กระบี่จงมา 482.2 แสงจันทร์ในใต้หล้า สาดส่องลงมาที่ภูเขาลูกนี้มากที่สุด

ตอนที่ 482.2 แสงจันทร์ในใต้หล้า สาดส่องลงมาที่ภูเขาลูกนี้มากที่สุด

เฉินผิงอันหันไปมองชุยตงซาน เอ่ยถาม “จะต้องไปแล้วใช่ไหม?”

ชุยตงซานพยักหน้ารับ พูดหน้าม่อย “คลุมดาวห่มจันทร์ เดินทางทั้งกลางวันกลางคืน พอคิดถึงว่าอีกเดี๋ยวอาจารย์ก็ต้องเดินทางขึ้นเหนือ ลูกศิษย์ต้องไปทางใต้ หัวใจก็ขมวดรวมกันเป็นก้อนแล้ว”

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “พวกเจ้าสองคนรอข้าสักเดี๋ยว ข้าจะไปหยิบของสองอย่าง เสร็จธุระแล้ว เจ้าค่อยออกเดินทางไกลอีกครั้ง”

เฉินผิงอันลุกขึ้นเดินไปที่ชั้นหนึ่งของเรือนไม้ไผ่

ชุยตงซานมองเผยเฉียน เผยเฉียนส่ายหน้า “ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน”

เฉินผิงอันหยิบถุงผ้าแพรใบเล็กใบหนึ่งกับแกนเหมยชิ้นหนึ่งกลับมา หลังนั่งลงแล้วก็วางทั้งสองอย่างไว้บนโต๊ะ เขาเปิดถุงออก เผยให้เห็นเมล็ดพันธ์สีเขียวมรกตที่ลักษณะภายนอกเป็นทรงกลมบางๆ เหมือนเหรียญเงิน แล้วจึงยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “นี่คือเมล็ดพันธ์เงินอวี๋เฉียนที่เพื่อนรักคนหนึ่งของข้าซื้อมาจากถนนเรียกสวรรค์ของสำนักฝูจีใบถงทวีป ไม่เคยมีโอกาสได้เอามาปลูกไว้ที่ภูเขาลั่วพั่วเสียที ว่ากันว่าขอแค่เป็นสถานที่ที่ดินน้ำดีและหันหน้าเข้าหาดวงอาทิตย์ ภายในสามปีห้าปีก็มีโอกาสที่จะเติบโตได้”

ชุยตงซานคีบเมล็ดพันธ์เงินอวี๋เฉียนหนึ่งในนั้นขึ้นมา พยักหน้ารับแล้วกล่าวว่า “เป็นของดี ไม่ใช่เมล็ดพันธ์เงินอวี๋เฉียนของตระกูลเซียนทั่วไป แต่มาจากบรรพบุรุษต้นอวี๋ในทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางของโลกต้นนั้น อาจารย์ หากข้าเดาไม่ผิดล่ะก็ นี่ไม่ใช่ของหายากที่สามารถหาซื้อได้ในสำนักใบถง มีความเป็นไปได้เกินครึ่งว่าสหายคนนั้นกลัวว่าอาจารย์จะไม่ยอมรับไว้ก็เลยหาข้ออ้างส่งเดช เมื่อเทียบกับเมล็ดพันธ์เงินอวี๋เฉียนทั่วไปแล้ว ความเป็นไปได้ที่เมล็ดพันธ์พวกนี้จะให้กำเนิดภูตเงินอวี๋เฉียนกลับมีเยอะกว่ามาก ทั้งถุงนี้ ต่อให้โชคร้ายที่สุด ถึงอย่างไรก็ต้องมีภูตทองโผล่ออกมาสักสองสามตัว ส่วนต้นอวี๋ต้นอื่นๆ นั้น หากเติบโตมีชีวิตแล้วก็สามารถช่วยรวมรวบและสร้างความมั่นคงให้แก่โชคชะตาภูเขาแม่น้ำ เหมือนกับปลาตะเพียนข้ามภูเขาสีทองที่อาจารย์จับได้ในปีนั้น ล้วนเป็นหนึ่งในของรักของตระกูลเซียนที่มีอักษรจง (สำนัก) ในชื่อ”

