พอตัดสินได้ว่าภัยอันตรายใน [ฟาร์ม] ได้ถูกเอาออกไปหมดแล้ว พวกเราก็เริ่มเตรียมถอนกำลังออก
เป็นที่ตกลงกันว่าจะให้คนจำนวนนึงเดินทางลอดโพรงกลมใต้ดินไปที่ศูนย์วิจัย DS โดยตรงเลย พวกเขาขนอาวุธและอุปกรณ์ที่พวกเราเก็บมาจากทุกคน คนที่ได้รับบาดเจ็บ และถุงเก็บศพ 2 ใบที่ถูกรัดไว้ด้วยสายซิปไลน์ผ่านทางเกทที่โทริโกะเปิดค้างเอาไว้
สรุปสุดท้าย โอเปอร์เรเตอร์ประมาณครึ่งนึงก็ใช้เกทในการเดินทางกลับ
ที่นี่อยู่ในแนวเทือกเขาในเมืองฮันโน หลายสิบกิโลเมตรจากใจกลางเมือง เพราะงั้น การเดินทางแบบนี้ก็สะดวกกว่าเห็นๆ แต่พวกเขาดูไม่ได้ดีใจอะไรกับเรื่องนี้ขนาดนั้น พอคิดว่าพวกเขาถูกบังคับให้ใช้เทคโนโลยีที่ไม่รู้จัก และพวกเราก็ไม่เข้าใจหลักการการทำงานพื้นฐานของมันซักอย่างเลยด้วยนี่ ก็พอเข้าใจได้อยู่นะว่าทำไมพวกเขาถึงลังเลกัน
“โอเค เอาเลย”
โอเปอร์เรเตอร์ที่อีกฟากนึงของโพรงกลมโบกมือให้ พอฉันพยักหน้า โทริโกะก็ปล่อยมือข้างที่โปร่งแสงของเธอออก เกทโพรงกลมนี้ก็ลั่นปิดลง ลานจอดรถใต้ดินหายวับไป พอทั้งผู้คน ทั้งเสียงรอบๆ ตัวเขาหายไป ที่นี่มันก็เงียบกริบไปซะดื้อๆ
แล้วทันใดนั้น ก็มีสายโทรเข้ามาที่มือถือของคุณซาซาสึกะ เธอรับสาย พวกเขาคุยกัน 2-3 คำ ก่อนจะวางสาย
“พวกเขาตอบมาว่าที่นั่น ทุกคนปลอดภัย ไม่มีปัญหา”
“ถ้างั้น พวกเราเองก็กลับกันเถอะครับ”
คุณมิงิวะพยักหน้าตอบ
พวกเราเดินออกจากห้องที่มีโพรงกลม ขึ้นบันไดไป กลับมาที่โถงทางเดินที่คดเคี้ยว ตรงไปที่คอกวัวที่ว่างเปล่าเพื่อออกไปข้างนอก เพราะพวกอุปกรณ์ใหญ่โตเทอะทะถูกขนกลับไปทางเกทหมดแล้ว ทั้งหมดที่พวกเราต้องทำก็แค่ไปขึ้นรถตู้ แล้วก็กลับบ้านเท่านั้นเอง
ระหว่างที่พวกเรามองดูทีมโอเปอร์เรเตอร์ที่เหลือแบ่งกันขึ้นรถ 2 คัน คุณมิงิวะก็หันมาบอกพวกเรา
“เชิญขึ้นเลยครับ”
“อ้อ ไม่ล่ะค่ะ เดี๋ยวพวกเราขอดูอยู่ที่นี่อีกซักพักก่อนกลับแล้วกันนะคะ”
เอ๊ะ? ฉันรู้สึกได้เลยว่าสีหน้าของโทริโกะกำลังจะพูดแบบนั้น คุณมิงิวะเองก็ขมวดคิ้วเหมือนกัน
“แค่พวกคุณ 2 คนเหรอครับ? แบบนั้นมัน…”
“การมีคนอื่นๆ อยู่ด้วย การใช้งานตาของฉันจะอันตรายเกินไปค่ะ ฉันอยากจะตรวจดูรอบๆ ตามที่ที่พวกเราตรวจดูวันนี้อีกซักทีนึง โทริโกะ มาด้วยกันได้มั้ย?”
