กระบี่จงมา 399.1 เรื่องที่ไม่กลัวที่สุดในใต้หล้านี้

ตอนที่ 399.1 เรื่องที่ไม่กลัวที่สุดในใต้หล้านี้

หลี่เป่าเจินมองคนหนุ่มที่ไม่ควรมาปรากฏตัวบนทางสายนี้ที่สุดผู้นั้น ความคิดก็พลันแล่นเร็วจี๋

เป็นหลิ่วชิงเฟิงที่อยู่ด้านหลังที่เล่นงานตน หวังจะยึดครองแผ่นดินเบื้องหลังของแคว้นชิงหลวนเพียงลำพัง? ไม่น่าจะใช่ ใต้เท้าราชครูไม่มีทางปล่อยให้หลิ่วชิงเฟิงกุมอำนาจใหญ่เพียงลำพัง ให้ตนคอยถ่วงดุลกับหลิ่วชิงเฟิงจึงจะเป็นหลักการที่ถูกต้องเหมาะสม

ถ้าอย่างนั้นก็คงเป็นความบังเอิญ คืนนี้เป็นเพียงแค่การพบเจอกันโดยบังเอิญที่เกิดขึ้นกะทันหันเท่านั้น?

หลี่เป่าเจินถอนหายใจ หากตนโชคร้ายขนาดนี้ก็ไม่สู้ให้ถูกคนวางแผนทำร้ายเสียยังดีกว่า ถึงอย่างไรการแข่งขันด้านทักษะการเล่นหมากล้อมก็สามารถใช้สมองมางัดข้อกับผู้อื่นได้ แต่หากเป็นโชควาสนาที่ย่ำแย่ ถ้าอย่างนั้นเขาหลี่เป่าเจินจะต้องไปจุดธูปไหว้พระจริงๆ น่ะหรือ?

หลี่เป่าเจินลุกขึ้นยืนอยู่ด้านหลังสารถีเฒ่า ถามเสียงเบา “เป็นยังไง?”

สารถีเฒ่าพูดเสียงหนัก “หนึ่งในผู้ติดตามที่อยู่ด้านหลังคนผู้นี้ ผู้ที่เป็นคนแก่หลังค่อม มีความเป็นไปได้อย่างยิ่งว่าจะเป็นผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตเดินทางไกล ขอบเขตไม่ต่ำไปกว่าข้า”

หลี่เป่าเจินตบหน้าผากตัวเอง “รายงานลับทำให้ข้าเข้าใจผิดซะแล้ว”

ตามคำบอกในรายงานที่สายลับส่งให้ช่วงที่ผ่านมานี้ เฉินผิงอันพักอยู่ในโรงเตี๊ยมสวนร้อยบุปผาของเมืองหลวง ปรมาจารย์สี่คนที่เป็นผู้ติดตามจากไปแล้วสามคน ข้างกายเหลือแค่ผู้ติดตามสองคนเท่านั้น คนหนึ่งมีชื่อว่าจูเหลี่ยน ยังไม่รู้ตบะตื้นลึก อาจเป็นผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตร่างทอง ส่วนอีกคนหนึ่งมีพฤติกรรมแปลกประหลาด ท่ามกลางคลื่นลมของสวนสิงโต เขาแสดงออกอย่างธรรมดาสามัญ ความสามารถที่แท้จริงน่าจะสู้จูเหลี่ยนไม่ได้ ส่วนตัวเฉินผิงอันเองนั้น ดูจากมาตรฐานการออกหมัดบนหัวกำแพงสวนสิงโต ขอบเขตต่ำสุดคือผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวขอบเขตห้า สามารถวาดยันต์ บนร่างสวมชุดคลุมอาคมตระกูลเซียนตัวหนึ่งที่บอกระดับได้ยากยิ่ง พกน้ำเต้าห้อยติดตัว คือน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ที่มีชื่อว่า ‘เจียงหู’ ด้านในเลี้ยงกระบี่บินไว้หรือไม่ ยังไม่รู้ได้

