ซวยแล้ว! ผมดันโดนเตะมาเกิดใหม่เป็นนักบุญหญิงศักดิ์สิทธิ์บทที่ 81 ภาค2 บทที่ 11 คทาแห่งลูมินาเรส

บทที่ 81 ภาค2 บทที่ 11 คทาแห่งลูมินาเรส

        เมื่อรับจดหมายลับมาจากคนของทางราชวงศ์ ตัวของเขานั้นก็จากไปอย่างเงียบเฉียบ ทิ้งไว้เพียงจดหมายที่ถูกปิดผนึกเวทเอาไว้ มันจะตอบสนองต่อเวทจำเพาะบางอย่าง แน่นอนว่าที่ตรงนี้ มันถูกสร้างมาให้จำเพาะกับพลังของผมเท่านั้น หากคนอื่นมาเปิด จดหมายจะเผาไหม้ตัวเองในทันที

        ทำท่าทางลับ ๆ ล่อ ๆ แบบนี้ ท่าทางคงไม่อยากให้ทางศาสนจักรรู้เรื่องการติดต่อระหว่างผมกับทางราชวงศ์แน่ ๆ 

        แน่นอนว่านี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เกิดขึ้น เพราะผมนั้นตั้งแต่เมื่อหลายปีก่อนที่ได้ไปอยู่ในราชวังของราสเวนน่า ก็ได้มีการแวะเวียนไปหลายครั้งไม่ว่าจะด้วยถูกเชิญไปร่วมงานพิธีหรืองานเลี้ยงต่าง ๆ และสุดท้ายเองก็ภารกิจลับ

        มันโคตรจะแปลกที่ทางนั้นจะมอบภารกิจลับให้กับนักบุญของทางศาสนจักร แต่แน่นอนมันก็บ้างที่ไม่อยากให้อีกฝ่ายรับรู้ งานพวกนี้มันก็ไม่ได้ถึงขั้นเป็นภัยต่อความมั่นคงอะไรขนาดนั้นหรอก ออกแนวเรื่องของงานได้หน้าของแต่ล่ะฝ่ายมากกว่า

        อย่างบางครั้งงานลับของราชาหรือท่านรีชส่งมาก็เป็นพวกงานแนวไปช่วยปัดเป่าผีร้ายในพื้นที่ของขุนนางแต่อยากส่งไปในนามของราชวงศ์มากกว่าศาสนจักร ไม่ก็งานพวกทำลายคำสาปให้กับขุนนางบางคนที่ไปโดนอะไรแปลก ๆ มาที่ ๆ ราชวงศ์จัดไว้ให้

        ถามว่าแล้วไม่มีปัญหาภายหลังเหรอ ผมที่หากให้พูดแล้วก็อยู่ใต้อำนาจของศาสนจักรพอสมควร อันที่จริงก็คงมี แต่ถ้าราชาไม่พูด ผมไม่พูด แล้วใครมันจะรู้ แถมฝั่งราชวงศ์ก็ให้ค่าตอบแทนดีกว่าทางศาสนจักรอีกต่างหาก 

        เงินเอย ขนมเอย หรือยังพวกของมีค่าหลังล้างคำสาปให้ขุนนาง บอกเลยวว่ามากกว่าที่ทางศาสนจักรให้ผมเป็นสิบเท่า แต่ว่าทางศาสนจักรก็ดีนะ ยิ่งทำเยอะก็ได้เวลาพักเยอะมากขึ้นด้วยข้ออ้างฟื้นพลัง

        ผมกลับไปที่ห้องของตัวเองซึ่งตอนนี้ว่างเปล่าเนื่องจากมาเรียน่าจะไปสวดภาวนาช่วงสาย ทำให้นอกจากกองเอกสารที่ตอนนี้ถูกจัดอย่างเป็นระเบียบไม่เหลือเค้าของความวุ่นวายที่เกิดขึ้นอีรกต่อไป

        วิ้งง  แกรก ๆ

        ผมร่ายเวทของตัวเองใส่ผนึกตรานกกางปีกที่ประทับเอาไว้หน้าจดหมาย เมื่อได้รับพลังของผม เจ้านกนั้นก็ขยับปีกกางออกก่อนที่ตราจะถูกปลดออกมาให้ผมแกะซองจดหมาย

