[นิยายแปล] Overlimit Skill Holder – Only A Reincarnator Can Possess The Skill That Exceeds The Limitบทที่3 18

บทที่3 ตอนที่ 18

บทที่ 3 ตอนที่ 18

 

มิมิโนะซังกับผมออกมาจากสำนักการต่างประเทศและตัดสินใจรีบตรงไปยังบริาัทโรโรโระ

 

อย่างไรก็ตาม ระหว่างทางไปยังบริษัท มูเกะซังก็ได้เข้ามาหาจา่กด้านหน้า

 

「อีาก! รู้ไหมว่าเกิดอะไรขึ้น!」มูเกะซังร้องไห้ออกมา

 

ขณะที่ปลอบใจมูเกะซังที่กำลังร้องไห้ พวกเราก็กลับมาที่บริษัทของเขาแล้วพบกับดันเต้ซังและน็อนซังที่อยู่ที่นั่น

 

ทันทีที่พวกเรากลับมาถึง มูเกะซังก็ชี้ไปยังชุดช่างของเขา มันเปรอะเปื้อนไปด้วยสีแดง

 

「ตอนที่ข้าไปยังบริษัทโรโรโระก็เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น! จู่ๆพวกนั้นก็ปามะเขือเทศใส่ข้า! พร้อมกับพูดว่า “พวกเราจะไม่จ่ายให้พวกนักต้มตุ๋นแม้แต่แดงเดียว!” พวกนั้นจะต้องแยกส่วนและศึกษาออโตมาตรอนก่อนจะจ่ายเงินแน่นอนเลย」

 

「แต่ผมก็ดีใจนะที่มันไม่ได้กลายเป็นการใช้กำลังไป」

 

「ทิ้งขว้างมะเขือเทศไปเปล่าๆก็เหมือนกับการใช้กำลังนั่นแหล่ะ!」

 

「เอ๊ะ?」

 

ตามที่มูเกะซังบอก เขาไม่ได้โกรธที่ชุดของเขาเปื้อน แต่เป็นเพราะเสียอาหารไปเปล่าๆปีๆ ในจักรวรรดินั้นมีอาหารอยู่จำกัด และถึงแม้จะมีเห็ดเป็นอาหารหลัก แต่พวกผักนั้นถือเป็นอาหารอย่างหรูเลยละ

 

คาราวานของมูเกะซังขายเนื้อแห้งและผักเป็นหลัก ดังนั้นดูเหมือนพวกนั้นจะใช้เรื่องนั้นมาล้อเลียนมูเกะซังโดยการปามะเขือเทศใส่เขา

 

「แต่การแยกส่วนสินค้าก่อนจ่ายเงินมันเป็นเรื่องไม่ดีไม่ใช่หรอ?」มิมิโนะซังถาม

 

มูเกะซังพยักหน้าเห็นด้วย

 

「ใช่แล้วละ นี้มันเกินกว่าการได้เปรียบเสียเปรียบในการค้าแล้ว ถ้าพวกนั้นตัดสินใจทำแบบนี้แล้วละก็ ข้าจะเอาคืนก็ถือว่าเสมอกันนะ… นุฟุฟุฟุ…」

 

เปลวไฟสีดำลุกโชนอยู่ภายในตาของมูเกะซัง

 

「เอาละ แล้วทางนั้นเป็นยังไงบ้างละ เรย์จิ?」

 

「เรื่องนั้น… ผมต้องการความช่วยเหลือจากดันเต้ซังครับ」

 

「ช่วย?」

 

ผมบอกเชาเรื่องที่ได้ยินมาจากอับบา ลูลูช่าซังนั้นถูกสงสัยว่าเป็นกบฏและต้องการหลักฐานว่าเธอไม่ได้ทำ

 

「ฮึมมม… มีกลิ่นแปลกๆ」

 

「ผมเองก็คิดงั้นครับ แต่ตอนนี้พวกเราไม่มีเวลาแล้ว พวกเราจะต้องรีบตามหาผู้ส่งสาร ผู้ส่งสารพวกนั้นคือหลักฐานที่ดีที่สุดครับ ผมต้องการจะเข้าไปยังเขาวงกตแห่งความกลัวอีกครั้ง」

 

มีความเป็นไปได้อยู่ 2 อย่าง ไม่ผู้ส่งสารพวกนั้นอยู่ด้านนอกเขาวงกต ก็อยู่ข้างในเขาวงกต

 

แต่ผมมีความรู้สึกว่าพวกเขาจะต้องอยู่ข้างในแน่

 

จากการที่มีคนอยู่เบื้องหลังพยายามใส่ร้ายลูลูช่าซัง พวกนั้นจะลำบากเรียกตัวผู้ส่งสารที่ออกมาจากเชาวงกตแล้วซ่อนตัวพวกเขาไปทำไมกัน? ต่อให้พวกนั้นทำแบบนั้นจริง มันก็อ้อมค้อมเกินไป ยิ่งไปกว่านั้น มันก็ควรจะเป็น “การสื่อสารไม่เพียงพอ” และไม่ถึงกับ “ทรยศชาติ” หรอก ถ้าลูลูช่าออกมาจากเขาวงกตพร้อมกับชัยชนะแล้วคืนกองทัพให้ประเทศ อะไรแบบนั้นก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรเลย

 

ข้อหา “ทรยศชาติ” นั้นเป็นเพราะเรื่องที่พ่ายแพ้ต่อออโตมาตรอนและสูญเสียกองทัพไปเปล่าๆ มันจะสมเหตุสมผลถ้าคิดว่าพวกที่ไม่ชอบลูลูช่าซังใช้เหตุผลนี้ในการให้เธอรับผิดชอบและจัดการเธอไปพร้อมๆกัน

 

ถ้ายังงั้น– พวกผู้ส่งสารน่าจะยังอยู่ในเขาวงกตด้วยเหตุผลบางอย่าง

 

「แต่พวกเราจะยังเข้าไปในเขาวงกตอีกครั้งได้ไหมครับ? มูเกะซัง?」

 

「ได้ จริงๆแล้ว บริษัทอื่นๆก็อาจจะยังสำรวจเขาวงกตกันอยู่เลย」

 

「อะ!」

 

มาคิดๆดูแล้ว พวกเราก็ยังไม่เห็นโกลเด้นบริเกดหลังจากนั้นเลยนี้นา พวกเขายังอยู่ในเขาวงกตงั้นหรอ?

 

พวกเราตกลงกันว่าจะสำรวจเขาวงกตแห่งความกลัวอีกครั้งในวันพรุ่งนี้ …หืมมม ผมควรจะหยุดเซอรี่ซังไม่ให้ไปเล่นพนันในคืนนี้นะ

 

**

 

พวกเราลงมือกันในเช้าวันถัดไป

 

มูเกะซังดูจะโต้รุ่ง เขาจึงกำลังหลับอยู่บนถาดขนสำภาระของเนโกะจัง ผมจึงเป็นคนขับแทน มูเกะซังดูจะประกอบเวทมนตร์บางอย่างที่เขาเอาออกมาจากออโตมาตรอนใส่เข้าไปเนโกะจังด้วย

 

「ตอนนี้เธอกลายเป็น “ซูเปอร์เนโกะจัง” แล้ว!」เขาพูดอย่างภาคภูมิใจ

 

นอกจากจะมีเครื่องจักรไอน้ำแล้ว ก็มีแรงกระตุ้นเสริมจากหินเวทย์เสริมเข้าไปด้วย ผลลัพธ์ก็คือแรงบิดที่ดีขึ้น – แต่จริงๆผมก็ไม่ค่อยเข้าใจความแตกต่างเท่าไหร่หรอก

 

การขับเนโกะจังนั้นสนุกแบบแปลกๆ ถึงเธอจะยังเคลื่อนที่ช้าเหมือนเดิมก็เถอะ

 

พวกเราใช้ลิฟท์ขึ้นไปยังหน้าผาทางเข้าเขาวงกตแห่งความกลัว มิมิโนะซังยังกลัวความสูงแล้วเกาะแขนผมเหมือนเดิม ครั้งนี้เธอไม่ได้ขอก่อนด้วยซ้ำ… ผมก็ไม่ได้รังเกลียดหรอกนะ

 

เมื่อพวกเรามาถึงทางเข้ารูปหน้าคน—ผมก็นึกขึ้นได้

 

「จริงด้วย… กลิ่นของเลือด」

 

「เป็นอะไรไป เรย์จิ?」ดันเต้ซังถาม

 

ตอนที่พวกเรามาครั้งที่แล้ว ผมจำได้ว่าผมได้กลิ่นของเลือดจากรูปปั้นหินข้างหน้าพวกเรา

 

「ได้กลิ่นไหมครับเซอรี่ซัง?」

 

「ฮึมมม〜 อืม แค่บางๆหน่ะ」

 

จังหวะที่เซอรี่ซังพูดแบบนั้น หูแมวของเธอก็จับบางอย่างได้

 

「…หนุ่มน้อย เค้าได้ยินบางอย่าง」

 

「!」

 

ผมเองก็รู้สึกตัวหลังจากที่เธอพูดแบบนั้น มันมีเสียงครางเบาๆมาจากอีกด้านของทางเข้า — ราวกับกำลังขอความช่วยเหลือ

 

「มูเกะซัง โปรดรออยู่ตรงนี้นะครับ!」

 

พวกเรารีบตรงไปยังทางเข้าแล้วกระโดดเข้าไปในปาก ที่สุดทางเดินรูปปั้นเรียงรายนั้นมีร่างของคนนอนอยู่

 

「เป็นอะไรไหมครับ?!」

 

ถึงจะอยู่ไกล ผมก็สามารถเห็นเลือดจำนวนนึงไหลออกมา และผ้าคลุมที่คนๆนั้นสวมอยู่ก็เป็นสีเหลืองด้วย เป็นสมาชิกของโกลเด้นบริเกด

 

คนๆนั้นเงยหน้าขึ้นหลังรับรู้ถึงพวกเรา – เป็นหญิงสาวผอมเพรียวสวมฮูดที่มักจะขัดความตึงเครียดระหว่างปาร์ตี้พวกนั้นกับพวกเรา พร้อมกับสีหน้าเจ็บปวด เธอเปิดปากพูดขึ้นมาว่า “ข้างบน”

 

ข้างบน?

 

「ข้างบน!」

 

พวกเรามาถึงครึ่งทางกว่าจะถึงหญิงสาวคนนั้น ระหว่างทางทั้งสองข้างนั้นมีรูปปั้นหินเรียงรายกันพร้อมอาวุธ

 

พวกมันควรจะเป็นแค่รูปปั้นหินธรรมดาๆ แต่ดวงตาของพวกมันนั้นกลับจับจ้องมาที่พวกเรา

 

「ระวังการโจมตี!」

 

เนื่องจากตัวดันเจี้ยนเองคือกับดัก อะไรบ้าๆอย่าง “ปรับเปลี่ยนรูปแบบ” นั้นก็เป็นไปได้ อย่างการที่ตอนนี้รูปปั้นหินสามารถขยับได้แล้ว

 

ทั้งดาบ, หอก, และค้อนถูกตวัดลงมา ผมรีบหยุดในทันที

 

「มิมิโนะซัง เชือก!」

 

「นี้!」

 

มิมิโนะซังโยนเชือกที่ทำจากเถาวัลย์ในกระเป๋าของเธอ ผมใช้งาน 10 【เวทย์บุพพา】และแตกแขนงเชือกออกมาเป็น 10 อันเพื่อที่มันจะสามารถมัดแขนที่ถืออาวุธของรูปปั้นพวกนั้นได้ ทว่า ผมสามารถหยุดเอาไว้ได้แค่ 4 รูปปั้นเท่านั้น

 

「โฮ่!」

 

เซอรี่ซังที่นำอยู่ข้างหน้าหลบหอกและคทาที่พุ่งเข้ามาทั้งซ้ายและขวา ก่อนจะมุ่งหน้าไปยังหญิงสาวที่ล้มอยู่

 

「นุโอ้ววววววว!」

 

ที่ด้านหลังพวกเรา ขณะที่ปกป้องน็อนซังไปด้วย ดันเต้ซังก็ใช้โล่และคทาปัดป้องรูปปั้นหินที่พยายามจัดการพวกเขา

 

「ไปเลย เรย์จิ!」

 

「ครับ!」

 

ดันเต้ซังที่ใกล้กับทางเข้าหันหลังกลับไปพร้อมกับน็อนซัง และที่ปลายสายตาของผมก็เห็นเซอรี่ซังตรงไปยังทางเดินที่อีกด้านพร้อมกับลากหญิงสาวที่ล้มอยู่ไปด้วย

 

เสียงของอะไรบางอย่างตึงแน่นราวกับเชือกกำลังจะขาดดังขึ้น รูปปั้นหินพวกนั้นคงจะกำลังพยายามฉีกเชือกที่ผมมัดพวกมันเอาไว้ด้วยกำลัง

 

「ขอโทษนะครับ มิมิโนะซัง」

 

「หะ— หว่า!?」

 

ผมอุ้มมิมิโนะซังด้วยท่าอุ้มเจ้าหญิงแล้วเริ่มออกวิ่ง ผมเสริมทักษะทางกายของผมด้วย【เวทย์ซัพพอร์ต】ดังนั้นน้ำหนักที่เพิ่มขึ้นจึงไม่เป็นปัญหาต่อความเร็วของผม

 

เมื่อผมเริ่มออกวิ่ง หอกกับคทาที่เซอรี่ซังหลบก่อนหน้านี้ก็ตวัดลงมาอีกครั้ง ทว่าผมก็เล็ดลอดผ่านพวกมันไป การฝึกเต้นรำที่ผมเรียนรู้มาตอนทำงานคุ้มกันได้เอามาใช้แล้วตอนนี้ แต่แน่นอนว่า ผมไม่เคยเต้นรำขณะอุ้มคนท่าเจ้าหญิงมาก่อนหรอกนะ

 

มิมิโนะซังกับผมลอดผ่านเข้าไปในทางเดินด้านใน

 

 

 

บทที่ 3 ตอนที่ 17

 

* ลูลูช่า *

 

ห้องเล็กๆ เตียงแข็งๆพร้อมส้วม – นั่นคือทั้งหมดในห้องขังของลูลูช่า ถูกจับโดยข้อหา “ทรยศชาติ” ที่เธอไม่รู้เรื่อง ตอนสอบปากคำเธอก็บอกทุกอย่างที่เกิดขึ้นในเขาวงกตไปแล้ว แต่เธอก็ยังถูกขังเอาไว้ในนี้ ประตูเหล็กที่ขวางระหว่างเธอกับข้างนอกถูกปืดเอาไว้หนาแน่น

 

「นี้มันเกิดบ้าอะไรขึ้นเนี้ย…」

 

ถึงวันแรกเธอจะนอนไม่หลับเพราะความไม่พอใจและความวิตกกังวล ทว่าในวันที่ 2 ความเหนื่อยล้าจากการยึดครองเขาวงกตก็ถาโถมร่างกายจนเธอหลับไปทั้งวัน และตอนนี้ก็เป็นวันที่ 3 แล้ว เธอจึงสามารถประมวลผลสถานการณ์ของเธออย่างใจเย็นได้

 

เธอรู้ว่ามีหลายคนที่ไม่อยากให้เธอประสบความสำเร็จ แต่เธอไม่ได้มุ้งมั่นกับตัวเธอเองแต่เป้นจักรวรรดิ เธอเชื่อว่าถ้าเธอทำผลงานในการยึดครองเขาวงกตละก็ พวกเขาจะต้องเข้าใจแน่นอน

 

เธอแนะนำให้ไปสอบถามลูกน้องของเธอ ทว่าก็ถูกปฏิเสธ เธอถูกบอกว่าคำให้การของพวกนั้นเชื่อถือไม่ได้เพราะพวกนั้นถูกเชื่อว่าร่วมมือกับเธอ เจ้าหน้าที่สิบสวนเชื่อสุดใจว่าลูลูช่าไม่ได้ส่งคนประสานงานออกมารายงานเลย และเธอก็คือคนทรยศที่ใช้งานกองทัพจักรวรรดิเพื่อตัวเอง เขาปฏิเสธคำร้องทุกข์ของเธอพร้อมกับพูดว่า “เอาหลักฐานที่แกส่งคนประสานงานไปออกมาให้ดูสิ”

 

ลูลูช่านั้นส่งคนประสานงานออกไปตามปกติเพื่อขอการสนับสนุน ทว่าทั้ง 7 คนนั้นกลับหายตัวไป มีบางคนที่เกลียดลูลูช่า – ที่เป็นผู้หญิงและรวมถึงเป็นลูกครึ่งด้วย ทว่ามันก็แปลกที่ไม่มีใครสักคนนึงที่ส่งรายงานเลย

 

「มีใครบางคนลักพาตัวพวกเขาหรอ? ดูจะไม่ได้หายไปในเขาวงกตด้วย ทางเดินมันไม่ได้ซับซ้อนขนาดนั้น แถมพวกเราก็ไม่เจออะไรเลยในตอนที่ถอยทัพด้วย」

 

เธอถอนหายใจ ถึงแน่นอนว่าจะมีบางอย่างที่สำคัญกว่าการขังเธอเอาไว้ที่นี่ก็ตาม แต่ก็มีชีวิต 7 ชีวิตนั้นเป็นเดิมพันอยู่

 

「หรือบางที 7 คนนั้นจะถูกซื้อตัวไปแล้วจะปรากฏตัวขึ้นหลังจากชั้นตายไปแล้วกันนะ?」

 

เสียงหัวเราะเยาะตัวเองหลุดออกมาจากลูลูช่า เธอคิดว่ากรณีแบบนั้นก็มีความเป็นไปได้ แล้วตอนนี้เธอก็ถูกขังเอาไว้ในที่แบบนี้แล้วด้วย

 

โกรธ, เสียใจ, โศกเศร้า, หงุดหงิด, สิ้นหวัง, กังวล – อารมณ์หลากหลายได้ก่อตัวขึ้น ลูลูช่าล้มตัวลงบนเตียงและปิดหน้า ถูกครอบงำด้วยอารมณ์ เธอเริ่มร้องไห้ แต่ก็กัดฟันเพื่อไม่ให้ส่งเสียงออกมา มียามเฝ้าอยู่ข้างนอก ไม่มีอะไรยืนยันว่าเขาจะไม่รายงานท่าทางของเธอกับคนอื่น เธอไม่อยากจะให้ไอ้สารเลวที่จับเธอขังเอาไว้รู้สึกเพลิดเพลิน

 

อย่างน้อยๆเธอก็อยากจะรักษาเกียรติ์ของตัวเอง

 

「ถึงยังงั้น… ชั้นก็ยังไม่ได้ขอบคุณพวกนั้นดีๆเลย」

 

หลังจากอดทนได้ 30 นาที ใจของเธอก็เริ่มสงบลง

 

และครั้งนี้ เธอก็นึกเธอเหล่าผู้คนที่ช่วยเหลือเธอเอาไว้

 

เหล่านักผจญภัยที่เข้ามาช่วยพวกเธอในตอนคับขัน เด็กหนุ่มที่บอกว่าเขามีบางอย่างจะคุยกับเธอ—ทว่ามันคงจะเป้นไปไม่ได้แล้ว

 

「สงสัยจังว่าพวกเขาป้องกันตัวเองจากการโจมตีทางอารมณ์ของออโตมาตรอนได้ยังไง มันน่าสนใจจริงๆ มันไม่ได้ผลกับมนุษย์แท้ๆหรอ? ไม่ ถ้างั้นพวกนักผจญภัยที่จ้างมาโดยบริษัทพวกนั้นก็ต้องไม่เป็นอะไรด้วยสิ ฮึมมม…」

 

ลูลูช่าเริ่มคิดไตร่ตรอง มันกลายเป็นธรรมชาติของเธอไปแล้วที่จะคิดถึงเรื่องเขาวงกตมากกว่าอย่างอื่น

 

กริ๊ก — เสียงของประตูเหล็กได้ถูกปลดล็อคพาเธอกลับมาสู่ความจริง

 

ด้านหลังของประตูที่เปิดออกเล็กน้อยนั้นปรากฏผู้คุมชาวเลฟขึ้นแล้วพูดอย่างห้วนๆว่า

 

「ออกมา มีคนต้องการพบแก」

 

ต้องการพบ? กับคนที่ก่อคดีโทษประหารนะหรอ?

 

ตอนแรกเธอคิดว่าเป็นเด็กหนุ่มคนนั้น ทว่าเป็นไปไม่ได้ที่คนนอกจะขอเข้าพบได้

 

อย่างไรก็ตาม ลูลูช่าก็ออกมาเพราะเธอไม่อยากจะอยู่ในห้องขังนานๆ เมื่อเธอถูกใส่กุญแจมือ ความหงุดหงิดที่เธอถูกทำเหมือนเป็นคนร้ายทั้งๆที่เธอบริสุทธิ์ก็ก่อตัวขึ้นอีกครั้ง

 

ห้องเข้าพบนั้นเป็นห้องธรรมดาๆ แต่มันก็กว้างเป็น 3 เท่าของห้องขังของเธอเลย ลูลูช่าตกใจกับคนที่นั่งอยู่ในห้องนั้นแล้วคุกเข่าลง

 

「ฝ่าบาทอนาสตาเซีย (Anastasia)! ทำไมท่านถึงมาอยู่ที่นี่ได้คะ!?」

 

ชุดเดรสสีเลม่อนที่ทำจากผ้าที่หาได้ยากในประเทศนี้บ่งบอกว่าเธอเป็นบุคคลอันเป็นที่เคารพ

 

อย่างไรก็ตาม เหนือสิ่งอื่นใดเลยก็คือผิวขาวเนียนและผมสีแพลตตินั่มบอร์นเป็นประกายอันเข้ากับสีผิวของเธอพร้อมกับกิ๊บติดผมทองประดับเพชรที่ข้างหลัง หูเรียวยาวโผล่พ้นผมออกมาบ่งบอกว่าเธอเป็นเผ่าเอลฟ์ – ไม่ใช่แค่เอลฟ์ทั่วๆไปแต่เป็นไฮเอลฟ์

 

นัยน์ตาสีฟ้าไพลินแวววาวภายในดวงตาเรียวยาว – ราวกับอัญมณี

 

ริมฝีปากอมชมพูของเธอนั้นยิ้ม แต่กลับไม่มีคำพูดใดเอ่ยออกมา

 

ผ้าพันแผลพร้อมกับตราผนึกคำสาปพันอยู่รอบคอของเธอ เป็นส่วนเดียวที่ทำให้รู้สึกแปลกๆ

 

『โปรดยืนขึ้นเถอะค่ะ』

 

อนาสตาเซียแสดงกระดาษเมโมให้กับลูลูช่าดูในขณะที่เธอพยายามคุกเข่าลง—อนาสตาเซียนั้นพูดไม่ได้

 

「แต่ว่า…」

 

『ไม่เป็นไร โปรดนั่งลงตรงนั้นเถอะค่ะ』

 

ขณะที่อนาสตาเซียเขียนอย่างรวดเร็วด้วยท่าทางที่สง่างาม ลูลู่ช่าก็คิดว่ามันจะเป็นการเสียมารยาทต่อเธอที่จะต้องเธอมาเขียนบอกเธอเรื่องเดิมๆอีกครั้ง ดังนั้นเธอก็เลยนั่งลงที่ฝั่งตรงข้ามกับอนาสตาเซีย

 

อนาสตาเซียให้ผู้คุมออกไปโดยวางเหรียญทองเล็กลงบนมือของเขา ผู้คุมก็ออกไปจากห้องพร้อมกับรอยยิ้มกว้าง เหลือเพียงอนาสตาเซียและลูลูช่าอยู่ภายในห้อง

 

「จะไม่เป็นไรหรอคะ?」ลูลูช่าถามขึ้นพร้อมกับรู้สึกกังวลเกี่ยวกับผู้คุมที่จากไป

 

อนาสตาเซียส่ายหัวไปมาพร้อมกับรอยยิ้ม – บ่งบอกว่าไม่เป็นไร

 

ไม่ว่าจะยังไงก็ตาม กุญแจมือนั้นมีเวทมนตร์กันการหลบหนีอยู่ เป็นอะไรแบบที่จะระเบิดในจังหวะที่พยายามเอามันออกโดยใช้กำลังหรือหลบหนีออกไปจากอาคารนี้

 

『ไม่น่าเชื่อเลยว่าเธอจะทำการทรยศชาติแบบนี้นะคะ』

 

「แน่นอนว่ากระหม่อมเป็นผู้บริสุทธิ์คะ!」

 

ถึงเธอจะไม่ได้ถาม ลูลูช่าก็ได้บอกอนาสตาเซียทุกอย่างที่เธอพูดในตอนที่โดนสอบสวน ลูลูช่ารู้สึกตัวในตอนที่เธออธิบาย – ว่าเธอนั้นอยากจะให้ใครสักคนเชื่อในตัวเธอจริงๆ

 

『ดิชั้นเองก็จะพยายามอธิบายความบริสุทธิ์ของเธอแก่ฝ่าบาทองค์จักรพรรดิด้วยอีกแรงนึงค่ะ』

 

「……ขอบพระทัยจริงๆค่ะ」

 

ลูลูช่าสะกดอารมณ์ที่พลุ่งพล่านของเธอเอาไว้ เธอรู้ตัวดีว่าวันนี้จิตใจของเธอนั้นหวั่นไหวและอารมณ์ไม่คงที่

 

คำพูดของอนาสตาเซียนั้นนำความสุขมาให้ ถึงแม้อนาสตาเซียจะเป็นผู้มีฐานะดีขนาดนี้ แต่เธอก็ไม่ค่อยมีปากมีเสียงอะไรในประเทศนี้เลย

 

อนาสตาเซียนั้นเป็นไฮเอลฟ์ราชวงศ์และบุคคลสำคัญของเผ่าเอลฟ์ ทว่าในตอนที่เธอยังเด็ก เธอถูกสาปโดยนักเวทย์ผู้ไม่ประสงค์ดีที่มาเยี่ยมเยือนป่าเอลฟ์จนสูญเสียเสียงของเธอไป คำสาปนั้นยังคงมีผลอยู่มาจนถึงปัจจุบันและถูกผนึกโดยผนึกคำสาป

 

“เสียง” นั้นสำคัญมากๆสำหรับไฮเอลฟ์

 

เสียงอันบริสุทธิ์นั้นจำเป็นยิ่งสำหรับพิธีที่จะจัดขึ้นในส่วนลึกของป่า เอลฟ์หลายตนเชื่อฟังและปฏิบัติตามเพราะพิธีนั้นจะเป็นการรักษาพรแห่งป่าเอาไว้

 

ถึงอนาสตาเซียจะเป็นไฮเอลฟ์ แต่เธอกลับเสียสิ่งสำคัญที่สุดสำหรับไฮเอลฟ์ไป

 

สายตาของเอลฟ์ตนอื่นๆจับจ้องมาที่เธอที่ไม่สามารถทำหน้าที่ของเธอในฐานะไฮเอลฟ์ได้ เป็นที่ตัดสินแล้วว่าเธอนั้นไม่ได้รับอนุญาตให้ใช้ชีวิตสุขสบายแบบราชวงศ์ได้ ในทางกลับกัน มันก็เป็นเรื่องที่ดูไม่ได้ถ้าไฮเอลฟ์จะต้องใช้ชีวิตแบบเอลฟ์ทั่วไป

 

ราชาแห่งป่าเอลฟ์เลยตัดสินใจที่จะส่งอนาสตาเซียออกไป

 

เธอนั้นเป็นไฮเอลฟ์ เผ่าพันธ์ุที่โด่งดังในเรื่อง “ขุมทรัพย์แห่งความงาม” ถึงแม้เธอจะไม่สามารถใช้ชีวิตอยู่ในป่าเอลฟ์ได้ เธอก็ยังมีค่าพอที่จะยกให้กับประเทศอื่น

 

ดังนั้นอนาสตาเซียจึงถูกส่งตัวให้กับจักรวรรดิเวทมนตร์เลฟ – โดยแลกกับเรือเหาะเวทมนตร์ 1 ลำแก่ป่าเอลฟ์

 

นั่นเป็นทั้งหมดที่ลูลูช่าได้ยินมา

 

นี้ก็ผ่านมาปีนึงแล้วตั้งแต่ที่อนาสตาเซียมายังประเทศนี้ ตอนที่เธออายุ 14 ปีแล้วและยังงดงามยิ่งขึ้นไปอีก

 

―ดิชั้นไม่มีค่าในฐานะไฮเอลฟ์ แต่ดิชั้นยังคงเป็นประโยชน์แก่เหล่าเอลฟ์ด้วยเรือเหาะเวทมนตร์ได้ค่ะ

 

ในตอนที่ทั้งสองคนพบกันึครั้งแรก อนาสตาเซียเขียนแบบนั้นและยิ้มออกมา อย่างเปล่าเปลี่ยวเดียวดาย

 

อนาสตาเซียนั้นได้รับการต้อนรับเป็นอย่างดีและถูกบอกว่าเธอจะต้องอยู่ข้างกายจักรพรรดิทุกครั้งที่มีงานระดับประเทศ ไฮเอลฟ์นั้นมีอายุขัยมากกว่าชาวเลฟที่มีอายุขัยเหมือนมนุษย์ ดังนั้นแทนที่จักรพรรดิองค์ปัจจุบันจะรับเธอในฐานะภรรยา เขากลับปฏิบัติต่อเธอในฐานะองค์หญิงไฮเอลฟ์ ราวกับว่าเธอเป็น “เครื่องประดับ”

 

ลูลูช่าผู้ที่ถูกปฏิบัติเหมือนกับ “ส่วนเกิน” ในจักรวรรดินั้นเข้ากันได้ดีกับอนาสตาเซียในแบบคนที่เป็นเหมือนๆกัน

 

「ถึงแม้ว่ากระหม่อมต้องถูกโทษประหาร กระหม่อมก็ขออวยพรให้ฝ่าบาทพบกับความสุขนะคะ」

 

『โปรดอย่าพูดเรื่องน่าเศร้าแบบนั้นเลยค่ะ』

 

『มีใครมาเยี่ยมมั้งไหมคะ?』

 

「ดูเหมือนการแก้ไขสถานการณ์ในตอนนี้จะเป็นเรื่องยากหน่ะค่ะ กระหม่อมไม่ค่อยมีพันธมิตรอยู่แล้วด้วย รองผู้อำนวยการอับบาแห่งสำนักการต่างประเทศก็มาหาอยู่ครั้งนึง แต่เขาเห็นพ่อของกระหม่อมเป็นคู่แข่ง ดังนั้นเขาเลยสอบสวนกระหม่อนเรื่องนู้นเรื่องนี้แล้วจากไป กระหม่อมมั่นใจว่าเขาคงจะกำลังฉลองกันเลยในตอนนี้ค่ะ」

 

『มีอะไรที่ดิชั้นพอจะทำได้ไหมคะ?』

 

「แค่น้ำใจก็เพียงพอแล้วค่ะ โอ๊ะจริงสิ ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นละก็ ท่านสามารถฝากขอบคุณเหล่านักผจญภัยที่ชื่อว่าซิวเวอร์บาลานซ์ที่ช่วยทีมของกระหม่อมเอาใว้ในเขาวงกตแห่งความกลัวจะได้ไหมคะ?」

 

นักผจญภัย? …ขณะที่ถูกขอแบบนั้น อนาสตาเซียก็เอียงคอของเธอ

 

ท่าทางแบบนั้นมันน่ารักมากซะจนชายหลายคนจะต้องตกหลุมรักเธอ ณ ตรงนั้นได้เลย

 

「ดูเหมือนพวกเขามีบางอย่างที่อยากจะบอกกับกระหม่อมหน่ะค่ะ ทว่าสถานการณ์ที่กระหม่อมเป็นอยู่ตอนนี้… กระหม่อมก็ไม่ได้อยากจะรบกวนฝ่าบาทหรอกค่ะ แต่ว่า…」

 

『ไม่ต้องเกรงใจไปหรอกค่ะ』

 

การสนทนากันระหว่างทั้งสองยังคงดำเนินต่อไป

 

ลูลูช่ารู้สึกสบายใจในช่วงเวลานี้

 

========================================================

TL: ช่วงนี้ไม่ค่อยว่างเลยหง่ะ T T

 

 

บทที่ 3 ตอนที่ 16

 

ในตอนที่ผมรู้ตัวนั้นก็ไม่มีใครอยู่ที่แผนกต้อนรับแล้ว ชั้นที่ 1 นั้นไร้ผู้คน ผมอาจจะสามารถหาคนที่ทำงานในชั้นนี้เจอที่ประตูหลังเคาน์เตอร์ก็ได้ แต่พวกเขาดูจะกำลังซ่อนตัวกันอยู่

 

ในความเงียบสงัดอันน่าขนลุกนี้นั้น ได้มีชาวเลฟร่างอ้วนคนหนึ่งเข้ามาผ่านประตูทางเข้า

 

มิมิโนะซังยืนขึ้นอย่างรีบร้อน ทว่าผมก็ได้ยืนขวางหน้าเธอเอาไว้ เตรียมพร้อมที่จะชักมีดของผมทุกเมื่อ

 

「หืมมม พวกเจ้าเป็นสมาชิกของซิวเวอร์บาลานซ์สินะ?」

 

ผิวสีเหลืองเข้มของชาวเลฟคนนั้นเปียกด้วยเหตุผลบางอย่าง และร่างกายที่อ้วยตุ้ยนุ้ยขนาดนั้นก็ทำให้ผมนึกถึงคางคก (toad) เลย – คางคกญี่ปุ่นด้วย (น่าจะหมายถึงกุมป้าในมาริโอ้มั้ง?)

 

เสื้อของเขานั้นไม่ได้จดกระดุมและยังไม่ได้สวมฮูดด้วย เขาหอบหายใจหนักๆ แถมยังมีแท่งไม้ที่เหมือนกับตะเกียบคาปากด้วย แต่จากนั้นเขาก็นำมันออกมาแล้วจุ่มลงในโถโลหะที่ห้อยอยู่ตรงเอวของเขาและนำอะไรบางอย่างเหนียวๆ – ตามที่【World Ruler】บอก มันคือ “น้ำเชื่อม” – ออกมาดูดเข้าปาก

 

「ชุปะ ข้าคืออับบา (Abba) รองผู้บริหารของสำนักการต่างประเทศ ข้าต้องการจะสอบถามเรื่องของหัวหน้าลูลูช่าหน่อย ข้าได้ยินมาว่าเจ้ากับพวกของเจ้าหลอกลวงบริษัทโรโรโระที่เป็นของลูกพี่ลูกน้องข้า ดังนั้น ถ้ามีอะไรจะแก้ตัวละก็ พูดออกมา ชุปะ」

 

「ดูเหมือนจะมีเรื่องเข้าใจผิดหลายเรื่องนะครับ ดังนั้นผมก็เลยไม่แน่ใจว่าจะเริ่มจากตรงไหนดี ก่อนอื่นเลยก็ มาแก้ไขความเข้าใจผิดนี้ก่อนแล้วกันนะครับ พวกเราไม่ได้หลอกลวงใครทั้งนั้นครับ」

 

「แต่ประธานบริษัทบอกว่าพวกเขาถูกหลอกเอาเงิน 1,000 เหรียญทองนะ? ชุปะ」

 

「หะ…? เป็นทางบริษัทเองไม่ใช่หรอครับที่บอกว่าพวกเขาจะซื้อออโตมาตรอนที่พวกเราจัดการได้ด้วยเงินจำนวนนั้นหน่ะ」

 

「ชุปะ งั้นรึ? งั้นนี้ก็ค่อนข้างจะมีปัญหาแล้วละ คดีความงั้นรึ」

 

ถึงชาวเลฟที่เหมือนกับคางคกนี้จะพูดเหมือนกับว่าเป็นเรื่องของคนอื่น แต่สำหรับพวกเรานั้นมันไม่ตลกเลย กลับกันผมเป็นห่วงมูเกะซังที่ไปยังบริษัทโรโรโระตัวคนเดียว เขาจะเป็นอะไรไหมนะ?

 

「และ เหตุผลที่พวกเราถูกล้อมด้วยคนขนาดนี้นั้น เกี่ยวข้องกับลูลูช่าซังสินะครับ?」

 

「ชุปะ」

 

เขาดึงไม้ออกแล้วจิ้มน้ำเชื่อมกินอีกแล้ว

 

「ใช่ เหตุผลหลักเลยละ เธอนั้นถูกสงสัยว่าจะทรยศชาติ พวกเราเลยอยากจะพูดคุยกับพวกเจ้าเรื่องนั้นแหล่ะ ดังนั้นขอให้ตามพวกเรามาโดยไม่ขัดขืนด้วย」อับบาพูดและดูดน้ำเชื่อมจากแท่งไม้อีกครั้งพร้อมกับกับเสียง “ชุปะ”

 

ถึงผมจะเป็นห่วงมูเกะซังก็เถอะ แต่การปฏิเสธไม่ตามไปก็รังแต่จะสร้างความน่าสงสัยมากขึ้น ดังนั้นพวกเราเลยตามเขาแล้วมุ่งหน้าสู่สำนักการต่างประเทศที่อยู่ห่างออกไป 2 บล็อก

 

แน่นอนว่า มีคนคุ้มกันติดอาวุธมากกว่า 100 นายอยู่ด้านนอกอาคาร มีคนมุงดูอยู่ห่างๆ ดูจะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น มันราวกับว่าพวกเราเป็นผู้ก่อการร้ายจริงๆเลย

 

ต่างจากสำนักจัดการเขาวงกต ตัวสำนักการต่างประเทศนั้นมีสไตล์ด้วยกระเบื้องที่พนัง, ที่นั่งตรงระเบียง, และประติมากรรมบนเสาที่ค้ำยันเพดานเอาไว้

 

บางทีคงเพราะพวกเราไม่ได้พูดอะไร อับบาก็เลยไม่พูดอะไรตลอดทางมาที่สำนักการต่างประเทศนี้

 

คนคุ้มกันไม่ได้ตามพวกเราเข้ามาข้างใน พวกเราผ่านล็อบบี้กว่างขวางและเข้ามายังห้องที่ดูเหมือนกับห้องรับแขก

 

พวกเรานั่งลงบนโซฟาหวาย และอับบาก้นั่งลงที่ฝั่งตรงข้าม

 

「พวกเจ้ามีความสัมพันธ์อะไรกับลูลูช่ารึ?」

 

「ผมรู้จักกับแม่ของลูลูช่าซังครับ」ผมพูด

 

「แต่เจ้าค่อนข้างหนุมเลยนะ?」

 

「สายใยระหว่างผู้รอดชีวิตของราชอาณาจักรฟอร์ชานั้นเหนียวแน่นนะครับ」

 

สัญชาตญาณของผมบอกผมว่าไม่ควรเปิดเผยความสัมพันธ์ของผมกับตาแก่จะเป็นการดีกว้า เขาได้พูดอะไรบางอย่างประมาณว่าเขาทำบาปเอาไว้เลยต้องมาที่เหมืองที่ 6… และนักบวชเอลเองก็อธิบายตาแก่แค่ว่าเป็น “นักวิจัยที่ยอดเยี่อม” เท่านั้นเอง

 

「ยิ่งไปกว่านั้นนะครับ ทำไมลูลูช่าซังถึงถูกตั้งข้อหาทรยศชาติหรอครับ? แล้วทำไมสำนักการต่างประเทศ – แผนกที่มีไว้ต่อรองกับต่างประเทศที่ผมเดาเอาจากชื่อ ถึงจับพวกเราเอาไว้ที่นี่ละครับ?」

 

「เห้ย ระวังปากหน่อย พวกเจ้าหน่ะ ชุปะ ถ้าไม่ได้ข้าช่วยต่อรองละก็ พวกเจ้าคงถูกจับโดยหน่อยรักษาความปลอดภัยไปแล้ว รู้ไหม?」

 

「ครับ ต้องขอบคุณจริงๆครับ」

 

ถึงผมจะไม่ปล่อยให้ตัวเองถูกจับได้ง่ายๆก็เถอะ

 

「ดังนั้นแล้วทำไมคุณถึงตัดสินใจช่วยละครับ?」

 

ผมถามออกไปอย่างสงสัย เขาเกี่ยวข้องกับบริษัทโรโรโระที่มีความเป็นไปได้สูงที่พยายามจะวางกับดักมูเกะซังนี้นา

 

「ชุปะ เธอถูกตั้งข้อหาในการใช้ทีมยึดครองที่ถูกจัดตั้งโดยประเทศเพื่อผลประโยชน์ส่วนตน หลังจากที่เข้าไปในเขาวงกตแล้ว เธอไม่คอยส่งรายงานผลประจำเลยสักครั้ง แถมยังสูญเสียคนไปมากมายด้วย」

 

「เธอดูไม่เหมือนคนที่จะทำอะไรอย่างนั้นเลยนะครับ」

 

「แค่เพราะว่าเจ้ารู้จักเธอ ใช่ไหมละ?」

 

「…………」

 

「ถ้าเจ้าได้รับกองทหารมาแล้ว แต่กลับไม่รายงานสถานการณ์เลย มันก็แน่อยู่แล้วที่มันจะสร้างข้อสงสัยขึ้นมา」

 

ผมรู้สึกไม่ดีเลย

 

ในที่สุดผมก็ได้พบกับลูลูช่าซัง—แน่นอนว่า มีเรื่องที่เธอเป็นหลานสาวของตาแก่ฮินกาอยู่ แต่ว่า ลูลูช่าซังนั้นพยายามยึดครองเขาวงกตอย่างจริงจัง และมันก็ไม่สมเหตุสมผลเลยที่เธอจะเข้าไปในเขาวงกตเพื่อก่อกบฏต่อประเทศแบบนี้ แถมเธอยังให้ความสำคัญกับการรักษาลูกน้องของเธอสูงสุดด้วย

 

(การยึดครองครั้งนี้เป็นอุบายเพื่อกำจัดลูลูช่าซังตั้งแต่แรกแล้วงั้นหรอ? ไม่สิ แบบนั้นมันก็ลำบากเกินไป… งั้นมีใครสักคนวางแผนที่จะใส่ร้ายเธองั้นหรอ?)

 

อย่างหลังมีความเป็นไปได้สูง ทว่า นี้ไม่ใช่เวลามามัวคิดทฤษฎีอะไรแบบนั้นแล้ว ผมจะต้องช่วยลูลูช่า

 

「อับบาซัง… สินะครับ? มีอะไรที่พอจะช่วยลูลูช่าซังให้หลุดพ้นข้อสงสัยได้บ้างครับ?」

 

「ฮึมมมม…… ชุปะ」

 

เขาดีงไม้ออกจากปาก

 

「เธอบอกว่าเธอไม่เคยพลาดส่งรายงานประจำสักครั้ง ทว่าคนที่ได้รับมอบหมายให้นำรายงานไปส่งกลับหายตัวไป ไม่ใช่แค่ 1 แต่ถึง 7 คนเลยด้วย ถ้ามีใครสักคนพบพวกเขาละก็ สถานการณ์อาจจะเปลี่ยนไปก็ได้ แต่ว่า… มีเวลาเหลือไม่มากแล้ว คือเคสทรยศชาติหน่ะจะถูกส่งตัดสินเร็ว สั้นสุดก็ 5 วัน และคำตัดสินจะแล้วเสร็จมากสุด 10 วัน」

 

ไม่มีน้ำเชื่อมเหลืออยู่ที่แท่งไม้อีกแล้ว

 

「โทษประหารหน่ะ」

 

ลิ้นสั้นๆของอับบาที่เขาเลียริมฝีปากนั้นช่างน่าขนลุก

 

========================================================

TL: ขออภัยที่หายไปนานครับ

 

 

บบที่ 3 ตอนที่ 15

 

「จะนานเกินไปแล้ว… มันแปลกเกินไปแล้วที่ผ่านมา 2 วันผมก็ยังไม่ได้ข่าวอะไรจากเธอเลย」

 

「จะนานเกินไปแล้ว… มันแปลกเกินไปแล้วที่ผ่านมา 2 วันข้าก็ยังไม่ได้เงินเลย」

 

ผมกับมูเกะซังพูดออกมาพร้อมเพรียงกัน

 

ตอนนี้พวกอยู่ที่โกดังของบริษัทมูเกะซัง เราได้รับอนุญาตให้อาศัยอยู่ที่นี่ได้ในช่วงนี้ นอนบนเตียงแบบโคตรง่ายที่แค่เอาฟางข้าวปูบนท่อเหล็กเท่านั้น ทว่าถ้ามองจากมุมมองนักผจญภัยละก็ แค่มีเตียงให้นอนก็หรูแล้ว แถมยังมีประตูที่สามารถล็อคได้ด้วย ดังนั้นจึงค่อนข้างพอใจกัน

 

ถึงมันจะมีช่วงที่ผมคิดถึงเตียงในคฤหาสน์เอิร์ลซิวลิซส์ก็เถอะ

 

「อืม… เรย์จิคุงกำลังรอการติดต่อจากลูลูช่า และมูเกะซังก็กำลังรอเงินจากการขายออโตมาตรอนสินะ?」

 

「「ใช่」」

 

พวกเราพูดพร้อมกันอีกแล้ว

 

มีเพียงแค่มูเกะซัง มิมิโนะซัง แล้วก็ผมที่อยู่ในห้อง

 

ดันเต้ซังกับน็อนซังออกไปเดินเล่นในเมืองเนื่องจากยังไม่มีการยึดครองเขาวงกตเกิดขึ้น ส่วนเซอรี่ซังนั้นนอนหลับอยู่อีกห้อง ดูเหมือนว่าเมื่อวานเธอจะออกไปแหล่งพนันในจักรวรรดิ แต่ว่า… ตามที่มูเกะซังบอก ในจักรวรรดินั้นไม่มีแหล่งพนันนะสิ

 

อืม มีอย่างนึงที่แน่นอน… ไม่ว่าเธอจะไปไหนมา มันจะต้องไม่ใช่ที่ดีๆแน่

 

ยังไงก็เถอะ

 

「ผมรู้ว่าการรายงานการยึดครองเขาวงกตและจัดเตรียมการรักษาให้กับคนเจ็บนั้นต้องใช้เวลา แต่นี้ก็วันที่ 3 แล้วนะครับ หิมมม เธอลืมหรือปล่าวนะ?」

 

「เดี๋ยวเหอะ〜 จะเป็นงั้นได้ไง พวกเราเป็นถึงผู้ช่วยชีวิตเธอเลยนะ ชั้นไม่คิดว่ามันจะเป็นอะไรที่ลืมได้ง่ายๆหรอกนะ」มิมิโนะซังพูด

 

「มูเกะซัง มีวิธีติดต่อกับแผนกยึดครองดันเจี้ยนไหมครับ?」

 

「อืม แน่นอนว่ามีสิ พวกเราจะไปกันไหมละ?」

 

「ได้ก็ดีครับ」

 

ผมเข้าใจว่าลูลูช่าซังนั้นอาจจะกำลังยุ่งอยู่ก็ได้ แต่ว่าผมมาจนถึงที่นี่ก็เพื่อเธอ ดังนั้นผมจึงอยากจะพบแล้วคุยกับเธอให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้

 

「แล้วคุณละครับ มูเกะซัง? คุณอยากจะไปที่บริษัทที่ซื้อออโตมาตรอนหรือเปล่าครับ?」

 

「สำนักจัดการเขาวงกต– อ๊ะ องค์กรที่จัดการแผนกยึดครองเขาวงกตหน่ะ หลังจากที่ข้าไปส่งพวกนายแล้ว ข้าก็สามารถไปที่บริษัทนั่นด้วยตัวเองได้อยู่」

 

「แต่ 1,000 เหรียญทองจักรวรรดิ์ก็ไม่ใช่เงินจำนานเล็กน้อยที่จะจ่ายได้ทันทีเลยไม่ใช่หรอครับ?」

 

「ไม่หรอกๆ〜 บริษัทที่ชนะประมูลหน่ะเป็นบริษัทหน้าใหม่ไฟแรงที่เติบโตอย่างก้าวกระโดดเลยนะ ดังนั้นไม่มีทางที่พวกนั้นจะไม่มีเงินหรอก! เรื่องที่พวกนั้นเลือกไปกับแผนกที่ 4 แทนที่จะเป็นแผนกที่ 1 นั้นเองก็เป็นหนึ่งในกลยุทธ์ของพวกนั้นเช่นกัน」

 

「หมายความว่าไงหรอครับ?」

 

「ข้าจะอธิบายให้ฟังระหว่างเดินไปกันนี้แหล่ะ เวลาเป็นเงินเป็นทองนะ」

 

มูเกะซังยื่นขึ้นหลังจากที่ดื่มน้ำแก้วนึง

 

ดูเหมือนจะมีคำว่า “เวลาเป็นเงินเป็นทอง” อยู่ในโลกนี้ด้วยเหมือนกันแห่ะ

 

ตามที่มูเกะซังบอก ร้านค้าที่อยู่มานานหรือบริษัทยักษ์ใหญ่นั้นอยากที่จะเข้าร่วมไปกับแผนกที่ 1 ถึง 3 และแผนกที่ 4 ที่นำโดยครึ่งมนุษย์อย่างลูลูช่าซังนั้นไม่ค่อยจะเป็นที่นิยมซะเท่าไหร่ ว่ากันง่ายๆ ในแผนกที่ 4 มีคู่แข่งไม่เยอะนั่นเอง ดังนั้นมันจึงมีโอกาสสูงที่จะครอบครองออโตมาตรอนหายากที่ค้นพบได้ก็เป็นได้

 

「หรือก็คือ 1,000 เหรียญทองจักรวรรดิ์ก็อาจจะถูกไปด้วยซ้ำสำหรับออโตมาตรอนที่เราเจอ」มูเกะซังพูดอย่างตรงไปตรงมา

 

「อ๊ะ มูเกะซัง? ผมรุ้สึกว่าบางทีบริษัทนั่นอาจจะเบี้ยวไม่จ่ายก็ได้นะครับ?」

 

「บริษัทโรโรโระ (Rororo Company) น่ะเรอะ?」

 

ชื่อเห่ยชะมัด!

 

「ตอนนั้นมีพ่อค้าคนอื่นๆอยู่ด้วยหน่ะ ถ้าพวกนั้นไม่ยอมจ่ายละก็ มันจะสร้างชื่อเสียกับบริษัทด้วย ดังนั้นนายไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องนั้นหรอก」

 

「งั้นหรอครับ…」

 

「โอ๊ะ สำนักจัดการเขาวงกตอยู่ตรงนั้นไงละ」

 

พวกเราทิ้งเนโกะจังเอาไว้แล้วลงเดินไปตามถนน

 

แดดนั้นแรงมาก ชาวเลฟทุกคนเลยสวมฮูดสีสว่างอย่างสีขาวและเงินเพื่อสะท้อนแสงอาทิตย์

 

พวกเราได้มาถึงอาคารสีดำที่ตั้งอยู่ตรงพื้นที่ราบทรงจัตุรัสและให้อารมณ์ “หน่วยงานราชการ” อะไรแบบนั้น

 

มีป้ายที่เขียนว่า “สำนักจัดการเขาวงกต” ติดอยู่ที่ทางเข้า

 

「งั้นข้าจะไปที่บริษัทโรโรโระก่อนนะ ถ้าพวกนายต้องใช้ ID ละก็ บอกชื่อของข้าไปได้เลย」

 

「ขอบคุณครับ」

 

มูเกะซังจากไปพร้อมกับโบกมือ

 

ผมเข้าไปภายในสำนักจัดการเขาวงกตพร้อมกับมิมิโนะซัง ภายในนั้นรู้สึกเย็นสบาย บางทีคงเพราะมันอยู่ใต้ร่มเงาด้วยละมั้ง หรือไม่ก็พวกเขาอาจจะมีอะไรอย่างเครื่องปรับอากาศก็ได้

 

มียาม 2 คนสวมเครื่องป้องกันพร้อมหอกโลหะสั้นและกระบองตรงเอวเข้ามาหาพวกเรา แต่เมื่อผมบอกว่าผมต้องการจะพบลูลูช่าซังและเธอเองก็สัญญาว่าจะหาเวลามาพบผมออกไป ทั้งสองคนก็มองหน้ากันสักพัก

 

「ข้าจะไปเช็คกับเบื้องบน ดังโปรดรออยู่ตรงนั้นสักครู่」

 

ล็อบบี้นั้นเล็กเกินกว่าจะเรียกว่าล็อบบี้รับแขกได้ พวกเราถูกชี้ไปยังบริเวณที่มีเก้าอี้สำหรับ 10 คนนั่งตั้งเอาไว้ เป็นสถานที่ที่ไร้รสนิยมจริงๆ ไม่มีการตกแต่งด้วยต้นไม้หรือภาพวาดอะไรทั้งนั้น อย่างกับศูนย์กักกันเลย

 

มีแสงจากข้างนอกลอดผ่านหน้าต่างเข้ามา สามารถเห็นถึงผู้คนชาวเลฟที่เดินผ่านไปผ่านมาอย่างไม่รีบร้อนได้

 

ชาวเลฟดูจะเป็นพวกขยันขันแข็งจริงๆ พวกเราเดินกันค่อนข้างเร็วเลยหล่ะ และก็จะเดินกันตั้งแต่อาทิตย์ขึ้นจนดึกเลยด้วย ที่มูเกะซังบอกว่าไม่มีแหล่งพนันนั้น บางทีอาจจะเป็นเพราะธรรมชาติของชาวเลฟก็เป็นได้

 

「นี้ เรย์จิคุง ชั้นมาพบลูลูช่าซังกับเธอด้วยจะดีหรอ?」

 

มิมิโนะซังถามผมในขณะที่ผมกำลังคิดว่าพวกยามนี้ใช้เวลากันนานจัง

 

「ไม่มีปัญหาครับ ลูลูช่าซังเธอเป็นแค่หลานสาวของผู้มีพระคุณของผมหน่ะครับ」

 

「เอ๋!? งะ-งั้นหรอ?」

 

「อา… ผมยังไม่เคยเล่าให้ฟังหรอครับ?」

 

มาคิดๆดูแล้ว ผมก็ไม่เคยบอกเลยสักครั้งนี้นะ ผมหมายถึงว่า ก็ทุกคนในซิวเวอร์บาลานซ์นั้นอ่อนโยนถึงขั้นที่ว่าพวกเขาไม่เคยถามผมเรื่องตอนในเหมืองเลยนี้นา นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ผมเลยไม่มีโอกาสเล่าเรื่องตาแก่ฮินกาเลย… ไม่ๆ ไม่สิ เดี๋ยวก่อนนะ นั่นหมายความว่าทุกๆคนตามผมมาจนถึงที่นี่โดยไม่ถามสักคำ แค่เพราะผมบอกว่าอยากจะเจอคนที่ชื่อลูลูช่าซังงั้นหรอ?

 

(คนพวกนี้จะอ่อนโยนไปจนถึงขนาดไหนกันนะ…)

 

ผมมันโง่เอง ถึงแม้พวกเขาจะเชื่อใจผมจึงถึงขนาดนี้แท้ๆ… ผมกลับเอาแต่ดีใจที่ได้กลายเป็นสมาชิกของซิวเวอร์บาลานซ์แล้วได้ร่วมเดินทางไปกับทุกคนอีกครั้งนึงเท่านั้นเอง

 

…ผมจะต้องบอกดันเต้ซังกับน็อนซังด้วยเหมือนกันถ้าพวกเขากลับมาแล้ว

 

「ตอนที่ผมอยู่ในเหมือง ได้มีคนๆนึงคอยสอนผมเกี่ยวกับโลกใบนี้หลากหลายอย่างเลยครับ ลูลูช่าซังเธอเป็นหลานสาวของคนๆนั้นหน่ะครับ」

 

「งั้นหรอกหรอ… ขอโทษด้วยนะ ชั้นไม่ได้ตั้งใจที่จะขุดคุ้ย–」

 

「ไม่ ไม่หรอกครับ มิมิโนะซัง ผมไม่คิดว่ามันเป็นการขุดคุ้ยอะไรเลยครับ ผมไม่มีความทรงจำดีๆตอนอยู่ในเหมืองเลยก็จริง แต่ถ้าผมไม่ได้ไปที่นั่นละก็ ผมก็คงจะตายไปแล้วละครับ」

 

ถ้าผมไม่ขายตัวเองละก็ ครอบครัวของผมจะต้องฆ่าผมแน่ๆ แค่เพราะว่าผมมีผมสีดำกับตาสีดำเท่านั้น

 

มิมิโนะซังตกตะลึง ทว่าผมก็พยายามทำให้ดูร่าเริงเข้าไว้

 

「มันเป็นแค่อดีตไปแล้วละครับ ตอนนี้ ผมมีความสุขที่ได้ออกผจญภัยกับมิมิโนะซังและคนอื่นๆแล้วครับ ผมไม่ได้ติดใจอะไรแล้วละครับ」

 

จากนั้นผมก็เล่าเรื่องของตาแก่ฮินกา เรื่องหลายอย่างที่ผมได้เรียนรู้มาจากเขา มิมิโนนั้นตกใจตอนที่ผมพูดเกี่ยวกับยาสมุนไพรจนพูดว่า “เขาเป็นคนที่มีความรู้ขนาดนี้เลยหรอ?” ขนาดในมุมมองของฮาล์ฟลิงที่เชี่ยวชาญสมุนไพรอย่างมิมิโนะซัง ตาแก่ฮินกาก็ดูจะมีความรู้ที่โดดเด่นมากๆเลยนะ

 

ผมคุยเพลินจนลืมเวลาเลย ทว่า—จู่ๆผมก็ได้ยินเสียงแปลกๆ ก็เลยหยุดพูดลง

 

「หืมมม เป็นอะไรไปหรอเรย์จิคุง? แล้วก็นะ ทำไมยามพวกนั้นใช้เวลานานจังเลยเนี่ย?」

 

「มิมิโนะซัง」

 

ผมเข้าใจได้ทันทีแม้จะไม่ต้องใช้เสริมการได้ยินก็ตาม—ว่าที่ข้างนอกนั้นไม่มีใครเดินผ่านไปมาเลย

 

ผู้คนที่ผ่านไปมาที่ด้านนอกหน้าต่างนั้นไม่มีอยู่แล้ว

 

และก็ไม่มีใครสักคนเข้าออกอาคารหลังนี้เลยด้วย

 

ขณะที่ผมเงี่ยหูฟัง ผมก็ได้ยินเสียงโลหะกระทบกันเบาๆ

 

「ดูเหมือนว่าตึกนี้จะถูกล้อมด้วยกลุ่มคนติดอาวุธแล้วครับ ผมเองก็ไม่อยากจะคิดหรอก แต่เป็นไปได้สูงที่พวกนั้นจะเล็งเป้ามาที่พวกเราครับ」

 

เกิดอะไรขึ้นกันแน่เนี้ย? ผมก็แค่อยากจะมาพบลูลูช่าซังเท่านั้นเองนะ!

 

 

 

บทที่ 3 ตอนที่ 14

 

* ลูลูช่า *

 

ลูลูช่านั้นไม่เคยได้ยินเกี่ยวกับออโตมาตรอนตัวนี้มาก่อน – อย่างน้อยๆก็ไม่มีอยู่ในบันทึกข้อมูลเขาวงกตที่คนระดับเธอซึ่งเป็นถึง “หัวหน้าแผนกยึดครองเขาวงกต” นั้นเข้าถึงได้

 

『จงถูกกลืนกินด้วยความกลัว』— เพียงแค่ถ้อยคำนั้นจากออโตมาตรอน ทุกๆคนต่างก็คุกเข่าลงกับพื้น

 

(นะ-นี้มันอะไรกัน…!?)

 

ลูลูช่าตกตะลึง เธอนั้นคิดเพียงแค่ว่ามันเป็นออโตมาตรอนแปลกๆที่มี 4 แขนซึ่งแตกต่างจากตัวอื่น ทว่า ทุกคนกลับถูกบังคับให้หมอบอยู่กับพื้นเพียงแค่ประโยคเดียวเท่านั้น

 

อารมณ์ที่พลุ่งพล่านส่งผลต่อจิตใจของเธอ เธอนั้นรู้สึกเย็นยะเยือกไปจนถึงแก่นของร่างกาย ไม่อาจหยุดสั่นกลัวได้

 

ตีนตะขาบเริ่มขยับและออโตมาตรอนตัวนั้นก็ได้ตรงเข้ามาที่หนึ่งในสมาชิกของทีม มันได้ยกแขนที่เหมือนกับหอกขึ้นเหนือหัวสมาชิกคนนั้นที่คุกเข่าอยู่

 

「ไม่ หยุดนะ…」

 

อัญมณี 3 เม็ดเริ่มกระพริบแบบสุ่มไปมาร่าวกับกำลังส่งสัญญาณ แล้วแทงแขนแหลมเข้าไปที่ท้องของสมาชิกคนนั้น

 

「อั๊ก!? อะ-อ้า… อ๊ากกกก!」

 

เมื่อหอกถูกดึงออก เลือดก็ไหลทะลักออกมา สมาชิกคนนั้นที่เอามือกุมท้องนั้น แม้จะเจ็บปวด แต่ก็เงยหน้ามองกลับไปที่ออโตมาตรอนทั้งน้ำตา เขาคงอยากจะกรีดร้องออกมาสุดเสียง อยากจะร้องไห้ ทว่าเขาก็ยังอดทนเอาไว้แล้วทำเพียงแค่มองกลับไปอย่างสั่นกลัว เธอสงสัยว่าลูกน้องคนนี้ของเธอนั้นกำลังพยายามทำตัวกล้าหาญอยู่หรือเปล่านะ?

 

ออโตมาตรอนตัวนั้นไล่แทงเพื่อนๆของเธอทีละคน ทีละคน ทั้งที่ท้อง, ที่แขน, ที่ต้นขา ทว่าไม่มีที่ใบหน้าหรือจุดตายเลย—ราวกับว่ามันไม่ได้มีเจตนาฆ่าแต่อย่างใด

 

「อะ-อา…」

 

ลูลูช่ารู้สึกตัว

 

(มันกำลังพยายามปลูกฝัง “ความกลัว” อยู่… ถ้าเหยื่อตายไปละก็ มันก็จะไม่เหลืออารมณ์ใดๆทั้งนั้น)

 

แค่ทำให้บาดเจ็บแต่ไม่ถึงตาย เพื่อทำแบบนั้น มันจึงพยายามปลูกฝังความกลัวและยังดึง “ความน่ากลัว” ของดันเจี้ยนนี้ออกมาด้วย

 

อย่างไรก็ตาม ถ้าไม่รีบช่วยเหลือละก็ พวกเขาคงจะตายจากอาการบาดเจ็บอยู่ดี

 

「อึก!」

 

 

ในโถงที่มีมากกว่า 100 คนแห่งนี้ กว่าครึ่งนั้นได้ถูกแทงไปแล้ว ทั้งเลือดใหลและร้องระงมด้วยความเจ็บปวด และแล้วตอนนี้ ออโตมาตรอนก็ได้มาอยู่ข้างหน้าของลูลูช่าแล้ว

 

อัญมณีที่ฝังอยู่บนตัวของมันนั้นกระพริบ ลูลูช่าไม่รู้ว่ามันหมายความว่ายังไง

 

และออโตมาตรอนก็ได้แทงหอกไปยังลูลูช่าー

 

「Flame Tornado!」

 

ลูลูช่าได้ยินเสียงนั้น—จากทางเดินด้านหลังของพวกเธอ

 

พายุหมุนแห่งไฟนรกได้กระแทกที่ด้านข้างของออโตมาตรอน

 

ถึงจะเป็นช่วงกระทันหัน ทว่าออโตมาตรอนก็ได้เอียงท่อนบนของมันเพื่อหลบเวทมนตร์นั้น

 

มันเป็นเวทมนตร์ เวทมนตร์ที่เห็นได้ยากในประเทศนี้ อย่างไรก็ตาม ลูลูช่าก็รู้ว่านี้ไม่ใช่เวทมนตร์ธรรมดาๆ แต่เป็นเวทมนตร์ระดับสูง

 

「มันหลบการโจมตีได้ครับ! ระยะห่างมันมากเกินไป!」

 

ถึงยังนั้น เสียงที่เธอได้ยินกลับเป็นเสียงเด็กๆ ไม่เหมือนกับเสียงของนักเวทย์ชั้นสูงเลยสักนิด

 

「พุ่งเข้าไป!!!!」

 

เสียงชายหยาบกร้านดังขึ้น และเธอก็ได้ยินเสียงคนหลายคนเข้ามาในโถงใหญ่แห่งนี้

 

ทว่า ออโตมาตรอนดูจะไม่ได้สนใจอะไรกับการโจมตีทีเผลอนี้เลย อัญมณี 3 เม็ดเริ่มกระพริบตอบสนองกับผู้บุกรุกกลุ่มใหม่

 

「ย-อย่า–」ลูลูช่าพยายามเตือน

 

มีใครกำลังมาช่วย ชั้นขอบคุณจริงๆ แต่ว่าศัตรูตัวนี้นั้นต่างออกไป มันไม่ใช่มอนสเตอร์ธรรมดาแล้ว ถ้าไม่ทำอะไรละก็ พวกคุณก็จะเจอกับชะตากรรมเดียวกันนะ

 

『—จงถูกกลืนกินด้วยความกลัว—』

 

ทว่า เธอก็เตือนไม่ทันเวลา

 

「กลัวๆๆๆอยู่นั่นแหล่ะ! น่ารำคาญจริง!」มนุษย์สัตว์เผ่าแมวพูด

 

เอ๊ะ? ลูลูช่าไม่เชื่อสายตาตัวเอง มนุษย์สัตว์เผ่าแมวคนนั้นได้กระโดดเตะไปยังออโตมาตรอนตัวนั้น ท่อนบนของมันนั้นเอียงไปมาก แต่ด้วยการที่มันมีขาเป็นล้อ ดังนั้นมันจึงค่อยข้างมั่นคงอยู่

 

「โอ้วววววว!」

 

ชายที่สั่งการเมื่อสักครู่ได้สไลด์ไปที่ด้านข้างแล้วเหวียงคทาหน้าตาโหดๆใส่ ออโตมาตรอนพยายามป้องกันด้วยแขนทั้ง 4 ข้าง ทว่าคทาก็ได้บดทำลายแขนทิ้ง

 

「เยี่ยมเลยครับ ดันเต้ซัง!」

 

จากนั้นเธอก็ได้ยินเสียงของเด็กหนุ่ม เขาได้วิ่งเข้าหาออโตมาตรอนตัวนั้น—การวิ่งของเขานั้นเงียบเชียบอย่างมาก—ซึ่งกำลังล้มลงจากแรงของคทา และกระโจนเข้าใส่ร่างของออโตมาตรอนด้วยแรงกระโดดที่เหนือมนุษย์ปกติ

 

จากจุดนั้น เขาก็เคลื่อนไหวที่เรียกไม่ได้ว่าเป็นการต่อสู้เลย

 

ด้วยความคล่องแคล่วของมือของเขา เขาได้เสียบปลายมีดเข้าไปในอัญมณีเม็ดนึงแล้วดึงมันออกมาอย่างง่ายดาย

 

คี้คี้คี้คี้คี้———— ………….

 

เสียงแหลมสูงดังขึ้น ก่อนที่ออโตมาตรอนตัวนั้นจะหยุดเคลื่อนไหวไป

 

「พวกเขา… กำจัดมันได้หรอ?」

 

เกิดอะไรขึ้นกัน? คนพวกนั้นดูจะไม่ใช่ชาวเลฟแน่ๆ ดังนั้นพวกเขาเป็นนักผจญภัยงั้นหรอ? — คนพวกนี้เป็นใครกันแน่?

 

「มิมิโนะซัง, น็อนซัง! จบแล้วครับ! รีบรักษาคนเจ็บกันเถอะครับ!」

 

「รับทราบ!」

 

「ได้เลย!」

 

ลูลูช่านั้นทึ่งในการเคลื่อนไหวของพวกเขา

 

「ชะ-ใช่แล้ว! คนที่ยังขยับอยู่ได้ทำการรักษาคนเจ็บ! เร็วเข้าห้ามเลือดซะ!!」ลูลูช่าออกคำสั่ง

 

* * * *

 

ดูเหมือนว่าพวกเราจะมาทันเวลานะ ถึงจะเกือบไปแล้วก็เถอะ บางคนนั้นหมดสติจากอาการบาดเจ็บไปแล้ว แต่ก็ยังไม่มีใครตาย

 

「พวกคุณช่วยพวกเราเอาไว้ได้พอดีเลย ต้องขอบคุณจริงๆ ไม่ใช่แค่กำจัดออโตมาตรอนตัวนั้นให้ พวกคุณยังรักษาคนเจ็บให้ด้วยแบบนี้」

 

หญิงสาวที่ดูจะเป็นหัวหน้าก้มศีรษะของเธอให้กับพวกเรา

 

เธอนั้นมีนัยน์ตาสีอำพัน ผมยืนยันแล้วว่าตาของเธอนั้นเป็นสีเดียวกับตาแก่ฮินกาแล้วถามออกไป

 

「คุณคือลูลูช่าซังใช่ไหมครับ?」

 

「อืม ใช่แล้วละ ชั้นคือลูลูช่า หัวหน้าแผนกยึดครองเขาวงกตที่ 4 ทว่าเนื่องจากมีคนเจ็บเป็นจำนวนมาก การยึดครองก็คงจะไปต่อไม่ได้แล้วละ… ดังนั้น ครั้งนี้พวกเราจะถอยกันก่อน」

 

อย่างที่คิดเลย คนๆนี้คือลูลูช่า หลานสาวของตาแก่ฮินกาจริงๆด้วย

 

อาาา ใบหน้าของเธอก็ดูคล้ายกับตาแก่นิดหน่อยนะ ー ท่าทางที่ดูเป็นคนมีเหตุผลแบบนี้

 

「อืม จริงๆแล้วผมมีเรื่องที่ต้องคุยกับคุณหน่ะครับ」

 

「ชั้นขอโทษนะ ชั้นเองก็อยากจะถามเธออะไรหลายๆอย่างเหมือนกัน แต่ว่าชั้นอยากจะออกไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุดเพื่อรักษาลูกน้องของชั้นหน่ะ」

 

「อา…」

 

ลูลูช่าพูดด้วยสีหน้าขอโทษ …พอคิดดูแล้ว นั่นก็เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนี้ละนะ

 

「หลังจากที่ทุกอย่างสงบลงแล้ว ชั้นจะหาเวลามาพบนะ แบบนั้นได้ใช่ไหม?」

 

「ครับ… ได้แน่นอนครับ ไม่มีปัญหาครับ」ผมพูด

 

「พวกข้าจะช่วยในการถอนกำลังด้วยเช่นกัน」ดันเต้ซังพูด

 

เนื่องจากจำนวนคนในกลุ่มนั้นมีมากกว่า 100 คนแถมยังบาดเจ็บกันด้วย การถอนกำลังจึงต้องใช้เวลาสักหน่อย

 

ในขณะนั้นเอง มูเกะซังก็กำลังต่อรองกับพ่อค้าคนอื่นๆที่พูดว่าพวกเขาอยากจะ “ซื้อ” ออโตมาตรอนที่พวกเราจัดการ — พวกพ่อค้าแทนตัวมูเกะซังว่า “บริษัทโกโรโกโส” เหมือนกับพ่อค้าเมื่อก่อนหน้านี้ด้วย ดังนั้นมูเกะซังจึงเริ่มถกแขนเสื้อราวกับเขากำลังมีไฟ

 

「เอาละ ข้าก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรที่จะขายออโตมาตรอนหรอก ดังนั้นมาประมูลกันดีกว่า」

 

「ไม่เอาหน่า มูเกะซัง พยายามจะขูดรีดพวกเราหรือไง? นายมาทีหลังนะรู้ตัวไหม?」

 

「โอ๊ะ งั้นนายอยากจะให้ข้ารอให้ทุกคนตายก่อนแล้วค่อยมางั้นหรอ?」

 

「อะ-อุ๊ก… เข้าใจแล้ว มาประมูลกันโดยได้แค่โหวตเดียวต่อคนละกัน」

 

「เอางั้นก็ได้ โปรดเขียนราคาใส่กระดาษแล้วส่งมาให้ข้า โอ๊ะและแน่นอนว่า พวกนายไม่สามารถปรึกษาเรื่องราคากันได้! เขียนราคาลงไปตอนนี้เลย! ถ้าไม่เขียนละก็ พวกนายก็หมดสิทธิ์นะ!」

 

มูเกะซังดูจะกลายเป็นพ่อค้าหน้าเลือดไปแล้วยังไงก็ไม่รู้

 

「…อุ๊ก… เป็นแค่บริษัทโกโรโกโสแท้ๆ」

 

「…อดทนไว้ ออโตมาตรอนตัวนั้นมันมีความสามารถเหลือเชื่อมากเลยนะ」

 

「…เป็นมูลค่ามหาศาลเลยละ」

 

หูของผมได้ยินที่พวกเขาพึมพำด้วย【เสริมการได้ยิน】

 

หลังจากนั้นสักพัก ผมก็เห็นหนึ่งในบริษัทพวกนั้นกระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจ ในขณะที่บริษัทอื่นๆทำสีหน้าผิดหวัง ดูเหมือนจะมีบริษัทที่ให้ราคาดี และการชำระเงินนั้นจะทำหลังจากกลับไปที่จักรวรรดิ

 

「นะ-นี้มัน… จะ-จะ-จะดีจริงๆหรอ!? เงินจำนวนมากขนาดนี้เลยนะ!」

 

มูเกะซังที่ทำตัวเท่ก่อนหน้านนี้นั้น ดูจะกลับมาเป็นคนเดิมแล้ว

 

「ใจเย็นหน่าครับ มูเกะซัง ออโตมาตรอนแบบนั้นก็สมราคาแล้วครับ」

 

「ตะ-ตะ-แต่ว่า 1000 เหรียญทองจักรวรรดิเลยนะ!?」

 

ไหนดูสิ… เหรียญทองจักรวรรดิน่าจะอยู่ราวๆ 300,000 ถึง 500,000 เยนต่อเหรียญ นั่นก็หมายความว่า… มากกว่า 300 ล้านเยน!? ว้าว นั่นมันสุดยอดไปเลยนี้!

 

ออโตมาตรอนที่พวกเราจัดการนั้นตัวเล็กกว่าที่พวกเราพบระหว่างทางมาที่นี่ แต่สภาพของมันนั้นยังสมบูรณ์อยู่ยกเว้นแขนที่เสียหาย ผมได้ยินมาว่านี้เป็นครั้งแรกที่พวกเขาเจอกับออโตมาตรอนที่ใช้ “กับดักอารมณ์” ー เป็นครั้งแรกที่โดนออโตมาตรอนปลูกฝังความกลัวของการ “ถูกกวาดล้าง” ดังนั้นไม่แปลกใจเลยว่าทำไมพวกพ่อค้าถึงอยากได้มันไม่ว่าจะยังไงก็ตาม

 

(แต่ว่า ออโตมาตรอนไม่สามารถควบคุม “อารมณ์” ได้ด้วยตัวมันตัวเดียว)

 

มีวัตถุดิบอยู่ไม่มากที่บรรทุกอยู่บนถาดของเนโกะจัง ดูเหมือนว่าอัญมณีที่เหมือนกับตานั้นสามารถขายได้สูงในฐานนะหินเวทมนตร์ ดังนั้นพวกเราก็เลยเก้บมาทั้งหมดเลย มูเกะซังเป็นคนแยกส่วนอุปกรณ์เวทมนตร์ที่เหลือ ทว่าเขาบอกว่ามันไม่ได้อะไรเท่าไหร่

 

บริษัทที่ซื้อออโตมาตรอนไปนั้นบรรทุกมันด้วยความระมัดระวังอย่างดีที่สุด

 

「ดันเต้ เรย์จิคุง พวกนายควรทานยานี้นะ」

 

「ถึงเวลาแล้วหรอ?」

 

「ยังหรอก แต่มันอาจจะหมดฤทธิ์ตอนขากลับก็ได้ ดังนั้นปลอดภัยไว้ก่อนดีกว่า~」

 

มิมิโนะซังมอบยาที่ชื่อว่า “ปรับสภาพมานา (Mana Neutralizer)” ซึ่งมีผลในการปรับสภาพมานาในร่างกาย ถ้าความคิดที่ว่า “กับดักอารมณ์” ใช้มานาที่ไหลเวียนอยู่ในดันเจี้ยนนั้นถูกต้องละก็ “กับดักอารมณ์” ก็จะใช้ไม่ได้ถ้ามานาในร่างกายถูกทำให้เป็นกลางไปแล้ว และการที่มันเป็นความจริงนั้น มันก็เป็นไปได้ที่จะลบล้าง “กับดักอารมณ์” ที่ปล่อยออกมาจากออโตมาตรอนได้

 

ถึงผมอาจจะต้องหาวิธีอื่นถ้าเจอกับกับดักแบบอื่นๆก็เถอะ

 

อนึ่ง ปรับสภาพมานานั้นมักถูกใช้ในตอนที่เกิดอาการโรคมานาจากการสะสมมานามากเกินไป และมันก็ไม่ใช่ยาที่จะใช้กันทั่วไปด้วย ถึงยังนั้น มิมิโนะซังก็ทำมันขึ้นมาจากสมุนไพรที่เธอมีอยู่ได้

 

สมาชิกปาร์ตี้ของพวกเรานี้มันสุดยอดจริงๆ

 

ไม่มีใครถามถึงเรื่องที่ทำไมพวกเราถึงไม่โดนการโจมตีของออโตมาตรอน บางทีคงเพราะสิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนี้ก็คือการถอยทัพไปยังที่ที่ปลอดภัยละมั้ง

 

ยาของมิมิโนะซังกับมานาของน็อนซังนั้นมีจำกัด ดังนั้นทำการปฐมพยาบาลเบื้องต้นให้กับทุกคนนั้นจึงเป็นสิ่งที่พวกเขาทำได้ในตอนนี้

 

หลังจากจุกนั้นก็ไม่มีการต่อสู้กับออโตมาตรอนอีกเลย แล้วพวกเราก็สามารถออกมาจาก “เขาวงกตแห่งความหวาดกลัว” ได้ ー ดูเหมือนเวลาจะผ่านไปหนึ่งวันแล้ว และคนเจ็บก็ได้ถูกพาลงไปด้วยลิฟต์พร้อมกับอาบแสงอาทิตย์ยามเช้า

 

「ลาก่อน ซิวเวอร์บาลานซ์ ชั้นจะติดต่อไปในเร็วๆนี้นะ พวกคุณช่วยพวกเราเอาไว้จริงๆ」

 

ลูลูช่าก้มหัวให้กับพวกเราก่อนจะจากไปอย่างห้าวหาญ

 

ทว่า เวลาผ่านไปแล้ววันสองวัน ลูลูช่าซังก็ยังไม่ติดต่อพวกเรามาเลย

 

 

 

บทที่ 3 ตอนที่ 13

 

「ก็ประมาณนั้นละครับ… ทั้งหมดที่ผมคิดได้ เอ๊ะ เป็นอะไรไปหรอครับ มูเกะซัง」

 

เมื่อผมพูดจบ มูเกะซังก็มองมาที่ผมอย่างอึ้งๆ

 

「ปะ-เป็นเรื่องจริงงั้นหรอ? แบบจริงของจริงๆหน่ะ?」

 

「คือ ผมเองก็ยังยืนยันไม่ได้ครับจะเป็นยังงั้น… แต่มันก็เกือบจะแน่นอนแล้วครับว่าเราไม่สามารถควบคุมอารมณ์ได้ง่ายๆถ้าไม่มีกับดักคอยสร้างมานาในร่างกายก่อนครับ」

 

「เป็นการค้นพบครั้งยิ่งใหญ่เลยนะ รู้ไหม้!?」

 

「……เอ๊ะ?」

 

มูเกะซังโน้มตัวมาจับไหล่ผมอย่างตื่นเต้น

 

「ที่ทุกการยึดครองเขาวงกตแต่ละครั้งล้มเหลวก็เพราะเสียการควบคุมอารมณ์อย่างใดอย่างหนึ่งไป! ถ้าการคาดเดาของเรย์จิซังถูกต้องละก็ ก็จะสามารถดำเนินการยึดครองต่อจากจุดที่ติดได้ทันทีเลยละ!!」

 

「นี้พวกเขาไม่สังเกตเห็นมาก่อนเลยหรอครับ?」

 

「ข้าเองก็ไม่รู้ แต่ข้าไม่เคยได้ยินอะไรอย่างที่ทฤษฎีของเรย์จิซังเลย ทุกคนเอาแต่คิดว่าจะรักษาอารมณ์ของตัวเองยังไง」

 

「งั้นหรอครับ」

 

ผมสังเกตเห็นว่าความคิดของผมนั้นใกล้เคียงกับที่ผู้คนในยุคปัจจุบันของโลกคิด; ความคิดแบบหลักวิทยาศาสตร์ มันอาจจะเป็นความคิดแปลกใหม่สำหรับผู้คนบนโลกนี้ที่มีเวทมนตร์ก็ได้

 

อย่างไรก็ตาม ผมเองก็เห็นตัวแปรอื่นที่สำคัญยิ่งกว่านี้เช่นกัน

 

「สกิล…」

 

ชาวเลฟนั้นไม่สามารถรับสกิลได้ นั่นถึงเป็นเหตุผลว่าทำไมพวกเขาถึงไม่รู้จัก【เวทย์มนุษย์】ถึงผมเองก็จำได้แค่ลางๆจากที่ตาแก่ฮินกาพูดเมื่อนานมาแล้วก็เถอะ

 

อุปกรณ์ที่ถูกนำออกจาก “เขาวงกตแห่งอารมณ์ทั้ง 9” นั้นนำความมั่งคั่งมาสู่ชาวเลฟ ทว่าในทางกลับกัน มันก็ดูจะย้อนแย้งสำหรับผมที่ว่าชาวเลฟที่ไม่สามารถใช้หินสกิลได้จะต้องยึดครองดันเจี้ยนโดยมีแค่ปัญญาอย่างเดียวแบบนี้

 

「แล้วก็นะครับ… ทำไมชาวเลฟถึงไม่สามารถใช้หินสกิลได้หรอครับ?」

 

「ข้าเองก็ไม่รู้ คือว่าข้าเองก็สนใจเรื่องนี้เหมือนกัน ดังนั้นข้าจึงลองมาหลายวิธีแล้ว แต่ก็…」มูเกะซังพูดพร้อมกับคอตก

 

ปรากฏว่ามูเกะซังได้เคยซื้อหินสกิลที่ด้านนอกจักรวรรดิแล้วพยายามใช้มันหลายต่อหลายครั้งแล้ว ทว่าไม่มีครั้งไหนสำเร็จเลย

 

「เพราะแบบนั้น พวกเราก็เลยถูกเรียกว่า “เผ่าต้องคำสาป” แบบนี้ อาาา…」มูเกะซังพูดไปไหล่ตกไป

 

ผมพอจะเข้าใจเขานะ

 

(“เด็กน่ารังเกียจ”, “เด็กแห่งหายนะ” …เพราะผมเองก็เคยเจอมาเหมือนกัน)

 

ผมถูกข่มเหงเพียงแค่เพราะว่าผมมีผมสีดำกับตาสีดำ

 

ผมจับไปที่ผมของตัวเอง ตอนนี้ด้วยคำขอของมิมิโนะซัง ผมของผมจึงเป็นสีส้มๆ เธอบอกผมว่า “พวกเราเหมือนกันอีกครั้งแล้ว!” แต่ผมของเธอเป็นสีอำพันไม่ใช่หรอ

 

「แต่เอาเถอะ!」มูเกะซังตบมือ「ดังนั้นแล้วทุกคน ข้ารู้สึกว่าข้าทำเงินมาได้มากพอแล้ว แต่แล้วพวกนายอยากจะทำอะไรต่อละ?」

 

「เอ๊ะ? คุณทำเงินได้หรอครับ? ผมเผาออโตมาตรอนด้วยเวทมนตร์ไปถึงขนาดนั้นนะครับ…」

 

「ส่วนขับเคลื่อนของล้อยังสมบูรณ์ดี แถมหินเวทย์ที่พังก็สามารถขายได้ราคาสมเหตุสมผลอยู่ ถึงพวกเราจะสามารถจัดการมันง่ายๆด้วย Magi Lightning ได้ก็ตาม แต่ถ้าทำแบบนั้น มันจะทำลายวงจรเวทมนตร์ด้านในหมดเลยหน่ะสิ」

 

「อ่าา…」

 

ผมได้ยินมาว่าแผนกยึดครองเขาวงกตเองก็มีอาวุธแบบนั้นอยู่

 

แน่นอนว่า ไฟฟ้านั้นใช้ได้ผลดีมากกับศัตรูประเภทเครื่องจักร

 

ทว่า【เวทย์สายฟ้า】นั้นขึ้นชื่อในเรื่องความไม่สะดวก คุณไม่สามารถควบคุมทิศทางในตอนที่ยิงออกไปได้ ถึงจะโดนอีกฝ่ายง่ายขึ้นถ้าอีกฝ่ายใช้อะไรแบบหอกก็เถอะ แต่นั่นเป็นเพราะมันทำงานเหมือนกับสายล่อฟ้า แถมพลังทำลายยังด้อยกว่ามานาที่สูบไปเองก็เป็นหนึ่งจุดเด่นของมันอีก

 

บางทีอาจจะเป็นไปได้ที่จะยิงมันใส่ตรงๆในระยะใกล้ก็ได้นะ?

 

จนถึงตอนนี้ ผมจัดการพวกออโตมาตรอนโดย Flame Tornado แต่บางทีผมควรจะหาวิธีอื่นนะ จะตรึงศัตรูเอาไว้ด้วย【เวทย์บุบพา】ดีหรือเปล่า? แต่ว่าที่นี่ไม่มีต้นไม้นี้นา…

 

ขณะที่ผมคิดแบบนั้น–

 

「อุหิหิหิ วันนี้วันเดียวข้าได้เงินมามากกว่ากองคาราวานทั้งเดือนซะอีก หิหิหิ! ข้าคงหยุดเข้าเขาวงกตไม่ได้แล้วหลังจากนี้」

 

โอ้ไม่นะ นี้ไม่ดีแล้ว ตาของมูเกะซังกลายเป็นเงินไปแล้ว

 

「ใช่ แต่ว่านี้เองก็เหมือนกับการพนันนะคะ เพราะคุณจะต้องเดิมพันด้วยสิ่งที่เรียกว่าชีวิต」น็อนซังพูดด้วยรอยยิ้มบริสุทธิ์ก่อนที่ผมจะได้พูดอะไร

 

「จะ-จริงด้วย…」มูเกะซังพยักหน้าอย่างเงียบๆ

 

คุณเองก็เข้าใจสินะครับ มูเกะซัง? ที่น็อนซังนั้นน่ากลัว…

 

「แต่ว่านะ… มูเกะซัง ถ้านายอยากจะกลับละก็ พวกเราก็จะออกจากเขาวงกตกัน ยังไงซะ งานของเราคือการคุ้มกันนายอยู่แล้ว」

 

ค่าธรรมเนียมคำร้องนั้นก็ไม่ได้มากอะไร แต่พวกเราจะได้ครึ่งนึงของกำไรที่ได้จากการขายของดรอปด้วย เนื่องจากการที่มูเกะซังดูค่อนข้างมีความสุข ผมคิดว่ามันคงจะได้ค่อนข้างมากเลยทีเดียว

 

「อืม… นายคิดว่าไงละ เรย์จิซัง?」

 

「เอ๊ะ ผม?」

 

「ใช่ๆ นายเป็นคนคิดทฤษฎีสุดยอดนั้นขึ้นมา ดังนั้นนายเองก็ต้องมีแผนอะไร ใช่ไหมละ? บอกข้ามาทีเถอะ〜!」

 

「…………」

 

มูเกะซังที่ตาเป็นเงินนั้นค่อนข้างน่ารำคาญเลยทีเดียว

 

「อืมมม ผมอยากจะยืนยันกับดักหน่ะครับ ดังนั้นผมจึงอยากจะไปต่อ」

 

「งั้นก็ไปต่อกัน! ข้าจะใช้เงินที่ได้จากการสำรวจครั้งนี้ปรับปรุงร้านอย่างที่ข้าใฝ่ฝันมานานหลายปี!」

 

อืมมม อย่าพูดปักธงอย่างนั้นสิครับ…

 

「ยิปปี้! เค้าจะหาเงินเยอะๆที่นี่แล้วจะจ่ายหนี้คืนหนุ่มน้อยให้หมดเลย!」เซอรี่ซังกระโดดโลดเต้นด้วยความตื่นเต้น

 

ธงอีกอันนึงแล้ว! ผมรู้สึกเหมือนกับพวกเรากำลังจะชิบหายแล้วเลย!

 

*ลูลูช่า *

 

「ศัตรู… ถูกทำลาย」

 

「พวกเราจัดการพวกมันได้ไหม?」

 

ลูลูช่าเกือบจะทิ้งตัวลงบนพื้น

 

เธอถูกบังคับให้ใช้ Magi Lightnings ไปเกือบหมด ทว่าเธอก็สามารถขับไล่ออโตมาตรอนไปได้ ทั้งกลุ่มนั้นถูกบังคับให้ต่อสู้กับออโตมาตรอนจำนวนมาก และก็มีผู้คนมากมายได้รับบาดเจ็บ

 

เธอกำลังตั้งคำถามกับสวรรค์ว่าเธอไม่มีทางเลือกอื่นแล้วนอกจากถอนกำลังแล้วงั้นหรอ

 

(ชั้นคิดตื้นเกินไป…)

 

เธอคิดจริงๆว่าเธอจะสามารถจัดการทุกอย่างได้ด้วยเพียงแค่เมจิคเกียร์ คิดว่าบางทีเธออาจจะสามารถยึดครองเขาวงกตแห่งความหวาดกลัวได้ก็ได้ แถมยังคิดว่าเสบียงนั้นเพียงพอแล้ว

 

แต่เมื่อมองดูสถานการณ์ในตอนนี้แล้ว… ไม่มีอะไรที่เธอสามารถทำได้เลยถ้าเสบียงตัวกระตุ้นหมด

 

「โอ้แหม่ จบแล้วงั้นหรอ?」

 

「ไม่คิดเลยว่าพวกเราจะรอดอะไรแบบนั้นมาได้」

 

「พวกนายมีนักผจญภัยคอยคุ้มกันอยู่ใช่ไหมละ?」

 

ชาวเลฟของบริษัทที่มาด้วยกันกับแผนกยึดครองที่ 4 นั้นต่างพูดนั้นพูดนี้กัน ทว่าลูลูช่านั้นไม่อาจสนใจคำพูดพวกนั้นได้เลย

 

「รักษาคนเจ็บ! เร็วเข้า! ตรวจสอบจำนวนคนที่สามารถขยับได้ซะ!」

 

「หัวหน้า ของดรอป…」

 

「ให้บริษัทพวกนั้นจัดการ」

 

เท่าที่ตาเห็น ไม่มีอันไหนที่ไม่เสียหายเลย แถมเขม่าควันจากออโตมาตรอนก็ลอยคละคลุ้งไปหมด เพียงแค่มองดูสถานการณ์ในตอนนี้ก็สามารถบอกได้เลยว่าการต่อสู้ครั้งต่อไปนั้นเป็นไปไม่ได้แล้ว

 

(แต่ว่า… ชั้นยังยอมแพ้ไม่ได้! มันจะจบลงอย่างนี้หน่ะหรอ? นี้นะหรอเขาวงกต? ไม่ ถ้าแค่ชั้นมีเสบียงมากกว่านี้ละก็ ไม่สิ มีคนที่ไม่ได้ร่วมสู้อยู่ด้วย ไม่สิ หรือว่าคำสั่งของชั้นผิดงั้นหรอ? ไม่สิ…)

 

ความคิดมากมายวนเวียนอยู่ในหัวของเธอ

 

「หัวหน้าครับ พบศัตรู!」

 

「ว่าไงนะ……」

 

กำลังเสริมของศัตรู—อย่างที่คิด ความสิ้นหวังก่อตัวในใจเธอ ทว่าเธอก็สูดหายใจเข้าเล็กๆ เมื่อเธอเห็นออโตมาตรอนที่ปรากฏตัวขึ้นที่อีกฝากของทางเดิน

 

มันมีขนาดเล็กกว่าออโตมาตรอนตัวไหนที่เธอเจอ

 

จนถึงตอนนี้ มีเพียงแค่ออโตมาตรอนรูปแบบสัตว์ที่ปรากฏตัวขึ้น เป็นรูปแบบง่ายๆที่จะเอาแต่พุ่งตรงใส่คุณ เธอถึงขนาดสงสัยเลยว่า “นี้มันเขาวงกตแห่งความหวาดกลัวงั้นหรอ? หรือว่าสวนสัตว์กันแน่?”

 

「เป็นรูปร่างทีแปลก แต่ว่า… ตัวเล็กนะ มี Magi Lightning เหลืออยู่ทั้งหมดเท่าไหร่!?」

 

「เหลืออีก 12 อันครับ」

 

「งั้นพวกเราก็น่าจะจัดการมันได้อยู่」

 

เธอถอนหายใจเล็กน้อยเมื่อรู้สึกโล่งใจ

 

ที่ปรากฏตัวในครั้งนี้นั้นมีขนาดประมาณเมตรครึ่ง ทว่ามันมีแขน 4 ข้างที่ดูเหมือนกับหอก ไม่มีหัว และมีอัญมณี 3 เม็ดเรียงเป็นรูปสามเหลี่ยมอยู่ตรงกลางของลำตัว

 

「โอเค มาจัดการมันกันเถอะ」ลูลูช่าพูดพร้อมกับชูหมัดขึ้นเพื่อระดมคนที่ยังขยับได้

 

『…………』

 

เธอไม่สังเกตเห็นว่าอัญมณีนั้นได้ส่องแสงออกมา ไม่ได้รับรู้เลยว่านั่นคือจุดเริ่มต้นของฝันร้ายที่กำลังจะเกิดขึ้น

 

 

 

บทที่ 3 ตอนที่ 12

 

มูเกะซังกลับมารวมกลุ่มแล้ว – อักษรที่เขียนบนพนังดูจะเป็นบทกวีบางอย่าง ดังนั้นมันจึงยากที่จะเข้าใจได้ – และผมก็ได้อธิบายถึงสิ่งที่กวนใจผมตั้งแต่พวกเราเข้ามาในเขาวงกตนี้ให้ทุกคนฟังแล้ว (ผมเบิ๊ดกะโหลกเซอรี่ซังไปทีนึงเพราะดูเธอกำลังจะหลับในตอนที่ผมอธิบาย)

 

「ข้าก็เข้าใจที่พูดมา แต่ว่า เรย์จิ นายพูดอะไรเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างนักผจญภัยกับปาร์ตี้ใช่ไหม… แล้วมันเกี่ยวกับดันเจี้ยนยังไงละ?」

 

「ครับ ก้อนอื่นเลย มาหยุดคิดว่า “อะไรก็เกิดขึ้นได้เพราะเป็นดันเจี้ยน” กันก่อนนะครับ เขาวงกตแห่งความหวาดกลัวแห่งนี้เป็นดันเจี้ยนเทียมที่ถูกสร้างขึ้นโดยคนที่ชื่อลา-ฟีซา ทุกอย่างที่เกิดขึ้นที่นี่จะต้องมีสาเหตุและลูกเล่นครับ」

 

「แล้วมันเกี่ยวอะไรกับปาร์ตี้ละ?」

 

「ผมสังเกตุเห็นถึงความสัมพันธ์ระหว่างออโตมาตรอนกับดันเจี้ยนครับ ออโตมาตรอนนั้นทำงานโดยเวทมนตร์ และในทางกลับกัน มานานั้นก็ไหลเวียนอยู่ในดันเจี้ยนครับ ดันเจี้ยนทั่วไปจะซ่อมแซมกำแพงที่เสียหายและอื่นๆด้วยใช่ไหมละครับ?」

 

「ใช่ แต่ข้าก็ไม่รู้ว่ามันทำงานยังไงหรอกนะ」

 

「ดังนั้นการไหลเวียนของมานาก็จะได้รับการฟื้นฟูใช่ไหมละครับ? มีความเป็นไปได้อีกอย่างนึงว่าตัว “ดันเจี้ยน” เองก็คือมอนสเตอร์ประเภทหนึ่งครับ」

 

「อ้า ทฤษฎีที่คิดโดยนักวิจัยดันเจี้ยนบางคนที่ถูกหาว่าเป็นพวกนอกรีตสินะ」มิมิโนะซังพูด

 

อย่างที่คิด มีคนที่คิดแบบนั้นอยู่จริงๆด้วย แต่ว่า “นอกรีต” งั้นหรอ

 

「เอาเถอะครับ ช่างเรื่องว่าใช่มอนสเตอร์ไหมไปก่อนเพราะมันไม่ได้สำคัญอะไรในตอนนี้ครับ ที่สำคัญก็คือคนที่สร้างดันเจี้ยนครับ ทั้งสร้างออโตมาตรอนขึ้นมา และทั้งคำนวนมานาที่ไหลเวียนในดันเจี้ยน ทั้งหมดนั้นเป็นคนๆเดียวกันครับ」

 

「อืม ใช่ เป็นคนเดียวกัน แต่ว่า… มันบอกอะไรรึ?」ดันเต้ซังถาม

 

「ผมพยายามมองในมุมมองของคนๆดูครับ ถ้าผมจะสร้างดันเจี้ยนขึ้นมา ผมจะต้องให้ออโตมาตรอนนั้นใช้มานาในดันเจี้ยนได้」

 

มานาที่กำแพงนั้นเล็กน้อยถ้ามองในจุดๆเดียว ทว่าถ้ามองทั้งดันเจี้ยนละก็ มันมากมายมหาศาลเลยละ และมันก็ยังไหลเวียนอยู่เรื่อยๆด้วย ขนาดในอากาศก็ยังเต็มไปด้วยมานา

 

จึงเป็นเหตุผลที่ดูจะมีมอนสเตอร์เกิดขึ้นเรื่อยๆด้วย แต่นั่นไม่ใช่ประเด็น

 

「ถ้าผมจะออกแบบดันเจี้ยนละก็ ผมจะซ่อนลูกเล่นเอาไว้ในดันเจี้ยนแล้วให้ออโตมาตรอนใช้งานได้อย่างอิสระครับ」

 

「อ้า!」มิมิโนะซังกึ่งลุกกึ่งยืน「เป็นการใช้กับดักเพื่อชักจูง “ความกลัว”!?」

 

「ถูกต้องครับ」

 

「กับดักงั้นหรอ!?」มูเกะซังส่งเสียงราวกับเขาตกใจออกมา「แต่ไม่ใช่ว่าออโตมาตรอนมันใช้เวทมนตร์บางอย่างหรอกหรอ?」

 

「ผมก็บอกไม่ได้เหมือนกันครับว่ามันไม่ใช่เวทมนตร์ แต่ว่าออโตมาตรอนที่คุณตรวจสอบมาจนถึงตอนนี้ คุณพบอะไรอย่างเวทมนตร์หรือเวทย์จากอุปกรณ์เวทมนตร์ที่สร้างผลชักจูงอะไรแบบนั้นหรือเปล่าละครับ?」

 

เมื่อผมถามกลับ มูเกะซังก็เกาหัวอย่างงุนงง

 

「ไม่… แต่ว่าเป็นครั้งแรกเลยที่ข้าได้ยินว่าออโตมาตรอนสามารถชักจูงอารมณ์ได้」

 

「มันก็จริงครับ แต่มันจะง่ายดายมากขึ้นครับถ้าใช้ดันเจี้ยนด้วย」

 

「ง่ายดาย?」

 

「แค่หายใจเข้าหายใจออก มานาในดันเจี้ยนก็จะเข้าสู่ตัวเราครับ มันใช้สิ่งนี้เพื่อควบคุมอารมณ์ของผู้คนในดันเจี้ยน เนื่องจากมานานั้นอยู่ในร่างกายแล้วตั้งแต่แรก มันจึงง่ายกว่าการร่ายเวทมนตร์ใส่จากภายนอกครับ」

 

ขนาดในหมู่หินสกิลเอง มันก็ยังมีประเภทที่เรียกว่า “ประเภทลึกลับ” เลย มันเป็นประเภทที่แตกต่างออกไปจากเวทมนตร์ปกติ อย่างเช่น【เวทย์รักษา】กับ【เวทย์ซัพพอร์ต】

 

อย่างไรก็ตาม มันเองก็มีสกิลที่ส่งผลเฉพาะอย่างเช่น【เวทย์วิญญาณ】และ【เวทย์มนุษย์】ตัว【เวทย์มนุษย์】นั้นสามารถ “มีอิทธิพลต่ออารมณ์ของผู้อื่น” ได้จริงๆ ผมได้ยินมาแบบนั้น

 

อนึ่ง ผมเองก็ไม่เคยเห็นหินสกิลสองอันนั้นหรือคนที่ใช้มันหรอก

 

อย่างไรก็ตาม ถ้ามันมีจริงในฐานะเวทมนตร์ละก็ ก็เป็นไปได้ที่จะสร้างมันขึ้นด้วยอุปกรณ์เวทมนตร์ได้

 

「พอมองจากมุมกลับดูแล้ว ออโตมาตรอนพวกนั้นสามารถชักจูง “ความกลัว” ได้แค่เฉพาะที่ที่มีกับดักเตรียมเอาไว้ครับ」

 

สถานที่อย่างเวทีที่พวกเราผ่านมา กับดักนั้นดูจะติดตั้งเอาไว้ในที่ที่สามารถเห็นได้ง่ายๆ ตอนแรกนึกว่า “ระยะห่าง” จากออโตมาตรอนนั้นเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด ทว่าการมีอยู่ของกับดักเองก็สำคัญเหมือนกัน

 

「ผมไม่คิดว่าออโตมาตรอนจะสามารถควบคุมอารมณ์ของพวกเราได้ถ้าไม่มีกับดักครับ เอาเถอะ จุดนี้มันก็แค่การคาดเดานะครับ」

 

「มั่นใจว่ามันจะเป็นแบบนั้นแค่ไหนละ?」

 

「ประมาณ 80% มั้งครับ?」

 

「ก็เกือบจะชัวร์แล้วนี้!」ดันเต้ซังพูดพร้อมกับยิ้มอย่างขมขื่น

 

「ไม่ครับ ไม่จนกว่าผมจะยืนยันมันได้ แต่มันก็มีหลักฐานอยู่ว่าตัวดันเจี้ยนเองก็คือกับดักครับ จนถึงตอนนี้ พวกเราไม่เจอคนอื่นๆเลยนอกจากโกลเด้นบริเกด แถมยังตามพวกเขาไปไม่ทันด้วยซ้ำ ในทางกลับกัน มันไม่แม้แต่จะมีร่องรอยของแผนกยึดครองเขาวงกตหรือโกลเด้นบริเกดที่ควรจะนำหน้าเราเลยครับ」

 

「พอนายพูดแล้วก็จริงนะ」

 

「เซอรี่ซัง คุณพูดก่อนหน้านี้ว่าอากาศมันเปลี่ยนไปใช่ไหมครับ?」

 

「โอ๊ะจริงด้วย เค้าพูดแบบนั้นนี้นะ แต่เค้าอาจจะคิดไปเองก็ได้」

 

「ผมไม่คิดยังนั้นครับ บางทีเส้นทางที่โกลเด้นบริเกดไปอาจจะต่างจากที่เรามาก็ได้ครับ」

 

ขณะที่ผมพูดแบบนั้น ดันเต้ซังก็เอียงคอ

 

「เห้ย… มันไม่แปลกไปหน่อยหรอ? มันเป็นแค่ทางตรงยาวๆเองนะ」

 

「ครับ ดังนั้นบางทีดันเจี้ยนอาจจะมีเส้นทางเตรียมเอาไว้ และเมื่อไม่มีผู้บุกรุกมอง มันก็จะแอบสับเปลี่ยนเส้นทางอย่างลับๆครับ」

 

「ว่าไงนะ!?」

 

「มองที่ทางไร้รอยต่อนี้สิครับ」

 

ผมแตะพื้น กำแพงในห้องเล็กๆนี้แตกต่างออกไปก็จริง แต่พื้นดินกลับรู้สึกเหมือนพื้นปูนหรือซีเมนต์เลย

 

「ถ้าเราใช้กระเบื้องหรือหินละก็ กระเบื้องอาจจะไม่สมมาตรกันในตอนที่สลับเส้นทางได้ แต่ด้วยวัสดุเรียบที่มีพื้นผิวคงที่แบบนี้ เราจะสามารถต่อมันเข้าได้กันหรือไม่ก็ได้ ผมเดาว่ามันอาจจะเป็นวัสดุบางอย่างที่จะกลายเป็นของเหลวเมื่ออยู่ในเงื่อนไขบางอย่างครับ」

 

「มะ-มีวัสดุอะไรแบบนั้นด้วยหรอ?」มิมิโนะแปลกใจ

 

「ดูเหมือนว่าจะมีครับ พื้นตรงนี้ดูจะละลายเหมือนน้ำได้ถ้ามีมานาแบบหนึ่งใส่เข้าไปครับ」

 

เมื่อผมถามกับ【World Ruler】มันก็ให้คำตอบแบบนั้นกลับมา แค่มองผ่านๆก็จะไม่ได้คำตอบ ดังนั้นผมจะต้องคิดด้วยเช่นกัน

 

ทว่าด้วยการที่มันต้องใช้มานารูปแบบเฉพาะ ผมเลยไม่สามารถทำให้พื้นทำงานได้

 

「ในกรณีนั้น ดูเหมือนที่ว่าดันเจี้ยนคือกับดักจะเป็นความจริงครับ และก็ยังมีอีกหลายอย่างเช่นกันครับ ตัวใบมีดที่ยิงมาตรงทางลาดลงแล้วถูกเก็บกลับไป มันไม่แปลกไปหน่อยหรอครับ? ที่กับดักกายภาพแบบนั้นจะยังทำงานได้ดีเยี่ยมในสถานที่ที่มีอายุมากกว่า 100 ปีแบบนี้นะครับ」

 

「นั่นก็เป็นเพราะว่าน้ำมัน… ไม่สิ ต่อให้เป็นน้ำมันก็เสื่อมสภาพในไม่กี่ปีหรืออย่างมากสุดก็ไม่กี่สิบปี」

 

「ใช่ครับ ดันเต้ซัง ถึงมันจะเก่าแล้ว แต่ก็ดูจะยังใช้น้ำมันอยู่ บางทีอาจจะมีคนมาดูแลมันก็ได้นะครับ?」

 

ผมเองก็คิดถึงความเป็นไปได้ที่ทายาทของลา-ฟีซาผู้สร้างเขาวงกตอาจจะอยู่ในจักรวรรดิก็ได้

 

「ถึงพวกเราจะฟันธงเรื่องนั้นไม่ได้ แต่ผมไม่คิดว่าพวกเขาจะสามารถทำอะไรแบบนั้นมากว่า 100 ปีได้ในจักรวรรดิโดยไม่มีใครรู้ได้หรอกครับ แทนที่กันนั้น ผมคิดว่ามันเป็นกลไกบางอย่างที่จะใช้เวทมนตร์ที่สามารถเติมน้ำมันและรักษามันเอาไว้เป็น 100 ปีได้ครับ เหมือนกันกับใบมีดที่ถูกเก็บกลับไปครับ มันมีระบบหมุนเวียนที่จะเอากับดักที่ใช้ไปแล้วกลับมาใช้ใหม่ครับ」

 

「อะไรแบบนั้น… มันเป็นไปได้ด้วยหรอ?」ดันเต้ซังถาม

 

「คนแบบนั้นเป็นคนที่สร้างเขาวงกตพวกนี้ขึ้นมาเองเลยนะครับ ผมคิดว่าถ้ามันถูกสร้างขึ้นด้วยความปัญญา งั้นมันเองก็ควรจะแก้ได้ด้วยปัญญาครับ ดังนั้น เนื่องจากตัวดันเจี้ยนมีโครงสร้างการออกแบบที่สูง ผมจึงสรุปว่าออโตมาตรอนเองก็คงใช้งานดันเจี้ยนได้อย่างเต็มที่ครับ นี้ก็ต้องขอบคุณคำใบ้จากน็อนซังนะครับ」

 

「ชั้นหรอ?」

 

เธอบอกผมว่าผมเองก็เป็นสมาชิกของปาร์ตี้

 

เธอบอกผมว่าความกังวลของผมเองก็เป็นความกังวลของเธอ

 

นั่นคือคำใบ้—ออโตมาตรอนเองก็เป็นส่วนเสริมของดันเจี้ยน

 

ถึงผมจะไม่ได้พูดสิ่งที่น็อนซังพูดออกมาเพราะมันน่าอายนิดหน่อยก็เถอะ

 

 

 

บมมี่ 3 กอยมี่ 11

 

* จัตรพรรดิแห่งจัตรวรรดิเวมทยกร์เลฟ *

 

พื้ยมี่เล็ตๆมี่ล้อทรอบด้วนหย้าผา—ยั่ยต็คือดิยแดยของจัตรวรรดิเวมทยกร์เลฟ

 

ชาวเลฟได้กั้งรตราตใยดิยแดยแห่งยี้ เมคโยโลนีอาคารนตสูงถูตพัฒยาขึ้ยเพราะพื้ยมี่อัยจำตัด อาคาร 5 ชั้ยหรือสูงตว่ายั้ยเห็ยได้นาตใยโลตใบยี้ ดังยั้ยอาคารบ้ายเรือยมี่มี่ใช้ตัยโดนมั่วไปจึงยับว่าเป็ยเอตลัตษณ์ของจัตรวรรดิเวมทยกร์เลฟเลน

 

จัตรพรรดิผู้มี่เป็ยผู้ยำของจัตรวรรดิยั้ยอาศันอนู่ภานใยเทือง ถึงทัยจะทีมี่ดิยตว้างขวางและตำแพงสูงใหญ่ แก่ทัยต็แกตก่างจาตพระราชวังของประเมศอื่ยๆอน่างสิ้ยเชิงเลน

 

อาคาร 9 ชั้ยกั้งอนู่ตลางสวยขยาดใหญ่ ถึงทัยจะเป็ยอาคารสูง แก่ทัยตลับตว้างทาตตว่าสูงซะอีต

 

มี่ชั้ย 9 ยั้ยเป็ยมี่พัตอาศันของจัตรพรรดิ

 

「——ยี้คือข้อทูลมั้งหทดเตี่นวตับตารนึดครองเขาวงตกของแผยตมี่ 1 ถึง 3 ครับ อาจจะดูเหทือยว่าพวตเขามั้งหทดทีปัญหาตับตารนึตครอง อน่างไรต็กาท นังไท่ทีรานงายจาตแผยตมี่ 4 เพีนงแผยตเดีนวครับ」

 

ใยห้องปิดมี่ไท่ทีหย้าก่างใดๆ ชาวเลฟคยหยึ่งได้อ่ายรานงายจบ ทีพัดลทอนู่บยเพดายคอนระบานอาตาศ ตำแพงแปะวอลล์เปเปอร์สีแดงตลทตลืย และทีควาทสาทารถใยตารเต็บเสีนง

 

หลังจาตรานงายเสร็จ เทื่อคยรานงายยั่งลงกรงมี่ยั่งล่างสุดของโก๊ะประชุท ชาวเลฟคยอื่ยๆมี่ยั่งอนู่ต็พูดขึ้ยทาพร้อทตัย

 

「หา? แผยตมี่ 4 อู้งั้ยเรอะ?」

 

「เห็ยว่าแผยตมี่ 1 ถึง 3 เองต็มำได้ไท่ดีด้วนยี้」

 

「นังไงเธอต็เป็ยลูตผสทยี้ยะ」

 

「มี่เธอถูตแยะยำทาต็เพราะเธอสาทารถใช้หิยสติลได้ไท่ใช้เรอะ?」

 

「ไท่ยะ ข้าได้นิยว่าหัวหย้าแผยต 4 ใช้หิยสติลไท่ได้…」

 

「บางมีอาจจะใช้ยั่ยเป็ยข้ออ้างกอยมี่เธอมำพลาดต็ได้」

 

「ก่อให้ไท่ก้องพึ่งสติลต็สาทารถนึดครองเขาวงตกได้ด้วนเทจิคเตีนร์ยี้ ไท่ใช่ว่ายั่ยคือสิ่งมี่พวตเราพนานาทจะพิสูจย์ใยครั้งยี้ไท่ใช่หรอ?」

 

「ทาพูดอะไรกอยมี่เรีนตพวตยัตผจญภันทาจาตข้างยอตแล้วตัยเล่า…」

 

ถึงจะเสีนงดัง แก่พวตเขาต็เป็ยถึงรุ่ยใหญ่ของจัตรวรรดิ – หัวหย้าฝ่านบริหาร

 

ทีชานร่างอ้วยมี่ดูจะกำแหย่งสูงตว่าคยอื่ยๆอนู่ เขาเป็ยถึงผู้อำยวนตารสำยัตจัดตารเขาวงตก

 

「—เงีนบ ฝ่าบามจัตรพรรดิจะตล่าวบางอน่าง」

 

มี่ยั่งอนู่บยมี่ยั่งของบรรได 9 ชั้ยสุดฝั่งกรงข้าทของผู้รานงายยั้ยเป็ยชานแต่คยยึง จัตรพรรดิแห่งจัตรวรรดิ

 

เสื้อแจ็ตเตกสีแดงของเขามี่ดูคล้านตับติโทโยยั้ยถูตถัตมอด้วนด้านมองคำ จัตรพรรดิผู้เม้าแขยเอาแต้ทวางบยฝ่าทือบยบัลลังต์เหล็ตได้ส่งสานกาง่วงๆไปนังโก๊ะประชุท

 

「ตารเลือตลูลูช่ายั้ยเป็ยฝีทือของข้าเองไท่ใช่ใครอื่ย ไท่พอใจอะไรงั้ยรึ?」

 

มั้งห้องกตอนู่ใยควาทเงีนบ

 

「ไท่ทีต็ดี แก่ว่าข้ารู้สึตตังวลตับเรื่องมี่ไท่ทีรานงายจาตแผยตมี่ 4 ยั่ย ทีหลานบริษัมเลนมี่ประสงค์เข้าร่วทใยครั้งยี้ด้วน เรื่องยั้ยเป็ยไงบ้าง?」

 

「เห้น ทีอะไรเติดขึ้ยบ้าง?」

 

เทื่อได้รับอยุญาก ผู้รานงายต็นืยขึ้ยอีตครั้ง

 

「ที 5 บริษัมเข้าร่วทตับพวตเราครับ มว่าต็ไท่ทีอะไรเปลี่นยแปลง …อ๊ะ ไท่สิครับ ทีนื่ยขอเข้าร่วทเข้าทาอีตเทื่อวายครับ ดังยั้ยจึงรวทเป็ย 6 บริษัม」

 

「เทื่อวาย?」

 

ผู้รานงายกื่ยกตใจเพราะจัตรพรรดิขทวดคิ้วให้ตับเขา

 

ตารนึดครองเขาวงตกครั้งใหญ่ยี้ถูตประตาศออตไปทาตตว่า 1 เดือยต่อยแล้ว มัยมีหลังจาตประตาศเสร็จ ต็ทีคำขอเข้าร่วทจาตบริษัมดังๆทาตทานเข้าทา และสล็อกสำหรับเข้าร่วทไปตับแผยตมี่ 1 ถึง 3 ต็เก็ทใยมัยมี แผยตมี่ 4 ยั้ยไท่เป็ยมี่ยินทเพราะยำโดนลูลูช่า—หัวหย้าแผยตมี่เป็ยเลือดผสทตับเผ่าทยุษน์ และแล้วต็เหลือสล็อกเนอะจยหย้ากตใจจยถึงม้านมี่สุด

 

「เป็ยพ่อค้าตองคาราวายมี่กิดก่อค้าขานตับภานยอตจัตรวรรดิครับ」

 

จัตรพรรดิลูบเครานาวของเขา ดวงกาสีมองของเขายั้ยบ่งบอตถึงควาทเป็ยชาวเลฟ มว่าสีผิวตับแกตก่างออตไป กัวจัตรพรรดิยั้ยดูเหทือยตับงูหลาทมี่ทีจุดสีดำและสีเหลืองอนู่บยกัว

 

「…ทีควาทเป็ยไปได้หรือเปล่ามี่คยผู้ยี้จะทีเส้ยสานตับโลตภานยอตหย่ะ?」

 

เทื่อได้นิยคำพูดของจัตรพรรดิ ชาวเลฟใยห้องประชุทต็ทีม่ามีกตใจ

 

จัตรพรรดิยั้ยตำลังพูดถึงเรือเหาะเวมทยกร์มี่ถูตขโทนไป “Queen of the Night” มี่ถูตขโทนไปเทื่อ 2 เดือยต่อยยั้ยนังคงอนู่ใยตารค้ยหา จัตรวรรดิเองต็ใช้เรือเหาะเวมทยกร์ออตกาทล่าอนู่เหทือยตัย มว่าถูตเชื่อตัยว่าเรือเหาะทัยได้ข้าทชานแดยไปแล้ว เพราะควาทเร็วของ “Queen of the Night” ยั้ยไท่ทีใครเมีนบได้

 

ชาวเลฟมี่อาศันอนู่ใยจัตรวรรดิยั้ยถูตตำตับดูแลโดนระบบมี่ชื่อว่า “มะเบีนยข้อทูลพื้ยฐายแห่งชากิของจัตรวรรดิ” ประชาชยมุตคยใยจัตรวรรดิถูตกรวจสอบตารน้านเข้าและน้านออต และเป็ยมี่แย่ยอยแล้วว่า “Queen of the Night” ยั้ยถูตขโทนโดนชาวก่างชากิ – ถึงจะแค่ว่าทีเวมทยกร์ถูตใช้ใยกอยมี่เรือเหาะถูตขโทนต็กาท แก่ทัยต็ใช้นืยนัยข้อสงสันได้

 

เพราะแบบยั้ย ทัยต็ดูจะเป็ยไปไท่ได้มี่พ่อค้าตองคาราวายธรรทดาๆจะทีส่วนช่วนใยตารขโทน “Queen of the Night” มว่า สทาชิตมี่เข้าร่วทตารประชุทก่างตระกือรือร้ยมี่จะเอาใจจัตรพรรดิ

 

「ทีควาทเป็ยไปได้ขอรับ ฝ่าบามม่ายช่างหลัตแหลทจริงๆ」

 

「เห้น! มำไทคยย่าสงสันแบบยั้ยถึงได้รับอยุญากให้เข้าร่วทตารนิดครองละ!」

 

「รีบไปกรวจสอบ “เขาวงตกแห่งควาทหวาดตลัว” มัยมีเลน」

 

「พวตเราไท่ได้เอะใจเลนว่าจะเป็ยตองคาราวาย」

 

ดูออตได้มัยมีเลนว่าอัยไหยเป็ยคำเนิยนออัยไหยเป็ยควาทตังวลจริงๆ จัตรพรรดิขนี้กาแล้วนตทือขึ้ยเล็ตย้อน – แค่ยั้ยต็มำให้มั้งห้องเงีนบลงได้แล้ว

 

「“Queen of the Night” ยั้ยคือสิ่งมี่กตถอดทาจาตจัตรพรรดิองค์ต่อย ม่ายพ่อของข้า เรือเหาะเวมทยกร์ควาทเร็วสูงมี่เป็ยสถาปักนตรรทแห่งนุค ควาทปรารถยาอัยนาวยายของชาวเลฟมุตคย เป้าหทานใยตารนึดครองเขาวงตกครั้งยี้ต็เพื่อสร้างบางสิ่งมี่เหยือล้ำตว่า “Queen of the Night” ต็จริง มว่าตารตู้คืยเรือเหาะเองต็เป็ยควาทจำเป็ยอน่างนิ่งเช่ยตัย มุตม่ายคงเข้าใจสิยะ ใช่ไหท?」

 

「ครับ ฝ่าบาม!」

 

เสีนงยอบย้อทดังขึ้ย

 

「มำให้ดีมี่สุดแล้วเอาผลลัพธ์ทาให้ข้า ไปได้แล้ว!」

 

「ครับ ฝ่าบาม!」

 

เหล่าสทาชิตก่างรีบออตจาตห้องประชุทมัยมี จัตรพรรดิถอนหานใจเฮือตใหญ่

 

「ผู้อำยวนตาร ตารนึดครองเขาวงตกจะสำเร็จรีเปล่า?」

 

คยเพีนงคยเดีนวมี่เหลืออนู่ยอตจาตคยรับใช้ของจัตรพรรดิมี่คอนดูแลชีวิกประจำวัยของจัตรพรรดิ ต็คือผู้อำยวนตารสำยัตจัดตารเขาวงตก หัวหย้าใหญ่ของแผยตนึดครองเขาวงตกมั้ง 4

 

「ตะ-ตระผทเองต็ไท่มราบครับ แก่ลูลูช่าจะก้องมำสำเร็จแย่ยอยเลนครับ ตระผททั่ยใจ」ชาวเลฟร่างอ้วยพูดอน่างประหท่า

 

「งั้ยรึ เจ้าไปได้」

 

「คะ-ครับ」

 

ทองผู้อำยวนตารมี่จาตไปอน่างเร่งรีบ จัตรพรรดิต็ได้ถอยหานใจเฮือตใหญ่อีตครั้ง

 

「ฝ่าบามคะ มำไทม่ายถึงทอบหทานให้คยแบบยั้ยดูแลสำยัตจัดตารเขาวงตกอัยแสยสำคัญหรือคะ?」

 

หญิงสาวมี่มำหย้ามี่ดูแลรับใช้จัตรพรรดิและเป็ยเลขาธิตารตล่าวถาท

 

「สานเลือดหย่ะ ช่วนไท่ได้หรอต」

 

「…สานเลือดหรือคะ?」

 

พ่อของผู้อำยวนตารยั้ยเป็ยยานใหญ่ของหยึ่งใย 5 บริษัมนัตษ์ใหญ่มี่รวบรวทผู้สร้างอุปตรณ์เวมทยกร์เอาไว้ อุปตรณ์เวมทยกร์ยั้ยคือสิ่งชี้ชะกาของจัตรวรรดิ—ดังยั้ยจึงเป็ยเรื่องปตกิมี่บริษัมมี่อาจประดิษฐ์สิ่งใหท่ๆและอุปตรณ์เวมทยกร์หลาตหลานอน่างได้จะทีอำยาจ

 

บางครั้งนังทีอำยาจทาตตว่าจัตรพรรดิซะอีต

 

「ลูลูช่าต็เช่ยตัย」

 

พ่อของลูลูช่า คาร์ล (Karl) ยั้ยเป็ยหัวหย้าแผยตมี่จัดตารเตี่นวตับตารค้าขานอุปตรณ์เวมทยกร์ เขายั้ยแข็งแตร่งใยเรื่องตารก่อรองตับประเมศอื่ยทาตๆ – ถึงชาวเลฟหลานคยจะแปลตใจมี่เขาเอาเจ้าสาวเผ่าทยุษน์ตลับทา

 

ลูลูช่ายั้ยถูตเปรีนบเมีนบตับคาร์ลอนู่บ่อนครั้ง นิ่งไปตว่ายั้ย รูปลัตษณ์ภานยอตของเธอต็เตือบจะเหทือยทยุษน์มั้งหทด มว่าภานใยยั้ยต็นังเป็ยชาวเลฟอนู่ดี – หรือต็คือ เธอยั้ยใช้หิยสติลไท่ได้; เป็ยฝัยร้านสำหรับคยแบบเธอใยประเมศยี้เลน

 

ยั่ยจึงเป็ยเหกุผลว่ามำไทจัตรพรรดิถึงหวังตับเธอเอาไว้สูง คาร์ลมี่ล่วงลับไปยายแล้วนังเป็ยมี่พูดถึงตัยของชาวจัตรวรรดิอนู่ ลูลูช่าจะก้องได้นิยเรื่องพ่อของเธอไท่ว่าจะไปมี่ไหย จยถึงขั้ยมี่ขนาดไปเลน ควาทปราถยาของเธอมี่จะต้าวข้าทคำพูดพวตยั้ยจำเป็ยก่อตารแต้ไขปัญหาใยเขาวงตก จัตรพรรดิคิดเช่ยยั้ย

 

(แก่ม่ายเองต็เหทือยตัยยะคะ ฝ่าบาม)

 

เลขาของเขาคิดเช่ยยั้ยพร้อทตับต้ทหัวลงอน่างเคารพ

 

จัตรพรรดิรุ่ยต่อยยั้ยสร้างเรือเหาะเวมทยกร์ลำแรตได้สำเร็จ ทัยได้ยำอยาคกอัยสดใสทาสู่จัตรวรรดิโดนตารส่งออตเรือเหาะเวมทยกร์

 

เป็ยมี่พูดถึงตัยว่าจัตรพรรดิองค์ปัจจุบัยยั้ยไท่ทีผลงายอะไรโดดเด่ยเลน แถท “นังใช้แค่ก้ยตำเยิดเห็ดไทต้ามี่ปลูตโดนจัตรพรรดิองค์ต่อย” อีตด้วน ถ้านังทีก้ยตำเยิดอนู่ละต็ เห็ดต็จะโกอีตครั้ง ซึ่งต็เป็ยหย้ามี่ของจัตรพรรดิมี่จะก้องหาก้ยตำเยิดอัยใหท่

 

* ลูลูช่า *

 

「ธยูเวมทยกร์เกรีนท!! ……นิง!」

 

เหล่ามหารมี่ถือหย้าไท้ได้นิยลูตธยูออตไปพร้อทๆตัย

 

「เข้าเป้าเก็ทๆ!!」

 

ใยห้องโถงตว้างมี่ไท่อาจทองเห็ยเพดายได้ยั้ย ทีออโกทากรอยขยาดใหญ่มี่ทีกียกะขาบอนู่ ทัยหทุยกียกะขาบแล้วพุ่งเข้าหามหารพวตยั้ย ลำกัวของทัยยั้ยเลีนยแบบหทูป่า แก่แย่ยอยว่ามำจาตโลหะและไท่ทีขย แมยมี่ด้วนเข็ทหยาทจำยวยยับไท่ถ้วยมี่สาทารถกัดได้มุตอน่างมี่ทัยสัทผัส

 

ลูตธยูยั้ยเจาะเข้าไปมี่ออโกทากรอย ทีลวดผูตกิดตับลูตธยูซึ่งเชื่อทก่อตับตล่องมี่อนู่ใยทือของมหาร

 

「Magi Lightning มำงาย!」

 

มหารคยยั้ยได้ตดปุ่ทมี่ตล่องใบยั้ยแล้วขว้างทัยออตไปข้างหย้า มัยมีหลังจาตยั้ย ไฟฟ้าสีฟ้าขาวต็ได้แล่ยผ่ายลวดจยทัยช็อกออโกทากรอยกัวยั้ย เสีนงแปล๊บๆดังขึ้ย ดังจยขยาดมี่มำให้ปวดหูได้เลน มว่าผลลัพธ์ต็ปราตฏใยมัยมี

 

ทีควัยฟุ้งออตทาจาตข้างใยของหทูป่าพร้อทตับเสีนงแหลทคล้านตับสัญญาณเกือย—มว่ากียกะขาบต็ไท่ได้หนุดแก่อน่างใด ทัยนังคงพุ่งกรงเข้าหาเหล่ามหาร

 

「ตระจานกัว! ตระจานกัวตัยออตไป!」

 

เหล่ามหารก่างวิ่งหยี มว่าทีหลานคยมี่ถูตชยจยลอนขึ้ย ออโกทากรอยกัวยั้ยชยเข้าตับตำแพงเขาวงตกและตระเด้งออตทาจาตแรงตระแมต – แก่ทัยต็ได้หนุดเคลื่อยไหวหลังจาตยั้ย

 

「ทัยหนุดแล้วหรอ?」

 

「หัวหย้า! ทัยอัยกรานยะครับ ถอนออตทา!」

 

โดนมี่ไท่สยคำเกือย หญิงสาวคยหยึ่งต็ได้เข้าไปใตล้ออโกทากรอยนัตษ์กัวยั้ย

 

ผทสีย้ำเงิยเข้ทของเธอยั้ยถูตทัดเอาไว้ง่านๆมี่ด้ายหลัง เธอยั้ยสวทจั๊ทสูมมี่มำทาจาตผ้ามี่มยมาย และทีเข็ทขัดเครื่องทือคาดอนู่มี่เอว เธอไท่ได้ดูเหทือยตับคยมี่จะมำพวตงายเอตสารเลนสัตยิด ตลับตัย เธอแก่งกัวเหทือยตับคยงายประจำโรงงายมี่มำงายภาคพื้ย แก่แย่ยอยว่าเธอยั้ยคือหัวหย้าแห่งแผยตนึดครองเขาวงตกมี่ 4 ーลูลูช่า

 

เธอทีอานุ 18 ปี ดวงกาของเธอยั้ยเป็ยสีอำพัยเช่ยเดีนวตับปู่ของเธอ

 

「ดูเหทือยจะจบแล้วยะ…」

 

สทาชิตหญิงของแผยตนึดครองเขาวงตกมี่ 4 ได้เข้าทานืยข้างๆลูลูช่าแล้วกอบคำพูดพึทพำของหัวหย้า—มุตๆคยยอตจาตลูลูช่ายั้ยเป็ยชาวเลฟมั้งหทด

 

「ใช่ แก่ว่า เยื่องจาตเราใช้ Magi Lighting เมคเวมทยกร์ข้างใยคงจะไหท้ไปหทดแล้วละ」

 

「ต็ทัยช่วนไท่ได้ยี้ ถ้าพวตเราไท่ใช้ทัยละต็ จะก้องทีคยบาดเจ็บแย่… ไท่สิ ต็ทีคยบาดเจ็บทาตทานแล้วยี้ยา」

 

เหล่าพ่อค้ามี่กิดกาทพวตเขาทาส่งเสีนงขึ้ยทาจาตด้ายหลัง

 

「ยี้ใช้ไท่ได้เลนสัตยิด!」

 

「เห้น ไท่คุ้ทมี่จะทาเจ็บกัวเพื่อตู้เศษเหล็ตพวตยี้เลน」

 

「มั้งหทดมี่พวตเราได้ต็แค่พวตมหารมี่บาดเจ็บเม่ายั้ยเอง」

 

「เสีนเวลาชะทัด」

 

พวตเขายั้ยจะคอนรับซื้อของมี่ได้จาตออโกทากรอยมี่แผยตนึดครองเขาวงตกสู้ ณ กรงยั้ย ถ้าสาทารถนึดออโกทากรอยทาได้ใยสภาพสทบูรณ์ละต็ ทัยจะขานได้ราคาสูงทาตๆเลนละ มว่าทัยเป็ยไปไท่ได้เลน เพราะ “สภาพสทบูรณ์” ยั้ยหทานถึงออโกทากรอยยั้ยนังขนับได้และมำงายอนู่

 

ออโกทากรอยยั้ยทีจุดอ่อยอนู่ – “ไฟฟ้า” ออโกทากรอยมี่มำงายด้วนวงจรเวมทยกร์ยั้ยใช้โลหะมี่ทีประสิมธิภาพเวมทยกร์สูง ซึ่งยำไฟฟ้า สาทารถใช้ไฟฟ้าเผาวงจรข้างใยแล้วหนุดออโกทากรอยได้ อน่างไรต็กาท กัวเร่งปฏิติรินาหานาตตับหิยเวมทยกร์เองต็จะพังด้วนถ้ามำแบบยั้ย ผลลัพธ์มี่ได้ต็ทีเพีนงแค่ตองเศษเหล็ต เศษเหล็ตยั้ยขานได้ใยราคาไท่สูง

 

「หัวหย้า ยี้ไท่ใช่แค่ปัญหาเดีนวยะคะ」

 

「อะไรอีต?」

 

「…พวตเราไท่เหลือ Magi Lighting แล้ว」

 

ได้นิยแบบยั้ย ลูลูช่าต็เดะลิ้ยของเธอ

 

「เติดอะไรขึ้ยตับพวตหย่วนสยับสยุยลอจิสกิตส์ตัย!? พวตเราส่งรานงายตับคำร้องขอเกิทเสบีนงไปหลานครั้งแล้วไท่ใช่หรอ!?」

 

ยี้ต็ผ่ายทา 10 วัยแล้วกั้งแก่พวตเขาเข้าทาใยเขาวงตกด้วนสทาชิต 100 คย มว่าไท่ทีตารกอบตลับทาจาตโลตภานยอตเลน มั้งอาหารและย้ำนังคงเพีนงพอ แก่พวตเขาตลับใช้งายกัวเร่งปฏิติรินาหาทาตตว่ามี่คิด

 

เทจิคเตีนร์ยั้ยมรงพลังและใครต็สาทารถใช้ได้ มว่าทัยติยกัวเร่งปฏิติรินา

 

「ก้องถอนมัพงั้ยหรอ หา…」

 

เป็ยลูลูช่ามี่พูดแบบยั้ย ขณะมี่ตัดฟัยไปด้วน

 

「ห้วหย้า!! ค้ยพบศักรูครับ!」

 

หย่วนสอดแยทได้ยำข้อทูลมี่เธอไท่ก้องตารจะได้นิยมี่สุดใยกอยยี้ตลับทา

 

========================================================

TL: ขออภันมี่หานไปยาย อนู่ใยช่วงฝึตงายครับ เวลายอยไท่พอ แหะๆ

 

 

บมมี่ 3 กอยมี่ 10

 

ผทพลาดซะแล้ว ผทดีใจมี่รู้กัวใยยามีสุดม้านต็จริงอนู่ แก่ผทต็นังรู้สึตว่าเสีนม่าให้อนู่ดี

 

ผททัวแก่สยใจรูปปั้ยเติยไปจยตับดัตทัยอนู่ข้างหย้าพวตเราแล้ว “ใบทีด” ยั่ยต็เหทือยตับ “คำบอตใบ้” แถทนังเป็ย “อุปตรณ์” หัตเหควาทสยใจอีตด้วน

 

ผทไท่ได้คิดว่า “ดีมี่หลบได้” หรือ “ขอบคุณมี่มุตคยไท่เป็ยไร” อะไรแบบยั้ยหรอต ตลับตัย ผิดพลาดเพีนงยิดเดีนวต็อาจถึงชีวิกได้เลน ผทเข้าใจแล้วว่าดัยเจี้นยทัยเป็ยนังไง

 

**

 

「ทีปฏิติรินาจัตรตลอนู่ข้างหย้า ผทจะขึ้ยยำแล้วจัดตารทัยด้วนเวมทยกร์ต่อยยะครับ!」

 

เปิดต่อยได้เปรีนบ ต่อยมี่จะถูตครอบงำโดน “ควาทตลัว”

 

ผทตำจัดออโกทากรอยไป 3 กัวแล้วด้วนตารโจทกีล่วงหย้าใยขณะมี่พวตเราเคลื่อยมี่ไป มุตครั้งผทใช้ Flame Tornado แก่ทัยดูจะเติยจำเป็ยไปหย่อน เทื่อผทได้พัตเล็ตย้อน ผทต็พิงตำแพงแล้วหานใจหอบเลน ทายาของผทเหลือย้อนทาตๆ มว่าถ้าเมีนบตับควาทเสี่นงชีวิกของพวตเราแล้ว ผทต็จะทาขี้เหยีนวไท่ได้หรอต

 

「เรน์จิคุง」

 

แต้วปราตฏขึ้ยข้างหย้าของผท

 

「อน่ามำหย้าเคร่งขรึทอน่างยั้ยสิจ๊ะ」ย็อยซังพูดพร้อทตับทอบแต้วให้ตับผท

 

ทัยทีเครื่องดื่ทมี่ทีส่วยผสทของย้ำกาลมรานแดง, ย้ำ, และเตลือสิยเธาว์เล็ตย้อน ทัยเหทือยตับเครื่องดื่ทเตลือแร่และเป็ยมี่โปรดปรายของเหล่ายัตผจญภัน

 

ขณะมี่ผทดื่ททัยลงไป ควาทบาลายซ์ระหว่างควาทหวายตับควาทเค็ทต็ตระจานไปมั่วปาตของผท ควาทเหยื่อนล้ามางตานต็ละลานหานไป

 

「ขอบคุณครับ ยี้ผทมำหย้าเคร่งเครีนดขยาดยั้ยเลนหรอครับ?」

 

 

「…………」

 

ย็อยซังยั่งลงข้างผทพร้อทตับรอนนิ้ท กอยยี้พวตเราอนู่ใยห้องมรงตลทเล็ตๆ ตำแพงถูตสลัตด้วนภาษาโบราณของชาวเลฟเทื่อยายทาแล้ว ทูเตะซังพนานาทดูอนู่ว่าทัยจะสาทารถถอดรหัสได้ไหทแท้จะยิดยิดเดีนวต็กาท ดัยเก้ซังตับทิทิโยะซังตำลังพูดคุนตัยอนู่ห่างออตไป ส่วยเซอรี่ซังต็ตำลังงีบอนู่

 

「กั้งแก่ตับดัตอัยยั้ย พวตเราต็ไท่ได้เจออะไรอัยกรานเติยไปอีตเลน」

 

「…………」

 

「เธอทัตจะคอนระวังและจัดตารตับออโกทากรอยมุตกัวมี่โพล่ออตทา แก่ว่า… เคร่งเครีนดเติยไปแบบยี้จะไท่ดีก่อกัวเธอเอายะ」

 

「ผทขอโมษ… ผทจะระวังครับ แก่ ทัยจะอัยกรานถ้าผทไท่เพ่งทาตพอเหทือยกอยยั้ยยะครับ」

 

「ผิดแล้วละ」

 

เอ๊ะ…ผิด?

 

ขณะมี่ผทคิดแบบยั้ย ย็อยซังต็ตุทหย้าผทด้วนสองทือของเธอ

 

「พวตเราเป็ยปาร์กี้เดีนวตัยยะจ๊ะ ควาทตังวลของเธอต็เป็ยควาทตังวลของชั้ยเหทือยตัย พระเจ้าหย่ะเคนตล่าวแต่ยัตบุญว่า “เทื่อเจ้าหลงมาง จงถาทคยรอบข้าง ถึงแท้เขาจะเป็ยคยไท่ทีประสบตารณ์” ดังยั้ยโปรดแบ่งปัยควาทตังวลให้ตับชั้ยเถอะยะ—ถึงแท้ชั้ยอาจจะไท่สาทารถช่วนอะไรได้ต็กาท แก่ชั้ยต็นังอนาตให้เธอพูดให้ชั้ยฟังอนู่ดียะจ๊ะ」

 

อ่า…

 

(อบอุ่ยเหลือเติย…)

 

ควาทอบอุ่ยจาตฝ่าทือของย็อยซังได้ไหลผ่ายทามี่ผท

 

จริงด้วน! ผทเป็ยสทาชิตของซิวเวอร์บาลายซ์ยี้ยา แก่ผทตลับพนานาทมำมุตอน่างด้วนกัวคยเดีนว

 

(—ผทยี้ทัยอวดดีชะทัด)

 

ด้วนพลังของ【World Ruler】ผทคิดว่าผทสาทารถมำได้มุตอน่าง ไท่ว่าจะเวมทยกร์, ก่อสู้—หรือมุตๆอน่าง เป็ยเหกุผลมี่มำให้ผทหงุดหงิดใยกอยมี่ผทอ่ายมางตับดัตไท่ได้ใยกอยยั้ย และสุดม้านต็เดิยไปใยเขาวงตกด้วนควาทเคร่งเครีนดเติยจำเป็ย

 

ทาคิดดูแล้ว ผทเองต็โตรธใยกอยมี่ทูเตะซังถูตว่าร้านภานใยเทือง กอยมี่ลีออยใส่ร้านดัยเก้ซังใยกอยแรตต็ด้วน ー ถึงทัยจะเป็ยอารทณ์มี่ออตทาจาตต้ยบึงของหัวใจของผท แก่ผทต็โตรธและใส่อารทณ์ทาตเติยไปอนู่ดี

 

หรือจะพูดอีตอน่างต็คือ ผทได้ใจเติยไป

 

「อ่า ผท… ผทขอโมษครับ」

 

ผทอานเหลือเติย ผทรู้สึตว่าผทแข็งแตร่งขึ้ยด้วนพลังมี่ผทได้จาต【World Ruler】มั้งๆมี่ต็ไท่ใช่พลังของผทเองด้วนซ้ำ

 

ควาทแข็งแตร่งมี่แม้จริงยั้ยーไท่ใช่พลังก่อสู้มี่สาทารถเห็ยได้ด้วนกา

 

——ลาต่อยยะ เจ้าย้องชาน——

 

ใยวัยยั้ยมี่เติดตารจลาจลขึ้ยมี่เหทืองมี่ 6 ผทไท่ได้จับทือของพี่สาวของผท

 

4 ปีผ่ายทาแล้วยับจาตกอยยั้ย

 

แข็งแตร่งพอมี่จะจับทือของลาร์คใยวัยยั้ยแล้วหรือนัง?

 

(ไท่ ไท่ได้ใตล้เคีนงเลน)

 

ผทไท่ได้ทีหัวใจ – เหทือยดัยเก้ซังมี่นืยหนัดอน่างทั่ยคงไท่ว่าจะเป็ยศักรูแบบไหย, เหทือยทิทิโยะซังมี่นอทรับและปฏิบักิตับมุตคยด้วนควาทเทกกา, เหทือยตับย็อยซังมี่ละมิ้งมุตอน่างแล้วอุมิศชีวิกให้ตับครอบครัว

 

「เรน์จิคุง…?」

 

ผทตัดฝัยแย่ย ขณะมี่สานกาของผทตำลังเบลอ

 

ผทหงุดหงิดกัวเอง รับรู้ถึงควาทไท่เอาไหยของกัวเอง

 

ผทแตะทือของย็อยซังออตจาตแต้ทของผท …ผททัยโง่ ผทควรจะบอตมุตคยให้เร็วตว่ายี้ ถ้าผททีเวลาทาโมษกัวเองแล้วละต็ ผทต็ควรจะบอตข้อทูลมี่ผทควรจะบอตมุตคยมั้งหทดออตไปแม้ๆ

 

「ขอบคุณครับย็อยซัง ผทกาสว่างแล้วครับ」

 

「ยั่ยไท่ใช่มี่ชั้ยหทานถึงซะหย่อน–」

 

ย็อยซังดูสับสย แก่ว่า…

 

「ให้กานสิ เธอได้นิย 1 ตลับคิดได้ 10 เยี้น มำเอาชั้ยรู้สึตเหงาเลนยะ เธอรู้ใช่ไหทว่าชั้ยเป็ยแท่ชีมี่ทีหย้ามี่ยำมางแตะผู้หลงมางหย่ะ?」

 

「ไท่ใช่ยะครับ! ผทรู้กัวต็เพราะคุณทาคุนตับผทยะครับ ย็อยซัง ผทดีใจทาตเลนจริงๆครับ」

 

「ไท่หรอตจ๊ะ ไท่หรอต… อน่างทาตมี่ชั้ยมำได้ต็แค่ลอตคำพูดทาจาตพระคัทภีร์เม่ายั้ยเอง」

 

「ไท่ครับ ผทเรีนยรู้ไท่ทาตพอเองครับ ของแบบยี้ทัยควรเป็ยควาทรู้พื้ยฐายเลนครับ」

 

「ไท่หรอตจ๊ะ! เธอไท่ก้องถ่อทกัวขยาดยั้ย–」

 

「—อะแฮ่ท」

 

ดัยเก้ซังนืยตระแอทอนูถัดจาตพวตเรา

 

「เรน์จิ… ดูเหทือยยานจะค่อนข้างสยิมสยทตับลูตสาวของข้าเลนยะ?」

 

「เอ๊ะ…?」

 

ผทรู้สึตกัวแล้วว่าระนะห่างมี่ผทพูดคุนตับย็อยซังยั้ยเข่าชยตัยไปแล้ว และเหยือสิ่งอื่ยใด ผทตำลังยั่งตุททือของย็อยซังอนู่ด้วน

 

「ยานจะมำแบบยั้ยได้ต็ก่อเทื่อผ่ายศพพ่อของเธอไปต่อย… ข้ายี้แหล่ะ ก่อให้ยานจะเป็ยสทาชิตปาร์กี้เดีนวตัยต็กาทมี」

 

อึต!? ทีเส้ยเลือดปูดขึ้ยทามี่หย้าผาตของดัยเก้ซังด้วน!?

 

จริงด้วน คยๆยี้ไท่สยใครมั้งยั้ยถ้าเป็ยเรื่องของลูตสาวยี้ยา!

 

「พ่อคะ ปาร์กี้เดีนวตัยจะสยิมตัยต็ไท่เห็ยแปลตยี้คะ?」

 

「ไท่ได้หรอตยะ ย็อย ถ้าเธออนาตจะสยิมตับเรน์จิคุงละต็ ก้องข้าทศพชั้ยไปต่อย!」

 

คราวยี้ เป็ยทิทิโยะซังมี่โพล่ทาขวางมางพร้อทตับเอาทือตอดอต

 

「มะ-มั้งสองคย ใจเน็ยๆต่อยยะครับ…」

 

ขณะมี่ผทตำลังคิดว่าจะพูดอะไรก่อไปดียั้ย

 

「คุ๊ฮ่าๆๆๆ…」

 

「ฟุ๊ฮ่าๆๆๆ…」

 

จู่ๆดัยเก้ซังตับทิทิโยะซังต็ระเบิดหัวเราะออตทาพร้อทๆตัย

 

「ว่ะฮ่าๆๆ ขอโมษ ข้าขอโมษ อน่ากื่ยกตใจไปสิ แค่แตล้งเล่ยยิดหย่อนเอง」ดัยเก้ซังพูดแล้วหัวเราะออตทา

 

「อะฮ่าๆ โมษมียะมั้งสองคย ต็แค่เห็ยว่าพวตเธอสองคยตำลังคุนบางอน่างสำคัญๆโดนมิ้งชั้ยตับดัยเก้เอาไว้ยะสิ ยั่ยทัยแน่ทาตเลนยะ」

 

「ทะ-โท่ว มั้งสองคยละต็…」

 

ย็อยซังถอยหานใจเฮือตใหญ่

 

…โอ๊ะ พวตเขาแค่แตล้งเล่ยหรอ? อืท, รู้อนู่แล้วละ, จริงๆยะ, ผทรู้อนู่แล้ว, ใช่ๆ, ถึงผทจะรู้สึตถึงควาทจริงจังใยสานกาของดัยเก้ซังต็เถอะยะ

 

「…ผทอนาตจะขอควาทเห็ยจาตมุตคยหย่อนครับ」

 

ผทกัดสิยใจมี่จะพูดมุตอน่างมี่ทัยกิดใจผทอนู่

 

เยื่องจาตพวตเราทาถึงยี้แล้ว พวตเราตลับไท่เจอแผยตนึตครองดัยเจี้นยมี่ทาต่อยหย้าพวตเราเลน นิ่งไปตว่ายั้ย พวตเราไท่พบแท้แก่ร่องรอนเลนด้วน

 

เรื่องมี่พวตเราไท่แท้แก่จะพบตับปาร์กี้ของลีออยมี่พวตเราเจอตัยต่อยหย้ายี้เลนด้วนซ้ำ

 

เรื่องมี่เซอรี่ซังพูดว่า “อาตาศเปลี่นยไป”

 

และเรื่องมี่ออโกทากรอยพวตยั้ยควบคุทอารทณ์ของพวตเราได้ด้วนคำว่า “จงถูตตลืยติยด้วนควาทตลัว”

 

เรื่องมั้งหทดยั้ยดูจะไท่เชื่อทก่อตัยเลน แถทอน่างมี่ดัยเก้ซังเคนพูดเอาไว้ว่า “อะไรต็เติดขึ้ยได้เพราะทัยเป็ยดัยเจี้นย” ดัวน

 

ผทไท่คิดว่าทัยจะเป็ยอน่างยั้ยหรอต อน่างไรต็กาท

 

มุตเหกุตารณ์ก้องทีเหกุผลของทัย

 

แล้วดังยั้ย ผทจึงคิดมฤษฎีขึ้ยทา

 

「พวตเราคือยัตผจญภัน ใยมางตลับตัย พวตเราเองต็เป็ยปาร์กี้ด้วน ผทคิดว่าดัยเจี้นยเองต็คงจะเป็ยแบบยั้ยเหทือยตัยครับ」

 

เทื่อผทพูดแบบยั้ย เซอรี่ซังมี่ดูจะกื่ยเพราะเสีนงก่างๆต็ได้ทองทามี่ผทราวตลับบอตว่า “ไท่เห็ยจะสทเหกุสทผลเลน”

 

 

 

บทที่ 3 ตอนที่ 9

 

อย่างไรก็ตาม ผู้คนชาวเลฟจัดการกับออโตมาตรอนแบบนั้นได้ยังไงกัน? ชาวเลฟใช้หินสกิลไม่ได้นี้นา คงจะใช้อาวุธหนักกันเอาละมั้ง

 

…ให้ตายเหอะ อยากจะเห็นอาวุธพวกนั้นจัง

 

「ดันเต้ซัง ข้างหน้าดูจะไม่มีอะไรนะครับ」

 

「โอเค งั้นไปกันเถอะ」

 

พวกเราผ่านถ้ำขนาดใหญ่แล้วตรงไปตามทางเดิน เส้นทางได้หักไปทางขวา

 

ออโตมาตรอนเมื่อกี้มาจากไหนกันหน่ะ? แผนกยึดครองเขาวงกตที่มาก่อนหน้าพลาดไปงั้นหรอ? ชิ้นส่วนของออโตมาตรอนตัวนั้นถูกแยกส่วนแล้วเก็บเอาไว้ที่ถาดรับน้ำหนักของเนโกะจัง—เพราะไม่ได้ต้องการชิ้นส่วนโลหะ ดังนั้นจึงมีแค่อุปกรณ์เวทยมนตร์ข้างใน ซึ่งก็มีไม่เยอะเท่าไหร่ ผมยังคิดว่ามันน้อยเกินไปเลย ทว่ามูเกะซังกลับเต็มเปลี่ยมไปด้วยความสุข สงสัยจังว่าทั้งหมดนั้นเป็นชิ้นส่วนหายากหรือเปล่านะ?

 

「…หืมมม?」เซอรี่ซังส่งเสียงออกมา

 

「มีอะไรหรอครับ?」ผมถาม

 

「ฮึมมม… เค้ารู้สึกเหมือนกับว่าอากาศมันเปลี่ยนไป บางทีอาจจะเป็นแค่เค้าก็ได้」

 

「งั้นเคลื่อนที่กันอย่างระมัดระวังกันดีกว่าครับ」

 

「ไปกันเถอะ」ดันเต้ซังพูดพร้อมพยักหน้า

 

พวกเราเคลื่อนตัวไปข้างหน้ากันอย่างระมัดระวังเป็นพิเศษ ทว่าก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น และที่ข้างหน้าประมาณ 100 เมตร ห้องถัดไปก็ปรากฏขึ้นสู่สายตา

 

「หะ-เห้ย นี้มัน…」

 

ผมเดินไปอยู่ข้างๆดันเต้ซังแล้วส่องไฟไป… มันเป็นทางกว้างๆ

 

「เหมือนกับที่ทางเข้าเลย ทางลาดลงไปข้างล่างพร้อมรูปปั้นหิน」

 

รูปปั้นหินพร้อมอาวุธมากมายเรียงรายกันทั้งซ้ายและขวา ทางลาดเอียงเหมือนกับที่ทางเข้าเด๊ะๆ

 

「มันดูเหมือนกันก็จริง แต่พวกมันมีอาวุธไม่เหมือนกันครับ」

 

「หมายความว่าไง?」

 

「ตรงทางเข้านั้นเรียงเป็นดาบ, โล่, คทา, ขวาน, หอก, ค้อน – แล้วก็วนไปครับ แต่ที่นี่นั้นเรียงเป็นดาบ, ดาบสั้นโค้ง(scimitar), ขวาน, มีด, หอก, กรรไกรยักษ์ครับ」

 

「โว้ว! นายจำของแบบนั้นได้ด้วยหรอเนี้ย」

 

ใช่ ผมยังไม่ได้บอกดันเต้ซังกับคนอื่นถึง【World Ruler】กับความสามารถจดจำสมบูรณ์แบบเลย

 

「เซอรี่ซัง คุณได้กลิ่นอะไรไหมครับ? หรือเสียงแปลกๆอะไรแบบนั้น?」ผมถาม

 

「เค้าได้กลิ่นน้ำมัน」เซอรี่ซังพูดขณะที่ดมฟุดฟิด ใบหน้าของเธอมีสมาธิผิดปกติ

 

「นี้คือน้ำมัน?」

 

จมูกของผมเองก็จับกลิ่นอ่อนๆได้ ถึงจะอ่อนมากเลยก็ตาม

 

「ดูจะค่อนข้างเก่าเลยนะครับ」ผมพูด

 

「เป็นกับดักหรือเปล่า?」

 

ทั้งผมและเซอรี่ซังก็ไม่สามารถตอบคำถามของดันเต้ซังทันทีได้ ผมคิดไม่ออกเลยจริงๆ

 

「ดันเต้ซัง อยากจะให้ผมลองยิงด้วย【เวทย์ไฟ】ไหมครับ?」

 

「หืมม? ตรวจดูว่ามีแก๊สไหมสินะ หา?」

 

ในอดีต มีเรื่องราวเกี่ยวกับ “นกขมิ้นในเหมืองถ่านหิน (canary in the coal mine)” อยู่ที่โลก เรื่องราวจริงๆของคนงานเหมืองที่เข้าไปในอุโมงค์พร้อมกับนกขมิ้นในกรง อุโมงค์ที่ไม่ได้ใช้นานๆนั้นอาจจะมีออกซิเจนน้อยหรือเต็มไปด้วยคาร์บอนมอนอกไซด์ไม่ก็แก๊สพิษ นกขมิ้นถูกใช้ในฐานะตัวตรวจจับเพราะมันจะตายด้วยแก๊สพิษก่อนมนุษย์

 

จริงๆแล้ว ขนาดในเหมืองที่ 6 เอง พวกนักผจญภัยที่จะเข้าไปสำรวจพื้นที่ลึกๆบางครั้งก็นำนกตัวเล็กๆไปกับพวกเขาด้วยเช่นกัน

 

「ข้าไม่คิดว่ามันจะมีปัญหาอะไรเนื่องจากออกซิเจนนั้นไหลเวียนอยู่ภายในดันเจี้ยนอยู่แล้ว นอกจากนี้ ยังมีพวกแผนกยึดครองเขาวงกตที่มาก่อนหน้าพวกเราด้วย」

 

「ครับ…」

 

จริงด้วย เนื่องจากมีคนอยู่ข้างหน้าพวกเราแล้ว ก็ไม่มีเหตุผลที่จะต้องทำมันเลย

 

แต่ว่าถึงยังนั้น ผมก็ยังรู้สึกว่าผมต้องทำมันอยู่ดี ความรู้สึกนี้มันอะไรกัน? ไม่ใช้สัญญาณเตือนจาก【World Ruler】แต่เป็นแค่ความรู้สึกไม่ชอบมาพากลเท่านั้นเอง

 

「ถ้าเธอมีมานาเหลือละก็ จะลองดูก็ได้นะ ให้ยิงไปทางนั้นนะ อย่างน้อยๆพวกเราก็จะได้เห็นข้างหน้าชัดขึ้นด้วย」มิมิโนะซังพูด

 

ผมพยักหน้าแล้วยิง【เวทย์ไฟ】ออกไป มันเป็นลูกไฟขนาดเท่าบาสเก็ตบอล มันบินผ่านรูปปั้นพร้อมกับเสียงฟลิ้ว บริเวณที่มันผ่านสว่างขึ้นแปปนึง

 

การเรียงตัวของรูปปั้นหินยังคงไปเรื่อยๆ… รูปแบบอาวุธเองก็เหมือนเดิม… ท่าทางเปลี่ยนไปเล็กน้อย? สีของอาวุธเองก็ด้วย?

 

ท้ายที่สุด ลูกไฟก็กระทบกับกำแพงทางออกที่อีกฝั่งแล้วหายไป

 

「ทุกอย่างดูเหมือนกันหมดเลย」

 

ดันเต้ซังพูด มิมิโนะซังเองก็พยักหน้าเห็นด้วย

 

ไม่ครับ ไม่เหมือน ไม่เหมือนกันซะทีเดียวครับ มันมีความต่างอยู่เล็กน้อยจริงๆ

 

แต่อะไรกันละที่ผมเห็น?

 

ผมนึกถึงสิ่งที่ผมเห็นด้วย【World Ruler】ท่ายืนกับสีของอาวุธนั้นต่างกัน ที่ด้านหน้าของแถว รูปปั้นนั้นยืนตัวตรง ทว่าที่ด้านหลังของแุถว พวกมันอยู่ในท่าดาวน์สวิง(downswing) ด้วยอาวุธ และสีของอาวุธเองก็รู้สึกเหมือนกับว่ามันมีความเงาวับเลยด้วย…

 

(ที่นี่คือเขาวงกตเห็นความกลัว… ความกลัว… อาวุธ… รูปปั้น… อ้าาาาา ไม่เข้าใจสักนิด!)

 

ผมอาจจะสังเกตเห็นบางอย่างถ้าผมมีไหวพริบเหมือนกับเอิร์ลซิวลิซส์ แต่โชคไม่ดีที่ผมคิดอะไรไม่ออกเลย

 

「เอาละ ไปกันเถอะ」

 

ดันเต้ซังเดินนำหน้า แล้วพวกเราก็เดินตาม

 

พวกเราเดินไปตามทางเดินในขณะที่ถูกจ้องมองโดยรูปปั้น เป็นทางลาดลงอีกแล้ว ทำให้กลับมารู้สึกไม่ดีอีกครั้ง เมื่อพวกเราเดินลงเนิน คุณจะต้องเบรคพร้อมๆกับเดินลงไป และในทางกลับกัน คุณก็จะรู้สึกเหมือนกับว่าถูกพลักดันให้ไปข้างหน้าเรื่อยๆ อะไรแบบ “เร็วกว่านี้! เร็วกว่านี้!”

 

เซอรี่ซังเองก็เดินเหมือนกับเธอยังคิดไม่ตกถึงความรู้สึกนี้ บางทีคงเพราะเซอรี่ซังกับผมนั้นเคร่งเครียดมาก เลยไม่มีใครพูดอะไรเลย – มีเพียงแค่เสียงเครื่องจักรไอน้ำของเนโกะจังดังออกมาเท่านั้น

 

(…ความกลัว… อาวุธ… รูปปั้น… อาวุธนั้นต่างจากตรงทางเข้า ทำไมกัน?)

 

ตอนแรกนั้นมีดาบ, โล่, คทา, ขวาน, หอก, ค้อน

 

ครั้งนี้มีดาบ, ดาบสั้นโค้ง, ขวาน, มีด, หอก, และ กรรไกรยักษ์

 

แล้วไอ้กรรไกรยักษ์นี้มันคืออาวุธอะไรกัน มีอาวุธ 3 อันเหมือนกันในขณะที่อีก 3 อันต่างกัน ทำไมถึงต่างกันละ…

 

(โอ๊ะ! พวกมันทั้งหมดเป็นใบมีดนี้นา)

 

อาวุธทั้ง 6 ประเภทในทางเดินนี้ล้วนแล้วแต่เป็น “ของมีคม”

 

แต่ แล้วมันหมายถึงอะไรกัน…?

 

(ใบมีด, ใบมีด, ใบมีด — น้ำมัน หมายความว่ามันมีกับดักงั้นหรอ…?)

 

ตรงนี้เป็นทางเดินลาดลง

 

「อ๊ะ-」

 

ผมรู้สึกตัวแล้วหันกลับไปมองด้านหลัง

 

มันไม่มีเสียง บางทีคงเพราะมันถูกทาด้วยน้ำมัน

 

อย่างไรก็ตาม… เสียงของอากาศที่ถูกตัดผ่านนั้นไม่สามารถลบออกไปได้

 

ทันทีพร้อมกันกับผม เซอรี่ซังเองก็หันกลับมามองด้านหลังด้วยเช่นกัน เนื่องจากเธอนั้นมีหูที่ดี เธอเลยได้ยินเสียงเหมือนกัน – เสียงของใบมีที่ตัดผ่านอากาศ

 

「หมอบลง!!」ผมตะโกน

 

พวกเรานั้นเอาแต่มองด้านบนอยู่ตลอด มันก็เป็นเรื่องปกตืเนื่องจากมีเพียงแค่รูปปั้นหินเท่านั้นที่ต่างจากตรงทางเข้า

 

นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมผมถึงไม่รู้สึกตัวจนกระทั่งพวกเราเดินผ่านมันไป – ช่องว่างที่สร้างอยู่ในทางลาดลง

 

ใบมีดหมุนยาวมากกว่า 1 เมตรถูกยิงมาทางพวกเรา

 

「คุ๊…」

 

มูเกะซังนั้นตอบสนองช้าไม่เหมือนกับพวกเรา ผมรีบกระโจนเข้าหาเขาแล้วลากเขาออกจากที่นั่งคนขับเนโกะจัง

 

「อุหว่าาา!」

 

เกือบไปแล้ว

 

ใบมีดนั้นพลาดไปไม่กี่มิลลิเมตร ตัดปลายผมของผมไปเล็กน้อย ขนาดต่อให้มันตัดปล่องไฟของเนโกะจังไปแล้วก็ตาม มันก็ไม่ได้หยุดลงเลย

 

ตอนที่ดันเต้ซังเห็นมัน เขาดูจะเหมือนกับพยายามจะบล็อคมันไว้ด้วยโล่ของเขา ทว่ารีบวางมันลงแล้วหมอบทันที ใบมีดนั้นถูกยิงด้วยแรงที่สามารถตัดผ่านโล่ให้เป็นสองซีกได้เลย

 

ใบมีดผ่านพวกเราแล้วหายราวกับถูกดูดเข้าไปในช่องว่างที่ถูกสร้างเอาไว้ตรงด้านบนของทางออก

 

เอาจริงดิ? ขนาดจุดปลายทางก็ยังคำนวนเอาไว้แล้วงั้นหรอ?

 

「ฟลิ้ว…」

 

ผมเหงื่อโชกตัว

 

「เดี๋ยวนะ! นี้มันเหมือนกับว่า…」

 

เนื่องจากพวกเราเคยประสบอะไรแบบนี้มาแล้ว ผมจึงรู้สึกตัวทันที พวกเรากำลังหมอบอยู่กับพื้น—ราวกับพบเจอใครสักคนที่สูงส่งกว่า หรือจะบอกว่า ราวกับพวกเรากำลังเผชิญกับตัวตนของสิ่งที่เหมือนกับ “พระเจ้า”

 

ใช่ พวกเราดูเหมือนกับกำลังหมอบกราบอยู่บนพื้น และถูกกลืนกินด้วยความกลัว

 

 

บทที่ 3 ตอนที่ 8

 

ชิบ! น่ากลัว! อันตรายแล้ว! ผมกำลังกลัว! จะทำยังไงดีเนี้ย?!—ร่างกายของผมล้มลงไป

 

สมองของผมแข็งกระด้างอย่างกับเป็นตะคริว ร่างกายของผมเริ่มสั่น เหงื่อไหลท่วมตัวและยากจะหายใจ

 

(World Ruler, World Ruler, World Ruler, World Ruler! ถึงเวลาทำงานของแกแล้ว!)

 

เมื่อผมพยายามรวบรวมสมาธิไปที่【World Ruler】ความกลัวที่กัดกินผมก็ได้ลดลง

 

แค่พูดว่า “จงถูกครอบงำโดยความกลัว” ทุกคนก็คุกเข่าลงไปแล้ว นอกจากดันเต้ซังที่ยังยืนอยู่ด้วยพลังใจล้วนๆนั้น เซอรี่ซังลงไปหมอบกราบเรียบร้อยแล้ว พวกโกลเด้นบริเกดเองก็เหมือนกัน ทว่ามิมิโนะซัง มูเกะซัง กับน็อนซังที่อยู่ห่างออกไปดูจะไม่เป็นอะไรกัน

 

(ระยะห่างงั้นหรอ?)

 

แต่อะไรกันหล่ะที่สร้างความกลัวนี้ขึ้นมา?

 

「บะ-บ้าเอ้ย!!!」

 

ดันเต้ซังคำรามขณะที่ป้องกันหอกของออโตมาตรอนด้วยโล่ใหญ่ ใบหน้าของเขานั้นบิดเบี้ยวพร้อมกับเหงื่อไหลไม่หยุด ผมมั่นใจว่าการโจมตีด้วยหอกของออโตมาตรอนยักษ์นั่นน่าจะหนักหนาอยู่ แต่มันก็น่าจะไม่มีปัญหาอะไร—ถ้าเป็นดันเต้ซังตามปกติละก็นะ

 

เมื่อใช้【World Ruler】ผมก็พบว่ามันมีปรากฏการณ์ที่เกิดจากเทคโนโลยีเวทมนตร์ーหรือบางทีอาจจะเป็นคาถาเวทมนตร์เกิดขึ้นอยู่ ดันเต้ซังกับผมยังไหวอยู่ในตอนนี้ แต่สำหรับเซอรี่ซังที่เอาหน้าผากถูพื้นอยู่นั้น กำไลของเธอเริ่มแดงก่ำขึ้นเรื่อยๆทุกวินาที

 

(ผมจะทำยังไงดี?)

 

ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากกำจัดมันแล้ว แต่การเคลื่อนไหวของผมถูกลดลงไปครึ่งนึงหน่ะสิ

 

และทันทีหลังจากนั้น–

 

「ยิง!」

 

【เวทย์ไฟ】2 ลูกได้ระเบิดที่ด้านหลังของออโตมาตรอน มันถูกยิงโดยนักเวทย์ของโกลเด้นบริเกด

 

พวกโกลเด้นบริเกดที่อยู่ห่างจากออโตมาตรอนออกไปหน่อยนั้นดูจะอาการดีกว่าพวกเรา

 

เวทมนตร์งั้นหรอ มันก็จริง พวกเราไม่ได้อยู่ในสถานการณ์ที่จะมาหวงของดรอปได้

 

(สำหรับตอนนี้ พวกเราจะต้องออกจากสถานการณ์นี้ให้ได้ก่อน!)

 

ผมชกไปที่แก้มของตัวเอง

 

อย่าไปกลัว! อย่าไปกลัว! อย่าไปกลัว! อย่าไปกลัว!

 

วันนั้น วันที่เหมืองถล่มนั่น—ผมหวาดกลัวที่ไม่ได้จับมือของพี่สาวในวันนั้นเหนือสิ่งอื่นใด

 

ผมไม่อยากรื้อฟื้นความกลัวนั้นกลับมาอีกแล้ว

 

ไม่มีทางที่ผมจะกลัวไอ้ความกลัวจอมปลอมที่เกิดจากเจ้านั่นเด็ดขาด!

 

『–ผู้บุกรุก–』

 

ออโตมาตรอนหันกลับไปยังทิศตรงข้ามและมุ่งเป้าไปที่โกลเด้นบริเกด–หรือก็คือหันหลังให้กับเรา

 

「อย่ามาดูถูกมนุษย์ให้มากนัก ไอ้เครื่องจักร!」

 

ผมใช้งาน【เวทย์ไฟ】ที่ทุกนิ้วในมือขวาและ【เวทย์ลม】ที่ทุกนิ้วในมือซ้าย

 

การทำแบบนี้นั้นค่อนข้างกินมานาของผมอยู่ แต่ว่า — ไม่เสียใจหรอกนะ

 

「Flame Tornado!」

 

เปลวเพลิง 5 นัดและลม 5 นัดถูกยิงออกไปจากทั้งสองมือแล้วผสมเข้าด้วยกัน ก่อให้เกิดเป็นทอร์นาโดเพลิงลูกใหญ่กลืนกินออโตมาตรอนตัวนั้น

 

มิมิโนะซังสอนชื่อของเวทมนตร์นี้ให้กับผม ดูเหมือนว่าจะมีคนที่ใช้เวทมนตร์ชื่อนี้ในอดีตด้วย

 

『–ผู้บุกรุก……–』

 

เมื่อเปลวเพลิงหยุดลง ล้อของออโตมาตรอนก็ได้หยุดลงและมีเพียงแค่ส่วนบนของมันที่หันมาทางผม ร่างกายกายเป็นสีดำและเป็นเขม่า แต่ก็ไม่มากพอที่จะละลายมันได้

 

ดันเต้ซังได้บังคับตัวเองให้มาบังผมด้วยโล่ของเขา …ออโตมาตรอนมันยังทำงานอยู่งั้นหรอ?

 

และแล้ว อัญมณีที่โพล่มาจากร่างของมันก็ได้แตกออก ดูเหมือน 2 ใน 3 จะแตกไปเรียบร้อยแล้ว ส่วนอันสุดท้ายพึ่งจะแตกไป จากนั้นผมก็รู้สึกว่า “ความหวาดกลัว” ที่อยู่รอบๆก็ได้หายไป

 

ออโตมาตรอนล้มลงไปข้างหน้าพร้อมกับเสียงดังลั่น หนึ่งในแขนของมันหักออก บางทีคงเสียหายเพราะความร้อน แขนนั่นกลิ้งตกลงไปจากเวทีแล้วจมหายไปในเหวลึก

 

「พลิ้ว… อันตรายชะมัด」ผมพูด

 

「อะ-อืม… มันค่อนข้างอันตรายเลย ข้าไม่คิดเลยว่าจะถูกโจมดีแบบนั้น… เป็นอะไรไหมเรย์จิ? แล้วเซอรี่ละ?」

 

「ห่ะ? นะ-นี้เค้าทำอะไรอยู่เนี้ย!?」เซอรี่ซังรู้สึกตัว

 

ผมสูดหายใจเข้าลึกก่อนจะปล่อยออกมาในขณะที่ดันเต้ซังกำลังเข้าไปหาออโตมาตรอนอย่างระมัดระวัง เซอรี่ซังดูจะไม่เป็นอะไรเนื่องจากเธอมองไปรอบๆไม่หยุด—ถึงบางทีตรวจดูสภาพจิตใจของเธอทีหลังเพื่อไว้จะเป็นการดีกว่า ไม่สิ แต่ว่าเธอก็ไม่ปกติตั้งแต่แรกอยู่แล้วนี้นา…?

 

「ไม่เป็นไรแล้ว ดูเหมือนจะเคลื่อนไหวไม่ได้แล้วละ」

 

ดันเต้ซังเตะไปที่ออโตมาตรอนเพื่อยืนยัน ดูเหมือนการต่อสู้จะจบลงแล้ว

 

ปัญหาต่อมาเกิดขึ้นจากพ่อค้านั่นที่กลับมาแล้ว

 

「เวทมนตร์แรกถูกยิงออกไปจากโกลเด้นบริเกดที่ข้าจ้างมา! ดังนั้นออโตมาตรอนตัวนี้จะต้องเป็นของพวกข้า」เขาพูดแบบนั้น

 

หมอนี้จะเอาสินะ สู้กันแบบวิถีพ่อค้าหน่ะ ก็ได้ ขอมาก็จัดให้

 

「…เรย์จิซัง ปล่อยให้เป็นหน้าที่ข้าเถอะ」

 

เมื่อผมพับแขนเสื้อจะสู้กลับ มูเกะซังก็มายืนอยู่ข้างหน้าของผม

 

「ไม่ว่าจะดูยังไง ก็เป็นเรย์จิซังที่จัดการออโตมาตรอนนั่นนะ」

 

「พวกเราเป็นคนโจมตีก่อน!」

 

「ถึงยังงั้น มันก็อาจจะเป็นไปได้เพราะดันเต้ซังดึงความสนใจของมันอยู่ก็ได้ นายจะสาบานต่อ “เทพพระเจ้าแห่งการค้า (God of Trade)” ว่ามันเป็นของนายไหมละ?」

 

「กะ…」

 

โอ๊ะ ใช้ได้เลยนี้ครับมูเกะซัง! มิมิโนะซังเองก็พูดถึง “เทพพระเจ้าแห่งการค้า” ตอนที่พูดคุยกับกิลด์เมื่อก่อนหน้านี้อยู่เหมือนกัน

 

——เทพเจ้าแห่งการค้าเฝ้าดูอย่างยุติธรรม

 

——การค้าของผู้ซื้อที่ดีและผู้ขายที่ดี

 

เธอพูดอะไรแบบนั้น

 

「พอได้แล้ว… คุณผู้ว่าจ้าง」

 

เป็นลีออนที่พูดขัด

 

「ออโตมาตรอนถูกจัดการด้วยเวทมนตร์ของเจ้าเด็กนั่น」

 

「ชิ เป็นเพราะพวกแกทำงานไม่ดีพอนั่นแหล่ะ! ข้าจะหาคนมาแทนเมื่อไหร่ก็ได้ ดังนั้นครั้งหน้าทำให้ดีกว่านี้」พ่อค้าสบถแล้วจากไป

 

…ให้ตายเหอะ หมอนั่นนิสัยเสียจริงๆ

 

「ไม่คิดว่านายจะมาช่วยนะเนี้ย」ดันเต้ซังพูด

 

「เห้ย นายคิดว่าชั้นเป็นคนยังไงกัน ดันเต้… แต่ว่านะ ยิ่งไปกว่านั้น เวทมนตร์นั่นมันอะไรกันหน่ะ! ขนาดเอมิลี่ (Emily) ของพวกเรา… คนที่, เออ, เป็นนักเวทย์ ยังล้มลงไปด้วยความช็อกเลยนะ! นี้นายผสมเวทมนตร์เข้าไปกี่นัดเนี้ย?」ลีออนถามพร้อมกับมองมาที่ผม

 

「กี่นัดงั้นหรอ? ก็ 10 นัดแน่นอนอยู่แล้ว เพราะนิ้วมี 10 นิ้วนี่นา ใช่ไหมละ?」

 

「ให้ตายเหอะ… ชั้นก็คิดว่านายเป็นพวกสกิลประเภทสำรวจซะอีกเนื่องจากนายดูไม่เหมือนนักเวทย์–ไม่สิ วันนี้นายแต่งตัวเหมือนดรูอิดนี้นา แต่ดรูอิดที่ใช้【เวทย์ไฟ】งั้นหรอ…?」ลีออนเอียงหัวก่อนจะจากไป

 

ที่ด้านหลังของผม มิมิโนะซังกำลังทำหน้าแบบมีชัยอยู่「มุหุหุหุหุ… เห็นถึงความเท่ของเรย์จิคุงรึยังละ?」ถึงคนๆนี้จะโตแล้วก็เถอะ แต่เธอก็ยังทำตัวน่ารักเป็นเด็กๆอยู่เลย

 

หลังจากนั้น มูเกะซังก็ตรวจสอบออโตมาตรอนอย่างระมัดระวัง และดูว่ามันมีอุปกรณ์เวทมตร์ที่ใช้ได้อยู่หรือไม่ ส่วนพวกโกลเด้นบริเกดนั้นล่วงหน้าไปก่อนแล้ว

 

「แต่ยังไงก็เถอะ ออโตมาตรอนนั่นใช่เวทมนตร์อะไรกันนะ?」น็อนซังถามขึ้นในขณะที่พวกเราพักเบรคกัน「คุณพ่อคะ การเคลื่อนไหวของคุณพ่ออยู่ๆก็ทื่อลงสินะคะ?」

 

「ลูกมีปัญหาอะไรงั้นหรอ?」ดันเต้ซังถาม

 

「ไม่ค่ะ… คือหนูรู้สึกเสี่ยวสันหลังวาบ เหมือนกับความรู้สึกตอนที่หนูรับรู้ถึงตัวตนของพระเจ้าในมหาวิหารแห่งราชอาณาจักรอัศวินนักบุญเลยหน่ะค่ะ」

 

พระเจ้างั้นหรอ… มันเป็นอารมณ์เกี่ยวกับความกลัว ดังนั้นก็อาจจะเหมือนกันก็ได้ แล้วก็นะครับน็อนซัง! คุณเคยเจอกับพระเจ้าจริงๆหรอครับ?!

 

「คิดว่าไงละจ๊ะ เรย์จิคุง?」น็อนซังถาม

 

「ผมเองก็ยังคิดอะไรไม่ออกเหมือนกันครับ… แต่ผลของมันดูจะด้อยลงถ้าอยู่ห่างออกไป ดังนั้นครั้งหน้าเรามาทิ้งระยะห่างในตอนต่อสู้กันดีกว่าครับ」

 

「เอกสารดูจะไม่ได้บอกอะไรถึงกรณีที่ศัตรูใช้อะไรอย่างเวทมนตร์เลย แต่ที่นี่เป็นดันเจี้ยนนี้นะ อะไรก็เกิดขึ้นได้ ตั้งสติกันเอาไว้ละ」ดันเต้ซังพูด

 

ทุกๆคนพยักหน้า—แต่ผมกำลังสับสนในใจ

 

อะไรก็เกิดขึ้นได้เพราะมันคือดันเจี้ยงยังงั้นหรอ? ถ้าพูดถึงดันเจี้ยน ผมรู้จักแค่เหมืองที่ 6 แต่ที่นั่นมันมี “กฏ” ของมันอยู่

 

(มันจะต้องมีกลไกที่เกี่ยวข้องกับอารมณ์แน่ๆ)

 

ผมอยากจะเปิดโปงกลไกพวกนั้นด้วย【World Ruler】จัง!

 

 

 

บทที่ 3 ตอนที่ 7

 

『เขาวงกตจะเข้าไปและควบคุมจิตใจของผู้คน』

 

มันถูกเขียนเอาไว้ในเอกสารจากกิลด์ เขาวงกตแต่ละที่ที่เป็นตัวแทนของอารมณ์นั้นๆดูจะ “มีอำนาจ” ในอารมณ์นั้นๆ

 

เมื่อพวกเราเข้ามาในจักรวรรดิเป็นครั้งแรก พวกเขาจะมอบกำไลที่มี GPS ยืนยันอารมณ์ของผู้สวมใส่มา ถ้ากำไลเรืองแสงสีแดง ดูเหมือนว่ามันจะหมายถึง “ต้องเฝ้าดูเป็นพิเศษ” นี้ก็เพื่อให้ผู้สวมใส่ระวังตัวเองก่อนที่พวกเขาจะอารมณ์พลุ่งพล่านและเสียสติไป

 

วิธีที่จะใช้ควบคุมอารมณ์พวกนั้นขึ้นอยู่กับเขาวงกต เช่นกับดัก, สถานะผิดปกติที่โดนไม่รู้ตัว, สถานที่ที่ต้องใช้อารมณ์พวกนั้นในการผ่านไป, และอื่นๆอีกมากมาย

 

「สวยอย่างไม่น่าเชื่อ…」

 

ความประทับใจแรกของผมที่ได้เห็นก็คือว่ามันกว้างและเรียบร้อยอย่างน่าประหลาด เห็นได้เลยว่ากำแพงนั้นเรียบเนียนและแข็งแรง ทางเดินที่สามารถให้คน 4 คนเดินไปพร้อมกันได้นั้นสว่างเล็กน้อย — ซึ่งเป็นเรื่องปกติของ “ดันเจี้ยน” เมื่อผมตรวจสอบด้วย【World Ruler】ผมก็พบว่ามันมีมานาจำนวนเล็กน้อยไหลเวียนอยู่

 

อย่างไรก็ตาม มันก็ยังสว่างน้อยไปอยู่ดี ดังนั้นจึงยังคงใช้ตะเกียงเวทมนตร์อยู่

 

(พอพูดแล้วก็ ที่เหมืองที่ 6 เองก็สว่างแค่นี้นี้นะ มันก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรกับผมเนื่องจากผมมี【Night Vision】หรอก …..แต่ว่าในตอนนั้น ผมคิดว่า “มันเป็นสิ่งที่มันเป็น”)

 

นั่นก็เพราะ ตอนที่ผมบ่นว่ามันมืด ลาร์คก็ตอบกลับมาว่า “มันเป็นสิ่งที่มันเป็น” ลาร์คนั้นมีมุมมองเชิงปรัชญาสำหรับเด็กอายุ 13 ปีในตอนนั้นอยู่

 

「มูเกะซัง หน่วยยึดครองเขาวงกตเข้ามาในเขาวงกตนี้เมื่อไหร่เหรอคะ?」มิมิโนะซังถาม

 

「ข้าคิดว่าน่าจะเมื่อ 5 วันก่อนละมั้ง」

 

ผมกำลังฟังบทสนทนาระหว่างมิมิโนะซังกับมูเกะซังอยู่ ทว่า【เสริมการได้ยิน】ของผมจับเสียงอื่นได้—เสียงของลม

 

「—ดันเต้ซัง จากตรงนี้ไปจะเป็นพื้นที่เปิดกว้างครับ」

 

「หึมมม เอาละ เรย์จิ, เซอรี่กับข้าจะไปตรวจดูข้างหน้าก่อน คนอื่นๆค่อยตามหลังมานะ」

 

เนื่องจากมันพึ่งจะผ่านทางเข้ามา บางทีพวกเราจึงไม่ต้องกังวลการโจมตีจากด้านหลัง

 

หลังจากที่เคลื่อนตัวมาข้างหน้า 50 เมตรก็พบกับพื้นที่เปิดโล่ง และทางลาดลงที่มีรูปปั้นหินถือดาบ, โล่, คทา, และอื่นๆเรียงรายทั้งซ้ายและขวา รูปปั้นพวกนั้นดูราวกับกำลังจ้องมองมาที่พวกเราเลย

 

「…ดูจะไม่มีอะไรตรงนี้นะ ทางพวกนายละ?」ดันเต้ซังถาม

 

「ผมเองก็ไม่เห็นอะไรเหมือนกันครับ」

 

「อืม ไม่มีอะไรเลย」เซอรี่ซังพูด

 

แค่เอาไว้ขู่งั้นหรอ…? หืมมม แต่ว่า–

 

「…มันไม่มีอะไรก็จริง แต่ผมได้กลิ่นเลือดครับ」

 

「อาจจะมีกับดักก็ได้ ระวังตัวด้วย」ดันเต้ซังพูด

 

หลังจากมิมิโนะซังและคนอื่นๆมารวมตัวกับพวกเรา พวกเราก็เคลื่อนตัวไปข้างหน้าพร้อมๆกัน ทว่า ตรงข้ามกับการคาดการณ์ของพวกเรา มันไม่มีอะไรอยู่เลยจริงๆ—ไม่นานพวกเราก็ผ่านพื้นที่โล่งและกลับมาอยู่ในทางเดินอีกครั้ง

 

ทางเดินนั้นเหมือนกับอันก่อนหน้า แต่ถนนดูจะโค้งนิดๆพร้อมกับลาดลงไปข้างล่าง ระหว่างทางพวกเราก็พบกับผู้คนบ้างนิดหน่อย พวกเราเคลื่อนตัวไปพร้อมกับตรวจสอบทุกจุด มีบางที่ที่ดูเหมือนกับแท่นบูชาทว่าไม่พบอะไรเลย – ปาร์ตี้ก่อนหน้านี้คงเอาเอาไปหมดแล้วละ

 

พวกเราเคลื่อนตัวมาได้ 3 ชั่วโมงแล้ว พวกเราพักกันแค่ครั้งเดียวอยู่ ดังนั้นตอนที่พวกเรากำลังคิดจะพักกัน

 

「ผมได้ยินเสียงคนคุยกันข้างหน้าครับ」

 

「หืมมม เป็นนักผจญภัยกลุ่มอื่น หรือหน่วยยึดครองเขาวงกตกันนะ?」ดันเต้ซังสงสัย

 

ถึงพวกเขาจะเป็นคู่แข่ง แต่ก็ไม่ใช่ศัตรู ดังนั้น “มีคน” ก็หมายถึงข้างหน้านั้น “ปลอดภัย”

 

ท้ายที่สุด พวกเราก็ได้มาถึงโถงทรงลูกบาศก์ขนาดใหญ่

 

มันค่อนข้างกว้าง มีความสูงประมาณ 100 เมตรได้

 

「โอ้……」

 

ทางเดินนั้นเป็นเส้นตรงและนำไปยังทางออกที่อยู่อีกฟาก กองไฟได้ถูกจุดเอาไว้ทั้งซ้ายและขวาในตะแกรงเหล็ก มีเวทีวงกลมอยู่ตรงกลางห้อง และมีคนกว่า 10 คนอยู่ตรงนั้น

 

「หา? มีนักผจญภัยคนอื่นนอกจากพวกเราด้วยหรอ? —เดี๋ยวนะ…」

 

พวกเราจะโชคร้ายอะไรขนาดนี้ นั่นเป็นปาร์ตี้ที่นำโดยลีออน – โกลเด้นบริเกด นั่นเอง

 

「…………」

 

「…………」

 

ดันเต้ซังกับลีออนจ้องมองกันสักพัก

 

「—ข้าไม่ได้อยากสู้ในนี้เหมือนกัน」

 

「ไม่ต้องบอกก็รู้น่า」

 

เหมือนกับวันก่อน หญิงสาวผอมเพรียวในเสื้อฮู้ดเป็นคนพูดแบบนั้นออกมา แลัวลีออนก็ถอยกลับไป

 

พวกนั้นตรงไปยังฝั่งนึงของเวที ดังนั้นพวกเราก็เลยตรงไปยังฝั่งตรงข้ามแล้วนั่งลง

 

มีพ่อค้าที่ดูจะเป็นคนว่าจ้างโกลเด้นบริเกดอยู่ด้วย พ่อค้าคนนั้นแต่งตัวด้วยเสื้อผ้ามันเงาวาววับนั่งอยู่บนยานพาหนะที่ดูเหมือนกับรถยกที่ทำงานโดยเครื่องจักรเวทมนตร์

 

พ่อค้าคนนั้นพาชาวเลฟอีกสองคนมากับเขาแล้วตรงมาที่เรา — ตรงมาที่มูเกะซัง

 

「เห้ย นี้มันบริษัทโกโรโกโสไม่ใช่รึไง? ไม่ดีเลยนะที่บริษัทจนๆอย่างแกจะมาเข้าเขาวงกตแบบนี้หน่ะ」

 

「…………」

 

「…………」

 

เมื่อดันเต้ซังกับผมที่กำลังนั่งพักผ่อนอยู่กำลังจะลุกขึ้น มูเกะซังก็พูด “ได้โปรดนั่งก่อนเถอะนะ”

 

「เขาวงกตนั้นเปิดให้ทุกคนไม่ใช่หรอ? ข้าก็มีสิทธิ์จะอยู่ที่นี่นะ」

 

「ไร้สาระ…. เขาวงกตนี้เป็นชีพจรของจักรวรรดิเราเลยนะ รู้ไหม้? มันน่าสะอิดสะเอียนที่คนติดต่อกับ “ภายนอก” อย่างแก่เข้ามาที่นี่นะ ไม้รู้รึไง? ตัวแก ที่ไม่สามารถสร้างธุรกิจ “ภายใน” ได้หน่ะ ก็เป็นตัวน่ารังเกียจสำหรับทุกคนนั่นแหล่ะ」

 

「เรื่องแบบนั้นมัน–」

 

「พวกคุณเองก็ไม่สามารถใช้ชีวิตอยู่ได้ถ้าไม่มีอาหารจากภายนอกไม่ใช่หรอครับ แถมยังมาจากปากคนใส่ชุดน่าเกลียดแบบนี้ด้วยหน่ะนะครับ?」

 

「เรย์จิซัง!?」

 

มูเกะซังตกใจ บางทีคงไม่คิดว่าผมจะไปตัดบทสนทนาแบบนั้น พ่อค้าคนนั้นจ้องมองผมอย่างอึ้งๆ แต่จากนั้นก็รีบส่ายหัวแล้วพูดว่า

 

「อะ-อะ-ไอ้เด็กเวร!! เมื่อกี้แกว่าไงนะ–」

 

「ผมจะพูดจนกว่าจะพอใจเลย ที่นี่อาจจะเป็นศูนย์รวมโรงงานเวทมนตร์หนึ่งเดียวในโลกก็จริง แต่กลับกัน มันก็มีแค่นั้นเอง ไม่เหมาะจะเพาะปลูกหรือเลี้ยงสัตว์ด้วยซ้ำ ถ้าไม่มี “โลกภายนอก” ละก็ คุณก็ประคับประคองตัวไม่ได้ด้วยซ้ำ มูเกะซังต้องเสี่ยงอันตรายนำสิ่งของจาก “ภายนอก” มา – ขนาดวัตถุดิบเสื้อผ้าของคุณก็ยังมาจาก “ภายนอก” เลย คุณควรจะขอบคุณมูเกะซังนะครับ ผมไม่คิดว่ามันจะมีเรื่องน่าบ่นตรงไหนเลย」

 

「มันมีเรือเหาะเวทมนตร์สำหรับนำเข้าและส่งออกโว้ย! ข้าไม่มีทางมาขออะไรกับบริษัทที่ใช้งานเครื่องจักรไอน้ำโกโรโกโสแบบนี้หรอก!」

 

「งั้นคุณก็ไม่ควรมาที่นี่ตั้งแต่แรกแล้วครับ และก็ไม่ควรไปว่าอะไรความสัมพันธ์ของเขากับ “ภายนอก” ด้วยครับ」

 

「ไอ้เด็กเวรปากเสียนี้!!」

 

「จะ-ใจเย็นๆ ใจเย็นๆก่อนนะ」

 

ด้วยเหตุผลบางอย่าง มูเกะซังเป็นคนเดียวที่พยายามห้ามปรามสถานการณ์นี้

 

「แล้วก็มูเกะซัง คุณต้องตอบโต้พวกเขาไปตรงๆนะครับ คุณเองทำงานที่น่าภาคภูมิใจนะครับ」

 

「งานที่น่าภาคภูมิใจ…」

 

ตอนที่มูเกะซังเงียบไปเพราะคำพูดนั้น

 

「หนุ่มน้อย เค้าก็ไม่ว่าอะไรหรอกนะถ้าเธอจะฆ่าเวลาโดยการทะเลาะกันหน่ะ แต่เอาไว้ทีหลังนะ」เซอรี่ซังยืนขึ้นพร้อมกับมองกลับไปยังเขาวงกต

 

「มีอะไรบางอย่างกำลังมา」ผมพูด

 

「!」

 

ทั้งผมและดันเต้ซังเด้งลุกขึ้นยืนพร้อมๆกับพวกโกลเด้นบริเกด

 

「เห้ยไอ้ผู้ว่าจ้าง! มาทางนี้เร็วเข้า! มีบางอย่างกำลังมาทางนี้จากด้านหลัง!!」ลีออนตะโกนออกมา

 

「ฮิ-ฮี้ยยย!」

 

จังหวะเดียวกับที่พ่อค้าปากเสียคนนั้นวิ่งกลับไป ยักษ์สีทองก็ปรากฏขึ้นที่อีกฟากของทางเดิน พร้อมกับเสียงดังลั่น

 

มันมีสองล้อที่เส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 2 เมตรเป็นขา ซึ่งทำสมดุลและเสริมลำตัวบนได้เป็นอย่างดี มันมีทั้งหมด 4 แขนซึ่งแหลมเหมือนกับหอก

 

มันไม่มีหัว แทนที่กันนั้น มันมีอัญมณี 3 เม็ดโพล่ออกมาที่ตรงกลางของร่างเป็นรูปสามเหลี่ยม—รู้สึกเหมือนกับอัญมณีพวกนั้นกำลังจ้องมองมาที่พวกเราเลย

 

『——ผู้บุกรุก, ค้นพบ——』

 

เสียงราวกับเครื่องจักรดังกึกก้อง

 

หุ่นออโตมาตรอน

 

ร่างยักษ์เริ่มเคลื่อนไหวด้วยการหมุนล้อเมื่อมันเอนตัวมาด้านหน้า

 

ล้อของมันที่หมุนอยู่สร้างประกายไฟกับพื้น

 

「มิมิโนะ, น็อน อพยพไปพร้อมกับมูเกะซัง」

 

「รับทราบ」

 

「ค่ะ」

 

「เรย์จิ, เซอรี่ พวกเราจะจัดการเจ้านั่นลง!」

 

กองไฟตะแกรงเหล็กที่จัดวางอยู่รอบๆนั้นดูจะเอาไว้ใช้เป็นบาเรียป้องกันบางอย่าง แต่ถ้าตัวใหญ่ขนาดนั้นพุ่งเข้ามา มันก็คงถูกทำลายในพริบตาเดียว

 

「รับทราบ — แต่ถ้าทำได้ละก็ อย่าเอาจริงกันนะครับ」

 

ของดรอป! ของดรอป!

 

「อย่าบ้าไปหน่อยเลย」ดันเต้ซังพูด

 

「สมกับเป็นหนุ่มน้อย เค้าเอาใจช่วยอยู่นะ!」

 

ผมสัญญากับตัวเองเลยว่าจะต้องไปดุเซอรี่ซังทีหลังให้ได้

 

「มันจะมาแล้ว!」

 

ไม่ใช่แค่พวกเราเท่านั้น พวกโกลเด้นบริเกดเองก็เตรียมพร้อมแล้วเหมือนกัน ด้วยลีออนเป็นแนวหน้า และหญิงสาวสวมฮู้ดอพยพผู้ว่าจ้างชาวเลฟ

 

ออโตมาตรอนตัวนั้นกระโดดลงมาที่ตรงกลาง

 

『——จนถูกกลืนกินด้วยความกลัว——』

 

ทันทีหลังจากนั้น ผมก็ถูกครอบงำโดยความรู้สึกที่อยากจะทรุดตัวลง กำไลของทุกๆคนเรืองแสงสีแดงออกมา

 

 

บทที่ 3 ตอนที่ 6

 

“เขาวงกตแห่งอารมณ์ทั้ง 9” นั้นถูกสร้างขึ้นโดย ลา-ฟิซา (La-Fisa) จอมขมังเวทย์ผู้ที่ลงหลักปลักฐานอยู่ที่นี่เมื่อนานมาแล้ว ด้วยความเล็กของที่นี่ ตัวตนของมันนั้นถูกค้นพบจากผู้คนมาเป็นเวลานานแล้ว มีทั้งที่ที่ใกล้ๆกลับส่วนที่ยังไม่ได้สำรวจ และที่ที่ใกล้ๆกันกับที่นี่ด้วย

 

มันก็กว่า 500 ปีมาแล้วที่ชาวเลฟเข้ามาอยู่ที่ดินแดนนี้ ในตอนแรก พวกเขาแทบจะขุดอะไรไม่ได้เลย แต่จนกระทั่งพวกเขาค้นพบเขาวงกตและพบว่าสามารถหาอุปกรณ์เวทมนตร์จากที่นี่ได้ พวกเขาก็เลยรีบเร่งยึดครองเขาวงกต

 

ดูเหมือนพวกเขาจะมีผู้นำที่ยอดเยี่ยมด้วย เขาคนนั้นก็ได้เริ่มใช้ประโยชน์จากอุปกรณ์เวทมนตร์แล้วยกระดับชีวิตของชาวเลฟขึ้น เขาเริ่มค้าขายกับประเทศอื่นๆ — โดยการขายอุปกรณ์ที่พวกเขาสร้างขึ้นแทนที่จะเป็นตัวจากเขาวงกตเอา

 

อุปกรณ์จากเขาวงกตนั้นเป็นอุปกรณ์เวทมนตร์ชั้นสูง ดังนั้นเขาจึงคิดว่ามันอาจจะเป็นหายนะได้ถ้าประเทศอื่นๆบุกเข้ามาโดยที่กองกำลังทหารของประเทศยังไม่ได้จัดตั้งขึ้น

 

และผลลัพธ์ก็คือ—ระบบปลีกวิเวกในปัจจุบัน

 

(หึมมม มีข้อมูลเกี่ยวกับลา-ฟิซาน้อยเกินไป)

 

ผมไม่มีทางลืมอะไรที่ผมเคยเห็นมาแล้วครั้งหนึ่งได้ต้องขอบคุณ【World Ruler】ดังนั้นผมเลยเตรียมพร้อมสำหรับการผจญภัยโดยอ่านข้อมูลจากเอกสารที่ได้รับมาจากกิลด์

 

อุปกรณ์ของผมมีมีดสั้นที่ได้มาจากเอิร์ลชายแดน, ถุงมือติดสนับมือ, และร้องเท้าบูทที่เสริมด้วยแผ่นเหล็ก ในเขาวงกตมีมอนสเตอร์ที่ปรากฏออกมาอยู่ 2 ประเภทนั่นก็คือ มอนสเตอร์ กับ ออโตมาตอน (automaton) ที่สร้างขึ้นโดยลา-ฟิซา พวกมอนสเตอร์นั้นจะเกินในถ้ำที่ไม่มีคนใช้มานานหลายปี และจะถ้ากำจัดมันก็จะได้หินเวทย์ด้วย หินเวทย์สามารถขายได้เพราะพวกมันเป็นเหมือนกับแบตเตอรี่สำหรับอุปกรณ์เวทมนตร์อยู่

 

ปัญหาก็คือออโตมาตอน ที่แต่ละส่วนของมันคืออุปกรณ์เวทมนตร์ชั้นสูง ดังนั้นพวกเราจะต้องจำกัดการเคลื่อนไหวของมันโดยที่ไม่ทำความเสียหายมากเกินไป …บางทีพวกเราอาจจะต้องสู้กับมันมือเปล่าเลยก็ได้

 

ถุงมือหนังติดสนับมือนั้นมีแผ่นโลหะติดอยู่ที่หลังมือ ซึ่งสามารถป้องกันได้ไปจนถึงข้อศอกเลย

 

นอกจากนั้น ผมยังซื้ออุปกรณ์เวทมนตร์บางอย่างที่มีขายในร้านที่เราไปเมื่อวานมาด้วย หนึ่งในนั้นก็คือโลหะทรงกรมหมุนได้ที่เหมือนกับฟิดเจ็ตสปินเนอร์ และอีกอันก็คืออุปกรณ์เวทมนตร์ลึกลับที่ร้อนเองได้ ดูเหมือนมิมิโนะซังเองก็เคยซื้อของพวกนี้ด้วยเหมือนกัน

 

…คืนนั้น ผมตรวจสอบอุปกรณ์เวทมนตร์พวกนั้นโดยใช้【World Ruler】เห็นได้แค่ว่าตัวเองสามารถใช้พวกมันได้แค่เล่นฆ่าเวลาเท่านั้นเอง

 

「เรย์จิคุง เสร็จแล้วละ」

 

「โอ๊ะ มันเสร็จสมบูรณ์แล้วหรอครับ?」

 

มิมิโนะซังเอาเสื้อเชิ้ตกับกางเกงขายาวมาให้ผม อย่างไรก็ตาม แขนเสื้อกับชายเสื้อนั้นถูกเย็บด้วยด้ายเพื่อให้เคลื่อนไหวได้สะดวก

 

สีของมันเป็นผ้าขนสัตว์สีธรรมชาติ และผสมสีสดใสอย่างสีแดงเข้มกับสีถั่วเขียวเข้าไปด้วย ดูเหมือนว่าเสื้อผ้าที่มิมิโนะซังตัดขึ้นจะเป็นชุดแนว*ดรูอิด (Druid) ดั้งเดิม ผมก็คิดว่าเสื้อผ้าของมิมิโนะซังจะเป็นวัฒนธรรมฮาร์ฟลิงซะอีก แต่ดูเหมือนอิทธิพลของดรูอิดจะแข็งแกร่งกว่าละนะ

 

「มันรู้สึกสดชื่อและดูดีมากเลยครับ」

 

「ดีใจจัง มันพอดีไหม?」

 

「ครับ!」

 

ตอนที่ผมกลับมาเข้าร่วมกับซิวเวอร์บาลานซ์ มิมิโนะซังที่ปลาบปลื้มกับเรื่องที่ผมยังใส่ชุดที่เธอเคยทำให้ผมเมื่อ 4 ปีก่อน ก็ได้พูดว่าเธอจะต้องตัดชุดให้ผมอีกแน่นอน

 

「ชั้นได้ร่ายเวทย์หลายอันลงไปด้วยนะ ความเสียหายเล็กน้อยน่าจะคืนสภาพเองได้ด้วยความยืดหยุ่นของพืชที่ใช้ทำ แถมยังมีความแข็งแรงพร้อมกับการปรับอุณหภูมิและป้องกันเวทมนตร์ด้วยนะ」

 

「เอ๊ะ… มันสุดยอดมากกว่าที่ผมคิดอีกนะครับเนี้ย」

 

「เพราะอุปกรณ์สวมใส่เป็นชีวิตของนักผจญภัยยังไงละ!」

 

มันก็จริงแห่ะ ขอโทษครับที่ผมคิดว่าอยากจะให้มันดูเท่กว่านี้ครับ

 

「…มิมิโนะซัง เธอใช้เงินเก็บที่เก็บสะสมมา 4 ปีไปเป็นจำนวนมากเพื่อชุดนั้น ใช่ไหมละจ๊ะ?」

 

「หว่า น็อน!?」

 

「งั้นหรอครับ!? ไม่ครับ ผมรับมันเอาไว้ไม่ได้หรอครับ! โอ๊ะ คุณจะรับนี้เป็นสิ่งแลกเปลี่ยนได้ไหมครับ? มันเป็นมีดสั้นที่ได้รับมาจากบาบาเรี่ยน…」

 

「ไม่ มันไม่เป็นไรหรอก! ไม่เป็นไร! เธอเป็นสมาชิกปาร์ตี้ของชั้น แถมอุปกรณ์ก็เป็นสิ่งจำเป็นด้วย ดังนั้นจึงเป็นเรื่องปกติที่จะใช้เงินกับของแบบนั้นนะ นอกจากนี้ ชั้นเองก็ยังสนุกที่ได้ทำมันด้วย… เดี๋ยวนะ? บาบาเรี่ยนอะไรนะ??」

 

「โอ๊ะ คือเรื่องมันยาวหน่ะครับ…」

 

และหัวข้อคุยก็เปลี่ยนไป

 

「ให้ตายสิ〜 เธอได้รับความรักมากเลยนะ หนุ่มน้อย」

 

「มาตอนไหนครับเนี้ย เซอรี่ซัง เดี๋ยวจะคุยนอกเรื่องกัน ทำไมคุณไม่ไปตรงมุมโน้นแล้วดื่มนมหรืออะไรเงียบๆละครับ…」

 

「พักหลังมานี้เธอแกล้งเค้าบ่อยไปแล้วนะ หนุ่มน้อย! เมื่อวานเองทุกคนก็พูดว่า “เยี่ยม” ด้วย! ฮึม!」

 

หลังจากนั้นสักพัก ก็ถึงเวลาออกเดินทาง

 

พวกเราทานอาหารเช้าแล้วเตรียมตัวกัน พวกเราไม่ได้มีสัมภาระเยอะแยะอะไรเนื่องจากพวกเราออกเดินทางกันมาตั้งแต่แรกอยู่แล้ว ดังนั้น พวกเราเลยบรรทุกสัมภาระเอาไว้ที่รถเข็นเล็กๆที่ติดอยู่กับเนโกะจัง

 

「ถ้าพวกนายเจอสมบัติมากมายละก็ พวกนายจะต้องเริ่มแบบสัมภาระกันเองนะ ฮ่าฮ่าฮ่า」มูเกะซังพูดติดตลก

 

「แน่นอน จะหาสมบัตมากมายจนเนโกะจังขนไม่ไหวเลยละ」ดันเต้ซังตอบกลับอย่างแข็งขัน

 

หน้าผาที่เป็นทางเข้าของ “เขาวงกตแห่งความหวาดกลัว” นั้นอยู่ห่างจากบริษัทของมูเกะซังประมาณชั่วโมงนึง รางถูกตั้งเป็นเส้นตรงพร้อมกับแผ่นไม้ถูกยึดด้วยสายไฟหนาๆที่สามารถดึงขี้นได้—หรือที่เรียกกันว่าลิฟต์

 

มูเกะซังพูดคุยกับยามชาวเลฟที่ยืนหาวอยู่ แล้วพวกเราก็ถูกพาไปขึ้นไปยังลิฟต์ ถึงมันจะเป็นลิฟต์ แต่มันก็มีขนาดใหญ่มาก มีที่มากพอจะให้พวกเราทั้งหมดขึ้นไปพร้อมๆกับเนโกะจังได้เลย

 

「โอ๊ะ ขยับแล้ว!」

 

ดันเต้ซังดูพอใจที่พื้นตรงที่เขายืนอยู่เริ่มขยับ—ทว่ามิมิโนะซังกลับกอดแขนผมแน่นเลย

 

「…มิมิโนะซัง?」

 

「หะ-ให้ชั้นเกาะอยู่จนกว่าพวกเราจะถึงด้านบน ได้ไหม้?」

 

「แน่นอนครับ」

 

กลัวความสูงสินะ

 

ในท้ายที่สุด ลิฟต์ก็ได้หยุดลงห่างจากพื้นดินประมาณ 15 เมตร เมื่อพวกเราลงไปยังทางเดินที่ยื่นออกมา มูเกะซังก็โบกมือลงไปข้างล่าง แล้วลิฟต์ก็ได้กลับลงไป

 

「จากตรงนี้… พวกเราจะตรงไปยังทางเข้าของเขาวงกตกัน」

 

น้ำเสียงของมูเกะซังแข็งเล็กน้อย

 

อย่างที่คิด — ถึงเขาจะทำธุรกิจกับกองกองคาราวานที่โลก “ภายนอก” ถึงครั้งนี้จะเป็นโอกาสทางธุรกิจที่ดีขนาดไหน เขาก็คงรู้สึกถึงความแตกต่างในการเสี่ยงชีวิตของเขาอยู่ดี

 

ถ้ำอันมืดมิดตั้งอยู่เบื้องหน้าของพวกเรา ดวงอาทิตย์นั้นอยู่ที่อีกด้านของหน้าผา ดังนั้นจึงไม่มีแสงใดๆเลย พวกเราเคลื่อนตัวไปข้างหน้าพร้อมกับตะเกียงเวทมนตร์ที่ห้อยอยู่ด้านหน้าเนโกะจัง และน็อนซังที่ถือตะเกียงเวทมนตร์อยู่เช่นกัน

 

ถ้ำนั้นกว้างมาก ถึงขนาดที่ถ้ามีใครสักคนเดินผ่านออกมาจากด้านใน พวกเราก็สามารถเดินผ่านกันได้โดยไม่มีปัญหาอะไรเลย–ถึงจะไม่มีสัญญาณของอะไรแบบนั้นเลยก็เุถอะ

 

「นี้สินะเขาวงกต」

 

หลังจากที่เดินมาได้ไม่กี่วินาที แสงสลัวๆก็ปรากฏขึ้นที่เบื้องหน้า

 

ทางเข้านั้นใหญ่ถึงขนาดต้องเงยหน้ามอง และมันก็ค่อนข้างถูกสร้างขึ้นโดยรสนิยมแย่ๆด้วย

 

มีครึ่งวงกลมโพล่ออกมาทั้งซ้ายและขวาสร้างแสงสว่างให้กับทางเข้า

 

พื้นผิวของกำแพงนั้นเรียบเนียนไม่มีรอยขรุขระใดๆ

 

และส่วนของทางเข้านั้น… เป็น “ใบหน้ามนุษย์” ขนาดยักษ์

 

ใบหน้าที่แกะสลักอย่างประณีตนั้นอ้าปากกว้าง บางทีคงหมายถึงให้เข้าไปทางนี้

 

ผมจะอธิบายใบหน้าของมันยังไงดี… มันดูเหมือนกับกำลังทรมานและหวาดกลัว

 

สื่งที่ไม่น่าอภิรมย์ก็คือน้ำที่ไหลออกมาจากมุมปาก ตามที่【World Ruler】บอก มันดูเหมือนจะเป็นน้ำใต้ดิน น้ำพวกนี้ถูกดึงมาตรงนี้อย่างตั้งใจ — เพื่อแสดงถึงกำลังน้ำลายไหลอย่างนั้นหรอ?

 

「ทุกทางเข่าของแต่ละเขาวงกตนั้นเป็นใบหน้า… ดูเหมือนที่นี่จะเป็นใบหน้าของเผ่ามนุษย์ ถ้าลองมองที่ตาของมันดีๆ มันเขียนว่า “ความหวาดกลัว (Fear)” ใช่ไหมละ? นั่นแหล่ะชื่อของเขาวงกตนี้ละ」มูเกะซังพูดในขณะที่พวกเรามองดูทางเข้าอย่างพูดไม่ออก

 

ส่วนนึงของนัยน์ตานั้นเขียนไว้ชัดเจนว่า “ความหวาดกลัว” นั่นหมายความว่าใบหน้าของมนุษย์นี้กำลังหวาดกลัวงั้นหรอ?

 

「…พวกนายจะเอายังไงละ? ถ้าพวกนายอยากจะกลับละก็–」

 

「ไปต่อกันเถอะ」ดันเต้ซังตัดสินใจอย่างรวดเร็ว「ก็มีพวกทีมยึดครองอยู่ข้างในด้วยใช่ไหมละ? ถ้างั้นก็ไม่เห็นมีอะไรต้องกลัว」

 

ผมเองก็คิดเหมือนกัน

 

ดันเต้ซังเดินนำ และผมก็เป็นคนถัดไปโดยถือตะเกียงเวทมนตร์ของน็อนซังไปด้วย

 

เนโกะจังนั้นอยู่ท้ายขบวนตามพวกเรามาอย่างช้าๆพร้อมกับส่งเสียงออกมา พวกเราได้ย่างกรายเข้าไปในดันเจี้ยนที่เหมือนกับถูกใบหน้าของมนุษย์กลืนกินเข้าไป

 

========================================================

TL: คิดถึงกันไหมเอ๋ย 😀

 

 

บทที่ 3 ตอนที่ 5

 

มูเกะซังนั้นเป็นชาวเลฟที่ทำการค้าขายผ่านกองคาราวาน ต่อให้เป็นคนจากภายนอกจักรวรรดิก็ตาม เขาก็ยังแนะนำเราว่า–

 

「ผู้คนชาวเลฟนั้นได้รับอนุญาตให้เข้าไปในเขาวงกตที่แผนกยึดครองพวกนั้นเข้าไปได้นะ พวกนายอยากจะเข้าร่วมกับข้าไหมละ?」

 

มูเกะซังอาจจะได้อุปกรณ์เวทมนตร์บางอย่างที่หน่วยยึดครองพลาดไปก็ได้ และพวกเรา – ตรงๆเลยก็คือผม อาจจะสามารถพบกับลูลูช่าซังได้ก็ได้

 

ในแง่หนึ่ง การยึกครองเขาวงกตนั้นเป็นอะไรที่ค่อนข้างอันตรายมาก ดังนั้นไม่มีใครรู้ได้เลยว่าลูลูช่าซังจะมีชีวิตรอดกลับมาหรือไม่ ถ้าผมพลาดโอกาสนี้ไปละก็ ผมจะต้องเสียใจแน่ๆ ดันเต้ซังกับคนอื่นๆเองก็พยักหน้าเห็นด้วย

 

「ได้โปรดให้พวกเราร่วมด้วยครับ」ผมพูด

 

หลังจากนั้น มูเกะซังก็ไปยังเขาวงกตเพื่อยื่นเอกสาร ดังนั้นพวกเราจึงตัดสินใจเก็บรวบรวมข้อมูลภายในจักรวรรดินี้จนกว่าจะได้รับอนุมัติ ก็ตั้งแต่แรกแล้ว ผมไม่รู้เลยนี้นาว่าเขาวงกตพวกนั้นมันเป็นยังไง

 

ในจักรวรรดิเองก็มีกิลด์นักผจญภัยสำหรับชาวเลฟอยู่ด้วยเช่นกัน มูเกะซังบอกว่าจะสามารถหาข้อมูลได้จากที่นั่น

 

「เอาละ งั้นเจอกันอีกทีตอนกลางคืนนะ~」

 

ดูเหมือนจะมีที่พักอำนวยความสะดวกอยู่น้อยนิดเพราะไม่ค่อยมีคนนอกได้เข้ามาในจักรวรรดิสักเท่าไหร่ ดังนั้น พวกเราจึงอาศัยอยู่ในโกดังในตอนกลางคืน

 

ประชากรในจักรวรรดิน่าจะมีมากกว่า 100,000 คน… แต่ การที่ปลีกวิเวกทั้งประเทศออกจากภายนอกได้ขนาดนี้นับว่าสุดยอดไปเลย

 

พวกเราไปยังกิลด์นักผจญภัยกันเป็นที่แรก มีเพียงแค่แผนกต้อนรับอยู่ที่ชั้นแรกเท่านั้น – ไม่เห็นกระดานคำร้องอยู่ที่ไหนเลย ด้วยการที่จำนวนนักผจญภัยชาวเลฟนั้นมีน้อย แถมดูเหมือนคำร้องทั้งหมดจะส่งผ่านทางประเทศ ก็เลยดูเหมือนว่าสำนักงานนี้จะใช่แค่ติดต่อกับกิลด์นอกประเทศเท่านั้น

 

เขาวงกตเองก็เป็นทรัพย์สินของประเทศ ไม่ใช่สำหรับให้พวกนักผจญภัยเข้าไป

 

「โอ้… พวกคุณเองก็จะเข้าร่วมการยึดครองดันเจี้ยนครั้งใหญ่ด้วยงั้นหรือคะ?」

 

พนักงานหญิงที่ประจำแผนกต้อนรับ—ที่ผมคิดว่าเธอเป็นผู้หญิงก็เพราะขนตาของเธอนั้นบางยาว—ตอบกลับมาในตอนที่พวกเราถามข้อมูล

 

「มีบริษัทหลายรายลงชื่อเข้าร่วมค่ะ พวกนักผจญภัยที่มาร่วมตัวที่ “ด้านนอก” เองก็ถูกเรียกตัวมาจากกิลด์สาขาของประเทศอื่นและถูกจ้างวานโดยบริษัทพวกนั้นตามลำดับค่ะ ชั้นคิดว่ามันก็น่าจะได้เวลาแล้วที่พวกเขาจะเริ่มเข้ามาภายในจักรวรรดิค่ะ」

 

「พอจะมีเอกสารเกี่ยวกับเขาวงกตไหม?」ดันเต้ซังถาม

 

「แต่ชั้นได้มอบเอกสารพวกนั้นให้กับบริษัทต่างๆไปแล้วนะคะ」พนักงานส่ายหัวของเธอ

 

「โทษที พอดีพวกเราถูกจ้างวานโดยคนรู้จักหน่ะ บริษัทนี้เองก็พึ่งจะลงชื่อเข้าร่วมวันนี้เอง」

 

「โอ๊ะ บริษัทโกโรโกโส—」

 

「อะไรนะ?」

 

「…อะแฮ่ม ไม่มีอะไรค่ะ ชั้นมีสำเนาอยู่ พวกคุณสามารถเอาไปได้ค่ะ」

 

พวกเราได้รับเอกสารมาอย่างราบรื่น บางทีคงเพราะดันเต้ซังกดดันพนักงานที่หลุดปากออกมา

 

แต่อะไรคือ “บริษัทโกโรโกโส” ละนั่น?

 

มันก็จริงที่มูเกาะซังใช้รถจักรไอน้ำที่ดูโกโรโกโส และยังไม่เห็นคันอื่นนอกจากเนโกะจังในเมืองนี้ แต่มันก็ไม่ได้สร้างปัญหาให้ใครนี้… ดันเต้ซังนั้นยิ้มอยู่ตลอด แต่พอเขาได้รับเอกสารจากพนักงานแล้ว เขาก็ส่งสายตาคมกลิบใส่จนพนักงานผงะร้อง “อิ๊ก!” ออกมา

 

พวกเราออกมาจากกิลด์แล้ว แต่ก็ยังได้ยินเกี่ยวกับ “บริษัทโกโรโกโส” จากรอบๆอยู่เลย

 

ขณะที่ทานข้าวกันอยู่ พวกเราก็ถูกถามว่า “พวกนายมาจากไหนกัน? พักอยู่กับใคร?” จากทางโรงอาหาร และเป็นที่รู้กันว่ามูเกะซังจ้างวานพวกเราเพียงแค่เดินในเมืองตอยขามาเท่านั้น คำที่ปรากฏแต่ละครั้งก็จะมี “บริษัทโกโรโกโส” ตลอด …ข่าวลือมันจะไม่แพร่เร็วไปหน่อยหรอ?

 

ให้ตายเหอะ… ในเวลาแบบนี้ผมรู้สึกไม่อยากจะมี【เสริมการได้ยิน】เลยจริงๆ

 

อนึ่ง อาหารของพวกเรานั้นเป็นเห็ดที่มีกลิ่นเครื่องเทศแรงๆ

 

「ที่นี่คือร้านอุปกรณ์เวทมนตร์งั้นหรอ?」

 

เนื่องจากซิวเวอร์บาลานซ์เคยมาที่จักรวรรดิแล้วครั้งหนึ่ง พวกเขาเลยพาผมมาที่ร้านที่มีหุ่นเหมือนกับหุ่นลองเสื้อวางเอาไว้หลังกระจกโชว์และสวมเกราะเอาไว้ มีทั้งเกราะทองพร้อมหนาม, เกราะทรงกลมแบบแอโรไดนามิก, และไอเทมยูนีคอื่นๆที่ผมไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อน

 

เนื่องจากเป็นครั้งแรกของผมกับเซอรี่ซัง พวกเราจึงมองไปมองมารอบๆ

 

「ยินดีต้อนรับ–」

 

เจ้าของร้านร่างกายกำยำสวมแว่นขอบดำที่ดูจะกำลังอ่านหนังสือพิมพ์อยู่ ได้วางแว่นลงแล้วลุกขึ้นในตอนที่พวกเราเข้ามา

 

(ประเทศนี้มีเทคโนโลยีการพิมพ์ด้วย…)

 

หนังสือพิมพ์นั้นเป็นแบบเดียวกับเอกสารที่พวกเราได้รับมาก่อนหน้านี้ ทั้งคู่ถูกพิมพ์โดยเครื่องจักร มีอุปกรณ์เวทมนตร์แบบนั้นถูกพบอยู่ในเขาวงกตด้วยงั้นหรอ?

 

「พวกนายเคยมาที่นี่มาก่อนสินะ?」

 

「โอ๊ะ จำพวกเราได้ด้วย」

 

「ฮ่ะห์ ไม่ค่อยมีคนอื่นนอกจากชาวเลฟอยู่แถวนี้แล้วนี้ ข้าเองก็มีสมองมากพอจะแยกออกนะ」

 

「ฟังดูถากถางจังนะที่บอกว่าชาวเลฟเองก็มีสมองเนี้ย พวกนายอาจถือได้ว่าเป็นที่สุดในโลกแล้วถ้าเป็นเรื่องอุปกรณ์เวทมนตร์นะ」ดันเต้ซังตอบกลับด้วยน้ำเสียงสบายๆ

 

เจ้าของร้านดูจะเป็นคนดีนะ พวกเราเองก็มองดูอาวุธที่แสดงอยู่ในร้านพลางๆ

 

การตกแต่งภายในร้านที่ใช้ตะเกียงเวทมนตร์ค่อนข้างเยอะนั้นสว่างไสวและสะอาดสะอ้าน อาวุธที่วางเอาไว้บนชั้นวางเหล็กนั้นไม่ใช่ดาบหรือขวานแต่อย่างใด—เป็นอุปกรณ์ประหลาดๆเต็มไปหมด

 

กงเล็บที่ติดอยู่บนถุงมือนั้นมีสปริงติดอยู่ดูจะสามารถดีดกงเล็บออกไปได้ แถมยังมีกระบองขนาดใหญ่ที่มีรูหลายอันที่ตรงปลาย – ซึ่งอัดแน่นไปด้วยอุปกรณ์เวทมนตร์ที่สามารถสร้างเปลวไฟได้

 

แล้วก็ที่เหลือคือ… ไอเทมขยะ? กองชิ้นส่วนโลหะมากมายที่ไม่รู้เอาไปทำอะไรถูกวางกองรวมกันในกล่องไม้

 

「สนใจงั้นหรอ เจ้าหนู?」

 

เจ้าของร้านพูดกับผมขณะที่ผมตรวจสอบไอเทมพวกนั้นอย่างกระตือรือร้น

 

「ของพวกนั้นไม่ใช่อะไรที่เจ้าจะหาได้จาก “ภายนอก” ใช่ไหมละ? ชิ้นส่วนพวกนี้และทั้ง ‘อาวุธ’ กับ ‘ชุดเกราะ’ เป็นของแหกคอกหน่ะ พวกมันไม่ได้รับผลจากหินสกิล」

 

หินสกิลนั้นบันดาลให้มนุษย์สามารถใช้พลังพิเศษได้ ทว่ากลับกัน พวกเขาจะไม่ได้รับผลอะไรนอกเหลือจากพลังนั้น การมี【ทักษะหอก】ไม่ได้ส่งผลอะไรกับการเหวี่ยงกระบองเลย

 

「-งั้นหรือครับ เพราะชาวเลฟไม่สามารถใช้หินสกิลได้สินะครับ」

 

「ใช่ ดังนั้นพวกเราเลยพึ่งพาอุปกรณ์เวทมนตร์ไงหล่ะ ในทางกลับกัน พวกเราก็มีอิสระในการสร้างสรรค์อาวุธและชุดเกราะ เจ้าอาวุธติดสปริงนี้เป็นอันที่เรียบง่ายที่สุดเลยหล่ะ ดูเหมือนสกิลเองก็จะตอบสนองอยู่แต่เป็นไปตามอาวุธ ถึงข้าจะไม่ค่อยคุ้นเคยกับเรื่องนี้เท่าไหร่ก็เถอะ ไอเทมพวกนี้ก็เลยถูกเรียกว่า “สตีลเกียร์ (Steel Gear)” ไงหล่ะ」เจ้าของร้านอธิบาย

 

ของอย่างต่อไปที่เจ้าของร้ายหยิบขึ้นมาก็คือโล่ที่ส่องแสงอ่อนๆ

 

「เจ้านี้ถูกร่ายเวทมนตร์เอาไว้หลายชั้น เมื่อถูกโจมตี มันจะสร้างแรงสะท้อนกลับออกมา ดังนั้นสกิลเลยไม่นับว่ามันเป็น “โล่” มันจึงถูกเรียกว่า “เมจิคเกียร์ (Magic Gear)”」

 

เจ้าของร้านวางโล่กลับลงไป ก่อนจะตบมือของเขา

 

「และก็อีกอย่างนึง… มันไม่มีอยู่ที่นี่ แต่มันก็มีอุปกรณ์บางอย่างที่พบใน “เขาวงกตแห่งอารมณ์ทั้ง 9” ที่ใช้เป็นแบบอ้างอิงสำหรับอุปกรณ์เวทมนตร์ประเภทอื่นๆอยู่ ของพวกนั้นหลายอันเป็นไปไม่ได้ที่จะตรวจสอบก็จริง แต่สำหรับพวกเราช่างทำอุปกรณ์เวทมนตร์แล้ว มันเป็นเมล็ดแห่งความสร้างสรรค์เลยหล่ะ ของพวกนั้นถูกเรียกว่า “ฮีโรอิคเกียร์ (Heroic Gear)”」

 

「ฮีโรอิคเกียร์…」

 

「ถ้าเจ้าเจอของแบบนั้นละก็ มันค่อนข้างจะเป็นเรื่องใหญ่เลยละ มันอาจจะนำไปสู่สิ่งประดิษฐ์ใหม่ๆก็ได้ ดังนั้นฝ่าบาทจักรพรรดิจะซื้อมันโดยตรงจากเจ้าเลยหล่ะ ถ้าเจ้าหวังละก็ เจ้าจะสามารถครอบครองเรือเหาะเวทมนตร์ส่วนตัวได้เลยนะ」

 

เจ้าของร้านพูดแบบนั้นแล้วยิ้มให้กับผม

 

「…แต่เขาวงกตแห่งอารมณ์ทั้ง 9 ไม่ได้ใจดีขนาดนั้นหรอกนะ มีทีมยึดครองมากมายที่หวังโชคลาภต่างพากันมุ่งตรงเข้าไปนักต่อนักแล้ว และผลสุดท้ายก็มีศพมากมายหลายพันหลับไหลอยู่ภายในเขาวงกต」

 

มันเป็นรอยยิ้มที่ดุร้าย

 

เมื่อพวกเรากลับไปยังบริษัทของมูเกะซังในตอนบ่าย มูเกะซังก็ต้อนรับพวกเราด้วยรอยยิ้ม ปรากฏว่าเอกสารผ่านอย่างราบริ่นไม่มีสะดุดเลย และเป็นอันตกลงแล้วว่าพวกเราจะสามารถเข้าไปในเขาวงกตได้ตั้งแต่วันพรุ่งนี้เป็นต้นไป

 

「…คือ เมื่อพวกเราเข้าไปข้างในในวันพรุ่งนี้แล้ว ข้าคิดว่าพวกเพื่อนๆของข้าน่าจะอยู่ข้างในกันแล้วแน่ๆ พวกเขาอาจจะพูดเรื่องที่อาจจะทำให้พวกนายรู้สึกไม่ดีนิดหน่อย ดังนั้น…」

 

「ไม่เป็นไรหรอก พวกเราเป็นนักผจญภัยและนายเองก็เป็นผู้ว่าจ้าง ดังนั้น–」

 

「บริษัทโกโรโกโส…」

 

เมื่อผมพูดแบบนั้น ทั้งมูเกะซังกับดันเต้ซังต่างก็ตกใจออกมา

 

「เรย์จิ!」

 

「มะ-ไม่เป็นไร มันเป็นเรื่องจริงนี้นา…」

 

「ไม่ครับ มูเกะซัง มาเปลี่ยน “เรื่องจริง” นั้นให้เป็น “เรื่องไม่จริง” กันเถอะครับ」

 

ผมพลิกหน้าเอกสารที่พวกเราได้รับมาจากกิลด์นักผจญภัย

 

「เรย์จิ? เป็นอะไรไปหน่ะ? นายทำตัวแปลกไปนะ」

 

「ดันเต้ซัง, มิมิโนะซัง, น็อนซัง ผมติดหนี้มูเกะซังอยู่ครับ เขาอยู่กับเรามาตลอดการเดินทางจนถึงที่นี่ และแถมยังช่วยผมเรื่องของลูลูช่าซังด้วย ดังนั้นผมจึงอยากจะตอบแทนเขาครับ」

 

「เป็นงั้นเองหรอกหรอ」ดันเต้ซังยิ้ม มิมิโนะซังกับน็อนซังเองก็พยักหน้า

 

「ดังนั้น ทำไมเราไม่มาตั้งเป้าหมายในการสำรวจเขาวงกตครั้งนี้… เป็นการหาของที่มีค่าเทียบเท่ากับ “ฮีโรอิคเกียร์” เพื่อมูเกาะซังกันละครับ」

 

「เออออออ๋!? ปะ-เป็นไปไม่ได้หรอก!」

 

มีมูเกะซังคนเดียวเท่านั้นที่คัดค้าน ทว่า–

 

「ไม่เป็นไรหรอก ข้าเองก็หงุดหงิดที่ได้ยินเรื่องเสียๆหายๆของมูเกะซังเช่นกัน」ดันเต้ซังเสริม

 

「ใช่แล้วละ พวกเราเป็นนักผจญภัยนี้นา พวกเราต้องฝันสูงเอาไว้ก่อนสิ」มิมิโนะซังพูด

 

「ถ้าคุณได้รางวัลใหญ่ละก็ คุณจะสร้างโบสถ์ในจักรวรรดิให้ได้ไหมคะ?」น็อนซังถาม

 

「หนุ่มน้อย แล้วเค้าล้าาา?!」

 

คนสุดท้ายดูจะไม่พอใจที่ผมไม่ได้เรียกชื่อเธอ ทว่าคนอื่นๆนั้นดูจะเห็นด้วย

 

「มูเกะซัง พวกเรากำลังจะไปสำรวจเขาวงกตกันนะครับ ดังนั้นสนุกไปกับมันกันเถอะครับ」

 

เมื่อผมยิ้มให้กับมูเกะซัง จังหวะนั้น เขาก็มีสีหน้าเหมือนกับเขารู้สีกเสียใจที่ว่าจ้างพวกเรายังไงยังงั้น

 

ส่วนแบ่งของที่ได้นั้น 50% จะเป็นของมูเกะซังที่เป็นผู้ว่าจ้างและคนที่ทำให้เราได้มีโอกาสเข้าไปในเขาวงกต และอีก 50% เป็นของพวกเรา ซิวเวอร์บาลานซ์

 

========================================================

TL: งานมหาลัยเต็มมือเลยหง่ะ T T

 

 

บทที่ 3 ตอนที่ 4

 

「…การเคลื่อนไหวตามใจในจักรวรรดินั้นถือเป็นข้อห้ามครับ โปรดสวมกำไลนี้และห้ามถอดมันเด็ดขาด แล้วก็โปรดคืนมันหลังจากออกมาจากจักรวรรดิด้วยเช่นกันครับ ถ้าคุณออกไปโดยไม่ถอดละก็ มันจะส่งเสียงแจ้งเตือนดังมากๆ แถมกำไลนี้จะยืมข้อมูลจากกิลด์การ์ดและจะลบเองเมื่อคุณคืนมันแล้วด้วยครับ」

 

กำไลที่ได้รับมาจากชาวเลฟนั้นมีบานพับอยู่ที่ด้านหนึ่ง และมันเปิดไม่ได้ถ้าไม่ใช้กุญแจ

 

ถึงมันจะดูเหมือนกำไลทั่วไปก็จริง แต่【World Ruler】ระบุว่ามันมีเวทมนตร์ฝังอยู่ตรงด้านที่สัมผัสกับแขน

 

(มันเหมือนกับระบบ GPS และยังบันทึกอารมณ์กับการตอบสนองของผู้สวมใส่ด้วยงั้นหรอ?)

