กระบี่จงมา 541.5 ในถ้ำมีฟ้าดินแห่งใหม่

ตอนที่ 541.5 ในถ้ำมีฟ้าดินแห่งใหม่

แม้ว่าเข็มทิศจะเล็ก แต่กลับมีความซับซ้อนอย่างถึงที่สุด ข้างในข้างนอกรวมกันมีมากถึงสามสิบหกชั้น หากคนธรรมดาถือเข็มทิศนี้ไว้ในมือ ต่อให้จะเบิกตากว้างแค่ไหน คาดว่าก็คงนับไม่ถูกว่ามันมีทั้งหมดกี่ชั้น

นักพรตร่างผอมสูงถือเข็มทิศบนภูเขาที่ขายหม้อทุบเหล็กซื้อมาชิ้นนั้นไว้ในมือ แล้วเริ่มเดินอ้อมค่ายกลปากว้า ‘เดินเล่น’ อยู่ใต้ฝ่าเท้าขององค์เทพแห่งสวรรค์ทั้งสี่ท่าน

ตี๋หยวนเฟิงเอ่ยเตือนเสียงเบา “นักพรตซุน ทางที่ดีที่สุดควรจะเร็วสักหน่อย หากท่านโหวน้อยของแคว้นเป่ยถิงผู้นั้นก็ตามเข้ามาในนี้ด้วย พวกเราย่อมต้องเป็นสุนัขที่ถูกปิดประตูตี ตามคำบอกของผู้ฝึกตนอิสระที่โชคดีคนนั้น บนพื้นไม่มีปัญหาอะไร ขอแค่ไม่ไปแตะโดนองค์เทพทั้งสี่ จะทำอย่างไรก็ได้ไม่มีปัญหา ข้าไม่กล้าพูดจาเหลวไหลหรอกนะ ไม่อย่างนั้นก็คงเอาชีวิตรอดออกไปจากแคว้นเป่ยถิงไม่ได้”

นักพรตซุนมีเหงื่อเม็ดเล็กๆ ซึมออกมาจากหนังศีรษะ พูดเสียงหนักว่า “จะประมาทไม่ได้ ถึงอย่างไรก็ต้องระวังไว้ก่อน”

หวงซือมองไปยังปลายกระบี่ที่ถืออยู่ในมือของเทพถือกระบี่ซึ่งเป็นภาพวาดฝาผนัง หลังจากนั้นก็ย้ายเส้นสายตามองไปยังผีผาคันนั้น

ส่วนตี๋หยวนเจ๋อนั้นทรุดตัวนั่งยองลงบนพื้น สังเกตดูเจียวหลงสองตัวที่เป็นหินแกะสลักซึ่งสูญเสียไข่มุกวิเศษไปแล้วอย่างละเอียด

หวงซือพลันย้ายเส้นสายตาไปมองยังมุมหนึ่งที่อยู่เบื้องล่างของทิศทางที่ปลายกระบี่องค์เทพชี้ไป เขาเดินไปยังปลายเท้าขององค์เทพองค์นั้น เพ่งสายตามองไปก็เห็นเป็นตัวอักษรบรรจงขนาดเล็กที่ต่อให้เป็นผู้ฝึกตนก็ยังพบเห็นได้ยากมาก ทว่ามันถูกลบเลือนไปมากแล้ว ตัวอักษรจึงขาดๆ หายๆ หลงเหลือเพียงเนื้อหาบางส่วนที่ไม่มีความสำคัญ ดูจากร่องรอยของมัน เดิมทีควรเป็นบทความยาวสองสามร้อยตัวอักษร ทว่าไม่เพียงแต่ถูกตัดหัวท้ายออกไป เนื้อความท่อนสุดท้ายที่สำคัญที่สุดยังถูกลบไปหมดสิ้น มีความเป็นไปได้อย่างถึงที่สุดว่าก่อนหน้านี้เคยมีคนมาเยือน แล้วจงใจทิ้งตัวอักษรไร้ประโยชน์พวกนี้เอาไว้เพื่อทำให้คนที่เข้ามาในภูเขาภายหลังโมโหเล่น