แม้จะบอกว่าเมื่อเอาเนื้อหาในรายงานที่กระจัดกระจายมาประกอบเข้าด้วยกันก็ยังไม่สามารถรู้รากฐานที่แท้จริงของเฉินผิงอันได้อยู่ดี

แต่นี่ไม่สำคัญ หลี่เป่าเจินตัดสินใจแน่วแน่แล้วว่า ต่อให้เฉินผิงอันที่อยู่ในเมืองหลวงแคว้นชิงหลวนกลายมาเป็นเทพเซียนพสุธาภายในชั่วข้ามคืนเดียว ก็ยังไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเขาหลี่เป่าเจินอยู่ดี

หลี่เป่าเจินคิดจะอาศัยสถานการณ์ใหญ่ของต้าหลีมาเป็นกระดานหมากของตัวเอง เพื่อปั่นหัวเฉินผิงอันที่อยู่ในสถานการณ์

เมื่อหมากแต่ละตัวบนกระดานขยับเคลื่อนอย่างเงียบเชียบ รายงานของพื้นที่บริเวณตะวันออกเฉียงใต้ของแจกันสมบัติทวีปที่ศาลาคลื่นมรกตของต้าหลีรวบรวมมาก็เหมือนใยแมงมุมที่ถูกถักทออย่างไม่หยุดนิ่ง

ก่อนจะออกมาจากต้าหลี ราชครูชุยฉานมอบทางเลือกให้หลี่เป่าเจินสามทาง ไปต้าสุย รับผิดชอบจับตามองพื้นที่แคว้นใต้อาณัติเก่าของต้าสุยซึ่งรวมไปถึงเชื้อพระวงศ์สกุลเกาและแคว้นหวงถิงด้วย หรือไปเยือนราชวงศ์จูอิ๋งที่มีผู้ฝึกกระบี่มากมายและเป็นหินขวางทางก้อนใหญ่สุดที่ขวางอยู่เบื้องหน้ากีบเท้าม้าเหล็กของต้าหลี ความเคลื่อนไหวของสำนักศึกษากวานหูที่อยู่ทางทิศใต้ก็ถือว่าสำคัญในสำคัญ สุดท้ายก็คือแคว้นชิงหลวน เพียงแต่ว่าเมื่อเปรียบเทียบกับสองแห่งแรก พื้นที่บ้านนอกเล็กๆ ที่ในอดีตถือเป็นพื้นที่รกร้างห่างไกลแห่งนี้ เมื่อมีปัญญาชนและชนชั้นสูงที่อยู่ภาคกลางของแจกันสมบัติทวีปย้ายถิ่นฐานลงใต้ สองปีที่ผ่านมานี้ศาลาคลื่นมรกตถึงได้เริ่มเพิ่มการลงทุนครั้งใหญ่ แน่นอนว่าสิ่งเหล่านี้เป็นเพียงการแสดงออกให้เห็นภายนอกซึ่งเขาหลี่เป่าเจินมองเห็นหลังจากขึ้นรับตำแหน่งขุนนางใหม่เท่านั้น ไม่อย่างนั้นแม้แต่คดีของสารถีเฒ่าผู้นี้ เขาก็คงไม่ถึงขั้นตรวจสอบไม่ได้ แต่หลี่เป่าเจินไม่ใช่คนโง่ วงการขุนนางมีผู้เฒ่าถังจ้งแคว้นชิงหลวน ยุทธภพมีพวกคนอย่างจู๋เฟิ่งเซียนพรรคต้าเจ๋อ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อราชครูชุยฉานมาเยือนที่แห่งนี้ด้วยตัวเอง และถึงขั้นยอมแหกกฎมาพบหลิ่วชิงเฟิงแห่งสวนสิงโต…ทั้งหมดนี้ต่างก็แสดงให้เห็นว่าสายตาของหลี่เป่าเจินไม่แย่ เลือกสถานที่แห่งนี้มาเป็น ‘สถานที่มังกรลุกผงาด’ ให้กับตัวเองที่อยู่ในราชสำนักต้าหลี อยู่ห่างจากน้ำวนใจกลางสกุลซ่งต้าหลีที่แม้แต่กระดูกคนก็ยังถูกบดให้แหลกเป็นผุยผงนั่นชั่วคราว ย่อมเป็นการเดิมพันที่ถูกต้องแล้ว

