กระบี่จงมา 533.1 มาดองอาจในการออกหมัดของผู้ฝึกยุทธขอบเขตสิบ

ตอนที่ 533.1 มาดองอาจในการออกหมัดของผู้ฝึกยุทธขอบเขตสิบ

เฉินผิงอันพลันลืมตาโพลง ขมวดคิ้วมุ่น เกือบจะหลุดด่าพ่อล่อแม่ออกไปแล้ว

ตอนนี้เป็นช่วงกลางดึกแล้ว ดวงจันทร์ลอยสูงอยู่กลางนภา

การนอนครั้งนี้หลับสนิทไปหน่อย

อีกอย่างหากเจ็บจนถึงขั้นที่ทำให้เฉินผิงอันอยากด่าแม่เช่นนี้ ก็น่าจะเจ็บมากจริงๆ

เลือดสดทั้งร่างหยุดไหลแล้ว ดินในหลุมใหญ่เกาะตัวเป็นโคลนเหนียว เพียงแค่ขยับตัวเล็กน้อยก็เจ็บปวดปานจะขาดใจ

แต่เฉินผิงอันก็ยังสูดลมหายใจเข้าลึก พอจะทำความเข้าใจกับสภาพร่างกายและจิตใจของตัวเองได้คร่าวๆ ก็พลันลุกพรวดขึ้นนั่ง

รอบด้านไม่มีอะไรผิดปกติ

ผู้ฝึกยุทธเต็มตัวที่อย่างน้อยที่สุดก็เป็นขอบเขตยอดเขาผู้นั้น เหตุใดถึงได้ลงมือ แต่กลับไม่ได้ฆ่าคน เฉินผิงอันคิดอย่างไรก็ไม่เข้าใจ

หรือว่าเป็นเพราะขนบธรรมเนียมของอุตรกุรุทวีป แค่รู้สึกขวางหูขวางตาท่าเดินนิ่งของตน ก็เลยปล่อยหมัดใส่เสียอย่างนั้น?

ริมขอบของหลุมใหญ่มีเสียงหนึ่งดังขึ้น “หลับเต็มอิ่มแล้วรึ?”

เฉินผิงอันเพียงแค่ลุกขึ้นยืนช้าๆ

แม้แต่ท่าหมัดก็ยังไม่ได้ตั้ง แต่ปณิธานหมัดบนร่างกลับยิ่งบริสุทธิ์และเก็บรวบไว้ภายใน

ตรงริมขอบของหลุมใหญ่มีคนสวมชุดยาวสีเขียวสวมรองเท้าผ้าปรากฏตัว ก็คือผู้ฝึกยุทธเฒ่าคนนั้น

อู๋เฝิงเจี่ย ผู้ดูแลเฒ่าที่อำพรางตัวตนปิดบังชื่อแซ่อยู่ในหมู่บ้านภูเขาส่าส่าวมานานหลายปี บางทีหากไม่พูดถึงหลี่เอ้อร์ที่จู่ๆ ก็ลุกผงาดขึ้นมาบนโลก เขาก็คือหนึ่งในสามผู้ฝึกยุทธขอบเขตสิบประจำท้องถิ่นของอุตรกุรุทวีป กู้โย่วแห่งราชวงศ์ต้าจ้วน

เหตุใดหลายๆ แคว้นโดยรอบซึ่งรวมถึงราชวงศ์ต้าจ้วนเองด้วยถึงมีเพียงตำหนักเกล็ดทองที่มีแค่ก่อกำเนิดอ่อนแอคนหนึ่งเฝ้าพิทักษ์โดดเด่นอยู่สำนักเดียว? และเหตุใดตำหนักเกล็ดทองถึงได้อ่อนด้อยจนถึงขั้นที่ว่าถูกหรงช่างแห่งทะเลสาบกระบี่ฝูผิงมองเป็นภูเขาสวะที่ไม่เคยแม้แต่จะได้ยินชื่อ?

