้นอย่างนั้นเรอะ!? ผมคงคิดไปเองแน่ๆ…….

ขณะที่ผมกำลังคิดเรื่องนี้ คุโรเสะซังก็เงยหน้าขึ้นมา

 

“คาชิมะคุงสุดท้ายแล้วนายยังคง……….เคืองชั้นอยู่ล่ะสินะ”

 

ดวงตาของเธอโตขึ้นราวกับหมาชิวาว่าและผมก็เลิ่กลั่กขึ้นมาโดยที่ไม่ทันได้รู้ตัว

 

“เอ๊ะ?! เคืองเรื่องอะไรล่ะ?”

“ก็เมื่อก่อนที่ชั้นไม่ยอมตอบรับความรู้สึกของคาชิมะคุงไง……..ชั้นมันคนใจร้ายใจดำใช่ไหมล่ะ?”

“ปะ-เปล่าซักหน่อย ชั้นไม่ได้เคืองอะไรเธอเลยจริงๆ”

 

เอ๋? ไหงเธอถึงได้ขุดเอาเรื่องนั้นมาพูดเอาตอนนี้ล่ะ? 

เพราะเธอเขียนบันทึกประจำวันไม่ได้อย่างนั้นเหรอ?

 

“ก็ได้ครับก็ได้ งั้นเดี๋ยวผมจะเขียนให้เธอเองก็แล้วกันครับ”

 

ขืนทำคุโรเสะซังร้องไห้ออกมาล่ะก็ คงโดนเจ้าพวกผู้ชายรุมทึงเอาแหงๆผมก็เลยรีบพูดแบบนั้นออกไป

 

“จริงเหรอ?”

 

สีหน้าของเธอแจ่มใสขึ้นมาทันตาเห็นและยิ้มออกมาอย่างไร้เดียงสา

 

“คาชิมะคุงเนี่ย……..ใจดี….จังเลยนะ….”

 

เธอค่อยๆกระพริบตาอย่างมีนัยยะบางอย่างแล้วก็ค่อยๆจ้องมองมาที่ผมด้วยด้วยหางตาที่ชี้ขึ้น

 

“ชั้นชอบนะ……คนแบบนั้นน่ะ……”

“เอ๋…………”

 

ผมเผลอหลุดส่งเสียงออกมาเพราะตอนนี้มันไม่ใช่แค่ “อาจจะ” อีกแล้ว

โอเค ตั้งสติ เพราะเธอเป็นผู้หญิงพรรค์นี้และตัวเราเองก็มีชิราคาวะซังอยู่แล้ว

คุโรเสะซังยิ้มแย้มราวกับพึงพอใจ

 

“แต่ก็ไม่เป็นไร เดี๋ยวชั้นจะเขียนบันทึกประจำวันด้วยตัวเองก็แล้วกัน”

“เอ๊ะ?”

“งั้นชั้นไปนะ…”

 

ผมอดไม่ได้ที่จะกรอกสายตามองตามตัวเธอในขณะที่ผมกำลังสับสนอยู่

เธอเดินย่ำออกไปอย่างรวดเร็ว

 

“มันเรื่องบ้าอะไรกันล่ะเนี่ย…….”

 

นั่นแหละคือตอนที่เกิดเรื่องขึ้น

ผมรู้สึกว่าถูกจ้องมองอยู่

ผมหันหลังกลับไปและก็พบว่าชิราคาวะซังกำลังยืนอยู่ตรงนั้น

 

“อ๊ะ…ริวโตะ….”

 

ชิราคาวะซังสำรวจรอบๆพร้อมกับทำหน้าจริงจังผิดปกติ

หลังจากที่ตรวจสอบแล้วว่าไม่มีใครเธอก็เข้ามาหาผมและก็เปิดปากพูดว่า

 

“ทำเวรของห้องอยู่เหรอ?”

“ครับ”

“……กับคุโรเสะซัง?”

“คะ-ครับ”

“นายเป็นอะไรรึเปล่า?”

“เอ๋?”