เฉินผิงอันรู้สึกจนใจเล็กน้อย

นี่เป็นเรื่องที่ลู่ไถจะทำจริงๆ

เฉินผิงอันจึงปลอบใจตัวเองว่าในเมื่อรับพวกมันมาแล้วก็ควรหาที่พักพิงที่สบายให้พวกมัน จึงชี้ไปที่แกนเหมยชิ้นนั้น เผยเฉียนแย่งพูดขึ้นว่า “ข้ารู้ๆ นี่คือของที่ไม้ไผ่ผอมแห้งชื่อว่าอู๋ยวนของจวนจื่อหยางคนนั้นให้หุ่นเชิดเจ้าของจวนนำมามอบให้อาจารย์ ภายหลังข้ากังวลว่าไม้ไผ่แห้งผู้นั้นจะไร้คุณธรรม จงใจเอาของไม่ดีมาหลอกอาจารย์ ข้าก็เลยแอบหยิบมันไปให้เว่ยป้อช่วยตรวจสอบ เขาบอกว่าหนึ่งปีให้หลังมันจะสามารถเติบโตขึ้นเป็นต้นหยางเหมยที่มีอายุหนึ่งพันปี อย่างน้อยที่สุดก็สูงได้ครึ่งหนึ่งของเรือนไม้ไผ่ มีชื่อเรียกอีกอย่างว่า ‘เหมยฤดูกาล’ ทุกๆ วันที่เป็นวันเปลี่ยนยี่สิบสี่ฤดูกาลจะต้องมีปราณวิญญาณมากมายแผ่ออกมา เหมาะให้ผู้ฝึกตนมานั่งหลอมลมปราณอยู่ใต้ต้นไม้มากที่สุด เว่ยป้อยังบอกอีกว่าแกนเหมยชิ้นนี้ สำหรับเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลที่มีภูเขามั่นคงแล้ว อันที่จริงก็ถือว่าเป็นของขวัญที่แพงที่สุดในบรรดาของขวัญสี่ชิ้นที่จวนจื่อหยางมอบให้ในคราวนั้น”

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ถ้าอย่างนั้นคืนนี้พวกเรามาปลูกพวกมันด้วยกัน”

ชุยตงซานชำเลืองตามองเผยเฉียน “เจ้าเลือกก่อน”

เผยเฉียนพูดอย่างมีความสุข “ต่อให้แกนเหมยจะดีแค่ไหนก็มีแค่ชิ้นเดียวเท่านั้น แน่นอนว่าข้าต้องเลือกเมล็ดพันธ์เงินอวี๋เฉียน ถูก…ไหม?”

พูดมาถึงช่วงสุดท้าย เผยเฉียนแอบมองไปทางอาจารย์ พอเห็นว่าอาจารย์พยักหน้าให้เบาๆ นางถึงได้หันไปพูดกับชุยตงซานอย่างหนักแน่น “แกนเหมยที่ล้ำค่าขนาดนี้ก็มอบให้เจ้าแล้วกัน! แต่ตกลงกันไว้ก่อนว่า วันหน้าเมื่อมันเติบโตเป็นต้นเหมยใหญ่เมื่อไหร่ ยังคงเป็นของอาจารย์ หากข้าจะพาพี่หญิงเป่าผิงปีนขึ้นไปเล่นด้วยกัน เจ้าห้ามขัดขวางข้าเด็ดขาด”

ชุยตงซานถอนหายใจ

มีแต่ความฉลาดเฉลียวและไหวพริบอยู่ทั่วทั้งตัวจริงๆ พูดจาแต่ละทีแฝงความนัยทั้งในและนอกคำพูดไปหมด

แล้วก็โชคดีที่มาเจอกับอาจารย์ของตน ถึงได้เป็นหนึ่งสิ่งที่กำราบหนึ่งสิ่ง สามารถกำราบเจ้าถ่านดำก้อนนี้ได้พอดี หากเปลี่ยนมาเป็นคนอื่น จูเหลี่ยนไม่ได้ แม้แต่ท่านปู่ของเขาก็ยังไม่ได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเว่ยป้อที่เป็นคนนอกของภูเขาลั่วพั่วเลย

