ก่อนฟ้าจะมืด สื่อเจิ้งกางหนึ่งในสามเจ้าของซัพพลายเออร์รายใหญ่เดินออกมาจากอาคารสำนักงานพร้อมกับกระเป๋าหนังในมือของเขา และก่อนที่เขาจะขึ้นรถก็ได้พบกับชายร่างผอมที่สวมแว่นเดินเข้ามา
“เจ้านายสื่อ ไม่เจอกันนานเลยนะครับ” เขาคนนี้ก็คือเหวยซือ
สื่อเจิ้งกางที่เห็นเขาก็พูดอย่างสนิทสนม “อ้าว น้องชาย มาได้ไง? ว่าไงครับ จะมาซื้อของกับข้างั้นเหรอ?”
เหวยซือโบกมือ “เปล่าครับ ผมมาในวันนี้ แค่อยากชวนคุณไปซาวน่าหน่อยครับ”
“ไปซาวน่าเหรอ?”
“ใช่ครับ ผมมีร้านใหม่แนะนำ บริการดีมากนะครับ”
สื่อเจิ้งกางพยักหน้าตอบ “ก็ดีเหมือนกัน ข้าไม่ได้นวดมาสองวันแล้ว รู้สึกไม่สบายตัวเลย ไปกัน เราไปนวดกันสักหน่อย”
จากนั้นสื่อเจิ้งกางก็ขึ้นรถของเหวยซือแล้วมาถึงร้านซาวน่าร้านหนึ่งที่มีชื่อว่า ‘Chaba Spa’
ภายใต้การต้อนรับของพนักงาน ทั้งสองก็เข้าไปในห้องวีไอพี
ในระหว่างนั้น เหวยซือไม่ได้พูดถึงการซื้อขายสินค้าอะไรเลย เขาแค่พาสื่อเจิ้งกางเข้าไปนวด จากนั้นเปิดไวน์แดงชั้นดีมาดื่มเพื่อทำให้สื่อเจิ้งกางมีความสุขก่อน
กระทั่งสื่อเจิ้งกางนอนอยู่บนเตียงในห้องวีไอพีและกำลังรู้สึกดี เขาจึงชี้ไปที่เหวยซือแล้วพูดว่า “น้องชาย ในบรรดาคู่ค้าทุกๆ เจ้า มีแต่เอ็งคนเดียวที่เข้าใจข้าที่สุด เอาล่ะ อย่ารีรอเลย บอกมาว่าเอ็งมีเรื่องอะไร”
ไม่มีของฟรีบนโลก คนอื่นพาเขามานวด แถมยังเลี้ยงเหล้าอีกด้วย แน่นอนว่าไม่ใช่เพื่อความสุขอย่างเดียว แต่ต้องมีจุดประสงค์อื่นอย่างแน่นอน
เหวยซือยิ้มพูด “ในเมื่อเจ้านายสื่อก็พูดแบบนี้แล้ว ผมก็ไม่จำเป็นต้องปิดบังอีก วันนี้ที่ผมมาหาเจ้านายสื่อ ก็แค่อยากคุยเรื่องการซื้อหินหยาบกับคุณหน่อยครับ”
“อ้อ? น้องชาย เอ็งแค่อยากซื้อของกับข้า?”
“ครับ”
“ฮ่า ๆ เราสนิทกันขนาดนี้ เอ็งอยากซื้อสินค้าทำไมไม่บอกตรงๆ เลยล่ะ ไม่ต้องอ้อมค้อมขนาดนี้ก็ได้”
เหวยซือกระแอมเบาๆ แล้วพูดว่า “แต่สินค้าที่ผมอยากได้ ไม่ใช่สินค้าทั่วไปนะครับ”
สีหน้าของสื่อเจิ้งกางเปลี่ยนไป “หมายความว่าไง?”
