ซ้อจำเป็น 10

ตอนที่ 10

บทที่ 10  

 

 

 

 

 

 

 

 

             “ไปสัมภาษณ์งานเป็นยังไงบ้างล่ะลูก เอาเข้าจริงขุนศึกไม่น่าให้น้องไปเองเลยก็ได้นะม๊าว่า ยังไงคับฟ้าก็ต้องผ่านได้ทำงานอยู่แล้ว”

 

 

 

 

 

             ในระหว่างที่นั่งกินข้าวไปได้ซะพักม๊าผมก็พูดประเด็นเรื่องงานขึ้น แต่สิ่งที่ทำให้ผมตกใจคือม๊ารู้อยู่ก่อนแล้วหรือไงว่าบริษัทที่ผมไปสัมภาษณ์เป็นบริษัทของขุนศึก ตะเกียบที่กำลังคีบหมูถึงกับชะงักกลางอากาศ

 

 

 

 

 

             “อ…เอ่อ…”

 

 

 

 

 

             “ผ่านอยู่แล้วครับม๊า ผมจัดการตั้งแต่เห็นชื่อน้องยื่นเรซูเม่เข้ามาแล้วล่ะครับ ส่วนเรื่องที่ให้น้องเข้าไปด้วยตัวเองผมอยากจะเซอร์ไพรส์เลยไม่ได้บอกความจริงไปแต่แรก”

 

 

 

 

 

             หากไม่รู้จักกันสันดานมาก่อนรอยยิ้มที่คนด้านข้างกำลังส่งมาให้คงจะทำให้ใจกระตุกไม่น้อย ดวงตาคมกริบระบายรอยยิ้มอบอุ่นมาให้ผม รอยยิ้มที่จงใจปกปิดความลับเอาไว้ให้ลึกลงไปยังก้นบึ้งของหัวใจ ไม่มีใครรับรู้กับผมด้วยซ้ำว่าภายใต้หน้ากากฉีกยิ้มนี้มันก็แค่ผู้ชายจอมหลอกลวงคนนึง แล้วคิดหรอว่าผมจะเคลิ้มกับรอยยิ้มตรงหน้า  

 

 

 

 

 

              ไม่เลย…  

 

 

 

 

 

             “เจ้าเล่ห์นักนtเรา ให้ลูกสะใภ้ม๊าขับรถไปกลับทำไมให้เมื่อย!”  

 

 

 

 

 

             ตะเกียบสีทองถูกยกขึ้นชี้หน้ามายังขุนศึกพ่วงกับเสียงหัวเราะขบขันเมื่อเฮียใหญ่ของบ้านทำหน้าสลดเมื่อโดนผู้เป็นแม่ดุใส่ แต่มีเพียงแค่ผมคนเดียวเท่านั้นที่เผยรอยยิ้มบาง ๆ แล้วก้มลงสนใจกับข้าวต่อเพราะสิ่งที่ขุนศึกพูดแต่ละคำล้วนประโยคทำเอาผมคาดไม่ถึง คาดไม่ถึงที่มันจะปรุงแต่งเรื่องราวได้ยิ่งกว่านักเขียนนิยายเสียอีก  

 

 

 

 

 

             “แกจะให้น้องเริ่มงานวันไหน บริษัทแกกำลังเปิดโปรเจคใหม่อยู่ไม่ใช่หรือไง ดันน้องเข้าในทีมนั้นเลยป๊าก็ว่าเหมาะดีนะ”  

 

 

 

 

 

             “พรุ่งนี้แหละป๊า จะได้ให้น้องเข้าทีมใหม่วันแรกของการเปิดโปรเจค”  

 

 

 

 

 

             พูดเองเออเองทุกอย่างไม่มีการถามไถ่กันก่อน ผมไม่ได้ตกปากรับคำเรื่องเข้าไปทำงานในบริษัทสักคำ ไม่มีคำไหนของช่วงเวลาที่ผมเอ่ยปากว่าตกลงปลงใจเรื่องเข้าทำงาน หางตาผมเล่ห์มองขุนศึกด้วยความรู้สึกโมโหคนอย่างมันอ่านเกมส์ผมไวกว่าที่ผมคิด มันรู้ว่าถ้าพูดถึงเรื่องนี้ยังไงซะผมก็ต้องเข้าทำงานแต่สิ่งหนึ่งที่ผมไม่เข้าใจคือทำไมมันต้องคอยหาทางดึงผมเข้าไปในวงจรชีวิตมันด้วย  

 

 

 

 

 

              กฎที่มันเป็นคนตั้งแท้ ๆ มันลืมหรือไงกัน….  

