กระบี่จงมา 514.2 พบเจอข้าชุยตงซาน

ตอนที่ 514.2 พบเจอข้าชุยตงซาน

จู๋เฉวียนพูดอย่างขุ่นเคือง “เลือกทำเป็นแกล้งโง่ใส่ข้าได้แล้ว! พูดมาคำเดียว ได้หรือว่าไม่ได้?!” เฉินผิอันใช้สองมือนวดคลึงข้างแก้ม ปวดหัวมากจริงๆ แล้วนับประสาอะไรกับที่เรื่องแบบนี้ใช่ว่าจะเอามาล้อเล่นกันได้ เขาจึงบอกไปตามตรงว่า “เขารู้สึกว่าข้าไม่มีคุณสมบัติมากพอที่จะเป็นศิษย์น้องเล็กของเขาได้ นี่เป็นประโยคที่เขาพูดต่อหน้าข้าเอง ดังนั้นก่อนหน้านี้ข้าถึงได้บอกว่าต้องไปขอร้องอย่างไรล่ะ แต่ขอร้องแล้วก็ใช่ว่าเขาจะยอมตอบรับนะ” จู๋เฉวียนฟาดฝ่ามือออกไป เฉินผิงอันเอนตัวหงายไปด้านหลัง รอจนแขนข้างนั้นลอยหวือพ้นเหนือศีรษะไปแล้ว เขาถึงได้ลุกขึ้นนั่งตัวตรง จู๋เฉวียนหดมือกลับอย่างขุ่นเคือง ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ข้าจะเอาเหล้าคืนให้เจ้า ตกลงไหม?” เฉินผิงอันส่ายหน้า “ไม่ได้จริงๆ” จู๋เฉวียนตบเข่าฉาด “อิดออดร่ำไร มิน่าเล่าจั่วโย่วถึงได้ไม่ยอมรับศิษย์น้องเล็กอย่างเจ้า” ทว่าจนกระทั่งบัดนี้ ในที่สุดจู๋เฉวียนก็พอจะเข้าใจได้บ้างแล้ว ว่าเหตุใดคนหนุ่มข้างกายถึงได้พูดกับลูกศิษย์ใหญ่ของเจ้าอารามเช่นนั้น หากจั่วโย่วมาเยือนอุตรกุรุทวีป เขาก็คงไม่คิดจะมองผู้ฝึกตนก่อกำเนิดของอารามเสวียนตูเล็กคนนั้นจริงๆ ไม่แม้แต่จะชายตามองด้วยซ้ำ หาใช่แค่ความต่างทางด้านขอบเขตอย่างเดียวไม่ หากเป็นเซียนกระบี่ของดินแดนกลางคงบอกได้ยาก แต่สำหรับจั่วโย่วนั้น เขาคงไม่เลือกมองเจ้าเพราะเจ้าเป็นขอบเขตบินทะยาน หรือไม่คิดจะมองเจ้าเพียงเพราะเจ้าเป็นมนุษย์ธรรมดา นี่ก็เป็นกุญแจสำคัญที่ทำให้ผู้ฝึกกระบี่ของอุตรกุรุทวีปให้ความเคารพเลื่อมใสจั่วโย่วมากเป็นพิเศษ ยังคงเป็นเรื่องของจิตใจที่สำคัญ จู๋เฉวียนมองสีท้องฟ้าแล้วก็พูดอย่างหงุดหงิดว่า “ไม่ได้การ ต้องไปแล้ว ก่อนหน้านี้บอกว่าจะพูดคุยเรื่องส่วนตัวเล็กน้อย คิดไม่ถึงว่าจะอยู่นานขนาดนี้ ข้าจะยังไม่รู้จักนิสัยของพวกอาจารย์อาอาจารย์ลุงที่ชอบวางมาดภูมิฐานสองคนนั้นของข้าอีกหรือ? หากบุรุษตาบอดสักคนยินดีแต่งงานกับข้า พวกเขาก็คงปรบมือร้องว่าดีด้วยซ้ำ ไม่แน่ว่าอาจจะยังบีบน้ำตา จากนั้นก็ยกบุรุษผู้นั้นขึ้นหิ้งบูชาดุจพระโพธิสัตว์ จบกัน หากข้ากลับไปสาย สายตาที่ตาแก่สองคนนั้นมองข้าจะต้องมั่นใจแน่แล้วว่าข้ากับเจ้าทำอะไรกันอยู่ในทะเลเมฆ มารดามันเถอะ ชื่อเสียงองอาจของเหล่าเหนียง (ในที่นี้คือคำเรียกขานตัวเองของสตรีที่แฝงไว้ด้วยความลำพองใจในตัวเอง คล้ายเวลาที่ผู้ชายเรียกตัวเองว่าข้าผู้อาวุโส) ย่อมต้องถูกทำลายลงในวันนี้ ชื่อเสียงว่าข้าเป็นวัวแก่กินหญ้าอ่อนคงต้องกระฉ่อนไปทั่วภูเขามู่อีอย่างแน่นอน” ตัวจู๋เฉวียนเองยังไม่รู้สึกว่าตัวเองไม่ได้รับความเป็นธรรมสักเท่าไร กลับกลายเป็นว่าคนหนุ่มผู้นั้นตระหนกลนลานยิ่งกว่านาง เขารีบลุกขึ้นยืน ถอยหลังไปสองก้าว พูดด้วยสีหน้าจริงจังว่า “ขอร้องเจ้าสำนักจู๋ได้โปรด จำเป็นต้อง ห้ามไม่ให้ต้นตอข่าวลือพวกนี้ผุดขึ้นมาได้ อย่างเด็ดขาด! ไม่อย่างนั้นชั่วชีวิตนี้ข้าจะไม่ไปเยือนภูเขามู่อีอีกเลย!” จู๋เฉวียนประหลาดใจนัก เจ้าเด็กนี่ฟ้าไม่กลัวดินไม่เกรง เวลารับมือกับเกาเฉิงก็ไม่เคยเห็นว่าเขาจะขมวดคิ้วเลยสักครั้ง แต่ทำไมเวลานี้ถึงได้หน้าซีดขาวเสียได้? เหล่าเหนียงหน้าตาอัปลักษณ์ขนาดนั้นเลยหรือ? ก็ได้ ข้ารู้ว่าข้าไม่ได้หน้าตางดงามสักเท่าไร จู๋เฉวียนยังไม่ทันยื่นมือออกไป เจ้าตะพาบน้อยผู้นั้นก็รีบหยิบเอาเหล้าหมักตระกูลเซียนกาหนึ่งออกมา ไม่เพียงเท่านี้ เขายังเอ่ยอีกว่า “ตอนนี้ข้าเหลืออีกแค่ไม่กี่กาแล้วจริงๆ ขอติดไว้ก่อน รอให้การเดินทางในอุตรกุรุทวีปของข้าสิ้นสุดลงเสียก่อน จะต้องนำสุราดีๆ มาเพิ่มให้เจ้าสำนักจู๋แน่นอน” จู๋เฉวียนโบกมือ รับสุราดีของคนเขามาตั้งสามกาแล้ว กาที่อยู่ในมือนี่ก็ยังดื่มไม่หมดเลย คิดไม่ถึงว่าคนผู้นั้นจะโยนกาเหล้ามาให้แล้ว “เจ้าสำนักจู๋ ส่วนที่เหลือขอติดไว้ก่อน คราวหน้าหากมีโอกาสไปเป็นแขกที่ภูเขามู่อีก็ค่อยว่ากัน หากไม่มีโอกาสได้ไปเยือนสำนักพีหมา ข้าจะฝากคนให้นำไปมอบให้ที่ภูเขามู่อี” จากนั้นเขาก็ยกมือขึ้น เรียกเจี้ยนเซียนกลับมา แล้วก็ขี่กระบี่เผ่นหนีไปด้วยความรวดเร็ว จู๋เฉวียนอุ้มแม่นางน้อยชุดดำขึ้นมาเบาๆ กล่าวอย่างสงสัยว่า “ไอ้หมอนี่คงไม่ขาดสตรีมาชื่นชอบหรอกกระมัง อีกทั้งยังมีความคิดเป็นของตัวเองเช่นนี้ อายุยังน้อย ทว่าความสามารถกลับไม่น้อยเลยจริงๆ เหตุใดถึงยังเป็นแบบนี้ได้นะ?” จู๋เฉวียนส่ายหน้า ไม่คิดให้มากความอีก เกาเฉิงต้องเสียเปรียบครั้งใหญ่ขนาดนี้ หุบเขาผีร้ายย่อมไม่สงบสุขแน่ นางทะยานลมมุ่งหน้าลงใต้ ส่วนคำพูดบางอย่าง ใช่ว่านางไม่อยากพูด เพียงแต่ว่าพูดไม่ได้ ปมในใจมีเพียงตัวเองเท่านั้นถึงจะคลายออกได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่ยามอยู่ในสังคมมองดูเหมือนว่าจะไม่ชอบทำอะไรดึงดันที่กลับจะกลายเป็นคนดื้อรั้นดึงดันมากที่สุด แม้แต่เทพเซียนก็ยากจะช่วยได้ ทางฝั่งของเรือข้ามฟาก บัณฑิตชุดขาวสะพายกระบี่ไว้ด้านหลัง พลิ้วกายลงบนราวระเบียง ดีดปลายเท้าหนึ่งครั้ง ชายแขนเสื้อสีขาวหิมะกว้างใหญ่โบกสะบัด เขาพุ่งตรงกลับห้องผ่านทางหน้าต่างบานนั้น ครั้นจึงปิดหน้าต่างลง เส้นเอ็นหัวใจของติงถงที่นั่งนิ่ง ‘ชมทัศนียภาพ’ อยู่ที่เดิมพลันคลายตัวลง ร่างของเขาหงายผลึ่งลงไปกระแทกกับพื้นกระดานเรือ บนระเบียงชั้นสองไม่มีคนอยู่แล้ว เพราะในความเป็นจริงแล้ว ผู้โดยสารทุกคนบนชั้นสองต่างก็เปิดแน่บถอยกลับเข้าห้องใครห้องมันกันไปหมดนานแล้ว ทางฝั่งของเรือข้ามฟากก็เป็นกังวลว่าจู่ๆ จะเจอกับหนึ่งกระบี่ฟันผ่าลงมา แล้วเรือลำนี้ก็จะไม่เหลืออยู่แล้ว ผู้ดูแลที่ตอนนั้นขายรายงานข่าวให้แก่ภูตน้ำน้อยก็ไม่ได้มีสภาพดีกว่าติงถงสักเท่าไร คู่พี่น้องร่วมทุกข์ร่วมยากนี่นะ สิ่งที่น่ากลัวที่สุดไม่ใช่ตบะที่สูงส่งของเซียนกระบี่หนุ่มผู้นั้น แต่เป็นนิสัยที่ยากจะคาดเดาของเขาต่างหาก ไม่อย่างนั้นเมื่อหนึ่งกระบี่ผ่านพ้นไป จะเป็นหรือตายก็ล้วนเป็นเรื่องที่รวดเร็วฉับไว ไม่โขกหัวคำนับวิงวอน ก็แค่ต้องชดใช้ด้วยเงินชดใช้ด้วยชีวิต ทว่าไอ้หมอนั่นที่สามารถตัดสินความเป็นความตายของคนอื่นได้กลับมองเจ้าด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มอบอุ่นประหนึ่งบิดามองบุตร พูดจาปรองดองเหมือนพี่น้องที่สนิทสนมกัน ทว่ากลับมีวิธีการมากมายไม่สิ้นสุดอย่างที่เจ้าคาดไม่ถึง เจ้าจะทำอะไรได้? แล้วจะกล้าทำอะไร? บรรยากาศในห้องของเว่ยป๋ายค่อนข้างจะเคร่งเครียด ตกอยู่ในสภาวะอับจนหนทาง ตามหลักแล้ว ผู้ถวายงานใหญ่แห่งจวนเถี่ยชางตายไปคนหนึ่ง สำหรับคนทั้งสกุลเว่ยแล้ว ผู้ฝึกยุทธร่างทองที่มีชาติกำเนิดมาจากสนามรบตายไปคนหนึ่ง จะบอกว่าความเสียหายไม่มากก็คงไม่ใช่ เว่ยป๋ายควรจะชั่งน้ำหนักของทั้งสองฝ่ายให้ดี ทว่าเมื่อปรึกษากับหญิงชราอยู่ในห้องแล้ว กลับเหมือนว่าจะหากลยุทธดีๆ ที่เหมาะสมไม่ได้เลย ราวกับว่าไม่ว่าจะพูดหรือทำอะไรก็อาจจะยิ่งเป็นการทำผิดซ้ำซาก ผลลัพธ์ที่ตามมายากจะคาดการณ์ ถึงขั้นที่ว่าอาจไม่สามารถเดินลงจากเรือข้ามฟากไปโดยที่มีชีวิตอยู่ได้ ไม่มีโอกาสได้ไปคุมสถานการณ์ให้มั่นคงอีกครั้งที่สวนน้ำค้างวสันต์ แต่หากไม่ทำอะไรเลยสักอย่างก็รู้สึกเหมือนว่าตัวเองกำลังรนหาที่ตายอีกนั่นแหละ เสียงเคาะประตูดังขึ้นเบาๆ สีหน้าของหญิงชราไม่น่ามองอย่างถึงที่สุด เพราะนางสัมผัสถึงความเคลื่อนไหวของอีกฝ่ายไม่ได้เลย การมาเยือนของอีกฝ่ายเรียกได้ว่าเงียบเชียบไร้สรรพสำเนียง บางทีทุกคนในห้องอาจจะตบะไม่สูงเท่าเจ้าหมอนั่น แต่ในเมื่อสามารถนั่งอยู่ในห้องนี้ได้ ก็ไม่มีใครที่เป็นตะเกียงประหยัดน้ำมัน ดังนั้นทุกคนจึงรู้ว่าผู้ที่มาเยือนเป็นใคร ผู้ฝึกตนหญิงที่ชื่อว่าชิงชิงจากเรือนเย่ฉ่าวของสวนน้ำค้างวสันต์คนนั้นทำจิตใจให้สงบ ไม่อยากให้บุรุษที่ตนรักต้องลำบากใจ นางจึงเตรียมจะลุกขึ้นไปเปิดประตู เว่ยป๋ายถอนหายใจ ลุกขึ้นยืนก่อนแล้ว เขาผายมือบอกเป็นนัยไม่ให้สตรีวู่วาม ส่วนตัวเขาเดินไปเปิดประตูด้วยตัวเอง ประสานมือคารวะเฉกเช่นบัณฑิตคนหนึ่ง “เว่ยป๋ายแห่งจวนเถี่ยชางคารวะเซียนกระบี่” บัณฑิตชุดขาวถือพัดพับไว้ในมือ ยิ้มพลางเดินข้ามธรณีประตูเข้ามา “คุณชายเว่ยไม่จำเป็นต้องเกรงใจกันขนาดนี้ พวกเราไม่ตีกันก็คงไม่ได้รู้จักกัน” ประโยคนี้ทำเอาทุกคนในห้องที่ได้ยินหนังตากระตุก ก่อนหน้านี้ตอนที่เว่ยป๋ายลุกขึ้นไปต้อนรับอีกฝ่าย พวกเขาก็ได้พากันลุกขึ้นยืน อีกทั้งนอกจากหญิงชราของจวนเถี่ยชางและผู้ฝึกตนหญิงจากสวนน้ำค้างวสันต์แล้ว คนอื่นๆ ต่างก็พากันถอยห่างจากโต๊ะตัวนั้นหลายก้าวเหมือนตั้งใจแต่ก็คล้ายไม่เจตนา แต่ละคนกลั้นหายใจทำสมาธิ ตั้งท่าเหมือนเผชิญหน้ากับศัตรูตัวฉกาจ เว่ยป๋ายทำท่าเอื้อมมือจะไปปิดประตู ทว่าเมื่อบัณฑิตชุดขาวก้าวข้ามธรณีประตูเข้ามา ประตูกลับปิดลงด้วยตัวเองแล้ว เว่ยป๋ายจึงดึงมือกลับ เดินตามคนผู้นั้นไปยังโต๊ะกลางห้อง มาถึงขั้นนี้ เขากลับโล่งอก เพราะความรู้สึกที่ถูกคนใช้มีดทิ่มไว้ตรงหัวใจแต่กลับไม่ขยับเขยื้อน นั่นต่างหากถึงจะทนรับได้ยากที่สุด หลังจากที่บัณฑิตชุดขาวนั่งลงแล้วก็ใช้มือคีบถ้วยชาใบหนึ่งที่วางคว่ำอยู่บนโต๊ะขึ้นมารินชาให้ตัวเอง “น้ำชาอ้อมหมู่บ้านของห้องชั้นสอง รสชาติดีกว่าหน่อย” เว่ยป๋ายนั่งลงแล้ว