ชายาเคียงหทัย 268-2 พูดคุยบนโรงน้ำชา ปฏิเสธความร่วมมือ

ตอนที่ 268-2 พูดคุยบนโรงน้ำชา ปฏิเสธความร่วมมือ

ม่อตัวน้อยมิได้สนใจว่าสิ่งที่เขาพูดจะทำให้บิดามารดาตนเองต้องตกใจแต่อย่างใด ปีนข้ามเก้าอี้ไปกอดม่อซิวเหยาไว้ ระบายยิ้มอย่างเป็นสุขออกมาทั้งๆ ที่น้ำตายังกลบตา ก่อนหันไปเอ่ยกับหลิ่วกุ้ยเฟยที่โกรธจนหน้าเขียวคล้ำไปหมดว่า “ท่านป้า ชายหญิงจะทำตัวใกล้ชิดสนิทสนมกันจนเกินไปไม่ได้นะขอรับ เสด็จพ่อของข้าไม่มีทางพูดคุยกับท่านเป็นการส่วนตัวหรอก ชื่อเสียงของบุรุษก็สำคัญยิ่งเช่นกัน ท่านป้าอย่าทำร้ายเสด็จพ่อของข้าเลย”

เยี่ยหลียกมือขึ้นไปลูบศีรษะบุตรชายด้วยความจนใจ ผินหน้าไปเอ่ยกับหลิ่วกุ้ยเฟยว่า “เด็กน้อยไม่รู้ประสา กุ้ยเฟยอย่าได้ถือโทษ”

ม่อตัวน้อยยิ้มตาหยีดีดตัวอยู่ใต้มือมารดา ถึงแม้เขาจะเกลียดเสด็จพ่อเป็นที่สุด แต่เสด็จพ่อเป็นของท่านแม่ หากท่านแม่ยังต้องการเสด็จพ่ออยู่ เช่นนั้นต่อให้เขานึกเกลียดชังเพียงใด แต่ก็จะยอมรับอย่างใจกว้าง สตรีนางอื่นอย่าคิดแย่งไปเลย หึหึหึ!

หลิ่วกุ้ยเฟยมสีหน้านิ่งเย็น รู้ดีว่าการจะพูดคุยเป็นการส่วนตัวกับม่อซิวเหยาในวันนี้คงจะเป็นไปไม่ได้แล้ว จึงทำได้เพียงข่มความโกรธในใจไว้ แล้วเอ่ยเสียงขรึมว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนั้น คุณหนูเยี่ยอยู่ฟังด้วยก็ไม่เป็นอันใด”

เยี่ยหลีอมยิ้มพยักหน้า บอกให้รู้ว่ากำลังรอฟังอยู่

จนเมื่อม่อตัวน้อยที่ซบอยู่กับอกม่อซิวเหยทำท่าสลึมสลือจะหลับมิหลับแหล่แล้ว หลิ่วกุ้ยเฟยถึงได้เอ่ยปากขึ้น ถึงแม้จะได้พูดคุยกันเพียงสั้นๆ แต่นางก็นึกกลัวเด็กน้อยฤทธิ์มากผู้นี้เสียแล้ว ถึงแม้หน้าตาเขาจะดูใสซื่อไร้เดียงสา แต่ทุกประโยคที่พูดออกมา ล้วนทำให้นางดูไม่ดี จนแม้แต่จะคิดว่าเขามิได้ตั้งใจก็คงไม่ได้

“สถานการณ์ของเมืองหลวงในยามนี้ ติ้งอ๋องมีความเห็นเช่นไรหรือไม่” หลิ่วกุ้ยเฟยจ้องนิ่งไปที่ม่อซิวเหยา พลางเอ่ยถามเสียงเบา

ม่อซิวเหยาเลิกคิ้วขึ้น “ข้าเพียงกลับมาเพื่อเซ่นไหว้บรรพบุรุษ มิได้คิดจะเข้าไปยุ่งวุ่นวายเรื่องการเมืองในเมืองหลวง อีกอย่าง กองทัพตระกูลม่อกับต้าฉู่ก็ได้ตัดขาดกันไปแล้ว หากข้ายื่นมือเข้าไปยุ่งโดยพลการ ก็มีแต่จะเป็นสิ่งไม่ชอบธรรม เรื่องนี้ หลิ่วกุ้ยเฟยอย่าได้ถามอีกเลย อีกอย่าง เรื่องนี้เป็นเรื่องที่หลิ้วกุ้ยเฟยไม่ควรเอ่ยถามอยู่แล้ว”

