บทที่ 3 ตอนที่ 18
มิมิโนะซังกับผมออกมาจากสำนักการต่างประเทศและตัดสินใจรีบตรงไปยังบริาัทโรโรโระ
อย่างไรก็ตาม ระหว่างทางไปยังบริษัท มูเกะซังก็ได้เข้ามาหาจา่กด้านหน้า
「อีาก! รู้ไหมว่าเกิดอะไรขึ้น!」มูเกะซังร้องไห้ออกมา
ขณะที่ปลอบใจมูเกะซังที่กำลังร้องไห้ พวกเราก็กลับมาที่บริษัทของเขาแล้วพบกับดันเต้ซังและน็อนซังที่อยู่ที่นั่น
ทันทีที่พวกเรากลับมาถึง มูเกะซังก็ชี้ไปยังชุดช่างของเขา มันเปรอะเปื้อนไปด้วยสีแดง
「ตอนที่ข้าไปยังบริษัทโรโรโระก็เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น! จู่ๆพวกนั้นก็ปามะเขือเทศใส่ข้า! พร้อมกับพูดว่า “พวกเราจะไม่จ่ายให้พวกนักต้มตุ๋นแม้แต่แดงเดียว!” พวกนั้นจะต้องแยกส่วนและศึกษาออโตมาตรอนก่อนจะจ่ายเงินแน่นอนเลย」
「แต่ผมก็ดีใจนะที่มันไม่ได้กลายเป็นการใช้กำลังไป」
「ทิ้งขว้างมะเขือเทศไปเปล่าๆก็เหมือนกับการใช้กำลังนั่นแหล่ะ!」
「เอ๊ะ?」
ตามที่มูเกะซังบอก เขาไม่ได้โกรธที่ชุดของเขาเปื้อน แต่เป็นเพราะเสียอาหารไปเปล่าๆปีๆ ในจักรวรรดินั้นมีอาหารอยู่จำกัด และถึงแม้จะมีเห็ดเป็นอาหารหลัก แต่พวกผักนั้นถือเป็นอาหารอย่างหรูเลยละ
คาราวานของมูเกะซังขายเนื้อแห้งและผักเป็นหลัก ดังนั้นดูเหมือนพวกนั้นจะใช้เรื่องนั้นมาล้อเลียนมูเกะซังโดยการปามะเขือเทศใส่เขา
「แต่การแยกส่วนสินค้าก่อนจ่ายเงินมันเป็นเรื่องไม่ดีไม่ใช่หรอ?」มิมิโนะซังถาม
มูเกะซังพยักหน้าเห็นด้วย
「ใช่แล้วละ นี้มันเกินกว่าการได้เปรียบเสียเปรียบในการค้าแล้ว ถ้าพวกนั้นตัดสินใจทำแบบนี้แล้วละก็ ข้าจะเอาคืนก็ถือว่าเสมอกันนะ… นุฟุฟุฟุ…」
เปลวไฟสีดำลุกโชนอยู่ภายในตาของมูเกะซัง
「เอาละ แล้วทางนั้นเป็นยังไงบ้างละ เรย์จิ?」
「เรื่องนั้น… ผมต้องการความช่วยเหลือจากดันเต้ซังครับ」
「ช่วย?」
ผมบอกเชาเรื่องที่ได้ยินมาจากอับบา ลูลูช่าซังนั้นถูกสงสัยว่าเป็นกบฏและต้องการหลักฐานว่าเธอไม่ได้ทำ
「ฮึมมม… มีกลิ่นแปลกๆ」
「ผมเองก็คิดงั้นครับ แต่ตอนนี้พวกเราไม่มีเวลาแล้ว พวกเราจะต้องรีบตามหาผู้ส่งสาร ผู้ส่งสารพวกนั้นคือหลักฐานที่ดีที่สุดครับ ผมต้องการจะเข้าไปยังเขาวงกตแห่งความกลัวอีกครั้ง」
มีความเป็นไปได้อยู่ 2 อย่าง ไม่ผู้ส่งสารพวกนั้นอยู่ด้านนอกเขาวงกต ก็อยู่ข้างในเขาวงกต
แต่ผมมีความรู้สึกว่าพวกเขาจะต้องอยู่ข้างในแน่
จากการที่มีคนอยู่เบื้องหลังพยายามใส่ร้ายลูลูช่าซัง พวกนั้นจะลำบากเรียกตัวผู้ส่งสารที่ออกมาจากเชาวงกตแล้วซ่อนตัวพวกเขาไปทำไมกัน? ต่อให้พวกนั้นทำแบบนั้นจริง มันก็อ้อมค้อมเกินไป ยิ่งไปกว่านั้น มันก็ควรจะเป็น “การสื่อสารไม่เพียงพอ” และไม่ถึงกับ “ทรยศชาติ” หรอก ถ้าลูลูช่าออกมาจากเขาวงกตพร้อมกับชัยชนะแล้วคืนกองทัพให้ประเทศ อะไรแบบนั้นก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรเลย
ข้อหา “ทรยศชาติ” นั้นเป็นเพราะเรื่องที่พ่ายแพ้ต่อออโตมาตรอนและสูญเสียกองทัพไปเปล่าๆ มันจะสมเหตุสมผลถ้าคิดว่าพวกที่ไม่ชอบลูลูช่าซังใช้เหตุผลนี้ในการให้เธอรับผิดชอบและจัดการเธอไปพร้อมๆกัน
ถ้ายังงั้น– พวกผู้ส่งสารน่าจะยังอยู่ในเขาวงกตด้วยเหตุผลบางอย่าง
「แต่พวกเราจะยังเข้าไปในเขาวงกตอีกครั้งได้ไหมครับ? มูเกะซัง?」
「ได้ จริงๆแล้ว บริษัทอื่นๆก็อาจจะยังสำรวจเขาวงกตกันอยู่เลย」
「อะ!」
มาคิดๆดูแล้ว พวกเราก็ยังไม่เห็นโกลเด้นบริเกดหลังจากนั้นเลยนี้นา พวกเขายังอยู่ในเขาวงกตงั้นหรอ?
พวกเราตกลงกันว่าจะสำรวจเขาวงกตแห่งความกลัวอีกครั้งในวันพรุ่งนี้ …หืมมม ผมควรจะหยุดเซอรี่ซังไม่ให้ไปเล่นพนันในคืนนี้นะ
**
พวกเราลงมือกันในเช้าวันถัดไป
มูเกะซังดูจะโต้รุ่ง เขาจึงกำลังหลับอยู่บนถาดขนสำภาระของเนโกะจัง ผมจึงเป็นคนขับแทน มูเกะซังดูจะประกอบเวทมนตร์บางอย่างที่เขาเอาออกมาจากออโตมาตรอนใส่เข้าไปเนโกะจังด้วย
「ตอนนี้เธอกลายเป็น “ซูเปอร์เนโกะจัง” แล้ว!」เขาพูดอย่างภาคภูมิใจ
นอกจากจะมีเครื่องจักรไอน้ำแล้ว ก็มีแรงกระตุ้นเสริมจากหินเวทย์เสริมเข้าไปด้วย ผลลัพธ์ก็คือแรงบิดที่ดีขึ้น – แต่จริงๆผมก็ไม่ค่อยเข้าใจความแตกต่างเท่าไหร่หรอก
การขับเนโกะจังนั้นสนุกแบบแปลกๆ ถึงเธอจะยังเคลื่อนที่ช้าเหมือนเดิมก็เถอะ
พวกเราใช้ลิฟท์ขึ้นไปยังหน้าผาทางเข้าเขาวงกตแห่งความกลัว มิมิโนะซังยังกลัวความสูงแล้วเกาะแขนผมเหมือนเดิม ครั้งนี้เธอไม่ได้ขอก่อนด้วยซ้ำ… ผมก็ไม่ได้รังเกลียดหรอกนะ
เมื่อพวกเรามาถึงทางเข้ารูปหน้าคน—ผมก็นึกขึ้นได้
「จริงด้วย… กลิ่นของเลือด」
「เป็นอะไรไป เรย์จิ?」ดันเต้ซังถาม
ตอนที่พวกเรามาครั้งที่แล้ว ผมจำได้ว่าผมได้กลิ่นของเลือดจากรูปปั้นหินข้างหน้าพวกเรา
「ได้กลิ่นไหมครับเซอรี่ซัง?」
「ฮึมมม〜 อืม แค่บางๆหน่ะ」
จังหวะที่เซอรี่ซังพูดแบบนั้น หูแมวของเธอก็จับบางอย่างได้
「…หนุ่มน้อย เค้าได้ยินบางอย่าง」
「!」
ผมเองก็รู้สึกตัวหลังจากที่เธอพูดแบบนั้น มันมีเสียงครางเบาๆมาจากอีกด้านของทางเข้า — ราวกับกำลังขอความช่วยเหลือ
「มูเกะซัง โปรดรออยู่ตรงนี้นะครับ!」
พวกเรารีบตรงไปยังทางเข้าแล้วกระโดดเข้าไปในปาก ที่สุดทางเดินรูปปั้นเรียงรายนั้นมีร่างของคนนอนอยู่
「เป็นอะไรไหมครับ?!」
ถึงจะอยู่ไกล ผมก็สามารถเห็นเลือดจำนวนนึงไหลออกมา และผ้าคลุมที่คนๆนั้นสวมอยู่ก็เป็นสีเหลืองด้วย เป็นสมาชิกของโกลเด้นบริเกด
คนๆนั้นเงยหน้าขึ้นหลังรับรู้ถึงพวกเรา – เป็นหญิงสาวผอมเพรียวสวมฮูดที่มักจะขัดความตึงเครียดระหว่างปาร์ตี้พวกนั้นกับพวกเรา พร้อมกับสีหน้าเจ็บปวด เธอเปิดปากพูดขึ้นมาว่า “ข้างบน”
ข้างบน?
「ข้างบน!」
พวกเรามาถึงครึ่งทางกว่าจะถึงหญิงสาวคนนั้น ระหว่างทางทั้งสองข้างนั้นมีรูปปั้นหินเรียงรายกันพร้อมอาวุธ
พวกมันควรจะเป็นแค่รูปปั้นหินธรรมดาๆ แต่ดวงตาของพวกมันนั้นกลับจับจ้องมาที่พวกเรา
「ระวังการโจมตี!」
เนื่องจากตัวดันเจี้ยนเองคือกับดัก อะไรบ้าๆอย่าง “ปรับเปลี่ยนรูปแบบ” นั้นก็เป็นไปได้ อย่างการที่ตอนนี้รูปปั้นหินสามารถขยับได้แล้ว
ทั้งดาบ, หอก, และค้อนถูกตวัดลงมา ผมรีบหยุดในทันที
「มิมิโนะซัง เชือก!」
「นี้!」
มิมิโนะซังโยนเชือกที่ทำจากเถาวัลย์ในกระเป๋าของเธอ ผมใช้งาน 10 【เวทย์บุพพา】และแตกแขนงเชือกออกมาเป็น 10 อันเพื่อที่มันจะสามารถมัดแขนที่ถืออาวุธของรูปปั้นพวกนั้นได้ ทว่า ผมสามารถหยุดเอาไว้ได้แค่ 4 รูปปั้นเท่านั้น
「โฮ่!」
เซอรี่ซังที่นำอยู่ข้างหน้าหลบหอกและคทาที่พุ่งเข้ามาทั้งซ้ายและขวา ก่อนจะมุ่งหน้าไปยังหญิงสาวที่ล้มอยู่
「นุโอ้ววววววว!」
ที่ด้านหลังพวกเรา ขณะที่ปกป้องน็อนซังไปด้วย ดันเต้ซังก็ใช้โล่และคทาปัดป้องรูปปั้นหินที่พยายามจัดการพวกเขา
「ไปเลย เรย์จิ!」
「ครับ!」
ดันเต้ซังที่ใกล้กับทางเข้าหันหลังกลับไปพร้อมกับน็อนซัง และที่ปลายสายตาของผมก็เห็นเซอรี่ซังตรงไปยังทางเดินที่อีกด้านพร้อมกับลากหญิงสาวที่ล้มอยู่ไปด้วย
เสียงของอะไรบางอย่างตึงแน่นราวกับเชือกกำลังจะขาดดังขึ้น รูปปั้นหินพวกนั้นคงจะกำลังพยายามฉีกเชือกที่ผมมัดพวกมันเอาไว้ด้วยกำลัง
「ขอโทษนะครับ มิมิโนะซัง」
「หะ— หว่า!?」
ผมอุ้มมิมิโนะซังด้วยท่าอุ้มเจ้าหญิงแล้วเริ่มออกวิ่ง ผมเสริมทักษะทางกายของผมด้วย【เวทย์ซัพพอร์ต】ดังนั้นน้ำหนักที่เพิ่มขึ้นจึงไม่เป็นปัญหาต่อความเร็วของผม
เมื่อผมเริ่มออกวิ่ง หอกกับคทาที่เซอรี่ซังหลบก่อนหน้านี้ก็ตวัดลงมาอีกครั้ง ทว่าผมก็เล็ดลอดผ่านพวกมันไป การฝึกเต้นรำที่ผมเรียนรู้มาตอนทำงานคุ้มกันได้เอามาใช้แล้วตอนนี้ แต่แน่นอนว่า ผมไม่เคยเต้นรำขณะอุ้มคนท่าเจ้าหญิงมาก่อนหรอกนะ
มิมิโนะซังกับผมลอดผ่านเข้าไปในทางเดินด้านใน
บทที่ 3 ตอนที่ 17
* ลูลูช่า *
ห้องเล็กๆ เตียงแข็งๆพร้อมส้วม – นั่นคือทั้งหมดในห้องขังของลูลูช่า ถูกจับโดยข้อหา “ทรยศชาติ” ที่เธอไม่รู้เรื่อง ตอนสอบปากคำเธอก็บอกทุกอย่างที่เกิดขึ้นในเขาวงกตไปแล้ว แต่เธอก็ยังถูกขังเอาไว้ในนี้ ประตูเหล็กที่ขวางระหว่างเธอกับข้างนอกถูกปืดเอาไว้หนาแน่น
「นี้มันเกิดบ้าอะไรขึ้นเนี้ย…」
ถึงวันแรกเธอจะนอนไม่หลับเพราะความไม่พอใจและความวิตกกังวล ทว่าในวันที่ 2 ความเหนื่อยล้าจากการยึดครองเขาวงกตก็ถาโถมร่างกายจนเธอหลับไปทั้งวัน และตอนนี้ก็เป็นวันที่ 3 แล้ว เธอจึงสามารถประมวลผลสถานการณ์ของเธออย่างใจเย็นได้
เธอรู้ว่ามีหลายคนที่ไม่อยากให้เธอประสบความสำเร็จ แต่เธอไม่ได้มุ้งมั่นกับตัวเธอเองแต่เป้นจักรวรรดิ เธอเชื่อว่าถ้าเธอทำผลงานในการยึดครองเขาวงกตละก็ พวกเขาจะต้องเข้าใจแน่นอน
เธอแนะนำให้ไปสอบถามลูกน้องของเธอ ทว่าก็ถูกปฏิเสธ เธอถูกบอกว่าคำให้การของพวกนั้นเชื่อถือไม่ได้เพราะพวกนั้นถูกเชื่อว่าร่วมมือกับเธอ เจ้าหน้าที่สิบสวนเชื่อสุดใจว่าลูลูช่าไม่ได้ส่งคนประสานงานออกมารายงานเลย และเธอก็คือคนทรยศที่ใช้งานกองทัพจักรวรรดิเพื่อตัวเอง เขาปฏิเสธคำร้องทุกข์ของเธอพร้อมกับพูดว่า “เอาหลักฐานที่แกส่งคนประสานงานไปออกมาให้ดูสิ”
ลูลูช่านั้นส่งคนประสานงานออกไปตามปกติเพื่อขอการสนับสนุน ทว่าทั้ง 7 คนนั้นกลับหายตัวไป มีบางคนที่เกลียดลูลูช่า – ที่เป็นผู้หญิงและรวมถึงเป็นลูกครึ่งด้วย ทว่ามันก็แปลกที่ไม่มีใครสักคนนึงที่ส่งรายงานเลย
「มีใครบางคนลักพาตัวพวกเขาหรอ? ดูจะไม่ได้หายไปในเขาวงกตด้วย ทางเดินมันไม่ได้ซับซ้อนขนาดนั้น แถมพวกเราก็ไม่เจออะไรเลยในตอนที่ถอยทัพด้วย」
เธอถอนหายใจ ถึงแน่นอนว่าจะมีบางอย่างที่สำคัญกว่าการขังเธอเอาไว้ที่นี่ก็ตาม แต่ก็มีชีวิต 7 ชีวิตนั้นเป็นเดิมพันอยู่
「หรือบางที 7 คนนั้นจะถูกซื้อตัวไปแล้วจะปรากฏตัวขึ้นหลังจากชั้นตายไปแล้วกันนะ?」
เสียงหัวเราะเยาะตัวเองหลุดออกมาจากลูลูช่า เธอคิดว่ากรณีแบบนั้นก็มีความเป็นไปได้ แล้วตอนนี้เธอก็ถูกขังเอาไว้ในที่แบบนี้แล้วด้วย
โกรธ, เสียใจ, โศกเศร้า, หงุดหงิด, สิ้นหวัง, กังวล – อารมณ์หลากหลายได้ก่อตัวขึ้น ลูลูช่าล้มตัวลงบนเตียงและปิดหน้า ถูกครอบงำด้วยอารมณ์ เธอเริ่มร้องไห้ แต่ก็กัดฟันเพื่อไม่ให้ส่งเสียงออกมา มียามเฝ้าอยู่ข้างนอก ไม่มีอะไรยืนยันว่าเขาจะไม่รายงานท่าทางของเธอกับคนอื่น เธอไม่อยากจะให้ไอ้สารเลวที่จับเธอขังเอาไว้รู้สึกเพลิดเพลิน
อย่างน้อยๆเธอก็อยากจะรักษาเกียรติ์ของตัวเอง
「ถึงยังงั้น… ชั้นก็ยังไม่ได้ขอบคุณพวกนั้นดีๆเลย」
หลังจากอดทนได้ 30 นาที ใจของเธอก็เริ่มสงบลง
และครั้งนี้ เธอก็นึกเธอเหล่าผู้คนที่ช่วยเหลือเธอเอาไว้
เหล่านักผจญภัยที่เข้ามาช่วยพวกเธอในตอนคับขัน เด็กหนุ่มที่บอกว่าเขามีบางอย่างจะคุยกับเธอ—ทว่ามันคงจะเป้นไปไม่ได้แล้ว
「สงสัยจังว่าพวกเขาป้องกันตัวเองจากการโจมตีทางอารมณ์ของออโตมาตรอนได้ยังไง มันน่าสนใจจริงๆ มันไม่ได้ผลกับมนุษย์แท้ๆหรอ? ไม่ ถ้างั้นพวกนักผจญภัยที่จ้างมาโดยบริษัทพวกนั้นก็ต้องไม่เป็นอะไรด้วยสิ ฮึมมม…」
ลูลูช่าเริ่มคิดไตร่ตรอง มันกลายเป็นธรรมชาติของเธอไปแล้วที่จะคิดถึงเรื่องเขาวงกตมากกว่าอย่างอื่น
กริ๊ก — เสียงของประตูเหล็กได้ถูกปลดล็อคพาเธอกลับมาสู่ความจริง
ด้านหลังของประตูที่เปิดออกเล็กน้อยนั้นปรากฏผู้คุมชาวเลฟขึ้นแล้วพูดอย่างห้วนๆว่า
「ออกมา มีคนต้องการพบแก」
ต้องการพบ? กับคนที่ก่อคดีโทษประหารนะหรอ?
ตอนแรกเธอคิดว่าเป็นเด็กหนุ่มคนนั้น ทว่าเป็นไปไม่ได้ที่คนนอกจะขอเข้าพบได้
อย่างไรก็ตาม ลูลูช่าก็ออกมาเพราะเธอไม่อยากจะอยู่ในห้องขังนานๆ เมื่อเธอถูกใส่กุญแจมือ ความหงุดหงิดที่เธอถูกทำเหมือนเป็นคนร้ายทั้งๆที่เธอบริสุทธิ์ก็ก่อตัวขึ้นอีกครั้ง
ห้องเข้าพบนั้นเป็นห้องธรรมดาๆ แต่มันก็กว้างเป็น 3 เท่าของห้องขังของเธอเลย ลูลูช่าตกใจกับคนที่นั่งอยู่ในห้องนั้นแล้วคุกเข่าลง
「ฝ่าบาทอนาสตาเซีย (Anastasia)! ทำไมท่านถึงมาอยู่ที่นี่ได้คะ!?」
ชุดเดรสสีเลม่อนที่ทำจากผ้าที่หาได้ยากในประเทศนี้บ่งบอกว่าเธอเป็นบุคคลอันเป็นที่เคารพ
อย่างไรก็ตาม เหนือสิ่งอื่นใดเลยก็คือผิวขาวเนียนและผมสีแพลตตินั่มบอร์นเป็นประกายอันเข้ากับสีผิวของเธอพร้อมกับกิ๊บติดผมทองประดับเพชรที่ข้างหลัง หูเรียวยาวโผล่พ้นผมออกมาบ่งบอกว่าเธอเป็นเผ่าเอลฟ์ – ไม่ใช่แค่เอลฟ์ทั่วๆไปแต่เป็นไฮเอลฟ์
นัยน์ตาสีฟ้าไพลินแวววาวภายในดวงตาเรียวยาว – ราวกับอัญมณี
ริมฝีปากอมชมพูของเธอนั้นยิ้ม แต่กลับไม่มีคำพูดใดเอ่ยออกมา
ผ้าพันแผลพร้อมกับตราผนึกคำสาปพันอยู่รอบคอของเธอ เป็นส่วนเดียวที่ทำให้รู้สึกแปลกๆ
『โปรดยืนขึ้นเถอะค่ะ』
อนาสตาเซียแสดงกระดาษเมโมให้กับลูลูช่าดูในขณะที่เธอพยายามคุกเข่าลง—อนาสตาเซียนั้นพูดไม่ได้
「แต่ว่า…」
『ไม่เป็นไร โปรดนั่งลงตรงนั้นเถอะค่ะ』
ขณะที่อนาสตาเซียเขียนอย่างรวดเร็วด้วยท่าทางที่สง่างาม ลูลู่ช่าก็คิดว่ามันจะเป็นการเสียมารยาทต่อเธอที่จะต้องเธอมาเขียนบอกเธอเรื่องเดิมๆอีกครั้ง ดังนั้นเธอก็เลยนั่งลงที่ฝั่งตรงข้ามกับอนาสตาเซีย
อนาสตาเซียให้ผู้คุมออกไปโดยวางเหรียญทองเล็กลงบนมือของเขา ผู้คุมก็ออกไปจากห้องพร้อมกับรอยยิ้มกว้าง เหลือเพียงอนาสตาเซียและลูลูช่าอยู่ภายในห้อง
「จะไม่เป็นไรหรอคะ?」ลูลูช่าถามขึ้นพร้อมกับรู้สึกกังวลเกี่ยวกับผู้คุมที่จากไป
อนาสตาเซียส่ายหัวไปมาพร้อมกับรอยยิ้ม – บ่งบอกว่าไม่เป็นไร
ไม่ว่าจะยังไงก็ตาม กุญแจมือนั้นมีเวทมนตร์กันการหลบหนีอยู่ เป็นอะไรแบบที่จะระเบิดในจังหวะที่พยายามเอามันออกโดยใช้กำลังหรือหลบหนีออกไปจากอาคารนี้
『ไม่น่าเชื่อเลยว่าเธอจะทำการทรยศชาติแบบนี้นะคะ』
「แน่นอนว่ากระหม่อมเป็นผู้บริสุทธิ์คะ!」
ถึงเธอจะไม่ได้ถาม ลูลูช่าก็ได้บอกอนาสตาเซียทุกอย่างที่เธอพูดในตอนที่โดนสอบสวน ลูลูช่ารู้สึกตัวในตอนที่เธออธิบาย – ว่าเธอนั้นอยากจะให้ใครสักคนเชื่อในตัวเธอจริงๆ
『ดิชั้นเองก็จะพยายามอธิบายความบริสุทธิ์ของเธอแก่ฝ่าบาทองค์จักรพรรดิด้วยอีกแรงนึงค่ะ』
「……ขอบพระทัยจริงๆค่ะ」
ลูลูช่าสะกดอารมณ์ที่พลุ่งพล่านของเธอเอาไว้ เธอรู้ตัวดีว่าวันนี้จิตใจของเธอนั้นหวั่นไหวและอารมณ์ไม่คงที่
คำพูดของอนาสตาเซียนั้นนำความสุขมาให้ ถึงแม้อนาสตาเซียจะเป็นผู้มีฐานะดีขนาดนี้ แต่เธอก็ไม่ค่อยมีปากมีเสียงอะไรในประเทศนี้เลย
อนาสตาเซียนั้นเป็นไฮเอลฟ์ราชวงศ์และบุคคลสำคัญของเผ่าเอลฟ์ ทว่าในตอนที่เธอยังเด็ก เธอถูกสาปโดยนักเวทย์ผู้ไม่ประสงค์ดีที่มาเยี่ยมเยือนป่าเอลฟ์จนสูญเสียเสียงของเธอไป คำสาปนั้นยังคงมีผลอยู่มาจนถึงปัจจุบันและถูกผนึกโดยผนึกคำสาป
“เสียง” นั้นสำคัญมากๆสำหรับไฮเอลฟ์
เสียงอันบริสุทธิ์นั้นจำเป็นยิ่งสำหรับพิธีที่จะจัดขึ้นในส่วนลึกของป่า เอลฟ์หลายตนเชื่อฟังและปฏิบัติตามเพราะพิธีนั้นจะเป็นการรักษาพรแห่งป่าเอาไว้
ถึงอนาสตาเซียจะเป็นไฮเอลฟ์ แต่เธอกลับเสียสิ่งสำคัญที่สุดสำหรับไฮเอลฟ์ไป
สายตาของเอลฟ์ตนอื่นๆจับจ้องมาที่เธอที่ไม่สามารถทำหน้าที่ของเธอในฐานะไฮเอลฟ์ได้ เป็นที่ตัดสินแล้วว่าเธอนั้นไม่ได้รับอนุญาตให้ใช้ชีวิตสุขสบายแบบราชวงศ์ได้ ในทางกลับกัน มันก็เป็นเรื่องที่ดูไม่ได้ถ้าไฮเอลฟ์จะต้องใช้ชีวิตแบบเอลฟ์ทั่วไป
ราชาแห่งป่าเอลฟ์เลยตัดสินใจที่จะส่งอนาสตาเซียออกไป
เธอนั้นเป็นไฮเอลฟ์ เผ่าพันธ์ุที่โด่งดังในเรื่อง “ขุมทรัพย์แห่งความงาม” ถึงแม้เธอจะไม่สามารถใช้ชีวิตอยู่ในป่าเอลฟ์ได้ เธอก็ยังมีค่าพอที่จะยกให้กับประเทศอื่น
ดังนั้นอนาสตาเซียจึงถูกส่งตัวให้กับจักรวรรดิเวทมนตร์เลฟ – โดยแลกกับเรือเหาะเวทมนตร์ 1 ลำแก่ป่าเอลฟ์
นั่นเป็นทั้งหมดที่ลูลูช่าได้ยินมา
นี้ก็ผ่านมาปีนึงแล้วตั้งแต่ที่อนาสตาเซียมายังประเทศนี้ ตอนที่เธออายุ 14 ปีแล้วและยังงดงามยิ่งขึ้นไปอีก
―ดิชั้นไม่มีค่าในฐานะไฮเอลฟ์ แต่ดิชั้นยังคงเป็นประโยชน์แก่เหล่าเอลฟ์ด้วยเรือเหาะเวทมนตร์ได้ค่ะ
ในตอนที่ทั้งสองคนพบกันึครั้งแรก อนาสตาเซียเขียนแบบนั้นและยิ้มออกมา อย่างเปล่าเปลี่ยวเดียวดาย
อนาสตาเซียนั้นได้รับการต้อนรับเป็นอย่างดีและถูกบอกว่าเธอจะต้องอยู่ข้างกายจักรพรรดิทุกครั้งที่มีงานระดับประเทศ ไฮเอลฟ์นั้นมีอายุขัยมากกว่าชาวเลฟที่มีอายุขัยเหมือนมนุษย์ ดังนั้นแทนที่จักรพรรดิองค์ปัจจุบันจะรับเธอในฐานะภรรยา เขากลับปฏิบัติต่อเธอในฐานะองค์หญิงไฮเอลฟ์ ราวกับว่าเธอเป็น “เครื่องประดับ”
ลูลูช่าผู้ที่ถูกปฏิบัติเหมือนกับ “ส่วนเกิน” ในจักรวรรดินั้นเข้ากันได้ดีกับอนาสตาเซียในแบบคนที่เป็นเหมือนๆกัน
「ถึงแม้ว่ากระหม่อมต้องถูกโทษประหาร กระหม่อมก็ขออวยพรให้ฝ่าบาทพบกับความสุขนะคะ」
『โปรดอย่าพูดเรื่องน่าเศร้าแบบนั้นเลยค่ะ』
『มีใครมาเยี่ยมมั้งไหมคะ?』
「ดูเหมือนการแก้ไขสถานการณ์ในตอนนี้จะเป็นเรื่องยากหน่ะค่ะ กระหม่อมไม่ค่อยมีพันธมิตรอยู่แล้วด้วย รองผู้อำนวยการอับบาแห่งสำนักการต่างประเทศก็มาหาอยู่ครั้งนึง แต่เขาเห็นพ่อของกระหม่อมเป็นคู่แข่ง ดังนั้นเขาเลยสอบสวนกระหม่อนเรื่องนู้นเรื่องนี้แล้วจากไป กระหม่อมมั่นใจว่าเขาคงจะกำลังฉลองกันเลยในตอนนี้ค่ะ」
『มีอะไรที่ดิชั้นพอจะทำได้ไหมคะ?』
「แค่น้ำใจก็เพียงพอแล้วค่ะ โอ๊ะจริงสิ ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นละก็ ท่านสามารถฝากขอบคุณเหล่านักผจญภัยที่ชื่อว่าซิวเวอร์บาลานซ์ที่ช่วยทีมของกระหม่อมเอาใว้ในเขาวงกตแห่งความกลัวจะได้ไหมคะ?」
นักผจญภัย? …ขณะที่ถูกขอแบบนั้น อนาสตาเซียก็เอียงคอของเธอ
ท่าทางแบบนั้นมันน่ารักมากซะจนชายหลายคนจะต้องตกหลุมรักเธอ ณ ตรงนั้นได้เลย
「ดูเหมือนพวกเขามีบางอย่างที่อยากจะบอกกับกระหม่อมหน่ะค่ะ ทว่าสถานการณ์ที่กระหม่อมเป็นอยู่ตอนนี้… กระหม่อมก็ไม่ได้อยากจะรบกวนฝ่าบาทหรอกค่ะ แต่ว่า…」
『ไม่ต้องเกรงใจไปหรอกค่ะ』
การสนทนากันระหว่างทั้งสองยังคงดำเนินต่อไป
ลูลูช่ารู้สึกสบายใจในช่วงเวลานี้
========================================================
TL: ช่วงนี้ไม่ค่อยว่างเลยหง่ะ T T
บทที่ 3 ตอนที่ 16
ในตอนที่ผมรู้ตัวนั้นก็ไม่มีใครอยู่ที่แผนกต้อนรับแล้ว ชั้นที่ 1 นั้นไร้ผู้คน ผมอาจจะสามารถหาคนที่ทำงานในชั้นนี้เจอที่ประตูหลังเคาน์เตอร์ก็ได้ แต่พวกเขาดูจะกำลังซ่อนตัวกันอยู่
ในความเงียบสงัดอันน่าขนลุกนี้นั้น ได้มีชาวเลฟร่างอ้วนคนหนึ่งเข้ามาผ่านประตูทางเข้า
มิมิโนะซังยืนขึ้นอย่างรีบร้อน ทว่าผมก็ได้ยืนขวางหน้าเธอเอาไว้ เตรียมพร้อมที่จะชักมีดของผมทุกเมื่อ
「หืมมม พวกเจ้าเป็นสมาชิกของซิวเวอร์บาลานซ์สินะ?」
ผิวสีเหลืองเข้มของชาวเลฟคนนั้นเปียกด้วยเหตุผลบางอย่าง และร่างกายที่อ้วยตุ้ยนุ้ยขนาดนั้นก็ทำให้ผมนึกถึงคางคก (toad) เลย – คางคกญี่ปุ่นด้วย (น่าจะหมายถึงกุมป้าในมาริโอ้มั้ง?)
เสื้อของเขานั้นไม่ได้จดกระดุมและยังไม่ได้สวมฮูดด้วย เขาหอบหายใจหนักๆ แถมยังมีแท่งไม้ที่เหมือนกับตะเกียบคาปากด้วย แต่จากนั้นเขาก็นำมันออกมาแล้วจุ่มลงในโถโลหะที่ห้อยอยู่ตรงเอวของเขาและนำอะไรบางอย่างเหนียวๆ – ตามที่【World Ruler】บอก มันคือ “น้ำเชื่อม” – ออกมาดูดเข้าปาก
「ชุปะ ข้าคืออับบา (Abba) รองผู้บริหารของสำนักการต่างประเทศ ข้าต้องการจะสอบถามเรื่องของหัวหน้าลูลูช่าหน่อย ข้าได้ยินมาว่าเจ้ากับพวกของเจ้าหลอกลวงบริษัทโรโรโระที่เป็นของลูกพี่ลูกน้องข้า ดังนั้น ถ้ามีอะไรจะแก้ตัวละก็ พูดออกมา ชุปะ」
「ดูเหมือนจะมีเรื่องเข้าใจผิดหลายเรื่องนะครับ ดังนั้นผมก็เลยไม่แน่ใจว่าจะเริ่มจากตรงไหนดี ก่อนอื่นเลยก็ มาแก้ไขความเข้าใจผิดนี้ก่อนแล้วกันนะครับ พวกเราไม่ได้หลอกลวงใครทั้งนั้นครับ」
「แต่ประธานบริษัทบอกว่าพวกเขาถูกหลอกเอาเงิน 1,000 เหรียญทองนะ? ชุปะ」
「หะ…? เป็นทางบริษัทเองไม่ใช่หรอครับที่บอกว่าพวกเขาจะซื้อออโตมาตรอนที่พวกเราจัดการได้ด้วยเงินจำนวนนั้นหน่ะ」
「ชุปะ งั้นรึ? งั้นนี้ก็ค่อนข้างจะมีปัญหาแล้วละ คดีความงั้นรึ」
ถึงชาวเลฟที่เหมือนกับคางคกนี้จะพูดเหมือนกับว่าเป็นเรื่องของคนอื่น แต่สำหรับพวกเรานั้นมันไม่ตลกเลย กลับกันผมเป็นห่วงมูเกะซังที่ไปยังบริษัทโรโรโระตัวคนเดียว เขาจะเป็นอะไรไหมนะ?
「และ เหตุผลที่พวกเราถูกล้อมด้วยคนขนาดนี้นั้น เกี่ยวข้องกับลูลูช่าซังสินะครับ?」
「ชุปะ」
เขาดึงไม้ออกแล้วจิ้มน้ำเชื่อมกินอีกแล้ว
「ใช่ เหตุผลหลักเลยละ เธอนั้นถูกสงสัยว่าจะทรยศชาติ พวกเราเลยอยากจะพูดคุยกับพวกเจ้าเรื่องนั้นแหล่ะ ดังนั้นขอให้ตามพวกเรามาโดยไม่ขัดขืนด้วย」อับบาพูดและดูดน้ำเชื่อมจากแท่งไม้อีกครั้งพร้อมกับกับเสียง “ชุปะ”
ถึงผมจะเป็นห่วงมูเกะซังก็เถอะ แต่การปฏิเสธไม่ตามไปก็รังแต่จะสร้างความน่าสงสัยมากขึ้น ดังนั้นพวกเราเลยตามเขาแล้วมุ่งหน้าสู่สำนักการต่างประเทศที่อยู่ห่างออกไป 2 บล็อก
แน่นอนว่า มีคนคุ้มกันติดอาวุธมากกว่า 100 นายอยู่ด้านนอกอาคาร มีคนมุงดูอยู่ห่างๆ ดูจะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น มันราวกับว่าพวกเราเป็นผู้ก่อการร้ายจริงๆเลย
ต่างจากสำนักจัดการเขาวงกต ตัวสำนักการต่างประเทศนั้นมีสไตล์ด้วยกระเบื้องที่พนัง, ที่นั่งตรงระเบียง, และประติมากรรมบนเสาที่ค้ำยันเพดานเอาไว้
บางทีคงเพราะพวกเราไม่ได้พูดอะไร อับบาก็เลยไม่พูดอะไรตลอดทางมาที่สำนักการต่างประเทศนี้
คนคุ้มกันไม่ได้ตามพวกเราเข้ามาข้างใน พวกเราผ่านล็อบบี้กว่างขวางและเข้ามายังห้องที่ดูเหมือนกับห้องรับแขก
พวกเรานั่งลงบนโซฟาหวาย และอับบาก้นั่งลงที่ฝั่งตรงข้าม
「พวกเจ้ามีความสัมพันธ์อะไรกับลูลูช่ารึ?」
「ผมรู้จักกับแม่ของลูลูช่าซังครับ」ผมพูด
「แต่เจ้าค่อนข้างหนุมเลยนะ?」
「สายใยระหว่างผู้รอดชีวิตของราชอาณาจักรฟอร์ชานั้นเหนียวแน่นนะครับ」
สัญชาตญาณของผมบอกผมว่าไม่ควรเปิดเผยความสัมพันธ์ของผมกับตาแก่จะเป็นการดีกว้า เขาได้พูดอะไรบางอย่างประมาณว่าเขาทำบาปเอาไว้เลยต้องมาที่เหมืองที่ 6… และนักบวชเอลเองก็อธิบายตาแก่แค่ว่าเป็น “นักวิจัยที่ยอดเยี่อม” เท่านั้นเอง
「ยิ่งไปกว่านั้นนะครับ ทำไมลูลูช่าซังถึงถูกตั้งข้อหาทรยศชาติหรอครับ? แล้วทำไมสำนักการต่างประเทศ – แผนกที่มีไว้ต่อรองกับต่างประเทศที่ผมเดาเอาจากชื่อ ถึงจับพวกเราเอาไว้ที่นี่ละครับ?」
「เห้ย ระวังปากหน่อย พวกเจ้าหน่ะ ชุปะ ถ้าไม่ได้ข้าช่วยต่อรองละก็ พวกเจ้าคงถูกจับโดยหน่อยรักษาความปลอดภัยไปแล้ว รู้ไหม?」
「ครับ ต้องขอบคุณจริงๆครับ」
ถึงผมจะไม่ปล่อยให้ตัวเองถูกจับได้ง่ายๆก็เถอะ
「ดังนั้นแล้วทำไมคุณถึงตัดสินใจช่วยละครับ?」
ผมถามออกไปอย่างสงสัย เขาเกี่ยวข้องกับบริษัทโรโรโระที่มีความเป็นไปได้สูงที่พยายามจะวางกับดักมูเกะซังนี้นา
「ชุปะ เธอถูกตั้งข้อหาในการใช้ทีมยึดครองที่ถูกจัดตั้งโดยประเทศเพื่อผลประโยชน์ส่วนตน หลังจากที่เข้าไปในเขาวงกตแล้ว เธอไม่คอยส่งรายงานผลประจำเลยสักครั้ง แถมยังสูญเสียคนไปมากมายด้วย」
「เธอดูไม่เหมือนคนที่จะทำอะไรอย่างนั้นเลยนะครับ」
「แค่เพราะว่าเจ้ารู้จักเธอ ใช่ไหมละ?」
「…………」
「ถ้าเจ้าได้รับกองทหารมาแล้ว แต่กลับไม่รายงานสถานการณ์เลย มันก็แน่อยู่แล้วที่มันจะสร้างข้อสงสัยขึ้นมา」
ผมรู้สึกไม่ดีเลย
ในที่สุดผมก็ได้พบกับลูลูช่าซัง—แน่นอนว่า มีเรื่องที่เธอเป็นหลานสาวของตาแก่ฮินกาอยู่ แต่ว่า ลูลูช่าซังนั้นพยายามยึดครองเขาวงกตอย่างจริงจัง และมันก็ไม่สมเหตุสมผลเลยที่เธอจะเข้าไปในเขาวงกตเพื่อก่อกบฏต่อประเทศแบบนี้ แถมเธอยังให้ความสำคัญกับการรักษาลูกน้องของเธอสูงสุดด้วย
(การยึดครองครั้งนี้เป็นอุบายเพื่อกำจัดลูลูช่าซังตั้งแต่แรกแล้วงั้นหรอ? ไม่สิ แบบนั้นมันก็ลำบากเกินไป… งั้นมีใครสักคนวางแผนที่จะใส่ร้ายเธองั้นหรอ?)
อย่างหลังมีความเป็นไปได้สูง ทว่า นี้ไม่ใช่เวลามามัวคิดทฤษฎีอะไรแบบนั้นแล้ว ผมจะต้องช่วยลูลูช่า
「อับบาซัง… สินะครับ? มีอะไรที่พอจะช่วยลูลูช่าซังให้หลุดพ้นข้อสงสัยได้บ้างครับ?」
「ฮึมมมม…… ชุปะ」
เขาดีงไม้ออกจากปาก
「เธอบอกว่าเธอไม่เคยพลาดส่งรายงานประจำสักครั้ง ทว่าคนที่ได้รับมอบหมายให้นำรายงานไปส่งกลับหายตัวไป ไม่ใช่แค่ 1 แต่ถึง 7 คนเลยด้วย ถ้ามีใครสักคนพบพวกเขาละก็ สถานการณ์อาจจะเปลี่ยนไปก็ได้ แต่ว่า… มีเวลาเหลือไม่มากแล้ว คือเคสทรยศชาติหน่ะจะถูกส่งตัดสินเร็ว สั้นสุดก็ 5 วัน และคำตัดสินจะแล้วเสร็จมากสุด 10 วัน」
ไม่มีน้ำเชื่อมเหลืออยู่ที่แท่งไม้อีกแล้ว
「โทษประหารหน่ะ」
ลิ้นสั้นๆของอับบาที่เขาเลียริมฝีปากนั้นช่างน่าขนลุก
========================================================
TL: ขออภัยที่หายไปนานครับ
บบที่ 3 ตอนที่ 15
「จะนานเกินไปแล้ว… มันแปลกเกินไปแล้วที่ผ่านมา 2 วันผมก็ยังไม่ได้ข่าวอะไรจากเธอเลย」
「จะนานเกินไปแล้ว… มันแปลกเกินไปแล้วที่ผ่านมา 2 วันข้าก็ยังไม่ได้เงินเลย」
ผมกับมูเกะซังพูดออกมาพร้อมเพรียงกัน
ตอนนี้พวกอยู่ที่โกดังของบริษัทมูเกะซัง เราได้รับอนุญาตให้อาศัยอยู่ที่นี่ได้ในช่วงนี้ นอนบนเตียงแบบโคตรง่ายที่แค่เอาฟางข้าวปูบนท่อเหล็กเท่านั้น ทว่าถ้ามองจากมุมมองนักผจญภัยละก็ แค่มีเตียงให้นอนก็หรูแล้ว แถมยังมีประตูที่สามารถล็อคได้ด้วย ดังนั้นจึงค่อนข้างพอใจกัน
ถึงมันจะมีช่วงที่ผมคิดถึงเตียงในคฤหาสน์เอิร์ลซิวลิซส์ก็เถอะ
「อืม… เรย์จิคุงกำลังรอการติดต่อจากลูลูช่า และมูเกะซังก็กำลังรอเงินจากการขายออโตมาตรอนสินะ?」
「「ใช่」」
พวกเราพูดพร้อมกันอีกแล้ว
มีเพียงแค่มูเกะซัง มิมิโนะซัง แล้วก็ผมที่อยู่ในห้อง
ดันเต้ซังกับน็อนซังออกไปเดินเล่นในเมืองเนื่องจากยังไม่มีการยึดครองเขาวงกตเกิดขึ้น ส่วนเซอรี่ซังนั้นนอนหลับอยู่อีกห้อง ดูเหมือนว่าเมื่อวานเธอจะออกไปแหล่งพนันในจักรวรรดิ แต่ว่า… ตามที่มูเกะซังบอก ในจักรวรรดินั้นไม่มีแหล่งพนันนะสิ
อืม มีอย่างนึงที่แน่นอน… ไม่ว่าเธอจะไปไหนมา มันจะต้องไม่ใช่ที่ดีๆแน่
ยังไงก็เถอะ
「ผมรู้ว่าการรายงานการยึดครองเขาวงกตและจัดเตรียมการรักษาให้กับคนเจ็บนั้นต้องใช้เวลา แต่นี้ก็วันที่ 3 แล้วนะครับ หิมมม เธอลืมหรือปล่าวนะ?」
「เดี๋ยวเหอะ〜 จะเป็นงั้นได้ไง พวกเราเป็นถึงผู้ช่วยชีวิตเธอเลยนะ ชั้นไม่คิดว่ามันจะเป็นอะไรที่ลืมได้ง่ายๆหรอกนะ」มิมิโนะซังพูด
「มูเกะซัง มีวิธีติดต่อกับแผนกยึดครองดันเจี้ยนไหมครับ?」
「อืม แน่นอนว่ามีสิ พวกเราจะไปกันไหมละ?」
「ได้ก็ดีครับ」
ผมเข้าใจว่าลูลูช่าซังนั้นอาจจะกำลังยุ่งอยู่ก็ได้ แต่ว่าผมมาจนถึงที่นี่ก็เพื่อเธอ ดังนั้นผมจึงอยากจะพบแล้วคุยกับเธอให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้
「แล้วคุณละครับ มูเกะซัง? คุณอยากจะไปที่บริษัทที่ซื้อออโตมาตรอนหรือเปล่าครับ?」
「สำนักจัดการเขาวงกต– อ๊ะ องค์กรที่จัดการแผนกยึดครองเขาวงกตหน่ะ หลังจากที่ข้าไปส่งพวกนายแล้ว ข้าก็สามารถไปที่บริษัทนั่นด้วยตัวเองได้อยู่」
「แต่ 1,000 เหรียญทองจักรวรรดิ์ก็ไม่ใช่เงินจำนานเล็กน้อยที่จะจ่ายได้ทันทีเลยไม่ใช่หรอครับ?」
「ไม่หรอกๆ〜 บริษัทที่ชนะประมูลหน่ะเป็นบริษัทหน้าใหม่ไฟแรงที่เติบโตอย่างก้าวกระโดดเลยนะ ดังนั้นไม่มีทางที่พวกนั้นจะไม่มีเงินหรอก! เรื่องที่พวกนั้นเลือกไปกับแผนกที่ 4 แทนที่จะเป็นแผนกที่ 1 นั้นเองก็เป็นหนึ่งในกลยุทธ์ของพวกนั้นเช่นกัน」
「หมายความว่าไงหรอครับ?」
「ข้าจะอธิบายให้ฟังระหว่างเดินไปกันนี้แหล่ะ เวลาเป็นเงินเป็นทองนะ」
มูเกะซังยื่นขึ้นหลังจากที่ดื่มน้ำแก้วนึง
ดูเหมือนจะมีคำว่า “เวลาเป็นเงินเป็นทอง” อยู่ในโลกนี้ด้วยเหมือนกันแห่ะ
ตามที่มูเกะซังบอก ร้านค้าที่อยู่มานานหรือบริษัทยักษ์ใหญ่นั้นอยากที่จะเข้าร่วมไปกับแผนกที่ 1 ถึง 3 และแผนกที่ 4 ที่นำโดยครึ่งมนุษย์อย่างลูลูช่าซังนั้นไม่ค่อยจะเป็นที่นิยมซะเท่าไหร่ ว่ากันง่ายๆ ในแผนกที่ 4 มีคู่แข่งไม่เยอะนั่นเอง ดังนั้นมันจึงมีโอกาสสูงที่จะครอบครองออโตมาตรอนหายากที่ค้นพบได้ก็เป็นได้
「หรือก็คือ 1,000 เหรียญทองจักรวรรดิ์ก็อาจจะถูกไปด้วยซ้ำสำหรับออโตมาตรอนที่เราเจอ」มูเกะซังพูดอย่างตรงไปตรงมา
「อ๊ะ มูเกะซัง? ผมรุ้สึกว่าบางทีบริษัทนั่นอาจจะเบี้ยวไม่จ่ายก็ได้นะครับ?」
「บริษัทโรโรโระ (Rororo Company) น่ะเรอะ?」
ชื่อเห่ยชะมัด!
「ตอนนั้นมีพ่อค้าคนอื่นๆอยู่ด้วยหน่ะ ถ้าพวกนั้นไม่ยอมจ่ายละก็ มันจะสร้างชื่อเสียกับบริษัทด้วย ดังนั้นนายไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องนั้นหรอก」
「งั้นหรอครับ…」
「โอ๊ะ สำนักจัดการเขาวงกตอยู่ตรงนั้นไงละ」
พวกเราทิ้งเนโกะจังเอาไว้แล้วลงเดินไปตามถนน
แดดนั้นแรงมาก ชาวเลฟทุกคนเลยสวมฮูดสีสว่างอย่างสีขาวและเงินเพื่อสะท้อนแสงอาทิตย์
พวกเราได้มาถึงอาคารสีดำที่ตั้งอยู่ตรงพื้นที่ราบทรงจัตุรัสและให้อารมณ์ “หน่วยงานราชการ” อะไรแบบนั้น
มีป้ายที่เขียนว่า “สำนักจัดการเขาวงกต” ติดอยู่ที่ทางเข้า
「งั้นข้าจะไปที่บริษัทโรโรโระก่อนนะ ถ้าพวกนายต้องใช้ ID ละก็ บอกชื่อของข้าไปได้เลย」
「ขอบคุณครับ」
มูเกะซังจากไปพร้อมกับโบกมือ
ผมเข้าไปภายในสำนักจัดการเขาวงกตพร้อมกับมิมิโนะซัง ภายในนั้นรู้สึกเย็นสบาย บางทีคงเพราะมันอยู่ใต้ร่มเงาด้วยละมั้ง หรือไม่ก็พวกเขาอาจจะมีอะไรอย่างเครื่องปรับอากาศก็ได้
มียาม 2 คนสวมเครื่องป้องกันพร้อมหอกโลหะสั้นและกระบองตรงเอวเข้ามาหาพวกเรา แต่เมื่อผมบอกว่าผมต้องการจะพบลูลูช่าซังและเธอเองก็สัญญาว่าจะหาเวลามาพบผมออกไป ทั้งสองคนก็มองหน้ากันสักพัก
「ข้าจะไปเช็คกับเบื้องบน ดังโปรดรออยู่ตรงนั้นสักครู่」
ล็อบบี้นั้นเล็กเกินกว่าจะเรียกว่าล็อบบี้รับแขกได้ พวกเราถูกชี้ไปยังบริเวณที่มีเก้าอี้สำหรับ 10 คนนั่งตั้งเอาไว้ เป็นสถานที่ที่ไร้รสนิยมจริงๆ ไม่มีการตกแต่งด้วยต้นไม้หรือภาพวาดอะไรทั้งนั้น อย่างกับศูนย์กักกันเลย
มีแสงจากข้างนอกลอดผ่านหน้าต่างเข้ามา สามารถเห็นถึงผู้คนชาวเลฟที่เดินผ่านไปผ่านมาอย่างไม่รีบร้อนได้
ชาวเลฟดูจะเป็นพวกขยันขันแข็งจริงๆ พวกเราเดินกันค่อนข้างเร็วเลยหล่ะ และก็จะเดินกันตั้งแต่อาทิตย์ขึ้นจนดึกเลยด้วย ที่มูเกะซังบอกว่าไม่มีแหล่งพนันนั้น บางทีอาจจะเป็นเพราะธรรมชาติของชาวเลฟก็เป็นได้
「นี้ เรย์จิคุง ชั้นมาพบลูลูช่าซังกับเธอด้วยจะดีหรอ?」
มิมิโนะซังถามผมในขณะที่ผมกำลังคิดว่าพวกยามนี้ใช้เวลากันนานจัง
「ไม่มีปัญหาครับ ลูลูช่าซังเธอเป็นแค่หลานสาวของผู้มีพระคุณของผมหน่ะครับ」
「เอ๋!? งะ-งั้นหรอ?」
「อา… ผมยังไม่เคยเล่าให้ฟังหรอครับ?」
มาคิดๆดูแล้ว ผมก็ไม่เคยบอกเลยสักครั้งนี้นะ ผมหมายถึงว่า ก็ทุกคนในซิวเวอร์บาลานซ์นั้นอ่อนโยนถึงขั้นที่ว่าพวกเขาไม่เคยถามผมเรื่องตอนในเหมืองเลยนี้นา นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ผมเลยไม่มีโอกาสเล่าเรื่องตาแก่ฮินกาเลย… ไม่ๆ ไม่สิ เดี๋ยวก่อนนะ นั่นหมายความว่าทุกๆคนตามผมมาจนถึงที่นี่โดยไม่ถามสักคำ แค่เพราะผมบอกว่าอยากจะเจอคนที่ชื่อลูลูช่าซังงั้นหรอ?
(คนพวกนี้จะอ่อนโยนไปจนถึงขนาดไหนกันนะ…)
ผมมันโง่เอง ถึงแม้พวกเขาจะเชื่อใจผมจึงถึงขนาดนี้แท้ๆ… ผมกลับเอาแต่ดีใจที่ได้กลายเป็นสมาชิกของซิวเวอร์บาลานซ์แล้วได้ร่วมเดินทางไปกับทุกคนอีกครั้งนึงเท่านั้นเอง
…ผมจะต้องบอกดันเต้ซังกับน็อนซังด้วยเหมือนกันถ้าพวกเขากลับมาแล้ว
「ตอนที่ผมอยู่ในเหมือง ได้มีคนๆนึงคอยสอนผมเกี่ยวกับโลกใบนี้หลากหลายอย่างเลยครับ ลูลูช่าซังเธอเป็นหลานสาวของคนๆนั้นหน่ะครับ」
「งั้นหรอกหรอ… ขอโทษด้วยนะ ชั้นไม่ได้ตั้งใจที่จะขุดคุ้ย–」
「ไม่ ไม่หรอกครับ มิมิโนะซัง ผมไม่คิดว่ามันเป็นการขุดคุ้ยอะไรเลยครับ ผมไม่มีความทรงจำดีๆตอนอยู่ในเหมืองเลยก็จริง แต่ถ้าผมไม่ได้ไปที่นั่นละก็ ผมก็คงจะตายไปแล้วละครับ」
ถ้าผมไม่ขายตัวเองละก็ ครอบครัวของผมจะต้องฆ่าผมแน่ๆ แค่เพราะว่าผมมีผมสีดำกับตาสีดำเท่านั้น
มิมิโนะซังตกตะลึง ทว่าผมก็พยายามทำให้ดูร่าเริงเข้าไว้
「มันเป็นแค่อดีตไปแล้วละครับ ตอนนี้ ผมมีความสุขที่ได้ออกผจญภัยกับมิมิโนะซังและคนอื่นๆแล้วครับ ผมไม่ได้ติดใจอะไรแล้วละครับ」
จากนั้นผมก็เล่าเรื่องของตาแก่ฮินกา เรื่องหลายอย่างที่ผมได้เรียนรู้มาจากเขา มิมิโนนั้นตกใจตอนที่ผมพูดเกี่ยวกับยาสมุนไพรจนพูดว่า “เขาเป็นคนที่มีความรู้ขนาดนี้เลยหรอ?” ขนาดในมุมมองของฮาล์ฟลิงที่เชี่ยวชาญสมุนไพรอย่างมิมิโนะซัง ตาแก่ฮินกาก็ดูจะมีความรู้ที่โดดเด่นมากๆเลยนะ
ผมคุยเพลินจนลืมเวลาเลย ทว่า—จู่ๆผมก็ได้ยินเสียงแปลกๆ ก็เลยหยุดพูดลง
「หืมมม เป็นอะไรไปหรอเรย์จิคุง? แล้วก็นะ ทำไมยามพวกนั้นใช้เวลานานจังเลยเนี่ย?」
「มิมิโนะซัง」
ผมเข้าใจได้ทันทีแม้จะไม่ต้องใช้เสริมการได้ยินก็ตาม—ว่าที่ข้างนอกนั้นไม่มีใครเดินผ่านไปมาเลย
ผู้คนที่ผ่านไปมาที่ด้านนอกหน้าต่างนั้นไม่มีอยู่แล้ว
และก็ไม่มีใครสักคนเข้าออกอาคารหลังนี้เลยด้วย
ขณะที่ผมเงี่ยหูฟัง ผมก็ได้ยินเสียงโลหะกระทบกันเบาๆ
「ดูเหมือนว่าตึกนี้จะถูกล้อมด้วยกลุ่มคนติดอาวุธแล้วครับ ผมเองก็ไม่อยากจะคิดหรอก แต่เป็นไปได้สูงที่พวกนั้นจะเล็งเป้ามาที่พวกเราครับ」
เกิดอะไรขึ้นกันแน่เนี้ย? ผมก็แค่อยากจะมาพบลูลูช่าซังเท่านั้นเองนะ!
บทที่ 3 ตอนที่ 14
* ลูลูช่า *
ลูลูช่านั้นไม่เคยได้ยินเกี่ยวกับออโตมาตรอนตัวนี้มาก่อน – อย่างน้อยๆก็ไม่มีอยู่ในบันทึกข้อมูลเขาวงกตที่คนระดับเธอซึ่งเป็นถึง “หัวหน้าแผนกยึดครองเขาวงกต” นั้นเข้าถึงได้
『จงถูกกลืนกินด้วยความกลัว』— เพียงแค่ถ้อยคำนั้นจากออโตมาตรอน ทุกๆคนต่างก็คุกเข่าลงกับพื้น
(นะ-นี้มันอะไรกัน…!?)
ลูลูช่าตกตะลึง เธอนั้นคิดเพียงแค่ว่ามันเป็นออโตมาตรอนแปลกๆที่มี 4 แขนซึ่งแตกต่างจากตัวอื่น ทว่า ทุกคนกลับถูกบังคับให้หมอบอยู่กับพื้นเพียงแค่ประโยคเดียวเท่านั้น
อารมณ์ที่พลุ่งพล่านส่งผลต่อจิตใจของเธอ เธอนั้นรู้สึกเย็นยะเยือกไปจนถึงแก่นของร่างกาย ไม่อาจหยุดสั่นกลัวได้
ตีนตะขาบเริ่มขยับและออโตมาตรอนตัวนั้นก็ได้ตรงเข้ามาที่หนึ่งในสมาชิกของทีม มันได้ยกแขนที่เหมือนกับหอกขึ้นเหนือหัวสมาชิกคนนั้นที่คุกเข่าอยู่
「ไม่ หยุดนะ…」
อัญมณี 3 เม็ดเริ่มกระพริบแบบสุ่มไปมาร่าวกับกำลังส่งสัญญาณ แล้วแทงแขนแหลมเข้าไปที่ท้องของสมาชิกคนนั้น
「อั๊ก!? อะ-อ้า… อ๊ากกกก!」
เมื่อหอกถูกดึงออก เลือดก็ไหลทะลักออกมา สมาชิกคนนั้นที่เอามือกุมท้องนั้น แม้จะเจ็บปวด แต่ก็เงยหน้ามองกลับไปที่ออโตมาตรอนทั้งน้ำตา เขาคงอยากจะกรีดร้องออกมาสุดเสียง อยากจะร้องไห้ ทว่าเขาก็ยังอดทนเอาไว้แล้วทำเพียงแค่มองกลับไปอย่างสั่นกลัว เธอสงสัยว่าลูกน้องคนนี้ของเธอนั้นกำลังพยายามทำตัวกล้าหาญอยู่หรือเปล่านะ?
ออโตมาตรอนตัวนั้นไล่แทงเพื่อนๆของเธอทีละคน ทีละคน ทั้งที่ท้อง, ที่แขน, ที่ต้นขา ทว่าไม่มีที่ใบหน้าหรือจุดตายเลย—ราวกับว่ามันไม่ได้มีเจตนาฆ่าแต่อย่างใด
「อะ-อา…」
ลูลูช่ารู้สึกตัว
(มันกำลังพยายามปลูกฝัง “ความกลัว” อยู่… ถ้าเหยื่อตายไปละก็ มันก็จะไม่เหลืออารมณ์ใดๆทั้งนั้น)
แค่ทำให้บาดเจ็บแต่ไม่ถึงตาย เพื่อทำแบบนั้น มันจึงพยายามปลูกฝังความกลัวและยังดึง “ความน่ากลัว” ของดันเจี้ยนนี้ออกมาด้วย
อย่างไรก็ตาม ถ้าไม่รีบช่วยเหลือละก็ พวกเขาคงจะตายจากอาการบาดเจ็บอยู่ดี
「อึก!」
ในโถงที่มีมากกว่า 100 คนแห่งนี้ กว่าครึ่งนั้นได้ถูกแทงไปแล้ว ทั้งเลือดใหลและร้องระงมด้วยความเจ็บปวด และแล้วตอนนี้ ออโตมาตรอนก็ได้มาอยู่ข้างหน้าของลูลูช่าแล้ว
อัญมณีที่ฝังอยู่บนตัวของมันนั้นกระพริบ ลูลูช่าไม่รู้ว่ามันหมายความว่ายังไง
และออโตมาตรอนก็ได้แทงหอกไปยังลูลูช่าー
「Flame Tornado!」
ลูลูช่าได้ยินเสียงนั้น—จากทางเดินด้านหลังของพวกเธอ
พายุหมุนแห่งไฟนรกได้กระแทกที่ด้านข้างของออโตมาตรอน
ถึงจะเป็นช่วงกระทันหัน ทว่าออโตมาตรอนก็ได้เอียงท่อนบนของมันเพื่อหลบเวทมนตร์นั้น
มันเป็นเวทมนตร์ เวทมนตร์ที่เห็นได้ยากในประเทศนี้ อย่างไรก็ตาม ลูลูช่าก็รู้ว่านี้ไม่ใช่เวทมนตร์ธรรมดาๆ แต่เป็นเวทมนตร์ระดับสูง
「มันหลบการโจมตีได้ครับ! ระยะห่างมันมากเกินไป!」
ถึงยังนั้น เสียงที่เธอได้ยินกลับเป็นเสียงเด็กๆ ไม่เหมือนกับเสียงของนักเวทย์ชั้นสูงเลยสักนิด
「พุ่งเข้าไป!!!!」
เสียงชายหยาบกร้านดังขึ้น และเธอก็ได้ยินเสียงคนหลายคนเข้ามาในโถงใหญ่แห่งนี้
ทว่า ออโตมาตรอนดูจะไม่ได้สนใจอะไรกับการโจมตีทีเผลอนี้เลย อัญมณี 3 เม็ดเริ่มกระพริบตอบสนองกับผู้บุกรุกกลุ่มใหม่
「ย-อย่า–」ลูลูช่าพยายามเตือน
มีใครกำลังมาช่วย ชั้นขอบคุณจริงๆ แต่ว่าศัตรูตัวนี้นั้นต่างออกไป มันไม่ใช่มอนสเตอร์ธรรมดาแล้ว ถ้าไม่ทำอะไรละก็ พวกคุณก็จะเจอกับชะตากรรมเดียวกันนะ
『—จงถูกกลืนกินด้วยความกลัว—』
ทว่า เธอก็เตือนไม่ทันเวลา
「กลัวๆๆๆอยู่นั่นแหล่ะ! น่ารำคาญจริง!」มนุษย์สัตว์เผ่าแมวพูด
เอ๊ะ? ลูลูช่าไม่เชื่อสายตาตัวเอง มนุษย์สัตว์เผ่าแมวคนนั้นได้กระโดดเตะไปยังออโตมาตรอนตัวนั้น ท่อนบนของมันนั้นเอียงไปมาก แต่ด้วยการที่มันมีขาเป็นล้อ ดังนั้นมันจึงค่อยข้างมั่นคงอยู่
「โอ้วววววว!」
ชายที่สั่งการเมื่อสักครู่ได้สไลด์ไปที่ด้านข้างแล้วเหวียงคทาหน้าตาโหดๆใส่ ออโตมาตรอนพยายามป้องกันด้วยแขนทั้ง 4 ข้าง ทว่าคทาก็ได้บดทำลายแขนทิ้ง
「เยี่ยมเลยครับ ดันเต้ซัง!」
จากนั้นเธอก็ได้ยินเสียงของเด็กหนุ่ม เขาได้วิ่งเข้าหาออโตมาตรอนตัวนั้น—การวิ่งของเขานั้นเงียบเชียบอย่างมาก—ซึ่งกำลังล้มลงจากแรงของคทา และกระโจนเข้าใส่ร่างของออโตมาตรอนด้วยแรงกระโดดที่เหนือมนุษย์ปกติ
จากจุดนั้น เขาก็เคลื่อนไหวที่เรียกไม่ได้ว่าเป็นการต่อสู้เลย
ด้วยความคล่องแคล่วของมือของเขา เขาได้เสียบปลายมีดเข้าไปในอัญมณีเม็ดนึงแล้วดึงมันออกมาอย่างง่ายดาย
คี้คี้คี้คี้คี้———— ………….
เสียงแหลมสูงดังขึ้น ก่อนที่ออโตมาตรอนตัวนั้นจะหยุดเคลื่อนไหวไป
「พวกเขา… กำจัดมันได้หรอ?」
เกิดอะไรขึ้นกัน? คนพวกนั้นดูจะไม่ใช่ชาวเลฟแน่ๆ ดังนั้นพวกเขาเป็นนักผจญภัยงั้นหรอ? — คนพวกนี้เป็นใครกันแน่?
「มิมิโนะซัง, น็อนซัง! จบแล้วครับ! รีบรักษาคนเจ็บกันเถอะครับ!」
「รับทราบ!」
「ได้เลย!」
ลูลูช่านั้นทึ่งในการเคลื่อนไหวของพวกเขา
「ชะ-ใช่แล้ว! คนที่ยังขยับอยู่ได้ทำการรักษาคนเจ็บ! เร็วเข้าห้ามเลือดซะ!!」ลูลูช่าออกคำสั่ง
* * * *
ดูเหมือนว่าพวกเราจะมาทันเวลานะ ถึงจะเกือบไปแล้วก็เถอะ บางคนนั้นหมดสติจากอาการบาดเจ็บไปแล้ว แต่ก็ยังไม่มีใครตาย
「พวกคุณช่วยพวกเราเอาไว้ได้พอดีเลย ต้องขอบคุณจริงๆ ไม่ใช่แค่กำจัดออโตมาตรอนตัวนั้นให้ พวกคุณยังรักษาคนเจ็บให้ด้วยแบบนี้」
หญิงสาวที่ดูจะเป็นหัวหน้าก้มศีรษะของเธอให้กับพวกเรา
เธอนั้นมีนัยน์ตาสีอำพัน ผมยืนยันแล้วว่าตาของเธอนั้นเป็นสีเดียวกับตาแก่ฮินกาแล้วถามออกไป
「คุณคือลูลูช่าซังใช่ไหมครับ?」
「อืม ใช่แล้วละ ชั้นคือลูลูช่า หัวหน้าแผนกยึดครองเขาวงกตที่ 4 ทว่าเนื่องจากมีคนเจ็บเป็นจำนวนมาก การยึดครองก็คงจะไปต่อไม่ได้แล้วละ… ดังนั้น ครั้งนี้พวกเราจะถอยกันก่อน」
อย่างที่คิดเลย คนๆนี้คือลูลูช่า หลานสาวของตาแก่ฮินกาจริงๆด้วย
อาาา ใบหน้าของเธอก็ดูคล้ายกับตาแก่นิดหน่อยนะ ー ท่าทางที่ดูเป็นคนมีเหตุผลแบบนี้
「อืม จริงๆแล้วผมมีเรื่องที่ต้องคุยกับคุณหน่ะครับ」
「ชั้นขอโทษนะ ชั้นเองก็อยากจะถามเธออะไรหลายๆอย่างเหมือนกัน แต่ว่าชั้นอยากจะออกไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุดเพื่อรักษาลูกน้องของชั้นหน่ะ」
「อา…」
ลูลูช่าพูดด้วยสีหน้าขอโทษ …พอคิดดูแล้ว นั่นก็เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนี้ละนะ
「หลังจากที่ทุกอย่างสงบลงแล้ว ชั้นจะหาเวลามาพบนะ แบบนั้นได้ใช่ไหม?」
「ครับ… ได้แน่นอนครับ ไม่มีปัญหาครับ」ผมพูด
「พวกข้าจะช่วยในการถอนกำลังด้วยเช่นกัน」ดันเต้ซังพูด
เนื่องจากจำนวนคนในกลุ่มนั้นมีมากกว่า 100 คนแถมยังบาดเจ็บกันด้วย การถอนกำลังจึงต้องใช้เวลาสักหน่อย
ในขณะนั้นเอง มูเกะซังก็กำลังต่อรองกับพ่อค้าคนอื่นๆที่พูดว่าพวกเขาอยากจะ “ซื้อ” ออโตมาตรอนที่พวกเราจัดการ — พวกพ่อค้าแทนตัวมูเกะซังว่า “บริษัทโกโรโกโส” เหมือนกับพ่อค้าเมื่อก่อนหน้านี้ด้วย ดังนั้นมูเกะซังจึงเริ่มถกแขนเสื้อราวกับเขากำลังมีไฟ
「เอาละ ข้าก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรที่จะขายออโตมาตรอนหรอก ดังนั้นมาประมูลกันดีกว่า」
「ไม่เอาหน่า มูเกะซัง พยายามจะขูดรีดพวกเราหรือไง? นายมาทีหลังนะรู้ตัวไหม?」
「โอ๊ะ งั้นนายอยากจะให้ข้ารอให้ทุกคนตายก่อนแล้วค่อยมางั้นหรอ?」
「อะ-อุ๊ก… เข้าใจแล้ว มาประมูลกันโดยได้แค่โหวตเดียวต่อคนละกัน」
「เอางั้นก็ได้ โปรดเขียนราคาใส่กระดาษแล้วส่งมาให้ข้า โอ๊ะและแน่นอนว่า พวกนายไม่สามารถปรึกษาเรื่องราคากันได้! เขียนราคาลงไปตอนนี้เลย! ถ้าไม่เขียนละก็ พวกนายก็หมดสิทธิ์นะ!」
มูเกะซังดูจะกลายเป็นพ่อค้าหน้าเลือดไปแล้วยังไงก็ไม่รู้
「…อุ๊ก… เป็นแค่บริษัทโกโรโกโสแท้ๆ」
「…อดทนไว้ ออโตมาตรอนตัวนั้นมันมีความสามารถเหลือเชื่อมากเลยนะ」
「…เป็นมูลค่ามหาศาลเลยละ」
หูของผมได้ยินที่พวกเขาพึมพำด้วย【เสริมการได้ยิน】
หลังจากนั้นสักพัก ผมก็เห็นหนึ่งในบริษัทพวกนั้นกระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจ ในขณะที่บริษัทอื่นๆทำสีหน้าผิดหวัง ดูเหมือนจะมีบริษัทที่ให้ราคาดี และการชำระเงินนั้นจะทำหลังจากกลับไปที่จักรวรรดิ
「นะ-นี้มัน… จะ-จะ-จะดีจริงๆหรอ!? เงินจำนวนมากขนาดนี้เลยนะ!」
มูเกะซังที่ทำตัวเท่ก่อนหน้านนี้นั้น ดูจะกลับมาเป็นคนเดิมแล้ว
「ใจเย็นหน่าครับ มูเกะซัง ออโตมาตรอนแบบนั้นก็สมราคาแล้วครับ」
「ตะ-ตะ-แต่ว่า 1000 เหรียญทองจักรวรรดิเลยนะ!?」
ไหนดูสิ… เหรียญทองจักรวรรดิน่าจะอยู่ราวๆ 300,000 ถึง 500,000 เยนต่อเหรียญ นั่นก็หมายความว่า… มากกว่า 300 ล้านเยน!? ว้าว นั่นมันสุดยอดไปเลยนี้!
ออโตมาตรอนที่พวกเราจัดการนั้นตัวเล็กกว่าที่พวกเราพบระหว่างทางมาที่นี่ แต่สภาพของมันนั้นยังสมบูรณ์อยู่ยกเว้นแขนที่เสียหาย ผมได้ยินมาว่านี้เป็นครั้งแรกที่พวกเขาเจอกับออโตมาตรอนที่ใช้ “กับดักอารมณ์” ー เป็นครั้งแรกที่โดนออโตมาตรอนปลูกฝังความกลัวของการ “ถูกกวาดล้าง” ดังนั้นไม่แปลกใจเลยว่าทำไมพวกพ่อค้าถึงอยากได้มันไม่ว่าจะยังไงก็ตาม
(แต่ว่า ออโตมาตรอนไม่สามารถควบคุม “อารมณ์” ได้ด้วยตัวมันตัวเดียว)
มีวัตถุดิบอยู่ไม่มากที่บรรทุกอยู่บนถาดของเนโกะจัง ดูเหมือนว่าอัญมณีที่เหมือนกับตานั้นสามารถขายได้สูงในฐานนะหินเวทมนตร์ ดังนั้นพวกเราก็เลยเก้บมาทั้งหมดเลย มูเกะซังเป็นคนแยกส่วนอุปกรณ์เวทมนตร์ที่เหลือ ทว่าเขาบอกว่ามันไม่ได้อะไรเท่าไหร่
บริษัทที่ซื้อออโตมาตรอนไปนั้นบรรทุกมันด้วยความระมัดระวังอย่างดีที่สุด
「ดันเต้ เรย์จิคุง พวกนายควรทานยานี้นะ」
「ถึงเวลาแล้วหรอ?」
「ยังหรอก แต่มันอาจจะหมดฤทธิ์ตอนขากลับก็ได้ ดังนั้นปลอดภัยไว้ก่อนดีกว่า~」
มิมิโนะซังมอบยาที่ชื่อว่า “ปรับสภาพมานา (Mana Neutralizer)” ซึ่งมีผลในการปรับสภาพมานาในร่างกาย ถ้าความคิดที่ว่า “กับดักอารมณ์” ใช้มานาที่ไหลเวียนอยู่ในดันเจี้ยนนั้นถูกต้องละก็ “กับดักอารมณ์” ก็จะใช้ไม่ได้ถ้ามานาในร่างกายถูกทำให้เป็นกลางไปแล้ว และการที่มันเป็นความจริงนั้น มันก็เป็นไปได้ที่จะลบล้าง “กับดักอารมณ์” ที่ปล่อยออกมาจากออโตมาตรอนได้
ถึงผมอาจจะต้องหาวิธีอื่นถ้าเจอกับกับดักแบบอื่นๆก็เถอะ
อนึ่ง ปรับสภาพมานานั้นมักถูกใช้ในตอนที่เกิดอาการโรคมานาจากการสะสมมานามากเกินไป และมันก็ไม่ใช่ยาที่จะใช้กันทั่วไปด้วย ถึงยังนั้น มิมิโนะซังก็ทำมันขึ้นมาจากสมุนไพรที่เธอมีอยู่ได้
สมาชิกปาร์ตี้ของพวกเรานี้มันสุดยอดจริงๆ
ไม่มีใครถามถึงเรื่องที่ทำไมพวกเราถึงไม่โดนการโจมตีของออโตมาตรอน บางทีคงเพราะสิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนี้ก็คือการถอยทัพไปยังที่ที่ปลอดภัยละมั้ง
ยาของมิมิโนะซังกับมานาของน็อนซังนั้นมีจำกัด ดังนั้นทำการปฐมพยาบาลเบื้องต้นให้กับทุกคนนั้นจึงเป็นสิ่งที่พวกเขาทำได้ในตอนนี้
หลังจากจุกนั้นก็ไม่มีการต่อสู้กับออโตมาตรอนอีกเลย แล้วพวกเราก็สามารถออกมาจาก “เขาวงกตแห่งความหวาดกลัว” ได้ ー ดูเหมือนเวลาจะผ่านไปหนึ่งวันแล้ว และคนเจ็บก็ได้ถูกพาลงไปด้วยลิฟต์พร้อมกับอาบแสงอาทิตย์ยามเช้า
「ลาก่อน ซิวเวอร์บาลานซ์ ชั้นจะติดต่อไปในเร็วๆนี้นะ พวกคุณช่วยพวกเราเอาไว้จริงๆ」
ลูลูช่าก้มหัวให้กับพวกเราก่อนจะจากไปอย่างห้าวหาญ
ทว่า เวลาผ่านไปแล้ววันสองวัน ลูลูช่าซังก็ยังไม่ติดต่อพวกเรามาเลย
บทที่ 3 ตอนที่ 13
「ก็ประมาณนั้นละครับ… ทั้งหมดที่ผมคิดได้ เอ๊ะ เป็นอะไรไปหรอครับ มูเกะซัง」
เมื่อผมพูดจบ มูเกะซังก็มองมาที่ผมอย่างอึ้งๆ
「ปะ-เป็นเรื่องจริงงั้นหรอ? แบบจริงของจริงๆหน่ะ?」
「คือ ผมเองก็ยังยืนยันไม่ได้ครับจะเป็นยังงั้น… แต่มันก็เกือบจะแน่นอนแล้วครับว่าเราไม่สามารถควบคุมอารมณ์ได้ง่ายๆถ้าไม่มีกับดักคอยสร้างมานาในร่างกายก่อนครับ」
「เป็นการค้นพบครั้งยิ่งใหญ่เลยนะ รู้ไหม้!?」
「……เอ๊ะ?」
มูเกะซังโน้มตัวมาจับไหล่ผมอย่างตื่นเต้น
「ที่ทุกการยึดครองเขาวงกตแต่ละครั้งล้มเหลวก็เพราะเสียการควบคุมอารมณ์อย่างใดอย่างหนึ่งไป! ถ้าการคาดเดาของเรย์จิซังถูกต้องละก็ ก็จะสามารถดำเนินการยึดครองต่อจากจุดที่ติดได้ทันทีเลยละ!!」
「นี้พวกเขาไม่สังเกตเห็นมาก่อนเลยหรอครับ?」
「ข้าเองก็ไม่รู้ แต่ข้าไม่เคยได้ยินอะไรอย่างที่ทฤษฎีของเรย์จิซังเลย ทุกคนเอาแต่คิดว่าจะรักษาอารมณ์ของตัวเองยังไง」
「งั้นหรอครับ」
ผมสังเกตเห็นว่าความคิดของผมนั้นใกล้เคียงกับที่ผู้คนในยุคปัจจุบันของโลกคิด; ความคิดแบบหลักวิทยาศาสตร์ มันอาจจะเป็นความคิดแปลกใหม่สำหรับผู้คนบนโลกนี้ที่มีเวทมนตร์ก็ได้
อย่างไรก็ตาม ผมเองก็เห็นตัวแปรอื่นที่สำคัญยิ่งกว่านี้เช่นกัน
「สกิล…」
ชาวเลฟนั้นไม่สามารถรับสกิลได้ นั่นถึงเป็นเหตุผลว่าทำไมพวกเขาถึงไม่รู้จัก【เวทย์มนุษย์】ถึงผมเองก็จำได้แค่ลางๆจากที่ตาแก่ฮินกาพูดเมื่อนานมาแล้วก็เถอะ
อุปกรณ์ที่ถูกนำออกจาก “เขาวงกตแห่งอารมณ์ทั้ง 9” นั้นนำความมั่งคั่งมาสู่ชาวเลฟ ทว่าในทางกลับกัน มันก็ดูจะย้อนแย้งสำหรับผมที่ว่าชาวเลฟที่ไม่สามารถใช้หินสกิลได้จะต้องยึดครองดันเจี้ยนโดยมีแค่ปัญญาอย่างเดียวแบบนี้
「แล้วก็นะครับ… ทำไมชาวเลฟถึงไม่สามารถใช้หินสกิลได้หรอครับ?」
「ข้าเองก็ไม่รู้ คือว่าข้าเองก็สนใจเรื่องนี้เหมือนกัน ดังนั้นข้าจึงลองมาหลายวิธีแล้ว แต่ก็…」มูเกะซังพูดพร้อมกับคอตก
ปรากฏว่ามูเกะซังได้เคยซื้อหินสกิลที่ด้านนอกจักรวรรดิแล้วพยายามใช้มันหลายต่อหลายครั้งแล้ว ทว่าไม่มีครั้งไหนสำเร็จเลย
「เพราะแบบนั้น พวกเราก็เลยถูกเรียกว่า “เผ่าต้องคำสาป” แบบนี้ อาาา…」มูเกะซังพูดไปไหล่ตกไป
ผมพอจะเข้าใจเขานะ
(“เด็กน่ารังเกียจ”, “เด็กแห่งหายนะ” …เพราะผมเองก็เคยเจอมาเหมือนกัน)
ผมถูกข่มเหงเพียงแค่เพราะว่าผมมีผมสีดำกับตาสีดำ
ผมจับไปที่ผมของตัวเอง ตอนนี้ด้วยคำขอของมิมิโนะซัง ผมของผมจึงเป็นสีส้มๆ เธอบอกผมว่า “พวกเราเหมือนกันอีกครั้งแล้ว!” แต่ผมของเธอเป็นสีอำพันไม่ใช่หรอ
「แต่เอาเถอะ!」มูเกะซังตบมือ「ดังนั้นแล้วทุกคน ข้ารู้สึกว่าข้าทำเงินมาได้มากพอแล้ว แต่แล้วพวกนายอยากจะทำอะไรต่อละ?」
「เอ๊ะ? คุณทำเงินได้หรอครับ? ผมเผาออโตมาตรอนด้วยเวทมนตร์ไปถึงขนาดนั้นนะครับ…」
「ส่วนขับเคลื่อนของล้อยังสมบูรณ์ดี แถมหินเวทย์ที่พังก็สามารถขายได้ราคาสมเหตุสมผลอยู่ ถึงพวกเราจะสามารถจัดการมันง่ายๆด้วย Magi Lightning ได้ก็ตาม แต่ถ้าทำแบบนั้น มันจะทำลายวงจรเวทมนตร์ด้านในหมดเลยหน่ะสิ」
「อ่าา…」
ผมได้ยินมาว่าแผนกยึดครองเขาวงกตเองก็มีอาวุธแบบนั้นอยู่
แน่นอนว่า ไฟฟ้านั้นใช้ได้ผลดีมากกับศัตรูประเภทเครื่องจักร
ทว่า【เวทย์สายฟ้า】นั้นขึ้นชื่อในเรื่องความไม่สะดวก คุณไม่สามารถควบคุมทิศทางในตอนที่ยิงออกไปได้ ถึงจะโดนอีกฝ่ายง่ายขึ้นถ้าอีกฝ่ายใช้อะไรแบบหอกก็เถอะ แต่นั่นเป็นเพราะมันทำงานเหมือนกับสายล่อฟ้า แถมพลังทำลายยังด้อยกว่ามานาที่สูบไปเองก็เป็นหนึ่งจุดเด่นของมันอีก
บางทีอาจจะเป็นไปได้ที่จะยิงมันใส่ตรงๆในระยะใกล้ก็ได้นะ?
จนถึงตอนนี้ ผมจัดการพวกออโตมาตรอนโดย Flame Tornado แต่บางทีผมควรจะหาวิธีอื่นนะ จะตรึงศัตรูเอาไว้ด้วย【เวทย์บุบพา】ดีหรือเปล่า? แต่ว่าที่นี่ไม่มีต้นไม้นี้นา…
ขณะที่ผมคิดแบบนั้น–
「อุหิหิหิ วันนี้วันเดียวข้าได้เงินมามากกว่ากองคาราวานทั้งเดือนซะอีก หิหิหิ! ข้าคงหยุดเข้าเขาวงกตไม่ได้แล้วหลังจากนี้」
โอ้ไม่นะ นี้ไม่ดีแล้ว ตาของมูเกะซังกลายเป็นเงินไปแล้ว
「ใช่ แต่ว่านี้เองก็เหมือนกับการพนันนะคะ เพราะคุณจะต้องเดิมพันด้วยสิ่งที่เรียกว่าชีวิต」น็อนซังพูดด้วยรอยยิ้มบริสุทธิ์ก่อนที่ผมจะได้พูดอะไร
「จะ-จริงด้วย…」มูเกะซังพยักหน้าอย่างเงียบๆ
คุณเองก็เข้าใจสินะครับ มูเกะซัง? ที่น็อนซังนั้นน่ากลัว…
「แต่ว่านะ… มูเกะซัง ถ้านายอยากจะกลับละก็ พวกเราก็จะออกจากเขาวงกตกัน ยังไงซะ งานของเราคือการคุ้มกันนายอยู่แล้ว」
ค่าธรรมเนียมคำร้องนั้นก็ไม่ได้มากอะไร แต่พวกเราจะได้ครึ่งนึงของกำไรที่ได้จากการขายของดรอปด้วย เนื่องจากการที่มูเกะซังดูค่อนข้างมีความสุข ผมคิดว่ามันคงจะได้ค่อนข้างมากเลยทีเดียว
「อืม… นายคิดว่าไงละ เรย์จิซัง?」
「เอ๊ะ ผม?」
「ใช่ๆ นายเป็นคนคิดทฤษฎีสุดยอดนั้นขึ้นมา ดังนั้นนายเองก็ต้องมีแผนอะไร ใช่ไหมละ? บอกข้ามาทีเถอะ〜!」
「…………」
มูเกะซังที่ตาเป็นเงินนั้นค่อนข้างน่ารำคาญเลยทีเดียว
「อืมมม ผมอยากจะยืนยันกับดักหน่ะครับ ดังนั้นผมจึงอยากจะไปต่อ」
「งั้นก็ไปต่อกัน! ข้าจะใช้เงินที่ได้จากการสำรวจครั้งนี้ปรับปรุงร้านอย่างที่ข้าใฝ่ฝันมานานหลายปี!」
อืมมม อย่าพูดปักธงอย่างนั้นสิครับ…
「ยิปปี้! เค้าจะหาเงินเยอะๆที่นี่แล้วจะจ่ายหนี้คืนหนุ่มน้อยให้หมดเลย!」เซอรี่ซังกระโดดโลดเต้นด้วยความตื่นเต้น
ธงอีกอันนึงแล้ว! ผมรู้สึกเหมือนกับพวกเรากำลังจะชิบหายแล้วเลย!
*ลูลูช่า *
「ศัตรู… ถูกทำลาย」
「พวกเราจัดการพวกมันได้ไหม?」
ลูลูช่าเกือบจะทิ้งตัวลงบนพื้น
เธอถูกบังคับให้ใช้ Magi Lightnings ไปเกือบหมด ทว่าเธอก็สามารถขับไล่ออโตมาตรอนไปได้ ทั้งกลุ่มนั้นถูกบังคับให้ต่อสู้กับออโตมาตรอนจำนวนมาก และก็มีผู้คนมากมายได้รับบาดเจ็บ
เธอกำลังตั้งคำถามกับสวรรค์ว่าเธอไม่มีทางเลือกอื่นแล้วนอกจากถอนกำลังแล้วงั้นหรอ
(ชั้นคิดตื้นเกินไป…)
เธอคิดจริงๆว่าเธอจะสามารถจัดการทุกอย่างได้ด้วยเพียงแค่เมจิคเกียร์ คิดว่าบางทีเธออาจจะสามารถยึดครองเขาวงกตแห่งความหวาดกลัวได้ก็ได้ แถมยังคิดว่าเสบียงนั้นเพียงพอแล้ว
แต่เมื่อมองดูสถานการณ์ในตอนนี้แล้ว… ไม่มีอะไรที่เธอสามารถทำได้เลยถ้าเสบียงตัวกระตุ้นหมด
「โอ้แหม่ จบแล้วงั้นหรอ?」
「ไม่คิดเลยว่าพวกเราจะรอดอะไรแบบนั้นมาได้」
「พวกนายมีนักผจญภัยคอยคุ้มกันอยู่ใช่ไหมละ?」
ชาวเลฟของบริษัทที่มาด้วยกันกับแผนกยึดครองที่ 4 นั้นต่างพูดนั้นพูดนี้กัน ทว่าลูลูช่านั้นไม่อาจสนใจคำพูดพวกนั้นได้เลย
「รักษาคนเจ็บ! เร็วเข้า! ตรวจสอบจำนวนคนที่สามารถขยับได้ซะ!」
「หัวหน้า ของดรอป…」
「ให้บริษัทพวกนั้นจัดการ」
เท่าที่ตาเห็น ไม่มีอันไหนที่ไม่เสียหายเลย แถมเขม่าควันจากออโตมาตรอนก็ลอยคละคลุ้งไปหมด เพียงแค่มองดูสถานการณ์ในตอนนี้ก็สามารถบอกได้เลยว่าการต่อสู้ครั้งต่อไปนั้นเป็นไปไม่ได้แล้ว
(แต่ว่า… ชั้นยังยอมแพ้ไม่ได้! มันจะจบลงอย่างนี้หน่ะหรอ? นี้นะหรอเขาวงกต? ไม่ ถ้าแค่ชั้นมีเสบียงมากกว่านี้ละก็ ไม่สิ มีคนที่ไม่ได้ร่วมสู้อยู่ด้วย ไม่สิ หรือว่าคำสั่งของชั้นผิดงั้นหรอ? ไม่สิ…)
ความคิดมากมายวนเวียนอยู่ในหัวของเธอ
「หัวหน้าครับ พบศัตรู!」
「ว่าไงนะ……」
กำลังเสริมของศัตรู—อย่างที่คิด ความสิ้นหวังก่อตัวในใจเธอ ทว่าเธอก็สูดหายใจเข้าเล็กๆ เมื่อเธอเห็นออโตมาตรอนที่ปรากฏตัวขึ้นที่อีกฝากของทางเดิน
มันมีขนาดเล็กกว่าออโตมาตรอนตัวไหนที่เธอเจอ
จนถึงตอนนี้ มีเพียงแค่ออโตมาตรอนรูปแบบสัตว์ที่ปรากฏตัวขึ้น เป็นรูปแบบง่ายๆที่จะเอาแต่พุ่งตรงใส่คุณ เธอถึงขนาดสงสัยเลยว่า “นี้มันเขาวงกตแห่งความหวาดกลัวงั้นหรอ? หรือว่าสวนสัตว์กันแน่?”
