กระบี่จงมา 462.2 ไม่เป็นกุมารแจกทรัพย์อีกแล้ว

ตอนที่ 462.2 ไม่เป็นกุมารแจกทรัพย์อีกแล้ว

เว่ยป้ออธิบายกฎระเบียบและเรื่องวงในอีกมากมายระหว่างสำนักเบื้องบนกับสำนักเบื้องล่างให้เฉินผิงอันฟังรอบหนึ่ง

ในที่สุดเฉินผิงอันก็ได้เข้าใจอย่างกระจ่างแจ้ง

ว่าเหตุใดสำนักกุยหยกถึงได้ทำตัวผิดปกติซ้ำแล้วซ้ำเล่า นับตั้งแต่ผู้เฒ่าแซ่สวินที่ปรากฏตัวในนครมังกรเฒ่า ไปจนถึงเจียงซ่างเจิน สุดท้ายมาถึงที่เกาะกงหลิ่ว ล้วนไม่เห็นแก่ ‘ความสัมพันธ์ควันธูป’ กันเลยแม้แต่น้อย

ที่แท้ก็เกี่ยวพันกับกิจการใหญ่พันปีของสำนัก

เฉินผิงอันแกว่งน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ มีเพียงเสียงถอนหายใจเท่านั้น ไม่มีอารมณ์จะดื่มเหล้า

ไม่รู้ว่าท่ามกลางแผนการครั้งนี้ ผู้เฒ่าแซ่สวินและเจียงซ่างเจินจะมีบทบาทอะไรกันบ้าง

ตอนนี้ผู้ที่เข้าใจรากฐานของกลุ่มภูเขาทางทิศตะวันออกเขตการปกครองหลงเฉวียนได้ดีที่สุดย่อมต้องเป็นเว่ยป้อ การเคลื่อนย้ายโชคชะตาแม่น้ำและภูเขาล้วนไม่ใช่เรื่องยาก แต่กลับไปที่ปัญหาแรกเริ่มสุดของเฉินผิงอัน ค่ายกลใหญ่ปกป้องภูเขาทั้งสองแห่งจะสร้างขึ้นที่ด จะเริ่มดำเนินงานก่อสร้างกันเมื่อไหร่ สีหน้าของเว่ยป้อกลับไม่ผ่อนคลายนัก เขาเอ่ยเนิบช้าว่า “ค่ายกลใหญ่ทั้งสองแห่งมีระดับขั้นสูงมาก และการเผาผลาญก็ยิ่งน่าตกใจ ในเมื่อตอนนี้เจ้ายังขาดวัตถุอันเป็นกุญแจสำคัญ หากไม่ได้รีบร้อนล่ะก็ ข้าแนะนำให้เจ้าค่อยตัดสินใจภายหลัง เรื่องของค่ายกลใหญ่ปกป้องภูเขานั้นเป็นเรื่องที่สำคัญในสำคัญของการก่อตั้งสำนักของผู้ฝึกตนทุกคน รอให้วันใดไร้ข้อผิดพลาดจริงๆ แล้วค่อยสร้างค่ายกลดีๆ ขึ้นมารวดเดียว ทางที่ดีที่สุดคือไม่ควรสร้างๆ หยุดๆ”

เว่ยป้อยิ้มเอ่ย “ถึงอย่างไรทุกวันนี้เขตการปกครองหลงเฉวียนก็มีข้าอยู่ เจ้าจึงไม่ต้องเป็นกังวลกับภูเขาเหล่านั้นของชั่วคราว หากไม่ได้จริงๆ ก็ยังมีอริยะหร่วนอีกคนหนึ่งนี่นะ”

