กระบี่จงมา 144.2

ตอนที่ 144.2
บทที่ 144.2 คนหนึ่งนั่งบ่อ คนหนึ่งมองฟ้า
โดย

บัณฑิตพูดจ้อเป็นน้ำไหลไฟดับ “ในฐานะรังเดิมของจวนมหาวารี ตลอดหลายร้อยปีที่ผ่านมา เขตการปกครองแห่งนี้ ยกตัวอย่างเช่นพวกเราแอบทำให้แม่น้ำใหญ่ทลายเขื่อน เป็นเหตุให้เมืองบางแห่งเกิดภัยแล้งและน้ำท่วม เป็นต้น ไม่เพียงแต่คนแซ่เว่ยผู้นั้นที่รู้ดี ผู้ว่าการมณฑลและผู้พิทักษ์เมืองทั้งหลายในอดีตก็ใช่ว่าจะไม่เคยสงสัยมาก่อน เพียงแค่ไม่มีหลักฐานที่แน่นหนามั่นคงดุจภูผามายืนยันเท่านั้น บวกกับที่หวาดเกรงในพลังอำนาจของนายท่านผู้เฒ่าเทพวารี ถึงได้อยู่อย่างสงบเสงี่ยมกันมาโดยตลอด กล่าวถึงแค่คลังเอกสารคดีของที่ว่าการผู้พิทักษ์เมือง เมื่อเกิดไฟไหม้หลายครั้ง เอกสารที่ถูกไฟไหม้ไปเขียนเนื้อหาอะไรไว้บ้าง จวนมหาวารีของเราไม่มีทางป่าวประกาศแก่โลกภายนอกแน่นอน ไม่ใช่กลัวว่าจะถูกทางการล้อมจับหรืออะไร ก็แค่หากแพร่ออกไปแล้วชื่อเสียงจะไม่ดีเท่านั้น”

กล่าวมาถึงตรงนี้ บัณฑิตก็เงยหน้ามองไปยังบุรุษชุดดำแล้วคลี่ยิ้มน้อยๆ “นายท่านผู้เฒ่าของเรายังคงรักชื่อเสียงของตัวเอง”

เทพวารีแม่น้ำหันสือยิ้มกล่าวฉุนๆ “เจ้าสุยปินคนนี้ พูดจาถากถางผู้มีพระคุณของตัวเองอย่างนี้เลยหรือ? ปีนั้นเศษซากวิญญาณของเจ้าล่องลอยอยู่เหนือแม่น้ำ หากข้าไม่เก็บวิญญาณของเจ้ามาไว้ สร้างร่างให้เจ้าใหม่ ป่านนี้ก็ไม่รู้ว่าเจ้าได้ไปเกิดกี่รอบแล้ว”

บัณฑิตแค่คลี่ยิ้มประจบเอาใจเท่านั้น ไม่มีความหวาดกลัวต่อฤทธานุภาพเทียมฟ้าของเทพวารีท่านนี้แม้แต่น้อย

ปัญญาชนที่สีหน้าเป็นสีเขียวเข้มค้อมตัวหยิบจอกเหล้าขึ้นมาดื่มใต้เปลือกตาของเด็กหนุ่มชุดขาว แล้วจึงพูดต่ออีกครั้งว่า “เว่ยหลี่ผู้นั้นมีใจทะเยอทะยานและมีความสามารถ พาตัวเองเดินขึ้นสู่ตำแหน่งของหนึ่งเขตการปกครอง แต่กระนั้นก็ยังยินดีก้มหัวอดทนยอมให้ผู้อื่น หากคนแบบนี้หลุดออกจากการควบคุมกลายไปเป็นผู้ว่าการมณฑลเมื่อไหร่ วันหน้าได้เข้าเมืองหลวงแล้วเลื่อนขั้นเป็นขุนนางหลัก โดยเฉพาะขุนนางในกรมพิธีการ กลายมาเป็นคนสนิทของเชื้อพระวงศ์สายตรงของฮ่องเต้แคว้นหวงถิง บวกกับที่ในอดีตสั่งสมความไม่เป็นธรรมไว้เต็มท้อง ไม่กลัวหรือว่าเขาที่เคียดแค้นจะไม่คำนึงถึงสิ่งใด หันหันหอกกลับมาแทงใส่จวนมหาวารีของพวกเรา? ดังนั้นข้าจึงบอกกับนายท่านผู้เฒ่าเทพวารีว่า ขุนนางประเภทนี้เอามาใช้งานได้ แต่ขอแค่ในใจของคนผู้นี้ยังมี…ความเที่ยงธรรม ก็ห้ามเอามาใช้เด็ดขาด”