 

 

 

 

 

             “ดีแล้ว ผัวเมียทำงานที่เดียวกัน เงินมันจะได้ไม่รั่วไหลไปทางอื่นเยอะ”  

 

 

 

 

 

             เสียงอากงฝ่ายบ้านขุนศึกพูดขึ้นด้วยจังหวะเนิบนาบตามสไตล์คนสูงวัย เมื่อจบประเด็นเรื่องผมทุกคนก็กันเปลี่ยนหัวข้อเรื่องอื่นไปเรื่อยตามฉบับวันครอบครัวที่ทุกคนมักจะสรรหาสิ่งต่าง ๆ มาพูดคุยแลกเปลี่ยนกัน ส่วนผมก็โดนหยกกับหมวยตักกับข้าวให้จนเต็มจานเพราะอยากให้ผมนั้นกินทุกอย่างทุกเมนู และผมไม่ได้ปฏิเสธแถมนั่งกินในจานจนหมดเกลี้ยงเพื่อให้น้องสองคนของผมสบายใจ   

 

 

 

 

 

             “เภา! เภาจ๊ะ!”  

 

 

 

 

 

             เมื่อเวลาเดินไปจนมาถึงจุดอิ่มตัวตะเกียบหนึ่งคู่ถูกวางลงบนจานผมพร้อมกับร่างสูงของขุนศึกที่ยื่นแก้วน้ำมาให้ผมอย่างเอาอกเอาใจ ตอนแรกผมว่าจะไม่รับแต่สายตาที่จ้องบังคับผมไม่วางตานั้นทำให้ต้องเอื้อมมือไปคว้าแก้วน้ำขึ้นมาไว้ที่มือและยกดื่ม  

 

 

 

 

 

             “คะคุณนาย”  

 

 

 

 

 

             “ไปยกน้ำสมุนไพรออกมา ลูกสะใภ้ฉันจะได้ดื่มหลังกินข้าวเสร็จ”  

 

 

 

 

 

             “ค่ะคุณนาย”  

 

 

 

 

 

             คำว่า ยาสมุนไพร ของม๊าขุนศึกทำให้สองคิ้วผมขมวดกันเป็นปม ผมหันหน้าไปมองหน้าขุนศึกอย่างต้องการคำตอบแต่สิ่งที่มันส่งกลับมาทำเพียงยักไหล่ไม่รู้เหมือนกันกับผม และไม่นานกาน้ำร้อนดินเผาสลักด้วยลวดลายมังกรจีนเก่าแก่ถูกยกตรงมาทางผม ป้าแม่บ้านวางแก้วน้ำชาตรงหน้าผมก่อนที่จะค่อย ๆ เทน้ำสมุนไพรสีคล้ายน้ำชาลงใส่แก้ว ทุกสายตาบนโต๊ะอาหารใหญ่มองมาทางผมด้วยรอยยิ้มบาง ราวกับลุ้นว่าเมื่อไหร่ผมจะยกขึ้นกิน  

 

 

 

 

 

              ดูจากสายตาทุกคนแล้วทำเอาผมใจหวิวไม่น้อย…  

 

 

 

 

 

             “มันคืออะไรหรอครับม๊า”  

 

 

 

 

 

             สายตาตัวเองหลุบต่ำมองน้ำในแก้วอย่างไม่ไว้วางใจ ทั้งม๊าของผมและขุนศึกมองหน้ากันยิ้ม ๆ เมื่อถูกผมถาม ผมยังคงนั่งจ้องแก้วน้ำชาตรงหน้านิ่ง โดยไม่คิดที่จะกรอกลงใส่ปากถ้าหากยังไม่รู้ว่าสิ่งตรงหน้าคือน้ำอะไร  

 

 

 

 

 

