กระบี่จงมา 540.3 พบเจออีกครั้งโดยบังเอิญ จากลากันอย่างเปลี่ยวเหงา

ตอนที่ 540.3 พบเจออีกครั้งโดยบังเอิญ จากลากันอย่างเปลี่ยวเหงา

คนเขียนยังบอกไว้ด้วยว่า เขาจะเขียนถึงคนรุ่นเยาว์สิบคนของแจกันสมบัติทวีป ถึงเวลานั้นค่อยมาทำการเปรียบเทียบกับสิบคนใหม่ของอุตรกุรุทวีปบ้านตัวเอง

บทความที่เขียนขึ้นเป็นรายงานตระกูลเซียนของอุตรกุรุทวีปเหล่านี้ ยามที่เขียนถึงผู้ฝึกตนของแจกันสมบัติทวีป อันที่จริงก็ยังอดเผยความหยามหยันส่วนหนึ่งออกมาไม่ได้

เพียงแต่เมื่อเปรียบเทียบกับในอดีตที่แม้แต่จะชายตามองยังคร้านจะทำ ไม่แม้แต่จะพูดถึงสักคำ ก็เรียกได้ว่าแตกต่างไปจากเดิมอย่างมาก

นอกจากนี้ก็เป็นเรื่องการฝ่าทะลุขอบเขตของเว่ยป้อองค์เทพใหญ่แห่งขุนเขาเหนือต้าหลี ทุกพื้นที่ในอาณาเขตล้วนเต็มไปด้วยภาพแห่งความเป็นมงคล ลางอันดีเกิดขึ้นไม่ขาดสาย เห็นได้ชัดว่าจะกลายเป็นเทพภูเขาห้าขอบเขตบนแล้ว นี่แสดงให้เห็นว่าโชคชะตาแคว้นของสกุลซ่งต้าหลีรุ่งโรจน์อย่างที่ไม่อาจดูแคลนได้ ในรายงานนี้ได้เอ่ยเตือนคนทำการค้ามากมายในอุตรกุรุทวีปว่าให้รีบลงเดิมพันกับราชวงศ์ต้าหลี หากช้าไป ระวังว่าจะไม่ได้แบ่งน้ำแกงไปกินแม้แต่ถ้วยเดียว เกี่ยวกับเรื่องนี้ก็ได้มีการพูดถึงสำนักพีหมาอยู่สองสามคำคล้ายตั้งใจแต่ก็คล้ายไม่เจตนา มีคำชมเชยให้แก่จู๋เฉวียนแห่งสำนักพีหมา เพราะหากดูจากข่าวลือเล็กๆ ก็เห็นได้ชัดว่าภูเขามู่อีของชายหาดโครงกระดูกได้เดินนำไปก่อนแล้วหนึ่งก้าว และเรือข้ามทวีปของพวกเขาก็น่าจะมีความเกี่ยวข้องบางอย่างกับขุนเขาเหนือต้าหลีแล้ว

นอกจากนี้ก็เป็นเรื่องของสำนักเจินจิ้งสำนักเบื้องล่างของสำนักกุยหยกแห่งใบถงทวีปที่มาเลือกที่ตั้งอยู่ในทะเลสาบซูเจี่ยน ในรายงานเองก็เขียนอธิบายอย่างละเอียดโดยไม่ขี้เหนียวน้ำหมึกแม้แต่น้อย

เฉินผิงอันอ่านตัวอักษรพวกนั้นก็เหมือนสัมผัสได้ถึงอาการเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันของคนเขียนอย่างชัดเจน

ช่วยไม่ได้

เจ้าสำนักคนแรกของสำนักเจินจิ้งชื่อว่าเจียงซ่างเจิน คือไม้กวนอาจมที่เห็นได้ชัดว่าขอบเขตไม่ค่อยสูง แต่กลับทำให้อุตรกุรุทวีปจนปัญญาทำอะไรเขาไม่ได้เลย

