กระบี่จงมา 143.1

ตอนที่ 143.1
 ร้อยพิสดาร (ท้าย)
โดย

หรือว่าอริยะลัทธิขงจื๊อคนหนึ่งมาเยือนจวนมหาวารีจริงๆ?

อีกทั้งอริยะขงจื๊อท่านนี้ยังไม่ใช่พวกเจ้าขุนเขาของสำนักศึกษาทั่วไปด้วย?

ชายชุดดำที่นั่งอยู่บนตำแหน่งประธานกัดฟันแน่นจนฟันแทบแตก

ท่านั่งของเขาแข็งทื่อ ร่างขึงเกร็ง เทพแม่น้ำหันสือที่วางอำนาจบาตรใหญ่อยู่ทางทิศเหนือแคว้นหวงถิงมาหลายร้อยปีผู้นี้ เวลานี้จำเป็นต้องกำหมัดทั้งคู่แน่นแล้วทุบลงบนที่เท้าแขนบนเก้าอี้แรงๆ ถึงจะฝืนควบคุมอารมณ์วู่วามที่อยากจะลุกขึ้นยืนแล้วลงไปนั่งคุกเข่าโขกหัววิงวอนอีกฝ่าย

แคว้นหวงถิงก็แค่หนึ่งในแคว้นหัวเมืองใต้อาณัติของต้าสุยเท่านั้น แขกไม่ได้รับเชิญที่อยู่ในเนื้อหนังมังสาของเด็กหนุ่มตรงหน้าผู้นี้ไม่มีทางใช่บุคคลที่เกิดและเติบโตมาในที่แห่งนี้แน่นอน เพราะเขารู้จักผู้ฝึกลมปราณตัวเป้งของแคว้นหวงถิงทุกคนมานานแล้ว ใครที่สามารถหาเรื่องใด ใครที่ควรเอาใจแสดงเจตนาดี การนั่งอยู่บนตำแหน่งอย่างยากลำบากมานานหลายปี บุรุษชุดดำจึงมีความมั่นใจกับเรื่องทุกอย่างนี้อย่างมาก

เจ็ดสิบสองสำนักศึกษาของลัทธิขงจื๊อ เจ้าขุนเขาของสำนักศึกษาทุกแห่ง อย่างน้อยก็ต้องมีตบะขอบเขตที่สิบถึงจะมีคุณสมบัติในการดูแลสำนักศึกษาได้

ส่วนผู้ฝึกลมปราณห้าขอบเขตบนที่มีอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ยิ่งใหญ่ก็มักจะเป็นดั่งเทพมังกรที่เห็นแต่หัวไม่เห็นหาง ดังนั้นเจ้าขุนเขาสำนักศึกษาที่เป็นผู้ฝึกลมปราณขอบเขตสิบซึ่งค่อนข้างจะใกล้ชิดกับราชวงศ์ในโลกมนุษย์มากกว่าจึงมีคุณสมบัติที่จะได้รับการเรียกขานว่าอริยะลัทธิขงจื๊อ นอกจากนี้อรหันต์ร่างทองของลัทธิพุทธและเทพเซียนพสุธาของลัทธิเต๋าต่างก็ได้รับการเรียกขานอย่างให้เกียรติจากราชสำนักเช่นเดียวกัน

สุดยอดผู้ฝึกลมปราณจำนวนน้อยเหล่านี้ก็เหมือนเทวรูปในศาลเจ้า ตำแหน่งเทพสูงพอ แต่ก็ไม่ถือว่าห่างไกลเกินไปนัก ผู้คนล้วนจุดธูปกราบไหว้ได้ทั่วถึง หาไม่แล้วเหล่าเทพเซียนเฒ่าห้าขอบเขตบนก็คงเหมือนไปหลบซ่อนเร้นกายอยู่กลางเมฆหมอก ต่อให้เจ้าถือหัวหมูมาก็คงหาศาลให้กราบไหว้ไม่เจอ