「เป็นรูปร่างทีแปลก แต่ว่า… ตัวเล็กนะ มี Magi Lightning เหลืออยู่ทั้งหมดเท่าไหร่!?」
「เหลืออีก 12 อันครับ」
「งั้นพวกเราก็น่าจะจัดการมันได้อยู่」
เธอถอนหายใจเล็กน้อยเมื่อรู้สึกโล่งใจ
ที่ปรากฏตัวในครั้งนี้นั้นมีขนาดประมาณเมตรครึ่ง ทว่ามันมีแขน 4 ข้างที่ดูเหมือนกับหอก ไม่มีหัว และมีอัญมณี 3 เม็ดเรียงเป็นรูปสามเหลี่ยมอยู่ตรงกลางของลำตัว
「โอเค มาจัดการมันกันเถอะ」ลูลูช่าพูดพร้อมกับชูหมัดขึ้นเพื่อระดมคนที่ยังขยับได้
『…………』
เธอไม่สังเกตเห็นว่าอัญมณีนั้นได้ส่องแสงออกมา ไม่ได้รับรู้เลยว่านั่นคือจุดเริ่มต้นของฝันร้ายที่กำลังจะเกิดขึ้น
บทที่ 3 ตอนที่ 12
มูเกะซังกลับมารวมกลุ่มแล้ว – อักษรที่เขียนบนพนังดูจะเป็นบทกวีบางอย่าง ดังนั้นมันจึงยากที่จะเข้าใจได้ – และผมก็ได้อธิบายถึงสิ่งที่กวนใจผมตั้งแต่พวกเราเข้ามาในเขาวงกตนี้ให้ทุกคนฟังแล้ว (ผมเบิ๊ดกะโหลกเซอรี่ซังไปทีนึงเพราะดูเธอกำลังจะหลับในตอนที่ผมอธิบาย)
「ข้าก็เข้าใจที่พูดมา แต่ว่า เรย์จิ นายพูดอะไรเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างนักผจญภัยกับปาร์ตี้ใช่ไหม… แล้วมันเกี่ยวกับดันเจี้ยนยังไงละ?」
「ครับ ก้อนอื่นเลย มาหยุดคิดว่า “อะไรก็เกิดขึ้นได้เพราะเป็นดันเจี้ยน” กันก่อนนะครับ เขาวงกตแห่งความหวาดกลัวแห่งนี้เป็นดันเจี้ยนเทียมที่ถูกสร้างขึ้นโดยคนที่ชื่อลา-ฟีซา ทุกอย่างที่เกิดขึ้นที่นี่จะต้องมีสาเหตุและลูกเล่นครับ」
「แล้วมันเกี่ยวอะไรกับปาร์ตี้ละ?」
「ผมสังเกตุเห็นถึงความสัมพันธ์ระหว่างออโตมาตรอนกับดันเจี้ยนครับ ออโตมาตรอนนั้นทำงานโดยเวทมนตร์ และในทางกลับกัน มานานั้นก็ไหลเวียนอยู่ในดันเจี้ยนครับ ดันเจี้ยนทั่วไปจะซ่อมแซมกำแพงที่เสียหายและอื่นๆด้วยใช่ไหมละครับ?」
「ใช่ แต่ข้าก็ไม่รู้ว่ามันทำงานยังไงหรอกนะ」
「ดังนั้นการไหลเวียนของมานาก็จะได้รับการฟื้นฟูใช่ไหมละครับ? มีความเป็นไปได้อีกอย่างนึงว่าตัว “ดันเจี้ยน” เองก็คือมอนสเตอร์ประเภทหนึ่งครับ」
「อ้า ทฤษฎีที่คิดโดยนักวิจัยดันเจี้ยนบางคนที่ถูกหาว่าเป็นพวกนอกรีตสินะ」มิมิโนะซังพูด
อย่างที่คิด มีคนที่คิดแบบนั้นอยู่จริงๆด้วย แต่ว่า “นอกรีต” งั้นหรอ
「เอาเถอะครับ ช่างเรื่องว่าใช่มอนสเตอร์ไหมไปก่อนเพราะมันไม่ได้สำคัญอะไรในตอนนี้ครับ ที่สำคัญก็คือคนที่สร้างดันเจี้ยนครับ ทั้งสร้างออโตมาตรอนขึ้นมา และทั้งคำนวนมานาที่ไหลเวียนในดันเจี้ยน ทั้งหมดนั้นเป็นคนๆเดียวกันครับ」
「อืม ใช่ เป็นคนเดียวกัน แต่ว่า… มันบอกอะไรรึ?」ดันเต้ซังถาม
「ผมพยายามมองในมุมมองของคนๆดูครับ ถ้าผมจะสร้างดันเจี้ยนขึ้นมา ผมจะต้องให้ออโตมาตรอนนั้นใช้มานาในดันเจี้ยนได้」
มานาที่กำแพงนั้นเล็กน้อยถ้ามองในจุดๆเดียว ทว่าถ้ามองทั้งดันเจี้ยนละก็ มันมากมายมหาศาลเลยละ และมันก็ยังไหลเวียนอยู่เรื่อยๆด้วย ขนาดในอากาศก็ยังเต็มไปด้วยมานา
จึงเป็นเหตุผลที่ดูจะมีมอนสเตอร์เกิดขึ้นเรื่อยๆด้วย แต่นั่นไม่ใช่ประเด็น
「ถ้าผมจะออกแบบดันเจี้ยนละก็ ผมจะซ่อนลูกเล่นเอาไว้ในดันเจี้ยนแล้วให้ออโตมาตรอนใช้งานได้อย่างอิสระครับ」
「อ้า!」มิมิโนะซังกึ่งลุกกึ่งยืน「เป็นการใช้กับดักเพื่อชักจูง “ความกลัว”!?」
「ถูกต้องครับ」
「กับดักงั้นหรอ!?」มูเกะซังส่งเสียงราวกับเขาตกใจออกมา「แต่ไม่ใช่ว่าออโตมาตรอนมันใช้เวทมนตร์บางอย่างหรอกหรอ?」
「ผมก็บอกไม่ได้เหมือนกันครับว่ามันไม่ใช่เวทมนตร์ แต่ว่าออโตมาตรอนที่คุณตรวจสอบมาจนถึงตอนนี้ คุณพบอะไรอย่างเวทมนตร์หรือเวทย์จากอุปกรณ์เวทมนตร์ที่สร้างผลชักจูงอะไรแบบนั้นหรือเปล่าละครับ?」
เมื่อผมถามกลับ มูเกะซังก็เกาหัวอย่างงุนงง
「ไม่… แต่ว่าเป็นครั้งแรกเลยที่ข้าได้ยินว่าออโตมาตรอนสามารถชักจูงอารมณ์ได้」
「มันก็จริงครับ แต่มันจะง่ายดายมากขึ้นครับถ้าใช้ดันเจี้ยนด้วย」
「ง่ายดาย?」
「แค่หายใจเข้าหายใจออก มานาในดันเจี้ยนก็จะเข้าสู่ตัวเราครับ มันใช้สิ่งนี้เพื่อควบคุมอารมณ์ของผู้คนในดันเจี้ยน เนื่องจากมานานั้นอยู่ในร่างกายแล้วตั้งแต่แรก มันจึงง่ายกว่าการร่ายเวทมนตร์ใส่จากภายนอกครับ」
ขนาดในหมู่หินสกิลเอง มันก็ยังมีประเภทที่เรียกว่า “ประเภทลึกลับ” เลย มันเป็นประเภทที่แตกต่างออกไปจากเวทมนตร์ปกติ อย่างเช่น【เวทย์รักษา】กับ【เวทย์ซัพพอร์ต】
อย่างไรก็ตาม มันเองก็มีสกิลที่ส่งผลเฉพาะอย่างเช่น【เวทย์วิญญาณ】และ【เวทย์มนุษย์】ตัว【เวทย์มนุษย์】นั้นสามารถ “มีอิทธิพลต่ออารมณ์ของผู้อื่น” ได้จริงๆ ผมได้ยินมาแบบนั้น
อนึ่ง ผมเองก็ไม่เคยเห็นหินสกิลสองอันนั้นหรือคนที่ใช้มันหรอก
อย่างไรก็ตาม ถ้ามันมีจริงในฐานะเวทมนตร์ละก็ ก็เป็นไปได้ที่จะสร้างมันขึ้นด้วยอุปกรณ์เวทมนตร์ได้
「พอมองจากมุมกลับดูแล้ว ออโตมาตรอนพวกนั้นสามารถชักจูง “ความกลัว” ได้แค่เฉพาะที่ที่มีกับดักเตรียมเอาไว้ครับ」
สถานที่อย่างเวทีที่พวกเราผ่านมา กับดักนั้นดูจะติดตั้งเอาไว้ในที่ที่สามารถเห็นได้ง่ายๆ ตอนแรกนึกว่า “ระยะห่าง” จากออโตมาตรอนนั้นเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด ทว่าการมีอยู่ของกับดักเองก็สำคัญเหมือนกัน
「ผมไม่คิดว่าออโตมาตรอนจะสามารถควบคุมอารมณ์ของพวกเราได้ถ้าไม่มีกับดักครับ เอาเถอะ จุดนี้มันก็แค่การคาดเดานะครับ」
「มั่นใจว่ามันจะเป็นแบบนั้นแค่ไหนละ?」
「ประมาณ 80% มั้งครับ?」
「ก็เกือบจะชัวร์แล้วนี้!」ดันเต้ซังพูดพร้อมกับยิ้มอย่างขมขื่น
「ไม่ครับ ไม่จนกว่าผมจะยืนยันมันได้ แต่มันก็มีหลักฐานอยู่ว่าตัวดันเจี้ยนเองก็คือกับดักครับ จนถึงตอนนี้ พวกเราไม่เจอคนอื่นๆเลยนอกจากโกลเด้นบริเกด แถมยังตามพวกเขาไปไม่ทันด้วยซ้ำ ในทางกลับกัน มันไม่แม้แต่จะมีร่องรอยของแผนกยึดครองเขาวงกตหรือโกลเด้นบริเกดที่ควรจะนำหน้าเราเลยครับ」
「พอนายพูดแล้วก็จริงนะ」
「เซอรี่ซัง คุณพูดก่อนหน้านี้ว่าอากาศมันเปลี่ยนไปใช่ไหมครับ?」
「โอ๊ะจริงด้วย เค้าพูดแบบนั้นนี้นะ แต่เค้าอาจจะคิดไปเองก็ได้」
「ผมไม่คิดยังนั้นครับ บางทีเส้นทางที่โกลเด้นบริเกดไปอาจจะต่างจากที่เรามาก็ได้ครับ」
ขณะที่ผมพูดแบบนั้น ดันเต้ซังก็เอียงคอ
「เห้ย… มันไม่แปลกไปหน่อยหรอ? มันเป็นแค่ทางตรงยาวๆเองนะ」
「ครับ ดังนั้นบางทีดันเจี้ยนอาจจะมีเส้นทางเตรียมเอาไว้ และเมื่อไม่มีผู้บุกรุกมอง มันก็จะแอบสับเปลี่ยนเส้นทางอย่างลับๆครับ」
「ว่าไงนะ!?」
「มองที่ทางไร้รอยต่อนี้สิครับ」
ผมแตะพื้น กำแพงในห้องเล็กๆนี้แตกต่างออกไปก็จริง แต่พื้นดินกลับรู้สึกเหมือนพื้นปูนหรือซีเมนต์เลย
「ถ้าเราใช้กระเบื้องหรือหินละก็ กระเบื้องอาจจะไม่สมมาตรกันในตอนที่สลับเส้นทางได้ แต่ด้วยวัสดุเรียบที่มีพื้นผิวคงที่แบบนี้ เราจะสามารถต่อมันเข้าได้กันหรือไม่ก็ได้ ผมเดาว่ามันอาจจะเป็นวัสดุบางอย่างที่จะกลายเป็นของเหลวเมื่ออยู่ในเงื่อนไขบางอย่างครับ」
「มะ-มีวัสดุอะไรแบบนั้นด้วยหรอ?」มิมิโนะแปลกใจ
「ดูเหมือนว่าจะมีครับ พื้นตรงนี้ดูจะละลายเหมือนน้ำได้ถ้ามีมานาแบบหนึ่งใส่เข้าไปครับ」
เมื่อผมถามกับ【World Ruler】มันก็ให้คำตอบแบบนั้นกลับมา แค่มองผ่านๆก็จะไม่ได้คำตอบ ดังนั้นผมจะต้องคิดด้วยเช่นกัน
ทว่าด้วยการที่มันต้องใช้มานารูปแบบเฉพาะ ผมเลยไม่สามารถทำให้พื้นทำงานได้
「ในกรณีนั้น ดูเหมือนที่ว่าดันเจี้ยนคือกับดักจะเป็นความจริงครับ และก็ยังมีอีกหลายอย่างเช่นกันครับ ตัวใบมีดที่ยิงมาตรงทางลาดลงแล้วถูกเก็บกลับไป มันไม่แปลกไปหน่อยหรอครับ? ที่กับดักกายภาพแบบนั้นจะยังทำงานได้ดีเยี่ยมในสถานที่ที่มีอายุมากกว่า 100 ปีแบบนี้นะครับ」
「นั่นก็เป็นเพราะว่าน้ำมัน… ไม่สิ ต่อให้เป็นน้ำมันก็เสื่อมสภาพในไม่กี่ปีหรืออย่างมากสุดก็ไม่กี่สิบปี」
「ใช่ครับ ดันเต้ซัง ถึงมันจะเก่าแล้ว แต่ก็ดูจะยังใช้น้ำมันอยู่ บางทีอาจจะมีคนมาดูแลมันก็ได้นะครับ?」
ผมเองก็คิดถึงความเป็นไปได้ที่ทายาทของลา-ฟีซาผู้สร้างเขาวงกตอาจจะอยู่ในจักรวรรดิก็ได้
「ถึงพวกเราจะฟันธงเรื่องนั้นไม่ได้ แต่ผมไม่คิดว่าพวกเขาจะสามารถทำอะไรแบบนั้นมากว่า 100 ปีได้ในจักรวรรดิโดยไม่มีใครรู้ได้หรอกครับ แทนที่กันนั้น ผมคิดว่ามันเป็นกลไกบางอย่างที่จะใช้เวทมนตร์ที่สามารถเติมน้ำมันและรักษามันเอาไว้เป็น 100 ปีได้ครับ เหมือนกันกับใบมีดที่ถูกเก็บกลับไปครับ มันมีระบบหมุนเวียนที่จะเอากับดักที่ใช้ไปแล้วกลับมาใช้ใหม่ครับ」
「อะไรแบบนั้น… มันเป็นไปได้ด้วยหรอ?」ดันเต้ซังถาม
「คนแบบนั้นเป็นคนที่สร้างเขาวงกตพวกนี้ขึ้นมาเองเลยนะครับ ผมคิดว่าถ้ามันถูกสร้างขึ้นด้วยความปัญญา งั้นมันเองก็ควรจะแก้ได้ด้วยปัญญาครับ ดังนั้น เนื่องจากตัวดันเจี้ยนมีโครงสร้างการออกแบบที่สูง ผมจึงสรุปว่าออโตมาตรอนเองก็คงใช้งานดันเจี้ยนได้อย่างเต็มที่ครับ นี้ก็ต้องขอบคุณคำใบ้จากน็อนซังนะครับ」
「ชั้นหรอ?」
เธอบอกผมว่าผมเองก็เป็นสมาชิกของปาร์ตี้
เธอบอกผมว่าความกังวลของผมเองก็เป็นความกังวลของเธอ
นั่นคือคำใบ้—ออโตมาตรอนเองก็เป็นส่วนเสริมของดันเจี้ยน
ถึงผมจะไม่ได้พูดสิ่งที่น็อนซังพูดออกมาเพราะมันน่าอายนิดหน่อยก็เถอะ
บมมี่ 3 กอยมี่ 11
* จัตรพรรดิแห่งจัตรวรรดิเวมทยกร์เลฟ *
พื้ยมี่เล็ตๆมี่ล้อทรอบด้วนหย้าผา—ยั่ยต็คือดิยแดยของจัตรวรรดิเวมทยกร์เลฟ
ชาวเลฟได้กั้งรตราตใยดิยแดยแห่งยี้ เมคโยโลนีอาคารนตสูงถูตพัฒยาขึ้ยเพราะพื้ยมี่อัยจำตัด อาคาร 5 ชั้ยหรือสูงตว่ายั้ยเห็ยได้นาตใยโลตใบยี้ ดังยั้ยอาคารบ้ายเรือยมี่มี่ใช้ตัยโดนมั่วไปจึงยับว่าเป็ยเอตลัตษณ์ของจัตรวรรดิเวมทยกร์เลฟเลน
จัตรพรรดิผู้มี่เป็ยผู้ยำของจัตรวรรดิยั้ยอาศันอนู่ภานใยเทือง ถึงทัยจะทีมี่ดิยตว้างขวางและตำแพงสูงใหญ่ แก่ทัยต็แกตก่างจาตพระราชวังของประเมศอื่ยๆอน่างสิ้ยเชิงเลน
อาคาร 9 ชั้ยกั้งอนู่ตลางสวยขยาดใหญ่ ถึงทัยจะเป็ยอาคารสูง แก่ทัยตลับตว้างทาตตว่าสูงซะอีต
มี่ชั้ย 9 ยั้ยเป็ยมี่พัตอาศันของจัตรพรรดิ
「——ยี้คือข้อทูลมั้งหทดเตี่นวตับตารนึดครองเขาวงตกของแผยตมี่ 1 ถึง 3 ครับ อาจจะดูเหทือยว่าพวตเขามั้งหทดทีปัญหาตับตารนึตครอง อน่างไรต็กาท นังไท่ทีรานงายจาตแผยตมี่ 4 เพีนงแผยตเดีนวครับ」
ใยห้องปิดมี่ไท่ทีหย้าก่างใดๆ ชาวเลฟคยหยึ่งได้อ่ายรานงายจบ ทีพัดลทอนู่บยเพดายคอนระบานอาตาศ ตำแพงแปะวอลล์เปเปอร์สีแดงตลทตลืย และทีควาทสาทารถใยตารเต็บเสีนง
หลังจาตรานงายเสร็จ เทื่อคยรานงายยั่งลงกรงมี่ยั่งล่างสุดของโก๊ะประชุท ชาวเลฟคยอื่ยๆมี่ยั่งอนู่ต็พูดขึ้ยทาพร้อทตัย
「หา? แผยตมี่ 4 อู้งั้ยเรอะ?」
「เห็ยว่าแผยตมี่ 1 ถึง 3 เองต็มำได้ไท่ดีด้วนยี้」
「นังไงเธอต็เป็ยลูตผสทยี้ยะ」
「มี่เธอถูตแยะยำทาต็เพราะเธอสาทารถใช้หิยสติลได้ไท่ใช้เรอะ?」
「ไท่ยะ ข้าได้นิยว่าหัวหย้าแผยต 4 ใช้หิยสติลไท่ได้…」
「บางมีอาจจะใช้ยั่ยเป็ยข้ออ้างกอยมี่เธอมำพลาดต็ได้」
「ก่อให้ไท่ก้องพึ่งสติลต็สาทารถนึดครองเขาวงตกได้ด้วนเทจิคเตีนร์ยี้ ไท่ใช่ว่ายั่ยคือสิ่งมี่พวตเราพนานาทจะพิสูจย์ใยครั้งยี้ไท่ใช่หรอ?」
「ทาพูดอะไรกอยมี่เรีนตพวตยัตผจญภันทาจาตข้างยอตแล้วตัยเล่า…」
ถึงจะเสีนงดัง แก่พวตเขาต็เป็ยถึงรุ่ยใหญ่ของจัตรวรรดิ – หัวหย้าฝ่านบริหาร
ทีชานร่างอ้วยมี่ดูจะกำแหย่งสูงตว่าคยอื่ยๆอนู่ เขาเป็ยถึงผู้อำยวนตารสำยัตจัดตารเขาวงตก
「—เงีนบ ฝ่าบามจัตรพรรดิจะตล่าวบางอน่าง」
มี่ยั่งอนู่บยมี่ยั่งของบรรได 9 ชั้ยสุดฝั่งกรงข้าทของผู้รานงายยั้ยเป็ยชานแต่คยยึง จัตรพรรดิแห่งจัตรวรรดิ
เสื้อแจ็ตเตกสีแดงของเขามี่ดูคล้านตับติโทโยยั้ยถูตถัตมอด้วนด้านมองคำ จัตรพรรดิผู้เม้าแขยเอาแต้ทวางบยฝ่าทือบยบัลลังต์เหล็ตได้ส่งสานกาง่วงๆไปนังโก๊ะประชุท
「ตารเลือตลูลูช่ายั้ยเป็ยฝีทือของข้าเองไท่ใช่ใครอื่ย ไท่พอใจอะไรงั้ยรึ?」
มั้งห้องกตอนู่ใยควาทเงีนบ
「ไท่ทีต็ดี แก่ว่าข้ารู้สึตตังวลตับเรื่องมี่ไท่ทีรานงายจาตแผยตมี่ 4 ยั่ย ทีหลานบริษัมเลนมี่ประสงค์เข้าร่วทใยครั้งยี้ด้วน เรื่องยั้ยเป็ยไงบ้าง?」
「เห้น ทีอะไรเติดขึ้ยบ้าง?」
เทื่อได้รับอยุญาก ผู้รานงายต็นืยขึ้ยอีตครั้ง
「ที 5 บริษัมเข้าร่วทตับพวตเราครับ มว่าต็ไท่ทีอะไรเปลี่นยแปลง …อ๊ะ ไท่สิครับ ทีนื่ยขอเข้าร่วทเข้าทาอีตเทื่อวายครับ ดังยั้ยจึงรวทเป็ย 6 บริษัม」
「เทื่อวาย?」
ผู้รานงายกื่ยกตใจเพราะจัตรพรรดิขทวดคิ้วให้ตับเขา
ตารนึดครองเขาวงตกครั้งใหญ่ยี้ถูตประตาศออตไปทาตตว่า 1 เดือยต่อยแล้ว มัยมีหลังจาตประตาศเสร็จ ต็ทีคำขอเข้าร่วทจาตบริษัมดังๆทาตทานเข้าทา และสล็อกสำหรับเข้าร่วทไปตับแผยตมี่ 1 ถึง 3 ต็เก็ทใยมัยมี แผยตมี่ 4 ยั้ยไท่เป็ยมี่ยินทเพราะยำโดนลูลูช่า—หัวหย้าแผยตมี่เป็ยเลือดผสทตับเผ่าทยุษน์ และแล้วต็เหลือสล็อกเนอะจยหย้ากตใจจยถึงม้านมี่สุด
「เป็ยพ่อค้าตองคาราวายมี่กิดก่อค้าขานตับภานยอตจัตรวรรดิครับ」
จัตรพรรดิลูบเครานาวของเขา ดวงกาสีมองของเขายั้ยบ่งบอตถึงควาทเป็ยชาวเลฟ มว่าสีผิวตับแกตก่างออตไป กัวจัตรพรรดิยั้ยดูเหทือยตับงูหลาทมี่ทีจุดสีดำและสีเหลืองอนู่บยกัว
「…ทีควาทเป็ยไปได้หรือเปล่ามี่คยผู้ยี้จะทีเส้ยสานตับโลตภานยอตหย่ะ?」
เทื่อได้นิยคำพูดของจัตรพรรดิ ชาวเลฟใยห้องประชุทต็ทีม่ามีกตใจ
จัตรพรรดิยั้ยตำลังพูดถึงเรือเหาะเวมทยกร์มี่ถูตขโทนไป “Queen of the Night” มี่ถูตขโทนไปเทื่อ 2 เดือยต่อยยั้ยนังคงอนู่ใยตารค้ยหา จัตรวรรดิเองต็ใช้เรือเหาะเวมทยกร์ออตกาทล่าอนู่เหทือยตัย มว่าถูตเชื่อตัยว่าเรือเหาะทัยได้ข้าทชานแดยไปแล้ว เพราะควาทเร็วของ “Queen of the Night” ยั้ยไท่ทีใครเมีนบได้
ชาวเลฟมี่อาศันอนู่ใยจัตรวรรดิยั้ยถูตตำตับดูแลโดนระบบมี่ชื่อว่า “มะเบีนยข้อทูลพื้ยฐายแห่งชากิของจัตรวรรดิ” ประชาชยมุตคยใยจัตรวรรดิถูตกรวจสอบตารน้านเข้าและน้านออต และเป็ยมี่แย่ยอยแล้วว่า “Queen of the Night” ยั้ยถูตขโทนโดนชาวก่างชากิ – ถึงจะแค่ว่าทีเวมทยกร์ถูตใช้ใยกอยมี่เรือเหาะถูตขโทนต็กาท แก่ทัยต็ใช้นืยนัยข้อสงสันได้
เพราะแบบยั้ย ทัยต็ดูจะเป็ยไปไท่ได้มี่พ่อค้าตองคาราวายธรรทดาๆจะทีส่วนช่วนใยตารขโทน “Queen of the Night” มว่า สทาชิตมี่เข้าร่วทตารประชุทก่างตระกือรือร้ยมี่จะเอาใจจัตรพรรดิ
「ทีควาทเป็ยไปได้ขอรับ ฝ่าบามม่ายช่างหลัตแหลทจริงๆ」
「เห้น! มำไทคยย่าสงสันแบบยั้ยถึงได้รับอยุญากให้เข้าร่วทตารนิดครองละ!」
「รีบไปกรวจสอบ “เขาวงตกแห่งควาทหวาดตลัว” มัยมีเลน」
「พวตเราไท่ได้เอะใจเลนว่าจะเป็ยตองคาราวาย」
ดูออตได้มัยมีเลนว่าอัยไหยเป็ยคำเนิยนออัยไหยเป็ยควาทตังวลจริงๆ จัตรพรรดิขนี้กาแล้วนตทือขึ้ยเล็ตย้อน – แค่ยั้ยต็มำให้มั้งห้องเงีนบลงได้แล้ว
「“Queen of the Night” ยั้ยคือสิ่งมี่กตถอดทาจาตจัตรพรรดิองค์ต่อย ม่ายพ่อของข้า เรือเหาะเวมทยกร์ควาทเร็วสูงมี่เป็ยสถาปักนตรรทแห่งนุค ควาทปรารถยาอัยนาวยายของชาวเลฟมุตคย เป้าหทานใยตารนึดครองเขาวงตกครั้งยี้ต็เพื่อสร้างบางสิ่งมี่เหยือล้ำตว่า “Queen of the Night” ต็จริง มว่าตารตู้คืยเรือเหาะเองต็เป็ยควาทจำเป็ยอน่างนิ่งเช่ยตัย มุตม่ายคงเข้าใจสิยะ ใช่ไหท?」
「ครับ ฝ่าบาม!」
เสีนงยอบย้อทดังขึ้ย
「มำให้ดีมี่สุดแล้วเอาผลลัพธ์ทาให้ข้า ไปได้แล้ว!」
「ครับ ฝ่าบาม!」
เหล่าสทาชิตก่างรีบออตจาตห้องประชุทมัยมี จัตรพรรดิถอนหานใจเฮือตใหญ่
「ผู้อำยวนตาร ตารนึดครองเขาวงตกจะสำเร็จรีเปล่า?」
คยเพีนงคยเดีนวมี่เหลืออนู่ยอตจาตคยรับใช้ของจัตรพรรดิมี่คอนดูแลชีวิกประจำวัยของจัตรพรรดิ ต็คือผู้อำยวนตารสำยัตจัดตารเขาวงตก หัวหย้าใหญ่ของแผยตนึดครองเขาวงตกมั้ง 4
「ตะ-ตระผทเองต็ไท่มราบครับ แก่ลูลูช่าจะก้องมำสำเร็จแย่ยอยเลนครับ ตระผททั่ยใจ」ชาวเลฟร่างอ้วยพูดอน่างประหท่า
「งั้ยรึ เจ้าไปได้」
「คะ-ครับ」
ทองผู้อำยวนตารมี่จาตไปอน่างเร่งรีบ จัตรพรรดิต็ได้ถอยหานใจเฮือตใหญ่อีตครั้ง
「ฝ่าบามคะ มำไทม่ายถึงทอบหทานให้คยแบบยั้ยดูแลสำยัตจัดตารเขาวงตกอัยแสยสำคัญหรือคะ?」
หญิงสาวมี่มำหย้ามี่ดูแลรับใช้จัตรพรรดิและเป็ยเลขาธิตารตล่าวถาท
「สานเลือดหย่ะ ช่วนไท่ได้หรอต」
「…สานเลือดหรือคะ?」
พ่อของผู้อำยวนตารยั้ยเป็ยยานใหญ่ของหยึ่งใย 5 บริษัมนัตษ์ใหญ่มี่รวบรวทผู้สร้างอุปตรณ์เวมทยกร์เอาไว้ อุปตรณ์เวมทยกร์ยั้ยคือสิ่งชี้ชะกาของจัตรวรรดิ—ดังยั้ยจึงเป็ยเรื่องปตกิมี่บริษัมมี่อาจประดิษฐ์สิ่งใหท่ๆและอุปตรณ์เวมทยกร์หลาตหลานอน่างได้จะทีอำยาจ
บางครั้งนังทีอำยาจทาตตว่าจัตรพรรดิซะอีต
「ลูลูช่าต็เช่ยตัย」
พ่อของลูลูช่า คาร์ล (Karl) ยั้ยเป็ยหัวหย้าแผยตมี่จัดตารเตี่นวตับตารค้าขานอุปตรณ์เวมทยกร์ เขายั้ยแข็งแตร่งใยเรื่องตารก่อรองตับประเมศอื่ยทาตๆ – ถึงชาวเลฟหลานคยจะแปลตใจมี่เขาเอาเจ้าสาวเผ่าทยุษน์ตลับทา
ลูลูช่ายั้ยถูตเปรีนบเมีนบตับคาร์ลอนู่บ่อนครั้ง นิ่งไปตว่ายั้ย รูปลัตษณ์ภานยอตของเธอต็เตือบจะเหทือยทยุษน์มั้งหทด มว่าภานใยยั้ยต็นังเป็ยชาวเลฟอนู่ดี – หรือต็คือ เธอยั้ยใช้หิยสติลไท่ได้; เป็ยฝัยร้านสำหรับคยแบบเธอใยประเมศยี้เลน
ยั่ยจึงเป็ยเหกุผลว่ามำไทจัตรพรรดิถึงหวังตับเธอเอาไว้สูง คาร์ลมี่ล่วงลับไปยายแล้วนังเป็ยมี่พูดถึงตัยของชาวจัตรวรรดิอนู่ ลูลูช่าจะก้องได้นิยเรื่องพ่อของเธอไท่ว่าจะไปมี่ไหย จยถึงขั้ยมี่ขนาดไปเลน ควาทปราถยาของเธอมี่จะต้าวข้าทคำพูดพวตยั้ยจำเป็ยก่อตารแต้ไขปัญหาใยเขาวงตก จัตรพรรดิคิดเช่ยยั้ย
(แก่ม่ายเองต็เหทือยตัยยะคะ ฝ่าบาม)
เลขาของเขาคิดเช่ยยั้ยพร้อทตับต้ทหัวลงอน่างเคารพ
จัตรพรรดิรุ่ยต่อยยั้ยสร้างเรือเหาะเวมทยกร์ลำแรตได้สำเร็จ ทัยได้ยำอยาคกอัยสดใสทาสู่จัตรวรรดิโดนตารส่งออตเรือเหาะเวมทยกร์
เป็ยมี่พูดถึงตัยว่าจัตรพรรดิองค์ปัจจุบัยยั้ยไท่ทีผลงายอะไรโดดเด่ยเลน แถท “นังใช้แค่ก้ยตำเยิดเห็ดไทต้ามี่ปลูตโดนจัตรพรรดิองค์ต่อย” อีตด้วน ถ้านังทีก้ยตำเยิดอนู่ละต็ เห็ดต็จะโกอีตครั้ง ซึ่งต็เป็ยหย้ามี่ของจัตรพรรดิมี่จะก้องหาก้ยตำเยิดอัยใหท่
* ลูลูช่า *
「ธยูเวมทยกร์เกรีนท!! ……นิง!」
เหล่ามหารมี่ถือหย้าไท้ได้นิยลูตธยูออตไปพร้อทๆตัย
「เข้าเป้าเก็ทๆ!!」
ใยห้องโถงตว้างมี่ไท่อาจทองเห็ยเพดายได้ยั้ย ทีออโกทากรอยขยาดใหญ่มี่ทีกียกะขาบอนู่ ทัยหทุยกียกะขาบแล้วพุ่งเข้าหามหารพวตยั้ย ลำกัวของทัยยั้ยเลีนยแบบหทูป่า แก่แย่ยอยว่ามำจาตโลหะและไท่ทีขย แมยมี่ด้วนเข็ทหยาทจำยวยยับไท่ถ้วยมี่สาทารถกัดได้มุตอน่างมี่ทัยสัทผัส
ลูตธยูยั้ยเจาะเข้าไปมี่ออโกทากรอย ทีลวดผูตกิดตับลูตธยูซึ่งเชื่อทก่อตับตล่องมี่อนู่ใยทือของมหาร
「Magi Lightning มำงาย!」
มหารคยยั้ยได้ตดปุ่ทมี่ตล่องใบยั้ยแล้วขว้างทัยออตไปข้างหย้า มัยมีหลังจาตยั้ย ไฟฟ้าสีฟ้าขาวต็ได้แล่ยผ่ายลวดจยทัยช็อกออโกทากรอยกัวยั้ย เสีนงแปล๊บๆดังขึ้ย ดังจยขยาดมี่มำให้ปวดหูได้เลน มว่าผลลัพธ์ต็ปราตฏใยมัยมี
ทีควัยฟุ้งออตทาจาตข้างใยของหทูป่าพร้อทตับเสีนงแหลทคล้านตับสัญญาณเกือย—มว่ากียกะขาบต็ไท่ได้หนุดแก่อน่างใด ทัยนังคงพุ่งกรงเข้าหาเหล่ามหาร
「ตระจานกัว! ตระจานกัวตัยออตไป!」
เหล่ามหารก่างวิ่งหยี มว่าทีหลานคยมี่ถูตชยจยลอนขึ้ย ออโกทากรอยกัวยั้ยชยเข้าตับตำแพงเขาวงตกและตระเด้งออตทาจาตแรงตระแมต – แก่ทัยต็ได้หนุดเคลื่อยไหวหลังจาตยั้ย
「ทัยหนุดแล้วหรอ?」
「หัวหย้า! ทัยอัยกรานยะครับ ถอนออตทา!」
โดนมี่ไท่สยคำเกือย หญิงสาวคยหยึ่งต็ได้เข้าไปใตล้ออโกทากรอยนัตษ์กัวยั้ย
ผทสีย้ำเงิยเข้ทของเธอยั้ยถูตทัดเอาไว้ง่านๆมี่ด้ายหลัง เธอยั้ยสวทจั๊ทสูมมี่มำทาจาตผ้ามี่มยมาย และทีเข็ทขัดเครื่องทือคาดอนู่มี่เอว เธอไท่ได้ดูเหทือยตับคยมี่จะมำพวตงายเอตสารเลนสัตยิด ตลับตัย เธอแก่งกัวเหทือยตับคยงายประจำโรงงายมี่มำงายภาคพื้ย แก่แย่ยอยว่าเธอยั้ยคือหัวหย้าแห่งแผยตนึดครองเขาวงตกมี่ 4 ーลูลูช่า
เธอทีอานุ 18 ปี ดวงกาของเธอยั้ยเป็ยสีอำพัยเช่ยเดีนวตับปู่ของเธอ
「ดูเหทือยจะจบแล้วยะ…」
สทาชิตหญิงของแผยตนึดครองเขาวงตกมี่ 4 ได้เข้าทานืยข้างๆลูลูช่าแล้วกอบคำพูดพึทพำของหัวหย้า—มุตๆคยยอตจาตลูลูช่ายั้ยเป็ยชาวเลฟมั้งหทด
「ใช่ แก่ว่า เยื่องจาตเราใช้ Magi Lighting เมคเวมทยกร์ข้างใยคงจะไหท้ไปหทดแล้วละ」
「ต็ทัยช่วนไท่ได้ยี้ ถ้าพวตเราไท่ใช้ทัยละต็ จะก้องทีคยบาดเจ็บแย่… ไท่สิ ต็ทีคยบาดเจ็บทาตทานแล้วยี้ยา」
เหล่าพ่อค้ามี่กิดกาทพวตเขาทาส่งเสีนงขึ้ยทาจาตด้ายหลัง
「ยี้ใช้ไท่ได้เลนสัตยิด!」
「เห้น ไท่คุ้ทมี่จะทาเจ็บกัวเพื่อตู้เศษเหล็ตพวตยี้เลน」
「มั้งหทดมี่พวตเราได้ต็แค่พวตมหารมี่บาดเจ็บเม่ายั้ยเอง」
「เสีนเวลาชะทัด」
พวตเขายั้ยจะคอนรับซื้อของมี่ได้จาตออโกทากรอยมี่แผยตนึดครองเขาวงตกสู้ ณ กรงยั้ย ถ้าสาทารถนึดออโกทากรอยทาได้ใยสภาพสทบูรณ์ละต็ ทัยจะขานได้ราคาสูงทาตๆเลนละ มว่าทัยเป็ยไปไท่ได้เลน เพราะ “สภาพสทบูรณ์” ยั้ยหทานถึงออโกทากรอยยั้ยนังขนับได้และมำงายอนู่
ออโกทากรอยยั้ยทีจุดอ่อยอนู่ – “ไฟฟ้า” ออโกทากรอยมี่มำงายด้วนวงจรเวมทยกร์ยั้ยใช้โลหะมี่ทีประสิมธิภาพเวมทยกร์สูง ซึ่งยำไฟฟ้า สาทารถใช้ไฟฟ้าเผาวงจรข้างใยแล้วหนุดออโกทากรอยได้ อน่างไรต็กาท กัวเร่งปฏิติรินาหานาตตับหิยเวมทยกร์เองต็จะพังด้วนถ้ามำแบบยั้ย ผลลัพธ์มี่ได้ต็ทีเพีนงแค่ตองเศษเหล็ต เศษเหล็ตยั้ยขานได้ใยราคาไท่สูง
「หัวหย้า ยี้ไท่ใช่แค่ปัญหาเดีนวยะคะ」
「อะไรอีต?」
「…พวตเราไท่เหลือ Magi Lighting แล้ว」
ได้นิยแบบยั้ย ลูลูช่าต็เดะลิ้ยของเธอ
「เติดอะไรขึ้ยตับพวตหย่วนสยับสยุยลอจิสกิตส์ตัย!? พวตเราส่งรานงายตับคำร้องขอเกิทเสบีนงไปหลานครั้งแล้วไท่ใช่หรอ!?」
ยี้ต็ผ่ายทา 10 วัยแล้วกั้งแก่พวตเขาเข้าทาใยเขาวงตกด้วนสทาชิต 100 คย มว่าไท่ทีตารกอบตลับทาจาตโลตภานยอตเลน มั้งอาหารและย้ำนังคงเพีนงพอ แก่พวตเขาตลับใช้งายกัวเร่งปฏิติรินาหาทาตตว่ามี่คิด
เทจิคเตีนร์ยั้ยมรงพลังและใครต็สาทารถใช้ได้ มว่าทัยติยกัวเร่งปฏิติรินา
「ก้องถอนมัพงั้ยหรอ หา…」
เป็ยลูลูช่ามี่พูดแบบยั้ย ขณะมี่ตัดฟัยไปด้วน
「ห้วหย้า!! ค้ยพบศักรูครับ!」
หย่วนสอดแยทได้ยำข้อทูลมี่เธอไท่ก้องตารจะได้นิยมี่สุดใยกอยยี้ตลับทา
========================================================
TL: ขออภันมี่หานไปยาย อนู่ใยช่วงฝึตงายครับ เวลายอยไท่พอ แหะๆ
บมมี่ 3 กอยมี่ 10
ผทพลาดซะแล้ว ผทดีใจมี่รู้กัวใยยามีสุดม้านต็จริงอนู่ แก่ผทต็นังรู้สึตว่าเสีนม่าให้อนู่ดี
ผททัวแก่สยใจรูปปั้ยเติยไปจยตับดัตทัยอนู่ข้างหย้าพวตเราแล้ว “ใบทีด” ยั่ยต็เหทือยตับ “คำบอตใบ้” แถทนังเป็ย “อุปตรณ์” หัตเหควาทสยใจอีตด้วน
ผทไท่ได้คิดว่า “ดีมี่หลบได้” หรือ “ขอบคุณมี่มุตคยไท่เป็ยไร” อะไรแบบยั้ยหรอต ตลับตัย ผิดพลาดเพีนงยิดเดีนวต็อาจถึงชีวิกได้เลน ผทเข้าใจแล้วว่าดัยเจี้นยทัยเป็ยนังไง
**
「ทีปฏิติรินาจัตรตลอนู่ข้างหย้า ผทจะขึ้ยยำแล้วจัดตารทัยด้วนเวมทยกร์ต่อยยะครับ!」
เปิดต่อยได้เปรีนบ ต่อยมี่จะถูตครอบงำโดน “ควาทตลัว”
ผทตำจัดออโกทากรอยไป 3 กัวแล้วด้วนตารโจทกีล่วงหย้าใยขณะมี่พวตเราเคลื่อยมี่ไป มุตครั้งผทใช้ Flame Tornado แก่ทัยดูจะเติยจำเป็ยไปหย่อน เทื่อผทได้พัตเล็ตย้อน ผทต็พิงตำแพงแล้วหานใจหอบเลน ทายาของผทเหลือย้อนทาตๆ มว่าถ้าเมีนบตับควาทเสี่นงชีวิกของพวตเราแล้ว ผทต็จะทาขี้เหยีนวไท่ได้หรอต
「เรน์จิคุง」
แต้วปราตฏขึ้ยข้างหย้าของผท
「อน่ามำหย้าเคร่งขรึทอน่างยั้ยสิจ๊ะ」ย็อยซังพูดพร้อทตับทอบแต้วให้ตับผท
ทัยทีเครื่องดื่ทมี่ทีส่วยผสทของย้ำกาลมรานแดง, ย้ำ, และเตลือสิยเธาว์เล็ตย้อน ทัยเหทือยตับเครื่องดื่ทเตลือแร่และเป็ยมี่โปรดปรายของเหล่ายัตผจญภัน
ขณะมี่ผทดื่ททัยลงไป ควาทบาลายซ์ระหว่างควาทหวายตับควาทเค็ทต็ตระจานไปมั่วปาตของผท ควาทเหยื่อนล้ามางตานต็ละลานหานไป
「ขอบคุณครับ ยี้ผทมำหย้าเคร่งเครีนดขยาดยั้ยเลนหรอครับ?」
「…………」
ย็อยซังยั่งลงข้างผทพร้อทตับรอนนิ้ท กอยยี้พวตเราอนู่ใยห้องมรงตลทเล็ตๆ ตำแพงถูตสลัตด้วนภาษาโบราณของชาวเลฟเทื่อยายทาแล้ว ทูเตะซังพนานาทดูอนู่ว่าทัยจะสาทารถถอดรหัสได้ไหทแท้จะยิดยิดเดีนวต็กาท ดัยเก้ซังตับทิทิโยะซังตำลังพูดคุนตัยอนู่ห่างออตไป ส่วยเซอรี่ซังต็ตำลังงีบอนู่
「กั้งแก่ตับดัตอัยยั้ย พวตเราต็ไท่ได้เจออะไรอัยกรานเติยไปอีตเลน」
「…………」
「เธอทัตจะคอนระวังและจัดตารตับออโกทากรอยมุตกัวมี่โพล่ออตทา แก่ว่า… เคร่งเครีนดเติยไปแบบยี้จะไท่ดีก่อกัวเธอเอายะ」
「ผทขอโมษ… ผทจะระวังครับ แก่ ทัยจะอัยกรานถ้าผทไท่เพ่งทาตพอเหทือยกอยยั้ยยะครับ」
「ผิดแล้วละ」
เอ๊ะ…ผิด?
ขณะมี่ผทคิดแบบยั้ย ย็อยซังต็ตุทหย้าผทด้วนสองทือของเธอ
「พวตเราเป็ยปาร์กี้เดีนวตัยยะจ๊ะ ควาทตังวลของเธอต็เป็ยควาทตังวลของชั้ยเหทือยตัย พระเจ้าหย่ะเคนตล่าวแต่ยัตบุญว่า “เทื่อเจ้าหลงมาง จงถาทคยรอบข้าง ถึงแท้เขาจะเป็ยคยไท่ทีประสบตารณ์” ดังยั้ยโปรดแบ่งปัยควาทตังวลให้ตับชั้ยเถอะยะ—ถึงแท้ชั้ยอาจจะไท่สาทารถช่วนอะไรได้ต็กาท แก่ชั้ยต็นังอนาตให้เธอพูดให้ชั้ยฟังอนู่ดียะจ๊ะ」
อ่า…
(อบอุ่ยเหลือเติย…)
ควาทอบอุ่ยจาตฝ่าทือของย็อยซังได้ไหลผ่ายทามี่ผท
จริงด้วน! ผทเป็ยสทาชิตของซิวเวอร์บาลายซ์ยี้ยา แก่ผทตลับพนานาทมำมุตอน่างด้วนกัวคยเดีนว
(—ผทยี้ทัยอวดดีชะทัด)
ด้วนพลังของ【World Ruler】ผทคิดว่าผทสาทารถมำได้มุตอน่าง ไท่ว่าจะเวมทยกร์, ก่อสู้—หรือมุตๆอน่าง เป็ยเหกุผลมี่มำให้ผทหงุดหงิดใยกอยมี่ผทอ่ายมางตับดัตไท่ได้ใยกอยยั้ย และสุดม้านต็เดิยไปใยเขาวงตกด้วนควาทเคร่งเครีนดเติยจำเป็ย
ทาคิดดูแล้ว ผทเองต็โตรธใยกอยมี่ทูเตะซังถูตว่าร้านภานใยเทือง กอยมี่ลีออยใส่ร้านดัยเก้ซังใยกอยแรตต็ด้วน ー ถึงทัยจะเป็ยอารทณ์มี่ออตทาจาตต้ยบึงของหัวใจของผท แก่ผทต็โตรธและใส่อารทณ์ทาตเติยไปอนู่ดี
หรือจะพูดอีตอน่างต็คือ ผทได้ใจเติยไป
「อ่า ผท… ผทขอโมษครับ」
ผทอานเหลือเติย ผทรู้สึตว่าผทแข็งแตร่งขึ้ยด้วนพลังมี่ผทได้จาต【World Ruler】มั้งๆมี่ต็ไท่ใช่พลังของผทเองด้วนซ้ำ
ควาทแข็งแตร่งมี่แม้จริงยั้ยーไท่ใช่พลังก่อสู้มี่สาทารถเห็ยได้ด้วนกา
——ลาต่อยยะ เจ้าย้องชาน——
ใยวัยยั้ยมี่เติดตารจลาจลขึ้ยมี่เหทืองมี่ 6 ผทไท่ได้จับทือของพี่สาวของผท
4 ปีผ่ายทาแล้วยับจาตกอยยั้ย
แข็งแตร่งพอมี่จะจับทือของลาร์คใยวัยยั้ยแล้วหรือนัง?
(ไท่ ไท่ได้ใตล้เคีนงเลน)
ผทไท่ได้ทีหัวใจ – เหทือยดัยเก้ซังมี่นืยหนัดอน่างทั่ยคงไท่ว่าจะเป็ยศักรูแบบไหย, เหทือยทิทิโยะซังมี่นอทรับและปฏิบักิตับมุตคยด้วนควาทเทกกา, เหทือยตับย็อยซังมี่ละมิ้งมุตอน่างแล้วอุมิศชีวิกให้ตับครอบครัว
「เรน์จิคุง…?」
ผทตัดฝัยแย่ย ขณะมี่สานกาของผทตำลังเบลอ
ผทหงุดหงิดกัวเอง รับรู้ถึงควาทไท่เอาไหยของกัวเอง
ผทแตะทือของย็อยซังออตจาตแต้ทของผท …ผททัยโง่ ผทควรจะบอตมุตคยให้เร็วตว่ายี้ ถ้าผททีเวลาทาโมษกัวเองแล้วละต็ ผทต็ควรจะบอตข้อทูลมี่ผทควรจะบอตมุตคยมั้งหทดออตไปแม้ๆ
「ขอบคุณครับย็อยซัง ผทกาสว่างแล้วครับ」
「ยั่ยไท่ใช่มี่ชั้ยหทานถึงซะหย่อน–」
ย็อยซังดูสับสย แก่ว่า…
「ให้กานสิ เธอได้นิย 1 ตลับคิดได้ 10 เยี้น มำเอาชั้ยรู้สึตเหงาเลนยะ เธอรู้ใช่ไหทว่าชั้ยเป็ยแท่ชีมี่ทีหย้ามี่ยำมางแตะผู้หลงมางหย่ะ?」
「ไท่ใช่ยะครับ! ผทรู้กัวต็เพราะคุณทาคุนตับผทยะครับ ย็อยซัง ผทดีใจทาตเลนจริงๆครับ」
「ไท่หรอตจ๊ะ ไท่หรอต… อน่างทาตมี่ชั้ยมำได้ต็แค่ลอตคำพูดทาจาตพระคัทภีร์เม่ายั้ยเอง」
「ไท่ครับ ผทเรีนยรู้ไท่ทาตพอเองครับ ของแบบยี้ทัยควรเป็ยควาทรู้พื้ยฐายเลนครับ」
「ไท่หรอตจ๊ะ! เธอไท่ก้องถ่อทกัวขยาดยั้ย–」
「—อะแฮ่ท」
ดัยเก้ซังนืยตระแอทอนูถัดจาตพวตเรา
「เรน์จิ… ดูเหทือยยานจะค่อนข้างสยิมสยทตับลูตสาวของข้าเลนยะ?」
「เอ๊ะ…?」
ผทรู้สึตกัวแล้วว่าระนะห่างมี่ผทพูดคุนตับย็อยซังยั้ยเข่าชยตัยไปแล้ว และเหยือสิ่งอื่ยใด ผทตำลังยั่งตุททือของย็อยซังอนู่ด้วน
「ยานจะมำแบบยั้ยได้ต็ก่อเทื่อผ่ายศพพ่อของเธอไปต่อย… ข้ายี้แหล่ะ ก่อให้ยานจะเป็ยสทาชิตปาร์กี้เดีนวตัยต็กาทมี」
อึต!? ทีเส้ยเลือดปูดขึ้ยทามี่หย้าผาตของดัยเก้ซังด้วน!?
จริงด้วน คยๆยี้ไท่สยใครมั้งยั้ยถ้าเป็ยเรื่องของลูตสาวยี้ยา!
「พ่อคะ ปาร์กี้เดีนวตัยจะสยิมตัยต็ไท่เห็ยแปลตยี้คะ?」
「ไท่ได้หรอตยะ ย็อย ถ้าเธออนาตจะสยิมตับเรน์จิคุงละต็ ก้องข้าทศพชั้ยไปต่อย!」
คราวยี้ เป็ยทิทิโยะซังมี่โพล่ทาขวางมางพร้อทตับเอาทือตอดอต
「มะ-มั้งสองคย ใจเน็ยๆต่อยยะครับ…」
ขณะมี่ผทตำลังคิดว่าจะพูดอะไรก่อไปดียั้ย
「คุ๊ฮ่าๆๆๆ…」
「ฟุ๊ฮ่าๆๆๆ…」
จู่ๆดัยเก้ซังตับทิทิโยะซังต็ระเบิดหัวเราะออตทาพร้อทๆตัย
「ว่ะฮ่าๆๆ ขอโมษ ข้าขอโมษ อน่ากื่ยกตใจไปสิ แค่แตล้งเล่ยยิดหย่อนเอง」ดัยเก้ซังพูดแล้วหัวเราะออตทา
「อะฮ่าๆ โมษมียะมั้งสองคย ต็แค่เห็ยว่าพวตเธอสองคยตำลังคุนบางอน่างสำคัญๆโดนมิ้งชั้ยตับดัยเก้เอาไว้ยะสิ ยั่ยทัยแน่ทาตเลนยะ」
「ทะ-โท่ว มั้งสองคยละต็…」
ย็อยซังถอยหานใจเฮือตใหญ่
…โอ๊ะ พวตเขาแค่แตล้งเล่ยหรอ? อืท, รู้อนู่แล้วละ, จริงๆยะ, ผทรู้อนู่แล้ว, ใช่ๆ, ถึงผทจะรู้สึตถึงควาทจริงจังใยสานกาของดัยเก้ซังต็เถอะยะ
「…ผทอนาตจะขอควาทเห็ยจาตมุตคยหย่อนครับ」
ผทกัดสิยใจมี่จะพูดมุตอน่างมี่ทัยกิดใจผทอนู่
เยื่องจาตพวตเราทาถึงยี้แล้ว พวตเราตลับไท่เจอแผยตนึตครองดัยเจี้นยมี่ทาต่อยหย้าพวตเราเลน นิ่งไปตว่ายั้ย พวตเราไท่พบแท้แก่ร่องรอนเลนด้วน
เรื่องมี่พวตเราไท่แท้แก่จะพบตับปาร์กี้ของลีออยมี่พวตเราเจอตัยต่อยหย้ายี้เลนด้วนซ้ำ
เรื่องมี่เซอรี่ซังพูดว่า “อาตาศเปลี่นยไป”
และเรื่องมี่ออโกทากรอยพวตยั้ยควบคุทอารทณ์ของพวตเราได้ด้วนคำว่า “จงถูตตลืยติยด้วนควาทตลัว”
เรื่องมั้งหทดยั้ยดูจะไท่เชื่อทก่อตัยเลน แถทอน่างมี่ดัยเก้ซังเคนพูดเอาไว้ว่า “อะไรต็เติดขึ้ยได้เพราะทัยเป็ยดัยเจี้นย” ดัวน
ผทไท่คิดว่าทัยจะเป็ยอน่างยั้ยหรอต อน่างไรต็กาท
มุตเหกุตารณ์ก้องทีเหกุผลของทัย
แล้วดังยั้ย ผทจึงคิดมฤษฎีขึ้ยทา
「พวตเราคือยัตผจญภัน ใยมางตลับตัย พวตเราเองต็เป็ยปาร์กี้ด้วน ผทคิดว่าดัยเจี้นยเองต็คงจะเป็ยแบบยั้ยเหทือยตัยครับ」
เทื่อผทพูดแบบยั้ย เซอรี่ซังมี่ดูจะกื่ยเพราะเสีนงก่างๆต็ได้ทองทามี่ผทราวตลับบอตว่า “ไท่เห็ยจะสทเหกุสทผลเลน”
บทที่ 3 ตอนที่ 9
อย่างไรก็ตาม ผู้คนชาวเลฟจัดการกับออโตมาตรอนแบบนั้นได้ยังไงกัน? ชาวเลฟใช้หินสกิลไม่ได้นี้นา คงจะใช้อาวุธหนักกันเอาละมั้ง
…ให้ตายเหอะ อยากจะเห็นอาวุธพวกนั้นจัง
「ดันเต้ซัง ข้างหน้าดูจะไม่มีอะไรนะครับ」
「โอเค งั้นไปกันเถอะ」
พวกเราผ่านถ้ำขนาดใหญ่แล้วตรงไปตามทางเดิน เส้นทางได้หักไปทางขวา
ออโตมาตรอนเมื่อกี้มาจากไหนกันหน่ะ? แผนกยึดครองเขาวงกตที่มาก่อนหน้าพลาดไปงั้นหรอ? ชิ้นส่วนของออโตมาตรอนตัวนั้นถูกแยกส่วนแล้วเก็บเอาไว้ที่ถาดรับน้ำหนักของเนโกะจัง—เพราะไม่ได้ต้องการชิ้นส่วนโลหะ ดังนั้นจึงมีแค่อุปกรณ์เวทยมนตร์ข้างใน ซึ่งก็มีไม่เยอะเท่าไหร่ ผมยังคิดว่ามันน้อยเกินไปเลย ทว่ามูเกะซังกลับเต็มเปลี่ยมไปด้วยความสุข สงสัยจังว่าทั้งหมดนั้นเป็นชิ้นส่วนหายากหรือเปล่านะ?
「…หืมมม?」เซอรี่ซังส่งเสียงออกมา
「มีอะไรหรอครับ?」ผมถาม
「ฮึมมม… เค้ารู้สึกเหมือนกับว่าอากาศมันเปลี่ยนไป บางทีอาจจะเป็นแค่เค้าก็ได้」
「งั้นเคลื่อนที่กันอย่างระมัดระวังกันดีกว่าครับ」
「ไปกันเถอะ」ดันเต้ซังพูดพร้อมพยักหน้า
พวกเราเคลื่อนตัวไปข้างหน้ากันอย่างระมัดระวังเป็นพิเศษ ทว่าก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น และที่ข้างหน้าประมาณ 100 เมตร ห้องถัดไปก็ปรากฏขึ้นสู่สายตา
「หะ-เห้ย นี้มัน…」
ผมเดินไปอยู่ข้างๆดันเต้ซังแล้วส่องไฟไป… มันเป็นทางกว้างๆ
「เหมือนกับที่ทางเข้าเลย ทางลาดลงไปข้างล่างพร้อมรูปปั้นหิน」
รูปปั้นหินพร้อมอาวุธมากมายเรียงรายกันทั้งซ้ายและขวา ทางลาดเอียงเหมือนกับที่ทางเข้าเด๊ะๆ
「มันดูเหมือนกันก็จริง แต่พวกมันมีอาวุธไม่เหมือนกันครับ」
「หมายความว่าไง?」
「ตรงทางเข้านั้นเรียงเป็นดาบ, โล่, คทา, ขวาน, หอก, ค้อน – แล้วก็วนไปครับ แต่ที่นี่นั้นเรียงเป็นดาบ, ดาบสั้นโค้ง(scimitar), ขวาน, มีด, หอก, กรรไกรยักษ์ครับ」
「โว้ว! นายจำของแบบนั้นได้ด้วยหรอเนี้ย」
ใช่ ผมยังไม่ได้บอกดันเต้ซังกับคนอื่นถึง【World Ruler】กับความสามารถจดจำสมบูรณ์แบบเลย
「เซอรี่ซัง คุณได้กลิ่นอะไรไหมครับ? หรือเสียงแปลกๆอะไรแบบนั้น?」ผมถาม
「เค้าได้กลิ่นน้ำมัน」เซอรี่ซังพูดขณะที่ดมฟุดฟิด ใบหน้าของเธอมีสมาธิผิดปกติ
「นี้คือน้ำมัน?」
จมูกของผมเองก็จับกลิ่นอ่อนๆได้ ถึงจะอ่อนมากเลยก็ตาม
「ดูจะค่อนข้างเก่าเลยนะครับ」ผมพูด
「เป็นกับดักหรือเปล่า?」
ทั้งผมและเซอรี่ซังก็ไม่สามารถตอบคำถามของดันเต้ซังทันทีได้ ผมคิดไม่ออกเลยจริงๆ
「ดันเต้ซัง อยากจะให้ผมลองยิงด้วย【เวทย์ไฟ】ไหมครับ?」
「หืมม? ตรวจดูว่ามีแก๊สไหมสินะ หา?」
ในอดีต มีเรื่องราวเกี่ยวกับ “นกขมิ้นในเหมืองถ่านหิน (canary in the coal mine)” อยู่ที่โลก เรื่องราวจริงๆของคนงานเหมืองที่เข้าไปในอุโมงค์พร้อมกับนกขมิ้นในกรง อุโมงค์ที่ไม่ได้ใช้นานๆนั้นอาจจะมีออกซิเจนน้อยหรือเต็มไปด้วยคาร์บอนมอนอกไซด์ไม่ก็แก๊สพิษ นกขมิ้นถูกใช้ในฐานะตัวตรวจจับเพราะมันจะตายด้วยแก๊สพิษก่อนมนุษย์
จริงๆแล้ว ขนาดในเหมืองที่ 6 เอง พวกนักผจญภัยที่จะเข้าไปสำรวจพื้นที่ลึกๆบางครั้งก็นำนกตัวเล็กๆไปกับพวกเขาด้วยเช่นกัน
「ข้าไม่คิดว่ามันจะมีปัญหาอะไรเนื่องจากออกซิเจนนั้นไหลเวียนอยู่ภายในดันเจี้ยนอยู่แล้ว นอกจากนี้ ยังมีพวกแผนกยึดครองเขาวงกตที่มาก่อนหน้าพวกเราด้วย」
「ครับ…」
จริงด้วย เนื่องจากมีคนอยู่ข้างหน้าพวกเราแล้ว ก็ไม่มีเหตุผลที่จะต้องทำมันเลย
แต่ว่าถึงยังนั้น ผมก็ยังรู้สึกว่าผมต้องทำมันอยู่ดี ความรู้สึกนี้มันอะไรกัน? ไม่ใช้สัญญาณเตือนจาก【World Ruler】แต่เป็นแค่ความรู้สึกไม่ชอบมาพากลเท่านั้นเอง
「ถ้าเธอมีมานาเหลือละก็ จะลองดูก็ได้นะ ให้ยิงไปทางนั้นนะ อย่างน้อยๆพวกเราก็จะได้เห็นข้างหน้าชัดขึ้นด้วย」มิมิโนะซังพูด
ผมพยักหน้าแล้วยิง【เวทย์ไฟ】ออกไป มันเป็นลูกไฟขนาดเท่าบาสเก็ตบอล มันบินผ่านรูปปั้นพร้อมกับเสียงฟลิ้ว บริเวณที่มันผ่านสว่างขึ้นแปปนึง
การเรียงตัวของรูปปั้นหินยังคงไปเรื่อยๆ… รูปแบบอาวุธเองก็เหมือนเดิม… ท่าทางเปลี่ยนไปเล็กน้อย? สีของอาวุธเองก็ด้วย?
ท้ายที่สุด ลูกไฟก็กระทบกับกำแพงทางออกที่อีกฝั่งแล้วหายไป
「ทุกอย่างดูเหมือนกันหมดเลย」
ดันเต้ซังพูด มิมิโนะซังเองก็พยักหน้าเห็นด้วย
ไม่ครับ ไม่เหมือน ไม่เหมือนกันซะทีเดียวครับ มันมีความต่างอยู่เล็กน้อยจริงๆ
แต่อะไรกันละที่ผมเห็น?
ผมนึกถึงสิ่งที่ผมเห็นด้วย【World Ruler】ท่ายืนกับสีของอาวุธนั้นต่างกัน ที่ด้านหน้าของแถว รูปปั้นนั้นยืนตัวตรง ทว่าที่ด้านหลังของแุถว พวกมันอยู่ในท่าดาวน์สวิง(downswing) ด้วยอาวุธ และสีของอาวุธเองก็รู้สึกเหมือนกับว่ามันมีความเงาวับเลยด้วย…
(ที่นี่คือเขาวงกตเห็นความกลัว… ความกลัว… อาวุธ… รูปปั้น… อ้าาาาา ไม่เข้าใจสักนิด!)
ผมอาจจะสังเกตเห็นบางอย่างถ้าผมมีไหวพริบเหมือนกับเอิร์ลซิวลิซส์ แต่โชคไม่ดีที่ผมคิดอะไรไม่ออกเลย
「เอาละ ไปกันเถอะ」
ดันเต้ซังเดินนำหน้า แล้วพวกเราก็เดินตาม
พวกเราเดินไปตามทางเดินในขณะที่ถูกจ้องมองโดยรูปปั้น เป็นทางลาดลงอีกแล้ว ทำให้กลับมารู้สึกไม่ดีอีกครั้ง เมื่อพวกเราเดินลงเนิน คุณจะต้องเบรคพร้อมๆกับเดินลงไป และในทางกลับกัน คุณก็จะรู้สึกเหมือนกับว่าถูกพลักดันให้ไปข้างหน้าเรื่อยๆ อะไรแบบ “เร็วกว่านี้! เร็วกว่านี้!”
เซอรี่ซังเองก็เดินเหมือนกับเธอยังคิดไม่ตกถึงความรู้สึกนี้ บางทีคงเพราะเซอรี่ซังกับผมนั้นเคร่งเครียดมาก เลยไม่มีใครพูดอะไรเลย – มีเพียงแค่เสียงเครื่องจักรไอน้ำของเนโกะจังดังออกมาเท่านั้น
(…ความกลัว… อาวุธ… รูปปั้น… อาวุธนั้นต่างจากตรงทางเข้า ทำไมกัน?)
ตอนแรกนั้นมีดาบ, โล่, คทา, ขวาน, หอก, ค้อน
ครั้งนี้มีดาบ, ดาบสั้นโค้ง, ขวาน, มีด, หอก, และ กรรไกรยักษ์
แล้วไอ้กรรไกรยักษ์นี้มันคืออาวุธอะไรกัน มีอาวุธ 3 อันเหมือนกันในขณะที่อีก 3 อันต่างกัน ทำไมถึงต่างกันละ…
(โอ๊ะ! พวกมันทั้งหมดเป็นใบมีดนี้นา)
อาวุธทั้ง 6 ประเภทในทางเดินนี้ล้วนแล้วแต่เป็น “ของมีคม”
แต่ แล้วมันหมายถึงอะไรกัน…?
(ใบมีด, ใบมีด, ใบมีด — น้ำมัน หมายความว่ามันมีกับดักงั้นหรอ…?)
ตรงนี้เป็นทางเดินลาดลง
「อ๊ะ-」
ผมรู้สึกตัวแล้วหันกลับไปมองด้านหลัง
มันไม่มีเสียง บางทีคงเพราะมันถูกทาด้วยน้ำมัน
อย่างไรก็ตาม… เสียงของอากาศที่ถูกตัดผ่านนั้นไม่สามารถลบออกไปได้
ทันทีพร้อมกันกับผม เซอรี่ซังเองก็หันกลับมามองด้านหลังด้วยเช่นกัน เนื่องจากเธอนั้นมีหูที่ดี เธอเลยได้ยินเสียงเหมือนกัน – เสียงของใบมีที่ตัดผ่านอากาศ
「หมอบลง!!」ผมตะโกน
พวกเรานั้นเอาแต่มองด้านบนอยู่ตลอด มันก็เป็นเรื่องปกตืเนื่องจากมีเพียงแค่รูปปั้นหินเท่านั้นที่ต่างจากตรงทางเข้า
นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมผมถึงไม่รู้สึกตัวจนกระทั่งพวกเราเดินผ่านมันไป – ช่องว่างที่สร้างอยู่ในทางลาดลง
ใบมีดหมุนยาวมากกว่า 1 เมตรถูกยิงมาทางพวกเรา
「คุ๊…」
มูเกะซังนั้นตอบสนองช้าไม่เหมือนกับพวกเรา ผมรีบกระโจนเข้าหาเขาแล้วลากเขาออกจากที่นั่งคนขับเนโกะจัง
「อุหว่าาา!」
เกือบไปแล้ว
ใบมีดนั้นพลาดไปไม่กี่มิลลิเมตร ตัดปลายผมของผมไปเล็กน้อย ขนาดต่อให้มันตัดปล่องไฟของเนโกะจังไปแล้วก็ตาม มันก็ไม่ได้หยุดลงเลย
ตอนที่ดันเต้ซังเห็นมัน เขาดูจะเหมือนกับพยายามจะบล็อคมันไว้ด้วยโล่ของเขา ทว่ารีบวางมันลงแล้วหมอบทันที ใบมีดนั้นถูกยิงด้วยแรงที่สามารถตัดผ่านโล่ให้เป็นสองซีกได้เลย
ใบมีดผ่านพวกเราแล้วหายราวกับถูกดูดเข้าไปในช่องว่างที่ถูกสร้างเอาไว้ตรงด้านบนของทางออก
เอาจริงดิ? ขนาดจุดปลายทางก็ยังคำนวนเอาไว้แล้วงั้นหรอ?
「ฟลิ้ว…」
ผมเหงื่อโชกตัว
「เดี๋ยวนะ! นี้มันเหมือนกับว่า…」
เนื่องจากพวกเราเคยประสบอะไรแบบนี้มาแล้ว ผมจึงรู้สึกตัวทันที พวกเรากำลังหมอบอยู่กับพื้น—ราวกับพบเจอใครสักคนที่สูงส่งกว่า หรือจะบอกว่า ราวกับพวกเรากำลังเผชิญกับตัวตนของสิ่งที่เหมือนกับ “พระเจ้า”
ใช่ พวกเราดูเหมือนกับกำลังหมอบกราบอยู่บนพื้น และถูกกลืนกินด้วยความกลัว
บทที่ 3 ตอนที่ 8
ชิบ! น่ากลัว! อันตรายแล้ว! ผมกำลังกลัว! จะทำยังไงดีเนี้ย?!—ร่างกายของผมล้มลงไป
สมองของผมแข็งกระด้างอย่างกับเป็นตะคริว ร่างกายของผมเริ่มสั่น เหงื่อไหลท่วมตัวและยากจะหายใจ
(World Ruler, World Ruler, World Ruler, World Ruler! ถึงเวลาทำงานของแกแล้ว!)
เมื่อผมพยายามรวบรวมสมาธิไปที่【World Ruler】ความกลัวที่กัดกินผมก็ได้ลดลง
แค่พูดว่า “จงถูกครอบงำโดยความกลัว” ทุกคนก็คุกเข่าลงไปแล้ว นอกจากดันเต้ซังที่ยังยืนอยู่ด้วยพลังใจล้วนๆนั้น เซอรี่ซังลงไปหมอบกราบเรียบร้อยแล้ว พวกโกลเด้นบริเกดเองก็เหมือนกัน ทว่ามิมิโนะซัง มูเกะซัง กับน็อนซังที่อยู่ห่างออกไปดูจะไม่เป็นอะไรกัน
(ระยะห่างงั้นหรอ?)
แต่อะไรกันหล่ะที่สร้างความกลัวนี้ขึ้นมา?
「บะ-บ้าเอ้ย!!!」
ดันเต้ซังคำรามขณะที่ป้องกันหอกของออโตมาตรอนด้วยโล่ใหญ่ ใบหน้าของเขานั้นบิดเบี้ยวพร้อมกับเหงื่อไหลไม่หยุด ผมมั่นใจว่าการโจมตีด้วยหอกของออโตมาตรอนยักษ์นั่นน่าจะหนักหนาอยู่ แต่มันก็น่าจะไม่มีปัญหาอะไร—ถ้าเป็นดันเต้ซังตามปกติละก็นะ
เมื่อใช้【World Ruler】ผมก็พบว่ามันมีปรากฏการณ์ที่เกิดจากเทคโนโลยีเวทมนตร์ーหรือบางทีอาจจะเป็นคาถาเวทมนตร์เกิดขึ้นอยู่ ดันเต้ซังกับผมยังไหวอยู่ในตอนนี้ แต่สำหรับเซอรี่ซังที่เอาหน้าผากถูพื้นอยู่นั้น กำไลของเธอเริ่มแดงก่ำขึ้นเรื่อยๆทุกวินาที
(ผมจะทำยังไงดี?)
ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากกำจัดมันแล้ว แต่การเคลื่อนไหวของผมถูกลดลงไปครึ่งนึงหน่ะสิ
และทันทีหลังจากนั้น–
「ยิง!」
【เวทย์ไฟ】2 ลูกได้ระเบิดที่ด้านหลังของออโตมาตรอน มันถูกยิงโดยนักเวทย์ของโกลเด้นบริเกด
พวกโกลเด้นบริเกดที่อยู่ห่างจากออโตมาตรอนออกไปหน่อยนั้นดูจะอาการดีกว่าพวกเรา
เวทมนตร์งั้นหรอ มันก็จริง พวกเราไม่ได้อยู่ในสถานการณ์ที่จะมาหวงของดรอปได้
(สำหรับตอนนี้ พวกเราจะต้องออกจากสถานการณ์นี้ให้ได้ก่อน!)
ผมชกไปที่แก้มของตัวเอง
อย่าไปกลัว! อย่าไปกลัว! อย่าไปกลัว! อย่าไปกลัว!
วันนั้น วันที่เหมืองถล่มนั่น—ผมหวาดกลัวที่ไม่ได้จับมือของพี่สาวในวันนั้นเหนือสิ่งอื่นใด
ผมไม่อยากรื้อฟื้นความกลัวนั้นกลับมาอีกแล้ว
ไม่มีทางที่ผมจะกลัวไอ้ความกลัวจอมปลอมที่เกิดจากเจ้านั่นเด็ดขาด!
『–ผู้บุกรุก–』
ออโตมาตรอนหันกลับไปยังทิศตรงข้ามและมุ่งเป้าไปที่โกลเด้นบริเกด–หรือก็คือหันหลังให้กับเรา
「อย่ามาดูถูกมนุษย์ให้มากนัก ไอ้เครื่องจักร!」
ผมใช้งาน【เวทย์ไฟ】ที่ทุกนิ้วในมือขวาและ【เวทย์ลม】ที่ทุกนิ้วในมือซ้าย
การทำแบบนี้นั้นค่อนข้างกินมานาของผมอยู่ แต่ว่า — ไม่เสียใจหรอกนะ
「Flame Tornado!」
เปลวเพลิง 5 นัดและลม 5 นัดถูกยิงออกไปจากทั้งสองมือแล้วผสมเข้าด้วยกัน ก่อให้เกิดเป็นทอร์นาโดเพลิงลูกใหญ่กลืนกินออโตมาตรอนตัวนั้น
มิมิโนะซังสอนชื่อของเวทมนตร์นี้ให้กับผม ดูเหมือนว่าจะมีคนที่ใช้เวทมนตร์ชื่อนี้ในอดีตด้วย
『–ผู้บุกรุก……–』
เมื่อเปลวเพลิงหยุดลง ล้อของออโตมาตรอนก็ได้หยุดลงและมีเพียงแค่ส่วนบนของมันที่หันมาทางผม ร่างกายกายเป็นสีดำและเป็นเขม่า แต่ก็ไม่มากพอที่จะละลายมันได้
ดันเต้ซังได้บังคับตัวเองให้มาบังผมด้วยโล่ของเขา …ออโตมาตรอนมันยังทำงานอยู่งั้นหรอ?
และแล้ว อัญมณีที่โพล่มาจากร่างของมันก็ได้แตกออก ดูเหมือน 2 ใน 3 จะแตกไปเรียบร้อยแล้ว ส่วนอันสุดท้ายพึ่งจะแตกไป จากนั้นผมก็รู้สึกว่า “ความหวาดกลัว” ที่อยู่รอบๆก็ได้หายไป
ออโตมาตรอนล้มลงไปข้างหน้าพร้อมกับเสียงดังลั่น หนึ่งในแขนของมันหักออก บางทีคงเสียหายเพราะความร้อน แขนนั่นกลิ้งตกลงไปจากเวทีแล้วจมหายไปในเหวลึก
「พลิ้ว… อันตรายชะมัด」ผมพูด
「อะ-อืม… มันค่อนข้างอันตรายเลย ข้าไม่คิดเลยว่าจะถูกโจมดีแบบนั้น… เป็นอะไรไหมเรย์จิ? แล้วเซอรี่ละ?」
「ห่ะ? นะ-นี้เค้าทำอะไรอยู่เนี้ย!?」เซอรี่ซังรู้สึกตัว
ผมสูดหายใจเข้าลึกก่อนจะปล่อยออกมาในขณะที่ดันเต้ซังกำลังเข้าไปหาออโตมาตรอนอย่างระมัดระวัง เซอรี่ซังดูจะไม่เป็นอะไรเนื่องจากเธอมองไปรอบๆไม่หยุด—ถึงบางทีตรวจดูสภาพจิตใจของเธอทีหลังเพื่อไว้จะเป็นการดีกว่า ไม่สิ แต่ว่าเธอก็ไม่ปกติตั้งแต่แรกอยู่แล้วนี้นา…?
「ไม่เป็นไรแล้ว ดูเหมือนจะเคลื่อนไหวไม่ได้แล้วละ」
ดันเต้ซังเตะไปที่ออโตมาตรอนเพื่อยืนยัน ดูเหมือนการต่อสู้จะจบลงแล้ว
ปัญหาต่อมาเกิดขึ้นจากพ่อค้านั่นที่กลับมาแล้ว
「เวทมนตร์แรกถูกยิงออกไปจากโกลเด้นบริเกดที่ข้าจ้างมา! ดังนั้นออโตมาตรอนตัวนี้จะต้องเป็นของพวกข้า」เขาพูดแบบนั้น
หมอนี้จะเอาสินะ สู้กันแบบวิถีพ่อค้าหน่ะ ก็ได้ ขอมาก็จัดให้
「…เรย์จิซัง ปล่อยให้เป็นหน้าที่ข้าเถอะ」
เมื่อผมพับแขนเสื้อจะสู้กลับ มูเกะซังก็มายืนอยู่ข้างหน้าของผม
「ไม่ว่าจะดูยังไง ก็เป็นเรย์จิซังที่จัดการออโตมาตรอนนั่นนะ」
「พวกเราเป็นคนโจมตีก่อน!」
「ถึงยังงั้น มันก็อาจจะเป็นไปได้เพราะดันเต้ซังดึงความสนใจของมันอยู่ก็ได้ นายจะสาบานต่อ “เทพพระเจ้าแห่งการค้า (God of Trade)” ว่ามันเป็นของนายไหมละ?」
「กะ…」
โอ๊ะ ใช้ได้เลยนี้ครับมูเกะซัง! มิมิโนะซังเองก็พูดถึง “เทพพระเจ้าแห่งการค้า” ตอนที่พูดคุยกับกิลด์เมื่อก่อนหน้านี้อยู่เหมือนกัน
——เทพเจ้าแห่งการค้าเฝ้าดูอย่างยุติธรรม
——การค้าของผู้ซื้อที่ดีและผู้ขายที่ดี
เธอพูดอะไรแบบนั้น
「พอได้แล้ว… คุณผู้ว่าจ้าง」
เป็นลีออนที่พูดขัด
「ออโตมาตรอนถูกจัดการด้วยเวทมนตร์ของเจ้าเด็กนั่น」
「ชิ เป็นเพราะพวกแกทำงานไม่ดีพอนั่นแหล่ะ! ข้าจะหาคนมาแทนเมื่อไหร่ก็ได้ ดังนั้นครั้งหน้าทำให้ดีกว่านี้」พ่อค้าสบถแล้วจากไป
…ให้ตายเหอะ หมอนั่นนิสัยเสียจริงๆ
「ไม่คิดว่านายจะมาช่วยนะเนี้ย」ดันเต้ซังพูด
「เห้ย นายคิดว่าชั้นเป็นคนยังไงกัน ดันเต้… แต่ว่านะ ยิ่งไปกว่านั้น เวทมนตร์นั่นมันอะไรกันหน่ะ! ขนาดเอมิลี่ (Emily) ของพวกเรา… คนที่, เออ, เป็นนักเวทย์ ยังล้มลงไปด้วยความช็อกเลยนะ! นี้นายผสมเวทมนตร์เข้าไปกี่นัดเนี้ย?」ลีออนถามพร้อมกับมองมาที่ผม
「กี่นัดงั้นหรอ? ก็ 10 นัดแน่นอนอยู่แล้ว เพราะนิ้วมี 10 นิ้วนี่นา ใช่ไหมละ?」
「ให้ตายเหอะ… ชั้นก็คิดว่านายเป็นพวกสกิลประเภทสำรวจซะอีกเนื่องจากนายดูไม่เหมือนนักเวทย์–ไม่สิ วันนี้นายแต่งตัวเหมือนดรูอิดนี้นา แต่ดรูอิดที่ใช้【เวทย์ไฟ】งั้นหรอ…?」ลีออนเอียงหัวก่อนจะจากไป
ที่ด้านหลังของผม มิมิโนะซังกำลังทำหน้าแบบมีชัยอยู่「มุหุหุหุหุ… เห็นถึงความเท่ของเรย์จิคุงรึยังละ?」ถึงคนๆนี้จะโตแล้วก็เถอะ แต่เธอก็ยังทำตัวน่ารักเป็นเด็กๆอยู่เลย
หลังจากนั้น มูเกะซังก็ตรวจสอบออโตมาตรอนอย่างระมัดระวัง และดูว่ามันมีอุปกรณ์เวทมตร์ที่ใช้ได้อยู่หรือไม่ ส่วนพวกโกลเด้นบริเกดนั้นล่วงหน้าไปก่อนแล้ว
「แต่ยังไงก็เถอะ ออโตมาตรอนนั่นใช่เวทมนตร์อะไรกันนะ?」น็อนซังถามขึ้นในขณะที่พวกเราพักเบรคกัน「คุณพ่อคะ การเคลื่อนไหวของคุณพ่ออยู่ๆก็ทื่อลงสินะคะ?」
「ลูกมีปัญหาอะไรงั้นหรอ?」ดันเต้ซังถาม
「ไม่ค่ะ… คือหนูรู้สึกเสี่ยวสันหลังวาบ เหมือนกับความรู้สึกตอนที่หนูรับรู้ถึงตัวตนของพระเจ้าในมหาวิหารแห่งราชอาณาจักรอัศวินนักบุญเลยหน่ะค่ะ」
พระเจ้างั้นหรอ… มันเป็นอารมณ์เกี่ยวกับความกลัว ดังนั้นก็อาจจะเหมือนกันก็ได้ แล้วก็นะครับน็อนซัง! คุณเคยเจอกับพระเจ้าจริงๆหรอครับ?!
「คิดว่าไงละจ๊ะ เรย์จิคุง?」น็อนซังถาม
「ผมเองก็ยังคิดอะไรไม่ออกเหมือนกันครับ… แต่ผลของมันดูจะด้อยลงถ้าอยู่ห่างออกไป ดังนั้นครั้งหน้าเรามาทิ้งระยะห่างในตอนต่อสู้กันดีกว่าครับ」
「เอกสารดูจะไม่ได้บอกอะไรถึงกรณีที่ศัตรูใช้อะไรอย่างเวทมนตร์เลย แต่ที่นี่เป็นดันเจี้ยนนี้นะ อะไรก็เกิดขึ้นได้ ตั้งสติกันเอาไว้ละ」ดันเต้ซังพูด
ทุกๆคนพยักหน้า—แต่ผมกำลังสับสนในใจ
อะไรก็เกิดขึ้นได้เพราะมันคือดันเจี้ยงยังงั้นหรอ? ถ้าพูดถึงดันเจี้ยน ผมรู้จักแค่เหมืองที่ 6 แต่ที่นั่นมันมี “กฏ” ของมันอยู่
(มันจะต้องมีกลไกที่เกี่ยวข้องกับอารมณ์แน่ๆ)
ผมอยากจะเปิดโปงกลไกพวกนั้นด้วย【World Ruler】จัง!