 

เธอบอกว่าผมเป็นอะไรรึเปล่า? แต่กับเรื่องอะไรล่ะ?……และในขณะที่ผมกำลังครุ่นคิดอยู่นั้นชิราคาวะซังก็ก้าวเข้ามาหาผมหนึ่งก้าวและพูดด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบา

 

“ชั้นมีบางอย่าง……ที่จะบอกกับริวโตะน่ะ”

“แล้วมันคือเรื่องอะไรงั้นเหรอครับ?”

 

แล้วผมพอถามเธอกลับ

 

“อ๊ะ! ลูน่าอยู่ที่นี่นี่เอง”

“พวกเราตามหาเธอซะทั่วเลยนะ! นี่เธอทำอะไรของเธออยู่เนี่ย?”

 

จากฝั่งตรงข้ามของโถงทางเดินก็มีกลุ่มหญิงสาวหน้าตาดีที่กำลังขานเรียกชิราคาวะซังอยู่และชิราคาวะซังก็สะดุ้งตกใจ

 

“อื้อ….จะไปเดี๋ยวนี้แหละ!”

 

หลังจากตอบกลับหญิงสาวเหล่านั้นเสร็จ เธอก็มองกลับมาที่ผมแล้วขอโทษขอโพย

 

“ขอโทษทีนะริวโตะ ไว้ครั้งหน้าก็แล้วกันนะ…….”

“ไม่เป็นไรครับ ไปเถอะครับ”

 

ผมมองดูชิราคาวะซังเดินออกไปและผมก็โดดเดี่ยวอีกครั้ง

[ชั้นมีบางอย่าง…….ที่จะบอกกับริวโตะน่ะ]

 

“สงสัยจังว่ามันคือเรื่องอะไรกันนะ?”

 

ผมไม่คิดว่าผมเคยเห็นชิราคาวะซังชักสีหน้าแบบนั้นมาก่อนเลย

เมื่อไม่นานมานี้มีข่าวลือแย่ๆแพร่สะพัดไปทั่ว

แม้ว่าจะเป็นช่วงที่คาบเรียนต่อไปได้เริ่มต้นไปแล้วก็ตาม

เรื่องที่ชิราคาวะซังมีอะไรจะบอกกับผมมันก็ยังกวนใจผมอยู่และผมก็เอาแต่ครุ่นคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้วกไปวนมา

 

และหลังเลิกเรียนของวันนั้น

ในห้องเรียนที่เพื่อนร่วมห้องส่วนใหญ่ยังคงไม่ออกจากห้องกันและผมก็ได้รับบันทึกประจำวันจากคุโรเสะซังที่นั่งข้างๆผม

 

“เอ้านี่ คาชิมะคุง”

 

พอผมลองอ่านๆดูก็เขียนส่วนสำหรับวันนี้ไปได้แล้วครึ่งหนึ่งและเนื้อหาเองก็เขียนออกมาได้ดีเลยทีเดียว

อะไรกัน นี่มันเขียนได้ไร้ที่ติเลยนี่นา……..

 

“ถ้าอย่างนั้น เดี๋ยวผมจะจดส่วนของผมแล้วจะไปส่งให้นะครับ เพราะฉะนั้นจะกลับบ้านไปก่อนเลยได้ครับ”

 

เห็นเธอบอกว่ามีธุระที่ต้องไปทำนี่นาผมก็เลยพูดกับเธอ ไปอย่างนั้นแต่ก็…

 

“นอกจากนี้ นายได้ยินมาบ้างรึเปล่า?”

 

เธอพูดแบบนั้นกับผมแล้วก็เอนตัวมาข้างหน้า

 

“เอ๊ะ? เรื่องอะไรเหรอครับ?”