หญิงชราก็ขยับไปยืนด้านหลังเขา มีเพียงผู้ฝึกตนหญิงจากสวนน้ำค้างวสันต์คนนั้นที่นั่งลงพร้อมกับเว่ยป๋าย บัณฑิตชุดขาวชี้ไปยังคนผู้หนึ่งอย่างไม่ใส่ใจ “รบกวนไปเรียกคนดูแลเรือมาให้ข้าที” คนผู้นั้นรีบก้มหน้าค้อมเอวพูดติดต่อกันว่ามิกล้าๆ แล้วจึงรีบออกจากห้องไปเรียกคนทันใด เมื่อประตูห้องถูกปิดลงเบาๆ ในห้องก็เงียบสงัดชวนให้คนอึดอัดทรมาน ครู่หนึ่งต่อมา บัณฑิตชุดขาวก็ยิ้มกล่าวว่า “ข้าไปกลับครั้งนี้ บังเอิญเห็นพอดีว่าหลังจากผู้อาวุโสออกไปจากเรือข้ามฟากแล้วก็ไปเดินอยู่ในป่าบนพื้นดิน” เว่ยป๋ายกระจ่างแจ้งอยู่ในใจ แล้วก็โล่งอกได้อีกครั้ง “อาจารย์เลี่ยวได้ประลองฝีมือกับผู้อาวุโสอย่างเต็มคราบ ไม่แน่ว่าเมื่อกลับไปถึงจวนเถี่ยชาง พักรักษาตัวเล็กน้อยก็อาจจะฝ่าทะลุคอขวด พัฒนาขยับรุดหน้าไปได้อีกก้าวใหญ่” บางทีผู้ฝึกตนหญิงจากเรือนเย่ฉ่าวคนนั้นอาจเป็นคนสุดท้ายที่เข้าใจจุดเชื่อมโยงของบทสนทนานี้ ทว่าคนอื่นๆ กลับเข้าใจถึงความยอดเยี่ยมของบทสนทนานี้ได้ช้ากว่าเว่ยป๋ายเพียงเล็กน้อยเท่านั้น และนี่ยิ่งทำให้พวกเขารู้สึกเลื่อมใสเว่ยป๋ายมากกว่าเดิม ไม่รู้ว่าเหตุใดเซียนกระบี่ผู้นี้ถึงได้ยอมมอบบันไดลงให้กับสกุลเว่ยจวนเถี่ยชาง แต่ขณะเดียวกันกับที่มอบบันไดลงก็ได้วางอำนาจข่มขู่ในแบบที่มองไม่เห็น เป็นการบีบคั้นกดดันผู้อื่นในอีกรูปแบบหนึ่ง ข้าปล่อยหนึ่งหมัดต่อยให้ผู้ถวายงานที่เป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตร่างทองของเจ้าตาย ข้ายังมาดื่มชาในห้องของเจ้า เจ้าเว่ยป๋ายและจวนเถี่ยชางจะยังคิดบัญชีกับข้าหรือไม่? แต่ขณะเดียวกันหากจวนเถี่ยชางยินดีจะทำให้เรื่องยุติลงเพียงเท่านี้ ก็จะกลายเป็นสภาพการณ์อีกอย่างหนึ่ง แต่ไม่ว่าจะพูดอย่างไร จวนเถี่ยชางก็ยังเป็นฝ่ายที่ต้องลำบากใจอยู่ดี อย่างน้อยก็ในเวลานี้ ส่วนหลังจากนี้ก็มีเพียงสวรรค์เท่านั้นที่รู้ เว่ยป๋ายเลือกที่จะเดินลงมาตามบันไดนั้น ไม่เพียงแต่โดนต่อยจนฟันร่วงหมดปากแล้วยังต้องกลืนเลือดกลับลงไป ยังยอมรับการได้คืบแล้วจะเอาศอกของอีกฝ่ายมาอย่างเต็มใจด้วย จากนั้นเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นเบาๆ คนผู้นั้นพาผู้ดูแลเรือข้ามฟากเดินเข้ามาในห้อง หญิงชราเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่ง เจ้าตัวดี เซียนกระบี่หนุ่มผู้นี้คาดการณ์ได้แม่นยำยิ่งนัก ที่แท้คำพูดประโยคนั้นก็ทั้งพูดให้คุณชายน้อยฟัง แล้วก็พูดให้ทางฝั่งของเรือข้ามฟากฟังด้วย ขอแค่คุณชายน้อยยินดีเจรจาไกล่เกลี่ยเพื่อยุติความขัดแย้ง ถ้าอย่างนั้นคำพูดที่ฟังดูระคายหูของเซียนกระบี่หนุ่มก่อนหน้านี้ เวลานี้ก็จะกลายเป็นว่ามีความจริงใจนิดๆ แล้ว เพราะถึงอย่างไรหากจวนเถี่ยชางไปโหวกเหวกว่าอันที่จริงขอบเขตร่างทองแซ่เลี่ยวของพวกเขาไม่ได้ถูกคนต่อยตาย ก็มีแต่จะกลายเป็นที่ตลกขบขันของผู้อื่น แต่หากทางฝั่งของเรือข้ามฟากช่วยอธิบายให้ด้วยตัวเอง จวนเถี่ยชางก็ยังจะพอรักษาหน้าตาไว้ได้บ้าง แน่นอนว่าคุณชายน้อยก็สามารถเป็นฝ่ายไปหาผู้ดูแลเรือคนนี้ด้วยตัวเองเพื่อบอกเขาเป็นนัยๆ ได้ อีกฝ่ายย่อมยินดีมอบน้ำใจให้แก่จวนเถี่ยชาง เพียงแต่ว่าทำอย่างนั้น อารมณ์ของคุณชายน้อยจะยิ่งต้องย่ำแย่ แม้จะเป็นเรื่องเล็ก แต่หากคุณชายน้อยสามารถมองเห็นสิ่งใหญ่ในเรื่องที่เล็กๆ เห็นเพียงส่วนน้อยก็สามารถอนุมานไปได้ไกล ถ้าอย่างนั้นก็จะเข้าใจความหมายในชั้นที่สาม ต่อสู้กัน ผู้ฝึกยุทธขอบเขตร่างทองที่บ้านเจ้าเลี้ยงไว้ สำหรับข้าแล้วก็เป็นแค่เรื่องของหมัดเดียว และลูกไม้ในราชสำนักชุดนี้ของพวกเจ้า ข้าเองก็คุ้นเคยดี ให้หน้าเจ้าแล้ว แต่เจ้าเว่ยป๋ายกลับถือไว้ไม่อยู่ แล้วจะมีคุณสมบัติอะไรมาแตกหักฉีกหน้ากับเซียนกระบี่ต่างถิ่นอย่างข้า? จวนเถี่ยชางอาจจะไม่กลัวผู้ฝึกกระบี่ที่ดีแต่จะรบราฆ่าฟันอย่างเดียว เพราะอยู่ในอุตรกุรุทวีป ขอแค่มีเงินก็สามารถจ้างเซียนกระบี่ขอบเขตโอสถทองให้ลงจากภูเขามา ‘ฝึกกระบี่’ ได้แล้ว แม้แต่เซียนกระบี่ก่อกำเนิดก็ยังเชิญมาได้! แต่ว่า เซียนกระบี่หนุ่มที่ชอบสวมชุดคลุมอาคมสองตัวตรงหน้าผู้นี้กลับมีสมองที่ดีเยี่ยม หญิงชรามีชาติกำเนิดมาจากผู้ฝึกตนวิถีมาร ในสายตาไม่มีการแบ่งแยกดีเลว ใต้หล้านี้ไม่ว่าใครก็ตาม มีเพียงการแบ่งแยกแข็งแกร่งและอ่อนแอเท่านั้น และคนแข็งแกร่งก็ยังแบ่งเป็นอีกสองประเภท ประเภทแรกคือถูกกำหนดมาแล้วว่าไม่อาจไปมีเรื่องด้วยได้ ส่วนอีกประเภทหนึ่งคือมีเรื่องด้วยได้ แต่ทางที่ดีที่สุดคืออย่าไปแหยมกับพวกเขา แน่นอนว่าฝ่ายแรกย่อมแข็งแกร่งกว่า ทว่าฝ่ายหลัง เมื่อเวลาเลยผ่านแล้วกลายไปเป็นอย่างฝ่ายแรก ในบางครั้งก็อาจจะรับมือได้ยากยิ่งกว่า —–