หลี่เป่าเจินโมโหเล็กน้อย หากรออีกสักสองสามวัน รอให้บุคคลยิ่งใหญ่ที่มีหน้าที่ดูแลความปลอดภัยของเขาเข้ามาในแคว้นชิงหลวนเสียก่อน นั่นก็จะเป็นสถานการณ์ดีเยี่ยมที่ไม่ว่าเรื่องใดก็ไม่ต้องหวาดกลัว ผู้บัญชาการณ์ใหญ่เหวยเลี่ยงเอย ผู้ถวายงานอันดับหนึ่งของสกุลถังอย่างโจวหลิงจืออะไรเอย ล้วนไม่มีค่าพอให้พูดถึง

แล้วทำไมเจ้าเด็กบ้านนอกตรอกหนีผิงผู้นี้ถึงได้เลือกเวลาและสถานที่อย่างในตอนนี้ได้เล่า?

หลี่เป่าเจินหันกลับไปค้อมตัวเลิกม่านขึ้น ยิ้มบางๆ ถามว่า “ท่านหลิ่ว มีทางหนีทีไล่หรือไม่?”

หลิ่วชิงเฟิงส่ายหน้า “ก็เหมือนกับเจ้า ต้องรออีกสองสามวันถึงจะมีเลขาธิการฝ่ายบู๊คนหนึ่งมาทำหน้าที่รับผิดชอบเป็นผู้ติดตามประจำตัวข้า”

หลี่เป่าเจินหน้ามุ่ย “หรือท่านหลิ่วจะทนเห็นพันธมิตรอย่างข้าตายไปก่อนจะทันได้ออกรบได้ลงคอ?”

หลิ่วชิงเฟิงคิดแล้วก็ตอบว่า “ข้าเชื่อว่าแผนการของราชครูชุยฉานต้องไม่มีข้อผิดพลาดแน่นอน”

หลี่เป่าเจินถอนหายใจหนึ่งที ปล่อยผ้าม่านลง ดูท่าไม่ว่าคืนนี้จะเป็นโชคหรือหายนะก็ล้วนหลบเลี่ยงไม่พ้นแล้ว

ใช่ว่าหลี่เป่าเจินจะไม่เชื่อมั่นในฝีมือการเล่นหมากล้อมของซิ่วหู่ แต่เป็นเพราะไม่แน่เสมอไปว่าใต้เท้าราชครูจะเห็นหญ้าบนยอดกำแพงอย่างเขาอยู่ในสายตาจริงๆ นี่นา หลี่เป่าเจินถึงขั้นเชื่อด้วยว่า หากต้องให้ชุยฉานตัดใจเลือกระหว่างตนกับหลิ่วชิงเฟิง อย่างน้อยตอนนี้ชุยฉานก็คงจะเลือกเก็บหลิ่วชิงเฟิงไว้บนกระดานหมากอย่างไม่ลังเล ส่วนเขาหลี่เป่าเจินก็จะถูกคีบขึ้นมาอย่างไม่ใส่ใจแล้วโยนกลับเข้าไปในโถเก็บเม็ดหมากให้จบๆ เรื่องกันไป ภูเขาเศษเครื่องกระเบื้องที่บ้านเกิดเกิดขึ้นมาได้อย่างไร นั่นก็ล้วนเป็นเม็ดหมากน่าสงสารที่ถูกทอดทิ้งเพราะน้ำหนักไม่มากพอ จึงแหลกสลายกลายเป็นผุยผงท่ามกลางการช่วงชิงบนมหามรรคาไม่ใช่หรือ?