“ธาตุแท้ของชิราคาวะซังน่ะ”

 

ผมตกใจมากจนตัวแข็งทื่อไป

ชิราคาวะซังยังอยู่ในห้องเรียนพูดคุยกับยามานะซังและคนอื่นๆอย่างมีความสุขอยู่เลย

หรือว่าบางทีไอ้เจ้าข่าวลือนั่น…

ขณะที่ผมเงียบไปคุโรเสะซังก็เอนตัวเข้ามาทางผมด้วยใบหน้าที่ปลื้มปิติ

 

“พอดีว่ารุ่นน้องของพี่สาวชั้นน่ะคือแฟนเก่าของชิราคาวะซังเองแหละ”

 

ผมรู้สึกเจ็บแปล๊บข้างในอก

แฟนเก่าของชิราคาวะซังงั้นเหรอ….

ผมพยายามไม่คิดถึงมัน แต่พอคำๆถูกพูดออกมาอย่างลื่นไหลแบบนั้นแล้วผมก็นึกขึ้นได้ว่าพวกเขาก็มีตัวตนอยู่จริงๆบนโลกใบนี้

 

“….แล้วมันเกี่ยวกับเรื่องอะไรล่ะครับ?”

 

ผมถามเธอไปทั้งๆที่ผมก็แทบจะคุมสติตัวเองไม่อยู่แล้วตอนนี้

และคุโรเสะซังก็ยิ้มอย่างพอใจเมื่อเห้นว่าผมสนใจ

 

“คนๆนั้นน่ะ…..เขาบอกว่าเขาหมดตัวเลยตอนที่คบกับชิราคาวะซังน่ะ เธอเล่นทิ้งผู้ชายเป็นว่าเล่นเพื่อสนองตัวเธอเองและก็คิดว่าผู้ชายควรเป็นฝ่ายออกตังตอนที่ได้คบกันด้วย ยังไงๆซะเธอน่ะก็เป็นคนเห็นแก่ตัวล่ะนะ”

 

สิ่งแรกที่ผุดขึ้นมาในใจผมเมื่อได้ยินแบบนั้นนั่นก็คือเครื่องหมายคำถามตัวโตๆ

 

“…..นั่นน่ะ…..เธอแน่ใจเหรอครับว่าใช่ชิราคาวะซังน่ะ”

 

แล้วคุโรเสะซังก็พยักหน้าอย่างจริงจังกับคำถามของผม

 

“แน่ใจสิ เพราะแฟนเก่าของเธอเป็นคนพูดเองเลยเพราะงั้นชั้นก็เลยค่อนข้างแน่ใจเลย…..”

“………………”

 

ถ้าหากมันเป้นอย่างนั้นจริงๆล่ะก็ แสดงว่าไอ้แฟนเก่านั่นก็โกหกแล้วล่ะ เพราะมันไม่มีทางที่ชิราคาวะซังจะทำเรื่องพรรค์นั้นได้ลงคอหรอก

[แล้วเจ้านี่มันราคาเท่าไหร่เหรอ? เดี๋ยวชั้นจะจ่ายส่วนของชั้นให้]

แม้แต่ในวันเกิดของเธอเอง ชิราคาวะซังก็ยังพยายามที่จะจ่ายค่าเครื่องดื่มของเธอ

มันเป็นเรื่องที่คิดไม่ถึงจริงๆที่ผู้หญิงคนนั้นจะเป็นคนคิดว่าผู้ชายควรที่จะต้องเป็นคนเปย์ให้เพื่อที่จะได้คบด้วยน่ะ

นอกจากนี้ยังมีอะไรอีกนะ? เห็นแก่ตัว? หมอนั่นพูดว่างั้นสินะ? 

ชิราคาวะซังน่ะเป็นคนที่แคร์แฟนของตัวเองอย่างผมเอามากๆและพยายามที่จะทำให้มีความสุขมาโดยตลอด

ยังไงซะ ตอนนี้ผมรู้ที่มาที่ไปของข่าวลือที่สุดแสนจะน่ารังเกียจของชิราคาวะซังที่เมื่อไม่นานมานี้มันแพร่กระจายไปทั่วแล้ว

 

“คุโรเสะซัง”

“หืม มีอะไรเหรอ?”