ก็เพราะผู้ฝึกยุทธอย่างกู้โย่วใช้สองหมัดต่อยให้เทพเซียนบนภูเขาของหลายสิบแคว้นแตกฮือ ถูกคนผู้นี้ขับไล่ออกไปจากขอบเขตแทบทุกคน

กู้โย่วเคยเอ่ยว่า ฟ้าดินกว้างใหญ่ เทพเซียนไสหัวไป

เอ่ยถ้อยคำห้าวเหิมก็จำเป็นต้องมีวีรกรรมยิ่งใหญ่ ถึงจะเรียกว่าเป็นวีรบุรุษที่แท้จริง

ผู้เฒ่ายิ้มกล่าว “ปณิธานหมัดบนร่างของเจ้านับว่ายังพอใช้ได้ ฝึกท่าเดินนิ่งหกก้าวมาเกินล้านครั้งแล้วกระมัง?”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “เกือบจะหนึ่งล้านหกแสนหมัดแล้ว”

ผู้เฒ่าเอ่ยถาม “มีชาติกำเนิดมาจากครอบครัวตระกูลเล็ก ตอนอายุน้อยได้ตำราวิชาหมัดผุๆ เล่มหนึ่งมา ก็เลยเห็นเป็นสมบัติล้ำค่า ฝึกมันมาตั้งแต่เด็ก?”

เห็นเพียงส่วนน้อยก็อนุมานไปได้ไกล

ลูกหลานตระกูลชนชั้นสูงคนใดก็ตามบนโลกไม่มีทางฝึกเรียนวิชาหมัดเขย่าขุนเขาอย่างแน่นอน

ดังนั้นชาติกำเนิดของคนหนุ่มผู้นี้ต้องไม่ค่อยดีเท่าไรเป็นแน่

เฉินผิงอันส่ายหน้า “เพิ่งจะฝึกวิชาหมัดตอนอายุประมาณสิบสี่ปี”

ผู้เฒ่ารู้สึกปลื้มใจเล็กน้อย “เรื่องอื่นๆ ล้วนไม่ยาก เพราะการออกหมัดก็คือการฝึกฝนอย่างเอาเป็นเอาตาย ขอแค่มีความมานะยืนหยัดสักหน่อย ล้านหมัดก็ล้วนสามารถทำสำเร็จได้ ความยากเพียงหนึ่งเดียวก็คือยืนหยัดฝึกท่าเดินนิ่งนี้อยู่ตลอดเวลา”

เฉินผิงอันมึนงงสับสนมาตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้

แต่ผู้เฒ่าไม่มีจิตคิดสังหารตนอย่างแน่นอน และในความเป็นจริงแล้วพอกินหมัดของผู้เฒ่าเข้าไป เขาก็ได้รับผลประโยชน์มหาศาลอย่างที่ไม่อาจจินตนาการได้

ถึงขั้นที่ว่าไม่ได้อยู่ที่ร่างกายหรือจิตวิญญาณ แต่อยู่ที่ปณิธานหมัด อยู่ที่ใจคน

บัดนี้เฉินผิงอันกุมหมัดเบาๆ แล้วก็คลายออกเบาๆ รู้สึกว่าคำว่าแข็งแกร่งที่สุดของขอบเขตหกเป็นของในกระเป๋าของตัวเองแล้ว สำหรับเฉินผิงอันแล้ว นี่ไม่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้นได้บ่อยนัก

ผู้เฒ่าเอ่ย “ข้าชื่อกู้โย่ว”

เฉินผิงอันกระจ่างแจ้งอยู่ในใจทันใด รากฐานวิชาหมัดของตนมาจากตำราวิชาหมัดที่กู้ช่านแห่งตรอกหนีผิงมอบให้ตนในปีนั้น ดังนั้นเขาจึงถามไปตามตรงว่า “วิชาหมัดเขย่าขุนเขาเล่มนั้น?”