ไอ้หมอนี่คนเดียวก็ทำร้ายสามในสิบเทพธิดาของอุตรกุรุทวีปในอดีต แล้วยังมีข่าวลือบอกว่าผู้ฝึกตนหญิงของต่างสำนักอีกสองคนที่รูปโฉมงดงาม ปีนั้นก็คล้ายว่าจะเคยไปมาหาสู่กับเจียงซ่างเจิน เพียงแต่ว่าจะมีความรักที่ทำให้คนเจ็บปวดรวดร้าวใจหรือไม่ กลับไม่มีเบาะแสที่บอกได้แน่ชัด

ดังนั้นช่วงท้ายของรายงานจึงโจมตีกองทัพม้าเหล็กและฮ่องเต้องค์ใหม่ของสกุลซ่งอย่างไม่ยำเกรง บอกว่าพวกเขาเหมือนกินอึแทนข้าว ถึงได้เบิกตามองปล่อยให้สำนักเจินจิ้งเลือกที่ตั้งและลงหลักปักฐานในจุดยุทธศาสตร์อย่างภาคกลางของแจกันสมบัติทวีปได้อย่างราบรื่นเช่นนี้ หากสกุลซ่งต้าหลีกับเจียงซ่างเจินแอบสมคบคิดกัน ก็ต้องบอกว่านอกจากจะกินอึแล้วยังดื่มฉี่ด้วย ทำกิจการยิ่งใหญ่พันปีกับใครไม่ทำ ดันไปทำการค้ากับคนถ่อยที่อันตรายอย่างเจียงซ่างเจินผู้นี้ ไม่เรียกว่าขอหนังเสือจากเสือ (เปรียบเปรยถึงการขอให้คนเลวเสียสละผลประโยชน์ของตัวเอง ย่อมเป็นเรื่องที่ไม่มีทางทำได้) จะเรียกว่าอะไร นี่แสดงให้เห็นว่า ซิ่วหู่แห่งต้าหลีที่หลอกลวงอาจารย์ลบล้างบรรพชนผู้นั้นไม่ได้เก่งกาจสักเท่าไร ต่อให้จะโชคดีชิงเอาคุณความชอบของผู้อื่นมาเป็นของตัวเอง ฮุบกลืนพื้นที่ของหนึ่งแคว้นมาได้ ก็ไม่มีทางปกปักรักษาแผ่นดินเอาไว้ได้ เป็นได้เพียงแค่ดอกราตรีที่บานเพียงชั่วข้ามคืนเท่านั้น

รายงานภูเขาสายน้ำฉบับหนึ่งที่เดิมทีเลือกใช้ถ้อยคำอย่างรอบคอบระมัดระวัง มีหลักฐานมีเหตุผล ถ้อยคำสละสลวยไพเราะ

มีเพียงตอนที่เขียนถึงเจียงซ่างเจินและสำนักเจินจิ้งเท่านั้นที่เริ่มแหกกฎ มีแต่คำสบถด่าหยาบคาย ประหนึ่งหญิงปากร้ายที่เคยเล่าเรียนมาก่อน

อันที่จริงเฉินผิงอันก็ยังสงสัยใคร่รู้ถึงต้นกำเนิดของรายงานภูเขาสายน้ำพวกนี้อยู่มาก

ปีนั้นตอนที่อยู่ทะเลสาบซูเจี่ยน เขารู้แค่ผิวเผินเท่านั้น

หรือหากนานยิ่งกว่านั้นก็เป็นตอนที่อยู่ในพื้นที่มงคลดอกบัว ที่นั่นมีหอจิ้งหย่างแห่งหนึ่งที่มีเมฆหมอกล้อมวน ซึ่งคอยทำหน้าที่เก็บรวบรวมเรื่องวงในในยุทธภพโดยเฉพาะ

เฉินผิงอันกลับเข้ามาในห้องบนเรือข้ามฟาก เขาหยิบสมุดเล่มหนึ่งที่เรือข้ามฟากเป็นผู้เขียนออกมา คือสมุดรวมเล่มที่อธิบายถึงทัศนียภาพระหว่างทาง