 

ถ้าจะให้เทียบก็คงเป็นสมาร์ทวอทช์ แต่ระบบบางอย่างนั้นสูงกว่ามาก

 

มันสุดยอดไปเลยที่พวกเขาสร้างอะไรอย่างนี้ขึ้นมาได้

 

(แต่มันก็รู้สึกไม่สบายใจเท่าไหร่ที่ข้อมูลของผมถูกบันทึกเอาไว้)

 

ผมพันแขนของผมด้วยผ้าพันแผลแล้วสวมกำไลทับ

 

「เอาละ เชิญทางนี้」

 

ผู้อาวุโสชาวเลฟที่ดูเหมือนกับนักวิชาการมากกว่าจะเป็นเจ้าหน้าที่กิลด์นักผจญภัยนั้นสวมผ้าคลุมสีน้ำเงินเข้ม หนวดเคลาสีขาวล้วนยาวไปถึงคางบ่งบอกถึงอายุของเขา บางทีละนะ—เอาตรงๆผมรู้สึกทึ่งกับหนวดนั้นมากเลย

 

พวกเรายืนอยู่ข้างหน้ากำแพงสูงตะหง่าน มันมีประตูเหล็กอยู่ตรงนั้น และเหนือขึ้นไปก็มีชาวเลฟประมาณ 5 คนเฝ้ายามอยู่ แล้วอุโมงค์ที่กว้างพอจะให้รถม้าผ่านได้ก็ได้เปิดออก

 

พวกเราซิวเวอร์บาลานซ์ได้ผ่านเข้าไปข้างในพร้อมกับระวังพวกยาม

 

ความยาวของอุโมงค์นั้นประมาณ 50 เมตรพร้อมกับตะเกียงเวทมนตร์ที่จุดเว้นระยะห่างกัน 5 เมตร

 

(มีลมอยู่ด้วย…)

 

สายลมแห้งๆพัดผ่านมาจากอีกฝาก

 

แสงที่สุดปลายอุโมงค์นั้นจ้ามากจนผมต้องขยี้ตาตัวเองเลย

 

「ยินดีต้อนรับสู่จักรวรรดิเวทมนตร์เลฟ」

 

พนักงานกิลด์พูดในขณะที่เขาหันมาทางพวกเราที่ทางออก

 

ผมเกือบจะส่งเสียงด้วยความตื่นตะลึงเลย

 

หน้าผาสีแดงน้ำตาลทอดยาวไปทั้งซ้ายและขวา ยาวไปจนถึงอีกฝากนึงเลย

 

พื้นที่ที่ถูกล้อมรอบด้วยหน้าผานั้นคือจักรวรรดิเวทมนตร์เลฟ

 

มีเรือเหาะเวทมนตร์บินอยู่บนฟ้ามากมาย ทว่าดูเหมือนมันจะไว้สำหรับขนของมากกว่าจะใช้ขนคน

 

อาคารเกือบทั้งหมดนั้นสูง 5 ชั้นขึ้นไป บางทีคงเพราะผสมและเสริมด้วยดินจากหน้าผา อาคารทั้งหมดจึงมีสีแดงเข้ม

 

กระจกหน้าต่างที่หาได้ยากในประเทศอื่นจนใช้แค่ตกแต่งสวยงามนั้นเป็นเรื่องปกติของที่นี่ แถมยังใช้อย่างกว้างขวางเพื่อสะท้อนแสงอาทิตย์ด้วย

 

และ… ที่เคลื่อนที่ไปมาอยู่บนพื้นนั้นไม่ใช่รถม้า แต่เป็นรถ

 

「ไม่ได้ใช้เคลื่องจักรไอน้ำ… แต่เคลื่อนที่ด้วยเวทมนตร์งั้นหรอ…」

 

「โฮ่ เจ้าค่อนข้างมีความรู้เลยนะ ยานพาหนะ 6 ล้อที่คับเคลื่อนด้วย “เครื่องยนตร์มากิ(Magi Engine)” นั้นได้กลายเป็นการขนส่งหลักของจักรวรรดิไปแล้ว เอาละตอนนี้ ดูเหมือนคนที่จะมารับพวกเจ้าได้มาถึงแล้วนะ」

 

เจ้าหน้าที่กิลด์ที่ดูเหมือนกับนักวิชาการได้ชี้ไปยังมูเกะซังที่ขี่เนโกะจังมาพร้อมกับโบกมือ “เห้〜!” มาทางนี้

 

…หืมมม ชาวเลฟคนอื่นขมวดคิ้วเมื่อพวกเขามองไปที่เนโกะจัง ก็มันไม่มีรถจักรไอน้ำคันอื่นวิ่งอยู่เลยนี่นะ—โอ๊ะ เนโกะจังดูจะอารมณ์ไม่ดีนะ เคลื่องยนตร์ดับไปแล้วหน่ะ

 

「…เอาละถ้างั้น พยายามอย่าสร้างปัญหาละ」

 

เจ้าหน้าที่กิลด์คนนั้นรีบหันหลังแล้วกลับไปยังอุโมงค์

 

แล้วพวกเราก็ได้เข้าไปหามูเกะซัง

 

**

 

「โอ๊ะ ขอบคุณมาก ดันเต้ซังนี้แข็งแกร่งจริงๆเลย」

 

หลังจากนั้น ดันเต้ซังก็ได้ดันเนโกะจังมาตลอดทางเพราะเธอดับสนิท สายตาดูถูกจากผู้คนรอบข้างเองก็รู้สึกเจ็บปวดเหลือเกิน ทว่ายังไงก็ตาม พวกเราก็ได้มาถึงร้านของมูเกะซังแล้ว

 

ร้านของเขาที่ตั้งอยู่นอกเมืองนั้นมีโกดังสีดำขนาดใหญ่อยู่ เป็นที่ที่ใช้เก็บเนโกะจัง, ถ่านหิน, และสินค้า ที่ที่ห่างไกลจากเมืองขนาดนี้นั้นไม่มีทั้งพื้นที่ปูด้วยหิน ต้นไม้ใบหญ้ากระจายอยู่ทั่วไปหมด และหน้าผาที่ล้อมจักรวรรดิอยู่นั้นก็สามารถเห็นได้จากใกล้

 

(ที่ตรงนั้นมัน… พวกเขาทำรูที่หน้าผา)

 

ปั้นจั่นถูกติดตั้งเอาไว้ที่หน้าผา และผมก็เห็นสัมภาระกับผู้คนขึ้นลงด้วยมัน ภาพแบบนั้นเห็นได้ทั่วไปตามหน้าผา และมันก็ยังมีรูอยู่ตามผาด้วย อดสงสัยไม่ได้เลยว่ามันจะมีอะไรอยู่ในนั้นหรือเปล่า

 

เป็นห้องเก็บของงั้นหรอ? หรือว่าไซโล? พวกเขาใช้หน้าผาเพราะพื้นที่มีจำกัดละมั้ง ไม่สิ ถ้าเปป็นกรณีนั้นละก็ พวกเขาก็น่าจะแค่ขุดลงไปเอาก็ได้

 

「เอาละ มูเกะซัง ทำไมคุณถึงว่าจ้างพวกเราในครั้งนี้ละ?」

 

มีโต๊ะเก่าๆอยู่ในโกดังด้วย และพวกเราก็นั่งอยู่บนเก้าอี้เล็กๆรอบๆมัน มูเกาะซังก็ได้นำเหยือกที่มีน้ำกับน้ำแข็งเข้ามา—มีไอเย็นเกาะอยู่ตามผิวของเหยือกเหล็ก ดันเต้ซังรินน้ำจากเหยือกลงไปในแก้วเหล็กแล้วดื่มมันเข้าไป 3 แก้วในทันที

 

「…ข้าขายกิก้าโบว์ไปแล้ว แต่กลับขายได้ราคาดีกว่าที่คิดเอาไว้หน่ะสิ」

 

「…? ก็ดีไม่ใช่รึ?」

 

「ใช่ ดีจริงๆ–โอ๊ะ ข้าไม่ได้จะพยายามกดราคาที่เคยคุยกันไว้หรอกนะ โอเคไหม้ ดันเต้ซัง?」

 

「ข้ารู้」

 

ดันเต้ซังหัวเราะให้กับมูเกะซังที่หาเหตุผลเข้าข้างการกระทำของเขาอยู่ จากนั้นมูเกะซังก็ดื่มน้ำเย็นให้ชุ่มคอก่อนจะพูดต่อ – ชาวเลฟดูจะควบคุมอุณหภูมิร่างกายได้ไม่ดีเท่าสัตว์เลื้อยคลาน ดังนั้นดูเหมือนว่าการดื่มน้ำจะเป็นสิ่งจำเป็น

 

「มีเหตุการณ์ใหญ่เกิดขึ้นระหว่างที่พวกเราเดินทางกันหน่ะ」

 

「เหตุการณ์งั้นหรอ?」

 

「ใช่ อาวุธทางยุทธศาสตร์ของจักรวรรดิ เรือเหาะเวทมนตร์ “Queen of the Night (ราชินีแห่งค่ำคืน)” ถูกขโมยไปหน่ะสิ」

 

「โอ๊ะ…?」

 

ดันเต้ซังมองมาที่พวกเราพร้อมกับเลิกคิ้ว ทว่าผมเองก็ยังจนปัญญาที่จะตอบเลย นี้มูเกะซังจ่ายค่าธรรมเนียมกิลด์เพื่อเรียกพวกเรามาคุยเรื่องนี้งั้นหรอ?

 

「ขนาดในหมู่เรือเหาะเวทมนตร์ด้วยกันเอง Queen of the Night นั้นใช้เทคโนโลยีรุ่นล่าสุดเลยนะ ตัวเรือสีเงินงดงามจนถึงขั้นที่ดื่มเหล้าพร้อมกับชมตัวเรือไปด้วยกลายเป็นเทรนด์เลยด้วย โดยเฉพาะการบินยามค่ำคืนที่ตัวพิสูจน์ความสำเร็จเลย」

 

「แล้วนายกำลังบอกว่าไอ้ของแบบนั้นถูกขโมยไปได้งั้นสินะ แล้ว พวกเราจะเข้าประเด็นกันได้รึยัง?」

 

「…คนที่ขโมยมันไปดูจะเป็นกลุ่มโจร แต่ช่างเรื่องนั้นไปก่อน ฝ่าบาทจักรพรรดิหน่ะโกรธเป็นฟืนเป็นไฟเลยละ… และเขาก็ออกคำสั่งลงมา」

 

—ให้สร้างเรือเหาะลำใหม่ด้วยเทคโนโลยีที่เหนือล้ำกว่า “Queen of the Night”

 

「รู้หรือเปล่าว่าไอ้การพัฒนาเทคโนโลยีของจักรวรรดินั้นเอามาจากเขาวงกตทั้ง 9 หน่ะ?」

 

「เขาวงกต?」

 

ดันเต้ซังดูจะไม่เคยได้ยิน

 

มูเกะซังอธิบายว่าเทคโนโลยีเวทมนตร์ที่ใช้ในจักรวรรดินั้นถูกวิจัยโดยการเลียนแบบและวิเคราะห์ไอเทมเวทมนตร์ที่พบในเขาวงกต และเขาวงกตนั้นมีทั้งหมด 9 แห่ง

 

เขาวงกตแห่งความรัก (Labyrinth of Love) ○ ยึดครองเรียบร้อยแล้ว

 

เขาวงกตแห่งความเกลียดชัง (Labyrinth of Hatred) △ กำลังทำการยึดครอง

 

เขาวงกตแห่งความนับถือ (Labyrinth of Worship) ○ ยึดครองเรียบร้อยแล้ว

 

เขาวงกตแห่งความเศร้าโศก (Labyrinth of Grief) ○ ยึดครองเรียบร้อยแล้ว

 

เขาวงกตแห่งความโกรธเกรี้ยว (Labyrinth of Wrath) x ถล่มลงมา

 

เขาวงกตแห่งความบ้าคลั่ง (Labyrinth of Madness) △ กำลังทำการยึดครอง

 

เขาวงกตแห่งความโหยหา (Labyrinth of Craving) x ยังไม่ได้สำรวจ

 

เขาวงกตแห่งความเมตตา (Labyrinth of Sympathy) △ กำลังทำการยึดครอง

 

เขาวงกตแห่งความหวาดกลัว (Labyrinth of Fear) △ กำลังทำการยึดครอง

 

「เรียกรวมๆกันว่า “เขาวงกตแห่งอารมณ์ทั้ง 9” และปรากฏอยู่ในหน้าผาที่ล้อมรอบประเทศแห่งนี้—“ผาเลฟ”」

 

「อ่าห์… งั้นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมถึงมีรูอยู่บนหน้าผาสินะ?」

 

「ใช่แล้วละ รูพวกนั้นมีเพื่อยึดครองเขาวงกตหน่ะ ยังไงก็ตาม หลายๆรูก็ใช้เพื่อเพาะปลูกอาหารหลักของพวกเราอย่างเห็ดไมก้า(mica mushrooms) ด้วย」

 

ผมพึ่งได้รู้เป็นครั้งแรกว่าเห็ดนั้นเป็นอาหารหลักของชาวเลฟ

 

ดูเหมือนที่มันเป็นอาหารหลักจะเป็นเพราะแค่ว่ามันเก็บเกี่ยวได้ง่ายเท่านั้นเอง แต่มูเกาะซังมักจะเลือกขนมปังและเนื้อมากกว่า เขาบอกพวกเราแบบนั้น

 

「พวกเราตัดสินใจที่จะยึดเขาวงกตเกลียดชัง, บ้าคลั่ง, เมตตา, หวาดกลัวทั้ง 4 แห่งพร้อมๆกันแต่ความแข็งแกร่งของจักรวรรดิมีไม่พอ เพื่อทำแบบนั้น พวกเราจึงเกณฑ์เหล่านักผจญภัยจากภายนอกยังไงละ」

 

「จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมถึงมีพวกนักผจญภัยมารวมตัวกันที่ด้านนอกสินะ หา」ดันเต้ซังพูด และมูเกาะซังก็พยักหน้าตอบ

 

「ดูเหมือนว่าแต่ละเขาวงกตจะอยู่ในการดูแลของ “แผนกที่ 1” จนถึง “แผนกที่ 4” ของ “สำนักงานยึดครองเขาวงกต (Labyrinth Capture Bureau)” ตามลำดับ… และนั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไม เรย์จิซัง…」

 

「ครับ?」

 

「คนที่นายอยากจะพบชื่ออะไรนะ?」

 

「——」

 

ผมตกตะลึง

 

ลูกสาวของตาแก่ฮินกานั้นจากไปแล้ว และหลานสาวของเขาก็ไม่สามารถเข้าพบได้เพราะ “คำสั่งจากเจ้าหน้าที่”

 

ถ้า “คำสั่ง” นั้นเกี่ยวข้องกับกิจการสาธารณะละก็ มันก็สมเหตุสมผลที่พวกเขาจะไม่สามารถจัดการเข้าพบให้ได้

 

「ชื่อลูลูช่าซังครับ」

 

「คนๆนั้นเป็นครึ่งมนุษย์ครึ่งเลฟ… ใช่ไหม?」มูเกะซังพูด

 

「ครับ」

 

「อย่างที่คิดเลย」เขาพูดพร้อมกับพยักหน้าไปด้วย

 

「ข้าได้ยินมาว่าหัวหน้าของ “แผนกที่ 4 แห่งสำนักงานยึดครองเขาวงกต” นั้นเป็นครึ่งมนุษย์… นามว่าลูลูช่าซัง ตอนนี้คนๆนั้นอยู่ในเขาวงกตแห่งความหวาดกลัว」

 

========================================================

TL: สวัสดีวันสงกรานต์ย้อนหลังนะครับ ฮา

 

 

บทที่ 3 ตอนที่ 3

 

ทำการส่งคำร้องขอพบชาวเลฟที่อาศัยอยู่ในจักรวรรดิเสร็จแล้ว ผมเขียนชื่อของเอ็มม่าซังที่เป็นลูกสาวของตาแก่ฮินกาและหลานสาวของเขาลูลูช่าซังลงไป หลังจากนี้ พวกเขาจะติดต่อไปทางจักรวรรดิที่อยู่อีกฝั่ง แล้วถ้าลูลูช่าซังอยากจะพบ พวกเขาจะจัดวันเวลาเข้าพบให้ และถ้าเธอไม่ต้องการพบละก็ พวกเขาก็จะมาบอกเล่าแบบนั้น

 

ผลของคำร้องจะแปะเอาไว้บนกระดานข่าวในเวลา 7 โมงเช้า ดังนั้นผมจึงทำได้แค่รอเท่านั้น

 

ปรากฏว่าคนที่ประจำการตรงเคาน์เตอร์นั้นเป็นชาวเลฟ และดวงตาของพวกเขาที่อยู่หลังแว่นตานั้นจับจ้องมาที่ผมในขณะที่พยายามอ่านเนื้อหาคำร้องไปด้วย ถ้าคนนั้นคือชาวเลฟละก็ – บอกตามตรง ผมแยกชาวเลฟคนนึงจากอีกคนนึงไม่ได้เลย – ความประทับใจที่ได้จากพวกเขานั้นต่างจากมูเกะซังเล็กน้อย

 

พวกเราตั้งแคมป์กันที่ลานกว้างในคืนนั้น มีกองไฟขนานใหญ่ตั้งอยู่ตรงกลางลาน เหล่านักผจญภัยต่างมารวมตัวกันรอบๆมัน บ้างก็คลุมผ้าห่มแล้วหลับไป บ้างก็มากินเหล้ากัน มีโรงแรมเล็กๆอยู่ก็จริง แต่มันไม่สามารถรับคนจำนวนขนาดนี้ได้

 

ดันเต้ซังพูดถึงเรื่องของลีออนและกลุ่มโกลเด้นบริเกตส์พร้อมกับกินเนื้อตากแห้งที่ย่างไฟมาแล้ว

 

「อืม มันก็ไม่ใช่เรื่องที่แปลกอะไรหรอกนะ」

 

ชายหนุ่มที่เข้าเมืองมาเพราะไม่อาจทนใช้ชีวิตในชนบทต่อได้ หรือไม่ก็หวังรวยทางลัด อย่างไรก็ตาม ต่อให้เป็นในเมืองก็ตาม ยังไงก็ต้องแย่งกันทำงานอยู่ดี และพวกที่มั่นใจในฝีมือของตัวเองก็จะกลายมาเป็นนักผจญภัยนั่นเอง

 

ในกรณีของดันเต้ซังนั้น เขาสูญเสียภรรยาไปด้วยโรคภัยและทิ้งลูกสาวของเขา น็อนซังให้กับโบสถ์ดูแล แล้วเลือกมาเป็นนักผจญภัยเพื่อให้ได้เงินเร็ว

 

「ข้ามักจะป้องกันด้านหลังในขณะที่ลีออนกับพวกที่สู้ระยะประชิดสู้อยู่แนวหน้าเสมอ」

 

「ตอนนั้นปาร์ตี้ก็ใช้ชื่อว่า “โกลเด้นบริเกตส์” ด้วยหรอครับ?」ผมถามขึ้นด้วยความสงสัย

 

「ใช่… ลีออนนั้นเป็นหัวหน้า เขาอยากที่จะเป็นนักผจญภัยที่หาเงินได้เยอะๆ และอยู่ในบทกวีของนักกวีหลายๆคน จึงเป็นเหตุผลที่เขาตั้งชื่อว่า “โกลเด้นบริเกตส์” ไงละ เขาเป็นตัวตั้งตัวดีเลยละ」

 

「แค่ในหน้าตา ไม่ใช่ในทัศนคติ」มิมิโนะซังฮึดฮัด

 

พวกนั้นก็อาจจะอยู่ที่ในสักที่ในลานนี้ด้วยก็ได้ ทว่าอย่างน้อยก็ไม่เห็นพวกเขาจากที่ที่เราอยู่นี้ แถมผมเองก็ไม่ได้อยากจะไปหาพวกนั้นหรอก

 

「นั่นก็ไม่ใช่อะไรที่จะทำได้เพียงเพราะแค่ตั้งเป้าด้วย อีกอย่าง มันก็มีนักผจญภัยไม่กี่คนที่มีความสามารถมากพอจะเป็นวีรบุรุษด้วย คนอย่างเรย์จิคุงหน่ะมีอยู่ไม่เยอะหรอกนะ」มิมิโนะซังพูด

 

「…ห่ะ?」

 

ทำไมชื่อของผมถึงถูกยกขึ้นมาละ?

 

「มิมิโนะซัง พวกเราสัญญากันแล้วว่าจะไม่พูดเรื่องนั้นไม่ใช่หรอ?」

 

「อ่า จริงด้วย…」

 

「เรื่องอะไรกันหรอครับ น็อนซัง มิมิโนะซัง?」ผมถาม

 

ทว่ามิมิโนะซังก็เอาสองมือปิดปากตัวเองแล้วส่ายหน้า

 

「ฮ่าาห์… ข้าเป็นคนบอกให้ทั้งสองคนเก็บเงียบเอาไว้เองเพราะข้ารู้ว่ามันจะรบกวนนายยังไงละ เรย์จิ」

 

「ดันเต้ซัง พูดเรื่องอะไรหน่ะครับ?」

 

「จำตอนที่นายสู้กับงูยักษ์นั่นได้หรือเปล่าละ?」

 

「แน่นอนครับ」

 

ที่ผมสามารถเจอกับซิวเวอร์บาลานซ์ได้อีกครั้งก็เพราะเหตุการณ์นั้นเลย ไม่มีทางที่ผมจะลืมไปได้หรอก

 

「แล้วตอนที่นายจัดการมันได้ละ?」

 

ดันเต้ซังค้นกระเป๋าของเขาแล้วนำคอร์ของอูโรโบรอสออกมา – ในสภาพแยกออกเป็นสองซีก นี้เป็นส่วนเดียวที่พวกเราได้จากการกำจัดมัน ทว่ามันก็ได้สะสมมานาจำนวนมหาศาลเอาไว้ ดังนั้นบางทีมันคงสามารถเอาไปทำอะไรบางอย่างได้อยู่

 

「คุณหมายถึงตอนที่ผมปีนขึ้นไปบนหัวของมันแล้วฆ่ามันด้วยดาบสั้นของผมน่ะหรอครับ? ผมจำได้ครับ」

 

เพราะตอนนั้น ดาบสั้นของผมก็เลยพังเสียหายและขายมันให้กับช่างตีเหล็กในระหว่างการเดินทางไป อาวุธหลักของผมตอนนี้ก็คือมีดสั้นที่ผมได้จากเอิร์ลชายแดน (หรือก็คือเบอร์เซิร์กเกอร์คนนั้นแหล่ะ) ฝักมีดนั้นเด่นเกินไป ผมจึงพันมันเอาไว้ด้วยผ้าพันแผล

 

「ใช่แล้วละ ตอนนั้นนายมีแสงเปล่งประกายออกมาด้วย」ดันเต้ซังพูด

 

「มันเป็น【เวทย์แสง】ที่น็อนซังร่ายใส่ผมไม่ใช่หรอครับ?」

 

น็อนซังพยักหน้าตอบรับ ดูเหมือนมันจะมีผลใกล้เคียงกับเวทย์ซัพพอร์ตที่มีผลพิเศษกับสิ่งชั่วร้าย

 

「นั่นทำให้นายเด่นมากเกินไปหน่ะสิ… ราวกับว่าเป็น “วีรบุรุษผู้สังหารปีศาจ” ในเทพนิยายเลยละ」

 

「หา?」

 

「ตอนที่ข้าไปยังกิลด์นักผจญภัยในวันถัดมา ข้าได้พบกับนักกวีที่ดูเหมือนเขาจะเฝ้าดูเหตุการณ์มาตลอดจากที่ไกลๆ」

 

「นักกวีหรอครับ? ผมเริ่มจะรู้สึกไม่ดีแล้วสิครับ」

 

「เขากำลังกระตือรือร้นเรื่องที่อยากจะแต่งเพลงถึงวิธีที่นายจัดการกับอูโรโบรอสหน่ะสิ」

 

「…………」

 

ว่าไงนะครับ?

 

「มะ-ไม่ ข้าปฏิเสธไปแล้ว ข้าไม่ได้อยากเป็นนักผจญภัยเพราะอยากดังซะหน่อย แต่เขาก็ตื้อเหลือเกิน แถมบอกว่าเขาอยากจะบอกเมืองนี้ถึงเรื่องราวของวีรบุรุษที่ช่วยพวกเขาเอาไว้ แล้วเนื่องจากข้าเองก็ไม่ได้อยากให้มันมีเรื่องเกี่ยวกับข้าด้วย และก็เป็นนายเองที่เป็นคนปิดฉากมันไม่ใช่ใครอื่น ดังนั้น….」

 

「ว่าง่ายๆก็คือดันเต้ขายเธอโดยบอกข้อมูลให้กับนักกวีคนนั้นเพื่อที่เขาจะไม่ได้อยู่ในเพลงไงละ」

 

「ดันเต้ซัง!?」

 

「มิมิโนะ! เธอเองก็พูดว่าไม่อยากให้นักกวีร้องเพลงเกี่ยวกับเธอด้วยไม่ใช่หรอ!?」

 

「เรย์จิคุงก็รู้สึกแบบเดียวกันนี้ นักกวีคนนั้นก็ไม่ได้ถามอะไรชั้นด้วย ชั้นเลยไม่ได้บอกเขาอะไรทั้งนั้น」

 

「เธอเองก็อยู่กับข้าในตอนนั้นด้วยนี้!」

 

ทั้งสองคนทะเลาะกัน ทว่าผมอยากจะบิดตัวไปมาด้วยความอายเหลือเกิน ไม่สิ ผมบิดตัวไปมาแล้วต่างหาก ผมได้เอาสองมือปิดหน้าของตัวเอง มันจะน่าอายเกินไปแล้ว!

 

ถึงต่อให้ผมออกจากเมืองศักดิ์สิทธิ์แบบท่าทีแย่ๆก็เถอะ ผมก็ยังอยู่ในเนื้อเพลงที่ร้องในเมืองอยู่ดี! แบบนี้มันจะต้องไปถึงหูของเอิร์ลซิวลิซส์ด้วยแน่นอนเลยไม่ใช่หรอ!? ถ้าสักวันพวกเราพบกันอีกครั้ง เขาจะต้องลากผมให้ไปฟังมันแน่ๆ!

 

「วีรบุรุษผู้ปกป้องเมือง …ปุ๊ปุ๊ปุ๊ ปุ๊ปุ๊ปุ๊ปุ๊ปุ๊ปุ๊ปุ๊ปุ๊ปุ๊!」เซอรี่ซังเยาะเย้ยผม

 

「เซอรี่ซัง!?」

 

เมื่อผมเอามือลงจากหน้า มนุษย์สัตว์เผ่าแมวคนนั้นก็เข้ามาใกล้ๆหน้าของผมด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์

 

「…เซอรี่ซัง อย่าให้ผมเอาเรื่องที่คุณเป็น–」

 

จังหวะที่ผมกำลังจะพูดว่า “หนี้” นั้น มีเหรียญหลายเหรียญเปล่งประกายสะท้อนแสงจากกองไฟหล่นลงมาที่ท้องของผม

 

「หว่ะ- หวา…….」

 

「อุปุ๊ปุ๊ปุ๊ปุ๊ หนุ่มน้อย… คิดผิดแล้วที่คิดว่าจะทำอะไรเค้าก็ได้ในฐานะทาสหนี้ทั้งวันทั้งคืนหน่ะ」

 

「เจ้าแมวโง่นี้! ไปขโมยมาจากไหนเนี้ย?! เอาไปคืนเลยนะ!」

 

「—หาว่าเค้าขโมยมาเพียงแค่เอาเงินมาเนี้ยนะ!? ผิดแล้ว! เค้าชนะพนันมาต่างหาก!」

 

การพนันนั้นผิดกฏหมาย การพนันส่วนตัวในโลกนี้ก็ถือว่าผิดด้วยเช่นกัน

 

แล้วอะไรที่ว่า “ผมจะทำอะไรก็ได้ทั้งวันทั้งคืน” หน่ะ? มีนิสัยขี้โกหกหรือไง? ทำไมคุณแม่ชีถึงมองผมแบบนั้นละครับ? คุณก็รู้ว่ามันไม่จริงใช่ไหมละครับ? พวกเราก็อยู่ในกองคาราวานด้วยกันทุกคนทุกวันไม่ใช่หรอครับ?

 

「มีซ่องพนันของพวกนักผจญภัยอยู่ตรงนั้นหน่ะ แถมยังมีไอ้งี่เง่าชุดคลุมเหลืองผมสองสีอยู่ด้วย ดังนั้นเค้าก็เลยรีดเงินจากหมอนั้นมา」

 

「เซอรี่ซัง…」

 

ผมวางมือเอาไว้บนไหล่ของเซอรี่ซังแล้วเขย่าเธอ

 

「เอ๊ะ อะ-อ้า เค้าทำอะไรลงไปอีกแล้วงั้นหรอ!?」

 

「—ทำได้ดีมากเลยครับ」

 

เมื่อผมยกนิ้วโป้งให้ ทั้งดันเต้ซัง, มิมิโนะซัง, และน็อนซังต่างก็ยกนิ้วโป้งห้

 

อนึ่ง เซอรี่ซังเอามาแต่เหรียญเงิน ซึ่งจ่ายได้ไม่ถึงครึ่งนึงจากหนี้ทั้งหมดเลย

 

วันถัดมา—ผมตื่นขึ้นที่ลานกว้าง ใช้【สะดวกสบาย】สร้างน้ำแล้วล้างหน้าตัวเอง หลังจากนั้น ผมก็ทำอาหารกับมิมิโนะซัง ผมซื้อนมแพะจากร้านค้า และอบขนมปัง ถึงจะมีโรงแรมไม่เพียงพอ แต่อีกด้านของกำแพงก็เป็นจักรวรรดิแล้ว ดังนั้นมันจึงมีร้านค้าอยู่มากมายเลย

 

หลังจากที่ทานเสร็จ ผมก็ไปยังๆที่ที่ผมส่งคำร้องเข้าพบเอาไว้คนเดียว

 

「…เอ๊ะ?」

 

ผลลัพธ์ของคำร้องของผมถูกประกาศเอาไว้

 

『คุณเอ็มม่าได้จากไปแล้ว การเข้าพบเป็นไปไม่ได้ คุณลูลูช่า… ไม่สามารถเข้าพบได้เนื่องจากคำสั่งของเจ้าหน้าที่』

 

ผมนิ่งค้างไปสักพัก

 

ผมช็อคจากเรื่อง “จากไปแล้ว” ก็จริง แต่นั่นผมก็คิดแล้วว่ามันมีความเป็นไปได้

 

แต่ “คำสั่งของเจ้าหน้าที่” ละ?

 

นี้มันอะไรกัน…?

 

เมื่อผมถามเจ้าหน้าที่ที่สำนักงานส่งคำร้องเข้าพบเกี่ยวกับเรื่องนี้ พวกเขาก็บอกว่า “พวกเราก็ไม่รู้เช่นกัน เนื่องจากแผนกรับคำร้องกับแผนกดูงานนั้นแยกจากกัน” พวกเขาไม่รู้แม้กระทั่งว่าคำสั่งอันไหนที่ “คำสั่ง” นั้นหมายถึง

 

เจ้าหน้าที่ไม่ค่อยให้ความร่วมมือเท่าไหร่ แถมผมเองก็เริ่มหงุดหงิดแล้วด้วย ทว่าดูเหมือนผมจะไม่ได้อะไรไปมากกว่านี้แล้ว ดังนั้นผมจึงกลับไปที่ลานกว้างก่อนในตอนนี้

 

ดูเหมือนจะมีบางอย่างเกิดขึ้นในตอนที่ผมกลับไปถึง

 

「จริงๆแล้วมูเกะซังที่กลับมาจากจักรวรรดิมอบหมายคำร้องให้กับพวกเราหน่ะ เนื้อหาของคำร้องก็คือให้ช่วยรวบรวมวัตถุดิบจากภายในจักรวรรดิ… เอาไงดี พวกเราจะรับมันไว้ไหม?」ดันเต้ซังที่กลับมาจากกิลด์นักผจญภัยพูดขึ้น

 

ต่อให้ผมอยู่ที่นี่ คำร้องขอเข้าพบของผมก็ไม่มีทางอนุมัติหรอก ผมคิดที่จะแสดง “หินฟอสฟอรัส” ที่ต่าแก่ฮินกาทิ้งเอาไว้แล้วหรอก แต่มันก็ไม่สมเหตุสมผลที่จะแสดงมันให้กับแผนกรับคำร้อง

 

ในกรณีนั้น ผมอาจจะได้ข้อมูลอะไรบางอย่างถ้าพวกเราเข้าไปข้างในก็ได้

 

「ทำกันเถอะครับ」ผมพูดโดยไม่ต้องคิดเลย

 

========================================================

TL: ว้าว ครบ 100 ตอนแล้ว ขอบคุณที่ติดตามกันมานะครับ 😀

 

 

บทที่ 3 ตอนที่ 2

 

ความประทับใจแรกของผมก็คือมันเป็นที่ที่มืดมนมาก

 

หลังจากแยกกันกับมูเกะซังมา พวกเราที่เป็นคนต่างถิ่นนั้นก็ได้มาถึงยังสถานที่ที่ถูกล้อมเอาไว้ด้วยกำแพงสูงที่ต้องเงยหน้วมองถึงจะเห็นยอด—สถานที่ที่มีความกว้างประมาณโรงเรียน

 

มีลานกว้างอยู่ตรงกลาง และมีเพียงแค่อาคารประมาณ 10 หลังเท่านั้น แต่ละอาคารนั้นก็แค่อาคารขนาดเล็กกระทัดลัดชั้นเดียวทำจากหินเท่านั้นด้วย

 

ดูเหมือนที่นี่คงจะเป็นจุดที่คนต่างถิ่นสามารถเข้ามาได้ลึกที่สุดเท่าที่จะทำได้ภายในจักรวรรดิแล้ว

 

อย่างไรก็ตาม มันก็มีผู้คนอยู่ประมาณนึง แทบจะ 100 คนเลยมั้ง เกือบทั้งหมดนั้นติดอาวุธเหมือนกับพวกนักผจญภัย

 

…พวกเขาไม่ใช่ชาวเลฟ ดังนั้นพวกเขาจึงไม่สามารถเข้าไปข้างในได้ มันมีงานมากมายขนาดนั้นเลยหรอในที่แคบๆแบบนี้หน่ะ?

 

“งานส่งของให้กิลด์เสร็จเรียบร้อยแล้วหล่ะ”

 

ดังเต้ซังกลับมา

 

งานของพวกเราในครั้งนี้ก็คือการส่งจดหมายให้กับกิลด์นักผจญภัย – อาคารที่คน 10 คนเข้าไปก็เต็มแล้ว และดำเนินงานกันผ่านหน้าต่างอาคารกันเอา

 

「เอานี้ เรย์จิ」

 

ผมรับบัตรนักผจญภัยมาจากดันเต้ซัง มันเป็นอันที่ผมร้องขอเอาไว้ก่อนจะมายังที่นี่ — มาคิดๆดูแล้ว นี้เป็นบัตรยืนยันตัวตนอันแรกของผมในโลกนี้เลย

 

『กิลด์นักผจญภัย: สาขาเมืองอาซานยูแห่งราชอาณาจักรศักดิ์สิทธิ์ครูวาน เป็นผู้ออกบัตร

 

ชื่อ: เรย์จิ

ระดับ: บรอนซ์

ปาร์ตี้: ซิวเวอร์บาลานซ์

 

บัตรสมาชิกนี้ได้พิสูจน์ความผูกพันของบุคคลข้างต้นกับกิลด์นักผจญภัย นอกจากนี้ บุคคลข้างต้นจะได้รับอนุญาตให้ผ่านเข้าประเทศหรือดินแดนที่ลงทะเบียนได้โดยไม่การขัดข้องใดๆ』

 

ผมยังเป็นหน้าใหม่แรงค์บรอนซ์อยู่เลย ดันเต้ซังกับคนอื่นๆนั้นอยู่ในแรงค์เงิน — พวกเขาถูกลดขั้นเมื่อวันก่อน — ดังนั้นจะตามพวกเขาทันนั้นยังอีกยาวไกลเลย ทว่า ผมก็ยังดีใจที่มีชื่อปาร์ตี้เดียวกันกับทุกคนในใบรับรองของกิลด์

 

เสริมอีกอย่าง เซอรี่ซังเองก็เข้าร่วมปาร์ตี้ด้วยเหมือนกัน เธอนั้นอยู่แรงค์ไอรอนอยู่แล้ว ต่ำกว่าซิวเวอร์แรงค์เดียว และสูงกว่าผม 2 แรงค์ ผมยังไม่ลืมเรื่องที่เธอพูดกวนผมว่า “หนุ่มน้อย นับจากนี้ไปให้เรียกเค้าว่า ‘รุ่นพี่’ นะ โอเคร้〜?” อยู่เลย

 

เซอรี่ซังตอนนี่ไม่ได้อยู่แถวๆนี้ เธอออกไปเดินเล่นหลังจากที่เรามาถึงที่นี่แล้ว

 

「…บรรยากาศภายในนี้ค่อนข้างประหลาดนิดหน่อย」

 

「ประหลาดงั้นหรอ? เกิดอะไรขึ้น?」มิมิโนะซังถาม

 

「นั่นก็… อืม มาจัดการธุระของเรย์จิให้เสร็จกันก่อนดีกว่า」

 

ผมมีเป้าหมายที่จะพบกับลูลูช่าซังในจักรวรรดิ แผนกรับร้องเพื่อเข้าไปยังจักรวรรดินั้นตั้งอยู่ในอาคารอื่นที่เต็มไปด้วยผู้คน—มีแถวยาวประมาณ 10 คนต่อกันออกมานอกอาคาร พวกเขาไม่ใช่นักผจญภัย แต่เ็นคนอย่างพวกพ่อค้า

 

「ข้ารู้แล้วว่าทำไมพวกนักผจญภัยถึงมารวมตัวกันที่นี่แล้วละ… ดูเหมือนว่าพวกเขากำลังมองหานักผจญภัยให้เข้าไปในจักรวรรดิอยู่」

 

ดันเต้ซังพูดในขณะที่พวกเราเข้าไปต่อคิวท้ายแถว

 

「เอ๊ะ? เข้าไปงั้นหรอ?」

 

「ใช่ ข้าไม่ได้ถามอะไรเพิ่มเติมเพราะพวกเรามีเป้าหมายเป็นการเข้าพบของนาย เรย์จิ」ดันเต้ซังพูด

 

「พวกเราเคยเข้าไปในจักรวรรดิแล้วครั้งหนึ่ง แต่นั่นเป็นเพราะพวกเราโชคดีได้รับงานคล้ายๆกันมาจากกิลด์」มิมิโนะซังพูด

 

「ใช่แล้วละ คนอื่นรอบๆต่างดูค่อนข้างจะอิจฉากันเลย」น็อนซังเสริม

 

ซิวเวอร์บาลานซ์เคยมาที่นี่ก่อนหน้านี้ พวกเขาได้เข้าไปยังจักรวรรดิด้วยคำร้องของกิลด์ ดูเหมือนมันจะหาได้ยากมากๆที่จะสามารถเข้าไปในจักรวรรดิ แต่ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้

 

ทว่าดูจากจำนวนนักผจญภัยแล้ว มันก็คงจะไม่ปกติละนะ

 

「หืมมม รวบรวมผู้คนมาขนาดนี้… มีคำขอกวาดล้างขนาดใหญ่หรือเปล่าครับ?」

 

จังหวะที่ผมถามแบบนั้นออกไป

 

「ーนั่นนายเรอะ ดันเต้?」

 

อยู่ๆก็มีคนทักขึ้นมา

 

ดันเต้ซังหันหลังกลับไปมองอย่างประหลาดใจ ตรงนั้นมีกลุ่มเหมือนกับปาร์ตี้นักผจญภัย 7 คนอยู่

 

คนที่ส่งเสียงเรียกนั้นเป็นนักผจญภัยผมผมสีน้ำตาลแดงแสกหลัง ดูจะอายุประมาณ 20 ปลายๆ เขานั้นตัวสูงและสวมเกราะโลหะผสมหนังมอนสเตอร์อย่างง่ายๆ

 

เสื้อคลุมของเขานั้นเป็นของที่ดึงดูดสายตาที่สุด เสื้อคลุมสีเหลืองสดเหมือนของใหม่ และคนอื่นๆในปาร์ตี้เองก็สวมเสื้อคลุมแบบเดียวกันด้วย

 

「ลีออน…? (Leon)」

 

「ใช่แล้วละ! เฮ้ย คำสาปนายหายแล้วงั้นเรอะ? เอาจริงดิ? ทำได้ยังไงกันหน่ะ?」

 

ชายที่มีชื่อว่าลีออนมีสายตาที่เป็นมิตร… น้ำเสียงของเขาเองก็เป็นมิตร ทว่าวิธีที่เขาตบแขนซ้ายของดันเต้ซังอย่างเป็นสนิทสนมเกินไปดูจะเป็นของพวกหน้าไม่อายมากกว่า

 

ดันเต้ซังมีสีหน้าที่ซับซ้อน

 

「–โอ๊ะ ยัยเตี้ยตรงนั้นมัน… มิมิโนะนี้? ให้ตายสิ… ฮ่าๆๆ พวกนายยังคงไปไหนมาไหนด้วยกันอยู่เหรอเนี้ย หา… มิมิโนะ ชั้นยังไม่ลืมเรื่องที่เธอขโมยเงินจากปาร์ตี้เราไปนะ พวกฮาร์ฟลิงก็เป็นซะแบบนี้ละนะ」ลีออนพูดพร้อมกับเลิกคิ้วมองไปยังมิมิโนะซัง

 

เดี๋ยวก่อนนะ “ขโมย” งั้นหรอ? มิมิโนะซังไม่ทำอะไรอย่างนั้นหรอก

 

มิมิโนะซังมองกลับไปที่ลีออนด้วยเปลวไฟแห่งความโกรธแค้นในดวงตาของเธอ สีหน้าจริงจังแบบที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อนเลย

 

「ขโมย?!! ระวังปากของนายหน่อย! ถ้างั้น ชั้นเองก็พูดได้ว่าพวกนาย “ขโมย” อนาคตของดันเต้ไปได้เหมือนกัน!」

 

「ーมิมิโนะซัง ใจเย็นๆก่อนนะ」

 

น็อนซังเดินไปข้างหน้า ส่วนผมไปยืนอยู่ข้างๆมิมิโนะซัง

 

「ใช่แล้วละครับ มิมิโนะซัง ไม่เห็นต้องกังวลใจไปเลยครับ… แล้วก็ ถ้าผมต่อยหน้าไอ้คนหยาบคายนี้จะเป็นอะไรไหมครับ?」

 

「นี้เรย์จิคุง!? พูดอะไรออกมากันหน่ะ?」น็อนซังพูดอย่างกระสับกระส่าย

 

ชายที่ชื่อลีออนกระพิบตาด้วยความประหลาดใจ

 

「…คุ๊กคุ๊กคุ๊ อะฮ่าๆๆๆๆ! เป็นเด็กที่ตลกดีนะเนี้ย อะไรกันมิมิโนะ นี้เธอคุ้มกันเด็กบ้าหรืออะไรแบบนั้นเรอะ? อะไรแบบนี้ไม่ทำให้พวกชั้นขุ่นเคืองหรอกนะ พวกนายอาจจะไม่รู้ แต่พวกชั้นหน่ะกลายเป็นนักผจญภัยแรงค์ทองแล้ว—พวกเราคือโกลเด้นบริเกด (Golden Brigade) ยังไงละ!」

 

อ่าห์ เข้าใจละ ผมเข้าใจแล้ว

 

ชายคนนี้แหล่ะ คนที่เป็นพวกพ้องที่ดันเต้ซังปกป้องในอดีต และเขาเองก็เป็นพวกพ้องที่ทอดทิ้งดันเต้ซังที่โดนคำสาปในตอนนั้นด้วย

 

สำหรับคนอื่นๆที่สวมเสื้อคลุมสีเหลือง มี 3 คนที่ดูจะไม่รู้เรื่องว่าเกิดอะไรขึ้น แต่อีก 3 คนที่เหลือนั้น—มีสีหน้าโกรธ, รู้สึกผิด, และอื่นๆผสมปนเปกันไป

 

「ดันเต้… นายหายดีก็ดีแล้ว กลับมาอยู่ใต้ชั้นซะ นายเป็นผู้ใช้โล่ที่ยอดเยี่ยมที่สุดเลย พวกเรามีกัน 7 คนแล้วตอนนี้ แต่พวกเรากำลังรวบรวมนักผจญภัยแรงค์โกลด์และจะกลายเป็นปาร์ตี้นะดับสูงกัน ชั้นมั่นใจว่านายสามารถตามทันได้ใช่ไหมละ?」

 

「…ลีออน」ดันเต้ซังพูดพร้อมกับถอนหายใจ「ขอโทษมิมิโนะซะ」

 

「…ว่าไงนะ?」

 

「ถ้านายบอกว่ามิมิโนะขโมยเงินของปาร์ตี้ งั้นแล้วกฏที่ว่า “ถ้าสมาชิกปาร์ตี้บาดเจ็บให้รักษาด้วยเงินของปาร์ตี้” ละ? ไม่ใช่แค่เงินของปาร์ตี้เท่านั้น แต่มิมิโนะยังใช้เงินเก็บของตัวเองในการรักษาข้าไปจนหมด ทว่านั่นก็ยังไม่พอจนเธอต้องกู้ยืมและเป็นหนี้ด้วย」

 

「คือ ชั้นหมายถึง… ก็นายออกไปจากปาร์ตี้แล้ว นั่นก็หมายความว่านายไม่ใช่ “สมาชิกปาร์ตี้ที่บาดเจ็บ” แล้วใช่ไหมละ?」

 

「นั่นเพราะข้าโดนคำสาปและคิดว่าข้าคงจะตายโดยที่ทำอะไรไม่ได้เลยต่างหาก ข้าไม่ได้อยากจะลากทุกคนไปตายด้วยกันซะหน่อย」

 

「ถ้าอย่างนั้น งั้นก็–」

 

「–เธอเป็นคนเดียวที่ยังอยู่ข้างๆข้ามาตลอด เข้าใจไหวว่าข้าซาบซึ้งแค่ไหนต่อมิมิโนะ? ดังนั้น ไม่ว่าใครจะพูดว่าร้ายมิมิโนะอะไร ข้าก็จะไม่ให้อภัยพวกนั้นเด็ดขาด」

 

「!」

 

ลีออนรีบทิ้งระยะห่างทันทีในจังหวะที่มีจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้อันร้อนแรงถูกปล่อยออกมาจากตัวของดันเต้ซัง ความเร็วการตอบสนองระดับนั้น ถึงเขาจะเป็นพวกเน่าเฟะ เขาก็ยังเป็นนักผนญภัยแรงค์โกลด์อยู่ดีสินะ

 

「และนายก็ผิดไปอย่างนึง」

 

ดันเต้ซังมายืนอยู่ที่ข้างๆผมแล้ววางมือเอาไว้บนไหล่ของผม

 

「เด็กคนนี้ที่นายดูถูก… เรย์จิหน่ะ แข็งแกร่งยิ่งกว่าข้าซะอีก」

 

「…ว่าไงนะ?」

 

ลีออนจ้องมองตรงมาที่ผมอย่างสงสัย

 

แต่นั่นก็ไม่ใช่เรื่องจริงซะหน่อย ใช่ไหมละครับดันเต้ซัง? ขนาดผมเองก็ยังไม่รู่ว่าจะทะลวงปราการเหล็กของคุณยังไงเลย การป้องกันของคุณแทบจะเรียกว่าโกงเลยนะครับ รู้ไหม?

 

「เมื่อก่อนข้าเคยบอกนายหลายครั้งแล้วไงว่าไม่ให้ดูถูกคนอื่นจากภายนอกหน่ะ นายนี้ไม่เปลี่ยนไปเลยสินะ… การเลื่อนระดับของนายไม่มีสำคัญอะไรเลย」

 

「ดันเต้… คิดหรือว่าจะเดินออกไปได้ง่ายๆหลังจากที่มาดูถูกชั้นขนาดนี้แล้ว?!」

 

「เอาละ พอได้แล้ว」

 

หลังจากนั้น หนึ่งในเสื้อคลุมสีเหลือง—หญิงสาวที่มี่ร่างกายผอมเพรียวสวมฮู้ดปิดบังดวงตาของเธอเอาไว้ ได้เดินเข้ามาระหว่างพวกเรา

 

เธอเป็นหนึ่งใน 3 คนที่ไม่ได้รู้เรื่องอะไร

 

「นายไม่ได้จะมาถึงที่นี่เพื่อทะเลาะวิวาทหรอกใช่ไหม? หัวหน้า ชั้นจะไม่ขอยุ่งเกี่ยวกับปัญหาที่ไม่จำเป็นหรอกนะ」

 

「…ชิ」

 

ลีออนเดาะลิ้นแล้วหันหลังให้กับพวกเรา

 

「คอยดูเถอะ ดันเต้ พวกชั้นจะไปยังจุดที่นายไม่มีวันจะไปถึง」

 

ทิ้งเอาไว้แค่คำพูดรุณแรงนั้น

 

หญิงสวมฮู้ดจ้องมองมาที่ผม ดวงตาสีเขียวมรกตของเธอนั้นเปล่งประกายถึงความสนใจ ทว่าไม่นานเธอก็ได้เดินตามหลังลีออนไป

 

 

 

บทที่ 3 โจรสลัดอากาศสีดำยิ้มแย้มภายใต้แสงจันทร์ หมอผีสีแดงกู่ร้องสู่ดวงดาว

 

ตอนที่ 1

 

「เรย์จิ! ข้าฝากทีเหลือด้วย!」

 

「ครับ!」

 

ร่างยักษ์สีน้ำตาลวิ่งตัดผ่านเข้าไปในป่าลึก มันถูกเรียกว่ากิก้าโบ (Giga Boar) ที่ตัวใหญ่ประมาณรถบรรทุก 2 ตันได้ แถมยังสามารถล้มต้นไม้ต้นเล็กๆได้เลยด้วย

 

ขนของมันนั้นห่างไกลจากคำว่า “สวยงาม” แถมยังเปื้อนโคลนไปหมด บางทีคงเพราะวิ่งผ่านโคลนมาละมั้ง เส้นขนของมันหนาอย่างกับลวด ดังนั้นต่อให้ชนกับต้นไม้ก็ไม่หลุดออกมาง่ายๆหรอก

 

และคนที่กำลังวิ่งเข้าหามันจากด้านหน้า – ก็คือผมเอง

 

ผมยื่นสองมือไปข้างหน้าแล้วสร้างลูกบอลลมขนาดยักษ์ขึ้นด้วย【เวทย์ลม】

 

「ไม่ปล่อยให้แกผ่านไปหรอก!!!」

 

จังหวะที่ผมยิงลูกบอลลมออกไป มันก็ได้โดนเข้าใส่ระหว่างคิ้วของมันจังๆ

 

「บูโมวววววววว!!」

 

กิก้าโบเสียการทรงตัวล้มลงมาข้างหน้า กลิ้งแล้วลอยเข้าหาผมด้วยแรงโมเมนตัม

 

อย่างกับฉากรถไล่ล่ากันที่มีตามหนังแอคชั่น ตอนที่รถพลิกคว่ำแล้วลอยไปมา

 

「โอ๊ะ!」

 

ผมเอนกลับหลังหลบได้ในวินาทีสุดท้าย ในเวลาเดียวกันนั้นผมก็ได้สร้างเตียงลมด้วย【เวทย์ลม】เพื่อลบแรงโมเมนตัมของกิก้าโบ แถมด้วยการทำให้พื้นนุ่มขึ้นด้วย【เวทย์ดิน】เพื่อลดแรงกระแทก เพราะแรงกระแทกรุณแรงอาจทำให้เนื้อของมันเสียหายได้

 

「ฟูโก! ฟูโกโก!!」

 

「อุ๊บ แกยังไม่สลบไปสินะ… ค่อนข้างอึดเลยนะแกหน่ะ?」

 

ดูเหมือนว่ามันจะขาหักในตอนที่ล้มลง และก็เพราะพื้นมันนุ่มด้วย มันก็เลยลุกขึ้นมาไม่ได้ ดังนั้นมันเลยกลิ้งฝาดงวงฝาดงาไปมาเพื่อไม่ให้ผมเข้าใกล้ได้ง่ายๆ ก็เป็นช่วงที่ต้องใช้เวทมนตร์เข้าช่วยละนะ ผมสร้างหินทรงกรวยปลายแหลมขึ้นมาจาก【เวทย์ดิน】แล้วยิงเข้าใส่ระหว่างคิ้วของมันที่ผมโจมตีด้วย【เวทย์ลม】ไปก่อนหน้านี้

 

「ฟูโก… โกกก…」

 

และแล้วกิก้าโบก็ได้ตายลงไป

 

ร่างของมันยังคงกระตุกอยู่แม้จะตายไปแล้ว บางทีคงเป็นกล้ามเนื้อกระตุกละมั้ง

 

「ฮะ-เฮ้ยยย์… จัดการมันไปแล้วรึ…?」

 

ผมยกมือขึ้นเมื่อได้ยินเสียงหวาดๆนั้น

 

「เรียบร้อยแล้วครับ! ทางนี้ครับผม มูเกะซัง (Muge-san)!」

 

จากนั้นมูเกะซังก็เข้ามาพร้อมกับเสียงเครื่องยนต์

 

มันเป็นเครื่องจักรโลหะขนาดเล็กกว่าร้านราเมนแผงลอยที่ส่งเสียงนั้น มันมี 4 ล้อและรวมถึงตัวรถที่ทำจากเหล็ก ตัวรถนั้นขึ้นสนิมแล้ว

 

ขณะที่มันพ่นควันดำออกมาจากปล่องควัน มันก็เคลื่อนที่ด้วยความเร็วที่เร็วกว่าคนเดินเท้าเล็กน้อย

 

อย่างไรก็ตาม มันก็ไม่ได้ถูกออกแบบมาให้บรรทุกมนุษย์หรอก เพราะแทบทั้งตัวรถเป็นเครื่องยนต์นี้นา มูเกะซังต้องบังคับมันจากด้านหลังเอา

 

「โอ้ว ตัวใหญ่ชะมัด」

 

มูเกะซังกระพริบตาสีทองของเขา นัยน์ตาของเขานั้นเป็นแนวตั้งเหมือนกับแมว แถมผิวหน้าของเขายังมีสีเหลืองแซมน้ำตาลด้วย

 

เขาเป็นกึ่งมนุษย์ที่คล้ายกับกิ้งก่า เป็นพลเมืองของจักรวรรดิเวทมนตร์เลฟ

 

「เนโกะจังของข้าจะบรรทุกกิก้าโบนี้ไหวไหมเนี้ย?」

 

「มาลองดูกันครับ ถ้าไม่ได้ละก็ พวกเราก็คงต้องชําแหละเครื่องในออกมาเพื่อให้เบาขึ้น」

 

「ไม่ ไม่ได้! มันมีคำขอหลายอันเลยนะที่ต้องการเครื่องในหน่ะ ดังนั้นมาพยายามกันเต็มที่เลยนะ เนโกะจัง?」

 

เจ้ารถจักรไอน้ำสีดำขึ้นสนิมนั่นดูจะถูกเรียกว่า “เนโกะจัง” แถมมูเกะซังก็รักมันมากๆด้วย เขาบอกว่าอารมณ์ของรถมันจะขึ้นอยู่กับวันด้วย แต่แน่นอนละว่าผมไม่เชื่อ

 

มูเกะซังลงมาจากรถ เขาสวมชุดจั๊มสูทหนังแต่ก็ไม่ได้มีหางโพล่ออกมาจากหลังของเขาแต่อย่างใด เมื่อเขาเอาโซ่ต่อกับเนโกะจังและมัดรอบๆตัวกิก้าโบแล้วสตาร์ทเครื่อง มันก็เริ่มเคลื่อนที่พร้อมกับส่งเสียง “ฮี้ ฮี้” ออกมา

 

「เนโกะจังดูจะอารมณ์ไม่ดี แต่เธอก็จะทำให้ดีที่สุดนะ!」

 

「งะ-งั้นหรอครับ…?」

 

หลังจากนั้น มันก็ใช้เวลาประมาณ 15 นาทีในการออกมาจากป่า—พวกเราออกมายังทุ่งหญ้ากว้างที่มีพื้นดินสีแดงแซมออกมาเป็นระยะๆ

 

แสงอาทิตย์ส่องลงมาร้อนระอุ ในด้านของฤดูละก็ มันก็ควรจะอยู่ในช่วงต้นหน้าร้อนสิ แต่ความร้อนนี้อย่างกับกลางหน้าร้อนเลย อยู่ใต้ร่มเงามันก็เย็นอยู่หรอก ทว่า… มันไม่มีร่มเงาที่ไหนเลยหน่ะสิ

 

จากตรงที่ห่างออกไป ดันเต้ซังกำลังโบกมือให้กับผมอยู่

 

「—นั่นกิก้าโบหรอ?」

 

「—ใหญ่โคตร! พวกนั้นล่าของแบบนั้นได้ด้วยหรอเนี้ย?」

 

「—คิดว่าคืนนี้พวกเราคงจะได้กินเนื้ออร่อยๆกันแน่」

 

ผมได้ยินเสียงมีความสุขมาจากผู้คนของกองคาราวาน

 

「เรย์จิคุง〜 ทางนี้」มิมิโนะซังตะโกน

 

「ครับ กำลังไปครับ」

 

ผมตรงไปยังที่ที่มิมิโนะซังกับน็อนซังอยู่

 

ทั้งมิมิโนะซังกับน็อนซังดูจะกำลังพักผ่อนใต้ร่มกันแดดกันอยู่ เมื่อดันเต้ซังกับผมไปถึง พวกเขาก็เสริฟชาให้กับพวกเรา

 

ผมดื่มชาสมุนไพรแสนอร่อยหมดในอึกเดียวเลย

 

อ้าา ชาอร่อยๆหลังเสร็จงานนี้มันเยี่ยมจริงๆ

 

「…อ่าห์ ข้าอยากจะดื่มเบียร์ซักแก้วจริงๆ」ดันเต้ซังพึมพำ

 

「นั่นคงต้องทนรอจนกว่าจะถึงเมืองหน้านะครับ」ผมพูด

 

「กลับกันนะคะคุณพ่อ คุณพ่อควรจะงดดื่มไปสักพักนะคะ เงินที่คุณพ่อได้มามันไปลงกับค่าเหล้าหมดแล้วนะคะ」

 

「มะ-ไม่นะ คือมันก็แค่… เหล้ามันรสชาติดีขึ้นหลังจากที่คำสาปหายไปแล้วต่างหาก เป็นความผิดของเรย์จินั่นแหล่ะ」

 

หา?

 

「คุณพ่อคะ… อยากจะติดคำสาปอีกงั้นหรือคะ?」

 

「คะ-แค่ล้อเล่นหน่ะ ใช่ไหม้ เรย์จิ?」

 

「อย่าลากผมไปเกี่ยวด้วยสิครับ…」

 

ผมรู้สึกว่าดันเต้ซังเริ่มกลายเป็นเหมือนเซอรี่ซังเข้าไปทุกที

 

และเซอรี่ซังที่พูดถึงก็กำลังหลับอยู่ในรถม้านั่นแหล่ะ เธอบอกว่าเธอพนันกับคนของกองคาราวานคนอื่นๆจนดึกดื่นแล้วชนะมาได้ ทว่าในความเป็นจริงแล้ว หนี้ของเธอที่ติดผมไว้มันเพิ่มขี้นเรื่อยๆหน่ะสิ ดังนั้นเธอแพ้มาต่างหาก ดูเหมือนมันคงถึงเวลาที่ต้องเข้มงวดกับเธอแล้วสิ…

 

「นอกจากนี้ กิก้าโบนั่นก็น่าจะได้ราคาดีไม่ใช่หรือไง?」ดันเต้ซังพูดขึ้นมาอย่างมีความหวัง

 

มันกลายเป็นชีวิตประจำวันของพวกเราไปแล้วที่จะออกไปล่าในช่วงพักเพื่อหาเงินเข้ากระเป๋าเล็กน้อย ทว่าวันนี้พวกเราโชคดีที่ล่าของดีมาได้

 

「เรย์จิซัง ดันเต้ซัง มาเริ่มหารกิก้าโบกันดีกว่า」มูเกะซังพูดในตอนที่เขามาถึง และพวกเราก็ได้ตรงไปทางเขา

 

จักรวรรดิเวทมนตร์เลฟนั้นตั้งอยู่ในพื้นที่เล็กๆระหว่างราชอาณาจักรอัศวินนักบุญกับราชอาณาจักรศักดิ์สิทธิ์ครูวาน เป็นพื้นที่ที่ไม่ได้รับการพัฒนาที่ชื่อว่า “เคเนี่ยน (Canion)” แต่เพราะมันถูกล้อมรอบด้วยภูเขาสูงชัน 3 ด้าน มันก็เลยช่วยกันการบุกรุกจากประเทศศัตรูได้

 

ชาวเลฟนั้นเป็นเผ่าพันธ์ุพิเศษที่ไม่สามารถใช้หินสกิลได้ เป็นเผ่าพันธ์ุกึ่งมนุษย์กิ้งก่า ในอดีตพวกเขานั้นถูกดูถูกข่มเหงหลายครั้งเพราะไม่สามารถใช้หินสกิลที่ใช้กันเป็นเรื่องปกติในโลกใบนี้ได้ และผลลัพธ์ก็คือพวกเขาขังตัวเองอยู่ในดินแดนจำกัดๆนี้

 

มองจากมุมกลับแล้ว มันก็ค่อนข้างยากที่คนนอกอย่างพวกเราจะเข้าไปในประเทศได้ — ดังนั้น มันจึงเป็นการดีที่พวกเราพบเข้ากับกองคาราวานที่มีชาวเลฟอยู่ และได้ทำความรู้จักกับพวกเขา

 

ไม่ว่าจะปลีกวิเวกขนาดไหน มันก็ไม่ใช่เรื่องแย่ที่จะทำธุรกิจกับประเทศอื่นๆ และชาวเลฟที่ออกมาข้างนอกนั้นก็มีปฏิสัมพันธ์สูงด้วย

 

「มะ-มากขนาดนี้จะดีหรอ?」

 

「ไม่เป็นไรหรอก จากตรงนี้ก็ไม่ไกลจากจักรวรรดิแล้ว และที่จักรวรรดิเองไม่มีกิก้าโบด้วย ดังนั้นเนื้อสดๆจึงสามารถขายได้ในราคาสูงเลยละ」

 

เหรียญทองที่กองอยู่ตรงหน้าของผมกับดันเต้ซังนั้นเป็นค่าเงินของจักรวรรดิเลฟ และแต่ละเหรียญก็มีค่าประมาณ 50,000 เยนด้วย มีประมาณ 100 เหรียญทอง

 

「…ไชโย!!!」ดันเต้ซังตะโกนพร้อมกับท่ากำมัดขึ้นฟ้า แต่… ผมสงสัยจังว่าจากหมดนี้ น็อนซังจะให้เขาจริงๆเท่าไหร่กันแน่นะ…

 

「ซิวเวอร์บาลานซ์วางแผนที่จะออกไปจากจักรวรรดิทันทีที่งานของกิลด์เสร็จแล้วเลยหรือเปล่า?」

 

「ไม่หรอกครับ ที่นั่นมีคนที่ผมอยากจะเจอให้ได้อยู่… ดังนั้นผมจะพยายามขอให้อยู่ต่อได้ครับ」

 

「งั้นหรอๆ ช่วงนี้ข้าเองก็เข้าพบคนในจักรวรรดิได้ง่ายๆด้วย ดังนั้นข้าหวังว่านายจะเจอคนที่อยากพบง่ายๆเหมือนกัน」

 

「ขอบคุณครับ」

 

「แต่ให้ตายสิ สกิลที่นายใช้จัดการกิก้าโบตัวนี้มันสุดยอดไปเลยจริงๆนะเนี้ย」

 

「แล้วเนโกะจังละครับ?」

 

「เธอหลับอยู่ตรงนั้นหน่ะ」

 

รถจักรไอน้ำจอดอยู่เงียบๆที่ด้านหลังของรถม้า

 

จักรวรรดิเวทมนตร์เลฟนั้นเริ่มขึ้นจากเครื่องจักรไอน้ำที่ใช้ถ่านหิน แล้วค่อยขยับขึ้นไปใช้พลังงานจากหินเวทย์ เรือเหาะเวทมนตร์เกือบทั้งหมดในโลกนี้นั้นสร้างขึ้นที่เลฟนี้หล่ะ

 

พวกเราเก็บเหรียญทองจากบนโต๊ะแล้วหลับไปหามิมิโนะซัง แน่นอนว่าส่วนของดันเต้ซังก็ถูกริบโดยน็อนซัง และแล้วตรงนั้นก็ได้มีนักรบที่ยืนสิ้นหวังอยู่

 

(พวกเราน่าจะถึงในอีกไม่ช้านี้แล้ว)

 

มันก็ผ่านมา 15 วันแล้วตั้งแต่ออกมาจากเมืองศักดิ์สิทธิ์แห่งครูวานยู ที่ซึ่งเป็นเมืองหลวงของราชอาณาจักรศักดิ์สิทธิ์ครูวาน พวกเราน่าจะไปถึงชายแดนประเทศระหว่างราชอาณาจักรศักดิ์สิทธิ์กับจักรวรรดิ์เลฟในอีกประมาณ 2 วัน

 

ตอนที่ผมทำงานเป็นทาสขุดเหมือง เขาคนนั้นที่มอบความรู้ให้กับผมฟรีๆ — ตาแก่ฮินกาที่ผมสามารถเรียกได้เต็มปากว่า “อาจารย์” ของผมในโลกใบนี้ ตอนก่อนที่เขาจะตาย ตาแก่ฮินกาได้ฟากฟัง “หินฟอสฟอรัส” ที่ฟังเอาไว้ในฟันกรามของเขาให้กับผม

 

ตาแก่บอกว่าผมจะสามรถพบกับหลานสาวของเขา ลูลูช่าซังได้ด้วยสิ่งนี้–หรือผมจะเอาไปขาบก็ได้ถ้าผมต้องการ

 

ถึงจะมีเรื่องหลายๆอย่างเกิดขึ้นหลังจากนั้น แต่หนึ่งในเป้าหมายของผมก็คือการพบกับลูลูช่าซังเพื่อบอกช่วงเวลาสุดท้ายของตาแก่ อีกเป้าหมายนึงของผมก็คือการพบกับพี่สาวของผม ลาร์ค

 

ลูลูช่าซังอยู่ที่จักรวรรดิเวทมนตร์เลฟนั้นเป็นข้อมูลที่ผมได้มาจากราชอาณาจักรศักดิ์สิทธิ์ ผมไม่รู้ว่าเธออยู่ที่ไหนในจักรวรรดิหรือมีสถานการณ์อะไรเกิดขึ้นบ้าง แต่โชคดีที่จักรวรรดินั้นเป็นประเทศเล็กๆ ดังนั้นการหาเธอก็น่าจะไม่ใช่เรื่องยาก

 

(พอนึกถึงตาแก่ฮินกาก็รู้สึกเศร้าขึ้น แต่ถึงยังนั้น…)

 

ผมเป็นเพียงคนเดียวที่ได้เห็นวาระสุดท้ายของเขาในเหมืองที่ 6 ผมคิดว่าผมควรจะบอกใครสักคนนอกจากผมว่าเขาเคยมีชีวิตอยู่ ยังไงซะ จากในมุมมองเขาเอลซังผู้เป็นนักบวชชั้นสูงแห่งราชอาณาจักรศักดิ์สิทธิ์ ตาแก่ฮินกาก็เป็นถึง “ผู้นำการถอดรหัสเอกสารโบราณ” เกี่ยวกับ “พันธสัญญา”, “โลกอื่น”, และ วิจัยเกี่ยวกับ “หินสกิล” ด้วย – ศาสตราจารย์ผู้ที่ถูกเรียกว่า “มันสมองของราชอาณาจักรฟอร์ชา”

 

「เรย์จิคุง ได้เวลาไปกันแล้วนะ」

 

「อา ครับ」

 

มิมิโนะซังเรียกให้ผมขึ้นไปบนรถม้า

 

เอาละถ้างั้นไปกันเลยดีกว่า สู่ดินแดนแห่งใหม่!

 

 

 

บทที่ 2 บทส่งท้าย 2

 

* ชาล็อต เฟรส *

 

ตระกูลมาร์ควิสเฟรสนั้นไม่ได้ดีเด่นอะไร

 

ในสังคมขุนนางนั้น แน่นอนว่ามาร์ควิสเป็นขุนนางชั้นสูง ทว่าตระกูลเฟรสกลับจืดจาง

 

ในงานเลี้ยง เธอนั้นไม่เคยถูกชวนเต้นรำเลย และถ้าเธอได้เข้าร่วมปาร์ตี้น้ำชาละก็ เธอก็ไม่สามารถสร้างหัวข้อพูดคุยได้ แล้วหลังจากนั้นเธอก็จะได้รับจดหมายเขียนว่า “เป็นทางตระกูลเฟรสเองที่ไม่กระตือรือร้น ช่างเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้จริงๆ”

 

ถึงอย่างนั้น ลูกสาวแห่งตระกูลเฟรส ชาล็อต ได้ตัดสินใจตั้งแต่อายุน้อยๆแล้วว่า–

 

「ดิชั้นจะไม่ยอมแพ้! ดิชั้นจะต้องโดดเด่นในสังคมขุนนางให้ได้!」

 

เธอเองก็เรียนวิธีหัวเราะมาด้วยเช่นกัน

 

「โอ๊ะโห๊ะๆๆๆๆ!」

 

ทว่า บางทีคงเป็นเพราะเมดที่สอนเธอนั้นเป็นคนหัวโบราณหน่อยๆ–

 

「คุณหนูคะ แตะหลังมือของคุณหนูเอาไว้ที่แก้มแล้วจากนั้นก็ “โอ๊ะ-โห๊ะ-โห๊ะ-โห๊ะ-โห๊ะ-โห๊ะ” ค่ะ!」

 

「โอ๊ะ โห๊ะ โห๊ะ โห๊ะ!」

 

「อีกครั้งค่ะ!」

 

「โอ๊ะ โห๊ะ โห๊ะ โห๊ะ!」

 

「วิเศษมากค่ะ! ต่อไปก็แต่งหน้านะคะ!」

 

เธอได้เรียนรู้ผิดทางซะงั้น เธอทั้งแต่งหน้าแถมยังม้วนผมสีบรอนซ์สตรอว์เบอร์รีจนเป็นสว่านด้วย

 

สิ่งเดียวที่เธอทำก็คือทำตัวเด่นแบบแย่ๆ และเมื่อไหร่ก็ตามที่มีเด็กๆขุนนางมารวมตัวกัน–

 

「อาร่า? ทำไมถึงสวมชุดสุดเชยแบบนั้นกันละคะ?」

 

(ความตั้งใจจริง: ถ้าคุณมาอยู่กับชั้นละก็ ชั้นจะช่วยคุณแต่งตัวดีๆเอง!)

 

เธอได้ไล่ทุกคนออกไปด้วยวิธีการพูดสุดกดขี่แบบนั้น

 

เหลืออยู่เพียงแค่คนเดียว

 

「พวกเรามีแค่ชุดแบบนี้น่ะ เหล่าพ่อค้าไม่มาที่ชายแดนซะเท่าไหร่」

 

มิร่า แห่งตระกูลเอิร์ลชายแดนมิวล์

 

เนื่องจากมิร่าเติบโตขึ้นในพื้นที่ห่างไกล เธอเลยชอบของวิบๆวับๆ ขนาดเด็กอย่างชาล็อตที่แต่งหน้าไม่เข้ากันสักนิดยังดูวิบวับในสายตาของมิร่าเลย

 

「อะ-โอ้ ช่างน่าเศร้าที่ได้ยินแบบนั้น… -อ้า ไม่สิ ดิชั้นหมายถึง โอ๊ะ โห๊ะ โห๊ะ โห๊ะ! งั้นดิชั้นจะส่งพ่อค้าประจำตระกูลเฟรสไปยังดินแดนเอิร์ลชายแดนเองค่ะ!」

 

「เอ๊ะ จริงหรอ!?」

 

「แน่นอนสิคะ ของกล้วยๆ!」

 

ชาล็อตหัวเราะออกมาดังๆ ทว่าพ่อค้าที่ได้ยินเรื่องนี้ในภายหลังนั้นกลับหน้าซีด ดินแดนของเอิร์ลประจำชายแดนมิวล์นั้นอยู่ห่างไกลมากๆ แต่ว่า

 

「หืมมม เจ้าไม่เห็นด้วยงั้นรึ? เจ้าตั้งใจจะทำให้ลูกสาวของข้าเป็นคนขี้โกหกงั้นรึ?」

 

เมื่อถูกสายตาของมาร์ควิสเฟรสผู้ที่เอ็นดูลูกสาวของเขาเป็นที่สุดจับจ้อง พ่อค้าก็ได้ออกเดินทางไปยังดินแดนของเอิร์ลชายแดนทั้งน้ำตา

 

และนั่นเป็นการนำผลิตภัณฑ์ใหม่ๆกระจายไปยังดินแดนของเอิร์ลชายแดน จนนำไปสู่ยุคแห่งการพัฒนาเพราะการไหลทะลักเข้ามาของพวกนักผจญภัยและการยึดครองดันเจี้ยน– ซึ่งเป็นเรื่องที่จะเกิดขึ้นต่อมาในอีกหลายปีให้หลัง

 

“การเปิดตัวเป็นผู้ใหญ่” ของชาล็อตในงานเลี้ยงต้นกล้าแห่งคืนข้างขึ้นนั้นเป็น “ความผิดพลาดครั้งยิ่งใหญ่” สำหรับเธอ

 

「—ดิชั้นไม่เด่นเลย!」

 

ชายสวมหน้ากากบุกโจมตี จากนั้นก็มีการพบยาพิษ และเธอก็ถูกคุ้มกันตัวออกไปจากงานเลี้ยงทันที

 

「แทบจะไม่ได้คุยกับท่านคลูฟชราทเลยด้วย!」

 

ชาล็อตร้องไห้ ร้องมากจนเมคอัพหลุดออกมาเลย

 

อย่างไรก็ตาม มันก็ยังมีโอกาสอยู่ หลังจากตอนนั้น ปาร์ตี้น้ำชาก็ได้ถูกจัดขึ้น – ถึงเจ้าชายคลูฟชราทจะไม่ได้เข้าร่วม แต่ถึงอย่างไร มันก็เป็นการดีที่จะมีเส้นสายกับตระกูลดยุคอยู่ ยังไงซะ 6 ดยุคผู้ยิ่งใหญ่ก็มีอำนาจมากมายในราชอาณาจักรศักดิ์สิทธิ์ด้วย – อยู่ด้วยกันกับพวกเขาจะทำให้ตัวเองเด่นขึ้นด้วย ใช่ไหมละ?

 

「นุนูววว…」

 

ทว่า มันยังมีปัญหาอยู่ – อีวา ลูกสาวของตระกูลซิวลิซส์ ผู้ที่โดดเด่นกว่าตัวเธอเองอย่างเห็นได้ชัด

 

「…ดิชั้นจะเด่นกว่าผู้หญิงคนนั้นได้ไงกัน…」

 

「มีอะไรหรือเปล่า มิสชาล็อต?」

 

「มิเนี้ย!?」ชาล็อตส่งเสียงแปลกๆออกมา

 

เป็นมิร่านั่นเอง หนึ่งในเพื่อนอันน้อยนิดกระจิริดที่เธอมี

 

「โอ๊ะ อย่าทำให้ดิชั้นตกใจสิคะ!」

 

「โทษที โทษที」

 

เธอถอนหายใจพร้อมกับมองไปยังมิร่าที่ยิ้มอยู่ มิร่าเริ่มทำตัวตามสบายยิ่งขึ้นที่คุยกัน ยิ่งไปกว่านั้น เธอยังตกหลุมรักมิสอีวาตั้งแต่แรกพบเลยด้วย – ตัวชาล็อตอยากจะเชื่อว่ามันไม่ใช่ความสัมพันธ์แบบนั้น แต่เธอก็เริ่มหมดความมั่นใจลงในตอนที่เห็นท่าทีของมิร่าในตอนที่อยู่ใกล้กับอีวา – ถึงขนาดทำให้ชาล็อตคิดว่าเธอเป็นศัตรูด้วยหรือเปล่าเลย

 

「นี้ ทำไมเธอถึงไม่พยายามขึ้นอีกหน่อยละคะ คุณพ่อของเธอกลับไปที่ดินแดนแล้วใช่ไหมละคะ? ถึงเธอจะอยู่ที่นี่คนเดียวก็ไม่ได้เด่นขึ้นมาหรอกนะคะ!」

 

「โอ๊ะ เธอรู้เรื่องที่ว่าปะป๋าของชั้นกลับไปแล้วงั้นหรอ? ขอบใจสำหรับความเป็นห่วงนะ! แต่ตัวคนเดียวชั้นก็แข็งแกร่งนะ!」

 

「ดิชั้นไม่ได้หมายความว่ายังงั้น! ดิชั้นหมายถึงมันไม่มีสัญลักษณ์อาณาเขตชายแดนที่ชัดเจนไปกว่าตัวคุณเองแล้ว!」

 

「อะฮ่าๆๆ ชั้นจะฝากไปบอกปะป๋าว่าเธอชมละกันนะ」

 

「นั่นไม่ใช่คำชมหรอกนะ」

 

ชาล็อตหงุดหงิดที่คำพูดของเธอส่งไปไม่ถึงมิร่าเลย

 

「…ดูเหมือนอาการช็อกในวันงานพิธีมอบหินสกิลจะหายไปหมดแล้วนะ」

 

ชาล็อตไม่ได้ยินคำพูดนั้นของมิร่าที่เธอพึมพำออกมา

 

เหตุการณที่เกิดขึ้นในงานพิธีมอบหินสกิลนั้นสร้างความตกตะลึงให้กับเด็กที่เข้าร่วม เนื่องจากงานพิธีจะไม่ถูกจัดขึ้นอีกแล้วในปีนี้ เด็กๆก็เลยได้รับหินสกิลจากตระกูลของตนเองแทน

 

มิร่าได้รับ【ต่อสู้ระยะประชิด ★★★★】และชาล็อตนั้นได้รับ【ผมสละสรวย ★★★】สามารถรับรู้ได้ถึงรสนิยมของพ่อแม่พวกเขาได้ชัดเจนเลย【ผมสละสรวย 】นั้นเป็นสกิลหายากที่สั่งมาจากประเทศอื่น – เห็นได้ชัดเลยว่ามาร์ควิสเฟรสเป็นคนโอ๋ลูกมากแค่ไหน ต้องขอบคุณสิ่งนี้ที่ทำให้ผมสีบรอนซ์สตรอว์เบอร์รีทรงสว่านส่องสว่างมากกว่าทุกทีในวันนี้

 

「หืมมม นั่นมัน?」

 

ทั้งสองคนนั้นอยู่ในล็อบบี้ของอาคารประชุมใน “เขตศักดิ์สิทธิ์ที่ 1” เรื่องราวการประชุมนั้นเกี่ยวข้องกับเรื่องที่เกิดขึ้นในงานพิธี และตามข่าวลือ ดูเหมือนจะมีปัญหาเกิดขึ้นใน 6 ดยุคผู้ยิ่งใหญ่ด้วย ดังนั้นเรื่องราวพวกนั้นจะถูกประกาศในวันนี้ ตามปกติเด็กๆไม่ควรจะมาอยู่ที่นี่ ทว่าชาล็อตกับเด็กคนอื่นๆนั้นเป็นผู้เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์โดยตรงด้วย พวกเขาจึงถูกเรียกตัวมาเช่นกัน

 

ชาล็อตสังเกตเห็นอีวาผู้เป็นลูกสาวของตระกูลซิวลิซส์ยืนอยู่ในเงาของเสาหินสุดทางเดินของอาคารประชุม บางทีคงจะอยู่กับหัวหน้าตระกูล วิกเตอร์

 

「อ๊ะ นั่นท่านอีวานี้นา ไปคุยกับเธอกันเถอะ」

 

「เงียบก่อนค่ะ ไปกันอย่างเงียบๆดีกว่าค่ะ」

 

「เอ๊ะ… เธออยากจะแอบฟังหรอ?」

 

「นี้ พูดจาระวังหน่อยค่ะ พวกเราแค่บังเอิญเดินไม่มีเสียง และบังเอิญไปได้ยินอะไรเข้าเท่านั้นเองค่ะ」

 

「นั่นมันก็แอบฟังนี้นา…」

 

โชคดีที่คนคุ้มกันของชาล็อตกับมิร่ากำลังติดพันบทสนทนาของตนเองอยู่ พวกคนคุ้มกันนั้นเข้ากันได้ดีมากเลย คนคุ้มกันของชาล็อตนั้นถูกจ้างมาเพราะหน้าตาดีก็จริง แต่เนื่องจากเขาเป็นคนคุยเก่ง คนคุ้มกันคนอื่นๆจึงกำลังหัวเราะ “บุฮ่าๆๆ!” ให้กับเรื่องเล่าของเขา

 

ขณะที่พวกเธอเข้าใกล้อีวา พวกเธอก็เริ่มได้ยินบทสนทนา

 

「ท่านพ่อคะ งั้น คำอธิบายเกี่ยวกับ “เด็กแห่งหายนะ” เมื่อหลายร้อยปีก่อน… ก็คือ “ผมสีดำกับตาสีดำ” ใช่ไหมคะ?」

 

「อืม ในอดีตบางประเทศถึงขนาดถูกลบหายไปเลย…」

 

「หนูเข้าใจแล้วค่ะ ขอบคุณมากเลยค่ะ」

 

「พ่อจะยังสืบค้นต่อไปนะ โอเคไหม?」

 

「ค่ะ แน่นอนค่ะ —อะร่า?」

 

อีวาสังเกตเห็นชาล็อตกับมิร่าและยิ้มออกมาอย่างอ่อนโยน

 

「!!」

 

เป็นรอยยิ้มที่ถึงขนาดทำให้หัวใจของชาล็อตเต้นไม่เป็นจังหวะเลย และไม่ต้องพูดถึง มิร่าตกอยู่ในภวังค์และคลังคำศัพท์ของเธอก็ลดเหลือเด็ก 1 ขวบจนพูดออกมาได้แค่ว่า “นะ-น่า, นะ-น่า, น่ารัก… นะ-น่า…”

 

(อะ-อะ-อะ-อะไรกันเนี้ย~~~~~?! อยู่ๆก็ดูเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมาซะง้านอะ~~~~! นะ-นี้เธอเจอคนรักแล้วงั้นหรอ…!? ไม่งั้น ไม่มีทางดูเป็นผู้ใหญ่ในทันทีแบบนี้หรอก!!)

 

อีวาบอกลาพ่อของเธอแล้วเดินมาทางทั้งคู่ แต่เอิร์ลซิวลิซส์กลับจากไปอย่างไม่เต็มใจ นี้เองก็เป็นจุดที่ชาล็อตอิจฉาเหมือนกันที่อีวานั้นทำงานแล้ว (ดูจะเป็นแบบนั้นนะ) แถมยังมีพ่อที่หล่อขนาดนั้นด้วย

 

「อรุณสวัสดิ์ค่ะ ท่านอีวา」

 

「อรุณสวัสดิ์ค่ะ ท่านชาล็อต ท่านมิร่า」

 

「นะ-น่า……」

 

「แล้วก็นะคะ ท่านอีวา…」

 

มิร่าทำตัวแบบนี้นั้นถือเป็นเรื่องปกติ ดังนั้นทั้งสองคนจึงพูดคุยกันต่ออย่างลื่นไหล

 

「บรรยากาศของคุณเปลี่ยนไปนะคะเนี้ย?」

 

「หืมม? …เป็นอย่างนั้นหรือคะ?」

 

「เป็นไปได้หรือเปล่าคะว่าคุณเจอคนรักแล้วน่ะค่ะ!?」

 

ชาล็อตตัดสินใจที่จะถามตรงๆและพยายามทำให้อีวาเขินอายสักครั้ง—ทว่าในทางกลับกัน อีวายังคงเก็บท่าทางและทำเพียงแค่ยิ้มอย่างเศร้าๆเล็กน้อย

 

「…ชั้นเองก็หวังว่าจะเป็นแบบนั้นค่ะ ทว่าตัวชั้นยังไม่คู่ควรพอที่จะยืนอยู่ข้างๆคนๆนั้นค่ะ」

 

มันแทบจะเหมือนกับการยืนยันแล้วว่าเธอมีคนที่ชอบ ทว่าความจริงที่อีวาพูดว่าตัวเธอ “ไม่คู่ควร” นั้นทำให้ชาล็อตตกตะลึง

 

จากนั้น เสียงระฆังก็ได้ดังขึ้น

 

『—ถึงทุกท่าน ประกาศจากฝ่าบาทราชันศักดิ์สิทธิ์จะเริ่มขึ้นแล้ว ขอให้ทุกท่านโปรดเข้ามาข้างใน』

 

นักบวชจำนวนหนึ่งปรากฏตัวขึ้นและนำทางเหล่าขุนนางเข้าไปข้างในขณะที่สั่นกระดิ่งไปด้วย

 

「อาร่า ดูเหมือนจะถึงเวลาแล้วนะคะ พวกเราไปกันเลยไหมคะ?」

 

「อา คะ-ค่ะ… โอ๊ะ ท่านอีวาคะ」

 

ชาล็อตรู้ตัวเป็นครั้งแรกว่าคนคุ้มกันของอีวาเป็นคุณลุงกล้าม – กัปตันแม็กซิม

 

「ดูเหมือนคนคุ้มกันของคุณจะเปลี่ยนไปนะคะ」

 

ได้ยินแบบนั้น อีวาก็ตอบกลับพร้อมกับรอยยิ้มร่าเริงว่า

 

「ค่ะ– สำหรับตอนนี้」

 

ในวันนี้ คำอธิบายที่ประกาศโดยราชันศักดิ์สิทธิ์สร้างความฮือฮาไม่ใช่แค่กับเหล่าขุนนาง แต่รวมไปถึงทั้งราชอาณาจักรศักดิ์สิทธิ์เลย

 

ภาระผูกพันแห่งราชวงศ์ศักดิ์สิทธิ์—เรื่องราวของการเป็นเครื่องสังเวยได้ถูกเปิดเผยออกมา

 

ถัดไปก็คือเรื่องที่ราชันศักดิ์สิทธิ์องศ์ปัจจุบันจะสละราชบัลลังก์แล้วเรียกตัวเองว่าดยุคเก็นจิโอ้นับจากนี้ไป องค์หญิงศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่ 1 จะเป็นผู้สืบทอดราชบันลังก์ราชันศักดิ์สิทธิ์องศ์ต่อไป และองค์ชายศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่ 1 จะรักษาสิทธิ์ในการสืบราชบัลลังก์และดำรงตำแหน่งต่อไปด้วยฉายา “องค์ชายศักดิ์สิทธิ์” จนกว่าองค์หญิงศักดิ์สิทธิ์จะมีบุตร

 

สุดท้ายนี้ก็คือเรื่องการตัดสินใจยุบตระกูลดยุคริเวียร์ 1 ใน 6 ดยุคผู้ยิ่งใหญ่ อย่างไรก็ตาม ดินแดนของพวกเขานั้นกว้างขวางมากจนต้องอยู่ในการควบคุมของราชวงศ์ศักดิ์สิทธิ์เป็นการชั่วคราว ทว่ามันก็จะถูกส่งต่อให้กับขุนนางไร้ดินแดนอยู่ดี เหตุผลที่ทำไมดยุคริเวียร์ถึงถูก “ยกเลิกตระกูลดยุค” นั้นถูกประกาศออกมา แต่ไม่มีขุนนางคนไหนยอมรับมันง่ายๆ ผู้คนของตระกูลริเวียร์จะกลายเป็นประชาชนธรรมดา เนื่องจากตระกูลริเวียร์นั้นเป็นผู้ชุบชีวิตอุตสาหกรรมการเดินเรือ พวกเขาจึงได้รับอนุญาตให้ทำธุรกิจเดิมต่อไปได้ อย่างไรก็ตาม เนื่องจากการแต่งงานของลูกสาวตระกูลริเวียร์กับเจ้าชายศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่ 3 ที่อายุครบ 10 ปีแล้วถูกยกเลิกไป ขุนนางหลายตระกูลเมื่อเห็นโอกาสก็เริ่มแนะนำตัวเองให้กับราชวงศ์ศักดิ์สิทธิ์

 

คนแรกก็คือตัวชาล็อต เฟรสเอง ทว่ามันก็ยังไม่แน่นอนว่าความรัก(?)ครั้งนี้จะสมหวังหรือไม่

 

■ เรย์จิ(หลังจบบทที่ 2)

 

ผมสีดำตาสีดำ|14 ปี|เผ่ามนุษย์|เพศชาย

 

【World Ruler ★★★★★★★★★★】

 

สกิลที่เรียนรู้:

 

《ประเภทกายภาพ: หินสกิลสีแดง》

 

-[เสริมความแข็งแกร่ง ★] [เสริมกล้ามเนื้อหลัง ★] [เสื้อกล้ามเนื้อหน้าท้อง ★] [เสริมกำลังขา ★] [เสริมแรงบีบ ★] [เสริมความยืดหยุ่น★] [เสริมระเบิดพลัง ★] [เสริมสเตมิน่า ★] -[เสริมภูมิคุ้มกัน ★★] -[เสริมร่างกาย ★★★]

 

《ประเภททักษะ: หินสกิลสีเขียว》

 

-[ความคล่องแคล่ว ★] -[ทักษะดาบ ★★] [ทักษะหอก ★★] [ทักษะขวาน ★★] [ทักษะธนู ★★] [ทักษะดาบสั้น ★★] [ต่อสู้ระยะประชิด ★★] [ทักษะการเตะ ★★] [ทักษะโล่ ★★] [ทักษะโล่ใหญ่ ★★] [ทักษะการวิ่ง ★★] [ทักษะการกระโดด ★★] [ทักษะแข็งตัว ★★] [ทักษะดาบใหญ่ ★★] [ทักษะดาบการชก ★★] [ทักษะการการวิวาท ★★] -[ทักษะการยิงจากมุมสูง ★★★] [ทักษะการรำดาบ ★★★] -[ทักษะหอกมังกร ★★★★]

 

《ประเภทการรับรู้: หินสกิลสีเหลือง》

 

-[เสริมการมองเห็น ★] [เสริมการได้ยิน ★] [เสริมการรับกลิ่น ★]

 

-[Night Vision ★★]

 

《ประเภทเวทมนตร์: หินสกิลสีฟ้า》

 

-[เสริมเวทมนตร์ ★] [เสริมความถนัดเวทมนตร์ ★] -[เวทย์น้ำ ★★] [เวทย์ลม ★★] [เวทย์ดิน ★★] [เวทย์บุบผา ★★] [เวทย์ไฟฟ้า ★★] [เวทย์มืด ★★] [เวทย์แสง ★★] [เพิ่มปริมาณมานา ★★]

 

-[เวทย์ไฟ ★★★★] [ควบคุมมานา ★★★★]

 

《ประเภทลึกลับ: หินสกิลสีขาว》

 

-[ทักษะการสวดภาวนา ★]

 

-[เวทย์รักษา ★★] [เวทย์ซัพพอร์ต ★★]

 

《ประเภทความรู้: หินสกิลสีม่วง》

 

* แทบทั้งหมดในประเภทนี้อย่าง [ความทรงจำสมบูรณ์แบบ] นั้นด้อยกว่า【World Ruler】ดังนั้นจึงไม่มีสกิลที่เรียนรู้มา

 

《หินสกิลเสริมความแข็งแกร่ง: หินสกิลสีดำ (หายากมากๆ)》

 

-[ถอนหินสกิล ★★★★]

 

《ประเภทยูนีค: หินสกิลสีรุ้ง》

 

-[สะดวกสบาย ★]

 

========================================================

TL: จบบทที่ 2 แล้วครับผม ENG ยังมีอีก 3 บท //ตายแปป

 

 

บทที่ 2 บทส่งท้าย 1

 

* พระราชวังศักดิ์สิทธิ์ *

 

หลังจากที่ได้ฟังรายงาน ราชันศักดิ์สิทธิ์ก็กอดอกแล้วแหงนหน้ามองฟ้า

 

ถึงจะเป็นโถงเข้าเฝ้าในพระราชวัง แต่แทนที่จะเป็นบรรยากาศห้องแบบ “ทางการ” กลับเป็นห้องที่มีโต๊ะกลมวางอยู่ตรงกลางแบบเดียวกับห้องรับรองซะงั้น บรรยากาศแบบ “ทางการ” อะไรนั่นเห็นได้แทบทุกที่ใน “เขตศักดิ์สิทธิ์ที่ 1” อยู่แล้ว ยังไงซะก็มีแค่คนจากราชอาณาจักรศักดิ์สิทธิ์เท่านั้นแหล่ะที่จะสามารถเข้ามาในที่นี่ได้

 

ยิ่งสำหรับราชันศักดิ์สิทธิ์แล้ว ตอนนี้มีเพียงแค่เจ้าชายศักดิ์สิทธิ์คลูฟชราทกับเอิร์ลชายแดนมิวล์เท่านั้นที่อยู่ในโถงนี้ เอิร์ลชายแดนยังคงสวมหนังหมีสีเทาตามปกติ

 

「แล้วทำไมกัน…? ชายคนนั้นช่วยพวกเราจากคนกลาง, หยุดเหตุการณ์ที่คนจำนวนมากอาจตายได้, แถมยังเป็นคนจัดการงูยักษ์ให้ด้วย… จากทั้งหมดทั้งมวลพวกนั้นก็คิดที่จะจับเขาแล้วฆ่าทิ้งเนี้ยนะ?! เพียงแค่เพราะผมสีดำตาสีดำเนี้ยนะ?! ยิ่งไปกว่านั้น พวกนั้นยังถูกจัดการซะเองอีก?! แล้วเจ้าก็ทำเพียงแค่มองส่งเขาออกไปจากเมืองศักดิ์สิทธิ์โดยที่ไม่ทำอะไรเลยด้วย!?」

 

「ใช่แล้ว」

 

หมีเทาตอบกลับโดยที่ไม่ได้สนในเสียงอันโกรธเกี้ยวของราชันศักดิ์สิทธิ์เลย

 

「ไอ้เจ้าโง่เอเบนมันคิดอะไรอยู่!! ยิ่งไปกว่านั้น ไอ้พวกภาคีอัศวินด้วย!! ถึงจะเป็นการสื่อสารที่ผิดพลาดก็เถอะ แต่พวกนั้นกลับประกาศต่อสาธารณะว่าเป็นคนจัดการงูนั่นเองเนี้ยนะ!?」

 

「ความต้องการชื่อเสียงและผลกำไร บวกกับความไม่อยากยอมแพ้ต่อกิลด์นักผจญภัย พวกนั้นก็เลยยังดื้อด้านให้ผลลัพธ์เป็นแบบนี้เพราะไม่มีใครรู้ความจริง… พวกนั้นเหมือนกับขุนนางมากกว่าอัศวินซะอีก เป็นแบบเดียวกับคำพูดของพวกขุนนางเป๊ะเลย “ก็แค่พลาดไปหน่อยครับ”, “ไม่ได้รายงานข้อมูลเท็จนี้ครับ”, “ทุกอย่างก็เพื่อประเทศนี้นะครับ”, ฯลฯ」

 

「เอิร์ลชายแดน! ข้าไม่ได้ต้องการความเห็นถากถางหรอกนะ!」

 

「ไม่ใช่ถากถางซะหน่อยนี้ มันเป็นความจริงต่างหาก」

 

「งั้นก็หุบปากความจริงโง่ๆนั่นซะที! มันไม่มีความหมายอะไรแล้ว!」

 

「ทะ-ท่านพ่อครับ… ใจเย็นๆก่อนนะครับ」

 

เมื่อคลูฟชราทพูดแทรก ราชันศักดิ์สิทธิ์ก็ดูจะใจเย็นลงเล็กน้อยแล้วดื่มน้ำ 1 แก้ว

 

「อ้า บ้าเอ้ย… นี้ไม่ใช่เวลามาตรวจสอบตระกูลริเวียร์แล้ว」

 

「หืมมม… เรื่องนั้นเป็นยังไงมั้งหล่ะ?」

 

「…ไปได้ไม่สวยเลย ดยุคเอเบนหนุนหลังดยุคริเวียร์เต็มที่ เขาไม่ยอมรับหลักฐานที่เอิร์ลซิวลิซส์เอามา」

 

「มันคงยากที่จะใช้ “เนตรเวทมนตร์แห่งการสืบสวน” ของเอิร์ลซิวลิซส์เป็นหลักฐานละนะ」

 

「ใช่แล้ว ยิ่งไปกว่านั้น คนคุ้มกันคนนั้น… เรย์จิละมั้งคิดว่า เรื่องที่เขาอยู่กับเอิร์ลซิวลิซส์ยิ่งทำให้ปัญหามันยุ่งยากขึ้นไปอีกหน่ะสิ แต่เอาเถอะ มันก็ขึ้นอยู่กับเวลาแล้ว เขาแค่กำลังหาจุดประนีประนอมอยู่」

 

「จุดประนีประนอม?」

 

「ใช่… ถึงดยุคเอเบนจะรู้ว่าเขาไม่สามารถปกป้องดยุคริเวียร์ได้เนื่องจากเรื่องมันแดงออกมาหมดแล้ว แต่ยังไงก็ตาม ถ้าปล่อยมันเอาไว้ละก็ เอิร์ลซิวลิซส์ก็จะได้รับชื่อเสียงในสังคม และก็จะสามารถเริ่มข่าวลือเสียๆหายๆอย่างเช่น “ดยุคเอเบนพยายามสังหารวีรบุรุษ” ได้ นั่นถึงเป็นเหตุผลว่าทำเขาถึงพยายามลดความชอบธรรมทางกฏหมายของเอิร์ลซิวลิซส์เท่าที่เขาจะทำได้อยู่」

 

「…………」

 

เอิร์ลชายแดนนั้นคิดว่านั่นเป็น “ข้อเท็จจริง” มากกว่า “ข่าวลือเสียๆหายๆ” แต่ในสังคมขุนนางนั้น “ข้อเท็จจริง” ไม่ได้เท่ากับ “ความจริง” เสมอไป

 

「ยิ่งไปกว่านั้น เขายังวิจารย์ดยุคลูซิเอลว่าถ้านักบุญดาบออกัสตินแห่งตระกูลลูซิเอลอยู่ที่นี่ด้วยละก็ ความเสียหายก็คงจะน้อยกว่านี้」

 

「ดยุคเอเบนกับดยุคลูซิเอลไม่ได้เห็นมันกับตานี้นะ… ถ้างั้น ฝ่าบาท ข้าคงต้องขอตัวก่อน」

 

「หืมมม… เจ้ากำลังจะกลับไปที่ดินแดนของเจ้าสินะ หา ข้าต้องขอขอบคุณความภักดีที่ไม่เปลี่ยนแปลงของเจ้าด้วยนะ เอิร์ลชายแดนมิลว์」

 

「อืม」

 

「ข้าจะไม่มีวันลืมเสียงตะโกนของเจ้าในครั้งนั้นเลย」

 

「…เจ้าบ้าเอ้ย」เอิร์ลชายแดนพูดด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแบบโหดๆก่อนจะออกไปจากห้อง

 

「ฝ่าบาทครับ “เสียงตะโกน” นั่นคืออะไรหรือครับ…?」เจ้าชายคลูฟชราทถามขึ้น

 

「…เจ้าเองก็ควรมีเพื่อนนะ เพื่อนที่เจ้าจะสามารถพึ่งพาและฝากฝังทุกอย่างให้ได้หน่ะ」

 

มันแทบจะเหมือนกับว่าเขากำลังบอกเรื่องนี้กับตัวเองอยู่

 

มีปัญหามากมายกำลังรอราชันศักดิ์สิทธิ์อยู่ต่อจากนี้ไป โดยเฉพาะการอธิบายให้ขุนนางถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในงานพิธีมอบหินสกิล—ซึ่งสุดท้าย เขาก็เตรียมตัวเอาไว้แล้วว่าจะอธิบายตามความจริงไป

 

เนื่องจากนี้มันยังคาบเกี่ยวกับเรื่องการยุบตระกูลริเวียร์ที่เป็น 1 ใน 6 ดยุคผู้ยิ่งใหญ่ด้วย ความวุ่นวายอย่างใหญ่หลวงก็คงเป็นสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้

 

「คลูฟชราท เจ้าคิดยังไงกับพี่ชายและพี่สาวของเจ้ากัน?」

 

「ทั้งคู่เป็นคนที่ยอดเยี่ยมมากครับ ผมมั่นใจว่าท่านพี่จะต้องได้กลายเป็นราชันศักดิ์สิทธิ์คนถัดไปและครองราชย์อย่างสง่างาม– โอ๊ะ ไม่ครับ ผมไม่ได้หมายความว่าท่านพ่อ– ผมหมายถึง ฝ่าบาทจะครองราชย์ไม่สง่างามหรอกนะครับ!」

 

「ข้ารู้」

 

ราชันศักดิ์สิทธิ์หลับตาลงแล้วลูบหัวของคลูฟชราท

 

ความรู้สึกของเขาในฐานะพ่อคนทำให้เขาตัดสินในผิดพลาด ส่งผลให้เกิดความโกลาหลขึ้น

 

ถึงยังงั้น เขาก็ยังคงไม่สามารถละทิ้งตัวเองในฐานะพ่ออยู่ดี

 

「…เอาละตอนนี้ ข้ายังมีงานในฐานะราชันศักดิ์สิทธิ์ที่ต้องทำอยู่ ข้าคงต้องไปแล้ว」

 

「ครับ รักษาตัวด้วยนะครับ ฝ่าบาท」

 

ราชันศักดิ์สิทธิ์ยืนขึ้นก่อนจะก้าวออกจากโถงเข้าเฝ้า คลูฟชราททำการก้มหัวของเขา

 

「…………」

 

สีหน้าของคลูฟชราทในตอนที่เขาเงยหน้าขึ้นมานั้นมืดมน

 

เขาเองก็รู้ดี ว่าเขาถูกช่วยเอาไว้โดยการสังเวยชึวิตของหลุยส์ – เด็กชายที่สามารถเรียกว่าเพื่อนได้

 

เขาไม่เข้ารู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น และในตอนที่เขารับรู้ทุกอย่างมันก็สายเกินไปแล้ว ขณะที่เขาหวาดกลัวเมื่อคิดว่าเขาอาจจะตายก็ได้ เขาก็ยังคงรู้สึกผิดที่รอดมาได้ด้วยความตายของคนอื่น

 

เขาคิดว่าถ้าความตายนั้นเป็นหน้าที่ของราชวงศ์ศักดิ์สิทธิ์ มันก็ควรจะเป็นไปตามนั้น

 

「สงสัยจังว่ามิสอีวาจะทำอะไรอยู่นะ…」

 

คลูฟชราทนึกถึงเด็กสาวผู้งดงามในตอนนั้น ลูกสาวของเอิร์ลซิวลิซส์ผู้ซึ่งเป็นมือขวาของพ่อของเขา เด็กสาวผู้ซึ่งถูกคุ้มกันโดย “วีรบุรุษ” ที่หยุดหายนะครั้งใหญ่เอาไว้

 

ตอนงานพิธีนั้นเธอดูไม่ค่อยดี ทว่า–

 

「…………」

 

คลูฟชราทส่ายหัว เขารู้ว่าเขานั้นหลงใหลเธอ แต่เขาไม่ได้อยู่ในจุดที่จะทำแบบนั้นได้

 

(ความจริงก็คือ ผมควรจะตายไปแล้ว)

 

ถ้างั้น

 

「ผมจะทุ่มเททั้งชีวิตเพื่อประเทศนี้…」

 

เหตุการณ์ในครั้งนี้ได้สร้างเงามืดให้กับพระราชวังศักดิ์สิทธิ์ จนถึงจุดที่เด็กชายอายุเพียง 12 ปีจะต้องแบบรับความโศกเศร้าเหล่านี้เอาไว้

 

 

 

บทที่ 2 ตอนที่ 57

 

ผมบังเอิญพบเข้ากับดันเต้ซังที่กำลังออกมาซื้ออาหารเช้าเข้าในตอนที่ผมมาถึงโรงแรมกระบองเพชรสีเงิน

 

「เฮ้ นายมาเร็วกว่าที่คิดนะเนี้ย หืมม คนๆนั้นคือ…」

 

ขณะที่รู้สึกโล่งใจเพราะดันเต้ซังทำตัวเหมือนกับเมื่อก่อน ผมก็แนะนำตัวให้กับเซอรี่ซัง

 

「นี้คือเซอรี่ซังครับ เธอเป็นมนุษย์สัตว์ที่อยู่ในกองทหารรับจ้างเขี้ยวทมิฬเดียวกับไรเครียซังครับ และเธอก็เป็นคนช่วยพาผมหนีออกมาจากสหพันธ์คีทแกรนด้วยครับ」

 

「ยินดีที่ได้รู้จักน้า」เซอรี่ซังพูด

 

「ไรเครีย…」

 

ดันเต้ซังจมอยู่ในความคิดแปปหนึ่งก่อนจะยิ้มตอบกลับมา

 

「พวกเราควรกลับไปที่โรงแรมกันก่อนดีไหม? ทั้งมิมิโนะกับน็อนจะต้องตกใจแน่ๆ พวกเธอคิดว่านายจะต้องมาหาในอีก 5 หรือ 10 เป็นอย่างน้อยเลยนะ」

 

「คือ เมื่อวานผมก็มานะครับ…」

 

「ใช่ แต่ว่าน็อนพูดว่ามันเป็นไปไม่ได้ที่นายจะออกมาในช่วงเวลานี้หน่ะ」

 

งั้นหรอ… น็อนซังคงคิดว่าผมเลือกที่จะทำงานให้กับเอิร์ลซินะ

 

จากนั้นพวกเราก็เข้าไปในโรงแรมและตรงไปยังห้องที่ซิวเวอร์บาลานซ์อยู่ ดูเหมือนดันเต้ซังกับพวกผู้หญิงจะนอนคนละห้องกันนะ ผมก็สงสัยว่าทำไมถึงไม่นอนห้องเดียวกัน แต่ก็ถูกบอกมาว่า “เจ้าของโรงแรมไม่ชอบความคิดนั้น…” ด้วยน้ำเสียงเหงาๆ ดังนั้นผมจึงรู้ได้ทันทีว่ามันไม่ใช่หัวข้อที่ผมควรขุดคุ้ยไปมากกว่านี้แล้ว

 

ดันเต้ซังยกนิ้วชี้มาที่ริมฝีปากของเขาแล้ว “ชู่ววว…” เบาๆพร้อมกับขยิบตาให้ผม และเคาะไปที่ห้องของสาวๆ

 

「–ใครหน่ะ?」

 

「ข้าเอง เปิดหน่อยสิ」

 

「คุณพ่อ? นี้ยังเช้าอยู่เลยนะคะ?」

 

เมื่อประตูที่แง้มออกมาเล็กน้อย ดันเต้ซังก็รีบชะโงกหน้าเข้าไปในห้องทันทีพร้อมกับหยุดไม่ให้ประตูเปิดไปมากกว่านี้

 

「คือว่า ข้ายังช้อปปิ้งไม่เสร็จหรอก… แต่ลองเดาดูสิว่าข้าเจอใครระหว่างทาง?」

 

ผมสัมผัสได้ว่าทั้งมิมิโนะซังกับน็อนซังกำลังถอนหาใจตอบกลับคำพูดติดตลกของเขา

 

「คุณพ่อ… หนูจะโกรธจริงๆนะคะถ้าพ่อพา “เพื่อนดื่ม” มาเหมือนเมื่อเดือนที่แล้วแบบนั้น」

 

「—ห้ามดื่มไป 1 เดือมเต็มเลยด้วย」มิมิโนะซังพูด

 

ดันเต้ซัง คุณไปทำอะไรมากันแน่เนี้ย…

 

「เธอเป็นคนรักษาเขาเองไม่ใช่หรอ หนุ่มน้อย? ตอนนี้พอเขาหายดีก็เริ่มหยอกล้อกับพวกผู้หญิงซะแล้ว ให้ตายสิ คนแบบนี้นี้ใช้ไม่ได้เอาซะเลย…」

 

อย่างคุณนี้พูดได้หรอครับ เซอรี่ซัง? คนที่เมาหัวทิ่มอยู่ตรงมุมถนนแบบนั้นหน่ะ…

 

「คะ-ครั้งนี้ข้าไม่ได้ล้อเล่นนะ เป็นสหายของพวกเราจริงๆ– อุ๊ก!!」

 

ดันเต้ซังถูกพลักออกไปแล้วประตูก็เปิดออก

 

「「เรย์จิคุง!?」」

 

มิมิโนะซังกับน็อนซังก็ได้โพล่ออกมา

 

「เธอมาจริงๆด้วย! โอ้ ตายแล้ว นั่นเสื้อที่ชั้นถักให้เธอนี้!」มิมิโนะซังพูด

 

「นะ-นี้ เรย์จิคุง เธอลาออกจากงานของตระกูลเอิร์ลแล้วหรอ?」

 

「ครับ」

 

ทั้งสองคนลูบหัวผมอย่างมีความสุขไปสักพัก

 

ผมยิ้มออกมา ก็ช่วยไม่ได้นี้ เห็นทั้งสองคนแบบนี้ผมก็อดที่จะยิ้มออกมาไม่ได้

 

「หลังจากนี้จะมีปัญหาตามมาอีกแล้วละครับ」ผมพูด

 

หลังจากนั้น พวกเราก็ออกมาจากโรงแรมเป็นการชั่วคราว, ซื้ออาหารกลางวันจากร้านแผงลอยข้างทาง แล้วนั่งคุยไปกินไปที่ม้านั่งสาธารณะ

 

ผมเล่าสถานการณ์ของผมให้พวกเขาฟังทุกอย่าง—ถึงจะยกเว้นเรื่องสัญญาของผมกับคุณหนูก็เถอะ—เล่ายาวเป็นชั่วโมงเลย

 

「…นายลำบากมามากเลยสินะ หา…」ดันเต้ซังพูดด้วยสีหน้าจริงจัง

 

「ก็ครับ แต่มันก็มีเรื่องดีๆอยู่เหมือนกันนะครับ」

 

「นี้ไม่ใช่แค่ลำบากแล้ว นี้มันโหดร้ายเกินไปแล้วต่างหาก! ขุนนางในประเทศนี้เป็นพวกปัญญาอ่อนที่ตอบแทนคนอื่นด้วย– อู้!」

 

「จ้าๆ มิมิโนะซัง พวกเราเข้าใจแล้ว เงียบๆหน่อยสิจ๊ะ~ วิจารย์ขุนนางในที่สาธารณะแบบนี้จะพามาแต่ปัญหานะจ๊ะ~」

 

ทำดีมากครับ น็อนซัง!

 

「งั้น ข้าคิดว่าพวกเราควรจะออกไปจากเมืองศักดิ์สิทธิ์กันวันนี้เลย อยู่นานไปกว่านี้ก็น่าจะไม่ดีแน่」

 

「เอ๋… แต่คุณพ่อคะ พวกเรายังมีคำขอจากกิลด์ที่ยังไม่เสร็จอยู่เลยนะคะ」

 

「ยกเลิกให้หมด」

 

「…ฮึมมม」

 

เป็นไปได้ด้วยหรอที่จะยกเลิกคำขอจากกิลด์นักผจญภัยหน่ะ? เมื่อผมมองไปที่เซอรี่ซัง

 

「พวกนายคือ “ซิวเวอร์บาลานซ์” ที่เป็นปาร์ตี้แรงค์ทองใช่ไหม?」เซอรี่ซังถามขึ้น

 

「ใช่」ดันเต้ซังตอบ

 

「ถ้างั้น บทลงโทษในการยกเลิกคำขอจะไม่สูงไปหน่อยหรอ?」

 

เอ๊ะ จริงดิ!? …ไม่สิ ก่อนหน้านั้น!

 

「แรงค์ทอง!?」

 

「โอ๊ะ จริงสิ ข้ายังไม่ได้บอกนายสินะ เรย์จิ แต่จริงๆแล้วข้าได้เลื่อนแรงค์… ถึงมันจะล่วงหลังจากบทลงโทษนี้ก็เถอะ แต่ช่างมันสิ」

 

「ไม่นะ…」

 

「ยังไงซะ ข้าก็จะถูกลงโทษจากที่ก่อเรื่องขึ้นที่กิลด์เมื่อวานอยู่แล้ว」

 

ไปทำอะไรมากันแน่ครับเนี้ย ดันเต้ซัง… เป็นตอนที่น็อนซังบอกว่าดันเต้ซังกับมิมิโนะซังไปที่กิลด์เพื่อสั่งสอนยังงั้นหรอ!?

 

「แล้วก็ข้าสามารถชนะพวกที่อยู่ต่ำกว่าแรงค์เงินในกิลด์ได้ด้วยนะ แต่ก็อาจจะเสมอกับพวกแรงค์ทองอยู่! ไม่สิ มีพวกแรงค์ทองที่ค่อนข้างเก่งอยู่ในเมืองนี้ด้วยนี้นะ!」

 

「ดันเต้ซัง… นี้คุณกลายเป็นพวกสมองกล้ามไปแล้วหรอครับเนี้ย?」

 

「ใช่แล้วละ เรย์จิคุงต้องรับผิดชอบที่ทำให้คุณพ่อกลายเป็นแบบนี้ด้วยนะ」

 

「ผมหรอ!?」

 

「ใช่แล้ว ความผิดเรย์จิคุงเลย」

 

「ขนาดมิมิโนะซังก็ยังพูดแบบนั้น!?」

 

ถึงจะนอกเรื่องไปบ้าง แต่ทุกคนก็ดูจะเห็นตรงกันว่าจะยกเลิกคำขอของกิลด์

 

「ขอบคุณครับ แต่ผมเองก็ต้องขอโทษด้วยจริงๆนะครับ」

 

「ไม่เป็นไรหรอก เรย์จิคุงอุตส่าห์กลับมาเข้าร่วมซิวเวอร์บาลานซ์ทั้งที!」มิมิโนะซังพูด

 

ผมสงสัยจังว่ามันจะไม่เป็นไรจริงๆหรอที่ผมจะทำแบบนี้

 

การต้อนรับอย่างอบอุ่นเป็นกันเองแบบนี้ทำให้ผมทั้งรู้สึกแย่และดีใจในเวลาเดียวกันเลย

 

ขณะที่ผมกำลังครุ่นคิดอยู่นั้น

 

「แล้วก็นะ เธอคือเซอรี่ซัง ผู้ที่ถูกเรียกว่า “สปายแคท (Spy Cat)” สินะ?」

 

「เอ๋!?」

 

ซะ-เซอรี่ซังมีชื่อเล่นอย่างนั้นหรอ…!?

 

「นุฟุฟุฟุ หนุ่มน้อย ตกใจใช่ไหมล้า? ใช่แล้วละ เค้ามีชื่อเล่นด้วยนะ」

 

「ฟังดูเห่ยชะมัด!」

 

「หว่ะ!?」เซอรี่ซังช็อค

 

แต่ว่า “สปายแคท” งั้นหรอ? ฟังดูเห่ยจริงๆนั่นแหล่ะ ฟังดูเหมือนกับชื่อเล่นที่ตั้งให้แมวในคาเฟ่แมวเลย แบบประเภทมาสคอตชัดๆ

 

「ยะ-ยังไงก็เถอะ… เค้าเองก็เห็นด้วยที่หนุ่มน้อยควรจะออกไปจากเมืองศักดิ์สิทธิ์ให้เร็วที่สุดที่จะเป็นไปได้นะ…」

 

เซอรี่ซัง อย่าง่อยไปเลยครับ ต่อให้ไม่มีชื่อเล่น ผมก็รู้ถึงความสามารถของคุณดีครับ และก็เรื่องที่คุณแย่เกินเยียวยาแล้วด้วย

 

「เมื่อตกลงกันได้แล้วละก็ พวกก็ควรเตรียมตัวกันเดี๋ยวนี้เลย」

 

ถึงแผนของพวกเขาจะเปลี่ยนกระทันหันเพราะผม ดันเต้ซังก็ยังพูดออกมาด้วยน้ำเสียงสดใสเพื่อไม่ทำให้ผมรู้สึกผิด

 

「เรย์จิ อย่าทำหน้าแบบนั้นเลย ข้าโคตรจะมีความสุขเลยตอนนี้ ร่างกายของข้าแข็งแรงดี และข้าเองก็สามารถออกเดินไปกับลูกสาวคนเดียวของข้า, สหายที่อยู่ด้วยกันมานานของข้า, และก็คนที่ช่วยชีวิตข้าได้ด้วย ไม่มีอะไรที่ข้าหวังไปมากกว่านี้แล้วละ」

 

「…ดันเต้ซัง」

 

บางทีอาจจะเป็นเพราะไม่ได้นอนก็ได้ แต่ผมรู้สึกอย่างกับจะร้องไห้ออกมาเลย

 

ความใจดีของผู้คนมากมายได้ช่วยชีวิตผมเอาไว้หลายครั้งแล้ว และกว่าครึ่งก็มาจากสมาชิกของซิวเวอร์บาลานซ์นี้

 

ผมจะสามารถตอบแทนพวกเขาแม้จะเพียงน้อยนิดได้ไหมนะ?

 

ถึงผมจะรักษาคำสาปไปแล้ว แต่ผมก็ยังไม่ได้ตอบแทนอะไรมิมิโนะซังเลย

 

ผมอยากจะไปยังจักรวรรดิเวทมนตร์เลฟเพื่อพบลูลูช่าซัง หลังจากนั้นผมก็อยากจะตามหาลาร์ค บางทีเมื่อเสร็จสิ้นทุกอย่างแล้ว ผมก็อาจจะสามารถหาอะไรที่ผมอยากจะทำร่วมกับทุกคนจากซิวเวอร์บาลานซ์ก็ได้

 

「…อ้า แล้วก็เซอรี่ซังเองก็จะติดสอยห้อยตามไปกับเราด้วย จะไม่เป็นไรใช่ไหมครับ?」

 

「โหดร้ายมากเลยนะ หนุ่มน้อย! เค้าจะตามเธอไปด้วยไม่ว่าเธอจะไปที่หนายยย!」

 

ขณะที่เซอรี่ซังพูดแบบนั้น มิมิโนะซังก็เข้ามาอยู่ข้างๆผม

 

「ชั้นก็ไม่ได้แบ่งแยกอะไรกับมนุษย์สัตว์หรอกนะ แต่ชั้นคิดว่ามนุษย์สัตว์คนนี้จะเป็นตัวอย่างที่ไม่ดีกับเธอนะ เรย์จิคุง เธอไม่ควรจะเลียนแบบคนๆนี้มากเกินไปนะ」

 

「นี้ นั่นมันแบ่งแยกกันชัดๆเลยนะ!?」

 

「ไม่เป็นไรหรอกครับ มิมิโนะซัง กลับกัน ผมต่างหากที่จะต้องสอนอะไรหลายๆอย่างกับคนๆนี้ด้วย」

 

「หนุ่มน้อย!? เค้าเองก็ทำเต็มที่แล้วนะ รู้ไหม้!?」

 

「อย่างการจ่ายหนี้ของตัวเอง」

 

「อุ๊…」

 

ผมหัวเราะให้กับเซอรี่ซังที่ทำท่าราวกับปวดท้องแล้วพยายามที่จะหนี มิมิโนะซังเองก็หัวเราะเหมือนกัน น็อนซังนั้นนิ่งเงียบ ส่วนดันเต้ซังกำลังพึมพำอะไรบางอย่างกับตัวเอง

 

หลังจากนั้นพวกเราก็กลับไปยังโรงแรม, เก็บข้าวเก็บของ, และตรงไปยังกิลด์นักผจญภัย เมื่อพวกเราเข้าไป เหล่านักผจญภัยที่เห็นดันเต้ซังก็หน้าซีดแล้วถอยห่างเขาไปไกลมากเลย… ให้ตายสิ นี้คุณไปทำอะไรเอาไว้กันแน่เนี้ย ดันเต้ซัง…

 

เจ้าหน้าที่กิลด์ถอนหายใจแล้วดำเนิกการยกเลิกคำขอในขณะที่ประกาศการลดขั้นของซิวเวอร์บาลานซ์เป็นแรงค์เงิน อย่างไรก็ตาม ทั้งดันเต้ซัง, มิมิโนะซัง, และน็อนซังก็ไม่มีท่าทีสนใจอะไรทั้งนั้น จากนั้นพวกเราก็รับคำร้องขนส่งจดหมายไปที่จักรวรรดิเวทมนตร์เลฟ – ดูเหมือนว่ามันจะมีกฏข้อห้ามอะไรบางอย่างที่ห้ามไม่ให้เข้าประเทศถ้าไม่มีคำร้องอันนั้น ผมไม่เห็นจะรู้มาก่อนเลย

 

หลังจากออกมาจากกิลด์ สิ่งเดียวที่เหลืออยู่ก็คือการมองหารถม้าแล้วออกไปจากเมืองศักดิ์สิทธิ์ ไม่มีใครไล่ตามผมมา ทว่าเมื่อผมขึ้นไปบนรถม้า ผมก็สัมผัสได้ถึงสายตาของใครบางคน …ใช่คนของดยุคเอเบนหรือใครสักคนหรือเปล่านะ? หลังออกมาจากเมือง ผมก็ไม่รู้สึกอะไรอีกเลย

 

การเดินทางบนรถม้านั้นยาวนานมากๆ พวกเราพูดคุยกันเยอะแยะเลย

 

ดันเต้ซังหัวเราะพร้อมกับพูดว่า “ครั้งแรกที่พวกเราพบกันก็เพราะงู และที่พวกเรากลับมาพบกันได้ก็เพราะงูอีก”

 

น็อนซังดูจะชำนาญ【เวทย์แสง】แล้ว และสำหรับโบสถ์เองก็มีคนเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่มีความเข้ากันได้กับ【เวทย์แสง】ด้วย ดังนั้นดูเหมือนพวกเขาจะไม่มีความคิดที่จะปล่อยเธอไปเลย

 

น็อนซังยังพูดกับผมอีกว่า “มันค่อนข้างแปลกเลยนะที่เธอสามารถยิงเวทย์ไฟได้ต่อเนื่องแบบปิ้วๆๆแบบนั้นหน่ะ แถมยังใช้เวทมนตร์ขั่วตรงข้ามกันในเวลาเดียวกันด้วย”

 

อย่างไรก็ตาม มิมิโนะซังก็ตอบกลับอย่างภูมิใจสุดๆว่า “มันก็ไม่แปลกนี้ นั่นเรย์จิคุงเลยนะ” …อืม ผมเริ่มจะเห็นภาพ “พ่อแม่ตามใจลูก” จากตัวของมิมิโนะซังแล้ว

 

“โพชั้นลอกเลียนแบบ” ที่ใช้โดยมิมิโนะซังในตอนที่สู้กับอูโรโบรอสนั้นดูจะเป็นของที่ทำขึ้นจากวัตถุดิบหายาก และมันก็ถูกเก็บเอาไว้ใช้เป็นไพ่ตายในจังหวะสำคัญด้วย “ชั้นจะต้องทำมันใหม่อีกแล้ว” เธอพูดแบบนั้นโดยไม่มีท่าทีเสียใจใดๆเลย กลับกันยังดูมีความสุขซะอีก ดังนั้น ผมคิดว่ามันก็คงจะไม่เป็นอะไรละมั้ง…?

 

และก็อีกอย่าง ดูเหมือนว่าภาคีอัศวินจะได้ชิ้นส่วนแทบทั้งหมดของอูโรโบรอสไป ทว่ากิลด์นักผจญภัยเองก็สามารถเอามาได้เล็กน้อยอยู่ และดันเต้ซังนั้นสามารถเก็บอัญมณีที่ผมทำลายไปอันที่อยู่ข้างในหัวของมันมาได้ เขาหัวเราะพร้อมกับพูดว่า “ช่างน่าเศร้าที่พวกเราสามารถเอามาได้แค่นี้ แต่ก็ดีกว่าไม่ได้อะไรเลยละนะ” ทว่าเมื่อผมมองมันผ่าน【World Ruler】มันดูจะเก็บสะสมมานาจำนวนมหาศาลเอาไว่… หะ-เห้ย มานาขนาดนี้ไม่ใช่เล่นๆเลย ตรวจสอบมันอย่างใกล้ชิดดีกว่า…

 

ต่อให้พวกเราจะพูดคุยกันมากแค่ไหน พวกเราก็ไม่เคยหมดหัวข้อคุยกันเลย ก็เหมือนกับผม ซิวเวอร์บาลานซ์เองก็แข็งแกร่งมากขึ้นตลอด 4 ปีที่ผ่านมานี้ โชคไม่ดีที่ไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับลาร์คหรือ【ราชาเงา★★★★★★】เลย

 

เมืองศักดิ์สิทธิ์แห่งคูวานยู เมืองขนาดมหึมาที่สามารถเห็นได้จากไกลๆ ในที่สุดก็ลับหายไปจากสายตาแล้ว และหลังจากนั้นพวกเราก็ยังคงเดินทางต่อด้วยรถม้าวันแล้ววันเล่า

 

ทุกๆครั้งที่ผมผ่านเมือง ผมก็รู้สึกว่าหัวใจอันแตกร้าวของผมนั้นกำลังสงบลง

 

ผมได้ทำทั้งสิ่งที่ผิดพลาดและถูกต้องไปหลายอย่างในเมืองศักดิ์สิทธิ์ แน่นอนว่ามีหลายครั้งที่ผมรู้สึกเสียใจ ทว่าผมก็เก็บพวกมันเอาไว้ใกล้ๆกับหัวใจแล้วมองไปยังอนาคต

 

ผมมั่นใจว่าคุณหนูเองก็คงจะทำแบบเดียวกันอยู่

 

(…คุณหนูครับ ไว้พบกันใหม่ในสักวันนะครับ)

 

ท้องฟ้าที่พวกเราเห็นยามเงยหน้ามองนั้นคือท้องฟ้าผืนเดียวกัน ทั้งดวงดาวดว

งเดียวกันและก้อนเมฆก้อนเดียวกัน

 

พวกเราจะต้องได้พบกันอีกครั้งแน่ๆ

 

เมื่อถึงตอนนั้น คุณหนูจะเดิบโตเป็นนายหญิงที่แสนวิเศษแล้วหรือเปล่านะ? หรือเธอจะยังคงเป็นคุณหนูคนเดิมที่ร้องขอเรื่องไม่เป็นเรื่องกับผมเหมือนเดิมกัน?

 

รูปลักษณ์ของเธอจะต้องเปลี่ยนไปแน่นอนอยู่แล้ว แต่ตัวตนของเธอก็คงจะเหมือนเดิมแน่ๆ

 

ก็นั่นคือคุณหนูซะอย่าง ผมมั่นใจว่าเธอจะต้องไม่เปลี่ยนไปแน่ๆ

 

พวกเรากำลังมุ่งหน้าไปยังประเทศแห่งเวทมนตร์และเทคโนโลยี “จักรวรรดิเวทมนตร์เลฟ” — เพื่อพบกับลูลูช่าซัง หนึ่งในเป้าหมายของการเดินทางของผม

 

สายลมร้อนๆพัดขึ้นมาจากพื้นสู่รถม้า

 

ฤดูกาลกำลังแปรเปลี่ยน ฤดูร้อนกำลังใกล้เข้ามาแล้ว

 

 

 

บทที่ 2 ตอนที่ 56

 

「อา ให้ตายสิ… ผมร้องออกมาเยอะจริงๆ มันก็นานแล้วนะที่ไม่ได้ร้องไห้ออกมาแบบนี้」

 

ขณะที่ผมผ่าน “เขตศักดิ์สิทธิ์ที่ 3” ในที่สุดอารมณ์ของผมก็สงบลงซะที เมื่อผมเอาผ้าเช็ดหน้าออกมาจากกระเป๋าเพื่อเช็ดน้ำตา ผมก็รู้ตัวว่าผมเช็ดน้ำตาของคุณหนูด้วยผ้าผืนนี้… แล้วความรู้สึกก็เริ่มพรั่งพรูกลับมาอีกครั้ง ดังนั้นผมจึงรีบเก็บมันไปทันที

 

เมื่อผมเข้าไปยัง “บล็อก 4” โดยใช้ตราสัญลักษณ์ของตระกูลซิวลิซส์

 

「เซอรี่ซัง อยู่ตรงนั้นใช่ไหมครับ?」

 

「อุ๊ป รู้ตัวแล้วงั้นหรอ? ไม่ดีเลยนะ หนุ่มน้อย」

 

คนที่เดินออกมาจากเงามืดของอาคารก็คือเซอรี่ซัง มนุษย์สัตว์เผ่าแมวผู้ชื่นชอบการผนันที่เป็นผู้ร่วมเดินทางกับผม

 

ดูเหมือนว่าเซอรี่ซังจะยังคอยเฝ้าระวังหลังจากที่เกิดเรื่องขึ้นเมื่อวานอยู่ ถึงเธอนั้นไม่ใช่คนประเภทที่จะะมาคอยดูแลผมตลอด 24 ชั่วโมงเลยก็เถอะ ดังนั้นผมคิดว่ามันคงเป็นข้อยกเว้นเฉพาะวันนี้ละนะ

 

「เซอรี่ซังแย่ยิ่งกว่าผมอีกที่มาแอบดูแบบนี้… ช่างเป็นนิสัยที่แย่จริงๆเลยครับ ยิ่งไปกว่านั้น ผมประหลาดใจมากเลยนะครับที่คุณสามารถลอบเข้าไปในเขตศักดิ์สิทธิ์ที่ 3 ได้แบบนั้น」

 

「มันง่ายเหมือนปอกกล้วยเลยละ แต่ก็แน่นอนว่าที่เขตศักดิ์สิทธิ์ที่ 2 นั้นอันตรายกว่ามาก ดังนั้นชั้นจึงไม่ได้เข้าไปที่นั่นหรอกนะ」

 

「ระบบรักษาความปลอดภัยมันอันตรายอย่างนั้นหรอครับ?」

 

「ชั้นหมายถึงมันอันตรายถ้าถูกจับได้หน่ะ ลอบเข้าไปหน่ะง่ายมากๆเลย」

 

「…………」

 

นี้ระบบรักษาความปลอดภัยของประเทศนี้มันแย่ขนาดนั้นเลยหรอ? หรือว่าเซอรี่ซังสุดยอดมากกันแน่นะ?

 

「มีอะไรหรือ หนุ่มน้อย?」เซอรี่ซังถามขึ้นพร้อมกับสีหน้าสงสัย

 

…หืมมม ผมคิดว่ามันอาจจะเป็นไปได้มากกว่าที่ระบบรักษาความปลอดภัยของประเทศนี้มันห่วยก็ได้

 

「คิดอะไรที่มันเสียมารยาทกับชั้นอยู่ใช่ไหมหน่ะ?」

 

「ทุกครั้งที่ผมคิดเกี่ยวกับคุณเซอรี่ซัง  แทบทั้งหมดมันก็เสียมารยาทหมดนั่นแหล่ะครับ」

 

「หว่า!? ชั้นจะไม่เมินเฉยนั่นหรอกนะ! ถึงเธอจะอกหักก็ตามนะ หนุ่มน้อย!」

 

「หะ-หา!? อกหักอะไรกัน!?」

 

「ก็นั่นไงหล่ะหนุ่มน้อย! ที่มักจะปรากฏในเรื่องราวความรักดังๆ ที่สองคู่รักจะต้องแยกจากกันด้วยความต่างทางฐานะทางสังคมนั่นหน่ะ!」

 

「ฮ่าาา… มันไม่ใช่อย่างนั้นหรอกครับ ตัวคุณหนูก็เหมือนกับ… ผมแค่อยากจะเธอเติบโตมาด้วยความรัก… เป็นอิสระโดยไม่ถูกขัดขวางจากใคร ผมแค่อยากจะปกป้องเธอ… อย่างเงียบๆ, ภูมิใจ…」

 

「…………」

 

ทำไมเซอรี่ซังถึงมองผมเหมือนกับผมพูดอะไรผิดไปกันละ!?

 

คิดว่าคงเป็นความผิดของผมที่พยายามจะนำ “*อร่อยเดียวดาย” มาใช้ในโลกนี้ละนะ

 

「อะ-อะแฮ่ม แค่ล้อเล่นหน่ะครับ ยังไงก็เถอะ ระหว่างผมกับคุณหนูไม่ได้เป็นแบบนั้นหรอกครับ และผมมั่นใจว่าพวกเราจะต้องได้พบกันอีกแน่ในสักวันนึง」

 

「อย่างงั้นหรอ? งั้น หนุ่มน้อย ทำไมเธอถึงทำตัวเองจนมุมอย่างนั้นซะละ?」

 

「รู้ได้ยังไงกันครับ เซอรี่ซัง?」

 

「ชั้นมั่นใจเลยว่าเธอหนีออกมาเพราะแค่เรื่องผมสีดำกับตาสีดำของเธอมันแดงแล้วใช่ไหมละ?」

 

「…………」

 

ทำไมถึงรู้ละ?! สังหรณ์ของผู้หญิงงั้นหรอ?!

 

「…สถานการณ์มันเสี่ยงกว่าที่คุณคิดไว้ครับ เซอรี่ซัง ดยุคเอเบนส่งทหารกว่า 100 นายมาจับผมเลยนะครับ」

 

「หยึย จริงดิ? งั้นที่ชั้นอยู่กับเธอก็อันตรายไม่ใช่หรอเนี้ย!?」

 

「หืมมม แต่ถ้าคุณไปคนเดียว คุณก็จะได้ติดหนี้ไปตลอดกาลใช่ไหมละครับ?」

 

「ไม่ต้องห่วงเรื่องนั้นหรอกหน่า! ครั้งหน้าชั้นจะต้องชนะแน่ๆ!」

 

สมกับเป็นความคิดของพวกเสพติด คนๆนี้เกินเยียวยาไปซะแล้ว

 

ถึงผมจะยังเหนื่อยๆอยู่ แต่ผมก็อธิบายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนี้ให้ฟังอย่างง่ายๆ

 

「หืมมม แต่ว่านะ หนุ่มน้อย…」

 

「ครับ?」

 

「ชั้นสงสัยจริงๆนะว่า… ถ้าเธอคิดจะส่งคุณหนูกลับตั้งแต่แรกแล้ว แล้วทำไมเธอถึงพาเธอมาตั้งแต่แรกด้วยละ?」

 

「อา อืม เรื่องนั้นก็…」

 

「ชั้นหล่ะรู้สึกสงสารเอิร์ลจริงๆหลังจากที่ได้ยินเรื่องทั้งหมดมานี้」

 

「จริงๆแล้ว ผมคิดแค่ว่าผมจะทำให้เขารู้สึกขมขื่นสักครั้งในชีวิตเพื่อตัวเขาเองหน่ะครับ เพราะงั้น…」

 

「หยึย หนุ่มน้อย เธอนี้มันปีศาจชัดๆ…」

 

เซอรี่ซังทำหน้าบูดบึ้งสุดๆ

 

「ผมเองก็กังวลนะว่าผมอาจจะไปทำให้คุณหนูเจ็บปวดในตอนที่ทำก็ได้…」

 

「ถ้าเธอสนใจเอิร์ลขนาดละก็ เธอก็ควรจะอยู่กับเขานะ」

 

「ก็อย่างที่ผมบอกก่อนหน้านี้ครับ เอิร์ลนั้นไม่สามารถเอาชนะดยุคได้หรอกครับ ดูเหมือนตอนนี้ฝ่าบาทราชันศักดิ์สิทธิ์จะหนุนหลังผมอยู่ก็จริง แต่ “ผมสีดำตาสีดำ” ที่ถือว่าเป็นของ “เด็กแห่งหายนะ” เนี้ยดูจะเป็นสิ่งต้องห้ามอย่างมากสำหรับสังคมชนชั้นสูงยิ่งกว่าที่ผมคิดเอาไว้ซะอีกครับ เอิร์ลนั้นเป็นคนประเภทที่คิดถึงแต่คุณหนู ดังนั้นเขาดูจะไม่ได้คิดอะไรมากเกี่ยวกับความเสี่ยงที่จะเก็บผมเอาไว้ครับ ดูจากสิ่งที่ตระกูลเอเบนทำในวันนี้ ผมมั่นใจเลยว่าตระกูลดยุคอื่นๆเองก็จะต้องทำตามแน่ๆครับ」

 

ไม่ใช่ใครที่ไหนแต่เป็นตัวเซอรี่ซังเองที่พูดว่า — “ใครที่ถือครองอำนาจนั้นน่ากลัวที่สุด”

 

สิ่งที่เธอพูดนั้นเป็นความจริง 100%

 

「ถ้าอย่างนั้น〜 ออกไปจากประเทศนี้กันดีกว่า」เซอรี่ซังพูด

 

「ครับ มาทำแบบนั้นกันดีกว่าครับ」

 

น้ำเสียงของเซอรี่ซังนั้นมักจะเอื่อยๆ บางทีเธอคงจะตรัสรู้แล้วว่ามันง่ายกว่าที่จะใช้ชีวิตในโลกนี้โดยที่ไม่คิดอะไรให้มากความ

 

ในตอนที่พวกเรามาถึงบล็อก 6 ท้องฟ้ายามค่ำคืนก็เริ่มจะเรือนรางและรุ่งสางก็ใกล้เข้ามาแล้ว เมื่อผมเข้าไปยังโรงแรมของเซอรี่ซัง มันโคตรจะรกรุงรังสุดๆไปเลย ดังนั้นผมจึงขอให้พนักงานโรงแรมทำความสะอาดมันแล้วมอบเงินจำนวนนึงแทนค่าเสียเวลาของเขา ของส่วนตัวของผมนั้นไม่ได้เก็บเอาไว้ที่คฤหาสน์ของเอิร์ลแต่เป็นที่ห้องนี้ – ทั้งหมดของผมก็มีเพียงแค่กระเป๋าใบเดียวเท่านั้นเอง สัมภาระที่อยู่ที่คฤหาสน์ของเอิร์ลนั้นมีเพียงแค่เงินเดือนของผมที่ไม่ได้แตะต้องใดๆเลย ผมบอกว่าจะ “คืน” มัน ดังนั้นผมก็เลยปล่อยเอาไว้ที่นั่นแบบนั้น

 

ส่วนเสื้อผ้าที่ผมได้รับมาในฐานะคนคุ้มกันนั้น… ผมควรจะทิ้งไปดีไหมนะ? มันหลุดลุ่ยเล็กน้อยจากการต่อสู้ครั้งที่แล้วด้วย

 

「แล้ว เธอมีเงินสำหรับการเดินทางของเราใช่ไหม้?」

 

「…ครับ」

 

เมื่อผมเปิดถุงหนังที่ได้รับมาจากเบอร์เซิร์กเกอร์ – ผมหมายถึงเอิร์ลชายแดน ผมก็พบกับ 4 เหรียญทองใหญ่ กับ 10 เหรียญทอง พวกขุนนางมักจะพกเงินมากขนาดนี้ไปไหนมาไหนงั้นหรอ? ผมหมายถึง ตัวถุงหนังเองก็เรียบเนียนมาก แถมยังดูหรูหรามากๆเลยด้วย

 

4 เหรียญทองใหญ่ และ 5 เหรียญทองนั้นมีค่าเท่ากับ 1 เหรียญทองศักดิ์สิทธิ์ ดังนั้นผมจึงได้มามากกว่าที่ตกลงกันไว้

 

เสื้อผ้าที่ผมสวมในตอนที่ผมมาถึงราชอาณาจักรศักดิ์สิทธิ์เป็นครั้งแรกนั้นค่อนข้างเล็กไปแล้ว แต่ผมก็ยังเปลี่ยนไปใส่มันอยู่ดี คิดว่าผมคงต้องหาซื้อชุดใหม่เร็วๆนี้แล้วสิ

 

ผมส่วมผ้าคลุมทับแล้วสะพายกระเป๋าของผม มีดสั้นที่ผมได้รับมาจากเอิร์ลชายแดนนั้นฝักมันฉูดฉาด ดังนั้นผมเลยเก็บมันเอาไว้ในกระเป๋า

 

「รู้สึกเหมือนกับพวกเราได้กลับไปเป็นเหมือนเมื่อ 4 ปีก่อนเลย」

 

ผมพูดขณะที่ออกมาจากโรงแรม เซอรี่ซังก็เหล่ตาจากแสงอาทิตย์แล้วหันมายิ้มให้กับผม

 

「พูดอะไรของเธอกัน? เธอกลายเป็นหนุ่มหล่อแล้วนะตอนนี้ หนุ่มน้อย!」

 

「…ถ้างั้น ได้โปรดหยุดเรียกผมว่า “หนุ่มน้อย” ซะทีสิครับ?」

 

「แต่เธอยังเป็นหนุ่มน้อยสำหรับชั้นตลอดไปอยู่ดี~」

 

เซอรี่ซังเอื้อมมือมาลูบหัวของผม

 

…คอยก่อนเถอะ ผมจะต้องตัวสูงกว่าคุณให้ได้ในสักวัน

 

「ถ้างั้น หนุ่มน้อย พวกเราจะออกไปจากเมืองศักดิ์สิทธิ์กันเลยไหม?」

 

「ไม่ครับ ถ้าพวกเราทำแบบนั้น ผมจะต้องถูกดุแน่นอนเลยครับ」

 

ผมยิ้มแล้วบอกจุดหมายปลายทางของพวกเรากับเซอรี่ซัง

 

โรงแรมที่มีชื่อว่า “กระบอกเพชรสีเงิน”

 

ซิวเวอร์บาลานซ์น่าจะยังนอนหลับกันอยู่ในเวลานี้ แต่ผมรู้สึกว่า ต่อให้จะยังมีควันลอยออกมาจากตรงโน้นตรงนี้ แต่เช้าวันใหม่สำหรับเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์แห่งครูวานยูก็กำลังจะเริ่มต้นขึ้นแล้ว

 

========================================================

*อร่อยเดียวดาย (Solitary Gourmet หรือ Kodoku no Gourmet) เป็นreference มังงะและซีรีส์ของญี่ปุ่น

TL: อะแถมๆๆ

 

 

บทที่ 2 ตอนที่ 55

 

ผมมักจะคิดเสมอว่าแสงจากตะเกียงเวทมนตร์นั้นเย็น แสงที่สร้างด้วยวิทยาการเวทมนตร์ก็คงจะเย็นกว่าแสงที่สร้างขึ้นจากไฟธรรมชาติหรือเวทมนตร์ปกติอยู่แล้วละนะ

 

มันช่างน่าอัศจรรย์ที่แสงแบบนี้นั้นดูจะสะท้อนความงดงามจากดวงตาสีชาดของคุณหนูได้อย่างดีเยี่ยม

 

ผมเห็นตัวเองที่ยิ้มอย่างอ่อนโยนสะท้อนอยู่ภายในตาของเธอ – หรืออย่างน้อยๆก็พยายามฝืนยิ้มอยู่

 

「หมายความว่ายังไง…?」

 

「อย่างที่ผมพูดไปครับคุณหนู ต่อจากนี้ไป เส้นทางของพวกเราจะต่างกันครับ ของผมจะมุ้งหน้าออกจากกำแพงนี้ ส่วนของคุณหนูก็คืออยู่ภายในกำแพงนี้—เหมือนเมื่อก่อน」

 

「ถ้าพูดเล่นละก็ไม่ตลกเลยนะ!」

 

「ไม่ได้พูดเล่น โกหกหรือหลอกลวงครับ ขอบคุณคุณหนูมากๆเลยครับที่มาส่งผมไกลขนาดนี้ ผมมีความรู้สึกว่าอนาคตของผมจะต้องสดใสแน่ๆแค่เพราะคุณหนูมาส่งผมเลยครับ」

 

「เรย์จิ ทำไมกัน… ทำไมนายถึงพูดเรื่องโหดร้ายแบบนั้นละ?」

 

การปฏิเสธคุณหนูที่กำลังหน้าซีดและตัวสั่นแบบนี้นั้น ก็แน่นอนละว่ามัน “โหดร้าย”

 

แต่ว่า มันเป็นสิ่งที่ผมตัดสินใจแล้วว่าต้องทำ

 

เพราะมันจะยิ่ง “โหดร้าย” มากกว่าที่จะให้คุณหนูเป็นคนตัดสินใจ

 

「คุณหนูครับ คุณกำลังกังวลและหันกลับไปมองมาสักพักแล้วใช่ไหมละครับ? กังวลถึงผู้คนที่คฤหาสน์และก็… เอิร์ล」

 

「…นั่นมัน…」

 

「ต่อให้ผมเข้าใจผิดไปก็ไม่เป็นไร แต่มันเป็นแบบนั้นสินะครับ และนั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมผมถึงเป็นคนตัดสินใจแทนคุณหนูให้ “กลับบ้าน” ครับ」

 

「…………」

 

「…คุณหนูครับ คุณกับเอิร์ลนั้นเป็นเพียงครอบครัวเพียงคนเดียวที่เหลืออยู่ของกันและกันนะครับ มีอะไรหลายอย่างเกิดขึ้นในวันนี้… ไม่สิ มีอะไรหลายอย่างเกิดขึ้นตั้งแต่ “งานเลี้ยงต้นกล้าแห่งคืนข้างขึ้น” แล้วครับ ดังนั้นจิดใจของคุณจึงไม่สามารถประมวลผลทุกอย่างและตัดสินใจอย่างมีเหตุผลได้ในทันทีครับ แน่นอนว่า ผมไม่ได้พูดแบบนี้เพราะคุณหนูเป็นเด็กหรอกนะครับ ขนาดผู้ใหญ่เองก็ยังมีปัญหากับการประมวลผลเรื่องราวที่เกิดขึ้นเลยครับ…」

 

ผมคุกเข่าลงไปแล้วมองเข้าไปในตาของคุณหนูที่ก้มหัวของเธอลง

 

น้ำตากำลังร่วงหล่นไปตามแก้มของเธอ

 

ผมคิดว่าตัวคุณหนูเองก็อาจจะคิดเอาไว้แล้วว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับเอิร์ลถ้าเธอไม่ได้กลับไป – สิ่งที่มีแต่เธอเท่านั้นที่จะสามารถช่วยเอิร์ลผู้ที่กำลังหวั่นไหวได้

 

「มันไม่เป็นไรหรอกครับ เอาละกลับไปหาเอิร์ลเถอะครับ เขาจะต้องดีใจแน่ๆ」

 

「แต่ว่า เรย์จิ… ก็จะต้องอยู่ตัวคนเดียว…」

 

「ผมเป็นผู้ใหญ่มากกว่าคุณหนูนะครับ」

 

「ถึงพวกเราจะห่างกันแค่ 2 ปีนะหรอ…?」

 

「ครับ 2 ปีมันต่างกันมากเลยนะครับ」

 

แน่นอนว่าโกหก แต่มันคงจะไม่สมเหตุสมผลเท่าไหร่ที่จะบอกคุณหนูว่าผมเป็นผู้มาเกิดใหม่ในตอนนี้

 

「คุณหนูครับ อย่างที่ผมบอกไป โลกใบนี้นั้นกว้างใหญ่กว่าที่คุณหนูจะสัมผัสได้หมดในชีวิตเดียวครับ แต่ในทางกลับกันนั้น ชั่วชีวิตก็ยังยาวนานมากอยู่ดีครับ คุณหนู คุณควรจะใช้เวลาร่วมกับเอิร์ลมากกว่านี้นะครับ และเมื่อคุณโตขึ้น ถ้าคุณยังอยากจะออกมา ก็ค่อยออกจากประเทศนี้ก็ได้ มันไม่ได้สายเกินไปหรอก ชั่วชีวิตนั้นยาวนานพอที่คุณจะสามารถไปเที่ยวได้หลายประเทศครับ นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไม อย่าร้องไห้เลยนะครับ คุณหนู… นี้ไม่ใช่การบอกลาครั้งสุดท้ายซะหน่อยครับ」

 

ผมลูบหัวของคุณหนูในขณะที่สุดท้ายเธอก็ร้องไห้ออกมา

 

ตอนนี้เป็นโอกาสสุดท้ายแล้วที่เธอจะได้กลับไปหาเอิร์ล… ถ้าเธอไม่กลับไปตอนนี้ละก็ สายสัมพันธ์ครอบครัวระหว่างเธอกับเอิร์ลก็คงจะไม่มีทางกลับมาเหมือนเดิมอีกแล้ว

 

「…เรย์จิ ชั้น, ชั้น…. ชั้นอยากจะอยู่กับนายตลอดเวลา! ทำไมนายถึงต้องไปด้วย!?」

 

「มันเป็นความลับที่ผมบอกคุณไปครับ เอิร์ลพูดว่าเขาจะปกป้องผม แต่ผมคิดว่าเขาประเมินปัญหานี้ต่ำเกินไปครับ ดังนั้นผมจึงไม่อาจอยู่กับเอิร์ลได้อีกต่อแล้วครับ และก็คุณหนูของผม ผมไม่ได้ถูกขับไล่หรอกนะครับ ผมอาสาที่จะออกไปจากประเทศนี้เอง — ผมจะเล่าเหตุผลให้ฟังในครั้งหน้าที่เราได้พบกันนะครับ」

 

「ชั้นไม่ยอมรับ! ชั้นไม่อนุญาตให้นายไปคนเดียว!」

 

「ผมขอโทษครับ คุณหนู」

 

「อย่ามาขอโทษนะ!」

 

「…นั่นเป็นคำสั่งที่ยากที่สุดที่คุณหนูเคยสั่งมาเลยครับ ผมจะพยายามทำมันให้ดีที่สุดนะครับ –เอาละครับคุณหนู ดูเหมือนจะมีคนมารับแล้วนะครับ」

 

คุณหนูตกใจแล้วหันกลับไปมอง กัปตันแม็กซิมกำลังควบม้าตามพวกเรามา เมื่อเขาสังเกตเห็นพวกเรา – สังเกตเห็นสายตาของผมกับใบหน้าของคุณหนูที่กำลังร้องไห้ – เขาก็ลงมาจากม้าตรงที่ห่างออกไป

 

ถึงคนๆนั้นจะสมองกล้าม แต่ก็หัวดีอย่างน่าเหลือเชื่อ เอาเถอะ ถ้าไม่ใช่คนแบบนั้นละก็ คงทำงานรับใช้เอิร์ลซิวลิซส์ไม่ได้หรอก

 

「จริงๆนะ… นี้ไม่ใช่การจากลาครั้งสุดท้ายจริงๆนะ?」

 

「ครับ แน่นอนครับ」

 

คุณหนูนั้นเป็นคนฉลาด เธอรู้ว่าเธอควรจะกลับไปจริงๆ มันก็แค่อารมณ์ของเธอที่ไม่ปล่อยให้เธอทำอย่างนั้น

 

นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมผมถึงต้องพลักดันเธอ ผมดึงผ้าเช็ดหน้าของผม — ผืนเดียวกับที่ผมใช้เช็ดเหงื่อก่อนหน้านี้ แต่ทำไงได้ก็ผมมีแค่อันนี้นี่นา —  แล้วเช็ดน้ำตาของคุณหนู

 

「…เรย์จิ เหม็นอ่ะ」

 

「โชคร้ายหน่อยนะครับ ผมไม่มีอันอื่นแล้ว」

 

「นายจำสัญญาของเราได้ไหม้?」

 

「ครับ ที่คุณหนูสัญญาว่าจะมอบหินสกิลให้ผมใช่ไหมครับ?」

 

ผมจำมันได้

 

—ชั้นจะมอบหินสกิลที่เหมาะกับนายให้เอง! จงดีใจซะสิ!

 

นั่นไม่เหมือนกับน้ำเสียงของคนที่จะให้ของขวัญเลย และตอนนั้นผมก็ดีใจกับเรื่องแบบนั้น ตัวคุณหนูเองก็มีความสุขเช่นกัน มันรู้สึกราวกับผ่านมานานมากๆเลย

 

「ขั้นจะมอบมันให้นายอย่างแน่นอน ดังนั้นต้องกลับมาอยู่ตรงหน้าของชั้นให้ได้เลยนะ」

 

「ครับ」

 

ผมกำมือขวาของผมแล้วทุบไปที่หัวใจของผม

 

「ผมจะเหลือช่องสกิลของผมเอาไว้สำหรับหินสกิลของคุณแน่นอนครับ คุณหนู」

 

「…สัญญานะ」

 

「ครับ ผมสัญญา」

 

คุณหนูไขว้นี้วชี้กับนิ้วกลางของเธอเอาไว้แล้วยกขึ้นมา ผมเลื่อนมือขวาของผมจากอกของผมแล้วกุมนิ้วของเธอเอาไว้ มือของคุณหนูนั้นอุ่นมากๆ

 

ผมยืนขึ้น

 

คุณหนูก็มองขึ้นมาที่ผม

 

โอ้ ช่างเป็นคนที่งดงามอะไรขนาดนี้!

 

งดงามที่สุดที่ผมเคยเห็นมาเลย

 

เธอนั้นทั้งฉลาด, แข็งแกร่ง, สง่างาม, อ่อนโยน, และมีเสน่ห์หาใครเปรียบ

 

「…………」

 

「…………」

 

ผมหันหลังแล้วเริ่มเดินจากไปอย่างเงียบๆ คุณหนูยังคงยืนมองหลังของผมโดยไม่ขยับไปไหนเลย

 

หูของผมได้ยินเสียงน้ำหยดลงบนพื้น แถมยังมีเสียงสะอื้นอีกด้วย

 

(นี้ผม… ร้องไห้งั้นหรอ?)

 

ไม่จำเป็นต้องฝืนยิ้มอีกต่อไป เพราะคุณหนูมองไม่เห็นหน้าผมอีกต่อไปแล้ว

 

หลังจากที่น้ำตาหยดหนึ่งไหลไปตามแก้มของผม น้ำตาอีกมากมายก็เริ่มไหลลงมาเหมือนเขื่อนแตก ผมคิดว่าผมทำได้ดีมากเลยที่อดทนเอาไว้ไม่แสดงใบหน้าอันหน้าสมเพชนี้ให้คุณหนูได้เห็น

 

เหมือนกับที่คุณหนูต้องการ ผมเองก็เหมือนกัน อยากที่จะอยู่เคียงข้างคุณหนู

 

ผมอยากที่จะเฝ้ามองเธอเติบโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ที่ยอดเยี่ยมข้างๆเธอ

 

แต่นั่นแหล่ะถึงเป็นเหตุผลว่าทำไม

 

「ลาก่อนสำหรับตอนนี้นะครับ คุณหนู…」

 

พร้อมกับน้ำตาที่ร่วงหล่นอย่างไม่หยุดพัก ผมได้เดินไปตามเมืองอันเงียบสงบแห่งนี้

 

 

 

บทที่ 2 ตอนที่ 54

 

เมื่อเอิร์ลชายแดนพูดเสียงดัง พวกทหารก็พากันไปยังทหารที่สลบอยู่ – ปลุกพวกเขา – แล้วจากไป

 

「เรย์จิ!」

 

คุณหนูผู้ที่เฝ้าดูอยู่จากที่ไกลๆวิ่งเข้ามากอดผม

 

「เรย์จิ ไม่เป็นไรใช่ไหม? ชั้นรู้ว่านายชนะได้ก็จริง แต่ก็อดเป็นห่วงไม่ได้อยู่ดี」

 

「ก็อย่างที่ผมบอกคุณหนูครับว่าผมไม่มีทางแพ้หรอกครับถ้าผมเอาจริง ถึงผมจะทำลายพื้นหินไปก็เถอะนะครับ ดังนั้นเดี๋ยวจะต้องปรับปรุงในส่วนนั้นด้วย」

 

ผมรู้สึกถึงคุณหนูที่ตัวสั่น ผมเลยลูบหัวของเธออย่างอ่อนโยน – แต่ก็ยังคงระแวดระวังเอิร์ลชายแดนอยู่

 

「คุคุคุ อย่ามองข้าด้วยสายตาแบบนั้นสิ มันทำให้ข้าอยากจะสู้กับเจ้าเลยนะ!」

 

「ถ้าคุณขวางทางผมละก็ ผมก็จะกำจัดคุณแม้คุณจะไม่อยากสู้ก็ตามนะครับ」

 

「เจ้านี้น่าสนใจจริงๆ! ดูเจ้าสู้กับคนกลางได้ว่าสุดยอดแล้ว แต่ตอนนี้ ข้าไม่สามารถประเมินขีดจำกัดของเจ้าได้เลย!」

 

เอิร์ลชายแดนลงจากม้าของเขาก่อนจะวางขวานศึกเอาไว้บนพื้น และเดินเข้ามาหาพร้อมกับเสียงหนักๆ

 

「ขอโทษด้วยที่เจ้าจะต้องจัดการกับทหารของตระกูลเอเบนแบบนั้น จริงๆแล้วข้ากะจะสู้แทนเจ้าซะด้วยซ้ำ แต่นั่นดูจะไม่จำเป็นซะแล้ว」

 

「หมายความว่ายังไงครับ?」

 

「ข้าเป็นตัวแทนอย่างเป็นทางการเพื่อมาขอโทษเจ้าจากราชันศักดิ์สิทธิ์หน่ะ」

 

「ผทไม่ต้องการครับ เพราะผมจะออกไปจากเมืองศักดิ์สิทธิ์และประเทศนี้แล้วครับ」ผมพูดพร้อมกับส่ายหัว

 

「งั้นรึ…」

 

เอิร์ลชายแดนลับตาลงพร้อมกับสีหน้าดุดัน

 

「ประเทศนี้ช่างโง่เขลา… ที่ปฏิบัติกับเจ้าผู้ที่ต่อสู้กับคนกลางและช่วยชีวิตผู้คนมากมายแบบนี้」

 

「ไม่ครับ มันไม่ได้เกี่ยวอะไรกับประเทศนี้หรอกครับ มันก็แค่ผมมีบางสิ่งสำคัญที่ต้องทำหน่ะครับ ไปกันเุถอะครับ คุณหนู」

 

「…อืม」

 

ถ้าเขาไม่ได้มาขวางทางผมละก็ งั้นก็ไม่เป็นไร ผมจับมือคุณหนูแล้วเดินผ่านเอิร์ลชายแดนไป

 

「เดี๋ยวก่อนสิ เจ้าไม่ได้คิดที่จะพามิสอีวาไปด้วยใช่ไหมหน่ะ?」

 

「…แล้วถ้าผมจะทำแบบนั้นละครับ? คุณจะทุบผมด้วยอาวุธหน้าตาโหดเหี้ยมนั่นไหมละครับ?」

 

「เห้ยๆ จะหาเรื่องก็ให้มีขอบเขตกันหน่อย รู้ไหม อย่าไปหาเรื่องสู้โดยไม่จำเป็นสิ ข้าไม่ได้สนใจอะไรกับเรื่องของตระกูลซิวลิซส์หรอกนะ แค่อยากจะยืนยันเฉยๆ」

 

「…คุณพูดถูก」

 

ความอยากปะทะของผมดูจะยังไม่เย็นลงเลย

 

ผมจะต้องใจเย็นลง — ไม่งั้นผมก็ไม่ต่างอะไรกับหมาบ้าเลย

 

「ชั้นตัดสินใจที่จะอยู่กับเรย์จิค่ะ ดังนั้นลาก่อนนะคะ ท่านเอิร์ลประจำชายแดน」

 

เมื่อคุณหนูจีบปลายกระโปรงแล้วถอนสายบัวแบบลูกสาวขุนนาง เอิร์ลชายแดนก็พยักหน้าด้วยสีหน้าปั้นยาก

 

「เจ้าหนู… ไม่สิ เรย์จิ」

 

เอิร์ลชายแดนนำมีดพร้อมฝักที่เน็บอยู่ข้างเอวเขาออกมาแล้วโยนมันให้กับผม ผมรับมันอย่างทุลักทุเล

 

ฝักยาวประมาณ 30 เซนติเมตรตกแต่งด้วยเปลือกหอยสีรุ้ง ดูจะมีค่ามากๆ เมื่อผมดึงมันออกก็ปรากฏใบมีสีขาวราวกับหิมะ

 

「นี้มัน…? ดูเหมือนจะเป็นมิธริล」

 

「ข้าคงไม่ต้องพูดอะไรอีกถ้าเจ้ารู้ถึงขนาดนั้น อันนั้นข้าให้ ถือเป็นของขวัญจากลา」

 

「ผมรับมันไว้ไม่ได้หรอกครับ มันแพงเกินไป」

 

「ไม่ต้องสนใจเรื่องนั้นหรอก ข้าก็แค่ชอบเจ้าเท่านั้นเอง คนอย่างเจ้าเดินไปมาโดยไม่มีอาวุธนั้นเป็นเรื่องน่าอดสูเกินไป …แล้วก็นี้เงินที่เจ้าสมควรจะได้รับ」

 

ครั้งนี้เขาโยนถุงหนังมาให้ เมื่อผมรับมัน ผมก็ได้ยินเสียงเหรียญทองกระทบกัน มั่นใจเลยว่านี้จะต้องเป็นเหรียญทองศักดิ์สิทธิ์ที่ราชันศักดิ์สิทธิ์สัญญาจะให้ผม อย่างไรก็ตาม ผมรู้สึกว่า “รางวัล” นี้ก็แค่ข้อแก้ตัวเท่านั้นเอง และเอิร์ลชายแดนเองก็ทนเห็นผมจากไปตัวเปล่าไม่ได้ – ที่เหมือนกับผมถูกขับไล่ออกนอกประเทศ – ดังนั้นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมเขาถึงให้ของพวกนี้กับผม

 

「เข้าใจแล้วครับ ผมจะรับมันไว้」

 

ผมเก็บกระเป๋าหนังแล้วถือมีดเอาไว้ที่มือซ้าย

 

คนๆนี้ แค่คนๆนี้คนเดียว ที่ปฏิบัติกับผมโดยไม่แรงจูงใจซ่อนเร้นเหมือนขุนนางคนอื่นๆ ผมมั่นใจว่าเขาคงจะรู้ว่าผมมีผมสีดำตาสีดำแน่ๆ—ยิ่งมาในฐานะผู้แทนราชันศักดิ์สิทธิ์แบบนี้ด้วย ผมคิดว่ามันคงเป็นเรื่องหยาบคายที่จะไม่รับมันถ้าเขาต้องถ่อมาถึงนี้เพื่อส่งผมแบบนี้

 

…ไม่ แต่ถ้านี้เป็นกลอุบายเพื่อหลอกผมละ? ถ้าเป็นแบบนั้นละก็ งั้นผมก็จะไม่เชื่อใจขุนนางอีกเลยทั้งชีวิตนี้

 

「ดูแลตัวเองด้วย และ ถ้าเจ้าอยากละก็ มาที่ดินแดนของข้าได้นะ คำเชิญนั่นจะอยู่จนกว่าข้าจะตายเลย ว่ะฮ่าๆๆๆ」

 

พวกเราโค้งคำนับต่อเอิร์ลชายแดนที่หัวเราะอย่างเริงร่าก่อนจะเริ่มเดินออกไป เหล่าอัศวินของตระกูลซิวลิซส์พยายามที่จะตามพวกเรามา ทว่าเอิร์ลชายแดนก็ได้หยุดพวกเขาเอาไว้ “อย่าไปยุ่งกับการเดินทางของลูกผู้ชาย” เขาคำรามแบบนั้น เขานี้มันคนจริงจริงๆ… ผมคงจะเทิดทูนเขาถ้าเขาไม่ได้ดูเหมือนเบอร์เซิร์กเกอร์ละก็นะ

 

พวกเราค่อยๆออกห่างจากคฤหาสน์ซิวลิซส์

 

ผมเดินผ่าน “เขตศักดิ์สิทธิ์ที่ 2” ขณะที่กุมมือของคุณหนูเอาไว้

 

แสงไฟจากตะเกียวเวทมนตร์ส่องสว่างเป็นทาง ทว่าไม่มีผู้คนผ่านไปผ่านมาเลย ที่นี่เป็นที่ที่ชนชั้นสูงของประเทศอาศัยอยู่

 

ถ้ามาคิดดูละก็ คุณหนูคงจะไม่เคยเดินทางบนถนนเส้นนี้โดยไม่ใช้รถม้าแน่ๆ อ่า ไม่สิ มีครั้งนึงที่เธอได้เดินอยู่เหมือนกัน ตอนที่พวกเราออกมาเดินบนถนนโดยที่ปลอมตัวเป็นสามัญชนครั้งนั้น

 

「…เงียบจังเลยนะครับ」ผมพูด

 

「อืม ก็นี้มันกลางดึกแล้วนี้นะ」

 

แสงจากบ้านเรือนนั้นมืดสนิท และผมก็ไม่รับรู้ถึงสัญญาณของผู้คนใดๆ

 

แทบจะรู้สึกเหมือนกับมีแค่ผมกับคุณหนูอยู่ในโลกใบนี้เพียงสองคนเท่านั้นเลย

 

「นายเกิดที่ไหนงั้นหรอ เรย์จิ?」

 

อยู่ๆคุณหนูก็ถามขึ้นมาแบบนั้น

 

「…เมืองในชนบทหน่ะครับ มีทุ่งข้าวกว้างใหญ๋แผ่ขยายรอบๆแม่น้ำสายใหญ่ ทุกๆวันผมจะไปโรงเรียนโดยเดินผ่านทุ่งข้าวพวกนั้นครับ」

 

「ทุ่งข้าว? โรงเรียน?」

 

「ทุ่งข้าวก็คือทุ่งที่ใช้ปลูกพืชชนิดนึงครับ ส่วนโรงเรียนก็… มันมีโรงเรียนสอนวิชาชีพสำหรับสามัญชนอยู่ในประเทศนี้ด้วยใช่ไหมละครับ? โรงเรียนที่ผมเรียนก็คือสอนเรื่องทั่วๆไปหน่ะครับ」

 

「นายมาจากตระกูลขุนนางงั้นหรอ เรย์จิ?」

 

「ฟุฟุ」

 

ผมเผลอหัวเราะออกมา มันอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาเมื่อคิดว่าพ่อของผมที่เป็นข้าราชการท้องที่จะเป็นขุนนางแบบนั้น

 

「ผมไม่ใช่ขุนนางหรอกครับ ผมมาจากครอบครัวสามัญชน… แต่มันก็ไม่ได้แย่อะไรหรอกนะครับ」

 

ผมรำลึกความทรงจำในชาติก่อนได้ที่เหมืองที่ 6 นั่น แต่ก็น่าแปลกที่ผมไม่เคยรู้สึกอะไรอย่างน่าคิดถึงหรืออยากกลับบ้านเลย มันอาจจะเป็นเพราะผมได้ตายอย่างสงบในชาติก่อนก็ได้ หรืออาจจะเป็นเพราะผมใช้ชีวิตอยู่ในโลกนี้มานาน หรือแม้กระทั่งอาจจะเป็นเพราะมันเหมือนความทรงจำที่ห่างไกลก็ได้

 

ทว่าในตอนนี้ ผมคิดถึงชีวิตในญี่ปุ่นเหลือเกิน

 

ผมอยากที่จะเดินไปกับคุณหนูในเมืองที่ไม่มีอะไรน่าตื่นเต้นเกิดขึ้นแบบนั้น

 

「เรย์จิ งั้น…」

 

จากนั้นคุณหนูก็ถามอะไรผมหลายอย่าง มันคงเป็นครั้งแรกเลยที่มีใครสักคนถามถึงอดีตของผมมากขนาดนี้ ทั้งอาหารที่ชอบ, หนังสือที่ผมสนใจ, ใครที่ผมชื่นชอบ

 

อย่างไรก็ตาม อีกไม่นานมันก็จะมาถึงจุดสิ้นสุด

 

สิ่งที่ปรากฏตรงหน้าของพวกเราก็คือ “กำแพงที่ 3” ที่แยกระหว่าง “เขตศักดิ์สิทธิ์ที่ 2” กับ “เขตศักดิ์สิทธิ์ที่ 3” ออกจากกัน มีทหารยามที่ถือตะเกียงเวทมนตร์ที่ใหญ่เป็นพิเศษกำลังตรวจสอบผู้คนที่ผ่านเข้าออกอยู่

 

เมื่อยามได้ถามผมว่าทำไมถึงออกมาดึกดื่นแบบนี้ ผมก็ได้แสดงตราสัญลักษณ์ของตระกูลซิวลิซส์ขึ้น แล้วพวกเขาก็ถอยออกไป ผมไม่ใช่สมาชิกตระกูลซิวลิซส์อีกต่อไปแล้วก็จริง แต่เอิร์ลไม่ได้บอกผมให้ “คืน” มันนี้ ดังนั้นมันจึงไม่เป็นไรหรอก

 

เนื่องจากมันยังเป็นกลางดึก ประตูของ “กำแพงที่ 3” จึงยังปิดอยู่ ทว่าเมื่อพวกเราต้องการจะออกไป พวกยามก็เลยต้องลำบากเปิดมันออก เมื่อประตูเปิดออก ความมืดมิดของ “เขตศักดิ์สิทธิ์ที่ 3” ก็ได้ปรากฏพร้อมกับสายลมที่พัดพา

 

「คุณหนูครับ」ผมพูด「พวกเราคงจะต้องจากกันตรงนี้แล้วละครับ」

 

คุณหนูมองมาที่ผมอย่างตกตะลึง

 

「…เอ๊ะ?」

 

========================================================

TL: เรย์จิ… เอ็งนี้มัน…

 

 

บทที่ 2 ตอนที่ 53

 

ผมบอกให้คุณหนูถอยไปก่อนจะก้าวไปข้างหน้า เลเลนอร์ซังจับไปที่ดาบของเธออย่างระมัดระวัง

 

「…เรย์จิคุง ชั้นถูกสั่งจากนายท่านให้มาที่นี่ในฐานะที่เรารู้จักกัน ถูกบอกแค่ให้มาพาตัวนายไป ดังนั้นชั้นจึงไม่รู้หรอกว่าจะเกิดอะไรขึ้นหลังจากนั้น แต่ถ้านายเลือกที่จะขัดขืนละก็ ชั้นก็คงต้องใช้กำลังแล้วละ」

 

「ถึงพวกเราจะรู้จักกัน แต่ผมก็ไม่ออกมือหรอกนะครับถ้าคุณหันดาบใส่ผม」

 

เลเลนอร์ซังขมวดคิ้ว

 

「ถ้านายดูถูกตระกูลเอเบนละก็ ชั้นก็จะเป็นคนเปลี่ยนความคิดนายเอง! เพื่อปกป้องตระกูลเอเบนในเมืองศักดิ์สิทธิ์นี้ ชั้นหน่ะ–」

 

「ผมเตือนคุณแล้วนะครับ」

 

「อะไรน่ะ!?」

 

จังหวะที่ผมก้าวออกมาจากประตู เลเลนอร์ซังก็ถูกส่งลอยขึ้นฟ้าไปทันที จะมีสักกี่คนกันนะที่รู้ว่าผมยิงเธอด้วย【เวทย์ลม】หน่ะ?

 

「แล้วสำเนียงของคุณมันทำให้ผมนึกถึงเพื่อนอันแสนล้ำค่าของผม ดังนั้นผมเลยไม่อยากลากยาวไปมากกว่านี้ครับ」

 

อีกฝ่ายนั้นเป็นหญิงสาวฮาร์ฟลิง และมันก็ยากสำหรับผมเพราะวิธีพูดของเธอเหมือนกับมิมิโนะซังเลย ดังนั้นผมเลยจัดการกับเธอก่อน เธอน่าจะสลบไปแล้วและคงไม่ตื่นขึ้นมาในอีกสักพัก

 

เหล่าทหารติดอาวุธนั้นประหลาดใจในตอนที่ถูกโจมตีกระทันหัน

 

(ทำไมพวกนายถึงยืนเปิดโล่งขนาดนั้นหล่ะ? ในตอนที่ผมกำลังคุ้มกันคุณหนูอยู่หน่ะ ผมไม่เคยเสียสมาธิเลยนะ รู้ไหม!)

 

ผมเริ่มวิ่งฝ่าไปยังกองทหารติดอาวุธด้วย【ทักษะการวิ่ง】แล้วยิง【เวทย์ลม】อย่างต่อเนื่อง

 

「อุ๊ก!」

 

「อั๊ก!?」

 

「อ๊ากกก!!」

 

ประมาณ 7 คนถูกผลักกระเด็นออกไป และคนที่ 8 ก็ใช้โล่หยุดเวทมนตร์ของผม โล่ได้เปล่งแสงในตอนที่หยุดเวทมนตร์ของผมเอาไว้ สงสัยจังว่านั่นคือโล่เวทมนตร์หรือเปล่านะ?

 

「เห้ย เตรียมอาวุธของพวกแกซะ! จัดกระบวนทัพ! พวกเรากำลังถูกโจมตี!」

 

「ไอ้คนขี้ขลาด!」

 

เอาคนจำนวนมากมาเผชิญหน้ากับคนๆเดียวแบบนี้ ยังเรียกผมว่า “ขี้ขลาด” อีกเหรอเนี้ย กองทหารติดอาวุธได้ล้อมผมเอาไว้เรียบร้อยแล้ว

 

(พวกนายจะเว้นระยะห่างโดยไม่บุกเข้ามาหรอ? ต่างกันด้านจำนวนขนาดนี้เนี้ยนะ? เอางั้นก็ได้ จะให้ผมแสดงวิธีต่อสู้ที่ขี้ขลาดกว่านี้ให้ดูก็ได้นะ?)

 

เมื่อผมใช้งาน【เวทย์มืด】กระสุนความมืด 10 นัดก็ได้ปรากฏขึ้น 5 นัดที่มือขวา อีก 5 นัดที่มือซ้าย

 

「พลโล่! หยุดเวทมนตร์เอาไว้! มันกำลังมาแล้ว!」

 

เหล่าพลโล่ได้สลับตำแหน่งกับทหารติดอาวุธขึ้นมาข้างหน้า ทว่ามันก็ไม่ได้สำคัญอะไรเลยสักนิด ผมได้ยิงกระสุนทั้ง 10 นัดออกไป

 

「กันเอาไว้!… ห่ะ!?」

 

ผมไม่ได้เล็งไปที่ทหาร สิ่งที่ผมเล็กหน่ะ–

 

「หว่า!? อะไรกันเนี้ย!!」

 

「มืดไปหมดเลย!」

 

คือตะเกียงเวทมนตร์ ผมยิงกระสุนความมืดนัดแล้วนัดเล่าแล้วคลุมมันเอาไว้รอบๆตะเกียง มันไม่สามารถทำความเสียหายอะไรได้หรอก มันก็แค่เวทมนตร์ที่ใช้บล็อกแสงเท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้น ถึงจะถูกดาบฟันหรือมือทุบ มันก็จะไม่หายไปจนกว่าจะผ่านไปสักพักด้วย

 

ทันทีทันใด บริเวณรอบๆก็ถูกบดบังด้วยความมืดยามค่ำคืน

 

ผมวิ่งไปยังพลโล่ก่อนจะผ่านเข้าไป ผมเหยียบไปที่หัวของพวกเขาแล้วกระโดดข้ามโล่ออกมา

 

ผมสามารถมองเห็นในความมืดได้ด้วยสกิล【Night Vision】ของผม ดูเหมือนว่าจะมีทหารประมาณ 1, 2, 3… 3คนที่มี【Night Vision】อยู่ แต่มันก็ไม่พอหรอกนะ

 

「อุ๊ก!」

 

「อั๊ก!」

 

「หว่า!?」

 

ผมยิง【เวทย์ลม】ออกไปมั่วๆรอบตัวผม ก่อนจะชกและเตะไปที่คนที่ไม่ได้สวมชุดเกราะ【เวทย์ลม】นี้สุดยอดไปเลย ไม่มีทั้งล่องลอย, ไม่ส่องสว่าง, แถมถ้าลมแรงมากพอก็จะทำความเสียหายได้แม้จะใส่ชุดเกราะอยู่

 

「ยิงไปที่ตรงนั้น! ไม่ต้องสนพวกที่อยู่ใกล้ๆ!」

 

ทหารที่มี【Night Vision】ตะโกนสั่งการให้กับคนที่ดูเหมือนกับนักเวทย์

 

เปลวเพลิงปรากฏขึ้นที่มือที่ยกขึ้นของนักเวทย์คนนั้น ส่งผลให้บริเวณรอบๆส่องสว่างขึ้นมาทันที

 

「ยิงได้!!!」

 

ผมรีบสัมผัสกับพื้นแล้วใช้งาน【เวทย์ดิน】กำแพงดินเหนียวก็ได้ปรากฏขึ้น ทะลุพิ้นหินแล้วส่งทหาร 2 นายลอยขึ้นไปบนฟ้า มันได้หยุดกระสุนเพลิงที่ยิงออกมาได้

 

「หา!? 【เวทย์ดิน】ก็ด้วยงั้นเรอะ!?」

 

「เจ้าหมอนั่นมันใช้ได้กี่อย่างกันแน่?!」

 

กำแพงดินเหนียวนั้นเป็นตัวล่อที่ดีเลย ในจังหวะนั้น ผมก็พุ่งเข้าหากองทหารด้วย【Night Vision】และทำให้พวกเขาสลบไปด้วย【เวทย์ลม】ก่อนจะชกไปที่นักเวทย์

 

ในตอนที่ผมจัดการพวกนักเวทย์หมดแล้ว พวกทหารก็เริ่มโจมตีกันเองจากความมืด พวกนายนี้นะ ไปคิดวิธีต่อสู้โดยความต่างด้านจำนวนมาอีกสักนิดเถอะ

 

「บ้าเอ้ย! เจ้านั่นมันยิงเวทมนตร์ได้กี่นัดกันวะเนี้ย!?」

 

「ปล่อยให้มันยิงไป! มันน่าจะมานาหมดในเร็วๆ— อั๊ก!」

 

ผมรู้สึกแย่ที่ไม่ปล่อยให้เขาพูดจนจบประโยคด้วย【เวทย์ลม】แบบนี้

 

「หืมม คิดว่าคงจัดการไปได้สักครึ่งนึงแล้วละนะ」

 

【เวทย์มืด】ที่คลุมตะเกียงอยู่ได้คลายออก — ตะเกียงแทบทั้งหมดถูกโยนทิ้งพื้น ดังนั้นมันจึงเริ่มสว่างขึ้นจากพื้น

 

เหล่าทหารติดอาวุธต่างนอนกองอยู่รอบๆตัวผมอย่างกับศพเลย เนื่องจากผมยิงเวทมนตร์เพื่อทำให้สลบไม่ได้ฆ่า มันจึงไม่ได้กินมานามากเท่าไหร่ หืม ดูเหมือนผมจะได้เรียนสกิล【ควบคุมมานา】4 ดาวของคุณหนูมาด้วยนะ ผมรู้สึกเหมือนกับผมสามารถควบคุมมานาที่ไหล่เวียนอยู่ในร่างกายได้อย่างสมบูรณ์เลย

 

ผมเอาผ้าเช็ดมือออกมาจากกระเป๋าเสื้อแล้วเช็ดเหงื่อตรงหน้าผากของผม

 

「ถึงคนที่ยังยืนได้อยู่!」ผมพูด

 

หลังจากที่ผมเก็บผ้าเช็ดหน้า ผมก็ใช้งาน【เวทย์มืด】สร้างกระสุนความมืดขึ้นมา 10 นัด

 

「หวังว่าพวกคุณคงจะร่วมเต้นรำกับผมจนกว่าจะจบนะครับ?」

 

ขณะที่ผมก้าวไปข้างหน้าพร้อมกับรอยยิ้ม เหล่าทหารติดอาวุธก็เริ่มตัวสั่นแล้วถอยออกไป แทบทั้งหมดนั้นหน้าถอดสี มือที่กำอาวุธอยู่สั่นสะท้าน

 

「—หยุดเดี๋ยวนี้!」

 

และผมก็ได้ยินเสียงเกือกม้ากระทบกับพื้นหิน จังหวะที่【เสริมการได้ยิน】ของผมได้ยินเสียงเกือกม้าจากไกลๆ เสียงตะโกนก็ได้ดังลั่นมาถึงตรงนี้แล้ว เสียงตะโกนนั่นมันต้องดังขนาดไหนกันถึงดังมาถึงตรงนี้ได้เนี้ย

 

ม้าที่ตัวใหญ่กว่าปกติที่เห็นได้บ่อยๆก็เข้ามาในระยะสายตา มันเป็นม้ากล้ามบึกขนสีฟ้า ทว่าชายที่ขี่มันนั้นเด่นยิ่งกว่าตัวม้าซะอีก

 

ชายร่างยักษ์สวมหนังหมีกริซลี่ สะพายขวานสองมือที่หนักกว่า 100 กิโลกรัมเอาไว้ที่หลัง

 

「เอิร์ลชายแดน…」

 

ตัวปัญหาโผล่มาแล้ว เอิร์ลชายแดนนั้นแน่นอนว่าแข็งแกร่งมาก, มาก, มากยิ่งกว่าทหารพวกนี้รวมกันซะอีก

 

เมื่อผมจ้องมองไปที่เขา เขาก็ลงมาจากม้าห่างจากกองทหารไปประมาณ 10 เมตร

 

「หยุดต่อสู้กันเดี๋ยวนี้ ข้าคือเอิร์ลประจำชายแดนมิวล์ พวกแกเข้าใจใช่ไหมว่าสิ่งนี้หมายถึงอะไร?」

 

เอิร์ลชายแดนนำบางอย่างที่ดูเหมือนกับอัญมณี*มากาทามะส่องแสงสีฟ้าที่ห้อยอยู่ตรงข้อมือของเขาออกมา

 

「ตะ-ตราผู้แทนของฝ่าบาท!?」

 

เหล่าทหารต่างฮือฮา ดูเหมือนว่าเอิร์ลชายแดนจะมาที่นี่ในฐานะตัวแทนของราชันศักดิ์สิทธิ์—หรืออะไรแบบนั้นนะ

 

「ถ้าพวกแกเข้าใจแล้วละก็ วางอาวุธลงเดี๋ยวนี้!! เด็กคนนั้นไม่ใช่ใครที่คนอย่างพวกแกจะจัดการได้ตั้งแต่แรกแล้ว! เมื่อพวกแกกลับไป ไปบอกไอ้เตี้ยเอเบนว่าการกระทำเล็กๆน้อยๆนี้จะไม่ถูกมองข้ามอย่างเด็ดขาด!」

 

========================================================

*มากาทามะ เครื่องรางโบราณของญี่ปุ่น มีลักษณะคล้ายหยินหยางที่มีซีกเดียว

 

 

บทที่ 2 ตอนที่ 52 ส่วนที่ 4

 

ความอาฆาตที่แท้จริงมักพบได้ในความเมตตา

 

หูของผมได้ยินเสียงข้างนอกชัดเจนจากการใช้【เสริทการได้ยิน】ค่อนข้างมากพอดูเลยนะ… อาจจะเป็นร้อยเลยก็ได้ คนพวกนั้นดูจะรวมตัวกันอยู่ที่ประตูคฤหาสน์ ตอนนี้เหล่าอัศวินใต้บังคับบัญชาของกัปตันแม็กซิมกำลังรับมือกับพวกเขาอยู่ ทว่าถ้ามันยังเป็นอย่างนี้อยู่ละก็ ไม่นานอัศวินพวกนั้นก็คงแพ้

 

คาดไม่ถึงเลยว่าตระกูลของคุณชายอีธานอย่างตระกูลเอเบนจะเห็นผมสีดำตาสีดำเป็นศัตรูขนาดนี้ บทสรุปของวันนี้ควรจะเป็นว่าท่านเอิร์ลปฏิเสธแล้วคุณหนูก็ผิดหวัง แต่สุดท้ายทั้งคู่ก็กลับมาคืนดีกันเพราะเป็นครอบครัวเพียงคนเดียวที่เหลืออยู่สิ – นั่นเป็นตอนจบที่ผมคิดเอาไว้ในหัว

 

ทว่า ท่านเอิร์ลก็ทำให้สถานการณ์มาถึงจุดนี้ ไม่สิ เป็นเพราะผมต่างหากที่ทำให้สถานการณ์มาถึงจุดนี้ พวกเขารู้ได้ยังไงกัน? คำพูดและการกระทำของคนกลางในตอนนั้นงั้นสินะ…

 

「ท่านพ่อคะ! มันไม่โหดร้ายไปหน่อยหรือคะ!? ท่านได้เรย์จิช่วยเอาไว้นะคะ! ขนาดเมื่อวาน ถ้าไม่ใช่เพราะเรย์จิละก็ อาจมีหลายคนต้อง…!」

 

「ไม่เป็นไรหรอกครับ คุณหนู」

 

「แต่ว่า!」

 

「ผมดีใจนะครับที่คุณหนูโกรธแทนผม」

 

เมื่อผมพูดออกมาจากก้นบึ้งของหัวใจ คุณหนูก็มองมาทางผมด้วยสีหน้าเศร้าสร้อย

 

(แค่นั้นก็ทำให้ผมใีความสุขจริงๆแล้วครับ)

 

ผมมีเพื่อน เพื่อนที่ผมสามารถเชื่อได้อย่างสุดหัวใจ

 

เอิร์ล… คุณต้องไม่เคยรู้สึกอย่างนี้แน่ๆ ใช่ไหมละ?

 

「เรย์จิซัง เจ้าดูสบายๆนะ」

 

「ครับ ก็อย่างที่ผมบอกไป ผมไม่มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับตระกูลเอิร์ลอีกต่อไปแล้วครับ」

 

「… หรือก็คือ เจ้าหวังที่จะออกไปตอนนี้สินะ? กองทหารมากความสามารถของดยุคเอเบนกำลังรอเจ้าอยู่ที่ข้างนอกนั้นนะ รู้ไหม」

 

เอิร์ลเลิกคิ้ว บางทีเขาคงคิดว่าผมประเมินความสามารถตนเองสูงไปสินะ

 

เอาเถอะ ก็ผมไม่เคยแสดงพลังที่แท้จริงของผมต่อหน้าเอิร์ลเลยนี้นา

 

「เอิร์ล มีข้อมูลอยู่ 2 อย่างที่ผมต้องการ… ทว่าคุณก็หามาให้ไม่ได้ มีเรื่องหิน 8 ดาวอยู่ก็จริง แต่นั่นก็ไม่ใช้สิ่งที่ผมต้องการหรอก」

 

「เจ้าอยากจะพูดอะไรกันแน่?」

 

「ข้อมูล 2 อย่างนั้นเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดของผม ผมไม่ได้ต้องการอยู่ที่นี่เพื่อปกป้องชื่อเสียงของตระกูลเอิร์ลหรือเงินเดือนมหาศาลหรอกนะครับ」

 

「!」

 

「คุณเป็นคนที่ทั้งฉลาดและมองการไกล แต่คุณมองพลาดไปหนึ่งอย่าง ผมไม่ได้คาดหวังอนาคตอะไรของตัวเองกับประเทศนี้หรอกนะครับ ถ้ามีที่ที่ผมสามารถไปได้อย่างอิสระ ผมก็จะไปประเทศนั้นในทันทีเลยครับ」

 

「…งั้น เจ้าก็ไม่ได้มีอะไรติดค้างที่นี่เลยงั้นหรือ?」

 

「ไม่ครับ มันมีอยู่ แต่เพียงแค่อย่างเดียวเท่านั้น – คือคุณหนูครับ」

 

ผมเดินอ้อมโซฟาไปแล้วยืนอยู่ข้างๆคุณหนู

 

「คุณหนูครับ อยากจะออกไปกับผมหรือเปล่าครับ? โลกนี้มันกว้าง – กว้างมากจนใช้เวลาทั้งชีวิตก็ยังเห็นได้ไม่หมดเลยนะครับ」

 

ดวงตาของคุณหนูเบิกกว้าง

 

เธอมองมาที่มือของผมที่ยื่นออกมา แล้วจากนั้นก็มองมาที่ใบหน้าของผม

 

เอิร์ล — ไม่ได้พูดอะไร กลับกัน เป็นหัวหน้าพ่อบ้านกับกัปตันแม็กซิมต่างหากที่มีท่าทางหงุดหงิด

 

คุณหนูไม่สำคัญกับเอิร์ลงั้นหรอ? — ไม่ เอิร์ลหน่ะเป็นพ่อขี้หวงลูกที่จะปกป้องลูกสาวของเขาแม้ว่ามันจะทำลายตัวเขาเองเลย ดังนั้น ทำไมเขาถึงไม่หยุดผมละ?

 

「…ชั้นจะไป」

 

เมื่อคุณหนูจับมือของผมแล้วลุกขึ้น สีหน้าไร้อารมณ์ของเอิร์ลก็พังทลายลงในทันที

 

「ทะ-ทำไมกัน…?!」

 

เอิร์ลนั้นมั่นใจว่าคุณหนูจะไม่จับมือผมแน่ๆ ทว่าเมื่อเขาคิดผิด เขาก็ช็อคสุดๆไปเลย

 

「เอิร์ล วันนี้พวกเราได้ไปที่โบสถ์ในขณะที่คุณไม่อยู่」

 

「…จะ-เจ้าพูดอะไรกัน…?」

 

「ผมได้ยกเลิกเวทย์พันธสัญญาระหว่างคุณกับคุณหนูแล้วครับ」

 

「!?」

 

ใบหน้าหล่อๆของเอิร์ลบูดบึ้งสุดๆ ส่วนหัวหน้าพ่อบ้านกับกัปตันแม็กซิมต่างมีสีหน้างุนงง

 

「…ตัดสินจากสีหน้าแล้ว ดูเหมือนจะมีแค่คุณคนเดียวที่รู้เรื่องนี้นะครับ」

 

วันนี้เป็นครั้งแรกที่ผมสงสัยว่าคุณหนูอาจจะถูกผูกมัดด้วยเวทย์พันธสัญญา นั่นก็เพราะในตอนที่เธอได้ยินข้อมูลจากผมแล้วเริ่มสงสัยในตัวเอิร์ล เธอก็ดูป่วยอย่างผิดธรรมชาติ

 

คุณหนูอาจจะถูกผูกมัดไม่ให้ทรยศพ่อของเธอ – คิดได้แบบนั้น ผมก็เลยพาตัวคุณหนูไปที่โบสถ์

 

นั่นเองก็เป็นครั้งแรกที่ความรู้ที่ผมเรียนรู้มาจากน็อนซังเกี่ยวกับเวทย์พันธสัญญาได้ใช้ประโยชน์

 

ที่โบสถ์ ถ้าคุณจ่ายเงินละก็ คุณจะสามารถทำพิธีล้างบาปและสิ่งสกปรกได้ คุณจะต้องตัวเปล่าแล้วอาบน้ำศักดิ์สิทธิ์ ทว่ากระบวนการอาบนั้นดูจะใกล้เคียงกับกระบวนการแก้เวทย์พันธสัญญาบางชนิดด้วย เมื่อคุณทำแบบนั้น ดูเหมือนจะมีเวทย์พันธสัญญาหลายอันที่สามารถแก้ได้ถ้ามีการไหลเวียนของมานาในร่างกายสูง – ถึงแม้น็อนซังจะพูดว่ามันมีเจ้าหน้าที่โบสถ์เพียงไม่กี่คนที่รู้ก็เถอะ

 

คุณหนูนั้นมีมานาจำนวนมาก และเธอเองก็มีสกิล【ควบคุมมานา ★★★★】ด้วย ดังนั้นเธอจริงเป็นอิสระจากเวทย์พันธสัญญาได้อย่างง่ายดาย

 

น็อนซังบอกว่ารูปแบบเวทมนตร์พิเศษหรือเวทมนตร์ที่คนร่ายเป็นศูนย์กลางจะไม่สามารถลบล้างได้ ทว่าตัวคุณหนูไม่ใช่กรณีนั้น

 

เอิร์ลกึ่งลุกกึ่งนั่งพร้อมกับสีหน้าตกตะลึง

 

「อีวา งั้นลูกก็…!」

 

「ค่ะ ท่านพ่อ หนูจำได้หมดทุกอย่างแล้ว หนูเป็นคนฆ่าท่านแม่ ใช่ไหมละคะ?」

 

งั้น ทำไมเอิร์ลถึงใช้เวทย์พันธสัญญากันละ?

 

ดูเหมือนว่าคุณหนูจะบังเอิญไปได้ยินเรื่องการตายของแม่ของเธอจากพ่อบ้านที่ทำงานอยู่ในตอนนั้นเข้า เวทย์พันธสัญญาก็เลยถูกใช้เพื่อปกปิดความทรงจำของเธอแล้วความสัมพันธ์ในครอบครัวก็จะได้ไม่พังทลายลงอีก ไม่ใช่แค่ความทรงจำเท่านั้นที่ถูกปกปิด เอิร์ลก็คงจะทำให้เธอไม่สามารถทรยศเขาได้ และเขาเองก็ไม่สามารถทรยศเธอได้เช่นกัน อย่างไรก็ตาม ปัญหามันอยู่ตรงที่ “ตราบใดที่คนใดคนหนึ่งรู้สึกว่าเขาทรยศอีกฝ่าย” ต่างหาก ถึงท่านเอิร์ลจะเก็บความลับมากมายจากคุณหนู เขาก็ทำไปเพื่อตัวคุณหนู ดังนั้นเขาจึงไม่เป็นอะไร ทว่า ในตอนที่คุณหนูเริ่มสงสัยเอิร์ล เธอรู้สึกว่าตัวเธอกำลังทรยศพ่อตัวเอง นั่นถึงเป็นเหตุผลว่าทำไมเวทย์พันธสัญญาถึงได้ทำงาน

 

ถึงแม้คุณหนูจะจำเรื่องการตายของแม่ได้ แต่เธอก็ไม่ได้เสียท่าทีใดๆเลย เธอไม่ได้ดูต่างไปจากเดิมเลยสักนิด ตอนที่เธอกลับมาจากการอาบน้ำ ผมยังสงสัยเลยว่ามันอาจจะไม่ได้มีเวทย์พันธสัญญาอยู่เลยก็ได้ เพราะผมไม่เห็นถึงความผิดปกติใดๆเลยในตอนแรก

 

แต่หลังจากที่เธอกลับมาถึงห้องของเธอที่คฤหาสน์ คุณหนูก็เล่าทุกอย่างให้กับผม เธอกอดผมแล้วร้องไห้ออกมา หลังจากที่เธอร้องจนน้ำตาแห้งเหือดหมดแล้ว เธอก็พูดว่า “ชั้นไม่เป็นไรแล้ว” พร้อมกับยิ้มออกมา

 

―ความจริงก็คือ เธอเองก็สงสัยมาตลอดแล้วว่าแม่ของเธอตายอาจจะเป็นเพราะ “เนตรเวทมนตร์แห่งการชักจูง” ของเธอก็ได้

 

「ไม่! มันไม่ใช่ความผิดของลูกหรอกนะ!」

 

แล้วก็สำหรับเอิร์ล จุดอ่อนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเขาก็คือคุณหนู

 

「หนูไม่เป็นไรค่ะ หนูสามารถจัดการกับบาปของตัวเองได้ ยิ่งไปกว่านั้น… ถึงเวลาแล้วค่ะที่พวกเราควรจะหยุดพึ่งพากันและกันได้แล้ว หนูต้องเรียนรู้ที่จะเป็นอิสระ และท่านพ่อคะ ท่านเองก็ต้องปล่อยวางลูกของตัวเองได้แล้วค่ะ คนของตระกูลซิวลิซส์นั้นสามารถเดินและยืนหยัดด้วยสองเท้าโดยไม่พึ่งเวทมนตร์ราคาถูกแบบนั้นค่ะ」

 

「แต่ว่า! แต่ว่าลูกก็ไม่เห็นจำเป็นต้องออกไปจากบ้านหลังนี้เลย!」

 

「…เรย์จิ ไปกันเถอะ」

 

「ครับ」

 

คุณหนูกับผมหันหลังให้กับเอิร์ล

 

「อีวา! อีวา—!!」

 

เสียงอันเศร้าสลดของเอิร์ลทำให้ผมรู้สึกเจ็บปวด เมื่อเอิร์ลกำลังจะลุกขึ้นแล้วตามพวกเรามา ผมก็ได้ปล่อยจิตสังหารออกไป—ส่งผลให้เอิร์ลล้มลงไปที่ตรงนั้น กัปตันแม็กซิมเองก็สะดุ้งเฮือก

 

คุณหนูนั้นเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดเหนือสิ่งอื่นใดสำหรับเอิร์ล

 

ขนาดตอนที่คุณหนูสงสัยเขา เขาก็ยอมรับมันในฐานะ “การเติบโตของลูกสาว” แล้วเชื่ออย่างสุดใจว่าเธอจะไม่ทรยศเขา

 

เพราะมันมีสิ่งที่เรียกว่าเวทย์พันธสัญญาอยู่

 

ทว่าคุณหนูก็เอาชนะมันมาได้

 

และแล้วพวกเราก็ออกจากห้องไป

 

「…เรย์จิ」

 

「ครับ」

 

「สิ่งที่ท่านพ่อทำมันผิดหรือเปล่า?」

 

เอิร์ลนั้นทำอย่างสุดความสามารถเพื่อประเทศนี้และเพื่อลูกสาวของเขา

 

ต่อให้คนอื่นๆจะมองว่ามันเป็น “ความชั่วร้าย” แต่สำหรับเขานั้นมันคือความถูกต้อง

 

ผม… ก็ไม่ได้ขุ่นเคืองอะไรเอิร์ลหรอก ไม่ได้เกลียดอะไรเขาด้วยเช่นกัน กลับกันนั้น

 

(ช่างเป็นคนที่ไม่มีไหวพริบเอาซะเลย!)

 

ผมรู้สึกสงสารเขา

 

เอิร์ลเขาก็แค่อยากจะให้ผมพึ่งพาเขาให้มากกว่านี้แล้วอยู่ภายใต้การดูแลของเขาก็เท่านั้นเอง นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมเขาถึงพยายามบีบบังคับผมแบบนั้น

 

แต่นั่นดูเหมือนความอาฆาตมากกว่าเดิมอีกสำหรับผม

 

ต่อให้เป้าหมายจริงๆของเขาจะเป็นเพราะความเมตตาที่อยากจะปกป้องผมก็เถอะ

 

「เขาไม่ได้ผิดหรอกครับ คุณพ่อของคุณเป็นผู้ชายที่ดีมากๆเลยครับ」

 

ผมยืนยัน

 

「งั้น…」

 

คุณหนูถามขึ้นมาอีกครั้ง

 

พวกเรานั้นได้มาถึงโถงทางเข้าแล้ว เหล่าเมดและพ่อบ้านที่หวาดกลัวเสียงข้างนอกได้มารวมกันที่ตรงนี้

 

ผมเปิดประตูที่เปิดสู่ภายนอกให้กับคุณหนู

 

「สิ่งที่ชั้นทำลงไปมันผิดหรือเปล่า?」

 

ภายใต้ความมืดและแสงจันทร์ เหล่าอัศวินของตระกูลซิวลิซส์ต่างก็มารวมตัวกัน และมีตะเกียงเวทมนตร์มากมายถูกจุดเอาไว้ส่องสว่างไปจนถึงประตู

 

ทหารติดอาวุธประมาณ 100 นายรวมตัวกันอยู่ที่ด้านนอกประตูพร้อมกับตะเกียงเวทมนตร์

 

「ไม่เลยครับ」ผมยืนยัน「ถ้าคุณหนูทำอะไรที่ผิดละก็ ผมจะเป็นคนหยุดอย่างสุดความสามารถเองครับ」

 

「……งั้นหรอ」

 

เมื่อคุณหนูกับผมเริ่มเดิน เหล่าอัศวินที่เห็นพวกเราต่างก็บอกให้พวกเราหยุด ทว่าพวกเราก็ไม่สนใจและเดินต่อไป

 

「มันน่าจะมีคนคุ้มกันที่ชื่อเรย์จิอยู่ที่นี่ ส่งตัวเขามาแล้วทุกอย่างจะจบ」

 

「มาร้องขอคนอื่นกลางดึกอย่างนี้มันเป็นปัญหานะ」

 

ที่ประตู เลเลนอร์ซังกับอัศวินกำลังเถียงกันอยู่

 

พวกเขาต่างตกตะลึงในตอนที่สังเกตเห็นพวกเราที่เข้ามาใกล้ เลเลนอร์ซังมีสีหน้าที่เจ็บปวด

 

「เรย์จิ… มือ」

 

「ครับ」

 

ผมจับมือของคุณหนู มันเย็นอย่างเหลือเชื่อเลย เธอกำลังฝืนตัวเองอยู่ ทำเอาผมเป็นกังวลเลย… อย่างน้อยๆถ้าผมสามารถแบ่งอุณหภูมิร่างกายของผมให้ได้ละก็

 

คุณหนูก้าวเดินทีละก้าวเหมือนกับกำลังดึงตัวเองเข้ามาหาผมที่กำลังเดินไปข้างหน้า และแล้วเธอก็หยุดอยู่ห่างประตูเพียงไม่กี่ก้าว

 

「เรย์จิ」

 

「ครับ」

 

「…นายจะยังคุ้มกันชั้นอยู่ไหมถึงแม้ชั้นจะออกจากตระกูลเอิร์ลแล้ว?」

 

「ด้วยความยินดีครับ」

 

「งั้นหรอ… พวกนาย เปิดประตู」

 

「แต่ว่า ท่านอีวา…」

 

「นี้เป็นคำสั่ง เปิดประตูซะ」

 

「…คะ-ครับ」

 

ถึงจะยังงุนงงกับคำสั่งของคุณหนู เหล่าอัศวินก็เปิดประตู

 

ในทางกลับกัน เหล่าทหารติดอาวุธต่างก็มองมาที่ผม พวกเขาดูจะฝึกมาน้อยกว่าอัศวินของตระกูลซิวลิซส์อีก และนอกจากมนุษย์แล้ว ส่วนใหญ่ยังเป็นฮาร์ฟลิงด้วย

 

「คุณหนูอีวาคะ โปรดส่งตัวเรย์จิโดโนะที่ยืนอยู่ข้างๆมาด้วยค่ะ ท่านเอิร์ลได้แจ้งเรื่องนี้เอาไว้แล้ว」

 

เลเลนอร์คุกเข่าลงแล้วร้องขอ

 

「เรย์จิไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับตระกูลเอิร์ลแล้ว」

 

「งั้นหรือคะ… งั้นมันก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไรค่ะ」

 

「เธอจะทำอะไรกับเรย์จิ?」

 

「…ไม่สามารถบอกได้ค่ะ」

 

「จะฆ่าเขาอย่างนั้นหรอ?」

 

「!」

 

เลเลนอร์นั้นตกตะลึง… นี้เธอจะฆ่าผมงั้นหรอ? น่ากลัวชะมัด การตัดสินว่าใครจะมีชีวิตอยู่มันง่ายดายขนาดนี้เลยหรอ?

 

「ชั้นไม่อาจมอบเขาให้เธอได้ เรย์จินั้นสำคัญกับชั้นมาก… เพราะเขาเป็นคนคุ้มกันของชั้น」

 

「แต่ว่า…!」

 

「เรย์จิ」

 

「ครับ」

 

คุณหนูหันกลับมามองที่ผม ดวงตาของเธอนั้นส่องสว่าง – มันทำให้ผมรู้สึกอบอุ่น ร่างกายรู้สึกร้อนขึ้นและอยากที่จะต่อสู้

 

อา นี้คือ “เนตรเวทมนตร์แห่งการชักจูง” งั้นหรอ? รู้สึกดีชะมัด!

 

แต่ว่านะครับ คุณหนู…

 

ต่อให้คุณหนูไม่ใช้มัน ผมเองก็อยากจะสู้อยู่แล้วครับ

 

「นายสามารถเอาชนะทุกคนที่นี่ได้ไหม?」

 

เลเลนอร์ซังตกใจกับคำถามที่ดูใสซื่อของคุณหนู ในทางตรงกันข้าม เหล่าทหารติดอาวุธนั้นดูจะโกรธกันน่าดู

 

「ถ้าผมเอาจริงละก็ ไม่มีปัญหาครับ」

 

มันคือความจริง ในโลกใบนี้ นักผจญภัยระดับทอง 1 คนนั้นแข็งแกร่งกว่านักผจญภัยระดับเงิน 100 คนซะอีก

 

ความต่างของพลังมีถึงขนาดนั้นละ

 

ว่าง่ายๆ ผมมั่นใจเลยว่าต่อให้ทหารติดอาวุธที่อยู่ข้างหน้านี้ทุกคนประจันหน้ากับอูโรโบรอส พวกเขาก็ไม่มีทางจัดการมันได้เลย

 

「เรย์จิคุง ใจเย็นๆก่อนนะ…」

 

เลเลนอร์ซังพยายามทำให้ผมใจเย็นลง แต่ว่ามันไม่มีประโยชน์หรอก

 

「เอาจริงเลย เรย์จิ」

 

คำสั่งของคุณหนูนั้นง่ายดายเสมอ

 

「เคลียร์ทางซะ」

 

และงานเองก็มักจะค่อนข้างหนักหนาซะด้วยสิ – แต่ เพียงแค่วันนี้เท่านั้น

 

「ครับ คุณหนู」

 

ที่ผมเองก็รู้สึกอยากจะอาระวาดเหมือนกัน ดังนั้นมันจึงไม่เป็นไร

 

 

 

“คุณ ราชินีสีเงิน [แบนซี] ใช่ไหมครับ? ”

 

 

มนุษย์ที่สวมชุดคาวบอยส่งยิ้มให้ด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยผิวหนังหยาบกระด้าง

ดวงตาของเขา มันบอกว่าแม้แต่ตัวเองก็ยังไม่แน่ใจในสิ่งที่กำลังมองเห็น

 

 

ฝั่งสตรีเผ่าปีศาจยิ้มรับกลับด้วยใบหน้าที่งดงามบนผิวสีเงินอันเต่งตึง

ดวงตาของเธอดูมีความสุข เสมือนหนึ่งได้เจอเพื่อนเก่าที่ไม่ได้พบกันมานาน

 

 

“ไม่ได้ยินคนเรียกด้วยชื่อนี้นานถึง 101 ปี แล้ว ช่างน่าคิดถึงนัก”

 

 

***

เรื่องราว—

มันคือเรื่องราวเมื่อ 101 ปีก่อนหน้าในยุคปัจจุบัน

ณ เวลานั้น โลกไดมอนแห่งนี้ได้เผชิญพบเจอกับเหล่าเอเลี่ยนจากต่างดาวจำนวนมาก ผ่านทางรูหนอนที่ปรากฏขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ

ซึ่งปัจจุบันพื้นที่ ที่ว่า มันได้กลายเป็นสถานีท่าเทียบยานอวกาศ [หมู่เกาะเทียม] นั่นเอง

 

 

ในยุคนี้อาจเห็นว่าพวกเขาอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข

หากแต่เมื่อ 101 ปีก่อนหน้านั้นไม่ใช่

ภาษา ยังไม่ถือกำเนิดภาษากลาง

ความต่างทางเผ่า ความเชื่อใจ รวมไปถึงรูปลักษณ์ ความสงสัย ความไม่เข้าใจ

สิ่งเหล่านี้เป็นตัวแปรที่ทำให้พวกเขาถืออาวุธเข้าห้ำหั่นกัน

 

 

ท่ามกลางไฟสงครามอันร้อนระอุ มีเผ่าหนึ่งที่ถูกใครต่อใครเห็นพองต้องกัน ว่ามีความอันตรายมากที่สุดถือกำเนิดขึ้นมา

นั่นคือ [เผ่าปีศาจ]

 

 

***

“ในยุคนั้น— พวกเธอถูกทุกเผ่ารวมหัวมองว่าเป็นตัวอันตราย… มาคิดย้อนดูตอนนี้แล้ว— การที่ตอนนั้นเธอซึ่งมาบ้าคลั่งก่อสงครามไปทั่วทุกเผ่า แล้วมาจบลงด้วยน้ำมือของน้องสาวตัวเองเนี่ย มันใช่เป็นบทละครที่เธอจงใจวางเอาไว้ใช่ไหม? ”

“ไม่รู้สินะ~? ”

 

 

สตรีสาวปีศาจตอบด้วยรวยยิ้มที่ยียวนกวนใจ

เธอโค้งหัวขอนั่งข้างชายเผ่ามนุษย์อย่างมีมารยาท แล้วนั่งลงเพื่อเปิดบทสนทนาที่ดูจะยาวยืดนี้ต่อ

 

 

***

ในยุคสงคราม ณ เวลานั้น

ผู้ปกครองสูงสุดของเผ่าปีศาจมีเพียงคนเดียว

คือ ราชินีสีเงิน [แบนซี]

 

 

เธอทั้งสง่างาม แข็งแกร่ง แล้วยังบ้าคลั่ง

ไม่สนความพยายามในการกอบกู้สันติภาพของแต่ละเผ่า แล้วเริ่มดำเนินการก่อสงครามชนิดไม่สนใจสิ่งใด

แถมยังเก่งกาจระดับไม่มีเผ่าใด ๆ สามารถหยุดเธอเอาไว้ได้

 

 

ท่ามกลางความวุ่นวายของสงคราม ณ เวลานั้น ได้มีสตรีเผ่าปีศาจอีกคนลุกขึ้นมาต่อต้าน

เธอสังหารผู้นำปีศาจในเวลานั้นด้วยพลังที่เหนือกว่า

สยบผู้นำที่บ้าคลั่ง แล้วเข้าร่วมเป็นหนึ่งในบรรดาพันธมิตรระหว่างเผ่าพันธุ์กับดวงดาว

ซึ่งสตรีผู้นั้นยังคงมีชีวิตมาจนถึงปัจจุบัน

ราชินีเผ่าปีศาจหรือในอีกฉายาอย่างเป็นทางการว่าราชินีแวมไพร์

 

 

[แวม แวม ชาร์สเซอร์]

***

 

 

“ประวัติศาสตร์มันว่าเช่นนั้น ช่างน่าเศร้านักที่ประวัติศาสตร์ไม่ได้พูดถึงเผ่ามนุษย์ดวงตาสีฟ้า ผมสีน้ำตาลทองอีกคน ที่อยู่ในสถานที่แห่งนั้น ร่วมต่อสู้กับน้องสาวของเราในการฆ่าเราด้วย”

“ผมไม่ติดใจอะไรในเรื่องนั้นหรอกครับ”

 

 

ชายเผ่ามนุษย์ตอบกลับด้วยรอยยิ้ม

 

 

“ที่ผมติดใจคือเรื่องราวหลังจากนั้นมากกว่า เพราะหลังจบสงคราม เด็กสาวที่ชื่อแวม แวม ก็เริ่มขยับขยายเผ่าพันธุ์ตัวเอง พอรู้ตัวอีกที เธอก็มีอำนาจระดับขึ้นเป็นผู้ปกครองของทวีปแห่งหนึ่งได้แล้ว”

 

 

ราวกับ— ทุกเหตุการณ์ในสงครามครั้งนั้น มันถูกปูทางมาเพื่อให้เด็กสาวที่ว่าถูกมองเป็นฮีโร่

ปูพรมสีแดงเตรียมการเอาไว้ เพื่อให้เธอได้เป็นผู้นำทวีป—

 

 

“คุณรู้อะไรไหมครับ ในยุคสงครามตอนนั้น ไม่มีใครรู้กันเลยสักคนว่าพวกคุณเป็นพี่น้องกัน จนกระทั้งเธอคนนั้นพูดออกมาเองในยุคที่เธอมีอำนาจล้นพ้นแล้ว ราวกับว่ายังรักพี่สาวที่เป็นวายร้ายนะครับ”

“ยัยเด็กโง่นั่น… ก็ว่าอยู่ว่าทำไมประวัติศาสตร์ถึงถูกเขียนว่าพี่น้องฆ่ากันเพื่อยุติสงคราม… จะพูดเรื่องนี้ออกไปกันทำไมเล่า? ”

 

 

สตรีเผ่าปีศาจบ่นอุบกับตัวเอง

แต่ทว่าริมฝีปากของเธอกลับมีรอยยิ้มเล็ก ๆ ผุดขึ้นมาบนใบหน้า

 

 

” ไม่ต้องห่วงหรอกครับ ทัศนคติคนยุคนี้ไม่เหมือนเมื่อก่อน ไม่มีใครจะมามัวระแวงเผ่าแวมไพร์อีกต่อไปแล้ว แถมทฤษฏีสมคบคิด ก็คือทฤษฎีวันยังค่ำ คนยุคนี้ไม่มีใครคิดจะเชื่อจริงจังหรอกครับ”

“นั่นสินะ ฮุ ฮุ ฮุ”

 

 

พวกเขากำลังหัวเราะร่วน

เป็นการหัวเราะของเพื่อนสนิทเก่าแก่เช่นนั้น

 

 

” ส่วนอีกเรื่องที่ผมยังสงสัยคือ… ทำไมคุณถึงรอดตายมาได้ครับ? ผมจำได้ว่า ผม– กับน้องสาวของคุณ เป็นผู้ที่ฆ่าคุณไปกับมือแล้วนี่ครับ? ”

” ก็เคยได้ตายจริงแล้วนะสิ”

 

 

สตรีปีศาจยิ้มให้กับใบหน้าที่กำลังชวนงุนงงของอีกฝ่าย

เธอนำนิ้วที่เรียวยาวมาลูบลงบนริมฝีปากของอีกฝ่าย ว่าอย่าพึ่งได้ยิงคำถามอะไรออกมาเพิ่ม

 

 

” เจ้า— เชื่อเรื่องเทพเจ้าทั้งสามผู้สร้างโลกไหม? ”

” กระผมไม่เชื่อในเทพเจ้าเท่าไหรครับ แต่เชื่อเรื่องโลกหลังความตายนะครับ”

” เราผู้นี้ก็ไม่เชื่อ จนกระทั้งวันที่ได้ตายไป”

 

 

เธอยิ้ม

แต่คราวนี้เป็นรอยยิ้มที่ดูเคียดแค้น

 

 

“เจ้าเคยคิดไหม ว่าทำไมจักรวาลที่กว้างใหญ่ ดวงดาวนับล้าน กลับมีรูหนอนปรากฏเพื่อเชื่อมแต่ละเผ่า มารวมที่ดาวดวงนี้เพียงดวงเดียวกันได้เล่า? ”

” เป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติยังไงละครับ”

” ใช่ [ปรากฏการณ์ธรรมชาติ] ที่บังเอิญอย่างน่าตกใจเสียด้วย”

 

 

เหตุบังเอิญไม่มีในโลก

ทุกอย่างล้วนแต่เกิดจากการกระทำของตัวตนที่มีอยู่จริง

 

 

” โลกนี้มีเทพเจ้า และตัวเราได้เจอกับพวกมันมา ณ โลกหลังความตายมาแล้ว”

 

 

***

สตรีปีศาจเริ่มเล่าเรื่อง—

เมื่อ 101 ปีก่อน

หลังสิ้นสงคราม วิญญาณของเธอได้ตายลง ณ ใจกลางสนามรบ

เธอจงใจใช้ตัวเองให้เป็นอาชญากรรม เจ้าแห่งวายร้าย เพื่อปลุกปั้นสร้างฮีโร่ขึ้นมาในใจของทุกเผ่าพันธุ์

 

 

ศัตรูของศัตรูย่อมคือมิตรแท้

 

 

ความเสียสละของเธอเป็นสิ่งที่น่าประชดประชัน เพราะความตายจากหลายชีวิตในสงคราม ได้กลายเป็นรากฐานแห่งสันติภาพในเวลาต่อมา

 

 

เรื่องราว เหมือนควรจะจบเพียงแค่นั้น—

 

 

“ขอกินวิญญาณเข้าไปละนะ”

“ขอบคุณที่ดิ้นรน เต้นรำ สร้างเวทีสงครามแสนสนุกขึ้นมาให้พวกเราได้รับชม”

 

 

วิญญาณของเธอไม่อาจได้ไปเกิดใหม่

เธอได้รู้ความจริงของเบื้องลึกของโลก

 

 

รู้ว่าโลกใบนี้ไม่ได้รับอิสระ

รู้ว่าเทพเจ้าจงใจสร้างโลกนี้ให้โหดร้าย เพื่อรับชมการดิ้นรนของสิ่งมีชีวิตเป็นความบันเทิง

รู้ว่าเทพเจ้าจงใจสร้างเส้นทางเชื้อเชิญให้หลายเผ่าพันธุ์มาพบเจอ แล้วจุดชนวนสร้างสงคราม

 

 

“ปลายทางของของเล่น คือการถูกเทพเจ้าผู้สร้างโลกกลืนกิน เก็บกักขังเอาไว้เป็นเพียงแค่สิ่งของเท่านั้น”

 

 

สตรีปีศาจเล่าต่อไป โดยไม่สนใจสีหน้าของฝ่ายชาย ที่กำลังย่นคิ้วเข้าหากันอย่างไม่อยากเชื่อหูตัวเอง

 

 

“รู้อะไรไหม? หลังจากที่ตายไป วิญญาณจะถูกหลุดไปอีกมิติที่เหนือกว่า ที่นั่นมีสิ่งมีชีวิตที่พวกเราเชื่อว่าเป็น [เทพเจ้า] พวกมันทั้งจับพวกเราเป็นของเล่น จับขังไว้ในคริสตัลอันมืดมิด ไม่ได้ผุด ไม่ได้เกิด เวลาหยุดนิ่ง เป็นได้เพียงแค่สิ่งของ ของพวกมัน!”

 

 

เธอกำหมัด!

กำ— แล้วคลายออกในเวลาต่อมา

 

 

” จนกระทั้งวันแห่งโชคชะตาได้มาถึง”

 

 

วันนั้น– ได้เกิดแผ่นดินไหว

กรงคริสตัลที่กักขังเธอได้แตกพังทลาย จากภัยธรรมชาติในแดนคนตาย

 

 

” เราได้รับอิสระ รวมไปถึงวิญญาณร่วมชะตากรรมอีกหลายคน และนั่น คือสาเหตุที่เราหาทางกลับมาจุติ เกิดใหม่ได้อีกครั้งบนโลกใบนี้ พร้อมกับพรรคพวกที่เคียดแค้นเทพเจ้า!”

 

 

เธอพูดมันออกมาหมด

 

 

“ข้าฝึกพวกมันให้กลายเป็นวิญญานแค้น!”

“ทั้งแอบเข้าฝันเผ่าปีศาจตนหนึ่ง ที่มีความปรารถนาผิดเพี้ยนต่อน้องสาวข้า! แล้วหลอกมัน ชี้นำมันให้สร้างองค์กรแห่งความวิปริต [คาร์นิวอย] ขึ้นมา!”

” ทั้งปลอมตัวเป็นนักสำรวจใกล้ชิดคนมีแวว ฝึกฝีมือมัน— แล้วทรยศ เพื่อสร้างนักฆ่าผู้โดดเดี่ยวมาใช้งานให้กับองค์กร! ”

” สร้างเวทีอันเหมาะสม ที่จะก่อความวุ่นวายในเชิงมิติ สร้างโลกที่เอื้อต่อการเกิดภัยพิบัติทางวิญญาณ!”

” ทั้งหมด — ก็เพื่อดึงเทพเจ้า ให้ลงมาเดินดินบนเวทีเดียวกับพวกเรา!”

 

 

สตรีเผ่าปีศาจพูดออกมาหมดสิ้นซึ่งทุกสิ่งทุกอย่าง

เธอพูดมันออกมา ราวกับเป็นการระบายสิ่งที่อัดอั้นตันใจมานาน

พูด– และเล่าขาน เพื่อให้ใครสักคนได้ฟังมันเอาไว้

 

 

“…”

“อะไร? ทำหน้างี่เง่าแบบนั้นออกมา แปลว่าไม่เชื่อที่เล่าให้ฟังสินะ?

“คือมันออกจะเชื่อยาก… ”

 

 

ชายเผ่ามนุษย์พูดด้วยสีหน้าอมขำแห้ง

แต่ถึงจะพูดออกไปเช่นนั้น

 

 

“… แต่ผมกลับรู้สึกว่าคำพูดของคุณ มันมีน้ำหนักสูง ว่าเป็นความจริง— โลกหลังความตาย— เทพเจ้า— อย่างงั้นสินะครับ? ”

 

 

คราวนี้เป็นชายเผ่ามนุษย์ที่เริ่มเอยปากพูด

 

 

“รู้ไหมว่าความจริงผมเป็น”

“เป็นหัวหน้าสูงสุดของตำรวจสากล พอจะเดาได้อยู่แล้วละ ก็เราจงใจปล่อยข้อมูลออกไปเอง ดังนั้นคนที่นั่งอยู่ในโบสถ์เวลานี้ แล้วเข้ามาหยุดเราเอาไว้ มันคงเป็นใครคนอื่นไม่ได้หรอก”

“.. ใช่ครับ ผมมาดักที่นี่ วันนี้ ก็เพราะเดาว่าอาจมีตัวการใหญ่ยิ่งกว่า บาร์-ธา-ซ่าร์ อยู่อีก แต่แค่นึกไม่ถึงว่าคน คนนั้นจะเป็นคุณ รู้ไหมว่าตอนแรกที่เห็นคุณโผล่ออกมา ผมถึงกับต้องตบหน้าตัวเองหลายครั้ง ว่าไม่ได้ฝันไปนะครับ”

” ฮึ— แล้วแกจะเอายังไง? จะจับไหม? ”

” เออ… ไม่ละครับ ผมยังไม่อยากตาย”

 

 

ชายเผ่ามนุษย์ว่าเช่นนั้น พร้อมกับยกสองมือขึ้นมาเหนือหัวตัวเอง

 

 

” นี่เป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่ว่าทำไมผมถึงเชื่อว่าสิ่งที่คุณพูดออกมาคือความจริง ต้องขอบคุณชีวิตที่อยู่มานานเพราะร่างกายที่สร้างดัดแปลงมานี้ เลยทำให้พอจะมีเซ้นส์แหลมคมพอสมควรนะครับ”

 

 

เขาพูด แล้วชำเลืองสายตามองไปทางสตรีปีศาจ

 

 

“บอกตามตรง ด้วยศักดิ์ศรีของตำรวจสากล ถ้าเป็นสิ่งมีชีวิตเดินดินเหมือน ๆ กัน ผมคงสู้จนตัวตายเพื่อปกป้องคนบริสุทธิ์ แต่กับคุณ… ที่แผ่ไอบรรยากาศแปลก ๆ ออกมา แถมยัง—”

 

 

ในนัยตาสีฟ้าของชายผู้พูด มีเงากำลังสะท้อนอยู่ในดวงตา

มันคือเงาของสตรีปีศาจ

เงา— ที่กำลังต่อสู้กับชายคนหนึ่งอยู่

บทที่ 2 ตอนที่ 52 ส่วนที่ 2

 

รุ่งอรุณของหญิงสาว

 

คุณหนูนั้นรออยู่ที่ทางเข้าโถงในตอนที่ผมกลับมาที่คฤหาสน์ เธอได้ให้คนใช้นำโต๊ะเก้าอี้มาตั้งที่ทางเข้า พร้อมกับอ่านหนังสือและดื่มชาไปด้วยเลย เดี๋ยวสิครับ จะทำยังไงถ้ามีแขกมากระทันหันกันละครับ?

 

「เรย์จิ! นายกลับมาแล้ว!」เธอร้องขึ้นมาทันทีที่เห็นผม

 

ผทได้รับการต้อนรับกลับอย่างอบอุ่นเลยทีเดียว แทบจะเหมือนกับลูกสุนัขที่วิ่งเข้ามาหาเจ้าของเลย ท่านเอิร์ลจะต้องโกรธมากแน่ๆถ้ารู้เข้า เขาคงจะพูดประมาณว่า “ไม่เหมาะสม” แล้วตามด้วย “ลูกสาวของข้าดูจะชอบเจ้ามากเลยนะ (เป็นครั้งที่2)” อย่างไม่ต้องสงสัยเลยละ

 

ยังไงก็ตาม พวกเราก็ได้ย้ายไปยังห้องของคุณหนู – แน่นอนว่าหลังจากเคลื่อนย้ายโต๊ะเก้าอี้ออกจากทางเข้าแล้วหน่ะนะ

 

「แล้ว… เกิดอะไรขึ้นที่พระราชวังศักดิ์สิทธิ์งั้นหรอ?」

 

「อยากจะรู้หรอครับ?」

 

「แน่นอนสิ! เรย์จิหน่ะเป็น…」

 

คุณหนูพยายามจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ก็หยุดแล้วเบนสายตาออกไป

 

「…พะ-เพราะนายเป็นคนคุ้มกันคนสำคัญของชั้น」

 

…คุณหนูครับ คำพูดนั้นมันฟังดูน่าอายอยู่เหมือนกันนะครับ แต่ก็ยังดีกว่าถูกปฏิบัติเหมือนสิ่งของละนะ

 

「อืม มันก็ไม่ได้ผ่านไปนานนักหลังจากที่ทุกอย่างเกิดขึ้นครับ และผมก็ไม่ได้ถูกถามอะไรถึงงูยักษ์นั่นเลยด้วย โอ๊ะ แต่ผมก็ได้รับรางวัลเป็น 1 เหรียญทองศักดิ์สิทธิ์จากผลงานเมื่อวานด้วยครับ แต่ตอนนี้ฝ่าบาทดูจะสนใจในเรื่องของตระกูลริเวียร์มากกว่าครับ」

 

ถ้าท่านเอิร์ลคิดว่ามันจำเป็นละก็ เขาก็จะเป็นคนบอกคุณหนูถึงเรื่อง “พันธสัญญา” กับ “โลกอื่น” เอง ผมเองก็ต้องพูดกับเขาเกี่ยวกับเรื่องตาแก่ฮินกากับลูลูช่าซังด้วยเหมือนกัน แต่บางทีผมยังไม่ควรเอาเรื่องนั้นมาพูดในทันทีหลังจากเกิดเรื่องเมื่อวานขึ้น ผมควรจะรออีกสักพัก

 

「ตระกูลริเวียร์งั้นหรอ…?」

 

「ครับ」

 

มันน่าจะไม่มีปัญหาอะไร ดังนั้นผมเลยบอกทุกอย่างให้กับคุณหนูฟัง

 

「…………」

 

หลังจากที่ได้ฟัง คุณหนูก็ขมวดคิ้วน่ารักของเธอพร้อมกับครุ่นคิด「เรย์จิ… นายจะช่วยรับฟังชั้นหน่อยได้ไหม?」คุณหนูถามขึ้นหลังจากผ่านไปสักพัก

 

สีหน้าของคุณหนูนั้นซีดเผือก – ไม่กี่นาทีต่อมาผมก็รู้สาเหตุ

 

คุณหนูนั้นยังคงเป็นเด็กสาวอยู่

 

เธอมีสายเลือดขุนนาง – ถึงเธอจะไม่ชอบก็เถอะ – เธอนั้นเกิดมาพร้อมกับมัน, เต็มเปี่ยมไปด้วยความรู้, และเหนือยิ่งไปกว่านั้น เธอมีหัวใจอันเที่ยงธรรม แม้ว่ามันอาจจะทำร้ายพ่อของเธอได้

 

ในตอนกลางวัน ผมได้ตรวจดูรอบๆจากบนหลังคาบ่อยครั้ง ทว่าอะไรอย่างรัฐประหารก็ไม่ได้เกิดขึ้น กลับกัน ผมคิดว่ามันเงียบจนน่าขนลุกเกินไปด้วยซ้ำ

 

เอิร์ลนั้นกลับมาบ้านดึกมาก ไม่ใช่แค่ผม แต่คุณหนูเองก็กำลังเฝ้ารอเขาด้วยเหมือนกัน ท่านเอิร์ลหรี่ตาลงในตอนที่เขาเห็นพวกเรา

 

「…นี้มันหมายความว่ายังไงกัน?」

 

「ก่อนอื่นก็ ยินดีต้อนรับกลับค่ะ ท่านพ่อ」

 

「ขอบใจนะ อีวา พ่อไม่ค่อยได้นอนเลยวันนี้ แถมยังเครียดนิดหน่อยด้วย ดังนั้นพ่อขอเข้านอนก่อน… แต่ดูเหมือนว่าจะทำไม่ได้นะ」

 

「หนูรู้ว่าท่านพ่อเหนื่อย แต่มีบางอย่างที่หนูอยากจะยืนยันให้แน่ใจน่ะค่ะ」

 

「เข้าใจแล้ว เซบาส ทนรออยู่กับข้าอีกสักนิดนะ」

 

「ขอรับ」

 

หัวหน้าพ่อบ้านจ้องมองมาที่ผม ชายคนนี้จะไม่ยกโทษให้ใครก็ตามที่ทำให้สุขภาพของเอิร์ลเสื่อมเสีย แม้จะเป็นพรรคพวกก็ตาม

 

เหล่าเมดและพ่อบ้านคนอื่นๆในโถงทางเข้าต่างก็มีสีหน้ากังวล พวกเขาตกใจจากบรรยากาศตึงเครียดเพราะพวกเราไม่ได้บอกอะไรพวกเขาเลย

 

「และหนูก็ขอให้กัปตันแม็กซิมมาด้วยเช่นกันค่ะ」คุณหนูพูด

 

「ครับ」

 

กัปตันแม็กซิมผู้ที่เป็นคนคุ้มกันของท่านเอิร์ลได้ก้าวออกมาข้างหน้า

 

ห้องส่วนตัวของท่านเอิร์ลนั้นแคบเกินไปสำหรับพวกเราทุกคน ดังนั้นพวกเราจึงมุ่งหน้าไปยังห้องรับรองแทน

 

ท่านเอิร์ลกับคุณหนูนั้นนั่งอยู่บนโซฟาตรงข้ามกัน หัวหน้าพ่อบ้านกับกัปตันแม็กซิมนั้นยืนอยู่ข้างหลังท่านเอิร์ล ส่วนผมนั้นยืนอยู่ข้างหลังคุณหนู

 

…เข้าใจละ ท่านเอิร์ลดูเหนื่อยมากจริงๆ – ทว่าเขาไม่คิดว่าพวกเราจะเลื่อนการพูดคุยกันในครั้งนี้ไปไว้วันอื่นได้ เพราะใครจะรู้ละว่าพรุ่งนี้มันจะเกิดอะไรขึ้น

 

「ท่านพ่อคะ เกิดอะไรขึ้นกับตระกูลริเวียร์อย่างนั้นหรือคะ?」

 

「…………」

 

ท่านเอิร์ลมองไปที่ด้านหลังของคุณหนู จ้องมองมาที่ผม

 

(ใช่แล้ว ผมเป็นคนบอกเธอเอง แต่คุณหนูรู้เรื่องนี้ไปก็ไม่เป็นไรไม่ใช่หรอ?)

 

ท่านเอิร์ลมองมาแปปนึงก่อนจะพูดออกมาราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น

 

「ตระกูลริเวียร์จะอยู่ภายใต้การควบคุมของฝ่าบาทเพราะข้อกล่าวหาในการพยายามลอบสังหารท่านคลูฟชราทและการติดสินบนนักบวชแห่งแท่นบูชาที่ 1 แล้วลักลอบขายหินสกิลสู่ตลาดมืด หัวหน้าตระกูลยืนยันความบริสุทธิ์ตัวเองจนถึงท้ายที่สุดและพยายามร้องขอการหนุนหลังจากดยุคคนอื่นๆ ทว่าจากการดำเนินการค้นคฤหาสน์ของเขาพบหลังฐานถึงการติดสินบนนักบวช พวกเขาเลยหนีไม่รอด การค้นหานั้นเป็นผลพวงมาจากการโจมตีของงูยักษ์ ถึงแม้ ถ้าภาคีอัศวินจัดการกับงูนั่นไม่ทันเวลา ตระกูลริเวียร์ก็อาจจะไม่มีเหลืออยู่จนถึงวันนี้เลยก็เถอะ」

 

「…ภาคีอัศวินเป็นคนจัดการมัน?」

 

ประโยคนั้นดึงความสนใจของผม

 

「ใช่ นั่นเป็นสิ่งที่ข้าได้ยินมา ภาคีอัศวินนั้นถือครองซากของงูยักษ์อยู่จริงๆ」

 

งั้นหรอ? งั้นก็หมายความว่ากิลด์นักผจญภัยแพ้ให้กับภาคีอัศวินหรือเนี้ย?

 

「…มีอะไรสะกิตใจเจ้าหรือไง เรย์จิซัง?」

 

ผมสายหัวเป็นการตอบกลับ อูโรโบรอสนั้นไม่ใช่ปัญหาแล้ว

 

จากนั้น คุณหนูก็ได้พูดต่อ

 

「ท่านพ่อคะ “การพยายามลอบสังหารท่านคลูฟชราท” กับ “ลักลอบขายหินสกิลในตลาดมืด” นั้นเป็นคนละกรณีกันค่ะ」

 

「…ก็คงอย่างนั้น แต่แล้วมันทำไมรึ?」

 

「นั่นหมายความว่าผู้อยู่เบื่องหลังเองก็เป็นคนละคนกันค่ะ ท่านพ่อคะ ท่านใช้คำต่างกันโดยไม่รู้ตัวนะคะ ระหว่าง “ข้อกล่าวหาพยายามลอบสังหาร” กับ “อาชญากรรมในการลักลอบขายหินสกิล”」

 

ในครั้งนี้ — เป็นครั้งแรก ที่ใบหน้าของท่านเอิร์ลแสดงความไม่สบายใจออกมา ดวงตาของเขาเบิกกว้างขึ้น

 

「ถ้าฟังผ่านๆก็อาจจะคิดว่าพวกมันเป็นสิ่งที่ก่อโดยตระกูลริเวียร์ค่ะ คนร้ายที่วางยาจานอาหารของท่านคลูฟชราทนั้นถูกพบเป็นศพภายในคฤหาสน์ของตระกูลริเวียร์ และผลลัพธ์ก็คือการค้นพบหลักฐานการติดสินบนนักบวช ทว่า หนูคิดว่าทั้งสองเรื่องนี้มันต่างกันและไม่เกี่ยวกันค่ะ」

 

คุณหนูพูดอย่างตรงไปตรงมา ดูเหมือนว่าเธอพยายามที่จะไม่นำอารมณ์ใส่ลงไปในคำพูดของเธอ

 

「ท่านพ่อคะ ท่านคงจะรู้ว่าการพยายามลอบสังหารท่านคลูฟชราทนั้นไม่ใช่ฝีมือของตระกูลริเวียร์ จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมท่านถึงใช้คำว่า “ข้อกล่าวหา” โดยไม่รู้ตัวค่ะ เหตุผลก็คือ… ท่านเป็นผู้อยู่เบื้องหลังการวางยาพิษค่ะ」

 

========================================================

TL: ความจริงมีเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น!!!

 

 

บทที่ 2 ตอนที่ 52 ส่วนที่ 1

 

สื่งที่เข้ามาในหัวของผมก็คือชายแก่มากความรู้แต่ขี้เหงา ผู้ที่อาศัยอยู่ในกระท่อมเล็กๆของเหมือง

 

ขนาดตอนที่เขาจากไป เขาก็ยังปรารถนาให้ผมมีความสุข

 

เขาพูดถึงอะไรบางอย่างเกี่ยวกับการตามล้างตามเช็ดสิ่งที่พ่อของดยุคทำ ดูเหมือนว่าเขาจะระเหระหนเข้ามาในอาณาเขตดยุคอเคนบาคในตอนที่ราชอาณาจักรล่มสลายสินะ

 

(แต่ คำพูดสุดท้ายของต่าแก่ฮินกาก็คือ…!)

 

ในตอนนั้นผมได้ดูดกลืน【World Ruler】เข้ามาเรียบร้อยแล้ว ดังนั้นผมจดจำทุกคำพูด

 

——ข้าคงอยู่เพื่อถูกลงโทษ, สำหรับบาปที่ข้าไม่อาจชดใช้ได้แม้ความตาย, ทว่าข้ากลับได้อาบแสงอาทิตย์อย่างเป็นสุขในนาทีสุดท้ายเช่นนี้, โอ้พระผู้เป็นเจ้า ผู้ปกครองสรวงสวรรค์และผืนดิน, ขอพระองค์ทรงประทานพรแก่เด็กผู้ถูกเกลียดชังนี้ด้วยเถิด…

 

ตาแก่ฮินกาได้ทำ “บาป” อะไรไว้งั้นหรอ? เกี่ยวกับหินสกิลหรือเปล่า? หรือเกี่ยวอะไรกับการล่มสลายของราชอาณาจักรฟอร์ชางั้นหรอ?

 

หรือว่าบางที… “เด็กผู้ถูกเกลียดชัง” นั้นจะหมายถึงผมสีดำกับตาสีดำของผม

 

「เออ, กระผมได้บังคับให้ฝ่าบาทส่งทีมวิจัยไปเก็บรวบรวมบทความของดร.ฮินกาอย่างไม่มีเหตุผลขอรับ, มันเหลืออยู่ไม่มาก, แต่กระผมก็ได้คัดลอกมันเอาไว้หมดแล้ว, และส่งมันให้กับญาติทางสายเลือดไปขอรับ, เออ, บทความหลายๆอันของดร.ฮินกานั้นขัดต่อภูมิปัญญาดั้งเดิมขอรับ, ดังนั้นกระผมเลยดีใจที่เห็นท่านสนใจมัน」เอลพูดต่อแม้ว่าผมจะยังตกอยู่ในความคิดอยู่

 

「ดะ-เดี๋ยวก่อนนะครับ!」ประโยคนึงจากปากของเอลซังทำให้ผมตะลึง「คุณพูดว่าญาติทางสายเลือดของตาแก่ฮินกายังงั้นหรอครับ!?」

 

「เขาไม่ใช่ตาแก่ขอรับ, เป็นศาสตราจารย์ต่างหากขอรับ, เออ, เอาเถอะขอรับ, จากมุมมองของเรย์จิซัง, เขาก็คงจะเป็นตาแก่จริงๆขอรับ」

 

「ขะ-ขอโทษครับ หลุดปากไปหน่อย งั้น เกี่ยวกับญาติทางสายเลือดของดร.ฮินกาละครับ?」

 

「ขอดูก่อนนะขอรับ… มันมีประเทศแปลกๆที่ชื่อว่าจักรวรรดิ์เวทมนตร์เลฟอยู่ขอรับ, เออ, ลูกสาวของเขาย้ายไปอยู่ที่นั่นหลังจากที่เธอแต่งงานแล้วขอรับ」

 

ลูกสาวของต่าแก่ฮินกานั้นอยู่ต่างประเทศในตอนที่ราชอาณาจักรฟอร์ชาถูกทำลาย ดังนั้นเธอเลยรอดจากเคราะห์ร้ายไป

 

「ลูกสาวของเขายังอยู่ในจักรวรรดิ์เวทมนตร์เลฟหรือเปล่าครับ?」

 

「ตอนนี้, มันก็… 10 ปี, ไม่สิ, 15 ปีมาแล้วขอรับ, ถ้าท่านสนใจในงานของเขาละก็, ที่พระราชวังศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ก็มีก็อปปี้อยู่นะขอรับ」

 

「…ไม่ครับ ผมอยากจะเห็นของจริงหน่ะครับ ขอข้อมูลติดต่อลูกสาวของเขาจะได้ไหมครับ!?」

 

「ไม่มีปัญหาขอรับ, เออ, เธอคนนั้นมีชื่อว่าเอ็มม่าขอรับ, และสามีของเธอเป็นเจ้าหน้าที่อาวุโสในจักรวรรดิ์เวทมนตร์เลฟด้วยขอรับ, ถ้ากระผมจำไม่ผิด, เธอเองก็มีลูกสาวด้วยเหมือนกันขอรับ」

 

…ลูลูช่าซัง!