 

บางทีเธออาจจะไม่ทันได้สังเกตุถึงน้ำเสียงของผมที่ผมพยายามซ่อนมันไว้ด้วยโทสะของผม คุโรเสะซังเธอก็ยังมองมาที่ผมด้วยสีหน้าอารมณ์ดีสบายใจเฉิบอยู่

 

“ข่าวลือพวกนั้นน่ะ เธอได้เอาไปเล่าให้ใครฟังบ้างรึเปล่าครับ?”

“เอ๋?”

 

บางทีพอสังเกตุได้ถึงความเปลี่ยนแปลงในตัวของผม สีหน้าของคุโรเสะซังก็แข็งทื่อเล็กน้อย

 

“ทำไมล่ะ? อืม ก็นะ………ชั้นลืมไปแล้วล่ะ แต่มันก็เรื่องจริงนี่นา นายไม่คิดว่าทุกคนเองก็ควรที่จะต้องรู้เรื่องนี้บ้างเหรอ?”

“…………………….”

 

ตอนนี้ไม่รู้แล้วว่าตกลงแฟนเก่าหรือว่าคุโรเสะซังกันแน่ที่กำลังโกหกอยู่ แต่เธอดูสนุกสนานไปกับการแพร่กระจายข่าวลือที่น่ารังเกียจแบบนี้มันทำให้ผมรู้สึกหงุดหงิดโครตๆ คุโรเสะก็พยายามจะพูดคุยต่อโดยที่เธอไม่ได้รับรู้ถึงความทุกข์ระทมภายในหัวใจของผม

 

“ก็ชิราคาวะซังน่ะ เธอเป็นที่นิยมมากๆเลยใช่ไหมล่ะ? นั่นแหละถึงเป็นเหตุผลที่ว่า…….เธอก็เก็บผู้ชายไว้ในสต็อคไว้เพื่อเอาไว้คบต่อเป็นคนต่อๆไปแล้วก็ค่อยถีบหัวส่งคนปัจจุบันพอเขาไม่เหลืออะไรเลยแล้วน่ะ หวา~ น่ากลัวจังเลยเนอะ~”

 

หลังจากที่เธอพูดแบบนั้นจบคุโรเสะซังก็มองไปทางด้านหลังพร้อมทำใบหน้าที่หวาดกลัว

ตรงนั้น…..ชิราคาวะซังกำลังพูดคุยอย่างสนุกสนานตามปกติอยู่

เมื่อผมเห็นรอยยิ้มที่สุดแสนจะน่ารักไร้ความกังวลใดๆแล้ว

เปลวเพลิงแห่งความพิโรธของผมก็ลุกโชนขึ้นมาอย่างรวดเร็ว

 

“แล้วก็นะ ชิราคาวะซังน่ะจริงๆแล้วเธอยัง……”

“เลิกพูดพล่อยๆใส่ร้ายชิราคาวะซังได้แล้ว………”

 

เมื่อได้ยินเสียงของผม การสนทนาของทั้งห้องเรียนก็หยุดลงครู่หนึ่ง

ดูเหมือนว่าผมจะพูดดังกว่าที่ตัวเองคิดเอาไว้หรือบางทีพวกเขาอาจจะแปลกใจที่ไอ้ผู้ชายมืดมนอย่างผมเอ่ยชื่อของชิราคาวะซังออกมา

 

“ปะ-เป็นอะไรไป คาชิมะคุง…”

 

คุโรเสะซังชักสีหน้าเสียออกมา

 

“สิ่งที่คุโรเสะซังพูดน่ะมันไม่ใช่ความจริงเลย ชิราคาวะซังน่ะไม่ใช่ผู้หญิงแบบนั้น”

 

พอผมพูดแบบนั้นออกไป คุโรเสะซังก็พูดย้อนกลับมาโดยไม่ปิดบังอะไรอีกต่อไป

 

“ไม่จริง ก็ในเมื่อชั้นได้ยินมาจากปากของแฟนเก่าของเธอเองต่อหน้าชั้นเลย”

“ถ้าอย่างนั้นไอ้เจ้า ‘แฟนเก่า’ คนนั้นก็โกหกเธอแล้วล่ะครับ”