เด็กหนุ่มชุดขาวปรายตามองปัญญาชนสวมชุดขงจื๊อ “เจ้าแผนการนักนะ หากปีนั้นเจ้าไม่ได้เป็นขุนนาง แต่ขึ้นเขาไปฝึกตน ไม่แน่ว่าอาจมีหวังได้เลื่อนสู่ขอบเขตสิบแล้ว”

ปัญญาชนพ่อเฒ่าลำคลองยิ้มอย่างสง่างาม “บนโลกไหนเลยจะมียาแก้ไขความเสียใจภายหลัง””

ชุยฉานลุกขึ้นยืน สลัดชายแขนเสื้อก็มีธูปครึ่งก้านกลิ้งออกมา

นี่ทำให้คนเทพภูตผีในห้องโถงต่างก็ฉงนสนเท่ห์ ราชครูต้าหลีทีเผยกายด้วยรูปลักษณ์ของเด็กหนุ่มผู้นี้กำลังคิดจะทำอะไร?

เด็กหนุ่มปักธูปที่ถูกเผาไปเกินครึ่งก้านไว้กลางอากาศ พอก้านธูปลอยนิ่งอยู่ตรงหน้า เขาก็ดีดนิ้วหนึ่งครั้ง

ธูปพลันติดไฟ ควันลอยขโมง

ควันเหล่านั้นไม่ได้สลายหายไปท่ามกลางอากาศว่างเปล่า แต่รวมตัวกันกลายเป็นเรือนกายอ้อนแอ้นของหญิงสาวคนหนึ่ง

สีหน้าของปัญญาชนพ่อเฒ่าลำคลองเปลี่ยนแปลงไปอย่างรุนแรง ในที่สุดก็ไม่อาจรักษาจิตใจสงบนิ่งดั่งก่อนหน้านี้ไว้ได้อีก “จะเป็นไปได้อย่างไร?!”

บุรุษชุดดำหรี่ตาลง ปลายหางตามองประเมินกุนซือคนสนิท แม้จะตกตะลึงวิชาอภินิหารที่ลี้ลับของราชครูหนุ่ม แต่ที่มากกว่านั้นกลับเป็นความรู้สึกผ่อนคลายเหมือนคนนั่งดูไฟชายฝั่ง

เรือนกายของหญิงสาวเริ่มมั่นคงมากขึ้นเรื่อยๆ ใบหน้าก็เริ่มชัดเจน สุดท้ายเมื่อพลิ้วกายลงบนห้องโถงก็เห็นว่านางคือสตรีที่ผู้คนกราบไหว้ในวัดเจ้าแม่ชิงบนภูเขาเหิงซาน คนที่เคยเล่นหมากล้อมกับหลินโส่วอี ซึ่งสุดท้ายเด็กหนุ่มบอกให้อวี๋ลู่จุดธูปไหว้แสดงความเคารพหนึ่งดอก

ต้องรู้ว่าขนาดหยางเหล่าโถวของเมืองเล็กก็ยังเคยชมราชครูหนุ่มจากใจจริงว่า “เชี่ยวชาญเวทแห่งจิตวิญญาณ” ด้วยเหตุนี้ย่อมต้องเป็นชุยฉานที่ใช้เวทลับเฉพาะ “ขโมย” ตัวหญิงสาวออกมาจากวัดแห่งนั้น

องค์เทพที่ไม่ได้รับการยอมรับจากราชสำนักประเภทนี้ โดยเฉพาะตำแหน่งขององค์เทพเพศหญิงยังต่ำต้อยมาก ด้วยตบะที่ตื้นเขินเบาบาง ภายใต้สถานการณ์ทั่วไปแล้วไม่มีทางออกมาจากขอบเขตของตนเองโดยพลการได้เด็ดขาด