หลังจากที่เรือออกเดินทางจากท่าเรือดอกท้อ สถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงแห่งแรกก็คือตระกูลเซียนแห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่บนชายแดนแคว้นสุ่ยเซียว มีชื่อว่านครเหนือเมฆ เนื่องจากโชควาสนามาบรรจบ บรรพบุรุษผู้บุกเบิกภูเขาจึงได้เดินทางไกลไปเยือนหลิวเสียทวีป แล้วได้ทะเลเมฆที่หลอมสำเร็จกึ่งหนึ่งมาจากถ้ำสวรรค์พื้นที่มงคลแห่งหนึ่งที่ปริแตก แรกเริ่มมีอาณาเขตแค่สิบลี้เท่านั้น ภายหลังเมื่อมาเปิดภูเขาตั้งพรรคอยู่ริมชายแดนแคว้นสุ่ยเซียวที่โชคชะตาน้ำค่อนข้างเข้มข้น อีกทั้งยังผ่านการปลุกเสกหล่อหลอมจากบรรพจารย์รุ่นแล้วรุ่นเล่ามาอย่างต่อเนื่อง การดูดซับแก่นเมฆหมอก อีกทั้งยังนำยันต์ลายเมฆมาช่วยเสริมสร้างความมั่นคงให้กับทะเลเมฆ ตอนนี้ทะเลเมฆจึงมีความกว้างถึงสามสิบกว่าลี้แล้ว

เรือข้ามฟากจะมาจอดอยู่ที่นครเหนือเมฆหกชั่วยาม โดยหยุดลอยอยู่ริมนคร

ฟ้ายังไม่ทันสว่าง เรือข้ามฟากก็ค่อยๆ จอดลงช้าๆ

เฉินผิงอันหยุดท่าหมัดที่ผสานสามท่าเป็นหนึ่ง ถอนดวงจิตกลับคืนมาจากสภาวะลี้ลับมหัศจรรย์กึ่งหลับกึ่งตื่นนั้น ตอนที่เดินออกมาจากห้อง เขาสะพายห่อผ้าใบหนึ่งไว้ด้านหลัง

นอกนครเหนือเมฆมีตลาดที่ผู้ฝึกตนอิสระรวมตัวกันหนาแน่นอยู่แห่งหนึ่ง ที่นั่นสามารถนำสิ่งของบนภูเขามาแลกเปลี่ยนกันได้ ล้วนเป็นเพื่อนร่วมอาชีพที่มาตั้งแผงขายของเหมือนกัน

เฉินผิงอันหยิบเอาวัตถุตระกูลเซียนส่วนหนึ่งที่ไม่ค่อยมีค่าออกมาจากในวัตถุจื่อชื่อ ล้วนเป็นของเหลือที่ตอนนั้นไม่ได้ทิ้งไว้ในร้านผีฝูบนถนนเหล่าไหว ระดับขั้นไม่ถือว่าดี แต่ค่อนข้างจะมีน้อยหายาก ‘หน้าตา’ น่ามองชวนให้ชื่นชอบ เหมาะจะขายให้แก่พวกคนหลอกง่ายที่รู้สึกว่ามีทองพันชั่งก็ยากจะหาซื้อได้ แต่การเป็นร้านผ้าห่อบุญครั้งนี้ เขาจะขายยันต์สองสามชนิดที่ไม่เกี่ยวข้องกับ ‘มหัศจรรย์ที่แท้จริงตำราสีชาด’ ด้วย ส่วนใหญ่จะเป็นยันต์ที่มาจากวิชาลับของอาจารย์ค่ายกลหนึ่งในนักฆ่ายอดเขาเกอลู่กลุ่มแรกที่เจอ สามชนิดในนั้นแบ่งออกเป็นยันต์กองสายฟ้าหน่วยสวรรค์ ยันต์มหานทีไหลสะพัดและยันต์ขยุ้มดิน นำมาใช้เข่นฆ่ากับกลุ่มคน ถือว่าพอจะมีพลานุภาพอยู่บ้าง

