กระบี่จงมา 538.1 บนเส้นทางของการฝึกตน

ตอนที่ 538.1 บนเส้นทางของการฝึกตน

ตอนที่เดินลงมาจากยอดเขา เฉินผิงอันลังเลอยู่เล็กน้อยก็เอาชุดคลุมอาคมสีดำที่มีชื่อว่าเถาเถี่ยร้อยตาตัวนั้นมาสวม เป็นชุดคลุมอาคมที่เขา ‘เก็บมาได้’ จากบนร่างของหยางหนิงซิ่งแห่งหน่วยฉงเสวียนราชวงศ์ต้าหยวน

ชุดคลุมอาคมจินหลี่สะดุดตาเกินไป ก่อนหน้านี้เปลี่ยนจากชุดเถาเถี่ยมาสวมชุดสีเขียวปกติทั่วไปก็เพราะเกิดจากใจที่ระมัดระวัง ด้วยกังวลว่าตลอดการเดินทางระยะไกลบนเส้นทางลำน้ำใหญ่ประหลาดที่ทั้งหัวและท้ายต่างก็พากันไหลเข้าสู่มหาสมุทรเส้นนี้จะดึงดูดสายตาที่ไม่จำเป็นให้มาจับจ้อง เพียงแต่ว่าเมื่อเรียกกระบี่ออกมาอยู่บนยอดเขาตามฉีจิ่งหลง เฉินผิงอันที่ผ่านการใคร่ครวญมาแล้วก็เปลี่ยนใจอีกครั้ง เพราะถึงอย่างไรตอนนี้ได้เลื่อนขั้นสู่ขอบเขตเส้นเอ็นหลิวขอบเขตที่รั้งคนมากที่สุดแล้ว การสวมชุดคลุมอาคมที่ระดับขั้นไม่ธรรมดาตัวหนึ่งก็สามารถช่วยให้เขาดูดซับปราณวิญญาณฟ้าดินมาได้เร็วขึ้น และนี่ก็มีประโยชน์ต่อการฝึกตน

เมืองลู่จิ่วคือเขตการปกครองแห่งใหญ่ที่มีน้อยจนนับนิ้วได้ของแคว้นฝูฉวี ขนบธรรมเนียมสายบุ๋นเข้มข้น เฉินผิงอันซื้อหนังสือเบ็ดเตล็ดจากร้านขายหนังสือของเมืองมาหลายเล่ม หนึ่งในนั้นยังเป็นตำราฉบับรวมเล่มที่กินฝุ่นอยู่ในร้านหนังสือมานานหลายปี เป็นตำรารวบรวมฎีกาให้กำลังใจเกษตรกรที่แคว้นฝูฉวีแจกจ่ายตอนช่วงต้นของฤดูใบไม้ผลิของเมื่อหลายปีก่อน ค่อนข้างจะมีท่วงทำนองอันงดงามโดดเด่น แต่ขณะเดียวกันภาษาที่ใช้ก็เรียบง่าย ตลอดทางมานี้เฉินผิงอันเปิดตำรารวมเล่มเล่มนี้อ่านอย่างละเอียด ถึงได้พบว่าที่แท้มองดูเหมือนว่าภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นยามฤดูใบไม้ผลิของสามทวีปในทุกปีจะคล้ายคลึงกัน แต่แท้จริงแล้วล้วนมีกฎเกณฑ์อยู่ โอรสสวรรค์ปักต้นกล้าในผืนนาเพือขอให้ได้พืชผลอุดมสมบูรณ์ ขุนนางออกลาดตระเวนตรวจตราพื้นที่ ให้กำลังใจชาวไร่ชาวนา