        ในนามแห่งข้า ราชาออสวัลด์ที่ห้าแห่งเรสเวน ขอเชิญท่านนักบุญออโรร่ามาพบกันที่ราชวังเช่นเดิม โดยพวกเรามีเรื่องสำคัญที่อยากบอกท่าน เป็นภารกิจที่สำคัญมากจึงมิอยากให้ทางมหาวิหารรับรู้เพื่อกันไม่ให้เกิดปัญหาความสัมพันธ์ในภายหลัง ทั้งนี้ขอท่านอย่าเป็นกังวล ภารกิจที่ข้าอยากร้องขอนั้นไม่ส่งผลเสียใดต่อศาสนจักรอย่างแน่นอน 

        ทว่าการมาของท่านที่ราชวังคงอาจจะถูกจับตา เช่นนั้นเพื่อให้ไม่มีใครสงสัย ข้าจึงได้ขอให้ผู้พิทักษ์ศักดิ์สิทธิ์คนใหม่ของราสเวนน่ามาเชิญตัวท่านไปงานน้ำชาที่จัดขึ้นเพื่อเลี้ยงฉลองให้แก่นางในฐานะการแสดงความยินดีการขึ้นตำแหน่งเป็นการส่วนตัว เช่นนี้ทางศาสนจักรคงไม่สงสัยมากนัก

                                                                        ลงชื่อด้วยความเคารพ

                                                                        ออสวัลด์ที่ห้า แห่งเรสเวน

        ติ๋ง

        ความรู้สึกชื้น ๆ ที่ขอบตาได้บังเกิดขึ้นมา ความรู้สึกมากมายได้ถาโถมเข้าสู่จิตใจ มันเป็นความรู้สึกอันโล่งอก ความรู้สึกเหมือนจิตวิญญาณของเรากำลังได้รับการปลดปล่อยหลังจากทนทุกข์มานานนับแรมปี

        ความปกติ…. ความปกติสามัญธรรมดาแบบคนมีสตินี่มันช่างเป็นสิ่งที่ดีงามเหลือจะกล่าว นี่ผมไม่ได้เจออะไรแบบนี้มานานแค่ไหนกันแล้วนะ

        ถึงแม้มันจะดูเวอร์ไปบ้าง แต่อันนี้ผมรู้สึกจริงจังมาก เพราะแค่ไม่ถึงชั่วโมงที่ได้พบกับลูดอร์ฟ ราวกับโลกทั้งใบของผมมันได้ผิดเพี้ยนดั่งมีคนถีบผมตกไปอยู่ในโลกคู่ขนานที่ตรรกะทั้งหมดได้ถูกบิดเบือนสิ้น มันเต็มไปด้วยความศรัทธาอันไร้ซึ่งสติใดที่จะมาควบคุม 

        การได้อ่านจดหมายอันแสนธรรมดานี้ของท่านราชามันเหมือนราวกับเป็นสิ่งที่ฉุดรั้งให้วิญญาณของผมมันได้กลับมาในโลกแห่งสามัญทั่วไป ดังนั้นการที่จะรู้สึกเหมือนราวกับได้เกิดใหม่จนน้ำตาไหลพรากนี่มันก็ไม่ใช่เรื่องเกินเลยไปเลย

        ‘ข้าเข้าใจดียัยหนู เพราะงั้นเรื่องอาการเจ้าในครั้งนี้ข้าจะไม่ว่าอะไร เพราะข้าเองก็รู้สึกวิงเวียนยามฟังเจ้านั่นพูดเหมือนกัน’

        “คุณก็เข้าใจฉันใช่ไหมคะราส เข้าใจถึงความทรมานอันแสนยาวนานแต่ก็สั้นที่เกิดขึ้นกับชีวิตของเราเมื่อครู่ใช่ไหมคะ”

        ‘เออ ข้าก็เข้าใจ มันเหมือนกับข้าได้หลุดไปอยู่ห้วงมิติอันแปลกประหลาดที่แม้แต่เหตุผลก็ยังหาไม่ได้แต่ก็ต้องพยายามหาแหตุผลให้ได้จนเกิดความขัดแย้งในความคิด… แต่เรื่องนั้นช่างมันก่อน มาพูดเรื่องของเจ้าคทาแห่งราสเวนน่าดีกว่า!!’

