กระบี่จงมา 517.3 ภูเขาสายน้ำยาวไกล

ตอนที่ 517.3 ภูเขาสายน้ำยาวไกล

ตู้อิ๋งยิ้มกล่าว “แน่นอนว่าสายลับของราชสำนักที่จัดวางไว้ข้างกายของเจ้าสำนักหลินได้ทำการตรวจสอบอย่างละเอียดมาก่อนนานแล้ว สายลับฝีมือดีทั้งสองคนที่ไม่เคยรู้จักและไม่เคยติดต่อถึงกันต่างก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่าไม่มี”

หลินซูรู้สึกเหมือนยกภูเขาออกจากอก เขาชูแขนขึ้นสูง กุมหมัดหันไปทางเมืองหลวง พูดเสียงทุ้มหนัก “แม่ทัพใหญ่ ข้าหลินซูและภูเขาเจิงหรงซื่อสัตย์ภักดีต่อฮ่องเต้ ฟ้าดินเป็นพยานได้!”

ตู้อิ๋งชักดาบออกมาช้าๆ ชี้ไปยังเมืองเล็กบนยอดเขา “ตอนนี้มีวิธีที่มั่นคงที่สุดอยู่วิธีหนึ่ง แค่ต้องดูว่าเจ้าสำนักหลินมีความภักดีและความกล้าหาญมากพอจะทำหรือไม่ อายุที่บันทึกไว้บนทำเนียบวงศ์ตระกูลของพรรคเจิงหรงและสำมะโนครัวที่บันทึกอยู่ในเอกสารคดีของเมืองประจำท้องที่ล้วนสามารถสร้างหลักฐานเท็จขึ้นมาได้ ดังนั้นไม่สู้เอาบุรุษที่อายุประมาณสิบแปดถึงยี่สิบปี รวมไปถึงคนที่มองดูคล้ายอายุยี่สิบปีในบรรดาคนหนึ่งพันสองร้อยกว่าคนของหมู่บ้านออกมาสังหารให้สิ้นซาก ทุกเรื่องก็จะราบรื่นมั่นคง”

ตู้อิ๋งยิ้มกล่าว “แน่นอนว่าจะให้คนตายไปเปล่าๆ ไม่ได้ ข้าตู้อิ๋งมิอาจปฏิบัติต่อขุนนางผู้มีคุณูปการอย่างไม่เป็นธรรม ดังนั้นรอให้ข้ากลับไปถึงเมืองหลวง ได้เข้าเฝ้าฝ่าบาท ย่อมต้องขอรางวัลจากฝ่าบาทด้วยตัวเอง หัวทุกหัวที่กลิ้งตกลงบนพื้นของภูเขาเจิงหรงในคืนนี้ หลังจบเรื่องจะชดเชยให้เจ้าหลินซูเป็นเงินขาวพันตำลึง ดีหรือไม่? ทุกๆ สิบหัว ข้าก็จะแบ่งเขตอิทธิพลของพรรคทั้งหลายที่ตายอยู่บนเรือส่วนหนึ่งมามอบให้ภูเขาเจิงหรงจัดการ”

หลินซูยิ้มเจื่อนเอ่ยว่า “หรือว่าในพรรคเจิงหรงมีคนถ่อยก่อกวน นำข่าวเท็จไปแจ้งให้แก่แม่ทัพใหญ่? จงใจผลักข้าหลินซูให้กลายเป็นคนไร้คุณธรรมไร้ความซื่อสัตย์?”

ตู้อิ๋งพยักหน้ารับ “มีคนถ่อยอยู่จริง อีกทั้งยังไม่ใช่แค่คนเดียว คนหนึ่งคือลูกศิษย์ที่ไม่เป็นโล้เป็นพายของเจ้า เพราะรู้สึกว่าภายใต้สถานการณ์ปกติ เขาไร้ความหวังที่จะได้สืบทอดตำแหน่งเจ้าประมุข อีกทั้งในอดีตก็ยังเกือบจะถูกเจ้าขับไล่ออกจากสำนัก แน่นอนว่าย่อมมีใจเคียดแค้นอย่างห้ามไม่ได้ คิดจะฉวยโอกาสนี้พลิกฟื้นกลับมา ช่วงชิงตำแหน่งเจ้าประมุขมาครอบครอง ปากข้าตอบตกลงเขาไปแล้ว แต่หลังจากนี้เจ้าสำนักหลินก็ไปฆ่าเขาเองแล้วกัน คนประเภทนี้ อย่าว่าแต่ครึ่งยุทธภพเลย ต่อให้แค่พรรคเจิงหรงแห่งเดียวก็ยังดูแลได้ไม่ดี ข้ารับเขามาเป็นลูกน้องแล้วจะมีประโยชน์อะไร?”