บนผนังหินข้างเท้าขององค์เทพ ตอนนี้เหลือเพียงประโยคที่ว่า ‘…นิสัยชอบท่องเที่ยวเยี่ยมเยือนเซียน ถือไม้เท้าเดินป่าสวมรองเท้าสาน ท่องไปทั่วทุกขุนเขา คือภูเขาลูกนี้ที่เงียบสงบที่สุด เพียงแต่ว่าตราผนึกของที่นี่ค่อนข้างมาก ไม่ตรวจสอบไม่ได้ หากภายภาคหน้าคนรุ่นเดียวกันที่มีโชควาสนามาเยือนที่นี่ ก็ควร…’

รวมไปถึงประโยคสุดท้ายที่ยังคงขาดช่วง ‘ด้านนอกฟ้าครามสดใส…บ่อมังกรโบราณท่ามกลางสายฝน…’ เห็นได้ชัดว่าเป็นบทกลอนผายลมสุนัขของปัญญาชนบทหนึ่ง

หวงซือรู้สึกเคียดแค้นอยู่ในใจ

ต้องเป็นคนที่มาถึงก่อนแน่ๆ ที่จงใจลบเลือนเบาะแสที่ล้ำค่าที่สุดนี้ไป

แต่หวงซือก็ชำเลืองตามองตี๋หยวนเฟิงเหมือนจงใจแต่ก็คล้ายไม่ได้เจตนา อีกฝ่ายแต่งกายสมกับคำว่าถือไม้เท้าเดินป่าสวมรองเท้าสานพอดี

หรือว่าไอ้หมอนี่ถึงจะเป็นคนที่จะได้โชควาสนาของที่แห่งนี้ไปอย่างแท้จริง?

เฉินผิงอันมานั่งยองอยู่ข้างกายชายฉกรรจ์เนื้อตัวมอมแมม ตี๋หยวนเฟิงก็เดินตามมาด้วย

ตี๋หยวนเฟิงที่พอเห็นประโยคนั้นแล้วก็สับสนมึนงงไปเหมือนกัน

เฉินผิงอันเองก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น

เพียงแต่ว่าเมื่อเทียบกันแล้ว เฉินผิงอันเป็นคนที่ไม่คิดอะไรมากที่สุด

หากจะต้องเปิดตราผนึกชั้นที่สองของถ้ำสถิตกันจริงๆ นั่นต้องเป็นช่วงเวลาที่เส้นเอ็นหัวใจขึงตึงอีกครั้ง แล้วจะหาเรื่องลำบากใส่ตัวไปทำไม

แต่เพียงไม่นานเฉินผิงอันก็ถอนหายใจ เตือนตัวเองเงียบๆ ว่าไม่ควรมีความคิดเช่นนี้

หวงซือพลันเอ่ยว่า “ใช้ยันต์ดำดินแล้วจะไปแตะต้องกลไกจริงๆ หรือ?”

ตี๋หยวนเฟิงตอบ “แน่ใจแล้วว่าไม่ผิด! ผู้ฝึกตนอิสระกลุ่มก่อนหน้านี้ก็เคยทดลองทำ เพราะฉะนั้นถึงได้มีคนตายไปอีกคน เว้นเสียจากยันต์เปิดภูเขาในตำนานที่สามารถทำให้รากฐานภูเขาไม่สั่นคลอนที่พอจะมีโอกาสอยู่บ้าง แต่คาดว่าคงต้องเผาผลาญยันต์ไปหลายแผ่นถึงจะได้ ยันต์ประเภทนี้ล้ำค่าขนาดนั้น ต่อให้ซื้อมาได้จริงๆ คาดว่าก็คงทำให้พวกเราได้ไม่คุ้มเสียอยู่ดี”

เฉินผิงอันไม่รู้จักยันต์เปิดภูเขาอะไรนั่นหรอก แต่เขาลองเปลี่ยนความคิดไปมองมุมใหม่ ถึงได้เริ่มตั้งใจมองตัวอักษรเหล่านั้นอย่างจริงจัง แล้วก็ขมวดคิ้ว แบฝ่ามือ ลูบไปตามตัวอักษรและร่องรอยแถบใหญ่นั้นเบาๆ

จากนั้นเฉินผิงอันก็เอ่ยว่า “จะเป็นไปได้หรือไม่ว่า แท้จริงแล้วคนที่เขียนตัวอักษรพวกนี้และคนที่ลบพวกมันทิ้งไปก็คือคนคนเดียวกัน อีกทั้งเบาะแสในการเปิดภูเขาก็ซ่อนอยู่ในตัวอักษรเหล่านี้ตลอดมา?”

