หวังซุนขมวดคิ้วน้อยๆ “ไม่ใช่เรื่องนี้เลย”
หลงซินผู้ปลุกความกล้าโต้กลับไปว่า “อันที่จริงก็คือเรื่องนี้นี่ แหละ ลองคิดดูสิ หากข้า มีเวทกระบี่ของผู้ไร ้เทียมทานที่แท้จริงหรือ มีมรรคกถาของเจ้าลัทธิลู่ เจ้าจะไม่มองข้านานอีก หน่อย อดทนฟัง เรื่องที่เกี่ยวกับข้ามากอีกหน่อยหรอกหรือ?”
หวังซุนครุ่นคิด “ดูเหมือนว่าจะเป็ นเช่นนี้จริงๆ”
อันที่จริงหลงชื่อรู ้ชัดเจนดีกว่า อันที่จริงไม่ได้เป็ นแบบนี้เลย
ขอบเขตของตนสูงแล้ว ชื่อเสียงโด่งดังแล้วก็หนีไม่พ้นว่า สามารถท าให้หวังซุนมองเขา นานหน่อย ฟังเขามากหน่อยเท่านั้น แต่ถึงอย่างไรก็ไม่เกี่ยวข้องกับความชื่นชอบ
การที่เขา “ก่อกวนสุ่มสี่สุ่มห้า เช่นนี้ก็เพราะอยากจะพูดกับนาง ให้มากอีกนิด ไม่ถึงกับ ท าให้บรรยากาศเย็นชา ได้แต่มองหน้ากันตา ปริบๆ โดยที่ไม่ได้พูดคุยอะไรกัน
หากเพียงแค่รู้สึกกระอักกระอ่วนก็คงไม่เท่าไร กลัวก็แต่ว่าพอ นางรู ้สึกกระอักกระอ่วน รู ้สึกว่าไม่มีเรื่องอะไรให้พูดคุยก็จะแค่เอ่ยไป ตามมารยาทสองสามค าแล้วหมุนตัวเดินจาก ไปทันที
ความลุ่มหลงในรักที่รักเขาข้างเดียวในใต้หล้านี้ ดูเหมือนว่าจะ ไม่มีค่าแม้แต่แดงเดียว เช่นนี้เสมอ
แต่หากว่ามีค่า ไยต้องรักฝ่ายเดียวด้วยเล่า
หลงซินผู่เอ่ยอย่างระมัดระวังว่า “เรื่องที่จะโน้มน้าวให้ป่ายเหย่มา รับหน้าที่เป็ นตูเจี่ยง หรือไม่ก็เตี้ยนจู่ ข้าสามารถลองดูได้ หากช่วย เจ้า…ช่วยพวกเจ้าได้ย่อมดีที่สุด หากช่วยไม่ ได้ อารามเสวียนตูของ พวกเจ้าก็ไม่มีอะไรเสียหาย”
หวังซุนคล้ายจะประหลาดใจอยู่บ้าง นางพยักหน้ารับ เอ่ยอย่าง ไม่ลังเลว่า “ไม่ว่าจะ ส าเร็จหรือไม่ก็ต้องขอบคุณเจ้าไว้ก่อนแล้ว”
หวังชินผู่เงียบงันไป เรื่องอย่างการหาเรื่องชวนคุยโดยที่ไม่มีเรื่อง ให้คุยนี้ อันที่จริง ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย
หวังซุนกล่าว “เลื่อนเป็ นขอบเขตบินทะยานสองครั้งนับว่าเก่ง มากแล้ว”
หวังซินผู่เอ่ยเย้ยหยันตัวเอง “ก็แค่พอได้”
หวังซุนเลิกคิ้วข้างหนึ่ง
หวังชินผู้รีบเปลี่ยนคาพูดใหม่ทันที “เก่งมากจริงๆ!”