เฉินผิงอันรู้สึกหัวโตขึ้นมาทันควัน

ล้อเล่นกันผ่านไปแล้ว เว่ยป้อก็พูดเรื่องเป็นการเป็นงานต่ออีกครั้ง “ยอดฝีมือสำนักโม่ที่เชี่ยวชาญค่ายกลและเวทกลไก สถานที่อื่นๆ ของแจกันสมบัติทวีปนั้นหาได้ไม่ง่าย แต่ต้าหลีของพวกเรากลับมีอยู่ไม่น้อย เรื่องนี้สามารถเตรียมการไว้ล่วงหน้าก่อนได้ หลีกเลี่ยงไม่ให้ถึงเวลาจริงๆ แล้วยุ่งจนหัวหมุน ค่ายกลใหญ่สองแห่งนี้ ผู้ฝึกตนทั่วไปของสำนักโม่คงไม่กล้ารับช่วงต่อจริงๆ จำเป็นต้องหาตัวเลือกไว้แต่เนิ่นๆ จากนั้นค่อยหาเวลา ไม่ใช่หาเวลาก่อนแล้วค่อยหาคน ดังนั้นช่วงนี้เจ้าควรจะหาโอกาสติดต่อไปหาจอมยุทธพเนจรสวี่รั่วผู้นั้น คนผู้นี้มีน้ำหนักอย่างมากในกลุ่มของบุคคลเบื้องหลังต้าหลี ขนาดข้ายังมองตื้นลึกของเขาไม่ออก เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องสนใจ ข้าจะออกหน้าช่วยทักทายเขาให้เอง ไม่อย่างนั้นก็ไม่แน่เสมอไปว่าเจ้าจะหาตัวสวี่รั่วพบ”

เว่ยป้อคงกังวลว่าเฉินผิงอันจะใจร้อนเกินไป จะต้องสร้างค่ายกลใหญ่ให้สำเร็จก่อนเดินทางไปยังอุตรกุรุทวีปให้ได้ถึงจะวางใจ จึงเอ่ยย้ำเตือนอีกครั้งอย่างใจเย็นว่า “บนเส้นทางของการฝึกตน มหามรรคายาวไกล โอกาสมากมายต้องช่วงชิงมา ทว่าเรื่องดีๆ บางอย่างก็จำเป็นต้องรอคอย ไม่ใช่ว่าเพราะการเดินทางไปเยือนทะเลสาบซูเจี่ยนต้องเผชิญกับความทุกข์ยากนานับประการ หนึ่งวันผ่านไปเหมือนหนึ่งปี แล้วจะรู้สึกว่ากาลเวลาบนโลกล้วน…เชื่องช้าไปเสียทั้งหมด”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “หลักการนี้ ข้าเข้าใจ”

เว่ยป้อยิ้มบางๆ “ยังนับว่าดี ข้ายังนึกว่าต้องเปลืองน้ำลายมากกว่านี้ถึงจะพูดโน้มน้าวเจ้าได้เสียอีก”

เฉินผิงอันกล่าวอย่างระอาใจ “บอกตามตรง ข้าอยากมีภูเขาที่เข้าท่าเข้าที กว้างขวาง โอ่อ่า สง่างามอย่างคนอื่นเขามากจริงๆ เวลาที่ข้าไม่อยู่บนภูเขา แต่อยู่ห่างไปไกลเป็นพันเป็นหมื่นลี้ก็ยังสบายใจได้ นั่นเป็นเรื่องที่…แค่คิดก็ทำให้อารมณ์ดีมากแล้ว เพียงแต่ว่าในเมื่อเจ้าพูดขนาดนี้แล้ว ข้าก็ได้แต่ต้องอดทนไว้ ค่อยเป็นค่อยไปก็แล้วกัน”

เฉินผิงอันพลันหัวเราะขึ้นมา แล้วผูกน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ไว้ตรงเอว “องค์เทพใหญ่เว่ย ไม่ทราบว่ายังมีไผ่เฟิ่นหย่งเหลืออีกมากน้อยเท่าไหร่? ขอแค่ลำเดียวก็พอ”

เว่ยป้อถามด้วยรอยยิ้มตาหยี “นี่เรียกว่าการตบทรัพย์ได้หรือไม่?”