        สภาพของราสที่พูดถึงเหตุการณ์ตอนพบกับลูดอร์ฟนั้นช่างไม่แตกต่างไปจากผม ตอนเขากล่าวนั้นดวงตาของเขาก็เลื่อนลอยคล้ายของผม เพียงแต่ของผมมันหนักถึงขั้นน้ำตาไหลออกมา แต่เมื่อราสพูดถึงคทาผมก็ชะงักไปนิดหนึ่ง

        “ราสรู้จักมันสินะคะ”

        ‘แน่นอนสิ ก็เป็นคทาที่ข้ากับแคโรลีนพยายามทำภารกิจของพระเจ้าแทบตายเพื่อให้ได้มันมาเลยนะ’

        แคโรลีนหรือก็คือนักบุญคนแรกของเรสเวนน่า ซึ่งต้องแยกกันก่อนว่านักบุญคนแรกนั้นมีสองคน คนหนึ่งคือนักบุญในตำนานผู้ได้รับมณีทั้งเจ็ดของพระเจ้าในการปราบจอมปีศาจตนแรก ส่วนอีกหนึ่งคือนักบุญคนแรกของอาณาจักรซึ่งช่วยก่อตั้งประเทศแห่งนี้ แน่นอนว่ายุคนั้นเองก็มีปีศาจมากมายเช่นกัน

        “นึกว่าจะใช้ดาบอีกนะคะเนี่ย”

        ‘ดาบน่ะมีอยู่ก็จริงแต่ว่าพลังมันก็ไม่ได้เต็มที่เพราะมณีที่เป็นแก่นพลังได้หายไปนานแล้ว อีกทั้งแคโรลีนเองก็ยังเป็นนักเวทมากกว่านักดาบ ดังนั้นคทาจึงเหมาะกับเธอมากกว่า’

        อ้าว ได้ยินแบบนี้ผมก็ได้แต่เกิดความสงสัย แล้วไหงส่วนใหญ่ภาพและรูปปั้นทั้งหลายของเธอถึงได้สลักเป็นถือดาบกันหมด ไม่สิ ขนาดในตำนานยังบันทึกไว้ว่าเธอร่วมรบฟาดฟันศัตรูไปพร้อมกับปฐมกษัตริย์เรสวัลเลยไม่ใช่เหรอไง

        ‘เรื่องนั้นข้าไม่รู้ด้วยนะ ลองไปถามราชาออสวัลด์คนนั้นดูสิ’

        “เรื่องเล็ก ๆ น้อยนั่นช่างมันก่อนก็ได้ค่ะ ที่สำคัญคือตัวคทานั้นราสพอรู้จักมันว่าอย่างไรบ้างล่ะคะ”

        ‘ชื่อจริงของมันคือคทาแห่งลูมินาเรส เป็นคทาที่ทรงพลังและเสริมอำนาจอันมหาศาลให้แก่ผู้ใช้แถมผู้ที่ถือมันยังได้รับการป้องกันจากโล่ศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้าด้วย’

        ฟังดูคุ้น ๆ แบบนี้มันไม่ต่างกับเกราะที่ผมมีกับตัวตอนที่ร่ายพลังศักดิ์สิทธิ์ครอบเลยไม่ใช่เหรอไงเนี่ย น่าเบื่อจัง

        ‘อย่าเอาพลังประหลาดของเจ้าไปเทียบกับคนอื่นสิ แถมนี่น่ะไม่ต้องร่ายอะไรเจ้าตัวคทาก็ช่วยปกป้องอัติโนมัติทันที นอกจากนี้ยังสามารถเสริมพลังในการถอนคำสาปมากมายได้อีกต่างหากนะ’

        อืมฟังดูมันก็ดีนะ แต่ไอ้พลังที่ว่ามาทั้งหมดมันก็แค่อุปกรณ์เสริมพลังของนักบุญไม่ใช่เหรอ แล้วทำไมท่านลูดอร์ฟถึงบอกว่ามันมีพลังที่พลิกชะตาของราสเวนน่ากันล่ะ

        ‘นั่นล่ะที่ข้าสงสัย ด้วยตัวอำนาจพลังของคทาเองนั้นไม่สามารถทำอะไรแบบนั้นได้หรอก เพราะฉะนั้นแล้วข้าจึงอยากให้เจ้าตรวจสอบดูก็ดีเผื่อบางทีอาจจะมีเรื่องของมณีแห่งนักบุญมาเกี่ยวข้องก็ได้’

        “มณีจะเกี่ยวข้องกับคทางั้นเหรอคะ พอให้เหตุผลได้ไหมราส”

        ‘แน่นอนยัยหนู อย่าลืมว่ามณีนั้นเองก็เป็นพลังงานอันยิ่งใหญ่ พลังงานเหล่านั้นจำเป็นต้องมีที่สถิตเพื่อกักเก็บไม่ให้ปาฏิหาริย์ทั้งหลายที่อยู่ภายในนั้นส่งผลต่อบริเวณโดยรอบ มันจึงพยายามดึงดูดและเข้าหาสิ่งที่มีพลังมหาศาลไว้สำหรับผนึกตัวมันเอง’