ผู้เฒ่าพยักหน้ารับ “น่าจะเป็นลูกหลานตระกูลกู้ของข้าที่กระจายกันไปสี่ทิศแล้วพกพาไปยังบ้านเกิดของเจ้า ในอดีตเจอกับหายนะใหญ่ครั้งนั้น ตระกูลที่เดิมทีก็ไม่ใหญ่อยู่แล้วจึงแตกแยกกระจัดกระจาย ดั่งนกกาแตกฮือบินหนีหาย”

ผู้เฒ่าเอ่ยอย่างปลงอนิจจัง “พออายุยืนยาวก็ยากที่จะเกิดใจพะวงห่วงหาคนในครอบครัวได้มากเกินไป ลูกหลานย่อมมีโชคของลูกหลาน ไม่อย่างนั้นจะยังทำอย่างไรได้อีก? ตาไม่เห็นก็สบายใจ เพราะไม่อย่างนั้นอาจต้องโมโหจนตายทั้งเป็นก็ได้”

เฉินผิงอันกุมหมัดกล่าว “เฉินผิงอันแห่งแจกันสมบัติทวีปคารวะผู้อาวุโสกู้”

กู้โย่วยิ้มกล่าว “ให้ผู้ฝึกยุทธขอบเขตสิบคนหนึ่งคุ้มกันเจ้านอนหลับอยู่เป็นครึ่งๆ วัน เจ้านี่ก็มีหน้ามีตาไม่น้อย”

เฉินผิงอันยิ้มกว้าง

กู้โย่วกวักมือ “จะเดินไปกับเจ้าสักช่วงระยะทางหนึ่ง ข้ายังมีธุระให้ต้องไปทำ ไม่มีเวลามามัวพูดคุยกับเจ้ามากนัก”

เฉินผิงอันเดินโซเซขึ้นเนินไป แล้วจึงไปเดินเคียงไหล่อยู่กับผู้ฝึกยุทธขอบเขตปลายทางท่านนั้น

กู้โย่วเอ่ย “ได้เป็นผู้ฝึกยุทธที่แข็งแกร่งที่สุดมากี่ครั้ง?”

เฉินผิงอันกล่าว “สองครั้ง แบ่งเป็นตอนขอบเขตสามกับขอบเขตห้า”

กู้โย่วส่ายหน้า “ถ้าพูดเช่นนี้ก็ห่างชั้นจากเฉาสือคนวัยเดียวกันที่อยู่ในแผ่นดินกลางมากนัก ไอ้หมอนี่แข็งแกร่งในทุกๆ ครั้ง ไม่เพียงเท่านี้ ยังแข็งแกร่งที่สุดอย่างที่ไม่เคยมีใครทำได้มาก่อนอีกด้วย”

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไป จะดีจะชั่วประมาณขอบเขตเก้าขอบเขตสิบก็ยังพอจะมีโอกาส”

กู้โย่วหันหน้ามามองอย่างกังขา “คนที่สอนวิชาหมัดให้เจ้าคือชุยเฉิงแห่งแจกันสมบัติทวีป? ไม่อย่างนั้นเด็กอย่างเจ้า เดิมทีก็ไม่ควรจะมีนิสัยใจคอเช่นนี้”

เฉินผิงอันลังเลเล็กน้อย แต่ก็ยังพยักหน้ารับ

กู้โย่วกล่าวอย่างคนที่กระจ่างแจ้งในฉับพลัน “มิน่าเล่า แต่หลายปีก่อนเจ้าเองก็คงเจอกับความยากลำบากมาไม่น้อยกระมัง? ก็จริง หากไม่ผ่านความทรมานเช่นนั้นมาก่อน ย่อมไม่มีทางเดินมาถึงวันนี้แน่”

กู้โย่วพลันถามว่า “ชุยเฉิงให้คำวิจารณ์ตำราหมัดเขย่าขุนเขาอย่างไร?”

เฉินผิงอันกล้าพูดแค่ครึ่งเดียว เขาเอ่ยเนิบช้าว่า “วัตถุประสงค์ของปณิธานหมัดสูงส่งอย่างถึงที่สุด”

ผู้เฒ่าชุยบนเรือนไม้ไผ่ไม่ได้อยู่ที่นี่เสียหน่อย ไม่มีเหตุผลให้ตนช่วยรับหมัดแทนเขาอย่างเปล่าประโยชน์

ผู้ฝึกยุทธขอบเขตปลายทาง ต่อให้ออกหมัดด้วยการสยบขอบเขตไว้ที่ขอบเขตยอดเขา สำหรับผู้ฝึกยุทธขอบเขตหกตัวเล็กๆ อย่างเขาแล้ว ก็ยังหนักหนารุนแรงอย่างถึงที่สุดอยู่ดีไม่ใช่หรือ?