จู๋เฉวียนพูดอย่างขุ่นเคือง “เลือกทำเป็นแกล้งโง่ใส่ข้าได้แล้ว! พูดมาคำเดียว ได้หรือว่าไม่ได้?!”

เฉินผิอันใช้สองมือนวดคลึงข้างแก้ม ปวดหัวมากจริงๆ แล้วนับประสาอะไรกับที่เรื่องแบบนี้ใช่ว่าจะเอามาล้อเล่นกันได้ เขาจึงบอกไปตามตรงว่า “เขารู้สึกว่าข้าไม่มีคุณสมบัติมากพอที่จะเป็นศิษย์น้องเล็กของเขาได้ นี่เป็นประโยคที่เขาพูดต่อหน้าข้าเอง ดังนั้นก่อนหน้านี้ข้าถึงได้บอกว่าต้องไปขอร้องอย่างไรล่ะ แต่ขอร้องแล้วก็ใช่ว่าเขาจะยอมตอบรับนะ”

จู๋เฉวียนฟาดฝ่ามือออกไป เฉินผิงอันเอนตัวหงายไปด้านหลัง รอจนแขนข้างนั้นลอยหวือพ้นเหนือศีรษะไปแล้ว เขาถึงได้ลุกขึ้นนั่งตัวตรง

จู๋เฉวียนหดมือกลับอย่างขุ่นเคือง ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ข้าจะเอาเหล้าคืนให้เจ้า ตกลงไหม?”