             “เป็นยาบำรุงภายในจ๊ะ ม๊าสองคนได้มาจากซินแซที่ต้นตระกูลเรานับถือตั้งแต่บรรพบุรุษ คับฟ้าต้องต้มกินทุกวันหลังอาหารนะลูก เดี๋ยวม๊าจะใส่กระปุกไปให้ ขุนศึกต้องคอยดูด้วยว่าน้องกินทุกวันหรือเปล่า ซินแซกำชับมาว่าต้องกินต่อเนื่องให้หมด ห้ามเว้นช่วงเด็ดขาด”  

 

 

 

 

 

             ไม่พูดเปล่ายาพงสีน้ำตาลเข้มที่ถูกใส่ไว้ในกระปุกใสถูกวางลงต่อหน้าผมเมื่อป้าแม่บ้านเป็นคนยกมาให้ สีหน้าผมมันไม่ค่อยสู้ดีเท่าไหร่นักกับเรื่องที่ม๊าบอกว่าเป็นยาบำรุงภายใน  

 

 

 

 

 

              บำรุงภายในมันหมายความว่ายังไงกัน…  

 

 

 

 

 

             “บำรุงภายในนี่บำรุงอะไรครับม๊า”  

 

 

 

 

 

             สองมือผมยกแก้วน้ำชาขึ้นแล้วดมรับกลิ่นของยาสมุนไพรกลิ่นที่ดมนั้นคล้ายกับรากไม้อ่อน ๆ ผมก้มสูมดมอยู่นานก่อนที่จะตัดสินใจลองยกขึ้นจิบเพราะสายตาทุกคนโดยเฉพาะม๊าเหมือนบังคับผมให้กินเสียที  

 

 

 

 

 

             “ยาบำรุงสร้างมดลูกจ๊ะ”  

 

 

 

 

 

             “แคร่กๆๆ!!”  

 

 

 

 

 

             น้ำสมุนไพรที่ผมกลืนกินไปจนหมดถึงกับสำลักออกมาเมื่อสิ่งที่ม๊าพูดมันเกินจากความเป็นจริงอยู่มากโข และต้องตกใจกับสรรพคุณที่เป็นยาบำรุงสร้างมดลูกอีกต่างหาก ทุกคนดูจะรู้เรื่องสรรพคุณยกเว้นผมกับขุนศึกงั้นหรอ เพราะตัวขุนศึกมันก็ทำหน้าเหวออยู่ไม่น้อยเมื่อได้ยินม๊าผมพูดแต่กับคนอื่นกลับส่งยิ้มมาให้  

 

 

 

 

 

             “ส…สร้างมดลูก…มันจะเป็นไปได้หรอม๊า”  

 

 

 

 

 

             เสียงขุนศึกถามอย่างกระตุกกระตักมองด้วยสายตาตกตะลึงไปหาม๊าของผม ทิชชู่หนึ่งแผ่นถูกหยกยื่นมาให้ตรงหน้าเมื่อเห็นว่าผมสำลักน้ำออกมาไม่หยุด ส่วนหมวยรีบเดินอ้อมมาทางด้านหลังผมแล้วยื่นแก้วน้ำให้ดื่มตาม ผมรับมาแล้วกระดกจนหมดแก้วด้วยอาการไม่เข้าใจกับเรื่องที่ได้ยิน  

 

 

 

 

 

             “เรื่องแบบนี้ลองดูก็ไม่เสียหาย ถ้าโชคเข้าข้างเราทั้งคู่ สักวันตระกูลเราอาจจะมีหลานให้ป๊าม๊า มีเหลนให้อากงอาม่าอุ้มเล่นก็ได้นะ”  

 

 

 

 

 

             “…!”  

 

 

 

 

 

             เสียงหัวเราะดังขึ้นไม่หยุดกันทั้งโต๊ะแค่ผมคิดว่ายาบ้านี่สร้างมดลูกในท้องผู้ชายได้ก็อยากจะเขย่าทุกคนให้ตื่นจากความฝันเหลือเกิน อยากจะตะโกนใส่หน้าให้ทุกคนกับสิ่งที่เพ้อเจ้อว่าผู้ชายสามารถท้องได้เสียที   

 

 

 

 

 

             “กินนะคะซ้อ หยกจะรอลุ้นว่ามันจริงอย่างที่ทุกคนบอกไหม”  

 

 

 

 

 