ข้อดีของการอ่านตำราและเดินทางไกลก็คืออาจจะเจอกับเรื่องบังเอิญบางอย่าง มาเปิดเจอตำราเล่มนี้ก็เหมือนกับว่ามีเหล่าอริยะปราชญ์ในอดีตได้ช่วยคนรุ่นหลังที่พลิกเปิดหนังสือดึงเส้นหนึ่งที่ร้อยเรียงกันขึ้นมา แล้วนำเรื่องราวทางโลกและเรื่องราวของบุคคลมาร้อยเข้าเป็นไข่มุกเส้นหนึ่งที่งดงามละลานตา

เฉินผิงอันไปเยี่ยมชมสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงของเมืองลู่จิ่วมาคร่าวๆ หนึ่งรอบ แล้ววันนั้นก็ไปพักอยู่ในโรงเตี๊ยมเก่าแก่แห่งหนึ่งของเมือง

พอเข้ามาในเมืองลู่จิ่วแล้ว เขาได้จงใจสะกดการดึงดูดปราณวิญญาณของชุดคลุมเอาไว้ ไม่อย่างนั้นจะชักนำเส้นสายตาของคนบางคนมาจากศาลเทพอธิบาลเมือง ศาลบุ๋นบู๊

ในความเป็นจริงแล้ว ผู้ฝึกลมปราณทุกคน โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ฝึกตนที่เลื่อนสู่ห้าขอบเขตกลาง เมื่อมาท่องเที่ยวอยู่ตามภูเขาแม่น้ำและราชวงศ์ของโลกมนุษย์ อันที่จริงก็เหมือนความเคลื่อนไหวของเจียวหลงตัวหนึ่งที่เลื้อยลงน้ำ ไม่ถือว่าเล็ก เพียงแต่ว่าโดยทั่วไปแล้ว การลงเขามาฝึกตน ดึงดูดปราณวิญญาณของแม่น้ำภูเขาในที่ต่างๆ ถือว่าเป็นการกระทำที่สมเหตุสมผล ขอแค่ไม่มากเกินพอดีจนเกิดลางว่าจะเป็นการวิดน้ำให้แห้งขอดเพื่อจับปลา องค์เทพแห่งสายน้ำภูเขาแต่ละแห่งล้วนจะเลือกหลับตาข้างหนึ่งลืมตาข้างหนึ่งเสมอ

ท่ามกลางม่านราตรี เฉินผิงอันจุดไฟตะเกียงบนโต๊ะอยู่ในห้องของโรงเตี๊ยม เขาเปิดตำรารวมเล่มที่บันทึกฎีกาให้กำลังใจเกษตรในอดีตต่ออีกครั้ง พอปิดหนังสือลง จิตวิญญาณก็เริ่มตกอยู่ในภวังค์

เฉินผิงอันไม่ได้อาศัยปราณวิญญาณน้อยนิดที่ชุดคลุมอาคมเถาเถี่ยดึงดูดมาจากในเมืองก็จริง แต่นี่ไม่ได้หมายความว่าเขาไม่ได้ฝึกตน แต่ไหนแต่ไรมาการดึงดูดปราณวิญญาณก็ไม่นับว่าเป็นการฝึกตนไปเสียทั้งหมดอยู่แล้ว ตลอดระยะทางที่เดินทางมานี้ ในฟ้าดินขนาดเล็กร่างคน อย่างเช่นช่องโพรงลมปราณที่สำคัญสองแห่งอย่างจวนน้ำและศาลขุนเขา การตกตะกอนของปราณวิญญาณ และการหล่อหลอมพวกมันก็คือรากฐานของการฝึกตนเช่นกัน น้ำและภูเขาซึ่งเป็นวัตถุแห่งชะตาชีวิตทั้งสองชิ้นเป็นเหมือนสองสถานที่ที่อิงแอบกัน จำเป็นต้องสร้างภาพปรากฎการณ์ที่คล้ายคลึงกับรากภูเขาชะตาน้ำขึ้นมา พูดง่ายๆ ก็คือ ก็เหมือนว่าต้องให้เฉินผิงอันหล่อหลอมปราณวิญญาณ สร้างความมั่นคงให้แก่รากฐานของจวนน้ำและศาลภูเขา เพียงแต่การสะสมปราณวิญญาณของเฉินผิงอันในทุกวันนี้อยู่ไกลเกินกว่าจะถึงขั้นสมบูรณ์พูนล้น ดังนั้นภารกิจเร่งด่วนในเวลานี้ก็คือต้องให้เขาหาสถานที่ฮวงจุ้ยดีงามไร้เจ้าของให้เจอ เพียงแต่ว่านี่ไม่ใช่เรื่องง่าย ดังนั้นจึงสามารถถอยไปเลือกในอันดับรอง นั่นคือปิดด่านสองสามวันอยู่ในโรงเตี๊ยมตระกูลเซียนที่เหมือนโรงเตี๊ยมตรงท่าเรือหัวมังกรแคว้นลวี่อิง