เฉินผิงอันส่ายหน้า “ไม่ได้จริงๆ”

จู๋เฉวียนตบเข่าฉาด “อิดออดร่ำไร มิน่าเล่าจั่วโย่วถึงได้ไม่ยอมรับศิษย์น้องเล็กอย่างเจ้า”

ทว่าจนกระทั่งบัดนี้ ในที่สุดจู๋เฉวียนก็พอจะเข้าใจได้บ้างแล้ว

ว่าเหตุใดคนหนุ่มข้างกายถึงได้พูดกับลูกศิษย์ใหญ่ของเจ้าอารามเช่นนั้น

หากจั่วโย่วมาเยือนอุตรกุรุทวีป เขาก็คงไม่คิดจะมองผู้ฝึกตนก่อกำเนิดของอารามเสวียนตูเล็กคนนั้นจริงๆ ไม่แม้แต่จะชายตามองด้วยซ้ำ

หาใช่แค่ความต่างทางด้านขอบเขตอย่างเดียวไม่ หากเป็นเซียนกระบี่ของดินแดนกลางคงบอกได้ยาก แต่สำหรับจั่วโย่วนั้น เขาคงไม่เลือกมองเจ้าเพราะเจ้าเป็นขอบเขตบินทะยาน หรือไม่คิดจะมองเจ้าเพียงเพราะเจ้าเป็นมนุษย์ธรรมดา

นี่ก็เป็นกุญแจสำคัญที่ทำให้ผู้ฝึกกระบี่ของอุตรกุรุทวีปให้ความเคารพเลื่อมใสจั่วโย่วมากเป็นพิเศษ

ยังคงเป็นเรื่องของจิตใจที่สำคัญ

จู๋เฉวียนมองสีท้องฟ้าแล้วก็พูดอย่างหงุดหงิดว่า “ไม่ได้การ ต้องไปแล้ว ก่อนหน้านี้บอกว่าจะพูดคุยเรื่องส่วนตัวเล็กน้อย คิดไม่ถึงว่าจะอยู่นานขนาดนี้ ข้าจะยังไม่รู้จักนิสัยของพวกอาจารย์อาอาจารย์ลุงที่ชอบวางมาดภูมิฐานสองคนนั้นของข้าอีกหรือ? หากบุรุษตาบอดสักคนยินดีแต่งงานกับข้า พวกเขาก็คงปรบมือร้องว่าดีด้วยซ้ำ ไม่แน่ว่าอาจจะยังบีบน้ำตา จากนั้นก็ยกบุรุษผู้นั้นขึ้นหิ้งบูชาดุจพระโพธิสัตว์ จบกัน หากข้ากลับไปสาย สายตาที่ตาแก่สองคนนั้นมองข้าจะต้องมั่นใจแน่แล้วว่าข้ากับเจ้าทำอะไรกันอยู่ในทะเลเมฆ มารดามันเถอะ ชื่อเสียงองอาจของเหล่าเหนียง (ในที่นี้คือคำเรียกขานตัวเองของสตรีที่แฝงไว้ด้วยความลำพองใจในตัวเอง คล้ายเวลาที่ผู้ชายเรียกตัวเองว่าข้าผู้อาวุโส) ย่อมต้องถูกทำลายลงในวันนี้ ชื่อเสียงว่าข้าเป็นวัวแก่กินหญ้าอ่อนคงต้องกระฉ่อนไปทั่วภูเขามู่อีอย่างแน่นอน”

ตัวจู๋เฉวียนเองยังไม่รู้สึกว่าตัวเองไม่ได้รับความเป็นธรรมสักเท่าไร กลับกลายเป็นว่าคนหนุ่มผู้นั้นตระหนกลนลานยิ่งกว่านาง เขารีบลุกขึ้นยืน ถอยหลังไปสองก้าว พูดด้วยสีหน้าจริงจังว่า “ขอร้องเจ้าสำนักจู๋ได้โปรด จำเป็นต้อง ห้ามไม่ให้ต้นตอข่าวลือพวกนี้ผุดขึ้นมาได้ อย่างเด็ดขาด! ไม่อย่างนั้นชั่วชีวิตนี้ข้าจะไม่ไปเยือนภูเขามู่อีอีกเลย!”

จู๋เฉวียนประหลาดใจนัก เจ้าเด็กนี่ฟ้าไม่กลัวดินไม่เกรง เวลารับมือกับเกาเฉิงก็ไม่เคยเห็นว่าเขาจะขมวดคิ้วเลยสักครั้ง แต่ทำไมเวลานี้ถึงได้หน้าซีดขาวเสียได้?

เหล่าเหนียงหน้าตาอัปลักษณ์ขนาดนั้นเลยหรือ? ก็ได้ ข้ารู้ว่าข้าไม่ได้หน้าตางดงามสักเท่าไร

จู๋เฉวียนยังไม่ทันยื่นมือออกไป เจ้าตะพาบน้อยผู้นั้นก็รีบหยิบเอาเหล้าหมักตระกูลเซียนกาหนึ่งออกมา ไม่เพียงเท่านี้ เขายังเอ่ยอีกว่า “ตอนนี้ข้าเหลืออีกแค่ไม่กี่กาแล้วจริงๆ ขอติดไว้ก่อน รอให้การเดินทางในอุตรกุรุทวีปของข้าสิ้นสุดลงเสียก่อน จะต้องนำสุราดีๆ มาเพิ่มให้เจ้าสำนักจู๋แน่นอน”

จู๋เฉวียนโบกมือ รับสุราดีของคนเขามาตั้งสามกาแล้ว กาที่อยู่ในมือนี่ก็ยังดื่มไม่หมดเลย

คิดไม่ถึงว่าคนผู้นั้นจะโยนกาเหล้ามาให้แล้ว “เจ้าสำนักจู๋ ส่วนที่เหลือขอติดไว้ก่อน คราวหน้าหากมีโอกาสไปเป็นแขกที่ภูเขามู่อีก็ค่อยว่ากัน หากไม่มีโอกาสได้ไปเยือนสำนักพีหมา ข้าจะฝากคนให้นำไปมอบให้ที่ภูเขามู่อี”

จากนั้นเขาก็ยกมือขึ้น เรียกเจี้ยนเซียนกลับมา แล้วก็ขี่กระบี่เผ่นหนีไปด้วยความรวดเร็ว

จู๋เฉวียนอุ้มแม่นางน้อยชุดดำขึ้นมาเบาๆ กล่าวอย่างสงสัยว่า “ไอ้หมอนี่คงไม่ขาดสตรีมาชื่นชอบหรอกกระมัง อีกทั้งยังมีความคิดเป็นของตัวเองเช่นนี้ อายุยังน้อย ทว่าความสามารถกลับไม่น้อยเลยจริงๆ เหตุใดถึงยังเป็นแบบนี้ได้นะ?”