หวงซือพ่นเสียงออกจมูกอย่างดูแคลนโดยไม่คิดจะปิดบังแม้แต่น้อย

หันหน้ากลับไปมอง ผู้เฒ่าร่างผอมสูงคนนั้นยังคงเดินวนสะเปะสะปะเหมือนแมลงวันที่ไร้หัวอยู่เหมือนเดิม

หวงซือคิดว่าหากไม่ได้จริงๆ ตนก็คงต้องใช้ไม้แข็งแล้ว

ส่วนข้อที่ว่าอีกสามคนจะตายภายใต้กลไกนี้หรือไม่ ก็ต้องดูที่ชะตาชีวิตของพวกเขาแล้ว

กลับเป็นตี๋หยวนเฟิงที่พอได้ยินคำพูดของเฉินผิงอันแล้วรู้สึกว่าน่าสนใจ จึงเริ่มจ้องตัวอักษรที่เหลืออยู่นิ่งๆ แล้วเริ่มใคร่ครวญอย่างจริงจัง

ตี๋หยวนเฟิงลุกขึ้นยืน เอนตัวไปด้านหลัง มองเทวรูปองค์หนึ่ง จากนั้นก็ค่อยๆ หมุนตัวกลับช้าๆ มององค์เทพสามองค์ที่มีหน้าตาดุดันจนครบหนึ่งรอบ

ต่อมาตี๋หยวนเฟิงก็เดินมาตรงกลางห้องโถงของถ้ำ ยื่นมือข้างหนึ่งออกมา งอเข่าลงเล็กน้อย จากนั้นก็ค่อยๆ เคลื่อนฝ่ามือลงด้านล่าง

สุดท้ายตี๋หยวนเฟิงมานั่งยองอยู่ตรงมุมหนึ่ง ฝ่ามือข้างที่แบออกนั้นใช้หลังมือแนบติดกับกรงเล็บของเจียวหลงตัวหนึ่ง

ตี๋หยวนเฟิงพูดกับนักพรตร่างสูงผอมว่า “ลองคำนวณค่ายยันต์ที่แน่ชัดของที่แห่งนี้ดูสิ นักพรตซุน เรื่องแค่นี้เจ้าน่าจะทำได้กระมัง!”

มือข้างหนึ่งของนักพรตซุนถือเข็มทิศ มืออีกข้างหนึ่งปาดเหงื่อบนใบหน้า จากนั้นก็หดมือกลับมาในชายแขนเสื้อ ทำมุทราอย่างว่องไว สองตาจ้องนิ่งไปยังตำแหน่งของมือข้างนั้น ปากก็พึมพำว่า “ตำแหน่งประตูตาย ไม่สมเหตุสมผลเลย”

ตี๋หยวนเฟิงค้างอยู่ในท่าหลังมือแนบพื้นอยู่ตลอดเวลา เขาพูดเตือนด้วยสีหน้ามืดทะมึน “นักพรตเต๋าอย่างพวกเจ้ากลัวตายด้วยหรือ?! นักพรตซุน เหตุใดแค่นี้ก็ยังมองไม่ออก?”

นักพรตซุนนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วก็เอ่ยอย่างปิติยินดีว่า “พื้นที่มหามงคล!”