 

ผมสังหรณ์ได้ทันทีเลยว่าเป็นเธอ แต่พูดไปมากกว่านี้จะสร้างความน่าสงสัยมากขึ้นได้ – ถึงผมจะสร้างไปมากพอแล้วก็เถอะ – ดังนั้นผมเลยปิดปากเงียบ

 

หลังจากที่ผมได้ข้อมูลที่ตามหาในที่ที่คาดไม่ถึงนี้แล้ว ผมก็กลับไปยังคฤหาสน์

 

** นักบวชชั้นสูงเอล **

 

หัวหน้าตระกูลเอเบน, หนึ่งใน 6 ดยุคผู้ยิ่งใหญ่, ปรากฏตัวขึ้นด้านหลังของกระต่ายยักษ์ที่ยังคงนั่งอยู่ที่เดิม

 

「…ท่านเอล เรย์จิโดโนะไปแล้วสินะครับ?」

 

「เออ, เขาไปแล้วขอรับ」

 

「แล้ว ท่านคิดยังไงกับ “เด็กแห่งหายนะ” นั่นครับ?」ลอร์ดเอเบนถามขึ้นพร้อมกับนั่งลงข้างๆเอล

 

「ขอรับ, ข้ามั่นใจว่าเรย์จิซังเป็น “เด็กแห่งหายนะ” แน่นอนขอรับ, ทว่า… หลังจากที่กระผมมองดูเขาด้วยตาของตัวเองแล้ว, ผมไม่อยากเชื่อเลยขอรับ, ผมไม่รู้สึกถึงความมุ่งร้ายใดๆจากเขาเลยขอรับ」เอลตอบโดยที่ไม่ได้หันไปมองลอร์ดเอเบน

 

「ถ้าตามบันทึกโบราณเป็นความจริงละก็ “เด็กแห่งหายนะ” นั้นจะมีผมสีดำกับตาสีดำและถือครองพลังอำนาจที่ยิ่งใหญ่ครับ มันได้บอกเอาไว้ว่าเด็กคนนั้นสามารถทำลายได้แม้กระทั่งประเทศเลยครับ แต่เรย์จิโดโนะมีผมสีฟ้านี้ครับ」

 

「สีผมนั้นสามารถเปลี่ยนแปลงได้ขอรับ, เออ, เขาคงจะย้อมผมนะขอรับ — อย่างน้อยเขาก็รู้ว่าการมีผมสีดำตาสีดำเป็นเรื่องเลวร้ายขอรับ」

 

「มันอาจจะเป้นแฟชั่นก็ได้ครับ」

 

「แหม! หัวหน้าตระกูลเอเบนไม่ควรสร้างสมมติฐานที่ไร้ความหมายนะขอรับ」

 

「ข้าก็แค่คิดถึงความเป็นไปได้ทั้งหมดหน่ะครับ แล้ว ท่านเอลครับ ท่านเชื่อรึยังครับว่าเด็กคนนั้นเป็น “เด็กแห่งหายนะ” หน่ะครับ?」

 

「…เออ กระผมเองก็บอกไม่ได้ขอรับ」

 

「ทำไมหล่ะ?」

 

「ฝ่าบาทบอกให้ท่านสังหารเขาตรงนี้ทันทีที่ท่านยืนยันได้ว่าเขาเป็น “เด็กแห่งหายนะ” ไม่ใช่หรือครับ …งั้น พูดอีกอย่างก็คือ ท่านปล่อยเขาหนีไปงั้นหรือครับ?」

 

เมื่อลอร์ดเอเบนยกมือขึ้น เงาสีดำกว่า 10 ร่างที่ซ่อนอยู่ในสวนก็ได้ยืนขึ้นแล้วหายไปอย่างไร้ร่องรอย พวกเขาไม่ใช่ทั้งคนคุ้มกันของลอร์ดหรือทหารยามของพระราชวังแต่อย่างใด แต่แน่นอนว่าเป็นผู้ที่เชี่ยวชาญในการลอบสังหาร

 

「เออ, กระผมยืนยันไม่ได้ขอรับ」

 

「…………」

 

ถึงปากของเขาจะยังยิ้มอยู่ แต่ดวงตาของฮาร์ฟลิงคนนี้นั้นเย็นชาจนหน้ากลัว เขาคิดว่าเรย์จิจะต้องมีผมสีเดิมเป็นสีดำอย่างแน่นอน คนกลางเองก็เรียกเขาว่า “เด็กแห่งหายนะ” ด้วย “เด็กแห่งหายนะ” จะต้องถูกฆ่า นั่นเป็นสามัญสำนึกของชนชั้นสูงในประเทศนี้

 

อย่างไรก็ตาม เอลก็ไม่ได้ทำมัน เขารู้สึกมีความสุขที่ได้พูดถึงดร.ฮินกาเป็นครั้งแรกหลังจากผ่านมานานอย่างนั้นหรือ? และก็อย่างที่เขาบอกกับลอร์ดเอเบนไปว่าเขานั้นไม่ได้รู้สึกถึงความมุ้งร้ายใดๆเลย

 

(…ไม่, จะไปทำร้ายเด็กที่เสี่ยงชีวิตช่วยพวกเราทุกคนได้ยังไงกัน?)

 

เอลคิดแบบนั้น แต่แน่นอนว่าไม่ได้พูดออกไป ถ้าเขาพูดแบบนั้นกับหัวหน้าตระกูลขุนนางละก็ เขาก็คงจะถูกหัวเราะเยอะแล้วถูกบอกว่า “ถ้างั้น ข้าจะกำจัดเขาเอง” เพียงเท่านั้น

 

(พลังที่เด็กคนนั้นใช้กับคนกลางนั้นเหนือหลักเหตุผลไปแล้ว, ถ้าพลังนั่นหันเข้าใส่ราชอาณาจักรศักดิ์สิทธิ์ละก็…)

 

มีหลักฐานอยู่หลายอย่างในบันทึกโบราณว่า “เด็กแห่งหายนะ” จะกลายเป็น “หายนะ” ที่แท้จริงและได้คร่าชีวิตผู้คนไปมากมาย ภัยคุกคามนั้นน่าหวาดหวั่นยิ่งกว่า “โลกอื่น” ที่ยังควบคุมได้ด้วย “พันธสัญญา” ซะอีก  

 

(แต่, ถึงยังนั้น, จำเป็นที่จะต้องฆ่าเด็กน้อยบริสุทธิ์ที่ยังไม่ได้กลายเป็น “หายนะ” อย่างนั้นหรอ?, เออ, ถ้าเลี้ยงดูเขามาอย่างระมัดระวังละก็, บางทีเขาอาจจะนำประโยชน์มหาศาลมาสู่โลกนี้ก็ได้?)

 

แต่สมมติฐานนี้ก็ แน่นอนว่าเป็น “สมมติฐานอันไร้เหตุผล” มันเป็นความคิดสุดอันตรายที่อาจถึงชึวิตของเอลได้ถ้ามันออกมาจากปากของเขา

 

ยังไงซะ บทความของดร.ฮินกานั้นก็ใกล้เคียงกับความคิดนี้ ถึงจะมีเรื่องน่าเศร้าเกิดขึ้นในอดีต แต่พวกเราก็ไม่ควรประเมินศักยภาพของมนุษย์ผิดไป — มันเป็นความคิดที่ตรงข้ามกับเหล่าขุนนางที่คิดว่าถ้าฆ่าเด็กจะสามารถหยุด “หายนะ” ได้ พวกเขาก็ควรฆ่า

 

「เออ, พวกเราไม่ควรยุ่งกับเด็กคนนั้นนะขอรับ」

 

「…ถ้ายังนั้น รายงานกับฝ่าบาทแบบนั้นไปแล้วกันครับ」

 

ในสายตาของกระต่ายไม่มีความไม่สบายใจอยู่เลย

 

「ยิ่งไปกว่านั้นขอรับ, เรื่องของตระกูลริเวียร์เป็นยังไงบ้างขอรับ?」

 

「ไม่มีปัญหา หลังฐานทั้งหมดครบแล้ว และฝ่าบาทเองก็สั่งให้ลงมือแล้วครับ เหนือสิ่งอื่นใด “ลอร์ดเลือดเย็น” เองก็เป็นคนทำงานนี้ด้วยครับ ท่านไม่ยินดีหรือครับ ท่านเอล? คนบาปที่ละเมิดแท่นบูชาที่ 1 ที่ท่านหวงแหนที่สุดจะถูกสำเร็จโทษแล้วหน่ะครับ」

 

「…เออ, จริงด้วยขอรับ」

 

เมื่อเอลตอบกลับไป หัวหน้าตระกูลเอเบนก็ยืนขึ้นแล้วออกไปจากห้อง เอลถอนหายใจเล็กน้อยจากความรู้สึกที่ได้ถูกปลดปล่อยจากความกดดันนั้น

 

 

 

บทที่ 2 ตอนที่ 51

 

เมื่อราชันศักดิ์สิทธิ์และเอิร์ลจากไป ก็เหลือเพียงแค่ผมกับเอลซังเท่านั้นที่อยู่ในห้อง เอลซังนั่งลงที่ที่ราชันศักดิ์สิทธิ์เคยนั่งพร้อมกับพูดว่า “เออ, ในที่สุด” เหมือนกับคนไม่เอาอ่าวเลย… แบบกระต่าย

 

「เออ, ก่อนอื่นก็อ่านเนื้อหาก่อนขอรับ」เขาพูดพร้อมกับเลื่อนกระดาษที่มีเนื้อหาของสัญญาข้ามโต๊ะมา

 

ผมนึกถึงสิ่งที่น็อนซังสอนผม

 

——เรย์จิคุง เมื่อทำสัญญาเวทมนตร์ต้องตรวจดู 3 สิ่งนะ

 

(อย่างแรกก็คือกระดาษ นี้เป็นกระดาษที่ทำจากพืช)

 

การใช้ม้วนหนังจะได้ผลมากกว่า และมันยังยากที่จะร่าย “ละเว้นเวทมนตร์” ด้วย ในทางกลับกัน ร่าย “ละเว้นเวทมนตร์” ใส่กระดาษที่ทำจากพืชนั้นง่ายมาก ดังนั้นกระดาษแผ่นนี้นั้นเป็นแบบที่ผมต้องการเลย

 

ที่น็อนซังหมายถึงในตอนที่เธออธิบายถึงการ “ละเว้นเวทมนตร์” ก็คือ “การหลุดรอดจากเวทย์พันธสัญญา”

 

(อย่างที่สองก็คือรูปแบบของพันธสัญญา)

 

——ถ้าผู้ใช้ไม่ได้ร่ายเวทมนตร์ใส่ผู้ทำสัญญาโดยตรง แต่เป็นการร่ายใส่กระดาษละก็ ผลของมันจะต่ำมากจนบางครั้งสัญญาก็อาจจะไม่สำเร็จก็ได้

 

ครั้งนี้ เวทมนตร์ถูกร่ายเอาไว้บนกระดาษ

 

(อย่างที่สามก็คือวิธีการทำพันธสัญญา)

 

——มีเวทย์พันธสัญญาอยู่ 4 รูปแบบที่นิยมใช้กัน อันที่ใช้ในระดับชาติ, อันที่ใช้โดยโบสถ์, อันที่ใช้โดยกิลด์, และอันที่ใช้โดยบุคคลทั่วไป สองอันที่เป็นทางการนั้นถูกใช้กันมาอย่างยาวนาน ดังนั้นจึงมีการศึกษาเรื่องช่องว่างของมันมาแล้ว

 

กระดาษแผ่นนี้เป็นพันธสัญญาของราชอาณาจักรครูวานศักดิ์สิทธิ์

 

(น็อนซัง พวกเราทำได้! มันแทบจะเป็นเวทย์พันธสัญญาที่ต้องการเป๊ะๆเลย)

 

ถ้าเป็นกรณีนี้ละก็ หลังจากที่ยอมรับสัญญาแล้ว ผมก็สามารถยกเลิกมันโดยใช้วิธีการลับของโบสถ์ได้ ในขณะที่ผมคิดแบบนั้น–

 

「เออ, มันก็ไม่ได้มีเนื่อหาอะไรมากหรอกขอรับ, แต่ถ้าท่านกังวลเกี่ยวกับมันละก็ ท่านก็ไม่จำเป็นต้องเซ็นสัญญาก็ได้ขอรับ」

 

「…อะไรนะครับ?」

 

「ยังไงซะ, มันก็ไม่มีสัญญาไหนที่เก็บความลับไม่ให้หลุดออกไปได้หรอกขอรับ, เออ, ไม่มีทางปิดปากของผู้คนได้จริงๆอยู่แล้วขอรับ」

 

「……」

 

น็อนซังครับ กระดาษสัญญาได้ถูกเก็บไปแล้วละครับ

 

น็อนซังครับ ดูเหมือนเรื่องที่คุณสอนผมจะเสียเปล่าซะแล้วละครับ

 

「…มะ-มันจะดีจริงๆหรอครับ?」

 

「มันก็แค่เพื่อภาพลักษณ์เท่านั้นแหล่ะขอรับ」

 

เอลซังเขียนชื่อของผมลงไปในเอกสารอย่างรวดเร็ว และเวทมนตร์ก็ได้ทำงานพร้อมกับกับแสงสว่าง

 

「เออ, แล้วก็, มันมีวิธีที่เรียกว่า “ละเว้นเวทมนตร์” สำหรับเวทย์พันธสัญญาแบบนี้อยู่ด้วยขอรับ ถ้าท่านสนใจละก็, กระผมสามารถสอนให้ท่านได้นะขอรับ」

 

「มะ-ไม่เป็นไรครับ…」

 

อีกฝ่ายยก “ละเว้นเวทมนตร์” ขึ้นมาเองเลย?!

 

เหงื่อเย็นๆไหลลงมาที่หน้าผากของผม

 

「งั้นหรือขอรับ?」

 

ทำไมคุณถึงดูผิดหวังซะงั้นละครับ! อ้า ถึงเขาจะเป็นกระต่าย แต่ผมก็เริ่มจะเข้าใจสีหน้าของเขาขึ้นมาแล้ว

 

「จะดีหรอครับ? ไม่ใช่ว่าเมื่อวานเกิดเรื่องที่มันสำคัญมากๆขึ้นไม่ใช่หรอครับ?」

 

「เออ, มันก็จริงขอรับ, แต่ว่า, กระผมคิดว่ามันจะเป็นการดีกว่าที่ข้อมูลนี้แพร่หลายออกไปขอรับ」

 

「จริงหรอครับ?」

 

「ขอรับ, มันไม่สมเหตุสมผลเท่าไหร่ที่จะเก็บเป็นความลับขอรับ, มันก็ทำได้แค่ทำให้ราชวงศ์ศักดิ์สิทธิ์ดูลึกลับขึ้นเท่านั้นแหล่ะขอรับ, กลับกัน, การกระจายความรู้เรื่องหินสกิลไปทั่วโลก, เออ, กระผมคิดว่าทางนั้นมันจะได้ประโยชน์มากกว่าขอรับ」

 

ระดับของเรื่องราวครั้งนี้มันชักจะใหญ๋โตขึ้นซะแล้วสิ

 

「นั่นก็หมายความว่าผมสามารถถามเรื่องที่ผมอยากรู้ก็ได้ใช่ไหมครับ?」

 

「เออ, ถ้ามันอยู่ในขอบเขตความรู้ของกระผมละก็, ได้แน่นอนขอรับ」

 

「งั้น อะไรคือ “โลกอื่น” แล้วอะไรคือ “พันธสัญญา” กันครับ?」

 

「มันถูกเรียกอย่างง่ายๆว่า “โลกอื่น” จากผู้คนบนโลกนี้ขอรับ, เออ, ว่ากันว่า “โลกอื่น” เป็นโลกเดียวกับโลกใบนี้แต่อยู่เบื้องหลังขอรับ, ส่วน “พันธสัญญา” นั้นดูจะเป็นกฏที่เกี่ยวข้องกับ “หินสกิล” ที่ได้ตกลงก้นไว้กับ “โลกอื่น” ขอรับ」

 

ผมไม่คาดคิดว่าจะได้คำตอบจริงกลับมาเลย ทว่า ถึงจะได้ยินแบบนั้น ผมก็ไม่เข้าใจอยู่ดีว่าพวกนั้นมันหมายถึงอะไร

 

「ขออภัยด้วยครับ ผมไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่เลย」

 

「เออ, ในตอนนี้, ก็คงใช้ขอรับ, พวกเราไม่สามารถตรวจสอบ “โลกอื่น” ได้เลยขอรับ, ดูเหมือนจะมีการเชื่อมต่อกันระหว่างสองโลกในอดีตกาลอยู่ขอรับ, ทว่าเพื่อที่จะหยุดการเชื่อมต่อนั้น, พวกเราเลยได้ปิดประตูที่เชื่อมต่อโลกเอาไว้ขอรับ」

 

ประตู เจ้าคนกลางนั่นได้พูดเอาไว้ว่า — 「ความมืด, เปิดประตู, แสงสว่าง, นำทาง」

 

「อูโรโบรอส… ประตูนั่นใช่ที่งูยักษ์ออกมาหรือเปล่าครับ?」

 

「เออ, ถูกต้องขอรับ, งูกินหาง(อูโรโบรอส)เป็นสำนวนที่น่าสนใจมากขอรับ, ขอนำไปใช้นะขอรับ」

 

เอลซังนำม้วนกระดาษออกมาจากกระเป๋าเสื้อก่อนจะเริ่มวาดมันลงไป พอพูดถึงแล้ว ราชันศักดิ์สิทธิ์ไม่ได้พูดถึงอูโรโบรอสเลยนี้นา สงสัยว่ารายงานจะยังไม่มาถึงละมั้ง

 

「ตอนนี้, พวกเราไม่สามารถไปมาระหว่างโลกได้อย่างง่ายๆเพราะ “พันธสัญญา” นั่นขอรับ, เออ, ทว่า, มีเพียงแค่คนกลางเท่านั้นที่ทำได้ขอรับ」

 

「คนกลางหรอครับ… มังกรเองก็เป็นคนกลางด้วยหรอครับ?」

 

「โอ๊ะ? ท่านรู้เรื่องนั้นด้วยหรือขอรับ? เออ, ขอรับ, มังกรเป็นคนกลางของโลกใบนี้ขอรับ」

 

「มังกรนั่นพูดอะไรบางอย่างเกี่ยวกับการลงโทษพวกมนุษย์ตาม “พันธสัญญา” หน่ะครับ」

 

「โอ๊ะ? ท่านเคยคุยกับมังกรยังงั้นหรือขอรับ?」

 

ซวยละหลุดปากไป ผมรีบปิดปากของตัวเองอย่างเร่งรีบ ทว่าเอลซังก็ไม่ได้สนใจอะไร ก่อนจะพูดต่ออย่างสดใส

 

「เออ, นั่นเป็นประสบการณ์ที่หาได้ยากยิ่งขอรับ, ว่ากันว่ามังกรนั้นสามารถพบได้ในพื่นที่เฉพาะเท่านั้นขอรับ คอยเฝ้าดูว่าพันธสัญญาได้ถูกละเมิดหรือไม่ขอรับ」

 

「”พันธสัญญา” อีกแล้วสินะครับ?」

 

「ขอรับ, ว่ากันว่า “พันธสัญญา” นั้นมีส่วนที่สำคัญอยู่หลายอย่าง, และหนึ่งในนั้นบอกเกี่ยวกับว่าไม่ให้ถือครองหินสกิลมากเกินไปอะไรแบบนั้นขอรับ」

 

「ไม่ถือครองมากเกินไปหรอครับ?」ผมถามขึ้น

 

กระต่ายได้พยักหน้าตอบรับ

 

「หินสกิลนั้นถูกเรียกกันว่า “สิ่งที่พระเจ้าประทาน” ขอรับ… ทว่ากระผมคิดว่ามันเองก็เป็น “สิ่งที่หมุนเวียน” ด้วยเหมือนกันขอรับ, เออ, ถึง, กระผมจะเป็นคนเดียวที่เชื่อแบบนั้นในพระราชวังแห่งนี้ก็เถอะขอรับ, กระผมมีทฤษฎีที่ว่าหินสกิลที่หายไปจากโลกนี้ มันจะไปยัง “โลกอื่น” ขอรับ, และหินสกิลที่หายไปจาก “โลกอื่น” ก็จะมายังโลกใบนี้ขอรับ」

 

「————」

 

ผมอ้าปากกว้าง ผมไม่เคยคิดอะไรแบบนั้นมาก่อนเลย แต่ก็แปลกที่จะคิดว่ามันเป็นสิ่งที่งอกออกมาจากกำแพงของเหมือง เหมือนกับเห็ดแบบนั้น

 

แต่ ถ้าพวกเราคิดจากเรื่องการหมุนเวียนนี้แล้ว ไม่ใช่มันหมายความว่าหินมันมีจำนวนจำกัดหรอ? ถ้าจำนวนประชากรพุ่งพรวดขึ้นมาละก็ จำนวนผู้คนที่ไม่ได้รับหินสกิลก็จะมากขึ้นไม่ใช่หรอ?

 

「เออ, ดูเหมือนกระผมจะทำให้สับสนสินะขอรับ」

 

「ก็นิดหน่อยหน่ะครับ…」

 

「พูดตามตรงเลยนะขอรับ, นี้ไม่ใช่ทฤษฎีของผมหรอกขอรับ, มันถูกคิดค้นโดย  ดร.ฮินกา ผู้ที่เป็นผู้นำทีมวิจัยด้านการถอดหรัสเอกสารโบราณเกี่ยวกับ “พันธสัญญา” ขอรับ, ทั้งเรื่องของ “โลกอื่น”, และการศึกษาเกี่ยวกับ “หินสกิล” นั้นมาจากเอกสารงานวิจัยเมื่อ 20 กว่าปีก่อนขอรับ」

 

「————」

 

ผมตกตะลึงจากชื่อนั้นที่อยู่ๆก็ปรากฏขึ้นมา

 

「ขออภัยนะครับ แต่ว่า… คุณพูดถึงใครนะครับ?」

 

เสียงของผมนั้นแผ่วเบา

 

「ดร.ฮินกาขอรับ, ผู้ที่ถูกเรียกว่า “มันสมองแห่งราชอาณาจักรฟอร์ชา(Brain of Forsha Kingdom)” ในสหพันธ์คีทแกรนขอรับ」เอลซังพูดอย่างคล่องแคล่ว

 

「มันมีการขัดแย้งกันภายในสหพันธ์และราชอาณาจักรก็ล่มสลายไปขอรับ, ตัวของเขาได้ถูกประกาศว่าเป็นบุคคลสูญหายในตอนนั้นด้วยขอรับ, เออ, โชคไม่ดี, เขาอาจจะตายไปแล้วขอรับ」

 

========================================================

TL: คลายไปหลายปมเลยก็จริง แต่กลับไม่รู้สึกว่ามันลดลงเลยแห่ะ

 

 

บทที่ 2 ตอนที่ 50

 

เมื่อผมกลับมาถึงที่คฤหาสน์ ท่านเอิร์ลก็กำลังทานอาหารเช้าสายอยู่ คุณหนูนั้นยังคงหลับอยู่ ดังนั้นผมเลยยังมีเวลาว่างสักพัก

 

ขนมปังที่พึ่งอบขึ้นมาในเช้านี้นั้นช่างหอมเนยและดูน่าอร่อย ท่านเอิร์ลทานมันพร้อมกับแยมลินกอนเบอร์รีและดื่มชาที่ใส่น้ำผึ้งเยอะมาก สงสัยจังว่าคนที่ใช้ความคิดเยอะๆจะต้องการน้ำตาลจริงๆหรือเปล่านะ?

 

ถึงท่านเอิร์ลจะไม่ดูอ้วนขึ้นเลยแม้จะกินน้ำตาลไปขนาดนั้น

 

「เจ้ายังอยู่อีกรึ เรย์จิซัง?」

 

ท่านเอิร์ลดูจะแปลกใจที่เห็นผมเข้ามาในห้องอาหาร

 

「ครับ พวกเราจะไปยังพระราชวังศักดิ์สิทธิ์ในบ่ายนี้ใช่ไหมละครับ?」

 

เมื่อผมตอบกลับไป ดวงตาของเขาก็เบิกกว้างขึ้นและมองไปยังพ่อบ้านที่อยู่ข้างๆเขา พ่อบ้านเองก็ดูจะรู้สถานการณ์ไม่มากก็น้อยนะ

 

「แล้วท่านละครับ ท่านเอิร์ล? เป็นยังไงมั้งครับ?」

 

「ข้ายังห่างจากสภาพสมบูรณ์อยู่ แต่ข้าก็ไม่อาจนอนหลับสบายๆได้หรอกในสถานการณ์ตอนนี้」

 

หลังจากที่ทานอาหารเสร็จอย่างรวดเร็ว ท่านเอิร์ลก็พร้อมจะออกไปแล้ว มีเวลาอีกแค่ 1 ชั่วโมงก่อนจะบ่าย

 

「เรย์จิ!」

 

เมื่อท่านเอิร์ลกับผมไปพบกันที่ทางเข้าคฤหาสน์ คุณหนูก็ปรากฏตัวขึ้นที่ระเบียงชั้นสอง เธอดูเหมือนกับพึ่งจะตื่นแต่เธอก็เปลี่ยนชุดพร้อมกับจัดทรงผมมาแล้ว ก็เธอเป็นขุนนางนี้นะ จะออกมาทั้งชุดนอนก็คงไม่ได้หรอก

 

「อรุณสวัสดิ์ครับ คุณหนู」

 

「เรย์จิ นายจะไปไหนงั้นหรอ?」

 

คุณหนูวิ่งลงมาจากบันได แววตานั้นเต็มไปด้วยความกังวล

 

「ผมจะไปยังพระราชวังศักดิ์สิทธิ์กับท่านเอิร์ลครับ ไปรายงานเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวาน」

 

「อา…」

 

「ผมเองก็ได้สู้กับงูยักษ์หลังจากนั้นด้วย ดังนั้นผมจึงต้องไปรายงานเรื่องนั้นด้วยเช่นกันครับ」

 

ผมพูดเพื่อให้เธอรู้ว่ามันไม่ใช่เรื่องที่เนตรเวทมนตร์ของเธอทำให้หลุยส์ตาย คุณหนูพยักหน้าเป็นการตอบกลับ

 

「นั่นก็… สำคัญสินะ」

 

「ครับ ดังนั้นวันนี้โปรดอยู่แต่ในคฤหาสน์นะครับ คุณหนู」

 

「อื้ม」

 

「อีวา ลูกไม่ต้องกังวลอะไรหรอก เพราะข้าจะไปทำหน้าที่ขุนนางและเรย์จิซังก็จะไปทำหน้าที่คนคุ้มกันของเขาเท่านั้น」

 

「…ค่ะ หนูเข้าใจแล้ว」

 

「เด็กดี」ท่านเอิร์ลพูดพร้อมกับลูบหัวคุณหนูเบาๆ「ไปกันเถอะ」

 

「ครับ」

 

แล้วพวกเราก็ออกมาจากคฤหาสน์ เมื่อผมมองกลับไป คุณหนูยังคงยืนอยู่ที่ทางเข้าเพื่อส่งพวกเรา

 

「…ดูเหมือนลูกสาวของข้าจะชอบเจ้าจริงๆนะ เรย์จิซัง」ท่านเอิร์ลพูดขณะที่กำลังเข้าไปในรถม้า

 

…หัวหน้าพ่อบ้านยังยืนอยู่ข้างๆเราอยู่เลยนะครับ ดังนั้นโปรดหยุดพูดเรื่องนั้นเถอะนะครับ ท่านเอิร์ล

 

เมื่อรถม้าของพวกเราเข้ามายังเขตศักดิ์สิทธิ์ที่ 1 อยู่ๆบรรยากาศก็เริ่มหนักอึ้ง

 

「ท่านกำลังจะไปที่ไหนหรือครับ ท่านใต้เท้าซิวลิซส์?」

 

ทันทีหลังจากที่เข้ามา รถม้าก็ถูกหยุดโดยภาคีอัศวิน มันมีแม้กระทั่งสิ่งกีดขวางพร้อมรั้วเพื่อกันไม่ให้รถม้าผ่านเลย

 

เอิร์ลซิวลิซส์น่าจะสามารถผ่านเข้าไปได้โดยใช้แค่หน้าของเขานี้นา—มันก็ปกติเพราะท่านเอิร์ลต้องเข้าไปที่ห้องทำงานในเขตนี้ทุกๆวันเพื่อทำงาน—แล้ววันนี้เขากลับถูกถามว่าเขาจะไปไหนซะงั้น

 

「ที่พระราชวังศักดิ์สิทธิ์ ฝ่าบาทเรียกตัว」

 

「…โปรดรอสักครู่นะครับ」

 

จากนั้นอัศวินคนนั้นก็ได้เริ่มตรวจดูอะไรบางอย่าง

 

มองออกไปจากหน้าต่างรถม้า มีอัศวินอยู่ทุกๆที่เลย เจ้าหน้าที่ที่ปกติจะมาทำงานนั้นไม่เห็นเลยสักคน

 

「กระผมยืนยันแล้ว โปรดกลับออกมาหลังจากท่านเสร็จงานที่พระราชวังศักดิ์สิทธิ์แล้วด้วยครับ」

 

รถม้าเคลื่อนต่อไปหลังจากได้รับอนุญาต

 

「…ท่านเอิร์ล สถานการณ์ของดยุคริเวียร์ทำให้เป็นแบบนี้หรอครับ?」

 

「ใช่ ทุกๆคน รวมถึงหัวหน้าตระกูลริเวียร์นั้นถูกสั่งให้อยู่รอในคฤหาสน์ในเขตศักดิ์สิทธิ์ที่ 2 แต่ดูเหมือนว่าตระกูลที่เกี่ยวข้องกับตระกูลริเวียร์นั้นจะกำลังรวบรวมกำลังอยู่ ถึงพวกเขาจะประกาศว่าเพื่อป้องกันตัวเองก็เถอะ」

 

「นั่นไม่ทำให้พวกเขาน่าสงสัยมากขึ้นหรอครับ? แล้วทำไมพวกเขาถึงได้รับอนุญาตให้รวบรวมกำลังได้ตั้งแต่แรกละครับ?」

 

「มันก็ช่วยไม่ได้ถ้าพวกเขาอ้างว่ามันเป็น “การป้องกันตัว” อีกอย่างตระกูลริเวียร์ก็เป็นตระกูลดยุคด้วย โชคดีที่เขตแดนของตระกูลริเวียร์นั้นอยู่ค่อนข้างไหลจากเมืองศักดิ์สิทธิ์ ดังนั้นพวกเขาเลยแทบจะไม่มีกองทัพอยู่ที่นี่เลย ยิ่งไปกว่านั้น ขุนนางหลายคนที่เกี่ยวข้องกับพวกเขาก็ยังถูกจับด้วย」

 

「เอ๊ะ?」

 

「โอ๊ะ ข้ายังไม่ได้บอกเจ้างั้นรึ? ฝ่ายตระกูลริเวียร์นั้นเกี่ยวข้องกับการค้าขายหินสกิลจากแท่นบูชาที่ 1 ในตลาดมืดหน่ะสิ」

 

นั่นเป็นเหตุการณ์ที่ทำให้ท่านเอิร์ลมีชื่อเสียงว่า “ลอร์ดเลือดเย็น” นี้นา ท่านเอิร์ลสงสัยว่าหินสกิลที่ปรากฏในตลาดมืดนั้นถูกขโมยมาจากแท่นบูชาที่ 1 เขาเลยตรวจสอบและส่งขุนนางหลายคนขึ้นแท่นประหาร

 

(ฝ่ายริเวียร์เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้งั้นหรอ? ยิ่งไปกว่านั้น ตระกูลริเวียร์ยังวางแผนที่จะลอบสังหารเจ้าชายคลูฟชราทด้วย?)

 

ทั้งหมดนั้นมันทำให้ผมปวดหัว มันรู้สึกเหมือนกับผมกำลังมองข้ามอะไรบางอย่างไปเลย

 

「พวกเรากำลังจะเข้าไปยังพระราชวังศักดิ์สิทธิ์แล้ว」

 

ผมรู้สึกตัวทันทีที่ท่านเอิร์ลพูดขึ้น เข้ามาได้ง่ายมากเลยเมื่อคิดดูจากจุดตรวจในเขตศักดิ์สิทธิ์ที่ 1 แถมมีคนไม่มากที่จะเข้ามายังที่นี่ตั้งแต่แรกแล้วด้วย ดังนั้นผมคิดว่าทุกคนคงรู้ถึงการมาของผมแล้ว

 

หลังจากที่ลงมาจากรถม้า มีเพียงแค่ผมกับท่านเอิร์ลเท่านั้นที่เข้าไปในพระราชวัง

 

พระราชวังที่ทำจากหินนั้นมีทางเดินน้ำอยู่ทั้งตรงนั้นตรงนี้ สามารถได้ยินเสียงน้ำไหลได้เหมือนกับสถาปัตยกรรมญี่ปุ่นสมัยก่อนเลย ประตูเข้าห้องต่างๆนั้นเป็นประตูเลื่อนไม้ และทั้งหมดก็ถูกทาสีด้วยสีฟ้าอ่อน—สีฟ้าศักดิ์สิทธิ์

 

โต๊ะขนาดใหญ่พร้อมเก้าอี้ถูกวางเอาไว้กลางห้องว่างๆที่ไม่มีการตกแต่งใดๆ

 

「ห้องดูธรรมดามากๆเลย คิดอย่างนั้นอยู่ใช่ไหม?」

 

「คะ-ครับ」

 

「ราชวงศ์ศักดิ์สิทธิ์นั้นสืบทอดวิธีชีวิตเก่าๆมาหน่ะ」

 

「งั้นหรอครับ… ดูไม่ค่อยสะดวกสะบายเท่าไหร่เลยนะครับ」

 

「โคตรไม่สะดวกเลยละ」

 

ขนาดเกิดมาเป็นราชาก็ยังฟุ่มเฟือยไม่ได้หรอเนี่ย

 

หลังจากนั่งรอไม่กี่นาที ราชันศักดิ์สิทธิ์ก็ได้ปรากฏตัวขึ้นพร้อมกับนักบวชชั้นสูงเอลซังและนักบวชคนอื่นๆ

 

「ข้าคิดว่าเจ้าจะไม่มาแล้ว– โอ๊ะ ช่างเรื่องนั้นไปก่อน นั่งลงได้」

 

เมื่อผมกับท่านเอิร์ลยืนขึ้นตามมารยาท ราชันศักดิ์สิทธิ์ก็รีบนั่งลงขณะที่บอกให้พวกเรานั่งได้ ดังนั้นผมก็เลยนั่งกลับลงไปยังที่นั่งของตัวเองแล้วรอให้อีกฝ่ายเริ่มก่อน

 

ราชันศักดิ์สิทธิ์นั้นดูเหี่ยวแห้งมากๆ เขาคงจะแก่ขึ้นหลายปีจากเหตุการณ์เมื่อวานแน่ๆ ถึงเขาจะยังดูพูดตรงไปตรงมาและมีศักดิ์ศรีของกษัตริย์อยู่ก็จริง แต่มันก็รู้สึกเหมือนกับเขากำลังฝืนทำ

 

ส่วนกระต่ายเอลซังกับนักบวชคนอื่นๆนั้นยืนอยู่ข้างหลังราชันศักดิ์สิทธิ์ ผมไม่สามารถบอกอะไรเกี่ยวกับเอลซังได้เลย เพราะผมอ่านสีหน้าของกระต่ายไม่ออก

 

「เอาละ ก่อนอื่นเลย คนคุ้มกันของตระกูลซิวลิซส์… เจ้าชื่อเรย์จิสินะ?」

 

「ครับ」

 

「ขอบคุณ ขอบคุณสำหรับงานของเจ้า」

 

พูดออกมาตรงๆเลย ทว่า ผมไม่ได้ทำงานให้คนๆนี้ซะหน่อย

 

「ไม่ครับ ผมทำตามที่ตกลงกันไว้กับตระกูลซิวลิซส์เท่านั้นครับ」

 

「…เจ้าบอกว่าเจ้าแค่ทำงานให้กับเอิร์ลงั้นรึ?」

 

「ให้เจาะจงก็คือคุณหนูครับ ผมขอคืนสิ่งนี้ให้ครับ」

 

ผมเอามีดที่เก็บเอาไว้ตรงกระเป๋าหน้าอกออกมา ทำให้ผมนึกขึ้นมาได้ว่า มันไม่มีการค้นตัวที่จุดตรวจเลยนี้นา การป้องกันแบบนี้มันจะหวังพึ่งได้งั้นหรอ? หมายความว่าพวกเขาเชื่อใจท่านเอิร์ลถึงขนาดนั้นเลย?

 

「…เข้าใจหล่ะ เฮ้ นำมันไปเก็บไว้ในห้องนิรภัยซะ」

 

นักบวชพยักหน้าก่อนจะออกไปจากห้องพร้อมกับมีด

 

「ต่อให้การกระทำของเจ้าจะทำเพื่อตระกลูเอิร์ล ประเทศก็ยังได้ประโยชน์อยู่ดี มาพูดเรื่องรางวัลของเจ้ากันดีกว่า」

 

「ครับ」

 

「อย่างแรกเลย เพื่อสรรเสริญการกระทำอันกล้าหาญของเจ้าเมื่อวาน เจ้าจะได้รับ 1 เหรียญทองศักดิ์สิทธิ์」

 

1 เหรียญทองศักดิ์สิทธิ์นั้นมีค่าประมาณ 5 ล้านเยน สิ่งแรกที่เข้ามาในหัวของผมก็คือ “แค่นั้นหรอ?” เทียบกับเงินเดือนประจำปีที่ 3 เหรียญทองศักดิ์สิทธิ์ของผมแล้ว มันค่อนข้างน้อยเลยนะ

 

「…ทำหน้าอะไรของเจ้ากัน? มันน้อยไปงั้นรึ?」

 

「มะ-ไม่ครับ ไม่ใช่อย่างนั้น…」

 

「นี้เจ้าจ่ายมากกว่านี้อีกงั้นรึ วิกเตอร์?」

 

「มันก็ปกติที่จะมอบรางวัลสูงๆให้กับคนที่มีความสามารถครับ ฝ่าบาท」

 

「ชิ ถึงได้บอกว่าให้เอาออกมามากกว่านี้ไง แต่เจ้าเหรัญญิกนั่นก็ขึ้เหนียวซะเหลือเกิน บอกว่า 1 เหรียญทองศักดิ์สิทธิ์ก็มากพอแล้วถ้ามองจากการมอบรางวัลในอดีต」

 

「ยังไงเรื่องใหญ่ขนาดนี้เองก็ไม่เคยเกิดขึ้นในเมืองศักดิ์สิทธิ์มาก่อนครับ ถ้าท่านทำสงครามอยู่มันก็เป็นอีกเรื่องนึงครับ ทว่า」

 

เมื่อท่านเอิร์ลพูดแบบนั้น สีหน้าของราชันศักดิ์สิทธิ์ก็ขมขื่นขึ้น

 

ต่อให้ผมคิดว่าได้แค่นั้น แต่ในความเป็นจริง 1 เหรียญทองศักดิ์สิทธิ์นั้นก็ไม่ใช่จำนวนน้อยๆเลย หมายความว่าผมเริ่มโลภงั้นหรอเนี้ย?

 

「สำหรับตอนนี้ นี้คือรางวัลของเจ้า โปรดรับเอาไว้เถอะ」

 

「ครับ」

 

ผมไม่มีปัญหากับการได้เงินพิเศษเพิ่มหรอก

 

「เอาละตอนนี้ ข้าจะต้องไปเข้าร่วมการประชุมอื่น ข้าจะปล่อยที่เหลือให้กับเอลแล้วกัน」

 

「…งั้นหรือครับ ฝ่าบาท?」

 

เมื่อท่านเอิร์ลถามขึ้น ราชันศักดิ์สิทธิ์ก็พยักหน้าด้วยสีหน้าขมขื่น

 

「ข้าจะต้องพูดเกี่ยวกับตระกูลริเวียร์, ลูกของข้า, ราชวงศ์, และดยุคคนอื่นๆก็มารวมตัวกันแล้วด้วย วิกเตอร์ เจ้ามากับข้า」

 

「แต่ว่า–」

 

「มากับข้า」

 

「ฮ่าา… เรย์จิซัง ข้าต้องขอโทษด้วย แต่ข้าไม่คิดว่าเจ้าจะมีปัญหากับการกลับคนเดียวหรอก」

 

「ไม่เป็นไรครับ」

 

คุยกับเอลซังง่ายกว่าที่จะคุยกับราชันศักดิ์สิทธิ์เล็กน้อย

 

หรือบางที ไม่ใช่ว่าราชันศักดิ์สิทธิ์ปล่อยปละผมมากเกินไปเล็กน้อยหรอ? หรือเขาคิดว่าผมจะอยู่ข้างเขาตราบใดที่เอิร์ลซิวลิซส์ยังอยู่ที่นี่งั้นหรอ?

 

เมื่อผมมองไปที่เอิร์ล เขาก็มีสีหน้าปั้นยากอยู่ มันเหมือนกับความกังวลที่เขาคาดการณ์ผิด คิดว่าเขาคงจะบอกราชันศักดิ์สิทธิ์ถึงเรื่องของผมอย่างถูกต้องเท่าไหร่นัก

 

「โอ๊ะ เรย์จิ นี้ก็เพื่อกันไว้ก่อน–」ราชันศักดิ์สิทธิ์พูดในขณะที่เขายืนขึ้น「พวกเราจะทำสัญญากันด้วยเวทย์พันธสัญญาจากเหตุการณ์ในครั้งนี้ด้วย คิดซะว่าเป็นข้อผูกมัดในการรักษาความลับแล้วกัน」

 

มาตามที่คาดไว้เลยนะ เวทย์พันธสัญญา

 

 

 

บทที่ 2 ตอนที่ 49

 

「มันก็นานมากแล้วนะจ๊ะ」

 

「ผมขอโทษที่ไม่ได้ติดต่อไปให้หาทุกคนให้เร็วกว่านี้นะครับ」

 

มีเพียงแค่น็อนซังที่อยู่ที่โรงแรม ห้องที่พวกเขาจองไว้นั้นดูจะมีแค่กองสัมภาระกับเตียงเท่านั้น ดังนั้นพวกเราเลยย้ายกันไปอยู่ที่คาเฟ่ใกล้ๆแทน มันเป็นคาเฟ่เล็กๆที่ตกแต่งด้วยไม้ทั้งโต๊ะและเก้าอี้เลย มันทำให้คุณรู้สึกถึงความอบอุ่นจากไม้ได้

 

ผมสั่งน้ำผลไม้ไป ส่วนน็อนซังนั้นสั่งชานม

 

「มีหลายอย่างเลยที่อยากจะพูด แต่เริ่มจากเรื่องที่คุณพ่อกับมิมิโนะซังต้องไปที่กิลด์ก่อนแล้วกัน」

 

「ที่กิลด์หรอครับ?」

 

「ใช่แล้วจ่ะ เพราะความคัดแย้งในการแบ่งรางวัลจากงูยักษ์ตัวนั้นหน่ะ」

 

นักผจญภัยพื้นที่ดูจะไม่ยอมที่นักผจญภัยต่างถิ่น – ซิวเวอร์บาลานซ์ – นั้นแย่งผลงานของพวกเขาไปทั้งๆที่การอพยพพลเมืองถือเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด ส่วนที่แย่งก็คือว่าพวกนักผจญภัยเกือบทั้งหมดนั้นไม่ได้เห็นการต่อสู้กับอูโรโบรอส ดังนั้นพวกเขาจึงคิดว่าซิวเวอร์บาลานซ์นั้นแอบอ้าง

 

ในทางกลับกัน ภาคีอัศวินนั้นยังยืนกรานว่าพวกเขาจะเป็นคนเอาศพไป, ยืนยันส่วนที่ใช้งานได้, แลกเปลี่ยนมันเป็นเงินจำนวนมาก, แล้วค่อยแบ่งมันให้กับกิลด์จำนวนหนึ่ง จากมุมมองของทางกิลด์แล้ว มันก็แทบจะเหมือนกับพวกเขาถูกโกงเงินของพวกเขาเลย

 

ผลสุดท้าย ศพก็เลยยังไม่มีใครแตะต้องมัน

 

「ที่ชั้นคอยอยู่ที่โรงแรมก็เผื่อว่าเรย์จิคุงจะโผล่มาในวันนี้นี้แหล่ะ」

 

「งั้นหรอครับ อืม ผมเองก็ไม่ได้สนใจอะไรกับศพนั่นหรอกครับ」

 

「อุฟุฟุ เธอไม่ควรทำอย่างนั้นนะ เรย์จิคุง เธอควรจะระมัดระวังเรื่องเงินเอาไว้นะ คุณพ่อหน่ะออกไปอย่างภูมิใจพร้อมกับพูดว่า “เจ้าพวกนั้นดูถูกพวกเราและพูดไปต่างๆนาๆเพราะพวกเราเป็นคนนอก ดังนั้นพวกเราก็แค่ต้องแสดงให้พวกมันเห็น ว่าพวกเราเป็นใคร”」

 

「ฮา-ฮ่าๆ…」

 

ดันเต้ซังดูน่ากลัวยังไงไม่รู้นะ

 

「มิมิโนะซังหน่ะกระตือรือร้นมากกว่านั้นอีก เธอพูดว่า “พวกเราจะรีดไถทุกบาททุกสตางค์เลย ยังไงมันทั้งหมดก็เป็นของเรย์จิคุงอยู่แล้ว” แถมยังพยายามที่จะเอายาพิษต้องห้ามถึงตายไปด้วยเลย แต่ชั้นหยุดเธอเอาไว้ได้ก่อน」

 

น่ากลัวยิ่งกว่าอีกหรอเนี้ย!

 

「…ยังไงก็เถอะ แล้วพวกคุณมาทำอะไรในเมืองศักดิ์สิทธิ์นี้หล่ะครับ?」

 

「พวกเรานั้นอยู่ที่จักรวรรดิเวทมนตร์เลฟ (Lev Magic Empire) จนถึงเมื่อไม่นานมานี้เอง ที่นั่น พวกเรารับภารกิจคุ้มกันและได้มายังเมืองศักดิ์สิทธิ์หน่ะ ทางโบสถ์ยังถือว่าชั้นออกเดินทางตามหาทางรักษาคุณพ่ออยู่ ทว่าตัวชั้นเองก็แทบจะกลายเป็นนักผจญภัยเต็มตัวอยู่แล้วละจ่ะ งั้น แล้วเธอละจ๊ะ เรย์จิคุว?」

 

「ผม–」

 

ผมพูดสั้นๆถึงเรื่องเมื่อ 4 ปีก่อน

 

ออกมาจากอาณาเขตดยุคอเคนบาคด้วยการนำทางของเซอรี่ซัง ผู้ที่สังกัดกองทหารรับจ้างเดียวกับไรเครียซัง, ทำงานในฐานะคนทำความสะอาดของภาคีอัศวิน, ช่วยท่านเอิร์ลจากการลอบสังหาร, และถูกจ้างวานโดยตระกูลเอิร์ล

 

ถึงผมจะไม่สามารถพูดถึงเรื่องงานพิธีมอบหินสกิลได้ก็ตาม

 

「ดูเหมือนว่าเรย์จิคุงจะผ่านเรื่องราวมามากมายเลยนะจ๊ะ」

 

「ครับ ผมขอโทษที่ผมออกมาโดยที่ไม่ได้บอกในตอนนั้นนะครับ」

 

「ชั้นรู้ว่าเธอเองก็มีเหตุผลของเธอ ดังนั้นชั้นไม่โทษเธอหรอกจ่ะ แต่ แน่นอนว่าชั้นรู้เรื่องที่เธอรักษาคุณพ่อ ดัวนั้นขั้นจริงอยากจะขอบคุณเธอจากใจจริง」

 

「เออ…」

 

โอ๊ะ จริงสิ ผมใช้มิธริลไปในการรักษาครั้งนั้นด้วยนี้นา ดังนั้นผมจริงบอกเรื่องนั้นไปไม่ได้ตรงๆ

 

「เอออ มันเป็นยาอิลิกเซอร์พิเศษ ไม่สิ มันเหมือนกับยาที่ผมทำได้โดยบังเอิญมากกว่านะครับ เออ…」

 

「ชั้นไม่ถามเธอหรอกว่าเธอทำมันได้ยังไง วางใจได้จ่ะ แต่ก็ขอบคุณเธอจริงๆนะจ๊ะ ชั้นมั่นใจว่ามันต้องไม่ใช้อะไรที่เธอสามารถซื้อมันด้วยเงินได้แน่ๆ」น็อนซังพูดพร้อมกับเอนมาข้างหน้าจนหน้าอกวางอยู่บนโต๊ะ

 

เห้ย แรงกระตุ้นมันแรงเกินไปสำหรับเด็กอายุ 14 ปีนะครับ!

 

「มะ-ไม่เป็นไรหรอกครับ」

 

「หืมม? ทำไมเธอถึงหันหน้าหนีละจ๊ะ?」

 

「ยะ-ยังไงก็เถอะครับ เอาเป็นให้ผมเข้าร่วมซิวเวอร์บาลานซ์อีกครั้งแทนการขอบคุณเป็นไงละครับ?」

 

「แน่นอนจ่ะ! ถึงชั้นคิดว่านั่นมันยังไม่พอสำหรับการตอบแทนเธอหรอก–」น็อนซังพูด สีหน้าของเธอสดใสขึ้น

 

「ผมคิดว่ามันเป็นเรื่องปกติที่จะช่วยกันถ้าอยู่ในปาร์ตี้เดียวกันหน่ะครับ」

 

「เรย์จิคุง…」

 

ที่หางตาของเธอนั้นเปียกชื้นจากความรู้สึกตื้นตัน เธอประสานมือเอาไว้ที่หน้าอกของเธอ

 

ในตอนนั้น ถ้ามิมิโนะซัง, ดันเต้ซัง, น็อนซัง, และไรเครียซังไม่ได้อยู่ที่นั่นละก็ ผมก็คงจะไม่ได้มีวันนี้แล้ว ต่อให้ผมรอดชีวิต ผมคิดว่าผมคงจะใกล้ตายทุกเมื่ออยู่ดี มีอันตรายอยู่ทุกหัวมุมเลย

 

「ผมนั้นเป็นทาสขุดเหมืองที่ทำงานอยู่ในเหมืองที่ 6 ครับ โชคดีที่ผมสามารถหลบหนีออกมาได้ตอนที่เวทย์พันธสัญญาคลายออก ผมนั้นถูกตามล่าภายในเมืองหลวงของอาณาเขตดยุค และตัวตนของผมก็ถูกรู้โดยยามในตอนที่มังกรโจมตีครับ」

 

「งั้นนั่นจึงเป็นเหตุผลที่เธอรีบร้อนและหนีออกมางั้นหรอจ๊ะ? เป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นเมื่อ 4 ปีก่อนหรอจ๊ะ?」

 

「ผมไม่อยากรบกวนซิวเวอร์บาลานซ์โดยลากให้มาเกี่ยวข้องกับผมครับ」

 

หิน 6 ดาวที่ลาร์คถือครองนั้นเป็นสาเหตุหลักก็จริง แต่ผมก็ไม่อยากจะรบกวนซิวเวอร์บาลานซ์เหมือนกัน

 

หลังจากที่ได้ยินเรื่องราวของผม น็อนซังก็หลับตาลงช้าๆและคิดอะไรบางอย่าง เธอดูราวกับแม่ชีผู้ศรัทธาจริงๆตอนที่เธอทำแบบนี้ ไม่เดี๋ยวก่อนนะ เธอก็เป็นแม่ชีจริงๆนี้นา

 

「…พวกเราอยากจะช่วยเหลือเรย์จิคุงนะ」

 

「พวกคุณช่วยเหลือผมมามากเกินพอแล้วครับเมื่อ 4 ปีก่อน」

 

「ไม่หรอก เธอไม่ใช่แค่ช่วยรักษาร่างกายของคุณพ่อ แต่ยังรวมถึงหัวใจของเขาด้วย ต่อให้เขาถูกรักษาโดยนักบวชชั้นสูงก็ตาม หัวใจของเขาก็ไม่มีทางถูกรักษาได้เลย เป็นเพราะเธอ คุณพ่อถึงยังสามารถยินต่อสู้อยู่ที่แนวหน้าต่อไปได้ นึกภาพออกไหม? หลังจากที่เธอจากไป ไม่มีวันไหนเลยที่ชั้นไม่ได้อธิษฐานให้เธอนั้นปลอดภัย ชั้นตื่นขึ้นในทุกๆเช้าและสวดภาวนาต่อพระเจ้าเลยนะ」

 

「น็อนซัง…」

 

น็อนซังเอื้อมมือของเธอมาจับที่มือของผม มือของเธอนั้นอบอุ่น – เป็นมือของหญิงสาวที่โตเป็นผู้ใหญ่แล้ว ต่างจากของคุณหนู

 

น็อนซังสวดภาวนาให้ผมในทุกๆวัน เมื่อความจริงนั้นฝังลึกลงมา ผมก็เกือบจะร้องไห้ออกมาแล้ว ผมมักจะรู้สึกแข็งแกร่งจากพลังของ【World Ruler】ผมคิดว่ามันคงเป็นเพราะพลังของผมเอง ทว่า ผมมั่นใจแล้วว่ามันไมจริง ผมเชื่อว่าคำอธิษฐานของน็อนซังจะต้องคอยพลักดันผม ผมเชื่ออย่างนั้นจริงๆต่อให้ไม่มีใครเชื่อก็ตาม — เหมือนกับน็อนซังที่เชื่อว่าคำอธิษฐานของเธอจะต้องส่งมาถึงผม

 

「น็อนซัง… ผมมีบางอย่างที่จะบอกคุณ」

 

ขณะที่ผมพยายามที่จะไม่ร้องไห้ ผมก็เล่าทุกอย่างให้น็อนซังด้วยเสียงที่สั่นเทา เล่าถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในงานพิธี, เรื่องที่ราชันศักดิ์สิทธิ์เรียกตัวผม, เรื่องที่ผมจะต้องหนีไป อีกครั้ง

 

ผมยังบอกน็อนซังถึงเรื่องที่มันเป็นความลับระดับสูงด้วย ผมไม่อาจหยุดได้เลย จนสุดท้าย ผมก็หมดแรง น็อนซังกุมมือของผมเอาไว้ตลอดเวลา

 

เมื่อผมรู้สึกอายเล็กน้อยและปล่อยมือของเธอออก น็อนซังก็ดูผิดหวังเล็กน้อย — หรือเป็นแค่สิ่งที่ผมอยากจะให้เธอรู้สึกกันนะ?

 

「…เรย์จิคุง เธอทำได้ดีมากเลย ชั้นภูมิใจในตัวเธอจริงๆ」

 

「…ขอบคุณครับ」

 

น็อนซัง ถ้าคุณพูดแบบนั้นละก็ ผมจะร้องจริงๆแล้วนะครับ

 

「ฮ่าา… ถึงขนาดที่เรย์จิคุงต้องผ่านเรื่องยากลำบากมามากขนาดนั้นแท้ๆ ทั้งกิลด์กับภาคีอัศวินก็ยังสนใจแค่ตัวเองทั้งนั้นเลย」

 

「…ขอโทษครับ น็อนซัง ผมบอกเรื่องที่คุณไม่ควรจะรู้ไปซะแล้ว」

 

「ไม่ใช่อย่างนั้นหรอกจ่ะ ในฐานะสมาชิกของโบสถ์แล้ว ชั้นดีใจที่ได้ยินแบบนั้นนะจ๊ะ แล้วนอกจากนั้นนะ เรย์จิคุง…」

 

「ครับ?」

 

「นั่นหน่ะไม่ใช่เรื่องของผลกำไรหรอกนะ」

 

「…?」

 

คุณนี้มันแย่จริงๆเลย น็อนซัง คำพูดของคุณมันเจาะตรงกลางใจของผมเลย

 

เรื่องของความได้เปรียบเสียเปรียบ “การหนี” นั้นเป็นทางเลือกที่ดีกว่าใช่ไหมหล่ะ? ทว่า — ทุกสิ่งทุกอย่างนั้นไม่สามารถตัดสินได้จากความได้เปรียบเสียเปรียบเพียงอย่างเดียว

 

「เธอทำได้ดีที่สุดแล้ว ทำไมเธอถึงจะต้องหนีด้วยละ? เธอควรจะไปพบท่านราชันศักดิ์สิทธิ์ด้วยความภาคภูมิใจนะ ไม่มีเหตุผลเลยที่เธอจะต้องวิ่งหนี และก็นะเรย์จิคุง ลูกสาวของท่านเอิร์ลนั้นเป็นคนสำคัญของเธอใช่ไหมหล่ะ? การจากลาแบบนี้หน่ะมันแย่ที่สุดเลยนะ」

 

「…ครับ」

 

ผมเองก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน ตอนที่ผมคิดถึงคุณหนู ผมก็รู้ตัวว่า “การหนี” นั้นไม่ใช้ทางเลือกจริงๆ ท่านเอิร์ลนั้นไม่ได้พูดถึงคุณหนูในตอนที่พวกเราคุยกันเลย แต่ผมคิดว่านั้นเป็นเพราะแค่ท่านเอิร์ลมองเป้าหมายมากกว่าความใจดี เพื่อให้ผมได้ตัดสินใจได้ง่ายๆก็เท่านั้นเอง

 

และผมกับน็อนซังเองก็รู้ว่า “การจากลาแบบนั้น” มันย่ำแย่แค่ไหนจากเมื่อ 4 ปีก่อนมาแล้ว

 

「แต่จะทำยังไงถ้าผมถูกบังคับให้ทำสัญญาเวทมนตร์ละครับ?」

 

นั่นคือสิ่งที่ผมกลัวที่สุด เวทย์พันธสัญญาเป็นสิ่งที่น่ากลัวยิ่งกว่าการต่อสู้หรือสงครามไหนๆเลย ผมเคยสัมผัสมันเองกับมือที่เหมืองนั่นแล้ว

 

「มันมีวิธีแก้ปัญหาอย่างหนึ่งสำหรับเวทย์พันธสัญญาอยู่」น็อนซังพูดขึ้นพร้อมกับยกนิ้วชี้ขึ้น「มันเป็นวิธีที่มีน้อยคนจะรู้แม้จะเป็นคนของโบสถ์ก็ตาม อุฟุฟุฟุ…」

 

อืม… ได้ยินน็อนซังหัวเราะแบบนั้น เธอก็ดูน่ากลัวอยู่หน่อยๆเหมือนกัน

 

========================================================

TL: เป็นตี้ที่ดีจริงๆ

 

 

บทที่ 2 ตอนที่ 48

 

「งั้นมันก็มีหินสกิล 8 ดาวอยู่จริงๆสินะครับ…」

 

「ใช่ ถึงข้าเองก็ยังไม่เคยเห็นมันเลยก็ตาม」

 

จากนั้นท่านเอิร์ลก็บอกผมถึงทุกอย่างที่เกิดขึ้นในวิหารนั้น

 

งั้นหรอ… ไม่แปลกใจเลยที่คุณหนูจะโทษตัวเองจากการตายของหลุยส์

 

「ดูเหมือนว่าหิน 8 ดาวนั้นจะต้องถูกมอบให้เก็บผู้ที่บริสุทธิ์เท่านั้น คนที่ไม่เคยรับหินสกิลไหนมาก่อนจากราชวงศ์ศักดิ์สิทธิ์ ข้าไม่รู้ว่าทำไมมันถึงต้องเจาะจงแบบนั้น แต่ตามที่มีการบันทึกมา หินสกิลนี้จะปรากฏขึ้นหนึ่งครั้งทุกๆ 100 ถึง 300 ปี สมาชิกราชวงศ์ศักดิ์สิทธิ์ที่ได้รับหินสกิลจะหายตัวไปโดยไม่มีข้อยกเว้น คาดว่าพวกเขาจะหายตัวไปที่ “โลกอื่น”」

 

「…งั้นฝ่าบาทก็มอบมันให้กับหลุยส์เพื่อช่วยเจ้าชายคลูฟชราทจากชะตากรรมนั้นงั้นหรอครับ?」

 

「ข้าเองก็บอกไม่ได้ว่ามันเป็นแบบนั้นหรือเปล่า」

 

บ้าชะมัด มันยิ่งบ้าเข้าไปอีกเมื่อคุณหนูต้องมาเสียใจเพราะเรื่องแบบนี้

 

「ยังไงก็ตาม พวกเราก็โทษฝ่าบาทท่านเดียวไม่ได้หรอก」

 

「ทำไมละครับ!? มันก็เหมือนกับการมอบยาพิษถึงตายให้เลยนะครับ!」

 

「ถ้าท่านหลุยส์ไม่ท้าทายละก็ มันก็จะถูกมอบให้กับเจ้าชายคลูฟชราทอยู่ดี ฝ่าบาทนั้นลังเลมาตลอดจนกระทั่งถึงวันก่อนงานพิธี และข้าก็ได้ยินมาว่าท่านตัดสินใจที่จะมอบมันให้เจ้าชายไปแล้ว」

 

「แต่ว่า…!」

 

「ท่านหลุยส์พูดกับฝ่าบาทว่า “โอกาสนั้นจะต้องเท่าเทียมกัน” ฝ่าบาทที่ได้ยินเหตุผลแบบขุนนางอย่างนั้น หัวใจของท่านก็ได้สั่นคลอน—ในฐานะพ่อคน」

 

「…………」

 

ผมกำมือทั้งสองข้างแน่น

 

มันไม่มีทางอื่นเลยหรอ? ทำไมถึงเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นมาได้?

 

หลุยส์จะปฏิเสธหรือเปล่าถ้าเขารู้ว่าเขาอาจจะ “ตาย” ได้? — ไม่ ถ้าเขารู้เพียงแค่ว่าเขาจะได้ไปยัง “โลกอื่น” ละก็ เขาก็คงจะอ้าแขนรับด้วยความเต็มใจเลย

 

「ราชวงศ์ศักดิ์สิทธิ์นั้นเป็นหัวใจหลักของประเทศและยังมีพลังอำนาจอันยิ่งใหญ่ด้วย ทว่ามันก็มีภาระผูกพันอันโหดเหี้ยมตามมาด้วยเช่นกัน」

 

「…งั้น ความสำเร็จของผมก็คือการช่วยชีวิตเจ้าชายคลูฟชราทไม่ให้ตายยังงั้นหรือครับ?」

 

「เรย์จิซัง」

 

ท่านเอิร์ลเรียกผมด้วยน้ำเสียงตำหนิ ผมทุบมือขวาของผมลงบนต้นขาของตัวเอง

 

「…ขอโทษครับ ก็แค่คำแก้ตัวโง่ๆหน่ะครับ ลืมมันไปเถอะครับ」ผมพูด

 

อย่างผมไม่สามารถทำตัวเหมือนพ่อพระแบบนั้นได้หรอก ตัวเองยังทำตามใจตัวเองแบบอยู่เลย ยังไม่เคยบอกคุณหนูถึงสถานการณ์ทั้งหมดของตัวเองเลยด้วยซ้ำ

 

「ไม่ ข้าไม่ลืมมันไปหรอก」

 

ผมที่กำลังรู้สึกรังเกียจตัวเองอยู่นั้น ท่านเอิร์ลก็ได้พูดออกมาแบบนั้นด้วยสีหน้าจริงจัง—และมีรอบยิ้มบางๆปรากฏขึ้น

 

「ข้าดีใจมากเลยที่ในที่สุดเจ้าก็แสดงด้านที่เป็นมนุษย์ออกมา ไม่ว่าข้าจะพูดคุยกับเจ้ากี่ครั้ง ข้าก็รู้สึกเหมือนคุยอยู่กับผู้ใหญ่เต็มตัวไม่ใช่เด็กอายุ 14 ปีเลย แต่ดูเหมือนว่าเจ้าเองก็ยังมีด้านที่เป็นมนุษย์อยู่นะ」

 

「…อย่างท่านนี้พูดได้หรอครับ?」

 

「เลือดที่ไหลเวียนอยู่ในตัวข้าดูจะเย็นราวกับน้ำแข็งเลย ดังนั้นมันไม่สมเหตุสมผลที่ข้าจะมีความรู้สึกแบบนั้น… ยังไงก็เถอะ ฝ่าบาทนั้นไม่ใช่คนที่จะถูกลงโทษได้ ทว่ามันมีอุปสรรคอันยากลำบากกำลังรอท่านอยู่」

 

「อุปสรรคอันยากลำบาก?」

 

「อย่างแรกเลยก็คือว่าหินสกิล 8 ดาวนั้นอาจจะปรากฏตัวขึ้นอีกในอนาคต และข้าก็ได้ยินเป็นครั้งแรกว่า ถึงสามัญชนจะมอบหินสกิลให้กับลูกหลานให้เร็วที่สุดที่จะเป็นไปได้ แต่ขุนนางนั้นจะต้องรอจนกว่าลูกของพวกเขาจะอายุ 12 ปี เพื่อสร้างช่วงเวลา “บริสุทธิ์” เป็นเวลา 12 ปี มันอาจจะดีถ้ามีบุตรถือกำเนิดขึ้นในช่วงเวลานั้น แต่ถ้าไม่ละก็ เด็กที่มีสีฟ้าศักดิ์สิทธิ์ก็จะต้องคงความ “บริสุทธิ์” ต่อไปโดยให้เหตุผลสักอย่างกับทางสาธารณชนทราบ」

 

「งั้นก็หมายความว่างานพิธีนั้นถูกสร้างขึ้นเพื่อให้เหล่าขุนนางทำตามข้อกำหนดนั้นงั้นหรอครับ?」

 

「บางทีอาจจะเรียกว่าเป็นการอำพรางก็ได้ ยังมีความลับอื่นๆอีกมากมายนอกจากนี้อีก  ยังไงก็ตาม ขนาดเอลซังเองก็ยังไม่รู้ว่าหินสกิล 8 ดาวนั้นเป็นอะไร ไม่ว่าเขาจะพูดจริงหรือโกหกก็ตาม แต่เมื่อมีหินสกิล 8 ดาวปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง มันจะต้องถูกมอบให้กับน้องชายของเจ้าชายคลูฟชราท เจ้าชายศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่ 3 เท่านั้น」

 

งั้นก็หมายความว่าวัฏจักรแห่งความโศกเศร้าก็จะดำเนินต่อไปหน่ะสิ?

 

「ครั้งสุดท้ายที่หิน 8 ดาวนั้นปรากฏขึ้นก็คือเมื่อ 250 ปีก่อน เนื่องจากที่ไม่มีใครเลยที่ยังมีชีวิตอยู่จากช่วงเวลานั้นเลย และบันทึกเองก็เขียนด้วยภาษาโบราณ มันจึงดูจะต้องใช้เวลาสักพักในการถอดรหัสถึงความหมายที่มันต้องปรากฏตัวออกมาหน่ะ」

 

「ทั้งหมดนี้มันเกี่ยวข้องอะไรกับ “โลกอื่น” งั้นหรอครับ…?」

 

「…ฝ่าบาทอาจจะบอกเจ้าก็ได้ถ้าเจ้าไปยังพระราชวังศักดิ์สิทธิ์ บางทีอาจจะรวมถึงเรื่องของสิ่งที่เรียกว่า “พันธสัญญา” ด้วย」

 

พันธสัญญา

 

ถ้าผมจำไม่ผิด มังกรตัวนั้นเองก็ใช้คำๆนี้ด้วยเหมือนกัน

 

「และมีเรื่องยากลำบางอย่างอื่นที่ฝ่าบาทจะต้องจัดการด้วย – เจ้างูยักษ์นั่น เจ้ารู้ใช่ไหมว่ามันได้ทำลายคฤหาสน์หลังหนึ่งในเขตศักดิ์สิทธิ์ที่ 2 ด้วยหน่ะ?」

 

「อา… ครับ ผมเองก็อยู่ที่นั่นด้วย รู้สึกว่าจะเป็นของตระกูลริเวียร์สินะครับ…」

 

ผมนึกถึงสิ่งที่ได้ยินมาจากกัปตันอาเธอร์

 

「ใช่ ปัญหามันก็คือชายที่ตายจากการถล่มลงมาของกำแพงคฤหาสน์หลังนั้น」

 

「งั้นก็หมายความว่าเขาคือผู้เคราะห์ร้ายสินะครับ?」

 

「ใช่แล้ว เขาเป็นผู้เคราะห์ร้ายในครั้งนี้ ทว่าเมื่อเดือนก่อนนั้นเขาคือผู้กระทำความผิด」

 

1 เดือนก่อน—หรือว่า “งานเลี้ยงต้นกล้าแห่งคืนข้างขึ้น” งั้นหรอ?

 

「ชายคนนั้นคือคนที่วางยาพิษในจานของเจ้าชายคลูฟชราท」

 

ผมตกตะลึงที่ได้ยินแบบนั้น

 

「มีความเป็นไปได้สูงที่ 1 ใน 6 ดยุคผู้ยิ่งใหญ่อย่างตระกูลริเวียร์พยายามที่จะลอบสังหารเจ้าชายคลูฟชราท ดังนั้นจึงมีการหาลือกันว่าจะล้มล้างตระกูลริเวียร์ออกไปเกิดขึ้นในตอนนี้ ทางตระกูลริเวียร์นั้นไม่เห็นด้วยและกำลังรวบรวมเหล่าอัศวินของพวกเขา… เป็นสถานการณ์ที่มีความตึงเครียดสูงเลยละ ง่ายๆเลยก็คือว่าอาจจะเกิดสงครามกลางเมืองได้ทุกเมื่อเลย」

 

ผมควรจะไปยังพระราชวังศักดิ์สิทธิ์หรือไม่ดีละเนี่ย?

 

เอิร์ลซิวลิซส์ออกไปจากห้องพร้อมกับพูดว่า “ข้าจะไปงีบสักหน่อย” — มันเหมือนกับการบอกว่า “ถ้าเจ้าจะหนีละก็ ตอนนี้แหล่ะโอกาสของเจ้าแล้ว”

 

ท่านเอิร์ลคาดการณ์ว่าราชันศักดิ์สิทธิ์จะไม่ปล่อยผมไปเนื่องจากผมนั้นรู้ถึงความลับระดับชาติแล้ว ทว่าในทางกลับกัน เขาเองก็รู้สึกขอบคุณผมด้วย ดังนั้นเขาเลยให้โอกาสผมหลบหนีถ้าต้องการ

 

ความวุ่นวายครั้งใหญ่จะเกิดขึ้นในอนาคตเร็วๆนี้ รวมถึงการล้มล้างหนึ่งในตระกูล 6 ดยุคผู้ยิ่งใหญ่ด้วย ผมจะได้ประโยชน์อะไรจากการอยู่ในประเทศนี้ต่อไปกัน?

 

(ผมควรจะขอเงินจำนวนมากแลกกับการเซ็นต์สัญญาเวทมนตร์ดีไหม?)

 

ไม่ ผมไม่ได้ต้องการของแบบนั้น เงินที่ผมต้องการก็แค่ให้เพียงพอต่อชีวิตประจำวันเท่านั้นเอง

 

(แล้วก็ข้อมูลเกี่ยวกับ “พันธสัญญา”)

 

ผมสนใจมันก็จริง แต่มันไม่ใช่สิ่งที่จำเป็นต่อผม ขนาดในโลกนี้ มันก็ดีพอแล้วที่จะมีเพียงแค่ “ส่วนน้อย” อย่างกลุ่มบุคคลสำคัญที่ต้องรู้ถึงเรื่องนี้ – ผมพอใจแล้วที่จะเป็นหนึ่งใน “คนที่ไม่รู้ส่วนใหญ่” ยังไงซะ มันก็เห็นได้ชัดเลยว่ามันจะนำปัญหามาให้ผมแน่ๆ

 

(หรือก็คือ ไม่มีเหตุผลให้ผมอยู่ต่อ)

 

ในทางกลับกัน มันมีเพียงแค่ผลเสียต่อผมทั้งนั้นเลย ถ้าผมไม่สามารถออกไปจากเมืองศักดิ์สิทธิ์ได้เพราะเวทย์พันธสัญญาละก็ ผมก็จะไม่สามารถตามหาลาร์คหรือลูลูช่าซังได้ ยิ่งไปกว่านั้น มีความเป็นไปได้สูงที่ปัญหาหลายๆอย่างที่เกี่ยวข้องกับราชันศักดิ์สิทธิ์จะเกิดขึ้นด้วย

 

「…คิดดูจากผลประโยชน์แล้ว มีเพียงแค่คำตอบเดียวเท่านั้น」

 

หลังจากนั้น ผมก็ได้ออกมาจากคฤหาสน์ ผมได้กล่าวทักทายยามเฝ้าประตูแล้วบอกเขาว่าจะไปทำธุระ ผมตัดผ่านเขตทั้งหมดในระหว่างทาง และก็ได้มาถึงบล็อกที่ 5

 

ผมต้องถามทางหลายต่อหลายครั้ง – ก็คาดไว้แล้วจากโลกใบนี้ที่ไม่มีสมาร์ทโฟนหรือระบบนำทางใดๆเลย – และแทบทุกคนนั้นยินดีที่จะช่วยผม

 

「ที่นี่งั้นหรอ?」

 

เบื้องหน้าของผมนั้นมีอาคารหิน 4 ชั้น อาคารนั้นมีโครงสร้างทางสถาปัตยกรรมแบบแคบแต่ลึกเข้าไปข้างในที่ไม่ค่อยได้เห็นบ่อยนัก เป็นโรงแรมที่มีชื่อว่า “กระบองเพชรสีเงิน (Silver Citrus)” ที่ซิวเวอร์บาลานซ์พักอยู่

 

「ที่พวกเขาเลือกที่นี่ก็เพราะว่ามันมี “ซิวเวอร์” อยู่ในชื่อยังงั้นหรอ?」

 

เมื่อผมเปิดประตูทางเข้า – ที่เป็นประตูกระจกสีแกะสลักด้วยลวดลายไม้บนพื้นผิว – เสียงกระดิ่งก็ได้ดังขึ้น

 

 

 

บทที่ 2 ตอนที่ 47

 

ผมรู้สึกว่าท่านเอิร์ลอาจจะเดาไว้แล้วว่าคุณหนูจะคืนตำแหน่ง

 

ทั้งปล่อยให้เธอทำลายธุรกิจทรัพยากรมนุษย์, ปล่อยคุณหนูออกไปเดินเล่นในเมืองตามใจ, และถึงขนาดมอบหินสกิลให้นอกงานพิธีด้วย—ซึ่งมันผิดต่อขนบธรรมเนียมของสังคมขุนนาง

 

พูดอีกอย่างก็คือ ท่านเอิร์ลเน้นให้คุณหนูเติบโตเป็นตัวเองมากกว่าตำแหน่งขุนนางของเธอ หึมมม แต่รู้สึกว่าเขาจะเร่งๆไงไม่รู้สิ

 

(ท่านเอิร์ลอาจจะตัดใจที่จะมีชีวิตอยู่ต่อตั้งแต่ที่เขาถูกโจมตีเมื่อปีก่อนตอนที่ผมช่วยเขาเอาไว้แล้วก็ได้ และเขาก็อาจจะไม่รอดในการโจมตีครั้งต่อไปด้วย ถ้างั้น คิดว่าเขาคงหวังจะให้คุณหนูเป็นอิสระให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ก็ได้)

 

ผมก็ไม่เคยได้ยินจากปากของเขาตรงๆหรอก แถมเขาก็ไม่ใช่คนที่จะชอบพูดอะไรแบบนั้นด้วย

 

(เอ เดี๋ยวก่อนนะ… ถ้าท่านเอิร์ลตายละก็ ผมก็จะต้องโทษตัวเองที่ “ไม่อาจปกป้องท่านเอิร์ลได้” ด้วยความรู้สึกผิดนั้น ผมคงจะตัดสินใจที่จะ “อยู่เคียงข้างคุณหนูจะกว่าจะโตเป็นผู้ใหญ่” แน่ๆเลย ใช่แล้ว นั่นเป็นสิ่งที่ผมจะต้องทำแน่ๆ! ท่านเอิร์ล นี้คุณมองไปไกลถึงขนาดนั้นแล้วหรอ?!)

 

ในโลกใบนี้ การใช้กำลังเข้าสู้ไม่ได้ตัดสินว่าคนๆนั้นจะแข็งแกร่งหรืออ่อนแอ เหล่าขุนนางนั้นน่าหวาดกลัว โดยเฉพาะขุนนางที่ชาญฉลาด เป็นใครกันให้ตายสิ!? คนที่ตัดสินใจมอบอำนาจให้ท่านเอิร์ลหน่ะ…!

 

「เรย์จิ…」

 

ในขณะที่ผมตกอยู่ในห้วงความคิดนั้น คุณหนูเองก็คิดถึงอะไรหลายๆอย่างด้วยเหมือนกัน

 

「ชั้นเป็นลูกสาวของเอิร์ลซิวลิซส์ และชั้นจะเดินตามเส้นทางนั้น มีอะไรหลายอย่างที่มีแต่ขุนนางเท่านั้นที่ทำได้ ใช่ไหมหล่ะ? มันก็ไม่ได้สายเกินไปที่จะเป็นอิสระหลังจากทำทุกอย่างสำเร็จแล้วด้วย」

 

ไม่มีความลังเลอยู่ในน้ำเสียงของคุณหนูเลย มือทั้งสองข้างของเธอกำแน่นอยู่ที่เข่า

 

「ดะ-ดังนั้น เรย์จิ…」

 

「ครับ?」

 

「ชั้น… ชั้นอยากให้นายคอยอยู่ข้างๆชั้นตั้งแต่นี้เป็นต้นไปด้วย…」

 

กูววว–

 

ท้องของผมร้องขึ้นมา

 

「…………」

 

「…………」

 

มันช่วยไม่ได้นี้นา ใช่ไหมละ? ผมไม่ได้กินอะไรมาตั้งแต่เช้าแล้ว และยังใช้งานร่างกายค่อนข้างหนักแถมยังเลือดออกด้วย! ดังนั้นหยุดมองผมด้วยสายตาแบบนั้นเถอะครับ คุณหนู!

 

「ฮ่าา… เอาเถอะ คำแรกที่ออกมาจากปากนายหลังจากตื่นขึ้นมาก็คือ “หิว” ด้วยนี่นะ」

 

「ฮ่าๆ… ขออภัยด้วยครับ」

 

「ชั้นจะไปขอให้พ่อครัวทำอะไรให้ทานก็แล้วกัน」

 

「ไม่เป็นไรหรอกครับ เดี๋ยวผมเข้าไปในครัวแล้วหาขนมปังหรืออย่างอื่นทานเอาก็ได้ครับ」

 

「เข้าใจแล้ว…」

 

「…ช่างเรื่องนั้นก่อนเถอะครับ เมื่อกี้คุณหนูได้พูดอะไรหรือเปล่าครับ? ท้องผมร้องดังไปหน่อยก็เลยได้ยินไม่ชัดหน่ะครับ」

 

「!!」

เมื่อผมถามแบบนั้น หน้าของคุณหนูก็แดงก่ำ มากพอที่จะเห็นได้ชัดในห้องมืดๆนี้เลย

 

「ชั้นเองก็จะไปนอนแล้ว!」เธอพูดเสียงดังก่อนจะลุกขึ้น

 

「งะ-งั้นหรอครับ? งั้นผมจะพาคุณหนูไปที่ห้องนะครับ」

 

「ไม่ต้อง! ชั้นจะไปคนเดียว!」

 

「เอ๋…」

 

คุณหนูบอกเองไม่ใช่หรอครับว่าคนคุ้มกันจะต้องอยู่ข้างๆเจ้านายหน่ะ…

 

ผมไม่รู้ว่าทำไม แต่คุณหนูก็ออกไปจากห้องอย่างฉุนเฉียว หลังจากนั้นผมก็ตรงไปยังห้องครัว มันไม่มีขนมปังแต่มีผลไม้อยู่มากมาย มันเหมือนกับแอปเปิ้ลเขียวเลย

 

「…นั่นมันผลไม้ที่ดูเหมือนกับแอปเปิ้ลเขียวที่ผมเคยกินในป่าตอนที่ผมหลบหนีจากเหมืองหรือเปล่านะ?」

 

ขณะที่รู้สึกคิดถึงอยู่นั้น ผมก็กินผลไม้พวกนั้นเป็นจำนวนหนึ่ง ความเปรี้ยวและชุ่มฉ่ำได้ปัดเป่าความง่วงของผมไป

 

(…ผมนี้มันขี้ขลาดจริงๆ)

 

สักวันนึงผมก็ต้องจากคุณหนูไป เพราะยังมีบางสิ่งที่ผมต้องทำอยู่

 

(ถึงผมจะบอกคุณหนูว่าเธอมีทางเลือก แต่ผมก็รู้ตัวดีว่าเธอไม่มีทางจะพูดว่า “หนีไปกันเถอะ” หรอก)

 

ผมอยากจะกระตุ้นจิตใต้สำนึกของผมว่าเธอนั้นสามารถยืนด้วยตัวคนเดียวได้ต่อให้ผมจากไปแล้ว

 

มันคงจะง่ายถ้าหากผมสามารถเป็นคนคุ้มกันของคุณหนูตลอดไปได้

 

หรือผมควรจะกลับมาที่นี่หลังจากที่ทำสิ่งที่ต้องทำเสร็จหมดแล้วดี?

 

(…ไม่ใช่เวลามามัวคิดถึงเรื่องนั้นในตอนนี้สินะ)

 

ผมคิดว่าผมจะอยู่ในเมืองศักดิ์สิทธิ์จนกว่าจะมีข้อมูลของลาร์คหรือลูลูช่าซัง ผมเองก็ดีใจที่ได้พบกับซิวเวอร์บาลาซอีกครั้ง แต่ผมไม่คิดว่าพวกเราจะได้รวมตัวกันในทันทีหรอก

 

(มีอีกหลายอย่างที่ต้องคิดอยู่)

 

ผมหยิบผลไม้นั้นขึ้นมาอีกลูก ผมรู้สึกได้ถึงอากาศที่เปลี่ยนไป รุ่งสางนั้นใกล้เข้ามาแล้ว

 

เอิร์ลซิวลิซส์นั้นกลับมาในตอนรุ่งสางแล้วเรียกผมให้ไปพบในห้องทำงานของเขาในทันทีเลย

 

เมื่อพวกเราเข้าไป พ่อบ้านก็ได้ออกจากห้องไป ทิ้งไว้แค่ผมกับท่านเอิร์ลเพียงลำพัง เป็นไปได้ที่ท่านเอิร์ลจะใช้เวลาทั้งคืนเลยจากชุดที่เขาสวมตั้งแต่งานพิธีเมื่อวานแล้ว เขาดูเหนื่อยสุดๆไปเลย ทว่าสำหรับคนหน้าตาดีแล้ว ผมคิดว่ามันก็ยังแสดงเสน่ห์อีกแบบนึงออกมาได้แม้จะอยู่ในสภาพนั้นก็ตามที

 

「ก่อนอื่นเลย เรย์จิซัง ขอบคุณสำหรับความเหนื่อยยากเมื่อวานนะ」

 

「ดูเหมือนคุณเองก็งานหนักพอตัวนะครับ」

 

「อืม… ใช่แล้วละ หนักจริงๆ」

 

โซฟานั้นถูกวางหันหน้าเข้าหากันในพื้นที่รับรอง และท่านเอิร์ลก็ได้ทิ้งตัวลงบนโซฟาอย่างหาดูได้ยาก

 

「ข้าเข้าใจว่าเจ้ามีอะไรหลายอย่างอยากจะถามนะ เรย์จิซัง แต่มาพูดคุยเรื่องที่สำคัญกันก่อนเถอะ」

 

「เข้าใจแล้วครับ」

 

「เจ้าถูกเรียกตัวให้ไปยังพระราชวังศักดิ์สิทธิ์ในบ่ายวันนี้ ข้าเองก็จะไปด้วย ดังนั้นเตรียมตัวให้พร้อม」

 

「ผม… ที่พระราชวังศักดิ์สิทธิ์งั้นหรอครับ?」

 

「ไอ้โดมความมืดนั่น, ทั้งหิน 8 ดาว, คนกลาง, ทุกๆอย่างที่เกิดขึ้นเมื่อวานนั้นถือเป็นเรื่องสำคัญ」

 

「อืม ก็คงอย่างนั้นแหล่ะครับ」

 

「ในกรณีที่เลวร้ายที่สุด เป็นไปได้ว่าเวทย์พันธสัญญาจะถูกร่ายใส่เจ้าเพื่อไม่ให้เจ้าออกไปจากเมืองศักดิ์สิทธิ์เลยก็ได้」

 

「ว่าไงนะครับ!?」

 

ผมโกรธและลุกขึ้นยืน ทว่าคิดดูจากฝั่งของพวกเขาแล้ว มันก็เป็นเรื่องปกติละนะ

 

ไม่ต้องสงสัยเลยว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นเมื่อวานนั้นจะถือว่าเป็นความลับระดับชาติของราชอาณาจักรครูวานศักดิ์สิทธิ์เลย

 

「ข้าจะพยายามไม่ให้มันเกิดขึ้นแล้วกัน แต่ข้าเองก็เดาสิ่งที่จะเกิดขึ้นไม่ได้หรอก」

 

「…ทำไมละครับ?」

 

「หมายความว่ายังไง เรย์จิซัง? ข้ามั่นใจว่าเจ้ารู้ถึงความจำเป็นของเวทพันธสัญญาอยู่แล้วนี่」

 

「ผมหมายถึงทำไมคุณถึงบอกผมเรื่องนี้หน่ะครับ ท่านเอิร์ล? ผมอาจจะหนีไปทันทีตอนนี้เลยก็ได้นะครับ」

 

「เอาตรงๆเลยนะ ข้าคิดว่ามีโอกาส 50% ที่เจ้าจะออกไปจากเมืองศักดิ์สิทธิ์ในเช้านี้เลย」

 

「งั้นทำไม–」

 

「ฝ่าบาทเองก็คงจะคิดแบบเดียวกันนี้ด้วย ดังนั้นท่านเลยให้เวลาครึ่งวันยังไงละ」

 

「…ฝ่าบาทหน่ะหรอครับ?」

 

ปวดหัวเลย ราชันศักดิ์สิทธิ์เรียกตัวผม ในทางกลับกัน เขาก็คิดว่าผมอาจจะหนีไปด้วย ถ้าเขาอยากให้ผมไปละก็ เขาก็ไม่ควรให้เวลากับผมแล้วเรียกตัวผมให้ไปทันทีเลยสิ

 

「อาจจะเพราะท่านรู้สึกขอบคุณเจ้าก็ได้」

 

「ขอบคุณ…?」

 

「ที่หยุดคนกลางได้ก็เป็นเพราะฝีมือเจ้า」

 

「แต่ฝ่าบาทเองก็แข็งแกร่งพอนี้ครับ?」

 

「นั่นเป็นเพราะตรรกะถูกทำลายไปแล้วยังไงละ ตอนนี้คำสั่งเป็นเรื่องที่สำคัญกว่า ดังนั้นมาคุยกันเรื่องนั้นเถอะ」

 

แล้วท่านเอิร์ลก็กระแอมในลำคอ

 

「โดมความมืดนั่นคือจุดกึ่งกลางระหว่างโลกใบนี้กับโลกที่พวกเราเรียกว่า “โลกอื่น” ข้าได้ยินมาว่าจะสามารถแทรกแซงโลกใบนี้จาก “โลกอื่น” ได้เมื่อสร้างโดมนั่นขึ้นมา และโดมนั่นก็ได้สร้างตรรกะที่ไม่ว่าจะเป็นคนจากโลกนี้หรือ “โลกอื่น” ก็ไม่สามารถโจมตีกันได้」

 

「เอ๊ะ? แต่แล้วคนกลางละครับ?」

 

「มีเพียงแค่คนกลางเท่านั้นที่เป็นข้อยกเว้น เขาจะทำอะไรก็ได้ตราบใดที่ยังปฏิบัติตาม “พันธสัญญา” นั่นเป็นสิ่งที่เข้าเคยได้ยินเป็นครั้งแรกเมื่อคืนนี้」

 

งั้น มันก็เป็นความลับสุดยอดที่แม้แต่ท่านเอิร์ลก็ไม่รู้สินะ

 

「ต้องขอบคุณที่เรย์จิซังทำลายโดมนั้น ตรรกะก็เลยถูกทำลายลงไปด้วย และในที่สุดการโจมตีของฝ่าบาทก็ได้ผล」

 

「แล้วเรื่องหินนั่นละครับ?」

 

ตอนที่ผมมาถึงโดม เอิร์ลซิวลิซส์ก็กำลังจะทำลายมันด้วยหินนั่นอยู่

 

「ข้าเองก็ไม่รู้รายละเอียดมากนัก แต่ดูเหมือนว่าหินนั่นจะมาจากช่วงเวลาเดียวกับที่แท่นบูชาที่ 1 ถูกสร้างขึ้น มันถูกเก็บรักษาไว้อย่างดีเยี่ยมภายในคลังสมบัติของพระราชวังศักดิ์สิทธิ์」

 

นี่คุณขโมยหินที่ถูก “เก็บรักษาไว้อย่างดีเยี่ยม” มายังงั้นหรอครับ?

 

แต่ผมก็ไม่ได้ถามออกไป ท่านเอิร์ลนั้นมองมาที่ผมด้วยรอยยิ้ม เป็นใบหน้าที่บ่งบอกว่า “อย่าถาม”

 

「มันเป็นเรื่องราวเมื่อหลายพันปีก่อน… เรื่องราวจากช่วงเวลาที่พวกเราเรียกกันว่า “ยุคโบราณอันศักดิ์สิทธิ์” ราชวงศ์ศักดิ์สิทธิ์ผู้ที่ได้ครอบครองแท่นบูชาที่ 1 นั้นถูกผูกมัดเอาไว้ด้วย “พันธสัญญา” ฉบับหนึ่ง ซึ่งก็คือหินสกิล 8 ดาว」

 

========================================================

TL: ขออภัยที่หายไปนานนะครับ ช่วงต้นปีไม่ค่อยว่างเท่าไหร่

 

 

บทที่ 2 ตอนที่ 46

 

เมื่อผมตื่นขึ้นมา ข้างนอกก็มืดไปหมดแล้ว ห้องส่วนตัวที่ผมได้รับมานั้นเล็ก แต่สำหรับโลกที่มีสื่อความบันเทิงภายในบ้านน้อยแบบนี้ มันก็ถือว่าใหญ่มากเกินพอแล้ว มีแสงสลัวๆลอดผ่านหน้าต่างเข้ามา

 

…อา มันก็ผ่านมาเดือนนึงแล้วตั้งแต่ “งานเลี้ยงต้นกล้าแห่งคืนข้างขึ้น” ดังนั้นท้องฟ้าในคืนนี้จึงเป็นคืนเดือนดับ… ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมมันถึงมืดขนาดนี้

 

「หิวจังเลย…」

 

「…งั้นชั้นจะไปเตรียมอะไรมาให้นายกินเอง」

 

「โอ๊ะ ขอบคุณ–… คะ-คะ-คะ-คุณหนูครับ!?」

 

ผมตกใจเมื่อเห็นคุณหนูยืนอยู่ในความมืด

 

「จะตกใจอะไรกัน? ชั้นเป็นเจ้านายและนายก็เป็นคนคุ้มกันของชั้นนะ ก็ปกติไม่ใช่หรอที่ชั้นจะอยู่ข้างๆนายหน่ะ?」

 

「อา…」

 

ผมสังเกตเห็นรอยคล้ำใต้ตาของคุณหนูด้วย เห็นได้ชัดเลยว่าคุณหนูคอยเฝ้าดูผมมาตลอดเวลา ไม่ต้องใช้【World Ruler】ดูก็รู้

 

ตัวผมอยู่ในชุดนอน ต้องมีใครบางคนเปลี่ยนให้ผมแน่ ร่างกายของผมรู้สึกสะอาด ดังนั้นต้องมีใครเช็ดตัวให้ผมแน่ เจ้าผ้าพันแผลที่พันอยู่บริเวณที่【เวทย์รักษา】รักษาไม่หมดนี้ด้วยเหมือนกัน

 

「คุณหนูครับ เป็นคุณหนูใช่ไหมครับที่พันผ้าพันแผลที่ข้อมือซ้ายของผมนี้?」

 

「รู้ได้ยังไงกัน!? อ้า นายคิดว่ามันพันแบบแปลกๆใช่ไหม?」

 

「แล้วหัวพ่อบ้านกับพวกเมดละครับ?」

 

「ชั้นบอกพวกเขาให้ถอยไปหน่ะ นายเป็นคนคุ้มกันของชั้นเพียงคนเดียวนี่นา」

 

งานของคนคุ้มกันก็คือการทุ่มเทกาย – อย่างน้อยผมก็คิดแบบนั้น และภารกิจของผมก็คือการ “ทำทุกวิถีทาง” เพื่อที่จะปกป้องชีวิตของคุณหนูเอาไว้ นี้คืองานและผมก็ได้รับค่าจ้างตอบแทน

 

อย่างไรก็ตาม ในทางกลับกัน ผมเองก็สามารถเข้าใจความรู้สึกของคุณหนู ถ้าคนที่คุ้มกันผมได้รับบาดเจ็บเพื่อตัวผมละก็ ผมก็จะทำสุดความสามารถในการดูแลพวกเขา–ทว่า อะไรแบบนั้นส่วนใหญ่เห็นได้แค่ในกลุ่มสามัญชนเท่านั้น

 

อีกอย่าง ผมคิดว่ามันค่อนข้างแปลกเลยสำหรับลูกสาวตระกูลเอิร์ลจะมาสนใจอะไรมากกับคนคุ้มกันขนาดนี้

 

ไม่สิ… บางทีมันอาจจะแค่หมายความว่าคุณหนูนั้นใจดีกว่าที่ผมคิดก็ได้ แถมนังละเอียดอ่อนด้วย

 

「คุณหนูครับ… ดูจะสามารถควบคุมมานาได้แล้วสินะครับ」

 

「อื้ม… ท่านพ่อของชั้นมอบหินสกิล【ควบคุมมานา】ให้มาหน่ะ ในสถานการณ์ตอนนี้ งานพิธีมอบหินสกิลก็ต้องถูกเลื่อนไปอีกแล้วด้วย เขาบอกว่าเขาจะลงโทษขุนนางทุกคนที่บ่นเลยละ」

 

「ฮาๆ…」

 

ผมสงสัยจังว่าตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่ท่านเอิร์ลเคลื่อนไหวอย่างอิสระในงานพิธีกันนะ สิ่งที่เขาทำในตอนนั้นดูจะวางแผนไว้ล่วงหน้าสองหรือสามก้าวเลย

 

「เกิดอะไรขึ้นกับ… ท่านหลุยส์?」คุณหนูถามขึ้นอย่างหวาดกลัว

 

…งั้นหรอ คุณหนูถูกพากลับมายังคฤหาสน์โดยที่ไม่รู้อะไรเลยสินะ

 

「เขาตายแล้วครับ」

 

「!」

 

คุณหนูเริ่มตัวสั่น ทว่าจากนั้นเธอก็หลับตาลงเงียบๆ

 

「งั้นหรอกหรอ…」

 

「ครับ」

 

「หลุยส์ทำตัวแปลกไปหลังจากที่มอง “เนตรเวทมนตร์แห่งการชักจูง” ของชั้นเข้าไป」

 

เกิดเรื่องแบบนั้นขึ้นงั้นหรอ? คุณหนูโทษตัวเองที่ทำให้หลุยส์ตายยังงั้นหรอ?

 

ผมอยากจะพูดออกไปว่าคุณหนูไม่ต้องกังวลเรื่องนั้นหรอก หรือไม่ใช่ความผิดของคุณหนู แต่ผมก็ไม่ได้พูดออกไป ผมไม่คิดว่าคำสวยหรูพวกนั้นจะช่วยอะไรคุณหนูได้หรอก และยิ่งไปกว่านั้น ผมเองก็ไม่รู้ว่าอะไรขึ้นต้นเหตุจริงๆกันแน่

 

ตอนที่ผมไปถึง… หลุยส์ก็ได้ตายไปแล้ว

 

「เรย์จิ …?」

 

「………」

 

ผมมองไปที่ฝ่ามือของตัวเอง จำนวนชีวิตที่ผมช่วยได้นั้นมีจำกัด สิ่งที่ผมทำได้นั้นมีขีดจำกัด

 

ผมมี 16 ปีจากชาติก่อนและอีก 4 ปีหลังจากที่ได้รับความทรงจำกลับมา ผมควรจะมีประสบการณ์ชึวิตบ้างแล้ว แต่มันก็ยังไม่พออยู่ดี น้ำหนักที่กดลงบนอกของผมนั้นราวกับจะบดขยี้หัวใจของผม แต่ว่า–

 

「คุณหนูครับ」

 

ผมมั่นใจว่าคุณหนูที่เป็นแค่เด็กสาวอายุ 12 ปีจะต้องกำลังก้าวผ่านความเจ็บปวดแบบเดียวกันกับผมนี้แน่นอน

 

「โปรดกลายเป็นคนที่สามารถเชี่ยวชาญเนตรเวทมนตร์ให้ได้นะครับ」

 

「!」

 

ถ้าเธอไม่สามารถควบคุม “เนตรเวทมนตร์แห่งการชักจูง” ได้ละก็ มันจะต้องสร้างโศกนาฏกรรมขึ้นมาอีกแน่นอน แต่ถ้าเธอสามารถควบคุมมันได้ละก็ มันจะมีประโยชน์สุดๆไปเลย

 

ตัวอย่างเช่น ให้กำลังใจคนพูดก่อนขึ้นขึ้นพูด, ลบความกังวลของนักแสดงในการแสดงที่มีผู้คนจำนวนมาก, หรือพลักดันให้คนที่อยู่ในห้วงความรักให้ออกไปสารภาพรักได้

 

แน่นอน… มันสามารถใช้ในสงครามได้ด้วย

 

「ชั้น… ชั้นใช้มันอย่างไม่ถูกต้องนะ」

 

「นั่นไม่จริงเลยครับ」

 

「ไม่ ชั้นมั่นใจ ไม่งั้นละก็ ท่านหลุยส์…」

 

「คุณชายหลุยส์จะไม่มีวันกล่าวโทษคุณหนูหรอกครับไม่ว่าจะยังไงก็ตาม แม้กระทั่งความตายด้วยเช่นกัน」

 

ผมเชื่ออย่างนั้นจริงๆ เจ้าหนุ่มขี้เบ่งและเห็นแก่ตัวคนนั้น—ก็เป็นเด็กผู้ชายธรรมดาคนนึงเท่านั้นเอง เขาไม่มีทางโทษเด็กผู้หญิงที่ตัวเองรักหรอก

 

「แต่… ถ้าไม่มีดวงตาพวกนี้ละก็–」

 

「คุณหนูครับ มันไม่ใช่อย่างนั้นหรอกครับ คุณหนูเกิดมาพร้อมกับดวงตาพวกนั้นใช่ไหมละครับ? ถึงผู้คนจะเลือกเกิดไม่ได้ แต่พวกเขาสามารถเลือกที่จะใช้ชีวิตยังไงได้นะครับ」

 

ผมยกหน้าม้าของผมขึ้น จุดดวงไฟเล็กๆด้วย【เวทย์ไฟ】และแสดงโคนผมของผมให้เห็น

 

ผมคิดที่จะย้อมมันในเร็วๆนี้เนื่องจากมันกลับมาดำอีกแล้ว

 

「ผมของผมเป็นสีดำครับ เป็นเหตุผลว่าทำไมผมถึงถูกเกลียดและถูกทอดทิ้งจากครอบครัวของตัวเอง」

 

「!!」

 

ดวงตาของคุณหนูเบิกกว้าง มีสีหน้าเศร้าสร้อยอยู่บนใบหน้า

 

…ไม่ครับ คุณหนู ผมไม่ได้อยากได้ความเห็นใจจากคุณหนูหรอกครับ

 

「แต่ตอนนี้ผมกำลังมีความสุขในทุกๆวัน เพราะผมถูกจ้างมาโดยท่านเอิร์ลซิวลิซส์ และตัดสินใจที่จะใช้เวลาอยู่ร่วมกับคุณครับ คุณหนู」

 

「…กับชั้น?」

 

「ครับ กับคุณ นั่นคือเหตุผลที่ส่วนสำคัญอยู่หลังจากนี้ไปครับ คุณหนูจะทำอะไรต่อจากนี้ไปครับ? ถ้าคุณหนูสามารถใช้งานดวงตาของคุณได้อย่างถูกต้องละก็ มันสามารถช่วยผู้คนได้มากมายกว่า “เนตรเวทมนตร์แห่งการสืบสวน” อีกนะครับ」

 

「…มากกว่าท่านพ่อ?」

 

「ครับ มากกว่าท่านเอิร์ล…」

 

เขานั้นสำคัญต่อราชันศักดิ์สิทธิ์ก็เพราะ “เนตรเวทมนตร์แห่งการสืบสวน” ของเขา ทว่าเขานั้นถูกเกลียดจากคนหลายคน ถึงเขาจะไม่เคยพูด แต่ผมมั่นใจเลยว่ามันต้องมีสักครั้งที่เขาเกลียดที่จะอยู่ในตำแหน่งนั้นแน่นอน

 

ตราบใดที่เขายังมองเห็นคำโกหกได้ มันจะต้องยากแน่นอนสำหรับเขาที่จะหาเพื่อนจริงๆที่เขาสามารถไว้ใจได้

 

「ท่านพ่อ… เป็นคนที่สุดยอดมากๆ」คุณหนูพูดพร้อมกับถอนหายใจ

 

เธอนั้นแบกรับหน้าที่อันหนักอึ้งในการสืบทอดตำแหน่งหัวหน้าตระกูลต่อจากท่านเอิ์ร์ลซิวลิซส์ มือของเธอที่อยู่ตรงเข่านั้นกำๆหุบๆอย่างกระสับกระส่าย

 

「ถ้ายังงั้น คุณหนูอยากจะหยุดไหมละครับ?」

 

「–อะไรนะ?」

 

「คุณหนูก็แค่ต้องจบตระกูลเอิร์ลลง เนื่องจากเป็นตระกูลขุนนางที่ไม่มีดินแดนด้วย ถ้าคุณจ่ายเงินจำนวนนึงให้กับคนที่ทำงานที่นี่แล้วคืนตำแหน่งไปละก็ คุณหนูก็จะเป็นอิสระแล้วครับ คุณหนูอยากจะไปเรียนอีกครั้งแล้วเล็งตำแหน่งในกลุ่มคณะปกครอง, เปิดกิจการในเมือง ใช้ชีวิตอย่างสง่างามและยืนยาวก็ได้ ในทางกลับกัน ถ้าคุณหนูอยากจะมีชีวิตที่ตื่นเต้น คุณหนูก็สามารถไปเป็นนักผจญภัยได้ครับ คุณหนูมีตัวเลือกอยู่มากมายเลยครับ ถ้าคุณหนูต้องการละก็ ผมทำได้แม้กระทั่งพาคุณหนูออกจากประเทศนี้เลยก็ได้นะครับ」

 

============================================================

TL: สวัสดีปีใหม่ครับ ปีนี้ก็ขอฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะครับ 🙂

 

 

บทที่ 2 ตอนที่ 45

 

「โตขึ้นเยอะเลยนะ ก็ปกติละนะ มันผ่านมา 4 ปีแล้วนี้นา」

 

「…ดันเต้ซัง」

 

ดันเต้ซังลูบหัวผมในขณะที่พวกเรายืนอยู่หน้าโครงกระดูกของอูโรโบรอส

 

「เรย์จิคุง!」

 

มิมิโนะซังวิ่งมาหาผมจากด้านข้างก่อนจะกระโดดกอดผม ถึงผมจะสูงกว่ามิมิโนะซังแล้วก็เถอะ แต่มันก็แค่นิดหน่อยเท่านั้นเอง

 

「ชั้นตามหาเธอมานาน, นาน, นานมากๆเลยนะ!」

 

「ขะ-ขอโทษครับ… ผมต้องออกมาด้วยเหตุผลบางอย่างหน่ะครับ」

 

ผมออกมาจากซิวเวอร์บาลาซโดยที่ไม่ได้อธิบายอะไรเลย แน่นอนไม่ใช่ว่าผมไม่เห็นค่าของความอ่อนโยนของพวกเขาหรอกนะ แต่ในตอนนั้นผมต้องทำแบบนั้นก็เพื่อ… ปกป้องลาร์ค

 

ดูจากความมีค่าของหินสกิล 6 ดาวในราชอาณาจักรครูวานศักดิ์สิทธิ์แล้ว【ราชาแห่งเงา】ของลาร์คก็ค่งจะไม่ต่างกันเลยในสหพันธรัฐคีทแกรนหรอก

 

ฮ่าาห์… สงสัยจังว่าตอนนี้เธอกำลังทำอะไรอยู่นะ ลาร์ค?

 

ยังไงก็เถอะ ผมมั่นใจว่าสหพันธรัฐคีทแกรนยังคงตามล่าหินสกิล【ราชาแห่งเงา】แม้กระทั่งตอนนี้อย่างแน่นอนเลย ดังนั้นผมจึงไม่อาจเปิดเผยข้อมูลให้กับซิวเวอร์บาลานซ์ในตอนนั้นได้ มันจะสร้างปัญหาให้พวกเขาได้ถ้าพวกเขาถูกสงสัยว่าเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดขึ้นมา

 

「แล้ว ตอนนี้เธอทำอะไรอยู่งั้นหรอ? ชุดของเธอดูมีคุณภาพสูงมากเลยนะ — อ้า เธอบาดเจ็บงั้นหรอ!? เธอบาดเจ็บใช่ไหม!? ดูสิ เลือดไหลด้วย! น็อนใช้【เวทย์รักษา】ทันที— โอ้ย!」

 

น็อนซังเข้ามาจากด้านหลังแล้วเขกหัวของมิมิโนะซัง

 

「เรย์จิคุงโชกไปด้วยเลือดก็จริง แต่ก็ไม่ได้มีบาดแผลภายนอกค่ะ ถูกไหม เรย์จิคุง?」

 

「อา ครับ–」

 

「อุฟุฟุฟุ งั้น เธอก็สามารถใช้【เวทย์รักษา】ได้ด้วยสินะ? สุดยอดไปเลย ได้เห็นเรย์จิคุงเติบโตขึ้นมากขนาดนี้ในช่วง 4 ปีที่ผ่านมาแบบนี้… อุฟุฟุฟุ」

 

ผมรู้สึกกลัวเสียงหัวเราะนั่นของน็อนซังมากๆเลย!

 

「—ทางนี้!」

 

「—การต่อสู้จบลงแล้วหรอ?」

 

「—เอาจริงดิ ไอ้โครงกระดูดยักษ์นั่นมันอะไรกัน?!」

 

นักผจญภัยติดอาวุธหลายคนวิ่งมาจากอีกฝากของถนน เมื่อพวกเขารู้ว่าการต่อสู้ได้จบลงไปแล้ว พวกเขาก็ดูจะผิดหวังและโล่งอกในเวลาเดียวกันเลยพร้อมกับมองไปทางโครงกระดูกขนาดใหญ่นั่น

 

「พวกนายฆ่ามันงั้นหรอ?」นักผจญภัยที่สะพายดาบคู่เอาไว้ที่เอวถามขึ้น

 

ดันเต้ซังพยักหน้าเป็นการตอบกลับ

 

「อา ให้ตายสิ ขโมยผลงานแบบนี้มันไม่ยุติธรรมเลยนะ รู้ไหม?」

 

「ไอ้พวกคนนอกเอ้ย…」

 

เหล่านักผจญภัยในเมืองนี้ดูจะอิจฉาที่ซิวเวอร์บาลานซ์จัดการมอนสเตอร์ได้

 

(ต่อให้พวกนายมาตั้งแต่ต้น พวกนายก็สู่มันไม่ได้หรอก ยกเว้นว่าจะมีพลังระดับเดียวกับดันเต้ซังละนะ)

 

ผมค่อนข้างไม่สบอารมณ์เลย ทว่าดันเต้ซังกลับพูดว่า「พวกเราตรงมาที่นี่ทันทีเลย แต่ตามปกติแล้วพวกนักผจญภัยจะต้องไปรวมตัวกันที่กิลด์ก่อนลงมือหน่ะ และเพราะการอพยพประชาชนมีความสำคัญเป็นอันดับแรกด้วย」

 

「แล้วทำไมพวกคุณถึงมากันเร็วมากละครับ ดันเต้ซัง?」

 

「เพราะน็อนดึงดันที่จะให้พวกเรามา “ทันที” หน่ะสิ… เธอมักจะลางสังหรณ์ที่เฉียบคมในเวลาแบบนี้ด้วย」

 

「อุฟุฟุฟุ」

 

เสียงหัวเราะของคุณมันน่ากลัวนะครับ น็อนซัง

 

「—กัปตัน ดูเหมือนมอนสเตอร์นั่นจะถูกจัดการไปแล้วครับ」

 

「—ว่าไงนะ!?」

 

ครั้งนี้เป็นภาคีอัศวินของราชันศักดิ์สิทธิ์ประมาณ 50 นาย ขี่ม้าเข้ามาจากอีกฝั่งของถนน

 

มีหลายคนที่ผมคุ้นหน้าในกลุ่มพวกเขาด้วย—นี้คงจะเป็นหน่วยที่ 11 ละมั้ง

 

「ทุกนาย หยุด!!」กัปตันหน่วยที่ 11 ออกคำสั่งแล้วมองลงมาที่พวกเราและเหล่านักผจญภัยจากบนม้าของเขา「พวกเจ้าเป็นคนกำจัดมันงั้นรึ?」เขาถามขึ้น

 

「ใช่ พวกเราเป็นคนกำจั–」ดันเต้ซังเริ่มพูด

 

「เครดิตเป็นของกิลด์นักผจญภัยเว้ย!」ชายที่พูดกับดันเต้ซังก่อนหน้านี้พูดตัดบท「อัศวินอย่างพวกแกที่มาช้าไม่สมควรได้เครดิตหรอก!」

 

เหล่านักผจญภัยคนอื่นๆก็พูดตามเขาขึ้นมาว่า「ใช่แล้วๆ」

 

「พวกเจ้าเป็นคนจัดการมันจริงๆงั้นรึ? มอนสเตอร์ตัวใหญ่ขนาดนั้นน่ะนะ?」

 

「ใช่แล้ว ภาคีอัศวินควรจะถอนตัวไปซะ」

 

「พวกเราไม่สามารถถอนตัวได้ เจ้างูยักษ์นั่นสร้างความเสียหายมาตั้งแต่เขตศักดิ์สิทธิ์ที่ 2 มาจนถึงนี่เลย พวกเราจะเป็นคนนำวัตถุดิบพวกนั้นไปเอง」

 

「อะไรนะ!? ไปตายซะไป! นี้เป็นทรัพย์สินของนักผจญภัยนะ!」

 

「ภาคีอัศวินจะเป็นคนเก็บรักษาเอาไว้ก่อน แล้วจากนั้นค่อยแจกจ่ายกันอย่างเท่าเทียม」

 

「นั่นก็เหมือนกับปล้นกันตรงๆเลยนะเว้ย!」

 

「แค่ทำตามคำสั่งซะ!」

 

การโต้เถียงกันร้อนแรงขึ้นเร็วมาก

 

สำหรับผม ผมทำเพียงแค่มองพวกเขาอยู่เงียบๆ ผมเหนื่อเกินกว่าจะไปสนเรื่องอะไรแบบนั้นแล้ว ความตึงเครียดตลอดมานี้รวมถึงชีวิตของผู้คนที่ตกอยู่ในอันตราย—และแน่นอนว่ารวมถึงชึวิตของผมด้วยเช่นกัน ผมไม่สนใจแล้วว่าใครจะได้เครดิตไป

 

「มิมิโนะซัง, ดันเต้ซัง, น็อนซัง พวกคุณจะยังอยู่ในเมืองนี้ใช่ไหมครับ? ผมติดหนี้ท่านเอิร์ลซิวลิซส์อยู่ ดังนั้นผมจะต้องกลับไปก่อนในตอนนี้หน่ะครับ」

 

「งั้นหรอ? ตระกูลเอิร์ลสินะ? ฮึมมม เรย์จิคุงดูจะอยู่ในที่ที่ดีนะ」มิมิโนะซังพูดขึ้น

 

「เรย์จิ พวกเราอยู่ในโรงแรมที่ชื่อว่า ‘ซิลเวอร์ซิตรัส’ นะ ติดต่อพวกเรามาด้วยละ เพราะข้าตัดสินใจแล้วว่าจะไม่ยอมตายจนกว่าจะชดใช้บุญคุณที่ได้รับจากเจ้าหมดหน่ะ」ดันเต่ซังพูดขึ้นพร้อมกับแตะไปที่ไหล่ซ้ายของเขา

 

เนื่องจากผมเห็นเขาสู้เมื่อกี้แล้ว คำสาปดูจะหายเป็นปลิดทิ้งแล้วสินะ

 

「เข้าใจแล้วครับ ไว้เจอกันใหม่นะครับ」

 

「ติดต่อพวกเรามาด้วยนะ เรย์จิคุง!」

 

「อย่าลืมนะ เข้าใจไหม? คุณพ่อเอาแต่พูดว่าจะทำนู่นทำนี่และทุกๆอย่างในตอนที่ได้พบเธอเลยนะ รู้ไหม」

 

「…จะเผากันต่อหน้าเลยหรอ คุณลูก?」

 

ขนาดผมเองก็ยังอายที่ได้ยินแบบนั้นเลย

 

ผมเลิกสนใจการโต้เถียงกันระหว่างเหล่าอัศวินกับนักผจญภัยแล้วกระโดดขึ้นไปบนโครงกระดูกของอูโรโบรอสและดึงดาบสั้นของผมออก

 

「หา…? เจ้า… คือคนทำความสะอาดคนนั้น ใช่ไหม?」กัปตันสังเกตเห็นผม

 

「ครับ」

 

「ข้าก็คิดว่ามันเป็นไปไม่ได้หรอก แต่ว่า บางที เป็นเจ้าสินะที่ทำการปิดฉากหน่ะ?」

 

「ครั–」

 

「ไม่มีทางอยู่แล้ว! เขาเป็นแค่เด็กนะ! ข้าเห็นเจ้ามอนสเตอร์นั่นจากไกลๆมาแล้ว มันเป็นงูที่ตัวโครตใหญ่เลยนะ」นักผจญภัยพูดขัดขึ้นมาจากข้างๆ

 

ให้ตายสิ–ผมใช้งานดาบเล่มนี้หนักเกินไปแล้ว ขณะที่คิดว่าผมควรจะไปหาดาบเล่มใหม่ ผมก็เก็บดาบเล่มนั้นกลับเข้าไปในฝักแล้วกระโดดลงมา

 

「เจอกันใหม่เร็วๆนี้นะครับ」

 

「อืม」

 

「แล้วเจอกันนะ」

 

「โปรดติดต่อมาด้วยนะจ๊ะ~ ชั้นรู้สึกไม่ค่อยเชื่อใจเพราะเหตุการณ์ครั้งก่อนด้วย เข้าใจนะจ๊ะ~?」

 

「อะฮ่าๆ…(ผมเอาชนะน็อนซังไม่ได้เลยแห่ะ)」

 

เมื่อคิดแบบนั้น ผมก็หันหลังให้กับซิวเวอร์บาลานซ์

 

หลังจากนั้น ผมก็ใช้เวลาสักพักเพื่อกลับไปยังที่พักอาศัยของท่านเอิร์ลในเขตศักดิ์สิทธิ์ที่ 2 เมื่อผลของ【เวทย์ซัพพอร์ต】ของน็อนซังหมดลง ร่างกายของผมก็รู้สึกล้าอย่างมาก รูปลักษณ์ของผมโทรมหลังจากการต่อสู้ และผมก็ยังทำเข็มกลัดผูกไทด์ที่ใช้ยืนยันตนว่าเป็นคนของท่านเอิร์ลตกด้วย

 

ทว่าเซอรี่ซังก็หามันพบด้วยสายตาอันเฉียบคมของเธอ เธอพูดว่า “ด้วยนี่ก็ถือซะว่าได้ชดใช้หนี้ทั้งหมดของชั้นแล้วนะ!” ในตอนที่เธอเอามาคืนผมด้วย แต่ไอ้เข็มกลัดนี้มันไม่ได้สำคัญเท่าไหร่ถ้าเทียบกับหนี้สินที่ผมใช้ให้แทนเธอใช่ไหมละ? ถึงยังงั้น ผมก็เหนื่อยจนถึงขนาดที่ผทคิดจะลดให้สัก 10% เลยนะ แล้วอีกอย่าง ตอนที่ผมเอาเรื่องที่เธอไม่ได้ช่วยผมสู้กับอูโรโบรอสเลยสักนิดเดียวขึ้นมาพูด เธอก็พูดว่า “ชั้นไม่งี่เง่าพอที่จะเข้าไปยุ่งกับการต่อสู้ระหว่างยอดมนุษย์กับสัตว์ประหลาดหรอกนะ!” พร้อมกับรอยยิ้มที่สุดของสุดยอดงดงามเลยนะ

 

เมื่อผมกลับมาถึงที่พักของท่านเอิร์ล คุณหนูเองก็กลับมาถึงบ้านก่อนแล้ว เมื่อเธอเห็นสภาพของผม เธอก็รีบวิ่งเข้ามาหาอย่างเป็นห่วง ผมบอกเธอไปว่าผมทำพยายามเต็มที่แล้ว แต่ขอโทษที่ไม่สามารถปกป้องทุกๆคนได้ เมื่อเธอได้ยินแบบนั้น น้ำตาก็ไหลลงมาที่แก้มจากขอบตาของเธอไม่หยุดเลย—ถึงแม้เธอจะพยายามหยุดน้ำตาของเธอในตอนที่ต่อสู้กับคนกลางอย่างสุดกำลังก็ตาม แต่ตอนนี้เธอได้ตัดสินใจปล่อยพวกมันออกมาทั้งหมดแล้ว— และสัมผัสแก้มของผมด้วยมือของเธอ

 

「ชั้นนี้มันเจ้านายที่โง่เง่าจริงๆ」

 

มือของคุณหนูนั้นทั้งเนียนนุ่มและอบอุ่น

 

「ชั้นเกือบจะฆ่านายไปแล้วด้วยคำสั่งโง่ๆนั่น」

 

ผมอยากจะปฏิเสธมัน คุณหนูนั้นทั้งฉลาด, กล้าหาญ และดูดีมากๆสำหรับเด็กอายุ 12 ปีแล้ว นอกจากนี้ ผมคงจะปฏิเสธไปแล้วถ้าผมไม่เห็นด้วยกับเรื่องคำสั่งน่ะนะ และการทำงานให้กับคุณหนูเองก็สนุกมากด้วยเหมือนกัน แต่ว่าผมเหนื่อยมากแล้ว รวมถึงความอบอุ่นจากมือที่กุมแก้มของผม—ผมจึงผลอยหลับไปที่ตรงนั้นเลย พร้อมกับคิดว่าเนตรเวทมนตร์ของคุณหนูคงจะควบคุมได้แล้ว

 

…ผมหลับไปโดยที่ไม่รู้เลยว่ามันมีเรื่องใหญ่อีกเรื่องเกิดขึ้นภายในเขตศักดิ์สิทธิ์ที่ 1 และพระราชวังศักดิ์สิทธิ์

 

 

 

บทที่ 2 ตอนที่ 44

 

「มันจะมาแล้ว!」

 

อูโรโบรอสเห็นกลุ่มคนที่มาใหม่ทั้งสามคนเป็นศัตรูด้วยเช่นกัน มันอ้าปากกว้างและพุ่งโจมตีใส่พวกเขา

 

「น็อน, มิมิโนะ, ถอยออกมา!」

 

「ค่ะ!」

 

「ได้เลย!」

 

น็อนซังกับมิมิโนะซังถอยไปข้างหลังเพื่อหลบการโจมตี ทว่าดันเต้ซังกลับก้าวไปข้างหน้าอูโรโบรอส ก่อนที่มันจะงับเขา ดันเต้ซังก็ก้าวถอยหลังทันที อูโรโบรอสที่กะระยะผิดพลาดจึงได้แต่งับไปยังความว่างเปล่า

 

ดันเต้ซังที่ถือคทาด้ามเหล็กหนาๆและลูกตุ้มโลหะคล้ายกับกลีบดอกไม้ที่ปลายหัวของมันเอาไว้ที่มือขวา บวกกับ【เวทย์ซัพพอร์ต】ของน็อนซังที่ช่วยเสริมความสามารถด้านกำลังของดันเต้ซังขึ้นไปหลายระดับ ซึ่งผมเองก็ไม่รู้ว่าเธอใช้ไปตอนไหนเหมือนกัน เขาได้ตวัดคทาลงไปที่ปลายจมูกของอูโรโบรอส ทำลายเกล็ดที่มีดสั้นของผมทำได้แค่รอยขีดข่วน หัวของงูโค้งงอแล้วกระแทกกับพื้น

 

《ก๊าซซซซซซซซ!!》

 

เลือดสาดกระเซ็นจากปลายจมูกของมันในขณะที่มันกลิ้งไปกลิ้งมา ชนเข้ากับบ้านเรือนบนถนน, สร้างความเสียหายให้กับกำแพง

 

ว้าว ดันเต้ซังเข้าสู่ระยะโจมตีของมอนสเตอร์โดยไม่ลังเลเลย ใช้มันเป็นตัวล่อก่อนจะโจมตีหนักๆ พลังของเขาที่เห็นได้ชัดจากการโจมตีนั้นชัดเจนเลยว่าแข็งแกร่งกว่าเมื่อ 4 ปีก่อน

 

ดันเต้ซัง แน่ใจนะว่าคุณอายุประมาณ 40 แล้วหน่ะ!? ทำไมถึงแข็งแกร่งกว่าเดิมละ!? ตามปกติ พลังกายจะต้องลดถอยลงตามอายุสิ!?

 

บางทีดันเต้ซังอาจจะรุบรู้ถึงอาการตกใจของผมก็ได้ เขาเลยยิ้มให้กับผม

 

「มันก็ 4 ปีแล้ว ข้ามั่นใจว่านายเองก็ต้องแข็งแกร่งขึ้นเหมือนกัน ใช่ไหม?」

 

「…ครับ」

 

ใช่แล้ว มันก็ผ่านมา 4 ปีแล้วสำหรับพวกเราทุกคน ผมเองก็เติบโตขึ้นแล้วเหมือนกัน

 

「ดันเต้ซัง ผมจะสร้างช่องว่างให้ ดังนั้นช่วยดึงความสนใจมันให้หน่อยนะครับ?」

 

「เชื่อมือได้เลย!」

 

เขาไม่ถามเลยว่าอะไรหรือทำไมเลย

 

ทำแค่พยักหน้าและรับมัน

 

เขาเชื่อใจผมสุดหัวใจเลย—ซึ่งทำให้ผมมีความสุขมาก

 

「มันเริ่มเคลื่อนไหวอีกแล้ว!」

 

อูโรโบรอสกำลังโกรธดันเต้ซัง 【World Ruler】ยืนยันว่ามีการรวบรวมมานาเกิดขึ้นที่ดวงตาของมัน

 

(ไม่ยอมปล่อยให้ลงมือก่อนหรอก!)

 

ผมรีบยิง【เวทย์ไฟ】ด้วยมือขวาของผมและเพิ่ม【เวทย์ลม】ด้วยมือซ้ายของผมทันที ถึงไฟจะไม่แรงพอที่จะทำดาเมจได้แต่มันก็มีขนาดใหญ่มาก อูโรโบรอสตกใจและดึงตัวถอยหลังไป

 

「…เรย์จิ ตอนนี้นายสามารถร่ายเวทมนตร์ 2 อันพร้อมกัน—」

 

「ผมเองก็จะร่วมสู้ด้วยครับ!」

 

ผมวิ่งไปที่อีกด้านของหัวอูโรโบรอส เนื่องจากมันมี 6 ตา มันจึงเห็นผมอย่างที่คิด ก้อนความมืดบินตรงมาทางผมด้วยความเร็วสูง มันเป็น【เวทย์ความมืด】ผมหลบไปรอบๆ ก้อนความมืดนั้นระเบิดออกเมื่อมันกระทบกับพื้น ส่งผลให้เกิดกลุ่มควันและฝุ่นบดบังทัศนวิสัย หัวอันใหญ่ของอูโรโบรอสได้พุ่งฝ่ากลุ่มควันเข้ามา

 

「กะแล้วว่าแกต้องเข้ามา!」

 

อูโรโบรอสนั้นเป็นสัตว์ยักษ์ แต่ในเวลาเดียวกัน มันเองก็มีสติปัญญาด้วย ทั้งกลัวไฟ, จดจำศัตรู, และใช้เวทมนตร์ได้ ด้วยทั้งหมดนั้น ผมมั่นใจเลยว่าอย่างน้อยมันก็สามารถใช้กลยุทธ์ได้แน่ๆ

 

(【เวทย์น้ำ】!)

 

ผมใช้มานาเกือบทั้งหมดเพื่อใช้งานเวทย์น้ำ【เวทย์น้ำ】นั้น ก็อย่างที่ชื่อของมันบอก มันเป็นเวทมนตร์ที่ใช้ควบคุมน้ำ—ในทางกลับกัน มันก็สามารถใช้ลดอุณหภูมิซึ่งเป็นด้านตรงข้ามของ【เวทย์ไฟ】ดูเหมือนบางคนจะเรียกมันว่า “เวทย์น้ำแข็ง” ด้วย แต่มันไม่มีหินสกิลที่ชื่อว่า “เวทย์น้ำแข็ง” นี่สิ

 

กำแพงน้ำแข็ง 3 ชั้นปรากฏขึ้นที่ด้านหน้าของผมในตอนที่ผมวางมือลงบนพื้น มานาถูกสูบออกไปจากร่างกายของผมอย่างรวดเร็ว

 

…ผมจะหยุดมันด้วยนี่แหล่ะ

 

ตามข้อมูลของ【World Ruler】, มันควรจะได้ผล สิ่งนี้จะใช้หยุดอูโรโบรอสได้

 

「อะ-เอาจริงดิ!?」

 

อูโรโบรอสนั้นยังเก็บไพ่ของมันเอาไว้อยู่ มันได้ใช้งาน【เวทย์ความมืด】เพื่อคลุมร่างอันใหญ่โตของมัน อูโรโบรอสได้ทำลายกำแพงน้ำแข็งชั้นแรกได้อย่างง่ายดาย, ทำลายกำแพงที่ 2 พร้อมกับความเร็วที่ลดลง, และชนเข้ากับกำแพงที่ 3 จนปรากฏรอยร้าวขึ้นแล้วพังทลายลงมาในเวลาไม่นาน

 

(ซวยแล้ว! มันกำลังจะชนผมตรงๆเลย!)

 

จังหวะที่ผมกำลังจะหลบออกมา เหยือกเล็กๆที่ทำจากกระเบื้องเคลือบสีเขียวได้ลอยมาทางนี่ มันแตกออกเมื่อชนเข้ากับกำแพงน้ำแข็งและมีแสงสีม่วงกระจายออกมา

 

「นั่นมันอะไรหน่ะ?」

 

และราวกับว่าผมกำลังดูวิดีโอย้อนกลับ กำแพงน้ำแข็ง 3 อันก็ได้ปรากฏขึ้นอีกครั้ง — ล้อมรอบอูโรโบรอส

 

《กุ๊, โก๊ะโก๊ะ, อาาา…》

 

เมื่อหัวของมันถูกล้อมรอบไปด้วยกำแพงน้ำแข็งราวกับปลอกคอ อูโรโบรอสก็ขยับไปไหนไม่ได้

 

「นุฟุฟุฟุฟุ เธอคิดยังไงบ้างละกับโพชั่นลับของชั้น “โพชั่นคัดลอก(Dupe Potion)” หน่ะ?」

 

มิมิโนะซังที่โยนเหยือกมาจากระยะไกลนั้นมีท่าทางภูมิใจอยู่บนใบหน้าของเธอพร้อมกับเท้าสะเอวไปด้วย สุดยอดไปเลย น่ารักมาก

 

มันเป็นไอเทมที่ใช้คัดลอกเวทมนตร์ที่ร่ายโจมตีออกไปงั้นหรอ? ผมไม่เห็นเคยได้ยินอะไรแบบนั้นมาก่อนเลย

 

「เรย์จิ… ดูเหมือนมันจะหยุดเคลื่อนไหวไปแล้วนะ」

 

「ครับ ผมไม่รู้ว่ามันจะใช้ได้ผลกับอูโรโบรอสไหม แต่สัตว์เลือดเย็นนั้นแพ้ต่อการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิในร่างกายครับ」

 

「หมายความว่าไงละนั่น?」ดันเต้ซังงุนงง

 

「อา คือ ไว้ผมจะอธิบายให้ฟังทีหลังแล้วกันครับ」

 

 

ผมเองก็ไม่รู้ว่าอูโรโบรอสจะเป็นสัตว์เลือดเย็นหรือเปล่า แต่ดูจากที่มันดูเหมือนกับงูแล้ว มันมีแนวโน้มที่จะสืบทอดลักษณะของงูมาด้วย ดังนั้นผมจึงคิดว่าจุดอ่อนของมันก็คืออุณหถูมิที่ต่ำๆ

 

「สำหรับตอนนี้ พวกเราควรจะควบคุมไม่ให้มัน–」

 

「อย่าพึ่งวางใจค่ะ! มันยังขยับได้อยู่!」

 

ผมตกใจกับเสียงตะโกนของน็อนซัง ผมประมาทไปเพราะหัวของมันที่อยู่ข้างหน้านี้นั้นหมดแรงจากความเย็น

 

อูโรโบรอสรีบยกลำตัวของมันขึ้นราวกับหอคอย ก่อนจะทุ่มมันลงมาที่พวกเรา

 

ดันเต้ซังปล่อยคทาของเขา แทรกตัวมาที่ด้านหน้าผม แล้วยกโล่ใหญ่ของเขาขึ้นด้วยสองมือ มีเสียงสะท้อนดังกึกก้องเหมือนกับมีรถชนกัน

 

「นุโอ้วววววววว!!」ดันเต้ซังคำราม

 

ลำตัวของมันพลิกไปด้านข้างและสะบัดไปทั่วพื้น พื้นดินสั่นไหวและเกิดกลุ่มควันขึ้น

 

「เรย์จิ! ปิดฉากเลย!」

 

「–ครับ!」

 

ผมกระโดดขึ้นไปบนหัวของอูโรโบรอสเรียบร้อยแล้ว มานาของผมใกล้จะหมดและสายตาก็ส่ายไปมาเล็กน้อย ผมกำดาบสั้นกลับหลังและยกมันสูงขึ้น

 

「พรจากพระเจ้า!」

 

น็อนซังร่าย【เวทย์ซัพพอร์ต】ให้กับผม เวทมนตร์ “ประเภทลึกลับ” อย่าง【เวทย์รักษา】กับ【เวทย์ซัพพอร์ต】นั้นจะได้ผลมากที่สุดก็เมื่อสัมผัสกับเป้าหมายโดยตรง และจะลดลงตามระยะทางที่เพิ่มขึ้นด้วย ผมประหลาดใจมากที่เวทมนตร์มาถึงตัวผมได้ ถึงแม้ผมกับน็อนซังจะห่างกันถึงประมาณ 15 เมตร

 

ราวกับผู้ส่งสารจากพระเจ้าได้ลงมาจากท้องฟ้า แสงสว่างจ้าได้สาดส่องลงมาจากฟากฟ้าโอบล้อมตัวผม เติมเต็มร่างกายของผมให้เต็มเปี่ยมไปด้วยพลัง

 

(ดูเหมือนจะมีเวทมนตร์ประเภทอื่นผสมอยู่ด้วย!)

 

ผมไม่เคยจะได้ยินมาก่อนเลยว่า【เวทย์ซัพพอร์ต】จะให้ผลอย่างนี้ ดูเหมือนน็อนซังเองก็เรียนรู้เทคนิคใหม่มาเหมือนกัน

 

「ฮ้า!!」

 

ผมปักดาบลงตรงกลางระหว่างดวงตาทั้ง 6 ของอูโรโบรอส ใบดาบหยุดลงเมื่อมันจมลงไปครึ่งหนึ่ง ดังนั้นผมจึงทุ่มแรงทั้งหมดที่มีดันดาบลงไปจนสุด

 

「ฮ้าาาาาาาาา!」

 

ขณะที่ดาบค่อยๆจมลงไป ถึงจุดหนึ่ง ผมก็ได้ยินเสียงของบางอย่างแตกออก ต่อมา ร่างกายของอูโรโบรอสก็แข็งค้างไปสักพัก ก่อนจะล้มลงอย่างหมดเรี่ยวแรงที่ตรงนั้นไป

 

「ฮ่าา…」

 

ผมกระโดดลงมาจากหัวของอูโรโบรอสและลงจอดที่ข้างๆดันเต้ซัง สีเกล็ดของงูยักษ์ได้จางลงไปอย่างรวดเร็ว ก่อนจะกลายเป็นขี้เถ้าล่องลอยไปในอากาศ

 

「เอ๊ะ มันกำลังหายไป?」

 

ของเหลวสีดำที่คลุมตัวของผมอยู่นั้นแห้งอย่างรวดเร็วและกลายเป็นสีขาว

 

「นั่นหมายความว่านายกำจัดมันได้แล้วสินะ?」

 

「บะ-บางทีนะครับ…」

 

ขนาด【World Ruler】ก็ยังรายงายว่าอูโรโบรอสนั้นไม่หลงเหลือชีวิตแล้วด้วยเช่นกัน

 

เมื่อมีสายลมพัดมา การพังทลายของมันก็ยิ่งเร็วขึ้น—กว่าครึ่งของอูโรโบรอสได้สลายหายไปแล้ว ในขณะที่พวกเรามองมันอย่างงุนงงอยู่

 

อย่างไรก็ตาม มีเพียงแค่โครงกระดูกสีดำเหลืออยู่ราวกับตัวอย่างฟอสซิล มันทอดยาวจากที่ที่พวกเรายืนอยู่ไปจนถึงเขตศักดิ์สิทธิ์ที่ 2 เหมือนกับรางรถไฟสีดำ

 

ดาบของผมยังคงติดอยู่ที่กระโหลกของอูโรโบรอส และตรงนั้นมีอัญมณีสีแดงที่ถูกผ่าครึ่งอยู่

 

พวกเราคงพูดได้ว่าตอนนี้ภัยอันตรายของเมืองศักดิ์สิทธิ์ได้หายไปแล้ว คิดว่านะ…

 

 

 

บทที่ 2 ตอนที่ 43

 

(ชิบหาย…)

 

บางอย่างที่ใหญ่และยาวจนน่าเหลือเชื่อถูกปล่อยออกมาจากเปลวเพลิงสีดำผ่านด้านข้างของผมไปพร้อมกับแรงลมมหาศาลราวกับรถไฟหัวกระสุน ผมถูกพลักกระเด็นด้วยแรงนั้นไปลงจอดห่างออกไปหลายเมตรเลย

 

…ยาว, ยาว, ยาว, ยาวเกินไปแล้ว!!! แถมยังออกมาเรื่อยๆเลยด้วย!

 

ลำตัวที่ยาวอย่างกับไม่รู้จบนั้นดูจะเป็นของงู ส่วนหัวนั้นไปไกลมากแล้ว และผิวของลำตัวก็อัดแน่นไปด้วยเกล็ดสีน้ำตาลดำที่ส่องแสงสีฟ้าออกมา ขนาดของลำตัวนั้นใหญ่พอๆกับรถไฟ แถมยังตลบอบอวนไปด้วยกลิ่นเหม็นไหม้

 

(อูโรโบรอส!)

 

งูที่กลืนกินหางของตนเอง สิ่งมีชีวิตในตำนานของหลายๆวัฒนธรรมบนโลกตั้งแต่อดีตกาล

 

สัญลักษณ์ที่แสดงถึง “ความตาย” และ “การกำเนิดใหม่”

 

อย่างไรก็ตาม ร่างของงูตัวนี้ยังคงปรากฏออกมาเรื่อยๆ และไม่มีทีท่าว่าจะหยุดลงเลยด้วย

 

ผมลุกขึ้นมาแล้วรีบพุ่งไปยังเปลวไฟสีดำที่ดูเหมือนจะทำงานเหมือนกับประตู ผมแทงมีดโปราณเข้าไปที่เปลวไฟด้วยด้วยมือของผม แสงสีฟ้าได้ระเบิดออกมาจากใบมีด และผมก็รู้สึกถึงรอยร้าวที่ใบมีดจากการสั่นสะเทือนตรงมือของผม

 

เอลซังบอกว่ามีดเล่มนี้สามารถใช้หยุดคนกลางได้ ยังมีอีกหลายอย่างที่ผมยังไม่รู้เลย แต่เจ้าอูโรโบรอสกับคนกลางนี้อาจจะไม่ได้มาจากโลกนี้แน่ๆ ผมจำเป็นต้องใช้หินที่ท่านเอิร์ลนำมาในการทำลายโดมนั่นเลย ดูเหมือนมันจะมีอะไรบางอย่างที่ป้องกันไม่ให้อาวุธธรรมดาใช้ได้ผล

 

มือของผมที่ถือมีดเอาไว้เริ่มร้อน มันเหมือนกับถูกไฟเผาเลย …มือขวาของผมทำงานหนักจริงๆเลยวันนี้

 

แต่ไม่นาน ในจังหวะตอนที่เปลวไฟสีดำหดตัวลงในทันทีนั้น มันก็ได้บีบลำตัวของอูโรโบรอส

 

『—เกี้ยยยยยยยย』

 

ผมได้ยินเสียงกรีดร้องมาจากที่ที่ไกลมากๆ

 

ไม่มีทาง… มันไปไกลขนาดนั้นแล้วหรอ!? เกือบจะถึงบล็อก 4, อาจจะบล็อก 5 ด้วยซ้ำ!

 

เปลวไฟสีดำบีบลำตัวของงูอย่างช้าๆ เมื่อมันมาถึงขนาดเท่ากับห่วงบาส มันก็ตัดลำตัวของงูออกในทันที ของเหลวสีดำสาดกระเซ็นไปทั่ว และถึงผมจะกระโดดถอยออกมาแล้ว ของเหลวสีดำก็ยังมาโดนตัวผมอยู่ดี กลิ่นมันอย่างกับปลาเน่าเลย

 

「นั่นมันบ้าอะไรกันหน่ะ!」อาเธอร์รีบวิ่งมาทางนี้พร้อมกับใบหน้าซีดเผือด

 

「อืม…–ผมจะอธิบายยังไงดีละ?」

 

「มีมอนสเตอร์อยู่ที่นี่งั้นหรอ!?」

 

「ใช่แล้วครับ มอนสเตอร์! โปรดอพยพทุกคนออกไปก่อนนะครับ!」

 

「ไม่มีใครเข้าใกล้ไอ้นั่นได้ตั้งแต่แรกแล้ว!」

 

「นั่นก็จริงครับ」ผมพูด ก่อนจะเริ่มออกวิ่ง

 

「จะไปไหนหน่ะ!?」

 

「ไปจัดการส่วนหัวครับ!」

 

ลำตัวของงูยังมีชีวิตอยู่ มองดูระยะทางแล้ว ร่างของมันได้ข้ามกำแพงของคฤหาสน์, เลื้อยไปตามอาคาร, และยังไปไกลกว่านั้นอีก มันคงจะเป็นหายนะแน่ถ้าเจ้านี้อาละวาดขึ้นมา

 

มันจะต้องถูกกำจัดให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

 

ไอ้สารเลวคนกลางดันทิ้งของขวัญจากลาห่วยๆนี้เอาไว้ซะได้!

 

「คุณหนู อยากจะให้ผมปกป้องทุกๆคนจริงๆหรอครับเนี้ย!?」

 

…ถ้ามันตัวใหญ่ขนาดนี้ละก็ ผมก็คงทำอะไรไม่ได้ถ้ามีเหยื่อเพิ่มมากขึ้นหรอก แต่ไม่ว่ายังไง ผมก็มั่นใจได้ว่าคุณหนูจะต้องหวังให้ผมทำให้ดีที่สุดเพื่อปกป้องทุกๆคนแน่ๆ

 

「แทนที่จะบอกว่าทำงานหนักเกินไป นี้มันเหมือนกับคำสาปไปแล้วชัดๆ!」

 

มีดในมือของผมนั้นไหม้เกรียมและเกือบจะพังแล้ว ผมเก็บมันเอาไว้ในกระเป๋าเสื้อก่อนจะวิ่งด้วยความเร็วสูงสุด ผมเพิ่ม【เวทย์ซัพพอร์ต】เข้าไปพร้อมๆกับสกิลเสริมกล้ามเนื้อจำนวนมาก และถ้าผมไม่ใช้【เวทย์รักษา】อย่างต่อเนื่องละก็ ร่างกายของผมได้พังแน่นอนเลย

 

ทางลัดที่จะไปยังหัวของมันได้ แน่นอนว่าต้องตามร่างของมันไป ผมวิ่งไปบนตัวของมัน ผมวิ่ง, วิ่ง, และก็วิ่งเข้าไป จนผมข้ามผ่าน “กำแพงที่ 3”, “กำแพงที่ 4”, และ “กำแพงที่ 5” บ้านบางหลังถูกทำลายไปครึ่งหนึ่ง ทว่าผมก็ไม่อาจเข้าไปช่วยผู้คนข้างในได้ในตอนนี้

 

「คุ… อย่างที่คิด…」

 

บล็อก 5 เป็นที่อยู่ของประชาชนทั่วไป อาคารบ้านเรือนนั้นมีความทนทานน้อยกว่าเขตขุนนางมาก แถมยังอัดแน่นกันเป็นกระจุกด้วย อูโรโบลอสตกลงที่กลางถนนที่ชุกชุมไปด้วยผู้คนและร่างของมันก็ทับบ้านหลากหลายหลัง

 

เสียงร้องดังมาจากทั่วทิศทาง ผู้คนต่างวิ่งหนีกรีดร้อง มันวุ่นวายไปหมด

 

และผมก็ได้เห็นหัวของอูโรโบรอสชัดๆเป็นครั้งแรก หัวของมันยกสูงเหนืออาคารทั้งหมดในบริเวณนี้, มีดวงตาสีแดง 6 ดวงและเขาขรุขระ 4 ข้าง, ผิวสีเดียวกับเกล็ด, ปากขนาดใหญ่ที่มีฟันอันแหลมคมมากมาย, ลิ้นที่ยาวเหยียดพร้อมกับเสียงฟ่อๆ

 

อูโรโบรอสจ้องมองไปยังผู้หญิงคนหนึ่งที่กอดลูกของเธอเอาไว้แน่นด้วยความกลัว เห็นได้ชัดเลยว่ามันเล็งเป้าไปที่เธอ

 

「—ไม่ยอมหรอก!」

 

ผมวิ่งข้ามตัวของอูโรโบรอสและกระโจนเข้าไป ด้วยแรงจากทั้งโมเมนตัมและ【ทักษะการเตะ】ของผมที่ถูกฝึกจนฝังแน่นเข้าไปในร่างกายของผม ผมได้ม้วนตัวเตะไปที่หลังหัวของอูโรโบรอส หัวนั้นแข็งมากๆ รู้สึกถึงกระดูกขาของผมที่แตกออกเลย ทว่าผมก็รีบรักษามันทันทีด้วย【เวทย์รักษา】

 

หัวของอูโรโบรอสพุ่งไปข้างหน้าจากแรงกระแทก มันได้ชนเข้ากับร้านผลไม้ริมทางไป 2 ร้าน

 

「ยืนไหวไหมครับ? รีบหนีไปจากที่นี่เถอะครับ」

 

「ฮี้!」

 

เมื่อผมเข้าไปใกล้ผู้หญิงกับเด็กคนนั้น พวกเขาก็มีท่าทีหวาดกลัวออกมา อา… อืม เสื้อผ้าของผมก็ขาดรุ่งริ่ง, เลือดไหล, และยิ่งไปกว่านั้นยังมีของเหลวสีดำจากอูโรโบรอสติดตัวผมไปครึ่งนึงเลยนี่นะ

 

(อา… ตอนที่ลาร์คช่วยผม ผมเองก็หวาดกลัวเหมือนกัน)

 

ผมนึกถึงความทรงจำอันขมขื่นเมื่อ 4 ปีที่แล้ว ถึงจะผ่านมา 4 ปีแล้ว แต่ผมก็ยังเสียใจอยู่ดี และยังรู้สึกน่าคิดถึงอีกด้วย

 

จากนั้นผู้หญิงคนนั้นก็วิ่งหนีไปไปพร้อมกับลูกของเธอ

 

「ทุกคน โปรดวิ่งหนีไปให้ไกลที่สุดเท่าที่จะทำได้ครับ! เจ้ามอนสเตอร์นี้มีลำตัวยาวจากเขตศักดิ์สิทธิ์ที่ 2 มาจนถึงตรงนี้เลย! พวกคุณต้องไปให้ไกลมาก, มาก, มากยิ่งกว่านี้ครับ!」

 

ผมเตือนผู้คนที่อยู่ใกล้ๆ ส่งผลให้พวกเขาเริ่มกรีดร้องและวิ่งหนีออกไป

 

อูโรโบรอสค่อยๆยกหัวของมันขึ้น และจ้องมองลงมาที่ผม ผมถูกนับว่าเป็นศัตรูโดยสมบูรณ์แล้วสินะ

 

「โอ้… ตอนนี้แกหันมาเล็งผมแล้วงั้นหรอ เข้าใจละ」

 

(…เอาละ ผมจะทำยังไงดี?)

 

มีอะไรที่ใช้ได้ผลกับศัตรูที่ตัวใหญ่ขนาดนี้มั้งนะ? ผมต้องการอาวุธ แต่ผมไม่สามารถออกไปเอามาได้นี่สิ

 

「เอ๊ะ?」

 

มีดาบสั้นลอยผ่านอากาศมาทางผม และผมก็คว้ามันเอาไว้ มองไปยังต้นทางของมัน มีเซอรี่ซังที่โบกมือให้กับผมจากเงาของอาคารอยู่

 

เยี่ยมไปเลย เซอรี่ซัง! มันจะดีกว่านี้ถ้าคุณหยุดเล่นพนันหลังจากนี้ด้วย! และทำความสะอาดห้องด้วย! และอาบน้ำด้วย! และอย่าดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไปด้วย! โอ๊ะ ไม่นะ มีแต่อะไรแย่ๆออกมาเต็มเลย!

 

(ดีนะเนี้ยที่ผมขอให้เซอรี่ซังระมัดระวังตัวเอาไว้)

 

อะไรก็อาจเกิดขึ้นได้ในงายพิธีมอบหินสกิลวันนี้ ดังนั้นผมจึงขอให้เธอเตรียมพร้อมเผื่อเอาไว้ ดังนั้นผมจึงคิดว่าเธอคงจะเอาอาวุธของผมออกมาเพราะเหตุวุ่นวายในครั้งนี้แน่ๆ

 

ผมเคยใช้ดาบเล่มนี้ทั้งในการฝึกและต่อสู้จริงมาแล้ว ดังนั้นมันจึงเหมาะมือผมเลย

 

(ที่เหลือก็… ผมจะไปได้ไกลแค่ไหนสินะ!)

 

ทันทีที่ผมได้รับดาบมา อูโรโบรอสก็ได้พุ่งหัวของมันเข้ามาทางผม

 

…เร็ว!

 

ถึงจะมีขนาดที่ใหญ่โตมโหฬาร มันก็มาถึงตรงหน้าของผมทันทีที่ผมรู้ตัวแล้ว!

 

ผมกลิ้งไปด้านข้างเพื่อหลบการโจมตี ก่อนจะฟันมันด้วยดาบสั้น

 

…ตื้นเกินไป แข็งชะมัด

 

「หว่า!?」

 

หัวของมันผ่านตัวผม ดังนั้นผมจึงประมาทไป มันได้กลิ้งตัวของมันมากระแทกกับผม ตัวผมจึงถูกส่งลอยขึ้นไปในอากาศและกระแทกลงกับพื้น

 

「โอ้ยยยยย…」

 

ผมสามารถลดแรงกระแทกได้เพราะผมกระโดดถอยหลังในจังหวะสุดท้าย ทว่ามันก็ยังเจ็บอยู่ดี

 

…ลำบากแล้วสิ ผมไม่เคยสู้กับงูตัวขนาดนี้มาก่อนเลย ดังนั้นผมจึงไม่สามารถคาดการณ์การเคลื่อนไหวของมันได้

 

อย่างไรก็ตาม ถ้าผมใช้เวลามากไปละก็ งูนั่นจะทำลายอาคารรอบๆเอาได้ มันใหญ่ขนาดที่สามารถทำลายบ้านหลังสองหลังได้ง่ายๆเพียงแค่กลิ้งทับเลยด้วย

 

ผมจะต้องตั้งเป้าเป็นการต่อสู้ชี้ขาดระยะสั้น

 

(แต่ผมจะทำยังไงดีละ? ผมจะเอามันลงด้วยตัวคนเดียวได้หรอ? ถ้าผมโจมตีมันด้วยทุกอย่างที่มี อาวุธของผมได้พังก่อนแน่ แต่ถ้าผมออมมือละก็ ผมก็ไม่สามารถทำความเสียหายร้ายแรงได้เลย)

 

ถ้ายังงั้น ผมคงไม่มีทางเลือกนอกจากเสียสระอาวุธของตัวเองโดยการโจมตีเพียงครั้งเดียวแล้ว

 

(ถ้าผมมีโอกาสสักครั้ง มากสุดสองครั้งละก็)

 

ความตึงเครียดวิ่งผ่านร่างกายของผม

 

(ผมจะต้องสร้างโอกาสให้ได้ แต่ผมเองก็ไม่แน่ใจว่ามานาที่เหลืออยู่จะพอไหม แถมมันยังยากที่จะสร้างโอกาสแบบนั้นด้วยตัวคนเดียวด้วย… มีอะไรอีกบ้างที่ผมทำได้มั้งนะ?)

 

ในจังหวะนั้นเอง ผมก็ได้ยินเสียงเท้า

 

หูของผมสามารถรับรู้เสียงเล็กๆได้ด้วย【เสริมการได้ยิน】ยิ่งไปกว่านั้น เพราะผมมี【World Ruler】ผมจึงไม่มีทางลืมอะไรที่ผมจดจำลงไปในสมองแล้วได้

 

มีคน 3 คนกำลังตรงมาทางผม เสียงฝีเท้าของคน 3 คนที่ผมรู้จัก—ไม่สิ ถ้าจะให้เจาะจงละก็ พวกมันต่างออกไปนิดหน่อยจากความทรงจำของผม เพราะเสียงสามารถเปลี่ยนไปได้ถ้าเดินบนพื้นผิวที่ต่างกันรวมถึงรองเท้าที่ใส่ด้วย แต่ถึงอย่างไร ผมก็จำพวกมันได้

 

…และยิ่งไปกว่านั้น มันก็ 4 ปีมาแล้วนี่นะ

 

「…ข้าได้ยินว่ามีมอนสเตอร์ยักษ์ปรากฏตัวออกมาก็เลยมาที่นี่ แต่ไม่คิดเลยว่าพวกเราจะมาพบกันอีกครั้งในที่แบบนี้」

 

นักผจญภัยที่ถือคทา(mace)หนักๆและโล่ใหญ๋ที่ใหญ่เท่ากับตัวเขา เขาก็คือ ดันเต้ซัง ผู้มีชื่อเล่นว่า “โล่ใหญ่สีเงิน”

 

「ชั้นมีความรู้สึกว่าพวกเราจะได้พบกันในเมืองนี้ ต้องขอบคุณพระเจ้าที่ชี้นำ」

 

คนที่เติบโตเป็นหญิงสาวเต็มตัวแล้ว – แถมหน้าอกคู่นั้นก็ยังใหญ่ขึ้นไปอีกเช่นกัน – ก็คือแม่ชี น็อนซัง

 

「…นั่นเธอจริงๆหรอ เรย์จิคุง?」

 

และก็คนที่สาม

 

「ครับ ผมเอง」

 

เธอไม่ได้เปลี่ยนไปเลยจากเมื่อ 4 ปีที่แล้ว เนื่องจากเธอยังคงสูงเท่าเดิม ตัวผมจึงสูงกว่าเธอไปแล้ว ใบหน้าของเธอแสดงออกราวกับกำลังจะร้องไห้ ทว่าเธอควบคุมตัวเองเอาไว้ไม่ให้ร้องออกมา

 

「ชั้นมีอะไรมากมายเลยที่อยากจะพูดกับเธอ!」

 

「ผมรู้」

 

「แต่พวกเราต้องจัดการกับเจ้านั่นก่อนสินะ หา?」

 

「ครับ ผมจะยินดีมากเลยถ้าได้รับการสนับสนุนครับ」

 

「ถ้าเธอว่ายังงั้นละก็ งั้นก็ช่วยไม่ได้ละนะ เรย์จิคุง!」

 

มิมิโนะซังก็ยังคงเป็นมิมิโนะซังคนเดิมเมื่อ 4 ปีที่แล้วเลย

 

…ตอนนี้ ผมไม่รู้สึกว่าจะแพ้อูโรโบรอสเลยแม้แต่นิดเดียว

 

==================================================

TL: ไม่ค้างเนอะ 🙂

 

 

บทที่ 2 ตอนที่ 42

 

ก้อนพลังงานสีดำดูจะระเบิดไปแล้ว ทว่ามันยังคงเหลืออยู่ มันอยู่ไกลเกินกว่าที่【World Ruler】จะให้ข้อมูล แต่จะปล่อยมันเอาไว้ไม่ได้

 

มือขวาของผมมีเลือดไหลออกมาเพราะเศษชิ้นส่อนของหินที่แตก ดังนั้นผมจึงใช้【สะดวกสะบาย】เพื่อสร้างน้ำขึ้นมาล้างมันออก ก่อนจะรักษาแผลด้วย【เวทย์รักษา】หินนั้นแตกไปแล้ว แต่… หวังว่าท่านเอิร์ลจะไม่ต่อว่าผมมากเกินไปละนะ

 

「ฝ่าบาทครับ ท่านเอิร์ลชายแดนครับ โปรดอยู่ที่นี่นะครับ」

 

「เจ้าจะไปงั้นรึ?」

 

「ครับ」

 

「เจ้าควรจะปล่อยให้ภาคีอัศวินรับช่วงต่อนะ」

 

「…คือ คุณหนูได้สั่งให้ผมปกป้องทุกคนเอาไว้นะครับ」

 

ผมไม่รู้ว่าคำตอบของผมมันถูกหรือเปล่า แต่มุมปากของราชันศักดิ์สิทธิ์ก็ได้ยกขึ้น จนออกมาเป็นรอยยิ้มที่ดุร้าย

 

「เอานี้ไป」

 

ราชันศักดิ์สิทธิ์โยนมีดสั้นที่เอลมอบให้เขามาให้ มันเป็นมีดที่ใบมีดโค้งด้านเดียว ใบมีดนั้นทื่อ แต่มันคงจะถูกใช้แค่ในงานพิธีเท่านั้น ตามข้อมูลของ【World Ruler】มีดนี้ดูจะเก่าแก่มากๆเลยด้วย ดูเหมือนของโบราณเลย

 

「งั้นผมขอตัวนะครับ」

 

ราชันศักดิ์สิทธิ์พยักหน้าให้ และเอิร์ลชายแดนก็ยกมือของเขาขึ้นเช่นกัน ผมมองไปที่ศพของหลุยส์สักพักก่อนจะเริ่มออกวิ่งไป ในทางกลับกัน เหล่าภาคีอัศวินก็ได้ตรงเข้าไปหาราชันศักดิ์สิทธิ์

 

(ไม่คิดเลยว่าเด็กคนนั้นจะมาตายแบบนี้…)

 

ผมเคยเจอหลุยส์อยู่หลายครั้งในตอนที่ผมคุ้มกันคุณหนูที่งานเลี้ยงน้ำชา เนื่องจากผมอยู่กับคุณหนูตลอดเวลา เขาจึงมีสีหน้าเต็มไปด้วยความอิจฉาทุกครั้งที่เขาเห็นผมเลย เขาเป็นแค่เด็กผู้ชายธรรมดาๆคนนึงเท่านั้นเอง

 

(เขาไม่ควรจะมาตายแบบนี้)

 

ผมกำมีดในมือเอาไว้แน่น

 

…ผมจะทำลายไอ้ก้อนสีดำนั้นไม่ให้เหลือซากเลย!

 

* ราชันศักดิ์สิทธิ์ *

 

เหล่าอัศวินต่างวิ่งเข้ามาหาราชันศักดิ์สิทธิ์ด้วยความเป็นห่วง ทว่าราชันศักดิ์สิทธิ์ก็ทำเพียงแค่โบกมือไล่พวกเขาไปด้วยความรำคาญเท่านั้น จากนั้นเขาก็หันไปทางเพื่อนร่วมสาบานที่ยืนอยู่ถัดจากเขาไป

 

「…เอิร์ลชายแดน เจ้าคิดว่าไง?」

 

ชุดของเอิร์ลชายแดนมิลล์นั้นทั้งขาดวิ่นตรงนั้นตรงนี้ และโชกไปด้วยเลือดที่เกิดจากการโจมตีที่เขาหลบไม่ได้

 

「เด็กนั่นโจมตีใส่ไอ้นั่นที่ถูกยิงออกมาด้วยความเร็วระดับนั้นเลย」

 

「ใช่」

 

「ท่านทำแบบนั้นได้ไหม ฝ่าบาท?」

 

「แน่นอนว่าไม่」

 

ทั้งสองคนแทบจะตามการโจมตีด้วยตาของเขาไม่ทัน ดังนั้นการจะโจมตีมันในขณะมันเคลื่อนที่ด้วยความเร็วระดับนั้น เอาตามตรง เป็นไปไม่ได้เลย

 

「ฮึมม… ข้าจะเอาเขามาเป็นคู่แต่งงานของมิร่าลูกสาวข้าได้ไหมนะ?」

 

「ว่าไงนะ!? เจ้าวางแผนที่จะเอาเขาไปที่ดินแดนของเจ้างั้นรึ!?」

 

「ยังไงซะที่ดินแดนของข้า ต่อให้มีคนมากความสามารถมากมายแค่ไหนก็ไม่พอหรอกนะ」

 

「ถ้ายังงั้น เขาก็ควรจะอยู่ที่เมืองศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ ยังไงซะที่นี่ก็เป็นเมืองหลวงของราชอาณาจักรศักดิ์สิทธิ์อยู่แล้ว」

 

「เข้าใจแล้ว ถ้าเรื่องที่ [ทักษะดาบศักดิ์สิทธิ์] สูญหายไปแล้วรั่วไหลออกไป พวกที่พยายามจะหาประโยชน์ก็จะเริ่มโพล่ออกมาสินะ」

 

ราชันศักดิ์สิทธิ์เริ่มเอามือขวานวดขมับของตัวเอง

 

「…อย่าพูดแบบนั้นสิ บ้าเอ้ย ปวดหัวขึ้นมาทันทีเลย」

 

เห็นท่าทางของราชันศักดิ์สิทธิ์แบบนั้น เอิร์ลชายแดนก็ได้หัวเราะออกมา

 

「นี้ไม่ใช่เรื่องน่าตลกนะ ถ้าประเทศตกอยู่ในความวุ่นวายแล้วละก็ ดินแดนของเจ้าเองก็จะโดนหางเลขไปด้วยเหมือนกันนะ」

 

「ใช่ แต่มันไม่ได้ทำให้ข้าปวดหัวซะหน่อย」

 

「อ่าห์?」

 

「ดูนั่นสิ」

 

เอิร์ลชายแดนชี้ไปยังเหล่าขุนนางที่อพยพออกไปจากพื้นที่วิหารและเหล่าเด็กๆขุนนางที่เป็นเจ้าภาพในงานพิธีวันนี้

 

เด็กที่กอดพ่อแม่ของตน, เด็กที่ร้องไห้ออกมา, และเอิร์ลซิวลิซส์ ผู้ว่าจ้างของเรย์จิ ที่กำลังพูดคุยกับลูกสาวของเขาเกี่ยวกับเรื่องบางอย่าง—แต่แน่นอนว่า ต่อให้เป็นราชันศักดิ์สิทธิ์ก็คิดไม่ถึงหรอกว่าเขากำลังให้หินสกิล【ควบคุมมานา】กับเธอ

 

ที่สำคัญยิ่งไปกว่านั้น ราชันศักดิ์สิทธิ์ได้เห็นคลูฟชราทกับมิร่ากำลังตรงมาทางพวกเขาด้วย

 

「เด็กๆดูจะออกไปกันได้อย่างปลอดภัยนะ」

 

「…อืม นั่นสินะ」ราชันศักดิ์สิทธิ์ถอนหายใจ「เอิร์ลชายแดน」เขากล่าว

 

「อืม」

 

「…ถ้าข้าสูญเสียตัวตนไปอีกครั้งละก็ พาข้ากลับมายังทางที่ถูกต้อง ต่อให้เจ้าต้องอัดข้าลอยขึ้นฟ้าไปก็ตาม」

 

เอิร์ลชายแดนนั้นตัวใหญ่เท่ากับหมี ทว่าเมื่อเขาได้ยินราชันศักดิ์สิทธิ์พูดแบบนั้น เขาก็ยิ้มออกมาราวกับเด็กๆเลย

 

「ข้าจะอัดท่านด้วยทุกอย่างที่ข้ามีเลย ดังนั้นเตรียมใจเอาไว้ด้วยละ เกรนจิโด้」

 

แล้วทั้งสองคนก็กระแทกกำปั้นกัน

 

* *

 

ผมพุ่งออกจากพระราชวังศักดิ์สิทธิ์แล้วเข้าไปยังเขตศักดิ์สิทธิ์ที่ 1 เหล่าเจ้าหน้าที่ต่างๆออกมารวมตัวกันรอบๆสถานที่ที่ถูกทำลายจากพลังงานสีดำนั่น เมื่อตามล่องรอยความเสียหายไป ผมก็ได้มาถึง “กำแพงที่ 2”

 

「นี้มัน…!」

 

กำแพงได้ถล่มลงไปหลายสิบเมตร ตัวคฤหาสน์ของขุนนางตระกูลๆหนึ่งถูกทำลายย่อยยับ, ส่วนที่พักอาศัยถูกทำลายบางส่วน, และซากประหลักหักพังกระจัดกระจายอยู่ทั่วสวนอันกว้างขวาง

 

วิสัยทัศน์ย่ำแย่เพราะฝุ่นควัน ผมได้ยินเสียงร้องขอความช่วยเหลือดังออกมา

 

(…บ้าเอ้ย!)

 

ในตอนนั้น ผมดีใจที่สามารถเปลี่ยนทิศทางของก้อนพลังงานนั้นได้ แต่ผลลัพธ์ที่ได้นั้น บางคนที่อยู่ตรงนี้ต้องมาบาดเจ็บหรือบางทีอาจถึงตายเลยก็มี เมื่อผมคิดแบบนั้น ความรู้สึกผิดก็ได้กัดกินจิตใจของผม

 

「นะ-นี้มันอะไรกัน?」

 

เสียงอันคุ้นเคยดังขึ้นที่ด้านหลัง

 

「นายคือคนทำความสะอาดใช่ไหม?」

 

กัปตันอาเธอร์จากภาคีอัศวินที่ 2 ได้ยืนอยู่ตรงนั้น

 

「คุณมาได้จังหวะพอดีเลย ดูเหมือนว่าคฤหาสน์หลังจะถล่มลงมาและมีบางคนได้รับบาดเจ็บด้วย ดังนั้นพวกเราเลยต้องการอัศวินมาช่วยพวกเขาครับ!」

 

「ว่าไงนะ!? นั่นมันคฤหาสน์ของตระกูลริเวียร์นี้!」

 

ตระกูลริเวียร์ หนึ่งใน 6 ดยุคผู้ยิ่งใหญ่

 

「พวกเจ้าได้ยินแล้วนะ? พวกเราจะทำการปฏิบัติการช่วยเหลือกัน!」อาเธอร์ตะโกนออกมา

 

ผมรู้สึกยินดีมากเลย กำลังคนเป็นสิ่งสำคัญในกรณีแบบนี้

 

จู่ๆ ผมก็นึกขึ้นมาได้ว่ากัปตันอาเธอร์เป็นคนคุ้มกันของหลุยส์ แต่ผมก็ไม่ได้พูดอะไรออกไป มันเป็นสิ่งที่ผมไม่สมควรพูดในตอนนี้

 

ในระหว่างนั้น ผมก็ตรงไปยังก้อนพลังงานสีดำที่ผมยังคงรู้สึกถึงมันได้—ที่ใจกลางของสวนอันกว้างขวาง

 

สนามหญ้าที่ได้รับการดูแลอย่างดีแห่งนี้นั้นทั้งกว้างใหญ่และเต็มไปด้วยพืชพรรณต่างๆ อย่างไรก็ตาม ในตอนนี้มันกลับถูกปกคลุมไปด้วยตะกอนและซากปรักหักพังไปซะแล้ว และผมก็พบก้อนพลังงานสีดำอยู่ตรงกลางของสวนนี้

 

(…ความรู้สึกไม่ดีนี้มันอะไรกันเนี้ย)

 

พลังงานสีดำเหมือนกับเปลวไฟนั้นตั้งตระหง่านอยู่ มันสูงกว่าผมซะอีก มันสูงประมาณ 3 เมตรและกว้าง 2 เมตร

 

เมื่อผมกำมีดเก่าๆ—ผมก็เห็นเงาขนาดใหญ่เคลื่อนไหวอยู่ในเปลวไฟนั้น

 

 

==================================================

TL: ขออภัยที่หายไปนานครับ ติดงานมหาลัยกับเข้าสู่ช่วงสอบแล้วครับ

 

 

บทที่ 2 ตอนที่ 41

 

สมองของผมไม่อาจประมวลผลข้อมูลที่ได้ยินเมื่อกี้ได้เลย

 

「ไม่สมเหตุสมผลสำหรับข้าเลยสักนิด แต่ยังไงก็เถอะ พวกเราจะเอายังไงกันดีละ?」

 

เช่นเดียวกับผม เอิร์ลชายแดนก็ดูจะไม่เข้าใจเหมือนกัน ทว่า เขายังทำให้บทสนทนาคืบหน้าต่อไปได้อยู่

 

…เขาพูดถูก พวกเราจะมามัวเสียเวลาคิดเรื่องนั้นไม่ได้

 

「การยกเลิกพันธสัญญายังไม่เสร็จสมบูรณ์ขอรับ, เออ, งั้น, ฝังคนกลางตนนั้นให้เร็วที่สุดคือสิ่งที่สำคัญที่สุดขอรับ」เอลพูด

 

「ท่านเอิร์ลชายแดนครับ! มันกำลังลุกขึ้นมาครับ!」

 

ผมเห็นคนกลางกำลังยืนขึ้นมาในความมืด

 

「งั้น เราก็แค่ต้องบดขยี้มันให้ระเอียดงั้นสินะ」

 

「เออ, ขอรับ」

 

「เอาละ เจ้าหนู มาร่วมมือกัน」

 

 

ผมพยักหน้าตอบรับ นั้นเป็นเป้าหมายของผมมาตั้งแต่แรกแล้วละ

 

「แล้วก็อีกอย่างนึง…」เอิร์ลชายแดนมองไปที่ข้างหลังของเขา

 

เขากำลังมองไปที่ราชันศักดิ์สิทธิ์ที่ยังคงซังกะตายอยู่

 

「ตื่นได้แล้ว เกรนจิโด้(Grenjido)!!!!!!」

 

เสียงดังลั่นจนถึงขนาดสร้างคลื่นไปกระทบกับราชันศักดิ์สิทธิ์เลย

 

「อย่าล้มลงไปง่ายๆเพียงแค่ทำผิดพลาดครั้งสองครั้งสิ!! นายเป็นถึงจุดสูงสุดของประเทศนี้เลยนะ!!!!」

 

มันดังขนาดที่ผมต้องอุดหูตัวเองเลย ทว่าสำหรับราชันศักดิ์สิทธิ์นั้น—แสงสว่างได้หวนคืนสู่ดวงตาของเขาแล้ว

 

「ข้าคือ… ของประเทศนี้…」

 

น้ำตาหยดหนึ่งไหลลงมาที่แก้มของเขา ราชันศักดิ์สิทธิ์เช็ดตาของตัวเองด้วยกำปั้นของเขา

 

「อย่ามาเรียกชื่อเก่าของข้าสิ…」

 

「…เพราะดูเหมือนนายจะลืมเลือนวันเก่าๆไปไง」

 

…เกรนจิโด้เป็นชื่อเก่าของราชันศักดิ์สิทธิ์งั้นหรอ? เพราะชื่อของราชันศักดิ์สิทธิ์จะหายไปหลังจากที่เขาได้ขึ้นครองบัลลังก์ นั่นหมายความว่าเอิร์ลชายแดนเป็นเพื่อนกับราชันศักดิ์สิทธิ์มาตั้งแต่เมื่อก่อนแล้วสินะ

 

「ข้าคือราชันศักดิ์สิทธิ์」

 

「ใช่ นายคือราชันศักดิ์สิทธิ์」

 

「ข้าจะชี้นำประเทศนี้」

 

「ใช่ นายคือผู้นำประเทศนี้」

 

ผมอาจจะเข้าใจผิดเกี่ยวกับชายที่มีสมญานามราชันศักดิ์สิทธิ์คนนี้มาตลอดจนถึงตอนนี้เลยก็ได้

 

เขาเป็นคนใจดี เข้ากับคนอื่นง่าย แถมยังรักเจ้าชายคลูฟชราทด้วย ผมเอาแต่มองด้านที่เป็น “พ่อที่ดี” ของเขา แต่ แล้วอีกด้านละ ด้านที่เป็น “ราชันศักดิ์สิทธิ์” ของเขาละ?

 

「–เอล พวกเราจะฆ่าเจ้าสัตว์ประหลาดนั้นได้ยังไง?」

 

ถ้าคนกลางคือความมืดอันบริสุทธิ์ งั้นบรรยากาศรอบๆตัวราชันศักดิ์สิทธิ์–ความกระหายเลือดที่อยู่รอบๆตัวเขา ก็คือความมืดที่เกิดจากความผิดบาปของมนุษย์, ความเต็มใจจะทำบาปใดๆก็ตาม, ความเย่อหยิ่งของพระมหากษัตริย์, อำนาจสูงสุดอันเปื้อนเลือดที่พร้อมจะทำลายทุกสิ่งทุกอย่างที่ขวางทางมันเอาไว้

 

ผมถูกกดดันจากอารมณ์อันดำมืดที่ปะทุขึ้นจากบรรยากาศของราชันศักดิ์สิทธิ์

 

「ด้วยสิ่งนี้ขอรับ」เอลแสดงมีดสั้นเก่าๆขึ้นมา「แทงมันไปที่ร่างของคนกลางขอรับ」

 

「เข้าใจแล้ว… ไปกันเถอะเอิร์ลชายแดน และเจ้าก็ด้วย เจ้าหนู」

 

ดูเหมือนผมเองก็จะถูกนับรวมด้วยสินะ

 

「ข้าจะทำให้เจ้าสัตว์ประหลาดนั่นต้องเสียใจที่มาหยามกับประเทศนี้」

 

การคืนชีพขึ้นมาอีกครั้งของราชันศักดิ์สิทธิ์นั้นรุณแรงมาก เขาลดระยะห่างกับคนกลางด้วยไม่รีรอใดๆเลย และแทนที่จะใช้มีด เขากลับปล่อยหมัดออกไปเป็นจำนวนมาก คนกลางนั้นกังวลเกี่ยวกับมีดนั่นอย่างชัดเจน ดังนั้นมันจึงตัดสินใจรับหมัดพวกนั้นตรงๆแทน

 

จากนั้น ราชันศักดิ์สิทธิ์ก็ได้หยิบคฑาทองคำที่อยู่บนพื้นขึ้นมาเหวี่ยงด้วยมือเดียวราวกับไม้เบสบอลเลย คฑาโดนเข้าใส่สีข้างด้านขวาของคนกลางจนร่างกายงอเป็นรูปตัว “V” แล้วส่งมันลอยออกไป

 

「นูวอาาา!」คนกลางกรีดร้องออกมา

 

ขณะที่คนกลางตกลงมาบนพื้น แขนจำนวนมากก็ได้งอกออกมาจากร่างของมันและเข้าเล่นงานราชันศักดิ์สิทธิ์ ทว่า ถึงรูปร่างของเขาจะเป็นแบบนั้น แต่ราชันศักดิ์สิทธิ์ก็หลบทุกการโจมตีได้อย่างว่องไวเลย การโจมตีหลายอันกระทบกับพื้นจนเป็นรู

 

「ภาคีอัศวิน! พวกเจ้าไม่ต้องเข้ามาช่วย! ไปช่วยอพยพเหล่าขุนนางซะ!」เอิร์ลชายแดนออกคำสั่ง

 

「ตะ-แต่ว่า…」

 

「แค่ทำตามคำสั่งซะ เจ้าพวกโง่!!」

 

การเคลื่อนไหวของภาคีอัศวินนั้นหย่อนยาน หน่วยที่ 1 นั้นควรจะมีความสามารถ ทว่าพวกเขาอาจจะได้รับผลกระทบจากการตายของกัปตันอัศวินก็ได้ จะยังไงก็ตาม ดูเหมือนหน่วยทหารระดับสูงสุดของประเทศก็ไม่อาจตามจุดสูงสุดของประเทศที่แท้จริงอย่างราชันศักดิ์สิทธิ์ได้ทันเลย

 

「เอิร์ลชายแดน! เจ้าจะเอาแต่ยืนกินลมชมวิวอยู่ตรงนั้นหรือไง!?」

 

「หา แค่ปล่อยให้นายวอมมือก่อนเท่านั้นเองหน่า!」

 

เอิร์ลชายแดนเข้าร่วมการต่อสู้ด้วยจากคำยุยงของราชันศักดิ์สิทธิ์

 

「โอ้ร่าาาาาาาาาห์!!」

 

「ฟุฮ้าาาาาาาาาห์!!」

 

ยักษ์สองคนคำรามออกมา ว้าว… ผมเกือบจะรู้สึกสงสารคนกลางที่ถูกกระทืบจากยักษ์สองตนเลย ผมคิดว่าสองคนนั้นน่าจะสามารถล้มมังกรได้เลยด้วยซ้ำ

 

「มันจะสวนกลับมาแล้ว!!」

 

ราชันศักดิ์สิทธิ์กับเอิร์ลชายแดนรีบทิ้งระยะห่างจากคนกลางทันที ทันทีหลังจากนั้น หนามสีดำจำนวนนับไม่ถ้วนราวกับหอยเม่นได้ปรากฏขึ้นในความมืดพร้อมกับเสียงหึ่ง

 

「เหล่าผู้อ่อนแอ, โลกที่แสนน่ารังเกียจ… อย่าได้ใจให้มันมากนัก!」

 

หนามพวกนั้นถูกยิงออกมาทั่วทิศทาง ราชันศักดิ์สิทธิ์ควงคฑาของเขาเพื่อเป่ามันออกไป ส่วนเอิร์ลชายแดนนั้นได้ตัดอันที่ตรงมาทางเขาด้วยดาบล้ำค่า ผมกระโดดไปที่ด้านหน้าของเหล่าขุนนางที่ยังไม่ได้อพยพออกไปแล้วเปลี่ยนทิศทางของหยามด้วย【เวทย์ลม】

 

ผมกวาดสายตามองรอบๆเพียงแวบเดียว ดูเหมือนว่าท่านเอิร์ลซิวลิซส์จะพาตัวคุณหนูออกไปแล้วสินะ

 

「พันธสัญญาได้ถูกยกเลิกแล้ว พวกเจ้าไม่อาจหวนกลับได้!!」

 

「ไม่ มันยังไม่ถูกยกเลิก… ก่อนที่แกจะประกาศยกเลิกสำเร็จ เจ้าหนูนั่นก็ได้สร้างรูขึ้นมา พวกเราอยู่ที่โลกของพวกเราแล้วตอนนี้ “จุดกึ่งกลาง” ระหว่างอีกโลกนึงได้หายไปแล้ว」

 

「ุนุ นุนุ นุนุนุ…!!」

 

「และแกก็ได้เสีย “ข้อห้ามในพันธสัญญา” ไปแล้ว จนเจ็บปวดจากการโจมตีของพวกข้าด้วย」

 

「ุนุนุวว…!!」

 

「กลับไปยังโลกของพวกแกซะ!!」

 

จังหวะที่ราชันศักดิ์สิทธิ์ลดระยะห่างแล้วตวัดคฑาของเขานั้น–

 

「ุอย่าดูถูกพันธสัญญาให้มากนัก」

 

คนกลางได้จับไปที่คฑาด้วยสองมือ สีทองของคฑาเริ่มสึกกร่อนกลายเป็นสีดำ

 

「ราชันศักดิ์สิทธิ์!! โปรดระวังตัวด้วย!! ดูเหมือนมันจะยังมีบางอย่างซ่อนอยู่!」เอิร์ลชายแดนตะโกนเตือน

 

「ไม่เป็นไร เดี๋ยวมันก็จบแล้ว!!」

 

เมื่อผมคิดว่าจนมุมแล้ว ราชันศักดิ์สิทธิ์ก็ได้ปลีกตัวออกไปด้านข้างแล้วแทงมีดเข้าไปที่อกของคนกลาง

 

「ตายซะ!」

 

มีดฉายแสงแวววาบและตัดผ่านความมืดของคนกลาง

 

บรรยากาศและพื้นดินสั่นไหว

 

ผมคิดว่าพวกเราเอาชนะมันได้แล้ว ทว่า【World Ruler】ได้ร้องเตือนออกมาว่ามันแตกต่างไปจากที่เห็น

 

 

「ฝ่าบาท โปรดถอยออกมาครับ!」ผมตะโกนออกไป

 

「อา? หมอนี้ตายไปแล้ว—」

 

「ถอยออกมาครับ!!」

 

ผมใช้งาน【ทักษะการวิ่ง】และพุ่งชนราชันศักดิ์สิทธิ์ จนพวกเราทั้งคู่กลิ้งออกมาจากคนกลาง

 

「จะ-เจ้าต้องกล้าพอตัวที่จะชนข้าแบบนี้นะ เจ้าหนู!!!」

 

「หมอบลง!!」

 

ผมจับหัวของราชันศักดิ์สิทธิ์แล้วกดลงกับพื้น

 

「ความมืด, เปิดประตู, แสงสว่าง, เปิดทาง」

 

ราวกับไม่สามารถทนต่อความสว่างของแสงได้ ร่างของคนกลางได้สลายกลายเป็นชิ้นเล็กๆก่อนจะหายไปในอากาศเหมือนกับกระดาษที่ถูกเผาไหม้ ทว่าในเวลาเดียวกัน ได้มีมวลสีดำที่เหมือนกับไฟบอลหมุนวนไปรอบๆตัวของมันด้วย มวลนั่นหมุนไปมาด้วยความเร็วสูงราวกับว่าพร้อมที่จะยินออกมาได้ทุกเมื่อ

 

「อ้า–」

 

【World Ruler】วิเคราะห์ได้ว่ามวลพวกนั้นกำลังเล็งไปที่เหล่าขุนนางที่ภาคีอัศวินกำลังนำทางออกไปจากโดมอยู่

 

ไม่ใช่แค่ภาคีอัศวินเท่านั้น แต่เหล่าคนคุ้มกันที่มาสายก็ด้วย พวกเขาไปรวมตัวกันอยู่ที่ทางออกของโดมนี้

 

(มิมิโนะซัง—)

 

ผมจำมิมิโนะซังผิดกับคนอื่นไปแวบนึง

 

เลเลนอร์ซังที่กำลังเข้าช่วยเหลือในการอพยพอยู่ ถ้ามวลนั่นโดนใส่พวกเขาเต็มๆละ? ตามที่【World Ruler】บอกเอาไว้ มวลนั่นคือมวลพลังงานสูงที่อีดแน่นเต็มที่ โดดจังๆอาจทำให้ร่างกายมนุษย์เหลือแต่ฝุ่นได้เลย

 

ผมเริ่มออกวิ่งตรงไปยังมวลสีดำนั่นอย่างทุลักทุเล

 

มวลสีดำนั่นจะถูกยิงแล้ว–

 

—ปกป้องทุกๆคน

 

นั่นคือคำสั่งของคุณหนู

 

ช่างระลึกได้ถูกเวลาจริงๆ!!

 

「โอ้วววววว!!」

 

ความเร็วของผมยังไม่พอ ผมใช้งาน【เวทย์ซัพพอร์ต】เพื่อเพิ่มความเร็วของผมโดยไม่รู้ตัว และผมก็ได้กระแทกหมัดของผมที่ถือหินอยู่เข้าใส่ด้านข้างของมวลสีดำนั่น

 

มันเกิดขึ้นเพียงแต่เสี้ยววินาทีเท่านั้น ผมเห็นหินปริแตกออกในแบบสโลวโมชั่น หินได้แหลกระเอียด ไม่อาจหยุดมวลสีดำได้ ถึงยังนั้น – ทิศทางของมันก็ได้เปลี่ยนไปแล้ว

 

มันลอยออกไปด้านข้างห่างจากจุดที่ขุนนางรวมตัวกันประมาณ 10 เมตร มันทำลายโดมอย่างง่ายดาย และสร้างคลื่นกระแทกจนส่งผลให้อัศวินที่อยู่ใกล้ๆกระเด็นออกไปเลย

 

เมื่อมวลนั่นได้ลอยออกไปจากพระราชวังศักดิ์สิทธิ์ ต้นไม้ใบหญ้าฝุ่นฟุ้งกระจัดกระจาย และมันก็ได้ไปถึง “กำแพงที่ 1” ที่แยกระหว่างพระราชวังกับเขตศักดิ์สิทธิ์ที่ 1

 

กำแพงเองก็ถูกเจาะทะลุได้อย่างง่ายดาย และมันก็เจาะผ่านบันไดกลางตึกรัฐสภาของราชันศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งเป็นอาคารที่ใหญ่ที่สุดในเขตศักดิ์สิทธิ์ที่ 1 ตัดผ่านมันไปชนเข้ากับ “กำแพงที่ 2” ทำลายมันลงไปอย่างสวยงาม

 

「นั่นมันอะไรกัน…」

 

พร้อมกัยเสียงที่ดังลั่น คลื่นกระแทกจากการชนยังลอยมาถึงที่พวกเราอยู่เลย

 

ไม่เหลือล่องลอยของคนกลางอีกต่อไปแล้ว–มีเพียงร่างอันเย็นชืดของหลุยส์ที่ตายไปแล้ว

 

ความมืดเริ่มสูญสลายไปจากด้านบนของโดม บริเวณรอบๆเริ่มกลับมาสว่างขึ้นในชั่วพริบตา

 

「มันจบแล้วรึ…?」ราชันศักดิ์สิทธิ์ถามขึ้น

 

「ไม่ครับ」

 

【เสริมการมองเห็น】ของผมเห็นถึงความมืดที่กำลังปรากฏขึ้น

 

「มันยังไม่จบหรอกครับ」

 

 

 

บทที่ 2 ตอนที่ 40

 

ภายในโดมความมืดนั้น แสงที่สาดส่องเข้ามาจากภายนอกได้สะท้อนพื้นอันสวยงามเป็นเส้นตรง ที่นั่นมีความมืดรูปร่างมนุษย์ และเหล่าเด็กๆในชุดแนวกรีกโบราณอยู่ภายในสิ่งก่อสร้างที่เหมือนกับวิหาร

 

หูของผมได้ยินเสียงของคุณหนูที่เรียกหาผม คุณหนูนั้นดวงตาเปียกชื้นและเข่าอ่อนอยู่ที่พื้น

 

「…แกทำอะไรกับคุณหนู?」

 

ผมสามารถเข้าใจได้ทันทีเลยว่าเป็นความมืดนั่นที่สร้างความวุ่นวายนี้ขึ้น

 

【World Ruler】บ่งบอกว่ามันเป็น “สิ่งมีชีวิต” บางอย่าง แต่มันดูจะต่างออกไปจากสิ่งมีชีวิตทั่วๆไปอยู่นะ เพราะผมขาดความรู้ ผมจึงไม่สามารถตรวจสอบอะไรไปได้มากกว่านั้นเลย

 

「เรย์จิซัง」

 

เอิร์ลซิวลิซส์ปรากฏตัวขึ้นที่ด้านหลังของผม

 

เป็นท่านเอิร์ลนั้นเองที่ผมพบที่ด้านหน้าของโดม เขาไม่ได้เข้าร่วมงานพิธีด้วย—เขาบอกว่าเขาไปตรวจสอบภายในพระราชวังศักดิ์สิทธิ์ในตอนที่เหล่าขุนนางกับนักบวชเข้าร่วมงานพิธีกัน ดูเหมือนว่าเขาอยากจะรู้เกี่ยวกับหินสกิลที่เตรียมไว้ให้เจ้าชายคลูฟชราทนะ—ต้องขอบคุณเรื่องนี้ที่ทำให้เขาไม่ได้ติดอยู่ในโดมความมืดนี้ด้วย

 

โดมนี้ที่ไม่สามารถทำลายได้ด้วยเวทมนตร์หรือมือเปล่านั้น สามารถทำลายได้ด้วย “หิน” ที่ท่านเอิร์ลนำมา ตอนนี้มันอยู่ในมือของผมแล้ว—สีของมันเหมือนกับแท่นที่อยู่บนบันไดนั่นเลย

 

นั่นใช่ “แท่นบูชาที่ 1” หรือเปล่า?

 

งั้นหินนี้ก็เกี่ยวข้องกับแท่นบูชาสินะ…

 

(ดูเหมือนจะมีปริศนาอยู่หลายอย่างเลย แต่ที่สำคัญที่สุดในตอนนี้ก็คือ…)

 

「ผู้บุกรุก? …แกเป็นใคร!!!?」

 

「แกไม่ใช่รึไงที่เป็นผู้บุกรุกหน่ะ!!」

 

ผมวิ่งเข้าหาความมืดรูปคนนั่นและลดระยะห่างในทันที

 

「โอ้วววววววว!!」

 

หมัดขวาของผมที่ถือหินอยู่ เจาะเข้าไปที่ท้องของมันจนมันลอยออกไป กระเด้งพื้นอยู่หลายครั้ง

 

「โจมตีโดนงั้นหรอ!?」

 

「ขนาด【ทักษะดาบศักดิ์สิทธิ์】ยังไม่ได้ผลเลยนะ!」

 

「เขาเป็นใครกัน?」

 

เหล่าขุนนางที่ดูจะอยู่บนแท่นที่นั่งต่างส่งเสียงออกมา แต่ที่ผมทำไปก็เพราะมีเหตุผลบางอย่าง ความโกรธของผม—เพื่อระงับความโกรธของผมโดยการชกไอ้ตูดหมึกที่ทำให้คุณหนูร้องไห้

 

「คุณหนูครับ ขออภัยที่มาช้านะครับ」ผมพูดขณะที่หันกลับ

 

เมื่อผมยิ้มเพื่อให้เธอสบายใจให้มากที่สุด ดวงตาของคุณหนูก็แทบจะเต็มไปด้วยน้ำตาแล้ว

 

คุณหนูเองก็อายุแค่ 12 ปีถึงแม้จะเป็นขุนนางก็ตาม

 

แน่นอน เธอคงจะกลัวที่อยู่ๆก็มาติดอยู่ในความมืดมิดแบบนี้

 

ถึงอย่างนั้น คุณหนูก็หยุดร้องไห้และลุกขึ้นยืน

 

「…เรย์จิ」

 

「ครับ คุณหนู」

 

「ปกป้องชั้น – ปกป้องทุกคน」

 

คุณหนูชอบใช้งานผมไปจนถึงกระดูกอยู่แล้วนี่นะ

 

ภาคีอัศวินเองก็ควรจะอยู่ที่นี่กับผม—ไอ้อัศวินพวกนั้นมัวทำอะไรกันอยู่นะ—เพื่อปกป้องทุกคนด้วยสิ

 

「รับทราบครับ」

 

อย่างไรก็ตาม ผมก็ไม่ได้เกลียดคุณหนูที่อยากจะช่วยทุกคนไม่ใช่แค่ตัวเองแบบนี้หรอก

 

「ทำไมเจ้าถึงมาอยู่ที่นี่ บุตรแห่งหายนะ…!!!」

 

ความมืดยืนขึ้นราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นก่อนจะกรีดร้องออกมา หมายความว่าไงไอ้ “บุตรแห่งหายนะ” หน่ะ? หืมมม? …อ้า ตาสีดำกับผมสีดำของผมงั้นหรอ? ให้ตายสิ… ขนาดไอ้ความมืดปริศนานี้ก็รู้ตัวตนของผมงั้นหรอ?

 

「ยังไงซะ พันธสัญญาก็ถูกยกเลิกแล้ว」

 

ความมืดได้ทะลักออกมาจากร่างของมัน แสงเพียงหนึ่งเดียวในที่นี่ก็คือจุดที่ผมพังเข้ามา

 

「ว้าาาาาาาาาาาาาาาาาาาา!!!!」

 

พร้อมกับเสียงกรีดร้อง แขนขวาของความมืดก็ยืดออกมาเหมือนกับยาง—มันเล็งไปที่เจ้าชายคลูฟชราท

 

ผมเข้าไปขวางข้างหน้ามันในทันที และชกมันออกไปด้วยหิน

 

ความมืดคร่ำครวญด้วยความเจ็บปวด

 

…หินที่ท่านเอิร์ลนำมาอย่างลับๆนี้ดูจะใช้ได้ผลดีแห่ะ

 

และครั้งนี้ความมืดก็ได้ยืดแขนซ้ายออกมา เอิร์ลชายแดนได้ตัดมันด้วยดาบของเขา

 

「หืมมม… การโจมตีดูจะใช้ได้ผลแล้วนะ คิดว่ายังไงละ ซิวลิซส์?」เอิร์ลชายแดนได้ถามกับท่านเอิร์ลที่เดินไปหาพวกเขา

 

「พื้นที่นี้ถูกผูกมัดเอาไว้ด้วยพันธสัญญา ตามปกติมันจะป้องกันไม่ให้คนกลาง – เจ้าสัตว์ประหลาดนั่น –ถูกโจมตีได้ แต่ดูเหมือนพันธสัญญาจะไม่สมบูรณ์เพราะรูที่เรย์จิซังพังเข้ามาด้วยเรลิกหายากนั่นนะ」

 

「เดี๋ยวก่อนสิครับ ท่านเอิร์ล! คุณพูดเหมือนกับผมเป็นคนทำทุกอย่างเลย แถมมีคำมากมายที่ผมไม่เข้าใจด้วยนะครับ!」

 

「ข้าจะอธิบายทีหลัง… ถ้าพวกเรารอดกลับไปได้ละก็นะ」

 

「หืมมม… อะไรจะเกิดก็ต้องเกิดละ ไปกันเถอะ เจ้าหนู! ที่เหลือหนีออกไปทางรูนั่นซะ!」

 

เอิร์ลชายแดนพูดขึ้นก่อนจะเริ่มออกวิ่ง ดังนั้นผมก็เลยตามไป ผมสามารถได้ยินเสียงเหล่าเด็กๆกำลังวิ่งไปทางแสงสว่างด้านหลังของผม

 

「อวดดีนัก!」ความมืดพูดออกมา

 

ดาบล้ำค่าที่ดูกลายเป็นของเล่นไปเลยถ้าเทียบกับร่างกายของเอิร์ลชายแดน ได้ฟาดฟันหลายครั้งใส่ความมืด – “คนกลาง” – ที่ท่านเอิร์ลเรียกมัน

 

คนกลางได้หลบคมดาบด้วยความเร็วอันเหลือเชื่อ

 

(หลบได้หมดเลยงั้นหรอ…)

 

「นั่นมันก็แค่ตัวล่อ」

 

ผมชกไปที่หลังของคนกลางด้วยหินอย่างสุดแรงเกิด

 

คนกลางคร่ำครวญออกมาอย่างเจ็บปวดอีกครั้ง

 

「แล้วก็ต่อด้วย—」

 

บอลไฟปรากฏตัวที่ปลายนิ้วมือซ้ายของผม【เวทย์ไฟ】5 นัดติดต่อกัน

 

「ช่วยด้วย ช่วยผมด้วย…」

 

「หว่า!?」

 

ผมตกใจ อยู่ใบหน้าของหลุยส์ก็ปรากฏขึ้นที่ด้านหลังของคนกลาง

 

「เกี้ยยย!!」

 

ผมตกใจจนยิง【เวทย์ไฟ】ออกไปโดยไม่ยั้งมือ คนกลางล้มลงไปกลิ้งอยู่ที่พื้นพร้อมกับกรีดร้องออกมา

 

「ท่านหลุยส์—!! ไอ้เจ้าสัตว์ประหลาด! ใช้ท่านหลุยส์ทำเรื่องแบบนั้น!」คุณหนูร้องออกมา

 

「…เจ้าหนู เจ้าค่อนข้างอำมหิตเลยนะ」เอิร์ลชายแดนพูดขึ้น

 

ผมพยายามจะแก้ไขความเข้าใจผิดว่าจริงๆแล้วผมเป็นคนดี ทว่าผมไม่สามารถโน้มน้าวเอิร์ลชายแดนได้เลย

 

ผมรู้อยู่แล้วจาก【World Ruler】ว่าหลุยส์นั่นเป็นของปลอม หลุยส์ตัวจริงที่อยู่ภายในส่วนลึกของความมืดนั่น – ได้ตายไปแล้ว

 

「เอาละ… ฝ่าบาท ได้โปรดอธิบายที่ว่ามันเกิดอะไรขึ้น?」เอิร์ลชายแดนถามขึ้น

 

มองขึ้นไปบนบันได ราชันศักดิ์สิทธิ์กำลังงุนงง และกระต่ายยักษ์ เอล ก็อยู่ถัดจากเขา

 

「ข้า…」

 

「เออ, ฝ่าบาทได้ตัดสินใจผิดพลาดครั้งใหญ่ขอรับ, นั่นก็คือการยกเลิกพันธสัญญาขอรับ, เออ, ถ้าพันธสัญญาที่เชื่อมระหว่างโลกอื่นกับโลกนี้ถูกยกเลิกละก็, ความมืดจำนวนมากมายจากอีกโลกก็จะ, เออ, บุกมาที่โลกนี้ขอรับ」

 

…ว่าไงนะ?

 

=====================================================

บทที่ 2 ตอนที่ 39

 

* อีวา ซิวลิซส์ *

 

แสงสีรุ้งปรากฏขึ้นจากแผ่นหลังของผู้บัญชาการอัศวินที่ล้มลงไป—มันเป็นแสงจากหินสกิล แสงของ【ทักษะดาบศักดิ์สิทธิ์】นั่นเอง

 

เมื่อความมืดได้เอื้อมมือไปแตะแสงนั้น แสงก็ได้ปริแตกและสลายหายไปพร้อมกับเสียงเล็ก

 

「อ้าา–」

 

เสียงคร่ำครวญของใครบางคนดังขึ้น สกิลที่ดีที่สุดของประเทศได้หายไปแล้ว

 

(มันเกิดขึ้นได้ยังไงกัน!)

 

ทำไมมันถึงเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น?

 

นี้ชั้นทำผิดพลาดครั้งใหญ่งั้นหรอ?

 

ความผิดพลาดเล็กๆ น้อยๆ โดยบังเอิญรวมกันจนได้ผลลัพธ์แบบนี้งั้นหรอ?

 

—มิสอีวา

 

เธอนึกถึงเด็กชายที่ติดตามเธออย่างกับลูกสุนัขตัวน้อยๆ

 

ตอนนี้เขาได้เปลี่ยนไปกลายเป็นความมืดนั่นแล้ว—อีวาอยากจะเบือนหน้าหนีจากความจริงอันโหดร้ายนั้น

 

「มิร่า ลูกอยู่นี้หรือเปล่า?」

 

「ท่านพ่อ!?」

 

เงาร่างใหญ่ได้เข้ามาใกล้พวกเขา เป็นเอิร์ลประจำชายแดน พ่อของมิร่านั่นเอง

 

「มันมืดเกินไปจนมองไม่เห็นทางเลย」

 

「มะ-มันเกิดอะไรขึ้นกันคะ!?」

 

「พ่อจะไปรู้ได้ยังไงกันละ! แต่ตอนนี้สถานการณ์ไม่สู้ดีแล้ว」

 

「พวกเราจะทำยังไงกันดี…?」

 

「ตอนนี้พ่อต้องการดาบ เห้ย มีใครให้ข้ายืมดาบได้บ้าง」

 

เอิร์ลชายแดนรับดาบมาจากขุนนางเด็กใกล้ๆ

 

「พวกเราควรจะออกไปจากที่นี่ ไม่มีทางเลือกนอกจากปล่อยให้ฝ่าบาทกับเอลจัดการเจ้าสัตว์ประหลาดนั่นแล้ว」

 

「แต่ว่าท่านเอิร์ลชายแดนครับ จะดีหรอครับที่ให้พวกเราข้าราชบริพารหนีออกไปแบบนี้นะครับ?」อีธานถามขึ้น

 

「ความกล้าหาญเป็นเรื่องที่ดี แต่ค่อยพูดแบบนั้นในตอนที่เจ้ามีพลังพอที่จะสู้ก่อนแล้วกัน นอกจากนี้ เจ้ามีหน้าที่ต้องปกป้องท่านคลูฟชราทด้วย」

 

ใช่แล้ว เจ้าชายศักดิ์สิทธิ์เองก็อยู่ที่นี่ด้วย อีธานพึ่งจะรู้ตัวถึงเรื่องนี้

 

「จริงด้วย ขออภัยด้วยครับ ท่านคลูฟชราทครับ รีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ」

 

「…………」

 

「พวกเราทำอะไรไม่ได้หรอกครับ」

 

「มันจะเป็นแบบนั้นจริงๆหรอ?」

 

「อะไรนะครับ?」

 

ในจังหวะนั้น สีหน้าอ่อนโยนของคลูฟชราทก็เคร่งเครียดขึ้น

 

「…หินสกิลนั่นควรจะมอบให้กับผมใช่ไหมละ ถ้างั้น บางทีอาจจะมีอะไรที่ผมทำได้ก็ได้นะ?」

 

「นะ-นั่นก็…」

 

ไม่มีใครแน่ใจในเรื่องนั้น แต่มันก็มีน้ำหนักมากพอที่จะทำให้ทุกคนคิดว่ามันอาจจะเป็นไปได้ก็ได้

 

「อย่างที่เจ้าพูดนั่นแหล่ะ」

 

ก่อนที่ใครจะรู้ตัว ความมืดก็ได้อยู่ที่ด้านหน้าของเจ้าชายศักดิ์สิทธิ์เพียงแค่ 5 เมตรแล้ว ไม่มีใครเห็นมันลงมาจากบันไดเลยด้วยซ้ำ

 

(กลิ่นนี้มัน…!)

 

ถึงมันจะมืดไปหมดแล้ว แต่มันก็ยังรู้สึกว่ามันจะยิ่งมืดมิดเข้าไปอีก ลมเบาๆพัดมาจากความมืดและเติมเต็มรอบๆด้วยกลิ่นไหม้ๆ

 

「ฝ่ายเจ้าเป็นคนทำลายพันธสัญญาเก่าก่อนเอง」

 

อีวานั้นไม่คุ้นเคยกับคำว่า “พันธสัญญา”

 

อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่าความมืดจะเน้นตรง “พันธสัญญา” อะไรนั่นนะ

 

「ราคานั่นแสนยิ่งใหญ่ หินสกิลนั่นดับสลายไปก็เพราะพันธสัญญาดั้งเดิม」

 

หินสกิลที่หมายถึง—มันจะต้องเป็น【ทักษะดาบศักดิ์สิทธิ์】แน่นอน

 

หินสกิล 6 ดาวที่ตกทอดกันมาหลายปี และหินหายากนั้นก็ได้ถูกลบหายไปง่ายๆพร้อมกับการตายของผู้บัญชาการอัศวิน

 

ราชันศักดิ์สิทธิ์นั้นคุกเข่าลงที่ข้างๆร่างที่ไม่ไหวติงของผู้บัญชาการอัศวิน ผู้นำประเทศนี้ ผู้ที่มักจะเต็มเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจและศักดิ์ศรีเสมอนั้น กำลังทุกข์ระทมอยู่ เรื่องที่【ทักษะดาบศักดิ์สิทธิ์】นั้นใช้งานไม่ได้ รวมถึงการตายของผู้บัญชาการอัศวินคงจะไปสั่นคลอนจิตใจของเขา

 

「ยังไม่พอหรอก ทั้งตระกูลได้ทำลายพันธสัญญาไปแล้ว ฮ่า! ฮ่า! ฮ่า!… เหล่าพี่น้องของข้ากำลังกรีดร้อง! เจ้าได้ยินไหม? พวกเขาพูดว่าเจ้ามันน่าอร่อย…」

 

เมื่อความมืดพยายามจะเข้าใกล้คลูฟชราท ราชันศักดิ์สิทธิ์ก็ลุกขึ้น

 

「อย่ามาแตะต้องคลูฟชราท!!!!!」

 

ราชันศักดิ์สิทธิ์ขว้างคฑาของเขามาที่หัวของความมืด เมื่อความมืดหันไปรับคฑานั้นก็เกิดสเก็ตไฟฟ้าสีทองกระเด็นไปมา

 

「ไอ้เจ้าพวกสารเลวที่อยากจะดูดเลือดเนื้อของราชวงศ์ศักดิ์สิทธิ์ไปตลอดกาลเอ้ย!!!」

 

คฑากระเด็นตกลงบนพื้นจนเกิดเสียง ก่อนจะหยุดนิ่งไป

 

「โง่เขลา ถ้างั้น ก็ยกเลิกพันธสัญญาซะสิ」

 

「อย่างที่ข้าต้องกา—」

 

「ฝ่าบาท! โปรดรอก่อนขอรับ!」

 

เอลกอดราชันศักดิ์สิทธิ์จากข้างหลังแล้วหยุดเขาเอาไว้

 

「มันเป็นกับดักจากพวกมันที่มาจากอีกโลกนึงขอรับ! การยกเลิกพัธสัญญาเป็นสิ่งที่พวกนั้นต้องการมากที่สุดขอรับ!!」

 

「ที่ดาบศักดิ์สิทธิ์ถูกลบหายไปเป็นเพราะพวกเราถูกผูกมัดด้วยพันธสัญญา! เพราะมีพันธสัญญาเป็นโล่ พวกมันก็เลยทำตามใจชอบได้ไง! ถ้าห่วงโซ่นี้หายไปละก็ ข้าจะสามารถทำลายพวกมันที่อีกโลกด้วยภาคีอัศวินของข้าได้!」

 

「ฝ่าบาท! ความคิดของท่านมืดบอดเพราะบุตรของท่านนะขอรับ!」

 

「หุบปาก! คนอย่างเจ้าที่มีชีวิตเพียงชั่วคราวจะไปเข้าใจอะไร!」

 

เอลถูกราชันศักดิ์สิทธิ์พลักจนล้มลงไปข้างหลัง

 

「ประกาศยกเลิกพันธสัญญาซะ」

 

「อย่างที่ข้าต้องการเลย! ข้า ราชันแห่งราชอาณาจักรครูวานศักดิ์สิทธิ์–」

 

มีบางอย่างผิดปกติ บางอย่างที่เลวร้ายกำลังจะเกิดขึ้น ความคิดแบบนั้นแล่นเข้ามาในหัวของอีวา

 

「มะ-ไม่—!?」

 

อีวาพยายามที่จะขัด ทว่าความมืดก็ได้มองมาที่เธอ—ไม่สิ เป็นใบหน้าของหลุยส์ที่มองมาที่เธอ ใบหน้าไร้ชีวิตของหลุยส์ผุดออกมาจากความมืดแล้วมองตรงมาที่อีวา “ทำไมเธอถึงยังยืนอยู่?”, “ทำไมเธอต้องบังคับให้ผมทำแบบนี้?”, “ทำไมเธอถึงยังมีชีวิตอยู่?” เธอรู้สึกเหมือนกับว่าเขากำลังถามแบบนั้น และความกล้าของเธอก็ได้หายไปหมดสิ้น

 

(ชั้นทำไม่ได้ ชั้นทำอะไรไม่ได้เลย สุดท้ายแล้ว ชั้นก็เป็นได้แค่เด็กที่ทำอะไรไม่ได้ถ้าไม่มีตำแหน่งขุนนาง)

 

อีวาดิดอยู่ในความหวาดกลัวและขยับไม่ได้

 

ท้ายที่สุด ราชันศักดิ์สิทธิ์ก็ได้พูดออกมา

 

「–ขอยกเลิกพันธสัญญาบ้าๆนี้!!!」

 

(ช่วยชั้นด้วย เรย์จิ!!!)

 

อีวากรีดร้องออกมาจากก้นบึ้งของจิตใจ

 

「คำประกาศของเจ้า พวกเรายอม–」

 

ทว่า ก่อนที่ความมืดจะประกาศส่วนของมันเสร็จ

 

แสงได้สาดส่องเข้ามาพร้อมกับเสียงอันดังกึกก้องราวกับกระจกแตก

 

「โอ้วววววววว! ในที่สุด!!! มันก็แตกซักที!」

 

「…อา」

 

คนที่ปรากฏตัวขึ้นคือคนที่อีวาร้องโหยหาอย่างสิ้นหวัง—คนคุ้มกันที่น่าเชื่อถือที่สุดของเธอ

 

「เรย์จิ!」

 

 

 

บทที่ 2 ตอนที่ 38

 

(ขอให้ปลอดภัยด้วยเถอะ คุณหนู…!)

 

ผมเริ่มวิ่งตรงไปยังประตูปราสาทที่คั่นระหว่างเขตศักดิ์สิทธิ์ที่ 1 กับ พระราชวังศักดิ์สิทธิ์

 

「เรย์จิคุง พวกเราควรคุยกับภาคีอัศวินที่ 1 นะ」เลเลนอร์พูดขึ้นในขณะที่พวกเรากำลังวิ่งด้วยความเร็วเต็มที่

 

แน่นอนว่าประตูปราสาทนั้นถูกค้มกันด้วยภาคีอัศวิน

 

…นี้พวกนั้นทำบ้าอะไรกันอยู่เนี้ย? มีบางอย่างเกิดขึ้นแล้วนะ! ที่ข้างหลังพวกนายด้วยซ้ำ!

 

「ไม่จำเป็นครับ」ผมตอบ

 

「เอ๊ะ?」

 

ผมใช้งานสกิลมากมายที่ผมได้เรียนรู้มา ทั้ง【เสริมความแข็งแกร่ง】,【เสริมกล้ามเนื้อหลัง】,【เสริมกล้ามเนื้อหน้าท้อง】,และ【เสริมแกร่งร่างกาย】ควบคู่ไปกับ【ทักษะการวิ่ง】ด้วย

 

「เอออออ๋!?」

 

ระยะห่างระหว่างผมกับเลเลนอร์ซังเพิ่มขึ้นอย่างมาก ร่างกายของผมพุ่งไปยังกับสายลม และผมก็มาถึงประตูปราสาทในทันทีเลย

 

「เห้ย คนคุ้มกันจากตระกูลไหนกั–」

 

「หยุด! หยุดเดี๋ยวนี้! นายผ่านตรงนี้ไปไม่ได้–」

 

ผมก้มต่ำลงแล้วเตะพิ้นหินด้วย【เสริมพลังระเบิด】และ【ทักษะการกระโดด】

 

「เออออออออออ๋!?」เลเลนอร์ซังตะโกนออกมาด้วยตวามตกตะลึง

 

ผมกระโดดข้ามประตูปราสาทได้อย่างง่ายดาย แล้วลงจอดที่อีกฝั่ง

 

(【เวทย์รักษา】)

 

กล้ามเนื้อของผมกรีดร้องด้วยความเจ็บปวด แต่ผมก็รักษามันด้วยเวทมนตร์

 

จากนั้นผมก็เริ่มออกวิ่งผ่านพระราชวังที่ร้างผู้คน ตรงไปยังความมืดทรงครึ่งกลมนั่น

 

(นั่นมันอะไรกัน? คุณหนูอยู่ข้างในนั้นงั้นหรอ?)

 

ผมยังจำตอนนั้นได้ ตอนที่ผมสู้กับมังกรในเขตปกครองดยุคอาเคนบาค

 

ตอนนั้นผมไม่มีพลังพอที่จะสู้ ดังนั้นผมก็เลยถูกพาตัวออกจากสนามรบโดยน็อนซัง

 

ถ้าตอนนั้นผมมีพลังแบบในตอนนี้ละก็ มันก็อาจจะไม่มีผู้เคราะห์ร้ายมากมายขนาดนั้น

 

ไรเครียซังก็อาจจะไม่ตาย

 

(—แต่ครั้งนี้ ผมจะต้องไปให้ทันให้ได้!)

 

ผมเกือบจะถึงโดมความมืดนั่นแล้ว ผมควรจะพุ่งตรงเข้าไปเลย หรือใช้วิธีอื่นดี?

 

「!!」

 

ในจังหวะนั้นเอง ผมก็พบกับร่างของคนๆนึงยื่นอยู่ที่ด้านหน้าของโดม

 

* อีวา ซิวลิซส์ *

 

อีวานั้นคิดว่าที่เธอมองไม่เห็นอะไรเลยนั้นเป็นเพราะเธอสลบไป แต่ไม่นานเธอก็รู้ว่าประสาทสัมผัสอื่นนอกจากการมองเห็นนั้นยังคงทำงานตามปกติ ทั้งความอบอุ่นจากอ้อมแขนของมิร่า, เสียงคนกรีดร้อง, และสายลมที่พัดพา—กลิ่นเผาไหม้มา

 

「ฝ่าบาท นี้มันเรื่องอะไรกัน!?」

 

มีอยู่ไม่กี่สิ่งที่ส่องสว่างท่ามกลางความมืดมิด แสงสีฟ้าศักดิ์สิทธิ์ที่ส่องสว่างออกมาจากตัวเจ้าชายคลูฟชราทที่ยืนอยู่ถัดจากเธอ และแสงแบบเดียวกันจากราชันศักดิ์สิทธิ์ที่ยืนอยู่บนบันไดหิน

 

เมื่อเธอขยี้ตาของเธอ มันมีความมืดอยู่ถัดจากราชันศักดิ์สิทธิ์ด้วย และหมอกสีดำพวกนี้ก็ดูจะออกมาจากตรงนั้น

 

「โอ้วววววว! หายไปซะ!!」

 

ราชันศักดิ์สิทธิ์ตวัดคฑาของเขาด้วยแรงทั้งหมดไปที่ความมืดนั่น

 

จุดที่ความมืดอยู่นั้นเป็นที่ที่หลุยส์ยืนอยู่เมื่อก่อนหน้านี้

 

(หลุยส์…?)

 

ความคิดแย่ๆที่อีวาไม่อยากจะคิดได้เข้ามาในหัวของเธอ

 

ความมืดนั่นอาจจะเป็นหลุยส์ก็ได้

 

ความมืดนั้นหลบได้ ทว่า ความมืดที่อยู่รอบๆ—ความมืดที่ปกคลุมรอบๆดูจะหายไปเล็กน้อยในตอนนั้น

 

「โทษทีนะ ชั้นไม่เป็นไรแล้วละ」

 

「ท่านอีวา!? ไม่เป็นไรนะคะ?」

 

「อืม… แค่อย่าสบตาชั้นก็พอ」

 

อีวาที่มานาฟื้นฟูขึ้นมาแล้ว ยกร่างของเธอขึ้นในขณะที่พยายามไม่มองไปที่ใบหน้าของมิร่า

 

ดูเหมือนจะมีเพียงไม่กี่คนที่เข้าใจสถานการณ์ในตอนนี้ นั่นก็คือราชันศักดิ์สิทธิ์, เอล, และดยุคโรซีเออร์

 

(เนตรเวทมนตร์ของชั้นทำให้ท่านหลุยส์…)

 

เธอรู้ดีว่าท่าทีดื้อรั้นของหลุยส์นั้นเป็นเพราะ “เนตรเวทมนตร์แห่งการชักจูง” ของเธอ

 

หน้าอกของเธอเจ็บปวดอย่างมาก

 

ความรู้สึกผิดกำลังกัดกินเธอ

 

「เอล! นี้มันหมายความว่ายังไง?!!」

 

「เออ, ฝ่าบาทขอรับ… ตระกูลดยุคไม่แข็งแกร่งพอที่จะรับสกิลนั้นขอรับ」

 

「แต่เจ้าไม่ได้บอกว่ามันจะเป็นแบบนี้นี่!!」

 

「ฮา…. ราชันศักดิ์สิทธิ์ทุกรุ่นในอดีตนั้นมอบหินสกิลให้กับ “ผู้บริสุทธิ์” ที่มีสีฟ้าศักดิ์สิทธิ์เท่านั้นขอรับ…」

 

สีฟ้าศักดิ์สิทธิ์

 

ผู้บริสุทธิ์

 

สองสิ่งนั้นคือกุญแจ

 

หลุยส์นั้นไม่มีสีฟ้าศักดิ์สิทธิ์—แต่ทำไมถึงเกิดเรื่องแบบนี้เพียงแค่รับหินสกิลนั่นละ?

 

「…ไอ้เด็กเหลือขอ… ค๊ะคะคะคะคะ… !!」

 

เสียงแหบแห้งดังขึ้น

 

เป็นความมืดที่หัวเราะออกมา เป็นความมืดไม่ใช่หลุยส์—อีวาพยายามจะเชื่อแบบนั้น

 

ความเย็นยะเยือกแล่นผ่านสันหลังของอีวา

 

「หลุยส์ส์ส์ส์ส์ส์!!」

 

ดยุคโรซีเออร์กรีดร้องออกมา ขุนนางคนอื่นๆที่มาชมพิธีต่างก็พยายามวิ่งหนี

 

「นะ-นี่มันอะไรกัน? เหมือนกับกำแพงเลย!」

 

「อัศวิน! โจมตีมันด้วยดาบซะ!」

 

ดูเหมือนว่าพวกเขาจะหนีไม่ได้ อีวาเห็นเหล่าอัศวินกำลังโจมตีมันด้วยดาบ ทว่ามันก็เด้งกลับพร้อมกับประกายไฟเล็กๆ

 

(ภาคีอัศวินที่ 1 ก็อยู่ที่นี่ด้วย ดังนั้นมันจะต้องไม่เป็นไร มันจะต้องไม่เป็นไร…)

 

อีวาเอามือกุมหน้าอกและพยายามให้กำลังใจตัวเอง

 

「ช่างน่าสงสาร พวกแกหนีไปไหนไม่ได้หรอก」

 

น้ำเสียงที่ไร้อารมณ์ใดๆดังขึ้นจากความมืดนั่น

 

「หุบปาก! แกจะต้องตาย–ผู้บัญชาการอัศวิน!!」

 

「ครับท่าน!」

 

「ตัดมันซะ!」

 

「ครับ!」

 

แสงสามจุดปรากฏขึ้นจากไหนไม่รู้ภายในความมืด ต้นตอนั้นมาจากกัปตันแห่งภาคีอัศวินที่ 1 และยังเป็นผู้บัญชาการอัศวินอีกด้วย

 

สีของดาบที่เขาชักออกมานั้นเป็นสีทอง

 

ใบดาบสะท้อนแสงราวกับเกล็ด

 

「นั่นคือ【ทักษะดาบศักดิ์สิทธิ์】นี้!!」

 

ใครบางคนตะโกนออกมาอย่างตื่นเต้น

 

ด้วยพลัง 6 ดาว มันถือว่าเป็นพลังทางการทหารที่สูงที่สุดในประเทศนี้แล้ว

 

แสงได้สะท้อนกล้ามเนื้อของนักรบ แม้ตัวผู้บัญชาการอัศวินจะไม่ได้ไปอยู่แนวหน้าในสนามรบ และบางครั้งก็ถูกเรียกว่า “ตำแหน่งอันทรงเกียรติ” เพราะไม่อาจเสี่ยงสูญเสียหินสกิล【ทักษะดาบศักดิ์สิทธิ์】ไปก็จริง ทว่าผู้บัญชาการอัศวินก็ไม่ได้อ่อนแอแต่อย่างใดเลย

 

คนที่ฝึกฝนแบบทหารและได้รับการยอมรับจากอดีตผู้บัญชาการอัศวินกับราชันศักดิ์สิทธิ์นั้นจะได้การเป็นผู้สืบทอด

 

เกราะเหล็กที่สวมอยู่และผ้าคลุมที่ปลิวไสวตามลม ผู้บัญชาการอัศวินได้ตวัดดาบแสงลง

 

「อา–」

 

ในจังหวะนั้น แสงแสบตาก็ได้ตัดผ่านความมืด อีวาล้มลงจากคลื่นกระแทกไปข้างหลัง เธอได้ยินเสียงใครบางคนกรีดร้องออกมาด้วย

 

เมื่อแรงกระแทกเบาลง—มันก็ใช้เวลาเล็กน้อยก่อนที่สายตาของเธอจะกลับมาเป็นปกติ

 

ความมืดยังคงอยู่ตรงนั้น

 

และ–

 

ผู้บัญชาการอัศวินที่ถูกเสียบโดยดาบ

 

ดาบนั้นเป็นดาบล้ำค่า

 

(ว่าแล้วเชียว นั่นก็คือ…)

 

อีวาไม่อาจปฏิเสธได้อีกต่อไปแล้ว ว่าความมืดรูปร่างคนที่อยู่ตรงนั้น ก็คือหลุยส์

 

ผู้บัญชาการอัศวินล้มลงที่ตรงนั้นแล้วไม่ไหวติงใดๆ

 

 

 

บทที่ 2 ตอนที่ 37

 

ห้องสำหรับเตรียมพร้อมของคนคุ้มกันที่อยู่ในเขตศักดิ์สิทธิ์ที่ 1 นั้นเต็มไปด้วยคนคุ้มกันมากมาย คนคุ้มกันกว่าร้อยคนกำลังเฝ้ารออยู่ในโถงขนาดใหญ่ที่เกือบจะเป็นโถงงานเลี้ยงนอกบ้านสุดตระการตาอยู่แล้ว

 

เหยือกน้ำผลไม้และน้ำเปล่ามากมายถูกเตรียมเอาไว้บนโต๊ะให้ดื่มกันเอง มีคนคุ้มกันจำนวนนึงเอาเก้าอี้ที่แต่เดิมแล้วอยู่ตรงกำแพงมานั่งล้อมวงกันหลังจากที่ทำการเฝ้ารอไปซักพัก

 

พวกเรามาอยู่ที่นี่ได้ 1 ชั่วโมงแล้ว แม็กซิมซังกับเพื่อนของเขาไปรวมตัวกันเพื่อพักผ่อน ส่วนผมนั้นฆ่าเวลาโดยการตรวจสอบพวกคนคุ้มกันคนอื่นๆเอา

 

คนคุ้มกันนั้นไม่มีชุดเครื่องแบบเหมือนกับภาคีอัศวินหรอก และถ้าเป็นอัศวินของตระกูลใดๆเหมือนกับกัปตันแม็กซิมกับเพื่อนๆของเขาละก็ จะสามารถเห็นพวกเขาสวมชุดเกราะแบบเดียวกันด้วยเช่นกัน ทว่า มันมีบางคนที่ทำให้ผมสงสัยว่าคนพวกนั้นเป็นคนคุ้มกันจริงๆหรือเปล่าอยู่ด้วย – คือพวกเขาไว้ผมทรงโมฮ๊อกแดงแปร๊ดเลยหน่ะสิ

 

「เครื่องดื่มที่นี่มันอร่อยชะมัด เฮี้ยฮ่า…」

 

ผมเกือบจะผ่นน้ำออกมาในตอนที่ได้ยินใครสักคนพูดแบบนั้นเลย ไอ้ “เฮี้ยฮ่า” นี้มันอะไร คำพูดติดปากหรอ? หรือว่าสำเนียง? หรือว่าคำหยาบงั้นหรอ?

 

「คุณคนคุ้มกันตระกูลซิวลิซส์–」

 

「เฮี้ยฮ่า!?」

 

อยู่ๆก็มีมือมาจับไหล่ของผมจนเผลอหลุด “เฮี้ยฮ่า” ออกไปเลย มันทำให้ผมผ่นน้ำออกมาเล็กน้อยด้วย ดังนั้นผมก็เลยรีบเอาผ้าเช็ดมือออกมาจากกระเป๋าแล้วเช็ดมันทันทีเลย

 

「“เฮี้ยฮ่า”…?」

 

「มะ-มะ-ไม่มีอะไรครับ มีอะไรให้ช่วยหรอครับ?」

 

มองกลับไปก็เห็นคนคุ้มกันของคุณชายอีธาน—คนคุ้มกันเผ่าฮาร์ฟลิงคนนั้น

 

เธอสวมใส่ชุดเกราะแบบเดิมกับที่ใส่ในงานเลี้ยงครั้งนั้น และยังสวมชุดคลุมที่มีตราสัญลักษณ์ของตระกูลเอเบนอยู่ที่หลังด้วย

 

เหล่า 6 ดยุคผู่ยิ่งใหญ่นั้นจะสวมอุปกรณ์ราคาแพงที่แตกต่างจากตระกูลขุนนางอื่นๆ ดังนั้นมันจึงสามารถสังเกตได้ง่ายเลย เอาจริงๆนะ เธอดูดีมากเลยละ

 

(เห็นฮาร์ฟลิงหญิงคนนี้แล้วก็นึกถึงมิมิโนะซังเลย…)

 

「ชั้นมีชื่อว่าเลเลนอร์ คนคุ้มกันของตระกูลเอเบน ช่วยบอกชื่อของนายได้ไหม?」

 

「อา–ครับ ผมชื่อเรย์จิ ก็อย่างที่คุณทราบ ผมเป็นคนคุ้มกันของตระกูลซิวลิซส์ครับ」

 

「หืมม งั้นหรอ งั้นนายก็คือเรย์จิคุงสินะ」

 

หืมม? นอกจากนี้ ไม่ใช่ว่าคนๆนี้โบกมือให้กับผมในงานประชุมคนคุ้มกันด้วยไม่ใช่หรอ?

 

เราเคยเจอกันมาก่อนงั้นหรอ… ไม่อะ ไม่มีทาง ถ้าเธอเป็นฮาร์ฟลิงละก็ ผมก็นึกออกแค่มิมิโนะซังเท่านั้น ตั้งแต่แรกแล้วผมไม่มีทางลืมอะไรได้เด็ดขาดตั้งแต่ที่ผมมี【World Ruler】แล้วด้วย

 

「คุณรู้จักผมยังงั้นหรอครับ?」

 

「อืม จริงๆแล้ว…」

 

เมื่อเธอพูดออกมาแบบนั้น – ทั่วทั้งห้องก็ตกอยู่ในความมืดมิดราวกับไฟดับ ทุกคนต่างมองขึ้นไปบนเพดาน ทว่าด้วยที่มันยังเป็นตอนเช้าอยู่ ดังนั้นตระเกียงเวทมนตร์ก็เลยยังไม่ได้ใช้งาน พึ่งแค่แสงจากดวงอาทิตย์ด้านนอกเท่านั้น

 

มันได้กลับมาสว่างอีกครั้งในไม่ช้า แต่พูดอีกอย่างก็คือ ท้องฟ้านั้นได้มืดดับไปชั่วแวบนึง

 

「เมื่อกี้มันอะไรกัน? …เรย์จิคุง เป็นอะไรไปหน่ะ?」

 

「…ผมรู้ไม่ดี」

 

ความมืดนั้นผิดธรรมชาติเกินไป ในวันนี้ดวงอาทิตย์นั้นส่องสว่างเต็มที่ ดังนั้นมันจึงไม่มีทางที่เมฆขนาดใหญ๋จะบดบังดวงอาทิตย์ได้เลย

 

ความรู้สึกไม่ดีเริ่มถาโถม

 

จะว่าไปแล้ว เอิร์ลชายแดนเองก็พูดว่าวันนี้จะนองเลือดกันด้วย

 

สัญชาตญาณดิบมักจะถูกต้องเสมอ ยิ่งเป็นเรื่องที่เกี่ยวพันกับชีวิตด้วย

 

เมื่อผมเข้าไปใกล้หน้าต่าง มีคนคุ้มกันหลายคนที่มองออกมานอกหน้าต่างเช่นกัน หนึ่งในนั้นก็คือกัปตันอาเธอร์

 

「กัปตันอาเธอร์ครับ เมื่อกี้มันเกิดอะไรขึ้นกันครับ?」

 

「………」

 

อาเธอร์ยังคงนึ่งเงียบมองออกไปที่ด้านนอกแม้ผมจะเรียกเขา สายตาของเขาตรงไปยังพระราชวังศักดิ์สิทธิ์

 

「คุณพอจะรู้อะไรมั้งไหมครับ?」ผมถามอีกครั้ง

 

「ไม่… ไม่มีทาง…」

 

「กัปตันอาเธอร์ครับ!」

 

อาเธอร์ที่ได้สติกลับมาจากเสียงของผมก็รู้ตัวสักทีว่าผมกำลังคุยกับเขาอยู่

 

「นะ-นายคนทำความสะอาดคนนั้น…」

 

「มีอะไรเกิดขึ้นที่พระราชวังศักดิ์สิทธิ์ยังงั้นหรอครับ?」

 

「เกิดอะไรขึ้น?」เลเลนอร์ซังถามขึ้นจากด้านหลัง ทว่าอาเธอร์ก็ทำเพียงแค่เอามือปิดปากของเขาและไม่ยอมพูดอะไรเลย

 

วันนี้ก็น่าจะมีแค่งานพิธีมอบหินสกิลเท่านั้นนี้ ถึงจะเป็นงานพิธีกรรม แต่มันก็เป็นสิ่งที่พวกเขาทำกันทุกปี ดังนั้นถ้ามันจะมีอะไรพิเศษเกิดขึ้น ท่านเอิร์ลก็น่าจะบอกผมเอาไว้ล่วงหน้านี่นา

 

(อะไรที่มันพิเศษกัน?)

 

…เดี๋ยวก่อนนะ มีนี้ บางอย่างที่พิเศษออกไป

 

หินสกิลที่จะถูกมอบให้กับเจ้าชายคลูฟชราท ดูเหมือนมีความเป็นไปได้ที่จะเป็น 7 ดาวหรือสูงกว่า

 

หินสกิลพิเศษ

 

ผมรู้ถึงพลังอำนาจของหินสกิล 6 ดาวดี—พลังที่ลาร์คใช้ในเหมืองที่ 6 นั่น พลังที่สามารถสบั้นคอของมังกร – ที่ถึงแม้มันจะใกล้ตายแล้ว – ได้ในฉับเดียว

 

แล้วถ้ามันเป็น 7 ดาวหรือมากกว่าละ?

 

「กัปตันอาเธอร์… หรือว่าจะเป็นหินสกิลที่จะมอบให้เจ้าชายคลูฟชราทงั้นหรอครับ?」

 

「!?」เอเธอร์ตกตะลึงอย่างมาก

 

「นะ-นาย ทำไมนายถึงรู้เรื่องนั้น…」

 

「อะไรหน่ะ? สกิลอะไรที่จะมอบให้เจ้าชายคลูฟชราทงั้นหรอ?」เลเลนอร์ถามขึ้น

 

「…ไม่ ถ้าเจ้าชายคลูฟชราทเป็นคนรับมันละก็ มันก็น่าจะไม่มีปัญหาอะไร มันสำควรจะเป็นอย่างนั้น…」

 

「ดะ-เดี๋ยวก่อนนะครับ จะเกิดอะไรขึ้นถ้าเจ้าชายคลูฟชราทรับหินสกิลพิเศษนั่นกันครับ? ความมืดที่เกิดขึ้นเมื่อกี้งั้นหรอครับ?」ผมถามออกไป

 

「ข้าก็ไม่รู้…」

 

จากนั้นก็เกิดแรงสั่นไหวขึ้น

 

อย่างที่คาดเอาไว้ เหล่าคนคุ้มกันเองก็รู้สึกถึงความไม่ชอบมาพากลและเริ่มซุบซิบกัน

 

「กัปตันอาเธอร์ คุณไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นใช่ไหมครับ?」

 

「ชะ-ใช่…」

 

「งั้น มันก็มีความเป็นไปได้ที่จะมีบางอย่างที่ไม่คาดคิดกำลังเกิดขึ้นอยู่ในตอนนี้ ใช่ไหมละครับ?」

 

「มันก็…」เอเธอร์ละสายตาไป ทว่าจากนั้นเขาก็「…เป็นไปได้」พูดแบบนั้น

 

จากนั้นเขาก็หันไปทางเหล่าคนคุ้มกันคนอื่นๆ

 

「ทุกคนฟัง! ข้ามีนามว่าอาเธอร์ กัปตันที่สองแห่งภาคีอัศวินศักดิ์สิทธิ์!」

 

เสียงต่างๆภายในโถงนั้นเงียบลง

 

「ข้ายังไม่สามารถอธิบายรายละเอียดให้ได้ในตอนนี้ แต่ว่ามันอาจจะมีปัญหาบางอย่างขึ้นในพิธีมอบหินสกิลในวันนี้ บางอย่างที่ฝ่าบาทกับเจ้าชายคลูฟชราทจะต้องกระทำ ทว่าแผนอาจผิดพลาดได้ โปรดเตรียมพร้อมที่จะเคลื่อนไหวในเร็วๆนี้ด้วย!」

 

…เดี๋ยว เดี๋ยวก่อนนะ!