ไม่ควรเอ่ยถาม คำสี่คำนี้ ทำร้ายจิตใจหลิ่วกุ้ยเฟยมากอย่างไม่ต้องสงสัย ด้วยเพราะนั่นหมายความว่า ม่อซิวเหยายังคงเห็นนางเป็นเพียงสตรีในวังหลังธรรมดาๆ คนหนึ่งเท่านั้น ถึงแม้ม่อซิวเหยาจะน่าเกรงขามและน่าเลื่อมใสเพียงใด แต่เขาก็ยังเป็นท่านอ๋องที่เป็นเชื้อพระวงศ์กันมาตั้งแต่สมัยโบราณ จึงย่อมไม่มีทางมีความคิดที่สตรีและบุรุษมีความเท่าเทียมกันอยู่แน่นอน แต่กระนั้นเขาก็มิได้เป็นเช่นเดียวบุรุษทั่วไป เขาเชื่อว่ามีสตรีบางกลุ่มที่มีความสามารถไม่แพ้บุรุษ ดังนั้นเขาถึงยอมรับให้สตรีเรียนรู้วิชาทั้งบุ๋นและบู๊ มาทำงานด้านการปกครองและเป็นทหารได้ อาทิเช่น เยี่ยหลีกับองค์หญิงอันซี เป็นต้น

แต่กระนั้นเขาก็ยังคงเห็นว่า สตรีโดยมากยังคนเป็นสตรีทั่วไป สิ่งที่พวกนางจำเป็นต้องทำคือการอยู่อย่างสงบเรียบร้อยภายในเรือนเท่านั้น สตรีประเภทแรก แสดงถึงสตรีที่มีเกียรติและฐานะเช่นเดียวกับเขา ส่วนสตรีประเภทหลัง แสดงถึงฐานะที่เป็นเพียงสาวใช้ของบุรุษเท่านั้น

ดังนั้น ในสายตาของม่อซิวเหยาแล้ว ไม่ว่าเยี่ยหลีจะเอ่ยถามถึงเรื่องใด ก็เป็นเรื่องที่ถูกต้องเหมาะสม ส่วนหลิ่วกุ้ยเฟยนั้น ไม่มีสิทธิ์แม้จะเอ่ยถามเรื่องในราชสำนักเลยด้วยซ้ำ และยิ่งด้วยเพราะเหตุผลเช่นนี้ จึงยิ่งน่าโมโหขึ้นไปอีก

พักใหญ่ หลิ่วกุ้ยเฟยถึงได้กัดฟันเอ่ยว่า “ท่านอ๋องน่าจะรู้ ว่าบุตรชายของข้าได้แต่งตั้งขึ้นเป็นองค์ชายรัชทายาทแล้ว เมื่อใดก็ตามที่ฝ่าบาทสวรรคต เขาก็จะกลายเป็นฮ่องเต้ของต้าฉู่ ส่วนข้าก็จะกลายเป็นฮองไทเฮาของต้าฉู่”

ม่อซิวเหยาพยักหน้า เรื่องนั้นเขาย่อมรู้ดี แต่นั่นแล้วอย่างไร “ฮองไทเฮามีอยู่ถมไป แค่ต้าฉู่เพียงราชวงศ์เดียวก็มีฮองไทเฮาถึงเจ็ดแปดองค์แล้ว เช่นนั้น แล้วอย่างไร”

เช่นนั้น แล้วอย่างไร ต้าฉู่ไม่เคยมีฮองไทเฮาที่สามารถบัญชาการฮ่องเต้ที่ยังทรงพระเยาว์ และก่อให้เกิดความวุ่นวายได้มาก่อน มิใช่ว่านางไม่อยาก ลำบากคลอดบุตรออกมากับเขาคนหนึ่งนั้นไม่ง่าย สตรีที่ได้ขึ้นนั่งเป็นฮองไทเฮา มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่ไม่คิดอยากนั่งบัญชาการอยู่หลังม่าน เพียงแต่…ต้าฉู่มีตำหนักติ้งอ๋องอยู่ หากยังมีตำหนักติ้งอ๋องอยู่ เรื่องในราชสำนักก็ย่อมมิใช่เรื่องที่สตรีในวังหลังลึงชกจะเข้ามาชี้นิ้วสั่งการได้ ดังนั้นตั้งแต่ต้าฉู่ก่อตั้งแคว้นเป็นต้นมา ฮองไทเฮาที่มีอำนาจยิ่งใหญ่ที่สุด ก็เป็นเพียงฮองไทเฮาองค์ปัจจุบันเท่านั้น ซึ่งก็คือมารดาแท้ๆ ของม่อจิ่งฉีนั่นเอง