เฉินผิงอันกล่าวอย่างขุ่นเคือง “ควรจะเป็นเงินเทพเซียนเท่าไหร่ก็เท่านั้น คิดตามราคาตลาดแล้วติดค้างภูเขาพีอวิ๋นไว้ก่อนก็แล้วกัน นี่ก็ไม่ใช่เพราะข้าคิดว่าเพิ่งกลับมาได้ไม่นานก็ต้องไปจากเขตการปกครองหลงเฉวียนอีกแล้ว เลยรู้สึกผิดต่อเผยเฉียนหรอกหรือ ทำดาบไม้ไผ่กระบี่ไม้ไผ่ให้นางไว้สักสองเล่มเป็นของขวัญจากลา นางจะได้ไม่ต้องร้องไห้โยเย”

เว่ยป้อยกนิ้วโป้งขึ้น “ช่วยเจ้าติดต่อสวี่รั่วคือเรื่องหนึ่ง”

จากนั้นก็ยกนิ้วชี้ตามมา “ทำหน้าหนาขอไม้ไผ่เฟิ่นหย่งหนึ่งลำ คือเรื่องที่สอง”

สุดท้ายเว่ยป้อชูนิ้วกลาง “ว่ามาเถอะ จะได้ครบสามข้อพอดี”

“ยังมีอีกจริงๆ นั่นแหละ”

เฉินผิงอันหัวเราะร่า “ตอนนี้ข้าเหลือเงินเหรียญทองแดงแก่นทองแค่ถุงเดียวแล้ว จำเป็นต้องเก็บไว้ให้คนทั้งสี่ในม้วนภาพวาด ชุดคลุมอาคมจินหลี่ตัวนั้น ขอแค่โยนเหรียญทองแดงแก่นทองลงไปก็จะสามารถเลื่อนระดับขั้นได้ มีคนเคยบอกว่า ทางที่ดีที่สุดคือให้มันกินเหรียญทองแดงแก่นทองรวดเดียวจนเลื่อนเป็นอาวุธกึ่งเซียนไปเลย ไม่มีทางขาดทุนแน่นอน ต่อให้ในอนาคตข้าได้เลื่อนขั้นเป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตร่างทอง สวมใส่มันแล้วจะกลับกลายเป็นภาระ แต่อย่างมากก็แค่ขายต่อให้คนอื่น ย่อมได้ราคาสูงเทียมฟ้า แต่หากอิงตามคำบอกของต้าหลีในทุกวันนี้ เหรียญทองแดงแก่นทองทั้งหมดที่ติดค้างข้าไว้จะถือว่าหายกันหลังจากที่ขายภูเขาเหล่านั้นให้แก่ข้า ข้าก็เลยอยากจะขอให้ท่านเทพภูเขาใหญ่เว่ยที่มีความสามารถมากต้องเหนื่อยยากสักหน่อย ช่วยทำหน้าที่เป็นคนกลางติดต่อแทนข้า จะดีจะชั่วก็ขอให้เจียดเงินเหรียญทองแดงแก่นทองมาให้ข้าสักสองสามถุง หากไม่ได้จริงๆ ก็ถือซะว่าข้าติดหนี้ราชสำนักต้าหลีไว้ก่อนก็แล้วกัน”

เว่ยป้อยิ้มกว้าง ถามว่า “ขอถามจอมยุทธน้อยเฉินท่านนี้ ไม่ทันระวังเอาหนังหน้าไปทิ้งไว้ที่มุมใดในยุทธภพมาใช่หรือไม่? เลยลืมเก็บกลับมาที่เขตการปกครองหลงเฉวียนด้วย?”

เฉินผิงอันพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “ฟังเจ้าพูดเข้าสิ ทำให้เสียความรู้สึกยังเป็นเรื่องรอง ประเด็นสำคัญคือไม่มีมาดของเทพเซียนเอาเสียเลย แบบนี้ไม่ควรเลยนะ”

เว่ยป้อยื่นนิ้วมานวดคลึงหว่างคิ้ว “เฉินผิงอัน อันที่จริงเจ้าคืออาจารย์แห่งการประจบสอพลอของท่านจูกับเผยเฉียนใช่ไหม?”