ดวงตาของบุรุษชุดดำเริ่มแดงก่ำด้วยเส้นเลือดฝอย แสงสีทองอ่อนจางเสี้ยวหนึ่งปรากฏวูบขึ้นมา เขายังคงพยายามอย่างสุดกำลังที่จะไม่กะพริบตา เอาแต่จ้องเขม็งไปยังเทวรูปอริยะด้านหลังเด็กหนุ่มชุดขาว ในการมองเห็นของเขา เหนือแท่นบูชาคือผู้เฒ่าที่เปี่ยมไปด้วยบารมีน่าเกรงขาม เขาสวมชุดคลุมยาวสีขาวหิมะส่องแสงเรืองรอง เส้นแสงเป็นเส้นๆ ที่ทอประกายนั้นราวกับแฝงเร้นสัจธรรมแห่งมหามรรคาเอาไว้

เมื่อมองอย่างละเอียดจะเห็นได้ว่าเส้นแสงทุกเส้นเกิดจากการร้อยเรียงต่อกันของตัวอักษรสีทองจำนวนนับไม่ถ้วนที่เปล่งประกายวาววับ เขียนเป็นกฎระเบียบมารยาทพิธีการของลัทธิขงจื๊อไว้หลายข้อ กายธรรมอริยะองค์นี้สวมกวานสูงเข็มขัดกว้าง ชายแขนเสื้อกว้างดั่งปีกวิหคที่ส่ายสะบัดด้วยตัวเองโดยไม่ต้องมีลม ตรงเอวห้อยหยกประดับส่องแสงสุกสว่างพร่างพราว สะดุดตามากเป็นพิเศษ ประหนึ่งดวงจันทร์ดวงจิ๋วที่ลอยอยู่ในโลกมนุษย์

ไม่มีทางเป็นของปลอมได้แน่ คือภาพบรรยากาศของอริยะจริงแท้แน่นอน!

อันที่จริงชาติกำเนิดของชายชุดดำมีที่มาที่ค่อนข้างยิ่งใหญ่ ได้รับอิทธิพลจากการได้ยินและได้เห็นมาตั้งแต่เด็ก รู้เรื่องวงในที่เป็นความลับมากมาย จึงเป็นคนที่มองคนและเรื่องราวออกพอดี ดังนั้นพอเห็นภาพเหตุการณ์นี้เขาจึงยิ่งหวาดหวั่นพรั่นพรึง หากเปลี่ยนมาเป็นนักพรตห้าขอบเขตกลางบนภูเขาทั่วไป ไม่แน่ว่าเขาอาจจะมองเป็นเวทอำพรางตาบางอย่างที่ใช้ตบตา

ในที่สุดชายร่างสูงใหญ่ที่ชุดคลุมสีดำปักภาพมังกรทองขดตัวก็กะพริบตา จำต้องย้ายสายตาออกห่าง น้ำตาที่เกิดขึ้นเพราะความเจ็บแสบดวงตาค่อยๆ กลิ้งไหลออกมาจากกรอบดวงตา แต่ไม่นานก็สลายหายไป เขาย่อมไม่ต้องการเผยความขลาดตัวต่อหน้าแขกมากหน้าหลายตาเหล่านี้ ชีวิตการฝึกตนที่ยาวนาน เขาสามารถเดินมาได้ถึงก้าวนี้ ได้นั่งอยู่บนตำแหน่งสูงส่งอันทรงเกียรตินี้ ลำพังอาศัยแค่ฐานกระดูกที่ดี โชควาสนาที่ดี ไม่มีจิตใจที่ยึดมั่นหนักแน่นมาประคับประคอง เกรงว่าเมื่อเผชิญกับคลื่นมรสมทั้งหลายแหล่ก็คงถูกคลื่นเชี่ยวกรากของแม่น้ำหันสือพัดหายไปนานแล้ว

ในอดีตเคยมีคนสอนเขาว่า ความรู้ของอริยะ ยิ่งศึกษายิ่งล้ำลึก เทวรูปของอริยะ ยิ่งแหงนมองยิ่งเลื่อมใส