             หัวมนของหยกสบลงมาที่แขนผมด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น ตื่นเต้นกับสิ่งที่มันเป็นไปไม่ได้แม้แต่เสี้ยวเปอร์เซ็นต์เดียว ใบหน้าเรียวรูปไข่ของหยกเงยขึ้นส่งยิ้มตาหวานฉ่ำให้ผมอย่างคาดหวังมากที่อยากจะให้ผลลัพธ์ออกมาในทางเดียวกันกับทุกคนคิดไว้ ดูท่าทางจะมีควาสุขมากแต่มันไม่ใช่กับผมเลย  

 

 

 

 

 

              ถูกบังคับให้หมั้นไม่พอ…  

 

 

   

 

 

             จะให้ผมมีลูกอีกงั้นหรอ…  

 

 

   

 

 

             นี่ตัวผมยังเป็นคนอยู่หรือเปล่าหรือเป็นเพียงหุ่นยนตร์กันแน่…  

 

 

   

 

 

             “ถ้าเกิดมันได้ผล เราสองคนก็จะเป็นน้าใช่ไหมหยก! โอ๊ย ขอให้เป็นจริง ๆ เถ๊อะหมวยกับหยกจะเตรียมซื้อของรอรับขวัญหลานแค่คิดก็ตื่นเต้นไม่ไหวแล้วเฮีย”  

 

 

 

 

 

             ประโยคของน้องสาวสุดที่รักช่างมีความสุดที่ได้จินตนาการเหลือเกิน ยิ่งเป็นเชื้อที่เรียกเสียงหัวเราะของทุกคนออกมาไม่หยุด ผมที่นั่งตัวแข็งทื่อสายตาจับจ้องมองไปที่กระปุกยาแล้วครุ่นคิดกับคำพูดของม๊า ผู้ชายบนโลกที่ไหนเขาท้องได้กัน พระเจ้าไม่ได้สร้างให้ผู้ชายท้องได้เสียหน่อยฉะนั้นถึงผมจะกินให้ได้ตายไปทั้งชาติยังไงมันก็ไม่มีทางเกิดขึ้นแน่  

 

 

 

 

 

.  

 

 

.  

 

 

.  

 

 

.  

 

 

.  

 

 

 

 

 

             22:30 น.  

 

 

 

 

 

             รถคันหรูจอดเข้ามาในโรงรถบ้านหลังใหญ่เมื่อเสร็จสิ้นภารกิจทานข้าวกับครอบครัวทุกวันหยุดสุดสัปดาห์ ในระหว่างที่นั่งรถมาผมแม้แต่ไม่ปริปากพูดกับขุนศึกสักคำ เมื่อรถถูกจอดสนิทมือด้านขวาของตัวเองจึงออกแรงเปิดประตูอย่างไม่รีรอและไม่ลืมที่จะหยิบตาข่ายดักฝันสีขาวติดมือมาด้วย สองเท้าผมก้าวลงรถทันทีโดยไม่รอให้เจ้าของรถได้ดับเครื่อง   

 

 

 

 

 

             “มึงจะรีบเดินทำไม กลัวบ้านหายหรือไง”  

 

 

 

 

 

             “…”  

 

 

 

 

 

             เสียงพูดไล่ตามหลังผมมาติด ๆ แต่ผมไม่สนใจตั้งหน้าตั้งตาเร่งฝีเท้าเข้าบ้านให้เร็วที่สุดเพราะไม่อยากจะเสวนากับคนเฮงซวยก่อนนอน แต่เมื่อย้ายตัวเองเข้ามาในบ้านได้ก็ถึงกับตกใจเล็กน้อย เมื่อเห็นศิลป์ในชุดสูทสีดำเหมือนครั้งแรกที่เจอยืนหน้านิ่งอยู่ข้างกระถางต้นไม้ใหญ่ตรงทางขึ้นบันได มันเลยทำให้ผมแปลกใจเอามากว่าดึกดื่นป่านนี้ทำไมยังอยู่ที่นี่ไม่หลับไม่นอนหรือไง  

 

 

 

 

 

             “สวัสดีครับคุณคับฟ้า ขอประทานโทษที่รบกวนในยามวิกาลครับ”  

 

 

 

 

 

             “อ…เอ่อ…สวัสดีครับ…ทำตัวตามสบายเถอะครับ”  

 

 

 

 

 