เกี่ยวกับรายชื่อสิบคนในใต้หล้าที่เพิ่งออกจากเตามาสดๆ ร ้อนๆ นั้น หวังชินผู้ทาท่าจะ พูดไม่พูด รู ้สึกเป็ นกังวลอย่างยิ่ง
เดิมทีเขาก็เป็ นบรรพจารย์ของสานักหนึ่งอยู่แล้ว ย่อมรู ้ดีถึงวิถี การและความอันตราย ที่ซุกซ่อนอยู่ในเรื่องนี้ หากไม่เป็ นเพราะรายชื่อที่อยู่ดีๆ ก็ป่ าวประกาศไปทั่วใต้หล้านี้ อันที่จริงหลงซินผู่คงไม่มีทางมาพบหวังซุนที่อารามเสวียนตู สิบคนแห่งใต้หล้าฉบับใหม่ล่าสุดของใต้หล้ามืดสลัว หรือควรจะพูดให้ถูกต้องคือสิบเอ็ดคน
อวี่โต้ว ลู่เฉิน เจ้าแห่งถ้าปี้เชียว อู๋โจว ซุนไหวจง หลินเจียงเชียน อู่ชวงเจี้ยง เกากู เหยาชิง หวังชุน ชินขู่
อันที่จริงก่อนหน้านี้ พวกชอบสอดรู ้สอดเห็นในหลายๆ ใต้หล้าที่ ไม่ว่าจะจัดอันดับ คนในใจของตัวเองออกมาอย่างไร สิบคนก็คือสิบ คน
นี่เป็ นเพราะรายชื่อสิบคนรุ่นเยาว์และตัวสารองสิบคนของหลาย ใต้หล้าคราวก่อนที่ เป็ นตัวเปิด อันดับสิบคนดันมีสิบเอ็ดคน
และนั่นก็เหมือนจะกลายมาเป็ นธรรมเนียมสืบทอดอย่างหนึ่ง
หลงซินผู้ยิ้มแห้งแล้ง เอ่ยว่า “สหายคงซาน สิบคนในใต้หล้านั้น …”
หวังซุนเอ่ยอย่างตรงไปตรงมาว่า “หากอิงตามมรรคกถาสูงต่า พลังพิฆาตมากน้อย ข้าไม่ควรติดอันดับสิบคน หลังเท่านั้น” อย่าง มากสุดก็ควรถูกโยนไปอยู่ในรายชื่อของตัวสารองในช่วง
หลงซินผู้ถอนหายใจหนักๆ หนึ่งที
ตัวเลือกของตัวสารอง จานวนคนมีเยอะมาก มากถึงยี่สิบเอ็ดคน!
นอกจากภิกษุ “เจียงชิว” ที่เป็ นผู้นา คนผู้หนึ่งที่เป็ นคนที่ไร ้ ชื่อเสียง ถูกจากัดความว่า เป็ น “บุคคลอันดับที่สิบเอ็ดแห่งใต้หล้า” แล้ว คนที่เหลืออีกยี่สิบคน รายชื่อไม่ได้เรียงตาม ลาดับสูงต่า
มิอาจแบ่งอันดับสูงต่าให้กับผู้ฝึกตนใหญ่หรือปรมาจารย์วิถีวร ยุทธพวกนี้ได้จริงๆ บางทีหลายๆ คนอาจไม่เคยเจอกันมาก่อนด้วยซ้า แล้วนับประสาอะไรกับที่ผู้ฝึกตน บนยอดเขาจานวนไม่น้อย ในช่วง พันปีที่ผ่านมาหรือหลายร ้อยปีมานี้ เดิมทีก็ไม่เคยมีการ ลงมือมาก่อน ไม่เคยประลองมรรคกถาหรือเวทกระบี่กับผู้ใด
ห้านครสิบสองหอเรือนของป่ ายอวี้จึงมีเต้ากวานสามท่านที่ติด อันดับตัวส ารอง
เว่ยฮูหยิน จื่อชวีหยวนจวิน รองเจ้านครอันดับหนึ่งของนครหนัน หัว นักพรตหญิงผู้นี้ ถูกสายอารามหวงถึงของใต้หล้ามืดสลัวเคารพ บูชาเป็ นบรรพจารย์รุ่นแรกร่วมกัน