อันที่จริงภูเขาลั่วพั่วนั้นใหญ่มาก

ในฐานะประตูใหญ่ทางทิศใต้ของถ้ำสวรรค์หลีจูจึงโอ่อ่าน่าเกรงขาม สูงตระหง่านเสียดชั้นเมฆ

เป็นเหตุให้เฉินผิงอันไม่ค่อยได้ไปเดินเที่ยวทางทิศเหนือของภูเขาลั่วพั่วสักเท่าไหร่ ส่วนใหญ่จะอยู่ที่เรือนไม้ไผ่ทางทิศใต้มากกว่า

ทางฝั่งของทิศใต้ที่หันเข้าหาดวงอาทิตย์ ด้านล่างเรือนไม้ไผ่ นับตั้งแต่ประตูภูเขาที่มีเจิ้งต้าเฟิงเป็นผู้เฝ้าพิทักษ์ขึ้นมา ชุยตงซานเลือกสถานที่ฮวงจุ้ยดีเยี่ยมที่อยู่ติดกันสองแห่ง แล้วแยกกันปลูกเมล็ดพันธ์เงินอวี๋เฉียนกับแกนเหมย

หลังจากทำงานใหญ่สำเร็จ เผยเฉียนก็ใช้ปลายจอบปักพื้นดิน เจ้าถ่านดำน้อยที่ออกแรงไปไม่น้อยเหงื่อท่วมเต็มศีรษะ แต่ใบหน้ากลับเต็มไปด้วยรอยยิ้ม

ชุดของชุยตงซานยังคงเป็นสีขาวสะอาด ไม่มีฝุ่นเกาะสักเม็ด หากจะว่ากันถึงความงดงามของเนื้อหนังมังสาบุรุษ เกรงว่าคงมีเพียงเว่ยป้อและลู่ไถเท่านั้น แน่นอนว่ายังมีเฉาสือแห่งราชวงศ์ต้าตวนของแผ่นดินกลางอีกคนหนึ่งที่พอจะทัดเทียมกับชุยตงซานได้

เฉินผิงอันเอ่ยเบาๆ ว่า “ปลูกไม้สิบปี ปลูกคนร้อยปี พวกเรามาช่วยสนับสนุนและให้กำลังใจซึ่งกันและกัน”

ชุยตงซานปฏิบัติตาม ‘พิธีการยิบย่อย’ อีกครั้งด้วยการประสานมือคำนับพลางเอ่ยอย่างจริงจัง “ศิษย์ขอลา อาจารย์ออกเดินทางไกล ขอให้มีจุดหมายที่จะไป”

หลังจากชุยตงซานยืดตัวขึ้นตรงแล้ว เฉินผิงอันก็หยิบแผ่นไม้ไผ่แผ่นหนึ่งที่เตรียมไว้ในชายแขนเสื้อนานแล้วออกมา “ดูเหมือนว่าจะไม่เคยมอบสิ่งใดให้เจ้า อย่าได้รังเกียจ ไม้ไผ่มาจากต้นไผ่เขียวทั่วไปตามป่าเขา ไม่มีค่าพอแม้แต่เหรียญเดียว แม้ข้าจะไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองมีคุณสมบัติพอที่จะเป็นอาจารย์ของเจ้า และคำถามคำถามนั้น สามปีที่อยู่ในทะเลสาบซูเจี่ยนก็คอยคิดหาคำตอบอยู่เสมอ แม้จะยังยากมากอยู่ดี แต่ไม่ว่าจะอย่างไร ในเมื่อเจ้าเรียกข้าอย่างนี้แล้ว เรียกมานานหลายปีขนาดนี้แล้ว ถ้าอย่างนั้นข้าก็ควรจะมีมาดของอาจารย์เสียบ้าง จึงขอมอบแผ่นไม้ไผ่แผ่นนี้ให้เจ้า ถือเป็นของขวัญจากลาเล็กๆ”

ชุยตงซานรับแผ่นไม้ไผ่ที่ออกเป็นสีเหลืองแผ่นนั้นมา ทั้งด้านหน้าและด้านหลังล้วนมีตัวอักษรสลักอยู่