“…ได้สิ ได้เลย”
“ตามนั้นแหละค่ะ ไม่ต้องรอพวกเราก็ได้นะคะ กลับกันก่อนได้เลย เดี๋ยวพวกเราจะกลับกันทางโพรงกลมอยู่แล้ว เพราะงั้น ฉันคิดว่าพวกเราน่าจะกลับไปถึงที่หมายก่อนพวกคุณมิงิวะซะอีกนะคะ”
“…ถ้าอย่างนั้น เดี๋ยวพวกผมตรวจดูพื้นที่โดยรอบนี้ด้วยก็แล้วกันครับ ผมไม่คิดว่าพวกเราต้องกังวลเรื่องที่ว่าจะมีผู้ติดต่อประเภท 4 หรือคนเหลือรอดจากพวกลัทธิหรอกครับ แต่ยังไงก็ ระวังตัวกันด้วยนะครับ…”
“พวกเราจะระวังตัวค่ะ ถ้างั้น แล้วเจอกันนะคะ”
โทริโกะกับฉันยืนดูรถตู้ทั้ง 2 คันขับออกไปตามถนนเส้นแคบๆ ที่ขนาบ 2 ข้างด้วยกอหญ้าตลอดทาง พอเสียงเครื่องยนต์จางหายไป ฉันก็เผลอถอนหายใจออกมา
“เฮ้อ…”
อยู่ท่ามกลางผู้คนนี่มันน่าเหนื่อยหน่ายจริงๆ เลย…
ตอนที่กำลังโล่งอก โทริโกะก็เดินมาหาที่ข้างๆ ก่อนจะสอดแขนเข้ามาที่สีข้างของฉัน
“ในที่สุดก็อยู่กันตามลำพักซักทีเนอะ โซราโอะ?”
“เอ๊ะ?”
โทริโกะพักหัวตัวเองบนบ่าของฉัน เพราะเธอตัวสูงกว่า ตำแหน่งแบบนี้มันก็เลยออกจะฝืนๆ หน่อย ก่อนที่เธอจะทิ้งน้ำหนักตัวทั้งหมดของเธอลงมาที่บ่าซ้ายของฉัน
“โอ๊ย หยุดเลยนะ จะฉีกแขนฉันออกมาหรือไงเนี่ย?”
“บอกมาสิว่าวางแผนอะไรอยู่ แล้วฉันจะหยุด”
“ฉันไม่รู้ว่าเธอพูดเรื่อง—”
“นี่ โซราโอะ ฉันอาจจะไม่ได้มีตาแบบเธอก็จริง แต่ฉันก็บอกได้อยู่ดีว่าเธอกำลังปิดบังอะไรเอาไว้อยู่ ใช่มั้ยล่ะ?”
…ช่างสังเกตชะมัดเลยนะยัยนี่?
ฉันรู้สึกว่าจะมีความไม่พอใจกับการที่ฉันปิดเรื่องที่มองเห็นอุรุมะ ซัทสึกิมาตลอดเอาไว้ไม่ยอมบอกเธอเลย ฉันมองเข้าไปในตาเธอ ที่พอเธอเกาะแขนฉันอยู่แบบนี้ มันเลยอยู่ใกล้กับฉันแบบสุดๆ ก็ทำเอาฉันตระหนกขึ้นมา
“นี่ วันนี้เธอจะไม่ทำตัวสนิทสนมไปหน่อยเหรอเนี่ย?”
“คิดงั้นเหรอ? ก็เหมือนทุกทีไม่ใช่หรือไง?”