ปัญญาชนที่ก่อนตายนามว่าสุยปินพลันเดือดดาลอย่างหนัก สีหน้ายิ่งเป็นสีเขียวคล้ำ ชี้นิ้วสั่นระริกไปยังสตรีผู้นั้น สีหน้าของสุภาพชนลัทธิขงจื๊อเปลี่ยนมาเป็นดุร้ายสุดขีด “นังลูกเวรหน้าด้าน เจ้ายังกล้ามีหน้าออกมาจากภูเขาเหิงซานอีกหรือ? ลืมคำสาบานของเจ้าไปแล้วหรือไร? เวรกรรม เจ้ามันคนทรยศบ้านเมือง เนรคุณบิดามารดา อกตัญญูไม่รู้สำนึกบุญคุณจริงๆ!”

พอหญิงสาวเห็นบัณฑิตผู้นี้ สีหน้าของนางก็เต็มไปด้วยความตกตะลึงหวาดผวา เอ่ยอย่างขลาดกลัว “ท่านพ่อ…”

หลังเอ่ยคำนี้ออกไป หญิงสาวก็รู้สึกละอายใจเกินจะทน นางจึงยกมือปิดหน้าร่ำไห้ มองดูไร้ที่พึ่งน่าสงสาร

เด็กหนุ่มชุดขาวนั่งขัดสมาธิอยู่บนเก้าอี้ กล่าวอย่างมีความสุขบนความทุกข์ของผู้อื่น “แปลกใจหรือไม่?”

จากนั้นเขาก็หันหน้าไปมองบุรุษชุดดำแล้วหัวเราะร่าเสียงดัง “ข้าเคยอ่าน ‘เกร็ดเรื่องเล่าแคว้นสู่’ ในนั้นบันทึกเรื่องเล่าพิสดารไว้มากมาย หนึ่งในนั้นเขียนถึงวัดเจ้าแม่ชิงบนภูเขาเหิงซาน บอกว่าขุนนางใหญ่ของราชวงศ์ก่อนคนหนึ่งนำพาลูกเมียฆ่าตัวตายพลีชีพเพื่อชาติอยู่ที่ต้นไป่โบราณบนภูเขาเหิงซาน ลูกเมียของเขาไม่ยินยอมตายด้วยจึงหนีไป มีเพียงบุตรสาวคนเล็กเท่านั้นที่ถือกระบี่ฆ่าตัวตายพร้อมกับบิดา เลือดสดสาดกระเซ็นไปบนต้นไป่โบราณ จิตวิญญาณจึงไปสิงอยู่ในนั้น สุดท้ายจึงกลายมาเป็นเจ้าแม่ชิงของภูเขาเหิงซาน เรื่องราวนี้น่าชื่นชมสรรเสริญ น่าชื่นชมสรรเสริญจริงๆ”

บุรุษชุดดำหาเก้าอี้ว่างมาหนึ่งตัว นั่งลงแล้วกล่าวยิ้มๆ “ลือกันไปส่งเดช เรื่องจริงตรงข้ามกับเรื่องเล่าลือพอดี หลังจากสุยปินตัดสินใจแล้วว่าจะไม่หนีอีกต่อไป และเลือกที่จะใช้ความตายพิสูจน์ความบริสุทธิ์อยู่ที่วัดแห่งนั้น คนทั้งครอบครัวของเขาก็ฆ่าตัวตายตามซือหลางแห่งแคว้นที่ล่มสลายผู้นี้ สตรีส่วนใหญ่เลือกแขวนคอตาย คนอื่นๆ บ้างก็เอาหัวพุ่งชนกำแพง บ้างก็กลืนทอง มีเพียงบุตรสาวคนเล็กคนเดียวที่ไม่ยอมตาย พอนางวิ่งออกไปนอกวัด สุยปินก็ไล่ตามไปใช้กระบี่แทงนางตายด้วยกระบี่เดียวใต้ต้นไป่โบราณ นางจึงกลายเป็นวิญญาณอาฆาต ทว่าแสงแห่งดวงวิญญาณกลับไม่สลายไปแม้แต่นิดเดียว ตายไปแล้วนับว่าสร้างกรรมดี คอยให้การปกป้องพวกชาวบ้าน นี่ถึงทำให้มีชื่อเสียงที่ดีงามอยู่ใน ‘เกร็ดเรื่องเล่า’”