ตี๋หยวนเฟิงถึงได้บิดหมุนฝ่ามือแล้วกำเป็นหมัดเบาๆ เอามันเคาะพื้น ยังคงไร้ความเคลื่อนไหวใดๆ

ตี๋หยวนเฟิงขมวดคิ้ว

หวงซือเดินเข้ามาหา แล้วหมอบลงกับพื้น เอาหูแนบพื้นดิน จากนั้นก็เงยหน้าเอ่ยว่า “มีเสียงสะท้อน เหมือนเสียงหยดน้ำ แต่กลับฟังดูไม่ปกติ สิ่งนี้น่าจะเป็นตัวแตะต้องกลไกที่แท้จริง”

ตี๋หยวนเฟิงสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง แล้วจึงปล่อยหมัดต่อยลงไปหนักๆ

เพียงแค่ชั่วพริบตา

ภาพปรากฎการณ์ประหลาดก็เกิดขึ้น

ค่ายกลปากว้าบนพื้นเริ่มบิดหมุน ไม่มีความเป็นระเบียบใดๆ การเปลี่ยนแปลงนั้นรวดเร็วจนคนไม่กล้ากะพริบตาให้คลาดสายตา เฉินผิงอันและนักพรตร่างผอมสูงได้แต่กระโดดไปมาไม่หยุด ทุกครั้งที่พลิ้วกายลงพื้น ตำแหน่งก็ยังคลาดเคลื่อนอยู่มาก สภาพกระเซอะกระเซิงกันไม่น้อย แต่ก็ดีกว่ายืนได้ไม่มั่นคงแล้วต้องนอนหมอบอยู่กับพื้นหมุนติ้วไปตามภาพปากว้า พื้นที่กระเด้งกระดอนขึ้นลงไม่หยุดนิ่งนั้น ไม่ได้ดีไปกว่าคมมีดสักเท่าไรเลย

ทว่าเท้าสองข้างของตี๋หยวนเฟิงและหวงซือกลับปักหลักยืนนิ่ง ไม่ได้ขยับเคลื่อนไปมากเท่าไรนัก บางครั้งเกิดอุปสรรคขัดขวางใต้ฝ่าเท้า พวกเขาถึงจะดีดปลายเท้าเบาๆ จากนั้นก็พลิ้วกายลงจุดเดิม เมื่อเทียบกับอีกสองคนก็ถือว่าสง่างามมากแล้ว

เจียวหลงสีเขียวสองตัวที่เดิมเป็นวัตถุไร้ชีวิตก็ยิ่งสูญเสียตราผนึกพันธนาการ คิดจะเลื้อยลงแม่น้ำ ลงมหาสมุทร

ส่วนประตูใหญ่ตรงโพรงถ้ำก็ได้มีหินสีเขียวก้อนยักษ์ร่วงตูมลงมา ต่อให้เป็นหวงซือก็ยังขัดขวางไม่ทัน นั่นก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าจะเผ่นหนีไปเลย

ตี๋หยวนเฟิงกวาดตามองไปรอบด้าน สุดท้ายเส้นสายตาจ้องนิ่งไปยังหลุมเว้าที่เดิมทีเป็นจุดวางไข่มุกซึ่งตอนนี้เป็นจุดเดียวที่ไม่ขยับเขยื้อน

ตี๋หยวนเฟิงตะโกนเสียงดังไปทางหวงซือ “เอาเหล้ามากาหนึ่ง!”

หวงซือโยนเหล้ากาหนึ่งมาให้ ตี๋หยวนเฟิงเปิดผนึกดินออกแล้วเทลงตรงจุดเว้าลึกนั่น

ภาพปากว้าบนพื้นดินหยุดชะงักไปเล็กน้อย

ตี๋หยวนเฟิงมั่นใจได้แล้ว จึงหันหน้ามาตะโกนเสียงดังอีกรอบ “คนแซ่เฉิน รีบหยิบยันต์น้ำแผ่นหนึ่งออกมา ไม่ต้องร่ายเวทมนตร์ลูกเล่นอะไรทั้งนั้น แค่จำแลงน้ำออกมาก็พอ!”