 

เพื่อนร่วมห้องทั้งชั้นเรียนมองมาที่ผมและคุโรเสะซังที่กำลังเถียงกันด้วยสายตาที่กำลังสงสัยว่ามีเรื่องอะไรเกิดขึ้นกันแน่

แต่ยังไงซะ มันก็ไม่สำคัญอีกต่อไปแล้ว

ผมแค่ต้องการที่จะแก้ไขเรื่องเข้าใจผิดของชิราคาวะซัง

นั่นคือทั้งหมดที่ผมคิดอยู่ภายในใจ

 

“ชิราคาวะซังน่ะไม่ใช้ผู้หญิงแบบนั้น เธอเป็นผู้หญิงที่ใจดี คอยเอาใจใส่แฟนหนุ่มของเธอเอามากๆ และเธอก็อยากจะทำในสิ่งที่เธอทำให้แฟนหนุ่มของเธอมีความสุขมากกว่าการทำให้ตัวเธอเองมีความสุขซะอีก”

 

พอได้ยินแบบนี้ คุโรเสะซังก็เบะปากอย่างไร้อารมณ์

นี่เป็นครั้งแรกที่ผมได้เห็นเธอเป็นแบบนี้……

ผมรู้สึกว่าผมได้เห็นธาตุแท้ของเธอบนใบหน้าของตัวเธอเอง

และกระดูกสันหลังของผมก็สั่นสะท้าน

 

“อะไรกันล่ะนั่น? ละเมออยู่รึไง? ตัวชั้นรู้จักแฟนเก่าของเธอนะ”

“ครับ……ผมก็รู้จักแฟนของเธอเหมือนกัน”

 

ผมถอยหลังกลับไปไม่ได้แล้วและก็ไม่คิดอยากที่จะถอยแล้วด้วย

ผมต้องเคลียร์ความเข้าใจผิดนี้ ผมจะต้องแก้ไขเรื่องเข้าใจผิดแย่ๆที่ไม่มีมูลอะไรเลยของชิราคาวะซัง

และด้วยความคิดนั้นผมจึงพูดต่อไป

 

“ชิราคาวะซังเธอผู้หญิงที่ดีมากๆเป็นผู้หญิงประเภทที่ให้ของที่เข้าคู่กันกับแฟนหนุ่มของเธอเพื่อเป็นของขวัญเซอร์ไพรส์ในวันครบรอบและเป็นผู้หญิงประเภทที่ดีใจที่จะได้แผนที่ทำมือที่เอาไว้ช้อปปิ้งในตอนที่แฟนหนุ่มของเธอเงินหมดและซื้อของขวัญวันเกิดให้เธอไม่ได้”

 

เมื่อนึกถึงเดทของพวกเรา หน้าอกของผมก็ร้อนผ่าว

 

“ชิราคาวะซังเธอไม่ใช่คนเห็นแก่ตัว เธอคอยคิดถึงและห่วงใยแฟนหนุ่มของเธออยู่เสมอ เธอคือแฟนสาวที่ดีที่สุดในโลกใบนี้แล้ว”

 

เมื่อได้ยินคำพูดของผมคุโรเสะซังก็เงยหน้าขึ้นมา

 

“หา? แล้วไอ้ ‘แฟนหนุ่ม’ ที่ว่าเนี่ยคือใครกันล่ะ? หมอนั่นมันมีตัวตนอยู่จริงๆเรอะ? ถ้านายรู้ ไหนช่วยลองบอกมาสิ!!”

“……………”

“เห็นไหมล่ะ นายไม่….”

“งั้นผมจะบอกเธอเอาบุญก็แล้วกันนะ”

 

ผมได้ยินเสียงคำรามของหัวใจตัวเองภายในหูของผม

 

“ผมนี่แหละคือแฟนหนุ่มของชิราคาวะซังน่ะ”

 

ชั่วครู่หนึ่งภายในห้องเรียนมีแต่ความเงียบสงัด

พูดออกไปจนได้

ทั้งๆที่ผมกังวลแทบตายว่าจะถูกจับได้แท้ๆ

ผมได้เปิดเผยต่อสารธารณะไปแล้วว่าผมกำลังคบอยู่กับชิราคาวะซัง…….หลังจากที่เงียบไปจนหูอื้อ ก็มีเสียงดังขึ้นมา

 

“เห๊ะ?……..”