ตัวอักษรด้านหน้าถูกสลักมานานหลายปีแล้ว ‘บรรลุหลักการเหตุผลมีก่อนหลัง อริยะไม่มีอาจารย์ที่แน่นอน หลักการเหตุผลที่ได้ยินได้ฟังจึงมีช้ามีเร็ว’

ส่วนตัวอักษรด้านหลัง มีความเป็นไปได้ว่าก่อนหน้านี้ตอนที่เฉินผิงอันไปหยิบของในเรือนไม้ไผ่ได้จุดตะเกียงขึ้นแล้วหยิบมีดแกะสลักออกมาสลักลงไปใหม่ ถึงแม้จะค่อนข้างรีบเร่ง แต่ตัวอักษรกลับยังคงเป็นระเบียบเรียบร้อย ไม่มีผิดพลาดแม้แต่น้อย ‘สีครามเกิดจากต้นคราม แต่เข้มกว่าคราม’

เผยเฉียนกระแอมสองทีให้ลำคอชุ่มชื้น แล้วเอ่ยอย่างเอาจริงเอาจังว่า “ชุยตงซาน ในฐานะศิษย์พี่หญิงใหญ่ จำเป็นต้องเตือนเจ้าสักประโยคแล้ว เจ้าห้ามไม่เห็นเป็นจริงเป็นจังเด็ดขาด อันที่จริงอาจารย์รักแผ่นไม้ไผ่พวกนี้มากที่สุดแล้ว!”

ชุยตงซานเก็บเข้าไปไว้ในชายแขนเสื้อช้าๆ “ความคาดหวังของอาจารย์ ศิษย์เห็นเป็นสำคัญ จะจดจำไว้ให้ขึ้นใจ ศิษย์เองก็มีของสิ่งหนึ่งจะมอบให้”

ชุยตงซานสะบัดชายแขนเสื้อใหญ่สีขาวหิมะ หยิบพัดพับไม้ไผ่ลักษณะโบราณเล่มหนึ่งออกมา ตัวพัดเรียบง่ายแต่ลื่นวาวเหมือนเนื้อหยก ชุยตงซานประคองไว้ด้วยสองมือ “วัตถุชิ้นนี้เคยเป็นสมบัติที่รักของคนที่ประลองหมากล้อมแล้วแพ้จนเสียกระบี่บิน ‘ใบไม้ร่วงสีทอง’ ให้กับข้า เมื่อหุบพัดหลายครั้งจะสามารถรวบรวมลมวสันตฤดู บีบหนึ่งครั้งเกิดกลิ่นอายแห่งฤดูใบไม้ร่วง หน้าพัดขาวสะอาดไร้ตัวอักษร เหมาะสมกับเวลาที่อาจารย์เดินทางไกลอยู่ต่างบ้านต่างเมืองแล้วใช้ดับร้อนยามอยู่ในฤดูร้อนมากที่สุด”

เฉินผิงอันรับพัดพับไผ่หยกที่เบาเหมือนขนห่านชิ้นนั้นมาไว้ในมือแล้วพูดสัพยอกว่า “ให้ของขวัญชิ้นใหญ่ขนาดนี้ เจ้าคือคนที่อยู่บนภูเขาหลังอ๋าวสินะ?”

เผยเฉียนใคร่ครวญ ก่อนหน้านี้ชุยตงซานบอกว่าภูเขาหลังอ๋าวคือ ‘ภูเขาตบหน้า’ นางเพิ่งจะแอบดีใจ รู้สึกว่าการมอบของขวัญครั้งนี้ อาจารย์ของตนถือว่าทำการค้าที่คุ้มค่า ทว่าตอนนี้กลับเริ่มไม่พอใจชุยตงซานแล้ว

ชุยตงซานหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง “ไปแล้วๆ”

ไม่รู้ว่าเหตุใดตอนที่ชุยตงซานหันหน้ามาทางเผยเฉียนถึงได้ยื่นนิ้วชี้มาตั้งวางไว้บนปาก

เผยเฉียนกะพริบตาปริบๆ แกล้งโง่

ชุยตงซานกลับจ้องนางเขม็งอยู่อย่างนั้น

เผยเฉียนถึงได้กระทืบเท้า “ก็ได้ ไม่พูด พวกเราสองคนถือว่าหายกัน!”