บทที่ 3 ตอนที่ 7
『เขาวงกตจะเข้าไปและควบคุมจิตใจของผู้คน』
มันถูกเขียนเอาไว้ในเอกสารจากกิลด์ เขาวงกตแต่ละที่ที่เป็นตัวแทนของอารมณ์นั้นๆดูจะ “มีอำนาจ” ในอารมณ์นั้นๆ
เมื่อพวกเราเข้ามาในจักรวรรดิเป็นครั้งแรก พวกเขาจะมอบกำไลที่มี GPS ยืนยันอารมณ์ของผู้สวมใส่มา ถ้ากำไลเรืองแสงสีแดง ดูเหมือนว่ามันจะหมายถึง “ต้องเฝ้าดูเป็นพิเศษ” นี้ก็เพื่อให้ผู้สวมใส่ระวังตัวเองก่อนที่พวกเขาจะอารมณ์พลุ่งพล่านและเสียสติไป
วิธีที่จะใช้ควบคุมอารมณ์พวกนั้นขึ้นอยู่กับเขาวงกต เช่นกับดัก, สถานะผิดปกติที่โดนไม่รู้ตัว, สถานที่ที่ต้องใช้อารมณ์พวกนั้นในการผ่านไป, และอื่นๆอีกมากมาย
「สวยอย่างไม่น่าเชื่อ…」
ความประทับใจแรกของผมที่ได้เห็นก็คือว่ามันกว้างและเรียบร้อยอย่างน่าประหลาด เห็นได้เลยว่ากำแพงนั้นเรียบเนียนและแข็งแรง ทางเดินที่สามารถให้คน 4 คนเดินไปพร้อมกันได้นั้นสว่างเล็กน้อย — ซึ่งเป็นเรื่องปกติของ “ดันเจี้ยน” เมื่อผมตรวจสอบด้วย【World Ruler】ผมก็พบว่ามันมีมานาจำนวนเล็กน้อยไหลเวียนอยู่
อย่างไรก็ตาม มันก็ยังสว่างน้อยไปอยู่ดี ดังนั้นจึงยังคงใช้ตะเกียงเวทมนตร์อยู่
(พอพูดแล้วก็ ที่เหมืองที่ 6 เองก็สว่างแค่นี้นี้นะ มันก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรกับผมเนื่องจากผมมี【Night Vision】หรอก …..แต่ว่าในตอนนั้น ผมคิดว่า “มันเป็นสิ่งที่มันเป็น”)
นั่นก็เพราะ ตอนที่ผมบ่นว่ามันมืด ลาร์คก็ตอบกลับมาว่า “มันเป็นสิ่งที่มันเป็น” ลาร์คนั้นมีมุมมองเชิงปรัชญาสำหรับเด็กอายุ 13 ปีในตอนนั้นอยู่
「มูเกะซัง หน่วยยึดครองเขาวงกตเข้ามาในเขาวงกตนี้เมื่อไหร่เหรอคะ?」มิมิโนะซังถาม
「ข้าคิดว่าน่าจะเมื่อ 5 วันก่อนละมั้ง」
ผมกำลังฟังบทสนทนาระหว่างมิมิโนะซังกับมูเกะซังอยู่ ทว่า【เสริมการได้ยิน】ของผมจับเสียงอื่นได้—เสียงของลม
「—ดันเต้ซัง จากตรงนี้ไปจะเป็นพื้นที่เปิดกว้างครับ」
「หึมมม เอาละ เรย์จิ, เซอรี่กับข้าจะไปตรวจดูข้างหน้าก่อน คนอื่นๆค่อยตามหลังมานะ」
เนื่องจากมันพึ่งจะผ่านทางเข้ามา บางทีพวกเราจึงไม่ต้องกังวลการโจมตีจากด้านหลัง
หลังจากที่เคลื่อนตัวมาข้างหน้า 50 เมตรก็พบกับพื้นที่เปิดโล่ง และทางลาดลงที่มีรูปปั้นหินถือดาบ, โล่, คทา, และอื่นๆเรียงรายทั้งซ้ายและขวา รูปปั้นพวกนั้นดูราวกับกำลังจ้องมองมาที่พวกเราเลย
「…ดูจะไม่มีอะไรตรงนี้นะ ทางพวกนายละ?」ดันเต้ซังถาม
「ผมเองก็ไม่เห็นอะไรเหมือนกันครับ」
「อืม ไม่มีอะไรเลย」เซอรี่ซังพูด
แค่เอาไว้ขู่งั้นหรอ…? หืมมม แต่ว่า–
「…มันไม่มีอะไรก็จริง แต่ผมได้กลิ่นเลือดครับ」
「อาจจะมีกับดักก็ได้ ระวังตัวด้วย」ดันเต้ซังพูด
หลังจากมิมิโนะซังและคนอื่นๆมารวมตัวกับพวกเรา พวกเราก็เคลื่อนตัวไปข้างหน้าพร้อมๆกัน ทว่า ตรงข้ามกับการคาดการณ์ของพวกเรา มันไม่มีอะไรอยู่เลยจริงๆ—ไม่นานพวกเราก็ผ่านพื้นที่โล่งและกลับมาอยู่ในทางเดินอีกครั้ง
ทางเดินนั้นเหมือนกับอันก่อนหน้า แต่ถนนดูจะโค้งนิดๆพร้อมกับลาดลงไปข้างล่าง ระหว่างทางพวกเราก็พบกับผู้คนบ้างนิดหน่อย พวกเราเคลื่อนตัวไปพร้อมกับตรวจสอบทุกจุด มีบางที่ที่ดูเหมือนกับแท่นบูชาทว่าไม่พบอะไรเลย – ปาร์ตี้ก่อนหน้านี้คงเอาเอาไปหมดแล้วละ
พวกเราเคลื่อนตัวมาได้ 3 ชั่วโมงแล้ว พวกเราพักกันแค่ครั้งเดียวอยู่ ดังนั้นตอนที่พวกเรากำลังคิดจะพักกัน
「ผมได้ยินเสียงคนคุยกันข้างหน้าครับ」
「หืมมม เป็นนักผจญภัยกลุ่มอื่น หรือหน่วยยึดครองเขาวงกตกันนะ?」ดันเต้ซังสงสัย
ถึงพวกเขาจะเป็นคู่แข่ง แต่ก็ไม่ใช่ศัตรู ดังนั้น “มีคน” ก็หมายถึงข้างหน้านั้น “ปลอดภัย”
ท้ายที่สุด พวกเราก็ได้มาถึงโถงทรงลูกบาศก์ขนาดใหญ่
มันค่อนข้างกว้าง มีความสูงประมาณ 100 เมตรได้
「โอ้……」
ทางเดินนั้นเป็นเส้นตรงและนำไปยังทางออกที่อยู่อีกฟาก กองไฟได้ถูกจุดเอาไว้ทั้งซ้ายและขวาในตะแกรงเหล็ก มีเวทีวงกลมอยู่ตรงกลางห้อง และมีคนกว่า 10 คนอยู่ตรงนั้น
「หา? มีนักผจญภัยคนอื่นนอกจากพวกเราด้วยหรอ? —เดี๋ยวนะ…」
พวกเราจะโชคร้ายอะไรขนาดนี้ นั่นเป็นปาร์ตี้ที่นำโดยลีออน – โกลเด้นบริเกด นั่นเอง
「…………」
「…………」
ดันเต้ซังกับลีออนจ้องมองกันสักพัก
「—ข้าไม่ได้อยากสู้ในนี้เหมือนกัน」
「ไม่ต้องบอกก็รู้น่า」
เหมือนกับวันก่อน หญิงสาวผอมเพรียวในเสื้อฮู้ดเป็นคนพูดแบบนั้นออกมา แลัวลีออนก็ถอยกลับไป
พวกนั้นตรงไปยังฝั่งนึงของเวที ดังนั้นพวกเราก็เลยตรงไปยังฝั่งตรงข้ามแล้วนั่งลง
มีพ่อค้าที่ดูจะเป็นคนว่าจ้างโกลเด้นบริเกดอยู่ด้วย พ่อค้าคนนั้นแต่งตัวด้วยเสื้อผ้ามันเงาวาววับนั่งอยู่บนยานพาหนะที่ดูเหมือนกับรถยกที่ทำงานโดยเครื่องจักรเวทมนตร์
พ่อค้าคนนั้นพาชาวเลฟอีกสองคนมากับเขาแล้วตรงมาที่เรา — ตรงมาที่มูเกะซัง
「เห้ย นี้มันบริษัทโกโรโกโสไม่ใช่รึไง? ไม่ดีเลยนะที่บริษัทจนๆอย่างแกจะมาเข้าเขาวงกตแบบนี้หน่ะ」
「…………」
「…………」
เมื่อดันเต้ซังกับผมที่กำลังนั่งพักผ่อนอยู่กำลังจะลุกขึ้น มูเกะซังก็พูด “ได้โปรดนั่งก่อนเถอะนะ”
「เขาวงกตนั้นเปิดให้ทุกคนไม่ใช่หรอ? ข้าก็มีสิทธิ์จะอยู่ที่นี่นะ」
「ไร้สาระ…. เขาวงกตนี้เป็นชีพจรของจักรวรรดิเราเลยนะ รู้ไหม้? มันน่าสะอิดสะเอียนที่คนติดต่อกับ “ภายนอก” อย่างแก่เข้ามาที่นี่นะ ไม้รู้รึไง? ตัวแก ที่ไม่สามารถสร้างธุรกิจ “ภายใน” ได้หน่ะ ก็เป็นตัวน่ารังเกียจสำหรับทุกคนนั่นแหล่ะ」
「เรื่องแบบนั้นมัน–」
「พวกคุณเองก็ไม่สามารถใช้ชีวิตอยู่ได้ถ้าไม่มีอาหารจากภายนอกไม่ใช่หรอครับ แถมยังมาจากปากคนใส่ชุดน่าเกลียดแบบนี้ด้วยหน่ะนะครับ?」
「เรย์จิซัง!?」
มูเกะซังตกใจ บางทีคงไม่คิดว่าผมจะไปตัดบทสนทนาแบบนั้น พ่อค้าคนนั้นจ้องมองผมอย่างอึ้งๆ แต่จากนั้นก็รีบส่ายหัวแล้วพูดว่า
「อะ-อะ-ไอ้เด็กเวร!! เมื่อกี้แกว่าไงนะ–」
「ผมจะพูดจนกว่าจะพอใจเลย ที่นี่อาจจะเป็นศูนย์รวมโรงงานเวทมนตร์หนึ่งเดียวในโลกก็จริง แต่กลับกัน มันก็มีแค่นั้นเอง ไม่เหมาะจะเพาะปลูกหรือเลี้ยงสัตว์ด้วยซ้ำ ถ้าไม่มี “โลกภายนอก” ละก็ คุณก็ประคับประคองตัวไม่ได้ด้วยซ้ำ มูเกะซังต้องเสี่ยงอันตรายนำสิ่งของจาก “ภายนอก” มา – ขนาดวัตถุดิบเสื้อผ้าของคุณก็ยังมาจาก “ภายนอก” เลย คุณควรจะขอบคุณมูเกะซังนะครับ ผมไม่คิดว่ามันจะมีเรื่องน่าบ่นตรงไหนเลย」
「มันมีเรือเหาะเวทมนตร์สำหรับนำเข้าและส่งออกโว้ย! ข้าไม่มีทางมาขออะไรกับบริษัทที่ใช้งานเครื่องจักรไอน้ำโกโรโกโสแบบนี้หรอก!」
「งั้นคุณก็ไม่ควรมาที่นี่ตั้งแต่แรกแล้วครับ และก็ไม่ควรไปว่าอะไรความสัมพันธ์ของเขากับ “ภายนอก” ด้วยครับ」
「ไอ้เด็กเวรปากเสียนี้!!」
「จะ-ใจเย็นๆ ใจเย็นๆก่อนนะ」
ด้วยเหตุผลบางอย่าง มูเกะซังเป็นคนเดียวที่พยายามห้ามปรามสถานการณ์นี้
「แล้วก็มูเกะซัง คุณต้องตอบโต้พวกเขาไปตรงๆนะครับ คุณเองทำงานที่น่าภาคภูมิใจนะครับ」
「งานที่น่าภาคภูมิใจ…」
ตอนที่มูเกะซังเงียบไปเพราะคำพูดนั้น
「หนุ่มน้อย เค้าก็ไม่ว่าอะไรหรอกนะถ้าเธอจะฆ่าเวลาโดยการทะเลาะกันหน่ะ แต่เอาไว้ทีหลังนะ」เซอรี่ซังยืนขึ้นพร้อมกับมองกลับไปยังเขาวงกต
「มีอะไรบางอย่างกำลังมา」ผมพูด
「!」
ทั้งผมและดันเต้ซังเด้งลุกขึ้นยืนพร้อมๆกับพวกโกลเด้นบริเกด
「เห้ยไอ้ผู้ว่าจ้าง! มาทางนี้เร็วเข้า! มีบางอย่างกำลังมาทางนี้จากด้านหลัง!!」ลีออนตะโกนออกมา
「ฮิ-ฮี้ยยย!」
จังหวะเดียวกับที่พ่อค้าปากเสียคนนั้นวิ่งกลับไป ยักษ์สีทองก็ปรากฏขึ้นที่อีกฟากของทางเดิน พร้อมกับเสียงดังลั่น
มันมีสองล้อที่เส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 2 เมตรเป็นขา ซึ่งทำสมดุลและเสริมลำตัวบนได้เป็นอย่างดี มันมีทั้งหมด 4 แขนซึ่งแหลมเหมือนกับหอก
มันไม่มีหัว แทนที่กันนั้น มันมีอัญมณี 3 เม็ดโพล่ออกมาที่ตรงกลางของร่างเป็นรูปสามเหลี่ยม—รู้สึกเหมือนกับอัญมณีพวกนั้นกำลังจ้องมองมาที่พวกเราเลย
『——ผู้บุกรุก, ค้นพบ——』
เสียงราวกับเครื่องจักรดังกึกก้อง
หุ่นออโตมาตรอน
ร่างยักษ์เริ่มเคลื่อนไหวด้วยการหมุนล้อเมื่อมันเอนตัวมาด้านหน้า
ล้อของมันที่หมุนอยู่สร้างประกายไฟกับพื้น
「มิมิโนะ, น็อน อพยพไปพร้อมกับมูเกะซัง」
「รับทราบ」
「ค่ะ」
「เรย์จิ, เซอรี่ พวกเราจะจัดการเจ้านั่นลง!」
กองไฟตะแกรงเหล็กที่จัดวางอยู่รอบๆนั้นดูจะเอาไว้ใช้เป็นบาเรียป้องกันบางอย่าง แต่ถ้าตัวใหญ่ขนาดนั้นพุ่งเข้ามา มันก็คงถูกทำลายในพริบตาเดียว
「รับทราบ — แต่ถ้าทำได้ละก็ อย่าเอาจริงกันนะครับ」
ของดรอป! ของดรอป!
「อย่าบ้าไปหน่อยเลย」ดันเต้ซังพูด
「สมกับเป็นหนุ่มน้อย เค้าเอาใจช่วยอยู่นะ!」
ผมสัญญากับตัวเองเลยว่าจะต้องไปดุเซอรี่ซังทีหลังให้ได้
「มันจะมาแล้ว!」
ไม่ใช่แค่พวกเราเท่านั้น พวกโกลเด้นบริเกดเองก็เตรียมพร้อมแล้วเหมือนกัน ด้วยลีออนเป็นแนวหน้า และหญิงสาวสวมฮู้ดอพยพผู้ว่าจ้างชาวเลฟ
ออโตมาตรอนตัวนั้นกระโดดลงมาที่ตรงกลาง
『——จนถูกกลืนกินด้วยความกลัว——』
ทันทีหลังจากนั้น ผมก็ถูกครอบงำโดยความรู้สึกที่อยากจะทรุดตัวลง กำไลของทุกๆคนเรืองแสงสีแดงออกมา
บทที่ 3 ตอนที่ 6
“เขาวงกตแห่งอารมณ์ทั้ง 9” นั้นถูกสร้างขึ้นโดย ลา-ฟิซา (La-Fisa) จอมขมังเวทย์ผู้ที่ลงหลักปลักฐานอยู่ที่นี่เมื่อนานมาแล้ว ด้วยความเล็กของที่นี่ ตัวตนของมันนั้นถูกค้นพบจากผู้คนมาเป็นเวลานานแล้ว มีทั้งที่ที่ใกล้ๆกลับส่วนที่ยังไม่ได้สำรวจ และที่ที่ใกล้ๆกันกับที่นี่ด้วย
มันก็กว่า 500 ปีมาแล้วที่ชาวเลฟเข้ามาอยู่ที่ดินแดนนี้ ในตอนแรก พวกเขาแทบจะขุดอะไรไม่ได้เลย แต่จนกระทั่งพวกเขาค้นพบเขาวงกตและพบว่าสามารถหาอุปกรณ์เวทมนตร์จากที่นี่ได้ พวกเขาก็เลยรีบเร่งยึดครองเขาวงกต
ดูเหมือนพวกเขาจะมีผู้นำที่ยอดเยี่ยมด้วย เขาคนนั้นก็ได้เริ่มใช้ประโยชน์จากอุปกรณ์เวทมนตร์แล้วยกระดับชีวิตของชาวเลฟขึ้น เขาเริ่มค้าขายกับประเทศอื่นๆ — โดยการขายอุปกรณ์ที่พวกเขาสร้างขึ้นแทนที่จะเป็นตัวจากเขาวงกตเอา
อุปกรณ์จากเขาวงกตนั้นเป็นอุปกรณ์เวทมนตร์ชั้นสูง ดังนั้นเขาจึงคิดว่ามันอาจจะเป็นหายนะได้ถ้าประเทศอื่นๆบุกเข้ามาโดยที่กองกำลังทหารของประเทศยังไม่ได้จัดตั้งขึ้น
และผลลัพธ์ก็คือ—ระบบปลีกวิเวกในปัจจุบัน
(หึมมม มีข้อมูลเกี่ยวกับลา-ฟิซาน้อยเกินไป)
ผมไม่มีทางลืมอะไรที่ผมเคยเห็นมาแล้วครั้งหนึ่งได้ต้องขอบคุณ【World Ruler】ดังนั้นผมเลยเตรียมพร้อมสำหรับการผจญภัยโดยอ่านข้อมูลจากเอกสารที่ได้รับมาจากกิลด์
อุปกรณ์ของผมมีมีดสั้นที่ได้มาจากเอิร์ลชายแดน, ถุงมือติดสนับมือ, และร้องเท้าบูทที่เสริมด้วยแผ่นเหล็ก ในเขาวงกตมีมอนสเตอร์ที่ปรากฏออกมาอยู่ 2 ประเภทนั่นก็คือ มอนสเตอร์ กับ ออโตมาตอน (automaton) ที่สร้างขึ้นโดยลา-ฟิซา พวกมอนสเตอร์นั้นจะเกินในถ้ำที่ไม่มีคนใช้มานานหลายปี และจะถ้ากำจัดมันก็จะได้หินเวทย์ด้วย หินเวทย์สามารถขายได้เพราะพวกมันเป็นเหมือนกับแบตเตอรี่สำหรับอุปกรณ์เวทมนตร์อยู่
ปัญหาก็คือออโตมาตอน ที่แต่ละส่วนของมันคืออุปกรณ์เวทมนตร์ชั้นสูง ดังนั้นพวกเราจะต้องจำกัดการเคลื่อนไหวของมันโดยที่ไม่ทำความเสียหายมากเกินไป …บางทีพวกเราอาจจะต้องสู้กับมันมือเปล่าเลยก็ได้
ถุงมือหนังติดสนับมือนั้นมีแผ่นโลหะติดอยู่ที่หลังมือ ซึ่งสามารถป้องกันได้ไปจนถึงข้อศอกเลย
นอกจากนั้น ผมยังซื้ออุปกรณ์เวทมนตร์บางอย่างที่มีขายในร้านที่เราไปเมื่อวานมาด้วย หนึ่งในนั้นก็คือโลหะทรงกรมหมุนได้ที่เหมือนกับฟิดเจ็ตสปินเนอร์ และอีกอันก็คืออุปกรณ์เวทมนตร์ลึกลับที่ร้อนเองได้ ดูเหมือนมิมิโนะซังเองก็เคยซื้อของพวกนี้ด้วยเหมือนกัน
…คืนนั้น ผมตรวจสอบอุปกรณ์เวทมนตร์พวกนั้นโดยใช้【World Ruler】เห็นได้แค่ว่าตัวเองสามารถใช้พวกมันได้แค่เล่นฆ่าเวลาเท่านั้นเอง
「เรย์จิคุง เสร็จแล้วละ」
「โอ๊ะ มันเสร็จสมบูรณ์แล้วหรอครับ?」
มิมิโนะซังเอาเสื้อเชิ้ตกับกางเกงขายาวมาให้ผม อย่างไรก็ตาม แขนเสื้อกับชายเสื้อนั้นถูกเย็บด้วยด้ายเพื่อให้เคลื่อนไหวได้สะดวก
สีของมันเป็นผ้าขนสัตว์สีธรรมชาติ และผสมสีสดใสอย่างสีแดงเข้มกับสีถั่วเขียวเข้าไปด้วย ดูเหมือนว่าเสื้อผ้าที่มิมิโนะซังตัดขึ้นจะเป็นชุดแนว*ดรูอิด (Druid) ดั้งเดิม ผมก็คิดว่าเสื้อผ้าของมิมิโนะซังจะเป็นวัฒนธรรมฮาร์ฟลิงซะอีก แต่ดูเหมือนอิทธิพลของดรูอิดจะแข็งแกร่งกว่าละนะ
「มันรู้สึกสดชื่อและดูดีมากเลยครับ」
「ดีใจจัง มันพอดีไหม?」
「ครับ!」
ตอนที่ผมกลับมาเข้าร่วมกับซิวเวอร์บาลานซ์ มิมิโนะซังที่ปลาบปลื้มกับเรื่องที่ผมยังใส่ชุดที่เธอเคยทำให้ผมเมื่อ 4 ปีก่อน ก็ได้พูดว่าเธอจะต้องตัดชุดให้ผมอีกแน่นอน
「ชั้นได้ร่ายเวทย์หลายอันลงไปด้วยนะ ความเสียหายเล็กน้อยน่าจะคืนสภาพเองได้ด้วยความยืดหยุ่นของพืชที่ใช้ทำ แถมยังมีความแข็งแรงพร้อมกับการปรับอุณหภูมิและป้องกันเวทมนตร์ด้วยนะ」
「เอ๊ะ… มันสุดยอดมากกว่าที่ผมคิดอีกนะครับเนี้ย」
「เพราะอุปกรณ์สวมใส่เป็นชีวิตของนักผจญภัยยังไงละ!」
มันก็จริงแห่ะ ขอโทษครับที่ผมคิดว่าอยากจะให้มันดูเท่กว่านี้ครับ
「…มิมิโนะซัง เธอใช้เงินเก็บที่เก็บสะสมมา 4 ปีไปเป็นจำนวนมากเพื่อชุดนั้น ใช่ไหมละจ๊ะ?」
「หว่า น็อน!?」
「งั้นหรอครับ!? ไม่ครับ ผมรับมันเอาไว้ไม่ได้หรอครับ! โอ๊ะ คุณจะรับนี้เป็นสิ่งแลกเปลี่ยนได้ไหมครับ? มันเป็นมีดสั้นที่ได้รับมาจากบาบาเรี่ยน…」
「ไม่ มันไม่เป็นไรหรอก! ไม่เป็นไร! เธอเป็นสมาชิกปาร์ตี้ของชั้น แถมอุปกรณ์ก็เป็นสิ่งจำเป็นด้วย ดังนั้นจึงเป็นเรื่องปกติที่จะใช้เงินกับของแบบนั้นนะ นอกจากนี้ ชั้นเองก็ยังสนุกที่ได้ทำมันด้วย… เดี๋ยวนะ? บาบาเรี่ยนอะไรนะ??」
「โอ๊ะ คือเรื่องมันยาวหน่ะครับ…」
และหัวข้อคุยก็เปลี่ยนไป
「ให้ตายสิ〜 เธอได้รับความรักมากเลยนะ หนุ่มน้อย」
「มาตอนไหนครับเนี้ย เซอรี่ซัง เดี๋ยวจะคุยนอกเรื่องกัน ทำไมคุณไม่ไปตรงมุมโน้นแล้วดื่มนมหรืออะไรเงียบๆละครับ…」
「พักหลังมานี้เธอแกล้งเค้าบ่อยไปแล้วนะ หนุ่มน้อย! เมื่อวานเองทุกคนก็พูดว่า “เยี่ยม” ด้วย! ฮึม!」
หลังจากนั้นสักพัก ก็ถึงเวลาออกเดินทาง
พวกเราทานอาหารเช้าแล้วเตรียมตัวกัน พวกเราไม่ได้มีสัมภาระเยอะแยะอะไรเนื่องจากพวกเราออกเดินทางกันมาตั้งแต่แรกอยู่แล้ว ดังนั้น พวกเราเลยบรรทุกสัมภาระเอาไว้ที่รถเข็นเล็กๆที่ติดอยู่กับเนโกะจัง
「ถ้าพวกนายเจอสมบัติมากมายละก็ พวกนายจะต้องเริ่มแบบสัมภาระกันเองนะ ฮ่าฮ่าฮ่า」มูเกะซังพูดติดตลก
「แน่นอน จะหาสมบัตมากมายจนเนโกะจังขนไม่ไหวเลยละ」ดันเต้ซังตอบกลับอย่างแข็งขัน
หน้าผาที่เป็นทางเข้าของ “เขาวงกตแห่งความหวาดกลัว” นั้นอยู่ห่างจากบริษัทของมูเกะซังประมาณชั่วโมงนึง รางถูกตั้งเป็นเส้นตรงพร้อมกับแผ่นไม้ถูกยึดด้วยสายไฟหนาๆที่สามารถดึงขี้นได้—หรือที่เรียกกันว่าลิฟต์
มูเกะซังพูดคุยกับยามชาวเลฟที่ยืนหาวอยู่ แล้วพวกเราก็ถูกพาไปขึ้นไปยังลิฟต์ ถึงมันจะเป็นลิฟต์ แต่มันก็มีขนาดใหญ่มาก มีที่มากพอจะให้พวกเราทั้งหมดขึ้นไปพร้อมๆกับเนโกะจังได้เลย
「โอ๊ะ ขยับแล้ว!」
ดันเต้ซังดูพอใจที่พื้นตรงที่เขายืนอยู่เริ่มขยับ—ทว่ามิมิโนะซังกลับกอดแขนผมแน่นเลย
「…มิมิโนะซัง?」
「หะ-ให้ชั้นเกาะอยู่จนกว่าพวกเราจะถึงด้านบน ได้ไหม้?」
「แน่นอนครับ」
กลัวความสูงสินะ
ในท้ายที่สุด ลิฟต์ก็ได้หยุดลงห่างจากพื้นดินประมาณ 15 เมตร เมื่อพวกเราลงไปยังทางเดินที่ยื่นออกมา มูเกะซังก็โบกมือลงไปข้างล่าง แล้วลิฟต์ก็ได้กลับลงไป
「จากตรงนี้… พวกเราจะตรงไปยังทางเข้าของเขาวงกตกัน」
น้ำเสียงของมูเกะซังแข็งเล็กน้อย
อย่างที่คิด — ถึงเขาจะทำธุรกิจกับกองกองคาราวานที่โลก “ภายนอก” ถึงครั้งนี้จะเป็นโอกาสทางธุรกิจที่ดีขนาดไหน เขาก็คงรู้สึกถึงความแตกต่างในการเสี่ยงชีวิตของเขาอยู่ดี
ถ้ำอันมืดมิดตั้งอยู่เบื้องหน้าของพวกเรา ดวงอาทิตย์นั้นอยู่ที่อีกด้านของหน้าผา ดังนั้นจึงไม่มีแสงใดๆเลย พวกเราเคลื่อนตัวไปข้างหน้าพร้อมกับตะเกียงเวทมนตร์ที่ห้อยอยู่ด้านหน้าเนโกะจัง และน็อนซังที่ถือตะเกียงเวทมนตร์อยู่เช่นกัน
ถ้ำนั้นกว้างมาก ถึงขนาดที่ถ้ามีใครสักคนเดินผ่านออกมาจากด้านใน พวกเราก็สามารถเดินผ่านกันได้โดยไม่มีปัญหาอะไรเลย–ถึงจะไม่มีสัญญาณของอะไรแบบนั้นเลยก็เุถอะ
「นี้สินะเขาวงกต」
หลังจากที่เดินมาได้ไม่กี่วินาที แสงสลัวๆก็ปรากฏขึ้นที่เบื้องหน้า
ทางเข้านั้นใหญ่ถึงขนาดต้องเงยหน้ามอง และมันก็ค่อนข้างถูกสร้างขึ้นโดยรสนิยมแย่ๆด้วย
มีครึ่งวงกลมโพล่ออกมาทั้งซ้ายและขวาสร้างแสงสว่างให้กับทางเข้า
พื้นผิวของกำแพงนั้นเรียบเนียนไม่มีรอยขรุขระใดๆ
และส่วนของทางเข้านั้น… เป็น “ใบหน้ามนุษย์” ขนาดยักษ์
ใบหน้าที่แกะสลักอย่างประณีตนั้นอ้าปากกว้าง บางทีคงหมายถึงให้เข้าไปทางนี้
ผมจะอธิบายใบหน้าของมันยังไงดี… มันดูเหมือนกับกำลังทรมานและหวาดกลัว
สื่งที่ไม่น่าอภิรมย์ก็คือน้ำที่ไหลออกมาจากมุมปาก ตามที่【World Ruler】บอก มันดูเหมือนจะเป็นน้ำใต้ดิน น้ำพวกนี้ถูกดึงมาตรงนี้อย่างตั้งใจ — เพื่อแสดงถึงกำลังน้ำลายไหลอย่างนั้นหรอ?
「ทุกทางเข่าของแต่ละเขาวงกตนั้นเป็นใบหน้า… ดูเหมือนที่นี่จะเป็นใบหน้าของเผ่ามนุษย์ ถ้าลองมองที่ตาของมันดีๆ มันเขียนว่า “ความหวาดกลัว (Fear)” ใช่ไหมละ? นั่นแหล่ะชื่อของเขาวงกตนี้ละ」มูเกะซังพูดในขณะที่พวกเรามองดูทางเข้าอย่างพูดไม่ออก
ส่วนนึงของนัยน์ตานั้นเขียนไว้ชัดเจนว่า “ความหวาดกลัว” นั่นหมายความว่าใบหน้าของมนุษย์นี้กำลังหวาดกลัวงั้นหรอ?
「…พวกนายจะเอายังไงละ? ถ้าพวกนายอยากจะกลับละก็–」
「ไปต่อกันเถอะ」ดันเต้ซังตัดสินใจอย่างรวดเร็ว「ก็มีพวกทีมยึดครองอยู่ข้างในด้วยใช่ไหมละ? ถ้างั้นก็ไม่เห็นมีอะไรต้องกลัว」
ผมเองก็คิดเหมือนกัน
ดันเต้ซังเดินนำ และผมก็เป็นคนถัดไปโดยถือตะเกียงเวทมนตร์ของน็อนซังไปด้วย
เนโกะจังนั้นอยู่ท้ายขบวนตามพวกเรามาอย่างช้าๆพร้อมกับส่งเสียงออกมา พวกเราได้ย่างกรายเข้าไปในดันเจี้ยนที่เหมือนกับถูกใบหน้าของมนุษย์กลืนกินเข้าไป
========================================================
TL: คิดถึงกันไหมเอ๋ย 😀
บทที่ 3 ตอนที่ 5
มูเกะซังนั้นเป็นชาวเลฟที่ทำการค้าขายผ่านกองคาราวาน ต่อให้เป็นคนจากภายนอกจักรวรรดิก็ตาม เขาก็ยังแนะนำเราว่า–
「ผู้คนชาวเลฟนั้นได้รับอนุญาตให้เข้าไปในเขาวงกตที่แผนกยึดครองพวกนั้นเข้าไปได้นะ พวกนายอยากจะเข้าร่วมกับข้าไหมละ?」
มูเกะซังอาจจะได้อุปกรณ์เวทมนตร์บางอย่างที่หน่วยยึดครองพลาดไปก็ได้ และพวกเรา – ตรงๆเลยก็คือผม อาจจะสามารถพบกับลูลูช่าซังได้ก็ได้
ในแง่หนึ่ง การยึกครองเขาวงกตนั้นเป็นอะไรที่ค่อนข้างอันตรายมาก ดังนั้นไม่มีใครรู้ได้เลยว่าลูลูช่าซังจะมีชีวิตรอดกลับมาหรือไม่ ถ้าผมพลาดโอกาสนี้ไปละก็ ผมจะต้องเสียใจแน่ๆ ดันเต้ซังกับคนอื่นๆเองก็พยักหน้าเห็นด้วย
「ได้โปรดให้พวกเราร่วมด้วยครับ」ผมพูด
หลังจากนั้น มูเกะซังก็ไปยังเขาวงกตเพื่อยื่นเอกสาร ดังนั้นพวกเราจึงตัดสินใจเก็บรวบรวมข้อมูลภายในจักรวรรดินี้จนกว่าจะได้รับอนุมัติ ก็ตั้งแต่แรกแล้ว ผมไม่รู้เลยนี้นาว่าเขาวงกตพวกนั้นมันเป็นยังไง
ในจักรวรรดิเองก็มีกิลด์นักผจญภัยสำหรับชาวเลฟอยู่ด้วยเช่นกัน มูเกะซังบอกว่าจะสามารถหาข้อมูลได้จากที่นั่น
「เอาละ งั้นเจอกันอีกทีตอนกลางคืนนะ~」
ดูเหมือนจะมีที่พักอำนวยความสะดวกอยู่น้อยนิดเพราะไม่ค่อยมีคนนอกได้เข้ามาในจักรวรรดิสักเท่าไหร่ ดังนั้น พวกเราจึงอาศัยอยู่ในโกดังในตอนกลางคืน
ประชากรในจักรวรรดิน่าจะมีมากกว่า 100,000 คน… แต่ การที่ปลีกวิเวกทั้งประเทศออกจากภายนอกได้ขนาดนี้นับว่าสุดยอดไปเลย
พวกเราไปยังกิลด์นักผจญภัยกันเป็นที่แรก มีเพียงแค่แผนกต้อนรับอยู่ที่ชั้นแรกเท่านั้น – ไม่เห็นกระดานคำร้องอยู่ที่ไหนเลย ด้วยการที่จำนวนนักผจญภัยชาวเลฟนั้นมีน้อย แถมดูเหมือนคำร้องทั้งหมดจะส่งผ่านทางประเทศ ก็เลยดูเหมือนว่าสำนักงานนี้จะใช่แค่ติดต่อกับกิลด์นอกประเทศเท่านั้น
เขาวงกตเองก็เป็นทรัพย์สินของประเทศ ไม่ใช่สำหรับให้พวกนักผจญภัยเข้าไป
「โอ้… พวกคุณเองก็จะเข้าร่วมการยึดครองดันเจี้ยนครั้งใหญ่ด้วยงั้นหรือคะ?」
พนักงานหญิงที่ประจำแผนกต้อนรับ—ที่ผมคิดว่าเธอเป็นผู้หญิงก็เพราะขนตาของเธอนั้นบางยาว—ตอบกลับมาในตอนที่พวกเราถามข้อมูล
「มีบริษัทหลายรายลงชื่อเข้าร่วมค่ะ พวกนักผจญภัยที่มาร่วมตัวที่ “ด้านนอก” เองก็ถูกเรียกตัวมาจากกิลด์สาขาของประเทศอื่นและถูกจ้างวานโดยบริษัทพวกนั้นตามลำดับค่ะ ชั้นคิดว่ามันก็น่าจะได้เวลาแล้วที่พวกเขาจะเริ่มเข้ามาภายในจักรวรรดิค่ะ」
「พอจะมีเอกสารเกี่ยวกับเขาวงกตไหม?」ดันเต้ซังถาม
「แต่ชั้นได้มอบเอกสารพวกนั้นให้กับบริษัทต่างๆไปแล้วนะคะ」พนักงานส่ายหัวของเธอ
「โทษที พอดีพวกเราถูกจ้างวานโดยคนรู้จักหน่ะ บริษัทนี้เองก็พึ่งจะลงชื่อเข้าร่วมวันนี้เอง」
「โอ๊ะ บริษัทโกโรโกโส—」
「อะไรนะ?」
「…อะแฮ่ม ไม่มีอะไรค่ะ ชั้นมีสำเนาอยู่ พวกคุณสามารถเอาไปได้ค่ะ」
พวกเราได้รับเอกสารมาอย่างราบรื่น บางทีคงเพราะดันเต้ซังกดดันพนักงานที่หลุดปากออกมา
แต่อะไรคือ “บริษัทโกโรโกโส” ละนั่น?
มันก็จริงที่มูเกาะซังใช้รถจักรไอน้ำที่ดูโกโรโกโส และยังไม่เห็นคันอื่นนอกจากเนโกะจังในเมืองนี้ แต่มันก็ไม่ได้สร้างปัญหาให้ใครนี้… ดันเต้ซังนั้นยิ้มอยู่ตลอด แต่พอเขาได้รับเอกสารจากพนักงานแล้ว เขาก็ส่งสายตาคมกลิบใส่จนพนักงานผงะร้อง “อิ๊ก!” ออกมา
พวกเราออกมาจากกิลด์แล้ว แต่ก็ยังได้ยินเกี่ยวกับ “บริษัทโกโรโกโส” จากรอบๆอยู่เลย
ขณะที่ทานข้าวกันอยู่ พวกเราก็ถูกถามว่า “พวกนายมาจากไหนกัน? พักอยู่กับใคร?” จากทางโรงอาหาร และเป็นที่รู้กันว่ามูเกะซังจ้างวานพวกเราเพียงแค่เดินในเมืองตอยขามาเท่านั้น คำที่ปรากฏแต่ละครั้งก็จะมี “บริษัทโกโรโกโส” ตลอด …ข่าวลือมันจะไม่แพร่เร็วไปหน่อยหรอ?
ให้ตายเหอะ… ในเวลาแบบนี้ผมรู้สึกไม่อยากจะมี【เสริมการได้ยิน】เลยจริงๆ
อนึ่ง อาหารของพวกเรานั้นเป็นเห็ดที่มีกลิ่นเครื่องเทศแรงๆ
「ที่นี่คือร้านอุปกรณ์เวทมนตร์งั้นหรอ?」
เนื่องจากซิวเวอร์บาลานซ์เคยมาที่จักรวรรดิแล้วครั้งหนึ่ง พวกเขาเลยพาผมมาที่ร้านที่มีหุ่นเหมือนกับหุ่นลองเสื้อวางเอาไว้หลังกระจกโชว์และสวมเกราะเอาไว้ มีทั้งเกราะทองพร้อมหนาม, เกราะทรงกลมแบบแอโรไดนามิก, และไอเทมยูนีคอื่นๆที่ผมไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อน
เนื่องจากเป็นครั้งแรกของผมกับเซอรี่ซัง พวกเราจึงมองไปมองมารอบๆ
「ยินดีต้อนรับ–」
เจ้าของร้านร่างกายกำยำสวมแว่นขอบดำที่ดูจะกำลังอ่านหนังสือพิมพ์อยู่ ได้วางแว่นลงแล้วลุกขึ้นในตอนที่พวกเราเข้ามา
(ประเทศนี้มีเทคโนโลยีการพิมพ์ด้วย…)
หนังสือพิมพ์นั้นเป็นแบบเดียวกับเอกสารที่พวกเราได้รับมาก่อนหน้านี้ ทั้งคู่ถูกพิมพ์โดยเครื่องจักร มีอุปกรณ์เวทมนตร์แบบนั้นถูกพบอยู่ในเขาวงกตด้วยงั้นหรอ?
「พวกนายเคยมาที่นี่มาก่อนสินะ?」
「โอ๊ะ จำพวกเราได้ด้วย」
「ฮ่ะห์ ไม่ค่อยมีคนอื่นนอกจากชาวเลฟอยู่แถวนี้แล้วนี้ ข้าเองก็มีสมองมากพอจะแยกออกนะ」
「ฟังดูถากถางจังนะที่บอกว่าชาวเลฟเองก็มีสมองเนี้ย พวกนายอาจถือได้ว่าเป็นที่สุดในโลกแล้วถ้าเป็นเรื่องอุปกรณ์เวทมนตร์นะ」ดันเต้ซังตอบกลับด้วยน้ำเสียงสบายๆ
เจ้าของร้านดูจะเป็นคนดีนะ พวกเราเองก็มองดูอาวุธที่แสดงอยู่ในร้านพลางๆ
การตกแต่งภายในร้านที่ใช้ตะเกียงเวทมนตร์ค่อนข้างเยอะนั้นสว่างไสวและสะอาดสะอ้าน อาวุธที่วางเอาไว้บนชั้นวางเหล็กนั้นไม่ใช่ดาบหรือขวานแต่อย่างใด—เป็นอุปกรณ์ประหลาดๆเต็มไปหมด
กงเล็บที่ติดอยู่บนถุงมือนั้นมีสปริงติดอยู่ดูจะสามารถดีดกงเล็บออกไปได้ แถมยังมีกระบองขนาดใหญ่ที่มีรูหลายอันที่ตรงปลาย – ซึ่งอัดแน่นไปด้วยอุปกรณ์เวทมนตร์ที่สามารถสร้างเปลวไฟได้
แล้วก็ที่เหลือคือ… ไอเทมขยะ? กองชิ้นส่วนโลหะมากมายที่ไม่รู้เอาไปทำอะไรถูกวางกองรวมกันในกล่องไม้
「สนใจงั้นหรอ เจ้าหนู?」
เจ้าของร้านพูดกับผมขณะที่ผมตรวจสอบไอเทมพวกนั้นอย่างกระตือรือร้น
「ของพวกนั้นไม่ใช่อะไรที่เจ้าจะหาได้จาก “ภายนอก” ใช่ไหมละ? ชิ้นส่วนพวกนี้และทั้ง ‘อาวุธ’ กับ ‘ชุดเกราะ’ เป็นของแหกคอกหน่ะ พวกมันไม่ได้รับผลจากหินสกิล」
หินสกิลนั้นบันดาลให้มนุษย์สามารถใช้พลังพิเศษได้ ทว่ากลับกัน พวกเขาจะไม่ได้รับผลอะไรนอกเหลือจากพลังนั้น การมี【ทักษะหอก】ไม่ได้ส่งผลอะไรกับการเหวี่ยงกระบองเลย
「-งั้นหรือครับ เพราะชาวเลฟไม่สามารถใช้หินสกิลได้สินะครับ」
「ใช่ ดังนั้นพวกเราเลยพึ่งพาอุปกรณ์เวทมนตร์ไงหล่ะ ในทางกลับกัน พวกเราก็มีอิสระในการสร้างสรรค์อาวุธและชุดเกราะ เจ้าอาวุธติดสปริงนี้เป็นอันที่เรียบง่ายที่สุดเลยหล่ะ ดูเหมือนสกิลเองก็จะตอบสนองอยู่แต่เป็นไปตามอาวุธ ถึงข้าจะไม่ค่อยคุ้นเคยกับเรื่องนี้เท่าไหร่ก็เถอะ ไอเทมพวกนี้ก็เลยถูกเรียกว่า “สตีลเกียร์ (Steel Gear)” ไงหล่ะ」เจ้าของร้านอธิบาย
ของอย่างต่อไปที่เจ้าของร้ายหยิบขึ้นมาก็คือโล่ที่ส่องแสงอ่อนๆ
「เจ้านี้ถูกร่ายเวทมนตร์เอาไว้หลายชั้น เมื่อถูกโจมตี มันจะสร้างแรงสะท้อนกลับออกมา ดังนั้นสกิลเลยไม่นับว่ามันเป็น “โล่” มันจึงถูกเรียกว่า “เมจิคเกียร์ (Magic Gear)”」
เจ้าของร้านวางโล่กลับลงไป ก่อนจะตบมือของเขา
「และก็อีกอย่างนึง… มันไม่มีอยู่ที่นี่ แต่มันก็มีอุปกรณ์บางอย่างที่พบใน “เขาวงกตแห่งอารมณ์ทั้ง 9” ที่ใช้เป็นแบบอ้างอิงสำหรับอุปกรณ์เวทมนตร์ประเภทอื่นๆอยู่ ของพวกนั้นหลายอันเป็นไปไม่ได้ที่จะตรวจสอบก็จริง แต่สำหรับพวกเราช่างทำอุปกรณ์เวทมนตร์แล้ว มันเป็นเมล็ดแห่งความสร้างสรรค์เลยหล่ะ ของพวกนั้นถูกเรียกว่า “ฮีโรอิคเกียร์ (Heroic Gear)”」
「ฮีโรอิคเกียร์…」
「ถ้าเจ้าเจอของแบบนั้นละก็ มันค่อนข้างจะเป็นเรื่องใหญ่เลยละ มันอาจจะนำไปสู่สิ่งประดิษฐ์ใหม่ๆก็ได้ ดังนั้นฝ่าบาทจักรพรรดิจะซื้อมันโดยตรงจากเจ้าเลยหล่ะ ถ้าเจ้าหวังละก็ เจ้าจะสามารถครอบครองเรือเหาะเวทมนตร์ส่วนตัวได้เลยนะ」
เจ้าของร้านพูดแบบนั้นแล้วยิ้มให้กับผม
「…แต่เขาวงกตแห่งอารมณ์ทั้ง 9 ไม่ได้ใจดีขนาดนั้นหรอกนะ มีทีมยึดครองมากมายที่หวังโชคลาภต่างพากันมุ่งตรงเข้าไปนักต่อนักแล้ว และผลสุดท้ายก็มีศพมากมายหลายพันหลับไหลอยู่ภายในเขาวงกต」
มันเป็นรอยยิ้มที่ดุร้าย
เมื่อพวกเรากลับไปยังบริษัทของมูเกะซังในตอนบ่าย มูเกะซังก็ต้อนรับพวกเราด้วยรอยยิ้ม ปรากฏว่าเอกสารผ่านอย่างราบริ่นไม่มีสะดุดเลย และเป็นอันตกลงแล้วว่าพวกเราจะสามารถเข้าไปในเขาวงกตได้ตั้งแต่วันพรุ่งนี้เป็นต้นไป
「…คือ เมื่อพวกเราเข้าไปข้างในในวันพรุ่งนี้แล้ว ข้าคิดว่าพวกเพื่อนๆของข้าน่าจะอยู่ข้างในกันแล้วแน่ๆ พวกเขาอาจจะพูดเรื่องที่อาจจะทำให้พวกนายรู้สึกไม่ดีนิดหน่อย ดังนั้น…」
「ไม่เป็นไรหรอก พวกเราเป็นนักผจญภัยและนายเองก็เป็นผู้ว่าจ้าง ดังนั้น–」
「บริษัทโกโรโกโส…」
เมื่อผมพูดแบบนั้น ทั้งมูเกะซังกับดันเต้ซังต่างก็ตกใจออกมา
「เรย์จิ!」
「มะ-ไม่เป็นไร มันเป็นเรื่องจริงนี้นา…」
「ไม่ครับ มูเกะซัง มาเปลี่ยน “เรื่องจริง” นั้นให้เป็น “เรื่องไม่จริง” กันเถอะครับ」
ผมพลิกหน้าเอกสารที่พวกเราได้รับมาจากกิลด์นักผจญภัย
「เรย์จิ? เป็นอะไรไปหน่ะ? นายทำตัวแปลกไปนะ」
「ดันเต้ซัง, มิมิโนะซัง, น็อนซัง ผมติดหนี้มูเกะซังอยู่ครับ เขาอยู่กับเรามาตลอดการเดินทางจนถึงที่นี่ และแถมยังช่วยผมเรื่องของลูลูช่าซังด้วย ดังนั้นผมจึงอยากจะตอบแทนเขาครับ」
「เป็นงั้นเองหรอกหรอ」ดันเต้ซังยิ้ม มิมิโนะซังกับน็อนซังเองก็พยักหน้า
「ดังนั้น ทำไมเราไม่มาตั้งเป้าหมายในการสำรวจเขาวงกตครั้งนี้… เป็นการหาของที่มีค่าเทียบเท่ากับ “ฮีโรอิคเกียร์” เพื่อมูเกาะซังกันละครับ」
「เออออออ๋!? ปะ-เป็นไปไม่ได้หรอก!」
มีมูเกะซังคนเดียวเท่านั้นที่คัดค้าน ทว่า–
「ไม่เป็นไรหรอก ข้าเองก็หงุดหงิดที่ได้ยินเรื่องเสียๆหายๆของมูเกะซังเช่นกัน」ดันเต้ซังเสริม
「ใช่แล้วละ พวกเราเป็นนักผจญภัยนี้นา พวกเราต้องฝันสูงเอาไว้ก่อนสิ」มิมิโนะซังพูด
「ถ้าคุณได้รางวัลใหญ่ละก็ คุณจะสร้างโบสถ์ในจักรวรรดิให้ได้ไหมคะ?」น็อนซังถาม
「หนุ่มน้อย แล้วเค้าล้าาา?!」
คนสุดท้ายดูจะไม่พอใจที่ผมไม่ได้เรียกชื่อเธอ ทว่าคนอื่นๆนั้นดูจะเห็นด้วย
「มูเกะซัง พวกเรากำลังจะไปสำรวจเขาวงกตกันนะครับ ดังนั้นสนุกไปกับมันกันเถอะครับ」
เมื่อผมยิ้มให้กับมูเกะซัง จังหวะนั้น เขาก็มีสีหน้าเหมือนกับเขารู้สีกเสียใจที่ว่าจ้างพวกเรายังไงยังงั้น
ส่วนแบ่งของที่ได้นั้น 50% จะเป็นของมูเกะซังที่เป็นผู้ว่าจ้างและคนที่ทำให้เราได้มีโอกาสเข้าไปในเขาวงกต และอีก 50% เป็นของพวกเรา ซิวเวอร์บาลานซ์
========================================================
TL: งานมหาลัยเต็มมือเลยหง่ะ T T
บทที่ 3 ตอนที่ 4
「…การเคลื่อนไหวตามใจในจักรวรรดินั้นถือเป็นข้อห้ามครับ โปรดสวมกำไลนี้และห้ามถอดมันเด็ดขาด แล้วก็โปรดคืนมันหลังจากออกมาจากจักรวรรดิด้วยเช่นกันครับ ถ้าคุณออกไปโดยไม่ถอดละก็ มันจะส่งเสียงแจ้งเตือนดังมากๆ แถมกำไลนี้จะยืมข้อมูลจากกิลด์การ์ดและจะลบเองเมื่อคุณคืนมันแล้วด้วยครับ」
กำไลที่ได้รับมาจากชาวเลฟนั้นมีบานพับอยู่ที่ด้านหนึ่ง และมันเปิดไม่ได้ถ้าไม่ใช้กุญแจ
ถึงมันจะดูเหมือนกำไลทั่วไปก็จริง แต่【World Ruler】ระบุว่ามันมีเวทมนตร์ฝังอยู่ตรงด้านที่สัมผัสกับแขน
(มันเหมือนกับระบบ GPS และยังบันทึกอารมณ์กับการตอบสนองของผู้สวมใส่ด้วยงั้นหรอ?)
ถ้าจะให้เทียบก็คงเป็นสมาร์ทวอทช์ แต่ระบบบางอย่างนั้นสูงกว่ามาก
มันสุดยอดไปเลยที่พวกเขาสร้างอะไรอย่างนี้ขึ้นมาได้
(แต่มันก็รู้สึกไม่สบายใจเท่าไหร่ที่ข้อมูลของผมถูกบันทึกเอาไว้)
ผมพันแขนของผมด้วยผ้าพันแผลแล้วสวมกำไลทับ
「เอาละ เชิญทางนี้」
ผู้อาวุโสชาวเลฟที่ดูเหมือนกับนักวิชาการมากกว่าจะเป็นเจ้าหน้าที่กิลด์นักผจญภัยนั้นสวมผ้าคลุมสีน้ำเงินเข้ม หนวดเคลาสีขาวล้วนยาวไปถึงคางบ่งบอกถึงอายุของเขา บางทีละนะ—เอาตรงๆผมรู้สึกทึ่งกับหนวดนั้นมากเลย
พวกเรายืนอยู่ข้างหน้ากำแพงสูงตะหง่าน มันมีประตูเหล็กอยู่ตรงนั้น และเหนือขึ้นไปก็มีชาวเลฟประมาณ 5 คนเฝ้ายามอยู่ แล้วอุโมงค์ที่กว้างพอจะให้รถม้าผ่านได้ก็ได้เปิดออก
พวกเราซิวเวอร์บาลานซ์ได้ผ่านเข้าไปข้างในพร้อมกับระวังพวกยาม
ความยาวของอุโมงค์นั้นประมาณ 50 เมตรพร้อมกับตะเกียงเวทมนตร์ที่จุดเว้นระยะห่างกัน 5 เมตร
(มีลมอยู่ด้วย…)
สายลมแห้งๆพัดผ่านมาจากอีกฝาก
แสงที่สุดปลายอุโมงค์นั้นจ้ามากจนผมต้องขยี้ตาตัวเองเลย
「ยินดีต้อนรับสู่จักรวรรดิเวทมนตร์เลฟ」
พนักงานกิลด์พูดในขณะที่เขาหันมาทางพวกเราที่ทางออก
ผมเกือบจะส่งเสียงด้วยความตื่นตะลึงเลย
หน้าผาสีแดงน้ำตาลทอดยาวไปทั้งซ้ายและขวา ยาวไปจนถึงอีกฝากนึงเลย
พื้นที่ที่ถูกล้อมรอบด้วยหน้าผานั้นคือจักรวรรดิเวทมนตร์เลฟ
มีเรือเหาะเวทมนตร์บินอยู่บนฟ้ามากมาย ทว่าดูเหมือนมันจะไว้สำหรับขนของมากกว่าจะใช้ขนคน
อาคารเกือบทั้งหมดนั้นสูง 5 ชั้นขึ้นไป บางทีคงเพราะผสมและเสริมด้วยดินจากหน้าผา อาคารทั้งหมดจึงมีสีแดงเข้ม
กระจกหน้าต่างที่หาได้ยากในประเทศอื่นจนใช้แค่ตกแต่งสวยงามนั้นเป็นเรื่องปกติของที่นี่ แถมยังใช้อย่างกว้างขวางเพื่อสะท้อนแสงอาทิตย์ด้วย
และ… ที่เคลื่อนที่ไปมาอยู่บนพื้นนั้นไม่ใช่รถม้า แต่เป็นรถ
「ไม่ได้ใช้เคลื่องจักรไอน้ำ… แต่เคลื่อนที่ด้วยเวทมนตร์งั้นหรอ…」
「โฮ่ เจ้าค่อนข้างมีความรู้เลยนะ ยานพาหนะ 6 ล้อที่คับเคลื่อนด้วย “เครื่องยนตร์มากิ(Magi Engine)” นั้นได้กลายเป็นการขนส่งหลักของจักรวรรดิไปแล้ว เอาละตอนนี้ ดูเหมือนคนที่จะมารับพวกเจ้าได้มาถึงแล้วนะ」
เจ้าหน้าที่กิลด์ที่ดูเหมือนกับนักวิชาการได้ชี้ไปยังมูเกะซังที่ขี่เนโกะจังมาพร้อมกับโบกมือ “เห้〜!” มาทางนี้
…หืมมม ชาวเลฟคนอื่นขมวดคิ้วเมื่อพวกเขามองไปที่เนโกะจัง ก็มันไม่มีรถจักรไอน้ำคันอื่นวิ่งอยู่เลยนี่นะ—โอ๊ะ เนโกะจังดูจะอารมณ์ไม่ดีนะ เคลื่องยนตร์ดับไปแล้วหน่ะ
「…เอาละถ้างั้น พยายามอย่าสร้างปัญหาละ」
เจ้าหน้าที่กิลด์คนนั้นรีบหันหลังแล้วกลับไปยังอุโมงค์
แล้วพวกเราก็ได้เข้าไปหามูเกะซัง
**
「โอ๊ะ ขอบคุณมาก ดันเต้ซังนี้แข็งแกร่งจริงๆเลย」
หลังจากนั้น ดันเต้ซังก็ได้ดันเนโกะจังมาตลอดทางเพราะเธอดับสนิท สายตาดูถูกจากผู้คนรอบข้างเองก็รู้สึกเจ็บปวดเหลือเกิน ทว่ายังไงก็ตาม พวกเราก็ได้มาถึงร้านของมูเกะซังแล้ว
ร้านของเขาที่ตั้งอยู่นอกเมืองนั้นมีโกดังสีดำขนาดใหญ่อยู่ เป็นที่ที่ใช้เก็บเนโกะจัง, ถ่านหิน, และสินค้า ที่ที่ห่างไกลจากเมืองขนาดนี้นั้นไม่มีทั้งพื้นที่ปูด้วยหิน ต้นไม้ใบหญ้ากระจายอยู่ทั่วไปหมด และหน้าผาที่ล้อมจักรวรรดิอยู่นั้นก็สามารถเห็นได้จากใกล้
(ที่ตรงนั้นมัน… พวกเขาทำรูที่หน้าผา)
ปั้นจั่นถูกติดตั้งเอาไว้ที่หน้าผา และผมก็เห็นสัมภาระกับผู้คนขึ้นลงด้วยมัน ภาพแบบนั้นเห็นได้ทั่วไปตามหน้าผา และมันก็ยังมีรูอยู่ตามผาด้วย อดสงสัยไม่ได้เลยว่ามันจะมีอะไรอยู่ในนั้นหรือเปล่า
เป็นห้องเก็บของงั้นหรอ? หรือว่าไซโล? พวกเขาใช้หน้าผาเพราะพื้นที่มีจำกัดละมั้ง ไม่สิ ถ้าเปป็นกรณีนั้นละก็ พวกเขาก็น่าจะแค่ขุดลงไปเอาก็ได้
「เอาละ มูเกะซัง ทำไมคุณถึงว่าจ้างพวกเราในครั้งนี้ละ?」
มีโต๊ะเก่าๆอยู่ในโกดังด้วย และพวกเราก็นั่งอยู่บนเก้าอี้เล็กๆรอบๆมัน มูเกาะซังก็ได้นำเหยือกที่มีน้ำกับน้ำแข็งเข้ามา—มีไอเย็นเกาะอยู่ตามผิวของเหยือกเหล็ก ดันเต้ซังรินน้ำจากเหยือกลงไปในแก้วเหล็กแล้วดื่มมันเข้าไป 3 แก้วในทันที
「…ข้าขายกิก้าโบว์ไปแล้ว แต่กลับขายได้ราคาดีกว่าที่คิดเอาไว้หน่ะสิ」
「…? ก็ดีไม่ใช่รึ?」
「ใช่ ดีจริงๆ–โอ๊ะ ข้าไม่ได้จะพยายามกดราคาที่เคยคุยกันไว้หรอกนะ โอเคไหม้ ดันเต้ซัง?」
「ข้ารู้」
ดันเต้ซังหัวเราะให้กับมูเกะซังที่หาเหตุผลเข้าข้างการกระทำของเขาอยู่ จากนั้นมูเกะซังก็ดื่มน้ำเย็นให้ชุ่มคอก่อนจะพูดต่อ – ชาวเลฟดูจะควบคุมอุณหภูมิร่างกายได้ไม่ดีเท่าสัตว์เลื้อยคลาน ดังนั้นดูเหมือนว่าการดื่มน้ำจะเป็นสิ่งจำเป็น
「มีเหตุการณ์ใหญ่เกิดขึ้นระหว่างที่พวกเราเดินทางกันหน่ะ」
「เหตุการณ์งั้นหรอ?」
「ใช่ อาวุธทางยุทธศาสตร์ของจักรวรรดิ เรือเหาะเวทมนตร์ “Queen of the Night (ราชินีแห่งค่ำคืน)” ถูกขโมยไปหน่ะสิ」
「โอ๊ะ…?」
ดันเต้ซังมองมาที่พวกเราพร้อมกับเลิกคิ้ว ทว่าผมเองก็ยังจนปัญญาที่จะตอบเลย นี้มูเกะซังจ่ายค่าธรรมเนียมกิลด์เพื่อเรียกพวกเรามาคุยเรื่องนี้งั้นหรอ?
「ขนาดในหมู่เรือเหาะเวทมนตร์ด้วยกันเอง Queen of the Night นั้นใช้เทคโนโลยีรุ่นล่าสุดเลยนะ ตัวเรือสีเงินงดงามจนถึงขั้นที่ดื่มเหล้าพร้อมกับชมตัวเรือไปด้วยกลายเป็นเทรนด์เลยด้วย โดยเฉพาะการบินยามค่ำคืนที่ตัวพิสูจน์ความสำเร็จเลย」
「แล้วนายกำลังบอกว่าไอ้ของแบบนั้นถูกขโมยไปได้งั้นสินะ แล้ว พวกเราจะเข้าประเด็นกันได้รึยัง?」
「…คนที่ขโมยมันไปดูจะเป็นกลุ่มโจร แต่ช่างเรื่องนั้นไปก่อน ฝ่าบาทจักรพรรดิหน่ะโกรธเป็นฟืนเป็นไฟเลยละ… และเขาก็ออกคำสั่งลงมา」
—ให้สร้างเรือเหาะลำใหม่ด้วยเทคโนโลยีที่เหนือล้ำกว่า “Queen of the Night”
「รู้หรือเปล่าว่าไอ้การพัฒนาเทคโนโลยีของจักรวรรดินั้นเอามาจากเขาวงกตทั้ง 9 หน่ะ?」
「เขาวงกต?」
ดันเต้ซังดูจะไม่เคยได้ยิน
มูเกะซังอธิบายว่าเทคโนโลยีเวทมนตร์ที่ใช้ในจักรวรรดินั้นถูกวิจัยโดยการเลียนแบบและวิเคราะห์ไอเทมเวทมนตร์ที่พบในเขาวงกต และเขาวงกตนั้นมีทั้งหมด 9 แห่ง
เขาวงกตแห่งความรัก (Labyrinth of Love) ○ ยึดครองเรียบร้อยแล้ว
เขาวงกตแห่งความเกลียดชัง (Labyrinth of Hatred) △ กำลังทำการยึดครอง
เขาวงกตแห่งความนับถือ (Labyrinth of Worship) ○ ยึดครองเรียบร้อยแล้ว
เขาวงกตแห่งความเศร้าโศก (Labyrinth of Grief) ○ ยึดครองเรียบร้อยแล้ว
เขาวงกตแห่งความโกรธเกรี้ยว (Labyrinth of Wrath) x ถล่มลงมา
เขาวงกตแห่งความบ้าคลั่ง (Labyrinth of Madness) △ กำลังทำการยึดครอง
เขาวงกตแห่งความโหยหา (Labyrinth of Craving) x ยังไม่ได้สำรวจ
เขาวงกตแห่งความเมตตา (Labyrinth of Sympathy) △ กำลังทำการยึดครอง
เขาวงกตแห่งความหวาดกลัว (Labyrinth of Fear) △ กำลังทำการยึดครอง
「เรียกรวมๆกันว่า “เขาวงกตแห่งอารมณ์ทั้ง 9” และปรากฏอยู่ในหน้าผาที่ล้อมรอบประเทศแห่งนี้—“ผาเลฟ”」
「อ่าห์… งั้นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมถึงมีรูอยู่บนหน้าผาสินะ?」
「ใช่แล้วละ รูพวกนั้นมีเพื่อยึดครองเขาวงกตหน่ะ ยังไงก็ตาม หลายๆรูก็ใช้เพื่อเพาะปลูกอาหารหลักของพวกเราอย่างเห็ดไมก้า(mica mushrooms) ด้วย」
ผมพึ่งได้รู้เป็นครั้งแรกว่าเห็ดนั้นเป็นอาหารหลักของชาวเลฟ
ดูเหมือนที่มันเป็นอาหารหลักจะเป็นเพราะแค่ว่ามันเก็บเกี่ยวได้ง่ายเท่านั้นเอง แต่มูเกาะซังมักจะเลือกขนมปังและเนื้อมากกว่า เขาบอกพวกเราแบบนั้น
「พวกเราตัดสินใจที่จะยึดเขาวงกตเกลียดชัง, บ้าคลั่ง, เมตตา, หวาดกลัวทั้ง 4 แห่งพร้อมๆกันแต่ความแข็งแกร่งของจักรวรรดิมีไม่พอ เพื่อทำแบบนั้น พวกเราจึงเกณฑ์เหล่านักผจญภัยจากภายนอกยังไงละ」
「จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมถึงมีพวกนักผจญภัยมารวมตัวกันที่ด้านนอกสินะ หา」ดันเต้ซังพูด และมูเกาะซังก็พยักหน้าตอบ
「ดูเหมือนว่าแต่ละเขาวงกตจะอยู่ในการดูแลของ “แผนกที่ 1” จนถึง “แผนกที่ 4” ของ “สำนักงานยึดครองเขาวงกต (Labyrinth Capture Bureau)” ตามลำดับ… และนั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไม เรย์จิซัง…」
「ครับ?」
「คนที่นายอยากจะพบชื่ออะไรนะ?」
「——」
ผมตกตะลึง
ลูกสาวของตาแก่ฮินกานั้นจากไปแล้ว และหลานสาวของเขาก็ไม่สามารถเข้าพบได้เพราะ “คำสั่งจากเจ้าหน้าที่”
ถ้า “คำสั่ง” นั้นเกี่ยวข้องกับกิจการสาธารณะละก็ มันก็สมเหตุสมผลที่พวกเขาจะไม่สามารถจัดการเข้าพบให้ได้
「ชื่อลูลูช่าซังครับ」
「คนๆนั้นเป็นครึ่งมนุษย์ครึ่งเลฟ… ใช่ไหม?」มูเกะซังพูด
「ครับ」
「อย่างที่คิดเลย」เขาพูดพร้อมกับพยักหน้าไปด้วย
「ข้าได้ยินมาว่าหัวหน้าของ “แผนกที่ 4 แห่งสำนักงานยึดครองเขาวงกต” นั้นเป็นครึ่งมนุษย์… นามว่าลูลูช่าซัง ตอนนี้คนๆนั้นอยู่ในเขาวงกตแห่งความหวาดกลัว」
========================================================
TL: สวัสดีวันสงกรานต์ย้อนหลังนะครับ ฮา
บทที่ 3 ตอนที่ 3
ทำการส่งคำร้องขอพบชาวเลฟที่อาศัยอยู่ในจักรวรรดิเสร็จแล้ว ผมเขียนชื่อของเอ็มม่าซังที่เป็นลูกสาวของตาแก่ฮินกาและหลานสาวของเขาลูลูช่าซังลงไป หลังจากนี้ พวกเขาจะติดต่อไปทางจักรวรรดิที่อยู่อีกฝั่ง แล้วถ้าลูลูช่าซังอยากจะพบ พวกเขาจะจัดวันเวลาเข้าพบให้ และถ้าเธอไม่ต้องการพบละก็ พวกเขาก็จะมาบอกเล่าแบบนั้น
ผลของคำร้องจะแปะเอาไว้บนกระดานข่าวในเวลา 7 โมงเช้า ดังนั้นผมจึงทำได้แค่รอเท่านั้น
ปรากฏว่าคนที่ประจำการตรงเคาน์เตอร์นั้นเป็นชาวเลฟ และดวงตาของพวกเขาที่อยู่หลังแว่นตานั้นจับจ้องมาที่ผมในขณะที่พยายามอ่านเนื้อหาคำร้องไปด้วย ถ้าคนนั้นคือชาวเลฟละก็ – บอกตามตรง ผมแยกชาวเลฟคนนึงจากอีกคนนึงไม่ได้เลย – ความประทับใจที่ได้จากพวกเขานั้นต่างจากมูเกะซังเล็กน้อย
พวกเราตั้งแคมป์กันที่ลานกว้างในคืนนั้น มีกองไฟขนานใหญ่ตั้งอยู่ตรงกลางลาน เหล่านักผจญภัยต่างมารวมตัวกันรอบๆมัน บ้างก็คลุมผ้าห่มแล้วหลับไป บ้างก็มากินเหล้ากัน มีโรงแรมเล็กๆอยู่ก็จริง แต่มันไม่สามารถรับคนจำนวนขนาดนี้ได้
ดันเต้ซังพูดถึงเรื่องของลีออนและกลุ่มโกลเด้นบริเกตส์พร้อมกับกินเนื้อตากแห้งที่ย่างไฟมาแล้ว
「อืม มันก็ไม่ใช่เรื่องที่แปลกอะไรหรอกนะ」
ชายหนุ่มที่เข้าเมืองมาเพราะไม่อาจทนใช้ชีวิตในชนบทต่อได้ หรือไม่ก็หวังรวยทางลัด อย่างไรก็ตาม ต่อให้เป็นในเมืองก็ตาม ยังไงก็ต้องแย่งกันทำงานอยู่ดี และพวกที่มั่นใจในฝีมือของตัวเองก็จะกลายมาเป็นนักผจญภัยนั่นเอง
ในกรณีของดันเต้ซังนั้น เขาสูญเสียภรรยาไปด้วยโรคภัยและทิ้งลูกสาวของเขา น็อนซังให้กับโบสถ์ดูแล แล้วเลือกมาเป็นนักผจญภัยเพื่อให้ได้เงินเร็ว
「ข้ามักจะป้องกันด้านหลังในขณะที่ลีออนกับพวกที่สู้ระยะประชิดสู้อยู่แนวหน้าเสมอ」
「ตอนนั้นปาร์ตี้ก็ใช้ชื่อว่า “โกลเด้นบริเกตส์” ด้วยหรอครับ?」ผมถามขึ้นด้วยความสงสัย
「ใช่… ลีออนนั้นเป็นหัวหน้า เขาอยากที่จะเป็นนักผจญภัยที่หาเงินได้เยอะๆ และอยู่ในบทกวีของนักกวีหลายๆคน จึงเป็นเหตุผลที่เขาตั้งชื่อว่า “โกลเด้นบริเกตส์” ไงละ เขาเป็นตัวตั้งตัวดีเลยละ」
「แค่ในหน้าตา ไม่ใช่ในทัศนคติ」มิมิโนะซังฮึดฮัด
พวกนั้นก็อาจจะอยู่ที่ในสักที่ในลานนี้ด้วยก็ได้ ทว่าอย่างน้อยก็ไม่เห็นพวกเขาจากที่ที่เราอยู่นี้ แถมผมเองก็ไม่ได้อยากจะไปหาพวกนั้นหรอก
「นั่นก็ไม่ใช่อะไรที่จะทำได้เพียงเพราะแค่ตั้งเป้าด้วย อีกอย่าง มันก็มีนักผจญภัยไม่กี่คนที่มีความสามารถมากพอจะเป็นวีรบุรุษด้วย คนอย่างเรย์จิคุงหน่ะมีอยู่ไม่เยอะหรอกนะ」มิมิโนะซังพูด
「…ห่ะ?」
ทำไมชื่อของผมถึงถูกยกขึ้นมาละ?
「มิมิโนะซัง พวกเราสัญญากันแล้วว่าจะไม่พูดเรื่องนั้นไม่ใช่หรอ?」
「อ่า จริงด้วย…」
「เรื่องอะไรกันหรอครับ น็อนซัง มิมิโนะซัง?」ผมถาม
ทว่ามิมิโนะซังก็เอาสองมือปิดปากตัวเองแล้วส่ายหน้า
「ฮ่าาห์… ข้าเป็นคนบอกให้ทั้งสองคนเก็บเงียบเอาไว้เองเพราะข้ารู้ว่ามันจะรบกวนนายยังไงละ เรย์จิ」
「ดันเต้ซัง พูดเรื่องอะไรหน่ะครับ?」
「จำตอนที่นายสู้กับงูยักษ์นั่นได้หรือเปล่าละ?」
「แน่นอนครับ」
ที่ผมสามารถเจอกับซิวเวอร์บาลานซ์ได้อีกครั้งก็เพราะเหตุการณ์นั้นเลย ไม่มีทางที่ผมจะลืมไปได้หรอก
「แล้วตอนที่นายจัดการมันได้ละ?」
ดันเต้ซังค้นกระเป๋าของเขาแล้วนำคอร์ของอูโรโบรอสออกมา – ในสภาพแยกออกเป็นสองซีก นี้เป็นส่วนเดียวที่พวกเราได้จากการกำจัดมัน ทว่ามันก็ได้สะสมมานาจำนวนมหาศาลเอาไว้ ดังนั้นบางทีมันคงสามารถเอาไปทำอะไรบางอย่างได้อยู่
「คุณหมายถึงตอนที่ผมปีนขึ้นไปบนหัวของมันแล้วฆ่ามันด้วยดาบสั้นของผมน่ะหรอครับ? ผมจำได้ครับ」
เพราะตอนนั้น ดาบสั้นของผมก็เลยพังเสียหายและขายมันให้กับช่างตีเหล็กในระหว่างการเดินทางไป อาวุธหลักของผมตอนนี้ก็คือมีดสั้นที่ผมได้จากเอิร์ลชายแดน (หรือก็คือเบอร์เซิร์กเกอร์คนนั้นแหล่ะ) ฝักมีดนั้นเด่นเกินไป ผมจึงพันมันเอาไว้ด้วยผ้าพันแผล
「ใช่แล้วละ ตอนนั้นนายมีแสงเปล่งประกายออกมาด้วย」ดันเต้ซังพูด
「มันเป็น【เวทย์แสง】ที่น็อนซังร่ายใส่ผมไม่ใช่หรอครับ?」
น็อนซังพยักหน้าตอบรับ ดูเหมือนมันจะมีผลใกล้เคียงกับเวทย์ซัพพอร์ตที่มีผลพิเศษกับสิ่งชั่วร้าย
「นั่นทำให้นายเด่นมากเกินไปหน่ะสิ… ราวกับว่าเป็น “วีรบุรุษผู้สังหารปีศาจ” ในเทพนิยายเลยละ」
「หา?」
「ตอนที่ข้าไปยังกิลด์นักผจญภัยในวันถัดมา ข้าได้พบกับนักกวีที่ดูเหมือนเขาจะเฝ้าดูเหตุการณ์มาตลอดจากที่ไกลๆ」
「นักกวีหรอครับ? ผมเริ่มจะรู้สึกไม่ดีแล้วสิครับ」
「เขากำลังกระตือรือร้นเรื่องที่อยากจะแต่งเพลงถึงวิธีที่นายจัดการกับอูโรโบรอสหน่ะสิ」
「…………」
ว่าไงนะครับ?
「มะ-ไม่ ข้าปฏิเสธไปแล้ว ข้าไม่ได้อยากเป็นนักผจญภัยเพราะอยากดังซะหน่อย แต่เขาก็ตื้อเหลือเกิน แถมบอกว่าเขาอยากจะบอกเมืองนี้ถึงเรื่องราวของวีรบุรุษที่ช่วยพวกเขาเอาไว้ แล้วเนื่องจากข้าเองก็ไม่ได้อยากให้มันมีเรื่องเกี่ยวกับข้าด้วย และก็เป็นนายเองที่เป็นคนปิดฉากมันไม่ใช่ใครอื่น ดังนั้น….」
「ว่าง่ายๆก็คือดันเต้ขายเธอโดยบอกข้อมูลให้กับนักกวีคนนั้นเพื่อที่เขาจะไม่ได้อยู่ในเพลงไงละ」
「ดันเต้ซัง!?」
「มิมิโนะ! เธอเองก็พูดว่าไม่อยากให้นักกวีร้องเพลงเกี่ยวกับเธอด้วยไม่ใช่หรอ!?」
「เรย์จิคุงก็รู้สึกแบบเดียวกันนี้ นักกวีคนนั้นก็ไม่ได้ถามอะไรชั้นด้วย ชั้นเลยไม่ได้บอกเขาอะไรทั้งนั้น」
「เธอเองก็อยู่กับข้าในตอนนั้นด้วยนี้!」
ทั้งสองคนทะเลาะกัน ทว่าผมอยากจะบิดตัวไปมาด้วยความอายเหลือเกิน ไม่สิ ผมบิดตัวไปมาแล้วต่างหาก ผมได้เอาสองมือปิดหน้าของตัวเอง มันจะน่าอายเกินไปแล้ว!
ถึงต่อให้ผมออกจากเมืองศักดิ์สิทธิ์แบบท่าทีแย่ๆก็เถอะ ผมก็ยังอยู่ในเนื้อเพลงที่ร้องในเมืองอยู่ดี! แบบนี้มันจะต้องไปถึงหูของเอิร์ลซิวลิซส์ด้วยแน่นอนเลยไม่ใช่หรอ!? ถ้าสักวันพวกเราพบกันอีกครั้ง เขาจะต้องลากผมให้ไปฟังมันแน่ๆ!
「วีรบุรุษผู้ปกป้องเมือง …ปุ๊ปุ๊ปุ๊ ปุ๊ปุ๊ปุ๊ปุ๊ปุ๊ปุ๊ปุ๊ปุ๊ปุ๊!」เซอรี่ซังเยาะเย้ยผม
「เซอรี่ซัง!?」
เมื่อผมเอามือลงจากหน้า มนุษย์สัตว์เผ่าแมวคนนั้นก็เข้ามาใกล้ๆหน้าของผมด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์
「…เซอรี่ซัง อย่าให้ผมเอาเรื่องที่คุณเป็น–」
จังหวะที่ผมกำลังจะพูดว่า “หนี้” นั้น มีเหรียญหลายเหรียญเปล่งประกายสะท้อนแสงจากกองไฟหล่นลงมาที่ท้องของผม
「หว่ะ- หวา…….」
「อุปุ๊ปุ๊ปุ๊ปุ๊ หนุ่มน้อย… คิดผิดแล้วที่คิดว่าจะทำอะไรเค้าก็ได้ในฐานะทาสหนี้ทั้งวันทั้งคืนหน่ะ」
「เจ้าแมวโง่นี้! ไปขโมยมาจากไหนเนี้ย?! เอาไปคืนเลยนะ!」
「—หาว่าเค้าขโมยมาเพียงแค่เอาเงินมาเนี้ยนะ!? ผิดแล้ว! เค้าชนะพนันมาต่างหาก!」
การพนันนั้นผิดกฏหมาย การพนันส่วนตัวในโลกนี้ก็ถือว่าผิดด้วยเช่นกัน
แล้วอะไรที่ว่า “ผมจะทำอะไรก็ได้ทั้งวันทั้งคืน” หน่ะ? มีนิสัยขี้โกหกหรือไง? ทำไมคุณแม่ชีถึงมองผมแบบนั้นละครับ? คุณก็รู้ว่ามันไม่จริงใช่ไหมละครับ? พวกเราก็อยู่ในกองคาราวานด้วยกันทุกคนทุกวันไม่ใช่หรอครับ?
「มีซ่องพนันของพวกนักผจญภัยอยู่ตรงนั้นหน่ะ แถมยังมีไอ้งี่เง่าชุดคลุมเหลืองผมสองสีอยู่ด้วย ดังนั้นเค้าก็เลยรีดเงินจากหมอนั้นมา」
「เซอรี่ซัง…」
ผมวางมือเอาไว้บนไหล่ของเซอรี่ซังแล้วเขย่าเธอ
「เอ๊ะ อะ-อ้า เค้าทำอะไรลงไปอีกแล้วงั้นหรอ!?」
「—ทำได้ดีมากเลยครับ」
เมื่อผมยกนิ้วโป้งให้ ทั้งดันเต้ซัง, มิมิโนะซัง, และน็อนซังต่างก็ยกนิ้วโป้งห้
อนึ่ง เซอรี่ซังเอามาแต่เหรียญเงิน ซึ่งจ่ายได้ไม่ถึงครึ่งนึงจากหนี้ทั้งหมดเลย
วันถัดมา—ผมตื่นขึ้นที่ลานกว้าง ใช้【สะดวกสบาย】สร้างน้ำแล้วล้างหน้าตัวเอง หลังจากนั้น ผมก็ทำอาหารกับมิมิโนะซัง ผมซื้อนมแพะจากร้านค้า และอบขนมปัง ถึงจะมีโรงแรมไม่เพียงพอ แต่อีกด้านของกำแพงก็เป็นจักรวรรดิแล้ว ดังนั้นมันจึงมีร้านค้าอยู่มากมายเลย
หลังจากที่ทานเสร็จ ผมก็ไปยังๆที่ที่ผมส่งคำร้องเข้าพบเอาไว้คนเดียว
「…เอ๊ะ?」
ผลลัพธ์ของคำร้องของผมถูกประกาศเอาไว้
『คุณเอ็มม่าได้จากไปแล้ว การเข้าพบเป็นไปไม่ได้ คุณลูลูช่า… ไม่สามารถเข้าพบได้เนื่องจากคำสั่งของเจ้าหน้าที่』
ผมนิ่งค้างไปสักพัก
ผมช็อคจากเรื่อง “จากไปแล้ว” ก็จริง แต่นั่นผมก็คิดแล้วว่ามันมีความเป็นไปได้
แต่ “คำสั่งของเจ้าหน้าที่” ละ?
นี้มันอะไรกัน…?
เมื่อผมถามเจ้าหน้าที่ที่สำนักงานส่งคำร้องเข้าพบเกี่ยวกับเรื่องนี้ พวกเขาก็บอกว่า “พวกเราก็ไม่รู้เช่นกัน เนื่องจากแผนกรับคำร้องกับแผนกดูงานนั้นแยกจากกัน” พวกเขาไม่รู้แม้กระทั่งว่าคำสั่งอันไหนที่ “คำสั่ง” นั้นหมายถึง
เจ้าหน้าที่ไม่ค่อยให้ความร่วมมือเท่าไหร่ แถมผมเองก็เริ่มหงุดหงิดแล้วด้วย ทว่าดูเหมือนผมจะไม่ได้อะไรไปมากกว่านี้แล้ว ดังนั้นผมจึงกลับไปที่ลานกว้างก่อนในตอนนี้
ดูเหมือนจะมีบางอย่างเกิดขึ้นในตอนที่ผมกลับไปถึง
「จริงๆแล้วมูเกะซังที่กลับมาจากจักรวรรดิมอบหมายคำร้องให้กับพวกเราหน่ะ เนื้อหาของคำร้องก็คือให้ช่วยรวบรวมวัตถุดิบจากภายในจักรวรรดิ… เอาไงดี พวกเราจะรับมันไว้ไหม?」ดันเต้ซังที่กลับมาจากกิลด์นักผจญภัยพูดขึ้น
ต่อให้ผมอยู่ที่นี่ คำร้องขอเข้าพบของผมก็ไม่มีทางอนุมัติหรอก ผมคิดที่จะแสดง “หินฟอสฟอรัส” ที่ต่าแก่ฮินกาทิ้งเอาไว้แล้วหรอก แต่มันก็ไม่สมเหตุสมผลที่จะแสดงมันให้กับแผนกรับคำร้อง
ในกรณีนั้น ผมอาจจะได้ข้อมูลอะไรบางอย่างถ้าพวกเราเข้าไปข้างในก็ได้
「ทำกันเถอะครับ」ผมพูดโดยไม่ต้องคิดเลย
========================================================
TL: ว้าว ครบ 100 ตอนแล้ว ขอบคุณที่ติดตามกันมานะครับ 😀
บทที่ 3 ตอนที่ 2
ความประทับใจแรกของผมก็คือมันเป็นที่ที่มืดมนมาก
หลังจากแยกกันกับมูเกะซังมา พวกเราที่เป็นคนต่างถิ่นนั้นก็ได้มาถึงยังสถานที่ที่ถูกล้อมเอาไว้ด้วยกำแพงสูงที่ต้องเงยหน้วมองถึงจะเห็นยอด—สถานที่ที่มีความกว้างประมาณโรงเรียน
มีลานกว้างอยู่ตรงกลาง และมีเพียงแค่อาคารประมาณ 10 หลังเท่านั้น แต่ละอาคารนั้นก็แค่อาคารขนาดเล็กกระทัดลัดชั้นเดียวทำจากหินเท่านั้นด้วย
ดูเหมือนที่นี่คงจะเป็นจุดที่คนต่างถิ่นสามารถเข้ามาได้ลึกที่สุดเท่าที่จะทำได้ภายในจักรวรรดิแล้ว
อย่างไรก็ตาม มันก็มีผู้คนอยู่ประมาณนึง แทบจะ 100 คนเลยมั้ง เกือบทั้งหมดนั้นติดอาวุธเหมือนกับพวกนักผจญภัย
…พวกเขาไม่ใช่ชาวเลฟ ดังนั้นพวกเขาจึงไม่สามารถเข้าไปข้างในได้ มันมีงานมากมายขนาดนั้นเลยหรอในที่แคบๆแบบนี้หน่ะ?
“งานส่งของให้กิลด์เสร็จเรียบร้อยแล้วหล่ะ”
ดังเต้ซังกลับมา
งานของพวกเราในครั้งนี้ก็คือการส่งจดหมายให้กับกิลด์นักผจญภัย – อาคารที่คน 10 คนเข้าไปก็เต็มแล้ว และดำเนินงานกันผ่านหน้าต่างอาคารกันเอา
「เอานี้ เรย์จิ」
ผมรับบัตรนักผจญภัยมาจากดันเต้ซัง มันเป็นอันที่ผมร้องขอเอาไว้ก่อนจะมายังที่นี่ — มาคิดๆดูแล้ว นี้เป็นบัตรยืนยันตัวตนอันแรกของผมในโลกนี้เลย
『กิลด์นักผจญภัย: สาขาเมืองอาซานยูแห่งราชอาณาจักรศักดิ์สิทธิ์ครูวาน เป็นผู้ออกบัตร
ชื่อ: เรย์จิ
ระดับ: บรอนซ์
ปาร์ตี้: ซิวเวอร์บาลานซ์
บัตรสมาชิกนี้ได้พิสูจน์ความผูกพันของบุคคลข้างต้นกับกิลด์นักผจญภัย นอกจากนี้ บุคคลข้างต้นจะได้รับอนุญาตให้ผ่านเข้าประเทศหรือดินแดนที่ลงทะเบียนได้โดยไม่การขัดข้องใดๆ』
ผมยังเป็นหน้าใหม่แรงค์บรอนซ์อยู่เลย ดันเต้ซังกับคนอื่นๆนั้นอยู่ในแรงค์เงิน — พวกเขาถูกลดขั้นเมื่อวันก่อน — ดังนั้นจะตามพวกเขาทันนั้นยังอีกยาวไกลเลย ทว่า ผมก็ยังดีใจที่มีชื่อปาร์ตี้เดียวกันกับทุกคนในใบรับรองของกิลด์
เสริมอีกอย่าง เซอรี่ซังเองก็เข้าร่วมปาร์ตี้ด้วยเหมือนกัน เธอนั้นอยู่แรงค์ไอรอนอยู่แล้ว ต่ำกว่าซิวเวอร์แรงค์เดียว และสูงกว่าผม 2 แรงค์ ผมยังไม่ลืมเรื่องที่เธอพูดกวนผมว่า “หนุ่มน้อย นับจากนี้ไปให้เรียกเค้าว่า ‘รุ่นพี่’ นะ โอเคร้〜?” อยู่เลย
เซอรี่ซังตอนนี่ไม่ได้อยู่แถวๆนี้ เธอออกไปเดินเล่นหลังจากที่เรามาถึงที่นี่แล้ว
「…บรรยากาศภายในนี้ค่อนข้างประหลาดนิดหน่อย」
「ประหลาดงั้นหรอ? เกิดอะไรขึ้น?」มิมิโนะซังถาม
「นั่นก็… อืม มาจัดการธุระของเรย์จิให้เสร็จกันก่อนดีกว่า」
ผมมีเป้าหมายที่จะพบกับลูลูช่าซังในจักรวรรดิ แผนกรับร้องเพื่อเข้าไปยังจักรวรรดินั้นตั้งอยู่ในอาคารอื่นที่เต็มไปด้วยผู้คน—มีแถวยาวประมาณ 10 คนต่อกันออกมานอกอาคาร พวกเขาไม่ใช่นักผจญภัย แต่เ็นคนอย่างพวกพ่อค้า
「ข้ารู้แล้วว่าทำไมพวกนักผจญภัยถึงมารวมตัวกันที่นี่แล้วละ… ดูเหมือนว่าพวกเขากำลังมองหานักผจญภัยให้เข้าไปในจักรวรรดิอยู่」
ดันเต้ซังพูดในขณะที่พวกเราเข้าไปต่อคิวท้ายแถว
「เอ๊ะ? เข้าไปงั้นหรอ?」
「ใช่ ข้าไม่ได้ถามอะไรเพิ่มเติมเพราะพวกเรามีเป้าหมายเป็นการเข้าพบของนาย เรย์จิ」ดันเต้ซังพูด
「พวกเราเคยเข้าไปในจักรวรรดิแล้วครั้งหนึ่ง แต่นั่นเป็นเพราะพวกเราโชคดีได้รับงานคล้ายๆกันมาจากกิลด์」มิมิโนะซังพูด
「ใช่แล้วละ คนอื่นรอบๆต่างดูค่อนข้างจะอิจฉากันเลย」น็อนซังเสริม
ซิวเวอร์บาลานซ์เคยมาที่นี่ก่อนหน้านี้ พวกเขาได้เข้าไปยังจักรวรรดิด้วยคำร้องของกิลด์ ดูเหมือนมันจะหาได้ยากมากๆที่จะสามารถเข้าไปในจักรวรรดิ แต่ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้
ทว่าดูจากจำนวนนักผจญภัยแล้ว มันก็คงจะไม่ปกติละนะ
「หืมมม รวบรวมผู้คนมาขนาดนี้… มีคำขอกวาดล้างขนาดใหญ่หรือเปล่าครับ?」
จังหวะที่ผมถามแบบนั้นออกไป
「ーนั่นนายเรอะ ดันเต้?」
อยู่ๆก็มีคนทักขึ้นมา
ดันเต้ซังหันหลังกลับไปมองอย่างประหลาดใจ ตรงนั้นมีกลุ่มเหมือนกับปาร์ตี้นักผจญภัย 7 คนอยู่
คนที่ส่งเสียงเรียกนั้นเป็นนักผจญภัยผมผมสีน้ำตาลแดงแสกหลัง ดูจะอายุประมาณ 20 ปลายๆ เขานั้นตัวสูงและสวมเกราะโลหะผสมหนังมอนสเตอร์อย่างง่ายๆ
เสื้อคลุมของเขานั้นเป็นของที่ดึงดูดสายตาที่สุด เสื้อคลุมสีเหลืองสดเหมือนของใหม่ และคนอื่นๆในปาร์ตี้เองก็สวมเสื้อคลุมแบบเดียวกันด้วย
「ลีออน…? (Leon)」
「ใช่แล้วละ! เฮ้ย คำสาปนายหายแล้วงั้นเรอะ? เอาจริงดิ? ทำได้ยังไงกันหน่ะ?」
ชายที่มีชื่อว่าลีออนมีสายตาที่เป็นมิตร… น้ำเสียงของเขาเองก็เป็นมิตร ทว่าวิธีที่เขาตบแขนซ้ายของดันเต้ซังอย่างเป็นสนิทสนมเกินไปดูจะเป็นของพวกหน้าไม่อายมากกว่า
ดันเต้ซังมีสีหน้าที่ซับซ้อน
「–โอ๊ะ ยัยเตี้ยตรงนั้นมัน… มิมิโนะนี้? ให้ตายสิ… ฮ่าๆๆ พวกนายยังคงไปไหนมาไหนด้วยกันอยู่เหรอเนี้ย หา… มิมิโนะ ชั้นยังไม่ลืมเรื่องที่เธอขโมยเงินจากปาร์ตี้เราไปนะ พวกฮาร์ฟลิงก็เป็นซะแบบนี้ละนะ」ลีออนพูดพร้อมกับเลิกคิ้วมองไปยังมิมิโนะซัง
เดี๋ยวก่อนนะ “ขโมย” งั้นหรอ? มิมิโนะซังไม่ทำอะไรอย่างนั้นหรอก
มิมิโนะซังมองกลับไปที่ลีออนด้วยเปลวไฟแห่งความโกรธแค้นในดวงตาของเธอ สีหน้าจริงจังแบบที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อนเลย
「ขโมย?!! ระวังปากของนายหน่อย! ถ้างั้น ชั้นเองก็พูดได้ว่าพวกนาย “ขโมย” อนาคตของดันเต้ไปได้เหมือนกัน!」
「ーมิมิโนะซัง ใจเย็นๆก่อนนะ」
น็อนซังเดินไปข้างหน้า ส่วนผมไปยืนอยู่ข้างๆมิมิโนะซัง
「ใช่แล้วละครับ มิมิโนะซัง ไม่เห็นต้องกังวลใจไปเลยครับ… แล้วก็ ถ้าผมต่อยหน้าไอ้คนหยาบคายนี้จะเป็นอะไรไหมครับ?」
「นี้เรย์จิคุง!? พูดอะไรออกมากันหน่ะ?」น็อนซังพูดอย่างกระสับกระส่าย
ชายที่ชื่อลีออนกระพิบตาด้วยความประหลาดใจ
「…คุ๊กคุ๊กคุ๊ อะฮ่าๆๆๆๆ! เป็นเด็กที่ตลกดีนะเนี้ย อะไรกันมิมิโนะ นี้เธอคุ้มกันเด็กบ้าหรืออะไรแบบนั้นเรอะ? อะไรแบบนี้ไม่ทำให้พวกชั้นขุ่นเคืองหรอกนะ พวกนายอาจจะไม่รู้ แต่พวกชั้นหน่ะกลายเป็นนักผจญภัยแรงค์ทองแล้ว—พวกเราคือโกลเด้นบริเกด (Golden Brigade) ยังไงละ!」
อ่าห์ เข้าใจละ ผมเข้าใจแล้ว
ชายคนนี้แหล่ะ คนที่เป็นพวกพ้องที่ดันเต้ซังปกป้องในอดีต และเขาเองก็เป็นพวกพ้องที่ทอดทิ้งดันเต้ซังที่โดนคำสาปในตอนนั้นด้วย
สำหรับคนอื่นๆที่สวมเสื้อคลุมสีเหลือง มี 3 คนที่ดูจะไม่รู้เรื่องว่าเกิดอะไรขึ้น แต่อีก 3 คนที่เหลือนั้น—มีสีหน้าโกรธ, รู้สึกผิด, และอื่นๆผสมปนเปกันไป
「ดันเต้… นายหายดีก็ดีแล้ว กลับมาอยู่ใต้ชั้นซะ นายเป็นผู้ใช้โล่ที่ยอดเยี่ยมที่สุดเลย พวกเรามีกัน 7 คนแล้วตอนนี้ แต่พวกเรากำลังรวบรวมนักผจญภัยแรงค์โกลด์และจะกลายเป็นปาร์ตี้นะดับสูงกัน ชั้นมั่นใจว่านายสามารถตามทันได้ใช่ไหมละ?」
「…ลีออน」ดันเต้ซังพูดพร้อมกับถอนหายใจ「ขอโทษมิมิโนะซะ」
「…ว่าไงนะ?」
「ถ้านายบอกว่ามิมิโนะขโมยเงินของปาร์ตี้ งั้นแล้วกฏที่ว่า “ถ้าสมาชิกปาร์ตี้บาดเจ็บให้รักษาด้วยเงินของปาร์ตี้” ละ? ไม่ใช่แค่เงินของปาร์ตี้เท่านั้น แต่มิมิโนะยังใช้เงินเก็บของตัวเองในการรักษาข้าไปจนหมด ทว่านั่นก็ยังไม่พอจนเธอต้องกู้ยืมและเป็นหนี้ด้วย」
「คือ ชั้นหมายถึง… ก็นายออกไปจากปาร์ตี้แล้ว นั่นก็หมายความว่านายไม่ใช่ “สมาชิกปาร์ตี้ที่บาดเจ็บ” แล้วใช่ไหมละ?」
「นั่นเพราะข้าโดนคำสาปและคิดว่าข้าคงจะตายโดยที่ทำอะไรไม่ได้เลยต่างหาก ข้าไม่ได้อยากจะลากทุกคนไปตายด้วยกันซะหน่อย」
「ถ้าอย่างนั้น งั้นก็–」
「–เธอเป็นคนเดียวที่ยังอยู่ข้างๆข้ามาตลอด เข้าใจไหวว่าข้าซาบซึ้งแค่ไหนต่อมิมิโนะ? ดังนั้น ไม่ว่าใครจะพูดว่าร้ายมิมิโนะอะไร ข้าก็จะไม่ให้อภัยพวกนั้นเด็ดขาด」
「!」
ลีออนรีบทิ้งระยะห่างทันทีในจังหวะที่มีจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้อันร้อนแรงถูกปล่อยออกมาจากตัวของดันเต้ซัง ความเร็วการตอบสนองระดับนั้น ถึงเขาจะเป็นพวกเน่าเฟะ เขาก็ยังเป็นนักผนญภัยแรงค์โกลด์อยู่ดีสินะ
「และนายก็ผิดไปอย่างนึง」
ดันเต้ซังมายืนอยู่ที่ข้างๆผมแล้ววางมือเอาไว้บนไหล่ของผม
「เด็กคนนี้ที่นายดูถูก… เรย์จิหน่ะ แข็งแกร่งยิ่งกว่าข้าซะอีก」
「…ว่าไงนะ?」
ลีออนจ้องมองตรงมาที่ผมอย่างสงสัย
แต่นั่นก็ไม่ใช่เรื่องจริงซะหน่อย ใช่ไหมละครับดันเต้ซัง? ขนาดผมเองก็ยังไม่รู่ว่าจะทะลวงปราการเหล็กของคุณยังไงเลย การป้องกันของคุณแทบจะเรียกว่าโกงเลยนะครับ รู้ไหม?