             ผมตอบแค่นั้นก่อนที่จะเดินถือตาข่ายดักฝันกำลังจะเดินขึ้นห้อง แต่แล้วต้นแขนผมก็ถูกรั้งไว้ด้วยแรงของขุนศึก ผมหันไปมองหน้ามันอย่างเอาเรื่องเพราะวันนี้ตัวมันทำไว้กับผมหลายเรื่องเหลือเกิน ซึ่งบทบาทผัวเมียต่อหน้าทุกคนมันจบสิ้นตั้งแต่ก้าวออกจากบ้านใหญ่แล้วและตอนนี้เราสองคนไม่จำเป็นต้องยุ่งวุ่นวายต่อกันอีกแต่สิ่งที่ขุนศึกมันกำลังทำอยู่คืออะไร  

 

 

 

 

 

             “ปล่อย!”  

 

 

 

 

 

             “เรื่องที่ให้จัดการเรียบร้อยดีนะ”  

 

 

 

 

 

             มันไม่สนใจคำพูดของผมสักนิดเดียว แถมเพิ่มแรงรั้งแขนผมอีกต่างหาก สายตาคมกริบมองมาที่ผมนิ่งโดยริมฝีปากกลับเอ่ยปากถามลูกน้องคนสนิทไป ช่างเป็นผู้ชายที่ไร้มารยาทในการสื่อสารที่สุดเทืที่ผมเจอมา  

 

 

 

 

 

             “ครับท่านประธาน ผมจัดเตรียมไว้ตามที่ท่านประธานสั่งเรียบร้อยครับ”  

 

 

 

 

 

             “กลับไปได้”  

 

 

 

 

 

             “ครับท่านประธาน”  

 

 

 

 

 

             ร่างของศิลป์โค้งตัวให้เล็กน้อยด้วยความเคารพพวกผมทั้งคู่ เมื่อตัวของศิลป์เดินลับหายออกไปผมได้จังหวะก็สะบัดแขนตัวเองออกจากมือคนตรงหน้า ตวัดสายตามองหน้าคนที่วันนี้มือมันสัมผัสกับร่างกายของผมนับครั้งไม่ถ้วน   

 

 

 

 

 

             “กูจับนิดจับหน่อยทำเป็นรังเกียจ มากกว่านี้กูยังจับมาแล้วเลย!”  

 

 

 

 

 

             สายตาหลุบต่ำมองช่วงล่างของผมอย่างจงใจยิ่งเพิ่มความโทสะของผมทวีคูณขึ้น แต่ถ้าจะให้พุ่งไปตบไปตีผมไม่ทำ การใช้กำลังไม่ใช่ทางออกสำหรับผม และการที่จะเอาคืนคนอย่างขุนศึกผมต้องนิ่งตอบ ความนิ่งของผมมันจะยิ่งทำให้คนอย่างมันคลั่งเหมือนหมาบ้าเลยล่ะ เหมือนกับผมที่ตัดสินใจเดินหันหลังให้โดยไม่ปริปากพูดออกมาสักคำอย่างตอนนี้ไง  

 

 

 

 

 

             “อย่าเดินหนีกูคับฟ้า!”  

 

 

 

 

 

             คราวนี้แขนผมถูกกระชากกระแทกเข้ากับแผงอกอย่างแรง ซึ่งผมพนันได้ว่าจังหวะกระแทกอกเมื่อครู่ขุนศึกมันเจ็บไม่น้อย แต่ยังคงเก็บอาการและแสดงแววตาโกรธจนหน้าแดงก่ำ มุมปากผมยกขึ้นยิ้มทันทีเมื่อเห็นหนุ่มธุรกิจไฟแรงมาดนิ่ง กำลังอารมณ์เดือดเมื่อไม่มีคนสนใจเหมือนเด็กไม่รู้จักโต  

 

 

 

 

 

             “กูเดินหนีนั่นหมายความว่ากูไม่อยากยุ่งกับมึงไง ได้ยินไหมว่าไม่อยากยุ่ง!”  