จู๋เฉวียนส่ายหน้า ไม่คิดให้มากความอีก เกาเฉิงต้องเสียเปรียบครั้งใหญ่ขนาดนี้ หุบเขาผีร้ายย่อมไม่สงบสุขแน่

นางทะยานลมมุ่งหน้าลงใต้

ส่วนคำพูดบางอย่าง ใช่ว่านางไม่อยากพูด เพียงแต่ว่าพูดไม่ได้

ปมในใจมีเพียงตัวเองเท่านั้นถึงจะคลายออกได้

โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่ยามอยู่ในสังคมมองดูเหมือนว่าจะไม่ชอบทำอะไรดึงดันที่กลับจะกลายเป็นคนดื้อรั้นดึงดันมากที่สุด

แม้แต่เทพเซียนก็ยากจะช่วยได้

ทางฝั่งของเรือข้ามฟาก

บัณฑิตชุดขาวสะพายกระบี่ไว้ด้านหลัง พลิ้วกายลงบนราวระเบียง ดีดปลายเท้าหนึ่งครั้ง ชายแขนเสื้อสีขาวหิมะกว้างใหญ่โบกสะบัด เขาพุ่งตรงกลับห้องผ่านทางหน้าต่างบานนั้น ครั้นจึงปิดหน้าต่างลง

เส้นเอ็นหัวใจของติงถงที่นั่งนิ่ง ‘ชมทัศนียภาพ’ อยู่ที่เดิมพลันคลายตัวลง ร่างของเขาหงายผลึ่งลงไปกระแทกกับพื้นกระดานเรือ

บนระเบียงชั้นสองไม่มีคนอยู่แล้ว เพราะในความเป็นจริงแล้ว ผู้โดยสารทุกคนบนชั้นสองต่างก็เปิดแน่บถอยกลับเข้าห้องใครห้องมันกันไปหมดนานแล้ว

ทางฝั่งของเรือข้ามฟากก็เป็นกังวลว่าจู่ๆ จะเจอกับหนึ่งกระบี่ฟันผ่าลงมา แล้วเรือลำนี้ก็จะไม่เหลืออยู่แล้ว

ผู้ดูแลที่ตอนนั้นขายรายงานข่าวให้แก่ภูตน้ำน้อยก็ไม่ได้มีสภาพดีกว่าติงถงสักเท่าไร

คู่พี่น้องร่วมทุกข์ร่วมยากนี่นะ

สิ่งที่น่ากลัวที่สุดไม่ใช่ตบะที่สูงส่งของเซียนกระบี่หนุ่มผู้นั้น

แต่เป็นนิสัยที่ยากจะคาดเดาของเขาต่างหาก

ไม่อย่างนั้นเมื่อหนึ่งกระบี่ผ่านพ้นไป จะเป็นหรือตายก็ล้วนเป็นเรื่องที่รวดเร็วฉับไว ไม่โขกหัวคำนับวิงวอน ก็แค่ต้องชดใช้ด้วยเงินชดใช้ด้วยชีวิต

ทว่าไอ้หมอนั่นที่สามารถตัดสินความเป็นความตายของคนอื่นได้กลับมองเจ้าด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มอบอุ่นประหนึ่งบิดามองบุตร พูดจาปรองดองเหมือนพี่น้องที่สนิทสนมกัน ทว่ากลับมีวิธีการมากมายไม่สิ้นสุดอย่างที่เจ้าคาดไม่ถึง

เจ้าจะทำอะไรได้? แล้วจะกล้าทำอะไร?

บรรยากาศในห้องของเว่ยป๋ายค่อนข้างจะเคร่งเครียด ตกอยู่ในสภาวะอับจนหนทาง

ตามหลักแล้ว ผู้ถวายงานใหญ่แห่งจวนเถี่ยชางตายไปคนหนึ่ง สำหรับคนทั้งสกุลเว่ยแล้ว ผู้ฝึกยุทธร่างทองที่มีชาติกำเนิดมาจากสนามรบตายไปคนหนึ่ง จะบอกว่าความเสียหายไม่มากก็คงไม่ใช่ เว่ยป๋ายควรจะชั่งน้ำหนักของทั้งสองฝ่ายให้ดี ทว่าเมื่อปรึกษากับหญิงชราอยู่ในห้องแล้ว กลับเหมือนว่าจะหากลยุทธดีๆ ที่เหมาะสมไม่ได้เลย ราวกับว่าไม่ว่าจะพูดหรือทำอะไรก็อาจจะยิ่งเป็นการทำผิดซ้ำซาก ผลลัพธ์ที่ตามมายากจะคาดการณ์ ถึงขั้นที่ว่าอาจไม่สามารถเดินลงจากเรือข้ามฟากไปโดยที่มีชีวิตอยู่ได้ ไม่มีโอกาสได้ไปคุมสถานการณ์ให้มั่นคงอีกครั้งที่สวนน้ำค้างวสันต์ แต่หากไม่ทำอะไรเลยสักอย่างก็รู้สึกเหมือนว่าตัวเองกำลังรนหาที่ตายอีกนั่นแหละ

เสียงเคาะประตูดังขึ้นเบาๆ

สีหน้าของหญิงชราไม่น่ามองอย่างถึงที่สุด

เพราะนางสัมผัสถึงความเคลื่อนไหวของอีกฝ่ายไม่ได้เลย การมาเยือนของอีกฝ่ายเรียกได้ว่าเงียบเชียบไร้สรรพสำเนียง

บางทีทุกคนในห้องอาจจะตบะไม่สูงเท่าเจ้าหมอนั่น แต่ในเมื่อสามารถนั่งอยู่ในห้องนี้ได้ ก็ไม่มีใครที่เป็นตะเกียงประหยัดน้ำมัน

ดังนั้นทุกคนจึงรู้ว่าผู้ที่มาเยือนเป็นใคร

ผู้ฝึกตนหญิงที่ชื่อว่าชิงชิงจากเรือนเย่ฉ่าวของสวนน้ำค้างวสันต์คนนั้นทำจิตใจให้สงบ ไม่อยากให้บุรุษที่ตนรักต้องลำบากใจ นางจึงเตรียมจะลุกขึ้นไปเปิดประตู