หลี่เป่าเจินชอบที่จะปีนขึ้นไปอยู่บนยอดเขาเครื่องกระเบื้องเพียงลำพังมานานมากแล้ว เพราะมักจะรู้สึกเหมือนได้เหยียบย่ำขึ้นไปยืนอยู่บนจุดสูงสุดของกองกระดูกขาวโพลน ความรู้สึกนั้นดีเยี่ยมอย่างยิ่ง

เฉินผิงอันบอกให้สือโหรวปกป้องเผยเฉียนไปยืนอยู่ไกลๆ เพียงแค่พาจูเหลี่ยนเดินหน้าไปด้วยกันต่ออีกครั้ง

ชุยตงซานพลันส่งจดหมายลับฉบับหนึ่งมาให้ตน บอกว่าหลี่เป่าเจินมาปรากฏตัวที่สวนสิงโต ถ้อยคำที่เขียนกระชับและรัดกุม ปิดท้ายด้วยสองคำว่า ‘ฆ่าได้’

เฉินผิงอันไม่มีความสงสัยหรือลังเลใดๆ เขารีบออกจากเมืองหลวงอย่างรวดเร็ว ตรงดิ่งมาที่สวนสิงโต

สำหรับเรื่องบางเรื่องที่ไม่เกี่ยวพันกับรากฐานมหามรรคา เฉินผิงอันเลือกที่จะเชื่อใจชุยตงซาน ยกตัวอย่างเช่นเลือกสือโหรวผีสาวโครงกระดูกให้เป็นผู้ยึดครองคราบร่างเซียนของตู้เม่า แล้วก็ตามมาด้วยครั้งนี้

พออยู่ห่างจากรถม้าไม่ถึงห้าสิบก้าว เฉินผิงอันก็เดินไปข้างหน้าช้าๆ จนกระทั่งมองเห็นคุณชายหนุ่มที่ยืนอยู่ด้านหลังสารถีได้ชัดเจน

คือคนผู้นี้ที่หลอกใช้ความรักของเด็กสาวและจิตใจที่เลื่อมใสศรัทธาของจูลู่ จากนั้นก็โยนเหยื่อล่อนางโดยบอกว่าการที่ตัวเองเอาชื่อพวกเขาพ่อลูกออกจากความเป็นทาสก็เพื่อจะได้ช่วงชิงตำแหน่งฮูหยินตราตั้งมาให้นาง เป็นเหตุให้ปีนั้นจูลู่ที่เดินอยู่ท่ามกลางระเบียงพูดจายิ้มแย้มเดินเข้าหาเฉินผิงอัน ทว่าสองมือที่ไพล่หลังกลับมีแต่ปราณสังหาร

นั่นเป็นครั้งแรกในชีวิตที่เฉินผิงอันออกมาจากถ้ำสวรรค์หลีจูแล้วรู้สึกถึงความลึกล้ำและความอันตรายของใจคนได้ดีขึ้นนับจากคุมเชิงกับวานรเฒ่าแห่งภูเขาตะวันเที่ยงซึ่งมีเพียงเส้นกั้นบางๆ ขวางระหว่างความเป็นและความตาย

“เฉินผิงอัน นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเราได้พบกันกระมัง?”

หลี่เป่าเจินยืนอยู่ด้านหลังสารถีเฒ่า เอ่ยทักทายด้วยรอยยิ้มบางๆ “ลืมแนะนำตัวเองไป ข้าชื่อหลี่เป่าเจิน เป็นน้องชายของหลี่ซีเซิ่ง เป็นพี่ชายของหลี่เป่าผิง”

เฉินผิงอันหยุดยืนนิ่ง ถามว่า “หากคืนนี้เจ้าตายอยู่ที่นี่ จะเสียใจภายหลังหรือไม่?”

หลี่เป่าเจินพยักหน้ารับ “ต้องเสียใจจนไส้เขียวอย่างแน่นอน”

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “เสียใจที่ทำงานได้ไม่ละเอียดรอบคอบพอมากกว่ากระมัง?”