บุรุษชุดดำดื่มเหล้าหนึ่งอึก “ภายหลังบิดาของนางกลายมาเป็นวิญญาณใต้บังคับบัญชาของข้า และเมื่อได้รับการผลักดันจากข้าก็ได้เป็นพ่อเฒ่าลำคลองของลำคลองสายหนึ่งใกล้กับภูเขาเหิงซาน ไม่รู้ว่าเป็นเพราะในใจสุยปินมีความละอายหรือเพราะอะไร วิญญาณอาฆาตที่เดิมทีจะถูกพายุและแสงแดดแผดจ้าชะล้างให้แหลกสลายกลับถูกสุยปินให้การช่วยเหลืออย่างลับๆ หาคนมาสร้างรูปปั้นดินเผาร่างทองให้ ถึงได้มีชีวิตอยู่มาจนทุกวันนี้”

เด็กหนุ่มชุดขาวจุ๊ปากด้วยความประหลาดใจไม่หยุด

ทว่าสุยปินพ่อเฒ่าลำคลองกลับยิ่งโมโหโทโส “เทียบไม่ได้แม้แต่สัตว์เดรัจฉาน! ข้าสุยปินใช้ชีวิตอย่างเปิดเผยสง่างาม ตระกูลสุยของข้าก่อตั้งมาสามร้อยปี ทำไมสุดท้ายถึงมีตัวเวรกรรมอกตัญญูอย่างเจ้าผุดขึ้นมาได้!”

เด็กหนุ่มชุดขาวกลับมาทำท่าเกียจคร้าน เอนร่างเอามือเท้าค้างดังเดิม เขามองภาพเหตุการณ์น่าเศร้าที่บิดาและบุตรสาวต้องกลายมาเป็นศัตรูกัน แล้วจู่ๆ ก็เอ่ยขึ้นว่า “สุยปิน พอสมควรแล้วล่ะ”

ด้วยความเกรี้ยวกราด ไหนเลยสุยปินจะยังมัวมาสนใจว่าเด็กหนุ่มจะเป็นราชครูหรือไม่เป็นราชครู เขาโต้กลับทันที “ข้าสุยปินสั่งสอนบุตรสาว มีอะไรไม่เหมาะสม?!”

เด็กหนุ่มกล่าวเรียบเรื่อย “เพราะข้ารู้สึกว่าควรพอได้แล้ว เหตุผลนี้เป็นอย่างไร?”

“สุยปิน ห้ามไร้มารยาท! หากเจ้ายังกล้าพูดอีกคำเดียว ข้าจะซัดเจ้าให้ฟันร่วง!”

นี่เป็นครั้งแรกของค่ำคืนที่ชายชุดดำเป็นฝ่ายเอ่ยขอร้องแทนลูกน้องของตัวเอง เขาลุกขึ้นยืนอีกครั้ง ก้มหน้าอ้อนวอนเด็กหนุ่มชุดขาว “ขอใต้เท้าราชครูโปรดอย่าถือสาสุยปิน”

เด็กหนุ่มชุดขาวกระโดดลงจากเก้าอี้ ยืดแขนบิดขี้เกียจ “ไปแล้วๆ หากยังไม่กลับไปอีกคนอื่นอาจสงสัยเอาได้”