เฉินผิงอันคีบยันต์น้ำออกมาแล้วโยนไปให้อีกฝ่าย ยันต์แผ่นนั้นก็จำแลงเป็นเสาน้ำที่แฝงปราณวิญญาณธาตุน้ำ ตี๋หยวนเฟิงยื่นมือออกมา วักน้ำหนึ่งกอบไว้ในมือแล้วปล่อยลงบนจุดเว้าเบาๆ

เพียงแค่ชั่วพริบตา

ในถ้ำก็มีแสงสว่างเจิดจ้าพร่างพราว หวงซือเป็นคนสุดท้ายที่หลับตาลง ผู้เฒ่าชุดดำคือคนแรกที่หลับตา หวงซือถึงได้วางใจในตัวคนผู้นี้เสียที

ร่างของคนทั้งสี่โยกคลอน

แล้วก็ให้รู้สึกเหมือนอยู่กันคนละโลก

นักพรตซุนเซล้มลงกับพื้น เวียนหัวตาลาย แล้วก็เริ่มอาเจียนไม่หยุด

ส่วนนักพรตเฉินที่น่าเวทนาคนนั้นสภาพหนักกว่าเขาเสียอีก เขานั่งอยู่บนพื้นอาเจียนแห้ง ๆ อยู่นานแล้ว

ตี๋หยวนเฟิงยืดเอวตั้งตรง กวาดตามองไปรอบด้าน รอยยิ้มบนใบหน้าแผ่กระเพื่อมออกมาอย่างอดไม่ไหว แล้วก็แผดเสียงหัวเราะดังลั่น “ช่างสมกับคำว่าในถ้ำมีฟ้าดินแห่งใหม่จริงๆ!”

ถ้ำสถิตตระกูลเซียนแห่งนี้มีปราณวิญญาณเหนือว่าราชวงศ์ในโลกมนุษย์ของแคว้นเป่ยถิงเสียอีก ทำให้จิตใจของคนปลอดโปร่งโล่งสบาย

ในการมองเห็น ห่างไปไม่ไกลมียอดเขาเขียวสูงตระหง่านลูกหนึ่งและมีสายน้ำสีเขียวมรกตโอบล้อมอยู่รอบตีนเขา ในฟ้าดินขนาดเล็กแห่งนี้มีไอน้ำอบอวล แต่กลับไม่ทำให้ลมหายใจของคนติดขัดแม้แต่น้อย กลับกลายเป็นว่าแค่สูดลมหายใจเข้าง่ายๆ หนึ่งทีก็ทำให้จิตใจคนโล่งโปร่งได้แล้ว

ส่วนบนภูเขาสูงลูกนั้นก็มีหอเรือนและศาลาที่สลับสล้างลดหลั่นกันไปตามตัวภูเขา ทอดยาวต่อเนื่องเป็นสาย จุดที่ห่างไปไกลที่สุดยังมีอารามเต๋าเก่าแก่ที่บนหลังคาปูด้วยกระเบื้องแก้วสีเขียว บริเวณโดยรอบขุนเขาเขียวมีกลุ่มกระเรียนเซียนบินล้อมวน

ดินแดนเซียนในโลกมนุษย์ก็หนีไม่พ้นเช่นนี้เอง

หวงซือเองก็ลุกขึ้นยืนตัวตรงช้าๆ แต่เขาเชื่อว่าเจ้าตี๋หยวนเฟิงผู้นี้คงเดาออกแล้วว่าเขาไม่ใช่ผู้ฝึกยุทธขอบเขตห้าที่พื้นฐานย่ำแย่อะไร

ทว่าเรื่องมาถึงขั้นนี้แล้วจะยังเป็นอะไรอีกเล่า?

เจ้าตี๋หยวนเฟิงผู้ฝึกยุทธขอบเขตห้าที่มีดาบผุๆ เล่มหนึ่งกับเป็นวิชาคาถาน้อยนิดแค่นั้น ยังจะกล้ามางัดข้อกับข้าหรือ?

หากไม่เป็นเพราะต่อจากนี้อาจมีเรื่องไม่คาดฝันเกิดขึ้น ตอนนี้ข้าหวงซือคิดจะสังหารพวกเจ้าสามคนก็ไม่ต่างจากบิดคอลูกเจี๊ยบสามตัว

ตี๋หยวนเฟิงเอ่ย “นักพรตซุน สหายเฉิน พี่ใหญ่หวง ครั้งนี้พวกเราร่วมรบเคียงบ่า เรียกได้ว่าเมื่อมีความจริงใจแม้แต่ทองก็ยังแตกออก! นี่แสดงให้เห็นว่าสมควรเป็นพวกเราสี่คนที่ได้ครอบครองโชควาสนาของที่แห่งนี้ด้วยกัน!”