ชุยตงซานบิดกาย เรือนกายพลิกหมุน ชายแขนเสื้อใหญ่พลิ้วสะบัด ร่างทั้งร่างทะยานวูบถอยหลัง พริบตาเดียวก็กลายเป็นรุ้งยาวสีขาวเส้นหนึ่งที่ไปจากภูเขาลั่วพั่วทั้งอย่างนี้

เฉินผิงอันพาเผยเฉียนเดินขึ้นเขา รับจอบจากมือนางมาถือไว้

เผยเฉียนอดกลั้นอยู่นาน ในที่สุดก็ถามเบาๆ ว่า “อาจารย์ ทำไมถึงไม่ถามข้าล่ะว่าเจ้าห่านขาวไม่อยากให้ข้าพูดอะไร? หากอาจารย์ถาม ข้าที่เป็นลูกศิษย์ก็ได้แต่เปิดปากเท่านั้น อาจารย์ทั้งได้รู้คำตอบ และข้าก็ไม่ถือว่าผิดคำพูด ดีจะตายไป”

เฉินผิงอันลูบศีรษะของเผยเฉียน เพียงยิ้มไม่เอ่ยคำใด

เผยเฉียนกระโดดโลดเต้นอยู่ข้างกายเฉินผิงอัน พวกเขาเดินขึ้นบันไดไปด้วยกัน เมื่อหันหน้าไปมองก็ไม่เห็นเงาร่างของห่านขาวใหญ่ตัวนั้นแล้ว

ก่อนหน้านี้หลังจากห่านขาวตัวนั้นปลูกแกนเหมยกับมือตัวเอง เผยเฉียนเห็นกับตาตัวเองว่าในใจของเขา ริมบ่อลึกที่มีเจียวหลงว่ายวน นอกจากจะมีตำราตัวอักษรสีทองพวกนั้นแล้ว ยังมีต้นเหมยเล็กๆ เพิ่มขึ้นมาอีกต้นหนึ่ง

เฉินผิงอันพลันถามว่า “เจ้ารังแกห่านขาวในตรอกของเมืองเล็ก เกี่ยวอะไรกับการที่เจ้าตั้งฉายาให้ชุยตงซานว่าห่านขาวใหญ่หรือไม่?”

เผยเฉียนเช็ดเหงื่อบนหน้าผาก จากนั้นก็ส่ายหน้าอย่างแรง “อาจารย์! ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกันแม้แต่ครึ่งเหรียญทองแดง ข้าไม่ได้เห็นห่านขาวพวกนั้นเป็นชุยตงซานอย่างแน่นอน! ทุกครั้งที่ข้าเห็นพวกมัน ไม่ว่าจะเป็นตีกันก็ดี หรือภายหลังที่ขี่พวกมันลาดตระเวนไปทั่วถนนใหญ่ตรอกเล็กก็ช่าง ข้าไม่เคยนึกถึงชุยตงซานแม้แต่ครั้งเดียว!”

เฉินผิงอันกลั้นยิ้ม “พูดความจริงมา”

เผยเฉียนมือหนึ่งถือไม้เท้าเดินป่า อีกมือหนึ่งกระตุกชายแขนเสื้อสีเขียวของเฉินผิงอัน พูดอย่างน่าสงสารว่า “อาจารย์ เมื่อครู่ตอนที่ปลูกเมล็ดพันธ์อวี๋เฉียนพวกนั้น ลำบากนัก เหนื่อยจะตายอยู่แล้ว ตอนนี้ไม่ว่าคิดอะไรก็ปวดหัวไปหมดเลย”

เฉินผิงอันยื่นมือมากุมมือของเผยเฉียนเอาไว้ ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “เอาเถอะๆ อาจารย์ไม่ใช่คนขี้ฟ้องสักหน่อย”