แต่ถึงกระนั้น นางก็ยังไม่สามารถเทียบเท่าได้กับอำนาจที่สตรีจากวังหลังของราชวงศ์ก่อนสามารถทำได้ เหตุผลข้อที่หนึ่งนั่นคือ ยามที่ม่อจิ่งฉีขึ้นครองราชย์นั้น อายุเขาไม่น้อยแล้ว และม่อจิ่งฉีผู้นี้ สิ่งที่เขาทนไม่ได้มากที่สุดก็คือการที่อำนาจโดยส่วนใหญ่ไปตกอยู่ที่ผู้อื่น เหตุผลข้อที่สองนั่นคือขุนนางทั้งหลายของต้าฉู่ ไม่เคยชินกับการให้สตรีในวังหลังเข้ามากุมอำนาจ

หลิ่วกุ้ยเฟยหรุบตาลง นางมิอาจถกเถียงกับม่อซิวเหยาได้ ไม่ใช่เพียงเพราะนางรักเขา แต่ที่ยิ่งกว่านั้นคือ นางไม่มีไพ่ที่จะนำมาใช้ถกเถียงกับเขา จึงทำได้เพียงเปลี่ยนวิธีการพูดไปอีกแบบเท่านั้น “ติ้งอ๋องน่าจะรู้ถึงสถานการณ์ของราชสำนักในยามนี้ ม่อจิ่งหลีวางยาพิษทำร้ายฮ่องเต้ยังไม่ต้องพูดถึง แต่ยังบีบบังคับฝ่าบาทให้แต่งตั้งตนขึ้นเป็นท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการ เมื่อใดก็ตามที่ฝ่าบาทสวรรคต ม่อจิ่งหลีที่มีฐานะเป็นท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการ จะต้องบีบองค์รัชทายาทและสั่งการทุกอย่างในใต้หล้าอย่างแน่นอน ถึงยามนั้นเกรงว่าต้าฉู่คงกลายเป็นใต้หล้าของม่อจิ่งหลีแต่เพียงผู้เดียว เมื่อเป็นเช่นนี้ ก็คงมิได้มีอันใดดีกับติ้งอ๋องมิใช่หรือ”

ม่อซิวเหยาเลิกคิ้ว เพียงแค่มองหลิ่วกุ้ยเฟยแต่มิได้เอ่ยอันใด

หลิ่วกุ้ยเฟยเอ่ยต่อไปว่า “ติ้งอ๋องน่าจะรู้ หลีอ๋องไม่ลงรอยกับท่านมาตั้งแต่เด็ก และด้วยเพราะคุณหนูเยี่ย ยามนี้จึงยิ่งมีความเจ็บแค้นเรื่องชิงตัวภรรยา เมื่อใดก็ตามที่เขา หลีอ๋องมีอำนาจยิ่งใหญ่อยู่ในมือ ถึงยามนั้นหากคิดหาเรื่องซีเป่ยโดยใช้พลังอำนาจแห่งแคว้นแล้ว เกรงว่าติ้งอ๋องก็คงปวดหัวไม่น้อยกระมัง”

ม่อซิวเหยาหยิบถ้วยชาติดมือขึ้นมา จิบดื่มลงไปอึกหนึ่ง ความขมน้อยๆ จากใบชาที่ไม่ถือว่าดีนัก ทำให้เขาขมวดคิ้วเล็กน้อย ก่อนเอ่ยเรียบๆ ว่า “ที่หลิ่วกุ้ยเฟยเอ่ยเช่นนี้ เกรงว่าคงยังมิได้หารือกับเสนาบดีหลิ่วมาก่อนกระมัง”

รอยยิ้มบนใบหน้าของหลิ่วกุ้ยเฟยชะงักค้างไปทันที เอ่ยด้วยความสงสัยว่า “นี่ติ้งอ๋องหมายความเช่นไร”

ม่อซิวเหยาเอ่ยว่า “ข้าเคยพูดไปแล้ว หากหลิ่วกุ้ยเฟยไม่มีธุระอันใด ก็อยู่ในวังไปเงียบๆ เถิด อย่าได้เข้าไปยุ่งวุ่นวายกับเรื่องที่เจ้าหาได้เข้าใจอันใดไม่เลย หากเจ้าได้พูดคุยหารือกับเสนาบดีหลิ่วมาก่อน เชื่อว่าเขาจะต้องบอกเจ้าแน่นอนว่า ไม่ว่าจะเป็นบุตรชายของเจ้า หรือว่าม่อจิ่งหลีขึ้นนั่งบัลลังก์เป็นฮ่องเต้ ก็ไม่สามารถสร้างความลำบากอันใดให้กับข้าได้ทั้งสิ้น!”