เว่ยฮูหยินรับลูกศิษย์มามากมาย ในบรรดานั้นก็มีลูกศิษย์ผู้สืบ ทอดคนหนึ่งที่รับหน้าที่ ดูแลร ้อยบุปผาในใต้หล้า มีเรื่องเล่าแห่งเซียน ที่กล่าวขานว่าเขาคือผู้ที่ “สั่งความกลุ่มบุปผา ว่าอย่าออกจากภูเขา
เจ้าหอจื่อซี่ เจียงจ้าวหมอ
เจ้าตาหนักแห่งตาหนักเจิ้นเยว่ในหอปี้อวิ๋น เจินเหรินผู้เฒ่ามีชื่อ ว่าหวงเจี้ยโส่ว ฉายา “เฉวียนเหิง” มีอีกฉายาว่า “เสวียนหวง” นอกจากจะนั่งบัญชาการณ์ถ้าแยนเสียตาหนัก เจิ้นเยว่แล้ว ก็ยังรับ หน้าที่ดูแลเสื้อเกราะระดับขั้นสูงสุดทั้งหลาย มีหอเก็บตาราอยู่แห่ง หนึ่ง ชื่อว่าหอมิให้เวลาล่วงเลยเปล่า (ปู่ เจี้ยวอีรื่อเสียนกั้ว) นักพรต เฒ่ามักจะห้อยกุญแจหนัก หลายจินพวงหนึ่งไว้ตรงเอวตลอดทั้งปี ว่า กันว่าการที่เขาได้ฉายาว่า “เสวียนหวง” เป็ นเพราะ มรรคาจารย์เต๋า ประทานอักษรคาว่า “เสวียน” ให้เขาด้วยตัวเอง เพื่อให้เป็ นกรอบป้ าย ห้อง หนังสือของหอเก็บต ารา นี่น่าจะแสดงถึงการฝากความหวังอย่าง หนึ่งที่มรรคาจารย์เต๋ามีต่อหวงเจี้ยโส่ว
เจ้าหอรุ่นก่อนและเจ้าหอคนปัจจุบันของหอปี้อวิ่นคือลูกศิษย์และ ลูกศิษย์ของลูกศิษย์ ของเจินเหรินผู้เฒ่า เนื่องจากหวงเจี้ยโส่วคือผู้ ฝึกตนที่มีอายุขัยพอๆ กับผังติ่งเจ้านครหลิง เป่าที่มีฉายาว่า “ชวีชิน” ตามการคิดค านวณบนภูเขา ผู้ฝึกลมปราณบนภูเขารุ่นอายุหกสิบปี หรือหนึ่งร ้อยปี ถือจะเป็ น ‘คนวัยเดียวกัน” นอกจากนี้แล้วก็มีคา กล่าวถึงคนรุ่นพันปี ถือว่า เป็ นรุ่นอาวุโสใหญ่ หวงเจี้ยโส่วกับผังติ่ง “คนรุ่นเดียวกัน สองคนนี้ กาลเวลาในการฝึกตน ของนักพรตเฒ่า อันที่จริงยาวนานยิ่งกว่าเจ้าลัทธิแห่งป่ ายอวี้จิงสองท่านอย่างอวี่โต้ว และลู่เฉินเสียอีก หากพูดถึงแค่อายุขัยในการฝึกตน ไม่พูดถึงสถานะ นอกจากเจ้าลัทธิใหญ่โค่วหมิงแล้ว อันที่จริงเทียนเซียนเต้ากวานคน อื่นๆ ต่างก็เป็ นผู้เยาว์บนภูเขาของพวกเขาทั้งสิ้น
หากยังรวมถึงผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตบินทะยานที่ฝึกตนอยู่ในนคร เสินเชียวของป่ายอวี้จิง ในทุกวันนี้อย่างหาวขู่สิงกวานรุ่นสุดท้ายแห่ง กาแพงเมืองปราณกระบี่เข้าไปอีกคน
ถ้าอย่างนั้นก็เท่ากับว่าป่ ายอวี้จิงได้ครอบครองตัวสารองถึงสี่ ท่านแล้ว
ราชวงศ์ชิงเสินของปิงโจว ราชครูป้ ายโอ่ว ผู้ฝึกยุทธขอบเขต ปลายทาง บุคคลอันดับที่ สามแห่งวิถีวรยุทธในใต้หล้า