ปัจจุบันกฎเกณฑ์ที่อริยะของลัทธิขงจื๊อตั้งไว้ในใต้หล้าแห่งนี้ ยิ่งนานวันก็ยิ่งยิบย่อยซับซ้อน ระเบียบและพิธีการมั่นคงมากขึ้นทุกที ไม่ได้เหมือนแคว้นสู่สมัยบรรพกาลที่ห่างไกลจนมิอาจหาหลักฐานมาพิสูจน์ได้อีกแล้ว แผ่นดินของแคว้นสู่ในช่วงเวลานั้นมีเจียวและมังกรอยู่เป็นจำนวนมาก พวกมันไม่ได้รับพันธนาการจากฟ้าดิน เล่าลือกันว่ามีเพียงเซียนกระบี่บุพกาลที่พลังสังหารน่าครั่นคร้ามเท่านั้นถึงจะชอบมาลับคมกระบี่ในที่แห่งนี้ พวกเขาจะขี่กระบี่ข้ามแม่น้ำลำธาร สังหารเจียวและมังกรสร้างความภาคภูมิใจให้กับตัวเอง

ฉีจิ้งชุนตายไปแล้วไม่ใช่หรือ? อริยะที่ดูแลถ้ำสวรรค์หลีจูในเวลานี้น่าจะเป็นหร่วนฉงแห่งสำนักการทหารที่หลุดพ้นจากศาลลมหิมะแล้ว

ถ้าอย่างนั้นเขาคืออริยะของฝ่ายไหนกันแน่?

ดูทรงแล้วน่าจะมาร้ายมากกว่ามาดี

ไม่ว่าจะอย่างไร ต่อให้ผู้เฒ่าราชาสวรรค์ที่มาเยือนถิ่นของตน ตนก็ไม่มีเหตุผลให้ยื่นคอไปให้อีกฝ่ายฟันทิ้ง

บุรุษชุดดำฝืนขับไล่พยับเมฆมืดทะมึนในใจตัวเอง สูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง กำปั้นมือซ้ายตวัดขึ้นเล็กน้อย แล้วเคาะลงบนที่เท้าแขนเก้าอี้เบาๆ มองดูคล้ายผ่อนคลายสบายอารมณ์ แต่กลับทำให้จวนมหาวารีทั้งหลังสั่นสะเทือนตามไปด้วย ส่วนแม่น้ำหันสือช่วงที่อยู่ใกล้กับจวนก็เกิดคลื่นลูกยักษ์อย่างไม่มีลางบอกเหตุ ลูกคลื่นทับซ้อนกันเป็นชั้นโหมกระแทกชายฝั่งสองด้านอย่างรุนแรง

บุรุษชุดดำเคาะหนึ่งครั้ง

เรือนกายของทุกคนที่อยู่ในห้องโถงก็โยกคลอนตามไปด้วย กระบี่เล่มยาวที่อยู่ในฝักของผู้ฝึกกระบี่สองคนก็ยิ่งไม่อาจแบกรับแรงกดดันรุนแรงนี้จึงดิ้นรนจนเกิดเสียงกึกกักไม่หยุดคล้ายสัตว์ติดกับที่ดิ้นสะบัด

มีเพียงเด็กหนุ่มชุดขาวเท่านั้นที่ยังคงนิ่งเฉยไม่ขยับ กายธรรมเทวรูปด้านหลังก็ยิ่งมั่นคงดุจขุนเขา

เด็กหนุ่มเงยหน้าเล็กน้อยมองไปยังบุรุษชุดดำที่นั่งอยู่ทางทิศเหนือหันหน้าเข้าหาทิศใต้ มุมปากยกยิ้มดูแคลน