สีหน้าหลิ่วกุ้ยเฟยเปลี่ยนไปเล็กน้อย กำมือแน่น พร้อมเอ่ยอย่างดื้อรั้นว่า “ติ้งอ๋องดูจะมั่นใจเกินไปหน่อยหรือไม่”

นางไม่นึกเชื่อจริงๆ ว่า ซีเป่ยที่มีพื้นที่อยู่เพียงเท่านั้น ในสายตาของหลิ่วกุ้ยเฟยแล้ว แค่เพียงน้ำลายของประชากรในต้าฉู่ ก็เพียงพอที่จะทำให้พื้นที่เล็กๆ อย่างซีเป่ยต้องจมน้ำลายตายได้แล้ว แต่นางกลับลืมไปว่า ชาวบ้านของต้าฉู่มีจำนวนอยู่เพียงเท่าใดกันที่จะยอมถ่มน้ำลายใส่ตำหนักติ้งอ๋อง

“เพียงแต่ สิ่งที่เจ้าพูดมาก็ถือว่าไม่เลว หากองค์รัชทายาทขึ้นนั่งบัลลังก์ สำหรับข้าแล้วมีผลดีกว่าการที่ม่อจิ่งหลีขึ้นนั่งบัลลังก์อยู่เล็กน้อย” ม่อซิวเหยาหรุบตาลงมองน้ำชาในถ้วย พลางเอ่ยเรียบๆ

เมื่อได้ยินเช่นนั้น หลิ่วกุ้ยเฟยก็บังเกิดความยินดีขึ้นในใจ “ที่ท่านพูดเช่นนี้ หมายความว่าติ้งอ๋องเห็นดีที่จะช่วยข้าแล้ว?”

ม่อซิวเหยาเหลือบตาขึ้น หันมองเยี่ยหลีที่นั่งจิบชาอยู่เงียบๆ พร้อมเอ่ยถามว่า “อาหลี ข้าเห็นดีด้วยแล้วหรือ”

เยี่ยหลีเงยหน้าขึ้น เอ่ยเรียบๆ ว่า “ข้ามิได้ยินเช่นนั้น”

“เช่นนี้ติ้งอ๋องหมายความเช่นไร” นางรู้สึกประหนึ่งถูกอีกฝ่ายล้อเล่นอยู่กระนั้น ถึงแม้คนที่ล้อนางเล่นผู้นั้นจะเป็นม่อซิวเหยา แต่หลิ่วกุ้ยเฟยก็รู้สึกรับไม่ได้

เพียงแต่อันที่จริง ม่อซิวเหยามิได้มีความคิดที่จะล้อนางเล่น เขามองนางนิ่งพลางเอ่ยว่า “ข้าได้รับปากม่อจิ่งหลีไว้แล้ว ว่าจะไม่ยื่นมือเข้าไปยุ่งกับเรื่องในราชสำนัก”

“เพราะเหตุใด” หลิ่วกุ้ยเฟยเอ่ยถาม พร้อมกับความรู้สึกผิดหวังลึกๆ ในใจ นางคาดหวังที่จะได้ร่วมมือกับม่อซิวเหยา อย่างน้อยต้องทำให้ม่อซิวเหยามองเห็นนางในมุมที่ต่างออกไป ม่อซิวเหยาจะต้องได้รู้ว่า เมื่อเทียบกับเยี่ยหลีแล้ว นางเป็นตัวเลือกที่ดีกว่า

“เพราะเหตุใด หากร่วมมือกับข้า ท่านยังมีบางสิ่งที่ท่านจะได้รับ ท่านไม่นึกสนใจเลยจริงๆ หรือ ขอเพียงท่านช่วยเหลือข้า ตำหนักติ้งอ๋องจะยังคงเป็นตำหนักติ้งอ๋องของต้าฉู่ ท่านสามารถขึ้นเป็นท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการรุ่นต่อไปได้ หรือแม้กระทั่ง…” หรือแม้กระทั่งหากเขาต้องการเป็นฮ่องเต้ นางก็จะช่วยเขา หากเทียบกับฮองไทเฮาแล้ว นางอยากเป็นฮองเฮาของเขาเสียมากกว่า

เยี่ยหลีที่นั่งอยู่อีกด้านถึงกับมุมปากกระตุกขึ้นเล็กน้อย เอ่ยปากขึ้นเรียบๆ ว่า “การร่วมมือกับหลิ่วกุ้ยเฟยจะได้ประโยชน์อันใดบ้างนั้น ข้าไม่รู้ เพียงแต่…อย่างน้อยคงสามารถทำให้ม่อจิ่งฉีโกรธจนตายได้ ท่านอ๋อง ท่านว่าใช่หรือไม่”