เผยเฉียนยิ้มกว้างสดใส หันหน้ามา เชิดใบหน้าขึ้นน้อยๆ จ้องใบหน้าด้านข้างของอาจารย์นิ่ง “อาจารย์ ไม่เป็นไร ต่อให้อาจารย์ฟ้อง ข้าก็ไม่รู้สึกน้อยใจเลยแม้แต่นิดเดียว อาจารย์ดีขนาดนี้แล้ว หากดียิ่งกว่านี้จะไม่ยิ่งร้ายกาจหรอกหรือ”

“อาจารย์ออกเดินทางไกลครั้งนี้ คงไม่กลับภูเขาลั่วพั่วในเร็ววัน ไปเรียนหนังสือที่โรงเรียนก็ดี เที่ยวเตร็ดเตร่ไปรอบด้านก็ช่าง ไม่จำเป็นต้องระมัดระวังเกินไป แต่ก็ห้ามเกเรซุกซนเกินไป ทว่าขอแค่เป็นเรื่องที่เจ้าเป็นฝ่ายมีเหตุผล ต่อให้เรื่องที่ก่อไว้จะใหญ่แค่ไหน เจ้าก็ไม่ต้องกลัว ต่อให้อาจารย์จะไม่อยู่ข้างกายเจ้า ก็จงไปหาผู้อาวุโสชุย จูเหลี่ยน เจิ้งต้าเฟิง เว่ยป้อ พวกเขาล้วนจะช่วยเหลือเจ้า ทว่าหลังจากจบเรื่อง ยามที่พวกเขาใช้เหตุผลพูดกับเจ้า เจ้าเองก็ต้องเชื่อฟังอย่างว่าง่ายเช่นกัน เรื่องบางอย่างไม่ใช่ว่าเจ้าไม่ได้ทำผิดแล้วก็ไม่ต้องรับฟังเหตุผลใดๆ”

“ตกลง อาจารย์ ท่านวางใจเถอะ ต่อให้ได้รับความอยุติธรรมจริงๆ ขอแค่ไม่ใช่ความอยุติธรรมที่ใหญ่เกินไป ถ้าอย่างนั้นข้าก็จะลองจินตนาการดูว่า แท้จริงแล้วอาจารย์อยู่ข้างกายข้า ข้าก็เลิกโกรธได้แล้ว”

“ถึงอย่างไรก็เป็นเรื่องที่ยังไม่เกิดขึ้นจริง อาจารย์จึงพูดอะไรไม่ได้มาก หลังอาจารย์จากไปแล้ว เจ้าสามารถไปถามจูเหลี่ยนหรือเจิ้งต้าเฟิงได้ว่า อะไรที่เรียกว่าบิดงอให้ตรง จากนั้นก็ลองใคร่ครวญเอาเอง แม้จะบอกว่าเป็นฝ่ายมีเหตุผล แต่ไม่ว่าใครในภูเขาลั่วพั่วก็ห้ามคิดว่าตัวเองมีเหตุผลจึงไม่ยอมลงให้ผู้อื่น และคนดีได้รับความอยุติธรรมก็ไม่เคยเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลตามหลักฟ้าดินใดๆ คำพูดเหล่านี้ ไม่ต้องรีบร้อน เจ้าค่อยๆ คิดไป เหตุผลที่ดีไม่ได้อยู่แค่ในตำราและในโรงเรียนเท่านั้น พี่หญิงสือโหรวของเจ้าในตรอกฉีหลงก็มีเหตุผลเหมือนกัน เฉินยวนจีที่เรียนวิชาหมัดได้ค่อนข้างช้าบนภูเขาลั่วพั่วก็เช่นกัน เจ้าจงดูให้มาก คิดให้มาก การค้าขายที่ไร้ต้นทุนที่สุดในใต้หล้านี้ก็คือการเรียนรู้สิ่งที่ดีมาจากคนอื่น”

“อาจารย์…”

“รู้ว่าเจ้าเริ่มปวดกบาลอีกแล้ว ถ้าอย่างนั้นอาจารย์ก็จะพูดแค่นี้ หลายปีจากนี้ ต่อให้เจ้าอยากจะฟังอาจารย์บ่นก็ไม่มีโอกาสแล้ว”

“ฮ่าๆ อาจารย์ท่านเข้าใจผิดแล้ว ข้าหิวต่างหาก อาจารย์ท่านฟังสิ ท้องข้ากำลังร้องโครกครากเลยนะ ไม่ได้โกหกท่านใช่ไหมล่ะ?”