 

「กัปตันอาเธอร์ ที่ว่า “ต้องกระทำ” นั้นมันหมายความว่ายังไงหรอครับ?」

 

「ไม่… ข้าเผลอหลุดปากไป ลืมๆมันไปซะเถอะ」

 

「คุณรู้ว่าจะมีอะไรอันตรายอะไรจะเกิดขึ้นงั้นหรอครับ?」

 

เหล่าคนคุ้มกันต่างเริ่มส่งเสียงเซ็งแซ่ออกมาอีกครั้งหลังจากได้ยินที่ผมพูด

 

「ไม่หรอก มันไม่ควรจะไปถึงขั้นนั้น」

 

「ความมืดเมื่อกี้ แรงสั่นสะเทือนเมื่อกี้… เห็นชัดๆเลยว่ามันมีบางอย่างเกิดขึ้นนะครับ!」

 

จังหวะที่ผมพูดแบบนั้น ก็เกิดเสียงดังสนั่นหวั่นไหวขึ้น ผมได้ยินเสียงของบางอย่างถูกทำลายจากระยะไกล

 

(มันมาจากพระราชวังศักดิ์สิทธิ์)

 

แทบจะในทันที ผมก็วิ่งออกไป

 

「อา เดี๋ยว คนทำความสะอาด!」

 

ไม่มีเหตุผลให้ต้องหยุด ผมกระโดดออกทางหน้าต่าง คิดถึงทางที่สั้นที่สุดที่ไปยังพระราชวังศักดิ์สิทธิ์

 

「ทางนี้!」เลเลนอร์ที่กระโดดออกมาหลังจากผมกวักมือเรียก

 

「เลเลนอร์ซัง!?」

 

พวกเราสองคนเริ่มออกวิ่ง

 

หลังจากที่ออกมาจากอาคารไม่นาน พวกเราก็มาถึงกำแพงที่แยกระหว่างพระราชวังศักดิ์สิทธิ์กับเขตศักดิ์สิทธิํที่ 1

 

「ดูนั่นสิ!」

 

ความมืดครื่งวงกลมปรากฏขึ้นจากพื้นของพระราชวังศักดิ์สิทธิ์

 

มันยากที่จะวัดระยะของมัน ทว่าขนาดนั้นน่าจะพอๆกับห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ๋เลย ความสูงเองก็สูงถึง 50 เมตร

 

ไม่มีเหตุผลที่จะสรุปว่ามันไม่ใช่ “เหตุการณ์ไม่ปกติ” อีกต่อไปแล้ว

 

 

 

บทที่ 2 ตอนที่ 36

 

* อีธาน เอเบน *

 

「ใครกันหน่ะ?」

 

「นั่นท่านหลุยส์จากตระกูลดยุคโรซีเออร์ไม่ใช่หรอ?」

 

「นี้มันหมายความว่ายังไงกัน?」

 

「อย่างกับว่า–」

 

ขุนนางหลายคนเริ่มซุบซิบกัน ท่าทีของหลุยส์นั้นไม่ได้อยู่ในสิ่งที่คาดไว้ และจากมุมมองของพวกเขานั้น การกระทำของหลุยส์ตอนนี้มันก็เหมือนกับ–

 

—การวิพากษ์วิจารณ์ฝ่าบาทราชันศักดิ์สิทธิ์นั่นเอง

 

การแสดงความไม่เห็นด้วยต่อราชันศักด์สิทธิ์แห่งราชอาณาจักรครูวานศักดิ์สิทธิ์อย่างเปิดเผยนั้นเป็นเรื่องที่ยอมรับไม่ได้ แน่นอน มันไม่ได้หมายความว่าทางประเทศยอมให้ตัวราชันศักดิ์สิทธิ์เป็นผู้ปกครองเบ็ดเสร็จอะไรแบบนั้น แต่เป็นการใช้ตัวราชันศักดิ์สิทธิ์เป็นเครื่องหมายของประเทศที่มีหลากหลายเผ่าพันธ์ุอาศัยอยู่ร่วมกันภายใต้การปกครองแบบ “ราชันศักดิ์สิทธิ์ถือเป็นที่สุด” ต่างหาก

 

ถึงอย่างงั้น ถ้าตัวราชันศักดิ์สิทธิ์ทำผิดพลาดละก็ เขาจะได้รับคำแนะนำจาก 6 ดยุคผู้ยิ่งใหญ่ หรือแจ้งให้ทราบลับหลังสายตาสาธารณชนเอา และราชันศักดิ์สิทธิ์จะต้องมีสติมากพอที่จะรับฟังคำแนะนำพวกนั้นด้วย

 

ทั้งๆอย่างงั้น มันเป็นเรื่องที่ประหลาดมากกับการขัดวิธีของราชันศักดิ์สิทธิ์ในสายตาสาธารณชนแบบนี้ – ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นกลางงานพิธีสุดพิเศษของ “ราชอาณาจักรศักดิ์สิทธิ์” ด้วย

 

เหล่านักบวชพยายามที่จะนำองค์ประกอบอันไม่คาดคิดที่อาจส่งผลต่องานพิธีครั้งนี้ออกไป

 

「เหล่านักบวช รอก่อน!」

 

ไม่ใช่ใครที่ไหนนอกจากตัวราชันศักดิ์สิทธิ์เองที่หยุดพวกเขาเอาไว้

 

「…เจ้าคือบุตรชายจากตระกูลโรซีเออร์ใช่ไหม?」

 

「ครับ แต่มันไม่สำคัญหรอกครับว่าผมจะมาจากตระกูลไหน! เพื่อที่จะสร้างความเท่าเทียม–」

 

「ไม่ เรื่องที่เจ้ามาจากตระกูลโรซีเออร์นั้นสำคัญที่สุด」

 

「ด้วบความเคารพขอรับ ฝ่าบาท!」

 

「เงียบ!」

 

ผู้นำตระกูลโรซีเออร์ส่งเสียงของเขาออกมาจากบริเวณผู้ชม ทว่าราชันศักดิ์สิทธิ์ก็ได้ขัดเขาเอาไว้

 

「ละ-หลุยส์! นายทำอะไรของนายกัน!? นายพยายามจะทำลายพิธีหรือไง!?」

 

เด็กๆใกล้ๆกับหลุยส์เริ่มส่งเสียงเอะอะกัน

 

อีธานที่เป็น 6 ดยุคผู้ยิ่งใหญ๋เหมือนกันได้จับไปที่แขนของหลุยส์ ทว่าหลุยส์ที่มีร่างกายที่แข็งแรงกว่าอีธานนั้นได้สลัดหลุดออกมา

 

「อย่ามาแตะข้า!」

 

「หลุยส์…?」

 

อีธานตกตะลึงกับการปฏิเสธเสียงแข็งนั้น สายตาของหลุยส์เต็มเป็นด้วยความโกรธเกี้ยว

 

「ท่านอีวา!」มิร่ากรีดร้องออกมา

 

เมื่ออีธานหันไปทางมิร่า เขาก็เห็นอีวา – ที่ดูจะหมดสติไป – ในอ้อมแขนของมิร่า

 

(แปลก… นี้มันจะแปลกเกินไปแล้ว!)

 

ในวันนี้อีธานนั้นยังไม่ได้พูดคุยกับอีวาเลย แต่เขาเห็นเธออยู่หลายครั้งแล้วก่อนที่พวกเขาจะมาที่นี่ อีวาก็ดูจะปกติดีในตอนนั้น

 

(เธอมานาหมดงั้นหรอ? และอุปกรณ์เวทมนตร์ที่มือซ้ายนั่น…?)

 

 

อีวาพยายามที่จะพูดบางอย่างออกมา ทว่ามันเบาเกินกว่าที่มิร่าจะได้ยิน

 

「หลุยส์ โรซีเออร์ งั้นเจ้าก็มาเป็นคนรับหินสกิล 8 ดาวแทนสิ? ถ้าเจ้ามีความมุ่งมั้นและคุณสมบัติมากพอละก็นะ!」

 

เรื่องที่น่าเหลือเชื่อได้หลุดออกมาจากปากของราชันศักดิ์สิทธิ์ และเหล่าขุนนางต่างก็เริ่มส่งเสียงฮือฮากันมากกว่าเดิม

 

「ฝ่าบาทขอรับ! ได้โปรดหยุดเถอะขอรับ! หลุยส์ พอได้แล้ว! นี้เป็นคำสั่ง!」ผู้นำตระกูลโรซีเออร์ตระโกนออกมาด้วยน้ำเสียงเศร้าสลด

 

「เออ, ฝ่าบาทขอรับ, มันจะไปกันใหญ่แล้วนะขอรับ」เอลมาที่ด้านข้างของราชันศักดิ์สิทธิ์

 

(เกิดอะไรขึ้น? หินสกิล 8 ดาวนั่นมันมีอะไรงั้นหรอ?)

 

อีธานพบพ่อของเขาอยู่ตรงที่นั่งของขุนนาง ทว่าเขาเอาแต่เงียบด้วยเคร่งเครียด ดูเหมือนพ่อของเขาจะไม่รู้อะไรเหมือนกัน นอกจาก—ไม่สิ ถ้าจะให้เจาะจงละก็ คงมีเพียงผู้นำตระกูลโรซีเออร์เท่านั้นที่รู้อะไรบางอย่าง

 

「ข้าจริงจัง เอล ตระกูลโรซีเออร์เป็นถึงตระกูลดยุค แถมยังเป็นตระกูลทายาทของราชวงศ์ศักดิ์สิทธิ์ด้วย」

 

「เออ, ฝ่าบาทขอรับ, แต่สิ่งที่ส่งต่อกันมาตั้งแต่โบราณกาลคือ “จงมอบหินสกิล 8 ดาวแก่ผู้ที่ถือครอง《สีแห่งราชันศักดิ์สิทธิ์》กับ《บริสุทธิ์》” นะชอรับ」

 

「ถ้าเจ้ามองที่สายเลือด ตระกูลดยุคเองก็เป็นทายาทของราชวงศ์ศักดิ์สิทธิ์เหมือนกัน」

 

「เออ, นั่นเป็นเรื่องที่ซับซ้อนนะขอรับ」

 

「เงียบ! นี้ไม่ใช่สิ่งที่ข้าพูด เป็นตระกูลโรซีเออร์ต่างหากที่พูด!」

 

「มะ-ไม่ใช่นะขอรับ! หลุยส์แค่เข้าใจผิดไป– หลุยส์! ขอโทษเดี๋ยวนี้!」

 

「—กระผมยอมรับ ถ้ากระผมสามารถควบคุมหินสกิล 8 ดาวนี้ได้ละก็ มันจะเป็นก้าวแรกสู่การเปลี่ยนแปลง」

 

「หลุยส์ส์ส์ส์ส์ส์!」

 

หลุยส์มองตรงไปที่ราชันศักดิ์สิทธิ์ โดยที่ไม่ได้สนใจเสียงกรีดร้องของพ่อของเขาเลย

 

(มันไม่ปกติแล้ว หลุยส์ทำตัวแปลกไป ฝ่าบาทเองก็แปลกไปเหมือนกัน นี้มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?)

 

อีธานสังเกตเห็นดวงตาของราชันศักดิ์สิทธิ์ที่ไม่ได้สง่างามเหมือนกับทุกๆที—แต่เป็นดวงตาของคนที่กำลังจนมุนแล้วพบกับแสงแห่งความหวังอันเลือนลาง

 

คนเพียงคนเดียวที่ไม่เข้าใจสถานการณ์ในตอนนี้เลยก็คือคลูฟชราท เขาทำเพียงแค่ยืนอย่างเหมอลอยเท่านั้น แต่มันกลับดูเป็นคนปกติที่สุดซะอย่างนั้น

 

「ไปนำหินสกิลมา เอล!!」

 

「ฝ่าบาทขอรับ…」

 

「เอล!!」

 

กระต่ายนักบวชชั้นสูงเงียบไปสักพัก「…จัดเตรียมหินสกิล」เขากล่าวแบบนั้นกับนักบวชอย่างคิ้วขมวด และเขาก็ลงมาจากบันไดหินเพื่อที่จะนำมันไปด้วยตัวเอง

 

「โอ้ หลุยส์… เจ้าลูกโง่…」

 

ผู้นำตระกูลโรซีเออร์ทรุดลงไปกับพื้น เอามือทั้งสองข้างปิดหน้า

 

「นี้มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่เนี้ย?」

 

「ไม่ใช่ว่าในอดีต หินสกิล 8 ดาวต้องเป็นของราชวงศ์ไม่ใช่หรอ?」

 

ขุนนางต่างเริ่มซุบซิบกัน ในทางกลับกันนั้น ตัวหลุยส์ผู้ที่สร้างปัญหาขึ้นกลับยืนอย่างภาคภูมิใจ

 

เอลกลับมาในเวลาไม่นาน พร้อมกับพานที่ห่อหุ้มด้วยผ้าสีเหลืองศักดิ์สิทธิ์

 

「อะไร–」อีธานพูดอะไรไม่ออก

 

หินสกิลนั้นใหญ่มากกว่าสองเท่าของหินสกิลที่อีธานเคยพบมา

 

ตามปกติ หินสกิลจะมีขนาดประมาณลูกปิงปองเท่านั้น ทว่าที่เอลนำมานั้นใหญ่ประมาณลูกบาสเลย

 

ยิ่งไปกว่านั้น สีของมัน — ไม่ต้องสงสัยเลยว่ามันเป็น “ประเภทยูนีค” เพราะมันมีสีรุ้ง อย่างไรก็ตาม มันมีจุดสีดำอยู่ตรงกลาง และเปล่งแสงสลับไปมาระหว่างสีแดง, สีฟ้า, และสีเหลืองอย่างรวดเร็ว

 

(…ไม่เคยเห็นหินสกิลที่น่าสะพรึงกลัวขนาดนี้มาก่อนเลย)

 

อีธานตัวสั่น และไม่ใช่แค่เขาคนเดียว เหล่าเด็กๆขุนนางใกล้ๆเองก็หน้าซีดราวกับกระดาษเช่นกัน

 

หินสกิลนั้นอยู่ไกลเกินกว่าที่จะเห็นชื่อ

 

「หลุยส์ โรซีเออร์ มาตรงนี้」

 

「ครับ!」

 

หลุยส์เริ่มเดินออกไปด้วยสีหน้าสงบนิ่ง

 

「หลุยส์!」

 

「ปล่อย」

 

อีธานจับไปที่แขนของเขาอีกครั้ง ทว่าอีธานก็สบัดแขนออก ไม่ใช่แค่นั้น หลุยส์ไม่แม้แต่จะหันมามองอีธานเลยด้วยซ้ำ—ราวกับว่าอีธานนั้นไม่มีความสำคัญใดๆเลย

 

(พวกเราเป็นเพื่อนกันไม่ใช่หรอ?)

 

ระยะห่างระหว่างพวกเขาในขณะที่หลุยส์กำลังเดินจากไปนั้นราวกับแสดงถึงระยะห่างของสายสัมพันธ์ของพวกเขา

 

หลุยส์เดินออกมาจากกลุ่มแล้วเข้าไปหาราชันศักดิ์สิทธิ์ เขาได้เดินขึ้นมาบนบันได และไม่มีใครสามารถหยุดเขาได้อีกแล้ว

 

「…เจ้าจะบอกว่าเจ้ามีความมุ่งมั้นและคุณสมบัติสินะ?」

 

อีกแล้ว อีธานคิด ราชันศักดิ์สิทธิ์ใช้คำว่า “คุณสมบัติ” อีกแล้ว มันไม่จำเป็นจะต้องมีคุณสมบัตินี้ เพราะการใช้หินสกิลเป็นการบังคับเรียนรู้สกิลอยู่แล้ว แน่นอนว่ามันไม่สมเหตุสมผลที่จะมอบสกิลเวทมนตร์ให้กับคนที่มีมานาน้อย—แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาจะเรียนสกิลไม่ได้นี่นา

 

「ครับ」หลุยส์ตอบกลับโดยไม่ลังเล

 

「งั้น ข้าก็จะขอมอบหินสกิล【???★★★★★★★★】นี้ให้แก่เจ้า」

 

ถึงอีธานจะได้ยินชื่อของหินสกิล แต่มันกลับไม่อยู่ในความทรงจำของเขา เหลือเพียงแค่ชื่อของมันฟังดูเป็นลางร้ายและน่าอึดอัดเท่านั้น ทุกๆคนที่อยู่ที่นี่ต่างก็มีประสบการณ์แบบเดียวกัน

 

หลุยส์เอื้อมมือไปหยิบหินสกิลนั้นขึ้น เขายกมันขึ้นไปบนฟ้า—เพื่อนำมันเข้าไปในร่างของเขา

 

และจากนั้น โลกก็ตกอยู่ในความมืดมิด

 

 

 

บทที่ 2 ตอนที่ 35

 

* อีวา ซิวลิซส์ *

 

หลังจากเดินตามทางเดินเล็กๆผ่านป่าไป พวกเขาก็ได้มาถึงวิหารขนาดใหญ่ที่ไม่มีหลังคา

 

อีวาและเด็กคนอื่นๆนั้นถูกนำทางมาโดยนักบวชกระต่าย เบื้องหน้าของพวกเขานั้นมีบันไดสูง 5 ฟุต เสาร์หินเรียงรายห่างกัน 20 เมตรอยู่เบื้องหลังบันไดนั้น เสาร์หินเหล่านี้ไม่ได้ค้ำจุนหลังคาใดๆ มีเพียงแค่ท้องฟ้ากว้างเท่านั้น

 

พื้นที่อีวาเดินผ่านเปลี่ยนจากพื้นดินเป็นพื้นหิน มันเป็นทางเดินหินที่ทำมาจากการตัดหินขนาดใหญ่ ที่ระหว่างเสาร์แต่ละต้นมีรูปปั้นของราชันศักดิ์สิทธิ์อยู่ โดยเริ่มตั้งแต่ราชันศักดิ์สิทธิ์องศ์แรกเลย

 

มีเหล่าขุนนางมากมายจนยากที่จะหาเอิร์ลซิวลิซส์พบ ทว่าอีวานั้นรู้สึกว่าเขาน่าจะอยู่ตรงนั้น ตรงไหนสักที่

 

อย่างกับไม่ใช่ความจริงเลย อีวาคิดแบบนั้น พื้นหินเรียบนั้นสะท้อนสีฟ้าของท้องฟ้า เธอรู้สึกราวกับกำลังก้าวเดินอยู่บนท้องฟ้า

 

มีบันไดอีกอันอยู่ข้างหน้า และป้ายสุดของบันไดนั้น มีเก้าอี้ที่ราชันศักดิ์สิทธิ์กำลังนั่งอยู่

 

และเมื่อเธอมองขึ้นไปด้านบนสุด เธอก็ได้เห็นแท่นบูชาสีเทา

 

(นั่นมันแท่นบูชาที่ 1!)

 

มันดูราวกับแท่นหินธรรมดาๆ อย่างไรก็ตาม ที่รอบๆมันนั้นได้มีแท่งที่มีอัญมณีที่ดูจะมีเวทมนตร์ประดับอยู่ถูกติดตั้งเอาไว้ที่พื้น และมีมานาสีฟ้าที่ราวกับหมอกปกคลุมรอบๆแท่นบูชาด้วย บางครั้งก็จะสามารถเห็นแสงเล็กๆส่องสว่างจากแท่นด้วย มันเป็นแสงเดียวกับที่ให้กำเนิดหินสกิล ทว่าอีวาไม่สามารถมองเห็นมันได้จากด้านล่างนี้

 

「เออ, ทุกท่าน, โปรดหยุดอยู่ตรงนี้ขอรับ」

 

อีวาและคนอื่นๆหยุดเดินตามที่เอลบอก

 

เหล่าเด็กๆต่างรู้สึกกดดันจากการถูกเฝ้ามองโดยราชันศักดิ์สิทธิ์ที่ด้านบน และรวมถึงสายตาของเหล่าขุนนางด้วย

 

เอลและนักบวชคนอื่นๆโค้งคำนับแล้วจากไป

 

「-ตั้งแต่โบราณกาล มันเป็นที่แน่ชัดแล้วว่าเมื่อพระเจ้าจะประทานหินสกิลให้แก่ผู้ที่ได้กลายเป็นผู้ใหญ่ วันนั้นจะเป็น “วันที่ปลอดโปล่ง”」

 

ราชันศักดิ์สิทธิ์ยื่นขึ้นจากเก้าอี้ เขาสวมชุดคลุมสีฟ้าเหมือนกับเอลและถือคทาสีทองที่สูงเท่ากับตัวเขา

 

「ตามแต่โบราณกาล ข้าขอมอบพรแห่งพระเจ้าให้」และราชันศักดิ์สิทธิ์ก็ได้ตวัดไม้เท้าของเขา「ก่อนอื่น ต้องทำให้แน่ใจว่าพวกเจ้าเป็น “ผู้บริสุทธิ์” ผู้ซึ่งสามารถรับหินสกิลได้ก่อน」

 

อีวาสังเกตเห็นพื้นตรงเท้าเริ่มเปล่งแสง「เอ๊ะ, เอ๊ะ, นี้มันอะไรกัน!?」

 

พื้นตรงบริเวณที่เด็กสาวมนุษย์สัตว์ยืนอยู่นั้นเป็นสีแดงราวกับสีของเลือด ในขณะที่เธอคนนั้นร้องออกมาเล็กน้อย เหล่านักบวชก็ได้เข้ามาพาตัวเด็กคนนั้นออกไป

 

「มะ-ไม่นะ! นี้มันอะไรกัน!?」

 

「ฝะ-ฝ่าบาทครับ! ลูกสาวของกระผมป่วยหนักตั้งแต่เกิด และในตอนนั้นเธอแค่ได้รับสกิล [เสริมภูมิคุ้มกัน] เพียงชั่วคราวเท่านั้นครับ! มันถูกนำออกทันทีที่เธอหายดีแล้วครับ!」

 

เป็นพ่อของเด็กคนนั้นที่พูดขึ้น ทั้งเขาและภรรยาต่างก็มีสีหน้าซีดเซียว

 

「เงียบ」

 

เมื่อราชันศักดิ์สิทธิ์บอกให้เขาเงียบ เหล่านักบวชก็เข้ามาพาตัวพวกเขาออกไปจากวิหารด้วยเช่นกัน

 

อีวาไม่เคยรู้เลยว่ามันจะมีการตรวจสอบอย่างเข้มงวดขนาดนี้ ที่เธอจำได้นั้นมีเพียงแค่เรื่องที่พ่อของเธอพูดว่า “หินสกิลนั้นจะถูกมอบให้หลังจากจบพิธีแล้วเท่านั้น มันถูกกำหนดไว้แล้ว”

 

รอยเท้าของเด็กสาวมนุษย์สัตว์ที่เหลือทิ้งไว้นั้นราวกับว่ามันเป็นรอยเท้าเปื้อนเลือด มันให้ความรู้สึกอันน่าขนลุกแก่เด็กคนอื่นๆ

 

「…สกิลจะถูกมอบให้กับผู้คนเพียงครั้งเดียวเท่านั้น อย่าลืมเรื่องนี้เด็ดขาด」

 

คำพูดของราชันศักดิ์สิทธิ์ที่เอ่ยออกมาจากเบื้องลึกของหัวใจของเขา เหล่าเด็กๆที่กำลังหน้าซีดต่างพยักหน้าตอบรับ

 

(มันแปลกนะ…)

 

สำหรับตัวอีวานั้น มันทำได้เพียงแค่สร้าง “คำถาม” ขึ้นมาเท่านั้น

 

มันให้ผู้คนได้เพียงครั้งเดียวงั้นหรอ? งั้นทำไมภาคีอัศวินถึงสืบทอดสกิลหายากอย่าง [ทักษะดาบศักดิ์สิทธิ์] รุ่นสู่รุ่นได้ละ? ทำไมจาก 5 ใน 6 ดยุคผู้ยิ่งใหญ่ถึงเก็บหินสกิลเป็นมรดกตกทอดได้ละ?

 

(มันก็คงไม่ใช่อะไรไปมากกว่าภาพลักษณ์ทางสังคมหรอก แต่ว่า… มันรู้สึกเหมือนกับฝ่าบาทพูดความคิดจริงๆของเขาเลย)

 

ที่ราชันศักดิ์สิทธิ์กล่าวเมื่อสักครู่ “ผู้บริสุทธิ์” นั้น– มันจะต้องมีวิธีอะไรสักอย่างที่ใช้ยืนยันว่าใครไม่เคยใช้หินสกิลแน่ๆ

 

(ทำไมละ? มีเหตุผลอะไรพิเศษที่ต้องเป็น “ผู้บริสุทธิ์” เท่านั้นงั้นหรอ? แต่ว่าชั้นไม่เคยได้ยินอะไรแบบนั้นเกี่ยวกับพิธีในวันนี้เลยนะ…)

 

เมื่อเธอเหลือบมองไปข้างๆ ตัวมิร่าเองก็กำลังหน้ามุ่ยเช่นกัน บางทีเธอคงจะไม่รู้ว่าเรื่องแบบนี้จะเกิดขึ้น ดูเหมือนเธอเองก็ไม่รู้เหมือนกัน

 

(ท่านพ่อ…)

 

อีวามองหาพ่อของเธอ ทว่าเธอยังคงหาเขาไม่พบ บางทีเขาอาจจะไม่ได้อยู่ที่นี่ก็ได้ เธอคิดแบบนั้น

 

(…เรย์จิ)

 

เพื่อกำจัดความกังวล เธอเอ่ยชื่อของคนคุ้มกันแปลกๆของเธอที่เธอมักจะพึ่งเขาเสมอ – แล้วยื่นมือไปสัมผัสที่กำไลข้อมือของเธอโดยไม่รู้ตัว

 

(–เอ๊ะ?)

 

เธอรู้สึกถึงอัญมณีที่ควรจะอยู่ตรงนั้น มันได้หายไปแล้ว

 

(ทำไมละ…!?)

 

เมื่อมองไปที่มัน อัญมณีทั้ง 5 ได้กลายเป็นสีฟ้า—หมดแล้ว มันเป็นตัวบ่งชี้ว่ามันไม่สามารถดูดซับมานาได้อีกแล้ว

 

หัวใจของเธอเริ่มเต้นเร็วขึ้น เป็นความผิดพลาดที่คิดว่าตัวเองกลับมามีสุขภาพดีขึ้นหลังจากได้นอนพัก กำไลนั้นเสียหายจากการดูดซับเกินลิมิต และมานาในร่างกายของเธอก็พื้นคืนแล้ว

 

「…เป็นอะไรไปหรือ มิสอีวา?」

 

「!」

 

หลุยส์เหลือบมองมาที่ใบหน้าที่เต็มไปด้วยความกังวลของอีวา และสบเข้ากับดวงตาของเธอเต็มๆ ดวงตาพิเศษที่ควบคุมไม่ได้

 

「ทะ-ท่านหลุยส์…」

 

「มิสอีวา ไม่ต้องกังวลอะไรทั้งนั้น」

 

เขาหันหน้ากลับไป และที่ปลายสายตาของเขานั้นก็คือตัวราชันศักดิ์สิทธิ์

 

「อันดับแรก เจ้าชายศักดิ์สิทธิ์คลูฟชราท ข้าจะมอบหินสกิลให้กับเจ้า」

 

「ครับ」

 

คลูฟชราทตอบกลับเสียงดังฟังชัด เสียงของเขานั้นยังไม่แตกหนุ่มดี ไม่เพียงแค่เด็กผู้หญิงเท่านั้น เหล่าเด็กผู้ชายเองต่างก็หน้าแดงขึ้นจากการมองรูปลักษณ์อันน่ารักที่เหมือนกับเด็กผู้หญิงของเขาด้วยเช่นกัน

 

อย่างไรก็ตาม มีเพียงแค่ใบหน้าของราชันศักดิ์สิทธิ์เท่านั้นที่บิดเบี้ยว เหล่าขุนนางต่างเริ่มซุบซิบเมื่อเขาหยุดพูดนานเกินไป

 

「…ครั้งนี้ ที่จะมอบให้กับเจ้าชายศักดิ์สิทธิ์คลูฟชราท… เป็นหินสกิล 8 ดาวที่ปรากฏขึ้นในปีนี้」

 

คำพูดอันน่าตกใจนั้นสร้างเสียงฮือฮาขึ้น และขุนนางบางคนถึงกับหลุดปากว่า “ว่าไงนะ!?” ออกมาเลย

 

หินสกิล 8 ดาวที่ไม่เคยได้ยินมาก่อน เหล่าขุนนางนั้นรู้เรื่องหินสกิลที่มากกว่า 9 ดาวซึ่งผู้คนบนโลกใบนี้ไม่อาจใช้ได้อยู่ ทว่า สูงที่สุดที่พวกเขาเคยได้ยินมาก็คือ 7 ดาว ยิ่งไปกว่านั้น หิน 7 ดาวนั้นได้สูญหายไปในสงครามแล้ว และ 6 ดาวก็คือหินสกิลที่ควรจะมากที่สุดแล้ว

 

「…………」

 

ราชันศักดิ์สิทธิ์นั้นทำเพียงแค่มองไปที่คลูฟชราทโดยที่ไม่สนใจเสียงกรีดร้องใดๆเลย ตัวคลูฟชราทเองก็คงนึกไม่ถึงว่าเขาจะได้รับหินสกิลระดับนี้ — เขานั้นงุนงงและมองกลับไปที่พ่อของเขา ราชันศักดิ์สิทธิ์

 

「ได้โปรดรอก่อนครับ ฝ่าบาท」

 

อย่างไรก็ตาม มีคนๆนึงได้ยกมือขึ้น

 

「มันไม่แปลกไปหน่อยหรือครับที่จะได้รับหินสกิล 8 ดาวที่ไม่เคยมีที่ไหนมาก่อนเพียงเพราะสายเลือดหน่ะครับ? ถ้าคิดตามธรรมชาติของหินสกิลและความเข้ากันได้ มันจะไม่ดีกว่าหรือครับที่จะให้คนอื่นๆได้มีโอกาสด้วยเหมือนกันนะครับ?」

 

ด้วยสายตาคึกคะนอง–ด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความปราถนา หลุยส์ได้พูดขึ้นต่อหน้าราชันศักดิ์สิทธิ์

 

 

 

บทที่ 2 ตอนที่ 34

 

* อีวา ซิวลิซส์ *

 

เนื่องจากอีวาได้เข้ามาในพระราชวังศักดิ์สิทธิ์เป็นครั้งแรก เธอก็เลยถูกกดดันด้วยบรรยากาศที่แตกต่างออกไปจากปกติโดยสิ้นเชิง จำนวนอาคารนั้นน้อยมาก แถมยังมีสวนมากมายคั่นระหว่างอาคารพวกนั้นด้วย เธอรู้สึกเหมือนกับหลงทางอยู่ในป่าเลย

 

อีวาเห็นธานน้ำและน้ำพุอยู่ทั้งตรงนั้นตรงนี้เต็มไปหมด และยังมีสะพานหินหลากสีที่สร้างขึ้นเพื่อข้ามพวกมันไปด้วย

 

พื้นที่สำหรับรอของเหล่าเด็กอายุ 12 ปีที่จะเข้ารับหินสกิลนั้นเป็นศาลาทรงเหลี่ยมที่ล้อมรอบไปด้วยต้นไม้หลากชนิด

 

「มิสอีวา!」

 

เป็นหลุยส์ที่สังเกตเห็นอีวาที่เดินตามการนำทางของนักบวชที่ทำงานในพระราชวังแห่งนี้ก่อน หลุยส์นั้นสวมชุดที่คล้ายๆกับอีวา ต่างกันเพียงแค่เนื้อผ้าที่เป็นสีเหลืองสดกับดาบล้ำค่าที่ห้อยอยู่ตรงเอวของเขาเท่านั้น เหล่าเด็กผู้ชายจะได้รับอนุญาตให้นำดาบล้ำค่าเข้ามาได้ ซึ่งมันจะถูกใช้ในงานพิธีด้วย

 

ถึงมันจะถูกเรียกว่าศาลา แต่มันก็กว้างเอามากๆ แถมยังมีโซฟามากมายด้วย เหล่าชายหญิงที่ดูเหมือนจะรู้จักกันต่างก็รวมตัวพูดคุยสนทนากัน

 

「อรุณสวัสดิ์ค่ะ ท่านหลุยส์」

 

「อรุณสวัสดิ์ อะ-เอออออ เจ้าใส่อะไรก็ดูดีก็ดูดีมากเลยนะ」

 

「ขอบคุณค่ะ」อีวาโค้งคำนับอย่างสง่างาม

 

หลุยส์ที่มีท่าทางหยาบคายมากๆในตอนที่เขาพบกับเธอครั้งแรกนั้น ได้เปลี่ยนมาเป็นท่าทีสุภาพขึ้นตั้งแต่การพบกันครั้งที่สองเป็นต้นมาแล้ว

 

「กำไลข้อมืออันนั้นคืออะไรหน่ะ…? มันดูหยาบเกินไปเล็กน้อยสำหรับเครื่องประดับนะ」

 

ในสวนของอัญมณีที่อยู่บนกำไลนั้น 2 ใน 5 ของอัญมณีมรกตได้เปลี่ยนเป็นสีฟ้าแล้ว เหลือพื้นที่เก็บมานาเพียงแค่ 3 ก้อนเท่านั้น

 

「ชั้นได้รับอนุญาตให้สวมมันเข้ามาได้เป็นกรณีพิเศษน่ะค่ะ นอกจากนี้แล้วคนอื่นๆละคะ?」

 

「นี่ ก่อนหน้านั้นเรามาพูดคุยกันสักนิดดีไหม?」

 

อีธานและชาล็อตนั้นได้มาถึงกันแล้ว ทว่าพวกเขาอยู่กับเจ้าชายคลูฟชราท คลูฟชราทเองก็ต้องเข้าพิธีเหมือนกัน เขาก็เลยต้องอยู่ในพื้นที่สำหรับรอเข้าพิธีด้วยเหมือนกัน

 

เหล่าเด็กๆมากมายนอกจากอีธานกับชาล็อตต่างก็เข้าไปล้อมรอบตัวคลูฟชราท เมื่อคลูฟชราทสังเกตเห็นว่าอีวาได้มาถึงแล้ว เข้าก็หลุดปาก “อะ” ออกมา ทว่าตัวเธอก็ถูกลากตัวไปยังมุมนึงของศาลาโดยหลุยส์ในทันที

 

「ท่านหลุยส์คะ ชั้นจะต้องไปกล่าวทักทายท่านคลูฟชราทนะคะ…」

 

「ไว้ทีหลังก็ได้ไม่ใช่หรอ?」

 

เพราะน้ำเสียงที่แข็งกว่าทุกที—เธอเลยนึกถึงความเอาแต่ใจของเขาในครั้งแรกที่เจอกัน—อีวาจึงต้องเชื่อฟังอย่างไม่เต็มใจแล้วนั่งลงข้างๆหลุยส์

 

(ถ้าเรย์จิอยู่ที่นี่ละก็ ชั้นมั่นใจเลยว่าเขาจะเข้ามาขัดแน่นอนเลย)

 

โชคไม่ดีที่เขาไม่ได้อยู่ที่นี่ และตัวเธอเองก็ไม่ได้อยู่ในสภาพที่พร้อมเท่าไหร่ด้วย

 

「มิสอีวา ข้าจะเริ่มฝึกดาบภายใต้การชี้นำของกัปตันอาเธอร์ละ ข้าจะต้องแข็งแกร่งขึ้นแน่นอนเลย」

 

「…ยินดีด้วยนะคะ」

 

「ขุนนางนั้นต้องการความรู้ ทว่าพวกเขาเองก็ต้องการพลังต่อสู้ด้วยเหมือนกัน หากตัวขุนนางไม่กวัดแกว่งดาบด้วยตัวเอง ก็จะไม่มีเหล่านักรบผู้แข็งแกร่งคนไหนติดตาม หรือก็คือ ฝ่าบาทราชันศักดิ์สิทธิ์นั้นดูจะเชี่ยวชาญด้านหอกด้วยนะ」

 

ปรัชญาพวกนั้นไม่ได้สอดคล้องกับอีวาเลย เพราะมันเป็นเพียงแค่ความเห็นที่ถูกหยิบยกมาจากของอาเธอร์เท่านั้น ตัวอีวาเองก็ไม่คิดว่าขุนนางจะต้องการความแข็งแกร่งทางร่างกายอะไรแบบนั้นตั้งแต่แรกแล้ว และพ่อของเธอ เอิร์ลซิวลิซส์นั้นก็ไม่ได้แข็งแกร่งเหมือนกัน อย่างไรก็ตาม มันเป็นการยากที่จะปฎิเสธเรื่องนั้นเมื่อชื่อของราชันศักดิ์สิทธิ์ถูกหยิบยกขึ้นมาแบบนี้ ดังนั้นเธอก็เลยเงียบเอาไว้

 

「ข้าจะแข็งแกร่งขึ้น ดังนั้นเจ้าก็ควรจะเรียนให้หนักขึ้นเหมือนกัน」

 

「ค่ะ ชั้นจะพยายามให้ดีที่สุด」

 

「ข้าจะเป็นตัวแทนความแข็งแกร่งที่เจ้าขาดไปเอง」

 

「?」

 

อีวาเอียงหัวพร้อมกับเครื่องหมายคำถามที่โผล่ขึ้นมาเต็มไปหมด แต่มันก็เป็นเรื่องปกติ เพราะหลุยส์เอาแต่พูดเรื่องทฤษฎีที่เขาคิดขึ้นมาได้คนเดียวนี่นา

 

อีวาดูงดงามมากเลยจากการเอียงหัวแบบนั้น หลุยส์คิดกับตัวเอง

 

「หืมม? …มิสอีวา เจ้าดูไม่ค่อยดีเลยนะ」

 

เป็นครั้งแรกที่หลุยส์ดูจะคิดถึงสภาพของอีวา

 

「…ชั้นรู้สึกไม่สบายนิดหน่อยน่ะค่ะ」

 

「นั่นไม่ดีเลยนะ เอานี่ รับนี่ไปสิ」

 

หลุยนำดาบล้ำค่าที่ห้อยอยู่ตรงเอวของเขาออกมาพร้อมกับฝักดาบ ก่อนจะยื่นมันให้กับอีวา

 

「ถือนี้ไว้จะทำให้รู้สึกดีขึ้นนะ มันเป็นดาบที่มีเวทย์ป้องกันเยอะแยะเลยละ แถมข้าก็ไม่รู้สึกเหนื่อยตอนพกมันไปมาด้วย」

 

「แต่ มันเป็นของสำคัญนี่คะ」

 

「ขะ-ข้าไม่ว่าอะไรหรอกถ้าเป็นเจ้า」

 

ดาบล้ำค่าที่ถูกยื่นมาให้กับเธอนั้นดูจะสร้างความอบอุ่นให้กับมือของเธอ—มือเย็นๆของเธอ อีวารู้สึกสะบาย

 

เธอไม่ได้อยากจะถือมันเอาไว้ ทว่า…

 

(อุ่นจังเลย และรู้สึกง่วงแบบแปลกๆ…)

 

เนื่องจากอีวานั่งอยู่บนเก้าอี้ที่อยู่ข้างกำแพง และหลังของเธอก็ชิดอยู่กับกำแพงด้วย เธอก็รู้สึกง่วงขึ้นมาทันใด หลังจากนั้นแปปเดียว มิร่าก็มาถึงที่ที่ทั้งสองคนอยู่

 

「…ท่านอีวาคะ?」

 

「ชู่วว… เธอดูจะอาการไม่ค่อยดีหน่ะ ปล่อยให้เธอพักซักหน่อยแล้วกัน」หลุยส์พูดขึ้น

 

ทั้งสองคนออกห่างจากอีวาที่กำลังเริ่มสัปหงกไปสักพักอย่างเงียบๆ ทั้งหลุยส์และมืร่าต่างก็เป็นคนอ่อนโยน

 

หลังจากนั้นสักพัก เมื่อมีเสียงกระดิ่งเล็กๆดังใกล้เข้ามา เหล่าเด็กๆที่กำลังรออยู่ในศาลาก็ส่งเสียงเจี๊ยวจ๊าวขึ้น

 

「กระต่ายละ」

 

「โอ๊ะ จริงด้วย กระต่ายละ」

 

「นี่ นั่นท่านนักบวชระดับสูง ท่านเอลนะ」

 

เอลผู้ที่ดูเหมือนกับกระต่ายที่สวมชุดคลุมสีฟ้านั้น ได้เข้ามาพร้อมกับนักบวชอีกหลายๆคน

 

「เออ, ทุกท่าน, ขอบคุณสำหรับการเฝ้ารอนะขอรับ, พวกเราจะนำพวกท่านไปยังสถานที่พิธีแล้ว, ทว่า โปรดถอดรองเท้าของท่านไว้ที่นี่ด้วยขอรับ, เออ, ขอบคุณสำหรับความร่วมมือขอรับ」

 

แน่นอนว่า ตัวของเอลที่เป็นคนพูดว่าให้ถอดรองเท้านั้นเองก็เท้าเปล่าด้วย – ถึงตั้งแต่แรกแล้วเขาจะเป็นกระต่ายก็เถอะ – และเหล่านักบวชทุกคนที่ติดตามเอลมาก็เองก็เท้าเปล่าด้วยเช่นกัน

 

เหล่าเด็กๆขุนนางต่างก็แสดงความไม่พอใจกัน ทว่าเมื่อคลูฟชราทถอดรองเท้าของเขาออกเป็นคนแรก พวกเขาก็เริ่มถอดรองเท้าของพวกเขาออกทีละคน

 

「เออ, โปรดสวมมงกุฎอันนี้เอาไว้บนหัวของพวกท่านด้วยขอรับ, มันเป็นใบไม้สีฟ้าศักดิ์สิทธิ์ที่จะปกป้องพวกท่านจากสิ่งชั่วร้ายขอรับ」

 

ใบไม้สีฟ้าที่เหมือนกับสีชุดคลุมของเอล—เหล่าเด็กๆขุนนางนอกจากเผ่าฮาล์ฟลิงอย่างอีธานนั้นไม่เคยรู้มาก่อนว่ามันมีใบไม้สีแบบนี้อยู่ในธรรมชาติด้วย ใบไม้นั้นถูกร้อยเข้าด้วยกันจนเป็นมงกุฎ

 

「ท่านอีวาคะ ตื่นเถอะค่ะ! ได้เวลาไปแล้วนะคะ」

 

เมื่ออีวาลืมตาขึ้น เธอก็เห็นใบหน้ายิ้มแย้มของมิร่า

 

「อา… ชั้น ชั้น–」

 

「ดูเหมือนพวกเราจะต้องถอดรองเท้าของพวกเรานะคะ ชั้นถอดของชั้นเรียบร้อยแล้วค่ะ」

 

「โอ้–」

 

ด้วยการกระตุ้นของมิร่า อีวาก็เลยถอดรองเท้าของเธอ เมื่อเท้าของเธอสัมผัสกับพื้นเธอก็รู้สึกเย็นๆ เธอได้ยินเสียงเจี็ยวจ๊าวของเหล่าชายหญิงที่กำลังเดินอยู่ข้างหน้าเข้าไปในป่า

 

「เจ้ารู้สึกดีขึ้นหรือยัง มิสอีวา?」

 

「ค่ะ รู้สึกดีขึ้นแล้ว นี่ค่ะ ชั้นจะคืนมันให้」

 

อีวาคืนดาบล้ำค่าให้กับหลุยส์ และสิ่งที่เธอพูดก็เป็นความจริง จากนั้นเธอก็เริ่มเดินออกไปอย่างมั่นคง

 

「งั้นหรอ นั่นดีแล้–เดี๋ยวสิ อย่าทิ้งข้าสิ!」

 

หลุยส์ไล่ตามหลังมิร่ากับอีวาที่เริ่มเดินออกไปแล้ว

 

ในตอนนั้น หลุยส์รับรู้ถึงเสียงเล็กๆอะไรบางอย่าง เสียงที่ราวกับอะไรบางอย่างแตกออก

 

「…คิดไปเองหรือปล่าวนะ?」

 

หลุยส์ไม่รู้เลยว่าจากเวทมนตร์ทั้งหมดที่ร่ายเอาไว้บนดาบล้ำค่าของเขานั้น หนึ่งในนั้นเป็น “ฟื้นฟูมานา”

 

มีเศษของอัญมณีสีฟ้าหล่นอยู่ที่เท้าของเขาในตอนที่เขาเดินออกไป

 

=========================================================

TL: ช่วงนี้ติดงานมหาลัยครับ ขออภัยที่ลงช้านะครับ

 

 

บทที่ 2 ตอนที่ 33

 

วันงานพิธีมอบหินสกิล

 

ในวันนี้ ท้องฟ้านั้นปลอดโปร่งจนราวกับว่าฝนที่ตกเมื่อวานเป็นเรื่องโกหกไปเลย

 

เมื่อวานคุณหนูอยู่แต่ในคฤหาสน์ตลอดทั้งวัน ท่านเอิร์ลนั้นเฝ้าดูแลคุณหนูด้วยความรักในขณะที่เธอกระโดดโลดเต้นไปมาพร้อมกับสวมกำไลนั่นเอาไว้อยู่ ถึงผมจะไม่ได้บอกเขาว่าผมปรับแต่งมัน แต่คุณเมดก็น่าจะรายงานเขาไปแล้ว แต่ดูเหมือนว่าเขาตัดสินใจที่จะไม่ถามอะไร เอาเถอะ มันก็จบลงด้วยดีนี่นา

 

「วันนี้ต้องตื่นเช้ากว่าทุกทีนะ」

 

ผมตื่นก่อนพระอาทิตย์ขึ้น 1 ชั่วโมงพร้อมกับหาวออกมา ถึงแม้ผมจะพูดว่าก่อนอาทิตย์ขึ้นก็เถอะ แต่ผมก็ไม่รู้หรอกว่ามันจะขึ้นตอนไหนเพราะเมฆบนฟ้า

 

「ในราชอาณาจักรครูวานศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้นั้น มีพิธีกรรมมากมายที่สนับสนุนโดยฝ่าบาทราชันศักดิ์สิทธิ์ และพิธีเหล่านั้นก็ต้องใช้เวลาด้วย หลังจากนี้ ตัวคุณหนูจะต้องเข้าร่วมพิธีพวกนั้นด้วยเช่นกัน ดังนั้นคุณต้องทำความเคยชินกับมันด้วย เรย์จิซัง」

 

「อืมมม…」

 

ผมไม่อยากจะชินกับมันเลย หรือจะต้องพูดว่าผมไม่อยากเข้าร่วมบ่อยจนชินไปแล้วดี

 

ดูเหมือนอีเว้นท์อย่าง “งานเลี้ยงต้นกล้าแห่งคืนข้างขึ้น” นั้นแตกต่างไปจากพิธีในวันนี้ที่ถือเป็นพิธีกรรมอย่างสิ้นเชิงเลยละ

 

หินสกิลนั้นเป็นของขวัญจากพระเจ้าและจะถูกมอบให้กับราชันศักดิ์สิทธิ์ในนามตัวแทนของประชาชน จากนั้นราชันศักดิ์สิทธิ์ก็จะส่งต่อมันให้กับผู้คน—หรือพูดให้ถูกก็คือเหล่าขุนนางที่เป็นตัวแทนของผู้คน

 

ราชอาณาจักรครูวานศักดิ์สิทธิ์นั้นก่อตั้งขึ้นมามากกว่า 1000 ปีแล้ว เนื่องจากว่ามันเป็นประเพณีที่มีมาตั้งแต่ก่อตั้งประเทศ มันจึงเป็นงานพิธีที่เก่าแก่ซึ่งไม่เหมาะกับโลกปัจจุบันเลย

 

「อรุณสวัสดิ์ครับคุณหนู」

 

คุณหนูที่อาบน้ำมากว่า 3 ครั้งตั้งแต่ก่อนพระอาทิตย์ขึ้นได้เดินออกมาพร้อมกับพระอาทิตย์ขึ้น ดูเหมือนจะเป็นกฏที่ว่า “จะต้องรักษาความสะอาดของร่างกายเอาไว้จนกว่าพระอาทิตย์จะขึ้น” ขนาดผมยังต้องเช็ดตัวด้วยน้ำร้อนเพื่อทำความสะอาดเลย

 

คุณหนูสวมชุดเดรสสีเขียวอ่อนสดใส – ราวกับใบไม้สด

 

มันเป็นชุดเดรสง่ายๆ มันเหมือนกับชุดแต่งกายบนรูปปั้นของชาวกรีก ทว่าความแน่นของผ้าและความแวววาวของสายรัดสีน้ำตาลรอบเอวนั้นทำให้ผมรู้สึกว่ามันน่าจะราคาแพงมากเหมือนเดิม

 

สวมผ้าคลุมไหล่สีฟ้าของท้องฟ้าทับลงไปด้วย คุณหนูดูราวกับตัวละครที่หลุดออกมาจากตำนานกรีกในโลกก่อนเลย

 

「…ชั้นไม่ชินเลย」

 

「มันเหมาะกับคุณหนูมากเลยครับ」

 

「ชั้นได้ยินมาว่าไม่ควรสวมเครื่องประดับใดๆ แต่ดูเหมือนชั้นจะได้รับการอนุญาตเป็นพิเศษกับกำไลอันนี้นะ」

 

การห้ามสวมเครื่องประดับเองก็น่าจะเป็นประเพณีด้วยละนะ

 

…แต่ ถ้า “เนตรเวทมนตร์แห่งการชักจูง” ทำงานขึ้นในช่วงพิธีละก็ มันจะกลายเป็นหายนะเลยละ

 

หลังจากนั้น คุณหนูก็ยกผมของเธอขึ้น เผยให้เห็นถึงต้นคอเรียวบาง เห็นแบบนี้แล้วมันก็รู้สึกเหมือนกับว่าเธอกำลังปีนบันไดสู่ผู้ใหญ่อย่างช้าๆเลย

 

「ไปกันเถอะ เรย์จิ」

 

「ครับ คุณหนู」

 

มันยังไม่ถึง 8 โมงเช้าซะด้วยซ้ำในตอนที่ผมกับคุณหนูออกมาจากคฤหาสน์ ท่านเอิร์ลนั้นออกไปที่พระราชวังศักดิ์สิทธิ์ก่อนตั้งนานแล้วด้วย นี่แหล่ะความพิเศษของวันนี้

 

เมื่อพวกเรานั่งรถม้าแล้วผ่านเขตศักดิ์สิทธิ์ที่ 3 ผมก็ได้ยินเสียงของรถม้ามากกว่าปกติ เนื่องจากคุณหนูปิดหน้าต่างทั้งหมด – บอกว่าเพราะมันหนาว – ผมก็เลยไม่รู้ว่ารถม้าพวกนั้นเป็นของตระกูลไหน

 

「คุณหนูครับ ตอนนี้เป็นยังไรบ้างครับ?」

 

「ตอนนี้มันก็ไม่เป็นอะไรหรอก แต่… ดูเหมือนว่างานพิธีมันจะใช้เวลาทั้งวันเลย ดังนั้นชั้นก็เลยกังวลนิดหน่อยนะ」

 

「คุณหนูแค่ต้องอดทนผ่านวันนี้ไปให้ได้ครับ」

 

「อืม ชั้นจะต้องตั้งสติแล้วผ่านมันไปให้ได้ …และมันก็ทรมาณน้อยลงเพราะนายปรับอุปกรณ์เวทมนตร์ให้แล้วด้วย」

 

รถม้าเคลื่อนตัวผ่านก้อนหินจนผมไม่ได้ยินครื่งแรกของสิ่งที่คุณหนูพูด

 

「เอ๊ะ? เมื่อกี้คุณหนูพูดอะไรนะครับ?」

 

「ไม่มีอะไร เรย์จิ เป็นเด็กดีรอจนกว่าชั้นจะเสร็จนะ เข้าใจไหม…?」คุณหนูพูดราวกับว่าเป็นแม่ที่สั่งสอนลูกของเธอ

 

ผมเฝ้ามองรถม้าของคุณหนูลอดผ่านประตูปราสาทเข้าไป มีแอ่งน้ำมากมายอยู่บนพื้นหินที่เกิดจากฝนเมื่อวาน ดูจากสภาพอากาศวันนี้แล้ว พื้นหินก็น่าจะแห้งในตอนบ่ายวันนี้

 

รถม้าหยุดลงหลังจากถึงพื้นที่ส่วนที่เป็นตัวพระราชวังตั้งอยู่ ดูเหมือนว่าคุณหนูจะต้องเดินจากตรงนั้นไปยังสถานที่จัดงานเอง

 

(เธอจะเป็นอะไรไหมนะ…?)

 

ผมค่อนข้างกังวลเลย แต่ท่านเอิร์ลเองก็อยู่ข้างในด้วย ดังนั้นผมก็เลยทำได้แค่รออย่างใจเย็นเท่านั้น

 

กำแพงที่แบ่งเขตศักดิ์สิทธิ์ที่ 1 กับพระราชวังศักดิ์สิทธิ์นั้นดูจะต่ำและบางกว่ากำแพงอื่นๆ มันสูงเพียงแค่ประมาณ 3 เมตรเท่านั้นเอง

 

ตัวกำแพงนั้นมีสีดำและสีทองซึ่งแตกต่างจากกำแพงก่อนๆอย่างชัดเจน ยึ่งไปกว่านั้นยังมีภาพวาดถูกวาดเอาไว้ด้วย

 

(มังกรกับคนเดินเคียงคู่กัน… ไม่สิ มันก็ดูเหมือนกับมนุษย์สัตว์ด้วยเหมือนกัน)

 

ตัวมังกรนั้นเหมือนกับมังกรที่ผมเคยเจอมาก่อน ส่วนคนนั้น มีหูยาวที่เหมือนกับเอลฟ์ แต่มันมีหางด้วย

 

ภาพวาดนั้นเป็นภาพง่ายๆเหมือนกับภาพจิตรกรรมฝาผนัง และเพราะมันอยู่ในพื้นที่เปิดโล่งด้วย มันจึงจางลงเล็กน้อยแล้ว ดังนั้นผมก็เลยไม่สามารถรู้เผ่าพันธุ์ที่แน่นอนได้

 

ประตูปราสาทนั้นกว้างพอจะให้รถม้าแค่คันเดียวผ่าน และเมื่อทีคันนึงผ่านเข้าไป ก็จึงมีอีกคันออกมา อย่างไรก็ตาม ในวันนี้มีขุนนางที่มาเข้าร่วมงานมากเกินไปจนเกิดความแออัดขึ้น

 

「ก่าห์ ข้าจะลงตรงนี้แหล่ะ ทนรอคิวไม่ไหวแล้ว」

 

「ไม่ได้นะคะ ท่านพ่อ!」

 

มีใครบางคนลงจากรถม้าที่ข้างๆแถวเพราะเขาไม่สามารถทนรอการจราจรนี้ได้

 

ถึงเขาจะสวมเสื้อผ้าฉูดฉาดเหมือนกับขุนนาง แต่ตัวเขานั้นดูไม่เหมือนกับขุนนางเลย

 

ผมสีแดงของเขายาวไปยังด้านหลังของเขาเหมือนกับสร้อย สวมแผ่นอกหนาอย่างน่าเหลือเชื่อ กล้ามของเขาโปนผ่านเสื้อผ้าของเขาออกมาราวกับจะยกรถบรรทุกได้เลย

 

ใบหน้าของเขานั้นเป็นสีแทน และภายใต้คิ้วย่นๆของเขานั้นมีดวงตาที่แหลมคมดั่งสัตว์ป่า แถมยังมีรอยแผลที่แก้มของเขาด้วย ชายคนนี้จะต้องไม่ได้ใช้ชีวิตแบบธรรมดาๆแน่ๆเลย

 

เมื่อเขาลงมาจากรถม้า สายตาของเขาก็มาหยุดลงที่ผม

 

「โหว เด็กเมื่อตอนนั้นงั้นรึ?」

 

ไม่อะ ผมไม่เห็นเคยรู้จักคนที่มีหน้าตาดุดันอย่างคุณเลย ผิดคนแล้วครับ

 

「ท่านพ่อคะ ไม่ฟังกันเลย!」

 

คนที่ลงตามมาก็คือคุณหนูมิร่า

 

นั่นก็หมายความว่า… คนๆนี้ก็คือเอิร์ลชายแดนมิวล์!? …โอ๊ะ เข้าใจละ ผมจำเขาไม่ได้ก็เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่ผมได้เห็นหน้าของเขานี่เอง

 

ขณะที่คิดแบบนั้น ผมก็ก้มหัวลงอย่างสุภาพแล้วเคลื่อนตัวออกไปข้างๆ

 

เสียงฝีเท้าหนักๆใกล้เข้ามา คุณหนูมิร่าบ่นออกมาว่า “ท่านพ่อคะ พวกเราเป็นกลุ่มเดียวที่เดินนะคะ มันน่าอายนะคะ” ทว่าท่านเอิร์ลชายแดนก็ไม่ได้สนใจเลยสักนิด

 

แล้วจากนั้น รองเท้าขนาดใหญ่พร้อมกับหน้าแข้งหนาๆก็มาหยุดลงตรงหน้าของผม

 

「เจ้า… เป็นคนคุ้มกันของตระกูลซิวลิซส์สินะ?」

 

「…ครับท่าน」

 

「เงยหน้าขึ้นมา」

 

ผมเงยหน้าขึ้นตามที่บอก

 

…โอ้ ท่านมิร่านั้นสวมชุดสีแดงสดใส เป็นสไตล์เดียวกับคุณหนูเลย มันทั้งเรียบง่ายและน่ารัก

 

「ถ้างั้น เอาเป็นเจ้ามาที่ดินแดนของข้าไหม?」

 

「…หมายความว่ายังไงหรือครับ?」

 

「หมายความตามที่พูดนั่นแหล่ะ เมืองศักดิ์สิทธิ์มันน่าเบื่อเกินไป เจ้าไม่คิดยังงั้นรึ? ดินแดนของข้านั้นน่าตื่นเต้นมากกว่าอีก มีทั้งคนเก่งๆและมอนสเตอร์ดุร้ายมากมาย ขนาดที่เกิดสงครามขึ้นได้เลย เป็นสถานที่ที่เหมาะจะทดลองสกิลของเจ้าเลยนะ」

 

อืมม… นี่ผมกำลังถูกเลือกตัวงั้นหรอ…? ผมไม่ได้อยากได้อะไรแบบนั้นซะด้วยสิ

 

「ขอบคุณครับ แต่ผมมีอะไรที่ผมต้องแบกรับเอาไว้อยู่ในตอนนี้ครับ」

 

「เอาเถอะ จะอยู่ที่นี่ก็ไม่เป็นไร ข้ามีความรู้สึกว่าวันนี้จะต้องนองเลือดกันแน่นอนเลย」

 

นองเลือด? ทั้งๆที่วันนี้อากาศแจ่มใสขนาดนี้เนี้ยนะ…

 

「โอ๊ะ อรุณสวัสดิ์ค่ะ คุณคนคุ้มกันของท่านอีวา!」

 

「อรุณสวัสดิ์ครับ คุณหนูมิร่า ชุดเดรสนั่นเข้ากับท่านมากเลยครับ」

 

คุณหนูมิร่านั้นเกรงขามคุณหนูในตอนแรก ทว่าหลังจากแลกเปลี่ยนจดหมายและพบเจอกันหลายต่อหลายครั้ง พวกเขาก็ดูจะพัฒนาความสัมพันธ์ฉันท์เพื่อนกันแล้ว

 

「อุฟุฟุ… ชุดนี้ดูเหมือนจะเป็นชุดที่ท่านแม่ของชั้นใส่ในตอนที่เธอเข้ารับหินสกิล มันงดงามใช่ไหมละ?」

 

「ครับ ผมมั่นใจว่าท่านจะต้องดีใจแน่นอน」

 

「อื้ม! ท่านอยู่ที่คฤหาสน์เพื่อรักษาตนอยู่ในตอนนี้ ทว่าท่านก็ได้มอบมันให้กับชั้นอย่างตื่นเต้นเลยละ」

 

「—มิร่า ไปกันได้แล้ว」

 

「โอ๊ะ ท่านพ่อคะ รอด้วยสิคะ! เห็นแก่ตัวจังเลย แล้วเจอกันนะ!」

 

คุณหนูมิร่าโบกมือลาก่อนจะตามเอิร์ลชายแดนไป ผมเคยได้ยินคุณหนูพูดถึงแม้ของคุณหนูมิร่าอยู่เหมือนกัน… อะไรซักอย่างที่วาเธอไม่สามารถออกมาจากดินแดนได้เพราะร่างกายที่อ่อนแอของเธอ

 

ถึงยังงั้น ได้เห็นลูกสาวของเธอสวมชุดเดียวกับเธอ–คงจะสร้างความสดใสให้กับเธอมากๆเลยละนะ สดใสเหมือนกับสภาพอากาศในวันนี้เลย

 

(แต่ผมควรจะต้องระวังตัวเอาไว้ ตามที่เซอรี่ซังบอกมา ดูเหมือนจะไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงในเมือง ดังนั้นถ้ามันจะเกิดอะไรขึ้น มันก็จะต้องเกิดในเขตศักดิ์สิทธิ์ที่ 3 ขึ้นไปแน่ๆ… การเคลื่อนไหวของเหล่าขุนนาง)

 

ผมกังวลเล็กน้อยเกี่ยวกับสิ่งที่เอิร์ลชายแดนพูด

 

เนื่องจากพวกเรายังไม่พบตัวผู้อยู่เบื้องหลังการวางยาเจ้าชายคลูฟชราทเลย มันจะดีกว่าถ้าระวังตัวเอาไว้ ผมคิดแบบนั้นในขณะที่มองไปยังเขตศักดิ์สิทธิ์ที่ 1 ที่เต็มไปด้วยรถม้าของขุนนางและคนคุ้มกัน

 

 

 

บทที่ 2 ตอนที่ 32

 

* 1 วันก่อนพิธีมอบหินสกิล: ที่อยู่อาศัยตระกูลเอเบน *

 

เลเลนอร์กำลังเฝ้ามองการฝึกของเจ้านายของเธอ อีธาน ในลานฝึกซ้อมภายในคฤหาสน์เอเบน มันสามารถใช้ฝึกฝนวิชาดาบและร่างกายได้แม้ฝนจะตกก็ตาม

 

「—เอาละ วันนี้พอแค่นี้ก็แล้วกันนะครับ」

 

「อะ-อื้ม ขอบคุณ… มาก…」อีธานพูดขึ้นพร้อมกับพยายามหายใจ

 

สำหรับอีธานที่กำลังเหงี่อโชกนั้น คู่ฝึกซ้อมของเขาก็คือมนุษย์สัตว์สูงเกือบ 2 เมตร เนื่องจากเผ่าฮาล์ฟลิงนั้นมีจำนวนน้อยมากหากดูจากภาพรวมทั้งหมด การฝึกกับคนในเผ่าทุกครั้งนั้นมักจะส่งผลเสียในการต่อสู้จริงบ่อยๆ จุดประสงค์ของการฝึกครั้งนี้เองก็เพื่อเรียนรู้วิธีที่จะสู้กับฝ่ายตรงข้ามที่มีขนาดตัวต่างกันด้วย

 

เลเลนอร์เสิร์ฟแก้วน้ำให้กับอีธานในขณะที่เขากำลังเช็ดหน้าของเขาด้วยผ้าขนหนู อีธานได้ยกแก้วเงินขึ้นดื่มรวดเดียวเลย

 

「ฟุฮ่าา–」เขาถอนหายใจออกมาอย่างสดชื่น

 

「วันนี้ท่านทำได้ดีมากเลยค่ะ ท่านอีธาน」

 

เลเลนอร์มักจะใช้คำสุภาพเสมอเมื่อพูดคุยกับอีธาน

 

「อืม ในที่สุดผมก็จะได้หินสกิลแล้วสินะ」

 

「ดิชั้นสงสัยจังเลยค่ะว่ามันจะเป็นหินสกิลแบบไหนกัน? ดิชั้นตั้งตารอคอยเลยละค่ะ… ท่านยังไม่ทราบอะไรจากท่านพ่อของท่านเลยหรือคะ?」

 

「—นั่นไม่ใช่อะไรที่ข้าสามารถพูดออกไปได้อยู่แล้วหรอก」เสียงแหลมสูงดังขึ้นขัดบทสนทนาระหว่างพวกเขาทั้งสอง

 

โดยที่รู้ตัวว่าเจ้าของเสียงเป็นใคร เลเลนอร์ก็ได้รีบคุกเข่าลงตรงนั้นในทันที「นายท่าน…」

 

เสื้อผ้าสีฉูดฉาดนั้นดูไม่เหมาะกับร่างกายเล็กๆของเผ่าฮาล์ฟลิงเลย ถึงยังนั้น ขุนนางก็จำเป็นต้องใส่มันเพื่อภาพลักษณ์

 

ผมสีอำพันยาวเหมือนกับอีธาน มันถูกถักทออย่างประณีตด้วยอัญมณีแท้ๆที่ส่องประกายระยิบระยับ

 

ใบหน้าของเขานั้นดูอ่อนเยาว์ราวกับมนุษย์ในช่วงอายุ 20 ถึงยังนั้น บนใบหน้าของเขากลับมีหนวดสั้นๆที่ไม่เข้ากับหน้าอยู่ด้วย

 

ผู้นำตระกูล ดยุคเอเบน ได้นั่งลงที่โซฟาเดียวกับอีธาน แล้วจากนั้นไม่นาน คนคุ้มกันและผู้ช่วยของเขาก็ได้เข้ามาภายในลานฝึกซ้อมแห่งนี้ด้วย ดังนั้นรอบๆจึงรู้สึกแน่นขนัดไปหมด – ยังไงซะพวกเขาก็เป็นฮาล์ฟลิงกันทั้งหมด ดังนั้นแล้วมันก็ไม่ได้แออัดอะไรกันขนาดนั้นหรอก

 

「ท่านพ่อ วันนี้ท่านกลับมาเร็วนะครับ」

 

「หืมม? ใช่แล้วละ… ตระกูลโรซีเออร์ได้ยกเลิกการประชุม ดังนั้นตอนนี้ข้าก็เลยมีเวลาอยู่บ้าง ถึงข้าจะยังมีประชุมช่วงบ่ายอยู่ก็ตาม เดี๋ยวสักพักข้าก็จะต้องไปที่ราชวังแล้ว」

 

「ไม่ใช่ว่ามันหาได้ยากหรอครับที่ตระกูลโรซีเออร์ยกเลิกการประชุมกับท่านแบบนี้?」

 

「ใช่…」ดยุคเอเบนพูด ก่อนจะหลับตาลงราวกับกำลังคิดอะไรบางอย่างอยู่「ข้ารู้สึกไม่ค่อยสบายใจเลย น่าเสียดายที่ “ปรมาจารย์ดาบ” แห่งตระกูลดยุคลูเซียวนั้นก็กำลังออกเดินทางอยู่」

 

ถึงสิ่งดยุคพูดจะเป็นเรื่องที่คลุมเครือและไม่แน่ชัดก็ตาม แต่ก็ไม่มีใครโต้แย้งอะไร เผ่าฮาล์ฟลิงที่ดำลงอยู่กับธรรมชาตินั้นให้ความสำคัญกับสัญชาตญาณของพวกเขาเอามากๆเลย

 

อย่างไรก็ตาม ถ้ามีอะไรที่กวนใจจนต้องกล่าวถึง “ปรมาจารย์ดาบ” ที่ไม่อยู่ละก็–

 

「หรือว่าบางที มีอะไรบางอย่างเกิดขึ้นกับแท่นบูชาที่ 1 หรือเปล่านะ?」

 

ทุกคนที่ได้ฟังนั้นต่างตกใจ

 

แท่นบูชาที่ 1 – ศูนย์กลางและรากฐานของราชอาณาจักรครูวานศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ เป็นเหมือนกับราชวงศ์ศักดิ์สิทธิ์ – ไม่สิ บางกรณีนั้นยิ่งกว่าราชวงศ์ศักดิ์สิทธิ์ซะอีก

 

「…ท่านพ่อ ดยุคโรซีเออร์นั้นเป็นถึงเลขานุการของ “สำนักงานจัดการหินสกิล” เลยนะครับ」

 

「ถ้าเขายกเลิกการประชุมกับข้าแบบนี้ มันก็คงมีแค่เหตุผลเดียวนั่นแหล่ะ ต่อให้จะมีประเทศอื่นบุกเข้ามา เหล่า 6 ดยุคผู้ยิ่งใหญ่ก็ไม่มีทางถูกโยนออกมาแบบนี้หรอกนะ」

 

* 1 วันก่อนพิธีมอบหินสกิล: พระราชวังศักดิ์สิทธิ์ *

 

「—ทำไมถึงเกิดเรื่องเป็นแบบนี้ขึ้นได้!!!」

 

เสียงอันดังกึกก้องได้สั่นสะเทือนกระจกสีฟ้าอันสวยงาม

 

โต๊ะที่ทำมาจากหินธรรมชาติและขัดมาเป็นอย่างดีจนปล่อยบรรยากาศหรูหราออกมา ทว่า บนตัวของมันนั้นเต็มไปด้วยกองเอกสารรายงานที่ทำจากกระดาษวัสดุจากพืชรุ่นใหม่ล่าสุด, หนังสือปกหนังล้าสมัย, และม้วนคัมภีร์เล็กน้อยวางอยู่

 

เมื่อราชันศักดิ์สิทธิ์กวาดมือของเขา รายงานเหล่านั้นก็ได้ลอยขึ้นไปบนฟ้า เมื่อหนังสือเล่มหนาๆกำลังจะตกลงจากโต๊ะ–นักบวชในชุดพิธีก็พุ่งเข้าไปหามันในขณะที่กรีดร้องออกมา ก่อนที่จะรับมันเอาไว้ได้สำเร็จ

 

「เออ ฝ่าบาทขอรับ หนังสือเล่มนี้มีมูลค่ามหาศาลเลยนะขอรับ ดังนั้นได้โปรดอย่าใช้ความรุณแรงกับมันสิขอรับ」

 

「หุบปากไปเลย อุซะ! เจ้าเป็นนักบวชไม่ใช่รึไง! ทำอะไรซักอย่างสิ!」

 

「เออ, งั้น, อย่างที่นักบวชชั้นสูง, อย่างที่กระผมได้กล่าวไป, การวิเคราะห์หินสกิลก้อนนั้นได้เสร็จเรียบร้อยแล้ว–」

 

「ข้าไม่อยากได้ยิน!」

 

ราชันศักดิ์สิทธิ์ได้ทิ้งตัวลงบนเก้าอี้ของเขาก่อนจะเอามือกุมหัวในขณะที่ตัวสั่น ไม่มีใครในประเทศที่จะคิดว่าผู้ใหญ่มีอายุ—และเป็นผู้นำของประเทศ จะทำตัวไร้ที่พึ่งและเจ้าอารมณ์ขนาดนี้

 

พระราชวังศักดิ์สิทธิ์นั้นสร้างขึ้นเพื่อเป็นที่ประทับของราชันศักดิ์สิทธิ์ แต่ในทางกลับกันนั้น มันก็ยังเป็นสถานที่สำหรับบูชาและปกป้องแท่นบูชาที่ 1 ด้วยเช่นกัน เพราะงั้น ตัวราชวังจึงถูกสร้างให้เหมือนกับวิหาร

 

ไม่มีทั้งประตูหรือหน้าต่างใดๆ เพื่อจุดประสงค์ในการ “เชื้อเชิญเหล่าวิญญาณ” มันจึงถูกเปิดกว้างเอาไว้เสมอ มีเพียงแค่ห้องนอนเท่านั้นที่ถูกสร้างตามปกติ แต่นอกเหนือจากนั้น—ตัวอย่างเช่น การประชุมกับนักบวชชั้นสูง เอล ในห้องรับรองแห่งนี้นั้น สามารถมองเห็นได้ชัดเจนจากทางเดินเลย

 

อย่างไรก็ตาม พระราชวังศักดิ์สิทธิ์นั้นไม่ค่อยมีผู้คนมากนัก และถึงแม้จะมีเหล่าคนสวนกับคนทำความสะอาด พวกเขาก็จะเก็บตัวตนของพวกเขาแล้วทำงานในที่ลับตาเหล่าราชวงศ์ แถมพวกเขายังถูกผูกมัดหน้าที่ด้วยเวทย์พันธสัญญาด้วย ดังนั้นมันจึงไม่มีปัญหาใดๆเลย

 

เอล กระต่ายยักษ์ผู้มีสีหน้าเรียบเฉย ได้เข้าไปหาราชันศักดิ์สิทธิ์ที่กำลังตัวสั่นเทา ก่อนจะสัมผัสมือของเขา บางทีคงเพราะความอบอุ่นจากขนนุ่มๆ ราชันศักดิ์สิทธิ์ก็ได้หันดวงตาที่ชุ่มไปด้วยน้ำตาไปทางเอล

 

「…เออ, กระผมคิดว่าการปรากฏตัวของหินสกิลนั่นในช่วงการปกครองของฝ่าบาทนั้นบางทีคงเป็น… “โชคชะตา” กระมั้งขอรับ เออ, เมื่อท่านก้าวข้ามสถานการณ์ที่ยากลำบากนี้ไปได้ละก็, คำว่า “วีรบุรุษ” จะต้องถูกจารึกต่อท้ายนามของฝ่าบาทแน่นอนเลยขอรับ, ซึ่งมันไม่เคยเกิดขึ้นกับเหล่าราชวงศ์รุ่นก่อนของท่านเลยขอรับ」

 

「เอล…」

 

ราชันศักดิ์สิทธิ์ลูบมือกระต่ายอย่างอ่อนแอ

 

「ข้าจะต้องทำมันในฐานะราชันศักดิ์สิทธิ์งั้นหรือ…?」

 

「เออ ถูกต้องแล้วขอรับ」

 

ราชันศักดิ์สิทธิ์เช็ดตาของตัวเองอย่างอ่อนแอ

 

「ข้ามันก็แค่ไอ้เลวระยำ สินะ?」

 

「เออ ไม่มีใครสักคนที่คิดแบบนั้นหรอกขอรับ ไม่แม้แต่ประชาชนของท่านสักคนเดียว」

 

ราชันศักดิ์สิทธิ์ส่ายหัวของเขาอย่างท้อแท้

 

「…ข้าไม่ได้อยากเป็นวีรบุรุษอะไรทั้งนั้น」

 

เอลไม่ตอบอะไรกับคำพูดนั้น

 

「จนถึงเมื่อเดือนก่อน… ข้ายังเป็นเพียงแค่พ่อคนอยู่เลย」

 

ความเงียบยังคงดำเนินต่อไป ทั้งเอลและเหล่านักบวชที่ติดตามเขามาจำนวนหนึ่ง ต่างพากันกลั้นหายใจของพวกเขา

 

「—เอล」

 

ราชันศักดิ์สิทธิ์ลุกขึ้น

 

「ข้าจะไปยังโถงพิธีสำหรับวันพรุ่งนี้ในตอนนี้ เพื่อเป็นการยืนยันครั้งสุดท้าย มากับข้า」

 

「ขอรับ」

 

ในตอนนั้น มีเพียงแค่รูปลักษณ์ของราชันศักดิ์สิทธิ์เพียงหนึ่งเดียว หนึ่งเดียวที่ชี้นำประเทศครูวานอันยิ่งใหญ่แห่งนี้ มีเพียงแค่ราชันศักดิ์สิทธิ์ผู้สง่างาม, หนักแน่น, และอ่อนโยน ผู้ที่ซ่อนสภาพอันหน้าสงสารเมื่อสักครู่อยู่เพียงเท่านั้น

 

ภายในเมืองศักดิ์สิทธิ์ครูวานยูแห่งนี้ ที่มีการแจ้งเตือนเหตุฉุกเฉินอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนเกิดขึ้น และเหล่าขุนนางที่มารวมตัวกันอย่างไม่คาดคิด

 

ฝนได้หยุดตกในตอนกลางดึก

 

และแล้ววันงานพิธีมอบหินสกิลก็ได้มาถึง

 

 

 

บทที่ 2 ตอนที่ 31

 

「…อืม? ที่นี่ที่ไหน?」

 

ผมได้ยินเสียงกระซิบอันแผ่วเบาดังขึ้น

 

「ในที่สุดคุณหนูก็พื้นแล้ว!」เหล่าเมดต่างร้องออกมา

 

「ได้โปรดรอก่อนครับ」ผมหยุดเมดที่กำลังจะเข้ามาที่เตียงขณะที่ทำการโชวฺ์อุปกรณ์เวทย์อันนั้นขึ้นมา

 

「…นั่นมันอะไรหรอ เรย์จิ?」

 

เมื่อมองคุณหนูผ่าน【World Ruler】มานาของเธอนั้นฟื้นคืนมาบ้างแล้ว นอกจากนั้นก็ดูจะสุขภาพแข็งแรงดีอยู่

 

「คุณหนูจำเรื่องราวที่เกิดขึ้นก่อนจะหลับไปได้ไหมครับ?」

 

「…………」

 

หลังจากเงียบไปสักพัก คุณหนูก็พยักหน้า

 

「นั่นเป็นผลจากเนตรเวทมนตร์ของคุณหนูครับ ในตอนนี้มันยังไม่ทำงานเพราะขาดมานาก็จริง แต่ผมอยากจะให้คุณหนูสวมอุปกรณ์เวทมนตร์อันนี้เอาไว้เพื่อกันการทำงานของมันเอาไว้ครับ」

 

「…กำไลอันนี้นะหรอ? เป็นของขวัญจากนายงั้นหรอ เรย์จิ?」

 

「มันเป็นของขวัญจากท่านเอิร์ลครับ ถ้าเป็นผมละก็ ผมคงจะเลือกอันที่มันถูกและดีไซน์น่ารักกว่านี้ครับ」

 

อุปกรณ์เวทมนตร์อันนี้มันดูหยาบกระด้างเกินกว่าที่จะเรียกได้ว่าเป็นกำไลข้อมือซะด้วยซ้ำ

 

「…ฟุฟุ ชั้นเองก็อยากจะได้ของขวัญจากนายในสักวันนึงเหมือนกันนะ」

 

「ผมไม่อาจให้คุณหนูเฝ้ารอของขวัญได้หรอกครับ ดังนั้นผมจะจำเอาไว้นะครับ」

 

「…………」

 

「…ทำไมอยู่ๆถึงเงียบไปละครับ คุณหนู?」

 

「นายใส่ใจกว่าทุกทีนะ อาการของชั้นมันแย่ขนาดนั้นเลยหรอ?」

 

สัญชาตญาณแม่นยำอะไรขนาดนี้! สมแล้วที่เป็นพ่อลูกกัน

 

「เปล่าครับ คือเรื่องมันเกิดขึ้นในตอนที่ผมไม่อยู่ ดังนั้นผมก็เลยรู้สึกผิดนิดหน่อยนะครับ เอานี่ครับ ยื่นมือของคุณหนูมาทางนี้สิครับ」

 

แล้วผมก็สวมอุปกรณ์เวทมนตร์ไปที่มือซ้ายของคุณหนู

 

「อืมม…」คุณหนูขมวดคิ้ว

 

「มันรู้สึกไม่ดีอย่างนั้นหรอครับ?」

 

「อืม นิดหน่อยหน่ะ… แต่ถ้าแค่นี้ชั้นทนได้–」

 

ผมนำกำไลออกมาจากข้อมือของคุณหนูแล้วพูดกับเมดว่า

 

「ใครก็ได้ช่วยนำเข็มเย็บผ้ามาให้หน่อยครับ」

 

「…เข็ม? เรย์จิ นายกำลังจะทำอะไรหน่ะ?」

 

「ผมจะทำการปรับมันครับ」

 

เมดได้นำเข็มที่ยาวกว่า 10 เซนติเมตรนิดหน่อยมาให้ ผมวางกำไลลงใต้ตะเกียงเวทมนตร์แล้วทำการศึกษาด้านในของมัน

 

(【World Ruler】【ความคล่องแคล่ว】ต้องหวังพึ่งพวกแกแล้ว…)

 

จากนั้นผมก็ได้เริ่มแกะสลักด้านในด้วยเข็มในมือ

 

「เรย์จิ!? นั่นมันอุปกรณ์เวทมนตร์นะ! ถ้าทำยังงั้นละก็ มันจะพัง–」

 

「ไม่มีปัญหา ผมทำเสร็จไปเรียบร้อยแล้วครับ」

 

ผมปรับให้มันเหลือปริมาณมานาในร่างของคุณหนูมากขึ้นเล็กน้อย คุณหนูได้ยื่นมือซ้ายของเธอออกมาด้วยท่าทางหวาดกลัวนิดหน่อย และผมก็ได้สวมกำไลนั่นให้กับเธอ

 

「รู้สึกยังไงบ้างครับตอนนี้?」

 

「มันดีกว่าก่อนหน้านี้เยอะเลย!」

 

เสียงของคุณหนูดูพึ่งพอใจมาก ผมมั่นใจเลยว่ากำไลก่อนปรับมันจะต้องสร้างภาระให้กับร่างกายมากมายแน่ๆเลย

 

(ตัวคุณหนูยิ่งเป็นพวกฝืนตัวเองเพราะทิฐิซะด้วยสิ…)

 

มาทำให้งานพิธีราบรื่นด้วยสิ่งนี้กันเถอะ

 

* * 1 วันก่อนงานพิธีมอบหินสกิล: ที่พักอาศัยของตระกูลโรซีเออร์ * *

 

เด็กหนุ่มที่ตกอยู่ในห้วงความรักกำลังเบิกบานใจ เพราะเขากำลังจะได้พบกับหวานใจของเขาอีกครั้งในวันพรุ่งนี้แล้ว

 

「ดูท่านอารมณ์ดีนะครับ ท่านหลุยส์」

 

คฤหาสน์โรซีเออร์นั้นเหมือนกับของ 6 ดยุคผู้ยิ่งใหญ๋ตระกูลอื่นๆ ทว่า ในส่วนของขนาดนั้นใหญ่มากที่สุด เหตุผลก็มาจากตัวดินแดนที่ถูกมอบให้กับตระกูลโรซีเออร์นั้นอยู่ติดกับเมืองศักดิ์สิทธิ์ครูวานยู และมันสะดวกสำหรับตระกูลโรซีเออร์ ที่จะมีคฤหาสน์ขนาดใหญ่เพื่อให้สามารถเดินทางไปกลับจากเมืองหลวงได้อย่างง่ายดาย

 

ถึงคฤหาสน์จะใหญ่โตก็จริง แต่จำนวนผู้คนที่สามารถเข้ามาได้นั้นน้อยมากๆ มีเพียงขุนนางเพียงหยิมมือเท่านั้นที่จะได้รับเชิญ และงานเลี้ยงน้ำชาที่จัดโดยตระกูลโรซีเออร์เองก็จะจัดขึ้นที่อาคารที่แยกออกจากตัวคฤหาสน์อีกที

 

ภายในคฤหาสน์นั้นไม่ได้มีเพียงแค่หลุยส์เท่านั้น แต่ยังมีคนที่เกี่ยวข้องแน่นแฟ้นอย่าง—อาเธอร์ ผู้เป็นถึงกัปตันของภาคีอัศวินที่ 2 แห่งราชันศักดิ์สิทธิ์

 

「นายก็เข้าใจงั้นหรอ อาเธอร์?」

 

หลุยส์นั้นมาจากตระกูลหลัก ส่วนอาเธอร์นั้นมาจากตระกูลรอง ดังนั้น ไม่ว่าเขาจะแก่กว่าหรือเป็นถึงกัปตันของภาคีอัศวินก็ตาม หลุยส์ก็ยังคงมีฐานะสูงกว่าอยู่ดี

 

「ให้ผมเดานะครับ? ท่านคงกำลังคิดถึงท่านหญิงอีวาสินะครับ」

 

「–!? นี้ข้าดูออกง่ายขนาดนั้นเลยหรอ?」

 

「ครับ…」อาเธอร์พูดแบบรักษามารยาท「ถ้าท่านต้องการตัวเธอละก็ ท่านเอิร์ลซิวลิซส์ก็ไม่อาจปฎิเสธได้หรอกครับ ท่านหลุยส์」

 

「…………」

 

「ท่านหลุยส์ครับ?」

 

สีหน้าของเด็กหนุ่มนั้นมืดมนลงราวกับเมฆฝน เช่นเดียวกับท้องฟ้าด้านนอก

 

「อีวานั่นฉลาดกว่าข้ามาก」

 

「ผมเองหวังว่าท่านเองก็จะเรียนรู้มากขึ้นเช่นกันครับ ท่านหลุยส์ ท่านมีพรสวรรค์นะครับ」

 

「ไม่ใช่แค่นั้นหรอก… ฝ่าบาทเองก็กล่าวว่า–」

 

—ข้าไม่ได้บอกเจ้าแล้วรึว่าวันนี้เองก็เป็นวันที่จะมาเลือกคู่หมั้นของเจ้าหน่ะ?

 

ถึงเขาจะมาจากตระกูล 6 ดยุคผู้ยิ่งใหญ่ แต่ถ้าอีกฝ่ายเป็นเจ้าชายศักดิ์สิทธิ์แล้วละก็ เขาก็ไม่มีทางชนะได้อยู่ดี

 

ตั้งแต่วันนั้น คลูฟชราทก็ถูกห้ามไม่ให้ออกมาจากพระราชวังศักดิ์สิทธิ์และไม่ได้พบกับอีวา—ในช่วงนี้ หลุยส์จึงรู้สึกใจร้อนที่จะพัฒนาความสัมพันธ์กับอีวา

 

「ฝ่าบาทได้กล่าวสิ่งใดหรือครับ?」

 

「…ไม่ ไม่มีอะไร」

 

ตัวคลูฟชราทอาจจะไม่ได้คิดอะไรเลยก็ได้ เขาอาจจะไม่ใช่คู่แข่งทางความรัก ถ้าเป็นแบบนั้น มันก็อาจจะหมายถึงตัวหลุยส์เองที่เป็นกังวลโดยไม่มีเหตุผล–หลุยส์คิดว่าเขาไม่ควรแสดงด้านที่อ่อนแอของเขาออกมาในฐานะขุนนางตระกูลดยุค ดังนั้นเขาก็เลยไม่บอกอะไรกับอาเธอร์มากกว่านั้น

 

「แล้วก็นะอาเธอร์ คำแนะนำของนายมันห่วยแตกมาก ที่นายบอกว่า “ให้ประกาศเจตจำนงของตัวเองกับผู้หญิงที่ชอบออกไปตรงๆ” แบบนั้น เพราะงั้นข้าก็เลยถูกอีวาพูดว่าความประทับใจแรกของข้ามันแย่เลย」

 

「เกี่ยวกับเรื่องนั้นนะครับ ผมไม่ได้คาดคิดว่าท่านจะไปพูดกับลูกสาวของ “ลอร์ดเลือดเย็น” แบบนั้้นหน่ะครับ ถ้าเป็นตัวท่านหญิงชาล็อตละก็ พวกเราคงจะมาปรึกษาเรื่องวันแต่งงานกันได้ตอนนี้เลยหล่ะครับ」

 

「…เอิร์ลซิวลิซส์น่ากลัวขนาดนั้นเลยหรอ?」

 

「ท่านก็น่าจะได้ยินเรื่องที่เกิดขึ้นมาแล้วไม่ใช่หรอครับ?」

 

หลุยส์พยักหน้า

 

อย่างไรก็ตาม ด้วยกฏของสังคมขุนนาง เขาจึงถูกสอนมาว่า “ทุกๆเรื่องนั้นมักจะมีสองด้านเสมอ”

 

「จำนวนขุนนางที่เขาประหารนั้นอาจจะมากที่สุดเป็นประวัติกาลเลยละครับ」

 

「มากขนาดนั้นเลยหรอ…?」

 

「มีเพียงแค่เจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงินเท่านั้นครับที่ยินดี เพราะเงินเดือนที่ต้องจ่ายให้กับเหล่าขุนนางนั้นลดลงไปมาก ส่วนขุนนางคนอื่นๆนั้นต่างหวาดกลัวว่าพวกเขาจะเป็นรายต่อไปเลยครับ มีเพียงแค่ตระกูลที่อยู่สูงกว่าเอิร์ลประจำชายแดนเท่านั้นที่ปลอดภัยครับ แน่นอนว่ารวมถึงตระกูลโรซีเออร์แห่งนี้ด้วยเช่นกันครับ」

 

「ทำไมพวกเราถึงปลอดภัยละ? เอิร์ลซิวลิซส์ไม่ได้ไปกล่าวหาใครง่ายๆไม่ใช่หรอ?」

 

「คือ… ด้วยอำนาจของเอิร์ล ขอบเขตการสอบสวนของเขาจึงจำกัดหน่ะครับ」

 

「………」

 

「เป็นอะไรหรือเปล่าครับ ท่านหลุยส์? ท่านดูซึมๆไปนะครับ」

 

「…มันไม่ยุติธรรมเลยที่ขุนนางบางคนจะรอดไปได้ด้วยตำแหน่งฐานะแบบนี้」

 

「ท่านได้ยินเรื่องนั้นมาจากท่านหญิงอีวายังงั้นหรือครับ?」อาเธอร์ถามขึ้นพร้อมกับเลิกคิ้ว

 

「ปะ-เปล่า ข้าคิดเองหน่ะ」

 

「อืม… ทุกสิ่งมันก็เปลี่ยนแปลงเพื่อวันข้างหน้าที่ดีขึ้นนั่นแหล่ะครับ ถึงการประหารขุนนางชั่วของท่านเอิร์ลซิวลิซส์จะเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นกระทันหันก็ตาม」

 

「…ยังงั้นหรอ? แต่ถ้ามาคิดตามที่นายพูดแล้วละก็ ถ้าขุนนางชั้นสูงเป็นตัวการที่แท่จริงแล้ว งั้นที่ประหารขุนนางชั้นล่างไปมากมายก็ไม่ต่างอะไรจากการ “ตัดหางกิ้งก่า” เลยหน่ะสิ」

 

「ฮึมม…」ครั้งนี้อาเธอร์คร่ำครวญออกมา—สิ่งที่คุณชายสนใจนั้นราวกับขุนนางจริงๆเลย

 

มันยุ่งยากเกินกว่าที่จะรับมือเรื่องนี้แล้ว อาเธอร์คิดแบบนั้น

 

「ถ้ายังงั้น ท่านหลุยส์ก็แค่ต้องมีอำนาจครับ」อาเธอร์พูดขึ้นพร้อมกับรอยยิ้ม

 

「ข้านะหรอ…?」

 

「ครับ ท่านเป็นถึงตระกูลดยุค ท่านนั้นสามารถปฏิรูปสิ่งต่างๆได้มากมายครับ」

 

「มันก็แน่นอนอยู่แล้วนี่…」

 

「อำนาจไม่ใช่แค่การใช้ฐานะที่มีครับ ข้าราชการนั้นจะติดตามผู้ที่มีปัญญา แต่มันจะง่ายขึ้นถ้าท่านเป็นข้าราชการระดับสูงครับ ในทางกลับกัน การจะเป็นข้าราชการระดับสูงนั้น ท่านจะต้องมีความสามารถจริงๆ ไม่เช่นนั้น ต่อให้ท่านมีตำแหน่งที่สูงแค่ไหน ผู้คนก็ไม่มีทางเชื่อฟังท่านหรอกครับ ท่านหลุยส์ครับ ท่านฝึกดาบอยู่ใช่ไหมครับ?」

 

「อืม ข้าก็ไม่ได้ฝึกมาซักพักแล้วละนะ」

 

「นั่นไม่ดีเลยนะครับ โชคร้ายที่วันนี้ฝนตก แต่ไว้พวกเราไปฝึกด้วยกันหลังจากอากาศแจ่มใสก็แล้วกันนะครับ ถ้าฝีมือดาบของท่านถูกขัดเกลาเป็นอย่างดีแล้ว ท่านจะสามารถดึงดูดสายตาได้แม้แต่เจ้าหน้าที่ทางทหารเลยนะครับ」

 

「วิชาดาบงั้นหรอ?」

 

「นั่นเป็นสิ่งที่ท่านหญิงอีวาไม่อาจทำได้ครับ มีเพียงแค่ท่านเท่านั้นครับที่ทำได้ ท่านหลุยส์ ดูแลดาบของท่านให้ดีๆเพราะท่านจะได้เป็นดาบแห่งตระกูลโรซีเออร์ครับ」

 

「ข้าเข้าใจแล้ว อาเธอร์」

 

เมื่อมองเห็นหลุยส์กำหมัดของเขา อาเธอร์ก็ได้พยักหน้า และจากนั้นประตูห้องก็ได้เปิดออก

 

「อาเธอร์โดโนะ อยู่ที่นี่หรือเปล่า?」

 

「ท่านดยุคโรซีเออร์」อาเธอร์ที่นั่งอยู่บนโซฟานั้นลุกขึ้นยืนอย่างเร่งรีบก่อนจะยืดชายเสื้อของเขาในตอนที่ดยุคเข้ามาในห้อง

 

ดยุคที่มีความคล้ายคลึงกับหลุยส์อย่างมากนั้น ถึงเขาจะอ้วนแต่ก็ไม่ได้พุงพลุ๊ย ขนาดตัวของเขานั้นเป็นเหมือนกับภาพในจินตนาการของเศรษฐีที่มีอายุ

 

ผมของเขาถูกเซ็ดเป็นทรงและแซมไปด้วยผมหงอก และถึงเขาจะอายุ 40 ปลายๆ แต่เขาก็ยังคงมีรูปลักษณ์ที่สง่างามอยู่

 

(…หืมม? ใบหน้าของท่านดยุคดูซีดๆไปนะ)

 

ใบหน้าของดยุตนั้นซีดจนถึงขั้นที่อาเธอร์สังเกตเห็นได้ในทันที

 

「หลุยส์ ข้าขอยืมตัวอาเธอร์ไปซักพักนะ พวกเราต้องไปหารือกันเรื่องการคุ้มกันงานพิธีในวันพรุ่งนี้」

 

「ได้ครับ ท่านพ่อ」

 

「ตามข้ามา」

 

「ครับท่าน」

 

อาเธอร์เดินออกไปยังทางเดินตามการกวักมือเรียกของดยุค

 

—เขาสัมผัสได้ถึงความแปลกประหลาดในทันที

 

(หน้าที่คุ้มกันในวันพรุ่งนี้เป็นของภาคีอัศวินที่ 1 นี่ ไม่ใช้หน้าที่ของข้านี่นา มันเกี่ยวข้องอะไรกับท่านดยุตที่กำลังหน้าซีดหรือปล่าว?)

 

หนึ่งในเหตุผลที่อาเธอร์สามารถไต่เต้าขึ้นมาเป็นกัปตันที่ 2 ได้ นั่นก็เพราะว่าเขาสามารถรับรู้ถึงสิ่งผิดปกติได้ในทันทีแบบนี้นี่แหล่ะ

 

 

 

บทที่ 2 ตอนที่ 30

 

เป็นความเงียบงันที่หนักอึ้งมากๆ

 

มีเพียงเสียงสายฝนกระทบที่หน้าต่างดังกึกก้อง

 

ทว่า มันก็อยู่ได้เพียงไม่นาน

 

「…คุณหนูรู้เรื่องนี้ไหมครับ?」

 

ท่านเอิร์ลส่ายหน้าอย่างช้าๆ

 

เธอไม่รู้สินะ… ผมเองก็คิดว่าไม่รู้จะดีกว่าเหมือนกัน ต่อให้เธอรู้ มันก็จะกลายเป็นความรู้สึกผิดที่ไม่จำเป็นไปเปล่าๆ

 

「อาการของคุณหนูเป็นยังไงบ้างครับตอนนี้?」

 

「ญาติของข้าโดนเนตรเวทมนตร์เข้าไป ดูเหมือนจะเกิดความเห็นไม่ตรงกันเรื่องสีของชุดเดรสด้วย ข้าก็เลยได้ยินมาว่าเธอทำร้ายหัวหน้าเมดที่อยู่ข้างๆเธอเข้า」

 

「คุณหัวหน้าเมดเป็นอะไรมากไหมครับ?」

 

「แน่นอนว่าไม่อยู่แล้ว หัวหน้าเมดหน่ะเชี่ยวชาญด้านการป้องกันตัว ส่วนอีวานั้น เพราะอยู่ๆท่าทีที่เปลี่ยนไปของญาติคนนั้นรวมกับการใช้มานาไปจนหมด เธอก็เลยสลบลงไป」

 

ผมรู้สึกโล่งใจขึ้นมา ขนาดเกิดสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดขึ้นมาแบบนี้ พวกเราก็ดูจะจัดการให้มันจบลงด้วยดีสินะ

 

「แล้วเราจะช่วยคุณหนูยังไงละครับ?」

 

「นักเวทย์บอกว่าผนึกมันจะพังลงในสักวัน และตัวเธอจะต้องฝึกควบคุมมานาให้ได้จนกว่าจะถึงตอนนั้น อย่างไรก็ตาม การจะหาใครสักคนที่รอบรู้ด้านผนึกมานั้น ไม่สามารถหาได้ในวันสองวันหรอก」จากนั้นท่านเอิร์ลก็วางถุงหนังเล็กๆลงบนโต๊ะ ผมคุ้นเคยกับลูกลักษณ์ทรงกลมหนาๆนั้นได้ดีเลยละ「ข้าจะมอบสิ่งนี้ให้เธอในวันพิธี」

 

สิ่งที่ปรากฏออกมาจากถุงหนังก็คือหินสกิลที่เปล่งแสงสีฟ้า – แสงที่ทำให้รู้สึกอบอุ่นอย่างน่าประหลาดใจ แสงได้ส่องสว่างไปทั่วทั้งห้องเพราะข้างนอกนั้นมืดสลัวจากฝนตก

 

【ควบคุมมานา ★★★★】นั้นลอยอยู่ตรงกลางของหินสกิล

 

「เมื่ออีวาสามารถควบคุมมานาของเธอได้ละก็ เธอจะสามารถลดระดับดาวของ【ควบคุมมานา】ลงมาได้ จนอาจจะไม่จำเป็นต้องใช้มันเลยก็ได้ หรืออย่างน้อยๆก็ใช้แค่【ควบคุมมานา】1 ดาวก็เพียงพอแล้วละ」

 

เข้าใจแล้ว ท่านเอิร์ลเตรียมมาตรการตอบโต้เอาไว้่อย่างดีแล้วนี่เอง ถ้าหินสกิลมันช่วยแก้ปัญหาในเรื่องนี้ได้ละก็ กำลังทรัพย์ของท่านเอิร์ลก็น่าจะจัดการมันได้อยู่แล้ว ถึงผมจะคิดว่า【ควบคุมมานา】4 ดาวยังเป็นสกิลที่อะไรที่ค่อนข้างหายากอยู่เลยก็เถอะ

 

「…ถ้าพิธีจัดขึ้นวันถัดมาหลังจาก “งานเลี้ยงต้นกล้าแห่งคืนข้างขึ้น” ละก็ พวกเราก็คงจะไม่ต้องมานั่งกังวลเรื่องผนึกแบบนี้หรอก」

 

ถ้ายังงั้น มันก็… เป็นความผิดของผม

 

「เรย์จิซัง เจ้าช่วยชีวิตเจ้าชายคลูฟชราทเอาไว้ ไม่มีใครกล่าวโทษเจ้าหรอกนะ อีกอย่างวันนี้ก็ไม่มีใครเจ็บตัวด้วย」

 

「ถึงยังงั้น…」

 

「ถ้ามันรบกวนเจ้าละก็ งั้นข้าก็จะขอร้องเจ้าบางอย่าง」

 

ท่านเอิร์ลยิ้มออกมา — ว้าว ช่างเป็นรอบยิ้มที่สวยงามอะไรอย่างนี้! ผมแน่ใจเลยว่าทั้งหมดมันเป็นเพราะคำแนะนำของผมแน่นอนเลย

 

「ข้าไม่ได้รับอนุญาตให้มอบมันก่อนงานพิธี แต่เพราะไม่สามารถปล่อยอีวาเอาไว้อย่างนี้ได้ ข้าก็เลยจะใช้อุปกรณ์เวทมนตร์ในการดึงเอามานาของเธอออกมาจนถึงขีดจำกัด」

 

ท่านเอิร์ลวางกำไลเงินที่ฝังด้วยอัญมณีสีเขียว 5 เม็ดลงบนโต๊ะ

 

「นี่คืออุปกรณ์เวทมนตร์อย่างนั้นหรอครับ?」

 

「ใช่ มันจะทำการดูดซับมานา และเมื่อมันดูดซับมานาเสร็จ อัญมนณีก็จะเปลี่ยนเป็นสีฟ้า เนื่องจากมันทำมาเพื่อบรรจุมานาได้ค่อนข้างมาก มันจึงสามารถดูดซับแล้วกักเก็บมานาจนถึงวันมะรืนนี้ได้… ทว่าปัญหาก็คือตัวอีวาเอง ถ้ามานาของเธอต่ำเกินไปละก็ มันจะสร้างภาระให้กับร่างกายของเธอเอาได้หน่ะสิ」

 

「อา จริงด้วยสิครับ…」

 

ผมเองก็เคยมีประสบการณ์ที่เป็นลมลงไปเพราะขาดมานาเหมือนกัน ดังนั้นผมก็เลยเข้าใจเรื่องนี้ได้ดีเลยละ

 

「มันจะต้องสร้างภาระให้กับร่างกายของเธอแน่นอน โดยเฉพาะช่วงเวลาตึงเครียดแบบนี้แล้วด้วย ดังนั้นข้าก็เลยอยากจะขอให้เจ้าอยู่ข้างๆกายเธอเอาไว้ เรย์จิซัง」

 

「เรื่องแบบนี้ไม่จำเป็นต้องขอก็ได้ครับ」

 

เมื่อผมตอบกลับไปอย่างทันทีทันใด ท่านเอิร์ลก็ได้ส่ายหัวของเขา

 

「อีวาหวังพึ่งเจ้ามากกว่าที่เจ้าคิดนะ」

 

มันจะจริงหรือเปล่านะ? เอาเถอะ ผมคิดว่าผมมีความสุขไปพร้อมๆกับรู้สึกเขินอายเลยละ

 

「เข้าใจแล้วครับ งั้นผมขอตัวไปหาคุณหนูก่อนนะครับ」

 

「ขอบคุณมาก」

 

เมื่อผมยืนขึ้นและกำลังจะออกไปจากห้อง ผมก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้

 

「โอ๊ะ จริงสิ ไม่ใช่ว่ามีเรื่องจะพูดอยู่ 2 เรื่องไม่ใช่หรอครับ ท่านเอิร์ล?」

 

「โอ๊ะ–ใช่ ข้าลืมไปเลย」ท่านเอิร์ลพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงไม่แยแสใดๆ

 

「นอกจากเรื่องหินสกิลที่จะมอบให้กับเจ้าชายคลูฟชราทแล้ว เห็นได้ชัดว่ามันมีความเป็นไปได้สูงที่มันจะเป็น 7 ดาวขึ้นไปด้วย」

 

「โหว…」

 

เจ็ด!?

 

「หืมม? เป็นข้อมูลที่เจ้าอยากรู้นักหนาไม่ใช่รึ เรย์จิซัง?」

 

「มะ-ไม่ครับ คือแค่ผมไม่เคยได้ยินหิน 7 ดาวมาก่อนหน่ะครับ」

 

「ข้าเองก็ไม่เคยเหมือนกัน แต่ มันไม่ใช่หินสกิลที่เจ้ากำลังตามหา ถูกต้องไหม?」

 

「เรื่องนั้น— ครับ ถูกต้องแล้วครับ」

 

「เรย์จิซัง เจ้าดูจะรู้จักหินสกิลที่เจ้ากำลังตามหาอยู่แล้วสินะ ดังนั้นข้าก็เลยไม่คิดว่าเจ้าจะสนใจหินสกิล 7 ดาวขึ้นไปอันนี้หรอก」

 

น่ากลัวจริงๆ! ท่านเอิร์ลคาดเดาไปไกลถึงขั้นนั้นแล้วหรอเนี้ย

 

「ไม่ครับ ไม่ ผมสนใจอยู่นะครับ」

 

「ต่อให้เป็นหินสกิล 7 ดาวขึ้นไปอย่างนั้นรึ?」

 

「ต่อให้เป็นหินสกิล 7 ดาวขึ้นไปครับ!」

 

ถ้าท่านอยากจะคะยั้นคะยอละก็ ต่อให้เป็น 9 ดาวขึ้นไปก็ยังได้

 

「งั้นรึ? ข้าเข้าใจแล้ว โปรดดูแลอีวาด้วยนะ」

 

「ครับ」

 

ผมก้มหัวลงแล้วออกมาจากห้องของท่านเอิร์ล ก่อนจะมุ่งหน้าไปยังห้องนอนของคุณหนู

 

ตามที่คุณหมอประจำตระกูลซิวลิซส์ว่าเอาไว้ คุณหนูกำลังนอนหลับสนิทอยู่ ดังนั้นผมก็เลยขออนุญาตเข้าไปในห้องแล้วไปยืนอยู่ที่ข้างๆเตียง

 

ถึงมันจะยังเป็นตอนเช้าอยู่ แต่ด้านนอกนั้นยังมืดมิดพร้อมกับฝนที่โปรยปรายอยู่เช่นเดิม ภายในห้องนั้นสว่างไสวอย่างอ่อนโยนด้วยตะเกียงเวทมนตร์ที่ข้างเตียง

 

ผมนำเก้าอี้เล็กๆมาวางแล้วนั่งลงที่ข้างๆเตียง ตามปกติมันจะไม่ใช่เรื่องดีสำหรับคนคุ้มกันอย่างผมที่จะมายังห้องนอนของเธอแบบนี้ ทว่าดูเหมือนว่าท่านเอิร์ลจะอนุญาตแล้ว แถมยังมีเมด 2 คนยืนเตรียมพร้อมอยู่ที่มุมห้องด้วย ผมมองไปยังคุณหนูที่กำลังหลับไหล

 

(…ไม่คิดเลยว่าจะได้รู้เรื่องแม่ของคุณหนูแบบนี้)

 

ถ้าคุณหนูรู้เรื่องนี้ละก็ ผมมั่นใจเลยว่าเธอจะต้องเจ็บปวดแสนสาหัสแน่นอนเลย เธออาจจะคิดว่าเนตรเวทมนตร์ของเธอนั้นฆ่าแม่ของเธอเองเลยก็เป็นได้ – ถึงแม้จะไม่ใช่ความผิดของเธอเลยก็ตามที

 

(ถ้าผมสามารถช่วยคุณหนูโดยการอยู่ใกล้ๆได้ละก็ ผมก็ยินดีที่จะทำ แน่นอนว่าผมยังคงต้องตามหาลาร์คและลูลูช่าอยู่ แต่ผมยังสามารถอยู่ข้างกายเธอได้ อย่างน้อยๆก็จนกว่าเธอจะชินกับ【ควบคุมมานา】ผมอาจจะให้คำแนะนำบางอย่างเธอด้วย【World Ruler】ได้ก็ได้)

 

ในมือของผมนั้นมีอุปกรณ์เวทมนตร์ที่ได้รับมาจากท่านเอิร์ล — กำไลข้อมือที่ดูเหมือนกับเครื่องประดับธรรมดาๆ พอมองผ่าน【World Ruler】แล้ว ผมก็ได้เห็นสัญลักษณ์เวทมนตร์ถูกสลักเอาไว้ตรงบริเวณพื้นผิวที่สัมผัสกับมือโดยตรง

 

สำหรับผม เวทมนตร์ที่ถูกสลักเอาไว้นั้นดูราวกับโซ่ที่จะผูกมัดคุณหนูเอาไว้

 

(…ท่านเอิร์ลไม่ได้เล่าเรื่องราวส่วนตัวพวกนั้นเพราะเชื่อใจในตัวผม แต่เพราะเขาพยายามสร้างความเห็นใจอยู่ต่างหาก ยังไงซะ ท่านเอิร์ลก็เป็นคนประเภทนั้นอยู่แล้วนี่นะ)

 

แน่นอน ถ้าเขาอ่านใจผมได้ละก็ เขาคงจะพูดว่า “ข้าเล่าเรื่องพวกนี้เพราะว่าข้าเชื่อใจเรย์จิซังยังไงละ มันเป็นเรื่องน่าเศร้าที่เจ้าคิดแบบนั้น” โดยไม่ต้องสบตากันด้วยซ้ำ

 

 

 

บทที่ 2 ตอนที่ 29

 

ทันทีที่การประชุมจบลง พวกเราก็รีบมุ่งหน้ากลับคฤหาสน์ในทันที เพราะพวกเราถูกเรียกตัวกลับจากท่านเอิร์ลด้วยคนส่งสาร

 

ผมสงสัยว่าทำไมคนคุ้มกันของคุณชายอีธานถึงโบกมือให้กับผม แต่ทันทีที่การประชุมจบลง เธอก็ได้รีบกลับไปเหมือนกัน ดังนั้นผมก็เลยไม่มีโอกาสได้พูดคุยกับเธอเลยสักนิด

 

เมื่อพวกเรากลับมาถึงคฤหาสน์ ผมก็พบกับท่านเอิร์ลที่มีสีหน้าจริงจังรออยู่

 

「กัปตันแม็กซิม เรย์จิซัง ขอบคุณสำหรับความเหนื่อยยาก」

 

「กระผมแค่ทำตามหน้าที่ครับ」

 

แม็กซิมคุกเข่าลงต่อหน้าท่านเอิร์ล ในขณะที่ผมยังคงยืนอยู่เหมือนเดิม ถึงผมจะเป็นลูกจ้าง แต่ผมก็ไม่ได้สวามิภักดิ์ซะหน่อยนี่

 

เมื่อผมรายงานเรื่องราวการประชุมในวันนี้ทั้งๆที่ยืนอยู่แบบนั้น แม็กซิมก็ถูกขอให้ออกไปจากห้องตามปกติ น่าแปลกที่วันนี้หัวหน้าพ่อบ้านไม่อยู่ที่นี่ด้วย

 

「เรย์จิซัง มีเรื่องสำคัญ 2 เรื่องที่ข้าอยากจะพูดคุยในวันนี้」

 

「สำคัญหรอครับ? เกี่ยวกับพิธีมอบหินสกิลหรอครับ?」

 

「ไม่ มันเกี่ยวก็จริง แต่ก็ไม่ได้เกี่ยวกันตรงๆ」

 

「?」

 

ขณะที่ผมยืนอยู่ตรงนั้นอย่างงุนงง ดวงตาของท่านเอิร์ลก็ได้เรืองแสงออกมา แสดงถึงการใช้ “เนตรเวทมนตร์แห่งการสืบสวน” ของเขา

 

「เรย์จิซัง เจ้ารู้อะไรเกี่ยวกับดวงตาคู่นี้มั้ง?」

 

「มันเป็นดวงตาที่มีพลังพิเศษเมื่อส่งผ่านมานาเข้าไปใช่ไหมครับ? เป็นสื่งที่สามารถสืบทอดไปสู่ลูกหลานได้ แถมยังปรากฏได้ถ้าบรรพบุรุษมีมันแม้พ่อแม่จะไม่มีก็ตามครับ ทว่ามันก็ยังมีบางอันที่จะไม่ปรากฏถ้าพ่อแม่ไม่มีมันด้วยครับ อย่างเช่น “สัฟ้าศักดิ์สิทธิ์” ของราชวงศ์」

 

「ถูกต้อง ข้าเคยบอกเจ้าถึงเรื่องเนตรเวทมนตร์ของอีวาแล้วใช่ไหม?」

 

「ครับ มันคือ “เนตรเวทมนตร์แห่งการชักจูง” ใช่ไหมละครับ」

 

เนตรเวทมนตร์ที่จะชักจูงให้ผู้คนสู้เพื่อเธอเมื่อสบตากับเธอ ผมเองก็ไม่เคยเห็นมันถูกใช้งานเลย ดังนั้นต่อให้เป็น【World Ruler】ก็ไม่สามารถอธิบายผลของมันได้เลย

 

อย่างไรก็ตาม ถ้าเป็นคุณหนูละก็ ผมคิดว่าเธอคงชักจูงให้เหล่าชายหนุ่มต่อสู้เพื่อเธอโดยที่ไม่ต้องใช้เนตรเวทมนตร์อะไรนั่นได้อยู่แล้ว เพียงแค่มองดูเธอเติบโตขึ้นเป็นสาวงามในไม่กี่ปีมานี้ก็รู้แล้ว

 

「แล้วเนตรเวทมนตร์นั้นมันทำไมหรอครับ?」

 

「ก่อนหน้านี้มันทำงานหน่ะสิ」

 

「แต่ เธอก็น่าจะเคยใช้งานมันมาก่อนแล้วไม่ใช่หรอครับ?」

 

「เธอสามารถใช้งานมันได้ แต่ผลของมันจะอ่อนแอ แถมยังใช้มานาเยอะอีกด้วย เพราะข้าขอให้นักปิดผนึกที่มีชื่อเสียงปิดผนึกเนตรเวทมนตร์ของเธอเอาไว้」

 

「ผนึกเนตรเวทมนตร์ของเธอยังงั้นหรอครับ?」

 

หมายความว่าไงกัน? เป็นครั้งแรกที่ได้ยินเรื่องนี้เลย ผมเห็นดวงตาของคุณหนูมาหลายต่อหลายครั้งแล้ว ดังนั้น【World Ruler】ก็น่าจะเห็นผนึกสิ

 

ไม่สิ บางทีผนึกอาจจะไม่ได้ร่ายใส่ดวงตาของเธอตรงๆก็ได้ ถ้ามันถูกร่ายใส่ส่วนกักเก็บเวทมนตร์ในร่างกายละก็【World Ruler】ก็ไม่มีทางบอกได้ถ้าผมไม่เพ่งดูอย่างละเอียด

 

「…ข้าไม่เคยบอกเจ้าถึงเรื่องแม่ของอีวาเลย」ท่านเอิร์ลพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงหนักอึ้ง

 

เอาจริงๆนะ ผมไม่ได้อยากได้ยินเรื่องแม่ของคุณหนูในตอนนี้หรอก ทว่ามันเป็นสิ่งที่จำเป็นแน่ๆ เพราะท่านเอิร์ลตัดสินใจจะให้ผมรู้เรื่องนี้ในตอนนี้นี่นา

 

「มานาของอีวานั้นสูงมากๆเมื่อเทียบกับเผ่ามนุษย์ปกติ」

 

「เอ๊ะ?」

 

ไม่เห็นรู้สึกอย่างนั้นเลยแห่ะ แต่ก็แน่ละ ก็ผมไม่เคยเห็นคุณหนูใช้เวทมนตร์เลยนี่นา

 

ถึงยังงั้น ก็ยังมีนักเวทย์มากประสบการณ์ที่สังกัดภาคีอัศวิน หรือจอมเวทย์สายต่อสู้ในกิลด์นักผจญภัยที่มีมานามากพอจะเล็ดลอดออกมาจากร่ายกายของพวกเขาอยู่ด้วย ซึ่งผมสามารถตรวจจับได้ชัดเจนด้วย【World Ruler】ได้

 

「มานาของเธอนั้นมากพอที่จะทำให้เนตรเวทมนตร์ของเธอทำงานตั้งแต่เธอเกิดมาเลยละ ผลของมานาที่ไหลผ่านดวงตาของเธออย่างควบคุมไม่ได้นั้น – ได้ชักจูงมนุษย์ที่อยู่ใกล้กับเธอที่สุดเข้า」

 

ไม่มีทาง นั่นหมายความว่า…

 

ผมไม่อยากจะคาดเดาเลยด้วยซ้ำ เพราะผมรู้แล้วว่าเรื่องนี้มันจะจบไม่สวย

 

「…แม่ของเธอใช่ไหมครับ?」

 

ท่านเอิร์ลพยักหน้า ผมเคยพูดคุบกับท่านเอิร์ลมาหลายครั้งแล้วจาก “ช่วงรายงาน” ดังนั้นผมจึงเคยเห็นเขาพยักหน้ามาหลายต่อหลายครั้งแล้วเช่นกัน ทว่าในวันนี้ เขาดูหมดเรี่ยวแรงมากกว่าที่ผมเคยเห็น ทั้งความโกรธที่แสนจะทนและความเศร้าที่ไม่อาจอธิบายได้

 

「อเดล (Adele)… ภรรยาของข้าถูกผลของ “เนตรเวทมนตร์แห่งการชักจูง” จนทำร้ายหมอที่เข้ามาตรวจสุขภาพ ในตอนนั้นเธอได้โยนอีวาที่ยักเป็นทารกอยู่ออกไป โชคดีที่หมอไม่ได้เป็นอะไรมาก แต่อีวานั้นกระดูกแขนหัก」

 

「นั่นมัน… เป็นอุบัติเหตุที่โชคร้ายจริงๆครับ」

 

「ใช่แล้ว มันเป็นอุบัติเหตุ ไม่มีใครที่ผิดทั้งนั้น คนที่มีเนตรเวทมนตร์อย่างข้านั้นไม่ได้รับผลของเนตรเวทมนตร์อื่นๆ และอีวาเองก็หลับลึกจากการใช้มานา แต่ว่า…  ภรรยาของข้านั้นหลังจากที่เธอได้สติก็รู้สึกเศร้าโศกเสียใจ」

 

ท่านเอิร์ลหยุดพูดไปซักพัก แล้วจากนั้น เขาก็ได้สารภาพออกมาหมดทุกอย่างราวกับจะปลดปล่อยมันออกมาทั้งหมดพร้อมๆกัน

 

「ภรรยาของข้านั้นเป็นหญิงสาวที่ที่มีเกียรติมากๆ เธอไม่อาจให้อภัยตัวเธอเองได้จนเธอออกจากคฤหาสน์ไป」

 

「ท่านเอิร์ล… ท่านไม่เรียกตัวเธอกลับมาหรอครับ?」

 

「ข้าเรียกเธอหลายครั้งแล้ว ขนาดที่ข้าบอกเธอว่าเนตรเวทมนตร์ของอีวาเสถียรจากผนึกแล้วก็ตาม เธอก็ไม่เคยกลับมาเลยซักครั้ง」

 

「ทำไมท่านไม่ลอกเรียกเธอมาเข้าร่วมพิธีในครั้งนี้ละครับ?」

 

「…ข้าเองก็อยากจะทำยังงั้น」

 

อ่า เป็นอย่างนี้นี่เอง

 

ท่านเอิร์ลสายหัวของเขาอย่างอ่อนแอ ผมเข้าใจแล้ว

 

เธอไม่อยู่บนโลกใบนี้อีกต่อไปแล้ว

 

「…ภรรยาของข้าได้กลับไปยังบ้านของครอบครัวของเธอ ได้ล้มป่วยลงหลังจากให้กำเนิดเด็ก พอ 3 ปีต่อมาเธอก็ได้เสียชีวิตลง ดูเหมือนว่าเธอจะยังเสียใจในสิ่งที่เธอทำกับอีวาจนถึงวินาทีสุดท้ายเลย ข้าน่าจะใช้อำนาจของตัวเองในฐานะขุนนางแล้วพาเธอกลับมาแท้ๆ — ทว่า ตอนนี้ทุกอย่างมันก็ได้สายเกินไปแล้ว」

 

「เธอมาจากตระกูลขุนนางที่ต่ำกว่าอย่างนั้นหรอครับ?」

 

「ไม่ เธอเป็นสามัญชน」

 

ผมตกใจมากๆเลย ที่คนที่สมบูรณ์แบบอย่างท่านเอิร์ลนั้นมีภรรยาเป็นสามัญชนแบบนี้

 

「ข้าอยากจะหลีกเลี่ยงการเข้าใจผิดที่ไม่จำเป็นอย่างการส่งคนรับใช้ส่วนตัวไปยังบ้านของสามัญชนเพื่อบังคับให้อเดลกับมา ทว่านั่นกลับกลายเป็นเรื่องที่ผิดพลาดไป ตัวข้าเองก็ไม่เคยบอกอีวาถึงเรื่องสถานะของแม่ของเธอเลยสักครั้ง ดังนั้น ในตอนที่เธอพูดว่า “สังคมที่ทั้งสามัญชนและขุนนางอยู่กันอย่างเท่าเทียม” มันทำให้หัวใจของข้าแทบจะหยุดเต้นเลย ข้าเอาแต่คิดว่าถ้าสังคมแบบนั้นมีจริง บางทีข้าอาจจะช่วยอเดลเอาไว้ได้ก็ได้ แต่ว่า ถึงคิดแบบนั้นไปก็ไม่ได้อะไรขึ้นมาแล้วในตอนนี้ ฮาฮาฮาฮา」

 

ท่านเอิร์ลหัวเราะออกมา ผมไม่เคยได้ยินเสียงหัวเราะอันเปลี่ยวเหงาแบบนั้นมาก่อนเลย

 

 

 

บทที่ 2 ตอนที่ 28

 

เหลืออีก 2 วันจนกว่าจะถึงพิธีรับหินสกิล ทว่าดูเหมือนจะยังไม่คืบหน้าเรื่องคดีลอบวางยาพิษเลย

 

เหล่าขุนนางที่มาเข้าร่วมพิธีนั้นแน่นอนว่าถูกบังคับให้อยู่ในเมืองศักดิ์สิทธิ์มาเป็นเวลา 1 เดือนหลังจากจบ “งานเลี้ยงต้นกล้าแห่งคืนข้างขึ้น” แล้ว ท่านเอิร์ลบอกผมว่าพิธีมอบหินสกิลนั้นจะต้องจัดขึ้นตามตารางเวลา เพราะไม่สามารถเลื่อนออกไปได้อีกแล้ว

 

ถึงฝนจะเริ่มตกมาตั้งแต่คืนที่คุณหนูสัญญาจะให้หินสกิลกับผมก็ตาม ผมก็หวังว่าท้องฟ้าจะแจ่มใสในวันพิธีนะ

 

พิธีมอบหินสกิลนั้นแตกต่างจากงานเลี้ยง แต่มันถือเป็น “หน้าที่ของขุนนาง” ที่จะต้องแต่งตัวและเข้าร่วมอย่างมีฐานะ ดังนั้น ตั้งแต่เช้าวันนี้ ตัวคุณหนู, หัวหน้าเมด, และญาติห่างๆของท่านเอิร์ล – ป้าของคุณหนู – กำลังหารือกันเรื่องชุดเสื้อผ้าและทรงผมกันอยู่

 

「พวกเรามาถึงแล้ว ลงไปกันเถอะ」

 

「ครับ」

 

ผมกับแม็กซิมซังมาที่เขตศักดิ์สิทธิ์ที่ 1 เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับจัดการคุ้มกันในวันงาน เป็นครั้งแรกของผมที่ได้มาเขตนี้เลย ช่างน่าเศร้าที่ท้องฟ้านั้นมืดครึ้มไปด้วยเมฆฝนหนาๆทั้งๆที่เป็นตอนเช้าแท้ๆ

 

เขตศักดิ์สิทธิ์ที่ 1 นั้นเป็นแหล่งรวมสำนักงานส่วนกลางต่างๆของประเทศ ถนนนั้นกว้างขวาง, สะอาด, และปูด้วยหินอย่างสวยงาม น้ำฝนหยดลงบนหินที่รถม้าเคลื่อนผ่าน

 

พวกเราได้มุ่งหน้ามาที่อาคาร “สำนักงานจัดการหินสกิล” มันเป็นอาคาร 3 ชั้นที่ทำจากหินสีขาว พวกเราลงจากรถม้าตรงทางเข้าและมาถึงช้ากว่าคนคุ้มกันของตระกูลอื่นๆ

 

(ทุกคนดูอายุค่อนข้างเยอะเลยแห่ะ…)

 

ขนาดที่ดูเด็กที่สุดยังดูประมาณ 20 ปลายๆเลย และส่วนมากนั้นอายุมากกว่า 40 เข้าไปแล้ว บางคนก็ดูจะเป็นอัศวินที่สวมใส่ชุดที่เคลื่อนไหวได้ง่ายพร้อมกับห้อยดาบเอาไว้ที่เอว มีบางคนที่ถือไม้เท้าขนาดเล็กด้วย คงจะเป็นนักเวทย์ละมั้ง

 

เนื่องจากทุกคนนั้นมาจากต่างเผ่าพันธุ์กัน เห็นได้ถึงความหลากหลายของราชอาณาจักรครูวานศักดิ์สิทธิ์เลยละ

 

มีคนที่เป็นเด็กเหมือนกับผมอยู่ด้วย — แต่ภาพลักษณ์กับอายุนั้นแตกต่างกันไปตามเผ่าพันธุ์ด้วย ดังนั้นผมก็ไม่แน่ใจในเรื่องนี้เหมือนกัน

 

「–แหม่ๆ ตระกูลไวเคานต์กุยนีไม่ใช่รึ? ตระกูลของแกไม่ได้เข้าร่วมพิธีในปีนี้ไม่ใช่รึไง?」

 

「–ใช่ แต่ปีนี้เจ้าชายศักดิ์สิทธิ์จะเข้าร่วมด้วยนี่นา ดังนั้นพวกเราก็เลยเจียดเวลามาคุ้มกันแบบนี้」

 

「–ตระกูลอื่นๆเองก็ดูจะมาด้วยเหตุผลเดียวกันสินะ เพราะเลื่อนมาเดือนนึง ตระกูลขุนนางจากทั่วประเทศก็เลยมาเข้าร่วมงานกัน ผู้เข้าร่วมจะต้องสูงกว่าตอนที่เจ้าชายลำดับที่ 1 เข้ารับหินสกิลแน่ๆเลย」

 

「–อย่างที่คิด งานเลี้ยงคง…」

 

「–อย่าพูดดังสิ」

 

「–โอ๊ะ จริงด้วยสิ… ยังไงก็เถอะ หินสกิลแบบไหนกันนะที่เจ้าชายคลูฟชราทจะได้รับ?」

 

เหล่าหัวหน้าอัศวินของแต่ละตระกูลเคลื่อนตัวไปยังห้องประชุมที่ชั้นแรกของ “สำนักงานจัดการหินสกิล”

 

ห้องประชุมนั้นกว้างขวางจนถึงขนาดที่สามารถจัดงานเลี้ยงในห้องได้เลย มีโต๊ะกลมมากกว่า 10 ตัวอยู่ในห้องนี้ ดูเหมือนที่นั่งของพวกเราจะแบ่งจัดตามระดับชั้นตามขุนนาง ผมเดินตามแม็กซิมซังไปที่โต๊ะที่มีเหล่าอัศวินตระกูลเอิร์ลซิวลิซส์นั่งอยู่

 

(ทุกคนกำลังหารือในหัวข้อเดียวกันเลย…)

 

พิธีมอบหินสกิลในปีนี้นั้นหาได้ยากกว่าทุกๆปี ด้วยเหล่าขุนนางจากทั่วทั้งประเทศได้มารวมกันที่เมืองศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้

 

ขุนนางทุกคนรู้เรื่องที่มีการวางยาพิษในงานเลี้ยงนั้นกันหมดแล้ว – ถ้าพวกเขาไม่โพล่มาที่เมืองศักดิ์สิทธิ์ในเวลานี้ละก็ พวกเขาอาจจะถูกสงสัยเอาได้ ดังนั้นพวกเขาก็เลยมากันหมดเลย และในตอนนี้ หัวข้อเรื่องหินสกิลของเจ้าชายคลูฟชราทกำลังกลายเป็นประเด็นร้อนเลย

 

(ดูเหมือนจะไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับหินสกิลสักนิด… เหมือนกับที่ท่านเอิร์ลว่าไว้เลย ดูจะมีผู้คนของ “สำนักงานจัดการหินสกิล” จำนวนน้อยนิดเท่านั้นที่รู้สินะ)

 

จากข้อมูลที่หลุดออกมา ดูเหมือนว่าราชันศักดิ์สิทธิ์องศ์ปัจจุบันจะได้รับหินสกิลที่เรียกว่า 【ประสิทธิภาพ ★★★★】จากองศ์ก่อน เรื่องที่เขาจะใช้มันไหมนั้น ผมมั่นใจเลยว่าไม่ได้ใช้มันแน่นอน งานพิธีมอบหินสกิลนั้นมีไว้เพื่อแสดงบรรดาศักดิ์ของราชันศักดิ์สิทธิ์กับเหล่าขุนนาง ว่ากันว่าราชันศักดิ์สิทธิ์องศ์ก่อนนั้นประทานหินสกิลให้เพื่อหวังให้เห็นเป็น “ราชันศักดิ์สิทธิ์ผู้เป็นมิตร”

 

แล้วก็ยังว่ากันว่า เจ้าชายลำดับที่ 1 นั้นได้รับ【ทักษะดาบคู่ ★★★★】และเจ้าหญิงลำดับที่ 1 เองก็ได้รับ【เวทย์ศักดิ์สิทธิ์ ★★★★】ด้วย เห็นได้ชัดเลยว่าราชันศักดิ์สิทธิ์องศ์ปัจจุบันนั้นไม่ได้เป็น “ราชันศักดิ์สิทธิ์ผู้เป็นมิตร” เลยสักนิด

 

มันเป็นเรื่องที่แปลกประหลาดมากที่เจ้าหญิงศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่ 1 ได้รับ【เวทย์ศักดิ์สิทธิ์ ★★★★】แทนที่จะเป็น【เวทย์มนุษย์】— ซึ่งสามารถจะชักจูงความรู้สึกของผู้อื่นหรือเสริมแกร่งจิตวิญญาณของตน — ที่หมายถึง “บุคคลที่ยืนอยู่เหนือผู้อื่น” แบบนั้น ทว่า【เวทย์ศักดิ์สิทธิ์ 】นั้นมีไว้เพื่อจัดการมอนสเตอร์อันเดดและชำระล้างพื้นที่ที่สกปรกเท่านั้น ว่าง่ายๆก็เป็นอะไรที่คนใหญ่คนโตในโบสถ์ควรจะมีนั่นแหล่ะ

 

พูดอีกอย่างก็คือ ผู้คนคิดว่านั่นเป็นข้อความจากราชันศักดิ์สิทธิ์ว่า “เจ้าจะถูกตัดสิทธิ์จากการขึ้นครองบัลลังก์” นั่นเอง

 

…นั่นเป็นสิ่งที่ผมได้ยินมาจากท่านเอิร์ลอะนะ

 

อนึ่ง เวทมนตร์ธาตุทั้ง 8 อย่าง【เวทย์ไฟ】กับ【เวทย์น้ำ】นั้นอยู่ในหมวดหมู่ “ประเภทเวทมนตร์” ที่มีหินสกิลเป็นสีฟ้า ส่วนอะไรอย่าง【เวทย์ศักดิ์สิทธิ์ 】,【เวทย์มนุษย์ 】, และ【เวทย์รักษา】นั้นอยู่ในหมวดหมู่ “ประเภทลึกลับ” ที่มีหินสกิลเป็นสีขาว ผู้คนบางส่วนก็เลยเรียกพวกมันรวมๆว่า “เวทย์ลึกลับ”

 

(ไม่มีใครรู้ว่าตัวราชันศักดิ์สิทธิ์องศ์ปัจจุบัน, เจ้าชายศักดิ์สิทธิ์, และเจ้าหญิงศักดิ์สิทธิ์นั้นมีสกิลอะไรอยู่บ้าง…)

 

เอาเถอะ เนื่องจากพวกเขาเป็นเสาหลักของประเทศ พวกเขาคงจะไม่ไปต่อสู้ด้วยดาบตรงๆกันจริงๆหรอก ดังนั้นสกิลที่พวกเขาเลือกก็น่าจะเป็นประเภทเสริมกำลังสมองหรือช่วยให้สุขภาพแข็งแรงมากกว่า

 

「เออ, ทุกท่าน, ขอขอบคุณที่เข้าร่วมกับพวกเราในวันนี้, เออ, ขอขอบคุณที่เฝ้ารอกันอย่างใจเย็นนะครับ」

 

ผมตกตะลึงกับบุคคลที่ยืนอยู่บนเวที มันเป็นกระต๋ายขาวขนาดใหญ่ บางทีคงจะเป็นมนุษย์สัตว์เผ่ากระต๋ายละมั้ง…? ถึงมันจะดูเหมือนกับกระต๋ายยักษ์ที่สวมหมวกกับชุดคลุมทางศาสนาก็เถอะ แถมยังสวมสายสะพายไหล่, กระเป๋าเครื่องมือ, และที่ห้อยไม้เท้าด้วย

 

เขา— จะเรียกว่า “เขา” ได้ไหมนะ? — วางกองกระดาษที่ขนมาด้วยกันกับผู้ช่วยของเขา (ซึ่งเป็นมนุษย์) ลงบนโต๊ะข้างๆ

 

「กระผมเอล-กุ-ลารุน (El-Gu-Larun), นักบวชชั้นสูงแห่ง “สำนักงานจัดการหินสกิล”, เออ, เป็นเวลานานแล้ว, เออ, ยินดีที่ได้รู้จักนะครับ」เอลพูดขึ้นพร้อมกับก้มหัวลง

 

(อย่างกับบทพูดทักทายตอนต้นวีดีโอของยูทูปเบอร์เลย)

 

ตามที่แม็กซิมซังได้พูดเอาไว้ เขาเป็นนักบวชมากประสบการณ์และได้ขึ้นเป็นนักบวชชั้นสูงในตอนงานพิธีมอบหินสกิลของราชันศักดิ์สิทธิ์องศ์ก่อน ทุกคนต่างพากันสงสัยเรื่องอายุของเขา ทว่ามันกลายเป็นความลับตลอดกาลไปแล้ว

 

จากกองกระดาษหนาๆนั้น กระดาษแต่ละแผ่นได้ถูกแจกจ่ายไปตามตระกูลต่างๆ มันได้เขียนกำหนดการณ์ต่างๆของพิธีในวันพรุ่งนี้ซึ่งรวมไปถึงกฏข้อบังคับด้วย ในโลกใบนี้ที่ไม่มีเทคโนโลยีการพิมพ์นั้น ได้มีสกิลที่เรียกว่า【ทักษะการเขียน】ที่ทำให้ผมสงสัยว่ามันจงใจมีไว้เพื่อชะลอการก้าวหน้าทางเทคโนโลยีหรือเปล่าเลย กระดาษมากมายที่นำมาแจกนั้นอาจจะถูกคัดลอกด้วยมือภายในไม่กี่ชั่วโมงด้วยสกิลนั้นเลยก็ได้

 

ตัวสถานที่จัดงานนั้นจะถูกคุ้มกันโดยภาคีอัศวินที่ 1 เพียงเท่านั้น ซึ่งเป็นทีมหัวกระทิที่นำโดยผู้บัญชาการอัศวิน ที่จริงแล้ว การรักษาความปลอดภัยของพระราชวังศักดิ์สิทธิ์นั้นเป็นหน้าที่ของภาคีอัศวินที่ 1 อยู่แล้ว ดังนั้นจึงไม่สามารถให้คนอื่นทำแทนได้ อืม… มันเป็นจุดศูนย์กลางของราชอาณาจักรศักด์สิทธิ์เลยด้วย ผมจินตนาการไม่ออกเลยว่าจะมีใครบุกเข้าไป

 

(……หืมม)

 

เมื่อผมมองไปที่เวที ผมก็รู้สึกสายตาของใครบางคนจากโต๊ะที่อยู่ใกล้กับเวที ตรงนั้น ตรงที่มีเหล่าอัศวินของขุนนางชั้นสูงนั่งอยู่

 

(นั่นใช่คนคุ้มกันของคุณชายอีธานหรือปล่าว?)

 

คนค้มกันเผ่าฮาร์ฟลิงกำลังจ้องมองผมอยู่

 

「อ้า!」

 

เธอยิ้มพร้อมกับโบกมือให้กับผม ผมก็เลยก้มหัวตอบกลับไป ถ้าไม่มองว่าเธอเป็นคนคุ้มกันละก็ เธอเองก็เป็นสาวสวยคนนึงเหมือนกัน ดังนั้นผมเลยไม่รู้สึกแย่อะไรในตอนที่เธอโบกมือให้กับผม

 

คนคุ้มกันคนนี้ดูจะอายุ 20 ต้นๆแตกต่างกับรูปลักษณ์ภายนอก… ผมมั่นใจเลยว่าเธอยังเป็นเด็กอยู่แน่เลย ถึงตัวผมเองจะพูดแบบนั้นไม่ได้ก็เถอะ คิดว่านะ…

 

 

 

บทที่ 2 ตอนที่ 27

 

คุณหนูกำลังอารมณ์ดีหลังจากการได้เข้าร่วมงานเลี้ยงน้ำชาของตระกูลเอเบน อารมณ์ดีถึงขนาดที่ตอบคำถามของผมตอนที่อยู่บนรถม้าได้อย่างลื่นไหลเลยละ

 

「คุณหนูครับ งานเลี้ยงน้ำชาวันนี้ดูจะสนุกมากๆเลยสินะครับ」

 

「ใช่แล้วละ ชั้นได้รู้แล้วว่าความคิดของท่านอีธานนั้นขึ้นอยู่กับความรู้ด้านยาของเผ่าฮาร์ฟลิง และท่านมิร่าเองก็เน้นไปทางด้านการทหารเป็นหลักด้วย ในประเทศนี้นั้น มี 6 ตระกูลดยุคที่มีอิทธิพลทางการเมืองอยู่ นอกจากนั้นก็ยังมี 4 ตระกูลมาร์ควิสที่ครองตำแหน่งสูงๆ, 4 ตระกูลเอิร์ลประจำชายแดนที่ครอบครองกำลังทหาร, และ 20 ตระกูลเอิร์ลซึ่งนับรวมชั้นด้วย ถ้าพวกเรานับรวมตระกูลไวเคานต์กับบารอนเข้าไปด้วยละก็ จำนวนก็จะแตะ 3 หลักเลยนะ ถึงชั้นจะรู้เรื่องพวกนี้มาก่อนแล้วก็จริง แต่ชั้นก็ไม่ได้รู้จักพวกเขาจริงๆเลยหน่ะสิ ดังนั้น ชั้นดีใจจริงๆที่สามารถพูดคุยกับทุกคนได้แบบนี้」

 

「คุณหนูอยู่บนระเบียงทางเดินกับคุณชายหลุยส์ด้วยใช่ไหมละครับ?」

 

ในตอนที่อยู่ในงานเลี้ยงน้ำชา หลุยส์กับคุณหนูได้ออกไปตรงระเบียงกันสองคน ในตอนนั้น หลุยส์ดูจะพูดอะไรบางอย่างออกมาอย่างกระตือรือร้นเลยละ ตัวคุณหนูเองก็ดูจะรับฟังอย่างกระตือรือร้นเช่นกัน

 

「ใช่แล้วละ ใช่แล้วละ เป็นอย่างนั้นจริงๆ」

 

「โอ้ นั่นเองก็เป็นหนึ่งในสิ่งที่ทำให้คุณหนูร่าเริงอย่างนั้นหรือครับ?」

 

「ท่านหลุยส์เห็นด้วยกับความคิดของชั้นละ!」

 

「…เมื่อกี้ว่ายังไงนะครับ?」

 

ผมคิดว่าผมได้ยินอะไรบางอย่างแปลกๆ

 

「ชั้นบอกท่านหลุยส์เกี่ยวกับไอเดียของชั้นหน่ะ การตระหนักถึงสังคมที่ทุกคนเท่าเทียมกันนั้น มันเป็นสิ่งที่จะทำได้เฉพาะคนที่มีอำนาจ ชั้นก็เลยคุยกับเขาเรื่องที่ขุนนางนั้นผูกขาดหินสกิลที่ถูกผลิตขึ้นจากแท่นบูชาที่หนึ่งโดยทั้งๆที่มันถูกประทานโดยพระเจ้าแท้ๆ」

 

「…คุณหนูครับ ได้โปรดงดคุยกับคนอื่นถึงเรื่องนี้ด้วยครับ」

 

「แน่นอนอยู่แล้ว ยังไงซะถ้าเป็นถึงขุนนางก็ต้องงดเว้นการวิพากษ์วิจารณ์ “กฏแห่งราชันศักดิ์สิทธิ์จะส่องสว่างไปทั่วประเทศ” ของฝ่าบาทอยู่แล้ว」

 

คุณหนูรู้อยู่แล้ว… รู้อยู่แล้วสินะ? มันจะไม่เป็นอะไรใช่ไหมเนี้ย?

 

「เรย์จิ ไม่ต้องกังวลขนาดนั้นหรอกหน่า」

 

ใบหน้าของคุณหนูเปลี่ยนไปเป็นบูดบึ้ง ขนาดเธอทำหน้าอย่างนั้นก็ยังสง่างามเลย

 

「ที่ชั้นบอกนายทั้งหมดนี้ก็เพราะว่าชั้นไว้ใจนายยังไงละ! ท่านหลุยส์เองก็สาบานต่อดาบของเขาแล้วว่าจะไม่เอาไปบอกใครด้วย ดังนั้นชั้นก็บอกเขาไปทุกอย่างเลย」

 

「งั้นหรอครับ…」

 

สำหรับนักดาบโดยเฉพาะตระกูลโรซีเออร์ของหลุยส์ที่ยึดถึงในวิชาดาบแล้ว การสาบานต่อดาบของเขานั้น เขาจะต้องทำการตัดสินใจมาอย่างดีแล้วแน่นอน เอาเถอะ จากมุมมองของผม เขาก็ดูไม่ต่างอะไรไปจาก “เด็กที่กำลังมีความรัก” หรอก

 

「แล้วก็นะ เรย์จิ ที่ชั้นถามไปก่อนหน้านี้ว่าอะไรเป็นสิ่งที่ทำให้ราชอาณาจักรศักดิ์สิทธิ์มีผู้คนหลากหลายเผ่าพันธ์ุหน่ะ?… เป็นคำถามที่ง่ายมากๆเลยนะ」

 

「ตัวฝ่าบาทราชันศักดิ์สิทธิ์กับเหล่าขุนนางทั้งหลายครับ」

 

「…ถูกต้อง ตอบถูกตั้งแต่แรกแบบนี้มันน่าเบื่อจัง」

 

คุณหนูหน้าบึ้งอีกแล้ว

 

ประเทศนี้นั้นยอมรับความแตกต่าง ดังนั้นมันก็เลยไม่มีกำแพงเผ่าพันธุ์

 

อย่างไรก็ตาม พวกเราก็ยังต้องการสิ่งที่จะยึดมั่นพวกเขาเอาไว้ – และสิ่งนั้นก็คือการปกครองแบบชนชั้นทางสังคมของขุนนาง และรวมถึงสัญลักษณ์ที่ยิ่งใหญ่ – ราชาศักดิ์สิทธิ์นั่นเอง

 

ผมคิดว่าสังคมขุนนางที่คุณหนูมองว่ามัน “ไม่เท่าเทียม” นั้นเป็นระบบที่จำเป็น ภึงมันจะเป็นปัญหาตอนที่มีขุนนางหน้าโง่ไปผูดขาดหินสกิลก็เถอะ ตัวคุณหนู, คุณชายอีธาน, และเหล่าคนที่ตอนแรกผมยังกังขาอยู่อย่าง – หลุยส์, คุณหนูมิร่า, และคุณหนูชาล็อต พวกเขาทั้งหมดดูจะเรียนรู้มาอย่างหนักเลยนะ

 

ที่เรียกกันบ่อยๆว่า พลังอันยิ่งใหญ่ย่อมมาพร้อมกับความรับผิดชอบอันใหญ่ยิ่ง สินะ

 

บุคคลที่มีความรับผิดชอบมากที่สุดก็คือราชันศักดิ์สิทธิ์ บุคคลเพียงหนึ่งหนึ่งเดียวที่นั่งอยู่บนจุดสูงสุด บุคคลเพียงคนเดียวที่มีพลังอันยิ่งใหญ่ ตำแหน่งที่ยิ่งใหญ่จนผู้คนต่างพากันคิดว่า “ถ้าฝ่าบาทสั่งมาละก็ มันก็ช่วยไม่ได้ละนะ” นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมพวกเขาถึงยึดติดกับสัญลักษณ์อย่าง “สีฟ้าศักดิ์สิทธิ์” นัก

 

「เพราะท่านหลุยส์นั้นมาจากตระกูลโรซีเออร์ที่สามารถควบคุมสำนักงานจัดการหินสกิลได้ยังไงละ เขาก็เลยอยากแจกจ่ายหินสกิลให้กับผู้คนอย่างเท่าเทียม」

 

「โอ๊ะ ตระกูลโรซีเออร์เป็นผู้นำของสำนักงานจัดการหินสกิลยังงั้นหรอครับ?」

 

「ใช่แล้วละ ชั้นได้ยินมาว่าผู้นำตระกูลเป็นอย่างนั้นละนะ」

 

งั้นก็หมายความว่าพ่อของหลุยส์เป็นหัวหน้าของท่านเอิร์ลหน่ะสิ?

 

ถ้าหลุยส์ขอคุณหนูแต่งงานละก็ ท่านเอิร์ลก็จะปฏิเสธไม่ได้ หรือปล่าวนะ?… หิมม หรือบางที เขาอาจจะแค่ทำงานที่นั่นเพราะจำเป็น และมันก็ไม่มีการแบ่งลำดับชั้นกัน?

 

(ไม่สิ เขาเป็นถึงหนึ่งใน 6 ดยุคผู้ยิ่งใหญ่เลยนะ…)

 

อยู่ๆผมก็รู้สึกตัวถึงบางสิ่ง

 

「แล้วก็นะครับ คุณชายหลุยส์มีญาติพี่น้องด้วยหรือเปล่าครับ?」

 

「เขาบอกว่าเขามีน้องชายกับน้องสาวอยู่เยอะแยะเลย」

 

โอ้ ให้ตายเหอะ เขาเป็นถึงผู้สืบทอดด้วย…

 

ผมเริ่มสงสัยแล้วว่าทุกอย่างมันจะโอเคจริงๆหรือเปล่า เอาเถอะ นั่นไม่ใช่สิ่งที่ผมจะต้องไปกังวลซักหน่อย ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของท่านเอิร์ลไปละกัน

 

「…เรย์จิ คือว่า ชั้นจะได้รับหินสกิลในอีก 3 วันข้างหน้าหน่ะ」คุณหนูพูดขึ้นอย่างกระสับกระส่ายลังเลด้วยเหตุผลบางอย่าง

 

「จริงด้วยครับ ยินดีด้วยนะครับ」

 

ถึงผมจะไม่เข้าใจว่าทำไมเธอถึงรู้สึกลังเลก็เถอะ ผมก็เลยแสดงความยินดีให้กับเธอไปก่อน

 

ผมมั่นใจว่าตระกูลขุนนางทุกตระกูลคงจะเอาพูดถึงแต่เรื่องนี้ในช่วงนี้แน่นอน ตัวอย่างเช่น – “นี่ พ่อจ๋า พ่อจะเอาหินสกิลอะไรให้หนูงั้นหรอ?”, “ฮ่าๆๆ ลูกก็รู้ว่าพ่อจะต้องเก็บเป็นความลับอยู่แล้ว ใช่ไหมละ?”, “ไม่ บอกหนูหน่อยสิ…”, “ฮ่าๆ ไม่มีทาง” อะไรแบบนี้ หรือบางทีพวกเขาจะพูดเป็นทางการมากกว่านี้หรือเปล่านะ? ก็พวกเขาอายุ 12 ปีกันแล้วนี่นา

 

และต่อให้เป็นท่านเอิร์ล ถึงเขาจะไม่แสดงออก แต่ตัวคุณหนูเองก็สำคัญสำหรับเขามากๆเลย ดังนั้นผมมั่นใจว่าเขาจะต้องเตรียมหินสกิลที่มีราคาแพงมากๆเอาไว้แน่ๆเลย

 

「ชั้นคิดว่าท่านพ่อจะต้องเตรียมบางอย่างที่หายากมากๆและเหมาะสำหรับ ‘ขุนนาง’ ให้กับชั้นแน่ๆเลย」

 

「ครับ ท่านเอิร์ลซิวลิซส์จะต้องเตรียมบางสิ่งสุดพิเศษเอาไว้แน่นอนเลยครับ」

 

「เพราะงั้น ชั้น…」

 

「ครับ?」

 

「ชั้น… จะมอบมันให้กับนาย เรย์จิ」

 

「……เอ๊ะ?」

 

มอบให้กับผม? หินสกิลนะหรอ!?

 

「ชั้นจะมอบหินสกิลที่นายสมควรจะได้รับ! จงยินดีซะสิ!」

 

「——」

 

อา~ เป็นอย่างนั้นนี่เอง คุณหนูอยากจะมอบ “ของขวัญ” ให้กับผมนี่เอง

 

เพราะงั้นเธอถึงกระสับกระส่ายสินะ

 

โชคร้ายที่ผมนั้น*อายุ 16 ปีบวกกับ 4 ปีที่ผมใช้ชีวิตที่โลกใบนี้ ดังนั้นผมจึงมีอายุจิตใจเกือบจะ 20 ปีแล้ว ทว่าความคิดของคุณหนูก็ยังทำให้ผมมีความสุขอยู่ดี

 

「ขอบคุณครับ ผมดีใจจริงๆครับ คุณหนู」

 

「…นายดีใจจริงๆนะ?」

 

「แน่นอนครับ!」

 

ใบหูของคุณหนูนั้นแดงระเรื่อพร้อมกับแอบมองมาที่ผม ดังนั้นผมก็เลยตอบกลับไปด้วยรอยยิ้ม

 

「งั้นหรอ นายตั้งตารอเอาไว้ได้เลยนะ」

 

คุณหนูละสายตาไปจากผมแล้วหันหน้าหนี ใบหน้าของเธอนั้นเต็มเปี่ยมไปด้วยความสุข

 

==========================================================

*เพื่อใครงงนะครับ พระเอกน่าจะหมายถึงอายุ 16 ปีในชาติก่อนบวกกับ 4 ปีหลังจากได้ความทรงจำกลับมา พระเอกน่าจะไม่ได้รวมตอนที่ยังไม่ได้ความทรงจำครับ

ปล.ช่วงนี้อาจจะลงนิยายได้ช้าลงนะครับเพราะติดงานของมหาลัย

 

 

บทที่ 2 ตอนที่ 26

 

* คนคุ้มกัน: เลเลนอร์ *

 

เผ่าฮาร์ฟลิงนั้นมีนิสัยที่แตกต่างกันออกไป ทว่าเซ้นส์ด้านสีของเธอนั้นเป็นเอกลักษณ์เอามากๆ

 

มิมิโนะนั้นสวมเสื้อคลุมสีส้มพร้อมกับตุ้มหูสีสดใส กระเป๋าสะพายห้อยลงมาจากไหล่ของเธอทำจากเส้นใยสีเงินและสีแดงสด มันประดับด้วยดอกไม้ดอกใหญ่ – ดอก “คลัสเตอร์อะมาริลลิส (ฮิกันบานะ)” อันมีตำนานเล่าขานกันว่าสามารถชุบชีวิตคนตายได้

 

ผมยาวสีอำพันของเธอนั้นถักอย่างประณีต และหน้าม้าหนาๆก็ห้อยเอาไว้ที่ตาขวาของเธอ

 

พอมองดูดวงตาสีฟ้ากลมโตของเธอแล้ว ต่อให้เป็นเลเลนอร์ที่ไม่ได้เจอกับเธอมานานแล้วก็ยังพูดว่า “เธอไม่เปลี่ยนไปเลยสักนิด มิมิโนะ”

 

เลเลนอร์กับมิมิโนะได้เปลี่ยนสถานที่มาเป็นร้านคาเฟ่ใกล้ๆกับกิลด์นักผจญภัย ทั้งคู่นั่งอยู่ตรงข้ามกันและกันก่อนจะสั่งน้ำผลไม้ที่ทำจากส้มที่เป็นของขึ้นชื่อของราชอาณาจักรครูวานศักดิ์สิทธิ์

 

「เธอเองก็ไม่เปลี่ยนไปเลยนะ เลเลนอร์ เธอยังใส่ชุดเหมือนเดิมตั้งแต่ที่ชั้นเจอเธอเมื่อหลายปีก่อนเลยนะ」

 

「ยะ-อย่าเอาเรื่องนั้นมาพูดสิยะ! เพราะงานที่ชั้นทำ ปกติชั้นก็ต้องสวมชุดที่เป็นทางการอยู่แล้ว」

 

「โอ๊ะ งานคุ้มกันของเธองั้นหรอ?」

 

「ใช่ๆ」

 

「วันนี้เธอหยุดงั้นหรอ?」

 

「วันนี้ คุณชายเขาเชิญแขกมางานเลี้ยงน้ำชาที่บ้านหน่ะ ดังนั้นก็เลยไม่เป็นไร ชั้นจะต้องคุ้มกันเขาเมื่อเขาออกไปข้างนอกเท่านั้นแหล่ะ แถมช่วงนี้เขาเองก็หาเพื่อนดีๆได้บ้างแล้วด้วย เขาแทบจะออกไปข้างนอกทุกวันเลยละ」

 

「งานหนักหน้าดูเลยนะ」

 

「วันนี้ได้จังหวะเหมาะพอดีเลยละ เพราะตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไป 3 วันชั้นจะไปไหนไม่ได้เลย มันจะมีพิธีมอบหินสกิลให้กับคุณชายจัดขึ้น แล้วชั้นจะต้องไปซ้อมคุ้มกันอะไรเทือกนั้นด้วย มันจะต้องวุ่นวายมากแน่ๆเลยละ」

 

「พิธีมอบหินสกิล? มีอะไรแบบนั้นด้วยหรอ?」

 

「ใช่แล้ว… มีอะไรหลายๆอย่างเกิดขึ้นเลยละ」เลเลนอร์พูดขึ้นในขณะที่มองไปยังที่ไกลแสนไกล

 

เธอต้องอาศัยอยู่ในเมืองศักดิ์สิทธิ์เพราะไม่สามารถกลับได้ แต่มันจะจบลงในอีก 3 วันแล้ว จนกว่าพิธีมอบหินสกิลจะจบลง

 

เครื่องดื่มที่พวกเธอสั่งได้มาเสิร์ฟแล้ว เลเลนอร์จิบมันเล็กน้อย มันไม่ได้มีเพียงแค่ส้มเท่านั้น มันได้ผสมผลไม้อื่นๆลงไปด้วย เนื่องจากโลกนี้ไม่มีแก้วที่ทำจากแก้ว มันจึงเสิร์ฟด้วยแก้วเหล้าที่ทำจากทองแดงแทน บางทีมันอาจจะถูกทำให้เย็นด้วยเวทมนตร์หรืออุปกรณ์เวทมนตร์อะไรแบบนั้น ดังนั้นเมื่อเธอดื่มมันเข้าไป เธอก็รู้สึกสดชื่นมากๆ เลเลนอร์ตัดสินใจแล้วว่าคราวหน้าเธอก็จะสั่งมันอีกแน่นอน

 

อนึ่ง ร้านที่พวกเธอนั่งนั้นเป็นร้านเกรดสูง ราคาเองก็สูงเช่นกัน ถ้าเป็นร้านค้าธรรมดาๆละก็ พวกเขาจะเสิร์ฟด้วยแก้วไม้ และถ้าเป็นร้านแผงลอยละก็ จะต้องพกแก้วไปเองด้วย

 

「ชั้นตกใจเลยนะที่ได้รับการติดต่อมาจากเธอ มิมิโนะ ขอโทษที่ตอบกลับช้านะ ชั้นต้องมาที่เมืองศักดิ์สิทธิ์เพื่อคุ้มกันคุณชาย ดังนั้นมันก็เลยต้องใช้เวลาสักหน่อยในการเขียนจดหมายตอบกลับหน่ะ」

 

「ไม่ ไม่เป็นไรหรอก ชั้นเองก็ต้องใช้เวลาสักพักในการข้ามชายแดนมาเหมือนกัน」

 

「ชายแดนของราชอาณาจักรอัศวินนักบุญสินะ? มีอะไรเกิดขึ้นงั้นหรอ?」

 

「โอ๊ะ ปล่าวหรอก ชั้นไปที่จักรวรรดิเวทมนตร์เลฟตามคำร้องของกิลด์หน่ะ」

 

「อะไรน้าาาา? ทำไมถึงไปที่นั่นหล่ะ?」

 

เลเลนอร์ตกใจมากๆด้วยเหตุผลบางอย่าง

 

ประเทศที่ถูกเรียกว่าจักรวรรดิเวทมนตร์นั้นก้าวหน้าทางด้านการวิจัยเวทมนตร์อย่างมาก และพวกเขาก็เป็นคนเผยแพร่เทคโนโลยีสุดลำหน้าอย่างเรือเหาะเวทมนตร์แก่ประเทศต่างๆด้วย ประชาชนทุกคนนั้นเป็นเผ่าพันธ์ุเดียวกันที่มีชื่อว่าเลฟ เป็นมนุษย์สัตว์ที่มีพื้นฐานมาจากสัตว์เลื้อยคลาน พวกเขาจะมีสีผิวหลากหลายตั้งแต่ทองไปจนถึงสีน้ำตาลเลยละ ส่วนดวงตานั้นจะมีสีทอง — ซึ่งจะสะท้อนแสงด้วย

 

นอกจากนี้ พวกเขาก็ยังมีกฏพิเศษอย่าง “หวงห้ามหินสกิล” ซึ่งจำกัดการเข้าประเทศอย่างมากอยู่ด้วย มันเป็นประเทศแห่งความลับที่มีการจำกัดการเข้าถึงของเผ่าพันธ์ุอื่นๆ

 

「ชั้นได้ไปที่นั่นเป็นครั้งแรกเลยละ เป็นที่ที่น่าสนใจสุดๆไปเลย พวกเขาใช้อุปกรณ์เวทมนตร์กับทุกอย่างเลยด้วย โอ๊ะ และนี่เป็นของฝากสำหรับเธอนะ」

 

「โอ้…」

 

มิมิโนะวางลูกบาศก์เหล็กลงบนโต๊ะ เลเลนอร์เลยหยิบมันขึ้นมาดู มันมีขนาดใหญ่เท่ากับฝ่ามือของเธอเลยแถมยังหนักอีกด้วย จากนั้น อยู่ๆมันก็เริ่มสั่น

 

「หวา!?」

 

เลเลนอร์รีบทิ้งมันลงบนโต๊ะ มันหมุนไปรอบๆสักพักก่อนจะหยุดลง

 

「นะ-นี่มันอะไรหน่ะ!? มันมีชีวิตงั้นหรอ!?」

 

「อะฮ่าๆ ไม่หรอก ลองดูดีๆสิ」

 

ในขณะที่มันสั่น เจ้าสิ่งนั้นมันก็ได้กลิ้งไปรอบๆโต๊ะ และเมื่อมันสามารถตั้งตรงขึ้นมาได้ มันก็เริ่มหมุน

 

「…นี้มันอะไรเนี้ย?」

 

「มันเป็นของเล่นที่จะหมุนไปมาหน่ะ」

 

ผ่านไปซักพัก มันก็ได้หยุดหมุนแล้วแน่นิ่งอยู่บนโต๊ะ

 

「…มันเอาไว้ใช้ทำอะไรหน่ะ?」

 

「มันเป็นแค่ของเล่นที่จะหมุนไปรอบๆเท่านั้นเอง ดูเหมือนมันจะเป็นผลพลอยได้จากการวิจัยอุปกรณ์เวทมนตร์… หรืออาจจะเป็นของล้มเหลวละมั้ง? ดังนั้นมันก็เลยถูกมากเลย」

 

「งั้นหรอ…」

 

เลเลนอร์ค่อยๆเอื้อมมือไปที่เจ้าลูกบาศก์นั้น

 

「โอ้ย ร้อน!」

 

「โอ๊ะ ขอโทษที มันจะร้อนขึ้น ดังนั้นอย่าไปจับมันซักพักนะ」

 

「……」

 

เลเลนอร์กังวลไปซักพักนึงเลยว่านี่อาจจะเป็นการแกล้งของมิมิโนะก็ได้

 

「เอาเถอะ… เธอไม่ได้จะมาเพื่อแค่ให้ไอ้นี่เท่านั้นใช่ไหม? จดหมายของเธอเขียนว่าเธอมีบางอย่างอยากจะถามนี่นา」

 

「อ่าห์ ใช่แล้วละ…」

 

มิมิโนะที่ยิ้มแย้มมาจนถึงตอนนี้อยู่ๆก็เคร่งเครียดขึ้น

 

「จริงๆแล้วชั้นอยากจะให้เธอตามหาใครสักคนหน่ะ」

 

「ตามหาใครคนงั้นหรอ?」

 

「ใช่ ชั้นเองรู้ว่าเธองานยุ่งมาก ดังนั้น เธอจะทำตอนว่างๆก็ไม่เป็นไรหรอกนะ」

 

「อืม เป็นคำขอของลูกพี่ลูกน้องทั้งที…」

 

เลเลนอร์นั้นเป็นลูกพี่ลูกน้องของมิมิโนะ

 

เผ่าฮาร์ฟลิงนั้นมาจากหมู่บ้านเดียวกัน มิมิโนะออกจากหมู่บ้านเพื่อเป็นพ่อค้ายาสมุนไพรเร่ ส่วนเลเลนอร์นั้นถูกจ้างวานเป็นคนคุ้มกัน

 

「แต่ว่านะ มิมิโนะ คนคุ้มกันอย่างชั้น–」

 

มิมิโนะยกมือของเธอขึ้นขัดคำพูดของเลเลนอร์「จริงๆแล้ว…」

 

คนที่เธอกำลังตามหานั้นเป็นเด็กชายเผ่ามนุษย์ที่มีผมสีดำตาสีดำ ยิ่งไปกว่านั้น เขายังมีการศึกษาด้วย พูดอีกอย่างก็คือ เขาอาจจะเกี่ยวข้องกับสังคมขุนนาง ตัวมิมิโนะนั้นตามหาไปทุกที่ที่นักผจญภัยจะสามารถทำได้แล้ว ทว่าในสังคมขุนนางนั้นเธอถูกนับว่าเป็นคนนอก ดังนั้นเธอก็เลยต้องพึ่งใครสักคนแทน เด็กชายที่เธอตามหานั้นมีพรสวรรค์ด้านการใช้เวทมนตร์แม้จะไม่มีหินสกิลก็ตาม แุถมยังค่อนข้างเก่งเกินอายุด้วย

 

(…เด็กชายที่ใช้เวทมนตร์ได้โดยที่ไม่มีสกิล?)

 

สิ่งที่เข้ามาในหัวของเธอก็คือเรื่องที่เกิดขึ้นใน “งานเลี้ยงต้นกล้าแห่งคืนข้างขึ้น” ที่ได้ผ่านมาประมาณเดือนนึงแล้ว

 

คนคุ้มกันที่เธอเห็นเมื่อตอนนั้น… คนคุ้มกันของอีวา ซิวลิซส์ที่เธอเคยพบเห็นหลายต่อหลายครั้งหลังจากงานเลี้ยงน้ำชาครั้งนั้น ทว่าเนื่องจากคนคุ้มกันจะไม่คุยกัน เธอก็เลยยังไม่รู้จักชื่อของเขาเลย ดูเหมือนว่าผู้นำตระกูลเอเบนจะพูดว่า “ข้าอยากได้ตัวเด็กคนนั้น” แต่ในฐานะคนคุ้มกันของอีธาน เธอก็เลยไม่ค่อยได้ยินข้อมูลพวกนั้นซะเท่าไหร่

 

(หืมม เด็กคนนั้นตรงกับคำอธิบายของเธอเลย เขามีผมสีฟ้า ทว่า… ผมสีดำตาสีดำนั้นเป็นเป้าหมายในการกีดกันของบางพื้นที่ด้วย ดังนั้นเขาอาจจะย้อมผมของเขาก็ได้ แถมเขายังพบพิษที่ตัวชั้นยังไม่สังเกตุเห็นได้เลยด้วย สงสัยจังว่าเขามีสกิลระดับสูงประเภทตรวจสอบหรือการมองเห็นอะไรประมาณนั้นหรือปล่าวนะ แต่ว่า…)

 

จากนั้น เธอก็รับรู้ถึงสายตาของมิมิโนะที่กำลังจ้องมองมาที่เธอ

 

「เลเลนอร์ หรือว่าบางทีเธอจะรู้อะไรงั้นหรอ?」มิมิโนะถามขึ้นพร้อมกับเอนตัวมาข้างหน้า

 

「โหว〜?」

 

「ทะ-ทำไมถึงมองชั้นด้วยหน้าตาร้ายกาจอย่างนั้นละ?」

 

「อย่าเรียกว่าร้ายกาจสิะยะ! ไม่สิ ชั้นหมายถึง เธอดูเป็นกังวลเกี่ยวกับเด็กคนนั้นจังเลยนะ? หรือที่เรียกกันว่ารักข้างเดียวอย่างงั้นหรอ?」

 

「หวา!? ไม่ใช่นะ! อย่าแกล้งกันสิ!」

 

「เห็นพูดยังงั้น แต่หน้าเธอนี้แดงแปร๊ดเชียวนะ」

 

「มะ-มะ-ไม่ใช่อย่างนั้นนะ! เรย์จิคุงเขาเตี้ยกว่าชั้นอีกนะ! เขาก็แค่ใครบางคนที่ชั้นอยากจะปกป้อง… แต่กลับเป็นชั้นที่ถูกเขาปกป้องซะเอง…」

 

「โอ๊ะ เป็นงั้นเองหรอกหรอ?」

 

เลเลนอร์ใช้ความคิดอีกเล็กน้อย คนคุ้มกันของอีวานั้นตัวสูงและตัวใหญ่กว่ามิมิโนะที่มีขนาดตัวพอๆกันกับเธอ

 

「ยะ-ยังไงก็เถอะ ถ้าเธอเจอข้อมูลของเด็กคนนั้นละก็ ได้โปรดบอกชั้นทีนะ!」

 

「เข้าใจแล้ว เข้าใจแล้ว ใจเย็นก่อนนะ」เลเลนอร์ถอนหายใจพร้อมกับมองไปที่มิมิโนะที่กำลังหน้าแดง

 

เธอกำลังสงสัยว่าลูกพี่ลูกน้องที่โตช้าคนนี้จะมีความรักกับเขาสักที ทว่าดูจะไม่ใช่แบบนั้น มิมิโนะกำลังตามหาเด็กชายที่ตัวเล็กกว่า – เป็นความผิดพลาดครั้งใหญ่ของมิมิโนะที่ไม่ได้บอกเลเลนอร์ว่านั่นเป็นข้อมูลเมื่อ 4 ปีที่แล้ว – ดังนั้นมันจะต้องยากแน่นอน

 

(มิมิโนะ นี่เธออยากจะเป็นแม่ก่อนที่จะมีคนรักอีกงั้นหรอ?)

 

ถึงก่อนที่เลเลนอร์จะเป็นห่วงคนอื่น เธอควรจะห่วงตัวเธอเองที่ยังไม่มีคนรักเหมือนกันก่อนซะด้วยซ้ำ

 

(เดี๋ยวก่อนนะ คุณหนูตระกูลซิวลิซส์เรียกคนคุ้มกันของเธอว่า “เรย์จิ” หนิ ใช่ไหม? หรือว่า?)

 

ให้ความหวังกับข้อมูลที่ไม่แน่นอนไปก็ไม่มีความหมาย ดังนั้นเลเลนอร์ก็เลยตัดสินใจที่จะไปถามเพื่อนคนคุ้มกันคนอื่นๆเอาหลังจากนี้

 

 

 

บทที่ 2 ตอนที่ 25

 

* อีวา ซิวริซส์ *

 

ตัวเรย์จินั้นถูกแนะนำให้กับอีวาอย่างไม่มีที่มาที่ไปเลย ตัวเธอเองก็คงจะไม่มีทางยอมรับเรย์จิเด็ดขาดถ้าไม่ใช่เพราะว่าเขาช่วยชีวิตพ่อของเธอเอาไว้ เพราะพ่อของเธอนั้นเป็นครอบครัวเพียงหนึ่งเดียวที่เธอมี เธอรู้ว่าบางครั้งพ่อของเธอก็มักจะทำตาหน้ากลัวออกมาแต่เขาก็ไม่เคยส่งสายตานั้นมาที่เธอเลยสักครั้ง และด้วยการที่เรย์จิช่วยชีวิตพ่อที่หาใครมาแทนไม่ได้ของเธอ ตัวเขาจึงเป็นคนสำคัญมากๆสำหรับอีวามาตั้งต้นแล้วด้วย

 

เธอทดสอบเรย์จิต่างๆนาๆด้วยการทำตัวเป็นคุณหนูเอาแต่ใจ ทว่าเรย์จิก็ได้ตอบรับเธอในทุกๆครั้งเลย เธอก็เลยได้แรงบันดาลใจมาจากเรย์จิเรื่องที่ผู้คนนั้นควรใช้ชีวิตอย่างเท่าเทียมกัน ตัวอีวาเองนั้นไม่มีทางรู้เลยเลยว่าความคิดของเรย์จินั้นมาจากชีวิตชาติก่อนของเขาในญี่ปุ่น ซึ่งแตกต่างจากความคิดและบรรทัดฐานของโลกใบนี้อย่างสุดขั่ว

 

—ถ้าเรย์จิจากไปแล้วละ?

 

ความคิดนั้นส่งผลอย่างมากกับอีวาในตอนที่เขาออกห่างจากเธอไปในวันนั้น มากพอที่จะเปลี่ยนวิธีคิดของเธอเลยละ

 

「วันนี้คุณจะไปที่ไหนดีครับ คุณหนู?」

 

เรย์จิจะถามแบบนั้นในทุกๆเช้า

 

ขุนนางที่ยุ่งๆอย่างพ่อของเธอนั้นจะวางแผนตารางเวลาล่วงหน้าเป็นเดือนๆเลย ทว่าตัวอีวายังไปไม่ถึงระดับนั้นในตอนนี้

 

ตัวเธอเองก็มีแผนสำหรับวันนี้แล้วเช่นกัน อย่างไรก็ตาม

 

「วันนี้ชั้นจะไปเข้าร่วมงานเลี้ยงน้ำชากับทุกคนจากงานเลี้ยงวันนั้นละ!」

 

ในวันที่เธอเผชิญหน้ากับพ่อของเธอเรื่อง “ศูนย์จัดการทรัพยากรมนุษย์” พ่อของเธอก็ได้ยอมรับตัวเธอว่าเป็น “ผู้ใหญ่” แล้ว ปรากฏว่าที่พ่อของเธอจัดฉากเรื่อง “ศูนย์จัดการทรัพยากรมนุษย์” ทั้งหมดทั้งมวลนั้นเพราะคิดว่าตัวอีวาจะต้องไปถึงความจริงได้แน่

 

เพราะพ่อของเธอพูดออกมาในตอนท้ายว่า:

 

—ถ้าลูกไม่สามารถยืนได้ด้วยลำแข้งของตัวเองโดยที่ไม่ต้องให้ครอบครัวพยุงละก็ ลูกจะไม่สามารถเอาชีวิตรอดในสังคมขุนนางได้หรอกนะ ยิ่งไปกว่านั้น อะไรอย่าง “การแสดง” เนี้ยเป็นที่ชื่นชอบของขุนนางชั่วมากๆเลยด้วย

 

ตอนที่เขาพูดถึง “การแสดง” นั้น มันรู้สึกเหมือนกับเขากำลังเหน็บแนมราชันศักดิ์สิทธิ์อยู่เลย ทว่าอีวาก็ไม่ได้พูดอะไรออกไป

 

และเพราะแบบนั้น ท่านพ่อก็เลยอนุญาตให้ทำอะไรได้อย่างอิสระแล้วเข้าหาเพื่อนๆได้

 

「เข้าใจแล้วครับ」เรย์จิพูดขึ้นในขณะที่พยายามรักษาระยะห่างเหมือนเดิม ไม่มีอะไรเปลี่ยนไปเลย

 

อีวาคิดริเริ่มที่จะเข้าหากลุ่มสมาชิกในโต๊ะอาหารเย็นวันนั้นด้วยตัวเอง — ทั้งหลุยส์, อีธาน, ชาร็อต, และ มีร่า ตัวคลูฟชราทนั้นไม่ได้รับอยุญาตจากราชันศักดิ์สิทธิ์เนื่องจาก “มันอันตรายเกินไป” เหล่าขุนนางคนอื่นๆเองก็เข้าใจแล้วว่าตัวราชันศักดิ์สิทธิ์นั้นรักคลูฟชราทมากแค่ไหน

 

เหล่าสมาชิกคนอื่นๆนั้นไม่สามารถออกจากเมืองศักดิ์สิทธิ์ได้จนกว่าจะจบงานมอบหินสกิล อีวาก็เลยเริ่มแลกเปลี่ยนจดหมายกับมีร่าก่อนงานเลี้ยงน้ำชาจะเริ่มซะอีก

 

อีวา-ซิวริสซ์ อายุ 12 ปี ได้ก้าวเดินไปตามความฝันอันยิ่งใหญ่ของตนอย่างมั่นคง

 

* คนคุ้มกัน: เลเลนอร์ *

 

ตระกูลดยุคเอเบนนั้นเป็นหนึ่งใน 6 ดยุคผู้ยิ่งใหญ่ และคฤหาสน์ของพวกเขานั้นได้ตั้งอยู่ใกล้กับประตูทางไปเขตศักดิ์สิทธิ์ที่ 1 จากทางเขตศักดิ์สิทธิ์ที่ 2 ในตอนที่ราชันศักดิ์สิทธิ์ล้มป่วยลงเมื่อ 200 ปีก่อนนั้น พวกเขาได้พัฒนายารักษาอาการป่วยขึ้นมาได้สำเร็จ รวมถึงสามารถกักกันการระบาดของโรคได้อีกด้วย เพราะความสำเร็จในครั้งนั้น ต่อให้พวกเขาสูญเสียสีฟ้าศักดิ์สิทธิ์ไปแล้วก็ตาม พวกเขาก็ยังได้รับอนุญาตให้ใช้ตำแหน่งดยุคต่อไปได้

 

อย่างไรก็ตาม ดินแดนของพวกเขานั้นห่างไกลจากเมืองศักดิ์สิทธิ์ ผู้นำตระกูล เอเบน ที่จะอาศัยอยู่ในเมืองศักดิ์สิทธิ์เพียงแค่ครึ่งปีเท่านั้น ต้องเลื่อนการกลับดินแดนไปเนื่องจากเรื่องการพยายามลอบสังหารเจ้าชายศักดิ์สิทธิ์ ทั่วทั้งคฤหาสน์ก็เลยเกิดความโกลาหลขึ้นจากการเปลี่ยนแผนกลางคันของเขา

 

「เอาเถอะ มันก็นานแล้วนะที่ชั้นไม่ได้มีวันหยุดแบบนี้」

 

ตัวเลเลนอร์นั้นอยู่ในบล็อก 5 ร้านค้าและบ้านเรือนนั้นถูกจัดเรียงอย่างดี มีพื้นที่เดินสำหรับผู้คนบนท้องถนน, ความปลอดภัยในสาธารณะนั้นจะเริ่มเสื่อมลงไปหลังจากบล็อก 6 ที่การเดินไปยังตรอกซอกซอยนั้นอันตรายอย่างมาก, บล็อค 7 นั้นมีเพียงแค่ถนนหลักเท่านั้นที่ปูด้วยหิน, ถัดจากบล็อค 7 ก็คือภายนอกเมืองศักดิ์สิทธิ์แล้ว

 

ถึงเธอมักจะแต่งตัวสุภาพในฐานะคนคุ้มกันของอีธาน แต่เลเลนอร์เองก็ยังคิดว่ามันเคร่งเกินไปอยู่ดี ตัวเธอที่เกิดและเติบโตในชนบทนั้น รู้สึกสบายใจกับเสื้อผ้าหลวมๆที่เธอใส่ตอนนี้มากกว่า รวมถึงกำไลข้อมือหลากสีที่สวมอยู่ที่มือแต่ละข้างด้วย

 

เมื่อเธอแต่งตัวอย่างนี้ เหล่าพนักงานในคฤหาสน์ก็มักจะพูดว่า “มันจะดูไม่ดีต่อเขตศักดิ์สิทธิ์ที่ 2 นะ ดังนั้นขึ้นรถม้าไปจนถึงบล็อก 4 ซะ” เธอก็เลยต้องนั่งรถม้ามาจนถึงบล็อก 4 พร้อมกับความรู้สึกที่เจ็บปวด

 

(ถึงฮาร์ฟลิงทุกคนจะแต่งตัวแบบนี้เสมอเลยก็เถอะ แต่ทุกคนก็มักจะวางท่าตลอดเลย เพียงแค่เพราะพวกเราอยู่ในเมืองหลวงเท่านั้นแท้ๆ)

 

เลเลนอร์เดินไปเรื่อยๆอย่างไร้จุดหมาย ซื้อพาสต้ากินจากร้านแผงลอย มันไม่ใช่พาสต้าแป้งหรอกนะ แต่มันเป็นพาสต้าสามเหลี่ยมที่ดูเหมือนกับครึ่งสี่เหลี่ยมของแป้งลาซานญ่ามากกว่า ตัวพาสต้านั้นอยู่ในซุบมะเขือเทศที่เต็มไปด้วยเครื่องเทศต่างๆเสิร์ฟในถ้วยไม้ เธอตักมันเข้าปากคำโตๆด้วยช้อน และเคี้ยวเนื้อพาสต้าที่เหมือนกับเยลลี่ ส่งผลให้ความเปรี้ยวได้กระจายไปทั่วปากของเธอเลย

 

「อร่อยมากๆเลยละ ลุง!」

 

「ขอบคุณสำหรับคำชมนะ หนูน้อย!」

 

เธอไม่อาจลิ้มลองอาหารพวกนี้ได้เลยในตอนที่เธอทำหน้าที่คุ้มกันอยู่

 

หลังจากนั้น เธอก็ได้ตระเวนไปตามร้านอาหารแผงลอยหลายร้านๆ และจนเมื่อเธออิ่มท้อง เธอก็ได้มาที่จุดหมายของเธอซักที

 

「นานแล้วนะเนี้ย…」

 

อาคาร 3 ชั้นที่ทำจากหิน ประตูบานใหญ่ที่มีลวดลายเฉพาะตัวนั้นเปิดกว้าง — ลวดลายที่เหมือนๆกับกิลด์นักผจญภัยในทุกๆที่

 

อย่างไรก็ตาม การตกแต่งภายในนั้นมักจะต่างกันออกไป ที่ราชอาณาจักรครูวานศักดิ์สิทธิ์นี้ เสาหลักจะทำจากหินคอยค้ำจุนโครงสร้างที่ตรงกลางจนส่งกลิ่นอายโอ่อ่าออกมา ที่ใช้หินนั้นเนื่องจากไม้ในประเทศนี้มีราคาสูงมากกว่าประเทศอื่นๆ

 

กิลด์นักผจญภัยนั้นตั้งอยู่ในบล็อก 5 กับบล็อก 7 ตัวกิลด์ในบล็อก 5 นั้นเต็มไปด้วยนักผจญภัยระดับสูงเพราะพวกเขามักจะได้นับคำร้องจากเหล่าขุนนาง จริงๆมันก็มีกิลด์นักผจญภัยอยู่ในเขตศักดิ์สิทธิ์ที่ 3 เหมือนกัน ทว่าที่นั้นจะไม่รับนักผจญภัย จะมีเพียงเจ้าหน้าที่กิลด์เท่านั้นที่ประจำการอยู่ที่นั่นคอยปฏิสัมพันธ์กับตระกูลขุนนาง

 

(หืมม มีผู้คนที่มีอุปกรณ์ดีๆใช้เพิ่มขึ้นมามากมายในเวลาสั้นๆที่ชั้นไม่ได้แวะมาที่นี่ขนาดนี้เลยหรอเนี้ย…)

 

เธอเห็นชายที่สวมเกราะสีแดงแวววับ – ที่น่าจะทำมาจากชิ้นส่วนมอนสเตอร์ นักดาบหญิงที่สะพายดาบสองเล่มเอาไว้บนหลัง และนักเวทย์ที่ถือไม้เท้าเวทมนตร์ที่ดูจะเก็บมานาเอาไว้ได้เยอะ

 

ทั้ง 3 คนนั้นไม่ใช่มนุษย์ พวกเขาเป็น คนแคละ, มนุษย์สัตว์เผ่าจิ้งจอก, และดาร์คเอลฟ์ที่มีผมสีเงินและผิวคล้ำดำ — ถึงตัวเรย์จิจะไม่รู้เรื่องนี้ก็ตาม แต่ตัวเลขานุการลำดับที่ 2 สเปคคูล่าเองก็เป็นดาร์คเอลฟ์เหมือนกัน

 

เหล่านักผจญภัยนั้นให้ความสำคัญกัยความสามารถของพวกเขา ดังนั้นกำแพงเผ่าพันธ์ุจึงไม่อาจหยุดยั้งการเจริญรุ่งเรืองของพวกเขาได้ ในทางกลับกัน มนุษย์ที่มีความสามารถทางเวทย์มนตร์ค่อนข้างสูงนั้นมีอยู่มากมายในหมู่พนักงานกิลด์ เนื่องจากราชอาณาจักรครูวานศักดิ์สิทธิ์นั้นไม่มีการเหยียดเผ่าพันธุ์ เผ่าต่างๆก็เลยอยู่ร่วมกันโดยไม่รู้สึกตะคิดตะควงใจใดๆ เพราะตัวราชันศักดิ์สิทธิ์เองก็เป็นมนุษย์ที่มีลักษณะพิเศษอย่าง “สีฟ้าศักดิ์สิทธิ์” ด้วย

 

「เลเลนอร์!」

 

มีเสียงชื่อเลเลนอร์ดังขึ้น ในขณะที่เธอกำลังประเมินเหล่านักผจญภัยอย่างคร่าวๆ

 

「โอ๊ะ มิมิโนะ! ไม่เจอกันนานเลยนะ!」

 

เสียงนั้นมาจากผู้เชี่ยวชาญสมุนไพรหญิงคนหนึ่งที่เป็นเผ่าฮาร์ฟลิงเหมือนกันกับตัวเธอ

 

 

 

บทที่ 2 ตอนที่ 24

 

นั่นก็หมายความว่า… คนร้ายก็คือดยุคริเวียร์!

 

「แต่ในวันนี้ที่ข้าได้ไปสัมภาษณ์ดยุคริเวียร์มา ข้าไม่สามารถสรุปออกมาได้ว่าเขากำลังโกหกเลย」

 

「เอ๊ะ… จริงหรอครับ? แต่มันก็ขึ้นอยู่กับวิธีที่เขาใช้ตอบไม่ใช่หรอครับ ที่ทำให้คุณไม่สามารถบอกได้ว่าเขากำลังโกหกอยู่หน่ะ」

 

「นายหมายความว่ายังไงกัน เรย์จิ?」คุณหนูถามขึ้นมา

 

「ตัวอย่างเช่น ถ้าดยุครีเวียร์เป็นคนอยู่เบื้องหลังแล้วพูดว่า “ข้าไม่ได้เป็นคนวางยา” มันก็ไม่ใช่เรื่องโกหกจริงๆนั่นแหล่ะครับ เพราะคนที่วางยาเป็นตัวของคนรับใช้」

 

「อา…」

 

「เป็นอย่างที่เจ้าพูดเลย เรย์จิซัง เจ้าดูจะมีไหวพริบกับเรื่องแบบนี้ดีนะเนี้ย」

 

ท่านเอิร์ลครับ นั่นคือคำชมใช่ไหมครับ? ท่านไม่ได้กำลังจะบอกว่าผมเป็นคนเจ้าเล่ห์ใช่ไหมครับ?

 

「แน่นอนว่าได้ตระหนักถึงเรื่องนี้อยู่แล้ว ฝ่าบาทก็เลยถามคำถามอื่นๆอีกมากมายเลย… แต่ตัวข้าเองก็ไม่ได้สงสัยว่าดยุครีเวียร์เป็นผู้อยู่เบื้องหลังมาตั้งแต่แรกแล้วละนะ」

 

「เอ๊ะ… ยังงั้นหรอครับ?」

 

「ก็ตั้งแต่แรกแล้ว มันก็แทบจะไม่มีข้อมูลว่าจะมีหินสกิล 5 ดาวหรือมากกว่าปรากฏตัวขึ้นมาตั้งแต่แรกแล้วนี่」

 

อา จริงด้วย นั่นก็หมายความว่าการสืบสวนต้องกลับมาเริ่มต้นใหม่อีกครั้งซะแล้วสิ

 

「การสัมภาษณ์ในวันนี้ทำให้เหนื่อยมากเลย」

 

ท่านเอิร์ลถอนหายใจออกมายาวๆ ก่อนจะพึงตัวไปกับพนักเก้าอี้

 

「ท่านพ่อคะ เรามาดื่มชากันเถอะค่ะ」

 

「อืม เอาตามนั้นละกัน」

 

คุณหนูสั่นกระดิ่งเพื่อเรียกเมดให้มาชงชาให้

 

ในเวลานั้น ท่านเอิร์ลก็ดูจะพูดสิ่งที่เขาอยากจะพูดหมดแล้ว ดังนั้นตอนนี้ก็ถึงเวลาที่ผมจะถามบางอย่างกับท่านเอิร์ลมั้งแล้ว

 

「—ไม่ใช่แค่เรื่องที่ข้าใช้ “เนตรเวทมนตร์แห่งการสืบสวน” กับขุนนางชั้นสูงจนเหนื่อยหรอกนะ…」

 

ตอนที่เมดได้ออกไปและเป็นตอนที่ผมกำลังจะเริ่มพูด ท่านเอิร์ลก็ได้พูดขึ้นมาก่อนพร้อมกับถ้วยน้ำชาในมือ

 

「พวกนั้นบอกว่าจะให้ข้าใช่เนตรเวทมนตร์ก็ได้ แต่ต้องมีของตอบแทนด้วยนะสิ…」

 

「ของตอบแทนงั้นหรอครับ?! งั้นก็หมายความว่า…」

 

ผมมองไปที่คุณหนู นั่นมันเป็นการประกาศว่าพวกเขาจะเอาคุณหนูแต่งเข้าตระกูลไม่ใช่หรอ?

 

มีความเป็นไปได้! ไอ้หลุยส์นั่นจะต้องไปร้องไห้หาพ่อแน่นอนเลย!

 

「ใช่แล้วละ」ท่านเอิร์ลพูดพร้อมกับสีหน้าที่ร่มรื่นยิ้มแย้มแจ่มใส「พวกนั้นต้องการตัวเรย์จิซัง!」

 

「อย่างที่คิด! พวกนั้นต้องการตัวคุณหนู– เอ๊ะ?」

 

ผม?

 

「ใช่ เจ้านั่นแหล่ะ」

 

ผมหรอ? ทำไมละ?

 

ขณะที่ผมมองไปที่คุณหนู เธอก็ได้มองผมกลับราวกับจะบอกว่า “นั่นมันแน่นอนอยู่แล้ว”

 

「เจ้าเคลื่อนไหวได้รวดเร็วกว่ารองกัปตันแห่งภาคัอัศวินเลย แถมยังพบยาพิษที่ขนาดคนคุ้มกันของตระกูลเอเบนยังไม่รู้ตัวเลยด้วย ทั้งๆที่ยังไม่มีสกิลอีกด้วยนะ! ถึงเรื่องนั้นข้าจะพึ่งรู้ในวันนี้ก็เถอะ แต่การที่เจ้าพบยาพิษที่สามารถผ่านได้แม้แต่เชฟมืออาชีพผู้ที่มีสกิล【ตรวจสอบ】อย่างนั้นได้ มันก็ไม่แปลกหรอกที่เจ้าจะเป็นที่ต้องการตัวหน่ะ」

 

「…………」

 

เอาจริงดิ? มาคิดดูดีๆแล้ว ก็พอจะสมเหตุสมผลอยู่นะมั้ง? ไม่สิ ผมยังอายุ 14 ปีอยู่เลยนะ

 

「…เรย์จิ นายจะไปอยู่ตระกูลอื่นงั้นหรอ?」คุณหนูถามขึ้นพร้อมกับจับไปที่ชายเสื้อของผม

 

(คิดว่าจะไม่ทำให้คุณหนูเป็นกังวลอีกแล้วนะวันนี้ แต่ก็ยัง…)

 

「แน่นอนว่าผมไม่คิดจะไปไหนอยู่แล้วครับ」ผมตอบกลับไปพร้อมกับรอยยิ้ม

 

「จริงหรอ?」

 

「ครับ」

 

「…อีวา ถึงรอยยิ้มของเรย์จิซังจะดูน่าสงสัยก็จริง แต่สิ่งที่เขาพูดนั้นเป็นความจริง」

 

ท่านเอิร์ลครับ! อย่าใช้งาน “เนตรเวทมนตร์แห่งการสืบสวน” ตามใจชอบอย่างนี้สิครับ!

 

「แต่ข้าคิดว่าหลังจากนี้เจ้าจะต้องระวังตัวเอาไว้ ตัวปรมาจารย์ดาบเองก็มาในวันนี้ด้วยเช่นกัน ตาของเขาลุกวาวเลยละหลังจากที่ได้ยินเรื่องของเรย์จิซัง」

 

หยึย ไม่เห็นอยากจะรู้เรื่องนั้นเลย ไม่สิ เดี๋ยวนะ ถ้าผมเจอกับคนที่ถูกเรียกว่า “ปรมาจารย์ดาบ” ในการฝึกซ้อมแล้วละก็ ผมจะสามารถเรียนสกิล【ทักษะดาบมังกร】ได้ใช่ไหมนะ?

 

(…ไม่ ไม่เอาดีกว่า ความโลภจะนำไปสู่ความชิบหาย ผมจะต้องระมัดระวังตัวเอาไว้)

 

「สำหรับตอนนี้ ความสนใจของผมกับท่านเอิร์ลนั้นใกล้เคียงกัน ดังนั้นผมไม่มีเหตุผลให้ออกไปไหนหรอกครับ」ผมพูดให้คุณหนูสบายใจ

 

「ความสนใจ? ไม่ใช่ว่านายแค่ถูกท่านพ่อจ้างเฉยๆไม่ใช่หรอ เรย์จิ?」

 

「มาคิดดูแล้ว ผมไม่เคยบอกคุณหนูเลยนี่นะครับ ผมได้ร้องขอให้ท่านเอิร์ลทำอยู่สองอย่างครับ ซึ่งก็คือ “ข่าวคราวเกี่ยวกับหินสกิล 5 ดาวหรือมากกว่า” กับ “ตามหาคนที่มีชื่อว่าลูลูช่า” ครับ」

 

「…เรย์จิซัง ไม่ใช่ว่านั่นเป็นความลับยังงั้นรึ?」ท่านเอิร์ลถามขึ้นมาพร้อมกับเอามือก่ายหน้าผาก

 

「ไม่ครับ ไม่ใช่ความลับอะไรหรอกครับ ต่อให้ท่านป่าวประกาศออกไปอย่างใหญ่โตก็ไม่เป็นไรหรอกครับ」

 

「…ข้าก็คิดว่ามันเป็นความลับซะอีก ข้าก็เลยสืบหาอย่างระมัดระวังมากๆเลยนะ」

 

「ก็ไม่ได้ถามผมนี่ครับ」ผมตอบกลับท่านเอิร์ลพร้อมกับยิ้มกว้าง

 

เอาคือที่ท่านเอิร์ลพูดเอาไว้ครั้งก่อนซะเลย

 

「ถ้าชั้นได้ยินข่าวคราวพวกนั้นมาละก็ ชั้นจะรีบบอกนายเลยนะ เรย์จิ!」

 

「ขอบคุณครับ ผมเองก็จะรอนะครับ ตอนนี้คุณหนูเป็นถึงขุนนางเต็มตัวแล้วด้วย」

 

「ให้เป็นหน้าที่ชั้นเอง!」คุณหนูพูดพร้อมกับยืดอก「ชั้นจะทำให้ดีที่สุดเพื่อที่จะสามารถพูดคุยกับเรย์จิได้อย่างเท่าเทียมเลยด้วย! ก่อนอื่นเลยก็– ท่านพ่อคะ」

 

「อะไรรึ อีวา?」

 

「ขอบคุณสำหรับทุกอย่างที่ท่านพ่อได้เตรียมเอาไว้จนถึงตอนนี้นะคะ ศูนย์จัดการทรัพยากรมนุษย์ที่หนูกับเรย์จิจัดการไป ท่านพ่อเป็นจัดฉากเอาไว้ทั้งหมดเลยใช่ไหมละคะ ท่านพ่อ?」

 

ผมเกือบจะพ่นชาออกมาเลย

 

เดี๋ยวก่อนท่านเอิร์ล! ทำไมถึงมองมาที่ผมละ?! ไม่ ผมไม่ได้บอกอะไรคุณหนูเลยนะ!

 

แถม ผมก็ก่ะจะเป็นคนพูดเรื่องนี้เองด้วยซ้ำ

 

「…อีวา ลูกหมายความยังไงงั้นรึ?」

 

「ท่านพ่อคะ หนูคิดมาตลอดทั้งวันเลยค่ะ เกี่ยวกับเรื่องต่างๆ เรื่องที่มักจะไปได้ไม่สวยเท่าไหร่ การแสดงของฝ่าบาทเมื่อวานก็ด้วยค่ะ ถึงตอนแรกมันจะจบลงด้วยดีก็จริง แต่สุดท้ายงานเลี้ยงก็ล้มเหลวเพราะมีการพบยาพิษอยู่ในจานอาหารของท่านคลูฟชราท」

 

โอ้แหม่! ว้าว! เห็นมุมมองด้านนี้ของคุณหนูทำเอาผมหยุดหายใจไปเลย

 

ผมคิดว่า… ผมคงจะเข้าใจในตัวคุณหนูผิดไป

 

ผมเอาแต่คิดว่า “ต้องปกป้องเธอ” และ “วันนี้เธอจะเศร้ามากแน่ๆเลย”

 

「หนูอยากจะอยู่ในสังคมที่ประชาชนทุกคนในราชอาณาจักรศักดิ์สิทธิ์นั้นมีอิสระในการใช้ชีวิต ทว่า ในทางตรงกันข้าม หนูไม่รู้เลยว่าหินสกิลนั้นส่งผลต่อวิถีชีวิตของผู้คนหรือว่ามันมีค่ามากแค่ไหนจนกระทั้งที่หนูได้ยินเรื่องในวันนี้นี่แหล่ะค่ะ ท่านพ่อคะ ถึงแม้หนูจะอยู่ในตำแหน่งที่ต้องตรวจสอบมัน ต้องรู้เกี่ยวกับมัน แต่ในใจลึกๆของหนูก็ยังคงคิดว่า “หินสกิลเป็นสิ่งที่ครอบครองได้เฉพาะขุนนาง” อยู่เลยค่ะ — ถึงแม้แนวคิดที่ว่า “ขุนนางนั้นสูงส่งโดยกำเนิด” จะเป็นสิ่งที่หนูจะต้องปฏิเสธมันแท้ๆ」

 

คุณหนูได้กลายเป็นขุนนาง ‘หญิง’ เต็มตัวแล้ว เธอยืนด้วยสองขาของตัวเองและคิดด้วยตัวเองได้แล้ว

 

「ขนาดเรื่องที่หนูชอบอย่างการ “บดขยี้ธุรกิจค้าทาส” เอง ถ้าแค่ครั้งเดียวละก็คงไม่เป็นไร แต่สำเร็จถึง 6 ครั้งรวดแบบนี้… ทำให้หนูคิดว่ามันแปลกๆ」

 

「…ก็เลยใสงสัยว่าพ่อเป็นคนเตรียมการเอาไว้งั้นรึ?」

 

คุณหนูพยักหน้าพร้อมกับมองไปที่พ่อของเธอผู้มีฉายา “ลอร์ดเลือดเย็น” มองตรงเข้าไปในดวงตาอย่างไม่สะทกสะท้าน

 

「วันนี้หนูคิดมาตลอดเลยละค่ะ… ถ้าเรย์จิไม่อยู่แล้วละ? ถ้าเรย์จิจากไปแล้วละ? มันเกือบจะบดขยี้หัวใจของหนูเลยค่ะ แต่หลังจากนั้น หนูก็ได้เข้าใจแล้วว่าเรย์จิเองก็มีศึกของเขาเองเหมือนกัน และเรย์จิก็ไม่ได้เสียเวลาว่างไปเปล่าๆด้วย ดังนั้นหนูก็เลยคิดอะไรหลายๆอย่างจนจบลงที่ข้อสรุปนี้ค่ะ」

 

ผ่านไปเพียงแค่วันเดียวเท่านั้นหลังจากจบ “งานเลี้ยงต้นกล้าแห่งคืนข้างขึ้น” งานที่เด็กๆจะได้กลายเป็นขุนนางเต็มตัว แล้วตัวคุณหนูก็ใช้เวลาเพียงน้อยนิดจนกลายเป็นขุนนางเต็มตัวได้

 

และดูเหมือนจะมีผมเป็นแรงผลักดันด้วย ไม่มีอะไรน่าภูมิใจไปมากกว่านี้อีกแล้วละ

 

ทั้งมารยาทในการพูดและท่าทางที่ยกหัวของเธอให้สูงขึ้นนั้นแม้ไม่เกี่ยวกับรูปลักษณ์ของเธอก็ตาม แต่มันช่างสง่างามในสายตาของผมมากๆเลย

 

―หลังจากนี้ เจ้าจะได้เลือกหินสกิลของเจ้าเอง เรียนรู้สิ่งต่างๆ บางครั้งก็ต่อสู้กับคนอื่นๆ บางครั้งก็ผิดพลาด บางครั้งก็รู้สึกสนุกสนาน และบางครั้งก็รู้สึกเจ็บปวด เพราะตัวพวกเจ้านั้นเกิดมาในสายเลือดของขุนนาง พวกเจ้าก็จำเป็นจะต้องต่อสู้กับชะตากรรมพวกนี้

 

ราชันศักดิ์สิทธิ์กล่าวแบบนั้นกับเหล่าขุนนาง

 

ไม่ต้องสงสัยเลยว่าคุณหนูนั้นคือขุนนาง ถ้าการกระทำนี้คือขุนนางละก็ งั้นคุณหนู ก็คือ ขุนนางแล้วอย่างแน่นอน

 

 

 

บทที่ 2 ตอนที่ 23

 

「แต่หนูก็ยังอภัยให้พวกนั้นที่สงสัยเรย์จิไม่ได้อยู่ดีค่ะ ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่พวกเราพึ่งจะเคยพบกับเจ้าชายคลูฟชราทเมื่อวานเป็นครั้งแรกด้วย…」

 

「อีวา มีอะไรหลายอย่างที่ขุนนางจะต้องทำนะ」ท่านเอิร์ลพูดขึ้นพร้อมกับถอนหายใจ「หินสกิลที่ลูกจะได้รับถูกเลื่อนออกไปเป็นเดือนหน้า」

 

「เดือนหน้าหรอครับ…? งั้น มันก็ไม่ใช่สิ่งที่ท่านจะเป็นคนให้เองกับมือได้ยังงั้นหรอครับ ท่านเอิร์ล?」ผมถามออกไป

 

「ใช่แล้ว เหล่าเด็กอายุ 12 ปีที่เข้าร่วม “งานเลี้ยงต้นกล้าแห่งคืนข้างขึ้น” จะมารวมตัวกันอีกครั้งแล้วรับมอบหินสกิลต่อหน้าฝ่าบาท」

 

「งั้นหรอครับ…」

 

「ถึงผู้ปกครองจะเป็นคนเตรียมหินสกิลเองก็จริง แต่หินสกิลเหล่านั้นจะถูกป่าวประกาศที่นั่นด้วย เพื่อแสดงให้เห็นถึงอำนาจของขุนนางนั้นๆ」

 

「ถ้างั้น คุณภาพของหินสกิลก็เป็นตัวบ่งบอกอำนาจของขุนนางด้วยสิครับ…」

 

「ใช่แล้วละ แล้วอีวาอยากจะรู้ว่าหินสกิลของลูกคืออะไรไหม?」ท่านเอิร์ลถามคุณหนู

 

ช่างน่าแปลกใจ คุณหนูทำเพียงแค่กระพริบตาแล้วพูดว่า「ไม่ค่ะ แค่เดือนเดียวหนูทนได้อยู่แล้ว หนูกังวลเรื่องการพยายามลอบสังหารท่านคลูฟชราทและท่าทีของทางราชวังศักดิ์สิทธิ์มากกว่าค่ะ」

 

ท่านเอิร์ลพยักหน้าด้วยสีหน้าเรียบเฉย แถมยังซาบซึ้งมากกว่าที่แสดงออกมาด้วย การที่ผมพูดอย่างนี้เพราะผมเริ่มเข้าใจวิธีพูดของท่านเอิร์ลแล้วยังไงละ

 

(คุณหนูครับ คำตอบของคุณหนูช่างสมบูรณ์แบบมากเลยครับ ผมให้ 100 คะแนนเต็มเลย)

 

ขุนนางจะต้องใจเย็นๆเมื่อกำลังจะได้รับบางสิ่งและจะต้องสนใจเรื่องสาธารณะมากกว่าเรื่องส่วนตัวด้วย

 

มันเป็นเรื่องที่เรียนมาจากครูสอนพิเศษ และดูเหมือนว่าคุณหนูจะฝึกฝนมันมาเป็นอย่างดี

 

「ฝ่าบาทกล่าวว่าเขาจะทำการเลื่อนงานมอบหินสกิลไปจนกว่าจะพบตัวคนร้ายที่ลอบวางยาพิษ ทว่า มีขุนนางจำนวนหนึ่งที่ต้องออกมาจากดินแดนของตนเพื่อเดินทางมายังเมืองศักดิ์สิทธิ์ด้วย ดังนั้นพวกเราก็เลยตกลงกันว่าจะเลื่อนไปจัดในเดือนหน้าแทน ฝ่าบาทคาดเดาว่าคนร้ายจะลงมืออีกครั้งแน่นอน」

 

ดูเหมือนท่านเอิร์ลจะถูกเรียกตัวไปโดยราชันศักดิ์สิทธิ์เพื่อพบกับบุคคลสำคัญต่างๆในเมืองศักดิ์สิทธิ์แล้วใช้ “เนตรเวทมนตร์แห่งการสืบสวน” ถึงเรื่องการวางยาพิษ

 

โดยเริ่มจากเจ้าชายศักดิ์สิทธิ์กับเจ้าหญิงศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่ 1 ไปจนถึงผู้นำตระกูลขุนนางชั้นสูงต่างๆ

 

อนึ่ง คนรับใช้ที่เป็นคนจัดการเรื่องจานอาหารของเจ้าชายได้หายตัวไปแล้ว ดูเหมือนจะเป็นเรื่องยากมากๆที่จะหาตัวให้พบได้เมื่อมีขุนนางชั้นสูงซ่อนตัวพวกนั้นเอาไว้แล้ว ดังนั้นมันจึงเร็วกว่าถ้าไประบุตัวจากเหล่าผู้นำตระกูลโดยตรงโดยใช้ “เนตรเวทมนตร์แห่งการสืบสวน” ละนะ

 

「นี่จะต้องทำให้เกิดความขัดแย้งแบบที่ไม่เคยมีมาก่อนแน่นอนเลยครับ…」

 

「ใช่ เกือบทุกคนที่รู้ว่าข้ามี “เนตรเวทมนตร์แห่งการสืบสวน” นั้นต่างจ้องมองข้าราวกับจะกินเลือดกินเนื้อกันเลย ถึงจะไม่มีใครโกหกเลยก็เถอะ」

 

เขาพูดออกมาอย่างเรียบเฉย ทว่าตามความคิดของผม มันจะต้องเครียดสุดๆไปเลย

 

นั่นก็หมายความว่าราชันศักดิ์สิทธิ์หวงเจ้าชายคลูฟชราทมากๆเลยสินะ คิดว่านะ? ไม่ว่ายังไงก็ตาม ข้อมูลเรื่องที่ท่านเอิร์ลกำลังสืบสวนโดยใช้เนตรเวทมนตร์อยู่นั้นจะต้องกระจายออกไปอย่างรวดเร็วแน่ๆ ความเป็นไปได้ที่ท่านเอิร์ลจะถูกโจมตีก็มากขึ้นอีกแล้ว

 

「ท่านเอิร์ลครั-」

 

「เรย์จิซัง ไว้คุยเรื่องนี้กันทีหลัง」

 

เห็นได้ชัดเลยว่าท่านเอิร์ลเข้าใจถึงเรื่องนั้นดี แต่เขาไม่อยากให้คุณหนูรู้ก็เลยพูดออกมาว่า “ทีหลัง”

 

「ท่านพ่อ เรย์จิ หนูเองก็เป็นขุนนางเต็มตัวแล้วนะคะ โปรดบอกหนูด้วยเถอะค่ะ มันอาจจะเป็นเรื่องที่หนูจะต้องรู้เอาไว้ก็ได้นะคะ」

 

คุณหนูไม่เห็นด้วยกับความคิดของท่านเอิร์ล

 

ไม่สิ จะต้องบอกว่า เธอทำตามเขามาจนถึงตอนนี้ต่างหาก ถ้าเธอถูกบอกว่า “ลูกไม่จำเป็นต้องรู้” เธอก็คงจะตอบว่า “ค่ะ” แต่ถ้าท่านเอิร์ลบอกให้คุณหนูไป “บดขยี้ธุรกิจค้าทาส” เธอก็คงจะไม่เห็นด้วย

 

「อีวา ลูกยัง… ไม่สิ ลูกพูดถูก」โทนเสียงของท่านเอิร์ลเปลี่ยนไป「ถ้างั้น ลูกก็จะถูกปฏิบัติในฐานะขุนนางเต็มตัวด้วย」

 

「ค่ะ!」

 

บางทีคุณหนูเองก็น่าจะรับรู้ถึงโทนเสียงที่เปลี่ยนไปของท่านเอิร์ลด้วย เธอจึงยืดตัวตรงแล้วเผชิญหน้ากับท่านเอิร์ล ถึงใบหน้าของท่านเอิร์ลจะดูไร้อารมณ์เหมือนทุกที ทว่าในความเป็นจริงแล้ว โทนเสียงของเขานั้นเปิดเผยตรงข้ามกับคำสุภาพของเขามากขึ้น

 

「อย่างแรกเลย เป็นไปได้ที่พ่ออาจจะถูกฆ่า」

 

「!! …ค่ะ เพราะถ้าท่านพ่อยังคงสืบสวนต่อไปอย่างนี้ด้วยกันกับฝ่าบาท ท่านพ่อก็น่าจะพบตัวคนร้ายด้วยใช่ไหมละคะ?」

 

「ใช่แล้วละ เพราะคงไม่มีใครคิดจะทำร้ายเจ้าชายศักดิ์สิทธิ์นอกจากเหล่าราชวงศ์และขุนนางหรอก ฝ่าบาทก็เลยเริ่มสืบสวนจากผู้คนในตำแหน่งที่สูงที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้」

 

「เท่าที่จะเป็นไปได้หรอครับ…? เนื่องจากเจ้าชายกับเจ้าหญิงลำดับที่ 1 นั้นมีโอกาสที่จะได้ขึ้นครองบัลลังก์ศักดิ์สิทธิ์มากมายอยู่แล้ว พวกเขาก็น่าจะเป็นคนนอกไม่ใช่หรอครับ?」

 

「นี่ยังเป็นข้อมูลที่ยังไม่ได้รับการยืนยันนะ แต่พวกเบื้องบนของสำนักงานจัดการแท่นบูชาดูจะกำลังวุ่นวายกันอยู่ ข้าเดาว่ามันมีอะไรบางอย่างที่ผิดปกติเกิดขึ้นแน่ๆ อะไรบางอย่างที่คนอย่างข้าที่ทำงานเกี่ยวกับอาชญากรรมภายในก็ไม่อาจแตะต้องได้」

 

「…มันหมายถึงเรื่องที่อาจจะมีหินสกิล 5 ดาวหรือมากกว่าปรากฏตัวขึ้นที่แท่นบูชาแห่งแรก และมันจะถูกมอบให้กับเจ้าชายคลูฟชราท」ท่านเอิร์ลพูดขึ้น

 

「!」

 

「!!」

 

หินสกิล 5 ดาวหรือมากกว่านั้นแน่นอนว่ามันมีค่ามากมายมหาศาลเลยนะ!

 

หินสกิล 4 ดาวนั้นสามารถถูกครอบครองโดยเหล่าพ่อค้าที่ประสบความสำเร็จและพวกนักผจญภัยที่โชคดีได้ ทว่า เมื่อนับจำนวนคนที่ครอบครองหิน 5 ดาวหรือมากกว่าแล้วละก็ จำนวนมันดึ่งลงเหวเลยละ

 

「มีหินสกิล 5 ดาวหรือมากกว่าอยู่ทั้งหมด 7 อันภายใต้การดูแลของราชอาณาจักรครูวานศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ อันแรกก็คือ【ทักษะดาบศักดิ์สิทธิ์ ★★★★★★】ที่ถูกถือครองโดยหัวหน้าภาคีอัศวินลำดับที่ 1 – ประมาณนั้น มันได้ถูกส่งต่อรุ่นสู่รุ่นในหมู่ผู้บัญชาการอัศวิน ถ้าผู้ใช้ตายไปละก็ หินสกิลเองก็จะหายไปด้วย ดังนั้นเหล่าผู้บัญชาการอัศวินจึงไม่ได้อยู่ในแนวหน้าเลย จะเรียกมันว่าตำแหน่งกิตติมศักดิ์ก็ไม่ผิดนัก」

 

โอ๊ะ จริงหรอ! งั้นนั่นคือเหตุผลที่ผมไม่เคยเห็นผู้บัญชาการอัศวินเลยแม้จะทำงานอยู่ในภาคีอัศวินถึง 3 ปีสินะ

 

「【ทักษะดาบ ★★★★★】นั้นอยู่ในการดูแลของตระกูลดยุคโรซีเออร์ ยังไงซะอัศวินของพวกเขานั้นอุทิศตนให้กับวิชาดาบอยู่แล้ว ทว่าตัวหินสกิลก็ไม่ได้มอบให้อัศวินคนไหนใช้หรอกนะ มีเพียงแค่ผู้นำตระกูลเท่านั้นที่ใช้มันได้」

 

ตระกูลของหลุยส์งั้นหรอ ถ้าพวกเขาอุทิศตนให้กับวิชาดาบแล้วละก็ ทำไมพวกเขาถึงจ้างกัปตันอาเธอร์มาเป็นคนคุ้มกันละ? เป็นเพราะเขาคือหนึ่งในคนที่แข็งแกร่งที่สุดในภาคีอัศวินยังงั้นหรอ?

 

「【ทักษะบังคับบัญชาระดับวีรบุรุษ ★★★★★】นั้นเป็นของตระกูลดยุครีส และ【ผสมผสานแห่งความลับ ★★★★★】นั้นเป็นของตระกูลดยุคเอเบน」

 

ผมไม่รู้อะไรมากเกี่ยวกับตระกูลรีส แต่ตระกูลเอเบนก็คือตระกูลของคุณชายอีธาน สกิลเกี่ยวกับการผสมนั้นเข้ากันได้ดีกับเผ่าฮาร์ฟลิงเลย

 

「【ทักษะดาบมังกร ★★★★★】เป็นของตระกูลดยุคลูเซียว (Luciel) เป็นตระกูลดยุตที่มี “นักบุญดาบออกัสติน” อยู่ เป็นกลุ่มที่มีอำนาจทางการทหารมากที่สุดในหมู่ 6 ดยุคผู้ยิ่งใหญ่และยังเป็นตระกูลที่สนับสนุนเจ้าชายลำดับที่ 1 ด้วย」

 

“6 ดยุคผู้ยิ่งใหญ่” หรือ “6 อาร์ชดยุค” นั้นดูจะเป็นเหล่าตระกูลที่สูญเสียสีฟ้าศักดิ์สิทธิ์ไปแล้ว แต่เพราะผลงานเด่นๆของพวกเขา พวกเขาจึงยังเรียกตัวเองว่า “ตระกูลดยุค” ได้อยู่

 

ตัวอย่างเช่น ถ้าเจ้าชายคลูฟชราทไม่ขึ้นครองบัลลังก์และรับตำแหน่งดยุค แล้วถ้าทายาทที่เกิดมาไม่ได้สืบทอดสีฟ้าศักดิ์สิทธิ์ละก็ ตระกูลของเขาก็จะถูกรวมเข้ากับตระกูลของภรรยาของเขาแทน ตำแหน่งตระกูลดยุคก็จะหายไปในรุ่นแรกทันที

 

ทว่าตราบใดที่ลูกหลานยังคงมีสีฟ้าศักดิ์สิทธิ์ เขาก็จะยังเป็นดยุคต่อไปได้ และในช่วงนี้ ถ้าเขาสามารถสร้างความสำเร็จใหญ่ๆได้ – ไม่ว่าจะเป็นชัยชนะอันยิ่งใหญ่ในสงคราม, สร้างสิ่งประดิษฐ์ที่ยิ่งใหญ่, และอื่นๆ – ต่อให้เขาจะเสียสีฟ้าศักดิ์สิทธิ์ไปแล้วก็ตาม เขาก็ยังคงฐานะดยุคต่อไปได้

 

ผลลัพธ์ก็คือ มีตระกูลดยุค 6 ตระกูลที่เหลืออยู่หลังจากสูญเสียสีฟ้าศักดิ์สิทธิ์ไปแล้ว จึงเรียกขานกันว่า 6 ตระกูลดยุคผู้ยิ่งใหญ่

 

「【เสริมพลังเวทมนตร์ ★★★★★】เป็นของตระกูลดยุคลาแมร์ และสุดท้าย【ทักษะการสวดภาวนา ★★★★★】นั้นเป็นของตระกูลเอิร์ลมอนเทนจ์」

 

「อันสุดท้ายเป็นของตระกูลเอิร์ลหรือเนี้ย」

 

「ใช่แล้วจาก 6 ดยุคผู้ยิ่งใหญ๋ มีเพียงตระกูลดยุตริเวียร์ที่ยอดเยี่ยมในด้านการขนส่งทางทะเลเท่านั้นที่ยังไม่มีหินสกิล 5 ดาวขึ้นไป เนื่องจากตระกูลดยุคที่ไม่มีหินสกิลระดับสูงพวกนี้จะถูกนับว่าต่ำกว่าตระกูลดยุคอื่นๆด้วย พวกเขาคงจะต้องการหินสกิล 5 ดาวหรือมากกว่าแบบสุดๆไปเลยแน่นอน」

 

「…จะเกิดอะไรขึ้นกับหินสกิล 5 ดาวหรือมากกว่าที่เกิดใหม่อันนี้ถ้าเจ้าชายคลูฟชราทเสียชีวิตละครับ?」

 

「มันก็น่าจะถูกใช้โดยตัวฝ่าบาทเอง หรือไม่เจ้าชายก็เจ้าหญิงลำดับที่ 1 ละมั้ง…」

 

「ทั้ง 3 คนมีสกิลแบบไหนงั้นหรอครับ?」

 

ท่านเอิร์ลยกนิ้วชี้ของเขาขึ้นแล้วส่ายซ้ายขวาไปมา

 

「เป็นความลับ ความลับของราชวงศ์ที่ถูกเก็บซ่อนเอาไว้อย่างดีเลยนะ」

 

「งั้นหรอครับ…」

 

จะต้องไม่เผยไพ่ในมือ เผื่อได้เปรียบในกรณีฉุกเฉินสินะ

 

「ถ้าเลขานุการลำดับที่ 2 สเปคคูล่าไปดูสกิลของราชวงศ์โดยไม่ได้รับอนุญาตละก็ หัวของเขาจะหลุดจากบ่า ณ ตรงนั้นเลย」

 

「หึมม…」

 

ดูจะเป็นความลับสุดยอดเลยสินะ

 

ทำเอาผมอยากจะมีสกิล【มองหินสกิล】เลย ผมควรจะตรวจสอบสกิลของสเปคคูล่าซังในขณะที่มี【World Ruler】ด้วยจะดีไหมนะ?

 

……ไม่ละ 【World Ruler】ของผมเองก็เป็นความลับสุดยอดด้วยเหมือนกัน

 

「หรือหินสกิลนั่นอาจจะถูกมอบให้กับเจ้าชายลำดับที่ 3 ก็ได้นะ ถึงเจ้าชายลำดับที่ 3 นั้นจะอายุแค่ 10 ขวบ ทว่าเขาเองก็ได้มีคู่หมั้นแล้ว แถมยังเป็นคนจากตระกูลดยุคริเวียร์ซะด้วยสิ」

 

 

 

บทที่ 2 ตอนที่ 22

 

ผมกลับมาถึงคฤหาสน์ตอนเกือบจะบ่าย 3 โมงแล้ว ส่วนท่านเอิร์ลนั้นน่าจะกลับมาหลังพระอาทิตย์ตกดิน… แต่ดูจากเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวาน มันก็ไม่แปลกถ้าเขาจะกลับช้ากว่านั้นนะ ไปแจ้งให้หัวหน้าพ่อบ้านทราบดีกว่าว่าผมอยากจะพบเขา – ตอนแรกผมก็คิดยังงั้น ทว่า–

 

「กลับมาซะทีนะ」

 

「เอ๊ะ?」

 

ท่านเอิร์ลนั้นได้ยืนอยู่ที่หน้าประตูทางเข้า

 

「เรย์จิ!」

 

「คุณหนูครั– อุ๊ฟ…」

 

คุณหนูพุ่งเข้ามากอดผมจนทำให้ผมถอยหลังไปเลย แต่ดีที่ผมมีร่างกายที่ยืดหยุ่นดังนั้นผมจึงไม่ได้ล้มลงไป

 

「มะ-มีอะไรหรอครับ?」

 

「ไหนนายบอกว่าจะรีบกลับมาไง! แต่ดูเวลาตอนนี้สิ…」

 

「อา–」

 

ผมทำให้เธอกังวลยังงั้นหรอ? ไม่สิ คุณหนูเป็นกังวลมาตั้งแต่แรกแล้วนี่นา… แต่แล้วผมก็ยังทานอาหารกลางวันอย่างสบายๆเนี้ยนะ

 

(ให้ตายเหอะ ผมจะทำยังไงดีนะ…)

 

หัวของผมเต็มไปด้วยเรื่องของท่านเอิร์ลจนลืมเรื่องของคุณหนูไปเลย

 

「…ขออภัยนะครับคุณหนู งั้นผมจะอยู่กับคุณหนูทั้งวันจนกว่าจะถึงเวลานอนแล้วกันนะครับ」

 

「จริงๆนะ?」

 

「แน่นอนครับ」

 

ดังนั้น ได้โปรดหยุดกอดผมซักทีเถอะครับ… หัวหน้าพ่อบ้านจ้องผมด้วยสีหน้าอย่างกับปีศาจแล้ว และหัวหน้าเมดเองก็ถือแส้มานั่นแล้วด้วย– เดี๋ยวนะ เธอไปเอามันมาจากไหนกัน!?

 

「เรย์จิซัง」ท่านเอิร์ลเรียกผม ดวงตาของเขาเย็นชาหยั่งกับดินเยือกแข็งเลย!

 

「ใจเย็นก่อนครับ ท่านเอิร์ล ใจเย็นๆนะครับ…」

 

「ข้าก็ใจเย็นอยู่แล้ว แค่กำลังคิดว่าจะตักเตือนคนคุ้มกันที่ออกไปเดินเตร็ดเตร่ข้างนอกทั้งๆที่มีเรื่องใหญ่เกิดขึ้นเมื่อวานยังไงดีก็เท่านั้นเอง」

 

การตักเตือนทีหลีกเลี่ยงไม่ได้!

 

「ทะ-ที่สำคัญไปกว่านั้นนะครับ สุภาพบุรุษท่านนั้นคือใครหรือครับ?」

 

มีชายตัวสูงรูปร่างผอมบางยืนอยู่ข้างๆท่านเอิร์ล แทนที่เขาจะดูเหมือนขุนนาง เขากลับดูเหมือนข้าราชการมากกว่า เขาสวมเสื้อโค้ทสีน้ำตาลทว่าผิวของเขานั้นเป็นสีสีดำอมฟ้า รวมถึงมีผมสีเงินตั้งแต่โคนจนถึงปลายเลย เขายังสวมแว่นตาปิดบังดวงตาสีทองที่มีแววตาคล้ายกับแมวด้วย ดูจะไม่ใช่เผ่ามนุษย์เลยสักนิด

 

「ว้าว! วันนี้ได้เห็นอะไรที่น่าสนใจซะด้วย ที่ท่านเอิร์ลซิวลิซส์ทำตัวเหมือนกับพ่อคนตามปกติแบบนี้」

 

「…เลขานุการลำดับที่ 2 สเปคคูล่า (Specular) เจ้าไม่ควรล้อเล่นกับขุนนางยังนั้นนะ」

 

「กระผมต้องขออภัยที่ล่วงเกินท่านไปครับ」

 

เห็นวิธีการพูดคุยแบบสบายๆของเขากับท่านเอิร์ลแล้ว หมายความว่าเลขานุการนี้เป็นตำแหน่งที่สูงขนาดนั้นเลยหรอ?

 

「อีวา เรย์จิซัง ไปที่ห้องของข้า」ท่านเอิร์ลพูด

 

มีคนทั้งหมด 5 คนมารวมตัวกันที่ห้องทำงานของท่านเอิร์ลที่เป็นสถานที่ที่จะต้องทำการรายงานสถานการณ์ของคุณหนูภายใน “10 วันต่อหนึ่งครั้ง” ใน 5 คนนั้นมี ผม, คุณหนู, ท่านเอิร์ล, สเปคคูล่าซัง, และหัวหน้าพ่อบ้าน เนื่องจากตัวหัวหน้าพ่อบ้านนั้นยืนอยู่ที่ประตูห้อง เขาจะทำหน้าที่ “เฝ้ามอง” อย่างนั้นหรอ?

 

(คนๆนี้เป็นใครกันแน่นะ?)

 

เมื่อผมมองไปที่ผู้ตรวจการ เขาก็มองกลับมาที่ผมเช่นกัน

 

「ยินดีที่ได้รู้จักนะ เรย์จิซัง กระผมชื่อสเปคคูล่า เลขานุการแห่งฝ่ายกิจการภายในเมืองหลวง」

 

「ยินดีที่ได้รู้จักเช่นกันครับ ผมเรย์จิ คนคุ้มกันของคุณหนูอีวาครับ」

 

「หืมม…」

 

「?」

 

ในตอนนั้น มันเหมือนกับว่าดวงตาของสเปคคูล่าซังนั้นเรืองแสง รู้สึกเหมือนกับว่า… เขากำลังพยายามมองตัวตนของผมเลย

 

「…ท่านเอิร์ล สไตล์การคุ้มกันของเรย์จิซังยังคงเหมือนเดิมไหมครับวันนี้?」

 

「อืม」

 

「งั้นหรอครับ นี่ครับ」

 

นั่นมันอะไรหน่ะ?

 

สเปคคูล่าซังเขียนบางอย่างลงบนกระดาษใบหนึ่งก่อนจะยื่นให้กับท่านเอิร์ล เมื่อท่าเอิร์ลมองดูกระดาษแผ่นนั้น เขาก็ขมวดคิ้วแล้วพยักหน้าเล็กน้อย

 

「ถ้ายังงั้น กระผมขอตัวนะครับ」

 

「จะกลับแล้วงั้นรึ?」

 

「กระผมหมดหน้าที่แล้วครับ」

 

เมื่อสเปคคูล่าซังยืนขึ้น หัวหน้าพ่อบ้านก็ได้ก้มหัวให้กับเขาก่อนจะปล่อยเขาออกไปจากห้อง

 

「เมื่อกี้มันอะไรกันคะ ท่านพ่อ?」

 

「………」

 

หลังจากที่มองดูกระดาษที่สเปคคูล่าซังยื่นมาให้ไปซักพัก ท่านเอิร์ลก็ได้โชว์มันให้พวกเราดู

 

「เลขานุการลำดับที่ 2 สเปคคูล่านั้นมีสกิลที่หายากมากๆแม้จะเป็นในหมู่เจ้าหน้าที่ฝ่ายกิจการภายในเมืองหลวงอยู่」

 

และสิ่งที่เขียนอยู่ในกระดาษแผ่นนั้นก็คือ – ไม่มีสกิล

 

「มันก็คือ【มองหินสกิล★★】มันเป็นสกิลที่จะทำให้รับรู้ถึงสกิลของคนที่เจ้ากำลังมองอยู่ ถึงระดับของเขาจะไม่สามารถบอกจำนวนดาวได้ก็จริง… แต่เขาก็ได้ตรวจดูสกิลของเรย์จิซังไปแล้ว」

 

「ท่านพ่อ! ทำไมถึงทำยังนั้นละคะ?」

 

ถึงน้ำเสียงของคุณหนูจะเหมือนกับการตำหนิ แต่เธอเองก็ตกตะลึงไปเล็กน้อยเหมือนกัน

 

「เรย์จิ นาย…」

 

「ครับ ผมไม่มีสกิลอะไรในตัวเลยครับ」

 

ผมตอบออกไปอย่างซื่อสัตย์

 

(เกือบไปแล้วววววววววว~~~~~! ดีนะที่ผมระวังตัวเอาไว้ คิดไว้แล้วเชียวว่ามันต้องมีสกิลอะไรแบบนี้อยู่ด้วย!)

 

เนื่องจากพวกเรานั้นเซ็นสัญญาคุ้มกันกันแล้ว แต่ท่านเอิร์ลก็ไม่เคยยืนยันสกิลที่ผมมีเลยซักครั้ง ผมไม่รู้ว่าเขาคิดว่ามันไม่เป็นไรตราบใดที่ผมสามารถจัดการำวกมือสังหารได้ หรือเขาคิดว่าผมเป็นแค่ “ผู้ใช้เวทมนตร์” หลังจากที่เห็นผมใช้【เวทย์ความมืด】ในการประลองกับแม็กซิมซังอะไรแบบนั้นกันแน่ ยังไงก็ตาม ดูจากที่ผมรู้ถึงยาพิษในอาหารเมื่อวานได้ ท่านเอิร์ลก็คงเริ่มคิดว่าผมมียูนีคสกิลบางอย่างแน่ๆแล้ว ก็คงไม่แปลกถ้าเขาจะสงสัยว่ามันอาจจะนำอันตรายมาสู่เขากับคุณหนู ท่านเอิร์ลยิ่งระมัดระวังตัวอย่างมากเมื่อเป็นเรื่องของลูกสาวของเขาอยู่ด้วย

 

(เพื่อเอาไว้ก่อน เป็นการเพื่อเอาไว้ก่อนจริงๆที่ได้ตัดสินใจเอา【World Ruler】ออกมา ดีจริงๆที่ผมทำยังงั้น…)

 

ท่านเอิร์ลนั้นมี “เนตรเวทมนตร์แห่งการสอบสวน” อยู่ ดังนั้นผมเลยตอบออกไปว่า “ผมไม่มีสกิลอะไรในตัวเลย” แทนที่จะเป็น “ผมไม่มีสกิลอะไรเลย”

 

เป็นชัยชนะของผมที่ผมได้ระมัดระวังตัวเอาไว้

 

「ข้าต้องขอโทษด้วย เรย์จิซัง ไม่ใช่ว่าข้าสงสัยอะไรในตัวเจ้าหรอกนะ」

 

「ไม่ครับ ผมเข้าใจความรู้สึกของท่านอยู่ เป็นการเพื่อเอาไว้ก่อนใช่ไหมละครับ?」

 

「ใช่แล้ว ในทางกลับกัน ข้าก็ค้นพบอะไรบางอย่างด้วย – บางอย่างที่ข้ามั่นใจว่าเรย์จิซังเองก็คงไม่รู้เรื่องนี้แน่ๆ」

 

「เรื่องที่ผมไม่รู้งั้นหรอครับ…?」

 

「ผู้คนที่สามารถใช้เวทมนตร์ได้โดยที่ไม่ต้องใช้หินสกิลนั้นได้เปรียบอย่างมากทั้งเรื่องการใช้งานเวทมนตร์ที่รวดเร็วและใช้งานได้หลากหลายมากกว่าเวทมนตร์ตามปกติ แต่แน่นอนว่ามันยากที่จะเรียนรู้ได้」

 

「การใช้งานเวทมนตร์…」

 

「ใช่แล้ว บางทีเจ้าอาจจะใช้ “บทสวดแห่งฝันร้าย” จาก【เวทย์ความมืด】ในตอนที่สู้กับแม็กใช่ไหม ข้าเดาว่ายังงั้นนะ? มันสามารถอธิบายได้เลยว่าทำไมเจ้าถึงใช้งานมันได้รวดเร็วนัก」

 

「…หมายความว่าท่านสงสัยว่าผมไม่มีสกิลที่เกี่ยวข้องกับเวทมนตร์มาตั้งแต่ตอนนั้นแล้วสินะครับ?」

 

ท่านเอิร์ลตอบกลับมาด้วยการยิ้มกว้าง ซึ่งมันไม่ได้เหมาะกับเขาเลยซักนิด

 

「แต่ข้าไม่คิดเลยว่าเจ้าจะไม่มีสกิลอะไรเลยแบบนี้ มีเหตุผลอะไรรึปล่าว?」

 

「ไม่ครับ มันก็แค่ว่าผมใช้ชีวิตแบบนี้มาโดยที่ไม่มีปัญหาอะไรเลยจนถึงตอนนี้ก็เท่านั้นเองครับ ดังนั้นผมจะซึมซับหินสกิลก็ต่อเมื่อมันจำเป็นจริงๆครับ」

 

ที่ผมพูดมันก็เป็นความจริงอยู่ ตอนนี้ผมสามารถทำอะไรก็ได้ด้วย 【World Ruler】ดังนั้นช่องสกิลอีก 6 ช่องที่เหลือจาก 16 ช่อง ผมจะใช้มันก็ต่อเมื่อจำเป็นจริงๆเท่านั้น

 

「ท่านพ่อคะ มีข่าวคาวอะไรเกี่ยวกับการพยายามลอบสังหารเมื่อวานไหมคะ?」

 

「นอกจากเรื่องที่มีการพบพิษอยู่ในจานอาหารของเจ้าชายศักดิ์สิทธิ์แล้ว มันก็มีเรื่องที่ขุนนางบางคนอ้างว่ามันอาจจะเป็นฝีมือของตัวเรย์จิซังเอง」

 

อ่าห์~ กะไว้แล้วเชียว ยังไงซะ ในตอนนั้นก็ไม่มีใครที่รับรู้ถึงพิษได้นอกจากผมนี่นะ

 

「ไร้เหตุผลเกินไปแล้ว! เรย์จิไม่ทำยังนั้นแน่นอนค่ะ!」

 

「คุณหนู ใจเย็นก่อนครับ ท่านเอิร์ล ได้โปรดใช้เนตรเวทมนตร์ของท่านด้วยครับ ผมไม่ได้เป็นคนวางยาพิษในจานจริงๆ」

 

「…อืม ข้าก็พึ่งยืนยันถึงเรื่องนั้น」

 

ในจังหวะที่เขาใช้งานมัน ดวงตาของเขาก็เปล่งประกายชั่วแวบหนึ่ง

 

ท่านเอิร์ลเองก็คงอยากจะยืนยันให้แน่ใจว่าผมใม่ใช่คนร้ายตัวจริงอยู่เหมือนกัน และจังหวะที่เขาเปลี่ยนไปใช้งานเนตรเวทมนตร์ของเขาเองก็ลื่นไหลเกินไปด้วย

 

แต่ในทางกลับกัน มันก็หมายความว่าเขาไม่ได้ใช้เนตรเวทมนตร์เลยจนถึงตอนนี้ นี่เขาเชื่อใจผมขนาดนั้นเลยหรอ? …ไม่ละ ผมมั่นใจว่ามันต้องเป็นกลยุทธ์ที่ทำให้ผมคิดไปแบบนั้นแน่ๆเลย

 

 

 

บทที่ 2 ตอนที่ 21

 

“พ่อค้าทาส” นั้นถูกนำตัวไปสอบสวนที่กองทหารรักษาการณ์ เนื่องจากที่นั่นมีห้องคุมขังอยู่ด้วย เหล่าอาชญากรทั้งหลายจึงถูกจับเอาไว้ที่นั่นเป็นการชั่วคราว คำตัดสินนั้นจะเกิดขึ้นหลังจากรับฟังคำให้การอย่างยุติธรรมแล้ว ทนายความนั้นดูจะไม่มีตัวตนอยู่ในโลกไปนี้นะ คดีที่เกิดจากบุคคลชั้นสูงอย่างขุนนางนั้นจะถูกปฏิบัติแตกต่างออกไป ในกรณีนี้ ตัวของราชันศักดิ์สิทธิ์กับขุนนางคนอื่นๆจะเป็นคนตัดสินด้วยตัวเอง

 

ห้องสอบสวนนั้นมีขนาดเล็กที่มีเพียงแค่เก้าอี้กับหน้าต่างเล็กๆเท่านั้น บริเวณพื้นนั้นไม่ได้ปูอะไรไว้เลย

 

พ่อค้าทาสตัวอ้วนสะดุ้งเมื่อเห็นชั้นเดินเข้ามาในห้องสอบสวน

 

「พะ-พวกแกรู้ใช่ไหมว่าจะเกิดอะไรขึ้นถ้าใช้ความรุณแรงกับข้าหน่ะ!?」

 

「ใจเย็นก่อน ไม่มีใครจะทำอะไรแกหรอกนะ」หัวหน้ายามพูดขึ้น

 

หัวหน้ายามนั้นเป็นคนผิวแทน เขากลายเป็นคนรู้จักของผมหลังจากเหตุการณ์ “บดขยี้ธุรกิจค้าทาส” ที่เกิดขึ้นหลายต่อหลายครั้ง

 

「ยกเว้นว่าแกจะไม่สารภาพความจริงออกมาหน่ะนะ」

 

“พ่อค้าทาส” ตัวสั่นจากการข่มขู่ของหัวหน้ายาม

 

หัวหน้ายามก้าวถอยหลังไปอยู่ใกล้กับกำแพงพร้อมกับพูดว่า “หมอนี้เป็นของนายแล้ว” ผมเคลื่อนตัวไปอยู่ด้านหน้าของ “พ่อค้าทาส” มีเจ้าหน้าที่เตรียมพร้อมจดบันทึกเรียบร้อยแล้ว

 

「งั้น ผมขอถามคำถามซักเล็กน้อ–」

 

「พวกข้าทำธุรกิจ “จัดการทรัพยากรมนุษย์” อย่างถูกต้องตามกฎหมาย ถึงข้าจะหลุดปากพูดว่า “ทาส” ก็จริง แต่นั่นเป็นแค่ความเข้าใจผิดเท่านั้นเอง แล้วที่ข้าทำตัวไม่เหมาะสมต่อขุนนางนั้นก็เป็นเพราะว่าพวกท่านใช้ชื่อของบริษัทที่ไม่มีอยู่จริงด้วย」

 

「………」

 

ผมรู้สึกคร่ำครวญอยู่ในใจ

 

(เหมือนกับคำให้การของ “พ่อค้าทาส” คนอื่นๆเด๊ะ… เกือบจะเหมือนกับที่ท่านเอิร์ลพูดเอาไว้เลยด้วย… หืมมม? เดี๋ยวก่อนนะ…)

 

อยู่ๆผมก็นึกเหตุการณ์บางอย่างขึ้นมาได้

 

ท่านเอิร์ลอนุญาตให้คุณหนูทำการ “บดขยี้ธุรกิจค้าทาส” ได้ ในตอนนั้นผมเข้าใจว่าตัวเขานั้นเป็นพวกโอ๋ลูก แต่พอมาคิดดูดีๆแล้ว มันก็ค่อนข้างแปลกเลยนะ?