ตู้อิ๋งใช้ปลายดาบชี้ไปยังหน้าประตูใหญ่ที่อยู่ฝั่งตรงข้ามของสะพาน แล้วเอ่ยเนิบช้าว่า “ยังมีอีกคนหนึ่ง คือคนหนุ่มที่ใช้ชีวิตพึ่งพากับสายลับคนหนึ่งของราชสำนักมาโดยตลอด ก่อนหน้านี้สายลับผู้นั้นทำหน้าที่เป็นอาจารย์ในโรงเรียนของเมืองเล็กพวกเจ้า คนหนุ่มยังถือว่าเป็นเมล็ดพันธ์บัณฑิตคนหนึ่ง เขากับบุตรสาวโทนของเจ้ามีความสัมพันธ์กัน แต่เจ้าดันรู้สึกว่าเขาไม่มีพรสวรรค์ในการฝึกตน จึงไม่คู่ควรกับบุตรสาวของเจ้า ภายหลังก่อนตายสายลับเฒ่าที่เลี้ยงดูเขามารู้สึกว่าคนหนุ่มมีพรสวรรค์ในการเป็นขุนนาง ดังนั้นภายใต้การจัดการของสายลับเฒ่า คนหนุ่มจึงได้รับสืบทอดสถานะของอาจารย์เขา ต่อมาจึงมีการส่งจดหมายลับระหว่างเขากับราชสำนักเป็นประจำ ในความเป็นจริงแล้วความคิดที่บอกให้สังหารลูกศิษย์พรรคเจิงหรงที่อายุสอดคล้องใกล้เคียงทั้งหมดก็เป็นเขาที่เป็นผู้เสนอ ข้าเองก็ตอบรับแล้วเช่นกัน ไม่เพียงแต่รับปากว่าจะช่วยเขารักษาความลับนี้ และช่วยให้เขาได้สาวงามกลับไปครอง ยังจะจัดการให้เขาได้เข้าร่วมสอบเคอจวี่ในวงการขุนนาง และต้องมีชื่อติดอยู่บนกระดานทองคำอย่างแน่นอน ไม่แน่ว่าสิบปียี่สิบปีให้หลัง เขาอาจจะได้เป็นขุนนางใหญ่ในพื้นที่ศักดินาแห่งใดแห่งหนึ่งของแคว้นจินเฟยก็เป็นได้”

หลินซูโมโหจนใบหน้าเขียวคล้ำ เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันเอ่ยว่า “เจ้าลูกหมาป่าเนรคุณ ปีนั้นพ่อแม่ของเขาด่วนจากไปเร็ว อีกทั้งยังเป็นคนที่ทำหน้าที่แบกถังอาจมซึ่งต่ำช้าอย่างถึงที่สุด หากไม่เป็นเพราะพรรคเจิงหรงมอบเงินทำขวัญให้เขาทุกเดือน เขาก็คงต้องกินขี้แทนข้าวแล้ว!”

ขันทีเฒ่าผู้ควบคุมตรากองม้าใช้สองนิ้วคีบผมขาวที่รุ่ยหลุดลงมาตรงจอนผม พูดด้วยเสียงแหลมว่า “สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นเรื่องเล็กน้อย จากรายงานลับของสายลับอีกคนหนึ่ง พรรคเจิงหรงของพวกเจ้ายังมียอดฝีมือเฝ้าพิทักษ์ ผ่านมาหลายปีมากแล้ว เพียงแต่ว่าเก็บซ่อนตัวตนได้เป็นอย่างดี จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่เผยพิรุธให้เห็น นี่แหละที่ค่อนข้างจะยุ่งยาก”