อันที่จริงก็สามารถใช้เงินเทพเซียนที่เดิมทีก็มีปราณวิญญาณซุกซ่อนอยู่ได้ โดยการนำเงินเทพเซียนมาหลอมเอาปราณวิญญาณแล้วรับเข้าไปในช่องโพรงลมปราณโดยตรง

เพียงแต่ว่าตอนนี้แม้แต่ปราณวิญญาณที่มีอยู่ก่อนแล้วเฉินผิงอันก็ยังหลอมไม่สำเร็จ การกระทำเช่นนั้นมีแต่จะได้ไม่คุ้มเสีย ยิ่งขอบเขตต่ำ การดูดดึงปราณวิญญาณก็ยิ่งช้า และปราณวิญญาณของเงินเทพเซียนก็บริสุทธิ์อย่างถึงที่สุด สลายหายไปไวมาก นี่ก็เหมือนกับหลังจากที่ ‘เปิดภูเขา’ ให้กับยันต์ล้ำค่ามากมาย หากไม่สามารถปิดภูเขาได้ ก็ได้แต่ต้องมองดูยันต์ล้ำค่าที่มีมูลค่าควรเมืองชิ้นหนึ่งกลายไปเป็นกระดาษที่ไร้ค่าแผ่นหนึ่งเท่านั้น ต่อให้หลังจากที่เงินเทพเซียนถูกบีบให้แตกเพื่อหล่อหลอมจะสามารถกักไว้บนชุดคลุมอาคมได้ชั่วคราว แต่นี่ก็จะเป็นการขัดต่อเวทอำพรางตาที่ร่ายไว้บนชุดคลุมอาคมอย่างที่มองไม่เห็น กลับกลายเป็นว่ายิ่งเป็นการโอ้อวดตัวเองให้ผู้อื่นเห็น

ผู้ฝึกตนทุกคน แท้จริงแล้วก็คือเทพเทวาในฟ้าดินขนาดเล็กของร่างกายตัวเอง อาศัยความสามารถของตัวเองมาเป็นอริยะในบ้านตัวเอง

กุญแจสำคัญคือยังต้องดูว่าอาณาบริเวณของฟ้าดินแห่งนั้นเล็กหรือใหญ่ รวมไปถึงระดับความสามารถในการควบคุมของ ‘เทพเทวา’ แต่ละท่าน บนเส้นทางการฝึกตน อันที่จริงก็ไม่ต่างจากการบุกเบิกแผ่นดินของกองทัพม้าเหล็กบนสนามรบกองหนึ่ง

ถึงท้ายที่สุดขอบเขตสูงต่ำ มรรคกถามากน้อย ก็ต้องดูที่ว่าสามารถบุกเบิกจวนขึ้นมาได้กี่หลัง บ้านเรือนในโลกมนุษย์มีร้อยพันรูปแบบ อีกทั้งยังมีการแบ่งสูงต่ำ ถ้ำสถิตเองก็เป็นเช่นเดียวกัน ระดับขั้นที่ดีที่สุด แน่นอนว่าต้องเป็นถ้ำสวรรค์พื้นที่มงคล