 

(ผมมั่นใจว่าท่านเอิร์ลนั้นรู้ว่าที่ไหนเป็นศูนย์จัดการทรัพยากรมนุษย์ของจริงกับที่ไหนที่ใช้ของพวกนี้มาบังหน้า ต่อให้จัดการกับพวกนี้ไป มันก็ไม่ได้ส่งผลมากมายอะไรกับเศรษฐกิจของเมืองศักดิ์สิทธิ์อยู่ดีนี่)

 

ยิ่งไปกว่านั้น มันยังเป็นอันตรายต่อคุณหนูอีกด้วย เธออาจจะถูกโจมตีจากผู้คนที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจก็ได้ ท่านเอิร์ลจะต้องรู้เรื่องนี้ดีอยู่แล้วเพราะตัวเขาเองก็ตกอยู่ในสถานการณ์ที่ผมต้องช่วยชีวิตเขาไปแล้วด้วย

 

(รายชื่อของ “ศูนย์จัดการทรัพยากรมนุษย์” ที่ถูกเตรียมเอาไว้โดยท่านเอิร์ล กับ “คำให้การที่เหมือนกัน” จากเหล่าพ่อค้าทาสที่ถูกสอบสวน… ทั้งหมดชี้ไปเป็นสิ่งเดียวเท่านั้น)

 

สมมติฐานก่อตัวขึ้นมาในหัวของผม สิ่งที่จะตอบคำถามถึงเรื่องที่เกิดขึ้นมาในตอนนี้

 

หัวหน้ายามตะโกนออกมาว่า “ตอบให้ตรงคำถามสิวะ!” ทว่าผมก็ได้หยุดเขาโดยการยกมือขึ้น

 

「ถ้ายังงั้น ผมขอถามคำถามอื่นแล้วกัน ได้ไหมครับ?」

 

「หึม ข้าจะต้องตอบคำถามอะไรให้เด็กกัน?」

 

「คุณทำธุรกิจนี้มานานแค่ไหนแล้วครับ?」

 

「……อะไรนะ?」

 

เขาดูจะไม่ได้คาดการณ์คำถามนี้เอาไว้เลยนะ ในวันนั้นผมได้เข้าใจแล้วว่าตาลุงอ้วนๆที่ทำหน้างงๆนั้นไม่ได้ดูน่ารักเลยซักนิด (TL:ก็แหงสิ)

 

「คุณเริ่มทำธุรกิจนี้มาตั้งแต่เมื่อไหร่ครับ?」

 

「อืม เออ… มันก็ 15 ปีมาแล้วนะ」

 

「15 ปีในเมืองศักดิ์สิทธิ์หรอครับ?」

 

「ใช่แล้ว」

 

「บริษัทของคุณมีอะไรที่เอาชนะคู่แข่งของคุณได้หรอครับ?」

 

「…ข้าคงต้องบอกว่า “ศูนย์จัดการทรัพยากรมนุษย์” นั้นก็เหมือนๆกันหมดนั่นแหล่ะ ทว่าพวกข้านั้นมีเส้นสายกับเหล่าขุนนางด้วย สิ่งที่พวกข้าทำได้ก็เลยกว้างมากๆยังไงละ」เขาพูดพร้อมกับหัวเราะออกมาอย่างภาคภูมิใจ

 

「คุณจะทำธุรกิจเดิมอีกครั้งหลังจากเสร็จสิ้นการสำเร็จโทษแล้วหรือเปล่าครับ?」

 

「นั่น… คือ สกิลของข้ามันเป็นแบบนั้น…」

 

「【Slave Master ★★★】หรือครับ?」

 

「ใช่แล้ว แต่อาชีพนั้นมันผิดกฎหมายนะรู้ไหม?」

 

「รู้ครับ งั้น นี่เป็นคำถามสุดท้ายแล้ว」ผมพูด「คุณได้เงินจากท่านเอิร์ลซิวลิซส์ไปเท่าไหร่ครับ?」

 

「?!!!」

 

…และผมก็ได้รู้ว่าตาลุงที่กำลังทำหน้าประหลาดใจนั้นไม่ได้น่ารักเลยสักนิดเช่นกัน

 

ในทางกลับกัน ผมก็สามารถยืนยันได้แล้วว่าสมมติฐานของผมน่าจะจริง

 

หลังจากจบการสอบสวน ผมก็ตรงไปยังที่อยู่ของเซอรี่ซัง เธอเองก็กำลังสืบหาข้อมูลของลาร์คกับลูลูช่าด้วยตัวของเธอเองอยู่

 

เซอรี่ซังเป็นเพียงไม่กี่คนที่รู้เรื่องของผมกับลาร์ค ถึงอาการขึ้เมาจะเป็นข้อเสียของเธอก็เถอะ เธอมักจะหลับในตอนเช้าบ่อยๆ แล้วก็เป็นอย่างที่ผมคิด วันนี้เธอก็ยังหลับอยู่เช่นกัน หลังจากที่ผมปลุกเธอขึ้นมา เธอก็ได้รายงานข้อมูลที่เธอหามาได้; ต่อให้เป็นกิลด์นักผจญภัยก็ดูจะไม่มีข้อมูลของสกิล 5 ดาวหรือสูงกว่าสินะ เอาเถอะ ขนาดท่านเอิร์ลซิวลิสซ์เองก็ยังหาข้อมูลใดๆไม่ได้เลย คงทำได้เพียงแค่ค้นหาต่อไปอย่างใจเย็นสินะ?

 

「จะว่าไปแล้ว…」

 

เซอรี่ซังนั้นอาศัยอยู่ในห้องส่วนตัวภายในโรงแรม มันเป็นห้องเล็กๆก็จริง แต่เธอเคยพูดเอาไว้ว่า “ชั้นไม่ต้องการห้องใหญ่ๆหรอก เพราะชั้นใช่มันเพื่อนอนเท่านั้นแหล่ะ” – แล้วทำไมถึงเห็นมีขวดเหล้ากองอยู่บนพื้นละนั่น?

 

「คุณช่วยส่งจดหมายให้กับปาร์ตี้นักผจญภัยปาร์ตี้นึงได้หรือปล่าวครับ?」

 

「…อา ใช่ซิวเวอร์บาลานซ์หรือปล่าว?」

 

「เดาแม่นดีนะครับ」

 

「ก็เพราะว่าเธอไม่ได้รู้จักคนอื่นอยู่แล้วนี่นา หนุ่มน้อย」

 

「………」

 

นั่นก็จริง แต่ว่า… มันรู้สึกเหมือนกับผมถูกบอกว่าผมเป็นคนไร้เพื่อนเลย

 

เซอรี่ซังใช้น้ำที่ผมสร้างขึ้นล้างหน้าล้างตาของเธอ ไม่ใช่โบราณว่าไว้ว่า “ฝนจะตกเมื่อแมวล้างหน้า” ไม่ใช่หรอ? อืม วันนี้ฟ้าก็ครึ้มจริงๆด้วยสิ

 

「เธอสามารถส่งได้ก็จริง แต่การส่งข้ามพรมแดนนั้นยุ่งยากมาก แถมยังแพงมากด้วยนะ」

 

「ผมก็คิดเอาไว้แล้วละครับ…」

 

「ยังไงก็ตาม เธอรู้ไหมว่ากิลด์นั้นมีการขนสัมภาระระหว่างกิลด์ด้วย ถ้าเธอส่งมันผ่านช่องทางนี้ละก็ มันจะช่วยเพิ่มความแน่นอนให้ได้นะ」

 

「เข้าใจแล้วครับ」

 

ตามที่เซอรี่ซังพูด เอกสารที่จำเป็นอาจจะถูกขนย้ายไปมาระหว่างกิลด์ และภารกิจ “ส่งของ” กับ “คุ้มกัน” นั้นจะขึ้นอยู่กับสิ่งที่กิลด์จะส่งด้วย

 

「ส่วนรางวัลนั้นมันจะถูกเกินไปแล้ว! แถมเมื่อถูกรับเลือกแล้วปฏิเสธก็จะถูกลดขั้นจากกิลด์อีก ไม่มีทางเลือกอื่นเลยนอกจากยอมรับมัน ขนาดนักผจญภัยระดับสูงก็ยังปฏิเสธมันไม่ได้เลยด้วย อ๊าก คิดแล้วก็โมโห ถึงจะะบ่ายแล้ว แต่ชั้นก็อยากจะดื่มอีกจริงๆ」

 

「ถ้าคุณกลายเป็นขี้เมาไม่ได้เรื่องแล้วละก็ ผมจะทิ้งคุณไปนะครับ รู้ไหม?」

 

「…อา-อะฮ่าๆ แค่ล้อเล่นเองหน่าหนุ่มน้อย ในกิลด์เรียกชั้นว่า “เซอรี่ผู้ขยันขันแข็ง” เลยนะ รู้ไหม?」

 

ไม่ใช่แค่ผมให้เซอรี่ยืมเงินไปจ่ายหนี้แล้ว แต่ผมก็ยังให้ค่าขนมเธอด้วยนะ

 

ผู้ใหญ่เต็มตัวอายุ 20 ปีต้องให้เด็กอายุ 14 ปีคอยช่วยแบบนี้ ถ้าปล่อยทิ้งไว้คนเดียวละก็ คนๆนี้จะต้องเกินเยียวยายิ่งกว่านี้แน่ๆเลย

 

「นอกจากนี้ ผมยังได้ยินชื่อ “ขี้เมาเซอรี่” ด้วยนะครับ」

 

「โฮะโฮะโฮะ ชั้นจะไปฉีกร่างของไอ้คนที่พูดอย่างนั้นให้เป็นชิ้นๆเลย! ไปกันเถอะ หนุ่มน้อย! บอกชั้นมาว่าใครกันที่พูดแบบนั้น!」

 

「ผมเป็นคนพูดเองแหล่ะครับ คุณจะฉีกผมเป็นชิ้นๆหรือเปล่าครับ?」

 

「หนุ่มน้อย… นั่นแค่ล้อเล่นหน่ะ มุกของเซอรี่ผู้น่ารักเลยนะ รู้ไหม? เอ๊ะเห่ะๆ…」

 

เธอเปลี่ยนท่าทีจากกำหมัดแน่นมาเป็นการถูมือไปมาเหมือนกับพ่อค้าหน้าตาระรื่นที่พยายามขูดรีดเงินทันที เป็นท่าทางที่ลื่นไหลดีจริงๆ คนๆนี้คงเกินเยียวยาแล้วละ

 

「เพลาๆเรื่องมุกบ้างนะครับ เข้าใจนะครับบบ? ในกรณีนี้ผมคงจะเขียนจดหมายถึงพวกเขาไม่ได้ถ้าไม่รู้ที่อยู่ของพวกเขางั้นสินะครับ?」

 

「อยู่เธอก็คิดถึงพวกเขางั้นหรอ?」

 

「คะ-ครับ คิดว่านะ」

 

มันเป็นเพราะผมได้พูดคุยกับฮาล์ฟลิงซังในงานเลี้ยงเมื่อวานหน่ะสิ ผมสงสัยจังว่าคุณจะยังสบายดีอยู่หรือปล่าวนะ มิมิโนะซัง… ผมเองก็คิดที่จะอธิบายเหตุผลที่ผมออกมาในตอนนั้นด้วยเหมือนกัน

 

「หนุ่มน้อย」

 

「หืมม?」

 

「…คิดจะทำงานให้กับท่านเอิร์ลไปจนถึงเมื่อไหร่กันละ?」

 

「ทำไมอยู่ๆถึงพูดถึงเรื่องนั้นละครับ?」

 

「ชั้นแค่รู้สึกร้อนตัวแปลกๆหน่ะ ชั้นสงสัยจังว่าอาจจะมีอะไรเกิดขึ้นกับเธอหรือเปล่า?」

 

「………」

 

เป็นสัญชาตญาณที่เฉียบคมจริงๆ

 

ผมลังเลเล็กน้อย แต่ก็ได้เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดเมื่อวานให้กับเซอรี่ซังฟัง

 

「ระวังตัวเอาไว้นะหนุ่มน้อย สิ่งที่หน้ากลัวที่สุดในโลกใบนี้ไม่ใช่มังกรหรือนักผจญภัยระดับมิธริลพวกนั้นหรอกนะ」เซอรี่ซังพูดขึ้นหลังจากที่ได้ฟังสิ่งที่ผมอธิบายออกไป

 

「เอ๊ะ?」

 

「ผู้คนที่มีอำนาจต่างหากละที่น่ากลัวที่สุด」

 

ผมนั้นตกตะลึง

 

แน่นอนว่า “ทหารรับจ้างเขี้ยวทมิฬ” นั้นถูกทำลายด้วยคริสต้าที่เป็นนักผจญภัยระดับมิธริล และไรเครียซังที่เฝ้ารอโอกาสจนฆ่าเขาได้สำเร็จไปแล้วจริง ทว่าเรื่องทั้งหมดก็มีผู้มีอำนาจคอยชักใยอยู่ในเงามืดอยู่ดี

 

「ท่านเอิร์ลเองก็เป็นหนึ่งในคนพวกนั้นก็จริง แต่มันก็ยังมีคนที่มีอำนาจมากกว่าเขาอยู่ด้วยนะ ระวังตัวเอาไว้ละ พวกนั้นอาจจะจัดฉากให้เธอเป็นคนร้ายเลยก็ได้นะ รู้ไหม?」

 

「ไม่จริงหน่า…」

 

「ตัวอย่างเช่น ถ้าคุณหนูอีวาตกเป็นผู้ต้องสงสัยละก็ ท่านเอิร์ลก็คงไม่ลังเลที่จะใส่ร้ายเธอแน่นอน จริงไหม?」

 

「……」

 

「สำหรับท่านเอิร์ลหน่ะมันคงง่ายมากเลยละ เนื่องจากเขามี “เนตรเวทมนตร์แห่งการสืบสวน” อยู่ด้วยนี่นา」

 

「…ครับ」

 

เป็นอย่างที่เซอรี่ซังพูดเอาไว้เลย บางทีผมคงเชื่อใจท่านเอิร์ลมากไปเพราะผมเชื่อใจในตัวคุณหนู

 

「ผมจะจำเอาไว้นะครับ」

 

「ดีแล้ว งั้น… นี่」

 

เซอรี่ซังยื่นมือของเธอออกมา ทว่ามันกลับไม่มีอะไรอยู่บนมือเลย

 

「หืมม?」

 

「เอ๊ะเห่ะๆ… หนุ่มน้อย」

 

「………」

 

เซอรี่ซังมองมาที่ผมอย่างเขินอาย เธอกำลังขอค่าขนมจากผมอยู่ ดังนั้นผมก็เลยยื่นเหรียญเงินให้เล็กน้อย เซอรี่ซังนั้นเกินเยียวยาแล้ว ทว่าผมเองก็เกินเยียวยาแล้วเหมือนกันที่มักจะให้เงินกับเธอตลอด

 

「เอาละ ถ้างั้น… ผมขอตัวนะครับ」

 

หลังจากทานอาหารกลางวันที่ไหนซักที่เสร็จแล้ว ผมก็ได้เดินมุ่งหน้าไปยังคฤหาสน์ ผมมีอะไรหลายๆอย่างอยากจะถามกับท่านเอิร์ลด้วย ในตอนนี้ผมจะลดการป้องกันของตัวเองลงไม่ได้แล้ว

 

 

 

บทที่ 2 ตอนที่ 20

 

「เรย์จิ พูดได้เลยไม่เป็นไรหรอก」

 

ขณะที่ผมกำลังรู้สึกลำบากใจจากสายตาของราชันศักดิ์สิทธิ์กับเหล่าชนชั้นสูงทั้งหลาย คุณหนูก็เลยยื่นมือเข้ามาช่วยผม

 

「ครับ ก่อนอื่นเลยนะครับ ผมกำลังกังวลถึงการสบตากันของฝ่าบาทกับท่านเอิร์ลชายแดนนะครับ มันดูเหมือนกับพวกท่านไม่ทราบว่าอีกฝ่ายจะเข้าร่วมงานเลี้ยงด้วย ทว่าผมคิดว่าพวกท่านน่าจะรู้เรื่อง “การแสดง” นั่นมาก่อนหน้านี้แล้วครับ หรือบางทีผู้นำตระกูลทุกคนก็น่ารู้แล้วเหมือนกันครับ แน่นอน ผมคิดว่า “การแสดง” นั่นคงจะวางแผนเอาไว้ไม่ให้เกิดอันตรายจริงๆหรอก แต่ก็น่าจะมีการบอกล่วงหน้าเพื่อเอาไว้อยู่แล้วแน่ๆครับ」

 

「………」

 

โอ้ คุณหมีเทาจ้องมาที่ผมอย่างเงียบงันเลยแห่ะ

 

「ต่อมาก็คือเรื่องที่เทียนไขบนโคมระย้าดับไปครับ」

 

「…ทำไมถึงคิดว่ามันแปลกละ?」

 

「ถ้าผมเป็นผู้โจมตีละก็ ผมจะตัดโคมระย้าให้มันตกลงไปครับ มันคงจะทำให้เกิดความโกลาหลมากกว่านี้ แต่ดูเหมือนการตัดโคมระย้ามันจะแพงเกินไปสำหรับ “การแสดง” สินะครับ และเศษกระจกก็อาจจะทำให้เกิดการบาดเจ็บที่ไม่ต้องการด้วย」

 

「หืมมมม…」

 

「นอกจากนั้น…」

 

「ยังมีต่ออีกหรอ?!」

 

「ครับ วิถีดาบของผู้โจมตีนั้นเห็นได้ชัดเลยว่ามาจากภาคีอัศวินครับ และมือสังหารก็จะไม่ทิ้งเป้าหมายแล้ววิ่งหนีไปหรอกครับ เอาเถอะ เรื่องพวกนั้นผมก็ไม่ได้รู้ตัวทันทีหรอกครับ แล้วก็อีกอย่างนะครับ ถึงผมจะไม่ได้รู้ถึงเรื่องนี้มาก่อนก็จริง แต่ตัวของฝ่าบาทกับท่านเจ้าชายศักดิ์สิทธิ์นั้นเรืองแสงในความมืดด้วยครับ ถ้ารู้ถึงเรื่องนี้มาก่อนละก็ มือสังหารคงจะพยายามสังหารพวกท่านด้วยหน้าไม้แล้วละครับ หรืออย่างน้อยๆก็คงจะปาดาบมาจากระยะไกลก่อนจะหนีไปด้วยครับ」

 

「เดี๋ยวก่อนสิ เป้าหมายอาจจะไม่ใช่พวกข้าก็ได้」

 

「อาจจะไม่ใช่ฝ่าบาทก็จริงครับ ทว่าตัวผมคิดว่าเป้าหมายน่าจะเป็นตัวของเจ้าชายศักดิ์สิทธิ์ครับ」

 

「ทำไมละ? เพราะผู้โจมตีหลายคนมุ่งหน้ามาที่โต๊ะนี้ยังงั้นรึ?」

 

「ไม่ครับ」

 

จากนั้นผมก็ได้ชี้ไปที่จานอาหารของเจ้าชายครูฟชราทที่มีซอส 5 แบบที่มีหน้าตาน่ากิน

 

「เพราะมีเพียงแค่ซอสของท่านเจ้าชาย้ท่านั้นที่มีพิษผสมอยู่ครับ」

 

【World Ruler】ยังคงร้องเตือนผมว่าซอสนั้น “เป็นอันตรายต่อร่างกายมนุษย์”

 

เมื่อได้ยินสิ่งที่ผมพูด สีหน้าของราชันศักดิ์สิทธิ์ก็น่ากลัวขึ้นมาทันที

 

(…หืมม? ผมคิดว่าพิษนั่นจะเป็นหนึ่งใน “การแสดง” ด้วยซะอีก แต่ จะว่าไปมันก็แปลก วางยาพิษก็ไม่น่าจะถือเป็นความบันเทิงที่ดีเท่าไหร่นี่นา ก็คิดว่ามันถูกเตรียมเอาไว้ให้เจ้าชายแกล้งตายเพื่อดูปฏิกิริยาของผู้คนอยู่หรอก แต่ไม่เห็นถึงกับต้องใช้พิษจริงๆเลย)

 

「นี่ เจ้าคนคุ้มกัน」

 

「ครับ ฝ่าบาท」

 

「เจ้ามั่นใจจริงๆรึว่ามันถูกวางยาพิษหน่ะ?」

 

「ครับ ผมมั่นใจ」

 

หลังจากนั้น ใบหน้าของราชันศักดิ์สิทธิ์ก็เปลี่ยนเป็นสีแดงด้วยความโกรธ – นั่นก็หมายความว่า “พิษ” นั่น “ไม่ได้อยู่ในแผน” มีใครบางคนที่พยายามจะฆ่าเจ้าชายศักดิ์สิทธิ์จริงๆ

 

คนคุ้มกันนั้นจะต้องตื่นเช้า

 

ต่อให้จะเกิดการพยายามลอบสังหารเจ้าชายศักดิ์สิทธิ์และต้องเข้าร่วมการสืบสวนจนดึกดื่น แล้วต่อจากนั้นก็ต้องราบงานเรื่องราวทั้งหมดให้กับเจ้านายจนนอนดึกอีกด้วยก็ตาม คุณก็ต้องตื่นเช้าอยู่ดี

 

สถานที่ที่เหมือนกับหอพักนั้นถูกเตรียมเอาไว้ให้กับเหล่าคนรับใช้ของคฤหาสน์ ทว่าสำหรับคนคุ้มกัน ผมได้รับห้องส่วนตัวด้วย ผมลุกขึ้นจากเตียงแล้วใช้【เวทย์สะดวกสบาย】เพื่อสร้างน้ำขึ้นมาล้างหน้าตรงอ่าง น้ำเย็นนิดหน่อยในตอนเช้านี้เยี่ยมที่สุดเลย

 

มันไม่มีอะไรอย่างกระจกจริงๆ ดังนั้นผมก็เลยตรวจดูผมเผ้าด้วยกระจกที่ทำจากแผ่นเหล็กใสๆ ผมไม่ได้พยายามดูว่ามันมีผมชี้โด่เด่หรืออะไรหรอกนะ เข้าใจไหม?  ผมแค่ตรวจดูว่าผมควรจะต้องย้อมผมใหม่หรือไม่แค่นั้นเอง อีกอย่างผมของผมก็ไม่ได้ชี้โด่เด่หลังตื่นนอนอยู่แล้วด้วย หลังจากนั้นผมก็ได้เปลี่ยนเสื้อผ้าอย่างรวดเร็วและเตรียมพร้อมที่จะออกไปแล้ว

 

「อรุณสวัสดิ์ค่ะ」

 

「อรุณสวัสดิ์ครับ」

 

มีเหล่าเมดกับพ่อบ้านมากมายที่เริ่มทำหน้าที่ของพวกเขาแล้ว บริเวณทางเข้าดูจะเต็มไปด้วยผู้คนแม้จะเป็นตอนเช้าตรู่

 

「โปรดดูแลตัวเองด้วยนะครับ」

 

「ได้โปรดเดินทางปลอดภัยนะคะ」

 

กลุ่มคนรับใช้ขนาดใหญ่ก้มหัวของพวกเขาลงแล้วมองส่งท่านเอิร์ลกับหัวหน้าพ่อบ้าน ท่านเอิร์ลนั้นจะต้องออกไปตั้งแต่เช้าหลังจากที่ได้ยินรายงานของผมเมื่อคืน นี่เขาได้นอนมั้งหรือเปล่านะ? เขาต้องลำบากในวันพรุ่งนี้แน่ๆเลยถ้าเขาไม่ได้นอนหน่ะ

 

รายงานของผมเกี่ยวกับ “งานเลี้ยงต้นกล้าแห่งคืนข้างขึ้น” ก็คือการรายงานย่อๆเรื่อง “การแสดง” และต้องใช้เวลากับการอธิบายเรื่อง “การวางยาพิษ” มากด้วย ท่านเอิร์ลจดข้อมูลทั้งหมดที่ผมตรวจสอบมา แล้วการที่ตัวเขาที่เป็น “เครื่องตรวจจับโกหก” นั้นถูกเรียกตัวไปในวันนี้โดยราชันศักดิ์สิทธิ์ด้วย เป็นที่แน่นอนแล้วว่าพวกเขากำลังควานหาตัวของผู้กระทำผิดอยู่

 

(ขอแสดงความเสียใจด้วยนะครับ ผมหวังว่าท่านจะโชคดี)

 

ผมมองไปที่ท่านเอิร์ลที่อยู่ด้านหลังหน้าต่างบนรถม้าด้วยความรู้สึกเห็นอกเห็นใจก่อนที่มันจะออกไปจากพื้นที่ของคฤหาสน์ ท้องฟ้าทางทิศตะวันออกดูจะมืดครึ้มนะวันนี้

 

ขณะที่ผมกำลังเช็คตารางงานวันนี้ของคุณหนูอยู่นั้น ผมก็รู้ตัวว่าคุณหนูเองก็ตื่นแล้ว

 

「อรุณสวัสดิ์ครับ คุณหนู」

 

「อรุณสวัสดิ์ เรย์จิ」

 

ผมอธิบายตารางงานในวันนี้ให้กับคุณหนูที่กำลังทานอาหารเช้าอยู่ คุณหนูนั้นทานเพียงคนเดียวโดยมีผมยืนอยู่อีกฝั่งของโต๊ะ

 

รูปลักษณ์ของเธอก็ยังคงสง่างามแม้เธอจะทำเพียงแค่ทานอาหารเช้าเท่านั้นก็ตาม ตัวเธอนั้นราวกับเป็นผลงานศิลปะชิ้นโบว์แดงเลยละ ผมอยากจะเกิดเป็นคนหน้าตาดีในชีวิตหน้ามั้งจัง….

 

「นั่นเป็นทั้งหมดในวันนี้ครับ」

 

「เรย์จิ เกิดอะไรขึ้นเมื่อคืนงั้นหรอ? ชั้นกลับมาก่อนก็เลยไม่รู้หน่ะ」

 

「ผมเข้าร่วมการสืบสวนจนกระทั่งกลางดึกครับ แล้วท่านเอิร์ลก็ดูเหมือนจะกำลังรอผมอยู่ด้วย…」

 

「โม่ว ท่านพ่อนี่ไม่ยุติธรรมเลย บอกให้คนอื่นเข้านอนก่อนแท้ๆ แล้วก็ยัง…」

 

「ผมไม่คิดว่าเขารอผมเพราะความหวังดีหรอกนะครับ ช่างเรื่องนั้นเถอะครับ คุณหนูได้นอนฝันร้ายหรือเปล่าครับ? คุณหนูผ่านเรื่องหน้ากลัวแบบนั้นมานี่ครับ」

 

「หยุดทำเหมือนชั้นเป็นเด็กได้แล้ว และนอกจากนี้ ตัวชั้นก็ไม่ได้กลัวอะไรสักหน่อย ชั้นรู้ว่าตัวชั้นจะต้องปลอดภัยแน่ๆอยู่แล้ว ก็มีเรย์จิอยู่ด้วยทั้งคนนี่นา」

 

「…ให้ตายสิครับ ชมกันเกินไปแล้วนะครับ」

 

คุณหนูครับ จะเชื่อใจผมเกินไปแล้วนะครับ ผมเองก็ไม่รู้จะทำยังไงถ้าคุณหมีเทาจากเมื่อวานโกรธขึ้นมาเหมือนกันนะครับ หนังแบบนั้นมันไม่ใช่อะไรที่มนุษย์ปกติจะใส่กันนะครับ

 

「งั้น ใครเป็นคนร้ายงั้นหรอ?」

 

「ยังไม่ทราบเลยครับ」

 

「เอ๊ะ? ขนาดมีนายอยู่ด้วยงั้นหรอ?」

 

「…ผมเป็นแค่คนคุ้มกันของคุณหนูกับคนพบพิษเองนะครับ」

 

「นั่นก็จริงอยู่ แต่ชั้นยังรู้สึกทึ่งกับวิธีที่นายจัดการกับผู้บุกรุกอยู่เลยนะ รวมถึงตอนที่นายพูดคุยกับฝ่าบาทกับเจ้าชายหลังจากนั้นด้วย!」คุณหนูพูดขึ้นพร้อมกับดวงตาที่สว่างวาบ

 

「คุณหนูอีวาครับ นี่เป็นครั้งแรกที่กระผมได้ยินเรื่องนี้เลยนะครับ」

 

โอ๊ะ ซวยละ! หัวหน้าพ่อบ้านจ้องเขม็งมาที่ผมพร้อมกับขยับแว่นของเขาซะแล้ว!

 

(คุณหนูครับ ได้โปรดเงียบหน่อยครับ! เงียบทีเถอะครับ! ชู่ววว!)

 

พ่อบ้านนั้นอยู่ด้วยในตอนที่ผมได้รายงานกับท่านเอิร์ล ทว่าผมเก็บส่วนที่อาจจะเป็นปัญหากับตัวผมเอาไว้… ถ้าหัวหน้าพ่อบ้านรู้ว่าผมได้พูดคุยกับราชันศักดิ์สิทธิ์ละก็ ตัวเขาที่โคตรคลั่งไคล้ในตัวราชันศักดิ์สิทธิ์ก็จะลุกไหม้ไปด้วยเปลวไฟแห่งความอิจฉาแน่ๆ

 

「เป็นอะไรไปเรย์จิ? นายไม่ได้รายงานเรื่องนี้งั้นหรอ?」

 

「รายงานแล้วครับ! ผมรายงานส่วนที่จำเป็นทั้งหมดไปแล้วครับ! อ่าห์ จริงด้วยครับ วันนี้ผมจะออกไปข้างนอกนะครับ ดังนั้นช่วยเลือกอัศวินไปเป็นคนคุ้มกันของคุณหนูด้วยนะครับ」

 

「–อะไรนะ?」

 

สีหน้าของคุณหนูก็มืดมนขึ้นมาทันที

 

「ผมบอกคุณหนูแล้วนะครับว่าผมได้รับอนุญาตให้เข้าร่วมการสอบสวน “พ่อค้าทาส” ที่พวกเราทำลา– ผมหมายถึงปลดปล่อยนะครับ พวกเขาจะทำการการสอบสวนวันนี้ครับ」

 

「งั้นหรอกหรอ…?」

 

ผมสงสัยจังว่าเธอเป็นอะไรไปนะ? ผมมั่นใจว่าเธอจะต้องพูดอะไรอย่าง “พาชั้นไปด้วยสิ!” ออกมาแน่ๆนี่นา (ผมวางแผนว่าจะปฏิเสธเธอด้วยความช่วยเหลือของหัวหน้าพ่อบ้านอยู่หรอก) ทว่า ปฏิกิริยาแบบนี้นั้นไม่ได้คาดการณ์เอาไว้เลยแห่ะ

 

「คุณหนูแค่เป็นห่วงน่ะค่ะ」

 

อี้ก หัวหน้าเมด!? อยู่ๆก็อย่ามากระซิบข้างๆหูคนอื่นแบบนี้สิครับ!

 

แล้วหัวหน้าเมดก็ก้าวถอยหลังกลับไปอยู่ที่เดิมของเธอตรงบริเวณใกล้ๆกับทางเข้าโดยที่ไม่เกิดเสียง สงสัยจังว่าเธอเป็นสายลับรึไงกัน? ขนาดผมพยายามทำตามการเคลื่อนไหวของเธอ ผมก็ไม่ได้สกิลใดๆมาเลยนะ

 

(เป็นห่วงงั้นหรอ…)

 

จริงด้วยสิ คุณหนูเองก็เป็นแค่เด็กอายุแค่ 12 ปีนี่นา

 

เนื่องจากตอนนั้นผมอยู่ด้วย เธอก็เลยไม่ได้กลัวอะไร ทว่านั่นก็หมายความว่าเธอจะกลัวถ้าผมไม่ได้อยู่ด้วย

 

「…คุณหนูครับ ผมจะรีบกลับมาให้เร็วที่สุดครับ」

 

「จริงหรอ?」

 

คุณหนูครับ ได้โปรดอย่าทำหน้าเหมือนกับกำลังถูกตำหนิอย่างนั้นสิครับ

 

ใครจะรู้กันละว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับผมกันแน่ถ้าท่านเอิร์ลมาเห็นอะไรแบบนี้เข้าหน่ะ? ขนาดในตอนนี้ หัวหน้าเมดกับหัวหน้าพ่อบ้านก็กำลังจ้องมองมาที่ผมราวกับจะบอกว่า “ไอ้สารเลว แกกล้าดียังไงมาทำให้เธอร้องไห้กัน?” เลย

 

「จริงครับ」

 

「สัญญานะ?」

 

「ครับ ผมสัญญา」

 

ผมยื่นมือขวาของผมออกไปและไขว้นิ้วชี้กับนิ้วกลางเอาไว้ด้วยกัน มันเหมือนกับจะบอกว่า “จะไม่คืนคำเด็ดขาด” หรือ “เกี่ยวก้อยสัญญา” และตามความรู้สึก มันเองก็เหมือนกับการ “สาบาน” ด้วย

 

「…เข้าใจแล้ว ชั้นจะเขียนจดหมายถึงท่านมิร่าในวันนี้ก็แล้วกัน」

 

「ครับ ตามต้องการเลยนะครับ」

 

มือเล็กๆของคุณหนูกำนิ้วของผมเอาไว้แน่น มือของเธอนั้นอบอุ่นและนุ่มนิ่มมากเลย

 

 

 

TL: ผมจะทำการแปล “ซามะ” เป็น “ท่าน” โดยที่ยังคง “ซัง”, “จัง”, “คุง”, และ “โดโนะ” เอาไว้เหมือนเดิมนะครับ และขอเปลี่ยนชื่อตระกูล “เอเบเน่” เป็น “เอเบน” รวมถึงชื่องานเลี้ยงจาก “งานเลี้ยงต้นกล้าและดวงจันทร์ดวงใหม่” เป็น “งานเลี้ยงต้นกล้าแห่งคืนข้างขึ้น” แทนนะครับ ขอบคุณครับ

==========================================================

บทที่ 2 ตอนที่ 19

 

ถึงท่าทางจะต่างกันก็จริง แต่การแทงด้วยดาบสั้นแบบนั้นก็ยังเป็นทักษะของภาคีอัศวินจริงๆ

 

ผมตกใจไปแปปนึงจึงทำให้ผมหลบมันได้ช้าไปเล็กน้อยๆ ส่งผลให้แขนของผมถูกฟัน

 

อัก… แผลนั้นไม่ลึกมาก เลือดก็ไม่ได้ไหลมากนัก ดังนั้นผมเลยปิดปากแผลได้ง่ายด้วย【เวทย์รักษา】

 

แต่ตอนนี้ผมโกรธแล้ว!

 

ผู้บุกรุกอีกคนพุ่งมาทางผม ผมหลบเขาอย่างรวดเร็ว ทว่า ผู้บุกรุกที่แทงผมก่อนหน้านี้ปรับท่าทางใหม่เสร็จแล้วและกำลังจะแทงผมอีกครั้ง

 

ผมหลบมันพ้นก็จริง แต่ว่ามันทำให้ผมเสียการทรงตัว ตัวผู้บุกรุกที่ไม่ได้ปิดบังดวงตาเอาไว้นั้น – แค่มองตาของเขาก็รู้แล้ว – ว่ากำลังยิ้มอยู่

 

มีการโจมตีต่อไปโจมตีเข้ามา สำหรับคนที่กำลังเสียการทรงตัวอยู่นั้นคงหลบมันไม่ได้ ทว่า–

 

「ล้อเล่นหรอกน่า!」

 

จากที่กำลังเสียการทรงตัว หมัดของผมก็ได้กระทบเข้ากับขมับของผู้บุกรุก ขมับเองก็เป็นจุดอ่อนของมนุษย์เหมือนกัน ผู้บุกรุกคนนั้นก็เลยตาเหลือกแล้วสลบลงไปกับพื้น

 

「หว่า…!?」

 

คนที่สามกำลังลนลานอยู่ คงไม่ได้คาดการณ์การโจมตีสวนกลับเมื่อกี้แน่ๆ

 

จริงๆแล้วนี้เองก็เป็นสกิล มันถูกเรียกว่า【ทักษะการชกต่อย】ผลของสกิลนี้ก็คือไม่ว่าจะอยู่ในท่าไหนก็ตาม พลังโจมตีของหมัดก็จะไม่ลดลง

 

ว่าง่ายๆก็คือ จะสามารถใช้【ทักษะการชกต่อย】ได้โดยการเสริมแกร่งร่างกายและเพิ่มความยืดหยุ่นให้กับลำตัว ผมเรียนรู้มันมาจากหนึ่งในอันธพาลที่กำลังชกต่อยกันในโรงเตี้ยมตอนที่ผมไปรับเซอรี่ซังที่กำลังเมานั่นเอง

 

「!!」

 

บางทีผู้บุกรุกคนนั้นคงตัดสินใจแล้วว่าไม่อาจจัดการผมได้ง่ายๆ เขาก็เลยหันหลังแล้ววิ่งหนีไป – ทว่าขาของเขาสะดุดอะไรบางอย่างล้มลง เป็นการล้มหน้าคะมำที่สวยงามมากเลยละ ดาบหล่นจากมือของเขาและตัวของเขาเองก็ได้ไถลไปบนพื้นด้วย

 

คนคุ้มกันเผ่าฮาล์ฟลิงคนนั้นดูจะเป็นคนทำนะ เห็นได้จากเถาวัลย์ที่มัดอยู่ตรงเท้าของผู้บุกรุกคนนั้น เธอคงจะดึงดอกไม้ที่ประดับอยู่บนโต๊ะออกมาก่อนจะโยนออกไปพร้อมกับใช้งาน【เวทย์บุบผา】สินะ

 

อาเธอร์ได้วิ่งเข้าไปหาผู้บุกรุกคนนั้นแล้วมัดเขาเอาไว้

 

ผมลบมานาสำหรับใช้งาน【เวทย์ดิน】ออกไป ตอนแรกผมก็กะว่าจะยิงกระสุนหินใส่หลังหัวของผู้บุกรุกคนนั้นซะหน่อย

 

(งั้นหรอ… ผมควรต้องใช้อะไรก็ตามที่มีในโถงงานเลี้ยงด้วยสินะ)

 

ผมตรวจสอบสถานการณ์ที่โต๊ะอื่นๆ คนนึงถูกจัดการไปแล้ว ส่วนอีกสองคนที่เหลือนั้นหนีไปได้

 

「………」

 

เหล่าอัศวินของแต่ละตระกูลต่างรีบพุ่งเข้ามาในโถงงานเลี้ยงพร้อมกับถือตระเกียงเวทมนตร์ ทั่วทั้งโถงต่างสว่างไสวขึ้นมาอีกครั้ง ทว่าตัวผมก็ยังไม่หายข้องใจเลย

 

(ทำไมพวกนั้นถึงวิ่งหนีละ? ถ้าเป็นภารกิจลอบสังหารละก็ พวกนั้นก็น่าจะเตรียมตัวตายมาแล้วนี่นา? และ… การเคลื่อนไหวพวกนั้นเหมือนกับของภาคีอัศวินเลย งั้น มีการทรยศเกิดขึ้นงั้นหรอ? ถ้าพวกผู้บุกรุกเป็หนึ่งในภาคีจริงๆละก็ มันก็จะอธิบายเรื่องที่พวกนั้นลอบเข้ามาในงานเลี้ยงได้ แต่ว่า…)

 

ผมมองไปยังโต๊ะที่คุณหนูอยู่【เวทย์ไฟ】ที่ผมใช้ไปก่อนหน้านี้กำลังจะหายไปพอดี ทว่าตรงนั้นเองก็เต็มไปด้วยอัศวินมากมายแล้ว – รวมถึงแม็กซิมซังด้วย – เขากำลังปกป้องคุณหนูอยู่

 

เจ้าชายคลูฟชราทนั้นมีสีหน้าโล่งอก และเอิร์ลชายแดนเองก็กำลังปกป้องคุณหนูมิร่าอย่างใกล้ชิดอยู่

 

ส่วนทางตัวราชันศักดิ์สิทธิ์นั้น–

 

(เขากำลังจ้องมองมาที่ผมสินะ?)

 

เขาทำเพียงแค่จ้องมองมาที่ผม

 

「นายนี่สุดยอดไปเลยนะ!」

 

「เอ๊ะ?」

 

ผมได้ยินเสียงเรียกมาจากทางด้านข้าง เป็นคนคุ้มกันเผ่าฮาล์ฟลิงคนนั้นนั่นเอง

 

「ชั้นคิดว่านายเป็นอัจฉริยะด้านเวทมนตร์ แต่ดูเหมือนด้านการต่อสู้ระยะประชิดเองก็ไม่ได้แย่นะ ยังไงก็เถอะ หลังจากนี้นายควรปล่อยให้คนคุ้มกันคนอื่นๆต่อสู้นะ แค่ช่วยสนับสนุนด้วยเวทมนตร์ก็พอแล้วละ」

 

「อา–」

 

เธอคิดว่าผมสามารถใช้เวทมนตร์ได้สุดยอดก็จริงแต่การต่อสู้ระยะประชิดยังไม่เท่าไหร่สินะ คงเพราะผมโดยการโจมตีไปครั้งนึงแน่ๆเลย…

 

「เอานี่ ยาขี้ผึ้ง ชั้นทำขึ้นมาเป็นพิเศษเลยนะ ทามันก็น่าจะรักษาแผลของนายได้ทันทีเลย」

 

「โอ๊ะ ขอบคุณมากๆเลยครับ…」

 

เธอมอบกล่องไม้เล็กๆที่ใส่ยาขี้ผึ้งมาให้กับผม

 

「ขออภัยนะครับ คือคุณ–」

 

สำเนียงของเธอนั้นเหมือนกับของมิมิโนะซังมากๆเลย พวกเขามาจากที่เดียวกันหรือปล่าวนะ?

 

ทว่าก่อนที่ผมจะได้ถามถึงเรื่องนั้น เธอก็ได้กลับไปหาคุณชายอีธานเรียบร้อยแล้ว จริงสิ ผมเองก็เป็นคนคุ้มกันเหมือนกันนี่นา ผมก็ควรจะกลับไปได้แล้ว

 

เอาไว้ถามเธอทีหลังเมื่อมีโอกาสละกัน ผมยังสงสัยอยู่ว่าตอนนี้มิมิโนะซังกับซิวเวอร์บาลานซ์จะเป็นยังไงมั้ง…

 

ผมเองก็เคยคิดที่จะติดต่อกับพวกเขาหลังจากที่เหตุการณ์มันสงบลงแล้วอยู่หรอก แต่ว่ามันทำไม่ได้ง่ายๆเลยหลังจากที่ข้ามชายแดนมาแล้วหน่ะสิ แถมพวกเขาเองก็เป็นนักผจญภัยด้วย ผมไม่รู้เลยว่าตอนนี้พวกเขาอยู่ที่ไหนกันแล้ว

 

「ขออภัยที่ทิ้งไปนานนะครับ คุณหนู」

 

「ไม่หรอก นายทำได้ดีมาก!」

 

คุณหนูยื่นมือของเธอออกมา แต่ผมหลบมันโดยการยืนหลังตรง ทำไมละ? ทำไมอยู่ๆเธอถึงคิดที่จะลูบหัวของผมกันละ? เธอยังคงพยายามที่จะลูบหัวของผมให้ได้

 

「เอาละทุกคน! ทำได้ดีมาก!」อยู่ๆราชันศักดิ์สิทธิ์ก็พูดขึ้นมาด้วยเสียงอันดังก้อง

 

เหล่าผู้บุกรุกต่างก็ถูกแก้มัดโดยเหล่าอัศวินของราชันศักดิ์สิทธิ์ที่มาถึงที่หลัง

 

(เอ๊ะ? จริงๆหรอเนี้ย…)

 

ผมมีความรู้สึกไม่ดี และมันก็มักจะตรงทุกครั้งเลยด้วย

 

「จริงๆแล้วการโจมตีเมื่อกี้เป็นเพียงแค่การแสดงหน่ะ!」ราชันศักดิ์สิทธิ์ประกาศออกมาอย่างมีความสุข

 

ทั่วทั้งโถงต่างตกอยู่ในความเงียบ เหล่าเด็กทั้งชายและหญิงต่างก็นั่งอ้าปากค้าง

 

เหล่าผู้บุกรุกต่างก็ลุกขึ้นพร้อมกับถอดชุดสีดำของพวกเขาออก ลักษณะของพวกเขานั้นเป็นคนหนุ่มที่มีมีสีหน้าของผู้บริสุทธิ์ราวกับไม่ได้ทำอะไรผิดทั้งนั้น

 

อา ให้ตายเหอะ อย่างที่คิดเอาไว้เลย

 

「ข้าอยากจะให้พวกเจ้าทุกคนได้รับรู้ถึงความเป็นไปได้ต่างๆหลังจากที่พวกเจ้าได้เป็นขุนนางเต็มตัวแล้วยังไงละ! มันจะต้องมีซักครั้งที่พวกเจ้าจะถูกโจมตี! ในตอนนั้น เจ้าจะหวังพึ่งคนคุ้มกันของเจ้าได้ไหม? บางครั้งเหล่าคนคุ้มกันเองก็ไม่มีอาวุธแต่เหล่าผู้จู่โจมนั้นมี พวกเจ้าจะทำยังไงละ? ไม่ว่าจะยังไง ธาติแท้ของแต่ละคนก็จะปรากฏในสถานการณ์คับขันแบบนี้แหล่ะ ถ้าพวกเจ้ารู้สึกสมเพชตัวเองในวันนี้ละก็ พวกเจ้าก็จะต้องทำให้ดีที่สุดเพื่อที่จะรู้สึกภาคภูมิใจในวันพรุ่งนี้ซะ!!」

 

ราชันศักดิ์สิทธิ์พูดขึ้นมาแบบนั้นพร้อมกับหัวเราะออกมา ทว่าสำหรับผู้ที่ถูกโจมตีจาก “การแสดง” นั้นมันไม่ตลกเลย มีลูกขุนนางมากมายที่เหม่อลอย และเหล่าคนคุ้มกันเองก็ดูเหนื่อยอ่อนด้วย

 

แทนที่มันจะเป็นเรื่องบันเทิง มันเหมือนกับการรับน้องซะมากกว่า มีอะไรต่างๆมากมายในสังคมที่กำลังรอพวกเขาอยู่ต่อจากนี้ไป

 

เมื่อผมกำลังคิดถึงอนาคตของคุณหนูอยู่นั้น ผมก็ติดอยู่ในความรู้สึกที่ซับซ้อนระหว่างความกังวลกับความเห็นใจ

 

「โอ๊ะ มันเป็นแค่การแสดงนี่เอง ถ้ายังนั้น เรย์จิก็จะต้องได้คะแนนเต็มแน่เลย!」

 

「ไม่ครับ มันมีจุดที่ผมรู้สึกตัวว่ามันเป็นการแสดงอยู่ มันค่อนข้างน่าอายเลยที่ผมทำการต่อสู้อย่างฉูดฉาดแบบนั้นออกไปนะครับ」

 

เหล่าผู้บุกรุกนั้นออกไปพร้อมกับเหล่าอัศวินของราชันศักดิ์สิทธิ์แล้ว ทว่ามันก็ยังคงมีผู้คนมากมายที่มองไปยังพวกนั้นอย่างเป็นกังวลอยู่ การแสดงนั่นคงจะมีผลกับพวกเขาไม่น้อยเลย

 

มีเครื่องมือสปอร์ตไลท์เวทมนตร์ถูกวางเอาไว้ที่ใกล้ๆกับกำแพงของโถงงานเลี้ยง เมื่อเปิดการทำงาน แสงสว่างจ้าก็ได้สะท้อนกับเพดานแล้วโถงก็ได้สว่างไสวขึ้น

 

「จุดที่นายรู้สึกตัวงั้นหรอ?」

 

เมื่อคุณหนูได้ถามขึ้นมาพร้อมกับสีหน้างุนงง–

 

「เฮ้ คนคุ้มกันของตระกูลซิวลิซส์ อะไรที่เจ้ารู้สึกตัวงั้นรึ?」

 

ผมก็ถูกถามโดยตรงจากของตัวราชันศักดิ์สิทธิ์เองเลย

 

คนคุ้มกันควรจะพูดว่ายังไงในเวลาแบบนี้นะ? ทุกคนบนโต๊ะนั้นต่างจับจ้องมาที่ผมเป็นตาเดียวเลยละ

 

 

 

บทที่ 2 ตอนที่ 18

 

* มุมมองของคนคุ้มกัน: เลเลนอร์ * (เป็นการบรรยายแบบกึ่งบุคคลที่ 3)

 

ฮาล์ฟลิงนั้นปกติแล้วจะเชี่ยวชาญด้านสมุนไพร แต่กลับด้านการต่อสู้นั้นจะแย่มากเรื่องจากรูปร่างของพวกเขา ยิ่งเป็นผู้หญิงแล้วจะยิ่งหายากขึ้นไปอีกที่จะมีความสามารถด้านการต่อสู้

 

เลเลนอร์นั้นเป็นหนึ่งในเหล่าคน “หายาก” นั้น เธอเกิดมาในฐานะญาติห่างๆของตระกูลดยุคเอเบเน่แห่งราชอาณาจักรครูวานศักดิ์สิทธิ์ เธอมีเพื่อนสมัยเด็กที่ไม่ได้เป็นขุนนางด้วย มีผู้เชี่ยวชาญสมุนไพรอยู่มากมายในหมู่บ้านชนบทของเผ่า และเด็กๆที่เกิดมาก็จะถูกเลี้ยงดูให้เป็นผู้เชี่ยวชาญสมุนไพรเช่นกัน มันถือเป็นประเพณีที่สืบทอดมาอย่างยาวนานแล้ว แถมยังแบ่งประชากรครึ่งนึงให้ออกไปผจญภัยข้างนอก และอีกครึ่งนึงให้อาศัยอยู่ในหมู่บ้านตามเดิม

 

อย่างไรก็ตาม เลเลนอร์นั้นต่างออกไป เธอนั้นมีทักษะทางเวทมนตร์ที่สูงมากจนถึงขนาดที่สามารถใช้【เวทย์บุบผา】และ【เวทย์ดิน】ได้โดยที่ไม่ต้องใช้หินสกิลเลยด้วยซ้ำ

 

เลเลนอร์นั้นใกล้เคียงกับผู้ใช้เวทมนตร์มากกว่าผู้เชี่ยวชาญสมุนไพร ความสามารถของเธอไปต้องตาดยุคเอเบเน่เข้า เธอจึงถูกเรียกตัวไปยังตระกูลหลัก — และได้เริ่มทำงานเป็นอัศวินให้กับตระกูล

 

เธอได้รับหินสกิล 3 ดาว【เวทย์บุบผา★★★】กับ【เวทย์ดิน★★★】มาก็เพื่อเสริมความสามารถดั่งเดิมของเธอ แถมยังฝึกฝนร่างกายเพื่อปิดจุดอ่อนด้านรูปร่างของเธอ เธอจะได้ไม่แพ้ให้กับเผ่าอื่นๆรวมถึงสามารถต่อสู้ในสถานที่ที่มีการหวงห้ามสกิลอย่าง “งานเลี้ยงต้นกล้าและดวงจันทร์ดวงใหม่” แห่งนี้ด้วย

 

(เมื่อกี้มันอะไรกัน…!?)

 

เลเลนอร์กำลังประหลาดใจ

 

ในตอนแรก เธอนั้นสงสัยว่า “ทำไมถึงมีคนคุ้มกันอายุแค่นี้อยู่ในที่แห่งนี้ด้วย” ถ้าพูดถึงตระกูลเอิร์ลซิวลิซส์ละก็ มันถูกยอมรับว่าเป็นขั้วอำนาจกลางอย่างเต็มตัว แถมผู้นำตระกูลยังถูกเรียกอย่างไม่เป็นทางการว่า “ลอร์ดเลือดเย็น” อีก เธอยังได้ยินมาว่าผู้นำตระกูลนั้นมีศัตรูอยู่มากมาย แถมยังมีการพยายามลอบสังหารนั่นด้วย

ทั้งๆที่เป็นแบบนั้น เขาก็ยังเลือกเด็กมาเป็นคนคุ้มกันให้กับลูกสาวของเขา อีวา อีกงั้นหรอ? เธอคิดแบบนั้น

 

มันจะสมเหตุสมผลกว่านี้ถ้าตัวเขามาจากเผ่าพันธ์ุตัวเล็กอย่างฮาล์ฟลิง, ฮอบบิท, หรือคนแคระ ทว่า ไม่ว่าจะมองยังไง เขาก็ดูเป็นมนุษย์แน่นอน แถมใบหน้าของเขายังดูใสซื่อเหมือนกับเด็กๆอีกด้วย ดังนั้นเลเลนอร์ก็เลยคาดเดาว่าตัวเขายังอายุน้อยอยู่แน่ๆ

 

ตัวเขารู้สึกไม่เหมือนกับผู้ใช้ดาบเลย ไม่ใช่ทหารผู้โหดเหี้ยมด้วย เขาดูเหมือนกับเพื่อนของอีวามากกว่า

 

(งั้นหรอ… เพื่อที่จะไม่ให้อีวาซามะกระวนกระวายใจ เป็นแนวคิดทางจิตวิทยาสำหรับ “การปกป้อง” ของท่านเอิร์ลสินะ)

 

เลเลนอร์สรุปออกมาเช่นนั้น หรือก็คือ คนคุ้มกันของอีวานั้นไร้ประโยชน์เมื่อมีเหตุฉุกเฉินเเกิดขึ้น

 

เหตุผลที่เธอคิดแบบนั้นก็เพราะว่างานนี้มีเจ้าชายศักดิ์สิทธิ์เข้าร่วม แถมยังไม่พอเท่านั้น ตัวราชันศักดิ์สิทธิ์เองก็ยังเข้าร่วมด้วยเช่นกัน

 

ถ้ากรณีที่เลวร้ายที่สุดเกิดขึ้นละก็ ประเทศนี้จะต้องสั่นคลอนไปถึงแก่นแน่ๆ ต่อให้การปกป้องเจ้านายเป็นหน้าที่หลักของเธอก็ตาม แต่ตัวอีธานจะต้องสั่งให้เธอปกป้องฝ่าบาทแน่นอน

 

ในฐานะคนคุ้มกันจะต้องเรียงลำดับความสำคัญ และต้องประเมินสถานการณ์ที่อาจเป็นไปได้ทั้งหมด

 

และแล้ว “กรณีเลวร้าย” ก็ได้เกิดขึ้นจริงๆ

 

ขั้นแรก เลเลนอร์ทำการหาที่อยู่ของอีธานในความมืดแล้วไปยืนขวางตัวเขาจากผู้บุกรุกเอาไว้

 

「เลเลนอร์」

 

「เงียบเอาไว้ค่ะ การหลบหนีในที่มืดนั้นอันตรายมาก ชั้นจะตรวจดูเส้นทางหลบหนีในตอนที่ไฟกลับมาแล้วให้ค่ะ」

 

อีธานรีบเอาดาบล้ำค่าของเขาให้ ทว่าเลเลนอร์ได้ส่ายหัวของเธอ

 

「โปรดใช้มันเพื่อปกป้องตัวเองเถอะค่ะ อีธานซามะ」

 

ตัวของเจ้าชายและราชันศักดิ์สิทธิ์ที่ส่องแสงสลัวๆในความมืดนั้น เป็น “เป้าหมายชั้นดี” สำหรับผู้บุกรุกเลย

 

อย่างไรก็ตาม ในจังหวะถัดมานั้น มันก็ได้เกิดสิ่งที่ทำให้เลเลนอร์นั้นประหลาดใจออกมา

 

อยู่ก็ได้ปรากฏเปลวไฟ 5 ลูกขึ้นมาในอากาศ

 

คนที่สร้างเปลวไฟพวกนั้นขึ้นมาก็คือเด็กชายที่เลเลนอร์ตัดสินเอาไว้แล้วว่าเป็น “คนไร้ค่า” ไม่ต้องสงสัย นั่นเพราะว่าเปลวไฟพวกนั้นลอยอยู่รอบๆตัวของเด็กคนนั้นนั่นเอง

 

(อะไรกัน…!! เขาใช้งาน【เวทย์ไฟ】5 ครั้งในทันทีทั้งๆที่ยังอยู่ในพื้นที่หวงห้ามสกิลเนี้ยนะ!?)

 

ต่อให้เป็นตัวของเลเลนอร์เองที่มีพรสวรรค์ด้านเวทมนตร์ตั้งแต่อายุน้อยๆก็ตาม ขีดจำกัดที่เธอสามารถใช้【เวทย์บุบผา】กับ【เวทย์ดิน】ได้ก็แค่ 3 ครั้งเท่านั้น หรือจะต้องบอกว่าที่ตัวเธอถูกเลือกมาเป็นคนคุ้มกันของอีธานนั้น นั่นก็เพราะเธอสามารถใช้งานพวกมันได้ 3 ครั้งในเวลาเดียวกันนั่นเอง มันได้ถือว่าเป็นความสามารถที่สุดยอดที่สุดในหมู่อัศวินคนอื่นๆแล้ว

 

(อัจฉริยะด้าน【เวทย์ไฟ】—)

 

เด็กอัจฉริยะพวกนี้นั้นเกิดจากการกลายพันธ์ุ ถึงจะมีอยู่จำนวนอยู่น้อยนิดก็ตาม เด็กชายคนนี้นั้นดูจะไม่ได้ผ่านการฝึกซ้อมมาก็จริง ทว่าด้วยความอัจฉริยะของเขา มันจึงไปต้องตาของ “ลอร์ดเลือดเย็น” เข้าและถูกเลือกให้มาเป็นคนคุ้มกันให้กับอีวา – เลเลนอร์เชื่อว่ามันต้องเป็นแบบนั้นแน่ๆ

 

(ถ้ายังงั้น เขาก็น่าจะเป็นมือใหม่ด้านการต่อสู้ระยะประชิดแน่ๆ เนื่องจากตอนนี้บริเวณรอบๆก็สว่างขึ้นมาแล้ว ต่อจากนี้ก็เป็นงานของพวกเราแล้วละ!)

 

เลเลนอร์ตัดสินใจแบบนั้น ก่อนจะเบนสายตาไปยังอาเธอร์จากภาคีอัศวิน ตัวเขานั้นได้ไต่เต้าขึ้นมาเป็นกัปตันจากตระกูลของเขาก็จริง ทว่า ตำแหน่งนั้นก็ไม่ใช่ว่าใครก็จะเป็นได้ถ้าไม่มีฝีมืออยู่จริงๆ เขาจะต้องมีไอเดียในสถานการณ์ฉุกเฉินแบบนี้แน่ๆ และบางทีเขาอาจจะคิดแบบเดียวกันด้วย เพราะตัวเขาเองก็ได้เบนสายตามาทางเธอเช่นกัน

 

ทั้งสองคนพยักหน้าให้กัน

 

「อีธานซามะ โปรดรออยู่ตรงนี้นะคะ」

 

「ระวังตัวด้วยนะ」

 

ขณะที่ตัวเธอกำลังจะพุ่งเข้าผู้บุกรุก–

 

อีวาก็ได้ออกคำสั่งกับคนคุ้มกันของเธอ

 

「เรย์จิ ปกป้องทุกคนซะ!」

 

หลังจากนั้น คนคุ้มกันที่ยืนอยู่ในสายตาของเลเลนอร์ก็ได้หายตัวไปในทันที

 

* มุมมองของ เรย์จิ *

 

หินสกิลนั้นมอบสกิลให้กับผู้คน

 

มันเป็นสามัญสำนึกของโลกใบนี้ ทว่าผู้คนมากมายนั้นเข้าใจมันผิดไป… ความคิดนั้นมักจะเข้ามาในหัวของผมบ่อยๆ

 

มันเป็นไปได้ที่จะแสดง “พลังที่เทียบเท่ากับสกิล” ออกมาโดยที่ไม่ใช้สกิลอยู่

 

ตัวอย่างเช่น ผู้คนนั้นสามารถใช้เวทมนตร์ได้โดยที่ไม่ต้องพึ่งสกิล และผู้คนก็สามารถเป็นปรมาจารย์ดาบได้โดยที่ไม่ต้องพึ่งสกิลอีกเช่นกัน สกิลนั้นก็ทำเพียงแค่ช่วยลดเวลาในการไปให้ถึงระดับผู้เชี่ยวชาญเท่านั้นเอง

 

(มีเสียงการต่อสู้อยู่ 3 จุด แล้วอีก 3 คนที่เหลือก็กำลังมุ่งตรงมาทางนี้)

 

ดูจะเกิดการต่อสู้ขึ้นที่แต่ละโต๊ะเพราะคนคุ้มกันคนอื่นๆกำลังโต้กลับอยู่ เด็กบางคนก็ล้มลงจากเก้าอี้ของพวกเขาแล้วตัวแข็งทื่อจากความหวาดกลัว ในขณะที่บางคนก็ได้กรีดร้องออกมาด้วย

 

ผมปล่อยให้ไฟที่เกิดจาก【เวทย์ไฟ】นั้นอยู่ที่เดิม ก่อนที่จะเริ่มพุ่งตัวออกไปด้วย【ทักษะการวิ่ง】เหล่าผู้บุกรุกดูจะให้ความสนใจกับผมอยู่ และคนพวกนั้นก็กำลังหายใจอย่างร้อนรนด้วย -【World Ruler】บอกผมมาอย่างนั้น เอาเถอะ มันก็ปกติละนะ ก็มันเหมือนกับว่าอยู่ๆตัวผมก็หายไปนี่นา

 

ทั้งสามคนที่เคลื่อนตัวผ่านพื้นที่ว่างตรงกลางนั้นเคลื่อนไหวช้ามาก – คงเป็นเพราะพวกเขาไม่สามารถใช้สกิลได้สินะ ผมได้วนรอบตัวพวกเขาก่อนจะพุ่งเข้าไปยังด้านข้างตัวของพวกเขา

 

「!」

 

มีคนนึงที่สังเกตเห็นผมที่เข้ามาใกล้ภายใต้แสงสลัวๆ ทว่ามันก็ได้สายเกินไปแล้ว เพราะตอนนี้ผมได้ไปอยู่ด้านหน้าของคนพวกนั้นเรียบร้อยแล้ว

 

ผมต่อยไปที่สีข้างของผู้บุกรุกด้วย【ทักษะการชกต่อย】ที่ผมได้เรียนรู้มาจากการฝึกของภาคีอัศวิน

 

ลมทั้งหมดที่อยู่ในปอดของผู้บุกรุกคนนั้นได้ทะลักออกมาทันที และในช่วงเวลาเล็กน้อยเพียงแค่นี้ก็มากพอแล้วสำหรับผม หมัดต่อไปของผมได้กระทบเข้ากับกรามของเขาเต็มๆ บริเวณตรงคางนั้นถือว่าเป็นจุดอ่อนในการชกมวย ถ้าโดนโจมตีบริเวณนั้นละก็จะหมดสติไปในทันทีเลยละ

 

อีกสองคนที่รับรู้ได้ว่าพวกเขาเสร็จไปคนนึงแล้วนั้นก็ได้เปลี่ยนเป้าหมายมาทางผม พวกเขาชักดาบสั้นออกมาจากเอวอย่างรวดเร็ว ใบดาบถูกทาสีดำเอาไว้เพื่อให้มองเห็นได้ยากภายในความมืด

 

(โอ้ย… เจ็บมือชะมัด…)

 

ดูเหมือนว่าพวกเขาจะสวมเกราะโซ่ถักเอาไว้ข้างใต้ชุดสีดำพวกนั้นด้วย กำปั้นของผมก็เลยร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด ผมรักษามือของผมด้วย【เวทย์รักษา】ที่ใช้มานาจากที่ผมได้เก็บรวบรวมเอาไว้ในตอนที่ไม่ได้ใช้มัน

 

ตอนนี้ ก็ถึงเวลาจัดการกับอีกสองคนที่เหลือแล้ว

 

หนึ่งในนั้นแทงดาบเข้ามาทางผม

 

ความเร็วนั้นถือเร็วสำหรับคนปกติ ทว่าสำหรับผมที่เฝ้ามองการฝึกซ้อมของภาคีอัศวินมาแล้วนั้น มันช้ามากๆเลยละ

 

อย่างไรก็ตาม มีบางอย่างแปลกๆกับการแทงดาบนั่น

 

(เอ๊ะ…? การแทงแบบนั้น… เป็น “แบบ” เดียวกับของภาคีอัศวินเลยนี่?)

 

================================================================

TL: มึคุณผู้อ่านแนะนำเข้ามาว่าให้ผมแทนคำว่า “ซามะ” เป็นคำว่า “ท่าน” ไปเลยครับ ซึ่งผมที่ใช้คำพวก “ซัง”,”จัง” อยู่แล้วนั้น ถ้าผมเปลี่ยนไปใช้ “ท่าน” กับแค่ “ซามะ” อย่างเดียวมันจะดูแปลกๆไปไหมครับ? ทุกท่านคิดเห็นยังไงก็คอมเม้นต์มากันได้เลยนะครับ ผมจะนำไปพิจารณาปรับเปลี่ยนในตอนต่อๆไปนะครับ ขอบคุณครับ

 

บทที่ 2 ตอนที่ 17

 

เจ้าชายคลูฟชราทยิ้มออกมามากขึ้น จากนั้นเขาก็ได้ถามกับคุณหนูมิร่าว่า

 

「เป็นครั้งแรกที่คุณได้มาที่เมืองศักดิ์สิทธิ์หรอครับ?」

 

「ค่ะ ครั้งแรกของชั้นเลย!!」

 

เนื่องจากเธอพูดเสียงดังมาก บทสนทนาของโต๊ะอื่นๆก็เลยหยุดลง และคุณหนูมิร่าก็หน้าแดงไปหลังจากสังเกตุเห็นถึงเรื่องนี้

 

「ขะ-ขออภัยค่ะ…」

 

「คุณก็น่าจะได้เรียนมารยาทมาบ้างแล้วไม่ใช่หรอคะ? แล้วก็ไม่ใช่ว่าคุณเขียนในจดหมายที่ส่งมาหาดิชั้นว่า “การเรียนมารยาทมันน่าเบื่อ” บ่อยๆด้วยหรอคะ? ถ้าคุณไม่เรียนมันดีๆละก็ ไอ้ความเบื่อหน่ายของคุณมันก็จะยิ่งไร้ค่านะคะ」

 

「อู จริงด้วย」

 

โอ๊ะ? คุณหนูชาล็อตกับคุณหนูมิร่าก็เป็นเพื่อนกันด้วยหรอ? นั่นหมายความว่ามีเพียงแค่คุณหนูคนเดียวนะสิที่ถูกทิ้งเอาไว้หน่ะ?

 

「………」

 

ดูสิ คุณหนูดูเหมือนกับลูกสุนัขที่ถูกทิ้งเลย ด้านที่ไม่รู้จักของคุณหนูแท้จริงแล้วก็คือ “พวกเรียกร้องความสนใจ” นี่เอง

 

「ผมหวังว่าเมืองศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้จะสร้างความประทับใจให้กับคุณนะครับ คุณมิร่า」เจ้าชายคลูฟชราทพูดขึ้นมาพร้อมกับรอยยิ้ม

 

「มากๆเลยค่ะ นี่เป็นครั้งแรกของชั้นที่ได้มายังงานเลี้ยงที่ยอดเยี่ยมขนาดนี้ แถมชั้นยังได้พบกับท่านเจ้าชายศักดิ์สิทธิ์และท่านราชันศักดิ์สิทธิ์ รวมไปถึงหญิงสาวที่งดงามขนาดนี้ด้วยค่ะ」

 

คุณหนูมิร่ามองไปที่คุณหนูอย่างตื่นเต้น คุณหนูที่ไม่เข้าใจถึงสายตานั่น ก็ได้แต่ทำตาปริบๆ

 

「มิร่า ทำไมถึงไม่ลองเชิญอีวาซามะให้มาเที่ยวที่ดินแดนของพวกเราละ?」

 

「ตะ-แต่ว่าป๊ะป่า มันน่าเบื่อเกินไปที่จะให้เธอมายังที่ของเรานะคะ…」

 

ป๊ะป่า?

 

ท่านเอิร์ลหมีเทาแห่งชายแดนเป็นคนทำให้ลูกสาวของตัวเองเรียกเขาว่าป๊ะป่ายังงั้นหรอ?

 

「ถ้าเธออาศัยอยู่ในเมืองศักดิ์สิทธิ์มานานแล้วละก็ เธออาจจะอยากออกไปเที่ยวที่อื่นๆบ้างก็ได้」

 

「ยะ-ยังงั้นหรอคะ…? เออ อืมม อีวาซามะ!」

 

คุณหนูมิร่ามองไปที่คุณหนูพร้อมกับตัดสินใจได้แล้ว

 

「ถ้าคุณไม่ว่าอะไร คุณจะมาเยี่ยมเยือนดินแดนของพวกเราเป็นบางครั้งจะได้ไหมคะ!?」

 

เหมือนกับรุ่นน้องในโรงเรียนมาขอให้ออกเดทด้วยเลย

 

หลังจากที่ตกเป็นเป้าของบทสนทนา คุณหนูก็ตกตะลึงไปเลย บางทีคงเป็นเพราะตัวเธอไม่เคยถูกเชิญชวนแบบนี้มาก่อนเลยก็ได้ คุณหนูได้มองมาทางผม ดังนั้นผมก็เลยตอบกลับไปด้วยการพยักหน้าเล็กน้อย

 

「ดิชั้นยินดีเป็นอย่างยิ่งเลยค่ะ!!」เธอตอบกลับไป ลืมเลือนเรื่องที่เธอพยายามแกล้งทำตัวไม่เป็นมิตรจนถึงตอนนี้ไปจนหมด

 

คุณหนูมิร่าดูจะตกใจเล็กน้อย ทว่าเมื่อเธอเห็นใบหน้ายิ้มแย้มอย่างมีความสุขของคุณหนู เธอก็เริ่มเล่าเรื่องดินแดนของเธอออกมาอย่างมีความสุข – ยินดีด้วยนะครับคุณหนู ในที่สุดคุณหนูก็มีเพื่อนแล้ว และได้โปรดอย่าลากตัวเพื่อนเข้าร่วม “การบดขยี้ธุรกิจค้าทาส” ด้วยครับ

 

(หืมม?)

 

ในตอนนั้น ผมเห็นราชันศักดิ์สิทธิ์กับเอิร์ลชายแดนนั้นกำลังสบตากันอยู่ด้วย

 

(…เกิดอะไรขึ้นกันนะ?)

 

ทั้งสองคนที่แทยจะไม่มองหน้ากันจนถึงตอนนี้ อยู่ๆก็มาสบตากันในเวลานี้เนี้ยนะ?

 

พูดยังไม่ทันขาดคำ เอิร์ลชายแดนก็ได้ห้ามราชันศักดิ์สิทธิ์ที่กำลังจะพูดอะไรบางอย่างออกมาด้วย

 

「โอ้…」

 

「ดูน่าอร่อยจัง」

 

「นี่มันเยี่ยมไปเลย」

 

ความคิดของผมถูกขัดโดยคำพูดของเด็กชายทั้งสามคนที่อยู่บนโต๊ะ รวมไปถึงกลิ่มหอมรุณแรงนี้ด้วย

 

คนรับใช้ 4 คนได้นำไก่ย่างทั้งตัวเข้ามาผ่านพานอาหาร รูปลักษณ์ของมันเป็นไก่ก็จริง ทว่าขนาดของตัวมันนั้นใหญ่เท่ากับพานอาหารเลย

 

ผิวของมันนั้นเปล่งประกายระยิบระยับด้วยเครื่องเทศหลากสีสัน กลิ่นเผ็ดๆล่องลอยไปมาในอากาศ… โอ้ ไม่นะ… ท้องของผมเริ่มร้องแล้ว

 

ไก่ย่างที่ใหญ่ถึงขนาดต้องแบกมานั้น แน่นอนว่าไม่อาจยกมันข้ามหัวของแขกได้ ดังนั้นจึงได้มีคนรับใช้กล้ามใหญ่ๆยืนรออยู่ที่โตีะ เมื่อตัวไก่มาถึง เขาก็จะหั่นมันด้วยมีดสองเล่ม ก่อนจะยกมันไปวางไว้บนโต๊ะด้วยตัวของเขาเอง

 

เจ้าชายคลูฟชราทและลูกชายของตระกูลดยุคนั้นดูจะคุ้นเคยกับมันดี ทว่าตัวคุณหนูกลับดูประหลาดใจมากๆ ในทางตรงกันข้ามก็ได้มีเสียงปรบมือดังขึ้นมาจากโต๊ะอื่นๆด้วย เหล่าชายกล้ามใหญ่พวกนั้นสุดยอดไปเลยนะ ทั้งๆที่ไม่ได้มีสกิลช่วยแท้ๆ

 

บริกรที่ทำหน้าที่แจกจ่ายอาหารได้มาที่โต๊ะแล้วใช้มีดที่มีด้ามจับยาวๆกับส้อมในการหั่นเนื้ออย่างชำนาญ ท้องของมันนั้นเต็มไปด้วยผักและธัญพืช ซึ่งได้ส่งกลิ่นหอมของสมุนไพรออกมา

 

จานของแขกนั้นได้มีซอสเตรียมเอาไว้แล้วถึง 5 แบบ สามารถเลือกจิ้มได้ตามใจชอบได้เลย แต่ ไม่มีสำหรับผมจริงๆหรอ? ไม่มีเลยจริงๆหรอ? โอเค……

 

เนื้อนี้ดูเหมือนจะเป็นจานหลักแล้ว และดูเหมือนว่าต่อจากนี้จะเป็นการพบกับดยุคโรซีเออร์แล้ว จากนั้นก็ดูจะเป็นงานเต้นรำที่จะจัดขึ้นบนพื้นที่ว่างตรงกลางนั่น คุณชายอีธานนั้นดูจะไม่ได้สนใจอะไร ทว่าหลุยส์กลับจ้องมองไปที่คุณหนู เขาต้องอยากจะชวนเธอเต้นรำแน่นอนเลย

 

ส่วนเจ้าชายคลูฟชราทนั้น…

 

「ว้าว…」เขาพูดขึ้นพร้อมกับมองไปที่ซอส

 

นั่นซอสโปรดของเขางั้นหรอ?

 

(เอ๊ะ?)

 

ผมมองไปที่ซอสที่เขามองอยู่ผ่าน【World Ruler】มันดูเหมือนกับซอสที่อยู่บนจากของคุณหนูเลย แต่ว่า — ตอนนั้นแหล่ะที่มันได้เกิดขึ้น

 

มีเสียงระเบิดเล็กๆดังขึ้น มันเหมือนกับเสียงยิงของปืนพกที่ผมเคยเห็นในหนังต่างประเทศเลย มันไม่ดังมากก็จริงทว่าก็ทำให้ผู้คนตกใจได้ เมื่อผมมองไปยังทิศทางของเสียง แสงไฟทั้งหมดบนโคมระย้าขนาดใหญ่นั้นก็ได้ดับลงในเวลาเดียวกัน

 

*เสียงที่เหมือนกับเสียงปืนดังขึ้นมาอีกครั้ง*

 

ภายหลังจากเสียงนั้น แสงจากโคมระย้าขนาดเล็กที่ห้อยอยู่เหนือโต๊ะแต่ละโต๊ะก็ได้ดับลง

 

「อะไรหน่ะ?」

 

「เกิดอะไรขึ้น?」

 

「ชั้นกลัวจังเลย」

 

เด็กๆต่างส่งเสียงหวาดกลัวออกมาในขณะที่ทั่วทั้งโถงงานเลี้ยงต่างมืดลง มีเพียงแค่ตัวเจ้าชายศักดิ์สิทธิ์คลูฟชราทกับตัวราชันศักดิ์สิทธิ์้เท่านั้นที่ยังส่องสว่างอยู่เล็กน้อย — ซึ่งเป็นแสงจากมานาของ “สีฟ้าศักดิ์สิทธิ์”

 

นี่เป็นอีเว้นท์อะไรสักอย่างงั้นหรอ? หรือว่าโคมระย้าเสียกัน? — ไม่มีทางที่มันจะเสียได้หรอก โคมระย้านั้นถูกจุดด้วยเทียนไข ไม่ใช่อุปกรณ์เวทมนตร์หรือเครื่องจักรใดๆเลย ทั้งหมดนั้นดับลงพร้อมกัน นั่นก็หมายความว่าพวกมันถูก “รบกวนจากภายนอก”

 

ผมใช้【มองกลางคืน】เพื่อตรวจสอบเหล่าคนรับใช้ภายในโถงอย่างรวดเร็ว – พวกเขากำลังตื่นตระหนกอยู่

 

หรือก็คือ นี่ไม่ใช่อีเว้นท์

 

งานเข้าแล้ว

 

อ้า ให้ตายเหอะ

 

จากนั้น ผมก็ได้ยินเสียงกระจกแตก ได้มีร่างสีดำ 6 ร่างบุกเข้ามาในโถงงานเลี้ยง ผมได้ใช้【เวทย์ไฟ】เพื่อสร้างแสงสว่างขึ้นมา 5 จุดรอบตัวในทันที จริงๆในเวลาแบบนี้ มันจะง่ายกว่าถ้าใช้เป็น【เวทย์แสง】แทน ทว่าตัวผมยังไม่เคยเห็น【เวทย์แสง】เลยนี่นา

 

อยู่ๆร่างกายของผมก็รู้สึกเฉื่อยขึ้น เป็นเพราะว่ามันกำลังดูดมานาอยู่ สกิล【เพิ่มปริมาณมานา】นั้นถูกห้ามเอาไว้ภายในโถงแห่งนี้ ดังนั้นเวทมนตร์ที่ผมสามารถใช้ได้ก็เลยถูกจำกัดขอบเขตเอาไว้ด้วย

 

「มีผู้บุกรุก!」

 

คนคุ้มกันฮาล์ฟลิงได้ตะโกนออกมาก่อนผม ตัวเธอได้ไปยืนอยู่ข้างหน้าคุณชายอีธานเพื่อปกป้องเรียบร้อยแล้ว

 

เหล่าผู้บุกรุกนั้นดูจะไม่ได้มีปัญหากับความมืดเลย พวกมันพุ่งตัวผ่านโต๊ะต่างๆแล้วเข้ามาหาพวกเรา ตามปกติ การโจมตีแบบนี้มักจะเล็งไปที่คนที่ใหญ่ที่สุดก่อนอยู่แล้ว

 

ถ้ายังงั้น นี่ก็คือการโจมตีเพื่อลอบสังหาร

 

เป้าหมายของพวกมันก็คือราชันศักดิ์สิทธิ์งั้นหรอ? ไม่สิ ตัวราชันศักดิ์สิทธิ์ไม่ได้อยู่ในแผนงานเลี้ยงนี้ตั้งแต่แรก

 

ถ้ายังงั้น เป้าหมายก็คือตัวเจ้าชายศักดิ์สิทธิ์สินะ

 

「คุณหนูครับ ขออนุญาตเข้าต่อสู้」

 

「อนุญาต เรย์จิ ปกป้องทุกคนซะ!」

 

ให้ตายสิ คุณหนูนี้ใช้งานคนหนักจริงๆ

 

 

 

บทที่ 2 ตอนที่ 16

 

แต่ละคนที่อยู่บนโต๊ะนี้นั้นล้วนมาจากตระกูลที่สูงกว่า “เอิร์ล” ทั้งนั้น ส่วนผู้คนที่คุณหนูพบเจอมา — บางทีแทบทั้งหมดอาจจะเป็นเด็กจากตระกูลที่ยศต่ำกว่าเอิร์ลละมั้ง ดังนั้นคุณหนูก็เลยไม่เคยเจอใครที่มีท่าทีปองร้ายแบบนี้มาก่อน

 

(หัวใจเต็นเร็วขึ้น, เหงื่อไหลมากขึ้น, อุณหภูมิของร่างกายเองก็สูงขึ้น… คุณหนูครับ อย่างพึ่งกระวนกระวายไปนะครับ)

 

มีข้อมูลพวกนั้นหลั่งไหลออกมาเมื่อผมตรวจสอบสถานะของคุณหนูด้วย 【World Ruler】เอาเถอะ จริงๆผมก็ไม่จำเป็นจะต้องเช็คเลยก็ได้ เพราะสีหน้าของคุณหนูแข็งค้างไปแล้วยังไงละ

 

「…ตระกูลซิวลิซส์ได้สร้างความขัดแย้งในหมู่ขุนนางยังงั้นหรอคะ?」

 

คุณหนูพยายามพูดออกมาให้สุภาพมากที่สุด ทว่าน้ำเสียงของเธอนั้นเย็นชามาก เย็นชาพอๆกับท่านเอิร์ล – ทำเอาผมคิดว่า “สมแล้วที่เป็นพ่อลูกกัน” เลย

 

คุณหนูชาล็อตสูดหายใจเข้าลึกๆ เธอยังคงลังเลอยู่ แต่สุดท้ายเธอก็ตัดสินใจพูดต่อ

 

「คะ-ค่ะ ใช่แล้วค่ะ! คุณจะบอกว่าคุณไม่เคยได้ยินข่าวลือพวกนี้หรอคะ? ที่ว่าตระกูลซิวลิซส์นั้นไม่ปกครองดินแดนทั้งๆที่เป็นถึงเอิร์ล แถมยังเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการเมืองอย่างหนักด้วย จนถูกเรียกว่า “พ่อค้าติดอาวุธผู้ซึ่งรอคอยข้อพิพาทอย่างกระตือรือร้น”–」

 

「คุณชาล็อต!」เจ้าชายคลูฟชราทพูดขึ้น

 

วงออร์เคสตราหยุดบรรเลงเพลงลง และทั่วทั้งโถงจัดงานก็เงียบสงัด

 

「…ลูกสาวของตระกูลขุนนางอันทรงเกียรติกลับเชื่อในข่าวลือจากผู้คนที่ประสงค์ร้ายอย่างนั้นหรอครับ?」

 

เจ้าชายคลูฟชราทนั้นไม่ได้มีเพียงแค่รูปลักษณ์ที่อ่อนโยนเท่านั้น แต่หัวใจของเขาเองก็ยังอ่อนโยนด้วย ผมคิดแบบนั้น ผมไม่รู้ว่าที่เสียงของเขาสั่นนั้นเป็นเพราะว่าเขากำลังโกรธ หรือกำลังหวาดกลัวท่าทีของคนรอบข้างหลังจากที่เขาขึ้นเสียงออกไปกันแน่ — แต่เรื่องที่เขาออกตัวเพื่อปกป้องคุณหนูอีวานั้นก็ยังเป็นความจริงอยู่ดี

 

ริมฝีปากของราชันศักดิ์สิทธิ์ที่ยืนอยู่ด้านหลังของเจ้าชายนั้นยกขึ้นเล็กน้อย ผมสังเกตุเขามาซักพักแล้ว ถ้าเจ้าชายไม่พูดอะไรละก็ ราชันศักดิ์สิทธิ์ก็จะเป็นคนพูดออกมาเองแน่ๆ

 

เมื่อเอ่ยคำใดออกไปแล้วย่อมไม่คืนคำ ดังนั้น คุณหนูชาล็อตก็เลยยังพูดต่อไปแม้จะกำลังหวาดกลัวเจ้าชายที่ยศสูงกว่า

 

「ด้วยความเคารพนะคะ คลูฟชราทซามะ… ไม่ใช่เรื่องจริงหรอคะที่ท่านเอิร์ลซิวลิซส์สั่งประหารขุนนางหลายคนน่ะค่ะ? ผลสุดท้ายการแจกจายสินค้าไปยังดินแดนต่างๆก็ล่าช้าลง จนเหล่าขุนนางก็จำเป็นจะต้องใช้ทรัพย์สินของตัวเองเพื่อระงับความโกลาหลน่ะค่ะ ทั้งๆที่ เหล่าขุนนางที่ไม่มีดินแดนไม่ได้รับผลกระทบใดๆเลยนะคะ」

 

มีอะไรแบบนั้นเกิดขึ้นด้วยสินะ

 

ทว่า ที่ท่านเอิร์ลทำแบบนั้นก็เพื่อแท่นแท่นบูชาที่หนึ่ง เพราะแบบนั้นเขาจึงต้องรับบทตัวร้ายเพื่อประเทศชาติหนิ แต่เธอกลับเอาแต่พูดถึงผลเสียอย่างเดียวเลย

 

(โอ๊ะ จริงสิ มันเป็นความลับที่รู้กันในเฉพาะขุนนางเพียงหยิบมือนั่นา เรื่องที่ว่าท่านเอิร์ลเป็น “ผู้ช่วยเลขาธิการพิเศษ” ของสำนักงานบริหารแท่นบูชา ท่านเอิร์ลนั้นประหารคนพวกนั้นด้วยเหตุผลเช่น “ฉ้อโกง”, “เลี่ยงภาษี”,และ “ติดสินบน” ซึ่งไม่ได้เกี่ยวอะไรกับแท่นบูชาที่หนึ่งเลย เขาทำไปเพื่อสงวนภาพลักษณ์ของแท่นบูชาที่หนึ่งที่ว่า “ไม่ได้ปนเปื้อน” สินะ)

 

คุณหนูชาล็อตมาจากตระกูลมาร์ควิสแต่กลับไม่รู้อะไรเลยหรอ? ไม่สิ ผู้นำตระกูลอาจจะรู้ แต่เขาไม่ได้บอกใครก็เท่านั้นเอง

 

「ยิ่งไปกว่านั้นนะคะ ยังมีขุนนางบางคนที่เห็นประโยชน์จากเหตุการณ์นี้ในการควบคุมการกระจายสินค้าเพื่อทำเงินจำนวนมากอีกด้วยนะคะ」

 

………….

 

ดูจากชื่อเล่น “ลอร์ดเลือดเย็น” ของท่านเอิร์ลแล้วละก็ มันก็ดูเหมือนเขาจะทำอะไรก็ได้จริงๆ เขาเป็นคนที่ทำให้เกิดความโกลาหลนี้มาตั้งแต่แรก ดังนั้นมันจึงง่ายที่จะคาดเดาสิ่งที่จะทำเกิดขึ้นต่อไปสินะ

 

「…ท่านพ่อ ที่คุณชาล็อตพูด…」

 

น้ำเสียงไม่พอใจของเจ้าชายได้กลับมาเป็นตามปกติของเขาแล้ว ภาพลักษณ์ใจเสาะของเขานั้นทำเอาผมอยากจะปกป้องเขาจริงๆ – แต่ว่าช่างเรื่องนั้นไปก่อน ท่านราชันศักดิ์สิทธิ์นั้นยังคงเงียบอยู่ พร้อมกับมีสีหน้าปั้นยากอยู่บนใบหน้าของเขาด้วย

 

(มันเป็นเรื่องที่พูดในที่สาธารณะไม่ได้สินะ…)

 

ถ้าเขาปกป้องท่านเอิร์ลแล้วพูดความจริงละก็ มันจะทำให้แท่นบูชาที่หนึ่งเสื่อมเสีย ทว่า ถ้าเขายอมรับสิ่งที่คุณหนูชาล็อตพูดละก็ มันก็จะหมายถึงการหักหลังเขาผู้ภักดีที่ยอมรับบทตัวร้ายไป

 

「…ถ้ามองเพียงด้านเดียวละก็ ทั้งหมดนั่นก็คือความจริงละนะ」

 

สีหน้าของคุณหนูชาล็อตสดใสขึ้นจากคำพูดของราชันศักดิ์สิทธิ์

 

「ทว่า ใครก็ตามที่อยู่ในแวดวงทางการเมือง คนผู้นั้นย่อมจะรู้ว่าทุกสิ่งนั้นมีสองด้านเสมอ」

 

「สองด้านหรอครับ?」

 

ราชันศักดิ์สิทธิ์ลูบหัวของเจ้าชายที่กำลังจ้องเขม็งอยู่

 

「พวกเจ้าพึ่งจะได้ก้าวเข้าสู่สังคมขุนนางเอง ต่อจากนี้ไป พวกเจ้าจะต้องเลือกหินสกิลของพวกเจ้า เรียนรู้อะไรหลายๆอย่าง บางครั้งก็ต้องทะเลาะกับคนอื่นๆ บางครั้งก็ล้มเหลว บ้างครั้งก็มีความสุข และบางครั้งก็เจ็บปวด เนื่องจากพวกเจ้าทุกคนนั้นมีสายเลือดของขุนนางไหลเวียนอยู่ในตัว พวกเจ้าก็จะต้องต่อสู้กับชะตากรรมพวกนั้นอย่างแน่นอน… คุณชาล็อต」

 

「คะ-ค่ะ ฝ่าบาท」

 

คุณหนูชาล็อตที่ถูกเรียกชื่อโดยตรงจากราชันศักดิ์สิทธิ์ก็ได้ทำหลังตรงทันที

 

「อย่าเชื่อในข่าวลือให้มากนัก เจ้ายังไม่ได้ยินจากปากของลุงเฟรสโดยตรงเลยสินะ ใช่ไหม? กลับไปแล้วไปถามเขาเรื่องนี้ จากนั้นก็จงจดจำทุกคำพูดที่เขาได้พูดออกมาซะนะ」

 

「ขะ-เข้าใจแล้วค่ะ…?」

 

「ข้าคงพูดอะไรมากไปกว่านี้ไม่ได้แล้ว ยิ่งไปกว่านั้น ที่นี่ไม่ใช่ที่ที่พวกเจ้าจะมาทะเลา–」

 

「ฝ่าบาท ผมไม่คิดว่าคนคุ้มกันควรจะพูดมากแบบนี้หรอกนะครับ」

 

「…ข้าก็ว่ายังงั้น」

 

เมื่อเขาถูกบอกโดยเอิร์ลหมีประจำชายแดน ราชันศักดิ์สิทธิ์ก็ได้เอามือกอดอกแล้วเงียบไป

 

「?」

 

ถึงคุณหนูดูจะรู้สึกไม่พอใจที่บทสนทนาจบลงไปอย่างครึ่งๆกลางๆก็เถอะ ทว่าหลังจากนั้นวงออร์เคสตราก็ได้บรรเลงเพลงใหม่ แล้วอาหารจานต่อไปก็ได้เข้ามาเสิร์ฟ

 

ถึงบทสนทนาของโต๊ะอื่นๆจะเริ่มขึ้นแล้วก็ตาม แต่ตัวคุณหนูก็ยังคงเงียบต่อไปพร้อมกับสีหน้ามืดมน ท่านเอิร์ลไม่ได้บอกเธออะไรเกี่ยวกับเรื่อง “ลอร์ดเลือดเย็น” เลยหรอ? ไม่ ผมมั่นใจว่าเขาจะต้องบอกเธอแล้วแน่ๆ

 

ขณะที่คำแนะนำ “มาเป็นเพื่อนกันเถอะ” ของคุณชายอีธานถูกพัดตกไป คุณหนูมิร่า ลูกสาวของเอิร์ลชายแดน ก็ได้เริ่มบทสนทนาใหม่ขึ้นมา

 

「ถึงยังงั้น มีอาหารอร่อยๆอยู่เต็มไปหมดเลยนะคะ ทั้งหมดเป็นอาหารที่หาไม่ได้ในดินแดนของชั้นเลยละคะ」

 

เจ้าชายรู้สึกโล่งใจที่บทสนทนาได้เริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง เขาได้พูดเสริมว่า

 

「อาหารในวันนี้ทั้งหมดถูกจัดเตรียมเอาไว้โดยตระกูลโรซีเออร์ ใช่ไหมละ หลุยส์?」

 

「โอ๊ะ ใช่แล้ว… ข้าหวังว่าพวกมันจะถูกปากเธอนะ」หลุยส์พูดขึ้นโดยน้ำเสียงที่เจียมเนื้อเจียมตัวอย่างน่าประหลาดใจ

 

ท่าทีเอาตัวเองเป็นหลักเมื่อก่อนหน้านี้นั้นไม่เหลืออยู่เลย เป็นเพราะเขาช็อคจากเรื่องข่าวลือของท่านเอิร์ลซิวลิซส์อย่างนั้นหรอ?

 

「ดินแดนของท่านเอิร์ลประจำชายแดนมิวล์นั้นเป็นยังไงหรอครับ?」

 

「เป็นพื้นที่ที่ชนบทมากเลยค่ะ มีทั้งทุ่งหญ้ากว้างใหญ่, สวนเพาะปลูก, และนอกจากนั้นก็ยังมีดันเจี้ยนที่ถูกทิ้งเอาไว้จากคนในยุคโบราณที่ตั้งอยู่ในบริเวณภูเขาด้วยค่ะ เหล่านักพจญภัยก็มักจะมาสำรวจดันเจี้ยนพวกนั้นอยู่บ่อยๆ」

 

ดันเจี้ยน!

 

ช่างเป็นคำที่น่าตื่นเต้นจริงๆ ดันเจี้ยนเดียวที่ผมรู้จักก็คือเหมืองที่ 6 ที่ผมเคยทำงานเป็นทาสอยู่ในนั้น ผมสงสัยจังว่ามันจะต่างจากที่นั่นหรือปล่าว… เป็นสถานที่แบบไหนกันนะ…

 

 

 

บทที่ 2 ตอนที่ 15

 

ท่านราชันศักดิ์สิทธิ์เริ่มบทสนทนาตามใจของเขา แต่เด็กอีกสามคนที่เหลือยังไม่ได้แนะนำตัวเองเลยนะ

 

คุณหนูดูเป็นกังวลเล็กน้อย ทว่าเนื่องจากคนที่ถามเป็นถึงราชันศักดิ์สิทธิ์ เธอก็เลยไม่มีทางเลือกนอกจากตอบออกไป

 

「ดิชั้นจะไปปรึกษากับท่านพ่อหลังจากจบงานเลี้ยงวันนี้ค่ะ ฝ่าบาท」

 

「งั้นหรอ ถ้าเป็นคลูฟชราทละเป็นไง?」

 

「โกะโฮะ!」เจ้าชายคลูฟชราทสำลักเหล้าก่อนอาหาร

 

แน่นอนว่าเขาจะต้องตกใจอยู่แล้วถ้าเรื่องการหมั้นหมายของตัวเองถูกพูดขึ้นมาอย่างง่ายดายราวกับถามถึงสภาพอากาศแบบนี้

 

ผมบอกคุณหนูไปแล้วว่าไม่ควรส่งสายตาเชิญชวนแบบนั้นออกไป ทว่าเธอก็ยังปักธงหลุยส์กับเจ้าชายคลูฟชราทไปแล้วในเวลาแค่นี้ ถึงจะมั่นใจว่าตัวเธอเองก็ไม่ได้ตั้งใจก็เถอะ

 

「ท่านพ่อ– ฝ่าบาท! พูดอะไรหน่ะครับ!?」

 

「ข้าบอกเจ้าไปแล้วไม่ใช่รึว่าที่นี่เองก็เป็นที่สำหรับหามเหสีให้กับเจ้าหน่ะ?」

 

มเหสีของเจ้าศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่ 2

 

เหล่าคุณหนูที่ควรจะนั่งอยู่ที่โต๊ะที่ห่างออกไปนั้นตอบสนองอย่างพร้อมเพียงกัน ทุกคนดูจะแอบฟังพวกเราอยู่นะ เพราะโต๊ะอื่นๆนั้นเงียบเชียบกันหมดเลย

 

「ฝะ-ฝ่าบาทบอกผมเองไม่ใช่หรอครับว่าผมควรตัดสินใจเอง」

 

「เห็นเจ้าพูดติดอ่างแบบนั้น ใครจะรู้ว่าเจ้าจะใช้เวลานานแค่ไหน」

 

「ถึงยังนั้น นี่มันก็เร็วเกินไปแล้วนะครับ!」

 

「ว่าไงนะ? นี่เจ้าไม่พอใจลูกสาวของวิกเตอร์หรือไง?」

 

「นะ-นะ-นะ-นั่นไม่ใช่สิ่งที่ผมพยายามจะพูดนะครับ…」

 

ขณะที่พ่อลูกกำลังเถียงกันนั้น หลุยส์ก็มองมาที่ผมพร้อมกับกัดฟัน

 

–เฮ้คุณคนคุ้มกันครับ เจ้านายของคุณเป็นตัวอันตรายครับ กำจัดเขาที

 

เห็นกับตาตัวเองมักจะดีกว่าฟังมา 10,000 คำงั้นหรอ

 

เข้าใจละ… ต่อให้เป็นตระกูลดยุคก็เข้ามายุ่งไม่ได้ถ้าคุณหนูกลายเป็นคู่หมั้นของเจ้าชายศักดิ์สิทธิ์สินะ

 

ความรู้สึกของหลุยส์ถูกส่งผ่านมาที่ผมอย่างชัดเจนเลย

 

และผมก็ได้หันไปทางอื่นพร้อมกับเมินมัน

 

「แก กล้าเมินข้า–」

 

「คลูฟชราทซามะ! ดิชั้นชื่อชาล็อตจากตระกูลมาร์ควิสเฟรสค่ะ! ดิชั้นได้พบกับท่านเป็นครั้งแรกค่ะ!」คุณหนูชาล็อตรีบแนะนำตัวเองให้กับเขาโดยไม่รอช้า

 

「ข้ารู้สึกเสียใจกับเหล่าเด็กๆจริงๆที่มีพ่อเป็นคนชอบยุ่งไม่เข้าเรื่องแบบนี้」

 

หมีเทาพูดได้!!! โอ๊ะ ไม่ใช่สิ เป็นเอิร์ลประจำชายแดนนี่นา

 

「อาห์? เจ้าพูดถึงข้าเรอะ เอิร์ลชายแดน?」

 

「ถ้าท่านรู้ตัว ทำไมท่านถึงไม่อยู่เงียบๆละครับ คุณคนคุ้มกัน?」

 

「ตอนที่ข้าเรียกตัวเจ้า เจ้าก็ไม่มาที่เมืองศักดิ์สิทธิ์โดยไม่ให้เหตุผลใดๆเลย แต่ตอนนี้เจ้ากลับลอบเข้ามาในที่แห่งนี้ แถมยังสวมหนังหมีที่ไม่เข้ากับสถานที่มาอีก ใครกันแน่ที่เป็นพ่อชอบยุ่งไม่เข้าเรื่องหน่ะ?」

 

「เหล่าเด็กๆเป็นตัวหลักในวันนี้ ใครกันนะที่พูดแบบนั้น?」

 

「อ้า!? เจ้าจะเอาเรอะ?」

 

「โอ๊ะ? เอาสิ ฝ่าบาท เรื่องนี้จะต้องนองเลือดแน่นอน」

 

กอลิลล่ากับหมีต่างเพชิญหน้ากันโดยที่กอดอกของตัวเองเอาไว้ พวกเขาห่างกันเพียงแค่ครึ่งก้าวเท่านั้น

 

ฝั่งหนึ่งคือราชันศักดิ์สิทธิ์ที่กำลังปล่อยมานาออกมา และอีกฝั่งหนึ่งก็คือเอิร์ลหมีเทาประจำชายแดน จะเล่นมวยปล้ำกันหรอ? …ไม่สิ อืม ผมเองก็ไม่รู้จักนิสัยของทั้งสองคนซะด้วยสิ ดังนั้นผมก็เลยค่อนข้างสับสนนิดหน่อย ทว่าเจ้าชายคลูฟชราทก็หมอบลงไปกับพื้นพร้อมกับเอามือกุมหัวซะแล้ว คุณหนูมิร่าลูกสาวของเอิร์ลชายแดนเองก็ทำแบบเดียวกันด้วย มีเพียงแค่คุณหนูชาล็อตที่ถูกเมินโดยสมบูรณ์เท่านั้นที่น้ำตาระรื่นอยู่

 

ทว่าผมก็รู้ตัวหลังจากที่ผมเห็นคุณชายอีธานที่มองออกไปอย่างงุนงง ใช่แล้ว นั่นคือปฏิกิริยาทั่วไปที่ควรจะเป็นสินะ อย่างไรก็ตาม หลุยส์กลับมองเหตุการณ์นี้ด้วยสายตาแพรวพราวราวกับกำลังคิดว่า “พวกเขากำลังจะสู้กันงั้นหรอ? เอาจริงดิ? โคตรเจ๋ง”

 

ม่านแห่งความโกลาหลในงานเลี้ยงแห่งนี้ก็ได้เปิดฉากขึ้น

 

「—งั้นหรอ งั้นตระกูลซิวลิซส์ก็ไม่มีอาณาเขตของตัวเองสินะ?」

 

「ค่ะ ใช่แล้วค่ะ ท่านพ่อมักจะพูดอยู่เสมอว่า “การปกครองอาณาเขตนั้นจะใช้ความรับผิดชอบ และจะต้องใช้เวลาอย่างมากในการทำแบบนั้น” ตระกูลซิวลิซส์นั้นทำงานรับใช้ทั้งประเทศในเมืองศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้มาตั้งแต่เมื่อก่อนแล้วน่ะค่ะ」

 

「ผมคิดว่ามันเป็นคำพูดที่น่าชื่นชมมากเลยนะครับ」

 

「ไม่ค่ะ… ดิชั้นคิดว่าการผลิตสินค้าพื้นเมืองเพื่อความเจริญรุ่งเรืองของประเทศเองก็สำคัญไม่แพ้กันนะคะ เหมือนกับที่ตระกูลเอเบเน่ของอีธานซามะกำลังทำอยู่น่ะค่ะ」

 

「พวกเรายังต้องพัฒนาอีกมาก–」

 

「ดิชั้นได้ยินมาว่าการพัฒนาน้ำหอมชนิดใหม่นั้นสำเร็จไปเมื่อปีที่แล้วสินะคะ ยินดีด้วยนะคะ」

 

「นั่นมันน่าอายจัง คุณรู้อะไรมากมายเลยนะครับ คุณหนูอีวา」

 

คุณชายอีธานกับคุณหนูกำลังพูดคุยกันอย่างเป็นกันเองอยู่ ผมดีใจที่คุณหนูสนใจในเรื่องที่ครูสอนพิเศษสอนด้วย ผมรู้สึกอย่างกับเป็นผู้ปกครองที่กำลังภูมิใจในตัวลูกเลย

 

เจ้าชายคลูฟชราทกับคุณหนูมิร่านั้นกระวนกระวายเกินไปที่จะพูดอะไรออกมา เพราะคนคุ้มกันของพวกเขากำลังจ้องมองกันและกันพร้อมกับเส้นเลือดที่ปูดอยู่บนหัว ส่วนคุณหนูชาล็อตที่พลาดการแนะนำตัวเองเมื่อสักครู่ก็กำลังทานอาหารที่นำมาเสิร์ฟให้อย่างเคร่งเครียดอยู่

 

ผมไม่แน่ใจว่าหลุยส์กำลังคิดที่จะพูดคุยกับคุณหนูอยู่หรือเปล่า หรือเขากำลังกังวลเรื่อง “การหมั้นหมาย” ที่ท่านราชันศักดิ์สิทธิ์พูดออกมา หรือเพราะเขาแค่ตามบทสนทนาของคุณหนูกับคุณชายอีธานอยู่กันแน่ ทว่าเขาทำเพียงแค่ทานอาหารของเขาอยู่อย่าเงียบๆเท่านั้น เขามองไปที่ใบหน้าของคุณหนูขณะที่กำลังเคี้ยวอาหารอยู่ก่อนจะถอนหายใจออกมา ให้ตายสิ เขาหลงเธออย่างหัวปักหัวปำเลย

 

「เนื่องจากพวกเราเองก็อายุเท่าๆกัน มาเป็นเพื่อนกันเถอะ」คุณชายอีธานกล่าวกับทุกคนแบบนั้น

 

บางทีเขาคงจะพูดแบบนั้นเพื่อคนอื่นๆที่กำลังรู้สึกอึดอันกัน เด็กคนนี่ช่างน่าชื่นชมสำหรับเด็กอายุเพียงแค่นี้จริงๆ เผ่าฮาล์ฟลิงทุกคนนั้นเป็นคนดีกันหมดเลยหรือไงกัน?

 

「เป็นความคิดที่ดีนะคะ!」คุณหนูชาล็อตพูดขึ้น

 

「แล้วพวกเราจะทำอะไรเพื่อเชื่อมความสัมพันธ์กันละ อีธาน?」ในที่สุดหลุยส์ก็พูดออกมา

 

ดูจากวิธีที่หลุยส์ใช้เรียกคุณชายอีธาน ดูเหมือนทั้งคู่จะรู้จักกันมาก่อนสินะ

 

「ตัวอย่างเช่น ผมมักจะอยู่ที่บ้านในอาณาเขตของผมเองเป็นเวลานาน ดังนั้นผมจะดีใจถ้าพวกเรามารวมตัวกันได้ในตอนที่ผมเข้ามาที่เมืองศักดิ์สิทธิ์นะครับ」

 

「นายก็ทำเพื่อตัวเองไม่ใช่หรอไง?」

 

「ก็ไม่เห็นเป็นไรเลยนี่? ยังไงซะ ผมก็มักจะว่างตลอดเวลาอยู่ในตอนที่ผมอยู่ในเมืองศักดิ์สิทธิ์ และนายเองก็เป็นคนเดียวที่ผมสามารถพบได้เวลาที่มาที่นี่นะ หลุยส์」

 

「ข้าคนเดียวมันไม่พอรึไง?」

 

「งั้นนายจะมาเล่นกับผมทุกวันไหมละ?」

 

「ก่ะ ไม่มีวันซะละ」

 

「แหม่-โอ้-แหม่ ทั้งสองคนสนิทกันจังเลยนะคะ!」คุณหนูชาล็อตเข้าไปแทรกบทสนทนาของพวกเขา

 

พวกเขาก็ดูจะสนิทกันดีนะ แต่ดูไม่เหมือนว่าพวกเขาจะเข้ากันได้เลย

 

「แล้วก็นะ คลูฟชราทซามะเองก็จะเข้าร่วมด้วยใช่ไหมคะ?」

 

ดูเหมือนนั่นจะเป็นปัญหาหลักของคุณหนูชาล็อต หรือจะต้องพูดว่าเป็นสิ่งที่เธอกังวลอยู่สินะ เจ้าชายคลูฟชราทที่กำลังถูกพูดถึงนั้นรีบหันกลับไปด้านหลังเพื่อยืนยันกับพ่อของเขา ท่านราชันพยักหน้าตอบพร้อมกับยิ้มกว้าง

 

「ผะ-ผมเองก็อยากจะร่วมด้วยครับ!」

 

เจ้าชายคลูฟชราทที่กำลังกระตือรือร้นนั้นดูน่ารักมาก เด็กท่าทางใจดีแบบนี้เกิดมาจากราชันศักดิ์สิทธิ์ที่เหมือนกับกอลิลล่านั่นได้ยังไงกัน?

 

จากนั้นเจ้าชายคลูฟชราทก็พยายามตรวจดูปฏิกิริยาของทุกคน ก่อนที่สายตาของเขาจะไปหยุดอยู่ที่คุณหนูอีวา

 

「จะดีหรือปล่าวคะที่ดิชั้นจะเข้าร่วมด้วย?」คุณหนูถามออกมาพร้อมกับเอียงหัวของเธอเอง

 

「ละเว้นตระกูลซิวลิซส์จะดีกว่าหรือปล่าวคะ?」

 

เมื่อคุณหนูชาล็อตพูดขึ้นมาแบบนั้นขณะที่ส่งสายตาจิกกัดไปทางคุณหนู เจ้าชายคลูฟชราทก็ลนลานทันที

 

「ทะ-ทำไมคุณถึงอยากจะทิ้งคุณอีวาเอาไว้นอกกลุ่มละครับ คุณชาล็อต?」

 

「เจ้าชายคลูฟชราทคะ ดิชั้นกลัวเกินไปที่จะพูดถึงเรื่องนั้นค่ะ ดิชั้นพูดได้แค่ว่า “ตระกูลซิวลิซส์นั้นได้สร้างความคัดแย้งขึ้นในสังคมขุนนาง” น่ะค่ะ」

 

จากนั้นคุณหนูชาล็อตก็ยิ้มอย่างมีเลศนัยออกมา

 

 

 

บทที่ 2 ตอนที่ 14

 

ราชันศักดิ์สิทธิ์แห่งราชอาณาจักรครูวานศักดิ์สิทธิ์นั้นมีชื่อของตนเองที่ได้มาตั้งแต่เกิดอยู่ ทว่าเมื่อขึ้นครองบัลลังก์ เขาก็จะต้องทิ้งชื่อของตนเอง แล้วถูกเรียกว่า “ราชันศักดิ์สิทธิ์” ไปจนตาย

 

ลักษณะของราชันศักดิ์สิทธิ์นั้นจะมีทั้งผมและตาเป็นสีฟ้าอ่อนเสมอ สีนี้จะถูกเรียกว่า “สีฟ้าศักดิ์สิทธิ์” เมื่อตัวราชันศักดิ์สิทธิ์มีทายาทกับเผ่าพันธ์ุไหนก็ตาม ทายาทที่เกิดมาจะมีอยู่ 2 แบบก็คือ สืบทอดลักษณะของราชันศักดิ์สิทธิ์มา ไม่ก็สืบทอดลักษณะของเผ่าพันธุ์นั้นไปอย่างสมบูรณ์แทน มีเพียงแค่ 2 แบบนี้เท่านั้น

 

มันเป็นกรรมพันธุ์พิเศษเช่นเดียวกับเนตรเวทมนตร์นั้นแหล่ะ

 

เนื่องจาก “สีฟ้าศักดิ์สิทธิ์” นั้นปรากฏได้ในทั้งชายและหญิง มันก็เป็นไปได้ที่ผู้หญิงจะกลายเป็นราชาได้ อย่างไรก็ตาม ถ้าไม่ปรากฏ “สีฟ้าศักดิ์สิทธิ์” ละก็ พวกเขาก็จะต้องใช้ชีวิตในฐานะญาติของราชวงศ์โดยจะไม่ถูกเรียกว่า “เจ้าชายศักดิ์สิทธิ์” หรือ “เจ้าหญิงศักดิ์สิทธิ์” แทน – ในกรณีนี้ พวกเขาเองก็เรียกตัวเองว่า “ดยุค” ไม่ได้ด้วย มีเพียงแค่คนที่มี “สีฟ้าศักดิ์สิทธิ์” เท่านั้นที่จะเป็นดยุคได้ แน่นอนว่า “สีฟ้าศักดิ์สิทธิ์” สามารถหายไปตามสายเลือดได้ แต่ต่อให้มันหายไปแล้ว สถานะดยุคก็ไม่ได้ถูกถอนออกแต่อย่างใด ดังนั้นถึงแม้ตระกูลเอเบเน่จะมีสายเลือดของฮาล์ฟลิงก็ตาม พวกเขาก็ยังคงเป็นดยุคอยู่

 

“สีฟ้าศักดิ์สิทธิ์” นั้นเป็นสีที่พิเศษและเป็นสีที่มีสถานะสูงที่สุดในราชอาณาจักรศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้แล้ว – ผมได้เรียนรู้เรื่องนี้มาจากครูสอนพิเศษส่วนตัว

 

「ท่านราชันศักดิ์สิทธิ์คนนั้นหน่ะหรอ!?」

 

「ทำไมท่านถึงมาอยู่ที่นี่?」

 

「หรือว่าท่านราชันจะมาเป็นผู้ดูแลของเจ้าชายศักดิ์สิทธิ์เอง!?」

 

เสียงโห่ร้องดังก้องถึงจุดสูงสุดแล้ว

 

อย่างไรก็ตาม ทุกคนที่อยู่ที่โต๊ะที่ผมอยู่ – โต๊ะของขุนนางที่มีตำแหน่งสูงที่สุดในงานเลี้ยงนี้ – ต่างก็คุกเข่าก้มหัวลง รวมไปถึงพวกเราเหล่าคนคุ้มกันด้วย

 

หลังจากนั้น โตีะอื่นๆก็เริ่มทำตาม โถงงานเลี้ยงขนาดใหญ่กลับมาเงียบสงัดอีกครั้งเพราะทุกคนได้ก้มหัวลงหมดแล้ว

 

ทางด้านนอกนั้น แสงจากดวงอาทิตย์ได้หายไปแล้ว ค่ำคืนของคืนจันทร์ดับก็กลืนกินไปทั่วท้องฟ้า

 

อย่างไรก็ตาม โคมระย้าภายในโถงนั้นก็ได้ส่องสว่างจ้าไปทั่วบริเวณ

 

เสียงฝีเท้าของเจ้าชายศักดิ์สิทธิ์กับราชันศักดิ์สิทธิ์นั้นดังใกล้เข้ามาที่พวกเรา

 

ออร่าสุดยอกมากเลยละ ถ้าเป็นอาคาชิคุงจากเรื่อง “คุโ*โกะ โ*ะ บ*สเก็ต” ละก็ เขาคงจะพูดว่า “เขาตัวสูงมาก”… อ่าห์ เจ็บปวดจริงๆที่ไม่มีใครในโลกนี้ที่จะเข้าใจที่ชั้นอ้างอิงเลย!

 

「เออ อืม… ทุกคนครับ ได้โปรดเงยหน้าขึ้นเถอะครับ ยังผมเองก็เป็นผู้เข้าร่วมงานเลี้ยงเหมือนกันกับทุกคนนะครับ」

 

การพูดอยย่างเป็นทางการของเจ้าชายศักดิ์สิทธิ์นั้นช่างไม่เข้ากับเสียงที่เหมือนกับเด็กๆของเขาเลย

 

ทว่าก็ไม่มีใครเงยขึ้นเลยสักคน

 

「เออ อืมม…」เสียงไม่พอใจของเจ้าชายสามารถได้ยินได้จากในโถงที่เงียบเชียบแห่งนี้

 

「-พวกเจ้าไม่ได้ยินนั่นหรือไง? เงยหน้าขึ้นซะ」

 

เมื่อเสียงเข้มๆดังขึ้น – ถ้ามีแก้วอยู่ใกล้ๆละก็ มันจะต้องสั่นไหวไปมาจากความถี่ต่ำๆนั่นแน่ๆ – แรกสุดก็คือทั้งสองคนจากตระกูลดยุคที่เงยหน้าขึ้นก่อน จากนั้นก็ตามด้วยตระกูลมาร์ควิส และสุดท้ายตอนนี้ก็เป็นผม,คุณหนู,และคนอื่นที่เงยหน้าขึ้น

 

ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเป็นใครที่บอกให้พวกเราเงยหน้าขึ้น เป็นตัวท่านราชันศักดิ์สิทธิ์เองนั่นเอง

 

เมื่อมองไปที่เขาตรงๆ ออร่าของเขาค่อนข้างสุดยอดไปเลย มีบางอย่างเปล่งประกายออกมาด้วยละ เอ๊ะ นั่นมันมานาไม่ใช่หรอ? เขากำลังปล่อยมานาออกมางั้นหรอ? นั่นจะไม่แย่เอาหรอครับ ท่านราชันศักดิ์สิทธิ์?

 

「ข้อขอโทษที่ไม่ได้บอกถึงการมาของข้า เพราะมันอาจจะกลายเป็นเรื่องใหญ่ได้ ดังนั้นข้าก็เลยเก็บเงียบเอาไว้ คิดว่าข้าเป็นคนคุ้มกันของคลูฟชราทเอาละกันนะ」

 

มันก็ยังเป็นเรื่องใหญ่อยู่ดีถ้าท่านมาโดยไม่บอกแบบนี้ไม่ใช่หรอ? …ผมมั่นใจว่าคนอื่นๆเองก็คงจะคิดแบบนั้น แต่ก็คงไม่มีใครพูดอะไรออกไป เพราะอีกฝ่ายเป็นถึงตัวราชันศักดิ์สิทธิ์เองเลยนี่นา

 

เจ้าชายคลูฟชราทดูโล่งใจขึ้นเพราะทุกคนเงยหน้าขึ้นแล้ว เขาเดินมาที่โต๊ะของพวกเราก่อนจะนั่งลงตรงที่ของเขา

 

หลังจากนั้น ท่านราชันก็ไปยืนอยู่ข้างหลังของเจ้าชายก่อนจะตรวจดูผู้คนที่อยู่ที่โต๊ะ นี่เขาเอาจริงเรื่องที่เขาจะเป็นคนคุ้มกันอย่างนั้นหรอ? มันจะดีจริงๆหรอ? แต่ถ้าราชันไม่นั่งลง คนอื่นๆก็นั่งลงไม่ได้เหมือนกัน ใช่ไหมละ?

 

「…องค์ราชันครับ ได้โปรดอย่าเล่นตลกแบบนี้สิครับ」

 

เย็ดเข้!!! หมีเทาพูดได้!!! …ผมคิดแบบนั้น ทว่ามันก็เป็นเพียงแค่คุณเบอร์เซิร์กเกอร์ที่ยืนอยู่ด้านหลังของคุณหนูมิร่าเท่านั้นเอง คุณเบอร์เซิร์กเกอร์เป็นคนพูดออกไปงั้นหรอ… ผมละโล่งใจจริงๆ

 

ไม่สิ คนคุ้มกันไม่ควรจะพูดคุยกับราชาศักดิ์สิทธิ์ง่ายๆแบบนี้สิ นี้มันแย่จริงๆแล้ว

 

「อะไร? เจ้าเองก็มาเป็นคนคุ้มกันให้กับลูกของเจ้าเองด้วยไม่ใช่รึไง ท่านเอิร์ลประจำชายแดนมิวล์?」

 

ท่านราชันมองกลับไปด้วยสายตาคมกริบพร้อมกับยกคิ้วของเขาขึ้น เดี๋ยวก่อนนะ คุณเบอร์เซิร์กเกอร์เป็นท่านเอิร์ลประจำชายแดนเองงั้นหรอ!?

 

ขนาดคุณหนูกับลูกชายของดยุคเองก็ยังตกใจเลย

 

อะไรเนี้ย! มีกรณีที่คนคุ้มกันเป็นตัว VIP เองด้วยหรอ? ไหนดูสิ คนคุ้มกันของหลุยส์ก็คืออาเธอร์ ดังนั้นตัวตนของเขาจึงแน่ชัดแล้ว ส่วนคนคุ้มกันหน้าตาดีของคุณหนูชาล็อตนั้น… ดูจากการที่เขามองเหตุการณ์ตอนนี้พร้อมกับอ้าปากค้างแบบนี้ คงจะไม่จำเป็นต้องกังวลเกี่ยวกับเขาหรอก ขนาดตัวผมเองก็ยังไม่แน่ใจว่าเขาจะทำหน้าที่คุ้มกันได้จริงๆเลย

 

และคนคุ้มกันเผ่าฮาล์ฟลิงของคุณชายอีธาน… ใช่ เธอกำลังจ้องมองผมอยู่ “ผมไม่มีตัวตนที่ปิดบังเอาไว้หรอก ผมไม่ใช่ไข่ที่มีอะไรเซอร์ไพรส์อยู่ข้างในหรอกนะ” – เพื่อที่จะส่งข้อความนี้ให้เธอ ผมจึงยกแขนทั้งสองข้างขึ้นพร้อมกับส่ายหน้าออกไป ไม่รู้ว่าเธอรับรู้ถึงข้อความของผมหรือไม่ เธอพยักหน้าพร้อมกับทำเสียง “อูมุ” ออกมา มันหมายความว่าอะไรละนั่นไอ้ “อูมุ” เนี้ย

 

「ถ้ายังงั้น พวกเรามาตั้งอกตั้งใจในฐานะคนคุ้มกันกันเถอะครับ」

 

「อืม ข้าเองก็จะทำยังงั้นเหมือนกัน เฮั พวกเจ้า! จะยืนกันอยู่อีกนานไหม? นั่งลงซะ」ท่านราชันพูดขึ้น

 

คนคุ้มกันโลกไหนกันที่มาบอกให้แขก “นั่งลงซะ” หน่ะ?

 

แต่ มันก็อาจจะเป็นเพราะว่าเขาเป็นพวกคนมีอำนาจละนะ พวกเขาไม่เข้าใจความรู้สึกของเหล่าคนที่สถานะต่ำกว่าหรอก

 

ตอนที่ผมรู้ตัว วงออเคสตราก็ได้ปรากฏตัวขึ้นที่มุมๆหนึ่งของโถงและพวกเขากำลังจะเริ่มเล่นเพลงแล้ว พวกเขาเล่นเครื่องสายที่คล้ายกับไวโอลิน มันไพเราะมากเลยละ ดนตรีเบาๆที่จะไม่ไปรบกวนบทสนทนาในงานเลี้ยงก็ได้บรรเลงขึ้น มีคนรับใช้คนหนึ่งในคฤหาสน์นำเก้าอี้มาให้ท่านราชันนั่ง ทว่าท่านราชันก็ปฏิเสธมันโดยการพูดว่า “เจ้าเคยเห็นคนคุ้มกันคนไหนนั่งไหมละ?” ทำเอาคนรับใช้คนนั้นหน้าซีดไปเลย เห็นไหม พวกเขาไม่เข้าใจความรู้สึกของคนที่อยู่ต่ำกว่าหรอก

 

ในที่สุดงานเลี้ยงก็ได้เริ่มขึ้น มีบางอย่างเหมือนกับรายการของวันนี้ถูกวางเอาไว้บนโต๊ะ มันมีชื่อของเมนูอาหารที่จะนำมาเสิร์ฟ ดูเหมือนจะมีการทักทายจากผู้ให้การสนับสนุนงานนี้คั่นกลางด้วย ถึงจะเป็นงานเลี้ยงของชนชั้นสูงเองก็ยังมีผู้ให้การสนับสนุนอยู่สินะ และมีชื่อ “ตระกูลดยุคโรซีเออร์” ตระกูลของหลุยส์เขียนเอาไว้ตรงนั้นนด้วย

 

ถ้าตัวดยุคเองก็จะมาด้วยละ? จำนวณ VIP ก็จะเพิ่มขึ้นอีกงั้นหรอ? ผมเห็นเด็กๆหลายคนที่รู้สึกอึดอัดเพราะว่านอกจากตัวราชันศักดิ์สิทธิ์แล้ว ตัวเอิร์ลประจำชายแดนเองก็อยู่ที่นี่ด้วย นี่พวกเขาจะไม่ปล่อยให้เด็กๆได้พักหายใจมั่งเลยหรอ?

 

「เออ อืมม ทุกคนที่มีอายุครบ 12 ในปีนี้ ยินดีที่ได้รู้จักทุกคนนะครับ ชื่อของผมคือคลูฟชราท ได้โปรดอย่าใส่ใจท่านราชัน… คนคุ้มกันที่อยู่ด้านหลังของผมเลยนะครับ」

 

เนื่องใจที่ไม่มีใครพูดอะไรเลย เจ้าชายก็เลยพยายามเต็มที่เพื่อสร้างบทสนทนาขึ้น แต่ไม่มีใครที่ไม่สนใจท่านราชันศักดิ์สิทธิ์ได้หรอกนะ

 

「คลูฟชราทซามะ ไม่ได้เจอกันซักพักแล้วนะครับ」

 

「โอ๊ะ หลุยส์นี่ ใช่ มันก็ซักพักแล้วละนะ」

 

คิดว่าพวกเขาคงจะรู้จักกันอยู่แล้วสินะ เพราะพวกเขาพูดคุยกันได้อย่างเป็นกันเองมากเลย

 

「หืมม? นี่นายย้อมผมยังงั้นหรอ?」

 

「!? เออ ครับ ผมแค่… รู้สึกอยากจะย้อมนะครับ」

 

หลุยส์เหลือบมองไปที่คุณหนูอีวาพร้อมกับเหงื่อเย็นๆบนหน้าผากของเขา เจ้าชายสังเหตุเห็นมันจึงได้มองมาที่คุณหนู – ก่อนจะตะลึงงันไป

 

「นี่เป็นการพบกันครั้งแรกของพวกเราสินะคะ เจ้าชายศักดิ์สิทธิ์คลูฟชราทซามะ ดิชั้นชื่อ อีวา เป็นลูกสาวคนโตของตระกูลเอิร์ลซิวลิซส์ค่ะ」

 

เนื่องจากเธอนั้นกำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ เธอจึงทำเพียงแค่ก้มหัวลงเล็กน้อย ทว่าเจ้าชายกลับจ้องมองเธออย่างไม่วางตาเลย

 

「มีอะไรหรือปล่าวคะ คลูฟชราทซามะ?」

 

「…อา เอ เออ… ผมขอถามชื่อได้ไหมครับ?」

 

「อย่างที่ดิชั้นได้บอกไป ดิชั้นชื่ออีวา ซิวลิซส์ค่ะ」

 

「งะ-งั้นหรอ! อีวา ซิวลิซส์ซินะ ใช่แล้ว เป็นชื่อที่ค่อนข้างยาวเลยนะ เธอมาจากตระกูลไหนงั้นหร—โอ้ย!?」

 

ท่านราชันศักดิ์สิทธิ์ได้เขกหัวของเจ้าชายไปทีนึง ไม่ ไม่สิ คนคุ้มกันไม่ควรทำร้ายคนที่คุ้มกันอยู่เองนะ

 

「ใจเย็นก่อน คลูฟชราท คุณหนู เธอคือ… ลูกสาวของวิกเตอร์สินะ」

 

「ค่ะ ท่านองค์ราชัน ตระกูลซิวลิซส์เป็นเกียรติอย่างยิ่งที่แสงศักดิ์สิทธิ์ของท่าน—」

 

「หยุด หยุดเลย อะไรแบบนั้นไม่จำเป็นในตอนนี้หรอก!」

 

เมื่อท่านราชันพูดถึงตัวเธอ คุณหนูก็ได้ลงจากเก้าอี้ของเธอ เธอคุกเข่าแล้วก้มหัวลง ทว่าก็เป็นตัวท่านราชันเองที่หยุดเธอเอาไว้

 

「นั่งลง นั่งลงเถอะ พวกเจ้าทุกคนเป็นตัวหลักของวันนี้นะ」

 

หลายๆคนคงจะคิดว่า “คนที่เด่นกว่าตัวหลักอย่างท่านไม่ต้องมาพูดเลย!” แน่ๆ

 

「…ดิชั้นขอบคุณอย่างสุดซึ้งค่ะ ท่านองค์ราชัน」

 

เมื่อคุณหนูกลับมายังที่นั่งของตนเอง เหล้าก่อนอาหารก็ถูกนำมาเสิร์ฟ

 

โต๊ะนั้นต่างถูกเรียงรายไปด้วยจานสีขาวพร้อมมีดกับซ้อมที่ทำจากเงินบริสุทธิ์และมันวาวราวกับกระจก ตรงกลางของโต๊ะนั้นว่างเปล่า จะเป็นจุดที่เอาไว้วางอาหารที่จะนำมาเสิร์ฟต่อจากนี้

 

มีเหล้าก่อนอาหารอยู่ในแก้วหลากสีด้วย มันมีรสชาติเหมือนกับแอปเปิ้ลไซเดอร์หมัก มันหวานกว่าไซเดอร์ธรรมดาทั่วๆไป

 

คุณหนูดื่มเหล้าก่อนอาหารก่อนจะวางมันคืนบนโต๊ะ หลุยส์กับคุณหนูมิร่าต่างก็มองคุณหนูอย่างไร้สติในทุกการกระทำของเธอเลย

 

มันเป็นภาพที่น่าดูจริงๆ ผมสงสัยจังว่าเหล่าคนคุ้มกันเองก็จะได้กินมั้งไหมนะ… คงจะไม่ละนะ ขณะที่ผมคิดแบบนั้น ท่านราชันศักดิ์สิทธิ์ก็ได้พูดขึ้นมาว่า

 

「แล้วก็นะ ลูกสาวของวิกเตอร์ เจ้ามีคู่หมั้นรึยัง?」

 

 

 

บทที่ 2 ตอนที่ 13

 

คุณชายอีธานเป็นฮาล์ฟลิงงั้นหรอเนี้ย…

 

ผมพึมพำออกมาโดยไม่ได้ตั้งใจ

 

「ใช่แล้วละ ตระกูลดยุคเอเบเน่นั้นมีสายเลือดของฮาล์ฟลิงผสมอยู่」คุณหนูตอบผมกลับมาเพราะได้ยินที่ผมพึมพำเอาไว้

 

คุณชายอีธานนั้นตรงมาที่โต๊ะก่อนจะมองไปที่ทุกคนด้วยรอยยิ้ม ดูเหมือนเขาจะเป็นคนอ่อนโยนนะ… ดวงตาสีฟ้าของเขาทำเอาผมนึกถึงใครบางคนขึ้นมา

 

(มิมิโนะซัง… เธอยังสบายดีไหมนะ?)

 

ตอนที่ตัวผมกำลังเต็มไปด้วยความคิดถึงอยู่นั้น ผมก็รับรู้ได้ว่าคนคุ้มกันของอีธานกำลังตรวจสอบผมอยู่พร้อมทั้งยังตั้งถ้าระวังตัวอีกด้วย ดวงตาของเธอเองก็เป็นสีอำพัน

 

ไม่ต้องระวังกันขนาดนั้นก็ได้ ผมเป็นแค่เด็กไม่มีพิษมีภัย… ก็อยากจะพูดยังงั้นอยู่หรอก แต่มันก็จริง คนที่มาตัวเปล่าๆแถมยังดูเป็นเด็กอีกแบบผมนี้ค่อนข้างจะน่าสงสัยเลยละ

 

ถ้าตัดสินกันด้วยรูปลักษณ์อย่างเดียวละก็ คนคุ้มกันคนนี้กับผมก็ดูจะอายุเท่ากันอยู่หรอก แต่ถ้าคิดแบบกรณีของมิมิโนะซังละก็ คนคุ้มกันคนนี้ก็น่าจะอายุเยอะกว่าผมแน่นอน

 

อนึ่ง ตั้งแต่ที่คุณชายอีธานมาถึง ก็กลิ่นแปลกๆก็ลอยอยู่ในอากาศด้วย ผมไม่รู้ว่ามันคืออะไรกันแน่ แต่มันอาจจะน้ำหอมกลิ่นดอกไม้ก็ได้

 

「จากตระกูลดยุคโรซีเออร์ คุณชายหลุยส์ได้มาถึงแล้ว!」

 

จังหวะที่ผมมองไปที่ทางเข้า ผมก็ไม่อาจเชื่อในสิ่งที่เห็นได้เลย

 

เขาเป็นเด็กผู้ชายที่มีผมสีบอร์นและตาสีแดงเหมือนกับคุณหนู

 

แต่โชคร้าย จากข้อมูลของ【World Ruler】ดวงตาของเขาไม่ใช่เนตรเวทมนตร์ เป็นเพียงแค่ตาสีแดงธรรมดา ดูเหมือนว่าผมของเขาเองก็ถูกฝอกด้วยสีน้ำตาลอ่อนเพื่อให้เป็นสีบอร์นด้วย

 

(คนๆนั้นคือ…)

 

ที่ผมประหลาดใจก็เพราะคนคุ้มกันของคุณชายหลุยส์ต่างหาก

 

ผมเคยเห็นเขามาก่อน รองกัปตันของภาคีอัศวินศักดิ์สิทธิ์แห่งราชันศักดิ์สิทธิ์ อาเธอร์ เขาถูกแต่งตั้งให้เป็นกัปตันของหน่อยที่ 2 ตอนอายุ 20 กลางๆ และเขาเองก็มาจากตระกูลขุนนางที่ร่ำรวยอีกด้วย

 

ผมสีน้ำตาลแดงของเขานั้นถูกหวีอย่างประณีตไปยังด้านหนึ่ง ดวงตาสีเทาของเขาเข้ากับใบหน้าที่ถูกตัดแต่งมาอย่างดี ดวงตาแสนเย็นชาคู่นั้นกำลังตรวจสอบรอบๆตัวเพื่อประเมิณประสิทธิภาพของคนคุ้มกันคนอื่นๆ

 

อย่างไรก็ตาม คุณชายหลุยส์ที่ตกเป็นเป้าสายตาของคนคุ้มกันคนอื่นๆนั้น เดินตรงมาที่โต๊ะโดยที่ไม่สนใจการนำทางของคนรับใช้เลย และแทนที่เขาจะไปนั่งที่เก้าอี้ของเขา เขากลับตรงมาที่คุณหนูอีวาแทน

 

「เฮ้ย ลูกสาวของตระกูลซิวลิซส์」เขาพูดขึ้นพร้อมกับชี้นิ้วของเขาไปที่เธอ

 

「ข้าจะเอาเจ้ามาเป็นคู่หมั้น มาที่บ้านของข้าในวันพรุ่งนี้ซะ ข้าจะแนะนำเจ้าให้กับท่านพ่อ」

 

หัวใจเต็นเร็วขึ้น หูก็กลายเป็นสีแดง เสียงของเขาเองก็สั่น โอ้งั้นหรอ เด็กคนนี้คงจะเคยเห็นคุณหนูจากที่ไหนมาก่อนแล้ว ดังนั้นเขาก็เลยย้อมผมของตัวเองแล้วเลือกงานเลี้ยงนี้เป็นที่สารภาพรักงั้นสินะ

 

「งั้นหรอครับ เป็นความรักงั้นสินะครับ…」

 

「อะ-โอ้ยยย!?」

 

ข้อมูลจาก【World Ruler】ทำให้ผมเข้าใจว่าเด็กคนนี้ก็แค่เด็กแก่แดดคนนึง ทว่าตอนนี้ผมกำลังบิดแขนของเขาไปด้านหลังอยู่

 

「กะ-แกทำอะไรกัน!? อย่าคิดว่าทำแบบนี้กับข้าแล้วจะรอดไปได้นะ!」

 

「ผมเป็นคนคุ้มกันของคุณหนูครับ ดังนั้นผมถูกบอกเอาไว้ว่าให้กำจัดอันตรายทั้งหมดที่เข้าใกล้คุณหนูครับ」

 

「ว่าไงนะ!?」

 

เด็กคนนี้มันอันตราย ผมมั่นใจว่าท่านเอิร์ลก็คงจะตัดสินแบบเดียวกันแน่

 

ถ้าการหมั้นหมายเป็นจริงแล้วละก็ มันจะส่งผลถึงชีวิตของคุณหนูเลยละ

 

เอาเถอะ ผมมั้นใจมากๆเลยว่าถ้าหัวหน้าเมดกับหัวหน้าพ่อบ้านรู้เรื่องนี้เข้าละก็ พวกเขาจะต้องสลบไปอย่างแน่นอนเลยละ แต่ถ้าผมไม่ทำอะไรละก็ ไอ้พ่อขี้โอ๋ลูก… อะแฮ่ม ท่านเอิร์ลจะต้องมาลงที่ผมแน่ๆ

 

กรณีเลวร้ายที่สุดก็คือความรับผิดชอบทั้งหมดจะตกมาที่ผมคนเดียว แล้วผมก็จะต้องปรีกตัวออกไป ผมทำงานให้กับท่านเอิร์ลมาจากถึงตอนนี้ ดังนั้นผมมั่นใจว่าเขาจะยังคงค้นหาข้อมูลเรื่องหิน 5 ดาวหรือมากกว่ากับเรื่องของลูลูช่าต่อไปแน่

 

…ผมหวังว่านะ คุณจะยังทำอยู่ใช่ไหมครับ ท่านเอิร์ล?

 

「นี่แกทำอะไรหน่ะ!」

 

อาเธอร์ รองกัปตันแห่งภาคีอัศวิน ได้วิ่งเข้ามาหาพวกเรา ทว่าความเร็วของเขานั้นช้ามาก เนื่องจากที่แห่งนี้นั้นปิดกั้นการใช้งานสกิลอยู่ มันอาจจะเพราะเขาขาดความสามารถทางร่างกายตามธรรมชาติด้วย นั่นไม่ดีเลยนะ… โดยเฉพาะกับคนที่มีตำแหน่งในภาคีอัศวินศักดิ์สิทธิ์ด้วย

 

「อาเธอร์! ฆ่าหมอนี้ซะ!」

 

「ตอนนี้ผมไม่มีอาวุธนะครับ หืมม? แกคือ…」อาเธอร์หยุดพูดไปหลังจากที่เห็นผม

 

「แกคือคนทำความสะอาดของภาคีไม่ใช่หรอ? ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่ได้?」

 

「ผมกลายเป็นคนคุ้มกันของตระกูลซิวลิซส์แล้วครับ」

 

「คนคุ้มกัน!? นี่แกรู้ไหมว่าคนๆนี้เป็นใคร? ปล่อยตัวเขาเดียวนี้เลยนะ!」

 

ขณะที่อาเธอร์ใกล้เข้ามา ผมก็กันเขาโดยการหันเด็กนั่นเข้าหาเขาดั่งโล่ที่กั้นผมกับเขาเอาไว้ อัศวินที่ใช้สกิลไม่ได้แถมยังสวมชุดเกราะนั้นเคลื่ิอนไหวช้ามาก ดังนั้นมันเลยง่ายที่จะวนไปรอบๆตัวเขา

 

ยิ่งกว่านั้น มันดูเหมือนกับว่าถ้าไม่มีสกิลช่วย เขาก็จะแพ้ในด้านพละกำลังเหมือนกัน ยกเว้นว่าเขาจะใช้เวทมนตร์ได้อะนะ

 

「อาเธอร์!」

 

「คะ-ครับ! หยุดเดี๋ยวนี้นะ!」

 

คุณหยุดผมไม่ได้หรอก ผมยังคงวนไปรอบๆตัวของอาเธอร์โดยใช้เด็กนั่นเป็นโล่

 

「…เรย์จิ พอได้แล้วละ」

 

「ครับ คุณหนู」

 

ด้วยคำสั่งของคุณหนู ผมเลยปล่อยมือของเด็กนั่นไป ด้วยอาการมึนที่เกิดจากการวนไปมาหลายรอบ ตัวเขาก็ได้สะดุดเท้าตัวเองแล้วล้มลงไปที่อาเธอร์

 

「อย่าคิดว่าทำแบบนี้แล้วจะหนีรอดไปได้นะ…」

 

「หลุยส์ซามะ」

 

คุณหนูลุกขึ้นจากที่นั่งของเธอแล้วเดินมาตรงหน้าของเด็กคนนั้น ทั่วทั้งโถงงานเลี้ยงต่างมุ่งความสนใจมายังคุณหนู ริมฝีปากของเธอยกขึ้นจนกลายเป็นรอยยิ้มที่ทรงเสน่ห์

 

「วันนี้พวกเราทั้งหมดจะกลายเป็นขุนนางเต็มตัวแล้วนะคะ มันดูรีบร้อนเกินไปนะคะที่พยายามจะดึงดูดความสนใจของหญิงสาวแบบนี้」

 

จากนั้น เธอก็เข้าไปใกล้พร้อมกับเอาผ้าเช็ดหน้าเช็ดไปที่ปากของเขา – เพราะเขากำลังน้ำลายไหลเล็กน้อยอยู่

 

「มาสิคะ โปรดนั่งประจำที่ของท่านด้วย เจ้าชายศักดิ์สิทธิ์น่าจะมาถึงในไม่ช้านี้แล้วค่ะ」

 

หลุยส์มองไปยังคุณหนูโดยไร้ซึ่งสติในขณะที่คุณหนูกำลังเดินกลับไปนั่งที่ของตนอย่างสง่างาม ถึงแม้คุณหนูมิร่าจะมองคุณหนูอย่างไร้สติอยู่เหมือนเดิมตั้งแต่แรกแล้วก็เถอะ

 

อ่าห์ ตอนนี้เธอก็ได้ทำมันลงไปซะแล้ว เธอปักลูกสอนเข้ากลางใจเขาลึกกว่าเดิมอีก

 

…คุณกำลังเปลี่ยนความรักที่กำลังเบ่งบานเป็นความรักที่จริงจังนะครับ คุณหนู

 

「…เรย์จิ เดี๋ยวชั้นจะต่อว่านายทีหลังแน่」คุณหนูกระซิบออกมา ทว่าผมก็ทำเป็นไม่ได้ยินมัน

 

ไม่ใช่ความผิดผมซะหน่อย

 

「…องค์ชายศักดิ์สิทธิ์ คลูฟชราทซามะ มาถึงแล้ว! …?!!」

 

หลังจากที่ใจเย็นลงกันแล้ว ผมก็ได้ยินเสียงประกาศขาดหายไป เมื่อกี้ตอนท้ายเสียงของเขาแตกหรอ?

 

ยิ่งไปกว่านั้น ตอนที่ผมกำลังคิดว่าทั่วทั้งสถานที่จัดงานนั้นเงียบไปหมดเลยนั้น เสียงเชียร์ที่เกือบจะเหมือนกับการตะโกนก็ได้ดังขึ้น

 

「?」

 

ผมพยายามมองไปที่ทางเข้า ทว่ามีเด็กๆขุนนางมากมายได้ยืนขึ้น อะไรหน่ะ? พวกเราทั้งหมดก็น่าจะรู้นะว่าเจ้าชายจะมาหน่ะ ใช่ไหม?

 

เจ้าชายคนนั้นมีผมสีผ้าอ่อนตัดสั้นรวมถึงดวงตาที่อ่อนโยนด้วย ทว่าตรงกันข้ามกับทรงผมเก๋ๆของเขา ดวงตาดังเพรชพลอยสีฟ้าที่กลมโตสวยงามนั้นทำเอาผมคิดว่า “ถ้าเด็กคนนี้แต่งหญิงละก็ เขาจะต้องทำให้พวกผู้ชายกลายเป็นบ้าแน่เลย”

 

เสื้อผ้าที่เขาสวมนั้นน่าสนใจมาก มันเป็นผ้าคลุมที่มีสายสะพายสีฟ้าอ่อน มันดูเหมือนกับพวกชุดกิโมโนหรือชุดฮาโอริในทางศาสนา มันเป็นชุดประจำตระกูลราชวงศ์งั้นหรอ? แล้วก็อีกอย่าง มันมีวงแหวนสีทองลอยอยู่บนหัวของเขาด้วย

 

สวมใส่มันเพื่อเป็นสัญลักษณ์ของราชวงศ์ละมั้งนะ?

 

ผมไม่แน่ใจว่าตัวผมคิดไปเองหรอยังไง ทว่าได้มีชายร่างใหญ่สวมชุดแบบเดียวกับเจ้าชายคลูฟชราทเดินตามหลังของเขามาด้วย

 

「นะ-นั่น ชะ-ใช่…」

 

คุณหนูอีวากระโดดขึ้นมาจากที่นั่งของเธอ หลุยส์และมิร่าเองที่กำลังเหม่อลอยจนถึงตอนนี้นั้น ต่างจ้องมองไปที่ทางเข้าด้วยสีหน้าประหลาดใจ

 

ชายคนนั้นมีทรงผมกับเสื้อผ้าที่เหมือนกับเจ้าชายคลูฟชราท แต่ตัวเขาไม่เหมือนกับเจ้าชายคลูฟชราทที่มีร่างกายดูเป็นผู้หญิง ร่างกายของเขานั้นแข็งมาก พูดง่ายๆก็คือ เขานั้นทั้งแข็งแรงและตัวใหญ่มากๆ ดูราวกับรูปปั้นกอริลลาเดินได้เลย เขามีดวงตาสีฟ้าที่มีขนตาเยอะ แถมยังมีคิ้วหนาๆที่ดูเหมือนกับมีเจตจำนงที่แข็งแกร่งอยู่ หนวดเคลาเองก็ยาวไปจนมีเคราแหลมสองข้างอีกด้วย เขาเป็นด้านตรงข้ามกับเจ้าชายคลูฟชราทอย่างมากเลยละ

 

ถ้าไม่สวมชุดเหมือนกันละก็ ผมก็ไม่คิดว่าเขาจะเป็นเชื้อพระวงศ์เลยด้วยซ้ำ

 

「คนๆนั้นคือ…」คุณหนูพูดขึ้นพร้อมกับมีสีหน้าที่ประหลาดใจ

 

「ท่านราชันศักดิ์สิทธิ์」

 

 

บทที่ 2 ตอนที่ 12

 

พูตตามตรงเลยนะ อย่างกับอยู่ต่างโลกเลยละ

 

ผมรู้ว่าคฤหาสน์ของท่านเอิร์ลนั้นมีราคาแพงมาก และก็ยังรู้ว่าชุดเดรสของคุณหนูเองก็มีราคาแพงมากเช่นกัน

 

แค่นั้นก็ทำให้ผมรู้สึกทึ่งแล้ว แต่เมื่อมาอยู่ในสถานที่ที่เต็มไปด้วยโคตรของโคตรความหรูหราแบบนี้ มันเกินกว่าที่ผมจะบรรยายได้เลย

 

「จากตระกูลเอิร์ลดอยล์ คุณหนูจูเลียตได้มาถึงแล้ว!」

 

「จากตระกูลเอิร์ลเรมี่ คุณชายไลก้าได้มาถึงแล้ว!」

 

「จากตระกูลเอิร์ลบูลเลี่ยน คุณหนูอลิซได้มาถึงแล้ว!」

 

บันไดหินอ่อนขัดเงาที่อยู่ตรงทางเข้าคฤหาสน์นั้นถูกขัดจนเงาวับ และมีคนรับใช้คอยปัดกวาดทุกครั้งที่มีคนเดินเข้าไปคนต่อคนเลยด้วย

 

ถัดจากประตูบานคู่ที่มีมือจับสีทองนั้น มีคนรับใช้ที่มีเสียงดีคอยประกาศชื่อของขุนนางที่มาถึง มันต้องเป็นเรื่องยากสำหรับเขาแน่เลยที่ต้องมาขานชื่อแบบนี้ถึง 22 ครั้ง

 

คุณหนูคนอื่นๆนั้นไม่เหมือนกับคุณหนูอีวา พวกเธอสวมใส่ชุดเดรสสีฉูดฉาดแบบสุดๆพร้อมกับอัญมณีมากมาย และมาพร้อมกับคนคุ้มกันที่สวมชุดเกราะเงาวับ – ทำเอาผมคิดว่าพวกเขาติดไฟ LED อะไรแบบนั้นเลย

 

เมื่อผมคิดว่ายังมีแบบนี้อีก 20 คู่ ผมก็รู้สึก “หยึย” มากกว่า “ทึ่ง” ซะอีก

 

อนึ่ง ผมที่ไม่เคยสนใจในสถานะของอุปกรณ์มาก่อนจนถึงตอนนี้นั้น หลังจากที่ได้ยินจากแม็กซิมซังว่ามีเกราะเวทมนตร์อยู่ ผมก็เริ่มตรวจสอบอุปกรณ์ทุกอย่างด้วย【World Ruler】

 

(พวกเขาไม่มีอาวุธ แต่สำหรับชุดเกราะละก็…「เสริมความสว่าง」?「ลบรอยเปื้อน」? นี้พวกเขาโง่รึไงกัน?)

 

ถึงจะพูดแบบนั้น ผมก็ดีใจที่พวกเขาไม่ได้ติดไฟ LED จริงๆ คิดว่าเสริมความสว่างด้วยเวทมนตร์ก็คงถือว่าเป็นไฟ LED ของโลกใบนี้แล้วละนะ… แถมมันยังกินมานาน้อยอีกด้วย

 

「ข้าหวังพึ่งนายนะ เรย์จิ」

 

「ผมจะทำเต็มที่เลยครับ」

 

แม็กซิมเรียกผมในขณะที่ผมกำลังคิดถึงเรื่องไฟ LED เพื่อหนีความจริงอยู่ ผมเป็นคนคุ้มกันเพียงคนเดียวเท่านั้นที่ไม่ได้สวมชุดเกราะ ยิ่งไปกว่านั้นผมยังเตี้ยและอายุน้อยที่สุดจากทั้งหมดด้วย ดังนั้นผมเลยตอบเขากลับไปอย่างหนักแน่นเพื่อทำให้ตัวเองโล่งใจขึ้น

 

การเข้าไปนั้นไม่จำเป็นจะต้องเรียงตามลำดับ แต่คนที่คอยประกาศจะขานชื่อคนต่อคนไป

 

「ระวังเท้าด้วยนะครับ คุณหนู」

 

「อื้ม ไปกันเถอะ เรย์จิ」

 

「………」

 

「เป็นอะไรไปหรอ?」

 

「ปล่าวครับ ไม่มีอะไร」

 

ผมตกใจเล็กน้อยกับคุณหนูที่กลับมามีความมั่นใจอีกครั้ง แล้วจากนั้นผมก็เดินขึ้นบันไดตามหลังของคุณหนูไป ขณะที่ผมเดนผ่านมันไป มันก็ถูกเช็ดถูอย่างรวดเร็วเลย นี้มันรู้สึกเหมือนกับตัวผมเป็นสิ่งสกปรกจนพื้นต้องถูกทำความสะอาดเลย

 

「จะ…… จากตระกูลเอิร์ลซิวลิซส์ คุณหนูอีวาได้มาถึงแล้ว!」

 

เมื่อคนประกาศเห็นคุณหนูและพยายามจะประกาศการมาของเธอนั้น เขาชะงักไปเล็กน้อย เหตุผลก็คือว่าเขามองเธออย่างไม่วางตาเลย

 

ผมเข้าใจ เข้าใจดีเลยละ ถ้าคุณหนูปรากฏตัวต่อหน้าผมพร้อมกับแต่งหน้าแต่งกายจัดเต็มแบบนี้ เป็นผมผมก็คงกรีดร้องออกมา ผมอยากจะกล่ามชมตัวเขาจริงๆที่ยังคงสติเอาไว้ได้

 

ผมไม่แน่ใจหรอกนะว่า “ตระกูลซิวลิซส์” นั้นมีอำนาจมากแค่ไหน แต่ทั่วทั้งคฤหาสน์ที่มีเสียงดังอยู่จนถึงเมื่อกี้นั้นอยู่ๆก็เงียบลง

 

มีพื้นที่เล็กๆหลังจากทางเข้าก่อนถึงสถานที่จัดงาน พวกเขาจะทำการตรวจเช็คอาวุธที่นี่ แต่แน่นอนว่าผมไม่มี

 

(…ดูเหมือนจะมีการใช้สกิลขัดขวางการใช้งานเวทมนตร์เอาไว้)

 

แต่มันต่างออกไปจากอันอื่นๆ ดูเหมือนว่าจะมีแค่สกิลจำนวนหนึ่งเท่านั้นที่ถูกห้ามเอาไว้ ส่วนสกิลอื่นๆนั้นยังใช้งานได้ ยกตัวอย่างเช่น สกิล【World Ruler】ของผมนั้นไม่เป็นไร แต่สกิลอย่าง【เสริมความแข็งแกร่ง】นั้นใช้ไม่ได้

 

เข้าใจละ… งั้นมันเป็นไปได้ที่จะจำกัดการใช้สกิลบางอย่างด้วยวิธีนี้ได้สินะ

 

บางทีสกิลประเภทต่อสู้คงจะถูกห้ามเอาไว้ แต่ในทางกลับกัน พวกสกิลที่จำเป็นต่อคนรับใช้ในสถานที่จัดงานก็ยังทำงานได้เหมือนเดิม

 

(นอกจาก【World Ruler】ที่ไม่มีใครใช้ได้แล้ว ยูนีคสกิลอื่นๆอย่าง【ราชันแห่งเงา】ก็น่าจะยังใช้งานได้นะ ใช่ไหม? ผมคิดว่ามันคงทำอะไรกับยูนีคสกิลมากไม่ได้หรอก)

 

ชายที่สวมเครื่องแบบของภาคีอัศวิน – โชคไม่ดีที่ไม่ใช่หนึ่งในคนที่ผมเคยทำความสะอาดห้องให้ – มองมาที่ผมพร้อมกับถามออกมาอย่างตรงๆว่า “จะเข้าไปโดยที่ไม่สวมชุดเกราะเลยจริงๆหรอ?” ดังนั้นผมก็เลยตอบกลับไปทันทีว่า “ครับ” ก่อนจะเข้าไปในโถงจัดงานเลี้ยงพร้อมกับคุณหนู

 

(ว้าว…)

 

เพดานนั้นสูงมากๆและมีโคมระย้าขนาดยักษ์ห้อยอยู่ตรงกลาง มันมีขนาดใหญ่เท่ากับรถยนตร์สองคันเลย

 

มีโคมระย้าขนาดเล็ก 8 อันห้อยอยู่รอบๆโคมระย้าขนาดยักษ์นั่นด้วย… ถึงผมจะพูดว่า “เล็ก” ก็เถอะ มันก็มีขนาดที่ใหญ่อยู่ดี

 

มีโต๊ะทรงกลม 4 ตัวถูกตั้งเอาไว้ใต้โคมระย้าขนาดเล็กแต่ละอัน และผมเองก็ไม่แน่ใจว่ามันถูกเตรียมเอาไว้ใช้สำหรับเป็นลานเต้นรำหรือปล่าว แต่พื้นที่ใต้โคมระย้าขนาดยักษ์นั้นไม่มีอะไรวางเอาไว้เลย

 

โถงนั้นถูกแบ่งออกตามสีของพื้นหินอ่อน พื้นตรงกลางของโถงนั้นเป็นทรงกลมสีฟ้า… เดี๋ยวนะ หินอ่อนสีฟ้ามันไม่มีอยู่จริงไม่ใช่หรอ? งั้นตรงนั้นก็ดูจะทำจากหินชนิดอื่นนะ

 

อย่างไรก็ตาม เหตุผลที่ผมไม่มองไปรอบๆอย่างกระสับกระส่ายแม้จะอยู่ในที่แบบนี้ นั่นก็เพราะว่าผมถูกเตือนเอาไว้อย่างเข้มงวดจากหัวหน้าเมดและหัวหน้าพ่อบ้านมาแล้ว ถึงขนาดที่ทำเอาผมคิดว่าพวกเขาจะเตรียมตุ๊กตาวูดูเอาไว้ถ้าผมทำพลาด ผมไม่กล้าหันซ้ายหันขวาเลย

 

เหล่าลูกของขุนนางต่างๆพร้อมกับคนคุ้มกันของพวกเขาที่นั่งรออยู่ก่อนแล้วนั้น ต่างจ้องมองมาที่พวกเราเป็นตาเดียวเลย

 

「—นั่นคุณหนูแห่งตระกูลซิวลิซส์ละ」

 

「—ว้าว น่ารักจัง」

 

「—ชุดเดรสนั่นไม่ใช่ว่ามันดูเรียบๆไปหรอ? ของชั้นยังดูดีกว่าซะอีก ใช่ไหมละ?」

 

ผมได้ยินบทสนทนาแบบที่เป็นไปตามคาดเลย เกือบทั้งหมดนั้นเอนเอียงไปที่ “ลูกสาวของลอร์ดเลือดเย็นมาแล้ว”

 

ผมได้ยินบทสนทนาพวกนั้นเพราะ【เสริมการได้ยิน】แต่ไม่ว่าเรื่องที่ตัวคุณหนูไม่ได้ยินหรือบางทีเธออาจจะมีจิตใจที่แข็งแกร่งจนไม่สนใจเสียงนกเสียงกาพวกนั้นก็ตาม คุณหนูก็ยังเดินต่อไปอย่่งลื่นไหลตามการนำทางของคนรับใช้

 

ผมตรวจสอบผู้คนที่อยู่ตรงโต๊ะที่พวกเราเดินผ่านมาทุกคน มีทั้งเผ่าเอลฟ์, คนแคระ, และก็มนุษย์สัตว์ สมกับเป็นประเทศที่ยอมรับทุกเผ่าพันธ์ุจริงๆ

 

โต๊ะที่อยู่ด้านหลังสุดนั้นมีเก้าอี้อยู่ 6 ตัว

 

คุณหนูได้นั่งลงไปยังเก้าอี้ตัวแรก มันจึงเหลืออยู่อีก 5 ตัวที่ยังว่างอยู่

 

โอ้ววว งั้นหรอ… มันคือประเพณี “บุคคลคนสำคัญๆจะมาทีหลัง” อย่างนั้นสินะ?

 

「จากตระกูลประจำชายแดน เอิร์ลมิวล์ คุณหนูมิร่าได้มาถึงแล้ว!」

 

เด็กผู้หญิงผมสีน้ำตาลดำที่ถูกตัดแต่งมาอย่างดีพร้อมกับกระบริเวณดวงตาของเธอก็ได้ปรากฏตัวขึ้น ผมคิดว่าเธอน่าจะลบมันด้วยเครื่องสำอางได้นะ แต่【World Ruler】ก็ได้กระซิบกับผมว่า “เด็กคนนั้นไม่ได้แต่งหน้า” ขอบคุณสำหรับข้อมูลที่ผมไม่ได้ขอนะ!

 

ชุดเดรสสีเงินของเธอที่ซ่อนผิวของเธอแทบจะทั้งหมดนั้นดูจะเป็นการดีไซน์แบบเก่าแตกต่างจากคุณหนูคนอื่นๆนะ ทว่าผมกลับไม่ได้ยินบทสนทนาเยาะเย้ยเลยแม้แต่คำเดียว

 

เหตุผลหน่ะหรอ?

 

เพราะคนคุ้มกันที่น่าเหลือเชื่อที่ตามหลังเธอมายังไงละ คนคุ้มกันที่แต่งตัวราวกับเบอร์เซิร์กเกอร์ เขาสวมหนังหมีสีเทาอยู่บนหัวด้วย นั่นมันจำเป็นด้วยหรอ? มันเป็นอะไรอย่างการแต่งกายแถวๆ “ชายแดน” หรือยังไงกัน?

 

นอกจากนี้ ดูเหมือนว่าตระกูลซิวลิซส์จะมีตำแหน่งสูงที่สุดในหมู่ตระกูลเอิร์ลด้วยกันเอง คุณหนูเองก็ถูกบอกให้เข้ามาหลังจากเอิร์ลคนอื่นๆอีกด้วย

 

ถึงเอิร์ลประจำชายแดนเองนั้นจะเป็นเอิร์ลเหมือนกัน แต่พวกเขาจะมีอาณาเขตอยู่ใกล้กับชายแดนและได้รับอนุญาตให้มีกองทัพได้ เหตุผลก็คือว่าบริเวณชายแดนนั้นมันมีความอันตรายอย่างมาก เพราะแบบนั้น พวกเขาจึงมีฐานะสูงกว่าเอิร์ล — ทว่า พวกเขาจะไม่สามารถยุ่งเกี่ยวกับการเมืองส่วนกลางได้

 

คุณหนูมิร่าเดินตรงมายังโต๊ะที่อยู่ด้านหลังนี้ ก่อนที่อยู่ๆก็หยุดนิ่งไปหลังจากที่เธอเห็นคุณหนู

 

「ฮยูว~~~~」

 

…เมื่อกี้อะไรหน่ะ?

 

「นะ-นะ-น่า-น่า-น่ารัก-น่า–」

 

「ใจเย็นก่อน มิร่า เดี๋ยวคอยทักทายกันทีหลัง」

 

「ฮั้ย…」

 

คุณหนูมิร่านั่งลงบนเก้าอี้ที่ถูกจัดเตรียมเอาไว้ให้ด้วยสีหน้าขาดสติ เธอจ้องมองมาที่คุณหนูอยู่ตลอดเวลาเลย

 

「จากตระกูลมาร์ควิสดอยล์เฟรส คุณหนูชาล็อตได้มาถึงแล้ว!」

 

ครั้งนี้ ทั่วทั้งห้องโถงก็เร้าร้อนขึ้นด้วยบรรยากาศที่แตกต่างออกไป คุณหนูผมยาวสีบอร์นสตรอเบอร์รี่เป็นลอนๆก็ได้ปรากฏตัวขึ้น เธอแต่งกายด้วยชุดฟูฟ่องพร้อมกับแต่งหน้ามาจัดเต็มมาก ซึ่งมันก็ไม่เข้ากับใบหน้าอ่อนเยาว์ของเธอเลย เธอพาคนคุ้มกันผมสีฟ้าอ่อนสุดหน้าตาดีเข้ามาด้วย – ชายคนนี้ดูเหมือนกับจะถูกจ้างเพราะหน้าตาเลย – พวกเขาเดินตรงมาที่โต๊ะ

 

「…ว้าว!」

 

คนคุ้มกันหน้าตาดีคนนั้นดวงตาเบิกกว้างขึ้นเมื่อเขาเห็นคุณหนู ทว่า ในทางกลับกัน คุณหนูชาล็อตมองมาทางคุณหนูอย่างเป็นศัตรู ก่อนจะหันไปทางคุณหนูมิร่า

 

「อาร่า เธอยังใส่ชุดไร้รสนิยมแบบนั้นอยู่อีกหรอเนี้ย」

 

「น่า-น่าร้าก~…」

 

อย่างไรก็ตาม คุณหนูมิร่าก็ยังคงมองไปที่คุณหนูอย่างไร้สติอยู่เหมือนเดิม

 

「………」

 

คุณหนูชาล็อตตัวสั่นเทาเพราะตัวเธอถูกมองข้ามอย่างสมบูรณ์ ทว่าเธอก็มองไปทางอื่นพร้อมกับส่งเสียง “ฮึ้ม!” ออกมาก่อนจะนั่งลง

 

「จากตระกูลดยุคเอเบเน่ คุณชายอีธานได้มาถึงแล้ว!」

 

โอ๊ะ ตระกูลดยุคที่มีสายเลือดของราชวงศ์นี่นา ผมคิดแบบนั้นก่อนจะมองออกไป ทว่าตัวผมก็ต้องผงะ

 

ผมสีอำพันดัดอย่างนุ่มนิ่มของเขานั้นถูกทักทอเอาไว้เป็นเส้นๆอย่างประณีตและปล่อยให้ไหลลงมาตรงขมับซ้ายของเขา ผมแต่ละเส้นถูกประดับประดาไปด้วยลูกปัดที่ทำจากอัญมณี

 

เขาสวมชุดพิธีที่ดูเหมือนกับเสื้อหางม้า และสามารถเห็นถึงสร้อยข้อมือที่ทำจากเส้นไยหลากสีตรงบริเวณข้อมือของเขาได้

 

และคนคุ้มกันที่ตามหลังเขามา – หญิงสาวที่สวมชุดเกราะ ทว่าเธอกลับตัวเตี้ยกว่าทุกคน ขนาดที่ยังตัวเตี้ยกว่าผมเล็กน้อยเลย ผมยาวของเธอถูกมัดเอาไว้ข้างหลังแถมยังเป็นสีอำพันเหมือนกับคุณชายอีธานอีกด้วย เธอสวมผ้าคลุมสั้นๆประดับประดาไปด้วยงานปักหลากสีเอาไว้ที่รอบๆคอของเธอ

 

「…ฮาล์ฟลิงอย่างนั้นหรอ?」

 

================================================================

TL: ขออภัยที่หายไปซักพักนะครับ โดนผลข้างเคียงของวัคซีนเล่นงานมาครับ

 

 

บทที่ 2 ตอนที่ 11

 

คฤหาสน์ของท่านเอิร์ลนั้นตั้งอยู่ในเขตที่พักอาศัยของชนชั้นสูง มันถูกล้อมรอบไปด้วยกำแพงที่ยาวมากๆ บางคนถึงกับบอกว่ามันคิอ “ศูนย์กลางแห่งเมืองศักดิ์สิทธิ์” แต่จริงๆแล้วไม่ใช่แบบนั้น

 

ศูนย์กลางแห่งเมืองศักดิ์สิทธิ์ก็คือ “พระราชวังศักดิ์สิทธิ์” เป็นที่ที่เก็บแท่นบูชาแห่งแรกเอาไว้ รวมถึงเป็นที่ประทับของราชันศักดิ์สิทธิ์อีกด้วย

 

มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่จะได้รับอนุญาตให้เข้าไปในพระราชวังได้ เอิร์ลซิวลิซส์บอกว่าเขาสามารถเข้าไปที่นั่นได้เพียงไม่กี่ครั้งต่อปีเท่านั้น (ถึงยังนั้นก็ยังเยอะกว่าขุนนางทั่วไปอยู่ดี)

 

เมืองนั้นถูกแบ่งออกเป็นกำแพงชั้นต่างๆ 8 ชั้นโดยเริ่มจากศุนย์กลางของเมือง – มีชื่อตั้งแต่ “กำแพงชั้นที่ 1” ไปจนถึง “กำแพงชั้นที่ 8” กำแพงชั้นที่ 8 นั้นอยู่ไกลจากปราสาทมากที่สุดเลยใช้เป็นกำแพงสำหรับขวางกั้นข้าศึกจากประเทศอื่นๆ ทว่า เนื่องจากมีผู้คนจำนวนมากเข้ามายังเมืองศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ มันจึงมีบ้านเรือนมากมายถูกสร้างอยู่ด้านนอกกำแพงด้วย

 

กำแพงที่ 1 นั้นจะล้อมพระราชวังศักดิ์สิทธิ์เอาไว้รวมถึงหอประชุมรัฐสภา,และหน่วยงานรัฐบาลกลางต่างๆ ส่วนโบสถ์ประจำรัฐจะอยู่ด้านนอกของกำแพงที่ 1 บริเวณนี้ถูกเรียกเขตศักดิ์สิทธิ์ที่ 1 ซึ่งเป็นที่ที่ท่านเอิร์ลจะต้องมาบ่อยๆ ด้วยการที่ตัวพระราชวังนั้นอยู่ตรงกลางของเมืองและบริเวณนี้เป็นสถานที่แรกหลังจากนั้น มันเลยถูกเรียกว่า “เขตศักดิ์สิทธิ์ที่ 1” นั่นเอง

 

(มันเหมือนกับ*ย่านคาซูมิงาเซกิในญี่ปุ่นเลย)

 

“โบสถ์หลักแห่งเมืองศักดิ์สิทธิ์” นั้นจะตั้งอยู่นอกกำแพงชั้นที่ 2 มันถูกพูดกันว่าเป็นโบสถ์ทางศาสนาที่ใหญ่ที่สุดในเมืองศักดิ์สิทธิ์เลย โบสถ์ประจำรัฐที่เป็นของพวกขุนนางเท่านั้นก็ดูจะไม่ได้ใหญ่โตขนาดเท่านี้เลย เอาเถอะ หินสกิลในประเทศนี้โพล่ขึ้นมาจากแท่นบูชานี่นะ มันก็คงไม่แปลกที่จะมีการภาวนาถึงพระเจ้ากัน ตัวของแท่นบูชาที่ผู้คนต้องการสวดภาวนาเพื่อหินสกิลนั้นถูกคุมเข้มและไม่อนุญาตให้ใครใช้

 

วันนี้พวกเราจะมุ่งหน้าไปยังโถงงานเลี้ยงที่อยู่ตรงระหว่างกำแพงที่ 2 กับ กำแพงที่ 3 มันอยู่ใกล้ๆกับโบสถ์หลักแห่งเมืองศักดิ์สิทธิ์ในเขตศักดิ์สิทธิ์ที่ 2 ด้วย เนื่องจากคฤหาสน์ของท่านเอิร์ลนั้นก็อยู่ในเขตเดียวกัน พวกเราก็เลยไม่ต้องข้ามกำแพงไปมา ขออธิบายเพิ่มเติมว่าตัวของหอพักและลานฝึกซ้อมของกองอัศวินศักดิ์สิทธิ์นั้นอยู่ในเขตศักดิ์สิทธิ์ที่ 3 โดยตามปกติแล้วจะต้องร่ำรวยจริงๆเท่านั้นถึงจะอาศัยอยู่ที่นั่นได้ เขตอื่นๆนอกจากนี้จะถูกเรียกว่า บล็อก 4 เห็นได้ถึงความเหนือกว่าของพวกขุนนางได้จากชื่อที่เปลี่ยนไปนี้เลย

 

ที่ที่ผมช่วยท่านเอิร์ลนั้นก็คือบล็อก 4 จริงๆเวลานั้นท่านเอิร์ลควรจะอยู่ที่บ้านแล้ว แต่ไม่รู้ทำไมเขาถึงไปอยู่ที่บล็อก 4 กันนะ? เอาเถอะ สายงานของเขาทำให้เกิดศัตรูมากมายอยู่แล้ว ดังนั้นผมก็คงไม่อยากจะถามเขาถึงเหตุผลหรอก…

 

「เรย์จิ เป็นอะไรหรือปล่าว? สีหน้าดูมืดมนขึ้นนะ」

 

「ไม่ครับ นั่นไม่จริงหรอกครับ…」

 

「นายคิดอะไรอยู่กัน?」

 

ผมก็คิดอะไรหลายๆอย่างเลยแหล่ะ แต่เหตุผลจริงๆเลยก็คือว่าผมไม่อยากมองไปยังดวงตาของคุณหนูตรงๆต่างหาก ดังนั้นผมก็เลยมองออกไปข้างนอกรถม้า ผมกับคุณหนูนั้นนั่งอยู่ตรงข้ามกันในรถม้าที่มีพื้นที่กว้างพอประมาณแต่ไม่ถึงกับเป็นห้อง ถึงแม้เนตรเวทมนตร์จะไม่ทำงานถ้าไม่ใส่มานาลงไปก็จริง แต่แค่มองไปหัวใจผมก็สั่นไหวแล้ว ผมเองก็ไม่ใช่โลลิคอนนี่นา แปลกจริงๆ (TL:ไม่อะ เอ็งโลลิคอนแน่ๆ)

 

「โอ๊ะ ชั้นเข้าใจแล้ว」

 

「คุณหนูคิดผิดแล้วครับ」

 

「ชั้นยังไม่ได้พูดอะไรเลยนะ!」

 

「ผมมั่นใจว่าคุณหนูจะต้องพูดว่า “หวนคิดถึงอดีต” แน่นอน ใช่ไหมละครับ?」

 

「………」

 

「ตรงเผงสินะครับ」

 

「นั่นมันขี้โกงนี่!」

 

「ถ้ามีอะไรโกงๆอย่างความสามารถอ่านใจคนได้ ผมเองก็อยากจะมีมันเหมือนกันนะครับ」

 

อืม คิดว่าที่ใกล้เคียงที่สุดก็คงจะเป็น “เนตรเวทมนตร์” ของท่านเอิร์ลละนะ

 

ผมยังคงพูดคุยเรื่องไร้สาระกับคุณหนูต่อไป เพราะผมรู้ว่าหัวใจของเธอยังคงว้าวุ่นอยู่ – เหมือนกับบรรยากาศภายในคฤหาสน์ตอนนี้ที่กำลังวุ่นวายกันอยู่ และที่มันเป็นแบบนั้นก็เพราะพ่อของเธอที่เป็นคนกล่าวชมคนอื่นยากได้กล่าวชมเธอ มนุษย์นั้นต่อให้มีคนมาบอกว่าวันนี้เป็นวัน “พิเศษ” พวกเขาก็จะไม่เข้าใจจนกว่าจะเจอกับมันด้วยตัวเอง

 

ถ้าเธอคุยกับผมแล้วใจเย็นลงได้ มันก็ไม่เป็นไรหรอก

 

(…ผมเองก็ไม่รู้ว่าผมจะอยู่กับเธอได้นานแค่ไหนเหมือนกัน)

 

ท่านเอิร์ลซิวลิซส์กำลังตามหาข้อมูลที่ผมตั้งเงื่อนไขเอาไว้ด้วยเวทย์พันธสัญญาอยู่ ผมไม่ในใจว่าข้อมูลไหนจะมาถึงก่อนกันระหว่างลาร์คหรือลูลูช่า แต่เมื่อไหร่ที่ผมได้พวกมันมา ผมก็จะต้องออกจากคุณหนูไป

 

「นายได้ดูรายชื่อคนที่เข้าร่วมวันนี้แล้วหรือยัง เรย์จิ?」

 

「โอ๊ะ จริงสิ มีนั่นด้วยสินะครับ」

 

ผมมองไปยังกระดาษเรียบๆที่ทำจากพืช มีทั้งหมด 22 คนที่เข้าร่วม ชื่อของคุณหนูนั้นอยู่ลำดับที่ 6 จากด้านบน

 

(คนที่อยู่ข้างบนชื่อของเธอก็คือ…)

 

ผมตรวจดูรายชื่อที่อยู่ด้านบนชื่อของคุณหนูเพื่อดูว่ามีใครที่เป็นปัญหาหรือเปล่า

 

★ องค์ชายศักดิ์สิทธิ์ คลูฟชราท (Kluvshrat)

 

★ ตระกูลดยุค: หลุยส์ โรซีเออร์ (Louis Rozier)

 

★ ตระกูลดยุค: อีธาน เอเบเน่ (Ethan Ebene)

 

☆ ตระกูลมาร์ควิส: ชาร์ล็อต เฟรส (Charlotte Phrase)

 

☆ ตระกูลเอิร์ลประจำชายแดน: มิร่า มิวล์ (Mira Mule)

 

ดาวสีดำดูเหมือนจะเป็นผู้ชาย ส่วนดาวสีขาวจะเป็นผู้หญิงนะ

 

「เข้าใจละ」

 

「นายเห็นอะไรหรอ?」

 

「แค่มองไปที่ชื่ออย่างเดียว ผมก็รู้ว่ามันไม่มีอะไรน่าสนใจแล้วครับ」

 

ขณะที่ผมตอบกลับไปอย่างตรงไปตรงมา คุณหนูที่กำลังรอคำตอบอยู่นั้นก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมา

 

「คุณหนูครับ?」

 

「อะฮ่าๆๆๆๆๆ! มะ-โมวเรย์จิ ฮ่าฮา… นายไม่เห็นจะต้องพูดแบบนั้นออกมาดังๆเลยก็ได้ ถึงแม้มันจะเป็นเรื่องที่นายคิดอยู่จริงๆก็ตาม!」

 

「งั้นหรอครับ… แต่มันตลกขนาดนั้นเลยหรอครับ?」

 

「แน่นอนสิ! เพราะพวกนั้นเป็นลูกของขุนนางจากศูนย์กลางของประเทศเลยนะ แถมชื่อที่อยู่บนสุดยังเป็นชื่อของเจ้าชายศักดิ์สิทธิ์–」

 

「ทำไมถึงหยุดพูดละครับ?」

 

「………」

 

「?」

 

「…ไม่ ไม่มีอะไร」

 

คุณหนูโบกมือไปมาก่อนจะมองออกไปนอกหน้าต่าง

 

ผมไม่เข้าใจเลยว่าทำไมอยู่ๆคุณหนูถึงเปลี่ยนใจขึ้นมา

 

「นี่ เรย์จิ นายรู้อะไรไหม?」

 

「อะไรหรอครับ?」

 

「ชั้นถูกท่านพ่อชมด้วยในวันนี้」

 

「ครับ ผมรู้」

 

「ชั้นมีความสุขมากๆเลยละ!」

 

รอยยิ้มของคุณหนูที่ผมเห็นนั้นไม่ใช่ทั้งรอยยิ้มเย้ายวนหรือพลังลึกลับจาก “เนตรเวทมนตร์” ของเธอหรอก — มันเป็นรอยยิ้มที่สว่างสดใสและใสซื่อบริสุทธิ์มากๆ

 

ด้วยเหตุผลบางอย่าง หัวใจของผมกลับเต้นระรัว

 

「…ครับ ผมรู้ดี ผมดีใจกับคุณหนูด้วยนะครับ」

 

「อื้ม!」

 

รถม้ากำลังพาตัวคุณหนูกับผมไปยังโถงจัดงานเลี้ยงอย่างช้าๆ

 

*มุมมองของ อีวา ซิวลิซส์*

 

คนคุ้มกันของชั้นนั้นเป็นคนที่แปลกมากๆ

 

อย่างแรกเลยก็คือว่าเขายังเป็นเด็กอยู่เลย “ถึงหมอนั่นจะยังเป็นเด็กแต่เขากลับมีกล้ามเนื้อที่ดีมากเลย” หัวหน้าอัศวินแม็กซิมที่ปกติมักจะกล่าวชมเฉพาะอัศวินอายุ 20 ปีขึ้นไปหรือน้อยที่สุดก็คือ 18 ปีนั้นได้กล่าวชมเขาออกมา

 

อย่างไรก็ตาม คนคุ้มกันของชั้นอายุเพียงแค่ 14 ปีเท่านั้น

 

ยิ่งไปกว่านั้น ตอนที่ตัวเขารับงานนี้ยังอายุแค่ 13 ปีเอง

 

ยิ่งไปกว่านั้นอีก เขายังเอาชนะในการต่อสู้กับหัวหน้าอัศวินด้วย

 

คนคุ้มกันของชั้นเป็นคนที่แปลกจริงๆ แปลกมากๆ

 

เขามีความรู้ที่ตัวชั้นไม่มี แน่นอน ชั้นรู้ว่าเขาอายุมากกว่าชั้น 2 ปี ดังนั้นชั้นจึงเข้าใจว่าเขามีประสบการณ์มากกว่าชั้น แต่ทั้งๆที่เขาเป็นคนธรรมดาสามัญที่ไม่ได้รับการเรียนการสอนของขุนนางแท้ๆ เขากลับทำให้ครูสอนพิเศษตะลึงในความรอบรู้ถึงเรื่องสังคม,เศรษฐกิจ,และ ประเด็นทางการเมืองได้

 

เขาโกหกเรื่องอายุของเขางั้นหรอ?

 

ชั้นไม่คิดแบบนั้นนะ ลักษณะตัวของเขาเองก็สมกับอายุดี

 

คนคุ้มกันของชั้นแปลกมาก แปลกจริงๆ

 

เขาไม่รู้สึกตื่นเต้นที่จะได้เข้าร่วมงานเลี้ยงที่จะมีขุนนางชั้นสูงจากทั่วราชอาณาจักรศักดิ์สิทธิ์เข้าร่วมเลยแม้แต่น้อย ทำเอาตัวชั้นดูเป็นคนโง่เลยที่รู้สึกกังวลถึงเรื่องนี้ เขายังพูดแกล้งชั้นด้วยสีหน้าใจเย็นแบบนั้นได้อยู่

 

และ… ขนาดที่เจ้าชายศักดิ์สิทธิ์คนนั้นเข้าร่วมงานนี้เลยนะ! ลูกชายของท่านราชันศักดิ์สิทธิ์คนนั้นเชียวนะ! เขาไม่ได้รู้สึกเป็นเกียรติเลยสักนิด! ชั้นยังไม่เคยเห็นท่านราชันศักดิ์สิทธิ์และเจ้าชายศักดิ์สิทธิ์คลูฟชราทซามะที่เป็นลูกคนที่ 3 เลย เป็นเกียรติมากเลยที่ชั้นได้เห็นเจ้าชายองค์แรกกับเจ้าหญิงองค์แรกไปแล้ว

 

ผู้คนในประเทศนี้จะต้องหลั่งน้ำตาให้กับเกียรติแบบนี้เลย!

 

แต่ถึงยังงั้น! อะไรของคนคุ้มกันคนนี้กัน!

 

เขายังกังวลเรื่องที่ชั้นขอให้เขาพาเข้าไปในเมืองมากกว่านี้ซะอีก!

 

แต่รู้ไหม

 

ในตอนนั้น อยู่ๆชั้นก็รู้สึกตัว

 

สิ่งที่ชั้นปราถนาก็คือสังคมที่ผู้คนไม่ต้องอ่อนน้อมถ่อมตนเวลาอยู่กับขุนนางเหมือนกับที่เรย์จิเป็น สังคมที่ทุกคนนั้นเท่าเทียมและเสมอภาค

 

ทว่า ตัวชั้นถูกผูกมัดเอาไว้ด้วย “สามัญสำนึก” ของสังคมขุนนางโดยที่ไม่ได้รู้ตัวเลย

 

เรย์จิสังเกตเห็นมันแล้วชี้ให้เห็นงจากทัศนคติของเขา

 

จากนั้น ตัวชั้น ในฐานะเจ้านายของเขา จะต้องตอบสนองกับเขาอย่างเหมาะสม

 

「คุณหนูครับ ดูเหมือนว่าพวกเราจะมาถึงกันแล้วนะครับ ผมจะลงไปก่อนแล้วคุ้มกันคุณหนูเอง」

 

「อืม ฟากด้วยนะ」

 

เรย์จิลงจากรถม้าเบามากจนถึงขนาดที่ชั้นสงสัยว่าเขามีน้ำหนักบ้างหรือเปล่าเลย ดูสิ ขนาดตอนที่เท้าของเขาเหยียบพื้นยังไม่มีเสียงด้วยซ้ำ แปลกจริงๆ

 

ท้องฟ้ายามพลบค่ำนั้นกำลังมืดลงเรื่อยๆ ดวงดาวบนท้องฟ้าเองก็สว่างไสวระยิบระยับมากขึ้น แถมเนื่องจากวันนี้เป็นคืนจันทร์ดับ ดังนั้นเวลากลางคืนของคืนนี้จึงมืดมากกว่าปกติอีกด้วย

 

ด้านนอกของรถม้านี้ก็คือโถงจัดงานเลี้ยง – สถานที่ที่คฤหาสน์ทั้งหลังถูกเปลี่ยนเป็นสถานที่จัดงาน

 

เทียนถูกจุดเอาไว้ตรงจุดจอดรถม้าไปทั่วบริเวณ เทียนนั้นอุ่นกว่าตะเกียงเวทมนตร์ก็จริง แต่มันให้แสงสว่างที่มากกว่า

 

มีรถม้ามากมายมาถึงที่นี่ก่อนแล้ว และเหล่าอัศวินคุ้มกันก็ได้ลงมาจากหลังม้าแล้วยืนรอให้ชั้นลงไป

 

นี่เป็นก้าวแรก

 

ก้าวแรกของชั้นในฐานะขุนนางที่เข้าใจถึงสังคมที่เท่าเทียมและเสมอภาค

 

「นี้ครับ คุณหนู」

 

เรย์จิ คนคุ้มกันที่แสนแปลกประหลาดแต่กลับพึ่งพาได้มากนั้น กำลังยื่นมือของเขามาที่ชั้น

 

ชั้นจับมือนั้นเอาไว้

 

โดยที่ไม่รู้เลยว่าคืนนี้จะเป็นคืนที่เปลี่ยนแปลงทุกสิ่ง

 

================================================================

*ย่านคาซูมิงาเซกิ ย่านหนึ่งในโตเกียว เป็นแหล่งรวมหน่วยงานราชการแทบทั้งหมดของญี่ปุ่น

 

 

บทที่ 2 ตอนที่ 10

 

「เรย์จิ ชั้นดูแปลกไปหรือปล่าว? ชั้นยังใหม่กับการแต่งหน้าแบบนี้หน่ะ」

 

「ไม่เลยครับ และได้โปรดอย่าส่งสายตาเย้ายวนมาทางผมในระหว่างงานเลี้ยงนะครับ เดี๋ยวคุณหนูก็จะได้รับกองจดหมายหมั้นสูงเท่าภูเขาหลังจากผ่านคืนนี้ไปแน่นอนเลยครับ」

 

「โมว… ขนาดนายเองก็ยังพูดแบบนั้นงั้นหรอเนี้ย เรย์จิ!」คุณหนูพูดขึ้นพร้อมกับหน้าแดง

 

ความมั่นใจที่เธอมักจะมีอยู่เสมอนั้นหายไปหมดเลย และตัวเธอก็แดงไปทั้งตัวเลยด้วย เหล่าเมดคงจะรุมกล่าวชมตัวเธออย่างไม่ขาดสายเลยสินะ

 

เหล่าเมดที่เป็นคนแต่งตัวแต่งหน้าให้กับคุณหนูนั้นยืนอยู่ตรงนั้นด้วยสีหน้าภูมิใจพร้อมกับกอดอก คนพวกนี้ช่างเชี่ยวชาญจริงๆ

 

(ไม่สิ จริงๆแล้ว… ผมถึงขนาดไม่อยากให้คุณหนูมองตรงมาที่ผมแบบนี้ซะด้วยซ้ำ ได้โปรดเถอะ…)

 

“ดวงตา” ของตระกูลซิวลิซส์นั้นพิเศษเกินไป เพราะมี “เวทมนตร์” ไหลเวียนอยู่ในดวงตาสีชาตของพวกเขา ผมรู้มาจาก【World Ruler】ก่อนที่จะได้ยินจากปากของท่านเอิร์ลอีกที ข้อมูลนี้นั้นเป็นที่รับรู้กันในหมู่ขุนนางชั้นสูงแล้ว แต่ก็ยังคงมีขุนนางชั้นล่างบางคนที่ยังไม่รู้เรื่องนี้อยู่เหมือนกัน

 

ดวงตาของท่านเอิร์ลก็คือ “เนตรเวทมนตร์แห่งการสอบสวน” มันจะช่วยให้เขาสามารถรับรู้ได้ว่าใครโกหกหรือไม่จากการส่งมานาเข้าไปที่มัน

 

ส่วนดวงตาของคุณหนูก็คือ “เนตรเวทมนตร์แห่งการบันดาลใจ” มันจะเพิ่มความเต็มใจให้กับอีกฝ่ายมาปกป้องตัวเธอเมื่อส่งมานาเข้าไปที่มัน

 

เนื่องจากทุกคนสามารถใช้เวทมนตร์ได้จากหินสกิล พวกมันจึงไม่ได้รับความสนใจมากนัก แต่ถึงยังงั้น “เนตรเวทมนตร์” สีชาตที่แสนพิเศษนี้ก็จะปรากฏอยู่ในสายเลือดของตระกูลซิวลิซส์เสมอ

 

ไม่ต้องสงสัยเลยว่าทำไมท่านราชันศักดิ์สิทธิ์ถึงแต่งตั้งให้ท่านเอิร์ลซิวลิซส์เป็น “คมมีด” ของเขา มันต้องเป็นเพราะว่า “เนตรเวทมนตร์แห่งการสอบสวน” แน่ๆ เหตุผลก็น่าจะเป็นเพราะบางอย่างที่เหมือนกับ “เครื่องจับโกหก” นั้นผลิตขึ้นมาเพิ่มไม่ได้ด้วยหินสกิล… หรือว่ามันอาจจะโคตรหายากเลยก็เป็นได้

 

ผมได้ยินมาว่าเนตรเวทมนตร์พวกนั้นมันปรากฏอยู่น้อยมากในหมู่ประชากรทั้งหมด แต่ว่ามันก็มีประโยชน์อย่างมากตามแต่วิธีใช้งานมัน

 

นั่นคือเหตุผลว่าทำไมผมถึงไม่โกหกท่านเอิร์ลเลย

 

หลังจากนั้น ผมก็ได้ยินเสียงที่ประตูหน้าด้วยหูของผมที่ผ่านการเสริมด้วย【เสริมการได้ยิน】มาแล้ว

 

ท่านเอิร์ลที่มักจะออกไปในตอนพระอาทิตย์ขึ้นและจะไม่กลับมาก่อนพระอาทิตย์ตกนั้นวันนี้ได้กลับมาบ้านก่อนเวลา พอดีกับที่คุณหนูแต่งตัวเสร็จพอดีเลย

 

เหล่าเมดและพ่อบ้านต่างก้มหัวลงอย่างพร้อมเพียง ผมเองก็ก้มหัวลงเช่นกัน ท่านเอิร์ลเดินตรงไปยังคุณหนู

 

「อีวา พ่อหวังว่าลูกจะสนุกกับงานวันนี้นะ」

 

「…ค่ะ」

 

แค่นั้นหรอ? ท่านควรจะชมเธอมากกว่านี้อีกซักหน่อยนะ อย่างไรก็ตาม “อ้อมๆ” ก็ไม่ดี “ตรงๆ” ก็ไม่ได้ เข้าใจนะครับ?

 

「…เรย์จิ มาทางนี้หน่อยสิ」

 

ท่านเอิล์นไม่น่าจะเห็นสีหน้าของผมได้นี่นาเพราะผมก้มหัวลงอยู่ แต่ผมก็ถูกเรียกให้ไปหาด้วยเหตุผลบางอย่าง เมื่อผมเงยหน้าขึ้น ผมก็เห็นท่านเอิร์ลกำลังกวักมือเรียกผมให้ไปยังมุมๆนึงของห้องที่ห่างจากตัวของคุณหนู เมื่อผมเดินไปทางนั้น ผมก็รู้สึกถึงสายตาของทุกคนที่จับจ้องมาที่แผ่นหลังของผมด้วย

 

「…มีอะไรหรือปล่าวครับ?」

 

「…ลูกสาวของข้าดูจะอารมณ์ไม่ดีอยู่นะ เจ้าไปทำอะไรเอาไว้กัน?」

 

「…ไม่ครับ ผมคิดว่าผมไม่ได้ทำอะไรผิดไปเลยนะครับ」

 

「…น่าเสียดาย ดูเหมือนจะจริงนะ」

 

อย่ามาใช้ “เนตรเวทมนตร์แห่งการสอบสวน” กับเรื่องแบบนี้สิ!

 

「งั้น ลูกสาวของข้าเป็นอะไรไป?」

 

「ใครจะไปรู้ละครับ มันไม่ใช่งานของคนคุ้มกันซะหน่อยนี่ครับ」

 

「มันเป็นงานของคนคุ้มกันที่จะต้องปกป้องสุขภาพจิตของลูกสาวของข้า ไม่ใช่รึไง?」

 

ผมพึ่งได้ยินเป็นครั้งแรกนี่แหล่ะ หน้าที่ของคนคุ้มกันมันจะกว้างเกินไปแล้ว

 

…เอาเถอะ เนื่องจากตัวคุณหนูเองก็ดูจะมีปัญหา บอกเขาออกไปตรงๆก็แล้วกัน

 

「โปรดกล่าวชมคุณหนูด้วยครับ」

 

「กล่าวชม?」

 

「วันนี้คุณหนูแต่งตัวสวยจัดเต็มเลยใช่ไหมละครับ?」

 

เมื่อผมพูดออกไปแบบนั้น ท่านเอิร์ลก็มองไปยังใบหน้าขาวๆของคุณหนู

 

「…จำเป็นจะต้องพูดอะไรที่มันแน่นอนอยู่แล้วออกไปด้วยรึ?」

 

พูดยากจริงๆว่าชายคนนี้กำลังโอ๋ลูกมากเกินไป, หรือว่าจริงจัง, หรือว่าแค่ล้อเล่นอยู่กันแน่

 

「หมายความว่าท่านไม่ได้เข้าใจหัวใจของหญิงสาวเลยสินะครับ ท่านเอิร์ล?」

 

「…ข้ารู้ว่าเมื่อไหร่ที่หญิงสาวกำลังโกหกอยู่หรือไม่ ดังนั้นข้ามักจะให้ในสิ่งที่หัวใจของพวกเธอต้องการอยู่เสมอ」

 

“เนตรเวทมนตร์แห่งการสอบสวน” นี้จะทรงพลังเกินไปแล้ว!

 

「มีหลายครั้งที่ “สิ่งที่หัวใจต้องการ” นั้นจะไม่ใช่สิ่งของที่จับต้องได้แต่เป็นคำพูดที่จับต้องไม่ได้ต่างหากครับ โปรดทำเป็นว่าท่านกำลังเกลี้ยกล่อมเธอแล้วกล่าวชมเธอด้วยครับ」

 

「………」

 

มานากำลังไหลเวียนอยู่ในดวงตาของเขา ได้โปรดหยุดใช้ “เนตรเวทมนตร์แห่งการสอบสวน” กับเรื่องแบบนี้ซักทีเถอะครับ

 

「เข้าใจแล้ว」

 

ผมโน้มน้าวท่านเอิร์ลได้ เขาเดินตรงกลับไปยังคุณหนู ผมไม่รู้ว่าเนื้อแท้ของชายคนนี้เป็นพ่อที่เอาใจลูกเกินไป, เลือดเย็น, หรือขาดการรับรู้รอบข้างกันแน่ แต่ผมคิดว่าทุกการกระทำของเขานั้นช่างงดงามจริงๆ ทำไมตัวผมถึงไม่เกิดมาเป็นเอิร์ลหน้าตาดีคนนี้นะ! ไม่สิ พอนึกถึงความยากลำบากในฐานะคนคุ้มกันแล้ว ไม่เป็นจะดีกว่า…

 

「อีวา ชุดเดรสที่สั่งตัดมาเพื่อลูกนั้นไม่ได้มีค่ามากกว่าใช้เพิ่มความงดงามดั้งเดิมของตัวลูกหรอกนะ แต่ก็ต้องขอบคุณมันที่ทำให้พ่อรับรู้ถึงความงดงามของลูกได้อีกครั้ง ลูกเป็นความภาคภูมิใจของตระกูลซิวลิซส์นะ」

 

「อะ-อา…」

 

คุณหนูที่ยังไม่ชินกับคำชมก็หน้าแดงขึ้น เธอมองมาที่ผมเพื่อขอความช่วยเหลือ ผมพยักหน้าเพื่อสร้างความมั่นใจให้กับเธอ จากนั้นเธอก็ตอบกลับท่านเอิร์ลไปว่า “ขอบคุณค่ะ” พร้อมกับแก้มที่แดงระเรื่อ

 

…ใช่แล้ว ทุกอย่างมันออกมาดีมากเลย ถ้าไม่สนใจเรื่องที่ว่าท่านเอิร์ลกำลังจ้องมองตรงมาที่ผมอย่างไม่พอใจ เพราะเรื่องที่คุณหนูมองมาที่ผมเพื่อขอความช่วยเหลือ

 

ส่วนเรื่องเนื้อแท้ของท่านเอิร์ลนั้น จากที่เห็นมันต้องเป็น “พ่อที่โอ๋ลูกมากเกินไป” อย่างแน่นอน

 

รถม้าประจำตระกูลของท่านเอิร์ลได้พาตัวคุณหนูไปยังสถานที่จัดงาน รถม้าพวกนี้จะถูกเตรียมเอาไว้โดยขุนนางทุกคนเพื่อใช้สำหรับโอกาสสำคัญๆแบบวันนี้ ดูเหมือนว่ารถม้าของตระกูลซิวลิซส์จะถูกคลุมเอาไว้ด้วยผ้าสีแดงที่เป็นเครื่องหมายของ “เนตรเวทมนตร์” ล้อขนาดใหญ่ที่สร้างจากเหล็กนั้นถูกขัดจนเงาวับ รูปพระจันทร์เสี้ยวสีทองกับดาบสองเล่มนั้นถูกสลักไว้บนหลังคา — สัญลักษณ์ประจำตระกูลซิวลิซส์

 

ตะเกียงเวทมนตร์ที่ถูกแขวนเอาไว้ทั้ง 4 ด้านของรถม้ากำลังส่องแสงสีส้มอุ่นๆออกมา

 

「ขึ้นมาได้แล้ว เรย์จิ」

 

「ครับผม」

 

ถึงจะธรรมดาแต่ก็ยังงดงาม ― ผมรู้สึกหวาดหวั่นจากความงดงามของรถม้าเล็กน้อย แต่คำพูดของคุณหนูได้สร้างความกล้าให้ผมสามารถขึ้นไปนั่งได้

 

แม็กซิมซังยื่นรายชื่อผู้เข้าร่วมงานเลี้ยงให้กับผมก่อนจะพูดว่า “อ่านมันให้หมดนะ” ขุนนางบางคนไม่ได้ยืนยันว่าพวกเขาจะเข้าร่วมหรือไม่จนกระทั่งถึงวันสุดท้าย ดังนั้นรายชื่อของผู้ที่เข้าร่วมจะแล้วเสร็จในวันงานพอดี น่ารำคาญจริงๆ ผมเป็นเพียงแค่คนคุ้มกันธรรมดาๆที่ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับชนชั้นสูงเลยนะ รู้ไหม!

 

มีอัศวิน 10 นายรวมถึงแม็กซิมซังกำลังนั่งอยู่บนหลังม้าล้อมรอบรถม้าอยู่ ผมเปิดหน้าต่างเล็กๆแล้วมองออกไปข้างนอก ในวันนี้ ถนนที่ปกติจะคับคั่งไปด้วยรถม้าของพ่อค้าผู้ส่งสารของขุนนางหรือรถม้าขนส่งต่างๆนั้นกลับเงียบสงบ ประชาชนทั่วไปรู้กันดีว่าวันนี้เป็นวันสำคัญสำหรับพวกขุนนาง ดังนั้นพวกเขาจึงงดการใช้ถนนกัน

 

ดูเหมือนประชาชนเองก็จะได้การกุศลในวันงานแบบนี้ด้วย แทนที่จะเป็นการให้เงินตรงๆ แต่เป็นแบบให้เงินผ่านการซื้อของ ตัวอย่างเช่น สั่งให้มีการก่อสร้างขนาดใหญ่และจัดหาสิ่งของจำนวนมาก ช่างเรื่องงานก่อสร้างไป แต่เสบียงและสิ่งของที่จัดหามานั้นมักจะเกินความจำเป็นอยู่เสมอ พวกเขาบอกว่าส่วนที่เกินมาก็จะนำไปบริจาคให้กับสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าและคนยากจนผ่านทางโบสถ์

 

(การปกครองของราชันศักดิ์สิทธิ์นี้ดีเกินคาดเลยใช่ไหมละ? ถึงเรื่องที่มีผู้คนยากจนจนต้องขายตัวเองเป็นเหมือนกับทาสจะไม่ลดลงเลยก็เถอะ)

 

ผมคิดว่ามันมีหลายสาเหตุอยู่ มันมีช่วงว่างขนาดใหญ่ระหว่างคนรวยกับคนจนอยู่ในประเทศนี้ มันไม่ใช่อะไรที่จะอุดได้ด้วยการกุศลแบบนี้หรอก

 

อย่างแรกเลยก็คือ เหล่าชนชั้นสูงต่างครองตำแหน่งดีๆเอาไว้หมดแล้ว และจากนั้นเหล่าพ่อค้าที่ทำธุรกิจภายใต้ขุนนางก็จะรวยมากขึ้น เนื่องจากแทบจะเป็นไปไม่ได้ที่เหล่าพ่อค้าที่อยู่ภายใต้ขุนนางจะใต่ระดับทางสังคมด้วยวิธีที่ “ยุติธรรม” พวกเขาต่างเอาเงินไปจากคนจนกันทั้งนั้น

 

(ที่คุณหนูพูดว่า… “ปัญหาการปกครอง” นั้นเป็นเรื่องจริง แต่ที่พวกเราทำไปในฐานะนักบดขยี้ธุรกิจค้าทาสนั้นมันเปล่าประโยชน์ เอาเถอะ มันก็ไม่ใช่หน้าที่ที่คนคุ้มกันจะต้องมากังวลนี่นะ ดังนั้นผมก็แค่ต้องเก็บเงียบเอาไว้เท่านั้นเอง)  

 

 

 

บทที่ 2 ตอนที่ 9

 

「ตามหาผมหรอครับ…?」

 

「นายนำอาวุธเข้าไปในงานเลี้ยงไม่ได้หน่ะ นายวางแผนจะทำยังไง?」

 

ผมไม่สามารถเข้าใจเจตนาของคำถามที่แม็กซิมซังถามกับผมได้

 

「ปกติผมก็ไม่ได้พกอาวุธอยู่แล้วนะครับ」

 

「งั้นหรอ!? เข้าใจละ… นายเน้นไปทางเวทมนตร์กับต่อสู้ระยะประชิดสินะ」

 

จริงๆผมทำได้มากกว่าเวทมนตร์กับต่อสู้ระยะประชิดอีก แต่ถ้าผมใช้อาวุธด้วยละก็ ผมจะยิ่งถูกสงสัยเรื่องจำนวนสกิลที่ผมมีนะสิ ดังนั้นผมเลยต้องทำตัวไม่ให้เด่นมากไปกว่านี้

 

「มันก็มีคนคุ้มกันคนอื่นๆนอกจากผมอยู่ด้วยใช่ไหมละครับ? ผมไม่คิดว่าจะมีการโจมตีเกิดขึ้นหรอกนะครับ」

 

ที่นั่นมีเหล่าเด็กๆอายุ 12 ปีกับคนคุ้มกันประจำตัวของพวกเขา ถึงคนคุ้มกันจะพกอาวุธเข้าไปไม่ได้ แต่ถ้าสามารถใช้เวทมนตร์ได้ก็ไม่มีปัญหา แถมยังมีวิธีต่อสู้ที่ไม่ต้องใช่อาวุธอยู่อีกตั้งหลายวิธี

 

「ไม่ นั่นไม่ใช่ปัญหาหรอก ที่ข้ากังวลก็คือพวกดาบล้ำค่าของลูกชายตระกูลขุนนางต่างหาก」

 

「ไม่ใช่ว่าพวกเขามีแค่นั้นหรอครับ? พวกเขาจะได้รับหินสกิลหลังจากจบงานเลี้ยงใช่ไหมละครับ?」

 

ขุนนางในประเทศนี้จะเข้าร่วมงานเลี้ยงที่จัดขึ้นโดยราชันศักดิ์สิทธิ์เมื่ออายุครบ 12 ปี หลังจากนั้นพวกเขาจะถูกยอมรับว่าเป็น “ผู้ใหญ่” แล้วจะได้รับหินสกิล

 

ผมไม่รู้หรอกนะว่าระบบมันเป็นยังไง แต่ดูเหมือนหินสกิลหายากที่ถูกผลิตจากแท่นบูชาที่ 1 แทบทั้งหมดจะเป็นของขุนนาง ส่วนอันที่เหล่าขุนนางไม่ใช้ก็จะถูกส่งต่อไปยังกิลด์และประชาชน

 

คุณหนูก็น่าจะได้รับหินสกิลจากท่านเอิร์ลซิวลิซส์หลังจากงานเลี้ยงของวันนี้จบลงเหมือนกัน ทั้งผมและตัวคุณหนูเองก็ไม่มีใครรู้ว่ามันจะเป็นหินสกินอะไรเหมือนกัน

 

ในทางกลับกันก็หมายความว่า เหล่าเด็กชายอายุ 12 ปีที่พกดาบล้ำค่าเข้าไปนั้นไม่มีสกิลติดตัวอยู่เลย แบบนั้นก็ไม่เห็นต้องกังวลเลยนี่นา?

 

「ไม่ ไม่หรอก! เวทมนตร์ที่ร่ายลงบนดาบของพวกเขาค่อนข้างน่ากังวลเลยนะ」

 

「เวทมนตร์หรอครับ?」

 

「นายไม่รู้หรอ? ดาบของข้าเองก็มีเวทมนตร์ที่เสริมพลังโจมตึอยู่นะ」

 

「จริงหรอครับ!?」

 

จากนั้นผมก็ขอแม็กซิมให้อธิบายเพิ่มเติม ดูเหมือนว่าในตอนที่แม็กซิมกับผมสู้กัน เขาใช้ดาบปลอมสู้กับผม ดังนั้นมันเลยไม่มีเวทมนตร์ร่ายอยู่บนดาบ แต่ในการต่อสู้จริงนั้น เขาจะถือดาบที่ทรงพลังมากกว่านั้นมาก ถึงในตอนนี้เขาจะไม่ได้พกมันมาด้วยก็เถอะ การแบกดาบใหญ่ไปมาในคฤหาสน์ก็คงจะลำบากเกินไปละนะ

 

「มีเวทมนตร์อะไรบ้างหรอครับที่สามารถร่ายลงบนดาบได้?」

 

「นึกก่อนนะ… นอกจากเวทมนตร์ที่เพิ่มความคมกับแรงกระแทกแล้ว ยังมีเวทมนตร์ที่สามารถเพิ่มระยะของดาบได้สักระยะอยู่ แถมมีเวทมนตร์ที่ช่วยเพิ่มความแข็งแกร่งของร่างกายหรือพลังกายของผู้ใช้ด้วยเหมือนกัน แต่แน่นอนว่ามันเองก็มีขีดจำกัดอยู่ ผลการทำงานของพวกมันก็น่าจะประมาณหินสกิล 1 ดาวหน่ะนะ」

 

「หา…」

 

「และมันยังสามารถร่ายลงบนชุดเกราะได้อีกด้วยนะ ทว่าชุดเกราะต้องเป็นโลหะเท่านั้น」

 

「หมายความว่าชุดเกราะของคุณเองก็มีเวทมนตร์เสริมเอาไว้หรอครับ?」

 

「ใช่แล้วละ… ก็อยากจะพูดแบบนั้นอยู่หรอก แต่ชุดเกราะหน่ะเป็นไปไม่ได้หรอกนะ」

 

「เป็นไปไม่ได้หรอครับ?」

 

「มันแพงมากเลยหน่ะสิ」

 

「โหว」

 

ผมประหลาดใจมากเลยละ

 

ผมคิดจริงๆนะว่ามันแปลกที่หัวหน้ากองทหารของเอิร์ลแห่งราชอาณาจักรครูวารศักดิ์สิทธิ์จะอ่อนแอกว่าดันเต้ซังที่มีร่างกายเป็นหินไปครึ่งตัวหน่ะ

 

งั้นเขาจะได้รับความช่วยเหลือจากเวทมนตร์สินะ นั่นหมายความว่าวิธีการต่อสู้ของเขาต้องได้รับความช่วยเหลือจากเวทมนตร์อย่างงั้นหรอ?

 

ไม่ เขาก็ค่อนข้างแข็งแกร่งแม้จะใช้ดาบปลอมนะ… แล้วถ้าเขาได้ความช่วยเหลือจากเวทมนตร์ด้วยละ?

 

(…ผมคิดว่าถ้าเป็นแบบนั้นผมจะต้องไม่หยุดการโจมตีของเขาด้วยมือเปล่าแล้ว)

 

ผมนึกถึงตอนที่ผมรับหมัดของเขาด้วยมือเปล่า

 

จะเกิดอะไรขึ้นถ้าตอนนั้นแม็กซิมซังได้รับความช่วยเหลือจากเวทมนตร์กัน?

 

「คนที่จะมีของพวกนี้ได้ก็มีแค่พวกขุนนางกับอัศวินเท่านั้นละนะ ถึงข้าจะเคยได้ยินว่าพวกนักพจญภัยชั้นหนึ่งจะสวมเกราะเสริมเวทมนตร์ก็เถอะ」

 

「ก็คงจะยังงั้นละนะครับ คิดจะใช้อุปกรณ์ลงเวทมนตร์ครบเซ็ตแบบนั้นคงจะต้องจ่ายแพงน่าดูเลยครับ」

 

「ข้าคิดว่าอย่างต่ำก็น่าจะเกิน 100 เหรียญทองศักดิ์สิทธิ์ไปแล้ว แต่เทียบกับชีวิตของตัวเอง ราคานั้นก็ถูกมากเลยนะ คนที่มีความคิดแบบนี้คงจะใช้มันอย่างแน่นอน」

 

อุปกรณ์ที่มีราคามากกว่า 500 ล้านเยนงั้นหรอ… ผมคิดว่าเอาไว้ตั้งโชว์ที่บ้านก็น่าจะดีกว่านะ

 

「ยังไงก็ตาม มีความเป็นไปได้สูงที่ลูกชายขุนนางพวกนั้นที่ได้ถือดาบล้ำค่าครั้งแรก – และยังไม่รู้จักยั้งคิด – จะต้องอยากลองเหวี่ยงมันเล่นแน่ๆ ระวังตัวเอาไว้ละ」

 

「เข้าใจแล้วครับ ขอบคุณสำหรับคำแนะนำนะครับ」

 

「พวกเราจะไปเตรียมพร้อมเอาไว้ที่นอกสถานที่จัดงานนะ」

 

แม็กซิมยกมือข้างหนึ่งขึ้น ก่อนจะเดินจากไป

 

เกราะเวทมนตร์งั้นหรอ… ผมจะจำไว้ให้ขึ้นใจเลย

 

คุณหนูใช้เวลาเตรียมตัวนานมาก เมื่อเกือบจะถึงพลบค่ำและผมกำลังนั่งหาวอยู่นั้น ประตูก็ได้เปิดออก

 

หัวหน้าเมดก็จ้องมองมาที่ผมด้วยสายตาคมกริบ

 

「เรย์จิซังคะ โปรดอย่าพูดอะไรหยาบคายออกมานะคะ」

 

「ผมดูเป็นคนแบบนั้นงั้นหรอครับ?」

 

「ดิชั้นกลัวเด็กผู้ชายเพราะพวกเขามักจะไม่คิดก่อนพูดนะคะ」

 

จากมุมมองของหัวหน้าเมด (30 ต้นๆ) คนนี้ ผมก็เป็นแค่เด็กละนะ

 

「ชมคุณหนูอย่างพอประมาณนะคะ คุณเป็นผู้ชายคนแรกที่จะได้เห็นคุณหนูแต่งตัวเต็มยศขนาดนี้」

 

「ผมเข้าใจแล้วครับ」

 

「ถึงจะพูดอย่างนั้น แต่คุณก็ไม่ควรชมอย่างอ้อมๆค่ะ และการชมอย่างตรงไปตรงมาเองก็ไม่ดีเหมือนกัน」

 

「………」

 

…หลายขั้นตอนเกินไปไหมเนี้ย?

 

「เรย์จิซัง วันนี้เป็นวันที่สำคัญมากๆสำหรับคุณหนูค่ะ ดิชั้นขอบคุณที่ให้ความช่วยเหลือนะคะ」

 

「……ครับ」

 

หัวหน้าเมดยื่นมือของเธอมาหาผมก่อนจะแก้ตราสัญลักษณ์เบี้ยวๆที่เนคไทของผมให้

 

「คุณเองก็เป็นคนหน้าตาดีนะคะถ้าคุณทำตัวเงียบๆ อย่าพูดอะไรเกินเลยในงานเลี้ยงนะคะ」

 

「เข้าใจแล้วครับ」

 

เป็นครั้งแรกเลยที่ผมถูกบอกว่าหน้าตาดี ใช่ไหมนะ?

 

เมื่อผมตามหลังหัวหน้าเมดเข้าไปในห้อง ผมก็เห็นคุณหนูนั่งอยู่บนเก้าอี้ที่กลางห้อง

 

「—เรย์จิ?」

 

เมื่อคุณหนูหันมาทางนี้ ผมก็ลืมหายใจไปเลย

 

ผมสีบอร์นของเธอถูกหวีอย่างประณีตมากกว่าทุกๆครั้งจนเงาวับ มันถูกปล่อยลงมาอย่างลื่นไหลโดยที่ไม่ติดขัดกับชุดเลมเดรส มันช่วยดึงความสวยงามของผมบอร์นนั้นออกมาได้อย่างดีเยี่ยมเลย

 

เพราะเธอสวมชุดเดรสที่ไม่มีสายรัดไหล่ ไหล่อันบอบบางของคุณหนูจึงเผยออกมาจนเห็นถึงความอ่อนนุ่มของผิวสีขาวนั้น

 

ใบหน้าของคุณหนูที่เปล่งออร่ามุ่งมั่นออกมานั้นถูกแต่งแต้มไปด้วยเมคอัพบางๆ ริวและฝีปากของเธอเองก็ถูกทาด้วยลิปสติกให้เข้ากับชุดเดรสสีแดงสว่าง

 

ดวงตาของคุณหนูที่เน้นขึ้นด้วยอายไลเนอร์ – ดวงตาเวทมนตร์ของเธอที่ขนาดตัวผมเองก็ยังหวั่นไหว – นั้นสะกดผมเอาไว้

 

「คะ-คุณหนูครับ…」

 

คุณหนูที่เติบโตจากเด็กสาวไปเป็นหญิงสาวนั้นปลดปล่อยออร่าเย้ายวนออกมา

 

…อ่าห์ ผมเริ่มตาลายแล้วสิ

 

มันมีคำที่ถูกเรียกว่า「ความงามที่ไม่มีใครเทียบ」อยู่

 

มันถูกเขียนอยู่ในหัวข้อ「ความโดดเดี่ยวที่ไม่มีใครเสมอเหมือน」ที่อยู่ในหนังสือจีนเล่มหนึ่ง

 

「ความโดดเดี่ยวที่ไม่มีใครเสมอเหมือน」— การดำรงอยู่อย่างโดดเดี่ยว (ความงาม) ที่ไม่มีใครเสมอเหมือนในโลกใบนี้

 

หลังจากนั้นมันก็เขียนต่อไปว่า

 

「ปราสาทด้านเดียว」— เมื่อเธอมองไปด้านเดียว ปราสาทก็จะพังทลาย

 

「อีกด้านหนึ่งของประเทศ」— เมื่อเธอมองข้ามอีกด้าน ประเทศก็จะล่มสลาย

 

ถ้าคุณหนูยังเติบโตขึ้นแบบนี้เรื่อยๆละก็ ทั่วทั้งประเทศจะต่อสู้กันเพื่อแย่งชิงตัวเธอจนสุดท้ายต้องล่มสลายลงไปแน่ๆ เมื่อคิดแบบนั้นผมก็รู้สึกเสียวสันหลังวาบขึ้นมา

 

 

 

บทที่ 2 ตอนที่ 8

 

เรื่องก็ได้ดำเนินมาจนถึงปัจจุบัน

 

พวกเราได้ทำลายธุรกิจค้าทาสไป 6 แห่งแล้ว และกำลังเดินทางกลับไปที่คฤหาสน์ของท่านเอิร์ล

 

「วันนี้พวกเราก็ทำลายธุรกิจค้าทาสได้สำเร็จอีกแล้วคะ!」คุณหนูรายงานออกไปอย่างมีความสุข

 

「งั้นหรอ ดีใจที่ได้ยินแบบนั้นนะ」ท่านเอิร์ลตอบกลับมาตามปกติพร้อมกับยิ้มน้อยๆ

 

ที่แตกต่างจากปกติก็คือว่าหลังจากนี้ ผมจะต้องเข้า “ช่วงรายงาน” ทุกๆ 10 วันกับท่านเอิร์ลด้วย คุณหนูก็เลยถูกพาออกไปโดยหัวหน้าพ่อบ้านเซบาส

 

มีเพียงแค่ผมกับท่านเอิร์ลเหลืออยู่ในห้อง

 

กำแพงของห้องนี้นั้นทำจากไม้ที่มีลายไม้งดงามมาก แค่ตัวลายไม้อย่างเดียวก็ดูออกแล้วว่าไม้แต่ละแผ่นต้องมีราคาสูงมากถึงจะเป็นพนังห้องธรรมดาก็เถอะ ผมรู้สึกได้ถึงแรงกดดันบางอย่างภายในห้อง ถึงแม้มันจะไม่มีของประดับอย่างภาพวาดหรือแจกันอยู่เลยก็ตาม

 

「โชคร้าย การตามหาคนที่ชื่อลูลูช่า–」ท่านเอิร์ลเริ่มพูดรายงานออกมาตามปกติ

 

ไม่มีข่าวคราวของลูลูช่าซังและหินสกิล 5 ดาวหรือมากกว่าเลย ท่าเอิร์ลนั้นถูกผูกมัดเอาไว้ด้วยเวทย์พันธสัญญา ดังนั้นผมจึงไม่คิดว่าเขากำลังโกหกหรอก

 

หลังจากที่เขารายงานจบ ผมก็ได้บอกเขาถึงชื่อ “นักบดขยี้ธุรกิจค้าทาส” ว่ามันกำลังแพร่กระจายอยู่ในตอนนี้ อย่างไรก็ตาม ท่านเอิร์ลก็ตอบกลับมาแค่ว่า “งั้นรึ?” ด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยเหมือนอย่างทุกที

 

「…มันไม่แปลกไปหน่อยหรอครับ ท่านเอิร์ล? ถ้าพวกเราทำลายสำนักงานจัดการทรัพยากรมนุษย์ไปเรื่อยๆแบบนี้ละก็ สังคมในเมืองนี้จะเจอปัญหาเอานะครับ」

 

「พูดได้น่าสนใจดีนะ เรย์จิซัง เจ้าเข้าใจถึงสภาพสังคมของเมืองศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ทุกอย่างเลยงั้นรึ?」

 

「มันก็ชัดเจนมากนะครับถ้าคิดถึงสภาพเศรษฐกิจของเมืองนี้ คนที่ฉลาดเช่นท่านต้องรู้ถึงเรื่องนี้อยู่แล้วแน่นอนครับ」

 

「งั้นรึ เจ้ามีความรู้ที่วิเศษไปเลยนะ เรย์จิซัง」

 

「โปรดหยุดหลบคำถามด้วยครับ แล้วข้อมูลการสืบสวนจากพวกพ่อค้าทาสที่พวกเราจับได้ละครับ?」

 

ท่านเอิร์ลยื่นเอกสารรายงานมาให้กับผม 5 แผ่น ดูเหมือนเขาจะเตรียมเอาไว้ก่อนหน้านี้แล้ว ในโลกใบนี้ กระดาษนั้นทำมาจากพืช สภาพกระดาษนั้นไม่เป็นระเบียบและไม่มีเทคโนโลยีการพิมพ์ด้วย ดังนั้นมันจึงถูกเขียนด้วยมือทั้งหมด

 

…ที่ด้านบนขวาของเอกสารเขียนไว้ว่า “ห้ามนำออกไปจากสำนักงาน” ไม่ใช่เหรอ?

 

「ข้าได้รับอนุญาตให้นำมันออกมาแล้ว」ท่านเอิร์ลพูดขึ้นจากที่คาดเดาคำถามของผมเอาไว้แล้ว

 

จากที่มองผ่านๆ เอกสารพวกนั้นบอกว่าพวกหัวหน้าของสำนักงานจัดการทรัพยากรนั้นให้คำให้การที่เหมือนๆกันราวกับว่าได้เตี๊ยมกันมาก่อน – ตัวอย่างเช่น「ผมทราบว่าการทำเหมือนเป็นทาสแบบนั้นมันผิด แต่มันเป็นสิ่งจำเป็นครับ」,「ผมขออภัยที่เรียกทรัพยากรมนุษย์ว่าเป็นทาสครับ」, และตามด้วย 「พวกเราไม่ทราบว่าเป็นคุณหนูของท่านเอิร์ลซิวลิซส์ครับ」

 

(…พวกเขาได้รับอนุญาตให้ทำการมาจนถึงทุกวันนี้ได้เพราะมันเป็นสิ่งจำเป็น ทว่า เนื่องจากคำว่า “ทาส” นั้นออกมาจากปากของพวกเขาโดยตรง พวกเราก็เลยหยุดพวกเขาแล้วเรียกยามมา)

 

ผมถอนหายใจหนักๆออกมาอย่างไม่รู้ตัว

 

ถึงพวกเราจะทำลายพวกมันไปแค่ไหน ตราบใดที่ยังมีผู้คนที่ต้องการ “ขาย” ตัวเองอยู่ละก็ มันก็จะโพล่ขึ้นมาเรื่อยๆ และพวกนี้ก็จะยิ่งเจ้าเล่ห์มากขึ้นกว่าเดิมอีก

 

สิ่งที่คุณหนูกับผมทำลงไปนั้นไร้ค่า บางทีท่านเอิร์ลคงจะรู้เรื่องนี้อยู่แล้วและป่อยให้คุณหนูทำตามใจตัวเองเพื่อให้ตัวเธอรู้สึกดีงั้นหรอ?

 

เมื่อผมเงยหน้าขึ้นมาจากเอกสาร ท่านเอิร์ลก็จ้องมองตรงมาที่ผม

 

เขาสงสัยอะไรงั้นหรอ? ไม่สิ มันเหมือนกับว่าเขากำลังหาอะไรบางอย่างอยู่

 

เนื่องจากท่านเอิร์ลเป็นคนที่ไม่แสดงสีหน้าอยู่แล้ว การอ่านตัวเขาจึงยากยิ่งขึ้นไปอีก

 

「ท่านครับ หรือว่าบางทีท่านปล่อยคุณหนูให้ทำตามใจก็เพ–」

 

「เรย์จิซัง ข้าจะตอบทุกอย่างเกี่ยวกับการคุ้มกันให้กับเจ้า แต่ไม่ตอบคำถามในเรื่องส่วนตัวหรอกนะ」

 

ชายคนนี้…

 

「ถ้ายังงั้น ผมอยากจะเข้าร่วมการสืบสวนพ่อค้าทาสในครั้งนี้ครับ」

 

「…ไม่มีปัญหา ข้าจะแจ้งยามให้เอง」

 

โอ้ เขาอนุญาตผมอย่างง่ายดายเลยแห่ะ หืมม…

 

จากนั้นผมก็ออกมาจากห้องทำงานของท่านเอิร์ลด้วยความรู้สึกที่เหมือนกับผมขาดอะไรบางอย่างไป

 

(ไปติดต่อกับเซอรี่ซังละกัน)

 

เซอรี่ซังที่เฝ้ามองพวกเราจากเงามืดในตอนที่พวกเราทำลายธุรกิจค้าทาสนั้นปกติจะทำงานเป็นนักพจญภัย มันก็ 4 ปีแล้วที่พวกเรามาที่เมืองนี้ ดังนั้นเธอก็น่าจะรู้ที่ที่เราสามารถใช้ซื้อขายข้อมูลได้อยู่

 

…ให้เธอไปหาข้อมูลของสำนักงานจัดการทรัพยากรมนุษย์ละกัน

 

***

 

ตารางของคุณหนูนั้นกว้างขวาง ทั้งเรียนหนังสือ, คาบเรียนส่วนตัว, และทำลายธุรกิจค้าทาส ทว่าในวันนี้นั้นต่างออกไป

 

มันเป็นงานเลี้ยงยามบ่าย ไม่ใช่งานที่เธอตามท่านเอิร์ลไป แต่เป็นตัวของเธอเองที่ถูกเชิญไปในฐานะตัวหลัก คุณหนูที่เคยเป็นแค่ “คนที่ไปด้วย” ของท่านเอิร์ลจนกระทั่งอายุ 12 ปีจะได้กลายเป็นขุนนางเต็มตัวในสังคมขุนนางแล้ว

 

“งานเลี้ยงต้นกล้าและจันทร์ดวงใหม่” ที่สนับสนุนโดยท่านราชันศักดิ์สิทธิ์นั้นจัดขึ้นเพื่อเหล่าเด็กๆตระกูลขุนนางที่มีอายุครบ 12 ปีในปีนี้ ในโลกใบนี้ที่ไม่มีพิธีประถมนิเทศหรือพิธีจบการศึกษา สำหรับครอบครัวขุนนางแล้ว “งานเลี้ยงต้นกล้าและจันทร์ดวงใหม่” ก็คืองานเลี้ยงใหญ่งานแรกและงานสุดท้ายสำหรับลูกๆของพวกเขา ขุนนางที่ร่ำรวยจะสั่งตัดชุดก่อนงานเลี้ยงจะเริ่ม 1 ปี ขนาดขุนนางที่ยากจนก็ยังต้องเช่าชุดมางานเลี้ยงต่อให้พวกเขาจะต้องไปหายืมเงินมาเช่าก็ตาม

 

สำหรับเหล่าลูกสาวก็จะเป็นชุดเดรส สำหรับลูกชายก็จะเป็นดาบล้ำค่าที่ห้อยอยู่ตรงเอว

 

ถึงมันจะเป็นดาบที่ฉูดฉาดและตกแต่งเว่อวังขนาดไหนก็ตาม มันก็ยังมีใบดาบที่คมกริบและสามารถฆ่าคนได้ การเรียนรู้ที่จะใช้มันนั้นจะถือเป็นก้าวแรกสู่การเป็น “ผู้ใหญ่”

 

บรรยากาศภายในคฤหาสน์นั้นกระสับกระส่ายมาตั้งแต่เช้าแล้ว

 

「ว้าว…」

 

「ช่างงดงามจริงๆ!」

 

ชุดเดรสของคุณหนูนั้นถูกตัดเย็บโดยช่างเย็บผ้าและนักออกแบบมือหนึ่ง – ที่ถูกจองตัวเอาไว้ตั้งแต่ 2 ปีที่แล้ว – มันถูกวางเอาไว้บนโต๊ะ

 

มันทำจากผ้าสีแดงสว่างจากผ้าไหมที่ 3 แห่ง “ป่าไฮเอลฟ์” ที่มีอาณาเขตอยู่ในการปกครองโดยตรงของราชอาณาจักรเกฟเฟริดแห่งสหพันธรัฐคีทแกรนด์

 

ผ้าไหมที่ 3 ที่มีความเข้มข้นของมานาที่สูงมากนั้นใช้เวลาในการย้อมสีนานมากๆ แต่ดูท่านเอิร์ลซิวลิซส์จะได้มันมาทันนะ

 

…ขุนนางนี้สุดยอดไปเลยนะ

 

เหล่าเมดต่างก็อธิบายข้อมูลพวกนี้ให้กับผม ถึงแม้ผมจะไม่ได้ถามพวกเขาเลยก็ตาม

 

「คุณหนูอาบน้ำเสร็จแล้วค่ะ」

 

「งั้นก็นำชุดเดรสไปให้ใส่ให้คุณหนูได้แล้ว」

 

「ค่ะ จะนำไปเดี๋ยวนี้」

 

ประตูถูกเปิดออกมาเล็กน้อย ผมเหลือบไปเห็นคุณหนูอีวา คุณหนูตอนนี้กำลังสวมผ้าขนหนูสำหรับอาบน้ำอยู่ ผิวที่ขาวนวลของเธอแดงขึ้นจากการอาบน้ำทว่าสีหน้าของเธอกลับแข็งทื่อ แม้แต่คุณหนูเองก็ยังเครียดเลยหรอเนี้ย

 

「เรย์จิซังคะ」

 

「โอ๊ะ ครับ มีอะไรงั้นหรอครับ?」

 

หัวหน้าเมดจ้องมาที่ผม

 

「ต่อจากนี้ คุณหนูจะต้องเตรียมตัวสำหรับงานเลี้ยงค่ะ」

 

「ครับ ผมรู้เรื่องนั้นแล้ว」

 

「แล้ว?」

 

「…คุณหมายความว่ายังไงหรอครับ?」

 

「แล้วคุณจะยืนแอบมองอยู่แบบนี้หรอคะ!? ออกไปได้แล้วคะ!」

 

เพราะแบบนั้นผมก็เลยรีบพุ่งตัวออกมาจากห้อง

 

ใช่แล้ว ต่อให้ผมเป็นคนคุ้มกัน ผมก็ไม่ควรมองคุณหนูเปลี่ยนเสื้อผ้าและแต่งหน้าอยู่ดี

 

ตามจริงแล้ว ปกติคนคุ้มกันก็ต้องยืนรอเตรียมพร้อมอยู่ข้างนอกห้องด้วย ใช่ไหม?

 

…ผมคิดว่าผมคงจะกระสับกระส่ายเกินไปหน่อย อืม ก็มันเป็นงานเลี้ยงนี่นะ ผมเลยรู้สึกสนใจว่าจะมีอาหารแบบไหนมาเสิร์ฟในงานกัน

 

เมื่อผมเดินไปตามโถงทางเดิน ผมก็พบเข้ากับแม็กซิมซังที่สวมใส่ชุดเกราะแม้จะอยู่ในอาคาร ดูเหมือนเขาจะเฝ้าระวังอยู่ตลอดเวลาเลยตั้งแต่เหตุการณ์ลอบสังหารท่านเอิร์ล

 

「โอ๊ะ เรย์จิ ข้ากำลังตามหานายอยู่พอดีเลย」

 

 

 

บทที่ 2 ตอนที่ 7

 

เมื่อผมถามผู้คนในคฤหาสน์เกี่ยวกับแม่ของคุณหนู พวกเขาก็เอาแต่บ่ายเบี่ยงคำถามของผมประมาณว่า “บางทีไม่รู้จะดีกว่านะ” ดังนั้นผมเลยเดาว่าแม่ของคุณหนูคงจะจากไปแล้ว และตัวผมเองก็ไม่เคยได้ยินคุณหนูพูดถึงแม่ของเธอ ในขณะที่เธอถูกเลี้ยงดูมาด้วยความรักความเอ็นดูของผู้คนในคฤหาสน์แห่งนี้

 

「เรย์จิ!」

 

「ผมอยู่ข้างหน้าคุณหนูแล้วครับ ไม่จำเป็นต้องตะโกนก็ได้ครับ」

 

「ก็ชั้นมีความสุขนี่นา ทุกคนในคฤหาสน์ใจดีกับชั้น แถมชั้นยังมีคนคุ้มกันที่แข็งแกร่งอย่างนายอีกด้วย」

 

「ขอบคุณครับ แค่ความรู้สึกของคุณหนูก็เพียงพอแล้วครับ ดังนั้นไม่ต้อง–」

 

「ชั้นคิดว่าชั้นควรแบ่งปันความสุขของชั้นให้กับคนอื่นๆด้วยนะ!」

 

คุณหนูอีวาไม่เคยฟังที่คนอื่นเขาพูดเลย ไม่สิ เธอจะรับฟังเมื่อจำเป็น แต่ทุกครั้งที่ผมคิดว่า “ได้โปรดเปลี่ยนหัวข้อเป็นเรื่องอื่นได้แล้วครับ หรือ ช่วยข้ามส่วนที่ไม่เกี่ยวกับผมเถอะนะครับ” เธอก็แทบไม่เคยฟังผมเลย

 

ก่อนหน้านี้ เธอพูดว่า “ชั้นอยากจะปีนขึ้นไปบนหลังคา!” โดยที่ไม่ฟังผมเลย ผมปฏิเสธไปถึง 7 ครั้งเลยนะ ดังนั้นผมเลยยอมแพ้และอุ้มเธอขึ้นไปบนหลังคา ภาพวิวที่เห็นด้านบนนั้นมันก็สุดยอดอยู่ ทว่าคืนนั้นลอร์ดเลือดเย็นก็ได้เรียกผมไปพบแล้วจ้องมองผมด้วยรอยยิ้มอยู่อย่างเงียบๆไปถึง 15 นาทีเลย ตอนนั้นแหล่ะที่ผมตัดสินใจว่าผมจะไม่ขึ้นไปดูวิวข้างบนอีกเป็นครั้งที่สอง ลอร์ดเลือดเย็นคนนี้ดูจะเป็นพวกเอาใจลูกสาวของเขามากๆเลยละนะ

 

แล้วก็ยังมีตอนที่คุณหนูพูดว่า “ชั้นอยากจะเข้าไปในเมืองเพื่อดูวิธีชีวิตของชาวเมือง!” ช่างเป็นคำพูดที่สมกับเป็นลูกคุณหนูจริงๆ ชั้นปฏิเสธเธอไปประมาณ 12 ครั้งโดยที่ไม่ยอมแพ้ แต่แนนอนว่ามันไม่ได้ผลและผมต้องยอมแพ้ไป ผมซื้อเสื้อผ้าธรรมดาๆมาให้พวกเราใส่แล้วซ่อนผมอันสวยงามของคุณหนูด้วยหมวก – หรือจะบอกว่ามันคือกระสอบที่ดูเหมือนหมวกดี – ผมพาเธอเข้าไปในเมือง ผมคิดว่า “ในเมื่อผมห้ามเธอไม่ได้ งั้นก็พาเธอไปซะเพื่อออมแรงเอาไว้” ผลลัพธ์จากการทำแบบนั้นก็คือ ในตอนที่กลับถึงบ้าน พวกเขาได้ตั้งทีมค้นหาและเกือบจะแจ้งไปยังยามประจำเมืองแล้ว เหล่าเมดต่างกรีดร้องออกมา (มี 2 คนสลบไปเลย) หลังจากที่ได้เห็นสภาพมอมแมมของคุณหนู ผมได้ถูกจับตัวเอาไว้ในห้องส่วนตัวของท่านเอิร์ลกับท่านเอิร์ลเพียงสองคนจนถึงเที่ยงคืน พวกเราถกเถียงกันเกี่ยวกับเรื่อง “คนคุ้มกันคืออะไร?” ท่านเอิร์ลคิดว่ามันคือ “ห้ามพาไปยังที่ที่อันตราย” และความเห็นของผมก็คือ “มีปัญหากับการเลี้ยงดูเธอเพราะเธอเอาแต่ใจเกินไป” ถึงความเห็นของพวกเราจะไม่ตรงกัน แต่เมื่อนึกถึงใบหน้าเศร้าหมองของแม็กซิมที่ถูกแต่งตั้งให้เป็นหัวหน่วยค้นหาแล้ว ผมก็รู้สึกเสียใจที่ทำให้ทุกคนในคฤหาสน์ต้องเป็นห่วง ยกเว้นท่านเอิร์ลไว้คนนึงนะ

 

「คุณหนูครับ คุณหนูหมายถึงบริจาคเงินงั้นหรอครับ?」

 

ความสุขมันแบ่งปันกันตรงๆไม่ได้ แต่ผู้คนส่วนใหญ่ก็จะมีความสุขถ้าได้รับเงินละนะ

 

「ไม่ใช่หรอก เรย์จิ พวกเราจะไปแก้ไขปัญหาที่เงินแก้ไม่ได้ต่างหาก หรือก็คือ ปัญหาที่รากฐานยังไงละ!」

 

ปัญหาที่รากฐานก็คือเรื่องที่ขุนนางมีความได้เปรียบกว่าสามัญชนอย่างเห็นได้ชัดนั่นเอง เช่นภาษีที่ถูกตั้งขึ้นมาอย่างไม่เป็นธรรมโดยขุนนางศักดินาเพียงฝ่ายเดียว หรือ ในแถบชนบทที่พวกขุนนางศักดินาสามารถพรากพรหมจรรย์ของเจ้าสาวในคืนวันแต่งงานของเจ้าบ่าวเจ้าสาวได้ ที่มันถูกเรียกว่า “สิทธิของเจ้านาย(Droit du seigneur)” นั่นแหล่ะ

 

ผมเรียนรู้เรื่องนี้มาจากครูสอนพิเศษส่วนตัว

 

ซักพักหลังจากที่ผมได้เป็นคนคุ้มกัน ครูสอนพิเศษส่วนตัวก็ได้ถูกเลือกมาให้กับผม และเริ่มสอนผมเกี่ยวกับความรู้ที่จำเป็นสำหรับขุนนาง — ทั้งการเมือง, การปกครอง, กฎหมาย, และอื่นๆอีกมากมาย

 

อย่างไรก็ตาม ผมมั่นใจว่าคุณหนูต้องถูกสอนให้มีทัศนคติในการใช้อำนาจมาแล้วแน่นอน ตัวอย่างเช่น “คุณหนู ท่านอยู่ในตำแหน่งที่สามารถใช้สิทธิและอำนาจพวกนี้ได้”

 

ใครที่สอนคุณหนูให้มีทัศนคติแบบสามัญชนแล้วปลูกฝังความคิดประมาณว่า “พวกเราควรที่จะเท่าเทียมกันมากกว่านี้!” ให้กัน?!

 

「ชั้นรู้สึกตัวเมื่อมองไปที่นาย เรย์จิ นายพูดคุยและเรียนรู้กับครูของนายได้อย่างเท่าเทียมใช่ไหมละ? นายหน่ะโหยหาความรู้มากกว่าชั้นอีก ถ้าให้โอกาสละก็ ไม่ว่าจะเป็นใคร ไม่ว่าจะขุนนางหรือสามัญชน ทุกคนก็จะสามารถเรียนรู้และเก่งขึ้นได้!」

 

「………」

 

ปรากฏว่าเป็นความผิดของผมซะงั้น

 

「คุณหนูครับ คือมันไม่ใช่แบบนั้นครับ ผมก็แค่ เอออ…」

 

มันก็คงง่ายถ้าผมบอกไปว่าผมมีความรู้จากชาติที่แล้ว! ถึงเธอจะไม่เชื่ออย่างแน่นอนก็เถอะ แต่ถ้าผมอยากจะทำให้เธอเชื่อละก็ ผมก็แค่เอาหินสกิล【World Ruler】ออกมาก็ได้ ถึงผมเองจะไม่อยากทำก็เถอะ…!

 

「เรย์จิ นายไม่ต้องพูดอะไรอีกแล้ว」

 

「คุณหนูครับ…」

 

「ชั้นรู้ นายเองก็คิดแบบเดียวกับชั้น!」

 

ช่ายยยย ไม่เลยสักนิด!