กู้โย่วอืมรับหนึ่งที “ไม่เสียแรงที่เป็นผู้อาวุโสชุย สายตาดีอย่างถึงที่สุด”

ชุยเฉิงแห่งแจกันสมบัติทวีปเคยบุกเดี่ยวไปท่องเที่ยวทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางเพียงลำพัง แม้จะได้ยินมาว่ามีจุดจบอเนจอนาถอย่างมาก แต่ต่อให้เป็นผู้ฝึกยุทธต่างทวีประดับสูงอย่างกู้โย่ว ในสายตาของเขาก็ยังเห็นว่าอีกฝ่ายคือวีรบุรุษที่แท้จริงอยู่ดี

ยังไม่ต้องพูดถึงว่าวิชาหมัดของสองฝ่ายสูงหรือต่ำ ในเมื่อไม่เคยต่อสู้กันมาก่อน กู้โย่วก็ไม่มีความเคารพชื่นชมใดๆ ในตัวอีกฝ่าย แต่นอกจากนี้ หากพูดกันแค่อายุและการกระทำ จะให้เรียกชุยเฉิงว่าผู้อาวุโสชุยสักคำ ก็ไม่มีปัญหาใดๆ

แน่นอนว่าหากไม่เป็นเพราะคำวิจารณ์สองคำว่า ‘สูงส่งอย่างถึงที่สุด’ กู้โย่วก็คงไม่มีทางเปลี่ยนไปเรียกอีกฝ่ายว่าผู้อาวุโส

เฉินผิงอันทำท่าจะพูดแต่ก็หยุดไป

กู้โย่วจึงเอ่ยว่า “พูดมาเถอะ”

เฉินผิงอันถามว่า “ผู้อาวุโสกู้กับเซียนกระบี่จีแห่งภูเขาวานรคำรามเป็นศัตรูคู่อาฆาตกันหรือ?”

กู้โย่วเอ่ย “ศัตรูคู่อาฆาต ศัตรูแบบที่ทั้งสองฝ่ายต้องมีใครคนใดคนหนึ่งตาย”

เฉินผิงอันจึงไม่เอ่ยอะไรอีก

เรื่องราวทางโลกซับซ้อน

ซับซ้อนตรงที่ว่าคนเลวฆ่าคนดี คนดีฆ่าคนเลว คนเลวก็ฆ่าคนเลว

นอกจากนี้ คนดีก็ยังฆ่าคนดีด้วยกัน

เรื่องหลายอย่างไม่เกี่ยวพันกับความถูกผิด หากไม่รู้เรื่องราวที่แท้จริงแล้ววิจารณ์ส่งเดช หรือไม่ก็ให้คำชี้แนะ อันที่จริงไม่ได้มีปัญหามากนัก แต่อย่าได้ตัดสินโดยเด็ดขาดว่าใครถูกใครผิด ใครดีใครเลว

กู้โย่วหัวเราะแล้วเอ่ยว่า “เจ้าคงจะแค่เคยได้ยินเรื่องเหตุการณ์ประหลาดที่เกิดขึ้นในเมืองหลวงราชวงศ์ต้าจ้วน บอกว่าเจียวยักษ์ของแม่น้ำอวี้ซีเหมือนจะเสียสติคิดจะทำให้น้ำท่วมกลบทับเมืองหลวง เพื่อสร้างวังมังกรอะไรขึ้นมากระมัง แต่ข้ารู้ชัดเจนดีว่า เป็นจีเยว่ที่กำลังใช้แผนโจ่งแจ้งบีบให้ข้าเผยตัว ข้าไปก็ได้ เพราะในความเป็นจริงแล้ว เขาไม่ตามหาตัวข้ากู้โย่ว ข้าก็ต้องตามหาเขาจีเยว่อยู่ดี เฮอๆ ผู้ฝึกกระบี่บนภูเขาที่ในอดีตเคยเกือบแลกชีวิตกับข้า ร้ายกาจมากไหม?”