“ไอ้หมอนั่นมันพล่ามอะไรของมันล่ะนั่น?”

“นี่~ ที่อีตานั่นพูดมาทั้งหมดน่ะเป็นเรื่องจริงงั้นเหรอ?”

 

คนส่วนใหญ่ก็ดูจะไม่เชื่อ แต่ในบรรดาเพื่อนร่วมห้องที่เป็นพวกชอบแซวก็เข้าไปถามชิราคาวะซังเพื่อความสนุก

 

“นี่หมอนั่นเป็นแฟนของเธอจริงๆอย่างนั้นเหรอ?”

“เอ……….”

 

เมื่อได้ยินเสียงที่สับสนนั้น ผมจึงหันหลังไปมอง

ชิราคาวะซังมองมาที่ผมด้วยใบหน้าที่ประหลาดใจ

ท่ามกลางความโกลาหลซึ่งได้รับความสนใจจากทั้งชั้นเรียน เธอเองก็คงจะได้ยินสิ่งที่ผมพูดไปทั้งหมด

จากนั้นเธอก็พยักหน้าในขณะที่ตัวเธอเองก็ยังสับสันอยู่

 

“อื้อ……”

“เอ๋ !!!!!???”

 

หมอนั่นเป็นคนเข้าไปถามเองแท้ๆ แต่เจ้าผู้ชายคนนั้นออกอาการตกใจเกินเบอร์ในทันที

 

“นั่นน่ะล้อเล่นเฉยๆใช่มะ?…”

“ไม่นะ”

 

ชิราคาวะซังหันไปหาเพื่อนร่วมห้องที่ยื่นแข็งทื่อกันหมดทุกคนแล้วพูดพึมพัมเบาๆว่า

 

“ชั้นกำลังคบเขาอยู่น่ะ”

“เอ๋!!!!!??????”

 

ในที่สุดก็มีเสียงคำรามออกมาไม่ขาดสาย

 

“เป็นไปได้ยังไงกัน!? ทำไมต้องกับไอ้ทึ่มคาชิมะด้วย!?”

“ถ้าอย่างงั้นก็แสดงว่าลูน่าเองก็คบกับคนประเภทนี้ด้วยอย่างนั้นน่ะสิ!?”

 

ทุกคนเผยท่าทางประหลาดใจของแต่ละคนออกมา

 

“นี่มันคาดไม่ถึงเลยจริงๆ……..จะน่าตกใจเกินไปแล้ว”

“ทำไม? รู้แล้วแต่ก็ยังอยากจะสานสัมพันธ์ต่อรึยังไง?”

 

เพราะอย่างนั้นหลังจากที่ช็อคกันทั้งห้อง ก็เริ่มมีคนที่เริ่มตื่นเต้นท่ามกลางเหล่าเพื่อนร่วมห้องเหล่านั้น

ซึ่งส่วนใหญ่ก็เป็นพวกผู้ชาย

 

“ก็ถ้าคนอย่างเจ้าคาชิมะทำได้ แสดงว่าชั้นก็ต้องทำได้เหมือนกันใช่ไหมล่ะ?”

“ชั้นเองก็เผลอคิดว่าเธอน่าจะเลือกคบเฉพาะกับคนที่หน้าตาดี สเป็คสูงๆเท่านั้นก็เลยเลือกที่จะยอมแพ้มาจนถึงตอนนี้”

“แบบนี้หล่อนก็เป็นผู้หญิงที่ดีคนหนึ่งเลยไม่ใช่รึยังไง? ชั้นว่าชั้นชักจะชอบเธอมากขึ้นเรื่อยๆซะแล้วสิ”

“ครั้งหน้าที่เธอโสด ชั้นจะลองดูสักตั้งบ้างดีไหมวะ?”