ก่อนที่ฉีจิ่งหลงจะจากไปได้ถ่ายทอดยันต์ทำลายสิ่งกีดขวางที่เป็นสายรองให้กับเฉินผิงอันอีกสองชนิด ชื่อของพวกมันแบ่งออกเป็น ‘ยันต์ป๋ายเจ๋อนำทาง’ และ ‘ยันต์ปราณกระบี่ข้ามสะพาน’ ล้วนเป็นยันต์ที่เขาเรียนเองมาจากตำราโบราณ ไม่เกี่ยวพันกับความลับของสำนัก ระดับขั้นของยันต์ทั้งสองชนิดนี้ไม่สูง แต่หากคนนอกคิดจะซื้อยันต์แล้วเอาไปเลียนแบบก็อย่าได้หวัง เพราะมีเคล็ดลับในการวาดยันต์เยอะมาก จุดที่จรดพู่กันลงไปค่อนข้างยิบย่อย อีกทั้งยังค่อนข้างแตกต่างจากวัตถุประสงค์ของพรรคยันต์สายหลักหลายสายในปัจจุบันนี้อยู่มาก แล้วก็เพราะฉีจิ่งหลงอธิบายได้อย่างละเอียดชัดเจน ช่วยทวนซ้ำให้กับเฉินผิงอันครั้งแล้วครั้งเล่า เฉินผิงอันถึงเรียนรู้ยันต์สองประเภทนี้ได้สำเร็จ

ดังนั้นเฉินผิงอันจึงรู้สึกว่าฉีจิ่งหลงไม่ไปเป็นอาจารย์สอนหนังสือในสำนักศึกษาก็ช่างน่าเสียดายจริงๆ

ผู้ฝึกยุทธวาดยันต์ได้ครอบครองปราณแท้จริงที่บริสุทธิ์เฮือกหนึ่ง แต่ยันต์นั้นจะไม่อาจดำรงอยู่ได้ยาวนาน ได้แค่เปิดภูเขา แต่ไม่อาจปิดภูเขา ทว่าข้อดีนั้นก็อยู่ที่ว่าไม่จำเป็นต้องเผาผลาญปราณวิญญาณที่อยู่ในช่องโพรงลมปราณของผู้ฝึกตน อีกทั้งเดิมทีการวาดยันต์ก็คือการฝึกตนอีกประเภทหนึ่งที่ไม่ค่อยพบเห็นได้บ่อยนักของผู้ฝึกยุทธ มันสามารถหล่อหลอมปราณแท้จริงเฮือกนั้น เพียงแต่เฉินผิงอันค้นพบว่าหลังจากเลื่อนสู่ขอบเขตสามหลอมลมปราณแล้ว การวาดยันต์ของเขาราบรื่นขึ้นเยอะมากก็จริง ทว่าผลประโยชน์ที่มีต่อร่างกายและจิตวิญญาณกลับน้อยนิดนัก เฉินผิงอันจึงไม่อยากจะสิ้นเปลืองกระดาษยันต์และผงชาดให้มากเกินไป เพราะถึงอย่างไรยันต์แผ่นหนึ่งที่รั้งปราณวิญญาณไว้ไม่อยู่ก็เท่ากับว่าเป็นการเผาผลาญเงินเทพเซียนไปทุกเวลานาที

แล้วนับประสาอะไรกับที่หากเข่นฆ่ากันขึ้นมาจริงๆ ด้วยฝีมือการเขียนยันต์น้อยนิดแค่นั้นของเขาก็ไม่มากพอจะเอามาใช้งานได้จริง เรียกไม่ได้ว่าเป็นการปักบุปผาลงบนผ้าแพรด้วยซ้ำ กลับกลายเป็นว่าจะทำให้พลาดโอกาสในการต่อสู้ไป