โทริโกะปล่อยแขนฉันออกพร้อมๆ กับที่ปัดเรื่องความสงสัยของฉันทิ้งไป
ไม่อะ นี่มันสนิทสนมเกินไปแล้วด้วยซ้ำ
ฉันรู้สึกว่าตั้งแต่วันที่รูนะบุกรุกเข้ามาในศูนย์วิจัย DS โทริโกะเข้ามาใกล้ชิดกันกว่าทุกที หมายถึง ทางร่างกายล่ะนะ ก่อนหน้านี้เธอก็ไม่ได้จับมือฉันบ่อยแบบตอนนี้ด้วย
“พูดอะไรหน่อยสิ โซราโอะ”
“เอ๊ะ? อ้อ ใช่ อะไรเหรอ?”
“แสดงว่า นั่นน่ะ โกหกสินะ? เรื่องที่ว่าจะตรวจดูรอบๆ น่ะ”
“ก็ไม่ได้โกหกซักหน่อยนะ ฉันแค่ไม่ได้บอกครบทั้งหมดเท่านั้นเอง”
“ยังงี้เอง เข้าใจแล้ว”
ฉันกลับหลังหันไปอีกทาง โทริโกะก็เดินตามฉันมา
“เราจะไปไหนกันน่ะ?”
“ไปตึกที่อยู่อาศัย ก็ ฉันต้องการให้เธอช่วยด้วยล่ะนะ”
“ได้ๆ ถึงตอนนี้แล้ว เธอจะให้ฉันจับอะไรฉันก็จะจับให้ตามนั้นแล้วล่ะ”
โทริโกะบอกมาอย่างไม่ใส่ใจอะไรแล้ว ฉันว่ายังไงเธอก็คงโมโหฉันนั่นแหละ
ตรงหน้าประตูตึกที่อยู่อาศัย พวกเราเตรียมอาวุธกันให้พร้อมด้วยการหยิบปืนออกมาจากกระเป๋าตัวเอง พอมีน้ำหนักของมาคารอฟอยู่ในมือแบบนี้ช่วยให้ฉันรู้สึกสบายใจขึ้นมาได้นิดๆ เลยแฮะ
“พร้อมนะ โซราโอะ?”
“อือ”
“เอาล่ะ ตามฉันมานะ”
“เอ๊ะ? โอเค?”
โทริโกะยืนตรงหน้าฉัน ถือปืนไว้มือนึง แล้วก็เปิดประตูตึกที่อยู่อาศัยออก
“พวกเราตรวจตึกนี้ไปแล้วก่อนหน้านี้ ฉันคิดว่าคงไม่เป็นไรหรอก แต่ก็อย่าออกไปห่างจากฉันมากนักนะ”
“อือ…”
ฉันตอบกลับไปแบบขอไปที มองแผ่นหลังของโทริโกะ ก่อนจะหยิบเรื่องที่มันกวนใจฉันตลอดทั้งวันขึ้นมาพูด
“โทริโกะ เธอไม่ทำตัวแปลกๆ เหรอวันนี้น่ะ?”
“เอ๋!?”
เธอหันขวับมามองที่ฉันด้วยสีหน้าตกใจสุดขีด
“แปลก? ยังไงน่ะ?”
“ก็ เธอทำตัวใกล้ชิดกับฉันมากกว่าทุกที จะว่างั้นก็ได้… นี่ไม่ใช่สิ่งที่เธอทำอย่างทุกทีใช่มั้ยล่ะ? มันเหมือนกับว่าวันนี้ เธอดูมีไฟขึ้นมาแปลกๆ ไม่ก็เหมือนกับว่าเธอพยายามทำอะไรแต่มันไม่ก่อประโยชน์ อะไรประมาณนั้นน่ะ”
“ไม่ก่อประโยชน์…”
โทริโกะดูอึ้งๆ พูดอะไรไม่ออก ฉันเลยพยายามหาอะไรซักอย่างที่พูดได้เพื่อช่วยให้สิ่งที่พูดดูนิ่มนวลขึ้น
“คือ แบบว่า ไม่รู้สิ เหมือนกับว่าวันนี้เธอพยายามจะเข้ามาปกป้องฉันมากๆ เลยนี่นา?”