        อย่างของเจ้าไพลินแห่งการเปลี่ยนแปลงนั่นก็ดันไปสิงกับเจ้าดาบซิลฟอร์เทียร์ก่อนจะนำไปใช้ผนึกเจ้าเอลดรานสินะ งั้นเรื่องนี้ก็พอเข้าใจได้

        “แล้วถ้าให้เดาพลังที่ว่านั่นน่าจะเป็นของมณีไหนกันล่ะคะ ราสพอเดาได้ไหม เพราะหากเรารู้ว่ามันคืออะไรเราก็น่าจะเตรียมการรับมือได้”

        ‘พลังที่จะพลิกชะตาสินะ… ไพลินแห่งเวลาก็ไปแล้ว ถ้าหากจะเหลืออะไรที่สามารถส่งผลกระทบวงกว้างได้ขนาดนั้นให้คิดก็เหลือแค่สอง มณีแห่งการสอดประสาน และมณีแห่งความไม่แน่นอน’

        “ชื่อดูสวนทางกันจังเลยนะคะ มันมีความสามารถแบบไหนกันล่ะนั่น”

        ‘มณีแห่งการสอดประสาน ประสานความคิดของผู้คนให้เป็นหนึ่ง แตกต่างเป็นเหมือน เหมือนให้เป็นแตกต่าง เพียงวาจาอันแสนสั้นที่ง่ายดายก็มากพอที่จะทำให้ผู้คนทั้งหลายต่างถูกชี้นำไปดั่งที่ผู้ใช้ประสงค์’

        นี่มันสะกดจิตชัด ๆ เลยไม่ใช่เหรอไง มณีแห่งการสะกดจิตชัด ๆ ประสานบ้าบออะไรกัน นี่มันบังคับแล้วพ่อคุณเอ้ย

        “ฟังดูน่ากลัวจังเลยนะคะนั่น”

        ‘อืม แต่ว่าหากใช้ดี ๆ มันก็ทำให้ผู้คนที่สิ้นหวังกลับมามีพลังใจอันกลับมาอีกครั้ง จนพลิกการต่อสู้ได้นะ’

        “แน่ใจนะคะว่าไม่ได้โดนสะกดจิตให้ลืมกลัวตายน่ะ”

        ‘พูดจาอะไรให้เกียรติตำนานบ้างนะยัยหนู เอาที่อันต่อไปแล้วกัน คือมณีแห่งความไม่แน่นอน อันนี้เป็นรูปธรรมมากกว่าเพราะสามารถแปรเปลี่ยนธาตุต่าง ๆ ให้เป็นไปตามต้องการได้ เปลี่ยนน้ำเป็นไฟ ความมืดเป็นแสง การรักษาเป็นความเจ็บปวด’

        “ของอันตรายเลยไม่ใช่เหรอคะนั่น”

        ‘ก็ใช่ แต่เงื่อนไขมันซับซ้อนวุ่นวายกว่านั้นมาก ถ้าใช้ไม่คล่องพอรับรองเผลอเปลี่ยนตัวเองให้กลายเป็นอะไรแปลก ๆ แน่นอน’

        สรุปนี่มันคือศิลานักปราชญ์สำหรับการแปรธาตุชัวร์ ๆ 

        แต่ให้พูดนะ ผมกลัวเจ้าอันแรกมากกว่าอันที่สองอีก เพราะว่าถ้าพูดถึงอะไรที่จะส่งผลต่ออาณาจักรมากกว่ากันก็เป็นมณีที่เล่นงานทางจิตใจ ลองคิดดูว่าเอามาใช้ก่อม้อปหรือสร้างคนแบบลูดอร์ฟมาสักร้อยคนสิ ประสาทจะกิน

        ‘ก็อย่างที่เจ้าคิด ให้เดาก็อาจจะเป็นมณีแห่งการสอดประสานนั่นล่ะที่ใกล้เคียงที่สุด แต่เตรียมใจไว้เผื่อก็ดีนะ’

        “เข้าใจแล้วค่ะ ถ้างั้นหลังจากไปหาท่านราชาเสร็จเรามาวางแผนกันว่าจะตามหามันอย่างไรกันดีก็แล้วกัน เรื่องปีศาจปล่อยไปก่อนคิดว่ามณีน่าจะสำคัญกว่านะคะ เพราะขืนมีม็อปกลางเมืองหลวง คงไม่ใช่เรื่องน่าสนุกเท่าไหร่”

        ‘นั่นสินะ’

        “เอาล่ะ ที่นี้ก็ต้องหาทางติดต่อ…”

        ตึง

        “ขออภัยที่ให้รอนาน ฉันมารับอัลไปงานเลี้ยงน้ำชาด้วยกันแล้วค่ะ”

        หือ?????