ทว่าการวาดยันต์ของผู้ฝึกตนกลับสามารถปิดผนึกภูเขาได้ตั้งแต่กำเนิด ปราณวิญญาณของจิตแห่งยันต์สลายหายไปช้าอย่างยิ่ง ยิ่งนานอานุภาพของยันต์ยิ่งมาก ยิ่งยากที่จะทำลายแก่นของยันต์ เล่าลือกันว่าบรรพจารย์ผู้เฒ่าแห่งจวนเทียนซือภูเขามังกรพยัคฆ์ที่คอยกำจัดปีศาจปราบมารก็มีพื้นที่ต้องห้ามแห่งหนึ่ง ในพื้นที่แห่งนั้นมียันต์แผ่นหนึ่งที่จำเป็นต้องให้เซียนซือใหญ่ของแต่ละรุ่นมาปลุกเสกหนึ่งครั้งในทุกๆ หกสิบปี ในประวัติศาสตร์จวนเทียนซือเคยเกิดคลื่นมรสุมใหญ่เทียมฟ้าอยู่ครั้งหนึ่ง หลังที่เทียนซือผู้เฒ่าบินทะยานไปแล้ว ตัวเลือกคนที่จะมาเป็นเทียนซือคนใหม่กลับไม่อาจกำหนดได้เสียที แล้วนั่นยังเป็นช่วงเวลาสำคัญที่ต้องพับซ้อนยันต์ในระยะหกสิบปีพอดี ทว่าไม่มีเทียนซือคนใหม่ปรากฏตัว ตราประทับเทียนซือไม่อาจนำไปมอบให้กับคนนอกได้เด็ดขาด ด้วยเหตุนี้ยันต์ชิ้นใหม่จึงไม่อาจสร้างขึ้นได้สำเร็จ เป็นเหตุให้ยันต์เก่าแก่โบราณที่มีอายุมากอย่างถึงที่สุดแผ่นนั้นปรากฏช่องโหว่หนึ่งเสี้ยว ปีศาจใหญ่ตัวหนึ่งที่ถูกกำราบมานานหลายปีจนนับไม่ถ้วนได้ถือโอกาสนี้หนีไป แล้วหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย ด้วยเหตุนี้ไม่รู้ว่าเหตุใด เรื่องแรกที่เทียนซือคนใหม่ซึ่งมารับตำแหน่งทำก็คือนำพาเซียนกระบี่และตราประทับอาคมเดินทางไปยังนครจักรพรรดิขาว สุดท้ายก็แยกย้ายกับเจ้านครจักรพรรดิขาวอย่างไม่สบอารมณ์

ยันต์ที่เฉินผิงอันนำมาเร่ขายส่วนใหญ่ล้วนเป็นยันต์ที่วาดขึ้นหลังจากที่สร้างสถานการณ์จวนน้ำศาลภูเขาอิงแอบแนบกันได้สำเร็จ ไม่อย่างนั้นจะเป็นการหลอกลวงคนอื่น แม้จะบอกว่าการค้าขายของร้านผ้าห่อบุญจะต้องอาศัยสายตาที่ได้ทั้งค้าและขาย คล้ายคลึงกับการแลกเปลี่ยนของโบราณในหมู่ชาวบ้านร้านตลาดของโลกมนุษย์ที่การเก็บตกของดีจะต้องมีแววตาดี แต่เฉินผิงอันก็ยังยินดีที่จะรักษาคุณธรรมในยุทธภพเอาไว้

จะให้มีคุณธรรม ก็ต้องจ่ายเงิน

เพราะว่ายันต์พวกนี้จำเป็นต้องให้เฉินผิงอันเผาผลาญปราณวิญญาณในจวนน้ำไปมากพอสมควร แต่ว่ามีได้ก็มีเสีย สิ่งที่เสียไปก็คือการสั่งสมส่วนหนึ่งในบ่อน้ำขนาดเล็กแห่งนั้น ส่วนที่ได้มาก็คือสามารถค่อยๆ ทดลองบุกเบิกเส้นสายรากฐานของการโคจรในฟ้าดินขนาดเล็กอย่างจวนน้ำ สร้างขึ้นเป็นเส้นสายแห่งน้ำเส้นหนึ่งที่ซ่อนตัวอยู่ในหนองบึงทะเลสาบหรือลำคลองแม่น้ำ ดังนั้นพวกเด็กๆ ชุดเขียวจึงไม่มีความเห็นต่างกับเรื่องนี้ กลับกันยังช่วยสนับสนุนการวาดยันต์ของเฉินผิงอันอีกด้วย