หลินซูอึ้งตะลึง

เจิ้งสุ่ยจูขมวดคิ้วกล่าว “แม่ทัพตู้ พวกเราจะมัวเสียเวลากันอยู่อย่างนี้น่ะหรือ? กากเดนราชวงศ์ก่อนผู้นั้นอยู่บนภูเขาหรือไม่ ชักดาบออกมาหยั่งเชิงก็รู้แล้ว หากมีผู้ฝึกลมปราณของตำหนักเกล็ดทองมาหลบซ่อนตัวอยู่ที่นี่จริง ก็มีความเป็นไปได้เกินครึ่งว่าจะเป็นผู้พิทักษ์ขององค์ชายผู้นั้น ยิงธนูลูกเดียวได้นกสองตัว ทั้งสังหารกากเดนราชวงศ์ก่อน แล้วก็สามารถดึงตัวของผู้ฝึกตนตำหนักเกล็ดทองออกมาได้ด้วย”

ในกลุ่มคนมีชายฉกรรจ์เงียบขรึมคนหนึ่งถือกล่องไม้ยาวไว้ในมือ

ตู้อิ๋งยิ้มกล่าว “หากเทพเซียนตำหนักเกล็ดทองผู้นั้นขอบเขตสูงมาก พวกเราที่มีพลทหารสวมเกราะมาแค่ร้อยกว่าคนย่อมไม่อาจต้านรับวิชาตระกูลเซียนของอีกฝ่ายได้ ต่อให้เขาจะสู้กับพวกเราสามคนที่ร่วมมือกันไม่ได้ แต่หากอีกฝ่ายพาคนทะยานลมจากไป พวกเราสามคนก็ได้แต่มองดูคนเขาจากไปไกลคาตาก็เท่านั้น หรือจะให้กระโดดหน้าผาตามไปล่ะ?”

เจิ้งสุ่ยจูหันหน้าไปมองชายฉกรรจ์ถือกล่องแล้วหลุดหัวเราะพรืด “ลูกศิษย์ใหญ่ของเจินเหรินผู้พิทักษ์แคว้นท่านนั้นของพวกเราก็มาด้วย ยังต้องกลัวว่าผู้ฝึกลมปราณคนหนึ่งที่หลบซ่อนตัวอยู่บนภูเขาเจิงหรงมานานหลายสิบปีอีกหรือ?”

ราชวงศ์ต้าจ้วนก็มีขุนนางผู้ประคับประคองมังกรที่รับผิดชอบพิทักษ์คุ้มกันฮ่องเต้เช่นเดียวกัน ผู้ฝึกยุทธเต็มตัวสายของเจิ้งสุ่ยจู กับผู้ฝึกตนสายที่มีเหลียงหงอิ่นเจินเหรินผู้พิทักษ์แคว้นเป็นผู้นำ ความสัมพันธ์ของทั้งสองฝ่ายย่ำแย่มาโดยตลอด ต่างฝ่ายต่างชิงชังรังเกียจกัน มีความขัดแย้งและแข่งขันกันอย่างลับๆ เกิดขึ้นมากมาย อีกทั้งราชวงศ์ต้าจ้วนยังมีอาณาเขตกว้างใหญ่ทรัพยากรอุดมสมบูรณ์ นอกจากอาณาเขตของตำหนักเกล็ดทองที่ตั้งอยู่กลางภูเขาลึกแถบชายแดนของทางทิศเหนือแล้ว ยุทธภพและบนภูเขาของต้าจ้วน ฮ่องเต้ก็ปล่อยให้ทั้งสองฝ่ายอาศัยความสามารถของตัวเองช่วงชิงกันไปเอง แน่นอนว่าไม่คิดจะยื่นมือเข้าแทรก ศิษย์พี่ชายคนหนึ่งของเจิ้งสุ่ยจูที่เดิมทีมีพรสวรรค์ดีเยี่ยมเคยถูกผู้ฝึกลมปราณขอบเขตชมมหาสมุทรและขอบเขตประตูมังกรสามคนที่ปิดบังสถานะล้อมโจมตี ทุบขาสองข้างของเขาจนหัก ตอนนี้ก็ได้แต่นั่งอยู่บนรถเข็น กลายเป็นคนพิการครึ่งตัว ภายหลังลูกศิษย์ผู้สืบทอดคนหนึ่งของเหลียงหงอิ่นเจินเหรินผู้พิทักษ์แคว้นก็หายตัวไปท่ามกลางการฝึกประสบการณ์ จนถึงทุกวันนี้ก็ยังหาศพไม่พบ