แม้ว่าจวนมหาวารีจะตั้งอยู่ริมแม่น้ำ แต่อันที่จริงแล้วใต้จวนกลับยังมีความลึกลับอีกอย่างหนึ่ง นั่นคือได้ถูกขุดเจาะเป็นทางน้ำลึกและกว้างไว้นานแล้ว มีการเชื่อมโยงกับโชคชะตาของแม่น้ำหันสือไว้อย่างแน่นหนา อีกทั้งตัวจวนเองยังมีค่ายกลขนาดใหญ่ แม้จะสู้ค่ายกลใหญ่ปกป้องภูเขาของตระกูลเซียนอันดับต้นๆ หรือค่ายกลใหญ่พิทักษ์นครของเมืองหลวงราชวงศ์ไม่ได้ แต่บุรุษชุดคลุมดำมีตบะลึกล้ำ ขอแค่เขาอยู่ที่นี่ ไม่ออกจากพื้นที่แถบนี้โดยพลการก็สามารถมีพลังลี้ลับมาเพิ่มเติมคล้ายได้ครอบครองฟ้าดินขนาดเล็กแห่งหนึ่ง

สามารถฉีกกฎทำได้ถึงขั้นนี้ นอกจากโชควาสนาแล้วยังมีความเกี่ยวข้องกับสายเลือดที่พิเศษของชายชุดดำอย่างมาก

ผู้ฝึกลมปราณโดยทั่วไปขอแค่เลื่อนสู่ขอบเขตสิบ ยกตัวอย่างเช่นสามลัทธิอย่างขงจื๊อ พุทธ เต๋า บวกกับสำนักการทหารอีกหนึ่ง สามลัทธิหนึ่งสำนักสี่ฝ่ายนี้ สำนักศึกษาของลัทธิขงจื๊อ วัดวาของลัทธิพุทธ อารามตำหนักของลัทธิเต๋า รวมไปถึงซากปรักสมรภูมิรบโบราณของสำนักการทหาร หากบัญชาการณ์อยู่ในถิ่นของตัวเองก็จะได้ครอบครองฟ้าอำนวยดินอวยชัยและคนสามัคคี เท่ากับเป็นเจ้านายของฟ้าดินขนาดเล็กแห่งหนึ่ง นักพรตคนอื่นๆ ที่เข้ามาในถิ่นของพวกเขาก็ต้องมาพึ่งพา จำเป็นต้องเข้าเมืองตาหลิ่วหลิ่วตาตาม ต้องทำตามกฎระเบียบของเจ้าบ้าน

ในห้องโถงใหญ่เงียบสงัดจนกระทั่งหากเข็มตกคงได้ยิน บรรยากาศประหลาดอย่างถึงที่สุด

เทพแม่น้ำหันสือท่านนี้สามารถมองเห็นภาพเหตุการณ์อัศจรรย์ตรงหน้าประตู แต่คนอื่นกลับยังงมโข่ง ไม่รู้ไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ทำไมหลังจากที่เด็กหนุ่มชุดขาวเปล่งวาจาสามหาวแล้ว นายท่านผู้เฒ่าเทพวารีของพวกเขาถึงเริ่มเหม่อลอย หรือว่าเจ้าเด็กหนุ่มหล่อเหลาผู้ไม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำมีชาติกำเนิดมาจากตระกูลเซียนสูงศักดิ์ที่มีความสัมพันธ์อันดีกับจวนมหาวารีมาทุกยุคทุกสมัย? เขาถึงได้กำเริบโอหังถึงเพียงนี้?

แม้ชายผู้มีบุคลิกอ่อนโยนนุ่มนวลจะเดินออกมาจากโต๊ะที่จัดวางอาหารล้ำค่าสุราเลิศรสไว้จนเต็มแล้ว เดิมทีเขาควรจะจับตัวเด็กหนุ่มมาแล้ว ทว่าตอนนี้กลับหยุดฝีเท้า หากไม่รู้จักสังเกตสีหน้าท่าทางผู้คน จะเป็นลูกน้องทำงานอยู่ใต้บังคับบัญชาของชายชุดดำได้อย่างไร ภูตงูน้ำที่เจ้าเล่ห์เพทุบายผู้นี้ตระหนักได้แล้วว่าเหตุการณ์ไม่ใคร่จะปกตินัก