กู้โย่วหยุดชะงักไปครู่หนึ่ง แล้วก็พูดพึมพำกับตัวเองว่า “แน่นอนว่าต้องร้ายกาจมาก ดังนั้นปีนั้นข้าถึงได้รับบาดเจ็บไปถึงรากฐานเรือนกายและจิตวิญญาณ หลบซ่อนตัวมานานหลายปีขนาดนี้ จะว่าไปแล้วก็ยังเป็นเพราะวิชาหมัดของตัวเองไม่สูงมากพอ สามขอบเขตสำคัญของขอบเขตปลายทางอย่างปราณโชติช่วง คืนความจริง เทพมาเยือน ตอนที่ข้าอยู่ต่ำกว่าขอบเขตสิบ ทุกก้าวที่เดินมาล้วนไม่เลว แต่พอเลื่อนสู่ขอบเขตปลายทาง ถึงท้ายที่สุดแล้วก็ยังอดใจไม่ไหว คาดหวังมากเกินไปว่าจะชิงเข้าไปในขอบเขตในตำนานนั้นให้ได้ก่อนใคร ไอ้หนู เจ้าจงจำเอาไว้ว่า มีชีวิตอยู่ในยุคเดียวกับคนวัยเดียวกันอย่างเฉาสือ คือเรื่องที่ทำให้คนรู้สึกสิ้นหวัง แต่ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ปกติมาก ทว่าแท้จริงแล้วกลับเป็นเรื่องดีที่ใหญ่เทียมฟ้าเรื่องหนึ่ง หากมีโอกาสก็สามารถประมือกับเขาได้ แน่นอนว่าก่อนจะเป็นเช่นนั้นต้องไม่ถูกเขาต่อยตายด้วยสองสามหมัด หรือไม่ก็ถูกทำลายความมั่นใจทิ้งเสียก่อน ผู้ฝึกยุทธ หากความมั่นใจดิ่งลงเหว ทุกเรื่องก็ไม่ต้องหวังแล้ว ข้อนี้เจ้าต้องจำให้แม่น”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “แน่นอน”

กู้โย่วพูดเหมือนชวนคุย “ในเมื่อกลัวตาย แต่ทำไมถึงมาเรียนหมัด?”

นี่เป็นคำถามที่ประหลาดมาก

กลัวตายถึงได้เรียนหมัด น่าจะเป็นเหตุผลที่ถูกต้องมากกว่า

เฉินผิงอันตอบ “ไม่ใช่ว่ากลัวตายจริงๆ แต่เป็นเพราะไม่อาจตายได้ ถึงได้กลัวตาย ฟังดูเหมือนกัน แต่อันที่จริงกลับไม่เหมือน”

กู้โย่วนิ่งคิดไปครู่หนึ่ง “มีเหตุผลมาก”

ในความเป็นจริงแล้ว นี่ก็คือจุดที่ทำให้กู้โย่วรู้สึกว่าแปลกประหลาดยากจะเข้าใจมากที่สุด

ตอนที่ผู้ฝึกยุทธหนุ่มรู้ว่าตัวเองต้องตายอย่างแน่นอน โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่เขาสามารถพูดได้ว่า ‘ตายไปแล้ว’ นั้น กลับกลายเป็นว่านั่นคือช่วงเวลาที่ปณิธานหมัดของเขาโชติช่วงมากที่สุด

นี่ไม่ใช่แค่การ  ‘กลัวตาย’ แบบปกติทั่วไปแล้ว

ดังนั้นกู้โย่วมั่นใจมากเลยว่า หากคนหนุ่มผู้นี้ตายไป แล้วตนปลดปล่อยดวงวิญญาณของเขาไป

ถ้าอย่างนั้นฟ้าดินแห่งนี้ก็จะมีผีวัตถุหยินที่แข็งแกร่งอย่างถึงที่สุดปรากฏขึ้นทันที ไม่เพียงแต่ไม่ถูกพายุลมกรดพัดพาให้สลายหายไป กลับยังเท่ากับว่าเป็นการแสวงหาการมีชีวิตรอดท่ามกลางความตายด้วย

รักตัวกลัวตายจนเกินจริงถึงขั้นนี้ คนหนุ่มจะต้องมีห่วงมากแค่ไหนกัน?