 

 

 

 

 

             “คนเราอยู่ร่วมชายคาบ้านหลังเดียวกัน ถ้าไม่ให้ยุ่งเลยคงจะเป็นไปไม่ได้นะครับคุณภรรยา”  

 

 

 

 

 

             ปลายจมูกโด่งเลื่อนเข้ามาไล่เกลี่ยกับปลายจมูกผมอย่างจงใจ หากแต่จะเบือนหน้าหนีคางผมก็ดันถูกล็อคไว้แน่น ถ้าหากผมดิ้นหรือพยายามหันหนีแรงบีบใต้คางก็จะเพิ่มขึ้นด้วยความตั้งใจของคนตรงหน้า  

 

 

 

 

 

             “มึงต้องการอะไรจากกูขุนศึก! มึงลืมกฎที่ตั้งไว้แล้วหรอไง!”  

 

 

 

 

 

             เมื่อหนีไม่พ้นผมก็ขอพูดให้มันเคลียร์กันชัด ๆ ว่ามันจะเอายังไงกับผมกันแน่ ถ้าให้มานั่งทะเลาะกระชากลากถูร่างกายผมตามอารมณ์ของหมาบ้าตัวนี้ แค่อยู่บ้านหลังเดียวกันมันก็เกินคำว่าทนของผมไปมากแล้วอย่าให้ผมต้องเป็นประสาทตายเพราะเรื่องอื่นเลย  

 

 

 

 

 

             “ตอนแรกก็ว่าจะไม่ยุ่ง แต่ปากมึงทำให้กูคิดเปลี่ยนใจ ยิ่งมึงทำท่ารังเกียจเท่าไหร่กูยิ่งอยากจะยุ่ง อยากจะอยู่ใกล้ รวมไปถึง…”  

 

 

 

 

 

             “…”  

 

 

 

 

 

             “อยากจะนอนร่วมเตียงในฐานะสามีทุกคืน…”  

 

 

 

 

 

             ผมใช้มือปัดหน้าของมันเต็มแรงทั้งหมดที่มีและมันก็ได้ผลเพราะใบหน้าขุนศึกหันไปตามแรง แต่คนตรงหน้าไม่คิดยอมแพ้จึงใช้จังหวะทีเผลอดันตัวผมไปชิดกับราวบันได ท่อนแขนกำยำสองข้างโน้มตัวลงจับราวขนาบข้างตัวผมและคราวนี้ผมไม่มีแม้แต่ช่องทางหนีให้พ้นจากร่างสูงเลย  

 

 

 

 

 

             “แค่พลาดครั้งเดียวก็เกินพอ ครั้งที่สองอย่าหวังว่าจะมี ตัวมึงมันน่ารังเกียจเกินไปขุนศึก มึงมั่วจนกูรังเกียจคนอย่างมึงเข้าไส้! มั่วมากระวังจะมีข่าวหนุ่มธุรกิจไฟแรงติดเชื้อเฮชไอวีจนดังไปทั่วสื่อออนไลน์!”  

 

 

 

 

 

             “มึงจะปากดีเกินไปแล้วคับฟ้า! ที่กู ลดตัวลงมา หมั้นกับมึงเพราะกงกับม่าขอไว้หรอก ผู้หญิงกูมีเป็นร้อยยังยกตัวให้กูง่าย ๆ แล้วมึงเป็นใคร! มึงเป็นใครหรอคับฟ้าที่กูจะเอามึงไม่ได้!  คนเป็นเมียมันต้องสนองผัว ทุกคืนด้วยซ้ำไป อย่ามาเล่นตัวเป็นหญิงแรกแย้มหน่อยเลย  ทำตัวให้สมกับที่ได้เป็นเมียกับคนอย่างกูหน่อย !”  

 

 

 

 

 

             ปากผมถูกฝ่ามือใหญ่บีบเข้าหากันด้วยความรู้สึกเจ็บปวด ความจริงที่ผมพูดทำเป็นรับไม่ได้แล้วมาทำร้ายร่างกายผมแบบนี้แทนงั้นหรอ ความเจ็บที่ได้รับจนน้ำตาคลอเบ้า เกิดมาอายุยี่สิบสามปีป๊ากับม๊าไม่เคยตีผมสักครั้ง ทำให้ร่างกายผมเจ็บก็ไม่เคยแต่ผมต้องมาโดนทำร้ายทั้งร่างกายเพราะคนอย่างมันนี่หรอ จะยอมยืนให้ทำโง่ ๆ อยู่ฝ่ายเดียวหรือไงกัน  

 

 

 

 

 

              ไม่มีทาง…  

 

 

 

 

 

             “กูไม่อยากจะเชื่อเลยว่ามึงจะเป็นสเปิร์มตัวที่ดีที่สุด! ถ้ามันอยากมากแล้วกลั้นไม่อยู่ กูแนะนำไปตั้งฮาเร็มกับบรรดาผู้หญิงของมึงนู่น เอากันให้ตายแล้วไม่ต้องมาให้กูเห็นหน้ายิ่งดี!”  