ชายชุดดำที่เป็นนายไม่ยอมเอ่ยปากเสียที แม้ว่าการเคาะที่เท้าแขนเก้าอี้ก่อนหน้านี้จะมีพลานุภาพยิ่งใหญ่ มองดูแล้วเป็นการเคาะภูเขากระเทือนเสือ แต่ก็ดูคล้ายจะเป็นแค่การวางมาดเพื่อตบตาผู้คนเท่านั้น

ส่วนเด็กหนุ่มชุดขาวก็ยืนนิ่งอยู่ที่เดิมตลอดเวลา วางท่าว่าเจ้ามีความความสามารถก็มาเตะข้าได้เลย นั่นจึงยิ่งขับให้สถานการณ์พิลึกพิลั่นของจวนมหาวารีเด่นชัดมากกว่าเดิม

ในที่สุดบุรุษชุดดำก็เอ่ยกลั้วยิ้มว่า “ผู้มาเยือนล้วนเป็นแขก ไม่ทราบว่ามีอะไรจะชี้แนะ?”

เขาแอบดึงพลังอำนาจของแม่น้ำส่วนหนึ่งที่ซุกซ่อนอยู่ในแม่น้ำหันสือมาสร้างแรงสั่นสะเทือนให้กับทั้งจวน พยายามจะใช้สิ่งนี้มาหยั่งเชิงว่าเทวรูปองค์นั้นเป็นของจริงหรือของปลอม เพราะต่อให้มองเหมือนของจริงมากแค่ไหน แต่หากไม่ทดสอบด้วยตัวเองก็ยอมก้มหัวให้คนนอกในบ้านของตัวเองแล้ว บุรุษชุดดำผู้หยิ่งทระนงในตัวเองไม่มีทางทำแน่นอน

หากกายธรรมของเทวรูปองค์นั้นเกิดริ้วกระเพื่อมสักเล็กน้อย บุรุษชุดดำก็ไม่ถือสาหากจะให้ตบกะโหลกเด็กหนุ่มแหลกเละด้วยมือตัวเอง บังอาจมาแกล้งหลอกผีหลอกเจ้าในจวนมหาวารี กล้ามาโกหกต่อหน้าเขา ไม่ใช่รนหาที่ตายหรอกหรือ?

น่าเสียดายก็แต่เทวรูปองค์นั้นมั่นคงดุจภูผา นี่ทำให้นอกเหนือจากจะตื่นตะลึงแล้ว เขายังต้องเก็บความคิดบังเอิญว่าจะโชคดีทั้งหมดลงไปทันที

บนเส้นทางของการฝึกตน ทวนกระแสขึ้นสู่เบื้องบน ควรจะกล้าหาญบุกรุกขึ้นหน้าไปนั้นไม่ผิด ยิ่งเจอศัตรูที่แข็งแกร่งก็ยิ่งต้องกล้าต้องแกร่ง คือหลักการที่ถูกต้องก็จริง แต่บนเส้นทางการฝึกตนก็ไม่ควรดื้อดึงไม่รู้จักพลิกแพลง ห้ามไม่รู้จักยืดหยุ่นตามสถานการณ์เด็ดขาด

เด็กหนุ่มชุดขาวเอามือหนึ่งไพล่หลัง มือหนึ่งกำหลวมๆ วางไว้ตรงหน้าท้อง ยังคงเป็นท่าทางจองหองกวนโอ๊ยอย่างถึงที่สุด เขากระตุกมุมปาก กล่าวเสียงหยัน “เจ้าลงมือไปแล้วครั้งหนึ่ง คราวนี้คงถึงทีข้าบ้างแล้วกระมัง?”