หลังจากเฉินผิงอันกลั้นหายใจทำสมาธิแล้วก็มาถึงนอกประตูจวนน้ำก่อนเป็นอันดับแรก แค่จิตของเขาขยับเล็กน้อยก็สามารถลอดทะลุผ่านกำแพงไปได้อย่างเป็นธรรมชาติ ราวกับว่าฟ้าดินแห่งนี้ไร้พันธนาการด้านกฎเกณฑ์กับเขา เพราะว่าข้าก็คือกฎเกณฑ์ กฎเกณฑ์ก็คือข้า

แต่เฉินผิงอันก็ยังปักหลักยืนอยู่นอกประตูครู่หนึ่ง และเพียงไม่นานเด็กน้อยชุดเขียวสองคนก็มาเปิดประตูใหญ่ ประสานมือคารวะนายท่านผู้นี้ ใบหน้าของเหล่าเด็กน้อยเต็มไปด้วยความปิติยินดี

ทุกวันนี้จวนน้ำแห่งนี้มีตราประทับอักษรน้ำชิ้นนั้นและภาพวาดฝาผนังโชคชะตาน้ำภาพนั้นแขวนอยู่ ถือเป็นรากฐานหนึ่งใหญ่หนึ่งเล็ก เหล่าเด็กน้อยชุดเขียวที่ในที่สุดก็มีงานให้ทำจึงอารมณ์ดีกันไม่น้อย พวกเขายุ่งกันมาก ไม่ต้องอยู่ว่างๆ เบื่อหน่ายทุกวันอีกแล้ว ในอดีตทุกครั้งที่เห็นเมล็ดงาดวงจิตของเฉินผิงอันมาลาดตระเวนฟ้าดินขนาดเล็กและจวนขนาดเล็กอันเป็นบ้านตัวเอง พวกมันจะชอบนั่งเรียงแถวคุกเข่าอยู่บนพื้นอย่างพร้อมเพรียงกัน แต่ละคนเงยหน้ามองเฉินผิงอันด้วยสายตาตำหนิ โดยที่ไม่เอ่ยคำใด

พวกมันคือคนจิ๋วที่ขยันหมั่นเพียรอย่างมาก ไม่เคยแอบอู้ เพียงแต่ว่ามาเจอกับเจ้านายที่ไม่ตั้งใจฝึกตนอย่างเฉินผิงอัน ก็สมกับคำว่าสตรีมีฝีมือเพียงใด ไม่มีวัตถุดิบก็ทำอาหารอร่อยออกมาไม่ได้ แล้วแบบนี้จะไม่ให้พวกมันเสียใจได้อย่างไร?

ทว่าตอนนี้เหตุการณ์กลับพลิกตาลปัตรจากเดิมไปอย่างสิ้นเชิง ทุกหนทุกแห่งในจวนน้ำล้วนมีแต่ความคึกคัก เจ้าตัวน้อยแต่ละคนวิ่งตะบึงกันไม่หยุด ท่าทางลิงโลดเบิกบาน ทำงานไม่หยุดหย่อนโดยไร้คำบ่น มีความสุขอยู่กับการทำงานพวกนี้

นับตั้งแต่วักน้ำหนึ่งกอบมือมาจากใน ‘บ่อน้ำขนาดเล็ก’ แห่งหนึ่งที่แคบเหมือนปากบ่อน้ำ จนกระทั่งบุกไปโจมตีทะเลสาบชางอวิ๋น เฉินผิงอันได้รับผลประโยชน์มหาศาล นอกจากจะได้โชคชะตาน้ำที่แก่นของมันเข้มข้นอย่างถึงที่สุดมาหลายขุมแล้ว ยังได้โอสถวารีขวดหนึ่งมาจากมือของเจ้าแห่งทะเลสาบชางอวิ๋น เด็กจิ๋วชุดเขียวในจวนน้ำแบ่งออกเป็นสองกลุ่ม กลุ่มหนึ่งร่ายใช้วิชาอภินิหารแห่งชะตาชีวิตนำโชคชะตาน้ำสีเขียวเข้มแต่ละกลุ่มส่งไปยังตราประทับอักษรน้ำที่หมุนช้าๆ ชิ้นนั้นอย่างต่อเนื่อง