「เมื่อก่อนข้าเคยบอกนายหลายครั้งแล้วไงว่าไม่ให้ดูถูกคนอื่นจากภายนอกหน่ะ นายนี้ไม่เปลี่ยนไปเลยสินะ… การเลื่อนระดับของนายไม่มีสำคัญอะไรเลย」
「ดันเต้… คิดหรือว่าจะเดินออกไปได้ง่ายๆหลังจากที่มาดูถูกชั้นขนาดนี้แล้ว?!」
「เอาละ พอได้แล้ว」
หลังจากนั้น หนึ่งในเสื้อคลุมสีเหลือง—หญิงสาวที่มี่ร่างกายผอมเพรียวสวมฮู้ดปิดบังดวงตาของเธอเอาไว้ ได้เดินเข้ามาระหว่างพวกเรา
เธอเป็นหนึ่งใน 3 คนที่ไม่ได้รู้เรื่องอะไร
「นายไม่ได้จะมาถึงที่นี่เพื่อทะเลาะวิวาทหรอกใช่ไหม? หัวหน้า ชั้นจะไม่ขอยุ่งเกี่ยวกับปัญหาที่ไม่จำเป็นหรอกนะ」
「…ชิ」
ลีออนเดาะลิ้นแล้วหันหลังให้กับพวกเรา
「คอยดูเถอะ ดันเต้ พวกชั้นจะไปยังจุดที่นายไม่มีวันจะไปถึง」
ทิ้งเอาไว้แค่คำพูดรุณแรงนั้น
หญิงสวมฮู้ดจ้องมองมาที่ผม ดวงตาสีเขียวมรกตของเธอนั้นเปล่งประกายถึงความสนใจ ทว่าไม่นานเธอก็ได้เดินตามหลังลีออนไป
บทที่ 3 โจรสลัดอากาศสีดำยิ้มแย้มภายใต้แสงจันทร์ หมอผีสีแดงกู่ร้องสู่ดวงดาว
ตอนที่ 1
「เรย์จิ! ข้าฝากทีเหลือด้วย!」
「ครับ!」
ร่างยักษ์สีน้ำตาลวิ่งตัดผ่านเข้าไปในป่าลึก มันถูกเรียกว่ากิก้าโบ (Giga Boar) ที่ตัวใหญ่ประมาณรถบรรทุก 2 ตันได้ แถมยังสามารถล้มต้นไม้ต้นเล็กๆได้เลยด้วย
ขนของมันนั้นห่างไกลจากคำว่า “สวยงาม” แถมยังเปื้อนโคลนไปหมด บางทีคงเพราะวิ่งผ่านโคลนมาละมั้ง เส้นขนของมันหนาอย่างกับลวด ดังนั้นต่อให้ชนกับต้นไม้ก็ไม่หลุดออกมาง่ายๆหรอก
และคนที่กำลังวิ่งเข้าหามันจากด้านหน้า – ก็คือผมเอง
ผมยื่นสองมือไปข้างหน้าแล้วสร้างลูกบอลลมขนาดยักษ์ขึ้นด้วย【เวทย์ลม】
「ไม่ปล่อยให้แกผ่านไปหรอก!!!」
จังหวะที่ผมยิงลูกบอลลมออกไป มันก็ได้โดนเข้าใส่ระหว่างคิ้วของมันจังๆ
「บูโมวววววววว!!」
กิก้าโบเสียการทรงตัวล้มลงมาข้างหน้า กลิ้งแล้วลอยเข้าหาผมด้วยแรงโมเมนตัม
อย่างกับฉากรถไล่ล่ากันที่มีตามหนังแอคชั่น ตอนที่รถพลิกคว่ำแล้วลอยไปมา
「โอ๊ะ!」
ผมเอนกลับหลังหลบได้ในวินาทีสุดท้าย ในเวลาเดียวกันนั้นผมก็ได้สร้างเตียงลมด้วย【เวทย์ลม】เพื่อลบแรงโมเมนตัมของกิก้าโบ แถมด้วยการทำให้พื้นนุ่มขึ้นด้วย【เวทย์ดิน】เพื่อลดแรงกระแทก เพราะแรงกระแทกรุณแรงอาจทำให้เนื้อของมันเสียหายได้
「ฟูโก! ฟูโกโก!!」
「อุ๊บ แกยังไม่สลบไปสินะ… ค่อนข้างอึดเลยนะแกหน่ะ?」
ดูเหมือนว่ามันจะขาหักในตอนที่ล้มลง และก็เพราะพื้นมันนุ่มด้วย มันก็เลยลุกขึ้นมาไม่ได้ ดังนั้นมันเลยกลิ้งฝาดงวงฝาดงาไปมาเพื่อไม่ให้ผมเข้าใกล้ได้ง่ายๆ ก็เป็นช่วงที่ต้องใช้เวทมนตร์เข้าช่วยละนะ ผมสร้างหินทรงกรวยปลายแหลมขึ้นมาจาก【เวทย์ดิน】แล้วยิงเข้าใส่ระหว่างคิ้วของมันที่ผมโจมตีด้วย【เวทย์ลม】ไปก่อนหน้านี้
「ฟูโก… โกกก…」
และแล้วกิก้าโบก็ได้ตายลงไป
ร่างของมันยังคงกระตุกอยู่แม้จะตายไปแล้ว บางทีคงเป็นกล้ามเนื้อกระตุกละมั้ง
「ฮะ-เฮ้ยยย์… จัดการมันไปแล้วรึ…?」
ผมยกมือขึ้นเมื่อได้ยินเสียงหวาดๆนั้น
「เรียบร้อยแล้วครับ! ทางนี้ครับผม มูเกะซัง (Muge-san)!」
จากนั้นมูเกะซังก็เข้ามาพร้อมกับเสียงเครื่องยนต์
มันเป็นเครื่องจักรโลหะขนาดเล็กกว่าร้านราเมนแผงลอยที่ส่งเสียงนั้น มันมี 4 ล้อและรวมถึงตัวรถที่ทำจากเหล็ก ตัวรถนั้นขึ้นสนิมแล้ว
ขณะที่มันพ่นควันดำออกมาจากปล่องควัน มันก็เคลื่อนที่ด้วยความเร็วที่เร็วกว่าคนเดินเท้าเล็กน้อย
อย่างไรก็ตาม มันก็ไม่ได้ถูกออกแบบมาให้บรรทุกมนุษย์หรอก เพราะแทบทั้งตัวรถเป็นเครื่องยนต์นี้นา มูเกะซังต้องบังคับมันจากด้านหลังเอา
「โอ้ว ตัวใหญ่ชะมัด」
มูเกะซังกระพริบตาสีทองของเขา นัยน์ตาของเขานั้นเป็นแนวตั้งเหมือนกับแมว แถมผิวหน้าของเขายังมีสีเหลืองแซมน้ำตาลด้วย
เขาเป็นกึ่งมนุษย์ที่คล้ายกับกิ้งก่า เป็นพลเมืองของจักรวรรดิเวทมนตร์เลฟ
「เนโกะจังของข้าจะบรรทุกกิก้าโบนี้ไหวไหมเนี้ย?」
「มาลองดูกันครับ ถ้าไม่ได้ละก็ พวกเราก็คงต้องชําแหละเครื่องในออกมาเพื่อให้เบาขึ้น」
「ไม่ ไม่ได้! มันมีคำขอหลายอันเลยนะที่ต้องการเครื่องในหน่ะ ดังนั้นมาพยายามกันเต็มที่เลยนะ เนโกะจัง?」
เจ้ารถจักรไอน้ำสีดำขึ้นสนิมนั่นดูจะถูกเรียกว่า “เนโกะจัง” แถมมูเกะซังก็รักมันมากๆด้วย เขาบอกว่าอารมณ์ของรถมันจะขึ้นอยู่กับวันด้วย แต่แน่นอนละว่าผมไม่เชื่อ
มูเกะซังลงมาจากรถ เขาสวมชุดจั๊มสูทหนังแต่ก็ไม่ได้มีหางโพล่ออกมาจากหลังของเขาแต่อย่างใด เมื่อเขาเอาโซ่ต่อกับเนโกะจังและมัดรอบๆตัวกิก้าโบแล้วสตาร์ทเครื่อง มันก็เริ่มเคลื่อนที่พร้อมกับส่งเสียง “ฮี้ ฮี้” ออกมา
「เนโกะจังดูจะอารมณ์ไม่ดี แต่เธอก็จะทำให้ดีที่สุดนะ!」
「งะ-งั้นหรอครับ…?」
หลังจากนั้น มันก็ใช้เวลาประมาณ 15 นาทีในการออกมาจากป่า—พวกเราออกมายังทุ่งหญ้ากว้างที่มีพื้นดินสีแดงแซมออกมาเป็นระยะๆ
แสงอาทิตย์ส่องลงมาร้อนระอุ ในด้านของฤดูละก็ มันก็ควรจะอยู่ในช่วงต้นหน้าร้อนสิ แต่ความร้อนนี้อย่างกับกลางหน้าร้อนเลย อยู่ใต้ร่มเงามันก็เย็นอยู่หรอก ทว่า… มันไม่มีร่มเงาที่ไหนเลยหน่ะสิ
จากตรงที่ห่างออกไป ดันเต้ซังกำลังโบกมือให้กับผมอยู่
「—นั่นกิก้าโบหรอ?」
「—ใหญ่โคตร! พวกนั้นล่าของแบบนั้นได้ด้วยหรอเนี้ย?」
「—คิดว่าคืนนี้พวกเราคงจะได้กินเนื้ออร่อยๆกันแน่」
ผมได้ยินเสียงมีความสุขมาจากผู้คนของกองคาราวาน
「เรย์จิคุง〜 ทางนี้」มิมิโนะซังตะโกน
「ครับ กำลังไปครับ」
ผมตรงไปยังที่ที่มิมิโนะซังกับน็อนซังอยู่
ทั้งมิมิโนะซังกับน็อนซังดูจะกำลังพักผ่อนใต้ร่มกันแดดกันอยู่ เมื่อดันเต้ซังกับผมไปถึง พวกเขาก็เสริฟชาให้กับพวกเรา
ผมดื่มชาสมุนไพรแสนอร่อยหมดในอึกเดียวเลย
อ้าา ชาอร่อยๆหลังเสร็จงานนี้มันเยี่ยมจริงๆ
「…อ่าห์ ข้าอยากจะดื่มเบียร์ซักแก้วจริงๆ」ดันเต้ซังพึมพำ
「นั่นคงต้องทนรอจนกว่าจะถึงเมืองหน้านะครับ」ผมพูด
「กลับกันนะคะคุณพ่อ คุณพ่อควรจะงดดื่มไปสักพักนะคะ เงินที่คุณพ่อได้มามันไปลงกับค่าเหล้าหมดแล้วนะคะ」
「มะ-ไม่นะ คือมันก็แค่… เหล้ามันรสชาติดีขึ้นหลังจากที่คำสาปหายไปแล้วต่างหาก เป็นความผิดของเรย์จินั่นแหล่ะ」
หา?
「คุณพ่อคะ… อยากจะติดคำสาปอีกงั้นหรือคะ?」
「คะ-แค่ล้อเล่นหน่ะ ใช่ไหม้ เรย์จิ?」
「อย่าลากผมไปเกี่ยวด้วยสิครับ…」
ผมรู้สึกว่าดันเต้ซังเริ่มกลายเป็นเหมือนเซอรี่ซังเข้าไปทุกที
และเซอรี่ซังที่พูดถึงก็กำลังหลับอยู่ในรถม้านั่นแหล่ะ เธอบอกว่าเธอพนันกับคนของกองคาราวานคนอื่นๆจนดึกดื่นแล้วชนะมาได้ ทว่าในความเป็นจริงแล้ว หนี้ของเธอที่ติดผมไว้มันเพิ่มขี้นเรื่อยๆหน่ะสิ ดังนั้นเธอแพ้มาต่างหาก ดูเหมือนมันคงถึงเวลาที่ต้องเข้มงวดกับเธอแล้วสิ…
「นอกจากนี้ กิก้าโบนั่นก็น่าจะได้ราคาดีไม่ใช่หรือไง?」ดันเต้ซังพูดขึ้นมาอย่างมีความหวัง
มันกลายเป็นชีวิตประจำวันของพวกเราไปแล้วที่จะออกไปล่าในช่วงพักเพื่อหาเงินเข้ากระเป๋าเล็กน้อย ทว่าวันนี้พวกเราโชคดีที่ล่าของดีมาได้
「เรย์จิซัง ดันเต้ซัง มาเริ่มหารกิก้าโบกันดีกว่า」มูเกะซังพูดในตอนที่เขามาถึง และพวกเราก็ได้ตรงไปทางเขา
จักรวรรดิเวทมนตร์เลฟนั้นตั้งอยู่ในพื้นที่เล็กๆระหว่างราชอาณาจักรอัศวินนักบุญกับราชอาณาจักรศักดิ์สิทธิ์ครูวาน เป็นพื้นที่ที่ไม่ได้รับการพัฒนาที่ชื่อว่า “เคเนี่ยน (Canion)” แต่เพราะมันถูกล้อมรอบด้วยภูเขาสูงชัน 3 ด้าน มันก็เลยช่วยกันการบุกรุกจากประเทศศัตรูได้
ชาวเลฟนั้นเป็นเผ่าพันธ์ุพิเศษที่ไม่สามารถใช้หินสกิลได้ เป็นเผ่าพันธ์ุกึ่งมนุษย์กิ้งก่า ในอดีตพวกเขานั้นถูกดูถูกข่มเหงหลายครั้งเพราะไม่สามารถใช้หินสกิลที่ใช้กันเป็นเรื่องปกติในโลกใบนี้ได้ และผลลัพธ์ก็คือพวกเขาขังตัวเองอยู่ในดินแดนจำกัดๆนี้
มองจากมุมกลับแล้ว มันก็ค่อนข้างยากที่คนนอกอย่างพวกเราจะเข้าไปในประเทศได้ — ดังนั้น มันจึงเป็นการดีที่พวกเราพบเข้ากับกองคาราวานที่มีชาวเลฟอยู่ และได้ทำความรู้จักกับพวกเขา
ไม่ว่าจะปลีกวิเวกขนาดไหน มันก็ไม่ใช่เรื่องแย่ที่จะทำธุรกิจกับประเทศอื่นๆ และชาวเลฟที่ออกมาข้างนอกนั้นก็มีปฏิสัมพันธ์สูงด้วย
「มะ-มากขนาดนี้จะดีหรอ?」
「ไม่เป็นไรหรอก จากตรงนี้ก็ไม่ไกลจากจักรวรรดิแล้ว และที่จักรวรรดิเองไม่มีกิก้าโบด้วย ดังนั้นเนื้อสดๆจึงสามารถขายได้ในราคาสูงเลยละ」
เหรียญทองที่กองอยู่ตรงหน้าของผมกับดันเต้ซังนั้นเป็นค่าเงินของจักรวรรดิเลฟ และแต่ละเหรียญก็มีค่าประมาณ 50,000 เยนด้วย มีประมาณ 100 เหรียญทอง
「…ไชโย!!!」ดันเต้ซังตะโกนพร้อมกับท่ากำมัดขึ้นฟ้า แต่… ผมสงสัยจังว่าจากหมดนี้ น็อนซังจะให้เขาจริงๆเท่าไหร่กันแน่นะ…
「ซิวเวอร์บาลานซ์วางแผนที่จะออกไปจากจักรวรรดิทันทีที่งานของกิลด์เสร็จแล้วเลยหรือเปล่า?」
「ไม่หรอกครับ ที่นั่นมีคนที่ผมอยากจะเจอให้ได้อยู่… ดังนั้นผมจะพยายามขอให้อยู่ต่อได้ครับ」
「งั้นหรอๆ ช่วงนี้ข้าเองก็เข้าพบคนในจักรวรรดิได้ง่ายๆด้วย ดังนั้นข้าหวังว่านายจะเจอคนที่อยากพบง่ายๆเหมือนกัน」
「ขอบคุณครับ」
「แต่ให้ตายสิ สกิลที่นายใช้จัดการกิก้าโบตัวนี้มันสุดยอดไปเลยจริงๆนะเนี้ย」
「แล้วเนโกะจังละครับ?」
「เธอหลับอยู่ตรงนั้นหน่ะ」
รถจักรไอน้ำจอดอยู่เงียบๆที่ด้านหลังของรถม้า
จักรวรรดิเวทมนตร์เลฟนั้นเริ่มขึ้นจากเครื่องจักรไอน้ำที่ใช้ถ่านหิน แล้วค่อยขยับขึ้นไปใช้พลังงานจากหินเวทย์ เรือเหาะเวทมนตร์เกือบทั้งหมดในโลกนี้นั้นสร้างขึ้นที่เลฟนี้หล่ะ
พวกเราเก็บเหรียญทองจากบนโต๊ะแล้วหลับไปหามิมิโนะซัง แน่นอนว่าส่วนของดันเต้ซังก็ถูกริบโดยน็อนซัง และแล้วตรงนั้นก็ได้มีนักรบที่ยืนสิ้นหวังอยู่
(พวกเราน่าจะถึงในอีกไม่ช้านี้แล้ว)
มันก็ผ่านมา 15 วันแล้วตั้งแต่ออกมาจากเมืองศักดิ์สิทธิ์แห่งครูวานยู ที่ซึ่งเป็นเมืองหลวงของราชอาณาจักรศักดิ์สิทธิ์ครูวาน พวกเราน่าจะไปถึงชายแดนประเทศระหว่างราชอาณาจักรศักดิ์สิทธิ์กับจักรวรรดิ์เลฟในอีกประมาณ 2 วัน
ตอนที่ผมทำงานเป็นทาสขุดเหมือง เขาคนนั้นที่มอบความรู้ให้กับผมฟรีๆ — ตาแก่ฮินกาที่ผมสามารถเรียกได้เต็มปากว่า “อาจารย์” ของผมในโลกใบนี้ ตอนก่อนที่เขาจะตาย ตาแก่ฮินกาได้ฟากฟัง “หินฟอสฟอรัส” ที่ฟังเอาไว้ในฟันกรามของเขาให้กับผม
ตาแก่บอกว่าผมจะสามรถพบกับหลานสาวของเขา ลูลูช่าซังได้ด้วยสิ่งนี้–หรือผมจะเอาไปขาบก็ได้ถ้าผมต้องการ
ถึงจะมีเรื่องหลายๆอย่างเกิดขึ้นหลังจากนั้น แต่หนึ่งในเป้าหมายของผมก็คือการพบกับลูลูช่าซังเพื่อบอกช่วงเวลาสุดท้ายของตาแก่ อีกเป้าหมายนึงของผมก็คือการพบกับพี่สาวของผม ลาร์ค
ลูลูช่าซังอยู่ที่จักรวรรดิเวทมนตร์เลฟนั้นเป็นข้อมูลที่ผมได้มาจากราชอาณาจักรศักดิ์สิทธิ์ ผมไม่รู้ว่าเธออยู่ที่ไหนในจักรวรรดิหรือมีสถานการณ์อะไรเกิดขึ้นบ้าง แต่โชคดีที่จักรวรรดินั้นเป็นประเทศเล็กๆ ดังนั้นการหาเธอก็น่าจะไม่ใช่เรื่องยาก
(พอนึกถึงตาแก่ฮินกาก็รู้สึกเศร้าขึ้น แต่ถึงยังนั้น…)
ผมเป็นเพียงคนเดียวที่ได้เห็นวาระสุดท้ายของเขาในเหมืองที่ 6 ผมคิดว่าผมควรจะบอกใครสักคนนอกจากผมว่าเขาเคยมีชีวิตอยู่ ยังไงซะ จากในมุมมองเขาเอลซังผู้เป็นนักบวชชั้นสูงแห่งราชอาณาจักรศักดิ์สิทธิ์ ตาแก่ฮินกาก็เป็นถึง “ผู้นำการถอดรหัสเอกสารโบราณ” เกี่ยวกับ “พันธสัญญา”, “โลกอื่น”, และ วิจัยเกี่ยวกับ “หินสกิล” ด้วย – ศาสตราจารย์ผู้ที่ถูกเรียกว่า “มันสมองของราชอาณาจักรฟอร์ชา”
「เรย์จิคุง ได้เวลาไปกันแล้วนะ」
「อา ครับ」
มิมิโนะซังเรียกให้ผมขึ้นไปบนรถม้า
เอาละถ้างั้นไปกันเลยดีกว่า สู่ดินแดนแห่งใหม่!
บทที่ 2 บทส่งท้าย 2
* ชาล็อต เฟรส *
ตระกูลมาร์ควิสเฟรสนั้นไม่ได้ดีเด่นอะไร
ในสังคมขุนนางนั้น แน่นอนว่ามาร์ควิสเป็นขุนนางชั้นสูง ทว่าตระกูลเฟรสกลับจืดจาง
ในงานเลี้ยง เธอนั้นไม่เคยถูกชวนเต้นรำเลย และถ้าเธอได้เข้าร่วมปาร์ตี้น้ำชาละก็ เธอก็ไม่สามารถสร้างหัวข้อพูดคุยได้ แล้วหลังจากนั้นเธอก็จะได้รับจดหมายเขียนว่า “เป็นทางตระกูลเฟรสเองที่ไม่กระตือรือร้น ช่างเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้จริงๆ”
ถึงอย่างนั้น ลูกสาวแห่งตระกูลเฟรส ชาล็อต ได้ตัดสินใจตั้งแต่อายุน้อยๆแล้วว่า–
「ดิชั้นจะไม่ยอมแพ้! ดิชั้นจะต้องโดดเด่นในสังคมขุนนางให้ได้!」
เธอเองก็เรียนวิธีหัวเราะมาด้วยเช่นกัน
「โอ๊ะโห๊ะๆๆๆๆ!」
ทว่า บางทีคงเป็นเพราะเมดที่สอนเธอนั้นเป็นคนหัวโบราณหน่อยๆ–
「คุณหนูคะ แตะหลังมือของคุณหนูเอาไว้ที่แก้มแล้วจากนั้นก็ “โอ๊ะ-โห๊ะ-โห๊ะ-โห๊ะ-โห๊ะ-โห๊ะ” ค่ะ!」
「โอ๊ะ โห๊ะ โห๊ะ โห๊ะ!」
「อีกครั้งค่ะ!」
「โอ๊ะ โห๊ะ โห๊ะ โห๊ะ!」
「วิเศษมากค่ะ! ต่อไปก็แต่งหน้านะคะ!」
เธอได้เรียนรู้ผิดทางซะงั้น เธอทั้งแต่งหน้าแถมยังม้วนผมสีบรอนซ์สตรอว์เบอร์รีจนเป็นสว่านด้วย
สิ่งเดียวที่เธอทำก็คือทำตัวเด่นแบบแย่ๆ และเมื่อไหร่ก็ตามที่มีเด็กๆขุนนางมารวมตัวกัน–
「อาร่า? ทำไมถึงสวมชุดสุดเชยแบบนั้นกันละคะ?」
(ความตั้งใจจริง: ถ้าคุณมาอยู่กับชั้นละก็ ชั้นจะช่วยคุณแต่งตัวดีๆเอง!)
เธอได้ไล่ทุกคนออกไปด้วยวิธีการพูดสุดกดขี่แบบนั้น
เหลืออยู่เพียงแค่คนเดียว
「พวกเรามีแค่ชุดแบบนี้น่ะ เหล่าพ่อค้าไม่มาที่ชายแดนซะเท่าไหร่」
มิร่า แห่งตระกูลเอิร์ลชายแดนมิวล์
เนื่องจากมิร่าเติบโตขึ้นในพื้นที่ห่างไกล เธอเลยชอบของวิบๆวับๆ ขนาดเด็กอย่างชาล็อตที่แต่งหน้าไม่เข้ากันสักนิดยังดูวิบวับในสายตาของมิร่าเลย
「อะ-โอ้ ช่างน่าเศร้าที่ได้ยินแบบนั้น… -อ้า ไม่สิ ดิชั้นหมายถึง โอ๊ะ โห๊ะ โห๊ะ โห๊ะ! งั้นดิชั้นจะส่งพ่อค้าประจำตระกูลเฟรสไปยังดินแดนเอิร์ลชายแดนเองค่ะ!」
「เอ๊ะ จริงหรอ!?」
「แน่นอนสิคะ ของกล้วยๆ!」
ชาล็อตหัวเราะออกมาดังๆ ทว่าพ่อค้าที่ได้ยินเรื่องนี้ในภายหลังนั้นกลับหน้าซีด ดินแดนของเอิร์ลประจำชายแดนมิวล์นั้นอยู่ห่างไกลมากๆ แต่ว่า
「หืมมม เจ้าไม่เห็นด้วยงั้นรึ? เจ้าตั้งใจจะทำให้ลูกสาวของข้าเป็นคนขี้โกหกงั้นรึ?」
เมื่อถูกสายตาของมาร์ควิสเฟรสผู้ที่เอ็นดูลูกสาวของเขาเป็นที่สุดจับจ้อง พ่อค้าก็ได้ออกเดินทางไปยังดินแดนของเอิร์ลชายแดนทั้งน้ำตา
และนั่นเป็นการนำผลิตภัณฑ์ใหม่ๆกระจายไปยังดินแดนของเอิร์ลชายแดน จนนำไปสู่ยุคแห่งการพัฒนาเพราะการไหลทะลักเข้ามาของพวกนักผจญภัยและการยึดครองดันเจี้ยน– ซึ่งเป็นเรื่องที่จะเกิดขึ้นต่อมาในอีกหลายปีให้หลัง
“การเปิดตัวเป็นผู้ใหญ่” ของชาล็อตในงานเลี้ยงต้นกล้าแห่งคืนข้างขึ้นนั้นเป็น “ความผิดพลาดครั้งยิ่งใหญ่” สำหรับเธอ
「—ดิชั้นไม่เด่นเลย!」
ชายสวมหน้ากากบุกโจมตี จากนั้นก็มีการพบยาพิษ และเธอก็ถูกคุ้มกันตัวออกไปจากงานเลี้ยงทันที
「แทบจะไม่ได้คุยกับท่านคลูฟชราทเลยด้วย!」
ชาล็อตร้องไห้ ร้องมากจนเมคอัพหลุดออกมาเลย
อย่างไรก็ตาม มันก็ยังมีโอกาสอยู่ หลังจากตอนนั้น ปาร์ตี้น้ำชาก็ได้ถูกจัดขึ้น – ถึงเจ้าชายคลูฟชราทจะไม่ได้เข้าร่วม แต่ถึงอย่างไร มันก็เป็นการดีที่จะมีเส้นสายกับตระกูลดยุคอยู่ ยังไงซะ 6 ดยุคผู้ยิ่งใหญ่ก็มีอำนาจมากมายในราชอาณาจักรศักดิ์สิทธิ์ด้วย – อยู่ด้วยกันกับพวกเขาจะทำให้ตัวเองเด่นขึ้นด้วย ใช่ไหมละ?
「นุนูววว…」
ทว่า มันยังมีปัญหาอยู่ – อีวา ลูกสาวของตระกูลซิวลิซส์ ผู้ที่โดดเด่นกว่าตัวเธอเองอย่างเห็นได้ชัด
「…ดิชั้นจะเด่นกว่าผู้หญิงคนนั้นได้ไงกัน…」
「มีอะไรหรือเปล่า มิสชาล็อต?」
「มิเนี้ย!?」ชาล็อตส่งเสียงแปลกๆออกมา
เป็นมิร่านั่นเอง หนึ่งในเพื่อนอันน้อยนิดกระจิริดที่เธอมี
「โอ๊ะ อย่าทำให้ดิชั้นตกใจสิคะ!」
「โทษที โทษที」
เธอถอนหายใจพร้อมกับมองไปยังมิร่าที่ยิ้มอยู่ มิร่าเริ่มทำตัวตามสบายยิ่งขึ้นที่คุยกัน ยิ่งไปกว่านั้น เธอยังตกหลุมรักมิสอีวาตั้งแต่แรกพบเลยด้วย – ตัวชาล็อตอยากจะเชื่อว่ามันไม่ใช่ความสัมพันธ์แบบนั้น แต่เธอก็เริ่มหมดความมั่นใจลงในตอนที่เห็นท่าทีของมิร่าในตอนที่อยู่ใกล้กับอีวา – ถึงขนาดทำให้ชาล็อตคิดว่าเธอเป็นศัตรูด้วยหรือเปล่าเลย
「นี้ ทำไมเธอถึงไม่พยายามขึ้นอีกหน่อยละคะ คุณพ่อของเธอกลับไปที่ดินแดนแล้วใช่ไหมละคะ? ถึงเธอจะอยู่ที่นี่คนเดียวก็ไม่ได้เด่นขึ้นมาหรอกนะคะ!」
「โอ๊ะ เธอรู้เรื่องที่ว่าปะป๋าของชั้นกลับไปแล้วงั้นหรอ? ขอบใจสำหรับความเป็นห่วงนะ! แต่ตัวคนเดียวชั้นก็แข็งแกร่งนะ!」
「ดิชั้นไม่ได้หมายความว่ายังงั้น! ดิชั้นหมายถึงมันไม่มีสัญลักษณ์อาณาเขตชายแดนที่ชัดเจนไปกว่าตัวคุณเองแล้ว!」
「อะฮ่าๆๆ ชั้นจะฝากไปบอกปะป๋าว่าเธอชมละกันนะ」
「นั่นไม่ใช่คำชมหรอกนะ」
ชาล็อตหงุดหงิดที่คำพูดของเธอส่งไปไม่ถึงมิร่าเลย
「…ดูเหมือนอาการช็อกในวันงานพิธีมอบหินสกิลจะหายไปหมดแล้วนะ」
ชาล็อตไม่ได้ยินคำพูดนั้นของมิร่าที่เธอพึมพำออกมา
เหตุการณที่เกิดขึ้นในงานพิธีมอบหินสกิลนั้นสร้างความตกตะลึงให้กับเด็กที่เข้าร่วม เนื่องจากงานพิธีจะไม่ถูกจัดขึ้นอีกแล้วในปีนี้ เด็กๆก็เลยได้รับหินสกิลจากตระกูลของตนเองแทน
มิร่าได้รับ【ต่อสู้ระยะประชิด ★★★★】และชาล็อตนั้นได้รับ【ผมสละสรวย ★★★】สามารถรับรู้ได้ถึงรสนิยมของพ่อแม่พวกเขาได้ชัดเจนเลย【ผมสละสรวย 】นั้นเป็นสกิลหายากที่สั่งมาจากประเทศอื่น – เห็นได้ชัดเลยว่ามาร์ควิสเฟรสเป็นคนโอ๋ลูกมากแค่ไหน ต้องขอบคุณสิ่งนี้ที่ทำให้ผมสีบรอนซ์สตรอว์เบอร์รีทรงสว่านส่องสว่างมากกว่าทุกทีในวันนี้
「หืมมม นั่นมัน?」
ทั้งสองคนนั้นอยู่ในล็อบบี้ของอาคารประชุมใน “เขตศักดิ์สิทธิ์ที่ 1” เรื่องราวการประชุมนั้นเกี่ยวข้องกับเรื่องที่เกิดขึ้นในงานพิธี และตามข่าวลือ ดูเหมือนจะมีปัญหาเกิดขึ้นใน 6 ดยุคผู้ยิ่งใหญ่ด้วย ดังนั้นเรื่องราวพวกนั้นจะถูกประกาศในวันนี้ ตามปกติเด็กๆไม่ควรจะมาอยู่ที่นี่ ทว่าชาล็อตกับเด็กคนอื่นๆนั้นเป็นผู้เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์โดยตรงด้วย พวกเขาจึงถูกเรียกตัวมาเช่นกัน
ชาล็อตสังเกตเห็นอีวาผู้เป็นลูกสาวของตระกูลซิวลิซส์ยืนอยู่ในเงาของเสาหินสุดทางเดินของอาคารประชุม บางทีคงจะอยู่กับหัวหน้าตระกูล วิกเตอร์
「อ๊ะ นั่นท่านอีวานี้นา ไปคุยกับเธอกันเถอะ」
「เงียบก่อนค่ะ ไปกันอย่างเงียบๆดีกว่าค่ะ」
「เอ๊ะ… เธออยากจะแอบฟังหรอ?」
「นี้ พูดจาระวังหน่อยค่ะ พวกเราแค่บังเอิญเดินไม่มีเสียง และบังเอิญไปได้ยินอะไรเข้าเท่านั้นเองค่ะ」
「นั่นมันก็แอบฟังนี้นา…」
โชคดีที่คนคุ้มกันของชาล็อตกับมิร่ากำลังติดพันบทสนทนาของตนเองอยู่ พวกคนคุ้มกันนั้นเข้ากันได้ดีมากเลย คนคุ้มกันของชาล็อตนั้นถูกจ้างมาเพราะหน้าตาดีก็จริง แต่เนื่องจากเขาเป็นคนคุยเก่ง คนคุ้มกันคนอื่นๆจึงกำลังหัวเราะ “บุฮ่าๆๆ!” ให้กับเรื่องเล่าของเขา
ขณะที่พวกเธอเข้าใกล้อีวา พวกเธอก็เริ่มได้ยินบทสนทนา
「ท่านพ่อคะ งั้น คำอธิบายเกี่ยวกับ “เด็กแห่งหายนะ” เมื่อหลายร้อยปีก่อน… ก็คือ “ผมสีดำกับตาสีดำ” ใช่ไหมคะ?」
「อืม ในอดีตบางประเทศถึงขนาดถูกลบหายไปเลย…」
「หนูเข้าใจแล้วค่ะ ขอบคุณมากเลยค่ะ」
「พ่อจะยังสืบค้นต่อไปนะ โอเคไหม?」
「ค่ะ แน่นอนค่ะ —อะร่า?」
อีวาสังเกตเห็นชาล็อตกับมิร่าและยิ้มออกมาอย่างอ่อนโยน
「!!」
เป็นรอยยิ้มที่ถึงขนาดทำให้หัวใจของชาล็อตเต้นไม่เป็นจังหวะเลย และไม่ต้องพูดถึง มิร่าตกอยู่ในภวังค์และคลังคำศัพท์ของเธอก็ลดเหลือเด็ก 1 ขวบจนพูดออกมาได้แค่ว่า “นะ-น่า, นะ-น่า, น่ารัก… นะ-น่า…”
(อะ-อะ-อะ-อะไรกันเนี้ย~~~~~?! อยู่ๆก็ดูเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมาซะง้านอะ~~~~! นะ-นี้เธอเจอคนรักแล้วงั้นหรอ…!? ไม่งั้น ไม่มีทางดูเป็นผู้ใหญ่ในทันทีแบบนี้หรอก!!)
อีวาบอกลาพ่อของเธอแล้วเดินมาทางทั้งคู่ แต่เอิร์ลซิวลิซส์กลับจากไปอย่างไม่เต็มใจ นี้เองก็เป็นจุดที่ชาล็อตอิจฉาเหมือนกันที่อีวานั้นทำงานแล้ว (ดูจะเป็นแบบนั้นนะ) แถมยังมีพ่อที่หล่อขนาดนั้นด้วย
「อรุณสวัสดิ์ค่ะ ท่านอีวา」
「อรุณสวัสดิ์ค่ะ ท่านชาล็อต ท่านมิร่า」
「นะ-น่า……」
「แล้วก็นะคะ ท่านอีวา…」
มิร่าทำตัวแบบนี้นั้นถือเป็นเรื่องปกติ ดังนั้นทั้งสองคนจึงพูดคุยกันต่ออย่างลื่นไหล
「บรรยากาศของคุณเปลี่ยนไปนะคะเนี้ย?」
「หืมม? …เป็นอย่างนั้นหรือคะ?」
「เป็นไปได้หรือเปล่าคะว่าคุณเจอคนรักแล้วน่ะค่ะ!?」
ชาล็อตตัดสินใจที่จะถามตรงๆและพยายามทำให้อีวาเขินอายสักครั้ง—ทว่าในทางกลับกัน อีวายังคงเก็บท่าทางและทำเพียงแค่ยิ้มอย่างเศร้าๆเล็กน้อย
「…ชั้นเองก็หวังว่าจะเป็นแบบนั้นค่ะ ทว่าตัวชั้นยังไม่คู่ควรพอที่จะยืนอยู่ข้างๆคนๆนั้นค่ะ」
มันแทบจะเหมือนกับการยืนยันแล้วว่าเธอมีคนที่ชอบ ทว่าความจริงที่อีวาพูดว่าตัวเธอ “ไม่คู่ควร” นั้นทำให้ชาล็อตตกตะลึง
จากนั้น เสียงระฆังก็ได้ดังขึ้น
『—ถึงทุกท่าน ประกาศจากฝ่าบาทราชันศักดิ์สิทธิ์จะเริ่มขึ้นแล้ว ขอให้ทุกท่านโปรดเข้ามาข้างใน』
นักบวชจำนวนหนึ่งปรากฏตัวขึ้นและนำทางเหล่าขุนนางเข้าไปข้างในขณะที่สั่นกระดิ่งไปด้วย
「อาร่า ดูเหมือนจะถึงเวลาแล้วนะคะ พวกเราไปกันเลยไหมคะ?」
「อา คะ-ค่ะ… โอ๊ะ ท่านอีวาคะ」
ชาล็อตรู้ตัวเป็นครั้งแรกว่าคนคุ้มกันของอีวาเป็นคุณลุงกล้าม – กัปตันแม็กซิม
「ดูเหมือนคนคุ้มกันของคุณจะเปลี่ยนไปนะคะ」
ได้ยินแบบนั้น อีวาก็ตอบกลับพร้อมกับรอยยิ้มร่าเริงว่า
「ค่ะ– สำหรับตอนนี้」
ในวันนี้ คำอธิบายที่ประกาศโดยราชันศักดิ์สิทธิ์สร้างความฮือฮาไม่ใช่แค่กับเหล่าขุนนาง แต่รวมไปถึงทั้งราชอาณาจักรศักดิ์สิทธิ์เลย
ภาระผูกพันแห่งราชวงศ์ศักดิ์สิทธิ์—เรื่องราวของการเป็นเครื่องสังเวยได้ถูกเปิดเผยออกมา
ถัดไปก็คือเรื่องที่ราชันศักดิ์สิทธิ์องศ์ปัจจุบันจะสละราชบัลลังก์แล้วเรียกตัวเองว่าดยุคเก็นจิโอ้นับจากนี้ไป องค์หญิงศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่ 1 จะเป็นผู้สืบทอดราชบันลังก์ราชันศักดิ์สิทธิ์องศ์ต่อไป และองค์ชายศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่ 1 จะรักษาสิทธิ์ในการสืบราชบัลลังก์และดำรงตำแหน่งต่อไปด้วยฉายา “องค์ชายศักดิ์สิทธิ์” จนกว่าองค์หญิงศักดิ์สิทธิ์จะมีบุตร
สุดท้ายนี้ก็คือเรื่องการตัดสินใจยุบตระกูลดยุคริเวียร์ 1 ใน 6 ดยุคผู้ยิ่งใหญ่ อย่างไรก็ตาม ดินแดนของพวกเขานั้นกว้างขวางมากจนต้องอยู่ในการควบคุมของราชวงศ์ศักดิ์สิทธิ์เป็นการชั่วคราว ทว่ามันก็จะถูกส่งต่อให้กับขุนนางไร้ดินแดนอยู่ดี เหตุผลที่ทำไมดยุคริเวียร์ถึงถูก “ยกเลิกตระกูลดยุค” นั้นถูกประกาศออกมา แต่ไม่มีขุนนางคนไหนยอมรับมันง่ายๆ ผู้คนของตระกูลริเวียร์จะกลายเป็นประชาชนธรรมดา เนื่องจากตระกูลริเวียร์นั้นเป็นผู้ชุบชีวิตอุตสาหกรรมการเดินเรือ พวกเขาจึงได้รับอนุญาตให้ทำธุรกิจเดิมต่อไปได้ อย่างไรก็ตาม เนื่องจากการแต่งงานของลูกสาวตระกูลริเวียร์กับเจ้าชายศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่ 3 ที่อายุครบ 10 ปีแล้วถูกยกเลิกไป ขุนนางหลายตระกูลเมื่อเห็นโอกาสก็เริ่มแนะนำตัวเองให้กับราชวงศ์ศักดิ์สิทธิ์
คนแรกก็คือตัวชาล็อต เฟรสเอง ทว่ามันก็ยังไม่แน่นอนว่าความรัก(?)ครั้งนี้จะสมหวังหรือไม่
■ เรย์จิ(หลังจบบทที่ 2)
ผมสีดำตาสีดำ|14 ปี|เผ่ามนุษย์|เพศชาย
【World Ruler ★★★★★★★★★★】
สกิลที่เรียนรู้:
《ประเภทกายภาพ: หินสกิลสีแดง》
-[เสริมความแข็งแกร่ง ★] [เสริมกล้ามเนื้อหลัง ★] [เสื้อกล้ามเนื้อหน้าท้อง ★] [เสริมกำลังขา ★] [เสริมแรงบีบ ★] [เสริมความยืดหยุ่น★] [เสริมระเบิดพลัง ★] [เสริมสเตมิน่า ★] -[เสริมภูมิคุ้มกัน ★★] -[เสริมร่างกาย ★★★]
《ประเภททักษะ: หินสกิลสีเขียว》
-[ความคล่องแคล่ว ★] -[ทักษะดาบ ★★] [ทักษะหอก ★★] [ทักษะขวาน ★★] [ทักษะธนู ★★] [ทักษะดาบสั้น ★★] [ต่อสู้ระยะประชิด ★★] [ทักษะการเตะ ★★] [ทักษะโล่ ★★] [ทักษะโล่ใหญ่ ★★] [ทักษะการวิ่ง ★★] [ทักษะการกระโดด ★★] [ทักษะแข็งตัว ★★] [ทักษะดาบใหญ่ ★★] [ทักษะดาบการชก ★★] [ทักษะการการวิวาท ★★] -[ทักษะการยิงจากมุมสูง ★★★] [ทักษะการรำดาบ ★★★] -[ทักษะหอกมังกร ★★★★]
《ประเภทการรับรู้: หินสกิลสีเหลือง》
-[เสริมการมองเห็น ★] [เสริมการได้ยิน ★] [เสริมการรับกลิ่น ★]
-[Night Vision ★★]
《ประเภทเวทมนตร์: หินสกิลสีฟ้า》
-[เสริมเวทมนตร์ ★] [เสริมความถนัดเวทมนตร์ ★] -[เวทย์น้ำ ★★] [เวทย์ลม ★★] [เวทย์ดิน ★★] [เวทย์บุบผา ★★] [เวทย์ไฟฟ้า ★★] [เวทย์มืด ★★] [เวทย์แสง ★★] [เพิ่มปริมาณมานา ★★]
-[เวทย์ไฟ ★★★★] [ควบคุมมานา ★★★★]
《ประเภทลึกลับ: หินสกิลสีขาว》
-[ทักษะการสวดภาวนา ★]
-[เวทย์รักษา ★★] [เวทย์ซัพพอร์ต ★★]
《ประเภทความรู้: หินสกิลสีม่วง》
* แทบทั้งหมดในประเภทนี้อย่าง [ความทรงจำสมบูรณ์แบบ] นั้นด้อยกว่า【World Ruler】ดังนั้นจึงไม่มีสกิลที่เรียนรู้มา
《หินสกิลเสริมความแข็งแกร่ง: หินสกิลสีดำ (หายากมากๆ)》
-[ถอนหินสกิล ★★★★]
《ประเภทยูนีค: หินสกิลสีรุ้ง》
-[สะดวกสบาย ★]
========================================================
TL: จบบทที่ 2 แล้วครับผม ENG ยังมีอีก 3 บท //ตายแปป
บทที่ 2 บทส่งท้าย 1
* พระราชวังศักดิ์สิทธิ์ *
หลังจากที่ได้ฟังรายงาน ราชันศักดิ์สิทธิ์ก็กอดอกแล้วแหงนหน้ามองฟ้า
ถึงจะเป็นโถงเข้าเฝ้าในพระราชวัง แต่แทนที่จะเป็นบรรยากาศห้องแบบ “ทางการ” กลับเป็นห้องที่มีโต๊ะกลมวางอยู่ตรงกลางแบบเดียวกับห้องรับรองซะงั้น บรรยากาศแบบ “ทางการ” อะไรนั่นเห็นได้แทบทุกที่ใน “เขตศักดิ์สิทธิ์ที่ 1” อยู่แล้ว ยังไงซะก็มีแค่คนจากราชอาณาจักรศักดิ์สิทธิ์เท่านั้นแหล่ะที่จะสามารถเข้ามาในที่นี่ได้
ยิ่งสำหรับราชันศักดิ์สิทธิ์แล้ว ตอนนี้มีเพียงแค่เจ้าชายศักดิ์สิทธิ์คลูฟชราทกับเอิร์ลชายแดนมิวล์เท่านั้นที่อยู่ในโถงนี้ เอิร์ลชายแดนยังคงสวมหนังหมีสีเทาตามปกติ
「แล้วทำไมกัน…? ชายคนนั้นช่วยพวกเราจากคนกลาง, หยุดเหตุการณ์ที่คนจำนวนมากอาจตายได้, แถมยังเป็นคนจัดการงูยักษ์ให้ด้วย… จากทั้งหมดทั้งมวลพวกนั้นก็คิดที่จะจับเขาแล้วฆ่าทิ้งเนี้ยนะ?! เพียงแค่เพราะผมสีดำตาสีดำเนี้ยนะ?! ยิ่งไปกว่านั้น พวกนั้นยังถูกจัดการซะเองอีก?! แล้วเจ้าก็ทำเพียงแค่มองส่งเขาออกไปจากเมืองศักดิ์สิทธิ์โดยที่ไม่ทำอะไรเลยด้วย!?」
「ใช่แล้ว」
หมีเทาตอบกลับโดยที่ไม่ได้สนในเสียงอันโกรธเกี้ยวของราชันศักดิ์สิทธิ์เลย
「ไอ้เจ้าโง่เอเบนมันคิดอะไรอยู่!! ยิ่งไปกว่านั้น ไอ้พวกภาคีอัศวินด้วย!! ถึงจะเป็นการสื่อสารที่ผิดพลาดก็เถอะ แต่พวกนั้นกลับประกาศต่อสาธารณะว่าเป็นคนจัดการงูนั่นเองเนี้ยนะ!?」
「ความต้องการชื่อเสียงและผลกำไร บวกกับความไม่อยากยอมแพ้ต่อกิลด์นักผจญภัย พวกนั้นก็เลยยังดื้อด้านให้ผลลัพธ์เป็นแบบนี้เพราะไม่มีใครรู้ความจริง… พวกนั้นเหมือนกับขุนนางมากกว่าอัศวินซะอีก เป็นแบบเดียวกับคำพูดของพวกขุนนางเป๊ะเลย “ก็แค่พลาดไปหน่อยครับ”, “ไม่ได้รายงานข้อมูลเท็จนี้ครับ”, “ทุกอย่างก็เพื่อประเทศนี้นะครับ”, ฯลฯ」
「เอิร์ลชายแดน! ข้าไม่ได้ต้องการความเห็นถากถางหรอกนะ!」
「ไม่ใช่ถากถางซะหน่อยนี้ มันเป็นความจริงต่างหาก」
「งั้นก็หุบปากความจริงโง่ๆนั่นซะที! มันไม่มีความหมายอะไรแล้ว!」
「ทะ-ท่านพ่อครับ… ใจเย็นๆก่อนนะครับ」
เมื่อคลูฟชราทพูดแทรก ราชันศักดิ์สิทธิ์ก็ดูจะใจเย็นลงเล็กน้อยแล้วดื่มน้ำ 1 แก้ว
「อ้า บ้าเอ้ย… นี้ไม่ใช่เวลามาตรวจสอบตระกูลริเวียร์แล้ว」
「หืมมม… เรื่องนั้นเป็นยังไงมั้งหล่ะ?」
「…ไปได้ไม่สวยเลย ดยุคเอเบนหนุนหลังดยุคริเวียร์เต็มที่ เขาไม่ยอมรับหลักฐานที่เอิร์ลซิวลิซส์เอามา」
「มันคงยากที่จะใช้ “เนตรเวทมนตร์แห่งการสืบสวน” ของเอิร์ลซิวลิซส์เป็นหลักฐานละนะ」
「ใช่แล้ว ยิ่งไปกว่านั้น คนคุ้มกันคนนั้น… เรย์จิละมั้งคิดว่า เรื่องที่เขาอยู่กับเอิร์ลซิวลิซส์ยิ่งทำให้ปัญหามันยุ่งยากขึ้นไปอีกหน่ะสิ แต่เอาเถอะ มันก็ขึ้นอยู่กับเวลาแล้ว เขาแค่กำลังหาจุดประนีประนอมอยู่」
「จุดประนีประนอม?」
「ใช่… ถึงดยุคเอเบนจะรู้ว่าเขาไม่สามารถปกป้องดยุคริเวียร์ได้เนื่องจากเรื่องมันแดงออกมาหมดแล้ว แต่ยังไงก็ตาม ถ้าปล่อยมันเอาไว้ละก็ เอิร์ลซิวลิซส์ก็จะได้รับชื่อเสียงในสังคม และก็จะสามารถเริ่มข่าวลือเสียๆหายๆอย่างเช่น “ดยุคเอเบนพยายามสังหารวีรบุรุษ” ได้ นั่นถึงเป็นเหตุผลว่าทำเขาถึงพยายามลดความชอบธรรมทางกฏหมายของเอิร์ลซิวลิซส์เท่าที่เขาจะทำได้อยู่」
「…………」
เอิร์ลชายแดนนั้นคิดว่านั่นเป็น “ข้อเท็จจริง” มากกว่า “ข่าวลือเสียๆหายๆ” แต่ในสังคมขุนนางนั้น “ข้อเท็จจริง” ไม่ได้เท่ากับ “ความจริง” เสมอไป
「ยิ่งไปกว่านั้น เขายังวิจารย์ดยุคลูซิเอลว่าถ้านักบุญดาบออกัสตินแห่งตระกูลลูซิเอลอยู่ที่นี่ด้วยละก็ ความเสียหายก็คงจะน้อยกว่านี้」
「ดยุคเอเบนกับดยุคลูซิเอลไม่ได้เห็นมันกับตานี้นะ… ถ้างั้น ฝ่าบาท ข้าคงต้องขอตัวก่อน」
「หืมมม… เจ้ากำลังจะกลับไปที่ดินแดนของเจ้าสินะ หา ข้าต้องขอขอบคุณความภักดีที่ไม่เปลี่ยนแปลงของเจ้าด้วยนะ เอิร์ลชายแดนมิลว์」
「อืม」
「ข้าจะไม่มีวันลืมเสียงตะโกนของเจ้าในครั้งนั้นเลย」
「…เจ้าบ้าเอ้ย」เอิร์ลชายแดนพูดด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแบบโหดๆก่อนจะออกไปจากห้อง
「ฝ่าบาทครับ “เสียงตะโกน” นั่นคืออะไรหรือครับ…?」เจ้าชายคลูฟชราทถามขึ้น
「…เจ้าเองก็ควรมีเพื่อนนะ เพื่อนที่เจ้าจะสามารถพึ่งพาและฝากฝังทุกอย่างให้ได้หน่ะ」
มันแทบจะเหมือนกับว่าเขากำลังบอกเรื่องนี้กับตัวเองอยู่
มีปัญหามากมายกำลังรอราชันศักดิ์สิทธิ์อยู่ต่อจากนี้ไป โดยเฉพาะการอธิบายให้ขุนนางถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในงานพิธีมอบหินสกิล—ซึ่งสุดท้าย เขาก็เตรียมตัวเอาไว้แล้วว่าจะอธิบายตามความจริงไป
เนื่องจากนี้มันยังคาบเกี่ยวกับเรื่องการยุบตระกูลริเวียร์ที่เป็น 1 ใน 6 ดยุคผู้ยิ่งใหญ่ด้วย ความวุ่นวายอย่างใหญ่หลวงก็คงเป็นสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้
「คลูฟชราท เจ้าคิดยังไงกับพี่ชายและพี่สาวของเจ้ากัน?」
「ทั้งคู่เป็นคนที่ยอดเยี่ยมมากครับ ผมมั่นใจว่าท่านพี่จะต้องได้กลายเป็นราชันศักดิ์สิทธิ์คนถัดไปและครองราชย์อย่างสง่างาม– โอ๊ะ ไม่ครับ ผมไม่ได้หมายความว่าท่านพ่อ– ผมหมายถึง ฝ่าบาทจะครองราชย์ไม่สง่างามหรอกนะครับ!」
「ข้ารู้」
ราชันศักดิ์สิทธิ์หลับตาลงแล้วลูบหัวของคลูฟชราท
ความรู้สึกของเขาในฐานะพ่อคนทำให้เขาตัดสินในผิดพลาด ส่งผลให้เกิดความโกลาหลขึ้น
ถึงยังงั้น เขาก็ยังคงไม่สามารถละทิ้งตัวเองในฐานะพ่ออยู่ดี
「…เอาละตอนนี้ ข้ายังมีงานในฐานะราชันศักดิ์สิทธิ์ที่ต้องทำอยู่ ข้าคงต้องไปแล้ว」
「ครับ รักษาตัวด้วยนะครับ ฝ่าบาท」
ราชันศักดิ์สิทธิ์ยืนขึ้นก่อนจะก้าวออกจากโถงเข้าเฝ้า คลูฟชราททำการก้มหัวของเขา
「…………」
สีหน้าของคลูฟชราทในตอนที่เขาเงยหน้าขึ้นมานั้นมืดมน
เขาเองก็รู้ดี ว่าเขาถูกช่วยเอาไว้โดยการสังเวยชึวิตของหลุยส์ – เด็กชายที่สามารถเรียกว่าเพื่อนได้
เขาไม่เข้ารู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น และในตอนที่เขารับรู้ทุกอย่างมันก็สายเกินไปแล้ว ขณะที่เขาหวาดกลัวเมื่อคิดว่าเขาอาจจะตายก็ได้ เขาก็ยังคงรู้สึกผิดที่รอดมาได้ด้วยความตายของคนอื่น
เขาคิดว่าถ้าความตายนั้นเป็นหน้าที่ของราชวงศ์ศักดิ์สิทธิ์ มันก็ควรจะเป็นไปตามนั้น
「สงสัยจังว่ามิสอีวาจะทำอะไรอยู่นะ…」
คลูฟชราทนึกถึงเด็กสาวผู้งดงามในตอนนั้น ลูกสาวของเอิร์ลซิวลิซส์ผู้ซึ่งเป็นมือขวาของพ่อของเขา เด็กสาวผู้ซึ่งถูกคุ้มกันโดย “วีรบุรุษ” ที่หยุดหายนะครั้งใหญ่เอาไว้
ตอนงานพิธีนั้นเธอดูไม่ค่อยดี ทว่า–
「…………」
คลูฟชราทส่ายหัว เขารู้ว่าเขานั้นหลงใหลเธอ แต่เขาไม่ได้อยู่ในจุดที่จะทำแบบนั้นได้
(ความจริงก็คือ ผมควรจะตายไปแล้ว)
ถ้างั้น
「ผมจะทุ่มเททั้งชีวิตเพื่อประเทศนี้…」
เหตุการณ์ในครั้งนี้ได้สร้างเงามืดให้กับพระราชวังศักดิ์สิทธิ์ จนถึงจุดที่เด็กชายอายุเพียง 12 ปีจะต้องแบบรับความโศกเศร้าเหล่านี้เอาไว้
บทที่ 2 ตอนที่ 57
ผมบังเอิญพบเข้ากับดันเต้ซังที่กำลังออกมาซื้ออาหารเช้าเข้าในตอนที่ผมมาถึงโรงแรมกระบองเพชรสีเงิน
「เฮ้ นายมาเร็วกว่าที่คิดนะเนี้ย หืมม คนๆนั้นคือ…」
ขณะที่รู้สึกโล่งใจเพราะดันเต้ซังทำตัวเหมือนกับเมื่อก่อน ผมก็แนะนำตัวให้กับเซอรี่ซัง
「นี้คือเซอรี่ซังครับ เธอเป็นมนุษย์สัตว์ที่อยู่ในกองทหารรับจ้างเขี้ยวทมิฬเดียวกับไรเครียซังครับ และเธอก็เป็นคนช่วยพาผมหนีออกมาจากสหพันธ์คีทแกรนด้วยครับ」
「ยินดีที่ได้รู้จักน้า」เซอรี่ซังพูด
「ไรเครีย…」
ดันเต้ซังจมอยู่ในความคิดแปปหนึ่งก่อนจะยิ้มตอบกลับมา
「พวกเราควรกลับไปที่โรงแรมกันก่อนดีไหม? ทั้งมิมิโนะกับน็อนจะต้องตกใจแน่ๆ พวกเธอคิดว่านายจะต้องมาหาในอีก 5 หรือ 10 เป็นอย่างน้อยเลยนะ」
「คือ เมื่อวานผมก็มานะครับ…」
「ใช่ แต่ว่าน็อนพูดว่ามันเป็นไปไม่ได้ที่นายจะออกมาในช่วงเวลานี้หน่ะ」
งั้นหรอ… น็อนซังคงคิดว่าผมเลือกที่จะทำงานให้กับเอิร์ลซินะ
จากนั้นพวกเราก็เข้าไปในโรงแรมและตรงไปยังห้องที่ซิวเวอร์บาลานซ์อยู่ ดูเหมือนดันเต้ซังกับพวกผู้หญิงจะนอนคนละห้องกันนะ ผมก็สงสัยว่าทำไมถึงไม่นอนห้องเดียวกัน แต่ก็ถูกบอกมาว่า “เจ้าของโรงแรมไม่ชอบความคิดนั้น…” ด้วยน้ำเสียงเหงาๆ ดังนั้นผมจึงรู้ได้ทันทีว่ามันไม่ใช่หัวข้อที่ผมควรขุดคุ้ยไปมากกว่านี้แล้ว
ดันเต้ซังยกนิ้วชี้มาที่ริมฝีปากของเขาแล้ว “ชู่ววว…” เบาๆพร้อมกับขยิบตาให้ผม และเคาะไปที่ห้องของสาวๆ
「–ใครหน่ะ?」
「ข้าเอง เปิดหน่อยสิ」
「คุณพ่อ? นี้ยังเช้าอยู่เลยนะคะ?」
เมื่อประตูที่แง้มออกมาเล็กน้อย ดันเต้ซังก็รีบชะโงกหน้าเข้าไปในห้องทันทีพร้อมกับหยุดไม่ให้ประตูเปิดไปมากกว่านี้
「คือว่า ข้ายังช้อปปิ้งไม่เสร็จหรอก… แต่ลองเดาดูสิว่าข้าเจอใครระหว่างทาง?」
ผมสัมผัสได้ว่าทั้งมิมิโนะซังกับน็อนซังกำลังถอนหาใจตอบกลับคำพูดติดตลกของเขา
「คุณพ่อ… หนูจะโกรธจริงๆนะคะถ้าพ่อพา “เพื่อนดื่ม” มาเหมือนเมื่อเดือนที่แล้วแบบนั้น」
「—ห้ามดื่มไป 1 เดือมเต็มเลยด้วย」มิมิโนะซังพูด
ดันเต้ซัง คุณไปทำอะไรมากันแน่เนี้ย…
「เธอเป็นคนรักษาเขาเองไม่ใช่หรอ หนุ่มน้อย? ตอนนี้พอเขาหายดีก็เริ่มหยอกล้อกับพวกผู้หญิงซะแล้ว ให้ตายสิ คนแบบนี้นี้ใช้ไม่ได้เอาซะเลย…」
อย่างคุณนี้พูดได้หรอครับ เซอรี่ซัง? คนที่เมาหัวทิ่มอยู่ตรงมุมถนนแบบนั้นหน่ะ…
「คะ-ครั้งนี้ข้าไม่ได้ล้อเล่นนะ เป็นสหายของพวกเราจริงๆ– อุ๊ก!!」
ดันเต้ซังถูกพลักออกไปแล้วประตูก็เปิดออก
「「เรย์จิคุง!?」」
มิมิโนะซังกับน็อนซังก็ได้โพล่ออกมา
「เธอมาจริงๆด้วย! โอ้ ตายแล้ว นั่นเสื้อที่ชั้นถักให้เธอนี้!」มิมิโนะซังพูด
「นะ-นี้ เรย์จิคุง เธอลาออกจากงานของตระกูลเอิร์ลแล้วหรอ?」
「ครับ」
ทั้งสองคนลูบหัวผมอย่างมีความสุขไปสักพัก
ผมยิ้มออกมา ก็ช่วยไม่ได้นี้ เห็นทั้งสองคนแบบนี้ผมก็อดที่จะยิ้มออกมาไม่ได้
「หลังจากนี้จะมีปัญหาตามมาอีกแล้วละครับ」ผมพูด
หลังจากนั้น พวกเราก็ออกมาจากโรงแรมเป็นการชั่วคราว, ซื้ออาหารกลางวันจากร้านแผงลอยข้างทาง แล้วนั่งคุยไปกินไปที่ม้านั่งสาธารณะ
ผมเล่าสถานการณ์ของผมให้พวกเขาฟังทุกอย่าง—ถึงจะยกเว้นเรื่องสัญญาของผมกับคุณหนูก็เถอะ—เล่ายาวเป็นชั่วโมงเลย
「…นายลำบากมามากเลยสินะ หา…」ดันเต้ซังพูดด้วยสีหน้าจริงจัง
「ก็ครับ แต่มันก็มีเรื่องดีๆอยู่เหมือนกันนะครับ」
「นี้ไม่ใช่แค่ลำบากแล้ว นี้มันโหดร้ายเกินไปแล้วต่างหาก! ขุนนางในประเทศนี้เป็นพวกปัญญาอ่อนที่ตอบแทนคนอื่นด้วย– อู้!」
「จ้าๆ มิมิโนะซัง พวกเราเข้าใจแล้ว เงียบๆหน่อยสิจ๊ะ~ วิจารย์ขุนนางในที่สาธารณะแบบนี้จะพามาแต่ปัญหานะจ๊ะ~」
ทำดีมากครับ น็อนซัง!
「งั้น ข้าคิดว่าพวกเราควรจะออกไปจากเมืองศักดิ์สิทธิ์กันวันนี้เลย อยู่นานไปกว่านี้ก็น่าจะไม่ดีแน่」
「เอ๋… แต่คุณพ่อคะ พวกเรายังมีคำขอจากกิลด์ที่ยังไม่เสร็จอยู่เลยนะคะ」
「ยกเลิกให้หมด」
「…ฮึมมม」
เป็นไปได้ด้วยหรอที่จะยกเลิกคำขอจากกิลด์นักผจญภัยหน่ะ? เมื่อผมมองไปที่เซอรี่ซัง
「พวกนายคือ “ซิวเวอร์บาลานซ์” ที่เป็นปาร์ตี้แรงค์ทองใช่ไหม?」เซอรี่ซังถามขึ้น
「ใช่」ดันเต้ซังตอบ
「ถ้างั้น บทลงโทษในการยกเลิกคำขอจะไม่สูงไปหน่อยหรอ?」
เอ๊ะ จริงดิ!? …ไม่สิ ก่อนหน้านั้น!
「แรงค์ทอง!?」
「โอ๊ะ จริงสิ ข้ายังไม่ได้บอกนายสินะ เรย์จิ แต่จริงๆแล้วข้าได้เลื่อนแรงค์… ถึงมันจะล่วงหลังจากบทลงโทษนี้ก็เถอะ แต่ช่างมันสิ」
「ไม่นะ…」
「ยังไงซะ ข้าก็จะถูกลงโทษจากที่ก่อเรื่องขึ้นที่กิลด์เมื่อวานอยู่แล้ว」
ไปทำอะไรมากันแน่ครับเนี้ย ดันเต้ซัง… เป็นตอนที่น็อนซังบอกว่าดันเต้ซังกับมิมิโนะซังไปที่กิลด์เพื่อสั่งสอนยังงั้นหรอ!?
「แล้วก็ข้าสามารถชนะพวกที่อยู่ต่ำกว่าแรงค์เงินในกิลด์ได้ด้วยนะ แต่ก็อาจจะเสมอกับพวกแรงค์ทองอยู่! ไม่สิ มีพวกแรงค์ทองที่ค่อนข้างเก่งอยู่ในเมืองนี้ด้วยนี้นะ!」
「ดันเต้ซัง… นี้คุณกลายเป็นพวกสมองกล้ามไปแล้วหรอครับเนี้ย?」
「ใช่แล้วละ เรย์จิคุงต้องรับผิดชอบที่ทำให้คุณพ่อกลายเป็นแบบนี้ด้วยนะ」
「ผมหรอ!?」
「ใช่แล้ว ความผิดเรย์จิคุงเลย」
「ขนาดมิมิโนะซังก็ยังพูดแบบนั้น!?」
ถึงจะนอกเรื่องไปบ้าง แต่ทุกคนก็ดูจะเห็นตรงกันว่าจะยกเลิกคำขอของกิลด์
「ขอบคุณครับ แต่ผมเองก็ต้องขอโทษด้วยจริงๆนะครับ」
「ไม่เป็นไรหรอก เรย์จิคุงอุตส่าห์กลับมาเข้าร่วมซิวเวอร์บาลานซ์ทั้งที!」มิมิโนะซังพูด
ผมสงสัยจังว่ามันจะไม่เป็นไรจริงๆหรอที่ผมจะทำแบบนี้
การต้อนรับอย่างอบอุ่นเป็นกันเองแบบนี้ทำให้ผมทั้งรู้สึกแย่และดีใจในเวลาเดียวกันเลย
ขณะที่ผมกำลังครุ่นคิดอยู่นั้น
「แล้วก็นะ เธอคือเซอรี่ซัง ผู้ที่ถูกเรียกว่า “สปายแคท (Spy Cat)” สินะ?」
「เอ๋!?」
ซะ-เซอรี่ซังมีชื่อเล่นอย่างนั้นหรอ…!?
「นุฟุฟุฟุ หนุ่มน้อย ตกใจใช่ไหมล้า? ใช่แล้วละ เค้ามีชื่อเล่นด้วยนะ」
「ฟังดูเห่ยชะมัด!」
「หว่ะ!?」เซอรี่ซังช็อค
แต่ว่า “สปายแคท” งั้นหรอ? ฟังดูเห่ยจริงๆนั่นแหล่ะ ฟังดูเหมือนกับชื่อเล่นที่ตั้งให้แมวในคาเฟ่แมวเลย แบบประเภทมาสคอตชัดๆ
「ยะ-ยังไงก็เถอะ… เค้าเองก็เห็นด้วยที่หนุ่มน้อยควรจะออกไปจากเมืองศักดิ์สิทธิ์ให้เร็วที่สุดที่จะเป็นไปได้นะ…」
เซอรี่ซัง อย่าง่อยไปเลยครับ ต่อให้ไม่มีชื่อเล่น ผมก็รู้ถึงความสามารถของคุณดีครับ และก็เรื่องที่คุณแย่เกินเยียวยาแล้วด้วย
「เมื่อตกลงกันได้แล้วละก็ พวกก็ควรเตรียมตัวกันเดี๋ยวนี้เลย」
ถึงแผนของพวกเขาจะเปลี่ยนกระทันหันเพราะผม ดันเต้ซังก็ยังพูดออกมาด้วยน้ำเสียงสดใสเพื่อไม่ทำให้ผมรู้สึกผิด
「เรย์จิ อย่าทำหน้าแบบนั้นเลย ข้าโคตรจะมีความสุขเลยตอนนี้ ร่างกายของข้าแข็งแรงดี และข้าเองก็สามารถออกเดินไปกับลูกสาวคนเดียวของข้า, สหายที่อยู่ด้วยกันมานานของข้า, และก็คนที่ช่วยชีวิตข้าได้ด้วย ไม่มีอะไรที่ข้าหวังไปมากกว่านี้แล้วละ」
「…ดันเต้ซัง」
บางทีอาจจะเป็นเพราะไม่ได้นอนก็ได้ แต่ผมรู้สึกอย่างกับจะร้องไห้ออกมาเลย
ความใจดีของผู้คนมากมายได้ช่วยชีวิตผมเอาไว้หลายครั้งแล้ว และกว่าครึ่งก็มาจากสมาชิกของซิวเวอร์บาลานซ์นี้
ผมจะสามารถตอบแทนพวกเขาแม้จะเพียงน้อยนิดได้ไหมนะ?
ถึงผมจะรักษาคำสาปไปแล้ว แต่ผมก็ยังไม่ได้ตอบแทนอะไรมิมิโนะซังเลย
ผมอยากจะไปยังจักรวรรดิเวทมนตร์เลฟเพื่อพบลูลูช่าซัง หลังจากนั้นผมก็อยากจะตามหาลาร์ค บางทีเมื่อเสร็จสิ้นทุกอย่างแล้ว ผมก็อาจจะสามารถหาอะไรที่ผมอยากจะทำร่วมกับทุกคนจากซิวเวอร์บาลานซ์ก็ได้
「…อ้า แล้วก็เซอรี่ซังเองก็จะติดสอยห้อยตามไปกับเราด้วย จะไม่เป็นไรใช่ไหมครับ?」
「โหดร้ายมากเลยนะ หนุ่มน้อย! เค้าจะตามเธอไปด้วยไม่ว่าเธอจะไปที่หนายยย!」
ขณะที่เซอรี่ซังพูดแบบนั้น มิมิโนะซังก็เข้ามาอยู่ข้างๆผม
「ชั้นก็ไม่ได้แบ่งแยกอะไรกับมนุษย์สัตว์หรอกนะ แต่ชั้นคิดว่ามนุษย์สัตว์คนนี้จะเป็นตัวอย่างที่ไม่ดีกับเธอนะ เรย์จิคุง เธอไม่ควรจะเลียนแบบคนๆนี้มากเกินไปนะ」
「นี้ นั่นมันแบ่งแยกกันชัดๆเลยนะ!?」
「ไม่เป็นไรหรอกครับ มิมิโนะซัง กลับกัน ผมต่างหากที่จะต้องสอนอะไรหลายๆอย่างกับคนๆนี้ด้วย」
「หนุ่มน้อย!? เค้าเองก็ทำเต็มที่แล้วนะ รู้ไหม้!?」
「อย่างการจ่ายหนี้ของตัวเอง」
「อุ๊…」
ผมหัวเราะให้กับเซอรี่ซังที่ทำท่าราวกับปวดท้องแล้วพยายามที่จะหนี มิมิโนะซังเองก็หัวเราะเหมือนกัน น็อนซังนั้นนิ่งเงียบ ส่วนดันเต้ซังกำลังพึมพำอะไรบางอย่างกับตัวเอง
หลังจากนั้นพวกเราก็กลับไปยังโรงแรม, เก็บข้าวเก็บของ, และตรงไปยังกิลด์นักผจญภัย เมื่อพวกเราเข้าไป เหล่านักผจญภัยที่เห็นดันเต้ซังก็หน้าซีดแล้วถอยห่างเขาไปไกลมากเลย… ให้ตายสิ นี้คุณไปทำอะไรเอาไว้กันแน่เนี้ย ดันเต้ซัง…
เจ้าหน้าที่กิลด์ถอนหายใจแล้วดำเนิกการยกเลิกคำขอในขณะที่ประกาศการลดขั้นของซิวเวอร์บาลานซ์เป็นแรงค์เงิน อย่างไรก็ตาม ทั้งดันเต้ซัง, มิมิโนะซัง, และน็อนซังก็ไม่มีท่าทีสนใจอะไรทั้งนั้น จากนั้นพวกเราก็รับคำร้องขนส่งจดหมายไปที่จักรวรรดิเวทมนตร์เลฟ – ดูเหมือนว่ามันจะมีกฏข้อห้ามอะไรบางอย่างที่ห้ามไม่ให้เข้าประเทศถ้าไม่มีคำร้องอันนั้น ผมไม่เห็นจะรู้มาก่อนเลย
หลังจากออกมาจากกิลด์ สิ่งเดียวที่เหลืออยู่ก็คือการมองหารถม้าแล้วออกไปจากเมืองศักดิ์สิทธิ์ ไม่มีใครไล่ตามผมมา ทว่าเมื่อผมขึ้นไปบนรถม้า ผมก็สัมผัสได้ถึงสายตาของใครบางคน …ใช่คนของดยุคเอเบนหรือใครสักคนหรือเปล่านะ? หลังออกมาจากเมือง ผมก็ไม่รู้สึกอะไรอีกเลย
การเดินทางบนรถม้านั้นยาวนานมากๆ พวกเราพูดคุยกันเยอะแยะเลย
ดันเต้ซังหัวเราะพร้อมกับพูดว่า “ครั้งแรกที่พวกเราพบกันก็เพราะงู และที่พวกเรากลับมาพบกันได้ก็เพราะงูอีก”
น็อนซังดูจะชำนาญ【เวทย์แสง】แล้ว และสำหรับโบสถ์เองก็มีคนเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่มีความเข้ากันได้กับ【เวทย์แสง】ด้วย ดังนั้นดูเหมือนพวกเขาจะไม่มีความคิดที่จะปล่อยเธอไปเลย
น็อนซังยังพูดกับผมอีกว่า “มันค่อนข้างแปลกเลยนะที่เธอสามารถยิงเวทย์ไฟได้ต่อเนื่องแบบปิ้วๆๆแบบนั้นหน่ะ แถมยังใช้เวทมนตร์ขั่วตรงข้ามกันในเวลาเดียวกันด้วย”
อย่างไรก็ตาม มิมิโนะซังก็ตอบกลับอย่างภูมิใจสุดๆว่า “มันก็ไม่แปลกนี้ นั่นเรย์จิคุงเลยนะ” …อืม ผมเริ่มจะเห็นภาพ “พ่อแม่ตามใจลูก” จากตัวของมิมิโนะซังแล้ว
“โพชั้นลอกเลียนแบบ” ที่ใช้โดยมิมิโนะซังในตอนที่สู้กับอูโรโบรอสนั้นดูจะเป็นของที่ทำขึ้นจากวัตถุดิบหายาก และมันก็ถูกเก็บเอาไว้ใช้เป็นไพ่ตายในจังหวะสำคัญด้วย “ชั้นจะต้องทำมันใหม่อีกแล้ว” เธอพูดแบบนั้นโดยไม่มีท่าทีเสียใจใดๆเลย กลับกันยังดูมีความสุขซะอีก ดังนั้น ผมคิดว่ามันก็คงจะไม่เป็นอะไรละมั้ง…?
และก็อีกอย่าง ดูเหมือนว่าภาคีอัศวินจะได้ชิ้นส่วนแทบทั้งหมดของอูโรโบรอสไป ทว่ากิลด์นักผจญภัยเองก็สามารถเอามาได้เล็กน้อยอยู่ และดันเต้ซังนั้นสามารถเก็บอัญมณีที่ผมทำลายไปอันที่อยู่ข้างในหัวของมันมาได้ เขาหัวเราะพร้อมกับพูดว่า “ช่างน่าเศร้าที่พวกเราสามารถเอามาได้แค่นี้ แต่ก็ดีกว่าไม่ได้อะไรเลยละนะ” ทว่าเมื่อผมมองมันผ่าน【World Ruler】มันดูจะเก็บสะสมมานาจำนวนมหาศาลเอาไว่… หะ-เห้ย มานาขนาดนี้ไม่ใช่เล่นๆเลย ตรวจสอบมันอย่างใกล้ชิดดีกว่า…
ต่อให้พวกเราจะพูดคุยกันมากแค่ไหน พวกเราก็ไม่เคยหมดหัวข้อคุยกันเลย ก็เหมือนกับผม ซิวเวอร์บาลานซ์เองก็แข็งแกร่งมากขึ้นตลอด 4 ปีที่ผ่านมานี้ โชคไม่ดีที่ไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับลาร์คหรือ【ราชาเงา★★★★★★】เลย
เมืองศักดิ์สิทธิ์แห่งคูวานยู เมืองขนาดมหึมาที่สามารถเห็นได้จากไกลๆ ในที่สุดก็ลับหายไปจากสายตาแล้ว และหลังจากนั้นพวกเราก็ยังคงเดินทางต่อด้วยรถม้าวันแล้ววันเล่า
ทุกๆครั้งที่ผมผ่านเมือง ผมก็รู้สึกว่าหัวใจอันแตกร้าวของผมนั้นกำลังสงบลง
ผมได้ทำทั้งสิ่งที่ผิดพลาดและถูกต้องไปหลายอย่างในเมืองศักดิ์สิทธิ์ แน่นอนว่ามีหลายครั้งที่ผมรู้สึกเสียใจ ทว่าผมก็เก็บพวกมันเอาไว้ใกล้ๆกับหัวใจแล้วมองไปยังอนาคต
ผมมั่นใจว่าคุณหนูเองก็คงจะทำแบบเดียวกันอยู่
(…คุณหนูครับ ไว้พบกันใหม่ในสักวันนะครับ)
ท้องฟ้าที่พวกเราเห็นยามเงยหน้ามองนั้นคือท้องฟ้าผืนเดียวกัน ทั้งดวงดาวดว
งเดียวกันและก้อนเมฆก้อนเดียวกัน
พวกเราจะต้องได้พบกันอีกครั้งแน่ๆ
เมื่อถึงตอนนั้น คุณหนูจะเดิบโตเป็นนายหญิงที่แสนวิเศษแล้วหรือเปล่านะ? หรือเธอจะยังคงเป็นคุณหนูคนเดิมที่ร้องขอเรื่องไม่เป็นเรื่องกับผมเหมือนเดิมกัน?
รูปลักษณ์ของเธอจะต้องเปลี่ยนไปแน่นอนอยู่แล้ว แต่ตัวตนของเธอก็คงจะเหมือนเดิมแน่ๆ
ก็นั่นคือคุณหนูซะอย่าง ผมมั่นใจว่าเธอจะต้องไม่เปลี่ยนไปแน่ๆ
พวกเรากำลังมุ่งหน้าไปยังประเทศแห่งเวทมนตร์และเทคโนโลยี “จักรวรรดิเวทมนตร์เลฟ” — เพื่อพบกับลูลูช่าซัง หนึ่งในเป้าหมายของการเดินทางของผม
สายลมร้อนๆพัดขึ้นมาจากพื้นสู่รถม้า
ฤดูกาลกำลังแปรเปลี่ยน ฤดูร้อนกำลังใกล้เข้ามาแล้ว
บทที่ 2 ตอนที่ 56
「อา ให้ตายสิ… ผมร้องออกมาเยอะจริงๆ มันก็นานแล้วนะที่ไม่ได้ร้องไห้ออกมาแบบนี้」
ขณะที่ผมผ่าน “เขตศักดิ์สิทธิ์ที่ 3” ในที่สุดอารมณ์ของผมก็สงบลงซะที เมื่อผมเอาผ้าเช็ดหน้าออกมาจากกระเป๋าเพื่อเช็ดน้ำตา ผมก็รู้ตัวว่าผมเช็ดน้ำตาของคุณหนูด้วยผ้าผืนนี้… แล้วความรู้สึกก็เริ่มพรั่งพรูกลับมาอีกครั้ง ดังนั้นผมจึงรีบเก็บมันไปทันที
เมื่อผมเข้าไปยัง “บล็อก 4” โดยใช้ตราสัญลักษณ์ของตระกูลซิวลิซส์
「เซอรี่ซัง อยู่ตรงนั้นใช่ไหมครับ?」
「อุ๊ป รู้ตัวแล้วงั้นหรอ? ไม่ดีเลยนะ หนุ่มน้อย」
คนที่เดินออกมาจากเงามืดของอาคารก็คือเซอรี่ซัง มนุษย์สัตว์เผ่าแมวผู้ชื่นชอบการผนันที่เป็นผู้ร่วมเดินทางกับผม
ดูเหมือนว่าเซอรี่ซังจะยังคอยเฝ้าระวังหลังจากที่เกิดเรื่องขึ้นเมื่อวานอยู่ ถึงเธอนั้นไม่ใช่คนประเภทที่จะะมาคอยดูแลผมตลอด 24 ชั่วโมงเลยก็เถอะ ดังนั้นผมคิดว่ามันคงเป็นข้อยกเว้นเฉพาะวันนี้ละนะ
「เซอรี่ซังแย่ยิ่งกว่าผมอีกที่มาแอบดูแบบนี้… ช่างเป็นนิสัยที่แย่จริงๆเลยครับ ยิ่งไปกว่านั้น ผมประหลาดใจมากเลยนะครับที่คุณสามารถลอบเข้าไปในเขตศักดิ์สิทธิ์ที่ 3 ได้แบบนั้น」
「มันง่ายเหมือนปอกกล้วยเลยละ แต่ก็แน่นอนว่าที่เขตศักดิ์สิทธิ์ที่ 2 นั้นอันตรายกว่ามาก ดังนั้นชั้นจึงไม่ได้เข้าไปที่นั่นหรอกนะ」
「ระบบรักษาความปลอดภัยมันอันตรายอย่างนั้นหรอครับ?」
「ชั้นหมายถึงมันอันตรายถ้าถูกจับได้หน่ะ ลอบเข้าไปหน่ะง่ายมากๆเลย」
「…………」
นี้ระบบรักษาความปลอดภัยของประเทศนี้มันแย่ขนาดนั้นเลยหรอ? หรือว่าเซอรี่ซังสุดยอดมากกันแน่นะ?
「มีอะไรหรือ หนุ่มน้อย?」เซอรี่ซังถามขึ้นพร้อมกับสีหน้าสงสัย
…หืมมม ผมคิดว่ามันอาจจะเป็นไปได้มากกว่าที่ระบบรักษาความปลอดภัยของประเทศนี้มันห่วยก็ได้
「คิดอะไรที่มันเสียมารยาทกับชั้นอยู่ใช่ไหมหน่ะ?」
「ทุกครั้งที่ผมคิดเกี่ยวกับคุณเซอรี่ซัง แทบทั้งหมดมันก็เสียมารยาทหมดนั่นแหล่ะครับ」
「หว่า!? ชั้นจะไม่เมินเฉยนั่นหรอกนะ! ถึงเธอจะอกหักก็ตามนะ หนุ่มน้อย!」
「หะ-หา!? อกหักอะไรกัน!?」
「ก็นั่นไงหล่ะหนุ่มน้อย! ที่มักจะปรากฏในเรื่องราวความรักดังๆ ที่สองคู่รักจะต้องแยกจากกันด้วยความต่างทางฐานะทางสังคมนั่นหน่ะ!」
「ฮ่าาา… มันไม่ใช่อย่างนั้นหรอกครับ ตัวคุณหนูก็เหมือนกับ… ผมแค่อยากจะเธอเติบโตมาด้วยความรัก… เป็นอิสระโดยไม่ถูกขัดขวางจากใคร ผมแค่อยากจะปกป้องเธอ… อย่างเงียบๆ, ภูมิใจ…」
「…………」
ทำไมเซอรี่ซังถึงมองผมเหมือนกับผมพูดอะไรผิดไปกันละ!?
คิดว่าคงเป็นความผิดของผมที่พยายามจะนำ “*อร่อยเดียวดาย” มาใช้ในโลกนี้ละนะ
「อะ-อะแฮ่ม แค่ล้อเล่นหน่ะครับ ยังไงก็เถอะ ระหว่างผมกับคุณหนูไม่ได้เป็นแบบนั้นหรอกครับ และผมมั่นใจว่าพวกเราจะต้องได้พบกันอีกแน่ในสักวันนึง」
「อย่างงั้นหรอ? งั้น หนุ่มน้อย ทำไมเธอถึงทำตัวเองจนมุมอย่างนั้นซะละ?」
「รู้ได้ยังไงกันครับ เซอรี่ซัง?」
「ชั้นมั่นใจเลยว่าเธอหนีออกมาเพราะแค่เรื่องผมสีดำกับตาสีดำของเธอมันแดงแล้วใช่ไหมละ?」
「…………」
ทำไมถึงรู้ละ?! สังหรณ์ของผู้หญิงงั้นหรอ?!