ชายฉกรรจ์ที่บนใบหน้าสวมหน้ากากมีสีหน้าเย็นชา ชำเลืองตามองแผ่นหลังของเจิ้งสุ่ยจูแวบหนึ่ง สตรีผู้นี้เย่อหยิ่งหัวสูงมาโดยตลอด อยู่ในเมืองหลวงก็ไม่ค่อยสงบเสงี่ยมสำรวมตน อาศัยว่าหญิงเฒ่าผู้นั้นรักและเอ็นดู ก่อนหน้านี้ก็ไปลอบมีสัมพันธ์กับองค์ชายท่านหนึ่งของต้าจ้วน คิดว่าตัวเองได้รับแต่งตั้งให้เป็นฮองเฮาคนถัดไปแล้วหรืออย่างไร?

ตู้อิ๋งถาม “เจ้าประมุขหลิน จะว่าอย่างไร?”

ใบหน้าของหลินซูบิดเบี้ยว “บุรุษหนุ่มบนภูเขาที่มีอายุสอดคล้องล้วนฆ่าทั้งหมด! แต่ข้าก็มีข้อเสนอสองอย่าง เจ้าลูกศิษย์ที่หลอกลวงอาจารย์ลบล้างบรรพชนผู้นั้นจำเป็นต้องตาย และเจ้าเศษสวะที่เนรคุณคนผู้นั้นก็ยิ่งสมควรตาย! วิธีเลาะเอ็นที่พรรคเจิงหรงของพวกเราใช้จัดการกับคนทรยศ ไม่กล้าพูดว่ามีเอกลักษณ์เป็นหนึ่งเดียวของแคว้นจินเฟย แต่ทำให้คนอยู่ไม่สู้ตายกลับไม่ยากเลยจริงๆ”

ตู้อิ๋งส่ายหน้า “คนแรกคือเศษสวะ ฆ่าไปก็ไม่เป็นไร แต่ฝ่ายหลังแม้จะมีจิตใจทะเยอทะยาน ทว่ากลับมีสติปัญญาที่ไม่ธรรมดา จดหมายลับที่เขาส่งมอบให้แก่ราชสำนักตลอดหลายปีมานี้ นอกจากจะวางแผนให้กับยุทธภพแล้วยังมีคำแนะนำให้กับทางราชสำนักอีกไม่น้อย ข้าอ่านจดหมายทุกฉบับอย่างละเอียดมาก่อน ล้วนมีความคิดที่เฉียบแหลม หากไม่ผิดไปจากที่คาด ฝ่าบาทเองก็น่าจะได้ทอดพระเนตรจดหมายลับพวกนั้นของเขาแล้ว บัณฑิตไม่ออกจากบ้าน แต่รู้เรื่องในใต้หล้า คงจะพูดถึงคนประเภทนี้กระมัง”

หลินซูสะกดกลั้นไฟโทสะ พูดด้วยสีหน้ามืดทะมึนว่า “แม่ทัพใหญ่ คนผู้นี้ปีนี้…อายุประมาณยี่สิบสี่ยี่สิบห้า ก็ถือว่าใกล้เคียงกับยี่สิบเหมือนกัน!”

ตู้อิ๋งหลุดหัวเราะพรืด เงียบงันไปพักหนึ่งก็ยังส่ายหน้าอยู่ดี “การมาเยือนในค่ำคืนนี้ เดิมทีก็เป็นการป้องกันเหตุไม่คาดฝัน ช่วยเจ้าประมุขหลินจัดการดูแลครัวเรือน ทำความสะอาดเส้นทางในการเดินขึ้นสู่ยอดเขาก็เท่านั้น ข้าไม่คิดจะฆ่าคนบริสุทธิ์พร่ำเพื่อหรอกนะ”

ขันทีเฒ่าผู้ถือตราบังคับกองม้ายิ้มตาหยี “ลงมือตามโอกาสเหมาะสม ไม่ต้องรีบร้อน ถึงอย่างไรคืนนี้ก็มีงิ้วสนุกๆ ให้ดูอยู่แล้ว”

ตู้อิ๋งมองสะพานแขวนแวบหนึ่ง “ตอนนี้ข้ากลัวก็แต่ว่าจะมีผู้ฝึกตนของตำหนักเกล็ดทองรอฉวยโอกาสโจมตีอยู่จริงๆ รอให้พวกเราเดินไปได้ครึ่งทางแล้วสะพานขาดขึ้นมา จะทำอย่างไร?”