อันดับที่หนึ่งบนภูเขาของหรูโจวคือจูโหม่วเหริน มีฉายาใหม่ ล่าสุดว่า “ลวี่ผิง” ในอดีต คือบุคคลอันดับที่สิบเอ็ดที่ไม่มีการ เปลี่ยนแปลง ทุกวันนี้กลับถูกเจียงชิวที่จู่ๆ ก็โผล่มาแย่งชิง ตาแหน่ง ไปแล้ว
เยี่ยนโจว เซียนกระบี่อิสระคนหนึ่งที่มีชื่อว่าเนี่ยปี้เสีย ตลอดชีวิต อันยาวนานถึงสาม พันปี พเนจรร่อนเร่ไปทั่วสารทิศไม่เคยหยุดนิ่ง ข่าวคราวหายสาบสูญไปนานแล้ว แต่เล่าลือ กันว่าตะเกียงแห่งชะตา ชีวิตของนางที่วางไว้ในตาหนักหัวหยางของภูเขาตี้เฝ่ ย ตลอดพันปี ที่ผ่านมากลับไม่เคยมอดดับ เกี่ยวกับที่อยู่ของเนี่ยปี้เสีย ผู้คนพากัน พูดไปหลากหลาย บ้างก็ บอกว่าอันที่จริงนางไปหลอมกระบี่อยู่นอก ฟ้ าแล้ว แล้วก็มีบอกว่านางอาจจะอยู่ฟ้ านอกฟ้ า ใช ้เทวบุตรมารนอก โลกมาขัดเกลาวิถีกระบี่ ถึงขั้นยังมีคนบอกว่านางไปอยู่ดินแดนพุทธะ สุขาวดีแล้ว
จู้โจว หยวนฮว่านเซียนฉายาหนันหยางอวี่ บรรพจารย์แห่ง ต าหนักชิงสือ อาจารย์ลุง ของเจ้าต าหนักคนปัจจุบัน เชี่ยวชาญวิถี แห่งยันต์ เคยสร ้างยันต์ใหญ่ได้หลายชนิด อีกฉายา หนึ่งคือกวีผู้มีใจ บริสุทธิ์แต่ฉายาที่มีชื่อเสียงโด่งดังมากที่สุดกลับเป็ น “ป่ายชง” ที่ไม่รู ้ ว่าแพร่ ไปได้อย่างไร เล่าลือกันว่าหยวนฮว่านเ ซียนแบกรับ โชคชะตาบุ๋นของสองมณฑลเอาไว้ มี หวังอย่างยิ่งที่จะอาศัยสิ่งนี้ เลื่อนเป็ นขอบเขตสิบสี่
เป๋ าหลิน ผู้ฝึกตนอิสระ นางก็ยิ่งเป็ นผู้ฝึกกระบี่หญิงขอบเขตบิน ทะยานคนหนึ่ง เรื่องที่ ทาให้นางมีชื่อเสียงมากที่สุดก็คือ “บุญคุณ ความรักความแค้น” กับผู้ไร ้เทียมทานที่แท้จริง ครานั้น แน่นอนว่าไม่ เกี่ยวกับความรักฉันท์ชายหญิงแต่อย่างใด
บรรพจารย์หญิงบุกเบิกภูเขาของภูเขาเหลี่ยงจิง เจาเกอ ฉายา “ฟู่คาน”
คนเฝ้ าปีของต าหนักสุ่ยอู ป้ ายลั่ว
ว่ากันว่าเจ้าลัทธิลู่แห่งป๋ ายอวี่จิงให้คาประเมินคนผู้นี้ไว้สูงมาก มองดูเหมือนถูก ประเมินไว้สูง แต่อันที่จริงกลับเป็ นการประเมินที่ต่า ไปด้วยซ้า
น่าเสียดายที่ป๋ ายลั่วแทบจะไม่เคยมีการประลองหรือถามมรรคา กับใครมาก่อน
นักพรตแห่งซานอิน หวังซิ่ง ฉายา “ไท่อี๋’ ชอบเลี้ยงห่าน
ใต้หล้ามืดสลัวนอกจากสิบสี่มณฑลแล้ว อันที่จริงยังมีคาเรียก ขานว่า “สี่มณฑลเล็ก ด้วย แท้จริงแล้วก็คือเกาะสี่แห่งที่ตั้งอยู่กลาง ทะเลสาบใหญ่ เกาะแห่งหนึ่งในนั้นที่มีขนาด ใหญ่ที่สุด อาณาเขตก็ ไม่เป็ นรองยงโจวเลย