ดูเหมือนหลี่เป่าเจินจะรู้สึกว่าไหแตกแล้วก็ทุ่มให้แหลกไปเสียเลย จึงกล่าวอย่างตรงไปตรงมาว่า “ก็ใช่น่ะสิ พอออกมาจากถนนฝูลวี่เขตการปกครองหลงเฉวียนและราชวงศ์ต้าหลีของพวกเราก็รู้สึกว่าเป็นนกที่โบยบินขึ้นไปบนฟ้าสูงได้แล้ว ไม่ค่อยจะฉลาดสักเท่าไหร่ เฉินผิงอันเจ้าสอนหลักการที่ล้ำค่าในการเป็นคนให้กับข้าถึงสองครั้ง เรื่องเดิมไม่ทำซ้ำสาม วันหน้าเจ้าเดินไปบนเส้นทางกว้างใหญ่ของเจ้า ข้าเดินไปบนทางสะพานไม้ของข้า ตกลงไหม?”

จูเหลี่ยนยกมือขึ้น ถูสองฝ่ามือเข้าด้วยกันท่าทางคันไม้คันมือเต็มแก่ ยิ้มบางๆ กล่าวว่า “ตาเฒ่าคนขับรถผู้นั้น แม้จะเป็นผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตเดินทางไกล แต่บ่าวเฒ่าก็สามารถรับมือได้ นายน้อย จะดีจะชั่วก็เป็นคนขอบเขตเดียวกัน ถึงเวลานั้นหากบ่าวเฒ่าไม่ทันระวัง หยุดมือไม่ทันกาลก็อย่าถือสาเลยนะ”

สายตาสารถีเฒ่าฉายประกายร้อนแรง จ้องผู้เฒ่าหลังค่อมเขม็ง สามแคว้นอย่างชิงหลวน ชิ่งซานและอวิ๋นเซียว รวมไปถึงแคว้นเล็กๆ ที่อยู่รอบด้าน น้ำในยุทธภพตื้นเขิน อีกทั้งยังมีภารกิจติดตัว ไม่อาจเดินทางไกลโดยพลการ ย่ำยีคำเรียกขานว่าผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวขอบเขตแปดไปอย่างเสียเปล่า ไม่ใช่เรื่องง่ายกว่าที่คืนนี้จะได้มาเจอกับคนคนหนึ่งที่ฝีมือทัดเทียมกัน มีหรือจะยอมปล่อยผ่านไป เพียงแต่ว่าด้านหลังยังมีเจ้าสารเลวหลี่เป่าเจิน รวมไปถึงท่านหลิ่วที่อยู่ในห้องโดยสาร ทำให้เขารู้สึกเหมือนถูกมัดมือมัดเท้าอย่างเลี่ยงไม่ได้ จึงถามว่า “รับมือกับผู้ติดตามคนนี้ก็หนักหนาพออยู่แล้ว ใต้เท้าหลี่ เจ้ามีแผนการแยบยลอะไรจะถ่ายทอดให้ข้าหรือไม่? แผนการที่ทั้งปกป้องเจ้าไม่ให้ตาย แล้วก็ทั้งช่วยให้ข้าต่อสู้ได้อย่างสาแก่ใจ?”

หลี่เป่าเจินยิ้มจืดเจื่อน “ข้าจะคิดแผนการอะไรแบบนั้นออกได้อย่างไร แผนการอันแยบยลทั้งหลายของข้ามีไว้แค่ทำร้ายคนอื่น ไม่ได้มีไว้ช่วยตัวเอง”

สารถีลุกขึ้นยืน หัวเราะหยันกล่าวว่า “ถ้าอย่างนั้นก็ไม่มีอะไรเลยสินะ? คิดคำนวณไปมา มองดูเหมือนจะทำให้คนหูตาพร่าลาย ผลกลับกลายเป็นว่ามีปัญญาเท่านี้เอง”