ขันทีเฒ่าพยักหน้ารับ “เป็นปัญหาใหญ่จริงๆ”

ชายฉกรรจ์ที่ถือกล่องไม้กล่าวด้วยน้ำเสียงเฉยเมยว่า “แม่ทัพตู้โปรดวางใจ ขอแค่อีกฝ่ายกล้าลงมือ สะพานจะไม่มีทางขาดเด็ดขาด แต่คนผู้นั้นกลับต้องตายอย่างแน่นอน”

ตู้อิ๋งยิ้มกล่าว “เซียนซือแน่ใจหรือ?”

ชายฉกรรจ์พยักหน้ารับ “จวนราชครูของพวกเราไม่มีทางหลอกลวงแม่ทัพตู้แน่”

แม่ทัพใหญ่ผู้พิทักษ์แคว้นระดับหนึ่งชั้นโทคนหนึ่ง อีกทั้งยังเป็นบุตรบุญธรรมของฮ่องเต้แคว้นจินเฟย หากตายไป นับว่าค่อนข้างจะยุ่งยาก เพราะถึงอย่างไรการขึ้นครองราชย์ของจักรพรรดิองค์ใหม่ก็เป็นแผนการของจวนราชครูราชวงศ์ต้าจ้วนอยู่แล้ว และแม่ทัพบู๊ที่ในมือกุมอำนาจทางการทหารทำการก่อกบฏ กับกษัตริย์แคว้นใต้อาณัติที่สามารถสวมเสื้อคลุมมังกรได้อย่างถูกทำนองคลองธรรม สถานะของทั้งสองฝ่ายแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ฝ่ายแรกจวนราชครูต้าจ้วนสามารถยืมมีดฆ่าคนได้ตามใจชอบ จะฆ่าสักกี่คนก็ได้ แต่ฝ่ายหลังกลับไม่อาจแตะต้องได้แม้แต่คนเดียว

ตู้อิ๋งสอดดาบกลับเข้าฝัก โบกมือเป็นวงกว้าง “ข้ามสะพาน!”

และเวลานี้เอง ในเมืองเล็กที่อยู่บนยอดเขาของภูเขาเจิงหรงก็มีผู้เฒ่าคนหนึ่งคว้าไหล่คนหนุ่มผู้หนึ่งทะยานลมพุ่งตัวจากไป บนร่างของผู้เฒ่ามีประกายแสงไหลเวียนวน ประหนึ่งเกล็ดปลาสีทองที่ส่องแสงระยิบระยับ สะดุดตาเป็นพิเศษในม่านราตรี

ตู้อิ๋งเงยหน้าขึ้น กล่าวว่า “เป็นผู้ฝึกตนของตำหนักเกล็ดทองที่กำจัดไม่หมดสิ้นจริงๆ ดูท่าคงจะนั่งไม่ติดแล้ว”

ชายฉกรรจ์ถือกล่องไม้ที่ยืนอยู่ด้านหลังตู้อิ๋งพุ่งตัวออกไปแล้ว เขากลายร่างเป็นสายรุ้งเส้นหนึ่ง เขาก็คือผู้ฝึกตนโอสถทองแห่งจวนราชครูที่มีชื่อเสียงด้านการเข่นฆ่าเป็นที่เลืองลือในราชสำนักต้าจ้วน และยิ่งเป็นลูกศิษย์คนแรกของเจินเหรินผู้พิทักษ์แคว้น