เว่ยป๋ายถอนหายใจ ลุกขึ้นยืนก่อนแล้ว เขาผายมือบอกเป็นนัยไม่ให้สตรีวู่วาม ส่วนตัวเขาเดินไปเปิดประตูด้วยตัวเอง ประสานมือคารวะเฉกเช่นบัณฑิตคนหนึ่ง “เว่ยป๋ายแห่งจวนเถี่ยชางคารวะเซียนกระบี่”

บัณฑิตชุดขาวถือพัดพับไว้ในมือ ยิ้มพลางเดินข้ามธรณีประตูเข้ามา “คุณชายเว่ยไม่จำเป็นต้องเกรงใจกันขนาดนี้ พวกเราไม่ตีกันก็คงไม่ได้รู้จักกัน”

ประโยคนี้ทำเอาทุกคนในห้องที่ได้ยินหนังตากระตุก ก่อนหน้านี้ตอนที่เว่ยป๋ายลุกขึ้นไปต้อนรับอีกฝ่าย พวกเขาก็ได้พากันลุกขึ้นยืน อีกทั้งนอกจากหญิงชราของจวนเถี่ยชางและผู้ฝึกตนหญิงจากสวนน้ำค้างวสันต์แล้ว คนอื่นๆ ต่างก็พากันถอยห่างจากโต๊ะตัวนั้นหลายก้าวเหมือนตั้งใจแต่ก็คล้ายไม่เจตนา แต่ละคนกลั้นหายใจทำสมาธิ ตั้งท่าเหมือนเผชิญหน้ากับศัตรูตัวฉกาจ

เว่ยป๋ายทำท่าเอื้อมมือจะไปปิดประตู

ทว่าเมื่อบัณฑิตชุดขาวก้าวข้ามธรณีประตูเข้ามา ประตูกลับปิดลงด้วยตัวเองแล้ว

เว่ยป๋ายจึงดึงมือกลับ เดินตามคนผู้นั้นไปยังโต๊ะกลางห้อง

มาถึงขั้นนี้ เขากลับโล่งอก เพราะความรู้สึกที่ถูกคนใช้มีดทิ่มไว้ตรงหัวใจแต่กลับไม่ขยับเขยื้อน นั่นต่างหากถึงจะทนรับได้ยากที่สุด

หลังจากที่บัณฑิตชุดขาวนั่งลงแล้วก็ใช้มือคีบถ้วยชาใบหนึ่งที่วางคว่ำอยู่บนโต๊ะขึ้นมารินชาให้ตัวเอง “น้ำชาอ้อมหมู่บ้านของห้องชั้นสอง รสชาติดีกว่าหน่อย”

เว่ยป๋ายนั่งลงแล้ว หญิงชราก็ขยับไปยืนด้านหลังเขา มีเพียงผู้ฝึกตนหญิงจากสวนน้ำค้างวสันต์คนนั้นที่นั่งลงพร้อมกับเว่ยป๋าย

บัณฑิตชุดขาวชี้ไปยังคนผู้หนึ่งอย่างไม่ใส่ใจ “รบกวนไปเรียกคนดูแลเรือมาให้ข้าที”

คนผู้นั้นรีบก้มหน้าค้อมเอวพูดติดต่อกันว่ามิกล้าๆ แล้วจึงรีบออกจากห้องไปเรียกคนทันใด

เมื่อประตูห้องถูกปิดลงเบาๆ

ในห้องก็เงียบสงัดชวนให้คนอึดอัดทรมาน

ครู่หนึ่งต่อมา บัณฑิตชุดขาวก็ยิ้มกล่าวว่า “ข้าไปกลับครั้งนี้ บังเอิญเห็นพอดีว่าหลังจากผู้อาวุโสออกไปจากเรือข้ามฟากแล้วก็ไปเดินอยู่ในป่าบนพื้นดิน”

เว่ยป๋ายกระจ่างแจ้งอยู่ในใจ แล้วก็โล่งอกได้อีกครั้ง “อาจารย์เลี่ยวได้ประลองฝีมือกับผู้อาวุโสอย่างเต็มคราบ ไม่แน่ว่าเมื่อกลับไปถึงจวนเถี่ยชาง พักรักษาตัวเล็กน้อยก็อาจจะฝ่าทะลุคอขวด พัฒนาขยับรุดหน้าไปได้อีกก้าวใหญ่”

บางทีผู้ฝึกตนหญิงจากเรือนเย่ฉ่าวคนนั้นอาจเป็นคนสุดท้ายที่เข้าใจจุดเชื่อมโยงของบทสนทนานี้

ทว่าคนอื่นๆ กลับเข้าใจถึงความยอดเยี่ยมของบทสนทนานี้ได้ช้ากว่าเว่ยป๋ายเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

และนี่ยิ่งทำให้พวกเขารู้สึกเลื่อมใสเว่ยป๋ายมากกว่าเดิม

ไม่รู้ว่าเหตุใดเซียนกระบี่ผู้นี้ถึงได้ยอมมอบบันไดลงให้กับสกุลเว่ยจวนเถี่ยชาง แต่ขณะเดียวกันกับที่มอบบันไดลงก็ได้วางอำนาจข่มขู่ในแบบที่มองไม่เห็น เป็นการบีบคั้นกดดันผู้อื่นในอีกรูปแบบหนึ่ง

ข้าปล่อยหนึ่งหมัดต่อยให้ผู้ถวายงานที่เป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตร่างทองของเจ้าตาย ข้ายังมาดื่มชาในห้องของเจ้า เจ้าเว่ยป๋ายและจวนเถี่ยชางจะยังคิดบัญชีกับข้าหรือไม่? แต่ขณะเดียวกันหากจวนเถี่ยชางยินดีจะทำให้เรื่องยุติลงเพียงเท่านี้ ก็จะกลายเป็นสภาพการณ์อีกอย่างหนึ่ง แต่ไม่ว่าจะพูดอย่างไร จวนเถี่ยชางก็ยังเป็นฝ่ายที่ต้องลำบากใจอยู่ดี อย่างน้อยก็ในเวลานี้ ส่วนหลังจากนี้ก็มีเพียงสวรรค์เท่านั้นที่รู้

เว่ยป๋ายเลือกที่จะเดินลงมาตามบันไดนั้น ไม่เพียงแต่โดนต่อยจนฟันร่วงหมดปากแล้วยังต้องกลืนเลือดกลับลงไป ยังยอมรับการได้คืบแล้วจะเอาศอกของอีกฝ่ายมาอย่างเต็มใจด้วย

จากนั้นเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นเบาๆ

คนผู้นั้นพาผู้ดูแลเรือข้ามฟากเดินเข้ามาในห้อง

หญิงชราเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่ง

เจ้าตัวดี

เซียนกระบี่หนุ่มผู้นี้คาดการณ์ได้แม่นยำยิ่งนัก

ที่แท้คำพูดประโยคนั้นก็ทั้งพูดให้คุณชายน้อยฟัง แล้วก็พูดให้ทางฝั่งของเรือข้ามฟากฟังด้วย