เฉินผิงอันเงียบรอฟังคำพูดต่อไปของอีกฝ่าย

เว่ยป้อคิดแล้วก็เอ่ยว่า “ไม้ไผ่หนึ่งลำยังคุยกันได้ง่าย ยกให้เจ้าก็ไม่มีปัญหา ถือซะว่าเป็นของขวัญพบหน้าที่ข้ามอบให้แม่นางน้อยผู้นั้นก็แล้วกัน แต่เรื่องที่จะขอเงินเหรียญทองแดงแก่นทองสองสามถุงมาจากต้าหลี เรื่องนี้เดิมทีไม่ถือว่าใหญ่ แต่การที่เปิดราคามากะทันหัน ถึงอย่างไรก็ถือว่าผิดกฎการทำธุรกิจ ดังนั้นข้าคงต้องใคร่ครวญให้ดีก่อนว่าควรจะเปิดปากเช่นไร”

เฉินผิงอันกุมหมัดยิ้ม

เว่ยป้อพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “เฉินผิงอัน อย่ารังเกียจหาว่าข้าทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่ แต่ไม่ว่าจะเป็นองค์เทพแห่งภูเขาสายน้ำหรือผู้ฝึกตนบนภูเขา มีกฎเกณฑ์บางอย่างที่มองดูแล้วยิ่งเล็ก ยิ่งอยู่ระดับล่าง ดูคล้ายว่าต่อให้ย่ำยีเท่าไหร่ก็ไม่ส่งผลร้ายใดๆ แท้จริงแล้วเจ้ากลับควรต้องให้ความเคารพมากเท่านั้น”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ตอนที่เป็นนักบัญชีอยู่ในทะเลสาบซูเจี่ยน ข้าก็เคยคิดถึงเรื่องนี้มาก่อน ภายหลังเดินทางท่องไปตามสถานที่ต่างๆ ก็พอจะมีประสบการณ์กับเรื่องนี้มาบ้างแล้ว”

สีหน้าของเว่ยป้อถึงได้กลับคืนมาเป็นปกติ พูดอย่างขมขื่นว่า “เป็นคนมีความสามารถต้องลำบากกว่าคนอื่นจริงๆ”

เว่ยป้อมองไปทางภูเขาลั่วพั่วแล้วยิ้มกล่าวว่า “ภูเขาลั่วพั่วมีแขกมาเยือนอีกแล้ว”

เฉินผิงอันเหมือนคนที่ถูกงูกัดแล้วกลัวเชือกไปสิบปี หัวใจของเขาพลันหดรัดตัว กลัวว่าหร่วนฉงจะยังไม่หายโมโห บุกมาต่อยตีเขาถึงบนภูเขา

เว่ยป้อยื่นมือข้างหนึ่งมาคว้าไหล่เฉินผิงอัน ยิ้มกล่าวว่า “ไปดูเดี๋ยวก็รู้เอง”

เฉินผิงอันพลันเอ่ยว่า “เดี๋ยวก่อน”

เว่ยป้อหยุดชะงัก พูดด้วยสีหน้าขุ่นเคือง “ยังมีเรื่องอะไรอีก? เฉินผิงอัน นี่เจ้าชักจะเกินกว่าเหตุแล้วนะ”

เฉินผิงอันเอ่ยสัพยอก “เชิญเทพมาง่าย ส่งเทพกลับไปยากอย่างไรล่ะ”

เว่ยป้อยกสองมือขยี้ข้างแก้ม “มาเถอะ สี่มงคลมาเลย”

เฉินผิงอันหยิบใบอู๋ถงใบนั้นออกมาอีกครั้ง หลังจากนั้นก็หยิบแผ่นหยก ‘ข้าเชี่ยวชาญการบ่มเพาะจิตใจที่ซื่อตรงและยิ่งใหญ่’ ของอริยะที่มีรูปปั้นตั้งวางในศาลบุ๋นออกมาจากวัตถุฟางชุ่น