เหวยซือพูดอย่างจริงจัง “เจ้านายสื่อ ผมขอบอกตรงๆ เลยนะครับ ผมอยากได้สินค้าที่คุณกำลังจะขายให้กับเครื่องประดับดาวฤกษ์ครับ”
ทั้งสองสบตากันสักพักใหญ่
สื่อเจิ้งกางถึงกับหัวเราะออกมา “ไอ้น้องชาย เอ็งพูดเล่นเหรอเนี่ย? มันไม่ใช่เรื่องตลกเลยนะ”
แต่เหวยซือยังคงพูดด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “เจ้านายสื่อ ผมจริงจังนะครับ”
สื่อเจิ้งกางเก็บรอยยิ้มของเขาแล้วพูดอย่างเคร่งขรึมเช่นกัน “เอาล่ะน้องชาย เอ็งรู้ไหมว่าอาชีพของข้า สิ่งสำคัญที่สุดก็คือ ‘ความสัตย์ซื่อ’ ข้ารับปากจะขายให้กับเครื่องประดับดาวฤกษ์แล้ว แล้วจะผิดสัญญาได้ยังไง? ถ้าข้าให้เอ็งลักไก่แบบนี้ วันหลังบริษัทไหนจะกล้าเชื่อใจข้าอีก?”
“ที่สำคัญ ถ้าเป็นบริษัทเจ้าเล็กๆ ก็แล้วไป แต่นั่นมันเครื่องประดับดาวฤกษ์ บริษัทแบรนด์ใหญ่ระดับโลกเลยนะ แล้วข้าจะผิดสัญญากับเขาง่ายๆ ได้ยังไงล่ะ? อีกอย่างสินค้าชุดนั้นเจียงชื่อใช้เวลามากกว่าหนึ่งสัปดาห์ในการคัดแยก ทำไม เอ็งอยากเอาเปรียบคนอื่นงั้นเหรอ?”
“พวกเขาเสนอราคาซื้อสูงถึง 800 ล้านหยวน ซึ่งมันก็มากพอแล้ว”
“ดังนั้น ไม่ว่าจะมาทางไหน ข้าก็ไม่มีเหตุผลที่จะขายสินค้าชุดนี้ให้กับเอ็งเลยล่ะ!”
เป็นประโยคที่ค่อนข้างเด็ดขาด ไม่เหลือโอกาสเจรจาให้กับคนอื่นเลย
เหวยซือที่เป็นคู่ค้ากับเขาเป็นเวลาหลายปี และนี่เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นสื่อเจิ้งกางตัดสินใจเด็ดขาดขนาดนี้ แต่ไม่น่าแปลกใจ เพราะครั้งนี้คู่ค้าของเขาคือเครื่องประดับดาวฤกษ์ ซึ่งมันจะเกี่ยวโยงไปหลายอย่าง และเขาจะเปลี่ยนใจง่ายๆ ไม่ได้อย่างเด็ดขาด
สื่อเจิ้งกางไม่สามารถรับผิดชอบสำหรับผลที่จะตามมาได้
แต่เหวยซือจำเป็นต้องฝืนพูดต่อ เพราะถ้าสินค้าล็อดนี้ถูกเจียงชื่อซื้อไป สิ่งที่เครื่องประดับเส้ายินจะต้องเผชิญก็คือหายนะ!
“แต่เจ้านายสื่อครับ ผมอยาก……”
“ไม่ต้องพูดแล้ว!”
สื่อเจิ้งกางจ้องไปที่เหวยซือ “น้องชาย ยังดีที่เป็นเอ็งนะ ถ้าเป็นคนอื่นข้าคงไม่ไว้หน้าแล้ว”
สื่อเจิ้งกางก็พูดขนาดนี้แล้ว แล้วยังจะพูดอะไรได้อีก?
เหวยซือจึงนอนลงไป
ทางเลือกสุดท้าย ดูเหมือนว่าคงต้องใช้ไม้ตายแล้ว!