「…สถานการณ์มันเสี่ยงกว่าที่คุณคิดไว้ครับ เซอรี่ซัง ดยุคเอเบนส่งทหารกว่า 100 นายมาจับผมเลยนะครับ」
「หยึย จริงดิ? งั้นที่ชั้นอยู่กับเธอก็อันตรายไม่ใช่หรอเนี้ย!?」
「หืมมม แต่ถ้าคุณไปคนเดียว คุณก็จะได้ติดหนี้ไปตลอดกาลใช่ไหมละครับ?」
「ไม่ต้องห่วงเรื่องนั้นหรอกหน่า! ครั้งหน้าชั้นจะต้องชนะแน่ๆ!」
สมกับเป็นความคิดของพวกเสพติด คนๆนี้เกินเยียวยาไปซะแล้ว
ถึงผมจะยังเหนื่อยๆอยู่ แต่ผมก็อธิบายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนี้ให้ฟังอย่างง่ายๆ
「หืมมม แต่ว่านะ หนุ่มน้อย…」
「ครับ?」
「ชั้นสงสัยจริงๆนะว่า… ถ้าเธอคิดจะส่งคุณหนูกลับตั้งแต่แรกแล้ว แล้วทำไมเธอถึงพาเธอมาตั้งแต่แรกด้วยละ?」
「อา อืม เรื่องนั้นก็…」
「ชั้นหล่ะรู้สึกสงสารเอิร์ลจริงๆหลังจากที่ได้ยินเรื่องทั้งหมดมานี้」
「จริงๆแล้ว ผมคิดแค่ว่าผมจะทำให้เขารู้สึกขมขื่นสักครั้งในชีวิตเพื่อตัวเขาเองหน่ะครับ เพราะงั้น…」
「หยึย หนุ่มน้อย เธอนี้มันปีศาจชัดๆ…」
เซอรี่ซังทำหน้าบูดบึ้งสุดๆ
「ผมเองก็กังวลนะว่าผมอาจจะไปทำให้คุณหนูเจ็บปวดในตอนที่ทำก็ได้…」
「ถ้าเธอสนใจเอิร์ลขนาดละก็ เธอก็ควรจะอยู่กับเขานะ」
「ก็อย่างที่ผมบอกก่อนหน้านี้ครับ เอิร์ลนั้นไม่สามารถเอาชนะดยุคได้หรอกครับ ดูเหมือนตอนนี้ฝ่าบาทราชันศักดิ์สิทธิ์จะหนุนหลังผมอยู่ก็จริง แต่ “ผมสีดำตาสีดำ” ที่ถือว่าเป็นของ “เด็กแห่งหายนะ” เนี้ยดูจะเป็นสิ่งต้องห้ามอย่างมากสำหรับสังคมชนชั้นสูงยิ่งกว่าที่ผมคิดเอาไว้ซะอีกครับ เอิร์ลนั้นเป็นคนประเภทที่คิดถึงแต่คุณหนู ดังนั้นเขาดูจะไม่ได้คิดอะไรมากเกี่ยวกับความเสี่ยงที่จะเก็บผมเอาไว้ครับ ดูจากสิ่งที่ตระกูลเอเบนทำในวันนี้ ผมมั่นใจเลยว่าตระกูลดยุคอื่นๆเองก็จะต้องทำตามแน่ๆครับ」
ไม่ใช่ใครที่ไหนแต่เป็นตัวเซอรี่ซังเองที่พูดว่า — “ใครที่ถือครองอำนาจนั้นน่ากลัวที่สุด”
สิ่งที่เธอพูดนั้นเป็นความจริง 100%
「ถ้าอย่างนั้น〜 ออกไปจากประเทศนี้กันดีกว่า」เซอรี่ซังพูด
「ครับ มาทำแบบนั้นกันดีกว่าครับ」
น้ำเสียงของเซอรี่ซังนั้นมักจะเอื่อยๆ บางทีเธอคงจะตรัสรู้แล้วว่ามันง่ายกว่าที่จะใช้ชีวิตในโลกนี้โดยที่ไม่คิดอะไรให้มากความ
ในตอนที่พวกเรามาถึงบล็อก 6 ท้องฟ้ายามค่ำคืนก็เริ่มจะเรือนรางและรุ่งสางก็ใกล้เข้ามาแล้ว เมื่อผมเข้าไปยังโรงแรมของเซอรี่ซัง มันโคตรจะรกรุงรังสุดๆไปเลย ดังนั้นผมจึงขอให้พนักงานโรงแรมทำความสะอาดมันแล้วมอบเงินจำนวนนึงแทนค่าเสียเวลาของเขา ของส่วนตัวของผมนั้นไม่ได้เก็บเอาไว้ที่คฤหาสน์ของเอิร์ลแต่เป็นที่ห้องนี้ – ทั้งหมดของผมก็มีเพียงแค่กระเป๋าใบเดียวเท่านั้นเอง สัมภาระที่อยู่ที่คฤหาสน์ของเอิร์ลนั้นมีเพียงแค่เงินเดือนของผมที่ไม่ได้แตะต้องใดๆเลย ผมบอกว่าจะ “คืน” มัน ดังนั้นผมก็เลยปล่อยเอาไว้ที่นั่นแบบนั้น
ส่วนเสื้อผ้าที่ผมได้รับมาในฐานะคนคุ้มกันนั้น… ผมควรจะทิ้งไปดีไหมนะ? มันหลุดลุ่ยเล็กน้อยจากการต่อสู้ครั้งที่แล้วด้วย
「แล้ว เธอมีเงินสำหรับการเดินทางของเราใช่ไหม้?」
「…ครับ」
เมื่อผมเปิดถุงหนังที่ได้รับมาจากเบอร์เซิร์กเกอร์ – ผมหมายถึงเอิร์ลชายแดน ผมก็พบกับ 4 เหรียญทองใหญ่ กับ 10 เหรียญทอง พวกขุนนางมักจะพกเงินมากขนาดนี้ไปไหนมาไหนงั้นหรอ? ผมหมายถึง ตัวถุงหนังเองก็เรียบเนียนมาก แถมยังดูหรูหรามากๆเลยด้วย
4 เหรียญทองใหญ่ และ 5 เหรียญทองนั้นมีค่าเท่ากับ 1 เหรียญทองศักดิ์สิทธิ์ ดังนั้นผมจึงได้มามากกว่าที่ตกลงกันไว้
เสื้อผ้าที่ผมสวมในตอนที่ผมมาถึงราชอาณาจักรศักดิ์สิทธิ์เป็นครั้งแรกนั้นค่อนข้างเล็กไปแล้ว แต่ผมก็ยังเปลี่ยนไปใส่มันอยู่ดี คิดว่าผมคงต้องหาซื้อชุดใหม่เร็วๆนี้แล้วสิ
ผมส่วมผ้าคลุมทับแล้วสะพายกระเป๋าของผม มีดสั้นที่ผมได้รับมาจากเอิร์ลชายแดนนั้นฝักมันฉูดฉาด ดังนั้นผมเลยเก็บมันเอาไว้ในกระเป๋า
「รู้สึกเหมือนกับพวกเราได้กลับไปเป็นเหมือนเมื่อ 4 ปีก่อนเลย」
ผมพูดขณะที่ออกมาจากโรงแรม เซอรี่ซังก็เหล่ตาจากแสงอาทิตย์แล้วหันมายิ้มให้กับผม
「พูดอะไรของเธอกัน? เธอกลายเป็นหนุ่มหล่อแล้วนะตอนนี้ หนุ่มน้อย!」
「…ถ้างั้น ได้โปรดหยุดเรียกผมว่า “หนุ่มน้อย” ซะทีสิครับ?」
「แต่เธอยังเป็นหนุ่มน้อยสำหรับชั้นตลอดไปอยู่ดี~」
เซอรี่ซังเอื้อมมือมาลูบหัวของผม
…คอยก่อนเถอะ ผมจะต้องตัวสูงกว่าคุณให้ได้ในสักวัน
「ถ้างั้น หนุ่มน้อย พวกเราจะออกไปจากเมืองศักดิ์สิทธิ์กันเลยไหม?」
「ไม่ครับ ถ้าพวกเราทำแบบนั้น ผมจะต้องถูกดุแน่นอนเลยครับ」
ผมยิ้มแล้วบอกจุดหมายปลายทางของพวกเรากับเซอรี่ซัง
โรงแรมที่มีชื่อว่า “กระบอกเพชรสีเงิน”
ซิวเวอร์บาลานซ์น่าจะยังนอนหลับกันอยู่ในเวลานี้ แต่ผมรู้สึกว่า ต่อให้จะยังมีควันลอยออกมาจากตรงโน้นตรงนี้ แต่เช้าวันใหม่สำหรับเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์แห่งครูวานยูก็กำลังจะเริ่มต้นขึ้นแล้ว
========================================================
*อร่อยเดียวดาย (Solitary Gourmet หรือ Kodoku no Gourmet) เป็นreference มังงะและซีรีส์ของญี่ปุ่น
TL: อะแถมๆๆ
บทที่ 2 ตอนที่ 55
ผมมักจะคิดเสมอว่าแสงจากตะเกียงเวทมนตร์นั้นเย็น แสงที่สร้างด้วยวิทยาการเวทมนตร์ก็คงจะเย็นกว่าแสงที่สร้างขึ้นจากไฟธรรมชาติหรือเวทมนตร์ปกติอยู่แล้วละนะ
มันช่างน่าอัศจรรย์ที่แสงแบบนี้นั้นดูจะสะท้อนความงดงามจากดวงตาสีชาดของคุณหนูได้อย่างดีเยี่ยม
ผมเห็นตัวเองที่ยิ้มอย่างอ่อนโยนสะท้อนอยู่ภายในตาของเธอ – หรืออย่างน้อยๆก็พยายามฝืนยิ้มอยู่
「หมายความว่ายังไง…?」
「อย่างที่ผมพูดไปครับคุณหนู ต่อจากนี้ไป เส้นทางของพวกเราจะต่างกันครับ ของผมจะมุ้งหน้าออกจากกำแพงนี้ ส่วนของคุณหนูก็คืออยู่ภายในกำแพงนี้—เหมือนเมื่อก่อน」
「ถ้าพูดเล่นละก็ไม่ตลกเลยนะ!」
「ไม่ได้พูดเล่น โกหกหรือหลอกลวงครับ ขอบคุณคุณหนูมากๆเลยครับที่มาส่งผมไกลขนาดนี้ ผมมีความรู้สึกว่าอนาคตของผมจะต้องสดใสแน่ๆแค่เพราะคุณหนูมาส่งผมเลยครับ」
「เรย์จิ ทำไมกัน… ทำไมนายถึงพูดเรื่องโหดร้ายแบบนั้นละ?」
การปฏิเสธคุณหนูที่กำลังหน้าซีดและตัวสั่นแบบนี้นั้น ก็แน่นอนละว่ามัน “โหดร้าย”
แต่ว่า มันเป็นสิ่งที่ผมตัดสินใจแล้วว่าต้องทำ
เพราะมันจะยิ่ง “โหดร้าย” มากกว่าที่จะให้คุณหนูเป็นคนตัดสินใจ
「คุณหนูครับ คุณกำลังกังวลและหันกลับไปมองมาสักพักแล้วใช่ไหมละครับ? กังวลถึงผู้คนที่คฤหาสน์และก็… เอิร์ล」
「…นั่นมัน…」
「ต่อให้ผมเข้าใจผิดไปก็ไม่เป็นไร แต่มันเป็นแบบนั้นสินะครับ และนั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมผมถึงเป็นคนตัดสินใจแทนคุณหนูให้ “กลับบ้าน” ครับ」
「…………」
「…คุณหนูครับ คุณกับเอิร์ลนั้นเป็นเพียงครอบครัวเพียงคนเดียวที่เหลืออยู่ของกันและกันนะครับ มีอะไรหลายอย่างเกิดขึ้นในวันนี้… ไม่สิ มีอะไรหลายอย่างเกิดขึ้นตั้งแต่ “งานเลี้ยงต้นกล้าแห่งคืนข้างขึ้น” แล้วครับ ดังนั้นจิดใจของคุณจึงไม่สามารถประมวลผลทุกอย่างและตัดสินใจอย่างมีเหตุผลได้ในทันทีครับ แน่นอนว่า ผมไม่ได้พูดแบบนี้เพราะคุณหนูเป็นเด็กหรอกนะครับ ขนาดผู้ใหญ่เองก็ยังมีปัญหากับการประมวลผลเรื่องราวที่เกิดขึ้นเลยครับ…」
ผมคุกเข่าลงไปแล้วมองเข้าไปในตาของคุณหนูที่ก้มหัวของเธอลง
น้ำตากำลังร่วงหล่นไปตามแก้มของเธอ
ผมคิดว่าตัวคุณหนูเองก็อาจจะคิดเอาไว้แล้วว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับเอิร์ลถ้าเธอไม่ได้กลับไป – สิ่งที่มีแต่เธอเท่านั้นที่จะสามารถช่วยเอิร์ลผู้ที่กำลังหวั่นไหวได้
「มันไม่เป็นไรหรอกครับ เอาละกลับไปหาเอิร์ลเถอะครับ เขาจะต้องดีใจแน่ๆ」
「แต่ว่า เรย์จิ… ก็จะต้องอยู่ตัวคนเดียว…」
「ผมเป็นผู้ใหญ่มากกว่าคุณหนูนะครับ」
「ถึงพวกเราจะห่างกันแค่ 2 ปีนะหรอ…?」
「ครับ 2 ปีมันต่างกันมากเลยนะครับ」
แน่นอนว่าโกหก แต่มันคงจะไม่สมเหตุสมผลเท่าไหร่ที่จะบอกคุณหนูว่าผมเป็นผู้มาเกิดใหม่ในตอนนี้
「คุณหนูครับ อย่างที่ผมบอกไป โลกใบนี้นั้นกว้างใหญ่กว่าที่คุณหนูจะสัมผัสได้หมดในชีวิตเดียวครับ แต่ในทางกลับกันนั้น ชั่วชีวิตก็ยังยาวนานมากอยู่ดีครับ คุณหนู คุณควรจะใช้เวลาร่วมกับเอิร์ลมากกว่านี้นะครับ และเมื่อคุณโตขึ้น ถ้าคุณยังอยากจะออกมา ก็ค่อยออกจากประเทศนี้ก็ได้ มันไม่ได้สายเกินไปหรอก ชั่วชีวิตนั้นยาวนานพอที่คุณจะสามารถไปเที่ยวได้หลายประเทศครับ นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไม อย่าร้องไห้เลยนะครับ คุณหนู… นี้ไม่ใช่การบอกลาครั้งสุดท้ายซะหน่อยครับ」
ผมลูบหัวของคุณหนูในขณะที่สุดท้ายเธอก็ร้องไห้ออกมา
ตอนนี้เป็นโอกาสสุดท้ายแล้วที่เธอจะได้กลับไปหาเอิร์ล… ถ้าเธอไม่กลับไปตอนนี้ละก็ สายสัมพันธ์ครอบครัวระหว่างเธอกับเอิร์ลก็คงจะไม่มีทางกลับมาเหมือนเดิมอีกแล้ว
「…เรย์จิ ชั้น, ชั้น…. ชั้นอยากจะอยู่กับนายตลอดเวลา! ทำไมนายถึงต้องไปด้วย!?」
「มันเป็นความลับที่ผมบอกคุณไปครับ เอิร์ลพูดว่าเขาจะปกป้องผม แต่ผมคิดว่าเขาประเมินปัญหานี้ต่ำเกินไปครับ ดังนั้นผมจึงไม่อาจอยู่กับเอิร์ลได้อีกต่อแล้วครับ และก็คุณหนูของผม ผมไม่ได้ถูกขับไล่หรอกนะครับ ผมอาสาที่จะออกไปจากประเทศนี้เอง — ผมจะเล่าเหตุผลให้ฟังในครั้งหน้าที่เราได้พบกันนะครับ」
「ชั้นไม่ยอมรับ! ชั้นไม่อนุญาตให้นายไปคนเดียว!」
「ผมขอโทษครับ คุณหนู」
「อย่ามาขอโทษนะ!」
「…นั่นเป็นคำสั่งที่ยากที่สุดที่คุณหนูเคยสั่งมาเลยครับ ผมจะพยายามทำมันให้ดีที่สุดนะครับ –เอาละครับคุณหนู ดูเหมือนจะมีคนมารับแล้วนะครับ」
คุณหนูตกใจแล้วหันกลับไปมอง กัปตันแม็กซิมกำลังควบม้าตามพวกเรามา เมื่อเขาสังเกตเห็นพวกเรา – สังเกตเห็นสายตาของผมกับใบหน้าของคุณหนูที่กำลังร้องไห้ – เขาก็ลงมาจากม้าตรงที่ห่างออกไป
ถึงคนๆนั้นจะสมองกล้าม แต่ก็หัวดีอย่างน่าเหลือเชื่อ เอาเถอะ ถ้าไม่ใช่คนแบบนั้นละก็ คงทำงานรับใช้เอิร์ลซิวลิซส์ไม่ได้หรอก
「จริงๆนะ… นี้ไม่ใช่การจากลาครั้งสุดท้ายจริงๆนะ?」
「ครับ แน่นอนครับ」
คุณหนูนั้นเป็นคนฉลาด เธอรู้ว่าเธอควรจะกลับไปจริงๆ มันก็แค่อารมณ์ของเธอที่ไม่ปล่อยให้เธอทำอย่างนั้น
นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมผมถึงต้องพลักดันเธอ ผมดึงผ้าเช็ดหน้าของผม — ผืนเดียวกับที่ผมใช้เช็ดเหงื่อก่อนหน้านี้ แต่ทำไงได้ก็ผมมีแค่อันนี้นี่นา — แล้วเช็ดน้ำตาของคุณหนู
「…เรย์จิ เหม็นอ่ะ」
「โชคร้ายหน่อยนะครับ ผมไม่มีอันอื่นแล้ว」
「นายจำสัญญาของเราได้ไหม้?」
「ครับ ที่คุณหนูสัญญาว่าจะมอบหินสกิลให้ผมใช่ไหมครับ?」
ผมจำมันได้
—ชั้นจะมอบหินสกิลที่เหมาะกับนายให้เอง! จงดีใจซะสิ!
นั่นไม่เหมือนกับน้ำเสียงของคนที่จะให้ของขวัญเลย และตอนนั้นผมก็ดีใจกับเรื่องแบบนั้น ตัวคุณหนูเองก็มีความสุขเช่นกัน มันรู้สึกราวกับผ่านมานานมากๆเลย
「ขั้นจะมอบมันให้นายอย่างแน่นอน ดังนั้นต้องกลับมาอยู่ตรงหน้าของชั้นให้ได้เลยนะ」
「ครับ」
ผมกำมือขวาของผมแล้วทุบไปที่หัวใจของผม
「ผมจะเหลือช่องสกิลของผมเอาไว้สำหรับหินสกิลของคุณแน่นอนครับ คุณหนู」
「…สัญญานะ」
「ครับ ผมสัญญา」
คุณหนูไขว้นี้วชี้กับนิ้วกลางของเธอเอาไว้แล้วยกขึ้นมา ผมเลื่อนมือขวาของผมจากอกของผมแล้วกุมนิ้วของเธอเอาไว้ มือของคุณหนูนั้นอุ่นมากๆ
ผมยืนขึ้น
คุณหนูก็มองขึ้นมาที่ผม
โอ้ ช่างเป็นคนที่งดงามอะไรขนาดนี้!
งดงามที่สุดที่ผมเคยเห็นมาเลย
เธอนั้นทั้งฉลาด, แข็งแกร่ง, สง่างาม, อ่อนโยน, และมีเสน่ห์หาใครเปรียบ
「…………」
「…………」
ผมหันหลังแล้วเริ่มเดินจากไปอย่างเงียบๆ คุณหนูยังคงยืนมองหลังของผมโดยไม่ขยับไปไหนเลย
หูของผมได้ยินเสียงน้ำหยดลงบนพื้น แถมยังมีเสียงสะอื้นอีกด้วย
(นี้ผม… ร้องไห้งั้นหรอ?)
ไม่จำเป็นต้องฝืนยิ้มอีกต่อไป เพราะคุณหนูมองไม่เห็นหน้าผมอีกต่อไปแล้ว
หลังจากที่น้ำตาหยดหนึ่งไหลไปตามแก้มของผม น้ำตาอีกมากมายก็เริ่มไหลลงมาเหมือนเขื่อนแตก ผมคิดว่าผมทำได้ดีมากเลยที่อดทนเอาไว้ไม่แสดงใบหน้าอันหน้าสมเพชนี้ให้คุณหนูได้เห็น
เหมือนกับที่คุณหนูต้องการ ผมเองก็เหมือนกัน อยากที่จะอยู่เคียงข้างคุณหนู
ผมอยากที่จะเฝ้ามองเธอเติบโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ที่ยอดเยี่ยมข้างๆเธอ
แต่นั่นแหล่ะถึงเป็นเหตุผลว่าทำไม
「ลาก่อนสำหรับตอนนี้นะครับ คุณหนู…」
พร้อมกับน้ำตาที่ร่วงหล่นอย่างไม่หยุดพัก ผมได้เดินไปตามเมืองอันเงียบสงบแห่งนี้
บทที่ 2 ตอนที่ 54
เมื่อเอิร์ลชายแดนพูดเสียงดัง พวกทหารก็พากันไปยังทหารที่สลบอยู่ – ปลุกพวกเขา – แล้วจากไป
「เรย์จิ!」
คุณหนูผู้ที่เฝ้าดูอยู่จากที่ไกลๆวิ่งเข้ามากอดผม
「เรย์จิ ไม่เป็นไรใช่ไหม? ชั้นรู้ว่านายชนะได้ก็จริง แต่ก็อดเป็นห่วงไม่ได้อยู่ดี」
「ก็อย่างที่ผมบอกคุณหนูครับว่าผมไม่มีทางแพ้หรอกครับถ้าผมเอาจริง ถึงผมจะทำลายพื้นหินไปก็เถอะนะครับ ดังนั้นเดี๋ยวจะต้องปรับปรุงในส่วนนั้นด้วย」
ผมรู้สึกถึงคุณหนูที่ตัวสั่น ผมเลยลูบหัวของเธออย่างอ่อนโยน – แต่ก็ยังคงระแวดระวังเอิร์ลชายแดนอยู่
「คุคุคุ อย่ามองข้าด้วยสายตาแบบนั้นสิ มันทำให้ข้าอยากจะสู้กับเจ้าเลยนะ!」
「ถ้าคุณขวางทางผมละก็ ผมก็จะกำจัดคุณแม้คุณจะไม่อยากสู้ก็ตามนะครับ」
「เจ้านี้น่าสนใจจริงๆ! ดูเจ้าสู้กับคนกลางได้ว่าสุดยอดแล้ว แต่ตอนนี้ ข้าไม่สามารถประเมินขีดจำกัดของเจ้าได้เลย!」
เอิร์ลชายแดนลงจากม้าของเขาก่อนจะวางขวานศึกเอาไว้บนพื้น และเดินเข้ามาหาพร้อมกับเสียงหนักๆ
「ขอโทษด้วยที่เจ้าจะต้องจัดการกับทหารของตระกูลเอเบนแบบนั้น จริงๆแล้วข้ากะจะสู้แทนเจ้าซะด้วยซ้ำ แต่นั่นดูจะไม่จำเป็นซะแล้ว」
「หมายความว่ายังไงครับ?」
「ข้าเป็นตัวแทนอย่างเป็นทางการเพื่อมาขอโทษเจ้าจากราชันศักดิ์สิทธิ์หน่ะ」
「ผทไม่ต้องการครับ เพราะผมจะออกไปจากเมืองศักดิ์สิทธิ์และประเทศนี้แล้วครับ」ผมพูดพร้อมกับส่ายหัว
「งั้นรึ…」
เอิร์ลชายแดนลับตาลงพร้อมกับสีหน้าดุดัน
「ประเทศนี้ช่างโง่เขลา… ที่ปฏิบัติกับเจ้าผู้ที่ต่อสู้กับคนกลางและช่วยชีวิตผู้คนมากมายแบบนี้」
「ไม่ครับ มันไม่ได้เกี่ยวอะไรกับประเทศนี้หรอกครับ มันก็แค่ผมมีบางสิ่งสำคัญที่ต้องทำหน่ะครับ ไปกันเุถอะครับ คุณหนู」
「…อืม」
ถ้าเขาไม่ได้มาขวางทางผมละก็ งั้นก็ไม่เป็นไร ผมจับมือคุณหนูแล้วเดินผ่านเอิร์ลชายแดนไป
「เดี๋ยวก่อนสิ เจ้าไม่ได้คิดที่จะพามิสอีวาไปด้วยใช่ไหมหน่ะ?」
「…แล้วถ้าผมจะทำแบบนั้นละครับ? คุณจะทุบผมด้วยอาวุธหน้าตาโหดเหี้ยมนั่นไหมละครับ?」
「เห้ยๆ จะหาเรื่องก็ให้มีขอบเขตกันหน่อย รู้ไหม อย่าไปหาเรื่องสู้โดยไม่จำเป็นสิ ข้าไม่ได้สนใจอะไรกับเรื่องของตระกูลซิวลิซส์หรอกนะ แค่อยากจะยืนยันเฉยๆ」
「…คุณพูดถูก」
ความอยากปะทะของผมดูจะยังไม่เย็นลงเลย
ผมจะต้องใจเย็นลง — ไม่งั้นผมก็ไม่ต่างอะไรกับหมาบ้าเลย
「ชั้นตัดสินใจที่จะอยู่กับเรย์จิค่ะ ดังนั้นลาก่อนนะคะ ท่านเอิร์ลประจำชายแดน」
เมื่อคุณหนูจีบปลายกระโปรงแล้วถอนสายบัวแบบลูกสาวขุนนาง เอิร์ลชายแดนก็พยักหน้าด้วยสีหน้าปั้นยาก
「เจ้าหนู… ไม่สิ เรย์จิ」
เอิร์ลชายแดนนำมีดพร้อมฝักที่เน็บอยู่ข้างเอวเขาออกมาแล้วโยนมันให้กับผม ผมรับมันอย่างทุลักทุเล
ฝักยาวประมาณ 30 เซนติเมตรตกแต่งด้วยเปลือกหอยสีรุ้ง ดูจะมีค่ามากๆ เมื่อผมดึงมันออกก็ปรากฏใบมีสีขาวราวกับหิมะ
「นี้มัน…? ดูเหมือนจะเป็นมิธริล」
「ข้าคงไม่ต้องพูดอะไรอีกถ้าเจ้ารู้ถึงขนาดนั้น อันนั้นข้าให้ ถือเป็นของขวัญจากลา」
「ผมรับมันไว้ไม่ได้หรอกครับ มันแพงเกินไป」
「ไม่ต้องสนใจเรื่องนั้นหรอก ข้าก็แค่ชอบเจ้าเท่านั้นเอง คนอย่างเจ้าเดินไปมาโดยไม่มีอาวุธนั้นเป็นเรื่องน่าอดสูเกินไป …แล้วก็นี้เงินที่เจ้าสมควรจะได้รับ」
ครั้งนี้เขาโยนถุงหนังมาให้ เมื่อผมรับมัน ผมก็ได้ยินเสียงเหรียญทองกระทบกัน มั่นใจเลยว่านี้จะต้องเป็นเหรียญทองศักดิ์สิทธิ์ที่ราชันศักดิ์สิทธิ์สัญญาจะให้ผม อย่างไรก็ตาม ผมรู้สึกว่า “รางวัล” นี้ก็แค่ข้อแก้ตัวเท่านั้นเอง และเอิร์ลชายแดนเองก็ทนเห็นผมจากไปตัวเปล่าไม่ได้ – ที่เหมือนกับผมถูกขับไล่ออกนอกประเทศ – ดังนั้นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมเขาถึงให้ของพวกนี้กับผม
「เข้าใจแล้วครับ ผมจะรับมันไว้」
ผมเก็บกระเป๋าหนังแล้วถือมีดเอาไว้ที่มือซ้าย
คนๆนี้ แค่คนๆนี้คนเดียว ที่ปฏิบัติกับผมโดยไม่แรงจูงใจซ่อนเร้นเหมือนขุนนางคนอื่นๆ ผมมั่นใจว่าเขาคงจะรู้ว่าผมมีผมสีดำตาสีดำแน่ๆ—ยิ่งมาในฐานะผู้แทนราชันศักดิ์สิทธิ์แบบนี้ด้วย ผมคิดว่ามันคงเป็นเรื่องหยาบคายที่จะไม่รับมันถ้าเขาต้องถ่อมาถึงนี้เพื่อส่งผมแบบนี้
…ไม่ แต่ถ้านี้เป็นกลอุบายเพื่อหลอกผมละ? ถ้าเป็นแบบนั้นละก็ งั้นผมก็จะไม่เชื่อใจขุนนางอีกเลยทั้งชีวิตนี้
「ดูแลตัวเองด้วย และ ถ้าเจ้าอยากละก็ มาที่ดินแดนของข้าได้นะ คำเชิญนั่นจะอยู่จนกว่าข้าจะตายเลย ว่ะฮ่าๆๆๆ」
พวกเราโค้งคำนับต่อเอิร์ลชายแดนที่หัวเราะอย่างเริงร่าก่อนจะเริ่มเดินออกไป เหล่าอัศวินของตระกูลซิวลิซส์พยายามที่จะตามพวกเรามา ทว่าเอิร์ลชายแดนก็ได้หยุดพวกเขาเอาไว้ “อย่าไปยุ่งกับการเดินทางของลูกผู้ชาย” เขาคำรามแบบนั้น เขานี้มันคนจริงจริงๆ… ผมคงจะเทิดทูนเขาถ้าเขาไม่ได้ดูเหมือนเบอร์เซิร์กเกอร์ละก็นะ
พวกเราค่อยๆออกห่างจากคฤหาสน์ซิวลิซส์
ผมเดินผ่าน “เขตศักดิ์สิทธิ์ที่ 2” ขณะที่กุมมือของคุณหนูเอาไว้
แสงไฟจากตะเกียวเวทมนตร์ส่องสว่างเป็นทาง ทว่าไม่มีผู้คนผ่านไปผ่านมาเลย ที่นี่เป็นที่ที่ชนชั้นสูงของประเทศอาศัยอยู่
ถ้ามาคิดดูละก็ คุณหนูคงจะไม่เคยเดินทางบนถนนเส้นนี้โดยไม่ใช้รถม้าแน่ๆ อ่า ไม่สิ มีครั้งนึงที่เธอได้เดินอยู่เหมือนกัน ตอนที่พวกเราออกมาเดินบนถนนโดยที่ปลอมตัวเป็นสามัญชนครั้งนั้น
「…เงียบจังเลยนะครับ」ผมพูด
「อืม ก็นี้มันกลางดึกแล้วนี้นะ」
แสงจากบ้านเรือนนั้นมืดสนิท และผมก็ไม่รับรู้ถึงสัญญาณของผู้คนใดๆ
แทบจะรู้สึกเหมือนกับมีแค่ผมกับคุณหนูอยู่ในโลกใบนี้เพียงสองคนเท่านั้นเลย
「นายเกิดที่ไหนงั้นหรอ เรย์จิ?」
อยู่ๆคุณหนูก็ถามขึ้นมาแบบนั้น
「…เมืองในชนบทหน่ะครับ มีทุ่งข้าวกว้างใหญ๋แผ่ขยายรอบๆแม่น้ำสายใหญ่ ทุกๆวันผมจะไปโรงเรียนโดยเดินผ่านทุ่งข้าวพวกนั้นครับ」
「ทุ่งข้าว? โรงเรียน?」
「ทุ่งข้าวก็คือทุ่งที่ใช้ปลูกพืชชนิดนึงครับ ส่วนโรงเรียนก็… มันมีโรงเรียนสอนวิชาชีพสำหรับสามัญชนอยู่ในประเทศนี้ด้วยใช่ไหมละครับ? โรงเรียนที่ผมเรียนก็คือสอนเรื่องทั่วๆไปหน่ะครับ」
「นายมาจากตระกูลขุนนางงั้นหรอ เรย์จิ?」
「ฟุฟุ」
ผมเผลอหัวเราะออกมา มันอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาเมื่อคิดว่าพ่อของผมที่เป็นข้าราชการท้องที่จะเป็นขุนนางแบบนั้น
「ผมไม่ใช่ขุนนางหรอกครับ ผมมาจากครอบครัวสามัญชน… แต่มันก็ไม่ได้แย่อะไรหรอกนะครับ」
ผมรำลึกความทรงจำในชาติก่อนได้ที่เหมืองที่ 6 นั่น แต่ก็น่าแปลกที่ผมไม่เคยรู้สึกอะไรอย่างน่าคิดถึงหรืออยากกลับบ้านเลย มันอาจจะเป็นเพราะผมได้ตายอย่างสงบในชาติก่อนก็ได้ หรืออาจจะเป็นเพราะผมใช้ชีวิตอยู่ในโลกนี้มานาน หรือแม้กระทั่งอาจจะเป็นเพราะมันเหมือนความทรงจำที่ห่างไกลก็ได้
ทว่าในตอนนี้ ผมคิดถึงชีวิตในญี่ปุ่นเหลือเกิน
ผมอยากที่จะเดินไปกับคุณหนูในเมืองที่ไม่มีอะไรน่าตื่นเต้นเกิดขึ้นแบบนั้น
「เรย์จิ งั้น…」
จากนั้นคุณหนูก็ถามอะไรผมหลายอย่าง มันคงเป็นครั้งแรกเลยที่มีใครสักคนถามถึงอดีตของผมมากขนาดนี้ ทั้งอาหารที่ชอบ, หนังสือที่ผมสนใจ, ใครที่ผมชื่นชอบ
อย่างไรก็ตาม อีกไม่นานมันก็จะมาถึงจุดสิ้นสุด
สิ่งที่ปรากฏตรงหน้าของพวกเราก็คือ “กำแพงที่ 3” ที่แยกระหว่าง “เขตศักดิ์สิทธิ์ที่ 2” กับ “เขตศักดิ์สิทธิ์ที่ 3” ออกจากกัน มีทหารยามที่ถือตะเกียงเวทมนตร์ที่ใหญ่เป็นพิเศษกำลังตรวจสอบผู้คนที่ผ่านเข้าออกอยู่
เมื่อยามได้ถามผมว่าทำไมถึงออกมาดึกดื่นแบบนี้ ผมก็ได้แสดงตราสัญลักษณ์ของตระกูลซิวลิซส์ขึ้น แล้วพวกเขาก็ถอยออกไป ผมไม่ใช่สมาชิกตระกูลซิวลิซส์อีกต่อไปแล้วก็จริง แต่เอิร์ลไม่ได้บอกผมให้ “คืน” มันนี้ ดังนั้นมันจึงไม่เป็นไรหรอก
เนื่องจากมันยังเป็นกลางดึก ประตูของ “กำแพงที่ 3” จึงยังปิดอยู่ ทว่าเมื่อพวกเราต้องการจะออกไป พวกยามก็เลยต้องลำบากเปิดมันออก เมื่อประตูเปิดออก ความมืดมิดของ “เขตศักดิ์สิทธิ์ที่ 3” ก็ได้ปรากฏพร้อมกับสายลมที่พัดพา
「คุณหนูครับ」ผมพูด「พวกเราคงจะต้องจากกันตรงนี้แล้วละครับ」
คุณหนูมองมาที่ผมอย่างตกตะลึง
「…เอ๊ะ?」
========================================================
TL: เรย์จิ… เอ็งนี้มัน…
บทที่ 2 ตอนที่ 53
ผมบอกให้คุณหนูถอยไปก่อนจะก้าวไปข้างหน้า เลเลนอร์ซังจับไปที่ดาบของเธออย่างระมัดระวัง
「…เรย์จิคุง ชั้นถูกสั่งจากนายท่านให้มาที่นี่ในฐานะที่เรารู้จักกัน ถูกบอกแค่ให้มาพาตัวนายไป ดังนั้นชั้นจึงไม่รู้หรอกว่าจะเกิดอะไรขึ้นหลังจากนั้น แต่ถ้านายเลือกที่จะขัดขืนละก็ ชั้นก็คงต้องใช้กำลังแล้วละ」
「ถึงพวกเราจะรู้จักกัน แต่ผมก็ไม่ออกมือหรอกนะครับถ้าคุณหันดาบใส่ผม」
เลเลนอร์ซังขมวดคิ้ว
「ถ้านายดูถูกตระกูลเอเบนละก็ ชั้นก็จะเป็นคนเปลี่ยนความคิดนายเอง! เพื่อปกป้องตระกูลเอเบนในเมืองศักดิ์สิทธิ์นี้ ชั้นหน่ะ–」
「ผมเตือนคุณแล้วนะครับ」
「อะไรน่ะ!?」
จังหวะที่ผมก้าวออกมาจากประตู เลเลนอร์ซังก็ถูกส่งลอยขึ้นฟ้าไปทันที จะมีสักกี่คนกันนะที่รู้ว่าผมยิงเธอด้วย【เวทย์ลม】หน่ะ?
「แล้วสำเนียงของคุณมันทำให้ผมนึกถึงเพื่อนอันแสนล้ำค่าของผม ดังนั้นผมเลยไม่อยากลากยาวไปมากกว่านี้ครับ」
อีกฝ่ายนั้นเป็นหญิงสาวฮาร์ฟลิง และมันก็ยากสำหรับผมเพราะวิธีพูดของเธอเหมือนกับมิมิโนะซังเลย ดังนั้นผมเลยจัดการกับเธอก่อน เธอน่าจะสลบไปแล้วและคงไม่ตื่นขึ้นมาในอีกสักพัก
เหล่าทหารติดอาวุธนั้นประหลาดใจในตอนที่ถูกโจมตีกระทันหัน
(ทำไมพวกนายถึงยืนเปิดโล่งขนาดนั้นหล่ะ? ในตอนที่ผมกำลังคุ้มกันคุณหนูอยู่หน่ะ ผมไม่เคยเสียสมาธิเลยนะ รู้ไหม!)
ผมเริ่มวิ่งฝ่าไปยังกองทหารติดอาวุธด้วย【ทักษะการวิ่ง】แล้วยิง【เวทย์ลม】อย่างต่อเนื่อง
「อุ๊ก!」
「อั๊ก!?」
「อ๊ากกก!!」
ประมาณ 7 คนถูกผลักกระเด็นออกไป และคนที่ 8 ก็ใช้โล่หยุดเวทมนตร์ของผม โล่ได้เปล่งแสงในตอนที่หยุดเวทมนตร์ของผมเอาไว้ สงสัยจังว่านั่นคือโล่เวทมนตร์หรือเปล่านะ?
「เห้ย เตรียมอาวุธของพวกแกซะ! จัดกระบวนทัพ! พวกเรากำลังถูกโจมตี!」
「ไอ้คนขี้ขลาด!」
เอาคนจำนวนมากมาเผชิญหน้ากับคนๆเดียวแบบนี้ ยังเรียกผมว่า “ขี้ขลาด” อีกเหรอเนี้ย กองทหารติดอาวุธได้ล้อมผมเอาไว้เรียบร้อยแล้ว
(พวกนายจะเว้นระยะห่างโดยไม่บุกเข้ามาหรอ? ต่างกันด้านจำนวนขนาดนี้เนี้ยนะ? เอางั้นก็ได้ จะให้ผมแสดงวิธีต่อสู้ที่ขี้ขลาดกว่านี้ให้ดูก็ได้นะ?)
เมื่อผมใช้งาน【เวทย์มืด】กระสุนความมืด 10 นัดก็ได้ปรากฏขึ้น 5 นัดที่มือขวา อีก 5 นัดที่มือซ้าย
「พลโล่! หยุดเวทมนตร์เอาไว้! มันกำลังมาแล้ว!」
เหล่าพลโล่ได้สลับตำแหน่งกับทหารติดอาวุธขึ้นมาข้างหน้า ทว่ามันก็ไม่ได้สำคัญอะไรเลยสักนิด ผมได้ยิงกระสุนทั้ง 10 นัดออกไป
「กันเอาไว้!… ห่ะ!?」
ผมไม่ได้เล็งไปที่ทหาร สิ่งที่ผมเล็กหน่ะ–
「หว่า!? อะไรกันเนี้ย!!」
「มืดไปหมดเลย!」
คือตะเกียงเวทมนตร์ ผมยิงกระสุนความมืดนัดแล้วนัดเล่าแล้วคลุมมันเอาไว้รอบๆตะเกียง มันไม่สามารถทำความเสียหายอะไรได้หรอก มันก็แค่เวทมนตร์ที่ใช้บล็อกแสงเท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้น ถึงจะถูกดาบฟันหรือมือทุบ มันก็จะไม่หายไปจนกว่าจะผ่านไปสักพักด้วย
ทันทีทันใด บริเวณรอบๆก็ถูกบดบังด้วยความมืดยามค่ำคืน
ผมวิ่งไปยังพลโล่ก่อนจะผ่านเข้าไป ผมเหยียบไปที่หัวของพวกเขาแล้วกระโดดข้ามโล่ออกมา
ผมสามารถมองเห็นในความมืดได้ด้วยสกิล【Night Vision】ของผม ดูเหมือนว่าจะมีทหารประมาณ 1, 2, 3… 3คนที่มี【Night Vision】อยู่ แต่มันก็ไม่พอหรอกนะ
「อุ๊ก!」
「อั๊ก!」
「หว่า!?」
ผมยิง【เวทย์ลม】ออกไปมั่วๆรอบตัวผม ก่อนจะชกและเตะไปที่คนที่ไม่ได้สวมชุดเกราะ【เวทย์ลม】นี้สุดยอดไปเลย ไม่มีทั้งล่องลอย, ไม่ส่องสว่าง, แถมถ้าลมแรงมากพอก็จะทำความเสียหายได้แม้จะใส่ชุดเกราะอยู่
「ยิงไปที่ตรงนั้น! ไม่ต้องสนพวกที่อยู่ใกล้ๆ!」
ทหารที่มี【Night Vision】ตะโกนสั่งการให้กับคนที่ดูเหมือนกับนักเวทย์
เปลวเพลิงปรากฏขึ้นที่มือที่ยกขึ้นของนักเวทย์คนนั้น ส่งผลให้บริเวณรอบๆส่องสว่างขึ้นมาทันที
「ยิงได้!!!」
ผมรีบสัมผัสกับพื้นแล้วใช้งาน【เวทย์ดิน】กำแพงดินเหนียวก็ได้ปรากฏขึ้น ทะลุพิ้นหินแล้วส่งทหาร 2 นายลอยขึ้นไปบนฟ้า มันได้หยุดกระสุนเพลิงที่ยิงออกมาได้
「หา!? 【เวทย์ดิน】ก็ด้วยงั้นเรอะ!?」
「เจ้าหมอนั่นมันใช้ได้กี่อย่างกันแน่?!」
กำแพงดินเหนียวนั้นเป็นตัวล่อที่ดีเลย ในจังหวะนั้น ผมก็พุ่งเข้าหากองทหารด้วย【Night Vision】และทำให้พวกเขาสลบไปด้วย【เวทย์ลม】ก่อนจะชกไปที่นักเวทย์
ในตอนที่ผมจัดการพวกนักเวทย์หมดแล้ว พวกทหารก็เริ่มโจมตีกันเองจากความมืด พวกนายนี้นะ ไปคิดวิธีต่อสู้โดยความต่างด้านจำนวนมาอีกสักนิดเถอะ
「บ้าเอ้ย! เจ้านั่นมันยิงเวทมนตร์ได้กี่นัดกันวะเนี้ย!?」
「ปล่อยให้มันยิงไป! มันน่าจะมานาหมดในเร็วๆ— อั๊ก!」
ผมรู้สึกแย่ที่ไม่ปล่อยให้เขาพูดจนจบประโยคด้วย【เวทย์ลม】แบบนี้
「หืมม คิดว่าคงจัดการไปได้สักครึ่งนึงแล้วละนะ」
【เวทย์มืด】ที่คลุมตะเกียงอยู่ได้คลายออก — ตะเกียงแทบทั้งหมดถูกโยนทิ้งพื้น ดังนั้นมันจึงเริ่มสว่างขึ้นจากพื้น
เหล่าทหารติดอาวุธต่างนอนกองอยู่รอบๆตัวผมอย่างกับศพเลย เนื่องจากผมยิงเวทมนตร์เพื่อทำให้สลบไม่ได้ฆ่า มันจึงไม่ได้กินมานามากเท่าไหร่ หืม ดูเหมือนผมจะได้เรียนสกิล【ควบคุมมานา】4 ดาวของคุณหนูมาด้วยนะ ผมรู้สึกเหมือนกับผมสามารถควบคุมมานาที่ไหล่เวียนอยู่ในร่างกายได้อย่างสมบูรณ์เลย
ผมเอาผ้าเช็ดมือออกมาจากกระเป๋าเสื้อแล้วเช็ดเหงื่อตรงหน้าผากของผม
「ถึงคนที่ยังยืนได้อยู่!」ผมพูด
หลังจากที่ผมเก็บผ้าเช็ดหน้า ผมก็ใช้งาน【เวทย์มืด】สร้างกระสุนความมืดขึ้นมา 10 นัด
「หวังว่าพวกคุณคงจะร่วมเต้นรำกับผมจนกว่าจะจบนะครับ?」
ขณะที่ผมก้าวไปข้างหน้าพร้อมกับรอยยิ้ม เหล่าทหารติดอาวุธก็เริ่มตัวสั่นแล้วถอยออกไป แทบทั้งหมดนั้นหน้าถอดสี มือที่กำอาวุธอยู่สั่นสะท้าน
「—หยุดเดี๋ยวนี้!」
และผมก็ได้ยินเสียงเกือกม้ากระทบกับพื้นหิน จังหวะที่【เสริมการได้ยิน】ของผมได้ยินเสียงเกือกม้าจากไกลๆ เสียงตะโกนก็ได้ดังลั่นมาถึงตรงนี้แล้ว เสียงตะโกนนั่นมันต้องดังขนาดไหนกันถึงดังมาถึงตรงนี้ได้เนี้ย
ม้าที่ตัวใหญ่กว่าปกติที่เห็นได้บ่อยๆก็เข้ามาในระยะสายตา มันเป็นม้ากล้ามบึกขนสีฟ้า ทว่าชายที่ขี่มันนั้นเด่นยิ่งกว่าตัวม้าซะอีก
ชายร่างยักษ์สวมหนังหมีกริซลี่ สะพายขวานสองมือที่หนักกว่า 100 กิโลกรัมเอาไว้ที่หลัง
「เอิร์ลชายแดน…」
ตัวปัญหาโผล่มาแล้ว เอิร์ลชายแดนนั้นแน่นอนว่าแข็งแกร่งมาก, มาก, มากยิ่งกว่าทหารพวกนี้รวมกันซะอีก
เมื่อผมจ้องมองไปที่เขา เขาก็ลงมาจากม้าห่างจากกองทหารไปประมาณ 10 เมตร
「หยุดต่อสู้กันเดี๋ยวนี้ ข้าคือเอิร์ลประจำชายแดนมิวล์ พวกแกเข้าใจใช่ไหมว่าสิ่งนี้หมายถึงอะไร?」
เอิร์ลชายแดนนำบางอย่างที่ดูเหมือนกับอัญมณี*มากาทามะส่องแสงสีฟ้าที่ห้อยอยู่ตรงข้อมือของเขาออกมา
「ตะ-ตราผู้แทนของฝ่าบาท!?」
เหล่าทหารต่างฮือฮา ดูเหมือนว่าเอิร์ลชายแดนจะมาที่นี่ในฐานะตัวแทนของราชันศักดิ์สิทธิ์—หรืออะไรแบบนั้นนะ
「ถ้าพวกแกเข้าใจแล้วละก็ วางอาวุธลงเดี๋ยวนี้!! เด็กคนนั้นไม่ใช่ใครที่คนอย่างพวกแกจะจัดการได้ตั้งแต่แรกแล้ว! เมื่อพวกแกกลับไป ไปบอกไอ้เตี้ยเอเบนว่าการกระทำเล็กๆน้อยๆนี้จะไม่ถูกมองข้ามอย่างเด็ดขาด!」
========================================================
*มากาทามะ เครื่องรางโบราณของญี่ปุ่น มีลักษณะคล้ายหยินหยางที่มีซีกเดียว
บทที่ 2 ตอนที่ 52 ส่วนที่ 4
ความอาฆาตที่แท้จริงมักพบได้ในความเมตตา
หูของผมได้ยินเสียงข้างนอกชัดเจนจากการใช้【เสริทการได้ยิน】ค่อนข้างมากพอดูเลยนะ… อาจจะเป็นร้อยเลยก็ได้ คนพวกนั้นดูจะรวมตัวกันอยู่ที่ประตูคฤหาสน์ ตอนนี้เหล่าอัศวินใต้บังคับบัญชาของกัปตันแม็กซิมกำลังรับมือกับพวกเขาอยู่ ทว่าถ้ามันยังเป็นอย่างนี้อยู่ละก็ ไม่นานอัศวินพวกนั้นก็คงแพ้
คาดไม่ถึงเลยว่าตระกูลของคุณชายอีธานอย่างตระกูลเอเบนจะเห็นผมสีดำตาสีดำเป็นศัตรูขนาดนี้ บทสรุปของวันนี้ควรจะเป็นว่าท่านเอิร์ลปฏิเสธแล้วคุณหนูก็ผิดหวัง แต่สุดท้ายทั้งคู่ก็กลับมาคืนดีกันเพราะเป็นครอบครัวเพียงคนเดียวที่เหลืออยู่สิ – นั่นเป็นตอนจบที่ผมคิดเอาไว้ในหัว
ทว่า ท่านเอิร์ลก็ทำให้สถานการณ์มาถึงจุดนี้ ไม่สิ เป็นเพราะผมต่างหากที่ทำให้สถานการณ์มาถึงจุดนี้ พวกเขารู้ได้ยังไงกัน? คำพูดและการกระทำของคนกลางในตอนนั้นงั้นสินะ…
「ท่านพ่อคะ! มันไม่โหดร้ายไปหน่อยหรือคะ!? ท่านได้เรย์จิช่วยเอาไว้นะคะ! ขนาดเมื่อวาน ถ้าไม่ใช่เพราะเรย์จิละก็ อาจมีหลายคนต้อง…!」
「ไม่เป็นไรหรอกครับ คุณหนู」
「แต่ว่า!」
「ผมดีใจนะครับที่คุณหนูโกรธแทนผม」
เมื่อผมพูดออกมาจากก้นบึ้งของหัวใจ คุณหนูก็มองมาทางผมด้วยสีหน้าเศร้าสร้อย
(แค่นั้นก็ทำให้ผมใีความสุขจริงๆแล้วครับ)
ผมมีเพื่อน เพื่อนที่ผมสามารถเชื่อได้อย่างสุดหัวใจ
เอิร์ล… คุณต้องไม่เคยรู้สึกอย่างนี้แน่ๆ ใช่ไหมละ?
「เรย์จิซัง เจ้าดูสบายๆนะ」
「ครับ ก็อย่างที่ผมบอกไป ผมไม่มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับตระกูลเอิร์ลอีกต่อไปแล้วครับ」
「… หรือก็คือ เจ้าหวังที่จะออกไปตอนนี้สินะ? กองทหารมากความสามารถของดยุคเอเบนกำลังรอเจ้าอยู่ที่ข้างนอกนั้นนะ รู้ไหม」
เอิร์ลเลิกคิ้ว บางทีเขาคงคิดว่าผมประเมินความสามารถตนเองสูงไปสินะ
เอาเถอะ ก็ผมไม่เคยแสดงพลังที่แท้จริงของผมต่อหน้าเอิร์ลเลยนี้นา
「เอิร์ล มีข้อมูลอยู่ 2 อย่างที่ผมต้องการ… ทว่าคุณก็หามาให้ไม่ได้ มีเรื่องหิน 8 ดาวอยู่ก็จริง แต่นั่นก็ไม่ใช้สิ่งที่ผมต้องการหรอก」
「เจ้าอยากจะพูดอะไรกันแน่?」
「ข้อมูล 2 อย่างนั้นเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดของผม ผมไม่ได้ต้องการอยู่ที่นี่เพื่อปกป้องชื่อเสียงของตระกูลเอิร์ลหรือเงินเดือนมหาศาลหรอกนะครับ」
「!」
「คุณเป็นคนที่ทั้งฉลาดและมองการไกล แต่คุณมองพลาดไปหนึ่งอย่าง ผมไม่ได้คาดหวังอนาคตอะไรของตัวเองกับประเทศนี้หรอกนะครับ ถ้ามีที่ที่ผมสามารถไปได้อย่างอิสระ ผมก็จะไปประเทศนั้นในทันทีเลยครับ」
「…งั้น เจ้าก็ไม่ได้มีอะไรติดค้างที่นี่เลยงั้นหรือ?」
「ไม่ครับ มันมีอยู่ แต่เพียงแค่อย่างเดียวเท่านั้น – คือคุณหนูครับ」
ผมเดินอ้อมโซฟาไปแล้วยืนอยู่ข้างๆคุณหนู
「คุณหนูครับ อยากจะออกไปกับผมหรือเปล่าครับ? โลกนี้มันกว้าง – กว้างมากจนใช้เวลาทั้งชีวิตก็ยังเห็นได้ไม่หมดเลยนะครับ」
ดวงตาของคุณหนูเบิกกว้าง
เธอมองมาที่มือของผมที่ยื่นออกมา แล้วจากนั้นก็มองมาที่ใบหน้าของผม
เอิร์ล — ไม่ได้พูดอะไร กลับกัน เป็นหัวหน้าพ่อบ้านกับกัปตันแม็กซิมต่างหากที่มีท่าทางหงุดหงิด
คุณหนูไม่สำคัญกับเอิร์ลงั้นหรอ? — ไม่ เอิร์ลหน่ะเป็นพ่อขี้หวงลูกที่จะปกป้องลูกสาวของเขาแม้ว่ามันจะทำลายตัวเขาเองเลย ดังนั้น ทำไมเขาถึงไม่หยุดผมละ?
「…ชั้นจะไป」
เมื่อคุณหนูจับมือของผมแล้วลุกขึ้น สีหน้าไร้อารมณ์ของเอิร์ลก็พังทลายลงในทันที
「ทะ-ทำไมกัน…?!」
เอิร์ลนั้นมั่นใจว่าคุณหนูจะไม่จับมือผมแน่ๆ ทว่าเมื่อเขาคิดผิด เขาก็ช็อคสุดๆไปเลย
「เอิร์ล วันนี้พวกเราได้ไปที่โบสถ์ในขณะที่คุณไม่อยู่」
「…จะ-เจ้าพูดอะไรกัน…?」
「ผมได้ยกเลิกเวทย์พันธสัญญาระหว่างคุณกับคุณหนูแล้วครับ」
「!?」
ใบหน้าหล่อๆของเอิร์ลบูดบึ้งสุดๆ ส่วนหัวหน้าพ่อบ้านกับกัปตันแม็กซิมต่างมีสีหน้างุนงง
「…ตัดสินจากสีหน้าแล้ว ดูเหมือนจะมีแค่คุณคนเดียวที่รู้เรื่องนี้นะครับ」
วันนี้เป็นครั้งแรกที่ผมสงสัยว่าคุณหนูอาจจะถูกผูกมัดด้วยเวทย์พันธสัญญา นั่นก็เพราะในตอนที่เธอได้ยินข้อมูลจากผมแล้วเริ่มสงสัยในตัวเอิร์ล เธอก็ดูป่วยอย่างผิดธรรมชาติ
คุณหนูอาจจะถูกผูกมัดไม่ให้ทรยศพ่อของเธอ – คิดได้แบบนั้น ผมก็เลยพาตัวคุณหนูไปที่โบสถ์
นั่นเองก็เป็นครั้งแรกที่ความรู้ที่ผมเรียนรู้มาจากน็อนซังเกี่ยวกับเวทย์พันธสัญญาได้ใช้ประโยชน์
ที่โบสถ์ ถ้าคุณจ่ายเงินละก็ คุณจะสามารถทำพิธีล้างบาปและสิ่งสกปรกได้ คุณจะต้องตัวเปล่าแล้วอาบน้ำศักดิ์สิทธิ์ ทว่ากระบวนการอาบนั้นดูจะใกล้เคียงกับกระบวนการแก้เวทย์พันธสัญญาบางชนิดด้วย เมื่อคุณทำแบบนั้น ดูเหมือนจะมีเวทย์พันธสัญญาหลายอันที่สามารถแก้ได้ถ้ามีการไหลเวียนของมานาในร่างกายสูง – ถึงแม้น็อนซังจะพูดว่ามันมีเจ้าหน้าที่โบสถ์เพียงไม่กี่คนที่รู้ก็เถอะ
คุณหนูนั้นมีมานาจำนวนมาก และเธอเองก็มีสกิล【ควบคุมมานา ★★★★】ด้วย ดังนั้นเธอจริงเป็นอิสระจากเวทย์พันธสัญญาได้อย่างง่ายดาย
น็อนซังบอกว่ารูปแบบเวทมนตร์พิเศษหรือเวทมนตร์ที่คนร่ายเป็นศูนย์กลางจะไม่สามารถลบล้างได้ ทว่าตัวคุณหนูไม่ใช่กรณีนั้น
เอิร์ลกึ่งลุกกึ่งนั่งพร้อมกับสีหน้าตกตะลึง
「อีวา งั้นลูกก็…!」
「ค่ะ ท่านพ่อ หนูจำได้หมดทุกอย่างแล้ว หนูเป็นคนฆ่าท่านแม่ ใช่ไหมละคะ?」
งั้น ทำไมเอิร์ลถึงใช้เวทย์พันธสัญญากันละ?
ดูเหมือนว่าคุณหนูจะบังเอิญไปได้ยินเรื่องการตายของแม่ของเธอจากพ่อบ้านที่ทำงานอยู่ในตอนนั้นเข้า เวทย์พันธสัญญาก็เลยถูกใช้เพื่อปกปิดความทรงจำของเธอแล้วความสัมพันธ์ในครอบครัวก็จะได้ไม่พังทลายลงอีก ไม่ใช่แค่ความทรงจำเท่านั้นที่ถูกปกปิด เอิร์ลก็คงจะทำให้เธอไม่สามารถทรยศเขาได้ และเขาเองก็ไม่สามารถทรยศเธอได้เช่นกัน อย่างไรก็ตาม ปัญหามันอยู่ตรงที่ “ตราบใดที่คนใดคนหนึ่งรู้สึกว่าเขาทรยศอีกฝ่าย” ต่างหาก ถึงท่านเอิร์ลจะเก็บความลับมากมายจากคุณหนู เขาก็ทำไปเพื่อตัวคุณหนู ดังนั้นเขาจึงไม่เป็นอะไร ทว่า ในตอนที่คุณหนูเริ่มสงสัยเอิร์ล เธอรู้สึกว่าตัวเธอกำลังทรยศพ่อตัวเอง นั่นถึงเป็นเหตุผลว่าทำไมเวทย์พันธสัญญาถึงได้ทำงาน
ถึงแม้คุณหนูจะจำเรื่องการตายของแม่ได้ แต่เธอก็ไม่ได้เสียท่าทีใดๆเลย เธอไม่ได้ดูต่างไปจากเดิมเลยสักนิด ตอนที่เธอกลับมาจากการอาบน้ำ ผมยังสงสัยเลยว่ามันอาจจะไม่ได้มีเวทย์พันธสัญญาอยู่เลยก็ได้ เพราะผมไม่เห็นถึงความผิดปกติใดๆเลยในตอนแรก
แต่หลังจากที่เธอกลับมาถึงห้องของเธอที่คฤหาสน์ คุณหนูก็เล่าทุกอย่างให้กับผม เธอกอดผมแล้วร้องไห้ออกมา หลังจากที่เธอร้องจนน้ำตาแห้งเหือดหมดแล้ว เธอก็พูดว่า “ชั้นไม่เป็นไรแล้ว” พร้อมกับยิ้มออกมา
―ความจริงก็คือ เธอเองก็สงสัยมาตลอดแล้วว่าแม่ของเธอตายอาจจะเป็นเพราะ “เนตรเวทมนตร์แห่งการชักจูง” ของเธอก็ได้
「ไม่! มันไม่ใช่ความผิดของลูกหรอกนะ!」
แล้วก็สำหรับเอิร์ล จุดอ่อนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเขาก็คือคุณหนู
「หนูไม่เป็นไรค่ะ หนูสามารถจัดการกับบาปของตัวเองได้ ยิ่งไปกว่านั้น… ถึงเวลาแล้วค่ะที่พวกเราควรจะหยุดพึ่งพากันและกันได้แล้ว หนูต้องเรียนรู้ที่จะเป็นอิสระ และท่านพ่อคะ ท่านเองก็ต้องปล่อยวางลูกของตัวเองได้แล้วค่ะ คนของตระกูลซิวลิซส์นั้นสามารถเดินและยืนหยัดด้วยสองเท้าโดยไม่พึ่งเวทมนตร์ราคาถูกแบบนั้นค่ะ」
「แต่ว่า! แต่ว่าลูกก็ไม่เห็นจำเป็นต้องออกไปจากบ้านหลังนี้เลย!」
「…เรย์จิ ไปกันเถอะ」
「ครับ」
คุณหนูกับผมหันหลังให้กับเอิร์ล
「อีวา! อีวา—!!」
เสียงอันเศร้าสลดของเอิร์ลทำให้ผมรู้สึกเจ็บปวด เมื่อเอิร์ลกำลังจะลุกขึ้นแล้วตามพวกเรามา ผมก็ได้ปล่อยจิตสังหารออกไป—ส่งผลให้เอิร์ลล้มลงไปที่ตรงนั้น กัปตันแม็กซิมเองก็สะดุ้งเฮือก
คุณหนูนั้นเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดเหนือสิ่งอื่นใดสำหรับเอิร์ล
ขนาดตอนที่คุณหนูสงสัยเขา เขาก็ยอมรับมันในฐานะ “การเติบโตของลูกสาว” แล้วเชื่ออย่างสุดใจว่าเธอจะไม่ทรยศเขา
เพราะมันมีสิ่งที่เรียกว่าเวทย์พันธสัญญาอยู่
ทว่าคุณหนูก็เอาชนะมันมาได้
และแล้วพวกเราก็ออกจากห้องไป
「…เรย์จิ」
「ครับ」
「สิ่งที่ท่านพ่อทำมันผิดหรือเปล่า?」
เอิร์ลนั้นทำอย่างสุดความสามารถเพื่อประเทศนี้และเพื่อลูกสาวของเขา
ต่อให้คนอื่นๆจะมองว่ามันเป็น “ความชั่วร้าย” แต่สำหรับเขานั้นมันคือความถูกต้อง
ผม… ก็ไม่ได้ขุ่นเคืองอะไรเอิร์ลหรอก ไม่ได้เกลียดอะไรเขาด้วยเช่นกัน กลับกันนั้น
(ช่างเป็นคนที่ไม่มีไหวพริบเอาซะเลย!)
ผมรู้สึกสงสารเขา
เอิร์ลเขาก็แค่อยากจะให้ผมพึ่งพาเขาให้มากกว่านี้แล้วอยู่ภายใต้การดูแลของเขาก็เท่านั้นเอง นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมเขาถึงพยายามบีบบังคับผมแบบนั้น
แต่นั่นดูเหมือนความอาฆาตมากกว่าเดิมอีกสำหรับผม
ต่อให้เป้าหมายจริงๆของเขาจะเป็นเพราะความเมตตาที่อยากจะปกป้องผมก็เถอะ
「เขาไม่ได้ผิดหรอกครับ คุณพ่อของคุณเป็นผู้ชายที่ดีมากๆเลยครับ」
ผมยืนยัน
「งั้น…」
คุณหนูถามขึ้นมาอีกครั้ง
พวกเรานั้นได้มาถึงโถงทางเข้าแล้ว เหล่าเมดและพ่อบ้านที่หวาดกลัวเสียงข้างนอกได้มารวมกันที่ตรงนี้
ผมเปิดประตูที่เปิดสู่ภายนอกให้กับคุณหนู
「สิ่งที่ชั้นทำลงไปมันผิดหรือเปล่า?」
ภายใต้ความมืดและแสงจันทร์ เหล่าอัศวินของตระกูลซิวลิซส์ต่างก็มารวมตัวกัน และมีตะเกียงเวทมนตร์มากมายถูกจุดเอาไว้ส่องสว่างไปจนถึงประตู
ทหารติดอาวุธประมาณ 100 นายรวมตัวกันอยู่ที่ด้านนอกประตูพร้อมกับตะเกียงเวทมนตร์
「ไม่เลยครับ」ผมยืนยัน「ถ้าคุณหนูทำอะไรที่ผิดละก็ ผมจะเป็นคนหยุดอย่างสุดความสามารถเองครับ」
「……งั้นหรอ」
เมื่อคุณหนูกับผมเริ่มเดิน เหล่าอัศวินที่เห็นพวกเราต่างก็บอกให้พวกเราหยุด ทว่าพวกเราก็ไม่สนใจและเดินต่อไป
「มันน่าจะมีคนคุ้มกันที่ชื่อเรย์จิอยู่ที่นี่ ส่งตัวเขามาแล้วทุกอย่างจะจบ」
「มาร้องขอคนอื่นกลางดึกอย่างนี้มันเป็นปัญหานะ」
ที่ประตู เลเลนอร์ซังกับอัศวินกำลังเถียงกันอยู่
พวกเขาต่างตกตะลึงในตอนที่สังเกตเห็นพวกเราที่เข้ามาใกล้ เลเลนอร์ซังมีสีหน้าที่เจ็บปวด
「เรย์จิ… มือ」
「ครับ」
ผมจับมือของคุณหนู มันเย็นอย่างเหลือเชื่อเลย เธอกำลังฝืนตัวเองอยู่ ทำเอาผมเป็นกังวลเลย… อย่างน้อยๆถ้าผมสามารถแบ่งอุณหภูมิร่างกายของผมให้ได้ละก็
คุณหนูก้าวเดินทีละก้าวเหมือนกับกำลังดึงตัวเองเข้ามาหาผมที่กำลังเดินไปข้างหน้า และแล้วเธอก็หยุดอยู่ห่างประตูเพียงไม่กี่ก้าว
「เรย์จิ」
「ครับ」
「…นายจะยังคุ้มกันชั้นอยู่ไหมถึงแม้ชั้นจะออกจากตระกูลเอิร์ลแล้ว?」
「ด้วยความยินดีครับ」
「งั้นหรอ… พวกนาย เปิดประตู」
「แต่ว่า ท่านอีวา…」
「นี้เป็นคำสั่ง เปิดประตูซะ」
「…คะ-ครับ」
ถึงจะยังงุนงงกับคำสั่งของคุณหนู เหล่าอัศวินก็เปิดประตู
ในทางกลับกัน เหล่าทหารติดอาวุธต่างก็มองมาที่ผม พวกเขาดูจะฝึกมาน้อยกว่าอัศวินของตระกูลซิวลิซส์อีก และนอกจากมนุษย์แล้ว ส่วนใหญ่ยังเป็นฮาร์ฟลิงด้วย
「คุณหนูอีวาคะ โปรดส่งตัวเรย์จิโดโนะที่ยืนอยู่ข้างๆมาด้วยค่ะ ท่านเอิร์ลได้แจ้งเรื่องนี้เอาไว้แล้ว」
เลเลนอร์คุกเข่าลงแล้วร้องขอ
「เรย์จิไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับตระกูลเอิร์ลแล้ว」
「งั้นหรือคะ… งั้นมันก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไรค่ะ」
「เธอจะทำอะไรกับเรย์จิ?」
「…ไม่สามารถบอกได้ค่ะ」
「จะฆ่าเขาอย่างนั้นหรอ?」
「!」
เลเลนอร์นั้นตกตะลึง… นี้เธอจะฆ่าผมงั้นหรอ? น่ากลัวชะมัด การตัดสินว่าใครจะมีชีวิตอยู่มันง่ายดายขนาดนี้เลยหรอ?
「ชั้นไม่อาจมอบเขาให้เธอได้ เรย์จินั้นสำคัญกับชั้นมาก… เพราะเขาเป็นคนคุ้มกันของชั้น」
「แต่ว่า…!」
「เรย์จิ」
「ครับ」
คุณหนูหันกลับมามองที่ผม ดวงตาของเธอนั้นส่องสว่าง – มันทำให้ผมรู้สึกอบอุ่น ร่างกายรู้สึกร้อนขึ้นและอยากที่จะต่อสู้
อา นี้คือ “เนตรเวทมนตร์แห่งการชักจูง” งั้นหรอ? รู้สึกดีชะมัด!
แต่ว่านะครับ คุณหนู…
ต่อให้คุณหนูไม่ใช้มัน ผมเองก็อยากจะสู้อยู่แล้วครับ
「นายสามารถเอาชนะทุกคนที่นี่ได้ไหม?」
เลเลนอร์ซังตกใจกับคำถามที่ดูใสซื่อของคุณหนู ในทางตรงกันข้าม เหล่าทหารติดอาวุธนั้นดูจะโกรธกันน่าดู
「ถ้าผมเอาจริงละก็ ไม่มีปัญหาครับ」
มันคือความจริง ในโลกใบนี้ นักผจญภัยระดับทอง 1 คนนั้นแข็งแกร่งกว่านักผจญภัยระดับเงิน 100 คนซะอีก
ความต่างของพลังมีถึงขนาดนั้นละ
ว่าง่ายๆ ผมมั่นใจเลยว่าต่อให้ทหารติดอาวุธที่อยู่ข้างหน้านี้ทุกคนประจันหน้ากับอูโรโบรอส พวกเขาก็ไม่มีทางจัดการมันได้เลย
「เรย์จิคุง ใจเย็นๆก่อนนะ…」
เลเลนอร์ซังพยายามทำให้ผมใจเย็นลง แต่ว่ามันไม่มีประโยชน์หรอก
「เอาจริงเลย เรย์จิ」
คำสั่งของคุณหนูนั้นง่ายดายเสมอ
「เคลียร์ทางซะ」
และงานเองก็มักจะค่อนข้างหนักหนาซะด้วยสิ – แต่ เพียงแค่วันนี้เท่านั้น
「ครับ คุณหนู」
ที่ผมเองก็รู้สึกอยากจะอาระวาดเหมือนกัน ดังนั้นมันจึงไม่เป็นไร
“คุณ ราชินีสีเงิน [แบนซี] ใช่ไหมครับ? ”
มนุษย์ที่สวมชุดคาวบอยส่งยิ้มให้ด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยผิวหนังหยาบกระด้าง
ดวงตาของเขา มันบอกว่าแม้แต่ตัวเองก็ยังไม่แน่ใจในสิ่งที่กำลังมองเห็น
ฝั่งสตรีเผ่าปีศาจยิ้มรับกลับด้วยใบหน้าที่งดงามบนผิวสีเงินอันเต่งตึง
ดวงตาของเธอดูมีความสุข เสมือนหนึ่งได้เจอเพื่อนเก่าที่ไม่ได้พบกันมานาน
“ไม่ได้ยินคนเรียกด้วยชื่อนี้นานถึง 101 ปี แล้ว ช่างน่าคิดถึงนัก”
***
เรื่องราว—
มันคือเรื่องราวเมื่อ 101 ปีก่อนหน้าในยุคปัจจุบัน
ณ เวลานั้น โลกไดมอนแห่งนี้ได้เผชิญพบเจอกับเหล่าเอเลี่ยนจากต่างดาวจำนวนมาก ผ่านทางรูหนอนที่ปรากฏขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ
ซึ่งปัจจุบันพื้นที่ ที่ว่า มันได้กลายเป็นสถานีท่าเทียบยานอวกาศ [หมู่เกาะเทียม] นั่นเอง
ในยุคนี้อาจเห็นว่าพวกเขาอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข
หากแต่เมื่อ 101 ปีก่อนหน้านั้นไม่ใช่
ภาษา ยังไม่ถือกำเนิดภาษากลาง
ความต่างทางเผ่า ความเชื่อใจ รวมไปถึงรูปลักษณ์ ความสงสัย ความไม่เข้าใจ
สิ่งเหล่านี้เป็นตัวแปรที่ทำให้พวกเขาถืออาวุธเข้าห้ำหั่นกัน
ท่ามกลางไฟสงครามอันร้อนระอุ มีเผ่าหนึ่งที่ถูกใครต่อใครเห็นพองต้องกัน ว่ามีความอันตรายมากที่สุดถือกำเนิดขึ้นมา
นั่นคือ [เผ่าปีศาจ]
***
“ในยุคนั้น— พวกเธอถูกทุกเผ่ารวมหัวมองว่าเป็นตัวอันตราย… มาคิดย้อนดูตอนนี้แล้ว— การที่ตอนนั้นเธอซึ่งมาบ้าคลั่งก่อสงครามไปทั่วทุกเผ่า แล้วมาจบลงด้วยน้ำมือของน้องสาวตัวเองเนี่ย มันใช่เป็นบทละครที่เธอจงใจวางเอาไว้ใช่ไหม? ”
“ไม่รู้สินะ~? ”
สตรีสาวปีศาจตอบด้วยรวยยิ้มที่ยียวนกวนใจ
เธอโค้งหัวขอนั่งข้างชายเผ่ามนุษย์อย่างมีมารยาท แล้วนั่งลงเพื่อเปิดบทสนทนาที่ดูจะยาวยืดนี้ต่อ
***
ในยุคสงคราม ณ เวลานั้น
ผู้ปกครองสูงสุดของเผ่าปีศาจมีเพียงคนเดียว
คือ ราชินีสีเงิน [แบนซี]
เธอทั้งสง่างาม แข็งแกร่ง แล้วยังบ้าคลั่ง
ไม่สนความพยายามในการกอบกู้สันติภาพของแต่ละเผ่า แล้วเริ่มดำเนินการก่อสงครามชนิดไม่สนใจสิ่งใด
แถมยังเก่งกาจระดับไม่มีเผ่าใด ๆ สามารถหยุดเธอเอาไว้ได้
ท่ามกลางความวุ่นวายของสงคราม ณ เวลานั้น ได้มีสตรีเผ่าปีศาจอีกคนลุกขึ้นมาต่อต้าน
เธอสังหารผู้นำปีศาจในเวลานั้นด้วยพลังที่เหนือกว่า
สยบผู้นำที่บ้าคลั่ง แล้วเข้าร่วมเป็นหนึ่งในบรรดาพันธมิตรระหว่างเผ่าพันธุ์กับดวงดาว
ซึ่งสตรีผู้นั้นยังคงมีชีวิตมาจนถึงปัจจุบัน
ราชินีเผ่าปีศาจหรือในอีกฉายาอย่างเป็นทางการว่าราชินีแวมไพร์
[แวม แวม ชาร์สเซอร์]
***
“ประวัติศาสตร์มันว่าเช่นนั้น ช่างน่าเศร้านักที่ประวัติศาสตร์ไม่ได้พูดถึงเผ่ามนุษย์ดวงตาสีฟ้า ผมสีน้ำตาลทองอีกคน ที่อยู่ในสถานที่แห่งนั้น ร่วมต่อสู้กับน้องสาวของเราในการฆ่าเราด้วย”
“ผมไม่ติดใจอะไรในเรื่องนั้นหรอกครับ”
ชายเผ่ามนุษย์ตอบกลับด้วยรอยยิ้ม
“ที่ผมติดใจคือเรื่องราวหลังจากนั้นมากกว่า เพราะหลังจบสงคราม เด็กสาวที่ชื่อแวม แวม ก็เริ่มขยับขยายเผ่าพันธุ์ตัวเอง พอรู้ตัวอีกที เธอก็มีอำนาจระดับขึ้นเป็นผู้ปกครองของทวีปแห่งหนึ่งได้แล้ว”
ราวกับ— ทุกเหตุการณ์ในสงครามครั้งนั้น มันถูกปูทางมาเพื่อให้เด็กสาวที่ว่าถูกมองเป็นฮีโร่
ปูพรมสีแดงเตรียมการเอาไว้ เพื่อให้เธอได้เป็นผู้นำทวีป—
“คุณรู้อะไรไหมครับ ในยุคสงครามตอนนั้น ไม่มีใครรู้กันเลยสักคนว่าพวกคุณเป็นพี่น้องกัน จนกระทั้งเธอคนนั้นพูดออกมาเองในยุคที่เธอมีอำนาจล้นพ้นแล้ว ราวกับว่ายังรักพี่สาวที่เป็นวายร้ายนะครับ”
“ยัยเด็กโง่นั่น… ก็ว่าอยู่ว่าทำไมประวัติศาสตร์ถึงถูกเขียนว่าพี่น้องฆ่ากันเพื่อยุติสงคราม… จะพูดเรื่องนี้ออกไปกันทำไมเล่า? ”
สตรีเผ่าปีศาจบ่นอุบกับตัวเอง
แต่ทว่าริมฝีปากของเธอกลับมีรอยยิ้มเล็ก ๆ ผุดขึ้นมาบนใบหน้า
” ไม่ต้องห่วงหรอกครับ ทัศนคติคนยุคนี้ไม่เหมือนเมื่อก่อน ไม่มีใครจะมามัวระแวงเผ่าแวมไพร์อีกต่อไปแล้ว แถมทฤษฏีสมคบคิด ก็คือทฤษฎีวันยังค่ำ คนยุคนี้ไม่มีใครคิดจะเชื่อจริงจังหรอกครับ”
“นั่นสินะ ฮุ ฮุ ฮุ”
พวกเขากำลังหัวเราะร่วน
เป็นการหัวเราะของเพื่อนสนิทเก่าแก่เช่นนั้น
” ส่วนอีกเรื่องที่ผมยังสงสัยคือ… ทำไมคุณถึงรอดตายมาได้ครับ? ผมจำได้ว่า ผม– กับน้องสาวของคุณ เป็นผู้ที่ฆ่าคุณไปกับมือแล้วนี่ครับ? ”
” ก็เคยได้ตายจริงแล้วนะสิ”
สตรีปีศาจยิ้มให้กับใบหน้าที่กำลังชวนงุนงงของอีกฝ่าย
เธอนำนิ้วที่เรียวยาวมาลูบลงบนริมฝีปากของอีกฝ่าย ว่าอย่าพึ่งได้ยิงคำถามอะไรออกมาเพิ่ม
” เจ้า— เชื่อเรื่องเทพเจ้าทั้งสามผู้สร้างโลกไหม? ”
” กระผมไม่เชื่อในเทพเจ้าเท่าไหรครับ แต่เชื่อเรื่องโลกหลังความตายนะครับ”
” เราผู้นี้ก็ไม่เชื่อ จนกระทั้งวันที่ได้ตายไป”
เธอยิ้ม
แต่คราวนี้เป็นรอยยิ้มที่ดูเคียดแค้น
“เจ้าเคยคิดไหม ว่าทำไมจักรวาลที่กว้างใหญ่ ดวงดาวนับล้าน กลับมีรูหนอนปรากฏเพื่อเชื่อมแต่ละเผ่า มารวมที่ดาวดวงนี้เพียงดวงเดียวกันได้เล่า? ”
” เป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติยังไงละครับ”
” ใช่ [ปรากฏการณ์ธรรมชาติ] ที่บังเอิญอย่างน่าตกใจเสียด้วย”
เหตุบังเอิญไม่มีในโลก
ทุกอย่างล้วนแต่เกิดจากการกระทำของตัวตนที่มีอยู่จริง
” โลกนี้มีเทพเจ้า และตัวเราได้เจอกับพวกมันมา ณ โลกหลังความตายมาแล้ว”
***
สตรีปีศาจเริ่มเล่าเรื่อง—
เมื่อ 101 ปีก่อน
หลังสิ้นสงคราม วิญญาณของเธอได้ตายลง ณ ใจกลางสนามรบ
เธอจงใจใช้ตัวเองให้เป็นอาชญากรรม เจ้าแห่งวายร้าย เพื่อปลุกปั้นสร้างฮีโร่ขึ้นมาในใจของทุกเผ่าพันธุ์
ศัตรูของศัตรูย่อมคือมิตรแท้
ความเสียสละของเธอเป็นสิ่งที่น่าประชดประชัน เพราะความตายจากหลายชีวิตในสงคราม ได้กลายเป็นรากฐานแห่งสันติภาพในเวลาต่อมา
เรื่องราว เหมือนควรจะจบเพียงแค่นั้น—
“ขอกินวิญญาณเข้าไปละนะ”
“ขอบคุณที่ดิ้นรน เต้นรำ สร้างเวทีสงครามแสนสนุกขึ้นมาให้พวกเราได้รับชม”
วิญญาณของเธอไม่อาจได้ไปเกิดใหม่
เธอได้รู้ความจริงของเบื้องลึกของโลก
รู้ว่าโลกใบนี้ไม่ได้รับอิสระ
รู้ว่าเทพเจ้าจงใจสร้างโลกนี้ให้โหดร้าย เพื่อรับชมการดิ้นรนของสิ่งมีชีวิตเป็นความบันเทิง
รู้ว่าเทพเจ้าจงใจสร้างเส้นทางเชื้อเชิญให้หลายเผ่าพันธุ์มาพบเจอ แล้วจุดชนวนสร้างสงคราม
“ปลายทางของของเล่น คือการถูกเทพเจ้าผู้สร้างโลกกลืนกิน เก็บกักขังเอาไว้เป็นเพียงแค่สิ่งของเท่านั้น”
สตรีปีศาจเล่าต่อไป โดยไม่สนใจสีหน้าของฝ่ายชาย ที่กำลังย่นคิ้วเข้าหากันอย่างไม่อยากเชื่อหูตัวเอง
“รู้อะไรไหม? หลังจากที่ตายไป วิญญาณจะถูกหลุดไปอีกมิติที่เหนือกว่า ที่นั่นมีสิ่งมีชีวิตที่พวกเราเชื่อว่าเป็น [เทพเจ้า] พวกมันทั้งจับพวกเราเป็นของเล่น จับขังไว้ในคริสตัลอันมืดมิด ไม่ได้ผุด ไม่ได้เกิด เวลาหยุดนิ่ง เป็นได้เพียงแค่สิ่งของ ของพวกมัน!”
เธอกำหมัด!
กำ— แล้วคลายออกในเวลาต่อมา
” จนกระทั้งวันแห่งโชคชะตาได้มาถึง”
วันนั้น– ได้เกิดแผ่นดินไหว
กรงคริสตัลที่กักขังเธอได้แตกพังทลาย จากภัยธรรมชาติในแดนคนตาย
” เราได้รับอิสระ รวมไปถึงวิญญาณร่วมชะตากรรมอีกหลายคน และนั่น คือสาเหตุที่เราหาทางกลับมาจุติ เกิดใหม่ได้อีกครั้งบนโลกใบนี้ พร้อมกับพรรคพวกที่เคียดแค้นเทพเจ้า!”
เธอพูดมันออกมาหมด
“ข้าฝึกพวกมันให้กลายเป็นวิญญานแค้น!”
“ทั้งแอบเข้าฝันเผ่าปีศาจตนหนึ่ง ที่มีความปรารถนาผิดเพี้ยนต่อน้องสาวข้า! แล้วหลอกมัน ชี้นำมันให้สร้างองค์กรแห่งความวิปริต [คาร์นิวอย] ขึ้นมา!”
” ทั้งปลอมตัวเป็นนักสำรวจใกล้ชิดคนมีแวว ฝึกฝีมือมัน— แล้วทรยศ เพื่อสร้างนักฆ่าผู้โดดเดี่ยวมาใช้งานให้กับองค์กร! ”
” สร้างเวทีอันเหมาะสม ที่จะก่อความวุ่นวายในเชิงมิติ สร้างโลกที่เอื้อต่อการเกิดภัยพิบัติทางวิญญาณ!”
” ทั้งหมด — ก็เพื่อดึงเทพเจ้า ให้ลงมาเดินดินบนเวทีเดียวกับพวกเรา!”
สตรีเผ่าปีศาจพูดออกมาหมดสิ้นซึ่งทุกสิ่งทุกอย่าง
เธอพูดมันออกมา ราวกับเป็นการระบายสิ่งที่อัดอั้นตันใจมานาน
พูด– และเล่าขาน เพื่อให้ใครสักคนได้ฟังมันเอาไว้
“…”
“อะไร? ทำหน้างี่เง่าแบบนั้นออกมา แปลว่าไม่เชื่อที่เล่าให้ฟังสินะ?
“คือมันออกจะเชื่อยาก… ”
ชายเผ่ามนุษย์พูดด้วยสีหน้าอมขำแห้ง
แต่ถึงจะพูดออกไปเช่นนั้น
“… แต่ผมกลับรู้สึกว่าคำพูดของคุณ มันมีน้ำหนักสูง ว่าเป็นความจริง— โลกหลังความตาย— เทพเจ้า— อย่างงั้นสินะครับ? ”
คราวนี้เป็นชายเผ่ามนุษย์ที่เริ่มเอยปากพูด
“รู้ไหมว่าความจริงผมเป็น”
“เป็นหัวหน้าสูงสุดของตำรวจสากล พอจะเดาได้อยู่แล้วละ ก็เราจงใจปล่อยข้อมูลออกไปเอง ดังนั้นคนที่นั่งอยู่ในโบสถ์เวลานี้ แล้วเข้ามาหยุดเราเอาไว้ มันคงเป็นใครคนอื่นไม่ได้หรอก”
“.. ใช่ครับ ผมมาดักที่นี่ วันนี้ ก็เพราะเดาว่าอาจมีตัวการใหญ่ยิ่งกว่า บาร์-ธา-ซ่าร์ อยู่อีก แต่แค่นึกไม่ถึงว่าคน คนนั้นจะเป็นคุณ รู้ไหมว่าตอนแรกที่เห็นคุณโผล่ออกมา ผมถึงกับต้องตบหน้าตัวเองหลายครั้ง ว่าไม่ได้ฝันไปนะครับ”
” ฮึ— แล้วแกจะเอายังไง? จะจับไหม? ”
” เออ… ไม่ละครับ ผมยังไม่อยากตาย”
ชายเผ่ามนุษย์ว่าเช่นนั้น พร้อมกับยกสองมือขึ้นมาเหนือหัวตัวเอง
” นี่เป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่ว่าทำไมผมถึงเชื่อว่าสิ่งที่คุณพูดออกมาคือความจริง ต้องขอบคุณชีวิตที่อยู่มานานเพราะร่างกายที่สร้างดัดแปลงมานี้ เลยทำให้พอจะมีเซ้นส์แหลมคมพอสมควรนะครับ”
เขาพูด แล้วชำเลืองสายตามองไปทางสตรีปีศาจ
“บอกตามตรง ด้วยศักดิ์ศรีของตำรวจสากล ถ้าเป็นสิ่งมีชีวิตเดินดินเหมือน ๆ กัน ผมคงสู้จนตัวตายเพื่อปกป้องคนบริสุทธิ์ แต่กับคุณ… ที่แผ่ไอบรรยากาศแปลก ๆ ออกมา แถมยัง—”
ในนัยตาสีฟ้าของชายผู้พูด มีเงากำลังสะท้อนอยู่ในดวงตา
มันคือเงาของสตรีปีศาจ
เงา— ที่กำลังต่อสู้กับชายคนหนึ่งอยู่
บทที่ 2 ตอนที่ 52 ส่วนที่ 2
รุ่งอรุณของหญิงสาว
คุณหนูนั้นรออยู่ที่ทางเข้าโถงในตอนที่ผมกลับมาที่คฤหาสน์ เธอได้ให้คนใช้นำโต๊ะเก้าอี้มาตั้งที่ทางเข้า พร้อมกับอ่านหนังสือและดื่มชาไปด้วยเลย เดี๋ยวสิครับ จะทำยังไงถ้ามีแขกมากระทันหันกันละครับ?
「เรย์จิ! นายกลับมาแล้ว!」เธอร้องขึ้นมาทันทีที่เห็นผม
ผทได้รับการต้อนรับกลับอย่างอบอุ่นเลยทีเดียว แทบจะเหมือนกับลูกสุนัขที่วิ่งเข้ามาหาเจ้าของเลย ท่านเอิร์ลจะต้องโกรธมากแน่ๆถ้ารู้เข้า เขาคงจะพูดประมาณว่า “ไม่เหมาะสม” แล้วตามด้วย “ลูกสาวของข้าดูจะชอบเจ้ามากเลยนะ (เป็นครั้งที่2)” อย่างไม่ต้องสงสัยเลยละ
ยังไงก็ตาม พวกเราก็ได้ย้ายไปยังห้องของคุณหนู – แน่นอนว่าหลังจากเคลื่อนย้ายโต๊ะเก้าอี้ออกจากทางเข้าแล้วหน่ะนะ
「แล้ว… เกิดอะไรขึ้นที่พระราชวังศักดิ์สิทธิ์งั้นหรอ?」
「อยากจะรู้หรอครับ?」
「แน่นอนสิ! เรย์จิหน่ะเป็น…」
คุณหนูพยายามจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ก็หยุดแล้วเบนสายตาออกไป
「…พะ-เพราะนายเป็นคนคุ้มกันคนสำคัญของชั้น」
…คุณหนูครับ คำพูดนั้นมันฟังดูน่าอายอยู่เหมือนกันนะครับ แต่ก็ยังดีกว่าถูกปฏิบัติเหมือนสิ่งของละนะ
「อืม มันก็ไม่ได้ผ่านไปนานนักหลังจากที่ทุกอย่างเกิดขึ้นครับ และผมก็ไม่ได้ถูกถามอะไรถึงงูยักษ์นั่นเลยด้วย โอ๊ะ แต่ผมก็ได้รับรางวัลเป็น 1 เหรียญทองศักดิ์สิทธิ์จากผลงานเมื่อวานด้วยครับ แต่ตอนนี้ฝ่าบาทดูจะสนใจในเรื่องของตระกูลริเวียร์มากกว่าครับ」
ถ้าท่านเอิร์ลคิดว่ามันจำเป็นละก็ เขาก็จะเป็นคนบอกคุณหนูถึงเรื่อง “พันธสัญญา” กับ “โลกอื่น” เอง ผมเองก็ต้องพูดกับเขาเกี่ยวกับเรื่องตาแก่ฮินกากับลูลูช่าซังด้วยเหมือนกัน แต่บางทีผมยังไม่ควรเอาเรื่องนั้นมาพูดในทันทีหลังจากเกิดเรื่องเมื่อวานขึ้น ผมควรจะรออีกสักพัก
「ตระกูลริเวียร์งั้นหรอ…?」
「ครับ」
มันน่าจะไม่มีปัญหาอะไร ดังนั้นผมเลยบอกทุกอย่างให้กับคุณหนูฟัง
「…………」
หลังจากที่ได้ฟัง คุณหนูก็ขมวดคิ้วน่ารักของเธอพร้อมกับครุ่นคิด「เรย์จิ… นายจะช่วยรับฟังชั้นหน่อยได้ไหม?」คุณหนูถามขึ้นหลังจากผ่านไปสักพัก
สีหน้าของคุณหนูนั้นซีดเผือก – ไม่กี่นาทีต่อมาผมก็รู้สาเหตุ
คุณหนูนั้นยังคงเป็นเด็กสาวอยู่
เธอมีสายเลือดขุนนาง – ถึงเธอจะไม่ชอบก็เถอะ – เธอนั้นเกิดมาพร้อมกับมัน, เต็มเปี่ยมไปด้วยความรู้, และเหนือยิ่งไปกว่านั้น เธอมีหัวใจอันเที่ยงธรรม แม้ว่ามันอาจจะทำร้ายพ่อของเธอได้
ในตอนกลางวัน ผมได้ตรวจดูรอบๆจากบนหลังคาบ่อยครั้ง ทว่าอะไรอย่างรัฐประหารก็ไม่ได้เกิดขึ้น กลับกัน ผมคิดว่ามันเงียบจนน่าขนลุกเกินไปด้วยซ้ำ
เอิร์ลนั้นกลับมาบ้านดึกมาก ไม่ใช่แค่ผม แต่คุณหนูเองก็กำลังเฝ้ารอเขาด้วยเหมือนกัน ท่านเอิร์ลหรี่ตาลงในตอนที่เขาเห็นพวกเรา
「…นี้มันหมายความว่ายังไงกัน?」
「ก่อนอื่นก็ ยินดีต้อนรับกลับค่ะ ท่านพ่อ」
「ขอบใจนะ อีวา พ่อไม่ค่อยได้นอนเลยวันนี้ แถมยังเครียดนิดหน่อยด้วย ดังนั้นพ่อขอเข้านอนก่อน… แต่ดูเหมือนว่าจะทำไม่ได้นะ」
「หนูรู้ว่าท่านพ่อเหนื่อย แต่มีบางอย่างที่หนูอยากจะยืนยันให้แน่ใจน่ะค่ะ」
「เข้าใจแล้ว เซบาส ทนรออยู่กับข้าอีกสักนิดนะ」
「ขอรับ」
หัวหน้าพ่อบ้านจ้องมองมาที่ผม ชายคนนี้จะไม่ยกโทษให้ใครก็ตามที่ทำให้สุขภาพของเอิร์ลเสื่อมเสีย แม้จะเป็นพรรคพวกก็ตาม
เหล่าเมดและพ่อบ้านคนอื่นๆในโถงทางเข้าต่างก็มีสีหน้ากังวล พวกเขาตกใจจากบรรยากาศตึงเครียดเพราะพวกเราไม่ได้บอกอะไรพวกเขาเลย
「และหนูก็ขอให้กัปตันแม็กซิมมาด้วยเช่นกันค่ะ」คุณหนูพูด
「ครับ」
กัปตันแม็กซิมผู้ที่เป็นคนคุ้มกันของท่านเอิร์ลได้ก้าวออกมาข้างหน้า
ห้องส่วนตัวของท่านเอิร์ลนั้นแคบเกินไปสำหรับพวกเราทุกคน ดังนั้นพวกเราจึงมุ่งหน้าไปยังห้องรับรองแทน
ท่านเอิร์ลกับคุณหนูนั้นนั่งอยู่บนโซฟาตรงข้ามกัน หัวหน้าพ่อบ้านกับกัปตันแม็กซิมนั้นยืนอยู่ข้างหลังท่านเอิร์ล ส่วนผมนั้นยืนอยู่ข้างหลังคุณหนู
…เข้าใจละ ท่านเอิร์ลดูเหนื่อยมากจริงๆ – ทว่าเขาไม่คิดว่าพวกเราจะเลื่อนการพูดคุยกันในครั้งนี้ไปไว้วันอื่นได้ เพราะใครจะรู้ละว่าพรุ่งนี้มันจะเกิดอะไรขึ้น
「ท่านพ่อคะ เกิดอะไรขึ้นกับตระกูลริเวียร์อย่างนั้นหรือคะ?」
「…………」
ท่านเอิร์ลมองไปที่ด้านหลังของคุณหนู จ้องมองมาที่ผม
(ใช่แล้ว ผมเป็นคนบอกเธอเอง แต่คุณหนูรู้เรื่องนี้ไปก็ไม่เป็นไรไม่ใช่หรอ?)