นักพรตซุนสะบัดชายแขนเสื้อสองข้าง ลูบหนวดยิ้ม กลับคืนมามีมาดของเซียนอย่างก่อนหน้านี้อีกครั้ง

เพียงแค่ว่าในปากยังมีกลิ่นเหม็นเปรี้ยวที่น่าสะอิดสะเอียน ผู้เฒ่าจึงไม่ค่อยอยากจะเปิดปากพูดสักเท่าไร

เฉินผิงอันกวาดตามองรอบด้านแล้วก็ให้สะท้อนใจ

หากเปลี่ยนมาเป็นตนที่อยู่ในถ้ำแห่งนั้นเพียงลำพัง บางทีอาจต้องใช้เวลานานกว่านั้น เขาอาจจะพบเบาะแสเหมือนกัน เพียงแต่ว่าจุดที่ตี๋หยวนเฟิงวางมืออยู่ในตำแหน่งประตูตายของค่ายกลปากว้า บางทีนั่นอาจทำให้เขาใจเต้นระส่ำหวาดหวั่น แต่นักพรตซุนผู้นี้กลับสามารถอาศัยเข็มทิศมาคำนวณว่าจุดนั่นเป็นจุดมหามงคลที่เป็นตายสับเปลี่ยนกัน นี่ถึงทำให้คุณชายฉินผู้นี้ออกหมัดอย่างไม่ลังเล

ส่วนเรื่องที่จำเป็นต้องใช้ยันต์น้ำ เฉินผิงอันไม่ได้จงใจปิดบัง ไม่ต้องให้ตี๋หยวนเฟิงเอ่ยเตือน เขาก็คีบยันต์ออกมารอไว้ในชายแขนเสื้ออยู่ก่อนแล้ว

อีกฝ่ายต้องเห็นอยู่ในสายตาแน่นอน ต่อให้ตอนนั้นจะไม่ได้สนใจ ทว่าตอนนี้ก็คงจะเริ่มย้อนนึกถึงแล้ว

เฉินผิงอันก็แค่อยากจะเตือนคุณชายฉินจากแคว้นเจียโย่วผู้นี้ว่า ต่อให้ตบะของข้าจะแย่แค่ไหน แต่หัวสมองก็ยังไวอยู่ ดังนั้นหากคิดว่าเข้ามาในถ้ำสถิตตระกูลเซียนแล้วจะช่วงชิงผลประโยชน์ไปจากตน จะดีจะชั่วก็ต้องรอเวลากว่านี้หน่อย

ทางฝั่งของโพรงถ้ำแห่งนั้น ชายหญิงอายุน้อยสองคนกับผู้เฒ่าสองคนยืนเคียงไหล่กันอยู่ใต้รูปองค์เทพ ผู้เฒ่าคนหนึ่งในนั้นยิ้มบางๆ เก็บเอายันต์แผ่นหนึ่งที่ลอยอยู่กลางอากาศกลับมา สะบัดเบาๆ มันก็กลายเป็นผุยผง

ก่อนหน้านี้ภาพเหตุการณ์และถ้อยคำก่อนที่คนทั้งสี่จะทำลายค่ายกลสำเร็จ ล้วนอยู่ในสายตาและอยู่ในหูของพวกเขา

หากเฉินผิงอันอยู่ที่นี่ด้วยจะต้องจำคนทั้งสามได้ในคราวเดียว

ผู้เฒ่าที่มาซื้อยันต์ของตนในนครเหนือเมฆ รวมไปถึงชายหญิงที่เดินสำรวจตรวจตราถนนใหญ่ของตลาดคู่นั้น

สตรีผู้นั้นทั้งตกตะลึงทั้งดีใจ ถามอย่างใคร่รู้ว่า “ก่อนหน้านี้หวนเจินเหรินบอกให้พวกเราออกจากถ้ำไปก่อน แต่กลับทิ้งยันต์แผ่นนี้เอาไว้ เพราะแน่ใจแล้วว่าผู้ฝึกตนอิสระกลุ่มนี้สามารถนำทางให้พวกเราได้อย่างนั้นหรือ?”