 

「เรย์จิ ไปหาท่านพ่อกันเถอะ!」

 

「อะไรนะครับ?」

 

ท่านเอิร์ลงั้นหรอ? ผมเริ่มเห็นว่าเรื่องนี้มันจะจบไม่สวยซะแล้วสิ

 

「ชั้นอยากจะไปขออนุญาตท่านพ่อเพื่อสั่งสอนพวกค้าทาสผิดกฎหมายที่กระจายตัวอยู่ในเมืองศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้!」

 

ท่านราชาศักดิ์สิทธิ์นั้นเข้มงวดเรื่องกฎหมาย “สั่งห้าม” เกี่ยวกับ “ทาส” มาก ทุกคนพูดกันว่ามันเป็น “ความเมตตาของราชาศักดิ์สิทธิ์” แต่ตัวผมไม่คิดแบบนั้น

 

แท่นบูชาแห่งแรกคือกระดูกสันหลังของประเทศนี้ หินสกิลมากมายถูกผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันในหมู่ผู้คนของประเทศนี้ และเนื่องจากไม่มีการเอาเปรียบเผ่าพันธ์ุอื่นๆ จึงมีผู้อพยพเข้ามาในประเทศเป็นจำนวนมาก

 

ดังนั้น ถ้าเรื่อง “ทาส” ได้รับการอนุมัติแล้วละก็ ผู้คนจำนวนมากก็จะกลายเป็นทาส เพราะมีผู้คนมากมายที่มายังเมืองศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้โดยที่ไม่มีเงินติดตัวมา ทาสจะตกเป็นทรัพย์สินของพวกคนรวย ซึ่งนั่นก็หมายความว่าพวกเขาสามารถสร้างกองทัพขึ้นมาได้อย่างถูกต้อง เหล่าขุนนางต่างหวาดกลัวถึงเรื่องนั้น

 

ถึงจะพูดแบบนั้น ก็ยังมีผู้คนมากมายที่ติดหนึ้มหาศาลอยู่ และถ้าพวกเขาไม่อาจจ่ายด้วย “ร่างกายของพวกเขาเอง” ได้ละก็ พวกเขาจะหาคนให้กู้ยืมไม่ได้

 

ดังนั้นจึงปรากฏ “ลูกน้อง” ขึ้นมา

 

ด้วยการผูกมัดจากเวทย์พันธสัญญา พวกเขาก็ไม่ต่างอะไรไปจากทาสเลย

 

แต่แน่นอนว่า เนื่องจากเมืองศักดิ์สิทธิ์ประกาศอย่างหนักแน่นไปแล้วว่า “การค้าทาสถูกหวงห้าม!” ธุรกิจแบบนั้นก็เลยไม่ปรากฏในสาธารณะ และเพราะแบบนั้นก็เลยไม่มีเหตุการณ์ที่ทาสเพิ่มมากขึ้นอย่างฉับพลันด้วย

 

นั่นคือที่ผมคิดในตอนที่ได้ยินเรื่องแบบนี้ครั้งแรก ในทางกลับกัน คุณหนูก็กำลังเกรี้ยวกราดอยู่

 

「ถ้าพวกเขาค้าทาสละก็ งั้นมันก็ขัดกับเจตจำนงของท่านราชันศักดิ์สิทธิ์นะสิ!」เธอยืนยันแบบนั้น

 

ด้วยระบบ “ลูกน้อง” นี้ อัตราดอกเบี้ยของผู้ให้กู้ยืมจึงไม่สูงขึ้น และมันไม่เหมือนกับทาสที่ถูกซื้อขายมาฐานะสิ่งของ “ลูกน้อง” ที่สามารถผูกมัดได้แค่เวทย์พันธสัญญาเจ้านาย-ลูกน้อง 1 ต่อ 1 เท่านั้น พวกเขาจึงมีมูลค่าน้อย ด้วยความคิดแบบนั้น ผมก็พูดออกไปว่าระบบ “ลูกน้อง” นั้นสามารถใช้เป็นหลักประกันสำหรับคนเป็นหนึ้ที่ไม่มีทางเลือกอื่นได้ แต่แน่นอน คุณหนูไม่ฟังเลยสักนิด ถึงมันจะไม่ยากที่จะกล่อมคุณหนูเพราะตัวคุณหนูเองก็ลดราวาศอกลงในตอนที่ผมอธิบายไปว่า “ถึงมันจะมีความเป็นไปได้ว่ากฎหมายจะถูกฝ่าฝืน แต่มันก็เป็นสิ่งที่จำเป็นนะครับ!”

 

สิ่งที่ขัดใจคุณหนูจริงๆก็คือเรื่องที่เด็กๆถูกเสนอให้ไปเป็น “ลูกน้อง” จากพ่อแม่ที่ติดหนี้

 

ถ้าถูกผูกมัดด้วยเวทย์พันธสัญญาแล้วละก็ พวกเขาจะถูกทำอะไรก็ได้ แบบทำอะไรก็ได้จริงๆ

 

หญิงสาวพรหมจรรย์นั้นขายได้ราคาดีมากในฐานะ “ลูกน้อง” ถ้าคุณหนูรู้เรื่องนี้เข้าละก็ และด้วยจิตวิญญาณแห่งความยุติธรรมแบบสุดๆที่อยู่ในตัวของเธอ จะไม่สามารถหยุดเธอได้อีกแน่นอน

 

(ถึงแม้ผมจะไม่คิดว่าท่านเอิร์ลจะยอมรับคำขอน่าสงสัยอย่างจัดการกับพวกพ่อค้าทาสหลังจากที่พวกนั้นสารภาพแล้วว่า “ใช่แล้ว พวกเราคือพ่อค้าทาส” ก็เถอะ…)

 

ที่ผมดีใจก็คือ ครั้งนี้คุณหนูมีจิตสำนึกพอที่จะไปพูดคุยกับท่านเอิร์ลก่อนจะไปทำอะไร

 

ในทุกวันนั้นท่านเอิร์ลมักจะยุ่งอย่างน่าเหลือเชื่อเลยละ ทว่าด้วยความที่เขาเป็นพวกโอ๋ลูก เขาเลยสละเวลามาฟังคำขอของเธอ เขาตอบเพียงแค่ “เอ่อ-ฮะ” ออกมาในขณะที่รับฟังเรื่องราวตั้งแต่ต้นจนจบ โดยที่ไม่แสดงอารมณ์ใดๆออกมาเหมือนเดิม

 

「เข้าใจแล้ว อีวา พ่อจะเตรียมรายชื่อของ “สำนักงานจัดการทรัพยากรมนุษย์” ที่ดูมีโอกาศสูงที่จะผิดกฎหมายให้ ดังนั้นลองไปติดต่อพวกนั้นดูนะ」

 

「ขอบคุณมากเลยค่ะ ท่านพ่อ!」

 

ผมคิดว่าตอนนั้นใบหน้าของผมดูแย่ยิ่งกว่าใบหน้าของอุ*ปจากเรื่องวัน*ชซะอีก

 

เอ๊ะ? ได้รับอนุญาต… อย่างงั้นหรอ?

 

ผมไม่รู้ว่าเพราะเขาได้ยินเสียงกรีดร้องจากดวงวิญญาณของผม หรือเพราะเขาไม่ได้สนใจความเห็นของผมมาตั้งแต้แรกแล้วกันแน่ แต่ท่านเอิร์ลก็ได้พูดออกมาว่า「เรย์จิซัง ข้าหวังพึ่งเจ้าในฐานะคนคุ้มกันอยู่นะ」

 

 

 

บทที่ 2 ตอนที่ 6

 

「นายเป็นผู้ใช้ศิลปะการต่อสู้ที่น่ากลัวจริงๆ ข้ามั่นใจว่าตอนที่นายอายุน้อยกว่านี่ คงต้องผ่านการฝึกฝนมาอย่างหนักแน่นอนเลยละ」แม็กซิมพูดแบบนั้นออกมาหลังจากที่ลุกขึ้นมาแล้ว ส่วนทางเหล่าอัศวินทั้งหลาย ถึงพวกเขาจะยังไม่พอใจ แต่ก็ไม่มาวิพากษ์วิจารณ์ผมอย่างเปิดเผยอีกแล้ว

 

「ถ้าคนคุ้มกันคนนั้นใช้งาน【เวทย์ความมืด】ได้เร็วขนาดนั้นได้ละก็ เขาต้องมีไม่【ควบคุมมานา】ก็【เสริมความเข้ากันได้กับเวทมนตร์】แน่ๆเลย」

 

「และเขายังสร้างม่านควันได้ด้วย【เวทย์ลม】ใช่ไหม?」

 

「ข้าได้ยินมาว่าเขาใช้【เวทย์ดิน】ในตอนที่ช่วยท่านเอิร์ลอีกด้วยนะ」

 

「งั้น เขาหลบการโจมตีของแม็กซิมซังได้ยังไงกัน? ช่องสกิลมันมีไม่พอหรอกนะแบบนั้น」

 

เหล่าอัศวินบางคนกำลังพูดคุยกันถึงเรื่องนี้อยู่ที่มุมๆหนึ่ง

 

พวกเขาคงจะสงสัยเพราะผมใช้เวทมนตร์หลากหลายแบบเกินไปสินะ… น่ารำคาญจริงๆ

 

เพิ่มเติมเล็กน้อย จริงๆต้องขอบคุณไรเครียซังที่ทำให้การเคลื่อนไหวทางร่างกายของผมดีขึ้น เพราะผมได้ยินเรื่องสกิลของเขามาจากเซอรี่ซัง

 

「หัวหน้าหนุ่มเขาได้รับสกิลสุดยอดหายากมาจากหัวหน้ากองทหารรับจ้างของเราหน่ะ มันคือสกิล【เสริมความแข็งแกร่งของร่างกาย★★★】มันจะช่วยเสริมความแข็งแกร่งของกล้ามเนื้อทั่วทั้งร่างกายเลย… ชั้นละสงสัยจังว่าหัวหน้าไปเอามันมาจากไหนกันแน่นะ…」

 

การเคลื่อนไหวของไรเครียซังนั้นไม่ได้มากจากสกิลที่เสริมพลังส่วนใดเพียงส่วนเดียว แต่เป็นสกิลที่เสริมพลังทุกส่วนเลยต่างหาก มันเหมือนกับ【เวทมนตร์ 4 ธาตุ】เลย ในจังหวะที่ผมรู้ถึงเรื่องนี้【World Ruler】ก็ได้เรียนรู้สกิลนี้ทันที

 

เพราะแบบนั้น การเคลื่อนไหวของผมก็เลยยกระดับขึ้นไปหลายขั้นเลย

 

ผมถูกไรเครียซังช่วยเอาไว้อีกแล้ว มันเหมือนกับเป็น “ของดูต่างหน้า” จากเขา

 

「เรย์จิ!」

 

การประลองในครั้งนี้ส่งผลต่อคุณหนูอย่างมาก

 

เธอเข้ามาเกาะติดผมมากขึ้นแล้วขอให้ผมอยู่ข้างกายของเธอ ตอนแรกผมก็สงสัยว่าอะไรกันที่ทำให้เธอมาเกาะติดผมแบบนี้ แต่ดูเหมือนว่าเธอคงจะไม่เลิกทำแบบนี้ในเร็ววันนี้แน่นอนเลย

 

ไม่มีเด็กที่อายุรุ่นราวคราวเดียวกันอยู่รอบๆตัวคุณหนูเลย

 

ที่นี่ไม่มีโรงเรียนและปกติขุนนางก็จะจ้างครูส่วนตัวมาสอนที่บ้าน คุณครูเหล่านี้ก็มักจะมาจากข้าราชการที่เกษียณอายุแล้วหรือเหล่าขุนนางด้วยกันเอง ดังนั้นมันจึงหมายความว่ามีเพียงแค่คนสูงอายุมาเท่านั้น ถ้าพูดถึงเพื่อนๆในรุ่นเดียวกัน เธอก็พบเจอบ้างตามงานเลี้ยงทางสังคมเช่น งานเต้นรำ, ปาร์ตี้น้ำชา, และงานเลี้ยงยามบ่ายที่พ่อของเธอพาไปอยู่หรอก

 

「เด็กที่อายุเท่าๆกันนั้นกลัวเกินไปที่จะเข้าหาชั้นนะสิ」คุณหนูพูดกับผมด้วยสีหน้าบูดบึ้งในช่วงพักจากการเรียน

 

「เพราะคุณหนูสวยเกินไปงั้นหรอครับ?」

 

「ต้องไม่ใช่อยู่แล้วสิ! ขนาดนายเองก็ยังแกล้งชั้นงั้นหรอ เรย์จิ!」

 

「อืม ผมพูดตามความจริงนะครับ…」

 

「เอ๊ะ!?」

 

คุณหนูที่กำลังหงุดหงิดนั้นก็มีใบหน้าที่แดงก่ำ ดูสมเป็นมนุษย์มากกว่า “ลอร์ดเลือดเย็น” อีก — อาาา งั้นนั่นก็คือเหตุผลที่เด็กคนอื่นเขากลัวกันสินะเนี้ย

 

「หมะ-หมะ-หมายความว่าไงกันที่บะ-บอกว่าชะ-ชั้นสะ-สวยหน่ะ…」

 

「เป็นเพราะท่านเอิร์ลหรือปล่าวครับที่ทำให้คนอื่นๆกลัวที่จะเข้าใกล้คุณหนูหน่ะ?」

 

「ชะ-ใช่แล้ว ใช่แล้วละ แต่นั่นไม่ใช่ที่ชั้นถามซะหน่อย นะ-นายพูดบางอย่างเกี่ยวกับสะ-สวย–」

 

「โชคไม่ดีเลยนะครับ แต่ผมมั่นใจว่าในสักวันนึง คุณหนูจะต้องได้พบกับเพื่อนที่ดีๆได้แน่นอนเลยครับ」

 

「…เรย์จิ?」

 

「งั้นเรามาเริ่มเรียนต่อกันเถอะครับ คุณครูครับ เริ่มต่อได้เลยครับ」

 

ใจนึงผมก็รู้สึกเห็นใจคุณหนูที่ต้องเกิดมาโดยมีพ่อเป็นคนที่ถูกเรียกว่า “ลอร์ดเลือดเย็น” แต่อีกใจนึง ผมก็ไม่เข้าใจว่าทำไมวันนี้เธอถึงอารมณ์เสียตลอดทั้งวันกัน

 

ชื่อเล่น “ลอร์ดเลือดเย็น” ดูจะเกิดจากความไม่พอใจของคนหลายๆคนนะ

 

อย่างไรก็ตาม เมื่อผมถามถึงเหตุผล ผมก็ได้รู้ว่าความไม่พอใจนั้นมาจากความความไม่พอใจที่ไม่ยุติธรรมต่อตัวเขาด้วยซ้ำ

 

「…เหตุผลที่ข้าถูกโจมตีงั้นหรอ? หืมม มันเป็นข้อมูลที่คนคุ้มกันของอีวาจำเป็นต้องรู้ด้วยละนะ งั้นข้าจะบอกเจ้าก็ได้」

 

ทุกๆ 10 วัน ชั้นจะต้องเข้าพบกับท่านเอิร์ลเพื่อ “รายงานสถานการณ์” มันมีไว้เพื่อยืนยันความคืบหน้าของสถานการณ์ที่ผมพบเจอ และรวมถึงสิ่งที่คุณหนูกำลังทำอยู่

 

「ข้าถูกแต่งตั้งให้เป็น “ผู้ช่วยเลขาธิการพิเศษ” ของ “ที่ทำการจัดการแท่นบูชา” มันเป็นองค์กรที่อยู่ใต้อำนาจสั่งการโดยตรงของราชันศักดิ์สิทธิ์」

 

…อยู่ๆก็ปรากฏชื่อองค์กรปริศนาขึ้นมาซะงั้น

 

「เรย์จิซัง ดูเหมือนว่าเจ้าจะไม่คุ้นเคยกับเรื่องพวกนี้เลยนะ ทั้งๆที่เจ้าอยู่ในภาคีอัศวินศักดิ์สิทธิ์แท้ๆ เอาเถอะ เดี๋ยวเจ้าก็รู้เองแหล่ะ เอาง่ายๆก็คือว่าข้าเป็น “คมมีดของราชันศักดิ์สิทธิ์” หน่ะ」

 

「ไม่ใช่ “คมมีดของเลขาธิการ” งั้นหรอครับทั้งๆที่เป็นผู้ช่วยของเลขาธิการแท้ๆนะครับ?」

 

「ใช่แล้ว ข้าจะไม่บอกรายละเอียดหรอกนะ แต่เจ้าก็น่าจะรู้นะว่ามันมี “แท่นบูชาแห่งแรก” ที่ใช้สำหรับผลิตหินสกิลอยู่ในราชอาณาจักรครูวานศักดิ์สิทธิ์หน่ะ ใช่ไหม?」

 

「!」

 

มันมีสถานที่เพียง 8 แห่งบนโลกเท่านั้นที่สามารถผลิตหินสกิลได้

 

หนึ่งในนั้นก็คือเหมืองที่ 6 ที่ผมเคยทำงานในฐานะทาสมาก่อน

 

และก็ตามชื่อของมัน แท่นบูชาแห่งแรกนั้นมีลักษณะเป็นแท่นบูชา ดูเหมือนจะมีหินสกิลจำนวนมากปรากฏขึ้นบนแท่นพร้อมกับแสงสว่างในทุกๆวัน

 

มีประสิทธิภาพมากกว่าขุดเหมืองอีก ในเหมืองมันมีสถานที่ที่ขุดหาหินสกิลได้ยากอยู่เช่นก้นทะเล, ธารน้ำแข็ง, และลาวา เทียบกันนั้น เราสามารถได้หินสกิลมาเป็นจำนวนมากในตอนที่มันโพล่ขึ้นมาบนแท่นได้อย่างไม่ลำบากยากเย็นอะไรเลยสักนิด

 

ในโลกใบนี้ หินสกิลนั้นส่งผลโดยตรงถึงอำนาจทางการทหาร

 

เรื่องที่ราชอาณาจักรครูวานศักดิ์สิทธิ์นั้นเป็นหนึ่งในประเทศมหาอำนาจทางการทหารนั้นก็คงเป็นเพราะ “แท่นบูชาแห่งแรก” นี่แหล่ะ

 

「ตอนแรก ข้าก็คิดว่าที่เรย์จิซังจะเข้าหาข้าเพราะต้องการข้อมูลของแท่นบูชาอยู่หรอก ทว่าดูจะไม่ใช่แบบนั้นนะ ที่เจ้าต้องการก็คือข้อมูลที่เกี่ยวกับหินสกิล “5 ดาวหรือมากกว่า” ถูกต้องไหม?」

 

「ครับ ผมอยากจะรู้ข้อมูลเกี่ยวกับการปรากฏตัวของมันหรือเรื่องที่มันถูกประมูลอะไรประมาณนั้นทั้งหมดเลยนะครับ」

 

「ข้าจะได้ยินเรื่องพวกนั้นไม่กี่ครั้งต่อปีเองนะ…」

 

「ไม่มีปัญหาครับ」

 

ท่านเอิร์ลพยักหน้า

 

「เรย์จิซัง ข้าได้ศึกษาค้นคว้าทุกอย่างเกี่ยวกับแท่นบูชาตามคำสั่งของราชันศักดิ์ศิทธิ์ และเมื่อไม่กี่ปีก่อนดูเหมือนจำนวนดาวของหินสกิลที่ปรากฏบนแท่นจะลดน้อยลง ข้ากำลังตามสืบเรื่องนั้นอยู่」

 

「จำนวนดาวลดลงหรอครับ…?」

 

「จำนวนการปรากฏตัวของหินสกิล 3 ดาวหรือมากกว่านั้นลดลงอย่างเห็นได้ชัด สิ่งเดียวที่สรุปออกมาได้ก็คือมีคนในองค์กรเอามันไปขายตามช่องทางผิดกฎหมาย」

 

「คนทรยศหรอครับ…?」

 

「ก็ไม่เชิงนะ พวกมันไม่ได้ทำเพราะต้องการทรยศหรอก น่าจะเป็นปัญหาเรื่องเงินมากกว่า เมื่อปีที่แล้ว ท้ายที่สุดข้าพบเข้ากับตัวการที่ซื้อขายหินสกิลแบบผิดกฎหมายนี้ ข้าจับพวกมันและประหารขุนนางทุกคนที่เกี่ยวข้องเลย」

 

อี๊กส์ ประหารงั้นหรอ?

 

「นะ-นั่นไม่ใช่อาชญากรรมร้ายแรงอย่างงั้นหรอครับ?」

 

ผมยืนอยู่เบื้องหน้าของท่านเอิร์ลในขณะที่รู้สึกสันหลังวาบ ท่านเอิร์ลพูดออกมาอย่างเรียบเฉยราวกับอ่านรายงานอยู่เลย

 

ตามที่เปิดเผยต่อสาธารณะ คนพวกนั้นถูกกล่าวในข้อหา ยักยอกทรัพย์, ติดสินบน, และก็ครอบครองทาส ตอนนั้นท่านเอิร์ลพูดเอาไว้ว่า “ทุกคนที่ประทุษร้ายต่อแท่นบูชาไม่นับว่าเป็นผู้บริสุทธิ์” – และพวกนั้นก็ถูกประหาร

 

แท่นบูชาจะต้องไม่ถูกประทุษร้ายอย่างเด็ดขาด

 

ท่านราชันศักดิ์สิทธิ์ได้กำชับเอาไว้อย่างหนักแน่นว่ามันจะเป็นปัญหาหากข้อมูลของแท่นบูชาหลุดออกไป ดังนั้นท่านเอิร์ลเลยต้องรับผิดชอบเรื่องการสืบสวนและการประหารแต่เพียงผู้เดียว

 

เพราะแบบนั้นก็เลยเกิดเป็นชื่อเล่น “ลอร์ดเลือดเย็น” ขึ้นมา

 

「อืม… ท่านครับ」

 

「อะไรรึ เรย์จิซัง?」

 

「ทำไมท่านถึงบอกอะไรสำคัญๆแบบนี้กับผมทั้งๆที่เป็นคำสั่งของราชันศักดิ์สิทธิ์กันละครับ?」

 

「………」

 

「………」

 

ช่างเป็นคนที่เจ้าเล่ห์อะไรอย่างนี้ อย่าเอาแต่ยิ้มสิ!

 

「ท่านน่าจะบอกผมซักเล็กน้อยก่อนที่ผมจะรับงานคุ้มกันนี้นะครับ…?」

 

「ก็เจ้าไม่ถามนี้」

 

ผมจะถามเรื่องแบบนั้นออกไปได้ยังไง! ผมไม่รู้เรื่องอะไรแบบนี้ซะด้วยซ้ำ!

 

เอาเถอะ คิดว่าท่านเอิร์ลก็คงไม่บอกหรอกถ้าผมถามก่อนที่จะมาเป็นคนคุ้มกันนะ!

 

「แล้วก็อีกอย่าง เรย์จิซัง เรื่องของ “ลูลูช่า” หน่ะ ก็เหมือนกับที่เราคุยกันเมื่อครั้งก่อน ยังไม่เจอคนที่ตรงตามที่เจ้าต้องการเลย」

 

ผมได้รับรายงานมาเป็นรายลักษณ์อักษร ไม่ใช่แค่ “ลูลูช่า” แต่คนที่ชื่อเหมือนอย่าง “ลูลูวช่า” และ “ลูลูชิ” ก็ยังถูกตรวจสอบด้วยเหมือนกัน

 

ถึงแม้ท่านเอิร์ลจะมีชื่อเล่นว่าลอร์ดเลือดเย็นก็จริง แต่ผมก็รู้สึกว่าเขาเป็นคนที่สุภาพและจริงใจมากๆในตอนที่พวกเราอยู่ด้วยกัน เขายังทำแม้กระทั้งเวทย์พันธสัญญาเลยด้วยซ้ำ

 

หลังจากนั้น ผมก็ได้รายงานเรื่องของคุณหนูออกไป ในช่วงเวลานั้น ผมรู้สึกได้ถึงความสุขจากตัวของท่านเอิร์ลด้วย

 

นั่นเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อไม่กี่เดือนก่อน ยังมีเรื่องที่คุณหนูกับผมเริ่มทำการ “บดขยี้ธุรกิจทาส” อยู่ด้วย

 

 

 

บทที่ 2 ตอนที่ 5

 

「ข้อที่ 3 ก็คือการรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับ 2 ข้อที่ผมขอเอาไว้พร้อมกับตอบคำถามผมมาอย่างซื่อสัตย์ครับ รวมถึงจะใช้เวทย์พันธสัญญาในการทำข้อตกลงครั้งนี้ด้วยครับ」

 

ผมคิดว่านี้แหล่ะเป็นข้อที่ท้าทายที่สุด

 

เวทย์พันธสัญญาก็คือเวทย์ที่ผมเคยโดนตอนเป็นทาสขุดเหมือง

 

ถ้ามีการยินยอมของทั้งสองฝ่าย เวทมนตร์นี้จะสามารถทำได้หลากหลายอย่างเลย ทาสขุดเหมืองนั้นแค่ถูกสั่งห้ามไม่ให้ดูดซับหินสกิลก็จริง แต่ปกติแล้วมันสามารถใช้สำหรับขัดขวางการใช้งานสกิลได้อีกด้วย

 

ชายคนนี้ที่มีตำแหน่งเป็นถึงขุนนางจะยอมรับเงื่อนไขี้ไหมนะ? เงื่อนไขจากผมเป็นเพียงแค่สามัญชน แถมเผลอๆยังต่ำกว่านั้นอีก

 

ผมเริ่มถูข้อมือซ้ายของผมอย่างไม่รู้ตัว ถึงแม้ว่ารอยสักจะหายไปนานแล้วก็เถอะ

 

รอยสักมันได้จางหายไปจากการใช้จิงจูฉ่ายถูมันอย่างต่อเนื่อง สุดท้ายก็ใช้เวลาไปประมาณ 1 ปีจนมันหายไปอย่างหมดจด

 

「เข้าใจแล้ว ข้ารับเงื่อนไขนี้!」

 

「มันจะดีจริงๆหรอครับ?」

 

「ข้าไม่ใส่ใจหรอก ตั้งเงื่อนไขเอาเป็นว่าถ้าข้าฝ่าฝืนสัญญา ข้าจะสูญเสียอิสระและบอกเจ้าถึงวิธีปลดล็อคตู้นิรภัยลับของข้าละกัน」

 

「มะ-ไม่ต้องถึงขนาดนั้นก็ได้ครับ…」

 

「ข้าบอกเจ้าแล้วไงว่าข้ารู้สึกเหมือนกับตายไปแล้วครั้งหนึ่งไง ใช่ไหมละ? ยิ่งไปกว่านั้น ใช้เวทย์พันธสัญญาไปก็ไร้ความหมายถ้าเจ้าไม่ทำถึงขั้นนั้น เรย์จิซัง เงื่อนไขของเจ้าหน่ะมันอ่อนโยนเกินไปเมื่อเทียบกับข้อขอคุ้มกันจากข้านะ」

 

「…เข้าใจแล้วครับ」

 

「และยังมีเงื่อนไขที่สำคัญมากกว่านี้หายไปอยู่นะ」

 

「อะไรงั้นหรอครับ?」

 

ท่านเอิร์ลถอนหายใจออกมา「เงินเดือนไง」เขาตอบกลับมาด้วยสีหน้าผิดหวัง

 

「โอ๊ะ ใช่แล้วครับ」

 

ปกตินั่นมันคือเงื่อนไขที่สำคัญที่สุดเลยไม่ใช่หรอ… งั้นมาลองเรียกเงินเดือนสูงๆเลยดีกว่า

 

「งั้นเอาเป็น 2 เหรียญทองต่อเดือน รวมถึงทั้งอาหาร,เสื้อผ้า,และที่อยู่ละกันครับ」

 

2 เหรียญทองก็ประมาณ 400,000 เยน เงินจำนวนนี้โดยที่มีทั้งอาหาร, เสื้อผ้า, และที่อยู่อาศัยฟรีนั้นนับเป็นเงินเดือนที่ฟุ่มเฟือยมากไปจริงๆ

 

ฟุฟุ แปลกใจหรือปล่าวครับ ท่านเอิร์ล?

 

ท่านเอิร์ลถอนหายใจออกมาอีกครั้ง

 

เอ๊ะ? นี่เขาเอามือก่ายหน้าผากตัวเองยังงั้นหรอ?

 

「เป็นเรื่องปกติที่พวกเราจะต้องเตรียมอาหาร,เสื้อผ้า,และห้องให้ที่นี่ ส่วนเงินเดือนของเจ้าจะเป็น 3 เหรียญทองศักดิ์สิทธิ์ต่อปี แล้วจะทยอยจ่ายเป็นเดือนๆไป」

 

「……ว่ายังไงนะครับ?」

 

เดี๋ยวก่อนนะ 1 เหรียญทองศักดิ์สิทธิ์มันก็ประมาณ… 25 เหรียญทอง ใช่ไหม?

 

ทั้งหมด 3 เหรียญ นั่นก็หมายความว่าเงินเดือนของผมเท่ากับ… 15 ล้านเยน?!!!

 

「ทำเป็นสัญญาจ้างวานรายปีแล้วค่อยมาดูกันอีกทีว่าจะต่อสัญญาหรือไม่ในทุกๆปีละกัน แล้วก็เนื่องจากเจ้าจะมาเป็นคนคุ้มกันให้กับลูกสาวของข้า เจ้าก็จำเป็นจะต้องเรียนรู้เกี่ยวกับแนวคิดและมารยาททางสังคมของขุนนางอย่างน้อยๆก็ประมาณขั้นต่ำอีกด้วย」

 

「คะ-ครับ…」

 

「เจ้าสามารถอาศัยอยู่ในคฤหาสน์หลังนี้ได้ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ข้าจะติดต่อกับภาคีอัศวินศักดิ์สิทธิ์ให้เอง」

 

「คะ-ครับ…」

 

ทุกอย่างถูกตัดสินไปแล้วในขณะที่ผมยังไม่หายจากอาการช็อคเลย

 

งั้น นี้ก็คือวิธีการต่อลองของพวกขุนนางหรอเนี้ย!

 

เพราะแบบนี้ ผมเลยถูกจ้างวานในฐานะ “คนคุ้มกัน” ของคุณหนู

 

ผมตกใจมากในตอนที่ผมได้พบกับคุณหนูเป็นครั้งแรก มีใครที่สวยงามขนาดนี้อยู่บนโลกใบนี้ด้วยงั้นหรอ ราวกับสิ่งมีชีวิตสุดน่ารักที่เกิดจากสภาพแวดล้อมสุดหรูหราของขุนนาง ราวกับสตรอเบอร์รี่สีแดงสดที่พึ่งเด็ดออกมาใหม่ๆจากสวนที่มีการดูแลอย่างดีแบบที่ไม่มีที่ไหนมาก่อน

 

โดยที่ไม่รู้ถึงอาการช็อคของผม คุณหนูก็เริ่มขออะไรที่สมกับเป็นลูกสาวของชนชั้นสูงออกมา

 

「นายแข็งแกร่งหรือปล่าว เรย์จิ?」

 

คำแรกที่ออกมาจากปากของผมหลังจากที่แนะนำตัวเสร็จแล้วก็คือ「งั้นๆครับ」

 

「งั้น ลองสู้กับอัศวินของท่านพ่อให้ดูหน่อยสิ!」

 

จากนั้นผมก็ตามด้วย – 「ผมต้องขอปฏิเสธครับ」,「ผมทำแบบนั้นไม่ได้ครับ」,「ผมขอปฏิเสธครับ」,「ผมไม่อยากทำครับ」,「ไม่ครับ」,「ยังไงก็ไม่ครับ」ผมปฏิเสธเธอแบบนั้นตามลำดับ ทว่าคุณหนูก็ยังไม่ยอมฟัง แถมตอนที่เหล่าอัศวินเองก็เริ่มสนใจขึ้นมา – จากอัศวินบางคนก็พูดถึงเรื่องของผมในคืนนั้น – ผมเลยจำใจต้องรับคำท้าที่สวนของท่านเอิร์ล

 

พื้นที่นี้ถูกล้อมรอบไปด้วยกำแพงสูง ดังนั้นจึงไม่มีทางมองเข้ามาจากภายนอกได้ ยกเว้นว่าจะปีนขึ้นไปบนหลังคาของอาคาร 3 ชั้นหรือสูงกว่านั้น – ที่สูงกว่ากำแพง – ถึงจะมองเข้ามาข้างในนี้ได้

 

ผมเจอเงาน่าสงสัยอยู่บนหลังคาของอาคารที่อยู่ห่างออกไปด้วย – ผมทำการรายงานเรื่องตำแหน่งของอาคารนั้นในภายหลัง – และด้วยคำอนุญาตจากท่านเอิร์ล ผมจึงจุดไฟขึ้นที่ 4 มุมของสวนแล้วใช้【เวทย์ลม】สร้างม่านควันขึ้นมาบังพื้นที่เอาไว้

 

ภายในสวนนั้นมีสนามหญ้าที่ถูกตัดให้เท่าๆกันอย่างสวยงาม โต๊ะกับเก้าอี้ถูกนำออกไปโดยเหลือเอาไว้เพียงแค่ชุดเดียว และแทนที่กันนั้นก็มีเหล่าอัศวินเข้ามาในสวนเรื่อยๆ

 

เหล่าคนรับใช้เองต่างก็ออกมาดูด้วย ผลก็คือมีผู้คนจำนวนมากมายที่มามุงดูเหตุการณ์ในครั้งนี้

 

「ทุกคน รับชมอย่างระมัดระวังละ」

 

ทำไมท่านเอิร์ลถึงมานั่งจิบชากับลูกสาวของเขาที่โต๊ะที่เหลืออยู่ละ?

 

「ข้ามีนามว่า แม็กซิม ดูปองท์(Maxim Dupont) หัวหน้ากองทหารแห่งตระกูลซิวลิซส์!」

 

ชายที่มีคิ้วหนาๆกับผมดัดก็ได้แนะนำตัวขึ้น

 

ประชาชนคนธรรมดานั้นมักจะไม่มีชื่อตระกูล ทว่าบางส่วนที่ถูกยอมรับโดยเหล่าขุนนางก็จะสามารถมีชื่อตระกูลได้… ดูเหมือนจะเป็นแบบนั้นนะ ที่ผมใช้คำว่าดูเหมือนนั่นก็เพราะว่าผมได้ยินมาจากเซอรี่ซังที่ไม่ค่อยสนใจในเรื่องแบบนี้นะสิ ดังนั้นข้อมูลของเธอก็เลยไม่ค่อยน่าเชื่อถือซะเท่าไหร่

 

แม็กซิมซังเป็นคนที่มีกล้ามล่ำบึกอายุประมาณ 30 ต้นๆ เขาดูจะกังวลถึงเส้นผมที่บางๆของเขา เขาสวมใส่อุปกรณ์ของอัศวินทั่วๆไป – นั่นก็คือเกราะโลหะกับเสื้อคลุม – พร้อมกับถือดาบขนาดใหญ่

 

ในทางกลับกัน ผมสวมใส่ชุดสูทสีดำและเน็คไทสีแดงสดที่ถูกเตรียมเอาไว้โดยตระกูลของท่านเอิร์ล เข็มกลัดที่ติดไว้นั้นสลักเป็นรูปพระจันทร์เสี้ยวและดาบ 2 เล่ม; สัญลักษณ์ของตระกูลท่านเอิร์ล

 

「ผมเรย์จิ ยินดีที่ได้รู้จักครับ」

 

「…นายจะสู้ด้วยชุดเบาๆแบบนั้นหน่ะหรอ?」

 

「แบบนี้ผมเคลื่อนไหวได้ง่ายกว่าครับ」

 

「ถ้านายพูดแบบนั้นเองละก็นะ」

 

ที่ผมประทับใจในตัวของแม็กซิมซังเลยก็คือเรื่องที่เขาเตรียมพร้อมและระมัดระวังผมอย่างเต็มที่ทั้งๆที่ผมเป็นแค่เด็กอายุ 13 ปีแท้ๆ

 

「เริ่มได้」ท่านเอิร์ลได้ให้สัญญาณเริ่มการต่อสู้

 

แม็กซิมซังพุ่งเข้ามาหาผมพร้อมกับเสียงคำราม

 

ช้ามาก ตั้งแต่พุ่งเข้ามาในระยะของศัตรูไปจนถึงตอนที่เหวี่ยงดาบใหญ่ของเขา มันค่อนข้างช้ากว่าของดันเต้ซังในตอนที่ยังมีคำสาปอยู่มาก พอมาคิดแบบนี้แล้ว ดันเต้ซังนี้สุดยอดจริงๆเลยนะ

 

「ว้าว สุดยอด」

 

ผมหลบมันในนาทีสุดท้าย ผมสงสัยจังว่าผมจะจบเรื่องนี้ได้โดยที่ไม่ทำตัวเด่นได้ไหม ทว่าเมื่อมองไปทางโต๊ะ ท่านเอิร์ลก็ส่งสายตามาทางผมราวกับบอกว่า “เอาจริงได้แล้ว!” ลอร์ดเลือดเย็นนี้ช่างน่ากลัวจริงๆ พอมองไปทางคุณหนูก็เห็นว่าเธอกำลังกังวลพร้อมกับกำผ้าเช็ดหน้าของเธอแน่น ไม่ใช่ว่าเธอ…

 

「ท่านพ่อคะ หนูขอโทษ หยุดการต่อสู้นี้เถอะค่ะ ถ้าเป็นอย่างนี้ต่อไปเรย์จิอาจจะตายได้นะคะ」

 

「ไม่เป็นไรหรอก เอวา ดูดีๆสิ เดี๋ยวมันก็จบลงใน 5 วินาทีแล้ว 5, 4…」

 

หมายความว่าให้ “จบภายใน 5 วินาที” สินะ เข้าใจแล้ว

 

「3」

 

แม็กซิมซังเหวี่ยงดาบลงมาพร้อมกับปลดปล่อยพลังมหาศาล ผมหลบมันโดยการเคลื่อนตัวไปข้างๆจนดาบนั้นได้ปักลงบนพื้น ตอนนั้นก็ได้มีเสียงกรีดร้องดังขึ้นมา 2 เสียง เสียงแรกก็คือเสียงของเหล่าเมด และอีกเสียงนึงก็คือเสียงของคนสวนที่ดูแลสนามหญ้าแห่งนี้

 

「2」

 

「ขออภัยนะครับ」

 

ผมกระโดดเข้าใส่อกของแม็กซิมซัง

 

แม็กซิมซังก็รีบปล่อยดาบของเขาทันที ก่อนจะปล่อยหมัดที่สวมถุงมือหุ้มแขนมาทางผม

 

「1」

 

ผมรับหมัดนั้นด้วยมือทั้งสองข้าง

 

…พลังอะไรกันเนี้ย

 

ร่างของผมกระเด็นออกไปในแนวนอนราวกลับตุ๊กตาที่ถูกขว้างข้ามสนาม คุณหนูกรีดร้องออกมาด้วยอาการช็อค ทว่าผมก็ทำการลงจอดได้อย่างสวยงามด้วยการหมุนตัว

 

「อูย… นิ้วชาเลยแห่ะ」

 

「………」

 

แม็กซิมซังมองมาที่ผมอย่างว่างเปล่า ทว่าหลังจากนั้น เขาก็ล้มลงไปข้างๆและแน่นิ่งไม่ไหวติงใดๆ

 

 

 

บทที่ 2 ตอนที่ 4

 

「ท่านครับ นั่นมัน…」หนึ่งในอัศวินพูดขึ้นด้วยสีหน้าขมขื่น แต่ท่านเอิร์ลก็ตอบกลับไปอย่างเย็นชาว่า 「หุบปาก」

 

ในขณะนั้นเอง ผมก็กำลังหาเส้นทางหลบหนีในกรณีที่เรื่องมันบานปลายมากไปกว่านี้ ผมจะพังหน้าต่างตรงนั้นแล้วหนีไป… และจะไม่พยายามช่วยขุนนางอีกแล้วเพราะมันจะพาผมมาเจอเรื่องยุ่งยากแบบนี้อีกแน่ๆ

 

「ข้ารู้ว่าข้าต้องมองไปยังอนาคต แต่ว่าข้าเองก็มีปัญหาของข้าเช่นกัน เมื่อข้าตายไป ลูกสาวของข้าก็จะตกอยู่ในอันตราย ลูกสาววัย 11 ขวบของข้าคงไม่อาจมีชีวิตรอดในสังคมของขุนนางที่เป็นดั่งพายุโหมกระหน่ำนี้ได้หรอก」

 

「งั้นหรอครับ? นั่นหมายความว่าท่านไม่ได้จะร้องขอให้ผมทำความสะอาดอย่างงั้นหรือครับ?」

 

「ได้โปรดทำความสะอาดศัตรูของลูกสาวข้าด้วย」

 

ลื่นไหลจังนะ…

 

「เรย์จิซัง ข้าลองค้นประวัติของเจ้าแล้ว ทว่าข้าก็ไม่พบอะไรที่เกี่ยวกับตัวตนของเจ้าเลย เจ้ามาถึงราชอาณาจักรศักดิ์สิทธิ์เมื่อ 3 ปีก่อน แล้วตอนนี้ก็ทำงานเป็นคนทำความสะอาดประจำภาคีอัศวิน ถึงจะไม่แน่ใจว่าทำไมเจ้าถึงทำงานเป็นคนทำความสะอาด แต่ว่าครั้งหนึ่งเจ้าก็เคยจ่ายหนี้ที่นักพจญภัยนามเซอรี่ติดค้างเอาไว้ ถูกต้องไหม?」

 

เขารู้เรื่องพวกนั้นในเวลาเพียงไม่กี่วันเนี้ยนะ ผมไม่แน่ใจว่าควรจะรู้สึกตกใจหรือทึ่งดี

 

「…เจ้ายังเลือกที่จะปิดปากเงียบยังงั้นรึ? เจ้าดูจะดีกว่าที่ข้าคิดเอาไว้ซะอีก」

 

…ไม่ ผมแค่อึ่งไปก็เท่านั้นเอง จริงๆผมเริ่มกลัวมากขึ้นแล้วนะจากการที่คุณคาดหวังกับผมไว้สูงหน่ะ

 

「คนอื่นๆออกไปซะ」

 

「ท่านครับแต่ว่า…」

 

「นี้เป็นคำสั่ง」

 

「ครับท่าน」

 

เหล่าอัศวินต่างออกไปจากระเบียงโดยส่งสายตาเกลียดชังมาที่ผม ถึงผมจะเป็นคนที่อยากจะออกไปจากที่นี่มากที่สุดก็เถอะนะ

 

เสียงเกราะโลหะกระทบกันในทุกฝีก้าวที่เหล่าอัศวินเดินไป ทว่าเมื่อพวกเขาจากไปแล้ว ความเงียบสะงัดนี้ก็กำลังทำร้ายผม

 

「…เออ นี่มันหมายความว่ายังไงหรอครับ? ผมตามไม่ทันแล้วครับ」

 

「ข้ารู้สึกเหมือนกับว่าได้ตายไปครั้งหนึ่งแล้ว เจ้าเข้าความรู้สึกนี้ไหม? ข้ามักจะระมัดระวังตัวอยู่เสมอถึงแม้จะอยู่ในเมืองศักดิ์สิทธิ์ก็ตาม แต่ว่าข้ากลับรู้สึกผ่อนคลายโดยที่ไม่รู้ตัว มันเป็นความผิดพลาดครั้งใหญ่ของข้าเลย」

 

「ท่านไม่สามารถระวังตัวอยู่ตลอดเวลาได้หรอกครับ」

 

「ขนาดคนที่แข็งแกร่งอย่างเจ้าก็ยังคิดเช่นนั้นรึ?」

 

「…ผมไม่ได้แข็งแกร่งอะไรหรอกครับ」

 

ผมคิดแบบนั้นจริงๆนะ เพราะพลังทั้งหมดที่ผมมีนั้นล้วนมาจาก【World Ruler】ทั้งนั้นเลย

 

ความแข็งแกร่งที่แท้จริงหน่ะหาได้จากสภาวะสุดขั้วเท่านั้น ดันเต้ซังเป็นคนที่แข็งแกร่ง เขาแสดงให้เห็นแล้วว่าเขาสามารถปกป้องพวกพ้องเอาไว้ได้ตั้งแต่ต้นจนจบ และในตอนนี้ที่พิษคำสาปหายเองก็หายดีแล้ว เขาจะต้องแข็งแก่รงมากกว่าตอนนั้นอย่างแน่นอน

 

「ดูจะไม่ใช่การถ่อมตนนะ ข้าคิดว่านั่นเป็นเรื่องที่น่าชื่นชมเลยละ」

 

「นั่นเองก็ไม่ใช่คำที่เอิร์ลควรใช้กับคนทำความสะอาดหรอกนะครับ」

 

「มีอะไรที่เจ้าอยากได้ไหม? ถ้าเจ้ายอบรับข้อเสนอของข้าละก็ ข้าจะบรรลุเงื่อนไขทั้งหมดของเจ้าให้เอง」

 

คำว่า “เงื่อนไขทั้งหมด” นั้นดึงความสนใจของผมเอาไว้

 

บอกตรงๆว่าสิ่งที่ผมอยากจะทำ – ตามหาข้อมูลเกี่ยกับลาร์ค และก็ตามหาคนที่ชื่อลูลูช่า – นั้นมีข้อจำกัดในการทำด้วยตัวคนเดียวอยู่

 

ผมคิดได้แค่ว่าในตอนนี้ผมจะไปตามเมืองใหญ่ๆแล้วถามหาข้อมูลกับกิลด์นักพจญภัยเอา อะไรอย่างฐานข้อมูลของประชากรนั้นไม่มีอยู่ในโลกใบนี้ และประวัติการเกิดที่บันทึกเอาไว้โดยโบสถ์เองก็ไม่เปิดเผยต่อสาธารณะอีกเช่นกัน

 

(แต่ถ้าเป็นพวกขุนนางละ?)

 

ผมก็ไม่รู้หรอกนะว่ามีขุนนางอยู่มากแค่ไหนในราชอาณาจักรคูวานศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ แต่เอิร์ลก็น่าจะมีตำแหน่งที่สูงพอตัวอยู่ เพราะเขาเองก็มีบ้านที่ใหญ่ขนาดนี้เลยนี่นา

 

คนคุ้มกันงั้นหรอ…

 

การปกป้องเขาโดยตรงมันก็น่าจะยากนิดหน่อยนะ เพราะเขาต้องไปยังที่ต่างๆบ่อยๆใช่ไหมละ? ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ที่เขอ บางครั้งเขาอาจจะต้องเข้าพบกับราชันศักดิ์สิทธิ์ด้วย เด็กอย่างผมคงจะตามเขาไปยังที่แบบนั้นไม่ได้หรอก และในทางกลับกัน พวกเขาจะรู้สึกระแวงผมมากกว่าซะอีก

 

แต่ถ้าเป็นลูกสาวของเขาละ?

 

(เขาบอกว่าเธออายุ 11 ขวบใช่ไหม? งั้นเธอก็อายุน้อยกว่าผมแค่ 2 ปีเอง มันก็คงดูไม่แปลกถ้าผมจะตัวติดไปกับเธอ… เดี๋ยวก่อนนะ นั่นหมายความว่าเขาคนนี้มีลูกในตอนที่ยังวัยรุ่นอยู่งั้นหรอ?!)

 

ผมประหลาดใจกับจุดที่ไม่สำคัญซะงั้น

 

「ดูจากที่เจ้ายังเงียบอยู่ก็แสดงว่าเจ้ากำลังตัดสินใจอยู่สินะ?」

 

ชายคนนี้มั่นใจว่าผมเป็นคนที่ช่วยชีวิตของเขาเอาไว้ มันเป็นไปไม่ได้แล้วที่จะโกหกเขาต่อไป…

 

ถ้ามันมีความเสี่ยงเพียงแค่เล็กน้อยละก็ ผมคงช่วยทำหน้าที่คุ้มกันให้ได้นิดหน่อยละนะ

 

「…แล้ว มีอันตรายอยู่รอบตัวคุณหนูมากแค่ไหนกันครับ?」

 

「น่าจะประมาณครึ่งนึงของข้าละนะ ขุนนางที่เป็นศัตรูเกือบทั้งหมดนั้นคงคิดว่าจะสามารถจัดการกับเธอได้ ถ้าข้าตายไปแล้วหน่ะ」

 

อืม มันก็ฟังดูไม่ได้เลวร้ายอะไร คิดว่านะ

 

「ท่านเอิร์ลครับ ทำไมท่านถึงเชื่อใจผมให้คุ้มกันลูกสาวของท่านละครับ เพราะแค่ผมเคยช่วยชีวิตท่านเพียงครั้งเดียวนะหรอครับ?」

 

「เจ้ามีประโยชน์กว่าพวกอัศวินในเหตุกาณ์นั้นทั้งหมดซะอีก แค่นั้นก็น่าจะมากพอแล้วนี่?」

 

「ผมคิดว่านั่นไม่ใช่เหตุผลดีพอที่จะฝากลูกสาวของท่านให้กับคนแปลกหน้าหรอกนะครับ」

 

「พวกเรากำลังตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากขนาดที่ถูกจ้องจะเอาชีวิตแม้จะอยู่ในเมืองศักดิ์สทธิ์เลยนะ ตามปกติข้าก็คงไม่ให้คนแปลกหน้าเข้าใกล้ลูกสาวของข้าหรอก แต่สถานการณ์ตอนนี้มันไม่ปล่อยให้ข้าลังเลใดๆแล้ว และเจ้าเองก็ดูเหมือนเด็ก มันสะดวกมากเพราะจะทำให้เจ้าไม่ถูกสงสัยเวลาอยู่ใกล้กับลูกสาวของข้า」

 

งั้นหรอ มันไม่มีผลเสียมากมายอะไรสำหรับจ้างผมอย่างนั้นสินะ

 

「…เข้าใจแล้วครับ ผมรับข้อเสนอ」

 

「ขอบคุณมาก」

 

ท่านเอิร์ลยิ้มออกมา ทว่ามันดูไม่เหมือนกับยิ้มจริงๆเลย

 

ผมจำได้ว่าเขาถูกเรียกว่า “ลอร์ดเลือดเย็น” สินะ ใครกันที่คิดชื่อเล่นที่แสนหยาบคายแบบนี้กัน? มันเข้ากับเขามากเลยละ

 

「อย่างไรก็ตาม–」

 

ผมชูนิ้วมือขึ้นมา 3 นิ้ว

 

「ผมมีเงื่อนไขอยู่ 3 ข้อครับ」

 

「ไหนลองว่ามาสิ」

 

「ข้อแรก ผมอยากจะรู้ข่าวคราวที่เกี่ยวกับหินสกิล 5 ดาวหรือสูงกว่าครับ」

 

「หินสกิลงั้นรึ…」

 

บางทีเขาคงจะไม่ได้คาดการณ์เงื่อนไขข้อนี้ของผมเอาไว้ เพราะเขากำลังกระพริบตาด้วยความแปลกใจอยู่

 

ผมคิดว่ามันคงจะดีกว่าถ้าไม่พูดชื่อลาร์คออกไป เพราะเธอเป็นคนที่มีหมายจับจากสหพันธรัฐคีทแกรนด์ เหตุผลที่ผมไม่จำกัดแค่ “6 ดาว” และใช้เป็น “5 ดาวหรือมากกว่า” ก็เพราะจะให้เจตนาของผมเป็นปริศนาให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้

 

「ข้อที่สอง ผมกำลังตามหาผู้หญิงที่ชื่อว่า “ลูลูช่า” อยู่ครับ ผมไม่แน่ใจเรื่องอายุแต่ก็น่าจะประมาณตัวผม และตัวเธอเองก็มีพรสวรรค์ด้านเวทมนตร์อีกด้วยครับ ได้โปรดใช่อิทธิพลของท่านเพื่อตามหาเธอด้วยครับ」

 

「หืมม… เธอคนนั้นเกี่ยวข้องอะไรกับเจ้ากัน เรย์จิซัง?」

 

「อา เธอไม่ใช่ญาติหรือศัตรูหรอกครับ ผมแค่ได้รับฝากข้อความมาจากคุณตาของลูลูช่าแล้วอยากจะส่งให้ถึงเธอก็เท่านั้นเองครับ」

 

「โหว」

 

ท่านเอิร์ลยิ้มมากขึ้น และถึงมันจะแค่เล็กน้อย แบบเล็กน้อยจริงๆ – ขนาดที่ถ้าไม่ใช่ผมก็คงจะไม่สังเกตเห็น – มันปรากฏอารมณ์ที่แท้จริงของเขาผสมอยู่ในรอยยิ้มนั้นด้วย

 

「เจ้านี้น่าสนใจดี ปกติเงื่อนไขจ้างวานและการต่อรองมักจะทำเพื่อผลประโยชน์ของตนเองนะ」

 

「มันก็กำไรมากพอสำหรับผมแล้วละครับ… แทนที่จะบอกว่ากำไร มันเป็นอะไรที่ผมต้องทำมากกว่าครับ…」

 

「ข้ายอมรับข้อเสนอทั้งสองข้อของเจ้า ยังไงซะการตามหาคนก็เป็นความถนัดของข้าอยูแล้ว」

 

ไม่ต้องสงสัยเลย เขาเองเจอผมในเวลาเพียงไม่กี่วันเท่านั้นเอง นั่นแหล่ะทำไมผมถึงยอมรับงานคุ้มกันนี้

 

ท่านเอิร์ลเอนตัวมาข้างหน้าและวางศอกลงบนโต๊ะ โต๊ะส่งเสียงออกมาเล็กน้อย ในจังหวะนั้นเองคิ้วของเขาก็กระตุกไปเล็กน้อย – โอ้ ใช่แล้ว มือของเขาถูกยิงด้วยหน้าไม้นี่นา

 

ถึงแม้บาดแผลจะถูกปิดทันทีด้วย【เวทย์รักษา】ก็จริง แต่ความเจ็บปวดมันก็ไม่ได้หายในทันทีด้วย ส่งผลให้ยังคงเหลือความเจ็บปวดไปอีกสักพัก

 

ถึงแม้ว่าแผลเล็กๆน้อยๆจะหายขาดในทันทีก็เถอะ

 

「งั้นมาฟังเงื่อนไขข้อที่ 3 กันเถอะ เรย์จิซัง」

 

 

บทที่ 2 ตอนที่ 3

 

ร่างกายของผมนั้นขยับไปเอง

 

ผมกระโดดลงมาจากหลังคาแล้วลงจอดที่ตรอกด้านหลังโดยที่ไม่ให้เกิดเสียง ผมใช้งาน【เสริมการมองเห็น】,【Night Vision】,【เสริมการได้ยิน】,และ【เสริมการดมกลิ่น】อย่างเต็มที่แล้วก็พบว่าไม่มีสัญญาณของผู้คนนอกจากมือสังหาร

 

ผมเองก็ไม่แน่ใจว่าขุนนางคนนั้นชั่วร้ายหรือไม่ แต่ผมรู้สึกว่าผมต้องทำอะไรซักอย่าง

 

「อันดับแรกก็เพื่อไวเคานต์โนวกุที่ถูกแกทำลายไป」

 

มือสังหารเตรียมหน้าไม้ของเขา; หน้าไม้มันพกพาง่ายและแม่นยำอย่างมาก

 

เมื่อลูกธนูถูกยิงออกมา มันก็ได้ทะลวงฝ่ามือซ้ายของขุนนางคนนั้น ใบหน้าของเขาบิดเบี้ยวไปด้วยความเจ็บปวดแต่ก็ยังคงไม่แสดงความรู้สึกใดๆออกมา

 

「…หืมม เลือดของ “ลอร์ดเลือดเย็น” ก็ยังเป็นสีแดงเหมือนกันสินะ หา…」

 

ตอนที่ยิงลูกธนูออกไป ผมก็ได้อยู่ด้านหลังห่างจากพวกเขาเพียงแค่ 10 เมตรเท่านั้น

 

ขุนนางคนนั้นต้องเห็นการมาของผมแล้ว ทว่าเขากลับไม่มองมาที่ผมเลย ไม่แสดงสีหน้าออกมาด้วยซ้ำ

 

…สุดยอดไปเลย

 

ปัญหาก็คือการจัดการกับทั้ง 5 คนนี้ ถ้าผมทำพลาดเพียงแค่เล็กน้อยละก็ มือสังหารระดับมืออาชีพพวกนี้ต้องฆ่าขุนนางคนนั้นก่อนแน่นอน หลังจากนั้นค่อยวิ่งหนีหรือหันมาสู้กับผม ถ้าเป็นอย่างนั้นละก็ ที่ผมลงมาถึงตรงนี้ก็ไร้ค่าทันที

 

ไม่จำเป็นต้องร่ายเวทย์ขนาดใหญ่เพื่อจัดการคนจำนวณมากหรอก แถมด้วยการที่พวกมือสังหารอยู่ใกล้กับขุนนางคนนั้นด้วย ถ้าผมใช้เวทย์ขนาดใหญ่ ขุนนางคนนั้นต้องโดนลูกหลงไปด้วยแน่นอน

 

ผมกางมือไปทางเหล่ามือสังหาร หินสีดำขนาดเท่าลูกปิงปองก็ปรากฏขึ้นที่ปลายนิ้วของผมทีละอัน

 

(หนึ่ง, สอง, สาม…)

 

นี้เป็นเวทย์กระสุนหิน ที่มีพื้นฐานมากจาก【เวทย์ดิน】ทว่าตามปกติแล้วจะสร้างได้เพียงแค่ก้อนเดียวเท่านั้น

 

แถมตามต้นฉบับหินจะมีสีเทา แต่ของผมเป็นสีดำเพราะผมเลียนแบบวิธีของมือสังหารพวกนี้

 

(สี่, ห้า…)

 

มันเป็นไปไม่ได้ที่จะสร้างหินขึ้นมา 5 ก้อนแล้วคงสภาพมันไว้ในเวลาเดียวกันด้วยการควบคุมเวทย์ตามปกติหรอก ขนาดนักเวทย์มากประสบการณ์ยังทำได้สูงสุดแค่ 3 ก้อนเอง

 

ใบหน้าของขุนนางคนนั้นแสดงความแปลกใจออกมาเป็นครั้งแรก

 

(ใบหน้าตอนตกใจของเขาเป็นแบบนี้เองหรอเนี้ย คิดว่าเขาจะเป็นคนไร้ความรู้สึกซะอีก แต่ก็ดีใจที่มันไม่เป็นแบบนั้นนะ…)

 

อย่างไรก็ตาม แน่นอนว่าเหล่ามือสังหารเองก็รับรู้ถึงอารมณ์ที่เปลี่ยนไปของเขาเช่นกัน

 

「หืมม…? ไม่มีทางน่า! กำลังเสริมมาแล้วงั้นเรอ—」

 

ผมยิงกระสุนหินทั้ง 5 ลูกออกไปทันที พวกมันโดนเข้าที่หลังหัวของเหล่ามือสังหารจนพวกเขาสลบไป

 

จริงๆผมก็อยากจะผสมมันด้วย【เวทย์ไฟ】แล้วยิง “ฟิงเกอร์แฟลร์บอมบ์” ออกไปอยู่หรอก ขนาดผู้คนในญี่ปุ่นยังไม่ค่อยมีคนรู้จักมันเลย ไม่ต้องพูดถึงผู้คนในโลกนี้เลยละ “การผจญภัยของได” นี้มันสุดยอดที่สุด! (TL: ตามโน๊ตของENบอกว่า “ฟิงเกอร์แฟลร์บอมบ์” กับ “การผจญภัยของได” มาจากDragon Quest)

 

ขุนนางคนนั้นอึ้งไปจากที่เห็นผมจัดการกับพวกมือสังหารพร้อมๆกัน

 

…หืมม พอดูใกล้ๆแล้วชายคนนี้โคตรดูดีเลย

 

ในทางกลับกัน ผมที่ใส่ชุดสำหรับฝึกซ้อมที่มีรอยเย็บ – เพราะมันขาดในตอนที่ฝึกซ้อมอยู่ – และมีผ้าขนหนูคล้องอยู่ที่คอ

 

ถ้าไม่สนใจดวงตาสีดำของผม ผมสีฟ้าเทาของผมนั้นถือเป็นเรื่องปกติของผู้คนบนโลกนี้ ดังนั้นจึงไม่มีใครเอะใจ สีย้อมที่ผมใช้ก็เรียนรู้มาจากมิมิโนะซังแล้วใช้วัตถุดิบของผมทำขึ้นมาเอง

 

「เจ้าเป็นใครกัน?」

 

…อา ขนาดเสียงก็ยังหล่อเลย เขาต้องได้รับพรจากพระเจ้าแน่ๆ

 

「ผมเป็นเพียงแค่คนทำความสะอาดที่ผ่านทางมาก็เท่านั้นเองครับ แล้วก็ดูเหมือนว่าเพื่อนๆของคุณจะขยับไม่ได้เพราะพิษยาชา ดังนั้นพวกเขายังไม่ตายหรอกครับ ส่วนพวกมือสังหารเองก็คงไม่ตื่นขึ้นมาในเร็วๆนี้หรอกครับ แต่ทางที่ดีก็ควรจะมัดมือของพวกเขาเอาไว้นะครับ เพื่อเอาไว้」

 

ตามที่【World Ruler】บอกเอาไว้ เหล่าอัศวินกับคนขับรถม้านั้นไม่เป็นอะไรมาก อัศวินพวกนั้นไม่ใช่สมาชิกภาคีอัศวินที่ผมทำงานให้บ่อยๆ พวกเขาคงเป็นเหล่าอัศวินที่ถูกจ้างโดยตรงโดยขุนนางคนนี้

 

ผมถอดหน้ากากของพวกมือสังหารพร้อมกับมัดมือพวกเขาอย่างช่ำชอง

 

「งั้น ผมขอตัวนะครับ」

 

รางวัลหรือคำขอบคุณนั้นไม่จำเป็น ผมอยากจะออกไปจากที่นี่แล้ว

 

ถึงมันจะเป็นเวลากลางคืน แต่ในไม่ช้าประชาชนรอบๆบริเวณนี้ก็คงจะรู้ตัวแน่นอน และถ้าผมถูกจับไปสอบสวนละก็ ตารางทำความสะอาดของผมก็จะถูกเลื่อนออกไป

 

นั่น… เป็นแค่ข้ออ้างโง่ๆของผมก็เท่านั้นเอง

 

(ความจริงก็คือ… ผู้ชายคนนี้น่ากลัวมาก)

 

เขายังคงใจเย็นแม้ในตอนที่เขากำลังจะถูกฆ่า แถมเขายังจ้องมาที่ผมอย่างไม่วางตาเลยด้วย

 

ผมรู้สึกรางไม่ดีจากตัวเขา

 

「เจ้าเป็นใครกัน?」

 

เขาถามคำถามเดิมออกมา

 

「ก็แค่คนทำความสะอาดที่ผ่านทางมาครับ เอาละถ้างั้น」

 

รู้สึกเหมือนกับว่าเขาจะถามคำถามเดิมซ้ำๆแน่ๆถ้าผมไม่พูดอะไรออกไป ดังนั้นผมจึงบอกเขาออกไปแบบนั้นแล้วรีบหนี ผมวิ่งออกมาค่อนข้างเร็ว เขาเลยตามผมมาไม่ได้

 

เพราะแบบนั้น ฉากการช่วยเหลือเขาเอาไว้เลยไม่ใช่เรื่องน่าทึ่งอะไร

 

ปัญหามันต่อจากนั้นต่างหาก

 

ไม่กี่วันต่อมา ในช่วงเวลาตอนบ่าย ผมก็ได้ถูกเรียกตัวไปโดยผู้ดูแลหอพักของภาคีอัศวินศักดิ์สิทธิ์ที่ 18 แห่งราชันศักดิ์สิทธิ์

 

「โอ้ เจ้าหนูทำความสะอาด โทษทีนะที่เรียกนายมา」ผู้ดูแลหอพักพูดขึ้น เขามีหนวดสั้นๆและค่อนข้างอ้วน แต่โดยรวมแล้วก็ดูเป็นคนใจดี

 

「นายท่านเอิร์ลซิวลิซส์อยากจะจ้างนายให้ไป “ทำความสะอาด” หน่ะ」

 

ขุนนางอยากให้ผมไปทำความสะอาดยังงั้นหรอ?

 

「ข้าว่าชื่ออย่าง “นักทำความสะอาดในตำนาน” คงจะเป็นที่นิยมในหมู่พวกขุนนางแล้วแน่ๆเลย ฮ่าๆๆๆ…」

 

「นั่นเป็นไปได้ด้วยหรอครับ?」

 

「แน่นอนสิ พวกอัศวินเกือบทั้งหมดที่นีานั้นเป็นเครือญาติของพวกขุนนางกันอยู่แล้ว  ถ้าพวกเขาพูดถึงนายในตอนที่กลับบ้านละก็ มันก็เป็นไปได้ละนะ」

 

「หืมม ยังงั้นหรอครับ」

 

สั้นก็คือ ผมประมาทเกินไป

 

หลังจากนั้นผมก็เปลี่ยนเป็นชุดสำหรับทำความสะอาด ก่อนจะถูกพาไปยังคฤหาสน์ขนาดใหญ่ที่ดูราวกับงานศิลปะ และขุนนางคนที่ผมช่วยเอาไว้เมื่อไม่กี่วันก่อนก็กำลังรอผมอยู่ที่นั่น

 

ระเบียงของคฤหาสน์นั้นถูกสร้างโดยกระจกใสขนาดใหญ่ ผมสงสัยจังว่ามันต้องใช้เงินเท่าไหร่ในการสั่งทำกระจกที่ทั้งใสและไร้ฟองอากาศแทรกข้างในแบบนี้กัน? เขานั่งอยู่ตรงโต๊ะสีขาวที่มีเก้าอี้เบาะสีแดง เขากำลังดื่มชาอย่างละเมียดละไม พร้อมกับอ่านเอกสารในมือไปด้วย ภาพของท่านเอิร์ลในตอนนี้ราวกับภาพวาดเลยละ มีอัศวิน 2  คนยืนอยู่ด้านหลังของเขาและอีก 3 คนอยู่ด้านหลังของผม หนึ่งในคนที่ยืนอยู่ด้านหลังของท่านเอิร์ลนั้นก็อยู่ในเหตุการณ์คืนนั้นด้วย

 

ต่างจากอัศวินในภาคี เหล่าอัศวินที่ถูกจ้างโดยตรงจากขุนนางนั้นมีรูปลักษณ์ที่ต่างออกไป อัศวินในภาคีนั้นจะใช้สีฟ้าสว่างที่เป็นสัญลักษณ์ของราชันศักดิ์สิทธิ์ ทว่า อัศวินพวกนี้นั้นสวมเสื้อคลุมสีแดงและเกราะโลหะสีขาว พวกเขาไม่ได้ใส่ชุดแบบนี้ในคืนนั้น ทว่ากลับใส่มันในตอนนี้… ก็หมายความว่าพวกเขากำลังระมัดระวังตัวมากขึ้นหลังจากการโจมตีครั้งนั้นสินะ?

 

เนื่องจากในโลกนี้ไม่มีเครื่องจักรไว้ทำงาน เครื่องสวมใส่ทั้งหมดนั้นจึงเป็นของทำมือ ถ้าเขาเตรียมมันมาได้มากขนาดนี้ก็แสดงว่าขุนนางคนนี้ต้องรวยมากๆเลยละ

 

ถึงของอัศวินในภาคีจะแพงมากกว่าก็เถอะ แต่นั่นก็มาจากภาษีประชาชน

 

หลังจากที่รู้สึกตัวถึงผม ปากบางๆของท่านเอิร์ลก็เปิดออก

 

「ขอบคุณที่ได้ช่วยข้าเอาไว้เมื่อวันก่อน」

 

「…ท่านหมายถึงเรื่องอะไรหรอครับ?」

 

จากมุมมองของผม มีเหตุผลที่ผมต้องระมัดระวังตัวอยู่มากมายเลยละ ชายคนนี้ตามหาตัวผมได้จากข้อมูลอันน้อยนิดที่เขาได้ไปจากคืนนั้นเลยนะ

 

「ผมมาที่นี่ก็เพราะคำขอให้ทำความสะอาดครับ จากที่ผมดูๆมา คฤหาสน์หลังนี้นั้นค่อนข้างสะอาดเลยนะครับ และต้นไม้ในสวนเองก็ถูกตัดแต่งอย่างดี แถมเกราะของคุณอัศวินก็ยังสะอาดสดใสมากๆอีกด้วยครับ ดังนั้นมันก็ดูจะไม่ค่อยเหลืออะไรให้ผมทำเลยนะครับ」

 

「ข้าอยากข้อร้องให้เจ้ามาเป็นคนคุ้มกันให้กับลูกสาวของข้า」

 

อืม อยู่ๆคำขอแบบนั้นก็โพล่มาจากไหนไม่รู้

 

 

 

บทที่ 2 ตอนที่ 2

 

ผมนึกย้อนไปยังตอนที่ผมได้ช่วยชีวิตของท่านเอิร์ล วิกเตอร์ เดอ ซิวลิซส์ เอาไว้ แต่มันก็ไม่ใช่เหตุการณ์ดราม่าอะไรหรอก มันอยู่แค่ระดับที่ว่า “อ่าห์ มาคิดดูดีๆแล้วมันก็เคยมีเรื่องแบบนั้นเกิดขึ้นนี่นะ” อะไรแบบนั้น

 

ยิ่งไปกว่านั้น มนุษย์สัตว์เผ่าแมวเซอรี่ซังนั้น ดียิ่งกว่าที่ผมคิดไว้ซะอีก! ผมดีใจจริงๆที่เธอมากับผมด้วย

 

หลังจากที่ออกมาจากเมืองหลวงแห่งอาณาเขตดยุคอเคนบาค ผมก็ได้มุ่งหน้าไปที่ราชอาณาจักรอัศวินนักบุญด้วยการนำทางของเซอรี่ซัง มันมีจุดตรวจชายแดนเพียงแห่งเดียวเท่านั้น ทว่า มันก็ยังมีเส้นทางลับของพวกที่ทำธุรกิจมืดอยู่ ดังนั้นเซอรี่ซังเลยพาผมข้ามชายแดนโดยใช้เส้นทางพวกนั้น

 

มันต้องใช้เงินเล็กน้อยเพื่อที่จะทำแบบนั้น แต่ว่าเซอรี่ซังก็ไม่ได้มีเงินมากพอสำหรับ “เล็กน้อย” นั่นหรอก ดูเหมือนว่าเธอพอจะจ่ายได้จากการหาเงินเพิ่มเล็กน้อยภายในเมือง

 

ราชอาณาจักรอัศวินนักบุญเป็นประเทศที่ปกครองโดยราชันอัศวิน และด้วยความที่เป็นประเทศที่มีอำนาจทางการทหารมาก มันจึงไม่ค่อยมีที่ที่ให้พวกนักพจญภัยทำงานของพวกเขาเลย ดังนั้น พวกเราจึงแค่ผ่านมันไป

 

ถัดจากประเทศนี้ก็จะเป็นราชอาณาจักรคูวานศักดิ์สิทธิ์ เป็นประเทศที่มีหลากหลายเผ่าพันธ์ุอาศัยอยู่ร่วมกัน มันมีชีวิตชีวามากแต่ก็มีอาชญากรรมเยอะมากเช่นกัน สำหรับผม มันดูเหมือนกับเป็นประเทศที่เปิดกว้างในหลายๆเรื่องเลยละ

 

แล้วก็อีกอย่าง จะสามารถได้ยินประโยคพวกนี้บ่อยมากเลยด้วย

 

「แสงแห่งราชันศักดิ์สิทธิ์จะส่องสว่างถึงทุกคนในราชอาณาจักร」

 

「ราชันศักดิ์สิทธิ์นั้นปกครองด้วยสันติ」

 

เสียงเชียร์สรรเสริญราชันศักดิ์สิทธิ์นั้นเป็นเรื่องปกติมาก

 

ผมวางแผนที่จะลงทะเบียนในฐานะนักพจญภัยในเมืองศักดิ์สิทธิ์แห่งคูวานยู แล้วก็จะฝึกใช้งาน【World Ruler】ให้ชำนาญในเวลาเดียวกัน

 

「เธออยากจะเป็นนักพจญภัยเพื่อดูว่าพวกนักพจญภัยคนอื่นเขาสู้กันยังไงอย่างงั้นหรอ…? ไม่ ไม่อะ ไม่มีทาง เป็นไปไม่ได้หรอก〜 ผู้คนไม่เปิดเผยสกิลของพวกเขาง่ายๆหรอก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ว่าเธอดูตัวเล็กมากเลยด้วย ดังนั้นไม่มีใครคิดจะรับเธอเข้าปาร์ตี้ด้วยหรอกนะ หนุ่มน้อย〜 เธอจะเอาแบบนี้ไหม ให้ชั้นไปเป็นนักพจญภัยหาเงิน ส่วนเธอก็ไปหางานที่มันมั่นคงมากกว่านี้ทำเป็นไง?」เซอรี่ซังพูดขึ้นมาแบบนั้น เนื่องจากที่เธอพูดมามันก็มีส่วนถูก ดังนั้นผมจึงไม่มีทางเลือกนอกจากยอมรับข้อเสนอของเธอ

 

เซอรี่ซังก็ยังคงเกาะติดผมมาด้วยแม้จะมาถึงจุดหมายปลายทางแล้วก็ตาม ผมคิดว่ามันก็คงไม่เป็นไรหรอก ถึงเธอจะทำตัวสนิทสนมมากเกินไปและกวนประสาทในบางครั้ง แต่เธอก็ไม่ใช่คนที่เลวร้ายอะไร

 

กลับมาที่เรื่องของผม ผมได้รับตำแหน่งอันทรงเกียรติที่เรียกว่า “คนทำความสะอาดของภาคีอัศวินที่ 18 แห่งราชันศักดิ์สิทธิ์”เหล่าอัศวินที่แข็งแกร่งภายใต้ตำแหน่ง “ภาคีอัศวินแห่งราชันศักดิ์สิทธิ์” นั้นต้องผ่านการฝึกที่โหดหิน เมื่อเสร็จจากการฝึก พวกเขาก็จะกลับไปยังหอพักแล้วหลับเป็นตายเลย เนื่องจากพวกเขาเองก็มีเงิน พวกเขาก็มักจะเข้าไปในเมืองภายในวันหยุดของพวกเขาที่หาได้ยากมาก

 

ถึงผมจะเป็นแค่คนทำความสะอาด – แต่ห้องของพวกเขามันสกปรกมากๆ แถมจำนวนผ้าที่ต้องซักก็เยอะเกินปกติอีกด้วย

 

ผมทำความสะอาดห้องพวกนั้นให้ดูสะอาดวิบวับโดยการผสมผสานสกิล【เวทย์น้ำ】,【เวทย์ไฟ】,และก็【เวทย์ลม】เข้าด้วยกัน ผมเองก็ทำแบบเดียวกันนี้กับการซักผ้าด้วย สภาพอากาศภายในเมืองศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้นั้นพิเศษเป็นอย่างมาก มันมีฝนตกไม่ค่อยบ่อยนัก ทว่าถ้าฝนได้ตกละก็ มันจะไม่หยุดเป็นอาทิตย์เลยละ ดังนั้น พวกเขาเลยดีใจมากที่ผมสามารถทำให้ภายในห้องแห้งสนิทได้

 

บางครั้งพวกอัศวินก็จะให้ทิปกับผมด้วยเมื่อเห็นว่าห้องสะอาดเหมือนใหม่ และถ้าผมมีเวลาว่าง ผมก็จะไปเฝ้าดูพวกเขาฝึกซ้อมกันเพื่อที่จะเรียนรู้สกิลหลากหลายแบบ

 

…การพบกับท่านเอิร์ลนั้นยังคงอยู่หลังจากนี้อีกสักหน่อย

 

อย่างไรก็ตาม เมื่อผมอายุได้ 10 ขวบ ผมก็ได้รับชื่อเล่นลึกลับว่า “นักทำความสะอาดในตำนาน” ผมถูกนับถือจากเหล่าอัศวินเพราะงานที่ผมทำ ถูกนับถือจากเหล่าป้าแม่ครัวที่ผมผลิตน้ำร้อนให้ แลถูกนับถือจากเหล่าช่างตีเหล็กเผ่าคนแคระจากการทำความสะอาดห้องทำงานของพวกเขา

 

เมืองศักดิ์สิทธิ์แห่งนี่นั้นใหญ่มาก ดังนั้นในวันหยุด ผมก็จะออกไปเดินเที่ยวเล่นแล้วก็ทานอาหารอร่อยๆ

 

ผมค่อนข้างมีความสุขกับการใช้ชีวิตในเมืองศักดิ์สิทธิ์แห่งนี่มากเกินไปหน่อย ถึงผมจะหาเพื่อนไม่ได้เลยก็เถอะ เป็นเพราะว่าผมมีอายุน้อยที่สุดในหมู่คนที่ผมเคยพบด้วย

 

ข่าวลือเกี่ยวกับผมได้กระจายไปยังกองอัศวินอื่นๆด้วย และผมต้องคอยไปนู้นไปนี่เพื่อทำความสะอาดให้กับพวกเขา มันน่าแปลกใจมากที่ผมเริ่มที่จะได้รับเงินเดือนของอัศวินด้วย ถึงจะพูดแบบนี้แต่เงินเดือนมันก็แค่ผลพลอยได้เท่านั้น จริงๆก็คือผมมีความสุขมากที่ผมสามารถฝึกเวทมนตร์ได้โดยที่ไม่ผิดและสามารถเพิ่มประสิทธิภาพของสกิลที่ผมเรียนรู้มาได้ต่างหาก ปริมาณมานาของผมก็ค่อยๆเพิ่มขึ้นอย่างช้าๆ – แต่นั่นก็เป็นเพราะผมสามารถควบคุมสกิล【เพิ่มปริมาณมานา】ที่ผมเรียนรู้มาจากคริสต้า-ลา-คริสต้าได้แล้วก็เท่านั้นเอง

 

ผมยังคงฝึกซ้อมอย่างลับๆ ถ้าไม่ได้ใช้สกิลละก็จะไม่มีวันชำนาญแน่ เพราะแบบนั้น ผมเลยมีความคิดที่จะถอนสกิล【World Ruler】ออกมาจากนั้นค่อยใช้สกิล

 

ถ้าผมนำสกิล【World Ruler】ออกมา ผมก็จะใช้สกิลที่ผมเคยเรียนรู้มาไม่ได้ ทว่าความทรงจำของสกิลยังคงอยู่ในหัวของผม ดังนั้น ผมจึงสามารถเคลื่อนไหวร่างกายได้ตามความทรงจำของสกิลพวกนั้นแล้วค่อยๆเพิ่มประสิทธิภาพของมัน  เป็นเรื่องลึกลับมากเลยละ เมื่อผมดูดกลืน【World Ruler】เข้ามาอีกครั้ง ผมก็รู้สึกเหมือนกับว่าเข้าใจสกิลที่ผมเคยเรียนมามากขึ้นกว่าแต่ก่อนด้วย

 

ต้องขอบคุณเรื่องนี้ที่ทำให้ผมสามารถต่อสู้ได้แม้สกิลจะถูกปิดการทำงานไป

 

ขณะที่ผมคอยเก็บออมเงินเอาไว้จากการทำงาน เซอรี่ซังที่พูดว่าจะหาเงินจากการเป็นนักพจญภัยก็ได้ใช้เงินของตัวเองไปทั้งหมดกับการพนันแล้วก็เป็นหนี้ – หนี้ที่ผมต้องจ่ายให้ก่อนด้วยเงินเก็บทั้งหมดของผม และแล้ว 3 ปีก็ได้ผ่านไปแบบนั้น

 

ผมเริ่มคิดว่ามันถึงเวลาแล้วที่จะทำอะไรด้วยตัวเอง

 

ถึงผมจะไม่รู้ว่าเธออยู่ไหน แต่ผมก็อยากจะเจอ “พี่สาว” ของผม ลาร์ค

 

 

แล้วผมเองก็อยากจะเจอ ลูลูช่า ด้วย หลานสาวของตาแก่ฮินกาที่สอนผมถึงเรื่องต่างๆบนโลกใบนี้ การจะบรรลุเป้าหมายพวกนี้ได้ ผมก็ต้องรวบรวมข้อมูลในขณะที่เดินทางผ่านพวกเมืองใหญ่ๆ

 

ผมที่กำลังคิดถึงแผนในอนาคตของผมแบบนั้น – ในกลางดึกของช่วงต้นฤดูใบไม่ผลิ – ผมก็ได้พบเข้ากับรถม้าและคนคุ้มกันหลายคันขับอยู่ในเมืองศักดิ์สิทธิ์ ในตอนที่ผมกำลังฝึกใช้สกิล【ทักษะการวิ่ง】กับ【ทักษะการกระโดด】วิ่งไปตามหลังคาอยู่นั้น รถม้าก็ได้ถูกโจมตีจนลุกไหม้

 

คนขับรีบหยุดรถม้าทันทีก่อนจะช่วยเหลือชายดูท่าทางจะเป็นขุนนาง – อืม แน่นอนว่าเขาก็คือท่านเอิร์ล วิกเตอร์ เดอ ซิวลิซส์ฺนั่นเอง – ออกมาจากรถม้า

 

ทว่าลูกธนูก็ได้ลอยลงมาจากบนฟ้าปักเข้าที่คนขับจนเขาล้มลงไป อัศวินที่อยู่รอบๆรถม้าต่างก็ล้มลงไปทีละคน

 

(ฉลาดมาก ลูกธนูถูกทาด้วยสีดำ ดังนั้นมันจึงหลบได้ยากมาก)

 

ขณะที่กำลังประทับใจในความรอบรู้ของผู้โจมตี ผมก็กำลังคิดถึงสิ่งที่จะทำต่อไป

 

(ผมช่วยพวกเขาดีไหมนะ? แต่ผมไม่รู้ว่าขุนนางคนนั้นเป็นใครหน่ะสิ… เขาอาจจะเป็นขุนนางชั่วร้ายก็ได้ใครจะรู้)

 

เอาเถอะ ปรากฏว่าท่านเอิร์ลซิวลิซส์เป็นประเภท “นิสัยเสีย” มากกว่าจะเป็นประเภท “ชั่วร้าย” ละนะ

 

กลับมาเข้าเรื่องหลักกันต่อ ผมทำเพียงแค่เฝ้ามองเหตุการณ์นั้น

 

เมื่อเหลือท่านเอิร์ลเพียงแค่คนเดียวใกล้ๆกับรถม้าที่กำลังลุกไหม้ มือสังหาร 5 คนก็ปรากฏตัวขึ้นล้อมรอบเขา เหล่ามือสังหารที่สวมใส่ชุดสีดำและหน้ากากที่แสดงแค่ดวงตาได้พูดอะไรบางอย่างกับท่านเอิร์ล

 

「—เตรียมตัวเอาไว้ซะ… คำขอของผู้ว่าจ้าง… มากที่สุดเท่าที่จะทำได้」

 

ผมได้ยินเพียงแค่คำบางคำขณะที่ผมกำลังแอบฟังด้วยสกิล【เสริมการได้ยิน】

 

ผมคิดว่าขุนนางคนนั้นต้องถูกฆ่าแน่นอน ทว่า เขากลับยังคงดูสงบและไม่สะทกสะท้านใดๆเลย

 

ผมตรวจดูขุนนางคนนั้นให้ระเอียดมากขึ้น

 

ผมสีบอร์นเงางามของเขายังคงสวยงามเด่นชัดท่ามกลางความมืดยามราตรี และดวงตาสีแดงสดของเขาที่ดูจะแบกรับความเศร้าโศกเอาไว้นั้นสวยงามขนาดที่ตัวผมเองที่เป็นผู้ชายก็ยังรู้สึกตราตรึงใจ

 

เขาอายุ 20 ปลายๆรึปล่าวนะ?

 

(อ่าห์ คนๆนี้… เขาไม่ได้กลัวความตายเลยแม้แต่นิดเดียว)

 

ภาพซ้อนทับของไรเครียซังก็ได้เด้งเขามาในหัวของผม

 

 

 

บทที่ 2 ความอาฆาตที่แท้จริงมักพบได้ในความเมตตา รุ่งอรุณของหญิงสาวกับพ่อที่เลือดเย็น

 

ตอนที่ 1

 

—ผมรู้มาตั้งแต่แรกแล้วว่าพวกเรานั้นมักจะถูกดูถูกดูแคลน

 

「ข้าก็นำลูกน้องที่ดีที่สุดตามที่เจ้าร้องขอมาแล้วนี้ มีปัญหาอะไรอีกรึไง?」

 

พูดออกมาได้นะว่ามันมีปัญหาอะไร ทั้งหมดนั่นแหล่ะที่มีปัญหาตั้งแต่ต้นแล้ว

 

ชายอ้วนที่มีผิวเป็นโรคดีซ่าน – บางทีอาจจะเกิดจากอวัยวะภายในบกพร่อง – อ้างว่าสินค้า “ระดับต่ำ” เป็นสินค้า “ที่ดีที่สุด” โดยที่ไม่คิดจะปิดบังสีหน้าดูถูกบนใบหน้าเลยด้วยซ้ำ

 

ชายคนนี้มีแหวนมากมายอยู่บนนิ้วมืออ้วนๆที่ดูเหมือนกับหนอน และมีผ้าพันขอที่ถูกทอด้วยเส้นใยสีทองพันอยู่ที่คอของเขา เขาดูเหมือนกับไอ้ฉ้อโกงสารเลวทั่วๆไปเลยละ

 

ผมคิดแล้วว่าต้องมีคนแบบนี้อยู่ไม่ว่าจะโลกไหนก็ตาม ผู้คนมักจะพูดว่า “รูปลักษณ์ภายนอกบ่งบอกถึง 90% ของคนๆนั้น” ผมใส่เสื้อผ้าที่ทำมาจากไหมอย่างดี และสวมเครื่องประดับผมคุณภาพดีบนผมสีฟ้าเทาที่หวีเอาไว้ด้วยน้ำมันพืช เข้ากันกับสูทสีดำที่งดงาม – ผมแปลกใจมากเลยละที่มีสูทในโลกนี้ด้วย – แต่งตัวแบบนี้ผมก็จะไม่ถูกดูถูกจากใครอีก

 

…แน่นอนว่ายกเว้นอายุของผมละนะ

 

แต่ ผมก็เติบโตขึ้นมากแล้วนะใน 4 ปีที่ผ่านมา ตอนนี้ผมสูง 160 เซนติเมตรแล้ว จนถึงขนาดที่พวกพ้องของผม มนุษย์สัตว์นามเซอรี่ พูดออกมาว่า “เธอโตเหมือนกับต้นไผ่เลยละ เนี้ยฮาฮาฮา…” แล้วหัวเราะออกมา ถึงจะไม่สูงถึงความสูงมาตรฐาน แต่ก็ไม่คิดว่าจะมีใครเรียกผมว่าตัวเล็กอีกต่อไปแล้วนะ

 

อย่างไรก็ตาม ถ้าจะมีอะไรที่เรียกได้ว่าปัญหา ก็คงเป็นใบหน้าของผม

 

ใบหน้าของผมคือใบหน้าของเด็กอายุ 14 ปีเท่ากับอายุของผม ปกติการทำข้อตกลงแบบนี้ก็มักจะมีการตัดสินที่ “รูปลักษณ์ภายนอก” – ที่มันรวมถึง “รูปลักษณ์จากอายุ” ด้วยนะสิ

 

“ก็แค่เด็กน้อยละนะ แต่ก็ดูมีเงินอยู่ รีดเงินจากมันดีกว่า” – เขาต้องคิดแบบนั้นอยู่แน่ๆ

 

「แต่ในสายตาของชั้น ดูจะมีแต่คนป่วยกับคนเจ็บทั้งนั้นเลยนี่」

 

ขณะที่ผมยืนอยู่ข้างหลังของคุณหนู – คุณหนูที่ดูจะโดนดูถูกมากกว่าผมซะอีกเพราะว่าเธอยังอายุแค่ 12ปี – ที่กำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้หรูหราได้พูดขึ้นมาแล้วทุบผัดของเธอลงบนฝ่ามือ

 

ชุดเดรสของคุณหนูนั้นเป็นสีแดงสดเช่นเดียวกับดวงตาของเธอ จีบระบายอันสวยงามบนกระโปรงของเธอนั้นทำจากช่างฝีมือชั้นหนึ่ง ผมสีบอร์นอันสว่างสดใสและงดงามนั้นไหลลงมาตามชุดเดรสราวกับลำธารสีทอง ชุดเลมเดรสที่เธอสวมนั้นเธอสามารถโยนมันทิ้งเมื่อไหร่ก็ได้ แค่นั้นก็บ่งบอกได้ถึงจำนวณเงินที่คุณหนูครอบครองได้แล้ว และการที่เธอมาหาชายอ้วนแบบนี้นั้นหมายความเธอกำลังมองหาอะไรมาแก้ชีวิตประจำวันอันน่าเบื่อของเธออยู่ – นั่นต้องเป็นสิ่งที่ผู้คนภายนอกคิดอยู่แน่ๆ (TL: “เลมเดรส(lame dress)” นั้นเป็นเดรสที่ถูกทอขึ้นจากเส้นไหมที่ทำจากทองคำ,เงิน,และโลหะชนิดอื่นๆ เอาตรงๆคือโคตรแพง)

 

นั่นแหล่ะคือเหตุผลที่คุณหนูมักจะถูกดูถูก – คิดว่ามันคงง่ายที่จะหลอกคุณหนูผู้อ่อนต่อโลกแบบนี้

 

ภายใต้หน้าม้าที่หวีจากขวาไปซ้าย นัยน์ตาสีแดงสดของคุณหนูนั้นในตอนนี้กำลังเต็มไปด้วยโทสะ ผมพยายามอย่างมากที่จะไม่มองไปยังตาของเธอ ดวงตาของเธอเป็นดวงตาเวทมนตร์ มันสวยงามมากพอที่จะทำให้คนที่เห็นมันตกเป็นทาสเลยละ

 

「งั้นรึ? ถ้าอย่างงั้น พวกเรามาพูดคุยเกี่ยวกับเหล่าลูกน้องขณะที่รับประทานอาหารด้วยกันหลังจากนี้กันเถอะ」

 

มองดูหมอนี้สิ ไอ้อ้วนสารเลวที่กำลังขุดหลุมฝังตัวเอง ตอนแรกเขาก็ดูถูกเธอ จากนั้นก็พยายามหลอกเธอ แล้วตอนนี้เขาก็คิดจะจีบเด็กสาวอายุ 12 ปีอีก โลลิค่อนชัดๆ หมอนี้หมดทางรอดแล้วละ

 

อย่างไรก็ตาม มันก็ไม่ได้หมายความว่าไอ้อ้วนนี้จะเป็นคนโง่หรอกนะ มันเป็นปฏิกิริยาตามปกติแหล่ะ อีกอย่าง ไอ้อ้วนนี้ก็คงจะพยายามอย่างมากจนมาถึงตำแหน่งนี้ได้เลยละ

 

สถานที่ที่ผมกับคุณหนูอยู่ในตอนนี้ก็คือหนึ่งใน “สำนักงานทรัพยากรมนุษย์” ที่อยู่ใน ครูวานยู(Kruvanyu) เมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์แห่งราชอาณาจักรครูวานศักดิ์สิทธิ์

 

พวกเขาจะคอยบริการจัดสรรทรัพยากรมนุษย์ มันเหมือนกับสถานที่ที่จะคอยส่งผู้คนไปยังร้านค้าต่างๆที่ขาดคนงานอะไรประมาณนั้น

 

อย่างไรก็ตาม หัวหน้าของที่นี่ก็คือชายอ้วนคนนี้ และเขาก็ค่อนข้างรวยด้วย การตกแต่งภายในของสำนักงานนี้นั้นตกแต่งไปด้วยโคมระย้าขนาดยักษ์ที่ห้อยลงมาจากเพดาน และมีพรมสีแดงปูเอาไว้บนพื้น ถึงไม่สนว่ามันมาจากรสนิยมหรืองานอดิเรกของเขา – แต่มันก็มีค่าเป็นเงินจำนวณมากเลยละ

 

การบริการจัดสรรทรัพยากรมนุษย์มันทำเงินได้มากขนาดนั้นเลยงั้นหรอ?

 

คำตอบก็คือนั่น – เหล่าชายหญิงที่ยืนเรียงกันอยู่ตรงพื้นที่ที่ถูกยกสูงขึ้นเล็กน้อยใกล้ๆกับกำแพง

 

มือของพวกเขาถูกมัดด้วยกุญแจมือและมีโซ่คล้องเอาไว้ที่ขา พวกเขานั้นตัวเปลือยเปล่าโดยไม่มีผ้ามาปิดบังเลยแม้แต่น้อย อย่างที่คุณหนูได้พูดเอาไว้ ไม่มีใครที่มีสุขภาพดีเลย; บางคนเสียอวัยวะบางส่วน, บางคนป่วยอย่างเห็นได้ชัด, และบางคนก็มีแผลเน่าอยู่ตามร่างกายอีกด้วย พวกเขาควรจะอยู่ที่โรงพยาบาลมากกว่ามายืนเปลือยกายอยู่ในที่แบบนี้ด้วยซ้ำ แต่แน่นอนว่ามันไม่ได้ง่ายอย่างนั้น “ชีวิต” ในโลกใบนี้หน่ะมันราคาถูกแถมเล็กน้อยมากเลยละ

 

「นี่นายจะบอกว่าคนพวกนั้นเป็น “ลูกน้อง” งั้นหรอ…?」คุณหนูขมวดคิ้ว แต่ถึงเธอจะขมวดคิ้วและมีใบหน้าที่เป็นทุกข์ เธอก็ยังงดงามไม่เปลี่ยนแปลงเลย

 

“ลูกน้อง” – ตามปกติก็จะเป็นคำที่ใช้เรียก “ผู้ช่วย” หรือ “ผู้ติดตาม” ทว่า เมื่อพวกเขามายืนเรียงกันตัวเปลือยเปล่าแบบนั้น พวกเขาก็ไม่มีทางเป็นหนึ่งในทั้งสองอย่างนั้นแน่นอน

 

พูดง่ายๆก็คือ มันถูกใช้เป็นรหัสลับของ “ทาส” นั่นแหล่ะ

 

เนื่องจากการค้าและครอบครอง “ทาส” นั้นถือเป็นเรื่องผิดกฎหมายในราชอาณาจักรครูวานศักดิ์สิทธิ์ พวกเขาเลยถูกซื้อขายในฐานะของ “ลูกน้อง” และถูกควบคุมโดยเวทย์พันธสัญญาอยู่ดี แล้วแบบนี้มันจะแตกต่างยังไงกับ “ทาส” กัน?

 

「อืม ดูเหมือนแบบนี้มันจะน่าตกใจเกินไปเล็กน้อยสำหรับคุณหนูเล็กน้อยสินะ คุณหนู ถ้าจะให้พูดละก็ พวกนั้นหน่ะเป็นทาสละนะ」

 

ชายอ้วนดีดนิ้วของเขา

 

ประตูห้องก็ได้เปิดออก มีเหล่าชายกล้ามใหญ่ดูท่าทางแข็งแกร่งเดินเข้ามา โชคดีที่ครั้งนี้พวกเขาสวมเกราะกันแทนที่จะเปลือยกาย ถ้าพวกนั้นเปลือยกายละก็ ผมคงโดนต่อว่าโดยคุณพ่อของคุณหนูแน่ๆเลยจากการไม่ปกป้องความใสสื่อบริสุทธิ์ของเธอเอาไว้

 

「หืมม คนพวกนั้นก็ด้วยงั้นหรอ…」

 

มีอยู่หลากหลายเผ่าพันธ์ุเลย – ทั้งมนุษย์,มนุษย์สัตว์,มนุษย์ปลา,คนแคระ – ทว่าพวกเขาทั้งหมดมีท่าทางที่ดูมั่นใจมาก

 

และที่ข้อมือซ้ายของพวกเขานั้นก็มีรอยซักคล้ายกับกำไลอยู่

 

ผมได้ถูที่ข้อมือซ้ายของผมโดยไม่รู้ตัว

 

「แน่นอน พวกเขาก็เป็นทาสเหมือนกัน」

 

「ของนายทั้งหมดเลยหรอ?」

 

「แน่นอนอยู่แล้ว เอาเถอะ เปลี่ยนใจตอนนี้ก็สายไปซะแล้วละคุณหนู」

 

ชายอ้วนมองไปที่คุณหนูตั้งแต่หัวจลดเท้าราวกับจะเปลื้องผ้าของเธอด้วยสายตาขณะที่เลียริมฝีปากของตนเองไป

 

ด้วยจำนวณคนขนาดนี้รวมถึงการข่มขู่คุณหนูด้วย… ผมคิดว่าเขามีแผนที่จะข่มขื่นเธอแน่นอน

 

อืม คุณหนูได้อ้างว่าตัวเองมาจากบริษัทที่ไม่มีอยู่จริงนามว่า “บริษัทความเท่าเทียมอันยุติธรรม” มันเป็นชื่อที่ชายอ้วนไม่เคยได้ยินมาก่อน นั่นหมายความว่ามันไม่ได้ตั้งอยู่ในเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์ – ดังนั้นเขาเลยคิดที่จะปิดบังข้อมูลเกี่ยวกับเธอไม่ให้หลุดออกไป มันไม่มีผู้ช่วยของเธอคนอื่นนอกจากชั้นแล้วด้วย

 

ยิ่งไปกว่านั้น คุณหนูก็สวยมากอีกด้วย บวกกับนิสัยโลลิค่อนของไอ้อ้วนนี้ด้วย ผมก็เลยเข้าใจความรู้สึกของเขาอยู่หรอก – แค่นิดเดียวหน่ะนะ

 

ถึงอย่างงั้นก็เถอะ ผมคิดว่าอย่างน้อยๆเขาก็ควรจะรออีกซัก 5 ปีนะ

 

「ใช่… ชั้นไม่เปลี่ยนใจหรอก」น้ำเสียงของคุณหนูนั้นเย็นยะเยือกราวกลับคืนอันหนาวเน็บในหน้าหนาว「นายมันทุจริตโดยสมบูรณ์แล้ว ที่นายกำลังทำมันฝ่าฝืนกฎหมายข้อที่ 17 ของกฎหมายจากราชาศักดิ์สิทธิ์แห่งครูวาน “สิทธิพลเมืองของราชอาณาจักรศักดิ์สิทธิ์” นะ」

 

「ว่าไงนะ?!」

 

ชายอ้วยงุนงง ก่อนที่ใบหน้าของเขาจะเปลี่ยนเป็นสีแดง

 

「แก… ข้าด็คิดว่าแกเป็นแค่เด็กสาวไร้เดียงสา แต่เป็นแกเองเรอะที่เป็น “นักบดขยี้ธุรกิจค้าทาส” ที่ร่ำลือกันในตอนนี้หน่ะ หา!?」

 

ว้าว ผู้คนตั้งชื่อเล่นให้กับคุณหนูว่า “นักบดขยี้ธุรกิจค้าทาส” โดยที่ไม่มีความคิดสร้างสรรค์ในชื่อเลยแห่ะ

 

「หืมม! ช่างน่าเสียดาย! “นักบดขยี้ธุรกิจค้าทาส” ที่ร่ำลือกันนั้นเป็นแค่เด็กตัวแค่นี้ แถมผู้ช่วยก็ยังเป็นเด็กอีกต่างหาก」

 

หยุดพูดว่า “เด็ก” ได้แล้ว ไอ้อ้วน อายุ 14 ปีแล้วก็เจ็บเหมือนกันนะ

 

แล้วก็อีกอย่างนึง เด็กอายุ 12 ปีที่อยู่ข้างหน้าของผมในตอนนี้ก็น่าจะกำลังเดือดดาลเต็มที่เลยละ เธออยู่ในช่วงอายุที่เกลียดการโดนหาว่าเป็นเด็กน้อยสุดๆไปเลยละ

 

「ถึงพวกแกอาจจะมีสกิลที่สุดยอดอยู่ แต่แย่หน่อยนะ ห้องนี้ได้ถูกร่ายเวทย์ปิดการใช้งานสกิลเอาไว้แล้ว ถ้าอยากจะสู้ละก็ งั้นข้าเองก็จะไม่ออมมือเหมือนกัน เฮ้ย พวกแก! จับเด็กสาวคนนั้นซะ!」ชายอ้วนได้ออกคำสั่งกับเหล่าทาสของเขา

 

「…เรย์จิ」

 

「ครับ คุณหนู」

 

「ปกป้องชั้น」

 

ในจังหวะนั้นเอง เหล่าชายที่กำลังพยายามล้อมพวกเราเอาไว้ก็ได้กระเด็นออกไป บางคนกระแทกกับกำแพง บางคนก็ลอยไปชนกับตู้ ทำลายขวดเหล้าที่เรียงรายกันอยู่บนนั้น และบางคนที่เหลือก็ชนเข้ากับประตูทางเข้าขนาดใหญ่แล้วลอยออกไปข้างนอก

 

「เกิด… อะไรขึ้น?」

 

ชายอ้วนดูจะไม่เข้าใจถึงสิ่งที่เกิดขึ้น

 

「จำนวณพ่อค้าทาสที่พวกเรากำจัดมาแล้วคือ 5」ผมพูดออกไปพร้อมกับแสดงนิ้วมือ 5 นิ้วไปทางเขาขณะที่จัดผมหน้าม้าของตัวเองที่เสียทรงไปจากการที่ผมควบคุมเวทย์ได้แย่มากด้วยมืออีกข้าง

 

「ทั้งหมดนั่นใช้เวทย์ปิดการใช้งานสกิลในห้อง ทำไมแกถึงคิดว่าผลลัพธ์ของแกมันจะต่างออกไปกันละ?」

 

「ไม่คือ เอออ หว่า…」

 

「มันสามารถใช้เวทมนตร์ได้แม้จะไม่มีสกิลก็ตาม พวกแกเอาแต่หวังพึ่งสกิลกันมากเกินไปไงละ… ราตรีสวัสดิ์นะ」

 

ผมเข้าไปใกล้ชายอ้วนและยื่นมือออกไป ผมเองก็ไม่อยากจะตะไปที่ใบหน้ามันแผลบๆแบบนี้หรอก แต่ถ้าไม่ทำผมก็จะใช้เวทมนตร์ไม่ได้ ดังนั้นผมเลยต้องแตะมัน  

 

ผมทำให้เขาหลับไปด้วย【เวทย์ความมืด】ส่งผลให้ตัวเขาล้มลงไปบนพื้น

 

「จบแล้วหรอ?」

 

「ครับ มันจบแล้ว」

 

「งั้น ไปเรียกยามมา!」

 

「ครับ ครับ」

 

ผมยื่นมือออกไปนอกหน้าต่างที่เปิดเอาไว้แล้วเล็งไปบนท้องฟ้า มีนกไฟปรากฏขึ้นจากฝ่ามือของผมและบินไปบนท้องฟ้ายามพลบค่ำของเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์ อีกไม่กี่นาทีมันก็น่าจะไปถึงหอพักยามรักษาการณ์ แล้วก็คงเหมือนทุกๆครั้ง หัวหน้ายามรักษาการณ์การก็จะรีบพุ่งมาที่นี่ทันที

 

ผมสงสัยจังเลยว่าชายอ้วนคนนี้จะแก้ตัวยังไงเมื่อตื่นขึ้นมาแล้วกันนะ…? บางทีเขาคงจะแสร้งทำตัวเป็นผู้เสียหาย – เหมือนกับที่พวกพ่อค้าทาสคนอื่นๆเคยทำ – แล้วก็อ้างว่าเขาถูกโจมตีโดยเด็กผู้ชายกับเด็กผู้หญิง

 

แต่นั่นจะเป็นตอนที่เขาจะได้รู้ถึงตัวตนที่แท้จริงของเด็กสาวคนนี้

 

「ไปกันเถอะครับ คุณหนู อีวา ท่านพ่อของคุณ ผมหมายถึง ท่านเอิร์ลคงกำลังรอคุณหนูอยู่แน่นอนเลยครับ」

 

ผมออกมาจากสำนักงานพร้อมกับคุณหนู ลูกสาวของท่านเอิร์ล ซิวลิซส์(Sillys)

 

เมื่อผมพยักหน้าให้กับเซอรี่ซังที่ได้เฝ้ามองเหตุการณ์อยู่ในเงามืดของอาคาร เธอก็ได้โบกมือให้ก่อนที่จะหายตัวไปในความมืด

 

มาคิดๆดูแล้ว ทำไม… ผมมาอยู่ในสถานการณ์แบบนี้ได้ยังไงกันนะ?

 

โอ้ ใช่แล้ว มันเริ่มขึ้นในตอนที่ผมได้ช่วยชีวิตของท่านเอิร์ลเอาไว้เมื่อ 1 ปีก่อน

 

 

 

บทที่ 1 บทส่งท้าย ส่วนที่ 2

 

หลังจากนั้น ดันเต้กับมิมิโนะก็ได้ออกมาจากโรงแรมเพื่อตามหาเรย์จิ ไม่มีใครที่ดูเหมือนกับเรย์จิอยู่ที่สถานีรถม้าสำหรับออกจากเมืองเลย ทว่ามีคนขับรถม้าคนนึงบอกว่าเขาเห็นได้เด็กคนหนึ่งอยู่

 

「เขาถูกพาตัวไปโดยคนที่ดูเหมือนกับนักพจญภัยในชุดเกราะราคาแพงยังงั้นหรอ?」

 

จากที่ได้ฟังเรื่องของคนขับรถม้าคนนั้น คนๆแรกที่เข้ามาในหัวเลยก็คือ ออสการ์ แห่งปาร์ตี้ดาวนิรันดร์

 

ขณะที่ทั้งสองกำลังมุ่งหน้าไปยังกิลด์นักพจญภัย หนึ่งในสมาชิกของปาร์ตี้ดาวนิรันดร์ผู้ใช้ “เวทย์ 4 ธาตุ” ก็เข้ามาหาพวกเขาจากอีกฝั่งของถนน เธอคนนั้นมีสีหน้าที่ดูค่อนข้างกังวล

 

「…ขอบคุณที่ช่วยชั้นเอาไว้เมื่อวานนะคะ」นักเวทย์คนนั้นพูดก่อนจะก้มหัวลง

 

「ไม่เป็นไรหรอก มันเป็นเรื่องปกติที่จะต้องปกป้องกันและกันยามที่ต้องต่อสู้กับมอนสเตอร์ตัวเดียวกันหน่ะ ยิ่งไปกว่านั้น เธอเห็นเด็กที่อยู่ปาร์ตี้เดียวกับพวกเราไหม?」

 

「ค่ะ ชั้น – พวกเราเองก็กำลังตามหาซิวเวอร์บาลานซ์กันอยู่แล้วนะคะ เป็นเรื่องของเด็กคนนั้นค่ะ」

 

ดันเต้กับมิมิโนะสบตากัน

 

เมื่อพวกเขามาถึงกิลด์นักพจญภัย นักเวทย์คนนั้นก็ได้อธิบายเรื่องราวคร่าวๆให้พวกเขาฟังแล้ว มิมิโนะได้รับรู้เป็นครั้งแรกเลยว่าเรย์จิกำลังถูกตามล่าตัวโดยพวกทหาร — อย่างที่คิด เขาจากไปเพราะเขาไม่อยากทำให้ซิวเวอร์บาลานซ์นั้นต้องมาเดือดร้อนด้วย เธอคิดอย่างงั้น

 

「ถ้าพวกคุณรออยู่ที่กิลด์ละก็ ชั้นคิดว่าหัวหน้าของพวกเรา ออสการ์ ก็น่าจะกลับมาในเร็วๆนี้นะคะ แต่ว่า…」นักเวทย์คนนั้นพูดขึ้น

 

「แต่ว่า?」

 

「…คือตอนนี้มันค่อนข้างเอะอะกันนิดหน่อยค่ะ」

 

สิ่งที่เธอพูดนั้นเป็นความจริง ถึงแม้จะยังคงเป็นเวลาตอนเช้าอยู่ แต่เสียงที่ได้ยินจากภายในกิลด์ดังออกมาจนถึงถนนหลักเลย

 

มิมิโนะเข้าใจในทันทีว่ากำลังเกิดอะไรขึ้น

 

การไว้อาลัย

 

ความตายของสหายนักพจญภัย ผู้คนที่มักจะเคียงคู่กับความตายอยู่แล้วนั้น เป็นอะไรที่เกิดขึ้นได้บ่อยมาก

 

พวกเขาไม่อาจปล่อยให้ตัวเองยืนหยัดได้ทุกๆครั้งที่มันเกิดขึ้น ดังนั้น พวกเขาเลยกระทำการไว้อาลัยภายในวั้นนั้นเลย พวกเขาจะดื่มแอลกอฮอล์แก้วต่อแก้วและพูดคุยกันถึงพวกพ้องที่จากไป แล้วในวันถัดไป พวกเขาก็จะเดินหน้าต่อไปอีกครั้ง

 

ถึงจะพูดอย่างนั้น ปกติกิลด์นักพจญภัยมักจะไม่ใช่สถานที่สำหรับดื่มกันหรอก กิลด์จะทำแบบนี้ก็ต่อเมื่อมีการฉลองความสำเร็จขนาดใหญ่หรือการไว้อาลัยแด่การสูญเสียครั้งสำคัญเท่านั้น

 

การต่อสู้เมื่อวานนั้นทำให้เกิดการสูญเสียเป็นจำนวณมาก ดังนั้นการดื่มในกิลด์ก็ค่อนข้างที่จะกระด้างกระเดือกกันนิดหน่อย มิมิโนะคิดแบบนั้น ถึงจะคิดแบบนั้น แต่กิลด์ได้ส่งกลิ่นเหม็นของเหล้าและส่งเสียงเอะอะวุ่นวายกันมาตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว

 

「โล่ใหญ่สีเงินได้มาถึงแล้วค่ะ」นักเวทย์คนนั้นประกาศออกไปขณะที่เดินเข้ามาในกิลด์

 

「—โอ้ววววววววววว!!!!!」

 

มีเสียงเชียร์ดังกระหึ่มขึ้น

 

「ร่างกายของนายเป็นยังไงมั้ง?」

 

「ข้าคงตายไปแล้วถ้าไม่มีนายนะ โล่ใหญ่」

 

「เพื่อการมาถึงของวีรบุรุษ ข้าจะดื่มอีกแก้วนึง!」

 

「เจ้าบ้า นายก็ขออีกแก้วมาตั้งแต่ก่อนที่เขาจะมาแล้วนะ!」

 

มีชายเหม็นเหล้า 4 คนที่ยังคงสกปรกและบาดเจ็บจากการต่อสู่เมื่อวาน เดินเข้ามาล้อมรอบดันเต้ก่อนจะพาตัวเขาไป

 

「อ่าห์ แผลไฟไหม้ของเขายังไม่หายดีนะ ดังนั้นอย่าไปบังคับเขาดื่มละ」

 

เมื่อมิมิโนะตะโกนบอกออกไปแบบนั้น พวกผู้ชายเหล่านั้นก็ตอบกลับมาว่า “โอ้!”

 

ออสการ์ไม่ได้อยู่ในกิลด์ ดังนั้นพวกเขาเลยต้องอยู่รอจนกว่าเขาจะกลับมา

 

ให้ตายซิ! พวกนั้นเมากันเรียบร้อยแล้ว – มิมิโนะคิดแบบนั้น ทว่าในทางกลับกัน เธอก็รับรู้ได้ถึงพลังใจบางอย่างของพวกเขาที่เหมือนกับช่วยให้ยิ้มแย้มออกมาได้

 

รอยแผลจากการต่อสู้กันกับมังกร และลูกหลงจากการโจมตีของคริสต้านั้นฝังลึกขนาดที่ว่า ถ้าพวกเขาไม่ฝืนตัวเองให้ยิ้มละก็ หัวใจของพวกเขาต้องถูกบดขยี้ไปด้วยอารมณ์ความรู้สึกเลยละ

 

「มากันสักทีนะ ซิวเวอร์บาลานซ์」

 

「โจเซฟซัง」

 

หลังจากที่เมื่อวานมังกรได้ถูกกำจัดลงไปแล้ว โจเซฟได้วิ่งไปรอบๆเพื่อช่วยคนที่บาดเจ็บ นั่นเป็นเวลาที่มิมิโนะกับโจเซฟได้พบกันอีกครั้ง พวกเขานั้นรู้จักกันมาก่อนแล้วตั้งแต่ตอนที่มิมิโนะได้เข้าร่วมภารกิจกำจัดฝูงก็อบลินในฐานะสมาชิกปาร์ตี้ของดันเต้

 

มิมิโนะสังเกตถึงดวงตาอันแดงก่ำของโจเซฟ เธอคิดว่าเขาที่ใช้เมืองแห่งนี้เป็นบ้านของเขา คงจะสูญเสียคนรู้จักไปหลายคนเลย

 

「…ชั้นดีใจนะที่เมืองนี้ปลอดภัย」

 

「อืม… ข้ากำลังคิดที่จะบอกลาความขมขื่นนี้ด้วยการดื่มเป็นแก้วสุดท้าย แต่เมื่อข้าได้เห็นโล่ใหญ่ ข้าก็รู้สึกอยากจะดื่มต่อละนะ」

 

「ขอโทษนะคะ แต่ว่าเขายังไม่หายดี…」

 

「อ่าห์ ใช่ เรื่องนั้นข้ารู้แล้ว ข้าไม่บังคับให้วีรบุรุษผู้ปกป้องพวกพ้องต่องดื่มหรอก」

 

โจเซฟแน่ะนำให้ไปนั่งที่โต๊ะที่ห่างจากฝูงชน

 

「โจเซฟซัง จริงๆแล้ว ชั้นอยากจะถามเรื่อง–」

 

「อา รอเดี๋ยวก่อนนะ ข้าเองก็มีบางอย่างจะต้องบอกเธอก่อน」

 

บางอย่างที่ต้องบอก? เรื่องอะไรกันที่โจเซฟซังอยากจะบอกชั้นกัน? …มิมิโนะได้แต่สงสัย

 

「จริงๆแล้ว รางวัลได้ถูกจ่ายให้กับซิวเวอร์บาลานซ์แล้ว」

 

「สำหรับการกำจัดมังกรงั้นหรอคะ?」

 

「ใช่ เกล็ดเกือบทั้งหมดนั้นเสียหาย แต่ตั้งแต่แรก มังกรก็ตัวใหญ่อยู่แล้ว ดังนั้นจึงมีเกล็ดอยู่เป็นจำนวณมากพอที่จะสามารถขายเป็นวัตถุดิบได้ นอกจากนั้น เขี้ยวกับลูกตาก็ยังอยู่ในสภาพดี เนื้อและเครื่องในจำนาณมากที่สามารถทำเป็นยาระดับสูงได้ก็ยังเป็นที่ต้องการอยู่ รางวัลได้ถูกแจกจ่ายให้กับนักพจญภัยที่เข้าร่วมการต่อสู้กับญาติพี่น้องของผู้เสียชีวิต ทว่าปาร์ตี้ของพวกเธอจะได้รับรางวัลมากที่สุดจากงานครั้งนี้ ข้าคิดว่ามันคงอยู่ที่ประมาณหลายร้อยเหรียญทองสหพันธรัฐละมั้ง」

 

เงินจำนวณนั้นคงจะทำให้เรย์จิตาถลนและพูดออกมาว่า “สิบล้านเยน?!”

 

「มะ-มากขนาดนั้นเลยหรือคะ?」

 

「พวกเธอไม่ได้ถูกปฏิบัติเป็นพิเศษหรืออะไรแบบนั้นหรอก ดังนั้นอย่าลังเลที่จะรับมันเอาไว้เลย ถึงรองหัวหน้ากิลด์จะเป็นพวกสมองน้อยระยำตำบอน แต่เมื่อเป็นเรื่องการต่อรองแล้วละก็ ดูเหมือนแทบจะไม่มีใครที่เหนือกว่าเขาเลย เขาได้ขูดรีดเงินออกมาเป็นจำนวณมากจากดยุค เอาเถอะ พวกทหารก็ไร้ประโยชน์จริงๆละนะ แถมนักพจญภัยระดับมิธริล คริสต้า-ลา-คริสต้า ก็แลกการโจมตีกับมังกรจนตายไปด้วย ดังนั้น กิลด์จึงเป็นผู้ที่เสียหายที่สุด มันก็ปกติละนะที่จะต้องได้รับค่าชดเชยหน่ะ」

 

「………」

 

「เป็นอะไรไป? ได้เงินไปตั้งเยอะแต่กลับทำหน้าแบบนั้น」

 

「ไม่คือ… ชั้นทำอะไรไม่ได้เลยในตอนนั้น」

 

「…ไม่ใช่ว่าเธอมาในตอนสุดท้ายงั้นรึ? หนึ่งในพวกพ้องของเธอตายใช่ไหม? คงจะเจ็บปวดมากเลยสินะ」

 

「อืมม เกิดอะไรขึ้นในตอนที่กำจัดมังกรกันคะ? ชั้นเห็นอะไรบางอย่างเหมือนกับดาบสีดำฟันไปที่คอของมังกร」

 

「เกี่ยวกับเรื่องนั้น…」

 

โจเซฟยื่นหน้าเข้ามาใกล้และลดเสียงของเขาลง

 

「ตั้งแต่ตอนเช้าล พวกทหารกำลังตามหาเด็กคนนั้นที่อยู่กับพวกเธอ」

 

มิมิโนะพยักหน้าและบอกเขาไปว่าเรย์จิได้จากไปแล้ว ตอนนี้พวกเขาก็กำลังออกตามหาเขาอยู่เช่นกัน

 

「เด็กนั่นไปทำอะไรไว้กัน? ตั้งแต่แรก ข้าก็รู้ว่าเด็กคนนั้นมีบางอย่างเก็บซ่อนไว้จากท่าทางของเขาแล้ว… โทษทีนะ มันเป็นที่เธอก็คงจะตอบไม่ได้สินะ」

 

「ค่ะ แต่ว่าเรย์จิคุงก็ยังคงเป็นสหายของพวกเราค่ะ」มิมิโนะพูดออกมาอย่างชัดเจน โดยค่อนข้างเน้นไปที่คำว่า “สหาย”

 

ขนาดที่ตัวโจเซฟเองก็คิดแบบนั้น สำหรับเด็กตัวเล็กๆ การฟันที่เรย์จิเคยแสดงให้ดูในลานฝึกซ้อมครั้งนั้นรวมถึงการเคลื่อนไหวในตอนที่เพชิญหน้ากับมังกร ทั้งหมดนั้นสูสีพอๆกันกับนักพจญภัยแนวหน้าเลย

 

「—เจ้าเด็กนั่นไม่เป็นอะไรหรอก」

 

มีเสียงดังขึ้นเหนือหัวพวกเขาที่นั่งอยู่

 

เมื่อพวกเขาเงยหน้าขึ้นด้วยความตกใจ พวกเขาก็ได้พบเข้ากับรอยยิ้มที่ดูน่าสงสัย

 

「ออสการ์? นายไปอยู่ไหนมา?」

 

「อะ-อีกอย่างนึงที่สำคัญนะคะ ออสการ์ซัง! คุณรู้ใช่ไหมคะว่าตอนนี้เรย์จิคุงอยู่ที่ไหน?!」

 

「ใช่ หมอนั่นออกไปจากเมืองนี้แล้ว เขาหนีไปได้ในนาทีสุดท้ายพอดี」

 

「นายเป็นคนพาเขาออกไปงั้นรึ?」

 

ดันเต้ถามขึ้นมาจากด้านหลังของออสการ์ บางทีเขาคงมาหลังจากที่รับรู้ได้ว่าออสการ์ได้เข้ามาในกิลด์แล้ว

 

「…ใช่แล้วละ การคืนหนี้มันเป็นสไตล์ของข้านี่นา」

 

「ขอบคุณสำหรับความช่วยเหลือนะ」

 

ดันเต้ซังก้มหัวลง และมิมิโนะก็ได้ลุกขึ้นจากเก้าอี้ของเธอ

 

「นี่ ดันเต้!? ไปขอบคุณเขาทำไมกัน!? พวกเรากำลังตามหาเรย์จิคุงอยู่นะ และ–」

 

「มิมิโนะ เสียงดังเกินไปแล้ว」

 

ดันเต้ส่งสัญญาณให้มิมิโนะด้วยสายตาถึงทหารที่กำลังดูสถานการณ์ภายในกิลด์อยู่ตรงถนนหลัก

 

เรย์จิกำลังถูกตามล่าตัวโดยพวกทหาร — ความจริงข้อนั้นส่งผลให้มิมิโนะค่อยๆหน้าซีดขึ้นเรื่อยๆ

 

「ตะ-แต่ว่า ก็ยัง…」

 

「เรย์จิรู้ว่าตัวเขากำลังโดนตามล่า และอยากที่จะออกไปจากเมืองนี้ให้เร็วที่สุด ใช่ไหมละ ออสการ์?」

 

「ใช่ เด็กนั่นฉลาดมากกว่าอายุของเขา จริงๆแล้วก็ค่อนข้างน่าสะพรึงกลัวเลยละ」

 

「เรย์จิอาจจะฉลาดกว่าที่พวกเราคิดก็ได้ ถ้าเขาหนีออกจากเมืองไปในทันที แสดงว่าต้องมีเหตุผลบางอย่างอยู่」

 

「แต่ว่า…」

 

「มิมิโนะ มันเป็นความรับผิดชอบของชั้นเอง」

 

มิมิโนะพูดอะไรไม่ออกไปซักพัก

 

ดันเต้ดูเจ็บปวดมากกว่าที่เขาเคยเป็นมาก่อน

 

「บางทีเรย์จิเองก็อยากจะบอกทุกอย่างกับพวกเรา ถ้าเขาบอกกับพวกเราละก็ พวกเราก็คงพยายามที่จะช่วยเหลือเขาด้วยทุกอย่างที่เรามี」

 

「แน่นอนอยู่แล้ว」

 

「แต่ ตัวข้ามีแผลไฟไหม้ ดังนั้นเรย์จิเลยไม่สามารถพูดอะไรออกมาได้ ถ้าข้าเป็นเขาละก็ ข้าก็คงจะทำแบบเดียวกันนี้ ยังไงซะ สภาพของตัวข้าในตอนนี้ก็ไม่สามารถเดินทางได้ไกลนักหรอก」

 

「นั่นมันก็แค่…」

 

「มันคือความจริง มิมิโนะ เขาจากไปคนเดียวก็เพราะข้า」

 

ดันเต้ซังดูเหนื่อยมากจากเพียงแค่ยืนอยู่เฉยๆ เขาได้ค้ำตัวเขากับเก้าอี้เอาไว้

 

「แต่ก็อย่างที่เธอเห็น มิมิโนะ ข้ายังไม่ยอมแพ้หรอกนะ」

 

ลองคิดย้อนกลับไป นี่คงเป็นครั้งแรกที่ดันเต้พูดออกมาเยอะขนาดนี้ มิมิโนะคิดแบบนั้น

 

นั่นคงเป็นความกังวลทั้งหมดที่เขามีถึงเรย์จิ

 

ดันเต้มองไปที่ออสการ์อย่างตั้งใจ

 

「ถ้าเขาออกไปจากเมืองด้วยคำแน่ะนำของออสการ์ละก็ พวกเรายังสามารถเดาที่ที่เรย์จิกำลังไปได้」

 

「ข้าบอกกับเด็กนั่นไปว่าให้ห่างจากราชอาณาจักรอัศวินนักบุญ มันง่ายกว่าที่จะเดินทางภายในสหพันธรัฐ ดังนั้นข้าจึงแน่ะนำเขาไปแบบนั้น」

 

「ดีแล้ว แทนที่จะหาตัวในเมืองอันกว้างใหญ่แห่งนี้ เรามีโอกาศจะตามเขาทันบนถนนหลักหลังจากที่ข้าหายดีแล้วมากกว่า」

 

「ดะ-เดี๋ยวก่อนสิ ดันเต้ ตอนนี้นายหายดีแล้ว นายต้องพาน็อนกลับไปที่โบสถ์และ…」

 

เมื่อมิมิโนะลังเลที่จะพูด ดันเต้ก็หัวเราะออกมาเล็กน้อย

 

「น็อนจะเดินทางไปกับพวกเราอีกซักพัก โบสถ์เองก็รู้ว่าคำสาปมันไม่ได้รักษากันได้ง่ายๆอยู่แล้ว」

 

「เอ๊ะ!? จะโกงพวกโบสถ์งั้นหรอ!?」

 

「ดะ-เดี๋ยวก่อนนะ โล่ใหญ่ คำสาปหายดีแล้วรึ…?!」

 

「ดูสิ」

 

ดันเต้แสดงแขนซ้ายให้กับโจเซฟดู

 

「อะไรกัน? ได้ยังไงกันเนี้ย?!」

 

「เรย์จิรักษาข้า เด็กคนนั้นรู้ถึงยารักษาที่พวกเราไม่รู้จัก ตอนแรกข้าก็สงสัยว่าที่เรย์จิกำลังถูกตามล่าตัวนั้นเป็นเพราะว่าเขามีของต้องห้ามอยู่กับตัว แต่ดูเหมือนจะไม่ใช่อย่างงั้น นั่นหมายความว่า เรื่องที่เขาเป็นทาสหลบหนีต่างหากที่เป็นเหตุผลหลัก」

 

ไม่ว่าจะเป็นโจเซฟหรือออสการ์ต่างก็ไม่มีใครพูดอะไรออกมา การไม่ปฏิเสธนั้นหมายความว่าพวกเขาเองก็กำลังคิดแบบเดียวกัน

 

จากนั้นดันเต้ก็หันไปหามิมิโนะ

 

「มิมิโนะ ข้าถูกช่วยเอาไว้โดยเรย์จิ เหมือนกับที่ข้าถูกช่วยเอาไว้โดยเธอ」

 

「…ถูกชั้นช่วยเอาไว้?」

 

「ใช่แล้ว เธอไม่ได้ทอดทิ้งข้าไปในตอนที่ข้ากำลังคิดว่าจะตายจากคำสาป เธอมากับข้าจนถึงที่นี่ด้วยกันกับน็อน」

 

「แต่เรย์จิคุงต่างหากที่เป็นคนช่วยนายเอาไว้—」

 

「และก็เป็นเธอเองที่ช่วยเรย์จิเอาไว้ ดังนั้นที่ข้ายังมีชีวิตอยู่มาถึงตรงนี้ได้ก็เพราะว่าเธออยู่ที่นี่ ข้าสามารถที่จะใช้ชีวิตโดยที่มองไปยังอนาคตได้อีกครั้ง」

 

「……เข้าใจแล้ว」

 

「งั้น เธอบอกข้ามาสิว่าต้องการอะไร การให้โบสถ์รอกันไปอีกสักหน่อยมันไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไรหรอก ข้าจะทำให้ดีที่สุดเพื่อสนับสนุนเธอเอง」

 

คำพูดเหล่านั้นทำให้อารมณ์ในจิตใจของเธอสั่นไหว

 

เธอรู้สึกภูมิใจจริงๆที่ได้อยู่ปาร์ตี้เดียวกับดันเต้

 

「ดันเต้ ชั้นอยากจะตามเรย์จิคุงไป ตัวชั้นไม่อยากจะพูดคำจากลา ถ้าเรย์จิคุงเป็นทาสละก็ ชั้นก็อยากที่จะซื้อตัวเขากลับมาให้ได้!」

 

และดันเต้ก็พยักหน้ารับทันที

 

「ข้าได้ยินความรู้สึกของเธออย่างชัดเจนแล้ว ตามเรย์จิไปกันเถอะ」

 

「อื้ม!」

 

จากพวกเขาทั้งคู่ เรย์จินั้นเป็นสมาชิกของปาร์ตี้อย่างเต็มตัวแล้ว หลังจากที่พบกันเพียงไม่กี่วัน เขาก็ได้นำตัวเองเข้าต่อสู้กับมังกร, ช่วยชีวิตมิมิโนะ, และรักษาคำสาปของดันเต้

 

(พวกเรารู้สึกติดหนี้ที่ไม่อาจตอบแทนเธอได้นะ เรย์จิคุง)

 

เป็นเรื่องน่าแปลก ที่พวกเขาคิดแบบเดียวกันกับที่เรย์จิคิดเลย

 

พวกเขาทั้งคู่ต่างกล่าวอำลาไรเครียที่หลุ่มศพของเขา อัฐิของเขาถูกฝังไว้ในสุสานส่วนกลางของนักพจญภัย

 

การอำลาในครั้งนี้เป็นจุดเริ่มต้นของการเดินทางครั้งใหม่

 

ในวันนี้ ข้อมูลเกี่ยวกับการปรากฏตัวของมังกรและการกำจัดมันนั้นถูกส่งไปยังทุกประเทศผ่านเวทย์สื่อสารระยะไกล รวมถึงเรื่องการเสียชีวิตของนักพจญภัยนามคริสต้า-ลา-คริสต้าอีกด้วย

 

ตามรายงานได้ระบุเอาไว้ว่า คริสต้าได้สังหารมังกรโดยการเอาตัวเข้าแลก ทว่ามีเพียงแค่ดยุคคนใหม่ แดเนียล อเคนบาค และผู้ปกครองแห่งสหพันธรัฐ ราชา เกฟเฟริด เท่านั้นที่ล่วงรู้ถึงความจริง

 

—ว่า【ราชันแห่งเงา★★★★★★】นั้น เป็นสกิลที่สามารถสังหารได้แม้กระทั่งมังกรด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว

 

พวกเขาค้นหาตัวทาสหลบหนีนามว่า ลาร์ค อย่างสิ้นหวัง อย่างไรก็ตาม ที่อยู่ของตัวเธอนั้นยังคงเป็นปริศนา รวมถึงทาสอีกคน “ไร้นาม” ก็ได้หายตัวเข้ากลีบเมฆไปจากเมือง

 

ปาร์ตี้นักพจญภัยซิวเวอร์บาลานซ์นั้นใช้เวลาถึง 3 วันในการรักษาแผลของดันเต้ ทว่า พวกเขาก็ได้เริ่มการเดินทางครั้งใหม่โดยมีเป้าหมายเป็นการตามหาพวกพ้องของพวกเขา

 

และแล้ว — เวลาก็ได้ล่วงเลยผ่านไปถึง 4 ปี

 

================================================================

TL: จบกันไปแล้วนะครับสำหรับบทที่ 1 ถ้าชอบก็อย่าลืมติดตามกันได้ที่เพจ “แปลแล้วนอนได้” ด้วยนะครับ 🙂

 

 

บทที่ 1 บทส่งท้าย ส่วนที่ 1

 

ตัวมิมิโนะนั้นไม่รู้เวลาที่แน่นอนได้ว่าเรย์จิได้จากไปนานแค่ไหนแล้ว เธอรู้สึกสมเพชที่ตนไม่อาจห้ามเด็กหนุ่มคนนั้นตอนที่เขากล่าวลาเธอด้วยใบหน้าเด็ดเดี่ยว เธอโกรธตัวเองที่ไม่อาจช่วยเด็กหนุ่มคนนั้นจากสีหน้าเจ็บปวดแบบนั้นได้ และเหนือสิ่งอื่นใดก็คือความเจ็บปวดในหัวใจที่รู้ว่าเขาจากไปก็เพื่อปกป้องพวกเธอ

 

「คุณพ่อ!」เธอได้ยินเสียงร้องของคนที่คุ้นเคยดังขึ้นมาจากห้องข้างๆ มิมิโนะตกใจก่อนจะเช็ดน้ำตาด้วยผ้าขนหนู เธอรู้ทันทีว่านี่เป็นผ้าขนหนูที่เรย์จิใช้เช็ดใบหน้าเธอเมื่อก่อนหน้านี้ มันทำให้เธอรู้สึกแน่นหน้าอกอีกครั้ง แต่เธอก็ยังรีบตรงไปยังห้องข้างๆในทันที – ห้องที่มีดันเต้กับน็อนอยู่

 

「เกิดอะไรขึ้น? อย่าบอกนะว่าดันเต้อาการแย่ลง– เอ๊ะ?」

 

มิมิโนะที่เปิดประตูเข้าไปโดยที่คิดว่าอาการของดันเต้แย่ลงนั้น พูดอะไรไม่ออกเลย

 

「…ดูนี่สิ มิมิโนะ」ดันเต้พูดขึ้น

 

แสงลอดผ่านหน้าต่างไม้เข้ามาเผยให้เห็นผิวของดันเต้ ผิวที่สะท้อนแสงนั้นไม่ใช่สีเทาอย่างที่เคยเป็น

 

มันกลายเป็นเนื้อหนังที่มีเลือดไหลเวียนอยู่

 

「ตอนที่ชั้นตื่นขึ้นมาก็พบว่าผิวของคุณพ่อกลายเป็นสีดำ พอชั้นรีบเช็ดมันออกก็กลายเป็นแบบนี้แล้ว…」น็อนพูดขึ้นด้วยสีหน้าตื่นตะลึง

 

「พูดอีกอย่างก็คือ เออ…? คำสาปได้หายไปแล้วงั้นหรอ?」มิมิโนะถามขึ้น

 

「ใช่แล้วละ ร่างกายของข้าเคลื่อนไหวได้ปกติดี และรู้สึกสดชื่นมากๆเลยละ ข้าไม่ได้รู้สึกแข็งแรงอย่างนี้มานานมากแล้ว ถึงแผลไฟไหม้จะยังไม่หายดีก็เถอะ」

 

น็อน ที่กำลังตื่นตะลึงอยู่นั้น

 

「คุณพ่อ…」

 

น้ำตาได้ล่วงหล่นลงมาบนแก้มของไม่ขาดสาย

 

「คุณพ่อคะ คุณพ่อ คุณพ่อออออ…」เธอร้องไห้ออกมา

 

「อย่าร้องไห้สิ น็อน พ่อขอโทษที่ทำให้ลูกต้องผ่านอะไรมามากนะ」

 

「อุหวาาาาา… คุณพ่ออออออ!」

 

ดันเต้กอดเธอที่กำลังร้องไห้ราวกับเด็กๆ

 

มิมิโนะเองก็แปลกใจที่เห็นน็อนร้องไห้ออกมาแบบนั้น

 

(น็อนได้เก็บซ่อนความเจ็บปวดทั้งหมดเอาไว้โดยที่ไม่มีใครรู้เลยสินะ…)

 

อืม มันก็แน่นอนอยู่แล้ว ถึงเธอจะเป็นส่วนหนึ่งของโบสถ์ที่เข้มงวดก็จริง แต่เธอก็ยังเป็นหญิงสาวอายุ 16 ปีที่ชอบพูดคุยเรื่องรักๆกับเพื่อนๆและออกไปซื้อของในวันหยุด

 

ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ดันเต้กลายเป็นหินเลย น็อนต้องเผชิญหน้ากับสถานการณ์ที่พ่อของเธออาจจะตายโดยที่ไม่มีทางรักษา และตัวเธอเองก็ทุ่มเทหาทางรักษามาตลอด

 

ทว่า มิมิโนะกลับเชื่อว่าน็อนนั้นเป็น “เด็กที่มีจิตใจแข็งแกร่ง” เธอเชื่อมั่นอย่างมากว่าเธอจะไม่มีทางเห็นน็อนเจ็บปวด

 

(ชั้นมัน… โง่ชะมัด ชั้นไม่รู้เลยว่าเรย์จิคุงกำลังเจ็บปวดจากอะไร ชั้นเอาแต่หลอกตัวเองว่าเขาจะบอกชั้นในสักวัน เหมือนกันกับไรเครีย จนเขาตายไป…)

 

เธอรำลึกถึงตอนที่ไรเครียตาย และหัวใจของเธอก็รู้สึกแน่นขึ้นไปอีก

 

「ขอบคุณสำหรับทุกสิ่งจนถึงตอนนี้นะ มิมิโนะ」

 

มิมิโนะได้สติกลับมาจากคำพูดของดันเต้

 

「ข้ายังได้สร้างปัญหามากมายให้กับเธออีกด้วย」

 

「ไม่ ไม่เป็นไร ชั้นเองก็เป็นหนึ่งในสมาชิกปาร์ตี้เหมือนกัน… แต่อยู่ๆนายก็หายดีได้ยังไงกัน?」

 

「………」

 

ใบหน้าของดันเต้แข็งทื่อขึ้นมา น็อนได้หยุดร้องไห้แล้วมองไปที่ใบหน้าของเขา

 

「มีอะไรเกิดขึ้นหรือคะ? คุณพ่อ…」

 

「…ข้าไม่รู้หรอกว่ามันเป็นเวลาไหน แต่ข้าคิดว่าเรย์จิมาที่ห้องนี้」

 

「เรย์จิคุง?!」

 

「ข้าคิดว่าเรย์จิเป็นคนรักษาคำสาปของข้า」

 

ทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบงัน ดันเต้กำลังพยายามนึกถึงเรื่องในตอนกลางคืน

 

「…ความทรงจำของข้ามันคลุมเครือ แต่ว่า ข้าได้ยินเขาพูดอะไรอย่าง “ยารักษา” ออกมา มิมิโนะ ตอนนี้เรย์จิอยู่ไหนรึ?」

 

「………」

 

「มิมิโนะ…?」

 

ตัวเธอไม่อยากพูดมันออกมา เธอรู้สึกว่าถ้าเธอไม่พูดออกไป เธออาจจะไม่ต้องเพชิญหน้ากับความเป็นจริงก็เป็นได้

 

ทว่า เธอไม่อาจโกหกเพื่อนของเธอได้

 

「เรย์จิคุง… ไปแล้ว」

 

「…หมายความว่ายังไง?」

 

「เขาบอกว่าเขาต้องไปไม่ว่าจะยังไง แล้วก็ออกไปแล้ว…」

 

「หมอนั่น…!」

 

「คุณพ่อ! ยังลุกขึ้นไม่ได้นะคะ!」

 

น็อนหยุดดันเต้เอาไว้ไม่ให้ลุกขึ้นจากเตียง

 

「อย่าห้ามข้าเลย น็อน ข้าจำได้ว่าเรย์จิเคยขอเงินค่าขนมจากข้า เขาบอกว่ามีบางอย่างที่เขาอยากจะได้… และตอนนี้ข้าได้รู้สักที」

 

「บางอย่างที่เรย์จิคุงต้องการ?」

 

「มิมิโนะ เธอก็เห็นตอนอยู่ที่กิลด์แล้วใช่ไหมละ? ความรู้ถึงสมุนไพรหายากและทัศนคติที่อ่อนน้อมถ่อมตนนั่น ข้าคิดได้เพียงอย่างเดียวว่าสิ่งที่เขาต้องการก็คือ – ยารักษาคำสาป!」

 

「เอ๊ะ!? ชั้นคิดว่าคำสาปนั่นมันไม่มียาที่รักษาได้นี่นา?!」

 

「ตัวเขารู้ว่ามันรักษาได้ยังไงละ และหลักฐานก็คือตัวข้าที่หายดีแล้วนี่ไง」

 

「อ้า–」

 

มิมิโนะจำตอนที่เรย์จิต้องการ “ใบไม้ของต้นไม้แห่งชีวิต” ในตลาดสมุนไพรได้

 

นั่นเป็นหนึ่งในส่วนผสมของยารักษายังงั้นหรอ?

 

「ตะ-แต่ว่าถ้าเป็นยังงั้น หนูคิดว่าเขาก็น่าจะบอกเราตั้งแต่ต้นสิคะ」น็อนพูดออกมา

 

「บางทีเขาอาจจะยังไม่มั่นใจหน่ะสิ ข้ารู้สึกได้ว่ามีบางอย่างน่าสงสัยในตอนที่พวกเราขายสมุนไพรให้กับกิลด์ ความรู้ด้านสมุนไพรของเขามันไม่ค่อยสมดุลกันหน่ะสิ」

 

แน่นอน เรย์จินั้นไม่รู้ราคาตลาดของสมุนไพรหรือยาเลย

 

เขาเป็นเด็กหนุ่มที่เต็มไปด้วยปริศนา

 

เขาอุดมความรู้ ท่าทีที่อ่อนน้อม และพฤติกรรมที่สงบ ราวกับว่าเขาเป็นเด็กจากตระกูลขุนนาง ทว่าต้นกำเนิดของเขาดูจะเป็นทาส

 

「ข้าเดาว่า… เรย์จิคงจะข้ามเส้นอันตรายบางอย่างเพื่อรักษาข้า ตัวอย่างเช่น เขาจำเป็นต้องใช้วัตถุดิบต้องห้าม」

 

「มะ-ไม่มีทาง…」น็อนซังอ้าปากค้าง

 

「บางทีเขาคงคิดว่ามันจะสร้างปัญหาให้กับซิวเวอร์บาลานซ์ถ้ามันรั่วไหลออกไป หรือบางทีเรื่องมันคงแดงแล้วก็ได้ เขาจึงตัดสินใจจากไป น็อน ข้าจะออกไปตามหาเรย์จิ ข้าไม่อาจปล่อยตัวเขาเอาไว้คนเดียวได้หลังจากที่เขาได้ช่วยข้าเอาไว้ ถ้าเขาจะต้องถูกแขวนคอละก็ ข้าก็จะทำแทนเอง」

 

「…คุณพ่อ หนูเข้าใจแล้ว」

 

สีหน้าของน็อนซังแข็งขึ้นขณะที่เธอใช้งาน【เวทย์รักษา】บางทีมานาของน็อนอาจจะใกล้หมดเต็มทีแล้วจากการที่เธอหายใจแรงมาก เหงื่อได้ผุดขึ้นมาบนหน้าผากของเธอ

 

「คุณพ่อ ด้วยสิ่งนี้คุณพ่อจะสามารถเคลื่อนไหวได้เล็กน้อย แต่ก็อย่าลืมนะคะว่าคุณพ่อเองก็เกือบตายมาแล้วเมื่อวาน และช่วยอย่าถูกแขวนคอด้วยนะคะ」

 

「ขอบคุณนะ น็อน ลูกเป็นลูกสาวที่พ่อภูมิใจจริงๆ」

 

「…ถ้างั้นก็ได้โปรดอย่าทำอะไรที่ทำให้ลูกสาวคนนี้ต้องเสียใจด้วยเถอะนะคะ」

 

เธอคงจะหมายถึงตอนที่เขาเอาตัวเข้าบังให้กับเหล่านักพจญภัยเอาไว้

 

「ขอโทษด้วยนะ…. มิมิโนะ เธอจะมาด้วยกันไหม?」

 

「ชั้นเองก็อยากจะไปด้วย แต่ว่า… ตัวชั้นไม่อาจห้ามเรย์จิคุงเอาไว้ได้」

 

ถ้าเธอหยุดเขาเอาไว้ด้วยทุกสิ่งทุกอย่างของเธอในตอนนั้น พวกเราคงจะไม่ตกอยู่ในสถานการณ์แบบนี้

 

ทว่า มิมิโนะก็ไม่อาจห้ามเรย์จิได้ เธอรับรู้ได้ถึงความมุ่งมั่นอันเด็ดเดี่ยวของเขา ตัวเธอที่ไม่อาจทำอะไรได้เลยในตอนที่สู้กับมังกรแต่กลับถูกเขาช่วยชีวิตเอาไว้นั้น ไม่รู้เลยว่าจะพูดอะไรกับเขา

 

「ฟุ๊…」ดันเต้หัวเราะออกมา「งี่เง่าจริงเลยนะ มิมิโนะ ถ้าเธอลองแล้วพลาด งั้นก็ลองใหม่อีกรอบซะสิ สำหรับพวกเรานักพจญภัยหน่ะ อิสระคือเส้นทางชีวิตของพวกเรานะ」

 

「อิสระงั้นหรอ…」

 

「ใช่แล้ว อิสระยังไงละ」

 

「…ใช่แล้ว ใช่แล้วละ ดูเหมือนว่าชั้นคงจะกลายเป็นคนจิตใจอ่อนแอไปสินะ」

 

เธอตบแก้มของเธอด้วยมือทั้งสองข้าง

 

มิมิโนะตัดสินใจแล้ว ว่าจะพาเรย์จิกลับมา

 

「ยังไงซะ เรย์จิเองก็เป็นสหายของพวกเรานี่นา」

 

 

 

บทที่ 1 ตอนที่ 33

 

ผมถุกพาไปยังสถานที่ที่ดันเต้ซังไม่คิดจะพาผมมาแน่ๆ – พูดอีกอย่างก็คือ ย่านโคมแดง ไรเครียซังเคยพาผมไปที่ที่คล้ายๆกันมาก่อน แต่ที่นี่ยิ่งกว่าในหลายๆความหมาย

 

อย่างไรก็ตาม ตอนนี้มันเป็นตอนเช้า

 

เมื่อมองที่นี่ภายใต้แสงอาทิตย์ ป้ายสีชมพูฉูดฉาดก็ดูจะอยู่ในสภาพเลวร้ายด้วยร่องรอยที่ป้ายได้ลอกออก มีชายเมาหัวทิ่มหลับอยู่ด้านหลังอาคาร — เขาตายแล้วหรอ? เขายังมีชีวิตอยู่ สินะ? ใช่ไหม?

 

「ทางนี้」

 

「เย้ยย!」

 

「…อย่าส่งเสียงแปลกๆออกมาสิฟะ」

 

เมื่อพวกเราเข้าไปยังตรอกด้านหลังที่พื้นถนนไม่ได้ปูด้วยหินเลยด้วยซ้ำ มันทั้งมืดสลัวและเต็มไปด้วยกลิ่นเหม็นแถมยังมีแอ่งน้ำสีแปลกๆอยู่บนพื้นอีกด้วย ผมเดินไปโดยที่พยายามไม่เหยียบแอ่งน้ำพวกนั้น

 

「แกเห็นนั่นไหม? กำแพงเมืองยังไงละ เพราะบริเวณนี้อยู่ติดกับกำแพงเมืองและไม่มีทางน้ำประปา มันเลยเป็นพื้นที่ที่มีราคาถูกที่สุดในเมืองนี้เลย」

 

「งั้นหรอครับ…」

 

「และเพราะเป็นสถานที่แบบนั่นแหล่ะ ผู้คนจึงมาทำธุระที่นี่เพื่อหลบสายตาของพวกเจ้าหน้าที่รัฐ หนึ่งในนั้นก็คือ “ฟันกำแพง”」

 

「ฟันกำแพงงั้นหรอครับ?」

 

「ก็ทำลายส่วนหนึ่งของกำแพงและลอดผ่านมันยังไงละ」

 

เข้าใจละ… มันเหมือนกับเป็นวิธีในการลักลอบนี้เอง

 

「…แกดูไม่ตกใจเลยนะ」

 

「มะ-ไม่นะ ผมตกใจมากเลยละครับ โอ้พระเจ้า มีผู้คนที่ทำเรื่องอันตรายแบบนั้นอยู่ด้วย… โอ้พระเจ้าช่วยลูกด้วย」

 

「ละครโง่ๆของแกหลอกใครด้วยใบหน้า “เข้าใจแล้ว” ของแกไมได้หรอก เอาเถอะ ตามข้ามา」

 

เมื่อพวกเราเข้าไปใกล้กับกำแพงเมือง มันมีกระท่อมไม้หลังหนึ่งอยู่พร้อมกับคนประมาณ 5 คนอยู่ด้านหน้าของกระท่อมนั้น

 

ทั้งหมดเป็นผู้ชายและกำลังสูบบุหรี่กันอยู่ มองแว๊บแรกก็รู้ได้เลยว่าคนพวกนั้นเป็นบุคคลน่าสงสัย

 

「โอ๊ะ ออสการ์ จะออกไปข้างนอกอีกแล้วเรอะ?」

 

「ไม่ละ วันนี้ข้าไม่ได้จะออกไป เด็กคนนี้ต่างหาก」

 

เขาดันผมให้ขึ้นมาข้างหน้า แล้วคนพวกนั้นก็มีสีหน้างุนงง

 

「เด็กนี้นะรึ…?」

 

「ข้าก็พูดไปแล้วนี่? เท่าไหร่ละ?」

 

「อืม… ต่อให้เป็นเด็กก็ไม่ได้ถูกหรอกนะ ตามปกติก็ 3 เหรียญทองสหพันธรัฐ」

 

3 เหรียญทองสหพันธรัฐ!? 300,000 เยนเลยนะ!?

 

「ชิ โลภมากจริงนะ เอ้านี่」

 

「ออสการ์ซัง?!」

 

「ข้าไม่ได้เดือดร้อนเรื่องเงินหรอกนะ ไอ้หนู ถือว่าถูกมากถ้าเทียบกับชีวิตของสมาชิกปาร์ตี้ของข้า อีกอย่าง แกควรห่วงเรื่องที่แกจะทำต่อไปหลังจากออกไปได้แล้วจะดีกว่านะ」

 

「เออ ก็คงจะอย่างนั้นหน่ะครับ…」

 

「การข้ามชายแดนไปยังราชอาณาจักรอัศวินนักบุญเป็นเรื่องยากมากจากที่นี่ มันมีแค่ทางเดียวและมีการคุ้มกันหนาแน่นมากๆ ในทางกลับกัน การเคลื่อนไหวภายในสหพันธรัฐคีทแกรนด์นั้นง่ายมาก ดังนั้นมันอาจจะดีกว่าการข้ามชายแดนก็ได้ ยังไงพวกทหารก็ยังค้นหาภายในเมืองนี้ไปสักพักอยู่ดี」

 

「…ครับ ขอบคุณสำหรับทุกสิ่งทุกอย่างนะครับ」

 

「เอ่อ ไปได้แล้ว」

 

ออสการ์จากไปในขณะที่ผมโบกมือลาเขา

 

ผมถูกช่วยไว้ด้วยความใจดีของเขาจนถึงท้ายที่สุด ผมรู้สึกได้เลยว่าผมตอบแทนเขาได้แล้วโดยการรักษาพิษคำสาปให้กับเขา ทว่า ตอนนี้ผมกลับติดหนี้อื่นอีกแล้ว

 

พูดอีกอย่างก็คือ ผมมีเหตุผลให้กลับไปยังซิวเวอร์บาลานซ์มากขึ้นแล้ว

 

「เอาละ เจ้าหนู มาทางนี่สิ เฮ้ เซอรี่ มีลูกค้าแหน่ะ นำทางเขาซะ」

 

เมื่อผมเปิดประตูเข้าไป – สิ่งเดียวที่ผมเห็นได้จากสถานที่นี้ก็คือ – มันมืดไปหมดเลย เมื่อผมปิดประตูลง ก็มีแสงสลัวๆถูกจุดขึ้นมา สะท้อนเพียงแค่ฝุ่นควันที่อยู่ในอากาศเท่านั้น

 

「ให้ตายเหอะ พวกนั้นไม่เคารพพนักงานของตัวเลยสักนิด… โอ๊ะ คุณลูกค้า มาทางนี้สิ」

 

「………」

 

「เป็นอะไรไปรึ คุณลูกค้า?」

 

คนที่ถูกเรียกว่า เซอรี่ – เผ่ามนุษย์สัตว์ – ถามขึ้นมาอย่างงุนงง

 

「โอ๊ะ คุณลูกค้าไม่เห็นทางงั้นรึ? งั้น จะเพิ่มแสงตะเกียงให้ละกัน」

 

เมื่อแสงของตะเกียงเวทมนตร์สว่างมากขึ้น รูปลักษณ์ของคนผู้นั้นก็ปรากฏขึ้น

 

ผมกับเซอรี่ทั้งคู่ต่างก็ตกอยู่ในความเงียบและจ้องมองกันและกัน

 

ผมเคยรู้จักคนๆนี้มาก่อน เป็นคนที่ไรเครียซังเคยให้เงินเอาไว้ในคืนนั้น

 

และคนๆนี้ก็น่าจะรู้จักผมเหมือนกัน ตอนที่เธอเห็นไรเครียซังเดินไปในเมือง ผมเองก็อยู่กับเขาด้วย

 

「แหม… ตกใจจังเลย เธอเป็นหนุมน้อยที่อยู่กับไรเครียซังนี่เอง」

 

ผมเองก็ตกใจ

 

ผมมั่นใจมากว่าในตอนนั้นคนๆนี้เป็นผู้ชายแน่นอน แต่ ความจริงเขากลับเป็นผู้หญิงซะงั้น

 

ถึงเธอจะเตี้ยกว่าไรเครียซัง แต่เธอก็มีร่างกายที่ผอมเพรียวและกล้ามเนื้อที่สมดุล

 

มีหูแมวสองข้างยื่นออกมาบนหัวที่มีผมสั้นสีน้ำตาลแดง แขนเสื้อที่ฉีกขาดนั้นขาดจนถึงข้อศอกของเธอ ดังนั้นจึงสามารถเห็นได้ถึงขนจำนวณมากที่ปกคลุมอยู่ที่แขนของเธอ แถมเธอก็ยังสวมใส่กางเกงรัดรูปและร้องเท้าบูทยาวอีกด้วย

 

มันก็ดูจะเป็นอุปกรณ์สวมใส่เบาๆ แต่มันไม่มีช่องว่างในท่ายืนของเธอเลยแม้แต่น้อย

 

「คุณเป็นพวกพ้องในกลุ่มทหารรับจ้างเดียวกับไรเครียซังใช่ไหมครับ?」

 

「โอ้! หัวหน้าหนุ่มคนนั้นบอกเธอเรื่องนั้นด้วยหรอเนี้ย? ดูเหมือนเธอจะค่อนข้างได้รับความไว้วางใจระดับนึงเลยสินะ หนุ่มน้อย」

 

「ครับ เขาไว้ใจผม… และก็มีบุญคุณกับผมด้วย」

 

บางทีอาจจะเพราะรับรู้ได้จากคำพูดของผม เธอเลยรู้สึกสงสัยขึ้นมา

 

「…หนุ่มน้อย เธอทำอะไรมายังงั้นหรอ?」

 

ผมสายหัวของผมเงียบๆ

 

「ไรเครียซังจากไปแล้วครับ」

 

จากนั้น พวกเราทั้งคู่ก็ตกอยู่ในความเงียบ หลังจากนั้นสักพัก ตะเกียงเวทมนตร์ก็ตกลงมาจากมือของเซอรี่ซังจนเกิดเสียงดัง ตะเดียงเวทมนตร์ – ที่ไม่ได้ใช้ไฟ – ยังไม่ได้ดับไป และก็มีเสียงตะโกนด้วยความโมโหดังขึ้นมาจากด้านนอก “เซอรี่! อย่าบอกนะว่าแกทำตะเกียงพังหน่ะ!”

 

ชายคนก่อนหน้านี้เปิดประตูเข้ามา “อา ลูกค้ายังอยู่ตรงนี้นี่ เฮ้ย เซอรี่ พาเขาออกไปเดี่ยวนี้เลย” เขาพูดแบบนั้นก่อนจะปิดประตูลงอีกครั้ง

 

จากนั้นผมก็เล่าถึงช่วงเวลาสุดท้ายของไรเครียซังให้กับเซอรี่ซัง ผมเองก็ยังรู้สึกไม่แน่ใจในตัวเองเลย

 

เธอพาผมผ่านช่องแคบเล็กๆพร้อมกับฟังเรื่องราวไปด้วยสีหน้ามืดมน พวกเราได้เข้ามาในกำแพงเมืองแล้ว และก่อนที่พวกเรากำลังจะถึงทางออก เธอก็แนบหูของเธอเพื่อตรวจดูว่าไม่มีเสียงอะไรรอบๆ ก่อนจะนำหินออกจากกำแพงด้วยความระมัดระวัง หินก้อนนั้นถูกตัดให้บางและมีด้ามจับจากด้านใน เมื่อเราผ่านเข้าไป เซอรี่ก็วางมันกลับเข้าที่เดิม ตอนที่มองจากข้างนอก ผมแทบจะไม่เห็นความแตกต่างจากส่วนอื่นของกำแพงเลย

 

ดูเหมือนจะมีพุ่มหญ้าสูงห่างออกไป 10 เมตรพร้อมกับเส้นทางตามป่าอยู่ข้างใน เมื่อตามทางไปก็จะพบกับถนนหลัก ทว่า ดูเหมือนจะมีทางแยกอยู่มากมาย ดังนั้นถ้ามาครั้งแรกก็อาจจะหลงทางได้

 

「งั้นหรอ… งั้นหัวหน้าหนุ่ม… ในท้ายที่สุดก็สามารถฆ่าคริสต้าได้ยังงั้นสินะ」

 

เซอรี่ซังนั้นร้องไห้ออกมาขณะที่นำทางผม เธอร้องไห้ออกมาโดยไม่สนเลยว่าผมจะเห็นมันหรือไม่

 

เพราะเป็นผู้รอดชีวิตในกลุ่มทหารรับจาก เธอเองก็อยากจะแก้แค้นคริสต้าเหมือนกัน ทว่าอีกฝ่ายเป็นถึงนักพจญภัยระดับมิธริล และพวกเขาเอง — ถึงจะไม่ได้เตรียมตัว — ก็มีจำนวณคนอยู่ประมาณนึง แต่กลับถูกทำลายล้างโดยคนเพียงคนเดียว ดูเหมือนตัวเธอเองก็เกือบจะย้อมแพ้เรื่องที่จะแก้แค้นไปแล้วอีกด้วย

 

มันก็แน่นอนอยู่แล้ว แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะจัดการกับอีกฝ่ายที่เคลื่อนไหวบนฟ้าได้อย่างอิสระแถมยังยิง【เวทย์ไฟ】ได้เรื่อยๆอีกด้วย

 

เซอรี่ซังเช็ดน้ำตาของเธอด้วยแขนเสื้อก่อนจะมองกลับมาที่ผม หูแมวของเธอที่เป็นสีน้ำตาลแดงเช่นเดียวกับผมของเธอกำลังตั้งตรงมาที่ผม

 

「ถ้าเธอตรงไปจากตรงนี้ เธอก็จะถึงถนนหลัก –หนุ่มน้อย เธอสนใจจะให้ชั้นไปเป็นคนคุ้มกันของเธอไหม?」

 

「เอ๊ะ คนคุ้มกันหรอครับ?」

 

「ใช่แล้วละ “กองทหารรับจ้างคมเขี้ยวทมิฬ” เป็นครอบครัวของชั้น ไม่มีที่ไหนที่สบายใจเท่ากัยที่นั่นอีกแล้ว เทื่อเสียงสถานที่แห่งนั้นไป… ชั้นก็ตกอยู่ในความสิ้นหวังและมีปัญหากับการหาเงินเลี้ยงชีวิตของตัวเอง ตอนนั่นแหล่ะที่ชั้นได้เห็นหัวหน้าหนุ่มที่รอดชีวิตมา แค่มองไปที่ตาของเขา ชั้นก็บอกได้เลยละว่าเขายังไม่ละทิ้งความแค้นจากไอ้สารเลวคริสต้านั่น และในท้ายที่สุดเขาก็ทำสำเร็จ」

 

「………」

 

…แต่ถ้าตายมันก็ไร้ค่านี้

 

ผมอยากจะพูดออกไปแบบนั้น แต่… การล้างแค้นอาจจะเป็นทุกสิ่งทุกอย่างสำหรับพวกเขาที่พวกพ้องถูกสังหารไป เพราะงั้น ผมจึงไม่พูดออกไป

 

「เอาเถอะ มันก็ไม่สำคัญแล้วถ้าเขาต้องตายไปด้วย」

 

「อ๊ะ?! ผมพึ่งคิดที่จะไม่พูดถึงเรื่องแบบนั้นออกไปแล้วแท้ๆนะ!」

 

「เพราะชั้นเป็นมนุษย์เผ่าแมวละนะ ชั้นเลยค่อนข้างเป็นคนง่ายๆสบายๆละนะ」

 

บรรยากาศเครียดๆเมื่อกี้หายไปหมดเลย เซอรี่ยิ่มออกมาด้วยดวงตาที่เปียกชื้น

 

「แต่ก็อย่างที่เธอเห็นนั้นแหล่ะ หนุ่มน้อย ไฟในหัวใจที่ตายไปแล้วของชั้นได้ติดขึ้นมาอีกครั้ง ได้ยินเรื่องราวของเขาแล้วชั้นก็รู้สึกว่าต้องทำอะไรซักอย่างเหมือนกัน ชั้นมั่นใจว่าการที่ได้เจอกับเรย์จิซังแบบนี้ต้องมีเหตุผลอะไรบางอย่าง ได้โปรดให้ชั้นได้เดินทางไปกับเธอเถอะนะ」

 

「แต่ว่า…」

 

「ชั้นแอบได้ยินที่พวกเธอพูดมาก่อนหน้านี้แล้ว ชั้นสามารถนำทางเธอไปยังราชอาณาจักรอัศวินนักบุญหรือราชอาณาจักรครูวานศักดิ์สิทธิ์ หรือจะเป็นที่ไหนก็ได้! เพราะชั้นเป็นหน่วยสอดแนมใน “กองทหารรับจ้างคมเขี้ยวทมิฬ” และได้ไปเที่ยวมารอบโลกแล้ว」

 

จนกระทั้งผมมาถึงตรงนี้ ผมถูกช่วยไว้โดยดันเต้ซัง – ในรูปแบบความช่วยเหลือของออสการ์ซัง และก็อีกครั้งแล้ว ที่ตอนนี้ผมได้ไรเครียซังช่วยเอาไว้ – ในรูปแบบความช่วยเหลือของเซอรี่ซัง

 

「ฮาฮา…」

 

「…เรย์จิซัง?」

 

ไม่ว่าสถานการณ์จะเป็นแบบไหน ผมก็ยังเป็นสมาชิกของซิวเวอร์บาลานซ์ ผมควรจะรับความช่วยเหลือโดยที่ไม่คิดอะไรมาก ใช่ไหม?

 

「เข้าใจแล้ว ขอบคุณมากครับ」

 

「เย้!」เซอรี่ซังกระโดดด้วยความดีใจก่อนจะดีดนี้วของเธอ「งั้นก็ไปกันเถอะ!」

 

ผมเริ่มเดินตามการนำทางของเซอรี่ซัง

 

ผมรู้สึกเหมือนกับไรเครียซังมานำทางด้วยตัวเองเลย ไม่ใช่แค่ไรเครียซังเท่านั้น แต่ผมกำลังเดินไปในเส้นทางที่ถูกเปิดขึ้นโดยทั้งดันเต้ซัง น็อนซัง รวมถึงมิมิโนะซังด้วย

 

ไม่ใช่แค่นั้น

 

มันเหมือนกับเส้นทางที่ถูกถักทอขี้นโดยผู้คน เป็นเส้นทางที่ถูกนำทางโดยทุกๆคน

 

ผมสงสัยจังว่าตอนนี้มิมิโนะซังจะกำลังคุยกับดันเต้ซังเรื่องของผมอยู่รึปล่าว? พวกเขารู้ตัวรึยังว่าดันเต้ซังหายแล้ว? น็อนซังจะกำลังดีใจอยู่รึปล่าว?

 

(ไรเครียซัง คุณอยากจะล้างแค้นแม้จะต้องแลกมันด้วยทุกสิ่งทุกอย่างของคุณ)

 

ผมไม่เข้าใจความรู้สึกแบบนั้นหรอก

 

ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันเป็นเรื่องที่ดีหรือไม่ดีกันแน่

 

ทว่า ผมจะไม่ลืมใบหน้า “สำเร็จแล้ว” ของคุณในวินาทีสุดท้ายนั้น และผมจะยังคงสงสัยต่อไปว่าในตอนนั้นคุณอยากจะพูดอะไรกับผมกันแน่

 

โปรดอภัยให้ผมด้วยที่จากมาโดยที่ยังไม่ได้ไว้อาลัย

 

อืม เท่าที่รู้จักคุณมา ผมมั่นใจว่าคุณจะต้องพูดประมาณว่า “ไปได้แล้ว ไว้อาลัยไม่ได้ทำให้แกอิ่มท้องซะหน่อย”

 

「…เป็นอะไรไป หนุ่มน้อย? เธอดูเหมือนกับจะร้องไห้ออกมาเลย」

 

「ไม่ครับ ไม่มีอะไร แล้วคุณจะก็เลิกเรียกผมว่า “หนุ่มน้อย” ได้ไหมครับ?」

 

「ไม่อะ เพราะเธอยังเป็นเด็กน้อยอยู่เลย มันเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้หรอก」

 

「ช่วยได้สิครับ!」

 

「ไม่ ไม่อะ ช่วยไม่ได้หรอก เนี้ยฮ่าๆๆๆ…」

 

「อา ช่วยไม่ได้ละนะ แล้วทำไมคุณถึงเรียกไรเครียซังว่า “หัวหน้าหนุ่ม” ละครับ」

 

「โอ๊ะ เพราะเขาเป็นหลานชายของหัวหน้า “กองทหารรับจ้างคมเขี้ยวทมิฬ” หน่ะสิ」

 

「โหว…」

 

「โอ๊ะ เธอสนใจงั้นหรอ? งั้น ชั้นจะเล่าเรื่องในกลุ่มทหารรับจ้างให้ฟังก็แล้วกัน! ชั้นไม่หยุดหรอกนะต่อให้เธอบอกให้ชั้นหยุดก็ตาม มันยาวมากเลยละ!」

 

「อะฮ่าฮ่าห์ เล่ามาได้เลยครับ พวกเราต้องเดินทางกันอีกไกลนี่ครับ」

 

ผมไม่รู้ว่าพวกเรากำลังจะไปที่ไหน

 

ทว่า มีสิ่งหนึ่งที่ผมรู้

 

การเดินทางครั้งนี้มันจะต้องยาวนานแน่นอน

 

ถึงแม้ผมจะไม่คาดคิดว่าจะมีเพื่อนร่วมทางมาด้วยก็ตาม

 

ในที่สุด เมื่อสุดทางเดินในป่า ทุ่งหญ้ากว้างก็เข้ามาอยู่ในสายตาของพวกเรา

 

ที่ฝั่งตรงข้าม มีถนนหลักทอดยาวพาดผ่านทุ่งหญ้าที่ราวกับท้องทะเล ไม่อาจทราบได้เลยว่าจะมีอะไรรออยู่ที่อีกฝั่งของทุ่งหญ้าจนกว่าจะไปเห็นด้วยตาของตัวเอง

 

ถ้าเป็นแบบนั้น ผมก็แค่ต้องไป เพราะยังไงซะผมก็เป็นสมาชิกนักพจญภัยของปาร์ตี้ซิวเวอร์บาลานซ์

 

เมื่อสายลมเบาๆได้พัดผ่านมาราวกับจะนำทางให้ ผมก็ได้เริ่มก้าวเดินออกไป

 

 

 

บทที่ 1 ตอนที่ 32

 

「นี้มันเลวร้ายมาก…」

 

มีแผลไหม้ขนาดใหญ่อยู่บนใบหน้าและครึ่งซีกขวาของร่างกาย ทว่า ครึ่งซีกซ้ายดูจะไม่ได้ผลกระทบเพราะกลายเป็นหิน

 

…ถึงจะไม่ได้กลายเป็นหินโดยสมบูรณ์ แต่ก็ป้องกันการโดนเผาได้งั้นหรอ?

 

นี่มันสะดวกสำหรับผมเลยที่ครึ่งซีกซ้ายถูกเปิดเอาไว้อยู่แล้ว

 

「หืมม… เรย์จิ…?」

 

ดันเต้ซํงมองไปรอบๆห้องราวกับว่าเขามองไปยังภาพหลอน

 

「ครับ ผมทำยาที่จะรักษาคำสาปมา เพราะงั้นให้ผมได้ใช้มันนะครับ」

 

「…โทษทีนะ ไม่ได้ยินที่เธอพูดเลย เธอพูดอะไรนะ…? ในหัวรู้สึกเวียนหัวไปหมด…」

 

「ไม่เป็นไรหรอกครับ โปรดนอนพักต่อไปเถอะครับ」

 

…ขอโทษนะครับ ดันเต้ซัง ผมบอกเรื่องยาที่ผมจะใช้ไม่ได้

 

ผมคิดว่าบางทีเขาคงจะยอมรับมันอน่ แต่ มันมีตัวอย่างมากมายที่ไม่รู้จะรู้สึกดีกว่าละนะ ใช่ไหมละ?

 

ดันเต้ซังเองก็อยากจะนอนต่อด้วย จากการที่เขาหลับไปในเวลาไม่นาน ผมขึ้นไปบนเตียงก่อนจะทายาลงบนผิวของดันเต้ซัง

 

「!」

 

เมื่อมิธริลสีดำนั้นสัมผัสกับผิวสีเทาของเขา มันก็เปล่งแสงออกมา ก่อนที่ผิวสีเทาจะถูกเปลี่ยนเป็นสีดำ อย่างไรก็ตาม เมื่อตรวจสอบผ่าน【World Ruler】แล้วก็ได้รู้ว่าคำสาปได้ถูกรักษาแล้ว

 

ดันเต้ซังกับคนอื่นๆเรียกมันว่า “คำสาป” ก็จริง ทว่าจริงๆแล้วมันเป็น “พิษ” นั่นแหล่ะว่าทำไมดันเต้ซังถึงได้หยุดการกระจายของมันได้ด้วย【เสริมภูมิคุ้มกัน】

 

ถ้าพิษถูกกำจัดแล้ว ดันเต้ซังก็จะหายดี

 

「ขอบคุณพระเจ้า…」

 

กลิ่นของมันค่อนข้างฉุน

 

ผมรู้ ผมรู้มาตลอดว่าดันเต้ซังเป็นคนที่ใจดีแบบหาที่สุดไม่ได้ ผมรู้ว่าเขากำลังหาที่ตายของตัวเองแต่ไม่แสดงออกเพราะไม่งั้นเขาจะถูกพรากชีวิตนักพจญภัยของเขาไป

 

และผมก็รู้ว่าลูกสาวของเขา น็อนซัง นั้นก็ยังคงมองหาทางรักษาอย่างสิ้นหวังแม้จะรู้สิ่งที่พ่อของตนคิดก็ตาม

 

(โลกที่ทั้งสองคนจะไม่ได้รับรางวัลจากความพยายามหน่ะ ต้องเป็นโลกที่แปลกมากๆเลยละนะ…)

 

ผมใช้เวลาทายารักษาไปประมาณ 10 นาทีจนกระทั่งไม่เหลือส่วนที่เป็นหินอีกแล้ว

 

ผมยืนยันหลายต่อหลายครั้งกับ【World Ruler】– รักษาเสร็จสมบูรณ์ พิษที่ทำให้การเป็นหินหายไปหมดแล้ว ดันเต้ซังหายใจได้มั่นคงขึ้นจากการอดทนแผลไฟไหม้ ต่อจากนี้ไปเขาคงจะไม่เป็นไรแล้วละ ไม่สิ แผลไฟไหม้ก็น่าจะหายในทันทีเพราะพละกำลังของเขาที่เคยลดลงไปจากพิษคำสาปก็น่าจะกลับมาแล้ว

 

มันอาจจะอันตรายมากถ้าทิ้งมิธริลนี้ไว้ ดังนั้นผมจึงตัดสินใจจะเอามันไปด้วย

 

ผมกลับมาที่ห้องของตัวเองแล้วเก็บข้าวของที่เป็นของผม ถึงจะพูดแบบนั้น ของๆผมก็มีแค่กระเป๋าเครื่องมือเล็กๆเท่านั้น นอกจากนั้นก็มีเงินที่ได้มาจากดันเต้ซังและจากการขายขมิ้นอันนั้น

 

「…ต้องไปแล้ว」

 

อยู่ที่นี่ต่อไปก็รังแต่จะทำให้ทุกคนเดือดร้อน

 

เพราะอย่างงั้นผมเลยต้องไป

 

ผมต้องมองไปยังอนาคตข้างหน้าต่อจากนี้

 

「…ไม่อยากไปเลย」

 

ผมไม่อาจทำใจให้คิดบวกได้ ผมอยากจะเห็นดันเต้ซังที่หายดีแล้วเคลื่อนไหวไปรอบๆ ถึงน็อนซังอาจจะต้องกลับไปยังโบสถ์เนื่องจากดันเต้ซังหายดีแล้ว แต่ผมก็อยากจะเห็นใบหน้าที่ยิ้มแย้มของเธอ อีกอย่างผมก็ไม่อยากจะทิ้งมิมิโนะซังเอาไว้คนเดียวหลังจากที่ไรเครียซังตาย

 

「เรย์จิคุง?」

 

ผมถูกจับได้เนื่องจากตกอยู่ในภวังค์จนไม่ทันได้สังเกตว่ามิมิโนะซังกำลังยืนอยู่ที่ประตูห้อง

 

「เธอจะไปไหนงั้นหรอ? ชั้นเห็นว่าเธอไม่ได้อยู่ที่เตียงเลยวิ่งออกไปตามหา…」

 

มิมิโนะซังมีสีหน้าตกใจ บางทีอาจจะเพราะว่าเธอเห็นใบหน้าที่เกือบจะร้องไห้ของผม หรือบางทีอาจจะเพราะสภาพ “พร้อมออกไป” ของผมก็ได้

 

「…ตอนนี้ชั้นรู้สึกไม่ดีเลย… แต่ชั้นอาจจะคิดไปเองก็ได้ ใช่ไหม? เธอไม่ได้กำลังจะจากไป ใช่ไหม เรย์จิคุง…?」

 

ผมมักจะถูกกระตุ้นให้พูดความจริงทั้งตรงนั้นตรงนี้เสมอเลย

 

แต่ผมทำแบบนั้นไม่ได้ ไม่งั้นมิมิโนะซังจะต้องปกป้องผมด้วยทุกอย่างที่เธอมีแน่นอน ทว่าเส้นทางแบบนั้นมีแต่จะมุ่งหน้าไปสู่การล่มสลายเพียงเท่านั้น

 

ซิวเวอร์บาลานซ์นั้นปกป้องผมมาโดยที่ไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับตัวผมเลย และในวันนี้เอง ผมก็กำลังจะจากไปอย่างเงียบๆด้วย

 

「ผมขอโทษครับ มิมิโนะซัง ผมต้องไปแล้ว」

 

「……!!」

 

มิมิโนะซังเหมือนกับจะพูดบางอย่างแต่ก็หยุดไป เธอหยุดพูดไปเพื่อกลืนคำพูดที่เธออยากจะพูดเอาไว้

 

「—แต่สักวันนึง ผมจะกลับมาแน่นอน」

 

และอีกอย่างนึงที่ผมอยากจะพูด

 

「ยังไงซะ ผมก็เป็นสมาชิกของซิวเวอร์บาลานซ์อยู่แล้วนี่ครับ」

 

「!!」

 

แล้วผมก็เดินผ่านมิมิโนะซัง ถึงจะมีน้ำตาก่อตัวขึ้นที่ขอบตาของผม แต่ผมก็ห้ามตัวเองไว้ไม่ให้ร้องไห้ออกมา

 

「…เธอสัญญานะ…?」

 

ผมได้ยินเสียงมิมิโนะซังมาจากข้างหลัง

 

「ครับผมสัญญา… ผมจะกลับมาแน่นอน」

 

ผมยืนยันคำตอบของผมด้วยเสียงอันหนักแน่นจนเกือบจะตะโกนออกมา

 

「ผมจะไปแล้วนะครับ!」

 

แล้วผมก็เริ่มออกวิ่ง ผมได้ยินเสียงร้องไห้ของมิมิโนะซังเมื่อผมออกมาจากโรงแรม แต่ถึงอย่างนั้น – ผมก็ยังเชื่อว่าผมไม่ควรหันกลับไป และตั้งหน้าตั้งตาวิ่งต่อไป

 

ใช่แล้ว นี้ไม่ใช่การจากลาถาวรซะหน่อย ผมแค่ออกมาจากปาร์ตี้ชั่วคราวก็เท่านั้นเอง

 

ผมจะกลับมาในสักวัน

 

ผมจะกลับมาแน่นอน

 

เมื่อถึงตอนนั้น ผมจะต้องแข็งแกร่งยิ่งกว่านี้

 

ผมจะกลับมายังซิวเวอร์บาลานซ์แน่นอนเพื่อที่จะตอบแทนบุญคุณที่ผมติดข้างเอาไว้

 

ดวงอาทิตย์ได้ขึ้นสู่ท้องฟ้าแล้ว และเมืองก็กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง

 

อย่างไรก็ตาม ผมควรจะออกจากเมืองนี้ทันที ตาแก่ฮินกาบอกไว้ว่าสกิล【ราชันแห่งเงา★★★★★★】นั้นประเมินค่าไม่ได้ พวกนั้นจะต้องไล่ล่าตามตัวลาร์คแล้วดึงหินสกิลออกมาไม่ว่าจะด้วยวิธีไหนก็ตามแน่ๆ

 

แทบจะไม่มีเบาะแสใดที่จะนำไปสู่ตัวลาร์คเลย มีเพียงแค่ตัวผมเท่านั้นที่เหมาะจะเป็นเบาะแสมากที่สุด ดังนั้นการออกจากเมืองนี้จึงเป็นเป้าหมายสูงสุดในตอนนี้

 

โชคยังดีที่ผมมีเงิน จะมีรถม้าโดยสารคันไหนที่ผมสามารถเช่าได้มั้งนะ…?

 

ผมมาถึงสถานีรถม้าจากการถามทางผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมา มันเป็นพื้นที่ที่มีสภาพเป็นครึ่งวงกลมขนาดใหญ่ มีรถม้าจอดอยู่มากมายถัดจากป้ายที่แสดงถึงจุดหมายปลายทางที่จะไป

 

เอายังไงดี? ผมจะไปที่ไหนดี? ไม่ใช่ว่าการข้ามชายแดนมันยากงั้นหรอ? ถ้าเป็นยังงั้น ผมควรจะไปที่เมืองใกล้เคียงดีกว่า?

 

「เฮ้ย」

 

「เย้ย!?」

 

ผมส่งเสียงแปลกๆออกมาเมื่ออยู่ๆก็มีมือมาจับที่คอของผม

 

เป็นคนที่ไม่ได้คาดคิดเลยสักนิด – ออสการ์ หัวหน้าของปาร์ตี้ “ดาวนิรันดร์”

 

ไม่เห็นรอยยิ้มที่น่าสงสัยที่เขามักจะทำบ่อยๆในวันนี้เลย แทนที่กันนั้น เขากำลังขมวดคิ้วอยู่

 

「เอออ อา…? อะไรหรอครับ?」

 

「แกเป็นเด็กที่อยู่กับ “โล่ใหญ่สีเงิน” ใช่ไหม?」

 

「คะ-ครับ…」

 

「มากับข้า!」

 

「เอ๋!?」

 

ผมถูกลากไปที่ด้านหลังของอาคาร

 

「ทะ-ทำอะไรของคุณกัน? ผมจะตะโกนขอความช่วยเหลือนะ」

 

「หยุดเลย อีกอย่าง แกเองนั่นแหล่ะที่จะมีปัญหา」

 

「…หมะ-หมายความว่ายังไงกันครับ?」

 

นี่มันเรื่องนั้นรึปล่าว? พวกเขารู้แล้วว่าผมขโมยมิธริลยังงั้นหรอ? อีกอย่างหลักฐานก็ยังอยู่ในกระเป๋าเครื่องมือของผม ถึงมันจะเป็นซูชิโรลที่ห่วยแตกที่สุดในโลกเลยก็เถอะ

 

「มีพวกทหารบุกเข้าไปในกิลด์นักพจญภัยเมื่อเช้านี้ พวกเขากำลังตามหาเด็กผมสีดำตาสีดำที่อยู่กับปาร์ตี้นักพจญภัย」

 

「………」

 

「นั่นคือแก ใช่ไหมละ?」

 

เร็วมาก พวกนั้นเคลื่อนไหวเร็วกันเกินไปแล้ว

 

เหงื่อเย็นๆไหลลงมาที่กลางหลังของผม

 

「ผะ-ผมไม่รู้ว่าคุณกำลังพูดถึงเรื่องอะไรอยู่…」

 

「อย่าโง่ไปหน่อยเลย มาสงสัยในตัวข้าที่ยอดเยี่ยมผู้นี้ ถ้าข้าจะส่งแกให้กับพวกทหารละก็ แกคงได้ถูกข้ามัดด้วยเชือกไปนานแล้ว」

 

ก็คงจะเป็นอย่างนั้นละนะ

 

「งั้นก็หมายความว่าออสการ์ซัง…」

 

「แกอยู่ที่นี่ก็หมายความว่าอยากจะออกจากเมืองใช่ไหมละ? ข้าจะช่วยเจ้าเอง」

 

โอ้! ผู้สมรู้ร่วมคิดที่คาดไม่ถึง!?

 

「ตะ-แต่ว่าทำไม…」

 

「สมาชิกปาร์ตี้ของข้าถูกช่วยไว้โดย “โล่ใหญ่สีเงิน” ตอนที่เขาเกือบจะถูกกลืนเข้าไปโดยแรงระเบิดจาก【เวทย์ไฟ】เฮงซวยนั่น ถ้าข้าไม่ได้ตอบแทนละก็ ข้าคงเรียกตัวเองว่าลูกผู้ชายไม่ได้หรอก」

 

「จริงๆ ข้าก็กำลังจะไปที่โรงแรมเพื่อบอกพวกแก」เขาพึมพำออกมา「ประตูเมืองทั้งหมดจะถูกตรวจสอบโดยพวกทหาร พวกนั้นจะตรวจสอบเฉพาะคนที่มีตาสีดำ โดยคำนึงถึงว่ามีโอกาศที่ผมอาจจะไม่ใช่สีดำอีกต่อไปแล้ว」

 

「วะ-ว่ายังไงนะครับ!?」

 

ซวยแล้ว! เครือข่ายข้อมูลของประเทศนี้มันอะไรกัน!? ถ้าจะเคลื่อนไหวกันเร็วขนาดนี้ ก็ควรจะมีส่วนรวมในการกำจัดมังกรให้มากกว่านี้หน่อยเหอะ!

 

「…ดูจากสีหน้าของแก ข้าคิดว่าแกคงจะไม่ได้คิดไปไกลขนาดนั้นสินะ ลองนั่งรถม้าดูสิ แกถูกจับได้ในเสี้ยววิแน่ๆ」

 

「กะ-เกือบไปแล้ว… แต่ถ้าใช้ทางออกไม่ได้ งั้นก็หมายความว่าผมจะต้องติดอยู่ที่นี่อย่างงั้นหรอครับ?」

 

「ไม่ ข้าสามารถพาแกออกไปจากเมืองได้」

 

「ด้วยวิธีไหนหรอครับ…?」

 

ออสการ์ตอบกลับมาด้วยรอยยิ้ม

 

「ตามมา มันเป็นอะไรแบบ “ใช้โจรในการจับโจร” ละนะ」

 

มันเป็นรอยยิ้มที่ดูน่าสงสัยตามปกติของเขา

 

 

 

บทที่ 1 ตอนที่ 31

 

「ผมต้องไป…」

 

ผมรู้สึกว่ายิ่งเวลาผ่านไปเท่าใด ลาร์คก็จะยิ่งห่างผมไปเรื่อยๆ ถ้าเธอรู้ว่าผมปลอดภัยแล้ว เธอคงไม่มีเหตุผลให้ต้องอยู่ดูแลผมอีกต่อไปแล้ว

 

「ลาร์ค…!」

 

ชั้นหยิบเสื้อของชั้นขึ้นมาใส่ เสื้อที่มิมิโนะซังทำให้ผมนั้นขาดรุ่งริ่ง แต่ก็ยังคงใส่มันได้อยู่

 

ผมได้ยินเสียงของมิมิโนะซังกับน็อนซังจากห้องข้างๆ คงเป็นเพราะสกิล【เสริมการได้ยิน】สินะ ทั้งคู่กำลังพูดคุยด้วยน้ำเสียงสดใส ดังนั้นดันเต้ซังก็น่าจะไม่เป็นอะไรมากสินะ

 

ถ้าผมบอกพวกเขาไปว่าจะออกไปข้างนอก ไม่ต้องสงสัยเลยว่าพวกเขาจะต้องห้ามผมอย่างแน่นอน ดังนั้นผมจึงใช้【ทักษะการวิ่ง】เพื่อลบเสียงฝีเท้าแล้วแอบออกมา — ท้องฟ้านั้นมืดมืด เป็นช่วงเวลาก่อนรุ่งสาง

 

…นี่ผมนอนไปมากกว่าครึ่งวันเลยหรอ? คิดอย่างนั้นผมก็รู้สึกหิวขึ้นมา ทว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลามาสนใจเรื่องนั้น

 

ผมตรวจดูรอบๆโรงแรม ไม่มีใครอยู่เลย ขณะที่ผมวิ่งไปบนถนนอย่างเงียบเชียบ ผมก็ได้เห็นคนที่ดูเหมือนว่ากำลังจะไปซื้อของมาตุนไว้ ถึงจะมีเรื่องใหญ่โตเกิดขึ้นเมื่อวาน แต่เมืองนี้ก็พยายามที่จะใช้ชีวิตให้เหมือนกับปกติ มันทำให้ผมรู้สึกเหมือนกับว่าเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นเมื่อวานเป็นเพียงแค่ความฝันไปเลย

 

แต่เพราะว่าสภาพหลังจากการต่อสู้เมื่อวานนั้นอยู่ใกล้ๆนี้ ผมจึงมั่นใจได้ว่ามันไม่ใช่แค่ฝันไป

 

กลิ่นของควันไฟนั้นรุณแรงมาก เนื่องจากอาคารเกือบทั้งหมดนั้นทำมาจากหิน มันจึงไม่เกิดเป็นเพลิงไหม้ขนาดใหญ่ ทว่าก็ยังมีอาคารมากมายที่ไหม้เป็นตอตะโกอยู่บริเวณรอบๆ

 

ขณะที่ผมเข้าใกล้กับจุดที่เป็นสนามรบ – ขณะที่ผมวิ่งผ่านถนนที่ครั้งหนึ่งผมเคยพยายามที่จะวิ่งหนีออกมา หัวใจของผมก็เต้นเร็วขึ้นเรื่่อยๆ

 

ลาร์คต้องอยู่ในการต่อสู้นั่น ไม่ต้องสงสัยเลย ทว่าเรื่องมันเกิดขึ้นเมื่อวานนี้ ดังนั้นลาร์คอาจจะไม่อยู่ที่นั่นแล้วก็ได้ — แต่มันไม่มีที่อื่นอยู่ในหัวผมเลยนี่นา

 

มีทหารที่กำลังหาวออกมายื่นอยู่ใกล้ๆ คงมีเพื่อคุ้มกันสถานที่ต่อสู้ที่เป็นซากของอาคาร “สำนักงานจัดการสกิล” เพราะอาจจะมีหินสกิลที่ยังไม่ถูกเก็บกู้อยู่อีก

 

อย่างไรก็ตาม เนื่องจากมีเพียงแค่คนเดียว ผมจึงลอบเข้าไปได้อย่างง่ายดาย ผมลบเสียงฝีเท้าและเล็ดลอดผ่านยามเข้าไปโดยซ่อนตัวอยู่ในความมืด

 

「อา…」

 

เมื่อผมเลี้ยวตรงหัวมุม ก็พบกับสถานที่ต่อสู้ ยังคงมีควันสีขาวลอยออกมาจากซากปรักหักพัง รวมถึงยังมีกลิ่นของเนื้อที่ไหม้เกรียมผสมอยู่ในอากาศจนน่าสะอิดสะเอียน

 

…อดทนไว้ อดทนไว้

 

ผมมองไปรอบๆ แต่ว่า — อย่างที่ผมคาดไว้ ไม่พบลาร์คเลยสักนิด

 

「ไม่ดีแล้ว…」

 

ไม่มีศพของมังกร รวมถึงร่างของไรเครียซังกับคริสต้าด้วย พวกเขาคงถูกขนย้ายออกไปแล้ว

 

ผมเดินไปยังจุดที่มีกองเลือดขนาดใหญ่ คิดว่าคงเป็นที่ที่มังกรตัวนั้นตาย

 

「หืมม…」

 

จังหวะนั้นเอง มีก้อนหินก้อนหนึ่งดึงความสนใจของผม มันมีขนาดเท่ากับกระเบื้องหลังคาและราบเรียบ ซากปรักหักพังชิ้นอื่นๆนั้นจมอยู่ในกองเลือด มีเพียงชิ้นนี้เท่านั้นที่วางอยู่บนกองเลือด

 

เมื่อผมหยิบมันขึ้นและพลิกมันดู – ผมก็เห็นว่ามีตัวอักษรสลักอยู่บนหินก้อนนั้น

 

『สักวัน สักที่』

 

มันเป็นคำสั้นๆและก็เขียนได้แย่มาก

 

มันทำให้ผมนึกถึงว่าเมื่อไหร่ก็ตามที่ตาแก่ฮินกาสอนตัวอักษรหลายๆตัวให้กับพวกเรา เธอมักจะไม่ค่อยสนใจมัน บ่งบอกได้เลยว่าเธอเกลียดการเรียนแค่ไหน

 

「ลาร์ค… อยู่ที่นี่ จริงๆด้วยซินะ…」

 

หน้าอกของผมแน่นไปหมด ดวงตาของผมก็เริ่มเปียกชื้น แต่ผมได้หยุดตัวเองไว้

 

…ผมต้องไม่ร้องไห้

 

ผมปฏิเสธมือของเธอที่ยื่นมาให้ มันคงจะเห็นแก่ตัวเกินไปที่จะมาร้องไห้คืดถึงลาร์คแบบนี้

 

…ผมเข้าใจแล้ว ลาร์ค

 

…ผมจะต้องเจอเธอในสักวันสักที่ ก็พวกเราเป็นพี่น้องกันนี่นา

 

「–งั้นผู้ถือครองสกิล 6 ดาวก็อยู่ที่นี่งั้นรึ?」

 

ในตอนนั้นเอง หูของผมก็ได้ยินเสียงใครบางคน

 

ผมตกใจแล้วรีบซ่อนตัวอยู่ในเงามืด

 

จากนั้น ทหารหลายนายก็เข้ามาในลานต่อสู้พร้อมกับคนที่ดูจะมีตำแหน่งสูง

 

「ดูเหมือนจะจริงครับ มันเป็นสกิลดาบสีดำที่ไม่เคยมีใครเห็นมาก่อน ผมคิดว่ามันเป็นสกิลเดียวกับที่จัดการกับหัวหน้าเหมืองหลังจากที่ท่านดยุคเสียชีวิตครับ」

 

…พวกเขาพูดถึงเรื่องของลาร์ค คนพวกนั้นกำลังตามหาเธองั้นหรอ? เพราะสกิล 6 ดาวเป็นสกิลหายากงั้นหรอ?

 

「หืมม… ไม่มีทหารประจำเหมืองคนไหนรอดชีวิตเลย แถมก็ไม่ค่อยมีรายงานอย่างอื่นจากเหมืองมากนัก」

 

「พวกเขาคงรายงานตามลำดับความสำคัญของข้อมูลหน่ะครับ ไม่สิ บางทีอาจจะเพราะความสามารถของสกิลนั่นมันน่าทึ่งมากๆก็ได้…」

 

「นั่นก็เป็นไปได้ และมีการรายงานจากประตูเมืองมาถึงเมื่อวาน… มีทาสผมสีดำตาสีดำเข้ามาในเมืองจริงๆเรอะ?」

 

「ครับ ดูเหมือนเด็กคนนั้นจะได้รับอนุญาตให้เข้ามาเพราะว่าเป็นทาสของนักพจญภัยครับ ตามบันทึกทาสของเหมือง มีทาสเด็กเพียงแค่ 2 คนเท่านั้นคือ ทาสที่ถือครองสกิล 6 ดาว “ลาร์ค” และทาสผมสีดำตาสีดำ “ไร้นาม” ครับ มีความเป็นไปได้ที่เด็กทั้งสองคนจะอยู่ด้วยกันหลังจากหลบหนีออกมาครับ」

 

หัวใจของผมเต้นเร็วและดังมาก

 

…งั้น พวกเขาก็ได้ข้อมูลไปถึงจุดนั้นแล้วสินะ

 

「–เอาละ งั้นก่อนอื่นเลย ตรวจค้นทั้งเมือง หาร่องรอยของทาสนั่นซะ ข้าจะไปคุยกับกิลด์นักพจญภัยแล้วถามถึงทาสผมสีดำตาสีดำเอง」

 

…แย่แล้ว ขึ้นอยู่กับเวลาแล้วว่าพวกนั้นจะถึงตัวของซิวเวอร์บาลานซ์เมื่อไหร่เมื่อพวกเขาไปถามจากกิลด์ ถึงผมจะย้อมสีผมแล้ว แต่ตาก็ยังเป็นสีดำอยู่ดี และพวกเขาต้องจับได้แน่ว่าผมย้อมสีผมของตัวเอง

 

(…ผมไม่อยากจะรบกวนพวกเขาเลย)

 

ภ้าผมเล่าสถานการณ์ของผมให้กับพวกเขาละก็ พวกเขาต้องพูดออกมาอย่างง่ายดายเลยว่า “หนีกันเถอะ” ทว่าดันเต้ซังตอนนี้บาดเจ็บหนักและไม่ควรเคลื่อนไหวร่างกายมากๆ

 

…ถ้าผมจะหนีก็ต้องเป็นวันนี้เท่านั้น ก่อนที่ทางเข้าและทางออกของเมืองนี้จะถูกปิด

 

เมื่อผมกำลังคิดที่จะหนี ผมได้เหลือบไปเห็นเศษของผ้าราคาแพงที่ถูกตัดออกเข้า ผมรู้ได้ทันทีเลยว่ามันเป็นเศษผ้าคลุมของคริสต้า ทว่าสิ่งที่เตะตาผมที่สุดก็คือ… แสงสีเงินแพรวพราวที่ถูกซ่อนอยู่ในผ้านั่นต่างหาก

 

「นั่นมัน…?!」

 

เมื่อผมเข้าไปใกล้ ผมก็ได้รู้

 

…ร่างของคริสต้าท่อนบนถูกตัดขาดแล้วลอยขึ้นฟ้า สิ่งนี้ก็คงถูกตัดแล้วลอยขึ้นฟ้าเหมือนกัน

 

บัตรนักพจญภัยระดับมิธริลสะท้อนแสงจากท้องฟ้ายามรุ่งสางขณะที่ยังคงรักษาความเป็นสีเงินบริสุทธิ์เอาไว้อยู่

 

(นี้มันวัตถุดิบชิ้นสุดท้าย…!)

 

ผมไม่รู้เหมือนกันว่าผมใช้ถนนเส้นไหนหรือเดินเร็วแค่ไหน แต่รู้ตัวอีกทีผมก็กลับมาถึงโรงแรมแล้ว บัตรนักพจญภัยนั้นเปียกชุ่มเนื่องจากเหงื่อที่ไหลออกมาจากฝ่ามือของผม และผมก็รีบเก็บมันใส่กระเป๋าของผมอย่างรวดเร็วเพราะกลัวที่จะมีใครมาเห็นเข้า

 

ผมกลับมาที่ห้องและพบว่าไม่มีใครอยู่ ผมวางบัตรนักพจญภัยลงบนโต๊ะโดยหวังว่ามิมิโนะซังจะยังไม่เข้ามา

 

『กิลด์นักพจญภัย : ออกโดยกิลด์นักพจญภัยสาขาเมืองหลวงของราชอาณาจักรเกฟเฟริดแห่งสหพันธรัฐคีทแกรนด์

ชื่อ: คริสต้า-ลา-คริสต้า

ระดับ: มิธริล

ปาร์ตี้:-

บัตรนี้เป็นเครื่องพิสูจน์ว่าเจ้าของนามข้างต้นนั้นสังกัดกับกิลด์นักพจญภัย นอกจากนี้เจ้าของนามข้างต้นนั้นได้รับอนุญาตให้สามารถข้ามประเทศหรืออาณาเขตได้โดยไม่มีอุปสรรคใดๆขวางกั้น』

 

ข้อความนี้ได้ถูกสลักเอาไว้บนบัตร บางทีมิธริลอาจจะพิเศษกว่าอันอื่นก็ได้ เพราะตัวอักษรที่ถูกสลักไว้มีสีฟ้า

 

จากที่อ่านมัน มันคล้ายๆกับพาสปอร์ตเลย

 

…เอาเถอะ เนื่องจากที่นักพจญภัยมักจะเคลื่อนที่ไปเรื่อยๆ คิดว่าคงสมเหตุสมผลละมั้ง?

 

เนื่องจากมิธริลเป็นทรัพย์สินของประเทศโดยตรง มั่นใจได้เลยว่าบัตรที่ทำโดยมิธริลอันนี้ไม่ควรเอามาโดยพลการแน่ๆ

 

อย่างไรก็ตาม ผมก็เอามันมาแล้ว

 

–ใบไม้ที่ดูเหมือนกับใบไม้ของฤดูใบไม้ล่วงและมีส่วนปลายแยกออกเป็น 5 แฉก (ใบไม้ของต้นไม้แห่งชีวิต)

 

–โลหะสีเงินบริสุทธิ์ (มิธริล)

 

–สิ่งมีชีวิตคล้ายกับไส้เดือน (ไส้เดือนสีขาว)

 

นี้เป็นวัตถุดิบชิ้นสุดท้ายแล้ว

 

「ไหนดูสิ… ไส้เดือนสีขาว ไส้เดือนสีขาว…」

 

ผมเจอกระเป๋าเครื่องมือของผมอยู่ที่ที่เดียวกันกับที่เสื้อของผมเคยวางอยู่ กระเป๋าเครื่องมือเองก็ขาดหลุดลุ่ยเช่นกัน แต่ยังคงใช้งานได้ ผมเอากระเป๋าหนังที่ใส่ใบไม้ของต้มไม้แห่งชีวิตกับไส้เดือนสีขาวอยู่ออกมา

 

「หืมม…?」

 

เมื่อผมเปิดกระเป๋า ผมก็เห็นใยเหนียวๆยืดออกอยู่ข้างใน จากข้อมูลของ【World Ruler】นี้ดูจะเป็นเมือกที่ไส้เดือนสีขาวคายออกมาหลังจากกินใบไม้ของต้มไม้แห่งชีวิตไปแล้ว

…ขยะแขยงอะ

 

อย่างไรก็ตาม มันก็ไม่ใช่สิ่งที่ผมจะมาบ่นได้หรอก และดูเหมือนจะไม่มีปัญหาอะไรเกิดขึ้นจากข้อมูลของWorld Rulerซามะ ดังนั้นผมจึงวางบัตรนักพจญภัยเอาไว้บนโต๊ะแล้วคว่ำกระเป๋าหนังลง — และมีก้อนเหนียวๆตกลงมาบนบัตรอย่างช้าๆ

 

「หว่า?」

 

เมื่อมันสัมผัสกับส่วนหนึ่งของมิธริล ส่วนนั้นก็กลายเป็นสีดำก่อนจะกระจายไปทั่วทั้งบัตร

 

「นะ-นี้มันจะไม่เป็นอะไรใช่ไหมเนี้ย…? หืมม ดูเหมือนจะเป็นแบบนั้นแห่ะ…」

 

จากรายงานของ【World Ruler】เจ้าสิ่งนี้คือยา ผมเชื่อมั่นว่ามันต้องเป็นยาสำหรับรักษาคำสาปของดันเต้ซังแน่ๆ

 

「………」

 

ผมแตะไปที่บัตรนั่นอย่างช้าๆ เมื่อผมสัมผัสมัน บัตรที่ควรจะเป็นโลหะกลับนุ่มนิ่มเหมือนกับกระดาษแข็งที่เปียกน้ำ และมันถูกหุ้มด้วยความเหนียวหนึบแบบสุดๆ ซูชิโรลที่ห่วยที่สุดในโลกได้ถือกำเนิดขึ้นมาแล้ว เอาเถอะ ไม่จำเป็นต้องกินมันเข้าไปนี่นา

 

…มิธริลนี้เป็นของแฟนตาซีจริงๆสินะ ผมชักไม่แน่ใจแล้วว่ามันยังเป็นโลหะอยู่หรือไม่กันแน่

 

ผมเคาะไปที่ประตูห้องข้างๆ แต่ว่าไม่มีการตอบกลับใดๆ เมื่อผมเปิดประตูที่ไม่ได้ล็อคเข้าไป ผมก็ได้กลิ่นฉุนของยาลอยออกมา เห็นน็อนซังที่กำลังหลับลึกพร้อมกับคลุมร่างกายด้วยผ้าห่มเล็กๆอยู่บนโซฟา

 

และดันเต้ซังที่มีผ้าพันแผลพันอยู่ทั่วร่างกายนั้นนอนอยู่บนเตียง

 

 

 

บทที่ 1 ตอนที่ 30

 

* *

 

ผมอยู่ตัวคนเดียวท่ามกลางความมืดมิด

 

โอ้ ผมคงตายไปแล้วซินะ

 

งั้น ที่นี่ก็คือสวรรค์? หีรือว่านรกกัน? มันมีเป็นโลกหลังความตายอยู่จริงๆงั้นหรอ?

 

เอาเถอะ ก็น่าจะมีนะ ใช่ไหมละ?

 

ผมคงจะมาเกิดใหม่ต่างโลกไม่ได้หรอกถ้าไม่มีมัน

 

งั้นก็หมายความว่า… ผมจะได้เจอกับพระเจ้ายังงั้นหรอ!?

 

ได้โปรด ท่านพระเจ้า

 

ถ้าเป็นไปได้ ในโลกหน้าขอให้ผมได้เกิดในโลกที่ตาสีดำผมสีดำไม่ถูกรังเกียจโดยผู้คนด้วยเถิด

 

—ชั้นชอบผมสีดำตาสีดำของเธอนะ (มิมิโนะ)

 

ถ้าเป็นไปได้ ขอให้ผมมีสกิลโกงๆตั้งแต่เริ่มต้นด้วยเถิด

 

—โอ๊ะ ไม่เป็นไรนะ คราวหน้าชั้นจะซื้อหินสกิลให้กับเรย์จิคุงเอง โอเคไหม? ไม่ต้องคิดมากเรื่องที่เธอไม่มีสกิลหรอกนะ! (มิมิโนะ)

 

อา… นี่ผมพูดบ้าอะไรอยู่เนี้ย

 

ผมก้าวข้ามปมด้อยพวกนั้นของผมมาตั้งนานแล้ว… ตั้งแต่ที่ได้พบกับเหล่าคนที่แสนวิเศษ

 

「ขอบคุณครับดันเต้ซัง ขอบคุณครับน็อนซัง ขอบคุณครับมิมิโนะซัง ส่วนไรเครียซัง… อย่ามาตายโง่ๆอย่างนั้นสิ แต่ก็ ขอบคุณครับ…」

 

และก็

 

「…ลาร์ค อย่างน้อยๆผมก็อยากจะเรียกเธอว่า “พี่สาว” สักครั้งก่อนตายจังเลยนะ…」

 

ผมอยากที่จะมีชีวิตอยู่

 

ผมอยากจะมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ผมอยากจะออกพจญภัยไปกับผู้คนของซิวเวอร์บาลานซ์มากกว่านี้ ผมอยากจะแนะนำลาร์คในฐานะพี่สาวของผม

 

—เจ้าน้องชาย

 

ขนาดที่โลกบิดเบี้ยวไปเพราะเวทย์พันธสัญญา ลาร์คก็ยังคงเป็นลาร์ค

 

ขนาดตอนที่เวทมนตร์คลายแล้ว ความรู้สึกของผมที่มีต่อลาร์คก็ยังคงไม่เปลี่ยนแปลง

 

—อย่าพึ่งมาตายตอนนี่สิ

 

เธอลูบหัวของผมพร้อมกับรอยยิ้มซุกซนบนใบหน้า แบบเดียวกับลาร์คคนเดิมที่ผมรู้จัก

 

* *

 

「……??」

 

ผมลืมตาขึ้นแล้วพบกับเพดานสลัวๆ ปรากฏว่าผมกำลังนอนอยู่บนเตียง (อา โลกหลังความตายก็มีเตียงอยู่ด้วยหรอเนี้ย) เมื่อผมมองไปข้างๆ

 

「?!」

 

ผมก็เห็นมิมิโนะซัง – ที่กำลังงีบหลับ โดยเอาส่วนบนของเธอวางพักอยู่ที่ขอบเตียงของผม

 

…ทำไม? ทำไมมิมิโนะซังถึงมาอยู่ที่นี่? ไม่มีทางหน่า! มิมิโนะซังก็ตายด้วยหรอ?

 

ผมลุกขึ้นจากเตียงแล้วสังเกตเห็นว่าผมไม่ได้ใส่เสื้อ ผมรู้สึกเจ็บไปทั่วทั้งตัว ยาบรรเทาอาการถูกทาไว้ที่หูกับหลังมือของผม – นอกเหนือจากนั้น ร่างกายของผมมีเพียงแค่บาดแผลเล็กน้อยๆ และจากข้อมูลที่【World Ruler】ได้รายงานไว้ว่าขาที่หักของผมได้รับการรักษาแล้ว

 

「….อืม? เรย์จิ คุง…?」

 

มิมิโนะซังรู้สึกตัวตื่นขึ้น

 

「อะ-อรุณสวัสดิ์ครับ…?」

 

「เรย์จิคุง!!」

 

มิมิโนะซังดึงผมเข้าไปกอดทันที

 

「โอ้ย-โอ้ย-โอ้ย! มันเจ็บนะครับ!」

 

「ปะ-เป็นอะไรไหม? เจ็บตรงไหนรึเปล่า?」

 

「อา ปล่าวครับ ผมแค่รู้สึกตกใจนิดหน่อย มันไม่ได้เจ็บขนาดนั้นหรอกครับ… แล้วก็อีกอย่าง ที่นี่มันคือโรงแรมอย่างนั้นหรอครับ?」

 

ผมอยู่ในที่ที่คุ้นเคย มีเตียงอยู่ 3 เตียงในห้องนี้ แต่มีแค่เตียงของผมที่มีผมนอนอยู่

 

「ใช่แล้ว! ใช่แล้วละ!」

 

บางทีอาจจะเพราะเธอรับรู้ได้ว่าผมยังแข็งแรงพอที่จะพูดคุยกันได้ มิมิโนะซังจึงปล่อยตัวผมแล้วเริ่มร้องไห้ ใช่เวลาไม่นานใบหน้าของเธอก็เปียกโชกไปด้วยน้ำตา

 

「ใช่แล้วละ… พวกเราปลอดภัยแล้ว…!」

 

「…มิมิโนะซัง」

 

เธอกอดผมอีกครั้ง แต่ครั้งนี้เธอทำมันอย่างช้าๆ

 

「พวกเราปลอดภัยแล้วเรย์จิคุง แต่ว่านะเรย์จิคุง เรย์จิคุง! เธอต้องสัญญานะว่าเธอจะไม่ทำอะไรแบบนั้นอีก… ได้โปรดเถอะนะ!」

 

อบอุ่น

 

ร่างการของมิมิโนะซังช่างอบอุ่น และมีกลิ่นอยู่หน่อยๆ – บางทีเธอคงยังไม่ได้อาบน้ำเลย

 

…เธอคงจะหมายถึงตอนที่ผมช่วยเธอจากมังกรงั้นสินะ

 

จากมุมมองของมิมิโนะซัง เธอคงเห็นผมทำการโจมตีแบบฆ่าตัวตายทันทีหลังจากที่เธอเป็นเห็นการตายของไรเครียซัง มันคงทำให่เธอขวัญเสียสุดๆไปเลยละ

 

「ขอโทษครับ มิมิโนะซัง… ตอนที่ผมเห็นคุณกำลังตกอยู่ในอันตราย ร่างกายของผมก็ขยับไปเอง…」

 

「เธอทำเพื่อชั้นงั้นหรอ?」

 

เมื่อมิมิโนะซังคลายอ้อมกอดของเธอออก ใบหน้าของเธอเต็มไปด้วยน้ำตาและน้ำมูกเลย

 

「อุ๊ฟ คุณดูแย่มากเลยนะครับ」

 

ผมหยิบผ้าขนหนูที่วางอยู่ข้างๆเตียงขึ้นแล้วเช็ดใบหน้าของมิมิโนะซัง

 

「นี่ หยุดเลยนะ ชะ-ชั้นไม่เป็นไร! บางทีเธอก็มักจะทำตัวเหมือนกับว่าเธออายุมากกว่าชั้นนะ!」

 

ผมอาจจะแก่กว่าเธอจริงๆก็ได้ ถ้านับจากที่ผมอายุ 16 ในชาติก่อน + กับอายุ 10 ปีในโลกใบนี้ อย่างไรก็ตาม ความทรงจำของผมพึ่งจะกลับมา ดังนั้นตามจริงจะนับว่าผมอายุแค่ 16 ปี

 

มิมิโนะซังขว้าผ้าขนหนูออกไปจากมือผมแล้วหันหลงัให้กับผม ก่อนจะเช็ดใบหน้าของเธอเอง

 

「…มิมิโนะซัง คุณช่วยผมออกมาได้ยังไงกันครับ? แล้วดันเต้ซังกับน็อนซังอยู่ไหนกันหรอครับ?」

 

ผมใช้โอกาสนั้นถามเรื่องที่ผมอยากจะรู้มากที่สุด

 

「น็อนกำลังรักษาดันเต้อยู่ที่ห้องถัดไปนี่แหล่ะ ชั้นเองก็ไม่แน่ใจเท่าไหร่ แต่ดูเหมือนจะมีการระเบิดครั้งใหญ่ขึ้น และดันเต้ดูจะทำการปกป้องผู้คนจากแรงระเบิดด้วยร่างกายของเขาเอง… รอยไหม้บนร่างของเขาค่อนข้างรุณแรงเลย」

 

…คงเป็นเพราะแรงระเบิดที่เกิดขึ้นจาก【เวทย์ไฟ】ขนาดใหญ่ของคริสต้ากับมังกรตัวนั้นแน่นอนเลย

 

…และดันเต้ซังก็ยังคงปกป้องพวกพ้องแม้จะตกอยู่ในสถานการณ์แบบนั้น… เขาเป็นคนที่สุดยอดจริงๆ

 

「น็อนต้องอยู่ดูแลเขาเพื่อคอยรักษารอยไหม้ด้วย【เวทย์รักษา】โอ๊ะ เธอก็รักษาเธอแล้วด้วยเหมือนกันนะเรย์จิคุง ดังนั้นชั้นไม่คิดว่าเธอจะมีอาการบาดเจ็บร้ายแรงหลงเหลือแล้วละ…」

 

「ขอบคุณครับ แล้วพวกคุณช่วยผมเอาไว้ได้ยังไงกันครับ? ผม… ผมอยู่ใต้มังกรตัวนั้นเลยนะครับ」

 

「ใช่…」มิมิโนะซังขมวดคิ้ว

 

「คือ ชั้นเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน」

 

「…ไม่แน่ใจงั้นหรอครับ?」

 

มังกรตัวนั้นต้องทำการฆ่าผมอย่างแน่นอน มันคงไม่เปลี่ยนใจแล้วจากไปหรอก

 

ผมเฝ้ารอคำพูดถัดไปของมิมิโนะซัง

 

「ชั้นเห็นบางอย่างเหมือนกับคลื่นสแลชปรากฏขึ้นในอากาศจากทางไหนก็ไม่รู้… มันเป็นคลื่นที่ใหญ่มากและมีสีดำทมิฬเลย เมื่อมันโดนเข้าที่คอของมังกรตัวนั้น คอของมันก็ถูกตัดออกอย่างง่ายดายเลย」(TL: slash ผมไม่รู้ว่าจะแปลเป็นยังไงดี ผมเลยใช้คำว่า คลื่นสแลชไปก่อน ถ้ามีใครที่มีคำที่ดีกว่านี้ก็แนะนำกันมาได้นะครับ)

 

มิมิโนะซังออกไปจากห้องหลังจากพูดว่า “ชั้นจะไปตรวจดูห้องข้างๆหน่อยนะ ชั้นจะซื้ออะไรให้กินในตอนเช้านะ” ทว่าตัวผมยังคงตกตะลึง

 

「คลื่นสแลช ในอากาศ…?」

 

ยิ่งไปกว่านั้น

 

「คลื่นสแลชสีดำ…?」

 

ความเป็นไปได้เพียงหนึ่งเดียวแล่นเข้ามาในหัวของผม

 

ลาร์ค

 

ลาร์คอยู่ที่นั่น

 

ทั้งตอนที่ผมวิ่งหนีออกมาจากสนามรบและยืนอย่างไร้ค่าอยู่ตรงสี่แยก – ลาร์คก็คงอยู่ที่นั่นด้วยใช่ไหม? เธอเฝ้ามองผมอยู่ตลอดเวลาเลยงั้นหรอ?

 

ผมสงสัยจังว่าทำไมเธอถึงไม่เข้ามาคุยกับผม แต่อาจจะเป็นเพราะว่าผมอยู่กับสมาชิกของซิวเวอร์บาลานซ์ตลอดเวลาก็เป็นได้

 

…ลาร์คอาจจะยังคงอยู่แถวๆนี้ก็ได้!

 

================================================================

TL: ทำไมมีความรู้สึกเหมือนกับว่าเธอจะอยู่ในเงาของพระเอกกันนะ? คิดไปเองมั้ง?

บทที่ 1 ตอนที่ 29

 

「แกจบที่ตรงนี่แหล่ะ」

 

ก่อนที่ผมจะรู้ตัว ลูกบอลไฟของคริสต้าก็ใหญ่พอๆกับรถยนตร์ 3 คันแล้ว

 

มังกรก็ดูเหมือนกับว่ากำลังหายใจหอบอยู่

 

「ทุกคน! เผ่นเร็วเข้า! เดี๋ยวจะโดนลูกหลงไปด้วย!」

 

ผมรู้สึกตัวจากเสียงของดันเต้ซัง บอลไฟนั่นอาจจะสามารถจัดการมังกรตัวนั้นได้ แต่พวกเราจะต้องโดนลูกหลงจากแรงระเบิดแน่นอน

 

คริวต้ายิงลูกบอลไฟเข้าใส่มังกรตัวนั้นโดยที่ไม่รอให้เหล่านักพจญภัยกับเหล่าทหารทำการลี้ภัยก่อนเลยแม้แต่น้อย

 

「มังกรมัน…!」

 

ผมเบิกตากว้างขึ้น

 

มังกรคัวนั้นได้พ่นไฟที่รุณแรงมากกว่าทุกๆครั้งออกจากปากของมัน ― สร้างแรงพลักดันให้ตัวมันพุ่งไปข้างหน้า

 

「อะไรกัน!」

 

มันเป็นการเคลื่อนไหวรูปแบบเดียวกับที่คริสต้าเคยใช้แรงระเบิดทำ ทว่า การระเบิดที่มังกรทำนั้นไม่มีการควบคุมพลัง ดังนั้น ขนาดมังกรที่เป็นคนใช้ก็ยังได้รับบาดเจ็บได้

 

ถึงอย่างงั้น มังกรตัวนั้นก็ยังเดิมพันกับมัน

 

“สัตว์ที่กำลังบาดเจ็บหน่ะอันตรายที่สุด” – พวกเราได้ประจักษ์ถึงความจริงข้อนั้นอีกครั้งนึงแล้ว

 

ร่างของมังกรพุ่งชนเข้ากับลูกบอลไฟขนาดยักษ์ที่คริสต้าเป็นคนปล่อยออกมา การระเบิดขนาดใหญ่ก็เกิดขึ้นแล้วได้กลืนร่างของคริสต้าเข้าพร้อมกันกับมังกรตัวนั้นด้วย

 

แสงแสบตาก็สว่างจ้าขึ้น

 

คลื่นกระแทกจากแรงระเบิดวิ่งเป็นวงกว้าง เปลวไฟจากการระเบิดเผาไหม้เมือง

 

ก่อนที่จะเกิดการระเบิด ผมได้วิ่งออกมาจากอาคารที่หลบซ่อนสักระยะนึงแล้ว แต่เปลวไฟกับแรงระเบิดก็ยังมาถึงผมอยู่ดี มันส่งให้ผมลอยขึ้นก่อนจะตกลงมากระแทกกับพื้น

 

「หว่าาา!」

 

ตัวผมไม่ติดไฟ แต่ถูกแรงระเบิดซัดจนปลิวไปประมาณ 5 เมตรข้างหน้าก่อนจะตกลงมากระแทกกับผิวถนน

 

…เจ็บโคตร

 

ความเจ็บปวดที่รู้สึกราวกับทุกส่วนในร่างกายของผมหักเลย ร่างกายของผมรู้สึกมึนงงไปหมด ผมร่ายเวทย์รักษาในปริมาณที่น้อยมากๆ – เพื่อจะได้ประหยัดมานาให้ได้มากที่สุด เพื่อผมจะได้มีโอกาสรักษาคนอื่นที่บาดเจ็บหนัก – กาอนจะลุกขึ้นยืนอย่างช้าๆ

 

หูของผมไม่ได้ยินเสียงใดๆเลย แก้วหูของผมอาจจะไม่แตก แต่มีอาการหูหนวกชั่วคราวเอง

 

ซากประหรักหักพังกระจัดกระจายเกลื่อนพิ้นหิน ทัศนวิสัยมืดมัวเพราะฝุ่นควัน อาคารที่ผมเคยหลบซ่อนอยู่ก่อนหน้านี้พังไปบางส่วน

 

เมื่อผมเดินอ้อมอาคารนั้นแล้วกลับมายังสนามรบ ผมก็พูดอะไรไม่ออกเลย

 

มีหลุมที่มีเส้นผ่าศุนย์กลางประมาณ 30 เมตรอยู่ตรงนั้น

 

…นั่นมันศพของนักพจญภัยหรือทหารที่ฝั่งอบู่ในกำแพงของตึกที่ถล่มลงมาจนมีเลือดเจิ่งนองราวกับว่ามันอ๊วกมาเป็นเลือดรึปล่าว?

 

เห็นภาพแบบนั้นผมก็รู้สึกอยากจะอ๊วกออกมา ดังนั้นผมจึงพยายามไม่มองไปที่มัน

 

ห่างออกไปเล็กน้อย มีร่างของมังกรที่คอบิดเบี้ยวนอนจมอยู่ในกองซากปรักหักพัง เกล็ดแทบจะทั้งร่างหลุดออกมาและร่างของมันก็โชกไปด้วยเลือด

 

「ไอ้สิ่งมีชีวิตชั้นต่ำ…!」

 

ผมสะดุ้งเฮือก

 

คำพูดนั่นเข้ามาในหูของผมหลังจากที่ผมหายจากอาการหูหนวกพอดี

 

เสียงนั่นดังมาจากบนท้องฟ้า เมื่อผมมองขึ้นไป ก็เห็นคริสต้าที่เสื้อผ้าไหม้ไปครึ่งนึงเผยให้เห็นร่างที่โชกเลือด เขาลอยลงมาพร้อมกับปัดเสื้อของเขา

 

เขาสร้างแรงระเบิดเล็กๆด้วย【เวทย์ไฟ】ก่อนจะลงจอดที่พื้นอย่างนิ่มนวล เมื่อเขาลงถึงพื้น เขาก็คุกเข่าลงกับพิ้นทันที ผมของเขาไหม้เกรียมและใบหน้าก็เต็มไปด้วยเขม่าควัน รูปลักษณ์อันสง่างามของเขาไม่เหลือให้เห็นอีกแล้ว

 

「ฮาา ฮาา ฮาา… เลือกที่จะระเบิดตัวตายไปพร้อมกับข้าในวินาทีสุดท้าย… มังกรนี้แม่งไม่สมเหตุสมผลจริงๆ! ข้าอยากจะให้พวกแม่งสูญพันธุ์ไปให้หมดโลกเลย!」

 

คริสต้าลุกขึ้นพร้อมกับพูดสาปแช่งออกมา ก่อนจะเดินไปยังทางมังกรที่นอนแน่นิ่งอยู่

 

「แกนะแก! ข้าเป็นถึง “ผู้ฆ่ามังกรสีชาด” เลยนะเว้ย! ไอ้เศษขยะเฮงซวยนี่!」

 

เขาเตะไปที่ท้องของมังกรตัวนั้น มันดูเหมือนกับว่าเขากำลังเตะกำแพงเลย ทว่าสำหรับคริสต้า เขาไม่สนใจหรอกว่าอีกฝ่ายจะตอบสนองกลับมาหรือไม่ ขอแค่เขาได้ระบายอารมณ์ก็เพียงพอแล้ว

 

「ฟูวว… ทหารพวกนั้นไปไหนกันแล้ว? เจ้าพวกนี่มันเกินกว่าจะเรียกว่าน่าสงสารซะอีก กะอีแค่การต่อสู้แค่นี้ ข้าจะไม่มีวันรับงานในที่ไร้ค่าแบบนี้อีกแล้ว– หะ?」

 

ในตอนนั้นเอง ร่างของคริสต้าก็หยุดนิ่ง

 

ผมที่เฝ้าดูอยู่ตั้งแต่แรก ก็ไม่อาจส่งเสียงอะไรออกมาได้

 

เพราะเขาเคลื่อนไหวเร็วมากเกินไป ผมไม่ได้คาดคิดไว้เลย

 

「ในที่สุดข้าก็เจอแกซักที… คริสต้า-ลา-คริสต้า…!!」

 

ท้องของคริสต้าถูกแทงทะลุด้วยแขนข้างหนึ่ง

 

แขนที่เต็มไปด้วยขนที่เคยกอดหัวผมเมื่อไม่นานมานี้ – แขนของไรเครียซังนั่นเอง

 

ไรเครียซังที่ดูจะหลบซ่อนตัวเองอยู่จนถึงตอนนี้ได้เฝ้ารอคอยจังหวะนี้ – จังหวะที่คริสต้าจัดการกับมังกรได้และกำลังลดการป้องกันของตัวเองลง

 

โอกาสที่เขาจะได้แก้แค้นให้กับพรรคพวกของเขา

 

เลือดไหลออกมาจากปากของคริสต้า ต่อให้ไม่ต้องตรวจดูด้วย【World Ruler】มันก็ชัดเจนแล้วว่าเขากำลังจะตาย

 

「ไรเครียซัง!!」

 

ทว่า ผมก็ได้กรีดร้องออกไป

 

ไม่ได้จะกล่าวโทษเรื่องที่ไรเครียซังได้ทำลงไป

 

แต่เป็นเพราะว่าอีกสิ่งหนึ่งที่【World Ruler】ได้รายงานมา

 

「เรย์จิ… ข้า…」

 

「มังกรมันยังไม่ตาย–」

 

ผมจะอธิบายถึงใบหน้าของเขาในยามนั้นยังไงดี? เขาดูเหมือนเด็กที่ถูกจับได้ว่าทำผิด แต่ก็ยังดูเหมือนกับนักบวชที่บรรลุหน้าที่ของตนเองแล้วอีกเช่นกัน — และด้วยเหตุผลบางอย่าง เขาก็ดูเหมือนกับคนบาปที่กำลังขออภัยโทษเลยด้วยเหมือนกัน

 

ขาหน้าของมังกรได้กวาดร่างของไรเครียซํงไปพร้อมกับร่างของคริสต้า ส่งให้ร่างของทั้งสองคนลอยขึ้นไปบนฟ้า

 

ผมอยากจะกรีดร้องออกมา ผมอยากจะถามตัวเองถึงเรื่องที่จะหยุดเหตุการณ์เลวร้ายโง่ๆนี่ยังไง ผมอยากจะซบอกของใครสักคนแล้วเริ่มร้องไห้

 

แต่ผมก็ทำอะไรแบบนั้นไม่ได้เลย

 

「……ไม่」

 

ซากประหรักหักพังล่วงหล่นลงมาจากร่างของมังกรที่กำลังลุกขึ้น

 

「ม่ายยยยยยยยย!!」

 

ผมเห็นฮาล์ฟลิงคนนึงที่ยืนอยู่ใกล้กับตรงนั้น

 

คนๆนั้นถือตะกร้าในมือทั้งสองข้าง บางทีคงจะมาหลังจากซื้อของ ตะกร้านั้นมีขวดโหลบรรจุส่วนผสมที่ง่ายต่อการเก็บรักษาและเครื่องเทศต่างๆนาๆ มันเต็มไปด้วยสิ่งของที่จะใช้สำหรับการเดินทางในอนาคตข้างหน้า

 

แต่คนๆนั้น – มิมิโนะซัง ปล่อยมือจากมันแล้วกรีดร้องออกมา การเป็นพยานให้กับวินาทีสุดท้ายของไรเครียซังคงจะเป็นเรื่องที่เกินกว่าเธอจะรับไหว

 

และนั่นก็เกินพอแล้วที่จะเรียกร้องความสนใจจากมังกรตัวนั้น

 

มิมิโนะซังไม่ได้รับรู้ถึงมังกรเลย เธอทรุดตัวลงพร้อมกับเอามือกุมหัวของตัวเธอเอง ขนาดที่มังกรอ้าปากขึ้น ขนาดที่มีแสงก่อตัวขึ้นภายในปากของมัน เธอก็ไม่ได้สังเกตุถึงมันเลยแม้แต่น้อย

 

…มิมิโนะซังกำลังจะถูกเผาทั้งเป็นแล้ว!

 

「โอ้ววววววว!!」

 

ผมวิ่งออกไปอย่างสุดตัว ใช้แค่สกิล【ทักษะการวิ่ง】นั้นไม่ทันเวลาแน่นอน ดังนั้นผมจึงใช้มันควบคู่กับ【เวทย์ไฟ】ที่ใช้ที่เท้าเพื่อให้เกิดระเบิดสร้างแรงพลักดัน ส่งผลให้ภาพรอบๆเปลี่ยนไปในทันที บัดนี้ใบหน้าของมังกรก็ได้มาอยู่ตรงหน้าผมแล้ว

 

นักพจญภัยระดับมิธริวนี่สุดยอดจริงๆที่ควบคุมอะไรแบบนี้ได้ดั่งใจนึก

 

「โออออออออออ้!!」

 

การเคลื่อนไหวของผมเลียนแบบท่ากระโดดเตะของไรเครียซังได้อย่างสมบูรณ์แบบ ผมเตะเข้าไปที่ใบหน้าของมังกรตัวนั้น แล้วเพิ่มแรงจากระเบิดด้วย【เวทย์ไฟ】ส่งผลให้เป่าใบหน้าขนาดเท่ารถยนตร์นั่นไปอีกทาง

 

【World Ruler】รายงานผมว่าขาของผมหักแล้ว

 

《……เจ้า – ที่อยู่บนหลังคาก่อนหน้านี้……?》

 

ร่างกายของผมมาถึงขีดจำกัดแล้ว มานาเองก็แทบจะหมดลงแล้วเช่นกัน

 

「มิมิโนะซัง… มิมิโนะซัง!」

 

「…เรย์จิคุง?」

 

「ได้โปรดรีบหนีไปเถอะครับ อย่างน้อยคุณก็ต้องรอดไปให้ได้…」

 

ผมยืนหันหลังให้กับเธอแล้วกางแขนออก ผมรู้ว่าร่างกายเล็กๆนี้ไม่อาจปกป้องอะไรเธอได้ ทว่า ผมก็จะทำมันอยู่ดี

 

「มะ-ไม่ เรย์จิคุง! เธอต่างหากที่ต้องหนี–」

 

「ช่วยบอกกับกำลังเสริมด้วยนะครับว่าตอนนี้มังกรใกล้จะตายแล้ว」

 

ผมใช้มานาที่เหลืออยู่ทั้งหมดเพื่อใช้งาน【เวทย์ไฟ】มิมิโนะซังกระเด็นออกไป ตัวผมเองก็กระเด็นออกไปเช่นกันในทิศทางที่ตรงกันข้ามกับเธอ — ตรงไปทางมังกรตัวนั้น

 

「เรย์จิคุง!!!!!」

 

「อย่าเข้าไปใกล้ มิมิโนะซัง!」

 

…ผมได้ยินเสียงของน็อนซัง ถ้าเธออยู่แถวๆนั้นละก็ ถ้าเธอห้ามปรามมิมิโนะซังเอาไว้ละก็ ผมจะมีความสุขสุดๆไปเลย

 

ผมไม่เหลือพลังอะไรอีกแล้ว แต่ผมก็ปกป้องมิมิโนะซังเอาไว้ได้

 

《……ร่างกายของเจ้ามีสกิล 10 ดาวงั้นรึ……? ไม่ เรื่องนั้นมันไม่สำคัญอะไรอีกต่อไปแล้ว เอาละ สูดลมหายใจเฮือกสุดท้ายของชีวิตเจ้าซะสิ ผู้กล้าหาญตัวน้อย…》

 

ขณะที่มังกรตัวนั้นกำลังอ้าปากของมันออก ผมก็ได้หมดสติไป

 

ผมทำมันจนได้

 

ผมมั่นใจว่าผมต้องยิ้มออกมาได้ในวินาทีสุดท้ายของชีวิตแน่ๆ

 

 

 

บทที่ 1 ตอนที่ 28

 

…การเคลื่อนไหวเมื่อกี้สูบมานาของผมแทบจะเกลี้ยงเลย แต่ผมก็ยังพอทนได้

 

「เมื่อกี้เป็นฝีมือของเธองั้นหรอ เรย์จิ?」

 

「คะ-ครับ」

 

「ทำได้ดีมาก!」

 

ดันเต้ซังชื่นชมผมจากจุดที่ห่างออกไปเล็กน้อยขณะเพชิญหน้ากับมังกรด้วยกันกับโจเซฟซัง

 

พอมองดีๆแล้ว ทั้งโจเซฟซังกับดันเต้ซังต่างอยู่ในสภาพสะบักสะบอม ร่างกายของพวกเขาได้รับบาดเจ็บและอุปกรณ์สวมใส่ก็มีรอยไหม้ไปทั่ว

 

「หลังจากนี้จะเริ่มยากขึ้นแล้ว…」

 

「ใช่แล้ว」

 

เหล่านักพจญภัยที่เหลืออยู่นั้นน้อยกว่าครึ่งจากเดิม แถมยังทั้งบาดเจ็บและเหน็ดเหนื่อย

 

นั่นแหล่ะว่าทำไมผมถึงคิดว่าควรจะจัดการมันในตอนที่มันบาดเจ็บหนักแบบนี้ ทว่า…

 

「สัตว์ป่าจะยิ่งดุร้ายยามที่มันได้รับบาดเจ็บ」

 

นั่นเป็นสิ่งที่ไรเครียซังมักจะพูดเสมอเวลาเขาไปล่าสัตว์ ดันเต้ซังก็พยักหน้าเห็นด้วยเช่นกัน

 

ถ้ามังกรตัวนั้นไม่ได้อ่อนข้อให้จนถึงตอนนี้ละก็ เหล่านักพจญภัยคงถูกฆ่าจนไปหมดแล้ว

 

มันยังคงเป็นตัวอันตรายอยู่ดี

 

「พวกเราจะทำยังไง– หืม?」

 

ไรเครียซังหยุดพูดไปกลางคันแล้วมองไปยังอีกฝั่งของถนนทันที ในเวลาเดียวกัน ก็สามารถได้ยินถึงเสียงโห่ร้องของเหล่านักพจญภัยดังขึ้นมา

 

มีทหารม้ากว่า 30 นายอยู่ด้านหน้า ตามมาด้วยทหารราบกว่า 100 นาย เป็นกำลังเสริมนั่นเอง

 

「ชิ มากันจนได้นะ… ถึงจะแต่งตัวกันเต็มยศ แต่ช้าชะมัดยาด!」

 

ถึงมันจะฟังดูเสียดสี แต่ไรเครียซังก็เก็บซ่อนความดีใจเอาไว้ไม่ได้

 

เหล่านักพจญภัยสามารถเข้าร่วมเป็นแนวหน้ากับกองทัพก็ได้ หรือจะถอยไปเป็นแนวหลังก็ได้เช่นกัน

 

ไม่ว่าจะทางไหน ก็หลบวิกฤตการโดนสังหารจนหมดได้แล้ว

 

「ขอบคุณพระเจ้า…」

 

ผมรู้สึกโล่งใจจากก้นบึงของหัวใจ ความโล่งใจนั้นอยู่จนกระทั่งผมได้เห็นคนที่อยู่หัวขบวนของกำลังเสริม

 

「…เจ้าพวกนี้ดิ้นรนภึงขนาดนี้กับแค่มังกรตัวเดียวเนี้ยนะ? ดูเหมือนจะมีแค่แมลงหวี่แมลงวันอยู่ที่นี่เท่านั้นเองนะ」

 

ชายรูปร่างเพรียวบาง ผมสีบอร์นปลิวไสวตามแรงลม ผิวขาวเกินกว่าจะเป็นมนุษย์ และหูของเขาก็ค่อนข้างแหลม

 

เครื่องสวมใส่ของเขาก็แตกต่างจากทหารคนอื่นอย่างชัดเจน เขาสวมผ้าคลุมที่ทำจากผ้าเนิ้อดีและชุดที่ดูแพงมากราวกับของขุนนาง เขาไม่ได้สวมเกราะเหมือนกับจะบอกว่ามันไม่จำเป็นสำหรับเขา

 

「พวกเราต้องพึ่งท่านแล้ว」

 

ชายหน้าตาน่ากลัวที่มีหนวดเคราแพะก้มหัวของเขาลง และชายผมบอร์นก็ได้ลงมาจากม้าแล้วเดินไปทางมังกร

 

ท่าทางของเขาดึงดูดความสนใจจากทุกๆคน – รวมถึงตัวมังกรเองด้วย

 

「-นั่นหัวหน้ากิลด์ไม่ใช่หรอ?」

 

「ไอ้คนผมบอร์นหน้าตาดูดีนั่นก็เป็นนักพจญภัยงั้นหรอ?」

 

ผมได้ยินเสียงซุบซับกันดังมาจากพวกนักพจญภัย

 

「อืม แกเป็นมังกรอย่างไม่ต้องสงสัยเลย ว่าไง? แกพูดไม่ได้รึไง?」

 

《เจ้าเป็นเอลฟ์…? ทำไมเอลฟ์ถึงมาอยู่ที่นี่?》

 

ทุกๆคนแตกตื่นเมื่ออยู่ๆก็ได้ยินเสียงดังขึ้นมาในหัว

 

…มังกรนั่นพูดได้งั้นหรอ? สามารถพูดคุยกันได้ถ้ามันตั้งใจจะคุยงั้นหรอ?

 

《อย่ามาสอด เอลฟ์ ด้วยพันธสัญญาเก่า ข้าจะจัดการแต่พวกมนุษย์เท่านั้น…》

 

…พันธสัญญา? พันธสัญญาอะไร?