หวังซิ่งก็คือหนึ่งในเจ้าแห่งทะเลสาบสองท่านของทะเลสาบยักษ์ แห่งนี้ในนาม
เจ้าแห่งทะเลสาบอีกคนหนึ่งคือผู้ฝึกตนหญิงนามเหลยอวี่ มีชาติ กาเนิดมาจากเผ่า ปีศาจ ร่างจริงคือฮุย (ชื่องูพิษชนิดหนึ่ง)
นักพรตหญิงหยางชิง ฉายาว่า ‘เซิ่นโหลว” มีชาติกาเนิดจาก สกุลหยางหงหนงแห่งโยวโจว และนางเองก็เป็ นเจ้าของเรือนเซียนไห่ ชานแห่งหอโส่วซาน
นอกจากนี้ยังมีคู่พี่น้องฝาแฝดหญิง แต่พวกนางใช ้แซ่ไม่ เหมือนกัน คนหนึ่งใช ้แช่ตาม บิดา อีกคนใช ้แช่ตามมารดา คนหนึ่ง ชื่อสวีเหมียน รูปโฉมงามล้า คนหนึ่งชื่อสวีอิงหนิง ทว่า กลับมีรูปโฉม ดุร ้ายน่ากลัว เป็ นบรรพจารย์ของสายแยกสองสายอย่างนางก านัล ประทินโฉม และมือแดงม้วนม่าน ต่างคนต่างเป็ นเจ้าของของถ้า สวรรค์ชิงหนีและพื้นที่มงคลเทียนหร่าง แล้วก็เนื่องจากสายการสืบ ทอดของทั้งสองต่างก็ถูกมองว่าไม่ใช่สายหลักที่ถูกต้อง พวกนาง จึง แทบจะไม่เคยไปมาหาสู่กับโลกภายนอก ครั้งนี้พวกนางทั้งสองต่างก็ ติดอันดับตัวสารอง ช่างเป็ นเรื่องที่สร ้างความตะลึงพรึงเพริดอย่างจริง แท้
มี่โจว หลัวอี๋ฮ่องเต้ผู้บุกเบิกแคว้นของราชวงศ์เหิงหยาง ฉายา “ฮว่อกวาน”
แคว้นโย่วซานแห่งเพ่ยโจว อู่สี่ “เจออินโหว
เจินเหรินกระดูกขาว
ภิกษุแห่งวัดหงฝูเยี่ยนโจว ชื่อทางธรรม “เหวยสือ” ชื่อทางโลก เฉินถงซิ่ง
เจียงชิว หวงเจี้ยโส่ว เว่ยฮูหยิน เจียงจ้าวหมอ หาวซู่
ป้ ายโอ่ว จูโหม่วเหริน เป่ าหลิน ป่ ายลั่ว เจาเกอ เนี่ยปี้เสีย เหล ยอวี่ เจินเหรินกระดูกขาว หยวนฮว่านเขียน หวังซิ่ง หยางชิง อู่สี่ หลัว อี๋ เฉินถงซิ่ง สวีเหมียน สวี่อิงหนิง
ตัวสารองทั้งสิ้นยี่สิบเอ็ดคน มีผู้ฝึกตนหญิงอยู่เก้าคน
หลงซินผู้ยิ้มเจื่อนเอ่ยว่า “รายชื่อสองฉบับหนึ่งนี้ อันที่จริงก็คือ หนังสือเรียกระดมพลอ ย่างหนึ่ง”
หวังซุนพยักหน้า “เสี่ยวซุนก็พูดอย่างนี้”
อารามเสวียนตู ต าหนักสุ้ยฉู ตาหนักหัวหยางภูเขาตี้เฝ่ ย มีชุน ไหวจง หวังชุน อู๋ช่วงเจี้ยง ป้ ายลั่ว เกากู
มีภิกษุสองคนอย่างเจียงชิว เฉินถงซิ่ง และภิกษุกับวัดที่อยู่ในใต้ หล้ามืดสลัว สภาพ การณ์เป็ นเช่นไร แค่คิดก็พอจะรู ้ได้
นอกจากนี้เนี่ยปี้เสีย เป่าหลิน หยางชิงแห่งสกุลหยางหงหนง สวี เหมียนแห่งถ้าสวรรค์ ชิงหนี สวี่อิงหนิงแห่งพื้นที่มงคลเทียนหร่าง เนื่องจากประสบการณ์ชีวิตของแต่ละคน ชาติ ก าเนิดต้นตระกูลและ สายการสืบทอด ต่างก็ไม่เป็ นปรปักษ์กับป๋ ายอวี่จิงทั้งสิ้น