ผู้ฝึกตนตำหนักเกล็ดทองของฝ่ายตรงข้ามน่าจะเป็นผู้ฝึกตนขอบเขตประตูมังกรท่านหนึ่ง อีกทั้งยังพาคนคนหนึ่งหลบหนีไปด้วยกัน ส่วนชายฉกรรจ์ที่ถือดาบนั้น เดิมทีก็มีขอบเขตสูงกว่าหนึ่งระดับ ดาบวิเศษในมือก็ยิ่งเป็นอาวุธหนักแห่งแคว้นที่ได้รับควันธูปมาจากชาวประชานับหมื่น เขาเงื้อดาบหนึ่งฟันผ่าไปไกลๆ ผู้ฝึกตนตำหนักเกล็ดทองรีบทำมุทราอย่างรวดเร็ว ชุดคลุมอาคมสีทองที่ส่องประกายพร่างพราวบนร่างหลุดออกมาด้วยตัวเอง แล้วลอยนิ่งอยู่ที่เดิม ฉับพลันนั้นก็ขยายใหญ่เหมือนกลายมาเป็นแหตกปลาสีทองหนึ่งปากที่สกัดกั้นแสงดาบเอาไว้ ส่วนผู้เฒ่าก็พาคนหนุ่มหนีออกห่างจากยอดเขาเจิงหรงไปอีกครั้ง

ดาบนั้นของผู้ฝึกตนโอสถทองจวนราชครูต้าจ้วนผ่าให้ชุดคลุมอาคมแบ่งออกเป็นสองส่วน เรือนกายที่ทะยานลมพลันเพิ่มความเร็ว พริบตาเดียวก็มาถึงด้านหลังของผู้ฝึกตนเฒ่าตำหนักเกล็ดทองแล้วออกดาบประชิดตัวอีกหนึ่งครั้ง ผู้ฝึกตนเฒ่าพยายามจะเหวี่ยงคนหนุ่มที่อยู่ในมือออกไป บนร่างของฝ่ายหลังมียันต์ของตำหนักเกล็ดทองหลายแผ่นลอยขึ้นมา สามารถทำให้คนธรรมดาคนหนึ่งทะยานลมได้เหมือนผู้ฝึกลมปราณชั่วคราว เพียงแต่ว่าผู้ฝึกตนเฒ่าเองก็รู้ดีว่านี่เป็นเพียงแค่การดิ้นรนก่อนตายเท่านั้น ใครเล่าจะคิดได้ว่าแคว้นจินเฟยไม่เพียงแต่ตามหามาถึงภูเขาเจิงหรง ยังถึงขั้นพาผู้ฝึกตนโอสถทองคนหนึ่งของจวนราชครูต้าจ้วนมาด้วย

บิดหมุนข้อมือเล็กน้อย ดาบวิเศษพิทักษ์แคว้นที่เดิมทีตั้งบูชาอยู่ในศาลบู๊มาหลายปีเล่มนั้นก็เปลี่ยนวิถีการโคจรเล็กน้อย หนึ่งดาบฟันออกไป ตัดหัวของผู้ฝึกตนเฒ่าและคนหนุ่มไปพร้อมๆ กัน

ก่อนที่ผู้ฝึกตนเฒ่าจะตายได้ระเบิดปราณวิญญาณทั้งหมดในช่องโพรงลมปราณของตน หมายจะลากผู้ฝึกตนโอสถทองคนหนึ่งให้ตายตกตามกันไปด้วย

ชายฉกรรจ์ถือดาบถอยกรูดออกไปด้านหลัง ลอยตัวอยู่กลางอากาศ พอดีกับที่หัวที่หลุดออกจากร่างของตาเฒ่าจากตำหนักเกล็ดทองและคนหนุ่มผู้นั้นแหลกสลายกลายเป็นผุยผงไปพร้อมกัน ลมปราณในรัศมีหลายสิบจั้งวุ่นวายสับสน จากนั้นก็ก่อตัวกลายเป็นพายุลมกรดที่พลังอำนาจดุดันลูกหนึ่ง เป็นเหตุให้สะพานแขวนที่ห้อยตัวอยู่ระหว่างหน้าผาซึ่งห่างไปไกลด้านหลังแกว่งไกวอย่างรุนแรง ทหารสวมเสื้อเกราะหลายคนที่อยู่บนสะพานร่วงหล่นไปข้างล่างโดยตรง ตู้อิ๋งกับเจิ้งสุ่ยจูต้องตั้งท่าถ่วงพันชั่ง (กระบวนท่าหนึ่งของวิชายุทธจีน เป็นการรวบรวมลมปราณ ปณิธานและพละกำลังจากในและนอกกายให้รวมเป็นหนึ่งเดียว) ถึงจะพอถ่วงให้สะพานแขวนหยุดนิ่งมั่นคงได้