บนเส้นทางของการฝึกตน จะมองผลได้ผลเสียอย่างไร ก็คือการถามมรรคาอย่างหนึ่ง

ส่วนความสมดุลระหว่างผลได้และผลเสียก็จำเป็นต้องให้เฉินผิงอันวาดยันต์อย่างต่อเนื่องยาวนาน คอยคลำหาเส้นทางและขัดเกลาตัวเองไปเรื่อยๆ โชคดีที่เหล่าเด็กชุดเขียวในจวนน้ำก็คอยช่วยเอ่ยเตือนเขาด้วย

เฉินผิงอันสวมชุดคลุมอาคมสีดำ ในมือถือไม้เท้าไผ่เขียวเดินออกมาจากห้อง ทอดสายตามองไป

ราชวงศ์โลกมนุษย์ คือบ้านเรือนของมนุษย์ที่อยู่ในจุดลึกของเมฆขาว ตระกูลเซียนบนภูเขา ก็สมกับคำว่าเหนือเมฆขาวมีนครอย่างแท้จริง

นอกนครก็มีเมืองเล็กๆ ที่แสงไฟเรืองรองอยู่อีกแห่งหนึ่ง

นครเหนือเมฆคือสถานที่สำคัญในการฝึกตน กฎและข้อห้ามจึงเข้มงวด น้อยครั้งที่จะอนุญาตให้คนนอกเข้ามา บางทีคงเป็นเพราะน้ำดินของพื้นที่หนึ่งหล่อเลี้ยงคนของพื้นที่หนึ่ง นครเหนือเมฆที่อยู่ในอาณาเขตของแคว้นสุ่ยเซียวจึงเหมือนกับจวนไช่เฉวี่ยที่สร้างชุดคลุมอาคมขึ้นมาเหมือนกัน ชุดคลุมนั้นมีชื่อว่าชุดคลุมเมฆคล้อย เพียงแต่ว่าจำนวนและระดับขั้นอยู่ไกลเกินกว่าจะเทียบกับจวนไช่เฉวี่ยได้ติด ชื่อเสียงไม่โด่งดัง กิจการไม่รุ่งโรจน์ คนซื้อส่วนใหญ่ล้วนเป็นผู้ฝึกตนห้าขอบเขตล่างของภูเขาเล็กๆ ที่ตั้งอยู่ระหว่างทางเลียบลำน้ำใหญ่เส้นนั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกผู้ฝึกตนอิสระที่จะต้องชั่งน้ำหนักถุงเงินของตัวเองก่อนจะซื้อมาหนึ่งชิ้น

แล้วก็คงเป็นเพราะสำนักไม่ได้มีเงินทองไหลมาเทมา ถึงได้เกิดตลาดที่มีร้านผ้าห่อบุญมารวมตัวกันอยู่เนืองแน่นแห่งนั้น

อย่าว่าแต่ร้านที่ไม่มีขาเดินได้เลย แผงลอยที่เดินไปไหนมาไหนได้ก็ยังจำเป็นต้องจ่ายเงินเทพเซียนก้อนหนึ่งให้แก่นครเหนือเมฆ

จุดที่เรือข้ามฟากจอดลอยอยู่ อยู่ห่างจากทะเลเมฆอีกห้าสิบจั้ง ไม่อาจขยับเข้าไปใกล้ได้มากกว่านี้

ไม่อย่างนั้นหากหัวเรือชนเข้ากับทะเลเมฆโดยไม่ทันระวัง หรือหากอยู่ใกล้มากเกินไป เมื่อสายลมพัดโชย ตัวเรือจะสัมผัสเข้ากับทะเลเมฆ การเสียดสีเกิดขึ้น ก็จะสร้างความเสียหายให้แก่รากฐานของนครเหนือเมฆแห่งนี้

ดังนั้นคนที่ลงจากเรือจึงทะยานลมขี่หมอก หรือจะขี่สัตว์วิเศษที่มีปีกก็ได้หมด

หากเป็นผู้ฝึกยุทธเต็มตัวที่ขอบเขตต่ำกว่าร่างทองลงไป ระยะห่างครึ่งร้อยจั้งนี้ ไม่ถือว่าผ่อนคลายเลย

เฉินผิงอันจึงสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง ก้าวถอยหลังไปหลายก้าว จากนั้นก็วิ่งกระโจนไปด้านหน้า กระโดดตัวขึ้นสูง เหยียบลงบนราวระเบียงของหัวเรือ อาศัยแรงส่งนี้บินทะยานออกไป หลังจากพลิ้วกายลงบนพื้นแล้ว ร่างของเขาก็โยกเอียงอยู่สองสามที จากนั้นถึงยืนได้นิ่ง

บนเรือข้ามฟากที่ถือว่าเป็นของตระกูลเซียนใต้อาณัติถ้ำสวรรค์วังมังกรแห่งนี้ ผู้ดูแลหญิงที่โฉมหน้าเหมือนสตรีที่ออกเรือนแล้วแบมือส่งออกไปให้สหายที่ยืนอยู่ด้านข้าง ยิ้มตาหยีเอ่ยว่า “เอามา”

คนทั้งสองเดิมพันกันว่าคนหนุ่มสะพายกระบี่ที่ขึ้นเรือมาจากท่าเรือดอกท้อของจวนไช่เฉวี่ยผู้นี้เป็นผู้ฝึกกระบี่บนภูเขาหรือเป็นมือกระบี่ในยุทธภพกันแน่

สตรีของเรือข้ามฟากเดาว่าเขาคือผู้ฝึกยุทธเต็มตัวที่สะพายกระบี่ออกท่องเที่ยว ส่วนผู้ฝึกตนเฒ่าขอบเขตชมมหาสมุทรกลับเดาว่าคือผู้ฝึกกระบี่หนุ่มที่อำพรางตัวตนอย่างลึกล้ำ

ผู้ฝึกตนเฒ่าส่ายหน้ากล่าวว่า “จะไม่ยอมให้คนผู้นี้จงใจใช้เวทอำพรางตาบ้างเลยหรือ?”

นี่เรียกว่าปากแข็ง เห็นได้ชัดว่าคิดจะชักดาบไม่ยอมจ่ายเงิน

สตรีแต่งงานแล้วหลุดหัวเราะพรืด “ผู้ฝึกกระบี่หนุ่มของทวีปพวกเรา ตัวอ่อนกระบี่คนใดบ้างที่ไม่มีตบะขอบเขตถ้ำสวรรค์ มีมาดของเซียนดิน มีการพูดการจาเหมือนห้าขอบเขตบน? มีใครที่เป็นแบบนี้ด้วยหรือ?”

ผู้ฝึกตนเฒ่าเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง “ฟ้าดินกว้างใหญ่ มีคนที่ยินดีอำพรางตน เก็บซ่อนประกายแหลมคม ฝึกประสบการณ์ด้วยความระมัดระวัง ก็ไม่แปลกหรอกกระมัง”

สตรีผู้ดูแลพูดอย่างขุ่นเคือง “หยุดพูดจาเล่นแง่เสียที เอาเงินมา! หนึ่งเหรียญเงินร้อนน้อย!”

ผู้ฝึกตนเฒ่าทอดถอนใจหนึ่งที ควักเงินเทพเซียนเหรียญหนึ่งออกมาตบลงบนมือของสตรีแต่งงานแล้วหนักๆ จากนั้นก็ทะยานลมมุ่งหน้าไปยังนครเหนือเมฆ ผู้ฝึกตนเฒ่าจะลงเรือที่นี่ เพราะจะต้องซื้อชุดคลุมอาคมเมฆคล้อยที่ระดับขั้นค่อนข้างดีชิ้นหนึ่งให้แก่ลูกศิษย์ผู้สืบทอดของตัวเอง เพราะถึงอย่างไรพวกสตรีของจวนไช่เฉวี่ยก็ทำการค้าอย่างใจดำอำมหิตเกินไป ของเป็นของดีก็จริง แต่ราคาสูงเหลือเกิน ผู้ฝึกตนเฒ่าจึงได้แต่ถอยมาเลือกในลำดับรองเท่านั้น