เว่ยป้อชำเลืองตามองแผ่นหยก แล้วจุ๊ปากพูด “ของเล่นชิ้นนี้ ไม่ใช่แค่ร้อนลวกมือธรรมดา”

เฉินผิงอันยื่นส่งแผ่นหยกมาให้พลางยิ้มกล่าวว่า “ให้เจ้ายืมเป็นเวลาหนึ่งร้อยปี ถือซะว่าเป็นเงินซื้อไม้ไผ่เฟิ่นหย่งลำนั้นของข้า”

เว่ยป้อรับแผ่นหยกมาอย่างไม่ลังเล พูดกลั้วหัวเราะเสียงดัง “สมกับที่สนิทกัน นับตั้งแต่ที่เจ้ากลับมายังเขตการปกครองหลงเฉวียน ข้าก็เริ่มรอคอยประโยคนี้ของเจ้าแล้ว มีแผ่นหยกแผ่นนี้อยู่ ตำแหน่งองค์เทพขุนเขาเหนือต้าหลีของข้านี้ก็ถือว่านั่งได้มั่นคงอย่างแท้จริงแล้ว ต่อให้มอบอาณาเขตครึ่งหนึ่งของแจกันสมบัติทวีปมาอยู่ในการปกครองของข้า ก็สามารถรับรองได้ว่าภูเขาและแม่น้ำจะมั่นคง ไม่มีทางดันท้องของข้าเว่ยป้อให้แตกได้แน่นอน”

แล้วเฉินผิงอันก็วางใบอู๋ถงไว้บนมือของเว่ยป้อ “เศษชิ้นส่วนร่างทองแก้วใสชิ้นที่ใหญ่กว่านั้น มอบให้เจ้า ใบอู๋ถงนี้ข้าไม่สะดวกพกไว้ติดตัว ถ้าเช่นนั้นก็เก็บไว้บนภูเขาพีอวิ๋นก็แล้วกัน ถึงอย่างไรตอนนี้ก็ไม่ได้รีบสร้างค่ายกลใหญ่สองแห่งนั้นอยู่แล้ว”

คราวนี้เว่ยป้อรู้สึกประหลาดใจจริงๆ จะมอบเศษชิ้นส่วนร่างทองแก้วใสที่ใหญ่เท่ากำปั้นเด็กให้ตนอย่างนั้นหรือ?

นี่เป็นสมบัติล้ำค่าระดับโลกที่สามารถทำให้ผู้ฝึกตนห้าขอบเขตบนฆ่ากันตายโดยไม่เสียดายชีวิตได้เลยนะ

นี่เป็นเรื่องที่เว่ยป้อไม่กล้าคิดเลยด้วยซ้ำ

ต่อให้เศษชิ้นส่วนแก้วใสจากร่างทองที่ไร้มลทินเหล่านี้จะมีประโยชน์ต่อองค์เทพแห่งภูเขาและแม่น้ำมากที่สุด เหนือกว่าผู้ฝึกตนก็ตาม

เว่ยป้ออดทนอยู่นาน สุดท้ายก็ถามว่า “เรื่องดีมักมาเป็นคู่ ไม่สู้มอบชิ้นเล็กที่เหลืออยู่ให้ข้าพร้อมกันเลย?”

เฉินผิงอันชูนิ้วกลางเป็นคำตอบ

เว่ยป้อรู้สึกเหมือนยกภูเขาออกจากอก “ดูท่านี่คงเป็นผลลัพธ์จากการใคร่ครวญอย่างละเอียดรอบคอบ และจะไม่มีทางเสียใจภายหลังแล้ว”

เว่ยป้อเก็บใบอู๋ถงมาอย่างระมัดระวัง เอ่ยชื่นชมหนึ่งประโยคว่า เฉินผิงอันสมกับเป็นกุมารแจกทรัพย์จริงๆ

เฉินผิงอันเอ่ยอย่างลำพองใจ “นี่เรียกว่าหากคิดจะให้ม้าวิ่ง ก็ต้องมีหญ้าให้กิน”

เว่ยป้อชำเลืองตามองเฉินผิงอัน “ไม่เสียใจภายหลังจริงๆ หรือ?”