สีหน้าของบุรุษชุดดำไม่น่ามองอย่างยิ่ง

ภูตงูน้ำตนนั้นทนมองสีหน้าและฟังวาจาระคายหูของเด็กหนุ่มไม่ไหวจริงๆ จึงเดินก้าวยาวๆ ขึ้นหน้า หันหลังให้กับนายท่านผู้เฒ่าเทพวารีของตน ชายผู้อ่อนโยนสุภาพยกมือข้างหนึ่งขึ้น คทาเหล็กชิ้นหนึ่งก็บินทะยานเข้าหา เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงแหลมเล็ก “ทนไม่ไหวแล้ว สุดจะทนแล้ว! ต่อให้หลังจบเรื่องนายท่านผู้เฒ่าจะลงโทษอย่างหนัก ข้าน้อยก็ต้องทุบหัวของเจ้าเด็กนี่ให้เละก่อนให้ได้ แล้วค่อยเก็บมันสมองของเขาเอามารวมกับน้ำหยกทองในแก้วเหล้า จะได้ให้สมกับคำว่ายอดสุรา”

บุรุษชุดดำสีหน้ามืดทะมึน “ชิง ห้ามไร้มารยาทต่อแข รีบกลับมานั่งที่ซะ”

ชายบุคลิกสุภาพอ่อนโยนที่ถือคทาเหล็กในมือไม่เพียงแต่ไม่ฟังคำสั่ง กลับยังสาวเท้าเดินเร็วขึ้นว่าเดิม “นายท่านผู้เฒ่าอย่ามีเมตตาอีกเลย แขกต่ำทรามมาเยือนบ้าน ไม่รู้มารยาทแบบนี้ก็ให้ข้าน้อยเป็นคนบอกเจ้าเด็กนี่เองว่า เป็นแขกของจวนมหาวารีของพวกเราควรจะทำตัวอย่างไร!”

หลังจากที่เทพวารีแม่น้ำหันสือเอ่ยห้ามปราม ภูตงูน้ำก็รู้จุดประสงค์ที่แท้จริงของนายท่านผู้เฒ่าตัวเองแล้ว หากไม่ต้องการให้ตนล่วงเกินแขกผู้ทรงเกียรติจริงๆ ด้วยนิสัยที่มองดูเหมือนสำรวมถ่อมตัว แต่แท้จริงกลับดุร้ายอำมหิตของนายท่านผู้เฒ่า คงสะบัดชายแขนเสื้อโยนตนออกไปนอกประตูใหญ่แล้ว ไหนเลยจะยังแสร้งพูดจามีมารยาทจอมปลอมอยู่อีก

ในใจภูตงูน้ำคิดว่าคืนนี้โชคไม่เลวเลย ถูกเจ้าปลาหลีตัวนั้นแย่งคุณความชอบครั้งใหญ่ไป แต่หากตนสามารถทวงศักดิ์ศรีให้กับนายท่านผู้เฒ่าต่อหน้าคนมากมายเช่นนี้ ด้วยนิสัยมือใหญ่ใจกว้างต่อหน้าคนนอกของนายท่านผู้เฒ่าตน สุราหยกทองที่มีเฉพาะในจวนมหาวารีย่อมหนีไม่พ้นมือเขาแน่

ภูตเผ่าน้ำที่กว่าจะฝึกตนจนกลายร่างเป็นคนได้ไม่ใช่เรื่องง่ายต้องไม่รู้แน่ว่า คราวนี้นายท่านผู้เฒ่าเทพแม่น้ำที่แบ่งแยกของรางวัลและการลงโทษอย่างชัดเจนของตนคิดจะให้เขาเอาตัวไปตาย เพียงเพื่อพยายามที่จะหยั่งเชิงอีกฝ่ายอีกครั้งด้วยข้ออ้างที่สมเหตุสมผลเท่านั้น

คราวนี้แขกเต็มห้องโถงต่างก็เต็มไปด้วยความรอคอยและคาดหวัง ความรู้สึกที่มึนงงเหมือนเดินในดงหมอกอย่างก่อนหน้านี้ไม่อาจดึงความสนใจของผู้คนได้จริงๆ

ต่อให้เด็กหนุ่มชุดขาวจะเป็นแค่หมอนปักลายดอกไม้ ไม่มีทางหนีทีไหล่ แต่ได้เห็นภาพแม่ทัพใหญ่ลูกน้องของนายท่านผู้เฒ่าเทพแม่น้ำฆ่าคนก็ไม่แล้วเลย