ท่านเอิร์ลมองมาแปปนึงก่อนจะพูดออกมาราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
「ตระกูลริเวียร์จะอยู่ภายใต้การควบคุมของฝ่าบาทเพราะข้อกล่าวหาในการพยายามลอบสังหารท่านคลูฟชราทและการติดสินบนนักบวชแห่งแท่นบูชาที่ 1 แล้วลักลอบขายหินสกิลสู่ตลาดมืด หัวหน้าตระกูลยืนยันความบริสุทธิ์ตัวเองจนถึงท้ายที่สุดและพยายามร้องขอการหนุนหลังจากดยุคคนอื่นๆ ทว่าจากการดำเนินการค้นคฤหาสน์ของเขาพบหลังฐานถึงการติดสินบนนักบวช พวกเขาเลยหนีไม่รอด การค้นหานั้นเป็นผลพวงมาจากการโจมตีของงูยักษ์ ถึงแม้ ถ้าภาคีอัศวินจัดการกับงูนั่นไม่ทันเวลา ตระกูลริเวียร์ก็อาจจะไม่มีเหลืออยู่จนถึงวันนี้เลยก็เถอะ」
「…ภาคีอัศวินเป็นคนจัดการมัน?」
ประโยคนั้นดึงความสนใจของผม
「ใช่ นั่นเป็นสิ่งที่ข้าได้ยินมา ภาคีอัศวินนั้นถือครองซากของงูยักษ์อยู่จริงๆ」
งั้นหรอ? งั้นก็หมายความว่ากิลด์นักผจญภัยแพ้ให้กับภาคีอัศวินหรือเนี้ย?
「…มีอะไรสะกิตใจเจ้าหรือไง เรย์จิซัง?」
ผมสายหัวเป็นการตอบกลับ อูโรโบรอสนั้นไม่ใช่ปัญหาแล้ว
จากนั้น คุณหนูก็ได้พูดต่อ
「ท่านพ่อคะ “การพยายามลอบสังหารท่านคลูฟชราท” กับ “ลักลอบขายหินสกิลในตลาดมืด” นั้นเป็นคนละกรณีกันค่ะ」
「…ก็คงอย่างนั้น แต่แล้วมันทำไมรึ?」
「นั่นหมายความว่าผู้อยู่เบื่องหลังเองก็เป็นคนละคนกันค่ะ ท่านพ่อคะ ท่านใช้คำต่างกันโดยไม่รู้ตัวนะคะ ระหว่าง “ข้อกล่าวหาพยายามลอบสังหาร” กับ “อาชญากรรมในการลักลอบขายหินสกิล”」
ในครั้งนี้ — เป็นครั้งแรก ที่ใบหน้าของท่านเอิร์ลแสดงความไม่สบายใจออกมา ดวงตาของเขาเบิกกว้างขึ้น
「ถ้าฟังผ่านๆก็อาจจะคิดว่าพวกมันเป็นสิ่งที่ก่อโดยตระกูลริเวียร์ค่ะ คนร้ายที่วางยาจานอาหารของท่านคลูฟชราทนั้นถูกพบเป็นศพภายในคฤหาสน์ของตระกูลริเวียร์ และผลลัพธ์ก็คือการค้นพบหลักฐานการติดสินบนนักบวช ทว่า หนูคิดว่าทั้งสองเรื่องนี้มันต่างกันและไม่เกี่ยวกันค่ะ」
คุณหนูพูดอย่างตรงไปตรงมา ดูเหมือนว่าเธอพยายามที่จะไม่นำอารมณ์ใส่ลงไปในคำพูดของเธอ
「ท่านพ่อคะ ท่านคงจะรู้ว่าการพยายามลอบสังหารท่านคลูฟชราทนั้นไม่ใช่ฝีมือของตระกูลริเวียร์ จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมท่านถึงใช้คำว่า “ข้อกล่าวหา” โดยไม่รู้ตัวค่ะ เหตุผลก็คือ… ท่านเป็นผู้อยู่เบื้องหลังการวางยาพิษค่ะ」
========================================================
TL: ความจริงมีเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น!!!
บทที่ 2 ตอนที่ 52 ส่วนที่ 1
สื่งที่เข้ามาในหัวของผมก็คือชายแก่มากความรู้แต่ขี้เหงา ผู้ที่อาศัยอยู่ในกระท่อมเล็กๆของเหมือง
ขนาดตอนที่เขาจากไป เขาก็ยังปรารถนาให้ผมมีความสุข
เขาพูดถึงอะไรบางอย่างเกี่ยวกับการตามล้างตามเช็ดสิ่งที่พ่อของดยุคทำ ดูเหมือนว่าเขาจะระเหระหนเข้ามาในอาณาเขตดยุคอเคนบาคในตอนที่ราชอาณาจักรล่มสลายสินะ
(แต่ คำพูดสุดท้ายของต่าแก่ฮินกาก็คือ…!)
ในตอนนั้นผมได้ดูดกลืน【World Ruler】เข้ามาเรียบร้อยแล้ว ดังนั้นผมจดจำทุกคำพูด
——ข้าคงอยู่เพื่อถูกลงโทษ, สำหรับบาปที่ข้าไม่อาจชดใช้ได้แม้ความตาย, ทว่าข้ากลับได้อาบแสงอาทิตย์อย่างเป็นสุขในนาทีสุดท้ายเช่นนี้, โอ้พระผู้เป็นเจ้า ผู้ปกครองสรวงสวรรค์และผืนดิน, ขอพระองค์ทรงประทานพรแก่เด็กผู้ถูกเกลียดชังนี้ด้วยเถิด…
ตาแก่ฮินกาได้ทำ “บาป” อะไรไว้งั้นหรอ? เกี่ยวกับหินสกิลหรือเปล่า? หรือเกี่ยวอะไรกับการล่มสลายของราชอาณาจักรฟอร์ชางั้นหรอ?
หรือว่าบางที… “เด็กผู้ถูกเกลียดชัง” นั้นจะหมายถึงผมสีดำกับตาสีดำของผม
「เออ, กระผมได้บังคับให้ฝ่าบาทส่งทีมวิจัยไปเก็บรวบรวมบทความของดร.ฮินกาอย่างไม่มีเหตุผลขอรับ, มันเหลืออยู่ไม่มาก, แต่กระผมก็ได้คัดลอกมันเอาไว้หมดแล้ว, และส่งมันให้กับญาติทางสายเลือดไปขอรับ, เออ, บทความหลายๆอันของดร.ฮินกานั้นขัดต่อภูมิปัญญาดั้งเดิมขอรับ, ดังนั้นกระผมเลยดีใจที่เห็นท่านสนใจมัน」เอลพูดต่อแม้ว่าผมจะยังตกอยู่ในความคิดอยู่
「ดะ-เดี๋ยวก่อนนะครับ!」ประโยคนึงจากปากของเอลซังทำให้ผมตะลึง「คุณพูดว่าญาติทางสายเลือดของตาแก่ฮินกายังงั้นหรอครับ!?」
「เขาไม่ใช่ตาแก่ขอรับ, เป็นศาสตราจารย์ต่างหากขอรับ, เออ, เอาเถอะขอรับ, จากมุมมองของเรย์จิซัง, เขาก็คงจะเป็นตาแก่จริงๆขอรับ」
「ขะ-ขอโทษครับ หลุดปากไปหน่อย งั้น เกี่ยวกับญาติทางสายเลือดของดร.ฮินกาละครับ?」
「ขอดูก่อนนะขอรับ… มันมีประเทศแปลกๆที่ชื่อว่าจักรวรรดิ์เวทมนตร์เลฟอยู่ขอรับ, เออ, ลูกสาวของเขาย้ายไปอยู่ที่นั่นหลังจากที่เธอแต่งงานแล้วขอรับ」
ลูกสาวของต่าแก่ฮินกานั้นอยู่ต่างประเทศในตอนที่ราชอาณาจักรฟอร์ชาถูกทำลาย ดังนั้นเธอเลยรอดจากเคราะห์ร้ายไป
「ลูกสาวของเขายังอยู่ในจักรวรรดิ์เวทมนตร์เลฟหรือเปล่าครับ?」
「ตอนนี้, มันก็… 10 ปี, ไม่สิ, 15 ปีมาแล้วขอรับ, ถ้าท่านสนใจในงานของเขาละก็, ที่พระราชวังศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ก็มีก็อปปี้อยู่นะขอรับ」
「…ไม่ครับ ผมอยากจะเห็นของจริงหน่ะครับ ขอข้อมูลติดต่อลูกสาวของเขาจะได้ไหมครับ!?」
「ไม่มีปัญหาขอรับ, เออ, เธอคนนั้นมีชื่อว่าเอ็มม่าขอรับ, และสามีของเธอเป็นเจ้าหน้าที่อาวุโสในจักรวรรดิ์เวทมนตร์เลฟด้วยขอรับ, ถ้ากระผมจำไม่ผิด, เธอเองก็มีลูกสาวด้วยเหมือนกันขอรับ」
…ลูลูช่าซัง!
ผมสังหรณ์ได้ทันทีเลยว่าเป็นเธอ แต่พูดไปมากกว่านี้จะสร้างความน่าสงสัยมากขึ้นได้ – ถึงผมจะสร้างไปมากพอแล้วก็เถอะ – ดังนั้นผมเลยปิดปากเงียบ
หลังจากที่ผมได้ข้อมูลที่ตามหาในที่ที่คาดไม่ถึงนี้แล้ว ผมก็กลับไปยังคฤหาสน์
** นักบวชชั้นสูงเอล **
หัวหน้าตระกูลเอเบน, หนึ่งใน 6 ดยุคผู้ยิ่งใหญ่, ปรากฏตัวขึ้นด้านหลังของกระต่ายยักษ์ที่ยังคงนั่งอยู่ที่เดิม
「…ท่านเอล เรย์จิโดโนะไปแล้วสินะครับ?」
「เออ, เขาไปแล้วขอรับ」
「แล้ว ท่านคิดยังไงกับ “เด็กแห่งหายนะ” นั่นครับ?」ลอร์ดเอเบนถามขึ้นพร้อมกับนั่งลงข้างๆเอล
「ขอรับ, ข้ามั่นใจว่าเรย์จิซังเป็น “เด็กแห่งหายนะ” แน่นอนขอรับ, ทว่า… หลังจากที่กระผมมองดูเขาด้วยตาของตัวเองแล้ว, ผมไม่อยากเชื่อเลยขอรับ, ผมไม่รู้สึกถึงความมุ่งร้ายใดๆจากเขาเลยขอรับ」เอลตอบโดยที่ไม่ได้หันไปมองลอร์ดเอเบน
「ถ้าตามบันทึกโบราณเป็นความจริงละก็ “เด็กแห่งหายนะ” นั้นจะมีผมสีดำกับตาสีดำและถือครองพลังอำนาจที่ยิ่งใหญ่ครับ มันได้บอกเอาไว้ว่าเด็กคนนั้นสามารถทำลายได้แม้กระทั่งประเทศเลยครับ แต่เรย์จิโดโนะมีผมสีฟ้านี้ครับ」
「สีผมนั้นสามารถเปลี่ยนแปลงได้ขอรับ, เออ, เขาคงจะย้อมผมนะขอรับ — อย่างน้อยเขาก็รู้ว่าการมีผมสีดำตาสีดำเป็นเรื่องเลวร้ายขอรับ」
「มันอาจจะเป้นแฟชั่นก็ได้ครับ」
「แหม! หัวหน้าตระกูลเอเบนไม่ควรสร้างสมมติฐานที่ไร้ความหมายนะขอรับ」
「ข้าก็แค่คิดถึงความเป็นไปได้ทั้งหมดหน่ะครับ แล้ว ท่านเอลครับ ท่านเชื่อรึยังครับว่าเด็กคนนั้นเป็น “เด็กแห่งหายนะ” หน่ะครับ?」
「…เออ กระผมเองก็บอกไม่ได้ขอรับ」
「ทำไมหล่ะ?」
「ฝ่าบาทบอกให้ท่านสังหารเขาตรงนี้ทันทีที่ท่านยืนยันได้ว่าเขาเป็น “เด็กแห่งหายนะ” ไม่ใช่หรือครับ …งั้น พูดอีกอย่างก็คือ ท่านปล่อยเขาหนีไปงั้นหรือครับ?」
เมื่อลอร์ดเอเบนยกมือขึ้น เงาสีดำกว่า 10 ร่างที่ซ่อนอยู่ในสวนก็ได้ยืนขึ้นแล้วหายไปอย่างไร้ร่องรอย พวกเขาไม่ใช่ทั้งคนคุ้มกันของลอร์ดหรือทหารยามของพระราชวังแต่อย่างใด แต่แน่นอนว่าเป็นผู้ที่เชี่ยวชาญในการลอบสังหาร
「เออ, กระผมยืนยันไม่ได้ขอรับ」
「…………」
ถึงปากของเขาจะยังยิ้มอยู่ แต่ดวงตาของฮาร์ฟลิงคนนี้นั้นเย็นชาจนหน้ากลัว เขาคิดว่าเรย์จิจะต้องมีผมสีเดิมเป็นสีดำอย่างแน่นอน คนกลางเองก็เรียกเขาว่า “เด็กแห่งหายนะ” ด้วย “เด็กแห่งหายนะ” จะต้องถูกฆ่า นั่นเป็นสามัญสำนึกของชนชั้นสูงในประเทศนี้
อย่างไรก็ตาม เอลก็ไม่ได้ทำมัน เขารู้สึกมีความสุขที่ได้พูดถึงดร.ฮินกาเป็นครั้งแรกหลังจากผ่านมานานอย่างนั้นหรือ? และก็อย่างที่เขาบอกกับลอร์ดเอเบนไปว่าเขานั้นไม่ได้รู้สึกถึงความมุ้งร้ายใดๆเลย
(…ไม่, จะไปทำร้ายเด็กที่เสี่ยงชีวิตช่วยพวกเราทุกคนได้ยังไงกัน?)
เอลคิดแบบนั้น แต่แน่นอนว่าไม่ได้พูดออกไป ถ้าเขาพูดแบบนั้นกับหัวหน้าตระกูลขุนนางละก็ เขาก็คงจะถูกหัวเราะเยอะแล้วถูกบอกว่า “ถ้างั้น ข้าจะกำจัดเขาเอง” เพียงเท่านั้น
(พลังที่เด็กคนนั้นใช้กับคนกลางนั้นเหนือหลักเหตุผลไปแล้ว, ถ้าพลังนั่นหันเข้าใส่ราชอาณาจักรศักดิ์สิทธิ์ละก็…)
มีหลักฐานอยู่หลายอย่างในบันทึกโบราณว่า “เด็กแห่งหายนะ” จะกลายเป็น “หายนะ” ที่แท้จริงและได้คร่าชีวิตผู้คนไปมากมาย ภัยคุกคามนั้นน่าหวาดหวั่นยิ่งกว่า “โลกอื่น” ที่ยังควบคุมได้ด้วย “พันธสัญญา” ซะอีก
(แต่, ถึงยังนั้น, จำเป็นที่จะต้องฆ่าเด็กน้อยบริสุทธิ์ที่ยังไม่ได้กลายเป็น “หายนะ” อย่างนั้นหรอ?, เออ, ถ้าเลี้ยงดูเขามาอย่างระมัดระวังละก็, บางทีเขาอาจจะนำประโยชน์มหาศาลมาสู่โลกนี้ก็ได้?)
แต่สมมติฐานนี้ก็ แน่นอนว่าเป็น “สมมติฐานอันไร้เหตุผล” มันเป็นความคิดสุดอันตรายที่อาจถึงชึวิตของเอลได้ถ้ามันออกมาจากปากของเขา
ยังไงซะ บทความของดร.ฮินกานั้นก็ใกล้เคียงกับความคิดนี้ ถึงจะมีเรื่องน่าเศร้าเกิดขึ้นในอดีต แต่พวกเราก็ไม่ควรประเมินศักยภาพของมนุษย์ผิดไป — มันเป็นความคิดที่ตรงข้ามกับเหล่าขุนนางที่คิดว่าถ้าฆ่าเด็กจะสามารถหยุด “หายนะ” ได้ พวกเขาก็ควรฆ่า
「เออ, พวกเราไม่ควรยุ่งกับเด็กคนนั้นนะขอรับ」
「…ถ้ายังนั้น รายงานกับฝ่าบาทแบบนั้นไปแล้วกันครับ」
ในสายตาของกระต่ายไม่มีความไม่สบายใจอยู่เลย
「ยิ่งไปกว่านั้นขอรับ, เรื่องของตระกูลริเวียร์เป็นยังไงบ้างขอรับ?」
「ไม่มีปัญหา หลังฐานทั้งหมดครบแล้ว และฝ่าบาทเองก็สั่งให้ลงมือแล้วครับ เหนือสิ่งอื่นใด “ลอร์ดเลือดเย็น” เองก็เป็นคนทำงานนี้ด้วยครับ ท่านไม่ยินดีหรือครับ ท่านเอล? คนบาปที่ละเมิดแท่นบูชาที่ 1 ที่ท่านหวงแหนที่สุดจะถูกสำเร็จโทษแล้วหน่ะครับ」
「…เออ, จริงด้วยขอรับ」
เมื่อเอลตอบกลับไป หัวหน้าตระกูลเอเบนก็ยืนขึ้นแล้วออกไปจากห้อง เอลถอนหายใจเล็กน้อยจากความรู้สึกที่ได้ถูกปลดปล่อยจากความกดดันนั้น
บทที่ 2 ตอนที่ 51
เมื่อราชันศักดิ์สิทธิ์และเอิร์ลจากไป ก็เหลือเพียงแค่ผมกับเอลซังเท่านั้นที่อยู่ในห้อง เอลซังนั่งลงที่ที่ราชันศักดิ์สิทธิ์เคยนั่งพร้อมกับพูดว่า “เออ, ในที่สุด” เหมือนกับคนไม่เอาอ่าวเลย… แบบกระต่าย
「เออ, ก่อนอื่นก็อ่านเนื้อหาก่อนขอรับ」เขาพูดพร้อมกับเลื่อนกระดาษที่มีเนื้อหาของสัญญาข้ามโต๊ะมา
ผมนึกถึงสิ่งที่น็อนซังสอนผม
——เรย์จิคุง เมื่อทำสัญญาเวทมนตร์ต้องตรวจดู 3 สิ่งนะ
(อย่างแรกก็คือกระดาษ นี้เป็นกระดาษที่ทำจากพืช)
การใช้ม้วนหนังจะได้ผลมากกว่า และมันยังยากที่จะร่าย “ละเว้นเวทมนตร์” ด้วย ในทางกลับกัน ร่าย “ละเว้นเวทมนตร์” ใส่กระดาษที่ทำจากพืชนั้นง่ายมาก ดังนั้นกระดาษแผ่นนี้นั้นเป็นแบบที่ผมต้องการเลย
ที่น็อนซังหมายถึงในตอนที่เธออธิบายถึงการ “ละเว้นเวทมนตร์” ก็คือ “การหลุดรอดจากเวทย์พันธสัญญา”
(อย่างที่สองก็คือรูปแบบของพันธสัญญา)
——ถ้าผู้ใช้ไม่ได้ร่ายเวทมนตร์ใส่ผู้ทำสัญญาโดยตรง แต่เป็นการร่ายใส่กระดาษละก็ ผลของมันจะต่ำมากจนบางครั้งสัญญาก็อาจจะไม่สำเร็จก็ได้
ครั้งนี้ เวทมนตร์ถูกร่ายเอาไว้บนกระดาษ
(อย่างที่สามก็คือวิธีการทำพันธสัญญา)
——มีเวทย์พันธสัญญาอยู่ 4 รูปแบบที่นิยมใช้กัน อันที่ใช้ในระดับชาติ, อันที่ใช้โดยโบสถ์, อันที่ใช้โดยกิลด์, และอันที่ใช้โดยบุคคลทั่วไป สองอันที่เป็นทางการนั้นถูกใช้กันมาอย่างยาวนาน ดังนั้นจึงมีการศึกษาเรื่องช่องว่างของมันมาแล้ว
กระดาษแผ่นนี้เป็นพันธสัญญาของราชอาณาจักรครูวานศักดิ์สิทธิ์
(น็อนซัง พวกเราทำได้! มันแทบจะเป็นเวทย์พันธสัญญาที่ต้องการเป๊ะๆเลย)
ถ้าเป็นกรณีนี้ละก็ หลังจากที่ยอมรับสัญญาแล้ว ผมก็สามารถยกเลิกมันโดยใช้วิธีการลับของโบสถ์ได้ ในขณะที่ผมคิดแบบนั้น–
「เออ, มันก็ไม่ได้มีเนื่อหาอะไรมากหรอกขอรับ, แต่ถ้าท่านกังวลเกี่ยวกับมันละก็ ท่านก็ไม่จำเป็นต้องเซ็นสัญญาก็ได้ขอรับ」
「…อะไรนะครับ?」
「ยังไงซะ, มันก็ไม่มีสัญญาไหนที่เก็บความลับไม่ให้หลุดออกไปได้หรอกขอรับ, เออ, ไม่มีทางปิดปากของผู้คนได้จริงๆอยู่แล้วขอรับ」
「……」
น็อนซังครับ กระดาษสัญญาได้ถูกเก็บไปแล้วละครับ
น็อนซังครับ ดูเหมือนเรื่องที่คุณสอนผมจะเสียเปล่าซะแล้วละครับ
「…มะ-มันจะดีจริงๆหรอครับ?」
「มันก็แค่เพื่อภาพลักษณ์เท่านั้นแหล่ะขอรับ」
เอลซังเขียนชื่อของผมลงไปในเอกสารอย่างรวดเร็ว และเวทมนตร์ก็ได้ทำงานพร้อมกับกับแสงสว่าง
「เออ, แล้วก็, มันมีวิธีที่เรียกว่า “ละเว้นเวทมนตร์” สำหรับเวทย์พันธสัญญาแบบนี้อยู่ด้วยขอรับ ถ้าท่านสนใจละก็, กระผมสามารถสอนให้ท่านได้นะขอรับ」
「มะ-ไม่เป็นไรครับ…」
อีกฝ่ายยก “ละเว้นเวทมนตร์” ขึ้นมาเองเลย?!
เหงื่อเย็นๆไหลลงมาที่หน้าผากของผม
「งั้นหรือขอรับ?」
ทำไมคุณถึงดูผิดหวังซะงั้นละครับ! อ้า ถึงเขาจะเป็นกระต่าย แต่ผมก็เริ่มจะเข้าใจสีหน้าของเขาขึ้นมาแล้ว
「จะดีหรอครับ? ไม่ใช่ว่าเมื่อวานเกิดเรื่องที่มันสำคัญมากๆขึ้นไม่ใช่หรอครับ?」
「เออ, มันก็จริงขอรับ, แต่ว่า, กระผมคิดว่ามันจะเป็นการดีกว่าที่ข้อมูลนี้แพร่หลายออกไปขอรับ」
「จริงหรอครับ?」
「ขอรับ, มันไม่สมเหตุสมผลเท่าไหร่ที่จะเก็บเป็นความลับขอรับ, มันก็ทำได้แค่ทำให้ราชวงศ์ศักดิ์สิทธิ์ดูลึกลับขึ้นเท่านั้นแหล่ะขอรับ, กลับกัน, การกระจายความรู้เรื่องหินสกิลไปทั่วโลก, เออ, กระผมคิดว่าทางนั้นมันจะได้ประโยชน์มากกว่าขอรับ」
ระดับของเรื่องราวครั้งนี้มันชักจะใหญ๋โตขึ้นซะแล้วสิ
「นั่นก็หมายความว่าผมสามารถถามเรื่องที่ผมอยากรู้ก็ได้ใช่ไหมครับ?」
「เออ, ถ้ามันอยู่ในขอบเขตความรู้ของกระผมละก็, ได้แน่นอนขอรับ」
「งั้น อะไรคือ “โลกอื่น” แล้วอะไรคือ “พันธสัญญา” กันครับ?」
「มันถูกเรียกอย่างง่ายๆว่า “โลกอื่น” จากผู้คนบนโลกนี้ขอรับ, เออ, ว่ากันว่า “โลกอื่น” เป็นโลกเดียวกับโลกใบนี้แต่อยู่เบื้องหลังขอรับ, ส่วน “พันธสัญญา” นั้นดูจะเป็นกฏที่เกี่ยวข้องกับ “หินสกิล” ที่ได้ตกลงก้นไว้กับ “โลกอื่น” ขอรับ」
ผมไม่คาดคิดว่าจะได้คำตอบจริงกลับมาเลย ทว่า ถึงจะได้ยินแบบนั้น ผมก็ไม่เข้าใจอยู่ดีว่าพวกนั้นมันหมายถึงอะไร
「ขออภัยด้วยครับ ผมไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่เลย」
「เออ, ในตอนนี้, ก็คงใช้ขอรับ, พวกเราไม่สามารถตรวจสอบ “โลกอื่น” ได้เลยขอรับ, ดูเหมือนจะมีการเชื่อมต่อกันระหว่างสองโลกในอดีตกาลอยู่ขอรับ, ทว่าเพื่อที่จะหยุดการเชื่อมต่อนั้น, พวกเราเลยได้ปิดประตูที่เชื่อมต่อโลกเอาไว้ขอรับ」
ประตู เจ้าคนกลางนั่นได้พูดเอาไว้ว่า — 「ความมืด, เปิดประตู, แสงสว่าง, นำทาง」
「อูโรโบรอส… ประตูนั่นใช่ที่งูยักษ์ออกมาหรือเปล่าครับ?」
「เออ, ถูกต้องขอรับ, งูกินหาง(อูโรโบรอส)เป็นสำนวนที่น่าสนใจมากขอรับ, ขอนำไปใช้นะขอรับ」
เอลซังนำม้วนกระดาษออกมาจากกระเป๋าเสื้อก่อนจะเริ่มวาดมันลงไป พอพูดถึงแล้ว ราชันศักดิ์สิทธิ์ไม่ได้พูดถึงอูโรโบรอสเลยนี้นา สงสัยว่ารายงานจะยังไม่มาถึงละมั้ง
「ตอนนี้, พวกเราไม่สามารถไปมาระหว่างโลกได้อย่างง่ายๆเพราะ “พันธสัญญา” นั่นขอรับ, เออ, ทว่า, มีเพียงแค่คนกลางเท่านั้นที่ทำได้ขอรับ」
「คนกลางหรอครับ… มังกรเองก็เป็นคนกลางด้วยหรอครับ?」
「โอ๊ะ? ท่านรู้เรื่องนั้นด้วยหรือขอรับ? เออ, ขอรับ, มังกรเป็นคนกลางของโลกใบนี้ขอรับ」
「มังกรนั่นพูดอะไรบางอย่างเกี่ยวกับการลงโทษพวกมนุษย์ตาม “พันธสัญญา” หน่ะครับ」
「โอ๊ะ? ท่านเคยคุยกับมังกรยังงั้นหรือขอรับ?」
ซวยละหลุดปากไป ผมรีบปิดปากของตัวเองอย่างเร่งรีบ ทว่าเอลซังก็ไม่ได้สนใจอะไร ก่อนจะพูดต่ออย่างสดใส
「เออ, นั่นเป็นประสบการณ์ที่หาได้ยากยิ่งขอรับ, ว่ากันว่ามังกรนั้นสามารถพบได้ในพื่นที่เฉพาะเท่านั้นขอรับ คอยเฝ้าดูว่าพันธสัญญาได้ถูกละเมิดหรือไม่ขอรับ」
「”พันธสัญญา” อีกแล้วสินะครับ?」
「ขอรับ, ว่ากันว่า “พันธสัญญา” นั้นมีส่วนที่สำคัญอยู่หลายอย่าง, และหนึ่งในนั้นบอกเกี่ยวกับว่าไม่ให้ถือครองหินสกิลมากเกินไปอะไรแบบนั้นขอรับ」
「ไม่ถือครองมากเกินไปหรอครับ?」ผมถามขึ้น
กระต่ายได้พยักหน้าตอบรับ
「หินสกิลนั้นถูกเรียกกันว่า “สิ่งที่พระเจ้าประทาน” ขอรับ… ทว่ากระผมคิดว่ามันเองก็เป็น “สิ่งที่หมุนเวียน” ด้วยเหมือนกันขอรับ, เออ, ถึง, กระผมจะเป็นคนเดียวที่เชื่อแบบนั้นในพระราชวังแห่งนี้ก็เถอะขอรับ, กระผมมีทฤษฎีที่ว่าหินสกิลที่หายไปจากโลกนี้ มันจะไปยัง “โลกอื่น” ขอรับ, และหินสกิลที่หายไปจาก “โลกอื่น” ก็จะมายังโลกใบนี้ขอรับ」
「————」
ผมอ้าปากกว้าง ผมไม่เคยคิดอะไรแบบนั้นมาก่อนเลย แต่ก็แปลกที่จะคิดว่ามันเป็นสิ่งที่งอกออกมาจากกำแพงของเหมือง เหมือนกับเห็ดแบบนั้น
แต่ ถ้าพวกเราคิดจากเรื่องการหมุนเวียนนี้แล้ว ไม่ใช่มันหมายความว่าหินมันมีจำนวนจำกัดหรอ? ถ้าจำนวนประชากรพุ่งพรวดขึ้นมาละก็ จำนวนผู้คนที่ไม่ได้รับหินสกิลก็จะมากขึ้นไม่ใช่หรอ?
「เออ, ดูเหมือนกระผมจะทำให้สับสนสินะขอรับ」
「ก็นิดหน่อยหน่ะครับ…」
「พูดตามตรงเลยนะขอรับ, นี้ไม่ใช่ทฤษฎีของผมหรอกขอรับ, มันถูกคิดค้นโดย ดร.ฮินกา ผู้ที่เป็นผู้นำทีมวิจัยด้านการถอดหรัสเอกสารโบราณเกี่ยวกับ “พันธสัญญา” ขอรับ, ทั้งเรื่องของ “โลกอื่น”, และการศึกษาเกี่ยวกับ “หินสกิล” นั้นมาจากเอกสารงานวิจัยเมื่อ 20 กว่าปีก่อนขอรับ」
「————」
ผมตกตะลึงจากชื่อนั้นที่อยู่ๆก็ปรากฏขึ้นมา
「ขออภัยนะครับ แต่ว่า… คุณพูดถึงใครนะครับ?」
เสียงของผมนั้นแผ่วเบา
「ดร.ฮินกาขอรับ, ผู้ที่ถูกเรียกว่า “มันสมองแห่งราชอาณาจักรฟอร์ชา(Brain of Forsha Kingdom)” ในสหพันธ์คีทแกรนขอรับ」เอลซังพูดอย่างคล่องแคล่ว
「มันมีการขัดแย้งกันภายในสหพันธ์และราชอาณาจักรก็ล่มสลายไปขอรับ, ตัวของเขาได้ถูกประกาศว่าเป็นบุคคลสูญหายในตอนนั้นด้วยขอรับ, เออ, โชคไม่ดี, เขาอาจจะตายไปแล้วขอรับ」
========================================================
TL: คลายไปหลายปมเลยก็จริง แต่กลับไม่รู้สึกว่ามันลดลงเลยแห่ะ
บทที่ 2 ตอนที่ 50
เมื่อผมกลับมาถึงที่คฤหาสน์ ท่านเอิร์ลก็กำลังทานอาหารเช้าสายอยู่ คุณหนูนั้นยังคงหลับอยู่ ดังนั้นผมเลยยังมีเวลาว่างสักพัก
ขนมปังที่พึ่งอบขึ้นมาในเช้านี้นั้นช่างหอมเนยและดูน่าอร่อย ท่านเอิร์ลทานมันพร้อมกับแยมลินกอนเบอร์รีและดื่มชาที่ใส่น้ำผึ้งเยอะมาก สงสัยจังว่าคนที่ใช้ความคิดเยอะๆจะต้องการน้ำตาลจริงๆหรือเปล่านะ?
ถึงท่านเอิร์ลจะไม่ดูอ้วนขึ้นเลยแม้จะกินน้ำตาลไปขนาดนั้น
「เจ้ายังอยู่อีกรึ เรย์จิซัง?」
ท่านเอิร์ลดูจะแปลกใจที่เห็นผมเข้ามาในห้องอาหาร
「ครับ พวกเราจะไปยังพระราชวังศักดิ์สิทธิ์ในบ่ายนี้ใช่ไหมละครับ?」
เมื่อผมตอบกลับไป ดวงตาของเขาก็เบิกกว้างขึ้นและมองไปยังพ่อบ้านที่อยู่ข้างๆเขา พ่อบ้านเองก็ดูจะรู้สถานการณ์ไม่มากก็น้อยนะ
「แล้วท่านละครับ ท่านเอิร์ล? เป็นยังไงมั้งครับ?」
「ข้ายังห่างจากสภาพสมบูรณ์อยู่ แต่ข้าก็ไม่อาจนอนหลับสบายๆได้หรอกในสถานการณ์ตอนนี้」
หลังจากที่ทานอาหารเสร็จอย่างรวดเร็ว ท่านเอิร์ลก็พร้อมจะออกไปแล้ว มีเวลาอีกแค่ 1 ชั่วโมงก่อนจะบ่าย
「เรย์จิ!」
เมื่อท่านเอิร์ลกับผมไปพบกันที่ทางเข้าคฤหาสน์ คุณหนูก็ปรากฏตัวขึ้นที่ระเบียงชั้นสอง เธอดูเหมือนกับพึ่งจะตื่นแต่เธอก็เปลี่ยนชุดพร้อมกับจัดทรงผมมาแล้ว ก็เธอเป็นขุนนางนี้นะ จะออกมาทั้งชุดนอนก็คงไม่ได้หรอก
「อรุณสวัสดิ์ครับ คุณหนู」
「เรย์จิ นายจะไปไหนงั้นหรอ?」
คุณหนูวิ่งลงมาจากบันได แววตานั้นเต็มไปด้วยความกังวล
「ผมจะไปยังพระราชวังศักดิ์สิทธิ์กับท่านเอิร์ลครับ ไปรายงานเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวาน」
「อา…」
「ผมเองก็ได้สู้กับงูยักษ์หลังจากนั้นด้วย ดังนั้นผมจึงต้องไปรายงานเรื่องนั้นด้วยเช่นกันครับ」
ผมพูดเพื่อให้เธอรู้ว่ามันไม่ใช่เรื่องที่เนตรเวทมนตร์ของเธอทำให้หลุยส์ตาย คุณหนูพยักหน้าเป็นการตอบกลับ
「นั่นก็… สำคัญสินะ」
「ครับ ดังนั้นวันนี้โปรดอยู่แต่ในคฤหาสน์นะครับ คุณหนู」
「อื้ม」
「อีวา ลูกไม่ต้องกังวลอะไรหรอก เพราะข้าจะไปทำหน้าที่ขุนนางและเรย์จิซังก็จะไปทำหน้าที่คนคุ้มกันของเขาเท่านั้น」
「…ค่ะ หนูเข้าใจแล้ว」
「เด็กดี」ท่านเอิร์ลพูดพร้อมกับลูบหัวคุณหนูเบาๆ「ไปกันเถอะ」
「ครับ」
แล้วพวกเราก็ออกมาจากคฤหาสน์ เมื่อผมมองกลับไป คุณหนูยังคงยืนอยู่ที่ทางเข้าเพื่อส่งพวกเรา
「…ดูเหมือนลูกสาวของข้าจะชอบเจ้าจริงๆนะ เรย์จิซัง」ท่านเอิร์ลพูดขณะที่กำลังเข้าไปในรถม้า
…หัวหน้าพ่อบ้านยังยืนอยู่ข้างๆเราอยู่เลยนะครับ ดังนั้นโปรดหยุดพูดเรื่องนั้นเถอะนะครับ ท่านเอิร์ล
เมื่อรถม้าของพวกเราเข้ามายังเขตศักดิ์สิทธิ์ที่ 1 อยู่ๆบรรยากาศก็เริ่มหนักอึ้ง
「ท่านกำลังจะไปที่ไหนหรือครับ ท่านใต้เท้าซิวลิซส์?」
ทันทีหลังจากที่เข้ามา รถม้าก็ถูกหยุดโดยภาคีอัศวิน มันมีแม้กระทั่งสิ่งกีดขวางพร้อมรั้วเพื่อกันไม่ให้รถม้าผ่านเลย
เอิร์ลซิวลิซส์น่าจะสามารถผ่านเข้าไปได้โดยใช้แค่หน้าของเขานี้นา—มันก็ปกติเพราะท่านเอิร์ลต้องเข้าไปที่ห้องทำงานในเขตนี้ทุกๆวันเพื่อทำงาน—แล้ววันนี้เขากลับถูกถามว่าเขาจะไปไหนซะงั้น
「ที่พระราชวังศักดิ์สิทธิ์ ฝ่าบาทเรียกตัว」
「…โปรดรอสักครู่นะครับ」
จากนั้นอัศวินคนนั้นก็ได้เริ่มตรวจดูอะไรบางอย่าง
มองออกไปจากหน้าต่างรถม้า มีอัศวินอยู่ทุกๆที่เลย เจ้าหน้าที่ที่ปกติจะมาทำงานนั้นไม่เห็นเลยสักคน
「กระผมยืนยันแล้ว โปรดกลับออกมาหลังจากท่านเสร็จงานที่พระราชวังศักดิ์สิทธิ์แล้วด้วยครับ」
รถม้าเคลื่อนต่อไปหลังจากได้รับอนุญาต
「…ท่านเอิร์ล สถานการณ์ของดยุคริเวียร์ทำให้เป็นแบบนี้หรอครับ?」
「ใช่ ทุกๆคน รวมถึงหัวหน้าตระกูลริเวียร์นั้นถูกสั่งให้อยู่รอในคฤหาสน์ในเขตศักดิ์สิทธิ์ที่ 2 แต่ดูเหมือนว่าตระกูลที่เกี่ยวข้องกับตระกูลริเวียร์นั้นจะกำลังรวบรวมกำลังอยู่ ถึงพวกเขาจะประกาศว่าเพื่อป้องกันตัวเองก็เถอะ」
「นั่นไม่ทำให้พวกเขาน่าสงสัยมากขึ้นหรอครับ? แล้วทำไมพวกเขาถึงได้รับอนุญาตให้รวบรวมกำลังได้ตั้งแต่แรกละครับ?」
「มันก็ช่วยไม่ได้ถ้าพวกเขาอ้างว่ามันเป็น “การป้องกันตัว” อีกอย่างตระกูลริเวียร์ก็เป็นตระกูลดยุคด้วย โชคดีที่เขตแดนของตระกูลริเวียร์นั้นอยู่ค่อนข้างไหลจากเมืองศักดิ์สิทธิ์ ดังนั้นพวกเขาเลยแทบจะไม่มีกองทัพอยู่ที่นี่เลย ยิ่งไปกว่านั้น ขุนนางหลายคนที่เกี่ยวข้องกับพวกเขาก็ยังถูกจับด้วย」
「เอ๊ะ?」
「โอ๊ะ ข้ายังไม่ได้บอกเจ้างั้นรึ? ฝ่ายตระกูลริเวียร์นั้นเกี่ยวข้องกับการค้าขายหินสกิลจากแท่นบูชาที่ 1 ในตลาดมืดหน่ะสิ」
นั่นเป็นเหตุการณ์ที่ทำให้ท่านเอิร์ลมีชื่อเสียงว่า “ลอร์ดเลือดเย็น” นี้นา ท่านเอิร์ลสงสัยว่าหินสกิลที่ปรากฏในตลาดมืดนั้นถูกขโมยมาจากแท่นบูชาที่ 1 เขาเลยตรวจสอบและส่งขุนนางหลายคนขึ้นแท่นประหาร
(ฝ่ายริเวียร์เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้งั้นหรอ? ยิ่งไปกว่านั้น ตระกูลริเวียร์ยังวางแผนที่จะลอบสังหารเจ้าชายคลูฟชราทด้วย?)
ทั้งหมดนั้นมันทำให้ผมปวดหัว มันรู้สึกเหมือนกับผมกำลังมองข้ามอะไรบางอย่างไปเลย
「พวกเรากำลังจะเข้าไปยังพระราชวังศักดิ์สิทธิ์แล้ว」
ผมรู้สึกตัวทันทีที่ท่านเอิร์ลพูดขึ้น เข้ามาได้ง่ายมากเลยเมื่อคิดดูจากจุดตรวจในเขตศักดิ์สิทธิ์ที่ 1 แถมมีคนไม่มากที่จะเข้ามายังที่นี่ตั้งแต่แรกแล้วด้วย ดังนั้นผมคิดว่าทุกคนคงรู้ถึงการมาของผมแล้ว
หลังจากที่ลงมาจากรถม้า มีเพียงแค่ผมกับท่านเอิร์ลเท่านั้นที่เข้าไปในพระราชวัง
พระราชวังที่ทำจากหินนั้นมีทางเดินน้ำอยู่ทั้งตรงนั้นตรงนี้ สามารถได้ยินเสียงน้ำไหลได้เหมือนกับสถาปัตยกรรมญี่ปุ่นสมัยก่อนเลย ประตูเข้าห้องต่างๆนั้นเป็นประตูเลื่อนไม้ และทั้งหมดก็ถูกทาสีด้วยสีฟ้าอ่อน—สีฟ้าศักดิ์สิทธิ์
โต๊ะขนาดใหญ่พร้อมเก้าอี้ถูกวางเอาไว้กลางห้องว่างๆที่ไม่มีการตกแต่งใดๆ
「ห้องดูธรรมดามากๆเลย คิดอย่างนั้นอยู่ใช่ไหม?」
「คะ-ครับ」
「ราชวงศ์ศักดิ์สิทธิ์นั้นสืบทอดวิธีชีวิตเก่าๆมาหน่ะ」
「งั้นหรอครับ… ดูไม่ค่อยสะดวกสะบายเท่าไหร่เลยนะครับ」
「โคตรไม่สะดวกเลยละ」
ขนาดเกิดมาเป็นราชาก็ยังฟุ่มเฟือยไม่ได้หรอเนี่ย
หลังจากนั่งรอไม่กี่นาที ราชันศักดิ์สิทธิ์ก็ได้ปรากฏตัวขึ้นพร้อมกับนักบวชชั้นสูงเอลซังและนักบวชคนอื่นๆ
「ข้าคิดว่าเจ้าจะไม่มาแล้ว– โอ๊ะ ช่างเรื่องนั้นไปก่อน นั่งลงได้」
เมื่อผมกับท่านเอิร์ลยืนขึ้นตามมารยาท ราชันศักดิ์สิทธิ์ก็รีบนั่งลงขณะที่บอกให้พวกเรานั่งได้ ดังนั้นผมก็เลยนั่งกลับลงไปยังที่นั่งของตัวเองแล้วรอให้อีกฝ่ายเริ่มก่อน
ราชันศักดิ์สิทธิ์นั้นดูเหี่ยวแห้งมากๆ เขาคงจะแก่ขึ้นหลายปีจากเหตุการณ์เมื่อวานแน่ๆ ถึงเขาจะยังดูพูดตรงไปตรงมาและมีศักดิ์ศรีของกษัตริย์อยู่ก็จริง แต่มันก็รู้สึกเหมือนกับเขากำลังฝืนทำ
ส่วนกระต่ายเอลซังกับนักบวชคนอื่นๆนั้นยืนอยู่ข้างหลังราชันศักดิ์สิทธิ์ ผมไม่สามารถบอกอะไรเกี่ยวกับเอลซังได้เลย เพราะผมอ่านสีหน้าของกระต่ายไม่ออก
「เอาละ ก่อนอื่นเลย คนคุ้มกันของตระกูลซิวลิซส์… เจ้าชื่อเรย์จิสินะ?」
「ครับ」
「ขอบคุณ ขอบคุณสำหรับงานของเจ้า」
พูดออกมาตรงๆเลย ทว่า ผมไม่ได้ทำงานให้คนๆนี้ซะหน่อย
「ไม่ครับ ผมทำตามที่ตกลงกันไว้กับตระกูลซิวลิซส์เท่านั้นครับ」
「…เจ้าบอกว่าเจ้าแค่ทำงานให้กับเอิร์ลงั้นรึ?」
「ให้เจาะจงก็คือคุณหนูครับ ผมขอคืนสิ่งนี้ให้ครับ」
ผมเอามีดที่เก็บเอาไว้ตรงกระเป๋าหน้าอกออกมา ทำให้ผมนึกขึ้นมาได้ว่า มันไม่มีการค้นตัวที่จุดตรวจเลยนี้นา การป้องกันแบบนี้มันจะหวังพึ่งได้งั้นหรอ? หมายความว่าพวกเขาเชื่อใจท่านเอิร์ลถึงขนาดนั้นเลย?
「…เข้าใจหล่ะ เฮ้ นำมันไปเก็บไว้ในห้องนิรภัยซะ」
นักบวชพยักหน้าก่อนจะออกไปจากห้องพร้อมกับมีด
「ต่อให้การกระทำของเจ้าจะทำเพื่อตระกลูเอิร์ล ประเทศก็ยังได้ประโยชน์อยู่ดี มาพูดเรื่องรางวัลของเจ้ากันดีกว่า」
「ครับ」
「อย่างแรกเลย เพื่อสรรเสริญการกระทำอันกล้าหาญของเจ้าเมื่อวาน เจ้าจะได้รับ 1 เหรียญทองศักดิ์สิทธิ์」
1 เหรียญทองศักดิ์สิทธิ์นั้นมีค่าประมาณ 5 ล้านเยน สิ่งแรกที่เข้ามาในหัวของผมก็คือ “แค่นั้นหรอ?” เทียบกับเงินเดือนประจำปีที่ 3 เหรียญทองศักดิ์สิทธิ์ของผมแล้ว มันค่อนข้างน้อยเลยนะ
「…ทำหน้าอะไรของเจ้ากัน? มันน้อยไปงั้นรึ?」
「มะ-ไม่ครับ ไม่ใช่อย่างนั้น…」
「นี้เจ้าจ่ายมากกว่านี้อีกงั้นรึ วิกเตอร์?」
「มันก็ปกติที่จะมอบรางวัลสูงๆให้กับคนที่มีความสามารถครับ ฝ่าบาท」
「ชิ ถึงได้บอกว่าให้เอาออกมามากกว่านี้ไง แต่เจ้าเหรัญญิกนั่นก็ขึ้เหนียวซะเหลือเกิน บอกว่า 1 เหรียญทองศักดิ์สิทธิ์ก็มากพอแล้วถ้ามองจากการมอบรางวัลในอดีต」
「ยังไงเรื่องใหญ่ขนาดนี้เองก็ไม่เคยเกิดขึ้นในเมืองศักดิ์สิทธิ์มาก่อนครับ ถ้าท่านทำสงครามอยู่มันก็เป็นอีกเรื่องนึงครับ ทว่า」
เมื่อท่านเอิร์ลพูดแบบนั้น สีหน้าของราชันศักดิ์สิทธิ์ก็ขมขื่นขึ้น
ต่อให้ผมคิดว่าได้แค่นั้น แต่ในความเป็นจริง 1 เหรียญทองศักดิ์สิทธิ์นั้นก็ไม่ใช่จำนวนน้อยๆเลย หมายความว่าผมเริ่มโลภงั้นหรอเนี้ย?
「สำหรับตอนนี้ นี้คือรางวัลของเจ้า โปรดรับเอาไว้เถอะ」
「ครับ」
ผมไม่มีปัญหากับการได้เงินพิเศษเพิ่มหรอก
「เอาละตอนนี้ ข้าจะต้องไปเข้าร่วมการประชุมอื่น ข้าจะปล่อยที่เหลือให้กับเอลแล้วกัน」
「…งั้นหรือครับ ฝ่าบาท?」
เมื่อท่านเอิร์ลถามขึ้น ราชันศักดิ์สิทธิ์ก็พยักหน้าด้วยสีหน้าขมขื่น
「ข้าจะต้องพูดเกี่ยวกับตระกูลริเวียร์, ลูกของข้า, ราชวงศ์, และดยุคคนอื่นๆก็มารวมตัวกันแล้วด้วย วิกเตอร์ เจ้ามากับข้า」
「แต่ว่า–」
「มากับข้า」
「ฮ่าา… เรย์จิซัง ข้าต้องขอโทษด้วย แต่ข้าไม่คิดว่าเจ้าจะมีปัญหากับการกลับคนเดียวหรอก」
「ไม่เป็นไรครับ」
คุยกับเอลซังง่ายกว่าที่จะคุยกับราชันศักดิ์สิทธิ์เล็กน้อย
หรือบางที ไม่ใช่ว่าราชันศักดิ์สิทธิ์ปล่อยปละผมมากเกินไปเล็กน้อยหรอ? หรือเขาคิดว่าผมจะอยู่ข้างเขาตราบใดที่เอิร์ลซิวลิซส์ยังอยู่ที่นี่งั้นหรอ?
เมื่อผมมองไปที่เอิร์ล เขาก็มีสีหน้าปั้นยากอยู่ มันเหมือนกับความกังวลที่เขาคาดการณ์ผิด คิดว่าเขาคงจะบอกราชันศักดิ์สิทธิ์ถึงเรื่องของผมอย่างถูกต้องเท่าไหร่นัก
「โอ๊ะ เรย์จิ นี้ก็เพื่อกันไว้ก่อน–」ราชันศักดิ์สิทธิ์พูดในขณะที่เขายืนขึ้น「พวกเราจะทำสัญญากันด้วยเวทย์พันธสัญญาจากเหตุการณ์ในครั้งนี้ด้วย คิดซะว่าเป็นข้อผูกมัดในการรักษาความลับแล้วกัน」
มาตามที่คาดไว้เลยนะ เวทย์พันธสัญญา
บทที่ 2 ตอนที่ 49
「มันก็นานมากแล้วนะจ๊ะ」
「ผมขอโทษที่ไม่ได้ติดต่อไปให้หาทุกคนให้เร็วกว่านี้นะครับ」
มีเพียงแค่น็อนซังที่อยู่ที่โรงแรม ห้องที่พวกเขาจองไว้นั้นดูจะมีแค่กองสัมภาระกับเตียงเท่านั้น ดังนั้นพวกเราเลยย้ายกันไปอยู่ที่คาเฟ่ใกล้ๆแทน มันเป็นคาเฟ่เล็กๆที่ตกแต่งด้วยไม้ทั้งโต๊ะและเก้าอี้เลย มันทำให้คุณรู้สึกถึงความอบอุ่นจากไม้ได้
ผมสั่งน้ำผลไม้ไป ส่วนน็อนซังนั้นสั่งชานม
「มีหลายอย่างเลยที่อยากจะพูด แต่เริ่มจากเรื่องที่คุณพ่อกับมิมิโนะซังต้องไปที่กิลด์ก่อนแล้วกัน」
「ที่กิลด์หรอครับ?」
「ใช่แล้วจ่ะ เพราะความคัดแย้งในการแบ่งรางวัลจากงูยักษ์ตัวนั้นหน่ะ」
นักผจญภัยพื้นที่ดูจะไม่ยอมที่นักผจญภัยต่างถิ่น – ซิวเวอร์บาลานซ์ – นั้นแย่งผลงานของพวกเขาไปทั้งๆที่การอพยพพลเมืองถือเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด ส่วนที่แย่งก็คือว่าพวกนักผจญภัยเกือบทั้งหมดนั้นไม่ได้เห็นการต่อสู้กับอูโรโบรอส ดังนั้นพวกเขาจึงคิดว่าซิวเวอร์บาลานซ์นั้นแอบอ้าง
ในทางกลับกัน ภาคีอัศวินนั้นยังยืนกรานว่าพวกเขาจะเป็นคนเอาศพไป, ยืนยันส่วนที่ใช้งานได้, แลกเปลี่ยนมันเป็นเงินจำนวนมาก, แล้วค่อยแบ่งมันให้กับกิลด์จำนวนหนึ่ง จากมุมมองของทางกิลด์แล้ว มันก็แทบจะเหมือนกับพวกเขาถูกโกงเงินของพวกเขาเลย
ผลสุดท้าย ศพก็เลยยังไม่มีใครแตะต้องมัน
「ที่ชั้นคอยอยู่ที่โรงแรมก็เผื่อว่าเรย์จิคุงจะโผล่มาในวันนี้นี้แหล่ะ」
「งั้นหรอครับ อืม ผมเองก็ไม่ได้สนใจอะไรกับศพนั่นหรอกครับ」
「อุฟุฟุ เธอไม่ควรทำอย่างนั้นนะ เรย์จิคุง เธอควรจะระมัดระวังเรื่องเงินเอาไว้นะ คุณพ่อหน่ะออกไปอย่างภูมิใจพร้อมกับพูดว่า “เจ้าพวกนั้นดูถูกพวกเราและพูดไปต่างๆนาๆเพราะพวกเราเป็นคนนอก ดังนั้นพวกเราก็แค่ต้องแสดงให้พวกมันเห็น ว่าพวกเราเป็นใคร”」
「ฮา-ฮ่าๆ…」
ดันเต้ซังดูน่ากลัวยังไงไม่รู้นะ
「มิมิโนะซังหน่ะกระตือรือร้นมากกว่านั้นอีก เธอพูดว่า “พวกเราจะรีดไถทุกบาททุกสตางค์เลย ยังไงมันทั้งหมดก็เป็นของเรย์จิคุงอยู่แล้ว” แถมยังพยายามที่จะเอายาพิษต้องห้ามถึงตายไปด้วยเลย แต่ชั้นหยุดเธอเอาไว้ได้ก่อน」
น่ากลัวยิ่งกว่าอีกหรอเนี้ย!
「…ยังไงก็เถอะ แล้วพวกคุณมาทำอะไรในเมืองศักดิ์สิทธิ์นี้หล่ะครับ?」
「พวกเรานั้นอยู่ที่จักรวรรดิเวทมนตร์เลฟ (Lev Magic Empire) จนถึงเมื่อไม่นานมานี้เอง ที่นั่น พวกเรารับภารกิจคุ้มกันและได้มายังเมืองศักดิ์สิทธิ์หน่ะ ทางโบสถ์ยังถือว่าชั้นออกเดินทางตามหาทางรักษาคุณพ่ออยู่ ทว่าตัวชั้นเองก็แทบจะกลายเป็นนักผจญภัยเต็มตัวอยู่แล้วละจ่ะ งั้น แล้วเธอละจ๊ะ เรย์จิคุว?」
「ผม–」
ผมพูดสั้นๆถึงเรื่องเมื่อ 4 ปีก่อน
ออกมาจากอาณาเขตดยุคอเคนบาคด้วยการนำทางของเซอรี่ซัง ผู้ที่สังกัดกองทหารรับจ้างเดียวกับไรเครียซัง, ทำงานในฐานะคนทำความสะอาดของภาคีอัศวิน, ช่วยท่านเอิร์ลจากการลอบสังหาร, และถูกจ้างวานโดยตระกูลเอิร์ล
ถึงผมจะไม่สามารถพูดถึงเรื่องงานพิธีมอบหินสกิลได้ก็ตาม
「ดูเหมือนว่าเรย์จิคุงจะผ่านเรื่องราวมามากมายเลยนะจ๊ะ」
「ครับ ผมขอโทษที่ผมออกมาโดยที่ไม่ได้บอกในตอนนั้นนะครับ」
「ชั้นรู้ว่าเธอเองก็มีเหตุผลของเธอ ดังนั้นชั้นไม่โทษเธอหรอกจ่ะ แต่ แน่นอนว่าชั้นรู้เรื่องที่เธอรักษาคุณพ่อ ดัวนั้นขั้นจริงอยากจะขอบคุณเธอจากใจจริง」
「เออ…」
โอ๊ะ จริงสิ ผมใช้มิธริลไปในการรักษาครั้งนั้นด้วยนี้นา ดังนั้นผมจริงบอกเรื่องนั้นไปไม่ได้ตรงๆ
「เอออ มันเป็นยาอิลิกเซอร์พิเศษ ไม่สิ มันเหมือนกับยาที่ผมทำได้โดยบังเอิญมากกว่านะครับ เออ…」
「ชั้นไม่ถามเธอหรอกว่าเธอทำมันได้ยังไง วางใจได้จ่ะ แต่ก็ขอบคุณเธอจริงๆนะจ๊ะ ชั้นมั่นใจว่ามันต้องไม่ใช้อะไรที่เธอสามารถซื้อมันด้วยเงินได้แน่ๆ」น็อนซังพูดพร้อมกับเอนมาข้างหน้าจนหน้าอกวางอยู่บนโต๊ะ
เห้ย แรงกระตุ้นมันแรงเกินไปสำหรับเด็กอายุ 14 ปีนะครับ!
「มะ-ไม่เป็นไรหรอกครับ」
「หืมม? ทำไมเธอถึงหันหน้าหนีละจ๊ะ?」
「ยะ-ยังไงก็เถอะครับ เอาเป็นให้ผมเข้าร่วมซิวเวอร์บาลานซ์อีกครั้งแทนการขอบคุณเป็นไงละครับ?」
「แน่นอนจ่ะ! ถึงชั้นคิดว่านั่นมันยังไม่พอสำหรับการตอบแทนเธอหรอก–」น็อนซังพูด สีหน้าของเธอสดใสขึ้น
「ผมคิดว่ามันเป็นเรื่องปกติที่จะช่วยกันถ้าอยู่ในปาร์ตี้เดียวกันหน่ะครับ」
「เรย์จิคุง…」
ที่หางตาของเธอนั้นเปียกชื้นจากความรู้สึกตื้นตัน เธอประสานมือเอาไว้ที่หน้าอกของเธอ
ในตอนนั้น ถ้ามิมิโนะซัง, ดันเต้ซัง, น็อนซัง, และไรเครียซังไม่ได้อยู่ที่นั่นละก็ ผมก็คงจะไม่ได้มีวันนี้แล้ว ต่อให้ผมรอดชีวิต ผมคิดว่าผมคงจะใกล้ตายทุกเมื่ออยู่ดี มีอันตรายอยู่ทุกหัวมุมเลย
「ผมนั้นเป็นทาสขุดเหมืองที่ทำงานอยู่ในเหมืองที่ 6 ครับ โชคดีที่ผมสามารถหลบหนีออกมาได้ตอนที่เวทย์พันธสัญญาคลายออก ผมนั้นถูกตามล่าภายในเมืองหลวงของอาณาเขตดยุค และตัวตนของผมก็ถูกรู้โดยยามในตอนที่มังกรโจมตีครับ」
「งั้นนั่นจึงเป็นเหตุผลที่เธอรีบร้อนและหนีออกมางั้นหรอจ๊ะ? เป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นเมื่อ 4 ปีก่อนหรอจ๊ะ?」
「ผมไม่อยากรบกวนซิวเวอร์บาลานซ์โดยลากให้มาเกี่ยวข้องกับผมครับ」
หิน 6 ดาวที่ลาร์คถือครองนั้นเป็นสาเหตุหลักก็จริง แต่ผมก็ไม่อยากจะรบกวนซิวเวอร์บาลานซ์เหมือนกัน
หลังจากที่ได้ยินเรื่องราวของผม น็อนซังก็หลับตาลงช้าๆและคิดอะไรบางอย่าง เธอดูราวกับแม่ชีผู้ศรัทธาจริงๆตอนที่เธอทำแบบนี้ ไม่เดี๋ยวก่อนนะ เธอก็เป็นแม่ชีจริงๆนี้นา
「…พวกเราอยากจะช่วยเหลือเรย์จิคุงนะ」
「พวกคุณช่วยเหลือผมมามากเกินพอแล้วครับเมื่อ 4 ปีก่อน」
「ไม่หรอก เธอไม่ใช่แค่ช่วยรักษาร่างกายของคุณพ่อ แต่ยังรวมถึงหัวใจของเขาด้วย ต่อให้เขาถูกรักษาโดยนักบวชชั้นสูงก็ตาม หัวใจของเขาก็ไม่มีทางถูกรักษาได้เลย เป็นเพราะเธอ คุณพ่อถึงยังสามารถยินต่อสู้อยู่ที่แนวหน้าต่อไปได้ นึกภาพออกไหม? หลังจากที่เธอจากไป ไม่มีวันไหนเลยที่ชั้นไม่ได้อธิษฐานให้เธอนั้นปลอดภัย ชั้นตื่นขึ้นในทุกๆเช้าและสวดภาวนาต่อพระเจ้าเลยนะ」
「น็อนซัง…」
น็อนซังเอื้อมมือของเธอมาจับที่มือของผม มือของเธอนั้นอบอุ่น – เป็นมือของหญิงสาวที่โตเป็นผู้ใหญ่แล้ว ต่างจากของคุณหนู
น็อนซังสวดภาวนาให้ผมในทุกๆวัน เมื่อความจริงนั้นฝังลึกลงมา ผมก็เกือบจะร้องไห้ออกมาแล้ว ผมมักจะรู้สึกแข็งแกร่งจากพลังของ【World Ruler】ผมคิดว่ามันคงเป็นเพราะพลังของผมเอง ทว่า ผมมั่นใจแล้วว่ามันไมจริง ผมเชื่อว่าคำอธิษฐานของน็อนซังจะต้องคอยพลักดันผม ผมเชื่ออย่างนั้นจริงๆต่อให้ไม่มีใครเชื่อก็ตาม — เหมือนกับน็อนซังที่เชื่อว่าคำอธิษฐานของเธอจะต้องส่งมาถึงผม
「น็อนซัง… ผมมีบางอย่างที่จะบอกคุณ」
ขณะที่ผมพยายามที่จะไม่ร้องไห้ ผมก็เล่าทุกอย่างให้น็อนซังด้วยเสียงที่สั่นเทา เล่าถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในงานพิธี, เรื่องที่ราชันศักดิ์สิทธิ์เรียกตัวผม, เรื่องที่ผมจะต้องหนีไป อีกครั้ง
ผมยังบอกน็อนซังถึงเรื่องที่มันเป็นความลับระดับสูงด้วย ผมไม่อาจหยุดได้เลย จนสุดท้าย ผมก็หมดแรง น็อนซังกุมมือของผมเอาไว้ตลอดเวลา
เมื่อผมรู้สึกอายเล็กน้อยและปล่อยมือของเธอออก น็อนซังก็ดูผิดหวังเล็กน้อย — หรือเป็นแค่สิ่งที่ผมอยากจะให้เธอรู้สึกกันนะ?
「…เรย์จิคุง เธอทำได้ดีมากเลย ชั้นภูมิใจในตัวเธอจริงๆ」
「…ขอบคุณครับ」
น็อนซัง ถ้าคุณพูดแบบนั้นละก็ ผมจะร้องจริงๆแล้วนะครับ
「ฮ่าา… ถึงขนาดที่เรย์จิคุงต้องผ่านเรื่องยากลำบากมามากขนาดนั้นแท้ๆ ทั้งกิลด์กับภาคีอัศวินก็ยังสนใจแค่ตัวเองทั้งนั้นเลย」
「…ขอโทษครับ น็อนซัง ผมบอกเรื่องที่คุณไม่ควรจะรู้ไปซะแล้ว」
「ไม่ใช่อย่างนั้นหรอกจ่ะ ในฐานะสมาชิกของโบสถ์แล้ว ชั้นดีใจที่ได้ยินแบบนั้นนะจ๊ะ แล้วนอกจากนั้นนะ เรย์จิคุง…」
「ครับ?」
「นั่นหน่ะไม่ใช่เรื่องของผลกำไรหรอกนะ」
「…?」
คุณนี้มันแย่จริงๆเลย น็อนซัง คำพูดของคุณมันเจาะตรงกลางใจของผมเลย
เรื่องของความได้เปรียบเสียเปรียบ “การหนี” นั้นเป็นทางเลือกที่ดีกว่าใช่ไหมหล่ะ? ทว่า — ทุกสิ่งทุกอย่างนั้นไม่สามารถตัดสินได้จากความได้เปรียบเสียเปรียบเพียงอย่างเดียว
「เธอทำได้ดีที่สุดแล้ว ทำไมเธอถึงจะต้องหนีด้วยละ? เธอควรจะไปพบท่านราชันศักดิ์สิทธิ์ด้วยความภาคภูมิใจนะ ไม่มีเหตุผลเลยที่เธอจะต้องวิ่งหนี และก็นะเรย์จิคุง ลูกสาวของท่านเอิร์ลนั้นเป็นคนสำคัญของเธอใช่ไหมหล่ะ? การจากลาแบบนี้หน่ะมันแย่ที่สุดเลยนะ」
「…ครับ」
ผมเองก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน ตอนที่ผมคิดถึงคุณหนู ผมก็รู้ตัวว่า “การหนี” นั้นไม่ใช้ทางเลือกจริงๆ ท่านเอิร์ลนั้นไม่ได้พูดถึงคุณหนูในตอนที่พวกเราคุยกันเลย แต่ผมคิดว่านั้นเป็นเพราะแค่ท่านเอิร์ลมองเป้าหมายมากกว่าความใจดี เพื่อให้ผมได้ตัดสินใจได้ง่ายๆก็เท่านั้นเอง
และผมกับน็อนซังเองก็รู้ว่า “การจากลาแบบนั้น” มันย่ำแย่แค่ไหนจากเมื่อ 4 ปีก่อนมาแล้ว
「แต่จะทำยังไงถ้าผมถูกบังคับให้ทำสัญญาเวทมนตร์ละครับ?」
นั่นคือสิ่งที่ผมกลัวที่สุด เวทย์พันธสัญญาเป็นสิ่งที่น่ากลัวยิ่งกว่าการต่อสู้หรือสงครามไหนๆเลย ผมเคยสัมผัสมันเองกับมือที่เหมืองนั่นแล้ว
「มันมีวิธีแก้ปัญหาอย่างหนึ่งสำหรับเวทย์พันธสัญญาอยู่」น็อนซังพูดขึ้นพร้อมกับยกนิ้วชี้ขึ้น「มันเป็นวิธีที่มีน้อยคนจะรู้แม้จะเป็นคนของโบสถ์ก็ตาม อุฟุฟุฟุ…」
อืม… ได้ยินน็อนซังหัวเราะแบบนั้น เธอก็ดูน่ากลัวอยู่หน่อยๆเหมือนกัน
========================================================
TL: เป็นตี้ที่ดีจริงๆ
บทที่ 2 ตอนที่ 48
「งั้นมันก็มีหินสกิล 8 ดาวอยู่จริงๆสินะครับ…」
「ใช่ ถึงข้าเองก็ยังไม่เคยเห็นมันเลยก็ตาม」
จากนั้นท่านเอิร์ลก็บอกผมถึงทุกอย่างที่เกิดขึ้นในวิหารนั้น
งั้นหรอ… ไม่แปลกใจเลยที่คุณหนูจะโทษตัวเองจากการตายของหลุยส์
「ดูเหมือนว่าหิน 8 ดาวนั้นจะต้องถูกมอบให้เก็บผู้ที่บริสุทธิ์เท่านั้น คนที่ไม่เคยรับหินสกิลไหนมาก่อนจากราชวงศ์ศักดิ์สิทธิ์ ข้าไม่รู้ว่าทำไมมันถึงต้องเจาะจงแบบนั้น แต่ตามที่มีการบันทึกมา หินสกิลนี้จะปรากฏขึ้นหนึ่งครั้งทุกๆ 100 ถึง 300 ปี สมาชิกราชวงศ์ศักดิ์สิทธิ์ที่ได้รับหินสกิลจะหายตัวไปโดยไม่มีข้อยกเว้น คาดว่าพวกเขาจะหายตัวไปที่ “โลกอื่น”」
「…งั้นฝ่าบาทก็มอบมันให้กับหลุยส์เพื่อช่วยเจ้าชายคลูฟชราทจากชะตากรรมนั้นงั้นหรอครับ?」
「ข้าเองก็บอกไม่ได้ว่ามันเป็นแบบนั้นหรือเปล่า」
บ้าชะมัด มันยิ่งบ้าเข้าไปอีกเมื่อคุณหนูต้องมาเสียใจเพราะเรื่องแบบนี้
「ยังไงก็ตาม พวกเราก็โทษฝ่าบาทท่านเดียวไม่ได้หรอก」
「ทำไมละครับ!? มันก็เหมือนกับการมอบยาพิษถึงตายให้เลยนะครับ!」
「ถ้าท่านหลุยส์ไม่ท้าทายละก็ มันก็จะถูกมอบให้กับเจ้าชายคลูฟชราทอยู่ดี ฝ่าบาทนั้นลังเลมาตลอดจนกระทั่งถึงวันก่อนงานพิธี และข้าก็ได้ยินมาว่าท่านตัดสินใจที่จะมอบมันให้เจ้าชายไปแล้ว」
「แต่ว่า…!」
「ท่านหลุยส์พูดกับฝ่าบาทว่า “โอกาสนั้นจะต้องเท่าเทียมกัน” ฝ่าบาทที่ได้ยินเหตุผลแบบขุนนางอย่างนั้น หัวใจของท่านก็ได้สั่นคลอน—ในฐานะพ่อคน」
「…………」
ผมกำมือทั้งสองข้างแน่น
มันไม่มีทางอื่นเลยหรอ? ทำไมถึงเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นมาได้?
หลุยส์จะปฏิเสธหรือเปล่าถ้าเขารู้ว่าเขาอาจจะ “ตาย” ได้? — ไม่ ถ้าเขารู้เพียงแค่ว่าเขาจะได้ไปยัง “โลกอื่น” ละก็ เขาก็คงจะอ้าแขนรับด้วยความเต็มใจเลย
「ราชวงศ์ศักดิ์สิทธิ์นั้นเป็นหัวใจหลักของประเทศและยังมีพลังอำนาจอันยิ่งใหญ่ด้วย ทว่ามันก็มีภาระผูกพันอันโหดเหี้ยมตามมาด้วยเช่นกัน」
「…งั้น ความสำเร็จของผมก็คือการช่วยชีวิตเจ้าชายคลูฟชราทไม่ให้ตายยังงั้นหรือครับ?」
「เรย์จิซัง」
ท่านเอิร์ลเรียกผมด้วยน้ำเสียงตำหนิ ผมทุบมือขวาของผมลงบนต้นขาของตัวเอง
「…ขอโทษครับ ก็แค่คำแก้ตัวโง่ๆหน่ะครับ ลืมมันไปเถอะครับ」ผมพูด
อย่างผมไม่สามารถทำตัวเหมือนพ่อพระแบบนั้นได้หรอก ตัวเองยังทำตามใจตัวเองแบบอยู่เลย ยังไม่เคยบอกคุณหนูถึงสถานการณ์ทั้งหมดของตัวเองเลยด้วยซ้ำ
「ไม่ ข้าไม่ลืมมันไปหรอก」
ผมที่กำลังรู้สึกรังเกียจตัวเองอยู่นั้น ท่านเอิร์ลก็ได้พูดออกมาแบบนั้นด้วยสีหน้าจริงจัง—และมีรอบยิ้มบางๆปรากฏขึ้น
「ข้าดีใจมากเลยที่ในที่สุดเจ้าก็แสดงด้านที่เป็นมนุษย์ออกมา ไม่ว่าข้าจะพูดคุยกับเจ้ากี่ครั้ง ข้าก็รู้สึกเหมือนคุยอยู่กับผู้ใหญ่เต็มตัวไม่ใช่เด็กอายุ 14 ปีเลย แต่ดูเหมือนว่าเจ้าเองก็ยังมีด้านที่เป็นมนุษย์อยู่นะ」
「…อย่างท่านนี้พูดได้หรอครับ?」
「เลือดที่ไหลเวียนอยู่ในตัวข้าดูจะเย็นราวกับน้ำแข็งเลย ดังนั้นมันไม่สมเหตุสมผลที่ข้าจะมีความรู้สึกแบบนั้น… ยังไงก็เถอะ ฝ่าบาทนั้นไม่ใช่คนที่จะถูกลงโทษได้ ทว่ามันมีอุปสรรคอันยากลำบากกำลังรอท่านอยู่」
「อุปสรรคอันยากลำบาก?」
「อย่างแรกเลยก็คือว่าหินสกิล 8 ดาวนั้นอาจจะปรากฏตัวขึ้นอีกในอนาคต และข้าก็ได้ยินเป็นครั้งแรกว่า ถึงสามัญชนจะมอบหินสกิลให้กับลูกหลานให้เร็วที่สุดที่จะเป็นไปได้ แต่ขุนนางนั้นจะต้องรอจนกว่าลูกของพวกเขาจะอายุ 12 ปี เพื่อสร้างช่วงเวลา “บริสุทธิ์” เป็นเวลา 12 ปี มันอาจจะดีถ้ามีบุตรถือกำเนิดขึ้นในช่วงเวลานั้น แต่ถ้าไม่ละก็ เด็กที่มีสีฟ้าศักดิ์สิทธิ์ก็จะต้องคงความ “บริสุทธิ์” ต่อไปโดยให้เหตุผลสักอย่างกับทางสาธารณชนทราบ」
「งั้นก็หมายความว่างานพิธีนั้นถูกสร้างขึ้นเพื่อให้เหล่าขุนนางทำตามข้อกำหนดนั้นงั้นหรอครับ?」
「บางทีอาจจะเรียกว่าเป็นการอำพรางก็ได้ ยังมีความลับอื่นๆอีกมากมายนอกจากนี้อีก ยังไงก็ตาม ขนาดเอลซังเองก็ยังไม่รู้ว่าหินสกิล 8 ดาวนั้นเป็นอะไร ไม่ว่าเขาจะพูดจริงหรือโกหกก็ตาม แต่เมื่อมีหินสกิล 8 ดาวปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง มันจะต้องถูกมอบให้กับน้องชายของเจ้าชายคลูฟชราท เจ้าชายศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่ 3 เท่านั้น」
งั้นก็หมายความว่าวัฏจักรแห่งความโศกเศร้าก็จะดำเนินต่อไปหน่ะสิ?
「ครั้งสุดท้ายที่หิน 8 ดาวนั้นปรากฏขึ้นก็คือเมื่อ 250 ปีก่อน เนื่องจากที่ไม่มีใครเลยที่ยังมีชีวิตอยู่จากช่วงเวลานั้นเลย และบันทึกเองก็เขียนด้วยภาษาโบราณ มันจึงดูจะต้องใช้เวลาสักพักในการถอดรหัสถึงความหมายที่มันต้องปรากฏตัวออกมาหน่ะ」
「ทั้งหมดนี้มันเกี่ยวข้องอะไรกับ “โลกอื่น” งั้นหรอครับ…?」
「…ฝ่าบาทอาจจะบอกเจ้าก็ได้ถ้าเจ้าไปยังพระราชวังศักดิ์สิทธิ์ บางทีอาจจะรวมถึงเรื่องของสิ่งที่เรียกว่า “พันธสัญญา” ด้วย」
พันธสัญญา
ถ้าผมจำไม่ผิด มังกรตัวนั้นเองก็ใช้คำๆนี้ด้วยเหมือนกัน
「และมีเรื่องยากลำบางอย่างอื่นที่ฝ่าบาทจะต้องจัดการด้วย – เจ้างูยักษ์นั่น เจ้ารู้ใช่ไหมว่ามันได้ทำลายคฤหาสน์หลังหนึ่งในเขตศักดิ์สิทธิ์ที่ 2 ด้วยหน่ะ?」
「อา… ครับ ผมเองก็อยู่ที่นั่นด้วย รู้สึกว่าจะเป็นของตระกูลริเวียร์สินะครับ…」
ผมนึกถึงสิ่งที่ได้ยินมาจากกัปตันอาเธอร์
「ใช่ ปัญหามันก็คือชายที่ตายจากการถล่มลงมาของกำแพงคฤหาสน์หลังนั้น」
「งั้นก็หมายความว่าเขาคือผู้เคราะห์ร้ายสินะครับ?」
「ใช่แล้ว เขาเป็นผู้เคราะห์ร้ายในครั้งนี้ ทว่าเมื่อเดือนก่อนนั้นเขาคือผู้กระทำความผิด」
1 เดือนก่อน—หรือว่า “งานเลี้ยงต้นกล้าแห่งคืนข้างขึ้น” งั้นหรอ?
「ชายคนนั้นคือคนที่วางยาพิษในจานของเจ้าชายคลูฟชราท」
ผมตกตะลึงที่ได้ยินแบบนั้น
「มีความเป็นไปได้สูงที่ 1 ใน 6 ดยุคผู้ยิ่งใหญ่อย่างตระกูลริเวียร์พยายามที่จะลอบสังหารเจ้าชายคลูฟชราท ดังนั้นจึงมีการหาลือกันว่าจะล้มล้างตระกูลริเวียร์ออกไปเกิดขึ้นในตอนนี้ ทางตระกูลริเวียร์นั้นไม่เห็นด้วยและกำลังรวบรวมเหล่าอัศวินของพวกเขา… เป็นสถานการณ์ที่มีความตึงเครียดสูงเลยละ ง่ายๆเลยก็คือว่าอาจจะเกิดสงครามกลางเมืองได้ทุกเมื่อเลย」
ผมควรจะไปยังพระราชวังศักดิ์สิทธิ์หรือไม่ดีละเนี่ย?
เอิร์ลซิวลิซส์ออกไปจากห้องพร้อมกับพูดว่า “ข้าจะไปงีบสักหน่อย” — มันเหมือนกับการบอกว่า “ถ้าเจ้าจะหนีละก็ ตอนนี้แหล่ะโอกาสของเจ้าแล้ว”
ท่านเอิร์ลคาดการณ์ว่าราชันศักดิ์สิทธิ์จะไม่ปล่อยผมไปเนื่องจากผมนั้นรู้ถึงความลับระดับชาติแล้ว ทว่าในทางกลับกัน เขาเองก็รู้สึกขอบคุณผมด้วย ดังนั้นเขาเลยให้โอกาสผมหลบหนีถ้าต้องการ
ความวุ่นวายครั้งใหญ่จะเกิดขึ้นในอนาคตเร็วๆนี้ รวมถึงการล้มล้างหนึ่งในตระกูล 6 ดยุคผู้ยิ่งใหญ่ด้วย ผมจะได้ประโยชน์อะไรจากการอยู่ในประเทศนี้ต่อไปกัน?
(ผมควรจะขอเงินจำนวนมากแลกกับการเซ็นต์สัญญาเวทมนตร์ดีไหม?)
ไม่ ผมไม่ได้ต้องการของแบบนั้น เงินที่ผมต้องการก็แค่ให้เพียงพอต่อชีวิตประจำวันเท่านั้นเอง
(แล้วก็ข้อมูลเกี่ยวกับ “พันธสัญญา”)
ผมสนใจมันก็จริง แต่มันไม่ใช่สิ่งที่จำเป็นต่อผม ขนาดในโลกนี้ มันก็ดีพอแล้วที่จะมีเพียงแค่ “ส่วนน้อย” อย่างกลุ่มบุคคลสำคัญที่ต้องรู้ถึงเรื่องนี้ – ผมพอใจแล้วที่จะเป็นหนึ่งใน “คนที่ไม่รู้ส่วนใหญ่” ยังไงซะ มันก็เห็นได้ชัดเลยว่ามันจะนำปัญหามาให้ผมแน่ๆ
(หรือก็คือ ไม่มีเหตุผลให้ผมอยู่ต่อ)
ในทางกลับกัน มันมีเพียงแค่ผลเสียต่อผมทั้งนั้นเลย ถ้าผมไม่สามารถออกไปจากเมืองศักดิ์สิทธิ์ได้เพราะเวทย์พันธสัญญาละก็ ผมก็จะไม่สามารถตามหาลาร์คหรือลูลูช่าซังได้ ยิ่งไปกว่านั้น มีความเป็นไปได้สูงที่ปัญหาหลายๆอย่างที่เกี่ยวข้องกับราชันศักดิ์สิทธิ์จะเกิดขึ้นด้วย
「…คิดดูจากผลประโยชน์แล้ว มีเพียงแค่คำตอบเดียวเท่านั้น」
หลังจากนั้น ผมก็ได้ออกมาจากคฤหาสน์ ผมได้กล่าวทักทายยามเฝ้าประตูแล้วบอกเขาว่าจะไปทำธุระ ผมตัดผ่านเขตทั้งหมดในระหว่างทาง และก็ได้มาถึงบล็อกที่ 5
ผมต้องถามทางหลายต่อหลายครั้ง – ก็คาดไว้แล้วจากโลกใบนี้ที่ไม่มีสมาร์ทโฟนหรือระบบนำทางใดๆเลย – และแทบทุกคนนั้นยินดีที่จะช่วยผม
「ที่นี่งั้นหรอ?」
เบื้องหน้าของผมนั้นมีอาคารหิน 4 ชั้น อาคารนั้นมีโครงสร้างทางสถาปัตยกรรมแบบแคบแต่ลึกเข้าไปข้างในที่ไม่ค่อยได้เห็นบ่อยนัก เป็นโรงแรมที่มีชื่อว่า “กระบองเพชรสีเงิน (Silver Citrus)” ที่ซิวเวอร์บาลานซ์พักอยู่
「ที่พวกเขาเลือกที่นี่ก็เพราะว่ามันมี “ซิวเวอร์” อยู่ในชื่อยังงั้นหรอ?」
เมื่อผมเปิดประตูทางเข้า – ที่เป็นประตูกระจกสีแกะสลักด้วยลวดลายไม้บนพื้นผิว – เสียงกระดิ่งก็ได้ดังขึ้น
บทที่ 2 ตอนที่ 47
ผมรู้สึกว่าท่านเอิร์ลอาจจะเดาไว้แล้วว่าคุณหนูจะคืนตำแหน่ง
ทั้งปล่อยให้เธอทำลายธุรกิจทรัพยากรมนุษย์, ปล่อยคุณหนูออกไปเดินเล่นในเมืองตามใจ, และถึงขนาดมอบหินสกิลให้นอกงานพิธีด้วย—ซึ่งมันผิดต่อขนบธรรมเนียมของสังคมขุนนาง
พูดอีกอย่างก็คือ ท่านเอิร์ลเน้นให้คุณหนูเติบโตเป็นตัวเองมากกว่าตำแหน่งขุนนางของเธอ หึมมม แต่รู้สึกว่าเขาจะเร่งๆไงไม่รู้สิ
(ท่านเอิร์ลอาจจะตัดใจที่จะมีชีวิตอยู่ต่อตั้งแต่ที่เขาถูกโจมตีเมื่อปีก่อนตอนที่ผมช่วยเขาเอาไว้แล้วก็ได้ และเขาก็อาจจะไม่รอดในการโจมตีครั้งต่อไปด้วย ถ้างั้น คิดว่าเขาคงหวังจะให้คุณหนูเป็นอิสระให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ก็ได้)
ผมก็ไม่เคยได้ยินจากปากของเขาตรงๆหรอก แถมเขาก็ไม่ใช่คนที่จะชอบพูดอะไรแบบนั้นด้วย
(เอ เดี๋ยวก่อนนะ… ถ้าท่านเอิร์ลตายละก็ ผมก็จะต้องโทษตัวเองที่ “ไม่อาจปกป้องท่านเอิร์ลได้” ด้วยความรู้สึกผิดนั้น ผมคงจะตัดสินใจที่จะ “อยู่เคียงข้างคุณหนูจะกว่าจะโตเป็นผู้ใหญ่” แน่ๆเลย ใช่แล้ว นั่นเป็นสิ่งที่ผมจะต้องทำแน่ๆ! ท่านเอิร์ล นี้คุณมองไปไกลถึงขนาดนั้นแล้วหรอ?!)
ในโลกใบนี้ การใช้กำลังเข้าสู้ไม่ได้ตัดสินว่าคนๆนั้นจะแข็งแกร่งหรืออ่อนแอ เหล่าขุนนางนั้นน่าหวาดกลัว โดยเฉพาะขุนนางที่ชาญฉลาด เป็นใครกันให้ตายสิ!? คนที่ตัดสินใจมอบอำนาจให้ท่านเอิร์ลหน่ะ…!
「เรย์จิ…」
ในขณะที่ผมตกอยู่ในห้วงความคิดนั้น คุณหนูเองก็คิดถึงอะไรหลายๆอย่างด้วยเหมือนกัน
「ชั้นเป็นลูกสาวของเอิร์ลซิวลิซส์ และชั้นจะเดินตามเส้นทางนั้น มีอะไรหลายอย่างที่มีแต่ขุนนางเท่านั้นที่ทำได้ ใช่ไหมหล่ะ? มันก็ไม่ได้สายเกินไปที่จะเป็นอิสระหลังจากทำทุกอย่างสำเร็จแล้วด้วย」
ไม่มีความลังเลอยู่ในน้ำเสียงของคุณหนูเลย มือทั้งสองข้างของเธอกำแน่นอยู่ที่เข่า
「ดะ-ดังนั้น เรย์จิ…」
「ครับ?」
「ชั้น… ชั้นอยากให้นายคอยอยู่ข้างๆชั้นตั้งแต่นี้เป็นต้นไปด้วย…」
กูววว–
ท้องของผมร้องขึ้นมา
「…………」
「…………」
มันช่วยไม่ได้นี้นา ใช่ไหมละ? ผมไม่ได้กินอะไรมาตั้งแต่เช้าแล้ว และยังใช้งานร่างกายค่อนข้างหนักแถมยังเลือดออกด้วย! ดังนั้นหยุดมองผมด้วยสายตาแบบนั้นเถอะครับ คุณหนู!
「ฮ่าา… เอาเถอะ คำแรกที่ออกมาจากปากนายหลังจากตื่นขึ้นมาก็คือ “หิว” ด้วยนี่นะ」
「ฮ่าๆ… ขออภัยด้วยครับ」
「ชั้นจะไปขอให้พ่อครัวทำอะไรให้ทานก็แล้วกัน」
「ไม่เป็นไรหรอกครับ เดี๋ยวผมเข้าไปในครัวแล้วหาขนมปังหรืออย่างอื่นทานเอาก็ได้ครับ」
「เข้าใจแล้ว…」
「…ช่างเรื่องนั้นก่อนเถอะครับ เมื่อกี้คุณหนูได้พูดอะไรหรือเปล่าครับ? ท้องผมร้องดังไปหน่อยก็เลยได้ยินไม่ชัดหน่ะครับ」
「!!」
เมื่อผมถามแบบนั้น หน้าของคุณหนูก็แดงก่ำ มากพอที่จะเห็นได้ชัดในห้องมืดๆนี้เลย
「ชั้นเองก็จะไปนอนแล้ว!」เธอพูดเสียงดังก่อนจะลุกขึ้น
「งะ-งั้นหรอครับ? งั้นผมจะพาคุณหนูไปที่ห้องนะครับ」
「ไม่ต้อง! ชั้นจะไปคนเดียว!」
「เอ๋…」
คุณหนูบอกเองไม่ใช่หรอครับว่าคนคุ้มกันจะต้องอยู่ข้างๆเจ้านายหน่ะ…
ผมไม่รู้ว่าทำไม แต่คุณหนูก็ออกไปจากห้องอย่างฉุนเฉียว หลังจากนั้นผมก็ตรงไปยังห้องครัว มันไม่มีขนมปังแต่มีผลไม้อยู่มากมาย มันเหมือนกับแอปเปิ้ลเขียวเลย
「…นั่นมันผลไม้ที่ดูเหมือนกับแอปเปิ้ลเขียวที่ผมเคยกินในป่าตอนที่ผมหลบหนีจากเหมืองหรือเปล่านะ?」
ขณะที่รู้สึกคิดถึงอยู่นั้น ผมก็กินผลไม้พวกนั้นเป็นจำนวนหนึ่ง ความเปรี้ยวและชุ่มฉ่ำได้ปัดเป่าความง่วงของผมไป
(…ผมนี้มันขี้ขลาดจริงๆ)
สักวันนึงผมก็ต้องจากคุณหนูไป เพราะยังมีบางสิ่งที่ผมต้องทำอยู่
(ถึงผมจะบอกคุณหนูว่าเธอมีทางเลือก แต่ผมก็รู้ตัวดีว่าเธอไม่มีทางจะพูดว่า “หนีไปกันเถอะ” หรอก)
ผมอยากจะกระตุ้นจิตใต้สำนึกของผมว่าเธอนั้นสามารถยืนด้วยตัวคนเดียวได้ต่อให้ผมจากไปแล้ว
มันคงจะง่ายถ้าหากผมสามารถเป็นคนคุ้มกันของคุณหนูตลอดไปได้
หรือผมควรจะกลับมาที่นี่หลังจากที่ทำสิ่งที่ต้องทำเสร็จหมดแล้วดี?