แต่คำพูดเหล่านี้ พูดมากไปก็ไร้ประโยชน์

เขาปรากฎตัวครั้งนี้ก็เพื่อต้องการให้ผู้ฝึกยุทธหนุ่มที่เคยเดินทางผ่านเมืองเล็กของหมู่บ้านภูเขาส่าส่าวคนนี้

ได้เคยผ่านประสบการณ์ความเป็นความตายอย่างแท้จริงมาก่อน เพราะนั่นถึงจะสามารถทำให้ปณิธานหมัดที่อยู่ใกล้กับคอขวดของเขาบริสุทธิ์ยิ่งกว่าเดิม

กู้โย่วพูดด้วยความหวังดีว่า “พอไปถึงทางทิศเหนือแล้ว เจ้าต้องระวังตัวสักหน่อย ไม่พูดถึงเจ้าเฒ่าประหลาดทางเหนือผู้นั้น ยังมีผู้ฝึกยุทธขอบเขตยอดเขาอีกคน ต่างก็ไม่ใช่คนดีอะไร มักจะฆ่าคนตามใจชอบเสมอ อีกทั้งเจ้ายังเป็นคนต่างถิ่น พอตายไปยังต้องทิ้งโชคชะตาบู๊ไว้ในอุตรกุรุทวีป หากพวกเขาคิดจะฆ่าเจ้าก็เป็นเรื่องง่ายๆ แค่ไม่กี่หมัดเท่านั้น หากเจ้าไม่เรียนรู้วิชาหลบหนีชั้นยอดอย่างจวนตัว ไม่อย่างนั้นก็ห้ามเปิดเผยขอบเขตวิถีวรยุทธที่แท้จริงของตนออกมาง่ายๆ ช่วยไม่ได้ คนดีคนเลวล้วนไม่เคยหยุดยั้งการฝึกตนเดินขึ้นเขา ผู้ฝึกยุทธเป็นเช่นนี้ ผู้ฝึกตนก็ยิ่งเป็นเช่นนี้ ฝ่ายหนึ่งแสวงหาปณิธานหมัดที่บริสุทธิ์ อีกฝ่ายหนึ่งแสวงหาความแท้จริงของจิตแห่งเต๋า พันธนาการของกฎเกณฑ์ แน่นอนว่ายังต้องมี แต่ผู้ฝึกตนทุกคนที่เดินไปบนตำแหน่งสูง มีใครบ้างที่เป็นคนโง่ พวกเขาล้วนเชี่ยวชาญการหลีกเลี่ยงกฎเกณฑ์ทั้งนั้น”

เฉินผิงอันถอนหายใจ “ข้าจะระวังแล้วระวังอีก”

กู้โย่วหยุดเดิน มองไปยังทิศไกล “ดีใจมากที่หมัดเขย่าขุนเขาถูกเจ้ารับเอาไปเรียน อีกทั้งยังมีหวังว่าจะนำพาความรุ่งโรจน์มาให้ บอกตามตรง ต่อให้ข้าจะเป็นคนเขียนวิชาหมัดนี้เอง แต่ก็ต้องเอ่ยประโยคหนึ่งว่า วิชาหมัดเล่มนี้ไม่ได้ร้ายกาจอะไรเลยจริงๆ มากสุดก็มีความหมายเพียงแค่นั้นเอง”

เฉินผิงอันพูดเสียงทุ้มหนัก “ผู้อาวุโสกู้ ข้ารู้สึกจากใจจริงว่าวิชาหมัดเขย่าขุนเขามีความหมายยิ่งใหญ่อย่างถึงที่สุด!”