 

《……มุ?》

 

ในตอนนั้น การเคลื่อนไหวของมังกรก็ได้หยุดลง

 

《……งั้นรึ สกิลระดับสูง【เวทย์ไฟ ★★★】กับ 【เพิ่มปริมาณมานา ★★★】แต่เจ้ามี 2 ช่องที่ปิดอยู่… เจ้าคงเป็นบุตรเลือดผสมสินะ?……》

 

ในตอนนั้นเอง เอลฟ์ – ฮาล์ฟเอลฟ์คนนั้นก็ขมวดคิ้ว

 

「เมื่อกี้แกว่ายังไงนะ?」

 

《…แทงใจดำงั้นรึ? บุตรเลือดผสมที่น่าสงสารจากผลของความสัมพันธ์กับเผ่าพันธุ์ที่เอลฟ์ไม่ควรยุ่งเกี่ยวด้วย – กับมนุษย์ เจ้าถูกเนรเทศออกจากหมู่บ้านเอลฟ์หลังจากที่ถูกทำลายช่องสกิลเป็นการลงโทษงั้นรึ? ทว่า ดูเหมือนพวกเอลฟ์จะยังปราณีเจ้านะ จากการที่พวกเอลฟ์ยังให้หินสกิลหายากพวกนั้นกับเจ้าเนี้ย…》

 

「ตอนแรกข้าก็คิดว่าแกเป็นพวกไม่ชอบพูด แต่น่าแปลกใจ ดูเหมือนแกจะค่อนข้างเป็นมังกรที่ช่างจ้อซะเหลือเกิน แต่แกทำผิดพลาดไป 2 อย่าง」

 

《……ผิดพลาดงั้นรึ?》

 

「หนึ่ง ข้าไม่ได้ถูกเนรเทศ ข้าอาสาออกมาจากศูนย์รวมขยะไม่ได้เรื่องอย่างหมู่บ้านเอลฟ์ด้วยตัวเองต่างหาก และก็อีกข้อ…」

 

ฮาล์ฟเอลฟ์คนนั้นกางมือออกและชี้ไปทางมังกร

 

「ข้าไม่ใช่คนที่สิ่งมีชีวิตด้อยกว่าที่ถูกผูกมัดโดยโลกใบนี้อย่างแกจะมาพูดด้วยได้อย่างเท่าเทียมหรอกนะ! ตายซะ!」

 

มีแสงถูกรวบรวมไว้ที่มือขวาของเขาอย่างหนาแน่น และทันใดนั้นเอง ก็มีเปลวไฟหมุนวนออกมาด้วยความเร็วอันน่าเหลือเชื่อ มันถูกยิงไปทางมังกรทันที

 

มังกรตัวนั้นบิดหัวหลบการโจมตีได้ แต่การโจมตีนั้นได้ตกลงไปยังบางจากร่างกายของมัน ทำให้เกิดการระเบิดครั้งใหญ่ขึ้น

 

เหล่านักพจญภัยต่างกระเด็นออกไปจากแรงระเบิด โชคยังดีที่ผมหลบอยู่ด้านหลังของอาคาร และผมก็สามารถเฝ้าดูการต่อสู้ต่อได้ในทันทีจากตรงนี้

 

มังกรได้พ่นไฟออกมา แต่ฮาล์ฟเอลฟ์คนนั้นก็ได้กระโดดหลบออกมาด้วยความเร็วที่น่าเหลือเชื่อ

 

…ความเร็วนั่นมันอะไรกัน?!

 

จากที่มังกรตัวนั้นได้พูดเอาไว้ – มังกรตัวนั้นมีความสามารถในการ “ระบุ” สกิลสินะ? – ว่าฮาล์ฟเอลฟ์คนนั้นมีเพียงแค่ 2 สกิลเท่านั้น แต่เขากลับกระโดดด้วยความเร็วขนาดนั้นได้

 

มังกรได้ทำการโจมตีต่อไปยังฮาล์ฟเอลฟ์ที่อยู่กลางอากาศด้วยขาหน้า ฮาล์ฟเอลฟ์คนนั้นหลบมันไ้ด้โดยวิธีที่ไม่สนกฎความเฉื่อยเลยสักนิด

 

(ได้ไงกัน? เขาหลบมันได้ยังไงกัน? เขาเพียงแค่ใช้【เวทย์ไฟ】… เข้าใจละ เขาใช้เวทย์ไฟจริงๆด้วย)

 

ในที่สุดผมก็ได้ข้อสรุปแล้ว เขาใช้การระเบิดจาก【เวทย์ไฟ】เพื่อขยับร่างกายของเขาโดยที่ไม่ทำให้ตัวเองเจ็บตัว

 

…ควบคุมมานาได้ยอดเยี่ยมอะไรขนาดนี้! ถ้าเรื่องที่มังกรตัวนั้นพูดเป็นเรื่องจริงละก็ หมายความว่าตัวเขาไม่มีสกิล【ควบคุมมานา】เลยด้วยซ้ำ

 

…ผมจะสามารถทำแบบนั้นได้เหมือนกันไหมนะ? บางที อาจจะทำได้ถึงแค่มีรอยไหม้นิดหน่อยเท่านั้นเอง

 

ฮาล์ฟเอลฟ์คนนั้นสวมใส่รองเท้าบู๊ตที่หนาเป็นพิเศษ เขาจึงสามารถใช้【เวทย์ไฟ】เพื่อเคลื่อนที่โดยการจุดระเบิดที่รองเท้านั่นได้

 

ผมเริ่มจะคิดว่าเรื่องที่มังกรตัวนั้นพูดเป็นเรื่องจริงแล้ว สกิล【เพิ่มปริมาณมานา】– ดูจะเป็นสกิลหายากเหมือนกับที่มิมิโนะซังเคยพูดเอาไว้ก่อนหน้านี้เลย

 

และ【World Ruler】ก็ดูจะสามารถเรียนรู้สกิลหายากนั่นได้ ผมรู้สึกว่าร่างกายของผมค่อยๆถูกเติมเต็มไปด้วยมานาแล้ว

 

「สุดยอดไปเลย นั่นเป็นนักพจญภัยระดับมิธริวสินะ?」

 

「ระดับของเขามันแตกต่างออกไปจริงๆ」

 

「สมแล้วที่ถูกเรียกว่า “ผู้สังหารมังกรสีชาด” !」

 

ผมได้ยินเสียงของนักพจญภัยที่กำลังดูการต่อสู้อยู่ใกล้ๆกับผม

 

…งั้นนั่นก็คือระดับมิธริวสินะ!

 

เขาหลอกล่อมังกรคัวนั้นได้อย่างไม่ยากเย็น เกล็ดของมังกรเริ่มปกคลุมไปด้วยมานาอีกครั้ง แต่เวทมนตร์ของชายคนนั้นก็แรงพอที่จะเจาะทะลุมันและสร้างความเสียหายได้โดยตรง

 

「ทำได้แค่นี้เองงั้นรึ? ไม่ต่างจากเดิมเลยจริงๆ พวกมังกรมันมีแต่พวกเชื่องช้า น่าเบื่อจริงๆ」

 

ด้วยรอยยิ้มผิดมนุษย์บนใบหน้า ฮาล์ฟเอลฟ์คนนั้นก็ยกวองมือขึ้นฟ้า ปรากฏลูกบอลไฟขนาดใหญ่ขึ้น

 

「เอาเลย! คริสต้า!」นักพจญภัยคนนึงที่รู้จักฮาล์ฟเอลฟ์คนนั้นร้องขึ้น

 

…โอ้ งั้นคนๆนั้นก็ชื่อ คริสต้า ยังงั้นหรอ? เขาเป็นนักพจญภัยฮาล์ฟเอลฟ์ระดับมิธริวนาวว่าคริสต้ายังงั้นหรอ…

 

…เดี๋ยวก่อนนะ!

 

―เรย์จิ… ถึงข้าจะทำลายอาณาจักรไรกุระไม่ได้ ข้าก็ต้องเอาคืนพวกมันไม่ทางใดก็ทางนึง ถ้าเป็นแบบนั้น… งั้น ข้าจะต้องฆ่าไอ้สารเลวเลือดเย็นนั่นให้ได้!―

 

…ใครกันที่พูดแบบนั้นเอาไว้?

 

―คริสต้า-ลา-คริสต้า นักพจญภัยฮาล์ฟเอลฟ์ระดับมิธริว ข้าจะต้องฆ่ามันให้ได้ไม่ว่าจะยังไงก็ตาม―

 

ผมหันหลังกลับไปมองข้างหลังของผม

 

ไรเครียซังที่ควรจะอยู่ตรงนั้น กลับหายไปก่อนที่ผมจะรู้ตัวซะแล้ว

 

 

 

บทที่ 1 ตอนที่ 27

 

ไม่มีอะไรที่ผมทำได้ ต่อให้ผมกลับไป ผมก็เป็นได้แค่ตัวถ่วงเท่านั้น

 

ทั้งหมดนั้นเป็นแค่ข้ออ้างเพื่อที่จะไม่กลับไปที่สนามรบก็เท่านั้นเอง

 

สภาพของผมตอนนี้ ถึงมันจะเสี่ยงที่มานาจะหมด แต่ผมก็ยังสามารถยิงเวทย์ได้ 1 ถึง 2 ครั้ง ผมยังสามารถยิงใส่จากระยะไกลในมุมมืดได้ ถ้าทำแบบนั้นอย่างน้อยผมก็จะสามารถก่อกวนมังกรได้แน่

 

ทว่า ขาของผมกลับไม่ยอมหันหลังกลับ

 

ถึงแม้ผมจะเป็นผู้กลับชาติมาเกิด ถึงแม้ผมจะมีสกิล 10 ดาว ถึงแม้ผมจะเรียนสกิลจำนวณมากจากคนอื่นๆ…

 

ผมเริ่มเดินออกไป ท่ามกลางผู้คนที่กำลังวิ่งหนีเอาชีวิตรอด ผมเป็นเพียงคนเดียวที่กำลังเดินอยู่

 

…ไม่มีแรงจูงใจใดๆ ทั้งหมดนั้นไร้ค่า

 

ผมรำลึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นภายในเหมือง

 

ผมรำลึกถึงคนที่กระโจนเข้ามาขวางระหว่างผมกับดยุคที่กำลังจะฆ่าผม – ผมรำลึกถึงพี่สาวของผม

 

ถ้าเป็นลาร์คจะทำยังไงในสถานการณ์นี้?

 

เธอจะพูดว่า “อ่าห์ ชั้นไปจากที่นี่ละ!” แล้วหนีไปรึปล่าว?

 

หรือเธอจะพูดว่า “ชั้นจะไม่วิ่งหนี! ชั้นจะไปจัดการมังกรนั่นให้รู้สำนึกเอง!” แล้วกลับไปสู้ต่อด้วยเทคนิคเจ้าเล่ห์?

 

「ผมอยากจะเจอพี่… ผมอยากจะเจอพี่เหลือเกิน พี่ลาร์ค…」

 

แก้มของผมเปียกชุ่ม ผมร้องไห้ออกมาโดยไม่รู้ตัว ช่างน่าสมเพช! ช่างโง่เง่า! ถึงอย่างงั้น ผมก็ทำอะไรไม่ได้เพราะว่าขาของผมยังคงพาผมออกห่างจากสนามรบเรื่อยๆ

 

แยกที่ 2 นั้นเป็นแยกที่ใหญ่มาก เลี้ยวขวาแล้วผมก็จะถึงกิลด์นักพจญภัย

 

จุดเปลี่ยนสุดท้าย

 

หลังจากที่ผมเลี้ยว ผมมั่นใจว่าผมจะไม่มีวันหันหลังกับอีก

 

「นายควรจะหนีไปนะ ไม่มีอะไรที่นายจะทำได้เพียงแค่คิดถึงมันหรอก… เจ้าน้องชาย」

 

ผมได้ยินเสียง

 

ผมหยุดเดินทันทีแล้วมองไปรอบๆ

 

อย่างไรก็ตาม มันก็มีแค่ผู้คนที่กำลังวิ่งหนี; ทั้งคนที่วิ่งไปพร้อมกับสัมภาระ, คนที่วิ่งชนกัน, และเหล่าทหารที่วิ่งไปมาเพื่อเตือนประชาชน

 

…เป็นไปไม่ได้ ผมต้องหลอนไปเองแน่ๆ

 

「…ใช่แล้ว ผงคงแค่ได้ยินสิ่งที่ผมอยากจะได้ยินแน่ๆ」

 

ผมไม่เข้าใจว่าทำไมปาร์ตี้นักพจญภัย “ซิวเวอร์บาลานซ์” ถึงสู้โดยเอาชีวิตเป็นเดิมพัน เพราะเขาไม่อยากจะมีชีวิตอยู่ต่อไปตั้งแต่แรกแล้วงั้นหรอ? เพื่อคืนหนี้ชีวิตที่ถูก “ช่วย” ไว้งั้นเหรอ? เพื่อให้พ่อของเธอมีชีวิตอยู่ต่อไปให้นานที่สุดยังงั้นหรอ?

 

หรือว่าเหตุผลง่ายๆก็คือ… ว่าพวกเขาเป็นนักพจญภัยงั้นหรอ?

 

คำอย่าง “ความรับผิดชอบ” และ “หน้าที่” นั้นทั้งฟังดูดีและน่าภูมิใจหลังจากได้รับชัยชนะ

 

แต่ไม่รู้ทำไม ผมกลับรู้สึกในตอนนี้มากกว่าครั้งไหนๆว่า พวกเขาไม่ได้มีเหตุผลอะไรเลย

 

บางทีร่างกายของพวกเขาคงจะขยับไปเอง – เพราะว่ามีศัตรูอยู่ข้างหน้า, เพราะว่ามีภัยคุกคาม, หรือเพราะว่าเกียรติยศหลังจากเอาชนะมัน

 

ถึงแม้การต่อสู้ในครั้งนี้จะมีโอกาสชนะน้อยมาก ถึงแม้ปาร์ตี้ “ดาวนิรันดร์” ที่เหมือนกับพวกอวดเบ่งยังต่อสู้โดยเอาชีวิตเป็นเดิมพัน นั่นไม่ใช่เป็นเพราะพวกเขาไม่ได้คิดอะไรซับซ้อนในหัวเลยไม่ใช่หรอ?

 

「ไม่มีเหตุผลที่จะต้องเดินแบบนี้ ถ้าจะทำมัน ผมก็ต้องวิ่ง」

 

ผมเช็ดน้ำตากับแขนเสื้อของผม

 

เพื่อชะล้างน้ำตาที่บดบังทัศนวิสัย

 

เพื่อชะล้างตัวผมที่น่าสมเพช

 

「ไม่มีเหตุผลที่จะต้องคิดมากเลย」

 

ผมหันหลังกลับไป

 

「ผมจะกลับไป ผมเองก็เป็นสมาชิกของซิวเวอร์บาลานซ์เหมือนกัน」

 

ผมสูดหายใจเข้าแล้วโน้มตัวลงก่อนจะเริ่มออกวิ่ง สกิล【ทักษะการวิ่ง】ทำงานอย่างเป็นธรรมชาติ และร่างการของผมก็ถูกผลักไปข้างหน้า

 

ขณะที่ผมวิ่งฝ่าฝูงชน จำนวณผู้คนก็เริ่มลดลงอย่างมาก จนกระทั่งก็ล้างผู้คน

 

ผมวิ่งด้วยความเร็วที่มากที่สุดเท่าที่ร่างกายของผมจะรับไหว

 

…แค่คิดว่าสถานการณ์โดยรอบเปลี่ยนไปมากขนาดนี้ในเวลาสั้นๆ

 

บริเวณโดยรอบเต็มไปซากของอาคาร และมีไฟไหม้อยู่ทั่วทุกที่

 

ร้านแผงลอยมีไฟลุกไหม้และลามไปยังร้านดอกไม้ที่อยู่ใกล้ๆ

 

「คนที่บาดเจ็บให้ถอยออกจากแนวหน้า! เฉพาะคนที่รับบาดเจ็บเล็กน้อยเท่านั้นที่จะได้นับการรักษาทันที!」

 

「นักเวทย์รักษางั้นหรอ? ขอบคุณพระเจ้า ขาของผมได้รับบาดเจ็บ…」

 

「มือขวาของผมเจ็บ ถือดาบไม่ได้」

 

「บ้าเอ้ย! พวกเราจะไปสู้ไอ้นั่นได้ยังไงกัน?!」

 

น็อนซังกำลังทำการรักษานักพจญภัยที่บาดเจ็บอยู่ภายในกระบังที่เหมือนกับโรงพยาบาลสนาม มีนักพจญภัยหลายคนที่กำลังรอตาของพวกเขาอยู่

 

「ไรเครีย! เข้าไปใกล้เกินไปแล้ว!」

 

「ไม่งั้นก็โจมตีมันไม่โดนนะสิ!」

 

「ถ้านายบาดเจ็บ พวกเราจะเสียรูปขบวนนะ ยับยั้งชั่งใจหน่อย!」

 

「ชิ…!」

 

บริเวณแนวหน้า ไรเครียซังกำลังกระโดดไปมาทั้งซ้ายและขวา คอยหลอกล่อสายตาของมังกรตัวนั้น เมื่อมันมีช่องว่าง เหล่านักพจญภัยก็จะพุ่งเข้าไปโจมตีมัน

 

มีบาดแผลอยู่เป็นจำนวณมากบนร่างของมังกรตัวนั้น เลือดไหลรินออกมาจากบาดแผล

 

…เข้าใจแล้ว ไม่จำเป็นต้องสู้กับมังกรตรงๆสินะ

 

…ไรเครียซังเป็นเหมือนแท้งค์สายหลบหลีกสินะ คิดว่า

 

「หมอนั่นสุดยอดไปเลย」

 

「เป็นใครกันนะ?」

 

「สมาชิกปาร์ตี้เดียวกับ “โล่ใหญ่สีเงิน” ไง」

 

「มนุษย์สัตว์นั่นไม่เลวเลยแห่ะ」

 

ในสถานการณ์นี้ ดูเหมือนว่าจะเป็นเผ่าพันธ์ุไหนก็ไม่สำคัญแล้วสินะ เหล่านักพจญภัยต่างก็ชื่นชมเขา

 

อย่างไรก็ตาม ไรเครียซังก็ไม่ได้หลบการโจมตีของมังกรนั่นได้อย่างง่ายดายนัก

 

ถึงจะไม่ได้ยืนยันด้วย【Word Ruler】ผมก็สามารถมองเห็นได้จาก【เสริมการมองเห็น】ว่าไรเครียซังในตอนนี้กำลังจะหมดแรงและมีเหงื่อท่วมตัว

 

「คุ!」

 

ไรเครียซังลงจอดได้ไม่มั่นคง มังกรตัวนั้นก็ไม่ยอมพลาดโอกาสฟาดหางของมันลงมาจากด้านบน ไรเครียซังกลิ้งหลบมันได้ในเสี้ยววินาที

 

แต่ปากของมังกรได้เปิดกว้างออกเพื่อพ่นไฟเรียบร้อยแล้ว

 

「ชิบหา–!」

 

ก่อนที่เปลวไฟจะออกจากปากของมังกร – ได้มีดอกไม้บานขึ้นบริเวณปลายจมูกของมัน

 

ผมโยนกิ่งไม้ที่ผมยืมมาจากร้านดอกไม้ก่อนหน้านี้แล้วทำให้มันบานด้วย【เวทย์บุปผา】

 

มังกรตัวนั้นชะงักไปแปปนึงเพื่อทำความเข้าใจ

 

ซึ่งนั่นก็เพียงพอแล้วสำหรับนักพจญภัยระดับทองและเงินทั้งสองคน

 

「โอร่าาาาา!」

 

「โอ้วววววว!」

 

ด้วยขวานสองมือของเขา โจเซฟซังตัดหางของมังกรบริเวณที่ถูกตัดออกไปครึ่งนึงแล้วจนขาดออก และดันเต้ซังก็ปักดาบใหญ่ของเขาซ้ำไปที่ปากแผลบนร่างกายของมัน

 

《กร๊าชชชชชชชชช!!!》

 

ความดันเสียงจากการคำรามส่งนักพจญภัยที่อยู่ใกล้กระเด็นออกไป มันยังทำให้เกิดรอยร้าวบนซากปรักหักพังอีกด้วย ผมรีบหลบไปด้านหลังของอาคาร ทว่าก็พบกับไรเครียซังที่รออยู่ก่อนแล้ว

 

「ไอ้เด็กบ้า เรย์จิ! จะกลับมาทำซากอะไร?!」

 

「โอ้ย!」

 

เขาเอามือเขกหัวผม และหลังจากนั้น แขนอันล่ำบึกของเขาก็กอดหัวผม

 

「ช่วยข้าไว้ได้พอดีเลย ขอบใจมาก」

 

「…ครับ」

 

ถึงแม้แขนของเขาจะเต็มไปด้วยขนและเหงื่อ แต่ไรเครียซังก็ยังมีชีวิตอยู่ เขาอาจจะหนีรอดเองได้แม้ผมจะไม่ช่วยก็ตาม แต่ว่า ถึงยังงั้น ผมก็ดีใจที่ได้รับคำขอบคุณจากเขา

 

 

 

บทที่ 1 ตอนที่ 26

 

「ทางนี้ เรย์จิ!」

 

ไรเครียซังดึงแขนของผมแล้วกลิ้งหลบออกไปข้างๆ และในทันใดนั้นก็มีเปลวไฟแผดเผาตรงมาที่พวกเราเคยยืนอยู่ ทั่วทุกบริเวณส่องสว่างจ้าขึ้นมาแม้จะเป็นตอนกลางวัน ตาของผมไม่อาจรับความสว่างขนาดนี้ได้จนต้องหรี่ตาลง

 

พื้นที่ปูด้วยหินนั้นร้อนระอุและมีบางส่วนที่หลอมละลาย

 

…ถ้าไฟนั่นโดนใส่มนุษย์ละก็ ได้กลายเป็นเถ้าถ่านแน่นอน

 

ผมพยายามจะยืนขึ้น แค่ขาผมกลับไม่มีแรงเลย

 

「อะ-เอ๊ะ…?」

 

ผม… รวบรวมแรงไม่ได้เลย?

 

…ทำไมละ? เกิดอะไรขึ้น?! นี่ผมรู้สึก… กลัว งั้นหรอ?

 

ในที่สุดผมก็รู้สึกตัวสักที

 

จนถึงตอนนี้ ผมเอาแต่คิดว่าเหตุการณ์ในครั้งนี้มันเป็นปัญหาของคนอื่น มังกรที่เป็นสัญลักษณ์ของหายนะ แต่ผมกลับคิดว่านั่นก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับผม เอาแต่คิดว่าต้องมีใครบางคนที่มีปณิธานแรงกล้าปรากฏตัวออกมาจัดการมันได้แน่ มันอาจจะเกิดเรื่องขึ้นใกล้กับผม แต่ผมก็คิดว่ามันไม่ใช่เรื่องของผมอยู่ดี ผมเป็นผู้กลับชาติมาเกิด ดังนั้นผมจะช่วย แต่ผู้คนบนโลกใบนี้จะต้องเป็นคนแก้ปัญหานี้เอง ผมคิดไปแบบนั้น

 

ตอนที่ผมหลอกล่อมังกรอยู่บนหลังคานั้น ในใจลึกๆแล้วผมคิดแบบนี้จริงๆ ดังนั้น ผมเลยทำอะไรบ้าๆแบบนั้นออกไปได้

 

ทว่า มังกรตัวนั้นพ่นไฟออกมาหมายจะฆ่าผมให้ตายอย่างจริงจัง

 

เป็นครั้งแรก ที่ผมได้รู้สึกตัวถึงความเป็นจริง เรื่องที่มังกรที่อยู่ข้างหน้าของผมตอนนี้เป็นของจริงและพยายามที่จะฆ่าผม

 

「วิ่ง! มันจะโจมตีมาอีกครั้งแล้ว เรย์จิ!」ไรเครียซังตะโกนขึ้นมา

 

「………」

 

「ปล่อยให้พวกเราจัดการเอง! หนีไปซะ! …เฮ้ย ได้ยินไหมวะ?!」

 

ผมยืนขึ้นไม่ได้ ขาของผมสั่นเกินไป

 

เมื่อมังกรมันอ้าปากขึ้นอีกครั้ง

 

「โอ้วร่าาาา!」

 

โจเซฟซังเข้าไปใกล้แล้วเหวี่ยงขวานสองมือของเขา เมื่อขวานปะทะกับเกล็ดของมังกรก็เกิดประกายไฟสีฟ้าขึ้น

 

「บ้าเอ้ย! การโจมตีของข้าทำได้แค่รอยขีดข่วนเท่านั้นเอง!」

 

「สลายมานาที่อยู่รอบๆเกล็ดของมัน โจเซฟ!」

 

「ยังไงเล่า?!」

 

「เป่ามันไปเรื่อยๆด้วยเวทมนตร์!」

 

เมื่อได้ฟังบทสนทนาระหว่างโจเซฟซังกับดันเต้ซัง เหล่านักพจญภัยที่ใช้เวทมนตร์ได้ก็เริ่มยิงเวทย์ออกไป

 

ประกายแสงหลากสีของเวทมนตร์เช่นสีแดง, สีฟ้า, และสีเหลือง ต่างพุ่งเข้าใส่มังกรตรงๆ พวกมันทำอะไรมังกรไม่ได้แต่เป่ามานาที่อยู่รอบๆให้หายไปได้ จนสามารถเผยเกล็ดสีเหลืองของมังกรออกมาโดยไม่มีอะไรปกคลุม

 

เหล่านักพจญภัยที่เหลือต่างพุ่งเข้าไปพร้อมกับอาวุธของพวกเขา ทำการโจมตีไปยังจุดที่ไม่มีมานาปกคลุม เกล็ดที่แข็งแกร่งของมันกันการโจมตีได้หลายครั้ง แต่ก็ไม่เสมอไป เกล็ดบางอันได้แตกออกและมีเลือดไหลออกมา

 

「ยืนขึ้นสิ เรย์จิคุง」

 

「อา…」

 

ใครบางคนดึงผมให้ยืนขึ้นแล้วพยุงผมเอาไว้ ความนุ่มนิ่มที่ผมรู้สึกได้จากข้างหลังนั้นอาจจะทำให้ผมใจเต้นตึกตักได้ในยามปกติ แต่ตอนนี้ผมไม่สามารถคิดถึงเรื่องนั้นได้เลยสักนิด

 

เมื่อผมมองกลับไป ผมก็เห็นน็อนซังที่มีใบหน้าเคร่งเครียดอยู่ตรงนั้น

 

「ไรเครียซัง ชั้นจะพาตัวเรย์จิคุงไปนะ」

 

「ข้าฝากด้วยละกัน」

 

ที่อีกฝั่งนึง มังกรได้หมุนตัวแล้วทำการฟาดหางส่งผลให้เหล่านักพจญภัยลอยออกไป โจเซฟซังกระโดดหลบออกมา ในขณะที่ดันเต้ซังใช้ดาบใหญ่ปักพื้นยันการโจมตีไว้เหมือนกับโล่และเบี่ยงแรงจากหางออกไปได้

 

…สองคนนั้นแตกต่างออกไปจริงๆ

 

สมาชิกระดับเงินของ “ดาวนิรันดร์” ก็เข้าร่วมการต่อสู้ด้วยเหมือนกัน ถึงพวกเขาจะเก่งกว่านักพจญภัยคนอื่นๆ แต่ก็ยังไม่ได้ใกล้เคียงกับโจเซฟซังและดันเต้ซังเลยสักนิด

 

「เรย์จิคุง อพยพกันเถอะ」

 

ไรเครียซังกระโจนเข้าหามังกร พลังกระโดดของเขานั้นสุดยอดมาก – ราวๆ 2 เมตรได้ แล้วเขาก็กระโดดอีกครั้งโดยใช้ขาหลังของมังกรเป็นแท่นกระโดด

 

「โอร่า!」

 

เขากระโดดเตะไปที่ใบหน้าของมังกรตัวนั้นก่อนที่มันจะพ่นไฟออกมา ส่งผลให้มันพ่นไฟออกมาพลาด

 

อย่างไรก็ตาม ใบหน้าของมันก็ใหญ่พอๆกับรถยนตร์เลย มันเปลี่ยนเป้าหมายมาจับจ้องที่ไรเครียซังแล้ว

 

「เรย์จิคุง!」

 

ไหล่ของผมถูกเขย่า น็อนซังที่ปกติมักจะทำตัวสุขุมกำลังตกอยู่ในความตึงเครียด

 

「พวกเราต้องหนีแล้ว อยู่ที่นี่ไปพวกเราก็เป็นได้แค่ตัวถ่วงเท่านั้น」

 

「…ครับ」

 

…ใช่แล้ว ต่อให้ผมอยู่ที่นี่ ผมก็เป็นได้แค่ตัวถ่วงเท่านั้น ดันเต้ซังอาจจะได้รับบาดเจ็บจากการพยายามปกป้องผมก็ได้

 

ผมหันหลังให้กับสนามรบก่อนจะออกวิ่งไปกับน็อนซัง

 

น็อนซังนั้นทำงานเป็นนักบวช แต่ดูเหมือนว่าพลังกายก็สำคัญสำหรับนักบวชในโลกนี้เหมือนกัน ดังนั้นเธอจึงวิ่งได้เร็วพอๆกันกับผมที่ใช้สกิลที่ได้จาก【World Ruler】ช่วยเลย

 

เมื่อผมมองไปรอบๆ ก็เห็นหน้าตาของอาคารหลายๆหลังปิดอยู่ทั้งๆที่เป็นตอนกลางวัน

 

…พวกเขาหลบซ่อนอยู่ข้างในงั้นหรอ? ผมคิดว่าการวิ่งหนีไปให้ไกลที่สุดจะดีกว่าซะอีกนะ แต่ว่าตอนนี้ผมก็จะไปต่อว่าพวกเขาไม่ได้ละนะ

 

เสียงนกหวีดสามารถได้ยินมาจากทุกทิศทาง – บางทีคงเป็นสัญญาณเตือนถึงเหตุฉุกเฉิน เหล่าทหารกำลังนำทางผู้คนอยู่บนท้องถนน

 

「–เกิดอะไรขึ้น?」

 

「–มอนสเตอร์ขนาดใหญ่กว่าบ้านหน่ะ」

 

「–แล้วพวกเราจะวิ่งไปที่ไหนกันละ?」

 

「–จะไปรู้เรอะ แค่วิ่งไปให้ไกลที่สุดเท่าที่จะทำได้ก็พอ」

 

มีผู้คนจำนวณมากกำลังวิ่งอยู่ด้วยใบหน้าซัดเผือก และพวกเราก็ได้เข้าไปรวมกลุ่มกับพวกเขา

 

「…เรย์จิคุง ฟังให้ดีๆนะ」

 

น็อนซังหยุดวิ่งก่อนจะคุกเข่าลง เธอขว้าไหล่ของผมแล้วมองเข้ามาในดวงตาของผม

 

「วิ่งตรงไปจากตรงนี้แล้วเลี้ยวขวาตรงแยกที่ 2 เพื่อไปยังกิลด์นักพจญภัยนะ เมื่อเธอเลี้ยวไปแล้ววิ่งตรงไปก็จะถึง เธอน่าจะรู้ทางนะ ใช่ไหม?」

 

「…แล้วคุณละครับ น็อนซัง?」

 

ถ้าเธอพูดออกมาแบบนี้ นั่นหมายความว่าเธอมีแผนที่จะไม่ไปกับผม

 

「ชั้นจะกลับไป มีผู้คนมากมายแน่นอนที่กำลังบาดเจ็บอยู่ ชั้นจะไปช่วยพวกเขาเท่าที่ชั้นจะทำได้」

 

「แต่ว่า…」

 

「เธอทำได้ดีมากแล้ว เรย์จิคุง หลังจากนี้เป็นงานของพวกผู้ใหญ่แล้ว」น็อนซังพูดขึ้นพร้อมกับรอยยิ้มที่อ่อนโยน

 

…ที่พูดว่าผู้ใหญ่หน่ะหมายความว่ายังไงกัน?

 

น็อนซังก็อายุเท่ากันกับผมก่อนที่ผมจะเกิดใหม่ หรือก็คือ 16 ปี มันเป็นเรื่องปกติของโลกนี้ที่จะเริ่มทำงานกันตอนอายุ 10 ขวบ เหมือนกับที่สามารถลงทะเบียนเป็นนักพจญภัยได้ที่อายุ 10 ขวบนั่นแหล่ะ เมื่ออายุ 12 ปี ก็ได้รับเงินเดือนเต็มที่เหมือนคนทำงานทั่วไปแล้ว

 

จะถูกยอมรับว่าเป็นผู้ใหญ่เต็มตัวตอนอายุ 16 ปี จะไม่มีคนห้ามไม่ให้ดื่มแอลกอฮอล์อีกต่อไป

 

…ถ้าน็อนซังเป็นผู้ใหญ่ งั้นผมเองก็เป็นผู้ใหญ่ด้วยเหมือนกัน

 

…แต่เธอก็คงไม่เชื่อที่ผมพูดหรอก ต่อให้ผมบอกออกไปก็ตาม และตัวผมเองก็ไม่เหมือนกับน็อนซัง ต่อให้ผมกลับไปที่สนามรบ ผมก็ทำอะไรไม่ได้มากอยู่ดี

 

แต่ ถึงอย่างนั้น มือของน็อนซังที่กำลังจับไหล่ของผมอยู่ตอนนี้นั้นกำลังสั่นอยู่

 

「ผมจะไปด้วยครับ」

 

น็อนซังอ้าปากค้างหลังจากที่ได้ยินผมพูด

 

「ไม่ เธอทำแบบนั้นไม่ได้」

 

และเธอก็ดึงตัวผมเข้าไปกอดแน่นๆ มันแน่นที่สุดเท่าที่ผมเคยถูกกอดเลย

 

「ขอชั้นได้บอกเธอบางอย่างนะ ตัวชั้นดีใจนะที่เธอเข้าร่วมปาร์ตี้ของพวกเรามาหน่ะ… แต่เหตุผลมันไม่ใช่อย่างที่เธอคิดเอาไว้หรอกนะ」

 

「…เหตุผลหรอครับ?」

 

「คุณพ่อของชั้นหน่ะนะ จริงๆเขายอมแพ้เรื่องรักษาคำสาปไปแล้ว เขาถูกวินิจฉัยเอาไว้แล้วว่าต่อให้เป็นนักเวทย์รักษาอันดับต้นๆของราชอาณาจักรอัศวินนักบุญก็ยังยากที่จะรักษามันได้เลย」

 

「………」

 

ผม… ก็รู้สึกแบบนั้นเหมือนกัน

 

ผมรู้สึกได้ว่าดันเต้ซังนั้นเตรียมใจที่จะตายเอาไว้แล้ว ขนาดในสถานการณ์ตอนนี้ เขาก็ยังเผชิญหน้ากับมังกรนั่นโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย ผมไม่คิดว่ามีอะไรในเมืองแห่งนี้ที่เขาอยากจะปกป้องหรอกนะ ไม่เหมือนกับโจเซฟซัง ดันเต้ซังไม่มีเหตุผลให้ต้องต่อสู้เลย

 

「คุณพ่อหน่ะมีชีวิตชีวาขึ้นหลังจากที่เรย์จิคุงเข้าร่วมกับพวกเรา เขาพูดว่า “เรย์จิหน่ะมีความสามารถที่จะเรียนรู้ที่ดี เหมาะแก่การสอนเขา” ชั้นนี้มีความสุขมากเลยละ เพราะการที่เธออยู่กับพวกเรา มันทำให้ชั้นคิดว่าคุณพ่อนั้นได้ค้นพบ “เหตุผลที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไป” แล้วหน่ะสิ」

 

น็อนซังคลายอ้อมกอดออก มีน้ำตาอยู่บริเวณหางตาของเธอ

 

…อา ผมเข้าใจแล้ว

 

น็อนซังก็ “เตรียมใจ” แล้วเหมือนกัน การกลับไปที่สนามรบเพื่อรักษาผู้คนนั้นก็หมายความว่าจะกลับไปยังสถานที่ที่ตัวเองอาจจะตายก็ได้เช่นกัน

 

「ชั้นขอโทษนะเรย์จิคุง ที่ชั้นหลอกใช้เธอ」

 

「…ได้โปรดหลอกใช้ผมต่อไปมากกว่านี้เถอะนะครับ」

 

น็อนซังลุกขึ้น

 

「เลี้ยวขวาแยกที่ 2 นะ เข้าใจไหม?」

 

เธอไม่ได้ตอบกลับที่ผมพูดกับเธอไป

 

แล้วเธอก็เริ่มออกวิ่งไป เพื่อเพิ่มโอกาสมีชีวิตรอดของดันเต้ซังแม้จะเพียงเล็กน้อยก็ตาม

 

「ผมจะรออยู่ที่กิลด์นะครับ! ผมจะเฝ้ารอให้ทุกๆคนกลับมานะครับ!」

 

ผมอยากจะชกตัวผมเองจริงๆ ตัวผมที่ไม่สามารถพูดอะไรอย่างอื่นออกไปได้

 

 

 

บทที่ 1 ตอนที่ 25

 

หลังจากที่ผมโผล่หน้ามาจากหลังคาแล้วตะโกนออกมา ทุกคนก็มองขึ้นมาอย่างตื่นตะลึง

 

「เรย์จิ!!! คาดการณ์เวลาที!!!」

 

「อีกไม่กี่นาทีครับ!!!」

 

「!」

 

…เร็ว เร็วมาก ความเร็วระดับนี้น่าจะมากกว่า 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงเลย ผมก็ไม่ได้อยากจับตาดูอยู่บนนี้ต่อไปหรอก แต่มันเป็นงานของผมนี่นา

 

「พวกนักพจญภัย!! อพยพประชาชน!」

 

หลังจากที่ได้ยินเสียงของโจเซฟซัง เหล่านักพจญภัยก็ได้สติกลับมาแล้วเริ่มเคลื่อนไหว

 

「ส่วนพวกทหาร! เข้าไปอพยพเจ้าหน้าที่ในอาคารออกมา!」

 

「ตะ-แต่… อยู่ในอาคารจะไม่ปลอดภัยกว่าหรอ?」

 

「เรย์จิ! มังกรนั่นตัวใหญ่แค่ไหน?!」

 

「ใหญ่กว่าอาคารนี้มากครับ!」

 

「บ้าเอ้ย!!! ได้ยินแล้วใช่ไหม?!! ถ้ายังอยู่ในนั้นละก็รับรองได้ว่าเละแน่ๆ!」

 

「ว่าไงนะ!?」

 

「สิ่งเดียวที่คนที่สู้ไม่ได้ทำได้ก็คือวิ่งหนี! เร็วเข้า!」

 

「ตะ-แต่เมืองนี้มันกว้างมากเลยนะ…」

 

「แต่ตรงนี้มันอันตรายที่สุดแล้วโว้ย!! เร็วเข้าสิวะ!!」

 

「คุ… เข้าใจแล้ว!」

 

ในที่สุดโจเซฟซังก็โน้วน้าวทหารคนนั้นได้

 

ทหารคนนั้นเคลื่อนตัวอย่างรวดเร็ว เขาวิ่งเข้าไปในอาคารและเริ่มเรียกเหล่าเจ้าหน้าที่ออกมา

 

「เอออ… แล้วข้าควรจะทำอะไรละ?」

 

ผมสบตาเข้ากับทหารอีกคนที่อยู่บนระเบียงชั้น 3

 

「เออ… ทำไมคุณไม่ไปรวมกลุ่มกับคนที่ยังอยู่ในอาคารละครับ?」

 

「อะ-อา ข้าจะทำแบบนั้นแล้วกัน เจ้าเองก็ควรลงมาจากตรงนั้นด้วยเหมือนกันนะ」

 

ผมย้อนกลับไปที่ดาดฟ้าอีกครั้ง

 

…บ้าเอ้ย มันเข้ามาใกล้ขึ้นทุกทีแล้ว

 

มังกรเกือบจะมาถึงกำแพงเมืองชั้นนอกแล้ว

 

อย่างไรก็ตาม เมื่อผมชโงกหน้ามองออกไป ก็เห็นเหล่าทหารที่ประจำอยู่ตรงกำแพงชั้นนอกกำลังแตกตื่นกันอยู่

 

เห็นแบบนั้น ภาพเหตุการณ์ที่เลวร้ายที่สุดก็ลอยขึ้นมาในหัวผมเลย

 

…จะเกิดอะไรขึ้นถ้ามังกรนั่นยิงลูกบอลแสงออกมาเหมือนกับที่ผมเห็นในคืนนั้นจากด้านหลังกำแพงชั้นนอกเข้ามาในเมืองกัน? อีกอย่าง ไม่ใช่นั่นเป็นเรื่องเลวร้ายที่สุดที่อาจจะเกิดขึ้นก็ได้ไม่ใช่หรอ? ถ้ามังกรตัวนั้นมีสติปัญญาจริงๆละก็ มันต้องสังเกตสถานการณ์อยู่ห่างๆแล้วโจมตีจากระยะไกลเอาแน่ๆ

 

「ตะ-ต้องหาทางดึงความสนใจซะแล้ว! อืม เอออ…」

 

เรื่องที่มังกรสามารถตรวจจับหินสกิลได้

 

แล้วหินสกิลอันไหนละที่มังกรนั่นจะหันมาสนใจกัน?

 

「อา…」

 

…ถ้ามังกรมันตรวจจับหินสกิลได้ดีขึ้นจากจำนวณดาวที่หินสกิลมีละ?

 

ขณะที่ผมคิดแบบนั้น บรรยากาศรอบๆของมังกรตัวนั้นก็เริ่มบิดเบี้ยว

 

…มันกำลังจะใช้เวทมนตร์หรืออะไรแบบนั้นงั้นหรอ?

 

「อึก ไม่มีเวลาแล้ว!」

 

ผมวางมือลงบนอกของผมแล้วจินตนาการอย่างแรงกล้าถึงภาพลักษณ์ของหินสกิล【World Ruler】มันรู้สึกเหมือนกับว่าพลังที่มีกำลังหลุดหายไปจากร่างการเลย – ไม่สิ ไม่ใช่แค่ความรู้สึกแล้ว พลังกำลังหายไปจากร่างกายของผมจริงๆ!

 

หินสกิลสีดำได้ออกมาจากอกของผม ผมสูญเสียพลังของ【World Ruler】ไป และ ในเวลาเดียวกันก็รวมถึงสกิลทั้งหมดที่ผมเคยเรียนมาด้วยเช่นกัน

 

…บ้าเอ้ย ผมจะมีชีวิตรอดต่อไปได้ยังไงถ้าไม่มีสกิลนี้อยู่เนี้ย?

 

ผมคุกเข่าลงกับพื้น ในมือของผมมีหินสกิลสีดำอยู่ – หินสกิลสีดำที่ตรงกลางมีแสงสีรุ้งส่องสว่างวิบวับไปมาเหมือนกับน้ำวน

 

《ก๊าซซซซซซซซซ……》

 

ผมได้ยินเสียงคำรามจากมังกรตัวนั้น

 

…ดูเหมือนการสันนิษฐานของผมจะตรงเผงเลยสินะ มังกรนั่นมองตรงมาที่ผม ไม่สิ… มองตรงมาที่หินสกิล【World Ruler】ต่างหาก

 

「อุ๊บ! ต้องหนีแล้ว!」

 

ผมดูดกลืน【World Ruler】กลับเข้ามาในร่างอีกครั้ง ตอนที่ผมทำอย่างงั้น อาการไม่สบายต่างๆก็หายไปหมดราวกับหมอกที่จางหายไป และความรู้สึกถึงพลังอำนาจก็ก่อตัวขึ้นในร่างกายของผม

 

…อ่าห์ ต้องติดเป็นนิสัยแน่เลย! ไม่ ผมจะยอมให้มันติดเป็นนิสัยไม่ได้! ถ้าผมจะต้องใช้สกิลละก็ ผมจะต้องไม่ยอมตกอยู่ใต้การควบคุมของมันเด็ดขาด

 

ต้องขอบคุณ หลังจากที่ผมดูดกลืน【World Ruler】กลับเข้าร่าง สกิลที่ผมเคยเรียนมาทั้งหมดก็กลับมาเช่นกัน

 

ผมวิ่งไปตามหลังคาด้วยสกิล【ทักษะการวิ่ง】แล้วกระโดดไปยังหลังคาของตึกข้างๆที่เป็นอาคาร 2 ชั้น ดังนั้น ผมเลยลงต้องลงจอดด้วยมือและเท้าทั้งสองข้าง ผมเห็นดันเต้ซังกับคนอื่นๆจากด้านบนนี้ด้วย

 

「มันมาแล้ว!!」ผมตะโกนออกไป

 

ดันเต้ซังไม่ได้ถามอะไรอย่าง “อะไรหน่ะ” หรือ “ได้ไงกัน” ออกมาเลย

 

「เข้าใจแล้ว!!」เขาตอบกลับมา

 

…เขาเชื่อใจผมอย่างสุดหัวใจ ทั้งๆที่พึ่งรู้จักกันไม่กี่วันแท้ๆ… เขาเป็นคนที่ดีจริงๆ

 

แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลามามัวซึ้งใจกับเรื่องแบบนี้

 

《ก๊าซซซซซซซ!!!!!》

 

เสียงคำรามราวกับฟ้าร้องดังขึ้น และสิ่งมีชีวิตที่มีมวลมหาศาลก็ชนเข้ากับอาคารที่ถูกเรียกว่า “สำนักงานจัดการสกิล” ถึงตัวอาคารจะถูกสร้างจากหินแต่ก็ถูกทำลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยราวกับบล็อกไม้ของเกมแจงก้าไม่มีผิด

 

ผมที่ยังอยู่บนหลังคาของตึก 2 ชั้นในตอนนั้นโดนคลื่นกระแทกซัดจนปลิวตกจากหลังคา ผมมั่นใจว่าผมต้องตกกระแทกพื้นแน่ๆ ทว่า มีใครบางคนก็รับตัวผมเอาไว้ได้ก่อน

 

「ทำได้ดีมาก ไอ้เด็กเหลือขอ」

 

ไรเครียซังพุ่งเข้ามาด้วยความเร็วอันน่าเหลือเชื่อแล้วหยุดทันทีหลังจากได้ตัวผม

 

ขณะที่วางตัวผมลง สายตาของเขาก็จับจ้องไปที่มอนสเตอร์ที่กำลังเกาะอยู่บนซากของอาคาร

 

「ที่เหลือพวกเราจะจัดการเอง พวกเราจะฆ่าไอ้มังกรนั่นให้ได้」เขาพูดออกมา

 

ออร่าที่ออกมาจากมังกรตัวนั้นล้นหลามมาก มันเหยียบอาคารทั้งอาคารภายใต้ฝ่าเท้าของมัน และทำลายอาคารที่อยู่ข้างๆอีก 2 อาคารราวกับจะบอกว่าแค่นี้ยังไม่สาแก่ใจของมันเลย

 

เนื่องจากมานาที่ห่อหุ้มเกล็ดสีเหลืองของมัน มันจึงไม่ได้รับรอยอะไรจากการชนเลยแม้แต่รอยเดียว

 

รอบข้างเกิดความโกลาหลขึ้น เกือบทุกคนกรีดร้องพร้อมกับวิ่งหนีออกไป และมีบางคนที่ตัวแข็งทื่อจากความหวาดกลัวแล้วเริ่มที่จะร้องไห้ออกมา

 

ครึ่งนึงของเหล่านักพจญภัยต่างหมดกำลังใจที่จะสู่ต่อ พวกเขาทำได้แค่จ้องมองไปที่มังกรตัวนั้นอย่างเหม่อลอย

 

ทว่า มีเพียงสองคนที่เป็นผู้นำเท่านั้นนั้นที่แตกต่างออกไป

 

「ใครที่สู้ไม่ได้ให้ไปช่วยประชาชนอพยพซะ!」

 

「ส่วนพวกทหารให้ไปเรียกกำลังเสริมมาเดี๋ยวนี้เลย!」

 

เป็นโจเซฟซังที่กำลังถือขวนสองมือที่ดูมีขนาดใหญ่กว่าอาวุธสองมือตามปกติ และดันเต้ซังที่ยืนอยู่ข้างๆเขาพร้อมกับถือดาบขนาดใหญ่ที่ราวกับแท่งเหล็กเอาไว้ในมือนั่นเอง

 

「…นี่นายจะใช้ดาบมหึมานั่นแทนโล่ใหญ่ของนายจริงๆงั้นเรอะ?」

 

「การเคลื่อนไหวของข้าติดขัดขึ้นมากจากคำสาป ตอนนี้ข้าไม่สามารถถืออาวุธพร้อมกันกับโล่ได้」

 

「งั้นก็ช่วยไม่ได้ละนะ」

 

「ก็คงจะอย่างงั้น」

 

ทั้งสองคนไม่ได้ละสายตาไปจากมังกรเลยแม้แต่นิดเดียว ไม่แน่ใจว่ามังกรตัวนั้นรับรู้ว่าทั้งสองคนเป็นศัตรูแล้วหรือเปล่า แต่มันจับจ้องไปที่พวกเขาทั้งคู่ตาไม่กระพริบเลย

 

「ลุยกันเลย โล่ใหญ่!」

 

「อ่า!」

 

โจเซฟซังวิ่งไปทางขวาและดันเต้ซังก็วิ่งไปทางซ้าย ถึงการเคลื่อนไหวของเขาจะติดขัด แต่ดันเต้ซังก็ยังเคลื่อนไหวได้รวดเร็วกว่าผมตอนที่ใช้สกิลซะอีก

 

มีแสงสว่างเกิดขึ้นที่ปากของมังกร ในจังหวะนั้นโจเซฟซังก็กระโจนไปข้างหน้า ทันใดนั้น เปลวไฟสีเหลืองก็ถูกปล่อยออกมาจากปากของมัน แผดเผาบริเวณตรงที่โจเซฟซังเคยอยู่ก่อนหน้านี้ มังกรตัวนั่นก็หันมาปล่อยเปลวไฟใส่ดันเต้ซังต่อราวกับเพียงแค่สลับขาไปมาเท่านั้น

 

「คุณพ่อ!」

 

น็อนซังกรีดร้องออกมา แต่ดันเต้ซังก็ปักดาบของเขาลงพื้น แล้วทำการดีดตัวหลบเปลวไฟที่กำลังพุ่งเข้ามาด้วยแรงเสริมจากดาบของเขา

 

…สุดยอดไปเลย เขาทำแบบนั้นได้ทั้งๆที่ไม่มีสกิลประเภทกายกรรมเลย แถมยังสามารถเอาตัวรอดได้โดยใช้เพียงแค่ปฏิกิริยาตอบสนองตามธรรมชาติอย่างเดียวเท่านั้นเอง

 

「ชิ ดูเหมือนแกจะไม่ยอมให้พวกเราเข้าไปใกล้ได้อย่างง่ายๆงั้นสินะ หา!」

 

โจเซฟซังเว้นระยะห่างของเขาออกมาก่อนจะตะโกนกลับไปหามังกร แต่มังกรตัวนั้นกลับเอาแต่ก้มหน้ามองไปที่เท้าของมันราวกับไม่ได้สนใจโจเซฟซังกับดันเต้ซังเลยแม้แต่นิดเดียว

 

…ตรงนั้นมีเพียงแค่ซากของอาคารสำนักงานจัดการสกิลเพียงเท่านั้น หืมม…? มีบางอย่างส่องแสงอยู่ใต้ซาก นั่นมัน… หินสกิล?

 

「…ไม่มีทางหน่า」

 

มังกรตัวนั้นอ้าปากออกแล้วปล่อยลมหายใจออกมา มันไม่ใช่ลมหายใจเปลวเพลิง แต่เป็นลมหายใจสีทองระยิบระยับ เมื่อมันโดนใส่หินสกิลอันนั้น หินสกิลก็แตกออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย

 

「อ้า! นั่นหินสกิลแดง 4 ดาวเลยไม่ใช่เรอะ!? น่าเสียดายชะมัด!」

 

「ทางนั้นก็มีหินสีฟ้าหลายอันที่ถูกทำลายไปแล้วเหมือนกัน!」

 

เหล่านักพจญภัยต่างกรีดร้องออกมาราวกับจะร้องไห้ สีของหินสกิลบ่งบอกได้ถึงประเภทของมัน “ประเภทร่างกาย” คือ “สีแดง” , “ประเภทเวทมนตร์” คือ “สีฟ้า” , และ “ประเภทยูนีค” คือ “สีรุ้ง”

 

ผมเห็นพลังงานอะไรบางอย่างคล้ายกับมานาหายขึ้นไปในอากาศหลังจากที่หินสกิลนั้นแตกออก – ที่ผมเห็นได้บางทีอาจจะเป็นเพราะผมมีสกิล 【เสริมการมองเห็น】ก็ได้

 

หลังจากที่มังกรนั่นทำลายหินสกิลอันนั้นไป มันก็มองไปรอบๆเหมือนกับกำลังมองหาอะไรบางอย่าง

 

…แกมองหาอะไรกัน? เดี๋ยวก่อนนะ ตอนนี้มันมองตรงมาที่ผมแล้ว!

 

…ใช่แล้ว แกกำลังมองหาผมอยู่ใช่ไหมละ?! แน่อยู่แล้วสิ! ผมเป็นคนที่ยืนอยู่บนหลังคาก่อนหน้านี้นี่นา! แกเล็งเป้ามาที่ผมเพราะจะทำลายหินสกิลหายากของผมอย่างงั้นสินะ? เหอะ เสียใจด้วยนะ! เพราะผมดูดกลืนมันเข้ามาในร่างแล้วยังไงละ!

 

 

 

บทที่ 1 ตอนที่ 24

 

ที่ผมกล่าวออกไปยังคงเป็นแค่สมมติฐานเพียงเท่านั้น อย่างไรก็ตาม ผู้คนต่างก็ยอมรับมันเนื่องจากมันค่อนข้างสมเหตุสมผลที่สุดแล้ว มีเียงแค่รองหัวหน้ากิลด์ที่ยังพยายามคัดค้านจนถึงที่สุดโดยพูดว่า「จะฟังที่เด็กนี่พูดจริงๆงั้นเรอะ?」แต่โจเซฟซังก็หุบปากเขาด้วยประโยคที่ว่า「แล้วแกมีไอเดียอื่นไหมละ? ถ้ามันเกิดอะไรขึ้นมา แกจะรับผิดชอบได้ไหมละ?」

 

ดูเหมือนหินสกิลที่ขุดได้จากเหมืองที่ 6 จะถูกขนส่งมาเก็บไว้ที่เมืองแห่งนี้ ผมไม่แน่ใจว่ามังกรนั่นจะตรวจจับหินสกิลที่มนุษย์เรียนรู้ไปแล้วได้รึปล่าว แต่ตอนนี้คงต้องปักหลักกันโกดังที่เก็บหินสกิลไว้มากที่สุดก่อนจะดีที่สุด เพราะแบบนั้น เหล่านักพจญภัยจึงมุ่งหน้ากันไปที่สถานที่ราชการนามว่า “สำนักงานบริหารสกิล”

 

มันเป็นตึกหิน 3 ชั้นที่มีหน้าต่างเสริมด้วยกรงเหล็ก มันให้บรรยากาศที่ดูมีภูมิฐานมาก

 

มีทหารคุ้มกันอยู่ที่ทางเข้า เมื่อโจเซฟซังรายงานไปว่า「มีมังกรกำลังมุ่งหน้ามา! มีโอกาสสูงที่ที่นี่จะตกเป็นเป้าหมายของมัน!」พวกทหารก็ทำเพียงแค่หัวเราะเยอะเขา

 

「นี่แกเมารึไง?」

 

「โอ้ใช่ แกคงจะบอกว่าหลานแกเห็นงูตัวใหญ่ในเมืองใช่ไหมละ? บางทีหมอนี่อาจจะเข้าใจผิดว่าเป็นมังกรละมั้ง?」

 

「ฮ่าๆๆ ต้องเป็นแบบนั้นแน่เลย」

 

ถึงเหล่านักพจญภัยคนอื่นๆจะเริ่มรู้สึกอยากซัดหน้าทหารพวกนี้แล้ว แต่โจเซฟซังก็ยังคงใจเย็นและพยายามโน้วน้าวต่อไป

 

อะไนมันจะง่ายกว่านี้ถ้าหัวหน้ากิลด์หรือรองหัวหน้ากิลด์เป็นคนพูด แต่หัวหน้ากิลด์ตอนนี้ไม่อยู่ และรองหัวหน้ากิลด์ก็ให้เหตุผลโง่ๆว่า “ข้ามีหน้าที่ดูแลความเรียบร้อยของกิลด์ยามที่หัวหน้ากิลด์ไม่อยู่” แล้วหลบเหลี่ยงที่จะมายังที่ที่อาจจะเป็นกลายเป็นสนามรบ

 

เห็นได้ชัดเลยว่าโกหก

 

「ดันเต้ซัง มิมิโนะซังจะเป็นอะไรไหมครับ?」

 

พวกเราไม่ทันได้รวมกลุ่มกับมิมิโนะซัง บางทีตอนนี้เธออาจจะยังไม่รับรู้ถึงสถานการณ์ในตอนนี้เลยก็ได้

 

「มิมิโนะหน่ะไม่เป็นไรหรอก ถ้าเธอไปที่กิลด์ละก็ ต้องรู้แน่ว่าเรามาที่นี่ ถึงเธอจะตัวเล็กแต่เธอนั้นก็ทั้งฉลาดและมีไหวพริบ」

 

คำว่า “ฉลาดและมีไหวพริบ” นั้นช่างเหมาะกับมิมิโนะซังจริงๆ

 

「ดูเหมือนโจเซฟจะโน้มน้าวไม่สำเร็จนะ ถ้ายังเป็นแบบนี้ต่อไปพวกนักพจญภัยที่เหลือคงจะหมดความอดทนก่อนแน่」

 

พวกนักพจญภัยด้านหลังของโจเซฟซังเริ่มซุบซิบกันประมาณว่า “ปกป้องไอ้พวกนี้ไปมันจะคุ้มค่าจริงๆเรอะ?” หรือ “จะหนีกันไปเลยดีไหม?” อะไรแบบนั้น

 

「หรือบางที นี่มันใช่เวลาที่เราจะมาทำแบบนี้กันเรอะ? และเมื่อไหร่มังกรนั่นจะมาถึงเมืองละ?」ไรเครียซังถามขึ้นมาอย่างผิดหวัง

 

「ข้าไม่รู้ ไปถามมังกรเอาสิ」ดันเต้ซังตอบกลับไป

 

「ข้าไม่ได้อยากจะเจอมังกรนั่นตั้งแต่แรกแล้ว」

 

「เรามาถึงเมืองนี่ผิดเวลาไปหน่อย และโจเซฟก็โชคร้ายเหมือนกัน หมอนั่นเลิกเป็นนักพจญภัยแล้วปักหลักอยู่ที่เมืองนี้ พึ่งจะแต่งงานไปเมื่อเร็วๆนี้เอง เขาเอาแต่พูดเรื่องหวานๆกับภรรยาคนใหม่นี้ทั้งคืนเลย」

 

「ขอบคุณสำหรับข้อมูลที่ไม่ได้ถามนะ ตาแก่」

 

「นายก็เห็นใจข้าหน่อยก็ได้ที่ข้าต้องทนนั่งฟังมันทั้งคืน」

 

「อยากจะไปดื่มเหล้าเองนี่」

 

…เมื่อไหร่ที่มังกรจะมางั้นหรอ?

 

ผมใช้เวลาประมาณ 7 วันตั้งแต่ออกมาจากเหมือง เดินผ่านป่าแล้วก็มาถึงเมืองนี้

 

จากการที่เคลื่อนที่ผ่านป่านั้นค่อนข้างช้า จึงดูเหมือนว่าผมจะเดินทางได้ไม่ถึง 30 กิโลเมตรต่อวันแน่ๆ และผมก็ไม่ได้เดินเป็นเส้นตรงมาที่เมืองด้วย ดังนั้นระยะห่างระหว่างเหมืองกับเมืองแห่งนี้ต้องน้อยกว่า 200 กิโลเมตรแน่นอน

 

…และเวทย์สื่อสารพึ่งส่งมาถึงเมื่อประมาณ 1 ชั่วโมงที่แล้ว คิดว่านะ?

 

งั้น นกมันบินเร็วแค่ไหนละ?

 

แล้วมังกรบินเร็วกว่านั้นรึปล่าว?

 

ถ้ามันเร็วกว่าละก็… ถ้าถึงขนาด 70 กิโลเมตรต่อชั่วโมงละก็ มันจะใช้เวลาน้อยกว่า 3 ชั่วโมงในการมาถึงนี่เองนะ!

 

พวกเขาติดต่อมาด้วยเวทย์สื่อสารทันทีที่มังกรบินมารึปล่าว? อุปกรณ์สื่อสารสามารถขนย้ายไปมาได้งั้นหรอ? ถ้าพวกเขาส่งข้อความมาช้าละก็ เวลาที่เรามีอยู่ก็อาจจะประมาณ 1 ชั่วโมงหรือน้อยกว่านั้น…!

 

「…ระ-ไรเครียซัง ดันเต้ซัง」

 

「อ่าห์?」

 

「เป็นอะไรไป เรย์จิ?」

 

「ผมคิดว่าตอนนี้มังกรคงจะอยู่เหนือหัวพวกเราแล้ว…」

 

「อะไรนะ?!」

 

「เธอว่าไงนะ?!」

 

「มีใครพาผมขึ้นไปบนหลังคาได้มั้งครับ!? ผมอยากจะยืนยันจากที่สูงๆ!」

 

ดันเต้ซังมองไปรอบๆอย่างกระสับกระส่าย แล้วก็

 

「โจเซฟ!」

 

「…เดี๋ยวก่อนสิ ดันเต้ ข้ากำลังพูดโน้วน้าวอยู่นะ」

 

「มาทางนี่ก่อน! มีเหตุฉุกเฉิน!」

 

「!」

 

โจเซฟซังเดินเข้ามาด้วยฝีเท้าที่หนัก

 

「โจเซฟ จับเรย์จิข้างขวา ข้าจะจับข้างซ้ายเอง」

 

…หืมม?

 

「พวกเราจะทำไอ้นั่นหรอ?」

 

「ใช่แล้ว อันที่เราทำกันตอนที่กำจัดฝูงก็อบลินกันไง」

 

「ตอนนั้นพวกเราโยนศพก็อบลินติดระเบิดลงไปกลางฝูงของพวกมัน แต่ตอนนี้พวกเรากำลังจะโยนเรย์จิงั้นรึ」

 

…เดี๋ยวก่อนนะ! ประโยคนั่นมันแปลกๆนะ! อะ!

 

พวกเขาจับไหล่กับเอวของผมทั้งซ้ายและขวา

 

「เรย์จิ มองขึ้นไปที่ระเบียงชั้น 3 ตรงนั้น เห็นบันไดเหล็กที่อยู่ตรงนั้นใช่ไหม? ปีนขึ้นไปเองจากตรงนั้นนะ」

 

「ไม่ครับ เดี๋ยวก่อ–」

 

「3, 2, 1!」

 

ผมก็บินขึ้นไปบนฟ้า

 

「ม่ายยยยยยยยย—!」

 

สุดยอดไปเลย คนสามารถบินได้ด้วย คิดว่าพวกนักกีฬากระโดดค้ำถ่อก็คงจะมีประสบการณ์แบบนี้อยู่ทุกวันละนะ แต่ไม่ใช่กับผมนะสิ ผมไม่อยากจะทำแบบนี้อีกเป็นครั้งที่สองเลย

 

ผมถูกขว้างด้วยแรงมหาศาล รู้สึกเหมือนกับลอยอยู่กลางอากาศเลย ระเบียงชั้น 3 อยู่ข้างหน้าของผมภายในเวลาเพียงแค่แปปเดียว

 

「ฮ้า!」

 

ผมเกาะไปที่ราวเหล็กอย่างแน่นหนา สนิมหลุดออกมาจากราว คงเป็นเพราะมันไม่ได้รับการดูแลรักษาเลย

 

…ซวยแล้ว! มันกำลังจะพัง!

 

ผมรีบปีนขึ้นไปบนระเบียงอย่างรวดเร็ว

 

…ต้องขอบคุณ【เสริมความแข็งแกร่งกายภาพ】… ถ้าไม่มีมันละก็ ผมคงจะตกลงไปแล้วถูกโยนขึ้นมาอีกครั้งแน่

 

「—นี่พวกแกทำอะไรกันนะ!」

 

「—ไปตรวจสอบสถานการณ์ก่อน!」

 

ข้างล่างมีทหารคนนึงกำลังโต้เถียงกับโจเซฟซังอยู่ และทหารอีกคนก็พุ่งเข้าไปในอาคาร – นั่นก็หมายความว่า เขากำลังมุ่งหน้ามาหาผม!

 

…อ่าห์ เห็นไรเครียซังที่กำลังหัวเราะอยู่ในตอนนี้ กับน็อนซังที่ยกนิ้วโป้งให้กับผม ทำให้ผมรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาเลย!

 

ผมปีนขึ้นไปบนดาดฟ้าด้วยบันไดเหล็กทันที

 

ดาดฟ้ามีลักษณะเป็นหลังคาลาดเอียงที่ไม่ได้รับการดูแลรักษา มีฝุ่นเกาะอยู่เต็มกระเบื้องหลังคาดินเผา

 

ผมยืนอยู่บนหลังคาอย่างระมัดระวังเพื่อไม่ให้ไถลตกแล้วมองไปรอบๆ มันแทบจะไม่มีตึก มากกว่า 3 ชั้นอยู่ในบริเวณนี้เลย ดังนั้นผมจึงสามารถมองเห็นได้กว้างขวาง ทั้งป่าที่กระจายอยู่หลังกำแพงเมืองและทั้งแนวสันเขาที่อยู่หลังจากนั้นไปอีก

 

…อาคารขนาดใหญ่ที่ตรงนั้นคือปราสาทของดยุคงั้นหรอ? ว้าว มียานหน้าตาเหมือนกับเรือเหาะเทียบท่าอยู่ที่ปราสาทจริงๆด้วย — เดี๋ยวสิ! ไม่ใช่เวลามามัวสนใจเรื่องนั้นนะ!

 

…อืม ไหนดูสิ เหมือง… เหมือง… ทิศไหนที่ไปยังเหมืองกัน?!

 

「เฮ้ย ไอ้หนู! ลงมาเดี๋ยวนี่เลยนะ!」

 

ทหารโผล่มาที่ระเบียงชั้น 3 เร็วกว่าที่คิดไว้

 

「รอแปปนึงนะครับ! ผมจะลงไปเดี๋ยวนี้แหล่ะ! ผมแค่อยากจะดูให้แน่ใจเท่านั้นเอง」

 

「แกอยากจะดูอะไรกัน! ฟังนะ นี่แกกำลังก่ออาชญากรรมอยู่นะ!」

 

「—มันมาแล้ว」

 

「ถ้าแกลงมาตอนนี้ ข้าจะปล่อยแกไปโดยแค่ตักเตือนเท่านั้น เป็นเพราะพวกผู้ใหญ่ไม่ดีพวกนั้นที่โยนแกมาบนนี้ และ… เมื่อกี้แกว่าไงนะ?」

 

「มันมาแล้ว」

 

ผมกำลังตกตะลึง

 

「มังกรมัน… มาแล้ว」

 

ไม่ต้องสงสัยเลยว่ามังกรตัวนั้นกำลังตรงมาทางนี้

 

ร่างสีเหลืองและปีกที่ใหญ่โต

 

เงาดำที่ผมรับรู้ในตอนนั้นเหมือนกันกับเงาของร่างที่กำลังบินตรงมาทางนี้

 

แต่ — มันใหญ่ขนาดนี้เลยหรอ?

 

「มันมาแล้ว!!! มังกรสีเหลือง! มันกำลังตรงมาที่พวกเราแล้ว!!!」

 

 

 

บทที่ 1 ตอนที่ 23

 

「–โจเซฟนี่!」

 

「–“ดาบแสงที่ไม่มีวันดับ” โจเซฟ คนนั้นนะหรอ?!」

 

「–ไม่เห็นรู้เลยว่าจะมาเป็นครูฝึกที่นี่」

 

「–ชายร่างใหญ่ที่คุยกับโจเซฟนั่นเป็นใครกันนะ?」

 

ทั้งกิลด์ต่างส่งเสียงเฮฮาออกมา คงเป็นเพราะชื่อเสียงของโจเซฟซังละนะ โจเซฟซังเดินเข้ามาและลูบหัวของผม —「ข้าดื่มยาที่ดูเหมือนว่าเจ้าจะเป็นคนคิดค้นขึ้น ถ้าจำไม่ผิดมันเรียกว่าเรย์คอนสินะ?」เขาพูดขึ้นมา

 

…งั้นเขาก็ดื่มเรย์คอนเพื่อแก้อาการเมาค้างจริงๆสินะ?!

 

「เฮ้ รองหัวหน้า จากที่ได้ยินเรื่องราวของเจ้าหนูนี่ มั่นใจได้เลยว่ามีมังกรปรากฎตัวขึ้นที่เหมืองจริงๆ เมืองนี้ที่มีการป้องกันที่แข็งแกร่งกับมอนสเตอร์ภาคพื้น แต่กลับอ่อนแอกับมอนสเตอร์ที่บินบนฟ้า – ไม่ต้องพูดถึงว่ามันมังกรเลยด้วยซ้ำ สิ่งแรกที่จะต้องทำก็คืออพยพประชาชน เร็วเข้า ต้องรีบออกคำสั่งนี้กับพวกนักพจญภัยโดยเร็วแล้ว」

 

「…จะไม่ดีกว่างั้นรึที่จะสร้างแนวป้องกันบนกำแพงแล้วขับไล่มันออกไปหน่ะ?」

 

「อย่าโง่ไปหน่อยเลยหน่า มังกรหน่ะ อย่างน้อยๆก็มีขนาดใหญ่พอๆกับตึกกิลด์นี้เลยนะ ถึงยิงธนูไปก็มีแต่เด้งออกเท่านั้นแหล่ะ ยิ่งไปกว่านั้น ในหมู่คนที่อยู่ที่นี่ทั้งหมด มีใครบ้างที่มีสกิล 4 ดาวขึ้นไป?」

 

มีประมาณ 3 คนที่ยกมือขึ้น ถึงอย่างนั้น ก็ใช่ว่ามีสกิล 4 ดาวจะเก่งในด้านใดด้านหนึ่งเท่านั้น มันมีสกิลบางประเภทที่ทำให้สามารถใช้ทักษะหรือเวทมนตร์ได้หลากหลายอยู่ด้วยเหมือนกัน หนึ่งในนั้นก็คือสกิล【เวทมนตร์ 4 ธาตุ】อันเดียวกับที่ป้าโรงอาหารนั้นใช้… ผมสงสัยจังว่าป้าคนนั้น ตอนนี้ยังคงหลบหนีอยู่อีกรึปล่าวนะ?

 

【เวทมนตร์ 4 ธาตุ】เป็นสกิลที่ทำให้สามารถใช้เวทมนตร์ได้ 4 ธาตุ – ไฟ,ดิน,ลม,และน้ำ – และพลังของแต่ละธาตุที่ได้ก็จะเทียบเท่ากับสกิล 2 ดาวเช่น 【เวทย์ไฟ★★】.

 

「รองหัวหน้า นั่นแหล่ะว่าทำไมถึงหวังพึ่งพวกนักพจญภัยในการทำการป้องกันไม่ได้ ดังนั้น พวกเราควรช่วยนำทางผู้คนอพยพดีกว่า ต้องมีคนที่ช่วยโอกาสในช่วงคับขันแบบนี้แน่นอน เรื่องการป้องกันนั้นฝากไว้กับพวกทหารเอา」

 

「…พวกเราฝากไว้กับพวกทหารไม่ได้หรอก」

 

「ทำไมละ?」

 

「กองทัพหลักถูกส่งออกไปยึดเหมืองที่ 6 คืนแล้วนะสิ ตอนนี้เลยเหลือแค่ทหารเพียงหยิบมือในการป้องกันเมืองเพียงเท่านั้นเอง」

 

「เฮ้ย นี่มันท่าจะไม่ได้แล้วนะ」

 

ดูเหมือนโจเซฟซังจะไม่ได้คิดล่วงหน้าถึงเรื่องนี้เลย เขาเอามือเกาหัวพร้อมทั้งมองขึ้นไปบนเพดาน

 

「…ดูเหมือนว่าพวกเราไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากจะต้องสู้ด้วยทุกอย่างที่มีแล้วสินะ」

 

จากนั้น เหล่านักพจญภัยต่างก็ร้องกันระงมออกมาประมาณว่า “ข้าไม่ไหวหรอก” “ข้ายังไม่เคยเห็นมังกรตัวเป็นๆมาก่อนเลยนะ” และอื่นๆอีกมากมาย

 

จากที่พูดคุยกันจึงสรุปได้ว่ามีเพียงนักพจญภัยที่อยู่ที่นี่เท่านั้นที่จะนับเป็นกำลังต่อสู้ได้ พวกเขามีชีวิตเป็นเดิมพันในการต่อสู้ครั้งนี้

 

ไม่น่าแปลกใจที่เหล่านักพจญภัยระดับต่ำๆจะรู้สึกกลัวกัน

 

「อืม เดี๋ยวก่อน รอเดี๋ยวก่อน」

 

ชายที่สวมเกราะโลหะสีแดงคุณภาพดียืนขึ้นพร้อมกับโบกมือทั้งสองข้าง

 

「คุณเป็น “ดาบแสงที่ไม่มีวันดับ” โจเซฟ คนที่เคยอยู่ระดับทองสินะ? ไม่รู้มาก่อนเลยว่าจะมาเป็นครูฝึกสอนที่นี่」

 

「แล้วนายละ?」

 

「ข้าชื่อ ออสการ์ หัวหน้าของปาร์ตี้ “ดาวนิรันดร์” อืม มีบางคนเรียกข้าว่า “ดาวหางสีแดง” บนท้องถนนอยู่เหมือนกัน เดือนที่แล้วทุกคนในปาร์ตี้ของข้าเลื่อนขึ้นเป็นระดับเงินกันหมดแล้ว」

 

ชายที่ชื่อออสการ์ยิ้มโชว์ฟันขาวออกมาอย่างน่าสงสัย ผมของเขามีสีแดงเช่นเดียวกับชุดเกราะของเขา มันมีสีเหมือนกับดวงอาทิตย์สีแดงฉานช่วงพระอาทิตย์ตกดิน บัตรกิลด์ของเขาห้อยอยู่บนคอแสดงให้ทุกคนเห็น สึของบัตรเป็นสีเงินเหมือนกับ “ระดับเงิน” ของเขา จากข้อมูลที่【World Ruler】แสดง ดูเหมือนว่ามันจะทำมาจากแร่เงินจริงๆ

 

…ขนาดชื่อ “ดาวนิรันดร์” ยังเหมือนกับลักษณะการตั้งชื่อที่เด็กประถมขอบตั้งเลย

 

ถึงอย่างนั้น มันก็ยังสุดยอดอยู่ดีที่เขากับคนในปาร์ตี้ของเขาทั้งหมดเป็นถึงระดับเงิน สมาชิกทีทั้งหมด 6 คน และหนึ่งในนั้นยังมีคนที่มีสกิล【เวทมนตร์ 4 ธาตุ】อีกด้วย เซ้นส์การตั้งชื่อมันไม่ได้เกี่ยวกับความสามารถที่แท้จริงสินะ

 

「–อะไรคือชื่อ “ดาวหางสีแดง” ละนั่น?」

 

「–ไม่รู้สิ มันคงเป็นชื่อที่ออสการ์ใช้เรียกตัวเองละมั้ง」

 

「–แต่ทำไมต้องเป็นดาวละ ตั้งตามดวงอาทิตย์ยังไม่ดีกว่าหรอ?」

 

แก้มของออสการ์กระตุกจากที่ได้ยินเรื่องที่พวกนักพจญภัยรอบๆซุบซิบกัน ดูเหมือนจะเป็นกรณี่ที่นักพจญภัยตั้งชื่อเล่นให้ตัวเองงั้นหรอ? ไม่แปลกใจที่เขาจะมีท่าทางขมขื่น

 

「มีปาร์ตี้ที่มีความสามารถแบบนี้อยู่ก็รู้สึกอุ่นใจขึ้นแล้ว」

 

อย่างไรก็ตาม ดันเต้ซังก็ดูจะรู้สึกยินดีออกมาจากใจจริง มองไปที่ดันเต้ซังก็ทำให้ผมรู้ถึงจิตใจที่มืดมัวของตัวเองว่ามันมากแค่ไหน ไรเครียซัง คุณเองก็ต้องสำนึกผิดเหมือนกันนะ จังหวะที่ได้ยินชื่อ “ดาวนิรันดร์” คุณก็แอบหัวเราะอยู่ใช่ไหมละ?

 

「แล้วนายเป็นใครกัน? ดูเหมือนจะสนิทกับโจเซฟมากเลยนะ」

 

「…ร่างกายของข้าไม่อยู่ในสภาพที่สมบูรณ์พร้อม ดังนั้น ไม่จำเป็นต้องนับรวมข้า」

 

「พูดอะไรของแกกัน? มี “โล่ใหญ่สีเงิน” อยู่ด้วยจะช่วยเพิ่มโอกาสชนะให้พวกเราเลยนะ ข้าเห็นการเคลื่อนไหวของแกที่ลานฝึกซ้อมเมื่อวานแล้ว แกยังสู่ในแนวหน้าได้อยู่」

 

โจเซฟซังพูดชมดันเต้ซังออกมา ทว่าออสการ์กลับขมวดคิ้วอย่างเปิดเผย คงจะเป็นเพราะไม่พอใจที่ดันเต้ซังนั้นมีชื่อเล่นอยู่ด้วย

 

「เอาเถอะไม่เป็นไร นายบอกว่าร่างกายของนายยังไม่พร้อมงั้นสินะ? งั้น นายหมายความว่าไงว่าจะสู้กับมังกรนั่น ในเมื่อนายเองก็ยังไม่รู้ว่ามันจะมาทางไหนเลย? นายไม่เหมาะที่จะเป็นกำลังรบหรอก」

 

คำถามของออสการ์นั้นถูกต้อง เมืองนี้มันมีขนาดใหญ่มาก ถ้าพวกนักพจญภัยกระจัดกระจายกันไปกำลังรบก็จะลดลงไปด้วย

 

「เป็นคำถามที่ตอบยากเหมือนกันนะ ถ้าเรื่องที่เด็กคนนี้พูดเป็นความจริงละก็ มังกรนั่นก็สามารถโจมตีมาจากบนท้องฟ้าได้เหมือนกัน」โจเซฟซังตอบกลับไป

 

「นั่นแหล่ะ ที่ข้าอยากจะพูดก็คือว่ามันง่ายที่จะพูดเพื่อให้พวกเราออกไปตาย แต่ตัวข้าก็ไม่ได้อยากจะไปตายอย่างไร้ค่าซะหน่อย」

 

นักพจญภัยคนอื่นๆพยักหน้าเห็นด้วยกับคำพูดของออสการ์

 

อย่างไรก็ตาม คำพูดของโจเซฟซังทำให้ผมฉุกคิดได้ถึงบางสิ่งบางอย่าง นี้ผมมองข้ามอะไรไปรึปล่าว?

 

「นี่รองหัวหน้า หัวหน้ากิลด์พูดว่ายังไงบ้าง? ทำไมเขาถึงไม่อยู่ที่นี่?」

 

「เขาถูกเรียกให้ไปพบจากท่านดยุคคนใหม่ในเช้าวันนี้」

 

「ดยุคคนใหม่? ทั้งๆที่ยังไม่ได้เก็บกู้ศพของท่านดยุคเลยนะ?」

 

「ไม่ต้องคำนึงถึงขั้นตอนหรอก ถ้าถูกเรียกตัวก็ต้องทำตาม ข้าส่งต่อข้อมูลที่ได้นี้ให้กับท่านดยุคคนใหม่เรียบร้อยแล้ว」

 

มันเป็นตอนกลางคืนที่ผมเห็นมังกรตัวนั้น มันไกลมากจนผมเห็นเป็นเพียงแค่เงาดำๆเพียงเท่านั้น ผมมั่นใจว่ามังกรตัวนั้นต้องไม่เห็นตัวผมอย่างแน่นอน

 

มองย้อนกลับไป เสียงกึกก้องที่ผมได้ยินในตอนที่ยังอยู่ในเหมืองนั้นอาจจะเป็นเพราะมังกรก็เป็นได้

 

「…ใช่แล้ว」

 

การโจมตีที่มังกรตัวนั้นยิงดูจะตกอยู่รอบๆบริเวณเหมือง อย่างน้อยๆก็ไม่มีร่องรอยการโจมตีของมังกรกับเมืองที่ผมเคยผ่านมาเลย ป่าก็ไม่ได้ถูกทำลายด้วยเหมือนกัน

 

ถึงอย่างงั้น ทำไมมังกรตัวนั้นถึงเล็งมาที่เมืองนี้กันละ?

 

「…ดันเต้ซัง ผมว่ามันแปลกนะครับ」

 

「เป็นอะไรไป เรย์จิ?」

 

「 “มังกรกำลังบินมาที่เมืองนี้” เป็นข้อมูลที่พวกเราได้รับ ถ้าข้อมูลนั้นถูกต้องละก็ มังกรตัวนั้นรู้ตำแหน่งของเมืองนี้ได้ยังไงครับ – หรือจะพูดให้ถูกก็คือ มันรู้ได้ยังไงว่าการโจมตีเมืองนี้จะทำให้เกิดความเสียหายให้กับมนุษย์ได้ดีที่สุด และรู้ตำแหน่งของเมืองนี้ได้ยังไงกันครับ?」

 

「…หืมม? เธอหมายความว่ายังไงกัน?」

 

「ว่ากันง่ายๆก็คือ มังกรมันหาตำแหน่งของเมืองได้ยังไงกันครับ? อย่างน้อยๆ ในอดีตมันก็ไม่มีบันทึกการค้นพบมังกรในบริเวณนี้ใช่ไหมครับ? แล้วมังกรที่หลับไหลอยู่ใต้เหมืองมันไม่มีทางที่จะบินขึ้นไปบนฟ้าแล้วรู้ตำแหน่งของเมืองนี้ในทันทีได้ ใช่ไหมละครับ?」

 

「…」ดันเต้ซังเริ่มครุ่นคิดอย่างเงียบๆ

 

มันมีระยะห่างระหว่างเมืองนี้กับเหมืองนั้นค่อนข้างไกลอยู่ ผมไม่รู้หลักการทำงานของเวทย์สื่อสารหรอก แต่ผมเดาว่ามันอาจจะเหมือนกับอีเมลหรือรหัสมอร์ส คนที่ส่งข้อความมาต้องมั่นใจว่ามังกรตัวนั้นกำลังมุ่งหน้ามาที่เมืองนี้ – ต้องมีบางอย่างที่ทำให้คนๆนั้นมั่นใจอย่างมากว่า “มังกรกำลังมุ่งหน้าไปที่เมือง”

 

พูดอีกอย่างก็คือ มังกรตัวนั้นต้องมีสติปัญญาอย่างแน่นอน

 

「เรย์จิ ที่เธอพยายามจะบอกก็คือ… ว่ามังกรตัวนั้นมีอะไรบางอย่างที่คล้ายกับอวัยวะสำหรับตรวจจับและมีความสามารถในการค้นหาที่ที่มีมนุษย์อยู่กันเยอะงั้นรึ?」

 

「ครับ」ผมพยักหน้า

 

「นี้เป็นการสมมติฐานของผมเองนะครับ แต่ผมคิดว่าการที่มังกรตัวนั้นหาที่นี่เจอคงเป็นเพราะว่าประชากรส่วนมากนั้นมีความเกี่ยวข้องกันกับเหมืองครับ」

 

「เกี่ยวข้องกันงั้นรึ?」

 

「ผู้คนในเมืองนี้มีบางอย่างที่หาเจอได้เฉพาะจากเหมืองใช่ไหมละครับ?」

 

「อ้า!」ไม่ใช่แค่ดันเต้ซัง แต่เป็นนักพจญภัยทั้งหมดที่ส่งเสียงออกมาพร้อมๆกัน

 

「ไม่คิดว่ามังกรตัวนั้นมีความสามารถในการตรวจจับหินสกิลจากเหมืองอย่างงั้นหรอครับ?」

 

 

 

บทที่ 1 ตอนที่ 22

 

มีนักพจญภัยอยู่ภายในกิลด์มากกว่าเมื่อวานซะอีก ทว่า พวกเขาไม่ได้ส่งสายตารังเกียจมาทางไรเครียซังเลย พวกเขาเอาแต่พูดคุยกันภายในกลุ่มเท่านั้น

 

「–ข้าก็เห็นมันเหมือนกัน」

 

「–มันมาถึงตอนเช้าของวันนี้ใช่ไหม?」

 

「–ข้าอยากจะลองนั่งมันสักครั้งจัง」

 

ผมมุ่งหน้าตรงไปที่เคาน์เตอร์แล้วถามพนักงานต้อนรับสาวว่า จะเป็นไรไหมถ้าจะเข้าไปในลานฝึกซ้อมในตอนนี้

 

「ไม่มีปัญหาค่ะ แต่ว่าตอนนี้ไม่มีใครใข้งานอยู่เลยนะคะ」

 

「จริงหรอครับ?」

 

「ค่ะ ทางผู้ฝึกสอน โจเซฟซัง ได้ติดต่อมาเพื่อขอลาหยุดในเช้าวันนี้ค่ะ」

 

…มันก็สมเหตุสมผลดีนะ เขาต้องเมาค้างแน่เลย

 

「และนักพจญภัยคนอื่นๆก็เอาแต่พูดคุยกันอย่างที่เห็นนั่นแหล่ะค่ะ เธอได้เห็นเรือเหาะเวทมนตร์รึปล่าวคะ? ดูเหมือนมันจะมาถึงที่นี่เมื่อตอนเช้าตรู่ค่ะ ชั้นหลับอยู่ในตอนนั้นจึงไม่ทันได้เห็นมัน ในตอนนี้มันน่าจะจอดอยู่ที่ปราสาทของท่านดยุคค่ะ」

 

「เรือเหาะงั้นหรอครับ?!」

 

…มีของแบบนั้นอยู่ในโลกนี้ด้วนหรอเนี้ย!? ไม่รู้มาก่อนเลย

 

「ใช่แล้วค่ะ ดูเหมือนจะมีอยู่ทั้งหมด 5 ลำในสหพันธรัฐคีทแกรนด์แห่งนี้ แต่ลำที่ลงจอดในเมืองนี้ดูจะเป็นเรือเหาะส่วนตัวของท่านราชาเกฟเฟริด นามว่า “ปราสาทลอยฟ้าของเจ้าหญิง” ค่ะ」

 

「โอ้! ท่านราชาได้โดยสารมาด้วยหรือปล่าวครับ?」

 

「ไม่ค่ะ ดูเหมือนจะเกี่ยวข้องกับกิลด์นักพจญภัยค่ะ ดังนั้นหัวหน้ากิลด์เลยถูกเรียกตัวไปตั้งแต่เช้า และ–」

 

「นี่เธอ」

 

รองหัวหน้ากิลด์ปรากฏตัวออกมาด้วยสีหน้าบูดบึ้ง

 

「มัวแต่คุยอะไรไร้สาระกันอยู่ได้ ไปทำงานต่อได้แล้ว」

 

「โอ๊ะ ขะ-ขออภัยค่ะ… สามารถใช้งานลานฝึกซ้อมได้ตามสะดวกเลยนะคะ」

 

「ขอบคุณครับ」

 

ผมเองก็อยากจะถามอะไรเพิ่มอีกเล็กน้อยอยู่หรอก แต่รองหัวหน้ากิลด์คนนั้นจ้องมาทางนี้ตาไม่กระพริบเลยนี้สิ ดังนั้นผมเลยตัดสินใจออกมาทันที หลังจากนั้น รองหัวหน้ากิลด์คนนั้นก็ถูกเรียกตัวไปโดยเจ้าหน้าที่คนอื่นจากด้านหลังก่อนจะจากไป ผมหวังว่าเขาจะไม่ออกมาอีกเลยนะ

 

「แกคุยนานเอาเรื่องเลยนะ」

 

「อา ครับ ผมคงจะได้เรียนรู้อะไรมากกว่านี้ถ้ารองหัวหน้ากิลด์คนนั้นไม่ออกมานะครับ」

 

「โอ๊ะ ไอ้เฮงซวยเหยียดเผ่าพันธ์ุนั่นนะเรอะ?」

 

…ว้าว พูดตรงชะมัด

 

「เฮ้ แกจะไม่ไปลานฝึกซ้อมแล้วงั้นเรอะ?」

 

「ดูเหมือนวันนี้จะไม่มีใครใช้งานมันเลยครับ…」

 

ผมผิดหวังอย่างมาก โอกาสที่จะเรียนสกิลเพิ่มหลุดลอยออกไปซะแล้ว… เอาเถอะ ช่วยไม่ได้ ฝึกสกิลที่ผมมีให้ชำนาญก่อนก็แล้วกัน!

 

「งั้นก็รอให้ตาลุงดันเต้มารับก็แล้วกัน」

 

「ครับ」

 

「แล้วก็อีกอย่าง ข้าได้ยินเรื่องที่น่าสนใจมาด้วย」

 

ไรเครียซังพูดขณะที่พวกเราเดินไปยังมุมๆนึงของกิลด์ เหมือนว่าเขาจะไปแอบฟังบทสนทนาต่างๆระหว่างที่รอผมในที่ที่ไม่ค่อยสะดุดตามา

 

「เรื่องเกี่ยวกับเรือเหาะเวทมนตร์หรอครับ?」

 

「หืมม? ปล่าว ไม่ใช่เรื่องนั้น」

 

…โอ้ เรื่องอื่นอย่างงั้นหรอเนี้ย

 

「ข้าได้ยินมาว่ามีกลุ่มพ่อค้าถูกโจมตีโดยมอนสเตอร์บนทางหลวงแล้วถูกช่วยไว้ได้โดยเด็กคนนึง」

 

「ช่วย? โดยเด็กคนเดียวหน่ะหรอครับ?」

 

「ดูจะเป็นแบบนั้นแหล่ะ ดูเหมือนเด็กนั่นจะใช้เวทมนตร์ที่ไม่เคยมีใครเห็นมาก่อน แกรู้จักธาตุทั้ง 8 ของเวทมนตร์ใช่ไหมหล่ะ?」

 

「เวทมนตร์ 8 ชนิดที่อยู่ในหมวดหมู่สกิล “ประเภทเวทมนตร์” ใช่ไหมครับ เหมือนกับเวทย์บุบผาของมิมิโนะซัง」

 

「ใช่ ยังมีธาตุหายากอย่าง【เวทย์แสง】กับ【เวทย์ความมืด】อยู่ด้วยใช่ไหมหล่ะ? ถึงข้าจะไม่เคยเห็นมันกับตาตัวเองก็ตามที…」

 

ไรเครียซังพูดออกมาอย่างอารมณ์ดี ไอ้มนุษย์สัตว์ซึนเดเระล่ำบึกคนนี่ในที่สุดก็เดเระแตกซะแล้วรึไงกัน?

 

「ดูเหมือนเวทย์ที่เด็กคนนั้นใช้จะเป็นธาตุความมืด มอนสเตอร์ที่โจมตีกลุ่มพ่อค้าดูจะเป็นกิ่งก่าเซนทอร์ที่มีครึ่งบนเป็นมังกรและครึ่งร่างเป็นม้า… ทว่า ข้าได้ยินมาว่าเกล็ดแข็งของมังกรนั่นกลับถูกทำลายโดยการโจมตีเพียงครั้งเดียวเลย」

 

「……เดี๋ยวก่อนนะครับ」

 

หลังจากที่ผมฟังที่ไรเครียซังเล่าไปซักพัก ผมก็สันหลังวาบขึ้นมา

 

「มันเป็นอะไรบางอย่างสีดำเหมือนกับดาบ… ที่ฟันใส่มอนสเตอร์ตัวนั้นรึปล่าวครับ?」

 

「โอ๊ะ ใช่แล้วละ แกรู้ได้ยังไงกัน? ได้ยินเรื่องนี้มาจากเจ้าหน้าที่กิลด์เรอะ?」

 

「————」

 

ผมรู้จักการโจมตีนั่น

 

ลาร์ค (TL: ขอเปลี่ยนมาใช้แบบนี้นะครับ มันน่าจะดูดีกว่าใช้ ลาค นะครับ)

 

นั่นต้องเป็นลาร์คแน่นอน!

 

「ไรเครียซัง! ได้ยินเรื่องนี้มาจากใครหรอครับ?! ได้โปรดบอกผมเถอะนะครับว่าได้ยินมาจากใคร!」

 

「เฮ้ย อยู่ๆแกก็เป็นอะไรขึ้นมาหน่ะ?」

 

ตอนที่ผมกำลังคาดคั้นคำตอบจากไรเครียซังอยู่ ก็ได้มีบางอย่างเกิดขึ้น

 

「นักพจญภัยทุกคน จงฟัง!」

 

รองหัวหน้ากิลด์คนเดิมจู่ๆก็ปรากฏตัวออกมาจากข้างใน

 

ใบหน้าของเขาขาวซีดอย่างกับกระดาษ และในมือของเขาที่กำลังถือกระดาษแผ่นนึงอยู่นั้นไม่ยอมหยุดสั่นเลย เหล่านักพจญภัยต่างหยุดพูดคุยกันจากสถานการณ์แปลกๆนี้ ก่อนจะตั้งใจฟังคำพูดต่อไปของรองหัวหน้ากิลด์

 

「มีการติดต่อฉุกเฉินมาจากเหมืองที่ 6! มี “มังกร” กำลังมุ่งหน้ามาที่เมืองนี้! ทางกิลด์ได้ประกาศภาวะฉุกเฉิน ขอให้นักพจญภัยทั้งหมดทำการปกป้องเมืองนี้จาก “มังกร” ตัวนั้น!」

 

ภายในกิลด์นั้นเหมือนกับผึ้งแตกรังในทันที มีทั้งผู้คนที่แอบหนีออกจากกิลด์ ผู้คนที่กรูกันเข้าไปหารองหัวหน้ากิลด์และเจ้าหน้าที่คนอื่นๆ (เพื่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม) ผู้คนที่กำลังตรวจสอบสภาพความพร้อมของตัวเอง และผู้คนที่ยังใจเย็นและสงบนิ่ง (เป็นพวกคนที่สวมเกราะแวววับหรือก็คือพวกนักพจญภัยชั้นสูง)

 

ผมพลาดโอกาสที่จะถามไรเครียซังเกี่ยวกับลาร์คซะแล้ว…

 

「เฮ้ มีเรื่องเอะอะอะไรกัน?」

 

ดันเต้ซังเดินเข้ามาในกิลด์ ดูเหมือนเขาจะมาที่กิลด์ทันทีหลังจากได้รับใบอนุญาตข้ามพรมแดนที่เขาร้องขอไปเมื่อวานแล้ว

 

「”มังกร”?」ดันเต้ซังขมวดคิ้วหลังจากได้ยินเรื่องที่เกิดขึ้น

 

「ใช่แล้ว คิดว่าไงละ ตาลุง?」

 

「ข้าได้ยินมาว่ามีการจลาจลในเหมืองที่ 6 แต่ไม่เคยได้ยินอะไรเกี่ยวกับมังกรเลย ทว่าถ้ามันมาจากเครื่องมือสื่อสารเวทมนตร์ละก็ งั้นมันก็น่าจะเป็นเรื่องจริงแน่นอน ข้อมูลที่พวกเรามีมันยังน้อยเกินไป」

 

ดันเต้ซังเริ่มครุ่นคิดพร้อมกับเอามือกอดอก และเมื่อเขาสบตากับผม เขาก็หลบสายตาไปอย่างกระอักกระอวน

 

「ดันเต้ซัง ผม…」

 

「เรย์จิ เธอไม่จำเป็นต้องพูดอะไรทั้งนั้นแหล่ะ」เขาขัดผมทันที

 

…ขนาดในเวลาที่สถานการณ์โดยรอบเริ่มแย่ลงแล้ว พวกเขาก็ยังคงใจดีกับผม ขนาดไรเครียซังก็ยังไม่ถามอะไรผมหลังจากที่ได้ยินคำว่า “เหมือง” กับ “มังกร” เลย น็อนซังเองก็ทำเพียงแค่กอดผมอย่างอ่อนโยนจากด้านหลังเพียงเท่านั้น

 

ผมถูกเจออยู่ในป่าไม่ไกลจากเหมือง มีรอยสักทาสอยู่ที่ข้อมือ

 

มันเป็นเครื่องมือยืนยันที่แน่นอนอยู่แล้วว่า ผมหลบหนีออกมาจากเหมือง

 

「ไม่ครับ ผมต้องบอกคุณ ผมได้เห็นอะไรบางอย่างที่น่าจะเป็น “มังกร” มาครับ」

 

…ถึงอย่างนั้น ผมก็จะทำตัวเงียบต่อไปไม่ได้ เมื่อมีอันตรายกำลังจะเข้ามาใกล้พวกเรา

 

รองหัวหน้ากิลด์บอกว่ามันเป็น “มังกร” แต่ผมกลับรู้สึกว่ามันเหมือนกับ “นกยักษ์” ซะมากกว่า

 

ผมอธิบายถึงอะไรบางอย่างที่ดูจะเป็น “มังกร” ที่ปรากฏตัวเหนือเหมือง ตอนแรกพวกเขาก็มีท่าทีกังวล แต่หลังจากที่รับรู้ว่าเรื่องราวของผมไม่ใช่การนอกเรื่อง พวกเขาก็ตั้งใจฟังกันด้วยสีหน้าจริงจังทันที

 

「และผมก็ไม่เห็นอะไรอีกเลยหลังจากที่ได้เห็นฝนแสงนั่น」

 

ทุกคนต่างเงียบกริบ

 

ในที่สุดผมก็รู้สึกตัว ไม่ใช่แค่ดันเต้ซังและคนอื่นๆในปาร์ตี้ แต่เหล่านักพจญภัยคนอื่นๆก็มารับฟังเรื่องราวของผมด้วยเช่นกัน

 

รองหัวหน้ากิลด์เป็นคนแรกที่ตอบสนอง

 

「เธอ ถ้าเรื่องที่เธอเล่ามาเป็นความจริงละก็ เธอก็คงเป็นทาสที่หลยหนีออกมาจากเหมือง–」

 

「เฮ้ย ดูเหมือนจะมีเรื่องเลวร้ายเกิดขึ้นในตอนที่ข้าหลับอยู่สินะ」

 

มีคนๆนึงพูดขัดรองหัวหน้ากิลด์ขึ้นแล้วเดินเข้ามา

 

「โจเซฟ!」

 

เป็นครูฝึกกล้ามล่ำหัวล้านนั่นเอง เมื่อเขาเห็นดันเต้ซัง เขาก็ยิ้มมุมปากและยกมือข้างหนึ่งขึ้น ดันเต้ซังก็ยกมือข้างหนึ่งของเขาขึ้นเช่นกันแล้วพูดว่า “เมื่อวานอย่างกับงานเลี้ยงเลยนะ” โจเซฟซังก็ตอบกลับมาว่า “จะบ้ารึไง ข้าคนนี้เลี้ยงเองทั้งทีเลยนะ” ก่อนที่ทั้งสองคนจะแปะมือกัน

 

 

 

บทที่ 1 ตอนที่ 21

 

หัวของผมรู้สึกเบลอๆเมื่อผมตื่นขึ้นมา เหตุผลคงเป็นเพราะเรื่องที่ไรเครียซังเล่าให้ฟังเมื่อคืนแน่เลย

 

「สวัสดีตอนเช้า เรย์จิ」

 

「อา อรุณสวัสดิ์ครับ…」

 

เมื่อผมลงไปถึงล็อบบี้ทางเข้า ไรเครียซังก็อยู่ตรงนั้นเหมือนกับทุกที ดูเหมือนผมจะมาสายที่สุดสินะ

 

「ผมยุ่งไปหมดแล้วแหน่ะ」

 

「อา ขอโทษครับ…」

 

「เป็นอะไรไป? เธอดูใจลอยๆนะ」

 

「โอ๊ะ ไม่มีอะไรครับ…」

 

มิมิโนะซังเข้ามาหวีผมให้ผมด้วยหวือันน้อยๆ

 

(มีทางไหนที่จะช่วยเขาได้ไหมนะ…?)

 

ขณะที่ผมคิดแบบนั้น ก็มีกำปั้นเขกมาที่หัวของผม

 

「โอ้ย!」

 

「เตรียมตัวให้พร้อมได้แล้ว เรย์จิ พวกเราจะออกจากเมืองในวันนี้」

 

「อา คะ-ครับ!」

 

เมื่อผมมองไปยังไรเครียซังพร้อมกับน้ำตาเล็ด ผมก็รับรู้ได้ว่านั่นเป็นข้อความจากเขาที่บอกว่าอย่ามาห่วงเรื่องของผู้ใหญ่เลย

 

…แต่ไม่เห็นจะต้องเขกหัวผมเลยนี่

 

「อะไร? อยากจะพูดอะไรรึไง?」

 

「…ไม่ ไม่มีอะไรครับ」

 

「หืม? พวกเธอสองคนไปสนิทกันมาตอนไหนเนี้ย?」มิมิโนะซังถามออกมา

 

「พวกเราไม่ได้สนิทกันซักหน่อย!」

 

「ถ้าจะถามผมว่าสนิทกันไหม ก็อาจจะไม่นะครับ…」

 

「หา?! ไอ้หนู แกจะปฏิเสธข้ารึยังไงกัน?」

 

「คุณอยากให้พวกเราสนิทกันงั้นหรอครับ?」

 

「แน่นอนว่าไม่อยู่แล้ว! แกพูดบ้าอะไรออกมากัน?!」

 

「น่ารำคาญจริงๆครับ」

 

「แกว่าไงนะ!?」

 

「อะฮ่าๆๆๆ เห็นมะ สนิทกันจริงด้วย~」มิมิโนะซังหัวเราะออกมาหลังจากที่ดูเราทั้งคู่คุยกัน

 

น็อนซังกับดันเต้ซังเพียงแค่มองดูพวกเราด้วยรอยยิ้ม

 

「เอาหล่ะ ไปกันได้แล้ว น็อนกับข้าจะไปที่หน่วยงานราชการเพื่อขออนุญาตข้ามพรมแดน มิมิโนะ–」

 

「ชั้นจะไปซื้อเครื่องเทศมาเพิ่มเติมเอง」

 

「เข้าใจแล้ว แล้วไรเครียกับเรย์จิหล่ะจะทำอะไร?」ดันเต้ซังถามพวกเรา

 

「ข้าอะไรก็ได้」

 

「ผมขอไปที่กิลด์นักพจญภัยอีกได้หรือปล่าวครับ?」

 

「แกอยากจะไปที่ลานฝึกซ้อมอีกงั้นรึ?」ไรเครียซังถาม

 

「ครับ!」

 

「ชอบอะไรแปลกจริงนะ」ไรเครียซังพูดแบบนั้นออกมาทั้งๆที่เขาเองก็ตัดสินใจจะมากับผมแท้ๆ

 

พวกเราแยกกับทุกคนก่อนจะมุ่งหน้าไปยังกิลด์นักพจญภัย

 

เมืองในตอนเข้ามีผู้คนคับคั่งมาก; ทั้งพ่อค้าแม่ค้าเร่ขายของ คนเข็นเกวียน คนที่ถือตะกร้าขนาดใหญ่ และผู้คนที่กำลังมุ่งหน้าไปยังจุดหมายของพวกเขาอย่างเร่งรีบ

 

ผมไม่รู้ว่าไรเครียซังจะจำทางไปที่กิลด์นักพจญภัยภายในวันแค่วันเดียวได้ไหม แต่เขาก็นำทางลัดเลาะผ่านตรอกด้านหลังได้ยังดีเยี่ยม

 

…สุดยอดไปเลย เป็นผมคงหลงแน่นอน ดีใจจังที่ผมไม่ได้ยืนกรานที่จะมาเองคนเดียว

 

「อะ เด็กนี่นา」

 

ในตรอกด้านหลัง ผมเห็นเด็ก 3 คนกำลังมองไปที่กระถางขนาดใหญ่ที่เต็มไปด้วยน้ำฝน

 

「หา แกเองก็เป็นเด็กนะ」

 

「อา อืม ก็คงจะเป็นอย่างงั้นนะครับ」

 

「อย่ามาทำตัวแก่แดดสิ แกหน่ะ」

 

พวกเราเดินผ่านเด็กพวกนั้นไป

 

…ไม่ว่าโลกไหนก็จะเจอเด็กกำลังเล่นกันที่ตรอกด้านหลังสินะ

 

ไม่สิ! เดี๋ยวก่อนนะ! เดี๋ยวก่อน! รอแปปนึงนะ!

 

「เฮฮฮฮฮฮฮ้ พวกนาย!」

 

「อี๊กส์!」

 

ผมพุ่งเข้าไปหาเด็กพวกนั้นอย่างตาลีตาเหลือก เด็กพวกนั้นก็ตกใจก่อนจะวิ่งหนีหายไป

 

「ฮะ-เฮ้ย เรย์จิ! ทำอะไรหน่ะ?! แกจะทำแบบนั้นไม่ได้นะ」

 

「โอ๊ะ อืม…」

 

「ก่อนจะทำอะไรก็แนะนำตัวเองก่อนซิฟะ แล้วค่อยขอเจ้าพวกนั้นเล่นด้วย」

 

ไม่ ผมไม่ได้สนเรื่องนั้นซักหน่อย

 

「นี้มัน…」

 

ตอนที่ผมมองไปที่กระถางนั่นก่อนที่จะเดินผ่านไป บางอย่างก็เข้ามาอยู่ในสายตาผม

 

「อย่างที่คิดเลย」

 

มันมีสิ่งมีขีวิตสีขาวดิ้นไปมาเหมือนกับไส้เดือน… หรือจริงๆแล้วมันคือไส้เดือนบางประเภทกัน? มันเหมือนกับหนอนชนิดหนึ่งที่หาเจอได้ใกล้ๆกับคูน้ำในญี่ปุ่นเลย

 

…นี้แหล่ะที่ผมตามหา

 

「อา? เจ้านี่นะหรอที่เด็กพวกนั้นมองอยู่หน่ะ?」

 

「ไรเครียซังรู้ไหมครับว่ามันเป็นตัวอะไร?」

 

「ถ้าให้เดานะ มันคงเป็นสิ่งมีชีวิตที่น่าขยะแขยงชนิดหนึ่ง… เดี๋ยวนะ นี่แกจะทำอะไรหน่ะ เรย์จิ!?」

 

ผมยื่นแขนเข้าไปในกระถางแล้วหยิบไส้เดือนสีขาวนั่นออกมา

 

「ไม่คิดเลยว่าจะมาเจอมันในที่แบบนี้…」

 

มันเป็น 1 ใน 3 วัตถุดิบสำหรับล้างคำสาปของดันเต้ซํง

 

ไรเครียซังมีสีหน้าตกใจหลังจากที่เห็นผมนำไส้เดือนสีขาวนั่นใส่ลงไปในกระเป๋าหนังของผมอย่างระมัดระวัง ระยะห่างระหว่างผมกับไรเครียซังก็ห่างขึ้นมาอีกเล็กน้อย (ทั้งทางร่างกายและจิตใจเลย) แต่เหตุผลที่เขาไม่ถามอะไรออกมาเลยคงเป็นเพราะเมื่อวานผมสามารถขายขมิ้นนั่นได้สำเร็จอย่างสวยงาม บางทีเขาอาจจะคิดว่าไส้เดือนนี้ต้องเป็นยาอะไรสักอย่างเหมือนกันสินะ

 

ผมมีความสุขมาก ถ้าผมได้วัตถุดิบอีกชิ้นมาละก็ ผมจะสามารถรักษาคำสาปให้ดันเต้ซังได้แล้ว! และก็อีกอย่าง ดูเหมือนว่าผมจะต้องเอา “ใบไม้จากต้นแห่งชีวิต” ให้ไส้เดือนสีขาวตัวนี้กินสินะ บางทีคงปล่อยให้มันกินข้างในกระเป๋านั่นแหละ

 

และดูเหมือนว่าจะปล่อยให้มันตายก็ไม่เป็นไรหลังจากที่มันกินเสร็จแล้ว ดังนั้นผมจึงตัดสินใจปล่อยมันเอาไว้ในกระเป๋าแบบเดิม ถึงจะรู้สึกไม่ดีเล็กน้อยแต่ผมก็ทำอะไรมากไม่ได้อยู่ดี

 

「อา~ ไรเครียซัง ผมก็ไม่ได้คาดหวังว่าคุณจะไม่รู้คำตอบหรอกนะครับ แต่ผมอยากจะถามบางอย่างกับคุณซักหน่อยหน่ะครับ」

 

「เฮ้ย… นั่นมันใช่วิธีพูดเพื่อถามอะไรจากคนอื่นเรอะ?」

 

「คุณรู้จักอะไรที่เป็น “โลหะสีเงินบริสุทธิ์” หรือปล่าวครับ?」

 

「อา? หรือว่าแกจะหมายถึงมิธริลงั้นเรอะ?」

 

「ว่าไงนะครับ!?」

 

เอาจริงดิ? คำตอบมันง่ายขนาดนี่เลยหรอ!?

 

ผมเห็นถึงความเป็นไปได้ที่จะรักษาดันเต้ซํงอยู่เพียงแค่เอื้อมมือแล้ว!

 

「ใช่แล้ว! มิธริว! องค์ประกอบของความแฟนตาซี! มีอยู่จริงๆใช่ไหมครับ!? มีสีเงินจริงๆใช่ไหมครับ!?」

 

「…ให้ตายเหอะ แกนี่พูดอะไรแปลกๆประจำเลยนะ เอาเถอะ ก็ได้… มิธริวก็คือมิธริวนั่นแหล่ะ เป็นโลหะที่ขุดได้จากเหมืองมิธริวในจำนวณน้อยมากๆ และแพงสุดๆไปเลยด้วย ตัวมันดูจะมีสีเงินที่บริสุทธิ์ยิ่งกว่าแร่เงินบริสุทธิ์ซะอีก」

 

「ผมจะต้องเอามันมาให้ได้ไม่ว่าจะยังไงก็ตาม! แล้วผมต้องทำยังไงครับถึงจะได้มันมา?」

 

「เป็นไปไม่ได้หรอก」

 

「เอ๊ะ……」

 

「การซื้อขายมิธริลหน่ะอยู่ในการดูแลของประเทศโดยตรงและไม่มีวางขายในท้องตลาดอีกด้วย จะมีความผิดทางอาญาทันทีถ้าไปได้มันมาด้วยวิธีอื่นๆ แล้วก็ตั้งแต่แรกแล้ว ด้วยการที่ขุดได้แต่แบบคุณภาพต่ำ มันจึงไม่มีขายแม้แต่จะเป็นในตลาดมืดก็ตามที」

 

「ไม่มีทางหน่า…」

 

ผมนั้นตกตะลึง

 

ทั้งๆคิดว่าการรักษาอยู่เพียงแค่เอื้อมมือแล้วแท้ๆ ทว่า… สงสัยโชคของผมคงจะหมดลงแล้ว

 

อาาา โชคไม่ดีจริงๆ… สงสัยจังว่าแค่นิดหน่อยก็หาไม่ได้เลยรึไงกันฮะ เจ้ามิธริวนี่! ถึงผมเองก็ยังไม่แน่ใจว่ามิธริลนี้เป็นวัตถุดิบชิ้นสุดท้ายที่ต้องตามหาจริงๆก็ตามที

 

 

 

บทที่ 1 ตอนที่ 20

 

* เหมืองที่ 6 *

 

ดยุคอเคนบาคถูกฆ่าตายในเหมืองและเกิดการจลาจรของทาสขึ้น – หลังจากที่มีการรายงานเรื่องนี้สู่สาธารณะ  ก็มีการส่งกำลังพลมามากกว่า 100 คนเพื่อตรวจสอบสถานการณ์

 

เหมืองที่ 6 แห่งนี้นั้นสำคัญกับอาณาเขตดยุคมาก – ถ้าจะพูดให้ถูกก็คือสำคัญต่อสหพันธรัฐหรือแม้กระทั่งทั้งโลกเลย – จนถึงขนาดต้องส่งกำลังพลกว่า 100 คนเพื่อไปตรวจสอบเพียงเท่านั้น

 

หญิงสาวอายุน้อยถูกแต่งตั้งให้เป็นหัวหน้าของกองกำลังนี้เป็นกรณีพิเศษ เธอถูกแต่งตั้งเนื่องจากที่เธอมีสกิล【ทักษะการสั่งการ★★★】สกิลนี้จะทำให้กองทัพทำตามคำแนะนำของเธอและเป็นระเบียบเรียบร้อย

 

อย่างไรก็ตาม ถึงจะมีเธอเป็นผู้นำ ก็ยังไม่สามารถหยุดข่าวลือที่กระจายอยู่ในกองทัพที่กำลังมุ่งหน้าไปยังเหมืองได้อยู่ดี

 

「–มันเป็นเพราะมอนสเตอร์… มอนสเตอร์…」

 

「–อย่าเข้าไปใกล้เหมืองที่ 6…」

 

พวกเขาได้รับข้อมูลที่กระจัดกระจายกันไปจากเหล่านักพจญภัยที่อยู่ในเหมืองในวันที่เกิดเรื่องจากเมืองที่อยู่ใกล้กับเหมือง นักพจญภัยพวกนั้นสั่นกลัวและพูดไม่เป็นภาษา

 

เหมืองแห่งนี้นั้นเปิดรับนักพจญภัยด้วย จากการที่ทางผู้ดูแลเหมืองทำการรับซื้อหินสกิลหายากที่ค้นพบในราคาสูง ทำให้มีเหล่านักพจญภัยที่หวังจะรวยทางลัดแวะเวียนเข้ามาบ่อยๆ

 

นักพจญภัยพวกนั้นกระตือรือร้นในการทำงานมาก แต่ในทางกลับกัน พวกนั้นไม่มีความภักดีแม้แต่นิดเดียว ดังนั้นจึงพากันหนีไปเมื่อเกิดการจลาจลขึ้น

 

ทว่า ปัญหาหลักนั้นไม่ใช่เหตุการณ์จลาจล แต่เป็น “มอนสเตอร์” ที่ปรากฏตัวขึ้นหลังจากนั้นต่างหาก

 

「พวกนั้นพูดว่ามันเป็นมังกรงั้นหรอ?」

 

「ครับ เกือบทั้งหมดพูดเป็นเสียงเดียวกันเลย แต่ดูเหมือนพวกเขาจะเห็นเพียงแค่เงาดำเท่านั้นเนื่องจากเป็นตอนกลางคืนครับ…」

 

ข้อมูลทั้งหมดนั้นถูกรวบรวมโดยกองทัพเพื่อระบุตัวตนของ “มังกร” นั่น

 

「ถ้ามังกรมันโพล่มาจริงๆหลังจากที่ไม่เคยปรากฏตัวมานานหลายปีละก็… มันต้องยุ่งยากแน่ๆ ที่น่ารำคาญยิ่งกว่านั้นคือเราไม่ได้ข้อมูลจากทหารประจำเหมืองเลยด้วย」

 

ทหารประจำเหมืองนั้นออกจากเหมืองไม่ได้เนื่องจากต้องปกป้องตัวเหมือง ยิ่งไปกว่านั้น การติดต่อกับทหารประจำเหมืองก็ทำไม่ได้เพราะอุปกรณ์เวทย์สื่อสารในเหมืองนั้นถูกทำลายไปแล้ว ทำให้กองทัพรวบรวมข้อมูลได้แค่จากพวกนักพจญภัยเท่านั้น

 

กองทัพก็ได้ถามคำถามกับพวกทาสหลบหนีอยู่เหมือนกัน แต่พวกทาสนั้นไม่เห็นอะไรเลย ดูเหมือนพวกเขาจะตั้งหน้าตั้งแต่หลบหนีเพียงอย่างเดียว

 

「ถึงยังงั้น มันก็แปลกอยู่ดีที่ไม่เจอใครสักคนเข้ามาติดต่อเลย」

 

ถึงอุปกรณ์สื่อสารจะพัง แต่พวกนั้นก็ยังมีม้าอยู่ และถึงจะไม่มีม้าก็ยังมีขาของตัวเองอยู่ดี

 

ถึงอย่างนั้น ก็น่าแปลกที่กองทัพไม่พบกับทหารประจำเหมืองในระหว่างทางเลยแม้แต่คนเดียว

 

「กรณีที่แย่ที่สุด… พวกนั้นคงจะเหลือกันไม่มากจนทำให้ส่งใครออกมาไม่ได้ก็ได้ ไม่ ชั้นจะมาอ่อนแอตอนนี้ไม่ได้ หวังว่าจะมีข้อมูลใหม่จากเมืองที่อยู่ติดกับเหมืองนะ」

 

แต่ความคาดหวังของหัวหน้าสาวคนนี้ก็ถูกทำลายลง

 

「…นะ นี่มันอะไรกัน…」

 

สถานที่ที่ดูเหมือนจะเคยเป็นเมืองนั้นเหลือเพียงแค่เถ้าถ่าน

 

ร่องรอยของบ้านเมืองที่ถูกเผา ควันดำลอยขึ้นสู่ฟ้า สิ่งกีดขวางที่ถูกทำลาย – และชิ้นส่วนไหม้เกรียมที่ดูเหมือนจะเป็นของมนุษย์

 

ผู้คนในกองทัพเกือบจะอ้วกออกมาเมื่อเห็นภาพนั้น แต่หัวหน้าสาวก็ได้สั่งออกมาว่า “ทหารทุกนาย ระวังรอบๆเอาไว้!” ที่ทำให้พวกเขาอดทนเอาไว้ได้ กองทัพที่ได้รับเสริมพลังจากสกิลของหัวหน้าสาวทำการสำรวจรอบๆเมืองเพื่อหาผู้รอดชีวิต จากเมืองที่มีผู้คนมากกว่า 1,000 คน เหลือรอดเพียงแค่ประมาณ 100 คนเท่านั้น — ชาวเมืองที่เหลือรอดหลบหนีเข้าไปในหลุมหลบภัยที่อยู่ในคฤหาสน์ของนายกเทศมนตรีประจำเมืองจึงทำให้รอดมาจากอันตรายได้

 

「–มันคือมังกร」

 

「–ผมอยากจะหนีออกไปทันที แต่แม่ของผมบาดเจ็บที่ขา…」

 

「–มีแสงตกลงมาจากบนฟ้า ข้านึกว่ามันจะเป็นจุดจบของโลกซะแล้ว」

 

「–เมืองทั้งเมืองลุกเป็นไฟ… พวกเราทำอะไรไม่ได้เลย…」

 

กองทัพรับฟังชาวเมืองที่ยังคงขวัญผวาพูด จากข้อมูลทั้งหมดที่ได้ระบุได้ว่ามันคงจะเป็นมังกรจริงๆ – สิ่งมีชีวิตที่สามารถบินบนท้องฟ้าได้

 

อย่างไรก็ตาม ทหารปะจำเหมืองก็ไม่ได้อยู่ที่นี่ ชาวเมืองเองก็ไม่มีใครเห็นพวกนั้นเลยเหมือนกัน

 

「แล้วทาสที่หลบหนีละ? ชั้นอยากจะรู้เกี่ยวกับหินสกิล 6 ดาว」

 

มันเกือบจะแน่นอนแล้วว่าเหมืองต้องหยุดทำงานลงชั่วคราวและใช้เวลาในการพื้นตัวสักพัก มันเป็นความเสียหายที่ร้ายแรง แต่พวกก็เขายังมีโอกาศที่จะกู้หน้าได้ถ้าพวกเขานำหินสกิล 6 ดาว【ราชันแห่งเงา★★★★★★★】กลับมา

 

พวกทหารในกองทัพต่างส่ายหน้า ไม่มีข้อมูลใดๆเลย

 

「…สุดท้าย พวกเราก็ไม่มีทางเลือกนอกจากเข้าไปในเหมืองสินะ… พวกเราจะไม่รู้อะไรเพิ่มเลยถ้าไม่ถามจากพวกทหารประจำเหมืองโดยตรง」

 

หัวหน้าสาวตัดสินใจทิ้งทหาร 30 นายเอาไว้ที่เมืองสำหรับติดต่อสื่อสารและคุ้มกันชาวเมือง ก่อนจะมุ่งหน้าต่อไปยังเหมืองพร้อมกับทหาร 70 นายที่เหลือ

 

ทว่า ไม่มีใครในกองทัพรู้เลยว่าการตัดสินใจในครั้งนี้จะนำไปสู่ “สถานการณ์ที่เลวร้ายยิ่งกว่า”

 

หัวหน้าสาวกับกองทัพของเธอทำการตั้งค่ายพักแรมอยู่ในเมืองร้าง – เป็นคืนเดียวกันกับที่เรย์จิกับไรเครียออกมาเดินบนถนนยามค่ำคืน – ก่อนจะออกเดินทางต่อในตอนเช้า

 

ถนนหนทางนั้นขรุขระ

 

ปกติถนนที่เชื่อมต่อระหว่างเหมืองที่ 6 กับเมืองที่อยู่ตรงตีนเขานั้นจะได้รับการดูแลรักษาอย่างดี ทว่า ในตอนนี้กลับมีสภาพเป็นหลุ่มเป็นบ่ออยู่ทั่วทุกที่และมีต้นไม้หลายต้นหักโค่นลงมาปิดถนนเอาไว้

 

พวกเขาก็ยังได้พบกับเหล่าทหารประจำเหมืองที่อยู่ในสภาพไหม้เกรียม เมื่อพบมากกว่า 10 ร่างแล้ว หัวหน้าสาวก็ยอมแพ้ที่จะขนย้ายศพ แล้วตัดสินใจที่จะยืนยันสภาพของเหมืองก่อน

 

หลังจากที่ออกมาจากป่าทึบ ตัวเหมืองก็เขามาอยู่ในสายตา – แต่ว่ามันมีลักษณ์แตกต่างไปจากเหมืองที่หัวหน้าสาวเคยเห็นมาก่อน

 

「มันถูกผ่าเป็นสองซีกงั้นหรอ…?」

 

เหมืองที่เหมือนกับภูเขาขนาดเล็กแห่งนี้นั้นถูกแบ่งออกเป็นสองซีกทั้งซ้ายและขวาราวกับถูกผ่าด้วยมีดทำครัว พื้นดินรอบๆเหมืองกลายเป็นสิ่งที่เหมือนกับแก้วเนื่องจากโดนความร้อนสูง

 

ไม่มีสัญญาณของมนุษย์ ไม่แม้กระทั่งสัตว์ป่า

 

หัวหน้าสาวกับกองทัพยืนอยู่หน้าทางเข้าเหมืองอย่างระมัดระวังที่สุด จากตรงนั้น พวกเขาก็เห็นถึงสิ่งก่อสร้างที่กระจัดกระจายอยู่บนพื้นและบ้านบนกำแพงที่ยังคงตั้งขนานไปกับกำแพง

 

แต่เกือบทั้งหมดนั้นถูกทำลาย ถล่มเป็นซากปรักหักพังหรือไหม้เป็นเถ้าถ่าน ศพของพวกทหารประจำเหมืองและทาสเรียงรายเกลื่อนกลาดอยู่บนพื้น มีกลิ่นไหม้ของเนื้อล่องลอยอยู่ในอากาศ

 

ทหารหลายคนในกองทัพอ้วกออกมาเพราะหัวหน้าสาวไม่ได้ใช้สกิลของเธอ

 

เธอไม่สามารถใช้ได้

 

เพราะตรงกลางของถ้ำที่กว้างใหญ่นั่น – ก็ยังไม่แน่ใจว่าจะเรียกว่าถ้ำได้หรือไม่ เพราะว่ารูบนเพดานนั้นเปิดกว้างกว่าเดิมจากการถล่ม – มีร่างขนาดใหญ่สีเหลืองอยู่

 

ร่างกายที่มีเกล็ดที่ใหญ่ยิ่งกว่าโล่ของทหาร เงาวับ และมีแสงที่พริ้วไหว – มานา – ไปมาคลุมอยู่บนพิ้นผิว

 

ร่างนั้นไม่สูงมากแต่ค่อนข้างใหญ่ มีหนามนับพัน – เหมือนกับเม่น – อยู่ที่กลางหลัง หางของมันพันอยู่ร่างนั่น

 

「————」

 

ทุกๆคนพูดอะไรไม่ออก

 

ร่างสีเหลืองขนาดยักษ์นั้นมีรูปร่างดูดีจนขนาดที่เรียกว่าสวยงามเลยก็ว่าได้

 

ทว่า ความรู้สึกที่กองทัพได้รับนั้นมีแต่ความหวาดกลัว

 

ความหวาดกลัวแบบที่มนุษย์ได้รับมาตั้งแต่โบราณกาล ความกลัวแบบที่ทำให้ร่างกายขยับไม่ได้จากการคงอยู่ของสิ่งมีชีวิตที่เหนือกว่า

 

–กริ๊ก

 

ดวงตาที่หลับอยู่ภายใต้ปีกนั้นลืมตาตื่นขึ้น มันเป็นเรื่องแปลกที่ทุกคนที่อยู่ที่นี่รับรู้ว่ามัน “ลืมตาตื่นขึ้น” ทั้งๆที่พวกเขาก็ไม่มีทางเห็นถึงสิ่งที่อยู่ด้านหลังปีกที่ปิดอยู่นั่นได้เลย

 

หัวสีเหลืองนั้นยกขึ้นและจ้องมองไปยังผู้บุกรุก

 

ดวงตากลมโตสีทองอร่ามเหมือนกับอัญมณี

 

ปากของมันเปิดกว้างเผยให้เห็นถึงฟันอันแหลมคม

 

《—ขัดหูขัดตา—》

 

ไม่มีเสียงใดๆออกมา แต่ถ้ามีมันก็จะสามารถเป่าทุกสิ่งได้ด้วยแรงดันเสียง

 

ทว่าสิ่งที่ได้ยินนั้น มันเป็นเสียงที่ส่งเข้าไปในหัวโดยตรง

 

《—ทายาทของมนุษย์ผู้โลภมากเอ๋ย มาเพื่อทำลายบ้านของข้าอีกแล้วงั้นรึ—》

 

หัวหน้าสาวรู้สึกโล่งใจ

 

“มังกร” – ตัวเธอก็ไม่แน่ใจว่านี่จะใช้ “มังกร” จริงๆรึปล่าว แต่ถ้านี่ไม่ใช่ “มังกร” แล้วละก็ คงจะไม่มีอะไรที่เรียกว่า “มังกร” ได้อีกแล้ว เธอคิดแบบนั้นและยอมรับว่ามันคือ “มังกร” จริงๆ – ตัวนี้นั้นมีสติปัญญาและพยายามพูดคุยด้วยอยู่

 

มังกรตัวนี้นั้นกำลังโกรธด้วยเหตุผลบางอย่าง มันอาจจะเกิดจาก “การทำเหมืองสกิล” หรือ “มีทหารมากมายเข้าไปโจมตี”

 

และผลที่ตามมาจากความโกรธของมังกรก็คือสภาพรอบๆที่เธอได้เห็น

 

(แข็งใจไว้ตัวชั้น!!!)

 

หัวหน้าสาวใช้สกิล【ทักษะการสั่งการ】กับตัวเองและมุ่งความสนใจไปที่มังกรตัวนั้น

 

「ไม่คะ! พวกเราแค่มาตรวจสอบสถานการณ์เพียงเท่านั้น! ถ้าท่านประสงค์ให้พวกเราออกไป พวกเราก็จะรีบจากไปทันทีคะ!」

 

ไม่ว่ามันจะได้ยินหรือไม่ มันก็ยกหัวขึ้นและมองไปบนท้องฟ้า

 

แล้วมันก็กางปีกกว้าง

 

「หวาาาาาา!!!」

 

กระพือปีกเพียงครั้งเดียว ทุกๆคนรวมถึงหัวหน้าสาวก็ถูกพัดปลิวออกไป

 

《—ถ้ายังไม่สำนึก งั้นข้าจะทำให้หวาดกลัวยิ่งกว่านี้—》

 

หัวหน้าสาวลุกขึ้นและเห็นมังกรตัวนั้นบินขึ้นไปบนฟ้าแล้ว มันกระพือปีกและมุ่งหน้าไปยังทิศทางหนึ่ง หายลับไปจากสายตา

 

หัวหน้าสาวรู้สึกยินดีอย่างสุดหัวใจจากที่รอดตายมาได้ ทว่าพริบตานั้น เธอก็รู้สึกเย็นวาบที่กลางหลังทันที

 

「ชิบหาย.. นี้มันแย่แล้ว! แย่สุดๆไปเลย!」

 

「เป็นอะไรไปหรอครับ หัวหน้า?」

 

「มังกรนั่นมันจะไปโจมตีที่อื่น!」

 

พวกเขาพึ่งจะมาถึงที่นี่เอง

 

「แผนที่! เอาแผนที่ออกมา!」

 

「คะ-ครับ นี้ครับ」

 

「……นี้มันเลวร้ายที่สุด!!」

 

หลังจากที่เธอยืนยันทิศทางที่มังกรตัวนั้นมุ่งหน้าไป หัวหน้าสาวก็ตกตะลึง

 

เส้นทางที่มันมุ่งหน้าไปคือเมืองหลวงของอาณาเขตดยุค – สถานที่ที่มีผู้คนคับคั่งมากที่สุดในอาณาเขตนี้

 

「ทหารทุกนาย! ค้นหาเครื่องมือสารระยะไกล! เดี๋ยวนี้เลย! ช่างคนเจ็บไปก่อน! เร็วเข้า!」

 

“คำแนะนำ” ที่ออกมาไม่ใช่ “คำแนะนำ” อีกต่อไปแล้ว มันเหมือนกับการร้องไห้เสียใจมากกว่า

 

ทหารทุกนายต่างรีบออกค้นหา เริ่มจากซากปรักหักพังก่อน จากนั้นก็ค่ายทหารประจำเหมือง แล้วก็ห้องทำงานของกิลด์นักพจญภัยสาขานี้

 

1 ชั่วโมงต่อมา อุปกรณ์เวทมนตร์ที่ใช้สำหรับสื่อสารระยะไกลนั้นถูกพบอยู่ในสภาพปลอดภัยภายในห้องทำงานของกิลด์นักพจญภัย ส่วนเครื่องประจำเหมืองที่ทหารประจำเหมืองใช้เสียหายจนใช้การไม่ได้

 

30 นาทีหลังจากนั้น พวกเขาก็เปิดใช้งานมันได้อย่างปลอดภัยและส่งข้อความถึงกิลด์นักพจญภัยสาขาเมืองหลวงของอาณาเขตดยุค

 

『นี้เป็นการติดต่อฉุกเฉินจากเหมืองที่ 6 เหมืองถูกทำลายแล้ว มีมังกรกำลังมุ่งหน้าไปยังเหมืองหลวง โปรดเตรียมการป้องกันโดยเร็วที่สุด!』

 

 

 

บทที่ 1 ตอนที่ 19

 

「คนๆนั้น… เขาก็เป็นเผ่ามนุษย์สัตว์เหมือนกันกับคุณใช่ไหมครับ?」

 

「ใช่แล้ว ตัวข้ายังพอหาเงินด้วยตัวเองได้ตั้งแต่เข้าร่วมปาร์ตี้ซิวเวอร์บาลานซ์มา แต่ประเทศนี้มันไม่ยอมให้พวกมนุษย์สัตว์ใช้ชีวิตได้ง่ายๆ แกก็น่าจะเห็นนี่? ขนาดครึ่งมนุษย์สัตว์หญิงยังทำได้แค่เรียกลูกค้าเท่านั้นเอง สิทธิมนุษยชนของเผ่ามนุษย์สัตว์ในประเทศนี้มันต่ำเตี้ยเรี่ยดินมากๆ ถ้าผู้หญิงคนนั้นแสดงตัวว่าเป็นมนุษย์สัตว์ละก็ ลูกค้ามนุษย์ไม่แม้แต่จะเหลียวมองเลย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าพวกมนุษย์สัตว์สายเลือดแท้ แม้แต่คนรับเข้าทำงานแบบนั้นยังไม่มีซะด้วยซ้ำไป」

 

「อืมม…」

 

「ขนาดเป็นแกเอง ถ้าเป็นผู้หญิงขนเยอะๆก็ยังรู้สึกลังเลเลย ใช่ไหมละ?」

 

「เออ คะ-ครับ」

 

「มันเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้… แต่ก็เป็นเรื่องจริงที่ประเทศนี้มันเลวร้ายสำหรับพวกมนุษย์สัตว์ละนะ」

 

「ถ้าเป็นอย่างนั้นทำไมถึงไม่ย้ายประเทศกันละครับ?」

 

「ถนนมันถูกปิดนะสิ ต้องมีจดหมายรับรองจากทางกิลด์ในการข้ามชายแดน แถมยังต้องนำมันไปให้สำนักงานราชการเพื่อรับการอนุมัติอีก ข้าแค่ใช้ประโยชน์จากสถานการณ์ของตาลุงดันเต้ก็เท่านั้นเอง」

 

「งะ-งั้น คุณก็จะออกจากปาร์ตี้หลังจากที่พวกเราถึงราชอาณาจักรอัศวินนักบุญหรอครับ?!」

 

「อืม ก็คงจะเป็นแบบนั้น มิมิโนะกับตาลุงก็รู้เรื่องนี้อยู่แล้วด้วย」

 

「ตะ-แต่…」

 

ถึงจะแค่ไม่กี่วัน แต่ผมก็เริ่มรู้สึกผูกพันกับคุณมนุษย์สัตว์ซึนเดเระล่ำบึกคนนี้ขึ้นมานิดหน่อยแล้วแท้ๆนะ ทว่าเขากลับพูดแบบนี้กับผม…

 

「หมายความว่าคุณมีเป้าหมายอื่นอยู่แล้วสินะครับ?」

 

「…ใช่แล้ว」

 

ไรเครียซังหยุดเดินก่อนจะมองไปยังท้องฟ้ายามค่ำคืน

 

ดวงจันทร์ที่เกือบจะเต็มดวงกำลังส่องแสง… ว้าว! โลกนี้ก็มีดวงจันทร์เหมือนกันสินะ อย่างไรก็ตาม ดวงจันทร์ของโลกนี้มีดวงจันทร์บริวารอีก 3 ดวงโคจรรอบตัวมันอีกที

 

「มีใครบางคน… ที่ข้าอยากจะฆ่า」

 

คำของเขาที่พูดตามความเป็นจริงออกมานั้นราวกับไม่ได้สื่อถึงความจริงเลย

 

「ข้าและคนที่ข้าให้เงินไปนั้น แท้จริงแล้วเคยอยู่ในกลุ่มทหารรับจ้างเดียวกันมาก่อน กลุ่มทหารรับจ้างนั้นมีชื่อว่า “กลุ่มทหารรับจ้างคมเขี้ยวแห่งความมืด” – กลุ่มทหารรับจ้างที่รับจ้างด้วยเงินและมีแต่เหล่ามนุษย์สัตว์เท่านั้น พวกเรานั้นเคลื่อนที่ไปเรื่อยๆจากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่ง รับงานจากลูกค้าทั้งสู้ในสงครามไปจนถึงล่ามอนสเตอร์ แต่ทว่า พวกเราก็ได้ไปทำเรื่องที่ผิดพลาดแบบโง่ๆเข้า」

 

ผมไม่รู้ว่า “กลุ่มทหารรับจ้าง” มันหมายถึงอะไร

 

「พวกเราไปทำลายธุรกิจใต้ดินของขุนนางที่มีอิทธิพลเข้า มันเป็นการค้ายาเสพติดของอาณาจักรไรกุระ หนึ่งในอาณาจักรของสหพันธ์รัฐคีทแกรนด์ – อยู่ติดกับอาณาเขตดยุคอเคนบาคนี้แหล่ะ มันเป็นอาณาจักรเล็กๆแต่มีอิทธิผลมาจากการค้ายากับอาณาจักรอื่นๆ เรื่องพวกนี้พวกเรานั้นรู้อยู่แล้ว ทว่า เมื่อพวกเราถูกขอให้ “ฆ่ามอนสเตอร์ที่อาศัยอยู่ในภูเขาของอาณาจักรไรกุระ” พวกเราไม่รู้ว่ามอนสเตอร์ตัวนั้นมันปกป้องโรงงานสำหรับผลิตยาอยู่นะสิ」

 

「ว่าไงนะครับ? มอนสเตอร์เนี้ยนะครับ? ปกป้อง?」

 

「ดูเหมือนจะเป็นผลจากสกิลบ้าๆที่ถูกเรียกว่า 【ทักษะฝึกฝนมอนสเตอร์】หน่ะ」

 

…เอาจริงดิ?! มันจะมีสกิลหลากหลายเกินไปแล้ว?! อย่างที่คิด โลกแห่งสกิลนี้มันล้ำลึก… อืม ไม่ใช่เวลามาคิดเรื่องนั้นสินะ

 

「งั้น… เกิดอะไรขึ้นต่อจากนั้นหรอครับ?」

 

「เมื่อพวกเรารายงานผลกับผู้ว่าจ้างว่าได้กำจัดมอนสเตอร์ตัวนั้นแล้ว เขาก็พุ่งเข้าไปยังโรงงานด้วยความตื่นเต้นพร้อมกับอุปกรณ์เวทย์ระเบิดพลีชีพ และทำการระเบิดตัวตายไปพร้อมกันกับโรงงานนั่นเลย」

 

「ว่าไงนะครับ?!」

 

「พวกเรามารู้ในภายหลังว่าลูกสาวเพียงคนเดียวของผู้ว่าจ้างนั่นติดยาจนตายไป กลายเป็นว่าพวกเราดันไปเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดในแผนการแก้แค้นของผู้ว่าจ้างเข้าแล้ว」

 

ผมตะลึงงันไปเลย โลกใบนี้มันเต็มไปด้วยความรุณแรงจริงๆ รวมถึงความปรารถนาอันมากล้นด้วย…

 

「ตัวเขาตายไปและจบแค่นั้น แต่พวกเรายังมีชีวิตอยู่และต้องจ่ายค่าเสียหาย – นั่นแหล่ะเหตุผลว่าทำไมพวกเราถึงโดนตามล่า」

 

ไรเครียซังอธิบายว่า ธุรกิจมืดนี้มันมีมูลค่าเป็นเม็ดเงินจำนวณมหาศาล อาณาจักรไรกุระจึงจับตาดูการเคลื่อนไหวของ “กลุ่มทหารรับจ้างคมเขี้ยวแห่งความมืด” เพราะว่าเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดในการทำลายโรงงาน

 

「อาณาจักรไรเครียได้จ่ายเงินก้อนโตให้กับนายกเทศมนตรีแห่งเมืองวัลฮัลลา ที่เป็นคนที่มีตำแหน่งสูงของสหพันธรัฐ นายกคนนั้นก็ได้ทำการสั่งให้กิลด์นักพจญภัยเคลื่อนไหวโดยอ้างว่า “กลุ่มทหารรับจ้างคมเขี้ยวแห่งความมืดนั้นเป็นเจ้าของโรงงานผลิตยาเสพติด ให้ทำการค้นหาและกำจัด”」

 

「เอออออ๋!?」

 

「เสียงดังไปแล้ว」

 

「ตะ-แต่ว่า! เรื่องแบบนี้มัน…」

 

「การตายของคนมีเงินหน่ะมันเป็นเรื่องใหญ่ และการที่โรงงานนั่นแดงขึ้นมามันก็จะมีคำถามที่ว่า “ใครเป็นคนสร้างโรงงานนี้กัน?” เกิดขึ้นมา อาณาจักรไรกุระจึงโบ้ยความผิดมาที่พวกเรา」

 

「……」

 

ไรเครียซังกับกลุ่มทหารรับจ้างนั้นเป็นเพียงแค่เหยื่อเท่านั้นเอง

 

「และนักพจญภัยที่ถูกส่งมาไล่ล่าพวกเรานั้นเป็น… ระดับมิธริล」

 

ระดับมิธริล

 

จุดสุดยอดของนักพจญภัย

 

「กลุ่มทหารรับจ้างกว่า 50 คนโดนทำลายล้างโดยคนเพียงคนเดียว ข้าเกือบเอาตัวไม่รอด เพื่อนๆในกลุ่มของข้าที่เหลืออยู่ก็กระจัดกระจายกันออกไป」

 

「คนก่อนหน้านี้เป็นเพื่อนของคุณหรอครับ?」

 

ไรเครียซังพยักหน้า

 

「…พวกเราบอกนักพจญภัยคนนั้นทุกอย่าง – ทั้งเรื่องที่พวกเราถูกใส่ร้ายและเป็นเพียงแค่เหยื่อ เจ้านั่นพยักหน้ารับฟังพวกเรา ก่อนจะปล่อยเวทมนตร์ระดับสูงออกมา เพื่อนของข้าถูกเผาทั้งเป็นและกรีดร้องโหยหวน สถานที่แห่งนั้นกลายเป็นนรกในทันทีเลย」

 

ผมทำได้เพียงแค่รับฟังอย่างเงียบๆ

 

ผมสงสัยจังว่าไฟที่กำลังลุกไหม้โหมกระหน่ำอยู่ภายในใจของไรเครียซังนั้นจะร้อนแรงเท่ากับไฟที่เขาได้เห็นในวันนั้นรึปล่าวนะ

 

「เจ้านั่นหัวเราะขณะที่ฆ่าเพื่อนของข้า… แล้วพูดว่า “แล้วยังไงละ?” …! ข้าทำได้แค่วิ่งหนีอย่างน่าขบขัน ทำได้แค่วิ่งต่อไปเรื่อยๆจนกระทั่งขาของข้าวิ่งต่อไปไม่ได้ เมื่อคิดว่านี้เป็นจุดจบของข้าแล้ว มิมิโนะก็ได้ช่วยข้าเอาไว้」

 

「…ผมไม่คิดว่าการวิ่งหนีเพื่อเอาชีวิตรอดจะเป็นเรื่องน่าหัวเราะหรอกนะครับ」

 

ไรเครียซังมองมาที่ผมแล้วหัวเราะเล็กน้อย มันเป็นเสียงหัวเราะที่ดูโศกเสร้า

 

「เรย์จิ… ถึงข้าจะทำลายอาณาจักรไรกุระไม่ได้ ข้าก็ต้องเอาคืนให้ได้ไม่ทางใดก็ทางนึง ถ้าในกรณีนั้น… ข้าจะต้องฆ่าไอ้เลือดเย็นนั่นให้ได้」

 

มีเสียงบางสิ่งบางอย่างหยดลงบนพื้น

 

ไรเครียซังนั้นกำหมัดแน่นจนมีเลือดไหลออกมา

 

「คริสต้า-ลา-คริสต้า นักพจญภัยครึ่งเอล์ฟระดับมิธริล ข้าจะต้องฆ่ามันให้ได้ไม่ว่าจะยังไงก็ตาม」

 

* เรือเหาะเวทมนตร์ “ปราสาทลอยฟ้าของเจ้าหญิง” *

 

เสียงเครื่องยนต์ดังไม่หยุด เรือเหาะเวทมนตร์ “ปราการฟ้าของเจ้าหญิง” กำลังบินอยู่เหนืออาณาจักรเกฟเฟริด 1,000 เมตร

 

มันมีลักษณะเหมือนกับเรือทรงกลมมากกว่าจะเป็นเรือขนาดใหญ่ และบินอยู่บนท้องฟ้าด้วยใบพัดขนาดใหญ่และขนาดเล็กจำนวณมากรอบๆตัวเรือ

 

ตัวเรือนั้นมีสีดำที่เป็นการผสมกันระหว่างไม้ชนิดพิเศษกับแผ่นเหล็ก ส่องแสงสีฟ้าจางๆแม้จะเป็นกลางคืน ทำให้ตัวมันเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวาง

 

ตัวเรือขนาดใหญ่ที่จุคนได้มากถึง 500 คน นั้นเชื่องช้าแต่มั่นคง มันกำลังมุ่งหน้าไปยังอาณาเขตดยุคอเคนบาค

 

「…เมื่อชินแล้วก็รู้สึกน่าเบื่อจริงๆ」

 

「หะ?」

 

「ตอนแรกข้าก็คิดว่าเรือเหาะเวทมนตร์เป็นแค่เรื่องในนิยายเท่านั้น แต่หลังจากที่ข้านั่งมันหลายต่อหลายครั้ง ข้าก็เบื่อซะแล้ว มีสิ่งบันเทิงบนยานน้อยเกินไป」

 

「พะ-พวกเราต้องขออภัยจริงๆครับ」

 

「ทำไมถึงเรียกว่า “ปราสาทลอยฟ้าของเจ้าหญิง” กัน? ทั้งๆที่ให้ความบันเทิงกับข้าที่เป็นนักพจญภัยยังไม่ได้ ไม่ต้องไปพูดถึงเจ้าหญิงจริงๆเลย」

 

「คะ-ครับ…」

 

เป็นเจ้าหน้าที่กิลด์นักพจญภัยร่างใหญ่คนหนึ่งที่กำลังถูกถามคำถามต่างๆ

 

มีห้องนั่งเล่นอยู่ภายใน “ปราสาทลอยฟ้าของเจ้าหญิง” มันมีไว้สำหรับทานอาหารและดื่มแอลกอฮอล์

 

เบื้องหน้าของเจ้าหน้าที่คนนั้นมีชายรูปร่างผอมบางคนหนึ่งนั่งอยู่บนโซฟา ชายคนนั้นกำลังดื่มดำกับไวน์ในแก้วใบใส – ที่หาได้ยากบนโลกใบนี้

 

ชายคนนั้นมีตัวที่สูงจนทำให้ดูผอมยิ่งขึ้นไปอีก

 

เขามีผมสีบอร์นที่ถูกตัดแต่งไว้ถึงเพียงแค่ไหล่ของเขา ผมนั่นปิดบังใบหูเอาไว้ แต่ใบหูของเขาแหลมกว่ามนุษย์ทั่วไป

 

ตาสีแดงของเขาไม่ได้จับจ้องไปที่เจ้าหน้าที่คนนั้น เพียงแต่จ้องมองไปที่แก้วไวน์

 

ผิวของไวน์สะท้อนแสงจากตะเกียงเวทมนตร์ที่ห้อยอยู่บนเพดานเปล่าที่เผยให้เห็นถึงท่อหลากหลายอันโยงไปมา

 

ชิ ชายบนโซฟาเดาะลิ้นออกมาก่อนจะจิบไวน์ในแก้ว เจ้าหน้าที่เข้ามารินไวน์ให้จากขวดไวน์โดยที่รู้ว่าแม้เพียงแค่แก้วเดียวก็มีค่ามากพอที่จะทำให้คนธรรมดามีชีวิตรอดไปได้ถึงหนึ่งอาทิตย์

 

เขายังรู้อีกว่าชายที่นั่งอยู่บนโซฟาคนนี้สามารถซื้อถังใส่ไวน์อันนี้ได้เป็นร้อยๆถังเพียงแค่คำขอเดียว

 

「เราจะไปถึงกันเมื่อไหร่?」

 

「ตามกำหนดการคือเช้าวันพรุ่งนี้ครับ」

 

「ตรงไปที่เหมืองเลยไม่ได้รึไง? มันยิ่งใช้จะเวลานะถ้าเราต้องเคลื่อนตัวออกจากเมืองอีกที」

 

「น่าเสียดายครับที่พวกเรายังไปไม่ได้ถ้าไม่ทำการทักทายท่านดยุคคนใหม่เสียก่อน…อีกอย่างยานลำนึ้นั้นถูกกำหนดเป้าหมายเอาไว้แล้วครับ ดังนั้นพวกเราเลยบินอย่างอิสระไม่ได้」

 

「…เผ่ามนุษย์ที่ได้รับปีกให้บินบนท้องฟ้าได้แบบนี้ ยังตั้งข้อจำกัดให้ตันเองด้วยเหตุผลไร้สาระแบบนั้นอีกงั้นรึ?」

 

ชายบนโซฟากล่าวอย่างเบื่อหน่าย เขาวางแก้วไวน์ลงแล้วยืนขึ้น

 

「พวกมอนสเตอร์หน่ะมันน่าเบื่อ พวกมันทำได้แค่โกรธเท่านั้น ไม่ร้องขอชีวิตหรืออะไรทั้งนั้น เพราะแบบนี้ การฆ่าเจ้าพวกมนุษย์สัตว์นั่นถึงได้สนุกกว่าเป็นไหนๆ」

 

「………」

 

เจ้าหน้าที่ทำการหลบสายตาของชายคนนั้น เพราะว่าริมฝีปากล่างของชายคนนั้นกำลังบวมจากการเลียริมฝีปาก

 

「ข้าจะไปนอนแล้ว ปลุกข้าด้วยเมื่อพวกเราไปถึงแล้ว」

 

「……รับทราบครับ」

 

ชายคนนั้นหยิบเสื้อคลุมที่พาดอยู่บนโซฟาขึ้นก่อนจะจากไป

 

「…เป็นเพราะคนแบบนี้ถูกแต่ตั้งให้เป็นนักพจญภัยระดับมิธริลยังไงละ โลกนี้ถึงได้เกินเยียวยาแล้ว」

 

เจ้าหน้าที่ถอนหายใจออกมา แล้วคิดถึงเรื่องที่จะจัดการกับแก้วไวน์ใบนี้ยังไงดี

 

เรือเหาะ “ปราสาทลอยฟ้าของเจ้าหญิง” กำลังมุ่งหน้าไปยังอาณาเขตดยุคอย่างมั่นคง

 

 

 

บทที่ 1 ตอนที่ 18

 

ร่างกายของผมรู้สึกสั่นสะท้าน คงเป็นเพราะผมเรียนรู้หลายสกิลเกินไป

 

ร่างกายของผมกระตุก หัวของผมทั้งรู้สึกโล่งและร้อนในเวลาเดียวกัน บางทีผมคงจะได้เรียนสกิลประเภทเสริมความสามารถของสมองก็เป็นได้ ตัวอย่างเช่นสกิล【เสริมการคำนวณ】หรือสกิล【เสริมความจำ】ที่เป็นสกิลที่อยู่ในหมวดหมู่สกิล “ประเภทสติปัญญา”

 

ผมลองนึกถึงการต่อสู้ที่ผมเห็นมาจากลานฝึกซ้อม

 

…อืม ไม่ต้องสงสัยเลย ความทรงจำของผมมันชัดเจนมาก เดี๋ยวก่อนนะ ผมจำได้แม้กระทั่งคืนที่ผมนอนบนต้นไม้เลย บางทีหรือว่าจะเป็นความสามารถในการจดจำสมบูรณ์แบบหรือปล่าว?

 

(ไม่ว่าจะคิดยังไง มันต้องเป็นความสามารถของ【World Ruler】แน่ๆ…)

 

เป็นอีกครั้งแล้วที่ผมรู้ถึงความสุดยอดของสกิล 10 ดาว มันรู้สึกเหมือนกับ “ผมคงจะมีชีวิตอยู่ต่อไปไม่ได้แล้วถ้าขาดWorld Rulerไป” เลย ผมรู้สึกสับสนไปหมดและร่างกายของผมก็ยังคงสั่นอยู่

 

เพราะแบบนั้น ผมเลยถูกมิมิโนะซังถามบ่อยๆว่า「เธอเป็นอะไรรึปล่าว? เป็นหวัดหรอ?」ในตอนที่ผมทานข้าวเย็น ผมไม่ได้สนใจเลยว่าผมกินอะไรเข้าไป แต่เมื่อผมรู้ว่ามันกลับถูกบันทึกอยู่ในความทรงจำของผมอย่างสมบูรณ์แบบ ผมก็ตัวสั่นขึ้นมาอีกครั้ง

 

…ผมอยากจะเข้านอนแล้ว

 

「โจเซฟชวนข้าให้ไปหา ดังนั้นข้าจะออกไปสักพักนะ」

 

「…โจเซฟซังงั้นหรอครับ?」

 

「ใช่แล้ว เขาบอกว่าตัวเขานั้นเลิกเป็นนักพจญภัยแล้ว ตอนนี้เขาถูกกิลด์จ้างให้เป็นครูฝึกเด็กใหม่ ดูเหมือนจะรู้สึกเหงาก็เลยอยากจะคุยกับเพื่อนเก่าหน่ะ แล้วเจอกันนะ」ดันเต้ซังตอบก่อนจะเดินออกไป การเคลื่อนไหวของเขาค่อนข้างหนักแน่นเลย

 

…เขาคงจะชอบแอลกอฮอล์จริงๆสินะ

 

「…ไปนอนได้แล้ว เรย์จิ แกดูเหนื่อยมาก」ไรเครียซังพูดขึ้น

 

「ครับ……」

 

หลังจากที่ผมพูดแบบนั้น ผมก็หลับไปเลย ดูเหมือนร่างกายของผมคงอยากจะพักจริงๆ

 

ผมตื่นขึ้นมาในห้องที่มืดมิด ก่อนที่ประตูห้องกำลังจะปิดพอดี

 

…หะ? โอ้ ใช่ ผมหลับไปนี่นา

 

จากเตียงข้างๆ ผมได้ยินเสียงของดันเต้ซังกรนออกมา

 

…อุ๊ก กลิ่นเหล้าหึ่งเลย เขาดื่มไปเท่าไหร่กันเนี้ย?

 

…หมายความว่า คนที่ออกไปเมื่อกี้คือไรเครียซังสินะ?

 

ผมมองไปรอบๆ เตียงของไรเครียซังนั้นว่างเปล่า แสงจันทร์ลอดผ่านรูที่หน้าต่างบงบอกถึงว่าเป็นช่วงเวลากลางคืน

 

(เขาไปไหนในเวลากลางดึกแบบนี้กัน? ห้องน้ำหรอ?)

 

แต่ไม่ว่าผมจะรอนานแค่ไหน ไรเครียซังก็ไม่กลับมา

 

(ถ้าจำไม่ผิด ตอนบ่ายเขาก็ทำตัวแปลกไปนี่…)

 

ไรเครียซังนั้นเป็นคนที่เดาใจยากอยู่แล้ว แต่วันนี้เหมือนกับสติของเขาไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเลยด้วยซ้ำ เหมือนกับในตอนที่เขาบอกจะไปงีบ ทว่ากลับพบเขาที่ลานฝึกซ้อมซะงั้น

 

ผมก้าวออกมาจากห้องด้วยความรู้สึกที่ไม่ดี ผมลองใช้สกิล【ทักษะการวิ่ง】เพื่อไม่ให้เกิดเสียง มันทำงานได้ดีจริงๆ! สกิล【ทักษะการวิ่ง】นั้นจะดูดพลังกายอย่างรวดเร็ว แต่แลกกับการลบเสียงฝีเท้าและพุ่งตัวได้รวดเร็วขึ้นชั่วคราว มันสะดวกมากเลยหล่ะ

 

ไม่มีคนอยู่ตรงระเบียงทางเดิน ไม่แม้กระทั่งล็อบบี้ทางเข้า

 

ประตูหน้าถูกแง้มไว้เล็กน้อย

 

…เขาออกไปข้างนอกงั้นหรอ?

 

ขณะที่ผมกำลังจะถึงประตู ผมก็ได้ยินเสียงบางอย่าง

 

「…แค่นี้ก็พอแล้วใช่ไหม?」

 

「หึหึ… ขอบคุณนะครับ หัวหน้า ไว้จะใช้บริการใหม่นะครับ」

 

「…พอได้แล้ว!」

 

「…ท่านแน่ใจงั้นหรอครับ? กระผมอาจจะหลุดปากพูดเรื่องที่ท่านอยู่ตรงนี้ก็ได้นะครับ」

 

「……หาาา?」

 

「…ขะ-ขออภัยครับ กะ-กระผมแค่ล้อเล่นเท่านั้นเอง งั้น กระผมขอตัว」

 

เมื่อผมแอบมองออกไป ไรเครียซังกำลังคุยกับใครบางคนที่สวมฮู้ดสีดำ เขายื่นถุงหนังที่ส่งเสียงก้องแก้งให้กับคนๆนั้น (โอ้ว【เสริมการได้ยิน】นี้มันสุดยอดจริงๆ) มั่นใจได้ว่านั่นต้องเป็นเงินอย่างแน่นอน

 

(ใครกันหน่ะ? ไรเครียซังโดนข่มขู่งั้นหรอ หรือเขาเป็นคนขู่เอง…? ไม่สิ เขาจะให้เงินกับคนที่เขาข่มขู่ไปทำไมกัน?)

 

เมื่อคนๆนั้นกำลังจะจากไป สกิล【เสริมการมองเห็น】ของผมทำให้เห็นถึงใบหน้าที่มีขนจำนวณมากของเขา เขาเป็นมนุษย์สัตว์นี้เอง

 

(อ้า! ไรเครียซังกำลังมาทางนี้แล้ว!)

 

ผมใช้งานสกิล【ทักษะการวิ่ง】อย่างเต็มที่เพื่อลบเสียงฝีเท้าแล้วเข้าไปแอบอยู่หลังโต๊ะเล็กๆบริเวณเคาน์เตอร์  

 

ไรเครียซังเดินเข้ามาข้างใน—แล้วก็ถอนหายใจ

 

「…เรย์จิ ออกมา」

 

เขาจับได้!!!

 

「ข้ารู้ว่าแกอยู่ตรงนั้น ข้ามีสกิล【เสริมการดมกลิ่น】」

 

「…อา ไรเครียซัง? คุณมาทำอะไรกลางดึกแบบนี้หรอครับ? ผมแค่จะออกมาเข้าห้องน้ำเท่านั้นเอง ดูเหมือนจะเป็นเรื่องจริงที่กระเพาะปัสสาวะจะเล็กลงเมื่ออายุเยอะขึ้นสินะครับ อืม งั้นผมขอตัวก่อนนะครับ」

 

「เดี๋ยวก่อน」

 

เขาจับหลังคอของผมเมื่อผมพยายามจะหนี

 

「ที่อายุเยอะมันหมายความว่ายังไง แกอายุแค่ 10 ขวบเองนะ!」

 

「ไม่ คือผมหมายถึง เออ อะฮาฮา…」

 

「…แกแอบดูอยู่งั้นเรอะ?」

 

「………」

 

เมื่อผมเอาแต่เงียบ ไรเครียซังก็เดาะลิ้นก่อนจะปล่อยผม

 

「…มากับข้า」

 

หลังจากนั้นผมก็ถูกพาตัวเข้าไปในเมือง

 

เมืองแห่งนี้ยังคงไม่หลับไหล — โรงแรมที่พวกเราพักกันอยู่นั้นตั้งอยู่บนถนนโรงแรมที่มีโรงแรมอยู่มากมายตั้งอยู่ “โรงแรม”หลายแห่งนั้นก็เป็นโรงเตี้ยมที่จะเปิดจนถึงเช้า สามารถเข้าไปพูดคุยและดื่มเหล้าด้วยกันกับเหล่าพี่สาวที่ทำงานอยู่ที่นั่นได้ – เป็นสถานที่ประเภทที่ผมจะสามารถ【วิ่ง】ขึ้น “บันไดสู่ผู้ใหญ่” โดยเพียงแค่เดินเข้าไป ความคึกคักของโรงเตี้ยมนั้นยังเล็ดลอดออกมาถึงถนนหลักเลย

 

หญิงสาวในชุดรัดรูปที่ยืนอยู่ใต้โคมไฟสีชมพูกำลังหลอกล่อคนที่เดินผ่านไปมา (เฉพาะผู้ชายนะ)

 

「เห็นผู้หญิงที่ยืนอยู่ตรงนั้นใช่ไหม เธอเป็นลูกครึ่งมนุษย์กับมนุษย์สัตว์」

 

「เอ๊ะ… งั้นหรอครับ?」

 

「แค่มองก็น่าจะรู้นะ ใช่ไหม?」

 

「ก็ไม่นะครับ?」

 

「เธอมีผมบนหัวเยอะมาก และซ่อนขนบางส่วนใต้ชุดนั่นอีกด้วย」

 

「ดูไม่เหมือนจะเป็นแบบนั้นเลยนะครับ?」

 

ผมไม่เห็นอย่างนั้นเลยสักนิด ผมเห็นเป็นแค่หญิงสาวธรรมดาเท่านั้นเอง

 

…โอ๊ะ เธอเห็นผมแล้วโบกมือให้ด้วย อะแห่ะๆ…

 

「ดีใจอะไรของแกกัน!」

 

「มะ-ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรนี่ครับ ใช่ไหม…」

 

「ข้าก็คิดว่าแกชอบตัวเล็กๆแบบมิมิโนะซะอีก แล้วดูตอนนี้สิ หลงเสน่ห์ครึ่งมนุษย์สัตว์ซะแล้ว ไม่ซื่อสัตว์เอาซะเลย」

 

「อะไรนะครับ?! ไม่ใช่ซักหน่อยครับ แล้วอีกอย่าง ไม่ใช่คุณเองหรอครับที่ชอบมิมิโนะซังหน่ะ?」

 

「แกว่าไงนะ?! ไปเอาความคิดแบบนั้นมาจากไหนกัน!?」

 

ผมหมายถึงเขาถูก “เก็บ” ขึ้นมาโดยมิมิโนะซัง แถมยังมักจะทะเลาะกับเธอบ่อยๆ… เหมือนกับวัยรุ่นทะเลาะกันเลย ถ้าผมพูดแบบนี้ออกไป เขาก็คงโมโหแน่ๆเลยใช่ไหมละ? ผมเลยไม่พูดอะไรออกไป

 

「มิมิโนะนั้นไม่ใช่สำหรับข้า น็อนก็ด้วย ทั้งคู่ไม่ใช่สเปคของข้าเลยสักนิด」

 

「หะ? นี่สเปคของคุณสูงแค่ไหนกัน?」

 

มิมิโนะซังนั้นตัวเล็กแต่น่ารักสุดๆไปเลย น็อนซังก็ทั้งน่ารัก+เรียบร้อย+ไดนาไมต์ด้วยใช่ไหมละ? ที่ผมหมายถึงไดนาไมต์นั้นผมหมายถึงระเบิดที่ใช้ไนโตรกลีเซอรีนและอื่นๆต่างหาก ไม่ได้มีความหมายลึกซึ้งจริงๆนะ แถมเธอยังน่ากลัวด้วย

 

「พวกนั้นไม่ใช่สเปคข้าเลย เว้นแต่ว่าจะมีขนมากกว่านี้」

 

「!!」

 

เป็นการเปิดเผยที่มันอะไรกันนี้!

 

「ข้าไม่ได้ไม่ชอบยัยเตี้ยนั่นเพราะเป็นคน “ต่างเผ่าพันธ์ุ” หรอกนะ แกรู้ใช่ไหมว่าแขนของมิมิโนะมันเรียบเนียนแค่ไหนหน่ะ?」

 

「………」

 

ผมรู้ ผมเห็นมันในตอนอาบน้ำแล้ว…

 

อ้า! เป็นเพราะ【World Ruler】หรอกที่ผมจำรายละเอียดได้ทุกระเบียบนี้วในตอนนั้นเลย?! ซึ่งมันก็หมายความว่าผมจะไม่มีทางลืมเรื่องนี้ไปได้อีกเลย!!!

 

「…เฮ้ บางครั้งแกก็ก้มมองพื้นด้วยสีหน้าแปลกๆเหมือนกับตอนนี้เลย มันอะไรกันละนั่น? มีปัญหาอะไรกับพื้นรึไง? หรือเป็นความเชื่อหรืออะไรทำนองนั้น?」

 

「คุณไม่ต้องสนใจมันหรอกครับ อืม แล้วต้องขนประมาณไหนหรอครับคุณถึงจะชอบ?」

 

「อืม ตอนที่ข้าเอามือลูบหลังของนาง มันรู้สึกนุ่มและเรียบเนียนมาก เหมือนกับมือของข้าจะทะลุผ่านไปได้เลย– เดี๋ยวสิ! นี่แกให้ข้าพูดอะไรออกมากัน! น่าอายชะมัด!」

 

「โอ๊ะ เออ…」

 

ต่างคนต่างก็มีรสนิยมที่ต่างกันออกไปสินะ ผมเริ่มฉลาดขึ้นแล้ว

 

「…คนที่แกเห็นตอนนั้นหน่ะ เจ้านั้นไม่สามารถหาเงินในเมืองนี้ได้เลยแม้แต่เหรียญเดียว ดังนั้นข้าก็เลยช่วยนิดหน่อย」

 

พวกเรากลับเข้าเรื่องหลักกันแล้ว

 

 

 

บทที่ 1 ตอนที่ 17

 

「รีบย้ายก้นของแกไปตรงนั้นได้แล้ว」

 

ไรเครียซังถีบก้นของผมให้ไปข้างหน้าเบาๆ

 

บ้าเอ้ย! จำไว้เลยนะ ไอ้มนุษย์สัตว์ซืนเดเระล่ำบึกเอ้ย…

 

「งั้น เจ้าก็เป็นสมาชิกปาร์ตี้ของโล่ใหญ่คนนี้สินะ ใช่ไหม?」โจเซฟซังถามขึ้นมา

 

เด็กๆที่ยืนดูอยู่ตรงขอบสนามในสภาพเปรอะเปื้อนทั้งดินและเหงื่อต่างพากันส่งเสียงประหลาดใจออกมา

 

「–เด็กคนนั้นเป็นสมาชิกปาร์ตี้ของ “โล่ใหญ่สีเงิน” อย่างงั้นหรอ?!」

 

「–บางทีเขาอาจจะเป็นนักดาบอัจริยะที่ตรงข้ามกับรูปลักษณ์อะไรแบบนั้นรึปล่าว?」

 

「ไม่ใช่หรอกครับ ผมหมายถึง… ผมแค่ติดตามเขามาด้วยเท่านั้นเองนะครับ?」

 

「น่าสนใจดีนี่」

 

「ผมไม่คิดว่ามันจะน่าสนใจหรอกนะครับ」

 

「มาดูกันสิว่าเจ้าจะใช้ดาบได้เก่งแค่ไหน เข้ามาเลย」

 

คุณคนหัวล้านคนนี้ดูท่าจะเป็นประเภทไม่ฟังที่คนอื่นเขาพูดเลยงั้นสินะ

 

ผมส่งสายตาขอความช่วยเหลือไปทางดันเต้ซัง ทว่าเขากลับพยักหน้าด้วยรอยยิ้มบนใบหน้าพร้อมกับพูดว่า「นี่เป็นโอกาศที่จะได้ฝึกกับผู้มีประสบการณ์เลยนะ มันจะต้องเป็นประสบการณ์ที่ดีให้กับเธอได้แน่」

 

「กะ-ก็ได้ครับ… แต่ผมบอกไว้ก่อนนะว่าผมยังเป็นแค่มือใหม่อยู่นะครับ」

 

ผมยืมดาบไม้มาจากเด็กคนหนึ่ง มันค่อนข้างหนักเกินไปสำหรับผม แต่ต้องขอบคุณสกิล【เสริมความแข็งแกร่งกายภาพ】ที่ผมเรียนรู้มา มันช่วยให้ผมถือมันได้ถ้าใช้มือสองข้าง และผมก็ยังเสริมการเคลื่อนไหวของร่างกายด้วย【เวทย์สนับสนุน】แต่ใช้ได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น ไม่อย่างนั้นมานาของผมคงจะหมดเกลี้ยงแน่

 

ผมเผชิญหน้ากับโจเซฟซังที่ยืนอยู่ห่างออกไป

 

…เอาหล่ะ ผมจะทำยังไงดี?

 

ผมเริ่มรื้อฟื้นความทรงจำของชาติก่อนตอนที่ผมได้ฝึกเคนโด้ในช่วงคาบเรียนพละ

 

「โฮว เริ่มจะดูดีแล้วนี่」

 

ผมตั้งท่า จูดัน โนะ คามาเอะ จากตรงนี้ ผมขยับเข้าไปใกล้เขาด้วยการไถลเท้าไปตามพื้น… แล้วผมก็ยกดาบขึ้นเหนือหัว (Note: “จูดัน โนะ คามาเอะ(Chūdan-no-kamae)”หรือก็คือ “ท่าระดับกลาง” เป็นการตั้งท่าพื้นฐานของวิชาเคนโด้)

 

(เอ๊ะ?)

 

ในจังหวะที่ผมยกมันขึ้น ผมรู้สึกเหมือนร่างกายมันขยับไปเอง นี่เป็นผลของสกิล【ทักษะดาบ】งั้นหรอ?

 

「ฮ่าาาาาห์!」

 

การตวัดดาบลงนั้นเฉียบคมมาก – ผมไม่มีทางฟันออกไปแบบนี้ได้แน่แม้จะเป็นตัวผมตอนอายุ 16 ปีก็ตาม กำลังแขน,กำลังขา,แรงจากหลัง,และแรงจากหน้าท้อง ทั้งหมดรวมกันเป็นพลังมหาศาลพุ่งตรงเข้าไปที่ใบหน้าของโจเซฟซัง – เป็นเพราะส่วนสูงของผมที่ทำให้ผมเล็งไปที่หัวของเขาไม่ได้

 

ทว่า การโจมตีของผมก็ไปไม่ถึงโจเซฟซัง

 

มันรู้สึกเหมือนกับผมฟาดดาบไม้ไปที่ก้อนหินยังไงอย่างงั้นเลย โจเซฟซังเพียงแค่เหวี่ยงดาบไม้ของเขาง่ายๆ ดาบไม้ของผมถึงกับลอยขึ้นไปบนฟ้า มันลอยขึ้นไปกระแทกเพดานก่อนจะตกลงมากระแทกพื้นสร้างเป็นกลุ่มควันขึ้นมา

 

「โอ๊ยยยยยย…」

 

ข้อมือกับฝ่ามือของผมนั้นร้อนผ่าวเพราะแรงจากดาบที่ถูกปัดออก

 

「เป็นการฟันที่ดี! แต่ว่า การโจมตีของเจ้ามันซื่อตรงเกินไป แถมยังพึ่งพาสกิลมากเกินไปด้วย!」

 

เมื่อผมพยายามใช้เวทย์รักษาทำการรักษาข้อมือของผมด้วยใบหน้าเรียบเฉยนั้น

 

「สกิล…」ดันเต้ซังก็ทำสีหน้าตกตะลึง เขาคงมั้นใจว่าผมไม่น่าจะมีสกิลอะไรเลยแน่ๆ

 

…ต้องหาข้ออ้างในภายหลังซะแล้วสิ

 

「ข้าก็อยากจะฝึกต่อนะ แต่…」

 

…ได้โปรด ไม่เอาแล้วนะ

 

「โชคไม่ดีเลย หมดเวลาแล้วละ ถึงเวลาฝึกของพวกที่ชำนาญแล้ว」

 

…พลิ้ว รอดตัวไป

 

ผมหนีกลับไปที่ไรเครียซังในขณะที่กุมข้อมือเอาไว้ จริงๆหายเจ็บไปเพราะเวทย์รักษาแล้ว แต่เพราะสายตาของเหล่าเด็กๆที่ดูอยู่มันทำให้รู้สึกเจ็บเหลือเกิน

 

「–ทักษะดาบเมื่อกี้มันอะไรกัน? มันเป็นท่าที่เด็กแบบนั้นจะทำได้งั้นหรอ?」

 

「–ไม่ใช่ว่านั่นเป็นสกิลหรอ? ชั้นได้ยินครูฝึกพูดแบบนั้นนะ」

 

「–เขามีสกิลหายากงั้นหรอ? ดีจังน้า」

 

พวกนั้นเดาถูกว่าผมมีสกิลหายากก็จริง แต่บางทีคงไม่ใช่อย่างที่เด็กพวกนั้นจินตนาการเอาไว้หรอก

 

ขณะนั้น ก็มีเหล่านักพจญภัยอายุประมาณ 20 ถึง 30 ปีทยอยกันเข้ามาที่ลานฝึก

 

「–หึบบบ นานแล้วนะเ้นีย」

 

「–เตรียมพร้อมร่างกายเอาไว้ซะ พวกเราจะออกจากเมืองไปเป็นอาทิตย์ในวันพรุ่งนี้นะ」

 

「–ไม่ได้ถือดาบแบบนี้มา 4 วันแล้วนะเนี้ย」

 

ดูเหมือนว่า เหล่านักพจญภัยที่รับคำร้องแบบคุ้มกันกับเก็บเกี่ยววัตถุดิบจะพักอยู่ในเมืองสักพัก พวกเขามักจะมาที่นี่เพื่อเตรียมร่างกายให้พร้อมอยู่เป็นประจำ

 

「ไม่เลวนี่ เจ้าเปี้ยก」ไรเครียซังยิ้ม

 

「อยากจะอยู่ดูต่อไหม?」ดันเต้ซังถามขึ้นในตอนที่เขาเดินกลับมา

 

「อืม ครับ… จะเป็นปัญหาหรือปล่าวครับ?」

 

「ไม่ ข้าไม่ว่าอะไรหรอก มีหลายอย่างที่เธอจะได้เรียนรู้จากการดูครั้งนี้ ข้ากับไรเครียจะออกไปข้างนอกกันสักหน่อย เดี๋ยวไว้จะกลับมารับเธอทีหลังนะ ตอนนี้เธออยู่ในกิลด์ดังนั้นไม่น่าจะมีอะไรเกิดขึ้นหรอก」

 

「ขอบคุณครับ」

 

「โอเค ไปกันเถอะ ไรเครีย พวกเราต้องไปช่วยขนของที่น็อนกับมิมิโนะซื้อมากันนะ」

 

「ได้เลย」

 

จากนั้นพวกเขาก็จากไป

 

ดันเต้ซังไม่ได้ถามอะไร ผมมั่นใจว่าเขากำลังรอผมเปิดใจแล้วพูดออกมาเอง แต่แบบนั้นมันยิ่งทำให้ผมพูดยากขึ้นไปอีก

 

ผมเหลืออยู่ตัวคนเดียวในลานฝึกซ้อม สถานที่ที่ผมพึ่งเคยย่างกรายเข้ามาเป็นครั้งแรก ทว่าผมก็ไม่ได้รู้สึกเหงาหรืออะไร ผมทำเพียงแค่เฝ้ามองเหล่านักพจญภัยระดับสูงสู้กัน และคิดเกี่ยวกับสกิลที่พวกเขาน่าจะมี

 

ผมยังคงรู้สึกผิดที่ผมเรียนรู้สกิลด้วย【World Ruler】เพราะว่ามันเหมือนกับผมไปขโมยความพยายามที่สั่งสมของคนอื่นมา ทว่า มันเป็นสิ่งจำเป็นที่จะต้องทำถ้าอยากจะมีชีวิตรอดบนโลกใบนี้ และอีกอย่าง ผมได้รู้แล้วว่ามีแค่สกิลอย่างเดียวนั้นยังไม่เพียงพอ แต่ต้องใช้งานมันได้อีกด้วย

 

เหมือนกับที่โจเซฟซังบอกกับเหล่าเด็กใหม่

 

ถึงการมีสกิลจะทำให้สามารถแข็งแกร่งขึ้นได้ในทันที อย่างไรก็ตาม ถ้าเอาแต่หวังพึ่งมันละก็ จะมีผลเสียตามมาอย่างแน่นอน ถ้าเป็นนักพจญภัย การหวังพึ่งอะไรมากเกินไปอาจจะทำให้ตัวเองถูกฆ่าได้ง่ายดายเลย

 

(ในตอนนี้ ผมแค่ต้องเรียนรู้มัน)

 

ผมพยายามเปิดตาให้กว้างเข้าไว้

 

โอกาศแบบนี้ไม่ได้มีมาบ่อยๆ

 

ผมต้องเรียนรู้ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้

 

-【เสริมกำลังขา★】 【เสริมการได้ยิน★】 【เสริมแรงบีบมือ★】 【เสริมความยืดหยุ่น ★】 【เสริมพลังระเบิด★】

 

-【ทักษะดาบ★★】 【ทักษะหอก★★】 【ทักษะขวาน★★】 【ทักษะธนู★★】 【ทักษะมีดสั้น★★】 【ทักษการต่อสู้ระยะประชิด ★★】 【ทักษะการเตะ★★】 【ทักษะโล่★★】 【ทักษะการวิ่ง★★】 【ทักษะแข็งตัว★★】

 

-【เวทย์สนับสนุน★★】

 

−【ทักษะธนูโค้ง★★★】 【ทักษะระบำดาบ★★★】

 

ผมคิดว่านั่นเป็นทั้งหมดที่ผมได้เรียนรู้มา ส่วนที่เป็น 3 ดาวนั้น มันอาจจะมีบางสกิลที่ได้รับ +1 แล้วกลายเป็นสกิลที่มีดาวสูงขึ้นก็เป็นได้ แต่การจะยืนยันถึงเรื่องนั้นมันเกินความเข้าใจของผมในตอนนี้ไปแล้ว

 

และส่วนนี้ก็จะเป็นสกิลที่ผมอาจจะได้เรียนรู้มาก่อนจะถึงวันนี้แล้ว

 

-【เสริมการมองเห็น★】 【เสริมความแข็งแกร่งกายภาพ★】 【เสริมความแข็งแกร่งหลัง★】 【เสริมความแข็งแกร่งหน้าท้อง★】 【ความชำนาญ★】 【ควบคุมมานา★】 【เสริมมานา★】 【เสริมความถนัดเวทมนตร์★】 【เสริมแรงกาย★】

 

-【ความสะดวกสบาย★】

 

-【ทักษะสวดภาวนา★】

 

-【เสริมภูมิต้านทาน★★】

 

-【ทักษะดาบใหญ่★★】

 

-【เวทย์ไฟ★★】 【เวทย์บุปผา★★】 【เวทย์ดิน★★】 【เวทย์รักษา★★】

 

ถึงทักษะสวดภาวนาจะเป็นสกิล “ทักษะ” ก็ตาม มันก็มีเพียงแค่ตำแหน่งพิเศษในฐานะสกิล 1 ดาวเท่านั้นเอง

 

「ถึงมีสกิลไปก็ไม่มีประโยขน์ ถ้าไม่ได้ใช้มัน…」

 

ผมยังคงทำการเฝ้ามองการฝึกซ้อมต่อไป

 

 

 

บทที่ 1 ตอนที่ 16

 

ผมพยายามคืนเงินที่ผมได้รับมาจากดันเต้ซังทว่าเขากลับปฏิเสธ เขาทำเพียงแค่ลูบหัวของผมแล้วพูดว่า「ข้าดีใจที่เธอหาสิ่งที่ต้องการเจอนะ ใช้เงินนั้นซื้อขนมที่ตัวเธอเองอยากกินเถอะ」

 

ในตอนนั้นผมก็ได้นึกถึงพ่อของผมที่ญี่ปุ่นที่ผมแทบจะจำไม่ได้จนถึงตอนนี้ขึ้นมา เขาเป็นมนุษย์เงินเดือนไม่ได้ความที่หาได้ทั่วๆไปและมีอายุมากกว่าดันเต้ซัง 10 ปี เขามักจะโดนแม่ของผมดุบ่อยๆจากการทำตัวขี้เกียจในวันหยุด ตัวผมเองก็อยากจะเป็นมนุษย์เงินเดือนในอนาคตเหมือนกันแต่คิดจะไม่ทำตัวแบบพ่อแน่นอน

 

…แต่ว่าตอนนี้ มันก็เป็นได้แค่ความทรงจำที่น่าคิดถึงเท่านั้นแล้วละนะ

 

อาหารกลางวันที่เรากินกันวันนี้นั้นเป็นก๋วยเตี๋ยวซุปปลา ถึงน้ำซุปจะทั้งเค็มและมีกลิ่นคาวของปลาแถมเส้นก็ไม่เรียบเนียน แต่สำหรับผมมันกลับรู้สึกอร่อยมากๆจนทำให้ผมตั้งหน้าตั้งตากินมันอย่างเดียว หลังกินเสร็จทั้งมิมิโนะซัง ดันเต้ซัง และน็อนซังต่างก็มองมาที่ผมด้วยรอยยิ้มบนใบหน้า มันค่อนข้างน่าอายเลยละ

 

「พวกเราไปที่ลานฝึกซ้อมกันได้แล้วใช่ไหมครับ?」

 

「ได้สิ เด็กผู้ชายนี้ชอบอะไรแบบนี้กันจริงๆเลยนะ」ดันเต้ซังพูดด้วยสายตาแบบคนเป็นพ่อ แต่ความจริงแล้วตัวผมมีเป้าหมายอื่นอยู่

 

ผมอยากจะเห็นการต่อสู้กันระหว่างเหล่านักพจญภัยและเพิ่มความสามารถของตัวผมเองด้วย【World Ruler】

 

ลานฝึกซ้อมนั้นเหมือนกับโกดัง มันทั้งกว้างและพื้นนั้นเป็นดินเปล่า จะสามารถเห็นได้ถึงการถูกใช้งานอย่างหนักจากร่องรอยของหลุ่มที่อยู่บนพื้น

 

มีหุ่นที่เหมือนกับหุ่นไล่กาไว้สำหรับฝึกซ้อมอยู่ด้านหน้า และมีพื้นที่กว้างสำหรับซ้อมต่อสู้กันอย่างอิสระอยู่ด้านหลัง

 

「การประสานงานของพวกแกมันห่วยเกินไป! ถ้ายังเป็นอย่างนี้อยู่พวกนายได้แพ้พวกที่ใช้สกิลแน่นอน!」

 

มีคุณชายหัวล้านกล้ามโตกำลังสู้ 1 ต่อ 4 อยู่ พวกเขากำลังฝึกกันโดยใช้ดาบไม้และเกราะหนัง

 

อีก 4 คนที่เหลือนั้นเป็นเด็กที่อายุราวๆวัยรุ่น

 

มีเด็กทั้งผู้ชายและผู้หญิงที่อายุใกล้เคียงกับ 4 คนนั้นยืนดูอยู่ติดกับกำแพง ทุกครั้งที่ดาบไม้ของชายหัวล้านตีโดนใส่ 1 ใน 4 คนนั้น เด็กๆที่ยืนดูอยู่ก็จะหน้าซีดกัน

 

「โอ๊ะ นั่นไรเครียซังไม่ใช่หรอครับ?」

 

ผมสังเกตเห็นมนุษย์สัตว์ตัวสูงคนนึงกำลังเฝ้ามองการฝึกซ้อมอยู่ จากการที่เขาสวมฮู้ดปิดบังใบหน้า ทำให้ผมในทีแรกไม่ทันได้สังเกตเห็นว่าเขานั้นเป็นมนุษย์สัตว์

 

มิมิโนะซังและน็อนซังออกไปซื้อเสบียงที่จำเป็นกัน – เนื่องจากน็อนซังโดนขัดจังหวะในตอนที่กำลังซื้อของอยู่เพราะผลลัพธ์ของเรย์คอนก่อนหน้านี้ – ผมก็เลยมาที่ลานฝึกซ้อมด้วยกันกับดันเต้ซังเพียงแค่ 2 คน

 

「หืมม…? โอ้ ตาลุงกับเรย์จินี้เอง」

 

「ผมก็นึกว่าคุณจะไปนอนแล้วซะอีก」

 

「…เออ อืม แบบว่า ข้าแค่รู้สึกสนใจความสามารถของกิลด์สาขานี้นิดหน่อยหน่ะ ดูเหมือนตอนนี้จะเป็นเวลาฝึกของพวกเด็กใหม่อยู่ ต่อไปก็จะเป็นการฝึกซ้อมของพวกหัวกะทิแล้ว」

 

「งั้นหรอครับ」

 

อย่างที่คิดเลย ไรเครียซังทำตัวแปลกไปจริงๆด้วย… นี่เขาไม่สบายงั้นหรอ?

 

อืม เอาเถอะ ถึงผมถามไปเขาก็คงไม่ตอบผมหรอก

 

ผมยืนเฝ้ามองการฝึกซ้อมอยู่ข้างๆกันกับไรเครียซังและดันเต้ซัง

 

(【เสริมความแข็งแกร่งทางกายภาพ】【เสริมความแข็งแกร่งขา】【ทักษะดาบ】【ทักษะหอก】…และนั้นมัน【เวทย์สนับสนุน】งั้นหรอ?)

 

เด็กชายที่ดูจะเป็นกองหลังกำลังร่ายเวทมนตร์ใส่เด็กสาวที่เป็นกองหน้า

 

「นั่นแหล่ะเยี่ยมมาก! ใช้เวทมนตร์ของพวกแกให้ชินกับการต่อสู้จริง! แต่ห้ามใช้เวทย์โจมตีเด็ดขาด! ถ้าพวกแกทำลายโกดังนี้ละก็ ต้องจ่ายค่าเสียหายนะ!」

 

เมื่อชายหัวล้านพูดขึ้น เด็กผู้ชายที่ดูเหมือนกำลังจะใช้เวทย์โจมตีรีบทำการหยุดรวบรวมมานาทันทีเลย

 

「คิดก่อนที่จะยิงเวทย์ไฟออกมา! แกไม่ควรใช้มันถ้ามีพรรคพวกของแกยืนอยู่ระหว่างตัวแกกับคู่ต่อสู้!」

 

เข้าใจหล่ะ นี่ไม่เหมือนกับเกม เวทย์โจมตีนั้นโดนพวกเดียวกันได้

 

(นั่นมัน【เสริมการได้ยิน】รึปล่าว? …อืมม ใช่งั้นสินะ เริ่มได้ยินเสียงรอบข้างชัดขึ้นแล้ว)

 

ผมเฝ้ามองการฝึกซ้อมไปพร้อมทั้งก็อบปี้สกิลไปเรื่อยๆ เห็นเด็กผู้ชายกับเด็กผู้หญิงเปลี่ยนตัวกันกับเด็กที่อยู่ข้างสนามด้วย

 

อา… อยากจะลองลงไปสู้ด้วยบ้างจังเลย ผมอยากจะรู้ถึงประสิทธิภาพของ【ทักษะดาบ】จริงๆ

 

「ฮาๆ ตอนแรกข้าก็คิดว่าเจ้าแค่ดูการฝึกแบบจริงจังไปหน่อย แต่ตอนนี้กระทั่งมือของเจ้าก็เริ่มขยับแล้วนะ」

 

「ฮะ?」

 

ร่างกายของผมเริ่มร้อนจากเสียงหัวเราะของไรเครียซัง น่าอายชะมัด เขาสังเกตเห็นมือของผมขยับจากที่ผมพยายามฝึกซ้อมจากการจินตนาการ

 

「…ไม่ใช่ว่าครูฝึกนั่นเป็นนักพจญภัยระดับทองหรอกรึ? ข้าคิดว่าข้าเคยเจอกับเขามาก่อน…」ดันเต้ซังพูดออกมา

 

「อะไรคือระดับทองหรอครับ…?」

 

「โอ๊ะ นี้ลุงยังไม่ได้บอกเรื่องนั้นกับเรย์จิอีกงั้นเรอะ?」

 

หลังจากนั้น ดันเต้ซังก็อธิบายเกี่ยวกับระดับของนักพจญภัยให้กับผม โดยเริ่มจากระดับต่ำสุดหรือก็คือบรอนซ์ ทองแดง เหล็ก เงิน และทอง ตามลำดับ

 

ดูเหมือนจะสามารถเป็นนักพจญภัยระดับสูงได้ถ้าขึ้นเป็นนักพจญภัยระดับทอง ไม่ใช่แค่กับนักพจญภัยเท่านั้น กิลด์อื่นๆเช่นกิลด์นักสมุนไพรและกิลด์การค้าก็ปรับมาใช้ระบบแบบนี้เหมือนกัน

 

มิมิโนะซังกับดันเต้ซังดูจะมีระดับที่สูงที่สุดในปาร์ตี้นี้แล้วเพราะว่าพวกเขาเป็นถึง “ระดับเงิน” ส่วนน็อนซังกับไรเครียซังนั้นยังคงอยู่ที่ “ระดับบรอนซ์” เพราะว่าพวกเขาทั้งคู่พึ่งลงทะเบียนกับทางกิลด์หลังจากเข้าร่วมปาร์ตี้ “ซิวเวอร์บาลานซ์” มา

 

นักพจญภัยที่มีชื่อเสียงในระดับ “ทอง” จะถูกยกระดับขึ้นเป็นระดับ “แพลตตินั่ม” และแนวหน้าของระดับ “แพลตตินั่ม” ในท้ายที่สุดก็จะเลื่อนขึ้นเป็นระดับ “มิธริล”

 

เมื่อไรเครียซังได้ยินคำว่า “มิธริล” เขาก็กระตุกแต่ไม่ได้พูดอะไรออกมา

 

「โอ๊ะ? ที่ยืนอยู่ตรงนั้นคือ “โล่ใหญ่สีเงิน” ไม่ใช่รึ?」

 

「อย่างที่คิด นายคือ “ดาบแสงไม่มีวันดับ” โจเซฟ ใช่ไหม?」

 

「ไม่เจอกันนานเลยนะ! คิดว่าครั้งสุดท้ายที่เจอกันคือตอนที่พวกเราจัดการกับฝูงก็อบลินสินะ?」

 

「ในตอนนั้น นายฆ่าพวกมันไปเยอะที่สุดเลยนี่」

 

「นั่นต้องขอบคุณ “โล่ใหญ่” ที่คอยระวังหลังให้ละนะ」

 

ดันเต้ซังเดินเข้าไปหาชายคนนั้น แต่ไรเครียซังที่ยืนมองดูอยู่ข้างๆนั้นกำลังเอามือปิดปากและสั่นไหล่อยู่

 

「…ไรเครียซัง?」ผมถามออกไป ในหัวก็พอจะคาดเดาได้ว่าเขานั้นเป็นอะไร

 

「คุคุ ฮา…ไอ้ “แสงไม่มีวันดับ” นี้… หมายถึงไอ้หัวลื่นๆนั่น? คุคุ….」

 

อย่างที่คิด! คนๆนี้กำลังหัวเราะกับเรื่องแบบนั้นอยู่!

 

「ว่าไง “โล่ใหญ่” ? อยากจะลองฝึกเด็กใหม่ไหม?」

 

「ไม่ละ ก็อย่างที่นายเห็น ข้ามีบางส่วนกลายเป็นหิน」

 

「ไม่มีปัญหา ยังไงเด็กใหม่ก็ต้องเจอกับอุปสรรคบ้างสักหน่อยอยู่แล้ว วะฮาๆๆๆๆ!」

 

ชาวหัวลื่นๆ… ไม่ ผมหมายถึงโจเซฟซัง! ให้ตายสิ ติดคำแปลกๆมาจากไรเครียซังซะได้!

 

โจเซฟซังไม่สนใจเรื่องคำสาปเลยสักนิด ก่อนจะเริ่มสอนเด็กใหม่อีกครั้งด้วยกันกับดันเต้ซัง

 

มีเด็กใหม่บางคนเกิดกลัวคำสาปขึ้นมา โจเซฟซังก็พุ่งเข้าไปเตะก้นเด็กพวกนั้นอย่างรวดเร็ว

 

มีเสียงกรีดร้องดังขึ้นมากมาย

 

(…ดันเต้ซังนี้สุดยอดไปเลย)

 

ถึงแม้จะถูกเรียกว่า “โล่ใหญ่” แต่เขาก็ไม่ใช้โล่ใหญ่ในตอนนี้เลย เขาใช้เพียงแค่ดาบไม้ที่ปกติไม่ใช้ ทว่าไม่มีใครทำให้เขาขยับได้เลยแม้แต่ก้าวเดียวแม้จะมีการโจมตีมาจากฝั่งซ้ายที่เป็นจุดที่ดันเต้ซังกลายเป็นหิน เขาทำการรับการโจมตีนั่นได้อย่างง่ายดาย

 

「ลุงดันเต้นี้สุดยอดอย่างแท้จริงเลย ช่างเหมาะสมกับชื่อเล่นที่ได้จริงๆ」

 

「มันเป็นเรื่องสุดยอดหรอครับ ที่จะได้ชื่อเล่นมาหน่ะ?」

 

「ใช่แล้ว ระดับมันขึ้นได้จากการรับคำร้อง แต่ชื่อเล่นแบบนั้นจะได้มาก็ต่อเมื่อประสบความสำเร็จในอะไรอย่างที่ยิ่งใหญ่มากเท่านั้น มันก็มีพวกที่ตั้งชื่อเล่นให้ตัวเองตามใจชอบอยู่หรอก แต่ถ้าคนจากเมืองที่ห่างไกลรู้จักชื่อนั่น เวลานั้นแหล่ะมันถึงจะสุดยอดหล่ะ」

 

บรรยากาศที่มืดมนรอบๆตัวไรเครียซังนั้นได้หายไปแล้วและตัวเขาเองก็พูดเยอะมากขึ้น

 

「เห็นเด็กผมฟ้าที่กำลังโจมตีตรงนั้นไหม? เด็กนั่นบางทีอาจจะมีสกิล【ทักษะการวิ่ง】แต่ดูเหมือนจะใข้มันไม่เป็น」

 

「【ทักษะการวิ่ง】หรอครับ?」

 

「มันเป็นสกิลที่ใช้แรงกาย แต่จะเพิ่มความเร็วตอนพุ่งตัวหรือลบเสียงฝีเท้าได้ชั่วคราว」

 

「!」

 

ลบเสียงฝีเท้า? งั้นก็หมายความว่า…

 

「ข้าก็มีอยู่เหมือนกัน…」

 

อย่างที่คิด! การเคลื่อนไหวของไรเครียซังมาจากสกิลยูนีคจริงๆด้วย!

 

「ถ้าไม่ใช้คู่กับสกิล【เสริมแรงกาย】ละก็จะหมดแรงอย่างรวดเร็วเลย แล้วอีกอย่าง【เสริมแรงกาย】มันสะดวกมาก ต่อให้ใช้เวลาเคลื่อนไหวนานๆก็ยังไม่รู้สึกเหนื่อยเลย เฮ้ย เป็นอะไรไป?」

 

「…ปะ-ปล่าวครับ ไม่มีอะไรครับ…」

 

「ถ้าอยู่ๆเจ้าก็เอามือกุมหัว มันจะต้องมีอะไรเกิดขึ้นแน่ๆ」

 

ผมคาดการณ์ไว้แล้วว่าไรเครียซังนั้นมีสกิล【เสริมแรงกาย】

 

และผมก็เรียนรู้สกิล【เสริมแรงกาย】ของไรเครียซังมาโดยไม่รู้ตัว ถ้าจะพูดให้ชัดเจนละก็ ไม่ใช่เพราะว่าผมเติบโตขึ้นจนทำให้ผมไม่รู้สึกเหนื่อยจากการเดินทางในป่า แต่เป็นเพราะสกิลนี้ต่างหาก!

 

โธ่เอ้ย! ผมรู้สึกอายตัวเองจริงๆเลยในตอนที่ผมพูดกับน็อนซังไปอย่างภูมิใจว่า「ผมเติบโตขึ้นแล้วครับ!」คิดดูดีๆแล้ว มันเป็นไปไม่ได้ที่จะมีกำลังมากขึ้นจากการเดินแค่วันหรือสองวันได้อยู่แล้ว!

 

「เฮ้ย เจ้าเปี้ยก」

 

「คะ-ครับ?」

 

「เจ้าถูกเรียกอยู่แหน่ะ」

 

「ว่าไงนะครับ?」

 

เมื่อผมมองขึ้นไป ดันเต้ซังก็โบกมือเรียกผมให้ไปหา และโจเซฟซังก็เอามือกอดอกมองมาที่ผม

 

「…สังหรณ์ใจไม่ดีซะแล้วสิ」

 

 

 

บทที่ 1 ตอนที่ 15

 

*ที่พักของดยุคอเคนบาค*

 

มีชายคนหนึ่งกำลังนั่งสั่นขาของเขาพร้อมทั้งทำหน้าหงุดหงิด เขาคือลูกขายคนโตของตระกูลดยุคนามว่า แดเนียล อเคนบาค เขานั้นจ้องมองไปที่อัศวินผู้สวมเกราะเงาวับและพ่อบ้านที่อยู่ภายในห้องแห่งนี้

 

「ยังไม่มีการตอบกลับมาจากเหมืองที่ 6 อีกรึไง?!」

 

「ครับท่าน ทีมที่สุ่งไปน่าจะถึงแล้ว แต่การติดตั้งอุปกรณ์เวทมนตร์สื่อสารใหม่นั้นต้องใช้เวลาสักพักนะครับ คาดว่าอุปกรณ์สื่อสารที่มีอยู่ภายในเมืองนั้นจะใช้การไม่ได้ครับ」

 

「เรื่องนั้นข้ารู้อยู่แล้ว! ปัญหาก็คือมังกรกับหินสกิล 6 ดาวต่างหากเล่า!」

 

ถูกทำให้เหมือนเป็นเด็กทั้งๆที่อายุมากกว่า 40 ปีแล้ว แดเนียลก็เอาผ้าเช็ดหน้าเช็ดหน้าผากของเขา

 

「นายน้อย ทหารประจำเหมืองนั้นรายงานว่าหินสกิล 6 ดาวนั้นถูกเด็กผู้หญิงคนหนี่งใช้งานและหลบหนีออกไปขอรับ ถ้าเป็นเช่นนั้น เด็กคนนั้นจะต้องแวะเมืองไหนสักเมือง ถ้าไม่เป็นเช่นนั้นเธอต้องอดตายแน่นอน ดังนั้นพวกเราไม่มีทางเลือกนอกจากรอคอยเพียงเท่านั้นขอรับ」

 

「ก็บอกว่ารู้อยู่แล้วไง! ในเหมืองก็ไม่ได้มีเด็กอยู่เยอะแยะซักหน่อย! ทำไมถึงยังหามันไม่เจอซักที?」

 

「ทางเราแจ้งไปยังเมืองต่างๆในอาณาเขตเรียบร้อยภายในเมื่อวานแล้วขอรับ ดังนั้น เราจะหาเธอเจอทันทีแน่นอน… ไม่สิ โปรดรอสักครู่นะขอรับ จริงสิ มีเด็กไม่กี่คน…」

 

「หืมม? เจ้านึกอะไรขึ้นได้งั้นรึ?」

 

พ่อบ้านพลิกหน้ากระดาษบันทึกในมือของเขาอย่างรวดเร็ว

 

「อย่างที่ท่านได้พูดไว้ขอรับ นายน้อย มีเด็กเพียงแค่ 2 คนเท่านั้นที่ทำงานเป็นทาสอยู่ภายในเหมือง」

 

「ใช่แล้ว ทำไมรึ?」

 

「เป็นเด็กที่อายุพอๆกันเพียงแค่ 2 คนภายในเหมือง ท่านคิดว่าเด็กพวกนั้นจะต้องสนิทกันแน่นอนใช่ไหมขอรับ?」

 

「อืม ช้าก็คิดว่าเป็นแบบนั้นนะ… แต่เรื่องนี้มันเกี่ยวอะไรกับเรื่องที่เราคุยกันอยู่นี้งั้นรึ?」

 

「เด็กอีกคนนั้นไม่มีชื่อแต่มีลักษณะเป็นผมสีดำตาสีดำขอรับ ถ้าหากเด็กทั้งสองคนอยู่ด้วยกันละขอรับ? ถึงเด็กที่หลบหนีไปที่มีนามว่าลาคจะมีหน้าตาธรรมดา แต่เด็กที่มีผมสีดำตาสีดำน่าจะหาเจอได้ไม่อยากนะขอรับ」

 

「เช้าใจละ! แต่เด็กนั่นมีผมสีดำตาสีดำจริงๆงั้นรึ?」

 

「…ขอรับ เป็นความจริง」

 

แดเนียลเอากำปั้นของเขาทุบไปที่โต๊ะ

 

「นั่นมัน “เด็กหายนะ” ไม่ใช่รึไง?! ตำนานนั่นเป็นความจริงสินะ!」เขาอุทานออกมาและมองไปทางอัศวิน「ตามหาเด็กที่มีผมสีดำตาสีดำนั่นซะ! ถ้าเจอแล้วทำยังไงก็ได้ให้มันคายที่อยู่ของหิน 6 ดาวอออกมา หลังจากนั้นก็ฆ่ามันทิ้งซะ!」

 

「…จะดีหรือครับ?」

 

「แน่นอน! นี้เป็นคำสั่ง! ไปได้แล้ว!」

 

「รับทราบครับ…」

 

อัศวินคนนั้นออกไปจากห้องด้วยสีหน้าไม่เต็มใจทำอย่างชัดเจน

 

「แม่งเอ้ย มันจะเป็นปัญหาใหญ่แน่ถ้าฝ่าบาทเกฟเฟริดทราบว่าหิน 6 ดาวมันหายไปแล้ว」

 

ใช้เวลาประมาณครึ่งวันในการกระจายข่าวจากยามเฝ้าปราสาทไปยังกองอัศวินว่า「มีทาสเด็กผมดำและตาสีดำอยู่ในอาณาเขตแห่งนี้」

 

ในอีกด้านหนึ่ง พ่อบ้านคนนั้นก็วิ่งวุ่นเพื่อเตรียมพื้นที่จอดเรือเหาะเวทมนตร์ เพราะว่าเรือเหาะเวทมนตร์ที่บรรทุกนักพจญภัยระดับมิธริลลำนั้นจะมาถึงที่หมายในช่วงบ่ายวันนี้

 

* *

 

หลังจากที่ถูกเรียกตัวโดยน็อนซัง มิมิโนะซังกับผมก็รีบตรงมายังกิลด์นักพจญภัย – ไปยังโกดังด้านหลัง เมื่อพวกเรามาถึงก็พบกับฉากที่น่าเหลือเชื่อเข้า

 

「ไม่มีทาง…」

 

「อะไรกันเนี้ย…」

 

คุณลุงหนวดสั้นกับหนุ่มแขนข้างเดียวนั้นกำลังยืนตะลึงงันอยู่ตรงนั้น

 

「หืมม… ผมยกมันไปไว้ทางนั้นทั้งหมดเรียบร้อยแล้วครับ หัวหน้า」

 

「อะ-อืม…」

 

「งั้น ผมจะเริ่มจัดการกับเอกสารด้านในเลยนะครับ!」คุณมนุษย์ไร้ประโยชน์คนนั้นพูด ก่อนจะหายเข้าไปด้านในกิลด์

 

ชายคนที่ยืนยังไม่ตรงจนถึงเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อน

 

「–เจ้าหนู!」คุณลุงหนวดสั้นหันมาทางผม「ชั้นจะซื้อหญ้านั่นทั้งหมด! ราคาเท่าไหร่?!」

 

「วะ-ว่าไงนะครับ?!」

 

「มันได้ผลกับอาการเมาค้างสุดๆไปเลย ใช่ไหมละ? หลังจากนี้ข้าก็จะไปติดคำร้องให้รวบรวมมันภายในกิลด์ด้วยเหมือนกัน!」

 

「อะ-โอ้…」

 

ปรากฏว่า ยาสีเหลืองที่ผมให้ไปมันทำงานได้ดีเกินคาด ดีแล้วละ แต่ยังสงสัยว่ามันส่งผลถึงขนาดนั้นเลยงั้นหรอ…? ผมตรวจสอบมันด้วย【World Ruler】ทว่าผมก็รู้แค่ว่ามัน “เสริมการทำงานของตับ” เท่านั้นเอง

 

…อืม คิดว่าก็คงไม่ผิดในแง่ของการเสริมการทำงานของตับละมั้ง?

 

…ขนาดในเกมRPG “รักษา” กับ “การรักษาขั้นสูง” ยังแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงเลย

 

…อีกอย่าง คำว่า “ขั้นสูง” มันก็ต้องดีกว่าอยู่แล้วไม่ใช่หรอ?

 

「!」

 

เมื่อผมจ้องมองไปที่รากของมันอย่างถี่ถ้วน คำว่า “เสริมการทำงานของตับอย่างมาก” ก็โผล่ขึ้นมาในหัวของผม

 

…มันได้ผล! ถ้างั้น ทำไมไม่แสดงผลแบบนี้แต่แรกเล่า!

 

…ไม่สิ เดี๋ยวก่อนนะ อาจจะเป็นเพราะผมไม่ได้ตรวจสอบมันให้ดีๆตั้งแต่แรกรึปล่าว?

 

「แล้วก็อีกอย่างนึงนะ เจ้าหญ้านี่มันเป็นพืชอะไรกัน?」

 

「โอ้ มันคือขมิ้น—」

 

ผมรีบเงียบปากตัวเองทันที ไม่ นี้มันไม่ใช่ขมิ้นซักหน่อย! ผมยังไม่เคยเห็นขมิ้นของจริงเลยสักครั้งนะ!

 

「โอ้ เจ้านี้เรียกว่าขมิ้นนี้เอง」

 

「จะ-จริงๆแล้ว ผมเองก็ไม่รู้จักชื่อจริงของมันหรอกครับ ผมเรียกมันว่าขมิ้นเพราะว่ามันดูเหมือนกับขมิ้นเฉยๆเองครับ」

 

「เอาเถอะ ไว้รู้ชื่อจริงของมันอีกที เดี๋ยวเราค่อยเปลี่ยนไปใช้ชื่อนั้นทีหลังเอาก็ได้」

 

「งะ-งั้น ทำไมไม่ตั้งชื่ออื่นให้มันดีละครับ?」

 

「หืมม… เพื่อความสะดวก เราจะเรียกมันว่า “เรย์คอน” ในกิลด์สาขานี้ก็แล้วกัน」(จาก EN Note: ขมิ้นนั้นอ่านว่า “อูคอน (Ukon)” ในภาษาญี่ปุ่น “เรย์คอน (Reikon)”เป็นการผสมกันระหว่างคำว่า “เรย์จิ (Reiji)” กับ “อูคอน (Ukon)”)

 

「…เอ๊ะ?」

 

「ตั้งตามชื่อคนที่ค้นพบไงละ」

 

「อา…」

 

ผมมีปัญหาแล้ว ผมกำลังกระจายชื่อผิดๆของขมิ้นนี้ในต่างโลกซะแล้ว… เอาจริงๆ ผมเองก็ยังไม่รู้เลยว่ามันมีขมิ้นของจริงอยู่บนโลกใบนี้จริงๆรึปล่าวด้วยซ้ำ… ดังนั้น ผมคิดว่ามันคงไม่เป็นอะไรละมั้ง?

 

…ไม่เป็นไรหรอกเนอะ?

 

…ไม่เป็นไร

 

…ผมมั่นใจว่าต้องมีคนที่คิดชื่อเฉพาะของมันเรียบร้อยแล้วแน่นอน

 

「ครับ งั้นเรียกมันว่าเรย์คอนก็ได้ครับ…」

 

「เข้าใจแล้ว เรื่องค่าตอบแทน เอาเป็น 1 เหรียญทองเล็กต่อหญ้าทั้งหมดละเป็นไง?」

 

ไม่น่าเชื่อว่ามันจะได้ราคาสูงขนาดนั้น มากกว่าราคาที่ผมใช้ซื้อ “ใบไม้ของต้นไม้แห่งชีวิต” ซะอีก ไชโย!

 

ตอนที่ผมเกือบจะพยักหน้าตกลงไปนั้น

 

「รอเดี๋ยวก่ออออออน!」

 

「มิมิโนะซัง?」

 

「1 เหรียญทองเล็กกับยาที่ได้ผลขนาดนี้มันถูกเกินไปนะ」

 

「ไม่หรอก อาการเมาค้างบางส่วนยังคงรักษาหายได้ด้วยเวทย์รักษา ถ้าเป็นแบบนั้น ที่ข้าจ่ายในราคานี้ก็ถือว่าสูงมากแล้วนะ」คุณลุงหนวดสั้นพูด

 

「แต่เราสามารถใช้มันต่างจากเวทย์รักษาได้นะ」

 

「ใช้ต่างกัน…?」

 

「เราสามารถใช้มันก่อนได้ยังไงละ」

 

「อ้า!」คุณลุงหนวดสั้นส่งเสียงออกมา「ไม่เหมือนกับเวทมนตร์ที่จะใช้มันได้ก็ต่อเมื่อแสดงอาการแล้วเท่านั้น แต่เราสามารถดื่มยานี้ก่อนได้! ถ้าเป็นแบบนั้น… ข้าเข้าใจแล้ว! มันอาจจะกลายเป็นอะไรที่สุดยอดเลยก็ได้นะเนี้ย!」

 

คุณลุงแสดงท่าทีตื่นเต้นออกมา แต่ตัวผมนั้นไม่เข้าใจเรื่องที่พูดกันเลยแม้แต่นิดเดียว

 

「มันหมายความว่ายังไงหรอครับ มิมิโนะซัง?」

 

「อืมม ชั้นว่าเรื่องนี้เธออาจจะเข้าใจมากขึ้นถ้าเธอโตขึ้นมากกว่านี้ละนะ แต่ถ้าจะให้พูดละก็ ตัวอย่างเช่นว่ามันจะมีบางสถานการณ์ที่เหล่าบุคคลสำคัญต้องมาดื่มแอลกอฮอล์สังสรรค์กัน แต่ก็ไม่ใช่ทุกคนที่จะถูกกับแอลกอฮอล์ใช่ไหมละ?」

 

「ครับ」

 

「จากที่พูดมา พวกงานเลี้ยงและการเจรจาธุรกิจทั้งหลายมักจะมีการดื่มแอลกอฮอล์กัน สำหรับคนที่แพ้แอลกอฮอล์ มันจะกลายเป็นจุดอ่อนสำหรับคนพวกนั้นไปเลย ทว่าสำหรับคนที่ไม่แพ้แอลกอฮอล์ก็เท่ากับว่าเป็นจุดแข็ง เราจะเสียเปรียบในการเจรจาเอาได้นะถ้าว่าเกิดเราเมา」

 

「โอ้… เข้าใจแล้วครับ ถ้าใช้ยาก่อนก็จะเมาได้ยากขึ้นนี้เอง!」

 

「นั่นยังคงเป็นแค่ความเป็นไปได้ พวกเรายังต้องยืนยันผลของมันหลังจากนี้…」

 

「ผมมั่นใจได้ว่ามีหลายคนที่ใช้มันก่อนดื่ม ดังนั้นมันได้ผลแน่นอนครับ」ผมพูดออกไป

 

「…นี่เธอพูดถึงบ้านเกิดของเธอรึปล่าว เรย์จิคุง?」

 

…ซวยละ

 

ผมดันเผยความรู้จากญี่ปุ่นจากที่ว่ามันมียาที่มีฉลากเขียนไว้ว่า “ก่อนดื่มแอลกอฮอล์” ขายอยู่ในร้านขายยาอะไรแบบนั้นออกไปซะแล้ว

 

「เข้าใจแล้ว」คุณลุงหนวดสั้นหยิบเหรียญทองออกมาจากในกระเป๋า「เอาเป็น 1 เหรียญทองแล้วกัน นี้เป็นการลงทุนล่วงหน้าและข้าเองก็ให้มากกว่านี้ไม่ได้แล้ว ที่ข้ายอมลงทุนเป็นเพราะว่ามันเป็นเวลานานแล้วที่ข้าไม่ได้เห็นยาที่น่าสนใจมากถึงขนาดนี้」

 

「นั่นมันเยี่ยมไปเลย! “เทพแห่งการค้ากำลังเฝ้ามองอย่างยุติธรรม”」

 

「ขอรายงานว่ามันเป็น “การค้าขายที่ยุติธรรม”」

 

คุณลุงกับมิมิโนะซังจับมือกัน ผมได้ยินมาว่าการโต้ตอบเมื่อกี้เป็นประโยคทักทายที่ใช้กันบ่อยๆระหว่างพ่อค้าด้วยกัน

 

「อา ขอโทษนะ เรย์จิคุง ที่ชั้นทำข้อตกลงไปเองโดยไม่ได้ถามเธอ」

 

「ไม่เป็นไรครับ ผมเองก็ยังนึกไม่ถึงเรื่องการใช้ยาก่อนเลยครับ ดังนั้นผมยินดีมากครับ」

 

「เอานี่ เงินของเรย์จิคุง」

 

「อา…」

 

เหรียญทองในมือของผมนั้นหนักกว่าเหรียญทองเล็ก มันมีค่าถึงประมาณ 100,000 เยนเลย

 

「ดูเหมือนว่ามันจะจบลงด้วยดีนะ ตอนแรกข้าก็คิดว่าจะเกิดอะไรเลวร้ายขึ้นซะแล้วตอนที่มีเจ้าหน้าที่กิลด์วิ่งมาทางเรา」

 

「ดันเต้ซัง」

 

「ความรู้นั้นคือพลัง ชั้นหวังว่าความรู้ที่เรย์จิคุงนำมาจะเป็นประโยชน์ต่อผู้คนมากมายเลยนะ」น็อนซังที่อยู่ข้างๆดันเต้ซังพูดขึ้น

 

พวกเขาไม่เคยตั้งคำถามกับผมถึงที่มาของความรู้ที่ผมมีหรืออะไรทำนองนั้นเลยแม้แต่ครั้งเดียว ทุกคนนั้นรู้ถึงเรื่องนั้นแต่กลับไม่มีใครถามออกมา

 

(เวลาที่ผมต้องบอกความจริงกับพวกเขาจะมาถึงไหมนะ? ผมไม่มีทางรู้เลย…)

 

「หืมม?」

 

ในเวลานั้น ผมก็ได้ยินเสียงร้อง มันดังมาจากตึกหน้าตาคล้ายๆกันอยู่ถัดจากโกดังแห่งนี้

 

「ตรงนั้นคืออะไรหรอครับ?」

 

「โอ้ นั้นเป็นลานฝึกซ้อมหน่ะ พวกนักพจญภัยจะไปฝึกกันตรงนั้น… อยากจะลองไปดูไหม?」

 

「อยากครับ!」

 

「ก่อนหน้านั้น ไปหาอะไรกินกันก่อนดีกว่านะ พวกเรายังไม่ได้กินอะไรกันเลย」

 

หลังจากที่ได้ยินมิมิโนะซังพูดแบบนั้น ท้องของผมก็ร้องออกมา

 

 

 

บทที่ 1 ตอนที่ 14

 

ตลาดสาธารณะดูเหมือนว่าจะมีไว้ให้กับผู้คนที่จ่ายค่าเช่าให้กับกิลด์การค้ามาเปิดธุรกิจได้ ดังนั้นจัตุรัสหินขนาดใหญ่แห่งนี้จึงมีร้านแผงลอยอยู่เต็มไปหมด

 

ร้านแผงลอยพวกนี้นั้นคล้ายกับตลาดนัดที่ญี่ปุ่น มีทั้งขายของทำมือ เครื่องประดับ ผลไม้แห้ง และร้านขายอาหารที่หน้าตาเหมือนกับเส้นโซบะบนกระทะเหล็กร้อน

 

ดูเหมือนว่าอาหารที่ขายจะแตกต่างกันไปตามแต่ละพื้นที่เลยด้วย

 

(อืม ก็คงจะจริง มันคงตัดสินใจที่จะซื้อยากถ้ามีให้เลือกหลากหลายเกินไปละนะ)

 

「…ทุกคนเอาแต่พูดถึงเรื่องเหมืองอย่างเดียวเลย」อยู่ๆมิมิโนะซังก็พูดออกมา「ได้ยินเหมือนกันใช่ไหมละ? มีแต่คนคุยกันเรื่องนั้นทั้งนั้นเลย」

 

「–เหมืองที่ 6 จะหยุดทำงานงั้นหรอ?」

 

「–ถ้าำม่อย่างนั้น พวกนั้นคงไม่ส่งทหารเข้าไปขนาดนั้นหรอก」

 

「–ดูเหมือนเพราะแบบนั้น ท่านดยุคเลยไม่ยอมออกมาจากปราสาทเลย」

 

「–เดี๋ยวก่อนนะ ไม่ใช่ว่าท่านดยุคไปที่เหมืองแล้วหรอกหรอ?」

 

「–ด้วยเหตุผลอะไรหล่ะ?」

 

「–ถ้าเหมืองหยุดทำงานละก็ เมืองนี้ก็จะแย่ลงนะสิ」

 

「–ชั้นว่ามันอาจจะแค่ชั่วคราวก็ได้นะ」

 

แค่เอียงหูฟังสักนิดก็จะได้ยินการสนทนาระหว่างเหล่าลูกค้ากับเจ้าของร้าน

 

ข้อมูลก็ดูจะไม่ได้ตรงสักเท่าไหร่ ทุกคนเอาแต่พูดเหมือนกับว่าเหมืองนั้นแย่แล้ว เหมืองนั่นสำคัญกับอาณาเขตดยุคอเคนบาคนี้ขนาดนั้นเลยหรอ?

 

「ถึงขั้นเลวร้ายเลยละ ประเทศนี้หน่ะหวังพึ่งหินสกิลมากเกินไป」

 

「นั่นสินะครับ…」

 

「การที่เหมืองปิดตัวลงอาจจะทำให้คนพวกนั้นเริ่มตาสว่างขึ้นมาก็ได้」มิมิโนะซังพูดอย่างยิ้มแย้ม แต่ผมไม่อาจยิ้มตามได้

 

「…เรย์จิคุง? เป็นอะไรไปหรอ?」

 

「โอ๊ะ ไม่มีอะไรครับ ผมสบายดี」

 

「จริงๆหรอ?」

 

มิมิโนะซังจับมือของผมเหมือนปกติ ถึงพวกเราสองคนจะส่วนสูงต่างกัน มันก็รู้สึกเหมือนพวกเราเป็นคู่รักหน่มสาวเลย ไม่ ไม่สิ นี้ผมพูดอะไรออกไปเนี้ย… ที่ผมรู้ตื่นเต้นจากการจับมือนั้นเพราะผมไม่เคยมีแฟนเลยนั่นเอง

 

「ร้านแผงลอยตรงนั้นดูจะขายสมุนไพรนะ」

 

ผมได้สติกลับคืนมาจากคำพูดของมิมิโนะซัง ตรงนั้นมีร้านแผงลอยอยู่มากมายที่กางผ้าปูที่พื้นและวางขายใบไม้ตากแห้งอยู่

 

「โอ้ววว!」

 

ผมเข้าไปดูรอบๆที่ร้านแผงลอยอย่างอารมณ์ดี

 

เกือบทั้งหมดที่ขายนั้นเป็นพวกสมุนไพรและเครื่องเทศทั่วๆไป ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นเครื่องเทศซะมากกว่า บางที่ก็ขายพวกเครื่องเทศที่อยู่ในไห เวลาขายราคาจะเป็นไปตามปริมาณที่ชั่งได้และดูเหมือนจะค่อนข้างแพงซะด้วย

 

ดูเหมือนจะไม่มีอันที่ผมตามหาอยู่แห่ะ

 

「เธออยากได้อะไรงั้นหรอ?」

 

「อะ-อืมม… ผมก็ไม่รู้ว่ามิมิโนะซังจะรู้จักมันรึปล่าว แต่ว่า…」

 

ผมอธิบายเกี่ยวกับใบไม้อันนั้นให้มิมิโนะซังฟัง ใบไม้ที่แยกออกเป็น 5 กลีบเหมือนกับใบไม้ในฤดูใบไม้ล่วงและตรงปลายก็ยังแยกออกไปอีก 5 กลีบ ผมจะเรียกมันว่า “ใบฤดูใบไม้ล่วงคู่” ในใจก็แล้วกัน

 

「ใบอะไรละนั่น?」

 

ดูเหมือนตัวมิมิโนะซังเองก็ยังไม่รู้จักมัน และตอนเธอเอียงหัวสงสัยนั้นน่ารักมากเลยละ

 

…โอ้ว้าว น่ารัก อายุ 20 ปีแล้วแท้ๆทำไมถึงน่ารักได้ขนาดนี้กัน

 

「ใบไม้ที่ขนาดฮาล์ฟลิงที่เชี่ยวชาญด้านนี้เองก็ยังไม่รู้จักงั้นรึ? บอกข้าทีสิ」

 

คุณลุงหนวดเฟิ้มใกล้ๆลุกขึ้นแล้วเดินเข้ามาหา

 

「ว่าไงนะ? ใบไม้มายาขนาดที่เผ่าฮาล์ฟลิงก็ไม่รู้จักงั้นหรอ?」

 

「เฮ้ หรือว่ามันคือใบไม้ลึกลับของหมู่บ้านฮาล์ฟลิงนั่นรึปล่าว?」

 

「เมื่อกี้ว่าไงนะ? ใบไม้ในตำนานที่เก็บเกี่ยวได้เฉพาะฮาล์ฟลิงอาวุโสนั่นหน่ะหรอ?」

 

เหล่าพ่อค้านั้นออกมาจากร้านค้าของตนเองด้วยข่าวลือที่กระจายออกไป และข่าวลือพวกนั้นมันจะแต่งแต้มจนเกินจริงไปแล้ว! มีแค่คำว่า “ฮาล์ฟลิง” กับ “ใบไม้” ที่ถูกต้องเองนะ!

 

แม้จะถูกล้อมโดยเหล่าพ่อค้า มิมิโนะซังก็ยังอธิบายลักษณะของใบไม้นั่นที่ได้ยินไปจากผมอย่างใจเย็นได้

 

「นั่นมันไอ้นั่นไม่ใช่หรอ? ใบไม้จากต้นไม้น้ำแข็งหน่ะ」

 

「อย่าโง่ไปหน่อยเลยหน่า ใบของต้นไม้นั่นมันเป็นสามง่ามนะ」

 

「ข้าเคยเห็นมันนะ มันต้องเป็นแนวประการังที่อยู่ในราชอาณาจักรครูวานศักดิ์สิทธิ์แน่ๆเลย」

 

「มันไม่มีทางจะอยู่ในทะเลหรอกหน่า」

 

ทุกคนพูดหลายๆอย่างออกมา แต่ก็ดูจะไม่มีคำตอบที่ถูกต้อง หรือว่าบางทีใบไม้นี้มันจะเป็นวัตถุดิบหายากงั้นหรอ?

 

งั้น ผมสงสัยจังว่าจะถามเรื่องโลหะเงินบริสุทธิและสิ่งมีชีวิตคล้ายไส้เดือนนั่นออกไปดีไหม

 

「โฮะๆๆ มีเรื่องเอะอะอะไรกันงั้นรึ?」

 

มีชายแก่ที่มีคิ้วยาวอยู่เหนือตาของเขาแล้วก็ยังมีหัวที่ล้านและส่องประกายปรากฏตัวขึ้น เขาเดินเข้ามาทางนี้พร้อมกับไม้เท้า

 

「ท่านผู้เฒ่านี้นา」

 

「ถ้าเป็นท่านผู้เฒ่าละก็ เขาต้องรู้จักมันแน่ๆเลย」

 

「ท่านผู้เฒ่าละ」

 

เหล่าผู้เชี่ยวชาญสมุนไพรของตลาดแห่งนี้พากันหลีกทางออก เปิดทางให้เขาตรงมายังพวกเรา

 

「เจ้าหนู ชายผู้นี้เป็นถึงผู้ที่ถูกเรียกว่า “พจนานุกรมสมุนไพรเดินได้” เลยนะ」

 

「งะ-งั้นหรอครับ? เขามีชื่อว่าอะไรงั้นหรอครับ?」

 

「ไม่รู้」

 

(ไม่รู้?)

 

「โฮะๆๆ ดูเหมือนเจ้าหนูจะพูดถึงใบไม้ที่ค่อนข้างน่าสนใจดีนะ… หืมม?! ฮาล์ฟลิงงั้นเรอะ?!」

 

เขามีท่าทีเปลี่ยนไปจากเดิม 180 องศาเลย

 

「หนอยเจ้านักสมุนไพรฮาล์ฟลิง… คิดจะมาบุกรุกพื้นที่ของมนุษย์อีกแล้วงั้นเรอะ?」

 

「ทะ-ท่านผู้เฒ่า เธอคนนี้เป็นแค่นักเดินทาง ไม่ใช่แม่ค้าที่จะมาบุกรุกตลาดหรอกนะครับ」

 

「ข้าไม่เชื่อ! ข้าจะไม่พูดอะไรทั้งนั้นถ้าฮาล์ฟลิงนั่นยังอยู่!」

 

(แต่คุณก็ยังไม่ได้พูดอะไรสักคำเลยนะ…)

 

เขาพยายามเหลือบมองมาทางผม – คงกำลังดูว่าผมจะมีท่าทียังไงสินะ? – น่ารำคาญชะมัด

 

「…งั้น มิมิโนะซัง พวกเรากลับกันเลยดีไหมครับ?」

 

เมื่อผมกำลังชวนมิมิโนะซังให้กลับนั้น

 

「นี้เจ้าจะโอเคกับแบบนั้นงั้นรึ!? พวกเขาเรียกข้าว่า “พจนานุกรมสมุนไพรเดินได้” เลยนะ! ข้าอาจจะรู้ในสิ่งที่คนอื่นไม่รู้ก็เป็นได้!」

 

(อุหว่าาา น่ารำคาญชะมัด… ไม่ไหว แค่คิดจะรับมือกับชายคนนี้ก็รู้สึกเหนื่อยแล้ว)

 

แม้ผมเริ่มคิดที่จะหนีออกไป แต่มิมิโนะซังก็พูดขึ้นว่า

 

「เรย์จิคุง ชั้นจะออกไปยืนรออยู่ตรงนั้นนะ ดังนั้นไปคุยกับชายคนนั้นเถอะ」

 

「ตะ-แต่ว่า…」

 

「อย่าห่วงไปเลย พวกเราไม่มีอะไรจะเสียอยู่แล้วนี้」มิมิโนะซังพูดและตีตัวออกห่างไปจากผม

 

(กุ… ผมไม่อยากจะคุยกับคนที่ว่าร้ายมิมิโนะซังเลยจริงๆ)

 

「งั้น เจ้าตามหาใบไม้อะไรอยู่หล่ะ หนุ่มน้อย? ใบไม้ที่ทำให้รู้สึกมีความสุขงั้นรึ?」(TL: ใบไม้ที่ทำให้รู้สึกมีความสุข? รู้สึกคุ้นๆนะเนี้ย ฮา)

 

(นี้ชายคนนี้เองก็ขายยาด้วยงั้นหรอ?)

 

สรุปง่ายๆก็คือว่า ชายแก่คนนี้นั้นรู้จัก “ใบฤดูใบไม้ล่วงคู่” แถมยิ่งไปกว่านั้นยังมีมันอยู่อีกด้วย

 

ใบไม้นี้นั้นถูกเรียกว่า “ใบไม้ของต้นไม้แห่งชีวิต” และเป็นสิ่งล้ำค่าที่หาได้แค่จากป่าที่ปกครองโดยเหล่าเอลฟ์ชั้นสูงเพียงเท่านั้น

 

อย่างไรก็ตาม ผมสามารถซื้อมันได้ด้วย “เงินค่าขนม” ที่ดันเต้ซังให้ผมมา เหตุผลนั้นเป็นเพราะว่าถึง “ใบไม้ของต้นไม้แห่งชีวิต” จะมีค่า แต่ก็มีเพียงเหล่าเอลฟ์ชั้นสูงเท่านั้นที่รู้ถึงวิธีการผสมมัน ดังนั้นมันจึงดูเหมือนจะกลายเป็นแค่ของสะสมสำหรับเขาไป

 

「โฮะๆๆ ในที่สุดข้าก็ได้ส่งมอบ “ใบไม้ของต้นไม้แห่งชีวิต” ที่ตกทอดจากรุ่นสู่รุ่นให้ใครสักคนได้สักที」

 

「ต้องขอบคุณมากจริงๆครับ แต่ถึงเวลาที่ผมต้องไปแล้วละครับ」

 

「ใช่แล้ว เรื่องมันเริ่มมาจากที่ข้านั้นกลายเป็นลูกศิษย์ของรุ่นก่อน…」

 

「เรื่องมันจะยาวไหมครับเนี้ย? ผมไปเลยได้ใช่ไหมครับ?」

 

เขาบ่นกับผมถึงเรื่องที่เด็กสมัยนี้นั้นไม่มีมารยาทเอาซะเลย แต่สุดท้ายเขาก็ยอมปล่อยผมไป

 

「…ฮาล์ฟลิง เจ้าก็น่าจะรู้ ว่าพวกนั้นเชี่ยวชาญเรื่องสมุนไพรมากแค่ไหน แต่บางคนนั้นมีนิสัยที่เลวร้ายและความโลภมาก เจ้าควรจะรู้ไว้นะ เด็กน้อย」

 

ชายแก่คนนั้นพูดแบบนั้นกับผมในตอนท้าย ผมสงสัยว่านั่นเป็นการเอาใจใส่ผมให้ห่างจากมิมิโนะซังเอาไว้ในแบบของเขารึปล่าวนะ?

 

ถึงอย่างงั้น มิมิโนะซังก็ยังคงเป็นมิมิโนะซัง ผมไม่อยากจะเหมารวมเธอกับคนแบบพวกนั้น

 

ด้วยอารมณ์ที่หลากหลาย ผมจ้องมองไปที่ “ใบไม้ของต้นไม้แห่งชีวิต” ที่มีขนาดใหญ่กว่าฝ่ามือของผม ดูเหมือนจะถูกเก็บมานานพอดูแล้ว แต่ตัวมันยังคงดูสดใหม่จนถึงขนาดที่คิดว่าพึ่งเก็บมาสดๆร้อนๆเลย เมื่อผมมองมันโดยใช้【World Ruler】ผมก็เห็นถึงความเป็นไปได้หลายๆอย่างหลับไหลอยู่ในใบไม้อันนี้

 

「โอ้ เรย์จิคุง ดูเหมือนเธอจะได้สิ่งที่ต้องการแล้วสินะ」

 

「มิมิโนะซัง…」

 

ผมก้มหัวลงขณะที่มิมิโนะซังเดินเข้ามาหาด้วยรอยยิ้ม

 

「ผมต้องขอโทษจริงๆครับ เพราะความเห็นแก่ตัวของผม มิมิโนะซังเลยต้องเจอกับอะไรแย่ๆแบบนั้น」

 

「เอ๊ะ!? มะ-ไม่ต้องห่วงเรื่องนั้นหรอก มันก็มีพวกฮาล์ฟลิงที่บุกรุกตลาดเหมือนกับที่ตาแก่คนนั้นว่าไว้จริงๆนั่นแหล่ะ เพราะแบบนั้นผู้คนเลยเกลียดพวกเราหน่ะนะ」

 

「ถึงจะเป็นแบบนั้น มันก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกันกับมิมิโนะซังนี้ครับ」

 

「ถ้าแค่เรย์จิคุงเข้าใจละก็ งั้นมันก็โอเคสำหรับชั้นแล้วละ ไม่เห็นจะต้องไปสนใจสิ่งที่คนอื่นเขาพูดเลยนี้ ใช่ไหมละ?」

 

「แต่ว่า…」

 

มิมิโนะซังเข้ามาลูบหัวผม

 

「…งั้นเอาเป็นว่า เอาใบนั่นให้ชั้นดูทีหลังก็แล้วกันนะ โอเคไหม?」

 

「ครับ แน่นอนครับ!」

 

และแล้วพวกเราทั้งคู้ก็หัวเราะออกมา

 

「ยะ-อยู่นี้กันเอง! มิมิโนะซัง เรย์จิคุง!」น็อนซังวิ่งมาทางที่พวกเราอยู่「รีบกลับไปที่กิลด์นักพจญภัยเร็วเข้า! ชายที่เรย์จิคุงเอายาให้ดื่มคนนั้นกำลัง–」

 

มิมิโนะซังกับผมมองหน้ากัน ก่อนจะเริ่มออกวิ่งไป

 

 

 

บทที่ 1 ตอนที่ 13

 

「ชิ เจ้าหมอนั่นมันมีปัญหาอะไรของมันกัน?!」

 

พวกเราเดินไปยังด้านหลังของกิลด์ ดูเหมือนจะถูกทำเป็นโกดังไว้เก็บของและตรวจสอบวัตถุดิบที่ได้รับ พวกเรามาเพื่อขายหนังของชาร์โคลวูล์ฟและสมุนไพรที่มิมิโนะซังกับผมเก็บรวบรวมมาได้

 

สุดท้ายผมก็ลงทะเบียนเป็นนักพจญภัยไม่ได้

 

「โอ้ นี่ไปเจอกับรองหัวหน้ากิลด์มางั้นหรอ พี่ชายมนุษย์สัตว์? โชคไม่ดีเลยนะ」

 

ชายหนุ่มที่สูญเสียแขนไปข้างหนึ่งรับขนของชาร์โคลวูล์ฟไป

 

「เจ้าหมอนั่นเป็นถึงรองหัวหน้ากิลด์เลยงั้นเรอะ? นิสัยแย่ชะมัด」

 

「ใช่แล้วหล่ะ รองหัวหน้าหน่ะเกลียดเผ่าที่ไม่ใช่เผ่ามนุษย์ที่สุดเลย… ว้าว หนังนี้จัดการมาอย่างดีเลยนะเนี้ย」ขายคนนั้นรู้สึกทึ่งขณะตรวจสอบขนของชาร์โคลวูล์ฟ

 

「แน่นอนอยู่แล้ว หลังจากที่ข้าจัดการกับมันเสร็จ ตาลุงดันเต้ก็เข้ามาจัดการต่ออย่างเนียบเลยเชียวละ」

 

「หืมม ถ้าวัตถุดิบคุณภาพดีขนาดนี้ทุกอันละก็ คงประมาณ 5 เหรียญเงินต่อหนึ่งอันละนะ มีทั้งหมด 6 อันก็คิดเป็น 30 เหรียญเงิน」

 

「เดี๋ยวก่อนสิ! 5 เหรียญเงินมันไม่น้อยไปหน่อยรึไง นี้มันหนังคุณภาพดีเชียวนะ?」

 

「ชาร์โคลวูล์ฟมันไม่ได้รับความนิยมขนาดนั้นหน่ะสิ ถ้าจะให้พูดละก็ เป็นวัตถุดิบจากป่าที่ผู้คนเกลียดที่สุดเลยละ จุดขายเพียงอย่างเดียวของมันก็มีแค่ว่ามันมีหลากสีเท่านั้นเอง ถ้าไม่เชื่อละก็ ไปดูให้เห็นกับตาตัวเองที่ตลาดได้เลย」

 

「อุ๊ก…」

 

「5 เหรียญเงินก็เพียงพอแล้วหล่ะ」ดันเต้ซังแทรกขึ้นมาจากด้านข้าง และทำการตกลงราคากัน

 

มันต้องใข้เวลาทั้งในการถลกหนัง แปรรูป รวมถึงนำมันมาส่งด้วย ราคาแค่ 5 เหรียญเงินที่ประมาณ 5,000 เยนต่ออันก็ดูจะถูกเกินไปจริงๆนั่นแหล่ะ

 

「เราควรจะคว้าทุกอย่างที่สามารถคว้าเอาไว้ได้นะ」

 

「แต่ว่า…」

 

「ถ้าอยากจะได้เงินดีๆละก็ เล็งตัวใหญ่ๆไว้สิ ตัวอย่างเช่นนกก้นปล่องไง」

 

นกก้นปล่องงั้นหรอ… ไรเครียซังเคยพูดไว้ว่า “ข้าจะจับมันให้ได้” แล้วหายเข้าไปในป่า แต่สุดท้ายเขาก็กลับออกมามือเปล่า

 

「โอ้ ถ้าเป็นนกก้นปล่องละก็ ข้าจะรับซื้อมันในราคาประมาณเหรียญเงินใหญ่เลยนะ! พี่ชายมนุษย์สัตว์ คราวหน้าก็นำนกก้นปล่องมานะ」

 

「ว่าไงนะ! เหรียญเงินใหญ่งั้นเรอะ?!」

 

「…พยายามเข้าหล่ะ ไรเครีย」ดันเต้ซังตบไหล่ของไรเครียซัง

 

เหรียญเงินใหญ่นั้นมีค่าเท่ากับ 10,000 เยน

 

「ขอโทษที่ทำให้คอยนะ ไหนหล่ะสมุนไพร?」

 

มีคุณลุงที่ไว้หนวดสั้นๆเข้ามา ดูเหมือนเขาจะทำหน้าที่สำหรับตรวจสอบสมุนไพร

 

「โอ้ มีอยู่เยอะเลยนี่ หืมม หญ้าหนามสำหรับโพชั้น หญ้าจันทร์เสี้ยวสำหรับยาถ่ายพยาธิ และอันนี้คือ…?」

 

「มันคือรากพืชที่ช่วยในการทำงานของตับครับ」ผมตอบออกไป

 

ผมเก็บพวกมันมาเองจากข้อมูลของ【World Ruler】.