“มันก็มีโอกาสใช่ไหมล๊า!!”

 

ในเวลาเดียวกันคุโรเสะซังก็จ้องมองมาอย่างเย็นชา

 

“แล้วถ้าเธอคบกับคนอย่างคาชิมะเป็นแฟนได้ แสดงว่าเรื่องที่คุโรเสะซํงเล่ามามันก็เหลวไหลทั้งเพเลยอ่ะดิ”

“ก็ไม่ใช่ว่าแค่แฟนเก่าเธออยากพูดใส่ร้ายป้ายสีเธอให้ดูแย่อะไรแบบนั้นหรอกรึ?”

“เรื่องนั้นบางทีคุโรเสะซังหล่อนอาจจะปั้นน้ำเป็นตัวขึ้นมาเองก็ได้มั้ง”

“ก็จริงแฮะ……..จนถึงตอนนี้เอง ชั้นก็ยังไม่เคยได้ยินเรื่องอะไรแบบนั้นเกี่ยวกับชิราคาวะซังมาก่อนเลย”

“อะ-อะไรกัน…….”

 

จู่ๆคุโรเสะซังที่ก็กลายเป็นจุดสนใจของเพื่อนร่วมห้องขึ้นมาทันที

คุโรเสะซังซึ่งตอนนี้เป็นฝ่ายเสียเปรียบก็มีเหงื่อไหลที่หน้าผาก

 

“ชั้นได้ยินมาจริงๆนะ……….”

 

เธอกุมมือทั้งสองข้างกำหมัดแน่น

อย่างไรก็ตามเมื่อตระหนักได้ว่าการที่ยังยืนกรานผู้อยู่แบบนั้นมันไม่ได้ทำให้เธอดูดีขึ้นเลย เธอจึงรีบลุกพรวดพราดออกจากที่นั่ง

 

“นายมันแย่ที่สุดเลย!! ชั้นไม่เคยพูดอะไรอย่างการโกหกเลยนะ”

 

 

เธอตะโกนออกมาด้วยดวงตาที่เบิกกว้างของเธอที่เคล้าไปด้วยน้ำตาแล้วก็วิ่งออกไปที่โถงทางเดิน

 

“นะ-นี่!!”

 

ยังมีบางอย่างที่ผมยังอยากจะถามกับเธออยู่อย่างการที่ว่าเธอแพร่สะพัดเรื่องโกหกนี้กับทุกคนไปได้ยังไง?

แล้วทำไมถึงจะต้องเป็นชิราคาวะซังด้วย? ผมต้องถามให้แน่ใจ

และด้วยความคิดนั้นผมจึงไล่ตามคุโรเสะซังและออกจากห้องเรียนไป

คุโรเสะซังวิ่งผ่านโถงทางเดินและหยุดกลางบันไดเล็กๆที่สามารถทอดขึ้นไปสู่ดาดฟ้าได้

 

*ฮือ……กระซิกๆ*

 

ไหล่ของเธอสั่นเทิ้มร้องไห้สะอื้นอย่างหนักหน่วงพร้อมกับเช็ดดวงตาด้วยมือทั้งสองข้าง

ดูเหมือนว่าถ้าจะไม่ได้แสร้งทำเป็นว่าร้องไห้ แต่เธอกำลังร้องไห้จริงๆอยู่

 

“คุโรเสะซั-“

“อย่าเข้ามานะ!!”

 

พอผมพยายามเข้าไปใกล้เธอ ผมก็ถูกเธอต่อว่าอย่างรุนแรง

 

“นายยังจะตามมาอีกทำไม………นายไม่ได้ชอบชั้นเลยด้วยซ้ำ……..ทำไมไม่ไปขลุกอยู่กับยัยผู้หญิงคนนั้นซะล่ะ!!”

“…………”

นี่มันเกิดเรื่องบ้าอะไรขึ้นเนี่ย……

 

“คือผมสงสัยน่ะครับ เธอพอจะบอกผมได้ไหม ว่าทำไมเธอถึงทำอะไรแบบนี้?”