หลี่เป่าเจินยิ้มกล่าว “ถ้าอย่างนั้นคืนนี้ก็คงต้องรบกวนให้เจ้าออกแรงมากหน่อย ช่วงชิงโอกาสให้ข้าได้ล้อมคอกหลังวัวหาย”

ในฐานะผู้ฝึกยุทธ์อันดับหนึ่งของแจกันสมบัติทวีป ศักยภาพของสารถีเฒ่าสูง ภาระที่แบกไว้บนบ่าย่อมหนักอึ้งเป็นธรรมดา จึงไม่ถึงขั้นที่ว่าแค่รู้สึกรังเกียจหลี่เป่าเจินแล้วจะเดินหนีทิ้งเขาไปทั้งอย่างนี้

รถม้าสั่นสะเทือนน้อยๆ หลี่เป่าเจินรู้สึกเพียงว่ามีลมเบาๆ พัดผ่านใบหน้าไปวูบหนึ่ง สารถีเฒ่าพุ่งวูบออกไปเป็นสายยาว กระโจนเข้าหาเฉินผิงอัน

พงต้นกกต้นอ้อที่ขึ้นอยู่สองฝั่งทางสายเล็กล้วนโน้มเอียงเข้าหาเฉินผิงอันและจูเหลี่ยน

จูเหลี่ยนเดินค้อมเอวไปด้านหน้าสองสามก้าวด้วยความเคยชิน เรือนกายว่องไวปราดเปรียวดุจสายฟ้า ยื่นฝ่ามือออกไปข้างหนึ่ง

เป็นหมัดที่ต่อยออกไปอย่างว่องไวเพื่อต้านรับพายุหมัดกระโชกแรงจนชายแขนเสื้อสองข้างพองโป่งของสารถีเฒ่า

จูเหลี่ยนถอยกรูดออกไปด้านหลัง มายืนเคียงไหล่กับเฉินผิงอันพอดี ส่วนสารถีเฒ่าก็ใช้โอกาสนี้พลิ้วกายลงยืนบนพื้น

พงต้นกกต้นออกสองข้างทางพากันเอนเอียงไปฝั่งซ้ายฝั่งขวาอีกครั้ง ก่อให้เกิดเสียงดังซู่ๆ ท่ามกลางค่ำคืนที่เดิมทีสรรพสิ่งเงียบสงัด จึงฟังแล้วบาดหูเป็นพิเศษ

หลี่เป่าเจินมองกระแสลมปราณของพายุหมัดที่กระจายออกไปสี่ทิศ ในขณะที่ล่องลอยไปหยุดอยู่เบื้องหน้าเฉินผิงอันซึ่งยืนนิ่งไม่ขยับก็เหมือนลมพัดฝนโปรยปรายที่เจอเข้ากับร่มกระดาษน้ำมันคันหนึ่ง หยดน้ำจึงไม่อาจสัมผัสโดนคนกางร่มได้แม้แต่น้อย

หนังตาหลี่เป่าเจินกระตุกอย่างห้ามไม่ได้ ไม่เสียแรงที่เป็นคนอายุยังน้อยก็มีตบะวิถีวรยุทธ์ขอบเขตห้า

เจ้าเศษสวะตรอกหนีผิงผู้นี้ พอออกมาจากถ้ำสวรรค์หลีจูแล้ว ดูท่าจะพบเจอกับโชควาสนาที่ไม่เลวเลยทีเดียว

หลี่เป่าเจินรู้สึกเสียดายเล็กน้อย หรือว่าตอนนั้นตนควรเลือกเดินบนเส้นทางของการฝึกตนจริงๆ?

ผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวขอบเขตห้าขั้นสูงสุดที่อายุไม่ถึงสิบแปด เอาไปวางไว้ในราชสำนักต้าหลีที่เลื่อมใสผู้ฝึกยุทธ์ เกรงว่าคงสามารถเรียกขานว่าอัจฉริยะผู้มีพรสวรรค์ได้แล้วกระมัง?