ต่อให้ปีนั้นที่เผชิญหน้ากับชุยเฉิงอยู่บนเรือนชั้นสองของภูเขาลั่วพั่ว เฉินผิงอันก็ยังเคารพเลื่อมใสวิชาหมัดที่อยู่เคียงข้างเขามาวิชานี้มากอยู่ดี

กู้โย่วหันหน้ามามอง ยิ้มกล่าวว่า “ต่อให้เจ้าพูดจาน่าฟังเช่นนี้ ข้าที่เป็นผู้ฝึกยุทธคนหนึ่งก็ไม่มีสมบัติตระกูลเซียนอะไรมามอบให้เจ้าหรอกนะ”

เฉินผิงอันยิ้มเจื่อน “สามหมัดก็เพียงพอแล้ว หากมากกว่านี้คงรับไม่ไหว”

กู้โย่วตบไหล่เฉินผิงอัน “สามหมัดขอบเขตเก้าของกู้โย่ว แน่นอนว่ามีน้ำหนักพอใช้ได้แล้ว”

กู้โย่วพลันเอ่ยว่า “เจ้ารู้หรือไม่ว่า บรรพบุรุษของวิชาหมัดเขย่าขุนเขาอย่างข้าก็ยังไม่รู้เลยว่าแท้จริงแล้วสามารถเอาท่าเดินนิ่ง ยืนนิ่งและนอนนิ่งสามอย่างมาฝึกรวมเป็นหนึ่งเดียวกันได้”

เฉินผิงอันไม่ได้เอ่ยตอบโต้

—-

กระบี่จงมา

กระบี่จงมา

Score 10
Status: Completed

อ่านนิยาย กระบี่จงมา 1 – 400 อ่านนิยาย

( อ่านต่อข้างล่าง )


” หนึ่งโลกธาตุขนาดใหญ่ เต็มไปด้วยความลี้ลับมหัศจรรย์  ใจกลางฟ้าดิน เคยมีปัญญาชนผู้หนึ่งใช้หนึ่งกระบี่ฟาดฟันให้เกิดน้ำตกธารสวรรค์ คือความภาคภูมิใจสูงสุดของโลกมนุษย์  หน้าผาทะเลบูรพา มีนักพรตไร้นามผู้หนึ่งที่ไม่ยินดียินร้ายกับสิ่งใด หวังเพียงให้ลมเย็นโชยมาปะทะใบหน้า  แดนสุขาวดีปัจฉิมทิศ มีหลวงจีนเฒ่าที่ชอบเล่าเรื่องราวให้ผู้คนฟัง เลี้ยงมังกรสวรรค์ไว้เก้าตัว พื้นที่กันดารแดนใต้ มีจิตรกรตาบอดควบคุมหุ่นเชิดเกราะทองสูงเท่าเนินเขาให้เคลื่อนย้ายภูเขาใหญ่หนึ่งแสนลูก ปูแผ่เป็นภาพลายปัก
เมื่อวันหนึ่งเด็กหนุ่มยากจนที่เติบโตทางทิศเหนือได้พบกับเซียนที่เหนือศีรษะมีกระบี่บินนับพันนับหมื่นประดุจฝูงตั๊กแตน “

เขาจึงอยากจะไปเห็นปัญญาชนคนนั้น เห็นคลื่นยักษ์ที่โถมตัวเทียมฟ้าของทะเลบูรพา

เห็นทะเลทรายสีเหลืองทองกว้างไกลนับหมื่นลี้ของแดนประจิม

และอยากไปเห็นภูเขาลูกโอฬารของแดนกันดารทางใต้ที่นักเล่านิทานเอ่ยถึงกับตาตัวเอง

ดังนั้น ในที่สุดวันหนึ่ง เด็กหนุ่มจึงสะพายกระบี่ไม้พาดหลัง มุ่งหน้าไปทางทิศใต้

–ข้ามีนามว่าเฉินผิงอัน ผิงอันที่แปลว่าสงบสุข สันติ ข้าคือมือกระบี่คนหนึ่ง–

Options

not work with dark mode
Reset