 

 

 

 

 

             มันไม่ใช่แค่แก้มที่ผมโดนบีบคราวนี้มันเป็นต้นแขนผมด้วย แรงบีบลงมาที่ตัวผมแรงมาก แรงจนน้ำตาผมไหลออกจากหางตา แต่ถึงน้ำตาผมจะไหลลงยังไงขุนศึกก็ยังออกแรงลงมาเหมือนเดิม  

 

 

 

 

 

             “ฮาเร็ม? บังเอิญกูมีไว้นานก่อนจะมาหมั้นกับมึงด้วยซ้ำคับฟ้า สักวันกูอาจจะพาเข้ามานอนที่บ้านหลังนี้ก็ได้ มึงคอยดูไว้เลย!”  

 

 

 

 

 

             หน้าตาถลึงใส่ผมด้วยความเกรี้ยวกราดกว่าเดิมหลายเท่า และสิ่งที่ผมยอมรับไม่ได้นั่นคือการที่มันจะพาผู้หญิงเข้ามาในบ้านหลังนี้ บ้านที่เป็นอาณาเขตของผม มันจะไปกินกันที่ไหนก็เชิญแต่ไม่ใช่ที่นี่!  

 

 

 

 

 

             “บ้านหลังนี้ถิ่นกู คิดว่าทำได้ก็ลองดูสิ  มึงกล้าแลกกับกูไหมล่ะขุนศึกมึงจะได้รู้ว่าหายะนะมันเป็นยังไง !”  

 

 

 

 

 

             ผมพูดจบเข่าผมก็กระทุ้งเข้าเป้ากลางลำจนตัวมันถึงกับงอล้มลงนอนขดอยู่ที่พื้น ผมยืนกอดอกยกยิ้มด้วยความสะใจเมื่อเสียงโอดโอยดังไปทั่วบ้าน ก่อนที่ตัวเองจะหันหลังเดินขึ้นบันไดเข้าห้องโดยไม่แยแสว่ามีใครบางคนกำลังนอนดิ้นอย่างทุกทรมาน  

 

 

 

 

 

             เมื่อตัวผมเดินขึ้นมาหยุดอยู่หน้าก็ได้แต่ถอนหายใจดังเฮือกใหญ่ นี่แค่ก้าวเท้าเข้าบ้านไม่ถึงชั่วโมงต้องมาเจอแรงปะทะฝีปากกับขุนศึกเข้าแล้วหรือ มือข้างซ้ายผมกำลูกบิดออกแล้วพาร่างอันแสนเหน็ดเหนื่อยเข้าไปในรังของตัวเอง ผมเดินพาร่างที่เหลื่อยล้าล้มตัวลงเตียงใหญ่ เมื่อตัวสัมผัสกับผ้านวมผมก็รู้สึกดีขึ้นทันตา   

 

 

 

 

 

              “อเล็กซ์ซ่าเปิดแอร์…”  

 

 

 

 

 

             ผมนอนหงายอยู่บนเตียงพูดขึ้นกลางห้องเพื่อให้อเล็กซ์ซ่าที่เป็นระบบเปิดปิดพวกแอร์และไฟทำงาน ซึ่งก่อนที่จะย้ายเข้ามาอยู่ผมกำชับให้ช่างเดินระบบพวกนี้ไว้ในห้องผมเพราะที่บ้านมีจนชินอย่างน้อย ๆ ผมก็มีเจ้าระบบนี่คอยตอบกลับเป็นเพื่อนเวลาผมอยู่คนเดียว  

 

 

 

 

 

              “ได้เลย ฉันกำลังจะเปิดแอร์ตามที่คุณบอก…”  

 

 

   

 

 