(…ไม่ใช่เวลามามัวคิดถึงเรื่องนั้นในตอนนี้สินะ)
ผมคิดว่าผมจะอยู่ในเมืองศักดิ์สิทธิ์จนกว่าจะมีข้อมูลของลาร์คหรือลูลูช่าซัง ผมเองก็ดีใจที่ได้พบกับซิวเวอร์บาลาซอีกครั้ง แต่ผมไม่คิดว่าพวกเราจะได้รวมตัวกันในทันทีหรอก
(มีอีกหลายอย่างที่ต้องคิดอยู่)
ผมหยิบผลไม้นั้นขึ้นมาอีกลูก ผมรู้สึกได้ถึงอากาศที่เปลี่ยนไป รุ่งสางนั้นใกล้เข้ามาแล้ว
เอิร์ลซิวลิซส์นั้นกลับมาในตอนรุ่งสางแล้วเรียกผมให้ไปพบในห้องทำงานของเขาในทันทีเลย
เมื่อพวกเราเข้าไป พ่อบ้านก็ได้ออกจากห้องไป ทิ้งไว้แค่ผมกับท่านเอิร์ลเพียงลำพัง เป็นไปได้ที่ท่านเอิร์ลจะใช้เวลาทั้งคืนเลยจากชุดที่เขาสวมตั้งแต่งานพิธีเมื่อวานแล้ว เขาดูเหนื่อยสุดๆไปเลย ทว่าสำหรับคนหน้าตาดีแล้ว ผมคิดว่ามันก็ยังแสดงเสน่ห์อีกแบบนึงออกมาได้แม้จะอยู่ในสภาพนั้นก็ตามที
「ก่อนอื่นเลย เรย์จิซัง ขอบคุณสำหรับความเหนื่อยยากเมื่อวานนะ」
「ดูเหมือนคุณเองก็งานหนักพอตัวนะครับ」
「อืม… ใช่แล้วละ หนักจริงๆ」
โซฟานั้นถูกวางหันหน้าเข้าหากันในพื้นที่รับรอง และท่านเอิร์ลก็ได้ทิ้งตัวลงบนโซฟาอย่างหาดูได้ยาก
「ข้าเข้าใจว่าเจ้ามีอะไรหลายอย่างอยากจะถามนะ เรย์จิซัง แต่มาพูดคุยเรื่องที่สำคัญกันก่อนเถอะ」
「เข้าใจแล้วครับ」
「เจ้าถูกเรียกตัวให้ไปยังพระราชวังศักดิ์สิทธิ์ในบ่ายวันนี้ ข้าเองก็จะไปด้วย ดังนั้นเตรียมตัวให้พร้อม」
「ผม… ที่พระราชวังศักดิ์สิทธิ์งั้นหรอครับ?」
「ไอ้โดมความมืดนั่น, ทั้งหิน 8 ดาว, คนกลาง, ทุกๆอย่างที่เกิดขึ้นเมื่อวานนั้นถือเป็นเรื่องสำคัญ」
「อืม ก็คงอย่างนั้นแหล่ะครับ」
「ในกรณีที่เลวร้ายที่สุด เป็นไปได้ว่าเวทย์พันธสัญญาจะถูกร่ายใส่เจ้าเพื่อไม่ให้เจ้าออกไปจากเมืองศักดิ์สิทธิ์เลยก็ได้」
「ว่าไงนะครับ!?」
ผมโกรธและลุกขึ้นยืน ทว่าคิดดูจากฝั่งของพวกเขาแล้ว มันก็เป็นเรื่องปกติละนะ
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นเมื่อวานนั้นจะถือว่าเป็นความลับระดับชาติของราชอาณาจักรครูวานศักดิ์สิทธิ์เลย
「ข้าจะพยายามไม่ให้มันเกิดขึ้นแล้วกัน แต่ข้าเองก็เดาสิ่งที่จะเกิดขึ้นไม่ได้หรอก」
「…ทำไมละครับ?」
「หมายความว่ายังไง เรย์จิซัง? ข้ามั่นใจว่าเจ้ารู้ถึงความจำเป็นของเวทพันธสัญญาอยู่แล้วนี่」
「ผมหมายถึงทำไมคุณถึงบอกผมเรื่องนี้หน่ะครับ ท่านเอิร์ล? ผมอาจจะหนีไปทันทีตอนนี้เลยก็ได้นะครับ」
「เอาตรงๆเลยนะ ข้าคิดว่ามีโอกาส 50% ที่เจ้าจะออกไปจากเมืองศักดิ์สิทธิ์ในเช้านี้เลย」
「งั้นทำไม–」
「ฝ่าบาทเองก็คงจะคิดแบบเดียวกันนี้ด้วย ดังนั้นท่านเลยให้เวลาครึ่งวันยังไงละ」
「…ฝ่าบาทหน่ะหรอครับ?」
ปวดหัวเลย ราชันศักดิ์สิทธิ์เรียกตัวผม ในทางกลับกัน เขาก็คิดว่าผมอาจจะหนีไปด้วย ถ้าเขาอยากให้ผมไปละก็ เขาก็ไม่ควรให้เวลากับผมแล้วเรียกตัวผมให้ไปทันทีเลยสิ
「อาจจะเพราะท่านรู้สึกขอบคุณเจ้าก็ได้」
「ขอบคุณ…?」
「ที่หยุดคนกลางได้ก็เป็นเพราะฝีมือเจ้า」
「แต่ฝ่าบาทเองก็แข็งแกร่งพอนี้ครับ?」
「นั่นเป็นเพราะตรรกะถูกทำลายไปแล้วยังไงละ ตอนนี้คำสั่งเป็นเรื่องที่สำคัญกว่า ดังนั้นมาคุยกันเรื่องนั้นเถอะ」
แล้วท่านเอิร์ลก็กระแอมในลำคอ
「โดมความมืดนั่นคือจุดกึ่งกลางระหว่างโลกใบนี้กับโลกที่พวกเราเรียกว่า “โลกอื่น” ข้าได้ยินมาว่าจะสามารถแทรกแซงโลกใบนี้จาก “โลกอื่น” ได้เมื่อสร้างโดมนั่นขึ้นมา และโดมนั่นก็ได้สร้างตรรกะที่ไม่ว่าจะเป็นคนจากโลกนี้หรือ “โลกอื่น” ก็ไม่สามารถโจมตีกันได้」
「เอ๊ะ? แต่แล้วคนกลางละครับ?」
「มีเพียงแค่คนกลางเท่านั้นที่เป็นข้อยกเว้น เขาจะทำอะไรก็ได้ตราบใดที่ยังปฏิบัติตาม “พันธสัญญา” นั่นเป็นสิ่งที่เข้าเคยได้ยินเป็นครั้งแรกเมื่อคืนนี้」
งั้น มันก็เป็นความลับสุดยอดที่แม้แต่ท่านเอิร์ลก็ไม่รู้สินะ
「ต้องขอบคุณที่เรย์จิซังทำลายโดมนั้น ตรรกะก็เลยถูกทำลายลงไปด้วย และในที่สุดการโจมตีของฝ่าบาทก็ได้ผล」
「แล้วเรื่องหินนั่นละครับ?」
ตอนที่ผมมาถึงโดม เอิร์ลซิวลิซส์ก็กำลังจะทำลายมันด้วยหินนั่นอยู่
「ข้าเองก็ไม่รู้รายละเอียดมากนัก แต่ดูเหมือนว่าหินนั่นจะมาจากช่วงเวลาเดียวกับที่แท่นบูชาที่ 1 ถูกสร้างขึ้น มันถูกเก็บรักษาไว้อย่างดีเยี่ยมภายในคลังสมบัติของพระราชวังศักดิ์สิทธิ์」
นี่คุณขโมยหินที่ถูก “เก็บรักษาไว้อย่างดีเยี่ยม” มายังงั้นหรอครับ?
แต่ผมก็ไม่ได้ถามออกไป ท่านเอิร์ลนั้นมองมาที่ผมด้วยรอยยิ้ม เป็นใบหน้าที่บ่งบอกว่า “อย่าถาม”
「มันเป็นเรื่องราวเมื่อหลายพันปีก่อน… เรื่องราวจากช่วงเวลาที่พวกเราเรียกกันว่า “ยุคโบราณอันศักดิ์สิทธิ์” ราชวงศ์ศักดิ์สิทธิ์ผู้ที่ได้ครอบครองแท่นบูชาที่ 1 นั้นถูกผูกมัดเอาไว้ด้วย “พันธสัญญา” ฉบับหนึ่ง ซึ่งก็คือหินสกิล 8 ดาว」
========================================================
TL: ขออภัยที่หายไปนานนะครับ ช่วงต้นปีไม่ค่อยว่างเท่าไหร่
บทที่ 2 ตอนที่ 46
เมื่อผมตื่นขึ้นมา ข้างนอกก็มืดไปหมดแล้ว ห้องส่วนตัวที่ผมได้รับมานั้นเล็ก แต่สำหรับโลกที่มีสื่อความบันเทิงภายในบ้านน้อยแบบนี้ มันก็ถือว่าใหญ่มากเกินพอแล้ว มีแสงสลัวๆลอดผ่านหน้าต่างเข้ามา
…อา มันก็ผ่านมาเดือนนึงแล้วตั้งแต่ “งานเลี้ยงต้นกล้าแห่งคืนข้างขึ้น” ดังนั้นท้องฟ้าในคืนนี้จึงเป็นคืนเดือนดับ… ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมมันถึงมืดขนาดนี้
「หิวจังเลย…」
「…งั้นชั้นจะไปเตรียมอะไรมาให้นายกินเอง」
「โอ๊ะ ขอบคุณ–… คะ-คะ-คะ-คุณหนูครับ!?」
ผมตกใจเมื่อเห็นคุณหนูยืนอยู่ในความมืด
「จะตกใจอะไรกัน? ชั้นเป็นเจ้านายและนายก็เป็นคนคุ้มกันของชั้นนะ ก็ปกติไม่ใช่หรอที่ชั้นจะอยู่ข้างๆนายหน่ะ?」
「อา…」
ผมสังเกตเห็นรอยคล้ำใต้ตาของคุณหนูด้วย เห็นได้ชัดเลยว่าคุณหนูคอยเฝ้าดูผมมาตลอดเวลา ไม่ต้องใช้【World Ruler】ดูก็รู้
ตัวผมอยู่ในชุดนอน ต้องมีใครบางคนเปลี่ยนให้ผมแน่ ร่างกายของผมรู้สึกสะอาด ดังนั้นต้องมีใครเช็ดตัวให้ผมแน่ เจ้าผ้าพันแผลที่พันอยู่บริเวณที่【เวทย์รักษา】รักษาไม่หมดนี้ด้วยเหมือนกัน
「คุณหนูครับ เป็นคุณหนูใช่ไหมครับที่พันผ้าพันแผลที่ข้อมือซ้ายของผมนี้?」
「รู้ได้ยังไงกัน!? อ้า นายคิดว่ามันพันแบบแปลกๆใช่ไหม?」
「แล้วหัวพ่อบ้านกับพวกเมดละครับ?」
「ชั้นบอกพวกเขาให้ถอยไปหน่ะ นายเป็นคนคุ้มกันของชั้นเพียงคนเดียวนี่นา」
งานของคนคุ้มกันก็คือการทุ่มเทกาย – อย่างน้อยผมก็คิดแบบนั้น และภารกิจของผมก็คือการ “ทำทุกวิถีทาง” เพื่อที่จะปกป้องชีวิตของคุณหนูเอาไว้ นี้คืองานและผมก็ได้รับค่าจ้างตอบแทน
อย่างไรก็ตาม ในทางกลับกัน ผมเองก็สามารถเข้าใจความรู้สึกของคุณหนู ถ้าคนที่คุ้มกันผมได้รับบาดเจ็บเพื่อตัวผมละก็ ผมก็จะทำสุดความสามารถในการดูแลพวกเขา–ทว่า อะไรแบบนั้นส่วนใหญ่เห็นได้แค่ในกลุ่มสามัญชนเท่านั้น
อีกอย่าง ผมคิดว่ามันค่อนข้างแปลกเลยสำหรับลูกสาวตระกูลเอิร์ลจะมาสนใจอะไรมากกับคนคุ้มกันขนาดนี้
ไม่สิ… บางทีมันอาจจะแค่หมายความว่าคุณหนูนั้นใจดีกว่าที่ผมคิดก็ได้ แถมนังละเอียดอ่อนด้วย
「คุณหนูครับ… ดูจะสามารถควบคุมมานาได้แล้วสินะครับ」
「อื้ม… ท่านพ่อของชั้นมอบหินสกิล【ควบคุมมานา】ให้มาหน่ะ ในสถานการณ์ตอนนี้ งานพิธีมอบหินสกิลก็ต้องถูกเลื่อนไปอีกแล้วด้วย เขาบอกว่าเขาจะลงโทษขุนนางทุกคนที่บ่นเลยละ」
「ฮาๆ…」
ผมสงสัยจังว่าตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่ท่านเอิร์ลเคลื่อนไหวอย่างอิสระในงานพิธีกันนะ สิ่งที่เขาทำในตอนนั้นดูจะวางแผนไว้ล่วงหน้าสองหรือสามก้าวเลย
「เกิดอะไรขึ้นกับ… ท่านหลุยส์?」คุณหนูถามขึ้นอย่างหวาดกลัว
…งั้นหรอ คุณหนูถูกพากลับมายังคฤหาสน์โดยที่ไม่รู้อะไรเลยสินะ
「เขาตายแล้วครับ」
「!」
คุณหนูเริ่มตัวสั่น ทว่าจากนั้นเธอก็หลับตาลงเงียบๆ
「งั้นหรอกหรอ…」
「ครับ」
「หลุยส์ทำตัวแปลกไปหลังจากที่มอง “เนตรเวทมนตร์แห่งการชักจูง” ของชั้นเข้าไป」
เกิดเรื่องแบบนั้นขึ้นงั้นหรอ? คุณหนูโทษตัวเองที่ทำให้หลุยส์ตายยังงั้นหรอ?
ผมอยากจะพูดออกไปว่าคุณหนูไม่ต้องกังวลเรื่องนั้นหรอก หรือไม่ใช่ความผิดของคุณหนู แต่ผมก็ไม่ได้พูดออกไป ผมไม่คิดว่าคำสวยหรูพวกนั้นจะช่วยอะไรคุณหนูได้หรอก และยิ่งไปกว่านั้น ผมเองก็ไม่รู้ว่าอะไรขึ้นต้นเหตุจริงๆกันแน่
ตอนที่ผมไปถึง… หลุยส์ก็ได้ตายไปแล้ว
「เรย์จิ …?」
「………」
ผมมองไปที่ฝ่ามือของตัวเอง จำนวนชีวิตที่ผมช่วยได้นั้นมีจำกัด สิ่งที่ผมทำได้นั้นมีขีดจำกัด
ผมมี 16 ปีจากชาติก่อนและอีก 4 ปีหลังจากที่ได้รับความทรงจำกลับมา ผมควรจะมีประสบการณ์ชึวิตบ้างแล้ว แต่มันก็ยังไม่พออยู่ดี น้ำหนักที่กดลงบนอกของผมนั้นราวกับจะบดขยี้หัวใจของผม แต่ว่า–
「คุณหนูครับ」
ผมมั่นใจว่าคุณหนูที่เป็นแค่เด็กสาวอายุ 12 ปีจะต้องกำลังก้าวผ่านความเจ็บปวดแบบเดียวกันกับผมนี้แน่นอน
「โปรดกลายเป็นคนที่สามารถเชี่ยวชาญเนตรเวทมนตร์ให้ได้นะครับ」
「!」
ถ้าเธอไม่สามารถควบคุม “เนตรเวทมนตร์แห่งการชักจูง” ได้ละก็ มันจะต้องสร้างโศกนาฏกรรมขึ้นมาอีกแน่นอน แต่ถ้าเธอสามารถควบคุมมันได้ละก็ มันจะมีประโยชน์สุดๆไปเลย
ตัวอย่างเช่น ให้กำลังใจคนพูดก่อนขึ้นขึ้นพูด, ลบความกังวลของนักแสดงในการแสดงที่มีผู้คนจำนวนมาก, หรือพลักดันให้คนที่อยู่ในห้วงความรักให้ออกไปสารภาพรักได้
แน่นอน… มันสามารถใช้ในสงครามได้ด้วย
「ชั้น… ชั้นใช้มันอย่างไม่ถูกต้องนะ」
「นั่นไม่จริงเลยครับ」
「ไม่ ชั้นมั่นใจ ไม่งั้นละก็ ท่านหลุยส์…」
「คุณชายหลุยส์จะไม่มีวันกล่าวโทษคุณหนูหรอกครับไม่ว่าจะยังไงก็ตาม แม้กระทั่งความตายด้วยเช่นกัน」
ผมเชื่ออย่างนั้นจริงๆ เจ้าหนุ่มขี้เบ่งและเห็นแก่ตัวคนนั้น—ก็เป็นเด็กผู้ชายธรรมดาคนนึงเท่านั้นเอง เขาไม่มีทางโทษเด็กผู้หญิงที่ตัวเองรักหรอก
「แต่… ถ้าไม่มีดวงตาพวกนี้ละก็–」
「คุณหนูครับ มันไม่ใช่อย่างนั้นหรอกครับ คุณหนูเกิดมาพร้อมกับดวงตาพวกนั้นใช่ไหมละครับ? ถึงผู้คนจะเลือกเกิดไม่ได้ แต่พวกเขาสามารถเลือกที่จะใช้ชีวิตยังไงได้นะครับ」
ผมยกหน้าม้าของผมขึ้น จุดดวงไฟเล็กๆด้วย【เวทย์ไฟ】และแสดงโคนผมของผมให้เห็น
ผมคิดที่จะย้อมมันในเร็วๆนี้เนื่องจากมันกลับมาดำอีกแล้ว
「ผมของผมเป็นสีดำครับ เป็นเหตุผลว่าทำไมผมถึงถูกเกลียดและถูกทอดทิ้งจากครอบครัวของตัวเอง」
「!!」
ดวงตาของคุณหนูเบิกกว้าง มีสีหน้าเศร้าสร้อยอยู่บนใบหน้า
…ไม่ครับ คุณหนู ผมไม่ได้อยากได้ความเห็นใจจากคุณหนูหรอกครับ
「แต่ตอนนี้ผมกำลังมีความสุขในทุกๆวัน เพราะผมถูกจ้างมาโดยท่านเอิร์ลซิวลิซส์ และตัดสินใจที่จะใช้เวลาอยู่ร่วมกับคุณครับ คุณหนู」
「…กับชั้น?」
「ครับ กับคุณ นั่นคือเหตุผลที่ส่วนสำคัญอยู่หลังจากนี้ไปครับ คุณหนูจะทำอะไรต่อจากนี้ไปครับ? ถ้าคุณหนูสามารถใช้งานดวงตาของคุณได้อย่างถูกต้องละก็ มันสามารถช่วยผู้คนได้มากมายกว่า “เนตรเวทมนตร์แห่งการสืบสวน” อีกนะครับ」
「…มากกว่าท่านพ่อ?」
「ครับ มากกว่าท่านเอิร์ล…」
เขานั้นสำคัญต่อราชันศักดิ์สิทธิ์ก็เพราะ “เนตรเวทมนตร์แห่งการสืบสวน” ของเขา ทว่าเขานั้นถูกเกลียดจากคนหลายคน ถึงเขาจะไม่เคยพูด แต่ผมมั่นใจเลยว่ามันต้องมีสักครั้งที่เขาเกลียดที่จะอยู่ในตำแหน่งนั้นแน่นอน
ตราบใดที่เขายังมองเห็นคำโกหกได้ มันจะต้องยากแน่นอนสำหรับเขาที่จะหาเพื่อนจริงๆที่เขาสามารถไว้ใจได้
「ท่านพ่อ… เป็นคนที่สุดยอดมากๆ」คุณหนูพูดพร้อมกับถอนหายใจ
เธอนั้นแบกรับหน้าที่อันหนักอึ้งในการสืบทอดตำแหน่งหัวหน้าตระกูลต่อจากท่านเอิ์ร์ลซิวลิซส์ มือของเธอที่อยู่ตรงเข่านั้นกำๆหุบๆอย่างกระสับกระส่าย
「ถ้ายังงั้น คุณหนูอยากจะหยุดไหมละครับ?」
「–อะไรนะ?」
「คุณหนูก็แค่ต้องจบตระกูลเอิร์ลลง เนื่องจากเป็นตระกูลขุนนางที่ไม่มีดินแดนด้วย ถ้าคุณจ่ายเงินจำนวนนึงให้กับคนที่ทำงานที่นี่แล้วคืนตำแหน่งไปละก็ คุณหนูก็จะเป็นอิสระแล้วครับ คุณหนูอยากจะไปเรียนอีกครั้งแล้วเล็งตำแหน่งในกลุ่มคณะปกครอง, เปิดกิจการในเมือง ใช้ชีวิตอย่างสง่างามและยืนยาวก็ได้ ในทางกลับกัน ถ้าคุณหนูอยากจะมีชีวิตที่ตื่นเต้น คุณหนูก็สามารถไปเป็นนักผจญภัยได้ครับ คุณหนูมีตัวเลือกอยู่มากมายเลยครับ ถ้าคุณหนูต้องการละก็ ผมทำได้แม้กระทั่งพาคุณหนูออกจากประเทศนี้เลยก็ได้นะครับ」
============================================================
TL: สวัสดีปีใหม่ครับ ปีนี้ก็ขอฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะครับ 🙂
บทที่ 2 ตอนที่ 45
「โตขึ้นเยอะเลยนะ ก็ปกติละนะ มันผ่านมา 4 ปีแล้วนี้นา」
「…ดันเต้ซัง」
ดันเต้ซังลูบหัวผมในขณะที่พวกเรายืนอยู่หน้าโครงกระดูกของอูโรโบรอส
「เรย์จิคุง!」
มิมิโนะซังวิ่งมาหาผมจากด้านข้างก่อนจะกระโดดกอดผม ถึงผมจะสูงกว่ามิมิโนะซังแล้วก็เถอะ แต่มันก็แค่นิดหน่อยเท่านั้นเอง
「ชั้นตามหาเธอมานาน, นาน, นานมากๆเลยนะ!」
「ขะ-ขอโทษครับ… ผมต้องออกมาด้วยเหตุผลบางอย่างหน่ะครับ」
ผมออกมาจากซิวเวอร์บาลาซโดยที่ไม่ได้อธิบายอะไรเลย แน่นอนไม่ใช่ว่าผมไม่เห็นค่าของความอ่อนโยนของพวกเขาหรอกนะ แต่ในตอนนั้นผมต้องทำแบบนั้นก็เพื่อ… ปกป้องลาร์ค
ดูจากความมีค่าของหินสกิล 6 ดาวในราชอาณาจักรครูวานศักดิ์สิทธิ์แล้ว【ราชาแห่งเงา】ของลาร์คก็ค่งจะไม่ต่างกันเลยในสหพันธรัฐคีทแกรนหรอก
ฮ่าาห์… สงสัยจังว่าตอนนี้เธอกำลังทำอะไรอยู่นะ ลาร์ค?
ยังไงก็เถอะ ผมมั่นใจว่าสหพันธรัฐคีทแกรนยังคงตามล่าหินสกิล【ราชาแห่งเงา】แม้กระทั่งตอนนี้อย่างแน่นอนเลย ดังนั้นผมจึงไม่อาจเปิดเผยข้อมูลให้กับซิวเวอร์บาลานซ์ในตอนนั้นได้ มันจะสร้างปัญหาให้พวกเขาได้ถ้าพวกเขาถูกสงสัยว่าเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดขึ้นมา
「แล้ว ตอนนี้เธอทำอะไรอยู่งั้นหรอ? ชุดของเธอดูมีคุณภาพสูงมากเลยนะ — อ้า เธอบาดเจ็บงั้นหรอ!? เธอบาดเจ็บใช่ไหม!? ดูสิ เลือดไหลด้วย! น็อนใช้【เวทย์รักษา】ทันที— โอ้ย!」
น็อนซังเข้ามาจากด้านหลังแล้วเขกหัวของมิมิโนะซัง
「เรย์จิคุงโชกไปด้วยเลือดก็จริง แต่ก็ไม่ได้มีบาดแผลภายนอกค่ะ ถูกไหม เรย์จิคุง?」
「อา ครับ–」
「อุฟุฟุฟุ งั้น เธอก็สามารถใช้【เวทย์รักษา】ได้ด้วยสินะ? สุดยอดไปเลย ได้เห็นเรย์จิคุงเติบโตขึ้นมากขนาดนี้ในช่วง 4 ปีที่ผ่านมาแบบนี้… อุฟุฟุฟุ」
ผมรู้สึกกลัวเสียงหัวเราะนั่นของน็อนซังมากๆเลย!
「—ทางนี้!」
「—การต่อสู้จบลงแล้วหรอ?」
「—เอาจริงดิ ไอ้โครงกระดูดยักษ์นั่นมันอะไรกัน?!」
นักผจญภัยติดอาวุธหลายคนวิ่งมาจากอีกฝากของถนน เมื่อพวกเขารู้ว่าการต่อสู้ได้จบลงไปแล้ว พวกเขาก็ดูจะผิดหวังและโล่งอกในเวลาเดียวกันเลยพร้อมกับมองไปทางโครงกระดูกขนาดใหญ่นั่น
「พวกนายฆ่ามันงั้นหรอ?」นักผจญภัยที่สะพายดาบคู่เอาไว้ที่เอวถามขึ้น
ดันเต้ซังพยักหน้าเป็นการตอบกลับ
「อา ให้ตายสิ ขโมยผลงานแบบนี้มันไม่ยุติธรรมเลยนะ รู้ไหม?」
「ไอ้พวกคนนอกเอ้ย…」
เหล่านักผจญภัยในเมืองนี้ดูจะอิจฉาที่ซิวเวอร์บาลานซ์จัดการมอนสเตอร์ได้
(ต่อให้พวกนายมาตั้งแต่ต้น พวกนายก็สู่มันไม่ได้หรอก ยกเว้นว่าจะมีพลังระดับเดียวกับดันเต้ซังละนะ)
ผมค่อนข้างไม่สบอารมณ์เลย ทว่าดันเต้ซังกลับพูดว่า「พวกเราตรงมาที่นี่ทันทีเลย แต่ตามปกติแล้วพวกนักผจญภัยจะต้องไปรวมตัวกันที่กิลด์ก่อนลงมือหน่ะ และเพราะการอพยพประชาชนมีความสำคัญเป็นอันดับแรกด้วย」
「แล้วทำไมพวกคุณถึงมากันเร็วมากละครับ ดันเต้ซัง?」
「เพราะน็อนดึงดันที่จะให้พวกเรามา “ทันที” หน่ะสิ… เธอมักจะลางสังหรณ์ที่เฉียบคมในเวลาแบบนี้ด้วย」
「อุฟุฟุฟุ」
เสียงหัวเราะของคุณมันน่ากลัวนะครับ น็อนซัง
「—กัปตัน ดูเหมือนมอนสเตอร์นั่นจะถูกจัดการไปแล้วครับ」
「—ว่าไงนะ!?」
ครั้งนี้เป็นภาคีอัศวินของราชันศักดิ์สิทธิ์ประมาณ 50 นาย ขี่ม้าเข้ามาจากอีกฝั่งของถนน
มีหลายคนที่ผมคุ้นหน้าในกลุ่มพวกเขาด้วย—นี้คงจะเป็นหน่วยที่ 11 ละมั้ง
「ทุกนาย หยุด!!」กัปตันหน่วยที่ 11 ออกคำสั่งแล้วมองลงมาที่พวกเราและเหล่านักผจญภัยจากบนม้าของเขา「พวกเจ้าเป็นคนกำจัดมันงั้นรึ?」เขาถามขึ้น
「ใช่ พวกเราเป็นคนกำจั–」ดันเต้ซังเริ่มพูด
「เครดิตเป็นของกิลด์นักผจญภัยเว้ย!」ชายที่พูดกับดันเต้ซังก่อนหน้านี้พูดตัดบท「อัศวินอย่างพวกแกที่มาช้าไม่สมควรได้เครดิตหรอก!」
เหล่านักผจญภัยคนอื่นๆก็พูดตามเขาขึ้นมาว่า「ใช่แล้วๆ」
「พวกเจ้าเป็นคนจัดการมันจริงๆงั้นรึ? มอนสเตอร์ตัวใหญ่ขนาดนั้นน่ะนะ?」
「ใช่แล้ว ภาคีอัศวินควรจะถอนตัวไปซะ」
「พวกเราไม่สามารถถอนตัวได้ เจ้างูยักษ์นั่นสร้างความเสียหายมาตั้งแต่เขตศักดิ์สิทธิ์ที่ 2 มาจนถึงนี่เลย พวกเราจะเป็นคนนำวัตถุดิบพวกนั้นไปเอง」
「อะไรนะ!? ไปตายซะไป! นี้เป็นทรัพย์สินของนักผจญภัยนะ!」
「ภาคีอัศวินจะเป็นคนเก็บรักษาเอาไว้ก่อน แล้วจากนั้นค่อยแจกจ่ายกันอย่างเท่าเทียม」
「นั่นก็เหมือนกับปล้นกันตรงๆเลยนะเว้ย!」
「แค่ทำตามคำสั่งซะ!」
การโต้เถียงกันร้อนแรงขึ้นเร็วมาก
สำหรับผม ผมทำเพียงแค่มองพวกเขาอยู่เงียบๆ ผมเหนื่อเกินกว่าจะไปสนเรื่องอะไรแบบนั้นแล้ว ความตึงเครียดตลอดมานี้รวมถึงชีวิตของผู้คนที่ตกอยู่ในอันตราย—และแน่นอนว่ารวมถึงชึวิตของผมด้วยเช่นกัน ผมไม่สนใจแล้วว่าใครจะได้เครดิตไป
「มิมิโนะซัง, ดันเต้ซัง, น็อนซัง พวกคุณจะยังอยู่ในเมืองนี้ใช่ไหมครับ? ผมติดหนี้ท่านเอิร์ลซิวลิซส์อยู่ ดังนั้นผมจะต้องกลับไปก่อนในตอนนี้หน่ะครับ」
「งั้นหรอ? ตระกูลเอิร์ลสินะ? ฮึมมม เรย์จิคุงดูจะอยู่ในที่ที่ดีนะ」มิมิโนะซังพูดขึ้น
「เรย์จิ พวกเราอยู่ในโรงแรมที่ชื่อว่า ‘ซิลเวอร์ซิตรัส’ นะ ติดต่อพวกเรามาด้วยละ เพราะข้าตัดสินใจแล้วว่าจะไม่ยอมตายจนกว่าจะชดใช้บุญคุณที่ได้รับจากเจ้าหมดหน่ะ」ดันเต่ซังพูดขึ้นพร้อมกับแตะไปที่ไหล่ซ้ายของเขา
เนื่องจากผมเห็นเขาสู้เมื่อกี้แล้ว คำสาปดูจะหายเป็นปลิดทิ้งแล้วสินะ
「เข้าใจแล้วครับ ไว้เจอกันใหม่นะครับ」
「ติดต่อพวกเรามาด้วยนะ เรย์จิคุง!」
「อย่าลืมนะ เข้าใจไหม? คุณพ่อเอาแต่พูดว่าจะทำนู่นทำนี่และทุกๆอย่างในตอนที่ได้พบเธอเลยนะ รู้ไหม」
「…จะเผากันต่อหน้าเลยหรอ คุณลูก?」
ขนาดผมเองก็ยังอายที่ได้ยินแบบนั้นเลย
ผมเลิกสนใจการโต้เถียงกันระหว่างเหล่าอัศวินกับนักผจญภัยแล้วกระโดดขึ้นไปบนโครงกระดูกของอูโรโบรอสและดึงดาบสั้นของผมออก
「หา…? เจ้า… คือคนทำความสะอาดคนนั้น ใช่ไหม?」กัปตันสังเกตเห็นผม
「ครับ」
「ข้าก็คิดว่ามันเป็นไปไม่ได้หรอก แต่ว่า บางที เป็นเจ้าสินะที่ทำการปิดฉากหน่ะ?」
「ครั–」
「ไม่มีทางอยู่แล้ว! เขาเป็นแค่เด็กนะ! ข้าเห็นเจ้ามอนสเตอร์นั่นจากไกลๆมาแล้ว มันเป็นงูที่ตัวโครตใหญ่เลยนะ」นักผจญภัยพูดขัดขึ้นมาจากข้างๆ
ให้ตายสิ–ผมใช้งานดาบเล่มนี้หนักเกินไปแล้ว ขณะที่คิดว่าผมควรจะไปหาดาบเล่มใหม่ ผมก็เก็บดาบเล่มนั้นกลับเข้าไปในฝักแล้วกระโดดลงมา
「เจอกันใหม่เร็วๆนี้นะครับ」
「อืม」
「แล้วเจอกันนะ」
「โปรดติดต่อมาด้วยนะจ๊ะ~ ชั้นรู้สึกไม่ค่อยเชื่อใจเพราะเหตุการณ์ครั้งก่อนด้วย เข้าใจนะจ๊ะ~?」
「อะฮ่าๆ…(ผมเอาชนะน็อนซังไม่ได้เลยแห่ะ)」
เมื่อคิดแบบนั้น ผมก็หันหลังให้กับซิวเวอร์บาลานซ์
หลังจากนั้น ผมก็ใช้เวลาสักพักเพื่อกลับไปยังที่พักอาศัยของท่านเอิร์ลในเขตศักดิ์สิทธิ์ที่ 2 เมื่อผลของ【เวทย์ซัพพอร์ต】ของน็อนซังหมดลง ร่างกายของผมก็รู้สึกล้าอย่างมาก รูปลักษณ์ของผมโทรมหลังจากการต่อสู้ และผมก็ยังทำเข็มกลัดผูกไทด์ที่ใช้ยืนยันตนว่าเป็นคนของท่านเอิร์ลตกด้วย
ทว่าเซอรี่ซังก็หามันพบด้วยสายตาอันเฉียบคมของเธอ เธอพูดว่า “ด้วยนี่ก็ถือซะว่าได้ชดใช้หนี้ทั้งหมดของชั้นแล้วนะ!” ในตอนที่เธอเอามาคืนผมด้วย แต่ไอ้เข็มกลัดนี้มันไม่ได้สำคัญเท่าไหร่ถ้าเทียบกับหนี้สินที่ผมใช้ให้แทนเธอใช่ไหมละ? ถึงยังงั้น ผมก็เหนื่อยจนถึงขนาดที่ผทคิดจะลดให้สัก 10% เลยนะ แล้วอีกอย่าง ตอนที่ผมเอาเรื่องที่เธอไม่ได้ช่วยผมสู้กับอูโรโบรอสเลยสักนิดเดียวขึ้นมาพูด เธอก็พูดว่า “ชั้นไม่งี่เง่าพอที่จะเข้าไปยุ่งกับการต่อสู้ระหว่างยอดมนุษย์กับสัตว์ประหลาดหรอกนะ!” พร้อมกับรอยยิ้มที่สุดของสุดยอดงดงามเลยนะ
เมื่อผมกลับมาถึงที่พักของท่านเอิร์ล คุณหนูเองก็กลับมาถึงบ้านก่อนแล้ว เมื่อเธอเห็นสภาพของผม เธอก็รีบวิ่งเข้ามาหาอย่างเป็นห่วง ผมบอกเธอไปว่าผมทำพยายามเต็มที่แล้ว แต่ขอโทษที่ไม่สามารถปกป้องทุกๆคนได้ เมื่อเธอได้ยินแบบนั้น น้ำตาก็ไหลลงมาที่แก้มจากขอบตาของเธอไม่หยุดเลย—ถึงแม้เธอจะพยายามหยุดน้ำตาของเธอในตอนที่ต่อสู้กับคนกลางอย่างสุดกำลังก็ตาม แต่ตอนนี้เธอได้ตัดสินใจปล่อยพวกมันออกมาทั้งหมดแล้ว— และสัมผัสแก้มของผมด้วยมือของเธอ
「ชั้นนี้มันเจ้านายที่โง่เง่าจริงๆ」
มือของคุณหนูนั้นทั้งเนียนนุ่มและอบอุ่น
「ชั้นเกือบจะฆ่านายไปแล้วด้วยคำสั่งโง่ๆนั่น」
ผมอยากจะปฏิเสธมัน คุณหนูนั้นทั้งฉลาด, กล้าหาญ และดูดีมากๆสำหรับเด็กอายุ 12 ปีแล้ว นอกจากนี้ ผมคงจะปฏิเสธไปแล้วถ้าผมไม่เห็นด้วยกับเรื่องคำสั่งน่ะนะ และการทำงานให้กับคุณหนูเองก็สนุกมากด้วยเหมือนกัน แต่ว่าผมเหนื่อยมากแล้ว รวมถึงความอบอุ่นจากมือที่กุมแก้มของผม—ผมจึงผลอยหลับไปที่ตรงนั้นเลย พร้อมกับคิดว่าเนตรเวทมนตร์ของคุณหนูคงจะควบคุมได้แล้ว
…ผมหลับไปโดยที่ไม่รู้เลยว่ามันมีเรื่องใหญ่อีกเรื่องเกิดขึ้นภายในเขตศักดิ์สิทธิ์ที่ 1 และพระราชวังศักดิ์สิทธิ์
บทที่ 2 ตอนที่ 44
「มันจะมาแล้ว!」
อูโรโบรอสเห็นกลุ่มคนที่มาใหม่ทั้งสามคนเป็นศัตรูด้วยเช่นกัน มันอ้าปากกว้างและพุ่งโจมตีใส่พวกเขา
「น็อน, มิมิโนะ, ถอยออกมา!」
「ค่ะ!」
「ได้เลย!」
น็อนซังกับมิมิโนะซังถอยไปข้างหลังเพื่อหลบการโจมตี ทว่าดันเต้ซังกลับก้าวไปข้างหน้าอูโรโบรอส ก่อนที่มันจะงับเขา ดันเต้ซังก็ก้าวถอยหลังทันที อูโรโบรอสที่กะระยะผิดพลาดจึงได้แต่งับไปยังความว่างเปล่า
ดันเต้ซังที่ถือคทาด้ามเหล็กหนาๆและลูกตุ้มโลหะคล้ายกับกลีบดอกไม้ที่ปลายหัวของมันเอาไว้ที่มือขวา บวกกับ【เวทย์ซัพพอร์ต】ของน็อนซังที่ช่วยเสริมความสามารถด้านกำลังของดันเต้ซังขึ้นไปหลายระดับ ซึ่งผมเองก็ไม่รู้ว่าเธอใช้ไปตอนไหนเหมือนกัน เขาได้ตวัดคทาลงไปที่ปลายจมูกของอูโรโบรอส ทำลายเกล็ดที่มีดสั้นของผมทำได้แค่รอยขีดข่วน หัวของงูโค้งงอแล้วกระแทกกับพื้น
《ก๊าซซซซซซซซ!!》
เลือดสาดกระเซ็นจากปลายจมูกของมันในขณะที่มันกลิ้งไปกลิ้งมา ชนเข้ากับบ้านเรือนบนถนน, สร้างความเสียหายให้กับกำแพง
ว้าว ดันเต้ซังเข้าสู่ระยะโจมตีของมอนสเตอร์โดยไม่ลังเลเลย ใช้มันเป็นตัวล่อก่อนจะโจมตีหนักๆ พลังของเขาที่เห็นได้ชัดจากการโจมตีนั้นชัดเจนเลยว่าแข็งแกร่งกว่าเมื่อ 4 ปีก่อน
ดันเต้ซัง แน่ใจนะว่าคุณอายุประมาณ 40 แล้วหน่ะ!? ทำไมถึงแข็งแกร่งกว่าเดิมละ!? ตามปกติ พลังกายจะต้องลดถอยลงตามอายุสิ!?
บางทีดันเต้ซังอาจจะรุบรู้ถึงอาการตกใจของผมก็ได้ เขาเลยยิ้มให้กับผม
「มันก็ 4 ปีแล้ว ข้ามั่นใจว่านายเองก็ต้องแข็งแกร่งขึ้นเหมือนกัน ใช่ไหม?」
「…ครับ」
ใช่แล้ว มันก็ผ่านมา 4 ปีแล้วสำหรับพวกเราทุกคน ผมเองก็เติบโตขึ้นแล้วเหมือนกัน
「ดันเต้ซัง ผมจะสร้างช่องว่างให้ ดังนั้นช่วยดึงความสนใจมันให้หน่อยนะครับ?」
「เชื่อมือได้เลย!」
เขาไม่ถามเลยว่าอะไรหรือทำไมเลย
ทำแค่พยักหน้าและรับมัน
เขาเชื่อใจผมสุดหัวใจเลย—ซึ่งทำให้ผมมีความสุขมาก
「มันเริ่มเคลื่อนไหวอีกแล้ว!」
อูโรโบรอสกำลังโกรธดันเต้ซัง 【World Ruler】ยืนยันว่ามีการรวบรวมมานาเกิดขึ้นที่ดวงตาของมัน
(ไม่ยอมปล่อยให้ลงมือก่อนหรอก!)
ผมรีบยิง【เวทย์ไฟ】ด้วยมือขวาของผมและเพิ่ม【เวทย์ลม】ด้วยมือซ้ายของผมทันที ถึงไฟจะไม่แรงพอที่จะทำดาเมจได้แต่มันก็มีขนาดใหญ่มาก อูโรโบรอสตกใจและดึงตัวถอยหลังไป
「…เรย์จิ ตอนนี้นายสามารถร่ายเวทมนตร์ 2 อันพร้อมกัน—」
「ผมเองก็จะร่วมสู้ด้วยครับ!」
ผมวิ่งไปที่อีกด้านของหัวอูโรโบรอส เนื่องจากมันมี 6 ตา มันจึงเห็นผมอย่างที่คิด ก้อนความมืดบินตรงมาทางผมด้วยความเร็วสูง มันเป็น【เวทย์ความมืด】ผมหลบไปรอบๆ ก้อนความมืดนั้นระเบิดออกเมื่อมันกระทบกับพื้น ส่งผลให้เกิดกลุ่มควันและฝุ่นบดบังทัศนวิสัย หัวอันใหญ่ของอูโรโบรอสได้พุ่งฝ่ากลุ่มควันเข้ามา
「กะแล้วว่าแกต้องเข้ามา!」
อูโรโบรอสนั้นเป็นสัตว์ยักษ์ แต่ในเวลาเดียวกัน มันเองก็มีสติปัญญาด้วย ทั้งกลัวไฟ, จดจำศัตรู, และใช้เวทมนตร์ได้ ด้วยทั้งหมดนั้น ผมมั่นใจเลยว่าอย่างน้อยมันก็สามารถใช้กลยุทธ์ได้แน่ๆ
(【เวทย์น้ำ】!)
ผมใช้มานาเกือบทั้งหมดเพื่อใช้งานเวทย์น้ำ【เวทย์น้ำ】นั้น ก็อย่างที่ชื่อของมันบอก มันเป็นเวทมนตร์ที่ใช้ควบคุมน้ำ—ในทางกลับกัน มันก็สามารถใช้ลดอุณหภูมิซึ่งเป็นด้านตรงข้ามของ【เวทย์ไฟ】ดูเหมือนบางคนจะเรียกมันว่า “เวทย์น้ำแข็ง” ด้วย แต่มันไม่มีหินสกิลที่ชื่อว่า “เวทย์น้ำแข็ง” นี่สิ
กำแพงน้ำแข็ง 3 ชั้นปรากฏขึ้นที่ด้านหน้าของผมในตอนที่ผมวางมือลงบนพื้น มานาถูกสูบออกไปจากร่างกายของผมอย่างรวดเร็ว
…ผมจะหยุดมันด้วยนี่แหล่ะ
ตามข้อมูลของ【World Ruler】, มันควรจะได้ผล สิ่งนี้จะใช้หยุดอูโรโบรอสได้
「อะ-เอาจริงดิ!?」
อูโรโบรอสนั้นยังเก็บไพ่ของมันเอาไว้อยู่ มันได้ใช้งาน【เวทย์ความมืด】เพื่อคลุมร่างอันใหญ่โตของมัน อูโรโบรอสได้ทำลายกำแพงน้ำแข็งชั้นแรกได้อย่างง่ายดาย, ทำลายกำแพงที่ 2 พร้อมกับความเร็วที่ลดลง, และชนเข้ากับกำแพงที่ 3 จนปรากฏรอยร้าวขึ้นแล้วพังทลายลงมาในเวลาไม่นาน
(ซวยแล้ว! มันกำลังจะชนผมตรงๆเลย!)
จังหวะที่ผมกำลังจะหลบออกมา เหยือกเล็กๆที่ทำจากกระเบื้องเคลือบสีเขียวได้ลอยมาทางนี่ มันแตกออกเมื่อชนเข้ากับกำแพงน้ำแข็งและมีแสงสีม่วงกระจายออกมา
「นั่นมันอะไรหน่ะ?」
และราวกับว่าผมกำลังดูวิดีโอย้อนกลับ กำแพงน้ำแข็ง 3 อันก็ได้ปรากฏขึ้นอีกครั้ง — ล้อมรอบอูโรโบรอส
《กุ๊, โก๊ะโก๊ะ, อาาา…》
เมื่อหัวของมันถูกล้อมรอบไปด้วยกำแพงน้ำแข็งราวกับปลอกคอ อูโรโบรอสก็ขยับไปไหนไม่ได้
「นุฟุฟุฟุฟุ เธอคิดยังไงบ้างละกับโพชั่นลับของชั้น “โพชั่นคัดลอก(Dupe Potion)” หน่ะ?」
มิมิโนะซังที่โยนเหยือกมาจากระยะไกลนั้นมีท่าทางภูมิใจอยู่บนใบหน้าของเธอพร้อมกับเท้าสะเอวไปด้วย สุดยอดไปเลย น่ารักมาก
มันเป็นไอเทมที่ใช้คัดลอกเวทมนตร์ที่ร่ายโจมตีออกไปงั้นหรอ? ผมไม่เห็นเคยได้ยินอะไรแบบนั้นมาก่อนเลย
「เรย์จิ… ดูเหมือนมันจะหยุดเคลื่อนไหวไปแล้วนะ」
「ครับ ผมไม่รู้ว่ามันจะใช้ได้ผลกับอูโรโบรอสไหม แต่สัตว์เลือดเย็นนั้นแพ้ต่อการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิในร่างกายครับ」
「หมายความว่าไงละนั่น?」ดันเต้ซังงุนงง
「อา คือ ไว้ผมจะอธิบายให้ฟังทีหลังแล้วกันครับ」
ผมเองก็ไม่รู้ว่าอูโรโบรอสจะเป็นสัตว์เลือดเย็นหรือเปล่า แต่ดูจากที่มันดูเหมือนกับงูแล้ว มันมีแนวโน้มที่จะสืบทอดลักษณะของงูมาด้วย ดังนั้นผมจึงคิดว่าจุดอ่อนของมันก็คืออุณหถูมิที่ต่ำๆ
「สำหรับตอนนี้ พวกเราควรจะควบคุมไม่ให้มัน–」
「อย่าพึ่งวางใจค่ะ! มันยังขยับได้อยู่!」
ผมตกใจกับเสียงตะโกนของน็อนซัง ผมประมาทไปเพราะหัวของมันที่อยู่ข้างหน้านี้นั้นหมดแรงจากความเย็น
อูโรโบรอสรีบยกลำตัวของมันขึ้นราวกับหอคอย ก่อนจะทุ่มมันลงมาที่พวกเรา
ดันเต้ซังปล่อยคทาของเขา แทรกตัวมาที่ด้านหน้าผม แล้วยกโล่ใหญ่ของเขาขึ้นด้วยสองมือ มีเสียงสะท้อนดังกึกก้องเหมือนกับมีรถชนกัน
「นุโอ้วววววววว!!」ดันเต้ซังคำราม
ลำตัวของมันพลิกไปด้านข้างและสะบัดไปทั่วพื้น พื้นดินสั่นไหวและเกิดกลุ่มควันขึ้น
「เรย์จิ! ปิดฉากเลย!」
「–ครับ!」
ผมกระโดดขึ้นไปบนหัวของอูโรโบรอสเรียบร้อยแล้ว มานาของผมใกล้จะหมดและสายตาก็ส่ายไปมาเล็กน้อย ผมกำดาบสั้นกลับหลังและยกมันสูงขึ้น
「พรจากพระเจ้า!」
น็อนซังร่าย【เวทย์ซัพพอร์ต】ให้กับผม เวทมนตร์ “ประเภทลึกลับ” อย่าง【เวทย์รักษา】กับ【เวทย์ซัพพอร์ต】นั้นจะได้ผลมากที่สุดก็เมื่อสัมผัสกับเป้าหมายโดยตรง และจะลดลงตามระยะทางที่เพิ่มขึ้นด้วย ผมประหลาดใจมากที่เวทมนตร์มาถึงตัวผมได้ ถึงแม้ผมกับน็อนซังจะห่างกันถึงประมาณ 15 เมตร
ราวกับผู้ส่งสารจากพระเจ้าได้ลงมาจากท้องฟ้า แสงสว่างจ้าได้สาดส่องลงมาจากฟากฟ้าโอบล้อมตัวผม เติมเต็มร่างกายของผมให้เต็มเปี่ยมไปด้วยพลัง
(ดูเหมือนจะมีเวทมนตร์ประเภทอื่นผสมอยู่ด้วย!)
ผมไม่เคยจะได้ยินมาก่อนเลยว่า【เวทย์ซัพพอร์ต】จะให้ผลอย่างนี้ ดูเหมือนน็อนซังเองก็เรียนรู้เทคนิคใหม่มาเหมือนกัน
「ฮ้า!!」
ผมปักดาบลงตรงกลางระหว่างดวงตาทั้ง 6 ของอูโรโบรอส ใบดาบหยุดลงเมื่อมันจมลงไปครึ่งหนึ่ง ดังนั้นผมจึงทุ่มแรงทั้งหมดที่มีดันดาบลงไปจนสุด
「ฮ้าาาาาาาาา!」
ขณะที่ดาบค่อยๆจมลงไป ถึงจุดหนึ่ง ผมก็ได้ยินเสียงของบางอย่างแตกออก ต่อมา ร่างกายของอูโรโบรอสก็แข็งค้างไปสักพัก ก่อนจะล้มลงอย่างหมดเรี่ยวแรงที่ตรงนั้นไป
「ฮ่าา…」
ผมกระโดดลงมาจากหัวของอูโรโบรอสและลงจอดที่ข้างๆดันเต้ซัง สีเกล็ดของงูยักษ์ได้จางลงไปอย่างรวดเร็ว ก่อนจะกลายเป็นขี้เถ้าล่องลอยไปในอากาศ
「เอ๊ะ มันกำลังหายไป?」
ของเหลวสีดำที่คลุมตัวของผมอยู่นั้นแห้งอย่างรวดเร็วและกลายเป็นสีขาว
「นั่นหมายความว่านายกำจัดมันได้แล้วสินะ?」
「บะ-บางทีนะครับ…」
ขนาด【World Ruler】ก็ยังรายงายว่าอูโรโบรอสนั้นไม่หลงเหลือชีวิตแล้วด้วยเช่นกัน
เมื่อมีสายลมพัดมา การพังทลายของมันก็ยิ่งเร็วขึ้น—กว่าครึ่งของอูโรโบรอสได้สลายหายไปแล้ว ในขณะที่พวกเรามองมันอย่างงุนงงอยู่
อย่างไรก็ตาม มีเพียงแค่โครงกระดูกสีดำเหลืออยู่ราวกับตัวอย่างฟอสซิล มันทอดยาวจากที่ที่พวกเรายืนอยู่ไปจนถึงเขตศักดิ์สิทธิ์ที่ 2 เหมือนกับรางรถไฟสีดำ
ดาบของผมยังคงติดอยู่ที่กระโหลกของอูโรโบรอส และตรงนั้นมีอัญมณีสีแดงที่ถูกผ่าครึ่งอยู่
พวกเราคงพูดได้ว่าตอนนี้ภัยอันตรายของเมืองศักดิ์สิทธิ์ได้หายไปแล้ว คิดว่านะ…
บทที่ 2 ตอนที่ 43
(ชิบหาย…)
บางอย่างที่ใหญ่และยาวจนน่าเหลือเชื่อถูกปล่อยออกมาจากเปลวเพลิงสีดำผ่านด้านข้างของผมไปพร้อมกับแรงลมมหาศาลราวกับรถไฟหัวกระสุน ผมถูกพลักกระเด็นด้วยแรงนั้นไปลงจอดห่างออกไปหลายเมตรเลย
…ยาว, ยาว, ยาว, ยาวเกินไปแล้ว!!! แถมยังออกมาเรื่อยๆเลยด้วย!
ลำตัวที่ยาวอย่างกับไม่รู้จบนั้นดูจะเป็นของงู ส่วนหัวนั้นไปไกลมากแล้ว และผิวของลำตัวก็อัดแน่นไปด้วยเกล็ดสีน้ำตาลดำที่ส่องแสงสีฟ้าออกมา ขนาดของลำตัวนั้นใหญ่พอๆกับรถไฟ แถมยังตลบอบอวนไปด้วยกลิ่นเหม็นไหม้
(อูโรโบรอส!)
งูที่กลืนกินหางของตนเอง สิ่งมีชีวิตในตำนานของหลายๆวัฒนธรรมบนโลกตั้งแต่อดีตกาล
สัญลักษณ์ที่แสดงถึง “ความตาย” และ “การกำเนิดใหม่”
อย่างไรก็ตาม ร่างของงูตัวนี้ยังคงปรากฏออกมาเรื่อยๆ และไม่มีทีท่าว่าจะหยุดลงเลยด้วย
ผมลุกขึ้นมาแล้วรีบพุ่งไปยังเปลวไฟสีดำที่ดูเหมือนจะทำงานเหมือนกับประตู ผมแทงมีดโปราณเข้าไปที่เปลวไฟด้วยด้วยมือของผม แสงสีฟ้าได้ระเบิดออกมาจากใบมีด และผมก็รู้สึกถึงรอยร้าวที่ใบมีดจากการสั่นสะเทือนตรงมือของผม
เอลซังบอกว่ามีดเล่มนี้สามารถใช้หยุดคนกลางได้ ยังมีอีกหลายอย่างที่ผมยังไม่รู้เลย แต่เจ้าอูโรโบรอสกับคนกลางนี้อาจจะไม่ได้มาจากโลกนี้แน่ๆ ผมจำเป็นต้องใช้หินที่ท่านเอิร์ลนำมาในการทำลายโดมนั่นเลย ดูเหมือนมันจะมีอะไรบางอย่างที่ป้องกันไม่ให้อาวุธธรรมดาใช้ได้ผล
มือของผมที่ถือมีดเอาไว้เริ่มร้อน มันเหมือนกับถูกไฟเผาเลย …มือขวาของผมทำงานหนักจริงๆเลยวันนี้
แต่ไม่นาน ในจังหวะตอนที่เปลวไฟสีดำหดตัวลงในทันทีนั้น มันก็ได้บีบลำตัวของอูโรโบรอส
『—เกี้ยยยยยยยย』
ผมได้ยินเสียงกรีดร้องมาจากที่ที่ไกลมากๆ
ไม่มีทาง… มันไปไกลขนาดนั้นแล้วหรอ!? เกือบจะถึงบล็อก 4, อาจจะบล็อก 5 ด้วยซ้ำ!
เปลวไฟสีดำบีบลำตัวของงูอย่างช้าๆ เมื่อมันมาถึงขนาดเท่ากับห่วงบาส มันก็ตัดลำตัวของงูออกในทันที ของเหลวสีดำสาดกระเซ็นไปทั่ว และถึงผมจะกระโดดถอยออกมาแล้ว ของเหลวสีดำก็ยังมาโดนตัวผมอยู่ดี กลิ่นมันอย่างกับปลาเน่าเลย
「นั่นมันบ้าอะไรกันหน่ะ!」อาเธอร์รีบวิ่งมาทางนี้พร้อมกับใบหน้าซีดเผือด
「อืม…–ผมจะอธิบายยังไงดีละ?」
「มีมอนสเตอร์อยู่ที่นี่งั้นหรอ!?」
「ใช่แล้วครับ มอนสเตอร์! โปรดอพยพทุกคนออกไปก่อนนะครับ!」
「ไม่มีใครเข้าใกล้ไอ้นั่นได้ตั้งแต่แรกแล้ว!」
「นั่นก็จริงครับ」ผมพูด ก่อนจะเริ่มออกวิ่ง
「จะไปไหนหน่ะ!?」
「ไปจัดการส่วนหัวครับ!」
ลำตัวของงูยังมีชีวิตอยู่ มองดูระยะทางแล้ว ร่างของมันได้ข้ามกำแพงของคฤหาสน์, เลื้อยไปตามอาคาร, และยังไปไกลกว่านั้นอีก มันคงจะเป็นหายนะแน่ถ้าเจ้านี้อาละวาดขึ้นมา
มันจะต้องถูกกำจัดให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
ไอ้สารเลวคนกลางดันทิ้งของขวัญจากลาห่วยๆนี้เอาไว้ซะได้!
「คุณหนู อยากจะให้ผมปกป้องทุกๆคนจริงๆหรอครับเนี้ย!?」
…ถ้ามันตัวใหญ่ขนาดนี้ละก็ ผมก็คงทำอะไรไม่ได้ถ้ามีเหยื่อเพิ่มมากขึ้นหรอก แต่ไม่ว่ายังไง ผมก็มั่นใจได้ว่าคุณหนูจะต้องหวังให้ผมทำให้ดีที่สุดเพื่อปกป้องทุกๆคนแน่ๆ
「แทนที่จะบอกว่าทำงานหนักเกินไป นี้มันเหมือนกับคำสาปไปแล้วชัดๆ!」
มีดในมือของผมนั้นไหม้เกรียมและเกือบจะพังแล้ว ผมเก็บมันเอาไว้ในกระเป๋าเสื้อก่อนจะวิ่งด้วยความเร็วสูงสุด ผมเพิ่ม【เวทย์ซัพพอร์ต】เข้าไปพร้อมๆกับสกิลเสริมกล้ามเนื้อจำนวนมาก และถ้าผมไม่ใช้【เวทย์รักษา】อย่างต่อเนื่องละก็ ร่างกายของผมได้พังแน่นอนเลย
ทางลัดที่จะไปยังหัวของมันได้ แน่นอนว่าต้องตามร่างของมันไป ผมวิ่งไปบนตัวของมัน ผมวิ่ง, วิ่ง, และก็วิ่งเข้าไป จนผมข้ามผ่าน “กำแพงที่ 3”, “กำแพงที่ 4”, และ “กำแพงที่ 5” บ้านบางหลังถูกทำลายไปครึ่งหนึ่ง ทว่าผมก็ไม่อาจเข้าไปช่วยผู้คนข้างในได้ในตอนนี้
「คุ… อย่างที่คิด…」
บล็อก 5 เป็นที่อยู่ของประชาชนทั่วไป อาคารบ้านเรือนนั้นมีความทนทานน้อยกว่าเขตขุนนางมาก แถมยังอัดแน่นกันเป็นกระจุกด้วย อูโรโบลอสตกลงที่กลางถนนที่ชุกชุมไปด้วยผู้คนและร่างของมันก็ทับบ้านหลากหลายหลัง
เสียงร้องดังมาจากทั่วทิศทาง ผู้คนต่างวิ่งหนีกรีดร้อง มันวุ่นวายไปหมด
และผมก็ได้เห็นหัวของอูโรโบรอสชัดๆเป็นครั้งแรก หัวของมันยกสูงเหนืออาคารทั้งหมดในบริเวณนี้, มีดวงตาสีแดง 6 ดวงและเขาขรุขระ 4 ข้าง, ผิวสีเดียวกับเกล็ด, ปากขนาดใหญ่ที่มีฟันอันแหลมคมมากมาย, ลิ้นที่ยาวเหยียดพร้อมกับเสียงฟ่อๆ
อูโรโบรอสจ้องมองไปยังผู้หญิงคนหนึ่งที่กอดลูกของเธอเอาไว้แน่นด้วยความกลัว เห็นได้ชัดเลยว่ามันเล็งเป้าไปที่เธอ
「—ไม่ยอมหรอก!」
ผมวิ่งข้ามตัวของอูโรโบรอสและกระโจนเข้าไป ด้วยแรงจากทั้งโมเมนตัมและ【ทักษะการเตะ】ของผมที่ถูกฝึกจนฝังแน่นเข้าไปในร่างกายของผม ผมได้ม้วนตัวเตะไปที่หลังหัวของอูโรโบรอส หัวนั้นแข็งมากๆ รู้สึกถึงกระดูกขาของผมที่แตกออกเลย ทว่าผมก็รีบรักษามันทันทีด้วย【เวทย์รักษา】
หัวของอูโรโบรอสพุ่งไปข้างหน้าจากแรงกระแทก มันได้ชนเข้ากับร้านผลไม้ริมทางไป 2 ร้าน
「ยืนไหวไหมครับ? รีบหนีไปจากที่นี่เถอะครับ」
「ฮี้!」
เมื่อผมเข้าไปใกล้ผู้หญิงกับเด็กคนนั้น พวกเขาก็มีท่าทีหวาดกลัวออกมา อา… อืม เสื้อผ้าของผมก็ขาดรุ่งริ่ง, เลือดไหล, และยิ่งไปกว่านั้นยังมีของเหลวสีดำจากอูโรโบรอสติดตัวผมไปครึ่งนึงเลยนี่นะ
(อา… ตอนที่ลาร์คช่วยผม ผมเองก็หวาดกลัวเหมือนกัน)
ผมนึกถึงความทรงจำอันขมขื่นเมื่อ 4 ปีที่แล้ว ถึงจะผ่านมา 4 ปีแล้ว แต่ผมก็ยังเสียใจอยู่ดี และยังรู้สึกน่าคิดถึงอีกด้วย
จากนั้นผู้หญิงคนนั้นก็วิ่งหนีไปไปพร้อมกับลูกของเธอ
「ทุกคน โปรดวิ่งหนีไปให้ไกลที่สุดเท่าที่จะทำได้ครับ! เจ้ามอนสเตอร์นี้มีลำตัวยาวจากเขตศักดิ์สิทธิ์ที่ 2 มาจนถึงตรงนี้เลย! พวกคุณต้องไปให้ไกลมาก, มาก, มากยิ่งกว่านี้ครับ!」
ผมเตือนผู้คนที่อยู่ใกล้ๆ ส่งผลให้พวกเขาเริ่มกรีดร้องและวิ่งหนีออกไป
อูโรโบรอสค่อยๆยกหัวของมันขึ้น และจ้องมองลงมาที่ผม ผมถูกนับว่าเป็นศัตรูโดยสมบูรณ์แล้วสินะ
「โอ้… ตอนนี้แกหันมาเล็งผมแล้วงั้นหรอ เข้าใจละ」
(…เอาละ ผมจะทำยังไงดี?)
มีอะไรที่ใช้ได้ผลกับศัตรูที่ตัวใหญ่ขนาดนี้มั้งนะ? ผมต้องการอาวุธ แต่ผมไม่สามารถออกไปเอามาได้นี่สิ
「เอ๊ะ?」
มีดาบสั้นลอยผ่านอากาศมาทางผม และผมก็คว้ามันเอาไว้ มองไปยังต้นทางของมัน มีเซอรี่ซังที่โบกมือให้กับผมจากเงาของอาคารอยู่
เยี่ยมไปเลย เซอรี่ซัง! มันจะดีกว่านี้ถ้าคุณหยุดเล่นพนันหลังจากนี้ด้วย! และทำความสะอาดห้องด้วย! และอาบน้ำด้วย! และอย่าดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไปด้วย! โอ๊ะ ไม่นะ มีแต่อะไรแย่ๆออกมาเต็มเลย!
(ดีนะเนี้ยที่ผมขอให้เซอรี่ซังระมัดระวังตัวเอาไว้)
อะไรก็อาจเกิดขึ้นได้ในงายพิธีมอบหินสกิลวันนี้ ดังนั้นผมจึงขอให้เธอเตรียมพร้อมเผื่อเอาไว้ ดังนั้นผมจึงคิดว่าเธอคงจะเอาอาวุธของผมออกมาเพราะเหตุวุ่นวายในครั้งนี้แน่ๆ
ผมเคยใช้ดาบเล่มนี้ทั้งในการฝึกและต่อสู้จริงมาแล้ว ดังนั้นมันจึงเหมาะมือผมเลย
(ที่เหลือก็… ผมจะไปได้ไกลแค่ไหนสินะ!)
ทันทีที่ผมได้รับดาบมา อูโรโบรอสก็ได้พุ่งหัวของมันเข้ามาทางผม
…เร็ว!
ถึงจะมีขนาดที่ใหญ่โตมโหฬาร มันก็มาถึงตรงหน้าของผมทันทีที่ผมรู้ตัวแล้ว!
ผมกลิ้งไปด้านข้างเพื่อหลบการโจมตี ก่อนจะฟันมันด้วยดาบสั้น
…ตื้นเกินไป แข็งชะมัด
「หว่า!?」
หัวของมันผ่านตัวผม ดังนั้นผมจึงประมาทไป มันได้กลิ้งตัวของมันมากระแทกกับผม ตัวผมจึงถูกส่งลอยขึ้นไปในอากาศและกระแทกลงกับพื้น
「โอ้ยยยยย…」
ผมสามารถลดแรงกระแทกได้เพราะผมกระโดดถอยหลังในจังหวะสุดท้าย ทว่ามันก็ยังเจ็บอยู่ดี
…ลำบากแล้วสิ ผมไม่เคยสู้กับงูตัวขนาดนี้มาก่อนเลย ดังนั้นผมจึงไม่สามารถคาดการณ์การเคลื่อนไหวของมันได้
อย่างไรก็ตาม ถ้าผมใช้เวลามากไปละก็ งูนั่นจะทำลายอาคารรอบๆเอาได้ มันใหญ่ขนาดที่สามารถทำลายบ้านหลังสองหลังได้ง่ายๆเพียงแค่กลิ้งทับเลยด้วย
ผมจะต้องตั้งเป้าเป็นการต่อสู้ชี้ขาดระยะสั้น
(แต่ผมจะทำยังไงดีละ? ผมจะเอามันลงด้วยตัวคนเดียวได้หรอ? ถ้าผมโจมตีมันด้วยทุกอย่างที่มี อาวุธของผมได้พังก่อนแน่ แต่ถ้าผมออมมือละก็ ผมก็ไม่สามารถทำความเสียหายร้ายแรงได้เลย)
ถ้ายังงั้น ผมคงไม่มีทางเลือกนอกจากเสียสระอาวุธของตัวเองโดยการโจมตีเพียงครั้งเดียวแล้ว
(ถ้าผมมีโอกาสสักครั้ง มากสุดสองครั้งละก็)
ความตึงเครียดวิ่งผ่านร่างกายของผม
(ผมจะต้องสร้างโอกาสให้ได้ แต่ผมเองก็ไม่แน่ใจว่ามานาที่เหลืออยู่จะพอไหม แถมมันยังยากที่จะสร้างโอกาสแบบนั้นด้วยตัวคนเดียวด้วย… มีอะไรอีกบ้างที่ผมทำได้มั้งนะ?)
ในจังหวะนั้นเอง ผมก็ได้ยินเสียงเท้า
หูของผมสามารถรับรู้เสียงเล็กๆได้ด้วย【เสริมการได้ยิน】ยิ่งไปกว่านั้น เพราะผมมี【World Ruler】ผมจึงไม่มีทางลืมอะไรที่ผมจดจำลงไปในสมองแล้วได้
มีคน 3 คนกำลังตรงมาทางผม เสียงฝีเท้าของคน 3 คนที่ผมรู้จัก—ไม่สิ ถ้าจะให้เจาะจงละก็ พวกมันต่างออกไปนิดหน่อยจากความทรงจำของผม เพราะเสียงสามารถเปลี่ยนไปได้ถ้าเดินบนพื้นผิวที่ต่างกันรวมถึงรองเท้าที่ใส่ด้วย แต่ถึงอย่างไร ผมก็จำพวกมันได้
…และยิ่งไปกว่านั้น มันก็ 4 ปีมาแล้วนี่นะ
「…ข้าได้ยินว่ามีมอนสเตอร์ยักษ์ปรากฏตัวออกมาก็เลยมาที่นี่ แต่ไม่คิดเลยว่าพวกเราจะมาพบกันอีกครั้งในที่แบบนี้」
นักผจญภัยที่ถือคทา(mace)หนักๆและโล่ใหญ๋ที่ใหญ่เท่ากับตัวเขา เขาก็คือ ดันเต้ซัง ผู้มีชื่อเล่นว่า “โล่ใหญ่สีเงิน”
「ชั้นมีความรู้สึกว่าพวกเราจะได้พบกันในเมืองนี้ ต้องขอบคุณพระเจ้าที่ชี้นำ」
คนที่เติบโตเป็นหญิงสาวเต็มตัวแล้ว – แถมหน้าอกคู่นั้นก็ยังใหญ่ขึ้นไปอีกเช่นกัน – ก็คือแม่ชี น็อนซัง
「…นั่นเธอจริงๆหรอ เรย์จิคุง?」
และก็คนที่สาม
「ครับ ผมเอง」
เธอไม่ได้เปลี่ยนไปเลยจากเมื่อ 4 ปีที่แล้ว เนื่องจากเธอยังคงสูงเท่าเดิม ตัวผมจึงสูงกว่าเธอไปแล้ว ใบหน้าของเธอแสดงออกราวกับกำลังจะร้องไห้ ทว่าเธอควบคุมตัวเองเอาไว้ไม่ให้ร้องออกมา
「ชั้นมีอะไรมากมายเลยที่อยากจะพูดกับเธอ!」
「ผมรู้」
「แต่พวกเราต้องจัดการกับเจ้านั่นก่อนสินะ หา?」
「ครับ ผมจะยินดีมากเลยถ้าได้รับการสนับสนุนครับ」
「ถ้าเธอว่ายังงั้นละก็ งั้นก็ช่วยไม่ได้ละนะ เรย์จิคุง!」
มิมิโนะซังก็ยังคงเป็นมิมิโนะซังคนเดิมเมื่อ 4 ปีที่แล้วเลย
…ตอนนี้ ผมไม่รู้สึกว่าจะแพ้อูโรโบรอสเลยแม้แต่นิดเดียว
==================================================
TL: ไม่ค้างเนอะ 🙂
บทที่ 2 ตอนที่ 42
ก้อนพลังงานสีดำดูจะระเบิดไปแล้ว ทว่ามันยังคงเหลืออยู่ มันอยู่ไกลเกินกว่าที่【World Ruler】จะให้ข้อมูล แต่จะปล่อยมันเอาไว้ไม่ได้
มือขวาของผมมีเลือดไหลออกมาเพราะเศษชิ้นส่อนของหินที่แตก ดังนั้นผมจึงใช้【สะดวกสะบาย】เพื่อสร้างน้ำขึ้นมาล้างมันออก ก่อนจะรักษาแผลด้วย【เวทย์รักษา】หินนั้นแตกไปแล้ว แต่… หวังว่าท่านเอิร์ลจะไม่ต่อว่าผมมากเกินไปละนะ
「ฝ่าบาทครับ ท่านเอิร์ลชายแดนครับ โปรดอยู่ที่นี่นะครับ」
「เจ้าจะไปงั้นรึ?」
「ครับ」
「เจ้าควรจะปล่อยให้ภาคีอัศวินรับช่วงต่อนะ」
「…คือ คุณหนูได้สั่งให้ผมปกป้องทุกคนเอาไว้นะครับ」
ผมไม่รู้ว่าคำตอบของผมมันถูกหรือเปล่า แต่มุมปากของราชันศักดิ์สิทธิ์ก็ได้ยกขึ้น จนออกมาเป็นรอยยิ้มที่ดุร้าย
「เอานี้ไป」
ราชันศักดิ์สิทธิ์โยนมีดสั้นที่เอลมอบให้เขามาให้ มันเป็นมีดที่ใบมีดโค้งด้านเดียว ใบมีดนั้นทื่อ แต่มันคงจะถูกใช้แค่ในงานพิธีเท่านั้น ตามข้อมูลของ【World Ruler】มีดนี้ดูจะเก่าแก่มากๆเลยด้วย ดูเหมือนของโบราณเลย
「งั้นผมขอตัวนะครับ」
ราชันศักดิ์สิทธิ์พยักหน้าให้ และเอิร์ลชายแดนก็ยกมือของเขาขึ้นเช่นกัน ผมมองไปที่ศพของหลุยส์สักพักก่อนจะเริ่มออกวิ่งไป ในทางกลับกัน เหล่าภาคีอัศวินก็ได้ตรงเข้าไปหาราชันศักดิ์สิทธิ์
(ไม่คิดเลยว่าเด็กคนนั้นจะมาตายแบบนี้…)
ผมเคยเจอหลุยส์อยู่หลายครั้งในตอนที่ผมคุ้มกันคุณหนูที่งานเลี้ยงน้ำชา เนื่องจากผมอยู่กับคุณหนูตลอดเวลา เขาจึงมีสีหน้าเต็มไปด้วยความอิจฉาทุกครั้งที่เขาเห็นผมเลย เขาเป็นแค่เด็กผู้ชายธรรมดาๆคนนึงเท่านั้นเอง
(เขาไม่ควรจะมาตายแบบนี้)
ผมกำมีดในมือเอาไว้แน่น
…ผมจะทำลายไอ้ก้อนสีดำนั้นไม่ให้เหลือซากเลย!
* ราชันศักดิ์สิทธิ์ *
เหล่าอัศวินต่างวิ่งเข้ามาหาราชันศักดิ์สิทธิ์ด้วยความเป็นห่วง ทว่าราชันศักดิ์สิทธิ์ก็ทำเพียงแค่โบกมือไล่พวกเขาไปด้วยความรำคาญเท่านั้น จากนั้นเขาก็หันไปทางเพื่อนร่วมสาบานที่ยืนอยู่ถัดจากเขาไป
「…เอิร์ลชายแดน เจ้าคิดว่าไง?」
ชุดของเอิร์ลชายแดนมิลล์นั้นทั้งขาดวิ่นตรงนั้นตรงนี้ และโชกไปด้วยเลือดที่เกิดจากการโจมตีที่เขาหลบไม่ได้
「เด็กนั่นโจมตีใส่ไอ้นั่นที่ถูกยิงออกมาด้วยความเร็วระดับนั้นเลย」
「ใช่」
「ท่านทำแบบนั้นได้ไหม ฝ่าบาท?」
「แน่นอนว่าไม่」
ทั้งสองคนแทบจะตามการโจมตีด้วยตาของเขาไม่ทัน ดังนั้นการจะโจมตีมันในขณะมันเคลื่อนที่ด้วยความเร็วระดับนั้น เอาตามตรง เป็นไปไม่ได้เลย
「ฮึมม… ข้าจะเอาเขามาเป็นคู่แต่งงานของมิร่าลูกสาวข้าได้ไหมนะ?」
「ว่าไงนะ!? เจ้าวางแผนที่จะเอาเขาไปที่ดินแดนของเจ้างั้นรึ!?」
「ยังไงซะที่ดินแดนของข้า ต่อให้มีคนมากความสามารถมากมายแค่ไหนก็ไม่พอหรอกนะ」
「ถ้ายังงั้น เขาก็ควรจะอยู่ที่เมืองศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ ยังไงซะที่นี่ก็เป็นเมืองหลวงของราชอาณาจักรศักดิ์สิทธิ์อยู่แล้ว」
「เข้าใจแล้ว ถ้าเรื่องที่ [ทักษะดาบศักดิ์สิทธิ์] สูญหายไปแล้วรั่วไหลออกไป พวกที่พยายามจะหาประโยชน์ก็จะเริ่มโพล่ออกมาสินะ」
ราชันศักดิ์สิทธิ์เริ่มเอามือขวานวดขมับของตัวเอง
「…อย่าพูดแบบนั้นสิ บ้าเอ้ย ปวดหัวขึ้นมาทันทีเลย」
เห็นท่าทางของราชันศักดิ์สิทธิ์แบบนั้น เอิร์ลชายแดนก็ได้หัวเราะออกมา
「นี้ไม่ใช่เรื่องน่าตลกนะ ถ้าประเทศตกอยู่ในความวุ่นวายแล้วละก็ ดินแดนของเจ้าเองก็จะโดนหางเลขไปด้วยเหมือนกันนะ」
「ใช่ แต่มันไม่ได้ทำให้ข้าปวดหัวซะหน่อย」
「อ่าห์?」
「ดูนั่นสิ」
เอิร์ลชายแดนชี้ไปยังเหล่าขุนนางที่อพยพออกไปจากพื้นที่วิหารและเหล่าเด็กๆขุนนางที่เป็นเจ้าภาพในงานพิธีวันนี้
เด็กที่กอดพ่อแม่ของตน, เด็กที่ร้องไห้ออกมา, และเอิร์ลซิวลิซส์ ผู้ว่าจ้างของเรย์จิ ที่กำลังพูดคุยกับลูกสาวของเขาเกี่ยวกับเรื่องบางอย่าง—แต่แน่นอนว่า ต่อให้เป็นราชันศักดิ์สิทธิ์ก็คิดไม่ถึงหรอกว่าเขากำลังให้หินสกิล【ควบคุมมานา】กับเธอ
ที่สำคัญยิ่งไปกว่านั้น ราชันศักดิ์สิทธิ์ได้เห็นคลูฟชราทกับมิร่ากำลังตรงมาทางพวกเขาด้วย
「เด็กๆดูจะออกไปกันได้อย่างปลอดภัยนะ」
「…อืม นั่นสินะ」ราชันศักดิ์สิทธิ์ถอนหายใจ「เอิร์ลชายแดน」เขากล่าว
「อืม」
「…ถ้าข้าสูญเสียตัวตนไปอีกครั้งละก็ พาข้ากลับมายังทางที่ถูกต้อง ต่อให้เจ้าต้องอัดข้าลอยขึ้นฟ้าไปก็ตาม」
เอิร์ลชายแดนนั้นตัวใหญ่เท่ากับหมี ทว่าเมื่อเขาได้ยินราชันศักดิ์สิทธิ์พูดแบบนั้น เขาก็ยิ้มออกมาราวกับเด็กๆเลย
「ข้าจะอัดท่านด้วยทุกอย่างที่ข้ามีเลย ดังนั้นเตรียมใจเอาไว้ด้วยละ เกรนจิโด้」
แล้วทั้งสองคนก็กระแทกกำปั้นกัน
* *
ผมพุ่งออกจากพระราชวังศักดิ์สิทธิ์แล้วเข้าไปยังเขตศักดิ์สิทธิ์ที่ 1 เหล่าเจ้าหน้าที่ต่างๆออกมารวมตัวกันรอบๆสถานที่ที่ถูกทำลายจากพลังงานสีดำนั่น เมื่อตามล่องรอยความเสียหายไป ผมก็ได้มาถึง “กำแพงที่ 2”
「นี้มัน…!」
กำแพงได้ถล่มลงไปหลายสิบเมตร ตัวคฤหาสน์ของขุนนางตระกูลๆหนึ่งถูกทำลายย่อยยับ, ส่วนที่พักอาศัยถูกทำลายบางส่วน, และซากประหลักหักพังกระจัดกระจายอยู่ทั่วสวนอันกว้างขวาง
วิสัยทัศน์ย่ำแย่เพราะฝุ่นควัน ผมได้ยินเสียงร้องขอความช่วยเหลือดังออกมา
(…บ้าเอ้ย!)
ในตอนนั้น ผมดีใจที่สามารถเปลี่ยนทิศทางของก้อนพลังงานนั้นได้ แต่ผลลัพธ์ที่ได้นั้น บางคนที่อยู่ตรงนี้ต้องมาบาดเจ็บหรือบางทีอาจถึงตายเลยก็มี เมื่อผมคิดแบบนั้น ความรู้สึกผิดก็ได้กัดกินจิตใจของผม
「นะ-นี้มันอะไรกัน?」
เสียงอันคุ้นเคยดังขึ้นที่ด้านหลัง
「นายคือคนทำความสะอาดใช่ไหม?」
กัปตันอาเธอร์จากภาคีอัศวินที่ 2 ได้ยืนอยู่ตรงนั้น
「คุณมาได้จังหวะพอดีเลย ดูเหมือนว่าคฤหาสน์หลังจะถล่มลงมาและมีบางคนได้รับบาดเจ็บด้วย ดังนั้นพวกเราเลยต้องการอัศวินมาช่วยพวกเขาครับ!」
「ว่าไงนะ!? นั่นมันคฤหาสน์ของตระกูลริเวียร์นี้!」
ตระกูลริเวียร์ หนึ่งใน 6 ดยุคผู้ยิ่งใหญ่
「พวกเจ้าได้ยินแล้วนะ? พวกเราจะทำการปฏิบัติการช่วยเหลือกัน!」อาเธอร์ตะโกนออกมา
ผมรู้สึกยินดีมากเลย กำลังคนเป็นสิ่งสำคัญในกรณีแบบนี้
จู่ๆ ผมก็นึกขึ้นมาได้ว่ากัปตันอาเธอร์เป็นคนคุ้มกันของหลุยส์ แต่ผมก็ไม่ได้พูดอะไรออกไป มันเป็นสิ่งที่ผมไม่สมควรพูดในตอนนี้
ในระหว่างนั้น ผมก็ตรงไปยังก้อนพลังงานสีดำที่ผมยังคงรู้สึกถึงมันได้—ที่ใจกลางของสวนอันกว้างขวาง
สนามหญ้าที่ได้รับการดูแลอย่างดีแห่งนี้นั้นทั้งกว้างใหญ่และเต็มไปด้วยพืชพรรณต่างๆ อย่างไรก็ตาม ในตอนนี้มันกลับถูกปกคลุมไปด้วยตะกอนและซากปรักหักพังไปซะแล้ว และผมก็พบก้อนพลังงานสีดำอยู่ตรงกลางของสวนนี้
(…ความรู้สึกไม่ดีนี้มันอะไรกันเนี้ย)
พลังงานสีดำเหมือนกับเปลวไฟนั้นตั้งตระหง่านอยู่ มันสูงกว่าผมซะอีก มันสูงประมาณ 3 เมตรและกว้าง 2 เมตร
เมื่อผมกำมีดเก่าๆ—ผมก็เห็นเงาขนาดใหญ่เคลื่อนไหวอยู่ในเปลวไฟนั้น
==================================================
TL: ขออภัยที่หายไปนานครับ ติดงานมหาลัยกับเข้าสู่ช่วงสอบแล้วครับ
บทที่ 2 ตอนที่ 41
สมองของผมไม่อาจประมวลผลข้อมูลที่ได้ยินเมื่อกี้ได้เลย
「ไม่สมเหตุสมผลสำหรับข้าเลยสักนิด แต่ยังไงก็เถอะ พวกเราจะเอายังไงกันดีละ?」
เช่นเดียวกับผม เอิร์ลชายแดนก็ดูจะไม่เข้าใจเหมือนกัน ทว่า เขายังทำให้บทสนทนาคืบหน้าต่อไปได้อยู่
…เขาพูดถูก พวกเราจะมามัวเสียเวลาคิดเรื่องนั้นไม่ได้
「การยกเลิกพันธสัญญายังไม่เสร็จสมบูรณ์ขอรับ, เออ, งั้น, ฝังคนกลางตนนั้นให้เร็วที่สุดคือสิ่งที่สำคัญที่สุดขอรับ」เอลพูด
「ท่านเอิร์ลชายแดนครับ! มันกำลังลุกขึ้นมาครับ!」
ผมเห็นคนกลางกำลังยืนขึ้นมาในความมืด
「งั้น เราก็แค่ต้องบดขยี้มันให้ระเอียดงั้นสินะ」
「เออ, ขอรับ」
「เอาละ เจ้าหนู มาร่วมมือกัน」
ผมพยักหน้าตอบรับ นั้นเป็นเป้าหมายของผมมาตั้งแต่แรกแล้วละ
「แล้วก็อีกอย่างนึง…」เอิร์ลชายแดนมองไปที่ข้างหลังของเขา
เขากำลังมองไปที่ราชันศักดิ์สิทธิ์ที่ยังคงซังกะตายอยู่
「ตื่นได้แล้ว เกรนจิโด้(Grenjido)!!!!!!」
เสียงดังลั่นจนถึงขนาดสร้างคลื่นไปกระทบกับราชันศักดิ์สิทธิ์เลย
「อย่าล้มลงไปง่ายๆเพียงแค่ทำผิดพลาดครั้งสองครั้งสิ!! นายเป็นถึงจุดสูงสุดของประเทศนี้เลยนะ!!!!」
มันดังขนาดที่ผมต้องอุดหูตัวเองเลย ทว่าสำหรับราชันศักดิ์สิทธิ์นั้น—แสงสว่างได้หวนคืนสู่ดวงตาของเขาแล้ว
「ข้าคือ… ของประเทศนี้…」
น้ำตาหยดหนึ่งไหลลงมาที่แก้มของเขา ราชันศักดิ์สิทธิ์เช็ดตาของตัวเองด้วยกำปั้นของเขา
「อย่ามาเรียกชื่อเก่าของข้าสิ…」
「…เพราะดูเหมือนนายจะลืมเลือนวันเก่าๆไปไง」
…เกรนจิโด้เป็นชื่อเก่าของราชันศักดิ์สิทธิ์งั้นหรอ? เพราะชื่อของราชันศักดิ์สิทธิ์จะหายไปหลังจากที่เขาได้ขึ้นครองบัลลังก์ นั่นหมายความว่าเอิร์ลชายแดนเป็นเพื่อนกับราชันศักดิ์สิทธิ์มาตั้งแต่เมื่อก่อนแล้วสินะ
「ข้าคือราชันศักดิ์สิทธิ์」
「ใช่ นายคือราชันศักดิ์สิทธิ์」
「ข้าจะชี้นำประเทศนี้」
「ใช่ นายคือผู้นำประเทศนี้」
ผมอาจจะเข้าใจผิดเกี่ยวกับชายที่มีสมญานามราชันศักดิ์สิทธิ์คนนี้มาตลอดจนถึงตอนนี้เลยก็ได้
เขาเป็นคนใจดี เข้ากับคนอื่นง่าย แถมยังรักเจ้าชายคลูฟชราทด้วย ผมเอาแต่มองด้านที่เป็น “พ่อที่ดี” ของเขา แต่ แล้วอีกด้านละ ด้านที่เป็น “ราชันศักดิ์สิทธิ์” ของเขาละ?