ในอดีตเขาก็เคยมอบเงินมัดจำก้อนหนึ่งให้กับหอทอผ้าที่สร้างชุดคลุมอาคมของนครเหนือเมฆ เป็นเหตุให้ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบ ลวดลายที่ปักก็ล้วนกำหนดได้เอง และยังสามารถเพิ่มวัตถุดิบวิเศษเข้าไปได้อีกบางส่วน บอกให้ทางนครเหนือเมฆเพิ่มประสิทธิผลบางอย่างให้แก่ชุดคลุมอาคม หลังจากนั้นมาเขาที่เป็นอาจารย์ก็ต้องลงจากภูเขาวิ่งไปนู่นมานี่ หาเงินจากสี่ด้านแปดทิศด้วยความยากลำบาก แล้วก็เก็บออมทีละเล็กทีละน้อยแบบนี้มาได้หลายสิบปี ถึงได้รวบรวมเงินเทพเซียนได้ครบทันช่วงเวลาที่ลูกศิษย์ผู้เป็นที่ภาคภูมิใจของตนจะได้เลื่อนเป็นขอบเขตถ้ำสถิตพอดี การฝึกตนนี่ไม่ง่ายเลยจริงๆ

โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีภูเขาเล็กๆ ลูกหนึ่ง ก็เหมือนต้องกลายมาเป็นเจ้าประมุขของตระกูลที่ต้องคอยหาเงินเลี้ยงปากเลี้ยงท้องคนในครอบครัว ค่าข้าว ค่าน้ำมัน ค่าฟืน ค่าเกลือล้วนชวนให้กลัดกลุ้มทั้งสิ้น

—-

กระบี่จงมา

กระบี่จงมา

Score 10
Status: Completed

อ่านนิยาย กระบี่จงมา 1 – 400 อ่านนิยาย

( อ่านต่อข้างล่าง )


” หนึ่งโลกธาตุขนาดใหญ่ เต็มไปด้วยความลี้ลับมหัศจรรย์  ใจกลางฟ้าดิน เคยมีปัญญาชนผู้หนึ่งใช้หนึ่งกระบี่ฟาดฟันให้เกิดน้ำตกธารสวรรค์ คือความภาคภูมิใจสูงสุดของโลกมนุษย์  หน้าผาทะเลบูรพา มีนักพรตไร้นามผู้หนึ่งที่ไม่ยินดียินร้ายกับสิ่งใด หวังเพียงให้ลมเย็นโชยมาปะทะใบหน้า  แดนสุขาวดีปัจฉิมทิศ มีหลวงจีนเฒ่าที่ชอบเล่าเรื่องราวให้ผู้คนฟัง เลี้ยงมังกรสวรรค์ไว้เก้าตัว พื้นที่กันดารแดนใต้ มีจิตรกรตาบอดควบคุมหุ่นเชิดเกราะทองสูงเท่าเนินเขาให้เคลื่อนย้ายภูเขาใหญ่หนึ่งแสนลูก ปูแผ่เป็นภาพลายปัก
เมื่อวันหนึ่งเด็กหนุ่มยากจนที่เติบโตทางทิศเหนือได้พบกับเซียนที่เหนือศีรษะมีกระบี่บินนับพันนับหมื่นประดุจฝูงตั๊กแตน “

เขาจึงอยากจะไปเห็นปัญญาชนคนนั้น เห็นคลื่นยักษ์ที่โถมตัวเทียมฟ้าของทะเลบูรพา

เห็นทะเลทรายสีเหลืองทองกว้างไกลนับหมื่นลี้ของแดนประจิม

และอยากไปเห็นภูเขาลูกโอฬารของแดนกันดารทางใต้ที่นักเล่านิทานเอ่ยถึงกับตาตัวเอง

ดังนั้น ในที่สุดวันหนึ่ง เด็กหนุ่มจึงสะพายกระบี่ไม้พาดหลัง มุ่งหน้าไปทางทิศใต้

–ข้ามีนามว่าเฉินผิงอัน ผิงอันที่แปลว่าสงบสุข สันติ ข้าคือมือกระบี่คนหนึ่ง–

Options

not work with dark mode
Reset