“เอ๊ะ? ฉันก็พยายามทำยังงั้นอยู่ตลอดเลยนะ… ก็ ฉันคุ้นกับเรื่องพวกนี้มากกว่าเธอนี่นา โซราโอะ… อย่างพวกการใช้ปืน หรืออะไรแบบนั้น…”
“อื้อ ฉันรู้ แต่วันนี้ มันแค่… ต่างจากทุกทีน่ะ…”
ฉันเกาหัวแกรกๆ พลางคิดหาคำเหมาะๆ ที่จะพูด รอยยิ้มแปลกๆ ที่เธอทำเวลาเข้ามาคุ้มกันให้… เหมือน… บอดี้การ์ด? ไม่อะ ผู้ปกครอง? ก็ไม่
“…อ้อ! ใช่ๆ! เธอทำยังกับเป็นแฟนฉันงั้นแหละ!”
โทริโกะอ้าปากค้างไปเลยพอได้ยินแบบนั้น
“ยังกับ… เป็นแฟน…”
“โทริโกะ เธอทำเหมือนกับเธอพยายามเป็นผู้คุ้มครองดีๆ เลย มันรู้สึกยังไงๆ น่ะสิ”
“…”
“ก็แบบว่า นั่นมันไม่ใช่เรื่องระหว่างพวกเราใช่มั้ยล่ะ?”
“เอ๊ะ…? เออ…”
ในที่สุด ฉันก็หาคำที่ดีที่สุดที่อธิบายมันออกมาได้ซักที พอใจแล้วล่ะ
แต่ว่า กลับกัน โทริโกะดูจะช็อกไปเลย
“เป็นอะไรเหรอ? โอเคมั้ย?”
“อ- อืม บางทีพวกเรา… อาจจะ ไม่ได้เป็นแบบนั้น สินะ?”
เอ๊ะ? นี่เธอไหวจริงๆ มั้ยเนี่ย?
“Are you okay? (นี่เธอโอเคมั้ย?)”
“I’m okay… maybe. (ฉันโอเค… น่าจะนะ)”
อืม ไม่ล่ะ เธอไม่โอเคเลยซักนิด เธอตัวสั่นมากกว่าที่เคยเห็นมาเลย
ชักกังวลขึ้นมาแล้วสิ
ฉันคิดแบบนั้น ก่อนจะคว้ามือที่ปล่อยลงมาข้างตัวอย่างอ่อนแรงของเธอมา
“ฟังนะ เรื่องที่เธอทำน่ะ ฉันดีใจมากเลยนะ แต่ฉันก็โอเคกับเรื่องที่มันเคยเป็นมาตลอดอยู่แล้วล่ะ เธอไม่ต้องฝืนตัวเองแบบนั้นหรอก”
“แบบที่เคยเป็นมาตลอด…”
“เอาล่ะ ไปกันเถอะ”
“อ๊ะ!”
ฉันพูดพลางดึงมือของโทริโกะไปด้วย
โทริโกะก้าวเท้าไปข้างหน้าเหมือนกับจะล้มหน้าคะมำ ฉันก็เดินหน้าต่อไปโดยที่ยังจับมือของเธอเอาไว้อยู่แบบนั้น แล้วพวกเราก็เข้าไปที่ [ตึกที่อยู่อาศัย] กัน
ระหว่างนั้น โทริโกะก็ถามขึ้นมาด้วยท่าทีไม่สบายใจนัก
“โซราโอะ ที่เธอว่าเรื่องระหว่างเราควรเป็นเหมือนกับที่เคยน่ะ เออ… หมายความว่ายังไงเหรอ?”
“ก็ แบบว่านะ โทริโกะ วันนี้มีคนอื่นๆ อยู่ที่นี่เยอะเลย เธอต้องเครียดแน่นอนเลย ถูกมั้ย?”