ส่วนเด็กน้อยอีกกลุ่มหนึ่งก็จะถือพู่กันด้ามเล็กที่ไม่รู้ว่าเสกมาจากไหน แล้วทำการ ‘แต้มหมึก’ จากในบ่อน้ำ จากนั้นก็จะวิ่งไปยังภาพวาดฝาผนัง ตวัดพู่กันวาดลงบนภาพชะตาน้ำบนผนังที่เป็นเพียงภาพเค้าโครงขาวดำ แต่งเติมสีสันให้กับมัน บนผนังขนาดใหญ่ยักษ์มีเทพวารีตัวเล็กเท่าเมล็ดข้าวสารหลายองค์และศาลที่ขนาดค่อนข้างใหญ่หลายแห่งถูกวาดขึ้นมาแล้ว เฉินผิงอันมองออกว่าล้วนเป็นพวกศาลเทพวารีน้อยใหญ่ที่ตนเคยเดินทางท่องเที่ยวผ่านมา หนึ่งในนั้นก็คือจวนปี้โหยวของเจ้าแม่เทพวารีลำคลองหมายเหอแห่งใบถงทวีป เพียงแต่ว่าตอนนี้น่าจะต้องเรียกอย่างให้ความเคารพว่าตำหนักปี้โหยวแล้ว

ทว่าองค์เทพวารีเหล่านั้นยังไม่ถูกแต้มนัยน์ตา ในศาลเทพวารีก็ยิ่งไม่มีภาพแห่งความมีชีวิตชีวาที่ควันธูปลอยโชยกรุ่น ยังคงไร้ชีวิตอยู่เหมือนเดิม ไม่ได้ดูมีชีวิตสมจริงเหมือนภาพวาดบนฝาผนังของลำคลองที่ไหลเชี่ยวกรากสายนั้น

เฉินผิงอันยืนอยู่ข้างบ่อน้ำขนาดเล็ก ก้มหน้าเพ่งสายตามองไป เจียวหลงโชคชะตาน้ำของทะเลสาบชางอวิ๋นที่ถูกพวกเด็กชุดเขียวแบกเข้ามาข้างในกำลังแหวกว่ายช้าๆ อีกทั้งยังถูกพวกเด็กจิ๋วชุดเขียว ‘ซ้อม’ จนกลายเป็นโชคชะตาน้ำ นอกจากนี้ก็ยังมีภาพเหตุการณ์ผิดปกติอีกหนึ่งอย่าง นั่นคือเม็ดโอสถขวดที่อินโหวเจ้าแห่งทะเลสาบชางอวิ๋นมอบให้ ไม่รู้ว่าพวกเด็กจิ๋วชุดเขียวทำอย่างไรถึงหล่อหลอมพวกมันจนมีลักษณะคล้ายไข่มุกขนาดเล็กมหัศจรรย์สีเขียวมรกตที่มีชื่อว่า ‘หลีจู’ ไม่ว่าเจียวหลงน้อยที่อยู่ในบ่อจะว่ายไปทางไหน ไข่มุกเม็ดนั้นก็จะลอยห้อยอยู่ข้างปากมันตลอดเวลา ประหนึ่งมังกรคาบไข่มุกที่ท่องเที่ยวไปตามแม่น้ำทะเลสาบ ช่วยโปรยพิรุณ

เฉินผิงอันคิดว่าจะไปดูทางศาลภูเขาสักหน่อย พวกเด็กจิ๋วชุดเขียวหลายคนหันหน้ามายิ้มให้เขา ชูกำปั้นเล็กๆ ขึ้น คงจะบอกให้เขามานะตั้งใจมากกว่านี้กระมัง?