ชายฉกรรจ์เงียบขรึมก้มหน้าลงจ้องมองคมดาบวิเศษแล้วพยักหน้ากับตัวเอง ก่อนจะขมวดคิ้วน้อยๆ บังคับลมกลับมาที่สะพาน พลิ้วกายลงบนพื้นเบาๆ

ตู้อิ๋งกดเสียงถามว่า “เป็นอย่างไร? ใช่เจ้ากากเดนผู้นั้นจริงหรือไม่?”

ชายฉกรรจ์พยักหน้ารับ “รอยเลือดไม่ใช่ของปลอม แต่ปราณมังกรกลับไม่มากพอ ราวกับเป็นความบกพร่องในความสมบูรณ์แบบ มันทำลายประสิทธิผลในการสยบความชั่วร้ายคว้าชัยชนะของดาบเล่มนี้ไปในระดับหนึ่ง แต่นี่ก็เป็นเรื่องปกติ เมื่อชะตาแคว้นขาดสะบั้น ต่อให้เจ้าเป็นจักรพรรดิของราชวงศ์ก่อน ปราณมังกรที่ถูกฝากฝังไว้บนร่างก็ยังต้องไหลหายไปทุกๆ ปีอยู่ดี”

ตู้อิ๋งสูดลมหายใจเข้าลึก มือจับเหล็กเส้นหนึ่งของสะพานเอาไว้แน่น พูดอย่างฮึกเหิมว่า “ในที่สุดข้าผู้อาวุโสก็สามารถยืดเอวตรง ได้กลับไปเป็นแม่ทัพใหญ่ผู้พิทักษ์แคว้นอย่างสมชื่อได้เสียที!”

ชายฉกรรจ์ผู้นั้นเก็บดาบวิเศษใส่ไว้ในกล่องไม้ทรงยาวอย่างระมัดระวัง ใบหน้ามีรอยยิ้มบางๆ อย่างที่หาได้ยาก เขาเอ่ยว่า “แม่ทัพตู้ไม่เพียงแต่สร้างคุณความชอบใหญ่หลวงให้แก่ฮ่องเต้ของพวกเจ้าได้”

ชายฉกรรจ์โยนกล่องไม้ไปให้เจิ้งสุ่ยจูโดยตรง หุบยิ้มกล่าวว่า “ทางฝ่ายของจอมยุทธหญิงเจิ้งผู้นี้ก็ได้สร้างความสัมพันธ์ควันธูปขนาดไม่เล็กเอาไว้ด้วย”

เจิ้งสุ่ยจูมีสีหน้ากังขา ขมวดคิ้วกล่าว “เฝิงอี้ เจ้าไม่เอามันกลับไปจวนราชครูหรือ?”

เห็นได้ชัดว่านางกังวลว่าผู้ฝึกตนโอสถทองผู้นี้จะเอาดาบวิเศษไปขอความดีความชอบจากฮ่องเต้ต้าจ้วน