“อืม อาจจะนะ ฉันเองก็อาย เวลามีคนอยู่รอบๆ เยอะๆ มันทำให้เครียดน่ะ…”
“ว่าแล้วเชียว ฉันเองก็คิดงั้นเหมือนกัน”
ฉันปล่อยมือโทริโกะ เดินต่อพร้อมกับหาวปากกว้าง
“หาว~ว เอาจริงๆ เลยนะ ดีใจจังที่ในที่สุดพวกเราก็อยู่ด้วยกันแค่ 2 คนซักที มีเหล่าชายฉกรรจ์พกปืนรายล้อมนี่มันก็ทำให้อุ่นใจได้นั่นแหละ แต่พอคนเยอะขนาดนั้น พวกเขาก็อาจจะมาขวางเรื่องที่พวกเราทำอย่างทุกทีก็ได้”
“อือ”
“พอคิดว่าถ้าเรื่องมันวิปลาสขึ้นมาแล้วพวกเราจะช่วยดูพวกเขาทุกคนยังไงดี แค่นั้นมันก็หนักอึ้งมากแล้วล่ะ แล้วก็… เอาจริงๆ นะ ฉันว่ามีแค่พวกเรา 2 คนนี่แหละดีที่สุดแล้ว ทำอะไรก็ได้ตามใจพวกเราเลย”
ฉันหยุดยืนอยู่ที่ห้องๆ นึง มันเป็นแค่ประตูธรรมดาๆ ประมาณตรงกลางโถงทางเดิน กับกระจกหน้าต่างที่มีน้ำค้างแข็งเกาะ
ครั้งแรกที่พวกเราเห็นมัน ที่กระจกจะมีหยดน้ำเกาะอยู่หลายหยดเลย พอเข้าไปใกล้ๆ ก็จะรู้สึกถึงไอเย็นได้ด้วย
หลังจากที่เราปิดเกทไป น้ำที่ควบแน่นอยู่ก็ระเหยไปหมดแล้ว ตอนนี้ก็ไม่มีอะไรที่ดูแปลก ผิดปกติตรงไหนเลย
ฉันเปิดประตูออก ในนั้นมีเรือแจวเก่าๆ โทรมๆ วางคว่ำเอาไว้หลายลำ ก่อนหน้านี้ พวกรอยเปื้อนที่ก้นท้องเรือจะดูเป็นลายเหมือนรูปร่างคนเลยนะ ทำเอาขนลุกเลย แต่ตอนนี้ พวกมันดูเหมือนรอยเปื้อนธรรมดาๆ แล้วล่ะ
“โทริโกะ เปิดเกทอันนี้หน่อยได้มั้ย?”
“ทั้งๆ ที่เราเพิ่งจะปิดไปเนี่ยนะ?”
“อือ ช่วยทีนะ”
โทริโกะใช้มือซ้ายของเธอเปิดเกทออกมาด้วยสีหน้าที่ยังงงๆ อยู่ ในห้องก็เต็มไปด้วยอากาศชื้นๆ ที่อีกฟากนึงของเกท เราก็มองเห็นสิ่งที่ดูเหมือนป้ายบอกทางลอยๆ อยู่ท่ามกลางหมอก
“เห็นมั้ย มันเชื่อมต่อไปที่โลกเบื้องหลังโดยตรงไป ไปกันเถอะ”
“เออ โอเค”
ฉันกับโทริโกะเดินลอดเกทมา มีเส้นพาดในแนวทะแยงอยู่บนป้ายบอกทาง เหมือนกับว่าจะห้ามอะไรซักอย่าง แต่ภาพที่อยู่ข้างหลังเส้นทะแยงอันนั้นมันดูเหมือนรูปเด็กจมน้ำ ไม่ก็หมึก หรือไม่ก็อะไรซักอย่างที่ฉันดูไม่ออกน่ะนะ
“ปิดเลยก็ได้นะ”
“ได้เลยเหรอ?”