เฉินผิงอันส่ายหน้า เขาทอดสายตามองไปไกลด้วยสีหน้าเลื่อนลอยเล็กน้อย สองมือสอดกันไว้ในชายแขนเสื้อ ท่าทางเหนื่อยล้าถึงขีดสุด “การเดินทางไปเยือนทะเลสาบซูเจี่ยน ต้องเผชิญหน้ากับปัญหาเพียงลำพัง จะยืดแขนยืดขาเดินออกไปสักก้าวก็กล้าๆ กลัวๆ ข้าไม่ต้องการให้วันใดในอนาคต อยู่ที่บ้านเกิดของตัวเองแล้วยังได้แค่พึ่งพาตัวเองไปเสียทุกเรื่องอยู่ตลอดเวลา ข้าเองก็อยากแอบอู้บ้างเหมือนกัน”

เว่ยป้อนิ่งคิดไปครู่หนึ่ง ก่อนยิ้มถามว่า “เศษแก้วใสชิ้นเล็กนั่น เดิมทีคิดจะมอบให้เทพภูเขาบนภูเขาลั่วพั่วกระมัง? ถึงอย่างไรญาติที่อยู่ห่างไกลก็ไม่สู้เพื่อนบ้านใกล้เคียง กระชับความสัมพันธ์สานไมตรี ไม่ใช่เรื่องเลวร้าย”

เฉินผิงอันอืมรับหนึ่งที “ตอนนี้ดูท่าคงสามารถประหยัดไปได้แล้ว”

เว่ยป้อกล่าว “แบบนี้ไม่สมกับเป็นกุมารแจกทรัพย์เลยนะ”

เฉินผิงอันเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ “ข้าไม่ใช่ตั้งแต่แรกแล้วต่างหาก!”

เว่ยป้อเพียงยิ้มรับ

เฉินผิงอันนึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้จึงถามว่า “ใช่แล้ว ตอนนี้บนภูเขาหนิวเจี่ยวมีเรือข้ามฟากที่เดินทางไปแถบแคว้นไฉ่อีอยู่หรือไม่?”

เว่ยป้อพยักหน้ารับ “หน้าตาเพียงเล็กน้อยแค่นี้ องค์เทพขุนเขาเหนือยังพอมีอยู่บ้าง”

เฉินผิงอันคลี่ยิ้ม “คราวหน้าข้าคงจะต้องเดินขึ้นภูเขาพีอวิ๋นมาตั้งแต่ตีนเขา แล้วเที่ยวชมภูเขาพีอวิ๋นให้ดีๆ สักรอบแล้ว”

เว่ยป้อกล่าว “ถือโอกาสไปเดินเที่ยวที่สำนักศึกษาหลินลู่ด้วยสิ ที่นั่นมีสหายของเจ้ามาเรียนอยู่ด้วย”

ก็คือเกาเซวียนองค์ชายต้าสุย

สำหรับคนผู้นี้ เฉินผิงอันไม่ได้มีความประทับใจที่เลวร้ายอะไร

เว่ยป้อกล่าวอย่างปลงอนิจจัง “ดินทับถมเป็นภูเขาสูง ลมฝนเกิดขึ้นที่นี่ เฉินผิงอัน เจ้าสามารถคาดหวังรอคอยต่ออนาคตได้จริงๆ แล้ว ในบรรดาภูเขาทั้งหมด ภูเขาลั่วพั่ว ภูเขาฮุยเหมิง แท่นบูชากระบี่ ฯลฯ ถิ่นฐานมากมายเหล่านี้ของเจ้าจะมีผู้เฒ่าแซ่ชุย ชุยตงซาน เผยเฉียน จูเหลี่ยน ฯลฯ มีผู้ฝึกตนมากมาย และในต้าหลีก็มีข้าเว่ยป้อ มีสวี่รั่ว เจิ้งต้าเฟิง เกาเซวียน มีพันธมิตรมากมาย”