หรือว่าหลังจากที่ถ้ำสวรรค์หลีจูปริแตกแล้วร่วงลงมา โชคชะตาบู๊ที่ยิ่งใหญ่มหาศาลขุมนั้นจะถูกไอ้หมอนี่ยึดครองไปเพียงลำพัง? ไม่ถูกสิ ซ่งจ่างจิ้งอ๋องเจ้าเมือง หลี่เอ้อร์ บวกกับเจิ้งต้าเฟิง สามคนนี้แบ่งสัดส่วนกันแล้ว อย่างมากสุดก็เหลือแค่เศษน้ำแกงเย็นๆ เท่านั้น

จูเหลี่ยนสะบัดข้อมือ หัวเราะเฮอๆ “พี่ชายท่านนี้ หมัดของเจ้านุ่มนิ่มไปหน่อยนะ ทำไม เกรงใจข้างั้นหรือ? กลัวว่าต่อยข้าให้ตายด้วยหมัดเดียวแล้วจะไม่มีอะไรให้เล่นสนุกอีก? ไม่ต้องๆ ออกหมัดมาได้เต็มที่ ต่อยแบบเอาให้ถึงตาย ข้าคนนี้หนังหนาทนการทุบตีได้ดีที่สุด หากพี่ชายยังเก็บๆ ซ่อนๆ อยู่แบบนี้ ข้าจะไม่เกรงใจเจ้าแล้วนะ!”

ร่างของจูเหลี่ยนเหมือนวานรที่เผ่นโผนโจนทะยานอยู่ในป่า ความเร็วนั้นราวกับเซียนซือใช้ยันต์ฟางชุ่นหดย่อพื้นที่พันลี้ พริบตาเดียวก็มาหยุดอยู่ตรงหน้าสารถีเฒ่า ปล่อยหมัดตรงๆ กลับคืนไปให้อีกฝ่าย

ความสามารถในการมองเห็นของหลี่เป่าเจินมีจำกัด เห็นเพียงว่าหลังจากจูเหลี่ยนปล่อยหมัดนั้นออกมา ทั้งสองฝ่ายก็คุมเชิงกัน ตอบโต้กลับคืนให้กันและกันอย่างมีมารยาทอยู่ในพื้นที่เล็กๆ มองจนเขาเวียนหัวตาลาย

และเพียงไม่นานหลี่เป่าเจินก็รู้สึกว่าหูอื้อจนเจ็บแปลบ ต้องกลืนน้ำลายถึงจะรู้สึกดีขึ้นมาเล็กน้อย

สารถีเฒ่าตวาดเบาๆ หนึ่งที ปล่อยสองหมัดรัวไปติดๆ กัน ทำเอาจูเหลี่ยนกระเด็นเข้าไปในพงต้นกกต้นอ้อ ส่วนตัวเขาเองก็ถอยไปข้างหลังหนึ่งก้าว ต้องกระทืบพื้นแรงๆ ยกเท้าอีกข้างขึ้นเบาๆ เพื่อหยุดร่างให้มั่นคง

หากไม่เป็นเพราะเป็นห่วงหลี่เป่าเจินที่อยู่ด้านหลัง สารถีเฒ่าย่อมออกหมัดได้เต็มคราบยิ่งกว่านี้

จูเหลี่ยนคลายร่างอยู่กลางอากาศ เหยียบอยู่บนต้นกกเล็กบางต้นหนึ่งด้วยเท้าข้างเดียว ร่างส่ายซ้ายเอียงขวาอยู่ครู่หนึ่ง ยิ้มบางๆ กล่าวว่า “พี่ชาย ดูท่าเจ้าเลื่อนสู่ขอบเขตแปดมานานหลายปีขนาดนี้ คงเดินมาได้ไม่ราบรื่นเท่าไหร่สินะ เส้นทางที่พาขึ้นสู่ที่สูง เจ้าก็คงต้องคลานไปกระมัง?”