“คนฝึกวรยุทธ ดึกๆ ดื่นๆ จะกินอาหารมื้อดึกได้อย่างไร ทนไปก่อน”

“อาจารย์ หากท่านไปถึงอุตรกุรุทวีปอะไรนั่นแล้วต้องส่งจดหมายกลับมาบ่อยๆ นะ ข้าจะได้คอยบอกพวกพี่หญิงเป่าผิงและหลี่ไหวว่าอาจารย์ปลอดภัยสบายดี ฮ่าๆ บอกว่าผิงอัน (ผิงอันแปลว่าปลอดภัย/สุขสบาย) บอกชื่ออาจารย์…”

“…”

เผยเฉียนมือหนึ่งถือไม้เท้าเดินป่า อีกมือหนึ่งจูงมืออาจารย์ ความกล้าหาญของนางเปี่ยมล้น ยืดอกตั้ง ก้าวเดินอย่างอาจหาญ ภูตผีปีศาจหวาดผวา

หนึ่งคนโตหนึ่งเด็กเดินอยู่ด้วยกันท่ามกลางแสงจันทร์ ค่อยๆ เดินขึ้นสู่ที่สูง

ราวกับว่านาทีนี้ แสงจันทร์ในใต้หล้า สาดส่องลงมาที่ภูเขาลูกนี้มากที่สุด

—–

Related

กระบี่จงมา

กระบี่จงมา

Score 10
Status: Completed

อ่านนิยาย กระบี่จงมา 1 – 400 อ่านนิยาย

( อ่านต่อข้างล่าง )


” หนึ่งโลกธาตุขนาดใหญ่ เต็มไปด้วยความลี้ลับมหัศจรรย์  ใจกลางฟ้าดิน เคยมีปัญญาชนผู้หนึ่งใช้หนึ่งกระบี่ฟาดฟันให้เกิดน้ำตกธารสวรรค์ คือความภาคภูมิใจสูงสุดของโลกมนุษย์  หน้าผาทะเลบูรพา มีนักพรตไร้นามผู้หนึ่งที่ไม่ยินดียินร้ายกับสิ่งใด หวังเพียงให้ลมเย็นโชยมาปะทะใบหน้า  แดนสุขาวดีปัจฉิมทิศ มีหลวงจีนเฒ่าที่ชอบเล่าเรื่องราวให้ผู้คนฟัง เลี้ยงมังกรสวรรค์ไว้เก้าตัว พื้นที่กันดารแดนใต้ มีจิตรกรตาบอดควบคุมหุ่นเชิดเกราะทองสูงเท่าเนินเขาให้เคลื่อนย้ายภูเขาใหญ่หนึ่งแสนลูก ปูแผ่เป็นภาพลายปัก
เมื่อวันหนึ่งเด็กหนุ่มยากจนที่เติบโตทางทิศเหนือได้พบกับเซียนที่เหนือศีรษะมีกระบี่บินนับพันนับหมื่นประดุจฝูงตั๊กแตน “

เขาจึงอยากจะไปเห็นปัญญาชนคนนั้น เห็นคลื่นยักษ์ที่โถมตัวเทียมฟ้าของทะเลบูรพา

เห็นทะเลทรายสีเหลืองทองกว้างไกลนับหมื่นลี้ของแดนประจิม

และอยากไปเห็นภูเขาลูกโอฬารของแดนกันดารทางใต้ที่นักเล่านิทานเอ่ยถึงกับตาตัวเอง

ดังนั้น ในที่สุดวันหนึ่ง เด็กหนุ่มจึงสะพายกระบี่ไม้พาดหลัง มุ่งหน้าไปทางทิศใต้

–ข้ามีนามว่าเฉินผิงอัน ผิงอันที่แปลว่าสงบสุข สันติ ข้าคือมือกระบี่คนหนึ่ง–

Options

not work with dark mode
Reset