“ดินทับถมเป็นภูเขาสูง ลมฝนเกิดขึ้นที่นี่”

ตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้แค่จะเหลือบมองไปยังภูตงูน้ำตัวนั้น เด็กหนุ่มชุดขาวยังคร้านจะทำ เขายิ้มตาหยีเอ่ยประโยคที่คล้ายท่องคำภีร์ซึ่งอาจารย์ในโรงเรียนสอนอย่างลวกๆ เห็นได้ชัดว่าเกียจคร้านเอาแต่ใจอย่างถึงที่สุด ทว่าหลังจากเอ่ยประโยคไร้ต้นสายปลายเหตุนี้จบ สีหน้าของเด็กหนุ่มก็พลันเปลี่ยนมาเป็นเคร่งเครียด เพียงสะบัดร่างก็เปลี่ยนจากคุณชายเสเพลผู้ถากถางสังคมมาเป็นปัญญาชนลัทธิขงจื๊อผู้คร่ำครึสุดโต่ง ทั่วร่างแผ่กลิ่นอายแห่งเด็ดเดี่ยวและองอาจผึ่งผาย

สุดท้ายเด็กหนุ่มยกเท้าขึ้นข้างหนึ่งแล้วกระทืบอย่างแรงพร้อมตวาดกร้าว “น้ำสั่งสมเป็นหุบเหว เจียวและมังกรถือกำเนิด!”

กายธรรมเทวรูปด้านหลังเด็กหนุ่มชุดขาวก็ยกเท้าขึ้นสูงพร้อมกับเด็กหนุ่มแล้วกระทืบลงมาอย่างรวดเร็ว

บัดนี้บุรุษชุดดำไม่อาจกระดุกกระดิกได้ แค่หายใจยังยากลำบาก ใบหน้าเต็มไปด้วยความหวาดผวา ลูกกระเดือกขยับเล็กน้อย อยากจะเอ่ยถ้อยคำอ่อนน้อมเพื่อวิงวอน แต่กลับไม่อาจพูดอะไรออกมาได้แม้แต่คำเดียว

ประหนึ่งพบเจอกับศัตรูทางธรรมชาติ

ไม่ว่าเจ้าจะตบะลึกล้ำแค่ไหน ขอบเขตสูงไกลเท่าไหร่ หากเจอกับศัตรูทางธรรมชาติก็ยังคงไร้เรี่ยวแรงให้เอาคืน ได้แต่ยืนกุมมือรอความตายแต่โดยดี

มังกรสีทองที่ขดตัวอยู่ตรงหน้าอกของบุรุษชุดดำคล้ายถูกเซียนแต้มนัยน์ตา ถึงขั้นเริ่มว่ายวนอย่างรวดเร็วราวกับมีชีวิตจริง ส่วนชุดคลุมยาวสีเข้มนั้นก็คล้ายทะเลสาบ แต่มังกรสีทองกลับว่ายสะเปะสะปะอย่างบ้าคลั่ง ไม่มีความผ่อนคลายอิสระเสรีเหมือนเวลาที่เจียวและมังกรอยู่ในน้ำเลยแม้แต่น้อย มีเพียงความวิปลาสและเจ็บปวด

ระหว่างที่มังกรสีทองยาวครึ่งแขนว่ายชนกระเจิงไปสี่ทิศ แสงสีทองที่เดิมทีสว่างไสวกลับค่อยๆ หม่นมัวหมดความสว่าง อีกทั้งยังมีเส้นแสงสีทองเหมือนขนนกบางๆ หลุดลอกออกมาจากชุดคลุมสีดำ หล่นร่วงลงพื้นแล้วสลายกลายเป็นเถ้าธุลี