สนมที่ตนโปรดปรานเป็นที่สุด มารดาแท้ๆ ขององค์รัชทายาท มาร่วมมือกับศัตรูที่ตนโกรธแค้นมากที่สุด เกรงกลัวมากที่สุด ม่อจิ่งฉีไม่ป่วยตาย ไม่ถูกวางยาพิษตาย ก็คงได้ตายเพราะถูกทำให้โกรธกระมัง

“คุณหนูเยี่ย! ข้ากำลังพูดกับติ้งอ๋องอยู่” หลิ่วกุ้ยเฟยเอ่ยเสียงเย็น สายตาที่เจือแววโกรธ จ้องเตือนเยี่ยหลีเขม็ง

สีหน้าเยี่ยหลียังคงสุขุมและดูสบายๆ เอ่ยเรียบๆ ว่า “อา ข้าเองก็กำลังพูดกับท่านอ๋องเช่นกัน ข้าแค่เพียงใช้ข้อเสนอที่หลิ่วกุ้ยเฟยเสนอมาเมื่อครู่ มาเสนอความคิดเห็นให้ท่านอ๋องลองพิจารณาดูก็เท่านั้น ท่านอ๋อง ใช่หรือไม่”

ม่อซิวเหยาระบายยิ้มเอาใจ พร้อมเอ่ยเสียงอ่อนว่า “อาหลีคิดได้รอบคอบนัก เรื่องของข้าก็คือเรื่องของอาหลี ไม่มีอันใดที่ไม่สามารถพูดได้ อีกทั้ง ถึงข้าจะไม่ร่วมมือกับตระกูลหลิ่ว ก็สามารถทำให้ม่อจิ่งฉีโกรธตายได้อยู่ดี อาหลี เจ้าต้องเชื่อมั่นในความสามารถของสามีนะ”

“นี่คือท่านอ่องปฏิเสธหรือ!” หลิ่วกุ้ยเฟยเอ่ยกับม่อซิวเหยา แต่สายตากลับจ้องเขม็งอยู่ที่เยี่ยหลี

ม่อซิวเหยาเอ่ยเรื่อยๆ ว่า “มิได้ปฏิเสธ แต่เป็นข้าไม่เคยคิดจะพิจารณาเรื่องนี้มาตั้งแต่ต้น เป็นเพียงข้อเสนอที่น่าเบื่อหน่ายและเสียเวลามากเท่านั้น”

ชายาเคียงหทัย

ชายาเคียงหทัย

Score 10
Status: Completed

ตอนที่ 1-37 อ่านนิยาย

(อ่านตอนต่อไปด้านล่าง)


หลังถูกน้องสาวร่วมบิดาแทงข้างหลัง ทำให้ เยี่ยหลี คุณหนูสามแห่งจวนตระกูลเยี่ยถูกถอนหมั้นจาก ม่อจิ่งหลี ท่านอ๋องรูปงามแห่งเมืองหลวง แต่นางก็ยังมองโลกในแง่ดี หวังว่าตนจะได้ใช้ชีวิตอย่างสงบสุขไปอีกสักสองสามปี ทว่าเหตุไฉนสามวันให้หลัง ฝ่าบาทถึงได้พระราชทานสมรสให้นางอีกครั้งเล่า!

การแต่งงานครั้งนี้แม้ฉากหน้าจะดูเหมือนเป็นเรื่องที่น่ายินดีนัก แต่คนที่นางต้องอภิเษกสมรสด้วยกลับเป็น ม่อซิวเหยา ท่านอ๋องพิการไร้ประโยชน์ อีกทั้งยังมีรูปโฉมอัปลักษณ์ เล่าลือกันว่าเขาเคยผ่านการแต่งงานมาแล้วถึงสองครา ทว่าหญิงสาวทั้งสองคนที่เขาสมรสด้วยกลับต้องมีอันเป็นไปภายหลังจากการแต่งงานได้ไม่นาน

แต่ช้าก่อน…บุรุษที่แสนอ่อนโยนและเก่งกาจตรงหน้านางนี้น่ะหรือคือม่อซิวเหยา บุรุษที่กล่าวกันว่าเป็นคนน่ากลัว ไร้ค่า ไม่ได้เรื่องได้ความคนนั้น นี่คงมีอะไรที่เข้าใจผิดไปแล้วกระมัง

Options

not work with dark mode
Reset