“อื้อ ฉันมองเห็นแสงสีเงินอยู่น่ะ ถ้าเธอยังอยู่ด้วย พวกเราก็กลับกันได้ตลอดนั่นแหละ”
“…เข้าใจแล้ว”
โทริโกะปล่อยมือ แล้วเกทก็ปิดลง
พวกเราเดินไปตามทางอีกซักพัก ผ่านป้ายถนน แล้วพื้นดินที่เท้าของพวกเราก็เปลี่ยนไปกลายเป็นพื้นหญ้า หมอกเริ่มจางลงไป แล้วพวกเราก็มองเห็นได้ชัดๆ แล้วว่าพวกเราโผล่มาอยู่ที่ไหนกันแน่
“แม่น้ำนี่นา”
โทริโกะงึมงำขึ้นมา แม่น้ำที่ไหลตัดผ่านโลกเบื้องหลังทอดยาวอยู่ตรงหน้าพวกเรา มันกว้างและไหลเอื่อยๆ แสงอาทิตย์เบลอๆ ดูจะทำให้ผิวน้ำส่องประกายออกมา
พอหันไปดูข้างหลังพวกเรา ที่ฉันเห็นก็มีแค่พื้นที่ราบเรียบทอดยาวออกไปสุดลูกหุลูกตา ไม่เห็นแลนด์มาร์กอะไรที่คุ้นเคยเลย หรือพูดอีกอย่างก็คือ ที่นี่เป็นบริเวณนึงของโลกเบื้องหลังที่พวกเราไม่เคยมามาก่อนเลยสินะ
“ตอนที่พวกเราไล่ปิดเกทใน [ตึกที่อยู่อาศัย] นี่ มีหลายอันเลยล่ะที่ดูเหมือนจะใช้งานได้ พวกอันที่อยู่ตรงพื้นที่คั่นกลางบางๆ แล้วพวกเราก็ตรงเข้าไปที่โลกเบื้องหลังได้เลย แน่นอนว่าฉันตัดพวกห้องที่ดูน่าขนลุกจนไม่อยากจะเข้าไปใกล้ไปหมดเรียบร้อยแล้วล่ะนะ”
“นี่ เธอไม่เคยพูดถึงมันเลยไม่ใช่เหรอ?”
“ไม่มีทางพูดอยู่แล้วล่ะ ที่นี่มันโลกของพวกเรานะ ฉันไม่ยอมให้ใครคนอื่นเข้ามาหรอก”
โทริโกะทำตาโต มองตรงมาที่ฉัน
“…อะไรเล่า?”
ฉันถามออกไปเพราะรับความกดดันจากสายตาของเธอไม่ไหว แล้วสีหน้าของโทริโกะก็เปลี่ยนไปเป็นรอยยิ้มยิงฟัน
“รักเธอนะ โซราโอะ”
“ออ อือ”
“รักที่สุดเลยล่ะ”
“จ้าๆ ขอบใจนะ”
จู่ๆ พูดแบบนี้ก็ทำเอากระวนกระวายในใจขึ้นมาเลยแฮะ การโต้ตอบของฉันมันก็เลยออกจะเหมือนการพึมพำซะมากกว่า แปลกดีเหมือนกันที่เห็นโทริโกะพูดอะไรไม่ทันระวังออกมาแบบนี้ ฉันก็ดีใจนั่นแหละที่เธอเป็นคนสบายๆ แต่ถ้าต้องได้ยินคำว่า ‘รัก’ จากคนสวยขนาดเธอทุกครั้งล่ะก็ ฉันคงเอาไม่อยู่แหงๆ เพื่อจะดึงนู่นนี่นั่นให้มันกลับมาเข้าร่องเข้ารอย ฉันเลยพูดขึ้นมา
“อ- เอาเป็นว่า… กลับกันเลยดีมั้ย?”
“เอ๊ะ? นี่เสร็จแล้วเหรอ?”
“อือ ไว้เตรียมตัวให้พร้อม แล้วพวกเราค่อยมาสำรวจกันจริงจังก็แล้วกันนะ”
ฉันหันหลังเดินกลับไปตามทางที่พวกเรามา เพื่อทดลองใช้เกทอันต่อไป
TN: Wow ^^
ขอแปะ Discord สำหรับแจ้งเตือนนิยาย กับมุมพูดคุยกันไว้ตรงนี้ด้วยนะครับ ใครสนใจก็แวะมาได้นะ ^^
https://discord.gg/Fm9NsqeH2r