 

พอเธอเริ่มสงบลงจากการร้องห่มร้องไห้ ผมก็เริ่มคุยกับเธอจากด้านล่างของบันไดและคุโรเสะซังก็นั่งลงที่บันไดในขณะที่ยังเอามือไม้ปิดหน้าตัวเองไว้

 

“ทำอะไรแบบนี้? นายกำลังพูดถึงเรื่องอะไรล่ะ?”

“ก็เรื่องที่ไปแพร่ข่าวลือแย่ๆเกี่ยวกับชิราคาวะซังยังไงล่ะครับ”

 

เมื่อผมพูดแบบนั้นคุโรเสะซังก็ร้องไห้งอแงอีกครั้ง

 

“แง๊ !! นายเนี่ยมันแย่จริงๆ เอาแต่พูด ชิราคาวะซังนี่ ชิราคาวะซังนั่น อยู่นั่นแหละ! สิ่งที่นายทำอยู่ตอนนี้ก็คือเอาแต่พูดถึงผู้หญิงคนนั้นอยู่ได้…….ทั้งๆที่เมื่อก่อนนายเองก็ชอบชั้นเหมือนกันแท้ๆ”

 

มะ-เมื่อกี้เธอพูดว่าอะไรนะ??

 

“…..ก็ในเมื่อตอนนี้ผมกำลังคบอยู่กับชิราคาวะซังนี่ครับ มันยังไม่ชัดเจนอีกเหรอ?”

“ก็ชั้นไม่ชอบแบบนั้นไงเล่า!!!”

 

คุโรเสะซังก็ตะโกนงอแงเหมือนเด็กนิสัยเสีย

 

“ชั้นน่ะอยากจะให้ทุกคนชอบ ชั้นอยากจะเป็นที่หนึ่งของทุกคน”

“ตะ-แต่……”

 

ขณะที่รู้สึกอึดอัดผมก็พยายามที่จะพูดแย้งเธอ

 

“ถึงแม้ว่าทุกคนเขาจะชอบเธอ แต่เธอก็สามารถที่จะคบกับผู้ชายได้แค่คนเดียวใช่ไหมล่ะครับ? แล้วจะทำแบบนั้นไปเพื่ออะไรกันครับ?”

“ชั้นจะไม่ได้อยากคบกับใครหรอกนะ!!!”

 

คำพูดของผมถูกขัดจังหวะโดยคุโรเสะซัง

 

“ชั้นแค่อยากทำให้ทุกๆคนชอบชั้นแค่นั้น เพราะงั้นชั้นก็ไม่เคยได้คบกับใครหน้าไหนทั้งนั้นแหละ”

 

ขณะที่เธอพูดน้ำตาของเธอก็ไหลออกมาอีกครั้ง

 

“ชั้นน่ะอยากที่จะเป็นที่หนึ่ง…….เพราะถ้าไม่ใช่ที่หนึ่งก็จะไม่ถูกเลือก ชั้นไม่อยากให้ยัยผู้หญิงคนนั้นมาพรากอะไรไปจากชีวิตของชั้นอีกแล้ว….”

“…….นี่เธอกำลังพูดถึงเรื่องอะไร? เธอกับชิราคาวะซังรู้จักกันมาตั้งแต่เมื่อก่อนแล้วงั้นเหรอ…..?”

 

เมื่อผมถามเรื่องนี้ออกไปน้ำตาเม็ดใหญ่ก็ไหลออกมาจากดวงตาของคุโรเสะซัง

แล้วคุโรเสะซังก็ก้มหน้าลงอย่างละอายใจแล้วก็เปิดปากพูดออกมาอย่างเบาๆว่า

 

“ชิราคาวะ ลูน่า เธอคือ……….พี่สาวฝาแฝดของชั้นเอง”

 

เมื่อผมได้ยินเรื่องนี้ ผมก็ตกใจราวกับมีฟ้าผ่าลงมาที่กลางตัว

 

“เอ๊ะ?……..”

Options

not work with dark mode
Reset