ขอแค่คุณชายน้อยยินดีเจรจาไกล่เกลี่ยเพื่อยุติความขัดแย้ง ถ้าอย่างนั้นคำพูดที่ฟังดูระคายหูของเซียนกระบี่หนุ่มก่อนหน้านี้ เวลานี้ก็จะกลายเป็นว่ามีความจริงใจนิดๆ แล้ว

เพราะถึงอย่างไรหากจวนเถี่ยชางไปโหวกเหวกว่าอันที่จริงขอบเขตร่างทองแซ่เลี่ยวของพวกเขาไม่ได้ถูกคนต่อยตาย ก็มีแต่จะกลายเป็นที่ตลกขบขันของผู้อื่น แต่หากทางฝั่งของเรือข้ามฟากช่วยอธิบายให้ด้วยตัวเอง จวนเถี่ยชางก็ยังจะพอรักษาหน้าตาไว้ได้บ้าง แน่นอนว่าคุณชายน้อยก็สามารถเป็นฝ่ายไปหาผู้ดูแลเรือคนนี้ด้วยตัวเองเพื่อบอกเขาเป็นนัยๆ ได้ อีกฝ่ายย่อมยินดีมอบน้ำใจให้แก่จวนเถี่ยชาง เพียงแต่ว่าทำอย่างนั้น อารมณ์ของคุณชายน้อยจะยิ่งต้องย่ำแย่

แม้จะเป็นเรื่องเล็ก แต่หากคุณชายน้อยสามารถมองเห็นสิ่งใหญ่ในเรื่องที่เล็กๆ เห็นเพียงส่วนน้อยก็สามารถอนุมานไปได้ไกล ถ้าอย่างนั้นก็จะเข้าใจความหมายในชั้นที่สาม

ต่อสู้กัน ผู้ฝึกยุทธขอบเขตร่างทองที่บ้านเจ้าเลี้ยงไว้ สำหรับข้าแล้วก็เป็นแค่เรื่องของหมัดเดียว และลูกไม้ในราชสำนักชุดนี้ของพวกเจ้า ข้าเองก็คุ้นเคยดี ให้หน้าเจ้าแล้ว แต่เจ้าเว่ยป๋ายกลับถือไว้ไม่อยู่ แล้วจะมีคุณสมบัติอะไรมาแตกหักฉีกหน้ากับเซียนกระบี่ต่างถิ่นอย่างข้า?

จวนเถี่ยชางอาจจะไม่กลัวผู้ฝึกกระบี่ที่ดีแต่จะรบราฆ่าฟันอย่างเดียว

เพราะอยู่ในอุตรกุรุทวีป ขอแค่มีเงินก็สามารถจ้างเซียนกระบี่ขอบเขตโอสถทองให้ลงจากภูเขามา ‘ฝึกกระบี่’ ได้แล้ว แม้แต่เซียนกระบี่ก่อกำเนิดก็ยังเชิญมาได้!

แต่ว่า

เซียนกระบี่หนุ่มที่ชอบสวมชุดคลุมอาคมสองตัวตรงหน้าผู้นี้กลับมีสมองที่ดีเยี่ยม

หญิงชรามีชาติกำเนิดมาจากผู้ฝึกตนวิถีมาร ในสายตาไม่มีการแบ่งแยกดีเลว ใต้หล้านี้ไม่ว่าใครก็ตาม มีเพียงการแบ่งแยกแข็งแกร่งและอ่อนแอเท่านั้น และคนแข็งแกร่งก็ยังแบ่งเป็นอีกสองประเภท ประเภทแรกคือถูกกำหนดมาแล้วว่าไม่อาจไปมีเรื่องด้วยได้ ส่วนอีกประเภทหนึ่งคือมีเรื่องด้วยได้ แต่ทางที่ดีที่สุดคืออย่าไปแหยมกับพวกเขา แน่นอนว่าฝ่ายแรกย่อมแข็งแกร่งกว่า ทว่าฝ่ายหลัง เมื่อเวลาเลยผ่านแล้วกลายไปเป็นอย่างฝ่ายแรก ในบางครั้งก็อาจจะรับมือได้ยากยิ่งกว่า

—–

กระบี่จงมา

กระบี่จงมา

Score 10
Status: Completed

อ่านนิยาย กระบี่จงมา 1 – 400 อ่านนิยาย

( อ่านต่อข้างล่าง )


” หนึ่งโลกธาตุขนาดใหญ่ เต็มไปด้วยความลี้ลับมหัศจรรย์  ใจกลางฟ้าดิน เคยมีปัญญาชนผู้หนึ่งใช้หนึ่งกระบี่ฟาดฟันให้เกิดน้ำตกธารสวรรค์ คือความภาคภูมิใจสูงสุดของโลกมนุษย์  หน้าผาทะเลบูรพา มีนักพรตไร้นามผู้หนึ่งที่ไม่ยินดียินร้ายกับสิ่งใด หวังเพียงให้ลมเย็นโชยมาปะทะใบหน้า  แดนสุขาวดีปัจฉิมทิศ มีหลวงจีนเฒ่าที่ชอบเล่าเรื่องราวให้ผู้คนฟัง เลี้ยงมังกรสวรรค์ไว้เก้าตัว พื้นที่กันดารแดนใต้ มีจิตรกรตาบอดควบคุมหุ่นเชิดเกราะทองสูงเท่าเนินเขาให้เคลื่อนย้ายภูเขาใหญ่หนึ่งแสนลูก ปูแผ่เป็นภาพลายปัก
เมื่อวันหนึ่งเด็กหนุ่มยากจนที่เติบโตทางทิศเหนือได้พบกับเซียนที่เหนือศีรษะมีกระบี่บินนับพันนับหมื่นประดุจฝูงตั๊กแตน “

เขาจึงอยากจะไปเห็นปัญญาชนคนนั้น เห็นคลื่นยักษ์ที่โถมตัวเทียมฟ้าของทะเลบูรพา

เห็นทะเลทรายสีเหลืองทองกว้างไกลนับหมื่นลี้ของแดนประจิม

และอยากไปเห็นภูเขาลูกโอฬารของแดนกันดารทางใต้ที่นักเล่านิทานเอ่ยถึงกับตาตัวเอง

ดังนั้น ในที่สุดวันหนึ่ง เด็กหนุ่มจึงสะพายกระบี่ไม้พาดหลัง มุ่งหน้าไปทางทิศใต้

–ข้ามีนามว่าเฉินผิงอัน ผิงอันที่แปลว่าสงบสุข สันติ ข้าคือมือกระบี่คนหนึ่ง–

Options

not work with dark mode
Reset