หวนอวิ๋นหลุดหัวเราะพรืด ไม่ได้แสร้งวางตัวเป็นผู้สูงส่ง ส่ายหน้าเอ่ยว่า “ก่อนที่พวกเขาจะขยับเข้ามาใกล้ประตูใหญ่ของถ้ำ ยันต์หลายแผ่นที่อยู่ระหว่างทางก็เริ่มมีความเคลื่อนไหวแล้ว ข้าผู้อาวุโสก็แค่ไม่อยากเกิดปัญหาขัดแย้งกับพวกเขา พบเจอกันบนเส้นทางคับแคบ จะถอยหนีก็ถอยไม่ได้ หรือว่าจะต้องเข่นฆ่ากันอย่างเดียว? แล้วนับประสาอะไรที่กลุ่มของท่านโหวน้อยแคว้นเป่ยถิงนั่น แม้จะบอกว่าจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่ได้ออกมาจากศาลา แต่ดูจากท่าทางแล้วก็เห็นได้ชัดว่าได้มองสถานที่แห่งนี้เป็นของในกระเป๋าตัวเองไปแล้ว ความเคลื่อนไหวของที่นี่ค่อนข้างรุนแรง อีกเดี๋ยวพวกเขาก็คงตามมา ถึงเวลานั้นหากทั้งสามฝ่ายเปิดศึกกันอย่างวุ่นวาย คนตายมีแต่จะยิ่งมากกว่าเดิม อาจารย์ที่เป็นเจ้านครของพวกเจ้าให้พวกเจ้าสองคนลงมาจากภูเขา ไม่ได้ให้พวกเจ้าพาตัวมาตายเสียหน่อย”

หวนอวิ๋นเดินไปยังตำแหน่งกรงเล็บบนพื้นที่กลับคืนสู่สภาพเดิมแล้ว ทอดถอนใจเอ่ยว่า “ดังนั้นถึงได้บอกว่าบนมหามรรคา บางครั้งการยอมถอยหนึ่งก้าวก็คือการเดินขึ้นเขาไปหลายก้าว”

หวนอวิ๋นพลันยิ้มเอ่ยว่า “โอ้โห ไม่เสียแรงที่มีผู้ฝึกยุทธขอบเขตเจ็ดสองคนติดตามมาด้วย หนึ่งคนหนึ่งหมัดก็ต่อยให้ยันต์ข้างทางสองแผ่นที่มีมูลค่าของข้าผู้อาวุโสแหลกสลายไปได้ ในกลุ่มนี้ต้องมียอดฝีมืออยู่อย่างแน่นอน ผู้ฝึกยุทธธรรมดาไม่มีทางสัมผัสได้ถึงคลื่นลมปราณที่เคลื่อนไหวน้อยนิดนั่น หรือจะบอกว่าแท้จริงแล้วนังหนูนั่นคือเซียนดินโอสถทองคนหนึ่ง?”

สตรีผู้นั้นเห็นว่าเจินเหรินผู้เฒ่าเพียงแค่นั่งยองอยู่ตรงนั้น ไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ ก็เอ่ยขึ้นอย่างเป็นกังวล “เหตุใดเจินเหรินผู้เฒ่าถึงไม่รีบสัมผัสค่ายกล?”

ผู้ถวายงานเฒ่าขอบเขตประตูมังกรของนครเหนือเมฆเอ่ยเนิบช้าว่า “หากผู้ฝึกตนอิสระกลุ่มที่ไปถึงก่อนกำลังเฝ้าตอรอกระต่าย ลองคิดตามดู หากพวกเจ้าสองคนบุ่มบ่ามตามเข้าไป หนึ่งหมัดพุ่งมาถึง ตายหรือว่าไม่ตาย? ไม่ตายก็ต้องบาดเจ็บ สุดท้ายก็ยังต้องตายอยู่ดีไม่ใช่หรือ?”

ผู้ฝึกตนหนุ่มสาวหันหน้ามามองกัน ต่างก็เกิดความหวาดผวาอยู่ในใจ

ผู้ถวายงานเฒ่าคนนี้ลังเลอยู่เล็กน้อย ก่อนถามว่า “หวนเจินเหริน ข้าสามารถต่อยให้เส้นทางมายังถ้ำพังลงได้หรือไม่?”