「–เอล พวกเราจะฆ่าเจ้าสัตว์ประหลาดนั้นได้ยังไง?」
ถ้าคนกลางคือความมืดอันบริสุทธิ์ งั้นบรรยากาศรอบๆตัวราชันศักดิ์สิทธิ์–ความกระหายเลือดที่อยู่รอบๆตัวเขา ก็คือความมืดที่เกิดจากความผิดบาปของมนุษย์, ความเต็มใจจะทำบาปใดๆก็ตาม, ความเย่อหยิ่งของพระมหากษัตริย์, อำนาจสูงสุดอันเปื้อนเลือดที่พร้อมจะทำลายทุกสิ่งทุกอย่างที่ขวางทางมันเอาไว้
ผมถูกกดดันจากอารมณ์อันดำมืดที่ปะทุขึ้นจากบรรยากาศของราชันศักดิ์สิทธิ์
「ด้วยสิ่งนี้ขอรับ」เอลแสดงมีดสั้นเก่าๆขึ้นมา「แทงมันไปที่ร่างของคนกลางขอรับ」
「เข้าใจแล้ว… ไปกันเถอะเอิร์ลชายแดน และเจ้าก็ด้วย เจ้าหนู」
ดูเหมือนผมเองก็จะถูกนับรวมด้วยสินะ
「ข้าจะทำให้เจ้าสัตว์ประหลาดนั่นต้องเสียใจที่มาหยามกับประเทศนี้」
การคืนชีพขึ้นมาอีกครั้งของราชันศักดิ์สิทธิ์นั้นรุณแรงมาก เขาลดระยะห่างกับคนกลางด้วยไม่รีรอใดๆเลย และแทนที่จะใช้มีด เขากลับปล่อยหมัดออกไปเป็นจำนวนมาก คนกลางนั้นกังวลเกี่ยวกับมีดนั่นอย่างชัดเจน ดังนั้นมันจึงตัดสินใจรับหมัดพวกนั้นตรงๆแทน
จากนั้น ราชันศักดิ์สิทธิ์ก็ได้หยิบคฑาทองคำที่อยู่บนพื้นขึ้นมาเหวี่ยงด้วยมือเดียวราวกับไม้เบสบอลเลย คฑาโดนเข้าใส่สีข้างด้านขวาของคนกลางจนร่างกายงอเป็นรูปตัว “V” แล้วส่งมันลอยออกไป
「นูวอาาา!」คนกลางกรีดร้องออกมา
ขณะที่คนกลางตกลงมาบนพื้น แขนจำนวนมากก็ได้งอกออกมาจากร่างของมันและเข้าเล่นงานราชันศักดิ์สิทธิ์ ทว่า ถึงรูปร่างของเขาจะเป็นแบบนั้น แต่ราชันศักดิ์สิทธิ์ก็หลบทุกการโจมตีได้อย่างว่องไวเลย การโจมตีหลายอันกระทบกับพื้นจนเป็นรู
「ภาคีอัศวิน! พวกเจ้าไม่ต้องเข้ามาช่วย! ไปช่วยอพยพเหล่าขุนนางซะ!」เอิร์ลชายแดนออกคำสั่ง
「ตะ-แต่ว่า…」
「แค่ทำตามคำสั่งซะ เจ้าพวกโง่!!」
การเคลื่อนไหวของภาคีอัศวินนั้นหย่อนยาน หน่วยที่ 1 นั้นควรจะมีความสามารถ ทว่าพวกเขาอาจจะได้รับผลกระทบจากการตายของกัปตันอัศวินก็ได้ จะยังไงก็ตาม ดูเหมือนหน่วยทหารระดับสูงสุดของประเทศก็ไม่อาจตามจุดสูงสุดของประเทศที่แท้จริงอย่างราชันศักดิ์สิทธิ์ได้ทันเลย
「เอิร์ลชายแดน! เจ้าจะเอาแต่ยืนกินลมชมวิวอยู่ตรงนั้นหรือไง!?」
「หา แค่ปล่อยให้นายวอมมือก่อนเท่านั้นเองหน่า!」
เอิร์ลชายแดนเข้าร่วมการต่อสู้ด้วยจากคำยุยงของราชันศักดิ์สิทธิ์
「โอ้ร่าาาาาาาาาห์!!」
「ฟุฮ้าาาาาาาาาห์!!」
ยักษ์สองคนคำรามออกมา ว้าว… ผมเกือบจะรู้สึกสงสารคนกลางที่ถูกกระทืบจากยักษ์สองตนเลย ผมคิดว่าสองคนนั้นน่าจะสามารถล้มมังกรได้เลยด้วยซ้ำ
「มันจะสวนกลับมาแล้ว!!」
ราชันศักดิ์สิทธิ์กับเอิร์ลชายแดนรีบทิ้งระยะห่างจากคนกลางทันที ทันทีหลังจากนั้น หนามสีดำจำนวนนับไม่ถ้วนราวกับหอยเม่นได้ปรากฏขึ้นในความมืดพร้อมกับเสียงหึ่ง
「เหล่าผู้อ่อนแอ, โลกที่แสนน่ารังเกียจ… อย่าได้ใจให้มันมากนัก!」
หนามพวกนั้นถูกยิงออกมาทั่วทิศทาง ราชันศักดิ์สิทธิ์ควงคฑาของเขาเพื่อเป่ามันออกไป ส่วนเอิร์ลชายแดนนั้นได้ตัดอันที่ตรงมาทางเขาด้วยดาบล้ำค่า ผมกระโดดไปที่ด้านหน้าของเหล่าขุนนางที่ยังไม่ได้อพยพออกไปแล้วเปลี่ยนทิศทางของหยามด้วย【เวทย์ลม】
ผมกวาดสายตามองรอบๆเพียงแวบเดียว ดูเหมือนว่าท่านเอิร์ลซิวลิซส์จะพาตัวคุณหนูออกไปแล้วสินะ
「พันธสัญญาได้ถูกยกเลิกแล้ว พวกเจ้าไม่อาจหวนกลับได้!!」
「ไม่ มันยังไม่ถูกยกเลิก… ก่อนที่แกจะประกาศยกเลิกสำเร็จ เจ้าหนูนั่นก็ได้สร้างรูขึ้นมา พวกเราอยู่ที่โลกของพวกเราแล้วตอนนี้ “จุดกึ่งกลาง” ระหว่างอีกโลกนึงได้หายไปแล้ว」
「ุนุ นุนุ นุนุนุ…!!」
「และแกก็ได้เสีย “ข้อห้ามในพันธสัญญา” ไปแล้ว จนเจ็บปวดจากการโจมตีของพวกข้าด้วย」
「ุนุนุวว…!!」
「กลับไปยังโลกของพวกแกซะ!!」
จังหวะที่ราชันศักดิ์สิทธิ์ลดระยะห่างแล้วตวัดคฑาของเขานั้น–
「ุอย่าดูถูกพันธสัญญาให้มากนัก」
คนกลางได้จับไปที่คฑาด้วยสองมือ สีทองของคฑาเริ่มสึกกร่อนกลายเป็นสีดำ
「ราชันศักดิ์สิทธิ์!! โปรดระวังตัวด้วย!! ดูเหมือนมันจะยังมีบางอย่างซ่อนอยู่!」เอิร์ลชายแดนตะโกนเตือน
「ไม่เป็นไร เดี๋ยวมันก็จบแล้ว!!」
เมื่อผมคิดว่าจนมุมแล้ว ราชันศักดิ์สิทธิ์ก็ได้ปลีกตัวออกไปด้านข้างแล้วแทงมีดเข้าไปที่อกของคนกลาง
「ตายซะ!」
มีดฉายแสงแวววาบและตัดผ่านความมืดของคนกลาง
บรรยากาศและพื้นดินสั่นไหว
ผมคิดว่าพวกเราเอาชนะมันได้แล้ว ทว่า【World Ruler】ได้ร้องเตือนออกมาว่ามันแตกต่างไปจากที่เห็น
「ฝ่าบาท โปรดถอยออกมาครับ!」ผมตะโกนออกไป
「อา? หมอนี้ตายไปแล้ว—」
「ถอยออกมาครับ!!」
ผมใช้งาน【ทักษะการวิ่ง】และพุ่งชนราชันศักดิ์สิทธิ์ จนพวกเราทั้งคู่กลิ้งออกมาจากคนกลาง
「จะ-เจ้าต้องกล้าพอตัวที่จะชนข้าแบบนี้นะ เจ้าหนู!!!」
「หมอบลง!!」
ผมจับหัวของราชันศักดิ์สิทธิ์แล้วกดลงกับพื้น
「ความมืด, เปิดประตู, แสงสว่าง, เปิดทาง」
ราวกับไม่สามารถทนต่อความสว่างของแสงได้ ร่างของคนกลางได้สลายกลายเป็นชิ้นเล็กๆก่อนจะหายไปในอากาศเหมือนกับกระดาษที่ถูกเผาไหม้ ทว่าในเวลาเดียวกัน ได้มีมวลสีดำที่เหมือนกับไฟบอลหมุนวนไปรอบๆตัวของมันด้วย มวลนั่นหมุนไปมาด้วยความเร็วสูงราวกับว่าพร้อมที่จะยินออกมาได้ทุกเมื่อ
「อ้า–」
【World Ruler】วิเคราะห์ได้ว่ามวลพวกนั้นกำลังเล็งไปที่เหล่าขุนนางที่ภาคีอัศวินกำลังนำทางออกไปจากโดมอยู่
ไม่ใช่แค่ภาคีอัศวินเท่านั้น แต่เหล่าคนคุ้มกันที่มาสายก็ด้วย พวกเขาไปรวมตัวกันอยู่ที่ทางออกของโดมนี้
(มิมิโนะซัง—)
ผมจำมิมิโนะซังผิดกับคนอื่นไปแวบนึง
เลเลนอร์ซังที่กำลังเข้าช่วยเหลือในการอพยพอยู่ ถ้ามวลนั่นโดนใส่พวกเขาเต็มๆละ? ตามที่【World Ruler】บอกเอาไว้ มวลนั่นคือมวลพลังงานสูงที่อีดแน่นเต็มที่ โดดจังๆอาจทำให้ร่างกายมนุษย์เหลือแต่ฝุ่นได้เลย
ผมเริ่มออกวิ่งตรงไปยังมวลสีดำนั่นอย่างทุลักทุเล
มวลสีดำนั่นจะถูกยิงแล้ว–
—ปกป้องทุกๆคน
นั่นคือคำสั่งของคุณหนู
ช่างระลึกได้ถูกเวลาจริงๆ!!
「โอ้วววววว!!」
ความเร็วของผมยังไม่พอ ผมใช้งาน【เวทย์ซัพพอร์ต】เพื่อเพิ่มความเร็วของผมโดยไม่รู้ตัว และผมก็ได้กระแทกหมัดของผมที่ถือหินอยู่เข้าใส่ด้านข้างของมวลสีดำนั่น
มันเกิดขึ้นเพียงแต่เสี้ยววินาทีเท่านั้น ผมเห็นหินปริแตกออกในแบบสโลวโมชั่น หินได้แหลกระเอียด ไม่อาจหยุดมวลสีดำได้ ถึงยังนั้น – ทิศทางของมันก็ได้เปลี่ยนไปแล้ว
มันลอยออกไปด้านข้างห่างจากจุดที่ขุนนางรวมตัวกันประมาณ 10 เมตร มันทำลายโดมอย่างง่ายดาย และสร้างคลื่นกระแทกจนส่งผลให้อัศวินที่อยู่ใกล้ๆกระเด็นออกไปเลย
เมื่อมวลนั่นได้ลอยออกไปจากพระราชวังศักดิ์สิทธิ์ ต้นไม้ใบหญ้าฝุ่นฟุ้งกระจัดกระจาย และมันก็ได้ไปถึง “กำแพงที่ 1” ที่แยกระหว่างพระราชวังกับเขตศักดิ์สิทธิ์ที่ 1
กำแพงเองก็ถูกเจาะทะลุได้อย่างง่ายดาย และมันก็เจาะผ่านบันไดกลางตึกรัฐสภาของราชันศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งเป็นอาคารที่ใหญ่ที่สุดในเขตศักดิ์สิทธิ์ที่ 1 ตัดผ่านมันไปชนเข้ากับ “กำแพงที่ 2” ทำลายมันลงไปอย่างสวยงาม
「นั่นมันอะไรกัน…」
พร้อมกัยเสียงที่ดังลั่น คลื่นกระแทกจากการชนยังลอยมาถึงที่พวกเราอยู่เลย
ไม่เหลือล่องลอยของคนกลางอีกต่อไปแล้ว–มีเพียงร่างอันเย็นชืดของหลุยส์ที่ตายไปแล้ว
ความมืดเริ่มสูญสลายไปจากด้านบนของโดม บริเวณรอบๆเริ่มกลับมาสว่างขึ้นในชั่วพริบตา
「มันจบแล้วรึ…?」ราชันศักดิ์สิทธิ์ถามขึ้น
「ไม่ครับ」
【เสริมการมองเห็น】ของผมเห็นถึงความมืดที่กำลังปรากฏขึ้น
「มันยังไม่จบหรอกครับ」
บทที่ 2 ตอนที่ 40
ภายในโดมความมืดนั้น แสงที่สาดส่องเข้ามาจากภายนอกได้สะท้อนพื้นอันสวยงามเป็นเส้นตรง ที่นั่นมีความมืดรูปร่างมนุษย์ และเหล่าเด็กๆในชุดแนวกรีกโบราณอยู่ภายในสิ่งก่อสร้างที่เหมือนกับวิหาร
หูของผมได้ยินเสียงของคุณหนูที่เรียกหาผม คุณหนูนั้นดวงตาเปียกชื้นและเข่าอ่อนอยู่ที่พื้น
「…แกทำอะไรกับคุณหนู?」
ผมสามารถเข้าใจได้ทันทีเลยว่าเป็นความมืดนั่นที่สร้างความวุ่นวายนี้ขึ้น
【World Ruler】บ่งบอกว่ามันเป็น “สิ่งมีชีวิต” บางอย่าง แต่มันดูจะต่างออกไปจากสิ่งมีชีวิตทั่วๆไปอยู่นะ เพราะผมขาดความรู้ ผมจึงไม่สามารถตรวจสอบอะไรไปได้มากกว่านั้นเลย
「เรย์จิซัง」
เอิร์ลซิวลิซส์ปรากฏตัวขึ้นที่ด้านหลังของผม
เป็นท่านเอิร์ลนั้นเองที่ผมพบที่ด้านหน้าของโดม เขาไม่ได้เข้าร่วมงานพิธีด้วย—เขาบอกว่าเขาไปตรวจสอบภายในพระราชวังศักดิ์สิทธิ์ในตอนที่เหล่าขุนนางกับนักบวชเข้าร่วมงานพิธีกัน ดูเหมือนว่าเขาอยากจะรู้เกี่ยวกับหินสกิลที่เตรียมไว้ให้เจ้าชายคลูฟชราทนะ—ต้องขอบคุณเรื่องนี้ที่ทำให้เขาไม่ได้ติดอยู่ในโดมความมืดนี้ด้วย
โดมนี้ที่ไม่สามารถทำลายได้ด้วยเวทมนตร์หรือมือเปล่านั้น สามารถทำลายได้ด้วย “หิน” ที่ท่านเอิร์ลนำมา ตอนนี้มันอยู่ในมือของผมแล้ว—สีของมันเหมือนกับแท่นที่อยู่บนบันไดนั่นเลย
นั่นใช่ “แท่นบูชาที่ 1” หรือเปล่า?
งั้นหินนี้ก็เกี่ยวข้องกับแท่นบูชาสินะ…
(ดูเหมือนจะมีปริศนาอยู่หลายอย่างเลย แต่ที่สำคัญที่สุดในตอนนี้ก็คือ…)
「ผู้บุกรุก? …แกเป็นใคร!!!?」
「แกไม่ใช่รึไงที่เป็นผู้บุกรุกหน่ะ!!」
ผมวิ่งเข้าหาความมืดรูปคนนั่นและลดระยะห่างในทันที
「โอ้วววววววว!!」
หมัดขวาของผมที่ถือหินอยู่ เจาะเข้าไปที่ท้องของมันจนมันลอยออกไป กระเด้งพื้นอยู่หลายครั้ง
「โจมตีโดนงั้นหรอ!?」
「ขนาด【ทักษะดาบศักดิ์สิทธิ์】ยังไม่ได้ผลเลยนะ!」
「เขาเป็นใครกัน?」
เหล่าขุนนางที่ดูจะอยู่บนแท่นที่นั่งต่างส่งเสียงออกมา แต่ที่ผมทำไปก็เพราะมีเหตุผลบางอย่าง ความโกรธของผม—เพื่อระงับความโกรธของผมโดยการชกไอ้ตูดหมึกที่ทำให้คุณหนูร้องไห้
「คุณหนูครับ ขออภัยที่มาช้านะครับ」ผมพูดขณะที่หันกลับ
เมื่อผมยิ้มเพื่อให้เธอสบายใจให้มากที่สุด ดวงตาของคุณหนูก็แทบจะเต็มไปด้วยน้ำตาแล้ว
คุณหนูเองก็อายุแค่ 12 ปีถึงแม้จะเป็นขุนนางก็ตาม
แน่นอน เธอคงจะกลัวที่อยู่ๆก็มาติดอยู่ในความมืดมิดแบบนี้
ถึงอย่างนั้น คุณหนูก็หยุดร้องไห้และลุกขึ้นยืน
「…เรย์จิ」
「ครับ คุณหนู」
「ปกป้องชั้น – ปกป้องทุกคน」
คุณหนูชอบใช้งานผมไปจนถึงกระดูกอยู่แล้วนี่นะ
ภาคีอัศวินเองก็ควรจะอยู่ที่นี่กับผม—ไอ้อัศวินพวกนั้นมัวทำอะไรกันอยู่นะ—เพื่อปกป้องทุกคนด้วยสิ
「รับทราบครับ」
อย่างไรก็ตาม ผมก็ไม่ได้เกลียดคุณหนูที่อยากจะช่วยทุกคนไม่ใช่แค่ตัวเองแบบนี้หรอก
「ทำไมเจ้าถึงมาอยู่ที่นี่ บุตรแห่งหายนะ…!!!」
ความมืดยืนขึ้นราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นก่อนจะกรีดร้องออกมา หมายความว่าไงไอ้ “บุตรแห่งหายนะ” หน่ะ? หืมมม? …อ้า ตาสีดำกับผมสีดำของผมงั้นหรอ? ให้ตายสิ… ขนาดไอ้ความมืดปริศนานี้ก็รู้ตัวตนของผมงั้นหรอ?
「ยังไงซะ พันธสัญญาก็ถูกยกเลิกแล้ว」
ความมืดได้ทะลักออกมาจากร่างของมัน แสงเพียงหนึ่งเดียวในที่นี่ก็คือจุดที่ผมพังเข้ามา
「ว้าาาาาาาาาาาาาาาาาาาา!!!!」
พร้อมกับเสียงกรีดร้อง แขนขวาของความมืดก็ยืดออกมาเหมือนกับยาง—มันเล็งไปที่เจ้าชายคลูฟชราท
ผมเข้าไปขวางข้างหน้ามันในทันที และชกมันออกไปด้วยหิน
ความมืดคร่ำครวญด้วยความเจ็บปวด
…หินที่ท่านเอิร์ลนำมาอย่างลับๆนี้ดูจะใช้ได้ผลดีแห่ะ
และครั้งนี้ความมืดก็ได้ยืดแขนซ้ายออกมา เอิร์ลชายแดนได้ตัดมันด้วยดาบของเขา
「หืมมม… การโจมตีดูจะใช้ได้ผลแล้วนะ คิดว่ายังไงละ ซิวลิซส์?」เอิร์ลชายแดนได้ถามกับท่านเอิร์ลที่เดินไปหาพวกเขา
「พื้นที่นี้ถูกผูกมัดเอาไว้ด้วยพันธสัญญา ตามปกติมันจะป้องกันไม่ให้คนกลาง – เจ้าสัตว์ประหลาดนั่น –ถูกโจมตีได้ แต่ดูเหมือนพันธสัญญาจะไม่สมบูรณ์เพราะรูที่เรย์จิซังพังเข้ามาด้วยเรลิกหายากนั่นนะ」
「เดี๋ยวก่อนสิครับ ท่านเอิร์ล! คุณพูดเหมือนกับผมเป็นคนทำทุกอย่างเลย แถมมีคำมากมายที่ผมไม่เข้าใจด้วยนะครับ!」
「ข้าจะอธิบายทีหลัง… ถ้าพวกเรารอดกลับไปได้ละก็นะ」
「หืมมม… อะไรจะเกิดก็ต้องเกิดละ ไปกันเถอะ เจ้าหนู! ที่เหลือหนีออกไปทางรูนั่นซะ!」
เอิร์ลชายแดนพูดขึ้นก่อนจะเริ่มออกวิ่ง ดังนั้นผมก็เลยตามไป ผมสามารถได้ยินเสียงเหล่าเด็กๆกำลังวิ่งไปทางแสงสว่างด้านหลังของผม
「อวดดีนัก!」ความมืดพูดออกมา
ดาบล้ำค่าที่ดูกลายเป็นของเล่นไปเลยถ้าเทียบกับร่างกายของเอิร์ลชายแดน ได้ฟาดฟันหลายครั้งใส่ความมืด – “คนกลาง” – ที่ท่านเอิร์ลเรียกมัน
คนกลางได้หลบคมดาบด้วยความเร็วอันเหลือเชื่อ
(หลบได้หมดเลยงั้นหรอ…)
「นั่นมันก็แค่ตัวล่อ」
ผมชกไปที่หลังของคนกลางด้วยหินอย่างสุดแรงเกิด
คนกลางคร่ำครวญออกมาอย่างเจ็บปวดอีกครั้ง
「แล้วก็ต่อด้วย—」
บอลไฟปรากฏตัวที่ปลายนิ้วมือซ้ายของผม【เวทย์ไฟ】5 นัดติดต่อกัน
「ช่วยด้วย ช่วยผมด้วย…」
「หว่า!?」
ผมตกใจ อยู่ใบหน้าของหลุยส์ก็ปรากฏขึ้นที่ด้านหลังของคนกลาง
「เกี้ยยย!!」
ผมตกใจจนยิง【เวทย์ไฟ】ออกไปโดยไม่ยั้งมือ คนกลางล้มลงไปกลิ้งอยู่ที่พื้นพร้อมกับกรีดร้องออกมา
「ท่านหลุยส์—!! ไอ้เจ้าสัตว์ประหลาด! ใช้ท่านหลุยส์ทำเรื่องแบบนั้น!」คุณหนูร้องออกมา
「…เจ้าหนู เจ้าค่อนข้างอำมหิตเลยนะ」เอิร์ลชายแดนพูดขึ้น
ผมพยายามจะแก้ไขความเข้าใจผิดว่าจริงๆแล้วผมเป็นคนดี ทว่าผมไม่สามารถโน้มน้าวเอิร์ลชายแดนได้เลย
ผมรู้อยู่แล้วจาก【World Ruler】ว่าหลุยส์นั่นเป็นของปลอม หลุยส์ตัวจริงที่อยู่ภายในส่วนลึกของความมืดนั่น – ได้ตายไปแล้ว
「เอาละ… ฝ่าบาท ได้โปรดอธิบายที่ว่ามันเกิดอะไรขึ้น?」เอิร์ลชายแดนถามขึ้น
มองขึ้นไปบนบันได ราชันศักดิ์สิทธิ์กำลังงุนงง และกระต่ายยักษ์ เอล ก็อยู่ถัดจากเขา
「ข้า…」
「เออ, ฝ่าบาทได้ตัดสินใจผิดพลาดครั้งใหญ่ขอรับ, นั่นก็คือการยกเลิกพันธสัญญาขอรับ, เออ, ถ้าพันธสัญญาที่เชื่อมระหว่างโลกอื่นกับโลกนี้ถูกยกเลิกละก็, ความมืดจำนวนมากมายจากอีกโลกก็จะ, เออ, บุกมาที่โลกนี้ขอรับ」
…ว่าไงนะ?
=====================================================
บทที่ 2 ตอนที่ 39
* อีวา ซิวลิซส์ *
แสงสีรุ้งปรากฏขึ้นจากแผ่นหลังของผู้บัญชาการอัศวินที่ล้มลงไป—มันเป็นแสงจากหินสกิล แสงของ【ทักษะดาบศักดิ์สิทธิ์】นั่นเอง
เมื่อความมืดได้เอื้อมมือไปแตะแสงนั้น แสงก็ได้ปริแตกและสลายหายไปพร้อมกับเสียงเล็ก
「อ้าา–」
เสียงคร่ำครวญของใครบางคนดังขึ้น สกิลที่ดีที่สุดของประเทศได้หายไปแล้ว
(มันเกิดขึ้นได้ยังไงกัน!)
ทำไมมันถึงเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น?
นี้ชั้นทำผิดพลาดครั้งใหญ่งั้นหรอ?
ความผิดพลาดเล็กๆ น้อยๆ โดยบังเอิญรวมกันจนได้ผลลัพธ์แบบนี้งั้นหรอ?
—มิสอีวา
เธอนึกถึงเด็กชายที่ติดตามเธออย่างกับลูกสุนัขตัวน้อยๆ
ตอนนี้เขาได้เปลี่ยนไปกลายเป็นความมืดนั่นแล้ว—อีวาอยากจะเบือนหน้าหนีจากความจริงอันโหดร้ายนั้น
「มิร่า ลูกอยู่นี้หรือเปล่า?」
「ท่านพ่อ!?」
เงาร่างใหญ่ได้เข้ามาใกล้พวกเขา เป็นเอิร์ลประจำชายแดน พ่อของมิร่านั่นเอง
「มันมืดเกินไปจนมองไม่เห็นทางเลย」
「มะ-มันเกิดอะไรขึ้นกันคะ!?」
「พ่อจะไปรู้ได้ยังไงกันละ! แต่ตอนนี้สถานการณ์ไม่สู้ดีแล้ว」
「พวกเราจะทำยังไงกันดี…?」
「ตอนนี้พ่อต้องการดาบ เห้ย มีใครให้ข้ายืมดาบได้บ้าง」
เอิร์ลชายแดนรับดาบมาจากขุนนางเด็กใกล้ๆ
「พวกเราควรจะออกไปจากที่นี่ ไม่มีทางเลือกนอกจากปล่อยให้ฝ่าบาทกับเอลจัดการเจ้าสัตว์ประหลาดนั่นแล้ว」
「แต่ว่าท่านเอิร์ลชายแดนครับ จะดีหรอครับที่ให้พวกเราข้าราชบริพารหนีออกไปแบบนี้นะครับ?」อีธานถามขึ้น
「ความกล้าหาญเป็นเรื่องที่ดี แต่ค่อยพูดแบบนั้นในตอนที่เจ้ามีพลังพอที่จะสู้ก่อนแล้วกัน นอกจากนี้ เจ้ามีหน้าที่ต้องปกป้องท่านคลูฟชราทด้วย」
ใช่แล้ว เจ้าชายศักดิ์สิทธิ์เองก็อยู่ที่นี่ด้วย อีธานพึ่งจะรู้ตัวถึงเรื่องนี้
「จริงด้วย ขออภัยด้วยครับ ท่านคลูฟชราทครับ รีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ」
「…………」
「พวกเราทำอะไรไม่ได้หรอกครับ」
「มันจะเป็นแบบนั้นจริงๆหรอ?」
「อะไรนะครับ?」
ในจังหวะนั้น สีหน้าอ่อนโยนของคลูฟชราทก็เคร่งเครียดขึ้น
「…หินสกิลนั่นควรจะมอบให้กับผมใช่ไหมละ ถ้างั้น บางทีอาจจะมีอะไรที่ผมทำได้ก็ได้นะ?」
「นะ-นั่นก็…」
ไม่มีใครแน่ใจในเรื่องนั้น แต่มันก็มีน้ำหนักมากพอที่จะทำให้ทุกคนคิดว่ามันอาจจะเป็นไปได้ก็ได้
「อย่างที่เจ้าพูดนั่นแหล่ะ」
ก่อนที่ใครจะรู้ตัว ความมืดก็ได้อยู่ที่ด้านหน้าของเจ้าชายศักดิ์สิทธิ์เพียงแค่ 5 เมตรแล้ว ไม่มีใครเห็นมันลงมาจากบันไดเลยด้วยซ้ำ
(กลิ่นนี้มัน…!)
ถึงมันจะมืดไปหมดแล้ว แต่มันก็ยังรู้สึกว่ามันจะยิ่งมืดมิดเข้าไปอีก ลมเบาๆพัดมาจากความมืดและเติมเต็มรอบๆด้วยกลิ่นไหม้ๆ
「ฝ่ายเจ้าเป็นคนทำลายพันธสัญญาเก่าก่อนเอง」
อีวานั้นไม่คุ้นเคยกับคำว่า “พันธสัญญา”
อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่าความมืดจะเน้นตรง “พันธสัญญา” อะไรนั่นนะ
「ราคานั่นแสนยิ่งใหญ่ หินสกิลนั่นดับสลายไปก็เพราะพันธสัญญาดั้งเดิม」
หินสกิลที่หมายถึง—มันจะต้องเป็น【ทักษะดาบศักดิ์สิทธิ์】แน่นอน
หินสกิล 6 ดาวที่ตกทอดกันมาหลายปี และหินหายากนั้นก็ได้ถูกลบหายไปง่ายๆพร้อมกับการตายของผู้บัญชาการอัศวิน
ราชันศักดิ์สิทธิ์นั้นคุกเข่าลงที่ข้างๆร่างที่ไม่ไหวติงของผู้บัญชาการอัศวิน ผู้นำประเทศนี้ ผู้ที่มักจะเต็มเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจและศักดิ์ศรีเสมอนั้น กำลังทุกข์ระทมอยู่ เรื่องที่【ทักษะดาบศักดิ์สิทธิ์】นั้นใช้งานไม่ได้ รวมถึงการตายของผู้บัญชาการอัศวินคงจะไปสั่นคลอนจิตใจของเขา
「ยังไม่พอหรอก ทั้งตระกูลได้ทำลายพันธสัญญาไปแล้ว ฮ่า! ฮ่า! ฮ่า!… เหล่าพี่น้องของข้ากำลังกรีดร้อง! เจ้าได้ยินไหม? พวกเขาพูดว่าเจ้ามันน่าอร่อย…」
เมื่อความมืดพยายามจะเข้าใกล้คลูฟชราท ราชันศักดิ์สิทธิ์ก็ลุกขึ้น
「อย่ามาแตะต้องคลูฟชราท!!!!!」
ราชันศักดิ์สิทธิ์ขว้างคฑาของเขามาที่หัวของความมืด เมื่อความมืดหันไปรับคฑานั้นก็เกิดสเก็ตไฟฟ้าสีทองกระเด็นไปมา
「ไอ้เจ้าพวกสารเลวที่อยากจะดูดเลือดเนื้อของราชวงศ์ศักดิ์สิทธิ์ไปตลอดกาลเอ้ย!!!」
คฑากระเด็นตกลงบนพื้นจนเกิดเสียง ก่อนจะหยุดนิ่งไป
「โง่เขลา ถ้างั้น ก็ยกเลิกพันธสัญญาซะสิ」
「อย่างที่ข้าต้องกา—」
「ฝ่าบาท! โปรดรอก่อนขอรับ!」
เอลกอดราชันศักดิ์สิทธิ์จากข้างหลังแล้วหยุดเขาเอาไว้
「มันเป็นกับดักจากพวกมันที่มาจากอีกโลกนึงขอรับ! การยกเลิกพัธสัญญาเป็นสิ่งที่พวกนั้นต้องการมากที่สุดขอรับ!!」
「ที่ดาบศักดิ์สิทธิ์ถูกลบหายไปเป็นเพราะพวกเราถูกผูกมัดด้วยพันธสัญญา! เพราะมีพันธสัญญาเป็นโล่ พวกมันก็เลยทำตามใจชอบได้ไง! ถ้าห่วงโซ่นี้หายไปละก็ ข้าจะสามารถทำลายพวกมันที่อีกโลกด้วยภาคีอัศวินของข้าได้!」
「ฝ่าบาท! ความคิดของท่านมืดบอดเพราะบุตรของท่านนะขอรับ!」
「หุบปาก! คนอย่างเจ้าที่มีชีวิตเพียงชั่วคราวจะไปเข้าใจอะไร!」
เอลถูกราชันศักดิ์สิทธิ์พลักจนล้มลงไปข้างหลัง
「ประกาศยกเลิกพันธสัญญาซะ」
「อย่างที่ข้าต้องการเลย! ข้า ราชันแห่งราชอาณาจักรครูวานศักดิ์สิทธิ์–」
มีบางอย่างผิดปกติ บางอย่างที่เลวร้ายกำลังจะเกิดขึ้น ความคิดแบบนั้นแล่นเข้ามาในหัวของอีวา
「มะ-ไม่—!?」
อีวาพยายามที่จะขัด ทว่าความมืดก็ได้มองมาที่เธอ—ไม่สิ เป็นใบหน้าของหลุยส์ที่มองมาที่เธอ ใบหน้าไร้ชีวิตของหลุยส์ผุดออกมาจากความมืดแล้วมองตรงมาที่อีวา “ทำไมเธอถึงยังยืนอยู่?”, “ทำไมเธอต้องบังคับให้ผมทำแบบนี้?”, “ทำไมเธอถึงยังมีชีวิตอยู่?” เธอรู้สึกเหมือนกับว่าเขากำลังถามแบบนั้น และความกล้าของเธอก็ได้หายไปหมดสิ้น
(ชั้นทำไม่ได้ ชั้นทำอะไรไม่ได้เลย สุดท้ายแล้ว ชั้นก็เป็นได้แค่เด็กที่ทำอะไรไม่ได้ถ้าไม่มีตำแหน่งขุนนาง)
อีวาดิดอยู่ในความหวาดกลัวและขยับไม่ได้
ท้ายที่สุด ราชันศักดิ์สิทธิ์ก็ได้พูดออกมา
「–ขอยกเลิกพันธสัญญาบ้าๆนี้!!!」
(ช่วยชั้นด้วย เรย์จิ!!!)
อีวากรีดร้องออกมาจากก้นบึ้งของจิตใจ
「คำประกาศของเจ้า พวกเรายอม–」
ทว่า ก่อนที่ความมืดจะประกาศส่วนของมันเสร็จ
แสงได้สาดส่องเข้ามาพร้อมกับเสียงอันดังกึกก้องราวกับกระจกแตก
「โอ้วววววววว! ในที่สุด!!! มันก็แตกซักที!」
「…อา」
คนที่ปรากฏตัวขึ้นคือคนที่อีวาร้องโหยหาอย่างสิ้นหวัง—คนคุ้มกันที่น่าเชื่อถือที่สุดของเธอ
「เรย์จิ!」
บทที่ 2 ตอนที่ 38
(ขอให้ปลอดภัยด้วยเถอะ คุณหนู…!)
ผมเริ่มวิ่งตรงไปยังประตูปราสาทที่คั่นระหว่างเขตศักดิ์สิทธิ์ที่ 1 กับ พระราชวังศักดิ์สิทธิ์
「เรย์จิคุง พวกเราควรคุยกับภาคีอัศวินที่ 1 นะ」เลเลนอร์พูดขึ้นในขณะที่พวกเรากำลังวิ่งด้วยความเร็วเต็มที่
แน่นอนว่าประตูปราสาทนั้นถูกค้มกันด้วยภาคีอัศวิน
…นี้พวกนั้นทำบ้าอะไรกันอยู่เนี้ย? มีบางอย่างเกิดขึ้นแล้วนะ! ที่ข้างหลังพวกนายด้วยซ้ำ!
「ไม่จำเป็นครับ」ผมตอบ
「เอ๊ะ?」
ผมใช้งานสกิลมากมายที่ผมได้เรียนรู้มา ทั้ง【เสริมความแข็งแกร่ง】,【เสริมกล้ามเนื้อหลัง】,【เสริมกล้ามเนื้อหน้าท้อง】,และ【เสริมแกร่งร่างกาย】ควบคู่ไปกับ【ทักษะการวิ่ง】ด้วย
「เอออออ๋!?」
ระยะห่างระหว่างผมกับเลเลนอร์ซังเพิ่มขึ้นอย่างมาก ร่างกายของผมพุ่งไปยังกับสายลม และผมก็มาถึงประตูปราสาทในทันทีเลย
「เห้ย คนคุ้มกันจากตระกูลไหนกั–」
「หยุด! หยุดเดี๋ยวนี้! นายผ่านตรงนี้ไปไม่ได้–」
ผมก้มต่ำลงแล้วเตะพิ้นหินด้วย【เสริมพลังระเบิด】และ【ทักษะการกระโดด】
「เออออออออออ๋!?」เลเลนอร์ซังตะโกนออกมาด้วยตวามตกตะลึง
ผมกระโดดข้ามประตูปราสาทได้อย่างง่ายดาย แล้วลงจอดที่อีกฝั่ง
(【เวทย์รักษา】)
กล้ามเนื้อของผมกรีดร้องด้วยความเจ็บปวด แต่ผมก็รักษามันด้วยเวทมนตร์
จากนั้นผมก็เริ่มออกวิ่งผ่านพระราชวังที่ร้างผู้คน ตรงไปยังความมืดทรงครึ่งกลมนั่น
(นั่นมันอะไรกัน? คุณหนูอยู่ข้างในนั้นงั้นหรอ?)
ผมยังจำตอนนั้นได้ ตอนที่ผมสู้กับมังกรในเขตปกครองดยุคอาเคนบาค
ตอนนั้นผมไม่มีพลังพอที่จะสู้ ดังนั้นผมก็เลยถูกพาตัวออกจากสนามรบโดยน็อนซัง
ถ้าตอนนั้นผมมีพลังแบบในตอนนี้ละก็ มันก็อาจจะไม่มีผู้เคราะห์ร้ายมากมายขนาดนั้น
ไรเครียซังก็อาจจะไม่ตาย
(—แต่ครั้งนี้ ผมจะต้องไปให้ทันให้ได้!)
ผมเกือบจะถึงโดมความมืดนั่นแล้ว ผมควรจะพุ่งตรงเข้าไปเลย หรือใช้วิธีอื่นดี?
「!!」
ในจังหวะนั้นเอง ผมก็พบกับร่างของคนๆนึงยื่นอยู่ที่ด้านหน้าของโดม
* อีวา ซิวลิซส์ *
อีวานั้นคิดว่าที่เธอมองไม่เห็นอะไรเลยนั้นเป็นเพราะเธอสลบไป แต่ไม่นานเธอก็รู้ว่าประสาทสัมผัสอื่นนอกจากการมองเห็นนั้นยังคงทำงานตามปกติ ทั้งความอบอุ่นจากอ้อมแขนของมิร่า, เสียงคนกรีดร้อง, และสายลมที่พัดพา—กลิ่นเผาไหม้มา
「ฝ่าบาท นี้มันเรื่องอะไรกัน!?」
มีอยู่ไม่กี่สิ่งที่ส่องสว่างท่ามกลางความมืดมิด แสงสีฟ้าศักดิ์สิทธิ์ที่ส่องสว่างออกมาจากตัวเจ้าชายคลูฟชราทที่ยืนอยู่ถัดจากเธอ และแสงแบบเดียวกันจากราชันศักดิ์สิทธิ์ที่ยืนอยู่บนบันไดหิน
เมื่อเธอขยี้ตาของเธอ มันมีความมืดอยู่ถัดจากราชันศักดิ์สิทธิ์ด้วย และหมอกสีดำพวกนี้ก็ดูจะออกมาจากตรงนั้น
「โอ้วววววว! หายไปซะ!!」
ราชันศักดิ์สิทธิ์ตวัดคฑาของเขาด้วยแรงทั้งหมดไปที่ความมืดนั่น
จุดที่ความมืดอยู่นั้นเป็นที่ที่หลุยส์ยืนอยู่เมื่อก่อนหน้านี้
(หลุยส์…?)
ความคิดแย่ๆที่อีวาไม่อยากจะคิดได้เข้ามาในหัวของเธอ
ความมืดนั่นอาจจะเป็นหลุยส์ก็ได้
ความมืดนั้นหลบได้ ทว่า ความมืดที่อยู่รอบๆ—ความมืดที่ปกคลุมรอบๆดูจะหายไปเล็กน้อยในตอนนั้น
「โทษทีนะ ชั้นไม่เป็นไรแล้วละ」
「ท่านอีวา!? ไม่เป็นไรนะคะ?」
「อืม… แค่อย่าสบตาชั้นก็พอ」
อีวาที่มานาฟื้นฟูขึ้นมาแล้ว ยกร่างของเธอขึ้นในขณะที่พยายามไม่มองไปที่ใบหน้าของมิร่า
ดูเหมือนจะมีเพียงไม่กี่คนที่เข้าใจสถานการณ์ในตอนนี้ นั่นก็คือราชันศักดิ์สิทธิ์, เอล, และดยุคโรซีเออร์
(เนตรเวทมนตร์ของชั้นทำให้ท่านหลุยส์…)
เธอรู้ดีว่าท่าทีดื้อรั้นของหลุยส์นั้นเป็นเพราะ “เนตรเวทมนตร์แห่งการชักจูง” ของเธอ
หน้าอกของเธอเจ็บปวดอย่างมาก
ความรู้สึกผิดกำลังกัดกินเธอ
「เอล! นี้มันหมายความว่ายังไง?!!」
「เออ, ฝ่าบาทขอรับ… ตระกูลดยุคไม่แข็งแกร่งพอที่จะรับสกิลนั้นขอรับ」
「แต่เจ้าไม่ได้บอกว่ามันจะเป็นแบบนี้นี่!!」
「ฮา…. ราชันศักดิ์สิทธิ์ทุกรุ่นในอดีตนั้นมอบหินสกิลให้กับ “ผู้บริสุทธิ์” ที่มีสีฟ้าศักดิ์สิทธิ์เท่านั้นขอรับ…」
สีฟ้าศักดิ์สิทธิ์
ผู้บริสุทธิ์
สองสิ่งนั้นคือกุญแจ
หลุยส์นั้นไม่มีสีฟ้าศักดิ์สิทธิ์—แต่ทำไมถึงเกิดเรื่องแบบนี้เพียงแค่รับหินสกิลนั่นละ?
「…ไอ้เด็กเหลือขอ… ค๊ะคะคะคะคะ… !!」
เสียงแหบแห้งดังขึ้น
เป็นความมืดที่หัวเราะออกมา เป็นความมืดไม่ใช่หลุยส์—อีวาพยายามจะเชื่อแบบนั้น
ความเย็นยะเยือกแล่นผ่านสันหลังของอีวา
「หลุยส์ส์ส์ส์ส์ส์!!」
ดยุคโรซีเออร์กรีดร้องออกมา ขุนนางคนอื่นๆที่มาชมพิธีต่างก็พยายามวิ่งหนี
「นะ-นี่มันอะไรกัน? เหมือนกับกำแพงเลย!」
「อัศวิน! โจมตีมันด้วยดาบซะ!」
ดูเหมือนว่าพวกเขาจะหนีไม่ได้ อีวาเห็นเหล่าอัศวินกำลังโจมตีมันด้วยดาบ ทว่ามันก็เด้งกลับพร้อมกับประกายไฟเล็กๆ
(ภาคีอัศวินที่ 1 ก็อยู่ที่นี่ด้วย ดังนั้นมันจะต้องไม่เป็นไร มันจะต้องไม่เป็นไร…)
อีวาเอามือกุมหน้าอกและพยายามให้กำลังใจตัวเอง
「ช่างน่าสงสาร พวกแกหนีไปไหนไม่ได้หรอก」
น้ำเสียงที่ไร้อารมณ์ใดๆดังขึ้นจากความมืดนั่น
「หุบปาก! แกจะต้องตาย–ผู้บัญชาการอัศวิน!!」
「ครับท่าน!」
「ตัดมันซะ!」
「ครับ!」
แสงสามจุดปรากฏขึ้นจากไหนไม่รู้ภายในความมืด ต้นตอนั้นมาจากกัปตันแห่งภาคีอัศวินที่ 1 และยังเป็นผู้บัญชาการอัศวินอีกด้วย
สีของดาบที่เขาชักออกมานั้นเป็นสีทอง
ใบดาบสะท้อนแสงราวกับเกล็ด
「นั่นคือ【ทักษะดาบศักดิ์สิทธิ์】นี้!!」
ใครบางคนตะโกนออกมาอย่างตื่นเต้น
ด้วยพลัง 6 ดาว มันถือว่าเป็นพลังทางการทหารที่สูงที่สุดในประเทศนี้แล้ว
แสงได้สะท้อนกล้ามเนื้อของนักรบ แม้ตัวผู้บัญชาการอัศวินจะไม่ได้ไปอยู่แนวหน้าในสนามรบ และบางครั้งก็ถูกเรียกว่า “ตำแหน่งอันทรงเกียรติ” เพราะไม่อาจเสี่ยงสูญเสียหินสกิล【ทักษะดาบศักดิ์สิทธิ์】ไปก็จริง ทว่าผู้บัญชาการอัศวินก็ไม่ได้อ่อนแอแต่อย่างใดเลย
คนที่ฝึกฝนแบบทหารและได้รับการยอมรับจากอดีตผู้บัญชาการอัศวินกับราชันศักดิ์สิทธิ์นั้นจะได้การเป็นผู้สืบทอด
เกราะเหล็กที่สวมอยู่และผ้าคลุมที่ปลิวไสวตามลม ผู้บัญชาการอัศวินได้ตวัดดาบแสงลง
「อา–」
ในจังหวะนั้น แสงแสบตาก็ได้ตัดผ่านความมืด อีวาล้มลงจากคลื่นกระแทกไปข้างหลัง เธอได้ยินเสียงใครบางคนกรีดร้องออกมาด้วย
เมื่อแรงกระแทกเบาลง—มันก็ใช้เวลาเล็กน้อยก่อนที่สายตาของเธอจะกลับมาเป็นปกติ
ความมืดยังคงอยู่ตรงนั้น
และ–
ผู้บัญชาการอัศวินที่ถูกเสียบโดยดาบ
ดาบนั้นเป็นดาบล้ำค่า
(ว่าแล้วเชียว นั่นก็คือ…)
อีวาไม่อาจปฏิเสธได้อีกต่อไปแล้ว ว่าความมืดรูปร่างคนที่อยู่ตรงนั้น ก็คือหลุยส์
ผู้บัญชาการอัศวินล้มลงที่ตรงนั้นแล้วไม่ไหวติงใดๆ
บทที่ 2 ตอนที่ 37
ห้องสำหรับเตรียมพร้อมของคนคุ้มกันที่อยู่ในเขตศักดิ์สิทธิ์ที่ 1 นั้นเต็มไปด้วยคนคุ้มกันมากมาย คนคุ้มกันกว่าร้อยคนกำลังเฝ้ารออยู่ในโถงขนาดใหญ่ที่เกือบจะเป็นโถงงานเลี้ยงนอกบ้านสุดตระการตาอยู่แล้ว
เหยือกน้ำผลไม้และน้ำเปล่ามากมายถูกเตรียมเอาไว้บนโต๊ะให้ดื่มกันเอง มีคนคุ้มกันจำนวนนึงเอาเก้าอี้ที่แต่เดิมแล้วอยู่ตรงกำแพงมานั่งล้อมวงกันหลังจากที่ทำการเฝ้ารอไปซักพัก
พวกเรามาอยู่ที่นี่ได้ 1 ชั่วโมงแล้ว แม็กซิมซังกับเพื่อนของเขาไปรวมตัวกันเพื่อพักผ่อน ส่วนผมนั้นฆ่าเวลาโดยการตรวจสอบพวกคนคุ้มกันคนอื่นๆเอา
คนคุ้มกันนั้นไม่มีชุดเครื่องแบบเหมือนกับภาคีอัศวินหรอก และถ้าเป็นอัศวินของตระกูลใดๆเหมือนกับกัปตันแม็กซิมกับเพื่อนๆของเขาละก็ จะสามารถเห็นพวกเขาสวมชุดเกราะแบบเดียวกันด้วยเช่นกัน ทว่า มันมีบางคนที่ทำให้ผมสงสัยว่าคนพวกนั้นเป็นคนคุ้มกันจริงๆหรือเปล่าอยู่ด้วย – คือพวกเขาไว้ผมทรงโมฮ๊อกแดงแปร๊ดเลยหน่ะสิ
「เครื่องดื่มที่นี่มันอร่อยชะมัด เฮี้ยฮ่า…」
ผมเกือบจะผ่นน้ำออกมาในตอนที่ได้ยินใครสักคนพูดแบบนั้นเลย ไอ้ “เฮี้ยฮ่า” นี้มันอะไร คำพูดติดปากหรอ? หรือว่าสำเนียง? หรือว่าคำหยาบงั้นหรอ?
「คุณคนคุ้มกันตระกูลซิวลิซส์–」
「เฮี้ยฮ่า!?」
อยู่ๆก็มีมือมาจับไหล่ของผมจนเผลอหลุด “เฮี้ยฮ่า” ออกไปเลย มันทำให้ผมผ่นน้ำออกมาเล็กน้อยด้วย ดังนั้นผมก็เลยรีบเอาผ้าเช็ดมือออกมาจากกระเป๋าแล้วเช็ดมันทันทีเลย
「“เฮี้ยฮ่า”…?」
「มะ-มะ-ไม่มีอะไรครับ มีอะไรให้ช่วยหรอครับ?」
มองกลับไปก็เห็นคนคุ้มกันของคุณชายอีธาน—คนคุ้มกันเผ่าฮาร์ฟลิงคนนั้น
เธอสวมใส่ชุดเกราะแบบเดิมกับที่ใส่ในงานเลี้ยงครั้งนั้น และยังสวมชุดคลุมที่มีตราสัญลักษณ์ของตระกูลเอเบนอยู่ที่หลังด้วย
เหล่า 6 ดยุคผู่ยิ่งใหญ่นั้นจะสวมอุปกรณ์ราคาแพงที่แตกต่างจากตระกูลขุนนางอื่นๆ ดังนั้นมันจึงสามารถสังเกตได้ง่ายเลย เอาจริงๆนะ เธอดูดีมากเลยละ
(เห็นฮาร์ฟลิงหญิงคนนี้แล้วก็นึกถึงมิมิโนะซังเลย…)
「ชั้นมีชื่อว่าเลเลนอร์ คนคุ้มกันของตระกูลเอเบน ช่วยบอกชื่อของนายได้ไหม?」
「อา–ครับ ผมชื่อเรย์จิ ก็อย่างที่คุณทราบ ผมเป็นคนคุ้มกันของตระกูลซิวลิซส์ครับ」
「หืมม งั้นหรอ งั้นนายก็คือเรย์จิคุงสินะ」
หืมม? นอกจากนี้ ไม่ใช่ว่าคนๆนี้โบกมือให้กับผมในงานประชุมคนคุ้มกันด้วยไม่ใช่หรอ?
เราเคยเจอกันมาก่อนงั้นหรอ… ไม่อะ ไม่มีทาง ถ้าเธอเป็นฮาร์ฟลิงละก็ ผมก็นึกออกแค่มิมิโนะซังเท่านั้น ตั้งแต่แรกแล้วผมไม่มีทางลืมอะไรได้เด็ดขาดตั้งแต่ที่ผมมี【World Ruler】แล้วด้วย
「คุณรู้จักผมยังงั้นหรอครับ?」
「อืม จริงๆแล้ว…」
เมื่อเธอพูดออกมาแบบนั้น – ทั่วทั้งห้องก็ตกอยู่ในความมืดมิดราวกับไฟดับ ทุกคนต่างมองขึ้นไปบนเพดาน ทว่าด้วยที่มันยังเป็นตอนเช้าอยู่ ดังนั้นตระเกียงเวทมนตร์ก็เลยยังไม่ได้ใช้งาน พึ่งแค่แสงจากดวงอาทิตย์ด้านนอกเท่านั้น
มันได้กลับมาสว่างอีกครั้งในไม่ช้า แต่พูดอีกอย่างก็คือ ท้องฟ้านั้นได้มืดดับไปชั่วแวบนึง
「เมื่อกี้มันอะไรกัน? …เรย์จิคุง เป็นอะไรไปหน่ะ?」
「…ผมรู้ไม่ดี」
ความมืดนั้นผิดธรรมชาติเกินไป ในวันนี้ดวงอาทิตย์นั้นส่องสว่างเต็มที่ ดังนั้นมันจึงไม่มีทางที่เมฆขนาดใหญ๋จะบดบังดวงอาทิตย์ได้เลย
ความรู้สึกไม่ดีเริ่มถาโถม
จะว่าไปแล้ว เอิร์ลชายแดนเองก็พูดว่าวันนี้จะนองเลือดกันด้วย
สัญชาตญาณดิบมักจะถูกต้องเสมอ ยิ่งเป็นเรื่องที่เกี่ยวพันกับชีวิตด้วย
เมื่อผมเข้าไปใกล้หน้าต่าง มีคนคุ้มกันหลายคนที่มองออกมานอกหน้าต่างเช่นกัน หนึ่งในนั้นก็คือกัปตันอาเธอร์
「กัปตันอาเธอร์ครับ เมื่อกี้มันเกิดอะไรขึ้นกันครับ?」
「………」
อาเธอร์ยังคงนึ่งเงียบมองออกไปที่ด้านนอกแม้ผมจะเรียกเขา สายตาของเขาตรงไปยังพระราชวังศักดิ์สิทธิ์
「คุณพอจะรู้อะไรมั้งไหมครับ?」ผมถามอีกครั้ง
「ไม่… ไม่มีทาง…」
「กัปตันอาเธอร์ครับ!」
อาเธอร์ที่ได้สติกลับมาจากเสียงของผมก็รู้ตัวสักทีว่าผมกำลังคุยกับเขาอยู่
「นะ-นายคนทำความสะอาดคนนั้น…」
「มีอะไรเกิดขึ้นที่พระราชวังศักดิ์สิทธิ์ยังงั้นหรอครับ?」
「เกิดอะไรขึ้น?」เลเลนอร์ซังถามขึ้นจากด้านหลัง ทว่าอาเธอร์ก็ทำเพียงแค่เอามือปิดปากของเขาและไม่ยอมพูดอะไรเลย
วันนี้ก็น่าจะมีแค่งานพิธีมอบหินสกิลเท่านั้นนี้ ถึงจะเป็นงานพิธีกรรม แต่มันก็เป็นสิ่งที่พวกเขาทำกันทุกปี ดังนั้นถ้ามันจะมีอะไรพิเศษเกิดขึ้น ท่านเอิร์ลก็น่าจะบอกผมเอาไว้ล่วงหน้านี่นา
(อะไรที่มันพิเศษกัน?)
…เดี๋ยวก่อนนะ มีนี้ บางอย่างที่พิเศษออกไป
หินสกิลที่จะถูกมอบให้กับเจ้าชายคลูฟชราท ดูเหมือนมีความเป็นไปได้ที่จะเป็น 7 ดาวหรือสูงกว่า
หินสกิลพิเศษ
ผมรู้ถึงพลังอำนาจของหินสกิล 6 ดาวดี—พลังที่ลาร์คใช้ในเหมืองที่ 6 นั่น พลังที่สามารถสบั้นคอของมังกร – ที่ถึงแม้มันจะใกล้ตายแล้ว – ได้ในฉับเดียว
แล้วถ้ามันเป็น 7 ดาวหรือมากกว่าละ?
「กัปตันอาเธอร์… หรือว่าจะเป็นหินสกิลที่จะมอบให้เจ้าชายคลูฟชราทงั้นหรอครับ?」
「!?」เอเธอร์ตกตะลึงอย่างมาก
「นะ-นาย ทำไมนายถึงรู้เรื่องนั้น…」
「อะไรหน่ะ? สกิลอะไรที่จะมอบให้เจ้าชายคลูฟชราทงั้นหรอ?」เลเลนอร์ถามขึ้น
「…ไม่ ถ้าเจ้าชายคลูฟชราทเป็นคนรับมันละก็ มันก็น่าจะไม่มีปัญหาอะไร มันสำควรจะเป็นอย่างนั้น…」
「ดะ-เดี๋ยวก่อนนะครับ จะเกิดอะไรขึ้นถ้าเจ้าชายคลูฟชราทรับหินสกิลพิเศษนั่นกันครับ? ความมืดที่เกิดขึ้นเมื่อกี้งั้นหรอครับ?」ผมถามออกไป
「ข้าก็ไม่รู้…」
จากนั้นก็เกิดแรงสั่นไหวขึ้น
อย่างที่คาดเอาไว้ เหล่าคนคุ้มกันเองก็รู้สึกถึงความไม่ชอบมาพากลและเริ่มซุบซิบกัน
「กัปตันอาเธอร์ คุณไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นใช่ไหมครับ?」
「ชะ-ใช่…」
「งั้น มันก็มีความเป็นไปได้ที่จะมีบางอย่างที่ไม่คาดคิดกำลังเกิดขึ้นอยู่ในตอนนี้ ใช่ไหมละครับ?」
「มันก็…」เอเธอร์ละสายตาไป ทว่าจากนั้นเขาก็「…เป็นไปได้」พูดแบบนั้น
จากนั้นเขาก็หันไปทางเหล่าคนคุ้มกันคนอื่นๆ
「ทุกคนฟัง! ข้ามีนามว่าอาเธอร์ กัปตันที่สองแห่งภาคีอัศวินศักดิ์สิทธิ์!」
เสียงต่างๆภายในโถงนั้นเงียบลง
「ข้ายังไม่สามารถอธิบายรายละเอียดให้ได้ในตอนนี้ แต่ว่ามันอาจจะมีปัญหาบางอย่างขึ้นในพิธีมอบหินสกิลในวันนี้ บางอย่างที่ฝ่าบาทกับเจ้าชายคลูฟชราทจะต้องกระทำ ทว่าแผนอาจผิดพลาดได้ โปรดเตรียมพร้อมที่จะเคลื่อนไหวในเร็วๆนี้ด้วย!」
…เดี๋ยว เดี๋ยวก่อนนะ!
「กัปตันอาเธอร์ ที่ว่า “ต้องกระทำ” นั้นมันหมายความว่ายังไงหรอครับ?」
「ไม่… ข้าเผลอหลุดปากไป ลืมๆมันไปซะเถอะ」
「คุณรู้ว่าจะมีอะไรอันตรายอะไรจะเกิดขึ้นงั้นหรอครับ?」
เหล่าคนคุ้มกันต่างเริ่มส่งเสียงเซ็งแซ่ออกมาอีกครั้งหลังจากได้ยินที่ผมพูด
「ไม่หรอก มันไม่ควรจะไปถึงขั้นนั้น」
「ความมืดเมื่อกี้ แรงสั่นสะเทือนเมื่อกี้… เห็นชัดๆเลยว่ามันมีบางอย่างเกิดขึ้นนะครับ!」
จังหวะที่ผมพูดแบบนั้น ก็เกิดเสียงดังสนั่นหวั่นไหวขึ้น ผมได้ยินเสียงของบางอย่างถูกทำลายจากระยะไกล
(มันมาจากพระราชวังศักดิ์สิทธิ์)
แทบจะในทันที ผมก็วิ่งออกไป
「อา เดี๋ยว คนทำความสะอาด!」
ไม่มีเหตุผลให้ต้องหยุด ผมกระโดดออกทางหน้าต่าง คิดถึงทางที่สั้นที่สุดที่ไปยังพระราชวังศักดิ์สิทธิ์
「ทางนี้!」เลเลนอร์ที่กระโดดออกมาหลังจากผมกวักมือเรียก
「เลเลนอร์ซัง!?」
พวกเราสองคนเริ่มออกวิ่ง
หลังจากที่ออกมาจากอาคารไม่นาน พวกเราก็มาถึงกำแพงที่แยกระหว่างพระราชวังศักดิ์สิทธิ์กับเขตศักดิ์สิทธิํที่ 1
「ดูนั่นสิ!」
ความมืดครื่งวงกลมปรากฏขึ้นจากพื้นของพระราชวังศักดิ์สิทธิ์
มันยากที่จะวัดระยะของมัน ทว่าขนาดนั้นน่าจะพอๆกับห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ๋เลย ความสูงเองก็สูงถึง 50 เมตร
ไม่มีเหตุผลที่จะสรุปว่ามันไม่ใช่ “เหตุการณ์ไม่ปกติ” อีกต่อไปแล้ว
บทที่ 2 ตอนที่ 36
* อีธาน เอเบน *
「ใครกันหน่ะ?」
「นั่นท่านหลุยส์จากตระกูลดยุคโรซีเออร์ไม่ใช่หรอ?」
「นี้มันหมายความว่ายังไงกัน?」
「อย่างกับว่า–」
ขุนนางหลายคนเริ่มซุบซิบกัน ท่าทีของหลุยส์นั้นไม่ได้อยู่ในสิ่งที่คาดไว้ และจากมุมมองของพวกเขานั้น การกระทำของหลุยส์ตอนนี้มันก็เหมือนกับ–
—การวิพากษ์วิจารณ์ฝ่าบาทราชันศักดิ์สิทธิ์นั่นเอง
การแสดงความไม่เห็นด้วยต่อราชันศักด์สิทธิ์แห่งราชอาณาจักรครูวานศักดิ์สิทธิ์อย่างเปิดเผยนั้นเป็นเรื่องที่ยอมรับไม่ได้ แน่นอน มันไม่ได้หมายความว่าทางประเทศยอมให้ตัวราชันศักดิ์สิทธิ์เป็นผู้ปกครองเบ็ดเสร็จอะไรแบบนั้น แต่เป็นการใช้ตัวราชันศักดิ์สิทธิ์เป็นเครื่องหมายของประเทศที่มีหลากหลายเผ่าพันธ์ุอาศัยอยู่ร่วมกันภายใต้การปกครองแบบ “ราชันศักดิ์สิทธิ์ถือเป็นที่สุด” ต่างหาก
ถึงอย่างงั้น ถ้าตัวราชันศักดิ์สิทธิ์ทำผิดพลาดละก็ เขาจะได้รับคำแนะนำจาก 6 ดยุคผู้ยิ่งใหญ่ หรือแจ้งให้ทราบลับหลังสายตาสาธารณชนเอา และราชันศักดิ์สิทธิ์จะต้องมีสติมากพอที่จะรับฟังคำแนะนำพวกนั้นด้วย
ทั้งๆอย่างงั้น มันเป็นเรื่องที่ประหลาดมากกับการขัดวิธีของราชันศักดิ์สิทธิ์ในสายตาสาธารณชนแบบนี้ – ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นกลางงานพิธีสุดพิเศษของ “ราชอาณาจักรศักดิ์สิทธิ์” ด้วย
เหล่านักบวชพยายามที่จะนำองค์ประกอบอันไม่คาดคิดที่อาจส่งผลต่องานพิธีครั้งนี้ออกไป
「เหล่านักบวช รอก่อน!」
ไม่ใช่ใครที่ไหนนอกจากตัวราชันศักดิ์สิทธิ์เองที่หยุดพวกเขาเอาไว้
「…เจ้าคือบุตรชายจากตระกูลโรซีเออร์ใช่ไหม?」
「ครับ แต่มันไม่สำคัญหรอกครับว่าผมจะมาจากตระกูลไหน! เพื่อที่จะสร้างความเท่าเทียม–」
「ไม่ เรื่องที่เจ้ามาจากตระกูลโรซีเออร์นั้นสำคัญที่สุด」
「ด้วบความเคารพขอรับ ฝ่าบาท!」
「เงียบ!」
ผู้นำตระกูลโรซีเออร์ส่งเสียงของเขาออกมาจากบริเวณผู้ชม ทว่าราชันศักดิ์สิทธิ์ก็ได้ขัดเขาเอาไว้
「ละ-หลุยส์! นายทำอะไรของนายกัน!? นายพยายามจะทำลายพิธีหรือไง!?」
เด็กๆใกล้ๆกับหลุยส์เริ่มส่งเสียงเอะอะกัน
อีธานที่เป็น 6 ดยุคผู้ยิ่งใหญ๋เหมือนกันได้จับไปที่แขนของหลุยส์ ทว่าหลุยส์ที่มีร่างกายที่แข็งแรงกว่าอีธานนั้นได้สลัดหลุดออกมา
「อย่ามาแตะข้า!」
「หลุยส์…?」
อีธานตกตะลึงกับการปฏิเสธเสียงแข็งนั้น สายตาของหลุยส์เต็มเป็นด้วยความโกรธเกี้ยว
「ท่านอีวา!」มิร่ากรีดร้องออกมา
เมื่ออีธานหันไปทางมิร่า เขาก็เห็นอีวา – ที่ดูจะหมดสติไป – ในอ้อมแขนของมิร่า
(แปลก… นี้มันจะแปลกเกินไปแล้ว!)
ในวันนี้อีธานนั้นยังไม่ได้พูดคุยกับอีวาเลย แต่เขาเห็นเธออยู่หลายครั้งแล้วก่อนที่พวกเขาจะมาที่นี่ อีวาก็ดูจะปกติดีในตอนนั้น
(เธอมานาหมดงั้นหรอ? และอุปกรณ์เวทมนตร์ที่มือซ้ายนั่น…?)
อีวาพยายามที่จะพูดบางอย่างออกมา ทว่ามันเบาเกินกว่าที่มิร่าจะได้ยิน
「หลุยส์ โรซีเออร์ งั้นเจ้าก็มาเป็นคนรับหินสกิล 8 ดาวแทนสิ? ถ้าเจ้ามีความมุ่งมั้นและคุณสมบัติมากพอละก็นะ!」
เรื่องที่น่าเหลือเชื่อได้หลุดออกมาจากปากของราชันศักดิ์สิทธิ์ และเหล่าขุนนางต่างก็เริ่มส่งเสียงฮือฮากันมากกว่าเดิม
「ฝ่าบาทขอรับ! ได้โปรดหยุดเถอะขอรับ! หลุยส์ พอได้แล้ว! นี้เป็นคำสั่ง!」ผู้นำตระกูลโรซีเออร์ตระโกนออกมาด้วยน้ำเสียงเศร้าสลด
「เออ, ฝ่าบาทขอรับ, มันจะไปกันใหญ่แล้วนะขอรับ」เอลมาที่ด้านข้างของราชันศักดิ์สิทธิ์
(เกิดอะไรขึ้น? หินสกิล 8 ดาวนั่นมันมีอะไรงั้นหรอ?)
อีธานพบพ่อของเขาอยู่ตรงที่นั่งของขุนนาง ทว่าเขาเอาแต่เงียบด้วยเคร่งเครียด ดูเหมือนพ่อของเขาจะไม่รู้อะไรเหมือนกัน นอกจาก—ไม่สิ ถ้าจะให้เจาะจงละก็ คงมีเพียงผู้นำตระกูลโรซีเออร์เท่านั้นที่รู้อะไรบางอย่าง
「ข้าจริงจัง เอล ตระกูลโรซีเออร์เป็นถึงตระกูลดยุค แถมยังเป็นตระกูลทายาทของราชวงศ์ศักดิ์สิทธิ์ด้วย」
「เออ, ฝ่าบาทขอรับ, แต่สิ่งที่ส่งต่อกันมาตั้งแต่โบราณกาลคือ “จงมอบหินสกิล 8 ดาวแก่ผู้ที่ถือครอง《สีแห่งราชันศักดิ์สิทธิ์》กับ《บริสุทธิ์》” นะชอรับ」
「ถ้าเจ้ามองที่สายเลือด ตระกูลดยุคเองก็เป็นทายาทของราชวงศ์ศักดิ์สิทธิ์เหมือนกัน」
「เออ, นั่นเป็นเรื่องที่ซับซ้อนนะขอรับ」
「เงียบ! นี้ไม่ใช่สิ่งที่ข้าพูด เป็นตระกูลโรซีเออร์ต่างหากที่พูด!」
「มะ-ไม่ใช่นะขอรับ! หลุยส์แค่เข้าใจผิดไป– หลุยส์! ขอโทษเดี๋ยวนี้!」
「—กระผมยอมรับ ถ้ากระผมสามารถควบคุมหินสกิล 8 ดาวนี้ได้ละก็ มันจะเป็นก้าวแรกสู่การเปลี่ยนแปลง」
「หลุยส์ส์ส์ส์ส์ส์!」
หลุยส์มองตรงไปที่ราชันศักดิ์สิทธิ์ โดยที่ไม่ได้สนใจเสียงกรีดร้องของพ่อของเขาเลย
(มันไม่ปกติแล้ว หลุยส์ทำตัวแปลกไป ฝ่าบาทเองก็แปลกไปเหมือนกัน นี้มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?)
อีธานสังเกตเห็นดวงตาของราชันศักดิ์สิทธิ์ที่ไม่ได้สง่างามเหมือนกับทุกๆที—แต่เป็นดวงตาของคนที่กำลังจนมุนแล้วพบกับแสงแห่งความหวังอันเลือนลาง
คนเพียงคนเดียวที่ไม่เข้าใจสถานการณ์ในตอนนี้เลยก็คือคลูฟชราท เขาทำเพียงแค่ยืนอย่างเหมอลอยเท่านั้น แต่มันกลับดูเป็นคนปกติที่สุดซะอย่างนั้น
「ไปนำหินสกิลมา เอล!!」
「ฝ่าบาทขอรับ…」
「เอล!!」
กระต่ายนักบวชชั้นสูงเงียบไปสักพัก「…จัดเตรียมหินสกิล」เขากล่าวแบบนั้นกับนักบวชอย่างคิ้วขมวด และเขาก็ลงมาจากบันไดหินเพื่อที่จะนำมันไปด้วยตัวเอง
「โอ้ หลุยส์… เจ้าลูกโง่…」
ผู้นำตระกูลโรซีเออร์ทรุดลงไปกับพื้น เอามือทั้งสองข้างปิดหน้า
「นี้มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่เนี้ย?」
「ไม่ใช่ว่าในอดีต หินสกิล 8 ดาวต้องเป็นของราชวงศ์ไม่ใช่หรอ?」
ขุนนางต่างเริ่มซุบซิบกัน ในทางกลับกันนั้น ตัวหลุยส์ผู้ที่สร้างปัญหาขึ้นกลับยืนอย่างภาคภูมิใจ
เอลกลับมาในเวลาไม่นาน พร้อมกับพานที่ห่อหุ้มด้วยผ้าสีเหลืองศักดิ์สิทธิ์
「อะไร–」อีธานพูดอะไรไม่ออก
หินสกิลนั้นใหญ่มากกว่าสองเท่าของหินสกิลที่อีธานเคยพบมา
ตามปกติ หินสกิลจะมีขนาดประมาณลูกปิงปองเท่านั้น ทว่าที่เอลนำมานั้นใหญ่ประมาณลูกบาสเลย
ยิ่งไปกว่านั้น สีของมัน — ไม่ต้องสงสัยเลยว่ามันเป็น “ประเภทยูนีค” เพราะมันมีสีรุ้ง อย่างไรก็ตาม มันมีจุดสีดำอยู่ตรงกลาง และเปล่งแสงสลับไปมาระหว่างสีแดง, สีฟ้า, และสีเหลืองอย่างรวดเร็ว
(…ไม่เคยเห็นหินสกิลที่น่าสะพรึงกลัวขนาดนี้มาก่อนเลย)
อีธานตัวสั่น และไม่ใช่แค่เขาคนเดียว เหล่าเด็กๆขุนนางใกล้ๆเองก็หน้าซีดราวกับกระดาษเช่นกัน
หินสกิลนั้นอยู่ไกลเกินกว่าที่จะเห็นชื่อ
「หลุยส์ โรซีเออร์ มาตรงนี้」
「ครับ!」
หลุยส์เริ่มเดินออกไปด้วยสีหน้าสงบนิ่ง
「หลุยส์!」
「ปล่อย」
อีธานจับไปที่แขนของเขาอีกครั้ง ทว่าอีธานก็สบัดแขนออก ไม่ใช่แค่นั้น หลุยส์ไม่แม้แต่จะหันมามองอีธานเลยด้วยซ้ำ—ราวกับว่าอีธานนั้นไม่มีความสำคัญใดๆเลย
(พวกเราเป็นเพื่อนกันไม่ใช่หรอ?)
ระยะห่างระหว่างพวกเขาในขณะที่หลุยส์กำลังเดินจากไปนั้นราวกับแสดงถึงระยะห่างของสายสัมพันธ์ของพวกเขา
หลุยส์เดินออกมาจากกลุ่มแล้วเข้าไปหาราชันศักดิ์สิทธิ์ เขาได้เดินขึ้นมาบนบันได และไม่มีใครสามารถหยุดเขาได้อีกแล้ว
「…เจ้าจะบอกว่าเจ้ามีความมุ่งมั้นและคุณสมบัติสินะ?」
อีกแล้ว อีธานคิด ราชันศักดิ์สิทธิ์ใช้คำว่า “คุณสมบัติ” อีกแล้ว มันไม่จำเป็นจะต้องมีคุณสมบัตินี้ เพราะการใช้หินสกิลเป็นการบังคับเรียนรู้สกิลอยู่แล้ว แน่นอนว่ามันไม่สมเหตุสมผลที่จะมอบสกิลเวทมนตร์ให้กับคนที่มีมานาน้อย—แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาจะเรียนสกิลไม่ได้นี่นา
「ครับ」หลุยส์ตอบกลับโดยไม่ลังเล
「งั้น ข้าก็จะขอมอบหินสกิล【???★★★★★★★★】นี้ให้แก่เจ้า」
ถึงอีธานจะได้ยินชื่อของหินสกิล แต่มันกลับไม่อยู่ในความทรงจำของเขา เหลือเพียงแค่ชื่อของมันฟังดูเป็นลางร้ายและน่าอึดอัดเท่านั้น ทุกๆคนที่อยู่ที่นี่ต่างก็มีประสบการณ์แบบเดียวกัน
หลุยส์เอื้อมมือไปหยิบหินสกิลนั้นขึ้น เขายกมันขึ้นไปบนฟ้า—เพื่อนำมันเข้าไปในร่างของเขา
และจากนั้น โลกก็ตกอยู่ในความมืดมิด
บทที่ 2 ตอนที่ 35
* อีวา ซิวลิซส์ *
หลังจากเดินตามทางเดินเล็กๆผ่านป่าไป พวกเขาก็ได้มาถึงวิหารขนาดใหญ่ที่ไม่มีหลังคา
อีวาและเด็กคนอื่นๆนั้นถูกนำทางมาโดยนักบวชกระต่าย เบื้องหน้าของพวกเขานั้นมีบันไดสูง 5 ฟุต เสาร์หินเรียงรายห่างกัน 20 เมตรอยู่เบื้องหลังบันไดนั้น เสาร์หินเหล่านี้ไม่ได้ค้ำจุนหลังคาใดๆ มีเพียงแค่ท้องฟ้ากว้างเท่านั้น
พื้นที่อีวาเดินผ่านเปลี่ยนจากพื้นดินเป็นพื้นหิน มันเป็นทางเดินหินที่ทำมาจากการตัดหินขนาดใหญ่ ที่ระหว่างเสาร์แต่ละต้นมีรูปปั้นของราชันศักดิ์สิทธิ์อยู่ โดยเริ่มตั้งแต่ราชันศักดิ์สิทธิ์องศ์แรกเลย
มีเหล่าขุนนางมากมายจนยากที่จะหาเอิร์ลซิวลิซส์พบ ทว่าอีวานั้นรู้สึกว่าเขาน่าจะอยู่ตรงนั้น ตรงไหนสักที่
อย่างกับไม่ใช่ความจริงเลย อีวาคิดแบบนั้น พื้นหินเรียบนั้นสะท้อนสีฟ้าของท้องฟ้า เธอรู้สึกราวกับกำลังก้าวเดินอยู่บนท้องฟ้า
มีบันไดอีกอันอยู่ข้างหน้า และป้ายสุดของบันไดนั้น มีเก้าอี้ที่ราชันศักดิ์สิทธิ์กำลังนั่งอยู่
และเมื่อเธอมองขึ้นไปด้านบนสุด เธอก็ได้เห็นแท่นบูชาสีเทา
(นั่นมันแท่นบูชาที่ 1!)
มันดูราวกับแท่นหินธรรมดาๆ อย่างไรก็ตาม ที่รอบๆมันนั้นได้มีแท่งที่มีอัญมณีที่ดูจะมีเวทมนตร์ประดับอยู่ถูกติดตั้งเอาไว้ที่พื้น และมีมานาสีฟ้าที่ราวกับหมอกปกคลุมรอบๆแท่นบูชาด้วย บางครั้งก็จะสามารถเห็นแสงเล็กๆส่องสว่างจากแท่นด้วย มันเป็นแสงเดียวกับที่ให้กำเนิดหินสกิล ทว่าอีวาไม่สามารถมองเห็นมันได้จากด้านล่างนี้
「เออ, ทุกท่าน, โปรดหยุดอยู่ตรงนี้ขอรับ」
อีวาและคนอื่นๆหยุดเดินตามที่เอลบอก
เหล่าเด็กๆต่างรู้สึกกดดันจากการถูกเฝ้ามองโดยราชันศักดิ์สิทธิ์ที่ด้านบน และรวมถึงสายตาของเหล่าขุนนางด้วย
เอลและนักบวชคนอื่นๆโค้งคำนับแล้วจากไป
「-ตั้งแต่โบราณกาล มันเป็นที่แน่ชัดแล้วว่าเมื่อพระเจ้าจะประทานหินสกิลให้แก่ผู้ที่ได้กลายเป็นผู้ใหญ่ วันนั้นจะเป็น “วันที่ปลอดโปล่ง”」
ราชันศักดิ์สิทธิ์ยื่นขึ้นจากเก้าอี้ เขาสวมชุดคลุมสีฟ้าเหมือนกับเอลและถือคทาสีทองที่สูงเท่ากับตัวเขา
「ตามแต่โบราณกาล ข้าขอมอบพรแห่งพระเจ้าให้」และราชันศักดิ์สิทธิ์ก็ได้ตวัดไม้เท้าของเขา「ก่อนอื่น ต้องทำให้แน่ใจว่าพวกเจ้าเป็น “ผู้บริสุทธิ์” ผู้ซึ่งสามารถรับหินสกิลได้ก่อน」
อีวาสังเกตเห็นพื้นตรงเท้าเริ่มเปล่งแสง「เอ๊ะ, เอ๊ะ, นี้มันอะไรกัน!?」
พื้นตรงบริเวณที่เด็กสาวมนุษย์สัตว์ยืนอยู่นั้นเป็นสีแดงราวกับสีของเลือด ในขณะที่เธอคนนั้นร้องออกมาเล็กน้อย เหล่านักบวชก็ได้เข้ามาพาตัวเด็กคนนั้นออกไป
「มะ-ไม่นะ! นี้มันอะไรกัน!?」
「ฝะ-ฝ่าบาทครับ! ลูกสาวของกระผมป่วยหนักตั้งแต่เกิด และในตอนนั้นเธอแค่ได้รับสกิล [เสริมภูมิคุ้มกัน] เพียงชั่วคราวเท่านั้นครับ! มันถูกนำออกทันทีที่เธอหายดีแล้วครับ!」
เป็นพ่อของเด็กคนนั้นที่พูดขึ้น ทั้งเขาและภรรยาต่างก็มีสีหน้าซีดเซียว
「เงียบ」
เมื่อราชันศักดิ์สิทธิ์บอกให้เขาเงียบ เหล่านักบวชก็เข้ามาพาตัวพวกเขาออกไปจากวิหารด้วยเช่นกัน
อีวาไม่เคยรู้เลยว่ามันจะมีการตรวจสอบอย่างเข้มงวดขนาดนี้ ที่เธอจำได้นั้นมีเพียงแค่เรื่องที่พ่อของเธอพูดว่า “หินสกิลนั้นจะถูกมอบให้หลังจากจบพิธีแล้วเท่านั้น มันถูกกำหนดไว้แล้ว”
รอยเท้าของเด็กสาวมนุษย์สัตว์ที่เหลือทิ้งไว้นั้นราวกับว่ามันเป็นรอยเท้าเปื้อนเลือด มันให้ความรู้สึกอันน่าขนลุกแก่เด็กคนอื่นๆ
「…สกิลจะถูกมอบให้กับผู้คนเพียงครั้งเดียวเท่านั้น อย่าลืมเรื่องนี้เด็ดขาด」
คำพูดของราชันศักดิ์สิทธิ์ที่เอ่ยออกมาจากเบื้องลึกของหัวใจของเขา เหล่าเด็กๆที่กำลังหน้าซีดต่างพยักหน้าตอบรับ
(มันแปลกนะ…)
สำหรับตัวอีวานั้น มันทำได้เพียงแค่สร้าง “คำถาม” ขึ้นมาเท่านั้น
มันให้ผู้คนได้เพียงครั้งเดียวงั้นหรอ? งั้นทำไมภาคีอัศวินถึงสืบทอดสกิลหายากอย่าง [ทักษะดาบศักดิ์สิทธิ์] รุ่นสู่รุ่นได้ละ? ทำไมจาก 5 ใน 6 ดยุคผู้ยิ่งใหญ่ถึงเก็บหินสกิลเป็นมรดกตกทอดได้ละ?
(มันก็คงไม่ใช่อะไรไปมากกว่าภาพลักษณ์ทางสังคมหรอก แต่ว่า… มันรู้สึกเหมือนกับฝ่าบาทพูดความคิดจริงๆของเขาเลย)
ที่ราชันศักดิ์สิทธิ์กล่าวเมื่อสักครู่ “ผู้บริสุทธิ์” นั้น– มันจะต้องมีวิธีอะไรสักอย่างที่ใช้ยืนยันว่าใครไม่เคยใช้หินสกิลแน่ๆ
(ทำไมละ? มีเหตุผลอะไรพิเศษที่ต้องเป็น “ผู้บริสุทธิ์” เท่านั้นงั้นหรอ? แต่ว่าชั้นไม่เคยได้ยินอะไรแบบนั้นเกี่ยวกับพิธีในวันนี้เลยนะ…)
เมื่อเธอเหลือบมองไปข้างๆ ตัวมิร่าเองก็กำลังหน้ามุ่ยเช่นกัน บางทีเธอคงจะไม่รู้ว่าเรื่องแบบนี้จะเกิดขึ้น ดูเหมือนเธอเองก็ไม่รู้เหมือนกัน
(ท่านพ่อ…)
อีวามองหาพ่อของเธอ ทว่าเธอยังคงหาเขาไม่พบ บางทีเขาอาจจะไม่ได้อยู่ที่นี่ก็ได้ เธอคิดแบบนั้น
(…เรย์จิ)
เพื่อกำจัดความกังวล เธอเอ่ยชื่อของคนคุ้มกันแปลกๆของเธอที่เธอมักจะพึ่งเขาเสมอ – แล้วยื่นมือไปสัมผัสที่กำไลข้อมือของเธอโดยไม่รู้ตัว
(–เอ๊ะ?)
เธอรู้สึกถึงอัญมณีที่ควรจะอยู่ตรงนั้น มันได้หายไปแล้ว
(ทำไมละ…!?)
เมื่อมองไปที่มัน อัญมณีทั้ง 5 ได้กลายเป็นสีฟ้า—หมดแล้ว มันเป็นตัวบ่งชี้ว่ามันไม่สามารถดูดซับมานาได้อีกแล้ว
หัวใจของเธอเริ่มเต้นเร็วขึ้น เป็นความผิดพลาดที่คิดว่าตัวเองกลับมามีสุขภาพดีขึ้นหลังจากได้นอนพัก กำไลนั้นเสียหายจากการดูดซับเกินลิมิต และมานาในร่างกายของเธอก็พื้นคืนแล้ว
「…เป็นอะไรไปหรือ มิสอีวา?」
「!」
หลุยส์เหลือบมองมาที่ใบหน้าที่เต็มไปด้วยความกังวลของอีวา และสบเข้ากับดวงตาของเธอเต็มๆ ดวงตาพิเศษที่ควบคุมไม่ได้
「ทะ-ท่านหลุยส์…」
「มิสอีวา ไม่ต้องกังวลอะไรทั้งนั้น」
เขาหันหน้ากลับไป และที่ปลายสายตาของเขานั้นก็คือตัวราชันศักดิ์สิทธิ์
「อันดับแรก เจ้าชายศักดิ์สิทธิ์คลูฟชราท ข้าจะมอบหินสกิลให้กับเจ้า」
「ครับ」
คลูฟชราทตอบกลับเสียงดังฟังชัด เสียงของเขานั้นยังไม่แตกหนุ่มดี ไม่เพียงแค่เด็กผู้หญิงเท่านั้น เหล่าเด็กผู้ชายเองต่างก็หน้าแดงขึ้นจากการมองรูปลักษณ์อันน่ารักที่เหมือนกับเด็กผู้หญิงของเขาด้วยเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม มีเพียงแค่ใบหน้าของราชันศักดิ์สิทธิ์เท่านั้นที่บิดเบี้ยว เหล่าขุนนางต่างเริ่มซุบซิบเมื่อเขาหยุดพูดนานเกินไป
「…ครั้งนี้ ที่จะมอบให้กับเจ้าชายศักดิ์สิทธิ์คลูฟชราท… เป็นหินสกิล 8 ดาวที่ปรากฏขึ้นในปีนี้」
คำพูดอันน่าตกใจนั้นสร้างเสียงฮือฮาขึ้น และขุนนางบางคนถึงกับหลุดปากว่า “ว่าไงนะ!?” ออกมาเลย
หินสกิล 8 ดาวที่ไม่เคยได้ยินมาก่อน เหล่าขุนนางนั้นรู้เรื่องหินสกิลที่มากกว่า 9 ดาวซึ่งผู้คนบนโลกใบนี้ไม่อาจใช้ได้อยู่ ทว่า สูงที่สุดที่พวกเขาเคยได้ยินมาก็คือ 7 ดาว ยิ่งไปกว่านั้น หิน 7 ดาวนั้นได้สูญหายไปในสงครามแล้ว และ 6 ดาวก็คือหินสกิลที่ควรจะมากที่สุดแล้ว
「…………」
ราชันศักดิ์สิทธิ์นั้นทำเพียงแค่มองไปที่คลูฟชราทโดยที่ไม่สนใจเสียงกรีดร้องใดๆเลย ตัวคลูฟชราทเองก็คงนึกไม่ถึงว่าเขาจะได้รับหินสกิลระดับนี้ — เขานั้นงุนงงและมองกลับไปที่พ่อของเขา ราชันศักดิ์สิทธิ์
「ได้โปรดรอก่อนครับ ฝ่าบาท」
อย่างไรก็ตาม มีคนๆนึงได้ยกมือขึ้น
「มันไม่แปลกไปหน่อยหรือครับที่จะได้รับหินสกิล 8 ดาวที่ไม่เคยมีที่ไหนมาก่อนเพียงเพราะสายเลือดหน่ะครับ? ถ้าคิดตามธรรมชาติของหินสกิลและความเข้ากันได้ มันจะไม่ดีกว่าหรือครับที่จะให้คนอื่นๆได้มีโอกาสด้วยเหมือนกันนะครับ?」
ด้วยสายตาคึกคะนอง–ด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความปราถนา หลุยส์ได้พูดขึ้นต่อหน้าราชันศักดิ์สิทธิ์
บทที่ 2 ตอนที่ 34
* อีวา ซิวลิซส์ *
เนื่องจากอีวาได้เข้ามาในพระราชวังศักดิ์สิทธิ์เป็นครั้งแรก เธอก็เลยถูกกดดันด้วยบรรยากาศที่แตกต่างออกไปจากปกติโดยสิ้นเชิง จำนวนอาคารนั้นน้อยมาก แถมยังมีสวนมากมายคั่นระหว่างอาคารพวกนั้นด้วย เธอรู้สึกเหมือนกับหลงทางอยู่ในป่าเลย
อีวาเห็นธานน้ำและน้ำพุอยู่ทั้งตรงนั้นตรงนี้เต็มไปหมด และยังมีสะพานหินหลากสีที่สร้างขึ้นเพื่อข้ามพวกมันไปด้วย
พื้นที่สำหรับรอของเหล่าเด็กอายุ 12 ปีที่จะเข้ารับหินสกิลนั้นเป็นศาลาทรงเหลี่ยมที่ล้อมรอบไปด้วยต้นไม้หลากชนิด
「มิสอีวา!」
เป็นหลุยส์ที่สังเกตเห็นอีวาที่เดินตามการนำทางของนักบวชที่ทำงานในพระราชวังแห่งนี้ก่อน หลุยส์นั้นสวมชุดที่คล้ายๆกับอีวา ต่างกันเพียงแค่เนื้อผ้าที่เป็นสีเหลืองสดกับดาบล้ำค่าที่ห้อยอยู่ตรงเอวของเขาเท่านั้น เหล่าเด็กผู้ชายจะได้รับอนุญาตให้นำดาบล้ำค่าเข้ามาได้ ซึ่งมันจะถูกใช้ในงานพิธีด้วย
ถึงมันจะถูกเรียกว่าศาลา แต่มันก็กว้างเอามากๆ แถมยังมีโซฟามากมายด้วย เหล่าชายหญิงที่ดูเหมือนจะรู้จักกันต่างก็รวมตัวพูดคุยสนทนากัน
「อรุณสวัสดิ์ค่ะ ท่านหลุยส์」
「อรุณสวัสดิ์ อะ-เอออออ เจ้าใส่อะไรก็ดูดีก็ดูดีมากเลยนะ」
「ขอบคุณค่ะ」อีวาโค้งคำนับอย่างสง่างาม
หลุยส์ที่มีท่าทางหยาบคายมากๆในตอนที่เขาพบกับเธอครั้งแรกนั้น ได้เปลี่ยนมาเป็นท่าทีสุภาพขึ้นตั้งแต่การพบกันครั้งที่สองเป็นต้นมาแล้ว
「กำไลข้อมืออันนั้นคืออะไรหน่ะ…? มันดูหยาบเกินไปเล็กน้อยสำหรับเครื่องประดับนะ」
ในสวนของอัญมณีที่อยู่บนกำไลนั้น 2 ใน 5 ของอัญมณีมรกตได้เปลี่ยนเป็นสีฟ้าแล้ว เหลือพื้นที่เก็บมานาเพียงแค่ 3 ก้อนเท่านั้น
「ชั้นได้รับอนุญาตให้สวมมันเข้ามาได้เป็นกรณีพิเศษน่ะค่ะ นอกจากนี้แล้วคนอื่นๆละคะ?」
「นี่ ก่อนหน้านั้นเรามาพูดคุยกันสักนิดดีไหม?」
อีธานและชาล็อตนั้นได้มาถึงกันแล้ว ทว่าพวกเขาอยู่กับเจ้าชายคลูฟชราท คลูฟชราทเองก็ต้องเข้าพิธีเหมือนกัน เขาก็เลยต้องอยู่ในพื้นที่สำหรับรอเข้าพิธีด้วยเหมือนกัน
เหล่าเด็กๆมากมายนอกจากอีธานกับชาล็อตต่างก็เข้าไปล้อมรอบตัวคลูฟชราท เมื่อคลูฟชราทสังเกตเห็นว่าอีวาได้มาถึงแล้ว เข้าก็หลุดปาก “อะ” ออกมา ทว่าตัวเธอก็ถูกลากตัวไปยังมุมนึงของศาลาโดยหลุยส์ในทันที
「ท่านหลุยส์คะ ชั้นจะต้องไปกล่าวทักทายท่านคลูฟชราทนะคะ…」
「ไว้ทีหลังก็ได้ไม่ใช่หรอ?」
เพราะน้ำเสียงที่แข็งกว่าทุกที—เธอเลยนึกถึงความเอาแต่ใจของเขาในครั้งแรกที่เจอกัน—อีวาจึงต้องเชื่อฟังอย่างไม่เต็มใจแล้วนั่งลงข้างๆหลุยส์
(ถ้าเรย์จิอยู่ที่นี่ละก็ ชั้นมั่นใจเลยว่าเขาจะเข้ามาขัดแน่นอนเลย)
โชคไม่ดีที่เขาไม่ได้อยู่ที่นี่ และตัวเธอเองก็ไม่ได้อยู่ในสภาพที่พร้อมเท่าไหร่ด้วย
「มิสอีวา ข้าจะเริ่มฝึกดาบภายใต้การชี้นำของกัปตันอาเธอร์ละ ข้าจะต้องแข็งแกร่งขึ้นแน่นอนเลย」
&nb