             ระบบแอร์ถูกเปิดตามที่ผมบอกแต่สายตาตัวเองยังคงจับจ้องไปบนเพดานที่มีดวงดาวมากมายเต็มไปหมด สายตาทอดมองหมู่ดาวที่อยู่บนท้องฟ้าจำลองที่ผมเป็นคนสั่งให้ทำไว้ ใช่แล้ว ผมต้องการเนรมิตห้องตัวเองย้ายมาอยู่ห้องใหม่ในบ้านหลังใหม่ เพื่อผมจะได้รู้สึกว่าตัวเองกำลังนอนอยู่บ้านของป๊าม๊า   

 

 

 

 

 

             เวลาผ่านไปนับหลายนาทีผมก็ยังคงนอนมองหมู่ดาวมากมายไม่ขยับเขยื่อนไปไหน จนมือด้านซ้ายแตะเข้ากับถุงใบใหญ่ปลายเตียง ผมคลำดูสักพักและเดาได้ว่าเป็นถุงและมีกล่องอยู่ด้านในแต่ด้วยความมืดนั้นมันจึงไม่สามารถให้ผมมองเห็นอะไรได้เลยตัดสินใจสั่งเปิดไฟและเด้งตัวขึ้นหันไปดูบางสิ่งที่ถูกวางแน่นิ่งอยู่บนเตียง  

 

 

 

 

 

             เมื่อความมืดกลายเปลี่ยนเป็ความสว่าง สายตาของผมจึงปะทะเข้ากับถุงพลาสติกสีขาวของโทรศัพท์รุ่นดัง ไม่รอช้ารีบคว้ามาดูว่าด้านในนั้นมีอะไร และเมื่อสำรวจดูแล้วถึงกับอึ้งไม่น้อย แอร์พอร์ตรุ่นใหม่ล่าสุดนับสิบกล่องถูกใส่ไว้ในถุงอย่างดี เหตุการ์ณที่ขุนศึกปาหูฟังออกนอกรถนั้นวนเข้ามาฉายซ้ำอีกรอบ สลับกับสายตากล่องที่กระจัดกระจายเต็มหน้าตักบนเตียงหรือว่าที่ศิลป์เข้ามาในบ้านกลางดึกเพื่อทำตามสั่งของขุนศึก คำสั่งที่ให้ไปซื้อของมาคืนผมงั้นหรอ   

 

 

 

 

 

             เหอะ ผีห่าซาตานตัวไหนมันเข้าสิงกันวะ…  

ซ้อจำเป็น

ซ้อจำเป็น

Score 10
Status: Completed
 

*ยังไม่ผ่านการพิสูจน์อักษร*

ซ้อจำเป็น (Mpreg)

ชีวิตที่ไม่มีสิทธิเลือกแม้กระทั้งคนที่อยากใช้ชีวิตคู่ด้วยตัวเอง ต้องถูกอากงอาม่าจับหมั้นกับหลานชายเพื่อนสนิทสมัยเรียน!

แถมยังไม่เคยเห็นหน้าคร่าตาด้วยซ้ำ! และสิ่งสำคัญที่สุด…

ลูกบ้านอื่นมีแต่เขาอยากจะได้ลูกสะใภ้ แล้วเหตุไฉนบ้านไอ้คับฟ้าคนนี้ถึงอยากได้ลูกเขยแทนละว่ะ!

เนื้อหา และ ภาพ บางตอนไม่เหมาะกับเด็กที่อายุต่ำกว่า 18 ปี แต่หากรี้ดท่านใดต้องการเสพความบันเทิงนิยายเรื่องนี้ต่อควรใช้วิจารณญาณอย่างสูง!!!!

เตือนแล้วนะ! อิ้อิ้

เรื่องนี้ฟรีไม่ติดเหรียญ ได้เวลาคืนกำไรให้กับลีดทุกคน

ที่คอยซัพพอร์ตนักเขียนแมงหมี่หน้าใหม่คนนี้โดยตลอดมา อิ้อิ้

ลีดท่านใดสายชิว สายไม่รีบเชิญทางนี้เลยค่ะ เพราะทุกเรื่องไรต์ด้นสดทุกเรื่องเด้อโปรดเข้าใจนักเขียนสายชิวคนนี้ด้วยนะคะ

งานแต่งเผื่อไม่มี มีแต่งานดองจ้า 5555555

ไม่เคยแต่งแนวนี้มาก่อน ฝากเป็นกำลังใจให้ไรต์ด้วยนะคะ ><

Options

not work with dark mode
Reset