การคัดเลือกในอดีตจะมีการบอกกล่าวกับพรรคเซียนจิ้งเอาไว้ ก่อน ยอดฝีมือนอกโลก จะเป็ นฝ่ ายบอกกล่าวเองว่าไม่ต้องการได้รับ การประเมินติดอันดับ หลีกเลี่ยงไม่ให้เดือดร ้อน เพราะชื่อเสียงที่โด่ง ดัง ชักนาให้เกิดการไปมาหาสู่ที่ไม่จาเป็ น หรือการประลองมรรคถา อย่างไร ้ต้นสายปลายเหตุ แน่นอนว่ายังมีพวกผู้ฝึกตนบนยอดเขาที่ หวังสร ้างชื่อเสียงจอม ปลอม หรือไม่ก็ลงมือโดยพิจารณาถึง ผลประโยชน์ส่วนตนบางอย่าง ต้องพยายามขบคิดจนหัวแทบแตก เพื่อแย่งชิงพื้นที่หนึ่งมาให้ตัวเอง ฝ่ ายหลังนี้ส่วนใหญ่แล้วมักจะเป็ น จักรพรรดิ ของราชวงศ์ต่างๆ หรือไม่ก็อารามเต๋า บรรพจารย์ของ สานักที่อยู่ในอันดับรั้งท้ายสุดของ บรรดาสานักชั้นสูง ฝ่ ายหนึ่งเพื่อ สมัครรวบรวมวีรบุรุษผู้กล้าของแต่ละมณฑล อีกฝ่ายหนึ่ง เพื่อที่จะได้ หาวัตถุดิบแห่งเซียน ตัวอ่อนด้านการฝึกตนนอกภูเขามามากกว่า เดิม
ทว่าครั้งนี้กลับไม่ใช่ฝีมือของพรรคเซียนจิ้ง แล้วจะไปบอกกล่าว พูดคุยกันก่อนได้ อย่างไร?
คนหลายคนที่เดิมทีไม่อยากติดอันดับกลับติดอันดับกัน หมดแล้ว หลายคนที่อยากจะ ถูกประเมิน ถือหัวหมูมาแล้วแต่ก็ยังหา ศาลไม่เจอ
ก่อนหน้านี้ตอนอยู่บนหัวกาแพงของกาแพงเมืองปราณกระบี่ ลู่ เฉินกับเสี่ยวโม่ที่เพิ่ง ได้พบเจอกันกลับเหมือนสหายที่รู ้จักกันมานาน พูดคุยกันถึงเรื่องของใต้หล้ามืดสลัว ตอน นั้นเจ้าลัทธิลู่ได้พูดถึง รายชื่อของยอดฝีมือสิบกว่าคน สุดท้ายพวกคนมหัศจรรย์ทั้งหลายที่ ถูกเอ่ยถึงต่างก็ได้ขึ้นกระดานกันหมดแล้ว นี่แสดงให้เห็นว่าเจ้าลัทธิลู่ ที่มักจะไปยืนอยู่ตรง ราวรั้วของจุดที่สูงที่สุดของป่ายอวี้จึงเป็ นประจา ไม่ได้ไปอาบแดดก็ไปชมแสงจันทร ์ ถือว่า ไปยืนชมขนบธรรมเนียม ประเพณีของใต้หล้าแห่งหนึ่งอย่างไม่เสียเปล่าเลยจริงๆ คนยี่สิบเอ็ดคนที่มีเจียงชิวเป็ นผู้นา คนเหล่านี้ต่างก็อยู่ในอันดับตัวสารองกันทั้งสิ้น ทว่ากลับดันเอาหวังชุนแห่งอารามเสวียนตูไปวางไว้บนรายชื่อ ของสิบคนที่อยู่เบื้องหน้า แล้วอันดับที่สิบของใต้หล้ายังมีคนสองคนที่อยู่ในอันดับเดียวกัน เอาหวังซุนมาวางไว้ในอันดับที่สิบเอ็ดไม่ได้หรือ? แน่นอนว่าต้องได้
ถึงขั้นที่ว่าในสายตาของหวังซินผู่ ขอแค่หวังซุนไม่เลื่อนเป็ น ขอบเขตสิบสี่วันหนึ่ง อย่างมากสุดนางก็เป็ นได้แค่หนึ่งในตัวสารอง เท่านั้น มิอาจไปช่วงชิงอันดับที่สิบเอ็ดกับเจียง ชิวได้ด้วยซ้า