        ผมหยุดชะงักไปทันทีเมื่อประตูที่มันควรจะปิดถูกเปิดออกมา ที่ตรงนั้นคือร่างของสาวน้อยผมสีทองดวงตาสีฟ้าดุจน้ำทะเล เธออยู่ภายใต้ชุดเดรสของขุนนางซึ่งถูกตัดมาอย่างดี

        นั่นคือซิลเวีย องค์รักษ์ของผมซึ่งที่จริงแล้วเธอนั้นสืบทอดพลังแห่งนักบุญมาจากอดีต ถ้าไม่ใช่ว่ามีตัวตนของผมอยู่เธอคงได้เป็นนักบุญไปแล้ว แต่นั่นไม่ใช่เรื่องสำคัญ เรื่องสำคัญที่ว่าคือสิ่งที่อยู่ในมือของเธอ

 

        “รู้ว่าอัลยังไม่มีชุดสำหรับงานน้ำชา ฉันจึงไปซื้อมาให้เรียบร้อยแล้วหลังเปลี่ยนเสร็จแล้วเราไปด้วยกันเลยนะคะ”

        ในมือนั่นคือชุดเดรสน่ารักสีชมพูหวานที่มีลายดอกไม้งดงามปักอย่างประณีตจนให้ความรู้สึกของฤดูใบไม้ผลิที่สดชื่น เนื้อผ้าดูบางเบานุ่มสบายถักทอมาจากผ้าชั้นดี และที่สำคัญมันถูกตัดมาได้อย่างพอดีกับร่างของผมแบบไม่มีคลาดเคลื่อน

แน่นอนว่าหากประดับไว้อยู่ที่ร่างของออโรร่าล่ะก็ ไม่ว่าใครที่ใส่ไปก็ออกปากชมว่าน่ารักน่าชังจนยากที่จะต้านทานพลังทำลายล้างแรงสูง และเธอคนนั้นก็ถือเจ้านั้นและจ้องมองมาที่ผมด้วยสายตาเป็นประกาย

        ไม่!!!

——–************************************************

 จะไปปฏฏิเสธเพื่อนรักเขาทำไมล่ะน้องออ คนอุตส่าห์เอาผ้าชั้นดีมาให้ แถมตัดมาพอดีอีก (รู้ไซตได้ไงอย่าถาม ผู้พิทักษ์ทั้งทีต้องรู้ทุกอย่างของนักบุญสิ)

ปล.ทุกคอมเม้นคือกำลังใจจ้า

ซวยแล้ว! ผมดันโดนเตะมาเกิดใหม่เป็นนักบุญหญิงศักดิ์สิทธิ์

ซวยแล้ว! ผมดันโดนเตะมาเกิดใหม่เป็นนักบุญหญิงศักดิ์สิทธิ์

Score 10
Status: Completed
ตายไปต่างโลกไม่พอ ดันโดนเสกให้เกิดเป็นสาวน้อยน่ารักอีก หนักกว่านั้นไอ้พระเจ้าเฮงซวยดันสาปให้ทุกคำพูดที่จะด่ามันกลายเป็นสรรเสริญมัน เลยทำเอาชาวบ้านเข้าใจผิดว่าผมเป็นนักบุญซะงั้น เรื่องราวของสาวน้อยออโรร่าที่ถูกพระเจ้าให้พร(?) ไม่ว่านางจะพูดสิ่งใดก็ออกมาเป็นคำสรรเสริญพระเจ้าที่ออกมาจากจิตใจอันแน่วแน่ซึ่งแม้แต่เหล่าคนบาปทั้งหลายก้ยังต้องซึ้งในความศรัทธาของนาง (เรอะ) เอาล่ะ เรื่องราวน่ารักสดใสปนกาวเป็นถังขอเปิดอ้อมอกต้อนรับทุกท่านให้สูดกาวไปร่วมกันกับเหล่าตัวละครทั้งหลายที่ไม่รู้ว่าเมามาจากไหนกันเถอะ! ที่จริงเป็นเรื่องที่ลงในเด็กดีนานแล้วแต่มารีไรท์เพื่อแก้คำต่าง ๆ ครับ ส่วนตอนล่าสุดก็อัพเดทเรื่อย ๆ ในเด็กดี จะพยายามแก้ตอนเก่าให้ทันตอนใหม่ครับผม

Options

not work with dark mode
Reset