สารถีเฒ่าเอ่ยเย้ยหยัน “รีบพูดประโยคนี้เร็วไปหน่อยกระมัง?”

จูเหลี่ยนเดินอยู่บนยอดต้นกกต้นอ้อที่เป็นพุ่มเป็นพงประหนึ่งกบกระโดดแตะผิวน้ำ เมื่อเส้นเอ็นและกระดูกยืดขยายก็เกิดเสียงลั่นดังเป็นทอดๆ ดุจถั่วเหลืองระเบิดแตก เขาพูดพลางหัวเราะหึหึ “ไม่เร็วๆ ข้ากังวลว่าพวกเราสองพี่น้องจะเล่นกันเลยเถิด แล้วถึงเวลานั้นเจ้าไม่ทันได้ทิ้งคำสั่งเสียเอาไว้ ได้ยินมาว่าผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตแปดใต้หล้านี้ค่อนข้างจะหาได้ยาก หากเจ้าตายไปทั้งอย่างนี้ ข้าจะเกิดความรู้สึกคล้ายกระต่ายตายหมาจิ้งจอกโศกเศร้าอะไรทำนองนั้น ฉวยโอกาสตอนที่นายน้อยของข้ายังไม่รู้สึกว่าเจ้าขวางหูขวางตา เลยต้องรีบพูดกับเจ้าก่อน”

สารถีเฒ่าไม่พูดไม่จา

—–

กระบี่จงมา

กระบี่จงมา

Score 10
Status: Completed

อ่านนิยาย กระบี่จงมา 1 – 400 อ่านนิยาย

( อ่านต่อข้างล่าง )


” หนึ่งโลกธาตุขนาดใหญ่ เต็มไปด้วยความลี้ลับมหัศจรรย์  ใจกลางฟ้าดิน เคยมีปัญญาชนผู้หนึ่งใช้หนึ่งกระบี่ฟาดฟันให้เกิดน้ำตกธารสวรรค์ คือความภาคภูมิใจสูงสุดของโลกมนุษย์  หน้าผาทะเลบูรพา มีนักพรตไร้นามผู้หนึ่งที่ไม่ยินดียินร้ายกับสิ่งใด หวังเพียงให้ลมเย็นโชยมาปะทะใบหน้า  แดนสุขาวดีปัจฉิมทิศ มีหลวงจีนเฒ่าที่ชอบเล่าเรื่องราวให้ผู้คนฟัง เลี้ยงมังกรสวรรค์ไว้เก้าตัว พื้นที่กันดารแดนใต้ มีจิตรกรตาบอดควบคุมหุ่นเชิดเกราะทองสูงเท่าเนินเขาให้เคลื่อนย้ายภูเขาใหญ่หนึ่งแสนลูก ปูแผ่เป็นภาพลายปัก
เมื่อวันหนึ่งเด็กหนุ่มยากจนที่เติบโตทางทิศเหนือได้พบกับเซียนที่เหนือศีรษะมีกระบี่บินนับพันนับหมื่นประดุจฝูงตั๊กแตน “

เขาจึงอยากจะไปเห็นปัญญาชนคนนั้น เห็นคลื่นยักษ์ที่โถมตัวเทียมฟ้าของทะเลบูรพา

เห็นทะเลทรายสีเหลืองทองกว้างไกลนับหมื่นลี้ของแดนประจิม

และอยากไปเห็นภูเขาลูกโอฬารของแดนกันดารทางใต้ที่นักเล่านิทานเอ่ยถึงกับตาตัวเอง

ดังนั้น ในที่สุดวันหนึ่ง เด็กหนุ่มจึงสะพายกระบี่ไม้พาดหลัง มุ่งหน้าไปทางทิศใต้

–ข้ามีนามว่าเฉินผิงอัน ผิงอันที่แปลว่าสงบสุข สันติ ข้าคือมือกระบี่คนหนึ่ง–

Options

not work with dark mode
Reset