คนอื่นไม่เข้าใจถึงรากฐานและเวทกระบี่ของเจียงชิว แต่หลงซิ นผู้กลับรู ้ดีอยู่แก่ใจ
นี่เท่ากับว่าจงใจเอาอารามเสวียนตูไปวางไว้บนเตาไฟแล้วย่าง ในสานักแห่งหนึ่งได้ครอบครองสิบอันดับแรกของใต้หล้าถึงสองคน
นอกจากป๋ ายอวี้จิง ในประวัติศาสตร ์ของใต้หล้ามืดสลัว นี่คือ วีรกรรมยิ่งใหญ่ที่ไม่เคย มีปรากฏมาก่อน
ประเด็นสาคัญคืออารามเสวียนตูยังขึ้นชื่อว่าไม่ถูกกับป๋ ายอวี้จิง อารามเสวียนดูไม่ ค่อยเหมือนกับตาหนักหัวหยางภูเขาตี้เฝ่ ยสัก เท่าไร ฝ่ ายหลังแม้จะเคยมีความแค้นต่อกัน มาก่อน แต่อย่างน้อย ที่สุดภายนอกก็ยังรักษาความสัมพันธ ์กับป๋ ายอวี้จึงเอาไว้ แต่ชุนไหว จง กลับเป็ นบุคคลอันดับหนึ่งที่กล้าป่าวประกาศว่าจะงัดข้อกับป่ายอวี้ จิงซึ่งคนทั้งใต้หล้าล้วน รับรู ้ ต่อมาจึงจะเป็ นตาหนักสุ่ยฉูและอู่ชซว งเจี้ยง
หากเป็ นฝีมือของพรรคเซียนจิ้ง หลงซินฝูจะไม่มีทางยอมให้หวัง ซุนได้ติดอันดับเด็ด ขาด ถึงขั้นที่ว่าแม้แต่อันดับสารองก็ต้องไม่ติด เพราะถึงอย่างไรภูเขาปิงเจียและพรรคเซียน
หากเป็ นฝีมือของพรรคเซียนจั้ง หลงซินผู้จะไม่มีทางยอมให้หวัง ชุนได้ติดอันดับเด็ด ขาด ถึงขั้นที่ว่าแม้แต่อันดับสารองก็ต้องไม่ติด เพราะถึงอย่างไรภูเขาปิงเจี๋ยและพรรคเซียนจั้งก็เป็ นเพื่อนบ้านเก่าที่ อยู่ในอาณาเขตหย่งโจวเหมือนกัน และหลงซินผู้เองก็คือผู้ฝึกตนที่มี ลาดับอาวุโสสูงที่สุดของภูเขาปิงเจี่ย สนิทสนมคุ้นเคยกับบรรพจารย์ หลายคนของพรรค เขียนจิ้งเป็ นอย่างดี ถือว่ามีมิตรภาพส่วนตัวต่อ กัน
การที่อารามเสวียนตูผูกปมแค้นกับป๋ ายอวี่จิง หรือควรจะพูดให้ ถูกก็คือกับเจ้าลัทธิอวี๋โต้ว มี “ความแค้นที่มิอาจอยู่ร่วมฟ้ า” กันได้
ก็เพราะอาจารย์และศิษย์คู่หนึ่งของอารามเสวียนตูอย่างหวงกาน และซงเหมาหลู
อาจารย์และศิษย์คู่นี้ คนหนึ่งมีฉายาว่า “ชิงหลี่” อีกคนหนึ่งถูก ขนานนามว่า “ซึ่งชื่อ”
ทว่าตอนที่ฝ่ ายแรกมีชีวิตอยู่บนโลก แม้แต่ตัวสารองก็ยังไม่ติด อันดับ ซ่งเหมาหลูกลับ เคยติดอันดับตัวสารองครั้งหนึ่ง การที่ลาดับ รายชื่อของซึ่งชื่อ “ราชครูแห่งหลายแคว้น” ของหย่งโจวผู้นี้ไม่สูง ไม่ได้เลื่อนขั้นเป็ นสิบคนของใต้หล้า ว่ากันว่าเป็ นเพราะทางฝั่งของ พรรค เซียนจั้งจงใจ หลีกเลี่ยงไม่ให้เขาเป็ นดั่งไม้ใหญ่ที่เรียกลม