ชายฉกรรจ์คร้านจะเปลืองน้ำลายพูดกับสตรีผู้นี้

เจียวสีดำที่รับมือได้ยากอย่างถึงที่สุดตัวนั้นพยายามจะทำให้น้ำท่วมเมืองหลวงต้าจ้วน เพื่อให้เมืองหลวงทั้งแห่งกลายมาเป็นวังมังกรใต้บาดาลของตน ส่วนอาจารย์ตนก็เป็นแค่ผู้ฝึกตนก่อกำเนิดที่เชี่ยวชาญวิชาน้ำเท่านั้น จะทัดเทียมกับเจียวน้ำที่เกิดมาก็ใกล้ชิดกับน้ำซึ่งมีตบะสูงส่งตัวหนึ่งได้อย่างไร? ถึงท้ายที่สุดแล้วก็ยังต้องให้อาจารย์ของสตรีผู้นี้ใช้ดาบวิเศษของแคว้นจินเฟย ถึงจะมีหวังว่าจะสังหารมันให้ตายด้วยการโจมตีครั้งเดียว สังหารเจียวชั่วร้ายได้อย่างราบรื่น ผู้ฝึกตนมากมายในจวนราชครู ในช่วงที่ทั้งสองฝ่ายเปิดศึกใหญ่กันอย่างมากสุดก็ได้แค่พยายามรักษาเมืองหลวงไม่ให้ถูกน้ำท่วมกลบทับเท่านั้น เรื่องใหญ่เทียมฟ้าขนาดนี้ หากไม่ระวังย่อมต้องแพ้ทั้งกระดาน โชคชะตาราชวงศ์สกุลโจวของต้าจวนจะต้องเดือดร้อนติดร่างแหไปด้วย จวนราชครูยังจะคิดแย่งคุณความชอบกับแม่นางน้อยอย่างเจ้าในช่วงเวลาสำคัญเช่นนี้อีกหรือไร? อีกอย่างหลังจากศึกใหญ่เปิดฉากขึ้น คนที่ออกแรงอย่างแท้จริง คุณความชอบในการช่วยเหลือบ้านเมืองเกินครึ่งย่อมต้องตกอยู่กับตัวของอาจารย์เจิ้งสุ่ยจูอย่างแน่นอน ต่อให้เขาเฝิงอี้จะเป็นลูกศิษย์คนแรกของเจินเหรินผู้พิทักษ์แคว้น แต่เขาควรจะแย่งดาบวิเศษจากมือแม่นางน้อยคนนี้ แล้วค่อยวิ่งไปประคองสองมือส่งดาบวิเศษให้กับหญิงชราผู้นั้น คลี่ยิ้มประจบขอให้นางรับดาบวิเศษไปแล้วออกจากเมืองไปตั้งใจสังหารเจียวชั่วอย่างนั้นหรือ?

—–

กระบี่จงมา

กระบี่จงมา

Score 10
Status: Completed

อ่านนิยาย กระบี่จงมา 1 – 400 อ่านนิยาย

( อ่านต่อข้างล่าง )


” หนึ่งโลกธาตุขนาดใหญ่ เต็มไปด้วยความลี้ลับมหัศจรรย์  ใจกลางฟ้าดิน เคยมีปัญญาชนผู้หนึ่งใช้หนึ่งกระบี่ฟาดฟันให้เกิดน้ำตกธารสวรรค์ คือความภาคภูมิใจสูงสุดของโลกมนุษย์  หน้าผาทะเลบูรพา มีนักพรตไร้นามผู้หนึ่งที่ไม่ยินดียินร้ายกับสิ่งใด หวังเพียงให้ลมเย็นโชยมาปะทะใบหน้า  แดนสุขาวดีปัจฉิมทิศ มีหลวงจีนเฒ่าที่ชอบเล่าเรื่องราวให้ผู้คนฟัง เลี้ยงมังกรสวรรค์ไว้เก้าตัว พื้นที่กันดารแดนใต้ มีจิตรกรตาบอดควบคุมหุ่นเชิดเกราะทองสูงเท่าเนินเขาให้เคลื่อนย้ายภูเขาใหญ่หนึ่งแสนลูก ปูแผ่เป็นภาพลายปัก
เมื่อวันหนึ่งเด็กหนุ่มยากจนที่เติบโตทางทิศเหนือได้พบกับเซียนที่เหนือศีรษะมีกระบี่บินนับพันนับหมื่นประดุจฝูงตั๊กแตน “

เขาจึงอยากจะไปเห็นปัญญาชนคนนั้น เห็นคลื่นยักษ์ที่โถมตัวเทียมฟ้าของทะเลบูรพา

เห็นทะเลทรายสีเหลืองทองกว้างไกลนับหมื่นลี้ของแดนประจิม

และอยากไปเห็นภูเขาลูกโอฬารของแดนกันดารทางใต้ที่นักเล่านิทานเอ่ยถึงกับตาตัวเอง

ดังนั้น ในที่สุดวันหนึ่ง เด็กหนุ่มจึงสะพายกระบี่ไม้พาดหลัง มุ่งหน้าไปทางทิศใต้

–ข้ามีนามว่าเฉินผิงอัน ผิงอันที่แปลว่าสงบสุข สันติ ข้าคือมือกระบี่คนหนึ่ง–

Options

not work with dark mode
Reset