เฉินผิงอันยิ้มอย่างปลื้มใจ

ชีวิตคนเราหลังจากเผชิญกับความลำบากยากเข็ญมานับไม่ถ้วนแล้ว มักจะมีเหตุการณ์พลิกผันที่เปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นรออยู่เบื้องหน้าเสมอ

เว่ยป้อกดไหล่เฉินผิงอันอีกครั้ง “อย่าให้แขกรอนานเลย”

แล้วจึงผลักเบาๆ

ร่างของเฉินผิงอันหายวับไปจากภูเขาพีอวิ๋น

เว่ยป้อยืนอยู่บนยอดเขาเพียงลำพัง ภูเขาพีอวิ๋นสูงมาก ทะเลเมฆกว้างใหญ่ไพศาล ราวกับว่าสูงเท่าเทียมกับสวรรค์ชั้นฟ้า ทัดเทียมกับดวงจันทรา

ทอดสายตามองไป

ทัศนียภาพยิ่งใหญ่งดงาม

เงาจันทราบนผืนน้ำดุจคันฉ่องที่บินมาจากสวรรค์ ชั้นเมฆทับซ้อนกันสร้างภาพมายาตระการตา

—–

Related

กระบี่จงมา

กระบี่จงมา

Score 10
Status: Completed

อ่านนิยาย กระบี่จงมา 1 – 400 อ่านนิยาย

( อ่านต่อข้างล่าง )


” หนึ่งโลกธาตุขนาดใหญ่ เต็มไปด้วยความลี้ลับมหัศจรรย์  ใจกลางฟ้าดิน เคยมีปัญญาชนผู้หนึ่งใช้หนึ่งกระบี่ฟาดฟันให้เกิดน้ำตกธารสวรรค์ คือความภาคภูมิใจสูงสุดของโลกมนุษย์  หน้าผาทะเลบูรพา มีนักพรตไร้นามผู้หนึ่งที่ไม่ยินดียินร้ายกับสิ่งใด หวังเพียงให้ลมเย็นโชยมาปะทะใบหน้า  แดนสุขาวดีปัจฉิมทิศ มีหลวงจีนเฒ่าที่ชอบเล่าเรื่องราวให้ผู้คนฟัง เลี้ยงมังกรสวรรค์ไว้เก้าตัว พื้นที่กันดารแดนใต้ มีจิตรกรตาบอดควบคุมหุ่นเชิดเกราะทองสูงเท่าเนินเขาให้เคลื่อนย้ายภูเขาใหญ่หนึ่งแสนลูก ปูแผ่เป็นภาพลายปัก
เมื่อวันหนึ่งเด็กหนุ่มยากจนที่เติบโตทางทิศเหนือได้พบกับเซียนที่เหนือศีรษะมีกระบี่บินนับพันนับหมื่นประดุจฝูงตั๊กแตน “

เขาจึงอยากจะไปเห็นปัญญาชนคนนั้น เห็นคลื่นยักษ์ที่โถมตัวเทียมฟ้าของทะเลบูรพา

เห็นทะเลทรายสีเหลืองทองกว้างไกลนับหมื่นลี้ของแดนประจิม

และอยากไปเห็นภูเขาลูกโอฬารของแดนกันดารทางใต้ที่นักเล่านิทานเอ่ยถึงกับตาตัวเอง

ดังนั้น ในที่สุดวันหนึ่ง เด็กหนุ่มจึงสะพายกระบี่ไม้พาดหลัง มุ่งหน้าไปทางทิศใต้

–ข้ามีนามว่าเฉินผิงอัน ผิงอันที่แปลว่าสงบสุข สันติ ข้าคือมือกระบี่คนหนึ่ง–

Options

not work with dark mode
Reset