เขาเดินอ้อมโต๊ะใหญ่ ลงบันไดมาแล้ว เด็กหนุ่มที่สอดมือสองข้างกุมกันไว้ในชายแขนเสื้อก็หัวเราะหึหึให้กับสตรีที่ไม่กล้าเงยหน้า “อย่าไปฟังคำพูดเหลวไหลของบิดาเจ้า สตรีอ่อนแออายุเท่าเจ้ามีใครบ้างที่ไม่เล่าเรียนพิณ ภาพวาด หมากล้อม เอาแต่หลบซ่อนตัวอยู่ในหอสูง แอบมองบุรุษคนรักเล่า แบบนี้แหละถูกจะถูก ภูเขาแม่น้ำพังภินท์ แผ่นดินแว่นแคว้นล่มสลายอะไรนั่น เดิมทีก็ล้วนเป็นเพราะบุรุษอย่างบิดาเจ้าไร้ประโยชน์ ดังนั้นเป็นเขาสุยปินที่ไร้ยางอาย แต่กลับยังมีหน้ามาลากเจ้าไปตายด้วยกัน เจ้าต้องอับอายอะไร เป็นบิดาเจ้าต่างหากที่สมควรแขวนคอตายหนีอายไปซะ วางใจเถอะ วันหน้ามีนายท่านผู้เฒ่าเทพวารีปกป้องเจ้า หากบิดาเจ้าด่าเจ้าหนึ่งคำ เจ้าก็ให้เขาตบบิดาเจ้าหนึ่งที”

พ่อเฒ่าลำคลองยืนอึ้งเป็นไก่ไม้

บุรุษชุดดำรู้สึกหัวโตขึ้นมาทันใด

หญิงสาวปลุกความกล้าให้ตัวเองแล้วเงยหน้ามองสีหน้าของบุรุษชุดขงจื๊ออย่างรวดเร็ว จากนั้นก็รีบก้มหน้าลงต่ำ พูดเสียงสะอื้นแผ่วเบา “ท่านพ่อ บุตรสาวอกตัญญู”

เด็กหนุ่มชุดขาวโมโหจึงเดินเร็วๆ ไปตบศีรษะหญิงสาวหนึ่งที สบถด่ายิ้มๆ “เจ้ามันไม่เอาไหน”

บุรุษชุดดำเห็นว่าราชครูต้าหลีกำลังจะจากไปแล้ว จึงรีบเดินตามไปด้านหลัง ถามเสียงเบา “คืนนี้ใต้เท้าราชครูไม่พักที่นี่หรือ?”

เด็กหนุ่มชุดขาวตอบ “ปราณสังหารเข้มข้นขนาดนี้ ข้ากลัว”

บุรุษชุดดำร้องไห้ไม่ได้หัวเราะไม่ออก

ตอนที่เดินไปถึงธรณีประตู เด็กหนุ่มชุดขาวหันไปมองพ่อลูกที่ได้แต่จ้องตากันไร้คำพูดก่อน จากนั้นถึงพูดกับเทพวารีแม่น้ำหันสือว่า “เจ้าโชคดีกว่านางมากนักที่ไม่มีบิดาคร่ำครึเข้มงวดแบบนี้”

ชายชุดดำยิ่งก้มหน้าลงต่ำ “ใต้เท้าราชครูเคยพบบิดาของข้าแล้วหรือ?”

เด็กหนุ่มชุดขาวพยักหน้ารับ “ตอนอยู่ในป่า เขาผู้อาวุโสยังเลี้ยงอาหารรสพวกเราหลายมื้อ บอกตามตรงว่าดีกว่าอาหารพื้นๆ ไร้รสนิยมอย่างปลาและเนื้อชิ้นโตของเจ้ามากนัก”

ชายชุดดำคลี่ยิ้ม “ข้าจะเอาตัวไปเปรียบเทียบกับท่านบิดาได้อย่างไร”

เด็กหนุ่มชุดขาวหยุดเดิน ตบไหล่เทพวารีท่านนี้ “มือเท้าสองข้างที่สูญเสียไปของเจ้า รอให้ต้าหลีฮุบกลืนแคว้นหวงถิงได้แล้ว ข้าจะต้องชดเชยให้เจ้ามากกว่าเดิม เก้าอี้หยกขาวตัวนั้นถือว่าพอมีประโยชน์ต่อเผ่าพันธุ์ของพวกเจ้าอยู่บ้าง ยกให้เจ้าแล้วกัน”

บุรุษชุดดำที่ค้อมเอวก้มหน้าเอ่ยเสียงหนัก “ข้ายินดีอุทิศตนให้แก่ใต้เท้าราชครู!”