เฉินผิงอันรู้สึกจนใจเล็กน้อย วัตถุที่มีโชคชะตาน้ำ ยิ่งหล่อหลอมให้เหมือนหยกเขียวใสแวววาวเท่าไรก็ยิ่งเป็นรากฐานมหามรรคาของเทพวารีในโลกมากเท่านั้น ไหนเลยจะหาได้ง่ายปานนั้น ยิ่งไม่ใช่สิ่งที่ใช้เงินเทพเซียนซื้อหามาได้ ลองคิดตามดู มีคนยินดีจ่ายเงินฝนธัญพืชหนึ่งร้อยเหรียญซื้อหินรากฐานภูเขาของศาลภูเขาแห่งนั้น ต่อให้เฉินผิงอันจะรู้ว่าเป็นการค้าขายที่ได้กำไร แต่เขาจะยินดีขายจริงๆ หรือ? นั่นก็เป็นแค่การค้าขายบนกระดาษเท่านั้น แต่ไหนแต่ไรมาการฝึกตนบนมหามรรคาก็ไม่ควรคิดคำนวณบัญชีกันเช่นนี้

—-

กระบี่จงมา

กระบี่จงมา

Score 10
Status: Completed

อ่านนิยาย กระบี่จงมา 1 – 400 อ่านนิยาย

( อ่านต่อข้างล่าง )


” หนึ่งโลกธาตุขนาดใหญ่ เต็มไปด้วยความลี้ลับมหัศจรรย์  ใจกลางฟ้าดิน เคยมีปัญญาชนผู้หนึ่งใช้หนึ่งกระบี่ฟาดฟันให้เกิดน้ำตกธารสวรรค์ คือความภาคภูมิใจสูงสุดของโลกมนุษย์  หน้าผาทะเลบูรพา มีนักพรตไร้นามผู้หนึ่งที่ไม่ยินดียินร้ายกับสิ่งใด หวังเพียงให้ลมเย็นโชยมาปะทะใบหน้า  แดนสุขาวดีปัจฉิมทิศ มีหลวงจีนเฒ่าที่ชอบเล่าเรื่องราวให้ผู้คนฟัง เลี้ยงมังกรสวรรค์ไว้เก้าตัว พื้นที่กันดารแดนใต้ มีจิตรกรตาบอดควบคุมหุ่นเชิดเกราะทองสูงเท่าเนินเขาให้เคลื่อนย้ายภูเขาใหญ่หนึ่งแสนลูก ปูแผ่เป็นภาพลายปัก
เมื่อวันหนึ่งเด็กหนุ่มยากจนที่เติบโตทางทิศเหนือได้พบกับเซียนที่เหนือศีรษะมีกระบี่บินนับพันนับหมื่นประดุจฝูงตั๊กแตน “

เขาจึงอยากจะไปเห็นปัญญาชนคนนั้น เห็นคลื่นยักษ์ที่โถมตัวเทียมฟ้าของทะเลบูรพา

เห็นทะเลทรายสีเหลืองทองกว้างไกลนับหมื่นลี้ของแดนประจิม

และอยากไปเห็นภูเขาลูกโอฬารของแดนกันดารทางใต้ที่นักเล่านิทานเอ่ยถึงกับตาตัวเอง

ดังนั้น ในที่สุดวันหนึ่ง เด็กหนุ่มจึงสะพายกระบี่ไม้พาดหลัง มุ่งหน้าไปทางทิศใต้

–ข้ามีนามว่าเฉินผิงอัน ผิงอันที่แปลว่าสงบสุข สันติ ข้าคือมือกระบี่คนหนึ่ง–

Options

not work with dark mode
Reset