 

ปายของใบนั้นแหลมและลำตัวมีจุดแดงๆ ตัวรากนั้นหนาและมันเป็นพืชที่ค่อนข้างมีพิษ ผมอธิบายเพิ่มเติมว่า ถ้านำรากไปล้างอย่างดี ตัด และต้มมันด้วยน้ำร้อน มันจะกลายเป็นยารักษาตับทันทีเลย แต่ถึงอย่างงั้น ผมก็ถูกถามเพื่อยืนยันว่ามันจะไม่มีพิษจริงๆ ดังนั้นผมเลยอาสาดื่มมันเอง ยามีลักษณะเป็นของเหลวสีเหลืองที่ทั้งขมและไม่น่าพิสมัยเท่าไหร่

 

「หืมม…」

 

「ขนาดชั้นเองก็ยังไม่รู้จักยาชนิดนี้เลยนะ ดูเหมือนมันจะเป็นยาจากบ้านเกิดของเรย์จิคุงเขาหน่ะ」

 

「หะ? ขนาดผู้เชียวชาญสมุนไพรอย่างเผ่าฮาล์ฟลิงก็ยังไม่รู้จักงั้นรึ?」

 

ปรากฏว่า มิมิโนะซัง หรือต้องพูดว่า เผ่าฮาล์ฟลิงทั้งหมดนั้นดูจะเป็นเผ่าพันธุ์ที่รอบรู้เรื่องสมุนไพรอย่างมากเลย เมื่อมิมิโนะซังแสดงบัตรสมาชิกกิลด์ผู้เชียวชาญสมุนไพรของเธอให้เขาดู คุณลุงหนวดสั้นก็ปฏิบัติตัวต่างไปจากเดิม

 

แต่ตอนนี้ คำพูดพวกนั้นมันกลับมาเล่นงานเรานะสิ ถ้าขนาดมิมิโนะซังยังไม่รู้จัก ยาของผมก็น่าสงสัยขึ้นมาทันทีเลย

 

「ข้าซื้อมันไม่ได้」

 

「เอ๊ะ…」

 

ผมพอจะคาดเดาคำตอบแบบนี้ได้อยู่ มิมิโนะซังเองก็คาดเดาเอาไว้แล้วว่าพวกเขาจะไม่ซื้อมันเช่นกัน

 

…แย่จังเลย ผมอุตส่าห์ต้มน้ำเพื่อทำยานี้เลยนะ

 

「ผลของมันไม่ชัดเจน และก็ตั้งแต่แรกแล้วไอ้ “ตับ” เนี่ยมันคืออะไรกัน?」

 

(ปัญหามันอยู่ตรงนั้นเองหรอ?)

 

「อืม…คือ ถ้าจะพูดง่ายๆละก็ มันช่วยรักษาอาการเมาค้างนั้นแหล่ะครับ」

 

「เมื่อกี้เธอว่ายังไงนะ?!」

 

อยู่ๆเขาก็รู้สึกสนใจขึ้นมาทันทีเลย

 

「ระ-รักษาอาการเมาค้าง… ครับ…」

 

(เขามีท่าทางคิดจริงจังเลยแห่ะ)

 

「…เฮ้ ไปเอาไอ้หัวขโมยเงินเดือนนั่นออกมาซิ」

 

「เข้าใจแล้ว」

 

ชายหนุ่มที่เราขายขนสัตว์ให้นั้นเดินเข้าไปด้างในแล้วพาชายหนวดเฟิ้มและเดินไม่ตรงออกมา

 

「…หมอนี้เป็นเจ้าหน้าที่ของกิลด์ได้เพราะมันเป็นหลานชายของรองหัวหน้ากิลด์ แต่ก็อย่างที่เห็นนั่นแหล่ะ แม่งไร้ประโยชน์สุดๆไปเลย」

 

「ฮึก~」

 

「หมอมันนี้มันแม่งโคตรคออ่อน แต่ก็ยังเสือกไปดื่มมันทุกๆคืน」

 

ชายคนนี้นั้นเป็นตัวอย่างของคนไม่ได้เรื่องอย่างแท้จริงเลย

 

「ให้ไอ้หมอนี้มันดื่มยานั่น ถ้ามันได้ผลละก็ ข้าจะไม่ส่งต่อให้กิลด์ผู้เชี่ยวชาญสมุนไพรแต่จะรับซื้อไว้เอง – เพื่อใช้ให้ไอ้เจ้าหมอนี้ทำงานจนต้องร้องขอชีวิตเลย」

 

「คะ-ครับ」

 

และแล้วอยู่ๆก็เกิดการทดลองกับมนุษย์ขึ้นมาทั้งๆอย่างนั้น

 

คุณมนุษย์ไร้ค่าคนนั้นถูกบังคับให้ดื่มยา ตัวเขาพยายามขัดขืนและพูดว่า「อุ๊ก~ รสชาติอย่างกับขี้เลย~」แต่ก็ไม่มีใครสนใจแล้วจับกรอกปากชายคนนั้นไป

 

น็อนซังนั้นเดินออกมาจากตึกกิลด์ในตอนที่พวกเราเสร็จสิ้นธุระกันหมดแล้ว

 

「พวกเราขายขนวูล์ฟได้ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ แต่สมุนไพรของมิมิโนะยังคงขายดีอยู่เหมือนเดิม」ดันเต้ซังรายงานกับน็อนซัง

 

สมุนไพรทั้งหมดที่มิมิโนะซังเก็บมานั้นขายออกทั้งหมด ด้วยคุณภาพที่ดี พวกเขาเลยรับซื้อมันในราคา 4 เหรียญทองเล็ก – ราวๆ 200,000 เยน ที่สมุนไพรนั้นขายได้ในราคาสูงเพราะว่ามันสามารถนำไปปรุงยาได้หลากหลายแม้จะมีเพียงจำนวณน้อยนิดก็ตาม และยังรวมถึงความอันตรายในการเก็บรวบรวมพวกมันด้วย — ยกตัวอย่างเช่น อาจจะเจอกับหมาป่าหิวกระหายภายในป่าก็เป็นได้

 

「และเพราะว่าสมุนไพรพวกนั้นมันเพาะปลูกไม่ได้ด้วยหน่ะ」มิมิโนะซังบอก

 

การค้นคว้าวิจัยเกี่ยวกับการเพาะปลูกสมุนไพรนั้นมีมานานแล้ว แต่ดูเหมือนจะยังหาผลลัพธ์ที่น่าพอใจไม่ได้สักที ผมยืนยันกับ【World Ruler】ดูแล้วพบว่า พวกมันต้องการความเข้มข้นของมานาทั้งในดินและในอากาศอะไรทำนองนั้น…? ผมไม่รู้ว่าอะไรคือความเข้มข้นของมานา แต่ มันมีมานาออกมาจากร่างของมิมิโนะซังทุกๆครั้งที่เธอใช้เวทมนตร์ ดังนั้นมันอาจจะมีมานาอยู่ทั้งในอากาศและพื้นดินเหมือนกันก็เป็นได้

 

「ทางลูกละเป็นยังไงบ้าง น็อน?」

 

「หนูได้มันมาแล้วละ」

 

มันมีเหตุผลที่ต้องทิ้งน็อนซังไว้เพียงคนเดียวภายในกิลด์อยู่ อาณาเขตของดยุคอเคนบาคแห่งนี้นั้นตั้งอยู่บริเวณชายแดนของสหพันธ์รัฐและติดกับราชอาณาจักรอัศวินนักบุญ การจะข้ามชายแดนนั้นมีแค่บัตรนักพจญภัยนั้นไม่เพียงพอ ต้องมีใบรับรองจากทางกิลด์ด้วย

 

「ไอ้รองหัวหน้ากิลด์นั่นเป็นคนเขียนเรอะ?」

 

「ฟุฟุ แค่บอกเขาไปแบบสุภาพว่ามันจะเป็นการดีกับทุกคนถ้าเขายอมเขียนมันอย่างว่าง่ายเท่านั้นเอง เขายอมเขียนมันอย่างง่ายดายทันทีเลยละ」

 

「………」

 

น็อนซังหัวเราะออกมา แต่ตาของเธอนั้นไม่ได้หัวเราะตามด้วย ผมอยากจะพูดออกไปว่า ที่เธอพูดว่า “สุภาพ” นั้นเสียงเหมือนกับการข่มขู่เลย แต่ผมก็ตัดสินใจรูดซิปปากเอาไว้ ตัวเธอนั้นเป็นแม่ชีและยังดูอ่อนโยนที่สุดในปาร์ตี้นี้ ทว่าคนที่ผมกลัวที่สุดก็คือน็อนซัง

 

「ถ้ายังงั้น ข้ากับน็อนจะไปซื้อของกัน มิมิโนะ เธอจะไปที่ตลาดกับเรย์จิใช่ไหม?」

 

「ใช่แล้วละ」

 

「เอ๊ะ อย่างงั้นหรอครับ?」ผมถาม

 

「เราจะไปดูสมุนไพรกัน ใช่ไหมละ?」

 

「อาาห์…」

 

(มีสมุนไพรที่ไม่มีขายในกิลด์ผู้เชี่ยวชาญสมุนไพรขายอยู่ตลาดงั้นหรอ?)

 

「ครับ ไปกันเถอะครับ!」ผมตอบกลับไป

 

「เรย์จิ มาตรงนี้สักครู่สิ」ดันเต้ซังเรียกผมให้ไปหา เขากอดไหล่ของผมก็จะกระซิบกับผมว่า 「เงินค่าขนม เอาไปสิ」แล้วยื่นถุงหนังเล็กๆให้กับผม

 

「เอ๊ะ!? ตะ-แต่–」

 

「เธอมีสิ่งที่อยากได้ไม่ใช่รึ?」

 

「อา…」

 

ต้องเป็นเพราะเรื่องที่พวกเราคุยกันเมื่อวานแน่นอนเลย ผมตัดสินใจรับมันมาพร้อมกับขอบคุณเขา

 

「เอาหล่ะงั้น มิมิโนะ อย่าให้เรย์จิคาดสายตาไปหล่ะ」

 

「รู้แล้ว ชั้นรู้อยู่แล้วหล่ะ」

 

「แล้วเจ้าจะทำอะไรต่อไปละ ไรเครีย?」

 

「………」

 

「ไรเครีย?」

 

「…หะ? โอ้… ข้าว่าจะกลับไปงีบที่โรงแรมซักหน่อย」

 

「นี้มันยังเช้าอยู่เลยนะ?」มิมิโนะซังถามออกไป

 

「ไม่ต้องไปสนใจเรื่องหยุมหยิมเลยหน่า ไว้เจอกันทีหลัง」ไรเครียซังพูด โบกมือก่อนจะจากไป

 

(มีบางอย่างแปลกๆ… เขาก็ดูปกติดีจนกระทั่งน็อนซังกลับมา หลังจากนั้นเขาก็เอาแต่มองไปที่ถนนหลักอย่างเดียวเลย)

 

「ไปกันเถอะ เรย์จิคุง」

 

「อะ ครับ!」

 

ผมเดินตามมิมิโนะซังไปยังตลาดของเมืองนี้

 

 

 

บทที่ 1 ตอนที่ 12

 

*เมืองหลวงของสหพันธ์รัฐคีทแกรนด์, วัลฮัลลา*

 

ปราสาทสีขาวสูงตระหง่านดั่งงานศิลปะอันเลื่องชื่อ

 

“ราชา” ผู้ปกครองวัลฮัลลา เมืองหลวงของสหพันธ์รัฐคีทแกรนด์อันกว้างใหญ่ นั้นจะถือว่าเป็นผู้นำแห่งสหพันธ์รัฐ

 

นามของราชาผู้นั้นคือ เกฟเฟริด ที่ประทับอยู่ในปราสาทสีขาวแห่งนี้

 

「ฝ่าบาท มีการติดต่อฉุกเฉินผ่านทางเวทมนตร์สื่อสารจากท่าน แดเนียล อเคนบาค ลูกชายของท่านดยุกอเคนบาคมาครับท่าน」

 

การตกแต่งภายนอกของปราสาทนั้นคล้ายกับการตกแต่งแบบป้อมปราการโบราณ แต่กลับกัน การตกแต่ภายในนั้นแตกต่างอย่างมาก

 

โถงรับแขกและห้องจัดงานเลี้ยงที่ใช้ต้อนรับแขกต่างๆนั้นประดับประดาไปด้วยเครื่องเรือนหรูหราที่เข้ากันกับการตกแต่งภายนอก แต่ในส่วนพื้นที่สำหรับทำงานราชการต่างๆนั้นจะมีอุปกรณ์เวทมนตร์รุ่นล่าสุดเรียงรายไว้พร้อมใช้งาน

 

กาน้ำที่สามารถผลิตน้ำร้อนออกมาได้เพียงแค่กดปุ่ม เป็นสิ่งที่ราชาแกฟเฟริดนั้นโปรดปรานในการชงชาที่ชื่อชอบของเขา แน่นอนว่ามันนั้นเป็นอุปกรณ์เวทมนตร์โดยทำงานด้วย “หินเวทมนตร์” ที่ได้จากการกำจัดมอนสเตอร์

 

อุปกรณ์เวทมนตร์นั้นต้องใช้หินเวทมนตร์ในการทำงาน

 

มันก็ไม่ต่างจากในญี่ปุ่นยุคปัจจุบันที่ต้องใช้ไฟฟ้าในการคับเคลื่อนสิ่งต่างๆ

 

ต่างกันเพียงแค่อุปกรณ์เวทมนตร์นั้นมีราคาสูงมาก และมีผูู้คนที่มีสิทธิครอบครองมันได้อยู่เพียงน้อยนิดอีกด้วย

 

「เร่งด่วน…? แดเนียลนี้ใช่ที่เป็นลูกชายคนโตของดยุครึปล่าว?」

 

「ครับท่าน」

 

「ลูกชายของดยุคมีสิทธิใช้งานอุปกรณ์ติดต่อฉุกเฉินด้วยรึ?」

 

ชายสูงอายุร่างผอมเพรียวตอบกลับไป ผมสีขาวของเขาได้รับการหวีอย่างดีไปจนถึงข้างหลัง หนวดเคราที่ดูน่าทึงของเขายาวจนเกือบจะถึงสะดือ ชายสูงอายุที่ราวกับกับจะถูกทับโดยน้ำหนักของอัญมณีที่ประดับอยู่ตรงมงกุฎและบริเวณผ้าคุมสีแดงฉานของเขา ชายผู้นี้คือราชาแกฟเฟริด

 

「คือว่า… ท่านดยุคที่ดำรงตำแหน่งนั้นได้เสียชีวิตไปแล้วครับ」

 

ชายที่ดำรงตำแหน่งกรมวังลดเสียงลงแล้วรายงานออกไป เกฟเฟริดก็คิ้วขมวด

 

「งั้น ข้าคงต้องพูดคุยกับดยุคคนใหม่สินะ」

 

ไม้เท้าสีเงินบริสุทธิ์นั้นบางพอที่จะให้ชายสูงอายุร่างกายผอมเพรียวยกมันขึ้นมาได้อย่างง่ายดาย ชายสูงอายุคนนั้นเดินออกไปจากห้อง กระทุ้งไม้เท้าไปตามทางเดิน

 

ขาที่ก้าวผ่านระเบียงอันยาวเหยียดนั้นแข็งแรงแตกต่างจากรูปลักษณ์จนน่าตกใจ แสงอาทิตย์สาดส่องผ่านบานหน้าต่างที่ถูกขัดจนเงาวับราวกับล่องหน

 

สถานที่ๆขายสูงอายุเดินทางมาถึงนั้นเป็นห้องที่มีขนาดเท่ากับห้องก่อนหน้านี้ ทว่ามีแผ่นโลหะจำนวณมากแปะอยู่กับพนังห้องและมีเก้าอี้วางเรียงรายอยู่ด้านหน้าพวกมัน เจ้าหน้าที่กำลังเขียนข้อความที่ถ่ายทอดมาจากเครื่องรับสัญญาณ

 

ที่นี่เป็นสถานที่สำหรับติดต่อสื่อสารที่เชื่อมต่อไปยังส่วนต่างๆของสหพันธ์รัฐคีทแกรนด์ด้วยเวทมนตร์สื่อสาร

 

ปัจจัยที่สำคัญที่สุดสำหรับการปกครองสหพันธ์รัฐที่กว้างขวางนี้คือ “ข้อมูล” เกฟเฟริดได้กล่าวเอาไว้และใข้เวลาถึง 10 ปีในการสร้างเครือข่ายเวทมนตร์สื่อสาร

 

ตั้งแต่นั้นก็ผ่านมา 25 ปีแล้ว จนถึงตอนนี้ ข้อมูลทั้งหมดจากทั่วทั้งสหพันธ์รัฐนั้นล้วนผ่านหูของเกฟเฟริดมาหมดแล้ว

 

เกฟเฟริดเดินผ่านห้องที่ได้ยินเพียงแค่เสียงจดปากกาไปยังห้องเล็กๆที่อยู่ด้านใน เมื่อนายมหาดเล็กเปิดสวิตซ์การทำงาน อากาศรอบๆก็เหมือนกับกำลังสั่นไหว และมีเสียงการทำงานของอุปกรณ์เวทมนตร์ดังขึ้นเบาๆ

 

ตรงกลางของห้องเล็กๆนี้มีเก้าอี้สำหรับเกฟเฟริดอยู่ และมีลูกแก้วคริสตัลที่ยึดไว้กับแท่นหันเข้าหาเก้าอี้ตัวนั้น

 

「สวัสดีดยุคคนใหม่ ข้าได้ข่าวว่าเจ้าติดต่อฉุกเฉินมา」

 

ลูกแก้วคริสตัลนั้นปรากฏใบหน้าของชายร่างอ้วนที่กำลังเช็ดเหงื่อบนหน้าผากของเขา สายตาแหลมคมนั้นเหมือนกับพ่อของเขา ดยุคอเคนบาค – ผู้ให้ถูกก็คือ อดีตดยุคอเคนบาค

 

『ผมยินดีอย่างยิ่งที่ได้รับเกียร์ติในการพูดคุยกับฝ่าบาท…』

 

「นี่เจ้าติดต่อฉุกเฉินมาเพื่อการทักทายงี่เง่าเช่นนี้งั้นรึ?」

 

『กะ-กระผมต้องขออภัย…』

 

แดเนียล อเคนบาคเช็ดเหงื่อที่หน้าผากของเขาด้วยผ้าเช็ดหน้าอีกครั้ง จนถึงตอนนี้ พ่อของเขาเป็นคนจัดการงานทุกอย่างเอง ดังนั้นตัวเขาจึงไม่รู้จะต้องทำอย่างไรต่อ

 

เกฟเฟริดเดาะลิ้นในใจ เจ้านี้หน่ะหรอผู้สืบทอด? อาณาเขตดยุคนั่นคงจบสิ้นแล้ว เขาคิดแบบนั้น

 

「แล้ว? ให้ข้าเดาที่เจ้าติดต่อมาแบบนี้ งั้นก็แสดงว่าเป็นเรื่องเกี่ยวกับเหมืองที่ 6 งั้นสินะ?」

 

『คะ-ครับท่าน การคาดเดาของท่านนี้ช่างยอดเยี่ยมจริงๆครับ』

 

「ข้าไม่ต้องการคำเยินยอของเจ้า เข้าเรื่องได้แล้ว」

 

เกฟเฟริดส่งเสียงหงุดหงิดออกมาโดยไม่รู้ตัว ดยุคคนนั้นก็เช็ดเหงื่ออีกครั้ง เวลาได้ล่วงเลยผ่านไป

 

อย่างไรก็ตาม คำพูดถัดไปของดยุคนั้นไม่ได้อยู่ในการคาดการณ์ของเกฟเฟริด

 

『คือว่า เหมืองที่ 6 นั้นได้ถล่มลงมาหน่ะครับ』

 

「งั้นรึ ถล่มรึ… เดี๋ยวนะ เมื่อกี้ว่ายังไงนะ?」

 

『เป็นเรื่องจริงครับ มันถล่มลงมาจนเหลือแต่เศษซาก ดูเหมือนท่านพ่อจะอยู่ในเหตุการณ์และเสียชีวิตลงครับ』

 

ดยุคได้อธิบายแก่ชายสูงอายุโดยไม่หยุดพัก

 

ทั้งเรื่องที่ทาสก่อจลาจล การปรากฏตัวของ “มังกรยักษ์” การถล่มลงของเหมือง และการตายของดยุค

 

(ลำดับเหตุการณ์ที่เล่ามามันสลับกัน ทาสจะถูกควบคุมโดยเวทย์พันธสัญญาและไม่มีทางก่อจลาจลได้ บางทีดยุคคงเสียชีวิตก่อน… มีใครบางคนฆ่าเขางั้นรึ? ไม่ นั่นไม่ใช่สิ่งที่ข้าต้องสนใจในตอนนี้)

 

เสียงของเกฟเฟริดนั้นแข็งกร้าวขึ้นอย่างเข้าใจได้

 

「แล้ว เหมืองมันยังทำงานได้อยู่รึปล่าว?」

 

『พวกเราไม่สามารถเข้าไปด้านในได้เพราะดูเหมือนว่าจะมี “มังกร” เข้าไปอาศัยอยู่ครับ พวกเรากำลังพยายามยืนยันอยู่ครับว่ามันเป็น “มังกร” จริงๆรึปล่าว แต่ไม่ว่าจะทำยังไงพวกเราก็ไม่สามาถติดต่อนักพจญภัยที่ส่งเข้าไปได้เลยครับ』

 

「ข้าไม่สนใจพวกนักพจญภัยนั่น! เจ้าใช้ทหารของเจ้าทำอะไรไม่ได้รึไง?!」

 

『คะ-ครับท่าน ตอนนี้ พวกเราได้ส่งกองกำลังทั้งหมดไปเพื่อยึดเหมืองคืนแล้วครับท่าน』

 

「กุ…」

 

นั่นเป็นสิ่งเดียวที่เจ้านี้สอบผ่านละนะ เกฟเฟริดคิด

 

「”มังกร”งั้นรึ…? ทำไมถึงมีมอนสเตอร์ระดับหายนะไปอยู่ในเหมืองได้กัน? เฮ้ย ไปสืบเรื่องนี้ว่ามันมีอะไรคล้ายกันนี้เกิดขึ้นมาในอดีตรึปล่าวมาซะ นี้เป็นคำสั่ง」

 

「ครับท่าน!」หนึ่งในคนรับใช้ขานรับก่อนจะวิ่งออกไปจากห้อง

 

「เจ้าดยุค ข้าอยากจะทราบข้อมูลทั้งหมดที่เจ้ามีเกี่ยวกับ “มังกร” ตัวนั้น อย่างเช่นรูปร่าง ขนาด รวมถึงอย่างอื่นทุกๆอย่างเลย」

 

『ดะ-ได้แน่นอนครับท่าน』

 

「”มังกร”– “มังกร”งั้นรึ ถ้าในกรณีนี้ใช้พวกนักพจญภัยคงจะจัดการได้เร็วกว่าละนะ」เกฟเฟริดพูดกับตัวเอง 「เจ้าดยุค ข้าจะส่งนักพจญภัยมือดีที่สุดที่วัลฮาลาจะมีไปกับเรือเหาะเวทมนตร์ที่ล้ำสมัยที่สุด เตรียมโรงจอดให้ว่างและพร้อมใช้งานตลอดเวลาซะ」

 

『รับทราบครับผม! ตะ-แต่… แล้วเรื่องนักพจญภัยละครับ?』

 

「เจ้าพวกนั้นมันเลือกชื่อเสียงมากกว่าอันตรายอยู่แล้ว ภาคีอัศวินที่ล้ำค้าของข้าอยู่ระหว่างการเดินทางและเคลื่อนทัพทันทีไม่ได้ ข้าจะส่งภาคีอัศวินของข้าไปถ้าเรื่องนี้มันยังไม่คลี่คลายลงภายในหนึ่งเดือน เจ้าโอเคหรือไม่?」

 

『คะ-ครับท่าน』

 

จากนั้น การสื่อสารก็ถูกตัดไป

 

「นี้มันชักจะแย่แล้ว…」

 

เกฟเฟริดลูบเคราของเขาด้วยมือที่เหี่ยวย่น

 

「ที่อื่นที่นอกเหนือจากเหมืองที่ 6 ที่สามารถหาหินสกิลได้ก็คือป่าที่ 3 ถึงมันจะอยู่ใต้การควบคุมของข้าโดยตรงก็จริง… แต่พวกเอลฟ์ชั้นสูงพวกนั้นไม่เต็มใจมอบหินสกิลมาให้หน่ะสิ…」

 

จากนั้น อยู่ๆเกฟเฟริดก็หันไปหาคนรับใช้ที่เหลืออยู่เหมือนกับพึ่งนึกอะไรขึ้นได้

 

「ข้าพึ่งนึกขึ้นได้จากตอนที่คิดถึงเรื่องพวกเอลฟ์ชั้นสูง ไม่ใช่ว่ามันมีนักพจญภัยที่ถูกเรียกว่า “ดราก้อนสเลเยอร์สีชาต” อยู่ในวัลฮาลาแห่งนี้ไม่ใช่รึ?」

 

「ครับ มีข้อมูลมาว่า นักพจญภัยฮาร์ฟเอลฟ์ระดับมิธริลนามว่า คริสต้า-ลา-คริสต้า  นั้นในตอนนี้อยู่ที่กิลด์สาขาเมืองหลวง ผมได้ยินมาว่าคนๆนั้นในตอนนี้กำลังเข้าร่วมภารกิจค้นหาและทำลายของกลุ่ม “ทหารรับจ้างดาร์กแฟรงค์” ที่ได้ส่งคำร้องไว้ที่กิลด์และนายกของเมืองวัลฮาลาครับ」

 

「นั้นหน่ะรึดราก้อนสเลเยอร์?」

 

「ครับ เห็นว่ามีประสบการณ์ในการจัดการกับมังกรในอดีตด้วยครับ」

 

「ถ้ายังงั้น ส่งไปที่อาณาเขตของดยุคอเคนบาคเดียวนี้เลย! เลื่อนภารกิจของทหารรับจ้างนั่นออกไปก่อน!」

 

「รับทราบครับ!」

 

「เร็วเข้า! ถ้าเรื่องนี้ถึงหูพวกประเทศอื่นละก็ พวกนั้นได้ยื่นมือเข้ายุ่งแน่ เก็บข้อมูลให้ลับที่สุดเท่าที่จะทำได้ซะ!」

 

หลังจากนั้น คนรับใข้คนนั้นก็ออกจากห้องไป

 

การจลาจลในเหมืองที่เรย์จิเคยอยู่นั้นกลายเป็นปัญหาระดับประเทศไปซะแล้ว

 

* *

 

พวกเรากำลังมุ่งหน้าไปยังกิลด์นักพจญภัยผ่านทางตรอกด้านหลังในขณะที่มองดูเหล่าทหารเคลื่อนทัพ

 

กิลด์นักพจญภัยนั้นเป็นตึก 3 ชั้นขนาดใหญ่ที่หันหน้าไปทางถนนหลักที่ถูกปูด้วยหิน ประตูเหล็กบานคู่และหน้าต่างไม้ทั้งหมดนั้นเปิดกว้าง ดังนั้นจึงสามารถได้ยินเสียงของผู้คนด้านในได้

 

「–ดูเหมือนจะมีการจลาจลเกิดขึ้นที่เหมืองหน่ะ」

 

「–ข้าได้ยินมาว่ามีทาสเข้าไปโจมตีเมืองรอบๆด้วย หมู่บ้านอาจจะยิ่งอันตรายก็ได้」

 

「–และข้าก็ได้ยินมาว่ามีสถานที่ที่ทุกคนถูกฆ่าอยู่ด้วย น่ากลัวจริงๆเลย」

 

「–นั่นสินะเหตุผลว่าทำไมถึงมีการเคลื่อนทัพ… เป็นการล่าพวกทาสรึปล่าว?」

 

ผมรู้สึกสันหลังวาบทุกครั้งที่ผมได้ยินคำว่าทาส

 

ในตอนนั้น มือของผมก็ถูกห่อหุ้มไปด้วยมืออันแสนอบอุ่น

 

「เรย์จิคุง ไม่ต้องห่วงนะ ตอนนี้เธอเป็นสมาชิกของซิวเวอร์บาลานซ์แล้วยังไงละ」

 

「มิมิโนะซัง…」

 

…ทำไมเธอถึงใจดีกับผมขนาดนี้กัน? แม้ผมจะไม่มีอะไรตอบแทนเธอเลยแท้ๆ

 

ดันเต้ซังเข้าไปในกิลด์ก่อนคนแรกแล้วไรเครียซังก็เดินตามเข้าไป ทั้งกิลด์ก็ตกอยู่ในความเงียบ

 

ผมตามพวกเขาเข้าไป ชั้นแรกนั้นกว้างขวางมาก พิ้นนั้นปูด้วยหินเหมือนกับที่ถนนหลัก มีโต๊ะกับเก้าอี้ไม้วางอยู่ไปทั่วพิ้นที่ มีเคาน์เตอร์ยาวอยู่ที่หน้าทางเข้าและคนที่ดูเหมือนจะเป็นเจ้าหน้าที่กิลด์ที่สวมชุดเหมือนๆกันจ้องมองมาที่พวกเรา

 

นักพจญภัยคนอื่นๆก็มองมาที่พวกเรา ในกิลด์นั้นมีผู้คนหลากเพศหลากอายุปะปนกันไป ใครก็ตามที่อายุครับ 10 ปีก็สามารถสมัครเป็นนักพจญภัยได้และไม่มีการเกษียณอายุด้วย จึงมีทั้งนักพจญภัยที่ดูเหมือนจะมีปัญหาในการอยู่รอดวันต่อวัน ไปจนถึงนักพจญภัยที่สวมใส่เกราะหรูหราอย่างกับขุนนางเลย

 

กิลด์นักพจญภัยนี้แสดงออกได้ดีถึงสภาพสังคมเลยหล่ะ

 

สุดท้าย เมื่อน็อนซังเดินเข้ามา ผมก็ได้ยินเสียงคนผิวปากด้วย

 

「โปรดบอกธุระของคุณในวันนี้ด้วย」

 

「ข้าอยากจะขายวัตถุดิบแล้วก็ลงทะเบียนเด็กคนนี้ด้วย」

 

ดันเต้ซังวางมืองของเขาลงบนหัวของผม — เดี๋ยวก่อนนะ ผมหรอ?

 

เป็นชายสูงอายุที่มีผมสีเทานั่นเองที่เป็นคนตอบกลับมา เขาสวมแว่นตาข้างเดียวที่ตาขวาของเขา

 

「…ต้องขอโทษด้วยนะครับ แต่ตามกฎแล้ว คุณจะต้องมีอายุตั้งแต่ 10 ปีขึ้นไป ถึงจะลงทะเบียนกับทางกิลด์ได้หน่ะครับ」

 

「เด็กคนนี้อายุ 10 ปีแล้ว」

 

「ด้วยความเคารพ เด็กคนนี้ดูไม่เป็นเช่นนั้นเลยครับ ในกรณีนี้ คุณจำเป็นต้องแสดงใบรับรองเช่นบัตรประชาชนครับ」

 

「พวกเราไม่มีอะไรแบบนั้นหรอก」

 

「ถ้าเป็นเช่นนั้นผมต้องขออภัยด้วย คุณไม่สามารถลงทะเบียนได้… สักครู่นะครับ… หรือว่าบางทีคุณโดนคำสาปให้กลายเป็นหินงั้นหรอครับ?」

 

「ใช่แล้วละ」

 

ดันเต้ซังเอาเสื้อที่คลุมคอของเขาออก เผยให้เห็นถึงส่วนที่กลายเป็นหินของเขา ภายในกิลด์ก็เริ่มมีเสียงเอะอะโวยวายเกิดขึ้น

 

「นะ-นั้นมันคำสาปที่ทำให้กลายเป็นหินนี้?」

 

「ชิบหายละ มันติดต่อกันได้ไม่ใช่หรอ?」

 

「ไม่หรอก」

 

「งั้นไม่ลองเข้าใกล้เพื่อพิสูจน์ดูหน่อยละ」

 

「ไม่ใช่ข้าละหนึ่ง」

 

เหล่านักพจญภัยที่นั่งเกียจค้านอยู่ที่โต๊ะ หนีออกไปจากกิลด์อย่างรีบร้อนทีละคน

 

「อาา… นี้มันเป็นปัญหาแล้วนะครับ คุณดันเต้ มันกลายเป็นการรบกวนธุรกิจกันแล้วนะครับ ปกติพวกเราก็ยุ่งตัวเป็นเกลียวกันอยู่แล้ว แถมตอนนี้กิลด์มาสเตอร์ก็ไม่อยู่ดูแลกิลด์เพราะถูกเรียกไปหาท่านดยุคอีกด้วยนะครับ」

 

พนักงานกิลด์พูดขึ้นขณะยืนยันบัตรนักพจญภัยของดันเต้ซัง

 

「คำสาปเมดูซามันไม่ติดต่อกันคุณก็รู้ ใช่ไหมละ?」

 

「ผมรู้แต่คนอื่นเขาไม่รู้ยังไงละครับ」

 

「นั้นมันก็เป็นหน้าที่ของกิลด์ที่ต้องสอนพวกนั้นเอง」

 

「ถึงยังงั้น มันก็ยังเป็นปัญหาอยู่ดีครับ เพราะยังมีพวกที่เกลียดคำสาปนั้นจากความเชื่ออยู่ครับ พวกเราจะรับซื้อวัตถุดิบพวกนั้นไว้เอง แต่ผมแนะนำให้พวกคุณออกไปจากเมืองนี้ให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้หลังจากหมดธุระแล้วนะครับ…」พนักงานกิลด์พูดขึ้นพร้อมทั้งมองไปยังไรเครียซังกับมิมิโนะซัง「เมืองในตอนนี้กำลังตกอยู่สภาวะสับสนกันอยู่ครับ」

 

 

 

บทที่ 1 ตอนที่ 11

 

เช้าวันถัดมา มิมิโนะซังกับน็อนซังก็เข้ามาใน ”ห้องพักฝั่งผู้ชาย” มันก็ปกติใช่ไหมละที่ผมจะมองหน้าพวกเธอไม่ติดหลังจากเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนหน่ะ?

 

「นี่ๆ เรย์จิคุง! ลองนี่หน่อยสิ!」มิมิโนะซังจับใบหน้าของผมให้หันไปทางเธอโดยไม่สนใจความอายของผม

 

(อาา… สงสัยจังว่าจะใช้เวลาถักเปียใหม่เท่าไหร่กันนะหลังจากที่เราอาบน้ำด้วยกันเมื่อวาน อาา ผิวของเธอเองก็เรียบเนียนดีจริงๆเหมือนกันนะ…)

 

「เรย์จิคุง?」

 

「มะ-ไม่มีอะไรครับ! ว่าแต่นั่นอะไรหรอครับ?」

 

(นี่ไม่ใช่เวลามามัวรื้อฟื้นความจำนะ! แต่ว่า ผมจำมันได้ทุกระเบียบนิ้วเลยนะสิ ถามว่ามันกระตุ้นขนาดนั้นเลยหรอ? …คำตอบก็คือ ใช่แล้ว!)

 

มิมิโนะซังนั้นถือขวดโหลใบเล็กๆอยู่บนมือของเธอ เมื่อเธอดึงฝาขวดออก มันก็ส่งกลิ่นบางอย่างที่เหมือนกับหญ้าต้มออกมา

 

「อุ๊ก อะไรวะนั่น? อย่าเอาของแปลกๆเข้ามาในห้องตั้งแต่เช้าตรู่แบบนี้สิฟะ」

 

「หุบปากไปเลย มันจะต้องใช้เวลาสักพักถ้านายไม่ชอบละก็ออกไปซะสิ」

 

「ชิ」

 

ไรเครียซังออกไปจากห้องพักในขณะที่บ่นพึมพำออกมา แต่ผมรู้แล้วว่าอะไรอยู่ในขวดโหลใบนั้น ถ้าจะพูดให้ชัดเจนละก็【World Ruler】บอกข้อมูลให้กับผมมา

 

「นี้มัน… สีย้อมงั้นหรอครับ?」

 

「ใช่แล้วละ! ถ้าใช้มันย้อมผมของเธอละก็ ผมของเธอจะไม่เป็นสีดำแล้วไง ดังนั้น เอออ เธอจะลองดูไหม?」

 

เธอคงจะคิดว่าผมสีดำอาจจะเป็นเอกลักษณ์สำหรับของตัวผม เธอคงจะใส่ใจเรื่องผมของผมมากจากการที่เธอเองก็มีผมเปียที่ถักอย่างประนีตด้วยละนะ

 

ยังไงก็ตาม การย้อมผมในญี่ปุ่นถือเป็นเรื่องปกติและตัวผมเองก็อยากจะย้อมดูอยู่แล้ว แต่ในตอนนั้นผมคิดว่ามันดูไม่เข้ากันกับตัวผมก็เลยยังไม่ได้ย้อม ดังนั้น ถ้าผมสามารถย้อมมันในตอนนี้ได้ละก็

 

「ผมจะทำมันครับ!」

 

「ว้าว วันนี้เรย์จิคุงดูจะกระตือรือร้นดีนะเนี้ย」

 

「มิมิโนะซังทำมาให้ผมโดยเฉพาะเลยใช่ไหมละครับ? งั้นผมจะทำมันแน่นอน ผมไม่ได้สนใจผมสีดำของผมอยู่แล้วด้วย」

 

「อย่างงั้นหรอ อืม ชั้นเองก็ยินดีนะ」

 

มิมิโนะซังกอดผมแน่นๆแล้วลูบหัวของผม มันก็น่าอายนิดหน่อยที่ทำแบบนี้ในที่สาธารณะ แต่ผมไม่สามารถพูดแบบนั้นออกไปได้ มันก็มีคำถามที่ว่า “งั้นมันไม่เป็นไรงั้นหรอที่จะทำแบบนี้ในที่ลับตาคน” พุดขึ้นมา เรื่องนั้นเอาไว้คิดที่หลังแล้วกัน

 

30 นาทีหลังจากนั้น

 

「–โอ้ววว ตอนนี้ผมของเธอดูดีแล้ว~」

 

「มะ-มันไม่ดูแปลกยังงั้นหรอครับ?」

 

「ไม่เลย สีผมของเธอเข้ากับของชั้นเลยละ!」

 

ผมของผมกลายเป็นสีบอร์นแล้ว สีหลักเป็นสีทองแซมไปด้วยสีส้ม มันเป็นสีที่สดใสกว่าของมิมิโนะซังที่เป็นสีอำพัน แต่ตอนที่เธอพูดว่า “เข้ากันกับของขั้นเลย” ทำให้ผมอยากจะตอบกับไปว่า “ครับ เข้ากันจริงๆด้วย” เลย เสน่ห์ของมิมิโนะซังนี้น่ากลัวจริงๆ

 

แล้วก็ดูเหมือนว่าจะต้องใช้น้ำที่เป็นกรดในการทำสีย้อมนี้ อต่สกิล【สะดวกสบาย】ที่สร้างได้แต่น้ำสะอาดนั้นสร้างมันไม่ได้ เธอจึงใช้น้ำกรดที่ได้จากบ่อน้ำพุร้อนที่เป็นกรดแทน

 

「อืมม นี้มันก็ดีเลยไม่ใช่รึ เธอจะไม่ค่อยตกเป็นเป้าสายตาถ้ามีแค่ตาที่เป็นสีดำหน่ะ」

 

「น่ารักมากเลยละ」

 

คู่พ่อลูก ดันเต้ซังกับน็อนซังแสดงความคิดเห็นออกมา

 

เมื่อเราออกมาจากโรงแรม ไรเครียซังที่กำลังเคี้ยวกิ่งไม้อยู่ที่ม้านั่งก็มองมาที่ผมที่เดินออกมา เขามีสีหน้าตกใจไปสักพัก แต่หลังจากนั้นจมูกของเขาก็เริ่มได้กลิ่นบางอย่างจนเขาพูดออกมาว่า “อุ๊ก กลิ่นสีย้อมมัน… เอาเถอะ ก็ดูไม่แย่เท่าไหร่นี้” พูดบางอย่างดีๆต่อท้ายแบบนี้ ผมสงสัยจริงๆว่าเขาจะพูดดีๆบ้างโดยไม่ซ่อนมันเอาไว้ได้ไหมนะ

 

หลังจากนั้น พวกเราก็เดินไปตามทางในเมืองหลวงของดยุกอเคนบาค

 

ในเช้านี้มีผู้คนมากมายเดินไปมาบนถนน

 

เมืองนี้ตั้งอยู่บริเวณภาคเหนือของทวีป ดังนั้นจะมีหิมะตกบ่อยๆในหน้าหนาว พูดแล้วก็นึกขึ้นได้ หิมะมักจะตกลงมาผ่านรูบนเพดานถ้ำในตอนที่ผมยังอยู่ในเหมือง ผมชอบลงไปในเหมืองลึกๆ ภายในเหมืองนั้นมักจะมีอุณหภูมิคงที่ เพราะแบบนั้นอากาศหนาวจึงไม่ค่อยรบกวนผมซักเท่าไหร่

 

「…เพราะหลังคาบ้านมันสะสมหิมะไว้เยอะหน่ะ」ดันเต้ซังพูด

 

หลังคาของบ้านหลายหลังจะมีความลาดชันสูงในด้านหนึ่ง ดูจะออกแบบเพิ่อไม่ให้มีหิมะสะสมไว้ละมั้ง

 

บ้านที่ทำจากหินหลายๆหลังนั้นมีลักษณะเป็นสี่เหลี่ยม แต่ก็มีบางหลังที่เป็นทรงกลมอยู่เหมือนกัน

 

จะมีป้ายแแขวนอยู่หน้าอาคารที่เป็นร้านค้า ถ้าเป็นร้านที่เกี่ยวกับเนื้อละก็จะเป็นป้ายรูปสัตว์ ถ้า้ป็นรูปกรรไกรก็จะเป็นร้านเสื้อผ้า ถ้าเป็นรูปขวดโหลละก็… ขวดโหลงั้นหรอ?

 

「ป้ายขวดโหลตรงนั้นคืออะไรหรอครับ?」

 

「โอ๊ะ นั้นร้านขายสมุนไพรหน่ะ」

 

「มีเพียงแค่สมาชิกทั่วไปของกิลด์ผู้เชี่ยวชาญด้านสมุนไพรเท่านั้นที่จะติดป้ายนั้นได้ ชั้นเองก็เป็นสมาขิกเหมือนกัน ดังนั้นชั้นจะสามารถเปิดร้านแบบนั้นได้เหมือนกันนะ」

 

「…ผมอยากจะแวะร้านนั้นซักหน่อยหน่ะครับ」

 

「เอ๊ะ? อืมม… ได้สิ」

 

กลิ่นหอมสดชื่นที่เหมือนกับมิ้นต์ลอยออกมาต้อนรับในตอนที่ผมเดินเข้าไปในร้าน มีขวดโหลหลากหลายใบเรียงรายอยู่บนชั้นวางรวมถึงมีทั้งชื่อและราคาติดอยู่ โพชั่น ยาถ่ายพยาธิ ยาแก้อาการเจ็บหน้าอก ยาแก้ท้องผูก และอื่นๆอีกมากมาย เกือบทั้งหมดนั้นราคาอยู่ที่ 1 เหรียญเงิน หรือก็คือ 1000 เยน

 

「มองไม่เห็นข้างในเลยแห่ะ」

 

ขวดกระเบื้องนั้นปกติก็จะทึบแสงอยู่แล้ว พูดถึงแล้วก็นึกขึ้นมาได้ ผมแทบจะไม่เคยเห็นเครื่องเรือนที่ทำจากแก้วเลยในโลกนี้ หายากมากๆเลยที่จะเจอบ้านที่มีหน้าต้างบานกระจกติดอยู่ ส่วนใหญ่จะเป็นหน้าต่างไม้ที่ทำได้แค่เปิดหรือปิดเท่านั้น

 

「ถ้าอยากจะดูข้างในละก็เชิญได้เลยจ้ะหนูน้อย」หญิงสูงอายุท่าทางใจดีที่อยู่หลังเคาน์เตอร์พูดขึ้นมา

 

ผมตอบรับคำพูดของเธอแล้วเปิดฝาของขวดโหลเพื่อดูข้างใน บางขวดนั้นมีกลิ่นหวานและบางขวดก็มีกลิ่นฉุน

 

(วัตถุดิบ… วัตถุดิบ….)

 

ผมเช็คพวกมันกับ【World Ruler】ยาบางอันนั้นเป็นของปลอม พวกมันไม่ได้ส่งผลเหมือนกับชื่อของพวกมันเลย

 

“ยาชูกำลัง” …ผมรู้สึกสงสารเหล่าชายชาตรีที่ซื้อมันไปเป็นทางเลือกสุดท้ายจริงๆ มัยเป็นยาพิษอ่อนๆที่จะทำให้รู้สึกหิวเท่านั้นและไม่ได้เพิ่มกำลังวังชาอย่างที่ได้เขียนเอาไว้เลย

 

ท้ายที่สุดผมก็ออกจากร้านโดยที่ไม่พบสิ่งที่ผมตามหาเลย

 

「ใช้เวลานานจังนะ แกมันทำอะไรอยู่กัน?」

 

ไรเครียซังที่เกลียดกลิ่นที่รุณแรงนั้นก็รอพวกเราอยู่ข้างนอก พวกเรารวมตัวกันแล้วมุ่งหน้าไปยังกิลด์นักพจญภัยอีกครั้ง

 

「เธอหาอะไรอยู่หรอ เรย์จิคุง?」มิมิโนะซังถามออกมา

 

「เออ… ผมสงสัยว่ามันจะมีอะไรที่ลบรอยสักนี้ได้มั่งหน่ะครับ」

 

「อ้าา~」

 

มิมิโนะซังพยักหน้า แต่จริงๆแล้วที่ผมบอกเธอไปนั้นเป็นเรื่องโกหก อืม ไม่สิ มันก็ไม่ได้โกหกไปซะหมดหรอกเพราะว่าผมเองก็คิดจะลบรอยสักนี้อยู่แล้ว ต้องขอบคุณที่ผมใช้ใบจิงจูฉ่ายมาเรื่อยๆละนะ รอยสักของผมถึงได้จางไปแล้ว… คิดว่านะ

 

สิ่งที่ผมตามหาจริงๆคือวัตถุดิบสำหรับลบล้างคำสาปของดันเต้ซังต่างหาก

 

ตามที่【World Ruler】บอกเอาไว้ว่ามันสามารถลบล้างได้โดยวัตถุดิบ 3 อย่าง ไม่ต้องพึ่งเวทย์รักษาหรือเวทมนตร์ลึกลับเลย

 

「มิมิโนะซัง คุณรู้จักร้านขายสมุนไพรไหนที่มีสินค้าเยอะๆไหมครับ?」

 

「ที่ไหนมันก็เหมือนกันหมดนั้นแหล่ะนะ」

 

「ว่ายังไงนะครับ?」

 

「เพราะพวกนั้นลงทะเบียนกับทางกิลด์ผู้เชี่ยวชาญสมุนไพรยังไงหล่ะ พวกเขาจะขายเฉพาะสินค้าที่ทางกิลด์อนุมัติเท่านั้นแหล่ะ」

 

「อา… งั้นหรอครับ」

 

มันคงจะคล้ายๆกับระบบลิขสิทธิ์ละมั้ง ช่วยไม่ได้ละนะ

 

ขนาดคนซื้อยังอยากจะซื้ออะไรที่มันได้ผลชัดเจนละนะ… ถึงยาชูกำลังนั้นจะเป็นของปลอมก็เถอะ

 

「เรย์จิคุง ยังมีที่อื่นที่ขายวัตถุดิบสำหรับทำยาอยู่นะ สนใจไหม?」

 

「ครับ สนใจครับ!」

 

มิมิโนะซังแนะนำกับผมในตอนที่ผมกำลังคิดว่าจะทำยังไงต่อไปดี และผมก็ตอบกลับไปโดยไม่แม้แต่จะคิดเลยสักนิด เธอแนะนำอีกว่าเราจะไปกันหลังจากขายวัตถุดิบที่กิลด์นักพจญภัยเสร็จแล้ว

 

กิลด์นักพจญภัย สถานที่สุดคลาสสิคในเกมแนวแฟนตาซีและนิยายแนวเกิดใหม่ต่างโลก

 

「ถนนเส้นนี้นี่คับคั่งจริงๆนะ…」

 

พวกเราแวะซื้อแซนวิชมาจากร้านแผงลอยข้างทางเป็นอาหารเช้า และถามทางไปยังกิลด์นักพจญภัย เนื่องจากโรงแรมที่เราจองไว้นั้นเราจองแบบไม่รวมมื้ออาหาร ดังนั้นจึงไม่มีอาหารเช้าให้

 

ขณะที่ผมกำลังเคี้ยวแซนวิชแฮมแสนอร่อยอยู่ – ถึงไอ้สิ่งที่มีรสชาติหวานๆเหมือนแยมนี้จะยอมรับไม่ได้ด็เถอะ – และเดินไปข้างหน้าอย่างเหม่อเลย อยู่ดีๆดันเต้ซังก็ส่งสัญญาณมือให้ทุกคนหยุด

 

บนถนนหลักที่เรากำลังจะข้ามไปนั้นกว้างมาก – ขนาดที่ให้รถยนตร์ประมาณ 4 คันขับผ่านพร้อมกันได้เลย – และตรงนั้นเองที่มีความโกลาหลบางอย่างเกิดขึ้น

 

「พวกนั้นมัน ทหาร…? พวกมันกำลังเคลื่อนกำลังพล?」

 

「หืมม มีบางอย่างเกิดขึ้น」

 

ไรเครียซังกับดันเต้ซังที่ตัวสูงกว่าผู้คนทั่วไปนั้นพูดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นบนถนนหลัก

 

「ข้างหน้ามีคนเยอะมากกว่า 100 คนเลย ดูเหมือนเราจะข้ามถนนไปไม่ได้แล้ว ไปทางตรอกด้านหลังดีกว่า」

 

「เกิดอะไรขึ้นหรอ?」มิมิโนะซังถาม

 

「ไม่รู้สิ… บางทีพวกนั้นอาจจะเจอรังโจรเข้าก็ได้ ถ้าไม่ใช่ก็อาจจะมีเหตุชุลมุนกันที่ชายแดนก็ได้… หรือไม่ก็… มีมอนสเตอร์ขนาดใหญ่ปรากฏตัวออกมา」

 

「!」

 

ผมตัวผงะจากคำพูดสุดท้ายของดันเต้ซัง

 

เงาของนกสีดำขนาดใหญ่ที่ผมเห็นในคืนนั้นหลังจากที่ผมออกมาจากเหมือง ถ้ามันมีบางอย่างอยู่ที่เหมืองแห่งนั้นละ?

 

มีเพียงแค่ 8 แห่งบนโลกเท่านั้นที่จะสามารถค้นพบหินสกิลได้

 

ถ้าจะให้พูดกลับกันละก็ หินสกิลที่ใช้ในการขับเคลื่อนโลกใบนี้นั้นหาได้จากแค่สถานที่ 8 แห่งนั้นเท่านั้น เสียไปเพียงแค่หนึ่งแห่งก็ถือว่าร้ายแรงแล้ว

 

(ถ้าแค่เรื่องผมหนีออกมาจากเหมืองละก็ พวกนั้นก็แค่หาทาสคนมาแทนที่หรือไม่ก็รับนักพจญภัยเพิ่มก็เท่านั้น แต่การต้องให้กองทัพเคลื่อนไหวแบบนี้ละก็ ต้องเป็นเพราะ “นก” ตัวนั้นแน่ๆเลย…)

 

 

 

 

บทที่ 1 ตอนที่ 10

 

เมื่อผมก้าวเท้าลงไปในบ่อน้ำพุร้อน ร่างกายของผมรู้สึกเหมือนกับจะละลายเลย

 

ผมไม่คิดมาก่อนเลยว่าบ่อน้ำพุร้อนจะเป็นเรื่องธรรมดาๆที่จะมีมันอยู่ในทุกโรงแรม ปัญหาที่ผมอ่านเจอในนิยายแนวต่างโลกบ่อยๆก็มักจะเป็นอะไรอย่างเช่น “มีเพียงแค่ราชวงศ์กับขุนนางเท่านั้นที่จะมีสิทธิใช้บ่อน้ำพุร้อน!”

 

มีผมเพียงแค่คนเดียวที่อยู่ในโรงอาบน้ำที่ทั้งใหญ่และเต็มไปด้วยไอน้ำจนมองไม่เห็นข้างหน้าเลยแห่งนี้ ผมเห็นมีคนจำนวณหนึ่งอยู่ตรงล็อบบี้ของโรงแรม ดูเหมือนคนพวกนั้นทั้งหมดจะเป็นพ่อค่า ทำไมถึงรู้นั้นเหตุผลคงเป็นเพราะผมได้ยินมาจากมิมิโนะซังว่าโรงแรมแห่งนี้ลูกค้าหลักจะไม่ใช่นักเดินทางหรือนักพจญภัยแต่เป็นพ่อค้า อีกเหตุผลนึงก็คือรูปร่างของพวกเขาดูไม่เหมาะกับการต่อสู้อีกด้วย

 

ดูเหมือนว่าถึงพวกเราจะไม่ได้เป็นเผ่ามนุษย์ ก็จะมีเหล่าพ่อค้านี้แหล่ะที่จะปฏิบัติกับเราอย่างเท่าเทียม ตามมาด้วยเหล่าประชาชนทั่วไป นักพจญภัย ขุนนาง และชาวนาตามลำดับ ที่พวกชาวนาดูจะมีนิสัยเลือกปฏิบัติอย่างรุณแรงคงเป็นเพราะว่าพวกเขานั้นอาศัยอยู่ในหมู่บ้านแบบปิด โดยปกติพวกเขาก็เกลียดผู้คนจากภายนอกอยู่แล้วด้วย

 

…ก็ดูจะสมเหตุสมผลละนะ

 

ถึงจะเป็นอย่างงั้น ประชาชนทั่วไปนั้นก็ยังมีคนอยู่หลากหลายประเภท ดังนั้นยังไงก็ต้องมีคนที่มีอคติต่อครึ่งมนุษย์อยู่แล้ว รวมถึงพ่อค้าบางคนก็ด้วย มิมิโนะซังเตือนผมให้ระวังในเรื่องนี้เอาไว้

 

「พลิ้ว… อยู่คนเดียวนี้มันรู้สึกสงบใจจริงๆ」

 

ตามที่【World Ruler】บอกเอาไว้ว่าบ่อน้ำพุร้อนนี้ผุดขึ้นมาจากตาน้ำใต้ดินและดูจะส่งผลดีต่อโรคทางผิวหนังด้วย แต่มันก็ไม่สามารถแก้คำสาปที่ทำให้กลายเป็นหินได้อยู่ดี

 

โรงอาบน้ำขนาดใหญ่ที่ทำจากหินนี้เป็นกึ่งห้องใต้ดินของโรงแรม มันมีหน้าต่างระบายอากาศอยู่ด้านบนด้วย

 

เพราะว่าไม่ค่อยมีแสงไฟ ผมไม่มีทางรู้ได้เลยว่าจะมีใครอยู่กับผมด้วยรึปล่าว แต่ตอนนี้มันก็ดึกมากๆแล้ว คงจะไม่มีปัญหาในเรื่องนั้น

 

แล้วก็อีกอย่าง ไรเครียซังได้พูดไว้ว่า “มนุษย์สัตว์หน่ะไม่อาบน้ำกันหรอก!” ปรากฎว่าพวกมนุษย์สัตว์มักจะขนร่วงเวลาอาบน้ำละนะ ดันเต้ซังก็พูดเหมือนกันว่า “ข้าขอผ่าน” ดูเหมือนว่าเขาจะใส่ใจกับคนรอบข้างที่อาจจะคิดว่าคำสาปของเขามันจะติดต่อกับคนอื่นได้

 

เพราะแบบนั้นผมเลยได้ครอบครองโรงอาบน้ำแต่เพียงผู้เดียว

 

…อาาา นี้มันสวรรค์ชัดๆ

 

ในตอนที่ผมคิดแบบนั้นเพียงเท่านั้นแหล่ะ ผมก็ได้ยินเสียงประตูเปิดออก หมดเวลาผูกขาดโรงอาบน้ำแล้วสินะ

 

…เอาเถอะ อยู่คนเดียวมันก็ค่อนข้างเหงา ดังนั้นมันก็ไม่เป็นละมั้ง แต่ผมคงจะมีปัญหาถ้าพวกเขากลัวผมสีดำของผมละนะ

 

「เธออยู่ตรงนั้นรึปล่าว เรย์จิคุง?」

 

…เดี๋ยว! เดี๋ยวก่อนสิ?! ทำไมเธอถึงมาอยู่ที่นี่ละ?

 

「ทะ-ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่กันละครับ มิมิโนะซัง?!」

 

「ก็เพราะมันถึงเวลาของพวกผู้หญิงแล้วนะสิ」

 

「ชั้นเองก็อยู่ด้วยนะ」

 

มิมิโนะซังกับน็อนซังก็เดินเข้ามา

 

แย่จริงๆที่ผมมองไม่เห็นเพราะไอน้ำหนาเกินไป— ไม่ใช่สิ! ไม่ใช่เวลามามัวคิดเรื่องนั้น!

 

「เวลาของพวกผู้หญิงงั้นหรอครับ?! คุณบอกว่าจะรอผมแช่จนเสร็จก่อนไม่ใช่หรอครับ!?」

 

「ใช่ แต่ว่าเรย์จิคุงแช่นานเกินไปแล้วหน่ะสิ งั้นก็ถึงเวลาของพวกผู้หญิงแล้ว เรย์จิคุงเองก็อายุแค่10ขวบแถมยังดูเด็กกว่านั้นอีก ชั้นไม่ถือหรอก」

 

…แต่ผมถือนะสิ! อย่าเข้ามาใกล้นะ! พวกเธออยู่ข้างหลังผมแล้ว!

 

「งะ-งั้นผมขอออกไปก่อนนะ!」

 

「นี่ มองหน้าชั้นเวลาพูดสิ」

 

「?!」

 

มิมิโนะซังจับหน้าของผมให้หันไปหาด้วยมือทั้ง2ข้าง

 

มิมิโนะซังกับน็อนซังนั้นยืนอยู่ใต้แสงไฟสลัวๆ

 

ขอละมิมิโนะซังเอาไว้(ขออภัยนะครับ)ในฐานที่เข้าใจ แต่พลังทำลายของน็อนซัง(ผมไม่บอกหรอกนะว่าอะไร)นั้นสุดยอดมากๆ

 

「…โอ้ เธอกลับมาแล้วงั้นรึ?」ดันเต้ซังพูดขณะที่นั้งอยู่บนเก้าอี้ ตอนที่ผมกลับมาถึงห้องพัก ไรเครียซังก็ดูจะหลับไปแล้ว ผมเลยนั้งลงบนเก้าอี้ที่อยู่ฝั่งตรงข้ามกับดันเต้ซัง

 

「เป็นอะไรไปละ? เรย์จิ」

 

「…ไม่ ไม่มี… อะไรหรอกครับ…」

 

「จริงรึ?」

 

พวกผู้หญิงนั้นพักอยู่ห้องข้างๆดังนั้นดันเต้ซังอาจจะไม่รู้ถึงเรื่องที่เกิดขึ้น ถ้าดันเต้ซังที่อ่อนโยนรู้เรื่องที่ผมอาบน้ำกับน็อนซังเข้าละก็ เขาอาจจะกลายร่างเป็นปีศาจแล้วพูดว่า「ถ้าแกทำอะไรกับลูกสาวของข้าละก็!!!」…ถ้าเกิดเรื่องแบบนั้นขึ้นจริงๆละก็ ผมคงจะฉี่รดกางเกงเลยหล่ะ

 

「ยังไงก็เถอะ… มันดีจริงๆหรอครับที่จะพักในห้องดีๆแบบนี้?」

 

「ดีสิ ปกติพวกเราเดินทางกันในป่าใช่ไหมหล่ะ? ดังนั้นจึงแทบไม่เสียค่าเดินทางเลย แถมเธอยังเจอพืชที่กินได้ซึ่งทำให้ช่วยลดค่าอาหารลงได้อีกด้วย การพักในโรงแรมดีๆภายในเมืองจึงไม่มีปัญหายังไงหล่ะ…」

 

ตอนที่เขาพูดคำว่า “พวกเรา” นั้นใบหน้าของเขาก็ดูโดดเดี่ยวไปซักพัก เขาคงจะทำแบบเดียวกันนี้กับปาร์ตี้เก่าของเขาด้วยสินะ

 

「หืมม แต่เธอนี้ดูท่าทางมีความรู้จริงๆนะ เรย์จิ」

 

「อะไรนะครับ??」

 

「ข้าก็คิดตั้งแต่แรกแล้วนะว่าเธอนั้นดูฉลาด แต่หลังจากเธอล้างเนื้อล้างตัวไปแล้ว เธอยิ่งดูมีภูมิฐานมากยิ่งขึ้นไปอีก」

 

「ขอบคุณครับ…?」

 

ผมพยายามนึกถึงความทรงจำสมัยยังเป็นนักเรียนมัธยมปลายแทนที่จะนึกถึงความทรงจำแย่ๆในโลกใบนี้ นึกถึงความทรงจำแย่ๆก็รังแต่จะทำให้มันยุ่งยากเท่านั้น

 

บางทีนั้นคงทำให้ผมดูเป็นคนที่ “มีความรู้” สินะ?

 

「ข้าแน่ใจว่าเธอคงจะได้การศีกษามาดี– อา ไม่สิ ลืมสิ่งที่ข้าพูดไปเถอะ」

 

「ไม่เป็นไรครับ ผมไม่คิดมากหรอก ผมเองก็คิดว่าผมนั้นได้รับการศึกษาในรูปแบบหนึ่งอยู่เหมือนกันครับ」

 

ในโลกใบนี้ ผู้คนจะช่วยครอบครัวทำงานตอนยังเป็นเด็ก ถ้าตัดสินใจเลือกอาชีพได้แล้วก็สามารถไปเข้าร่วมโดยมีคนคอยดูแลได้ – เหมือนกับลูกศิษย์ – และได้รับหินสกิลที่เกี่ยวข้องกับงานที่ทำมา

 

มันมีกิลด์ที่เกี่ยวข้องกับไม้สำหรับคนตัดไม้และยังมีกิลด์ที่เกี่ยวข้องกับการตกปลาสำหรับนักตกปลาด้วย ดูเหมือนหินสกิลจะหมุนเวียนกันในราคาถูกภายในกิลด์พวกนั้น สมแล้วที่โลกใบนี้มันหมุนรอบหินสกิล

 

「ผมคิดว่าคุณนี้ช่างอ่อนโยนจริงๆนะครับ ดันเต้ซัง」

 

「…ข้าหรอ?」

 

「ใช่แล้วครับ โดยเฉพาะเวลาที่คุณมองไปที่น็อนซัง」

 

「………」

 

ดันเต้ซังทำสีหน้าปั้นยาก

 

…นี่ผมพูดอะไรผิดไปรึปล่าว? โอ้ ไม่นะ นี่เขารู้เรื่องที่เกิดขึ้นในโรงอาบน้ำงั้นหรอ?! ผมต้องขะ-ขะ-ขอโทษด้วยจริงๆครับ! ผมไม่ได้มีเจตนาแอบแฝงจริงๆนะครับ!

 

「ข้า… บางทีคงจะรักษาคำสาปนี้ไม่ได้แล้วตายไปอยู่ดีนั่นละนะ」

 

「…หะ?」

 

「ดูเหมือนว่ามันจะเป็นคำสาปที่ซับซ้อนมากเลยหน่ะ ข้าได้ยินมาจากผู้ใช้เวทย์รักษาทุกคนที่เคยเจอเลยว่าการจะหาวิธีรักษาที่ราชอาณาจักรอัศวินนักบุญได้หน่ะ มันมีที่โอกาศที่ต่ำมากๆ」

 

ผมไม่รู้เลย… ว่าดันเต้ซังนั้นเตรียมใจตายมาตั้งแต่แรกแล้ว เขาคงจะตัดสินใจไว้แล้วที่จะใช้เวลาชีวิตที่เหลืออยู่กับลูกสาวของเขา น็อนซัง

 

「นั้นแหล่ะข้าถึงอยากจะทำให้ดีที่สุด ไม่ใช่กับแค่กับลูกสาวข้าแต่รวมถึงมิมิโนะที่ร่วมเดินทางมาด้วย คงเพราะโชคชะตาบางอย่างที่ทำให้ไรเครียกับเธอนั้นได้ร่วมเดินทางมาด้วย ข้าจึงอยากจะให้ความรู้ทุกอย่างที่ข้ามีและพร้อมที่จะเอาชีวิตเข้าแลกเพื่อปกป้องพวกเธอ ข้าหวังว่าเธอจะไม่โทษตัวเองเมื่อเวลานั้นมาถึง มันเป็นความเห็นแก่ตัวของข้าเอง ข้าแค่อยากจะทำสิ่งดีๆในตอนที่ข้ายังมีชีวิตอยู่ก็เท่านั้นเอง」

 

「………」

 

「ขอโทษด้วยที่ข้าเอาแต่พูดถึงเรื่องเศร้าๆนะ ฮาๆๆ…」ดันเต้ซังพูดออกมาพร้อมทั้งหัวเราะเหมือนกับแต่ก่อน

 

ผมได้ยินจากมิมิโนะซังมาว่าเขานั้นคอยปกป้องและดูแลสมาชิกของปาร์ตี้เก่าอยู่ตลอด

 

…คนๆนี้ยอมลงทุนลงแรงไปจนถึงไหนกันเพื่อที่จะช่วยใครสักคน

 

「ดันเต้ซัง」

 

…ผมจะไม่มีทางทรยศใครสักคนที่ ”ให้” บางสิ่งบางอย่างกับผมแบบนี้ ผมไม่อยากจะทรยศพวกเขา

 

「อะไรรึ?」

 

「นี้มันอาจจะเป็นเพียงเรื่องเหลวไหลนะครับ แต่ผมอยากจะขอยืมเงินของคุณสักหน่อยหน่ะครับ ผมจะบอกคุณในภายหลังเองครับว่าผมจะซื้ออะไร ถึงจริงๆผมเองก็ยังไม่แน่ใจเลยว่าผมจะซื้อมันได้…」

 

「อะไรละ? เป็นสิ่งที่เธออยากได้อย่างนั้นรึ?」

 

「ครับ」

 

ผมมองตรงไปที่ดันเต้ซัง

 

—ใบไม้ 5 แฉกที่ดูเหมือนกับใบไม้ในฤดูใบไม้ล่วง

 

—โลหะสีเงินบริสุทธิ์

 

—สิ่งมีชีวิตที่เหมือนกับไส้เดือน

 

ภาพพวกนั้นพุดขึ้นมาในหัวทุกครั้งที่ผมมองไปยังรอยคำสาปของดันเต้ซัง

 

ถ้ามันมีขายละก็ ผมจะซื้อมันทันทีเลย ถ้ามันเจอในป่าละก็ ผมจะไปหามันทันทีเลย

 

ผมยังบอกเขาไม่ได้… ผมไม่อยากจะสัญญาอะไรก่อนที่จะทำมันได้จริงๆ

 

ผมตัดสินใจแล้วที่จะพยายามให้ดีที่สุดเพื่อที่จะรักษาคำสาปของดันเต้ซัง

 

「…งั้นรึ ข้าไม่ว่าอะไรหรอก บางครั้งลูกผู้ชายก็ต้องการอะไรบางอย่างที่เขาต้องการนั่นแหล่ะ น็อนไม่เคยขออะไรจากข้าเลยสักครั้ง และมันคงไม่สนุกถ้าเธอทำแบบเดียวกันด้วย」

 

ดันเต้ซังยืนขึ้นแล้วลูบหัวของผมที่ยังคงเปียกชื้นจากการแช่น้ำ

 

「เอาหล่ะ ไปนอนได้แล้ว พรุ่งนี้เราจะไปที่กิลด์นักพจญภัยเพื่อขายสิ่งที่เราเจอมาในระหว่างการเดินทางกัน」

 

「ครับ」

 

จากนั้นผมก็เข้านอน ผมหลับไปทันทีที่ผมหลับตาลง เมื่อผมลืมตาตื่นขึ้นมันก็เป็นตอนเช้าซะแล้ว

 

หมายความว่า ผมนั้นไม่ได้ฝันถึงอะไรเลย และก็รู้สึกตัวถึงบางอย่างอีกว่า… นี่เป็นครั้งแรกในโลกนี้ไม่ใช่หรอที่ผมได้นอนบนเตียงหน่ะ…?

 

 

 

บทที่ 1 ตอนที่ 9

 

「ใหญ่จัง…」

 

เมืองหลวงปกครองโดยดยุก ยูเวอร์ไมส์ นั้นเป็นเมืองที่รายล้อมไปด้วยกำแพงหินสูงทอดยาวไปสุดลูกหูลูกตา

 

บ้านหลายๆหลังที่เกินออกมานั้นเรียงรายอยู่ภายนอกกำแพง รวมถึงร้านค้าและโรงแรมสำหรับนักเดินทางที่มายังเมืองแห่งนี้อีกด้วย

 

มันต้องใช้เวลาสักพักก่อนจะได้เข้าไปในตัวเมือง มีผู้คนมากมายต่อแถวจากประตูเมืองไปจนถึงจุดที่มองเห็นประตูเมืองมีขนาดเท่าเมล็ดถั่ว

 

ภายในแถวก็จะประกอบไปด้วยเหล่านักเดินทาง พ่อค้า และผู้คนที่ดูเหมือนจะเป็นผู้อพยพย้ายถิ่นฐาน บางครั้งก็จะมีทหารขี่ม้าผ่านเข้าไปได้ทันทีโดยไม่ต้องต่อแถว ในเวลานั้น ทุกๆคนก็จะมองไปที่พวกนั้นด้วยสายตารังเกียจ

 

「หืมมม~ ดูเหมือนพวกเราคงจะได้เข้าไปกันในวันพรุ่งนี้แล้วละนะ」มิมิโนะซังพูด

 

「ชิ งั้นข้าจะออกไปล่าสัตว์ซักหน่อยดีกว่า」ไรเครียซังพูด

 

ในขณะที่เขากำลังจะออกจากแถวไปนั้น

 

「โอ้ ท่านกำลังจะออกไปล่าสัตว์งั้นรึ? ถ้าท่านล่านกก้นปล่องได้ ข้าจะรับซื้อมันเอง!」พ่อค้าที่อยู่ด้านหน้าพูดขึ้นมา

 

「ไม่ หน้าของเจ้ามันเจ้าเล่ห์เกินไป」

 

「ไม่เอาหน่าท่าน พ่อค้าทุกคนมันก็หน้าเจ้าเล่ห์เหมือนกันหมดนั้นแหล่ะ ใช่ไหมละ?」

 

「ถึงไม่พูดก็รู้อยู่แล้ว ก็ได้ ถ้าข้าเจอซักตัวละก็นะ」ไรเครียซังพูดก่อนจะตรงเข้าไปในป่าโดยเดินตัดผ่านทุ่งหญ้าไป

 

ผมรู้ว่ามีการการเลือกปฏิบัติกับพวกมนุษย์สัตว์อยู่ แต่พ่อค้าคนนี้ดูจะไม่ค่อยสนเรื่องนั้นสักเท่าไหร่

 

「นกก้นปล่องนั้นเป็นนกที่มีใบมีดติดอยู่ตามร่างกายและจะเดินอยู่บนพื้น แต่พวกมันนั้นเก่งในเรื่องการพรางตัวมาก ดังนั้นจึงมีแต่คนที่มีประสาทสัมผัสดีเยี่ยมเท่านั้นที่จะล่ามันได้」ดันเต้ซังพูดเสริมขึ้นมาจากด้านข้าง

 

「นกก้นปล่องจะตัวอ้วนมากในช่วงเปลี่ยนฤดูระหว่างหน้าหนาวกับหน้าร้อนหน่ะ มันค่อนข้างอร่อยมากเลยนะรู้ไหม… ถ้าชั้นได้ปีกของมันสักข้างละก็… ไม่ได้ๆ ชั้นต้องไม่ปล่อยตัวปล่อยใจไปกับของหรูหราเด็ดขาด ดังนั้นชั้นจะรู้สึกขอบคุณมากเลยถ้าจะได้ขาสักข้าง…」น็อนซังพูดออกมาอย่างเหม่อลอยข้างๆกันกับดันเต้ซัง

 

…ถ้าเสียขาไปซักข้าง ไม่ใช่ว่านกนั้นจะตายหรือพิการไปแล้วไม่ใช่หรอ?

 

「เอาเถอะ คุณรอได้เลย ไรเครียหน่ะล่ามาได้ทุกครั้งเลยนั้นแหล่ะค่ะ」

 

「โอ้ ข้าจะตั้งตาคอยเลยนะ」

 

ก่อนที่ผมจะรู้ตัว มิมิโนะซังก็ไปทำข้อตกลงกับพ่อค้าคนนั้นเรียบร้อยแล้ว

 

ในท้ายที่สุดไรเครียซังก็กลับมาในช่วงดึกคืนนั้นโดยที่จับอะไรมาไม่ได้เลย

 

…ผมอยากจะลองกินเจ้านกก้นปล่องนั้นจริงๆ

 

พวกเรานั้นกินเนื้อตากแห้งเหมือนเดิมและพักแรมกันในที่โล่งแจ้ง ถึงจะพูดอย่างนั้นแต่เนื้อตากแห้งนี้ก็อร่อยอยู่ดี

 

เมื่อพระอาทิตย์ขึ้น ประตูเมืองที่จะปิดในช่วงกลางคืนก็เปิดออก ในช่วงบ่ายของวันนั้นเราก็ได้เข้าไปใกล้กับประตูเมืองแล้ว ถึงจะเป็นประตูเมือง แต่ดูเหมือนแค่ทำมาจากไม้และท่อนซุงเท่านั้นเอง

 

เหตุผลที่ต้องรอคิวยาวนานขนาดนี้ก็เป็นเพราะว่าต้องจ่ายภาษีเข้าเมืองนั่นเอง นักเดินทางจะต้องจ่ายคนละ 1 เหรียญเงินซึ่งก็ประมาณ 1000 เยน ส่วนพวกพ่อค้านั้นจะคิดตามสัมภาระที่นำมาและดูเหมือนว่าจะต้องใช้เวลาสักพักในการตรวจสอบ

 

ผมอยากจะให้พวกเขาแยกแถวกันจริงๆ… ขนาดที่สนามบินในชาติก่อนยังแยกงแถวระหว่างคนต่างชาติกับคนในพื้นที่เลย

 

「ต่อไป」

 

ในที่สุดก็ถึงตาพวกเราแล้ว

 

ทหารที่สวมหมวกทรงแหลมที่หน้าตาเหมือนกับของทหารที่อยู่ในเหมืองกวักมือเรียกพวกเรา ทหารคนนั้นใส่เกราะโซ่ถักและถือหอกสั้นอยู่

 

「พวกเราคือปาร์ตี้ – ซิวเวอร์บาลานซ์」

 

「นักพจญภัยงั้นรึ เอ้า เข้ากันไปได้แล้ว」

 

มิมิโนะซังแสดงบางอย่างที่เหมือนกับแผ่นเหล็กและทหารคนนั้นก็ปล่อยให้พวกเราผ่านเข้าไปได้ทันทีโดยมองมาที่พวกเราเพียงแวบเดียวเท่านั้น ถ้าจะทำแค่นี้ละก็ พวกเขาก็ควรจะปล่อยให้พวกเราเข้าไปตั้งแต่ก่อนหน้านี้ได้แล้ว

 

ในที่สุดผมก็จะได้เข้าไปในเมือง เมืองใหญ่เมืองแรกที่ผมจะได้เข้าไปตั้งแต่ผมมาที่โลกใบนี้

 

「-รอเดี๋ยวก่อน」

 

มือของผมก็ถูกคว้าเอาไว้ในตอนที่ผมกำลังจะเดินผ่านเข้าไป แขนเสื้อของผมถูกถกขึ้นแสดงให้เห็นร่องรอยของรอยสักอย่างเด่นชัด

 

…แย่แล้ว!

 

หัวใจของผมตกลงไปยังตาตุ่ม

 

ผมเหลือบมองยังด้านข้างก็เห็นไรเครียซังเริ่มเคลื่อนไหวอย่างช้าๆ ดันเต้ซังก็ลดมือลงไปยังมีดสั้นที่อยู่ตรงเอวของเขา

 

ยิ่งไปกว่านั้น มิมิโนะซังที่เป็นคนที่ยืนอยู่ด้านหน้าสุดเบิกตากว้างขึ้นและจ้องมองตรงไปยังทหารคนนั้น — ผมของเธอเริ่มลอยขึ้นจากการรวบรวมมานา

 

…เดี๋ยวๆๆ เดี๋ยวก่อนสิ! พวกคุณกำลังจะทำอะไรกัน?! นี่มันแย่แล้ว! มันกำลังจะกลายเป็นปัญหาเพราะผมแล้ว!

 

「โอ้ ทาสงั้นหรอ หืม…」

 

ผมกำลังตื่นตระหนก แต่ปฏิกิริยาของทหารคนนั้นก็มีเพียงแค่นั้น

 

「ข้าก็กำลังสงสัยอยู่เลยว่าเด็กคนนี้ดูเด็กเกินไปที่จะเป็นนักพจญภัย ปรากฎว่าเด็กคนนี้เป็นทาสนี่เอง ทาสนั้นก็ต้องจ่ายเหมือนกับนักพจญภัยหรือก็คือ 1 เหรียญเงินหน่ะ」

 

「โอ้งั้นหรอคะ พวกเราไม่รู้เรื่องนั้นเลยค่ะ」

 

น็อนซังเข้ามายืนอยู่ข้างหน้าของทหารคนนั้นอย่างลื่นไหล วางเหรียญเงินไว้บนมือของเขาก่อนจะกุมมือนั้นเอาไว้อย่างอ่อนโยน ทหารคนนั้นหน้าแดงไปสักพัก สายตาของเขาจับจ้องไปที่หน้าอกของน็อนซัง

 

「เธอเป็นแม่ชีงั้นหรอ?」

 

「ใช่แล้วละค่ะ แต่ในตอนนี้ชั้นได้รับอนุญาติเป็นพิเศษจากทางโบสถ์ให้มาเป็นนักพจญภัยได้หน่ะค่ะ นี่เป็นบัตรนักพจญภัยของชั้นค่ะ」

 

「เออ อืม ผ่านเข้าไปได้เลย」

 

「ขอบคุณที่ทำงานหนักเสมอมานะคะ เอาหล่ะ ไปกันเถอะค่ะทุกๆคน」น็อนซังบอกให้พวกเราเดินเข้าไปในเมือง

 

หลังจากเดินไปซักพัก พวกเราก็เลี้ยวเข้าไปในตรอกด้านหลัง

 

「คุณพ่อ ไรเครียซัง และมิมิโนะซังก็ด้วย! ที่เลือดขึ้นหน้ากันเมื่อกี้มันอะไรกันคะ?!」

 

น็อนซังโกรธ ใช่แล้วละ เมื่อกี้ก็คือเลือดขึ้นหน้ากันจริงๆสินะ?

 

「พวกเราวางแผนกันมาไม่ใช่หรอคะว่าถ้าเรื่องมันบานปลายแล้วพวกเราจะอ้างว่าเขาเป็นทาสของปาร์ตี้พวกเราไม่ใช่หรอคะ?! ถึงอย่างนั้นก็ยังเลือดขึ้นหน้ากันในตอนที่เริ่มผิดแผนกันเนี้ยนะคะ!」

 

「ขะ-ขอโทษด้วยนะ ตอนแรกมันก็ไปสวยดี ก็เลย…」 ดันเต้ซังขอโทษออกมา

 

「…ความผิดข้าเอง」ไรเครียซังตอบกลับ

 

「………ขอโทษค่ะ」

 

「ถ้าเกิดเรื่องแบบนั้นขึ้นละก็ พวกเราจะต้องสู้กับทหารจากทั้งเมืองเลยนะคะ! แน่นอนว่าต้องมีบางคนรับรู้ถึงความกระหายเลือดนั้นได้แน่เลยค่ะ!」

 

ผมไม่เห็นจะรู้เลยว่าพวกเขานั้นมีแผนอยู่แล้วถ้าตัวผมถูกทหารหยุดเอาไว้

 

ดันเต้ซังก้มหัวขอโทษอย่างสุดตัว ไรเครียซังเบือนหน้าหนี และมิมิโนะซังก็ทำหน้าเหมือนกับกำลังจะร้องไห้

 

「ชะ-ชั้นเกือบจะทำให้เรย์จิคุงตกอยู่ในอันตรายจากการกระทำของชั้นเองซะแล้ว…」

 

「มิมิโนะซัง ไม่เป็นไรหรอกครับ พวกเราได้เข้ามาในเมืองโดยที่ไม่มีอะไรเกิดขึ้นแล้วนี่ครับ! อีกอย่างน็อนซังก็ไม่ได้โกรธเหมือนกันใช่ไหมละครับ?」

 

「ใช่แล้วหล่ะ… ต้องขอโทษด้วยค่ะ ชั้นแค่รู้สึกผิดหวังนิดหน่อยเท่านั้นเองค่ะ」

 

น็อนซังก้มหัวขอโทษ ท่าทางนั้นเหมือนกับดันเต้ซังเปี้ยบเลย สมแล้วที่เป็นพ่อลูกกัน

 

ผม… นี้ช่างโชคดีจริงๆที่ถูกเก็บมาโดยปาร์ตี้ที่ดีๆแบบนี้

 

ในขณะที่ผมกำลังรู้สึกโชคดีอยู่นั้น ผมไม่คิดว่าจะมีโชคดีที่มากกว่านี้กำลังรอผมอยู่ – โรงแรมที่พวกเรากำลังจะได้เข้าพักนั้นมีบ่อน้ำพุร้อนด้วย

 

 

 

 

บทที่ 1 ตอนที่ 8

 

ชีวิตในป่านั้นไม่รู้ทำไมถึงได้รู้สึกสบายๆและสนุกสนาน พวกเรานั้นได้เคลื่อนตัวไปตามเส้นทางที่มีในป่า ดูเหมือนจะมีเส้นทางลับที่เหล่านักล่าหรือพ่อค้าต่างๆใข้อยู่มากมายเลย

 

มิมิโนะซังที่เป็นเผ่าฮาล์ฟลิงนั้นมีประสาทสัมผัสเรื่องทิศทางเป็นเลิศขนาดที่นำทางในป่าได้โดยไม่ต้องใช้แผนที่ซะด้วยซ้ำ (TL: ต้องขออภัยที่ในตอนก่อนๆผมแปลเผ่าของนางเป็นคนแคระ จริงๆแล้วนางเป็นเผ่าฮาล์ฟลิงหรือก็คือฮอบบิท เวลามีคนแคระ(Dwarf)โพล่มาจะได้ไม่เกิดการสับสนขึ้นนะครับ ต้องขออภัยมานะที่นี้ด้วยครับ)

 

…นี่พวกเรามาถูกทางจริงๆนะหรอ?

 

ผมยังรู้สึกสงสัยเล็กน้อย แต่ดูเหมือนคนอื่นๆจะไม่สงสัยอะไร คงทำอะไรไม่ได้นอกจากเชื่อมั่นเข้าไว้ละนะ

 

อาหารของพวกเราเกือบทั้งหมดนั้นเก็บมาจากป่า และผมจะเป็นคนทำหน้าที่หามัน เป็นเพราะว่าผมสามารถหาทั้งผลไม้ เห็ด และพืชที่กินได้ด้วยความช่วยเหลือของ【World Ruler】ผมก็ยังบอกมิมิโนะซังถึงสมุนไพรป่าที่ขึ้นอยู่รอบๆ เธอจะคอยชมผมทุกๆครั้งที่ผมช่วยดังนั้นมันจึงรู้สึกสนุกมาก ผมยังเก็บพวกพืชที่ตัวมิมิโนะซังไม่รู้จักแต่ตัวผมรู้จักจาก【World Ruler】เพื่อที่จะเอามันไปขายในภายหลังด้วย

 

ทว่าพวกเครื่องเทศ เกลือ และเหล้านั้นกลับหมดเร็วมาก ดูเหมือนดันเต้ซังจะชอบดื่มเหล้ามากจนถึงขั้นดื่มมันในทุกๆคืนเลย

 

โชคยังดีที่พวกเรายังสามารถหาซื้อเสบียงเพิ่มเติมที่จำเป็นได้จากเหล่าพ่อค้าที่เจอในเส้นทางตามป่า ทั้งพ่อค้าที่ท่าทางน่าสงสัย พ่อค้ามนุษย์สัตว์เผ่าแมว และพ่อค้าคนอื่นๆที่ไม่ได้ใช้ถนนหลักหรือไม่สามารถใช้ได้ก็มี  ส่วนใหญ่คนพวกนั้นจะสะพายกระเป๋าที่ใหญ่กว่าตัวพวกเขาเองและมักจะเดืนทางกันเป็นกลุ่ม มิมิโนะซังกับดันเต้ซังจะเป็นคนเข้าไปเจรจากับคนพวกนั้นเพื่อซื้อเสบียง

 

อย่างไรก็ตาม ชีวิตสบายๆในป่านั้นก็อยู่ได้ไม่นาน

 

ตั้งแต่แรกแล้วปาร์ตี้นี้นั้นมีเป้าหมายอยู่ นั่นคือการรักษาคำสาปของดันเต้ซังที่ราชอาณาจักรอัศวินนักบุญ

 

ปาร์ตี้ซิวเวอร์บาลานซ์เคลื่อนตัวผ่านป่าตรงไปยังเป้าหมายอย่างรวดเร็ว ตอนแรกร่างกายของผมนั้นตามความเร็วไม่ทันจนต้องให้ดันเต้ซังแบกผมไว้ข้างหลังอยู่บ่อยครั้ง แต่ในไม่กี่วันมานี้ผมสามารถตามความเร็วนั้นทันแล้ว

 

…ฟุฟุ ผมนี้เติบโตมาได้อย่างดีเลยนะ

 

「เธอไม่ต้องขี่หลังของคุณพ่ออีกแล้วหรอ?」

 

「ใช่แล้วครับ! ผมโตขึ้นแล้ว」

 

「อย่างนั้นหรอ…」

 

ถึงผมจะรู้สึกภูมิใจในตนเอง แต่น็อนซังกลับดูเศร้าสร้อยด้วยเหตุผลบางอย่าง

 

…ทำไมเธอถึงดูเศร้าหล่ะ? หรือเธอจะมีรสนิยมชอบดูเด็กขี่หลังกัน? — ขณะที่ผมกำลังคิดอะไรโง่ๆแบบนั้นอยู่ น็อนซังก็ให้คำตอบกับผม

 

「…คำสาปที่ทำให้กลายเป็นหินหน่ะไม่สามารถติดต่อกันได้ แต่ผู้คนกลับตีตัวออกห่างจากคุณพ่อราวกลับว่ามันเป็นโรคระบาด」

 

พูดอีกอย่างก็คือเธอรู้สึกยินดีที่ผมขี่หลังของดันเต้ซังโดยไม่กังวลถึงเรื่องคำสาปสินะ

 

และผมก็รู้สึกตัวแล้วว่า นอกจากเผ่ากึ่งมนุษย์อย่าง “มนุษย์สัตว์” กับ “ฮาล์ฟลิง” แล้ว ยังมีดันเต้ซังอีกคนที่ตกเป็นเป้าหมายของการแบ่งแยก

 

…และจริงๆพวกเขาก็ยังไม่ได้พูดถึงสีผมของผมเลยแม้แต่น้อย

 

ไม่มีใครในปาร์ตี้ที่พูดเกี่ยวกับสีผมและสีตาของผม – ที่ถูกเกลียดจากทั้งคนในครอบครัวและดยุกนั่น – เลยสักครั้ง เป็นเพราะว่าพวกเขานั้นเข้าใจถึงการถูกแบ่งแยกเป็นอย่างดีนั้นเอง

 

…พวกเขาเป็นคนดีจริงๆ ผมรู้สึกโชคดีมากๆเลย

 

…ผมก็ขอภาวนาให้พี่ลาคพบเจอเหล่าคนที่แสนวิเศษแบบนี้ด้วยเหมือนกัน

 

「ทุกคน วันนี้พวกเราจะเข้าเมืองกันนะ」 มิมิโนะซังพูดขึ้นมาในตอนเช้าขณะที่ควันยังคงลอยออกมาจากกองไฟ

 

ทุกๆคนพยักหน้าด้วยสีหน้าจริงจัง ดูเหมือนพวกเขาคงจะต้องเตรียมตัวก่อนจะเข้าสู่เมืองของมนุษย์สินะ

 

「เรย์จิคุง ถ้าเธอมากับพวกเรา คนอื่นๆก็จะว่าร้ายใส่เธอเหมือนกันนะ… เธออยากจะทำยังไงต่อไปหรอ?」

 

「แน่นอนว่าก็ต้องไปกับทุกคนด้วยอยู่แล้วครับ」

 

「อืมม…」

 

「ผมหมายถึง ผมเองก็ไม่มีจุดหมายในหัวอยู่แล้ว ตอนนี้ผมก็แค่อยากจะตอบแทนสำหรับทุกสิ่งทุกอย่างที่พวกคุณทำให้กับผมก็เท่านั้นเองนะครับ」

 

ผมไม่มีเป้าหมายที่ต้องทำให้เสร็จอยู่แล้วในเวลานี้

 

ผมคิดว่าผมควรจะต้องไปพบกับหลานสาวของตาแก่ฮินกาและบอกเธอถึงวาระสุดท้ายของเขา หินฟอสฟอรัสที่ได้มาก็ยังคงอยู่ในกระเป๋าของผม

 

และ… ลาค ผมเองก็อยากจะเจอเธออีกครั้ง ไม่ว่าจะยังไงก็ตาม

 

ทว่า ทั้งหมดนั้นก็ยังไม่สามารถทำได้จนกว่าผมจะใช้ชีวิตอยู่ในโลกใบนี้ได้ด้วยตัวของตัวเอง จนกว่าจะถึงตอนนั้น ผมต้องหาวิถีชีวิตที่มั่นคงให้ได้ก่อนในตอนนี้

 

「เธอไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับพวกเราหรอกนะ」

 

「นั้นแหล่ะว่าทำไมผมถึง–」

 

「แต่ชั้นก็ดีใจนะที่เธอพูดแบบนั้น」มิมิโนะซังพูดด้วยรอยยิ้ม

 

「โหย มิมิโนะ บอกเจ้านั้นไปตรงๆสิ ว่าคนอย่างพวกเราจะถูกเกลียดโดยชาวเมืองหน่ะ」

 

「ดะ-เดี๋ยวก่อนสิ ไรเครีย!」

 

มิมิโนะซังกำลังพยายามหยุดไรเครียซัง แต่ผมก็ตระหนักถึงเรื่องแบบนั้นอยู่ก่อนแล้ว

 

「ไม่ช้าก็เร็วยังไงเดี๋ยวเจ้านี้ก็รู้ตัวอยู่ดีนั้นแหล่ะ ทำให้มันชัดเจนตั้งแต่แรกก็จบแล้ว อีกอย่างเจ้านี้เองก็คงจะ…」

 

「ครับ ผมรู้อยู่แล้ว ผมสีดำของผมถูกเกลียดอย่างมากจากชาวเมืองและมันทำให้ผมเกือบจะโดนฆ่าตายมาหลายต่อหลายครั้งแล้ว ดังนั้นอาจจะเกิดเรื่องแบบเดิมขึ้นในเมืองก็เป็นได้ครับ」

 

มิมิโนะซังแข็งทื่อจากที่ได้ยินคำตอบของผม ไม่ใช่แค่เธอแต่รวมถึงน็อนซังด้วย ดันเต้ซังดูมืดมนยิ่งกว่าที่เคย และไรเครียซังนั้นทำหน้าบึ้งตึงและมีสีหน้าที่เจ็บปวด

 

…อย่างที่คิด ถึงไรเครียซังจะปากเสียแต่เขาก็ยังเป็นห่วงผม

 

ปาร์ตี้นี้นั้นค่อนข้างเป็นจุดเด่น ดังนั้น “ผมสีดำตาสีดำ” ของผมจึงจะยิ่งได้รับความสนใจมากขึ้นถ้าผมไปกับพวกเขา เขาคงจะคิดว่าถ้าผมไปคนเดียว ผมคงจะหลบจากการเป็นจุดสนใจได้

 

…ผมก็ขอบคุณสำหรับความรู้สึกนะครับ แต่มนุษย์สัตว์ล้ำบึกซึนเดเระนี้ยังไงก็ไม่เอาเด็ดขาดเลย

 

「ผมไม่เป็นไรหรอกครับ และต้องขอโทษถ้าเกิดว่ามีอะไรเกิดขึ้นเพราะผมด้วยนะครับ」

 

เมื่อผมก้มหัวลง มีมือขนาดใหญ่ยกใบหน้าของผมขึ้นอย่างอ่อนโยน

 

「เด็กๆหน่ะไม่ควรคิดมากกับเรื่องแบบนั้นหรอก ให้พวกผู้ใหญ่จัดการเอง」

 

เป็นดันเต้ซังนั้นเองที่ยกใบหน้าของผมขึ้น

 

「เรย์จิคุง ชั้น… จะปกป้องเธอเองไม่ว่าจะยังไงก็ตาม」มิมิโนะซังพูด แก้มของเธอนั้นแดงและดวงตาก็เปียกชื้น

 

「หยุดร้องไห้ได้แล้วหน่า มิมิโนะ ทำหน้าโง่ๆแบบนั้นตั้งแต่เช้าเลยนะ」ไรเครียซังพูด

 

「นะ-นี่เป็นเพราะควันหรอกหน่า!」เธอตอบกลับไป ขณะที่เช็ดน้ำตาด้วยแขนเสื้อของเธอ 「เอาหล่ะ ไปกันเถอะ!」

 

ซิวเวอร์บาลานซ์นั้นกำลังมุ่งหน้าไปยัง “ยูเวอร์ไมส์ (Uverminds)” เหมืองหลวงของของดยุกอเคนบาค

 

 

 

 

บทที่ 1 ตอนที่ 7

 

การที่มานาลดลงจากการใช้เวทมนตร์จะทำให้เกิดอาการเวียนหัวเหมือนกับการที่ระดับเลือดลดลงแบบเฉียบพลัน

 

…ดูเหมือนผมจะสลบไปสินะ นี่ผมทำผิดพลาดไปถึง 2 ครั้งเลยหรอเนี้ย

 

「เรย์จิคุง เธอสามารถใช้【เวทย์ดอกไม้】ในระดับพื้นฐานโดยไม่ต้องใช้หินสกิลได้เลยนะ!」

 

ตรงข้ามกับผม มิมิโนะซังนั้นกำลังอารมณ์ดี

 

ตอนที่ผมสลบอยู่ การถลกหนังของชาร์โคลวูล์ฟนั้นเสร็จไปแล้วและดูเหมือนดันเต้ซังจะเป็นคนแบกผมไว้บนหลังตั้งแต่นั้นมา ในตอนนี้พวกเราพึ่งจะทานมื้อค้ำกันเสร็จ ผมได้ดื่มชาสมุนไพรที่มิมิโนะซังเป็นคนชงก่อนจะเข้านอน

 

แล้วก็อีกอย่าง เมนูในคืนนี้ก็ยังคงเป็นเนื้อตากแห้งเหมือนเดิม แต่มันอร่อยมากจริงๆ

 

…ไรเครียซัง ถ้าจะบ่นละก็ เอาส่วนของคุณมาให้ผมก็ได้นะ

 

「จะ-จริงหรอครับ…?」

 

「ใช่แล้วละ มันสุดยอดกว่าตอนที่ชั้นใช้【เวทย์ดอกไม้】ครั้งแรกซะอีก ด้วยสิ่งนี้ เธอสามารถเป็นผู้ใช้【เวทย์ดอกไม้】ที่ยอดเยี่ยมได้โดยแค่เพิ่มผลจากหินสกิลเข้าไปเท่านั้นเองนะ!」

 

「แต่ก่อนหน้านั้น มันก็ยังไร้ประโยชน์ถ้าแกยังไม่มีสกิลเพิ่มปริมาณมานา」ไรเครียซังแทรกขึ้นมา

 

ดูเหมือนเขาจะไม่ชอบชาสมุนไพรสักเท่าไหร่จากการที่เขาปฏิเสธมัน ตอนนี้เขากำลังเคี้ยวก้านไม้รสชาติขมๆอยู่

 

「แต่ชั้นไม่คิดอย่างนั้นนะ ไรเครีย ไม่ใช่ว่าหินสกิล【เพิ่มปริมาณมานา】มันแพงมากเลยไม่ใช่รึไง?」

 

จากที่มิมิโนะซังพูดเอาไว้ สกิล【เสริมพลังเวทย์★】กับ【เสริมความถนัดเวทย์★】ที่เธอมีนั้นขายในราคาถูกเพราะพบเจอมันได้ง่าย กลับกัน【เพิ่มปริมาณมานา★】ขายกันในราคาที่พอๆกับหินสกิล3ดาวเลยทีเดียว

 

มันเป็นเรื่องจริงที่หินสกิลนั้นยิ่งดาวน้อยยิ่งพบเจอได้ง่าย แต่มาคิดๆดูแล้ว ผมกับลาคไม่เคยเจอหินสกิล【เพิ่มปริมาณมานา★】เลยสักครั้งตลอด3ปีที่อยู่ในเหมือง สงสัยว่าถึงจำนวณดาวจะเท่าๆกันแต่อัตราการเกิดคงจะต่างกัน

 

“ปริมาณมานา” ดูจะเหมือนๆกับ “MP” ในพวกเกมRPGนะ ถ้ามีmpมากเท่าไหร่ก็จะใช้เวทมนตร์ได้มากเท่านั้น นั่นหมายความว่า ผมนั้นมีmpน้อยนิดจนน่าเจ็บใจ

 

「แล้วก็อีกอย่าง สกิล【เพิ่มปริมาณมานา★★】ดูเหมือนจะถูกใช้โดยนักเวทย์ชั้นสูงที่ถูกเรียกว่า “นักปราชญ์แห่งสายลม” และถึงมันจะมีบันทึกที่บันทึกไว้ว่ามีการค้นพบ【เพิ่มปริมาณมานา★★★】ก็เถอะ แต่ดูเหมือนมันจะถูกคุมเข้มจากบางประเทศเลยนะ」

 

「โอ้ ถึงจะเป็นสกิลเดียวกัน มันก็ยังมีอันที่ดาวเยอะกว่าอยู่อีกงั้นหรอครับ เห」

 

ผมไม่เคยได้ยินเรื่องแบบนี้จากตาแก่ฮินกาเลยแห่ะ

 

「ใช่แล้วหล่ะ แล้วก็นะ การเรียนสกิล【เพิ่มปริมาณมานา★★】เพียงอันเดียวนั้นมีประสิทธิภาพยิ่งกว่าการเรียนสกิล【เพิ่มปริมาณมานา★】2อันอีกนะ」

 

「งั้นหรอครับ…」

 

มันก็ดูจะสมเหตุสมผลอยู่นะ ถ้าเรียนสกิล1ดาว 2 อันแล้วจะส่งผลเหมือนกับสกิล2ดาวเพียงอันเดียว งั้นสกิล2ดาวก็ไร้ความหมายทันทีหน่ะสิ

 

「พูดไปก็นึกขึ้นมาได้ ผลของ【เสริมพลังเวทย์】มันเป็นยังไงหรอครับ?」

 

「มันก็แค่ช่วยเพิ่มพลังของเวทมนตร์เท่านั้นหน่ะ」

 

「แล้ว【เสริมความถนัดเวทย์】ละครับ…?」

 

「มันก็เหมือนกับการเพิ่มระยะการใช้งานเวทมนตร์นั้นแหล่ะ และ【ควบคุมเวทย์】ก็จะช่วยให้เธอสามารถใช้เวทมนตร์ได้ยืดหยุ่นขึ้นนะ」

 

งั้นเองหรอ มิมิโนะซังเลือกสกิลโดยคำนึงถึงการใช้งานและความพร้อมในการใช้งานสินะ

 

「…การใช้เวทมนตร์ติดต่อกันก็ไม่ได้ช่วยให้เพิ่มปริมาณมานางั้นหรอกหรอครับ?」

 

「เรื่องนั้น… ชั้นเองก็ไม่รู้เหมือนกัน」

 

「ไม่รู้งั้นหรอครับ?」

 

「อย่างที่เรย์จิคุงพูดนั้นแหล่ะ มีบางคนที่พูดว่ามันจะเพิ่มถ้าใช้ง่านบ่อยๆอยู่เหมือนกัน บางคนก็พูดว่ามันจะเพิ่มตามอายุ บางคนก็พูดว่ามันจะเพิ่มตามขนาดรูปร่าง และยิ่งไปกว่านั้น บางคนยังบอกว่ามันขึ้นอยู่กับเผ่าพันธุ์อีกด้วย… ดังนั้นชั้นเองก็ไม่แน่ใจในเรื่องนี้เหมือนกัน」

 

「หืมม… งั้นผมก็ยังทำอะไรเป็นรูปเป็นร่างไม่ได้สินะครับ」

 

「แต่มันก็เป็นสิ่งดีที่พยายามฝึกฝนต่อไป มันจะเป็นประโยชน์ในการเรียนรู้เวทมนตร์อื่นๆอีกด้วยนะ!」

 

「ครับ」

 

「………」

 

「มีอะไรรึปล่าวครับ มิมิโนะซัง?」

 

ผมรู้สึกไม่สบายตัวจากการที่มิมิโนะซังเอาแต่จ้องมองผมโดยไม่พูดอะไรแม้แต่คำเดียว

 

「ปล่าวไม่มีอะไรหรอก ชั้นแค่กำลังคิดว่าเธอสามารถใช้เวทมนตร์ได้ทันทีทั้งๆที่ชั้นยังไม่ได้สอนอะไรเธอเลย ขนาดชั้นเองยังต้องฝึกฝนอย่างหนักกับพี่สาวแท้ๆ」

 

มิมิโนะซังดูเหมือนจะมีพี่สาวด้วยสินะ

 

พี่สาวของผม… ลาค… ผมสงสัยจังว่าในตอนนี้เธอกำลังทำอะไรอยู่นะ

 

「อะ-เออนั้นสินะคร้าบบบ… มันแปลกจริงๆด้วยใช่ไหมละครับ? ทั้งๆที่นี้ก็เป็นการใช้เวทมนตร์ครั้งแรกของผมแท้ๆ… จะ-จริงๆนะครับ…」

 

ไรเครียซังจ้องมองมาที่ผมอย่างสงสัย แต่ผมก็หลบมันด้วยการแกล้งหัวเราะ

 

…ผมไม่รู้สามัญสำนึกของโลกนี้เลยนี่หว่า! ช่วยผมด้วย【World Ruler】! ……และะะะ ไม่มีเสียงตอบรับจากเลขหมายที่ท่านเรียก รู้อยู่แล้วแหล่ะว่าแกไม่ได้สะดวกขนาดนั้น

 

「บางทีเรย์จิคุงอาจจะมีพรสวรรค์ด้านเวทมนตร์ก็ได้นะ!」มิมิโนะซังพูดออกมาอย่างมีความสุขพร้อมทั้งยิ้มแก้มปริ

 

หลังจากนั้น ผมก็ได้เรียนถึงวิธีการใช้【เวทย์ดอกไม้】จากมิมิโนะซัง แต่ผมยังใช้งานมันไม่ได้เนื่องจากขาดมานา เป็นแบบเดียวกันกับ【เวทย์ดิน】ด้วยเหมือนกัน ถึงอย่างงั้นผมก็ยังใช้มันได้เมื่อผมมีมานามากกว่านี้ ดังนั้นผมยังคงสังเกตและเรียนรู้ต่อไปอย่างกระตือรือร้น

 

ผมก็ยังไม่แน่ใจว่าถ้าผมจะสามารถก็อบปี้【เสริมพลังเวทย์】【เสริมความถนัดเวทย์】และ【ควบคุมเวทย์】ได้ เพราะยังไงผมก็ไม่มีมานาพอที่จะใช้เวทมนตร์ตั้งแต่แรกแล้วละนะ

 

ผมเรียนรู้เกี่ยวกับเวทมนตร์ต่างๆ:

เวทย์ที่จะงอกกิ่งไม้ออกมาเป็นนั่งร้าน เวทย์ที่ตรงข้ามอย่างเวทย์หดกิ่งไม้ เวทย์ที่ใช้สร้างกับดักสำหรับขัดขาของศัตรูด้วยการควบคุมหญ้า เวทย์ที่จะผนึกการเคลื่อนไหวของอีกฝ่ายด้วยเถาวัลย์ เวทย์โจมตีที่ยิงหนามออกไป เวทย์ที่ทำให้อีกฝ่ายหลับด้วยละอองเกสร

 

เวทย์ที่ใช้สร้างกำแพงโคลน เวทย์ที่ใช้สร้างหลุม เวทย์ที่ใช้ทำลายหิน เวทย์ที่ใช้เสริมความแข็งของโลหะชั่วคราว เวทย์โจมตีที่ยิงดินออกไป เวทย์ที่ใช้ตรวจจับศัตรูด้วยแรงสั่นสะเทือนจากพื้น เวทย์ที่ใช้เสริมความแข็งแกร่งของกำแพงและเพดานของถ้ำ

 

จริงๆแล้วผมสามารถใช้เวทย์รักษาเหมือนกับที่น็อนซังใช้กับดันเต้ซังในทุกๆคืนได้ เวทรักษานั้นจะเข้าไปช่วยเพิ่มการทำงานของเซลล์ภายในร่างกายจนทำให้เกิดการรักษาตามธรรมชาติ ดังนั้นผมจึงใช้ได้แค่กับแผลเล็กๆเพียงเท่านั้น

 

ในทางกลับกัน ผมไม่สามารถใช้ดาบใหญ่อย่างอันที่ดันเต้ซังใช้หรือเลียนแบบการเคลื่อนไหวของไรเครียซังได้ ตั้งแต่แรกแล้วผมก็ไม่ได้มีแม้แต่มีดสักเล่ม ไม่ต้องพูดถึงดาบใหญ่เลย สิ่วที่ผมมีก็แทนกันไม่ได้สักนิด ส่วนไรเครียซังนั้น… ผมเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน ผมคิดว่ามันคงเป็น【เสริมความแข็งแกร่งขา】ไม่ก็【เทคนิคการเตะ】แต่ผมก็ไม่สามารถเลียนแบบได้อยู่ดี

 

…ผมสงสัยจังว่าทำไม? มันเป็นความสามารถตามธรรมชาติของมนุษย์สัตว์รึปล่าว? ถ้าเป็นแบบนั้นจริง ไม่ใช่นั่นเป็นสูตรโกงเฉพาะของเผ่ามนุษย์สัตว์งั้นหรอ?

 

มันจะกระจ่างทันทีถ้าเขายอมบอกผมเกี่ยวกับสกิลของเขา แต่แน่นอนว่าเขาไม่ยอบบอกหรอก และผมเองก็ไม่ได้ถาม

 

อย่างไรก็ตาม ดันเต้ซังกับน็อนซังนั้นบอกผมเกี่ยวกับสกิลของพวกเขา

 

สกิลของดันเต้ซังมีดังนี้

 

【เสริมความแข็งแกร่งทางกายภาพ ★ / เสริมความแข็งแกร่งกล้ามเนื้อหลัง ★ / เสริมความแข็งแกร่งกล้ามเนื้อหน้าท้อง ★ / ความชำนาญ ★ / เทคนิคดาบใหญ่ ★★ / เสริมภูมิต้านทาน ★★】

 

ผมขุดพบหินสกิล【ความชำนาญ】ได้อยู่บ่อยครั้ง แต่ไม่คิดว่าจะมีคนที่ใช้มันจริงๆ ถ้าจะให้ขยายความ ผมได้ยินมาว่ามันก็ดูจะใช้งานง่ายและมีประโยชน์สำหรับการซ่อมแซมอุปกรณ์หรือทำอาหารเท่านั้นเอง

 

…โลกแห่งสกิลนี้ช่างล้ำลึกจริงๆด้วย

 

ดูเหมือนว่า【เสริมภูมิต้านทาน】ที่หายากแม้ในหมู่2ดาวด้วยกันเองนั้นถูกซื้อด้วยเงินเก็บทั้งหมดที่เขามีหลังจากโดนคำสาป เขาบอกว่าเขานั้นถึงกับต้อง “ทำลาย” สกิลที่เขาเคยมีเพื่อที่จะเรียนรู้สกิล เขาถึงขั้นยอมเป็นหนี้เลยเพื่อซื้อสกิลนี้เลย

 

ดูเหมือนว่า “การทำลาย” สกิลนั้นทำได้โดยการจ้างผู้เชี่ยวชาญ และมันก็ไม่เหมือนกับ【ถอนสกิล】 สกิลมันจะหายไปเลย ดังนั้นมันก็เลยไม่ได้จ้างแพงมากนัก

 

ในกรณีนี้ ต้องขอบคุณสกิล【เสริมภูมิต้านทาน】มันช่วยหยุดการกระจายของคำสาปได้ เพราะแบบนั้น เขาจึงยังสามารถทำงานเป็นนักพจญภัยและจ่ายหนี้ได้

 

สกิลของน็อนซังนั้นมีดังนี้

 

【เสริมสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ ★, เทคนิคการสวดภาวนา ★, เวทย์รักษา ★★, เวทย์สนับสนุน ★★, เวทย์ศักดิ์สิทธิ์ ★★】

 

ทั้งหมดนั้นเป็นสกิลในหมวด “ประเภทลึกลับ” ผมก็คิดอยู่ว่าทำไมการแต่งตัวของน็อนซังนั้นเหมือนกับแม่ชี แต่แล้วเธอก็เป็นแม่ชีจริงๆ ตอนที่เธอรู้ว่าพ่อของเธอโดนคำสาป เธอก็รีบขอออกจากโบสถ์ชั่วคราวแล้วตรงไปหาพ่อของเธอทันที

 

ทางโบสถ์นั้นจะแบ่งหินสกิล “ประเภทลึกลับ” ที่ได้มาจากประเทศให้ น็อนซังบอกว่าเธอได้รับสกิลพวกนี้มาฟรีๆแต่ต้องแลกกับการที่ต้องกลายเป็นแม่ชี ในทางกลับกัน มันแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะออกจากการเป็นแม่ชี และการจะสามารถออกมาเพียงชั่วคราวได้ก็ต่อเมื่อเป็นกรณีพิเศษเท่านั้น เหมือนกับกรณีคำสาปของดันเต้ซัง

 

ผมอยากจะเห็น【เวทย์สนับสนุน】กับ【เวทย์ศักดิ์สิทธิ์】จริงๆ แต่ปาร์ตี้ซิวเวอร์บาลานซ์นั้นไม่ได้มีปัญหากับมอนสเตอร์ทั้งหมดที่เราพบจนต้องใช้มันเลยสักครั้ง

 

ในตอนที่ผมถามออกไปว่า “จะใช้สกิล【สวดภาวนา】ไปทำไมหรอครับ?” เธอก็ตอบกลับมาว่า “เพิ่อที่ชั้นจะได้แสดงความเคารพต่อพระเจ้าได้มากกว่านี้ยังไงหล่ะ” พร้อมทั้งทำหน้าจริงจัง

 

…มันไม่ได้มีสกิลในโลกนี้เยอะเกินไปหน่อยหรอ? โลกแห่งสกิลนี้ช่างล้ำลึกจริงๆด้วยแห่ะ

 

มันมีจุดที่สามารถพบหินสกิลได้ทั้งหมด 8 แห่งบนโลกนี้ รวมถึงเหมืองที่ผมเคยอยู่ด้วย ดังนั้นแต่ละที่คงจะผลิตหินสกิลต่อวันได้เป็นจำนวณมากแน่นอน ถึงตอนนี้เหมืองที่ผมเคยอยู่จะปิดใช้งานไปซักพักก็เถอะ

 

 

 

 

บทที่ 1 ตอนที่ 6

 

ซิวเวอร์บาลานซ์นั้นแข็งแกร่งมาก ถ้าจะให้พูดละก็ สิ่งมีชีวิตในป่าแห่งนี้ไม่คณามือพวกเขาเลยสักนิด

 

สุนัขป่า – มอนสเตอร์ขนสีน้ำตาลที่ดูเหมือนลูกผสมระหว่างหมาป่ากับสุนัข – ที่ทำให้ผมกลัวที่มืดๆในป่านั้นไม่ใช่เรื่องใหญ่เลยสำหรับปาร์ตี้นี้ สุนัขป่าพวกนั้นดูเหมือนจะถูกเรียกว่า “ชาร์โคลวูล์ฟ” และเมื่อพวกมันสัมผัสได้ถึงมนุษย์ที่กำลังใกล้เข้ามาด้วยจมูกรับกลิ่นอันยอดเยี่ยมของมัน พวกมันจะเรียกฝูงของมันมาแล้วล้อมรอบมนุษย์คนนั้นอยู่ห่างๆ ในตอนที่รู้สึกตัวก็สายไปแล้ว มนุษย์ตนนั้นจะถูกไล่ล่าและพ่ายแพ้ให้กับจำนวณ ท้ายที่สุดก็จะถูกขย้ำจนตาย

 

อย่างไรก็ตาม จมูกรับกลิ่นของไรเครียซังนั้นเหมือนกับของชาร์โคลวูล์ฟ – ถึงเจ้าตัวจะพูดเองว่าจมูกของเขานั้นดีกว่า แต่ดันเต้ซังบอกว่ามัน “เท่ากัน” – และเมื่อชาร์โคลวูล์ฟรับรู้ถึงปาร์ตี้นี้ ไรเครียซังก็จะรู้ตัวเช่นกัน เขาจะเข้าไปจัดการมันก่อนที่มันจะเรียกฝูงมาเพิ่ม

 

วิธีการต่อสู้ของไรเครียซังนั้นค่อนข้างเฉียบคม เมื่อเขารับรู้ถึงศัตรู เขาจะเริ่มออกวิ่งเข้าไปหาอย่างเงียบเชียบและเตะไปยังขาของศัตรูเพื่อลดความคล่องตัวลง ถ้าศัตรูไม่สามารถวิ่งได้รวดเร็วเหมือนตอนปกตินั้นก็จะเหมือนกับตายไปแล้ว บางครั้งเขาก็จะเล่นกับเหยื่อด้วย ถ้าไม่ตายทันทีด้วยมีดสั้นก็จะถูกเตะจนกว่าจะตาย

 

เขามีสกิล【เสริมความแข็งแกร่งกายภาพ★】งั้นหรอ? หรือบางทีอาจจะเป็นสกิล 【เทคนิคการเตะ ★★】?

 

ผมพยายามคาดเดาสกิลของเขาจากความรู้อันน้อยนิดของผม

 

ผมเฝ้ามองการเคลื่อนไหวของเขาหลายครั้ง ก่อนจะแอบออกมาตอนช่วงพักและพยายามเลียนแบบเขา แต่สุดท้ายผมก็เลียนแบบไม่ได้ บางทีเขาคงจะมีสกิลที่แตกต่างจากที่ผมคิดเอาไว้

 

…หืมม โลกแห่งสกิลนี้ช่างล้ำลึกเสียจริง

 

เขายังสามารถเดินแบบไม่มีเสียงได้ทั้งๆที่เหยียบไปบนใบไม้ ตอนแรกผมก็คิดว่านั่นเป็นผลมาจากสกิลของเขา แต่ผมไม่สามารถเลียนแบบได้เลย บางทีมันอาจจะเป็นเทคนิคที่เขาฝึกมาเองก็เป็นได้

 

ผมรู้สึกผิดเล็กน้อยที่ก็อบปี้สกิลของพวกเขาโดยไม่ได้รับอนุญาต แต่ผมตัดสินใจแล้วว่ามันเป็นสิ่งจำเป็นในการเอาขีวิตรอดของผมในโลกใบนี้ และอีกอย่างมันก็ไม่ได้ก็อบปี้มาอย่างสมบูรณ์ มันจะเป็นผลดีกับปาร์ตี้นี้มากกว่าถ้าผมเลิกทำตัวเป็นส่วนเกินแล้วเริ่มทำตัวให้มีประโยชน์

 

「อย่างที่เธอเห็น ไรเครียนั้นค่อนข้างจะปากเสียไปหน่อย แต่ถ้าเรื่องจัดการกับมอนสเตอร์หรือสัตว์ป่าละก็ ไม่เป็นสองลองใครเลยหล่ะ」

 

「อืม… มิมิโนะซัง พวกคุณต่อสู้กันยังไงหรอครับก่อนที่ไรเครียซังจะเข้าร่วมปาร์ตี้มา?」

 

「ชั้นใช้เวทมนตร์ในการตรวจจับศัตรูหน่ะ แต่มันจะทำให้มานาของชั้นหมดเร็วจนทำให้ต้องเสียเวลาพักบ่อยมาก นั่นแหล่ะชั้นถึงดีใจที่ไรเครียเข้าร่วมปาร์ตี้มา」

 

「เวทมนตร์งั้นหรอครับ เข้าใจแล้ว…」

 

…งั้นหรอ มีเวทย์ที่ใช้จับตำแหน่งของศัตรูอยู่ด้วยสินะ?

 

มันมีเวทมนตร์มากมายอยู่ในโลกใบนี้ แต่เวทมนตร์เกือบทั้งหมดที่ใช้ “มานา” นั้นมีอยู่ 8 ประเภทที่อยู่ภายใต้หมวดหมู่สกิล “ประเภทเวทมนตร์” และมีอีก 2 ประเภทที่อยู่ภายใต้หมวดหมู่สกิล “ประเภทลึกลับ” – นี่เป็นสิ่งที่ตาแก่ฮินกาสอนผมมา

 

ที่ผมพูดว่า “เกือบทั้งหมด” นั้นเป็นเพราะว่ามันก็ยังมีสกิลที่มีข้อยกเว้นอย่าง “ประเภทยูนีค”ด้วยเช่นกัน ตัวอย่างเช่นสกิล【ความสะดวกสบาย】ของมิมิโนะซัง หลังจากที่สังเกตเวทมนตร์นั่นของเธอไปแล้ว ผมก็ประสบความสำเร็จในการสร้างน้ำขึ้นมาได้เป็นจำนวญหนึ่ง สกิลนี้มันก็สะดวกสบายจริงๆนั่นแหล่ะ

 

「…ถ้าผมใช้เวทมนตร์ได้ละก็ ผมจะมีประโยชน์มากขึ้น ใช่ไหมครับ?」

 

「ไม่เป็นไรหรอก เรย์จิคุงไม่จำเป็นต้องสู้หรอกนะ」

 

「แต่ผมไม่สามารถทำตัวเป็นภาระได้หรอกนะครับ」

 

「-ใช่แล้ว ผู้ใดไม่ทำงานก็ไม่ต้องกิน ให้เจ้าหนูนี่ทำงานซะบ้างก็ดี」

 

ไรเครียซังที่กลับมาจากการจัดการชาร์โคลวูล์ฟนั้นเห็นด้วยกับผม หลังเขาพูดจบ มิมิโนะซังก็ทำหน้าบึ้งออกมาอย่างเห็นได้ชัด

 

「เด็กๆหน่ะไม่ต้องทำงานหรอกนะ」

 

「เจ้าเอาแต่พูดว่าเด็กอย่างนู้นเด็กอย่างนี้ แต่ที่นี่มันเป็นป่านะ มันไม่สำคัญหรอกนะว่าจะเป็นเด็กหรือผู้ใหญ่ เด็กที่ไม่สามารถดูแลตัวเองได้หน่ะสุดท้ายก็จะถูกขย้ำตายเอาได้นะ」

 

「อุกุกุกุ…」มิมิโนะซังเถียงไม่ได้เลย

 

「อย่างที่ไรเครียซังพูดนั่นแหล่ะครับ อย่างน้อยๆผมเองอยากจะทำอะไรบางอย่างเพื่อปกป้องตัวเองเหมือนกันครับ」

 

「…ถ้าเธอยังจะยืนยันคำเดิมแบบนั้น ชั้นจะสอนเวทมนตร์ให้ก็ได้ แต่ถ้าเธอไม่มีคุณสมบัติละก็ เธอต้องไปทำอย่างอื่นนะ เข้าใจไหม?」

 

「ครับ! เข้าใจแล้วครับ ขอบคุณมากจริงๆครับ ทั้งมิมิโนะซังทั้งไรเครียซัง…」

 

「ชิ」ไรเครียเดาะลิ้นออกมา

 

เขาหันหลังให้ผมก่อนจะเริ่มถลกหนังของชาร์โคลวูล์ฟที่เขาฆ่า จากที่ดันเต้ซังบอกมา เนื้อของชาร์โคลวูล์ฟนั้นมีกลิ่นฉุนและกินไม่ได้ แต่หนังของมันสามารถเอาไปขายได้

 

หลังจากที่สังเกตไรเครียซังมา2-3วันแล้ว ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเขาต้องเป็นพวก… ซึนเดเระแน่ๆ ปกติพวกซึนเดเระก็น่ารักดีอยู่หรอก แต่จะให้มนุษย์สัตว์ล่ำบึกแบบนี่เป็นพวกซึนเดเระนี้ไม่เห็นจะอยากได้เลยสักนิด

 

「ชั้นจะเริ่มอธิบายเกี่ยวกับเวทมนตร์ของชั้นละนะ」

 

「อืมม…」

 

「หืมม?」

 

「คือ… ไม่ใช่ว่าการถามสกิลของคนอื่นมันเป็นเรื่องผิดจรรยาบรรณหรอกหรอครับ?」

 

「มันก็คงจะผิดแหล่ะถ้าเธอถามตอนที่เจอกันครั้งแรก แต่มันไม่เป็นไรหรอกถ้าเธออยู่ในปาร์ตี้เดียวกันแล้ว เธอละมีสกิลอะไรหรือปล่าว เรย์จิคุง?」

 

「ผม…」

 

จะทำยังไงดี? ถ้าผมบอกเกี่ยวกับ【World Ruler】ละก็ ผมก็ต้องบอกเรื่องที่มาเกิดใหม่ด้วยนะสิ พวกเขาจะยอมเชื่อผมรึปล่าว? อีกอย่างถ้าเขารู้เกี่ยวกับสกิล10ดาวละก็ มันจะเป็นข้อยืนยันทันทีว่าผมนั้นหลบหนีออกมาจากเหมือง แถมยังขโมยสกิลออกมาอีกด้วย

 

「อาา ไม่ต้องห่วงไปหรอกนะ ชั้นจะซื้อหินสกิลให้กับเธอในภายหลังเอง มันไม่เป็นไรหรอกถ้าเธอจะไม่มีสกิลอะไรเลยหน่ะ!」

 

ดูเหมือนเธอจะเข้าใจผิดจากท่าทางเป็นกังวลของผม ถึงความเข้าใจผิดนี้จะเป็นผลดีกับผมก็เถอะ แต่ผมก็ได้รับคะแนน “เด็กน่าสงสาร” จากมิมิโนะซังไปอีกหนึ่งแต้มแล้วซะแล้วสิ

 

「สกิลของชั้นนั้นมี…」

 

มิมิโนะซังเริ่มเขียนรายชื่อสกิลของเธอลงบนพื้นด้วยกิ่งไม้

 

【เวทย์ดอกไม้】กับ 【เวทย์ดิน】เป็นสกิลที่อยู่ในหมวดหมู่สกิล “ประเภทเวทมนตร์”

 

ถึงผมจะใช้【เวทย์ไฟ】ได้แค่นิดหน่อย แต่มันจะมีประสิทธิภาพมากกว่าถ้าเรียนเวทมนตร์โดยตรงจากหินสกิล

 

อย่างไรก็ตาม ผมก็ไม่มีเงินมากพอที่จะซื้อสกิล2ดาวในตอนนี้อยู่ดี ดังนั้นการเรียนรู้มันจากมิมิโนะซังก็เป็นสิ่งที่ดีที่สุดรองลงมาแล้วละ

 

ตาแก่ฮินกาบอกผมมาว่าสกิล2ดาวนั้นมีราคาเท่ากับ10เหรียญเงินใหญ่ ซึ่งก็ราวๆ 100,000 เยน

 

ราคามันก็ดูจะถูกถ้าสามารถใช้เวทมนตร์ได้ทันทีเลยเพียงแค่ซื้อมัน แต่ถ้าไม่มีความเข้ากันได้ละก็ มันจะใช้งานได้ยากมากๆและจะเสียช่องสกิลอันมีค่าไปถึง2ช่องเลย

 

「อย่างแรกก็นี่เลย–」

 

เมื่อมิมิโนะซังกางมืออกไป จู่ๆก็มีดอกไม้บานขึ้นมาบนต้นไม้

 

「เธอจะสามารถใช้สกิล【เวทย์ดอกไม้】ในการชักจูงดอกไม้ ต้นไม้ หรืออะไรหลายๆอย่างในธรรมขาติได้หน่ะ」

 

「งั้นหรอครับ…」

 

ผมสังเกตุเวทมนตร์ของมิมิโนะซังแบบไม่กระพิบตา ก่อนจะกางมือออกไปในลักษณะเดียวกัน

 

「ฮ่าห์!」ผมใช้เวทมนตร์ออกไปด้วยความช่วยเหลือของ【World Ruler】

 

「อะ-อะไรกันเนี้ยยยย?!」มิมิโนะซังนั้นตกใจอย่างมาก

 

มีดอกไม้ดอกใหญ่ๆ 3 ดอกบานขึ้นมาบนกิ่งไม้

 

「วะ-ว้าว! เรย์จิคุง เธอมีพรสวรร–」

 

ก่อนที่มิมิโนะซังจะพูดจบ ผมก็สลบลงไปตรงนั้นแล้ว

บทที่ 1 ตอนที่ 6

 

ซิวเวอร์บาลานซ์นั้นแข็งแกร่งมาก ถ้าจะให้พูดละก็ สิ่งมีชีวิตในป่าแห่งนี้ไม่คณามือพวกเขาเลยสักนิด

 

สุนัขป่า – มอนสเตอร์ขนสีน้ำตาลที่ดูเหมือนลูกผสมระหว่างหมาป่ากับสุนัข – ที่ทำให้ผมกลัวที่มืดๆในป่านั้นไม่ใช่เรื่องใหญ่เลยสำหรับปาร์ตี้นี้ สุนัขป่าพวกนั้นดูเหมือนจะถูกเรียกว่า “ชาร์โคลวูล์ฟ” และเมื่อพวกมันสัมผัสได้ถึงมนุษย์ที่กำลังใกล้เข้ามาด้วยจมูกรับกลิ่นอันยอดเยี่ยมของมัน พวกมันจะเรียกฝูงของมันมาแล้วล้อมรอบมนุษย์คนนั้นอยู่ห่างๆ ในตอนที่รู้สึกตัวก็สายไปแล้ว มนุษย์ตนนั้นจะถูกไล่ล่าและพ่ายแพ้ให้กับจำนวณ ท้ายที่สุดก็จะถูกขย้ำจนตาย

 

อย่างไรก็ตาม จมูกรับกลิ่นของไรเครียซังนั้นเหมือนกับของชาร์โคลวูล์ฟ – ถึงเจ้าตัวจะพูดเองว่าจมูกของเขานั้นดีกว่า แต่ดันเต้ซังบอกว่ามัน “เท่ากัน” – และเมื่อชาร์โคลวูล์ฟรับรู้ถึงปาร์ตี้นี้ ไรเครียซังก็จะรู้ตัวเช่นกัน เขาจะเข้าไปจัดการมันก่อนที่มันจะเรียกฝูงมาเพิ่ม

 

วิธีการต่อสู้ของไรเครียซังนั้นค่อนข้างเฉียบคม เมื่อเขารับรู้ถึงศัตรู เขาจะเริ่มออกวิ่งเข้าไปหาอย่างเงียบเชียบและเตะไปยังขาของศัตรูเพื่อลดความคล่องตัวลง ถ้าศัตรูไม่สามารถวิ่งได้รวดเร็วเหมือนตอนปกตินั้นก็จะเหมือนกับตายไปแล้ว บางครั้งเขาก็จะเล่นกับเหยื่อด้วย ถ้าไม่ตายทันทีด้วยมีดสั้นก็จะถูกเตะจนกว่าจะตาย

 

เขามีสกิล【เสริมความแข็งแกร่งกายภาพ★】งั้นหรอ? หรือบางทีอาจจะเป็นสกิล 【เทคนิคการเตะ ★★】?

 

ผมพยายามคาดเดาสกิลของเขาจากความรู้อันน้อยนิดของผม

 

ผมเฝ้ามองการเคลื่อนไหวของเขาหลายครั้ง ก่อนจะแอบออกมาตอนช่วงพักและพยายามเลียนแบบเขา แต่สุดท้ายผมก็เลียนแบบไม่ได้ บางทีเขาคงจะมีสกิลที่แตกต่างจากที่ผมคิดเอาไว้

 

…หืมม โลกแห่งสกิลนี้ช่างล้ำลึกเสียจริง

 

เขายังสามารถเดินแบบไม่มีเสียงได้ทั้งๆที่เหยียบไปบนใบไม้ ตอนแรกผมก็คิดว่านั่นเป็นผลมาจากสกิลของเขา แต่ผมไม่สามารถเลียนแบบได้เลย บางทีมันอาจจะเป็นเทคนิคที่เขาฝึกมาเองก็เป็นได้

 

ผมรู้สึกผิดเล็กน้อยที่ก็อบปี้สกิลของพวกเขาโดยไม่ได้รับอนุญาต แต่ผมตัดสินใจแล้วว่ามันเป็นสิ่งจำเป็นในการเอาขีวิตรอดของผมในโลกใบนี้ และอีกอย่างมันก็ไม่ได้ก็อบปี้มาอย่างสมบูรณ์ มันจะเป็นผลดีกับปาร์ตี้นี้มากกว่าถ้าผมเลิกทำตัวเป็นส่วนเกินแล้วเริ่มทำตัวให้มีประโยชน์

 

「อย่างที่เธอเห็น ไรเครียนั้นค่อนข้างจะปากเสียไปหน่อย แต่ถ้าเรื่องจัดการกับมอนสเตอร์หรือสัตว์ป่าละก็ ไม่เป็นสองลองใครเลยหล่ะ」

 

「อืม… มิมิโนะซัง พวกคุณต่อสู้กันยังไงหรอครับก่อนที่ไรเครียซังจะเข้าร่วมปาร์ตี้มา?」

 

「ชั้นใช้เวทมนตร์ในการตรวจจับศัตรูหน่ะ แต่มันจะทำให้มานาของชั้นหมดเร็วจนทำให้ต้องเสียเวลาพักบ่อยมาก นั่นแหล่ะชั้นถึงดีใจที่ไรเครียเข้าร่วมปาร์ตี้มา」

 

「เวทมนตร์งั้นหรอครับ เข้าใจแล้ว…」

 

…งั้นหรอ มีเวทย์ที่ใช้จับตำแหน่งของศัตรูอยู่ด้วยสินะ?

 

มันมีเวทมนตร์มากมายอยู่ในโลกใบนี้ แต่เวทมนตร์เกือบทั้งหมดที่ใช้ “มานา” นั้นมีอยู่ 8 ประเภทที่อยู่ภายใต้หมวดหมู่สกิล “ประเภทเวทมนตร์” และมีอีก 2 ประเภทที่อยู่ภายใต้หมวดหมู่สกิล “ประเภทลึกลับ” – นี่เป็นสิ่งที่ตาแก่ฮินกาสอนผมมา

 

ที่ผมพูดว่า “เกือบทั้งหมด” นั้นเป็นเพราะว่ามันก็ยังมีสกิลที่มีข้อยกเว้นอย่าง “ประเภทยูนีค”ด้วยเช่นกัน ตัวอย่างเช่นสกิล【ความสะดวกสบาย】ของมิมิโนะซัง หลังจากที่สังเกตเวทมนตร์นั่นของเธอไปแล้ว ผมก็ประสบความสำเร็จในการสร้างน้ำขึ้นมาได้เป็นจำนวญหนึ่ง สกิลนี้มันก็สะดวกสบายจริงๆนั่นแหล่ะ

 

「…ถ้าผมใช้เวทมนตร์ได้ละก็ ผมจะมีประโยชน์มากขึ้น ใช่ไหมครับ?」

 

「ไม่เป็นไรหรอก เรย์จิคุงไม่จำเป็นต้องสู้หรอกนะ」

 

「แต่ผมไม่สามารถทำตัวเป็นภาระได้หรอกนะครับ」

 

「-ใช่แล้ว ผู้ใดไม่ทำงานก็ไม่ต้องกิน ให้เจ้าหนูนี่ทำงานซะบ้างก็ดี」

 

ไรเครียซังที่กลับมาจากการจัดการชาร์โคลวูล์ฟนั้นเห็นด้วยกับผม หลังเขาพูดจบ มิมิโนะซังก็ทำหน้าบึ้งออกมาอย่างเห็นได้ชัด

 

「เด็กๆหน่ะไม่ต้องทำงานหรอกนะ」

 

「เจ้าเอาแต่พูดว่าเด็กอย่างนู้นเด็กอย่างนี้ แต่ที่นี่มันเป็นป่านะ มันไม่สำคัญหรอกนะว่าจะเป็นเด็กหรือผู้ใหญ่ เด็กที่ไม่สามารถดูแลตัวเองได้หน่ะสุดท้ายก็จะถูกขย้ำตายเอาได้นะ」

 

「อุกุกุกุ…」มิมิโนะซังเถียงไม่ได้เลย

 

「อย่างที่ไรเครียซังพูดนั่นแหล่ะครับ อย่างน้อยๆผมเองอยากจะทำอะไรบางอย่างเพื่อปกป้องตัวเองเหมือนกันครับ」

 

「…ถ้าเธอยังจะยืนยันคำเดิมแบบนั้น ชั้นจะสอนเวทมนตร์ให้ก็ได้ แต่ถ้าเธอไม่มีคุณสมบัติละก็ เธอต้องไปทำอย่างอื่นนะ เข้าใจไหม?」

 

「ครับ! เข้าใจแล้วครับ ขอบคุณมากจริงๆครับ ทั้งมิมิโนะซังทั้งไรเครียซัง…」

 

「ชิ」ไรเครียเดาะลิ้นออกมา

 

เขาหันหลังให้ผมก่อนจะเริ่มถลกหนังของชาร์โคลวูล์ฟที่เขาฆ่า จากที่ดันเต้ซังบอกมา เนื้อของชาร์โคลวูล์ฟนั้นมีกลิ่นฉุนและกินไม่ได้ แต่หนังของมันสามารถเอาไปขายได้

 

หลังจากที่สังเกตไรเครียซังมา2-3วันแล้ว ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเขาต้องเป็นพวก… ซึนเดเระแน่ๆ ปกติพวกซึนเดเระก็น่ารักดีอยู่หรอก แต่จะให้มนุษย์สัตว์ล่ำบึกแบบนี่เป็นพวกซึนเดเระนี้ไม่เห็นจะอยากได้เลยสักนิด

 

「ชั้นจะเริ่มอธิบายเกี่ยวกับเวทมนตร์ของชั้นละนะ」

 

「อืมม…」

 

「หืมม?」

 

「คือ… ไม่ใช่ว่าการถามสกิลของคนอื่นมันเป็นเรื่องผิดจรรยาบรรณหรอกหรอครับ?」

 

「มันก็คงจะผิดแหล่ะถ้าเธอถามตอนที่เจอกันครั้งแรก แต่มันไม่เป็นไรหรอกถ้าเธออยู่ในปาร์ตี้เดียวกันแล้ว เธอละมีสกิลอะไรหรือปล่าว เรย์จิคุง?」

 

「ผม…」

 

จะทำยังไงดี? ถ้าผมบอกเกี่ยวกับ【World Ruler】ละก็ ผมก็ต้องบอกเรื่องที่มาเกิดใหม่ด้วยนะสิ พวกเขาจะยอมเชื่อผมรึปล่าว? อีกอย่างถ้าเขารู้เกี่ยวกับสกิล10ดาวละก็ มันจะเป็นข้อยืนยันทันทีว่าผมนั้นหลบหนีออกมาจากเหมือง แถมยังขโมยสกิลออกมาอีกด้วย

 

「อาา ไม่ต้องห่วงไปหรอกนะ ชั้นจะซื้อหินสกิลให้กับเธอในภายหลังเอง มันไม่เป็นไรหรอกถ้าเธอจะไม่มีสกิลอะไรเลยหน่ะ!」

 

ดูเหมือนเธอจะเข้าใจผิดจากท่าทางเป็นกังวลของผม ถึงความเข้าใจผิดนี้จะเป็นผลดีกับผมก็เถอะ แต่ผมก็ได้รับคะแนน “เด็กน่าสงสาร” จากมิมิโนะซังไปอีกหนึ่งแต้มแล้วซะแล้วสิ

 

「สกิลของชั้นนั้นมี…」

 

มิมิโนะซังเริ่มเขียนรายชื่อสกิลของเธอลงบนพื้นด้วยกิ่งไม้

 

【เวทย์ดอกไม้】กับ 【เวทย์ดิน】เป็นสกิลที่อยู่ในหมวดหมู่สกิล “ประเภทเวทมนตร์”

 

ถึงผมจะใช้【เวทย์ไฟ】ได้แค่นิดหน่อย แต่มันจะมีประสิทธิภาพมากกว่าถ้าเรียนเวทมนตร์โดยตรงจากหินสกิล

 

อย่างไรก็ตาม ผมก็ไม่มีเงินมากพอที่จะซื้อสกิล2ดาวในตอนนี้อยู่ดี ดังนั้นการเรียนรู้มันจากมิมิโนะซังก็เป็นสิ่งที่ดีที่สุดรองลงมาแล้วละ

 

ตาแก่ฮินกาบอกผมมาว่าสกิล2ดาวนั้นมีราคาเท่ากับ10เหรียญเงินใหญ่ ซึ่งก็ราวๆ 100,000 เยน

 

ราคามันก็ดูจะถูกถ้าสามารถใช้เวทมนตร์ได้ทันทีเลยเพียงแค่ซื้อมัน แต่ถ้าไม่มีความเข้ากันได้ละก็ มันจะใช้งานได้ยากมากๆและจะเสียช่องสกิลอันมีค่าไปถึง2ช่องเลย

 

「อย่างแรกก็นี่เลย–」

 

เมื่อมิมิโนะซังกางมืออกไป จู่ๆก็มีดอกไม้บานขึ้นมาบนต้นไม้

 

「เธอจะสามารถใช้สกิล【เวทย์ดอกไม้】ในการชักจูงดอกไม้ ต้นไม้ หรืออะไรหลายๆอย่างในธรรมขาติได้หน่ะ」

 

「งั้นหรอครับ…」

 

ผมสังเกตุเวทมนตร์ของมิมิโนะซังแบบไม่กระพิบตา ก่อนจะกางมือออกไปในลักษณะเดียวกัน

 

「ฮ่าห์!」ผมใช้เวทมนตร์ออกไปด้วยความช่วยเหลือของ【World Ruler】

 

「อะ-อะไรกันเนี้ยยยย?!」มิมิโนะซังนั้นตกใจอย่างมาก

 

มีดอกไม้ดอกใหญ่ๆ 3 ดอกบานขึ้นมาบนกิ่งไม้

 

「วะ-ว้าว! เรย์จิคุง เธอมีพรสวรร–」

 

ก่อนที่มิมิโนะซังจะพูดจบ ผมก็สลบลงไปตรงนั้นแล้ว

 

 

 

 

บทที่ 1 ตอนที่ 5

 

*เหล่านักพจญภัย*

 

「…เขาหลับไปแล้วรึ?」ดันเต้ถามขึ้นมาขณะใส่ฟืนเข้าไปในกองไฟ

 

「ใช่ ดูเหมือนจะเป็นยังงั้นนะ」มิมิโนะตอบกลับไป เธอนั้นนั่งอยู่ข้างเรย์จิที่กำลังหลับอยู่

 

ทุกคนจะคอยผลัดเวรกันดูแลกองไฟ และในตอนนี้ก็เป็นเวรของดันเต้ แต่ตัวมิมิโนะนั้นคอยเฝ้าดูเรย์จิจนกระทั่งเขาหลับไป

 

「ทาสเด็กงั้นหรอ… ข้าคิดว่าคงมีเหมืองหินสกิลอยู่แถวๆนี้แน่ๆเลย」

 

「หนูไม่สนใจว่าเขาจะมาจากที่ไหนหรอก แค่คิดว่ามีใครบางคนบังคับเด็กตัวแค่นี้ให้ทำงานเป็นทาส… จนตัวซูบผอมซะขนาดนี้… จนเขาถึงกับกินเนื้อราคาถูกอันนั้นราวกับเป็นสิ่งที่อร่อยที่สุดในชีวิตของเขาเลย」

 

มิมิโนะยื่นมือของเธอออกและปัดผมที่บังตาของเรย์จิอยู่

 

「มิมิโนะ จะช่วยคนที่น่าสงสารก็เป็นสิทธิของเธอ แต่ก็เอาให้พอดีๆนะ」

 

「…นั้นเป็นความเห็นทั่วไป? หรือความเห็นจากประสบการณ์ของคุณกันหล่ะ?」

 

「มันก็เป็นทั้งความเห็นทั่วไปและก็เป็นความเห็นจากประสบการณ์ของข้าเช่นกัน」

 

「หนูเองก็ไม่เคยทอดทึ้งคุณที่โดนคำสาปเพราะต้องปกป้องพวกพ้องเลยสักครั้ง ก็เหมือนกับคนอื่นๆนั้นแหล่ะ」

 

「………」

 

「………」

 

ทั้งสองนั้นตกอยู่ในความเงียบและครุ่นคิดขณะจ้องมองไปที่กองไฟ

 

「นอนได้แล้ว ไม่งั้นเธอจะง่วงนอนในวันพรุ่งนี้นะ」

 

「…อืม เข้าใจแล้ว」

 

มิมิโนะเอาผ้าห่มคลุมตัวของเรย์จิ ก่อนจะล้มตัวลงนอน

 

「ชั้นก็จะไม่ทิ้งเธอเหมือนกัน เรย์จิคุง ชั้นจะปกป้องเธอเอง」

 

* *

 

ปรากฎว่าผมนั้นได้รับการต้อนรับเข้าปาร์ตี้เพราะว่าผมเป็น ”เด็กที่น่าสงสาร” แน่นอนอยู่แล้วหล่ะนะ ถ้ามีเด็กที่เหมือนจะเป็นทาสกินเนื้อราคาถูกไปพร้อมกับร้องไห้ไปด้วย ใครๆก็คงจะคิดแบบนั้นแน่นอน

 

นักพจญภัยที่จับกลุ่มกันหลายๆคนจะถูกเรียกว่า “ปาร์ตี้” และจะรับเควสกันเป็น “ปาร์ตี้” ชื่อของปาร์ตี้ที่ผมอยู่นี้ดูเหมือนจะเป็น “ซิลเวอร์บาลานซ์” ปกติแล้ว ดันเต้ซังกับมิมิโนะซังดูจะเคยเป็นปาร์ตี้เดียวกันมาก่อน  แต่ปาร์ตี้นั้นก็ยุบตัวลงไปแล้วเพราะดันเต้ซังที่เป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุดในปาร์ตี้โดนสาปจากเมดูซ่าเข้า

 

หลังจากตอนนั้น ดันเต้ซังก็ถูกดูแลโดยลูกสาวของเขา น็อนซัง แต่ทำยังไงก็ไม่สามารถรักษาคำสาปได้ ดังนั้นพวกเขาจึงตัดสินใจเดินทางไปยังราชอาณาจักรอัศวินนักบุญ ดันเต้ซังบอกว่าเขานั้นได้ตั้งปาร์ตี้3คนและใช้ชื่อว่า “ซิลเวอร์บาลานซ์” สมาชิกดั้งเดิมก็มีเพียงดันเต้ซัง น็อนซัง และมิมิโนะซังที่เป็นสมาชิกของปาร์ตี้เดิมเท่านั้น ส่วนไรเครียซังนั้นได้เข้าร่วมในระหว่างการเดินทาง

 

「ไรเครียก็เหมือนกันกับเจ้านั่นแหล่ะเรย์จิ ตัวเขาสลบไปเพราะความหิวและมิมิโนะก็ได้ช่วยเขาเอาไว้」

 

「จริงหรอครับ?」

 

「ถึงจะช่วยเขาเอาไว้ เขาก็เอาแต่พูดประมาณว่า “ข้าไม่อยากเข้าร่วมกับคนอย่างแกที่ช่วยมนุษย์สัตว์ที่น่าสงสัยอย่างข้าหรอก” ในตอนแรก และหลังจากที่เข้าร่วมปาร์ตี้ไปซักพัก เจ้าเองก็น่าจะได้เห็นการเคลื่อนไหวของไรเครียแล้วใช่ไหมหล่ะ? สกิลการเคลื่อนไหวของเขานั้นสูงมาก เขาต้องเป็นอะไรอย่างทหารรับจ้างหรือนักพจญภัยชื่อดังแน่นอน」

 

ไรเครียซังที่ดูเหมือนจะเป็นทหารรับจ้างหรือนักพจญภัยชื่อดังนั้นก็จ้องมาที่ผมอยู่บ่อยครั้ง บางทีคงกังวลเกี่ยวกับผมละมั้ง

 

ดูเหมือนว่าที่ตัวเขาไม่ได้อยู่ใกล้กับกองไฟในตอนที่กิตสเนคโจมตีนั้นเป็นเพราะว่าเขากำลังลาดตระเวนอยู่เพื่อดูว่ามีมอนสเตอร์อยู่ใกล้ๆหรือไม่ เผ่ามนุษย์สัตว์นั้นมีสัญชาตญาณที่ดีมาก ดังนั้นไรเครียจึงอาสาออกไปลาดตระเวนเอง เขาควรจะรู้ตัวถึงกิตสเนคแล้วถ้าเขาอยู่ใกล้ๆ คนอื่นๆเองปกติก็น่าจะรู้ตัวแล้วเหมือนกันแต่พวกเขามัวแต่เตรียมอาหารกันจนไม่ทันระวัง เห็นว่างั้นนะ

 

「ไรเครียนั้นเป็นเผ่ามนุษย์สัตว์ และมิมิโนะนั้นเป็นเผ่าคนแคระ สหพันธ์รัฐคีทแกรนด์ที่เราอยู่ในตอนนี้ เป็นสหพันธ์รัฐของเผ่ามนุษย์ พวกนั้นมีอคติกับพวกครึ่งมนุษย์มาก」ดันเต้ซังพูดพร้อมทั้งทำหน้าขมขื่น

 

ปาร์ตี้ซิลเวอร์บาลานซ์นั้นเคลื่อนตัวไปตามป่า ที่ไม่ใช้เส้นทางหลักเพราะมีปัญหาน้อยกว่านั่นเอง

 

…ผมไม่รู้มาก่อนเลยว่ามนุษย์นั้นจะอคติกับเผ่าพันธุ์อื่นขนาดนี้

 

「โอเคเสร็จแล้ว เรย์จิคุงมาทางนี้สิ~」

 

ในคืนถัดมา มิมิโนะซังก็เรียกผมไปที่กองไฟ

 

「เอานี่ นี่สำหรับเธอนะ สีอาจจะดูตัดกันนิดหน่อยเพราะว่าชั้นใช้เศษผ้าทำ แต่ก็ยังดีกว่าเสื้อผ้าที่เธอใส่อยู่ในตอนนี้นะ」

 

มิมิโนะซังวัดขนาดตัวผมและเย็บชุดให้กับผม เป็นชุดแบบที่ต้องมัดไว้กับสายรัดเอวด้านหน้า สีหลักจะเป็นสีแดงเข้มและแขนเสื้อจะเป็นสีเขียว

 

「มะ-มันจะดีหรอครับ?」ผมถาม

 

อย่างไรก็ตาม การที่มีคนสละเวลาทำเสื้อผ้าขึ้นมาจากเศษผ้าให้กับผมนั้น มันก็เป็นสิ่งที่มีคุณค่าสำหรับผมอย่างมากแล้ว

 

「แน่นอนอยู่แล้ว~」

 

「เห นั้นมันอะไรละนั่น…? ถ้าเป็นข้า ข้าจะไม่มีทางใส่อะไรที่น่าอายแบบนั้นแน่」 ไรเครียซังพูดออกมาขณะเดินผ่านไป

 

ผมกอดชุดนั้นแล้วเริ่มร้องไห้ออกมาอีกครั้ง ไม่ดีแล้ว… ช่วงนี้ผมอ่อนไหวมากเกินไป ต้องทำตัวให้ดีกว่านี้แล้ว…

 

「เอาหน่า ลองใส่ดูสิ!」

 

「อะ เดี๋ยว–」

 

มิมิโนะซังเริ่มถอดเสื้อผ้าของผมออก ผมสังเกตเห็นว่าตาของเธอเองก็ชื้นเหมือนกัน

 

「ตัวของเธอเต็มไปด้วยดินทั้งนั้นเลย งั้นใช้โอกาสนี้อาบน้ำให้เลยละกัน」

 

「อะ-อะไรนะครับ?」

 

หลังหัวของผมรู้สึกเย็นวาบ จู่ก็มีน้ำตกลงมาล้างตัวผม

 

…เดี่ยวก่อนนะ มิมิโนะซังไม่มีน้ำอยู่กับตัวเลยนี่? แถมน้ำในถังก็ไม่ได้ไปตักมาจากไหนเหมือนกัน

 

「มะ-มิมิโนะซัง นะ-นี่มัน น-น้ำ….」ผมถามออกไปขณะที่มิมิโนะซังกำลังเอาน้ำราดหัวของผมอยู่

 

「โอ๊ะ นี่เป็นสกิลของชั้นเอง 【ความสะดวกสบาย ★】เธอไม่เคยเห็นหรอ?」

 

「ไม่เคยครับ…」

 

「มันทำได้หลายอย่างเลยนะ อย่างเช่นผลิตน้ำออกมา,จุดไฟ,เป่าลม,สร้างเตาไฟ,ทำให้ผ้าเรียบ,และอื่นๆอีกมากมาย มันเป็นเวทยมนตร์ที่สะดวกสะบายสำหรับการใช้ชีวิตจริงๆเลยนะ」

 

「มันเป็นยูนีคสกิลใช่ไหมครับ?」

 

「ใช่แล้วหล่ะ ถ้าเธอเป็นนักพจญภัยนะ มีคนที่มีสกิลแบบนี้อยู่ด้วยจะทำให้อะไรหลายๆอย่างง่ายขึ้นเยอะเลย เอาหล่ะหัวของเธอโอเคแล้ว ต่อไปก็หลังของเธอนะ」

 

「ไอ้หยา!」

 

ขณะที่ผมเช็ดหัวด้วยผ้าอยู่ หลังของผมก็ถูกขัด คนๆนี้อยากจะดูแลผมแบบเดียวกับเด็กไม่ว่ายังไงก็ตามสินะ มันน่าอายสำหรับผมที่มีประสบการณ์ของนักเรียนมัธยมปลายมาก่อนมาก ต้องมาเปิดเผยร่างกายผอมแห้งในที่ๆคนอื่นๆในปาร์ตี้อยู่แบบนี้

 

「เดี๋ยว ผมทำเองได้ครับ」

 

「เด็กตัวแค่นี้ไม่เห็นต้องอายเลย」

 

「ไม่ครับ ผมอายุ10ขวบแล้ว」

 

…ถึงข้างในจะอายุ16ก็เถอะ

 

「เอ๊ะ?! 10ขวบ?! ชั้นก็คิดว่าเธออายุ5หรือ6ขวบเองนะ」

 

「ผมก็ไม่ได้ห่างจากมิมิโนะซังมากนักหรอกครับ…」

 

「หว่ะ?! ไม่สิ! เธอต้องห่างจากชั้นอยู่แล้วสิ! ชั้นอายุ20ปีแล้วนะ!」มิมิโนะซังมุ่ยปาก แถมหน้าเธอยังแดงอีกด้วย

 

「มุฮาฮาฮา! ไม่ว่าจะมองยังไง มิมิโนะ เจ้าก็ดูจะอายุ13เท่านั้นเอง! อะฮาๆๆๆ…-โอ้ย!」ไรเครียหัวเราะออกมา

 

มิมิโนะซังขว้างก้อนหินไปโดนหัวของไรเครียซังเต็มๆ

 

มิมิโนะซังนั้นสูงกว่าผมนิดเดียว แค่เลย150ซม.ไปนิดหน่อย แต่ตัวมิมิโนะนั้นอายุ20ปีแล้ว ดังนั้นหมายความว่าตัวเธอบรรรุนิติพาวะสำหรับดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในญี่ปุ่นไปแล้ว โลกแฟนตาซีนี้มันสุดยอดจริงๆ… อย่างไรก็ตาม ถ้ามิมิโนะซังดื่มแอลกอฮอล์ละก็ มันต้องดูเหมือนเป็นอาชญากรรมแน่นอนเลย

 

แล้วก็อีกอย่าง ดันเต้ซังนั้นอายุ 35 ปี และมีอายุเยอะที่สุดในปาร์ตี้นี้ ลูกสาวของเขา น็อนซังมีอายุ 16 ปี ส่วนคนสุดท้ายไรเครียซังนั้นมีอายุ 18 ปี

 

ถ้าน็อนซังเกิดที่โลกเดิมละก็ ใครจะรู้หล่ะ เราอาจจะเป็นเพื่อนร่วมห้องกันก็ได้ มันก็ดูจะสุดยอดไปเลยนะถ้าคิดแบบนั้น เธอสวมชุดหลวมๆดังนั้นอาจจะมองไม่ออก แต่เธอนั้นมีหน้าอกที่ใหญ่มากๆเลยหล่ะ พวกผู้ชายคงตามติดเธอแน่นอน

 

ในทางกลับกัน มิมิโนะซังนั้นแบนเป็นเขียงเลย ไม่ขออธิบายต่อละกัน

 

น็อนซังนั้นแน่นอนว่าสูงกว่ามิมิโนะซัง และค่อนข้างสูงสำหรับผู้หญิงด้วยกันด้วย บางทีเธออาจจะยังสูงได้มากกว่านี้อีก ดันเต้ซังกับไรเครียซังนั้นตัวใหญ่โดยธรรมชาติอยู่แล้ว

 

มิมิโนะซังนั้นตัวเล็กที่สุดในปาร์ตี้ แต่ตอนนี้ตัวเธอคงจะสบายใจแล้วตั้งแต่ที่ผมเอาตำแหน่งนั้นไป ก็พูดไม่ได้หรอกนะว่าผมนั้นมีความรู้สึกแบบเดียวกับเธอ

 

「โอ้~ มันเข้ากับเธอดีนะ! แต่เธอคงโตเกินไซส์ในเร็วๆนี้แน่ๆเลย」มิมิโนะซังพูดออกมาอย่างมีความสุข ในขณะที่ผมสอดมือเข้าไปในแขนเสื้อ

 

หลังจากนั้น น็อนซังก็เข้ามาหาผมด้วยรอยยิ้ม และในมือของเธอมีมีดโกนอยู่

 

「อะ-อะ-อะไรละครับนั่น?」

 

「ให้ชั้นตัดผมให้เธอนะ」

 

โอ้ แค่มาตัดผมให้นี่เอง… ผมกลัวไปแปปนึงเลย บางครั้งผมก็ดูไม่ออกว่าน็อนซังกำลังคิดอะไรอยู่ ดังนั้นผมจึงตกใจที่อยู่ๆเธอก็เข้ามาหาพร้อมกับมีดโกน

 

หลังจากจบการตัดผมสั้นๆแล้ว

 

「โอเค เรียบร้อยแล้วละ」

 

「โอ้~」

 

ผมรู้สึกได้เลยว่าผมของผมนั้นค่อนข้างเรียบร้อยขึ้นแล้ว ตอนที่ผมเป็นทาส ผมจะตัดมันอย่างง่ายๆเมื่อมันยาวเกินหรือเป็นอุปสรรคต่อการทำงานของผมเท่านั้น

 

เห็นมิมิโนะซังปรบมือ ผมก็สงสัยว่ามันอาจจะดีขึ้นจริงๆก็ได้

 

「อะ-เออ… งั้นก็อีกครั้งนะครับ ยินดีที่ได้รู้จักทุกคนนะครับ」

 

「อืม ยินดีที่ได้รู้จักน้า~ เรย์จิคุง」

 

「อืม ข้าเองก็ด้วย」ดันเต้ซังพูด

 

「ยินดีที่ได้รู้จักนะ」น็อนซังพูดต่อ

 

「…ชิ」

 

ในขณะที่นอนลงเหมือนกับกำลังงอน ไรเครียซังก็เดาะลิ้น

 

「ไรเครีย!」มิมิโนะซังอุทานออกมาพร้อมทั้งเตะไปที่ก้นของเขา

 

 

 

 

บทที่ 1 ตอนที่ 4

 

…ไม่นะ! ไม่ทันแล้ว!

 

「โอ้วววว!!!」

 

ในจังหวะที่งูเกือบจะถึงตัวของนักพจญภัยตัวเล็กคนนั้น มีใครบางคนกระโดดเข้ามาจากด้านข้างคล้ายกับพายุสีดำและส่งงูตัวนั้นให้ลอยออกไป

 

「มิมิโนะ! มัวเอาแต่มองมันทำไม? นั้นมันกิตสเนคเลยนะ!」

 

「วะ-ว่าไงน้าาา?!」

 

ชายร่างใหญ่คุกเข่าลงพร้อมทั้งปามีดในมือของเขาออกไป ใบมีดนั้นตัดไปที่คอของงูอย่างสวยงาม

 

ขอบคุณพระเจ้า…

 

「แล้วก็แกตรงนั้น! แกเป็นใครกัน?」ชายคนที่พลักงูออกถามขึ้นมา

 

ชายคนนั้นมีผมสีเทาดำที่ดูน่ากลัวและมีอะไรบางอย่างที่เหมือนกับแผงคออยู่ด้านหลัง เขามีรอยดำคล้ายแดดเผาบริเวณตาและเขี้ยวแหลมๆ ส่วนสูงมากกว่า 180ซม. กล้ามเนื้อบริเวณขาทั้งสองข้างมีพัฒนาการที่ดีจนกางเกงหนังสีดำที่ใส่อยู่นั้นแน่นเปรี้ยะ

 

「อา เออ… ผม…」

 

ชายคนนั้นเข้ามาใกล้พร้อมทั้งจ้องมองมาอย่างไม่เป็นมิตร ผมประหลาดใจมากที่ทุกก้าวของเขานั้นแทบจะไม่มีเสียงเลย ด้วยรูปร่างแบบนั้นปกติต้องเกิดเสียงเวลาเดินบนใบไม้ที่พื้นแล้ว ต้องฝึกมาขนาดไหนกันถึงทำแบบนั้นได้ ไม่มีคนแบบนี้ในหมู่ทาสแน่นอน

 

「หยุดก่อน ไรเครีย เขายังเป็นแค่เด็กอยู่เลยนะ」(TL: อิงใช้ Ralkira ผมรู้สึกว่ามันไม่ค่อยเข้าเท่าไหร่ ใครมีข้อเสนอแนะหรือเทียบญี่ปุ่นมาแล้วก็บอกได้นะครับ)

 

「เด็ก? ดูดีๆแล้ว ชุดของเด็กคนนี้มัน… บางทีเด็กนี้อาจจะเป็น」

 

「เป็นคนที่ช่วยชีวิตชั้นไว้!」

 

ชายร่างใหญ่ที่กำลังนั้งอยู่กำลังพยายามช่วยแก่ต่างให้ผม แต่ก่อนที่จะได้พูดอะไรต่อ ผู้หญิงที่สวมฮู้ดก็ได้เข้ามาขวางระหว่างผมกับชายผมเทาเอาไว้

 

「ชั้นไม่ทันระวังกิตสเนคเอง เด็กคนนี้เลยแค่พยายามที่จะเตือนชั้น! ต้องสนเรื่องอื่นๆด้วยรึไง?!」

 

「โหย มิมิโนะ… ชั้นก็รู้ว่าเธอเองก็สังเกตเห็น… เด็กคนนี้เป็นทาสนะ」

 

「!」

 

「ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าเป็นทาสที่หลบหนีด้วย」

 

ผมผงะและพยายามที่จะซ่อนรอยสักที่ข้อมือ แต่สายไปแล้ว แค่มองก็คงจะรู้อยู่แล้ว

 

…ผมคิดไว้แล้วว่ามันคงจะโง่มากที่พยายามช่วยชีวิตใครสักคนโดยไม่คิดหน้าคิดหลัง

 

「…ถึงยังงั้น เรื่องนั้นมันก็ไม่เห็นจะเกี่ยวกันเลย ไม่ใช่หรอ?」

 

หญิงสาวอีกคนที่เงียบจนถึงตอนนี้เอ่ยปากพูดออกมา ผมสีเขียวของเธอถูกมัดเอาไว้ข้างหลัง เธอสวนใส่เครื่องแต่งกายเหมือนกับแม่ชี ตาของเธอเปิดเพียงครึ่งเดียวคล้ายกับคนง่วงนอน อายุน่าจะใกล้เคียงกับผมหรือก็คืออายุ16 – ผมหมายถึงในชาติก่อนของผมหน่ะนะ

 

「ทาสจะถูกควบคุมด้วยเวทย์พันธสัญญา แต่ที่มาอยู่ในป่าลึกแบบนี้หมายความว่าเวทยมนตร์นั้นคงคลายลงไปแล้ว ดังนั้นถ้าไม่ใช่ว่าเด็กคนนี้ถูกปลดจากการเป็นทาส ก็คงเพราะเจ้านายของเด็กคนนี้ตายไปแล้ว ใช่ไหมละ?」

 

「…เขาอาจจะหลบหนีมาจากความสับสนเมื่อเจ้านายตายก็ได้นี่ ถ้าเป็นแบบนั้น สัญญาสำหรับค้าขายทาสยังคงเหลืออยู่ ดังนั้นทาสต้องอยู่ที่เดิมสิไม่ใช่หนีออกมา เธอน่าจะเข้าใจนะ?」

 

「ไม่ ชั้นไม่เข้าใจ」

 

「……โหย พูดอะไรออกมาหน่ะ มิมิโนะ?」

 

「ชั้นไม่เข้าใจ! ชั้นไม่สน! และไม่คิดจะสนด้วย!」

 

「นี่ฟังนะ! ข้าก็ไม่ได้อยากจะพูดแบบนี้หรอก! ข้าแค่พยายามจะเอาพวกเราออกมาจากปัญหานะ…」

 

「แต่ว่าเด็กคนนี้!」

 

หญิงสาวสวมฮู้ดที่มีชื่อว่ามิมิโนะนั้นสูงพอๆกับผม ถึงตัวเธอจะเล็กแต่วิธีที่เธอพูดนั้นเหมือนกับผู้ใหญ่ — บางทีเธออาจจะไม่ใช่เผ่ามนุษย์ก็เป็นได้ เหมือนกันกับชายผมเทาคนนั้นที่เป็นเผ่ามนุษย์สัตว์

 

「เขาพยายามจะช่วยชีวิตชั้นถึงขนาดเปิดเผยตัวต่อหน้าพวกเราเลยนะ! แค่นั้นก็น่าจะพอแล้วนี่ ไม่ใช่รึไง?!」

 

「เอออ…」มนุษย์สัตว์ผมเทาคนนั้นอ้ำอึ้ง

 

「นี่ โทษทีนะที่ทำให้กลัวหน่ะ เธอมีชื่ออะไรหรอ?」เธอมองมาที่ผมแล้วถามออกมาด้วยรอยยิ้มที่อ่อนโยน

 

เธอสวมใส่ฮู้ดหลวมๆสีเขียวเข้ม ตรงปายของฮู้ดนั้นปักด้วยสีสันหลากหลายเช่นสีแดง สีขาว และสีเหลือง เธออาจจะเป็นอะไรอย่างพวกนักเวทย์ก็ได้จากการที่เธอใส่กำไลข้อมือหลากสีเป็นจำนวณมาก

 

「ผมชื่อ เรย์จิ」

 

「เรย์จิคุงสินะ เป็นชื่อที่ดีนะ! ชั้นมีชื่อว่า มิมิโนะ เป็นนักเวทย์ของปาร์ตี้นี้เอง ส่วนคนหยาบคายที่อยู่ตรงนั้นมีชื่อว่า ไรเครีย」

 

「ว่าใครหยาบคายกันหะ?!」

 

มนุษย์สัตว์ที่ชื่อว่าไรเครียนั้นไปนั้งอยู่ข้างกองไฟแล้ว เอามือเท้าศอกและทำหน้าตาบูดบึ้ง

 

ครึ่งนึงจากผิวที่เปิดเผยของเขานั้นปกคลุมไปด้วยขน จากการที่ผมเกิดที่หมู่บ้านและทำงานในเหมืองที่มีแต่มนุษย์นั้นทำให้ผมแทบจะไม่มีโอกาศเจอพวกมนุษย์สัตว์เลย

 

…ก็เป็นโลกแฟนตาซีนี่นะ

 

「…ข้าชื่อว่าดันเต้ และนี่ก็ลูกสาวของข้า น็อน」ชายร่างใหญ่ที่ปามีดไปยังงูพิษตัวนั้นพูดออกมา

 

ลูกสาว… ลูกสาวงั้นหรอ?! มองแว๊บแรกตัวเขาดูจะอายุแค่ประมาณ30ปีเท่านั้นเอง แต่สงสัยว่าเขาอาจจะอายุเยอะกว่าที่เห็นก็ได้…

 

ดันเต้นั้นสวมใส่เกราะโลหะบริเวณจุดสำคัญเช่นไหล อก และข้อศอก แถมเขายังสวมเกราะโซ่ถักที่ถักจากโซ่สีน้ำตาลขนาด3ซม.คลุมร่างกายส่วนที่เหลือของเขาเอาไว้ เกราะโซ่ถักในโลกเดิมนั้นทำจากชิ้นส่วนโลหะผสานกันเป็นโซ่ แต่ที่นี้นั้นใช้โซ่จริงๆทำ

 

ขนาดสวมเกราะเอาไว้ ก็ยังสามารถเห็นถึงกล้ามเนื้อกำยำของเขาได้ แท่งเหล็กที่วางอยู่ข้างๆเขานั้นใหญ่พอๆกับม้านั่งเลย มันมาพร้อมกับกริปสำหรับถือ ผมคิดว่าดันเต้คงใช้เจ้านี้เหวี่ยงไปมาในการต่อสู้ สงสัยเขาคงจะเป็นเบอเซอเกอร์ละมั้ง?

 

เขานั้นมีใบหน้าที่เคร่งขรึมแต่ดวงตาของเขากลับอ่อนโยน ดวงตาและผมสีเขียวอันสม่ำเสมอของเขานั้นเหมือนกับลูกสาวของเขา น็อน

 

ผมพึ่งรู้สึกตัวว่าบริเวณคอของเขานั้นมีบางส่วนเป็นสีเทา เห็นว่าเป็นเพราะถูกสาปให้ ”กลายเป็นหิน” จากที่【World Ruler】นั้นบอกมาทั้งๆที่ยังไม่ได้ถามเลยสักคำ

 

「…ร่างของข้านั้นกายเป็นหินเพราะคำสาปของเมดูซาอย่างที่เห็น และที่ลูกสาวตามข้ามาก็เพื่อหาทางรักษาข้า」

 

「พวกเรากำลังมุ่งหน้าไปยังเมืองหลวงของราชอาณาจักรอัศวินนักบุญเพื่อรักษาพ่อของชั้น ที่นั้นมีนักบุญที่เชี่ยวชาญด้านเวทย์รักษาอยู่」

 

「โอ้ งั้นหรอครับ…」

 

นั้นเป็นทั้งหมดที่ผมสามารถพูดได้ ดูเหมือนจะมีคำสาปในโลกใบนี้ด้วย เมื่อผมลองหาวิธีรักษาจาก【World Ruler】ภาพของวัตถุดิบที่ผมไม่รู้จักเลยสักนิดก็ลอยเข้ามาในหัว

 

…หืมม ผมสังสัยจังว่ามันคืออะไรบ้างนะ?

 

หนึ่งในนั้นมีหน้าตาเหมือนกับใบไม้ของฤดูใบไม้ล่วงแต่ปลายของมันมีห้าแฉก อันถัดมาก็เหมือนกับโลหะเงิน… เป็นสีเงินบริสุทธิ์เลย และอย่างสุดท้ายเหมือนกับสิ่งมีชีวิตคล้ายไส้เดือนดุ๊กดิ๊กไปมา… คิดว่านะ

 

ผมไม่คิดว่า【World Ruler】นั้นจะให้ข้อมูลแบบนี้กับผม วัตถุดิบพวกนั้นมันจะรักษาคำสาปนี้ได้จริงๆนะหรอ? ผมสงสัยจังว่าควรจะบอกพวกเขาเรื่องนี้ดีไหม… แต่ถ้าพวกเขาถามผมว่าไปรู้เรื่องแบบนี้มาจากไหนขึ้นมาหล่ะ? อีกอย่างผมเองก็ไม่รู้จักวัตถุดิบพวกนี้ตั้งแต่แรกแล้ว

 

ในตอนนี้ น็อนซังคิดที่จะรักษาด้วยเวทมนตร์ ดังนั้นผมจึงตัดสินใจที่จะไม่พูดอะไรแปลกๆออกไป

 

「มาทางนี่สิเรย์จิคุง! เนื้อกำลังได้ที่เลยนะ!」

 

มิมิโนะจับมือของผมแล้วพาไปที่กองไฟ มือของเธอนั้นเล็กและอบอุ่นมาก…

 

ผมนั่งลงบนพื้นแล้วถอนหายใจ ผมรู้สึกเหนื่อยจริงๆ

 

「เอานี่」

 

มิมิโนะเอาเนื้อเสียบไม้ให้กับผม ผมเองไม่ก็ไม่รู้ว่าเป็นเนื้อของอะไร แต่มันถูกโรยด้วยเครื่องเทศหลากชนิด

 

ไม่ค่อยจะมีไขมันแทรกเท่าไหร่ แต่นั้นก็ไม่สำคัญอีกต่อไปแล้ว กลิ่นหอมของเนื้อย่างโชยมาที่จมูกของผม ผมขว้าไปที่มือของเธอแล้วกัดไปที่เนื้อชิ้นนั้น

 

「————」

 

รสชาตินั้นกระจายไปทั่วทั้งปากของผม ลิ้นของผมรับรู้ได้ถึงไขมันของเนื้อ รู้สึกถึงความร้อนที่กำลังลวกลิ้นของผม แต่ผมไม่อยากพลาดทุกหยดของน้ำมันจากเนื้อที่ไหลออกมา ดังนั้นผมจึงไม่อ้าปากออกเลย

 

เมื่อผมเคี้ยวเนื้อชิ้นนั้น เหงือกของผมรู้สึกเจ็บ ฟันซี่หนึ่งด้านในนั้นหลุดออกมา หัวใจของเต้นอย่างบ้าคลั่งและร่างกายของผมอย่างกับถูกเผาเลย บางทีร่างกายของผมคงจะตกใจกับโปรตีนจากเนื้อสัตว์ที่ได้รับเข้าไป

 

ในตอนที่กลืนลงไปนั้นมีความสุขมาก ท้องของผมที่ได้รับเนื้อเข้าไปนั้นพยายามอย่างมากที่จะย่อยมัน เหมือนกับนักดับเพลิงที่กำลังต่อสู้กับไฟ

 

「…เรย์จิคุง」

 

ผมกลับมามีสติอีกครั้งด้วยน้ำเสียงอันอ่อนโยนนี้ ผมพึ่งจะรู้ตัวว่ากำลังจับมือของมิมิโนะอยู่

 

「ขะ-ขอโทษ… ผมขอโทษ…」

 

「ไม่เป็นไร ดีแล้ว เด็กหน่ะต้องกินเยอะๆนะ」

 

มิมิโนะวางเนื้อเสียบไม้ไว้บนมือของผม กางมือของเธอออกแล้วกอดศีรษะของผมอย่างอ่อนโยน

 

「เอ๊ะ…?」

 

「ลืมเรื่องที่มันเจ็บปวดไปแล้วกินเยอะๆนะ!」

 

และในตอนนั้นเองผมก็ได้รับรู้ถึงน้ำตาที่ไหลออกมาอย่างไม่ขาดสายบนแก้มของผมเอง

 

 

 

 

บทที่ 1 ตอนที่ 3

 

ต้นไม้ที่อยู่รอบๆนั้นออกผลเป็นผลไม้สีเขียวแทบจะทั้งหมดเลย สงสัยช่วงนี้คงจะอยู่ในฤดูของผลไม้พวกนี้ละมั้ง แถมผมยังเห็นบางลูกถูกแท่ะไปแล้วอีกด้วย

 

ของที่มีติดตัวผมอยู่ในตอนนี้จะเป็นของสำหรับใช้ขุดหาหินสกิลในเหมืองทั้งนั้น ทั้งกระเป๋าเปล่าๆ กระเป๋าเครื่องมือคาดเอวที่มีสิ่วกับหินขนาดพอเหมาะสำหรับใช้แทนค้อน และหินฟอสฟอรัสเรืองแสงจากตาแก่ฮินกา

 

เสื้อผ้าของผมนั้นทั้งทรุดโทรมและขาดรุ่งริ่ง แต่ก็ยังดีที่รองเท้าของผมนั้นทำมาจากหนังที่ทนทานและพื้นรองเท้าที่ทำมาจากไม้ ผมค่อนข้างชินกับรองเท้าแบบนี้จนไม่โดนรองเท้ากัดแล้ว แต่มันก็ยังไม่เหมาะกับการเดินทางในระยะไกลอยู่ดี แถมผมยังลื่นบ่อยๆเวลาเดินอยู่บนโคลนอีกด้วย

 

「หืมม? ใบไม้ใบนี้มัน…」

 

ผมเห็นใบไม้ที่หน้าตาเหมือนกับใบจิงจูฉ่าย แต่ดูเหมือนมันจะมี ”พิษเล็กน้อย” จากที่【World Ruler】บอกมา แต่ผมก็ได้รู้อีกว่ามันสามารถลบรอยสักของผมได้ ดังนั้นผมจึงเก็บใบพวกนี้มาถูกับข้อมือของผม

 

มีกลิ่นหอมสดชื่นของกุหลาบผสมกับกลิ่นใบไม้สีเขียว

 

「มัน… กำลังหายไป?」

 

ถึงผลลัพธ์จะดูไม่ค่อยชัดเจน แต่รอยสักนั้นก็ค่อยๆจางลงแล้ว… เอาเถอะ มันก็ไม่ได้ทำอันตรายกับผิว ดังนั้นผมจึงถูมันไปอย่างไม่กังวลมากนัก กลิ่นเองก็ไม่ได้แย่อีกด้วย

 

ผมเอาใบพวกนี้มายัดใส่ตรงสายรัดข้อมือของผมเป็นจำนวณมาก ก่อนจะเริ่มเดินต่อไป

 

ผมไปไม่ถึงเมืองถัดไปในวันนั้น

 

ผมหยุดพักในตอนกลางคืนบนต้นไม้ตรงชายขอบระหว่างป่ากับทุ่งหญ้า หลังจากนั้น ผมก็กินลูกโอ๊กและมัลเบอร์รี่ที่ผมเก็บมาก่อนหน้านี้พร้อมทั้งชมจันทร์ไปด้วย

 

ตอนที่ผมยังอยู่ที่ญี่ปุ่น ถึงจะเรียกได้ว่าเป็นจังหวัด ผมเองก็โตมากับบ้านที่ล้อมรอบไปด้วยทุ่งนา และเพราะว่ามันไม่ได้เจริญเท่ากับในเมือง ท้องฟ้ายามค่ำคืนนั้นจึงสวยงามกว่าที่โตเกียว

 

…แต่แล้วสำหรับโลกใบนี้หล่ะ? ผมเกิดสังสัยขึ้นมา

 

「ว้าว…」

 

มันมีกลุ่มก้อนของระอองดาวที่เหมือนกับทางช้างเผือกอยู่เยอะแย่ะไปหมด ดวงจันทร์เสี้ยวนั้นส่องสว่างบนท้องฟ้าเหมือนกับที่โลก

 

ถ้ามาคิดดูดีๆแล้ว ถึงกลุ่มดาวบนฟ้าจะแตกต่างกัน แต่ก็ยังมีทั้งดวงจันทร์ อากาศ และมนุษย์เองก็ยังมีรูปร่างที่เหมือนกัน ว่าง่ายๆก็คือมีการวิวัฒนาการที่เหมือนๆกัน จะเรียกโลกนี้ว่าเป็นก๊อบปี้ของดาวโลกก็ยังได้ ทว่า สิ่งที่แตกต่างกันอย่างเวทยมนตร์และสกิลนั้นก็ยังมีอยู่

 

บางทีผมคงจะไม่มีทางจะรู้ที่มาของโลกใบนี้ได้หรอก ขนาดที่ดาวโลก พวกเราเองก็ไม่ได้เข้าใจจักรวาลอย่างถ่องแท้เหมือนกัน ยังมีผู้คนที่ไม่เชื่อในทฤษฎีบิ๊กแบงอยู่เหมือนกัน ใช่ไหมละ?

 

ใบหญ้าในทุ่งหญ้าปลิวไสวไปมาเพราะสายลม มันเป็นคืนที่เงียบสงบปราศจากเสียงหมาหอนหรือเสียงหึ่งของแมลง

 

「…หืมม?」

 

ห่างออกไปจากทุ่งหญ้า บริเวณสันเขาอันมืดมิด มีเงาๆหนึ่งสันไหวอยู่

 

ผมเห็นเงาดำๆรูปร่างคล้ายๆกับนกอยู่ตรงนั้น

 

เดี๋ยวๆๆ เดี๋ยวก่อนนะ! ทำไมผมถึงเห็นนกตัวนั้นจากระยะนี้เนี้ย?!

 

เงาดำนั้นอ้าปากของมันขึ้นไปบนท้องฟ้า

 

–กร๊าซ!

 

ในเวลาสั้นๆ ก็มีลูกบอลแสงที่ส่องสว่างไปทั่วบริเวณรวมถึงตรงที่ผมอยู่ออกมา บอลแสงนั้นพุ่งขึ้นไปบนฟ้าราวกับดาวหางแล้วตกลงมาบนพื้นเป็นเส้นโค้ง

 

–กร๊าซซซซซซซซซซซซซซซ!

 

หลังจากนั้นไม่นาน เสียงคำรามก็มาถึงผมพร้อมทั้งเสียงระเบิด

 

「นะ-นะ-นะ-นั้นมันตัวบ้าอะไรกันเนี้ย?!!!」

 

วินาทีต่อมา พื้นดินก็สั่นไหว ต้นไม้ที่ผมอยู่ก็เช่นกัน

 

ในที่สุดผมก็รู้แล้วว่าทำไมถึงไม่มีสัญญาณของสุนัขป่าหรือสัตว์อื่นๆภายในคืนนี้เลย เป็นเพราะว่าเจ้าสิ่งมีชีวิตตัวใหญ่นั้นแน่ๆ

 

เหล่าสัตว์ที่คุ้นชินกับธรรมชาติยิ่งกว่าผมนั้นซ่อนตัวกันไปหมดแล้ว

 

【World Ruler】นั้นเงียบเฉียบทั้งๆที่มีเงาดำนั้น เป็นเพราะว่าระบุตัวตนจากเงาดำๆนั่นไม่ได้งั้นหรอ? ถึงอย่างนั้น มันก็ยังส่งข้อมูลของลูกบอลแสงว่า「ไม่เป็นอันตรายเนื่องจากว่ามันมาไม่ถึงตรงนี้」

 

เงาดำนั้นกลืนไปกับสันเขาก่อนจะหายไป

 

นั้นมันทางไปเหมืองไม่ใช่หรอ?

 

【World Ruler】ที่ตอบกลับมาว่า「ใช่แล้ว」นั้นตรงกับที่ผมคิดไว้

 

เมืองถัดไปนั้นเข้ามาอยู่ในระยะสายตาของผม

 

ในตอนที่ตัวผม – ที่ทั้งเหนื่อยจากการนอกด้านนอกและเดินไม่มั่นคงจากการอดนอน – กำลังจะฉลองนั้น

 

ผมก็เห็นบริเวณทางเข้าที่เชื่อมกับทางหลวงนั้นกลับเต็มไปด้วยทหารยาม

 

「–ทาส?」

 

「–จากเหมือง…」

 

คำพูดพวกนั้นลอยตามลมจนมาถึงผม ผมก็รีบเคลื่อนตัวหลบออกมาอย่างเงียบๆ

 

…ที่นี่ก็ไม่ได้งั้นหรอ

 

ผมไม่อยากจะเสี่ยงโดยไม่จำเป็นหลังจากที่ระมัดระวังตัวมาถึงขนาดนี้แล้ว

 

…แต่ว่า ผมทั้งเหนื่อย! ทั้งง่วง! ทั้งเหงา!

 

คงได้แต่ทำใจ ผมไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากที่จะต้องปรับตัวเพื่อความอยู่รอด

 

ตื่นขึ้นมาบนต้นไม้ในตอนเช้า ถ้ามีลำธานอยู่ใกล้ๆก็จะล้างหน้าและบ้วนปาก เดินไปขณะถูข้อมือของผมด้วยใบจิงจูฉ่าย ผมรู้สึกว่ารอยสักมันค่อยๆหายไปแล้ว บางทีอาจจะเป็นแค่รู้สึกไปเองก็ได้

 

จากนั้นผมก็หยิบพวกผลไม้หรือเมล็ดที่กินได้ขึ้นมากิน ผมโชคดีที่ป่าแห่งนี้นั้นอุดมไปด้วยพืชที่กินได้

 

ตัวผมนั้นทั้งอยากที่จะกินขนมปัง พาสต้า ข้าว เนื้อ หรือแม้กระทั้งปลา แต่ผมคิดว่าผมยังคงสามารถใช้ขีวิตแบบนี้ไปได้อีกเป็นสัปดาห์ จนถึงตอนนั้นผมก็คงกลายเป็นสุดยอดคนไร้บ้านของประเทศนี้ไปแล้ว

 

มันก็ผ่านไปแล้ว 2 วันตั้งแต่ตอนนั้น ผมยังไม่พบเมืองถัดไปเลย

 

อยู่ๆผมได้กลิ่นแปลกๆ

 

「หืมม? กลิ่นอาหารงั้นหรอ…?」

 

กลิ่นของเครื่องเทศตีมาที่จมูกของผม ตอนแรกผมคิดว่ามันเป็นแค่ภาพหลอน แต่เมื่อผมยืนยันกับ【World Ruler】แล้ว ดูเหมือนว่าจมูกของผมจะถูกต้องนะ

 

มันมีกลุ่มคน3คนนั้งล้อมรอบกองไฟอยู่ตรงบริเวณพื้นที่ว่างเล็กๆในป่า ห่างไปราวๆ100เมตรจากตรงที่ผมอยู่ คนๆหนึ่งนั้นเป็นชายร่างใหญ่ คนถัดไปนั้นเป็นผู้หญิงที่แต่งตัวเหมือนแม่ชี ส่วนคนสุดท้ายนั้นมีรูปร่างเล็กสวมใส่ฮู้ดปิดบังใบหน้าเอาไว้

 

ตอนนี้เป็นเวลาเกือบจะพลบค่ำแล้ว คนกลุ่มนั้นก็กำลังย่างเนื้ออยู่ที่กองไฟ

 

–อึก

 

ตอนแรกผมคิดว่าได้ยินเสียงอะไรบางอย่าง แต่ปรากฎว่านั้นเป็นเสียงของผมที่กลืนน้ำลายโดยไม่รู้ตัว ผมพูดไว้ว่าผมจะมีชีวิตรอดแบบนี้ต่อไปอีกราวๆ5วันก็จริง แต่นั้นคงเป็นไปไม่ได้แล้ว ผมตายแน่ถ้าผมไม่ได้กินเนื้อในตอนนี้【World Ruler】นั้นตอบกลับมาว่า「ยังอยู่รอดแบบนี้ไปได้อีก10วัน」เงียบไปเลย!

 

「…อู้ววว」

 

แต่ผมจะทำอะไรโง่ๆอย่างปรากฎตัวออกไปต่อหน้าพวกเขาไม่ได้ในตอนนี้ เหตุผลของผมดูจะยังเหนือกว่าอยู่ เพราะผมนั้นหลบหนีออกจากเหมืองเข้ามาในป่าด้วยทุกอย่างที่ผมมีเลย ผมคงจะเป็นคนที่โง่มากๆที่จะไปเปิดเผยตัวต่อคนที่ผมไม่รู้จัก

 

–กึกกกกก

 

แล้วก็เป็นอีกครั้งที่ผมคิดว่าได้ยินเสียงบางอย่าง แต่ว่ามันเป็นเสียงจากฟันที่กระทบกันของผม

 

นี่พวก นายอยากจะกินเนื้อนั่นขนาดนั้นเลยหรอ? ใช่! ผมอยากกิน ……พวกนั้นจะไปเข้าห้องน้ำพร้อมกันเหมือนกับปาฏิหาริย์หน่อยไม่ได้รึไงนะ? เนื้อพวกนั้นจะช่วยบินออกมาเหมือนจรวดแล้วตกลงมาบนมือของผมไม่ได้รึไงนะ? เดี๋ยวก่อนสิ… นี่อยากจะกินเนื้อประหลาดๆนั่นจริงๆหรอ? ใช่! ผมอยากกินเนื้อนั่นไม่ว่าจะยังไงก็ตาม!

 

「ผมเริ่มจะเป็นบ้าแล้ว」

 

ผมพิงไปที่ต้นไม้และรู้สึกกลัวถึงเหตุผลของผมที่ค่อยๆหายไป

 

…กลิ่นนั่นจะทำให้ผมเป็นบ้า ผมได้กลิ่นน้ำมันที่ไหลออกจากเนื้อย่างด้วย อ้าาาา!

 

「ไปจากที่นี่ดีกว่า…」

 

ในตอนที่ผมหันหลังจากเหล่านักพจญภัยนั้นเท่านั้นแหล่ะ

 

「!」

 

กิ่งไม้ที่อยู่เหนือหัวของนักพจญภัยตัวเล็กที่สวมฮู้ดอยู่นั้น แท้จริงแล้วเป็นงูพิษที่หน้าตาเหมือนกิ่งไม้

 

พิษร้ายแรงมาก ถ้าโดนมันกัดที่แขนละก็ ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากตัดแขนทิ้งเท่านั้น และถ้าโดนที่ตัวละก็ตายแน่นอน – ข้อมูลนี้หลั่งไหลออกมาจาก【World Ruler】ต้องหนี ต้องรีบหนี ต้องรีบหนีแล้ว

 

ผมตกใจแล้วมองไปที่มันอีกครั้ง งูตัวนั้นแยกเขี้ยวออกมาเหนือหัวของนักพจญภัยตัวเล็กๆนั้น

 

…มันจะกัดคนๆนั้นงั้นหรอ?!

 

「ข-ข้างบน!」

 

ในตอนนั้น ผมไม่สนใจสถานการณ์อะไรในตอนนี้ทั้งนั้น ไม่ว่าจะความเสี่ยงหรือตัวตนของพวกเขา ผมก็ไม่สนใจอะไรทั้งนั้น ผมนั้นออกวิ่งตรงไปที่พวกเขาอยู่ ชายร่างใหญ่นั้นตกใจแล้วชักมีดออกมา แสงจากกองไฟสะท้อนไปที่ใบมีดเล่มนั้น

 

「ข้างบน! มองข้างบน!」

 

「เดี๋ยวก่อน ดันเต้ เด็กคนนั้นกำลังพูดอะไรบางอย่าง!」

 

「แต่ว่า…」

 

「ข้างบนนนนน…. งูงูงูงูงูงูงู!!!」

 

「เอ่ะ? งู?」

 

เมื่อนักพจญภัยตัวเล็กๆคนนั้นมองขึ้นไป งูพิษตัวนั้นก็กำลังจะตกลงมาใส่เธอแล้ว ทุกอย่างเคลื่อนไหวช้ามากในสายตาของผม มันเป็นอะไรที่เจ็บปวดมากที่ผมนั้นอยู่ห่างจากพวกนั้นเกินไป ชายร่างใหญ่มัวแต่สนในผมจนไม่ทันได้มอง แม่ชีคนนั้นก็ดูจะสับสน ส่วนนักพจญภัยตัวเล็กๆคนนั้น ฮู้ดที่สวมอยู่ล่วงลงมาในตอนที่มองขึ้นไป เผยให้เห็นผมสีอำพันยาว มีผมเปียที่ถูกถักอย่างประณีตมัดไว้ด้วยลูกปัดสีสดใส – ที่บางทีคงจะเป็นอัญมณี นักพจญภัยตัวเล็กๆคนนั้นเป็นผู้หญิงที่สวมใส่เครื่องแต่งกายเหมือนกับหมอผี

 

งูตัวนั้นสะท้อนอยู่ภายในดวงตาสีฟ้าสดใสของเธอคนนั้นแล้ว

บทที่ 1 ตอนที่ 3

 

ต้นไม้ที่อยู่รอบๆนั้นออกผลเป็นผลไม้สีเขียวแทบจะทั้งหมดเลย สงสัยช่วงนี้คงจะอยู่ในฤดูของผลไม้พวกนี้ละมั้ง แถมผมยังเห็นบางลูกถูกแท่ะไปแล้วอีกด้วย

 

ของที่มีติดตัวผมอยู่ในตอนนี้จะเป็นของสำหรับใช้ขุดหาหินสกิลในเหมืองทั้งนั้น ทั้งกระเป๋าเปล่าๆ กระเป๋าเครื่องมือคาดเอวที่มีสิ่วกับหินขนาดพอเหมาะสำหรับใช้แทนค้อน และหินฟอสฟอรัสเรืองแสงจากตาแก่ฮินกา

 

เสื้อผ้าของผมนั้นทั้งทรุดโทรมและขาดรุ่งริ่ง แต่ก็ยังดีที่รองเท้าของผมนั้นทำมาจากหนังที่ทนทานและพื้นรองเท้าที่ทำมาจากไม้ ผมค่อนข้างชินกับรองเท้าแบบนี้จนไม่โดนรองเท้ากัดแล้ว แต่มันก็ยังไม่เหมาะกับการเดินทางในระยะไกลอยู่ดี แถมผมยังลื่นบ่อยๆเวลาเดินอยู่บนโคลนอีกด้วย

 

「หืมม? ใบไม้ใบนี้มัน…」

 

ผมเห็นใบไม้ที่หน้าตาเหมือนกับใบจิงจูฉ่าย แต่ดูเหมือนมันจะมี ”พิษเล็กน้อย” จากที่【World Ruler】บอกมา แต่ผมก็ได้รู้อีกว่ามันสามารถลบรอยสักของผมได้ ดังนั้นผมจึงเก็บใบพวกนี้มาถูกับข้อมือของผม

 

มีกลิ่นหอมสดชื่นของกุหลาบผสมกับกลิ่นใบไม้สีเขียว

 

「มัน… กำลังหายไป?」

 

ถึงผลลัพธ์จะดูไม่ค่อยชัดเจน แต่รอยสักนั้นก็ค่อยๆจางลงแล้ว… เอาเถอะ มันก็ไม่ได้ทำอันตรายกับผิว ดังนั้นผมจึงถูมันไปอย่างไม่กังวลมากนัก กลิ่นเองก็ไม่ได้แย่อีกด้วย

 

ผมเอาใบพวกนี้มายัดใส่ตรงสายรัดข้อมือของผมเป็นจำนวณมาก ก่อนจะเริ่มเดินต่อไป

 

ผมไปไม่ถึงเมืองถัดไปในวันนั้น

 

ผมหยุดพักในตอนกลางคืนบนต้นไม้ตรงชายขอบระหว่างป่ากับทุ่งหญ้า หลังจากนั้น ผมก็กินลูกโอ๊กและมัลเบอร์รี่ที่ผมเก็บมาก่อนหน้านี้พร้อมทั้งชมจันทร์ไปด้วย

 

ตอนที่ผมยังอยู่ที่ญี่ปุ่น ถึงจะเรียกได้ว่าเป็นจังหวัด ผมเองก็โตมากับบ้านที่ล้อมรอบไปด้วยทุ่งนา และเพราะว่ามันไม่ได้เจริญเท่ากับในเมือง ท้องฟ้ายามค่ำคืนนั้นจึงสวยงามกว่าที่โตเกียว

 

…แต่แล้วสำหรับโลกใบนี้หล่ะ? ผมเกิดสังสัยขึ้นมา

 

「ว้าว…」

 

มันมีกลุ่มก้อนของระอองดาวที่เหมือนกับทางช้างเผือกอยู่เยอะแย่ะไปหมด ดวงจันทร์เสี้ยวนั้นส่องสว่างบนท้องฟ้าเหมือนกับที่โลก

 

ถ้ามาคิดดูดีๆแล้ว ถึงกลุ่มดาวบนฟ้าจะแตกต่างกัน แต่ก็ยังมีทั้งดวงจันทร์ อากาศ และมนุษย์เองก็ยังมีรูปร่างที่เหมือนกัน ว่าง่ายๆก็คือมีการวิวัฒนาการที่เหมือนๆกัน จะเรียกโลกนี้ว่าเป็นก๊อบปี้ของดาวโลกก็ยังได้ ทว่า สิ่งที่แตกต่างกันอย่างเวทยมนตร์และสกิลนั้นก็ยังมีอยู่

 

บางทีผมคงจะไม่มีทางจะรู้ที่มาของโลกใบนี้ได้หรอก ขนาดที่ดาวโลก พวกเราเองก็ไม่ได้เข้าใจจักรวาลอย่างถ่องแท้เหมือนกัน ยังมีผู้คนที่ไม่เชื่อในทฤษฎีบิ๊กแบงอยู่เหมือนกัน ใช่ไหมละ?

 

ใบหญ้าในทุ่งหญ้าปลิวไสวไปมาเพราะสายลม มันเป็นคืนที่เงียบสงบปราศจากเสียงหมาหอนหรือเสียงหึ่งของแมลง

 

「…หืมม?」

 

ห่างออกไปจากทุ่งหญ้า บริเวณสันเขาอันมืดมิด มีเงาๆหนึ่งสันไหวอยู่

 

ผมเห็นเงาดำๆรูปร่างคล้ายๆกับนกอยู่ตรงนั้น

 

เดี๋ยวๆๆ เดี๋ยวก่อนนะ! ทำไมผมถึงเห็นนกตัวนั้นจากระยะนี้เนี้ย?!

 

เงาดำนั้นอ้าปากของมันขึ้นไปบนท้องฟ้า

 

–กร๊าซ!

 

ในเวลาสั้นๆ ก็มีลูกบอลแสงที่ส่องสว่างไปทั่วบริเวณรวมถึงตรงที่ผมอยู่ออกมา บอลแสงนั้นพุ่งขึ้นไปบนฟ้าราวกับดาวหางแล้วตกลงมาบนพื้นเป็นเส้นโค้ง

 

–กร๊าซซซซซซซซซซซซซซซ!

 

หลังจากนั้นไม่นาน เสียงคำรามก็มาถึงผมพร้อมทั้งเสียงระเบิด

 

「นะ-นะ-นะ-นั้นมันตัวบ้าอะไรกันเนี้ย?!!!」

 

วินาทีต่อมา พื้นดินก็สั่นไหว ต้นไม้ที่ผมอยู่ก็เช่นกัน

 

ในที่สุดผมก็รู้แล้วว่าทำไมถึงไม่มีสัญญาณของสุนัขป่าหรือสัตว์อื่นๆภายในคืนนี้เลย เป็นเพราะว่าเจ้าสิ่งมีชีวิตตัวใหญ่นั้นแน่ๆ

 

เหล่าสัตว์ที่คุ้นชินกับธรรมชาติยิ่งกว่าผมนั้นซ่อนตัวกันไปหมดแล้ว

 

【World Ruler】นั้นเงียบเฉียบทั้งๆที่มีเงาดำนั้น เป็นเพราะว่าระบุตัวตนจากเงาดำๆนั่นไม่ได้งั้นหรอ? ถึงอย่างนั้น มันก็ยังส่งข้อมูลของลูกบอลแสงว่า「ไม่เป็นอันตรายเนื่องจากว่ามันมาไม่ถึงตรงนี้」

 

เงาดำนั้นกลืนไปกับสันเขาก่อนจะหายไป

 

นั้นมันทางไปเหมืองไม่ใช่หรอ?

 

【World Ruler】ที่ตอบกลับมาว่า「ใช่แล้ว」นั้นตรงกับที่ผมคิดไว้

 

เมืองถัดไปนั้นเข้ามาอยู่ในระยะสายตาของผม

 

ในตอนที่ตัวผม – ที่ทั้งเหนื่อยจากการนอกด้านนอกและเดินไม่มั่นคงจากการอดนอน – กำลังจะฉลองนั้น

 

ผมก็เห็นบริเวณทางเข้าที่เชื่อมกับทางหลวงนั้นกลับเต็มไปด้วยทหารยาม

 

「–ทาส?」

 

「–จากเหมือง…」

 

คำพูดพวกนั้นลอยตามลมจนมาถึงผม ผมก็รีบเคลื่อนตัวหลบออกมาอย่างเงียบๆ

 

…ที่นี่ก็ไม่ได้งั้นหรอ

 

ผมไม่อยากจะเสี่ยงโดยไม่จำเป็นหลังจากที่ระมัดระวังตัวมาถึงขนาดนี้แล้ว

 

…แต่ว่า ผมทั้งเหนื่อย! ทั้งง่วง! ทั้งเหงา!

 

คงได้แต่ทำใจ ผมไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากที่จะต้องปรับตัวเพื่อความอยู่รอด

 

ตื่นขึ้นมาบนต้นไม้ในตอนเช้า ถ้ามีลำธานอยู่ใกล้ๆก็จะล้างหน้าและบ้วนปาก เดินไปขณะถูข้อมือของผมด้วยใบจิงจูฉ่าย ผมรู้สึกว่ารอยสักมันค่อยๆหายไปแล้ว บางทีอาจจะเป็นแค่รู้สึกไปเองก็ได้

 

จากนั้นผมก็หยิบพวกผลไม้หรือเมล็ดที่กินได้ขึ้นมากิน ผมโชคดีที่ป่าแห่งนี้นั้นอุดมไปด้วยพืชที่กินได้

 

ตัวผมนั้นทั้งอยากที่จะกินขนมปัง พาสต้า ข้าว เนื้อ หรือแม้กระทั้งปลา แต่ผมคิดว่าผมยังคงสามารถใช้ขีวิตแบบนี้ไปได้อีกเป็นสัปดาห์ จนถึงตอนนั้นผมก็คงกลายเป็นสุดยอดคนไร้บ้านของประเทศนี้ไปแล้ว

 

มันก็ผ่านไปแล้ว 2 วันตั้งแต่ตอนนั้น ผมยังไม่พบเมืองถัดไปเลย

 

อยู่ๆผมได้กลิ่นแปลกๆ

 

「หืมม? กลิ่นอาหารงั้นหรอ…?」

 

กลิ่นของเครื่องเทศตีมาที่จมูกของผม ตอนแรกผมคิดว่ามันเป็นแค่ภาพหลอน แต่เมื่อผมยืนยันกับ【World Ruler】แล้ว ดูเหมือนว่าจมูกของผมจะถูกต้องนะ

 

มันมีกลุ่มคน3คนนั้งล้อมรอบกองไฟอยู่ตรงบริเวณพื้นที่ว่างเล็กๆในป่า ห่างไปราวๆ100เมตรจากตรงที่ผมอยู่ คนๆหนึ่งนั้นเป็นชายร่างใหญ่ คนถัดไปนั้นเป็นผู้หญิงที่แต่งตัวเหมือนแม่ชี ส่วนคนสุดท้ายนั้นมีรูปร่างเล็กสวมใส่ฮู้ดปิดบังใบหน้าเอาไว้

 

ตอนนี้เป็นเวลาเกือบจะพลบค่ำแล้ว คนกลุ่มนั้นก็กำลังย่างเนื้ออยู่ที่กองไฟ

 

–อึก

 

ตอนแรกผมคิดว่าได้ยินเสียงอะไรบางอย่าง แต่ปรากฎว่านั้นเป็นเสียงของผมที่กลืนน้ำลายโดยไม่รู้ตัว ผมพูดไว้ว่าผมจะมีชีวิตรอดแบบนี้ต่อไปอีกราวๆ5วันก็จริง แต่นั้นคงเป็นไปไม่ได้แล้ว ผมตายแน่ถ้าผมไม่ได้กินเนื้อในตอนนี้【World Ruler】นั้นตอบกลับมาว่า「ยังอยู่รอดแบบนี้ไปได้อีก10วัน」เงียบไปเลย!

 

「…อู้ววว」

 

แต่ผมจะทำอะไรโง่ๆอย่างปรากฎตัวออกไปต่อหน้าพวกเขาไม่ได้ในตอนนี้ เหตุผลของผมดูจะยังเหนือกว่าอยู่ เพราะผมนั้นหลบหนีออกจากเหมืองเข้ามาในป่าด้วยทุกอย่างที่ผมมีเลย ผมคงจะเป็นคนที่โง่มากๆที่จะไปเปิดเผยตัวต่อคนที่ผมไม่รู้จัก

 

–กึกกกกก

 

แล้วก็เป็นอีกครั้งที่ผมคิดว่าได้ยินเสียงบางอย่าง แต่ว่ามันเป็นเสียงจากฟันที่กระทบกันของผม

 

นี่พวก นายอยากจะกินเนื้อนั่นขนาดนั้นเลยหรอ? ใช่! ผมอยากกิน ……พวกนั้นจะไปเข้าห้องน้ำพร้อมกันเหมือนกับปาฏิหาริย์หน่อยไม่ได้รึไงนะ? เนื้อพวกนั้นจะช่วยบินออกมาเหมือนจรวดแล้วตกลงมาบนมือของผมไม่ได้รึไงนะ? เดี๋ยวก่อนสิ… นี่อยากจะกินเนื้อประหลาดๆนั่นจริงๆหรอ? ใช่! ผมอยากกินเนื้อนั่นไม่ว่าจะยังไงก็ตาม!

 

「ผมเริ่มจะเป็นบ้าแล้ว」

 

ผมพิงไปที่ต้นไม้และรู้สึกกลัวถึงเหตุผลของผมที่ค่อยๆหายไป

 

…กลิ่นนั่นจะทำให้ผมเป็นบ้า ผมได้กลิ่นน้ำมันที่ไหลออกจากเนื้อย่างด้วย อ้าาาา!

 

「ไปจากที่นี่ดีกว่า…」

 

ในตอนที่ผมหันหลังจากเหล่านักพจญภัยนั้นเท่านั้นแหล่ะ

 

「!」

 

กิ่งไม้ที่อยู่เหนือหัวของนักพจญภัยตัวเล็กที่สวมฮู้ดอยู่นั้น แท้จริงแล้วเป็นงูพิษที่หน้าตาเหมือนกิ่งไม้

 

พิษร้ายแรงมาก ถ้าโดนมันกัดที่แขนละก็ ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากตัดแขนทิ้งเท่านั้น และถ้าโดนที่ตัวละก็ตายแน่นอน – ข้อมูลนี้หลั่งไหลออกมาจาก【World Ruler】ต้องหนี ต้องรีบหนี ต้องรีบหนีแล้ว

 

ผมตกใจแล้วมองไปที่มันอีกครั้ง งูตัวนั้นแยกเขี้ยวออกมาเหนือหัวของนักพจญภัยตัวเล็กๆนั้น

 

…มันจะกัดคนๆนั้นงั้นหรอ?!

 

「ข-ข้างบน!」

 

ในตอนนั้น ผมไม่สนใจสถานการณ์อะไรในตอนนี้ทั้งนั้น ไม่ว่าจะความเสี่ยงหรือตัวตนของพวกเขา ผมก็ไม่สนใจอะไรทั้งนั้น ผมนั้นออกวิ่งตรงไปที่พวกเขาอยู่ ชายร่างใหญ่นั้นตกใจแล้วชักมีดออกมา แสงจากกองไฟสะท้อนไปที่ใบมีดเล่มนั้น

 

「ข้างบน! มองข้างบน!」

 

「เดี๋ยวก่อน ดันเต้ เด็กคนนั้นกำลังพูดอะไรบางอย่าง!」

 

「แต่ว่า…」

 

「ข้างบนนนนน…. งูงูงูงูงูงูงู!!!」

 

「เอ่ะ? งู?」

 

เมื่อนักพจญภัยตัวเล็กๆคนนั้นมองขึ้นไป งูพิษตัวนั้นก็กำลังจะตกลงมาใส่เธอแล้ว ทุกอย่างเคลื่อนไหวช้ามากในสายตาของผม มันเป็นอะไรที่เจ็บปวดมากที่ผมนั้นอยู่ห่างจากพวกนั้นเกินไป ชายร่างใหญ่มัวแต่สนในผมจนไม่ทันได้มอง แม่ชีคนนั้นก็ดูจะสับสน ส่วนนักพจญภัยตัวเล็กๆคนนั้น ฮู้ดที่สวมอยู่ล่วงลงมาในตอนที่มองขึ้นไป เผยให้เห็นผมสีอำพันยาว มีผมเปียที่ถูกถักอย่างประณีตมัดไว้ด้วยลูกปัดสีสดใส – ที่บางทีคงจะเป็นอัญมณี นักพจญภัยตัวเล็กๆคนนั้นเป็นผู้หญิงที่สวมใส่เครื่องแต่งกายเหมือนกับหมอผี

 

งูตัวนั้นสะท้อนอยู่ภายในดวงตาสีฟ้าสดใสของเธอคนนั้นแล้ว

 

================================================================

TL: เว้นวรรคแบบนั้กับแบบก่อน อันไหนดีกว่ากันหรอครับ? ผมจะได้นำไปปรับใช้

 

 

 

บทที่ 1 ตอนที่ 2

「อุ๊ก… ปวดหัวชะมัด」

นี้ผมทำอะไรลงไปในตอนที่ตัวเองยังอ่อนล้าอยู่เนี้ย… ตอนที่ผมนั้นตื่นขึ้นมาก็เป็นเวลาพลบค่ำแล้ว โชคดีแท้ๆที่ไม่มีทหารมาพบผมเข้าซะก่อน ผมไม่น่าลองอะไรแบบนั้นในเวลานั้นเลย

แต่มันก็ทำให้ผมเข้าใจถึงบางสิ่ง

ความแตกต่างระหว่างการใช้【เวทย์ลม】กับ 【เวทย์ไฟ】นั้นเป็นเพราะการมีอยู่ของ【World Ruler】ที่ผมนั้นใช้【เวทย์ลม】ไม่ได้เป็นเพราะว่าในตอนที่ผมเห็นมันถูกใช้นั้น ผมยังไม่มีสกิล【World Ruler】เลย กลับกันที่ผมใช้【เวทย์ไฟ】ได้เป็นเพราะในตอนนั้นผมมีสกิลแล้วนั้นเอง

อย่างไรก็ตาม ผลข้างเคียงในตอนที่ผมใช้【ถอนสกิล】นั้นแตกต่างอย่างมากกับตอนที่ใช้【เวทย์ไฟ】อันแรกนั้นทำให้ผมรู้สึกเหนื่อยล้าแต่อีกอันกลับดูดพละกำลังของผมออกไปจนหมดเลย ผมเองก็ยังไม่แน่ใจเหมือนกันว่าทำไมถึงเป็นแบบนั้น

อาจจะเกี่ยวข้องกับสิ่งที่เรียกว่ามานาก็ได้ มันยังมีสกิลที่เรียกว่า【เสริมมานา】.อยู่อีกด้วย

「ผมควรจะทำยังไงต่อไปดีนะ?」

ผมกำลังคิดว่าจะลอบเข้าไปในเมืองแล้วเปลี่ยนเสื้อผ้าของตัวเองก่อน ในด้านสถานะในตอนนี้ผมยังเป็นเพียงแค่”ทาสที่อ่อนแอ”อยู่ ไม่ว่าใครก็ตามที่จับผมได้ – ไม่ใช่แค่พวกทหารเท่านั้น – ผมจะมีปัญหาทันที แต่ถ้าตัวผมไม่ทำอะไรที่บ่งบอกว่าตัวเองเป็น”ทาส”ละก็ พวกนั้นจะไม่มีอะไรมายืนยันผมได้ และต่อให้มีหลักฐาน ผมก็แค่ยืนยันตนเองว่าเป็น”ทาสที่เป็นอิสระแล้ว”ก็เท่านั้น

ถึงจะพูดอย่างงั้น ปัญหาหลักก็คือเสื้อผ้าเนี้ยแหล่ะ ผู้คนจะรู้ทันทีที่เห็นเลยว่าผมนั้นเป็นทาสจากเสื้อผ้าโทรมๆที่ผมใส่ ถึงผมจะยังคงมีรอยสักอยู่ที่แขนซ้ายของผมเหมือนเดิม แต่นั้นก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่อะไรถ้าผมซ่อนมันเอาไว้ในแขนเสื้อ ผมสามารถปล่อยรอยสักนี้เอาไว้จัดการทีหลังได้

「หืมม ผมรู้สึกไม่ดีเลยแห่ะ」

คงจะมีทหารประจำการอยู่ที่เมืองใกล้ๆเหมืองแน่ๆ และมันคงเป็นที่แรกๆแน่ๆที่จะทำการเฝ้าระวังกันเอาไว้ ในความเป็นจริงแล้วผมคิดว่าทาสที่อ่อนแอคนอื่นๆก็คงจะคิดแบบเดียวกับผม มั้นใจได้เลยว่ามีการต่อสู้กันเกิดขึ้นไปแล้วหลายต่อหลายครั้งภายในเมือง

「ผมควรจะข้ามเมืองนี้ไปแล้วไปยังเมืองถัดไปเลยดีไหมนะ? ปัญหาก็คือจะผ่านคืนนี้ไปยังไงละที่นี้ อ้าาา ไม่น่าทดลองใช้สกิลเลย!」

เรื่องมันก็ผ่านไปแล้ว อย่างไรก็ตาม ผมนั้นไม่มีทั้งเงินและความแข็งแกร่ง สิ่งเดียวที่ใช้ได้ในเวลาแบบนี้ก็มีแค่【World Ruler】มาถึงจุดๆนี้ผมก็ควรจะเรียกเขาว่าท่านWorld Rulerได้แล้วละ

หลังจากคิดวิเคราะห์ไปสักพัก ผมก็ตัดสินใจจะอยู่ที่นี้ในคืนนี้ ในเมื่อไม่มีทหารคนไหนเจอผมเลยในตอนเช้าที่ผมหลับเป็นตาย ดูเหมือนพวกนั้นจะไม่ค่อยได้สนใจบริเวณถนนระหว่างเหมืองกับเมืองนี้ และก็คงจะไม่คิดว่าจะมีใครมานอนหลับใกล้ๆกับเมืองแบบนี้หรอก

มันก็ไม่น่าจะมีสุนัขป่ามากมายอาศัยอยู่ใกล้กับเมืองขนาดนี้… ไม่ใช่เพราะผมคิดในแง่ดีไปคนเดียวหรอก แต่เป็นเพราะว่าท่านWorld Rulerบอกไว้ว่า “มีแนวโน้มที่จะเป็นอย่างนั้น”

หนึ่งคืนผ่านไป ไม่มีอะไรเกิดขึ้น

「………」

ผมปีนลงมาจากต้นไม้และขยี้ตาปรือๆของผม ถึงจะพูดว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น… แต่ก็ยังคงมีเสียงหมาหอนมาจากทุกทิศทาง

ยิ่งไปกว่านั้น ในป่ามันมืดยิ่งกว่าที่ผมคิดเอาไว้ ผมอยากจะตีตัวเองจังเลยที่ตัดสินใจหลบเข้าไปในป่าอีกนิดเพื่อจะได้ไม่มีคนเห็นผมจากในเมือง

ป่านั้นมืดสนิท และเพราะว่ามันมืดเนี้ยแหล่ะผมถึงออกไปไหนไม่ได้เลย “แสง”เพียงอย่างเดียวในความมืดนั้นก็คือข้อมูลจาก【World Ruler】ที่บอกว่า “เสียงหอนนี้เป็นเพียงการเรียกพวกเท่านั้น” หรือ “เสียงกรอบแกรบเมื่อสักครู่นั้นเป็นเพียงสัตว์ตัวเล็กๆ” แต่ผมคิดว่าผมจะไม่มีทางทำแบบนี้อีกเป็นครั้งที่2แล้ว

ตอนที่ผมนั้งอยู่ในความมืดนั้น ผมก็หวนนึกถึงความทรงจำในตอนที่ผมยังอยู่ที่เหมือง ถึงมันจะรู้สึกคลุมเครือแต่ก็ยังคงนึกอะไรขึ้นมาได้หลายๆอย่าง ทั้งอุโมงค์ที่ผมสำรวจด้วยกันกับลาค สิ่งต่างๆที่ตาแก่ฮินกาสอนผม และอื่นๆอีกมากมาย

「ลาค… ผมสงสัยจังเลยว่าเธอยังสบายดีอยู่ไหมนะ?」

ถึงจะได้รับสกิลที่แข็งแกร่งไปแล้ว แต่เธอก็ยังคงเป็นเด็กไม่ต่างจากผม ถึงผมจะมีความรู้จากประเทศญี่ปุ่นก็เถอะ แต่นั้นมันเป็นคนละกรณีกัน

「ในตอนนี้คิดว่าคงต้องเป็นห่วงตัวเองก่อนจะดีกว่า」

ผมมองไปรอบๆเมืองจากระยะไกลแล้วเคลื่อนตัวไปเรื่อยๆจนกระทั้งเห็นทางหลวง ผมเห็นว่ามีรถม้าขับผ่านไปดังนั้นมันต้องเป็นทางหลวงแน่ๆ ผมสังสัยจังว่ารถม้าคันนั้นจะใช้สำหรับโดยสารนักพจญภัยรึปล่าว? ในตอนที่คิดแบบนั้น มีนักพจญภัยคนหนึ่งหันมาทางที่ผมอยู่ ถึงแม้ผมจะซ่อนอยู่ในพงหญ้าก็ตาม เขาคนนั้นกลับมองตรงมาที่ผม เหงื่อเย็นๆชองผมค่อยๆไหลย้อยออกมา แต่สุดท้ายรถม้าคันนั้นก็ขับออกไปอย่างช้าๆ นี้มันหมายความว่า “ชั้นจะไม่ทำอะไรถ้าแกไม่ทำอะไร” งั้นหรอ?

นั่นใช่สกิลสำหรับการตรวจจับหรือปล่าวนะ? หรือแค่ตาของเขาดีเกินไปเท่านั้น?

「…ถ้านั่นเป็นสกิลละก็ ผมก็น่าจะก๊อบปี้มันได้ด้วย【World Ruler】ใช่ไหม?」

ผมจ้องไปที่ต้นไม้ต้นหนึ่งที่อยู่ในระยะไกล

「ผมมองเห็นมันได้!」

มันเป็นสกิลที่เพื่มระยะการมองเห็นอย่างนั้นหรอ? เจ๋งไปเลย! ผมเห็นมันทุกอย่างแม้กระทั้งใบไม้เลย!

「แย่หล่ะ!」

ผมลืมนึกถึงผลข้างเคียงที่ตามมาจากการใช้【World Ruler】เลย! ผมต้องรีบเตรียมตัวรับผลข้างเคียงแล้ว แต่ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น มันคงจะไม่มีผลข้างเคียงสำหรับสกิลที่เพิ่มความสามารถทางร่างกายละมั้ง

เยี่ยมไปเลย แต่ถ้าแค่ลอกเลียนแบบแล้วทำได้ถึงขนาดนี้ นั้นก็หมายความว่า…

「นักพจญภัยคนนั้นคงจะเห็นผมอย่างชัดเจนเลยสินะ…」

ผมคงต้องระวังตัวให้มากกว่านี้แล้ว

ผมทดสอบอะไรหลายๆอย่างขณะเดินผ่านทุ่งหญ้าไปพร้อมกับทางหลวง สกิล【วิชาดาบ】นั้นผมได้เห็นจากการสู้กันระหว่างทาสกับทหารไปแล้ว แต่ผมกลับไม่รู้สึกเลยว่าจะใช้มันได้ ผมคิดว่าคงเป็นเพราะผมไม่ได้เห็นมันอย่างชัดๆ “การสังเกต”เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการใช้【World Ruler】จริงๆด้วย ครั้งนั้นที่【เวทย์ไฟ】ถูกใช้ออกไป ผมได้สักเกตมันอย่างระเอียดในตอนที่มันทำลายกำแพงลงไป

และถึง【World Ruler】จะสร้างก๊อบปี้ของสกิลนั้นมา มันกลับมีความได้เปรียบอย่างมหาศาลยิ่งกว่าที่คิด เพราะว่ามันนั้นไม่ได้ใช้ช่องสำหรับเรียนรู้สกิลเลย ตามที่ตาแก่ฮินกาได้เอาพูดไว้ว่า ในโลกนี้เองก็มีปรมาจารย์ดาบที่เก่งใน ”วิชาดาบ” มากแม้จะไม่มีสกิล【วิชาดาบ】และบางคนก็ยังใช้ ”เวทย์ไฟ” ได้ทั้งๆที่ไม่มีสกิล【เวทย์ไฟ】เหมือนกัน เขาบอกว่า สกิลจากหินสกิลมันก็เป็นเหมือน “ทางลัด” เพื่อที่จะใช้เวทยมนตร์ เชี่ยวชาญอาวุธ หรืออะไรก็แล้วแต่ได้ แต่สำหรับมนุษย์นั้นแต่เดิมมีศักยภาพที่ไร้ขีดจำกัดอยู่แล้ว

ดังนั้น ผมคิดว่าผมสามารถที่จะปลดปล่อยศักยภาพนั้นผ่าน【World Ruler】ได้ ถ้าผมเปลี่ยน”เลนส์อันบิดเบี้ยว”นี้เป็น”เลนส์อันชัดเจน” ผมอาจจะสามารถเรียนรู้หลายๆอย่างได้มากยิ่งขึ้นกว่านี้อีก ถึงแม้นี้จะเป็นเพียงแค่สมมติฐานก็ตามที

「ถึงแม้ผมจะยังก๊อบปี้สกิลได้ไม่สมบูรณ์ในตอนนี้…แต่ไม่ใช่ว่าสกิล【World Ruler】นี้มันโคตรโกงเลยไม่ใช่หรอ?」

ผมเริ่มที่จะรู้สึกกลัวถึงความสามารถของสกิล10ดาวอันนี้แล้ว แต่ผมก็ปรับโฟกัสใหม่ภายในหัว

「…สิ่งที่สำคัญกว่าในตอนนี้คือการหาทางเอาชีวิตรอดต่อไปให้ได้」

 

 

 

บทที่ 1: การเดินทางอย่างลับๆ และ การเผชิญหน้าที่ถูกกำหนดไว้

ตอนที่ 1

ในโลกใบนี้นั้นมีสิ่งที่เรียกว่าสกิล มันนั้นสามารถหาได้จากหินที่เรียกว่าหินสกิล ขึ้นอยู่กับความหายากและจำนวณช่องที่ใช้สำหรับเรียนรู้ ผู้คนบนโลกใบนี้นั้นมีช่องสำหรับใส่สกิลเพียงแค่คนละ8ช่องเท่านั้น  นั้นแหล่ะคือสิ่งที่ตาแก่ฮินกาสอนผมเอาไว้

ตัวผมเองนั้นกลับมีถึง16ช่อง เหตุผลคงจะเป็นเพราะผมนั้นมีสิ่งที่เรียกว่า “ชาติก่อน” ที่ตัวของผมนั้นเป็นเพียงนักเรียนมัธยมปลายชาวญี่ปุ่น และเป็นเพราะสิ่งนี้ผมถึงมีความรู้ที่มากกว่าเด็กที่อายุเท่าๆกัน ผมเองก็ไม่รู้จะอธิบายยังไงและแถมยังมีโอกาศได้ใช้ความรู้ที่มีนั้นอยู่บ่อยครั้งด้วย

「ทุกๆอย่างบนโลกนี้คับเคลื่อนด้วยสกิล… โอ้ เจ้านี้อร่อยแห่ะ!」

ผลไม้ขนาดเท่ากำปั้น – ที่มีหน้าตาเหมือนแอปเปิ้ลเขียว – ทั้งเปรี้ยวและชุ่มฉ่ํา ผมไม้นี้ห้อยอยู่ตรงปลายกิ่งไม้ที่หน้าตาเหมือนเบ็ดตกปลาที่มีเหยื่อห้อยอยู่ ผมมีความรู้สึกว่ามัน”ไม่เป็นอันตราย”จากสกิล【World Ruler】ดังนั้นผมจึงเด็ดมันมา มันน่าสนใจมาก กิ่งไม้นั้นดีดขึ้นไปตอนผมเด็ดผลไม้ออกมาด้วย

ผมเด็ดเจ้าผลไม้สีเขียวนี้มาพอสมควร ตอนที่ผมกล่าวลาตาแก่ฮินกานั้น ผมเห็นควันไฟลอยขึ้นมาจากด้านนอกของป่า ซึ่งดูเหมือนจะเป็นควันจากการทำอาหาร ดังนั้นผมจึงกำลังเดินไปทางนั้น ผมคิดว่านั่นอาจจะเป็นเมืองที่อยู่ใกล้ๆกับเหมือง แต่ผมเองก็ไม่แน่ใจนัก ถนนที่เชื่อมระหว่างเหมืองกับเมืองนั้นเต็มไปด้วยเหล่าทหาร ผมจึงจำเป็นต้องอยู่ให้ห่างจากมันที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

ถึงสภาพป่าโดยรอบจะแย่มาก – ทั้งพื้นขรุขระที่เต็มไปได้ซากใบไม้ และพุ่มไม้ที่มีอยู่ทั่วทุกที่  – แต่ผมก็สามารถเดินฝ่าไปได้อย่างไม่ยากเย็นนัก

「ผมอยากจะไปให้ถึงเมืองก่อนพระอาทิตย์จะตกจังแห่ะ…」

ต้องขอบคุณ【World Ruler】ที่ทำให้ผมรู้ว่ามันไม่มีสัตว์อันตรายอยู่แถวๆนี้ อย่างไรก็ตาม ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันจะเกิดอะไรขึ้นถ้าทัศนวิสัยนั้นแย่ลงในตอนกลางคืน เพราะว่าผมนั้นจะได้รับข้อมูลจาก”สิ่งที่อยู่ในการรับรู้ของผม”เท่านั้น ขนาดในภูเขาของประเทศญี่ปุ่นยังมีกวางหรือหมีป่าออกมาเดินในตอนกลางคืนเลย ผมเองก็มั่นใจว่าต้องมีหมาป่าในโลกใบนี้แน่นอน แม้กระทั้งสุนัขป่าก็ยังสามารถทำอันตรายผมในตอนนี้ได้เลย

―บางที【World Ruler】 อาจจะไม่ได้มีอำนาจมากอย่างที่ผมคิดก็ได้

สกิล“ประเมิณ”ที่มักจะโพล่มาในอนิเมะหรือนิยายที่ผมรู้จักนั้น จะบอกข้อมูลอย่างเช่นชื่อหรือที่มาของพืชชนิดต่างๆ รวมถึงความหายากและราคาของมันอีกด้วย แต่ว่า 【World Ruler】นั้นเพียงแค่ให้ข้อมูลอันคลุมเครือและจะไม่บอกอะไรเว้นแต่ว่าผมอยากที่จะรู้จริงๆ

ไม่ได้รับข้อมูลของสิ่งต่างๆจนกว่าจะอยู่ในการรับรู้ของผมนั้นเหมือนกับมองโลกใบนี้ผ่านเลนส์ที่บิดๆเบี้ยวๆ

「…โอะ นี้มันเยี่ยมไปเลย」

ผมค้นพบลำธาร ผมเลยเดินตามลำธารนั้นแล้วออกมาจากป่า มุ่งสู่ทุ่งหญ้าอันกว้างใหญ่ ที่ฝั่งตรงข้ามนั้นมีหมู่บ้านที่ทำจากหินและล้อมรอบด้วยกำแพงดิน

ทาส3คนและทหารมากกว่า10นายกำลังต่อสู้กันห่างจากตรงที่ผมอยู่ประมาณ100เมตร ผมนั้นรีบซ่อนตัวที่ด้านหลังของต้นไม้อย่างรวดเร็ว

…มาคิดๆดูแล้ว ผมยังไม่เห็นทาสคนอื่นๆเลยจนกระทั้งมาถึงที่นี่ ผมสงสัยจังว่าพวกนั้นหายไปที่ไหนกัน

「อ้า!」

เหล่าทาสที่แพ้ให้กับจำนวณนั้นนอนแผ่ลงไปบนพื้น หลังจากนั้นทหารคนหนึ่งก็ยกมือขึ้นและมีชายร่างอ้วนส่วมใส่เสื้อผ้าฟูฟ่องเดินออกมาอย่างช้าๆ

…พวกนั้นจะทำอะไรหน่ะ?

เมื่อชายร่างอ้วนนั้นวางมือเหนือทาสคนหนึ่ง ทาสคนนั้นก็เริ่มเรืองแสงและมีหินสกิลออกมาจากร่างของเขาอย่างกับฟองอากาศ

「…นั้นมันสกิล【ถอนสกิล】งั้นหรอ?!」

มีทหารคนหหนึ่งหันมาทางที่ผมอยู่

「………」

ผมรีบก้มหัวหลบแล้วกั้นหายใจเอาไว้

…ซวยหล่ะ! อย่ามาทางนี้นะ!

ผมยืนอยู่ตรงนั้นไม่ไหวติงเป็นเวลาหลายนาที ผมกลัวมากแต่ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น เมื่อผมค่อยๆชะโงกหน้าออกไปอีกครั้ง ทหารเกือบทั้งหมดรวมถึงชายอ้วนนั้นได้จากไปแล้ว ทหารที่ยังหลงเหลืออยู่ตรงนั้นกำลังแบกศพของทาสแล้วโยนไปบนทุ่งหญ้า

บางทีคงจะเพื่อให้พวกสุนัขป่ามากินมันในตอนกลางคืน พวกนั้นจะได้ไม่ต้องกำจัดศพเอง บางทีอาจจะเป็นอะไรที่แฟนตาซียิ่งกว่าสุนัขป่าก็เป็นได้

「พลิ่ว… เกือบถูกจับได้ซะแล้ว ต้องระวังตัวให้มากกว่านี้」

ถึงจะเป็นชีวิตที่2ของผม ผมก็มีประสบการณ์เป็นแค่นักเรียนมัธยมปลายชาวญี่ปุ่นในโลกที่ไม่มีสงครามหรือการเอาชีวิตรอดอะไรเลย และในตอนนี้ตัวผมก็เป็นเพียงแค่”เด็ก”ที่อยู่ในโลกที่เต็มไปด้วยการรบราฆ่าฟันกันจนเป็นเรื่องปกติ ถึงจะมี【World Ruler】คอยช่วยอยู่ก็จริง แต่ผมก็ไม่ควรมั้นใจว่ามันจะช่วยให้ผมมีชีวิตรอดในทุกๆครั้งได้

「…แต่ไม่ใช่ว่าคุณจะไร้ความสามารถเกินไปหรอสำหรับสกิล10ดาวหน่ะ คุณWorld Ruler?」ผมบ่นออกมาในตอนที่พิงต้นไม้พร้อมทั้งกัดไปยังผลไม้สีเขียว

「ไอ้สกิล【ถอนสกิล】เมื่อกี้ยังเจ๋งกว่าเลย มันเปลี่ยนสกิลเป็นหินสกิลได้อย่างง่ายดายเลยนะ ทำไมคุณไม่ทำอะไรง่ายๆอย่างงั้นได้บ้าง? ที่แค่ผมแบมือจากนั้นก็– !!」

หินสกิลที่มีสีดำและสีรุ้งได้ออกมาจากหน้าอกของผม

「……เอ๊ะ?」

ในมือของผมนั้น ผมกำลังถือ【World Ruler★★★★★★★★★★】.อยู่

ผมตกใจมาก มากแบบมากๆเลยหล่ะ ยิ่งไปกว่านั้นร่างกายของผมก็รู้สึกหมดแรงและขยับไปไหนไม่ได้ ผมทำได้มากสุดก็แค่คดตัวเป็นด้วงเท่านั้น จะเช็ดน้ำลายที่ไหลออกจากปากยังทำไม่ได้เลย สติของผมเป็นสิ่งเดียวที่ยังทำงานได้อยู่ ดังนั้นผมจึงเริ่มคิด

…ไม่มีสัญญาณของ【World Ruler】หลงเหลืออยู่ในร่างกายของผม หรือจะพูดอีกอย่างก็คือ ผมนำเอาสกิลออกมาจากร่างของผมด้วยตัวเอง นี้เป็นสิ่งที่ใครๆก็ทำได้งั้นหรอ? ไม่ นั้นเป็นไปไม่ได้ ถ้าเป็นแบบนั้นจริง ผู้คนคงจะจัดการกับสกิลได้อย่างอิสระกว่านี้ และผมก็ยังไม่เคยเห็นหรือได้ยินทาสคนไหนพูดอะไรแบบนั้นออกมาเลย

งั้นก็หมายความว่าผมนั้นได้เรียนรู้สกิล【ถอนสกิล】ที่ผมเห็นมันจากระยะไกลแบบอัตโนมัติ

หรือว่านี่จะเป็นความสามารถของผมเองงั้นหรอ?! …ไม่อะ นั้นเป็นไปไม่ได้แน่นอน

งั้นก็หมายความว่า… นี้เป็นพลังที่แท้จริงของ【World Ruler】สินะ

「ฟูววว…」

ในที่สุดผมก็หายจากความเหนื่อยล้าและลุกขึ้นยืน ผมหยิบผลไม้สีเขียวที่ทำตกลงไป ก่อนจะเช็ดดินที่เปื้อนอยู่ออกแล้วกินมันต่อ

「ในตอนที่ชายคนนั้นดึงหินสกิลออกมาเขายังดูไม่เป็นอะไรเลย… อย่างน้อยๆก็ดูจะไม่ได้เหนื่อยอะไร」

นั้นก็หมายความว่า ผมสามารถใช้สกิลของคนอื่นได้ แต่จะใช้ได้ไม่เต็มที่เท่ากับของดั้งเดิม

ตอนที่ผมดูดกลืน【World Ruler】กลับเข้ามาในร่างอีกครั้ง ม่านหมอกก็ได้จางหายไปจากความคิดของผมและกลับมารู้สึกถึงพลังอำนาจอีกครั้งหนึ่ง

…ผมหวังว่าจะไม่ติดเป็นนิสัยไปนะ ถึงแม้ผมจะไม่ดึงมันออกมาอีกแล้วก็เถอะ… ร่างกายรู้สึกแข็งทื่ออย่างกับจะตายเลย

「เดี๋ยวก่อนนะ…」

ผมก็นึกขึ้นได้ว่าผมเคยเห็นพวกทาสใช้สกิลของพวกเขาอยู่นี้ โดยเฉพาะเวทยมนตร์ที่ป้าโรงอาหารใช้

…ผมจะใช้มันได้รึปล่าวนะ?

「ถ้าจำไม่ผิด… เธอยื่นมือออกไปแบบนี้จากนั้นก็ยิงลมออกไป」

ผมยื่นมือออกไปด้านหน้าด้วยมือขวาและเอาเท้ายันพื้นไว้

「………」

อย่างไรก็ตาม ไม่มีแม้แต่ลมเบาๆถูกปล่อยออกมา

「หืมมม? ไม่ได้ผลแห่ะ… งั้นไฟหล่ะ?」

เมื่อผมคิดแบบนั้นแล้วมองไปยังมือขวาของผม ก็มีดวงไฟดวงเล็กๆโพล่ขึ้นมา

「ผมทำได้! ผมทำมันดะ– !!」

ในตอนนั้น จู่ๆผมก็รู้สึกวิงเวียนศีรษะและล้มลงไปข้างๆ แล้วก็หลับไปทั้งๆอย่างงั้น

 

 

 

[นิยายแปล] Overlimit Skill Holder – Only A Reincarnator Can Possess The Skill That Exceeds The Limit

[นิยายแปล] Overlimit Skill Holder – Only A Reincarnator Can Possess The Skill That Exceeds The Limit

Score 10

Options

not work with dark mode
Reset