เห็นได้ชัดว่าราชครูต้าหลีท่านนี้ไม่เห็นเป็นจริงเป็นจัง หลังจากบอกชายชุดดำว่าไม่ต้องส่งก็เดินออกมาจากจวนมหาวารีเพียงลำพัง ครั้นจึงกระโดดหายเข้าไปในแม่น้ำหันสือ

เด็กหนุ่มชุดขาวที่อยู่ในแม่น้ำ ไม่เห็นว่ามือและเท้าของเขาขยับเคลื่อนไหวก็สามารถว่ายไปในสายน้ำได้อย่างปราดเปรียว เรือนกายล่องลอยคล้ายเจียวหลงสีขาวตัวหนึ่งที่เคยทะยานอยู่เหนือดินแดนแคว้นสู่ในสมัยอดีตกาล

สุดท้ายเขาล่องไปตามกระแสน้ำจนมาถึงด้านใต้ก้นบ่อน้ำอันเป็นที่ตั้งเดิมของศาลเทพอภิบาลเมือง เขาไม่ได้มุ่งหน้าตรงไปยังโรงเตี๊ยมชิวหลูที่อยู่ใกล้ในระยะประชิดทันที แต่หยุดร่างไม่ขยับเป็นนาน

เด็กหนุ่มชุดขาวเอาสองมือไพล่หลัง ยืนอยู่กลางบ่อเงยหน้ามองท้องฟ้า

……

ตรงปากบ่อพลันมีเสียงเอ่ยถามของคนผู้หนึ่งดังขึ้น “ทำไมเจ้าถึงไม่ขึ้นมาล่ะ?”

เด็กหนุ่มชุดขาวตอบยิ้มๆ “ข้าไม่กล้า”

—–

กระบี่จงมา

กระบี่จงมา

Score 10
Status: Completed

อ่านนิยาย กระบี่จงมา 1 – 400 อ่านนิยาย

( อ่านต่อข้างล่าง )


” หนึ่งโลกธาตุขนาดใหญ่ เต็มไปด้วยความลี้ลับมหัศจรรย์  ใจกลางฟ้าดิน เคยมีปัญญาชนผู้หนึ่งใช้หนึ่งกระบี่ฟาดฟันให้เกิดน้ำตกธารสวรรค์ คือความภาคภูมิใจสูงสุดของโลกมนุษย์  หน้าผาทะเลบูรพา มีนักพรตไร้นามผู้หนึ่งที่ไม่ยินดียินร้ายกับสิ่งใด หวังเพียงให้ลมเย็นโชยมาปะทะใบหน้า  แดนสุขาวดีปัจฉิมทิศ มีหลวงจีนเฒ่าที่ชอบเล่าเรื่องราวให้ผู้คนฟัง เลี้ยงมังกรสวรรค์ไว้เก้าตัว พื้นที่กันดารแดนใต้ มีจิตรกรตาบอดควบคุมหุ่นเชิดเกราะทองสูงเท่าเนินเขาให้เคลื่อนย้ายภูเขาใหญ่หนึ่งแสนลูก ปูแผ่เป็นภาพลายปัก
เมื่อวันหนึ่งเด็กหนุ่มยากจนที่เติบโตทางทิศเหนือได้พบกับเซียนที่เหนือศีรษะมีกระบี่บินนับพันนับหมื่นประดุจฝูงตั๊กแตน “

เขาจึงอยากจะไปเห็นปัญญาชนคนนั้น เห็นคลื่นยักษ์ที่โถมตัวเทียมฟ้าของทะเลบูรพา

เห็นทะเลทรายสีเหลืองทองกว้างไกลนับหมื่นลี้ของแดนประจิม

และอยากไปเห็นภูเขาลูกโอฬารของแดนกันดารทางใต้ที่นักเล่านิทานเอ่ยถึงกับตาตัวเอง

ดังนั้น ในที่สุดวันหนึ่ง เด็กหนุ่มจึงสะพายกระบี่ไม้พาดหลัง มุ่งหน้าไปทางทิศใต้

–ข้ามีนามว่าเฉินผิงอัน ผิงอันที่แปลว่าสงบสุข สันติ ข้าคือมือกระบี่คนหนึ่ง–

Options

not work with dark mode
Reset