หวนอวิ๋นยิ้มบางๆ “หากไม่กลัวว่าอีกฝ่ายไม่มีทางมา หลังจบเรื่องพวกเราก็ไม่มีทางกลับ จากนั้นก็ได้แต่เฝ้าภูเขาเงินภูเขาทองรอความตาย ถ้าอย่างนั้นก็ย่อมลงมือได้ไม่มีปัญหา”

ผู้ถวายงานเฒ่าหลุดหัวเราะออกมา

ได้แต่ล้มเลิกความคิดเพียงเท่านี้

หางตาของหวนอวิ๋นชำเลืองตามองชายหญิงคู่นั้นแล้วก็ถอนหายใจอยู่ในใจ นิสัยของทั้งสองฝ่ายแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด

สตรีใจร้อนวู่วาม บุรุษหนักแน่นสุขุม

หากเดินเคียงกันแบบนี้ต่อไป จะกลายเป็นคู่บำเพ็ญเพียรเทพเซียนได้หรือไม่ก็ยังบอกได้ยาก

ในถ้ำสถิตตระกูลเซียนที่มีปราณวิญญาณเปี่ยมล้นแห่งนั้น เฉินผิงอันที่ได้ครอบครองจวนวารีแห่งหนึ่งดุจดั่งปลาได้น้ำ

เฉินผิงอันสามารถจินตนาการได้เลยว่า ต่อจากนี้ไปพวกเด็กจิ๋วชุดเขียวในจวนน้ำบ้านของตนคงมีงานให้ทำกันง่วนแล้ว

——

กระบี่จงมา

กระบี่จงมา

Score 10
Status: Completed

อ่านนิยาย กระบี่จงมา 1 – 400 อ่านนิยาย

( อ่านต่อข้างล่าง )


” หนึ่งโลกธาตุขนาดใหญ่ เต็มไปด้วยความลี้ลับมหัศจรรย์  ใจกลางฟ้าดิน เคยมีปัญญาชนผู้หนึ่งใช้หนึ่งกระบี่ฟาดฟันให้เกิดน้ำตกธารสวรรค์ คือความภาคภูมิใจสูงสุดของโลกมนุษย์  หน้าผาทะเลบูรพา มีนักพรตไร้นามผู้หนึ่งที่ไม่ยินดียินร้ายกับสิ่งใด หวังเพียงให้ลมเย็นโชยมาปะทะใบหน้า  แดนสุขาวดีปัจฉิมทิศ มีหลวงจีนเฒ่าที่ชอบเล่าเรื่องราวให้ผู้คนฟัง เลี้ยงมังกรสวรรค์ไว้เก้าตัว พื้นที่กันดารแดนใต้ มีจิตรกรตาบอดควบคุมหุ่นเชิดเกราะทองสูงเท่าเนินเขาให้เคลื่อนย้ายภูเขาใหญ่หนึ่งแสนลูก ปูแผ่เป็นภาพลายปัก
เมื่อวันหนึ่งเด็กหนุ่มยากจนที่เติบโตทางทิศเหนือได้พบกับเซียนที่เหนือศีรษะมีกระบี่บินนับพันนับหมื่นประดุจฝูงตั๊กแตน “

เขาจึงอยากจะไปเห็นปัญญาชนคนนั้น เห็นคลื่นยักษ์ที่โถมตัวเทียมฟ้าของทะเลบูรพา

เห็นทะเลทรายสีเหลืองทองกว้างไกลนับหมื่นลี้ของแดนประจิม

และอยากไปเห็นภูเขาลูกโอฬารของแดนกันดารทางใต้ที่นักเล่านิทานเอ่ยถึงกับตาตัวเอง

ดังนั้น ในที่สุดวันหนึ่ง เด็กหนุ่มจึงสะพายกระบี่ไม้พาดหลัง มุ่งหน้าไปทางทิศใต้

–ข้ามีนามว่าเฉินผิงอัน ผิงอันที่แปลว่าสงบสุข สันติ ข้าคือมือกระบี่คนหนึ่ง–

Options

not work with dark mode
Reset