เด็กหนุ่มชุดขาวคลี่ยิ้มพลางเดินออกไปหนึ่งก้าว จากนั้นก็ยกเท้าขึ้นอีกครั้ง “กะอีแค่สัตว์เลื้อยคลานในบ่อตัวเล็กๆ ก็กล้ามาหยั่งเชิงนายท่านใหญ่อย่างข้าครั้งแล้วครั้งเล่า? การหยั่งเชิงสองครั้งของเจ้าก่อนหน้านี้ ข้าก็จะกระทืบสองทีให้แม่น้ำหันสือของเจ้าแยกออกเป็นสามส่วน ดูสิว่าวันหน้าเจ้าจะควบคุมแม่น้ำใหญ่น้อยสิบหกสายได้อย่างไร”

วินาทีที่เด็กหนุ่มจะกระทืบเท้าลงพื้นเป็นครั้งที่สอง เก้าอี้ใต้ก้นของชายชุดดำก็ระเบิดแตกเป็นเสี่ยงๆ เทพแม่น้ำหันสือผู้ยโสโอหังโซเซลุกขึ้นยืน มือข้างหนึ่งกุมขย้ำมังกรสีทองตรงหน้าอกตัวนั้นเอาไว้แน่น ไม่ให้มันพุ่งชนมั่วซั่วดุจแมลงวันไร้หัวต่อไป ส่วนมืออีกข้างตบลงอย่างยากลำลาก เพราะเลือดไหลที่ลงมาตรงมุมปาก น้ำเสียงที่เอ่ยจึงแหบพร่าคลุมเครือ “ละเมิดคำสั่ง ล่วงเกินแขกผู้มีเกียรติ สมควรตาย!”

เสียงปังดังสนั่นหวั่นไหว

กระบี่จงมา

กระบี่จงมา

Score 10
Status: Completed

อ่านนิยาย กระบี่จงมา 1 – 400 อ่านนิยาย

( อ่านต่อข้างล่าง )


” หนึ่งโลกธาตุขนาดใหญ่ เต็มไปด้วยความลี้ลับมหัศจรรย์  ใจกลางฟ้าดิน เคยมีปัญญาชนผู้หนึ่งใช้หนึ่งกระบี่ฟาดฟันให้เกิดน้ำตกธารสวรรค์ คือความภาคภูมิใจสูงสุดของโลกมนุษย์  หน้าผาทะเลบูรพา มีนักพรตไร้นามผู้หนึ่งที่ไม่ยินดียินร้ายกับสิ่งใด หวังเพียงให้ลมเย็นโชยมาปะทะใบหน้า  แดนสุขาวดีปัจฉิมทิศ มีหลวงจีนเฒ่าที่ชอบเล่าเรื่องราวให้ผู้คนฟัง เลี้ยงมังกรสวรรค์ไว้เก้าตัว พื้นที่กันดารแดนใต้ มีจิตรกรตาบอดควบคุมหุ่นเชิดเกราะทองสูงเท่าเนินเขาให้เคลื่อนย้ายภูเขาใหญ่หนึ่งแสนลูก ปูแผ่เป็นภาพลายปัก
เมื่อวันหนึ่งเด็กหนุ่มยากจนที่เติบโตทางทิศเหนือได้พบกับเซียนที่เหนือศีรษะมีกระบี่บินนับพันนับหมื่นประดุจฝูงตั๊กแตน “

เขาจึงอยากจะไปเห็นปัญญาชนคนนั้น เห็นคลื่นยักษ์ที่โถมตัวเทียมฟ้าของทะเลบูรพา

เห็นทะเลทรายสีเหลืองทองกว้างไกลนับหมื่นลี้ของแดนประจิม

และอยากไปเห็นภูเขาลูกโอฬารของแดนกันดารทางใต้ที่นักเล่านิทานเอ่ยถึงกับตาตัวเอง

ดังนั้น ในที่สุดวันหนึ่ง เด็กหนุ่มจึงสะพายกระบี่ไม้พาดหลัง มุ่งหน้าไปทางทิศใต้

–ข้ามีนามว่าเฉินผิงอัน ผิงอันที่แปลว่าสงบสุข สันติ ข้าคือมือกระบี่คนหนึ่ง–

Options

not work with dark mode
Reset